พิมพ์หน้านี้ - = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Ch0cmint ที่ 09-06-2017 19:58:04

หัวข้อ: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-06-2017 19:58:04
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม





(http://i.imgur.com/DdsONP7.png)



'ต้องใช้วิธีไหนถึงเอาชนะใจหมอที่โคตรแข็งและนิสัยที่โคตรแมนได้วะ'



"ทำไมเดือนคณะอย่างกูต้องอกหักด้วยวะ ไม่เข้าใจจริงๆ"
-จิณณ์-

"รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย แถมมีรอยสัก สนใจรับรักผมไหมครับ"
-เจ็ท-

"การแอบรักต้องกดให้ลึกแค่ไหนว่ะ เขาถึงจะไม่รู้ตัว"
-ไธ-

"พี่สายเปย์ น้องสนใจขึ้นห้องด้วยกันไหมครับ"
-ฟาร์ม-

"สาว 2D ของผมน่ารักที่สุดในโลกเลย"
-ตังค์-


"อย่ามายุ่งกับกู ขอความสงบ"
-ทาวน์-

"รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่กิน"
-แฮม-

"โอ้ย หงุดหงิด อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเลยเว้ย"
-ฟา-

"ผมมีสเป็คที่แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร สนใจเป็นตัวเลือกของผมไหมครับ"
-เอย-



-----------------------------------------------------------------



(http://i.imgur.com/FysOPPo.png)

เริ่มแข่งขัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3650388#msg3650388)
แข่งครั้งที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3653641#msg3653641)
แข่งครั้งที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3659951#msg3659951)
แข่งครั้งที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3662029#msg3662029)
แข่งครั้งที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3665288#msg3665288)
แข่งครั้งที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3667041#msg3667041)
แข่งครั้งที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3670317#msg3670317)
แข่งครั้งที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3672556#msg3672556)
แข่งครั้งที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3673641#msg3673641)
แข่งครั้งที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3677045#msg3677045)
แข่งครั้งที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3678878#msg3678878)
แข่งครั้งที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3681939#msg3681939)
แข่งครั้งที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3683623#msg3683623)
แข่งครั้งที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3686535#msg3686535)
แข่งครั้งที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3689854#msg3689854)
แข่งครั้งที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3693617#msg3693617)
แข่งครั้งที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3696730#msg3696730)
แข่งครั้งที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3702147#msg3702147)
แข่งครั้งที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3708684#msg3708684)
แข่งครั้งที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3713929#msg3713929)
แข่งครั้งที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3716424#msg3716424)
แข่งครั้งที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3718686#msg3718686)
แข่งช่วงเทศกาล : ฮาโลวีน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3728422#msg3728422)
แข่งครั้งที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3729600#msg3729600)
แข่งครั้งที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3731885#msg3731885)
แข่งครั้งที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3734680#msg3734680)
แข่งครั้งที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3737175#msg3737175)
แข่งครั้งที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3742378#msg3742378)
แข่งครั้งที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3743984#msg3743984)
แข่งครั้งที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3745671#msg3745671)
แข่งครั้งที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3747941#msg3747941)
แข่งครั้งที่ 30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3753584#msg3753584)
แข่งครั้งที่ 31 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3757182#msg3757182)
แข่งครั้งที่ 32 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3760362#msg3760362)
แข่งครั้งที่ 33 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3765688#msg3765688)
แข่งครั้งที่ 34 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3770068#msg3770068)
แข่งครั้งที่ 35 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3772805#msg3772805)
แข่งครั้งที่ 36 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3778782#msg3778782)
แข่งครั้งที่ 37 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3781356#msg3781356)
แข่งครั้งที่ 38 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3784119#msg3784119)
แข่งครั้งที่ 39 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3786528#msg3786528)
แข่งครั้งสุดท้าย  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60443.msg3788266#msg3788266)




ฝากเพจด้วยน้า https://www.facebook.com/Ch0cmint
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - เริ่มแข่งขัน (09/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-06-2017 19:59:56
(http://i.imgur.com/55PMsS9.png)




บรรยากาศยามเช้าในวันที่ฝนตกเป็นเหมือนสวรรค์ของการนอนซุกตัวอยู่ในผ้านวมอุ่นๆ ร่างกายสูงใหญ่ของใครบางคนไม่ยอมขยับไปไหน ทั้งๆ ที่ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังสนั่น มันน่ารำคาญ เพราะเดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นคนทำ มีไม่กี่คนที่กล้าปลุกเขาในเวลาแบบนี้ อยากตะโกนด่าแต่ขี้เกียจอ้าปาก

"ไอ้เจ๊กเว้ย!"
คราวนี้ตะโกนเรียกชื่อกันชัดเจนจนผมต้องเด้งตัวขึ้นมานั่งทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด 'เจ๊ก' บ้านพ่องมึงสิ กูชื่อ 'เจ็ท' เว้ย ไอ้ฉิบหาย เดี๋ยวออกไปตบกะโหลกสักที สอนไม่รู้จักจำ พี่เหี้ย!

"ตะโกนหาพ่อมึงเหรอไอ้จิณณ์ หนวกหูเว้ย!"
ผมตะโกนอย่างหงุดหงิดแล้วยังนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหนเพราะขี้เกียจจะเจอคนหน้าตาเหมือนกันที่อยู่ด้านนอก ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังก่อนจะถอนหายใจเฮือกออกมา วันหยุดแสนสบายที่ถูกปลุกตั้งแต่แปดโมงมันโคตรน่าเบื่อ ไอ้พี่ชายตัวดีไม่สงสารคนที่เพิ่งได้นอนตอนตีสามหรือไงวะ พอดีเมื่อคืนผมบ้าเล่นเกมไปหน่อย

"พ่อมึงก็พ่อกูไหมล่ะ สัด! เปิดประตู"
เสียงตะโกนด่ากลับมาดังลั่น ไม่ได้มีความเกรงใจคนข้างห้องแต่อย่างใด ถ้าวันไหนมันจะโดนคนอื่นฟาดหัวแตกก็ไม่ต้องสงสัยนะ จากที่ผมประเมินสถานการณ์แล้วไอ้พี่ชายตัวดีคงมีเรื่องสำคัญอยากให้ช่วย แต่ดูปากสิ... ใครเขาอยากจะช่วยมันวะ

"เหี้ยอะไรของมึงแต่เช้าเนี่ย ไม่เปิดเว้ย จะนอน!"
ผมยังคงไม่ยอมเปิดประตูให้มันอยู่ดี แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะขี้เกียจแต่อยากแกล้งมากกว่า มารบกวนคนอื่นเขาแต่พูดจาหยาบคายแบบนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการตอบกลับอย่างเต็มใจเลย

"เจ๊ก กูต้องการความช่วยเหลือ"
พอถึงตาจนไอ้พี่ชายตัวดีก็เสียงอ่อนลงจนผมต้องลุกขึ้นไปยืนใกล้ๆ ประตูแล้วเอาหูแนบเพื่อฟัง ดูท่าทางคงเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติแน่ๆ เพราะโดยปกติแล้วถ้าได้ด่ากันก็ยาวยืดไม่มีใครยอมใคร เป็นคู่แฝดที่เหี้ยดีเนอะ รักกันมากปานจะฆ่ากันตายวันละหลายรอบ แต่ไอ้ที่เรียกเจ๊กๆ เนี่ย ทำให้อารมณ์เสียชะมัด

"เรียกชื่อกูให้ถูกก่อนได้ปะจิณณ์ ไม่งั้นมึงก็แหกปากต่อไปแล้วกัน"
ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงฉุนๆ มาปลุกกันก็หงุดหงิดมากพออยู่แล้วยังเรียกชื่อผิดอีก ถ้าเป็นตอนอารมณ์ดีจะไม่ว่าอะไรสักคำเลยจริงๆ พ่อแม่ตั้งชื่อให้ดิบดีขนาดนี้ แต่เสือกเรียกเจ๊ก ทีกับมันผมเรียก 'จิณณ์' ตลอดไม่เคยตั้งฉายาให้ ดูเอานะว่าใครกวนตีน

"โอ๋ๆ เจ็ทครับ พี่มึงมีเรื่องอยากให้ช่วย ~"
น้ำเสียงอ้อนๆ ที่มักจะได้ยินมันใช้กับแฟนดังขึ้นที่นอกประตูชวนให้ผมหลุดหัวเราะได้ไม่ยากเมื่อคิดว่าใบหน้าของมันคงบูดเบี้ยวไม่สบอารมณ์ที่ต้องมาพูดอะไรหวานๆ กับน้องที่หน้าตาเหมือนกันและอายุเท่ากันแบบนี้ แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะยอมเปิดประตูให้จิณณ์ ไม่อยากเล่นตัวมากนักหรอก เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นคนไร้น้ำใจอีก

"เออ ก็แค่นั้น มึงชอบกวนตีน"
ผมพูดจบก็หมุดลูกบิดประตูให้เปิดออก พบว่าใบหน้าที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วกำลังยิ้มแย้มอยู่ แถมในมือยังถือโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดเอาไว้อีก หึ ไปอ้อนแม่ให้ซื้อแน่ๆ อย่าให้ถึงตาผมบ้างนะเออ จะจัดหนักจัดเต็มกว่าไอ้จิณณ์เลยคอยดู (ได้ข่าวว่าเจ็ทเพิ่งได้เครื่องเล่นเกม Nintendo Switch มาจากพ่อนะ)

"เพราะรักหรอก"
คำบอกรักหวานๆ ทำให้ผมเบ้ปากอย่างหนัก ทฤษฎีที่บอกว่าผู้ชายชอบกวนตีนใครแปลว่ารักคนนั้นมันไม่สามารถใช้กับพี่น้องร่วมสายเลือดได้หรอก เพราะยังไงซะการกวนตีนก็คือกวนตีนนั่นล่ะ ไม่มีความหมายแฝงให้วุ่นวาย

"หุบปากไป กูจะอ้วก"
ผมห้ามมันพูดอะไรต่อด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายก่อนจะเอนตัวพิงเข้ากับขอบประตู ช่วงบนที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นรอยสักตรงกลางอกขนาดใหญ่เป็นลวดลายเข็มทิศสละสลวย ซึ่งมีความหมายว่าโอกาส ทิศทาง แรงบันดาลใจที่แรงกล้า สู่เป้าหมายที่ตั้งไว้

"ใจร้ายอะ"
จิณณ์เบะปากใส่เหมือนกับเด็กๆ เห็นแล้วก็หมั่นไส้จริงๆ เสแสร้งอะไรช่วยทำให้เหมือนคนปกติหน่อยก็ได้ ตอนนี้เหมือนยืนคุยกับคนปัญญาอ่อนยังไงไม่รู้ แล้วอีกอย่างประเด็นมันอยู่ที่หน้าตาของมันไง เหมือนผมทุกกระเบียดนิ้วจนแยกไม่ออก แต่ถ้าคนช่างสังเกตกน่อยจะรู้ว่าไอ้พี่ชายตัวดีมันมีไฝเล็กๆ ที่หางตาด้านซ้าย

"เออ จะทำไม"
ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้นตามที่โดนกล่าวหา รู้สึกว่าตอนนี้ใบหน้าของตัวเองคงกำลังบูดบึ้ง

"เปล่าจ้าๆ"
ไอ้พี่ชายรีบเปลี่ยนท่าทีทันทีเพราะคงจับอารมณ์ของผมได้เลยเลิกกวนตีน แถมยังฉีกยิ้มสดใสให้กันอีก มันใช่เวลาไหมล่ะ เห็นแล้วรู้สึกรำคาญลูกตาชะมัด

"มีอะไรรีบว่ามา กูง่วง"
ผมบอกมันก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองหวังว่าจะทำให้หายง่วงขึ้นมาบ้าง แต่อยากบอกว่าไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อปากหยักอ้าออกเพื่อหาวอีกครั้ง ถ้าจิณณ์จะชักช้าแบบนี้ขอไปนอนก่อนได้ไหมล่ะ

"มึงช่วยไปเอาช่อดอกไม้จากร้านให้หน่อยดิวะ จะเอาไปง้อเค้ก"
น้ำเสียงอ้อนๆ ของจิณณ์ดังขึ้นพร้อมด้วยสายตาขอร้องที่ส่งมาให้กัน จากที่ผมกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นกลับต้องเบิกตาโตคล้ายๆ กำลังถลึงใส่คนตรงหน้า นี่มันอะไรวะ คือจะขอช่วยเรื่องนี้น่ะเหรอ โคตรบ้า

"แล้วทำไมต้องใช้กู ไปเอาเองดิ ร้านดอกไม้ก็อยู่แค่เนี่ย"
ปลายประโยคจบลงผมก็ขมวดคิ้วยุ่งบวกกับการชี้ออกไปด้านตรงข้ามของคอนโด แค่ข้ามถนนแล้วเดินไปอีกบล็อกสองบล็อกก็จะเจอร้านดอกไม้ที่จิณณ์พูดถึง ใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีหรอก

"น่าๆ กูต้องปั่นงานก่อนไง ช่วยหน่อย"
จิณณ์เข้ามาเกาะแขนตามด้วยการเอาหน้าใสๆ ของมันมาถูกับลาดไหล่ของผม คิดว่าขนลุกไหมล่ะ ไม่ได้ใส่เสื้อนะเว้ย สยอง

"เรื่องเยอะว่ะ ให้กูไปง้อพี่เค้กแทนเลยปะ แล้วไหนค่าจ้าง"
ผมบ่นแล้วผลักหัวมันไปไกลๆ ด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย จริงๆ ถ้าให้ไปง้อพี่เค้กแทนก็ทำได้นะ เพราะคนๆ นั้นไม่เคยแยกแยะอะไรได้เลย แฟนตัวเองคนไหนก็จำไม่ได้ ไม่รู้ว่ารักกันไหม หรือที่จริงแล้วแค่เกาะกระแสเดือนคณะวิศวะเพิ่มความดังของตัวเอง

"ไอ้บ้า ไม่ต้องเว้ย กูง้อเอง ส่วนค่าจ้างเป็นบอนชอน"
ไอ้จิณณ์โวยวายก่อนจะยกมือขึ้นตบหัวผมไม่แรงมากนัก อยากจะเอาคืนด้วยการถีบอยู่หรอกแต่ค่าจ้างมันดีพอรับได้เลยฉีกยิ้มแทน

"เออๆ งั้นกูไปอาบน้ำก่อน หาข้าวเช้าไว้ให้ด้วย เดี๋ยวกลับมากิน"
ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องเพื่ออาบน้ำก็ออกคำสั่งกับพี่ชายไว้ เพราะคนจัดการเรื่องอาหารคือมัน อย่าถามว่าอร่อยหรือไม่อร่อยเพราะกินมาตั้งแต่เด็กๆ ชินแล้ว บ่นมากก็ไม่ได้เดี๋ยวไม่มีแดก อดตายกันพอดี

"รับทราบครับเจ๊ก"
จิณณ์ตะเบะพร้อมกับยิ้มร่าให้กันโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังจะโดนถีบ ผมสงสัยจริงๆ ว่าจะแกล้งเรียกชื่อกันผิดไปถึงเมื่อไหร่ ไม่ใช่ไม่ชอบแต่พอบ่อยครั้งไปมันก็น่ารำคาญ

"จิณณ์"
ผมกดเสียงต่ำพร้อมกับจ้องหน้าฝาแฝดเขม็ง บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เริ่มมีอารมณ์ไม่พอใจขึ้นมาอีกแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไบโพล่ายังไงก็ไม่รู้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เผลออาจจะเป็นบ้ามากกว่า

"โอ๋ๆ น้องเจ็ทสกีของพี่จิณณ์"
จิณณ์รีบเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงทันทีที่เริ่มสังเกตเห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ปกติ แถมยังสามารถเรียกชื่อเล่นเต็มยศได้ซะขนาดนั้น สงสัยจะกลัวผมเบี้ยวไม่ยอมไปเอาดอกไม้ให้แน่ๆ ง้อแฟนทีลงทุนเป็นพันๆ มันคุ้มแล้วเหรอวะ พี่เค้กก็แม่งจะขี้งอนอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ครั้งนี้แค่เรื่องที่ไม่รับโทรศัพท์ล่ะมั้ง ก็ตอนนั้นกำลังข้ามถนนหน้ามหา'ลัยนี่หว่า ถ้ามัวแต่วุ่นวายกับเธอคาดว่ารถน่าจะชนตายซะก่อน

"ไปไกลๆ เลยมึง น่ารำคาญ"
ผมออกปากไล่ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้มันออกไปพ้นๆ จากหน้าห้องสักที ที่บอกว่ารำคาญส่วนหนึ่งคือตัวไอ้จิณณ์อีกส่วนคือตัวพี่เค้ก อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ยอมรับว่าไม่ค่อยถูกชะตากับเธอเท่าไหร่หรอก เพราะเคยสงสัยว่าคนที่เขาอยากได้จริงๆ น่าจะเป็นตัวผม เพราะเจอกันทีไรก็เห็นดวงตากลมโตนั้นฉายแววยั่วยวนมาเสมอ ขี้เกียจจะเสวนาด้วย นานๆ ครั้งผมจะปริปากคุยกับผู้หญิงคนนั้นสักที

"จ้า ไปแล้วๆ รักนะ จุ๊บๆ"
ไอ้จิณณ์ส่งจูบด้วยท่าทางทะเล้นแล้ววิ่งกลับไปทิศทางห้องของตัวเองด้วยท่าทางร่าเริงราวกับคนบ้าเพิ่งหลุดออกมาจากโรงพยาลบาล

"จุ๊บพ่อง!"
ผมตะโกนด่ามันไล่หลังไปแล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อไหร่มันจะเลิกกวนตีนกันสักทีนะ นิสัยอย่างกับเด็กตัวเล็กๆ ควรเกิดหลังผมมากกว่าไหมน่ะ อายุสมองเท่าไหร่กันแน่ คิดแล้วก็เครียดแทนพ่อแม่และพี่สาวที่อยู่ต่างประเทศจัง

"อย่าลืมเอาร่มไปด้วยนะเว้ย ฝนตก!"
จิณณ์ตะโกนกลับมาแบบนั้นทำให้ความคิดที่จะโกรธเขามลายหายสิ้นไปหมด ถึงจะกวนตีนเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่มันก็เป็นห่วงน้องอย่างผมด้วยความจริงใจล่ะนะ

สายน้ำที่ไหลออกจากฝักบัวทำให้ดวงตาปรือๆ คล้ายจะหลับตื่นเต็มที่ เนื่องจากอุณหภูมิที่ต่ำจนน่าใจหายคล้ายๆ ผ่านการแช่ตู้เย็นมา อาจเป็นเพราะว่าฝนกำลังตก อากาศเลยไม่ปรานีกันขนาดนี้ ถ้าได้กลับไปนอนซุกผ้านวมอุ่นๆ คงจะดีไม่น้อย แต่คิดแล้วก็พาลหงุดหงิดเปล่าๆ เพราะยังไงก็ต้องไปเอาช่อดอกไม้จากร้านให้พี่ชายอยู่ดี ไม่ใช่เรื่องอะไรของตัวเองเลย

กว่าผมจะได้ฤกษ์ออกจากห้องก็ปาเข้าไปเกือบเก้าโมงครึ่ง เห็นจิณณ์ขมักเขม้นปั่นการบ้านอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องโถงก็อดแกล้งไม่ได้ ดวงตาเรียวกวาดมองหาอะไรพอเหมาะกับมือแล้วก็เจอเข้ากับกล่องใส่ขนม รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะออกแรงขว้างมันใส่พี่ชายคนดี นี่ล่ะคือการเอาคืนที่มันบังอาจมาปลุกกันในวันฝนตกอากาศเย็นสบายแบบนี้

"อะไรวะแม่ง"
มันบ่นเสียงดังพอตัวก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองแล้วเบนหน้ามาทางด้านหลัง ผมไม่ได้หลีกหนีไปไหนแต่ยืนยักคิ้วกวนๆ ให้ ได้แกล้งไอ้จิณณ์แล้วรู้สึกมีความสุขขึ้นมานิดหน่อยว่ะ ยิ่งเห็นมันทำหน้าหงิกยิ่งสะใจ

"ไอ้เจ็ท เอากล่องขนมมาปาหัวพี่มึงเพื่ออะไรวะ"
จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงสงสัยปนหงุดหงิด ทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาเอาคืนแต่ก็เปลี่ยนใจนั่งลงที่เดิม สงสัยกลัวว่าผมจะเบี้ยวไม่ยอมไปเอาดอกไม้ให้แน่ๆ เพราะมันน่ะ ดูรักแฟนคนนี้จะตาย งอนต้องรีบง้ออะไรประมาณนั้น

"ความสุขกู อย่าลืมทำอาหารเช้าไว้ด้วย ไปล่ะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะโบกมือให้พี่ชายที่ยังไม่เลือกทำหน้าตาบึ้งตึง มันพยักหน้ารับคำแล้วหยิบอะไรบางอย่างเดินตรงมาทางนี้ ไม่ใช่ว่าจะมาเอาคืนกันนะเว้ย พ่อถีบล้มทั้งยืนจริงๆ ด้วย

"ร่ม อย่าลืม"
จิณณ์ยื่นร่มขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กมาให้กัน ผมมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับมาถือไว้ จริงๆ แล้วไม่ค่อยชอบใช้มันสักเท่าไหร่ เพราะเกะกะ วิ่งตอนกางก็ไม่ได้เพราะโต้ลมฉิบหาย แต่พึงระลึกได้ว่าตัวเองป่วยง่ายเมื่อโดนฝนเลยเลิกปฏิเสธความหวังดีของพี่ชาย

"อ้อ เออ ขอบใจ"
ผมบอกก่อนจะหมุนตัวไปใส่รองเท้าและเอื้อมมือไปเปิดประตู ไอ้จิณณ์ก็ยังไม่วายเอ่ยเตือนเรื่องให้กางร่มด้วย เพราะรู้นิสัยกันดีเลยต้องดักคอแบบนี้ทุกทีไป

ผมเลือกใช้บันไดเพราะไม่อยากไปเบียดเสียดกับเพื่อนร่วมคอนโดในเวลานี้สักเท่าไหร่ แค่ลงจากชั้นสามไม่ได้ทำให้ข้อเข่าเสื่อมหรอก อีกอย่างหนึ่งคือยังไม่อยากเอาตัวเองไปเผชิญกับสภาวะฝนกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว ถึงจะมีร่มอยู่ในมือให้ใช้งานก็เปียกอยู่ดี ขี้เกียจจะนอนซม ถ้ามีแฟนเป็นหมอคงไม่คิดมากแบบนี้หรอก ตอนป่วยแล้วไม่มีคนดูแลมันรู้สึกแย่ชะมัด

ตอนนี้ผมยืนพิงผนังอยู่ใกล้ๆ ประตูทางออกคอนโด ดวงตาเรียวมองสายฝนที่ตกกระทบลงมาบนพื้นถนนแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาหนักๆ เมื่อไหร่มันจะหยุดสักทีวะ คนอื่นๆ ที่ไม่สามารถออกไปทำธุระได้อย่างต้องการก็ออกันอยู่บริเวณนี้เยอะแยะ และหนึ่งในนั้นรวมถึงเพื่อนสนิทของผมด้วย

"ไอ้ไธ!"
ผมตะโกนเรียกมันที่กำลังจะออกไปเผชิญสภาพอากาศเลวร้ายข้างนอกแล้วเดินดุ่มๆ เข้าไปหา ไอ้ไธตกใจเล็กน้อยก่อนจะชะงักแล้วหันซ้ายหันขวามองหาต้นเสียง แต่เมื่อสายตาของเราสบกันก็พลันเกิดรอยยิ้มขึ้น

"ว่าไงมึง จะไปไหน"
มันถามก่อนจะก้มลงมองวัตถุที่อยู่ในมือของผม ร่มหนึ่งอันกับชุดเสื้อบอลกางเกงบอลสีขาว คีบรองเท้าแตะสีฟ้าสดใส อย่าคิดว่ากูจะออกไปไหนไกลเลยมึงแค่เดินเล่นแถวคอนโดก็หรูแล้ว

"ไปเอาดอกไม้ที่ร้านให้ไอ้จิณณ์"
ผมตอบออกไปแล้วเหวี่ยงร่มในมือเล่นเพื่อฆ่าเวลา เห็นใบหน้างงๆ ของไอ้ไธแล้วได้แต่ขำในใจ มันหล่อนะ แต่พอเก๊กแตกนี่โคตรฮา ลักษณะคล้ายๆ หมาตอนทำหน้าสงสัยไม่เข้าใจโลกอะไรประมาณนั้น

"ห๊ะ... ทำไมวะ"

"มันจะเอาไปง้อพี่เค้ก"
ผมตอบไปตามความจริงแล้วเบนสายตาออกไปมองสายฝนด้านนอกที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกสักที แอร์จะหนาวไปไหนวะเนี่ย อยากเดินไปบอกพี่คนสวยที่หน้าเค้าน์เตอร์เหลือเกินว่าช่วยปรับอุณหภูมิสักนิดเพราะไข่จะหดหมดแล้วครับ หนาวเหี้ยๆ นึกว่ายืนอยู่กลางธารน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ แล้วตัวเองเป็นหมีขาวเริงระบำ สัด!

"อ๋อ... แล้วมึงจะไปกับร่มเนี่ยนะ เปียกตายห่าพอดี"
ไอ้ไธมองผมหัวจรดเท้าแล้ววกมาที่ร่มในมือด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าตายแน่ๆ เปียกยันกางเกงในเลยนะมึง อะไรประมาณนั้น

"เออดิ ฝนตกขนาดนี้ หวัดคงแดกกูอีกตามเคย"
ผมกรอกตาด้วยความเบื่อหน่ายแล้วเหวี่ยงร่มขึ้นพาดบ่า ดูท่าทางเช้านี้ฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ หรอก ขอกลับขึ้นห้องไปนอนต่อได้ไหมวะ แล้วเรื่องที่จิณณ์จะไปง้อแฟนค่อยทำวันพรุ่งนี้... ถ้าเป็นแบบนั้นมีหวังเลิกรากันแน่ๆ

"งั้นกูไปส่ง ขากลับมึงกลับเองนะ"
ไอ้ไธพาดแขนวางบนลาดไหล่ของผมแล้วออกแรงกระชับเล็กน้อย ส่วนสูงและขนาดตัวของเราไม่ได้ต่างกันมากนัก และมันเป็นคนติดสกินชิพ จนพวกสาวๆ ในคณะต่างเอาไปจิ้น รู้ไหมว่าพวกผมต้องนั่งปั้นหน้ายิ้มรับฟังเรื่องพวกนี้อย่างทรมานแค่ไหน มองหน้ากันไปขนลุกกันไปตลอด

"เฮ้ย จริงดิ ดีๆ งั้นไปเลยมึง"
ผมตอบกลับไปด้วยท่าทางร่าเริง ดีซะอีกที่ได้นั่งรถหรูราคาหลายล้าน แถมยังสบายแบบไม่ต้องเปียกม่อล่อกม่อแล่กเป็นลูกหมาตกน้ำด้วย เรื่องสบายๆ ไอ้เจ็ทคนนี้ไม่เคยปฏิเสธ

"เออๆ"
ไอ้ไธรับคำแล้วออกแรงดันตัวผมให้เดินไปที่ลานจอดรถพร้อมๆ กัน ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ละแขนออกจากไหล่ผมเลยสักนิด ชินแล้วล่ะที่จะโดนถูกเนื้อต้องตัวโดยเพื่อนสนิทแบบนี้ ผู้ชายด้วยกันเขาไม่คิดเล็กคิดน้อยจนต้องระแวดระวัง ไม่เหมือนสาวๆ พวกนั้นที่ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็กรี๊ดกร๊าดหาว่าพวกเรามีซัมติง กูว่าเป็นไส้ติ่งยังมีความเป็นไปได้สูงกว่าอีก

"ว่าแต่... มึงจะไปไหนวะไธ ฝนตกขนาดนี้"
เดินมาได้ครึ่งทางผมก็เกิดอาการสงสัยจนต้องตะโกนถามแข่งกับเสียงฝนกระหน่ำ มันหันมามองหน้ากันก่อนจะเบ้ปากเหมือนคนไม่ค่อยเต็มใจออกไปไหนสักเท่าไหร่ เพราะจากที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมไอ้ไธเกลียดฤดูนี้จะตาย เพราะมันเฉอะแฉะ เดินทางลำบาก

"ไปห้างว่ะ มีนัดกับพี่แทน"
มันเฉลยสิ่งที่ผมอยากรู้ก่อนจะผละตัวออกไปเปิดประตูรถยุโรปที่อยู่ตรงหน้าแล้วสอดตัวเข้าไปด้านใน ส่วนผมก็ไม่รอช้าที่จะรีบขึ้นไปนั่งข้างคนขับอย่างรวดเร็วพอๆ กัน กลัวโดนทิ้ง ไอ้นี่มันขี้แกล้งจะตายไป

"อ้อ... กลับมาจากญี่ปุ่นแล้วเหรอ"
ผมต่อประโยคสนทนาหลังจากที่คว้าเข็มขัดมารัดและวางร่มไว้บนตักเรียบร้อยแล้ว ไอ้ไธที่กำลังจะออกรถเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ (พี่แทนของมันหอบผ้าหอบผ่อนไปเรียนที่ญี่ปุ่นน่ะ)

"เออ"
มันตอบก่อนจะเหยียบคันเร่งนำรถออกจากอาคาร เสียงสายฝนกระทบลงบนกระจกทำให้กลบเพลงที่กำลังเปิดอยู่จนหมด ผมไม่ได้ชวนมันคุยอะไรเพราะไอ้ไธเป็นคนที่มีสามาธิจดจ่อกับการขับรถสูง ไม่เคยว้อกแว้กเลยสักครั้ง ปลอดภัยหายห่วง

"นี่... ร่มมึงน่ะกางด้วย อย่าเอามาถือเล่นๆ"
อยู่ๆ ไอ้ไธก็พูดขึ้นเมื่อเบื้องหน้าอีกประมาณยี่สิบเมตรปรากฎร้านขายดอกไม้ขนาดกลาง ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วก้มมองร่มบนตักนิ่ง แค่ลงจากรถไม่ถึงห้าก้าวเพื่อเข้าร้านต้องกางมันด้วยเหรอวะ แต่คิดได้ว่าตัวเองป่วยง่ายเลยไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไปให้เพื่อนด่าสวนกลับ

"เออๆ สั่งกันจังวะเรื่องกางร่มเนี่ย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วแกะกระดุมที่เก็บร่มออกเตรียมตัวจะลงจากรถ

"ก็เพราะมึงป่วยง่ายแล้วเสือกกระแดะไม่ชอบกางร่มไง"
ไอ้ไธพูดอย่างรู้ทันแล้วใช้มือข้างหนึ่งผลักหัวกันหลังจากที่รถจอดสนิทที่หน้าร้าน ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันแล้วใช้ร่มในมือเคาะหัวกลับ ไม่ยอมแพ้หรอกเว้ย

"มึงเป็นเพื่อนหรือพ่อครับ"
ผมถามมันด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ให้ขณะที่ไอ้ไธลูบหัวตัวเองป้อยๆ อยากขอโทษอยู่หรอกที่เผลอมือหนักไปหน่อยแต่สมน้ำหน้ามากกว่า ใครใช้ให้มันทำร้ายร่างกายผมก่อนล่ะวะ

"กูเป็นได้ทุกอย่าง"
คำพูดมันช่างหวานเลี่ยนแต่หน้าตากวนตีนจนอยากประทับรอยเท้าลงไปจังๆ ไม่รู้ว่าหลงไปเป็นเพื่อนสนิทกับไอ้ไธได้ยังไงก็ไม่รู้ แม่ง...

"กวนตีนเหมือนไอ้จิณณ์ไม่มีผิดเลยนะมึง"
ผมบ่นอีกรอบเมื่อคิดถึงพี่ชายที่กวนตีนเหมือนๆ กับเพื่อนสนิท รายนั้นชอบแกล้งกันเป็นชีวิตจิตใจ แล้วมันก็ไม่เคยหลาบจำตอนที่โดนเอาคืนหนักๆ ด้วยนะ แม่ง โรคจิตชัดๆ เลยไอ้จิณณ์

"เหรอวะ"
ไอ้ไธถามกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ดวงตามันระยิบระยับแปลกๆ นี่มึงแอบคิดอะไรกับพี่ชายกูหรือเปล่าวะ สังเกตหลายรอบแล้วว่าพอผมพูดถึงไอ้จิณณ์ทีไร เพื่อนสนิทมักมีปฏิกิริยาแปลกๆ ทุกครั้ง แต่คงไม่มีซัมติงกันหรอก เพราะต่างคนต่างชอบผู้หญิง อาจจะมองว่าเป็นไอดอลด้านความเจ้าชู้ก็ได้ และเวลาเจอหน้ากันคุยแทบนับคำได้ ไม่รู้ว่ากลัวดอกพิกุลร่วงหรือยังไง

"เออ ขับรถดีๆ นะมึง กูไปล่ะ ขอบใจมาก"
ผมบอกมันก่อนจะตบบ่าปุๆ แล้วแง้มประตูออกเพื่อกางร่มและรีบลงจากรถตรงเข้าร้ายขายดอกไม้ทันที แต่ด้วยความไม่ระวังเลยทำให้เดินชนประตูกระจกที่มีใครสักคนเปิดออกมาแบบพอดิบพอดี โอ้ย ไอ้สัด หัวโนเป็นลูกมะนาวแน่ๆ เลยกู

"สัด โคตรเจ็บ"
ผมสบถออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองที่ปูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ร่มในมือถูกโยนทิ้งไปตั้งแต่ประตูเปิดออกมาชน ในจังหวะที่กำลังเงยหน้าจะอ้าปากด่าคนลอบประทุษร้ายตัวเองนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อใครตรงหน้าทำให้โลกแทบหยุดหมุน

โครงหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มเรียงตัวสวย ปากบางเป็นรูปกระจับ จมูกโด่งทรงหยดน้ำ ดวงตาชั้นเดียวแต่กลับคมคล้ายเหยี่ยว ผิวขาวอมชมพู ส่วนสูงพอๆ กัน ทรงผมอันเดอร์คัต... โคตรหล่อ ถึงใบหน้าจะดูไร้อารมณ์และติดเย็นชา แต่มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจแฝงอยู่

เขามองหน้าผมนิ่งๆ ในมือถือช่อดอกลิลลี่สีขาวส่งกลิ่นหอม ประเมินจากสถานะการตรงหน้าแล้ว ผู้ชายหล่อกับดอกไม้งามในมือ คงซื้อไปให้แฟนแน่ๆ เลยว่ะ และเธอคงสวยราวนางฟ้านางสวรรค์แน่ๆ

"ขอโทษครับ"
เขาเอ่ยคำขอโทษออกมาเรียบๆ โดยสีหน้ายังไม่เปลี่ยนไปไหนแล้วเบี่ยงตัวเปิดทางให้ผมเข้าไปในร้านดอกไม้แทน ดูท่าทางจะเป็นคนพูดน้อยต่อยหนักล่ะมั้ง ถ้าคนๆ นี้ยิ้มสักหน่อยคงหล่อกว่านี้เป็นกอง

"เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมเดินไม่ดูทางเอง"
จากที่จะด่าเขากลายเป็นว่ายอมรับผิดเองซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ปกติแล้วไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน สงสัยจะอิจฉาในความหล่อของคนตรงหน้ามากไปหน่อย สมองเลยทำงานผิดเพี้ยนไปจากเดิม

"อืม กลับบ้านไปก็หาน้ำแข็งประคบด้วย มันจะช่วยลดอาการบวม"
เขาบอกแค่นั้นก่อนจะหมุนตัวเดินไปหยิบร่มคันใหญ่ที่พิงอยู่กับกระจกหน้าร้านแล้วกางมัมออกไปท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ ทิ้งให้ผมยืนนิ่งๆ มองตามแผ่นหลังของคนที่ใส่ชุดนักศึกษามหา'ลัยเดียวกันจากไป

ความรู้สึกตอนนี้มันอุ่นๆ ในหัวใจ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักอะไรกันแต่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเพื่อนมนุษย์แบบนี้ ถ้าเขาจะกลายเป็นคนที่น่าสนใจขึ้นมาสำหรับผมคงไม่แปลกสักเท่าไหร่ ถึงจะเย็นชาแต่ดูๆ แล้วคงใจดี ส่วนมากแล้วพวกเสือยิ้มยาก พอได้ยิ้มให้ใครสักทีเหมือนโลกใบนี้สวยงามขึ้นมาทันตาเห็น ผมอยากลองเข้าไปทำความรู้จักเขา ผลตอบรับจะเป็นยังไงก็น่าลุ้นไม่ใช่เหรอ

และผมเชื่อว่าสักวันเราคงได้พบกันอีกครั้ง ในเมื่อโลกใบนี้น่ะ กลมจะตายไป



--------------------------------------

เราแวะมาแปะอินโทรให้อ่านก่อนเนอะ ตอนที่ 1 บอกไม่ได้ว่าจะมาเมื่อไหร่

แต่ไม่นานเกินรอฮับ ฝากติดตามด้วยน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - เริ่มแข่งขัน (09/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 10-06-2017 05:19:31
 o13
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 1 (14/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-06-2017 20:45:53
(http://i.imgur.com/pGHFF2H.png)



แสงแดดยามเช้าปลุกให้คนขี้เกียจอย่างผมลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย ผ้าม่านสีเทาถูกแง้มไว้เล็กน้อยด้วยฝีมือคนที่ยืนยิ้มร่าอยู่ตรงนั้น เขาหน้าตาเหมือนผมทุกกระเบียดนิ้วเนื่องจากเป็นฝาแฝดกัน ส่วนใหญ่คนที่สนิทถึงจะแยกออกว่าใครเป็นใคร แต่ในตอนนี้ควรทิ้งเรื่องประวัติความเป็นมาแล้วด่ามันมากกว่า กวนตีนฉิบหาย


"จิณณ์ ทำห่าอะไรของมึงเนี่ย คนจะกลับจะนอน"
ผมหรี่ตาลงเพราะสู้แสงแดดไม่ไหวเมื่อจิณณ์เปิดผ้าม่านกว้างขึ้น มันไม่ได้สะทกสะท้านกับคำด่าแต่ยืนฉีกยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า คงสบายใจที่ได้แกล้งน้องสินะ เดี๋ยวพ่อกระโดดถีบขาคู่!


"จะนอนอะไรนักหนาวะ นี่มันเจ็ดโมงแล้ว"
มันบุ้ยปากไปทางนาฬิกาแขวนผนัง แต่ผมไม่สนใจจะมองตาม เพราะวันนี้มีเรียนตั้งสิบโมงพร้อมๆ มัน ที่จิณณ์ทำอยู่คือความกวนตีนล้วนๆ ไม่ได้มีความหวังดีกลัวน้องจะไปมหา'ลัยสายเลยสักนิด


"แล้วมึงอะ จะรีบตื่นอะไรนักหนาครับ เพิ่งเจ็ดโมง ได้ข่าวว่าเรียนสิบโมงไม่ใช่หรือไง"
ผมถามกลับไปพร้อมกับหมอนในมือที่พุ่งเข้าไปหาไอ้คนกวนตีน มันขยับตัวหลบด้วยท่วงท่าที่นักยิมนาสติกยังอายก่อนจะหันมายักคิ้วอวดความเก่งของตัวเองอยู่ตรงนั้น มึงเข้ามาใกล้เตียงอีกสิ กูจะลุกไปถีบจริงๆ ด้วย

"ตื่นเช้าจะได้สดชื่นไงมึง รับวิตามินจากแสงแดดบ้าง"
จิณณ์พูดด้วยเสียงร่าเริงก่อนจะแหงนหน้ารับแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบบานประตูกระจก ผมมองภาพนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจ ขืนมันมาวุ่ยวายตั้งแต่เช้าแบบนี้ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ แต่ขี้เกียจถามว่ะ

"วิตามินพ่อง แดดประเทศไทยจะทำมึงเป็นมะเร็งซะก่อน"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วถีบผ้านวมออกไปจากร่างกายก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้หัวจนยุ่งเหยิง วิตามินจากแสงแดดเมื่อหลายปีก่อนอาจจะรับได้ แต่ตอนนี้คงกลายเป็นสารก่อมะเร็งล้วนๆ

"ขัดกูตลอดนะมึง"
จิณณหันมามองกันด้วยใบหน้าบึ้งตึง มันเลิกทำท่ารับแสงแดดไปแล้วก่อนจะสาวเท้าเข้ามาแต่ไม่ถึงเตียงนอน

"ทำไม มีปัญหาอะไรกับกูนักหนา"
ผมถามแล้วมองหน้ามันด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้ทำไมจิณณ์ต้องชอบแกล้งกันตลอด ตั้งแต่เล็กจนโตไม่รู้จักเบื่อบ้างหรือไง

"ทำไมต้องโหดกับพี่มึงแบบนี้ด้วย"
น้ำเสียงตัดพ้อดังขึ้นตามด้วยใบหน้าบึ้งตึง ผมมองจิณณ์นิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด ไม่รู้กรรมการเลือกมันเป็นเดือนคณะได้ยังไง ปัญญาอ่อนฉิบหาย ดราม่าก็ที่หนึ่ง ปวดหัวเว้ย

"เพราะมึงชอบกวนตีนกูไงจิณณ์"
ผมพูดเป็นครั้งที่ร้อยแล้วกับประโยคนี้ แต่จิณณ์ไม่เคยจำมันลงในสมองเลยสักครั้ง คล้ายกับทำหูทวนลมไม่รับฟังความผิดใดๆ เพราะแบบนี้การแสดงออกระหว่างเราเลยดูแข็งกระด้างมากกว่ารักใคร่

"มึงไม่รักกู"
คำพูดแสนจะดราม่า หน้าตาแสนจะร่าเริง กูควรสงสารมึงไหมครับพี่ชาย ดีนะที่ผมขี้เกียจลุก ไม่อย่างนั้นจิณณ์คงเละคาตีนไปแล้ว คนอะไรตอแหลไม่เนียนเลยจริงๆ

"เชิญดราม่าไปคนเดียวนะ กูรำคาญ"
ผมทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งเพราะคุยกับมันไปก็หาสาระอะไรไม่ได้ สู้เอาเวลามาพักผ่อนจะดีกว่าเป็นร้อยเท่า แถมวันนี้ยังมีเรียนการเขียนแบบและแสดงแบบสถาปัตยกรรมอีกด้วย ถ้าตาเบลอวาดรูปเบี้ยวมีหวังโดนอาจารย์ด่าหูชาแน่ๆ

"เจ็ท ~ มึงจะทำแบบนี้กับพี่ชายสุดที่รักไม่ได้นะเว้ย"
คราวนี้มันเดินลิ่วๆ เข้ามาทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างแรงจนมันส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ถ้าเป็นในหนังเอวีคงได้อารมณ์ แต่นี่ไม่ใช่เลย การคุกคามความสงบสุขชัดๆ แทนที่จิณณ์จะบ่นบ้าบอเฉยๆ กลับเอื้อมมือมาเขย่าตัวผมจนเครื่องในแทบรวมกัน

"ไอ้สัด เขย่าหาพ่อมึงเหรอ กูเวียนหัว!"
ผมตวาดลั่นแล้วสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของมันด้วยแรงทั้งหมดที่มี จิณณ์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทำหน้างอเป็นปลาทูคอหักอีกรอบ เห็นแล้วอยากกระทืบจริงๆ ทำไมชอบทำหน้าตาทุเรศจังวะ

"ไม่หา พ่ออยู่เมืองนอก"
มันบ่นพึมพำด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยแต่ใช้คำกวนตีนจนผมเผลอคิ้วกระตุก นี่มึงอยากตายก่อนวัยอันควรใช่ไหม กูด่าไม่ใช่ไล่ไปหาพ่อจริงๆ วอนซะแล้วนะพี่มึง

"จิณณ์... มึงจะไปไหนก็ไป ก่อนที่กูจะหมดความอดทน"
ผมกดเสียงต่ำแล้วมองมันด้วยสายตาดุๆ ก่อนกระชากผ้านวมที่มันนั่งทับขึ้นมาคลุมตัว จังหวะนั้นจิณณ์เกือบจะหงายหลังตกเตียงแต่ดีที่มันทรงตัวได้ ไม่อย่างนั้นอาจจะเดือดร้อนต้องหามไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากช้ำใน เอ้ย หัวแตก...

"เจ็ทครับ..."
หลังจากความตกใจผ่านไปมันก็กลับมาใช้น้ำเสียงอ่อยๆ อีกครั้ง แววตาคมที่มองมากำลังสื่อความหมายอะไรบางอย่าง ซึ่งผมพอจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ

"....."
ผมเงียบเพราะขี้เกียจจะถามออกไปเลยนอนจ้องมันเพื่อรออย่างเดียว

"ไม่เงียบดิน้องรัก"
จิณณ์เอามือมาจิ้มแก้มของผมคล้ายกับกำลังง้อ แต่ขอโทษที่ผมไม่ได้งอนเลยปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี เมื่อไหร่จะเข้าเรื่องสักที ง่วงจะตายห่าอยู่แล้ว

"เรื่องกู"
ผมบอกมันเสียงแข็งแล้วกลับตาลงเพราะเบื่อขี้หน้าจิณณ์เต็มทน ชอบทำเหมือนหมาหงอยทั้งๆ ที่ข้างในนั้นกลับร่าเริงยิ่งกว่าคนบ้า

"มึงอย่าใจร้ายกับกูมากนักเลย บอบช้ำหมดแล้วเนี่ย"
ตัดพ้อกันอีกรอบแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แถมยังเอาขาเอาเท้ามาก่ายคนอื่น ผมลืมตาขึ้นด้วยความรำคาญแล้วถามจิณณ์ด้วยน้ำเสียงเย็นๆ คุยกันทีไรต้องโมโหทุกทีสิน่า รำคาญแม่งจริงๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ารักเหมือนกัน ก็พี่ชายฝาแฝดทั้งคน

"มึงต้องการอะไรจากกู"
ผมถามออกไปตรงๆ เพราะเบื่อที่จะต่อความยาวสาวความยืด เวลาจิณณ์มีเรื่องอยากให้ช่วยหรือมีปัญหา มันจะกวนกันมากเป็นพิเศษอย่างตอนนี้ เวลาปกติเราก็พูดคุยกันแบบธรรมดาได้

"แหม... โดนจับได้ซะแล้ว"
พอโดนจับได้มันก็ยิ้มเผล่แถมยังยกมือขึ้นเกาหัวอย่างคนอาย ผมมองภาพนั้นด้วยความเบื่อหน่ายแล้วตะโกนใส่อย่างเหลืออด มาถึงขั้นนี้ยังชักช้าอีก กูจะฝืนแรงโน้มถ่วงหนังตาไม่ไหวแล้วเว้ย

"ฟาย ลีลาเยอะ!"

"โอ๋ๆ ไม่โกรธเค้านะตัวเอง คือแบบว่า... วันนี้เค้กให้เค้าไปรับที่หอตอนแปดโมงครึ่งอะ"
คำพูดหวานๆ หลุดออกมาจากปากของจิณณ์ มันไม่ยอมสบตาด้วยเลยเพราะปกติแล้วผมต้องไปเรียนพร้อมกับมัน แต่จู่ๆ พี่เค้กก็ให้ไปรับแบบนี้ คงรู้สึกผิด

"แล้วไง"
ผมถามออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วต่างหาก

"แบบว่า คือ..."
จิณณ์ก้มหน้าก้มตาแถมเอานิ้วชี้จิ้มกันจึ๋งๆ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ ผมถอนหายใจออกมาเมื่อรู้ดีว่าวันนี้ก็ถูกทิ้งอีกแล้ว ไม่เคยคิดน้อยใจแต่เซ็งมากกว่า ถ้าพี่เค้กจะนัดล่วงหน้าสักนิด ไม่ใช่ปุบปับแบบนี้ซะทุกครั้ง

"พอ ตกลงว่ากูต้องขี่มอ'ไซต์ไปเองสินะ"
ผมตอบแทนจิณณ์เสร็จสรรพแล้วมองคนที่เอาแต่ก้มหน้า แต่ไม่นานนักมันก็คลี่ยิ้มบางแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกันคล้ายปลอบประโลม

"อื้อ... ไม่โกรธใช่ไหม"
จิณณ์ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยคำขอโทษที่มันไม่ได้เป็นคนทำผิด ผมรู้ดีว่าพี่เค้กนิสัยเอาแต่ใจแค่ไหนและสงสารพี่ชายตัวเองที่ต้องทำตามเสมอ เพราะรักคำเดียวที่ทำให้คนๆ นึงยอมทำทุกอย่างเพื่อคนๆ นึง ถึงแม้จะต้องทำลายความรู้สึกของใครอีกหลายคนก็ตาม

"เออ เอาที่สบายใจเหอะ กูยังไงก็ได้อยู่แล้ว"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วยกมือขึ้นแตะไหล่พี่ชาย ถ้าสิ่งที่จิณณ์กำลังจะทำนั้นมีผลตอบแทนเป็นความสุขก็ดี ไม่อยากเห็นมันเป็นทุกข์เวลาทะเลาะกับผู้หญิงคนนั้น เธอเก่งนะที่จัดการคนเจ้าชู้อย่างมันได้อยู่หมัด

"ขอบใจมากนะมึงที่เข้าใจกู"
มันเอ่ยขอบคุณทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมไม่ได้ติดใจอะไรสักครั้งเดียว เพราะรู้ว่าจิณณ์พยายามประคับประคองความสัมพันธ์กับพี่เค้กมากขนาดไหน สองคนนี้หวิดจะเลิกกันหลายรอบแล้ว...

"อืมๆ ออกไปได้แล้วกูจะนอนต่อ"
ผมโบกมือไล่มันก่อนจะปิดเปลือกตาลง ไม่อยากเห็นสีหน้าซาบซึ้งสักเท่าไหร่ รำคาญลูกตา ชอบความเฮฮาบ้าบิ่นของจิณณ์คนร่าเริงมากกว่า

"โอเค เดี๋ยวกูทำข้าวต้มทิ้งไว้ให้นะ"

"เออ ใส่ไข่ด้วย"

"รับทราบครับ"
หลังจบคำพูดผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากไปและตามมาด้วยเสียงปิดประตู ผมลืมตาขึ้นมองเพดานก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะผุดขึ้นที่มุมปาก ภาวนาเป็นร้อยครั้งให้ความรักครั้งนี้ของพี่ชายราบรื่น ไม่อยากให้มันต้องอกหักอีกแล้ว สภาพจิณณ์เวลานั้นน่าสงสารจับใจ แทบจะกลายเป็นคนปิดกั้นความรู้สึก ไม่หือไม่อือ ไม่กินไม่นอน...

เวลาเก้าโมงครึ่ง ผมพาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องของเพื่อนสนิท กำลังเตรียมตัวจะเคาะประตู แต่มันกลับเปิดออกซะก่อน

"เฮ้ย มายืนทำอะไรตรงนี้วะเจ็ท"
ไธมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยแต่ก็ถามกันด้วยน้ำเสียงปกติ มันเป็นเพื่อนคนแรกที่สามารถแยกผมกับจิณณ์ได้อย่างแม่นยำ แต่ในปัจจุบันนี้สังเกตง่ายกว่าเมื่อก่อน ตรงที่ 'นายภาคิน' (ผม) เจาะหูและสัก ส่วน 'นายโภคิน' (จิณณ์) ไม่ทำอะไรแบบนั้นเลย

"วันนี้กูไปกับมึงได้ปะวะ"
ผมถามออกไปก่อนจะหลบให้ไอ้ไธออกมาจากห้องแล้วล็อกประตู สภาพมันดูเซอร์ๆ เอนเอียงไปทางซกมกคล้ายๆ กัน อย่าถามหาความเรียบร้อยดูดีจากเด็กถา'ปัตย์เลยครับ เสื้อนักศึกษากับกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าผ้าใบเน่าๆ แถมหนีบกระดานวาดรูป รุงรังไม่มีคณะไหนเกินจริงๆ

"เออ ได้ดิ แต่ปกติวันนี้มึงไปกับจิณณ์ไม่ใช่เหรอ"
มันตอบรับก่อนที่เราจะเดินไปที่หน้าประตูคอนโดเพื่อตรงไปยังลานจอดรถที่อยู่ด้านข้างตึก ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า

"อืม แต่วันนี้จิณณ์ต้องไปรับพี่เค้กว่ะ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ อุตส่าห์วางแผนจะไถเงินมันซื้ออมยิ้มที่มินิมาร์ทสักหน่อย เป็นไงล่ะ อดแดกไปตามระเบียบ เพราะพี่เค้กคนเดียว... ผมยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่าไม่ค่อยชอบนิสัยเธอ

"อะ อ๋อ... แล้วทำไมมึงไม่ขี่มอ'ไซต์ไปวะ"
ไอ้ไธตอบรับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักจนผมต้องหันไปมองหน้ามัน แต่กลับไม่พบอะไรผิดปกติ สงสัยคงคิดมากไปเองหรือหูคงเพี้ยนล่ะมั้ง

"กูขี้เกียจ"
ผมตอบตามความจริงก่อนจะยัดตัวเองเข้ารถยุโรปคันสวย อ่า... สวรรค์จริงๆ เบาะโคตรนุ่มสบายตูด

"ตัวขึ้นขนแล้วมั้ง"
ไอ้ไธว่าเสียงกลั้วหัวเราะขณะที่รถเคลื่อนตัวออกจากอาคาร ผมถึงกับหน้าตึงเมื่อโดนกล่าวหา กูไม่ใช่หนอนเว้ย ห้ามเอาไปเปรียบเทียบ

"พ่อง"

ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมผมถึงไม่ไปเรียนพร้อมกับเพื่อนทั้งๆ ที่อยู่คอนโดเดียวกัน เพราะหนึ่งคือจิณณ์ยึดติดหน้าที่ที่ได้รับจากพ่อแม่นั่นคือดูแลน้อง วันไหนเรียนพร้อมกันก็ไปพร้อมกัน สองคือมันมีท่าทางตึงๆ กับไอ้ไธมาตั้งแต่สมัยมัธยมสงสัยจะไม่ชอบขี้หน้ากัน ผมก็เลยไม่อยากขัดใจยอมขี่มอ'ไซต์ไปเรียนเอง ซึ่งพวกเรารู้ถึงเหตุผลทั้งหมดนั่นดี

รถยุโรปเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้าเมื่อเข้าใกล้เขตมหา'ลัย ระยะทางจากคอนโดใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที มันไม่ใกล้และไม่ไกลสักเท่าไหร่ เสียงเพลงสากลจังหวะหนักๆ ทำให้บรรยากาศภายในรถไม่เงียบเหงา แต่ข้อเสียคือแทบจะลุกมาเต้นและแหกปากตามอยู่แล้ว

"ไธ"
ผมเอ่ยเรียกคนที่ฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ มันชะงักแล้วหันมาเลิกคิ้วใส่กันเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"มึงว่าเมื่อไหร่ไอ้ตังค์มันจะเลิกติดการ์ตูนสักทีวะ"
ผมถามเพื่อนด้วยความสงสัย อันที่จริงไอ้ตังค์จะติดการ์ตูนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอก แต่มันมีประเด็นน่ะสิ...

"ทำไมอยู่ๆ มึงถามเรื่องนี้"
ไธเลิกคิ้วขึ้นขณะรถเคลื่อนตัวไปช้าๆ อีกไม่กี่เมตรก็จะเลี้ยวเข้าประตูมหา'ลัย ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้วคิดไปถึงเรื่องเมื่อคืน สดๆ ร้อนๆ เจอไปมึนแทบตาย

"ก็... กูไลน์ไปถามไอ้ตังค์ว่าอยากได้อะไรจากญี่ปุ่นไหม พอดีพี่แจมไป"
ผมเล่าเหตุการณ์เริ่มต้นเรื่องให้ไอ้ไธฟังด้วยสีหน้าบูดเบี้ยว อยู่ๆ ก็ขนลุกขึ้นมาเมื่อคิดถึงคำตอบของไอ้ตังค์... แม่ง

"แล้วไงวะ"

"ตังค์มันตอบมาว่า 'ขอปลอกหมอนข้างลาย...' ไอ้สัด ชื่อสาว 2D มาเป็นขบวน กูนี่นั่งกุมขมับ"
ผมเล่าต่อด้วยน้ำเสียงหวาดๆ เพราะไอ้ตังค์มันเป็นโอตาคุที่เมื่อไหร่มีเวลาว่างจะเอาแต่นั่งดูสาวๆ 2D แบบไม่ขยับไปไหน คนในโลกความเป็นจริงแทบไม่มีความหมายเลยด้วยซ้ำ กลัวว่าสักวันเพื่อนคนนี้จะใช้ชีวิตในสังคมลำบาก ยิ่งใครเข้ามาจีบนี่เหมือนอากาศธาตุ ไม่มีตน ไม่สนใจ เชี่ยนี่อาการหนัก

"มึงแค่สงสัยว่ามันจะเลิกคลั่งสาว 2D ได้เมื่อไหร่ใช่ไหม แต่กูเคยถามเว้ย"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงพอตัวแต่ไม่ได้เพื่อจะอวดแต่กำลังบอกเล่าความสยอง ผมสัมผัสได้

"จริงดิ แล้วมันตอบว่าไง"
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงอยากรู้ ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าด้านข้างของไอ้ไธที่บัดนี้มู่ทู่ยิ่งกว่าพรมเช็ดเท้า คือคำตอบไอ้ตังค์เครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ หรือมันตั้งใจจะแต่งงานกับสาว 2D คราวนี้บรรลัยแน่ๆ

"มันตอบว่า 'ถึงสาว 2D จะสัมผัสไม่ได้แต่ทำให้ผมมีอารมณ์นะ' กูนี่อึ้งแดก สัดเอ้ย ไม่นึกว่าไอ้เนิร์ดจะมีมุมหื่นแบบนั้น"
ไอ้ไธพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาแล้วหักพวงมาลัยเข้ามหา'ลัย ในขณะที่ผมได้แต่นั่งเบิกตาโตอยู่ข้างๆ มันคือความรู้ใหม่ว่าไอ้ตังค์คนเนิร์ดมีมุมมหาหื่นแบบนี้ด้วย ขนาดกับการ์ตูนยังไม่เว้น แต่แม่ง...  สาวๆ พวกนั้นก็อกสะบึมใช้ไงอยู่นะ แต่ผมไม่วิปริตไง ขอคนเป็นๆ ดีกว่า

"โอ้โห กูเพิ่งรู้ว่าไอ้ตังค์เข้าขั้นวิปริต"
ผมเผลอย่นจมูกเมื่อพูดจบ คิดแล้วยังขนลุกไม่หาย สงสัยว่าๆ ต้องรวมหัวกับคนอื่นเอามันไปบำบัดเลิกคลั่งสาว 2D สักที รู้สึกจะหมกวุ่นเกินไป

"เออ หนักมากด้วยว่ะ"
แล้วพวกเราก็หัวเราะกันเสียงดังกับการวิเคราะห์อาการไอ้ตังค์ ถ้าวันไหนมีคนที่ทำให้มันเลิกสนใจการ์ตูนได้ คงจะซูฮกคนๆ นั้นเป็นวีรบุรุษเลยล่ะ

ผมกับไอ้ไธมาถึงห้องเรียนตอนนาฬิกาบอกเวลาเก้าโมงห้าสิบนาที ผมหย่อนตัวนั่งตรงที่ว่างข้างๆ โต๊ะไอ้ตังค์ เหลือบไปเห็นมันแทบจะเอาหัวมุดลงในกระเป๋าเป้ สงสัยหาของอยู่ล่ะมั้ง

"ตังค์... หาอะไรวะ"
ผมเอ่ยถามขณะที่หยิบอุปกรณ์เขียนแบบออกมาตั้งกองเพื่อพร้อมใช้งาน ฉากสามเหลี่ยม ดินสอ ยางลบ วงเวียน ครึ่งวงกลม แผ่นเพลท บรรทัดโค้ง ปากกาเขียนแบบ และไม้ที เหมือนพวกช่างจะไปตีกันเลยว่ะ แล้วเพิ่งรู้เมื่อครู่นี่ล่ะว่าหยิบของไอ้จิณณ์มาใช้ เพราะของตัวเองไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน

"ผมน่าจะลืมเอาฉากสามเหลี่ยมมาครับคุณเจ็ท"
ผมพยักหน้ารับคำแล้วยื่นฉากสามเหลี่ยมที่ติดกระเป๋ามาสองอันให้มัน ฝ่ายนั้นยิ้มกว้างเมื่อได้ของที่ต้องการแล้วผงกหัวขอบคุณจนแว่นเกือบตก ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมไอ้ตังค์ถึงเรียกคนอื่นด้วยคำนำหน้าว่าคุณ เพราะเป็นเรื่องปกติ

"เฮ้ย คู่ผัวเมียมาพร้อมกันเหรอวันนี้"
ไอ้ฟาร์มที่นั่งถัดไปจากไอ้ตังค์เอ่ยทักขึ้นหลังจากที่ก้มหน้าก้มตาแชทกับใครสักคน เดาง่ายๆ คงเป็นสาวๆ ในสต็อก ไอ้นี่อัธยาศัยดี สายเปย์ ใครๆ ก็อยากควง

ผมเหลือกตาใส่มันเพราะเบื่อคำแซวทำนองผัวเมีย มึงจะให้พวกกูฟันดาบกันหรือไง ช่วยดูขนาดตัวและหน้าตา แค่ไอ้ไธชอบสกินชิพมันถึงขนาดต้องจับไปเป็นคู่จิ้นเลยเหรอวะ สังคมสมัยนี่โคตรแปลก อะไรนิดอะไรหน่อยมโนกันไปใหญ่

"เออ เมื่อคืนกูไปนอนกกกับมันมา"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเอือมๆ แล้วขว้างยางลบที่เหลืออยู่นิดเดียวใส่มัน ไอ้ฟาร์มทำท่าหลบวุ่นวายอย่างกับโดนห่ากระสุนสาดใส่ เดือดร้อนไอ้ตังค์เป็นที่กำบัง

"คะ คุณฟาร์มครับ ฮินะจังของผมเวียนหัว"
เสียงสั่นๆ ของไอ้ตังค์ดังขึ้นทำให้ไอ้ฟาร์มชะงักกึก ส่วนผมขมวดคิ้วแน่น ฮินะจังที่มันว่าคงเป็นสาว 2D อีกตามเคย แล้วเธอจะเวียนหัวได้ยังไงวะ กูไม่เข้าใจโอตาคุเว้ย

"มึงว่าอะไรนะตังค์ ฮินะจังไหน"
ไอ้ฟาร์มละมือออกจากไหล่ของไอ้ตังค์แล้วขมวดคิ้วตามผม ใบหน้าของมันบ่งบอกว่าสงสัยเต็มที่ อยากจะบอกว่าใครๆ ก็คิดเหมือนมัน งงเป็นไก่ตาแตกถ้วนหน้า

"นี่ไงครับ ก็คุณฟาร์มเล่นเขย่าตัวผมนี่นา ฮินะจังเวียนหัวแย่"
ไอ้ตังค์ชูโทรศัพท์ในมือที่กำลังโชว์รูปฮินะจังที่มันพูดถึง เธอเป็นสาวชั้นประถม ผมยาวสีชมพู ตากลม หน้าแบ๊วตามแบบฉบับการ์ตูนตาหวาน ไอ้ฟาร์มถึงกับอ้าปากค้าง ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจหนักๆ เพื่อนกูเป็นเอามากจริงๆ

"เลิกดูรูปฮินะจังอะไรของมึงก่อนเรียนได้แล้วไอ้ตังค์ หมกมุ่นฉิบหาย"
เสียงเนือยๆ ของไอ้ไธดังขึ้นแต่ไอ้ตังค์กลับทำหูทวนลมไม่ได้ยินอะไร อย่าหาว่ามันเนิร์ดนะ จริงๆ โคตรกวนตีนเลยล่ะ เจออะไรขัดใจจะแสดงอารมณ์ทันที

"มันงอนมึงละไธ"
ผมพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วตบไหล่ไอ้ไธเป็นการปลอบใจ มันเหล่สายตามองข้ามหัวไปหาไอ้ตังค์แล้วแอบชูนิ้วกลางให้

"ถ้าเป็นน้อง กูกระทืบมันจมดินไปแล้ว"

หลังจากนั้นเราก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนตามที่อาจารย์สอน ผมแทบร้องไห้เมื่อกดมือหนักจนไส้ดินสอหัก กว่าจะเหลามันเสร็จก็ตามไม่ทันชาวบ้านเขาแล้ว แถมท้ายคาบส่งงานเจอแบบเบี้ยวอีก ชีวิตกู อะไรมันจะซวยแบบนี้

"เพราะมึงเลยไอ้ไธ ไม่ยอมให้กูยืมดินสอ"
ผมหันไปด่าไอ้ไธที่เดินหนีบกระดานเขียนแบบไว้สองอัน สาบานได้ว่ามันเอาไปถือเอง แถมเอาแขนมาพาดบ่ากันตามนิสัยชอบสกินชิพ ส่วนไอ้ตังค์ก้มหน้าก้มตาดูการ์ตูน ส่วนไอ้ฟาร์มส่งสายตาหวานเชื่อมให้สาวๆ ที่ผ่านไปผ่านมา

"อะไรวะ แบบมึงเบี้ยวไม่เกี่ยวกับการที่กูไม่ให้ยืมดินสอเลยนะ"
ไอ้ไธบ่นเสียงฮุนก่อนจะยกมือข้างที่พาดไหล่กันอยู่ตบเข้าที่ขมับเบาๆ เป็นการสั่งสอน แต่ผมไม่ยอมรับหรอกว่างานได้บีเพราะลนลานซะเองเลยแยกเขี้ยวใส่มันไป

"เพราะมึงเลย ยอมรับเดี๋ยวนี้"
ผมใช้เสียงขู่บังคับให้มันยอมแล้วสะบัดตัวออกไกลๆ มันขมวดคิ้วและเบิกตาโตเพราะโดนโยนความผิดใส่

"เอ้า ไอ้สัดนี่ยัดเยียดความผิดให้กูอีก"

"เออ ยอมๆ กูหน่อย สะเทือนใจอยู่"
ผมมองหน้ามันกึ่งบังคับกึ่งขอร้อง ความจริงแค่อยากแกล้งมันเพื่อคลายเครียด เพราะปกติแล้วงานเขียนแบบไม่เคยได้ต่ำกว่าบีบวก โคตรเสียเซลฟ์ เบี้ยวไปสามมิลลิเมตรเอง... อาจารย์แม่งโหดร้าย แต่จะไปกล่าวหาก็ไม่ได้ เพราะถ้าสร้างบ้านจริงๆ อาจจะทำให้โครงสร้างผิดเพี้ยน

"บ้าเหรอ อยู่ๆ ก็บอกให้ยอม กูไม่ได้ใจง่ายนะ"
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะทำท่าทางเหมือนสาวน้อยเขินอายกำลังจะเสียตัว ผมกรอกตาแล้วเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ หวังจะแกล้งมันแต่โดนมันกวนตีนกลับ แย่ๆ ทำไมนิสัยเหมือนจิณณ์ขนาดนี้วะ ถ้าให้ไปอยู่ด้วยกันคงเข้ากันได้ดี...

"ไอ้ห่า ขนลุก!"
ผมด่ามันแล้วทำท่าขยะแขยงก่อนจะเปลี่ยนไปเดินข้างๆ ไอ้ฟาร์มแทนโดยผลักไอ้ตังค์ไปแทนที่ รายนั้นหันมาตาขวางใส่กันนิดหน่อยเพราะมันกำลังดูฮินะจังที่รักอยู่ โคตรอยากแช่งให้มันสะดุดหัวทิ่มฉิบหาย สัดนี่ มองแต่หน้าจอโทรศัพท์อยู่ได้

"มึงสองคนแอบมีซัมติงกันปะเนี่ย"
ไอ้ฟาร์มเหลือบมองผมสลับกับไอ้ไธแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มให้ ขนาดเพื่อนในกลุ่มยังขี้มโนขนาดนี้อย่าถามถึงเพื่อนในคณะเลย แทบจะจับแต่งงานอยู่แล้ว

"หุบปากไปเลยไอ้ฟาร์ม ขืนกูมีซัมติงกับไอ้เจ็ทขึ้นมาจริงๆ โลกคงแตก"
เสียงไอ้ไธลอยข้ามหัวไอ้ตังค์มาปฏิเสธแบบไร้เยื่อไย ซึ่งผมรีบพยักหน้าเห็นด้วย  ถึงมันจะหล่อ ดีกรีเดือนคณะก็เถอะแต่เพื่อนกันแถมเป็นผู้ชาย ขนลุกว่ะ ปล่อยให้สาวๆ เขากรี๊ดกร๊าดไปเถอะ ไม่อยากแย่ง

"ก็ไม่แน่น้ามึง อาจจะเข้ากันได้ดี"
ไอ้ฟาร์มพูดเสียงทะเล้นแถมยังใช้ไหล่กระแซะผมไม่เลิก ด้วยความรำคาญเลยโบกหัวมันไปหนึ่งทีก่อนจะเดินไปยืนข้างไอ้ไธอีกครั้ง เพราะจะเอาคืนคนปากหมาสักหน่อย

"พ่อง มึงกับกูร่วมมือกันเสียบไอ้ฟาร์มดีกว่าไหม เอาให้แม่งฟ้าเหลือง"

"เฮ้ยๆ มึงอย่ามาพรากเวอร์จิ้นประตูหลังกูนะเว้ย วันเวย์รู้จักปะ เอาไว้ขี้อย่างเดียว ไม่รับของเข้า!"

"คุณฟาร์ม คุณเจ็ท คุณไธ ช่วยเงียบกันหน่อยครับ ผมฟังฮินะจังพูดไม่รู้เรื่องเลย"

"ครับคุณตังค์ พวกกระผมผิดไปแล้ว ได้โปรดอภัยด้วย ~

หลังจากเรียนคาบบ่ายจบพวกเราก็มายืนอยู่ที่ลานคณะเพื่อตกลงกันว่าวันนี้ใครจะไปวิ่งที่สนามกีฬามหา'ลัยบ้าง เพราะปกติแล้วตามอารมณ์ว่าคนไหนอยากไปหรือไม่อยากไป ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง

"วันนี้ใครไปวิ่งกับกูบ้างวะ"
ผมเอ่ยถามขณะที่สะบัดเสื้อนักศึกษาเนื่องด้วยอากาศร้อนแล้วกวาดมองเพื่อนในกลุ่มทีละคนเริ่มจากไอ้ฟาร์มที่ก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์ลูกเดียว

"ไอ้สัดฟาร์ม ตอบกูมา"
ผมเอื้อมมือไปตบหัวมันด้วยความหมั่นไส้ เหลือบเห็นหน้าจอมีแชทสาวๆ เด้งรัว ไอ้ฟาร์มเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่กัน ดูตลกมากกว่าน่ากลัวอีก

"ไม่ไปเว้ย มีนัดกับสาวนิเทศฯ"
มันยักคิ้วกวนๆ ให้ก่อนจะกลับไปสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วเลิกสนใจไอ้ฟาร์ม รายต่อไปนี่โอตาคุประจำกลุ่ม ทั้งๆ ที่พอจะเดาคำตอบได้แต่ก็อยากแกล้ง

"ตังค์ วันนี้ว่าไง จะไปวิ่งไหม"
ผมถามแล้วจ้องคนที่สูงห่างกันเป็นฝ่ามือ มันกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะยืนดูการ์ตูนอยู่ คือจะไม่เว้นช่วงให้เพื่อนได้เสวนาด้วยเลยหรือไง ว่างเป็นวิ่งเข้าใส่สาว 2D ตลอด ไอ้ไธที่ยืนอยู่ข้างๆ เอื้อมมือมาตบบ่ากันเบาๆ คล้ายให้กำลังใจ

"เหมือนเดิมครับคุณเจ็ท ขอตัวก่อนนะ"
ไอ้แว่นหันมาฉีกยิ้มกว้างให้กันแล้วโค้งตัวลาแบบญี่ปุ่น ก่อนจะเดินลิ่วๆ ไปคว้าจักรยานแล้วปั่นกลับหอในที่มันอยู่ ตังค์ไม่เคยออกกำลังกาย ตัวเล็กแถมกินน้อย หุ่นคล้ายๆ กับเด็กผู้หญิง ถ้าจับมันใส่วิกคงสวยดี

"กูกลัวมันจะหักโหมดูการ์ตูนจนตายว่ะ"
ไอ้ไธบ่นพึมพำแล้วมองตามไอ้แว่นไปจนลับตา ส่วนไอ้ฟาร์มเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเรียบร้อยก่อนจะเอากุญแจรถมาควงเล่น เตรียมออกไปรับสาวตามที่บอกไว้ สรุปว่าวันนี้ผมต้องไปวิ่งกับเดือนคณะแค่สองคนสินะ

"ถ้าแม่งลงข่าวหน้าหนึ่งแบบนั้น กูจะทำเป็นไม่รู้จักมัน"
ผมพูดเสียงเนือยๆ ทำให้ไอ้ฟาร์มถึงกับหัวเราะแล้วพยักหน้าเห็นด้วยก่อนมันจะขอตัวกลับบ้านแถมยังบอกว่าพรุ่งนี้จะหิ้วขนมมาฝาก

"มึงโทรไปบอกจิณณ์หรือยังว่าจะไปวิ่ง"
ไอ้ไธถามขึ้นขณะที่กำลังเดินไปยังลานจอดรถ ผมเบิกตาโตเพราะลืมพี่ชายบังเกิดเกล้าไปแล้ว

"ยังว่ะ ขอบใจที่เตือน ถ้ากูไม่ยอกมันต้องด่าหูชาแน่ๆ"
ผมเอ่ยขอบใจเพื่อนก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ไลน์หามัน แต่ต้องเบ้ปากเมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ ไม่รู้มันจะโชว์หน้าท้องแบนราบไปถึงไหน ไม่เกรงใจแฟนบ้างหรือไงวะ



ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 1 (14/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-06-2017 20:46:12
Phakin : จิณณ์ วันนี้กูไปวิ่งที่สนามมหา'ลัยนะ

ผมพิมพ์ข้อความส่งไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอนที่กำลังเดินผ่านสนามบาสฯ มีผู้ชายสามสี่คนกำลังวิ่งเลี้ยงลูกไปมา ดูท่าทางกำลังสนุก เพราะมีเสียงโหวกเหวกและเสียงหัวเราะปะปนมาด้วย ไอ้ไธกำลังล้วงโทรศัพท์ออกมารับสาย เดาว่าพี่แทนคงชวนมันไปกินเหล้าตามเคย คือใครๆ ก็จะแย่งเพื่อนไปหมดหรือไงวะ ปล่อยๆ ให้ไปออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีบ้างเหอะ

"วันนี้งดกินเหล้า ผมจะไปวิ่งกับไอ้เจ็ท"
ไอ้ไธขึ้นเสียงเล็กน้อย คิ้วขมวดจนแทบผูกโบว์ สงสัยโดนพี่แทนตื้อแน่ๆ รายนั้นชอบแอลกอฮอล์ยิ่งกว่าอะไรดี แต่คออ่อนเลยต้องลากน้องไปด้วย

ผมมองอะไรไปเรื่อยๆ จนสะดุดตาเข้ากับใครบางคนที่กำลังยืนเช็ดเหงื่ออยู่กลางสนามบาสฯ ใบหน้าของเขายังอยู่ในความทรงจำส่วนลึก ผู้ชายที่เจอกันหน้าร้านดอกไม้ แม่ง โลกโคตรกลมเลยว่ะ แล้วทำไมต้องรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเจอดาราด้วย...

"เจ็ท"

"....."

"ไอ้เจ็ท"

"....."

"ไอ้สัดเจ๊ก มองห่าอะไรของมึง!"
เสียงไอ้ไธตะโกนใส่หูจนผมสะดุ้งเฮือก คนในสนามบาสฯ ก็ต่างมองมาทางนี้เป็นตาเดียวกัน แต่โชคดีหน่อยที่พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรมาก

"ห๊ะ อะไรของมึง"
ผมถามไอ้ไธกลับไปด้วยหน้าตาตื่นๆ ใจหายใจคว่ำหมดเลยแม่ง ดีนะที่เป้าหมายยังคงยืนซับเหงื่อด้วยผ้าขนหนูเหมือนเดิม ดูท่าทางเป็นคนไม่ค่อยสนใจโลกสักเท่าไหร่ ถ้าเดินเข้าไปแนะนำตัวทำความรู้จักจะโดนเตะโด่งออกมาหรือเปล่าวะ ชักสงสัย

"กูเรียกมึงหลายรอบแล้ว หยุดมองอะไรอยู่"
ไอ้ไธเดินกลับมาหากันทั้งๆ ที่เดินนำไปก่อนเกือบห้าก้าวแล้ว ผมเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าเผลอหยุดมองเขา ท่าจะเป็นเอามากว่ะ

"อ๋อ... พอดีว่ากูเจอคนหน้าคุ้นๆ ว่ะ"
ผมตอบไปตามความจริงโดยไม่ละสายตาออกจากคนๆ นั้น เขาเหมือนจะมีออร่าอยู่รอบตัว ดูโดดเด่นจนสาวๆ แถวนั้นต้องเหลียวหลัง หล่อจนน่าอิจฉาคงใช้คำนี้ได้

"ใคร"
ไอ้ไธเดินเข้ามากอดคอแล้วพยายามมองตามสายตาผมไปยังสนามบาสฯ แต่เชื่อดิว่ามันไม่รู้หรอกว่าคนไหนที่เป็นจุดโฟกัสของนายภาคิน ก็พวกนั้นเล่นยืนรวมกันเป็นกระจุก แถมกระซิบกระซาบอะไรอยู่ก็ไม่รู้

"คนขาวๆ ที่ยืนเช็ดเหงื่ออยู่"
ผมตอบไปสั้นๆ หวังว่าไอ้ไธรู้และไม่ต้องถามอีก แต่คงคิดผิดเมื่อมันหันมากดดันกันด้วยสายตาสงสัย

"ไหนวะ ก็ขาวทั้งนั้น"
ผมเหล่มองมันเล็กน้อยก่อนจะยอมอธิบายลักษณะของเขาคนนั้นต่ออีกหน่อย ไอ้ไธนี่เป็นมารขัดความสุขที่แท้จริง แล้วความที่เราทั้งสองคนสนิทและตัวติดกันแบบนี้ทำให้สาวๆ ไม่กล้าเข้ามาแจกขนมจีบแต่กลับหยิบไปจิ้นแทน เจริญล่ะแม่คุณ ผู้หญิงสมัยนี้เขาไม่ต้องการพ่อพันธุ์กันแล้วหรือยังไง

"ขาวสุด ตัวสูงๆ หน้าหล่อๆ"

"คนนั้นเหรอ"
ไอ้ไธชี้มือไปที่เขาคนนั้น เพราะทั้งสามสี่คนนั่นมีคนที่สูงพอๆ กับพวกผมอยู่คนเดียว นอกนั้นจะลดลงมาและมีคนหนึ่งที่ตัวเล็กพอๆ กับไอ้ตังค์

"เออๆ นั่นล่ะ กูเคยเจอเขาที่ร้านดอกไม้แถวคอนโด"
ผมเล่าเรื่องในความทรงจำของตัวเองให้เพื่อนฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แต่พยายามเก็บอาการสุดๆ เพราะไม่อยากให้มันรู้ว่าตัวเองดีใจแค่ไหนที่โลกมันกลมแบบนี้

"อ๋อ กูรู้จัก"
ไอ้ไธเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ แถมคลี่ยิ้มหล่อๆ ตบท้ายจนสาวๆ แถวนั้นเขินอายกันเป็นแถว อยากจะบอกพวกเธอเหลือเกินว่ามันไม่ได้ยิ้มให้เลย อย่ามโนไปเองสิวะ แต่ไอ้คำที่บอกว่ารู้จักทำให้ผมหันขวับไปมองเพื่อนข้างตัวทันที เฮ้ย... โชคเข้าข้างนายภาคินสุดๆ!

"เฮ้ย จริงดิ!"
โทษที ลืมเก็บท่าทางและน้ำเสียง ปล่อยไก่วิ่งเต็มเลยกู...

"เออ มึงจะตื่นเต้นอะไรวะเนี่ย"
ไอ้ไธขมวดคิ้วมองกันจนผมต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วมองไปทางอื่น แต่มันคงไม่ถามอะไรมากเพราะด้วยนิสัยไม่เซ้าซี้ใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

"ก็เปล่า แล้วเขาคือใคร"

"พี่หมอทาวน์ เดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว"
ไอ้ไธตอบด้วยน้ำเสียงรายเรียบไม่มีเล่นตัว สายตามันจับจ้องมาที่ผมเหมือนคอยดูปฏิกิริยา

"หมอทาวน์... เดี๋ยวๆ เขาเรียนแพทย์เหรอวะ"
ผมทวนชื่อของเขาเบาๆ แล้วพบว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ เลยถามกลับไปทันทีว่าไอ้ที่เรียกหมอเนี่ย เรียนแพทย์หรือเปล่า

"เออดิ แพทย์ปีสองแล้ว ไปๆ มึง เดี๋ยวต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาวิ่งอีก"
มันตอบก่อนจะออกแรงดันตัวให้ผมเดินไปที่ลานจอดรถสักทีเพราะหยุดเดินมาราวๆ ห้านาทีแล้ว ถ้าตรงนี้ไม่มีร่มเงาต้นไม้ ไอ้ไธคงด่าตั้งแรกวินาทีแรก

"อ่า... เออๆ ไปกัน"
ผมจำใจต้องละสายตาแล้วเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมๆ มัน แล้วทิ้งเรื่องของพี่หมอทาวน์ไว้ข้างหลัง หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้มีโอกาสทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการนะครับ

ห้าโมงเย็นผมกับไอ้ไธมายืนยืดเส้นยืดสายอยู่ข้างสนามเพื่อเตรียมตัววิ่ง และในขณะที่กำลังหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก็เจอข้อความจากจิณณ์ส่งมาพอดี

Phokin : ไปวิ่งกับใคร

Phakin : กับไอ้ไธ ตอนนี้อยู่สนามแล้ว

Phokin : ไปกันสองคน?

Phakin : เออ วันนี้ไอ้ฟาร์มมันนัดสาว ส่วนไอ้ตังค์ติดการ์ตูนเหมือนเดิม

Phokin : งั้นรอกูก่อน จะไปวิ่งด้วย


ผมกดล็อกหน้าจอแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่มาวิ่งกับไอ้ไธแค่สองคนจิณณ์ต้องตามมา ถ้ามีพวกไอ้ฟาร์มกับไอ้ตังค์จะไปรอที่คอนโดแท้ๆ แปลกว่ะ แต่ขี้เกียจถาม ดีซะอีกที่มีเพื่อนออกกำลังกายอีกคน




------------------------------------------------

 ตอนที่ 1 มาแล้วนะ บังเอิญ โลกกลม หรือพรหมลิขิตน้อ
ได้เจอคนที่อยากเจออีกครั้ง
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 2 (25/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 25-06-2017 11:36:29
(http://i.imgur.com/SzAsmQX.png)



บรรยากาศของสนามกีฬามหา'ลัยในตอนเย็นคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาจำนวนมากที่มาออกกำลังกาย บางส่วนมาส่องหนุ่มบ้างสาวบ้างตามอัธยาศัย ผมกับไอ้ไธนั่งอยู่บนอัฒจรรย์เพื่อรอจิณณ์มาวิ่งด้วยกัน แต่จนแล้วจนรอดผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงมันก็ยังไม่โผล่หัวมา จะหายไปไหนหรือติดธุระอะไรทำไมไม่บอกกันก่อนวะ น่าหงุดหงิดชะมัด

"ไอ้ไธไปวิ่งเหอะ กูขี้เกียจรอจิณณ์แล้ว"
ผมบอกเพื่อนสนิทที่เปลี่ยนจากนั่งเป็นนอนเล่นโทรศัพท์แล้วใช้หัวหนุนตักกัน ถ้าใครที่ผ่านไปผ่านมาเป็นสาววายคงจิ้นกระจายแน่ๆ เมื่อครู่ก็เห็นพวกเธอยืนกรี๊ดอยู่ด้านล่าง ไอ้ไธละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมก่อนจะช้อนตามอง คิ้วเรียวขมวดเข้ากันเล็กน้อย

"แต่จิณณ์บอกให้รอไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวก็อาละวาดอีก"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ใบหน้าแสดงความหวาดหวั่นเล็กๆ เพราะตอนจิณณ์โดนขัดใจเขาจะเหวี่ยงแบบไม่สนว่าใครเป็นใคร แต่ผมชินการกระทำแบบนั้นแล้ว มันไม่มีอะไรหรอก คล้ายๆ อารมณ์ชั่ววูบ

"กูกับมึงรอมันมาเป็นชั่วโมงแล้ว จากฟ้าสว่างกลายเป็นมืดแล้วเนี่ย"
ผมชี้ชวนให้มันดูไฟสปอร์ตไลท์ที่ถูกเปิดขึ้นรอบสนามด้วยสีหน้าบึ้งตึง พวกเรานั่งรอจิณณ์โดยไม่ได้ขยับไปไหน แต่รายนั้นหายเข้ากลีบเมฆไปซะเฉยๆ ไม่มีการบอกกล่าว

"ลองโทรไปหาจิณณ์ดูไหม?"
ไอ้ไธกลับไปเล่นโทรศัพท์ต่อแล้ว ผมอยากจะสะบัดหัวมันให้โขกกับปูนเหลือเกินเพราะหมั่นไส้ความสบาย แต่ทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อคิดถึงประโยคคำถามของมัน ให้โทรหาจิณณ์น่ะเหรอ

"กูโทรเป็นสิบสายแล้ว"
ผมตอบแล้วผลักหัวไอ้ไธเพราะอดหมั่นไส้ไม่ได้ที่มันนอนกดโทรศัพท์สบายใจ ถ้ารู้ว่าจิณณ์จะเบี้ยวกันแบบนี้ นายภาคินคงบึ่งมอ'ไซต์กลับคอนโดไปเล่นเกมตั้งนานแล้ว ไม่มานั่งใจบุญเลี้ยงอาหารยุงแบบนี้หรอก

"แม่ง งั้นไปหาที่คณะ"
มันสบถออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเสนอให้ไปหาจิณณ์ถึงคณะก่อนจะลุกขึ้นและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่พอใจที่ไอ้ไธบอก เรื่องอะไรต้องวนรถตั้งไกลเพื่อไปหาคนผิดนัดวะ

"ทำไมกูต้องลงทุนขี่มอ'ไซต์ไปหามันด้วยวะ"
ผมถามหาเหตุผล เพราะระยะทางจากสนามกีฬาไปคณะวิศกรรมศาสตร์ไม่ใช่ใกล้ๆ ขี้เกียจก็ขี้เกียจ หงุดหงิดที่จิณณ์ผิดนัดอีก

"เผื่อเกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นไง"
ไอ้ไธเอื้อมมือมาตบบ่ากันคล้ายจะส่งสัญญาณให้ผมคิดในแง่ร้ายบ้าง ก็จริงอยู่ที่บางครั้งจิณณ์อาจจะโดนหมั่นไส้เพราะเป็นเดือนคณะ แต่มันเอาตัวรอดได้แน่ๆ ก็จบยูโดสายดำมาด้วยกัน แต่ที่น่าแปลกดูเหมือนคนที่ร้อนใจกลับเป็นไอ้ตัวข้างๆ

"ดูมึงจะเป็นห่วงจิณณ์จังนะ"
ผมพูดแซวออกไปเพราะตอนนี้ไอ้ไธลุกขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงดูท่าทางสองคนนี้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่การแสดงความห่วงใยออกมาก็ทำให้รู้สึกว่าสถานการณ์ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด จิณณ์คงมีเรื่องบางอย่างที่กำลังเข้าใจผิดในตัวมันก็ได้ ค่อยๆ แก้ปัญหาเพื่อนสนิทกับพี่ชายต่อไป

"เปล่าเว้ย ตกลงจะเอายังไง"
มันหันมาขมวดคิ้วมองด้วยสายตาดุๆ เพื่อกดดัน ผมไหวไหล่ก่อนจะลุกขึ้นเต็มคงามสูงแล้วพาดแขนกอดคอไอ้ไธไว้

"เออๆ ไปก็ไป"
อยากรู้เหมือนกันว่าจิณณ์มันหายหัวไปไหนกันแน่

ผมขี่ฟีโน่สีแดงคันเก่งโดยมีไอ้ไธซ้อนท้ายมาจนถึงหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ บรนยากาศในลานเกียร์เงียบสงบอย่างกับป่าช้า ดีหน่อยที่ตัวตึกเปิดไฟไว้สว่างจ้า

"มึง... คนไปไหนหมดวะ ปกตินักศึกษาเพียบ"
ไอ้ไธทักขึ้นหลังจากที่มันลงไปยืนบนฟุตบาท ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะส่ายหัวรัวเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ลานเกียร์เงียบผิดปกติ ดูๆ ไปเหมือนนักศึกษาไปรวมกันอยู่สักที่หนึ่ง อาจจะเป็นห้องเชียร์

"หรือปีหนึ่งเข้าห้องเชียร์อีกวะ"
ผมถามถึงความเป็นไปได้แล้วลงจากรถมายืนข้างๆ ไอ้ไธ ได้แต่หวังว่าพี่ยามจะไม่เดินมาล็อกล้อ ถ้าเป็นแบบนั้นก็โคตรซวย ควรไปทำบุญล้างบาปด่วนๆ

"เออว่ะ จิณณ์ยังไม่ได้เสื้อช็อปกับเกียร์ใช่ปะ"
ไอ้ไธถามแล้วหันมามองหน้ากัน ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะต้องคิดย้อนว่าจิณณ์เคยพูดเรื่องนี้หรือเปล่า แต่สุดท้ายก็นึกไม่ออกเลยสรุปได้ว่ามันคงยังไม่ได้เป็นเด็กวิศวะโยธาเต็มตัว

"อืม ยังไม่เห็นมันเอามาอวดเลย"
ผมบอกก่อนจะยกมือขึ้นตบยุงที่กัดแขนตัวเอง เหลือบมองไอ้ไธก็ยังยืนหันซ้ายหันขวาสบายดีอยู่ ไม่มีอาการคันคะเยอเลยสักนิด อย่าจ้องกินเลือดกูคนเดียวสิวะ

"อาจจะเป็นอย่างที่มึงคิด อยู่ๆ ก็เงียบหายไป ติดต่อไม่ได้"
ไอ้ไธออกความคิดเห็นต่อก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา พบว่าตอนนี้เกือบสองทุ่มแล้ว ปกติถ้าจิณณ์ประชุมเชียร์ไม่ต่ำกว่าสามทุ่ม... มันจะได้กินข้าวหรือยังวะ อดห่วงไม่ได้เพราะพี่ชายเป็นโรคกระเพาะ สงสารตอนที่ปวดท้องแล้วนอนร้องโอดโอยฉิบหาย

"เออ แม่ง กลับไปรอที่คอนโดดีกว่า กูขี้เกียจนั่งเลี้ยงยุง"
ผมบอกไอ้ไธด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะเริ่มโดนยุงกัดไปทุกๆ ส่วนที่โผล่พ้นเสื้อผ้า แม้แต่นิ้วเท้ามันยังไม่เว้น ถ้ามันหามผมได้คงหามไปดูดเลือดทั้งตัวแล้วแน่ๆ

"เดี๋ยวๆ ไปดูให้แน่ใจก่อนไหมว่าจิณณ์อยู่ห้องเชียร์จริงๆ"
ไอ้ไธหันมามองหน้ากันด่วยท่าทางตื่นๆ เมื่อผมก้าวขาคร่อมฟีโน่ จิณณ์ขาดการติดต่อมันเป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้บ่อย ไม่เห็นต้องทำอะไรใหญ่โตขนาดนั้น แต่คนอย่างนายภาคินอะไรก็ได้ เอาที่เพื่อนสบายใจ เพราะไม่อยากเถียง มันเหนื่อย

"เออๆ ไปก็ไป แต่มึงรู้เหรอว่าห้องเชียร์เด็กวิศวะอยู่ไหน"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงอึนๆ เพราะคิดว่าคำตอบคงเป็นคำว่าไม่รู้ แต่ไอ้ไธกลับทำให้แปลกใจด้วยการจับข้อมือกันแล้วพยายามลากผมลงจากรถ เหมือนกับว่ารู้สถานที่...

"เออน่า ตามกูมา"
สรุปว่ามันรู้ทางจริงๆ ตอนที่ผมเผลอมันแอบมาส่องสาวคณะนี้หรือไง ทำอย่างกับเป็นตึกของตัวเอง ได้ข่าวว่าตอนนี้ไอ้ไธยังไปห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์สถา'ปัตย์ยังไม่ถูกเลย

ไอ้ไธลากผมผ่านลานเกียร์เข้าไปในตึกวิศวะ เดินไปเรื่อยๆ จนสุดทางจะเจอห้องขนาดใหญ่ที่มืดสนิทแต่มีแสงสงสีส้มพริ้วไหวตามลมเล็ดลอดออกมา เดาได้ว่าเขาคงจุดเทียน

"เชี่ย อยู่ห้องเชียร์จริงๆ ด้วย กำลังจะบายศรีแล้ว"
ผมที่เอาหน้าแนบกับช่องกระจกเพื่อส่งผู้คนได้ในหันมาบอกไอ้ไธที่ยืนอยู่ด้านหลัง มันพยักหน้ารับรู้แล้วเอื้อมมือมาดึงแขนกันให้ขนัยออกห่างจากห้องเชียร์

"แบบนี้จิณณ์ก็ได้ช็อปกับเกียร์แล้วสินะ"
ไอ้ไธพูดขึ้นลอยๆ ขณะที่เราเดินกลับไปที่รถมอ'ไซต์ ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ทั้งสองอย่างพร้อมกันไหมแต่ก็พยักหน้าตอบกลับไป ยังไงก็ต้องมีโอกาสนั้นสักวัน และสิ่งที่จิณณ์จะทำต่อไปคือ

"ก็คงงั้น เดี๋ยวมันก็รีบแจ้นเอาไปให้พี่เค้ก น่าหมั่นไส้"
ผมเบ้ปากเมื่อคิดไปถึงท่าทางร่าเริงของมันตอนพูดเรื่องเกียร์ จิณณ์เคยหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอาให้พี่เค้กเก็บไว้ ถึงจะเป็นคนเจ้าชู้โปรยเสน่ห์ไปเรื่อย แต่ก็รักใครรักจริง

"อืม จิณณ์รักพี่เค้กขนาดนั้นเลยเหรอวะ"
ไอ้ไธถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายในขณะที่มันก้าวขาขึ้นมานั่งซ้อนท้าย ผมเลิกคิ้วขึ้นและขมวดในเวลาต่อมา เอาจริงๆ ถึงจิณณ์จะรักใครรักจริง แต่นิสัยเจ้าชู้นั้นใครจะหยุดได้ พี่เค้กคนเอาแต่ใจน่ะเหรอ ผมฟันธงเลยว่าไม่เกินหกเดือนคงเลิก

"ก็... ไม่รู้ว่ะ รักมั้ง เห็นมันเอาใจเขาจะตายไป"
ผมตอบไปตามที่คิดก่อนจะสตาร์ทรถแล้วบิดคันเร่งออกตัวไปช้าๆ สายลมยามค่ำพัดปะทะผิวหน้าให้รู้สึกเย็นสบาย  แต่สักพักกลับรู้สึกได้ว่าไอ้ไธขยับหัวมาซบลงบนบ่า ชินแล้วที่เพื่อนเป็นคนชอบสกินชิพแบบนี้ พวกเราไม่มีอะไรในกอไผ่แน่นอน เชื่อใจได้

"อ๋อ เออ รีบๆ กลับเหอะ กูหิวแล้ว"
เสียงไอ้ไธแทบฟังไม่รู้เรื่องแต่ผมจับใจความได้ว่ามันหิวข้าวแล้ว จะว่าไปนี่ก็เลยเวลากินไปเป็นชั่วโมง น่าจะกินช้างได้เป็นตัว

"เออๆ ร้านข้าวใต้คอนโดนะ"

ผมเดินเข้าร้านอาหารใต้คอนโดก่อนจะสั่งข้าวผัดรวมมิตรกับเกาเหลาลูกชิ้น ส่วนไอ้ไธสั่งผัดไทยกุ้งสดกับหมูทอด อยากจะบอกว่าโคตรเข้ากันเหลือเกิน กินรวมกันยังไงวะนั่น

"ช่วงนี้มึงยังติดเกมอยู่ปะ"
ไอ้ไธถามขึ้นหลังจากที่มันเดินไปเอาน้ำอัดลมมากิน ผมเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วครางรับในลำคอ ช่วงนี้กำลังเห่อเครื่องเล่นเกมพกพา Nintendo Switch

"กูก็ติดเกมปกตินั่นล่ะ"
ผมเอื้อมมือไปขโมยขวดน้ำอัดลมมาเทใส่แก้วตัวเองแล้วยกขึ้นดื่มอย่างไม่รีบร้อนจนไอ้ไธได้แต่แยกเขี้ยว เพราะในตอนแรกมันถามแล้วว่าจะเอาด้วยหรือเปล่าแต่ผมปฏิเสธ ก็แย่งกินมันสนุกกว่า

"เกมอะไรวะ กูเล่นด้วยดิ ช่วงนี้เบื่อๆ"
ไอ้ไธขยับหลอดในมือวนในแก้วด้วยใบหน้าแสดงอาการเบื่ออย่างเห็นได้ชัด ผมสังเกตมาสักระยะแล้วว่าเพื่อนมีท่าทีแปลกไป แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปกติมันเป็นคนร่าเริง ขี้แกล้งดีออก

"เออ ไปที่ห้องดิ กูหาเพื่อนเล่นเกมต่อยมวยอยู่พอดี"
ผมบอกแล้วลอบมองปฏิกิริยาของมัน เพราะไอ้ไธไม่เคยไปเหยียบที่ห้องเลย เหมือนจะไม่ถูกกับจิณณ์ แต่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด พอถามไปก็ได้คำตอบประมาณว่า 'กูไม่รู้หรอก' พอหันไปถามพี่ชายตัวเองบ้างมันก็ไม่ตอบ สุดท้ายเลยสรุปได้ว่า ช่างแม่งเถอะ

"เปลี่ยนมาเล่นห้องกูได้ไหม"
ไอ้ไธถามออกมาโดยที่ไม่ยอมสบตากัน มันเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาดูดน้ำอัดลมในแก้วเพื่อซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่ผมรู้ดีว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องจิณณ์ อะไรยังไงกันแน่วะ นับวันยิ่งมีบรรยากาศแปลกๆ เพิ่มขึ้น

"ถามจริงเหอะ ทำไมมึงกับจิณณ์ไม่ถูกกันวะ คุยกันแทบนับคำได้ เอาเวลาไหนไปเกลียดกัน"
ผมขมวดคิ้วมองเพื่อนและใช้มือเท้าคางเพื่อรอคำตอบ ไอ้ไธไหวไหล่เล็กน้อยแล้วกระตุกยิ้มมุมปากคล้ายกำลังเยาะเย้ยตัวเองอยู่

"กูไม่ได้เกลียดจิณณ์ แต่ฝ่ายนั้นอาจจะใช่"
มันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ปากยังคงนิ้มอยู่เหมือนเดิมจนผมไม่กล้าซักไซร้อะไรมาก พอเข้าใจอยู่ว่าถ้าโดนคนใกล้ตัวเกลียดมันจะรู้สึกแย่เป็นธรรมดา

"เออ กูไม่เข้าใจว่ะ ถามมันกี่สิบรอบก็ไม่ยอมตอบ ประสาท"
ผมเคยถามจิณณ์ไปหลายครั้งแล้วว่าทำไมถึงได้ดูไม่ถูกชะตากับไอ้ไธนักหนา แต่ไม่เคยได้คำตอบกลับมาสักครั้งนอกจากการทำหน้าบึ้งตึง มองกันด้วยสายตาดุๆ คือถ้าจะสื่อความหมายกันโดยใช้ความเงียบ บอกเลยว่าผมไม่รับรู้ เพราะไม่ใช่หมอดูที่ทายใจใครออก

"มึงก็อย่าไปว่าจิณณ์เลย กูไม่ได้ซีเรียสอะไร"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วเอื้อมมือมาตบบ่ากันยืนยันคำพูด แต่รอยยิ้มกระด้างนั่นคืออะไรวะ มองแล้วขัดลูกตาฉิบหาย แต่ขี้เกียจเซ้าซี้เพราะหิวเกินกว่าจะสนใจเรื่องจุกจิก

"มึงไม่ซีเรียสแต่ไม่ยอมเหยียบห้องกูเลยเนี่ยนะ"
ผมเหน็บมันไปกะจะแกล้งเล่น แต่กลับได้ใบหน้าตึงๆ ของเพื่อนตอบกลับมา

"เดี๋ยวก็เจอจิณณ์ ไม่อยากให้มันอารมณ์เสีย"
น้ำเสียงจริงจังของไอ้ไธมาพร้อมกับดวงตาเศร้าๆ ผมได้แต่ถอนหายใจเมื่อเพื่อนกลับแคร์พี่ชายตัวเองขนาดนั้น ไม่รู้จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงดี ตอนมัธยมไม่เห็นจะออกอาการอะไรเลยนี่หว่า ตอนนี้ทำไม อย่างกับเกลียดขี้หน้ามาแรมปี หรือแม่งเมาทั้งคู่แล้วเผลอได้เสียกัน จนมองหน้าไม่ติดหรือเปล่า... กูก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อยวะ ไอ้สัด!

"มึงจะแคร์อะไรมันนักหนา"
ผมเอื้อมมือไปผลักหน้าผากมันด้วยความหมั่นไส้แล้วก้มลงดูดน้ำในแก้ว ดวงตาคมก็จ้องมองท่าทางของเพื่อนสนิทที่เบนหน้าไปทางอื่น ไม่รู้ไอ้ไธจะแคร์จิณณ์ไปทำไม ในเมื่อฝ่ายนั้นตั้งท่าเกลียดกันขนาดนั้น เป็นผมคงช่างแม่งนานแล้ว คบน้องไม่ได้คบพี่สักหน่อย วันๆ ทั้งคู่แทบไม่เจอหน้ากันด้วยซ้ำ

"เออน่า กินข้าวเหอะมึง เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย"
มันบอกปัดๆ แล้วตักหมูทอดใส่จานของผมโดยไม่ต้องขอ ท่าทางแบบนี้คงไม่อยากให้ถามอะไรต่อ ขนาดเป็นเพื่อนสนิทกันยังมีเรื่องปิดบัง แต่เอาเถอะ ไอ้ไธคงมีเหตุผลส่วนตัว

"เออๆ"
ผมตอบมันกลับไปแล้วลงมือกินข้าวทันที  ตอนนี้เก็บเรื่องชวนปวดหัวลงไหให้หมด แล้วเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าดีกว่า

หลังจากกินข้าวเสร็จไอ้ไธก็เดินนำเข้าตัวคอนโดเพื่อกลับห้องโดยมีผมเดินตามไปติดๆ เพราะจะขึ้นลิฟท์ตัวริมทางเดิน แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับคนที่เดินผ่านประตูกระจกเข้ามาหมาดๆ อะไรมันจะบังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิตขนาดนี้วะ

"ไธๆ"
ผมสะกิดเพื่อนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเปิดประตูห้องอยู่ โดยสายตาจับจ้องไปที่หมอทาวน์ซึ่งกำลังเดินเข้ามาทางนี้ พอเห็นเขาในระยะใกล้ๆ แล้วรู้สึกว่าหน้าตาดีกว่าตอนที่เจอในร้านดอกไม้อีก หรือเพราะเขาใส่ชุดไปรเวทวะ

"อะไรของมึงเนี่ย สะกิดอยู่ได้"
ไอ้ไธถามด้วยเสียงฉุนๆ แล้วหันมาทำตาดุใส่กัน ผมเลยได้ที่ชี้มือไปทางหมอทาวน์ ถึงจะมั่นใจว่าเป็นเขาแต่ก็ไม่แน่ใจ อาจมีคนหน้าคล้ายๆ ก็ได้

"นั่นหมอปะวะ"

"ห๊ะ หมออะไร หมอผีเหรอ"
ด้วยความที่มันไม่ได้มองตามมือผมไปเลยตั้งคำถามกวนตีนใส่กัน ผมเลยโบกหัวมันไปด้วยความหมั่นไส้แล้วบังคับใบหน้าหล่อๆ ของไอ้ไธให้มองตามทิศทางนั้น

"พ่อง ไม่ใช่ นั่นไงๆ หมอทาวน์ปะ"
ผมถามย้ำเมื่อไอ้ไธทำท่าเหมือนจะเห็นเป้าหมาย มันเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะพยักหน้าตอบและปัดมือกันทิ้ง ชอบสกินชิพแต่ปฏิเสธกูเนี่ยนะ งอนได้ปะวะเพื่อน

"อ๋อ ใช่ พี่ทาวน์"

"เขาอยู่ที่นี่เหรอ"
ผมถามต่ออย่างใคร่รู้แล้วหยุดความคิดที่จะงอนมัน เพราะคนที่อยู่ตรงนั้นน่าสนใจกว่า

"หึ เปล่า แฟนพี่ทาวน์อยู่ที่นี่ ห้องถัดๆ จากกูเนี่ยล่ะ เคยเห็นผ่านๆ ตา"
มันตอบคำถามผมอย่างชัดเจนแถมบอกละเอียดถึงขนาดว่าหมอทาวน์มาหาแฟน ก็คิดไว้แล้วว่าหน้าตาแบบนี้คงไม่โสด

"อ๋อ..."
ผมตอบกลับไปสั้นๆ เพราะมัวแต่คิดว่าแฟนหมอจะหน้าตาสวยขนาดไหน ในเมื่อเขาหล่อขนาดนี้ น่าอิจฉาว่ะ แต่อย่าถามนะว่าอิจฉาใคร ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

"ทำไม มึงมีอะไรกับพี่ทาวน์หรือเปล่า เห็นทำท่าทางดีใจอย่างกับเจอคนที่ชอบตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว"
ไอ้ไธถามแล้วขมวดคิ้วมองกัน แต่เมื่อผมทบทวนสิ่งที่ได้ฟังอีกรอบกลับต้องถลึงตาใส่มันทันที พูดอะไรออกมาวะนั่น หมอทาวน์เป็นผู้ชายนะเว้ย

"พ่อง ไม่ได้ชอบเว้ย แต่แบบ... หมอหล่อดี หล่อสัดๆ"

"อิจฉาเขาว่างั้น"
ไอ้ไธกอดคอผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น ถ้าถามว่าอิจฉาหน้าตาหมอทาวน์ไหม ก็คงตอบได้ว่า...

"เออ"
ตอบกลับไปสั้นๆ ตามที่คิด แต่กลับโดนไอ้ไธโบกหัวจนผมต้องแยกเขี้ยวใส่มัน นี่กูผิดอะไร ไม่เข้าใจเลย แม่ง

"ไอ้ฟาย มึงหล่อกว่าพี่เขาอีกมั้ง"
มันว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วส่ายหัวปลงๆ ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองหน้าตาดี

"เฮ้ย กูหล่อตรงไหน"
ผมจับๆ คลำๆ ใบหน้าตัวเอง ทุกวันที่ส่องกระจกก็เห็นคนผิวขาวไม่จัดมาก ตาคม คิ้วเข้ม จมูกโด่ง สันกรามชัด ปากกระจับ โคตรธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป... แถมมีคนหน้าเหมือนทุกกระเบียดนิ้วอีก หล่อตรงไหนวะ

เฮ้ยๆ หมอทาวน์แม่งผลุบเข้าห้องไหนไปแล้วเนี่ย เพราะมึงคนเดียวเลยไอ้หมาไธ ชวนคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ได้... แต่มาคิดๆ ดูแล้วกูจะสนใจทุกย่างก้าวของเขาไปเพื่ออะไรเนี่ย อย่างกับคนโรคจิตติดตามไอดอลของตัวเอง

"เบ้าหน้าขนาดนี้ยังคิดว่าตัวเองไม่หล่ออีกเหรอวะ เผลอๆ ถ้าวันนั้นมึงท้องไม่เสียอาจจะได้เป็นเดือนคณะแทนกูไปแล้ว"
ไอ้ไธมาด้วยเสียงฉุนๆ แล้วกำหมัดต่อยมาที่ท้องของผมอย่างล้อๆ วันที่เขามีคัดเลือกเดือนคณะมันเกิดเหตุสุดวิสัยปลอมๆ เพราะขี้เกียจประกวดให้วุ่นวายเลยผลักภาระให้คุณเขาไป อย่าเอาไปบอกมันนะว่าผมวางแผน... ก็ไม่ชอบเรื่องยุ่งยากต่อชีวิต จะให้ทำยังไงได้ ดูอย่างจิณณ์ดิ เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนทักทายแถมยังขอถ่ายรูปอีก (ความจริงเจ็ทก็โดนอะไรทำนองนั้นด้วยไม่ใช่หรือไง ขนาดไม่ใช่เดือนคณะ)

"เหรอวะ หน้าตากูออกจะธรรมดา"

"ไอ้เหี้ย หน้าอย่างเนี่ยเขาเรียกหล่อเว้ย แล้วอีกอย่างนะ รอยสักยิ่งทำให้ดูแบดบอย เผลอๆ มึงจะฮอตว่าจิณณ์ด้วยซ้ำ"
ไอ้ไธจิ้มหน้าผากผมจึกๆ อย่างกับกำลังว่ากล่าวตักเตือนเด็กตัวเล็กๆ ผมปัดมือมันทิ้งเพราะเริ่มเจ็บและในใจลึกๆ ยังต่อต้านว่าตัวเองหล่อ

"เออๆ เรื่องนี้ช่างแม่งเถอะ กูไม่สนใจอยู่แล้ว ขี้เกียจวุ่นวาย"
ผมบอกปัดๆ แล้วสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของมันเมื่อรู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้นมา ไม่ได้รังเกียจเพื่อนแต่เกิดอาการเหนียวตัวอยากอาบน้ำ

"อืม แล้วมึงจะขึ้นห้องยัง หรือจะไปนอนเล่นห้องกูก่อน"
ไอ้ไธเข้าไปในห้องแล้วแต่กลับโผล่หน้าออกมาชักชวนกัน ผมรีบส่ายหัวปฏิเสธทันทีเพราะตอนนี้อยากกลับไปเล่นเกมต่อยมวยเต็มทน ก็ตรงนี้ไม่มีหมอทาวน์แล้วนี่หว่า ผุบหายเข้าไปในห้องแฟนตอนไหนก็ไม่รู้... คงกำลังจู๋จี๋กันแน่ๆ อิจฉาคนมีคู่ชะมัด

"เดี๋ยวกูขึ้นห้องเลยดีกว่า อยากเล่นเกม"

"เออๆ พรุ่งนี้เจอกัน"
ไอ้ไธโบกมือไล่กัน ซึ่งผมก็พยักหน้ารับแล้วหันไปบอกฝันดีกับเพื่อน

"โอเคมึง ฝันดี"

ผมกลับขึ้นห้องทางบันไดเพราะขี้เกียจไปเบียดเสียดกับคนในลิฟท์ อยู่ๆ ไม่รู้โผล่หัวมาจากที่ไหนเป็นหมู่คณะ แม่ง หน้าไม่คุ้นทั้งนั้น สงสัยจะมาปาร์ตี้กัน

หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมก็พาตัวเองมานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ในตอนแรกกะว่าจะเล่นเกมแต่มีสิ่งหนึ่งที่อยากได้ในตอนนี้คือโซเชี่ยลของหมอทาวน์ อยู่ๆ ก็อยากติดตามชีวิตเขา วันๆ หนึ่งคนเรียนหมอจะมีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง หรือ คนเงียบๆ ขรึมๆ เวลาโพสต์ข้อความและรูปภาพจะเป็นแนวไหน

มันน่าจะเป็นเรื่องปกติที่เด็กเรียนศิลป์จะมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้านเขา แต่ตอนนี้... จิณณ์ยังไม่กลับอีกเหรอวะ ตั้งสี่ทุ่มแล้ว ใครแอบดักตีหัวลากไปฆ่าแล้วหรือเปล่า

ผมเหลือบมองนาฬิกามุมขวาของหน้าจอคอมฯ ในขณะที่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันโดนอัตโนมัติ นี่จิณณ์เลิกบานศรีตอนห้าทุ่มเนี่ยนะ แถมได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ อีก สัดเอ้ย ที่แท้ก็ไปแดกเหล้าต่อแล้วไม่ยอมรับโทรศัพท์แถมไม่ติดต่อกลับอีก ต่อยแม่งสักทีดีไหม

"ไงมึง โทรศัพท์มีไว้ทับกระดาษเหรอ กูโทรไปไม่รับเลย ไอ้สัด"
ผมถามด้วยน้ำเสียงฉุนๆ แล้วหันไปมองคนที่เดินโซซัดโซเซเข้ามาหากันด้วยใบหน้าตึงๆ แทนที่จะยิ้มอย่างมีความสุขเพราะจบการรับน้องมหาโหดของวิศวะสักที

"อ้าวเหรอ โทษทีว่ะ ปิดเสียงตั้งแต่เข้าห้องเชียร์"
มันคลำๆ หาโทรศัพท์แล้วเอ่ยของโทษออกมาก่อนจะทิ้งตัวลวนั่งที่โซฟากลางห้องอย่างคนหมดสภาพ ตกลงว่าไปรับน้องหรือทำก่อสร้าง อะไรจะหนักหนาสาหัสขนาดนั้น

"จะทำอะไรโทรมาบอกก่อนได้ไหม ปล่อยให้กูกับไอ้ไธรอจนเหงือดแห้ง"
ผมเดินเข้าไปมองหน้ามันที่พิงหัวลงบนพนักโซฟา จิณณเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา ดูท่าทางไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินชื่อไอ้ไธยังไงไม่รู้

"โดนเรียกเข้าห้องเชียร์กะทันหันไง"
มันตอบด้วยน้ำเสียงตึงๆ แล้วหลับตาลง ดูแล้วสภาพไม่ปกติเท่าไหร่ หรือมีอะไรเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้วะ

"เออๆ แล้วจบบายศรีไปแดกเหล้าต่อก็ไม่บอกกูเนอะ ห่า นึกว่าใครลากไปฆ่าซะแล้ว"
ผมผลักหัวมันเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้แล้วเดินอ้อมโซฟาไปทิ้งตัวลงข้างๆ จิณณ์เอนหัวมาซบไหล่กันก่อนจะถูไถหน้าเบาๆ บนต้นแขน โคตรสยองแต่ปล่อยไปก่อน เดี๋ยวโดนเปลี่ยนเรื่องกลางอากาศ

"เป็นห่วงพี่เหรอครับน้อง"
น้ำเสียงกวนๆ ถูกส่งมาให้พร้อมด้วยรอยยิ้มที่หน้าหมั่นไส้ที่สุดในโลก ถึงจะหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วแต่ก็รู้สึกเกลียดได้ไม่ยาก ทำไมเวลามีปัญหาถึงชอบฝืนตัวเองด้วยการทำตัวร่าเริงวะ นึกว่ากูโง่นักหรือไงจิณณ์ แค่ไม่ถามก็เท่านั้นเอง

"กูน้องมึงจะให้ห่วงหมาที่ไหน"
ผมพ่นลมหายใจออกมาแล้วมองคนที่ก้มหน้าและซบไหล่ผมนิ่งๆ คล้ายกับกำลังใช้ความคิดอยู่ แต่ไม่นานเสียงปัญญาอ่อนของมันก็ดังขึ้น

"บู้ว ~ ห่วงหมาจิณณ์ไง"
น้ำเสียงแบ๊วๆ พร้อมทั้งทำปากจู๋แล้วขยับเข้ามาจุ๊บแก้มกันทำให้ผมต้องหดคอหนี ก่อนจะผลักจิณณ์ลงไปนอนยาวอยู่บนโซฟา  มันเมาแล้วเรื้อนตลอด ชอบนัวเนียคนอื่นไปทั่ว แม่ง... คราวหน้าจะไม่ปล่อยให้ไปแดกเหล้าคนเดียวแล้ว ไว้ใจไม่ได้จริงๆ

"ไปไกลๆ เมาแล้วเป็นงี้ตลอดเลยนะมึง"

"นิดหน่อยเองน่า กูไปอาบน้ำก่อนนะ"
มันบอกด้วยน้ำเสียงงัวเงียแล้วลุกขึ้นยืน ดีหน่อยที่ไม่ได้เซจนล้มลง ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องพยุงมันไปห้องน้ำ

"เออดี จะได้สร่างๆ"
ผมบอกไล่หลังคนที่เดินเอียงซ้ายเอียงขวา ได้แต่นั่งมองแล้วส่ายหัวปลงๆ ถึงเราจะเป็นแฝดกันแต่การใช้ชีวิตโคตรต่าง ผมคอแข็งส่วนมันคออ่อน ไปกินเหล้าด้วยกันทีไรต้องคอยแบกกลับทุกที คราวนี้ไอ้เอยคงเอามาหย่อนไว้หน้าคอนโดแล้วปล่อยให้ขึ้นมาเองแน่ๆ

"เจ็ท... ทำไรวะ"
เสียงจิณณ์ดังขึ้นจากด้านหลังแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตาส่องเพจหนึ่งอยู่

"เล่นคอมฯ ไง มึงจะใช้เหรอ"
ถามกลับไปอย่างคนมีมารยาท เพราะปกติมันจะใช้คอมฯ ตั้งโต๊ะ ส่วนผมใช้โน้ตบุค แต่ต่อไปอาจจะต้องสลับเครื่องกันใช้

"เปล่า กูเห็นมึงเพ่งหน้าจออย่างกับคนสายตาสั้น ตั้งใจอะไรขนาดนั้นวะ"
จิณณ์ลากเก้าอี้จากโต๊ะทำงานมาหย่อนก้นข้างๆ กัน ผมเหลือบมองมันเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป จริงๆ ระหว่างเราไม่ค่อยมีเรื่องอะไรต้องปิดบัง

"กูส่องเฟซบุคอยู่"

"เพจเซ็กซี่บอยมหา'ลัยเราเนี่ยนะ มึงกินยาผิดปะเนี่ย"
จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือมากอดไหล่กัน ส่วนอีกข้างก็ใช้ผ้าเช็ดเส้นผมเปียกๆ ไปด้วย ไอ้นี่ก็ชอบสกินชิพจัง น่าจะเนรเทศให้ไปอยู่กับไอ้ไธจริงๆ เผื่อมันจะญาติดีกันขึ้นมาบ้าง

"มึงเพ้ออะไรเนี่ย กูแค่จะหาคนๆ นึงเฉยๆ"
ผมบอกด้วยเสียงฉุนๆ ก่อนจะเลื่อนเม้าส์หาเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ต่อไป อยากจะบอกว่าเจอรูปตัวเองโดนแอบถ่ายลงเพจด้วย ส้นตีนสุดๆ กำลังนั่งแทะไก่ในโรงอาหารคณะ... หล่อเกินคำบรรยาย แม่ง ทุเรสฉิบหาย แคปชั่นยิ่งชวนขนลุก 'อยากเป็นไก่ให้เธอแทะจัง' โอย ถ้ากูแทะคนเป็นๆ ได้ คงน่ากลัวพิลึก



ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 2 (25/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 25-06-2017 11:36:45
"ใคร ถามกูดิ เผื่อรู้"
มันเสนอผมก็ต้องสนอง ใช่ไหมล่ะ และมีแนวโน้มว่าจิณณ์จะรู้จักด้วย

"เออว่ะ มึงน่าจะรู้จักเดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว"
ผมเกริ่นแล้วหันไปมองฝาแฝดที่ชะงักมือแล้วเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกำลังทบทวนความจำของตัวเอง หรือมันจะไม่รู้จักวะ ไอ้นี่ยิ่งความจำปลาทองอยู่ด้วย

"เดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว... อ๋อ พี่เมืองเหนืออะนะ"
คราวนี้ผมต้องขมวดคิ้วบ้างแล้วล่ะ เมืองเหนืออะไรวะ ไม่ใช่หมอทาวน์เหรอ หรือไอ้ไธหลอกกูเนี่ย

"ห๊ะ ใครวะเมืองเหนือ ไม่ใช่หมอทาวน์เหรอ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงสงสัยสุดๆ จิณณ์ถึงกับทำหน้าเหวอก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มกวนตีนออกมา

"เออ พี่ทาวน์ชื่อจริงชื่อ 'เมืองเหนือ' ไง"

"อ๋อ"
ชื่อแปลกว่ะ ผมว่าผมชอบนะ 'เมืองเหนือ' ไม่มีใครเหมือนดี

"แล้วมึงจะหาพี่เขาไปทำไม"
คำถามคล้ายๆ กับไอ้ไธดังขึ้น ดูท่าทางใครๆ ก็แปลกใจที่ผมถามถึงเขา แค่อยากรู้จักมันมีปัญหาอะไรขนาดนั้นวะเนี่ย ไม่ได้อยากจีบหรืออะไรสักหน่อย ทุกวันนี้ยังชอบสาวๆ นมตู้มๆ อยู่ครับ

"กูอยากรู้จักพี่เขาว่ะ"

"เพราะอะไร"
จิณณ์ถามต่อด้วยน้ำเสียงสงสัยไม่แพ้กัน

"ดูเป็นคนน่าสนใจดี"
ผมก็ใจดีตอบกลับไป เพราะไม่มีอะไรต้องปิดบัง

"มึงชอบเขาเหรอ"
จิณณ์ถามทีเล่นทีจริง แต่ผมถึงกับตกใจ หัวสมองมันคิดอะไรอยู่ ถ้าหมอเป็นสาวน้อยวัยใสก็ว่าไปอย่าง

"ห๊ะ บ้าอะไรของมึง ถ้าหมายถึงชอบทำนองชู้สาวนี่ไม่ใช่แน่ๆ"

"กูล้อเล่นๆ แต่มึงเล่นของสูงไปหน่อยนะไอ้เจ็ท พี่เมืองเหนือเนี่ย นิ่งๆ เงียบๆ เป็นคนเข้าถึงยาก ตอนกูประกวดเดือนพูดกับเขานับประโยคได้เลย"
คราวนี้จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเชื่อนะว่าหมอทาวน์เป็นคนแบบนั้นจริงๆ เพราะดูท่าทางจะเป็นเสือยิ้มยาก

"อัธยาศัยติดลบเหรอวะ"
ผมถามต่อเพราะอยากรู้เรื่องของเขาให้มากกว่านี้ ความรู้สึกคือหมอทาวน์คล้ายๆ กับไอดอลคนหนึ่ง

"ประมาณนั้นมั้ง แต่เพื่อนๆ เขาเคยบอกว่าถ้าได้สนิทแล้วจะรู้ว่าพี่เมืองเหนือน่ะ ปากร้ายแต่ใจดี ไม่ได้หยิ่งอะไร"
ข้อนี้ผมยืนยันได้จากตัวเองเลย เพราะวันนั้นก่อนแยกย้ายกันเขายังแนะนำให้เอาน้ำแข็งประคบหัวลดอาการบวมของหน้าผากที่โขกเข้ากับประตูกระจกร้านดอกไม้ เป็นคนใจดีจริงๆ นั่นล่ะ ถึงภายนอกจะดูดุๆ ก็เถอะ

"อืม..."

"กูถามจริงๆ เหอะ ทำไมอยากรู้จักเขาวะ คนละชนชั้นกับเราเลยนะ ไม่เอาคำตอบเดิมว่าน่าสนใจอะไรนั่น"
จิณณ์เอื้อมมือมาประคองใบหน้าของผมให้สบตากัน ไอ้นี่ก็สงสัยไม่เลิกเลยจริงๆ มันต้องการคำตอบแบบไหนวะ ประมาณ 'เออ กูชอบหมอ' หรือ 'เออ กูจะจีบเขา' แบบนี้เหรอวะ งงจริงๆ

"อ้าว แล้วจะให้กูตอบอะไร ไอ้ห่านี่ อยากรู้จักคนเรียนหมอบ้างไม่ได้หรือไงวะ"
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันด้วยความหงุดหงิด ทำไมเป็นคนชอบเซ้าซี้ขนาดนี้วะ อยากจะบอกว่ามันขี้เสือกก็ไม่ใช่ เพราะส่วนมากจิณณ์ตั้งใจจะแกล้งกันมากกว่า สังเกตได้จากแววตาสนุกสนานนั่น พ่ออยากจิ้มให้ทะลุ

"ดูทำหน้า... กูไม่แกล้งแล้วก็ได้ อย่าหงุดหงิดใส่ดิ"
จิณณ์ว่าเสียงหงอยๆ แล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มกันด้วยความเอ็นดู ถึงมันจะชอบแกล้งแต่ก็ชอบโอ๋ในเวลาเดี๋ยวกัน มีศักดิ์เป็นน้องก็ดีแบบนี้ล่ะ

"ก็มึงชอบกวนตีน"
ผมปัดมือมันทิ้งแล้วเลิกสนใจใบหน้าหมาหงอยของมัน นี่ยังไม่ได้ถามเลยนะว่ารับเกียร์รับช็อปแล้วทำไมหน้าตาดูเหมือนคนอกหักแบบนั้น ทั้งๆ ที่ควรดีใจที่ผ่านมรสุมรับน้องมาได้ โคตรย้อนแย้ง

"โอ๋ๆ นะพ่อเจ็ทสกีน้องพี่"
ยังไม่วายเข็ดหลาบยังเข้ามากอดคลอเคลียกันอีก แถมใช้คำพูดน่าขนลุกจนต้องแจกมะเหงกให้หนึ่งที นอกจากผมจะโดนจับจิ้นกับไอ้ไธแล้วก็ยังมีจิณณ์นี่ล่ะ... พวกเธอจะผิดบาปกันไปถึงไหน ขนาดฝาแฝดยังไม่เว้น

"เดี๋ยวกูถีบ"
ผมบอกน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ไม่ได้ผลักมันออก เพราะรู้ดีว่าเดี๋ยวมันก็เข้ามาคลอเคลียใหม่ตามเดิม เวลาจิณณ์มีเรื่องไม่สบายใจซ่อนไว้ชอบทำตัวแบบนี้เสมอ

"ร้ายใส่พี่มึงอีกแล้ว เดี๋ยวไม่ให้ไอจีพี่เมืองเหนือนะเว้ย"
มันพูดเสียงอู้อี้ แต่ผมกลับได้ยินชัดเจน รู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวขึ้นนิดๆ จะได้ไอจีของหมอทาวน์แล้วเหรอวะ อยากรู้จริงๆ คนหล่อๆ เท่ๆ ขรึมๆ เรียนเก่ง ชีวิตประจำวันของเขามีอะไรน่าสนใจบ้าง

"เฮ้ย มึงมีเหรอจิณณ์"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วผละมันออกจากอ้อมกอดเพื่อจะได้มองหน้ากัน จิณณ์พยักหน้าแล้วยักคิ้วกวนมาให้กันอย่างคนเหนือกว่า

"ก็เออสิวะ ตั้งไพเวทด้วย"

"เชี่ย เซเลปสุดๆ"
แอบใจแป้วเลยว่ะ หมอจะกดรับให้ผมฟอลโล่ปะวะ

"พี่แกไม่ชอบความวุ่นวายเหมือนมึงนั่นล่ะ"
จิณณ์ไขข้อข้องใจให้ เออว่ะ ผมก็ตั้งไอจีเป็นไพเวทเหมือนกัน แรกๆ ก็เปิดสาธารณะแต่มีคนฟอลเยอะเกิน ไม่ไหวจริงๆ

"อ๋อ ไหนอะ เอามาดิ"
ผมแบมือขอมันทันทีเพราะกลัวพี่ชายที่แสนดีจะเปลี่ยนใจปุปปับ ไอ้นี่เป็นคนโลเลจะตาย

"เออๆ ปล้นกูจังนะ"
มันบ่นแต่ก็ยอมยื่นโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอปรากฎหน้าไอจีของหมอทาวน์มาให้กัน ว่าแต่ว่าเขายังไม่รับของจิณณ์เลยเถอะ แล้วของผมล่ะ... แม่ง ความหวังโคตรลิบหรี่

Muangneua_t
เดี๋ยว Phakin_Jet จะขอฟอลโล่ไปนะครับ กรุณารับผมด้วยเถอะ สาธุ!

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา... เล่นของไปอีกนายภาคิน




--------------------------------------------

ตอนที่ 2 มาแล้วนะ ฝากติชมด้วยนะฮับ ~
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 3 (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 28-06-2017 13:10:13
(http://i.imgur.com/RvDWuGn.png)




ท้องฟ้าวันนี้ปราศจากปุยเมฆจนน่ากลัว อากาศแจ่มใสและร้อนระอุราวกับจะทำให้มนุษย์เดินดินและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแห้งตายได้ ผมพาบรรดาเพื่อนสนิทเข้ามาในหอสมุดกลางของมหา'ลัย ไม่ใช่ว่าขยันอ่านหนังสือแต่ทำเพื่อรับแอร์เย็นๆ

ไอ้ไธเดินไปหยิบหนังสือมาสองสามเล่มเพื่อตบตาบรรณารักษ์ที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกล ส่วนไอ้ฟาร์มยกโทรศัพท์ขึ้นมากดแชทกับสาวๆ อย่างโจ่งแจ้ง เพราะมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าหมั่นไส้ และอีกคนไม่แพ้กัน ไอ้เนิร์ดประจำกลุ่มกำลังควักเอาแท็บเล็ตขึ้นมาตั้งบนโต๊ะพร้อมกับหูฟัง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันต้องดูการ์ตูนตาหวานอีกแน่ๆ ส่วนผมน่ะเหรอ งานอดิเรกช่วงนี้คงหนีไม่พ้นไอจีหมอทาวน์ ก็ไม่รู้จะส่องห่าเหวอะไรนักหนา เพราะคนๆ นั้นไม่ได้อัพเดทอะไรมาสักระยะหนึ่งแล้ว ครั้งสุดท้ายคงเป็นที่เขาไปหาแฟนที่คอนโด

"เอาหนังสืออะไรมาอ่านวะ"
ผมถามคนที่เริ่มเปิดหนังสือก่อนจะเลื้อยลงไปนอนทับแขนของตัวเอง อีกมือหนึ่งก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่ในมือไปเรื่อย ส่วนใหญ่หมอทาวน์จะชอบอัพรูปสถานที่ ของกิน สิ่งของมากกว่าที่จะเป็นรูปของตัวเอง บางทีก็ท่าทางหลุดๆ ของเพื่อนนักศึกษาแพทย์ด้วยกัน

"รามเกียรติ์"
ไอ้ไธตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ผมละสายตาจากหน้าจอแล้วเหลือบมองหนังสือในมือของมันก่อนจะขมวดคิ้วแน่น อารมณ์ไหนมานั่งอ่านวรรณคดีไทยวะ แถมยังเป็นฉบับการ์ตูนสามเล่มจบอีกด้วย

"แดกยาลืมเขย่าขวดเหรอ เห็นตอนมัธยมมึงเกลียดภาษาไทยจะตาย"
ผมเหน็บมันด้วยความจริง เพราะตอนมัธยมไอ้ไธจะบ่นตลอดเมื่อต้องเรียนวรรณคดีแล้วโดยท่องบทร้อยกรอง ใครๆ ก็ออกจะขยาดกับมัน ยิ่งให้แปลความหมายยิ่งเหมือนตกนรกทั้งเป็น ยากสัดๆ

"กูเกลียดเรื่องอื่น แต่กูชอบรามเกียรติ์นะ  อิจฉาหนุมานว่ะ มีเมียตั้งสี่พันกว่าคน"
มันพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความอิจฉาอย่างจริงจัง ผมถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าไอ้ไธอยากมีเมียเป็นโขยงแบบนั้น สี่พันคน... ไอ้สัด ชาตินี้มึงจะใช้ครบไหมอะ คล้ายๆ ฮ่องเต้มีสนมสามพันคนไรงี้ปะวะ

"มึงอยากมีบ้างหรือไง"
ผมถามสวนกลับไปแล้วกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ ไอ้ไธเหลือบมองก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธมีความย้อนแย้งในตัวเองวะ ถ้ามันไม่อยากมีเมียเยอะเหมือนหนุมานแล้วจะไปอิจฉาทำพระแสงของง้าวอะไร

"โอย ไม่ไหวมั้งมึง มีเมียมากขนาดนั้นไข่กูถลอกพอดี"
ไอ้ไธพูดติดตลกก่อนจะปิดหนังสือลง มือขวาเอื้อมมาผลักหัวกันเบาๆ อย่างหยอกล้อ ผมได้แต่ถลึงตาใส่ไม่ตอบโต้กลับไปเพราะเริ่มสะดุดสายตากับคนรอบด้าน ผู้หญิงพวกนี้แม่ง จะถ่ายรูปไปจิ้นอะไรนักหนา ชอบแมนๆ ฟันดาบทั้งคู่หรือไง แบบอรชรอ้อนแอ้นแบบไอ้ตังค์ทำไมไม่จับจิ้นบ้างวะ

"แล้วจะอิจฉาหนุมานทำเชี่ยไร"

"เสน่ห์แรงไง กูไม่เห็นจะมีใครสักคน"

"กล้าพูดเนอะ สาวๆ อ่อยมึงตั้งเยอะ ทำเล่นตัว เลือกมากเอง โสดให้ไข่เหี่ยวตายไปเหอะ"
อันนี้ไม่ใช่เสียงผมนะเว้ย ไอ้ฟาร์มเลย ผงกหัวขึ้นมามองไอ้ไธแล้วทำหน้าเหยียดๆ แต่เห็นด้วยนะ พ่อเดือนคณะเขาหล่อเลือกได้ แต่แม่งไม่เลือกสักคน เหมือนมีใครอยู่ในใจตลอดเวลา

"ไข่กูไม่ใช่มะเขือยาว เอะอะๆ เหี่ยว ไอ้สัด"
ไอ้ไธจะข้ามโต๊ะไปต่อยไอ้ฟาร์มที่แสยะยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมรีบคว้าตัวมันด้วยการกอดเอวเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นความวุ่นวายคงเกิดขึ้นต่อจากนี้แน่ๆ

"เผลอๆ ไข่มึงจะเหี่ยวก่อนมะเขือยาวอีก"
ไอ้ฟาร์มมันไม่เคยกลัวส้นตีนใครเลยจริงๆ ทำให้ผมต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่มันแล้วลูบหลังไอ้ไธให้ใจเย็นๆ แต่ดวงตาคมเสือกมองเห็นสาวๆ ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปพาลทำให้หงุดหงิด คือกูกำลังห้ามทัพสงครามแต่พวกเธอคิดว่าเรากำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน โอ้ย มโนเกินไปแล้วแม่คุณ

"ไอ้เหี้ยฟาร์ม มึงหุบปากเลยนะ ไม่งั้นก็ไปหาสาวๆ ได้แล้ว น่ารำคาญ"
ไอ้ไธกัดฟันกรอดแล้วชี้หน้าไอ้ฟาร์มคล้ายคนกำลังอดกลั้นอารมณ์อย่างเต็มที่ จริงๆ แล้วมันเป็นคนใจเย็น ไม่อย่างนั้นอีกคนคงโดนต่อยไปตั้งแต่กวนตีนประโยคแรกแล้ว ถ้าเป็นผมคงเสยหน้าแข้งใต้โต๊ะอันดับแรก

"สู้ไม่ได้แล้วไล่ ไอ้กากเอ้ย"
ไอ้ฟาร์มยังคงความปากหมาเอาไว้เหมือนเดิม พอจะรู้สาเหตุที่มันชอบกวนตีนไอ้ไธ เพราะแกล้งแล้วสนุก และอีกอย่างคือความหมั่นไส้ที่สาวๆ มาติดเดือนคณะทั้งๆ ที่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องลุกมาโฆษณาตัวเองว่าเป็นสายเปย์

"พอๆ พวกมึงหยุดกัดกันได้แล้ว เดี๋ยวป้าบรรณารักษ์จะมาแดกหัวพวกมึง เสียงดังอยู่ได้"
สุดท้ายผมก็ต้องห้ามทัพไว้ก่อนเพราะป้าบรรณารักษ์แกหันมามองตาเขียวตั้งแต่เมื่อนาทีก่อน ไอ้ไธถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วทิ้งตัวพิงพนักเป็นฝ่ายสงบศึกก่อนใคร ส่วนไอ้ฟาร์มไหวไหล่แบบคนไม่เดือดร้อน

"เออๆ กูจะไปซื้อน้ำ ใครจะเอาอะไรไหม"
มันลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วจัดแจงเสื้อนักศึกษาให้เรียบร้อย ผมเหล่สายตามองไอ้ฟาร์มอย่างจับผิด ถ้าเมื่อไหร่มันอาสาไปซื้อน้ำหรือขอตัวไปไหน อย่าหวังว่าจะกลับมาอีก ไปแล้วไปลับอะไรทำนองนั้น เพื่อนในกลุ่มตะหนักดี มีแต่เจ้าตัวนั่นล่ะไม่เคยจำว่าโดนด่าเรื่องนี้ไปแล้วกี่รอบ ทำเป็นมีน้ำใจ สุดท้ายแม่งเลว ปล่อยให้คนอื่นรอ ถ้าอยู่กลางทะเลทรายคงตายห่าไปแล้ว

"จะไปซื้อน้ำหรือไปรีดน้ำ กูเห็นหายไปทีเป็นชั่วโมง"
ไอ้ไธเหน็บด้วยน้ำเสียงรู้ทัน ซึ่งผมเห็นด้วยเรื่องนี้ เพราะไอ้ฟาร์มมีสิทธิ์ไปรีดน้ำมากกว่า สาวๆ ตรึมขนาดนั้น ไม่รู้จะอิจฉาเรื่องผู้หญิงของคนอื่นทำไม ทั้งๆ ที่ตัวเองไข่จะถลอกอยู่แล้ว แม่ง วันไหนเป็นโรคขึ้นมากูจะสมน้ำหน้าให้

"ไธ... พูดงี้กูเสียหายนะเว้ย รีดน้ำอะไร ไม่เค๊ย ไม่เคย"
ไอ้ฟาร์มกระพริบตาปริบๆ ทำท่าทางแบ๊วไร้เดียงสาจนไอ้เนิร์ดที่นั่งดูการ์ตูนอยู่ข้างๆ ถึงกับเบะปาก เสียงสูงจะทะลุเพดานแล้วคุณ โกหกอะไรให้มันเนียนๆ หน่อย

"สันดานตอแหลจริงๆ"
ไอ้ไธด่าด้วยท่าทางหมั่นไส้

"ขอบคุณที่ชม"
ไอ้ฟาร์มรีบคำชมด้วยกน้าตาระรื่น เขกกบาลสักทีได้ไหมล่ะ ทำตัวน่าหมั่นไส้ฉิบหาย

"ไอ้...!"
นายธามไธแทบจะกระโดดไปงับหัวไอ้ฟาร์มที่เผลอสะดุ้งถอยหลัง

"พอเลยพวกมึง หยุดๆ ฟาร์มจะไปไหนก็ไป ฝากมึงซื้อน้ำที่ไรไม่ได้แดกทุกที ช้าฉิบหาย"
ผมกระตุกข้อมือของไอ้ไธให้นั่งลงที่เดิม มันยอมทำตาม ส่วนไอ้ฟาร์มยกมือขึ้นลูบกน้าอกตัวเองด้วยความโล่งใจ

"โหย ก็แบบมันไกลไง"
ทุกคนเลิกคิ้วพร้อมกันเมื่อได้ฟังคำพูดไอ้ฟาร์ม คือแม่งลงบันไดไปสองชั้นก็มีน้ำขาย ไกลตรงไหนวะ ผมกำลังจะอ้าปากด่าแต่โดนไอ้ตังค์ขัดซะก่อน สงสัยนั่งฟังมานานแล้วทนไม่ได้

"ไกลเหรอครับคุณฟาร์ม แค่ชั้นล่างของหอสมุดเองนะ"

"กูต้องกินน้ำเซเว่นหน้ามอเว้ยตังค์"
มึงจะไปแดกน้ำหรือแดกพนักงานสาวเซเว่น เอาดีๆ

"ผมไม่เข้าใจ"
ตังค์ขมวดคิ้วแน่น มันถึงกับเสียสละกดปุ่มหยุดการ์ตูนแล้วมองไอ้ฟาร์มอย่างคนขี้สงสัย ผมหลุดหัวเราะเพราะดูท่าทางไอ้เนิร์ดอยากได้คำตอบจริงๆ ถ้าบอกว่าเพื่อนจะไปเอาหญิงจะมีสีหน้ายังไงวะ

"มึงไม่ต้องเข้าใจ กลับไปดูการ์ตูนหื่นกามต่อเถอะ กูไปละนะ"
ไอ้ฟาร์มโบกมือไล่แล้วหันหลังเตรียมตัวจะเดินออกไป ไอ้ตังค์ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เมื่อตัวเองโดนโจมตีกลับ เห็นเงียบๆ หื่นจัดนะครับ...

"เออๆ ถ้าจะไม่กลับมาก็โทรบอกกูด้วย"
ผมพูดทิ้งท้ายก่อนไอ้ฟาร์มจะเดินหายไปจากชั้นนี้ พวกเรากลับมาจมอยู่ในงานอดิเรกของตัวเองต่อไปจนล่วงเลยมาเกือบชั่วโมง ตอนแรกกะว่าจะกลับคอนโด แต่ช่วงเย็นมีนัดประชุมเรื่องกีฬาภายในคณะเลยขี้เกียจไปๆ มาๆ ก็เลยจะนั่งรับแอร์ยาวๆ จนถึงเวลานั้น

"มึง กูปวดฉี่ เดี๋ยวมา"
ผมบอกไอ้ไธที่กำลังตั้งใจอ่านรามเกียรติ์ มันพยักหน้ารับแล้วปิดหนังสือลงก่อนจะเอื้อมมือมารั้งไหล่กันเอาไว้

"เดี๋ยวๆ กูไปด้วย"

"เออๆ เฮ้ยตังค์ เดี๋ยวเรากับไอ้ไธไปฉี่ก่อนนะ"
ผมหันไปบอกไอ้ตังค์ไว้ก่อน เดี๋ยวแม่งเงยหน้าขึ้นมาไม่เจอใครจะวุ่นวายอีก

"ได้ครับคุณเจ็ท"
ตังค์เงยหน้าขึ้นมายิ้มเพียงเสียววินาทีแล้วกลับไปจดจ่อกับสิ่งที่มันสนใจต่อ ผมกับไอ้ไธได้แต่มองหน้ากันแล้วส่ายหัวปลงๆ สุดท้ายก็ต้องช่างแม่งเรื่องโอตาคุ ในเมื่อเป็นงานอดิเรกที่เพื่อนชอบทำแล้วมีความสุขก็ปล่อยไป

ผมเดินลงบันไดนำหน้าไอ้ไธ แต่กลับต้องชะงักเมื่อคนบางคนสวนทางผ่านไป นี่มันโลกกลมอีกแล้วเหรอวะ ทำไมเจอกันบ่อยขนาดนี้

"เชี่ยเจ็ท หยุดเดินทำห่าอะไรเนี่ย"
ไอ้ไธชนเข้ากับแผ่นหลังของผม ดีหน่อยที่ไม่ได้แรงจนพากันกลิ้งตกบันได แต่ได้รับมะเหงกจากมันไปหนึ่งที

"มึง... นั่นหมอทาวน์ปะวะ"
ผมชี้กลับขึ้นไปด้านบนเพราะยังเห็นหลังหมอทาวน์ไวๆ ไอ้ไธมองตาก่อนพยักหน้ารับ

"เออใช่ มึงนี่ตาไวเนอะ"

"เขาเดินสวนขึ้นมาพอดีไง"
ผมตอบก่อนจะละสายตากลับมาที่เดิม หมอทาวน์ยังคงดูดีไม่เปลี่ยน ถึงวันนี้จะมีแว่นสายตามาด้วยก็เถอะ คล้ายๆ ไอ้เนิร์ดแต่บุคลิกต่างกันราวฟ้ากับเหว

"กูก็ยังไม่ได้ว่าอะไร แล้วตกลงมึงจะเข้าไปทักพี่ทาวน์ปะ เห็นบอกว่าอยากรู้จักไม่ใช่เหรอ"
ไอ้ไธถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วยกมือขึ้นจับไหล่ของผมคล้ายๆ กำลังเล่นรถไฟ จะให้เข้าไปทักทายทำความรู้จักซึ่งๆ หน้าอย่างนั้นเหรอ ก็คงดีกว่าพยายามหาทางทักทายเขาในโซเชี่ยลล่ะมั้ง

"เออว่ะ ขอไปฉี่ก่อนเหอะมึง ไข่จะแตกแล้ว"
ผมตอบไปส่งๆ แล้วรีบวิ่งลงบันไดเพื่อไปห้องน้ำทันที ตอนนี้ขอปลดปล่อยก่อนเถอะ อั้นฉี่ไว้ตั้งนานแล้ว

หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยก็เดินกลับขึ้นไปที่ชั้นเดิม เห็นหมอทาวน์กับเพื่อนกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่มุมหนึ่ง ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างกับเจอดาราที่ชอบ ใจหนึ่งอยากเข้าไปทักอีกใจกลับกลัวว่าจะโดนไล่ออกมา เพราะเผลอไปกดติดตามเขาทุกโซเชี่ยล เหมือนพวกโรคจิตเลยว่ะ

"หมอทาวน์จะคุยกับกูปะวะ"
ผมถามลอยๆ ออกไปไม่ได้หวังคำตอบ จากที่ได้ยินคนอื่นพูดกันว่าหมอทาวน์อัธยาศัยติดลบ ใจก็เริ่มหวั่นๆ หรือว่าจะถอดใจแล้วติดตามเขาไปเงียบๆ เหมือนแฟนคลับดีไหม แต่ไม่ได้อยากอยู่ในมุมมืดแบบนั้นนี่หว่า

"นั่นสุดแล้วแต่พี่เขาว่ะ กูก็ไม่ได้สนิทอะไร"
ขอบคุณที่มันช่วยตอบคำถามให้ผมเครียดหนักกว่าเดิม...

"ช่วยอะไรไม่ได้พอๆ กับจิณณ์เลย"
ผมบ่นพึมพำแล้วยืนมองหมอทาวน์อยู่อย่างนั้น เข้าไปทักดีปะวะ จะเริ่มต้นยังไง รู้สึกตัวเองเป็นสาวน้อยแรกแย้มที่กำลังหัดมีความรักเลย แค่อยากรู้จักหมอ ทำไมมันดูออร่าสีม่วงกระจายแบบนี้ หรือผมชอบเขา... บ้าน่า

Rrrrr

"ใครโทรมาตอนนี้วะ ขัดฉิบหาย"
ผมบ่นอุบอิบเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสั่นในกระเป๋ากางเกง ดวงตาคมยังจับจ้องอยู่ที่เป้าหมาย มือขวาก็ล้วงหาโทรศัพท์ อย่าให้รู้นะว่าใครขัดจังหวะตอนนี้ พ่อจะด่าให้

"รับซะ พี่ทาวน์ไม่หนีมึงไปไหนหรอก"
ไอ้ไธว่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางหมอทาวน์ที่ตั้งใจทำงานอยู่ตรงนั้น เออ เขาน่ะไม่หนีไปไหนหรอก แต่กูเนี่ยจะไม่กล้า หวั่นๆ ใจยังไงไม่รู้

'จิณณ์'
ชื่อสายเรียกเข้าปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมต้องขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วมองนาฬิกาข้อมือ นี่มันเวลาเรียนของจิณณ์ไม่ใช่หรือไงวะ โดดเรียนเหรอ

"ว่าไงจิณณ์ ตอนนี้มึงเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ"
ผมรับสายแล้วถามกลับไปด้วยความสงสัยทันที เพราะปกติแล้วจิณณ์ไม่เคยติดต่อมาเวลาแบบนี้ มันตั้งใจเรียนจะตาย ขยันจะเอาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

'มาหา...หน่อย'
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาสั่นเครือจนผมเผลอคิ้วกระตุก อะไรทำให้พี่ชายแสนร่าเริงต้องเป็นแบบนี้

"ทำไมเสียงสั่น มึงเป็นอะไร จะให้กูไปหาที่ไหน"
ผมถามด้วยความรีบร้อน บางคำแทบฟังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ มือที่จับโทรศัพท์สั่นน้อยๆ เพราะกลัวว่าปลายสายกำลังอยู่ในสถานการณ์อันตรายหรือเปล่า ไอ้ไธก็ดูท่าทางร้อนรนตามไปด้วย

'ใต้ตึก... วิศวะ มาหากู อึก ที'
ผมสรุปเลยว่ามันร้องไห้ คงมีเรื่องสะเทือนใจเกิดขึ้นมากกว่าอยู่ในสถานการณ์อันตราย ใครกล้าทำร้ายพี่กูวะ!

"เชี่ย เออๆ อีกห้านาทีกูถึง ใจเย็นๆ นะจิณณ์"
ผมบอกก่อนจะรีบกดวางแล้วยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ดวงตาคมจ้องมองไปที่หมอทาวน์อีกครั้งก่อนจะตัดใจ เรื่องทำความรู้จักอะไรนั่นเดี๋ยวค่อยพยายามใหม่ เพราะดูเหมือนระหว่างเราโลกจะกลมจนน่ากลัว ตอนนี่ไม่มีอะไรสำคัญกว่าจิณณ์ที่รออยู่

"มีอะไรวะเจ็ท จิณณ์เป็นอะไร"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่ผมไม่ได้เอะใจอะไร เลยตอบกลับไป

"ไม่รู้แม่ง เสียงเหมือนคนร้องไห้อะ"

"....."

"กูต้องไปหาจิณณ์ที่คณะ มึงกลับไปหาตังค์ก่อนก็ได้"
ผมตบบ่าไอ้ไธก่อนจะหมุนตัวหันหลังเพื่อวิ่งลงบันไดอีกครั้ง ดีหน่อยที่ไม่ต้องย้อนกลับไปเอากุญแจฟีโน่เพราะมันอยู่ในกระเป๋ากางเกงอีกข้าง แต่ไม่ทันได้ก้าวขาเพื่อนสนิทก็คว้าไหล่ไว้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

"กูอยาก... เออๆ ได้เรื่องยังไงหรือมีอะไรให้ช่วยก็โทรมา"
มันดูเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เปลี่ยนใจเป็นอีกอย่างแล้วปล่อยมือออกจากไหล่ ผมพยักหน้ารับถึงจะงงๆ กับท่าทีแปลกประหลาดนั้น

"โอเคๆ กูไปล่ะ"
แล้วผมก็รีบวิ่งไปหาฟีโน่ที่รักทันที

ผมจอดรถไว้ที่ลานแล้วรีบจ้ำอ้าวไปที่ใต้อาคาร มองซ้ายมองขวาอยู่นานกลับไม่เห็นคนที่บอกให้รีบมาหา แต่ในจังหวะที่กำลังจะล้วงโทรศัพท์ออกมานั้นกลับเห็นจิณณ์เดิรออกมาจากทางใดทางหนึ่ง

"จิณณ์! มึงเป็นห่าอะไรเนี่ย กูถามก็ไม่..."
ผมตะโกนเรียกพี่ชายเสียงดังแล้วเดินเข้าไปหาด้วยความร้อนใจ แต่ประโยคนั้นยังพูดไม่ทันจบจิณณ์ก็กันกลับมาด้วยสภาพในตาแดงก่ำ ที่บ่งบอกได้ว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา ทุกอย่างเหมือนหยุดชะงักเมื่อเราสบตากัน ทำไม...

"เจ็ท... กูเจ็บ"
จิณณ์เดินเข้ามาซบหน้าลงบนไหล่ของผม น้ำเสียงที่บอกเล่าสั่นเครือจนน่ากลัว สภาพแบบนี้ไม่คุ้นชินเลยจริงๆ พี่ชายที่ร่าเริงขี้แกล้งหายไปไหน

"ทำไมวะ ใครทำให้มึงเจ็บ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม มือหนายกขึ้นลูบหัวพี่ชายเพื่อปลอบประโลม ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ ไม่ชอบน้ำตาของจิณณ์ อาจจะเพราะเราเป็นฝาแฝดกันเลยรู้สึกเจ็บไปด้วย

"เค้ก อึก เชี่ยเอ้ย ทิ้งกูอีกแล้ว!"
จิณณ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทั้งโกรธทั้งเสียใจ รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ค่อยๆ ซึมลงบนเสื้อนักศึกษาของตัวเอง ในยามนี้ถึงจะมีผู้คนรอบด้านผมก็ไม่สนแล้ว ใครจะว่ายังไงก็ช่างที่มีผู้ชายตัวโตๆ กอดกันกลางลานเกียร์

"เหตุผลล่ะ"
ผมไม่ได้พูดปลอบอะไร แต่ถามหาเหตุผลที่พี่เค้กเลิกกับจิณณ์ มือหนาเลือนไปโอบกอดพี่ชายเอาไว้แน่น นี่คงเป็นวิธีแสดงความห่วงใยที่ดีที่สุดสำหรับนายภาคินต่อนายโภคิน

"ชอบมึง"
เหตุผลสั้นๆ ที่ทำให้ผมถึงกับเม้มปากแน่น ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกตะหงิดๆ กับสายตาที่เค้ก ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่ ชอบอีกคนแต่เป็นแฟนกับอีกคน... ตลกว่ะ

"....."
ผมนิ่งเงียบเพื่อรอฟังต่อ ไม่อยากพูดอะไรสักอย่างเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

"แต่มึง... เข้าถึงยาก เลยจีบกูแทน"
จิณณ์พูดต่อแล้วกดหน้าลงบนไหล่ผมมากขึ้น เหตุผลที่ได้ฟังทำให้สุดท้ายแล้วก็ต้องหลุดปากพูดอะไรบางอย่างออกไปจนได้

"สัดเอ้ย ผู้หญิงบ้าอะไรวะ ความคิดน่าขยะแขยง"
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพราะหัวเสียกับพี่เค้กมาก ทั้งๆ ที่จิณณ์ทุ่มเทให้เธอทุกอย่างแบบที่ไม่เคยทำให้ใคร ทำไมไม่เห็นค่าความพยายามของคนๆ หนึ่งบ้าง ถ้าไม่ชอบเขาจะมาจีบเขา ทำร้ายเขาไปเพื่ออะไร นั่นคือสิ่งที่ผมอยากถามผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน

"กูจุกว่ะ"
จิณณ์ผละตัวออกไปเช็ดน้ำตาลวกๆ ดูท่าทางจะเสียใจหนักอยู่พอตัว

"ไม่เป็นไรนะมึง ผู้หญิงมีอีกเยอะแยะ ไม่ตายก็หาใหม่ได้"
ผมบอกพี่ชายไปแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือไปตบบ่าให้กำลังใจ หน้าตาแบบมันจะหาแฟนใหม่ก็คงไม่ยากหรอก ตำแหน่งเดือนคณะเรียกสาวดีจะตายไปเหมือนไอ้ไธไง นั่งอยู่เฉยๆ ก็มีคนรายล้อม

"อืม... กูอุตส่าห์จะหยุดเจ้าชู้ แล้วดูผลมันสิวะ แม่ง ฮึก"
จิณณ์เริ่มร้องไห้อีกครั้งเมื่อพูดถึงความพยายามของตัวเองเพื่อพี่เค้ก ผมจับมือมันเอาไว้ก่อนจะล้วงเอาทิชชู่ที่ดึงมาเกินจากห้องน้ำซับน้ำตาให้ ถึงจะดูเหี้ยไปหน่อยก็เถอะน่า ใครอย่าเอาไปบอกนะเว้ย ไม่อย่างนั้นผมโดนกระทืบตายแน่ๆ

"มึงจะหยุดน่ะคิดถูกแล้วเว้ย แต่พี่เค้กไม่ใช่สำหรับมึง"
ผมพูดต่อแล้วผละมือออกจากใบหน้าของมัน จิณณ์ช้อนตามองก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ แต่ไอ้เสียงฟืดฟาดเนี่ย น้ำมูกใช่ไหมวะ เหี้ย นั่นๆ เริ่มย้อยแล้ว สกปรกฉิบหายพี่กู

"คงงั้น..."
มันตอบกลับเสียงเบาก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำมูก ผมได้แต่มองมันปลงๆ กระดาษทิชชู่ในมือก็มีทำไมไม่เช็ด จะยึดไปจากมือกูทำซากอะไรครับพี่มึง โอย กูล่ะเพลียใจกับมันจริงๆ เลย

"เอาน่า เดี๋ยวกูประชุมกีฬาเสร็จจะพาไปแดกเหล้า"
ผมเอื้อมมือไปกอดไหล่มันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ถึงเหล้าจะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น แต่อย่างน้อยคงทำให้คืนนี้มันหลับสบายโดยไม่ต้องคิดมาก

"ได้... สัญญาแล้วนะมึง"
จิณณ์ฝืนยิ้มก่อนจะชูนิ้วก้อยขึ้นมาอย่างกับเด็กๆ ผมหลุดหัวเราะแต่ก็ยอมเกี่ยวมันไว้เป็นการสัญญา ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ความรักของคนในครอบครัวก็มีค่าที่สุด

กว่าจะประชุมเรื่องงานกีฬาภายในจบก็ปาไปเกือบสองทุ่ม ผมปฏิเสธหัวชนฝาเมื่อโดนทาบทามให้เป็นหลีดฯ ใครแม่งต้องแอบแกล้งเสนอชื่อแน่ๆ ไม่ใช่ว่าอายแต่ไม่มีความสามารถทางด้านนั้นเลยด้วยซ้ำ ตอนม.ปลายเคยสอบเต้นลีลาศเหยียบเท้าผู้หญิงมาก็หลายรอบ ไม่รุ่งจริงๆ ขอบาย

ส่วนเรื่องกีฬาผมขอเอาไปนอนคิดสักอาทิตย์ เพราะไม่ถนัดเหมือนกันแต่ก็พอเล่นได้บ้าง ขืนไม่ทำอะไรเพื่อสาขาและคณะเลยอาจโดนเขม่นเอาได้ ส่วนไอ้ไธหนีไม่พ้นโดนลากไปเป็นหลีดฯ และแข่งบาสฯ เพื่อเรียกเสียงเชียร์ เพราะตำแหน่งเดือนมันค้ำคอ หลีกเลี่ยงไปไหนไม่ได้จริงๆ สมน้ำหน้า... คนฮอตก็งี้ล่ะ ภารกิจเยอะ

ตอนนี้ผมกับจิณณ์นั่งอยู่ที่ร้านเหล้าไม่ไกลจากคอนโดสักเท่าไหร่ แต่เราไม่ได้มากันสองคนเพราะพ่วงไอ้ไธมาด้วยเลยทำให้คนอกหักทำหน้าหงิกไม่เลิก

"ทำไมมึงต้องพาไอ้ไธมา"
จิณณ์ถามขึ้นในขณะที่วางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะดังตึง ผมเลิกคิ้วขึ้นและหยุดเคี้ยวถั่วในปาก ส่วนไอ้ไธขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่อนาทีก่อน

"ไม่พามันมาจะกลับคอนโดยังไง กูขับรถไม่เป็นมึงอย่าลืมนะจิณณ์"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วมองปฏิกิริยาของมัน จิณณ์ทำเสียงฮึดฮัดก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกอีกครั้ง ดูท่าทางไม่สบอารมณ์สุดๆ

ในตอนที่ผมลากไอ้ไธขึ้นรถมาด้วยนั้นจิณณ์มองพวกเราตาเขียวปั๊ดแต่ไม่ได้บ่นอะไรออกมา คงเพราะอารมณ์ไม่ดีพอจะตอบโต้ เลยเป็นโอกาสเหมาะที่จะหาตัวช่วยลากคนเมากลับคอนโด

"สัด เรียกไอ้เอยก็ได้"
จิณณ์บ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วหยิบถั่วในจานปาใส่ผมที่นั่งอยู่ข้างๆ มัน จะให้เรียกเอยเพื่ออะไรวะ ปล่อยเขาไปเดทกับแฟนเถอะ

"ทำไมมึงต้องตั้งแง่กับไอ้ไธจังวะ นี่กูถามจริงๆ เหอะ ซีเรียสละ"
ผมถามมันเสียงเครียด จากที่จะไม่อะไรแต่ตอนนี้ชักทนไม่ไหว ขืนปล่อยให้มันตั้งแง่อยู่แบบนี้ ชีวิตการเรียนมหา'ลัยคงไม่มีความสุขแน่ๆ

"มึงไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลยเหรอ อยู่กับมันทุกวัน"
จิณณ์เอื้อมมือมาจิ้มหน้าผากของผมรัวๆ คล้ายตำหนิ มันรู้สึกเจ็บแต่ไม่ได้ปัดป้องอะไรเพราะกำลังสงสัยสิ่งที่เขาพูดมากกว่าว่าหมายถึงอะไร จะให้รู้อะไรวะ

"อะไรวะ กูไม่เข้าใจ"
ผมถามก่อนคว้ามือจิณณ์มาจับเพราะเริ่มรู้สึกว่ามันเลื่อนต่ำจนจะทิ่มตาอยู่ร่อมร่อ เขาปรายตามองอย่างโมโห คือเมาแล้วอารมณ์เสียหรือไงวะ

"ไอ้ไธชอบมึงไงเจ็ท สายตามันฟ้อง"
จิณณ์สะบัดมือออกจากการเกาะกุมแล้วเทเหล้าเพียวๆ กรอกปาก ผมได้แต่เบิกตาโตแล้วประมวลผลคำพูดเมื่อครู่กลับไปมา อะไรนะ ไอ้ไธชอบผมอย่างนั้นเหรอ บ้าไปแล้ว

"ห๊ะ... จิณณ์ มึงพูดเรื่องบ้าอะไรวะ ไอ้ไธเนี่ยนะชอบกู ตลก"
ผมหัวเราะออกมาแบบไม่เกรงใจใครเพราะมันเป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา ไอ้ไธไม่มีทางชอบผมแน่ๆ ค้านหัวชนฝา เอาเครื่องเล่นเกมเป็นประกันเลย

"มึงมันโง่ไง คนนอกเขาดูออกทั้งนั้น"
จิณณ์ยังคงยืนยันคำพูดของตัวเอง ดวงตาคมมองผมอย่างสื่อความหมายว่าโง่เหลือเกิน

"ไหนใครดูออก มีแต่มึงอะที่พูดเรื่องนี้กับกู"
ผมพูดสวนไปตามความจริง เพราะเพื่อนในกลุ่มยังไม่เคยมีใครทักเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ไอ้ฟาร์มเป็นคนอ่านใจเก่งยังไม่บอกอะไรสักอย่าง หรือรู้แต่ปิดเป็นความลับวะ เริ่มระแวง

"ช่างแม่งเหอะ ที่กูไม่ชอบมันก็เพราะแบบนี้ล่ะ"
จิณณ์โบกมือไปมาแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามันเมามากกว่า เพราะเริ่มจะเลื้อยมาซบไหล่กันแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเราหน้าเหมือนกันคนอื่นๆ คงหาว่าเราเป็นแฟนกัน นัวเนียฉิบหาย

"เพราะมันชอบกูเนี่ยนะ มึงรังเกียจเหรอ"
ผมถามขึ้นอีกครั้งเพราะยังไม่เข้าใจว่าจิณณ์จะเกลียดไอ้ไธไปทำไม ในเมื่อมันอาจจะชอบผม ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนสักอย่าง แถมยังไม่ได้ออกตัวแรงอีก

"เปล่า กูไม่ชอบเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อเฉยๆ"
มันบอกเสียงอู้อี้เพราะกำลังซบหน้าลงบนไหล่แล้วถูไถจมูกไปมา ผมฟังด่อนจะถอนหายใจหนัก สาบานว่าจิณณ์มันโตเป็นผู้ใหญ่ ทำไมคิดอะไรอย่างดับเด็กๆ

"เหตุผลส้นตีนอีกละพี่กู"

กว่าจะได้กลับคอนโดก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่าๆ เพราะจิณณ์งอแงไม่ยอมกลับ เลยนั่งกินเหล้าคนสลบคาโต๊ะ เดือดร้อนผมกับไอ้ไธต้องแบกมันขึ้นห้องอย่างช่วยไม่ได้

"สรุปว่าจิณณ์เป็นอะไรวะ เมาขนาดนี้"
ไอ้ไธถามขึ้นหลังจากที่เราทั้งคู่โยนจิณณ์ลงบรเตียงได้สำเร็จแล้วพากันออกมานั่งที่โซฟาเพื่อพักเหนื่อย

"อกหัก"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะเริ่มนวดแขนตัวเองไปด้วย แบกจิณณ์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ตัวโคตรหนัก

"เลิก... กับพี่เค้กแล้วเหรอ"
ไอ้ไธถาทด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ดวงตามองตรงไปด้านหน้าแบบไร้โฟกัส ผมพยักหน้าก่อนจะถอนหายใจเมื่อคืดถึงเหตุผลที่โคตรบ้านั่น

"อืม พี่เค้กสารภาพกับมันว่าชอบกู"
ผมหลับตาลง พยายามขับไล่ความรู้สึกแย่ออกไป ทั้งเรื่องของจิณณ์และเรื่องของไอ้ไธ ไม่รู้ว่าควรจะโพกัสอย่างไหนก่อนดี ทำไมอะไรๆ ชอบเข้ามาพร้อมกันแบบนี้วะ

"เหี้ย..."
ไอ้ไธอุทานออกมาแค่นั้นก่อนจะเงียบไป ผมไม่เแปลกใจหรอกที่ใครๆ จะตกใจกับเหตุผลแบบนี้ มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ ถึงพี่เค้กจะผิดคนเดียว แต่ผมรู้สึกเหมือนเป็นสาเหตุยังไงไม่รู้...

"แล้วมึงล่ะ"
อยู่ๆ ผมก็ถามขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่จิณณ์ได้ทิ้งระเบิดเอาไว้ในร้านเหล้า ดวงตาคมมองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนสนิทอย่างต้องการคำตอบ

"ห๊ะ อะไร"
มันหันมาเลิกคิ้วใส่กันด้วยความมึนงง ผมเม้มปากเข้าหากันก่อนจะผ่อนออกเมืาอตัดสินใจไปแล้ว ถามก็ถามวะ

"ชอบกูด้วยหรือเปล่า"
ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเบนสายตาไปทางอื่น ไม่ได้กลัวคำตอบ แต่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง จิตใต้สำนึกกำลังร้องบอกว่าไอ้ไธไม่ได้ชอบผม... แต่อาจจะเป็นจิณณ์

"ทำไม... ถามแบบนั้นวะ"
น้ำเสียงของมันสั่นเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงความตกใจออกมา เหมือนรู้ตัวว่าสักวันเรื่องนี้ต้องมีคนรู้ นี่อาจจะเป็นความลับของไอ้ไธที่ผมสงสัยมาตลอดก็ได้ ปิดบังความรู้สึกจริงๆ ของตัวเอง

"จิณณ์บอกว่ามึงมองกูด้วยสายตาแบบนั้น"

"ไม่ใช่..."

"ถ้าไม่ใช่ มึงควรอธิบายนะไธ"
ผมหันไปบอกมันด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงก่อนจะเอื้อมมือไปโคลงหัวทุยๆ นั่นด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าเมื่อไหร่ไอ้ไธก็มีปัญหากับเรื่องความรักเสมอ

"ถ้ากูบอกไป มึงสัญญาได้ไหมว่าจะไม่โกรธ"
มันบอกด้วยเสียงสั่นๆ ไม่ยอมมองสบตากันแม้แต่นิดเดียว ผมหลุดยิ้มออกมากับคำขอเหมือนเด็กๆ แต่ก็ยอมตอบรับไปง่ายๆ ใครจะไปโกรธมันลงวะ ทำตัวน่ารักขนาดนี้

"มึงเพื่อนกูนะ จะโกรธได้ยังไง"
ผมเอื้อมมือไปกอดไหล่มันอย่างสนิทสนม ถึงเรื่องราวมันจะยุ่งเหยิงแค่ไหนก็พร้อมจะรับฟังและอยู่เคียงข้างเสมอ ก็เพื่อนกันนี่หว่า






ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 3 (28/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 28-06-2017 13:10:47
"อืม... ขอบใจ"

"....."
ผมเงียบเพื่อรอฟังมันพูดต่ออย่างลุ้นระทึก จะเป็นอย่างที่เคยสงสัยไว้หรือเปล่าวะ

"กูชอบจิณณ์ ที่ชอบมึงด้วยสายตาแบบนั้นเพราะกูคิดถึงมัน"
คำสารภาพหลุดออกมาจากปากของไอ้ไธอย่างง่ายดาย ดวงตาคมสั่นไหวเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว ผมยอมรับว่าตกใจแต่ก็พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเพราะไม่อยากให้เพื่อนหยุดเล่าเรื่องนี้

"นานแค่ไหนแล้ว"

"ตั้งแต่มัธยม..."
โคตรนาน สามปีได้แล้วมั้ง

"สัดเอ้ย ทำไมซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะกู ก็คิดว่าทะแม่งๆ นานแล้ว"
สุดท้ายผมก็ควบคุมความนิ่งของตัวเองไม่ได้อีกต่อไปเมื่อสิ่งที่คิดไว้เป็นจริง ควรเลิกเรียนถา'ปัตย์แล้วไปเป็นหมอดูปะ ไอ้ควายจิณณ์เอ้ย ไอ้ไธชอบมึง สัด! โง่ๆๆ อยากปลุกแม่งมาด่าให้เข็ด

"คืออะไรวะ"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงตื่นๆ แล้วมองหน้าผมอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ไม่แปลกที่มันจะตกใจ เพราะโดนรวมแล้วนายธามไธเป็นคนที่เก็บอาการเก่งมาก แต่สายตามันปิดกันไม่ได้เว้ย น้ำเสียง ความห่วงใยที่แสดงออกกับใครๆ มันต่างกัน

"มึงดูจะแคร์จิณณ์ เป็นห่วงจิณณ์มากกว่าปกติ ทั้งๆ ที่มันตั้งแง่เกลียดมึงเข้าไส้"
มันเป็นเรื่องขัดแย้งมากๆ ที่คนๆ หนึ่งจะดูแคร์คนที่เกลียดตัวเองมากขนาดนั้น ถ้าไม่ได้คิดอะไรด้วย ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเดาหรือกะเกณฑ์ความรู้สึกใคร แต่กับเพื่อนสนิทตัวเองไม่ต้องสังเกตมากก็ดูออก อย่าลืมว่าใช้ชีวิตด้วยกันเกือบทุกวันมานานแล้ว

"ดูออกเหรอวะ"
ไอ้ไธถามเสียงเบาหวิวก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าตาตัวเอง ส่วนหนึ่งอาจจะเขินอีกส่วนอาจจะกลัว ผมเดาว่ามันไม่อยากให้จิณณ์รู้ความลับนี้ เพราะกลัวจะโดนเกลียดมากดว่าเดิม หัวใจคนเราเปราะบางยิ่งกว่าแก้วอีกมั้งในบางครั้ง

"หึ แค่แปลกๆ วันนี้ชัดละมึง ชัดมาก"
ผมเน้นคำสุดท้ายด้วยความตื่นเต้น แม่งเอ้ย ถ้าซื้อหวยแล้วถูกแบบนี้คงรวยไปแล้วว่ะ

"มึงไม่รังเกียจกูเหรอ"

"คิดมากน่ามึง แต่จิณณ์มันผู้ชายแท้ๆ นะ"
นี่คือเรื่องที่ทำให้อะไรๆ ยากขึ้นไปอีก

"กูรู้ เลยต้องแอบชอบไง"
เออ ก็จริงของมัน ขืนบอกไปอาจจะโดนต่อยหรือไม่ก็โดนกระทืบ

"แต่ลองดู กูเชื่อว่าสักวันมึงต้องชนะใจมันได้"
ผมให้กำลังใจมันไปทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจิณณ์จะรู้สึกยังไงในเรื่องนี้ แต่ไม่ว่ายังไงไอ้ไธมันต้องทำได้แน่ๆ รักเดียวใจเดียวแบบนี้ต้องสนับสนุนสิวะ ถึงจะเสี่ยงโดนตีนพี่ชายก็เหอะ

"อืม... ขอบใจเว้ย"

เรื่องไอ้ไธกับจิณณ์ก็กระจ่างแล้ว สรุปว่าคนที่โง่และเข้าใจคนอื่นผิดคือพี่ชายของผมเอง ส่วนเพื่อนสนิทแค่อยู่เฉยๆ ก็โดนเกลียด แล้วนายภาคินล่ะ รู้สึกยังไงกับหมอทาวน์กันแน่ ชอบเขาหรือมองเป็นแค่ไอดอลวะ โคตรสับสนเลย

วันเสาร์ที่ควรจะได้นอนพักผ่อนให้เต็มอิ่มแต่กลับโดนฝาแฝดตัวดีลากลงมาวิ่งออกกำลังกายตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากมาส่องสาว ผมถึงกับถอนหายใจหนักๆ แล้วส่ายหัวปลงกับมัน เพิ่งอกหักมาได้ยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ก็หยิบเอานิสัยเจ้าชู้ออกมาใช้ซะแล้ว เบื่อจริงๆ เลย อยากจะบอกให้ไอ้ไธตัดใจก็ไม่กล้า เพราะเห็นว่าแอบชอบมาเป็นเวลานาน ช่วยเพื่อนหน่อยแล้วกัน

“จิณณ์ มึงไม่เฮิร์ทเรื่องพี่เค้กแล้วเหรอวะ”
ผมถามในขณะที่เรานั่งพักอยู่ในสวนหน้าคอนโด จิณณ์ชะงักมือที่เช็ดเหงื่อก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ ดูท่าทางไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรจริงๆ นั่นล่ะ เพราะหลังจากวันนั้นก็เห็นมันใช้ชีวิตปกติมาตลอด

“ผู้หญิงแบบนั้นไม่มีค่าพอให้กูเสียใจหรอกน่า”
มันบอกต่อโดยที่ผมยังไม่ได้ถามอะไรออกมา ก็จริงอย่างที่จิณณ์ว่า พี่เค้กไม่ได้มีค่าพอจะให้เสียใจขนาดนั้น ผมกำลังชั่งใจว่าจะบอกเรื่องไอ้ไธดีไหม แต่คิดไปคิดมาแล้วควรจะเงียบดีกว่า เพราะเจ้าตัวยังไม่มีความกล้า

“มึงก็เลยมานั่งส่องหญิงเพื่อดามใจว่างั้น”
ผมเหน็บแนมมันต่อก่อนจะหยิบขวดน้ำที่ตั้งอยู่ด้านข้างมาดื่มแล้วสอดส่ายสายตามองอะไรไปเรื่อยจนชะงักกึกเมื่อเห็นใครบางคนที่แสนคุ้นเคย หมอทาวน์มาหาแฟนที่นี่อีกแล้วเหรอวะ

“ตามนั้น คอนโดเรานี่สาวๆ เยอะว่ะ”
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิณณ์มันพูดอะไร แต่ก็ตอบไปส่งๆ เพราะสายตายังคงจ้องมองงหมอทาวน์ที่กำลังพูดคุยกับนิติบุคคลอย่างเป็นกันเอง

“อือ”

“มองไรวะ”
ผมคงตอบคำถามสั้นไป จิณณ์เลยถามต่อเมื่อเห็นว่าสายตาของน้องชายโฟกัสไปทางไหน

“นั่นหมอทาวน์ปะ”
ผมได้ทีเลยถามยืนยันเพื่อความแน่ใจ เพราะช่วงนี้รู้สึกเหมือนจะเจอหมอทาวน์โคตรบ่อยถึงจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ พอให้กระชุ่มกระชวยหัวใจก็เถอะ ยิ่งนานวันความรู้สึกที่มีก็ชัดเจนขึ้นจนแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะทั้งชีวิตไม่เคยคิดพิศวาสผู้ชายคนไหน แต่ปัจจุบันนี้...

“ใช่ คงมาหาแฟนอีกล่ะมั้ง ดูท่าทางรักกันจะตาย น่าอิจฉา”
จิณณ์ขยายความจนผมเผลอใจกระตุก รักกับแฟนมากอย่างนั้นเหรอ ก็คงจะจริงล่ะมั้ง ถ่อมาหากันแทบทุกวันขนาดนี้ แถมยังมีพวกขนมหรือดอกไม้ติดมือมาตลอด... น่าอิจฉาอย่างที่พี่ชายพูดจริงๆ ด้วย

“มึงรู้ปะว่าแฟนเขาเป็นใคร”
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนคิดว่ามันไม่มีความจำเป็นต้องรู้จักแฟนเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว หลังจากที่กลับไปทบมวนตัวเองหนึ่งอาทิตย์ก็ค้นพบเรื่องราวที่น่าตกใจว่า ผมไม่สามารถละสายตาจากคนๆ นี้ได้เลย แค่ติดตามโซเชี่ยลของเขาใจยังสั่นขนาดนี้ ถ้าได้พูดคุยจะรู้สึกรุนแรงมากขนาดไหนวะ

“ทำไม มึงจะแย่งแฟนเขาเหรอ”
จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยับมากระแซะไหล่กันอย่างหยอกล้อ ผมได้แต่ถอนหายใจใส่มัน นี่คิดว่าน้องเป็นคนยังไงวะ ไม่ได้เลวขนาดจะเข้าไปเป็นมือที่สามสักหน่อย แต่ถ้าเขาเอนเอียงมาเองก็ช่วยไม่ได้

“หึ เปล่า”

“ก็เคยเห็นผ่านๆ นะ ชื่อพรีมเรียนหมอเหมือนกัน”

“อ๋อ...”

“สวยนะ เป็นดาวคณะปีนี้ล่ะ เห็นว่าคบกันมาสามสี่ปีแล้วมั้ง”
เป็นระยะเวลาที่ยาวนานจนน่าตกใจ เพราะผมกับจิณณ์ไม่เคยคบใครเกินสองปีหรอก อาจจะเจอคนที่ไม่ใช่ล่ะมั้งเลยทำให้เบื่อเร็ว

“อืม... น่าอิจฉา”
ผมพูดออกไปลอยๆ ไม่ได้ตั้งใจจะบอกใคร ดาวคณะกับเดือนมหา’ลัยก็ดูเข้ากันดี น่าอิจฉาสุดๆ

“อิจฉาพี่เมืองเหนือเหรอมึง”
จิณณ์ถามก่อนจะถอดสายตามองไปที่หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เดินจับมือกันออกไปจากคอนโด  หัวใจชองผมกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ ชอบคนที่มีเจ้าของแล้วมันรู้สึกแย่แบบนี้นี่เอง เริ่มเข้าใจความรู้สึกของไอ้ไธแล้วว่ะ

“เปล่า อิจฉาพรีม”
ผมพึมพำกับตัวเอง หลังจากรู้แล้วว่าตัวเองนั้นไม่ได้สนใจหมอทาวน์ในแบบธรรมดา แต่เป็นการชอบใครสักคนในเชิงชู้สาวต่างหาก



---------------------------------------

ตอนที่สามมาพร้อมความลับของไธและเจ็ท อู้ว ช่วยเชียร์หนุ่มๆ หน่อยน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 4 (03/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 03-07-2017 19:53:52
(http://i.imgur.com/3hPRVGy.png)



บรรยากาศตอนนี้อึมครึมจนน่าอึดอัด ไม่ใช่เพราะสภาพอากาศแต่เป็นอารมณ์ของใครบางคนที่เอาแต่นอนซมอยู่บนเตียง ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมอาบน้ำ ไม่ยอมขยับตัวไปไหนถ้าไม่หายใจจะนึกว่าเป็นศพ รอบดวงตาดำคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้า ลูกตาแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก สภาพไม่เหลือเค้าเดือนคณะวิศวะเลยด้วยซ้ำ

ผมได้แต่นั่งมองฝาแฝดตัวเองด้วยอารมณ์เหนื่อยหน่าย เมื่ออาทิตย์ก่อนยังประกาศเสียงดังฟังชัดว่าผู้หญิงอย่างพี่เค้กไม่มีค่าพอให้เสียใจ แต่ทำไมสภาพตอนนี้มันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน ที่เขาว่ากันว่าเพศชายความรู้สึกช้าคงจริง

"ตายยัง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเหลือบหางตาดูจิณณ์ที่นอนมองเพดานอย่างเหม่อลอย อกหักครั้งนี้น่าจะหนักกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา ก็มันถึงขนาดลงทุนเลิกเจ้าชู้ เอาอกเอาใจขนาดนั้น อยู่ๆ ก็โดนทิ้งด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัว อาการไม่หนักคงแปลก

ดีแค่ไหนแล้วที่มันไม่ได้จิตตกเอาจนคิดเส้นขนมจีนผูกคอตายใต้ต้นมะเขือ ถ้าเป็นแบบนั้นวงศ์ตระกูลคงอับอายแน่ๆ พ่อแม่คงสาปแช่งให้จิณณ์ไม่ได้ผุดได้เกิด เนื่องจากโง่ ไม่รักชีวิตตัวเอง

"ใกล้แล้ว"
จิณณ์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งก่อนตวัดหางตามาคาดโทษกันที่บังอาจเล่นถึงความเป็นความตาย แต่ผมไหวไหล่ไม่สนใจเพราะรู้ดีว่ามันไม่มีทางลุกขึ้นมาโต้ตอบหรอกเพราะไร้เรี่ยวแรง นี่สินะอาการของคนอกหักจริงๆ

"ไหนบอกว่าผู้หญิงแบบนั้นไม่มีค่าพอให้เสียใจไง แล้วสภาพตอนนี้คืออะไร"
ผมเหล่สายตามองซากศพบนเตียงแล้วถอนหายใจเฮือก ไม่ชอบมันในสภาพนี้เลยจริงๆ ยอมให้กวนตีนหรือแกล้งยังจะดีกว่า เห็นแล้วหดหู่พลอยกินข้าวไม่ลงไปด้วย

"อย่าซ้ำเติม..."
มันพูดเสียงเอื่อยๆ ดวงตายังคงเหม่อลอยมองเพดานอยู่แบบนั้น แต่ที่แปลกออกไปคือหัวคิ้วกำลังขมวดเข้าหากัน ปากที่เม้มแน่นเหมือนต้องการจะกลั้นอะไรบางอย่าง ดูๆ ไปแล้วอาการอยากร้องไห้คงกำลังจุกอก

"ใครซ้ำ กูแค่ถาม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลงก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวจิณณ์อย่างอ่อนโยน สงสารมันก็สงสารแต่หงุดหงิดมากกว่าที่มันชอบทำตัวเองให้โทรมแบบนี้ สุขภาพร่างกายแย่ไปซะหมด นานๆ ไปคงเดือดร้อนคนอื่นหามส่งโรงพยาบาลอีก

แต่ตอนนี้สิ่งที่รบกวนความคิดมากๆ คือ... ครั้งสุดท้ายไอ้ซากศพนี่สระผมเมื่อไหร่วะ ทำไมทั้งมันทั้งเหนียวขนาดนี้ โอย สกปรกฉิบหาย ผมต้องลอบผละมือแล้วเช็ดกับผ้าปูเตียงอย่างเนียนๆ ถ้ากระโตกกระตากเดี๋ยวขัดอารมณ์คนอกหักอีก

"อือ"
จิณณ์ครางรับก่อนที่หยดน้ำใสๆ จะไหลออกจากดวงตา ผมมองภาพนั้นก่อนจะเบ้ปากด้วยอารมณ์ที่หลากหลายก่อนจะเอื้อมมือไปดึงทิชชู่มาซับให้ เชื่อไหมว่าอีกไม่นานมันคงขาดน้ำตาย... แม่งเอ้ย ควรโทรไปหาพี่แจมให้เปิดเทศน์ใส่สักชั่วโมงไหม หูตาจะได้สว่างไม่ต้องจมปรักเป็นควายแบบนี้

"จิณณ์ มึงลุกไปอาบน้ำแล้วออกไปหาอะไรกินเถอะ"
ผมผละมือออกจากใบหน้าโทรมๆ ก่อนจะบอกให้พี่ชายเลิกทำตัวซังกะตายสักที เห็นมันไม่กินข้าวกินปลาเลยตลอดสองวันมานี้ก็อดห่วงไม่ได้ ไม่ใช่ปล่อยปะละเลย แต่พยายามยัดพยายามป้อนแล้วมันก็ปัดทิ้งหมด เหนื่อยใจว่ะ

"ไม่เอา"
คำตอบยังคงชัดเจนเหมือนเดิม จนผมต้องยกมือตบหน้าผากเพราะไม่รู้จะทำยังไง จากที่เป็นคนไม่ชอบสรรหาคำสวยหรูมาปลอบ ก็ต้องงัดนั่นงัดนี่มาพูด แบกหน้าไปพึ่งเพื่อนอีกคนที่อยู่คนละมหา'ลัยด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากเอาเรื่องนี้ไปคุยกับไอ้ไธสักเท่าไหร่ รายนั้นเจ็บช้ำกับการโดนเกลียดและแอบรักมากพออยู่แล้ว สงสารมัน

"มึงจะทำตัวแบบนี้ให้ได้อะไรครับ กูขี้เกียจแบกมึงไปส่งโรงพยาบาลนะ"

"กูอกหักอยู่ เฮิร์ทอะ เข้าใจปะ"
พูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทันที ปล่อยให้ผมนั่งเบะปากใส่ความดราม่าของมัน รู้ว่าอกหัก รู้ว่าเจ็บ แต่ช่วยทำตัวให้คนอื่นเขาสบายใจไม่ได้หรือไง จะไปไหนจะทำอะไรต้องคอยพะวงว่าจิณณ์จะช็อกตายหรือเปล่า มันไม่ดีไง

"กูเข้าใจ แต่มึงทำตัวแบบนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น"

"ฮือ กูเสียใจ"
มันเริ่มโวยวายแล้วร้องไห้แบบมีเสียง ตอนนี้ผมอยากเดินไปหาค้อนหรืออะไรก็ได้มาทุบมันสักทีสองทีจะได้เงียบ ชักรำคาญแล้วนะเว้ย

"ไอ้เชี่ย หยุดร้องไห้เลยนะมึง"
ผมสบถก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ด้านนอกเพราะห้องของนี้ไม่มีนาฬิกาติดผนัง แถมเครื่องมือสื่อสารของมันก็ปล่อยทิ้งให้แบตฯ หมด เชื่อไหม ไอ้เอยต้องโทรมาถามกันว่าจิณณ์ตายหรือยังเพราะติดต่อไม่ได้ ผมเลยตอบไปว่าอีกสองวันจะจองศาลาแล้ว ช่วยมางานศพด้วย... เหอะๆ

"ฮึก กูจะลืมยังไงดี"
ยิ่งบอกให้หยุดร้องจิณณ์ยิ่งสะอื้นหนักจนผมต้องกุมขมับ ถ้าเวลาแบบนี้พี่แจมอยู่ใกล้ๆ ก็คงดีว่ะ จะได้ช่วยกันทำให้มันหุบปาก

"ลืมห่าเหวอะไร มนุษย์ทุกคนทำไม่ได้หรอกจิณณ์ แค่เลิกสนใจก็พอ หรือมึงอยากเป็นคนความจำเสื่อม เดี๋ยวกูสงเคราะห์เอาไม้หน้าสามตีหัวให้"
ด้วยความรำคาญปนหงุดหงิดเลยทำให้ผมตั้งใจพูดออกไปแบบนั้น ปลอบแบบละมุนละม่อมจิณณ์ไม่เคยฟังหรอก ต้องด่าต้องว่ามันถึงสะกิดใจ แต่ด้วยความที่มีศักดิ์เป็นน้องเลยทำให้อะไรๆ ยากขึ้น ประมาณว่า 'มึงจะไปรู้อะไร อกหักมาแค่ครั้งสองครั้ง เทียบไม่ได้กับกูหรอก' เอ้อ ก็นะ เอาที่สบายใจเลยครับ

"ฮือ แฟนทิ้ง น้องก็ไม่รัก ฮึก มีแต่คนใจร้าย"
ความดราม่าไม่จบไม่สิ้น คราวนี้มันแหกปากร้องดังลั่นแถมดิ้นไปมาเหมือนเด็กโดนขัดใจจนผ้านวมกระเด็นตกเตียง เหลือแต่ศพสภาพยับเยินเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผมอยากเอื้อมมือไปบีบไข่มันฉิบหาย คนบ้าอะไรโทงเทงไม่อายใคร คือกางเกงนอนมันหลุดจนเห็นหัวเหน่าแล้ว... อุจาดตาว่ะ ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็ยังไม่อยากเล่นจ๊ะเอ๋กับของสงวนคนอื่น

"โอย รำคาญมึงแล้วนะ ตกลงจะโดดเรียนรวมใช่ไหม นอนตายซากอยู่แบบนี้เนี่ย"
ผมว่าด้วยเสียงหงุดหงิดแล้วหยิบหมอนปาใส่หน้ามัน จิณณ์ชะงักการดิ้นแล้วหันมามองกันตาขวางก่อนกระแทกเสียงใส่ น้ำหูน้ำตานี่ไหลเป็นทาง ใครมาเห็นสภาพนี้คงร้องยี้ไปหลายวันแน่ๆ

"อึก เออ ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียน!"
จิณณ์ต้องเสียใจจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ร้อยวันพันปีไม่เคยโดด มันรักเรียนจะตายไป แล้วนี่อะไร...


"แล้วเกียรตินิยมมึงล่ะ ไม่เอาแล้วเหรอ"
ผมลองถามดูเผื่อมันจะใช้อารมณ์ในการพูดโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี

"เอา"
มันตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ไม่ยอมขยับลุกขึ้น ทั้งๆ ที่ใกล้เวลาเรียนวิชารวมของปีหนึ่งเข้าไปทุกที ถึงจะไปอาบน้ำตอนนี้ก็คงสายสักครึ่งชั่วโมง ตกลงมันบ้าหรือผมเบลอกันแน่ ไม่เข้าใจตรรกะคนอกหักเลย

"แต่เสือกโดดเนี่ยนะ คงได้หรอก"
ผมเหน็บมันไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน มันหันขวับมามองกันตาเขียวก่อนจะแยกเขี้ยวใส่ คิดว่าขู่แล้วจะกลัวเหรอ สภาพอย่างกับหมาแก่ใกล้ตาย ลุกจากเตียงให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยมาเปิดศึกกัน ตอนนี้ผมแค่เอามือจิ้มหน้าผากมันก็หงายหลังแล้วมั้ง

"ปากเสีย"
บ่นงุบงิบในลำคอแต่ผมกลับได้ยินชัดเจน นี่กูพูดความจริง ผิดตรงไหน โดดเรียนแต่หวังเกียรตินิยมเขาคงให้มึงหรอก ถ้าเทพขนาดเรียนตามทันจะไม่ว่าเลย ขาดครั้งหนึ่งเหมือนตกนรกจริงๆ

"ด่ากูอีก สัด"

"ฮึก... สะเทือนใจ"
จิณณ์มองผมด้วยดวงตาตัดพ้อ ปากหยักเบะลงเหมือนเด็กตัวน้อยๆ ผมได้แต่กรอกตาด้วยความเหนื่อยหน่าย สะเทือนใจพ่อง กูเนี่ยเหนื่อยใจจะตายห่าแล้ว อย่างกับมีลูกอ่อน ต้องคอยเป็นห่วงทุกๆ สิบนาที พอออกไปเรียนก็อดพะวงไม่ได้ว่ามันจะเป็นอะไรหรือเปล่า

"พอๆ กูไม่สงสารมึงหรอกนะจิณณ์ แค่อกหักทำเหมือนใครตาย ถ้าคิดได้เมื่อไหร่ก็ลุกไปอาบน้ำกินข้าวซะ"
ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นเพราะเวลากระชั้นชิดจะเข้าห้องสาย อีกอย่างไอ้ไธส่งไลน์มาตามยิกๆ แล้ว ถ้าเปิดอ่านคงเจอคำด่าเป็นสิบแน่ๆ

"....."
จิณณ์เงียบไม่ยอมตอบโต้อะไร คงสะอึกกับคำพูดของผม

"กูจะไปเรียนแล้ว"
ผมบอกก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้อง แต่ขายังไม่ได้ก้าวจิณณ์ก็ออกปากเรียกไว้ก่อนเหมือนเพิ่งคิดอะไรได้

"เดี๋ยว จะไปยังไง ฟีโน่เอาไปซ่อมไม่ใช่เหรอ"
จิณณ์ถึงขนาดยอมยันตัวลุกขึ้นจากเตียงมานั่งเอียงคอมองด้วยความสงสัย เพราะเมื่อวานผมเพิ่งเข็นเจ้าฟีโน่คันเก่งไปซ่อมเพราะสตาร์ทไม่ติด

"ไปกับไอ้ไธ"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะเสยผมที่ปรกหน้าขึ้น วันนี้ไม่มีอารมณ์ใส่จงใส่เจลเซ็ตอะไรทั้งนั้นล่ะ เช้ามาก็วุ่นวายกับการงัดจิณณ์ขึ้นจากเตียงเพราะกลัวมันจมน้ำตาตายซะก่อน

"ห๊ะ ไม่ได้ๆ มึงยังจะไปไหนมาไหนกับมันอีกเหรอวะ"
จิณณ์พุ่งตัวคลานมาจนถึงปลายเตียงเพื่อจะคว้าข้อมือผมเอาไว้ แต่การที่มันไม่ได้กินอะไรมาสองวันทำให้ร่างกายเซล้มลง ดีแค่ไหนที่ไม่พลาดตกลงไปนอนบนพื้น อยากจะหัวเราะอยู่หรอกแต่ต้องกลั้นไว้เพราะเดี๋ยวจะโดนมันตัดพ้ออีก

"จิณณ์ ไธเป็นเพื่อนกู และมันไม่ได้ชอบกู บอกไปครั้งที่ร้อยแล้วนะ เปลืองน้ำลาย"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ก่อนจะกรอกตามองบน ตั้งแต่ถามไอ้ไธวันนั้นก็บอกความจริงเพียงครึ่งเดียวให้จิณณ์ฟังไม่รู้กี่รอบ แต่เขาก็ไม่ยอมเชื่อกันสักที ดื้อเพ่งเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ผมหงุดหงิดจนเกือบเผลอบอกความจริงอีกครึ่ง แต่ดีที่มีสติยั้งคิด ไม่อย่างนั้นคงโดนเพื่อนสนิทฆ่าหมกป่าไปแล้ว

"แต่กูเชื่อสายตาตัวเองมากกว่า"
เถียงคำไม่ตกฟาก ถีบแม่งสักทีดีไหมว่ะ

"มีงสายตาสั้น อาจจะมองอะไรผิดพลาดก็ได้"

"เจ็ท... ให้ไอ้เอยมารับมึงก็ได้"
คราวนี้จิณณ์เปลี่ยนบทสนทนาไปทิศทางอื่นแต่ยังคงใช้ปัญหาเดิมเป็นที่ตั้ง ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ จริงๆ แล้วให้เอยมารับก็ได้ แต่บ้านมันอยู่อีกทาง ลำบากไหมล่ะคุณ เปลืองน้ำมันรถด้วย

"มึงจะไปลำบากเอยทำไม"

"งั้นมึงต้องหัดขับรถได้แล้ว" มีสั่งด้วย นี่พี่หรือพ่อครับคุณ

"กูขี้เกียจ"

"มึงแม่ง..."
จิณณ์สบถแล้วมองผมตาเขียวปั๊ด ถ้ามันมีแรงคงพุ่งเข้ามาถีบกันแล้ว ถามว่าอยากหัดขับรถไหม ก็อยากหัดนะ แต่ความขี้เกียจมันมีมากกว่า

"กูอยากหัดขับเมื่อไหร่จะบอกเอง แต่ตอนนี้กูกำลังจะสายแล้ว ไปล่ะ"
ผมโบกมือลาจิณณ์แล้วหมุนตัวกลับอีกรอบ แต่ยังไม่วายที่มันจะรั้งอีก ตอนนี้เหลือเวลาให้ไอ้ไธซิ่งรถแค่ครึ่งชั่วโมงแล้ว

"เจ็ท..."

"อะไรอีก หรือเปลี่ยนใจจะไปเรียน"
ผมกระแทกเสียงเล็กน้อยแต่ไม่ได้หันไปมองพี่ชายบังเกิดเกล้าแล้ว กลัวตีนจะลั่นถีบมันเข้าจริงๆ สักที มีเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะกับอาจารย์โหดนะเว้ย ดีไม่ดีแกจะล็อกห้องแล้วหักคะแนนกูซ้ำอีก

"หึ... ไม่เอา"

"สัด งั้นนอนตายให้หนอนแดกไปเถอะ"
ด่ามันด้วยอารมณ์หงุดหงิดแล้วปิดประตูดังปังใส่ นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา คนบ้าอะไรโคตรเอาแต่ใจตัวเอง

"แง!"
ได้ยินเสียงแหกปากของจิณณ์ดังลอดออกมา ทำให้ผมถึงกับถอนหายใจด้วยความปลงแล้วสาวเท้าออกจากห้องด้วยความรีบเร่งเพราะไอ้ไธโทรตามจนสายจะไหม้อยู่แล้ว อีกยี่สิบห้านาทีกับแปดโมงสามสิบห้านาที มึงเอ้ย รถติดสัดๆ เข้าห้องสายแน่ๆ

กว่าจะได้ลงจากห้อง กว่าจะเจอไอ้ไธก็สายโด่จนเวลาเหยียบคันเร่งเหลือแค่ยี่สิบนาที โดนเพื่อนสนิทเทศน์ระหว่างเดินไปลานจอดรถจนหูชา แต่ดีหน่อยที่วันนี้ไลน์กลุ่มที่เรียนเซคเดียวกันบอกว่าอาจารย์จะเข้าสายครึ่งชั่วโมงเลยรอดตัวไป ไม่อย่างนั้นผมจะกลับไปฆ่าจิณณ์ด้วยน้ำมือตัวเองนี่ล่ะ

"วันนี้จิณณ์ไม่มีเรียนเหรอวะ ทำไมมากับกูได้"
ไอ้ไธถามขึ้นมาหลังจากที่เราสงบศึกกันได้สักพัก ผมที่กำลังเล่นโทรศัพท์เลยต้องละสายตาไปมองหน้าเพื่อนแทน

"มี แต่โดด"
ตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะเผลอย่นจมูกเมื่อคิดถึงสภาพของจิณณ์เมื่อเช้านี้ ไม่รู้จะลุกขึ้นมากินอะไรหรือยัง ผมอุตส่าห์ตื่นเร็วทำแซนวิชไส้กรอกทิ้งไว้ให้ ลงทุนเข้าครัวด้วยตัวเองเลยนะเว้ย ดูสิว่ารักมันแค่ไหน

"ห๊ะ เอาจริง จิณณ์เป็นอะไรหรือเปล่า"
มันถามกลับมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะอย่างที่รู้กันว่าจิณณ์เป็นคนรักเรียนขนาดไหน ถึงหน้าตาจะไม่ให้ก็เถอะ

"เฮิร์ทหนัก ทำอย่างกับใครตาย"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เผลอกรอกตามองบนเพราะหมั่นไส้พี่ชาย มือข้างหนึ่งยกขึ้นจับต่างหูเล่นเพราะไม่มีอะไรทำ ตอนนี้เองที่เพิ่งสังเกตว่าตัวเองลืมใส่นาฬิกา รอยสักตรงข้อมือซ้ายด้านในที่เป็นรูปสัญลักษณ์สามเหลี่ยมและมีเส้นตรงแนวนอนตัดผ่านใกล้ๆ ส่วนปลายแหลม เรียกง่ายๆ ว่า 'Transcend' มีความหมายคือการเอาชนะหรือการอยู่เหนือกว่าโผล่ออกมา คงต้องติดกระดุมแขนเสื้อแล้วล่ะ ขี้เกียจฟังอาจารย์บ่น

"อ่า..."
ไอ้ไธฟังเหตุผลแล้วถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่นั่งเม้มปากไว้ ถ้ามันจะรู้สึกแย่ก็คงไม่แปลกอะไร ก็คนที่รักดันอยู่ในสภาวะอกหักอย่างรุนแรง

"มึงเข้าไปดามใจมันหน่อยดิ กูเห็นสภาพแล้วโคตรรำคาญลูกตา"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญแต่ในใจคือลุ้นว่าเพื่อนสนิทจะมีปฏิกิริยาตอบกลับแบบไหน เพราะหลังจากวันนั้นที่มันรู้ว่าจิณณ์อกหักยังไม่แสดงท่าทีอะไรเลยสักอย่าง จะเดินหน้าก็ไม่จะถอยหลังก็ไม่ จมปรักควายไม่ขยับสักที

"เฮ้ย... ถ้าขืนกูทำแบบนั้น คนถูกดามอาจจะเป็นกู"
ไอ้ไธร้องเสียงหลงแล้วหันมาขมวดคิ้วใส่กัน ดีนะที่รถกำลังติดไฟแดง ไม่อย่างนั้นมันอาจจะเสยท้ายใครไปแล้วก็ได้

"ยังไง"

"ดามเหล็กอะมึง โดนจิณณ์กระทืบ"
มันพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่ดวงตาไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย มันมีร่องรอยความเศร้าแฝงอยู่แบบไม่ปิดบัง ผมไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไงจริงๆ ในตอนนี้ เพราะสถานการณ์ของจิณณ์ไม่สู้ดีเลย กว่าจะเลิกเฮิร์ทคงใช้เวลาเป็นเดือนๆ

"ไอ้สัด มุกเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะผลักหัวไอ้ไธแล้วหัวเราะออกมาเพื่อให้บรรยากาศไม่อึมครึมจนเกินไป ฝ่ายนั้นแยกเขี้ยวใส่แต่ไม่ตอบโต้กลับมา

"ความหวังกูเป็นศูนย์ ขอดูอยู่ห่างๆ แล้วกัน"
ไอ้ไธพูดเสียงอ่อยก่อนที่มันจะแตะคันเร่งเพื่อออกตัวรถ ผมได้แต่เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของมันแล้วถอนหายใจออกมา คนหนึ่งอกหักใกล้ตาย คนหนึ่งปอดแหกกลัวโดนเกลียดเพิ่ม ชาตินี้คงสมหวังกัน

"มึงชอบอยู่ในมุมหรือไง แสดงตัวบ้างก็ได้ว่าแอบรักน่ะ"

"มันก็ขึ้นชื่อว่าแอบ จะแสดงตัวยังไง"
ก็จริงของไอ้ไธ แต่มันไม่ใช่ปะวะ ต้องแอบรักไปนานแค่ไหน ต้องเจ็บอีกเท่าไหร่ถึงจะชินชา สู้บอกความรู้สึกแล้วรอรับผลเลยไม่ดีกว่าเหรอ จะได้รู้ว่าต่อไปควรทำยังไงกับชีวิตดี

"มึงอยากเห็นมันมีแฟนใหม่อีกเหรอไง"
ตอกย้ำมันเข้าไปเอาให้เพื่อนกระอักเลยแล้วถีบผมลงจากรถ ก็แค่กระตุ้นความกล้าให้เฉยๆ บ่งบอกให้รู้ว่ากูเชียร์มึงกับจิณณ์อยู่นะ เพราะเบื่อพวกหลอกลวงแล้ว สงสารพี่ชายตัวเอง

"ไม่อยาก แต่กูจะไปทำอะไรได้"
มันพูดเสียงอ่อยก่อนจะหักพวงมาลัยเข้ามอ ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงตรงเป๊ะ เชื่อเถอะว่าลานจอดรถขนาดแน่นเอี๊ยด มีหวังได้เดินไกลอีกตามเคย

"ทำได้แต่มึงไม่ทำเองหรือเปล่า ถ้าเป็นกูนะ คงหาทางเสียบแน่ๆ ไม่ปล่อยโอกาสให้มันโสดแล้วไปจีบคนอื่นหรอก"
ผมเสนอแนะวิธีให้ไอ้ไธทำกับพี่ชายตัวเอง ด้วยความหวังดีล้วนๆ อยากให้ทั้งคู่ลงเอยกันถึงแม้อนาคตจะไร้ลูกหลานก็เถอะ เพราะยังๆ พี่แจมก็มีเจ้าตัวยุ่งแล้ว พ่อแม่คงไม่คาดหวังสักเท่าไหร่

"พูดง่ายแต่ทำยากว่ะ กูเป็นผู้ชายนะเว้ย"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แสดงความไม่มั่นใจออกมาอย่างชัดเจน ผมทำแค่เพียงไหวไหล่ให้กับเรื่องนี้ ผู้ชายแล้วไง ใครเป็นคนจำกัดขอบเขตการรักกัน ตัวเรากำหนดไม่ใช่หรือ สังคมก็แค่ส่วนประกอบ

"แล้วไง เพศเดียวกันรักกันไม่ได้เหรอครับคุณไธ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วยืนมือไปต่อยแขนเพื่อนอย่างหยอกล้อ มันหันมาทำหน้ามู่ทู่ใส่กันก่อนจะบ่นพึมพำออกมา

"ถามจิณณ์นู่น กูรักมันขนาดนี้ยังจะถามอีกเหรอว่าได้หรือเปล่า"
มันทำปากขมุบขมิบต่อเหมือนแอบด่ากันในขณะที่ถอยรถจอดและดับเครื่องในเวลาต่อมา ต้องรีบเดินไปคณะแล้วสินะ อีกสิบนาทีอาจารย์จะเข้าสอนแล้ว

"เออ ไว้กูจะหาคำตอบมาให้"
ผมตอบรับมันไปแล้วลงจากรถทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องห้าม ถ้ามัวแต่ยักแย่ยักยันเมื่อไหร่จะคืบหน้าสักทีล่ะ หึหึ กามเทพอย่างนายภาคินจะปฏิบัติงานแล้ว

หลังจากเลิกเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ พวกเราทั้งสี่คนก็หิ้วท้องไปฝากไว้ที่ร้านข้าวหลังมหา'ลัย เนื่องจากโรงอาหารในตอนเที่ยงของคณะคนล้นจนน่ากลัว เหตุผลอีกอย่างคือรำคาญพวกสาวๆ ที่เข้ามาเกาะแกะ ไอ้ชอบมันก็ชอบนั่นล่ะ แต่ถ้ามากไปก็ไม่ดี ไม่มีความเป็นส่วนตัว ขนาดว่าผมทำตัวไม่สนใจแล้วนะ... ยังโดนบังคับให้ถ่ายรูปไปสามสี่ครั้ง แต่กับไอ้ไธไม่ต้องพูดถึงนะ รายนั้นแทบจะโดนลากไปปู้ยี่ปู้ยำอยู่รอมร่อ ก็เล่นแจกยิ้มหวานตลอด

ตอนนี้เรากลับมานั่งล้อมวงกันอยู่ที่หน้าคณะเพื่อรอเวลาเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานต่อ ต่างคนต่างหางานอดิเรกทำเพราะไม่มีอะไรจะคุย เจอหน้ากันทุกวันก็มีเบื่อบ้างเป็นธรรมดา ไอ้ไธวาดรูป ไอ้ตังค์ดูการ์ตูน ส่วนไอ้ฟาร์ม... วันนี้แปลกที่เอาแต่นั่งจ้องกระดาษในมือ มีอะไรพิเศษปะวะ อย่างนี้ต้องเสือกหน่อย

"ฟาร์ม... มึงนั่งจ้องกระดาษนั่นมาจะสองชั่วโมงแล้วนะ"
ผมถามขึ้นแล้วจ้องมองกระดาษในมือมันอย่างใคร่รู้ ไอ้ฟาร์มผงกหัวขึ้นก่อนจะคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่ม จดหมายสารภาพรักจากสาวๆ หรือเปล่าวะ

"อ๋อ... ของดีน่ะ"

"ของดีอะไรวะ"
ผมถามต่อและพยายามสอดส่ายสายตา แต่เพราะไอ้ฟาร์มนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยมองไม่ถนัด รู้แค่ว่าเป็นช่องๆ คล้ายตารางเรียน

"ตารางเรียนเด็กคณะแพทย์เว้ย"
ไอ้ฟาร์มเฉลยด้วยน้ำเสียงภูมิใจ ใบหน้ากวนๆ ของมันฉีกยิ้มกว้าง ผมได้แต่ขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่ามันจะเอามาทำอะไร บูชาหรือ...

"ห๊ะ เอามาทำอะไรวะ"

"จะจีบเด็กแพทย์ก็ต้องมีตารางเรียนเขาสิ"
ไอ้ฟาร์มยักคิ้วกวนๆ แล้วบรรจงจูบลงบนกระดาษแผ่นนั้นด้วยท่าทีรักใคร่ ผม ไอ้ไธ และไอ้ตังค์ถึงขนาดถลึงตาใส่มันด้วยความแปลกใจ เพลย์บอยจะจีบสาวว่ะ อัศจรรย์มาก พิลึกพิศดารสุดๆ

"เดี๋ยวก่อน มึงจะจีบเขาเหรอ"
ผมยกมือห้ามความเพ้อฝันของมันแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ คนอย่างมันไม่เคยลงทุนจีบใครก่อนเลยนะ มีแต่คนเข้าหาตลอด แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ผีเข้าหรือเปล่า

"เออดิ"
ไอ้ฟาร์มขมวดคิ้วตอบดูท่าทางจริงจัง แต่จะให้เชื่อมันยากนะ

"โคตรเซอร์ไพร์ส ปกติป๋าฟาร์มมีแต่หญิงเข้าหาไม่ใช่เหรอ"

"คนนี้กูชอบเขาก่อนเว้ย ต้องจีบ"
ไอ้ฟาร์มทำหน้าเพ้อฝันจนพวกผมที่เหลือหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กคล้ายกับได้ยินว่ามันกำลังจะทดลองกินผักที่เกลียดแสนเกลียด เอาจริงดิ รู้จักคำว่าชอบคนอื่นแล้วเหรอ มีความรู้สึก มีหัวใจงอกขึ้นมาแล้วจริงดิ

"จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณฟาร์ม"
ถึงขนาดไอ้ตังค์ต้องเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย เรื่องนี้ไม่ธรรมดา และคนๆ นั้นต้องโคตรน่ารักแน่ๆ

"เออ จะเลิกเป็นป๋าฟาร์มเลี้ยงอีหนูละ"
ไอ้ฟาร์มคนเก่าหายไปไหนเอาคืนพวกกูมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย มันบอกว่าจะเลิกเปย์สาวๆ เนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้สุดๆ ผมกับไอ้ไธนี่ถึงกับเบ้ปากใส่กันเลย ส่วนไอ้ตังค์จัดการเอาคิ้วผูกโบว์เรียบร้อยแล้ว

"ใครวะ ทำให้มึงดูเป็นคนดีขนาดนี้"
คราวนี้ไอ้ไธเป็นคนถามขึ้นมาบ้าง มันใช้ดินสอเคาะลงบนสมุดเพื่อรอคำตอบ อยากบอกว่าเสียงดังน่ารำคาญมาก แก๊กๆ ตลอด

"แต่ก่อนกูดูเลวมากเหรอ"
ไอ้ฟาร์มถามด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ใบหน้าดูสลดลงมากคล้ายกับตัดพ้อ

"เปล่าๆ แค่สำส่อนเฉยๆ"
ไอ้ไธตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแค่ความหมายทำลายล้างสูงจนคนฟังถึงกับสะอึกหน้าบูดหน้าเบี้ยวไปหมด

"โอ้ยแรง!"
ไอ้ฟาร์มคร่ำครวญแล้วเบะปากลงคล้ายจะร้องไห้ ไอ้นี่ก็ตอแหลที่หนึ่งตลอด

"ทำมาเป็นกระแดะ บอกได้ยังว่าใคร"
ผมถามออกไปตรงๆ แล้วจ้องเขม็งเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครอยากรู้เลยว่ามันควงสาวคนไหนบ้าง แต่กับคนที่มันจะจีบนี่โคตรน่าสนใจ

"เขาเรียนปีสองอะ"
น้ำเสียงโคตรแอ๊บแบ๊ว ใบหน้ามีความเขินอาย แก้มแดง หูแดง อย่างกับสาวน้อยแรกแย้มริอาจมีความรัก น่าหมั่นไส้สุดๆ

"แล้วไงต่อ"

"ชื่อฟา"

"อืม..."

"คุ้นๆ ปะไอ้ไธ"
แล้วมันก็หันไปถามไอ้เดือนคณะที่ขมวดคิ้วรออยู่แล้ว

"ฟา... กูรู้จักอยู่คนเดียวนะ แต่เป็นผู้ชาย"
มันทวนชื่อก่อนจะบอกออกมาแบบนั้น ฟาปีสองเรียนคณะแพทย์... อย่าถามผมนะ ชีวิตนี้รู้จักแต่หมอทาวน์คนเดียวอะ

"อือ... เป็นผู้ชาย"
เดี๋ยวนะ หูฝาดหรือเปล่าวะ!

"เฮ้ย! เปลี่ยนรสนิยมเหรอเหรอครับ"
เสียงอุทานของไอ้ตังค์ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าผมไม่ได้หูฝาด กอปรกับใบหน้าตื่นตะลึงของไอ้ไธด้วยแล้ว ไม่ผิดแน่ๆ ไอ้ฟาร์มชอบผู้ชาย!

"ถูกใจใช่เลยนี่หว่า ทำไงได้"
มันพูดเสียงงุ้งงิ้งแล้วทำท่าทางเขินอาย สภาพแบบนี้มึงจะไปรุกหรือไปรับให้เขาวะ เดาไม่ออกจริงๆ ไอ้ห่า แต่ขนาดตัวไม่ควรจะนอนอ้าขาให้ใครนะ ขนลุก

"โอ้โห เจ๋งจริงๆ"
ไอ้ตังค์พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมแล้วยกนิ้วโป้งให้ สรุปว่ามึงสนับสนุนให้เพื่อนเป็นเกย์ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นโอตาคุชอบสาวๆ 2D เนี่ยนะ ทำไมมึงมีความย้อนแย้งในตัวสูงจังเฮ้ย กูเริ่มคิดหนักแล้วว่าที่ผ่านมารู้จักมึงจริงๆ หรือเปล่า

"เดี๋ยว... อย่าบอกนะว่าเป็นพี่ฟาเพื่อนพี่ทาวน์น่ะ"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงหวาดๆ แต่ผมถึงกับกันขวับไปมองหน้ามันด้วยความตื่นเต้น อะไรเกี่ยวกับหมอทาวน์จะหูผึ่งตลอด

"ถูกต้องนะครับ!"
ไอ้ฟาร์มตอบเสียงดังฟังชัดด้วยใบหน้าสดใส ผมถึงกับใจเต้นแรงขึ้นมาทันที เพื่อนหมอทาวน์ ตารางเรียนเด็กแพทย์ อะไรมันจะเป็นใจขนาดนี้ โอย ไอ้เจ็ทอยากจะแหกปากตะโกนระบายความอัดอั้นเหลือเกิน โลกกลม พรหมลิขิต!

"ขอให้มึงโชคดีนะฟาร์ม พี่ฟานี่โคตรของโคตรขี้เหวี่ยง"
ไอ้ไธทำหน้าแหยงๆ เมื่อพูดถึงพี่ฟา แต่ไอ้คนที่ตั้งหน้าตั้งตาจีบคนอื่นกลับยิ้มหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน

"กูชอบ เดี๋ยวสยบเอง"
มั่นหน้า มั่นใจเหลือเกินเว้ย พี่เขาจะชอบผู้ชายหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แถมขี้เหวี่ยงแบบนั้นมีหวังเจอตีนก่อนไหมล่ะ... ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

"จะคอยดู"
ไอ้ไธทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงท้าทายก่อนจะกลับไปสนใจวาดรูปต่อ แต่สิ่งที่ผมทำคือลุกจากที่นั่งตัวเองแล้วไปหย่อนตัวเบียดไอ้ฟาร์ม มันมองมาด้วยสายตาระแวงแต่ก็ยอมขยับที่ให้

"ฟาร์ม... ขอหน่อย"
ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่ตรงเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว ไอ้ฟาร์มถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะเอียงคอมองด้วยความสงสัย อย่ามาทำหน้าหมางงตอนนี้สิเพื่อน

"ขออะไรของมึงไอ้เจ๊ก"

"ตารางเรียนนั่น"
ผมชี้ไปที่ตารางเรียนด้วยแววตาเป็นแระกาย ไอ้ฟาร์มเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะมองสลับไปมาระหว่างเพื่อนกับกระดาษแผ่นนั้น

ไอ้ไธที่คงได้ยินบทสนทนาผงกหัวขึ้นมามองกันด้วยใบหน้าสงสัยและคาดคั้นผมจะเอาคำตอบ แต่อย่าหวังเลย ยังไม่พร้อมเปิดเผยจุดประสงค์ให้เพื่อนตกใจกันตอนนี้หรอก กลัวมันจะเอาไปด่าสิบชาติก็ไม่ยอมจบ

"จะเอาไปทำไม"

"เหอะน่า ถ่ายเอกสารให้หน่อย"
ผมเกาะแขนมันแล้วเขย่าเบาๆ คล้ายเด็กกำลังอ้อนแม่ให้ซื้อของเล่น อยากได้อะ

"จะจีบเด็กแพทย์เหมือนกูเหรอ"
ไอ้ฟาร์มถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น ดวงตามีแววล้อเลียนอย่างเห็นได้ชัด ถ้ามันสังเกตกันสักนิดว่าทำไมผมต้องขอตารางเรียนพี่ฟา คงจะเข้าใจได้ทันที ยิ่งเป็นไอ้ไธด้วยแล้วคงคิดออกว่าช่วงนี้ผมเพ้ออะไรอยู่...

"ยังเว้ย แค่เตรียมตัวไว้ก่อน มีโอกาสเมื่อไหร่กูจะเสียบทันที"
เพราะยังทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ เอาตารางเรียนมานอนดูไปก่อนคงไม่เสียหาย

"อู้ว ~ เออๆ เดี๋ยวจัดการให้"
สุดท้ายไอ้ฟาร์มก็น้ำใจงามยอมทำตามคำขอ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนคือให้ซื้อช็อกโกแลตมาเซ่นด้วย สำหรับผมไม่มีปัญหาแค่ไมโลบาร์คงได้...





ต่อด้านล่างน้า


หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 4 (03/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 03-07-2017 19:54:29
หลังจากจบการเรียนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐานก็แทบเป็นซากศพเพราะโดนทำควิซไปร้อยข้อจนตาลาย แถมอาจารย์ปล่อยเลทจวนจะห้าโมงครึ่งอยู่แล้ว เย็นย่ำขนาดนี้คนที่ห้องตายไปหรือยังวะ ไม่เห็นติดต่ออะไรมาเลย สงสัยต้องรีบกลับไปดูใจกันหน่อย

"มึงจะจีบใคร"
ออกจากห้องเรียนปุ๊ปก็โดนไอ้ไธยิงคำถามใส่ปั๊ปแบบไม่ตั้งตัว มันทำให้ผมที่กำลังพิมพ์ข้อความถามไถ่ชีวิตจิณณ์ถึงกับสะดุ้ง ใครจะจีบใคร ไม่มีเว้ย

"ห๊ะ จีบอะไร ไม่มี"
ผมตอบกลับไปแล้วก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความต่อ ไม่ได้สนใจว่าไอ้ไธจะทำหน้าแบบไหน ตอนนี้รู้อย่างเดียวคือโรคสกินชิพของมันกำเริบอีกแล้ว กอดคอกันอยู่ได้ เฮ้อ

Phakin : ตายไปหรือยังมึง 
ผมกดส่งข้อความไปด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้งแล้วรอจิณณ์ตอบกลับมา มันคงตื้นตันที่น้องชายถามไถ่ด้วยถ้อยคำอ่อนโยน... กับผีน่ะสิ!

"ก็เรื่องตารางเรียนนั่น"
ไอ้ไธขยายความต่อ คงคิดว่าผมไม่เข้าใจคำถามของมัน 

"อ๋อ ยังหรอก สถานการณ์ตอนนี้กูจีบเขาไม่ได้"
ผมตอบกลับไปด้วยความสัตย์จริง เพราะไม่คิดจะเป็นมือที่สามของใคร ถึงจะทำแล้วได้เขามาครอบครองมันก็ไม่ภูมิใจหรอก แถมยังโดนด่าตีหน้าว่าเลวอีก

Phokin : รักกูจังนะไอ้น้องเหี้ย ทำไมยังไม่กลับอีก กูหิวแล้ว แซนวิชมึงทำให้มดแดกเหรอ น้อยสัด
จิณณ์ส่งข้อความกลับมายาวยืด อ่านแล้วแทบอยากพุ่งทะลุจอไปต่อยปากหมาๆ ของมัน แต่ไม่ทำดีกว่า เพราะถ้าต่อล้อต่อเถียงได้แบบนี้คงคิดอะไรได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงโดนพี่แจมเทศน์ พอพูดถึงเรื่องแซนวิชก็คิดขึ้นมาได้... น้อยเหี้ยอะไรล่ะ กูทำไว้ห้าคู่นะไอ้สัด ไข่ห้าฟอง ขนมปังสิบแผ่น ไหนจะนมจืดเป็นแกลลอน มึงยังจะบ่นอีก!

Phakin : มดอะเมซอนมั้งไอ้สัด แดกเยอะขนาดนั้น!
Phakin : เพิ่งเลิกเรียนเว้ย อาจารย์ปล่อยเลท อยากแดกอะไรก็บอกมาเดี๋ยวซื้อเข้าไปให้

"ทำไมวะ"
ไอ้ไธถามต่อ เกือบลืมไปแล้วว่าเดินอยู่ข้างๆ มัน เถียงกับจิณณ์เพลินไปหน่อย

"เขามีแฟนน่ะ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน ตอนนี้ก็แค่ชอบ ยังไม่ได้ถลำลึกเลยไม่รู้สึกเจ็บอะไร ต่างจากไอ้ไธที่รู้สึกต่อจิณณ์ลิบลับ

"เฮ้ย ชอบคนมีแฟนเหรอมึง"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงตะลึง ผมเหลือบมองมันก่อนจะไหวไหล่ไม่แคร์ ความชอบห้ามกันไม่ได้ กรณีเดียวกันกับมึงนั่นล่ะครับคุณเพื่อน

"เออดิ"

"ชาติไหนมึงจะได้จีบเขาวะ"
มันถามก่อนจะผละแขนที่กอดคอกันออก ผมได้แต่เหล่สายตามองมันด้วยความเซ็ง ป๊อดอย่างมีงมีสิทธิ์ใช้คำถามแบบนี้กับคนอื่นด้วยเหรอหืม ไอ้จิณณ์โสดมาจะคบเดือนยังไม่กล้าจีบอีก

"ไม่รู้ กูก็รอไปเรื่อยๆ นี่ล่ะ เลิกกันเมื่อไหร่กูจะรีบไปดามใจ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ เพราะไม่รีบร้อนกับเรื่องความรัก เขาเลิกกันเมื่อไหร่ค่อยเสียบยังไม่สาย แต่ไม่ปล่อยให้เขาโสดนานแน่ๆ กลัวหมาคาบไปแดกซะก่อน

"แหม... ที่จริงเป็นแผนของมึงนี่เอง จะให้กูเอาไปใช้กับจิณณ์"
น้ำเสียงเหน็บแนมดังขึ้นพร้อมกับแรงผลักหัวกันเบาๆ ผมหันไปมองมันตาเขียว ชอบประทุษร้ายกันจังวะคนกำลังอ่านข้อความพี่ชายเนี่ย ไอ้ห่านี่ก็สั่งอะไรเยอะแยะ จะเอาไปถมที่หรือไง

Phokin : ไส้กรอก ซาลาเปา นมจืด ชาเขียว น้ำเต้าหู้ คะน้าหมูกรอบ ต้มยำกุ้ง ไข่เจียว โตเกียว ไอติม โรตี เค้ก เหล้า โซดา ถั่วทอด เอ็นไก่ทอด แหนม เสือร้องไห้ ไก่ย่าง ส้มตำ พิซซ่า สปาเก็ตตี้ เลย์ ทาโร่... แค่นี้ล่ะ 
มึงยังมีหน้าลงท้ายว่าแค่นี้เนี่ยนะ ไอ้สัดหมาเอ้ย ไม่รู้จะสรรหาคำด่าอะไรดี โอ้ย ไม่น่าเลยกู

"อยากเห็นผลลัพธ์"
ผมบอกไอ้ไธไปแบบนั้นก่อนจะพิมพ์ข้อความด่าจิณณ์ต่อ นับถือตัวเองที่สามารถแยกประสาทได้ขนาดนี้

Phakin : สัด ไปซื้อเองเลยไป! 

"รอกูเตรียมตัวเตรียมใจก่อนนะมึง..."

"เออ กูเอาใจช่วย ว่าแต่เมื่อยขาว่ะ เดินไกลฉิบหาย"
ผมเริ่มบ่นเมื่อระยะทางที่เดินไกลเกินไป เมื่อเช้าเพราะรีบเลยไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้ขาแทบลาก อาจจะเพราะสะดุดขั้นบันไดลมเมื่อหลายวันก่อนด้วย 

"ก็มึงออกจากห้องสายเอง เลยต้องจอดรถที่ข้างสนามบาสฯ เนี่ย"
ลานจอดรถคณะตัวเองเต็มครับ เลยต้องพึ่งลานจอดรถส่วนรวมข้างสนามบาสฯ 

"กูอบรมสั่งสอนจิณณ์อยู่ไง"
ผมบอกเหตุผลอีกครั้งเพราะไม่อยากรับผิด ก็จิณณ์นั่นล่ะรั้งกันอยู่ได้ 

"จ้าๆ"

พวกเราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนผ่านสนามบาสฯ ผมหันไปมองด้านในก็เจอนักศึกษาสองสามคนกำลังยืนมองมาทางด้านนอก และไม่นานนักเสียงใสๆ ก็ร้องขึ้น

"อ้าวไธ เก็บลูกบาสฯ ให้พี่หน่อย"
คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มวิ่งมาจากขอบสนามอีกฝั่ง แล้วชี้มือไปทางลูกบาสฯ สีส้ม มันกำลังกลิ้งลุนๆ จะเข้าพุ่มต้นไม้ข้างสนาม

"อ้าวพี่ฟา เดี๋ยวผมเก็บให้"
ไอ้ไธร้องทักอีกคนไปอย่างสนิทสนมแล้วทำท่าจะเดินไปเก็บลูกบาสฯ ให้ แต่ผมกลับรั้งไหล่มันไว้ก่อนเพราะชื่อเมื่อครู่นั้น เพื่อนหมอทาวน์นี่หว่า ถ้าอย่างนั้นไอ้คนที่ยืนหันหลังก็เป็น...

"มึง เดี๋ยวกูเก็บเอง"
ผมบอกไอ้ไธที่หันมามองกัน มันลังเลนิดหน่อยแต่ก็พยักหน้ารับโดยง่ายดาย นี่ล่ะคือโอกาสทำความรู้จักกับหมอทาวน์ ไม่เอาลูกบาสฯ คืนให้พี่ฟาหรอกน่า เพราะมีแผนที่ดีกว่านั้น

"เออๆ"
มันตอบรับแล้วตบบ่าผมสองสามทีก่อนจะหันไปถามสารทุกข์สุขดิบของพี่ฟา เชื่อว่าไอ้ฟาร์มมีเปอร์เซ็นเข้าถึงคนๆ นี้ มากกว่าที่ผมจะเข้าถึงหมอทาวน์ เพราะไอ้ไธดูสนิทกับเขาดี อย่างที่คิดไว้ว่าคนที่โดนเพื่อนสนใจต้องน่ารัก แต่ความจริงคือน่ารักมาก ตัวเล็ก ขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม เหมือนทอมบอย...

"โยนเข้ามาเลยๆ"
พี่ฟาร้องบอกเมื่อเห็นผมได้ลูกบาสฯ มาไว้ในครอบครองแล้ว แต่การส่งถึงมือน่าจะดีกว่ามั้ง

"ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมเอาไปให้ดีกว่า"
ผมเงยหน้าขึ้นบอกแล้วคลี่ยิ้มจริงใจไปให้เขา เห็นพี่ฟายืนหอบหน้าแดงแล้วอยากถ่ายรูปไปฝากไอ้ฟาร์มชะมัด รายนั้นคงนั่งเพ้อทั้งวันแน่ๆ หึหึ

"ตามใจน้องเลยครับ จะมาเล่นด้วยกันก็ได้นะถ้าว่าง"
พี่ฟาตะโกนมาเพราะตัวเองยืนรออยู่กลางสนาม ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มเล็กน้อย

"ว่าไงไธ"
ผมหันไปถามไอ้ไธเพราะยังไงๆ ก็ต้องตัวติดกันอยู่แล้ววันนี้ ถึงใจจะตอบรับแทนเพื่อนไปแล้วก็เถอะ หมอทาวน์เดินไปหย่อนตัวนั่งพักที่พื้นข้างสนามแล้ว อยากเดินเข้าไปคุยด้วยจังเว้ย

"แล้วแต่ มึงจะได้ทำความรู้จักพี่ทาวน์ด้วย"
ไอ้ไธโอบไหล่กันก่อนที่เราตะเดินไปข้างหน้า อยากหันไปหอมแก้มมันสักฟอดใหญ่ๆ เพื่อขอบคุณความรู้ใจ คราวนี้ผมได้ทำความรู้จักกับหมอทาวน์แน่ๆ




----------------------------------------------

ใครอยากกระทืบ เอ้ย ดามใจจิณณ์บ้าง สมัครได้น้า เพราะไธชักช้าไม่ทันใจเลย 5555
ตอนหน้านี่ขอสปอยว่าเจ็ทกวนตีน...
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 4 (03/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Piima ที่ 03-07-2017 20:17:02
น่าติดตามจังค่ะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 5 (06/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 06-07-2017 08:33:28
(http://i.imgur.com/ymAOEkn.png)



ผมเดินผ่ากลางสนามบาสฯ ไปหาคนที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ร่มไม้ เขาเอาแต่ก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์พลางขมวดคิ้วเหมือนกำลังเครียดอะไรบางอย่างโดยไม่รู้เลยว่ามีคนเข้าไปใกล้ขนาดไหน หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อหมอทาวน์ขยับตัว

"นี่ครับ"
ผมส่งลูกบาสฯ ให้หมอทาวน์ที่กำลังลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาชะงักมองกันเล็กน้อยก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางพี่ฟา

"ให้มัน"

"ให้พี่ไม่ได้เหรอ"
ผมถามด้วยรอยยิ้มจริงใจ แต่หมอทาวน์ก็ยังทำหน้านิ่งแถมขมวดคิ้ว ส่วนพี่ฟากับไอ้ไธน่ะเหรอ คุยอะไรกันเฮฮาไม่สนใจทางนี้แล้ว เพื่อนเขาอีกคนก็เอาแต่นั่งกินขนมขบเคี้ยว ดูท่าทางเมามันเหลือเกิน

"จะไปซื้อน้ำ"

"งั้นผมไปด้วยคน"
ผมยังคงตื้อก่อนจะวางลูกบาสฯ ลงบนพื้น ไม่ว่ายังไงวันนี้จะทำความรู้จักกับหมอทาวน์ให้ได้ ถึงแม้จะเสี่ยงโดนถีบก็ตาม รู้สึกว่าเขาจะเริ่มคิ้วกระตุกแล้ว หงุดหงิดอะไรเนี่ย

"อะไร"
น้ำเสียงนิ่งๆ ถามกลับมา ดวงตารีเริ่มมีแววไม่สบอารมณ์ แต่อย่าหวังว่าผมจะถอยเลย เพราะยิ่งได้อยู่ใกล้ก็รู้ว่าเขาหน้าตาดีแค่ไหน น้ำเสียงเย็นชาแต่มันก็เป็นโทนที่น่าฟัง นี่คืออาการที่เรียกว่าหลงหรือเปล่า

"หิวน้ำขึ้นมาพอดีครับ"
ผมตอบเสียงนิ่งๆ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ไม่อยากให้เขามองเป็นตัวประหลาดที่ไม่น่าคบหา ตอนนี้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำแล้ว หมอทาวน์ตรงหน้าดีต่อใจเหลือเกิน

"บอกทำไม"
เขามองกันนิ่งก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น ไม่ใช่ท่าทางเขินอายแต่กำลังเก็บอารมณ์ต่างหาก นี่ผมกวนเขามากไปเหรอ แต่มันหยุดไม่ได้

"จะได้ไปด้วไง เดี๋ยวผมก็กลับมาเล่นบาสฯ กับพวกพี่"
ผมคลี่ยิ้มแล้วมองไปที่ลูกบาสฯ หมอทาวน์เลิกคิ้วขึ้นก่อนริมฝีปากจะยกคล้ายแสยะยิ้มแล้วหันไปขอคำยืนยันเรื่องที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่

"เออ กูชวนน้องมาเล่นเองล่ะทาวน์ ไอ้ไธที่เป็นเดือนถา'ปัตย์ไงกับเพื่อนมัน"
พี่ฟาตอบเร็วปรื๋อเหมือนกลัวว่าเพื่อนจะโมโหใส่ก่อนจะคลี่ยิ้มสดใสเผื่อแผ่มาทางผม อยากจะอวดไอ้ฟาร์มใส่จะขาดว่าคนที่มันชอบน่ารักแค่ไหน

"อ๋อ อืม"
หมอทาวน์พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปจากบริเวณนั้นโดยไม่บอกไม่กล่าวใคร ทำให้ผมต้องรีบตามทันที ก็บอกแล้วไงว่าจะไปด้วย ทำไมดื้อจังนะ

"เดี๋ยวดิพี่ ผมไปด้วย"
ผมถือวิสาสะใช้มือรั้งลาดไหล่กว้างจากทางด้านหลัง หมอทาวน์หยุดเดินก่อนจะเหลียวมามองด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์แต่ไม่ได้ปัดป้องอะไร เขาคงรักษามารยาทกับคนที่เจอกันครั้งแรกได้เป็นอย่างดี (ผมเชื่อว่าหมอทาวน์จำกันไม่ได้หรอกในตอนนั้น)

"ไม่ต้อง เดี๋ยวซื้อมาให้"
เขาพูดจบก็ทำท่าจะออกเดินอีกครั้ง แต่ด้วยความที่ผมไม่ยอมปล่อยมือจากไหล่เลยทำให้หมอทาวน์หันมาขมวดคิ้วใส่กันเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ แล้วดูเขาสิ ทำตัวมีน้ำใจแบบนั้นจะให้ผมไม่หลงยังไงไหว แทบกระโดดแหกปากแล้ว ฟินเว้ย

"ผมอยากไปด้วย"
ผมบอกย้ำความต้องการด้วยน้ำเสียงชัดเจน หมอทาวน์ถลึงตาใส่แล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะปัดมือออก ดูท่าทางความอดทนคงใกล้หมดเต็มที รักษามารยาทอะไรลืมซะเถอะ เขาน่าจะเข้าโหมดพร้อมฆ่าแล้ว

"มึงนี่... เซ้าซี้"
น้ำเสียงที่กดต่ำคล้ายกับกำลังดุทำให้ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแล้วหัวเราะแห้งๆ โดนหมอทาวน์โกรธแล้วแน่ๆ เพราะคำพ่อขุนรามฯ ก็มา แต่ฟังดูสนิทกันดีนะ ผมปลื้ม (โรคจิตชัดๆ)

"ผมชื่อเจ็ทครับ"
ผมบอกเขาเสียงเข้มพราะยังไม่ละความพยายามในการทำความรู้จัก หมอทาวน์ถึงกับชะงักเท้าที่เดินออกไปสองก้าวทันที ต้องหันมาด่าแน่ๆ เลยว่ะ กูต้องโดนเกลียดเหมือนที่จิณณ์รู้สึกกับไอ้ไธชัวร์เลย ก็มันหาวิธีเข้าใกล้ง่ายๆ ไม่ได้นี่หว่า โอกาสดีๆ แบบนี้จะมีสักกี่หนกันเชียว ต้องรีบคว้าไว้

"ใครถาม"
หมอทาวน์เริ่มกระแทกเสียง ถึงจะไม่เห็นหน้าก็รู้ว่าเขาหงุดหงิด ที่ยอมหยุดเดินแล้วคุยกันอาจจะสะดวกต่อการหันมาถีบก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ยอม ถ้าจะทำให้เขาจำเหตุการณ์นี้ได้อย่างแม่นยำ

"ผมอยากบอกอะ"
สาบานว่าไม่ได้กวนตีนจริงๆ แค่อยากให้เขารู้จักผม อยากให้เขาจำชื่อผม ถึงรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะ แต่ความรู้สึกมันห้ามกันยากจริงๆ

"ไม่อยากรู้"
หมอทาวน์ยืนยันเสียงหนักแน่น ถ้าลองฟังให้ดีๆ ท้ายคำจะมีเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

"ผมอยากรู้จักพี่นะครับ"
ผมยืนยันความต้องการเดิมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แล้วต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อหมอทาวน์หันมาจ้องเขม็งและเริ่มสาวเท้าเข้ามายืนตรงหน้า ตามองตาในสถานการณ์นี้ไม่ได้ทำให้ใจเต้นแรงเลย กลัวฉี่จะราดมากกว่า เหี้ยเอ้ย ทำไมเป็นคนน่ากลัวแบบนี้

"จะเอายังไง กูอารมณ์ไม่ดี"
หมอทาวน์คว้าคอเสื้อผมแล้วกระตุกเข้าไปใกล้จนปลายจมูกของเราแทบจะชนกัน ระยะห่างแค่นี้ทำให้ใจเต้นแรงแบบควบคุมไม่ได้ ถึงจะมีกลิ่นเหงื่อจากตัวเขาแต่รู้สึกว่ามันหอมละมุนแปลกๆ ใบหน้าขาวๆ เนียนละเอียดจนอยากจับมาหอมสักฟอด โอย ฟินฉิบหาย แต่ก็กลัวฉิบหายเช่นกัน

"ยะ ยินดีที่ได้รู้จักครับหมอทาวน์"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักเพราะคอเสื้อรั้ง รอยยิ้มที่พยายามทำให้มันดูไม่กวนตีนคลี่ออกน้อยๆ หมอทาวน์มองกันนิ่งก่อนจะยอมปล่อยมือออกแล้วถอยห่าง

"กูเป็นนักศึกษาแพทย์"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ก็พอรู้มาบ้างว่าปกติแล้วไม่ค่อยมีใครเรียกนักศึกษาแพทย์ว่าหมอหรอก แต่ผมอยากเป็นคนพิเศษให้เขาจำแม่นๆ ไง

"เรียกเผื่อไว้ไงครับ อีกไม่กี่ปีพี่ก็ได้เป็นหมอแล้ว"

"ไปไกลๆ รำคาญ"
หมอทาวน์ถอนหายใจหนักๆ แล้วเดินหนีอย่างเร็ว แต่ผมยังไม่ยอมแพ้เลยตามไปติดๆ คราวนี้ไม่มีใครหยุดอยู่กับที่

"แต่ผมอยากอยู่ใกล้ๆ"

"อย่ามากวนตีนตอนนี้"
หมอทาวน์หันมาทำตาเขียวใส่กันก่อนจะออกแรงผลักไหล่ผม ดูเขาอารมณ์หงุดหงิดตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะโดนกวนตีนซะอีก คงมีเรื่องเครียดล่ะมั้ง ผมอยากจอโทษนะ แต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้ว

"ผมไม่ได้กวนนะ แค่อยากทำความรู้จักเอง"
หยุดกวนตีนเขาไม่ได้ว่ะ อยากตบปากตัวเองชะมัด โอย ทำยังไงดี ผมชอบเขา แต่เขากำลังจะเกลียดผม อยากร้องไห้

"แต่กูไม่อยากรู้จัก!"
หมอทาวน์เดินหนีไปแล้วหลังจากตะโกนลั่นด้วยท่าทางโมโห ผมได้แต่ยืนนิ่งเพราะไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี ได้แต่มองตาแผ่นหลังกว้างไปอย่างหงอยๆ คงโดนเกลียดแล้วจริงๆนั่นล่ะ แห้วลอยมาแต่ไกลเลยกู

สุดท้ายหมอทาวน์ก็กลับมาเล่นบาสฯ ด้วยท่าทางสงบลงเหมือนไม่เคยโมโหใส่กันก่อนแยกย้ายยังแนะนำวิธีรักษาแผลช้ำที่ผมเสียหลักวิ่งชนกับไอ้ไธให้อีกด้วย เออว่ะ คนเดี๋ยวนี้เป็นไบโพล่าเหรอไง เดาอารมณ์ไม่ถูกจริงๆ

กลับมาถึงห้องผมก็จัดการอาบน้ำกินข้าวแล้วมานอนแผ่ในห้องนอน แต่ก่อนหน้านั้นโดนจิณณ์บ่นซะยาวที่กลับคอนโดช้า หูชาเลยแม่ง เป็นห่วงยิ่งกว่าพ่อซะอีก ยอมใจเลยจริงๆ

โทรศัพท์เครื่องเก่งถูกหยิบมากดเล่นเพื่อเปิดดูรูปที่แอบถ่ายมาวันนี้ พยายามทำเนียนอยู่ตั้งนานกว่าจะได้มันมาไว้ในครอบครอง และได้รู้อะไรเพิ่มเติมมาจากการเล่นบาสฯ ด้วยกันคือ หมอทาวน์เป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอล ส่วนเพื่อนอีกคนของเขาชื่อแฮม ซึ่งรักการกินเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่อ้วน

ผมกดเข้าแอพพลิเคชั่นเพื่อที่จะอัพรูปที่ถ่ายมาวันนี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในนั้นประกอบไปด้วยนักศึกษาแพทย์สามคนกำลังยืนคุยกันเห็นใบหน้าด้านข้างชัดเจน และระบุได้ว่าใครเป็นใครและพิมพ์แคปชั่นกำกวมตบท้ายแล้วกดโพสต์

Phakin_Jet การเล่นบาสฯ ก็เป็นแค่ข้ออ้าง ของการคลุกวงใน

ผมปิดแอพพลิเคชั่นลงก่อนจะสลับไปตอบไลน์ของไอ้ตังค์เรื่องการบ้านภาษาอังกฤษแล้วกลับมาเปิดไอจีอีกครั้ง เพียงไม่กี่นาทีคนเข้ามาคอมเม้นท์เพียบ เป็นเพราะรูปอดีตเดือนด้วยล่ะมั้ง

Farmer_xx มึง นั่นพี่ฟา กรี๊ด ไปเจอตอนไหน ทำไมไม่บอกกู!!!!!!
Thamthai.t มึงจะคลุกวงในใคร? หึหึ
Phokin_Jinn กูเฮิร์ท ฮึก ~
Hn.Satang ไปเล่นบาสฯ มาหรือครับคุณเจ็ท สนุกไหม
Ploysai_cute ว้าย ~ น้องเจ็ทอยากคลุกวงในนศพ.คนไหนคะเนี่ย >< #ทีมถาปัตย์หมอ #ทีมหมอถาปัตย์
RU.Sexyboys อุ้ย น้องเจ็ทกำลังจะล่มเรือผีแล้วเหรอ #เจ็ทไธ #เจ็ทจิณณ์
Jammy.D What??? Tell me now Mr.Phakin!

เดี๋ยวสิ ไม่มีใครตกใจเลยเหรอว่าคนในรูปเป็นผู้ชาย แล้วแคปชั่นส่อแปลกๆ มีแต่ถามไถ่และแซวอย่างเป็นธรรมชาติ โคตรแปลกแต่ก็รู้สึกดีจนเผลออมยิ้ม แต่เดี๋ยวนะ ไอ้คอมเม้นท์ล่าสุดนั่น... โอ้ย เอามีดมาเชือดกูเถอะพี่แจม ผมต้องตายแน่ๆ ถ้าเกิดโดนเธอคาดคั้น!

ผ่านมาหนึ่งคืน สถานการณ์ทุกอย่างปกติจนน่ากลัวว่าจะมีคลื่นใต้น้ำระลอกใหญ่ ผมไม่เคยวางใจเลยสักครั้งเมื่อพี่สาวที่อยู่ห่างไกลต้องการรู้เรื่องที่ตัวเองอยากรู้ เธอไม่มีทางปล่อยผ่านๆ ไม่เกินอาทิตย์นี้คงได้คุยกันชัวร์ เอาหัวเป็นประกัน

ตอนนี้ผมกำลังรื้อตู้เย็นเพื่อหาของสดมาทำอาหารมื้อเช้าควบเที่ยง มีไข่ไก่ นมสด ไส้กรอก และแฮมเหลืออยู่ ทำให้เมนูวันนี้กลายเป็น 'ข้าวไข่ข้น' ถ้าจืดเกินไปแนะนำให้หั่นพริกใส่ด้วย

อย่าตกใจที่ผมลุกมาทำอาหารเอง ทั้งๆ ทีเคยเกือบทำครัวไหม้ ก็ตั้งแต่จิณณ์เข้าสภาวะอกหักมันก็ไม่ทำห่าอะไรเลยสักอย่าง คนอย่างนายภาคินเลยต้องลุกมาพยายามด้วยตัวเองจนสามารถทำข้าวไข่ข้นแดกเองได้ แถมอร่อยด้วย นี่ไม่ได้โฆษณาเลยจริงๆ

"จิณณ์เว้ย ลุกขึ้นมาหุงข้าว อย่ามัวแต่นั่งเป็นคนอกหักเดี๋ยวจะอดแดก"
ผมตะโกนเรียกฝาแฝดที่เอาแต่นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา หูแว่วได้ยินเสียงเพลงเศร้าจากรายการทีวีแล้วได้แต่เบ้ปาก ไม่เข้าใจว่ามันจะเปิดบิ้วอารมณ์ตัวเองทำไม ถึงสภาพจะดูดีกว่าเมื่อวานแต่ไม่ได้ใกล้เคียงสภาพคนเลย ยังเหมือนซากศพจนคนพบเห็นละเหี่ยใจ

"ก็อกหักไง"
มันเดินโซเซตรงเข้ามาคว้าหม้อไปใส่ข้าวสารสองกระป๋องก่อนจะถือมันไปล้างน้ำด้วยท่าทางใกล้ตาย นี่ถ้ามันทำหลุดมือผมจะด่าให้

"เลิกทำตัวแบบนี้สักที เห็นแล้วเหนื่อย"
ผมบอกก่อนจะปาเปลือกไข่ใส่ จิณณ์หันมาทำตาขวางทำท่าจะหยิบข้าวสารออกมาปาบ้าง แต่โดนผมยกมือชี้หน้าซะก่อนมันเลยยั้งมือแล้วทำเสียงฟึดฟัดใส่

"ไม่ได้อยากทำ มันเป็นเอง ไม่เข้าใจคนอกหักเหรอวะ"
มันพูดด้วยใบหน้าเหมือนจะร้องไห้ มือก็ซาวข้าวไปเรื่อย ดูไปดูมาก็ตลกดีแต่ขำไม่ออก เป็นห่วงจิณณ์มากกว่า กลัวจะซึมเศร้า

"กูเข้าใจคนอกหัก แต่ไม่เข้าใจมึง"
ผมตอบอย่างไม่แยแสแล้วเทนมจืดลงในชามผสมก่อนจะใส่น้ำมันหอยและซอสปรุงรสตาม ดวงตาคมเหลือบเห็นจิณณ์บ่นขมุบขมิบแต่เพราะเราอยู่ใกล้กันเลยได้ยินอย่างชัดเจน

"น้องเลว"

"ด่าเหรอ เดี๋ยวกูให้แดกข้าวคลุกน้ำปลา"
ผมชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปหยิบแส้ตีไข่แล้วมองมันด้วยสายตาดุๆ ยังมีหน้ามาด่าคนอื่นแล้วโดยไม่มองสภาพตัวเองว่าแย่แค่ไหน ปล่อยให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่ได้ ยิ่งไอ้ไธนะ ไลน์มาถามแทบทุกชั่วโมงว่าจิณณ์เป็นยังไงบ้าง อยากจะบอกมันว่าขึ้นมาดูแลเองไหม กูเบื่อพี่ชายตัวเองแล้ว

"กูจะฟ้องพี่แจมว่ามึงใจร้าย"
ยกพี่สาวบังเกิดเกล้ามาขู่โดยที่ทำหน้าตาอย่างกับคนถือไพ่เหนือกว่า หน้าเชิดๆ ปากจู๋ๆ โอย น่ารักตายห่าล่ะมึง อยากถีบให้เอวหักสักที หมั่นไส้

"เชิญตามสบาย ถ้ามึงไม่กลัวพี่แจมจะด่าเรื่องมึงทำตัวเป็นซากศพ"
ผมไหวไหล่แล้วใช้แส้ตีส่วนผสมไข่ข้นให้เข้ากัน ไม่กลัวคำขู่นั้นสักนิดเดียว เพราะพี่แจมไม่ชอบคนที่ทำตัวจมปรักกับความรัก เกิดเรื่องทำนองนี้ทีไร รายนั้นสวดยาวจนคนฟังจะหลับ หูชาไปหลายชั่วโมง

"ฮึก อะไรๆ กูก็แพ้ เมื่อไหร่จะชนะใครเขาสักที"
จิณณ์ทำเสียงสะอึกสะอื้น ดวงตาแดงก่ำจนผมต้องหยุดมือที่เริ่มหยิบถุงใส่กรอกขึ้นมาตัดปาก ไม่ต้องกินแล้วไหมข้าวเนี่ย ไล่ไปนอนแดกน้ำตาซะให้เข็ด

"ฮึบเลยนะ ไม่ต้องมายืนเบะปากเหมือนเด็ก มันน่าเกลียด"
ผมด่ามันแล้วถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเทไส้กรอกลงบนเขียงแล้วเริ่มหั่นเป็นชิ้นบางๆ พอดีคำ หูได้ยินเสียงกระแทกหม้อลงกับเค้าน์เตอร์จนต้องช้อนสายตามองด้วยความสงสัย จิณณ์เป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย เริ่มชักทนไม่ไหวแล้วนะ เดี๋ยวกูหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนห้องไอไธซะนี่

"กูไม่หุงข้าวแล้ว!"
มันตะโกนลั่น ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำอย่างกับโกรธผมมาเป็นร้อยชาติ ถ้าจิณณ์ไม่ยอมทำหน้าที่ตัวเอง อย่างนั้นผมก็ขอไม่ทำด้วยเหมือนกันจะได้แฟร์ๆ

"งั้นกูก็ไม่ทำแม่งแล้วไอ้ไข่ข้นเนี่ย"
ผมโยนมีดทิ้งแล้วใช้มือทั้งสองข้างเท้ากับเค้าน์เตอร์แล้วมองท่าทางตกใจของจิณณ์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งๆ ที่อยากหัวเราะก๊ากดังๆ เพราะหน้ามันโคตรเหวอ สงสัยผวาที่ของมีคมร่อนไปเกือบปักท้องตัวเอง

"อะ... ขะ ไข่ข้นเหรอ ทำสิๆ"
เมื่อมันเรียกสติตัวเองคืนกลับมาได้สำเร็จก็รีบหยิบมีดคืนให้ผมด้วยท่าทางยินดีสุดๆ ก็ไข่ข้นน่ะ เมนูโปรดของมัน ถ้าเมื่อไหร่ได้กินจะอารมณ์ดีทันที แต่หลังจากหมดจานก็กลับมาหงอยเหมือนเดิมล่ะนะ มนุษย์หนอมนุษย์

"ผีออกเลยนะมึง"
ผมเหน็บมันไปด้วยความหมั่นไส้แล้วยอมนับมีดมาหั่นไส้กรอกและแฮมต่อ หางตาเหลือบเห็นมันเดินอุ้มหม้อไปจัดการต่อจนเรียบร้อย สุดท้ายดราม่าก็แพ้ของกิน จริงๆ เลย ไอ้ฝาแฝดไบโพล่า

"อิอิ เดี๋ยวไปนั่งรอที่โซฟาน้า"
มันบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง ใบหน้าโทรมๆ เปื้อนยิ้มเล็กน้อย

"เออ เปลี่ยนช่องทีวีด้วย"
ผมตอบรับโดยไม่เงยหน้าแล้วบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการแถมท้ายไปด้วย เพราะรายการนี้เปิดแต่เพลงเศร้า คร้านจะเห็นพี่ชายนั่งเหม่อเป็นพระเอกเอ็มวี

"ทำไมวะ"

"รำคาญมึงดราม่า"

"ฮึก..."
พอพูดคำสะเทือนใจใส่นิดหน่อยก็เบอะปากจะร้องไห้ใส่ ผมเลยเอามีดชี้หน้ามันเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าคราวนี้รำคาญจริงๆ และถ้ายังไม่หยุดมีเรื่องแน่

"หยุด"
น้ำเสียงเย็นๆ ถูกส่งให้ฝาแฝดพร้อมด้วยสายตาหงุดหงิดเต็มขั้น

"ครับๆ จิณณ์ฮึบแล้ว"
จิณณ์ผงะถอยหลังก่อนจะก้มหน้างุดๆ แล้วพึมพำเสียงสั่น คล้ายกับเด็กน้อยๆ ตอนโดนดุ ก็ดูน่าสงสารดีแต่อย่างหวังว่าผมจะโอ๋

"เออ ไปนั่งรอไป"
ผมบอกทันก่อนจะลดวางมีดลงแล้วโกยแฮมกับไส้กรอกใส่ชามผสม มันพยักหน้าหงึกหงักรับคำแล้วเดินออหไปจากห้องครัว ไม่นานนักเสียงเพลงเศร้าๆ จากทีวี ก็กลายเป็นรายการสารคดีสัตว์โลกน่ารัก

หลังจากจัดการอาหารมื้อเช้าควบเที่ยงเสร็จผมก็หยิบเอาเกมมาเล่นโดยปล่อยจิณณ์ให้นั่งดูรายการทีวีไปเงียบๆ ดวงตาคมเหลือบมองคนข้างกายเป็นระยะว่ามีสีหน้าอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่พบคือเขาเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์เหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง

"รอใครโทรมาหรือไง"
ผมถามออกไปทั้งๆ ที่ตายังคงอยู่ที่จอสี่เหลี่ยมในมือ ไม่สามารถมองใครได้เพราะเกมกำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย แข่งรถกำลังจะชนะแล้วเว้ย หลังจากดริฟโค้งซ้ายโค้งขวามาเป็นเวลานาน

"หือ... เปล่านี่ ทำไมมึงถามแบบนั้น"
เสียงราบเรียบของจิณณ์ถามกลับมาในขณะที่ผมเข้าเส้นชัยเรียบร้อยแล้ว แม่ง เกมก็อยากเล่น เป็นห่วงท่าทางของพี่ชายอีก วุ่นวายจริงๆ เลยเว้ย

"ก็เห็นเอาแต่จ้องโทรศัพท์"
ผมมองมันสลับกับโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกระจกด้านหน้า จิณณ์เลิกคิ้วมองอย่างมึนๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ ดูมีลับลมคมในว่ะ

"ไม่มีอะไร"
มันย้ำอีกครั้งก่อนจะทำเป็นสนใจรายการทีวีซะเต็มประดา ผมมองจิณณ์อย่างประเมินสถานการณ์แล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ มีอะไรชอบปิดบัง จนกว่าปัญหาจะใหญ่โตค่อยมาปรึกษา เจริญเถอะครับคุณฝาแฝด

"เออๆ จะเชื่อก็ได้"
ผมพูดตัดปัญหาแล้วไถลตัวลงนอนบนตักมันเพื่อเล่นเกมต่อ จิณณ์ก้มลงมองเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งๆ ที่ปกติจะต้องเอ่ยแซวว่า 'ทำไมวันนี้มึงอ้อนจัง' หรือ 'น้องชายกูน่ารักเว้ย' วันนี้แปลกมาก แปลกเกินไปจริงๆ

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่ทุกอย่างเงียบสงบ จนเสียงโทรศัพท์ของจิณณ์ดังขึ้นผมเลยได้เวลาลุกจากตัก เพราะมันชอบหนีไปรับสายไกลๆ เป็นโรคมีความลับจริงๆ เลย แม่ง พี่น้องกันแท้ๆ

"กูไปรับโทรศัพท์แป๊ป ไอ้เอยโทรมา"
มันบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกไปตรงระเบียงห้อง ผมได้แต่มองตามแล้วเก็บเอามาคิดๆ ดู จิณณ์คงไม่อยากทำเสียงรบกวนคนอื่นเท่าไหร่ เลยหาที่เงียบๆ คุยมากกว่า เพราะไม่ว่าจะอยู่กับใคร เขาก็ทำแบบนี้จนติดเป็นนิสัยเสมอ

ผมกลับมานั่งจดจ่อเล่นเกมต่อเพราะไม่รู้จะเอาเวลาว่างๆ ของวันหยุดไปทำอะไร จะออกไปเที่ยวก็ขี้เกียจ แดดก็ร้อน ส่วนไอ้ไธนี่ไลน์มาบ่นใส่ตั้งแต่หกโมงเช้าว่าวันนี้พี่แทนลากไปพัทยาทั้งๆ ที่มันไม่ชอบทะเล กรรมของใครของมันนะเพื่อน

เสียงปิดประตูกระจกดังปังทำให้ผมสะดุ้งแล้วหยุดเล่นเกมทันที จิณณ์เดินกระทืบเท้ากลับมากระแทกตัวลงบนโซฟาด้วยอารมณ์หงุดหงิด หน้าตาบึ้งตึง ปากยื่นจนแทบติดปลายจมูก ไม่รู้โดนไอ้เอยทำอะไรมาอีก

"เป็นอะไร"
ผมถามก่อนจะตัดสินใจปิดเครื่องเกมลงเพราะตาเริ่มล้า จิณณ์หันมาทำท่าทางฮึดฮัดใส่กันจนต้องกลั้นหัวเราะ สภาพเหมือนเด็กโดนขัดใจเลยว่ะ

"ไอ้เอยอะดิ บอกให้ไปรับที่สยามหน่อย รถมันเสีย"
จิณณ์บอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะดังปึงโดยไม่สนใจว่ามันจะพังหรือเปล่า ผมสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าแค่เอยให้ไปรับที่สยามจะอารมณ์เสียขนาดนี้ แต่นั่นไอโฟนสีแดงรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นนะเว้ย ถนอมๆ มันบ้างสิครับคุณพี่ชาย

"แล้วไง มึงก็ไปรับเอยสิ"
ผมทำใจดีสู้เสือพูดแบบนั้นออกไปทั้งๆ ที่ตัวเองเนียนขยับออกห่างจากระยะแขนของจิณณ์เรียบร้อยแล้ว ถ้ามันเกิดอยากฟาดหรือต่อยจะได้ลุกวิ่งทัน แผนเด็ดไหมล่ะ

"ไกล ไม่อยากไป ร้อน รถติด ขี้เกียจ"
แต่ละคำเน้นเสียงกระแทกจนเห็นน้ำลายเป็นฝอยๆ จิณณ์ทิ้งตัวลงพิงโซฟาแรงๆ แล้วดิ้นไปมาเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ถ้าให้เดาก่อนหน้านี้คงมีอะไรบางอย่างทำให้อารมณ์เสียมาก่อนแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกอาการฟาดงวงฟาดงาขนาดนี้ เอยก็แม่งโทรมาขอช่วยจังหวะดีสุดๆ ซวยไปนะ

"อ้าว งั้นให้เอยขึ้นรถไฟฟ้ากลับเอง"
ผมเสนอทางออกให้กับทั้งสองฝ่าย จะได้ไม่ต้องมีใครลำบาก แต่จิณณ์กลับลุกพรวดขึ้นมาแล้วจ้องตาเขม็งมาทางนี้ให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ กูพูดอะไรผิด!

"มันขึ้นรถไฟฟ้าเป็นที่ไหนเล่า!"
อ๋อ... กูขอโทษ กูไม่รู้ กูผิดเอง แต่ไม่ยอมแพ้หรอกเว้ย หยิ่งในศักดิ์ศรี

"ถ้ารู้แบบนั้นมึงยังจะไม่ไปรับมันอีกหรือไง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้วเหลือบมองพี่ชายที่กำลังนั่งเบะปากอยูาไม่ไกล สีหน้าหวุดหงิดกลายเป็นงอแงตามลำดับ ถ้าแหกปากร้องจะถอดสลิปเปอร์ยัดปากจริงด้วย

"ก็กูไม่อยากไปอะ มึงไปรับแทนหน่อย"
จิณณ์ขยับมาชิดกับผมแล้วคว้าแขนไปก่อนไว้แน่นก่อนซบลงมาคล้ายกับกำลังอ้อนวอนกัน แต่อย่าหวังว่าจะยอมใจอ่อน ผมขับรถเป็นที่ไหน ให้เข็นไปหรือ

"พ่อง ให้กูขี่มอ'ไซต์ไปรับหรือไง"
ผมด่าก่อนจะใช้มือผลักหัวทุยๆ นั่นด้วยความหมั่นไส้ ทั้งๆ ที่เอยรออยู่มันยังพิรี้พิไรอยู่ได้ ทางก็ไกล รถก็ติด

"....."
จิณณ์เงียบไม่ยอมโต้ตอบ นั่นหมายความว่ากำลังดื้อสุดๆ ถ้าผมตอบรับมันก็ตกลงทันที ใจไม้ไส้ระกำกับน้องก็ไอ้นี่ล่ะ ไม่ห่วงว่าแดดจะเผากันตายบ้างหรือไง

"หรือจะให้ขึ้นรถเมล์ไปรับ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดแล้วสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม จิณณ์ถึงกับผงะถอยออกไปแล้วส่งสายตาหงอยๆ มาให้ คิดว่าน่าสงสารตายล่ะ น่ากระทืบมากกว่าร้อยเท่า

"งะ..."

"ตกลงจะเอายังไง"

"ฮือ ไปเองก็ได้ แต่มึงต้องไปด้วย"
สุดท้ายมันก็ยอมไปรับเอยสักที แต่ดันมีข้อแม้ เอาเถอะ ครั้งนี้ผมคงขัดใจไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนที่รอจะตายเอาซะก่อน

"เออๆ แค่นี้ก็จบเรื่องใช่ไหม"

"จ้า ~"




ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 5 (06/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 06-07-2017 08:33:54
กว่าจะฝ่ารถติดมาถึงสยามก็ใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมง ปรากฏว่าเอยชวนกินข้าวเที่ยงที่บอนชอนพวกเราเลยยอมลงจากรถ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตกลงกันว่าแค่จะมารับแล้วกลับเลย นี่ล่ะอานุภาพของฟรี ความแน่นอนอะไรๆ ก็เปลี่ยนได้

"จิณณ์ เบาๆ หน่อยมึง ซอสกระเด็นติดผมแล้วแม่ง"
ไอ้เอยส่งเสียงเตือนก่อนจะทำหน้าแหย่ๆ เมื่อเห็นจินแทะปีกบนอย่างเมามัน มือข้างหนึ่งเลอะซอสไปหมด แถมข้างปากก็เปื้อนจนเดือดร้อนผมที่นั่งข้างๆ ต้องเช็ดให้ ทนดูไม่ไหวจริงๆ

"อย่อย"
เสียงพูดไม่ชัดดังขึ้นทำให้พวกผมที่เหลือชะงักการกระทำแล้วหลุดหัวเราะก๊ากออกมาแบบไม่เกรงใจชาวบ้าน สุดท้ายเลยต้องก้มหัวขอโทษขอโพยเขาเป็นการใหญ่ที่เผลอเสียงดัง เพราะจิณณ์คนเดียวเลยแม่ง

"ตายอดตายอยากมาจากไหน มึงไม่ทำกับข้าวให้มันกินเหรอเจ็ท"
ประโยคแรกเหมือนจะพูดลอยๆ แต่ประโยคหลังไอ้เอยหันมาถามทางนี้พลางขมวดคิ้วยุ่ง ผมรีบดื่มน้ำแล้วส่ายหน้าปฏิเสธทันที ก่อนมาจิณณ์กินข้าวไข่ข้นไปตั้งสองจาน แล้วอีกอย่างลามมาแย่งของนายภาคินคนนี้อีกด้วย

"มันแดกข้าวไข่ข้นมาตั้งสองจานแล้วมึง สงสัยแดกคลายเครียดมั้ง"
ผมบอกไปตามที่คิดแล้วเหลือบมองคนข้างๆ ที่ไม่ได้ร่วมวงสนทนาด้วย ไอ้เอยนิ่งอยู่สักพักเหมือนกำลังคิดอะไรก่อนจะไหวไหล่ คงขี้เกียจเดาหรือไม่ก็เห็นเป็นเรื่องไร้สาระรกสมอง

"ช่างแม่งเหอะ ชอบทำตัวมีลับลมคมใน ถ้าวันไหนจะถูกยิงตายขึ้นมาไม่ต้องขอร้องให้ใครช่วยมึงนะจิณณ์"
ไอ้เอยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ความหมายมันช่างร้ายกาจจนจิณณ์ถึงกับทำกระดูกไก่ในมือร่วง ถ้าสภาพจิตใจมันปกติจะกวนตีนกลับ แต่ตอนนี้น่ะเหรอ ทำได้แค่เบะปากจะร้องไห้ใส่เท่านั้น

"ทำไมมึงกับเจ็ทต้องใจร้ายแบบนี้ด้วย กูแค่เครียดนิดเดียว เดี๋ยวก็หายเองล่ะน่า"
มันหันมาแจกค้อนให้ผมกับเอยแบบเต็มๆ คำพูดที่ดูเหมือนคนไม่คิดมากนั่นแท้จริงแล้วโกหกทั้งเพ ใครๆ ก็รู้ว่าจิณณ์จัดการอารมณ์ตัวเองได้แย่แค่ไหน แย่จนบางครั้งไม่สามารถปล่อยให้อยู่คนเดียวได้

"กูก็เพื่อนสนิทมึงตั้งแต่ประถม ไอ้เจ็ทก็ฝาแฝด ยังจะมีอะไรไว้ใจไม่ได้อีกหรือไง มีปัญหาแทนที่จะรีบบอก แต่นี่เก็บไว้จนเรื่องราวใหญ่โตแล้วค่อยมาปรึกษา ใครมันจะช่วยมึงได้ครับจิณณ์"
น้ำเสียงและท่าทางของเอยจริงจังจนผมยังต้องหยุดกินแล้วร่วมฟังพร้อมๆ อีกคนที่เอาแต่จิ้มต๊อกโปกี้เข้าปาก ท่าทางแบบนั้นคงอยากทำเป็นไม่สนใจแต่ความจริงแล้วรับรู้ทุกอย่าง

"....."

"เก็บคำพูดกูเอาไปคิดบ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่สนใจคนที่เขาไม่ได้รักมึง"
ท้ายประโยคทำให้จิณณ์หยุดชะงักการกระทำทั้งหมดเหมือนมีใครมากดปิดสวิตซ์ มือที่ถือตะเกียบเริ่มสั่นจนมันต้องวางตะเกียบลงในที่สุด ท่าทางไม่ดีแล้วสิ อีกไม่นานคงมีการปล่อยระเบิดเกิดขึ้นแน่ๆ

"....."
จิณณ์เม้มปากเข้าหากันแน่น หมัดก็กำจนนิ้วขึ้นข้อขาว ผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้สถานการณ์ตึงเครียดนี่

"ไอ้เอย... พอเหอะ มันซึ้งจนแดกอะไรไม่ลงแล้ว ถ้ามึงพูดต่ออีกนิดจิณณ์คงแหกปากร้องไห้กลางร้าน กูอายคน"
ผมพูดหวังจะให้ตลกแต่กลับได้สายตาดุๆ ของจิณณ์กลับมา ส่วนไอ้เอยเอาแต่พยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดเสริมอย่างออกรสเมื่อเหลียวไปมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ปากคว่ำเหลือเกิน

"เออว่ะ แค่นี้ก็อายสัดๆ ละ หน้าอย่างเข้ม มานั่งเบะปากอย่างกับเด็กอุบาล เนี่ยนะเดือนคณะวิศวะ ดูไม่ได้เลยว่ะ"
มันแกล้งบ่นก่อนจะถอนหายใจแสดงความเหนื่อยหน่าย ผมกะว่าจังหวะนี้คงได้คว้าตัวจิณณ์เอาไว้แน่ๆ แต่ผิดคาดตรงที่มันก้มหน้าจนคางแทบชิดอกแล้วพูดเสียงอู้อี้

"ฮึก รุมกู ไม่รักกู กูจะ..."

"ฮึบ ถ้าแหกปากหรือบีบน้ำตากูจะยึดมือถือมึงแน่ๆ ทำผิดไว้หลายอย่างนะจิณณ์ คิดจะหือเหรอ"
ผมพูดแทรกขึ้นทันทีเมื่อเห็นสายตาของคนอื่นที่มองมา ถึงเจ้าตัวจะไม่อายแต่พวกผมที่ยังมีสติครบถ้วนไม่ได้เมากระดูกไก่เหมือนมันโคตรจะอาย งอแงที่ลับตาจะไม่ว่าเลย แต่นี่กลางร้าน โอ้โห บอกเลยว่าดับ ชีวิตดับอนาถแน่ๆ ถ้าใครจำหน้าพวกเราแล้วถ่ายรูปไปฝากแอดมินเพจมหา'ลัยลง

"นี่น้องหรือพ่อ โหด..."
มันบ่นอุบอิบก่อนจะยกหมัดขึ้นต่อยแขนผม ไม่ได้ออมแรงจนส่งเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่น โคตรเจ็บแต่ทำได้แค่ซี๊ดปากเบาๆ กับส่งสายตาดุไปให้

"เชี่ย เจ็บ! หรือมึงอยากให้กูรายงานสภาพมึงกับพี่แจม"
ผมยังขู่มันอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ว่ายังไงมันก็แพ้เห็นๆ คนอ่อนแอมักจะเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่งเสมอ

"กูไหว้ล่ะเจ็ท ให้กูทำอะไรก็ยอม แต่อย่าบอกพี่แจมนะ กูขี้เกียจฟังเทศน์"
มันเปลี่ยนท่าทางเข้ามาเกาะแขนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอนอย่างจริงจัง ถ้าเป็นผมโดนขู่แบบนี้บ้างคงมีสภาพไม่ต่างจากจิณณ์เท่าไหร่ เพราะใครๆ ก็กลัวการสั่งสอนจากพี่แจม ขนาดพ่อแม่ยังเลี่ยงที่จะดื้อกับเธอเลย

"ถ้าไม่อยากฟังเทศน์ก็ทำตัวให้สดใสได้แล้ว เลิกสนใจพี่เค้กสักที เคยสัญญาว่าจะเลิกติดตามเขาไม่ใช่เหรอ ทุกวันนี้เห็นกูโง่หรือไง หลอกกันอยู่ได้"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ยอมรับว่ารู้สึกเสียใจที่พี่ชายไม่ยอมทำตามคำสัญญาว่าจะเลิกติดตามพี่เค้ก จะไม่ทำให้ตัวเองเจ็บซ้ำซากอีกแล้ว แต่เข้าใจว่าของแบบนี้มันหักดิบกันยาก ก็แค่เป็นห่วง

"กูไม่ได้ตั้งใจจะหลอกมึงนะเจ็ท แต่มันอดส่องโซเชี่ยลเขาไม่ได้จริงๆ"
มันยอมรับสารภาพด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ไม่ยอมสบตาใครสักคน ผมกับเอยมองหน้ากันก่อนจะลอบถอนหายใจหนักๆ เหมือนมีลูกชายที่ต้องคอยดูแลเลยว่ะ

"มึงจะส่องเขาให้ตัวเองเจ็บทำไม อย่าโง่ซ้ำซ้อนดิวะ"
ผมพูดต่อแล้วยกแขนพาดบ่าพี่ชายแล้วกอดกระชับเข้ามาเพราะอยากให้กำลังใจ

"อืม... จะพยายาม"

"เออ ฉลาดให้มันเหมือนเรื่องเรียนบ้างนะเพื่อน"
ไอ้เอยเสริมพร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้หัวจิณณ์ด้วยความเอ็นดู แต่กลับได้สายตาดุๆ กลับไป ไอ้นี่ก็ไบโพล่าตลอด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตามไม่ทันเว้ย

"ซ้ำเติมตลอด"
ยังจะมีหน้าไปเบ้ปากใส่แล้วว่าคนอื่นอีก ทำตัวเองทั้งนั้นน่ะจิณณ์

"ก็คนอย่างมึงปลอบไปก็เสียเวลา สู้พูดตรงๆ ดีกว่า"
ไอ้เอยพูดจบก็ยังคิ้วกวนๆ มาให้กัน ทำใจจิณณ์ถึงกับส่งหมัดไปชนกับแก้มของเพื่อนแต่ไม่แรงมานักก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา

"เออๆ เข้าใจแล้ว ขอบใจพวกมึงมากที่อยู่ข้างกันตลอด"

"เออ/อืม"
ผมกับเอยตอบพร้อมกันก่อนที่เราจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าให้หมด

หลังจากที่ปล่อยให้ไอ้เอยขับรถด้วยตัวเองนานกว่าหนึ่งชั่วโมง มันหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าหมู่บ้านหนึ่งที่ผมคุ้นเคยว่าเคยมาอยู่สองสามครั้ง... แม่ง โลกกลมอีกแล้ว

"มึงอยู่หมู่บ้านนี้เหรอเอย"
ผมหันไปถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน มันเหลือบมองเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ

"เออดิ มีอะไรหรือเปล่า"

"เพื่อนกูก็อยู่ที่นี่"
ผมบอกก่อนจะมองไปในทิศทางบ้านของเพื่อน ซึ่งอยู่คนละฝั่งของบ้านไอ้เอย

"ไอ้ก๊วนมึงอะนะ"

"เออ"

"ชื่อไรวะ"

"ไอ้ตังค์ รู้จักหรือเปล่า"
ผมหันกลับไปสนใจไอ้เอยต่อเพราะลุ้นว่าโลกจะกลมอีกหรือเปล่า แต่ดูจากใบหน้ามึนๆ คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแล้วคงไม่เป็นไปตามที่หวัง

"อืม... ไม่รู้ว่ะ ไม่คุ้น"
สุดท้ายมันก็ไม่รู้จักไอ้เนิร์ดโอตาคุจริงๆ ด้วย

"เออๆ ถ้ามีโอกาสจะแนะนำให้รู้จัก"
ผมบอกก่อนที่มันจะจอดรถหน้าบ้านหลังหนึ่ง เห็นแวบๆ ที่ประตูรั้วว่ามีหมาขนฟูยืนรอเจ้านายมันอยู่ ถ้ามองไม่ผิดน่าจะเป็นพันธุ์อัลเซเชียน โหดสัด

"โอเค กูเข้าบ้านก่อนนะ ขอบคุณพวกมึงมาก"
ไอ้เอยลงจากรถแล้วกล่าวขอบคุณกัน

"เออ ไว้เจอกัน"
ผมบอกก่อนจะโบกมือลาเป็นพิธีในจังหวะที่มันกำลังปิดประตูแล้วเดินไปที่ด้านหลัง สงสัยจะคุยกับจิณณ์

"ไอ้จิณณ์ วันจันทร์อย่าลืมมารับกู"
เอยเปิดประตูแล้วโน้มตัวชะโงกหน้ามาคุยกับจิณณ์ด้วยน้ำเสียงเข้มๆ มันสะดุ้งก่อนจะทำเสียงฮึดฮัด ไอ้นี่ออกอาการรำคาญตลอด เดี๋ยวพ่อถีบกระเด็น

"ครับๆ เจ้านาย โทรมาปลุกกูด้วยแล้วกัน"

ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มที่เราเพิ่งฟาดมื้อเย็นเป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำหมูตุ๋นจากร้านแถวๆ คอนโดเสร็จแล้วมานั่งกองกันที่โซฟาเพื่อรออาหารย่อยและอาบน้ำในรายการต่อไป ผมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าอีกไม่นานจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะตาขวากระตุกถี่ยิบจนน่ารำคาญ

"มึง... กูจะไปนอนแล้วนะ รู้สึกเพลียๆ"
จิณณ์บอกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ ได้ยินเสียงโอดโอยเบาๆ สงสัยจะครั่นเนื้อครั่นตัวด้วยล่ะมั้ง ถ้ามันเป็นไข้ขึ้นมาผมเจอศึกหนักเลยนะ

"เออๆ อาบน้ำแล้วนอนซะ"
ผมบอกก่อนจะหันไปสนใจหนังที่ฉายในทีวีต่อ กำลังดูทรานส์ฟอร์เมอร์สภาคเก่าอยู่เชียว

"อืม เจ็ท พรุ่งนี้..."
จิณณ์เรียกชื่อกันและพูดค้างไว้แค่นั้นทำให้ผมประหลาดใจจนต้องละสายตาจากหน้าจอ

"พรุ่งนี้ทำไม"
ผมถามออกไปเพราะอยากรู้ว่าจิณณ์กำลังจะบอกอะไร มันคงมีความสำคัญมากแน่ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ยืนทำหน้าจริงจังแบบนี่หรอก

"กูจะกลับมากวนตีนมึงเหมือนเดิม"
จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะฝืนยิ้มออกมา ผมได้แต่ชะงักเพราะเบื่อที่จะโดนแกล้ง แต่คิดไปคิดมาได้พี่ชายคนเดิมกลับคงดีกว่าอะไรทั้งหมด ยอมก็ได้วะ

"เออ กูรอมานานแล้ว ทำให้ได้นะมึง"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะออกแรงดันหลังให้ฝาแฝดตัวดีเข้าไปพักผ่อนสักที ถึงจะเห็นเราพูดจาแรงๆ ใส่กัน แต่ความจริงก็รักกันมาก

หนังเรื่องโปรดจบลงไปแล้ว ผมจัดการปิดทีวี ปิดไฟแล้วลากสังขารของตัวเองเข้าห้องนอนก่อนจะพุ่งตัวเข้าห้องน้ำชำระร่างกายเพื่อเรียกคืนความสดชื่นให้แก่ชีวิต ใช้เวลาอยู่ประมาณยี่สิบนาทีก่อนจะออกมานั่งเช็ดผมแล้วไถไอจีดูอะไรไปเรื่อย

วันนี้หมอทาวน์ไม่อัพเดทอะไรสักอย่าง คล้ายกับว่าเขาหายไปจากโลกของผม อยากเจอ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง นี่ล่ะน้า สภาพของคนแอบชอบ จะสุขก็ไม่สุขจะทุกข์ก็ไม่ทุกข์ โคตรก่ำกึ่ง

เออะ...

ผมเผลอสะดุ้งเมื่อหน้าจอปรากฏสายเรียกเข้าวีดีโอคอลมาจากอีกฝั่งหนึ่งของโลก วันนี้มาแปลกที่เธอเลือกใช้แอพพลิเคชั่นไลน์ แล้วไอ้เรื่องที่เป็นลางสังหรณ์เมื่อหลายชั่วโมงที่แล้วก็เกิดขึ้นจริง อยากแกล้งตายจริงๆ เว้ย แต่ทำไม่ได้ เพราะเมื่อครู่ผมเพิ่งกดหัวใจในไอจีให้พี่แจมไปเอง ฮึก... อยากเบะปากร้องไห้ตามจิณณ์จัง

'คุงอา ~ ฮาวอาร์ยูตูเดย์'
เสียงใสๆ จากปลายทางและใบหน้าจิ้มลิ่มกลมๆ โผล่ออกมาจนเต็มหน้าจอทำให้ผมเผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่แท้ก็หลานชายตัวแสบคิดถึงคุณอานี่เอง

"แอมไฟน์ครับ แล้วโจชัวล่ะ"
ผมคลี่ยิ้มส่งให้ 'โจชัว' ที่นอนคว่ำอยู่ เจ้าแสบกลิ้งไปมาทำให้หน้าจอโคลงเคลง คุณอาเวียนหัวแทบจะอ้วกแล้วครับลูก อยู่นิ่งๆ สักทีเถอะ

"แอมน็อตโอเค มัมไม่ยอมฉื้อทอยให้ งื้อ"
ไอ้ตัวแสบทำหน้าบึ้งก่อนจะร้องครางในท้ายประโยคอย่างขัดใจ ผมอยากเอื้อมมือเข้าไปหยิกแก้มกลมๆ นั่นด้วยความหมั่นไส้ เด็กอะไรงอแงยังน่ารัก ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั่นสวยจริงๆ

"อ้าว โจชัวอยากได้อะไรเหรอครับ"
ผมแสร้งทำหน้าประหลาดใจแล้วถามหลายชายคนเก่งกลับ โจชัวเบะปากลงก่อนจะพึมพำบางอย่างที่คุณอาได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว

"ไอว้อนท์บับเบิ้ลบี ~ ฮื่อ คุงอา ป๋มอยากได้"
เจ้าแสบดิ้นขลุกขลักแต่มือยังจับโทรศัพท์ไว้มั่น ผมหัวเราะให้กับความงอแงนั่นก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู โจชัวชอบทรานส์ฟอร์เมอร์เหมือนผม

"ทรานส์ฟอร์เมอร์สเหรอ"

"เยส ~ คุงอาฮับ ฉื้อให้โจชัวหน่อย"
เด็กน้อยตอบเสียงดังฉะฉานก่อนจะหยุดดิ้นแล้วเปลี่ยนมากระพริบตาปริบๆ เพื่ออ้อนผมแทน อยากจะบอกว่าอาก็อยากได้เหมือนกันครับโจชัว แต่ไม่มีปัญญาซื้อ ไปร้องไห้ขอมัมไม่ก็แด๊ดเถอะ

"อะ..."
กำลังจะอ้าปากโอ๋หลาน แต่คุณแม่คนสวยก็เข้ามาแย่งโทรศัพท์ไปซะก่อน พร้อมกับโชว์การดุลูกให้ผมฟัง ทำให้นะโจชัว คุณอาเคยประสบพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่โดนทีไรก็ไม่ชินสักที สะเทือนใจ

"ไอ้หมูโจชัวอ้อนอะไรคุณอาอีกแล้วหื้ม"
น้ำเสียงดุแต่มือเรียวๆ ก็ประคองหน้าเจ้าแสบไว้อย่างอ่อนโยน นี่ล่ะน้า คุณแม่ รักลูกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้

"มัม ~ ไอว้อนท์บับเบิ้ลบี"
เด็กน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักของพี่แจมแล้วเอาหัวซบอกถูไถอย่างอ้อนๆ แต่ถ้าคิดว่าเธอจะใจอ่อน บอกเลยว่าคิดผิด เพราะคนๆ นี้ไม่เคยเอาใจลูกเกินความจำเป็น เพราะกลัวโตมาจะเสียคน

"โนๆ ไปอยู่กับคุณยายก่อน มัมจะคุยธุระกับอาเจ็ท"
เธอบอกเจ้าแสบก่อนจะกวักมือเรียกพี่เลี้ยงที่รออยู่ด้านหลังแล้วส่งโจชัวให้ไป

"ฮึก มัมใจย้าย แง ~"
ได้ยินเสียงงอแงแว่วเข้ามาทำให้ผมอดสงสารไม่ได้ แต่เชื่อว่าพี่สาวคนสวยมีเหตุผลเสมอ

"ทำไมไม่ซื้อให้โจชัวล่ะพี่"

"โอ้ยแก อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งซื้อออฟติมัสไพร์มไปเอง"
นั่นไง เจ้าแสบนี่มันร้ายจริงๆ วันหลังเอามาแบ่งคุณอาบ้างเนอะ อยากได้เหมือนกัน

"อ๋อ... เข้าใจแล้ว"
ผมตอบกลับไปแล้วพยักหน้าหงึกหงัก แต่แปลกที่เธอเอาแต่จ้องหน้ากันหรือว่ากำลังจะถามเรื่องรูปในไอจีวันนั้น แย่แล้วไหมล่ะ ไม่ได้คิดคำโกหกเผื่อไว้ด้วยสิ...

"เออ นั่นล่ะ ตอนนี้มาเข้าเรื่องของแกดีกว่านะเจ็ท อยากคลุกวงในใคร เล่าให้ละเอียด"

ฉิบหายแล้วไหมล่ะกู เรื่องหลานคิดถึงมันแค่มโนของจริงคือพี่สาวคนสวยต่างหากที่จะกลายเป็นฝ่ายสอบสวน ชีวิตกู โดนเทศน์ยาวแน่ๆ ชอบใครไม่ชอบดันชอบหมอ เอ้ย ไม่ใช่ ดันชอบผู้ชายต่างหาก




--------------------------------------

เจ็ทได้คุยกับพี่หมอทาวน์ละเน้อ ต้องลุ้นกันต่อไปว่าหมอจะเกลียดขี้หน้าน้องหรือเปล่า 55555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 6 (11/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 11-07-2017 11:37:09
(http://i.imgur.com/8tMSQC5.png)



'เขาเป็นผู้ชายนะเจ็ท'
"ผมขอโทษ..."
'จะขอโทษทำไม แกไม่ได้ทำอะไรผิด'
"อ้าว..."
'แค่อยากจะเตือนว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีแฟนเป็นผู้หญิง'
"อื้อ ผมรู้"
'แกจะไม่เป็นมือที่สามและจะไม่ทำอะไรวู่วามใช่ไหมเจ็ท'
"แน่นอนว่าไม่ครับพี่แจม"
'ก็ดีแล้ว การแอบชอบของแกต้องมีขอบเขตด้วยนะ เข้าใจไหม'
"ครับ เข้าใจแล้ว"
'นี่... พ่อแม่ได้ยินเรื่องที่เราคุยกันหมดแล้วนะ'
"ห๊ะ! เฮ้ย ละ แล้ว พ่อกับแม่ว่าไงบ้าง"
'ก็นั่งบ่นว่าตกใจที่แกชอบผู้ชาย แต่เห็นว่าหมอหล่อดีเลยยอม'
"อย่ามาอำ"
'แกเคยเห็นพ่อแม่เครียดเรื่องแฟนของพวกเราหรือไง แกจะรักใครชอบใครก็ตามใจ ขอแค่มีความสุขและไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ'
"ฝากขอบคุณทั้งสองคนด้วยที่เข้าใจ"
'จ้า แล้วจะบอกให้นะแก'
"ง่วงแล้ว แค่นี้ก่อนนะพี่แจม"
'เออๆ ดูแลจิณณ์ดีๆ ด้วยล่ะ'
"ครับๆ บ๊ายบาย"
เฮ้อ โล่ง!

ผมนอนคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าจะโดนพ่อกับแม่ด่าที่ลูกชายชอบเพศเดียวกัน และผิดคาดที่พี่แจมไม่ได้อาละวาดอะไรเลย แต่กลับเข้าอกเข้าใจดีว่าความรักไม่สามารถบังคับได้ นี่ล่ะนะครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ไม่บังคับ ให้ลองผิดลองถูกเอง เมื่อทำผิดจะคอยตักเตือน

ครืด ~
เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดแล้วเอื้อมมือไปหยิบมันมาเปิดดู เป็นข้อความไลน์ที่ถูกส่งมาจากไอ้ไธตั้งแต่เช้า

Thamthai : มึง... กูมีอะไรจะบอกว่ะ
Thamthai : ตื่นมาฟังกูหน่อย เร็วๆ
ผมอ่านจบก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ทำไมมันดูเร่งร้อนแปลกๆ หรือมีธุระด่วนแบบคอขาดบาดตาย แต่ถ้าหนักขนาดนั้นไอ้ไธต้องโทรมาสิ จะเสียเวลาพิมพ์ไลน์เพื่ออะไร

Phakin : ตื่นแล้ว มึงมีอะไรวะ
ผมพิมพ์ตอบกลับไปแล้วมันขึ้นว่าอ่านทันที คงมีเรื่องด่วนจริงๆ นั่นล่ะ ตั้งแต่เก้าโมงเนี่ยนะ

Thamthai : พี่ทาวน์ลงแข่งบาสฯ มหา'ลัยเว้ย มึงจะไม่ลงไปคลุกวงในกับเขาบ้างเหรอ
Phakin : ห๊ะ...
ผมช็อกไปแล้วเพราะตั้งแต่วันนั้นที่ลงรูปอยากคลุกวงในในไอจี ไอ้ไธก็ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง แต่มาวันนี้ทำเหมือนรู้เรื่องดี... งงแล้วนะเว้ย ตกลงว่าที่ทำเนียนถามนั่นถามนี่ก็พังหมดน่ะสิ ความลับถูกเปิดเผยไวฉิบหาย

Thamtai : มึงจะตกใจห่าอะไรอีก กูรู้หรอกน่าว่ามึงชอบพี่ทาวน์ อุตส่าห์ไปสืบมาจากพี่ฟา
Phakin : ทำไมรู้วะ กูยังไม่ได้บอกมึงเลย
Thamthai : กูฉลาด กินแบรนด์เยอะ 5555
Phakin : ไม่เล่นดิ ขอความจริง แล้วมึงบอกพี่ฟาไปหรือเปล่า
มันตลกแต่ผมไม่ขำนะ ถ้าไอ้ไธรู้ จิณณ์ก็มีสิทธิ์จะรู้เหมือนกัน แต่รายนั้นคงมัวแต่เฮิร์ทเลยไม่ได้สังเกตอะไร ไม่อย่างนั้นคงหยิบมาล้อนานแล้ว

Thamthai : ก็มึงดูสนใจพี่ทาวน์เป็นพิเศษ พอลงรูปนั้นกูก็มั่นใจว่าชอบแน่ๆ
ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ ซวยแล้ว แต่ตอนที่ถามถึงหมอทาวน์ยังไม่ได้ชอบในเชิงชู้สาวจริงๆ นะเว้ย...

Thamthai : กูไม่ได้บอกอะไรพี่ฟานะ เดี๋ยวมันเอาไปบอกพี่ทาวน์จะเรื่องใหญ่
Phakin : เออๆ แม่ง ความลับกู...
Thamthai : ตกลงจะแข่งบาสฯ ปะ กูจะได้บอกรุ่นพี่ให้
Phakin : ไม่ล่ะ ขอเป็นกองเชียร์ก็พอแล้ว
Thamthai : เออ
ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ มีอีกหนึ่งคนที่รู้เรื่องนี้แล้วสินะ หลังจากนี้ถึงใครจะรู้อีกกี่สิบกี่ร้อยคนมันก็คือความจริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าวันหนึ่งหมอทาวน์จะสะกิดใจคงไม่แปลก แต่ผลตอบรับจะเป็นไปในทิศทางไหน อันนี้ก็แล้วแต่แต้มบุญที่ยังมีอยู่ หรือไม่มีเลยวะ เฮ้อ

ความคิดที่จะนอนต่อเป็นอันต้องล้มเลิกเมื่อเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นตามมาด้วยใบหน้าที่ของฝาแฝดโผล่เข้ามา สงสัยจะหิวแล้วขี้เกียจทำอาหารแน่ๆ ปลุกกันตั้งแต่เช้าตลอด ไม่สงสารคนติดเกมบ้างเลย

"ตื่นยัง"
จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใสกว่าเมื่อวานแต่ใบหน้ายังคงแสดงความอิดโรย ท่าทางกวนตีนอะไรก็ไม่มีสักนิดเดียว แต่ดีแล้วที่มันสามารถแงะตัวเองออกจากเตียงในเวลาประจำได้ ถือว่าอาการอกหักทุเลาลงบ้าง

"เออ ตื่นแล้ว หิวเหรอ"
ผมผงกหัวมองพี่ชายที่เดินมานั่งลงบนเตียง ท่าทางนิ่งๆ แบบนี้โคตรขัดหูขัดตา ปกติต้องระริกระรี้ไปเปิดผ้าม่านแกล้งกันสิวะ

"นิดหน่อย แต่จริงๆ แล้วจะมากวนตีนมึง"
จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วแสร้งยักคิ้วกวนมาให้กัน ผมได้แต่แอบหายหายใจและคิดอยู่เงียบๆ ว่า แม่งเหมือนหน้าแค่กระตุกเฉยๆ ไม่ใช่ตั้งใจจะกวนตีน

"ห๊ะ... อ๋อ ตลกละมึง วันนี้พลาดนะ กูตื่นก่อน"
ผมก็ตามน้ำไปเรื่อยเพื่อให้มันสบายใจ ดูจากท่าทางคงยังตัดเรื่องของพี่เค้กไม่ได้แต่ก็พยายามสุดความสามารถให้ผมวางใจ

"เออ เสียเซลฟ์เลยเนี่ย แม่ง..."
มันทำเป็นบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะตีมือลงบนฟูกด้วยท่าทางหงุดหงิด ผมเห็นแบบนั้นแล้วอยากถีบให้กระเด็น ฝืนตัวเองจนดูเหมือนหุ่นยนต์ ไหนบอกสิใครตั้งโปรแกรมจำกัดขอบเขต ผมจะด่ายันโคตรเง่าเลย

"มึงเพิ่งตื่นเหรอ"
ผมถามด้วยความสงสัย เพราะปกติแล้วฝาแฝดจะตื่นเช้ากว่ากันเสมอ แล้ววันนี้ที่เขาตั้งใจจะมากวนตีนทำไมถึงได้ตื่นสายล่ะ แปลก

"เออดิ นอนเพลินฉิบหายเลยวันนี้"
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉุนเล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กัน ดีนะที่ผมไม่ได้ยึดกลางเตียง ไม่อย่างนั้นจิณณ์คงทับลงมาเต็มๆ

"ไม่สบายหรือเปล่า"
ผมถามในสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เพราะตั้งแต่มันเข้ามาในห้องนี้ก็เอาแต่สูดจมูกฟึดฟัด การอกหักทำให้ร่างกายอ่อนแอจนเป็นหวัดสินะ... ทฤษฎีนี้ใช้ได้ไหม เอาไปถามหมอทาวน์ได้ปะ ข้ออ้างของการอยากคุยชัดๆ เขินจัง

"คงงั้น"

"อืม ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวกูออกไปเตรียมอาหารเช้าให้"

"ขอข้าวต้มกุ้ง"
มันพูดด้วยน้ำเสียงสดชื่นขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะเด้งตัวขึ้นจากเตียงตามมาติดๆ ผมหันขวับไปมองแล้วแยกเขี้ยวใส่ ข้าวต้มกุ้งทำยังไงวะ ชีวิตนี้ทำเป็นแค่ข้าวไข่ข้นกับมาม่าเหอะ อะๆ แถมทอดของกินเล็กๆ น้อยๆ ได้

"ไอ้สัด ยากไปปะ อยากแดกก็ไปทำเองเลย"
ผมด่าฝาแฝดก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกระชากผ้านวมที่ยังไม่ได้พับให้คลุมหัวจิณณ์ด้วยความหมั่นไส้ ทำอย่างกับน้องชายตัวเองเป็นเชฟ กูก็แค่นักชิมดีๆ นี่เอง

"โห ฝึกดิๆ ทำอย่างอื่นด้วย แดกแต่ข้าวไข่ข้นแม่ง... ไม่ไหว"
จิณณ์บ่นเสียงอู้อี้แล้วพยายามหาทางออกจากผ้านวมผืนยักษ์ สภาพของมันตอนหลุดพ้นนั้นแทบดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าบูดบึ้ง เห็นแล้วแทนที่จะสงสารกลับอยากแกล้งอีกสักรอบสองรอบ

"ใครบอกว่ากูจะทำเมนูนั้น เช้านี้จะทอดไส้กรอก ไข่ดาว เบคอนต่างหาก เบรคฟาสต์น่ะ รู้จักไหม"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ การทอดเบคอนไม่ใช่เรื่องง่ายนะเว้ย ต้องคอยขยับตัวซ้ายขวาหลบน้ำมันที่กระเด็น ทำยากสุดๆ

"นี่เรียกพัฒนาลงปะวะ"
จิณณ์เหลือบสายตามองอย่างเหยียดๆ คนทำอาหารเก่งอย่างมันคงเห็นว่าของแค่นี้ทำง่าย แต่สำหรับผมแล้วมันโคตรยาก ไม่เข้าใจวิถีคนรอกินเป็นอย่างเดียวเลย

"จะแดกไม่แดก พูดมาก"
ผมพูดเสียงสะบัดก่อนจะจัดการพับผ้านวมให้เรียบร้อย จิณณ์ลงจากเตียงแล้วเข้ามาเอาหน้าถูไถแผ่นอกกว้างจนรู้สึกขนลุก ไอ้นี่แกล้งกันอีกแล้ว กูไม่ได้ใส่เสื้อ ไอ้สัด!

"แดกจ้าๆ อย่ามีอารมณ์ตั้งแต่เช้าสิ"
ผมขยับตัวถอยหลังแล้วด่ามันไปแบบลิ้นรัว แต่จิณณ์กลับตอบมาด้วยใบหน้าระรื่นเต็มที่ แล้วดูสิ่งที่พูดออกมา มันใช่เหรอวะ

"พูดเหี้ยอะไรของมึง"

"อุ้ย เก๊าพูดผิด ไปอาบน้ำดีกว่า"
มันทำเสียงแบ๊วก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เพราะผมยังไม่ทันได้ขยับไปขย้ำคอจิณณ์ เจ้าตัวก็ไปถึงประตูห้องซะแล้ว

"มึงแม่ง!"

ผมจัดการอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วนั่งกินกับจิณณ์จนหมดก่อนจะค่อยพาตัวเองมานั่งพักท้องที่โซฟา รอย่อยแล้วค่อยไปอาบน้ำ มือหนาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะเล่นเกม แต่สายตาสะดุดเข้ากับข้อความของไอ้ไธซะก่อน วันนี้มันคึกอะไรวะ ส่งไลน์หาทั้งวัน

Thamthai : มึงๆ ตอนบ่ายว่างปะวะ
Phakin : ว่างทั้งวัน จะชวนกูไปเดทเหรอ
ผมตอบมันด้วยประโยคกวนตีน ไหนๆ ก็หน้าเหมือนจิณณ์ มันอาจจะชวนไปซ้อมเดทก็ได้

Thamthai : ใช่ก็เหี้ยละ ว่าจะชวนไปเดินห้าง อยากกินไอติมว่ะ
Phakin : ตอแหล อยากคุยเรื่องจิณณ์ก็บอก
Thamthai : สัดนี่ รู้ทันอีก
มีไม่กี่เรื่องหรอกที่เราคุยกันช่วงนี้ เหมือนกำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลเป้าหมายซึ่งกันและกัน ผมบอกเรื่องจิณณ์ ส่วนไอ้ไธบอกเรื่องหมอทาวน์ แฟร์ๆ โลกสีชมพูอมม่วง

Phakin : แน่นอน กูเก่ง
Thamthai : ไม่เถียงกับมึงแล้ว แต่จิณณ์จะปล่อยให้มึงไปกับกูปะเนี่ย
Phakin : เดี๋ยวมันก็ออกไปคณะแล้ว มีประชุมห่าเหวอะไรไม่รู้ กลับเย็นๆ นู่นล่ะ
ผมตอบแล้วเหลือบสายตาไปมองคนที่กำลังใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ ทำเป็นมาควงกุญแจ ถ้ามันหลุดมือแล้วฟาดหน้า จะหัวเราะให้ฟันหัก เท่ตายห่าล่ะมึง

Thamthai : เออดี งั้นเจอกันชั้นล่างตอนบ่ายโมง
Phakin : โอเค
ผมวางโทรศัพท์ลงในขณะที่จิณณ์เดินตรงมาหาแล้วยื่นเนคไทมาให้ เดือดร้อนกูอีกแล้วพ่อเดือนมหา'ลัย มีปัญหากับไอ้ผ้าเส้นยาวๆ นี่ตลอด

"ทำไมไม่เลือกเนคไทแบบสำเร็จวะ"
ผมถามแต่มือก็รับเนคไทมาผูกให้

"ก็... แหะๆ ตอนนั้นคิดว่าถ้ามีแฟนแล้วอ้อนให้แฟนผูกคงน่ารักดี"
มันตอบด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นถูท้ายทอยด้วยความเขินอาย ผมถึงกับเหลือกตา เหตุผลส้นตีนอะไรเนี่ย ปัญญาอ่อนโคตร

"แล้วไง สุดท้ายก็อ้อนกู น่ารักไหมล่ะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ แล้วส่งเนคไทพร้อมใส่ให้มัน จิณณ์เอ่ยขอบคุณแล้วจัดการแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนชั้นวางทีวี

"น่ารักที่สุดในโลก ~"
ชมกันด้วยน้ำเสียงตอแหลจนผมอดไม่ได้ที่จะขวางกระดาษทิชชู่ใช้แล้วใส่มันด้วยความหมั่นไส้ มีพี่ชายคนหนึ่งก็โคตรปวดหัว ใครสนใจเอาไปดูแลแทนไหม จะขายให้ราคาถูกๆ

ตามที่ได้นัดไอ้ไธไว้ ผมมานั่งรอที่ชั้นล่างได้ประมาณสิบนาทีแล้ว แต่ยังไม่เห็นมันโผล่หัวมา อาจจะมีธุระติดพันก็ได้ แต่ตอนที่กำลังจะเข้าเล่นเกมในโทรศัพท์กลับได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย

"เจ็ท ขอโทษที่ช้า"

"เออๆ ไม่เป็นไร"
ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจไปมา ช้าแค่สิบนาทีจะซีเรียสอะไรนักหนา ทำหน้าอยากกับบุกไปปล้ำจิณณ์แล้วมาสารภาพบาปทีหลัง

"งั้นไปกัน กูเริ่มหิวละ"
มันบอกด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะเริ่มออกเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมๆ กัน

"หิวเหมือนกันว่ะ แดกอะไรดี"
ถามออกไปเพราะคิดของที่อยากกินไม่ออก เพราะปกติชอบเข้าร้านซ้ำๆ กลัวเพื่อนจะเบื่อ

"โออิชิบุฟเฟ่ต์"
ไอ้ไธตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนผิดสังเกต ก็พอเข้าใจว่าไอ้โออิชิบุฟเฟ่ต์เนี่ยโคตรดี โคตรอร่อย แต่ค่าหัวก็แพงหูฉีกไง สิ้นเดือดจะได้แดกมาม่ากันเป็นแถวเนื่องจากเงินในบัญชีหมดก่อนกำหนด

"ห๊ะ กูไม่มีตังค์นะเว้ย"
ผมโวยทันทีเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวพกมาแค่ธนบัตรสีม่วงหนึ่งใบและสีแดงอีกสามใบ เสือกแดกของแพงก็กระเป๋าปลิ้นดิวะ

"มึงคิดว่ากูมีเหรอ พี่แทนจะเลี้ยง"
ไอ้ไธยักคิ้วจึกๆ อย่างเจ้าเล่ห์ตอนพวกเราสอดตัวเข้ารถ ผมยอมรับว่าโคตรดีใจ แดกข้างฟรีโคตรหรู แต่มันติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง

"แล้วจะคุยเรื่องจิณณ์ยังไง"
ผมหันไปถามคนที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยความสงสัย ถ้ามีพี่แทนอยู่ด้วยน่าจะไม่สะดวก

"กินมื้อเที่ยงเสร็จมันก็กลับบ้านแล้ว"

"อ๋อ โอ้ย ลาภปากพี่เจ็ทจัง"
ในที่สุดผมก็ยิ้มเต็มแก้มกับอาหารฟรีของวันนี้ โชคดีจริงๆ ที่มีพี่(ของเพื่อน)รวย

พวกเรามาถึงห้างเกือบบ่ายสองครึ่ง ลงจากรถได้ก็รีบจ้ำอ้าวไปยังสถานที่นัดหมายทันทีเพราะกลัวว่าเจ้ามือเลี้ยงข้าวจะรอนานแล้วเปลี่ยนใจ

พอเลี้ยวเข้าร้านอาหารก็เห็นพี่แทนกวักมือไวๆ อยู่มุมหนึ่ง ซึ่งมันไกลจากที่วางบุฟเฟ่ต์แต่มีความเป็นส่วนตัว ช่างเหอะ จะนั่งไหนไม่สำคัญ ตามใจเจ้ามือเสมอครับ น้องเจ็ทเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้

"พี่แทน สวัสดีครับ"
ผมยกมือไหว้คนที่ไม่ได้เจอกันนานก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างไอ้ไธที่ไม่พูดไม่จา ไม่คิดจะทักทายพี่ชายตัวเองหน่อยเหรอวะ

"เออๆ หวัดดี มึงหล่อขึ้นปะวะเจ็ท"
ผมชะงักกึกก้นยังไม่ได้แตะเก้าอี้ก็โดนทักแบบนี้ ทำให้ไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน นี่ตกลงว่าผมหล่อจริงๆ ใช่ไหม ยอมรับก็ได้วะ ขี้เกียจเถียงแล้ว

"ไม่หรอกพี่ เหมือนเดิมทุกอย่าง"
ผมตอบแล้วนั่งลงก่อนจะส่งยิ้มเป็นมิตรให้พี่แทน เขาดูขาวขึ้น ผิวใสขึ้น หน้าตาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นเท่าตัว ได้ข่าวว่ามีแฟนเป็นคนญี่ปุ่นด้วยนี่หว่า คงจะน่ารักมากแน่ๆ

"ถ่อมตัวตลอดนะมึง"
พี่แทนไม่วายแอบเหน็บผมก่อนจะหัวเราะออกมา แต่ไอ้ไธนั่งทำหน้าบูดเหมือนตูดนั้นกำลังไม่พอใจแน่ๆ

"กินกันเถอะ อย่ามัวคุย"
เพราะความหิวแท้ๆ

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ที่ซัดอาหารเข้าปากแบบไม่มีใครพูดจา ตอนนี้ทุกคนเริ่มอืดเลยนั่งพักแล้วชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ จนมาถึงคำถามยอดฮิต

"เออนี่ มึงมีแฟนหรือยังเจ็ท"
พี่แทนเอ่ยปากถามในขณะที่เพิ่งวางโทรศัพท์ลงหลังจากวีดีโอกับแฟน

"ยังครับ"
ผมตอบกลับไปตามความจริงแต่ในหัวกลับคิดถึงหมอทาวน์ นั่นคืออนาคตแฟนที่เลือนลางเหลือเกิน ชาตินี้ไม่รู้จะมีโอกาสขนาดนั้นไหม

"เลือกเยอะสินะ"
พี่แทนพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า คืออย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ความจริงไม่ได้เลือกเยอะแต่ยังไม่สนใจใครต่างหาก

"โห พูดซะผมดูแย่"

"หรือไม่จริง"

"ก็... ยังไม่เจอคนที่ถูกใจ"
ผมว่าเสียงอ่อยแล้วคีบแซลมอนใส่ปาก ไม่ได้กินซาซิมินานแล้ว ตอนนี้เลยโคตรฟิน ทั้งอร่อยทั้งฟรี

"นี่มึงสองคนก็อปปี้คำพูดกันมาเหรอ ตอบเหมือนกันเด๊ะ"
พี่แทนมองผมกับไอ้ไธสลับกันด้วยสีหน้าจับผิด มันน่าจะเป็นเรื่องปกติที่เพื่อนกันจะคิดเหมือนกันได้ แปลกตรงไหนวะ

"เพื่อนกันครับ"
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเลื่อนจานกุ้งเทมปุระมาให้ผมเพราะเอื้อมไปคีบไม่ถึง แต่พี่แทนจะยิ้มกรุ้มกริ่มทำไมวะ อย่าบอกนะว่า...

"ถ้าบอกเป็นแฟนกันกูก็เชื่อ"
ซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ ขนาดแค่เลื่อนจานอาหารให้กันยังเป็นประเด็นได้ ถ้าเห็นพวกเราตอนอยู่มหา'ลัยจะไม่บอกว่าเป็นผัวเมียกันเลยเหรอ

"เอิ่ม เดี๋ยวฟ้าผ่า ขนลุกครับ"
ผมบอกก่อนจะมองไอ้ไธด้วยใบหน้าขยะแขยง แต่เหมือนมันจะอยากแกล้งผมเลยส่งยิ้มหวานมาให้จนรู้สึกขนลุก กูไม่ใช้ไอ้จิณณ์ไม่ต้องทำแบบนี้ใส่เลย แม่ง...

"กูล้อเล่นน่า กินต่อๆ เอาให้คุ้ม"
พี่แทนบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วชวนพวกเรากินต่อเพราะเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง มันต้องยัดลงกระเพาะให้คุ้มกับค่าหัวที่เสียไป ลุย!

หลังจากที่เดินลูบท้องป่องๆ ออกมาจากร้านพวกเราก็แยกกับพี่แทน ก่อนโบกมือลายังโดนนัดไปกินเหล้าฟรีปลายอาทิตย์อีก ผมจะปฏิเสธได้ยังไง เดี๋ยวเสียมารยาทเพราะผู้ใหญ่ชวน ต้องตอบตกลงลูกเดียว มีคนเปย์ให้ก็สบายแบบนี้ล่ะ

"มึง ไปร้านหนังสือกัน"
ระหว่างที่เดินทอดน่องแบบไร้จุดหมายปลายทาง คนข้างๆ ตัวผมก็เอ่ยปากชวน

"อ้าว แล้วไอติมล่ะ"
ผมขมวดคิ้วเพราะนึกว่าเพื่อนจะตรงไปร้านไอติมเลย ผิดคาดแต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะตอนนี้อิ่มจนจะอ้วกอยู่แล้ว ไม่สามารถยัดอะไรได้อีก

"เดินย่อยปลาแซลมอนของมึงก่อนไหม จะออกมาทางปากแล้วมั้ง"
ไอ้ไธพูดติดตลกแล้วเอื้อมมือมาจิ้มท้องตึงๆ ของผม อย่าถามหาซิกแพคอะไรตอนนี้ เพราะมันหายไปหมดแล้ว รอย่อยก่อนเถอะ จะกลับมาน่าขย้ำเหมือนเดิม

"เออว่ะ ก็ดีเหมือนกัน"
ผมตอบกลับก่อนจะตีพุงเบาๆ แล้วยิ้มเผล่ เดินย่อยก่อนจะได้กินไอติมเยอะๆ ออกมากับไอ้ไธวันนี้มีแต่คำว่าคุ้มกับคุ้มจริงๆ

ผมกับไอ้ไธเดินกันจนมาถึงร้านหนังสือชั้นนำขนาดใหญ่ นานๆ ครั้งจะได้มาเหยียบที่นี่เพราะไม่ค่อยชอบ เห็นตัวหนังสือเยอะๆ แล้วพาลง่วงทุกที  ช่วงสอบเลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ ต้องหาอะไรกินไปด้วยระหว่างอ่าน ไม่อย่างนั้นจะหลับ

"มึงจะมาซื้ออะไร"
ผมถามเมื่อตัวเองไม่มีจุดหมาย ถ้าเป็นร้านขายเกมพอว่าไปอย่าง อันนั้นอาจจะช็อปจนหมดตัวได้

"หนังสือการ์ตูนออกใหม่"
มันบอกก่อนจะหันมามองกันเป็นเชิงถามว่าจะตามไปด้วยหรือเปล่า ซึ่งผมพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว อย่าทิ้งกูในร้านหนังสือเลย ไปไม่เป็นว่ะ

"เออๆ"
ผมตอบก่อนจะโดนไอ้ไธกอดคอแล้วออกเดินไปพร้อมกัน ระหว่างทางก็มองซ้ายมองขวาเพื่อมีอะไรน่าสนใจ แล้วเท้ากลับหยุดชะงักเมื่อสายตาปะทะกับร่างใครคนหนึ่ง เสี้ยวหน้าที่คุ้นเคย

"เฮ้ย"
ไอ้ไธร้องเสียงหลงเพราะผมหยุดเดินโดยไม่บอกกล่าว มันยกมือขึ้นโบกหัวกันไม่แรงมากนัก เจ็บแต่ไม่สน เพราะคนที่อยู่ในสายตาตรงนั้นน่าสนใจมากกว่าเป็นล้านเท่า

"มึง..."
ผมเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงล่องลอย ดวงตามองเป้าหมายด้วยความคิดถึง ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่วันนั้น กี่วันแล้วนะ ครบอาทิตย์หรือยัง จะลืมหน้ากันไหม

"อะไรวะ หยุดเดินทำไม"
น้ำเสียงฉุนๆ มาพร้อมกับการบีบไหล่เป็นเชิงกระตุ้นให้ผมตอบคำถาม

"คนนั้นคุ้นๆ ปะ"
ผมชี้มือไปที่เป้าหมายแล้วกระตุกยิ้มมุมปากเพราะแน่ใจว่าเป็นเขา แต่อยากได้รับการยืนยันจากเพื่อนว่าเห็นเหมือนกันไหม ไม่ใช่มโนภาพของตัวเอง

"อ้อ... พรหมลิขิตมึงละเจ็ท เข้าไปทักดิ"
ไอ้ไธกระแทกไหล่ผมอย่างแซวๆ แล้วยอมผละแขนออกแถมยังดันหลังให้เดินไปทางนั้นอีก แต่ด้วยความกลัวเลยต้องต่อต้านแรงของเพื่อน ขอเตรียมตัวเตรียมใจสักพักสิวะ

"กลัวหมอทำหน้ายักษ์ใส่อีกว่ะ วันนั้นไม่รู้เกลียดกูไปหรือยัง"
เสียงอ่อยๆ กับใบหน้าหงอยๆ ถูกแสดงออกมาอย่างตั้งใจ พอคิดย้อนไปถึงวันนั้นจิตใจก็พาลห่อเหี่ยว ผมคงจะกวนตีนเขามากไปจริงๆ นั่นล่ะ เลยทำให้อารมณ์เสียขนาดนั้น

"ใจกล้าหน่อยเพื่อน พี่ทาวน์มีเหตุผลมากพอน่า"
ไอ้ไธตบบ่าเพื่อให้กำลังใจจบก็ออกแรงผลักหลังกันอีกรอบ ผมได้แต่หันไปมองค้อนใส่แล้วเบะปากลงเมื่อประโยคเมื่อครู่น่าหมั่นไส้

"แหมะ บอกให้กูใจกล้า ทีมึงล่ะ ป๊อดเรื่องจิณณ์ตลอด"
ผมเหน็บมันไปก่อนจะโยกตัวหลบผ่ามือที่จะตีลงมาบนต้นแขน ทำให้ไอ้ไธเสียหลักเล็กน้อย แต่ทำเป็นเก๊กเพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ จ้าๆ พ่อเดือนมหา'ลัย โคตรน่าหมั่นไส้

"เออน่า กำลังตั้งหลัก มึงก็รีบๆ เหอะ เดี๋ยวพี่ทาวน์ไปที่อื่นจะอด"

"เออๆ"
พอเห็นไอ้ไธแยกตัวออกไปแล้วใจมันเขวๆ ยังไงก็ไม่รู้ว่ะ ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจก่อนจะมองเป้าหมายอย่างแน่วแน่ เอาวะ วันนี้เป็นไงเป็นกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างหนึ่งที่ต้องได้ทำคือขอโทษหมอทาวน์

ผมเดินเข้าไปหาหมอทาวน์ด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนเผลอยกมือขึ้นกุมหน้าอก ไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน รู้สึกว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าที่เพิ่งมีความรัก

เขากำลังสนใจหนังสือในมือโดยไม่สังเกตเลยว่าผมเข้าไปยืนข้างๆ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อนั้นยิ่งทำให้ใจผมสั่นแรงขึ้น เพิ่งได้รู้วันนี้เองว่าหมอทาวน์มีลักยิ้ม โคตรน่ารักเลยว่ะ

"สวัสดีครับพี่หมอทาวน์"
ผมทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง หมอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะละสายตาจากหนังสือในมือแล้วกันมามองหน้ากัน เขานิ่งอยู่สักพักคล้ายกำลังประมวลผล คงคิดอยู่แน่ๆ ว่าไอ้นี่เป็นใคร

"หือ มึง..."

"ครับ บังเอิญจัง มาซื้อหนังสือเหรอ"
ผมไม่อยากให้บทสนทนาชะงักกลางอากาศเลยพูดแทรกขึ้นมาทันที ไม่สนใจแล้วว่าเขาจำได้หรือจำไม่ได้ก็ช่าง ตอนนี้มีโอกาสคุยก็ต้องชวนคุยไว้ก่อน

"อืม"
เขาตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนจะทำท่ากลับไปสนใจหนังสือต่อ แต่ผมไม่ยอมแพ่หรอกนะ นานๆ ทีจะเจอกัน ขอตักตวงความสุขหน่อยเถอะ

"มากับใครครับ"

"คนเดียว"

"อ๋อ แฟนไม่มาด้วยเหรอครับ"

"ไม่..."
เขาตอบว่าไม่อะไรสักอย่าง แต่ผมฟังไม่ค่อยถนัด ขอสรุปเอาเองแล้วกันว่าไม่มา คงไม่ใช่ไม่มีหรอก

"คือวันนั้น..."
ผมอึกอักก่อนจะเหลือบมองปฏิกิริยาของคนข้างตัว กลัวจะไปสะกิดต่อมโมโหเขาเข้าว่ะ

"อะไร"
หมอหันมาขมวดคิ้วใส่กันเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ ท่าทางแบบนี้ถือว่าเขาอารมณ์ปกติได้ไหม

"ขอโทษนะครับที่กวนตีนไปหน่อย เลยทำให้พี่หงุดหงิด"
ผมก้มหัวเป็นการขอโทษเขาก่อนจะลอบมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ หน้าของหมอนิ่งจนไม่สามารถเดาอารมณ์ได้

"ขอโทษเหมือนกัน"
น้ำเสียงราบเรียบหลุดออกจากริมฝีปากหยัก แต่นั่นทำให้ผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะโดนขอโทษกลับแบบนี้

"หือ ขอโทษทำไมครับ"
ผมถามด้วยความสงสัยแล้วมองใบหน้าด้านข้างของเขาเพื่อลอบดูปฏิกิริยา แต่มันนิ่งเฉยจนคาดเดาไม่ได้เหมือนเดิม สงสัยต้องไปเรียนพลังจิตแล้วมั้ง อยากอ่านใจออกจัง

"ที่หงุดหงิดใส่ ไม่ได้ตั้งใจ"
สงสัยก่อนหน้านั้นที่จะเจอผมตื้ออยากรู้จัก เขาคงอารมณ์เสียอยู่ก่อนแล้ว

"อ๋อ ไม่เป็นไรครับ"
ผมตอบกลับด้วยหัวใจที่ฟูฟ่อง สุดท้ายก็ไม่โดนหมอทาวน์เกลียด วันนี้มันเป็นวันดีจริงๆ เลยเชียว

"อืม ไปนะ"
อยู่ๆ เขาก็ปิดหนังสือแล้วถือมันไว้เตรียมตัวเดินไปที่แคชเชียร์ แต่ผมยังอยากคุยต่อเลยหาวิธีรั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้มากน้อยแค่ไหน เอาก็เอาวะ ชวนไปกินไอติมนี่ล่ะ

"เดี๋ยวครับๆ คือ... ไปกินไอติมด้วยกันไหม"
ผมชวนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักจนคนที่หันหลังให้กันต้องหันกลับมาเลิกคิ้วใส่ ดูเขาจะงงๆ ว่าไอ้นี่ชวนไปกินไอติมได้ยังไง สนิทขนาดนั้นแล้วเหรอ

"....."

"เอ่อ... พอดีผมกับไอ้ไธจะไปกินไอติมกันน่ะ พี่หมอสนใจไหมครับ"
ผมขยายความแล้วดึงตัวละครที่สามยัดลงไปด้วย เพราะอย่างน้อยก็ดูเขาจะคุยกับไอ้ไธอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นสนิทแต่ถือว่ารู้จัก
หมอทาวน์นิ่งคิดไปสักพักก่อนจะพยักหน้าตอบรับ และนั่นทำให้ผมต้องเม้มปากกลั้นยิ้มอย่างหนัก เพราะไอ้เจ็ทคนนี้ไม่นกแล้วเว้ย อยากอวดไอ้ไธจริงๆ!

"อืม ได้ อยากกินอะไรหวานๆ พอดี"
เขาตอบตกลงแล้วเดินไปที่แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงินค่าหนังสือ ผมเลือกที่จะโทรตามไอ้ไธแทนแล้วยืนเฝ้าหมอทาวน์ กลัวเขาหายอะ...

"มึง..."
ขณะที่เดินออกจากร้านหนังสือโดยมีหมอทาวน์นำอยู่ด้านหน้า ไอ้ไธก็หันมาสะกิดไหล่ยิกๆ แล้วขมวดคิ้วใส่ เครียดอะไรนักหนาวะมึง แต่ชวนหมอทาวน์ไปกินไอติมด้วยกันเอง

"อะไร"

"ไปลากพี่ทาวน์มาได้ไงวะ"
ผมถามด้วยเสียงกระซิบแล้วพาดแขนลงบนไหล่ผมเหมือนทุกครั้ง อยากสะบัดตัวออกเพราะกลัวคนด้านหน้าเข้าใจผิด แต่ลองสังเกตดูแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย

"ความสามารถพิเศษเว้ย"
ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจแล้วมองแผ่นหลังคนด้านหน้าอย่างมีความสุข ถึงแม้เขาจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว แต่การได้อยู่ใกล้ๆ ได้พูดคุยก็ทำให้คนแอบชอบยิ้มได้เหมือนกัน

"อย่ามาตอแหล"
ไอ้ไธมองกันด้วยหางตาแล้วกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น พยายามบีบบังคับให้คายความจริงออกมา ผมได้แต่กรอกตาด้วยความเซ็ง เบื่อจริงๆ โกหกมันทีไรโดนจับได้ทุกที

"โห เซ็งคนรู้ทัน"

"ตกลงอะไร ยังไง"
มันว่าเสียงเข้มแล้วมองแผ่นหลังของคนด้านหน้าด้วยแววตาสงสัย ถ้าไม่ติดว่าไอ้ไธชอบจิณณ์ ป่านนี้ผมคงเอามือจิ้มตาไปแล้ว ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าของหมอทาวน์ แต่ก็แอบหวงนะ ในตอนนี้ก็ทำได้แค่นี้เพราไม่มีสิทธิ์อะไร สนิทก็ไม่สนิท คงต้องพยายามต่อไป

"เขาบอกอยากกินของหวานๆ พอดีก็เลยยอมมาด้วย"
ผมคายความลับก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าร้านไอติมราคาพอรับได้

หมอทาวน์เป็นคนเชือกที่นั่งมุมหนึ่งของร้านที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านตามแบบฉบับผู้รักความสงบเหมือนกับผม พนักงานสาวนำเมนูมาให้กับพวกเราแล้วส่งยิ้มหวานเยิ้ม และด้วยความมารยาทดีของนายภาคินเลยก้มมองเมนูลูกเดียว ไม่ชอบโดนมองด้วยสายตาแบบนั้น โดยรุกไม่ใช่เรื่องตลก

"สองคนจะกินอะไร กูสั่งแล้ว"
บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นเป็นการถามไถ่เรื่องสั่งไอติม ผมเงยหน้ามองหมอก่อนจะเบนสายตาไปที่พนักงานสาว เธอหุบยิ้มไปแล้วว่ะ สงสัยโดนท่าทางนิ่งๆ ของเขาไปเลยไม่กล้าทำอะไรเกินงามอีก

"อ้อ ผมขอมะนาวเชอร์เบทครับ"
ไอ้ไธสั่งก่อน มันชอบกินรสชาติเปรี้ยวๆ ไอ้ติมไม่ผสมนม บางครั้งก็เห็นหาสูตรโฮมเมดมานั่งทำเองที่คนโด ผมเคยแอบจิณณ์ไปชิมอยู่หลายรอบ ก็อร่อยดีนะ

"บลูเบอร์รี่โยเกิร์ตครับ"
ผมสั่งบ้างก่อนจะส่งเมนูคืนให้กับพนักงาน เธอมองพวกเราตาละห้อย ทำเหมือนอาลัยอาวรณ์ซะเต็มประดา คือ... นี่ลูกค้าครับ ไม่ใช่แฟนที่กำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ อย่าทำหน้าเศร้าขนาดนั้นเลย ส่วนหมอทาวน์ไม่ได้สนใจใครตั้งแต่ตั้งคำถามนั้นจบ เอาแต่นั่งกดโทรศัพท์ หัวคิ้วขมวด สงสัยมีเรื่องเครียดอยู่ล่ะมั้ง



ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = P.1 - แข่งครั้งที่ 6 (11/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 11-07-2017 11:38:19
ผมไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อหรือพูดอะไรดี ในเมื่อต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวแบบนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากยึดโทรศัพท์มาตั้งเป็นกองกลาง แต่ขืนทำแบบนั้นอาจจะโดนตีหัวแบะ หมอกับไอ้ไธไม่สนใจเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างนายภาคินเลย น้อยใจได้ไหม

เพราะบรรยากาศมันอึมครึมเกินไปผมเลยทนไม่ได้กับความเงียบนี้ ต้องหาตัวช่วยด่วนๆ เลยครับ ป่าช้าเรียกพ่อแบบนี้ไม่ดีแน่

ตัวช่วยหันขวับมามองผมทันทีเมื่อโทรศัพท์ของมันสั่น ก็จะให้พูดต่อหน้าหมอทาวน์ได้ยังไง มันคือความลับระดับชาติ หาเรื่องคุยกับเขาเนี่ย โคตรยาก จะถามเรื่องเรียนแล้วก็มึนกันตายพอดี

"สัด จะส่งไลน์มาทำไม"
มันด่าพลางขมวดคิ้วยุ่ง ผมเหลือบสายตามองหน้าจอมันเล็กน้อยก็พบว่าไอ้ไธกำลังเล่น ROV อยู่ ขอโทษทีนะเพื่อน กูไม่ด้ตั้งใจให้มึงนอนตายโชว์คนในทีมเลย

"เออน่า ตอบหน่อย"
ผมบอกมันด้วยเสียงกระซิบแล้วส่งสายตาเว้าวอนไปให้ จะด่าแค่ไหนก็ตามใจเลย ตอนนี้กูยอมมึงทุกอย่างเลยไธ

Phakin : สถานการณ์ตึงเครียดจังวะ
Thamthai : เพราะมึงไง ลากเขามาแต่ไม่รู้จะคุยอะไรด้วย
Phakin : มึงก็ช่วยๆ หน่อยดิวะ เดี๋ยวพูดอะไรผิดไปกูจะโดนเกลียด
ผมพิมพ์ตอบกลับไปแล้วเหลือบสายตามองคนตรงข้ามทีคนด้านข้างที สถานการณ์โคตรอึมครึม ต่างคนต่างอยู่ในสังคมก้มหน้า พีคสัดๆ นี่มาด้วยกันหรือเปล่าวะ ไอ้ไธหันมาแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะหันไปกดหน้าจอจึกๆ สงสัยจะมีไอเดียดีๆ นำเสนอ

Thanmthai : ถามเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่โดนเกลียดแน่
Phakin : พ่อง มึงจะบ้าเหรอ ก็รู้ๆ อยู่ว่าฝนตก
ด้วยความรนและตื่นเต้นเลยแปลความหมายคำตอบของไอ้ไธอย่างตรงตัว ร้านไอติมเป็นกระจกใสแถมยังอยู่นอกอาคาร จะเห็นฝนตกไม่ใช่เรื่องแปลกบรรยากาศตอนนี้ให้อารมณ์เหงาและเศร้า เพราะเพลงที่เปิดอยู่มันแนวอกหัก บิ้วเหลือเกิน...

Thamthai : ไอ้ควาย กูหมายถึงถามเรื่องทั่วไป มึงอย่ามาซื่อตอนนี้
ได้ยินเสียงเพื่อนถอนหายใจอยู่ข้างๆ ตอนกดส่งข้อความเรียบร้อย ผมได้แต่ยิ้มแหยหลังอ่านจบ เออว่ะ ทำไมกูโง่แบบนี้ ขอสติคืนสู่นายภาคินเถอะ จะตื่นเต้นทำห่าอะไรนักหนา

Phakin : อ้าวเหรอ กูตื่นเต้นไปหน่อย โทษที

หลังจากส่งข้อความกลับไป ไอ้ไธก็ไม่ยอมตอบมาอีกแถมยังยัดโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋ากางเกงอีกด้วย อยากจะขอบคุณเพื่อนด้วยฝ่าเท้าจริงๆ ไอ้เรื่องดินฟ้าอากาศเนี่ยล่ะ ที่มันมีขอบเขตกว้างเกินไป จะอ้าปากถามอะไรดี...

ในขณะที่กำลังประมวลผลว่าควรจะคุยเรื่องอะไรดี พนักงานสาวคนเดิมก็ยกไอติมที่พวกเราสั่งมาเสิร์ฟ มีช็อกโกแลต มะนาวเชอร์เบทและบลูเบอร์รี่โยเกิร์ต เธอกองรวมไว้กลางโต๊ะก่อนจะเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ผมได้แต่ขมวดคิ้ว สรุปว่าตอนรับออเดอร์ไปไม่ได้จำเลยล่ะสิ ว่ารสชาติไหนของใคร... เหอะๆ

"ใครสั่ง"
ผมสะดุ้งเมื่อเสียงถามของหมอทาวน์ดังขึ้น สายตาของเขาจ้องไปที่ไอติมรสบลูเบอร์รี่โยเกิร์ต หรือจะอยากกิน

"ผมเองครับ พี่หมออยากกินเหรอ"
ผมตอบกลับไปแล้วเลื่อนถ้วยไอติมไปหาอีกคน หมอทาวน์ส่ายหน้าปฏิเสธ ท่าทางขรึมลงกว่าเดิม หรือมีประเด็นกับรสชาตินี่วะ บางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ

"ชอบกินเหมือนแฟน... ไม่สิ แฟนเก่ากูเลย"
หมอพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง แต่มันดังพอให้ผมกับไอ้ไธมองหน้ากัน ชอบกินเหมือนแฟน... เก่าอย่างนั้นเหรอ คนไหนล่ะ

"อ่า... มันอร่อยดีน่ะครับ พี่หมอชอบกินช็อกโกแลตเหรอ"
ผมเปลี่ยนไปถามเขากลับแทน หมอพยักหน้ารับแล้วตักไอติมรสยอดนิยมเข้าปาก

"อืม หวานอมขมดี"
ใบหน้าของเขายามนี้ทำไมดูเศร้าสร้อยจังวะ พอลอบสังเกตก็เห็นขอบตาแดงๆ คล้ายกับคนกำลังร้องไห้ หรือไอ้แฟนเก่าที่โดนหมอทาวน์พูดถึงจะเป็นพรีม... อย่าบอกนะว่าเลิกกันแล้ว

หลังจากเคลียร์ค่าเสียหายเสร็จ หมอทาวน์ก็เป็นคนเดินนำออกจากร้านโดยที่ในมือกำโทรศัพท์ไว้แน่นจนสั่น ผมอยากถามว่ามีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้า เพราะไม่ได้สนิทกันพอที่จะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวได้

"กลับล่ะ"
เขาหันมาบอกพวกเราด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ถึงหมอทาวน์จะเป็นคนหน้านิ่งแค่ไหนแต่สามารถรับรู้อารมณ์ได้ผ่านทางสายตา มันกำลังบอกผมว่าเขาเศร้า... หรือเลิกกับพรีมแล้วจริงๆ

"พี่ทาวน์เดี๋ยวไปลานจอดรถพร้อมกันก็ได้ครับ พวกผมก็จะกลับแล้ว"
ไอไธเป็นคนเอ่ยปากชวนแทน เพราะผมเอาแต่ยืนนิ่ง กำลังคิดสะระตะว่าควรทำยังไงดี เป็นห่วงว่ะ ท่าทางแบบนี้จะปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไง

"กูไม่ได้เอารถมา"

"อ้าว แล้วจะกลับยังไงครับ"
ผมถามขึ้นบ้างเพราะรู้สึกแปลกใจที่หมอไม่ได้ขับรถมาเอง ปกติเขาไปมหา'ลัยยังขับ เอสยูวีบีเอ็มฯ อยู่เลย

"รถไฟฟ้า"

"เดี๋ยวผมไปส่งไหม ฝนมันตก"
ไอ้ไธเสนอขึ้นอีกครั้งก่อนจะมองสายฝนที่กระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน ขนาดยืนหลบใต้กันสาดยังเปียกขนาดนี้ ขืนวิ่งไปขึ้นรถไฟมีหวังกางเกงในชุ่มแน่ แถมไข้แดกอีก ไม่คุ้มจริงๆ

"กลับเองได้"
หมอย้ำคำเดิมด้วยใบหน้าเรียบเฉย โทรศัพท์ในมือของเขาสั่นอย่างกับเจ้าเข้า ด้วยความอยากรู้ผมเลยเหลือบสายตาไปมองหน้าจอ อืม... Preem เต็มๆ

"ไม่ต้องเกรงใจครับ ไปด้วยกันเถอะ"
ไอ้ไธยังคงไม่ยอมแพ้ ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรถึงจะไปส่งหมอทาวน์ให้ได้ เสร็จเรื่องผมคงต้องจับมาสอบปากคำซักฟอกให้ขาว

"อืม เอางั้นก็ได้"
สุดท้ายหมอก็ยอมแพ้และตอบตกลงแต่โดยดี

รถยุโรปเคลื่อนที่ไปบนถนนอย่างเชื่องช้าเพราะสภาพอากาศย่ำแย่ง สายฝนเทกระหน่ำแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อุณหภูมิก็ต่ำจนน่าใจหาย ผมที่นั่งอยู่เบาะหลังเลยต้องหยิบหมอนมากอดไว้คลายความหนาว

เมื่อไม่มีอะไรทำผมเลยลอบสังเกตหมอทาวน์ที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดทาง โทรศัพท์มือถือเลิกสั่นไปแล้วเพราะเจ้าตัวกดปิดเครื่อง เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วคงเป็นเรื่องใหญ่โตน่าดู ไม่อย่างนั้นคนรักแฟนอย่างเขาจะทำแบบนี้หรือ

"ไอ้ไธ... เปิดเพลงหน่อยดิ มันเงียบ"
ผมขยับตัวไปด้านหน้าแล้วบอกไอ้ไธที่กำลังตั้งใจขับรถ มันหันมาถลึงตาอย่างกับโกรธใครมาเป็นชาติ นี่นายภาคินเผลอทำอะไรไม่ถูกใจอีก

"ไม่ฟังก็ได้วะ"
ผมบ่นอุบอิบแล้วขยับกลับมานั่งที่เดิมก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเล่นฆ่าเวลา จะชวนหมอคุยก็ดูไม่เหมาะ เพราะเขาหลับตาหนีโลกความจริงไปแล้ว

แอพฯ ไอจีถูกเปิดขึ้น ผมไล่สายตาดูรูปที่เพื่อนๆ อัพไปเรื่อยจนมาสะดุดตากับชื่อแอคเค้าท์ที่คุ้นเคยในระยะเวลานี้ รูปมือของผู้หญิงและผู้ชายที่จับกันไว้แน่นโทนสีเทาเมื่อห้าชั่วโมงที่แล้ว เดาได้ว่าคงเป็นหมอทาวน์กับพรีมเมื่อห้าชั่วโมง แต่แคปชั่นนั้น... ที่ไอ้ไธคะยั้นคะยอไปส่งเขาให้ได้คงเพราะรู้อยู่แล้วล่ะมั้ง

Maungneua_t Game Over

เลิกกันแล้วจริงดิ... แผลโคตรสดเลยว่ะ




--------------------------------------------

หมอเลิกกับแฟนแล้วเนอะ... มาลุ้นกันว่าเจ็ทจะทำยังไงต่อไป
ช่วยคอมเม้นท์ติชมหน่อยน้า อยากรู้ว่าทุกคนคิดเห็นยังไงบ้าง

ดีไม่ดียังไง บอกได้เลย
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 7 - P.1 (15/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-07-2017 16:11:35
(http://i.imgur.com/7J6cqHy.png)



ผ้าม่านปลิวตามแรงลมเมื่อผมเปิดประตูกระจกแล้วพาตัวเองออกมายืนรับอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก สายตาเหม่อมองท้องฟ้าสีครามไร้เมฆ มันช่างสดใสแต่ทำให้อุณหภูมิร้อนระอุ หัวคิ้วขมวดเป็นปมเมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ได้รับรู้มาเมื่อหลายวันก่อน 'ทาวน์เลิกกับพรีมแล้ว' เป็นคำยืนยันจากเพื่อนสนิทของเขา เหตุผลเพราะ 'ยัยคุณหนูนั่นนอกใจ'

วันนี้ผมมีเรียนตอนบ่ายและคิดว่าจะรีบไปมหา'ลัยเพราะไอ้ฟาร์มชวนกินข้าวที่คณะแพทย์ เพราะมันจะไปส่องพี่ฟา ไอ้เราก็แอบทำเนียนไปส่องหมอทาวน์ อยากรู้ว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นเขาเป็นยังไงบ้าง มีอาการอกหักอย่างจิณณ์หรือเปล่า เป็นห่วง...

"เจ็ท"
เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังพร้อมด้วยมืออุ่นๆ ที่เอื้อมมาแตะบ่ากัน คงมาเรียกไปกินมื้อเช้าล่ะมั้ง

"ว่าไงมึง"
ผมถามโดยไม่หันไปมองหน้า ความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องของหมอทาวน์ แทนที่จะดีใจที่อีกคนโสดกลับกังวลชีวิตความเป็นอยู่ของเขาขึ้นมา เจ็บปวดมากหรือเปล่า ร้องไห้ไหม

"ไปกินมื้อเช้ากัน มีติ่มซำ ปาท่องโก๋แล้วก็น้ำเต้าหู้"
จิณณ์ร่ายเมนูอาหารให้ผมฟังเพื่อเชิญชวนกินอาหารเช้า แต่ละอย่างดูน่าอร่อยแต่ร้านขายของพวกนี้มันอยู่ไกลจากคอนโดมาก ไม่มีทางที่มันจะถ่อสังขารไปซื้อเองแน่ หรือว่ามีใครเอามาฝาก

"ไปซื้อมาเองเหรอ"
ผมพลิกตัวพิงกับระเบียงแล้วมองหน้าจิณณ์ที่ทำตัวอึกอัก ดวงตาคมกรอกซ้ายขวาท่าทางมีพิรุธ มันต้องมีเบื้องลึกแน่ๆ

"เปล่า... มีคนเอามาฝาก"
จิณณ์บอกก่อนจะย่นจมูกแต่ไม่ยอมสบตากัน ผมได้แต่ขมวดคิ้วเพราะคิดไม่ออกว่าใครคนไหนจะเอามาฝาก

"ใคร"
ผมถามกลับไปแล้วแอบสังเกตปฏิกิริยาตอบรับของจิณณ์ มันลุกลี้ลุกลนแปลกๆ เหมือนกำลังพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง ท่าทางแบบนี้มันยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ให้ทวีคูณ

"กินๆ ไปเหอะน่า อย่าถามมาก"
มันบอกปัดก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินหนีเข้าห้อง ผมรีบตามไปคว้าไหล่เพราะจิณณ์กำลังปิดบังอย่างแน่นอน ปกติแล้วถ้าถามเขาก็จะตอบทันที แค่เรื่องใครเอาของกินมาฝาก ทำไมต้องทำเหมือนลักลอบคบชู้ลับหลังผัวแบบนี้

"มึงปิดบังอะไรอยู่วะจิณณ์"
ผมถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จิณณ์สะบัดตัวให้ไหล่หลุดออกจากการเกาะกุม ใบหน้าหล่อหันมาเบะปากใส่กันก่อนจะตอบด้วยท่าทางหงุดหงิด

"ไอ้ไธเอามาฝาก"
มันตอบเสียงแข็งแล้วทำหน้าตาเหมือนไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่โดนซักถาม ผมถึงกับขมวดคิ้วแน่นเนื่องจากเหตุการณ์นี้แปลก ทำไมอยู่ๆ จิณณ์ถึงใจดีรับของฝาก และทำไมไอ้ไธถึงกล้าเอาของมาฝาก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่ยอมขึ้นมาเหยียบชั้นสามเลย

"หื้อ ญาติดีกันแล้วเหรอ"
ด้วยความสงสัยเลยถามออกไปตรงๆ ก่อนจะเหล่สายตามองพี่ชายอย่างจับผิด หรือว่าไอ้ไธเริ่มดำเนินแผนการจีบแล้วแต่ไม่ได้บอกผม จิณณ์ก็ดูเหมือนจะอ่อนลง

"เปล่า"

"อ้าว แล้วรับของมาจากมันแบบนี้ได้ไง"
ผมงงกับคำตอบของจิณณ์ ไม่ได้ญาติดีแต่หน้าด้านรับของฝากอย่างนั้นเหรอ นี่มันตลกเกินไปแล้ว จิณณ์ต้องมีอะไรปิดบังแน่ๆ ไอ้ไธร้ายกาจ ขอถอนคำพูดว่ามันป๊อด

"กูเห็นแก่กิน พอใจยัง!"
มันตะโกนจบก็เดินตึงตังออกไปจากห้อง ทำให้ผมได้แต่มองตามด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย คั้นความจริงจากจิณณ์ไม่ได้ รายต่อไปก็ไอ้ไธล่ะวะ เตรียมตัวไว้เลยมึง!

"หึหึ"

ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมานั่งกินอาหารเช้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข อีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้เจอหมอทาวน์แล้ว หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น... ไอ้ฟาร์มคงไม่พลาด มันเป็นมืออาชีพในการต้อนสาวๆ มาติดกับ ไม่มีทางจะไปนั่งจ๋องแบบไม่มีจุดหมายแน่ๆ

"ยิ้มอะไรนักหนาน้องกู"
จิณณ์ถามขึ้นในขณะที่เอื้อมมือมาดีดหน้าผากกัน ผมผงะถอนหลังแล้วตีสีหน้าบึ้งใส่ อยู่ๆ ก็ทำร้ายคนอื่น อะไรของมันวะ

"มีความสุขก็ต้องยิ้มปะวะ ยุ่งจริง"
ผมบ่นแล้วจิ้มติ่มซำใส่ปากอีกลูก ในจังหวะที่เคี้ยวหงุบหงับจิณณ์ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดแล้ววางลงที่เดิม คุยกับใครตั้งแต่เช้า ต่อมเผือดเริ่มทำงานอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะปกติจิณณ์จะไม่ตอบไลน์ใครระหว่างกินข้าว คนๆ นี้ต้องมีความสำคัญระดับหนึ่ง

"เออ แดกไวๆ กูจะได้ล้างจาน"
เหลือบตามาสั่งแล้วจิ้มติ่มซำใส่จานผมหลายลูก จะขุ่นให้อ้วนเป็นหมูเพราะอิจฉาซิกแพคคนอื่นแน่ๆ ร้ายนักนะจิณณ์

"สั่งจริงแม่"

"กูเป็นผู้ชาย"
จิณณ์ว่าเสียงเขียวก่อนจะเอื้อมมือมาดีดหน้าผากกันอีกรอบแต่คราวนี้ผมหลบได้ ใครจะโง่ให้โดนซ้ำสอง ไม่มีทาง

"ก็นิสัยมึงเหมือนแม่"
จิณณ์หน้าง้ำลงทำเสียงฮึดฮัดเพราะโดนขัดใจ ต้องบอกว่านิสัยมันถอดแบบแม่มา แล้วอีกอย่างในอนาคตอาจจะมีสามีเป็นตัวเป็นตน... ไอ้ไธไม่มีทางเป็นรับแน่ๆ เชื่อเถอะ

"เออ ไม่เถียงกับมึงแล้ว"
สุดท้ายคุณพี่ชายก็ยอมโบกธงขาวยอมแพ้ เพราะมันคือเรื่องจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง

ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วลุกขึ้นบิดซ้ายบิดขวาไล่ความเมื่อยขบ ใกล้ถึงเวลานัดกับไอ้ฟาร์มแล้ว ตอนแรกว่าจะลากไอ้ไธไปด้วยกันแต่ติดที่พี่แทนหอบผ้าหอบผ่อนมาค้างด้วย ก็เลยปล่อยมันให้เป็นทาสไป ค่อยเจอกันที่มหา'ลัยทีหลัง

"กูจะไปมหา'ลัยแล้วนะ"
ผมบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ กุญแจมอ'ไซต์และกระเป๋าสตางค์มาถือไว้แล้วเหลือบมองจิณณ์ที่กำลังนั่งดูรายการทีวีด้วยความเพลิดเพลิน เห็นแบบนี้เลยแอบเบะปากใส่ สบายเหลือเกินพ่อคุณ น้ำท่าก็ไม่ยอมอาบ

"มึงมีเรียนตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ นี่เพิ่งจะสิบโมง"
จิณณ์เหลือบมองนาฬิกาติดพนังแล้วจ้องอย่างจับผิด ปากมันยังเคี้ยวขนมหงุบหงับ ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจ จะไปมหา'ลัยเร็วสักวันน้ำคงไม่ท่วมหรอกน่า

"นัดไอ้ฟาร์มเอาไว้"

"อ๋อ แล้วตอนเย็นไปดูแข่งบาสฯ ปะวะ"

"ไปมั้ง ถามทำไม"
ผมตอบแล้วเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ปกติจิณณ์ไม่ถามอะไรซอกแซกเท่าไหร่ว่าเรียนเสร็จจะไปไหนต่อหรือเปล่า วันนี้มาแปลก ตั้งแต่ทำท่าจะญาติดีกับไอ้ไธแล้ว

"ได้ข่าวว่าคณะมึงตกรอบไปแล้ว"
จิณณ์เหล่สายตามองแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินวนรอบๆ ตัวผม ไม่รู้ทำไปเพื่ออะไร แต่แบบนี้มันน่ารำคาญ เวียนหัวเว้ย

"เออดิ เดินจงกลมหรือไง"
ผมแอบเหน็บมันแล้วเลิกมองตามเพราะรู้สึกมึนหัวเข้าแล้วจริงๆ กลัวอาหารเช้าจะออกมากองข้างนอก เสียดายของ

"แล้วจะไปเชียร์ใครวะ"
มันหยุดเดินแล้วจ้องหน้ากันอย่างคาดคั้น สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยและแอบคาดหวังอะไรบางอย่าง ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าจิณณ์ต้องการอะไร หรือไปรู้อะไรมา

"ไอ้นี่ ถามซอกแซกจริง กูจะเชียร์ใครก็เรื่องของกูน่า"
ผมบอกปัดเพื่อตัวเองแล้วก้าวขาไปใส่รองเท้าที่หน้าประตู หูได้ยินเสียงจิณณ์เดินตามมาติดๆ แถมยังมีกลิ่นตุๆ ด้วย สงสัยไม่ได้สระผมแน่ๆ

"ไปเชียร์เด็กคณะแพทย์เหรอวะ"
จิณณ์ถามด้วยน้ำเสียงสดใสแถมยังกระแซะไหล่กันจนน่ารำคาญ ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่แล้วแถมด้วยตบหัวไปหนึ่งที บ้าอะไรของมึง ทำกูตกใจรู้บ้างไหม!

"ทำไมคิดงั้น"
ผมแสร้งถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วตั้งใจใส่รองเท้าผ้าใบคู่เก่ง แกล้งนั่งลงผู้เชือกรองเท้าใหม่ทั้งๆ ที่แบบเก่าก็ยังแน่นหนาดี จิณณ์ทำเสียงจิ๊จ๊ะเหมือนเด็กโดนขัดใจแล้วใช้ปลายเท้าแตะก้นเบาๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ เดี๋ยวพ่อจะตดให้หนีไม่ทันเลยแม่ง กวนกันจริงๆ

"เจ็ทชอบพี่เมืองเหนือเหรอ"
มันถามพร้อมด้วยเอื้อมมือมาดึงแก้มกันเพื่อหยอกล้อ ผมปัดมือจิณณ์ทิ้งด้วยความรำคาญแกมตกใจแต่พยายามไม่แสดงออก ทำไมถึงรู้ได้วะ จำได้ว่าบอกแค่พี่แจมกับไอ้ไธ...

"ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน"

"ตอบมาก่อน"
วิญญาณความเป็นแม่เข้าสิงเพราะมันใช้แววตาคาดคั้นคำตอบ ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วตอบไป จะได้จบเรื่อง ขี้เกียจโดนเซ้าซี้

"เออ กูชอบหมอทาวน์"

"แม่งเอ้ย ทำไมตอนทำข้อสอบไม่แม่นแบบนี้วะ"
มันถอยหลังออกไปในขณะที่ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าแสดงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง

"มึงจะไม่ตกใจหน่อยเหรอที่น้องมึงชอบผู้ชาย"
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงเพลียๆ ไม่รู้ว่าตรรกะความคิดของจิณณ์คืออะไร ทำไมเลือกตกใจที่น้องชอบหมอทาวน์แต่กลับทิ้งประเด็นเรื่องเขาเป็นผู้ชายไป

"จะให้กูร้องว๊ายแสดงอาการตกใจด้วยปะ"
มันพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วกรีดมือไปมาอย่างน่าถีบ เห็นแล้วอยากจะถ่ายรูปประจานลงเฟซบุคฉิบหาย ให้แฟนคลับเลิกคลั่งไคล้คนปัญญาอ่อนสักที

"สัด กวนตีน"

"ไม่อารมณ์เสียดิ"
จิณณ์บอกเสียงอ่อยแล้วดึงแขนผมไปกอดเอาไว้แน่นเป็นการอ้อน อยากโมโหแต่ทำไม่ลงเพราะมันตลก

"เออ ถามจริงเหอะ ไม่ตกใจเหรอที่กูชอบผู้ชาย"

"ตกใจดิ ตอนแรกที่รู้มือสั่นไปหมด อยากจะถามว่ามึงบ้าไปแล้วเหรอ สติมีหรือเปล่า แต่สุดท้ายกูก็คิดได้ว่าจะเพศไหนมันไม่สำคัญ ขอแค่รักกันก็พอ ไม่ใช่ว่ามีแฟนเป็นผู้หญิงจะอยู่ด้วยกันยืนยาวซะหน่อย"
ระหว่างที่เล่ามันทั้งขมวดคิ้วทั้งเบะปากสารพัดท่าทาง แต่จบลงด้วยรอยยิ้มจริงใจที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาในช่วงนี้ จิณณ์ยืนยันแล้วว่ามันไม่รังเกียจและยอมรับจากหัวใจไม่ใช่เสแสร้งเพื่อผม

"โห ดูดีมากพี่กู ขอบคุณที่เข้าใจ"
ผมดึงมันเข้ามากอดแล้วหอมขมับไปหนึ่งที จิณณ์ทำหน้าขยะแขยงแต่สุดท้ายก็หยุดยิ้มออกมา

"เออ ขอให้มึงจีบพี่เขาติด กูเอาใจช่วย"
ผมว่ากำลังใจจากคนในครอบครัวมีค่าที่สุดในโลกเลยล่ะ

ผมซิ่งมอ'ไซต์มาถึงมหา'ลัยตอนสิบโมงครึ่ง ใช้เวลาหาตัวไอ้ฟาร์มอยู่ประมาณห้านาทีเพราะมันมัวแต่สลัดสาวๆ สี่คนอยู่ที่ลานคณะ สงสัยจะจริงจังกับพี่ฟามาก ขนาดยอมทิ้งภาพลักษณ์ป๋าสายเปย์ไปเลย ก็ยินดีกับเพื่อนที่เจอคนในฝันและเลิกนิสัยพ่อปลาไหลได้สักที

"ฟาร์ม รอนานไหมมึง"
ผมถามมันด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเหลือบตามองไปทางอดีตผู้หญิงในสต็อกของมันที่นั่งหน้าง้ำหน้างออยู่ไม่ไกล ไอ้ฟาร์มหันมาถลึงตาใส่กันทันที เมื่อครู่โดนดึงทึ้งยิ่งกว่าสิ่งของ ดีนะไม่แขนขาดขาขาดแบบตุ๊กตา

"รอไม่นาน แต่แม่งเหนื่อย ไปกันเลยปะ"
ไอ้ฟาร์มต้นประโยคพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด แต่ท้ายประโยคกับร่าเริงเหมือนคนเป็นไบโพล่า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ไม่มีใครตามทัน แต่เป็นผมคงไม่ต่างกัน เพราะเป้าหมายต่อไปมันชุ่มชื่นหัวใจเหลือเกิน

"รีบจังวะ เพิ่งสิบเอ็ดโมง"
แต่ผมก็ยังไว้ลายทำเป็นไม่รีบร้อน ท่าออกอาการอยากเจอเข้ามากก็ขี้เกียจจะโดนเพื่อนล้อ อีกอย่างคือไม่รู้ว่าหมอพักเที่ยงตอนกี่โมงด้วย ให้ไปนั่งแกร่วรอกลางโรงอาหารคณะแพทย์คงกลายเป็นแกะดำ ที่นั่นเข้าใส่กางเกงยีนส์ซะเมื่อไหร่

"ไม่รีบได้ไง พี่ฟาพักครึ่งชั่วโมง"
ไอ้ฟาร์มบอกด้วยน้ำเสียงรีบร้อน ขาทั้งสองข้างก้าวไปยังลานจอดรถโดยไม่รีรอทำให้ผมต้องตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตกใจก็ตกใจ แปลกใจก็แปลกใจ เด็กแพทย์นี่ตายเพราะข้าวติดคอบ้างปะวะ พักครึ่งชั่วโมง แค่เดินหาที่นั่งก็หมดเวลาแล้ว

"สัด จริงดิ กูไม่ได้ดูตารางเรียน"
ในระหว่างที่เดินไปลานจอดรถผมก็ดึงกระเป๋าเป้มาล้วงหาตารางเรียนของหมอทาวน์ที่พกไว้ตลอด กระดาษแผ่นนั้นยืนยันว่าเด็กคณะนี้พักครึ่งชั่วโมงวันนี้จริงๆ

"โว๊ะ จะจีบเด็กแพทย์แต่ไม่เตรียมพร้อมห่าอะไรเลย คงสมหวังหรอก"
ไอ้ฟาร์มหันมาบ่นด้วยใบหน้ามูทู่ก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ ส่วนผมก็ตามไปติดๆ เพราะเกรงว่าจะโดนทิ้งไว้ตรงนี้ คณะแพทย์ออกจะไกล ไม่อยากถ่อสังขารไปเอง

"เออๆ บ่นจริง"
ผมบ่นอุบอิบก่อนที่รถจะพุ่งตัวออกจากลานอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ทันตั้งตัวอาจหัวโนเป็นลูกมะนาวไปแล้วก็ได้

โรงอาหารคณะแพทย์เต็มไปด้วยนักศึกษาที่แต่งตัวเรียบร้อยถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมมองคนข้างกายสลับกับตัวเองอย่างปลงชีวิต แกะดำสุดๆ นี่ต้องตกเป็นเป้าสายตาจริงๆ ใช่ไหม แต่เพื่อรักอันสวยงามจะทำหน้าด้านหน้าทนไม่สนใจใครทั้งนั้น

"เจ็ท..."
ไอ้ฟาร์มเรียกก่อนจะเงียบไปเพราะเรากำลังมองหาที่นั่ง คนเยอะก็จริง แต่มันไม่ได้แน่นขนัดเหมือนคณะสถาปัตย์สักเท่าไหร่

"อะไร"
ผมถามกลับไปก่อนจะก้าวเท้าเร็วๆ ไปที่โต๊ะว่าง ไอ้ฟาร์มไม่รอช้าที่จะตามมาติดๆ ยิ่งกว่าคนเจอสมบัติล้ำค่า

"ตกลงมึงจะจีบใคร ยังไม่ได้บอกกูเลยนะ"
คำถามของมันทำให้ผมชะงักกึก แทนที่ไอ้เสือผู้หญิงจะรู้เป็นคนแรกๆ เพราะช่างสังเกตสิ่งรอบตัว กลายเป็นว่าไม่รับรู้อะไรเลย

"อ้าว กูนึกว่ามึงรู้แล้วซะอีก"
ผมร้องเสียงหลงด้วยความแปลกใจ แต่ไอ้ฟาร์มดันยกมือตบหัวกันเพราะผมหยุดเดินแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนมันเดินชน

"กูจะไปรู้ได้ไง มึงไม่เคยบอก"
แล้วมันก็เดินผ่านไปทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะว่าง ปล่อยให้ผมยืนมึนงงกับสถานการณ์เมื่อครู่ แม่ง โดนตบหัวในขณะที่เบลอๆ ทำให้ไม่มีสติจะเอาคืนจริงๆ ด้วย เสียเปรียบชะมัด

"อ๋อเหรอ นึกว่าดูรูปในไอจีกูก็รู้เลยซะอีก"
ผมบ่นพึมพำก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม ไอ้ฟาร์มชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจ้องหน้ากันตาวาว คงคิดออกแล้วมั้งว่ารูปไหน...

"เดี๋ยว... หมายถึงรูปคลุกวงในอะไรนั่นน่ะเหรอ"
น้ำเสียงที่ถามกลับมาให้ความรู้สึกประหลาดใจปนตกใจ หัวคิ้วของมันขมวดจนหน้าผากย่น หน้าตาตลกจนผมต้องกลั้นขำ

"เออ"

"เฮ้ย... อย่าบอกนะว่ามึงจะจีบพี่ฟา ของกูนะ!"
มันร้องตะโกนเสียงดังลั่นจนผมต้องเอื้อมมือไปปิดปากด้วยความตกใจ นึกศึกษารอบๆ หันมามองด้วยแววตาตำหนิ หาเรื่องตายแล้วไหมล่ะ

"จะเสียงดังหาเตี๋ยมึงเหรอ ไม่ใช่เว้ย"
ผมด่าเสียงรอดไรฟันก่อนจะปล่อยมือออก เพราะไอ้ฟาร์มเริ่มทำท่าคล้ายกำลังขาดอากาศหายใจ ขอโทษเถอะที่ตั้งใจปิดทั้งปากทั้งจมูก พอดีหมั่นไส้ไปหน่อย

"พี่แฮมเหรอ"
มันถามต่อเมื่อปากเป็นอิสระ ผมได้ยินแบบนั้นเลยเบิกตาโต ไอ้ฟาร์มเอาสมองส่วนไหนคิดว่าเป็นพี่แฮมวะ รายนั้นสนใจใครนอกจากของกินบ้าง วันๆ เห็นชีวิตมีแต่ขนม เคยเจอแคปชั่นในไอจีของเขาประมาณว่า 'รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่กิน' ด้วย ชาตินี้คงแต่งงานกับสารพัดอาหารบนโลก

"โอ้ย จีบพี่แฮมกูคงจนอะ แดกเยอะขนาดนั้น ไม่ไหวๆ"
ผมปฏิเสธก่อนจะโบกมือรัวๆ ถึงพี่แฮมจะหน้าตาดี หุ่นดี แต่คิดถึงตอนเขามีความสุขกับขนมแล้วไม่อยากเข้าไปแทรกกลางว่ะ

"หึ งั้นพี่ทาวน์สินะ เล่นของสูงฉิบหาย เป็นเดือนมหา'ลัย แถมเพิ่งเลิกกับแฟน อูย ศัตรูเป็นล้าน!"
ไอ้ฟาร์มทำตาโตใส่กันด้วยความกวนตีน จะล้อเลียนอะไรช่วยดูหน้าเพื่อนบ้างได้ไหม หัวใจผมฝ่อจนแทบเหลือเท่าเมล็ดถั่วเขียว ศัตรูเป็นล้านแถมเพศสภาพต่างกันลิบลิ่ว แววแดกแห้วมาแต่ไกลเลยว่ะ

"ห่านี่! ให้กำลังใจกูบ้าง"
ผมเอื้อมมือไปตบหัวเพื่อนเพื่อกลบเกลื่อนความสั่นไหวของจิตใจ ถึงจะได้กำลังใจมาจากใครมากเท่าไหร่ แต่เจ้าตัวเขาไม่ให้ความหวังทุกอย่างก็ดูเหมือนไร้ประโยชน์ ตอนนี้เพิ่งรู้สึกว่าเกิดเป็นผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน เพราะมีแนวโน้มชนะใจหมอทาวน์ได้ไม่ยาก

"เรื่องกูยังเอาตัวเองไม่รอดเลย จะให้กำลังใจใครได้"
ไอ้ฟาร์มเปลี่ยนสีหน้าจากร่าเริงเป็นอมทุกข์ เพราะการเริ่มต้นจีบผู้ชายแมนๆ คนหนึ่งทำได้ยากนัก เกิดไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีอาจจะโดนต่อย ไม่ก็โดนกระทืบกลับมา ทุกอย่างต้องดำเนิน ใช้วิธีการแทรกซึมไปเรื่อยๆ ไม่ผลีผลามเด็ดขาด

"สู้นะ"
ผมให้กำลังใจตัวเองพร้อมๆ กับให้กำลังใจเพื่อน ความรักครั้งนี้ผลจะออกมายังไงก็สุดแล้วแต่หัวใจอีกฝ่าย ถ้าเกิดสำเร็จคงดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็คงเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดี ว่าครั้งหนึ่งเคยพยายามเพื่อใครบางคนจนสุดความสามารถแล้ว

ไอ้ฟาร์มอาสาเดินไปซื้อข้าวให้ ส่วนผมนั่งเฝ้าโต๊ะพร้อมกับเล่นโทรศัพท์ฆ่าเวลา ไอจีพี่ฟาอัพเดทเป็นรูปชีทเรียนตั้งใหญ่เกี่ยวกับระบบร่างกายต่างๆ แคปชั่นด้านล่างทำให้มุมปากยกยิ้ม 'ต้มกินได้ไหมวะ เยอะสัด' พร้อมกับแท็กเพื่อนสนิทอีกสองคน ขนาดเป็นว่าที่หมอยังบ่น คนทั่วไปไม่บ่นคงแปลก (พวกเขาไม่ได้ฟอลไอจีผมกลับหรอก)

"ไอ้เจ็ท ข้าวมาแล้ว ~"
เสียงไอ้ฟาร์มส่งเสียงร่าเริงก่อนจะยื่นจานข้าวมันไก่มาให้ ผมรับแล้วมองหน้าเพื่อนด้วยความฉงน ไปอารมณ์ดีมากจากไหน ยิ้มอย่างกับเจอคนที่ชอบ

เดี๋ยวนะ... หรือมันเห็นพี่ฟาแล้ววะ หมอทาวน์ล่ะ มาด้วยไหม อยู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

"หน้าบานเชียวนะมึง"

"แน่นอนเหอะ พี่ฟาโผล่มากินข้าวแล้ว เมื่อกี้เห็นสั่งก๋วยเตี๋ยวอยู่ ฮึ่ย น่ารักฉิบหาย"
มันทำท่ามันเขี้ยวแล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้ามีความสุข ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางเพ้อฝันนั่น นานๆ ครั้งจะเห็นไอ้ฟาร์มเป็นแบบนี้ ความรักทำให้คนเปลี่ยนไปได้จริงๆ

"น้องครับ พี่ขอนั่งด้วยได้ปะ พอดีที่มันเต็มอะ"
ไม่ทันจะได้โต้ตอบเพื่อนกลับไปก็มีเสียงใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับพี่ฟาและเพื่อนอีกสองคนยืนถือชามก๋วยเตี๋ยวอยู่ด้านหลังไอ้ฟาร์ม ดวงตาคมเบิกค้างเพราะไม่คิดไม่ฝันว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแบบนี้ โอย หัวใจเต้นแรงฉิบหาย

"ได้ครับ นั่งเลยๆ"
ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงรัวๆ ก่อนจะส่งยิ้มหวานเจาะจงไปให้หมอทาวน์ เขาพยักหน้าแล้วเดินอ้อมมาทิ้งตัวลงข้างๆ ปล่อยให้พี่ฟากับพี่แฮมนั่งเบียดกับไอ้ฟาร์ม

เพื่อนผมเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา คงช็อกจนกู่ไม่กลับ เห็นปากดีเพ้อถึงเขาอย่างนั้นอย่างนี้แต่สุดท้ายก็ป๊อดไม่แพ้ไอ้ไธ แค่อ้าปากทักทายยังไม่ทำ

"อ้าวมึง ทำไมมากินข้าวถึงนี่วะ"
พี่ฟาเหมือนจะเพิ่งสังเกตว่าเป็นผมเลยถามขึ้น ใบหน้าหวานขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"อ๋อ... พะ พอดีแวะมาหาเพื่อนครับ"
ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักแล้วจ้วงข้าวมันไก่ใส่ปากแก้เขิน ตอนแรกว่าจะแอ๊บนิ่งแล้วเชียว โดนถามแบบนั้นถึงหับไปไม่เป็นเลยทีเดียว

"อ๋อ เออๆ ไว้ไปเล่นบาสฯ กันอีกนะ"
คำเชิญชวนของเขาทำให้ผมพยักหน้ารับด้วยความยินดี ได้ไปคลุกวงใน เอ้ย เล่นบาสฯ กับพวกเขาก็สนุกดี นานๆ ครั้งจะมีโอกาสเจอหมอทาวน์ต้องรีบคว้าไว้ก่อน

ไอ้ฟาร์มกลายเป็นคนเงียบเรียบร้อยขึ้นมาทันตาเห็น พอพี่ฟาเอ่ยทักมันก็เอาแต่ยิ้มและจ้วงข้าวใส่ปากโดยไม่พูดอะไรออกมา นิสัยอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้จากมันคืออยู่ใกล้คนที่ชอบแล้วเขินหนักมาก เสียภาพพจน์อดีตป๋าฟาร์มสายเปย์ฉิบหาย

ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วปล่อยเพื่อนไปตามเวรกรรมก่อนจะเริ่มคิดหาวิธีชวนคนข้างๆ คุย เริ่มจากอะไรดีวะ ทักทายก่อนแล้วกัน ถึงจะดูช้าไปหน่อยก็เถอะ

"สวัสดีครับพี่หมอทาวน์"
ผมทักทายเขาด้วยเสียงที่พอจะได้ยินกันแค่สองคน ดวงตาคมเหลือบมองคนข้างกายที่เอาแต่จ้วงเส้นบะหมี่เข้าปาก สงสัยจะรีบไปเรียนต่อ

"อืม"

"ชอบกินเส้นเล็กเหรอครับ"
ผมยังไม่ละความพยายามในการถามต่อ ไม่อยากได้คำตอบ แต่อยากคุยกับเขานานๆ โดยที่พยายามควบคุมสติไม่ให้หลุด หรือเผลอทำอะไรให้เจ้าตัวระแวง จังหวะนี้ต้องดำเนินการอย่างช้าๆ ไม่วู่วาม

"ได้หมด"
หมอยังคงตอบสั้นตามแบบฉบับคนพูดน้อย แต่ผมกลับกลั้นยิ้มจนปวดแก้มเพราะรู้สึกดีที่เขาไม่แสดงอาการหงุดหงิดหรือทำสีหน้าไม่พอใจ วันนี้คงอารมณ์ปกติ

"ผมชอบกินเส้นใหญ่ล่ะ แต่โคตรคีบยากเลย"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ แล้วตักข้าวใส่ปากอีกครั้ง เวลานี้คงเป็นเวลาที่อาหารลดอย่างเชื่องช้า เนื่องจากว่าดวงตาคอยเหลือบมองคนข้างกายไม่หยุดหย่อน สมาธิจะกินไม่มีเลย

"ต้องใช้ช้อนส้อม"
หมอทาวน์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย แต่มันเหนือความคาดหมาย ผมไม่คิดว่าเขาจะยอมคุยเรื่องไร้สาระด้วย ตอนนี้การกลั้นยิ้มเลยเป็นไปได้ยาก ปวดแก้มหมดแล้ว

"เออใช่ ผมนี่โง่เนอะ"
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้น มีความสุขยามได้พูดคุย มีความสุขยามได้เห็นหน้า ต่อไปผมคงเป็นคนโลภมากที่อยากมีเขาอยู่ข้างๆ

หลังจากบทสนทนาของพวกเราจบลงก็ได้ยินพี่ฟากับพี่แฮมบ่นเรื่องวิชาเรียนเมื่อครู่โดยมีไอ้ฟาร์มทำหน้าตาสนอกสนใจอยู่เงียบๆ เพื่อนผมกลายเป็นคนเรียบร้อยจนน่าขำ พฤติกรรมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า โธ่ น่าสงสาร เจอเขาแล้วป๊อด เมื่อไหร่จะคืบหน้าล่ะ

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้วแต่พวกนักศึกษาแพทย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนย้ายออกจากโต๊ะ ผมไม่กล้าถามละลาบละล้วงเพราะเดี๋ยวไก่อย่างหมอทาวน์ตื่น หรือว่าคลาสบ่ายยกเลิกนะ

"ทาวน์"
อยู่ๆ พี่ฟาที่มองซ้ายมองขวาชมนกชมไม้ไปเรื่อยก็เรียกคนที่นั่งไถโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก หน้าตาเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดจนผมมีลางสังหรณ์ว่าต่อไปคงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

"ว่า..."
หมอทาวน์เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์พร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"พรีมกำลังเดินมาทางนี้"
พี่ฟาบุ้ยปากไปในทิศทางที่มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา เธอผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ใส่กระโปรงพีทเหนือเข่า ผมยาวสีดำสลวย ดูๆ ไปโคตรเหมาะกับหมอทาวน์จนนายภาคินได้แต่นั่งเม้มปากแน่น จะมีทางไหนที่สามารถเอาชนะใจเขาได้บ้างนะ

"ช่างเขา"
คำตอบแบบไร้เยื่อใยและไร้อารมณ์ความรู้สึกทำให้ผมได้แต่กังวลว่าจริงๆ แล้วข้างในหมอทาวน์เป็นแบบไหนกันแน่ ด้วยนิสัยที่นิ่งขรึม มันไม่สามารถคาดเดาได้เลย

"ไม่เป็นไรแน่นะมึง"
พี่ฟาถามย้ำเพื่อความแน่ใจก่อนจะยื่นมือมาตบบ่าเพื่อนคล้ายให้กำลังใจ ส่วนพี่แฮมมองด้วยสายตาเป็นห่วงทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเคี้ยวขนมอยู่ในปาก ผมกับไอ้ฟาร์มได้แต่สบตากันเงียบๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคน สถานการณ์ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ก็สุดแล้วแต่โชคชะตา

"อืม"
เขาครางรับในลำคอก่อนจะกลับไปสนใจโทรศัพท์เหมือนเดิม ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร ผมลอบถอนหายใจแต่ต้องชะงักเมื่อเงาของใครบางคนทาบทับลงมาที่เราทั้งสองคน หางตาเห็นผู้หญิงคนเมื่อครู่ยืนอยู่ด้านหลัง งานเข้าแล้วว่ะ...

"พี่ทาวน์กำลังเข้าใจพรีมผิดนะคะ เราต้องคุยกัน"
เธอเข้าประเด็นทันทีแบบไม่อ้อมค้อม ทุกคนในโต๊ะหันมองรวมทั้งคนอื่นๆ ยกเว้นหมอทาวน์ที่ยังนิ่งและไม่สนใจพรีม เหมือนไร้ตัวตนเป็นอากาศธาตุสำหรับเขา

"....."

"พี่ทาวน์อย่าเงียบใส่พรีมแบบนี้นะ หันมาคุยกันสิคะ"
เธอเริ่มกระชากเสียงแล้วจับไหล่ของหมอทาวน์เพื่อบังคับให้เขาหันมาสนใจ และมันสำเร็จ ดวงตารีเหลือบมองก่อนที่มือเรียวจะปัดการสัมผัสของพรีมทิ้งอย่างไม่ใยดี

"รำคาญ"
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นแบบไม่คาดคิดจนทุกคนถึงกับชะงักแล้วเบิกตาโตเพราะไม่คิดว่าหมอทาวน์จะแสดงท่าทางแบบนั้นกับผู้หญิง

"ว่ายังไงนะคะ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เราเป็นแฟนกันนะ"
พรีมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เธอกำมือแน่นอย่างอดกลั้นอารมณ์ น้ำเสียงที่ใช้สั่นเครือไม่ใช่เพราะกำลังจะร้องไห้แต่เพราะกำลังโกรธต่างหาก

"แฟน เก่า"
หมอทาวน์ย้ำชัดทุกคำแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเผชิญหน้ากับคู่กรณี โต๊ะอื่นๆ เริ่มหันมาสนใจอีกครั้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังมีปัญหากันคือใคร คนดังมักเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก เรื่องส่วนตัวก็เหมือนเรื่องส่วนรวม ทำอะไรก็โดนจับตามอง

"พี่ทาวน์! พรีมยังไม่ได้ตกลงจะเลิกกับพี่นะ พี่กำลังเข้าใจผิดเรื่องพรีมกับธี"
เธอตะโกนลั่นโดนไม่เกรงใจคนอื่น สีหน้าของหมอทาวน์ยังนิ่งเรียบเช่นเคย แถมยังส่งสายตาปรามพี่ฟากับพี่แฮมที่ทำท่าจะข้ามโต๊ะมาห้าม ผมได้แต่นั่งมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความกังวล ไม่กล้าสอดมือเข้าไป เพราะเรื่องความรัก เรื่องหัวใจเป็นเรื่องของคนสองคน แต่นี่มันกลางโรงอาหาร พรีมไม่รู้เลยหรือว่าอีกแค่เดี๋ยวเดียวจะดังไปทั้งมหา'ลัย

"อย่าโกหก พอเถอะ"
หมอทาวน์มองหน้าพรีมเขม็ง ลมหายใจถูกพ่นออกมาแรงๆ ด้วยความหงุดหงิด ถ้าเขาเป็นคนใจร้อน ป่านนี้เรื่องคงแย่กว่าที่เป็นอยู่ ผมอยากขัดจังหวะแต่ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเขาห้าม เราก็ควรเงียบ

"ทำไมพี่ไม่เชื่อพรีมคะ"
เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วขยำเสื้อนักศึกษาของหมอทาวน์จนเป็นรอยยับ สายตาที่เขาใช้มองพรีมช่างว่างเปล่าและเย็นชาอย่างน่ากลัว มือเรียวปัดการเกาะกุมนั่นทิ้งโดยไม่สนใจใครจะมองแบบไหน ผมเชื่อว่าความอดทนคงเดินมาสุดทางแล้ว

"พรีมอ้าขาให้มันไปกี่รอบ จำไม่ได้เหรอ"
เสียงกระซิบช่างแผ่วเบานั้น เชื่อว่าคนอื่นไม่ได้ยินแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจนจนเผลอเบิกตาโต พรีมไม่ได้แค่นอกใจแต่นอกกายด้วย ผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรกับหมอทาวน์เลยสักนิด

เพี๊ยะ!

"เฮ้ยคุณ! มันจะมากไปหรือเปล่าครับ"
ผมลุกพรวดขึ้นทันทีเมื่อเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้น ไม่รู้อะไรดลใจให้จับข้อมือของพรีมไว้แน่น ถึงเธอจะโมโหแค่ไหนก็ไม่ควรทำแบบนี้





ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 7 - P.1 (15/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-07-2017 16:12:41
ผมยอมรับว่าคำพูดของหมอทาวน์รุนแรงจนสามารถบันดาลโทสะได้ แต่ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง ใครที่ไหนจะกล้าพูดแบบนั้นกับคนที่เคยเป็นแฟน เธอก็แค่กลบเกลื่อนความผิดด้วยการโมโหใส่ น่าขยะแขยงจริงๆ

"แกเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วย คนเป็นแฟนจะคุยกัน!"
เธอตวาดและสะบัดแขนอย่างแรงแล้วมองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ผมปล่อยพรีมให้เป็นอิสระ ไม่ถือโทษโกรธอะไรที่โดยทำพฤติกรรมแบบนี้ใส่ เข้าใจดีว่าเมื่อมีคนอื่นเข้ามาวุ่นวายคงโมโหเป็นธรรมดา

"ผมว่าผมหูดีนะครับ พี่ทาวน์บอกว่าคุณเป็นแฟนเก่า"
ผมพูดออกไปตามที่ได้ยินหมอทาวน์บอก ตอนนี้ถึงจะโดนเขาโกรธที่เข้ามายุ่มย่ามก็ไม่สนแล้ว เพราะสังเกตจากท่าทางที่นิ่งไปและเอาแต่ก้มหน้า คงไม่ไหวจริงๆ

"แล้วยังไง แกเป็นใครมาจากไหน ถอยออกไปนะ ฉันจะคุยกับพี่ทาวน์!"
เธอออกแรงผลักอกผมจนเซถอยหลัง โทสะทำให้คนมีแรงกายเยอะขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัว ทุกคนออกอาการตกใจยกเว้นหมอทาวน์ที่ยังรักษาระดับความนิ่งเหมือนเดิม

เขาเงยหน้าขึ้นแววตาที่สบมองมาที่ผมนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจและทรมาน คล้ายกับวอนขอให้พาออกไปจากที่นี่สักที

"ผมไม่ให้คุยครับ พี่ไปกับผมเถอะ"
ผมบอกพรีมไปแบบนั้นแล้วเดินไปหาหมอทาวน์ก่อนจะถือวิสาสะจับข้อมือนั้นแล้วลากเขาออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัด ไม่มีการขัดขืน ไม่มีเสียงประท้วงใดๆ ถ้ากอดปลอบได้นายภาคินคงทำไปแล้ว

ผมเดินอย่างไร้จุดหมายจนมาถึงสวนหย่อมด้านหลังตึกแพทย์ ที่นี่เงียบสงบ ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านแถมอากาศเย็นสบายเพราะมีต้นไม้เยอะ หมอทาวน์ที่เงียบมาตลอดทางกระตุกข้อมือเบาๆ จนผมต้องผงะแล้วปล่อยเขาให้เป็นอิสระ เผลอจับมาได้ตั้งนาน อายฉิบหาย ดีนะที่ไม่โดนต่อย

"ขอโทษทีครับพี่หมอทาวน์"
ผมเอ่ยขอโทษแล้วหัวเราะเสียงแห้งตบท้าย หมอทาวน์ส่ายหัวช้าๆ เหมือนไม่ถือโทษโกรธอะไร เขาหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าแล้วกอดเข่าเหม่อมองไปด้านหน้า

"ทีหลัง..."
เขาพูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ทำให้ชะงักไปเล็กน้อยและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"หือ ว่าไงนะครับ"
ผมถามแล้วนั่งลงข้างๆ เขา หญ้าที่นี่แข็งจนทิ่มกางเกงสแล็คได้แต่หมอทาวน์ไม่ยักจะมีปฏิกิริยาอะไร

"เรียกแค่ทาวน์หรือเมืองเหนือก็พอ"
เขาบอกแล้วเหลือบมองกันก่อนจะหันไปมองเบื้องหน้าเช่นเดิม ผมได้แต่ขมวดคิ้วเพราะไม่ได้คาดคิดว่าหมอทาวน์จะพูดเรื่องนี้ แค่เรียกชื่อก็มีปัญหาเหรอ เผลอทำอะไรไม่ถูกใจไปบ้างล่ะ ไม่รู้ตัวเลย

"เรียกหมอก็ดีนา ไม่ชอบเหรอครับ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงหงอยๆ แล้วเหลือบมองคนด้านข้างแบบกล้าๆ กลัวๆ ถ้าเขาเกิดโมโหเหมือนวันนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเราคงพัฒนาได้ยาก

"ยังไม่ได้เป็น"
หมอทาวน์เฉลยด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ แต่ผมกลับเบาใจเพราะอาการแบบนี้คงไม่ได้โกรธที่โดนเรียกแบบนั้น หรือบางทีอาจเสียใจจนขี้เกียจตอบโต้เรื่องอื่น

"โอเคๆ พี่ทาวน์ก็พี่ทาวน์ครับ"
ผมตอบกลับแล้วคลี่ยิ้มบางให้ เขาหันมาพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบก่อนกระชับอ้อมแขนกอดเข่า ถึงสีหน้าจะเรียบเฉย แต่แววตาบ่งบอกว่าเสียใจ

"อืม"

ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาใหม่ แค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปช้าๆ และรับสายลมเอื่อยๆ ที่พัดเข้ามาปะทะร่างกาย บางครั้งแค่การมีใครนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ต้องมีคำปลอบโยน มันก็รู้สึกดีได้เหมือนกัน ผมคิดว่าพี่ทาวน์น่าจะชอบแบบนี้

รู้ว่ามันไม่ควรเท่าไหร่ที่ทำตัวเหมือนสนิท ถามนู่นถามนี่ แต่ด้วยความเป็นห่วงเสริมความอยากรู้ก็ทำให้หลุดปากพูดออกไปจนได้

"นี่... เมื่อกี้น่ะ เจ็บมากไหมครับ"

"โดนตบเหรอ... ไม่เจ็บหรอก"

"เปล่าครับ ผมถามถึงหัวใจน่ะ เจ็บมากไหม"

"....."
พี่ทาวน์เงียบไป ดวงตาสั่นไหวจนผมต้องเม้มปากแน่น ไม่น่าถามแบบนั้นออกไปเลย แผลสดขนาดนี้ไม่เจ็บก็แปลกแล้ว

"อยู่กับผมจะร้องไห้ก็ได้นะ ไม่เอาไปบอกใคร สาบานด้วยเกียรติของลูกเสือ"
ผมพูดต่อเพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันอึมครึมเกินไป พี่ทาวน์หันมาเลิกคิ้วมองกันก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วพยักหน้ารับคำ

"อืม ขอบใจ"

พี่ทาวน์เอนตัวนอนราบไปกับพื้นหญ้าโดนไม่สนว่าชุดนักศึกษาจะเปื้อนหรือไม่ ผมเหลือบมองเขาแล้วพบว่ากำลังหลับตาอยู่ คงเหนื่อยล้าจนอยากพัก

ดวงตาคมมองนาฬิกาข้อมืออย่างชั่งใจ เพราะตอนนี้ใกล้ถึงเวลาบ่ายโมงเข้าไปทุกที ผมมีเรียนต่อและสรุปเอาเองว่าอีกคนคงโดนยกเลิกคลาส ไม่อยากปล่อยเขาเอาไว้ตรงนี้คนเดียว

"ดีขึ้นหรือยังครับ"
ผมถามออกไป ไม่ได้หวังจะเอาคำตอบว่าดีหรือไม่ดี เพราะไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถพอจะทำให้คนอกหักสบายใจขึ้น ขนาดจิณณ์ยังเอาแต่อมทุกข์เป็นเดือนๆ แย่เนอะ ปลอบใครไม่เป็นจริงๆ

"อืม นิดหน่อย มึงจะไปไหนต่อ"
เขาตอบกลับก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วปัดเศษหญ้าเศษใบไม้ออกจากตัว ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกตื้อในอก มันดูเป็นธรรมชาติ ไร้ความเย็นชาแตกต่างจากพี่ทาวน์ในช่วงเวลาที่พบเห็นแบบปกติ

"ผมเหรอ มีเรียนตอนบ่ายครับ"
ผมตอบกลับไปแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจ แต่จังหวะนั้นสายตาดันเผลอไปเห็นเศษใบไม้ติดหัวพี่ทาวน์ และด้วยความมือไวเลยเอื้อมไปหยิบมันออกโดยลืมขออนุญาต ทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็กลับมาปกติ

"งั้นเดี๋ยวไปส่ง เรียนคณะไหน"
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วปัดกางเกงอีกครั้ง ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ นี่พี่ทาวน์จะไปส่งอย่างนั้นเหรอ โอย แต้มบุญเยอะขนาดนั้นเลยวะนายภาคิน แต่เกรงใจ...

"เฮ้ย ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมไปกับเพื่อน"
ผมรีบลุกขึ้นจนเซไปด้านข้างแต่สามารถทรงตัวได้ทัน เหน็บชาจะมาแดกขาอะไรตอนนี้วะ คนยิ่งตื่นเต้นอยู่

"คณะอะไร"
พี่ทาวน์ไม่ได้สนใจคำตอบเลยแม้แต่นิดเดียว เขายังคงถามในสิ่งที่อยากรู้แล้วล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง

"พี่ทาวน์ครับ..."
ผมเรียกเสียงอ่อนด้วยความเกรงใจ ไม่อยากให้เขาลำบากไปส่งที่คณะ เพราะระยะทางมันไกลหลายกิโลฯ

"ตอบ"
น้ำเสียงเย็นๆ มาพร้อมกับดวงตาดุทำให้ผมเผลอสะดุ้งยืนหลังตรงแล้วตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ตามใจเขาไปแล้วกัน

"สถาปัตย์ครับ"

"อืม ตามมา"
แล้วเขาก็เดินนำไปยังลานจอดรถคณะแพทย์โดยไม่หันหลังมาสนใจผมอีกเลย แต่ด้วยความเงียบเลยทำให้ตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกไป

"ขอโทษที่รบกวนนะครับ"

"ไม่เป็นไร"

รถเอสยูวีทะยานสู่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ภายในเวลาแค่ห้านาทีด้วยความตีนผีของพี่ทาวน์ล้วนๆ ระหว่างทางผมไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลยเพราะโทรศัพท์ของเขาเอาแต่ร้องดังลั่นไม่หยุด ไม่ต้องเดาให้เหนื่อยว่าใครจิกนอกจากพรีม เพราะไอ้ฟาร์มไลน์มาบอกว่าพี่ฟากับพี่แฮมไปรอเพื่อนที่หาสมุด

"หมอ เอ้ย พี่ทาวน์ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ"
ผมถามเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าคณะ คนแถวๆ นั้นหันมามองด้วยความสนใจ เพราะนานๆ ครั้งจะมีรถยุโรปมาเยือนสักที และบางคนคงจำได้ว่าเป็นรถของอดีตเดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว

"กูสบายดี"

"แต่... ผมเป็นห่วง"
ท้ายประโยคผมแทบจะพูดไร้เสียง แต่เหมือนคนข้างๆ จะได้ยินอย่างชัดเจนเพราะเห็นเขากระตุกรอยยิ้มเพียงเสี้ยวนาที

"หึ ลงไปได้แล้ว"
เขาเอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ซึ่งมันทำให้ผมแทบจะกลั้นยิ้มไม่อยู่ พี่ทาวน์เวอร์ชั่นแสดงอารมณ์น่ารักเป็นบ้า

"ครับๆ เอ้อ เย็นนี้พี่แข่งบาสฯ ใช่ไหม"
ผมถามกลับไปเมื่อนึกขึ้นได้ เย็นนี้คณะแพทย์มีแข่งบาสฯ รอบชิงชนะเลิศกับคณะวิทยาศาสตร์

"อืม"
เขาตอบรับในลำคอแล้วเลิกคิ้วขึ้นคล้ายสงสัยว่ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเปิดประตูลงจากรถแทน

"เดี๋ยวผมไปเชียร์นะ บ๊ายบาย"
ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วโบกมือลาพี่ทาวน์ก่อนจะเดินเข้าคณะด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข โดยไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งอยู่ในรถก็ส่งยิ้มบางตามมา




----------------------------------------------


น้องเจ็ทมีความคืบหน้านะเออ... ค่อยเป็นค่อยไปจะไม่นก (มั้ง) 555555
เรื่องนี้วางพล็อตไว้ 40 ตอนล่ะ จะงอกเงยมากกว่าหรือลดลงต้องลุ้นต่อไป

ปล. ไม่มีใครคอมเม้นท์เลย มันไม่สนุกเหรอ T^T จะติอะไรก็ได้นะ จะได้เอาไปปรับปรุง
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 8 - P.1 (17/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-07-2017 11:32:36
(http://i.imgur.com/uewJ15U.png)




"ให้ไวเลยพวกมึง บาสฯ จะเริ่มแข่งแล้ว"
ผมออกปากเร่งเพื่อนอีกสามคนที่ตกลงว่าจะไปดูแข่งบาสฯ ด้วยกัน แต่มันน่าขัดใจตรงที่ไอ้ฟาร์มเอาแต่ส่องกระจกเช็กความหล่อของตัวเอง ไอ้ตังค์มัวแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอแท็บเล็ต ส่วนไอ้ไธกดโทรศัพท์ยิกๆ พวกคุณช่วยรีบกันหน่อยไม่ได้หรือไง กว่าจะขับรถไปโรงยิมใช้เวลาหลายนาทีนะเว้ย เผลอๆ ชวดที่จอด นกไหมล่ะคราวนี้


"ขอเช็กหน้าตัวเองก่อนดิวะ เดี๋ยวเจอพี่ฟาแล้วเขาจะไม่ประทับใจ"
ไอ้ฟาร์มมุ่ยหน้าใส่แล้วบ่นกระปอดกระแปด ผมได้แต่ถอนหายใจกับความบ้าของมัน ตอนพี่ฟานั่งอยู่ข้างๆ เห็นเอาแต่เงียบ พอตอนนี้ทำพูดดี ไอ้กากเอ้ย น่าหมั่นไส้


"เขาไม่ประทับใจมึงหรอก เอาแต่นั่งอมดอกพิกุลอยู่ได้"
ผมตบหัวมันด้วยความหมั่นไส้แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะเลคเชอร์เพราะขี้เกียจรอ ขืนพิรี้พิไรอยู่อาจจะได้กลับไปนอนบ้านใครบ้านมัน


"โอ้ย ก็คนมันเขินนี่หว่า ให้ทำไง"
เสียงไอ้ฟาร์มโวยวายดังมาจากด้านหลังและเสียงฝีเท้าของคนสามคนที่ตามมาติดๆ ผมได้แต่กรอกตาอย่างเบื่อหน่ายเนื่องจากความเอื่อยเฉื่อยของเพื่อน ถ้ากูไม่ลุกพวกมึงก็จะไม่เคลื่อนย้ายใช่ไหม หอกหัก!


"เก่งแต่ปากนะมึง หัดทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง บอกจะจีบพี่ฟา พอถึงเวลาจริงๆ ทำเป็นเด็กไร้เดียงสา เห็นแล้วรำคาญลูกตา"
ผมไม่ได้ตั้งใจจะเหน็บเพื่อนแต่อยากทำให้มันมีความกล้ามากกว่านี้ ถ้าขืนยังเขินอายไม่เข้าท่า บางทีสิ่งที่มุ่งหวังไว้คงพังเอาง่ายๆ พี่ฟาเป็นคนน่ารักถึงจะขี้เหวี่ยงยังไงก็มีคนตามจีบเยอะ หล่อกว่า ดีกว่าไอ้ฟาร์มก็มีถมถืดไป (พี่ฟาเขาเป็นเกย์โดยสมบูรณ์)

"เจ็บอะ ทำไมต้องดุกูด้วย"
ไอ้ฟาร์มเบะปากลงแล้วหันมาส่งสายตาแสดงอาการงอนให้ ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวด้วยความปลง ทำตัวอย่างกับเด็กแบบนี้ใครมันจะสนใจ ไอ้ไธที่เดินมากอดคอกันถึงกับตัวสั่นเพราะกลั้นหัวเราะ มีอะไรน่าขำนักหนาวะ เรื่องซีเรียสนะมึง

"ไม่ต้องมาเบะปากเลย รีบๆ ไปเอารถมาได้แล้ว กูรอหน้าคณะ"
ผมโบกมือไล่เพื่อนอย่างไม่ใยดีเลยได้ค้อนวงใหญ่จากไอ้ฟาร์มมาอีกรอบ ขยันทำตัวง้องแง้งจังวะ จะไปเป็นผัวเขายังไงไหว เห็นๆ ว่าเป็นเมียคงเหมาะกว่า

"เออๆ สั่งจังพ่อ ไอ้ตังค์ไปกับกูเลย เลิกดูการ์ตูนด้วย เดี๋ยวเดินตกหลุมอีกมึงน่ะ"
มันบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหันไปลากคอไอ้ตังค์ที่กำลังเพลิดเพลินกับการ์ตูนในแท็บเล็ต สารภาพตรงๆ ว่าพวกผมเลิกกีดกันเพื่อนกับฮินะจังแล้ว อาการหนักจนกู่ไม่กลับจริงๆ ก็ได้แต่ห่วงอยู่ห่างๆ และเตรียมตัวเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวแต่งงานกับสแตนดี้สักวัน

"โธ่ คุณฟาร์ม"
มันโอดครวญด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์หลังจากที่โดนไอ้ตังค์คว้าแท็บเล็ตไปปิดซะเอง แถมยังเอาไปหนีบใต้รักแร้ไม่ให้คืน

"ไม่ต้องมาโธ่ใส่กู ไปๆ"
ไอ้ฟาร์มผลักหัวไอ้ตังค์ก่อนจะออกเดินไปลิ่วๆ คนโดนทิ้งได้แต่ทำหน้าเหวอแล้ววิ่งตามอย่างไม่คิดชีวิต เสือกสะดุดขาตัวเองเกือบล้มอีก... ซุ่มซ่ามไม่มีใครเกินจริงๆ

"วันนี้กินอมยิ้มเยอะเหรอมึง"
ไอ้ไธถามขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดวิสัย ผมได้แต่ขมวดคิ้วแน่นเนื่องจากวันนี้ยังไม่ได้กินอมยิ้มสักอัน คิดถึงแล้วก็อยาก... รสโคล่าก็ดี ส้มก็เวิร์ค แอปเปิ้ลก็ใช่ เฮ้อ

"เยอะบ้าอะไร ยังไม่ได้แตะสักอัน"
ผมบอกก่อนจะปัดแขนมันทิ้ง ไม่ได้รังเกียจแต่ตอนนี้อากาศมันร้อนจนเสื้อนักศึกษาด้านหลังเปียกแนบเนื้อ ไอ้ไธคงเข้าใจดีเลยไม่มีปฏิกิริยาอะไรนอกจากยิ้มล้อเลียน อะไรของมันอีก

"ก็เห็นมึงดุ"
โห... ชัดเลย ไอ้เพื่อนเลว หลอกด่ากูเต็มๆ

"ไอ้ไธ... กูไม่ใช่หมา"
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันก็จะคิดได้ว่าทำแบบนี้ยิ่งเหมือนหมา แต่ช่างมันเถอะ แก้ไข้อะไรไม่ทันแล้ว ไอ้ไธก็หัวเราะแทบจะขาดใจตาย หึ!

"อ้าวเหรอ นึกว่าใช่ซะอีก แล้ววันนี้ไปแดกข้าวคณะแพทย์เป็นไงบ้าง"
มันเปลี่ยนเรื่องแล้วมองผมด้วยสายตาแวววาว คงอยากถามความคืบหน้า แต่พอคิดไปถึงเรื่องเมื่อเที่ยงก็พาลรู้สึกโหวงๆ ในอก ไม่รู้ป่านนี้หมอทาวน์จะเป็นยังไงบ้าง มีสมาธิกับการแข่งหรือเปล่านะ

"แจ็กพอตแตกครับคุณ แฟนเก่าพี่ทาวน์มาโวยวายกลางโรงอาหารแถมตบหน้าเขาด้วย"
ผมเล่าด้วยอารมณ์โมโหกึ่งอึดอัด ในช่วงเวลาตอนนั้นมีความรู้สึกหลากหลายไปหมด มันเป็นสถานการณ์ชวนทำตัวลำบาก คนรอบข้างเยอะ และตอนนี้เรื่องคงกระจายในโซเชี่ยลแล้ว

"เฮ้ย จริงดิ แล้วมีใครเข้าไปห้ามปะวะ คนเยอะขนาดนั้น"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้น ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้าเนือยๆ

"กูเนี่ยล่ะห้าม พอดีนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน แม่งเอ้ย ตอนนั้นมือสั่นไปหมด ตกใจฉิบหาย"
ผมเผลอใส่อารมณ์ในประโยคสุดท้ายและไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปยังไง ไอ้ไธถึงเอื้อมมือมาลูบไหล่กันคล้ายปลอบโยน ตอนนั้นถ้าโดนพรีมตบไปด้วยอีกคนคงสติหลุดด่าเธอกลับไปแน่ๆ

"แล้วพี่ทาวน์เป็นไงบ้างวะ"

"กูลากเขาไปหลังตึกน่ะ แล้วก็นั่งเป็นเพื่อนเงียบๆ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย มึงก็รู้ว่ากูปลอบใครไม่เป็น มีแต่พูดตรงๆ"
ผมพูดเสียงอ่อยเพราะรู้สึกว่ายังช่วยพี่ทาวน์ได้ไม่ดีพอ บางทีสิ่งที่คิดว่าดีสำหรับเราแล้วอาจจะไม่ดีสำหรับคนอื่น ยอมรับว่าประเมินคนด้วยลักษณะภายนอก แต่ภายในใครจะรู้ได้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร คงต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ

"เออ ดีแล้วมึง บางทีพูดอะไรไปอาจจะสะกิดแผลเขาอีก"
ไอ้ไธยกมือขึ้นขยี้หัวกันเบาๆ ผมเลยพนักหน้ารับคำปลอบของมันโดยไม่ด่าเรื่องหัวยุ่ง เฮ้อ ขอให้ทุกอย่างไม่เลวร้ายไปกว่านี้ด้วยเถอะ

"อืม"

พวกเรามาถึงโรงยิมในเวลาฉิวเฉียด อีกห้านาทีการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ผู้คนดูหนาตาแถมส่วนมากเป็นผู้หญิง นี่พวกเธอชอบบาสฯ หรือนักบาสฯ กันแน่วะ แต่จากเสียงกรี๊ดกร๊าดตอนโฆษกขานชื่อคนในทีมก็ได้คำตอบแล้ว... อย่างหลังชัวร์

"แม่ง คนเยอะโคตร นี่เขามาดูแข่งบาสฯ หรือคอนเสิร์ตนักร้องเกาหลีวะ"
ไอ้ฟาร์มถามในขณะที่ผมกำลังมองหาที่ว่าง อัฒจรรย์ด้านนั้นก็เต็มด้านนี้ก็เต็ม จะให้ไปนั่งตรงไหนกันล่ะทีนี้

"ทำใจเหอะ อดีตเดือนมหา'ลัยลงแข่งทั้งที แฟนคลับมาเชียร์ไปธรรมดา"
ไอ้ไธตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่มันทำให้ผมขมวดคิ้วฉับ แฟนคลับหรือศัตรูของกูกันแน่ จีบคนโสดนี่ลำบากจริงๆ ผู้แย่งชิงตำแหน่งแฟนเยอะสัด คิดแล้วจะร้องไห้

"ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะฮอตขนาดนี้"
ผมพึมพำแต่ไอ้ไธกลับได้ยิน หูหมาเหลือเกินนะเพื่อน แล้วมึงเป็นอะไรเนี่ย ต้องกอดคอกันอยู่เรื่อย อากาศร้อนเข้าใจไหมวะ

"ผู้หญิงชอบผู้ชายขรึมๆ มันดูน่าค้นหา"
ยังไม่วายพูดให้ผมหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม หนทางริบหรี่ฉิบหาย ไปเกิดใหม่เป็นผู้หญิงตอนนี้ทันไหม

"กูก็ชอบนะ อยากค้นทุกซอกทุกมุมเลยว่ะ"
ผมบอกย้ำความชอบของตัวเองให้ไอ้ไธรับรู้แล้วมองไปที่พี่ทาวน์ เขากำลังยืดเส้นยืดสายและหันไปคุยกับคนในทีม เสื้อบาสฯ แขนกุดที่สวมใส่ทำให้เห็นท่อนแขนขาวเนียน สารภาพอย่างแมนๆ ว่าอยากเข้าไปลูบฉิบหาย คงจะนุ่มน่ากัด ฮึย มันเขี้ยวว่ะ

"อย่างมึงเขาเรียกหื่น"
อูย เจ้าพ่อมาเองหรือไง รู้ใจกูจริง

"ใช่เหรอ กูใสๆ มึงอย่าปรักปรำ"
ทำหน้าตาใสซื่อเข้าสู้ทั้งๆ ที่รู้ว่าเพื่อนไม่เชื่อ ไอ้ไธอ้าปากด่าแบบไรเสียงว่า 'ตอแหล' แต่ผมไม่ถือสา เพราะมันคือเรื่องจริง ภาคินรับได้

"เฮ้ยๆ พี่ฟาโบกมือให้กูอะ ฮือ เขิน"
อยู่ๆ ไอ้ฟาร์มก็ร้องโวยวายขึ้นมาก่อนจะยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองด้วยท่าทางเขินอายสุดชีวิต ผมขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจแล้วมองหาพี่ฟา เจอเขานั่งอยู่ด้านล่างอัฒจรรย์ ใกล้ๆ นักกีฬา

เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเขาไม่โฟกัสมาที่ไอ้ฟาร์มเลยสักนิด น่าจะเป็นผมหรือไอ้ไธมากกว่า แต่พอหางตาเหลือบเห็นคู่จิ้นโบกมือตอบกลับไปก็บรรลุ

"เดี๋ยวๆ มึงตั้งสติหน่อยไอ้ฟาร์ม เขาโบกมือให้ไอ้ไธนู่น เลิกมโนสักที"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วเอื้อมมือไปดีดหน้าผากให้เลิกมโน ไอ้ฟาร์มถึงกับร้องอูยออกมาแล้วบึนปากใส่กัน สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจสุดขีด ก็หวังดีไม่อยากให้เพื่อนคิดไปเองคนเดียว

"ไม่ช่วยก็อย่าซ้ำเติม!"
ตะโกนใส่หน้าผมจบมันก็หันไประรานดึงโทรศัพท์ออกจากมือไอ้ตังค์แล้วกอดล็อกหน้าจอ เด็กเนิร์ดทำอะไรไม่ได้นอกจากทำท่าอึกอัก ในใจคงเรียกร้องหาฮินะจังจะเป็นจะตาย ไหนวะไอ้ฟาร์มเสือผู้หญิง สายเปย์ มาแพ้ทางพี่ฟาตัวเล็กน่าปล้ำขี้เหวี่ยงเนี่ยน่ะเหรอ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น

"ไปนั่งกับพี่ฟากัน"
ไอ้ไธบอกก่อนจะดึงแขนผมให้ออกเดิน ไม่วายต้องยกเท้าขึ้นสะกิดไอ้คนขี้งอนข้างๆ มันหันมาทำท่าฮึดฮัดใส่แต่สุดท้ายก็ยอมตามมา เพราะพวกเราจะไปนั่งกับพี่ฟา ขืนทำเล่นตัวมากคงพลาดโอกาสใกล้ชิด

ในจังหวะที่กำลังเดินก้าวยาวๆ เพื่อให้ถึงจุดหมายกลับต้องชะงักเท้ากึกกลางคันเมื่อได้ยินเสียงโฆษกผ่านไมค์ดังไปทั่วทั้งโรงยิม ทั้งผู้ชม นักกีฬาและกรรมการต่างหันมาทางนี้เป็นตาเดียว ไอ้ฉิบหาย!

"นั่นใครครับ มาดูแข่งบาสฯ รอบชิงด้วย น้องจิณณ์หรือน้องเจ็ทเอ่ย แต่ดูภาพรวมและผองเพื่อนแล้วหนุ่มคณะ'ถาปัตย์แน่นอน! ~"

"เจ็ทๆๆ กรี๊ด!!"
เสียงเรียกชื่อซ้ำๆ จนผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยกมือขึ้นมาปิดหูเมื่อเสียงกรี๊ดดังตามมา อยากจะบ้าตาย จะมาดูบาสฯ แบบสงบแท้ๆ ทำไมกลายเป็นเปิดตัวกลางสนามแบบนี้ว่ะ ผู้ชายคนอื่นไม่เขม่นกูตายหรือยังไง แย่งซีนโดยไม่ต้องการสัดๆ

"ห่า... โฆษกนี่ใครวะ กูจะลากมันไปฆ่าหลังแข่งจบ ประกาศออกไมค์หาสวรรค์วิมารอะไรมา แม่ง"
ผมหันไปบ่นกับเพื่อนก่อนจะออกเดินโดยไม่สนใจเสียงต่างๆ รอบตัว ไอ้ไธถึงกับยิ้มล้อเลียนความโด่งดังที่ไม่ต้องการ ไอ้ตังค์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนไอ้ฟาร์มเข้ามากระแซะไหล่

"แอจมินเพจเซ็กซี่บอยไงมึง โคตรเครซี่ยูเลยฮะ กูเอาหัวเป็นประกัน ถึงขนาดมองข้ามไอ้ไธเดือนคณะอะคิดดู"
มันเฉลยสิ่งที่คาใจ แต่ผมไม่อยากฟังอีกแล้ว อุตส่าห์อยู่เงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร เพจมาขอสัมภาษณ์หรือถ่ายรูปก็โยนไปให้จิณณ์แล้วอ้างว่าก็เหมือนๆ กัน ฝาแฝดกัน

"เงียบไปไอ้กาก"

"เชอะ ใจร้าย"
มันสะบัดคอแทบหลุดแล้วเดินดุ่มๆ ไปหาพี่ฟาด้วยใบหน้าระรื่นทันที แต่พอจะหย่อนตัวลงข้างๆ กลับกลายเป็นนายเจี๋ยมเจี้ยมสุภาพเรียบร้อย ไม่กล้าสบตา แบบนี้คนที่ออกปากจะจีบเขาก่อนใครเพื่อนคงนกซ้ำนกซ้อน กูขอแซงหน้ามึงไปก่อนแล้วกันนะ อ้อ ไอ้ไธด้วย บายนะเพื่อนบาย ~

"ว่าไงไอ้น้อง ดังเชียวนะมึง"
พี่ฟาทักเมื่อผมกับไอ้ไธยกมือไหว้ กะว่าจะยิ้มทักทายสักหน่อยกลับต้องหุบลงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แม่งเอ้ย คนยังมองมาทางนี้อยู่เลย ทั้งๆ ที่นักกีฬาเริ่มลงสนามแล้ว ไม่ชอบการเป็นจุดสนใจ มันอึดอัด

"ขออยู่สงบๆ เถอะพี่ฟา ไม่ชอบความวุ่นวาย"
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนอัฒจรรย์ด้านหน้าพร้อมกับไอ้ไธซึ่งติดกับที่พักนักกีฬาพอดี นี่มันที่วีไอพีโคตรๆ ทั้งใกล้ชิดและเสี่ยงโดนลูกบาสฯ อัดหน้า ไม่ได้เป็นคนลงแข่งเองมันก็มีกลัวบ้างเป็นธรรมดา

"ประเภทเดียวกับไอ้ทาวน์สินะ รักความสงบ"
เหมือนพี่ฟาพึมพำกับตัวเอง แต่ผมได้ยินชัดเจนแล้วได้แต่ลอบยิ้ม นิสัยเหมือนกันขนาดนี้จะเหมาะสมเป็นแฟนกันในสายตาคนอื่นไหมนะ

การแข่งขันเริ่มต้นไปเรื่อยๆ ฝ่ายคณะแพทย์นำอยู่สองแต้ม ผมดูไม่ค่อยรู้เรื่องว่าใครเล่นดีหรือไม่ดี เพราะสายตาเอาแต่คอยจับจ้องพี่ทาวน์ที่อยู่ในสนาม บางจังหวะที่เขาเลย์อัพแล้วเสื้อมันเปิดขึ้น ตอนนั้นตาแทบค้าง กำเดาแทบไหล อะไรมันจะขาวและอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อลอนสวยขนาดนั้น ถึงของตัวเองจะมีมากกว่า แต่ชอบของเขา... คงหื่นอย่างไอ้ไธกล่าวหาจริงๆ

"นี่... กูถามไรอย่างดิ"
อยู่ๆ พี่ฟาก็แตะมือเข้าที่ไหล่จนผมสะดุ้งเฮือกและหันไปมองคนด้านบนด้วยใบหน้าตื่นๆ โดนจับได้ที่มองเพื่อนเขาหรือเปล่า แต่ไม่น่าจะใช่เพราะอยู่ๆ คนตัวเล็กก็ขำออกมา

"หือ มีอะไรครับ"

"ตกใจขนาดนั้น แค่จะถามว่าเมื่อตอนเที่ยงมึงลากทาวน์ไปไหนมาวะ"
ถึงจะไม่โดนจบได้เรื่องมองพี่ทาวน์ไม่วางตา แต่คำถามก็ไม่พ้นเรื่องของเขาอยู่ดี เอาเถอะ ผมยินดีพัวพันกับคนๆ นี้ไปนานๆ

"อ๋อ หลังตึกคณะแพทย์ไง"

"เหรอ แล้วมึงพูดอะไรกับมันบ้าง"

"ก็เปล่าครับ นั่งเป็นเพื่อนเงียบๆ น่ะ"

"เหรอวะ... แปลก"
คำท้ายมันเบาจนผมต้องขมวดคิ้ว ฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนพี่ฟาพึมพำกับตัวเอง

"หา พี่ฟาว่าอะไรนะ"
ผมถามย้ำอีกครั้ง เผื่อที่ตัวเองคิดจะไม่ใช่ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธกลับมา

"เปล่าๆ"

การแข่งบาสฯ เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคะแนนของทั้งสองฝ่ายตีเสมอกัน และตอนนี้เป็นช่วงพักครึ่งสิบห้านาที ซึ่งยาวนานพอให้นักกีฬาดื่มน้ำ แต่ยังไม่เห็นฝ่ายสวัสดิการโผล่หัวมาเลย พี่ทาวน์กับคนในทีมก็เดินเหงื่อตกกันมานู่นแล้ว ขัดใจชะมัด แล้วนี่จะไปหงุดหงิดแทนชาวบ้านทำไมวะ เป็นเอามากแล้วกู

"มึงๆ วานเอาน้ำไปให้ไอ้ทาวน์หน่อยดิ"
อยู่ๆ พี่ฟาก็ก้มตัวลงมาขอความช่วยเหลือพร้อมกับยื่นขวดน้ำผ่านไหล่มาให้กัน ผมรับมาถืออย่างมึนๆ ไม่ต้องรอสวัสดิการเหรอแล้วทำไมเขาไม่เอาไปให้เอง

"ผมเหรอ"
ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ลึกๆ แล้วแอบหวั่นว่าพี่ฟาจะรู้เรื่องที่ผมชอบเพื่อนเขาหรือเปล่า

"เออ มึงนั่นล่ะ เอาน้ำไปให้มันหน่อย เหน็บชาแดกขากู ส่วนไอ้แฮมก็หนีกลับบ้านไปละ เสือกหิวข้าว"
พี่ฟาเฉลยด้วยน้ำเสียงฉุนๆ และเป็นจังหวะที่สายตาของผมเลื่อนไปมองที่ที่พี่แฮมเคยนั่งกินขนม ตอนนี้มันว่างเปล่าเป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดี เฮ้อ โล่งใจ นึกว่าเขาจะระแคะระคายอะไร

"อ่า... ได้ครับ"
ผมตอบรับแล้วลุกขึ้นยืน เหลือบไปเห็นไอ้ฟาร์มแล้วได้แต่หลุดขำ มันนั่งก้มหน้าก้มตาเหลือบมองพี่ฟาไม่หยุดหย่อน เจ้าตัวเขาก็ร่าเริงเฮฮากับเพื่อนร่วมคณะไปเรื่อย จากนกคงกลายเป็นพญานกก็คราวนี้ล่ะ

"เอ่อ พี่ทาวน์ครับ"
ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนที่กำลังก้มลงผูกเชือกรองเท้าอยู่ แผ่นหลังของเขาชื้นเหงื่อเป็นวงกว้าง เสื้อบางจนเห็นสีเนื้อด้านในให้ชวนหงุดหงิดใจ แต่แสดงอาการอะไรไม่ได้ เพราะตอนนี้สถานะแค่คนรู้จักก็หรูแล้ว

"มึง..."
เขาชะงักมือแล้วเงยมองหน้ากัน ดูท่าทางจะตกใจอยู่ไม่น้อยที่เป็นผมยื่นขวดน้ำให้แทนที่จะเป็นเพื่อนตัวเล็กของเขา

"พี่ฟาฝากน้ำมาให้ครับ"
ผมบอกก่อนจะคลี่ยิ้มให้ พี่ทาวน์คลายหัวคิ้วที่ขมวดออกแล้วพยักหน้ารับคำแล้วคว้าขวดน้ำไปเปิดดื่มด้วยความกระหาย

นักกีฬาคนอื่นมองผมด้วยความสนใจแต่ไม่นานก็ละสายตาไป สายน้ำที่ไหลจากขวดผ่านลำคอขาวๆ ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเหมือนหยุดหมุน ทำไมรู้สึกว่าคนตรงหน้าเซ็กซี่แบบนี้ หัวใจเต้นแรงฉิบหาย

"ขอบใจ"
พี่ทาวน์เอ่ยขอบคุณหลังจากวางขวดน้ำลงที่พื้น ผมเลยได้สติกลับมาแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยก่อนจะส่ายหัวเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร โคตรเต็มใจบริการ เพิ่งฉุกคิดได้ว่าเผลอมองเขานานไปหน่อยจะรู้ตัวหรือเปล่านะ...

โค้ชกวักมือเรียกให้รวมทีมอยู่ไม่ไกล พี่ทาวน์ลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าจะก้าวขา แต่ผมก็เผลอออกปากรั้งเขาจนได้ อยากตบปากตัวเองฉิบหาย แต่ไม่ทันแล้ว

"เอ่อ... พี่ทาวน์ครับ"

"ว่าไง"
เขาเหลียวมองแถมยังเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แก้มแดงๆ ที่เกิดจากการเล่นกีฬาทำให้ผมมองว่าเขาน่ารักจนต้องหลบสายตา

"สะ สู้ๆ นะครับ ผมเชียร์อยู่"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก อยากฟาดตัวเองให้ตายฉิบหาย ทำไมควบคุมตัวเองไม่ได้เลย แถมทำตัวมีพิรุธอีก ถ้าหมอทาวน์จะสงสัยความรู้สึกที่นายภาคินมีให้คงไม่แปลก ว่าแต่ไอ้ฟาร์มกากกูก็กากไม่แพ้มึงแล้วตอนนี้

"อืม รู้แล้ว"
หลังจากจบประโยคเขาก็เดินไปรวมกลุ่มกับคนในทีม ปล่อยให้ผมยืนค้างอยู่แบบนั้นเพราะเมื่อครู่พี่ทาวน์ยิ้ม ยิ้มจนแก้มบุ๋มลงไป ยิ้มกว้างจนทำให้ใจสั่น! ตายแน่ๆ ผมคงต้องไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจสักหน่อยแล้ว ท่าทางอาการจะหนัก

ผมดึงสติกลับมาได้ในไม่ช้าแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายรูปด้านหลังของพี่ทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก เสื้อกีฬาไม่ได้สกรีนชื่อผู้ใส่ แต่เป็นอักษรย่อคณะกับหมายเลข 'MED 09' แค่นี้ก็ฟินแล้ว เพราะหัวใจจดจำทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้เป็นอย่างดี

"ฟินไหม"
คำถามจากไอ้ไธดังขึ้นเมื่อผมหย่อนตัวนั่งที่เดิม คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเพื่อนถามถึงเรื่องอะไร พอมองเลยไปชั้นบนก็เห็นพี่ฟาย้ายไปนั่งกับเพื่อนอีกขั้นอัจรรย์ ปล่อยให้ไอ้ฟาร์มนั่งซบไหล่ไอ้ตังค์แบบหมดอาลัยตายอยาก น่าสงสารจริงๆ

"ฟินอะไรของมึง"
ผมละสายตาจากด้านบนมามองคนข้างๆ ที่เอาแต่ยักคิ้วหลิ่วตาไปทางสนาม ตอนนี้นักกีฬากำลังลงแข่งอีกครั้ง ต้องลุ้นสักหน่อยว่าคณะแพทย์จะชนะหรือเปล่า

"ก็เอาน้ำไปให้เขาไม่ใช่หรือไง"
ไอ้ไธถามเสียงไม่เบาจนผมได้แต่กรอกตาเลิ่กลั่กเพราะกลัวพี่ฟาจะได้ยิน เผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากไอ้ไธไปด้วย นิ่มดีแต่ไม่น่าจูบ ยกให้จิณณ์แล้วกัน

"โคตรฟิน พี่เขายิ้มให้กูด้วย!"
ผมกระซิบกระซาบด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมความสุข พอคิดถึงรอยยิ้มนั่นหัวใจก็พาลเต้นแรง ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน

"ความฝันอยู่แค่เอื้อมแล้วมั้งเพื่อน"
ไอ้ไธบอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแล้วพาดแขนบนไหล่อย่างสนิทสนม ผมไม่ได้ปัดออกเพราะตอนนี้กำลังมีความสุขกับเรื่องขอฃพี่ทาวน์จนเลิกกังวลสภาพอากาศและสายตาคนอื่น ไม่ได้แคร์ แต่รำคาญที่โดนแอบนินทาและถ่ายรูป

"กูว่าอีกไกล"
ผมคิดแบบนั้นจริงๆ เพราะการเอาชนะใจคนๆ หนึ่งก็ว่ายากแล้ว แถมยังเป็นผู้ชายแมนๆ อีก ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ถึงแม้อุปสรรคข้างหน้าจะเยอะขนาดไหน นายภาคินคนนี้สู้ไม่ถอยแน่นอน

"พยายามเข้า"
ไอ้ไธให้กำลังใจกันก่อนจะผละแขนออกไป มันกลับไปสนใจการแข่งขันในสนามต่อแต่ผมเพิ่งคิดอะไรขึ้นมาได้

"เออมึง... ทำไมอยู่ๆ เมื่อเช้าถึงกล้าเอาของกินไปฝากไอ้จิณณ์ถึงห้องวะ"
เรื่องนี้คาใจมาตั้งแต่เมื่อเช้า พอโดนขัดจังหวะด้วยเรื่องพี่ทาวน์เลยลืมไป ไอ้ไธกินยาผิดหรือจิณณ์งก

"ก็... กูตัดสินใจจะเดินหน้าเรื่องจิณณ์แล้ว"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แววตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ผมยิ้มให้กับความกล้าของเพื่อนแล้วเอื้อมมือไปขยี้หัวด้วยความเอ็นดู ในที่สุดมันก็ชนะความกลัวได้สักที

"เลิกป๊อดสักทีไอ้ไธ แต่ไอ้ฟาร์มกากแทน แล้วทำยังไงให้มันรับของวะ"
ไอ้ไธไม่ได้ปัดป้องอะไรที่ผมขยี้หัวจนยุ่งเหยิง มันทำแค่ช้อนตามองแล้วเบนหนีไปทางอื่น

"ไม่รู้ เมาขี้ตามั้ง กูยื่นให้แล้วบอกเอามาฝาก จิณณ์ก็รับไปง่ายๆ แถมยังขอบใจกูด้วย"
ไอ้ไธคงไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรเพราะดูจากสีหน้าก็รู้ว่าสับสน จะดีใจก็ไม่สุดจะเศร้าก็ไม่ใช่ เพราะสองคนนี้ไม่เคยคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีความสนิทสนมถึงขั้นจะเดาท่าทางของอีกฝ่ายได้ มีแต่ผมที่เป็นแฝดเท่านั้นถึงที่รู้ว่าพี่ชายคิดยังไงกันแน่

"สงสัยเลิกคิดว่ามึงชอบกูแล้วมั้ง"
ผมเดาไปตามสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นคนนิสัยแบบจิณณ์จะไม่อ่อนข้อให้กับไอ้ไธเด็ดขาด ไม่ชอบใครมันจะไม่คุยด้วย จะไม่ยุ่งด้วยเลย ดูท่าทางจะมีหวังเล็กๆ แสงที่ปลายอุโมงค์ ถึงแม้จะริบรี่ แต่เชื่อว่าสักวันมันจะชัดเจน

"งั้นเหรอ..."

"สู้นะ สักวันจิณณ์ต้องเป็นของมึง"
นี่ผมเต็มใจยกพี่ชายให้มันจริงๆ นะ ถ้าเป็นคนอื่นอย่างหวังเลย เพราะรู้จักนิสัยไอ้ไธดี ถึงมันจะชอบเซอร์วิสแฟนคลับแต่ไม่เคยให้ความหวังใคร รักเดียวใจเดียวแน่นอน รับประกัน

"ขอบใจเว้ย"

หลังจากการแข่งขันในสนามจบลงด้วยคะแนนที่ฝ่ายคณะแพทย์คว้าชัยชนะอย่างเฉียดฉิว พี่ทาวน์โบกมือลาเพื่อนในทีมก่อนจะเดินมารวมกลุ่มกับพวกผมที่ยืนรออยู่ เขาเก่งมาก แต่ขอโทษเถอะที่ผมไม่ได้ตั้งใจดูเลย...

"เก่งนะมึงไอ้ทาวน์ ไปๆ แดกหมูกระทะกัน"
พี่ฟาต่อยหมัดเล็กๆ ลงบนอกพี่ทาวน์เป็นการหยอกล้อ ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกันผมคงคิดว่าเป็นแฟน คนหนึ่งหล่อเหล่า ตัวสูงใหญ่ คนหนึ่งน่ารักจิ้มลิ้ม ตัวเล็กน่าทะนุถนอม ดูแล้วก็เหมาะสมกัน... พอย้อนมองตัวเองแล้ว เกรงว่าเป็นกระสอบทรายให้น่าจะเหมาะกว่าแฟน

"มึงเลี้ยงเหรอ"
พี่ทาวน์ถามทีเล่นทีจริงด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่พี่ฟากลับมุ่ยหน้าใส่ ท่าทางแบบนี้ไม่เลี้ยงชัวร์

"อเมริกันแชร์ครับเพื่อน"

"จะไปสองคนหรือไง"

"แดกสองคนจะสนุกอะไร พวกนี้ไปด้วย"
แล้วพวกเราก็มีบทบาทในสายตาของพี่ทาวน์หลังจากที่ยืนคุยนั่นคุยนี่เรื่อยเปื่อยกับไอ้ตังค์ มันได้โทรศัพท์คืนจากไอ้ฟาร์มก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดดูฮินะจังทันที นี่มึงติดการ์ตูนยิ่งกว่าติดกัญชาอีกมั้ง เพลียใจ

"อ๋อ ได้ แล้วจะไปรถใคร"

"รถมึง เพราะไอ้ฟาร์มต้องไปส่งไอ้ตัวเล็กกลับบ้านก่อน แม่มันโทรตามละ"
พี่ฟาหันมองไอ้ตังค์ก่อนจะยิ้มด้วยความเอ็นดู เด็กอนามัยก็แบบนี้ล่ะ แม่โทรตามไปกินนมนอนตอนสองทุ่ม แถมยังต้องเดือดร้อนไอ้ฟาร์มไปส่งอีก เพราะไอ้แว่นมันน่าฉุดน้อยซะเมื่อไหร่ ตัวเล็กๆ ขาวๆ ท่าทางไม่สู้คน เหยื่อของโจรนักแล

"โอเค งั้นตามมา"
พี่ทาวน์บอกก่อนจะเดินนำออกไปจากโรงยิม พวกผมหันไปโบกมือให้ไอ้ฟาร์มกับไอ้ตังค์แล้วตามพี่ทาวน์ไป

"เจอกันที่ร้านหมูกระทะหลังมอนะมึง"
พี่ฟาที่รั้งท้ายตะโกนย้ำกับไอ้ฟาร์มอีกรอบเพื่อไม่ได้ไปที่ผิด ก็ร้านหมูกระทะผุดเป็นดอกเห็ดแทบรอบมหา'ลัย

"ครับพี่ฟา!"
ฟังน้ำเสียงที่ไอ้ฟาร์มตอบกลับมาแล้วได้แต่หันไปมองคนข้างๆ อย่างรู้ทันก่อนจะพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน มันคงดีใจจนเนื้อเต้นเชียวล่ะ คนที่ตัวเองชอบพูดด้วย

"จิณณ์ เอ้ย มึงชื่อเจ็ทใช่ปะ มีฝาแฝดแล้วกูสับสน"
พี่ฟาถึงกับเกาหัวแกรกๆ เมื่อเรียกชื่อผมผิด ดูท่าทางเขาจะจำผมเป็นจิณณ์ เพราะมันเคยลงประกวดเดือนมหา'ลัย คงคุ้นๆ กันอยู่

"ครับ เจ็ทครับ"
ผมหันไปตอบด้วยรอยยิ้ม จะว่าไปพี่ทาวน์เดินเร็วฉิบหาย พวกเราก้าวเท่าไหร่ก็ยังไม่ทันสักที

"เออๆ มึงนั่งข้างหน้านะ กูขี้เกียจคาดเข็มขัด"

"ไปแค่นี้เอง ต้องรัดด้วยเหรอพี่"
ผมขมวดคิ้วถามด้วยความฉงน ออกไปหลังมอไม่ถึงยี่สิบนาที ไม่ต้องคาดเข็มขัดก็ได้มั้ง แต่คิดๆ ดูแล้วด้วยความตีนผีของพี่ทาวน์อาจจะต้องปลอดภัยไว้ก่อน

"ไอ้ทาวน์มันเคร่ง"

"อ๋อ..."
ผมร้องตอบได้แค่นั้นพี่ฟาก็วิ่งนำหน้าไปตบหลังคนเดินเร็ว ได้ยินเสียงดังอักลอยมาตามลม แค่คิดก็จุกแทนแล้ว เห็นตัวเล็กๆ แบบนั้นมือหนักฉิบหา คงต้องเตือนไอ้ฟาร์มไว้บ้าง

"โอกาสมึงละได้เป็นตุ๊กตาหน้ารถพี่ทาวน์"
ไอ้ไธพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วขยับตัวออกห่างเหมือนกำลังรู้ว่าผมจะเตะมัน ไหวตัวเร็วนักนะ แต่ถ้ามีคราวหน้าอีกไม่รอดแน่มึง

"สัด พูดมาก เดี๋ยวกูไม่ยกจิณณ์ให้เลยนี่"
ผมขู่มันแบบไม่จริงจังเพราะต้องการกลบเกลือนความลิงโลดของตัวเอง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมนั่งรถเขาสักหน่อย แต่ก็ตื่นเต้นไม่หายสักที

"ร้ายว่ะ"
ไอ้ไธทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจก่อนจะเปิดประตูรถด้านหลังแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งคู่กับพี่ฟา ผมได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกความกล้าให้ตัวเอง

"เอ่อ พี่ฟาบอกว่าขี้เกียจคาดเข็มขัดเลยให้ผมมานั่งแทน"
ผมเปิดประตูแล้วรีบบอกพี่ทาวน์ที่นั่งประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ

"อืม รัดด้วย เมื่อเที่ยงลืมบอก"
เขาบอกแล้วชี้ไปที่สายเข็มขัด ผมรีบดึงมันมาอย่างรวดเร็ว ผมเป็นเด็กดีครับจะเชื่อฟังคำสั่งพี่ทุกอย่าง ถึงแม้ความจริงแล้วไม่เคยทำแบบนี้เลยสักครั้ง นั่งรถมามหา'ลัยกับจิณณ์ก็ไม่เคยรัด

"แหะๆ ครับๆ รัดเดี๋ยวนี้ล่ะ"

ยอมรับว่าการกินหมูกระทะวันนี้สนุกมาก ทั้งๆ ที่ผมเอาแต่คีบเนื้อสัตว์ย่างให้คนอื่น แทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยก็ว่าได้ แต่มันอิ่มอกอิ่มใจตรงที่ได้นั่งมองหน้าพี่ทาวน์เวลาเขาเผลอ มีควันโขมงบดบังเป็นระยะ โรแมนติกฉิบหาย... ประชดนะประชด อย่าเข้าใจว่านายภาคินแปลกแหวกแนวคนอื่น

"กินบ้าง"
พี่ทาวน์คีบสามชั้นย่างหอมฉุยมาให้ตรงหน้า ผมสะดุ้งแล้วอ้าปากหวอเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ อยู่ๆ ก็โดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัว เมื่อครู่ยังเป็นฝ่ายแอบมองเขาอยู่เลย

"หา..."

"มัวแต่มองหน้ากู ไม่อิ่มหรอก"
พี่ทาวน์มองผมก่อนจะส่ายหน้าแล้ววางสามชั้นย่างไว้บนจาน สรุปว่าที่แอบมองไปนั้นโดนจับได้สินะ แบบนี้ควรแก้ตัวใช่ไหม รับสารภาพตรงๆ เวลานี้คงไม่ดี

"เอ่อ... ขะ ขอโทษครับ ผมคงเหม่อไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะมอง"
ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก้มหน้าก้มตาคีบสามชั้นเข้าปาก ถึงแม้จะไม่ได้จิ้มน้ำจิ้มแต่มันก็อร่อยคงเพราะได้นั่งกินกับคนที่ชอบ ไอ้คนที่เหลืออย่าไปสนใจมันเลย เสียงบรรยากาศเปล่าๆ




ต่อด้านล่างจ้า

หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 8 - P.1 (17/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-07-2017 11:34:01
"อืม กินเนื้อไหม"

"ครับ ผมกินได้หมด"

"งั้นเอาไป ขี้เกียจเคี้ยว"

"ครับ"

"กินข้าวโพดอ่อนไหม"

"กินครับ"

"กินแทนหน่อย กูไม่ชอบ"

"ได้ครับ ~"
มีความสุขกว่าการได้มองหน้าก็ตอนที่เขาคุยด้วยและคีบอาหารให้กินนี่ล่ะวะ ฟินไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดเลยเว้ย ทำไมพี่ทาวน์ต้องทำตัวน่ารักภายใต้ความขรึมด้วย มันยิ่งทำให้ผมอยากแทรกตัวไปอยู่ในใจเขาเร็วๆ ขอโอกาสให้นายภาคินได้เรียนรู้นายเมืองเหนือเถอะนะ

หลังจากท้องอิ่มพวกเราก็เคลียร์ค่าเสียหายโดยหารห้า แต่ไอ้ฟาหนีกลับคนแรกเพราะที่บ้านโทรตาม รายนี้ก็ใช่ย่อย พี่สาวกลัวจะไปเที่ยวเตร่ล่าแต้มและเปย์ผู้หญิงอีก

"พวกมึงจะกลับกันยังไง ไอ้ฟาร์มก็ชิ่งแล้ว"
พี่ฟาหันมองผมกับไอ้ไธสลับกันก่อนจะเลยไปที่พี่ทาวน์ เขายืนนิ่งสายตาจับจ้องอยู่บนท้องฟ้าไร้ดาว คืนนี้อากาศไม่ค่อยร้อน คงกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

"เดี๋ยวพี่ชายมารับครับ มันกินเหล้าอยู่แถวนี้"
ไอ้ไธชิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม แต่มันทำให้ผมต้องละสายตาจากคนที่ชอบมามองเพื่อนสนิทด้วยความตกใจ ถ้าพี่แทนมารับมันก็แสดงว่าไม่ได้กลับไปนอนคอนโดอะดิ แล้วกูจะกลับยังไง

"อ้าว มึงไม่นอนคอนโดเหรอวะ"

"ไม่ พรุ่งนี้วันเกิดแม่ เมื่อเช้าพี่แทนก็ไปส่งกูที่คณะ"
คำขยายความที่แสนชัดเจนทำให้ผมต้องยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ก็ลืมไปว่าพี่แทนมาค้างกับมันเมื่อคืนเพราะมีเรื่องจะคุย คงมาปรึกษาเรื่องเซอร์ไพร์สงานวันเกิดแม่

"ฉิบหาย แล้วกูจะกลับยังไง ป่านนี้จิณณ์คงนอนแล้ว"
ผมพึมพำกับตัวเองโดยไม่ได้สังเกตว่าใครจะได้ยินบ้าง ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว จิณณ์เป็นคนหลับลึก โทรปลุกเป็นร้อยสายก็ไม่ตื่น... กลับไงดีวะ

"ติดรถกู..."
เหมือนจะได้ยินไอ้ไธพูดอะไรบางอย่างแต่โดนคนที่เลิกเหม่อมองท้องฟ้าพูดแทรกขึ้น

"มึงอยู่คอนโดไหน"

"หือ ผมอยู่คอนโด xxx ครับ"

"งั้นไปกับกู ทางผ่าน"
พี่ทาวน์ชวนกลับบ้านด้วยเว้ย เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรปฏิเสธความหวังดีของผู้ใหญ่ แต่ต้องกลั้นยิ้มและเก็บอาการดีใจเอาไว้ ฮึบ!

"เอ่อ ขะ ขอบคุณครับ!"
ผมแทบจะตบปากตัวเองเมื่อควบคุมเสียบไม่ได้ แต่ดูท่าทางของพี่ทาวน์แล้วไม่ได้สนใจอะไร กลับเป็นไอ้ไธที่ยิ้มล้อเลียนกัน เดี๋ยวเถอะมึง อย่าพูดอะไรออกมาเชียวนะ

"ไม่เป็นไร"
พี่ทาวน์ตอบกลับก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขาถอนหายใจแล้วกดปิดเครื่อง คงเป็นพรีมอีกเหมือนเคย

"โอเค ดิวนะ พวกมึงกลับดีๆ กูเข้าบ้านล่ะ"
พี่ฟาพูดจบก็ก้าวยาวๆ เลี้ยวไปที่บ้านหลังข้างๆ ร้านหมูกระทะ เป็นอันรู้กันว่าเขาอยู่ใกล้ๆ ที่นี่ เรื่องนี้ต้องเอาไปขายไอ้ฟาร์ม คงได้ราคาดี หึหึ

"ไว้เจอกันนะมึง"
ผมบอกลาไอ้ไธก่อนจะเดินตามพี่ทาวน์ไปเงียบๆ บรรยากาศมาคุกลับมาอีกแล้วสินะ ควรทำยังไงดี

รถเอสยูวีเคลื่อนไปตามถนนยามค่ำอย่างเชื่องช้า ต่างกับคนตีนผีเมื่อตอนเที่ยงกับเย็นอย่างลิบลับ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมทำได้แค่นั่งเงียบๆ ข้างเขาเท่านั้น บางครั้งเรื่องความรักก็ไม่ควรมีคนอื่นก้าวก่าย

"อยู่คนเดียวเหรอ"
ผมสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ คนที่เงียบไปนานจะชวนคุย สีหน้าพี่ทาวน์ยังนิ่งเรียบเหมือนยามปกติ เดาอารมณ์ไม่ออกจริงๆ แถมในรถยังมืดไม่สามารถจับความรู้สึกจากดวงตาได้

"ผมเหรอ อยู่กับพี่ชายฝาแฝดครับ"

"อ๋อ อืม"
เขาตอบรับเพียงแค่นั้น และผมรู้ว่าบทสนทนาคงจบลงด้วย ไม่อยากให้ความเงียบพาพี่ทาวน์ไปคิดถึงเรื่องพรีมอีก ขอโทษที่ต้องกลายเป็นคนพูดมากนะครับ

"พี่ทาวน์คงเคยเห็นผ่านๆ ตา เพราะมันเป็นเดือนวิศวะปีนี้"
ผมชวนคุยเรื่องที่ไม่ได้สำคัญอะไรเลย เรื่องที่เขามีโอกาสจะจำจิณณ์ไม่ได้สูงมาก

"กูจำไม่ได้ โทษที"
แต่เขาก็ยังเอ่ยขอโทษทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ผิด มุมนี้ล่ะที่ทำให้ผมปลื้มเขาจนกลายเป็นชอบอย่างทุกวันนี้ ถึงภายนอกจะดูเย็นชา แต่ความจริงแล้วก็อ่อนโยนและแคร์ความรู้สึกคนอื่น

"อ่า... ไม่เป็นไรครับ"
ผมไปต่อไม่ถูกเลยได้แต่มองออกไปนอกกระจก เพื่อหวังจะหาเรื่องอะไรก็ได้มาคุยกับเขา แต่ผิดคาดที่อยู่ๆ พี่ทาวน์กลับตั้งคำถามขึ้นมา

"มึงชื่ออะไร"
น้ำเสียงราบเรียบปกติแต่เขากลับหันมามองกันครู่หนึ่ง ผมถึงกับจุกขึ้นมา ทั้งๆ ที่เตรียมใจไว้แล้วว่าพี่ทาวน์คงจำชื่อกันไม่ได้ แต่พอรู้จากปากเขาถึงกับเซ

"ห๊ะ... เอ่อ เจ็ทครับ"
สักวันผมจะทำให้พี่จำชื่อนี้ได้ไปตลอดชีวิต

"โทษที ตอนนั้นไม่ได้สนใจจำชื่อ"
เขาขอโทษอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมขอรับมันไว้แล้วกัน ก็อุตส่าห์ตื้อทำความรู้จักจนโดนตวาดใส่นี่น่า

"แอบน้อยใจนะเนี่ย"
ผมพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ จริงๆ ก็น้อยใจ แต่มันไม่ได้สำคัญอะไรที่ต้องทำให้พี่ทาวน์เครียด แค่อยากหยอกกลับให้อารมณ์ดีก็เท่านั้น

"ให้กูเลี้ยงข้าวไถ่โทษแล้วกัน"
เขาหันมาพูดเมื่อรถจอดสนิทหน้าคอนโด xxx ถ้าผมมองไม่ผิดเมื่อครู่เขายกยิ้มมุมปากด้วย ไอ้เจ็ทหัวใจจะวายแล้ว ทำไมน่ารักแบบนี้

"เฮ้ย ผมล้อเล่นนะพี่ ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก"
ผมโบกมือเป็นพัลวัน อยู่ๆ ก็จะโดนเขาพาไปเลี้ยงข้าวด้วยเรื่องขี้ปะติ๋วเนี่ยนะ ไม่ดีมั้ง กลัวพี่ทาวน์มองว่านายภาคินเป็นเด็กไม่รู้ตักโต

"พรุ่งนี้เรียนกี่โมง"
เขาไม่ได้สนใจคำปฏิเสธแต่ถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนผมยอมแพ้ เอาวะ พี่ทาวน์เสนอก็ขอสนองตอบแล้วกัน อย่าหาว่าผมงกเรื่องกินนะ

"เอ่อ... ไม่มีเรียนครับ"

"งั้นหกโมงเย็นลงมารอหน้าคอนโด"

"เดี๋ยวๆ เอาจริงเหรอพี่"
ผมถามย้ำตาโต สรุปว่าเขาเอาจริงใช่ไหมเนี่ย

"อืม จะไปไหม"
เขาถามย้ำกลับแถมยังยักคิ้วให้ด้วย เฮ้ย อัศจรรย์โคตร แบบนี้ต้องไป ต้องไป!

"ไปๆๆ ไปครับ! เดี๋ยวหกโมงจะลงมารอเลย"
ผมเก็บอาการดีใจไม่อยู่เลยโผล่งออกไปรัวๆ จนลิ้นแทบพันกัน พี่ทาวน์ถึงกับหลุดหัวเราะหึออกมาเบาๆ ก่อนจะยืนโทรศัพท์ที่เพิ่งเปิดเครื่องมาให้

"เอาไลน์มา เผื่อกูเลท"
โอย สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่แค่เอื้อมแล้วดอกฟ้ากำลังโน้มมาหาหมาวัด แม่ครับผมจะจีบพี่ทาวน์ติดใช่ไหม!

"คะ ครับ"
แม่งเอ้ย แต้มบุญกูดีจริงๆ เขาคุยด้วย เขาให้นั่งรถ เขาไปส่ง เขายิ้มให้ เขาถามชื่อ เขาจะเลี้ยงข้าว เขาจะมารับ สุดท้ายคือเขาขอไลน์ โอ้ย ดีใจจนตัวจะแตกอยู่แล้ว ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนทั่วไปและสำหรับพี่ทาวน์ แต่ขอฟินหน่อยแล้วกัน ก็ผมมันคิดไม่ซื่อนี่!




-----------------------------------------------

แบบนี้เขาเรียกเหยื่อหลงเข้าถ้ำเสือเองหรือเปล่าน้อ
น้องเจ็ทฟินจนลอยออกไปดาวอังคารแล้วแน่ๆ เราเชื่อแบบนั้น

ช่วยคอมเม้นท์ให้กำลังใจเราหน่อยน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 8 - P.1 (17/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 17-07-2017 18:02:49
อ่านไปอ่านมาทำไมรู้สึกว่าไธชอบเจ็ท แรกๆก็คิดแหละว่าชอบจิณณ์ แต่ตอนหลังๆมาเอนเอียงไปทางเจ็ทละ อย่าว่างั้นงี๊เลยนะเราแอบชอบไธเจ็ทอ่ะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 9 - P.1 (23/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-07-2017 14:09:30
แข่งครั้งที่ 9



วันนี้ถึงแม้สภาพอากาศภายนอกจะเลวร้ายเนื่องจากมีฝนตกอย่างหนัก อุณหภูมิในห้องลดฮวบจนต้องหาอะไรมากอดบรรเทาความหนาว จะลุกไปปิดแอร์ก็ร้อน จะเปิดพัดลมก็จาม ปัญหาโคตรเยอะ แต่ผมยังยิ้มได้เพราะกำลังจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต

"เป็นบ้าเหรอมึง"
จิณณ์ถามขึ้นในขณะที่เรากำลังดูรายการทีวีด้วยกัน วันนี้ผมไม่มีเรียน ส่วนมันเพิ่งกลับมาจากมหา'ลัย แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงกวนตีนวะ

"อะไรของมึง"
ผมหันไปถามคนที่นั่งข้างกันด้วยน้ำเสียงสงสัย มันขมวดคิ้วจ้องหน้าเขม็งเหมือนกำลังพิจารณาอะไรสักอย่าง มีอะไรติดหรือสิวขึ้นกันแน่

"ก็มึงยิ้มไม่หุบมาตั้งนานแล้ว ขาดยาเหรอ"
มันเอื้อมมือมาผลักหัวแล้วหรี่ตามองอย่างจับผิด จิณณ์กำลังสงสัยบางอย่าง ส่วนผมก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองนั่งยิ้มเพราะเผลอคิดถึงเรื่องพี่ทาวน์ คงเป็นบ้าอย่างที่โดนกล่าหาจริงๆ

"พ่อง กูมีความสุขก็ต้องยิ้มดิ"
ผมบอกไปตามตรงและแอบด่ามันด้วย ไม่อยากโทษตัวเองที่เอาแต่ยิ้มได้ทุกเวลาแต่โทษจิณณ์ที่วันนี้ช่างสังเกตแล้วกัน

"สุขเรื่องอะไรวะ บอกหน่อย"
พอได้ยินคำว่าความสุข จิณณ์ก็ขยับเข้ามากระแซะไหล่ด้วยหน้าตาอยากรู้อยากเห็นจนผมได้แต่เบ้ปาก ที่หนักกว่านั้นคือมันลงทุนปิดทีวีแล้วนั่งจ้องกัน ถ้าเป็นปลากัดคงท้องไปหลายรอบแล้ว

"กูเพิ่งรู้นะว่ามึงขี้เผือก"

"ว่ากูเสือกเลยก็ได้ ยอมรับ บอกมาไวๆ"
มันเซ้าซี้แถมยังเขย่าแขนกันด้วยความอยากรู้ ผมถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะคิดอะไรพิสดารได้ คราวนี้ไอ้คนขี้เผือกต้องหัวร้อนแน่

"ก็..."
ผมพูดแค่นั้นก่อนจะปิดปากเงียบเพราะต้องการแกล้งจิณณ์ในขณะที่นั่งรอเวลาไปอาบน้ำ คงได้เห็นใบหน้างอง้ำของเดือนวิศวะบ้างล่ะคราวนี้

"....."
จิณณ์ทำท่าตั้งใจฟังจนผมต้องพยายามกลั้นขำไว้ ตาโตๆ แวววาวไปด้วยความอยากรู้ โคตรตลก ไหนจะมือที่บีบแขนกันจนแน่น นี่มันคนขี้เผือกขนานแท้เลย

"คือแบบว่า..."
ผมสนุกกับการทำอ้ำอึ้งเพราะเห็นสีหน้าของจิณณ์ที่เริ่มเข้าโหมดตึงเครียดแล้วตลก อะไรมันจะอยากรู้ขนาดนั้น

"ไอ้เจ็ท อย่าลีลา!"
จิณณ์โวยแล้วทุบเข้าที่ไหล่เต็มๆ ผมเบ้ปากก่อนจะยกมือขึ้นปิดหูทันที ไม่กลัวคนข้างห้องเคาะประตูด่าหรือไง ดีนะผนังไม่บางเหมือนหอของเพื่อนสมัยมัธยม ตอนนั้นได้ยินแม้กระทั่งกิจกรรมเข้าจังหวะ ทั้งเสียงเตียง เสียงคราง โคตรจัดเต็ม คิดแล้วยังขนลุกไม่หาย

"กูมีนัดกับพี่ทาวน์เย็นนี้"
ผมตอบกลับด้วยอารมณ์เปี่ยมสุข ตอนนี้ปากคลี่ยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา แค่คิดว่าจะได้นั่งกินข้าวแล้วมองหน้าพี่ทาวน์ไปด้เท่านี้ก็ฟินตัวจะแตก โอกาสมันลอยมาหาโดยไม่ต้องพยายามเลย

"เฮ้ย! ก้าวหน้าโคตร ใช้วิธีไหนวะ บอกหน่อยๆ จะเอาไปจีบสาวบ้าง"
จิณณ์เขย่าแขนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟังจากน้ำเสียงมันคงตื่นเต้นมากที่ผมสามารถก้าวหน้าได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่จริงแล้วพี่ทาวน์แค่เลี้ยงข้าวขอโทษเพราะจำชื่อไม่ได้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เหอะๆ ยังไม่ได้เริ่มจีบเขาเลยสักนิด

"ไม่บอกเว้ย แล้วอีกอย่าง มึงไม่ต้องไปจีบใครหรอก เดี๋ยวก็มีคนมาจีบเอง"
ผมผลักจิณณ์ออกไปด้วยความรำคาญแล้วมองหน้ามันอย่างจริงจัง รู้กันดีว่าตอนนายโภคินโสดจะเจ้าชู้มาก คุยเล่นไปทั่ว ถ้าไม่ห้ามหรือรั้งตั้งแต่เนิ่นๆ เกรงว่าไอ้ไธคงต้องแอบรักไปอีกนาน

"เฮ้ย มึงพูดอะไร ใครจะมาจีบกู"
จิณณ์ทำท่าตกใจก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาจับไหล่กัน ผมได้แต่ปัดป้องแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเลี่ยงการตอบคำถาม ขืนบอกไปตรงๆ มันอาจจะเกลียดไอ้ไธไปเลยก็ได้

"คอยดูเอาเอง กูไปอาบน้ำดีกว่า"
ผมยักคิ้วกวนให้มันก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องนอน ได้ยินเสียงโวยวายตามหลังมาไม่หยุดก็ได้แต่หัวเราะกับความงุ่นง่านของจิณณ์ ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจเรื่องใครจะมาจีบ แต่คราวนี้ทำไมเกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาก็ไม่รู้

ผมส่ายหน้าให้กับความคิดไร้สาระแล้วตรงเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย เสื้อผ้าถูกถอดออกอย่างลวกๆ ก่อนที่จะก้าวขาไปยืนรับสายน้ำใต้ฝักบัว กลิ่นของสบู่ทำให้สมองโล่งและสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อรู้สึกผ่อนคลาย

เรื่องของพี่ทาวน์วนเวียนอยู่ในสมองเกือบทุกเวลาจนผมคิดว่าตัวเองยังสติดีอยู่หรือเปล่า แต่พอได้คิดทบทวนดีๆ แล้ว กลับพบว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเรียกว่าอาการหลงขั้นรุนแรง ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับเขามักจะสร้างรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าได้เสมอ

ตั้งแต่เล็กจนโตเคยสัมผัสความรักมาหลายรูปแบบ แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้ใจเต้นแรงได้แบบนี้เลย แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ผมก็พร้อมทำทุกอย่างเพื่อได้ยืนอยู่ข้างๆ พี่ทาวน์

เริ่มต้นจากปลื้มรูปร่างหน้าตา
ต่อมาคือรู้สึกประทับใจในความห่วงใย
จนวันหนึ่งกลายเป็นความอยากรู้ อยากเห็น
และพัฒนาเป็นความชอบ อยากได้เขามาครอบครอง
และในไม่ช้าเชื่อว่ามันจะกลายเป็นความรักที่ซื่อสัตย์และมั่นคง

ผมเลือกใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำกับกางเกงผ้าสีน้ำตาลขาเต่อและฉีดน้ำหอมเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไปเจอเข้ากับพี่ชายที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์

"จิณณ์ ทำไรวะ"
ผมถามก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆ ดวงตาคมลอบสังเกตความผิดปกติของจิณณ์ครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะตอบกลับมาหน้าซื่อเหมือนไม่ได้ทำอะไรแปลกประหลาดอย่างเช่นการยิ้มกับโทรศัพท์

"ห๊ะ ตอบไลน์ไง ถามแปลกๆ"
มันหันมาขมวดคิ้วแล้วส่ายหัวปลงๆ ให้กันก่อนจะกลับไปสนใจโทรศัพท์ต่อ ปล่อยให้ผมมองใบหน้าด้านข้างที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอย่างสงสัย ปกติจิณณ์เคยยิ้มแบบนี้ซะที่ไหน คล้ายๆ ว่าเจอของถูกใจ หรือว่า... ไอ้ไธจะแดกแห้วอีกงานนี้

"เห็นมึงนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่"
ผมแสร้งถามแล้วทำเป็นไม่สนใจคำตอบโดยการหยิบเครื่องเล่นเกมมาเปิด จริงๆ แค่เอามาบังหน้าเพื่อไม่ให้จิณณ์สงสัยในความอยากรู้นี้

"ก็... คุยกับสาวๆ ในสต็อกไง"
จังหวะเว้นคำทำให้ผมต้องเลิกคิ้วขึ้นเพราะท่าทางแบบนี้ของจิณณ์คือกำลังโกหก แต่ผมไม่บอกให้เขารู้ว่าจับจุดนี่ได้นานแล้ว ถ้าไหวตัวทันเมื่อไหร่คงหาทางเนียนได้มากกว่านี้

"แน่ใจ๊"

"เออ จะดูไหมล่ะ"
มันกล้าส่งโทรศัพท์มาตรงหน้าเพราะรู้ว่าผมจะไม่เช็คเนื่องจากติดพันเล่นเกมอยู่ แต่จิณณ์คงไม่เอะใจ หางตาเหลือบเห็นหน้าจอแชทที่เต็มไปด้วยสาวๆ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้วคือมันเป็นผู้ชาย หึ แอบไปมีไลน์กันตอนไหนทำไมกูตกข่าวแบบนี้!

"ไม่ล่ะ มึงนี่จะโสดบ้างไม่ได้หรือไง"

"ก็โสดไง แค่คุยแก้เบื่อเฉยๆ มึงนี่เยอะนะ เอาเวลาไปจีบพี่เมืองเหนือเถอะ"
มันมองหน้าผมกลับแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ มือเย็นๆ ถูกยกขึ้นมาตะปบเข้าที่แก้มทั้งสองข้างของผมแล้วยืดออกด้วยความมันเขี้ยว เจ็บสัดๆ

"กูแบ่งเวลาเป็นครับพี่ชาย มึงเลิกทำตัวเจ๊าะแจ๊ะกับสาวๆ ได้แล้ว เดี๋ยวเขาก็หาว่าให้ความหวัง"
ผมปัดมือมันทิ้งด้วยความรำคาญแล้วพูดเรื่องที่อยากพูดมานาน ซึ่งความจริงถ้าไม่มีเรื่องไอ้ไธเข้ามาเกี่ยวคงปล่อยเลยตามเลย แต่ครั้งนี้เพื่อนจะลงมือจีบก็ต้องช่วยอย่างเต็มที่ ถ้าบทสรุปจบลงด้วยจิณณ์ไม่รู้สึกอะไร ก็ยังรู้สึกดีที่ได้พยายามทำทุกอย่างแล้ว

"อะไรของมึงเนี่ย ปกติไม่เจ้ากี้เจ้าการขนาดนี้นะ มีอะไรปิดบังปะ"
จิณณ์ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยแล้วขยับเข้ามาใกล้จนคล้ายกำลังคร่อมกันอยู่ ด้วยความที่ผมไม่ได้คิดว่าจะเจอสถานการณ์แบบนี่เลยไปไม่เป็น ได้แต่ผลักพี่ชายออกแล้วเบนหน้าหนี ถึงมั่นใจว่าตัวเองสามารถโกหกได้ก็กลัวไม่เนียน เพราะใจจริงอยากบอกมันให้รู้ตัวสักทีว่ากำลังโดนไอ้ไธจีบ อยากรู้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ พอๆ กับเรื่องของตัวเอง

"เปล่าๆ แล้วเย็นนี้จะออกไปกินข้าวข้างนอกหรือทำเอง"
ผมลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจนิดหน่อย ไม่อยากอยู่ตรงนี้นานๆ กลัวว่าจะหลุดพูดอะไรที่ไม่ควรแก่เวลาออกไป

"ไอ้เอยมารับไปกินเหล้า"
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยความยินดีที่ผมรับรู้ได้ แอลกอฮอล์อีกแล้วเหรอ หวังว่าไอ้เอยจะแบกมันมาส่งจนถึงห้อง ไม่ใช่ว่าคลานเป็นหมาอยู่ตามทางอีก อายคนในคอนโด

"เออๆ อย่ากินจนคลานเป็นหมาแล้วกัน"
ผมพูดดักคอเอาไว้ แต่มันไม่เคยได้ผลหรอก จิณณ์ไปร้านเหล้าทีไรกลับมาสภาพเหมือนคนอกหักทุกที

"ครับคุณพ่อ สั่งจัง"
ประชดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแถมเอื้อมมือมาตีก้นกัน ผมหันไปชี้หน้าคาดโทษมันเอาไว้ ทำตัวกวนตีนแบบนี้ ระวังสักวันจะยิ้มไม่ออกเพราะโดนไอ้ไธจับทำเมีย แต่คิดก็ขนลุกแล้ว

"กูไปแล้วนะ บอกไอ้เอยขับรถดีๆ ด้วย"
ผมโบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องด้วยใบหน้านิ่งขรึม พรุ่งนี้ต้องลากไอ้ไธมาคุยให้รู้เรื่องว่ามันไปแลกไลน์กันตอนไหน หรือความจริงแล้วทั้งสองคนแอบคุยกันมาก่อนวะ ไม่ได้เสือกแต่งงจริงๆ เพราะจิณณ์เป็นประเภทไม่แจกไอดีมั่วซั่ว กับสาวๆ ก็ให้เฉพาะคนที่ถูกใจ ใครนอกเหนือจากนั้นเแอดมามันบล็อกนะเว้ย

ผมนั่งรอพี่ทาวน์ที่โซฟาด้านหน้าเค้าน์เตอร์ของคอนโดด้วยใจจดจ่อ เพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถสลัดเรื่องของจิณณ์ออกไปจากสมองได้จนเกลี้ยง ตอนนี้เลยตื่นเต้นกับเรื่องของตัวเองแทน เจอหน้ากันควรทำยังไงดีนะ ยิ้มก่อนหรือทักทายก่อนดี

ทำไมรู้สึกว่ากลายเป็นหนุ่มน้อยวัยกระเตาะหัดมีความรักแบบนี้ ทำไมอะไรๆ ก็ดูยากไปซะหมด เพราะเขาเป็นผู้ชายและผมก็เป็นผู้ชายอย่างนั้นหรือ

โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อสั่นเป็นจังหวะสองครั้งทำให้ผมต้องรีบหยิบมันออกมาดูเนื่องจากนาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงสิบนาทีแล้ว พี่ทาวน์คงไลน์มาเลื่อนนัดแน่ๆ แต่ขออย่าให้ยกเลิกเลยนะ ไม่อยากฝันสลายแถมโดนจิณณ์ล้ออีก

ผมกดรหัสผ่านปลดล็อกโทรศัพท์แล้วเจอกับข้อความจากพี่ทาวน์จริง ปากหยักคลี่ออกเป็นรอยยิ้มในทันที ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรขนาดนี้มาก่อน เหมือนเขากำลังให้ความหวังกันทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัวเลยว่าโดนนายภาคินเนียนจีบ

Maungneua
กูเพิ่งทำควิซเสร็จ อีกสิบนาทีน่าจะถึง

Phakin
ได้ครับ ขับรถดีๆ นะ ^^

Maungneua
อืม

ผมจูบโทรศัพท์ด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา แค่หนึ่งประโยคกับหนึ่งคำของพี่ทาวน์ก็สามารถทำให้รอยยิ้มกว้างขึ้น ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าทำไมถึงรู้สึกว่าเขาน่ารักทั้งที่ตอบแค่อืมกลับมา หลงหนักขนาดนี้คงหาทางออกไม่เจอไปชั่วชีวิตแน่ๆ

ถนนหน้าคอนโดปรากฏรถเอสยูวีคุ้นตา ทำให้ผมรีบก้าวขายาวๆ ตรงไปทางนั้นทันที ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมากจนรู้สึกอึดอัดในอก ปากมันพาลจะยิ้มลูกเดียวเลยต้องเม้มกลั้นเอาไว้ สภาพคงคล้ายๆ คนกำลังจะอ้วก สมเพชตัวเองเหลือเกิน

"สะ สวัสดีครับพี่ทาวน์"
ผมเปิดประตูรถแล้วสอดตัวเข้าไปทันที จากที่เตรียมการอะไรมาหลายๆ อย่างกลับลืมไปสนิท เลยกลายเป็นทักทายด้วยประโยคติดขัด ไม่ใช่เพราะเหนื่อยแต่เป็นเพราะตื่นเต้นและต้องควบคุมอารมณ์เท่านั้นเอง

"อืม คาดเข็มขัดด้วย"
พี่ทาวน์ชี้ไปที่เข็มขัดนิรภัยแล้วเหยียบคันเร่งออกรถไปช้าๆ ผมพยักหน้ารับทันทีเพราะรู้ว่าเขาเคร่งเรื่องนี้ ข้อมูลแน่นไหมล่ะ หึหึ

"ครับๆ"

ผมไม่รู้ว่าพี่ทาวน์จะพาไปเลี้ยงข้าวที่ไหนและไม่รู้ว่าจะชวนคุยอะไรดี สังเกตจากสีหน้าตอนนี้คงเหนื่อยมาจากการเรียนและทำควิซมาทั้งวัน ถ้าถามเกี่ยวกับวิชาการคงเครียดน่าดู

ไอ้สถานีวิทยุที่เปิดฟังทำไมมีแต่เพลงอกหัก ขอเปลี่ยนได้ไหม ไม่อยากเขาให้คิดถึงพรีมอีก ผมรู้ว่าตัวเองอาจจะหวังมากไปว่าพี่ทาวน์คงเลิกรักผู้หญิงที่นอกกายนอกใจได้ง่ายๆ แต่บางทีคงลืมไปว่ามันเป็นเรื่องซับซ้อนและละเอียดอ่อนของมนุษย์ทุกคน

"ทำไมพี่ทาวน์ถึงซื้อรถเอสยูวีครับ"
ในที่สุดผมก็หาหัวข้อสนทนาเจอ ดูภาพรวมแล้วพี่ทาวน์น่าเหมาะกับรถซูเปอร์คาร์มากกว่า นี่ไม่ได้กำหนดกะเกณฑ์อะไรให้เขาจากรูปร่างหน้าตา ก็แค่สงสัยเพราะคนวัยนี้ไม่น่าจะชอบรถเอสยูวีสักเท่าไหร่

"เมื่อก่อนเคยเลี้ยงหมา"
เมื่อก่อนนี่มันนานแค่ไหน จากที่ดูรุ่นของรถแล้วไม่เกินหกปีแน่ๆ หมาพันธุ์อะไรวะ มีบุญได้นั่งบีเอ็มฯ เนี่ย

"อ๋อ ตัวใหญ่สินะครับ"

"อืม"

"แล้วตอนนี้... มัน เอ่อ ตายแล้วเหรอ"
ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะถามต่อยังไง เพราะพี่ทาวน์บอกว่าเคย แสดงว่าปัจจุบันคงไม่ได้เลี้ยงแล้ว ถ้าพูดผิดไปคงโดนถีบตกรถแน่ แต่ผิดคาดที่เขาทำแค่เพียงเหลือบสายตามองกัน

"เปล่า กูเลิกกับแฟน"

"อ่า... ขอโทษครับ"
คำตอบชัดจนผมต้องออกปากขอโทษทันที แฟนที่เขาหมายถึงคงหนีไม่พ้นดาวคณะแพทย์ปีนี้ ดูเธอเป็นที่รักของครอบครัวพี่ทาวน์ด้วยนะ แล้วคนอย่างนายภาคินจะเอาอะไรไปสู้ ผู้ชายเป็นแท่ง เอ้ย ทั้งแท่งขนาดนี้ คิดแล้วเศร้าใจ

"ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว"
พี่ทาวน์ไหวไหล่เหมือนไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้นจริงๆ ผมเลยทำใจกล้าที่จะชวนเขาคุยต่อเรื่องเดิม เสี่ยงโดนถีบตกรถหรือโดนเกลียดขี้หน้ามาก รู้แต่ก็ยังทำ ศัพท์เทคนิคคงเรียกว่ากวนตีน

"น่าอิจฉาเนอะ"
ผมเปรยออกไปแบบลอยๆ แต่คนหัวไวอย่างพี่ทาวน์คงรู้ว่าหมายถึงเรื่องไหน ก็แฟนเก่าเขาน่าอิจฉาจริงๆ นี่หว่า ขนาดลงทุนซื้อรถเพื่อหมาของเธอ พรีมคงเป็นผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เขามีความสุขมาก แล้วคนอย่างนายภาคินจะเอาอะไรมาสู้

"อะไร"

"พี่ทาวน์คงรักแฟนเก่ามาก"
ผมพูดเสียงแผ่วและแอบมองใบหน้าด้านข้างของเขาว่ามีปฏิกิริยาตอบกลับหรือไม่ แต่นานนับนาทีที่พี่ทาวน์เงียบไปก่อนจะหัวเราะหึออกมาให้ผวาเล่น ถ้าโดนถีบตกรถขึ้นมาอย่าได้โทษใคร ตัวเองปากเสียล้วนๆ

"หึ กูเคยรักมากก็เกลียดมากเหมือนกัน"
พี่ทาวน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์เหมือนทุกที ผมเลยลอบถอนหายใจเมื่อไม่มีวี่แววว่าเขาจะโกรธ

"สายโหดนะเนี่ย"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไม่อยากให้บรรยากาศอึมครึมเกินไป พี่ทาวน์กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะตอบกลับมา

"คงงั้น เดือนหน้าจะเปลี่ยนรถ"
ประโยคหลังทำให้ผมตกเบิกตาโตเพราะไม่คาดคิดว่าอยู่ๆ เขาจะบอกเรื่องส่วนตัวให้ฟัง สาเหตุที่เปลี่ยนรถคงไมาต้องถามให้มากความ เพราะมันไม่ใช่อะไรที่ควรสอดหรือเซ้าซี้เลยสักนิดเดียว

"หา... จริงเหรอ เล็งอะไรไว้ครับ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย อยากรู้รสนิยมของพี่ทาวน์ใจจะขาดว่าจริงๆ แล้วเจ้าตัวชอบรถแบบไหน จะเป็นสปอร์ตซีดาน ซูเปอร์คาร์ สปอร์ตคูเป้ ฟูลไซต์ หรือแบบอื่นๆ

"Audi TTS"
ชื่อยี่ห้อรถพร้อมทั้งรุ่นหลุดออกจากปากพี่ทาวน์อย่างง่ายดาย ทำให้ผมได้แต่ตกตะลึงในคำตอบนั้น... ซื้อรถจิณณ์ได้เกือบห้าคัน! ไม่คิดว่าเขาจะรวยขนาดนั้น ดอกฟ้ากับหมาวัดชัดๆ

"สะ สี่ล้านกว่าอะนะพี่!"
ผมร้องเสียงหลงแล้วเบิกตาโตใส่อีกคนที่หันมามองด้วยใบหน้าเรียบเฉยยามรถติดไฟแดง

"อืม เอาเกรดสี่ไปแลก"
พี่ทาวน์ยักคิ้วข้างเดียวให้กันก่อนจะหันกลับไปมองด้ายหน้า ผมได้แต่ขยี้ตาแล้วคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาทำแบบนั้นใส่กันจริงๆ เหรอวะ นี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

"โห... คะ โคตรโหด"
ผมพึมพำแต่ดวงตาเหม่อมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาวน์ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งนานวันก็ได้รู้จักคนๆ นี้มากขึ้นเรื่อยๆ มันน่าค้นหาและน่าครอบครอง ชอบ ชอบมากจริงๆ

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกจนลงจากรถเพื่อเข้าร้านอาหารสไตล์เวียดนาม ผมแอบแปลกใจเล็กน้อยเพราะนึกไม่ถึงว่าพี่ทาวน์จะชอบแนวนี้ ไม่ใช่ญี่ปุ่น เกาหลี จีน หรืออิตาลีที่นิยม

ผมเดินตามพี่ทาวน์เข้าร้านไปเงียบๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม จากนั้นพนักงานก็นำเมนูมาให้เราทั้งสองคนได้เลือก ยอมรับว่าในชีวิตเคยกินอาหารเวียดนามแท้ๆ ไม่เกินห้าครั้ง บ่อยสุดคงเป็นแหนมเนือง

"พี่ทาวน์ชอบอาหารเวียดนามเหรอ"
ผมถามทั้งๆ ที่ยังก้มอ่านเมนูในมืออย่างสนใจ อันนั้นก็น่ากิน อันนี้ก็ชื่อแปลก ไม่รู้ว่ามันจะอร่อยหรือเปล่า เลือกยากฉิบหาย

"ไม่เคยกิน"
คำตอบนั้นทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ถ้าไม่เคยกินแล้วพามาที่นี่ทำไม หรือว่าพี่ทาวน์อยากลอง

"อ่าว งั้นอยากลองกินดูเหรอครับ"
ผมเสี่ยงถามออกไปแล้วจ้องหน้าเขาเพื่อนอคำตอบ พี่ทาวน์เหลือบตามองกันก่อนพยักหน้ารับ

"อือ"
เขาก้มลงเลือกเมนูต่อโดยไม่สนใจสายตาของผมอีก ทำไมรู้สึกว่าพี่ทาวน์น่ารักนะ ถ้าอยากลองกินอะไรใหม่ๆ ชวนเพื่อนก็ได้มั้ง ไม่เห็นต้องหาข้ออ้างชวนนายภาคินมาเลี้ยงข้าวแบบนี้เลย เรียกว่าเขาอ่อยเราได้ไหมนะ... โคตรเข้าข้างตัวเองเลย

"ไม่เคยชวนพวกพี่ฟากับพี่แฮมมากินด้วยเหรอครับ"
ผมถามซอกแซกด้วยความอยากรู้ เพราะไอ้การเข้าข้างตัวเองแบบนี้มันไม่เกิดผลดียังไงล่ะ ถามให้แน่ใจไปเลยดีกว่าว่าเหตุผลที่แท้จริงของเขาคืออะไร จะได้ไม่ต้องมานั่งเจ็บใจทีหลัง

"เคย แต่พวกมันไม่ชอบ"
ผมถึงบางอ้อ การมโนเป็นอันโดนสลายไปในพริบตา เพราะเพื่อนเขาไม่กินเลยมาชวนคนอื่น ซึ่งพอดีว่าผมเป็นจังหวะเหมาะของเขา หนีไปร้องไห้ใต้กอกล้วยตอนนี้ทันไหม ไม่อยากกินอาหารเวียดนามแล้วแม่ง แทงใจอะ

"อ๋อ... แล้วทำไมถึงมาชวนผมล่ะครับ"
ผมยังทำใจแข็งถามต่อเผื่อพี่ทาวน์จะช่วยอุดรูรั่วให้เรือที่กำลังจะจมสู่ก้นทะเล แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงว่านายภาคินเนียนเกินไป เขาเลยไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังโดนจีบอยู่ทุกครั้งที่เจอกัน หรือแท้จริงแล้วสกิลกูเลเวลไม่สูงพอวะ

"เพราะกูเลี้ยง มึงต้องกิน"
พี่ทาวน์ตอบกลับก่อนจะกระตุกยิ้มทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอ่านเมนู ผมได้แต่มุ่ยหน้าลงเพราะโดนเหยียบย่ำหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่า บางทีคงต้องตัดสินใจรุกหนักแทนการเนียนจีบแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเหยื่ออาจจะโดนหมาตัวอื่นคาบไปแดกซะก่อน

"ครับๆ ของฟรีผมกินได้หมดล่ะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะทั้งๆ ที่ในใจขมขื่น ถ้าพี่ทาวน์มีความสุขกับการได้ลองชิมอาหารเวียดนามก็ถือว่าคุ้มล่ะวะ

"น้องเจ็ท ~"
เสียงหวานๆ ของใครคนหนึ่งดังมาแต่ไกลทำให้ผมต้องชะงักมือที่กำลังจะเปิดเมนูแผ่นถัดไป มันคุ้นเคยทว่าเลือนลาง เมื่อสายตามองประสานกับคนที่เดินตรงเขามากก็ได้คำตอบ... พี่เค้ก!

"ฉิบหาย"
ผมสบถเสียงเบาแล้วยกเมนูขึ้นบังหน้า ถึงจะรู้ว่ามันแก้ไขอะไรไม่ทันแล้วแต่ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ให้เดินหนีก็คงทำไม่ได้ในเมื่อพี่ทาวน์ยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ทิ้งเขาไม่ได้หรอก

"แฟนเหรอ"
เสียงทุ้มถามกลับมา มันไม่ได้เจือความอยากรู้แต่เหมือนกำลังชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ผมบอกเลยวันนี้มีลมกรรโชก ฝนตกหนักแน่นอน โอย ไม่คิดว่าต้องโคจรมาพบแฟนเก่าของจิณณ์แบบนี้เลย อุตส่าห์บล็อกไลน์เธอไปแล้วนะ

"เฮ้ย เปล่าๆ ผมโสด นั่นแฟนเก่าพี่ชายครับ"
ผมละล่ำละลักบอกแล้ววางเมนูลงเพื่อโบกมือปฏิเสธย้ำ พี่ทาวน์ถึงกับขมวดคิ้วแต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว สงสัยจะงงกับพฤติกรรมที่แสดงออกไปให้เห็น

"อืม"

"มากินข้าวเหรอน้องเจ็ท"
พี่เค้กหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ กันอย่างไร้มารยาทและที่หนักกว่าคือเธอคล้องแขนผมเอาไว้อย่างสนิทสนม เรียกว่าเต้าแนบเนื้อเลยก็ได้ ไม่ปฏิเสธว่าชอบ แต่ต้องไม่ใช่พี่เค้ก และตอนนี้พี่ทาวน์สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นใครหน้าไหนก็ดึงความสนใจของผมไม่ได้หรอก

"ครับพี่เค้ก มากินข้าว"
ผมตอบก่อนจะเนียนดึงแขนออกจากการเกาะกุมอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้พี่เค้กหน้าแตก ถ้ามีแค่พวกเราคงไม่แคร์เธอแบบนี้ แต่ตอนนี้คนแน่นร้านต้องไว้หน้ากันก่อน

"กับ... โอ๊ะ เพื่อนเหรอ"
เหมือนเธอจะเพิ่งสังเกตเห็นพี่ทาวน์และดูเหมือนว่าจะจำไม่ได้ว่าคนตรงหน้าคืออดีตเดือนมหา'ลัยปีที่แล้ว

"เอ่อ..."
ผมหาคำตอบไม่เจอเพราะไม่รู้ว่าสถานะระหว่างตัวเองกับพี่ทาวน์ต้องใช้คำไหน คนรู้จัก รุ่นน้อง หรือเพื่อน แต่เป้าหมายชัดเจนว่าอยากเป็นแฟนนะครับ ตอนนี้ได้แค่กระซิบเบาๆ ไว้ในใจไม่กล้าบอก กลัวโดนกระทืบ

"ครับ เพื่อน"
พี่ทาวน์ตอบแทนให้หลังจากที่เงียบไปนาน และไม่รู้ว่าเขาทำยังไงพี่เค้กถึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

"งั้นไม่กวนแล้วดีกว่า ไว้พี่จะไลน์หานะคะ"
แล้วเธอก็หันมาขยิบตาให้กันก่อนจะเดินหายไปกับกลุ่มเพื่อนที่รออยู่ ผมได้แต่นั่งกระพริบตาปริบๆ พูดอะไรไม่ออก โดนจู่โจมแบบนี้ใครตั้งหลักทันก็บ้าแล้ว ส่วนเรื่องจะไลน์หาก็ฝันไปเถอะ บล็อกและลบทิ้งไปแล้วเพราะไม่อยากมีปัญหากับจิณณ์

"ดูเหมือนจะชอบมึงนะ"

"ห๊ะ อะไรนะครับ"
ผมร้องถามเมื่อพี่ทาวน์ถามถึงสิ่งที่ผมรู้ตัวดีมาตลอดตั้งแต่วันที่จิณณ์เลิกกับพี่เค้ก แต่ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะดูสถานการณ์เมื่อครู่ออก

"ผู้หญิงคนนั้น"

"อ๋อ คงใช่ แต่ๆ ผมไม่ได้ชอบเขานะ"
ผมปฏิเสธลิ้นรัวอีกครั้งพร้อมกับส่ายหัวแรงๆ จนรู้สึกมึนไปหมด อะไรก็ตามที่จะทำให้พี่ทาวน์เข้าใจผิดต้องรีบพูดความจริงออกไป

"หึ สั่งอาหารเถอะ หิว"
เขาหัวเราะก่อนจะกวักมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารแล้วปล่อยให้ผมได้แต่ทำตัวไม่ถูก เมื่อครู่เผลอแสดงอาการแปลกๆ ออกไปหรือเปล่าวะ กังวลจนหัวจะแตกแล้วเว้ย

เมนูที่ได้ยินผ่านหูด้วยน้ำเสียงของพี่ทาวน์มี เฝอเนื้อ หมูย่างใบชะพูล กุ้งพันอ้อย ก๋วยจั๊บญวณ ขนมเบื้องญวณ และที่ขาดไม่ได้คือแหนมเนือง ผมถึงกับกระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้า สาบานว่าสั่งมากินไม่ใช่ถมที่ อะไรจะเยอะขนาดนั้น

อาหารถูกทยอยยกมาเสิร์ฟเรื่อยๆ จนเต็มโต๊ะและผมขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเพราะมากินข้าวครั้งแรกกับพี่ทาวน์สองต่อสอง ตอนแรกเจ้าตัวก็มองด้วยความสงสัยแต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ

เราลงมือตักนั่นนิดตักนี่หน่อยเพื่อชิมรสชาติ พบว่ามันแปลกและอร่อยดี พี่ทาวน์ก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าจนผมอยากหยิบโทรศัพท์ออกมาเก็บรูปเขาเอาไว้ แต่ทำไม่ดีกว่า เดี๋ยวโดนจับได้เรื่องคงยาว ตอนนี้ยังไม่พร้อมเปิดเผยความรู้สึก

อยู่ๆ พี่ทาวน์ก็ชะงักมือที่กำลังจะตักกุ้งพันอ้อยชิ้นสุดท้าย ดวงตารีมองไปยังด้านหลังของผมนิ่ง ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรเพราะเสียงที่พึมพำออกมาช่างเบาเหลือเกิน

"พ..."

"ว่าไงนะครับ"
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ทั้งที่กำลังจะงับหมูย่างใบชะพูล พี่ทาวน์ส่ายหน้าก่อนจะวางช้อนส้อมในมือลงราวกับว่าอิ่มแล้ว อย่าเพิ่งดิ นี่ยังไม่ถึงครึ่งของอาหารที่สั่งมาเลยนะ เสียดายของ

"อิ่มหรือยัง"
น้ำเสียงที่ใช้ถามสั่นเล็กน้อย เขามองมาที่ผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน ถึงจะไม่ชัดเจนแต่รู้สึกได้ จะว่าไป เมื่อครู่พี่ทาวน์ต้องเห็นอะไรแน่ๆ

"หา... เอ่อ อิ่มก็ได้ครับ"
ผมมองหมูย่างใบชะพูลในมืออย่างอาลัยอาวรณ์แล้วตัดสินใจวางมันลงในจานเหมือนเดิม พี่ทาวน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและคว้าบิลเพื่อจะเอาไปคิดเงินแล้ว ทำไมเขาถึงได้รีบร้อนขนาดนี้วะ

"อืม งั้นไปหาของหวานกินร้านอื่น"
พี่ทาวน์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เค้าน์เตอร์ ผมได้แต่ยืนหันซ้ายหันขวาหาสาเหตุของเหตุการณ์นี้ ไม่เจอว่ะ คนๆ นั้นเป็นใครกันแน่

พี่ทาวน์ยังคงก้าวขายาวๆ ไปที่ลานจอดรถ ผมที่เดินตามได้แต่ขมวดคิ้วสงสัยแต่ไม่กล้าออกปากถาม ดูเหมือนอารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่ปกติเอาซะเลย

ในขณะที่พวกเรากำลังจะเดินข้ามไปอีกฝั่งกลับมีรถคันหนึ่งขับตรงมาทางนี้ แต่พี่ทาวน์เหมือนจะไม่สนใจผมเลยต้องรีบตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจพร้อมกับพาตัวเองไปดึงเขากลบออกมา

"เฮ้ย พี่ทาวน์ระวัง!"
ตุบ ผมเซล้มลงไปกับพื้นโดยมีพี่ทาวน์ทับลงมา ยอมรับว่าเจ็บจนจุกเพราะขนาดตัวเราไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ด้วยความที่เป็นห่วงมากกว่าเลยลืมเรื่องนั้นไป

"เป็นอะไรไหมครับ!"
ผมถามพี่ทาวน์ที่ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วมองสำรวจไปทั่วร่างกายของเขาว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ใบหน้าหล่อนั่นยังคงเรียบเฉย แต่แววตาเปลี่ยนไป

"มึง... เลือด"
เขาพึมพำออกมาแล้วจ้องผมนิ่ง

"พี่เจ็บตรงไหน บอกผม ไปโรงพยาบาลกัน"
ผมพูดอย่างรีบร้อนแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เผลอเบ้ปากเพราะรู้สึกยอกไปทั้งตัว ไม่ต้องเห็นก็รู้ว่าตัวเองน่าจะมีรอยช้ำหลายจุด




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 9 - P.1 (23/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-07-2017 14:10:48
"ข้อศอกมึง... เลือดไหล"
พี่ทาวน์ชี้มาทางข้อศอกด้านขวาของผม ถึงว่าทำไมมันรู้สึกตึงๆ และอุ่นแปลกๆ ที่แท้ก็ได้แผลนี่เอง แม่งเอ้ย มัวแต่ห่วงเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

"เจ็บไหม ขอโทษ"

"ไม่เป็นไรครับ"
ผมยิ้ม ไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ เมื่อครู่ผมเต็มใจช่วย

"อืม งั้นไปกัน"

เขาส่งขวดน้ำดื่มมาให้ผมลางเศษดินเศษผงออกจากแผลแล้วเราก็ขับรถออกจากร้านนั้นด้วยความเร็วที่ช้าผิดปกติ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่นะ สีหน้าของพี่ทาวน์ถึงจะไม่เปลี่ยนแปลงแต่การกระทำทั้งหมดเมื่อครู่เป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดี

"พี่ทาวน์... เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมเหม่อจนไม่ระวังแบบนั้น"
ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแล้วลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขาเป็นระยะ ตอนนี้วิทยุไม่ได้เปิดเลยทำให้บรรยากาศอึมครึมอย่างน่ากลัว

"ขอโทษ"
เขาพูดคำเดิมซ้ำจนผมได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ ไม่ได้ต้องการคำขอโทษเพราะไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แค่อยากได้เหตุผลเท่านั้น เป็นห่วง

"ไม่ต้องขอโทษแล้วครับ มือพี่สั่นนะ ขับรถไหวไหม"
ผมถามต่อเมื่อสังเกตเห็นมือที่จับพวงมาลัยของเขาสั่น ไม่อยากให้เขาฝืน ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรมาก็ตาม นายภาคินก็จะอยู่ข้างๆ เสมอ เหมือนตอนนี้

"อืม เมื่อกี้"
เขาเริ่มพูดผมเลยตั้งใจฟัง ไม่ใช่เพราะเสือกแต่เป็นห่วง ถ้าบอกเหตุผลของการกระทำเมื่อครู่ได้ บางทีอาจเป็นการระบายให้รู้สึกโล่งใจ

"....."


"เห็นพรีม... กับไอ้ธี"
เสียงพูดขาดห้วงจนผมเผลอกลั้นหายใจ ถ้าเป็นตัวเองเห็นเต็มตาขนาดนั้นคงทำไม่ต่างจากพี่ทาวน์ บางทีอาจจะเข้าไปหัวเราะใส่หน้าทั้งสองคนเลยก็ได้

"เจ็บเหรอครับ"
ผมถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ซ้ำเติมแต่อย่างใด พี่ทาวน์ส่ายหน้าช้าๆ ปฏิเสธคำกล่าวหานั่น

"เกลียดมากกว่า"
น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำดังขึ้น มันไม่ได้มีความลังเลที่จะพูดเลยสักนิดเดียว พี่ทาวน์คงรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมสัมผัสได้ แต่เกลียดไม่ได้หมายความว่าจะเลิกรักใช่ไหม

"ยังรักเขาอยู่ไหม"
ผมถามด้วยเสียงแผ่วเบาเพราะกลัวว่าพี่ทาวน์จะโกรธ แต่มันยังความอยากรู้ไม่ได้เลย ถ้าขืนเขารักพรีมแล้วที่พยายามจีบไปมันจะมีความหมายอะไรอีก

"แค่ผูกพัน ไม่ได้รัก"
คำตอบของเขาทำให้ผมมีกำลังใจเดินหน้าต่อ ถึงแม้ความผูกพันจะขึ้นชื่อว่าตัดยากที่สุด แต่ในเมื่อไม่มีความรักให้กันแล้ว มันก็ง่ายที่จะจีบอยู่ดี

"ถ้า... พี่ทาวน์ไม่ไหวก็จอดรถก่อนนะครับ อย่าฝืน แต่ให้ผมขับแทนไม่ได้หรอกนะ ขับไม่เป็นอะ แหะๆ"
ผมหัวเราะแห้งๆ เมื่อพูดถึงการขับรถ เพราะแต่ก่อนไม่คิดว่ามันจำเป็นเลย ขี่มอ'ไซต์ก็สะดวกอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้คงวานให้จิณณ์สอนอย่างจริงจังซะแล้ว

"หึ เด็กจริงๆ เลยมึง"
พี่ทาวน์หัวเราะในลำคอทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะโดนตอกย้ำความเป็นเด็ก ถึงแม้อายุจะห่างกีบเขาแค่ปีเดียว แต่วุฒิภาวะดูเหมือนต่างเหลือเกิน

จากนี้ไปนายภาคินจะปรับปรุงตัวใหม่ให้สมฐานะที่เป็นคน(แอบ)จีบพี่ทาวน์!

ไม่รู้ว่าพี่ทาวน์จะพาไปไหน แต่ดูจากเส้นทางแล้วคงไม่พ้นกลับคอนโด เพราะตอนนี้กำลังจะถึงที่หมายของผมแล้ว แต่ๆ เขาไม่จอดเว้ย อะไรยังไง ลืมหรือเปล่า

"พี่ๆ ขับเลยคอนโดผมแล้ว"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงตื่นๆ แล้วเหลียวหลังมองคอนโดด้วยความฉงน ไม่ได้มีความอยากกลับไปเหยียบที่นั่นเลยในเวลานี้ แต่ด้วยสัญชาตญาณเลยพูดออกไป

"อืม"

"จะไปไหนครับเนี่ย"
ผมถามซ้ำแล้วหันกลับมามองพี่ทาวน์ที่ไม่แสดงสีหน้าอะไร ดวงตารีมองไปข้างหน้าไม่วอกแวก หรือจะพาไปฆ่าหมดป่าวะ โทษฐานทำตัวอยากรู้อยากเห็นเกินไป

"คอนโดกู"
คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ผมเบิกตาโต เมื่อครู่พี่ทาวน์บอกว่าพาไปคอนโดของเขาอย่างนั้นเหรอ นี่ผมไม่ได้ฝันหรือมโนไปเองใช่ไหม

"หา! ปะ ไปทำไมครับ"
ถามเสียงตะกุกตะกักจนแทบนั่งไม่ติดเบาะ ตอนนี้ผมมีทั้งความตื่นเต้นทั้งความแปลกใจผสมปนเปกันไปหมด และอีกอย่างคือไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพาไปที่คอนโดด้วย... มีเหตุผลอะไรกันนะ

"ทำแผล"
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมหายใจติดขัด นี่เขาห่วงแผลขนาดนั้นเลยเหรอ แค่เลือดออกถลอกนิดหน่อยแค่นั้นเอง

"เอ่อ... ผมทำเองก็ได้นะ"
ผมลองหยั่งเชิงเขาไปแบบนั้น เผื่อจะได้คำตอบแนวอื่นอย่างเช่น 'กูไม่อยากอยู่คนเดียว' หรือ 'กูเหงา' อะไรทำนองนั้น เพราะการทำแผลไม่จำเป็นต้องให้คนไม่สนิทเข้าไปในอาณาเขตของตัวเองแบบนี้ หรือพี่ทาวน์ไม่ได้คิดอะไรมาก... แม่ง เหมือนกำลังทอดสะพานทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัว

"ไม่ไว้ใจกูเหรอ"
คำถามนั้นทำให้ผมต้องชะงักมือที่กำลังขยี้หัวตัวเองอยู่ พี่ทาวน์เหลือบมองกันครู่เดียวก่อนจะกลับไปสนใจถนนตรงหน้าต่อ ใครจะไม่ไว้ใจพี่เล่า ก็แค่แปลกใจ!


"เปล่าๆ แต่พี่ทาวน์ต้องขับรถย้อนไปย้อนมามันเสียเวลาไง"
ผมปฏิเสธรัวๆ แล้วบอกความคิดของตัวเองที่เพิ่งผัดขี้นมาเมื่อครู่ ใจจริงอยากสงบปากสงบคำจะตาย แต่มันสงสัย สงสัยจริงๆ นะ

"น้ำมันรถกู"

"แต่ว่า..."

"เรื่องของกู จบนะ"
สรุปง่ายๆ คือพี่ทาวน์โคตรกวนตีนและเอาแต่ใจเป็นที่สุด แต่ผมก็พร้อมจะทำตามที่เขาต้องการนะ ก็คนที่ได้กำไรสำหรับเรื่องนี้คือนายภาคินนั่นเอง หึหึ

"นั่งรอตรงนี้"
เมื่อมาถึงคอนโด เขาก็บอกให้ผมนั่งรอที่โซฟาสีครีมกลางห้องรับแขกขนาดใหญ่ การตกแต่งดูเรียบง่ายและหรูหรา มีชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือทางการแพทย์เป็นภาษาอังกฤษ สมแล้วที่เป็นว่าที่หมอ

ผมนั่งลงแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ พี่ทาวน์น่าจะหายไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้ ยอมรับว่าตื่นเต้นไม่หายที่ได้เหยียบพื้นที่ส่วนตัวของเขาแบบนี้ ถ้าเจ้าตัวรู้ว่าถูกคิดไม่ซื่อด้วยคงเตะโด่งนายภาคินออกไปแน่ๆ

พี่ทาวน์หิ้วกล่องปฐมพยาบาลกลับมาพร้อมด้วยน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว เขาทิ้งตัวลงนั่งและจัดการเตรียมอุปกรณ์ทำแผลก่อนพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้ผมดื่มน้ำ

"ขอบคุณครับ"
ผมคลี่ยิ้มก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกด้วยความกระหาย น้ำเย็นชื่นใจแต่คงไม่เท่าพี่ทาวน์ที่กำลังเทแอลกอฮอล์ใส่ลำสีเพื่อเตรียมล้างแผลให้หรอก อันนี้ชื่นใจกว่ากันเยอะเลย

"ยื่นข้อศอกมา"
พี่ทาวน์ออกคำสั่งแล้วจ้องมาที่ข้อศอกของผม ตอนนี้วิญญาณหมอคงเข้าสิงอยู่แน่ๆ แต่ผมไม่ยอมขยับแขนเลยสักนิดเพราะมีเหตุผลส่วนตัว

"มันแสบไหม..."
ผมถามเสียงเบา ไม่ถูกโฉลกกับน้ำยาล้างแผล ยาใส่แผลทุกชนิด เจ็บตัวได้ แต่ขยาดกับความแสบมาก... มันซ่าๆ ซี๊ดๆ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

"แสบ"
คำตอบตรงไปตรงมาสุดๆ จนผมได้แต่เบะปาก

"โห... ไม่มีหลอกล่อเหมือนเด็กๆ หน่อยเหรอ"

"มึงโตแล้ว"
เหมือนเขากำลังจะหลุดหัวเราะแต่ยังเก๊กขรึมเอาไว้

"แต่ผมก็กลัวเจ็บเหมือนกันนะ"
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วส่งสายตาน่าสงสารไปให้คนตรงหน้า พี่ทาวน์ถึงกับกระตุกยิ้มมุมปากแล้ววางสำลีในมือลง คงเลิกคิดจะทำแผลให้กันแล้วหรือเปล่า โอย ขอโทษที่ทำตัวเป็นเด็ก

"งั้นให้อมยิ้ม"
ผิดคาดที่เขาพูดออกมาแบบนั้นแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นี่คนอย่างพี่ทาวน์ชอบกินอมยิ้มด้วยเหรอ

"มีด้วยเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จะว่าไปก็ไม่ได้กินอมยิ้มมาหลายวันแล้วเพราะช่วงนี้เรียนหนัก ไม่มีเวลาแวะมินิมาร์ทซื้อขนมเลย

"อืม ได้มาจากแฟนคลับ"

"อิจฉา... ผมชอบกินอมยิ้มมาก"

"ระวังฟันผุ"
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วหันหลังให้กัน คงเตรียมไปเอาอมยิ้มมาให้แน่ๆ

"เป็นห่วงเหรอ"
ถามด้วยความอยากรู้ แต่ไม่ได้หวังคำตอบอะไร เพราะคนเรียนหมอคงมีความเป็นห่วงคนอื่นมากว่าคนปกติทั่วไปแน่ๆ

"หึ เดี๋ยวไปเอามาให้"
สุดท้ายผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าหงอยเพราะงานมโนล่มไม่เป็นท่า แต่ต้องกลับมาตื่นเต้นอีกครั้งเมื่อเห็นพี่ทาวน์กอดกระปุกอมยิ้มขนาดใหญ่มา

"เฮ้ย มาเป็นกระปุกเลยเหรอ"
ผมร้องเสียงหลงแล้วมองของในมือพี่ทาวน์ด้วยดวงตาเป็นประกาย เยอะขนาดนั้นคงกินได้เป็นเดือนแน่ๆ อยากได้อะ

"อืม เอาไปหมดนี่ล่ะ"
พี่ทาวน์ยื่นกระปุกอมยิ้มมาให้ผมแล้วนั่งลงด้านข้างเหมือนเดิม เขาเริ่มหยิบสำลีชิ้นใหม่ขึ้นมาเทน้ำเกลือใส่ ครั้งนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

"พี่ไม่กินเหรอ"

"เจ็บเพดานปาก"
เขาตอบก่อนจะดึงแขนของผมข้างที่ข้อศอกเป็นแผลไปพลิกดู อยากดึงกลับแต่ใจไม่กล้าพอเลยหาเรื่องชวนคุยดีกว่า

"อ๋อ ผมก็เจ็บนะ แต่ชอบ... โอ๊ย แสบๆๆ"
ผมร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆ เขาก็จิ้มสำลีชุบน้ำเกลือลงบนแผล ไม่ให้สัญญาณกันเลยเว้ย แสบอะ แสบจนเผลอดึงแขนกลับแล้วเบะปากลง

"อยู่นิ่งๆ"
พี่ทาวน์เหลือบตามองกันแล้วสั่งเสียงดุ ทำให้ผมต้องหยุดยื้อแขนตัวเองแล้วทำท่าสงบเสงี่ยม

"คะ ครับ"

หลังจากทำแผลเสร็จพี่ทาวน์ก็มาส่งผมที่คอนโคเกือบสามทุ่มซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่จิณณ์ลงมาชั้นล่างของคอนโด ไอ้เอยคงมารับไปกินเหล้าแล้วล่ะ หรือผมจะติดสอยห้อยตามไปด้วยดี

"น้องรัก ~"
จิณณ์เดินเข้ามาทักทายกันด้วยรอยยิ้ม ส่วนผมแค่รับคำด้วยการยักคิ้วให้

"ไอ้เอยมารับแล้วเหรอ"

"เออ จะไปด้วยกันปะ"
มันถามด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้มอยู่ ผมมองจิณณ์ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว กางเกงยีนส์ขาดๆ ขาเดฟ เสื้อเชิ้ตแขนยาวเข้ารูปพับแขน ทรงผมเซ็ตจนดูหล่อมากกว่าปกติ สร้อยเงินรูปไม้กางเขน ลายเพ้นท์ที่ข้อมือ... แม่ง นี่กะจะไปหาเหยื่อหรือเปล่า จัดเต็มขนาดนี้

"ไม่ล่ะ จะขึ้นไปเล่นเกม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ ขี้เกียจจะถามให้มากความแล้ว ปล่อยไอ้ไธจัดการเรื่องจิณณ์ด้วยตัวเองบ้าง

"จ้าๆ งั้นกูไปก่อนนะเว้ย"

"เออ อย่าแดกเยอะ"
ผมทิ้งท้ายก่อนจะเดินขึ้นห้องด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเมื่อคิดถึงพี่ทาวน์ โคตรมีความสุขเลยว่ะ

ต่อจากนี้ไปนายเมืองเหนือเตรียมรับการรุกจีบอย่างหนักจากนายภาคินเอาไว้เลย!




--------------------------------------------------

ใครจะฟินไปกว่าเจ็ทคงไม่มีอีกแล้ว โคตรน่าอิจฉาเลยจ้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 10 - P.1 (26/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-07-2017 19:10:30
แข่งครั้งที่ 10

:: ทาวน์ ::



ช่วงเวลาใกล้สอบทำให้นักศึกษาแพทย์เกือบทุกคนต้องใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ หอสมุดคณะเวลานี้เลยอัดแน่นไปด้วยว่าที่หมอไม่ต่ำกว่าสามร้อยชีวิต ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษเป็นระยะแต่กลับไม่มีเสียงพูดคุย เงียบสงบดีจริงๆ

"โอย ง่วง"
เสียงโวยวายของเพื่อนร่วมโต๊ะทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะพลิกกระดาษหน้าถัดไป ดวงตารีเหลือบมองไอ้ฟา มันหาวออกมาหวอดใหญ่ก่อนจะซบหน้าลงกับท่อนแขน อ่านหนังสือทีไรเป็นแบบนี้ประจำ

"บ่น"
ผมบอกก่อนจะก้มอ่านหนังสือต่อ อย่าไปสนใจอะไรมากเพราะมันแค่เรียกร้องความสนใจจากคนอื่นเป็นระยะ ส่วนไอ้แฮมหลับไปตั้งแต่เจอแอร์เย็นๆ ว่าที่หมอในอนาคตก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนทุกคนเสมอไป และไม่ได้เป็นเด็กเนิร์ดอย่างที่ใครเข้าใจ

"ลงไปหากาแฟกินกันเถอะ"
ไอ้ฟาเด้งตัวขึ้นจากโต๊ะแล้วยืดแขนบิดขี้เกียจ ผมเหลือบมองก่อนจะครางรับในลำคอแล้วไม่สนใจมันอีก กำลังตั้งใจอ่านหนังสือจะขัดจังหวะอะไรนักหนา

"อืม"

"ลุกดิ"
มันลุกขึ้นแล้วสะกิดแขนผมยิกๆ จนต้องเงยหน้าขึ้นมองพลางขมวดคิ้ว จะไปซื้อกาแฟแล้วจะยุ่งวุ่นวายคนอื่นทำไม ตัวก็ไม่ได้ติดกัน ต่างคนต่างอยู่สิ

"อะไร"
ผมแสร้งถามทั้งที่รู้เจตนาของเพื่อนดี หนังสือก็ยังอ่านไม่ได้ถึงครึ่ง พรุ่งนี้จะมีสอบแล็ปกริ๊งอีกแล้ว คิดว่าเป็นอัจฉริยะกันหรือไง ทำตัวเอ้อระเหยแบบนี้

"กูชวนมึงเนี่ย"
มันบุ้ยปากใส่ น้ำเสียงบ่งบอกว่ากำลังโดนขัดใจ ผมได้แต่เลิกคิ้วทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะอยากแกล้งแหย่เพื่อน ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะเลิกขี้เหวี่ยงขี้วีนสักที นิสัยแบบนี้ไงเลยไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบ สักวันขึ้นคานจะหัวเราะให้

"เหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ไอ้ฟาที่เป็นเพื่อนกันมานานก็รู้ว่ากำลังโดนกวนตีน เพราะสายตาที่ใช้มองกันไม่สามารถโกหกได้

"เออ ลุกได้แล้ว เร็วๆ"
มันบอกเสียงฉุนแล้วดึงแขนผมให้ลุกขึ้นตาม แต่ด้วยความที่ไอ้ฟาตัวเล็กเลยทำไมสำเร็จ ชอบทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย แถมยังชอบข่มชาวบ้านอีก ถ้าโดนรุมกระทืบคงไม่ต้องหาสาเหตุให้วุ่นวายจริงๆ

"แล้วไอ้แฮมล่ะ"
ผมทอดสายตามองเพื่อนสนิทอีกคนทีเอาแต่หลับและเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆ สภาพดูไม่ได้สุดๆ หมดกันคราบนักศึกษาแพทย์ที่สั่งสมมาสองปี ทุเรศลูกตาว่ะ

"ปล่อยมันนอนน้ำลายยืดไปเหอะ"
ไอ้ฟาย่นจมูกแล้วกระตุกแขนผมอีกครั้งอย่างแรง คราวนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ เลยต้องยอมไปซื้อกาแฟเป็นเพื่อนมัน เพราะถ้ากวนตีนอีกครั้งเดียวหอสมุดแตกแน่ ยังไม่อยากโดนบรรณารักษ์ด่า

ไอ้ฟาเดินไปสั่งไอซ์อเมริกาโน่ของโปรด เห็นมันหน้าหวานๆ ตัวเล็กๆ แต่ก็ชอบกินรสเข้ม ส่วนผมฝากซื้อไอซ์ลาเต้ ดูขัดกับบุคลิกโดยสิ้นเชิง ก็ไม่ค่อยชอบรสขมสักเท่าไหร่ คนเราไม่สามารถตัดสินกันที่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้หรอก

รอไม่นานไอ้ตัวเล็กก็ถือกาแฟมายื่นให้ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างๆ เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเพราะต่างคนต่างใช้เวลานี้เป็นการพักก่อนจะกลับไปคร่ำเคร่งอ่านหนังสือต่อ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว สอบแล็ปกริ๊งมากี่ครั้งก็ยังไม่ชินสักที เครียดว่ะ

ผมทอดมองสวนด้านหน้าหอสมุดแล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จะว่าไปวันนั้นก็เสียดายอาหารเวียดนามที่เหลืออยู่เต็มโต๊ะ สงสารเจ็ทที่ทำท่ายังไม่อิ่มนั่นด้วย ถ้าไม่ติดว่าเห็นพรีมกับไอ้ธีซะก่อนคงกินหมด

ตอนนั้นรู้สึกอยากเข้าไปด่าพรีมสักครั้ง นี่เหรอที่บอกว่ากับธีไม่มีอะไรกัน โกหกมาไม่รู้เท่าไหร่แต่ผมก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะครอบครัวชอบเธอมาก ถึงขั้นเคยวางแผนให้หมั้นกัน แต่สุดท้ายความอดทนก็หมดลงจนต้องบอกเลิก

ผมคงเข็ดกับความรักไปอีกนาน เพราะคบกันมากี่ปีก็สามารถเลิกกันได้ ไม่มีอะไรที่มั่นคง จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง มันสามารถเปลี่ยนได้ทุกๆ วินาที ไม่มีใครคาดเดาอะไรได้เลย แม้แต่ตัวเองก็เถอะ

"คนแท็กรูปมึงในไอจีเยอะจังวะ"
ไอ้ฟาที่นั่งเงียบไปนานพูดขึ้นทำให้ผมต้องละสายตาจากสิ่งตรงหน้ามามองมัน ชอบก้มเล่นโทรศัพท์จนจมูกจะติดจออยู่แล้ว ไม่ปวดตาบ้างหรือไง

"อืม"
ผมครางรับในลำคอแล้วกระตุกคอเสื้อด้านหลังให้มันขยับหน้าออกจากจอสักที ทำแบบนั้นบ่อยๆ เดี๋ยวก็เดือดร้อนต้องไปวัดสายตาตัดแว่น

"รู้อะไรกับเขาบ้างปะเนี่ย"
มันหันมาถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ หัวไหล่กระแซะกันจนน่ารำคาญ ผมผละตัวออกแล้วไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ เรื่องแบบนั้นจำเป็นต้องรู้ให้รกสมองด้วยเหรอ

"ไม่ได้สนใจ"
ไอ้ฟาถึงกับเบะปากให้กับคำตอบนั้นแล้วเลิกสนใจกัน ผมมองเพื่อนแล้วได้แต่ส่ายหัวให้กับความขี้งอนนั่น พูดอะไรขัดใจคุณเขาไม่ได้เลย

"เฮ้ย... มึงไปกินอาหารเวียดนามมาเหรอ"
อยู่ๆ มันก็ร้องเสียงดังแล้วหันมามองกันด้วยแววตาแปลกใจ ผมถึงกับขมวดคิ้วแน่น จำได้ว่าไม่เคยบอกใครเรื่องนี้ แล้วทำไมไอ้ฟาถึงรู้

"เออ"
ถึงจะงงแต่ก็ตอบรับ เพราะไม่มีอะไรต้องโกหก แค่ไปกินอาหารเวียดนามที่พวกมันปฏิเสธหัวชนฝาว่าไม่ไปด้วยเท่านั้นเอง

"กับไอ้เจ็ทอะนะ"
คราวนี้ไอ้ฟาเจาะจงบุคคลที่ผมชวนไปกินด้วยในวันนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว มันรู้ได้ยังไงละเอียดยิบขนาดนั้น หรือจะเปลี่ยนอาชีพจากหมอไปเป็นหมอดู

"อืม รู้ได้ไง"
ผมยังคงความนิ่งแต่สายตาดันเหลือบไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของเพื่อน ต้องมีอะไรสักอย่างในโซเชี่ยลบอกมันแน่ๆ หรือว่าจะเป็นรูปอาหารที่เจ็ทขอถ่ายในวันนั้น

"ก็มันแท็กรูปมาหามึงอะ"
ไอ้ฟายื่นโทรศัพท์มาตรงหน้า ผมก้มมองแล้วก็ได้คำตอบ ที่แท้เจ็ทก็ลงรูปในไอจีแล้วแท็กผมเท่านั้นเอง

"อ๋อ"

"ทำไมไปกับน้องมันได้วะ สนิทกันเหรอ"
คำถามต่อมาทำให้ผมผละโทรศัพท์ของมันกลับไปแล้วดูดลาเต้เย็นในแก้วต่อ ทำไมมีเพื่อนขี้เสือกแบบนี้ ถามอะไรวุ่นวาย ถ้าให้เล่าคงอายฉิบหาย ก็เล่นจำชื่อเจ็ทไม่ได้ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเจอกันตั้งหลายครั้ง

"ถามมาก ขี้เกียจตอบ"

"อ้าว ไอ้นี่ ก็มันแปลกๆ อะ ปกติมึงสุงสิงกับใครที่ไหนนอกจากพวกกูล่ะ"
ไอ้ฟาทำเสียงกระเง้ากระงอด คงงอนที่ผมไม่ยอมตอบคำถามของมัน แต่เรื่องอะไรจะเอาเรื่องน่าอายของตัวเองมาประจานให้คนอื่นฟัง ฝันไปเถอะ

"ขึ้นไปอ่านหนังสือต่อเหอะ"
ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าหอสมุดอีกครั้งโดยไม่รอไอ้ฟาที่ตะโกนไล่หลังมา ขืนพิรี้พิไรอยู่ตรงนี้คงอ่านหนังสือไม่จบกันพอดี อีกอย่างต้องไปปลุกไอ้แฮมแล้ว ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้มีคนสอบตกแน่ๆ

เวลาหกโมง ผมแยกย้ายกับเพื่อนสนิททั้งสองคนแล้วกลับมาที่คอนโดโดยแวะซื้อบะหมี่เกี๊ยวเป็นมื้อเย็นและยังมีเสบี่ยงอีกเล็กน้อยเผื่อหิวยามดึก ระหว่างทางสายตาก็เจอเข้ากับคนที่คุ้นตา แต่วันนี้แปลกที่เขาใส่เสื้อช็อป หรือว่านั่นคือจิณณ์ฝาแฝดของเจ็ท แต่อยู่กับไอ้ไธเหรอ คงสนิทกันหมดล่ะมั้ง

ผมจัดการอาบน้ำแล้วหยิบชุดนอนมาใส่ก่อนจะแกะบะหมี่เกี๊ยวลงในชามเพื่อกินโดยไม่ปรุงรส ไม่ใช่เพราะอร่อยแต่ขี้เกียจเป็นทุนเดิม แล้วอีกอย่างหนังสือรอให้อ่านอีกเป็นกอง ไม่รู้จะสอบบ่อยอะไรนักหนา

กำลังจะคีบลูกชิ้นใส่ปากแต่ต้องชะงักมือเมื่อโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะสั่น ดวงตารีเหลือบมองหน้าจอที่แสดงชื่อ 'ฟา' แล้วต้องขมวดคิ้ว เพิ่งแยกจากกัน มีอะไรอีก

"ว่าไง"
ผมกรอกเสียงลงไปแล้วคีบเส้นบะหมี่เข้าปากเพราะถ้าปล่อยไว้นานมันจะอืดไม่น่ากิน

'กินข้าวอยู่เหรอวะ'
ปลายสายถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นๆ คล้ายกำลังมีเรื่องร้อนใจ ผมเคี้ยวบะหมี่ไปเรื่อยไม่เร่งรีบ ก็ไม่ได้อยากรู้อะไร ตอนนี้จะกิน หิว

"เออ"

'หยุดกินแล้วมาคุยกับกูก่อน'
มันสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดจนผมต้องลอบถอนหายใจ เมื่อไหร่จะเลิกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกสักที

"คุยไปกินไปก็ได้"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจแล้วคีบหมูแดงใส่ปากอีกชิ้น อย่าไปเอาใจมันมากเดี๋ยวจะเหลิงไปใหญ่ แค่นี้ก็ข่มกันจนไอ้แฮมไม่กล้าหือแล้ว มีปากเสียงเมื่อไหร่ไอ้ฟาเป็นชนะทุกที

'ไม่ได้ๆ นี่เรื่องสำคัญ มึงต้องตั้งใจตอบกู'
เสียงปลายสายดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ขอร้องแต่เป็นบังคับให้ทำตาม แต่เรื่องอะไรที่คนอย่างผมต้องยอม ไอ้ฟาไม่ได้เห็นสักหน่อยว่ากำลังกินหรือหยุดกิน

"เรื่องเยอะ"

'คอขาดบาดตายเลยนะไอ้ทาวน์!'
มันตะโกนใส่จนผมต้องผละโทรศัพท์ออกแล้วขมวดคิ้วใส่ ไม่เข้าใจว่ามีเรื่องสำคัญอะไรนักหนา แค่จะกินข้าวก็ขัด ไม่ตั้งใจฟังก็หงุดหงิดใส่ อ่านหนังสือจนประสาทแดกหรือไง

"เสียงดัง หนวกหู"
ผมแนบโทรศัพท์ลงกับหูอีกครั้งแล้วบอกมันด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ตะโกนไม่เกรงใจใครบ้างเลยหรือไง

'เลิกกินหรือยัง กูยังได้ยินเสียงมึงเคี้ยวนะ!'
มันไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยสักนิด แต่เสือกได้ยินเสียงเคี้ยว แดกกากหมูก็ไม่ได้อีก แม่ง

"เออๆ จะถามอะไรว่ามา"
สุดท้ายผมก็ยอมวางตะเกียบลงแล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาดื่ม ได้ยินเสียงไอ้ฟาหัวเราะชอบใจแล้วนึกอยากเตะมันสักทีสองที ชนะด้วยความเอาแต่ใจนี่มันน่ายินดีตรงไหน

'ช่วงนี้มึงได้เข้าไอจีบ้างปะ'
ไอ้ฟาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแต่ผมกลับรู้สึกเบื่อหน่าย ถามเรื่องไอจีอีกแล้ว มีอะไรกับมันนักหนา

"ไม่"
ปฏิเสธพร้อมกับใช้ตะเกียบเขี่ยบะหมี่ในชาม

'เฟซบุค'

"ไม่"
ผมเริ่มขมวดคิ้วแต่มือยังไม่หยุดเขี่ยบะหมี่ หิวไส้จะขาดแต่แดกไม่ได้ทั้งที่ของกินตั้งอยู่ตรงหน้า โคตรบัดซบ

'ทวิตเตอร์ล่ะ'

"ไม่"
ผมตอบก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ใส่โทรศัพท์ ทำไมไอ้ฟาถึงเซ้าซี้แบบนี้ น่ารำคาญคูณสอง

'โอย มึงนี่นะ จะสร้างแอคเค้าท์ไว้ทำซากอะไรเนี่ย'
มันโวยวายเสียงดังอีกครั้ง คิดถึงใบหน้าหวานนั่นคงกำลังมู่ทู่อยู่แน่ๆ แต่ทำไมต้องมาหงุดหงิดเรื่องนี้ด้วย ผมจะเล่นโซเชี่ยลหรือไม่เล่นก็ไม่ได้หนักหัวใครนี่ ปวดหัวกับไอ้ฟาจริงๆ

"เรื่องของกู"

'ครับๆ ไม่เถียงกับมึงแล้ว แพ้ตลอด'
มันยอมแพ้ง่าย ส่วนผมไม่ได้ดีใจเลยสักนิด ถ้ารู้ว่าจะโทรมาถามแบบนี้คงไม่รับสายตั้งแต่แรก หาสาระไม่เจอเลย

"ดี ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูจะวาง"
ผมตัดสินใจจะวางสายเพราะเส้นบะหมี่เริ่มอืด อีกอย่างคือไม่เห็นว่าคุยกับไอ้ฟาแล้วได้สาระหรือประโยชน์ตรงไหน ปวดหัวเปล่าๆ

'เดี๋ยวๆ กูยังไม่เข้าเรื่องเลยไอ้ทาวน์'

"เร็วๆ หิวข้าว"
แม่ง... กดวางไม่ทัน โดยมันรั้งซะก่อน

'มึงกำลังโดนจีบเหรอวะ'
น้ำเสียงขณะถามเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผมที่เป็นคนฟังถึงกับขมวดคิ้ว ไอ้ฟาไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ทุกวันก็อยู่กับเพื่อนยังไม่ได้คุยกับใครที่ไหนเป็นพิเศษ เพ้อเจออะไรของมันอีก

"พูดอะไรของมึง ใครจีบ"

'ก็ไอ้น้องเจ็ทไง มันจีบมึงอะ!'
มันว่าอะไรนะ เจ็ทน่ะเหรอจีบผม ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน น้องก็แค่เข้ามาคุยด้วยเหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป มโนเก่งตลอดไอ้ฟา แล้วอีกอย่างนายเมืองเหนือมีอะไรให้ผู้ชายด้วยกันพิศวาสวะ ตอบได้เลยว่าไม่

"หึ ตลก มึงมันเพ้อเจ้อ"
ผมหัวเราะในลำคอแล้วเริ่มกินบะหมี่อีกครั้ง ไม่สนใจแล้วว่าจะโดนไอ้ฟาด่าอะไรอีก เรื่องของมันไม่เห็นสำคัญอย่างที่อ้างไว้ตอนแรกสักนิด เพ้อเจ้อไปเรื่อย

'เฮ้ย กูพูดเรื่องจริง ไม่เชื่อมึงไปดูไอจีมันดิ'
น้ำเสียงเร่งเร้าพร้อมทั้งเชิญชวนทำให้ผมกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มเย้าะ ไอ้ฟาเป็นคนขี้เสือกขนานแท้จริงๆ ถึงขนาดให้ส่องไอจีคนอื่นแบบนี้

"เพื่ออะไร กูวางล่ะ หิว"
ผมตัดสินใจกดวางสายโดยไม่ฟังเสียงโวยวายของเพื่อนแล้วกลับมาดื่มด่ำกับอาหารค่ำแล้วต่อด้วยแซนวิชทูน่าอีกหนึ่งชิ้น สุขใดเล่าจะเทียบเท่าการกิน (ยืมสโลแกนประจำตัวไอ้แฮมมาใช้)

หลังจากที่อิ่มท้องผมก็เริ่มควานหาชีทและหนังสือที่จะใช้สอบพรุ่งนี้เพื่ออ่านทวนอีกรอบ แต่แล้วไม่รู้อะไรดลใจให้เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดแทน ข้อความแจ้งเตือนเต็มไปด้วยชื่อไอ้ฟา มีนจะกวนสมาธิคนอื่นไปถึงไหน

Fa
มึงต้องดูนี่! อยากตัดสายกูดีนัก
*รูปผู้ชายหันหลังใส่เสื้อบาสฯ สีขาวสกรีนอักษร MED 09 ยืนอยู่ข้างสนามพร้อมแคปชั่น เรียนแพทย์จะได้เป็นหมอ
เรียนอะไรหนอจะได้หมอเป็นแฟน*

ผมมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจำได้ว่ามันคือเสื้อที่ใส่แข่งบาสฯ ในช่วงกีฬาคณะที่ผ่านมาของตัวเอง พออ่านแคปชั่นจบก็ได้แต่หลุดหัวเราะออกมา คนอะไรโคตรเสี่ยว

อยากได้หมอเป็นแฟนเรียนอะไรก็ได้ แค่นิสัยเข้ากันก็พอ

Muangneua
แล้วไง

พิมพ์ตอบไอ้คนเจ้ากี้เจ้าการไปอย่างไม่ใส่ใจ รูปที่เจ็ทเอาไปลงถึงจะดูเหมือนจีบเจ้าของเสื้อก็จริง แต่ด้วยความที่เราเป็นเพศเดียวกัน ผมเลยไม่คิดอะไรแบบนั้น อีกอย่างเขาคงสื่อความหมายไปทางอื่น ไม่ใช่เจาะจงนายเมืองเหนือคนนี่หรอก

Fa
เอ้า ชัดขนาดนี้ยังจะถามกูอีกเหรอ นี่ผู้ชายกำลังจีบมึงนะทาวน์ ตกใจหน่อยดิ รู้ตัวบ้าง!
*สติ๊กเกอร์กระต่ายโกรธ*

ควรเป็นกระต่ายตื่นตูมตกใจในเรื่องที่ไม่รู้มูลความจริงจากเจ้าตัวเขาอย่างนั้นน่ะเหรอ ประสาท ผมไม่คิดให้รกสมองหรอก การเดาสุ่มไม่ใช่นิสัยเลย

Muangneua
เจ็ทบอกมึงหรือไง
น้องอาจจะอัพสนุกๆ

ผมตอบกลับอย่างที่คิดแล้วกะว่าจะวางโทรศัพท์ลงเพื่อหนีไปอ่านหนังสือสักที แต่ไอ้ฟาตอบกลับไวเกินไป เลยต้องจำใจอ่านข้อความของมัน

Fa
สนุกบ้าอะไรวะ เจาะจงเป็นรูปเสื้อมึงขนาดนี้ จีบแน่ๆ ฟันธง!

ผมส่ายหัวให้กับความขี้มโนของมันก่อนจะจิ้มๆ หน้าจอครู่หนึ่งแล้วปิดเครื่องโทรศัพท์ คราวนี้ก็มีสมาธิอ่านหนังสือแล้ว

Muangneua
เอาที่มึงสบายใจ
กูไปอ่านหนังสือล่ะ

ผมอ่านหนังสือไปได้เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วต้องหยุดพักเพราะในหัวมีเรื่องของเจ็ทผุดขึ้นมา อะไรหลายๆ อย่างที่ไอ้ฟาพยายามบอกกล่าว ยัดเยียดมานั้นทำให้ต้องหลุดหัวเราะอีกครั้ง จะเป็นไปได้ยังไง คนอย่างนายเมืองเหนือไม่ทำให้ผู้ชายหวั่นไหวหรอก ถ้าเป็นแบบไอ้ตัวเล็กจะไม่ว่าเลย

มันก็แค่เรื่องตลกที่ไม่ได้เก็บเอามาคิดมาก บางทีน้องคงอยากจีบสาวเรียนหมอเลยเอารูปเสื้อที่สกรีนอักษรย่อคณะไปอัพ ไม่ได้เจาะจงอะไรว่าเป็นผม

ถ้าเกิดเป็นเรื่องจริงคงแปลกพิลึก ผู้ชายแมนๆ อย่างเจ็ทไม่มีทางชอบเพศเดียวกันแน่ ไม่ได้ประเมินและตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็นท่าทางการแสดงออกต่างหาก ดวงตาคมคู่นั้นยังคงมองผู้หญิงเป็นประกายเช่นเดิม ไอ้ฟาน่ะขี้มโนไปเอง เชื่อเถอะ ไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก ถึงจะมีก็เฉยๆ รู้สึกขำมากกว่า คงเป็นอารมณ์ชั่ววูบ

เสียงกริ่งสุดท้ายสำหรับการสอบแล็บกริ๊งดังขึ้นทำให้ผมต้องรีบย้ายที่อย่างรวดเร็ว ดวงตารีไล่อ่านคำถามตรงหน้าก่อนจะก้มลงมองชิ้นส่วนของกล้ามเนื้อมนุษย์อย่างละเอียด พอได้คำตอบแล้วก็ลงมือเขียนลงไปในกระดาษพอดีกับสัญญาณบอกหมดเวลา

"หมดเวลา นักศึกษาทุกคนออกจากห้องสอบได้"
สิ้นเสียงของอาจารย์ประจำวิชาจบลง นักศึกษาก็ทยอยออกจากห้องแล้วจับกลุ่มคุยกันถึงข้อสอบที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ จะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย แล้วแต่ว่าใครเตรียมตัวมาเท่าไหร่ ส่วนผมกับไอ้ฟาทำได้อยู่แล้ว ห่วงก็แต่ไอ้แฮมที่ทำหน้าซังกะตาย ไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้

"แฮม... ทำได้ไหมมึง"
ไอ้ฟาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ส่วนผมทำเพียงแค่รอคำตอบ มันเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินออกไปจากตรงนี้โดยไม่พูดอะไร คงหนีไปหาอะไรกินคลายเครียดตามเคย

"ต้องตามไปปลอบปะเนี่ย"
ไอ้ฟาเกาหัวแกรกๆ แล้วมองตามเพื่อนสนิทที่เดินหายไปทางโรงอาหาร ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นไอ้แฮมบอกใครๆ ว่าทำข้อสอบไม่ได้ แต่พอผลออกมาก็เกินมีนทุกครั้ง ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก

"ไปหาอะไรกินเถอะ"

"โอเค"

พวกเราเดินทอดน่องอย่างไม่รีบร้อนเพราะรู้ว่าตอนนี้โรงอาหารคนแน่นจนแทบไม่เหลือที่นั่ง บางครั้งต้องซื้อข้าวใส่กล่องไปนั่งกินที่ลานคณะหรือสวนด้านหลังตึก ร่มไม้ตามทางเดินบดบังแสงแดดยามเที่ยงวันได้เป็นอย่างดีเลยทำให้ผมกับไอ้ฟาไม่บ่นเรื่องอากาศสักคำ

"ทาวน์..."
เสียงเรียกชื่อทำให้ผมต้องหันไปมองคนที่เดินข้างๆ กัน ไอ้ฟาทอดสายตาไปด้านหน้าพร้อมเม้มปากแน่น ท่าทางแบบนี้คงอยากถามอะไรแต่ก็ยังชั่งใจอยู่ ถึงมันจะขี้เหวี่ยงแต่เป็นบุคคลที่ดูออกง่าย นิสัยไม่ซับซ้อน

"ว่าไง"
ผมถามกลับไปแล้วละความสนใจจากไอ้ฟา พอใกล้ถึงโรงอาหารเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นเรื่อยๆ อย่าหาว่าเด็กเรียนแพทย์เรียบร้อยกว่าใครเลย มันก็คนเหมือนๆ กัน หลากหลายนิสัย มีทั้งดีทั้งเลวปะปนกันไป

"เรื่องเมื่อวาน มึงไม่เชื่อจริงๆ เหรอวะ"
ผมชะงักเท้าเมื่อได้ยินคำถาม ไอ้ฟาหยุดตามกันแล้วมองมาอย่างไม่ลดละ สายตากดดันว่าให้ตอบคำถามเดี๋ยวนี้ แต่เห็นท่าทางน่าแกล้งนั่นแล้ว ขอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้สักหน่อยดีกว่า

"เรื่องอะไร"
ถามย้อนกลับไปแล้วรอดูปฏิกิริยาของมัน เป็นไปดังคาดที่ไอ้ฟาจะเบะปากก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวแรงๆ โดนขัดใจแต่ลงไม้ลงมือกับผมไม่ได้ โคตรตลก อยากหัวเราะใส่แต่ต้องกลั้นไว้เพราะเดี๋ยวความแตกอาจโดนงอนยาว ขี้เกียจง้อ

"ก็เรื่องไอ้น้องเจ็ทไง อย่าทำเป็นลืมดิ"

"เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร"

"มึง... แต่กูว่าน้องมันจีบมึงจริงๆ นะ"
มันยังเซ้าซี้ด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดแถมเข้ามากอดแขนกันอย่างกับเด็กกำลังอ้อนขอขนม เห็นแบบนี้ก็ได้แต่อ่อนใจ ยัดเยียดให้เชื่อเหลือเกิน อยากได้น้องมันเป็นเพื่อนสะใภ้หรือไง

"มั่นใจอะไรขนาดนั้น"
ผมออกเดินอีกครั้งโดยมีไอ้ฟาเกาะเป็นลูกลิงไม่ยอมปล่อย ถึงจะมีใครมองมันก็ไม่สนใจ เดี๋ยวอีกสักพักเพจเซ็กซี่บอยคงเอารูปไปลงพร้อมแคปชั่นชวนขนลุก เอาที่สบายใจเถอะ

"เซ้นส์กูมันบอก! ไม่ใช่เรื่องตลกอย่างที่มึงคิดแน่ๆ"
ไอ้ฟานี่ก็ตื้อไม่หยุดจนเริ่มน่ารำคาญแล้ว ผมดึงแขนออกจากการเกาะกุมก่อนจะมองหน้าเพื่อนนิ่งๆ ตกลงจะเอายังไง

"แล้วไง"

"เอ้า ถามกูเพื่ออะไร ต้องถามตัวมึงดิว่าจะเอายังไงกับน้องมัน"
มันว่าเสียงฉุนแล้วเอานิ้วจิ้มอกกันยิกๆ คล้ายกับเร่งให้ตอบคำถามและย้ำเรื่องที่ตัวเองเชื่อ ผมทำแค่กรอกตาแล้วปัดมือเล็กนั่นทิ้ง

"เพ้อเจ้อน่า"
ผมเดินหนีเพราะขี้เกียจคุยเรื่องนี้อีก เสียเวลาให้การหาข้าวกินฉิบหาย ง่วงก็ง่วง อยากกลับคอนโดไปนอนจะตายแล้ว

"กูไม่ได้เพ้อเจ้อนะ ไม่เชื่อมึงลองไปถามน้องมันดูเลย"
ยัง ยังไม่หยุดพูดอีก

"เออ ถ้าเจอตัวจะถามให้แล้วกัน"
ผมพูดปัดความรำคาญแล้วเดินตรงไปหาไอ้แฮมที่ก้มหน้าก้มตากินทั้งข้าวทั้งก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่โต๊ะริมสุด

"ดี!"
ได้ยินเสียงร่าเริงตะโกนรับแล้วอยากเดินกลับไปเตะให้น่วม เรื่องเสือกไว้ใจไอ้ฟาได้เลย ถึงไหนถึงกันตลอด

หลังจากกินมื้อเที่ยงจบไอ้แฮมก็ชวนไปกินบิงซูต่อ แต่ด้วยความง่วงผมเลยปฏิเสธ อยากกลับไปนอนเปิดแอร์ช่ำๆ แล้วซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ระหว่างที่กำลังเดินผ่านหน้าตึกก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกและวิ่งเข้ามาหา

"พี่ทาวน์!"
เขายืนหอบหายใจอยู่ตรงหน้าของผม สภาพเหงื่อซกขนาดนี้ไปยืนอาบแดดมาหรือไง เสื้อนักศึกษาเปียกทั้งตัวขนาดนี้

"หืม... มาทำอะไรที่นี่"
ผมถามด้วยความสงสัยแล้วขมวดคิ้วมอง จำได้ว่าเด็กนี่เรียนอยู่สถาปัตย์ไม่ใช่เหรอวะ แล้วคณะแพทย์ห่างกันตั้งไกลหรือมาหาแฟน

"อ๋อ... คือว่า มา เอ่อ มาเดินเล่นครับ"
เสียงตะกุกตะกักตอบมาทำให้ผมหลุดยิ้มครู่เดียวก่อนจะกลับไปทำหน้าเฉยเมย ถ้าพูดแบบธรรมดาจะไม่มีพิรุธเลย แต่นี่กรอกตาไปมาแถมหน้าแดง... หึ

"มาไกลนะ ส่องสาวล่ะสิ"
หยอกกลับไปด้วยเสียงเรียบแล้วมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า การแต่งกายของเราช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมเรียบร้อยถูกกฏระเบียบ ส่วนเจ็ทกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบแถมไม่ใส่เนคไทอีกด้วย ดูแล้วก็เซอร์ๆ สบายๆ น่าอิจฉาดี

"แหะๆ ก็ทำนองนั้น ว่าแต่พี่กำลังจะไปไหนครับ"
เจ็ทตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห้งๆ มือที่ลูบท้ายทอยไปมาทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนขี้อาย ผู้ชายแบบนี้คงมีสาวๆ ติดไม่มากก็น้อย คงน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาพวกเธอ

"กลับคอนโด ง่วง"

"อ๋อ... ผมก็กำลังจะกลับเหมือนกัน ไม่มีเรียนบ่ายแล้ว"
เจ็ทยิ้มกว้างแล้วยืนตัวตรงหลังจากหยุดหอบแล้ว ผมพยักหน้าตอบรับ เห็นเดินตัวปลิวมาที่นี่ แล้วจะกลับคอนโดยังไง

"อืม กลับยังไงล่ะ"
ถ้าน้องมันไม่มีรถกลับก็ไปด้วยกัน ประหยัดน้ำมันดี เพราะยังไงผมก็ต้องขับผ่านคอนโดนั้นอยู่แล้ว

"คงนั่งรถเมล์กลับครับ วันนี้ไม่ได้เอามอ'ไซต์มา"
น้ำเสียงอ่อยๆ ตอบกลับมา ดูจากสีหน้าแล้วคงไม่อยากกลับรถเมล์เท่าไหร่ เพราะช่วงบ่ายมันทั้งร้อนและอึดอัด

"งั้นไปกับกูไหม"
ผมชวนแล้วมองหน้าเจ็ท เขาเบิกตาโตเหมือนกับตกใจอะไรมากมาย แค่ชวนกลับด้วยกัน ไม่ได้ชวนไปทำเรื่องไม่ดี ตลกเกินไปแล้ว

"ได้เหรอ!"
เจ็ทถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แววตาที่มองกลับมามีประกายวิบวับจนผมได้แต่ขมวดคิ้ว ทำไมต้องแสดงออกว่าดีใจขนาดนั้น

"อืม จะเสียงดังทำไม"

"ขอโทษครับ ดีใจไปหน่อย"
ปลายประโยคเหมือนเขาพึมพำกับตัวเองมากกว่า แต่ผมก็อยากรู้ว่าพูดอะไร

"ว่าอะไรนะ"

"เปล่าๆ ถ้างั้นขอรบกวนด้วยนะครับ"
สุดท้ายก็ได้คำตอบมาแบบนั้นก่อนที่เราจะเดินไปที่ลานจอดรถ แล้วไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ผมคุยไม่เก่ง ส่วนเจ็ทคงหาเรื่องมาคุยด้วยไม่ได้ ก็เพิ่งรู้จักกันไม่นานนี่นะ

ระยะทางจากมหา'ลัยถึงคอนโดใช้เวลาแค่ยี่สิบนาที แต่เพราะสังเกตเห็นคนข้างตัวนั่งเงียบผิดปกติผมเลยอดไม่ได้ที่จะชวนคุย บรรยากาศมันแปลกๆ ไม่เหมือนทุกครั้ง

"เจ็ท"
ผมเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังแต่เจ็ทกลับสะดุ้งโหยง ใบหน้าหล่อนั่นตื่นตกใจจนผมอยากหัวเราะเพราะมันตลก แต่สุดท้ายก็เลือกเงียบเหมือนทุกทีดีกว่า

"คะ ครับ!"
เจ็ทตอบรับเสียงตะกุกตะกักก่อนจะทำหน้าเลิ่กลั่กมองมาทางผม วันนี้เขามีอาการแปลกๆ จริงนั่นล่ะ ดูเหม่อเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา

"เป็นอะไร"

"หา..."
หน้าเหลอหลาจริงๆ เลยเชียว

"ก็เห็นนั่งตัวแข็งทื่อตั้งแต่ขึ้นรถ"
ผมเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจถนนตรงหน้าต่อ

"อ้อ เปล่าหรอกครับ"
เขาปฏิเสธพร้อมกับโบกมือรัวๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป ปล่อยให้เสียงเพลงบรรเทาบรรยากาศอึมครึม




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 10 - P.1 (26/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-07-2017 19:10:55
ในช่วงที่กำลังติดไฟแดงผมก็คิดถึงเรื่องราวเมื่อวานที่โดนไอ้ฟากรอกหูแถมยังหาหลักฐานมายืนยันความเชื่อของตัวเอง ตอนนี้เจ็ทก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็ควรถามสินะ เพื่อนจะได้เลิกเพ้อเจ้อสักที

"แอบถ่ายรูปกูตอนแข่งบาสฯ เหรอ"
ผมถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้วลอบมองปฏิกิริยาของคนข้างๆ เขาสะดุ้งนั่งหลังตรงแถมยังสำลักอากาศจนไอออกมาสองสามครั้ง แค่ถามว่าแอบถ่ายรูปเหรอ ทำไมต้องแสดงอาการตกใจด้วย ไม่ได้จะด่าว่าอะไรเลย

"ห๊ะ... พะ พี่ทาวน์เห็นแล้วเหรอ!"
เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นๆ แถมยังดังจนผมต้องเอามือปิดหูด้านหนึ่ง หน้าตาเหวอๆ นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเจ็ทแปลกไป หรือจะจีบกันจริงๆ อย่างไอ้ฟาบอก

"อืม ไอ้ฟาเอาไอจีมึงให้ดูเมื่อวาน"

"อ่า คือว่า..."
น้องพูดแค่นั้นก็หุบปากเงียบจนผมต้องพูดต่อเพิ่งลองเชิง ดูสิว่าไอ้ฟาเซ้นส์แรงจริงหรือเปล่า ถ้าใช่คงต้องซื้อน้ำแดงเฮลบูลบอยไปเซ่นสักขวด

"มันบอกว่ามึงตั้งใจจะจีบกู"

"....."
เจ็ทเงียบแล้วเบนสายตาออกไปมองด้านนอก คงไม่ชอบที่โดนคิดแบบนั้นล่ะมั้ง

"อย่าถือสา มันขี้มโนไปหน่อย"
กลัวน้องจะโกรธไอ้ฟาเลยพูดแก้ต่างให้มัน

"มะ ไม่หรอกครับ เอ่อ... พี่ทาวน์"
เจ็ทหันกลับมามองหน้าผม ดวงตาคมสั่นไหวเล็กน้อย ไม่สบายใจเหรอวะ ไม่น่าพูดเรื่องไร้สาระให้ฟังเลย

"หืม"
ผมครางรีบเมื่อเข้าเรียกชื่อก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถเมื่อสัญญาณไฟจราจรเป็นสีเขียว อีกไม่เกินร้อยเมตรจะถึงคอนโดของเจ็ทแล้ว

"ถ้าสมมติว่าผม... เอ่อ จีบพี่ทาวน์จริงๆ จะว่ายังไงครับ"
หืม เมื่อครู่เจ็ทถามว่าถ้าจีบผมจริงๆ อย่างนั้นเหรอ

"หึ ถ้าจีบติดจะให้ฟันดาบกันหรือไง"
ผมพูดติดตลกแล้วเหลือบมองเจ็ทที่เอาแต่เม้มปากแถมหน้ายังแดงเป็นลูกมะเขือเทศ นี่คิดจะจีบกันจริงเหรอวะ อารมณ์ชั่ววูบแน่ๆ เชื่อเถอะ

ชอบคนอย่างนายเมืองเหนืออาจเป็นทุกข์ก็ได้ เพราะผมไม่มีอารมณ์ขัน อัธยาศัยไม่ดี ยิ้มยาก เงียบขรึม บ้าเรียน ไม่ชอบเรื่องไร้สาระ ไม่ค่อยสนโลกโซเชี่ยล ไม่เล่นเกม ความคิดไม่สร้างสรรค์ รวมๆ คือน่าเบื่อ

"แหะๆ นั่นสิ ผู้ชายกับผู้ชายนี่เนอะ"
เจ็ทหัวเราะแห้งๆ แล้วยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ ท่าทางแบบนี้คงถามเอาสนุกล่ะมั้ง ถ้าจะจีบจริงๆ ควรกล้าพูดกล้ายืนยันสิ่งที่จะทำ

"อืม ถึงแล้ว"
ผมบอกเขาเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าคอนโด เจ็ทยกมือไหว้กันแล้วเปิดประตูก้าวลงไปก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

"ขอบคุณครับที่มาส่ง"

"อืม ไว้เจอกันใหม่"
เขายิ้มให้ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าคอนโดไป ปล่อยให้ผมออกรถด้วยความคิดวุ่นวายในสมอง สีหน้าแบบนั้น แววตาแบบนั้นก่อนจากมันให้ความรู้สึกเหมือนคนอกหักเลยว่ะ

หรือเรื่องที่ไอ้ฟาพร่ำบอกเป็นความจริง แล้วคำถามจากเจ็ทเมื่อครู่คือการหยั่งเชิงเพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่าจะลงมือจีบกัน... คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกสักที แต่สุดท้ายผมกลับช่างมันเพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องของอนาคต ณ ตอนนี้ เวลานี้ ขอกลับไปนอนเอาแรงก่อนเถอะ ง่วงจริงๆ

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า กะว่าจะหลับสักตื่นแต่กลับเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นแทนหลังจากที่ไม่ได้เข้าโซเชี่ยลมาระยะหนึ่ง ไอจีเป็นสิ่งแรกที่เลือกเปิดเพราะมันมีประเด็นเมื่อวานนี้ ขอดูของจริงด้วยตาตัวเองหน่อยเถอะ

หน้าแอคเค้าท์ไอจีของเจ็ทปรากฏสู่สายตาของผม แต่น้องมันตั้งไพรเวทเอาไว้เลยต้องกดร้องขอก่อนเป็นอันดับแรก แต่รอไม่ถึงสิบนาทีแจ้งเตือนก็เด้งว่าเจ้าของมันอนุญาตให้ติดตามแล้ว นี่เขาเฝ้าโทรศัพท์ยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือเปล่าวะ

ผมเลื่อนดูรูปที่เจ็ทลงเอาไว้แบบผ่านๆ ตาก่อนที่จะสะดุดเข้ากับสิ่งที่คุ้นตา เสื้อบาสฯ สกรีนตัวอักษร MED 09 ของตัวเอง แถมด้านล่างยังมีคอมเม้นท์นับร้อย ด้วยความข้องใจปนอยากรู้เลยอ่านมันแบบคร่าวๆ

Phakin_Jet เรียนแพทย์จะได้เป็นหมอ เรียนอะไรหนอจะได้หมอเป็นแฟน
Phokin_Jinn น้องกูออกตัวแรงจัง!
Thamthai.t จะทิ้งคู่จิ้นอย่างกูได้ลงคอเหรอวะ
Farmer_xx มึง! รอกูด้วยสิวะ รีบไปไหนเนี่ย ฮึก
RU.Sexyboys ว้าย นั่นเสื้อน้องหมอทาวน์นี่! คนนี้ชัดแล้วใช่ไหมคะน้องเจ็ท ~ #เจ็ททาวน์ #ทาวน์เจ็ท
Jammy.D I hope to receive a good news from you. My Bro ♥
Mr.Fafar ไอ้น้องเจ็ท จีบเพื่อนพี่เหรอวะ! ตอบๆๆๆๆ

อ่านมาถึงคอมเม้นท์ของให้ฟาแล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือก จากทั้งหมดมันเป็นคนตรงและหาเรื่องที่สุดแล้ว ถ้าน้องจะจีบกันจริง ผมจะถือซะว่าเป็นเรื่องตลกของชีวิต เชื่อเถอะคงใช้เวลาไม่นานเขาก็เบื่อ ผู้ชายกับผู้ชายอาจจะแค่อารมณ์ชั่ววูบ พอรู้ตัวว่าไม่ใช่อย่างที่ต้องการคงห่างออกไปเอง




---------------------------------------------

น้องทาวน์คนดีไม่เชื่อฟาล่ะ ทำไงดี 55555
ส่วนเจ็ทก็ไม่มีความกล้าพอจะบอกเขา หูยยย กากนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 10 - P.1 (26/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 28-07-2017 01:11:09
เจ็ทเนียนๆต่อไปลูกกกกกกกกก :hao6:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 11 - P.1 (01/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-08-2017 14:07:20
แข่งครั้งที่ 11

ประตูห้องพักถูกกระชากออกแล้วปิดลงด้วยเสียงดังลั่น เรียวแรงเดินต่อแทบไม่มีเหลือเพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชอกช้ำหัวใจมา ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงชั้นวางรองเท้า ขอบตาร้อนผ่าวจนรู้สึกเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง แค่นี้น้ำตาก็จะไหล ต่อไปจะทำยังไงกับชีวิตวะ

"จิณณ์ ~"
ผมส่งเสียงระโหยโรยแรงเรียกฝาแฝดที่น่าจะกลับมาได้สักพักหลังหนีไปทำธุระแล้วปล่อยให้น้องชายบังเกิดเกล้าต้องกลับบ้านเองและต้องพบเจอกับพี่ทาวน์แสนใจร้าย หักอกคนอื่นอย่างไม่เหลือชิ้นดีด้วยคำพูดติดตลกที่ว่า 'ถ้าจีบติดจะให้ฟันดาบกันหรือไง'

ผมยังไม่ได้คิดไปถึงเรื่องบนเตียงสักหน่อย ปิดโอกาสกันทั้งที่ไม่ได้เริ่มทำอะไรแบบนี้ก็แย่สิ แต่ก็ไม่โทษใคร เพราะตัวเองไม่มีความกล้าพอที่จะยืนยันจีบเขาจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น

โง่จริงๆ เลยไอ้ภาคิน!

"จิณณ์ อยู่ไหนวะ..."
ผมถอดรองเท้าทิ้งไว้ตรงนั้นโดยไม่คิดจะเก็บขึ้นชั้นแล้วส่งเสียงเรียกจิณณ์อีกครั้งพร้อมคำถาม มองซ้ายมองขวาเหมือนไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต ทำไมห้องเงียบแบบนี้วะ หายไปไหนของมันเนี่ย น้องชายต้องการคนปลอบใจอย่างด่วนไม่รู้เลยหรือไง

"ไอ้จิณณ์!"
ตะโกนเสียงดังลั่นจนรู้สึกระคายคอแล้วไอ้โขลกไปหลายครั้ง แต่มันได้ผลเพราะจิณณ์เดินหน้ามุ่ยออกมาจากในครัวแถมด้วยการขมวดคิ้วใส่ บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังรำคาญ

"อะไรของมึง แหกปากอยู่ได้"
จิณณ์ยกตะหลิวในมือชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง ผมถลาเข้าไปหาโดยไม่สนว่าจะโดนตีหรือเปล่า ตอนนี้อยากได้อ้อมกอดอุ่นๆ ของใครสักคนช่วยปลอบประโลมหัวใจดวงน้อยๆ ที่เพิ่งผ่านการปฏิเสธมา พี่ทาวน์ไม่รู้ แกล้งโง่ หรือเป็นตัวเองที่เนียนเกินไป

"กูอกหัก ฮือ"
ผมแหกปากแล้วรวบกอดจิณณ์ไว้แน่น ได้ยินเสียงตะหลิวตกลงพื้นตามมาด้วยเสียงร้องด้วยความตกใจ

"หา/ห๊ะ!"
ตกใจไม่ว่าแต่ทำไมมันมีสองเสียงวะ!

ผมหันขวับไปทางห้องครัวแล้วต้องเบิกตากว้างและผละจิณณ์ออกไปไกลๆ ก่อนจะชี้หน้าคนที่โผล่หัวมาตรงกรอบประตู ทำไม

"ไอ้ไธ มึงอยู่ที่นี่ได้ไง!"
ผมเหลือกตามองด้วยความเหลือเชื่อ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เพื่อนสนิทของตัวเองมาเหยียบที่นี่ แถมยังอยู่กับจิณณ์สองต่อสองได้ ก็ตอนแยกกันมันบอกว่าขอตัวไปทำธุระไม่ใช่หรือไง... เกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้วะ!

"เอ่อ... ใจเย็นๆ นะมึง สงบสติอารมณ์หน่อย"
ไอ้ไธเดินออกมาหมายจะตรงเข้ามาตบบ่ากัน แต่ผมเบี่ยงตัวหลบแล้วมองด้วยสายตาหวาดระแวง นี่มันเรื่องอะไร ใครช่วยอธิบายที

"ไม่... พวกมึงอธิบายมาเดี๋ยวนี้นะว่าทำไมถึงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วไหนไอ้ไธบอกว่าจะไปทำธุระ โกหกกูเหรอ!"
ทั้งเสียใจเรื่องพี่ทาวน์แล้วยังมาตกใจเรื่องไอ้สองคนนี้อีก ผมทรุดตัวลงบนโซฟาแล้วซุกหน้าลงกับหมอน ทำไมวันนี้มีเรื่องกวนใจเยอะจังวะ

"เชี่ยอะไรของมันเนี่ย... มาถึงก็บอกอกหัก แล้วด่าคนนั้นคนนี้ ประสาท กูไปทำกับข้าวต่อดีกว่า"
ไอ้จิณณ์บ่นงุ้งงิ้งแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว ผมได้แต่เงยหน้าส่งสายตาดุๆ ตามหลังไป ไม่ปลอบแถมยังแสดงท่าทางรำคาญอีก เป็นพี่ประสาอะไรวะ งอนแม่ง

คนที่ยังเหลืออยู่มองตรงมาที่ผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก มันทิ้งตัวลงข้างๆ แล้วยกแขนขึ้นพาดบ่ากันก่อนจะผลักหัวให้เอนซบ จากที่โกรธอยากด่าเลยได้แต่เงียบปาก ชอบการปลอบใจแบบนี้จริงๆ

"กูไปทำธุระจริง แต่กลับมาเจอจิณณ์กำลังขนของขึ้นห้องเลยเข้าไปช่วย"
ไอ้ไธพูดด้วยเสียงเนิบนาบก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวกันอย่างอ่อนโยน ผมไม่ได้โกรธหรอกที่อยู่ๆ เห็นเพื่อนโผล่มาที่นี่ แต่อดแปลกใจที่มันไม่เล่าอะไรให้ฟังเลยต่างหาก

นั่นก็พี่นี่ก็เพื่อน ความลับเยอะจริงๆ

"....."

"จิณณ์เลยจะตอบแทนเป็นมื้อเที่ยงก็แค่นั้น"
ผมผละตัวออกมองปฏิกิริยาของเพื่อนสนิท ไม่มีแววตื่นเต้นดีใจอะไรอย่างที่คาดคิดไว้ ทั้งที่เรื่องนี้มันไม่ปกติเลย จิณณ์เคยอ่อนข้อให้ใครซะที่ไหน แปลกจนต้องตั้งข้อสังเกตขึ้นมา

"หึ เริ่มจีบมันแล้วสินะ"
ผมหัวเราะแล้วจ้องเขม็ง ไอ้ไธตาลีตาเหลือกนกนิ้วขึ้นแตกริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญญาณให้เบาเสียงลง คงกลัวว่าคนในครัวจะได้ยิน

"ชู่ อย่าเสียงดังดิมึง กูกำลังเนียนๆ อยู่ ขืนกระโตกกระตากมีหวังโดนเกลียดแน่"
ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความกังวล สายตาพาลจะสอดส่ายดูคนในครัวอยู่เป็นระยะด้วยความหวาดระแวงที่ฉายชัด ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหลับตาลงเมื่อได้ยินทฤษฎีอันคุ้นเคยที่ตัวเองเคยทำพังมาแล้ว

"มึงอย่ามัวแต่เนียน เดี๋ยวจะเป็นเหมือนกู"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนก่อนจะเอนตัวนอนลงบนโซฟาโดยยกขาขึ้นพาดตักของไอ้ไธอย่างถือวิสาสะ ในตอนแรกมันทำท่าจะด่าแต่ก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วฉับเหมือนเพิ่งสะกิดใจในประโยคเมื่อครู่

"หมายความว่าไง"
ดวงตาของเพื่อนสนิทเต็มไปด้วยความใคร่รู้ มือที่เคยว่างนิ่งสนิทบนโซฟากลับเลื่อนมาลูบแก้มกันคล้ายกำลังปลอบประโลม ผมชอบนะ มันอุ่นดี แต่ถ้าใครมาเห็นสภาพนี้คงคิดว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อน แต่ความจริงแค่สนิทกันมากเท่านั่นเอง

"เนียนจนเขาไม่รู้ตัว พอบอกว่าถ้าสมมติกูจีบจริงๆ จะว่ายังไง รู้ปะ พี่ทาวน์ถามกูว่า 'ถ้าจีบติดจะฟันดาบกันหรือไง' กูนี่จุกจนพูดไม่ออก เหมือนกำลังจมน้ำ"
ผมพรั่งพรูเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงที่แล้วให้เพื่อนฟังอย่างหมดเปลือกแล้วหลับตาลงเพื่อข่มความรู้สึกปวดหนึบในใจ ถ้าคิดในแง่โลกสวย พี่ทาวน์คงไม่ได้ใส่ใจคำพูดนั่นสักเท่าไหร่ แต่ก็เหมือนโดนปฏิเสธอ้อมๆ เจ็บชะมัด

"พี่ทาวน์ก็แกล้งแหย่มึงปะ ผู้ชายแท้ๆ โดนถามแบบนั้นก็คิดเป็นเรื่องตลกอยู่แล้ว"
ที่ไอ้ไธพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายแท้ๆ ที่ไหนจะมาจริงจังกับการขอจีบจากเพศเดียวกัน มันต้องกลายเป็นเรื่องตลกเชิงหยอกล้ออยู่แล้ว ผมพลาดเอง ยอมรับว่าตัวเองอ่อนหัดในเรื่องเข้าหาคนที่ตัวเองชอบจริงๆ

"จะให้กูทำไงวะ ขืนบอกว่าผมไม่ได้สมมติแต่พูดจริงๆ กูไม่โดนถีบตกรถเหรอ"
ผมขบกรามแน่นเก็บกดความรู้สึกอยากร้องไห้เอาไว้สุดความสามารถ น้ำตาไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ตอนนี้คลี่คลาย กลิ่นอาหารที่โชยมาแตะจมูกยังให้ความรู้สึกดีกว่าหลายเท่าตัว

ผมมันก็แค่คนขี้คลาด กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิด กลัวการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์จริง ใจไม่กล้าพอที่จะรอคอยคำตอบจากเขา ถ้าผิดหวังหรือโดนผลักไสออกมาคงทนไม่ได้

"ลองพูดหรือยัง อย่าคิดไปเองสิวะ"
ไอ้ไธเอื้อมมือมาดีดหน้าผากกันทำให้ผมลืมตาโพลงแล้วกระเด้งตัวขึ้นจากโซฟาทันที ทำเป็นพูดดี ดูตัวเองบ้างหรือเปล่าเพื่อน รู้สึกว่าจะอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน

"ทีเรื่องคนอื่นทำเก่ง เรื่องตัวเองเอาไม่รอดนะมึง"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยคนฟังและตัวเอง จะมีอะไรเหี้ยกว่านี้อีกไหม ใจกล้าหน้าด้านอวดเพื่อนว่าสามารถทำแบบนั้นได้ ทำแบบนี้ได้ แต่สุดท้ายล้มเหลวจนแทบยืนไม่ไหว

"เออน่า ยอมรับว่าป๊อดเพราะจิณณ์เคยเกลียดกูมาก่อน แต่ของมึงไม่ใช่ไง"
ไอ้ไธมีสีหน้าไม่ดีนักเมื่อพูดถึงเรื่องอดีต ไม่อยากตอกย้ำว่าจิณณ์เคยรู้สึกยังไงกับมัน เพราะผมรู้ดีว่าโดนเกลียดรู้สึกแย่ขนาดไหน

"แต่หลังจากที่บอกเขาอาจจะรังเกียจกู"
ผมโอดครวญก่อนจะเคาะหน้าผากลงกับบ่ากว้างของไอ้ไธอย่างไม่ปรานี ได้ยินเสียงมันโวยวายเพราะเจ็บไหล่ แต่นายภาคินเจ็บใจนี่อย่าขัดขืนเลย ขอระบายความช้ำนี้หน่อยเถอะ

"จะซบกันอีกนานไหมพวกมึง แดกข้าว!"
เสียงไม่สบอารมณ์ดังมาจากห้องครัวทำให้ผมสะดุ้งยืดตัวตรง ไม่ต่างจากไอ้ไธที่หันขวับไปมองจิณณ์ด้วยสีหน้าพะว้าพะวง กลัวเขาเข้าใจผิดแน่ๆ

"ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะจิณณ์"
พอมันตั้งสติได้ก็รีบวิ่งแจ้นไปหาจิณณ์โดยไม่สนใจคนอย่างผมอีกเลย

"ไอ้เพื่อนเฮงซวย!"

มื้อเที่ยงที่ได้กินตอนบ่ายสองนั้นคือข้าวผัดน้ำพริกลงเรือรสจัดจ้าน ยอมรับว่าอร่อยมากแต่ไม่เจริญอาหารเลย ผมเขี่ยมันไปมาจนโดยจิณณ์ตีมือครั้งแล้วครั้งเล่า ไอ้ไธขโมยไข่เค็มกับกุนเชียงทอดไปก็ไม่แหกปากสักคำ ในหัวมีแต่เรื่องของพี่ทาวน์

หลังจากนั้นผมก็กลับมานั่งซึมอยู่บนโซฟาแล้วจงใจหยิบเกมมาเล่นเพื่อลดความฟุ้งซ่านในสมอง ได้ยินเสียงไอ้ไธบอกลาแว่วเขาหูแต่ไม่ได้ตอบรับจนจิณณ์เดินมาผลักหัวในที่สุดก่อนจะหย่อนตัวลงข้างๆ แล้วไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างกัน ไม่มีคำถามกวนใจ ไม่มีความใคร่รู้ คงรอเวลาที่เหมาะสมอย่างใจเย็น สมแล้วที่เป็นฝาแฝดกันมาสิบแปดปี

เสียงริงโทนดังขึ้นหลายครั้งแต่ผมกำลังติดพันเล่นเกมอยู่เลยไม่สามารถกดรับได้ ที่จริงแล้วไม่ใยดีด้วยซ้ำว่าใครจะโทรมา เพราะไม่อยากคุยอะไรกับคนไหนเลย สภาพจิตใจไม่เข้าที่อย่างรุนแรง บางทีก็รู้ว่าดราม่ามากเกินไป แต่มันอดไม่ได้จริงๆ

"เจ็ท รับโทรศัพท์สักที หนวกหู"
จิณณ์เอ่ยขึ้นในที่สุดหลังจากส่งเสียงจิ๊จ๊ะอยู่ครู่หนึ่งแถมยังยื่นโทรศัพท์มาให้จนจะทิ่มหน้า ไม่รู้หรือไงว่ามันบังจอเกมแล้วหงุดหงิดน่ะ

"กูเล่นเกมอยู่ ไม่ว่าง"
ผมใช้มือปัดโทรศัพท์ออกไปก่อนจะหันหลังให้จิณณ์เพื่อยื่นยันว่าไม่ยอมรับจริงๆ แต่แรงจิ้มลงมาที่หลังคอตรงรอยสักเล็กๆ รูปสมอเรือทำให้ต้องหันไปมองค้อนใส่ เวรเอ้ย น่ารำคาญจริงๆ

"แต่เขาโทรมาหลายสายแล้วนะมึง"

"รับให้ดิ"
ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจแล้วกันกลับไปเล่นเกมต่อ จิณณ์ก็คงไม่ยอมแพ้เหมือนกันเพราะเสียงริงโทนดังขึ้นอีกครั้ง ใครแม่งจิกอย่างกับไก่ขนาดนี้ ปิดเครื่องทิ้งเลยดีไหม!

"ไม่รับ ใครก็ไม่รู้"
น้ำเสียงเริ่มบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

"งั้นปล่อยไว้"
ผมบอกอย่างไร้ความรับผิดชอบ

"สัด มันน่ารำคาญ"
จิณณ์ดึงเครื่องเล่นเกมออกจากมือแล้วยัดโทรศัพท์ให้แทน ผมหันขวับไปถลึงตาใส่มันอย่างเดือดดาน เมื่อครู่กำลังจะเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้วเชียว!

"ไอ้จิณณ์เอาเกมกูคืนมา!"
ผมตะครุบจิณณ์จนเสียหลักล้มทับมันบนโซฟา ดวงตาคมจ้องเขม็งกดดันให้มันคืนเครื่องเล่นเกมมาสักที แม่ง นอนทับไว้แบบนั้น ได้เสียเงินซื้อใหม่แน่ๆ คิดว่าตัวเองเบาราวกับนุ่นหรือไง

"รับ โทร ศัพท์ เดี๋ยว นี้"
จิณณ์พูดช้าๆ ชัดๆ เน้นทีละคำบ่งบอกว่าถ้าไม่ยอมรับโทรศัพท์อีกครั้งเดียวต้องเห็นดีกันแน่ ผมเลยยอมผละออกแล้วพ่นลมหายใจออกมา หงุดหงิดฉิบหาย

"จิ๊ เออๆ รับก็รับ"
ผมตอบก่อนจะเดินหนีไปที่ระเบียงเพื่อรับโทรศัพท์ ถ้าเป็นเวลาปกติคงนั่งคุยข้างจิณณ์แบบไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้มันทำงานอยู่ ดังนั้นควรอยู่ห่างไว้

"ฮัลโหล ใครครับ"
ผมกรอกเสียงที่พยายามควบคุมให้ปกติ คนปลายสายเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ เบอร์โทรไม่คุ้นเลยสักนิด ดวงตาคมจับจ้องท้องฟ้าสีทึมแล้วรู้สึกใจห่อเหี่ยวชอบกล พี่ทาวน์มีอิทธิพลมากเกินไปแล้ว

'มึง ~'
เสียงใสๆ ตอบกลับมาทำให้ผมคิ้วกระตุก ใครมันกล้าใช่คำหยาบแบบนี้วะ รู้จักกันหรือก็เปล่า

"ใครวะ เพื่อนเล่นเหรอ"
ผมเปลี่ยนน้ำเสียงทันที ตอนนี้ไม่มีอารมณ์หยอกล้อกับใครจริงๆ ถ้าปลายสายนึกจะโทรมากวนกันจะด่าให้ยับจนลืมทางกลับบ้านเลย

'กูเอง ฟาไง จำเสียงไม่ได้เหรอวะ'

"ฟาไหน กูไม่รู้จัก"
ผมสวนแบบไม่ทันคิด ชื่อใครวะ โคตรไม่คุ้นหู อยากวางสายจะแย่ แต่ต้องเคลียร์ให้จบ ไม่อย่างนั้นคงโทรมาอีกแน่ๆ

'อ้าว ไอ้น้องเจ็ท กูเพื่อนไอ้ทาวน์ไง แดกใบแป๊ะก๊วยบ้างนะมึง ความจำจะได้ดี'
เสียงกลั้วหัวเราะแกมด่าดังขึ้นทำให้ผมต้องชะงักมือที่กำลังยื่นไปรองน้ำฝนตรงหน้า สมองรีบประมวลผลประโยคที่ได้ยินอีกครั้ง ฉิบหาย พี่ฟา!

"เฮ้ย ทะ โทษทีครับ พี่เอาเบอร์ผมมาจากไหนเนี่ย"
ผมเอ่ยขอโทษด้วยความตกใจ น้ำเสียงตะกุกตะกักเพราะกลัวพี่ฟาจะโกรธเจ้าให้ ก็ใครๆ ต่างบอกว่าคนนี้ขี้เหวี่ยงที่หนึ่ง

'เอาน่า ได้เบอร์มาจากไหนไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือมึงจะจีบเพื่อนกูเหรอ'
คำถามตรงไปตรงมาทำให้ดวงตาคมเบืกค้าง ไม่คิดว่าเขาจะถามเรื่องนี้ ตอบยังไงดีวะ เจตนาของพี่ฟาคืออะไรกันแน่ หยั่งเชิง ขัดขวาง บอกให้ตัดใจ หรือสนับสนุน แต่อย่างหลังนี่ไม่ควรหวังเลย

"คือผม..."
อ้ำอึงจนอีกคนหัวเราะเสียงต่ำ มันจะน่ากลัวเกินไปแล้วพี่ฟา

'หึหึ บอกมาตรงๆ น่า'
น้ำเสียงสบายๆ นี่มันอะไรกัน ผมบอกความจริงได้ใช่ไหม...

"ก็... ครับ"
ตัดสินใจบอกไปแล้วก็ได้แต่เม้มปากรออีกฝ่ายตอบกลับ หัวใจเต้นรัวราวกับกลองชุดในจังหวะร็อก

'โอ๊ย จริงๆ ด้วย ไอ้ทาวน์แม่งไม่เชื่อกู!'
พี่ฟาสบถเสียงดังลั่นจนผมต้องผละโทรศัพท์ออกจากใบหู ฝนนี่ก็ตกหนักจัง ไม่ปรานีคนอกหักบ้างเลยเว้ย

'มึงบอกไอ้ทาวน์ไปหรือยังว่าจะจีบมัน'
เมื่อผมแนบโทรศัพท์ลงกับหูอีกครั้งก็โดนตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ดวงตาคมกรอกซ้ายขวาเพราะไม่สามารถหาคำตอบได้ เรื่องที่สมมติไปตอนนั้น ถือว่าบอกพี่ทาวน์ได้หรือ ก็ไม่น่าจะใช่นะ

"คือ..."

'อ้ำอึ้งนะมึง ไอ้ทาวน์เล่าเรื่องเมื่อเที่ยงให้กูฟังแล้ว ถ้าจะจีบจริงๆ มึงต้องกล้าบอกมัน ไม่ใช่ทำหน้าเจือนแล้วตามน้ำ'
ผมได้แต่อ้าปากพะงาบ เพราะพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าคนเงียบอย่างพี่ทาวน์จะเล่าเรื่องแบบนี้ให้เพื่อนฟังด้วย

"กลัวโดนถีบน่ะสิพี่ อยู่ๆ จะไปบอกเขาแบบนั้นได้ไง"

'มันไม่ทำแบบนั้นหรอก กูเอาหัวเป็นประกัน ทาวน์มีเหตุผลมากพอ แต่เรื่องจะชนะใจไอ้ทาวน์ยังไงกูช่วยไม่ได้จริงๆ มึงต้องพยายามเอง'
น้ำเสียงหนักแน่นของพี่ฟาทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมานิดหน่อย เพื่อนเขาไฟเขียวให้แล้วก็ควรทำอะไรสักอย่างสินะ

"ผมจะลองดู..."
ปลายประโยคแผ่วจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ อยู่ๆ ก็กลัวขึ้นมา พี่ทาวน์จะไม่ฉุนเฉียวหรือโกรธเกลียดผมจริงๆ ใช่ไหม ถามตัวเองเป็นร้อยครั้งก็ไม่ได้คำตอบ นอกจากลองดู มันต้องลอง!

'ดีมาก กูเอาใจช่วย แต่ถ้าวันไหนมึงบอกว่าเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบนะ กูจะเอาคนมากระทืบให้ไส้แตก!'
คำขู่รอดไรฟันฟังดูน่ากลัว แต่ผมคิดถึงใบหน้าจิ้มลิ้มนั่นเลยหลุดยิ้มออกมา สภาพพี่ฟาใกล้เคียงกับหมาปอมขี้หงุดหงิดเลย น่ารัก ถ้าไม่คิดว่าชอบพี่ทาวน์นะ... นายภาคินคงลงมือจีบตัดหน้าไอ้ฟาร์มไปแล้ว

"โหย พี่ฟา ผมจริงจังนะเว้ย ไม่เคยชอบใครขนาดอยากจีบ อยากได้มาครอบครองขนาดนี้"
พูดเองก็เขินเอง ขนาดฝนสาดใส่เสื้อนักศึกษาจนเปียกลู่ยังไม่คิดบ่นสักคำ กำลังใจค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเมื่อรู้สึกโล่งอก คนเรานี่เปลี่ยนอารมณ์ได้ทึกวินาทีจริงๆ

'เอาไปพูดกับไอ้ทาวน์นู่น กูจะอ้วก แม่ง โคตรเลี่ยนอะ!'
พี่ฟาบ่นงุ้งงิ้งแต่ก็หัวเราะปิดท้ายประโยค ในตอนนั้นผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วเงยหน้ารับน้ำฝนที่ตกลงมา สดชื่นกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ไข้คงแดกอีกไม่นาน... ฉิบหายเถอะชีวิต

"ขอบคุณมากนะครับพี่ฟา"
ก่อนจะวางสายไปด้วยเสียงหัวเราะผมก็เอ่ยขอบคุณพี่ฟาจากใจจริง ที่ไม่ตั้งท่ารังเกียจรุ่นน้องคนนี้แถมยังให้การสนับสนุนจีบเพื่อนตัวเองอีก

"ยิ้มหน้าบานมาเชียวมึง ไบโพล่าแดกเหรอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย"
พอเดินกลับเข้ามาในห้องก็โดนจิณณ์ถามด้วยประโยคกึ่งด่ากึ่งจับผิด คนมีความสุขจะยิ้มไม่ได้หรือไง

"เรื่องของกูน่า"
ผมตอบพลางไหวไหล่ไม่สนใจอาการอยากรู้อยากเห็นของจิณณ์ที่แสดงออกทางแววตาอย่างชัดเจน แต่เหมือนมันเพิ่งสังเกตเห็นเลยตวาดกันเสียงดังลั่น

"ไอ้เหี้ย! เสื้อมึงเปียก รีบๆ เปลี่ยนเลย เดี๋ยวหวัดแดกลำบากกูอีก"
ผมสะดุ้งแล้วรีบถอดเสื้อเปียกของตัวเองออก รู้สึกหนาวจับใจเมื่อลมจากเครื่องปรับอากาศตกกระทบผิว ไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้เป็นหวัดแน่ๆ

"เออ จะไปเปลี่ยนแล้ว"
ผมบอกแล้วโยนเสื้อลงในตะกร้าผ้าที่ยังไม่ได้เก็บเข้าห้อง แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกอดตัวเองเพื่อบรรเทาความหนาว แต่ในตอนที่กำลังจะก้าวขาเดินกลับโดนจิณณ์รั้งไว้ ก็ไหนบอกว่ากลัวเป็นภาระไง จะคุยอะไรอีก

"อย่าเพิ่งไป กูมีอะไรจะถามนิดนึง"

"หือ อะไร"
ผมขยับตัวหลบแอร์แล้วมองจิณณ์พลางขมวดคิ้ว มือก็พาลจะลูบตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้ความอบอุ่นกับผิวหนังเปลือยเปล่า ปล่อยให้กูไปเปลี่ยนชุดก่อนดีไหมครับพี่ชาย รู้สึกไข่มันชื้นๆ ชอบกล คันแล้วเนี่ย

"ทำไมช่วงนี้ไอ้ไธแปลกๆ วะ"
คำถามมาพร้อมดวงตาที่หรี่ลงคล้ายกำลังจับผิดแล้วมองตรงมาทางนี้ ผมรีบทำเป็นก้มลงกดโทรศัพท์ทั้งๆ ที่หน้าจอยังล็อกอยู่ นึกยังไงถึงสงสัยขึ้นมาวะ ต้องทำเนียนไปก่อน

"ยังไง"
ผมไม่ยอมเงยหน้าแต่ก็แอบเหลือบตามองปฏิกิริยาของคนถาม มันใช้นิ้วเคาะลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ คงกำลังค้นหาคำพูดอยู่ หนีตอนนี้ทันไหม กลัวทำตัวมีพิรุธว่ะ

"ก็... ปกติมันเคยพูดกับกูซะที่ไหน"
แล้วปกติมึงทำท่าทางให้เขาอยากชวนคุยนักหรือไงไอ้แฝด ผมก็ได้แต่บ่นในใจแล้วตอบไปอีกอย่างที่แรงกว่า... โทษทีนะ

"เพราะมึงตั้งท่าเกลียดมันไง ใครจะกล้าคุยด้วย"
ผมเลิกแสดงละครแล้วเอาสันโทรศัพท์เคาะหัวจิณณ์เป็นการย้ำคำพูดของตัวเองให้มันคิดตามพฤติกรรมที่เคยแสดงออกมาก่อนหน้านี้ มือเรียวปัดป่ายความรำคาญออกแล้วยู่หน้าใส่กัน คิดว่าน่ารักตายล่ะมึง

"เหรอ... เออ คืนนี้ไอ้เอยชวนมึงไปแดกเหล้าด้วยกัน"
อยู่ๆ มันก็เปลี่ยนแรงทำให้ผมถึงกับเอ๋อไปชั่วขณะ นี่มึงเลิกสงสัยง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ แต่ก็ดีเพราะถ้าเกิดโดยถามอะไรมากกว่านี้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะตอบได้

พอได้สติกลับมาผมก็พยักหน้ารับคำเชิญชวนของไอ้เอยหลังจากที่ไม่ได้ไปเหยียบร้านเหล้ามาหลายเดือนเพราะติดเกม คืนนี้จะไปฉลองเอาฤกษ์เอาชัยกับการจะเริ่มจีบพี่ทาวน์อย่างเป็นทางการสักที สู้โว้ย!

ร้านเหล้าที่ไปเหยียบคลาคล้ำด้วยนักศึกษามหา'ลัยเดียวมากพอสมควร ผมในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีดำคอคว้านลึกจนสามารถเห็นเศษเสี้ยวของรอยสักรูปเข็มทิศบนหน้าอก สายตาหลายคู่จับจ้องมาด้วยความสนใจ แต่นายภาคินไม่ได้จงใจจะโชว์ อากาศหลังฝนตกโคตรร้อนต่างหาก

"เฮ้ย ทางนี้ๆ"
ไอ้เอยส่งเสียงเรียกแบบไม่อายใครแต่ผมกับจิณณ์ได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาชาวบ้าน จะเสียงดังหาพ่อมึงเหรอวะ คนเต็มร้านขนาดนี้ เกรงใจเขาบ้างเถอะ

"หวัดดีมึง"
ผมทักมันเมื่อเดินมาถึงโต๊ะแล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม จิณณ์ทำแค่ยักคิ้วให้ไอ้เอยสองที โคตรขี้เกียจเลยนะพี่กู

"เออ ไม่ชวนเพื่อนมึงมาด้วยเหรอเจ็ท"

"ขี้เกียจชวน"
ผมตอบกลับแล้วมองไปรอบๆ วันนี้ดูบรรยากาศการตกแต่งร้านคงมีใครมาจัดงานวันเกิดที่นี่แน่ๆ ลูกโป่งเพียบ

"สั่งไรยังไอ้เอย"
จิณณ์ถามก่อนจะหยิบเมนูที่ตั้งอยู่มาเปิดดูทำให้ผมต้องละสายตาจากบรรยากาศที่ห่างหายไปนานแล้วสนใจของกินแทน จะว่าไปก็เริ่มหิวแล้วสิ

"สั่งเหล้า โซดา กับแกล้มไปแล้ว พวกมึงแดกข้าวมาหรือยัง"
คำถามเชิงเป็นห่วงเป็นใยทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา ถึงไอ้เอยจะดูห่ามๆ เถื่อนๆ แต่ก็เอาใจใส่เพื่อนดี เป็นผู้ชายในฝันของสาวหลายคน แต่น่าเสียดายที่พวกเธอต้องอกหัก เพราะมันมีเจ้าของแล้ว แถมสวยระดับเดือนคณะด้วย

"ยังๆ กูรอถล่มมึงอยู่เนี่ย"
จิณณ์ตอบด้วยน้ำเสียงทะเล้น เป็นอันว่าอยากให้เพื่อนเลี้ยง แต่ไอ้เอยถลึงตาใส่ก่อนตะโกนเสียงรอดไรฟันออกมา

"สัด อเมริกันแชร์เว้ย!"
เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังจากผมกับจิณณ์เพราะสามารถแกล้งยั่วโมโหไอ้เอยได้สำเร็จ หลังจากนั้นฝาแฝดก็สั่งข้าวผัดซีฟู้ดกับต้มยำหัวปลามายัดใส่ท้อง ถ้าไม่กินมีหวังเมาหัวทิ่มพื้นแน่ๆ

อาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ผมเป็นคนชงเหล้าที่มือหนักพอตัวเพราะชอบกินเข้มๆ แต่ก็ไม่มีใครประท้วงก็เลยได้รับหน้าที่ไปโดยปริยาย ไอ้เอยชวนคุยเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่เรื่องผู้หญิง แข่งรถ ท่องเที่ยว เรียน หรือนินทาอาจารย์ในคณะ ไม่กลังบาปจะกินหัวเลยนะพวกมึง แต่ยอมรับว่ามันสนุกและเรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ

หลังจากที่ผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วโมง ต่างคนต่างดื่มด่ำกับบรรยากาศและดนตรีสด จิณณ์ก็เป็นคนทำลายมันลงโดยการสะกิดแขนผมยิกๆ อุตส่าห์นั่งเล็งสาวอกอึ๋มโต๊ะนั่นอยู่ เสียโฟกัสหมดเลยแม่ง ถึงจะชอบพี่ทาวน์แต่ยังไม่ละทิ้งสัญชาตญาณความเป็นผู้ชาย

"เจ็ท... กูว่าผู้ชายโต๊ะนั้นหน้าคุ้นๆ"
มันกระซิบข้างหูผมด้วยประโยคที่ชวนให้ขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าคนเกือบทั้งร้านพวกเราก็คุ้นหน้าอยู่แล้วหรือเปล่า ก็เรียนมหา'ลัยเดียวกันทั้งนั้น

"หือ ไหนวะ"
ผมถามกลับก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นจรดริมฝีปาก ไม่ได้สนใจว่าจิณณ์กำลังตื่นเต้นกับอะไร ตอนนี้ขอจินตนาการเรื่องพี่ทาวน์เงียบๆ ได้ไหม เมื่อครู่กำลังไปได้สวยเชียว เดินจับมือกันในทุ่งลาเวนเดอร์ โคตรฟิน

"โต๊ะนั้นๆ"
ไอ้จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้วคว้าแก้วเหล้าของผมออก แล้วชี้โบ้ชี้เบ้ไปทางโต๊ะริมติดกับต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ บาร์เครื่องดื่ม ในตอนที่ดวงตารับภาพคนสามคน มโนในทุ่งลาเวนเดอร์ก็หายวับกลับสู่โลกความจริง

"เชี่ย นั่นพวกพี่ทาวน์นี่หว่า"
ผมพึมพำด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อแล้วจ้องคนที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มไม่วางตา จากระยะตรงนี้ยังรับรู้ได้ว่าพี่ทาวน์หล่อขนาดไหน แล้วคนที่อยู่ใกล้ไม่ตายระนาวกับเสน่ห์เหลือร้ายนั่นเหรอวะ

"พรหมลิขิตจังฝาแฝดกู"
จิณณ์กระแซะไหล่อย่างหยอกล้อแต่ผมกลับหน้าบึ้งเมื่อเห็นสายตาของสาวๆ จับจ้องเขา ถ้าจับกินได้พวกเธอคงทำไปนานแล้ว มันขัดใจฉิบหาย ถ้าอยู่ห้องเล่นเกมคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้

"พรมเช็ดเท้ามากกว่า พี่ทาวน์แม่งโคตรฮอต"
ได้แต่ถอนหายใจแล้วยกแก้วขึ้นกระดกอีกครั้ง เห็นจำนวนคนที่สนใจเขาแล้วรู้สึกหวั่น จะยอมแพ้ก็ขัดใจ ครั้นจะเดินหน้าก็กลัวผิดหวัง เอายังไงดีวะชีวิต อยากจีบพี่ทาวน์ฉิบหาย อยากเป็นเจ้าของ อยากดูแล... ต้องสู้สินะ อย่าให้คนที่สนับสนุนเบื้องหลังเสียแรงเปล่า

"เรื่องปกติ มึงจะเข้าไปทักพี่เข้าปะ"
จิณณ์ยกมือขึ้นขยี้หัวกันราวกับให้กำลังใจไม่ใช่กลั่นแกล้ง ผมไม่ได้ปัดป้องแต่มองไปทางพี่ทาวน์แทน เอาไงเอากันวะ!

"เออ ไปแน่"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าห่อนจะซดเหล้าจนเกลี้ยง ร่างกายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้... เหมือนโฆษณาอะไรสักอย่างว่าไหม ตอนเครียดๆ นี่โคตรฟุ้งซ่านเลยวะ

"หูยๆ ใจเด็ดเว้ย ไม่ร้องแหกปากว่าอกหักแล้วเหรอ"
จะล้อให้ได้อะไรขึ้นมา เดี๋ยวถีบคว่ำ!

"แดกเหล้าไปเงียบๆ เลยมึง เดี๋ยวกูมา"
ผมชี้หน้าคาดโทษไว้แล้วเดินออกมาจากโต๊ะ พอถึงกลางทางแล้วรู้สึกอยากหันหลังกลับ แต่ไม่ทันเมื่อพี่ฟาหันมายิ้มแฉ่งจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่

"สวัสดีครับพี่ๆ"
ผมส่งเสียงทักทายทุกคนรอบโต๊ะแล้วฉีกยิ้มกว้างในพี่ทาวน์เพียงคนเดียว อย่าหาว่าลำเอียงเลย เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองกันด้วยซ้ำ โทรศัพท์มีดีอะไรนักหนาหืม

"ไอ้น้องเจ็ท มาได้ไงวะ นั่งก่อนๆ"
พี่ฟาลุกขึ้นแล้วดึงแขนให้ผมเข้าไปนั่งแทนที่ แต่ยังไม่ทันได้หย่อนก้น ดวงตารีของพี่ทาวน์ก็จ้องเพื่อนอย่างคาดคั้น ประมาณว่ามึงจะลุกทำห่าอะไร ที่ว่างเยอะแยะ

"มึงจะลุกไปไหน"
น้ำเสียงเย็นๆ ทำให้ผมต้องก้าวออกมา แต่คนสร้างเรื่องกลับยึดข้อมือกันไว้แน่นไม่ยอมให้ขยับไปไหน เหมือนยืนกลางสมรภูมิรบโดยมีพี่แฮมนั่งแดกขนมตรงหน้า เฮ้ ช่วยสนใจชาวบ้านบ้างสิครับ เขาจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว!

"เอ้า ก็ให้น้องมันนั่งไง มึงนี่ถามแปลกๆ"
พี่ฟามึงอะแปลกแถมยังเลิกคิ้วกวนตีนอีก ลุกให้ผมนั่งข้างพี่ทาวน์เฉยๆ แล้วตัวเองย้ายไปหาพี่แฮม ไม่โดนถามก็บ้าแล้ว โคตรจงใจ ถ้าโดนกระทืบไม่ต้องโทษใครนะ

พี่ทาวน์มองผมสลับกับพี่ฟาแล้วพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจแล้วหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ ผมมองภาพนั้นอยู่เสี้ยววินาทีก่อนจะหย่อนตัวลงข้างๆ ทำไมดูเฉยเมยจังวะ หรือจะเกลียดกันไปแล้ว ไหนว่าพี่ฟาเอาหัวเป็นประกันไง!

"มานานหรือยังครับพี่ทาวน์"
ผมกลั้นใจถามแล้วลอบมองปฏิกิริยาของคนข้างๆ เขากำลังทอดสายตามองบรรยากาศตรงหน้าโดยไม่มีนานภาคินอยู่ในสายตาสักนิด อุตส่าห์ใส่เสื้อกล้ามคอลึกเชียวนะ... อ้าว ผิดประเด็นเหรอ โทษที

"สักพัก"
ตอบกลับโดยไม่มองกันจนรู้สึกว่าผมอยู่ผิดที่ผิดทางและควรจะกลับโต๊ะตัวเองสักที ไม่รู้เลยว่าพี่ทาวน์คิดอะไรอยู่ในหัว ต้องศึกษานิสัยกันแค่ไหนถึงจะเข้าใกล้หัวใจของเขาได้มากกว่านี้





ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 11 - P.1 (01/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-08-2017 14:07:58
"ไอ้สัดแฮม แบ่งกับแกล้มให้คนอื่นกินบ้าง!"
เสียงสบถด่าของพี่ฟาทำให้บรรยากาศตึงเครียดจางลง สองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกำลังยื้อยุดฉุดกระชากจานเอ็นไก่ทอดอยู่ เหมือนเด็กน้อยแย่งขนมกันเลยว่ะ น่ารักดี ถ้าพี่ทาวน์ทำแบบนั้นบ้างจะเป็นยังไงนะ

"สั่งใหม่ดิ จานนี้ของกู"
พี่แฮมยื่นจานหนีสุดแขน แต่พี่ฟากลับใช้ตัวเล็กๆ กระแทกจนเอ็นไก่กระเด็นออกจากจานไปมากกว่าครึ่ง ดูท่าทางแล้วสะใจอยู่ไม่น้อยที่ทำให้เพื่อนหน้าง้ำได้

"แดกเยอะ!"
พี่ฟากระแทกเสียงแล้วผลักหัวพี่แฮม รายนี้ไม่โต้ตอบหรอกเพราะมีประคองจานของกินอยู่ ปกป้องกันด้วยชีวิตเลยเชียว...

"กูอยู่ในวัยกำลังโต อย่าขัด"
พี่แฮมบึนปากใส่คนข้างกาย น้ำเสียงบ่งบอกว่าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ผมแทบสำลักอากาศเพราะมันตลก เขาตัวใหญ่แถมยังสูง ใบหน้าคมเข้ม ไม่เหมาะเลยที่จะทำตัวงอแงแบบนี้

"พ่อง!"
พี่ฟาแทบกระโดดกัดหัวอีกคน แต่โดนพี่ทาวน์ยกมือห้ามทัพไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นคงมีศึกนองเลือดกลางร้านอาหารแน่ อยากผลัดกันใช้วิชาที่เรียนมาปฐมพยาบาลเพื่อนก็บอกดีๆ ไม่ต้องหาเรื่องทะเลาะกันแบบนี้เลย

"อายน้องมันบ้าง"
นึกว่าจะเห็นผมเป็นอากาศธาตุซะแล้ว ขอบคุณครับที่พี่ยังเห็นหัวกัน หัวใจเต้นแรงเลยว่ะ

"โทษทีนะเจ็ท"
พี่ฟาพูดเสียงอ่อยแล้วเอื้อมมือเล็กๆ มาตบที่หลังมือเป็นการแสดงความขอโทษ

"ไม่เป็นไรครับ"
ผมส่ายหัวแล้วคลี่ยิ้มบางให้คนตรงหน้า มีพี่ฟาอยู่ตรงนี้ด้วยก็ดีเหมือนกัน คลายความตึงเครียดในสมองลงไปได้เยอะ

"แล้วมึงมากับใครเนี่ย"
พี่ฟาถามแล้วเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนมองหาใครบางคน หรือจะเป็นไอ้ฟาร์ม บ้าน่า มันคงไม่ก้าวหน้าขนาดนั้น ก็เมื่อตอนเย็นยังส่งข้อความมาโอดครวญเรื่องความฮอตของคนตัวเล็กอยู่เลย

"มากับจิณณ์แล้วก็ไอ้เอยครับ"
ผมตอบไปตามความจริง ถึงแม้ว่าพี่ฟาไม่รู้จักไอ้เอยก็ตามที แต่เขาก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม ตอนนี้ชักอิจฉาคนที่เอาแต่สนเรื่องกินแล้วสิ ไม่พูดไม่จากับใครแต่ดูมีความสุขเหลือเกิน ในอนาคตพี่แฮมจะแต่งงานกับอาหารหรือเปล่าวะ ชักสงสัย

"อ๋อ เฮ้ย กูขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ ปวดฉี่ฉิบหาย ไอ้แฮมไปเป็นเพื่อนกันหน่อย ลุก!"
อยู่ๆ พี่ฟาก็ลุกพรวดขึ้นจากม้านั่งตัวยาวแล้วดึงแขนอีกคนให้ทำตาม แต่พี่แฮมตวัดสายตาดุมอง ท่าทางจะเกิดเรื่องแล้วล่ะ

"กูจะกิน"

"มึงยกจานไปแดกหน้าห้องน้ำไป"
พี่ฟาประชด

"ได้ด้วยเหรอ กูเอาไปจริงๆ นะ"
แต่พี่แฮมเอาจริง ใบหน้าดูตื่นเต้นสุดๆ ผมอยากถามว่าถ้าเอาอาหารไปยืนกินหน้าห้องน้ำมันอร่อยเหรอ แต่ดูกวนตีนไปเลยเลือกที่จะเงียบปากดีกว่า กูปวดหัว กูจะบ้าตาย

"เอาที่มึงสบายใจครับเพื่อน"
พูดเสียงสะบัดใส่เพื่อนแต่หันมาขยิบตาใส่ผม เป็นอันให้สัญญาณว่ารีบๆ จัดการเรื่องที่ได้คุยกันตอนบ่ายให้เรียบร้อยซะ คือพี่ฟาอยากให้เพื่อนโดนจีบขนาดนั้นเลยเหรอ กลัวพี่ทาวน์ขึ้นคานหรือไง ขอบอกว่าไม่มีทาง เพราะคนถือบัตรคิวรอจีบเขาเป็นร้อย แต่นายภาคินจะคว้าบัตรวีไอพีแซงคิวให้จงได้ คอยดูเถอะ

"เอ่อ... พี่ทาวน์"
ผมเรียกชื่อเขาหลังจากที่เรานั่งเงียบนานนับนาที จากที่เตรียมคำพูดไว้เยอะแยะกลับหายไปตามลม ทำไมบรรยากาศมันน่าอึดอัดแบบนี้ หรือเพราะกดดันตัวเองและตื่นเต้นมากไป

"ว่าไง"
พี่ทาวน์ถามเสียงเรียบก่อนจะเหลือบตามอง ถ้าไม่เกิดเรื่องเมื่อเที่ยงผมคงคิดว่าตอนนี้สถานการณ์ปกติ

"วันนี้อากาศร้อนเนอะ"
ผมแทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย ประโยคเมื่อครู่ช่างสิ้นคิดอะไรแบบนี้ แต่พี่ทาวน์ยังใจดีที่ตอบกลับมา

"อืม ฝนกำลังจะตกอีกรอบมั้ง"
หลังจากนั้นก็เกิดเดตแอร์กันอีกรอบ ผมบีบมือบนตักจนรู้สึกเจ็บ สมองกำลังสิเคราะห์และทำการตัดสินใจอย่างหนัก ถ้าไม่เคลียร์ตอนนี้คงคาใจไปอีกนาน เอาให้ชัดเจนไปเลยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องกลับไปนั่งถอนหายใจทิ้งคนเดียว

"พี่ทาวน์..."

"อืม"

"คือว่าเรื่องเมื่อตอนเที่ยง..."
ผมพูดได้แค่นั้นก็รู้สึกว่ามีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่ริมฝีปากเพราะโดนดวงตารีจ้องมอง  หัวใจเต้นถี่รัวจนกลัวว่าพี่ทาวน์จะได้ยิน

"....."

"ที่ผมสมมติไป พี่... จำได้ไหม"
ถามเสียงเบาจนกลัวว่าเขาไม่ได้ยิน แต่พี่ทาวน์ก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะกระตุกยิ้ม

"เรื่องจีบกูน่ะเหรอ"
เออวะ คนเรียนหมอเขาตรงไปตรงมาและความจำดีแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า

"ใช่ครับ"

"กูไม่ได้ใส่ใจ มึงไม่ต้องคิดมาก"
พี่ทาวน์โบกมือไปมาย้ำประโยคของตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แต่ผมแทบร้องไห้เพราะอยากให้เขาใส่ใจมากกว่า แบบนี้แห้วลอยมาแต่ไกลเลยนะเว้ย

"คือว่า... จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องสมมติหรอก"
ผมรวบรวมความกล้าพูดออกไปแล้วเม้มปากแน่น กลัวจะโดนถีบ แต่พี่ทาวน์แค่ชะงักมือที่กำลังจะคว้าแก้วเหล้าแล้วหันมาหรี่ตามองเขม็ง น่ากลัว... แม่ง หัวใจจะวาย เหมือนแอบคบชู้แล้วโดนจับได้เลยว่ะ

"ยังไง"

"ผมจะจีบพี่จริงๆ"
ยืนยันเสียงจริงจัง

"อะไรนะ"
ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ

"ผมจะจีบพี่ครับ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว ใบหน้าจริงจังแววตามุ่งมั่น แต่...

"หึหึ ล้อเล่นอะไรของมึง"
พี่ทาวน์กลับหัวเราะจนผมใจเสีย เห็นเป็นเรื่องตลกอีกแล้วเหรอ

"ผมจริงจังนะ"
คราวนี้ผมถือวิสาสะแตะหลังมือของเขาเพื่อให้รู้ว่าที่พูดไปจริงจังแค่ไหนและความรู้สึกที่อยากให้รับรู้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นายภาคินชอบนายเมืองเหนือจริงๆ

"งั้นเหรอ"
พี่ทาวน์เลิกหัวเราะเสียงต่ำ ทำหน้าขรึมแล้วจ้องตาเหมือนกำลังค้นหาความจริง ผมไม่หลบและพยายามทำใจแข็งสู้ คราวนี้เขาต้องเชื่อสิ

"ครับ"

"ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ"

"ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ"

"มั่นใจขนาดนั้น"

"แน่นอนที่สุดครับ ยอมให้ผมจีบไหม"

"เอาที่มึงสบายใจเถอะ แต่ใช่ว่ากูจะยอม"
เขาเลื่อนมือออกจากการเกาะกุมแล้วคว้าแก้วเหล้าขึ้นมากระดกก่อนที่มุมปากจะยกยิ้ม เดาไม่ออกเลยว่าอารมณ์ตอนนี้ของพี่ทาวน์อยู่ในทิศทางไหน กำลังสับสนหรือกำลังโกรธกันแน่ แต่ผมเนี่ยมึน เพราะคำตอบกำกวมเหลือเกิน

"อ้าว..."
ร้องได้แค่นั้นก็ต้องหุบปากลงเมื่อเห็นพี่ฟากับพี่แฮมเดินควงกันมา ขัดจังหวะจริงๆ เลยเว้ย น้องยังจัดการปัญหาหัวใจไม่จบเลย! แทนที่จะไปฉี่ไปขี้ด้วยก็ได้นะ

"กูกลับมาแล้ว พวกมึงคิดถึงปะ"
พี่ฟาขยับใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น กลิ่นหอมจางๆ ของอาฟเตอร์เชฟทำให้ผมถึงกับอมยิ้มแล้วนึกถึงไอ้ฟาร์ม ระยะห่างแค่นี้มันต้องอิจฉาแน่ๆ

"ประสาท"
เสียงพี่ทาวน์ดังขึ้นก่อนจะเห็นไวๆ ว่าเขาใช้มือผลักไหล่ของเพื่อนให้ถอยออกไป ผมรีบหุบยิ้มทันทีเพราะกลัวว่าจะโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ

"เอ้า ด่ากูซะงั้นไอ้หล่อ"
พี่ฟามุ่ยหน้าแต่ก็ยอมนั่งลงที่เดิมแล้วหันไปเปิดวอกับพี่แฮมที่กำลังตักยำรวมมิตรใส่ปาก

"เฮ้ย นั่นเด็กในสต็อกมึงนี่หว่าไอ้ทาวน์ เดินตรงมาทางนี้แล้ว"
พี่แฮมทั้งปัดป้องทั้งดันหน้าพี่ฟาออกไปไกลๆ แต่ดวงตาจับจ้องตรงไปด้านหน้า ตรงที่ตำแหน่งที่ใครบางคนกำลังเดินมา ผมหันขวับไปมองแล้วเจอเข้ากับใบหน้าหวานจิ้มลิ้มของสาวน้อยคนหนึ่ง น่าจะเป็นดาวคณะอะไรสักอย่างเพราะรู้สึกคุ้น แม่ง เด็กในสต็อกพี่ทาวน์เหรอ... ทำไมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ แบบนี้

"อืม"
พี่ทาวน์ตอบรับในลำคอ ไม่มีท่าทีจะปฏิเสธอะไร นี่เขากำลังบอกอะไรผมทางอ้อมหรือเปล่า ผู้ชายทั้งแท่งยังไงก็แพ้ผู้หญิงสินะ... หมายความว่าแบบนั้นหรือเปล่านะ

"สัดแฮม แดกๆ ไปอย่าพูดมาก!"
อยู่ๆ พี่ฟาก็ตะโกนเสียงดังแล้วตักยำจ่อปากพี่แฮมด้วยท่าทางเดือดดานอย่างกับจะฆ่า คงไม่อยากให้ผมได้ยินอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง แต่ถ้ามันเป็นความจริง สักวันก็ต้องรู้อยู่ดี ตอนนี้ชาไปทั้งตัวเลยว่ะ

"อะไรของมึงวะ แดกก็ได้"
พี่แฮมขมวดคิ้วแต่ก็ยอมงับยำเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ย แดกๆ ไปเหอะพี่ อย่าพูดอะไรตอกย้ำผมอีกเลย แค่นี้ก็จะกระอักเลือดแล้ว

"พี่ทาวน์ สวัสดีค่ะ"
เธอเดินมาหยุดข้างๆ โต๊ะฝั่งพี่ทาวน์แล้วจงใจคลี่ยิ้มหวานทักทายเขาแค่คนเดียว เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายและคำพูดของพี่แฮมเป็นความจริง เด็กในสต็อกโคตรแจ่ม นายภาคินไม่อยากกินแห้วว่ะ ต้องไปตัดใจแล้วเสริมนมสู้หรือเปล่า

"ครับไอ"
พี่ทาวน์ยิ้มให้เธอ... ผมถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเอง ทำไมล่ะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้

"นั่งด้วยได้ไหมคะ"
น้ำเสียงหวานๆ เอ่ยออดอ้อน ถ้าเป็นผมก็คงยอม ก็เล่นน่ารักน่าทะนุถนอม แถมชุดที่ใส่ยังเซ็กซี่จนหนุ่มๆ แถวนี้น้ำลายไหล... แม่ง กูอยากวิ่งไปซบอกจิณณ์ร้องไห้ฉิบหายเลยตอนนี้ รู้สึกคัดจมูกแล้วสิ

"แล้วเพื่อนล่ะ"

"นั่งโต๊ะโน่นค่ะ แต่ไออยากนั่งกับพี่ทาวน์"
เธอบอกตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม ดวงตากลมเปี่ยมไปด้วยแววยั่วยวน พี่ทาวน์เองก็ไม่ต่างกันที่เอาแต่จ้องไอราวกับจะกินแบบนั้น ผมไม่ควรอยู่เป็นก้างสินะ หึ ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นของคู่กันอยู่แล้วนี่

"นั่งสิ"
พี่ทาวน์ทำท่าจะขยับที่ว่างให้กับไอ แต่ผมกลับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นั่งไปก็ไร้ค่า สู้กลับไปกระดกเหล้าให้เมาไปดีกว่า จะได้ลืมๆ เหตุการณ์ในคืนนี้ไปบ้าง

"ไม่ต้องขยับครับ ผมจะกลับโต๊ะแล้ว"
ผมบอกก่อนจะเดินออกมาโดยไม่ได้มองว่าทุกคนในโต๊ะจะมองยังไง แต่มีเสียงเล็กๆ รั้งเอาไว้ สุดท้ายคนที่เป็นห่วงความรู้สึกกันก็มีแต่พี่ฟา

"เฮ้ย เจ็ท รอกูด้วย"

"ครับ พี่ฟา"
ผมหยุดเดิน ส่วนพี่ฟาหอบตัวโยนแล้วเกาะแขนผมไว้เพื่อทรงตัว ไม่กล้าหันหลังกลับไปมอง กลัวจะเจอภาพบาดตาบาดใจของหญิงชายคู่นั้น หลังจากกินเหล้าเสร็จคงไปต่อกันถึงไหนต่อไหน...

"มึง... ไม่ได้คิดมากใช่ปะ"
พี่ฟาหอบหายใจแล้วถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง ดวงตากลมล้อมรอบด้วยแพขนตายาวจ้องมองกันทำให้ผมหลบสายตานั่น แล้วเบี่ยงประเด็น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

"เรื่องอะไรครับ"

"ก็เรื่องไอกับไอ้ทาวน์ไง..."
แต่สุดท้ายผมก็หนีไม่พ้นเพราะพี่ฟาไม่เคยอ้อมค้อม

"ตอนนี้... คิดอะไรไม่ออกเลยครับ หน้ามันชาๆ ใจมันหน่วงๆ ขอตัวนะพี่ จะไปกินเหล้าย้อมใจสักหน่อย"
ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วแกะมือพี่ฟาออกก่อนจะเดินกลับโต๊ะด้วยสภาพไม่ต่างจากลอย

หลังจากที่นั่งลงได้ก็เอาแต่เทเหล้าเพียวๆ ใส่แก้วแล้วกระดกอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงจะรู้สึกแสบคอและร้อนวูบในท้องก็ไม่อยากหยุด เมาๆ ซะจะได้ไม่ต้องคอยห้ามสายตาตัวเองที่เอาแต่มองไปทางโต๊ะนั้น

"เฮ้ย เบาๆ หน่อยน้อง มึงจะออนเดอะร็อคทุกแก้วไม่ได้นะเว้ย"
จิณณ์จับข้อมือผมแน่นแล้วแย่งแก้วไปถือไว้เอง สีหน้าแสดงความฉงนมีแต่คำถามเต็มไปหมดว่าทำไมฝาแฝดสุดที่รักถึงกระดกเหล้าอย่างกับน้ำเปล่าแบบนี้

"เรื่องของกู เอาแก้วคืนมา"
ผมบอกเสียงต่ำแล้วสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุม ถึงรู้แก่ใจว่ากว่าจะเมาคงหมดเหล้าไปหลายขวดแน่ๆ เพราะเป็นคนคอแข็ง แต่จะให้หนีกลับทั้งๆ ที่คนอื่นยังสนุกมันก็น่าเกลียด

"ไอ้เจ็ท... มึงอย่าทำตัวเหมือนคนอกหัก"
คำของจิณณ์ทำให้ผมกำหมัดแน่นแล้วหันไปจ้องใบหน้าพิมพ์เดียวกันตาขวาง แทงใจดำฉิบหาย

"ก็กูอกหักไง จะให้กูแดกได้หรือยังครับ!"
ยอมรับแบบไม่อายด้วย รู้สึกร้อนๆ ที่กระบอกตาฉิบหาย คงอิจฉาผู้หญิงคนนั้นที่ได้ใกล้ชิดกับพี่ทาวน์ แถมยังได้รับรอยยิ้มนั่น

"อ่า..."
จิณณ์ครางเสียงเบาและเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมคว้าแก้วเหล้ากลับมากระดกลงคออีกครั้ง และอีกครั้ง รู้ว่าทั้งคู่เป็นห่วง แต่จะให้หยุดตอนนี้ทำไม่ได้จริงๆ

"ปล่อยมันเถอะจิณณ์ เดี๋ยวกูช่วยแบกไอ้เจ็ทขึ้นห้องเอง"

ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง และขอบคุณพี่ทาวน์ที่ทำให้รู้ว่าความรักไม่ได้สวยงามเสมอไป สักวันผมจะเข้มแข็งและกลับไปพยายามอีกครั้งหนึ่ง ไม่นานหรอก




-------------------------------------------------

เจ็ทนี่มันเจ็ทจริงๆ เลย โดนพี่ทาวน์ทำร้ายซ้ำซาก โอ๋ๆ นะลูกนะ
ซบอกไธไปก่อนเนอะ เห็นมีคนแอบจิ้น 55555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 12 - P.1 (04/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-08-2017 14:26:07
แข่งครั้งที่ 12



ปวดหัวจนลุกไม่ไหว ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอาการแฮงค์ก็แค่กรึ่มๆ ฝ่ามือที่กำลังแตะลงมาบนหน้าผากแล้วผละออกไปบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าผมกำลังมีไข้เนื่องจากตากฝนเมื่อวานนี้ จิณณ์ต้องด่าผมแน่ๆ แต่เมื่อลืมตาขึ้นกลับพบว่าคนข้างกายคือไอ้ไธ... มาได้ยังไงวะ

"มึง..."
ผมเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและพยายามลุกขึ้นจากเตียง แต่หัวหนักเกินไปเลยได้แต่ถูไถหน้ากับหมอน สภาพแบบนี้หนักกว่าอกหักซะอีก ปวดเมื่อยทั้งตัวเลยแม่ง

"นอนพักไป เดี๋ยวกูเอาข้าวต้มมาให้"
ไอ้ไธตบแก้มกันเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน แต่ผมเอื้อมมือไปรั้งไว้จนมันหันมาเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"จิณณ์ล่ะ..."
ผมปล่อยชายเสื้อของไอ้ไธแล้วเลื่อนมาปิดปากเพราะไอ้โขลกอย่างหนัก เดือดร้อนคนเฝ้าต้องเตรียมน้ำมาให้ดื่ม

"มีควิซเช้า เลยฝากกูดูแลมึง"
ผมพยักหน้าแล้วรับน้ำมาดื่มแก้ระคายคอ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนจิณณ์บอกว่ามีควิซ คงเป็นเพราะพิษไข้และแอลกอฮอล์ทำให้สมองเบลอ แทบจะจำอะไรไม่ได้

"ปวดหัวว่ะ"
มือขวายกขึ้นนวดขมับเมื่อรู้สึกปวดหัวจี๊ด ใบหน้ายู่ลงตามอาการที่ไม่สู้ดีนัก เบ้าตาร้อนๆ ทรมานเหลือเกิน

"ใครใช้ให้แดกเหล้าตอนเป็นไข้"
น้ำเสียงฉุนๆ ดังขึ้นพร้อมกับแรงขยี้หัว ทำให้ผมต้องเหลือบตามองไอ้ไธแล้วปัดมือมันออกเพราะรำคาญ คนยิ่งไม่สบายอย่าแกล้งกันได้ไหม ตอนนี้ใครบีบใครจับส่วนไหนของร่างกายก็ปวดทั้งนั้น

"กูไม่ได้ตรัสรู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะเป็นไข้สักหน่อย..."
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วซุกหน้าลงกับหมอน ไม่อยากสบตา ไม่อยากมองหน้า เพราะรู้ว่าอีกครู่เดียวไอ้ไธจะดุกันแน่ๆ ขี้เกียจฟัง ช่วยหาอะไรมาปิดปากมันหน่อยได้ไหม กางเกงในจิณณ์ก็ได้

"สมควรคิดได้ตั้งแต่ไปตากฝนแล้วปะวะ"
นั่นสินะ ตากฝนทีไรไม่สบายทุกที

"โทษที..."
ผมได้แต่เอ่ยขอโทษเสียงเบาแล้วเหล่สายตามองคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ มันถอนหายใจ โบกมือเป็นเชิงว่าช่างมันก่อนจะดึงผ้านวมมาคลุมตัวให้ มีเพื่อนน่ารักก็ดีแบบนี้ ถ้าไม่ติดว่าสนิทกันมาตั้งแต่เด็กคงเผลอใจชอบไปแล้ว... ก็แค่เรื่องสมมติล่ะเนอะ

"นอนพักไป เดี๋ยวกูมา"

ไอ้ไธออกไปจากห้องแล้วปล่อยให้ผมนอนซุกตัวอยู่ในผ้านวมผืนหนา พอจะข่มตานอนก็กลัวพลาดอาหารเช้ากับยาเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น จำได้ว่าเมื่อคืนโยนมันทิ้งที่โซฟาด้านนอก สงสัยจิณณ์เป็นคนเก็บมาตั้งไว้ให้

ผมเลือกเข้าไลน์เป็นอย่างแรกเพราะคับคล้ายคับคลาว่าก่อนหลับไปจะคุยกับใครคนหนึ่งค้างไว้ ดวงตาไล่อ่านข้อความที่ถูกส่งมาเรื่อยๆ จนสะดุดกึก นิ้วเรียวรีบจิ้มตรงนั้นทันที

Phakin
ทำไมพี่ไม่ยิ้มให้ผมบ้างครับ
ผมน่ารังเกียจเหรอ
ผมไม่น่ารักเหมือนไอใช่ไหม
ไปต่อกับเขาหรือเปล่าครับ
ผมเจ็บจัง...
ผมชอบพี่จริงๆ นะ เชื่อกันเถอะ

Maungneua
เหงาเหรอมึง รัวขนาดนี้
กูยิ้มตามมารยาท
กูไม่ได้ไปต่อกับไอ
เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของกู

ผมอ่านข้อความทั้งที่ตัวเองส่งไปและพี่ทาวน์ตอบกลับมาจนครบก็ได้แต่เม้มปากเข้าหากันแน่น ดวงตาคมปิดลงเมื่อทบทวนทุกอย่างดีแล้วว่ามันไม่สมควรเกิดเรื่องนี้ หัวใจปวดหนึบราวกับใครเอาเข็มมาจิ้มมันซ้ำๆ ถี่ๆ มือที่จับโทรศัพท์สั่นจนยากควบคุม

นายภาคินมันโง่ ทำอะไรไม่รู้จักไตร่ตรองให้ดี ทุกอย่างคงจบลงตรงนี้ แม้แต่จะขอโอกาสจีบเขาคงไม่มีอีกแล้ว ผมกลั้นใจพิมพ์ข้อความหนึ่งส่งให้พี่ทาวน์ทั้งที่น้ำตาคลอหน่วยจนเห็นภาพเบลอ กว่าจะกดส่งได้ก็ใช้เวลาเกือบห้านาที ทำใจรับความเจ็บปวด

Phakin
พี่ทาวน์... ขอโทษครับ ที่ก้าวก่ายเรื่องนี้
ขอโทษจริงๆ อย่าเกลียดผมเลยนะ

นิ้วกดส่งข้อความไปแล้ว มันขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านทันที แต่รอแล้วรอเล่ากลับไม่มีอะไรตอบกลับมาทำให้ผมทิ้งโทรศัพท์ลงข้างตัวและปล่อยให้น้ำตาแห่งความเลินเล่อไหลออกมา มันคงเป็นบทเรียนราคาแพงที่ไม่มีใครอยากได้

ต้องยอมแพ้เรื่องพี่ทาวน์แล้วจริงๆ เหรอ มันยังไม่เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ

"ข้าวต้มมาแล้ว ลุกขึ้น... เฮ้ย มึงร้องไห้ทำไม"
เสียงไอ้ไธร้อนรนให้ท้ายประโยคมาพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่ที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน ชามข้าวต้มถูกวางไว้ที่หัวเตียงก่อนที่มืออุ่นจะไล่เช็ดน้ำตาให้อย่างไม่รังเกียจ

"พี่ทาวน์คงเกลียด... กูไปแล้ว"
น้ำเสียงขาดหายเพราะหัวใจบีบรัดตัว ตอนนี้เจ็บจนแทบไม่อยากขยับเขยือน จากที่เคยหิวกลับตื้อไปหมด อยากจะลบเรื่องราวที่ผ่านมาออกไปจากหัว ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากพูดคุย

ผมว่าตัวเองคงเป็นโรคไบโพล่าเพราะพี่ทาวน์เข้าให้แล้ว อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ทำไมเขาต้องมีอิทธิพลกับความรู้สึกถึงขนาดนี้ ความชอบคงเอนเอียงไปทางรักซะแล้ว

"เดี๋ยวๆ เกิดอะไรขึ้น กูงง"
น้ำเสียงไอ้ไธเต็มไปด้วยความสงสัย แววตาที่มองมาแสดงความเป็นห่วงแบบไม่ปิดบัง แต่ผมไม่มีแรงจะอธิบายอะไรเลยส่งโทรศัพท์ให้มันได้อ่านเองแล้วหลับตาลงซุกหน้ากับผ้านวมคล้ายกับเด็กขาดความอบอุ่น

"ฉิบหาย มึงส่งอะไรไปเนี่ยเจ็ท"
ไม่นานนักไอ้ไธก็ครางออกมาเสียงสูงแล้วยกมือขึ้นลูบหัวอย่างต้องการปลอบประโลมหัวใจที่แตกเป็นเสี่ยงๆ

"ตอนนั้นกูกรึ่มๆ เสียใจ ไม่มีสติเลย"
ผมสารภาพผิดแล้วขยับหัวไปหนุนตักของมันเพราะต้องการไออุ่นมากกว่าเดิม ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ส่งข้อความตัดพ้อบ้าๆ นั่นให้พี่ทาวน์เด็ดขาด

"มึงอย่าคิดมาก ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาซะก่อน"
ไอ้ไธพยุงตัวผมให้นั่งพิงกับหัวเตียงแล้วหันไปคว้าชามข้าวต้ม มันทั้งเป่าทั้งตักมาป้อน แต่ผมกลับส่ายหัวก่อนจะใช้หลังมือปาดน้ำตาอีกครั้ง ที่ผ่านมาไม่เคยอ่อยแอขนาดนี้เลยสักครั้ง แล้วทำไมกับคนๆ นี้ถึงได้...

"กูกินไม่ลง"

"ไม่แดกเดี๋ยวก็ตาย พี่ทาวน์เขาไม่ได้มานั่งเสียใจกับมึงหรอกนะ"
คำพูดของไอ้ไธทำให้ผมแทบลืมวิธีหายใจ จากที่พยายามเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นกลับทำไม่ได้อีกแล้ว บ้าจริง แค่คิดว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้ก็แทบจะขาดใจอยู่แล้ว

"สัด อึก..."

"ขอโทษๆ กูไม่ได้ตั้งใจ"
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดแน่น มืออุ่นที่คอยลูบหลังกันทำให้น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาอีกครั้ง เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ปวดใจที่คำขอโทษคงไม่ได้ทำให้พี่ทาวน์รู้สึกดีขึ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนที่ทำตัวน่าสมเพชแบบนี้ ไม่รู้ว่าหลับคาไหล่เพื่อนเมื่อไหร่ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เห็นไอ้ไธนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ข้างๆ บนเตียง ผมพลาดอาหารและยามื้อเช้าไปจริงๆ เมื่อไหร่จะหายล่ะแบบนี้

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ไอ้ไธยังคงทำหน้าที่เพื่อนที่ดีโดยการหาน้ำพร้อมข้าวและยามาประเคนถึงเตียง แถมด้วยการป้อนแบบไม่ต้องร้องขอ ผมยิ้มให้กับความเอาใจใส่นี้ รู้มาเสมอว่านายธามไธน่ารักแค่ไหน

ยอมรับแบบไม่อ้อมค้อมว่าอยากให้จิณณ์ลงเอยกับคนๆ นี้ เพราะรู้ว่ามันจะดูแลคนรักได้เป็นอย่างดี

ผมกำลังจะหลับอีกครั้งเพราะยาที่กินเข้าไปกำลังออกฤทธิ์ แต่เสียงกริ่งที่ดังขึ้นทำให้ดวงตาปรือเปิดขึ้นอีกครั้ง หงุดหงิดคงเป็นอารมณ์ที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้

"ใครมาวะ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แล้วโผล่หน้าออกมาจากผ้านวม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง อยากเดินออกไปเปิดประตูแล้วด่าคนที่มาไม่เป็นเวล่ำเวลาสักที แต่ตอนนี้ขยับตัวลงจากเตียงให้ได้ก่อนเถอะ

"คงเป็นจิณณ์กลับมาจากมอมั้ง"
ไอ้ไธสันนิษฐานก่อนจะปิดหนังสือในมือลงแล้วบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คงเตรียมตัวไปเปิดประตู แต่ผมรั้งมันไว้ด้วยคำพูด

"ไม่ วันนี้มันเรียน... ทั้งวัน"
ปลายประโยคเสียงแผ่วลงเพราะผมไม่สามารถฝืนหนังตาได้อีกแล้ว ประสาทการรับรู้กำลังจมสู่ห้วงนิทราทีละนิดๆ จนได้ยินไอ้ไธบ่นอะไรสักอย่างก่อนที่จะได้ยินเสียงประตูห้องนอนเปิดออกและปิดลง

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงกุกกักใกล้ๆ ดวงตาคมปรือขึ้นมองไปรอบๆ แล้วเจอเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ปลายเตียง ทำไมไอ้ไธใส่ชุดนักศึกษา แถมแผ่นหลังดูไม่คุ้นเอาซะเลย แต่อาจจะเป็นเพราะสติที่ยังไม่ครบถ้วนของตัวเองล่ะมั้ง

"ไอ้ไธ..."
ผมส่งเสียงเรียกเพื่อนสนิทแล้วไอ้โขลกออกมาอย่างหนักก่อนจะลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ลำคอแห้งผากและรู้สึกแสบไปหมด คงเพราะนอนในห้องแอร์ แต่อุณหภูมิก็ไม่ได้ต่ำ

"ไง"
เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูแปลกๆ ผมไม่มีจังหวะจะมองเพราะเอาแต่หลับหูหลับตาไอ แต่เมื่อมือเรียวส่งแก้วน้ำมาให้กลับต้องชะงักกึก ทำไมไอ้ไธขาวอมชมพูแบบนี้

"เฮ้ย พี่ทาวน์ มะ มาอยู่ที่นี่ แค่ก ได้ไงครับ!"
ผมสบตากับเจ้าของมือแล้วร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ทำไมพี่ทาวน์ถึงมาโผล่อยู่ตรงนี้ หรือว่านายภาคินกำลังฝัน อดสงสัยไม่ได้จนต้องหยิกแก้มตัวเอง ปรากฏว่ามันเจ็บ

"ขับรถมา"
พี่ทาวน์ตอบแล้วยัดแก้วน้ำใส่มือให้ก่อนจะมองด้วยแววตาขำขันเมื่อเห็นอาการตกใจของผม ตอนนี้สติกระเจิงยิ่งกว่าเดิม ร่างกายร้อนวูบวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขารู้ห้องได้ยังไง มาที่นี่เพราะเป็นห่วงอย่างนั้นเหรอ คิดเข้าข้างตัวเองได้ไหม

นายเมืองเหนือยังอยู่ในชุดนักศึกษาแต่ไม่ถูกระเบียบ เพราะชายเสื้อถูกปล่อยออกด้านกางเกง โดยรวมแล้วดูเป็นนักศึกษาแพทย์ที่น่าขย้ำให้จมเขี้ยวจริงๆ หล่อฉิบหาย

"ไม่... ไม่ใช่สิ แค่ก หมายถึงว่าทำไมพี่ถึงมาที่นี่"
ผมรวบรวมคำพูดได้เพียงเท่านั้นแล้วกลับมาไอโขลกอีกครั้ง เดือดร้อนพี่ทาวน์ตกคอยลูบหลังให้ ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

"ไอ้ฟาฝากมาเยี่ยม"

"ห๊ะ..."
ผมร้องเมื่อได้ยินคำตอบที่โคตรไม่มีเหตุผล ดวงตาคมมองคนที่หยุดลูบหลังด้วยความคลางแคลงใจ พี่ฟาสั่งอะไรก็ต้องทำตามตลอดเลยเหรอ หรือจริงๆ แล้วพี่ทาวน์แอบชอบเพื่อนตัวเอง... ฟุ้งซ่านอีกแล้วนายภาคิน มันเป็นไปไม่ได้หรอก

"ป่วยไม่ใช่เหรอ"
พี่ทาวน์ขยับไปนั่งที่เดิมแล้วมองสบตากัน ผมเบนหน้าหลบก่อนซุกหน้าลงกับเข่าปิดบังความกลัวทั้งหมดที่มี สมองกำลังจะเจ๊งเพราะประมวลผลไม่ทัน พี่ฟาไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน ไอ้ไธบอกอย่างนั้นเหรอ

"เอ่อ แล้วรู้ได้ยังไงครับ"

"ไปถามมันเอาเอง"
คำตอบเป็นไปตามที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ

"อ่า..."
ผมพูดไม่ออกเพราะรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจเมื่อนึกได้ว่าถ้าพี่ฟาไม่คะยั้นคะยอให้เขามาก็คงไม่มา แต่พี่ทาวน์มานั่งรอตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้จำได้ว่าตัวเองเผลอหลับนี่ ถามได้ไหม จะได้คำตอบหรือเปล่า คิดจนเริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง แย่แน่ๆ

"กินเหล้าตอนป่วยไม่กลัวตายหรือไง"
น้ำเสียงดุดังขึ้นทำให้ผมงอตัวกอดเข่ามากกว่าเดิม ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าขยับไปไหน เพราะกลัวว่าจะเผลอไปกระตุ้นให้เขาพูดถึงเรื่องข้อความในไลน์ ถ้าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่พี่ทาวน์จะยอมเข้าใกล้กันก็ขอใช้เวลาให้คุ้ม

"....."
ผมไม่ได้พูดอะไร เพราะสรรหาคำตอบไม่ได้ ก็ใครจะไปรู้ว่าหลังจากกินเหล้ามันจะป่วยล่ะ เถียงออกไปแบบนี้มีหวังโดนเกลียดมากกว่าเดิมแน่ๆ สู้เงียบไว้แล้วรอปฏิกิริยาตอบรับดีกว่า ด้านนอกฝนตกอีกแล้ว หนาวไปทั้งกายและใจ

"เฮิร์ทเหรอมึง"
น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบ ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้เช่นเดิม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมเกร็งไปทั้งร่างกาย ไม่ว่าพยายามปิดบังแค่ไหนก็ไม่เคยรอดสายตาเหยี่ยวของว่าที่คุณหมอได้สักที

"....."
ผมปล่อยให้เสียงเครื่องปรับอากาศแทรกกลางระหว่างเรา หัวใจเริ่มปวดหนึบเมื่อถูกกระทบด้วยคำพูดต้องห้าม คนที่เป็นสาเหตุกำลังขยี้แผลเดิมจนช้ำเป็นวงกว้าง ต้องใช้อะไรรักษาเหรอครับว่าที่คุณหมอ บอกหน่อยได้ไหม

"ว่าไง"
เขาถามย้ำพร้อมกับมือเรียวที่วางลงมาบนหัวก่อนจะออกแรงขยี้มันเบาๆ ผมไม่สามารถคิดว่าพี่ทาวน์เอ็นดูกันได้เลย บาฃทีมันก็แค่ความสงสารที่มีให้กับมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่ง อยากจะปัดความอบอุ่นที่ทำให้หัวใจเจ็บปวดนี่ทิ้งจัง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลึกๆ กำลังรู้สึกดี

"เพราะ... พี่ไงครับ"
น้ำเสียงขาดหายบอกกล่าวโทษของคนตรงหน้า มือเรียวชะงักการกระทำแล้วผละออกไป ได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ ของเขาก็พลอยทำให้ผมขยำกางเกงนอนแน่นกว่าเดิม

ไม่ควรพูดแบบนั้นออกไป ไม่ใช่ความผิดของพี่ทาวน์ นายภาคินปากเปราะ สมควรแล้วที่จะโดยเกลียดชัง เมินเฉย และเป็นอากาศธาตุในชีวิตของเขา

"หืม กูทำอะไรให้"

"ก็พี่... ปฏิเสธผม"
ทั้งที่รู้ว่ากำลังทำนิสัยแย่ๆ อย่างการโยนความผิดให้กับคนอื่น แต่ปากไม่ยอมหยุดพูดเลย ผมไม่สามารถควบคุมความเสียใจจากการคิดมากของตัวเองได้ ตอนนี้หัวเข่าคงเป็นแหล่งหลบภัยที่ดีที่สุด หลบสายตา หลบการเผชิญหน้า นายภาคินก็เป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดไม่ยอมรับความจริง

"สิทธิ์ของกู"
พี่ทาวน์บอกสิ่งที่เป็นความจริงข้อหนึ่งให้ผมได้รับรู้จนจุก สิทธิส่วนบุคคลไม่ใช่เรื่องที่สามารถก้าวก่ายได้ ไม่มีใครบังคับได้ ก็เหมือนเรื่องความรู้สึก ไม่รู้ว่าตอนนี้สรหน้าของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง บึ้งตึง โกรธขึง หรือกำลังยิ้มเยาะให้กับเด็กเมื่อวานซืนที่โง่เขลา

"นั่นสินะ ขอโทษครับ"
ผมเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาที่คลอด้วยตอกย้ำว่าตัวเองน่าสมเพชแค่ไหน ทำไมต้องอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ด้วย แต่ก่อนไม่เคยมีอาการเสียใจกับเรื่องความรักด้วยซ้ำ หรือกรรมจะตามสนองที่ไปหักอกชาวบ้านไว้เยอะกันนะ

"ชอบกูขนาดนั้นเลยหรือไง"
คำถามต่อทำให้ผมสะดุดลมหายใจตัวเองก่อนที่มุมปากจะกระตุกเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าค่อยๆ ละออกจากหัวเข่า พี่ทาวน์กำลังจ้องมาทางนี้ ตำแหน่งที่มีนายภาคินนั่งอยู่ นี่สังเกตุพฤกรรมกันมาตลอดเลยหรือเปล่านะ ควรดีใจหรือเสียใจดี

"ชอบ... ชอบมากครับ"
ผมคลี่ยิ้มให้เขา มันเป็นยิ้มที่จริงใจแต่ต้องใช้ความฝืนอย่างสุดกำลัง ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป น้ำตาอาจจะไหลต่อหน้าพี่ทาวน์เหมือนสายฝนที่ไม่ยอมหยุดตกด้านนอกก็ได้ อ่อนแอจนอยากไลาเขาออกไปให้พ้นๆ ไม่อยากให้เห็นตัวเองในสภาพนี้เลย

"แต่กูเป็นผู้ชาย"
ข้อนี้ผมรู้ดี พี่เป็นผู้ชาย เป็นเดือนคณะ เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ เป็นว่าที่หมอ และสุดท้ายคือเป็นคนที่นายภาคินชอบ... มาก

"ผมไม่ได้สนเรื่องนั้น"
ผมซบหน้าลงกับเข่าอีกครั้งเมื่อตอบโต้กลับไป รู้สึกได้ถึงความกดดันที่เริ่มทวีคูณ บรรยากาศมาคุท่ามกลางเสียงกระหน่ำของพายุด้านนอก ท้องฟ้าสีทึม อารมณ์ขุ่นมัว

"กูชอบผู้หญิง"
พี่ทาวน์แค่พูดความจริงด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขาถือมีดมาจ้วงแทงกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเลือดซิบ แต่นายภาคินยังคงยืนโงนเงนและพยายามเปล่งเสียงเพื่อยืนยันความรู้สึกที่มี แม้ว่าจะใกล้ตายเต็มที

"ผมจะทำให้พี่ชอบผมแค่คนเดียว"
ไม่มั่นใจหรอกว่าจะทำได้ แต่ขอพยายามจนสุดความสามารถ ถึงเจ็บแต่ก็ไม่ยอมถอย ในเมื่อพี่ทาวน์ไม่ได้ออกบอกปฏิเสธอย่างจริงจังสักครั้ง ผมมันก็เป็นซะอย่างนี้ บทจะคิดมากก็หัวแทบระเบิด บทจะไม่คิดอะไรเลยก็บ้าบิ่นเกินใครรับไหว เหมือนคนเป็นไบโพล่าจริงๆ

"มึงอาจจะผิดหวัง"

"ถ้าผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วสุดท้ายจะผิดหวัง ก็ไม่เสียใจหรอก"

"พูดดี"
ผมไม่รู้ความหมายของเขา แต่ความรู้สึกกดดันที่มีก่อนหน้านี้เริ่มจางลง อาจจะแค่คิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้

"พี่ทาวน์ ผมอยากขอโอกาส..."
ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เป็นจังหวะที่ดวงตาสองคู่ประสานกันอย่างพอดิบพอดี พี่ทาวน์ดูลึกลับ น่าค้นหา แต่อีมุมก็เย็นชาจนน่ากลัว

"เอาที่สบายใจ"
เขาบอกก่อนจะเบนสายตาหนีไปทางอื่น ได้ยินเสียงถอนหายใจคล้ายคนกำลังหงุดหงิด ผมไม่สนใจท่าทางแบบนั้นเพราะมีเรื่องที่ต้องคิด เอาที่สบายใจคืออะไร ให้โอกาสหรือไม่ให้ ขอความชัดเจนให้กันด้วยเถอะ

"หมายความว่ายังไงครับ"

"จะจีบก็จีบ ไม่ต้องขอ"
ผมฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า!

"เฮ้ย ผมจีบพี่ได้แล้วเหรอ!"
ผมตะโกนเสียงดังโดยไม่แคร์เลยว่าจะเจ็บคอมากแค่ไหน ดวงตาคมเบิกโตเป็นประกาย หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกแน่นหน้าอก ตอนนี้ความรู้สึกพุ่งพล่านจนน่ากลัว

"เออ รำคาญ"
พี่ทาวน์บอกด้วยเสียงฉุนๆ แต่ผมเห็นว่าเขายิ้มนะ ถึงจะแค่วินาทีเดียวก็เถอะ ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้นะ กอดสักทีได้ไหม

"ดีใจที่สุดเลยครับ"
ผมโผเข้าไปกอดเขาไว้แน่น ถึงแม้ว่าอาจจะเสี่ยงโดนต่อยหรือโดนด่าก็ไม่สนแล้ว มันดีใจจริงๆ ดีใจยิ่งกว่าตอนสอบติดมหา'ลัยอีก

"หึ เด็กน้อย"
พี่ทาวน์หัวเราะก่อนจะตบหัวกันเบาๆ ไม่มีการด่า ไม่มีการผลักใสซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีและทำให้ผมกล้าที่จะกอดเขาแน่นขึ้น ตอนนี้นายภาคินคงเหมือนคนบ้าที่ยอมละทิ้งความเจ็บปวดเพื่อรับความสุขที่ถูกหยิบยื่นให้

"ยอมเป็นเด็กน้อยของพี่ทาวน์ครับ"
เขาอนุญาตให้จีบผมก็หยอดซะเลย ไม่อยากให้เวลาทุกวินาทีผ่านไปอย่างไร้ค่า เพราะคนอย่างพี่ทาวน์ทั้งแมนและใจแข็ง มันต้องขยันทำคะแนนหนักๆ ก่อนที่คนอื่นจะชิงตัดหน้าคว้าหัวใจเขาไป

"เพิ่งรู้ว่าขี้อ่อย"
เขาตบหลังเป็นสัญญาณให้คลายกอดแต่ผมไม่สนแล้วทำเนียนต่อไป แต่คนอย่างพี่ทาวน์ไม่ยอมใครง่ายๆ เพราะมือเรียวเลื่อนมาดึงหูกันจนเจ็บ โหดร้ายฉิบหาย

"โอย... ผมอ่อยเฉพาะกับคนที่ชอบนะครับ"
ถึงจะเจ็บจนต้องเอามือลูบใบหูและจำใจคลายอ้อมกอด แต่ก็ยังไม่วายรีบทำคะแนนจีบ ดวงตาคมมองพี่ทาวน์ด้วยความสเหน่หา สื่อให้เขารับรู้ความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้ เชื่อว่าอีกไม่นานมันจะเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นรักที่มั่นคง

"นอนพักไป กูต้องไปรับไอ"
ดีใจไม่ได้ถึงสองนาที พี่ทาวน์ก็ยกไม่หน้าสามฟาดกันเต็มๆ เขาลุกขึ้นยืนจัดแจงเสื้อผ้าก่อนจะหยิบกุญแจรถเตรียมจะออกไปอย่างที่บอก

ตกลงว่านายเมืองเหนือต้องการอะไรจากนายภาคินกันแน่ ให้ความหวัง กำลังสนุกกับการปั่นหัว หรือแท้จริงแล้วแค่ตัดความรำคาญ ผมต้องพบจิตแพทย์เร็วๆ นี้แล้วล่ะ...

"ทำไม..."
น้ำเสียงที่เปล่งออกไปแผ่วเบาเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นขยำอกจนเสื้อยับย่น หัวใจปวดแปลบจนอยากควักทิ้งต่อหน้าต่อตา พี่ทาวน์กำลังเล่นตลกอะไรอยู่เหรอ บอกให้รู้ทีได้ไหม

"มึงจีบกู กูก็มีสิทธิ์จีบคนอื่น"
เขาบอกแล้วจ้องผมด้วยแววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก สิ่งที่พี่ทาวน์พูดมาคือความจริงข้อที่สองของเรื่องสิทธิ ใครจะจีบใครไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย

นายภาคินควรทำใจเรื่องนี้สิ ทำไมถึงโง่จนคิดไม่ได้นะว่าคำอนุญาตนั่นก็แค่การเปิดโอกาสให้ แต่ไม่ได้ปิดโอกาสที่นายเมืองเหนือจะจีบคนอื่นเช่นกัน คนเรียนหมอนี่หัวหมอจัง

"นั่นสินะ... ไปเถอะครับ เดี๋ยวเธอรอนาน"
ผมคลี่ยิ้มให้กับเขา ไม่ใช่เพราะความยินยอม แต่กำลังเยาะเย้ยตัวเอง หลงมโนเพ้อเจ้อไปคนเดียวทั้งนั้น ทั้งที่พี่ทาวน์ก็เตือนแล้วว่าอาจจะผิดหวัง

"ทำหน้าอย่างกับหมาโดนเจ้าของทิ้ง"
คำพูดทีเล่นทีจริงทำให้ผมต้องเม้มปากเป็นเส้นตรง เขาคิดอะไรตอนพ่นประโยคนี้ออกมากันนะ ตลกเหรอ สนุกหรือเปล่า

"แค่รู้สึกปวดหัว..."
หัวใจ ผมแอบเติมคำอยู่เงียบๆ แล้วทิ้งตัวลงนอน หลับตาลงหลีกหนีใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของเขา ไม่อยากรับรู้แล้ว พี่ทาวน์อยากไปไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องแคร์ไม่ต้องสนกันหรอก ยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งหวัง

"ปวดหัวหรือปวดใจ"
สมแล้วที่เป็นนายเมืองเหนือ ผมยอมแพ้อย่างสิโรราบจนครางชื่อเขาออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ดวงตาคมลืมขึ้นเพื่อมองพี่ทาวน์อีกครั้ง ให้มันฝังลึกจนยากลืมเลือน คนน่ารักมักใจร้าย...

"พี่ทาวน์..."

"หึ อย่าลืมกินข้าวกินยา กูไปล่ะ"
แล้วเขาก็จากไปพร้อมกับถ้อยคำแสดงความห่วงใย ตบหัวแล้วลูบหลัง สนุกมากไหม ผมคงเป็นมาโซคิสที่เขามอบความความสุขสมให้เพียงเสี้ยวนาทรก่อนจะดึงสู่ความเจ็บปวดแสนสาหัส ส่วนพี่ทาวน์เป็นซาดิสผู้กระทำที่อยู่เหนือกว่า ก็เหมาะสมกันดี


"ไอ้เจ็ท ตื่น! ทำไมตัวร้อนแบบนี้วะ"
ได้ยินเสียงโวยวายของใครบางคนดังขึ้นพร้อมกับแรงตบหน้าเบาๆ ผมปัดป่ายมือนั่นทิ้งก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ ทำไมรู้สึกปวดหัวมากกว่าเมื่อวาน ตอนนี้เช้าแล้วเหรอ จิณณ์กลับห้องมาตอนไหนไม่รู้เรื่องเลย

"อือ... จิณณ์เหรอ"
เสียงที่เปล่งออกไปแทบฟังไม่รู้เรื่อง มันทั้งแหบแห้งและไร้กำลัง ตาร้อนฉิบหาย อยากนอนต่อจะแย่แล้ว

"เออ กูเอง ไข้ขึ้นอีกแล้วนะมีง ไปโรงพยาบาลเหอะ"
จิณณ์ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วใช้มืออังหน้าผาก ผมขยับตัวเข้าหาก่อนจะวาดมือกอดเอวมันไว้ ไม่อยากลุกไปไหนเลย เจ็บทั้งกายทั้งใจ

"เดี๋ยวก็หาย..."
แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

"อย่าดื้อ ลุกเร็วๆ"
จิณณ์ตีแขนกันแรงๆ แล้วผละผมออกจากตัว ดวงตาคมจ้องกดดันอย่างไม่ลดละ ตอนนี้ไม่อยากเคลื่อนไหวเลย ร่างกายมันจมเตียง ไม่มีกำลังใจ

"ไม่เอา..."

"เจ็ท อย่าให้กูต้องโทรไปฟ้องพี่แจมนะ"
จิณณ์ขู่และมันได้ผล ผมรู้ว่าถ้าเรื่องถึงหูพี่แจมเมื่อไหร่ทุกอย่างจะแย่ลงกว่าเดิม ทำให้คนที่บ้านเป็นห่วงมันบาปมหันต์จริงๆ เผลอๆ อาจยกโขยงมาที่นี่

"ทำไมมีแต่คน แค่ก ใจร้าย"
ผมพยายามยันตัวลุกขึ้นโดยมีความช่วยเหลือจากพี่ชาย ปากก็บ่นกระปอดกระแปดทั้งที่เจ็บคอ ช่วงนี้ดวงตกหรือไงทำไมเจอแต่คนใจร้าย บอบช้ำไปหมดแล้ว

"เพ้ออะไรของมึง"
มันขมวดคิ้วมองกันด้วยความสงสัยก่อนจะหยิบแก้วน้ำมาให้ดื่ม เมื่อทุกอย่างเงียบลงเลยทำให้หูได้ยินเสียงฝนกระหน่ำด้านนอก ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่หยุดตกอีกเหรอ อยากชวนผมร้องไห้หรือยังไงกัน แต่เสียใจที่จุกจนไม่มีน้ำตา

"เมื่อวานพี่ทาวน์... มาเยี่ยม แค่กๆ"
ผมพยายามเล่าให้จิณณ์ฟัง แต่ดันไอโขลก ทำให้มีช่วงเว้นวรรคที่ทำให้มันเข้าใจผิด

"เฮ้ย แบบนั้นควรจะดีใจแล้วหายป่วยไม่ใช่เหรอวะ แล้วทำไมถึงทรุดจนต้องหามส่งโรงพยาบาลแบบนี้"
จิณณ์บีบจมูกผมด้วยความมันเขี้ยวแล้วช่วยพยุงขึ้นจากเตียง เมื่อมือสอดโอบรอบเอวจึงได้รู้ว่าพี่ชายผอมลงไปเยอะ

"เขาบะ บอกว่า... 'มึงจีบกู กูก็จีบคนอื่นได้' อึก"
ผมพูดได้แค่นั้นก่อนที่ทุกอย่างจะมือลง เป็นไข้ในตอนหัวใจอ่อนแอมันแย่ขนาดนี้เลยเหรอ

"เฮ้ย ไอ้เชี่ยเจ็ท!"

สิ่งแรกเมื่อประสาทรับรู้เริ่มทำงานอีกครั้งคือกลิ่นเฉพาะตัวของโรงพยาบาล ต่อมาคือเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วที่คุ้นหู ผมพยายามลืมตาแต่มันช่างยากเย็น หัวยังคงปวดตุบๆ เนื้อตัวร้อนเหมือนยืนอยู่กลางแดด มือด้านซ้ายถูกเจาะสายให้น้ำเกลือ

"สัดตังค์ เลิกดูการ์ตูนสักที"
ทะเลาะกันอีกแล้วคู่นี้ ถ้าเป็นผัวเมียกันลูกคงดกน่าดู

"คุณฟาร์มอย่าทำแบบนี้สิครับ เอาโทรศัพท์ผมคืนมานะ"
ไอ้นี่ก็ติดการ์ตูนเกินเยียวยา ดีหน่อยที่เป็นเด็กเรียนคะแนนท็อป ไม่อย่างนั้นคงได้ดร็อประนาว

"โดนพวกเด็กวิศวะล้อมึงยังไม่อายอีกเหรอไง"
เด็กวิศวะที่ไหนมาล้อไอ้ตังค์เรื่องติดการ์ตูนเนี่ย ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลยวะ แต่ตอนนี้พยายามลืมตาให้ได้ก่อนเถอะ ลำบากฉิบหาย เหมือนคนนิสัยเสียแอบฟังเพื่อนคุยกันเลย

"นั่นมันเรื่องของพวกเขาครับ"

"ตังค์... มึงหมกมุ่นเกินไปแล้ว นี่เรามาเยี่ยมไอ้เจ็ทนะ"
เออใช่ พวกมึงมาเยี่ยมกูควรเกรงใจสภาพคนป่วยบ้าง แม่ง นี่มันสถานที่พักผ่อนนะ เสียงดังฉิบหาย

"ขะ ขอโทษครับคุณไธ"

"อือ หนวกหู"
ในที่สุดผมก็ส่งเสียงออกไปได้หลังจากที่อมน้ำลายอยู่นาน ดวงตาคมลืมขึ้นได้แต่ยังคงหรี่จนเห็นภาพรวมไม่ชัด

"ตื่นแล้วเหรอวะ หิวน้ำปะ เดี๋ยวกูเอาให้"
ไอ้ไธถามขึ้นแล้วเดินมายืนข้างเตียง ผมพยักหน้าลงก่อนจะยกมือลูบหน้าเพื่อคลายอาการเบลอที่ยังไม่หายดี ดวงตาคมกวดมองรอบห้องแต่ไม่เจอคนที่ต้องการ สงสัยจิณณ์จะธุระ วันนี้วัน... เสาร์สินะ

"อือ ปวดหัวฉิบหาย"

"เป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าพี่ทาวน์ทำมึงไข้ขึ้น"
ไอ้ฟาร์มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วเอื้อมมือมาแตะๆ ที่ข้างแก้มคล้ายกับหยอกล้อ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

"กูอ่อนแอเองล่ะ"
ผมเบนหน้าหนีแล้วตวัดผ้าห่มคลุมตัวจนเหลือโผล่แค่ตา ไม่โทษพี่ทาวน์หรอก เพราะที่เขาพูดมาทั้งหมดมันคือเรื่องจริง สิทธิ์ของเขา หัวใจของเขา จะรักจะชอบใครมันก็เรื่องของเขา

"โอย มึงเก่งมากแล้วไอ้เจ็ท ถ้าพี่ฟาพูดแบบนั้นใส่กูบ้างคงบ่อน้ำตาแตกอะ ใครมันจะไปสู้คนที่เขาลงมือจีบได้วะ"
ผมอยากขอบคุณที่มันช่วยปลอบนะ แต่ท้ายประโยคกลับซ้ำเติมกันเต็มๆ จุกจนรู้สึกอยากร้องไห้ แต่น้ำตามันไม่ไหล ไอ้ไธถึงกับขว้างขวดน้ำในมือใส่คนปากหมาพร้อมถลึงตาอย่างเกรี้ยวกราด

"สัดฟาร์ม ไม่พูดไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกมึง"
แก้วน้ำถูกยื่นมาให้ ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะขดตัวเป็นกุ้ง อยู่ๆ ก็หนาวขึ้นมา อยากโดนใครสักคนปลอบ หัวใจมันหน่วงๆ ขึ้นมาอีกแล้ว

"กูขอโทษอะ กูมันปากไม่ดี ฮือ"
ไอ้ฟาร์มคร่ำครวญเสียงหงอย มันพยายามเอื้อมมือมาลูบไหล่ปลอบแต่โดนไอ้ไธปัดออกอย่างไม่ใยดีแล้วออกปากไล่เสียงดัง

"ไปนั่งเงียบๆ กับไอ้ตังค์เลยไป ไร้ประโยชน์ฉิบหาย"

"แง เค้าโดนไล่อะตังค์"

"นั่งเงียบๆ เถอะครับคุณฟาร์ม"
ขนาดไอ้ตังค์ยังทำหน้าเหนื่อยใจ สงสารพี่ฟาที่โดนคนแบบนี้ชอบจัง




ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 12 - P.1 (04/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-08-2017 14:26:24
"เจ็ท... มึงอย่าไปใส่ใจคำพูดไอ้ฟาร์มเลยนะ"
ไอ้ไธนั่งลงแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกัน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเป็นห่วง ผมส่ายหน้า ที่ฟาร์มพูดคือเรื่องจริง ใครจะไปสู้คนที่เขารู้สึกด้วยได้ พยายามแค่ไหนก็เหนื่อยเปล่า

"ที่มันพูด แค่ก ก็จริงนี่ กูจะเอาอะไรไปสู้วะ"
เค้นเสียงหัวเราะเยาะตัวเอง ถ้าเป็นเวลาปกติคงไม่อ่อนแอและงอแงอย่างกับคนใกล้ตายแบบนี้หรอก แต่ป่วยอะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด เกลียดสภาพแบบนี้ของตัวเองจริงๆ

"ใจมึงไง"
ไอ้ไธจิ้มจึกๆ ลงบนอกของผม ตำแหน่งหัวใจที่เต้นต่อวินาทีเป็นปกติ

"ฮะๆ ใจกูเหรอ พะ พังหมดแล้วมั้ง"

"เชื่อกู เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น"

"เอาอะไรเป็นหลักประกัน"

"พี่ทาวน์ไง... อีกสักพักจะมาเยี่ยมมึงที่นี่"
เดี๋ยวนะ เมื่อครู่ไอ้ไธบอกว่าอะไร

"มึง... ว่าอะไรนะ"
ผมถามมันด้วยเสียงฉงน ดวงตาคมจ้องเพื่อนอย่างต้องการคำตอบ ที่มันพูดออมาคืออะไร

"กูบอกพี่ฟาไปเองล่ะ รายนั้นเลยคะยั้นคะยอเพื่อนให้มาที่นี่"
แบบนี้นี่เอง ฝีมือของไอ้ไธจริงๆ ด้วย

"หึ มาเพราะคำขอของเพื่อนอีกแล้วสินะ"
ผมหัวเราะหึในลำคอ ไม่ได้ดีใจหรอกนะที่เขามาเพราะเพื่อนขอร้อง แบบนั้นยิ่งทำให้คนที่หวังเจ็บกว่าเดิมไม่ใช่เหรอ

"เขายอมมาก็ดีแค่ไหนแล้ว คนแบบพี่ทาวน์ถ้าไม่ทำเองใครจะบังคับได้"
ไอ้ไธมองมุมต่างกับผมเสมอ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวเหมือนได้รับการรดน้ำต่อชีวิต

"กูมีหวัง... ใช่ไหม"

"เออ แต่อย่าหวังสูง ตอนตกลงมามันจะเจ็บ"
หวังได้แต่อย่าสูง... นั่นสินะ ถ้าไม่คิดอะไรเลยคงดีกว่านี้

ผมหลับไปอีกครั้งหนึ่งจนถึงเวลาเที่ยงวัน  ไอ้ฟาร์มกำลังขันอาสาไปซื้อข้าวให้คนอื่นๆ เพราะอยากไปม่อพี่พยาบาลสวยๆ ถึงมันจะชอบพี่ฟาแค่ไหนก็ยังไม่ละทิ้งมาดป๋าสายเปย์อยู่ดี ช่างเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ คนมันโสดไม่มีพันธะ ไม่ต้องคิดมาก

ไอ้ฟาร์มกำลังจะเปิดประตู แต่กลับมีเสียงเคาะตามมาด้วยใบหน้าที่ทำให้ทุกคนถึงกับชะงัก พี่ทาวน์ยืนอยู่ตรงนั้น ในมือมีถุงพลาสติก ดูท่าทางหนักๆ สงสัยจะซื้อของมาเยี่ยมคนป่วยอย่างผม

"อ้าว สวัสดีครับพี่ทาวน์"
ไอ้ฟาร์มรีบยกมือไหว้ตามด้วยคนอื่นๆ เขาพยักหน้ารับแล้วเหลือบสายตามองมาทางนี้ ผมแกล้งทำเป็นหลับตาไม่รู้เรื่องรู้ราว ดีใจที่เห็น แต่ก็ปวดใจเมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อวาน

"อืม กำลังจะไปไหน"

"เอ่อ... ไปหาอะไรกินครับ ฝากไอ้เจ็ทด้วยนะ พวกมึงไวๆ เลย"
อยู่ๆ ไอ้ฟาร์มก็ชวนเพื่อนอีกสองคนให้ออกไปพร้อมกัน ทั้งที่ตอนแรกไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนั้น ผมที่แกล้งหลับถึงกับเบิกตาโต นี่มันอะไร ไม่ได้บอกสักคำว่าอยากอยู่กับพี่ทาวน์สองคน บ้าฉิบหาย

"หา เอ้อ ไปๆ"
ไอ้ไธก็เออออห่อหมกไปกับมันได้ไง พากันออกไปจากห้องแล้วปล่อยให้ผมกับพี่ทาวน์เผชิญหน้ากัน ความอึดอัดแล้วแผ่ขยายตัวออก แต่ไม่นานคนที่เพิ่งมาก็เปิดปากขึ้นก่อน

"เป็นไง"
เขาถามสั้นๆ แล้ววางถุงพลาสติกลงบนโต๊ะปลายเตียง ผมมองพี่ทาวน์หยิบตราหมีออกมาใส่ตู้เย็นแล้วเบือนหน้าหนี ทำไมต้องเลือกซื้อของที่นายภาคินชอบมาด้วยวะ แบบนี้จะไม่ให้คิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไง

"อย่างที่เห็นครับ"
ผมตอบกลับคำถามของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทั้งที่หัวใจเริ่มเต้นแรง หลังจากนั้นก็เกิดเดตแอร์กันไปชั่วขณะ ต่างคนต่างจ้องตากันอย่างไม่ลดละ

"มึงมันใจเซาะ"
พี่ทาวน์เป็นคนเริ่มประโยคสนทนาก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ข้างเตียง อยู่ๆ มาบอกว่าผมใจเซาะหมายความว่ายังไง ที่อาการทรุดหนักจนต้องเขาโรงพยาบาลน่ะเหรอ ใครจะไปรู้ล่ะว่าตัวเองจะเป็นไข้หวัดใหญ่แบบนี้

"อะไรครับ"

"กูแค่ล้อเล่น"
พี่ทาวน์พูดอะไร ผมไม่เข้าใจจนต้องขมวดคิ้วแน่น เขาล้อเล่นเรื่องอะไร

"เรื่องอะไรครับ"

"เรื่องไอ"

"....."

"ไม่ได้ไปรับไอ"

"ทำไม... ถึงหลอกผมล่ะ"
ผมถามเสียงอ่อยแต่หัวใจกลับเริ่มเต้นแรงทุกขณะ เมื่อวานพี่ทาวน์ต้องการอะไรกันแน่ แต่เขาไม่ได้ไปรับไอจริงๆ ใช่ไหม

"เห็นหมาหงอยแล้วตลกดี"
เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นจนผมได้แต่มุ่ยหน้าใส่ พี่ทาวน์มองตรงมาก่อนจะเอื้อมมือเรียวมาขยี้หัวกัน ไม่ว่าเมื่อไหร่คนๆ นี้ก็อ่านยากเสมอ

"ขี้แกล้งว่ะ นิสัยไม่ดีเลย"
ผมบ่นงุ้งงิ้งแล้วซ่อนรอยยิ้มแห่งความสบายใจไว้ใต้ผ้าห่ม ถึงจะรู้สึกโมโหที่เขาเห็นความรู้สึกเป็นเรื่องตลก แต่มันโล่งใจมากกว่าที่พี่ทาวน์ไม่ได้สานสัมพันธ์กับไอ

"หึ มึงมันน่าแกล้ง ชอบดราม่า"

"โธ่... ก็คนมันคิดมากนี่ครับ แล้วเรื่องที่พี่จีบไอล่ะ ล้อเล่นด้วยหรือเปล่า"
ผมกลั้นใจถามออกไปแล้วเม้มปากแน่น กลัวคำตอบที่จะได้รับกลับมาเหลือเกิน เมื่อครู่เผลอก้าวกายความเป็นส่วนตัวของเขาอีกแล้ว

"เรื่องส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องบอก"
นั่นไง โดนเข้าให้แล้ว

"อึก..."

"มึงพยายามในส่วนของมึงก็พอ"
พี่ทาวน์มองผมด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วตบเข้าที่แก้มเบาๆ รอยยิ้มจางนั่นขอโมเมเอาเองได้ไหมว่าเขากำลังให้กำลังใจกัน พยายามในส่วนของตัวเองคือการจีบสินะ... แล้วพี่จะรับรักผมไหมครับ

"แต่ถ้าพี่ชอบเขา ผมจะทำอะไรได้"
เสียงอ่อยๆ มาพร้อมกับดวงตาเศร้าที่ทอดมองคนข้างตัว พี่ทาวน์ชะงักมือและผละออกไปก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาจะกลับแล้วเหรอ อยู่ต่ออีกสักพักไม่ได้หรือไง

"เชื่อมั่นในตัวเองก็พอ"
เขาบอกในขณะที่หันหลังให้กัน ขายาวๆ ก้าวออกห่างจากเตียงไปแล้ว แต่ผมเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอเลยตะโกนออกไป ถ้าพยาบาลมาด่าค่อยว่ากันทีหลังเนอะ

"สักวันพี่จะเป็นคนของผมทั้งตัวและหัวใจ!"

"หึ จะคอยดู"

คลาสเรียนช่วงเช้าจบลงในเวลาเที่ยงวัน ผมกับเพื่อนอีกสามคนกำลังเดินไปที่ลานจอดรถเพื่อออกไปดูหนังที่ห้างในตอนบ่ายที่อาจารย์ไม่ว่างสอน

"เป็นไงมึง จะเลิกทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีตากฝนได้หรือยัง คราวนี้นอนโรงพยาบาลตั้งสี่วัน"
ไอ้ฟาร์มพ่นคำเหน็บแนมออกมาด้วยท่าทางกวนตีนจนผมต้องเตะก้นมันให้ทีหนึ่ง คนโดนทำร้ายหันมาเบะปากใส่กัน คิดว่าน่ารักตายล่ะมึง ถีบซ้ำดีไหม หมั่นไส้

"จะกัดกูไปถึงไหนไอ้หมาฟาร์ม"

"แค่หมั่นไส้ที่พี่ทาวน์ไปเยี่ยมมึงเกือบทุกวัน"
มันเหล่สายตามองมาที่ผมซึ่งทำพยายามทำหน้าอึนอยู่ ตลอดเวลาสี่วันที่นอนโรงพยาบาล พี่ทาวน์มาเยี่ยมกันสามวัน... หัวใจโคตรพองโต แต่จะไม่แสดงออกให้เพื่อนล้อ น่าอายจะตาย พอเขาทำดีด้วยเสือกลืมที่เจ็บช้ำทั้งหมดง่ายๆ

"เขาไปหาลูกพี่ลูกน้องที่นั่นเหอะ ไอ้เยี่ยมกูน่ะ ผลพลอยได้เฉยๆ"

"แหม แต่มึงก็หน้าบานทุกวันไม่ใช่เหรอ"
ไม่พูดเปล่ายังเอาไหล่มากระแซะกันอีก ถ้าไม่ติดว่าคุยไลน์อยู่ พ่อจะง้างมือตบให้หัวทิ่มเลย น่ารำคาญ

"อย่าอิจฉา"

"เหอะ แล้วไอ้ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์คืออะไร เป็นบ้าเหรอ"
ยังไม่วายกัดผมต่อ ผีบ้าเข้าสิงหรือไง เห็นคนอื่นมีความสุขแล้วอิจฉาริษยาแบบนี่ แต่ก็ดีไอ้ฟาร์มถาม ตอบให้มันดิ้นตายไปเลย หึหึ

"กำลังชวนพี่ทาวน์ไปกินข้าวเย็น"

"โอ๊ย เกลียดมึงอะ!"
น้ำเสียงสะบัด ใบหน้างอง้ำจนผมต้องกลั้นหัวเราะ แหย่ไอ้ฟาร์มนี่สนุกจริงๆ เลย

"พี่ฟาไปด้วย"

"อุ๊ย กูไปด้วยได้ปะ"
เปลี่ยนท่าทางทันที ไอ้กิ้งก่า!

"ไม่เกลียดกูแล้วเหรอ"

"ไม่เคยพูดแบบนั้นเลย กูรักมึงจะตาย ~"
เสแสร้งไม่พอยังเอาแขนผมไปกอดอีก เฮ้อ

"ตอแหล"
ไอ้ไธด่าพร้อมกับส่ายหน้า คงปลงตกกับเพื่อนปัญญาอ่อน ไม่รู้พวกสาวๆ ชอบมันไปได้ยังไง

"ยอมรับอะ"

"คุณฟาร์มหน้าด้านมากครับ"
ขนาดไอ้ตังค์ยังทนไม่ได้จนต้องออกปากด่า

"จุกเลยกู.... ใครด่าก็ไม่เจ็บเท่าโดนไอ้ตังค์ด่า ฮือ"

"เฮ้อ น่ารำคาญจริงๆ"
ผม ไอ้ไธ และไอ้ตังค์พูดพร้อมๆ กัน

กว่าจะดูหนังจบก็ห้าโมงกว่าซึ่งเป็นเวลาที่จิณณ์ใกล้เลิกเรียน วันนี้มันไม่ได้ขับรถไปเองเพราะต้องส่งเข้าศูนย์เช็คระยะ เมื่อเช้าก็เลยติดสอยห้อยตามคุณธามไธเอา ถือว่าเป็นโอกาสทองของเพื่อนแล้วกัน เย็นนี้เลยวานให้รอรับกลับด้วยเลย ส่วนจะไปต่อที่ไหนก็ช่างแม่ง ผู้ชายด้วยกันไม่เสียหายหรอก... มั้ง

"ไอ้ไธ กูฝากมึงรอรับจิณณ์ด้วยนะ"

"เออๆ ไม่มีปัญหา จะดูแลให้อย่างดี"
มันพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วเข้ามากอดไหล่กันจนแทบจะสิง แนบชิดจนรับรู้สึกอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่าย ถ้าเปลี่ยนผมเป็นจิณณ์เชื่อว่าไอ้ไธคงทำมากกว่านี้

"ดูแลนะ ไม่ใช่เอาพี่กูไปแดก"
ผมพูดดักคอด้วยน้ำเสียงทะเล้น โดนไอ้ไธถลึงตาใส่ถือว่ามิชชั่นคอมพลีทมาก อารมณ์ดีจนแกล้งชาวบ้านไปเรื่อย อีกสักพักจะร้องไห้กลับมาหรือเปล่าวะ

"วางใจเถอะที่รัก กูไม่ได้ตะกละแบบนั้น"
ขนลุกเลยกู เรียกที่รงที่รัก เก็บไว้ให้จิณณ์เถอะคำพูดนี้

"เออๆ กูไปนะ"

"อิอิ ไปน้า ~"
เสียงแรดซะไม่มี ไอ้ฟาร์ม!



------------------------------------------

พี่ทาวน์เขาใจอ่อนแล้วนะเออ จีบให้ดีนะน้องเจ็ท หึหึ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 13 - P.2 (10/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 10-08-2017 09:23:18
แข่งครั้งที่ 13



คาบเรียนประวัติศาสตร์ศิลปะโคตรน่าเบื่อ เสียงอาจารย์ผู้สอนคล้ายเสียงกล่อมให้เข้าสู่นิทราจนอดหาวหวอดไม่ได้ ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะ อีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะเลิกเรียน ข้าวก็หิว แต่หัวใจบินไปโรงอาหารคณะแพทย์แล้ว

"โอย ง่วงสัด"
เสียงบ่นของคนที่นั่งด้านซ้ายมือดังขึ้น ผมเหลือบตามองก่อนจะถอนหายใจ ตั้งใจเรียนก็ไม่แถมยังกดโทรศัพท์เล่นอีก เจริญล่ะครับคุณฟาร์ม ขยันให้ได้ครึ่งของไอ้ไธบ้างเถอะ สงสารพ่อแม่มันที่ส่งควายเรียน

"ยังมีหน้ามาบ่น ไม่จดอะไรสักตัว"
ผมว่าก่อนจะเคาะปากกาลงบนหัวเพื่อน ไอ้ฟาร์มเบะปากแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยไม่สนใจว่าอาจารย์จะเดินมาแหกอกเมื่อไหร่ ดวงตาดำขลับปรือลงเป็นเครื่องยืนยันว่ามันง่วงจริงๆ เมื่อคืนมัวแต่เล่นกีฬาบนเตียงกับสาวหรือไง สภาพถึงได้เหมือนคนอดหลับอดนอนแบบนี้

"ก็กูเขียนช้าไง พยายามไปก็เท่านั้น สู้เอาของมึงไปลอกดีกว่า"
พูดด้วยใบหน้าง่วงๆ แล้วหาวใส่หนึ่งที ผมหมั่นไส้เลยผลักหัวมัน หน้าอย่างไอ้ฟาร์มเขียนช้าคนอื่นก็คงเต่าล่ะวะ ตอแหลจริงๆ

"เดี๋ยวกูเขียนลายมือหมอ ให้มึงนั่งแกะสักอาทิตย์"

"อย่าแกล้งกู ~"
เสียงบ่นงุ้งงิ้งมาพร้อมกับหัวทุยๆ ที่เลื้อยมาถูไถท่อนแขน ผมสะบัดมันออกเพราะรู้สึกขนลุก ทำตัวอย่างกับลูกหมาลูกแมวแต่ไม่ได้ดูน่ารักเลยสักนิด อยากถีบมากกว่า

"ตั้งใจเรียนสิวะ"
ผมดุแล้วจิ้มปากกาลงไปบนชีทที่ว่างเปล่า ไอ้ฟาร์มส่ายหน้าพรืดปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย บทจะขี้เกียจก็ไม่เอาอะไรเลย ต่างจากไอ้เนิร์ดที่เอาแต่หูพึ่งฟังอาจารย์ วันนี้มันมาแปลกที่ไม่แอบดูการ์ตูนในคลาส

"ก็มันเบื่ออะ"

"เลิกเรียนมึงก็กลับไปนอนให้เต็มอิ่มไป รำคาญ"
ผมออกปากไล่แล้วกลับไปสนใจสไลด์อีกครั้ง ยอมรับว่าเรียนต่อไม่รู้เรื่อง แต่ว่าดีกว่านั่งเสวนากับไอ้ฟาร์มแน่ๆ หาสาระไม่ได้เลย

"เฮ้ย ได้ไงอะ ต้องไปกินข้าวก่อนดิ"
อยู่ๆ มันก็ร้องเสียงหลงแล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับใบหน้าของผมเอาไว้ ดวงตาดำจ้องกันอย่างไม่ลดละ ทั้งดุดันและตัดพ้อ

"เพื่อ"
ผมถามกลับไปสั้นๆ แล้วปัดมือทิ้ง รู้อยู่แก่ใจว่าเหตุผลที่ทำให้เพื่อนโวยวายคืออะไร แต่ก็อยากแกล้งให้มันตื่นตัว ไม่ง่วงซึมแบบเมื่อครู่

"ไปส่องพี่ฟาที่โรงอาหารคณะแพทย์ก่อนไง จะได้หลับฝันหวาน"
มันทำหน้าเคลิ้มแล้วยกยิ้มหวาน ผมมองภาพนั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ ขืนยังเอาแต่เพ้อหาพี่ฟาโดยไม่กล้าจีบเขา เชื่อว่าสักวันมันต้องมานั่งร้องไห้โยเย เพราะโดนหมาคาบไปแดกแน่ๆ ป๋าฟาร์มสายเปย์ในตำนานทำไมปัจจุบันถึงได้กากแบบนี้วะ

"หวานกับผีสิมึง เจอเขาก็เอาแต่มองปลายตีน ชาตินี้คงได้แดก"
ผมว่ามันด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยคำเจ็บแสบ ไอ้ฟาร์มถึงกับถลึงตาใส่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบะปากคล้ายจะร้องไห้

"หยาบคาย ฮึก!"
ด่าจบก็แกล้งบีบน้ำตาใส่ ปัญญาอ่อนแบบนี้เหนื่อยใจแทนพี่ฟาเลยว่ะ

"หุบปาก"
ผมสั่งก่อนจะเลิกสนใจ ปลายสายตาเห็นมันนั่งเม้มปากกลั้นอารมณ์จนหน้าดำหน้าแดงไปหมด สนุกที่ได้แกล้งมันแต่ก็สงสารที่ความรักไม่คืบหน้าสักที อย่าให้ช่วยเลย เรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด ก็พี่ทาวน์น่ะ ใจแข็งชะมัด

"เถียงกันเป็นเด็กๆ"
ไอ้ไธที่นั่งอยู่อีกด้านเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ดวงตาคมยังคงจ้องมองสไลด์ มือยังคงจดเล็คเชอร์ตามที่อาจารย์พูด ผมเหล่สายตามองเพื่อนสนิทก่อนจะเบ้ปากใส่ คนอะไรน่าหมั่นไส้ สมาธิดีจริงๆ

"พูดเหมือนตัวเองแก่จังเลยเนอะ"

"กูโตกว่าพวกมึงแล้วกัน"
ทับถมกันจบก็หันมายักคิ้วให้ ใช่สิ ไอ้สมองผู้ใหญ่ เก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องนายโภคิน ไม่เห็นจะคืบหน้าสักที หรือว่ามันแอบอุบอิบลงมือจีบไปแล้วแต่ไม่ยอมเล่าวะ

"ครับๆ ไม่เถียง แล้วเที่ยงนี้มึงจะไปกินข้าวที่คณะแพทย์กับกูปะ"
ผมตัดใจจากการเรียนแล้วเพราะยิ่งฟังก็ยิ่งง่วง ปากในมือถูกควงไปมาระหว่างรอคำตอบจากไอ้ไธ ที่ต้องถามเพราะมันเอาแต่บ่นว่าอาหารที่นั่นโภชนาการสูงแต่ไม่อร่อย อีกอย่างคือโดนเด็กแพทย์มองเหมือนตัวประหลาด เพราะแต่งตัวไม่เรียบร้อย

"จะไปแดกกับข้าวจืดๆ อีกแล้วเหรอ รักสุขภาพกันจังนะพวกมึง"
ปากแดกดันแต่หน้าโคตรเจ้าเล่ห์ จากที่มันตั้งใจเรียนเป็นบ้าเป็นหลังกลับยอมวางปากกาแล้วจ้องหน้ากันอย่างล่อเลียน เออ ทีใครทีมันนะมึง แต่อย่าคิดว่าคนอย่างนายภาคินจะหน้าบาง ระดับนี้ปูนซีเมนต์ยังอายครับ

"ถึงกับข้าวคณะแพทย์จะจืด แต่เด็กเขาแซ่บนะเว้ย"
ผมพูดอย่างมั่นอกมั่นใจแล้วคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อคิดถึงใบหน้าของ 'เด็กคณะแพทย์' นิ่งๆ ขรึมๆ ข้างในต้องแซ่บแน่นอน ถ้าจีบติดเมื่อไหร่พ่อจะชิมให้หมดทุกส่วนเลย มันเขี้ยวเว้ย!

"ไม่ต้องใช้คำว่า 'เด็ก' หรอก หมายถึง 'พี่ทาวน์' ก็พูดตรงๆ"
ไอ้ไธเบ้ปากใส่หลังพูดจบ คงจะปลงที่ผมชอบเบี่ยงไปเบี่ยงมา ก็แหม... จะให้พูดชื่อตรงๆ มันก็เขินนี่หว่า อีกอย่าง เดี๋ยวคนอื่นได้ยินเข้าพี่ทาวน์จะเสียหาย โดนนินทาว่าเป็นเกย์ขึ้นมากูก็ซวยนะสิ คราวนี้ถูกเกลียดแน่ๆ

"รู้ทันกูตลอด"
ผมว่าเสียงอ้อมแอ้มแล้วงับปลายปากกาแก้เขิน ช่วงนี้ไม่ได้กินอมยิ้มเลยว่ะ เพราะมัวแต่คิดวิธีจีบพี่ทาวน์

"สัด ลากกูไปแดกข้าวคณะแพทย์มาเป็นอาทิตย์แล้ว ใครไม่รู้ก็โคตรควาย"
ไอ้ไธด่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่าง ผมหมดมู้ดที่จะเขินเลยดึงปากกาออกจากปากแล้วเอามาเคาะที่ขมับทำท่าคิดแทน หรือไปผิดสัญญาอะไรกับมันไว้วะ

"ด่ากูแบบนี้..."
ผมลากลากเสียงยาวแล้วเงียบไปเพราะกำลังคิดทบทวนตัวเอง รู้สึกเหมือนเคยตบปากรับคำอะไรมันไปสักอย่าง โอย ไอ้ฉิบหาย น้ำลายติดหัว

"....."
มันจ้องเขม็งคล้ายกับกดดัน และแล้วผมก็คิดออก แม่งเอ้ย วิศวะไง!

"อยากไปกินข้าวที่วิศวะบ้างล่ะสิ ~"
จำได้แล้วว่าเมื่อสองสามวันก่อนเคยพลั้งปากว่าจะพามันไปกินข้าวที่คณะวิศวะบ้างแต่ยังไม่มีโอกาสไปสักที เพราะผมกับไอ้ฟาติดลมไปส่องเด็กคณะแพทย์ โธ่ๆ ที่แท้ไอ้ไธก็งอนนี่เอง

"แดกหัวมึงนี่ล่ะ"
พอโดนจับได้ก็ก้าวร้าวใส่โดยการจะอ้าปากงับมือ แต่ผมไวกว่าเพราะหลบได้ ไม่อย่างนั้นคงนิ้วช้ำเลือดไปแล้ว

"อ้าว นึกว่าอยากแดกจิณณ์"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงรายเรียบแต่ดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์หยอกล้อ ลอบสังเกตปฏิกิริยาของไอ้ไธแล้วพบว่าหน้าของมันแดงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องมีคำอธิบายก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จะแดกจิณณ์น่ะไม่ยากหรอก แค่เป็นคนสม่ำเสมอก็พอ แต่เรื่องอะไรจะบอกความลับนี้ เดี๋ยวจะสมหวังกันเร็วเกินไป หึหึ

"ไอ้เจ็ท!"
เสียงเขียว แต่หน้าแดง นี่สัญญาณไฟจราจรหรือเปล่านะเพื่อนรัก

"โอ๋ๆ หน้าแดงใหญ่เลย ไม่แกล้งแล้วๆ พรุ่งนี้สัญญาว่าจะพาไปกินข้าวที่วิศวะนะครับพี่ธามไธคนหล่อ"
ผมบอกอย่างเอาใจก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มคนขี้งอนหนึ่งที ไอ้ไธสะบัดหน้าหนีแล้วมองกันตาขวาง บ่งบอกให้รู้ว่าไม่เชื่อใจอย่างรุนแรง

แว่วเสียงกรี๊ดของเพื่อนผู้หญิงร่วมคลาสแล้วได้แต่ถอนหายใจ พวกเธอจะจิ้นคู่เรากันไปถึงไหน อีกเดี๋ยวคงมีรูปในเพจเซ็กซี่บอยตามเคย แต่ช่างแม่งเถอะ ไหนๆ อนาคตไอ้ไธก็จะมีแฟนหน้าเหมือนผมอยู่แล้ว

"พูดแบบนี้มาสามชาติแล้ว เบี้ยวกูตลอด ไอ้ห่า"
งอนขั้นกว่าแล้วไอ้ไธ ประชดข้ามชาติกันเลยทีเดียว ไหนบอกว่าเป็นผู้ใหญ่กว่ากูไงวะ ทำไมงอแงแบบนี้

"โธ่ ก็กูกับไอ้ฟาร์มจีบเด็กแพทย์จะให้ทำไง"
ผมบอกเสียงอ่อยเพราะรู้ว่าตัวเองผิดคำพูด แล้วอีกอย่างคือต้องพึ่งเล็คเชอร์ของไอ้ไธด้วย ไม่อย่างนั้นสอบปลายภาคคงตกระนาว เอาจริงๆ เพราะไอ้ฟาร์มคนเดียวเลยที่ชอบชวนไปกินข้าวที่นั่นในวันที่นายภาคินตั้งใจจะไปคณะวิศวะ (สีข้างถลอกแล้วมั้ง แถไปเรื่อย)

"เออ ใช่สิ สองต่อหนึ่งกูก็แพ้"

"งอนเป็นตุ๊ดไปได้"
ผมบ่นเสียงเบาแต่ดูเหมือนไอ้ไธจะได้ยินเพราะมันขมวดคิ้วยุ่ง หูดีจริงๆ เลยนะมึง

"งอนเป็นผัวมึงได้ไหมล่ะ"
มันเหล่สายตามองกันแล้วขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมผละตัวออกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเพื่อนจะกล้าเล่นใหญ่ขนาดนี้ ขนลุกไปหมดทั้งตัวเลยแม่งเอ้ย เก็บไปพูดกับจิณณ์เถอะ!

"อย่ามายุ่งกับตูดกู!"
แล้วเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของไอ้ไธก็ดังระงมจนหมดคาบ แช่งให้ขาดอากาศหายใจตายไปตั้งหลายรอบแต่ไม่ได้ผล แม่ง หนังเหนียวจริงๆ เลย

"จะเดินหรือขึ้นรถรางไปกันครับ"
คำถามพาซื่อดังมาจากไอ้ตังค์ที่ยืนขยับแว่นอยู่ข้างๆ ผมมองมันด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ทำไมไม่ติดการ์ตูนแล้ววะ หรือว่าลืมเอาโทรศัพท์มา

"โห ไอ้ตังค์ มึงจะเดินไปคณะแพทย์เหรอ เชิญคนเดียวเถอะครับ ไกลโคตร"
ไอ้ฟาร์มโวยเสียงดังแล้วผลักหัวเด็กเนิร์ดประจำกลุ่ม ถ้าให้เดินไปคณะแพทย์มีหวังล้มตายกันก่อนแน่ๆ แดดเปรี้ยงจนเห็นสภาวะเรือนกระจกต่อหน้าขนาดนี้ ถึงจะมีร่มไม้ให้หลบร้อนแต่ระยะทางก็ไกลหลายกิโล ไม่ไหวจริงๆ

"นึกว่าคุณฟาร์มรักสุขภาพ อยากออกกำลังกายซะอีก"
ไอ้ตังค์มุ่ยหน้าใส่แล้วขยับไปยืนข้างไอ้ไธ ผมเข้าใจคำถามแรกของมันแล้วตั้งใจประชดชัดๆ เหมือนคู่ผัวเมียทะเลาะกันเลยว่ะ มีใครจิ้นคู่นี้บ้างไหม

"เดี๋ยวนี้หัดประชดประชันนะมึง"
ไอ้ฟาร์มทำท่าจะเดินไปเอาเรื่องเด็กแว่นที่ยืนอยู่อีกฝั่ง แต่ผมคว้าคอเสื้อมันไว้ได้ทันจนเจ้าตัวไอค่อกแค่กประท้วง โทษที รั้งแรงไปหน่อย แหะๆ

"เอาน่าๆ มันเลิกดูการ์ตูนแล้วยอมไปกินข้าวด้วยกันก็ดีแค่ไหนแล้ว"
ผมไกล่เกลี่ยแต่ยังไม่วายกัดไอ้ตังค์ที่อยู่ๆ ก็ทำตัวเกร็งขึ้นมา ท่าทางแปลกประหลาดที่มันกำลังแสดงออกต้องเกี่ยวเนื่องกับไอ้พวกเด็กวิศวะที่แซวเรื่องมันติดการ์ตูนแน่ๆ ต้องสืบให้ได้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น

"ชิ เซ็งโว้ย"
บ่นเป็นหมีกินผึ้งตลอดเลยไอ้ฟาร์มเมอร์

"ตีกันอีกแล้วพวกมึง โน่น รถรางมาแล้ว"
ไอ้ไธส่ายหัวด้วยความระอาก่อนจะชี้ชวนให้พวกเราเดินไปรอรถรางที่จุดจอด ได้ออกเดินทางกันสักที พี่ทาวน์... ผมกำลังจะไปหาแล้วนะครับ

"โอ้โห คนหรือหนอน เยอะฉิบหาย"
เสียงบ่นของไอ้ฟาร์มทำให้ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เพราะไม่ว่าจะชะเง้อคอมองไปทางไหนก็มีแต่คนทั้งนั้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านักศึกษาแพทย์จะมีจำนวนมากขนาดนี้ ถ้าไม่ติดว่าชอบใช้จินตนาการจะมาสอบคณะนี้ด้วย

"บ่นจังวะไอ้ฟาร์ม"
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ก็สมควรจะเป็นแบบนี้ เพราะตั้งแต่ขึ้นรถรางจนถึงที่นี่ ไอ้ฟาร์มยังไม่หยุดบ่นสักที เดี๋ยวอากาศบ้างล่ะ ตารางเรียนบ้างล่ะ การบ้านบ้างล่ะ น่ารำคาญทุกช่วงเวลาจริงๆ

"โธ่ กูบ่นนิดบ่นหน่อยเองไธ"
มันกระพริบตาปริบๆ ให้เพื่อนสงสาร แต่คนอย่างไอ้ไธมันรู้ดีว่าใครตอแหลก็เลยไม่สนใจอีก ผมชะเง้อคอมองหาที่ว่าง ยังไงๆ ก็ต้องได้กินข้าวที่นี่ อุตส่าห์มีเวลาพักตรงกับพี่ทาวน์ตั้งหนึ่งชั่วโมง

"นั่น คุณทาวน์หรือเปล่าครับ"
คำสุภาพที่ไอ้ตังค์เอ่ยถามทำให้ผมต้องชะงักกึกแล้วหันไปมองตามสายตาของมัน ตรงนั้นที่มุมเสามีร่างของคนที่คุ้นเคยกับสาวสวยน่ารักคนหนึ่งที่น่าจะเป็นเด็กในคณะแพทย์ พี่ทาวน์กำลังคลี่ยิ้มเป็นธรรมชาติให้เธอ ดูมีความสุขไม่ใช้การเสแสร้งตามมารยาท

"อ่า..."
ผมครางเสียงแผ่วแล้วเบนสายตาหนี ไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจอีกแล้ว ไอ้ไธก็เหมือนจะจับสังเกตอาการได้เลยยกมือขึ้นพาดบ่าก่อนกระชับแน่น

"ไปๆ หาที่นั่งเหอะ กูหิวข้าวแล้ว"

ผมได้หน้าที่นั่งจองโต๊ะกับไอ้ตังค์ รายนั้นไม่มีแม้แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเหมือนทุกที ดวงตากลมใต้กรอบแว่นดูระแวงกับอะไรบางอย่างตลอดเวลา จะเกี่ยวกับเรื่องการ์ตูนหรือเปล่าไม่แน่ใจ แล้วไอ้เด็กวิศวะที่แซวมันคือใคร ทำให้คนที่เป็นโอตาคุถึงกับเปลี่ยนขนาดนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

ไอ้ไธกับไอ้ฟาร์มกลับมาพร้อมข้าวแกงสี่จานและขวดน้ำดื่มในถุงพลาสติก พวกมันหย่อนก้นลงนั่งประจำที่แล้วลงมือจัดการอาหารตรงหน้า แต่ผมทำเพียงแค่ใช้ช้อนเขี่ย

"เจ็ท... อย่าเอาแต่เขี่ยข้าว กินสิวะ"
น้ำเสียงดุดังมาจากคนข้างตัว ผมชะงักมือแล้วหันไปมองหน้าไอ้ไธ รู้ว่ามันเป็นห่วง แต่เพราะคิดมากเลยทำให้ความอยากอาหารลดลง ถ้าได้กินอมยิ้มตอนนี้คงจะรู้สึกดีขึ้น ใครๆ ก็เคยบอกว่ารสหวานช่วยคลายเครียดได้

"ไม่หิว"
โกหกสิ้นดี ปวดท้องจะตายอยู่แล้ว

"แค่พี่ทาวน์ยิ้มให้คนอื่นมึงจะดราม่าทำไม"
คำพูดแทงใจมาพร้อมกับแรงเคาะหัวที่ไม่แรงมากนัก ผมยู่ปากแล้ววางช้อนลงก่อนจะเอาหน้าผากดันกับไหล่ของเพื่อนสนิทด้วยอารมณ์งุ่นง่าน ทำยังไงถึงจะเลิกคิดเป็นตุเป็นตะคนเดียวสักที

"มันปวดใจนี่หว่า กับกูนี่แค่ยกมุมปากยังยากเลย"

"เขาบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่ายิ้มตามมารยาท"
เถียงไม่ออกเลยได้แต่ถอนหายใจแล้วยอมรับ

"เออๆ กูผิดเองที่ชอบคิดมาก"
ผมผละตัวออกแล้วจำใจหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวใส่ปาก โดยมีไอ้ไธส่ายหัวอย่างอ่อนใจ อาหารจืดจริง ที่กินได้เพราะเด็กคณะนี้ล้วนๆ แอบคิดถึงก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ศิลปกรรมจัง ว่างๆ จะชวนพี่ทาวน์ไปชิม

"น้องๆ นั่งด้วยสิ โต๊ะเต็มว่ะ"
เสียงใสของใครบางคนทำให้ผมชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้ามแล้วเจอกับพี่ฟาและพี่แฮม ถ้าอย่างนั้นคนที่ยืนอยู่ด้านหลังล่ะ...

"อ้าว นั่งเลยครับ"
เป็นไอ้ไธที่ตั้งสติได้ก่อนแล้วเชิญชวนให้รุ่นพี่ทั้งสามนั่งร่วมโต๊ะ ผมเบนสายตาไปมองด้านหลังด้วยหัวใจที่เต้นรัว พี่ทาวน์ตั้งใจเดินมานั่งข้างกันไหมหรืออาจจะแค่บังเอิญ

"ขยับสิ"
พี่ทาวน์สั่งเสียงเรียบแล้วพยักพเยิดให้ขยับไปชิดกับไอ้ไธ ผมมองหน้าเขาอย่างชั่งใจ ตอนนี้ควรดีใจหรือเปล่านะ

"จะนั่งข้างผมเหรอ"
คำถามโง่ๆ หลุดจากปากของผม ทำให้พี่ทาวน์ชะงักไปก่อนที่มุมปากจะกระตุกยิ้ม ทำไมรู้สึกว่าเขาเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวันวะ นี่นายภาคินกำลังโดนหลอกให้ติดกับดักใช่ไหม แล้วสุดท้ายก็โดนทิ้งขว้าง... เกลียดตัวเองที่ชอบมโนจัง

"หรือจะให้นั่งตัก"
พี่ทาวน์เล่นแบบนี้จะให้ผมหนีไปทางไหนล่ะวะ หลงอยู่ในเขาวงกตชื่อว่านายเมืองเหนือนี่ล่ะ พูดอย่างกับว่ามีใจแต่ดวงตากลับฉายแววสนุก น่ากลัวเกินไปแล้ว

"เอาสิครับ กับพี่ผมยอมทุกอย่าง"
เล่นมาเล่นกลับไม่โกง ผมคลี่ยิ้มหวานแต่พี่ทาวน์ถลึงตาใส่

"กูประชด ขยับ"
เสียงแข็งมาเชียว ไม่เล่นแล้วก็ได้

"ครับๆ"
ผมรีบตอบแล้วขยับที่ให้เขานั่งทันที โต๊ะมันก็จะเบียดๆ กันหน่อยเพราะมีแต่ผู้ชายตัวโตนั่งรวมกัน บางครั้งที่ขยับก็มีไหล่ชนบ้าง โคตรฟินครับ แต่ไอ้ฟาร์มนั่งเกร็งเชียว แบบนั้นจะรอดไหมวะ

"ตอนบ่ายมีเรียนไหมครับ"
ผมทำลายความเงียบระหว่างเราด้วยการตั้งคำถาม ส่วนคนอื่นที่ร่วมโต๊ะก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ ดินฟ้าอากาศไปเรื่อย

"มี"

"วิชาอะไรเหรอ"

"ผ่าอาจารย์ใหญ่ บล็อกระบบหายใจ"

"อ๋อ... พี่ไม่กลัวเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เคยดูคลิปผ่าอาจารย์ใหญ่แล้วรู้สึกกลัว อยากรู้ว่าคนเรียนหมอจะคิดยังไงบ้าง

"ไม่"
พี่ทาวน์ตอบกลับโดยไร้ความลังเล ดวงตารีไม่สั่นไหวแม้แต่นิดเดียว โคตรกล้าหาญเลยว่ะ ผมดูเหมือนไอ้พวกขี้ขลาดไปเลย จริงๆ ก็แอบกลัวผีนะ...

"เก่งจัง"
ผมชมก่อนจะยิ้มให้คนที่กำลังลุกขึ้นยืนพร้อมกับจานข้าวในมือ นั่งด้วยกันไม่ถึงยี่สิบนาทีก็จะไปซะแล้ว โธ่ ขอซื้อเวลาเพิ่มได้ไหมเนี่ย

"อืม ไปล่ะ"
ขายาวกำลังจะก้าวตามเพื่อนไปแต่ผมรั้งไว้ก่อน ก็จีบอยู่ ไม่อยากพลาดโอกาสได้ใกล้ชิดนี่นา

"เดี๋ยวๆ เย็นนี้เลิกเรียนกี่โมงครับ"
ผมถามด้วยเสียงดังพอควรจนพี่ฟาชะงักเท่าแล้วหยุดรอ แต่พี่ทาวน์กลับโบกมือไล่ให้เพื่อนไปก่อน คงรู้ว่าจะโดนชวนคุยอีกสักพัก น่ารักจังวะคนเรา

"ห้าโมง มีไร"

"จะชวนไปวิ่งที่สนามกีฬา"
ที่กล้าออกปากชวนเพราะพี่ทาวน์เคยบ่นๆ ว่าช่วงนี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย เพราะเรียนหนักและสอบบ่อย ไม่รู้ว่าวันนี้จะไปด้วยกันได้อีกหรือเปล่า

ไอ้ไธแอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ล้วนๆ ไอ้ฟาร์มทำหน้าลุ้นเพราะพี่ทาวน์อาจจะหนีบเพื่อนไปด้วย ส่วนไอ้ตังค์เอาแต่หยิบขนมกินไม่สนใจชาวใคร ก็ไม่แปลกที่จะเป็นแบบนั้น เนื่องจากเมื่อครู่โดนพี่ปีสามแซวเรื่องหน้าตาจิ้มลิ้ม เด็กแพทย์สายรุกนี่มันเผ็ดจริงๆ ถึงขั้นเดินเข้ามาขอเบอร์

"กูไปหอสมุดต่อ"
แห้วอีกแล้ว แต่ก็ฉีกยิ้มไปเพราะสมองสุดบรรเจิดขึ้นอะไรขึ้นมาได้

"งั้นผมไปหอสมุดด้วย"
วิธีไหนก็ได้ที่สามารถใช้เวลาร่วมกับพี่ทาวน์ ผมยอมทุกอย่าง แม้กระทั่งเข้าไปนั่งอุดอู้อยู่ในหอสมุดที่ต้องเงียบเสียงก็เถอะ

"ไปทำไม"
พี่ทาวน์ถามพร้อมขมวดคิ้วมอง ดูเหมือนเขาสงสัยมากที่ผมขอตามไปแบบนั้น หอสมุดคณะแพทย์ เด็ก'ถาปัตย์จะอ่านอะไรได้ มึนแน่ๆ

"อยากอยู่ใกล้ๆ"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มเพราะกลัวจะโดนหาว่าไร้สาระ แต่ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามเพราะพี่ทาวน์หัวเราะแล้วยังใช้มือข้างที่ว่างผลักหัวกันเบาๆ

"หึ เอาที่สบายใจ"
จบประโยคกำกวมนั้นเขาก็เดินไปเก็บจานและออกไปจากโรงอาหารพร้อมกับเพื่อนที่รออยู่ ผมแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้นด้วยความดีใจ ถึงไม่ได้รับยิ้มหวานๆ เหมือนคนอื่น แต่ก็ไม่โดนปฏิเสธคำขอ ถือว่าการจีบเป็นไปด้วยดี

เวลาห้าโมงเย็นที่ผมตรงดิ่งไปหอสมุดคณะแพทย์โดยไม่สนเสียงโห่แซวของเพื่อนที่ดังไล่หลังมา ฟีโน่คันเก่งเคลื่อนไปตามทางอย่างไม่รีบร้อน รอยยิ้มแห่งความสุขผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อนึกถึงคนที่กำลังจะเจอกัน ควรซื้อขนมไปฝากดีไหมนะ

ตอนนี้ผมกำลังนั่งมองพี่ทาวน์ที่เอาแต่ตั้งใจอ่านหนังสือมาสักระยะ เขาสมาธิดีไม่มีวอกแวกเลยสักครั้ง ดวงตารีภายใต้กรอบแว่นทรงเหลี่ยมเต็มไปด้วยความมุ่งมันและจดจ่อ สถานการณ์แบบนี่ไม่อยากมีใครรบกวนหรอก แต่นายภาคินขอถือวิสาสะหน่อยแล้วกัน

"ขยันจังครับ"
ผมพูดลอยๆ แต่ความหมายเจาะจงคนตรงหน้า พี่ทาวน์ไม่ตอบสนองในทันทีเพราะยังอ่านหนังสือค้างอยู่ แค่ครู่เดียวเขาก็เงยหน้ามองสบตากัน ใส่แว่นก็ดูหล่อไปอีกแบบ ชอบจัง

"ธรรมดา จะนั่งมองกูอีกนานไหม"
พี่ทาวน์ถอดแว่นออกแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ ผมชะงักไปกับคำถามนั้นก่อนจะยิ้มแหยสงให้ ตลอดเวลานึกว่าเขาไม่รู้ตัวว่าโดนมองซะอีก

"มองไม่ได้เหรอครับ"
ผมถามเสียงอ่อย ไม่ยอมละสายตาจากใบหน้าขาวที่ดูอ่อนล้าเต็มที อยากจะชวนออกไปยืดเส้นยืดสายพักสมอง แต่ดูจากกองหนังสือแล้วคงทำแบบนั้นไม่ได้

พี่ทาวน์ขมวดคิ้วแน่นเมื่อฟังคำถามจบ เขาโน้มตัวมาใกล้ก่อนจะใช้นิ้วเรียวจิ้มลงที่หน้าผากของผมไม่แรงมากนัก การกระทำทั้งหมดทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ อีกคนรู้ตัวหรือเปล่าว่าให้ความหวังกันมากเหลือเกิน ถ้าบอกว่าล้อเล่นตอนนี้นายภาคินถอนตัวไม่ทันแล้วนะ

"โรคจิต"
คำสั้นๆ แต่สะเทือนไปทั้งร่าง สมแล้วที่เป็นพี่ทาวน์ พูดน้อยต่อยหนัก

"ยอมรับครับ"
ผมฉีกยิ้มกว้าง ถ้าหากการนั่งมองคนที่ตัวเองชอบคือโรคจิตก็ยอมรับสถานะด้วยความเต็มใจ

"ไปซื้อกาแฟให้หน่อยสิ"
พี่ทาวน์เปลี่ยนเรื่องกะทันหันแถมยังอ้าปากหาวต่อหน้า ท่าทางตอนนี้อย่างกับเด็กง่วงนอน ทั้งน่ารักทั้งน่าฟัดในเวลาเดี๋ยวกัน ผมอยากจะเป็นคนเดียวที่ได้เห็นเขาในมุมนี้ โคตรดีต่อใจ

"ได้ครับๆ เอาอะไรดี"
ผมตอบรับเสียงใสแล้วลุกขึ้นยืนด้วยท่วงท่ากระฉับกระเฉง นี่เป็นครั้งแรกที่พี่ทาวน์ออกปากขอร้องกัน จะว่าไปตอนนี้ก็เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ต้องถ่อสังขารไปซื้อกาแฟที่ร้านหน้ามหา'ลัยสินะ

"มอคค่าปั่น"

"รับทราบครับผม"

ผมรีบสตาร์ทฟีโน่คันเก่งตรงไปยังร้านกาแฟหน้ามหา'ลัยทันที ระหว่างทางโดนคนรู้จักทักทายตลอดแต่ผมก็ฉีกยิ้มให้กับทุกคนเพราะกำลังมีความสุข ต่างจากเวลาปกติที่จะทำหน้านิ่งมากกว่า

ผมยืนรอเกือบยี่สิบนาทีก็ได้สิ่งที่ต้องการ มอคค่าปั่นหนึ่ง ชาเขียวปั่นหนึ่ง จากนั้นก็รีบบึ่งรถกลับหอสมุด ทางเดินที่ทอดตัวยาวสู่ชั้นสี่เงียบสงบเพราะเวลานี้นักศึกษาทยอยกลับที่พักแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือ บรรยากาศช่วงใกล้สอบเป็นอะไรที่ดูน่าอึดอัดจริงๆ

ผมขมวดคิ้วเมื่อระยะสายตาไม่เจอคนที่ต้องการ พี่ทาวน์หายไปจากโต๊ะ หนังสือเล่มเดิมยังคงเปิดค้างเอาไว้ ไม่มีการเปลี่ยนหน้าคล้ายกับว่าเขาเดินออกไปทำอะไรสักอย่าง มือเรียววางแก้วน้ำลงก่อนจะเริ่มมองหาไปตามซอกตามมุม ไม่นานนักก็เจอเข้ากับร่างคุ้นตา

"พี่ทะ..."
ผมยั้งปากไว้ทันเมื่อเห็นอีกร่างที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน ผู้หญิงท่าทางคุ้นๆ ในความทรงจำกำลังวางมือลงบนหน้าอกของพี่ทาวน์อย่างอ้อยอิ่ง ใบหน้าหวานประดับด้วยรอยยิ้มกำลังมองอีกคนอย่างยั่วยวน  มุมอับของชั้นหนังสือเหรอ... โลเคชั่นดีนี่ เร้าใจสุดๆ

ผมหันหลังให้คนทั้งสองแล้วกลับมานั่งรอพี่ทาวน์ที่โต๊ะอย่างใจเย็น ปล่อยให้น้ำปั่นละลายไปช้าๆ โดยไม่แตะต้อง ภาพเมื่อครู่ถูกจินตนาการต่อยอดไปถึงไหนต่อไหน พยายามแล้วที่จะไม่คิด เพราะคนอย่างพี่ทาวน์คงไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ ส่วนไอ... ไม่รู้ว่าเธอนิสัยเป็นยังไง ไม่กล้าเอาความรู้สึกของตัวเองตัดสินหรอก

"มานานหรือยัง"
เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับแรงกดลงมาบนรอยสักที่ท้ายทอย ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะยืดหลังตรง คุยกันเสร็จแล้วเหรอ ทำอะไรกันไปบ้างหรือเปล่านะ

"ห๊ะ ครับ สักพักแล้ว"
ผมตอบเสียงตะกุกตะกักเพราะสมองยังคงสับสน ดวงตาคมเอาแต่มองมือของตัวเองที่ตั้งอยู่บนตัก ต้องทำตัวยังไงต่อหน้าเขาดี

"เป็นอะไร"
พี่ทาวน์หย่อนตัวลงนั่งที่เดิมแต่ไม่ได้เริ่มอ่านหนังสือต่อ เขาปิดมันแล้วเก็บใส่กระเป๋า ผมหลับตาลงก่อนจะผ่อนหายใจออก โกหกกลับไปคงดีกว่าถามสิ่งที่อยากรู้ เพราะนั่นคือเรื่องส่วนตัว

"เปล่าครับ"

"อย่าโกหก อยากรู้อะไรก็ถามมา
ทำไมต้องโดนต้อนจนมุมทุกที

"คือ... เมื่อกี้คุยกับไอเหรอ"
ผมถามเสียงแผ่วแล้วกลั้นใจเงยหน้ามองพี่ทาวน์ เขาพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย

"อืม เขาชวนไปกินข้าวเย็น"
ชวนไปกินข้าวเย็นต้องถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้นเลยเหรอ นึกว่าชวนไปกินตับซะอีก

"....."

"ปฏิเสธไปแล้ว"
เป็นคำตอบที่ทำให้ผมต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ มีสาวมาชวนกินข้าวแถมยังออกอาการอ่อยขนาดนั้น ปฏิเสธจริงๆ น่ะเหรอ

"ทำไมล่ะครับ"
ผมถามก่อนจะคว้าแก้วชาเขียวปั่นมาดูดตามพี่ทาวน์ รสชาติจืดชืด น้ำแข็งเริ่มละลาย ไม่อร่อยเลยว่ะ

"หมารออยู่"
พี่ทาวน์ตอบเสียงเรียบก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากเพียงเสียววินาทีแล้วกลับไปดูดมอคค่าปั่นแสนจืดจางนั่นต่อ

"ห๊ะ พี่กลับไปเลี้ยงหมาเหรอ"
ดวงตาคมเบิกกว้างเพราะไม่เคยคิดว่าพี่ทาวน์จะซื้อหมามาเลี้ยงหลังเลิกกับแฟน แบบนั้นมันเป็นการระลึกความหลังไม่ใช่หรือไง

"มึงไง"
เดี๋ยวนะ

"หา! หมายถึงผมเหรอ..."
ร้องด้วยความตกใจจนต้องรีบตะครุบปากตัวเองเมื่อโดนสายตานักศึกษาคนอื่นมองมา หัวใจเต้นรัวจนกลัวว่ามันจะล้มเหลวเอาตอนนี้ หมาของพี่ทาวน์เหรอ ยอมเป็นให้เลย!

"อืม"

"พี่ทาวน์แม่ง น่ารักว่ะ"
ผมสบถเสียงเบาแล้วเอาแต่มองใบหน้าขาวที่ตอนนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่ ถึงจะไม่กว้างนักแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ

นายภาคินได้มันมาแล้ว รอยยิ้มจริงๆ ของนายเมืองเหนือ โคตรรักเลย

"หึ ลุกขึ้นสิ หิวข้าวแล้ว"

"หมายความว่า..."

"หิวข้าว"

"ครับๆ ลุกเดี๋ยวนี้เลย"
ผมชอบวิธีชวนกินข้าวของพี่ทาวน์ว่ะ ถึงจะมึนแต่โคตรน่ารัก!

อยากสารภาพว่ากินก๋วยเตี๋ยวไปไม่รู้รสชาติอะไรเลย เพราะในตอนนั้นพี่ทาวน์ดูน่าอร่อยกว่าเยอะ แก้มแดงๆ ปากเจ่อๆ เพราะเผ็ด เหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นตามไรผมจนต้องเดือดร้อนมือเรียวคอยใช้ทิชชู่ซับออก บอกตามตรงว่าตกหลุมรักท่าทางเป็นธรรมชาตินั่นจนถอนตัวไม่ขึ้น

"ยิ้มหน้าบานเชียวนะมึง"
เสียงล้อเลียนดังจากคนที่เอาแต่ก้มกดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ เห็นจิณณ์จดจ่ออยู่แบบนั้นตั้งแต่ผมกลับเข้าห้องจนอาบน้ำเสร็จ ผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ คุยกับใครนักหนา สาวในสต็อกอีกเหรอ

"แน่นอน คนมีความสุข"
ผมตอบก่อนจะพยายามเหล่สายตามองหน้าจอโทรศัพท์ ทำไมชอบปรับตัวอักษรเป็นขนาดเล็กวะ เสือกไม่ถนัดเลย เซ็ง

"ได้พี่ทาวน์เป็นเมียแล้วหรือไง"
จิณณ์เงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาล้อเลียน ผมผงะถอยหลังเพราะไม่ทันตั้งตัว กำลังส่องได้ที่เลยแม่ง ตกใจหมด



ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 13 - P.2 (10/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 10-08-2017 09:24:03
"แค่เขาชวนไปกินข้าวด้วยก็บุญหัวแล้วไหม ถามมาได้"
ผมแสร้งทำน้ำเสียงหงุดหงิดเพื่อกลบอาการลนลานของตัวเองแล้วเบนสายตาไปดูรายการทีวีที่ถูกเปิดทิ้งไว้ เหลือบมองนาฬิกาติดผนังก่อนจะพบว่าเกือบสี่ทุ่มแล้ว ทำไมจิณณ์ยังไม่อาบน้ำ

"ฮ่า ล้อเล่นน่า"
มันหัวเราะแล้วละความสนใจไปจากผม มือเรียวเรียวพิมพ์ข้อความตอบกลับอีกครั้ง ลอบสังเกตจากใบหน้าของจิณณ์แล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ยิ้มอะไรของมัน...

"เล่นเกมอยู่หรือไง"
ถามลองเชิงก่อนจะเอนหัวซบไหล่มันอย่างเนียนๆ องศานี้เห็นชัดกว่ายืดคอเสือกเยอะ คุยกันนาทีต่อนาทีแบบนี้ กิ๊กชัวร์เลยว่ะ เพื่อนกูจะแดกแห้วอีกแล้วเหรอ

"เปล่า คุยกับไอ้ไธอะ"
คำตอบของจิณณ์ทำให้ผมสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะ เมื่อครู่หูเพี้ยนหรือเปล่านะ ได้ยินอะไรไทยๆ

"ใครนะ"
ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจแล้วก้มลงมองหน้าจอแชทของจิณณ์ สัด... หูไม่ได้ฝาดจริงๆ ด้วย

"ไอ้ไธไง เพื่อนมึงอะ"
ย้ำชัดเจนมากครับ เดี๋ยวนี้มันพัฒนาถึงขนาดคุยไลน์กันถี่ขนาดนี้เลยเหรอ ซุ่มเงียบสุดๆ ไอ้เพื่อนรัก!

"เดี๋ยวนี้มีคุยไลน์"
ผมเหล่มองพี่ชายแล้วผละตัวออกจากไหล่ของมัน แซวไปแบบนี้จะรู้ตัวบ้างไหมว่าผมต้องการบอกอะไรทางอ้อม

"เอ้า มันทักมากูก็ตอบ แปลกตรงไหน"
น้ำเสียงฉงนดังขึ้นทำให้ผมสรุปเอาเองว่าจิณณ์คงไม่รู้ตัวว่าโดนจีบ มันไม่คิดมากหรือไอ้ไธเนียนเกินไปวะ

"เหรอ แล้วคุยเรื่องอะไรกัน"

"สัพเพเหระว่ะ ไม่ได้เจาะจง"

"เดี๋ยวนี้ยังคุยกับสาวๆ ไหม"
อันนี้ผมถามเจาะจงว่ะ ขอโทษทีนะพี่ชาย

"โน เบื่อๆ ว่ะ สงสัยจะอิ่มตัว"
คำตอบมันชักทะแม่งๆ นะ คนเจ้าชู้บอกว่าเบื่อผู้หญิงเนี่ยนะ

"พูดอย่างกับตาแก่อายุแปดสิบ"

"มึงนี่ ปากหมาตลอด"
กูปากหมาก็ดีกว่าไอ้พวกไม่ระวังตัวเองนี่ล่ะ เขาจ้องจะกินมึงยังไม่รู้ตัวอีก ผมว่าไอ้ไธไม่ได้เนียนหรอก เพราะตามหลักความจริงแล้วคนที่เคยโดนเกลียดจะหาเรื่องมาคุยกับคนที่เคยตั้งแง่เกลียดตัวเองได้มากขนาดนี้เลยเหรอ ไม่มีทาง แสดงออกว่าอยากเข้ามาอยู่ในชีวิตแจ่มแจ้งขนาดนี้ ก็มีแต่คนอย่างจิณณ์นี่ล่ะที่ไม่รู้เรื่องอะไร

ผมปล่อยเรื่องของจิณณ์ให้จางหายไปจากความคิดเมื่อทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม มือเรียวควานหาโทรศัพท์เพราะคิดถึงใครบางคนที่เพิ่งแยกจากกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้จะทำอะไรอยู่นะ อาบน้ำ อ่านหนังสือ คุยไลน์ หรือเข้านอนไปแล้ว

Phakin
นอนหรือยังครับ

ข้อความไลน์ถูกส่งไปในเวลาเกือบๆ เที่ยงคืน ความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวเมื่ออีกฝ่ายไม่อ่านสักที สงสัยนอนไปแล้วแน่ๆ ดึกขนาดนี้ ก็มีแต่ผมนี่ล่ะที่ยังตาสว่างคิดถึงเขา เพ้อเจ้ออยู่คนเดียว

ผมกำลังจะกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์แต่ข้อความแจ้งเตือนจากคนที่เผลอคืดว่านอนไปแล้วกลับเด้งขึ้นมาให้หัวใจทำงานหนัก พี่ทาวน์ตอบกลับมาเว้ย!

Muangneua
ยัง กำลังอ่านหนังสือ

Phakin
อ๋อ พรุ่งนี้มีเรียนกี่โมงครับ

ผมรีบลนลานพิมพ์กลับไป มือไม้สั่นจนกดผิดกดถูกไปหลายรอบ ไม่เข้าใจว่าจะตื่นเต้นเพื่ออะไร... แต่รู้ว่าตัวเองดีใจมากเพราะยิ้มจนปากตึงหมดแล้ว

Muangneua
แปดโมง

พี่ทาวน์ตอบเร็วจนแทบคล้ายว่าเราคุยกันนาทีต่อนาที คงกำลังพักสมองก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือต่อล่ะมั้ง ถือว่าผมเป็นคนพิเศษหรือเปล่าถึงยอมเสียเวลาคุยด้วยแบบนี้

Phakin
อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ เดี๋ยวผมเอาไปฝากที่คณะ

เนื่องจากคิดอะไรไม่ออกเลยหาเรื่องชวนคุย อีกอย่างคืออยากเจอหน้าพี่ทาวน์ แต่น่าจะพลาดเพราะลืมไปว่าตัวเองทำอาหารไม่เก่ง โธ่เว้ย สมองมีไว้คั่นหูจริงๆ ไอ้เจ็ท!

Muangneua
ไม่เป็นไร หากินเองได้

เขาปฏิเสธมาอย่างชัดเจน แต่ผมมีความมุ่งมั่นนี่นา

Phakin
แต่ผมอยากทำให้กินนี่ครับ

Muangneua
ว่างนักหรือไง

Phakin
ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ทาวน์ ผมว่างเสมอนะ

ขอหยอดหน่อยแล้วกัน ถึงจะไม่รู้ว่าพี่ทาวน์จะมีปฏิกิริยาอะไรก็เถอะ

Muangneua
ข้าวต้มปลา

Phakin
โอเค พรุ่งนี้เจอกันครับ ตั้งใจอ่านหนังสือนะ

เหี้ย ต้องรีบไปหาคนช่วยสอนทำข้าวต้มปลาแล้วเว้ย!

"จิณณ์ ~"
ผมเปิดประตูห้องนอนแล้วเรียกหาจิณณ์ด้วยเสียงหวานๆ คนที่ยังนั่งตาสว่างดูหนังรอบดึกสะดุ้งเฮือกแล้วหันขวับมามองเขม็ง

"อะไร ทำเสียงน่าขนลุกฉิบหาย"
ปากว่าพร้อมด้วยท่าลูบแขนประกอบ ผมไม่สนท่าทางรังเกียจนั่นแล้วเดินไปกอดคอพี่ชายจากด้านหลังแล้วเอาหัวซุกไซร้แถวซอกคอ

"พรุ่งนี้ตื่นเช้าๆ หน่อยได้ปะ"

"กูเรียนบ่าย จะให้ตื่นเช้าทำไม"
จิณณ์ถามก่อนจะใช้มือผลักหัวผมออก ใบหน้าที่เหมือนกันบึ้งตึง บ่งบอกให้รู้ว่ากำลังรำคาญและถูกรบกวนการดูซีรี่ย์แนวฆาตกรรมเรื่องโปรด แม่ง โรคจิตว่ะ

"สอนทำข้าวต้มปลาหน่อย"
ผมบอกเสียงอ้อนแล้วยอมผละตัวออกห่าง จิณณ์ขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มผมซะยืด เจ็บแต่ก็ยอม ถ้าได้ในสิ่งที่ต้องการ

"คึกอะไรของมึง"
หน้าตาจิณณ์ตอนนี้บ่งบอกว่าหมั่นไส้และสงสัยในความขยันของผมเหลือเกิน จริงๆ ช่วงนี้ก็ไม่กระตือรือร้นทำอาหารมาสักพักแล้ว... ก็มันขี้เกียจ แต่ตอนนี้ขยันนะ

"พี่ทาวน์อยากกิน"
ผมตอบพร้อมกับฉีกยิ้มกว่า จิณณ์เบ้ปากใส่แล้วผละมือออกจากแก้มก่อนจะเอาหัวทุยๆ มาชนหน้าอกกัน ทำตัวอย่างกับกระทิง!

"โอย น้องกู โคตรลงทุน"
จิณณ์หมุนตัวมาล็อกคอกันแล้วดึงผมปักหัวลงบนโซฟาก่อนจะใช้มือขยำตามลำตัวด้วยความมันเขี้ยว ทำบ้าอะไรของมันเนี่ย มึนเว้ย!

ผมตะเกียกตะกายลุกขึ้นด้วยอาการห้องหมุน รู้สึกพะอืดพะอมจนต้องทิ้งร่างแผ่ลงบนโซฟาแล้วเอาหัวหนุนตักจิณณ์ อ้วกจะแตก ถ้าก๋วยเตี๋ยวขย้อนออกมานะ เห็นดีกันแน่

"ก็คนมันรัก จะให้ทำไง"
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วใช้หมัดต่อยเสยคางจิณณ์ไม่แรงมากนักเป็นการเอาคืน แต่มันไม่ได้ว่าอะไรกลับยิ้มให้อีกต่างหาก

"เออๆ จะตื่นมาสอนก็ได้ นี่เพราะรักมึงนะ อยากให้น้องมีเมียไวๆ"

"รักมึงเหมือนกัน" อยากให้พี่มีผัวไวๆ เช่นกัน หึหึ


------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 13 - P.2 (10/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 10-08-2017 19:36:47
เจ็ทลงทุนมากกกก  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 13 - P.2 (10/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 10-08-2017 22:21:12
เราไม่ชอบคนที่ให้ความหวังคนอื่นเลย อย่างที่ทาวทำ เหมือนเล่นสนุกกับความรู้สึกเจ็ทมากกว่า ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ก็ทำให้มันจบๆ ซะสิ จะยื้อเพื่อ? เหอๆ อินไปหน่อยโทษที ถ้าจะขอตัวกระตุ้นบ้างได้ไหม เอาดีๆ ไม่แพ้ทาวเลย เราสงสารเจ็ทอ่ะ // ขอบคุณค้าบบบ สนุกมากติดตามน้าาา
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 13 - P.2 (10/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 13-08-2017 14:24:21
ชอบอ่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 13 - P.2 (10/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 14-08-2017 10:47:06
 :impress2:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 14 - P.2 (16/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-08-2017 14:02:31
แข่งครั้งที่ 14




ตีห้าครึ่งไม่ใช่เวลาปกติที่ผมจะตื่นนอนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่วันนี้มีภารกิจสำคัญต้องทำอย่างเช่น 'ข้าวต้มปลา' จิณณ์กำลังพูดถึงวิธีทำพร้อมกลับส่งทัพพีให้คนข้าวในหม้อไปด้วย เพราะกลัวจะติดก้น

"จะกินได้ปะวะ"
ผมถามอย่างกังวลแล้วมองควันสีขาวฟุ้งในอากาศ กลิ่นหอมชวนน้ำลายหก รสชาติก็ถือว่าดี เนื้อปลาไร้กลิ่นคาว แต่ไม่มั่นใจเลยว่ะ

"กินได้ดิ อร่อยแล้ว กังวลเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย"
จิณณ์ที่กำลังซอยขิง ต้นหอมและผักชีชะงักมือแล้วมองด้วยความฉงน ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วปิดเตาแก๊สลงเมื่อคิดว่ามันคงได้ที่แล้ว

"กลัวไม่ถูกปากพี่ทาวน์"
เสียงอ่อยๆ ดังขึ้น ดวงตาคมก้มลงมองหม้อข้าวต้มฝีมือตัวเองอีกครั้ง ถึงมันจะอร่อยในความคิดของเรา แต่กับอีกคนอาจจะแย่ก็ได้ จริงไหม แล้วทำไมต้องคิดมากขนาดนี้ด้วยวะ

"แคร์เขาม๊าก"
จิณณ์เบ้ปากใส่แล้วเอามือที่ติดกลิ่นฉุนของผักมาป้ายใต้จมูก ผมผงะถอยหลังแล้วถลึงตาใส่อย่างโกรธๆ เหม็นฉิบหาย

"เออสิ"
ผมกระแทกเสียงแล้วเมินฝาแฝดตัวเองก่อนจะเปิดตู้บิวท์อินบนหัวเพื่อหากล่องทัปเปอร์แวร์ใส่ข้าวต้มปลา ต้องเอาไปฝากพี่แฮมกับพี่ฟาด้วย จะได้ไม่น่าเกลียด

"จริงจังเหี้ยๆ"
จิณณ์ยังไม่วายจิกกัดและไม่ยอมซอยผักต่อ มึงก็จริงจังกับเรื่องชาวบ้านเหมือนกันล่ะวะ พี่ใครเนี่ยโคตรขี้เสือกเลย

"รักจริงหวังแต่ง"
ผมตอบกลับไปด้วยความหมั่นไส้ จิณณ์ถึงกำสำลักอากาศอย่างหนัก ไม่เข้าใจว่าตัวเองพูดอะไรผิดตรงไหน ก็เดี๋ยวนี้เพศเดียวกะนสามารถแต่งงานจดทะเบียนได้นี่หว่า แค่มีลูกไม่ได้เท่านั้นเอง

"โอย เลี่ยน ไม่คุยกับมึงแล้ว ตักใส่กล่องเหอะ เดี๋ยวไปสาย"
มันโบกมือไล่ให้ผมทำหน้าที่ตัวเองก่อนจะโกยผักซอยบนเขียงใส่ถุงเรียบร้อย ให้ความร่วมมือดีทั้งที่บ่นตั้งแต่ตื่นนอน แบบนี้เขาเรียกซึนเดเระหรือเปล่าวะ เห็นไอ้ตังค์ใช้คำนี้บ่อยเมื่อเจอคนปากอย่างใจอย่าง

ผมแขวนถุงใส่ทัปเปอร์แวร์แล้วรีบออกรถทันทีเมื่อนาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงครึ่ง บนถนนสายหลักจราจรเริ่มติดขัด กว่าจะถึงคณะแพทย์ก็ต้องวิ่งกระหืดกระหอบหาคนที่ต้องการพบ จนสายตาปะทะเข้ากับแผ่นหลังที่คุ้นเคยเลยตะโกนเรียกแบบไม่อายใคร

"พี่ทาวน์!"
ทุกชีวิตที่อยู่ใต้ตึกคณะหันมามองผมเป็นตาเดียว ยกเว้นเจ้าของชื่อที่ทำเพียงแค่ชะงักเท้าเท่านั้น เป็นพี่ฟาที่ทักทายขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

"เฮ้ย ไอ้น้องเจ็ท หอบอะไรมาเยอะแยะวะ มาๆ เดี๋ยวช่วยถือ"
พี่ฟาเดินเข้ามาใกล้ในขณะที่ผมส่ายหน้าเป็นพัลวัน ของแค่นี้ไม่หนักหนาหรอก จะให้คนตัวเล็กมาช่วยถือมันก็ดูแปลกๆ

"ข้าวต้มปลาครับ เอามาฝากพี่ทาวน์แล้วก็พี่ฟากับพี่แฮมด้วย"
ผมแจกแจงรายละเอียดก่อนที่จะเห็นมือพี่ทาวน์ยื่นมารับของฝากไป ใบหน้าของเขาช่างเฉยเมยและเย็นชาเหลือเกิน ไม่อยากกินหรือเปล่าวะ

"หูย ลงทุนว่ะๆ ใจอ่อนกับน้องมันหรือยัง"
พี่ฟาพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วกระแซะไหล่ใส่คนข้างตัว ผมเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเขาแล้วแทบหยุดหายใจ ทำไมดวงตารีถึงได้มองดุแบบนั้น เพราะโดนแซวเหรอ

"ยาก"
คำตอบสั้นๆ มาพร้อมกับตาที่เหลือบมองเพียงแค่ครู่เดียวนั้นทำให้ผมถึงกับต้องกลั้นใจ ที่ผ่านมายังพยายามไม่พอสินะ พี่ทาวน์ถึงไม่มีอาการหวั่นไหวใดๆ เลย

"โหย ใจร้ายว่ะ น้องออกจะน่ารัก"
พี่ฟาบ่นเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะเปลี่ยนมายืนข้างผมแล้วเอื้อมมือแตะบ่ากันเบาๆ ราวปลอบใจ ส่วนพี่แฮมเคี้ยวแซนวิชเต็มปากไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้น

"น่ารักมึงก็ชอบน้องเองสิ"
คำพูดต่อมายิ่งทำให้ผมสะเทือนใจ ริมฝีปากหยักเม้มเจ้าหากันจนแน่น หัวใจเริ่มปวดหน่วงจนอยากจะร้องไห้ บอกว่าไม่ชอบกันยังดีกว่าผลักไสให้คนอื่นต่อหน้าต่อตาแบบนี้ ไม่รู้แค่แหย่เล่นหรือจริงจัง คนอย่างพี่ทาวน์นี่เดายากจริงๆ

"น้องจีบมึง ไม่ได้จีบกูสักหน่อย"
พี่ฟาบ่นเสียงเบาแล้วโดนสายตาดุๆ ของพี่ทาวน์มองมาเลยไม่พูดต่อและกลับไปที่เดิมปล่อยให้ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ควรเดินออกไปหรือชวนคุยต่อดี ทำเป็นลืมสิ่งที่ได้ยินมื่อครู่ไปซะ

"ขอบใจที่เอามาให้"
เสียงเนิบนาบดังขึ้นขัดความคิดของผมจนหมดสิ้น ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าขาวใสที่มีรอยยิ้มบางส่งมาให้ก็พลันลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ยินก่อนหน้านี้ไปจริงๆ

"ครับ กินแล้วก็ช่วยติชมกันด้วยนะครับ ครั้งหน้าจะได้พัฒนาฝีมือ"
ผมคลี่ยิ้มหลังจบประโยคหวังให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ารู้ถึงจุดประสงค์แอบแฝง ดูเหมือนเขาจะเข้าใจในทันทีเพราะได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอ

"หึ จะจีบกูด้วยของกินหรือไง"
คำถามมาพร้อมการยักคิ้วกวนก่อนที่เขาจะยกถุงทัปเปอร์แวร์ขึ้นมองในระดับสายตา สงสัยกำลังประเมินว่าข้าวต้มปลาจะกินได้หรือเปล่า ถ้ามองเลยพี่ทาวน์ไปสักนิดจะเห็นคนรักการกินอย่างนายหมูแฮมพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย พี่คงหมายถึงอาหารที่จะถูกเอามาฝากในอนาคตใช่ไหม...

"ไม่ได้เหรอ"
ผมถามเสียงอ้อน ไม่รู้หรอกว่าจะได้ผลหรือเปล่าแต่ยอมเสี่ยงเพื่อเอาตัวเองไปอยู่ในสายตาเขาทุกวัน เคยอ่านเจอทฤษฎีหนึ่งที่ว่าความใกล้ชิดทำให้เกิดความชอบพอ ต้องขยันทำคะแนนแข่งกับพวกสาวๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้แดกแห้วทั้งสวนแน่

"ตามใจ กูไปล่ะ"
พี่ทาวน์ตอบก่อนจะลากเพื่อนสนิททั้งสองคนเดินขึ้นบันไดไป คำตอบของเขายังคงไม่ชัดเจนเหมือนเดิม เดาไม่ได้เลยว่าเขาเต็มใจหรือเปล่าที่จะได้รับความหวังดีจากผม

วิชาเรียนผ่านไปอย่างเชื่องช้า วันนี้ไอ้ฟาร์มลาป่วยเลยกะว่าตอนเที่ยงจะไปเยี่ยมมันที่บ้าน ถ้าได้ลากพี่ฟาไปด้วยมันคงหายเป็นปลิดทิ้งหรือไม่แน่คงออกอาการหนักกว่าเดิมเพื่ออ้อน แต่ผมจะเอาอะไรไปอ้างพาเขาไป ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

ช่วงพักสิบห้านาทีก่อนผจญภัยงานเขียนแบบต่อนั้น ต่างคนต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น หน้าจอสี่เหลี่ยมปรากฏแจ้งเตือนจากไอจีเลยกดเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็พี่ทาวน์เป็นคนแท็กรูปมา

Muangneua_t มีเด็กเอามาฝาก อร่อยดี

รูปกล่องทัปเปอร์แวร์เปิดฝาโชว์ข้าวต้มปลาที่โรยผักเรียบร้อยดูหน้าตาน่ากินโผล่ขึ้นมาต่อสายตา ผมอ่านแคปชั่นแล้วได้แต่ยิ้มกริ่ม รสชาติถูกปากพี่ทาวน์ทำให้มีแรงฮึดสู้จะทำเมนูต่อไป คงต้องลุกขึ้นมาเรียนการทำอาหารอย่างจริงจังเพื่อเอาเสน่ห์ปลายจวักมัดใจเขา (นี่คือวิธีการสู้กับผู้หญิงพวกนั้นเหรอ)

ผมเลื่อนสายตาเพื่ออ่านคอมเม้นท์มากมายด้านล่างด้วยหัวใจที่เต้นแรง อยากรู้ว่าคนรอบตัวของเขามีความคิดเห็นอะไรกับเรื่องนี้บ้าง ออกตัวจีบแรงขนาดนี้จะมีคนรู้เรื่องหรือเปล่านะ

Catty.s เด็กคณะไหนเอ่ย ~ อยากรู้จัง

สถาปัตย์ครับ

Mr.Fafar มีลงไอจี ฮิ้ววว

อย่าแซวดิพี่

Ham_master เออ อร่อยจริง เสน่ห์ปลายจวักให้ผ่าน

โอย ขอบคุณมากครับพี่แฮม

RU.Sexyboys อุ๊ย เด็ก'ถาปัตย์หรือเปล่า เมื่อเช้าเห็นเดินออกมาจากคณะแพทย์

ผมเองล่ะครับแอดมิน จำแม่นจัง

Thamthai.t พี่ทาวน์... กล่องข้าวหน้าตาคุ้นๆ ว่ะ ของเพื่อนผมปะ

ไอ้นี่ก็เกินไป กล่องทัปเปอร์แวร์นั่นก็หน้าตาเหมือนๆ กันเป็นล้าน


Minta_Ai อยากให้พี่ทาวน์ป้อนจัง

ออกตัวแรงจังว่ะ พอกดเข้าไปดูไอจีของเธอก็พบว่าเป็นไอที่ชอบมาอ่อยพี่ทาวน์ แม่ง คิ้วกระตุกเลยกู ผมต้องเอาคืนบ้าง

Phakin_jet ถ้าอร่อย ก็ใช้บริการบ่อยๆ นะครับ ยินดี ^^

ผมกดส่งไปแล้วกดล็อกหน้าจอเพื่อเก็บโทรศัพท์เพราะนักศึกษาเริ่มทยอยกลับเข้ามาในห้องและอาจารย์กำลังฉายสไลด์ต่อ แต่ต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์มีแรงสั่นเกิดขึ้น

Muangneua_t @Phakin_jet อืม พรุ่งนี้ขอไข่กวนกับขนมปังปิ้งแล้วกัน

มิชชั่นคอมพลีส!

"ยิ้มหน้าบานเกินไปแล้วมึง"
เสียงแซวดังมาจากคนข้างตัวที่กำลังนั่งจ้องมาที่ผมด้วยสายตาล้อเลียน ในมือของมันมีดินสอที่หมุนไปมา ทำตัวเท่จนน่าหมั่นไส้เนอะคนเรา

"อย่าอิจฉาครับคุณไธ"
ผมพูดเสียงร่าเริงก่อนจะยักคิ้วกวน รู้อยู่แก่ใจว่าโดนไอ้ไธล้อเรื่องอะไร เพราะเมื่อครู่มันก็เข้าไอจีเหมือนๆ กัน สงสัยคงตั้งใจส่องจิณณ์ รายนั้นชอบอัพเดทเรื่องราวชีวิตของตัวเองผ่านรูปภาพจะตายไป

"กูไม่ได้อิจฉา แต่มึงดูเหมือนคนบ้า"
ไอ้ไธเอาดินสอจิ้มลงบนแขนกันด้วยความเบื่อหน่าย สายตาที่ส่งมาบ่งบอกว่าไม่ได้อิจฉาอย่างที่ปากบอกจริงๆ

"ปล่อยๆ กูบ้างเหอะน่า"

"เออๆ"

"แล้วมึงกับจิณณ์เป็นยังไงบ้าง เห็นมีคุยลงคุยไลน์"
ได้ทีก็หยิบเรื่องจิณณ์มาพูดเพราะสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในปัจจุบัน ดูจะเข้ากันในฐานะเพื่อนใหม่ได้ดี แต่ไม่ก้าวหน้าในเรื่องของความรักเลยจนน่าเป็นห่วง

"ก็คุยเรื่องทั่วไป"
มันตอบแบบไม่ใส่ใจแล้วหันไปสนใจสไลด์เนื้อหาที่อาจารย์กำลังอธิบาย ผมสังเกตท่าทางของเพื่อนแล้วได้แต่หงุดหงิด คุยเรื่องทั่วไปทุกวี่ทุกวันก็เท่ากับเนียนปะวะ

"เนียนนะมึง"
ผมแซวพี้อมกับเหล่มอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้เกินคาดไปเพราะไอ้ไธหันมาถลึงตาใส่กัน มือที่จับดินสอขีดเขียนแทนปากกาหยุดชะงัก

"เปล่าเลย กูไม่ได้เนียนเชี่ยไรทั้งนั้นล่ะ"
น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังแล้วให้ความรู้สึกหน่วงๆ ในหัวใจ ถึงมันจะหยาบแต่แฝงไปด้วยความเศร้า

"อ้าว มึงไม่ได้กำลังเนียนจีบจิณณ์เหรอวะ"
ผมขมวดคิ้วมอง ตอนนี้เหมือนเราทั้งสองคนไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอของกันและกันเลย ไม่รู้ว่าไอ้ไธคนเก่าที่กล้าหาญสำหรับทุกเรื่องหายไปไหน เพราะอีกฝ่ายเป็นจิณณ์ที่แอบชอบมานานอย่างนั้นเหรอ

"จะให้จีบยังไงวะ อยู่ๆ บอกจิณณ์ว่าชอบงี้เหรอ กูไม่โดนถีบหรือไง"
ไอ้ไธถอนหายใจปิดท้ายประโยคแล้วเลื่อนมือไปนวดขมับตัวเองคล้ายกับคนหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ ผมมองเพื่อนอย่างเข้าใจ ใครๆ ก็กลัวความเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น

"ก็บอกแล้วว่าต้องลองเสี่ยงดู ถ้าช้ามึงอาจจะแดกแห้วอีกรอบนะ"
ผมบอกไอ้ไธไปแบบนั้นเพราะอยากให้ลองเสี่ยง ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไปอาจจะแย่ เพราะไม่มีครั้งไหนที่จิณณ์ออกปากว่าเบื่อความรักและพวกผู้หญิงเลย มันเป็นนาทีทองที่ควรไขว่คว้าไว้

"อย่าไซโคดิวะ กูยิ่งเครียดๆ อยู่"

"เปล่าเลย กูพูดความจริงทั้งนั้น"

"เออๆ เย็นนี้กูจะคุยกับจิณณ์"
สุดท้ายมันก็แพ้แรงยุยงของผมเข้าจนได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะรีบร้อนขนาดนี้!

"เยี่ยมยอด ต้องแบบนี้สิวะเพื่อน"

เที่ยงวันที่ต้องลงกันอย่างดิบดีว่าจะไปเยี่ยมไอ้ฟาร์มกลับต้องล้มเลิกเมื่อคนอย่างเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มโดนแซว

"ไอ้เด็กโอตาคุนี่หว่า"
คนหนึ่งในกลุ่มเด็กวิศวะที่พากันมากินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารศิลปกรรมเอ่ยขึ้น ผมหันขวับไปมองทางนั้นแล้วได้เจอกับใบหน้าที่คุ้นเคยของคนรู้จัก ไอ้เอยนี่หว่า  ทำไมวันนี้มันทิ้งจิณณ์มาที่นี่วะ

"เออ วันนี้มากับใครวะ หน้าคล้ายๆ ไอ้จิณณ์เลย"
อีกคนหนึ่งพูดสันนิษฐานคล้ายกับว่ากำลังนินทาอยู่ไกลๆ แต่เปล่าเลย ผมยืนอยู่ตรงหน้ามันเนี่ย สัด

"อ้าว ไอ้เจ็ท มึงเป็นเพื่อนไอ้เนิร์ดนี่เหรอ"
ไอ้เอยเงยหน้าขึ้นทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสแต่ขมวดคิ้วมองคนข้างๆ ตัวของผม ไอ้ตังค์เบียดจนแทบจะสิงร่างกันอยู่แล้ว กลัวอะไรขนาดนั้นวะ

"เออ มีอะไรกับไอ้ตังค์หรือเปล่า"
ถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วกวาดตามองบรรดาเด็กวิศวะสายเถื่อนตรงหน้า ดูพวกมันจะแปลกใจเรื่องหน้าตาของผมมากกว่าจะสนใจไอ้ตังค์อย่างก่อนหน้านี้ สงสัยจิณณ์ไม่เคยเล่าว่าตัวเองมีฝาแฝดชัวร์ๆ ตลกดี แต่ละคนทำหน้าอย่างกับเจอผี

"ดูๆ เพื่อนมึงหน่อยนะ ติดการ์ตูนเข้าขั้นโคม่าจนเดินชนคนอื่นไปทั่ว"
ไอ้เอยพูดพร้อมกับเหล่มองคนที่เอาผมเป็นเกาะกำบัง สายตาไม่ได้ต่อว่าแต่มันกรุ้มกริ่มแปลกๆ ถ้าไม่เคยรู้จักมันมาก่อนจะคิดว่าแอบพิศวาสไอ้ตังค์

"หืม เดินชนมึงเหรอ"
ผมถามก่อนจะมองไอ้เอยสลับกับเพื่อนตัวเองที่เอาแต่มุดแผ่นหลังราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์ร้ายที่จ้องทำร้าย เกิดอะไรขึ้นมากกว่านี้แน่ๆ ค่อยไปซักฟอกมันทีหลังแล้วกัน

"ชนกูก็ดีสิ นี่แม่งไปเดินชนพี่ปีสามที่คณะ ไม่โดยกระทืบตายก็บุญหัวแล้ว"

"ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเหรอตังค์"
ผมหันไปพูดกับเด็กที่ตอนนี้ถือว่าอยู่ในปกครอง เจ้าตัวไม่มีเถียงสักแอะซึ่งผิดวิสัยของไอ้ตังค์มาก โดยปกติแล้วมันไม่ชอบให้ใครมาว่าเรื่องที่ติดการ์ตูนงอมแงมแบบนี้ เพื่อนสนิทอย่างเราๆ ยังโดนตอกกลับด้วยคำพูดเจ็บแสบ แล้วไอ้เอยมันดีเด่มาจากไหนวะ หรือเพราะหน้าเถื่อน อาจจะใช่

"ไม่มีครับคุณเจ็ท"
ไม่เถียงก็ว่าแปลกแล้ว แต่ทำเสียงอ่อยกับท่าทางหวาดกลัวคืออะไร ผมอยากถามซะตรงนี้ว่าระหว่างสองคนเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเจอสายตาอ้อนวอนของตังค์เลยทำให้เปลี่ยนใจแล้วเก็บงำความอยากรู้เอาไว้ ถ้าเค้นจากมันแล้วไม่ตอบก็มีไอ้ฟาร์มที่นอนเป็นผักเปื่อยอยู่ในเหตุการณ์อีกคน

"เออ ไว้กูจะเตือนมันเอง แล้วนี่จิณณ์ไปไหน"
ผมเปลี่ยนเรื่องที่คุยอย่างแนบเนียนแล้วยืนรอคำตอบจากไอ้เอยนิ่งๆ เด็กวิศวะคนอื่นยังนินทาในระยะเผาขนว่า 'ไอนี่เป็นพี่น้องกับจิณณ์หรือเปล่าวะ' หรือ 'มันเป็นแค่คนหน้าเหมือน ที่เหมือนเหี้ยๆ' เกือบจะตอบไปแล้วว่าเนื้อคู่มั่งด้วยความหมั่นไส้ อยากรู้ทำไมไม่ถามตรงๆ วะ เห็นกูเป็นอากาศธาตุเหรอ น่ารำคาญฉิบหาย

"อ้อ ไอ้จิณณ์ไปกับเด็กในสต็อกมันนั่นล่ะ"
เอยตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ตังค์ ผมว่าชักทะแม่งๆ แล้วนะ สองคนนี้มีซัมติงชัวร์ โอยแม่ง คันปากเว้ย เดินออกไปจากตรงนี้ได้เมื่อไหร่จะถามทุกอย่างที่อยากรู้เลย

แต่เมื่อครู่ไอ้เอยบอกว่าอะไรนะ... จิณณ์ไปกับเด็กในสต็อกอย่างนี้นเหรอ ก็ไหนง่าเลิกคุยกับผู้หญิงพวกนั้นแล้วไง ผมขมวดคิ้วด้วยความฉงนกะจะถามเจาะลึกกว่านั้นว่าเป็นใครแต่หางตาเห็นใบหน้าของไอ้ไธไม่สู้ดีเลยคิดว่าจบแค่นี้จะดีกว่า

"เหรอ เออๆ ไว้ค่อยคุยกัน กูไปเรียนต่อแล้ว"
ผมโบกมือลาไอ้เอยก่อนจะลากเพื่อนสนิทออกมาจากสถานการณ์น่าอึดอัด ไอ้ไธเดินจ้ำอ้าวน้ำทุกคนไปที่อาคารเรียนรวมเพื่อเจอมรสุมวิชาภาคบ่าย ส่วนไอ้ตังค์เป็นมนุษย์ที่ไม่ชอบความเร่งรีบเลยเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ

อากาศตอนนี้อึมครึมคล้ายฝนจะตกคงเหมือนจิตใจของใครบางคนที่ไม่สดใจ

"ตังค์"
ผมเรียกชื่อคนที่เดินข้างกันเมื่อรู้สึกว่าระหว่างเราความเงียบมีอิทธิพลมากเกินไป ตังค์สะดุ้งแล้วปรายสายตามองเป็นเชิงถามว่ามีอะไร เชื่อว่าในใจลึกๆ มันคงภาวนาไม่ให้ถามเกี่ยวกับเรื่องไอ้เอย แต่ขอโทษเถอะเพราะกูอยากรู้

"มึงกลัวไอ้เอยเหรอ"
ผมถามตรงประเด็นโดยที่ลอบสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับของตังค์ด้วยหางตา คนโดนถามถึงกลับชะงักเท้าไปหนึ่งจังหวะก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ

"เปล่าครับคุณเจ็ท"

"กูไม่เชื่อ ท่าทางเมื่อกี้มันฟ้อง"

"คุณเจ็ท... อย่าถามอะไรผมเรื่องนี้เลยนะ"
ตังค์หลบสายตาก่อนจะเร่งความเร็วของฝีเท้าเพื่อหนีกัน แต่อย่าหวังว่าคนอย่างผมจะยอม สงสัยจนหัวแทบระเบิดอยู่แล้ว นิสัยมันเปลี่ยนไปจนน่ากลัว จากที่เคยติดการ์ตูนทุกช่วงเวลากลับหยุดดูเหมือนมีใครมาปิดสวิซต์ความคลั่งไคล้

"ทำไมวะ ไอ้เอยทำร้ายมึงเหรอ"
ผมก้าวยาวๆ ไปคว้าข้อมือของมันเอาไว้ให้หยุดเดิน ตังค์สะดุ้งและสะบัดตัวทันทีเมื่อโดนสัมผัส ไหล่บางกำลังสั่นเหมือนคนกำลังจะร้องไห้

"ปะ เปล่าครับ"
น้ำเสียงขาดห้วงของคนที่ยืนหันหลังให้ทำให้ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะงัดท่าไม้ตายออกมาใช้

"ตังค์... จะเล่าเองหรือจะให้กูไปถามเอาจากไอ้ฟาร์ม"
ผมพูดเสียงนิ่งแล้วเอื้อมมือไปบีบไหล่ตังค์เป็นการกดดัน ถ้าไม่เป็นห่วงจะไม่ถามหรือคาดคั้นสักคำ แต่เพราะเป็นเพื่อนเลยอยากช่วยแก้ปัญหา อยากเป็นที่ปรึกษาให้

"คุณเจ็ท..."
ตังค์หันมามองด้วยแววตาสั่นไหว ปากบางเม้มเข้าหากันเหมือนไม่อยากเล่าอะไรออกมา แต่เชื่อเถอะว่าสุดท้ายแล้วมันก็แพ้

"เล่ามา"

ตังค์บอกว่าวันนั้นเดินไปที่ลานจอดรถอาคารเรียนรวมพร้อมกับไอ้ฟาร์ม ด้วยความที่ไม่ได้สนใจทางเพราะมันแต่ก้มดูการ์ตูนเลยทำให้เดินชนกับรุ่นพี่ปีสามคณะวิศวะ ฝ่ายนั้นดูโกรธมากเพราะโทรศัพท์มือถือหล่นพื้น

เขากระชากคอเสื้อไอ้เนิร์ดแล้วง้างหมัดต่อยโดยไม่พูดจา แต่ไอ้ฟาร์มกลับขัดขวาง เรื่องราวเลยเริ่มบานปลายเมื่อฝ่ายรุ่นพี่หาว่าพวกมันลามปาม ก่อนที่จะโดนกระทืบไอ้เอยก็เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยให้ จนรอดปลอดภัยออกมาทั้งสามคน

เหตุการณ์ระทึกกว่าเกิดขึ้นตอนที่ไอ้ตังค์โดนเอยขอให้ไปส่งที่คณะเป็นการตอบแทน มันเสือกไปสะดุดก้อนหินในลานเกียร์เข้าให้เดือดร้อนคนตัวโตกว่าต้องรีบถลาเข้าไปประคอง แต่ไม่รู้ทำอีท่าไหนปากถึงประกบกัน...

จูบแรกของไอ้เด็กเนิร์ดเสียไปด้วยความไม่ตั้งใจกับผู้ชายที่มีพันธะแล้ว ควรสงสารหรือสมน้ำหน้าในความซุ่มซ่ามดีเนี่ย แล้วไอ้นิสัยที่ติดการ์ตูนหายไปเพราะโดนเอยขู่ว่าถ้าเจอกันแล้วเอาแต่ก้มหน้าดูอะไรแบบนั้นอีก จะจับจูบให้ปากเปื่อย... มันโคตรร้ายครับหัวหน้า!

จบเรื่องของไอ้ตังค์ผมก็ต้องกุมขมับเรื่องไอ้ไธต่อ ตั้งแต่เข้าเรียนจนมาถึงตอนนี้ ราวๆ สองชั่วโมงได้ มันไม่หือไม่อือ ไม่ทำแม้แต่หยิบปากกาออกมาจดเล็คเชอร์ตามแบบฉบับคนขยัน เอาแต่นั่งเหม่อมองไปด้านหน้า โบกมือก็แล้ว แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ก็แล้ว ไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาเลย หรือวิญญาณหลุดออกจากร่างเพราะตรอมใจเรื่องจิณณ์... บ้าน่า

"ไธ... มึงเป็นส้วมหรือไง"
ผมตัดสินใจชวนมันคุยด้วยประโยคคำถามแปลกๆ ซึ่งมันก็ได้ผลดีเพราะเจ้าของชื่อหันขวับมามองกันด้วยดวงตาขวาง เปรียบเทียบกับส้วมแค่นี้จำเป็นต้องเกรี้ยวกราดใส่ด้วยเหรอวะ

"ส้วมเชี่ยอะไรของมึง"
ดีกรีของการด่ามีความแรงไม่มาก มาแค่เชี่ยไม่ใช่เหี้ย...

"ก็มึงนั่งซึมมาเป็นชั่วโมงแล้ว"

"จะให้กูยิ้มหน้าบานเหรอวะ"
ถ้ามึงยิ้มได้กูคงโทรให้รถพยาบาลมารับไปตรวจแล้วล่ะ เพราะพอจะรู้ว่าไอ้ไธหมายถึงเรื่องอะไร

"ไอ้เอยอาจจะพูดเล่นก็ได้ มึงอย่าคิดมาก"
ผมแค่ตั้งขอสันนิษฐานเพื่อให้เพื่อนสบายใจ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วไอ้เอยพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นรู้นิสัย

"นั่นเพื่อนสนิทของจิณณ์ไม่ใช่หรือไง"
มันถามด้วยน้ำเสียงตึง ดวงตาฉายแววปวดร้าวจนผมต้องเอื้อมมือไปวางบนหัวทุยแล้วออกแรงลูบช้าๆ เป็นการปลอบประโลม รู้สึกจิตใจพวกเรานี่สามวันดีสี่วันไข้จริงๆ เลยว่ะ

"ก็ใช่ แต่มึงจะฟังความข้างเดียวเหรอ"

"กู... ไม่อยากหวังอะไรเลยว่ะเจ็ท"

"งั้นมึงอยู่เฉยๆ กูจะถามจิณณ์เรื่องนี้เอง"
ผมตัดบทแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากเข้าไลน์แล้วพิมพ์ข้อความรัวๆ ส่งไปให้จิณณ์ โดยมีสายตาของไอ้ไธจับจ้องอยู่ตลอดเวลา

Phakin : กูเจอไอ้เอยที่โรงอาหารคณะ แต่ไม่เจอมึง แอบหนีไปไหนวะ

ผมเปิดหน้าแชทค้างไว้เพราะเดาได้ส่าอีกไม่เกินห้านาทีคนอย่างจิณณ์คงตอบกลับมา ก็ช่วงนี้เห็นติดโทรศัพท์อย่างกับอะไรดี แต่สาเหตุนั้นไม่ทราบแน่ชัด

Phokin : เมื่อเที่ยงอะเหรอ กูออกไปกินข้าวกับพี่ญี่ปุ่นมา

ผ่านไปแค่หนึ่งนาทีก็มีข้อความตอบกลับเด้งขึ้นมาให้ผมได้อ่านและเริ่มพิมพ์ถามต่อด้วยความสงสัย พี่ญี่ปุ่นนี่ใครวะ ไม่คุ้นชื่อ เพราะโดยปกติแล้วจิณณ์จะบอกชื่อเด็กในสต็อกให้ฟังทุกคน ไม่เคยถามความสมัครใจกูเลยว่าอยากรู้หรือเปล่า เพลีย

Phakin : ใครอีก กูไม่รู้จัก เด็กใหม่เหรอ

Phokin : เด็กใหม่ห่าอะไรเล่า พี่ยุ่นไง พี่รหัสกูน่ะ

ผมกรอกตาแล้วคิดถึงพี่รหัสของจิณณ์ที่นานๆ ครั้งจะได้ยินมันพูดถึง จำได้ลางๆ ว่าแกเป็นคนคัดเลือกประกวดดาวเดือนและเป็นสาวประเภทสองที่ยังเลี้ยงงูอยู่...

Phakin : แต่ไอ้เอยบอกว่ามึงไปกับเด็กในสต็อก

ผมถามกลับไปเพราะไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็น ก็ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงของไอ้เอยตอนนั้นไม่มีแววล้อเล่นเลยนี่หว่า

Phokin : ไอ้บ้านั่นเครื่องรวน เอยเพิ่งเลิกกับแฟนมาเว้ย อย่าไปฟังมันมาก

ผมอ่านข้อความจบแล้วพยักหน้าเข้าใจ แต่ต้องชะงักแล้วไล่สายตาจับใครความอีกรอบ ไอ้เอยเลิกกับแฟน สายตาที่มันมองตังค์ เชี่ย อย่าบอกนะว่าจะเปลี่ยนรสนิยมมาเคลมผู้ชาย เอาแล้วไง กลุ่มกูจะไม่มีใครผลิตทายาทให้ครอบครัวแล้วใช่ไหม

"เอาไปอ่านซะ ไอ้คนคิดมาก"
ผมส่งโทรศัพท์ให้ไอ้ไธอ่านข้อความที่โต้ตอบกับจิณณ์เมื่อครู่ มันขมวดคิ้วใส่แต่ก็ยอมรับไป สังเกตจากสีหน้าแล้วคงมีความรู้สึกหลากหลายผสมอยู่หลังจากได้รับรู้ความจริง

"พี่ยุ่น... ที่เป็นกระเทยน่ะเหรอ"
ไอ้ไธรู้จักพี่ยุ่นเพราะมันใส่ใจทุกเรื่องเกี่ยวกับจิณณ์ บางครั้งจำรายละเอียดในชีวิตของอีกคนได้ดีกว่าผมที่เป็นคนในครอบครัวซะอีก แบบนี้เขาเรียกรักจริง แต่หวังแต่งหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้ ต้องลองถามเจ้าตัวดู

"เออ มีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วด้วย"
เรื่องนี้ไม่อยากจะพูดว่าผัวพี่ยุ่นเนี่ย ระดับเดือนคณะเภสัชฯ เลยนะเว้ย มาดแมนแฮนซั่ม ปล้ำเก่ง ของชอบเขาล่ะ

"จริงดิ"
ถามทั้งๆ ที่ยิ้มจนปากจะฉีก อยากจะร้องแหมให้ยาวถึงดาวอังคารจังเลยเพื่อนรัก

"ล้อเล่นมั้งสัด ยิ้มออกแล้วดิ"

"เออ ขอบใจ"
ไอ้ไธยื่นโทรศัพท์กลับมาให้พร้อมคำขอบคุณและรอยยิ้มเปี่ยมสุข ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ ก่อนจะถามต่อในสิ่งที่คาใจ

"แล้วเย็นนี้ยังจะสารภาพรักกับไอ้จิณณ์เหมือนเดิมไหม"
ผมถามเสียงเรียบไม่มีแววหยอกล้อ แต่ไอ้ไธกลับแก้มแดงเถือกอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าอากาศร้อน... ก็ไม่นะ อุณหภูมิอย่างกับขั้วโลกเหนือจนต้องดึงแขนเสื้อที่พับไว้ลง

"ดูมึงใช้คำพูด..."
เสียงด่าที่ฟังแล้วรู้สึกมุ้งมิ้งแปลกๆ ทำให้ผมสรุปได้ว่า

"มีเขินเว้ย ตกลงยังไง ถ้าจะคุยกับจิณณ์กูจะได้กลับคอนโดช้าๆ"
นี่เปิดทางให้สุดๆ แล้ว แต่ขออย่างเดียวว่าอย่าขืนใจจิณณ์เลย บางทีก็แอบขนลุกเมื่อคิดว่าพี่ชายต้องเป็นฝ่ายรับ ก็หน้าตามันเหมือนกับผมนี่หว่า!

"แล้วมึงจะไปอยู่ไหน"
ไอ้ไธถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเพราะวันนี้ผมขี่มอ'ไซต์มาเรียน ไม่ควรกลับดึกๆ ดื่นๆ แต่คนอย่างนายภาคินไม่เสียเวลาเปล่าหรอกเพราะมีเป้าหมายในชีวิตโคตรชัดเจน

"หึหึ คณะแพทย์"

หลังากเลิกเรียนต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยปกติแล้วตังค์จะกลับบ้านกับไอ้ฟาร์มเพราะไปทางเดียวกัน แต่วันนี้เหตุสุดวิสัยเลยทำให้ผมต้องขี่มอ'ไซต์ไปส่งมันที่หน้ามหา'ลัยเพื่อขึ้นรถเมล์

สิ่งแรกที่ถึงจุดหมายก็สัมผัสได้ว่าคนเยอะ เบียดเสียดกันอย่างกับปลากระป๋อง นี่แค่ป้ายถ้าขึ้นรถเมล์ไปมันจะขนาดไหน ดูสภาพไอ้ตังค์สิ ตัวก็เล็กแถมยังแบกกระดานวาดรูปรุงรัง ถ้ามีคนอาสาไปส่งมันที่บ้านก็...

ปี๊นๆ

เสียงแตรรถเอสยูวีสีชานมสัญชาติญี่ปุ่นดังขึ้นพร้อมกับเข้าเทียบจอดริมฟุตบาท ถ้าจำเลขทะเบียนไม่ผิดล่ะก็... เจ้าของมันเพิ่งเจอกันไปเมื่อเที่ยงนี่เอง

"จะไปไหนกันวะ"
เสียงทุ้มดังขึ้นหลังจากที่กระจกติดฟิล์มดำลดลงจนเห็นใบหน้าหล่อเถื่อนของไอ้เอย

"กูมาส่งไอ้ตังค์ขึ้นรถเมล์"
ผมตอบก่อนจะชี้ไปที่คนข้างตัว ไอ้ตังค์ยืนหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ถ้าปล่อยให้ขึ้นรถเองมีหวังผิดสายแน่ๆ ขี้เกียจไปตามกลับที่ปลายทาง

"ไปไหนวะ"
ไอ้เอยตะโกนถามมาอีกครั้งและมันไปกระตุ้นกล่องความทรงจำของผมให้เปิดออก บ้านตังค์อย่างนั้นเหรอ... อืม

"เอย กูฝากไอ้ตังค์ด้วยได้ปะ มันอยู่หมู่บ้านเดียวกับมีงเลย"
ผมพูดจบก็โดนไอ้ตังค์กระตุกชายเสื้อยิกแล้วยืดตัวมากระซิบเสียงรอดไรฟัน

"คุณเจ็ท ไม่เอาครับ"
น้ำเสียงฟังดูทั้งหวาดกลัวและไม่พอใจ แต่ผมไม่สนแล้วหันกลับไปพูดกับมันด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม แค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง ช่วยอดทนสักหน่อยเหอะคุณตังค์เพื่อนรัก

"เฉยๆ น่าตังค์ ไม่เคยขึ้นรถเมล์ไม่ใช่หรือไง"
หลังจากจบประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบนั้น ไอ้ตังค์ก็ทำหน้าจ๋อยก่อนจะปล่อยชายเสื้อของผม ท่าทางเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเหลือเกิน แค่ให้ไอ้เอยไปส่งไม่ใช่ลากไปฆ่า

"เออ มาดิ ขึ้นเลยๆ"
ไอ้เอยตอบตกลงแล้วปลดล็อกประตูให้ ผมเอื้อมมือไปเปิดก่อนจะดันหลัง 'ลูกแมว' ประเคนเข้าถ้ำเสือ

"ขอบคุณมาก"
ผมเอ่ยขอบคุณแทนไอ้ตังค์ที่เอาแต่ตั้งสมาธขัดขืนโดยที่ไม่รู้เลยว่าแรงเท่ามดจะสู้อะไรแรงช้างได้ สุดท้ายมันก็หย่อนก้นลงบนเบาะหนังจนได้ แต่ไม่ยอมเก็บขาเข้ารถ ปิดประตูทับเลยดีไหมเนี่ย แล้วจะน้ำตาคลอเพื่อ...

"คะ คุณเจ็ท..."
เสียงสั่นๆ เรียกชื่อผมทำให้ต้องถอนหายใจออกมาแล้วเอื้อมมือไปวางแปะลงบนหัวมันแล้วออกแรงขยี้

"ไปเหอะน่า ไม่ต้องกลัว"
ผมใช้น้ำเสียงและแววตาอ่อนโยนในการบีบบังคับไอ้ตังค์ให้ยอม ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะเป็นห่วงและเพื่อพิสูจน์การกระทำของไอ้เอยในทางอ้อม เพราะประเมินภาพรวมแล้วมันน่าจะสนใจลูกแมวของนายภาคินเข้าซะแล้ว

"ก็ได้ครับ"
ผมปิดประตูให้ไอ้ตังค์แล้วโบกมือลาทั้งสองคน รถสีชานมแล่นออกไปแล้วมันก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปหาจุดหมายของตัวเองสักที




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 14 - P.2 (16/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-08-2017 14:02:47
ตึกคณะแพทย์

"วันนี้ไม่ได้เอารถมาเหรอครับ"
ผมถามคนที่เดินอยู่ข้างกันด้วยความสงสัย เพราะทิศทางที่กำลังไปคือหน้ามหา'ลัย พี่ทาวน์ดูเร่งรีบแปลกๆ

"อืม เอารถไปเข้าศูนย์"
เขาตอบกลับโดยไม่หยุดฝีเท้า ตอนนี้เป็นเวลาประมาณเกือบห้าโมงเย็นแล้ว คงจะรีบไปที่ศูนย์

"งั้น... ผมไปส่งเอารถไหม แต่มอ'ไซต์นะ"
ผมเอ่ยปากบอกแล้วเผลอยื่นมือไปรั้งไหล่เขาเอาไว้ พี่ทาวน์หนุดชะงักแล้วเหลือบมองกัน ไม่มีการปัดป้องหรือแสดงความรำคาญให้เห็น

"นั่งแท็กซี่ไปเองได้"
น้ำเสียงรายเรียบตอบกลับมาทำให้ผมได้แต่ทำหน้าหงอย ทำไมชอบปฏิเสธความหวังดีของคนที่กำลังจีบตัวเองแบบนี้วะ บางทีก็เหมือนให้ความหวัง บางทีก็ผลักไส ไม่เข้าใจความคิดของเขาจริงๆ

"ผมอยากไปส่ง นะครับพี่ทาวน์"
ผมลองใช้ลูกอ้อนที่นานๆ ที่จะทำให้ใครเห็น ทั้งน้ำเสียงทั้งดวงตา และดูเหมือนมันได้ผลชะงัดเมื่อพี่ทาวน์พยักหน้าเบาๆ

"อืม ตามใจ"

ผมเดินนำพี่ทาวน์กลับไปที่ลานจอดรถคณะแพทย์เพื่อไปเอาฟีโน่คู่ใจ บรรยากาศร่มรื่น สายลมเอื่อยๆ ยามเย็นทำให้อมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ อยากหยุดเวลาที่มีแต่เราสองคนเคียงกันไว้ แต่ความจริงกับสิ่งที่มโนต่างกันลิบลับ เมื่อทางด้านหน้าปรากฏร่างของใครบางคนที่คุ้นตาแต่ไม่ได้เจอมาสักระยะหนึ่ง

"เฮ้ย พี่เดย์ มายืนทำอะไรตรงนี้วะ"
ผมเอ่ยทักพี่รหัสที่ยืนพิงรถยุโรปของตัวเอง ใบหน้าหล่อติดหวานหันพรึบมาก่อนที่รอยยิ้มจะคลี่ออก ผมยาวระต้นคอทำให้คนๆ นี้ดูเซอร์และเซ็กซี่ ผิวขาวราวน้ำนม มองๆ ไปก็ให้ความรู้สึกสูสีกับพี่ทาวน์

"รถเสียอะดิ แต่เรียกช่างแล้ว"
เขาตอบกลับแล้วผละตัวออกจากรถ ดวงตาหวานเหลือบมองพี่ทาวน์แต่ไม่ได้ถามอะไร

"อ๋อๆ มีคนมารับยังเนี่ย ระวังโดนฉุดนะ"
ผมเอ่ยแซวพี่รหัสตัวเองก่อนจะได้รับรังสีอำมหิตคืนกลับมา ถึงเขาจะดูน่าทะนุถนอมในสายตาหลายๆ คน แต่ขนาดความสูงกับรูปร่างไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย ถ้าเล่นมวยปล้ำกันนายภาคินอาจมีโอกาสแพ้

"มีก็แปลกละ ถ้ามึงฉุดกูยอมนะ"
สายตากรุ้มกริ่มมาพร้อมกับคำหยอกเย้าชวนขนลุกทำให้ผมถึงกับเกิดอาการอึกอัก คนข้างกายขมวดคิ้วเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับไปทำสีหน้าเรียบเฉย

"พี่แม่ง..."
ผมพึมพำแล้วเสมองไปทางอื่น ความรู้สึกลึกๆ สัมผัสได้ว่าพี่เดย์พูดเรื่องจริง จากข่าววงในของพี่ปีสองนั้นคือ 'เขาชอบน้องรหัสตัวเอง' ไม่เคยออกตัวแรง อยากมากก็แค่หยอกล้อเล็กๆ น้อยๆ

"ไปส่งหน่อยดิ ได้ปะ"
เขาร้องขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงทุ้มหวาน แววตาเว้าวอนและจริงจัง แต่ผมจำเป็นต้องปฏิเสธเพราะคนข้างกายที่เริ่มขมวดคิ้วอีกครั้งแล้วมองพวกเราสลับกันไปมา ฝนกำลังลงเม็ดซะแล้ว...

"เอ่อ คือผมต้อง..."

"กูไปแท็กซี่เอง"
พี่ทาวน์ขัดขึ้นมาแล้วเดินลิ่วๆ กลับไปทางเดิม ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ พอได้สติกลับมาก็รั้งอีกคนไม่ทันซะแล้วเมื่อเขาขึ้นรถรางของมหา'ลัย... แล้วที่ยอมเดินไปด้วยกันเมื่อครู่หมายความว่ายังไง

"มีอะไรกันหรือเปล่า"
พี่เดย์ถามอย่างพาซื่อคงเพราะเห็นผมทำสีหน้ากระอักกระอวน จะก้าวตามก็รั้งรอ จะอยู่ก็กับวล สุดท้ายเลยแสดงออกครึ่งๆ กลางๆ

"อ่า... เปล่าๆ ปะ กลับกัน"
สุดท้ายผมก็ต้องยอมไปส่งพี่เดย์แทนเพราะอยากตัดปัญหาการโดนซักถามเรื่องพี่ทาวน์

"เออ เดี๋ยวแวะกินข้าวก่อนแล้วกัน จะเลี้ยงที่มึงยอมไปส่งกู"
พี่เดย์ว่าด้วยเสียงร่าเริงแล้วถือวิสาสะวาดแขนลงบนลาดไหล่ของผมก่อนจะกระชับกอดไว้แน่น ดูเขามีความสุขดี

"ได้เลยครับ ของฟรีผมไม่ปฏิเสธ"
ผมตอบกลับพี่รหัสด้วยรอยยิ้มแต่ในใจกังวลเรื่องพี่ทาวน์จะแย่ ขอภาวนาให้เขาไม่โกรธกันด้วยเรื่องแค่นี้เลยนะ แค่ปัจจุบันยังทำคะแนนไม่ได้เลย ถ้าเกิดติดลบขึ้นมามีหวังได้แดกแห้วชัวร์


------------------------------------------

มีตัวละครใหม่โผล่มาอีกแล้ว หนุ่มเซอร์ขาวๆ หล่อๆ -..-
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 14 - P.2 (16/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 16-08-2017 15:24:54
หมองอนแล้ววว :hao3:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 14 - P.2 (16/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 16-08-2017 15:30:43
ตัวละครใหม่ดีงามอ่ะ ขอให้เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีนะคับ ในเมื่อทาวน์บอกว่า เจ็ทจีบทาวน์ได้ ทาวน์ก็จีบคนอื่นได้ งั้นคนอื่นก็จีบเจ็ทได้เหมือนกัน แฟร์ๆ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 14 - P.2 (16/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 17-08-2017 18:37:20
โอ้ยดี๊ดี มีตัวกระตุ้นพี่ทาวน์มาเพิ่มม o13
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 15 - P.2 (23/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-08-2017 19:20:51
แข่งครั้งที่ 15



"กำลังกินข้าว ใครใช้ให้จับโทรศัพท์วะ"
เสียงทุ้มของพี่รหัสดังขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้ามองด้วยความฉงน ปกติแล้วพี่เดย์ไม่เคยซีเรียสเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร แต่ทำไมวันนี้ถึงได้เคร่งนัก

ร้านอาหารที่เราทั้งสองกำลังปักหลักกันตอนนี้มันอยู่ใกล้คอนโดของพี่ทาวน์มาก ชนิดที่ว่าเดินมาเพียงห้านาทีก็ถึง ผมเพิ่งเอะใจเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี้เองว่าพี่เดย์ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน โลกกลมฉิบหาย จนบางทีก็อยากให้มันแบนหรือเบี้ยวบ้าง

"โห นี่พี่รหัสหรือพ่อครับ ดุจัง"
ผมพูดเสียงล้อเลียนก่อนจะก้มลงไปสนใจหน้าจอสี่เหลี่ยมต่อ ไม่ได้คิดกวนตีนแต่กำลังสองจิตสองใจว่าควรส่งข้อความไปขอโทษพี่ทาวน์เรื่องที่ไม่ได้ไปส่งหรือเปล่า เขาจะโกรธไหม ยิ่งจีบยากๆ อยู่ ไม่อยากเป็นพญานก

"เวลาอยู่กับกูก็สนใจกูสิครับ"
พี่เดย์เอื้อมมือมาดึงโทรศัพท์ไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทซะเอง ผมได้แต่ตะลึงกับการกระทำนั้นไม่ได้ตอบโต้หรือแสดงอาการไม่พอใจ เพราะอะไรบางอย่างในประโยคเมื่อครู่มันชวนให้อยากแซว

"พูดอย่างกับพี่เดย์อยากอยู่กับผมนักล่ะ หนีไปต่างประเทศบ่อยจะตาย ดร็อปเรียนไปกี่วิชาแล้วเนี่ย"
ผมเท้าแขนกับโต๊ะแล้วแบมือรองรับน้ำหนักแก้ม ดวงตาคมจ้องมองคนตรงหน้าด้วยดวงตาเปี่ยมความสนุก พี่เดย์ทำเพียงแค่ไหวไหล่แล้ววางโทรศัพท์ที่เข้าโหมดล็อกหน้าจอแล้วคืนให้ ถ้าคิดเล่นๆ  อาการเมื่อครู่เหมือนคนเป็นแฟนกันแล้วน้อยใจที่อีกคนไม่สนใจเลย ตลกดี

"ที่พูดก็เพราะอยากอยู่ด้วย ทำไมเข้าใจอะไรยากจังวะ"
พี่เดย์ก็ยังคงเป็นพี่เดย์ ที่อยากพูดอะไรก็พูด อยากแสดงสีหน้ายังไงก็ทำ แต่ทั้งหมดนั้นก็แค่ส่วนน้อย คนๆ นี้ความลับเยอะจะตาย

"คิดถึงผมล่ะสิ"
ผมแกล้งแหย่แล้วตักข้าวผัดรวมมิตรใส่ปาก รสชาติที่ได้สัมผัสมันออกจะจืดๆ ไปสักหน่อย เลยทำให้คิดถึงฝีมือของจิณณ์ ถ้าลองหัดทำไปให้เด็กคณะแพทย์ลองชิมคงจะดีไม่น้อย

"เออ คิดถึง แต่ไม่มีของฝากนะ"
คำว่าคิดถึงของพี่เดย์ทำให้ผมยิ้มได้ ส่วนของฝากน่ะ ได้รับมาจนเกินพอแล้ว สงสารกระเป๋าเงินเขาจะตาย ซื้ออะไรมาทีหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันบาททุกที สายเปย์เหมือนไอ้ฟาร์มไม่มีผิด ดีหน่อยที่นายภาคินเป็นแค่น้องรหัสไม่ใช่เด็กเสี่ย

"ผมไม่ซีเรียสหรอกน่า"

"ก็ดีแล้ว ทำไมมึงกินเหมือนเด็กแบบนี้"
พี่เดย์มองตรงมาด้วยสายตาอ่อนโยนทำให้ผมต้องหยุดชะงักมือที่กำลังจะตักข้าวใส่ปากอีกครั้ง ตั้งแต่อาหารมาเสิร์ฟไม่เห็นว่าเขาจะแตะมันสักนิด อิ่มทิพย์หรือไงคนเรา

"ทำไมอะ"
ผมถามก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย ไม่ได้ทำตัวแบ๊ว แต่สายตาของพี่เดย์มันมองต่ำกว่าปกติ ปาก คอ หรือหน้าอกกันนะที่เป็นจุดโฟกัสของเขา แล้วเรื่องกินน่ะเหมือนเด็กตรงไหน มูมมามก็คงไม่ใช่ ที่บ้านสอนมารยาทมาดีจะตาย ไม่เชื่อถามจิณณ์ได้เลย

"มุมปากเลอะ เดี๋ยวกูเช็ดให้"
เขาพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาตรงหน้า ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ แต่ดูเหมือนคนมีความพยายามจะไม่แคร์อะไรแม้แต่สายตาคนในร้าน ขออย่าให้มีใครเอารูปตอนนี้ไปลงเพจมหา'ลัยเลย แท็กประจำตัวปัจจุบันก็เยอะอย่างกับดอกเห็ดหน้าฝน ดูเป็นคนสำส่อนอีกต่างหาก #เจ็ทจิณณ์ #เจ็ทไธ #เจ็ททาวน์ อย่าให้มี #เจ็ทเดย์อีกเลย

"ดะ เดี๋ยว ไม่ต้อง..."
ผมเอ่ยห้ามเสียงตะกุกตะกักแต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นนิ้วเรียวที่บรรจงเช็ดมุมปากให้อย่างที่บอกไว้ แต่ไม่หยุดเพียงแค่นั้นเมื่อมันไล้ไปเรื่อยอย่างเชื่องช้า เล่นเอาขนในกายลุกชัน หัวใจเต้นรัว ไม่รู้ว่าตื่นเต้นหรือกลัวมากกว่ากัน

"ปากมึงนุ่มจัง น่าจูบ"
เสียงกระซิบของพี่รหัสทำให้ผมสติกระเจิงไปไกล ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าปลายนิ้วอุ่นผละออกจากริมฝีปากตอนไหน ที่ผ่านๆ มาไม่เคยมีความคิดในเชิงลบกับพี่เดย์เลยถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเกย์ แต่ตอนนี้ความเชื่อมั่นกลับสั่นคลอดอย่างน่ากลัว

"อะ..."
ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้า ความคิดในหัวกำลังตีกันอย่างหนัก ตกลงว่าเมื่อครู่เขาพูดเล่นหรือจริงจัง ไม่ชอบสถานการณ์ต่างคนต่างมองแบบนี้เลย พูดอะไรบ้างสิวะพี่เดย์

และเหมือนเขาจับความรู้สึกของผมได้เลยคลี่ยิ้มบางแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันสองสามครั้ง เสียงหัวเราะใสๆ ดังขึ้นคล้ายกับมีความสุขเต็มประดา สรุปว่านายภาคินโดนแกล้งสินะ

"กูล้อเล่นน่า กินๆ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด"
เขาบอกก่อนจะตักกุ้งในต้มยำใส่จานของผมอย่างเอาใจ คำพูดสวนทางกับการกระทำเหลือเกิน แต่ถ้าพี่เดย์ไม่บอกอะไร จะถือว่านี่คงเป็นการดูแลของพี่รหัสที่ควรปฏิบัติต่อน้องรหัสคนหนึ่งเท่านั้น

หลังจากกินข้าวเสร็จเขาก็งอแงจะกินไอติมต่อแต่ไม่มีรสชาติที่ต้องการขายเลยชวนให้ผมไปอีกร้าน แต่ด้วยความกังวลเรื่องของใครอีกคนเลยทำให้ตอบปฏิเสธไป สุดท้ายกลายเป็นว่าบิงซูถูกสั่งมายื้อเวลาอยู่ด้วยกันแทน

ผมไม่ถนัดกินของหวานแต่ยกเว้นอมยิ้มเลยนั่งมองพี่รหัสตักเกล็ดน้ำแข็งสีนมเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย รอยยิ้มหวานปรากฎขึ้นทำให้รู้ว่าเขามีความสุขในช่วงเวลานี้

ดวงตาคมมองไปรอบร้านอย่างไรจุดหมายเพราะเริ่มเบื่อและไม่มีอะไรทำจนไปสะดุดกับร่างที่คุ้นเคย ใบหน้าด้านข้างที่ผมจำได้ดี เขากำลังยืนสั่งกาแฟอยู่ตรงเค้าน์เตอร์บาร์ คงเป็นมอคค่าเย็นหรือแบบปั่นแน่ๆ

"พี่ทาวน์..."
ผมเรียกชื่อเขาเบาๆ แล้วจ้องอย่างไม่วางตา พี่เดย์คงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติเลยเงยหน้าขึ้นมาถาม ยอมหยุดมือที่กำลังจะส่งบิงซูเข้าปาก

"หืม มีอะไรหรือเปล่า"

"ผมขอตัวแป๊ปนะ เดี๋ยวกลับมา"
ผมบอกอย่างรีบร้อนแล้วลุกขึ้นโดยไม่สนท่าทางมึนงงของเขา พี่ทาวน์กำลังเดินออกจากร้านไปแล้ว อะไรบางอย่างร้องเตือนว่าครั้งนี้อาจจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นระหว่างเรา ดีหรือร้ายค่อยมากันอีกที

"พี่ทาวน์ครับ รอก่อน!"
ผมตัดสินใจเรียกชื่อเขาเมื่อประตูรถสัญชาติยุโรปป้ายแดงเปิดออก ถ้าช้ากว่านี้คงพลาดโอกาสพูดคุยกัน พี่ทาวน์หยุดชะงักแล้วเอี้ยวคอมอง ใบหน้าเรียบเฉยนั้นไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกเหมือนอย่างเคย จะว่าชินก็ชิน แต่ตอนนี้กลับไม่ชอบมันเลย

"มีอะไร"
น้ำเสียงช่างเย็นชาจนคนฟังอยากร้องไห้

"คือเรื่องที่ไม่ได้ไปส่ง..."
ผมเอ่ยปากยังไม่ทันจบประโยค พี่ทาวน์กลับพูดแทรกขึ้นมาราวกับไม่อยากฟัง ดวงตารีคู่สวยเสมองไปทางอื่น มันไม่ปกติจริงๆ เหตุการณ์ตอนนี้ เหมือนทุกอย่างกำลังจะพังและไม่สามารถสานต่อได้

"กูไม่ได้สนใจ กลับไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวพี่มึงจะรอนาน"

"ผมอยากขอโทษ"
ถึงเขาจะไม่สนใจตามที่ปากว่าจริงๆ แต่ผมยังรู้สึกผิด ก็เป็นฝ่ายตื้อไปส่งเอง แล้วก็เบี้ยวเอง... มันใช้ได้ที่ไหน ผิดคำพูดกับคนที่กำลังจีบอยู่แบบนี้

"ช่างมัน มึงจะไปไหน ทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับกู ขอตัว"
พี่ทาวน์สอดตัวเข้ารถแล้วทำท่าจะปิดประตู ใบหน้าของเขายามพ่นคำเหล่านั้นออกมาทำให้ผมรู้สึกว่ามันคือการประชดประชัน โมโหเพราะผมไม่ได้ไปส่งเหรอ

"เดี๋ยวสิครับ พี่โกรธผมใช่ไหม"
ผมใช้มือยั้งประตูรถเอาไว้จนพี่ทาวน์หันมาถลึงตาใส่ คงเริ่มหงุดหงิดที่โดนเซ้าซี่แน่ๆ

"กลับไปหารุ่นพี่เถอะ อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างกู"
น้ำเสียงที่ใช้บอกช่างเย็นชาจนผมแทบหยุดหายใจ ดวงตาไร้ซึ่งความรู้สึกที่จ้องมาทำให้หัวใจเริ่มเต้นช้าลง ทุกอย่างบ่งบอกว่าความพยายามของนายภาคินควรจบลงสักที

"พี่ทาวน์หมายความว่า..."

"กูไม่ได้ชอบผู้ชาย"
ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถึงพี่ทาวน์จะพูดเสียงเบาแค่ไหน แต่ผมกลับได้ยินมันจนก้องไปทั้งโสตประสาทการรับรู้ ต้องปล่อยมือจริงๆ แล้วใช่ไหม พยายามไปก็ไม่ได้อะไรกลับมา บางทีการแอบรักเหมือนไอ้ไธคงมีความสุขมากกว่าโดนปฏิเสธแบบนี้ เจ็บว่ะ คราวนี้คงไปต่อไม่ไหวแล้ว

"เข้าใจแล้วครับ ขอโทษที่ทำให้รำคาญ"
ผมก้มหัวให้พี่ทาวน์อย่างจำนนต่อคำพูด ฝืนคลี่ยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินหันหลังกลับไปหาคนที่รออยู่ พี่รหัสคนดี น้องรหัสโดนเหยียบย่ำหัวใจแล้วล่ะ ช่วยอะไรได้บ้างไหม

"กลับมาสักที บิงซูละลายหมดแล้ว"
น้ำเสียงติดงอนดังขึ้นพร้อมด้วยใบหน้าหวานบึ้งตึง แต่ผมทำเพียงแค่ก้มหัวลงเพื่อเป็นการขอโทษแล้วนั่งลงที่เดิม จะไม่พยายามฝืนยิ้มให้กับพี่เดย์หรอกนะ มันเหนื่อยเกินไป

"ขอโทษที่ให้รอครับ"

"ไม่เป็นไร แต่มึงน่ะทำหน้าอย่างกับหมาอกหัก"
ไม่ทันไรคนพูดตรงก็ทักกันอย่างเจ็บแสบ ผมได้แต่นั่งเงียบปล่อยให้ความคิดต่างๆ ไหลไปตามเวลา จนสุดท้ายก็หลุดเสียงหัวเราะเยาะความผิดพลาดของตัวเอง ก็พี่ทาวน์เป็นผู้ชาย ที่ไม่พิศวาสเพศเดียวกันมันก็ถูกแล้ว หวังอะไรอยู่กันแน่นายภาคิน คำตอบออกจะชัดเจนขนาดนั้น

"ฮะๆ ก็คงอย่างที่พี่เดย์พูดนั่นล่ะ ผมอกหัก"
พูดโดยไม่เงยหน้ามองใครทั้งนั้น ขอบจตามันร้อนผ่าว ปากเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อเก็บกักความรู้สึกเสียใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถ จะไม่ร้องไห้แสดงความอ่อนแอให้ใครต้องหนักใจอีก

"ไอ้เดือนมหา'ลัยปีที่แล้วน่ะเหรอ"
คำถามที่มาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ผมสะดุ้งแล้วเงยหน้ามองพี่เดย์ คนที่ไม่ค่อยสนใจอะไร กลับรู้ว่าน้องรหัสจีบใคร... ควรดีใจใช่ไหม

"พี่รู้ได้ยังไง..."

"กูไม่รู้ก็แปลกแล้วเจ็ท มึงประกาศตัวว่าจีบเขาลงโซเชี่ยลขนาดนั้น ไม่เห็นใจกูเลยเนอะ"
ท้ายประโยคมีรอยยิ้มบางประดับอยู่บนใบหน้าหวาน ดวงตากลมฉายแววเสียใจอย่างไม่ปิดบัง มันแสดงให้เห็นว่าคนๆ นี้รู้สึกกับผมอย่างไรโดยไม่จำเป็นต้องถาม มันไม่ใช่ข่าวลือแต่เป็นความจริง

"พี่เดย์..."
ผมคราวชื่อเขาเสียงแผ่ว มือกำเข้าหากันแน่น เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้พี่ทาวน์ไล่ผมกลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง ซึ่งมีใครปักหลักรอตรงนี้ไม่เคยหนีไปไหน

"ถึงกูไม่เคยบอกมึงตรงๆ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจใช่ไหมว่าอะไรเป็นอะไร"
เขาพูดโดยไม่ได้มองหน้าผม มือเรียวจับช้อนคนบิงซูในถ้วยไปเรื่อยคงไม่อยากให้เกิดความกดดันระหว่างเรา ถ้าหากสบตากันอาจมีความรู้สึกอึดอัด

"ก็... ครับ"
ผมรับด้วยเสียงแผ่วเบาและไม่ยอมละสายตาจากคนตรงหน้า พี่เดย์เป็นคนน่ารัก นิสัยดี พูดตรง แสดงออกชัดเจน ไม่เคยมีเรื่องเจ้าชู้สาวให้ใครจับผิด ถึงจะหล่อแถมสวยเขาก็ออกปากปฏิเสธคนที่เข้ามาจีบอย่างเด็ดขาด ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ต่างจากใครบางคนเหลือเกิน ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันความเสี่ยงสักอย่าง

"ถ้าหมอมันไม่รักก็กลับมาหาเด็กสถาปัตย์เซอร์ๆ แทนได้ไหม"
คำขอร้องของพี่เดย์กระตุกใจผมอย่างแรง ดวงตากลมฉายแววอ้อนวอนและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก แต่...

"ผมไม่ได้ชอบ... ผู้ชาย"
ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงที่ผมเฝ้าบอกตัวเองมาเป็นร้อยครั้ง ถ้าชอบผู้ชายคงหวั่นไหวกับไอ้ไธไปนานแล้ว ดูแลดียิ่งกว่าเพื่อนสนิทคนอื่นเป็นไหนๆ แทบจะเหมือนคู่ผัวตัวเมียเข้าไปทุกวัน

"แล้วไอ้เดือนนั่นเป็นผู้หญิงหรือไงเจ็ท"
พี่เดย์เริ่มเสียงแข็ง มือที่กำช้อนอยู่ถึงกับขึ้นข้อขาว ผมเข้าใจความเจ็บปวดที่โดนปฏิเสธแบบนี้นะ แต่จะให้รับความรู้สึกของเขาไว้โดนที่ไม่มีวันเป็นไปได้มันก็เลวเกินไป

"เขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่ผมชอบ"
ผมย้ำชัดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ถึงแม้หัวใจจะเจ็บปวดแต่ความชอบยังอบอวลอยู่ไม่เปลี่ยน โดยทำร้ายมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ยังตัดใจไม่ได้ และไม่รู้ว่าสิ่งที่เพียรพยายามมาตลอดนั้นมีผลต่อพี่ทาวน์บ้างหรือเปล่า หวั่นไหวบ้างไหม

พี่เดย์สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้คล้ายคนหมดแรง ดวงตาที่มองตรงมากำลังตัดพ้อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกโดยมีตัวผมเป็นคนก่อเหตุ ไม่แปลกใจที่จะได้เห็นอาการนี้จากเขา รู้สึกผิดที่หักอกเขา แล้วพี่ทาวน์ล่ะ ตอนพูดประโยคร้ายๆ ออกมาคิดอะไรอยู่

"ฮะๆ เจ็บดีว่ะ โดนคนอกหักมาหักอกตัวเองต่อแบบนี้"
น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกความรู้สึกของคนตรงหน้าได้ดี ฝ่ามือเรียวบางตีลงบนอกซ้ำๆ คล้ายกับตอกย้ำความเจ็บที่เกิดขึ้นด้านใน ปวดใจใช่ไหมครับพี่เดย์ ผมก็ไม่ต่างกันหรอก

"ขอโทษครับ"
ผมเอ่ยขอโทษด้วยแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อตัดสินใจว่าตัวเองไม่ควรอยู่ตรงนี้ต่อ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง

"กูไม่ยอมแพ้หรอกนะเจ็ท"
ในขณะที่ผมหันหลังเตรียมจะเดินออกจากร้าน ประโยคที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของพี่เดย์ทำให้ต้องชะงักเท้าและเม้มปากเข้าหากัน อยากบอกเขาเหลือเกินว่าให้ตัดใจสักที แต่ในเมื่อตัวเองยังทำแบบนั้นไม่ได้ก็ควรเงียบดีกว่า 'ความรักไม่สามารถบังคับได้' มันคือคำนิยามที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยจริงๆ

"....."
ผมตัดสินใจก้าวต่อไปเพราะไม่อยากรับรู้เรื่องราววุ่นวายอีกแล้ว แต่ใครจะคิดว่าพี่เดย์ไม่สนใจคนอื่นจนตะโกนไล่หลังกันมาแบบนี้ ถ้าวันรุ่งขึ้นมีข่าวแปลกๆ ตามเพจมหา'ลัยจะไม่ตกใจเลย

"บางทีกูอาจชนะใจมึง ก่อนที่มึงจะชนะใจหมอซะอีก"
และนั่นคือประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากพี่รหัส

ผมขี่ฟีโน่กลับคอนโดด้วยสติที่มีไม่เต็มร้อย หลายครั้งที่ต้องเบรกกะทันหันเมื่อจะชนท้ายรถคันหน้า สมองเอาแต่คิดวกไปวนมาเรื่องคำพูดของพี่ทาวน์ ที่ผ่านมาคนให้ความหวังก็คือเขา แต่สุดท้ายก็ดับฝันด้วยมือของเขาอีกครั้ง ตกลงว่าเห็นนายภาคินเป็นแค่ของเล่นชั่วคราวใช่ไหม พอมันน่าเบื่อก็ทิ้งขว้างไม่ใยดี

แต่แววตากรุ่นไปด้วยความไม่พอใจที่ผมสังเกตได้ครู่หนึ่งจากพี่ทาวน์คืออะไรกันนะ หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรงเอนหัวพิงกับพนักแล้วลืมตามองเพดาน ปล่อยความคิดให้ไหลไปเรื่อยๆ ไม่อยากขยับ ไม่อยากพูด ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เมื่อจิณณ์กำลังเดินเข้ามา

"เจ็ท... ทำไมตาแดงแบบนั้นวะ ใครทำอะไรมึงหรือเปล่า"
คำถามแรกจากปากฝาแฝดมันช่างตรงจนผมเผลอหัวเราะเยาะตัวเองเป็นรอบที่สิบของวัน ดวงตาคมปิดลงอย่างอ่อนล้าแล้วทบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ตาแดงเพราะกลั้นความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ ไม่ได้ร้องไห้เพราะกลัวว่ามันจะไม่หยุดไหล

"วันนี้เจอพี่เดย์"
ผมเอ่ยปากเมื่อจิณณ์ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน จานผลไม้ในมือถูกส่งมาตรงหน้าแต่มันโดนผลักกลับไปเพราะไม่มีอารมณ์จะกิน รู้สึกตึงเครียดจนอยากอ้วกเอาของเก่าออกมามากกว่า

"พี่รหัสมึงอะนะ กลับมาจากออสเตรเลียแล้วเหรอ"
จิณณ์ถามก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความฉงน มือเรียวหยิบฝรั่งชิ้นพอดีคำใส่ปากแล้วเคี้ยวหงุบหงับ ดูมีความสุขดีทุกประการ สงสัยไอ้ไธยังไม่ได้พูดเรื่องนั้นแน่ๆ

"อืม"

"ไม่ดีใจหรือไง"

"ตอนแรกก็ดีใจ แต่ตอนนี้โคตรรู้สึกแย่"

"เกิดอะไรขึ้น"
จิณณ์ถามแล้วชะงักมือที่กำลังหยิบเชอร์รี่ ผมเหล่สายตามองเพียงครู่เดียวก่อนจะถไลตัวไปตามโซฟา

"พี่ทาวน์... เขาไล่ให้กูกลับไปอยู่ในที่ของตัวเอง อกหักนี่เจ็บเนอะจิณณ์"
พูดออกไปก็คิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น อยู่ๆ หัวใจก็บีบรัดจนรู้สึกเจ็บจนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกไว้ ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง ถ้าพี่ทาวน์เป็นฝ่ายโดนปฏิเสธบ้าง เขาจะอ่อนแอเหมือนนายภาคินตอนนี้หรือเปล่านะ

"เดี๋ยว กูงง เมื่อเช้ายังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอวะ"
จิณณ์เกาหัวแกรกแล้ววางจานผลไม้ลงบนโต๊ะ สีหน้าบ่งบอกว่างงจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น ผมก็รู้สึกไม่ต่างจากมันในตอนแรก แต่เวลานี้เหมือนจะพอเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้ว สาเหตุที่โดนไล่ออกมาในจุดที่กำลังก้าวออกไป

"เขาเจอพี่เดย์พร้อมกู คงดูออกว่าอะไรเป็นอะไร... อึก"
ถ้าผมคิดเข้าข้างตัวเองแล้วถูกคงเป็นข่าวดีที่ว่า พี่ทาวน์ประชดเพราะเริ่มรู้สึกดีๆ ด้วย แต่นั่นก็แค่เรื่องมโน ความจริงคงเป็นแบบที่เจ้าตัวบอกมา

ผมก็ไม่ได้ชอบผู้ชายนะ แต่ในหัวใจมันมีพี่ แปลกตรงไหนครับ

"พี่เดย์เป็นฝ่ายที่ชอบมึงนะ กูงงเว้ย ไม่เข้าใจคนหัวสมองดีว่าเขาคิดอะไรอยู่"
ขนาดจิณณ์ยังรู้ว่าพี่เดย์คิดยังไง ผมมันบ้าเองที่เอาแต่ปัดให้มันเป็นแค่ข่าวลือ โง่จริงๆ เลยนะนายภาคิน

"ช่างแม่งเถอะ พรุ่งนี้สอนทำไข่กวนหน่อยดิ"
ผมบอกแล้วลุกขึ้นยืนบิดซ้ายบิดขวาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ ผิดสัญญากับพี่ทาวน์ไปเรื่องหนึ่งแล้ว จะให้มีอีกเรื่องคงไม่ดีนักถึงแม้ว่าโดนเขาไล่ออกมาจากชีวิตแล้วก็เถอะ ครั้งสุดท้ายที่เจอกันอยากให้มีแต่ความทรงจำดีๆ

"ยังจะทำอาหารให้พี่เมืองเหนือกินอีกเหรอวะ เขาไล่ขนาดนี้แล้ว"
จิณณ์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด มือเรียวกระตุกชายเสื้อให้ผมหันไปสบตาด้วย เข้าใจว่าเป็นห่วง แต่ขอเถอะ ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วสัญญาว่าจะกลับมาอยู่ในที่เดิม

"คงเป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะเอาตัวเองไปยุ่งวุ่นวายกับเขา..."

"เออ เจ็บก็ถอยออกมารักษาตัว แต่ถ้ายังตัดใจไม่ได้ค่อยใส่เกราะเดินเข้าไปสู้ใหม่"
จิณณ์เป็นพี่ชายที่เก่งเรื่องแบ่งรับแบ่งสู้ที่สุด และรู้ว่านิสัยของผมเป็นยังไง ความชอบไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ และมันไม่สามารถปิดฉากได้ภายในชั่วโมงเดียวเช่นกัน

"ขอบคุณนะจิณณ์ที่เข้าใจกู"

เช้าวันใหม่ท้องฟ้าช่างสดใสต่างจากอารมณ์และความรู้สึกของผม ในกล่องทัปเปอร์แวร์บรรจุไข่กวนร้อนๆ จากเตาพร้อมขนมปังปิ้งหอมกรุ่น มือเรียวเริ่มสั่นเมื่อขาก้าวเข้าสู่คณะแพทย์

"สวัสดีครับพี่ๆ วันนี้ผมเอาไข่กวนกับขนมปังปิ้งมาฝาก"
ผมเอ่ยทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงที่พยายามปั้นให้เป็นปกติ คู่กรณีทำเพียงแค่ปลายตามองแล้วเริ่มเก็บของลงกระเป๋า คิดหนีกันสินะ เอาเถอะ วันนี้นายภาคินแค่จะมาเจอหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่รู้ว่าในอนาคตสามารถตัดใจได้ไหม หรือแค่กลับไปตั้งหลักเตรียมความพร้อมเพื่อจีบอีกครั้ง

"โห ขอบใจๆ กำลังหิวอยู่พอดีเลย"
พี่ฟาเดินมาคว้าทั้งถุงของกินและข้อมือของผมให้ไปนั่งด้วยกัน แต่คนหน้านิ่งก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหอบสัมภาระไว้ในอ้อมแขน

"กูขอขึ้นห้องก่อนแล้วกัน"
เขาพูดจบก็หันหลังเดินออกไปท่ามกลางเพื่อนสนิทที่ยังมึนกับการกระทำนั่น พี่ฟาถึงกับอ้าปากค้าง พี่แฮมถึงกับเบิกตาโต ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจและคลี่ยิ้มเยาะตัวเองซ้ำ

"เฮ้ย ไอ้ทาวน์ อะไรของมึงเนี่ย สั่งน้องมันทำแล้วไม่กินเหรอ!"
คนตัวเล็กตะโกนไล่หลังแล้วมองตามพี่ทาวน์จนลับสายตา ดูท่าทางจะโกรธ

"ไม่เป็นไรครับ พี่ๆ ช่วยกินส่วนที่เหลือด้วยนะ ผมคงไม่เอากลับแล้ว"

"เออๆ โอเค เดี๋ยวกูจัดการให้เอง"
พี่แฮมตอบกลับแล้วรีบหยิบกล่องไปเปิดดู กลิ่นหอมๆ ของไข่กวนทำให้รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้า ดีใจที่มีคนชอบสิ่งที่ผมทำ แต่ก็เสียใจเมื่อโดนพี่ทาวน์เมิน

"เจ็ท... มึงกับไอ้ทาวน์ทะเลาะกันเหรอ"
พี่ฟาที่ละสายตาจากเพื่อนสนิทหันกลับมาถามกันด้วยสีหน้าจริงจัง ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้ม ก็เราไม่ได้ทะเลาะกัน แค่ตัดความสัมพันธ์เอง

"เปล่าครับ..."

"มึงแค่โดนหักอกสินะ"
พี่ฟาพูดในสิ่งที่ทำให้ผมต้องชะงักทุกการกระทำและความคิด ดวงตาคมเบิกค้างจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ สงสัย คนอย่างพี่ทาวน์ไม่มีทางเอาเรื่องเมื่อวานไปบอกใครแน่ๆ

"ทำไมพี่ฟา... ถึงรู้"
ถามออกไปด้วยความรู้สึกวูบโหวงในอก  แม้แต่พี่แฮมที่รักการกินยิ่งกว่าชีวิตยังหยุดฟังไปพร้อมๆ กัน ผมควรทำยังไงดี ตอนนี้รู้สึกว่าทำนพน้ำตามันกลั้นยากเหลือเกิน

"มึงอย่าโกรธจิณณ์เลยนะ ที่มันเล่าเรื่องนี้ให้กูฟัง"
คำสารภาพผิดไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกโกรธเลย อยากขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำที่ใส่ใจเรื่องนี้

"เจ็ทอย่าเพิ่งถอดใจได้ไหม ปกติไอ้ทาวน์ไม่เคยแสดงอาการว่าไม่อยากเจอหน้าใครขนาดนี้"
พี่ฟาขอร้องด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ผมทำได้แค่เพียงคลี่ยิ้มบาง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ก็เจ้าตัวเขาออกปากไล่ขนาดนั้น จะให้เข้าไปยุ่งวุ่นวายในชีวิตอีกทำไม แค่นี้ก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว

"ผมคงเป็นคนแรกที่ทำให้เขาเกลียด"
ทำนพกลั้นน้ำตาไม่สำเร็จ ผมใช้หลังมือปาดมันออกลวกๆ แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อกลับไปที่คณะของตัวเอง เพราะอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา คนที่อยากลาเป็นครั้งสุดท้ายก็หอบข้าวของหนีไปแล้ว แถมยังไม่ใยดีอาหารที่อุตส่าห์ทำมาฝากตามสัญญาด้วย




ต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 15 - P.2 (23/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-08-2017 19:21:11
"ไม่ใช่ ไอ้ทาวน์กำลังไม่พอใจต่างหาก แต่เหตุผลที่ทำให้เป็นแบบนั้นกูเดาไม่ได้จริงๆ ว่าเพราะอะไร หวงก้าง สับสน หรือเริ่มชอบมึงแต่ไม่ยอมรับความจริงกันแน่"
พี่ฟาคาดเด่ในสิ่งที่ไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่มันสามารถทำให้คนที่เจ็บปวดอย่างผมมีแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้งแม้เพียงน้อยนิด หรือควรเจียมตัวดีกว่านะ สับสนฉิบหาย

"ผมไม่ควรหวังอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ"

"กูขอร้องให้ลองตื๊อมันอีกครั้งได้ไหม ไอ้ทาวน์เป็นคนปากแข็งใจแข็ง ถ้าอยู่ๆ มึงปล่อยมือทั้งที่เรื่องยังคลุมเครือ สุดท้ายอาจจะเสียใจทั้งสองฝ่าย"
พี่ฟายังไม่ละความพยายามในการขอร้องผม แต่คราวนี้พี่แฮมก็ร่วมด้วยช่วยกันพยักหน้าทั้งที่เคี้ยวขนมปังปิ้งอยู่ในปาก ตกลงว่านายภาคินยังหวังเรื่องความรักกับพี่ทาวน์ได้อีกใช่ไหม คงไม่กลายเป็นคนน่ารำคาญและโง่หรอกนะ

"ผมจะเริ่มยังไงดี... ตอนนี้แม่งจุกไปหมดแล้ว"
ผมถามด้วยความสับสนแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมอีกครั้งเพื่อรับคำปรึกษาจากเพื่อนสนิทของเขา พี่แฮมถึงกับผายมือไปทางพี่ฟาเพื่อหลีกหนีการตอบคำถามนี้ หยุดกินเพื่อคุยกันสักสิบนาทีไม่ได้หรือไงครับ

"ง่ายนิดเดียว ก็หยิบถุงไข่กวนกับขนมปังปิ้งเอาขึ้นไปให้มันที่ห้องเรียน พร้อมกับยืนยันเรื่องความสัมพันธ์ของมึงกับพี่รหัสให้ชัดเจน"
มันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ เมื่อวานผมปวดใจแทบตาย มันนี้ต้องรวบรวมความกล้าเพื่อไปตื๊อเขาเนี่ยนะ บางทีก็งงว่าตัวเองเป็นคนหรือควายถึงได้อดทนและโง่จีบอยู่แบบนี้ แต่ในเมื่อเพื่อนสนิทของเขาสนับสนุนก็จะยอมลองดูอีกสักตั้ง คราวนี้พุ่งชนจังๆ ให้ล้มทับจนลุกไม่ขึ้นไปเลย

"ถ้าพี่ทาวน์ไม่ฟังผมล่ะ จะทำยังไงต่อ"
ผมถามต่อเพื่อหาทางหนีทีไล่เพราะตอนนี้หัวสมองไม่สามารถคิดอะไรได้เองอีกแล้ว พี่ฟาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกขึ้นเดินมาหาผมเพื่อที่จะทำการบีบไหล่ให้กำลังใจ เขาน่ารักนะ ไม่ค่อยอยากให้เสียคนเพราะโดนไอ้ฟาร์มจีบเลยให้ตายเถอะ

"คนอย่างไอ้ทาวน์น่ะ ฟังคนอื่นเสมอ อยากให้มันรู้อะไรก็พูดออกไปให้หมด ผลลัพธ์คงไม่แย่กว่าที่เป็นอยู่หรอก"
ผมจะถือเป็นคำปลอบโยนและให้กำลังใจก็แล้วกันนะ ถึงมันจะฟังดูทะแม่งๆ ก็เถอะ

ผมหยิบกล่องใส่ไข่กวนพร้อมกับขนมปังปิ้งติดมือขึ้นมาบนห้องเรียนอย่างที่พี่ฟาแนะนำ ยิ่งปลายเท้าเข้าใกล้จุดหมายมากเท่าไหร่ ความรู้สึกอย่างหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีก็มีมากยิ่งขึ้น เหมือนคนกำลังจะเป็นบ้า เดี๋ยวกล้าเดี๋ยวกลัว มีบางจังหวะที่หยุดชะงักการเดินแล้วยืนนิ่งอยู่กับที่จนกลายเป็นเป้าสายตาของคนอื่น ถูกมองอย่างกับตัวประหลาด ไม่แปลกใจเลยเพราะกางเกงยีนส์ขาดๆ มันไม่เข้ากับตึกคณะแพทย์

กว่าสายตาจะมองเห็นหมายเลขห้องเรียนที่ถูกบอกกล่าวมาก็ใช้เวลาร่วมสิบนาที ผมสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกความกล้าก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมไปจับลูกบิดประตู ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ออกมาด้านนอกพร้อมกับสายตานักศึกษาแพทย์สองสามคู่ที่มองมาอย่างสงสัย ควรจะเริ่มด้วยการยิ้มให้พวกเขาหรือเดินไปหาคนที่ต้องการเจอดีนะ ถ้าถุงในมือคือลูกไก่คงแหลกไปแล้วแน่ๆ

"พี่ทาวน์ครับ"
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจที่จะไม่สนสายตาที่มองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแล้วตรงเข้าไปหาคนที่ก้มหน้าก้มตาอ่าน Text Book เล่มหนา พี่ทาวน์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วขมวดคิ้วยุ่งมองกัน

"ตามมาทำไม"
น้ำเสียงที่ถามกลับมาช่างกระตุกหัวใจคนฟังเหลือเกิน เขาจะออกปากไล่ผมอีกไหมนะ ตาขวางเชียว

"เอาไข่กวนกับขนมปังปิ้งมาให้ครับ"
ผมส่งของในมือให้ด้วยรอยยิ้มที่ปั้นแต่งมาอย่างดิบดี พี่ทาวน์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงเพื่ออ่านหนังสือต่อ นายภาคินโดนเมินเข้าแล้วสินะ แต่ต้องสู้เพราะได้กำลังใจจากพี่ฟามาตั้งเยอะ

"ไม่กิน ไม่หิว"

"เก็บไว้กินเถอะครับ ผมเต็มใจทำมาให้เลยนะ"

"น่ารำคาญ"
คำสบถเบาๆ ทำให้ผมถึงกับสะดุดลมหายใจ แต่โดนเยียวยาด้วยมือเรียวที่กระชากถุงไข่กวนไปต่อหน้าต่อตา ถึงจะโดนรำคาญแต่สามารถทำให้พี่ทาวน์รับของไปได้ก็ถือว่าคุ้มมากแล้ว แต่จุดประสงค์หลักยังไม่จบเท่านี้

"พี่ทาวน์ครับ"
ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มือเริ่มชื้นเหงื่อเพราะความตื่นเต้นและหวาดกลัว แต่เตรียมตัวเตรียมใจรับผลที่กำลังจะตามมาเรียบร้อยแล้ว มันจะต้องไม่แย่กว่าที่เป็นอยู่ 

"อะไร"
เขาถามขึ้นโดยไม่มองหน้ากัน แต่ผมกลับจ้องไม่วางตา แค่ได้เห็นสันจมูกกับหน้าตาแสดงความตั้งใจของพี่ทาวน์แล้ว สมองกับหัวใจก็พร้อมกันร้องเตือนว่า ‘ไม่ควรตัดใจเด็ดขาด’ นายภาคินคงตกหลุมรักคนใจร้ายอย่างนายเมืองเหนือไปแล้วล่ะ

"เรื่องผมกับพี่เดย์ไม่มีอะไรในกอไผ่จริงๆ นะครับ"

"บอกทำไม"
เขาละสายตาจากหนังสืออีกครั้ง คราวนี้ดวงตารีจ้องผมอย่างเอาเรื่อง

"พี่เดย์ชอบผม แต่ผมชอบพี่ทาวน์ ไม่ว่ายังไงก็จะจีบต่อ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง ดวงตาคมมองสบกับคนตรงหน้าแสดงความจริงใจทั้งหมดที่มีให้เขาเห็น พี่ทาวน์ทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมาแล้วยกมือขึ้นขยี้หัว ดูเงอะงะงุ่นง่านแปลกๆ ว่ะ

"มีคนที่ชอบมึงขนาดนั้น คุ้มแล้วเหรอที่จะเสียเวลากับคนที่เอาแน่เอานอนอย่างกูไม่ได้เลย"
สิ่งที่พี่ทาวน์พูดทำให้ผมคลี่ยิ้มโดยไม่ฝืนออกมาครั้งแรกในรอบสองวันนี้ ไม่ว่าจะมีคนมาชอบอีกสักเป็นร้อย หัวใจของนายภาคินก็ยังร้องบอกว่าใครสำคัญที่สุด และการที่ต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงเจ็บปวดแบบนี้มันก็เกินคุ้มด้วยซ้ำ

"สำหรับผม เรื่องพี่ทาวน์ มันคุ้มค่าในการเสี่ยงเสมอ"

"หึ ถ้าผลออกมาแย่ อย่าโทษกูแล้วกัน"
มันคือคำอนุญาตให้ผมจีบต่อได้ใช่ไหม ตอนนี้แทบอยากจะดึงคนปากแข็งเข้ามากอดเสียให้จมอก ไม่ยอมมองหน้ากันแบบนี้กำลังเขินอยู่หรือเปล่านะ

"ครับ ผมจะยอมรับผลของมันโดยไม่โทษใคร"
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สดใสผิดกับหลายนาทีที่ผ่านมา รู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคไพโบล่าเข้าจริงๆ แล้วล่ะ คนรับผิดชอบก็เป็นว่าที่คุณหมอตรงหน้านี้ไง จะเอาคืนแบบทบต้นทบดอกรักษาตลอดชีวิตอะไรอย่างนั้น

"อืม ไปเรียนได้แล้ว"
พี่ทาวน์แสร้งพูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ แต่ผมแอบเห็นว่าก่อนหน้านั้นที่มุมปากของเขามีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่ เพราะแบบนี้ไงนายภาคินเลยคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตัดใจจากคนๆ นี้ไม่ได้สักที ดูเหมือนมีใจแต่ปาดแข็งเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย

"ไล่ผมเหรอ"
แกล้งทำเสียงหงอยแล้วใช้ดวงตาคมมองเขาด้วยความออดอ้อน พี่ทาวน์ถอนหายใจออกมาแล้วใช้มือผลักหัวกันก่อนจะถามออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย มันน่าจะรู้สึกใจเสีย แต่เปล่าเลยผมกำลังยิ้มปากจะฉีกถึงรูหูต่างหาก

"หรือมึงอยากขาดเรียน"
คำถามเกินคาดหมายทำให้ผมต้องยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูทันที อีกสิบนาทีจะเข้าเรียนวิชาแรกแล้วแต่ผมยังอยู่ที่คณะแพทย์อยู่เลย ตายแน่ สายชัวร์เลยครับ แต่ไม่เป็นไร ขอกอบโกยความสุขชั่วครั้งชั่วคราวอีกสักนิดก็แล้วกัน

"ไม่ครับๆ คือตอนพรุ่งนี้ตอนเย็นว่างไปกินข้าวด้วยกันไหม"
ถามเสียงรัวจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง พี่ทาวน์หลุดหัวเราะก่อนจะแกล้งจับชายเสื้อของผมยัดเข้ามาในกางเกง แก้มร้อนเฉย อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย มันคิดดีไม่ได้เลยจริงๆ

"อืม... ได้"
โอย อยากย้ายมาเรียนคณะแพทย์จริงๆ เลยเว้ย!




-------------------------------------------------------

เจ็ทคงไม่ใช่คนแต่เป็นคว..... อุย ทนได้ทนดี แม้แต่สีทาบ้านยังอาย
ใครสนใจดามอกให้พี่เดย์บ้าง หนุ่มผมยาวเขาแซ่บไม่แพ้หมอนะเออ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 15 - P.2 (23/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 23-08-2017 20:51:06
พี่ทาวน์หายงอนแล้ววว :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 15 - P.2 (23/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 23-08-2017 22:42:25
เฮ้อ ยอมเขาไปซะหมด เหมือนจะดีนะแต่ไม่ฟิน
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 15 - P.2 (23/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 23-08-2017 23:00:21
สู้ๆๆนะเดี๋ยวหมอก็ใจอ่อน o13
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 15 - P.2 (23/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 24-08-2017 06:14:50
 :o8:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 15 - P.2 (23/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: tang ที่ 26-08-2017 07:47:24
 :o8: :-[ :o8: :-[
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 15 - P.2 (23/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 26-08-2017 09:07:14
อย่างอนน้องเจ็ทเลยพี่ทาวน์ สงสารน้อง T^T
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 16 - P.2 (30/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-08-2017 10:26:48
แข่งครั้งที่ 16
:: ทาวน์ ::




วันนี้เป็นวันที่อากาศไม่สดใสเพราะท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับฝนจะตก ระเบียงห้องเป็นสถานที่ที่ตัวผมอยู่ตอนนี้ กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมา

รุ่นน้องตัวสูง หน้าตาคมเข้มหล่อเหลา คิ้วหนา จมูกโด่งรับกับใบหน้ารูปไข่ ทรงผมอันเดอร์คัต ผิวเนื้อมีรอยสักนอกร่มผ้าสองจุดที่ข้อมือและท้ายทอย ไม่รู้ว่าด้านในมีอีกกี่แห่ง ดูยังไงท่าทางแบดบอยและแมนขนาดนั้นก็เป็นผู้ชายที่ป๊อปในหมู่สาวๆ แน่นอน ก็หุ่นอย่างกับนายแบบ คงมีใครหลายคนอยากครอบครอง  เขาจะหันมาชอบผู้ชายด้วยกันอย่างผม เป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่สุดท้ายเจ็ทก็พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าที่พูดที่บอกว่าจะจีบนั้น เจ้าตัวทำจริง

แต่คนเย็นชาอย่างนายเมืองเหนือก็สร้างเรื่องได้ตลอดเวลา

เด็กคนนั้นที่เอาแต่ทำหน้าเจ็บปวดใส่ตอนโดนปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่ายังตราตรึงในความทรงจำ ที่พูดออกไปแรงๆ ไม่ใช่ว่ารังเกียจเพศเดียวกัน แต่เพราะผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะตอบรับความรู้สึกมากมายจากเขาได้

ผมที่เป็นผู้ชายมาตลอดยี่สิบปี
ผมที่เป็นคนเย็นชาไม่สนใจโลก
ผมที่เป็นพวกเห็นแก่ตัว หวงก้าง
ผมที่เป็นคนรักแรงเกลียดแรง
ผมที่เป็นมนุษย์ปากแข็งและใจแข็ง

นิสัยแย่ๆ แบบนี้ใครที่ไหนจะรับได้กัน แฟนแต่ละคนที่เคยคบกันมา ไม่น้อยใจก็นอกใจไปด้วยข้ออ้างเรื่องนิสัยทั้งนั้น ผมควรอยู่ตัวคนเดียวใช่ไหม เลือกเรียนหมอก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ใคร เหมาะแล้วล่ะมั้ง วิถีชีวิตของนายเมืองเหนือ

วันนั้นที่ผมเห็นเดย์แสดงท่าทางว่าชอบพอเจ็ททำให้ความรู้สึกหงุดหงิดก่อตัวขึ้น เพราะอะไรผมก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน และไม่รู้อะไรดลใจให้ใจอ่อนกับไอ้เด็กสถาปัตย์คนนั้น ทั้งที่ไม่ชอบให้ความหวังใคร ยอมตอบตกลงให้จีบ ยอมไปกินข้าวด้วย แถมยังรู้สึกดีที่มันบอกว่า 'ระหว่างมันกับพี่รหัสไม่มีอะไรกัน' จะบอกว่าเริ่มหวั่นไหวอย่างนั้นเหรอ ไม่รู้สิ ไม่เคยมีความคิดแบบนี้มาก่อน

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงเย็นซึ่งเลยเวลาเลิกเรียนของเจ็ทมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมเลยตัดสินใจที่จะขับรถออกไปหาเขาที่คณะแทน เพราะอยู่คอนโดไปก็ไม่มีอะไรทำ อ่านหนังสือมาตลอดทั้งวันจนจำได้หมดทุกตัวอักษรแล้ว ก็มีนัดกันนี่นะ แอบคิดว่าคงโดนชวนเดตแบบเนียนๆ มากกว่า แต่ช่างเถอะ แค่กินข้าว ไม่เสียหายอะไรหรอก

ผมก้าวลงจากรถแล้วเดินไปนั่งรอเจ้าเด็กนั่นที่ลานคณะ มันบอกว่าเลิกเรียนเมื่อไหร่จะไลน์มาบอก แต่นี่จะหกโมงครึ่งก็ยังเงียบ ตกลงว่าลืมนัดหรือโดนใครสักคนลากไปแล้วหรือเปล่า แค่คิดก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แปลกใจตัวเองจริงๆ ที่ช่วงนี้เจ็ทเข้ามามีอิทธิพลกับอารมณ์เหลือเกิน

ตอนที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดพิมพ์ข้อความเรื่องที่ผมนั่งรอมันอยู่ลานคณะกลับต้องพับเก็บเมื่อดวงตารีเห็นร่างของใครบางคนที่คุ้นเคยกำลังยืนคุยกับพี่รหัสของตัวเองอยู่ มันใกล้จนได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน

"สวัสดีครับพี่"
เด็กนั่นเอ่ยทักทายเดย์ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีแววอึดอัดหรือดีใจ แอบคิดว่าติดนิสัยเย็นชาไปจากผมบ้างหรือเปล่านะ

ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเสื้อตามเดิม แล้วลอบมองคนทั้งคู่คุยกันต่อ ไม่ปฏิเสธว่าอยากรู้อยากเห็น เดย์ในความทรงจำคือคนที่เคยลงประกวดดาวเดือนปีเดียวกัน เป็นตัวเกร็ง เรียกเสียงกรี๊ดของสาวๆ ได้เยอะพอตัว เล่นกีตาร์เก่งร้องเพลงเพราะ ใบหน้าหล่อติดหวานนั่นมีเสน่ห์อย่างลำลึก เขาควรชนะ แต่ชื่อนายเมืองเหนือกลับถูกประกาศที่หนึ่ง เราทั้งคู่รู้จักกันแค่ผิวเผิน ไม่เคยทักทายเป็นกิจลักษณะ อย่างมากก็แค่ยิ้มให้ ไม่เคยพูดคุย

"อืม เลิกเรียนแล้วอะดิวันนี้"
เดย์ยังคงความสดใจด้วยคำถามเปื้อนรอยยิ้ม เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนตรงๆ อยากพูดก็พูด อยากทำก็ทำ ไม่มีหมกเม็ดหรือปกปิด นิสัยช่างต่างกับผมราวฟ้ากับเหว ดูๆ ไปก็เหมาะกับเจ็ทดี

"ครับ"
เด็กนั่นตอบรับสั้นๆ แถมยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหน้าตาเฉย ไม่ต้องเดาหรอกว่ามันส่งข้อความหาใคร ในเมื่อโทรศัพท์ของผมสั่นครืดอยู่ในกระเป๋า หยิบออกมาอ่านสักหน่อยก็ได้วะ

Phokin
วันนี้อาจารย์ปล่อยเลทครับ ขอโทษที่ช้านะครับ อีกสักครึ่งชั่วโมงผมน่าจะถึงร้าน

โดยนั่งวินมอ'ไซต์ไปน่ะเหรอ ไม่ต้องลำบากก็ได้ กูมารับถึงที่แล้ว

"ไปกินข้าวเย็นเป็นเพื่อนหน่อยดิ"
คำชวนนั้นทำให้ผมต้องเหลือบตามองเดย์ เขายังคงยิ้มหวานเหมือนเดิม ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงหลง แต่เห็นสีหน้าอึดอัดของเจ็ทแล้วถึงกับเม้มปากแน่น มันจะตอบกลับไปยังไงนะ แล้วทำไมต้องมารู้สึกลุ้นอะไรแบบนี้ด้วย

"ผม... มีนัดแล้วครับ"
เจ็ทตอบไม่เต็มเสียงคล้ายกับว่าไม่มั่นใจที่ต้องปฏิเสธคนตรงหน้า ก็นั่นพี่รหัสควรรักษาความสัมพันธ์ไว้ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกกระอักกระอวน

"กับไอ้เมืองเหนือน่ะเหรอ"
น้ำเสียงเยาะเย้ยแต่สายตากลับสั่นไหวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผมสงสารเดย์ที่แสดงออกชัดเจนแต่ถูกปฏิเสธ แต่ก็สงสารเจ็ทที่เอาแต่ชอบคนเย็นชาอย่างนายเมืองเหนือ ไม่กล้าบังคับความรู้สึกใครอีกแล้ว ในอนาคตจะเกิดอะไรก็ปล่อยให้มันเป็นไป

"ครับ"
ตอบกลับแบบไม่ลังเลในน้ำเสียง นั่นทำให้ผมยกยิ้มที่มุมปาก ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรู้สึกโล่งใจแบบนี้ด้วย กลัวโดนเบี้ยวนัดล่ะมั้ง

"ไม่เหนื่อยเหรอ เมื่อวานเสียใจ วันนี้มีความสุข พรุ่งนี้ไม่รู้จะเป็นแบบไหน มะรืนอีกล่ะ ชีวิตไม่มีความมั่นคงเลย"
คำถามนั้นทำให้ผมใจกระตุก เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำผิดมหันต์กับเด็กนั่นมากแค่ไหน เดี๋ยวก็ให้ความหวัง เดี๋ยวก็ตัดกำลัง คนประเภทนี้ควรมีคนดีๆ อยู่ข้างกายเหรอ

"ไม่ครับ"

"มันมีอะไรดีกว่ากูเหรอเจ็ท ช่วยบอกหน่อยสิ"

"ไม่รู้หรอกครับ แต่ความชอบมันบังคับกันไม่ได้ พี่เดย์น่าจะเข้าใจดี"

"เจ็ท... กูชอบมึงมากนะ ช่วยให้โอกาสกูได้ไหม ขอร้องล่ะ"
เดย์กำลังอ้อนวอนด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ความรู้สึกส่งผ่านดวงตาแดงก่ำโดยไม่ปิดบัง ทั้งรัก ทั้งเสียใจ ทั้งเจ็บปวด จะมีคนบ้าที่ไหนยอมทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อนร้องขอแบบนั้นบ้าง

ผมไม่อยากฟังอะไรอีกเลยตัดสินใจเลยออกมาจากตรงนั้นแล้วตรงไปที่รถ ตอนนี้อารมณ์และความรู้สึกไม่ปกติจริงๆ สมองกำลังทำงานอย่างหนักหน่วง แต่ไม่สามารถประเมินสภาพจิตใจของตัวเองได้ ใครว่านักศึกษาแพทย์เก่งไปซะทุกอย่าง แต่ดันโง่เรื่องอีคิว สมเพชตัวเองชะมัด

ปี๊นๆ

"เฮ้ย ทำไมพี่..."
สีหน้าของเจ็ทดูจะตกใจมากเมื่อเห็นผมขับรถมาเทียบฟุตบาทแล้วลดกระจกลง เดย์กำลังยื้อยุดฉุดกระชากรั้งเด็กคนนี้อยู่

"มึงชักช้า กูเลยมารับ"
ผมตอบเสียงเรียบโดยไม่สนใจท่าทีของเดย์เลยสักนิดว่าเขามองมาด้วยสายตาแบบไหน จะคิดยังไงก็ช่าง ตอนนี้แค่อยากดึงเจ็ทออกมา

"อ๋อ ขอโทษครับที่ปล่อยให้รอ"
เจ็ทแกะมือของพี่รหัสออกอย่างนิ่มนวลแล้วคลี่ยิ้มหวานให้ ผมส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ถือสาแล้วรอให้เขาก้าวขึ้นรถ ไม่เร่ง ไม่ท้วงติง อยากรู้ว่าทั้งสองคนจะทำยังไง

"อย่าไป..."
เดย์ครางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พยายามเอื้อมมือแตะแขนของเจ็ท แต่เด็กนั่นแค่เบี่ยงตัวเล็กน้อยแล้วโค้งตัวให้ ผมทำถูกหรือเปล่าที่เขามาเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาแบบนี้ ผมมันเลวมากใช่ไหมที่กลายเป็นหมาหวงก้าง ขับรถออกไปเลยดีไหม ตอนนี้สับสนจนหัวจะระเบิดอยู่แล้ว

"ขอโทษครับพี่เดย์ แต่ผมต้องไป"
เจ็ทตัดบทแล้วขึ้นรถและลงมือปิดกระจกด้วยตัวเองก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มแล้วพยักพเยิดให้ผมออกรถ ตอนนี้ในหัวมีคำถามที่ว่าใครใจร้ายกว่ากัน นายเมืองเหนือหรือนายภาคิน

ผมขับรถไปตามเส้นทางมุ่งสู่ร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนที่ไม่ไกลจากมหา'ลัยมากนัก บรรยากาศภายในรถช่างน่าอึดอัดเพราะมันเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ไม่มีใครปริปากพูดเรื่องที่เพิ่งเกิดไปเมื่อครู่ เจ็ทอาจจะยังตกใจที่อยู่ๆ ก็มีคนมารับถึงคณะ

หางตาคอยเหลือบมองคนด้านข้างอยู่เป็นระยะ เหมือนเจ็ทอยากพูดอะไรเพราะทำปากขมุบขมิบแต่สักพักก็หยุดแล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้กระทั่งตอนติดไฟแดงก็ยังคงโฟกัสตำแหน่งเดิม ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร ทำไมต้องเผลอเกลียดขี้หน้าเดย์ทั้งที่เขาไม่ได้มายุ่งด้วยสักนิด

"พี่ทาวน์..."
ความคิดสะดุดกึกเมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งของคนข้างตัว สงสัยจะหิวน้ำด้วยล่ะมั้ง ผมเลยหยิบขวดน้ำที่อยู่ข้างประตูรถแล้วส่งให้ไป ดูเด็กนั่นจะงงๆ แต่ก็พึมพำขอบคุณแล้วรับไปดื่ม

"รุ่นพี่มึงหล่อดีนะ"
ผมเอ่ยชมเดย์จากใจจริง แต่คิดว่ามันโคตรงี่เง่า ทำไมต้องชวนเจ็ทคุยเรื่องนี้วะ ตอนนี้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เลย อยากหักพวงมาลัยจอดข้างทางแล้ววิ่งหนีไปไกลๆ ทำไมสับสนแบบนี้

"คะ ครับ"
เจ็ทยังใจดีที่ตอบรับ เขาเอาแต่มองมือที่ตั้งอยู่บนตักเหมือนมันจะมีนิ้วงอกออกมาเพิ่ม ทำตัวคล้ายคนสำนึกผิด ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำแบบนั้นเลย เด็กคนนี้คิดว่าผมแคร์เรื่องเมื่อครู่แค่ไหนกัน

"ไม่ชอบเหรอ"
ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถามออกไปแบบนั้น เพราะอยากรู้หรือแค่อยากชวนคุยคลายความอึดอัดกันแน่

"ไม่ครับ ผมชอบพี่ทาวน์คนเดียว"
น้ำเสียงที่ตอบกลับถึงมันจะแผ่วเบาแต่ก็หนักแน่นในความรู้สึก เป็นคนดีและมั่นคงจนน่าอิจฉาจริงๆ

"ย้ำบ่อยจริง รู้แล้ว"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไม่อยากให้เกิดความสภาวะตึงเครียด เจ็ทก็ดูจะผ่อนคลายลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองถนนด้านหน้า จริงๆ ก็ใกล้ถึงร้านอาหารแล้วล่ะ แต่ขอเวลาคุยกับเจ้าเด็กนี่สักหน่อยแล้วกัน

"ก็จะพูดจนกว่าพี่จะชอบผมบ้าง"
น้ำเสียงของเจ็ทสั่นแต่พยายามทำให้ฟังดูเป็นเรื่องสบาย รู้ดีแก่ใจว่าเขาจริงจังมากแค่ไหน แล้วผมล่ะ จะเล่นบทหมาหยอกไก่เพื่ออะไร เฝ้าถามตัวเองมานานแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ปฏิเสธไม่เคยเด็ดขาด พอเห็นหน้าเศร้าๆ ก็เผลอใจอ่อน ตกลงว่ามันยังไงก็แน่นะหัวใจ

"งั้นพูดไปตลอดชีวิตเลยดีไหม"
เพราะผมไม่มั่นใจในความรู้สึกตัวเองว่าสุดท้ายแล้วจะไปทิศทางไหน รักหรือไม่รัก

"โหย ไม่ดีแน่ๆ ครับ"
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดทำให้ผมต้องเหลือบไปมองใบหน้าของเจ็ทอย่างอดไม่ได้ ไอ้เด็กนี่ทำหน้ายุ่งยังหล่อ ใกล้เคียงกับคำว่าเพอร์เฟ็คเข้าไปทุกที ไม่อยากมีแฟนเป็นผู้หญิง มีครอบครัว มีลูกบ้างหรือไง

"งอแงไปได้"
พูดจบก็เลี้ยวเข้าจอดหน้าร้านอาหารที่เจ็ทอยากมากิน บอกตามตรงมาเอียนอาหารอิตาเลี่ยนมากแต่ก็ยอมตามใจคนนัด นี่มันผิดวิสัยมากๆ ปกติเคยยอมใครซะที่ไหน หรือว่าผมจะหวั่นไหวกับมัน...

"ก็พี่ใจแข็งเกินไปนี่ครับ"
รู้จักผมดีเลยมีความพยายามมากกว่าปกติหรือเปล่านะ

"พยายามเข้า"
ผมพูดจบแล้วดับเครื่องยนต์ก่อนจะชักเมื่อทบทวนได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองพูดอะไรออกไป เจ็ทถึงกับเบิกตากว้างแล้วมองมาแบบไม่วางตาราวกับตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ริมฝีปากหยักสีส้มเริ่มขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมา

"พี่กำลัง... ให้ความหวังผมโคตรๆ เลยนะ"
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสับสนและตื่นเต้นทำให้ผมได้แต่เม้มปากแน่น ที่พูดไปดีแล้วหรือ ขอถอนคำตอนนี้ทันไหม หรือควรบอกอะไรเพิ่มเติมสากกว่านั้น ให้เจ็ทได้เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะดำเนินต่อ

ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเราอีกครั้ง และในรถเริ่มอากาศร้อนอบอ้าว คิดแล้วก็ได้แต่กนด่าตัวเองในใจว่าจะรีบดับเครื่องเพื่ออะไร คนฉลาดก็มีสิทธิ์เป็นคนโง่ในเรื่องง่ายๆ ได้เหมือนกันสินะ ผมเปิดประตูแล้วลุกออกไปยืนพิง มองดูท้องฟ้าที่ความมืดกำลังโรยตัว

"อืม มึงควรรู้เอาไว้ว่ากูนิสัยเสีย"
ผมเริ่มพูดอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงขยับในรถ เจ็ทคงก้าวตามลงมาและพร้อมฟังสิ่งที่ตัดสินใจจะบอก มันคือความเห็นแก่ตัว ความเลวบริสุทธิ์ของนายเมืองเหนือคนนี้

"คือ..."

"กูเห็นแก่ตัว ไม่ชอบให้คนที่จีบตัวเองไปยุ่งกับคนอื่น"
ผมก็แค่หวงทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ ถ้าลองเข้ามาในอาณาเขตแล้วก็ยากที่จะออกไป ยกเว้นแต่ว่ามันสร้างความอึดอัดและน่ารำคาญให้ เมื่อนั้นก็เลิกสนใจใยดีได้เหมือนกัน

"อะ..."
เจ็ทเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ปิดปากเงียบ ผมไม่รู้หรอกว่าเขากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน คิดยังไงกับประโยคเมื่อครู่ ความรู้สึกชอบเปลี่ยนเป็นรังเกียจหรือยังนะ ถ้าคำตอบคืออย่างหลังคงต้องหัวเราะเยาะกับสันดานเสียๆ นี่สักที

"ถ้าทำไม่ได้ก็เลิกจีบกูซะ เพราะมันน่าหงุดหงิด"
รู้ว่างี่เง่าแต่ห้ามปากตัวเองไม่ได้จนต้องปิดประตูกระแทกเสียงดัง อีกฝ่ายที่มองการกระทำอยู่เงียบๆ ด้านหลังถึงกับรีบเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วละล่ำละลักพูดสิ่งที่คิด เขานึกว่าผมโกรธเหรอ เปล่าเลย แค่เกลียดตัวเองตอนนี้มาก เหมือนคนกำลังหึงหวงทุกอย่างที่ประกอบเป็นนายภาคิน

"ทำได้สิ ทำได้ แค่ผมมีตัวตนในสายตาพี่บ้างก็ดีใจแล้ว"
เขาพูดทั้งรอยยิ้มมันทำให้ผมรู้สึกผิดมหันต์ที่ลงมือทำลายหัวใจดวงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า อยากขอโทษที่เคยพูดจาร้ายกาจ แต่ปากแข็งๆ ก็ยังคงไม่กล้าเอื้อนเอ่ย กลัวว่าความรู้สึกบางอย่างจะหลุดรอดออกมาจากก้นบึง มันกำลังก่อตัวอย่างเงียบเชียบ จนเจ้าของอย่างผมไม่ทันรู้ตัว ไม่กล้ายืนยัน แต่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง

"หลงตัวเองว่ะ"
ผมผลักอกมันแล้วบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะจ้ำอ้าวเข้าร้านอาหารโดยไม่ลืมหันไปล็อกประตูรถ ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงแว่วมาก็รู้สึกว่าหัวร้อนอยากต่อยหน้าใครสักคน มีความสุขอะไรนักหนากับแค่การให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่เข้าใจจริงๆ

"ถ้าเปลี่ยนเป็นพี่หลงผมจะดีกว่านี้นะ"
ไม่รู้ว่าเจ็ทเดินมาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ เสียงพูดเลยใกล้หูขนาดนั้นแถมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดลงมาข้างแก้ม ผมหันไปจ้องเขม็งแล้วพูดเสียงรอดไรฟัน

"ฝัน"
นอนฝันไปเถอะนายภาคิน ถ้าอยากมีความสุขมากนักก็ไม่ต้องตื่น เด็กอะไรน่ารำคาญชอบเอามือมาเขย่าหัวใจคนอื่นเขาแบบนี้

หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ได้พัฒนาไปไกลสักเท่าไหร่เพราะต่างยุ่งกับการเคลียร์งานและอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบปลายภาค มีบ้างที่เจ็ทจะส่งข้อความทางไลน์มาหา หรือเอาอาหารเช้าไปส่งให้ที่คณะ บริการดีประทับใจจนโดนไอ้ฟาล้อ ช่วงแรกๆ ยังรับได้ ช่วงหลังเริ่มน่ารำคาญเลยเผลอประเคนฝ่ามือลงบนหัวตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ส่วนไอ้แฮมดูมีความสุขที่ได้กินของฟรี แถมยังออกตัวว่าสนับสนุนให้ฝ่ายนั้นรีบจีบเพื่อนตัวเองให้ติดสักที ประสาทกลับกันไปหมดแล้วพวกนี้ เชียร์เพื่อนให้มีแฟนเป็นผู้ชายแล้วมีความสุขจังเนอะ

ไอ้ฟานี่ก็ควายเรียกพ่อ โดนไอ้น้องฟาร์มชอบยังไม่รู้ตัวอีก แต่ก็นะ... รายนั้นเขาก็ปอดแหกไม่กล้าทำอะไรสักที เพื่อนผมไม่ระแคะระคายอะไรก็คงไม่แปลก ถึงมันจะเป็นเกย์แท้ๆ แต่ไม่เคยใฝ่หาแฟนเป็นตัวเป็นตน คงไม่พร้อมผูกมัดกับใครเหมือนไอ้แฮม เชี่ยนั่นควรแต่งงานกับของกิน

ผมกำลังพลิกหน้ากระดาษเพื่ออ่านหนังสือซ้ำอีกรอบ ความจริงอยากใช้เวลาว่างไปกับการดูรายการทีวีหรือเล่นเกมบ้างแต่ทำไม่ได้ เพราะกลัวติดลม ถ้าสอบได้คะแนนน้อยขึ้นมาพ่อคงผิดหวัง ถ้าแหวกแนวไปเรียนสายศิลป์ได้คงซิ่วไปนานแล้ว แต่ติดตรงที่บ้านทำกิจการโรงพยาบาลเอกชน เลยไม่มีทางเลือก

ผ่านมาเกือบสองชั่วโมงหลังจากพักกินข้าวเที่ยงไป เสียงสั่นครืดของโทรศัพท์ทำให้ผมต้องละสายตาจากตัวหนังสือภาษาอังกฤษ รายชื่อบนหน้าจอทำให้ต้องขมวดคิ้วยุ่ง ก็ไหนเจ้าตัวบอกว่าวันนี้ต้องเคลียร์งานเขียนแบบไง

"ว่าไง"
ผมกดรับและกรอกเสียงเรียบลงไปตามสายเหมือนทุกที ไม่แสดงอาการยินดียินร้ายที่อีกฝ่ายโทรมาหา

'สะ สวัสดีครับ พี่ว่างคุยไหม'
น้ำเสียงตะกุกตะกักทำให้ผมต้องเลิกคิ้วแล้วก้มมองหนังสืออีกครั้ง ถามว่าว่างไหม ก็ไม่ แต่พักสายตาสักครู่ก็ดีเหมือนกัน จะเดินไปหาอะไรดื่มให้สดชื่นด้วย

"ก็... อืม มีอะไร"
ผมถามกลับไปแล้วพาตัวเองไปหยุดอยู่หน้าตู้เย็นก่อนจะบิดตัวไล่ความเมื่อยขบที่สะสมมาตลอดวัน มือเรียวกำลังยืนไปด้านหน้าแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของเจ็ทลอดออกมา ว่ายังไงนะ

'คือ เย็นนี้จะชวนไปกินเหล้า...'
คึกอะไรชวนไปกินเหล้าทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงใกล้สอบแบบนี้วะ จะมอมแล้วรวบหัวรวบหางเหรอ ผมก็เป็นคนเย็นชาที่ชอบเพ้อเจ้อเหมือนกัน หลังๆ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคีพลุคไม่ค่อยอยู่ ปากมันพาลจะยิ้มให้เจ็ทอยู่ร่ำไป

"หึ คิดยังไงชวนนักศึกษาแพทย์กินเหล้า"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงดุ ไม่ได้ซีเรียสเรื่องดื่มหรอก นักศึกษาแพทย์ก็ใช่ว่าเป็นศัตรูกับแอลกอฮอล์สักหน่อย แค่แตะพอเป็นพิธีบางโอกาสเท่านั้น ขืนเมาหัวราน้ำก็แย่กันพอดี เรียนไม่ทันเพื่อน

'เอ่อ... ขอโทษครับ แค่อยากเจอน่ะ'
ปลายสายเสียงแผ่วเหมือนสำนึกผิดว่าไม่ควรชวนเด็กสายสุขภาพไปเสียสุขภาพ แต่ไอ้ประโยคหลังน่ะคือเหตุผลจริงๆ ของการโทรมาใช่ไหม แล้วทำไมผมต้องใจสั่นด้วยวะ โดนหยอดแค่นี้ถึงกับไปไม่เป็นเลยหรือไง อยากได้ความไม่สนไม่แคร์โลกกลับมาฉิบหาย

"ล้อเล่น กูก็คน กินเหล้าเป็นเหมือนกัน"

'งั้นตกลงว่าไปไหมครับ'

"ได้ แต่ต้องรอกูอ่านหนังสือจบก่อนนะ"
อ่านหนังสือรอบที่ร้อยน่ะนะ

'โอเคเลยครับ พี่อ่านจบเมื่อไหร่โทรหาผมนะ จะได้ออกไปรอที่ร้าน'
น้ำเสียงระรื่นทำให้ผมจินตนาการถึงใบหน้ายิ้มแย้มของเจ็ทได้อย่างชัดเจนจนน่าหมั่นไส้ แต่เวลามันแสดงออกว่ามีความสุขก็น่ารักดี

"ไม่ต้อง เดี๋ยวไปรับที่คอนโด"
ผมบอกก่อนจะคว้าน้ำเปล่าออกมาดื่ม ยังไงตอนไปร้านเหล้าก็ต้องขับผ่านหน้าคอนโดของเจ็ทอยู่แล้ว แวะรับก็คงไม่เสียหาย อีกอย่างขี่มอ'ไซต์ดึกดื่นอันตราย

'หา... จะมารับจริงๆ เหรอ'
ปลายสายร้องเสียงหลงเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ฟังไป ผมเผลอหลุดหัวเราะแต่คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน

"หรือมึงจะมารับกูแทน"
ผมไม่ได้ตอบแต่ถามเขากลับ ทางเดียวกันไปด้วยกันประหยัดน้ำมันรถดีออก ไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝง เออ... เอาจริงๆ อาจจะมีนิดหน่อย อย่างเช่นนายเมืองเหนือกินเหล้าจนไม่มีความสามารถในการกลับ จะได้ให้เจ็ทไปส่ง เพราะได้ข่าวว่าแอบไปเรียนขับรถมาแล้ว แถมยังตีนผีสูสีกันอีกด้วย

'ถ้าพี่ยอมซ้อนมอ'ไซต์ผมก็ยินดีนะ'
เจ็ทนี่มันเจ็ทจริงๆ สิน่า เปิดช่องว่างให้ทีไรเป็นหยอดตลอด ที่บ้านเคยสอนทำขนมครกหรือยังไง คิดแล้วก็ได้แต่แปลกใจจริงๆ

บรรยากาศร้านนั่งชิวเป็นอะไรที่ผมชอบมากกว่าผับบาร์ มันโปร่งสบายไม่อึกทึกคึกโครม จังหวะดนตรีไม่ได้เร่งเร้าจนน่ารำคาญ เพลงหวานบ้างเศร้าบ้างสลับกันไป ไม่ได้มานั่งผ่อนคลายแบบนี้ตั้งแต่เริ่มขึ้นปีสอง ด้วยเหตุที่ต้องเรียนหนักขึ้นเลยห่างๆ จากแอลกอฮอล์จะดีกว่า

"พี่จะสั่งเหล้า เบียร์ หรือค็อกเทลดีครับ"
คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพลิกเมนูในมือไปมา มีทั้งเครื่องดื่มและอาหาร ผมว่าทางที่ดีควรหาข้าวกินก่อนไหม เดี๋ยวก็เมาหัวทิ่มกันพอดี ใครสั่งใครสอนให้กระดกแอลกอฮอล์ตอนท้องว่างวะ

"มึงอยากดื่มอะไรก็สั่ง กูได้ทั้งนั้น"
ผมบอกปัดเพราะขี้เกียจคิดแล้วหันไปเรียกพนักงานเสิร์ฟมารับออเดอร์อาหาร ข้าวผัดทะเลจานใหญ่กับต้มยำกุ้งก็น่าจะพอ เหลือพื้นที่ให้ของมึนเมาบ้าง

"ตามใจผมเหรอ"
น้ำเสียงทะเล้นกับสายตาแวววาวที่ส่งมาให้แบบไม่เกรงใจพนักงานเสิร์ฟทำให้ผมลอบถอนหายใจ ถ้าคิดแบบนั้นแล้วมีความสุขก็เอาเถอะ ขี้เกียจจะขัด เดี๋ยวก็เสียใจทำหน้าหงอยอีก น่าเบื่อ

"เอาที่สบายใจเถอะ"

ผมเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าเจ็ทกินข้าวมื้อเย็นน้อยเพราะปกติจะออกกำลังกายโดยการไปวิ่งที่สนามมหา'ลัยหรือเข้าฟิตเนส แต่พักหลังๆ กลับยุ่งเรื่องเรียนจนหุ่นเริ่มไม่เฟิร์ม จะให้รองท้องด้วยผลไม้ก่อนดื่มเหล้าก็ยังไงอยู่ ช่างแม่งเถอะ เรื่องของเขา

"พี่ทาวน์"
อยู่ๆ ไอ้คนที่นั่งมองโน่นมองนี่มาสักพักใหญ่ก็พูดขึ้น ผมที่กำลังหยิบกับแกล้มเข้าปากถึงกับเลิกคิ้ว สงสัยว่ามันมีอะไรถึงได้ใช้เสียงแผ่วๆ เรียกแบบนั้น

"ว่า"
ผมถามกลับไปสั้นๆ แล้วโยนกับแก้มเข้าปากเคี้ยวตุ่ยๆ ดวงตาคมของเจ็ทมองตรงมาทางนี่อย่างไม่ลดละ เขาเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่ามันสั่นไหวความรู้สึกคนอื่นได้ เกลียดที่มันคอยเอาแต่สื่อว่าชอบว่ารักโดยไม่ปิดบังจนสุดท้ายทนไม่ได้ต้องเบนหน้าหนี

"นักศึกษาแพทย์นี่เขามีงานรับเสื้อกาวน์ก่อนขึ้นปีสี่เหรอครับ"
คำถามของเด็กนี่ช่างแปลกประหลาด อยู่ๆ ทำไมวกเข้าเรื่องรับกาวน์วะ หรือชวนคุยตามประสาเพราะเงียบใส่กันมานาน

"เออ ถามทำไม"
ผมถามอย่างไม่ใส่ใจแต่ก็แอบสังเกตปฏิกิริยาตอบกลับจากคนตรงหน้า มีหลายครั้งที่สายตาเหลือบเห็นสาวๆ โต๊ะใกล้ๆ ส่งยิ้มมา ไม่รู้ว่าเป้าหมายของพวกเธอคือเด็กแพทย์หรือสถาปัตย์ ถ้าเป็นอย่างแรกก็ยินดีแต่ถ้าอย่างหลังมันก็น่าหงุดหงิดนิดๆ ล่ะมั้ง

"วันนั้นผมจะไปแสดงความยินดีด้วยนะ หอบดอกไม้ช่อโตๆ เลย"
ผมถึงกับหลุดหัวเราะ ทำไมถึงฝันเฟื่องอย่างกับสาวๆ ทั้งที่ตัวอย่างกับควายแต่มีมุมโรแมนติกมุ้งมิ้ง มันดีหรือแย่วะแบบนี้

"ให้กูผ่านปีสองกับสามให้ได้ก่อนเถอะ"
ผมยกความจริงมาพูดเพราะกว่าจะไปยืนตรงจุดนั้นได้ก็มีนักศึกษาโบกมือลาคณะนี้มานัดต่อนัดแล้ว ถ้าทุกคนสามารถยืนหยัดจนจบหกปี จำนวนหมอในประเทศคงไม่ขาดแคลนขนาดนี้

"นั่นสินะ สู้ๆ ครับ พี่ทาวน์เก่งอยู่แล้ว"
เก่งนักเรื่องออกปากชมและให้กำลังใจด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมไม่ยินดียินร้ายกับประโยคเมื่อครู่เลยสักนิด เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง แต่ไม่อยากยอมรับว่าปากมันชอบกระตุกอยู่เรื่อย จะยิ้มเพื่ออะไรวะ เดี๋ยวมันก็ได้ใจกันพอดี

"ไม่ต้องมาชม ชงเหล้าเพิ่มที"
ผมแก้อาหารกระอักกระอวนของตัวเองโดยส่งแก้วที่ปราศจากสีอำพันให้กับเจ็ท มันรับไปแล้วคลี่ยิ้มกว้างก่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

"ครับๆ เดี๋ยวจะชงเข้มๆ เลย"
มันพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วจัดการเทเหล้าใส่แก้วสี่ฝาเต็มๆ นี่กะชงเข้มจริงเหรอ ออนเดอะร็อคส์เลยไหมถ้าจะขนาดนี้ ไม่ต้องกลับบ้านกลับช่องแม่ง

"คิดจะมอมหรือไง"
ผมถามด้วยเสียงดุๆ จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงเปื้อนยิ้มแห่งความสุข เจ็ททำท่าครุ่นคิดก่อนจะเคาะที่คีบน้ำแข็งลงบนปากแก้ว ท่าทางดูระริกระรี้ขึ้นมากกว่าเก่า

"ถ้าได้ก็ดีนะ ผมอาจจะรวบหัวรวบหางตอนพี่เมา"
เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากราวกับถูกใจนักหนาทำให้ผมลอบเบ้ปากใส่ กล้าล้อเล่นกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ พออ่อนข้อให้หน่อยแล้วปีนเกลียวเหรอ แต่ช่างมันเถอะ อายุห่างกันแค่ปีเดียวจะซีเรียสไปทำไม

"ตื่นขึ้นมากูคงเอามีดไล่แทงมึง"
ผมบอกเสียงเรียบแล้วยักคิ้วจึกๆ ให้ ยังไงไอ้เด็กนี่ก็ต้องแพ้อยู่ดี มันเบิกตาโตใส่ก่อนจะทำหน้าหวาดกลัว

"โหดอะ"

"หึ มึงเริ่มคิดแผนชั่วๆ ก่อนเอง"
ผมเอื้อมมือไปรับแก้วเหล้าชงเข้มมาดื่ม ไม่กลัวเมาแล้วโดนรวบหัวรวบหางหรอก เพราะรู้ดีว่าเจ็ทไม่ใช่คนแบบนั้น

"ผมแค่ล้อเล่นน่า แล้วนั่นพี่จะไปไหนครับ"
เจ็ทออกปากถามเมื่อผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง นั่งอั้นฉี่มาได้นานสองนานจนทนไม่ไหวแล้ว

"ห้องน้ำ"
ผมตอบแล้วทำท่าจะหันหลังออกเดิน แต่มือหนากลับรั้งชายเสื้อไว้ และมันสร้างความประหลาดใส่จนต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร หรือจะไปด้วยกัน




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 16 - P.2 (30/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-08-2017 10:27:22
"อย่าเพิ่งไปเลย นั่งลงก่อนเถอะนะ"
เจ็ทดูลุกลี้ลุกลนมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วแต่ผมมองข้ามเพราะคิดว่าคงไม่ชอบสายตาของสาวๆ ที่จ้องมา แล้วตอนนี้เหตุผลคืออะไรกันแน่

"กูปวดฉี่ ไข่จะแตกอยู่แล้ว"
ผมมองชายเสื้อสลับกับใบหน้ากระอักกระอวนของเจ็ท จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างแต่ปวดฉี่ไม่ไหวแล้วจริงๆ

"แต่ว่า..."
มันรั้งแต่ก็ยอมปล่อยชายเสื้อเพราะผมส่งสายตาดุๆ ไปให้ จังหวะที่หันหลังกำลังจะก้าวเดินกลับต้องหยุดชะงักกับภาพตรงหน้า

"พรีม"
ผมครางชื่อเธอสั้นๆ มองหญิงชายคู่หนึ่งกำลังนัวเนียกันไม่แคร์สายตาใคร หัวใจไม่ได้เจ็บปวดแต่รู้สึกเกลียดมากกว่า ไม่รักนวลสงวนตัวบ้างหรือไงนะ

"พี่ครับ..."
เสียงเรียกจากเจ็ททำให้ผมละสายตาจากคนทั้งคู่แล้วหมุนตัวกลับมาเลิกคิ้วใส่ ทำไมไม่พูดต่อ แล้วใบหน้ากังวลแบบนั้นน่ะ คืออะไรกัน

"หืม มีอะไร"
จะยอมอั้นฉี่ฟังมันพล่ามหน่อยก็แล้วกัน ทำหน้าเป็นหมาหงอยซะขนาดนั้น

"คือผม..."
มันก้มหน้าแถมทำท่าทีอึกอัก ผมพอจะเดาเรื่องราวได้เลยเดินไปขยี้หัว เด็กอะไร คิดมากฉิบหาย

"ถ้าจะพูดเรื่องพรีมก็ล้มเลิกความคิดซะ กูไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว มึงไม่ต้องกังวลหรอก"
ผมไม่ชอบอธิบายอะไร ใครจะคิดยังไงก็ช่าง แต่กับเจ็ทไม่รู้ทำไมบางอย่างร้องเตือนว่าไม่สามารถปล่อยผ่านได้ กลัวว่าต้องเสียใจซ้ำอีกครั้งล่ะมั้ง ก็รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมาะกว่าใบหน้าเศร้าๆ

"พี่ทาวน์เข้มแข็งจังนะครับ"
รอยยิ้มบางพร้อมกับคำชมทำให้ผมชะงักฝ่ามือที่กำลังขยี้หัวมัน

"ใครจะไปงอแงเหมือนมึงล่ะ"
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแต่อีกคนกลับนิ่งแล้วก้มหน้าแทบชิดอก แถมยังขยับตัวออกจากการสัมผัสอีกด้วย คงโดนสะกิดแผลใจเข้าแล้วล่ะ... ทำไงดี

"....."

"ขอโทษที่ทำให้เจ็บ"
ผมเอ่ยเสียงเบา รู้สึกผิดจริงๆ แต่ปากมันแข็งเกินไปและเชื่อว่าเขาคงได้ยินเพราะสีหน้าตื่นๆ แม่ง หักอกคนอื่นไม่เห็นจะเคยรู้สึกแย่แบบนี้สักครั้ง แล้วทำไม... คิดแล้วปวดหัว

"พี่... ว่าไงนะครับ"
ถามย้ำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบนี้ ผมควรยกแก้วเหล้าเทราดหัวมันไหม กวนตีนเหี้ยๆ

"สัด ไม่พูดแล้ว"
ด่ามันบ้างคงสำนึก แต่เปล่าเลย ผมคิดผิดถนัด เล่นกับหมาโดนหมาเลียปากจริงๆ

"แม่ง น่ารักว่ะ"
ใครสั่งใครสอนให้ชมผู้ชายแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นผมต่อยปากแตกไปแล้ว

กว่าจะได้กลับมานอนเอนหลังบนที่นอนนุ่มๆ ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน และเพิ่งได้เห็นว่าไอ้ฟากระหน่ำโทรหาตั้งเกือบสิบสายแถมส่งสติ๊กเกอร์แสดงอารมณ์หงุดหงิดมาในไลน์จนเครื่องแทบค้าง คงมีธุระด่วนอะไรจริงๆ

‘ไอ้สัด ฮัลโหล ไปตายที่ไหนมาวะ!’
แทนที่จะทักทายกันดีๆ แต่กลับด่ามาเป็นชุดแบบไม่ยั้ง ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วพลิกตัวไปกอดหมอนข้าง ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้ว อีกคนจะนอนไปหรือยังนะ แล้วจะไปคิดถึงมันทำไม

“ถ้าตายจะโทรหามึงได้ไหมล่ะ ถามโง่ๆ”
แอบแขวะเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ มันก็รู้ว่าปกติผมไม่ชอบเปิดเสียงโทรศัพท์ แล้วยิ่งเวลากลางคืนก็ไม่ค่อยรับสายใครเพราะอ่านหนังสือ แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้ที่ออกไปนั่งกินเหล้ากับไอ้เด็กนั่น คิดแล้วก็ยังสงสัยตัวเองที่ใจง่ายตามมันไปโน่นไปนี่

‘ก็มึงไม่ยอมรับโทรศัพท์อะ’
เสียงว่ากล่าวงอแงของไอ้ฟาทำให้ผมนึกใบหน้าแสนงอนของมันออก จะว่าน่ารักก็ใช่ แต่รู้สึกว่าน่าเตะมากกว่า

“แล้วมีธุระอะไร”

‘คืองี้...’
สรุปว่ามันโทรมาถามเรื่องเรียน เพราะไม่เข้าใจส่วนของเนื้อหาตรงนั้นตรงนี้ ผมก็อธิบายไปเรื่อยตามที่รู้มา

“จะวางแล้วนะ ง่วง”
ผมบอกมันก่อนจะหาวหวอดใส่ ปลายสายบ่นอะไรเสียงงุ้งงิ้งๆ น่ารำคาญจนต้องขยับโทรศัพท์ออกจากหู ทำตัวอย่างกับแม่คนที่สองอย่างไรอย่างนั้น ปวดหัวจริงๆ

‘เดี๋ยวๆ มีเรื่องจะถาม’
มันรั้งด้วยเสียงเร่งรีบเพราะผมเงียบไปนาน จริงๆ จะหลับไม่ใช่จะวางสาย

“อะไรอีก ตาจะปิดแล้ว”

‘มีคนบอกว่ามึงไปกินเหล้ากับไอ้น้องเจ็ท’

“หืม เออ แล้วยังไง”
ผมแอบตกใจที่มันรู้ แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไร ใครจะว่ายังไงก็ยังเพราะมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล

‘ใจอ่อนกับน้องมันแล้วเหรอจ๊ะ’
พอไอ้ฟารู้ว่าเป็นความจริงก็ออกปากแซว คำถามนี้ผมไม่มีคำตอบให้ตอนนี้เพราะยังสับสนและไม่แน่ใจว่าตัวเองสามารถหลงชอบผู้ชายได้จริงๆ หรือไม่ ขอเวลาทบทวนอะไรบางอย่างสักพักแล้วกัน

“เรื่องของกู”




---------------------------------------------------

พี่ทาวน์ก็แค่สับสนและไม่แน่ใจ อย่าแบนพี่เขาเลยหนา ~
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 16 - P.2 (30/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 30-08-2017 17:53:23
 :-[
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 17 - P.2 (10/09/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 10-09-2017 09:20:35
แข่งครั้งที่ 17




เสียงเครื่องปรับอากาศครางหึ่งๆ ยามใกล้เที่ยงคืนทำให้หนังตาแทบปิดอยู่รอมร่อ ถึงแม้ว่าผมจะพยายามจดจ่อกับหนังสือเรียนมากแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้หาอะไรทำแก้ง่วง โดยไม่ลืมหันไปขออนุญาตอีกคน

"พี่ทาวน์ครับ ผมขอตัวไปหาอะไรทำแก้ง่วงแป๊ปนึงนะ"
ผมหันไปบอกคนในหน้าจอด้วยใบหน้าง่วงงุน หลังจากวีดีโอคอลเฝ้าพี่ทาวน์อ่านหนังสือมาได้เกือบสองชั่วโมงดันเสือกง่วง ควรไปหากาแฟดื่มไหมวะ

'หืม ง่วงก็ไปนอน'
พี่ทาวน์พูดทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าจากหนังสือด้วยซ้ำ แต่ผมไม่ถือสาหาความเพราะเป็นคนตื้อจะเฝ้าเขาเอง ไม่โดนด่าก็บุญโขแล้วที่ยุ่งวุ่นวายเวลาส่วนตัวขนาดนี้ นับว่าการจีบก้าวหน้าได้หรือเปล่า

"ไม่ครับ ก็ผมบอกแล้วไงว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าพี่จะอ่านหนังสือจบ"
ผมยืนยันคำเดิมก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจ กำลังจะก้าวขาออกไปก็ได้ยินเสียงงึมงำของพี่ทาวน์ดังขึ้น

'ดื้อ'
คนพูดเงยหน้าขึ้นมองเพียงครู่เดียวแล้วกลับไปสนใจหนังสือต่อ ผมเลยได้แต่ย่นจมูกใส่อากาศแล้วบ่นเสียงงุ้งงิ้ง เขาไม่เรียกว่าดื้อสักหน่อย

"เปล่านะครับ แค่อยากอยู่ด้วย"

'ตามใจ'

"งั้นเดี๋ยวผมมานะ"
ผมแทบจะยิ้มแก้มแตกเมื่อได้ยินคำกึ่งอนุญาต ได้นั่งมองหน้าพี่ทาวน์แบบนี้มันรู้สึกดีเหมือนขึ้นสวรรค์ รู้สึกเหมือนตัวเองประสบความสำเร็จในการจีบหนุ่มไปอีกขั้น เชื่อว่าไม่นานเขาคงรู้สึกชอบกันบ้าง แค่นิดเดียวก็ยังดี

จากที่คิดว่าไปหากาแฟดื่มดีไหม สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดเพราะกลัวตาค้างไปทั้งคืน เลยเปลี่ยนเป้าหมายเดินไปที่ห้องนอนเพื่อหยิบเครื่องเล่นเกม Nintendo Switch ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้จับติดมือกลับมานั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม คราวนี้ผมคงไม่ง่วงอีก แต่จะติดลมแทน...

ผมคลี่ยิ้มให้พี่ทาวน์ที่เหลือบตามองเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับมาตั้งใจเลือกเล่นเกม Splatoon 2 จะมีการแบ่งทีมการแข่งขันเป็นสองฝ่าย ทีมละสี่คนโดยการสุ่มของระบบ เนื้อเรื่องเน้นการทาสีพื้นที่ในแมพให้ได้มากที่สุด

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่มีแต่เสียงดนตรีในเกมดังคลอประสานกับเครื่องปรับอากาศ ผมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่น มีบางครั้งที่เหลือบมองพี่ทาวน์ รายนั้นก็สนใจแต่หนังสือ เขาขมวดคิ้วบ้าง มียิ้มบ้าง ดูๆ ไปก็น่ารักดี จะมีใครได้เห็นมุมแบบนี้ไหม นายภาคินอยากหวงเก็บไว้คนเดียวจัง

'ทำอะไร'
คำถามไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยดังขึ้นพร้อมกับด้วยตารีที่มองมา ผมสะดุ้งเพราะเผลอจ้องพี่ทาวน์อยู่ เกือบทำเครื่องเล่นเกมตกจากมือ ถูกจับได้แบบนี้ควรแถยังไงดีวะ จะยอมรับก็รู้สึกอาย

"ละ เล่นเกมครับ กำลังสนุกเลย"
ผมรีบก้มหน้าก้มตาทำเป็นกดจอยเกม หัวใจเต้นแรงเพราะตื่นเต้นกลัวว่าพี่ทาวน์จะโกรธ กวนเวลาอ่านหนังสือไม่พอยังไปนั่งจ้องให้เสียสมาธิอีก

'ติดเกม'
คำพูดลอยๆ ของพี่ทาวน์ทำให้ผมชะงักมือที่กดจอยเกมหลอกๆ เหลือบตามองคนในจอก่อนจะถอนหายใจออกมา ดีแล้วที่เขาไม่ได้ใส่ใจท่าทีแปลกๆ ของนายภาคิน ไม่อย่างนั้นคงโดนหาว่าโรคจิต

"ช่วงนี้นานๆ ครั้งจะเล่นครับ ก่อนจีบพี่ทาวน์ผมติดงอมแงมเลยล่ะ"
ได้ทีก็แอบหยอดพร้อมส่งยิ้มหวานให้ พี่ทาวน์เงยหน้าขึ้นแล้วใช้มือเท้าคางพลางขมวดคิ้วคล้ายคนกำลังสงสัยและต้องการคำอธิบาย ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมคงเอื้อมมือไปดึงแก้มเขาด้วยความมันเขี้ยวแล้ว คนอะไรมุมไหนก็ดูน่ารักไปหมด หรือเพราะนายภาคินหลงนายเมืองเหนือจนถอนตัวไม่ขึ้นกันแน่นะ

'สนุกอะไรขนาดนั้น'
น้ำเสียงติดขำถามกันตรงๆ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนอริยาบทเป็นการบิดขี้เกียจโดยไม่มีการเก๊ก ถ้าหากไม่ได้เป็นคนสนิทของพี่ทาวน์ จะมีวันเจอมุมสบายแบบนี้หรือเปล่า ปกติหน้านิ่งขรึมอย่างกับโกรธใครอยู่ตลอดเวลา เป็นบุญตาและบุญใจของผมจริงๆ

"ไม่รู้สิครับ มันคลายเครียดดี พี่ลองเล่นดูปะ"
ตอบกลับไปพร้อมกับหันหน้าจอเครื่องเล่นเกมให้อีกคนดูด้วยความตื่นเต้น ถ้าพี่ทาวน์สนใจเราคงมีเรื่องให้คุยกันมากกว่านี้ และบางทีความสัมพันธ์อาจก้าวหน้าได้เร็วขึ้น เพราะทุกวันนี้ไม่ว่าผมจะหยอดคำหวานหรือจีบหนักสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่แสดงท่าทีว่าจะชอบกันบ้างเลย คิดแล้วก็ท้อแต่ไม่ยอมถอย

'ไม่ จะอ่านหนังสือต่อแล้ว เบาเสียงเกมมึงหน่อย'
พี่ทาวน์ส่ายหัวแล้วบอกความต้องการของตัวเองก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ ผมเลยได้แต่ตอบรับเสียงแผ่วแล้วตัดสินใจปิดเครื่องเล่นเกมเปลี่ยนมาจ้องเขาแทน

อยากขอบคุณพี่ทาวน์ที่ยอมให้คนอย่างผมเจ้าไปก้าวก่ายชีวิตประจำวัน อยากขอบคุณที่ไม่แสดงท่าทีรำคาญ ไม่ออกปากไล่เหมือนที่ผ่านๆ มา ตั้งใจจะพูดออกไปหลายรอบแต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบเพราะกลัวเขาอ้วกในความเลี่ยน เป็นแบบนี้ก็มีความสุขดีเนอะ ว่าไหม

ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็ตอนแสงแดดแยงตา นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงเช้า พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าสายตัดไปตอนไหนถึงกับตกใจ นี่พี่ทาวน์นอนตอนตีสามเหรอวะ มันจะทรหดอดทนเกินไปแล้ว ขนาดเป็นแค่นักศึกษาแพทย์ ถ้าเป็นหมอคงหนักกว่านี้

"เชี่ยเจ็ท ~ ทำอะไรอยู่วะ"
เสียงเจื้อยแจ้วของไอ้ฟาร์มร้องถามและเข้ามานั่งเบียดข้างๆ มันเพิ่งกลับมาจากออกไปกินข้าวเที่ยงกับเด็กในสต็อกสักคน เพราะโดนสาวเจ้าขู่ว่าจะเอารูปที่จูบกันลงประจานในเฟซบุค จากที่ขัดขืนแทบตายกลายเป็นว่าทั้งยิ้มทั้งประคองเธอขึ้นรถ คงกลัวว่าพี่ฟาจะเห็นเข้าล่ะมั้ง

"เล่นเกม"
ผมตอบกลับไปสั้นๆ แล้วขยับออกห่างเพราะไอ้ฟาร์มมันเกะกะ กำลังถึงจุดพีคของเกมอยู่แล้วเชียว ทำให้เสียสมาธิชะมัด

"กลับมาติดเกมอีกแล้วเหรอมึง"
ไอ้ฟาร์มยังถามต่อแถมยังพยายามยื่นหน้าเข้ามาดูจนปากของผมแทบจูบหัวมันอยู่แล้ว ด้วยความหมั่นไส้เลยใช้คางกระแทกกลางกบาลไปทีหนึ่ง เจ้าตัวร้องโวยวายครู่เดียวก็เงียบไปเพราะโดนไอ้ไธเตะขา

"เออดิ ก็เมื่อวานหยิบมาเล่นแก้ง่วงแล้วมันติดลม"

"ระวังหมาคาบพี่ทาวน์ไปแดกแล้วกัน ไอ้เด็กบ้าเกม"
แทนที่จะเป็นเสียงไอ้ฟาร์มกลับกลายเป็นคนที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นบ้าง ผมละสายตาจากจอทันทีแล้วถลึงตาใส่มัน ถ้าจะพูดขนาดนี้ต่อยกันเลยไหม กูจีบของกูมาตั้งหลายเดือน ถ้าหมาคาบไปก็แย่สิ!

"ปากมึงนี่นะ ขอให้จิณณ์ไม่รัก!"
ผมโต้กลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ ได้ยินเสียงประกาศผลในเกมว่าเป็นฝ่ายแพ้ยิ่งพาลหงุดหงิด แต่พอเห็นใบหน้าไม่สู้ดีของไอ้ไธอารมณ์ก็เย็นลงเยอะ เรื่องของมันกับจิณณ์คงไม่คืบหน้าพอๆ กับป๋าสายเปย์กับพี่ฟา

เดี๋ยวนะ... แล้วไอ้ฟาร์มมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เป็นผีหรือไง หายตัวได้ด้วย

"แล้วมึงคิดว่าทุกวันนี้จิณณ์รักกูหรือไง จะแช่งไม่แช่งก็เหมือนกัน"
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะซบหน้าลงกับท่อนแขนที่พาดยาวบนโต๊ะ ดวงตาคมทอดมองมาที่ผม มันทั้งเศร้าและสั่นไหว เรื่องความรักบางครั้งคนนอกก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทำแค่ยืนมองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็มากพอแล้ว

"ไธ... มึงกำลังดราม่าใช่ไหม"
ผมถามออกไปตรงๆ แล้ววางเครื่องเล่นเกมในมือลง ที่ถามออกไปไม่ใช่ว่าจะตอกย้ำ แค่ตั้งต้นเพื่อพาเข้าเรื่องที่อยากอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างจิณณ์กับไธมันเดินหน้าหรือยัง เพราะช่วงหลังมานี้ไม่ได้สนใจพวกมันเลย เอาแต่ตามจีบพี่ทาวน์ลูกเดียว

"....."
ไอ้ไธเม้มปากแน่นแล้วปล่อยความเงียบให้โรยตัวระหว่างเรา เสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมคณะยังไม่สามารถขจัดความอึมครึมที่เกิดขึ้นได้เลย อย่าหาว่าผมเสือกเรื่องเพื่อน ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้ ขอเป็นที่รับฟังให้มันระบายความอัดอั้นบ้างก็ยังดี

"ไม่กล้าบอกจิณณ์ว่ามึงรู้สึกยังไงใช่ไหม"
ผมไล่ต้อนเพื่อนด้วยสิ่งที่ตัวเองคิด และดูเหมือนว่าจะเดาถูกเพราะไอ้ไธถึงกับถอนหายใจเฮือกก่อนจะยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง ดวงตาคมเหม่อมองท้องฟ้าสดใสไร้เมฆ ซึ่งต่างจากอารมณ์ของมันตอนนี้เหลือเกิน

"จะให้บอกยังไง พอเจอหน้าจิณณ์กูก็ใบ้แดกทุกที กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมด"
ไอ้ไธขยี้หัวจนยุ่งเหยิง ดูจากสภาพแล้วคงาองจิตสองใจอยู่ตลอดเวลา หลายครั้งที่มันมีแรงฮึดจะบอกความรู้สึกกับจิณณ์ แต่ก็พังทลายไม่เป็นท่าทุกที ผมว่าผมเข้าใจความคิดนี้นะ ใช้เวลาสะสมความรักไว้ตั้งมาก ถ้าต้องเสียมันไปเพียงเพราะคำพูดคำเดียวคงไม่ดีแน่ๆ

"จะกลัวเชี่ยไรนักหนา ถ้าภายในอาทิตย์นี้มึงยังไม่บอกมันอีก กูจะบอกเอง ตกลงไหม"
แต่ด้วยที่ผมอยากเห็นไอ้ไธสมหวังสักที ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้แค่ห้าสิบห้าสิบก็เถอะ บางทีการกลัวอะไรไปก่อนมันบั่นทอนจิตใจเรามากเกินไป จิณณ์อาจจะมองโลกในแง่ดี อย่างเช่นมีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียดมั้ง

"เหี้ย! ทำไมต้องเผด็จการแบบวะ"
ไอ้ไธร้องเสียงหลงจนคนอื่นๆ ในลานคณะหันมามองเป็นตาเดียว ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษพวกเขาแล้วหันไปทำตาดุใส่เพื่อนที่ดูเหมือนสติจะหลุดลอยออกจากตัวไปแล้ว คราวนี้ขอบอกเลยว่าไม่ได้ขู่ นายภาคินเอาจริงเว้ย

"เพื่อตัวมึง ยืดเยื้อมานานแล้ว น่ารำคาญ"
ผมบอกแล้วเอื้อมมือไปผลักหัวคนขี้ขลาดแรงๆ จนมันร้องโวยวายว่าคอจะหักงั้นงี้ สำออยจริงๆ ก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้เป็นอะไรมากมาย มารยาเยอะแยบนี้เอาไปใช้จีบจิณณ์เถอะ มีประโยชน์กว่าเยอะ

"เออๆ แม่ง กูคงปอดแหกมากสินะ"
มันรับคำส่งๆ แล้วงึมงำด่าตัวเอง เชื่อไหมว่าไอ้ไธต้องใบ้แดกเวลาเจอจิณณ์อีกแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ผมจะเป็นกามเทพให้เอง

"ใช่ไง ต้องอย่างกูนี่ มาดแมน กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว"
ผมเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ เพราะตัวเองเป็นคนแรกที่กล้าสารภาพรักก่อนใครเพื่อน แต่ดูเหมือนไอ้ไธจะไม่เห็นด้วยเพราะมันเบ้ปากจนแทบจะล็อก แถมทำท่ารังเกียจกันขนาดนั้น กูไม่ใช่ขี้นะเว้ย เกลียดหน้ามึงจริงๆ

"เหรอครับ เห็นร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง"
เสียงแซวจากไอ้ไธทำให้ผมถึงกับหน้าสั่น เอาความจริงมาพูดเล่นมันไม่ขำนะเว้ย ตอนแรกกะจะลุกขึ้นแล้ววางมวยใส่แต่พอเห็นว่าสีหน้าของมันดูดีขึ้นก็เลยยอมๆ ไป อีกอย่างคือไม่อยากโดนคนอื่นรุมกระทืบข้หาเสียงดังรบกวนชาวบ้าน

"พอเถอะ..."
ผมร้องขอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วซบหน้าลงกับท่อนแขนเป็นการบอกว่ายกธงขาวยอมแพ้ไอ้ไธแล้วจริงๆ จะทำอะไรก็เรื่องของมันเลย เอาที่สบายใจมึงก็พอ

"เออๆ แล้วนี่ไอ้ฟาร์มวิ่งไปไหนของมันวะ"
ไอ้ไธมองไปรอบๆ ลานคณะเหมือนเพิ่งคิดได้ว่าเพื่อนสนิทอีกคนหายตัวไป ผมเลิกคิ้วมองมันแล้วพลางคิดมนใจว่า เพิ่งจะสนใจไอ้ฟาร์มมันหรือไง วิ่งหายไปเกือบสิบนาที ถ้าใครลากไปฆ่าคงตายแล้วมั้ง

"ไปรับไอ้ตังค์มั้ง"
ผมก็เดาไปมั่วๆ เพราะไอ้ตังค์หายตัวไปตั้งแต่เช้าแถมยังไม่ยอมเข้าเรียนอีกด้วย คงมีธุระด่วนที่ไหนสักที่ อย่างเช่นคณะวิศวะ...

"ที่ไหน"

"คณะวิศวะ"
ผมเผลอตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังไปได้ไงวั แม่งเอ้ย โดนไอ้ไธซักฟอกแน่ๆ จิณณ์อุตส่าห์บอกว่าให้เก็บเป็นความลับแท้ๆ เลยเชียว

"ห๊ะ ไอ้ตังค์ไปทำอะไรที่นั่น"
นั่นไง คิดในใจไม่ถึงสิบวิมันก็พรวดพราดถามขึ้นมาแล้ว

"ไปจีบจิณณ์มั้ง"
ผมพยายามเบี่ยงประเด็นแล้วทำเป็นว่าชมนกชมไม้ไม่ยอมสบตากับเพื่อน เพราะเรื่องไอ้ตังค์เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของจิณณ์ก็เท่านั้น แต่คันปากอยากบอกต่อว่ะ รู้คนเดียวมันอึดอัด

"ไอ้เจ็ท กูไม่เล่นนะ"
ไอ้ไธกัดฟันกรอดแถมยังส่งสายตาดุมาให้ ผมเองก็ลืมไปว่าเผลอสะกิดแผลสดของมันเลยต้องก้มหัวขอโทษขอโพยแล้วอธิบายเรื่องไอ้ตังค์แบบอ้อมค้อม

"แกล้งแค่นี้ทำเกรี้ยวกราด กูก็ไม่รู้ แต่เหมือนไอ้ตังค์จะมีปัญหากับเด็กวิศวะอีกแล้วมั้ง"
คำว่า 'มั้ง' จะทำให้ทุกประโยคที่พูดลดความจริงจังลงได้เกือบห้าสิบเปอร์เซ็น ผมหวังว่าไอ้ไธมันจะเลิกสงสัย แต่เปล่าเลยมันเข้าประเด็นแบบตรงเป้าไม่มีผิดพลาด กูละอยากโขกหัวกับโต๊ะเหลือเกิน ใครใช้ให้มึงเกิดมาเป็นนักแม่นเดาวะ!

"หือ กับเพื่อนจิณณ์น่ะเหรอ แล้วไอ้ฟาร์มเกี่ยวอะไรกับเขา"
ระบุตัวได้แบบไม่ผิดเพี้ยน แต่ผมเพิ่งคิดได้ว่าคนอย่างไอ้ตังค์เคยมีเรื่องกับใครมี่ไหนนอกจากพวกไอ้เอย สรุปว่ามันไม่แม่นเดาหรอก แค่พูดออกมาตามความเป็นไปได้ ส่วนไอ้ฟาร์มเกี่ยวอะไรน่ะเหรอ งั้นเล่าเลยแล้วกัน จิณณ์... กูขอโทษนะ แต่กูคันปากจริงๆ

"พ่อหวงลูกสาวน่ะ กลัวไอ้เอยลากไอ้ตังค์ไปปล้ำมั้ง เลยต้องไปรับถึงที่"

"ไหนบอกว่าไม่รู้เรื่อง ย้อนแย้งฉิบหายเลยมึง"
ไอ้ไธไม่มีทีท่าตกใจกับคำพูดส่อเสียดของผมแถมยังทำหน้าเบื่อหน่ายใจอีก ใช่สิ กูมันน่าเบื่อนี่ ทั้งๆ ที่หน้าเหมือนจิณณ์ทุกกระเบียดนิ้ว มันยังกล้าทำหน้ารำคาญใส่กูเลย... แม่ง สองมาตรฐานชัดๆ น้อยใจได้ไหม

"ก็จิณณ์มันเล่าไม่เป็นเรื่อง กูจับใจความได้แค่นี้ล่ะ"
ผมก็โทษจิณณ์ไปเรื่อย เพราะยังไม่อยากสรุปเรื่องที่ไอ้เอยทำแบบนี้ว่าเพราะอะไรกันแน่ มันไม่ได้ป่าวประกาศว่าจีบไอ้ตังค์สักหน่อย พูดไปจะเสียหายกันเปล่าๆ

"ตกลงว่าตอนนี้ไอ้ตังค์อยู่กับเอย แต่ไอ้ฟาร์มจะไปเอาตัวมันกลับมาว่างั้น"
ไอ้ไธนี่ก็เดาเรื่องไปเรื่อย แต่แม่งถูกได้ไงวะ แต่ฟาร์มมันแค่คิดว่าเพื่อนไปมีเคลียร์ปัญหากับเด็กวิศวะแบบลูกผู้ชายธรรมดา ที่กล่าวหาว่าเป็นพ่อหวงลูกสาวก็แค่พูดเล่นเฉยๆ

"เออ ทำนองนั้น ทิ้งกระต่ายให้อยู่ถ้ำเสือครึ่งวัน ป่านนี้ไม่เหลือแต่ขนแล้วเหรอวะ"

"พูดไปเรื่อยนะมึง แล้วเราจะรออยู่นี่น่ะเหรอ"

"เออดิ ขี้เกียจไปวุ่นวาย"

"นั่นเพื่อนมึงนะ ไม่ช่วยมันหน่อยล่ะวะ"

"เพื่อนจะมีผัวนี่จำเป็นต้องช่วยอะไรไม่ทราบ"
ผมพูดติดตลกก่อนจะเท้าแขนลงกับเก้าอี้ทั้งสองข้างแล้วแหงนหน้ามองฟ้า ดีนะที่ตรงนี้ปลูกต้นราชพฤกษ์ดอกสีเหลืองเต็มต้นสามารถบังแดดได้ดี เลยทำลมที่พัดมาเย็นสบาย อากาศดีๆ แบบนี้น่าจะชวนพี่ทาวน์ไปวิ่ง แต่ติดที่ว่าเย็นนี้เขาวางแผนไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแล้ว เสียดายจัง

"สรุปว่าไอ้เอยชอบไอ้ตังค์เหรอ"
ไอ้ไธมันขี้สงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ผมลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินหนีเพื่อจะไปเรียนวิชาต่อไป แต่มันก็ยังคงตามตื๊อจนต้องพูดตัดความรำคาญ

"โอย ไม่รู้เว้ย"

หลังเลิกเรียนผมก็แยกตัวออกมาแล้วพุ่งตรงไปที่หอสมุดคณะแพทย์ทันที เพราะมีใครคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ส่วนพี่ฟามีนัดกับที่บ้าน พี่แฮมไปกินบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นกับเพื่อนสมัยมัธยม พอถึงที่หมายก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นเขากำลังดูดมอคค่าปั่นอยู่ กินกาแฟตอนนี้แล้วจะนอนตอนไหนครับพี่

ผมทักทายพี่ทาวน์ก่อนจะทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วรื้อเอางานแบบที่ต้องแก้ไขเพื่อสงในวันพรุ่งนี้ขึ้นมาทำ แต่เผอิญสายตาดันไปสะดุดกับเครื่องเล่นเกมในกระเป๋าเลนเปลี่ยนทิศทาง คลายเครียดสักหน่อยค่อยปั่นงานก็ยังไม่สายหรอกน่า ลงทุนปิดเสียงเพื่อไม่เป็นการรบกวนคนอื่น

"จะทำงานหรือเล่นเกม"
น้ำเสียงดุๆ ที่ถามคำถามเดิมดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ผมสะดุ้งแต่ยังไม่ละสายตาออกจากหน้าจอ เพราะตอนนี้กำลังติดพันเล่นเกม ไม่มีให้กดสต็อปด้วยสิ

"ขอแป๊ปนึงครับพี่ทาวน์ เดี๋ยวจะทำต่อแล้ว"

"มึงเดี๋ยวมาสี่รอบแล้ว"
เสียงดุมากยิ่งขึ้นและมาพร้อมกับสันหนังสือที่เคาะมากลางหัว ผมร้องโอ๊ยเพราะมันเจ็บก่อนจะยอมหยุดเล่นเกมแล้วมองคนต้องหน้าด้วยสายตาอ้อนๆ

"โธ่ ก็มันติดลม"
ผมลูบหัวป้อยๆ บรรเทาความเจ็บ แต่พอเจอใบหน้าถมึงทึงของพี่ทาวน์กลับต้องฉีกยิ้มแห้ง รู้ตัวว่าไม่สมควรนั่งเล่นเกมทั้งที่งานค้างตั้งกองอยู่ แต่มันอดใจไม่ได้นี่นา เมื่อเที่ยงก็โดนไอ้ฟาร์มกับไอ้ไธขัดจังหวะ

"เดี๋ยวปลายภาคมึงจะติดเอฟ"

"โหย แรง อย่าแช่งผมแบบนี้"
โดนแช่งด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนขนาดนี้ตะให้หน้าด้านถือเครื่องเล่นเกมอยู่ก็คงแปลก ผมจัดการเก็บมันให้พ้นตาแล้วเท้าคางมองหน้าพี่ทาวน์

"ความจริง"
พี่ทาวน์ย้ำคำพูดตัวเองอย่างชัดเจนก่อนจะยักคิ้วกวนส่งให้แล้วยืนมือมาผลักหัวด้วยความหมั่นไส้ แทนที่ผมจะร้องโวยวายกลับยิ้มกริ่ม ขอเข้าข้างตัวเองว่าเขาเป็นห่วงก็แล้วกัน

"ทำงานต่อก็ได้ครับ แม่"
ปลายประโยคแผ่วลงเพราะไม่กล้าพูดเสียงดัง อยู่ๆ ไปเรียกผู้ชายแบบนั้น อีกฝ่ายคงโกรธไม่ก็งงเป็นธรรมดา แต่ความหมายของมันไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดหรอกนะ หึหึ

"อะไร"
พี่ทาวน์จ้องหน้าผมเขม็งอย่างเอาเรื่อง แต่ผมไม่นึกกลัวเพราะใจอยากหยอดคนตรงหน้า ขอหน่อยเถอะ อยากได้เขามาเป็นแฟนจะตายอยู่แล้ว

"ก็... แม่ทูนหัวไง"
ผมคลี่ยิ้มปิดท้ายประโยคจนตาหยี แถมยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อหวังว่าพี่ทาวน์จะแสดงท่าทางเขินบ้าง แต่คงหวังมากไปเพราะมือเรียวตบเข้ามาที่หัวเต็มๆ แม่ง เอาซะมึนเลย

"อยากตายเหรอ"
พี่ทาวน์พูดเสียงรอดไรฟันแล้วทำท่าจะง้างมือตบลงมาอีกครั้ง ผมรีบผงะถอยหลังก่อนยกมือยอมแพ้แล้วละล่ำละลักแก้ตัวเป็นการใหญ่ ถึงจะรักเขาแต่ก็รักชีวิตมากกว่า ถ้ากลายเป็นข่าวในเพจว่าตายสยองคาห้องสมุดก่อนได้เมีย มันน่าสมเพชเกินไป

"ผม... ละ ล้อเล่นครับ"
หาเสียงตัวเองแทบไม่เจอ แถมหัวใจยังเต้นแรงเพราะกลัวพี่ทาวน์จะไล่ให้ออกไปจากห้องสมุด ก็อุตส่าห์ทิ้งเพื่อนฝูงมาที่นี่ กลับไปด้วยความผิดหวังพวกนี้ล้อจนตายแน่ๆ ผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนให้เขาเพราะดูท่าทางโมโหอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายก็ได้ยินเสียงถอนหายใจแรงๆ

"ทำงานเงียบๆ ไป"
คำตัดบทก่อนที่เจ้าตัวจะกลับไปสนใจหนังสือทำให้ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเริ่มลงมือแก้แบบตรงหน้าบ้าง เพิ่งรู้ว่าแค่นั่งด้วยกันเงียบๆ ในแต่ละวันก็ทำให้มีความสุขได้ จะเป็นไรไหมถ้านายภาคินขออยู่ข้างนายเมืองเหนือแบบนี้ตลอดไป หวังสูงไปหรือเปล่านะ

ผ่านไปสองชั่วโมงท้องก็เริ่มประท้วงว่าต้องการอาหาร ผมเหลือบมองพี่ทาวน์ที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ไม่มีทีท่าว่าจะหิวหรือง่วงอะไรเลย นับถือความอดทนของเขาจริงๆ

"พี่ทาวน์"
ผมลองส่งเสียงเรียกคนตรงหน้าแล้วสังเกตปฏิกิริยาตอบรับ นานนับครึ่งนาทีเขาถึงเงยหน้าขึ้นพร้อมคำถาม

"มีอะไร"

"ดึกแล้ว... กลับกันเถอะครับ"
ผมบอกก่อนจะมองไปรอบตัวเพื่อชวนอีกคนให้มองตาม คนอื่นๆ ทยอยกลับบ้านไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว จะว่าไปบรรยากาศก็เริ่มวังเวงชอบกล ไม่ได้กลัวแต่ก็ไม่อยากเสี่ยง เพราะเรายังอยู่บริเวณคณะแพทย์...

"อืม ก็ได้"

ผมกับพี่ทาวน์เดินมาที่ลานจอดรถท่ามกลางความเงียบ มีเพียงแสงไฟจากหลอดนีออนให้ความสว่าง ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุยในเมื่ออีกคนกำลังกดโทรศัพท์ยิกๆ สงสัยจะคุยธุระกับใครอยู่มั้ง แต่ว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้ต่างคนคงต่างแยกย้ายกลับบ้าน ต้องหาวิธีรั้งต่อ แค่สิบนาทีก็ยังดี

"พี่ครับ ไปกินขัาวด้วยกันก่อนไหม"
ผมลองชวนในขณะที่เราเดินมาถึงรถบีเอ็มฯ เปิดประทุน พี่ทาวน์ชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองอยู่ครู่หนึ่งราวกับตัดสินใจก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

หลังจากฟาดข้าวต้มรอบดึกไปคนละสองถ้วยใหญ่โดยมีพี่ทาวน์เป็นเจ้ามือ ผมโวยวายแทบตายแต่สุดท้ายต้องยอมเพราะประโยคที่ว่า 'กูแก่กว่า ส่วนมึงน่ะเป็นเด็ก กินๆ ไปก็พอ' อยากเถียงเหลือเกินว่าอายุห่างกันแค่ปีเดียวเอง ทำอย่างกับตัวเองแก่ไปได้ แล้วตกลงใครจีบใครกันแน่ ดูสลับการกระทำแปลกๆ งงเว้ย

"ขอบคุณที่มาส่งครับ"
ผมเอ่ยปากเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าคอนโด ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ยังไม่อยากแยกกับพี่ทาวน์เลย แต่จะทำตัวงอแงงี่เง่าก็ใช่เรื่อง เดี๋ยวโดนหาว่าเป็นเด็กน่ารำคาญอีก

"อืม"
พี่ทาวน์พยักหน้าแล้วตอบรับสั้นๆ ดวงตารีจ้องไปด้านหน้าราวกับอยากกลับที่พักเต็มแก่ ทว่าผมกลับแอบลอบมองเขาด้วยความอาลัย ทำไมเวลาในแต่ละวันเดินไวขนาดนี้ ยังไม่เต็มอิ่มกับการอยู่ด้วยกัน ถ้าได้เป็นแฟนเมื่อไหร่จะทำตัวติดเป็นปาท่องโก๋เลยคอยดู

"ผมไปนะ"
ผมเปิดประตูและก้าวลงจากรถ ตัดใจแล้วว่าคืนนี้คงจบด้วยความเงียบและการบอกลาง่ายๆ ฝ่ายเดียว แต่ตอนที่กำลังก้าวขึ้นคอนโดกลับได้ยินเสียงกระจกที่เลื่อนลง

"เดี๋ยว"
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยรั้งกันไว้ พี่ทาวน์หันหน้ามาทางนี่แต่ดวงตากลับเสมองไปทางอื่นคล้ายกำลังอายในสิ่งที่กำลังจะพูดต่อ ท่าทางแบบนั้นทำให้หัวใจของผมเริ่มเต้นถี่ขึ้น สมองคิดไปต่างๆ นานา ทั้งด้านดีและไม่ดี

"คะ ครับ"

"ขอบคุณ... ที่อยู่เป็นเพื่อนวันนี้ แล้วก็ฝันดี"

ถ้าในฝันมีพี่ทาวน์ ไอ้เจ็ทคนนี้จะนอนข้ามวันข้ามปีเลยเถอะ!

เมื่อคืนผมหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มบนมุมปากเพราะคิดถึงคำพูดทิ้งท้ายของพี่ทาวน์ก่อนจากกัน สมองจำได้ดีแม้กระทั่งน้ำเสียงในเวลานั้น แต่ไม่เห็นฝันดีเลย เจอแต่ความมืดสนิท เช้ามายังโดยจิณณ์ทิ้งหัวอีก เพราะมันตื่นสายไม่ทันทำอาหารเช้า เลยต้อบพึ่งร้านสะดวกซื้อ ได้ไส้กรอกชีสกับขนมปังไส้ทูน่ามากินและนมจืดอีกหนึ่งขวดยักษ์ อิ่มแปร้กันไปตามระเบียบ

งานเขียนแบบที่นั่งแก้ไปเมื่อวานก็ส่งอาจารย์ไปแล้วคะแนนจะออกอาทิตย์หน้าก่อนสอบปลายภาค คราวนี้ผมมั่นใจว่าคงได้เอแน่ๆ เพราะทำตามขั้นตอนทุกอย่าง สเกลไม่มีผิดเพี้ยนถึงแม้ว่าจะแอบเจียดเวลาไปเล่นเกมจนโดนพี่ทาวน์ดุก็เถอะ

ตอนนี้พวกเราทั้งสี่คนนั่งอยู่ที่ลานหน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์เพราะเมื่อครู่เพิ่งจบการประชุมงานวันสถาปณามหา'ลัย ปีหนึ่งต้องเข้าร่วมงานเป็นเรื่องปกติ แต่มันดันเป็นวันอาทิตย์นี่สิ ก็เลยเจอเสียงบ่นกระปอดกระแปดของรุ่นไป แต่สุดท้ายรุ่นพี่ผู้แสนใจดีก็เอาของมึนเมามาล่อ สายรหัสใครคนนั้นเลี้ยง เหมือนเป็นค่าปิดปากและตัดความรำคาญ ส่วนนี้ผมขอบายนะ ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่เดย์

"เย็นนี้ไปฟิตเนสกันปะวะ ช่วงนี้รู้สึกตัวอืดๆ"
ไอ้ฟาร์มเอ่ยถามพร้อมกับใช้มือตีพุงหยุ่นๆ ของตัวเองในขณะที่ผมกับไอ้ไธกำลังคุยกันเรื่องเกมใหม่ที่จะออกภายในเดือนนี้ ตั้งแต่มันเลิกเปย์ผู้หญิงก็ไม่ค่อยออกกำลังกายเท่าไหร่ เอาแต่ตามส่องพี่ฟาอย่างกับพวกโรคจิต

"เพิ่งรู้ตัวเหรอไอ้ฟาร์ม มึงมีพุงกะทิแล้วเนี่ย"
ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกพุงคนที่นั่งอยู่ข้างกันเล่น หุ่นเฟิร์มๆ มีวีเชฟหายไปกับสายลมซะแล้ว แบบนี้พี่ฟาคงไม่สนใจ เพราะปกติมันก็เป็นคนนอกสายตาของเขาอยู่แล้ว

จริงๆ ช่วงนี้มีคนมาจีบพี่ฟาเยอะนะ ทั้งเดือนต่างคณะ ทั้งหลีดมหา'ลัย ไหนจะพวกรุ่นพี่ที่เคยเป็นแฟนเก่าอยากขอรีเทิร์นอีก เสน่ห์แรงจริงๆ เรื่องนี้รู้มาจากพี่ทาวน์ เพราะเคยหลุดปากว่าไอ้ฟาร์มชอบเพื่อนเขา ก็เลยได้ข่าวมาฟรีๆ แต่ผมไม่บอกมันหรอก เดี๋ยวกระอักเลือดตายซะก่อนที่คู่แข่งมหาศาลขนาดนั้น

"โอ้ย ไอ้สัด อย่าดึงพุงกู!"
ไอ้คนขี้โวยวายปัดป่ายมือไปทั่วจนฟาดเข้าที่แขนไอ้ตังค์เต็มๆ แต่แทนที่มันจะเอ่ยปากขอโทษกลับใช้ไหล่กระแทกเพื่อซ้ำอีก สงสารตัวบางๆ ของเพื่อนบ้างเถอะ ไม่รู้กระดูกหักไปกี่ซี่แล้วนั่น กัดฟันกรอดเชียว

"พี่ฟาไม่มองมึงแน่ๆ"
ผมเป็นพวกชอบแกล้งแต่ไม่ได้ตั้งใจจะซ้ำเติมจริงๆ นะ เอาหัวไอ้ไธเป็นประกันเลย

"เจ็ท... เดี๋ยวกูแช่งให้พี่ทาวน์จีบผู้หญิง"
คำขู่ที่มาพร้อมใบหน้าดุๆ ของไอ้ฟาร์มที่นานทีจะได้เห็นทำให้ผมชะงักค้าง อ้าปากพะงาบๆ เพราะเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด พี่ทาวน์มีสิทธิ์โอนอ่อนให้ผู้หญิงได้ทุกเมื่อเพราะเขาก็แค่ผู้ชายธรรมดาทั่วไป รักชอบกับเพศตรงข้ามได้ปกติ




ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 17 - P.2 (10/09/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 10-09-2017 09:21:12
"กูจะเอาดินสอแทงคอหอยมึง ไอ้เหี้ย แค่นี้กูก็จีบพี่ทาวน์ยากจะตายห่าแล้ว ขอเถอะ อย่าแช่งอีกเลย เจ็บมามากพอแล้ว"
พอตั้งสติได้ก็ออกปากทั้งด่าทั้งขอร้องเพื่อนในประโยคเดียวกันจนโดนหัวเราะเยาะ ผมถลึงตาใส่พวกมันเรียงตัวยกเว้นไอ้ตังค์ที่นั่งก้มหน้า กูกลัวความเจ็บปวดมันตลกนักหรือไง คนป๊อดไม่มีสิทธิ์สะใจนะเว้ย อย่าให้โต้กลับ เดี๋ยวมีคนหนาวเป็นแถบๆ

"เออๆ แล้วตกลงพวกมึงจะไปฟิตเนสกับกูปะ"
ไอ้ฟาร์มเป็นคนกลั้นเสียงหัวเราะได้คนแรกแล้วถามย้ำสิ่งที่ไม่ได้คำตอบ อยู่ๆ ชวนไปฟิตเนสแบบจวนตัวใครมันจะไป เชื่อดิ ต่างคนต่างมีนัด ผมก็เช่นกัน

"กูขอบาย วันนี้ไอ้พี่แทนจะลากไปแดกเหล้า"
น้ำเสียงไอ้ไธฟังแล้วดี๊ด๊าแปลกๆ จนผมอดขมวดคิ้วไม่ได้ ปกติมันต้องทำหน้าเบื่อ เพราะไม่ชอบไปร้านเหล้ากับพี่แทน เพราะรายนั้นชอบดื่มจนเมาหัวราน้ำเป็นภาระคนอื่นตลอด

"ชวนจิณณ์ไปด้วยสิมึง"
ผมลองถามหยั่งเชิงดู ไม่ได้คิดให้มันหนีบจิณณ์ไปด้วยจริงๆ แต่รอยยิ้มจางๆ ที่ประดับบนใบหน้านั่น... ชัดยิ่งกว่าคำตอบซะอีก หึ ก็ว่าทำไมดูมีความสุขแปลกๆ

"ชวนแล้ว เดี๋ยวไปรับที่หอ"
ไอ้ไธกระตุกยิ้มมุมปาก ดวงตาทอประกายระยิบระยับจนผมรู้สึกหมั่นไส้ เมื่อวานยังดราม่าจะเป็นจะตายว่าจิณณ์ไม่รัก แล้วนี่อะไร ชวนไปกินเหล้า แถมอีกคนก็ไม่ปฏิเสธ ความสัมพันธ์ของสองคนนี้แปลกๆ หรือนายภาคินพลาดอีกแล้ว

"ฮันแน่ อย่าพาจิณณ์ไปมอมเหล้านะเว้ย"
คำแซวจากไอ้ฟาร์มเรียกเลือดบนใบหน้าของไอ้ไธได้เป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าโกรธหรือเขินกันแน่ แต่มันยังไม่พอ ผมขอเสริมทัพหน่อยแล้วกัน อยากเห็นเพื่อนหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุก

"ถ้าพี่กูท้องขึ้นมามึงต้องรับผิดชอบนะ"
ประโยคแซวโคตรมโนแต่ได้ผลเกินคาดเพราะไอ้ไธหันมาถลึงตาใส่พร้อมใบหน้าที่แดงแปร๊ด ปากหยักขมุบขมิบเหมือนกำลังด่า หึ เขินแล้วก็น่ารักดีว่ะเพื่อน

"อะ ไอ้สัด ไม่คุยกับมึงแล้ว เปลืองน้ำลาย!"
ด่าด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เสร็จก็ลุกหรือออกไปซะเฉยๆ ผมไม่วายตะโกนตามหลังด้วยความสนุกปาก ได้ทีแซวมันก็ต้องเอาให้สุด

"ด่ากูแต่หน้าแดงเพราะเขิน คนบ้าอะไรวะ!"
พูดจบก็นั่งหัวเราะกับไอ้ฟาร์มสองคนและเป็นเวลาเดียวกับไอ้ไธหันมาแจกนิ้วกลางให้ โอ้โห กูนี่ขำหนักกว่าเก่าเลยครับเพื่อน เสือกสะดุดพื้นหน้าเกือบขมำ คนเขินนี่ต้องทำตัวเปิ่นๆ ทุกคนไหม ถ้ามันไปสะดุดที่ลานเกียร์วิศวะคงได้เมียเร็วขึ้นล่ะมั่ง

"ผมขอตัวนะครับ พอดีเย็นนี้มีธุระ"
เสียงนิ่มๆ ขัดขึ้นมากลางปล้องทำให้ผมเบรกเสียงหัวเราะเหมือนๆ กับไอ้ฟาร์ม เข้าใจว่ามันมีภารกิจดูการ์ตูนทุกเย็น แต่อยากให้ออกกำลังกายบ้าง ที่เป็นอยู่ทุกวันก็ดูเหมือนคนขี้โรค ผอมๆ ซีดๆ

"มึงมีธุระตลอดล่ะไอ้แว่น ดูแต่การ์ตูน"
ไอ้ฟาร์มก็ยังคงงอแงเหมือนทุกครั้ง เพราะไม่ว่าพวกเราจะชวนตังค์ไปไหนช่วงเย็นกลับโดนปฏิเสธตลอด ผมน่ะทำใจแล้ว ไม่อยากบังคับจิตใจใคร

"เปล่าครับ ไม่ได้ดูการ์ตูน"
คำตอบของตังค์ทำให้ผมเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ ไม่ต่างจากไอ้ฟาร์มที่กระเด้งตัวไปเบียดเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มแล้วมองหน้าด้วยความอยากรู้ ถ้าไม่กลับบ้านไปดูการ์ตูนแล้วมันมีธุระอะไร ร้อยวันพีนปีไม่เคยจะมีอย่างอื่นในชีวิต

"อ้าว เดี๋ยวนี้ไม่ติดการ์ตูนแล้วเหรอวะ"

"คือ..."
ปากบางกำลังจะตอบคำถามแต่ต้องชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงแตรรถขึ้น พวกเราหันขวับไปมองทางนั้นทันที ใครวะนั่น

ปี๊นๆ

"มาขึ้นรถ"
พอเสียงมาภาพมาหลังจากกระจกรถเปิด ผมก็ถึงบางอ้อทันที แม่ง... เดี๋ยวนี้คุณเอยลงทุนมารับไอ้ตังค์ถึงที่เลยเหรอวะ มีปัญหาถึงขั้นถอดเสื้อผ้าคุยกันหรือเปล่า กูล่ะอยากตามไปเผือกจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ามีนัดซะก่อน

"คะ ครับ คุณเอย"
ไอ้เพื่อนตัวดีก็ขานรับเขาซะเพราะพร้อมกับรีบเหวี่ยงเป้สะพายทันที มองหน้าพวกผมอยู่ครู่หนึ่งก็ผงกหัวเป็นเชิงลาแล้ววิ่งออกไป เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่มีใครตั้งสติทัน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่รถสีชานมเคลื่อนที่

"เฮ้ย... อะไรวะ เมื่อวานกูอุตส่าห์ไปช่วยมันมาจากคณะวิศวะ แต่ไหงวันนี้กลับยอมขึ้นรถไปกับไอ้เอยง่ายๆ งี้อะ"
ไอ้ฟาร์มบ่นกระปอดกระแปดพลางขมวดคิ้วและบุ้ยปากมองตารถเอสยูวีที่เคลื่อนออกไปแล้ว อย่าว่าแต่มันงงเลย ผมก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน ไม่มีใครเข้าใจความคิดของไอ้ตังค์หรอก ที่ยอมง่ายๆ ไม่รู้ว่าชอบไอ้เอยหรือกลัวกันแน่ คาดเดายาก

"ทำใจเหอะ เพื่อนมึงเข้าถึงยาก"
ผมตบบ่ามันเพื่อให้เลิกใส่ใจ ถ้าห่วงไอ้ตังค์มากเกินไป วันๆ คงไม่ต้องทำอะไรกินแล้ว ที่สำคัญมันเป็นผู้ชาย เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาคงเอาตัวรอดได้ ศิลปะป้องกันตัวก็เป็นอยู่ นอกจากยอมให้เขาปล้ำ เอ้ย ยอมให้เขาทำร้ายนั่นล่ะ

"เออ แล้วมึงอะว่าไง"
คำถามเดิมย้อนกลับมาอีกแล้ว นึกว่ามันจะลืมซะอีก

"เย็นนี้กูจะไปวิ่งที่สนามมหา'ลัย"
ผมตอบไปตามความจริง ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเหมือนกัน พอมีเวลาว่างเลยอยากไปวิ่งที่สนาม ที่จริงเข้าฟิตเนสคงดีกว่า แต่เผอิญว่านัดคนเอาไว้

"อ้าวเหรอ งั้นกูไปด้วย"
ไอ้ฟาร์มเปลี่ยนแผนทันทีอย่างไม่อิดออด  แต่ผมไม่ได้ชวนมันนะเว้ย ขอใช้เวลาส่วนตัวกับคนที่อยากอยู่ด้วยบ้างได้ปะวะ   จะให้กูพกก้างขวางคอไปเพื่ออะไรเนี่ย

"โน! กูจะไปวิ่งกับพี่ทาวน์แค่สองคน"
ผมพูดจบก็รีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นเพราะเชื่อว่าไอ้ฟาร์มต้องด่ากราดแน่ๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อได้ยินเสียงมันโวยวายไล่หลังมา

"ไอ้ #฿+*^%>?<"

ครั้งนี้ต้องขอโทษจริงๆ ว่ะเพื่อน กว่าจะชวนพี่ทาวน์ไปวิ่งโดยไม่พกลูกสมุนอีกสองคนมาก็แทบตาย ยกเหตุผลสารพัดมาอ้าง แต่สุดท้ายก็โดนจับได้ว่าอยากอยู่ด้วยกันแค่สองคน แล้วนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เห็นเขาในสภาพเหงื่อท่วมอีก คงเซ็กซี่ไม่เบา โอย แค่คิดก็ฟินไปถึงชาติหน้าแล้วเว้ย



-------------------------------------------

สำหรับตอนนี้ไม่มีอะไรมาก(?) แค่อัพเดทความเคลื่อนไหวของทุกตัวละคร 5555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 18 - P.2 (23/09/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-09-2017 10:51:16
แข่งครั้งที่ 18



ผมรีบบิดฟีโน่คันเก่งไปยังสถานที่นัดหมายกับนักศึกษาแพทย์หน้าหล่อ กว่าจะออกมาจากคอนโดได้ก็เกือบเลยเวลาเพราะโดนจิณณ์เซ้าซี้ถามนั่นนี่ พอไม่ตอบก็แสดงอาการน้อยใจจนน่าหมั่นไส้ สุดท้ายก็เลยยอมแพ้แล้วบอกว่าจะออกไปวิ่งกับพี่ทาวน์ เท่านั้นล่ะ... โดนแซวมาอีกชุดใหญ่

ผมสาวเท้าอย่างเร่งรีบเดินเข้าไปที่หน้าอัฒจันทร์ซึ่งมีร่างสูงที่คุ้นตากำลังยืนเหม่อมองท้องฟ้า ใบหน้าไม่แสดงอาการใดๆ เหมือนอย่างเคย ไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรือเปล่า เพราะตอนนี้ก็เลยเวลานัดไปเกือบยี่สิบนาที

"สวัสดีครับพี่ทาวน์"
ผมเอ่ยทักอีกคนด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเพราะรีบจนเกิดอาการหอบ แบบนี้จะวิ่งไหวเหรอวะ ชวนเขามาออกกำลังกายทั้งที อายฉิบหาย

"อืม"
พี่ทาวน์ละสายตาจากท้องฟ้ายามเย็นแล้วมองผมหัวจรดเท้า ดูจากท่าทางคงไม่ได้โกรธอะไรและนั่นทำให้คนมาสายเบาใจอยู่ไม่น้อย

"โห ใส่แจ็กเก็ตด้วย ไม่ร้อนเหรอครับ"
ผมออกปากทักเมื่อสังเกตว่าอีกคนใส่เสื้อคลุมแขนยาวสีเข้ม ด้านล่างเป็นกางเกงขาสั้นกับร้องเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมง ดูแปลกตาอยู่ไม่น้อย ลึกๆ แล้วแค่หวังว่าจะได้เห็นพี่ทาวน์ใส่เสื้อกล้ามสีขาว พอเหงื่อออกแล้วมันก็เปียกแนบเนื้อ โอย ไม่ได้หื่นเลย สาบาน!

"ไม่ กูชอบใส่แบบนี้"
พี่ทาวน์ตอบเสียงเรียบแล้วจ้องมาราวจะจับผิดอะไรบางอย่าง ผมรีบหลบสายตานั่นเนื่องจากเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังแสดงสีหน้ายังไงออกไป ได้แต่ภาวนาในใจไม่ให้เขาอ่านมันออก ไม่อย่างนั้นคงโดนไล่เตะไปทั่วสนามแน่ อยู่ๆ ไปทำท่าทีหื่นกามใส่แบบนั้น

"โอเค งั้นเริ่มวิ่งกันเลยเนอะ"
ผมเฉไฉแล้ววิ่งเยาะๆ อยู่กับที่เป็นการวอร์มร่างกายโดยไม่หันกลับไปสนใจพี่ทาวน์อีก

เราเริ่มออกวิ่งเคียงข้างกันไปช้าๆ ภายใต้ความเงียบสงบ มีสายลมเอื่อยๆ ยามหกโมงเย็นพัดมาเป็นระยะ มีหลายครั้งที่ผมเหลือบมองพี่ทาวน์ ไม่ใช่แค่ใบหน้าแต่ทว่าทั้งร่างกาย เพิ่งเคยเห็นช่วงขาเรียวยาวเป็นครั้งแรก มันขาวและเนียนละเอียดอย่างกับผิวผู้หญิง ขนที่มีกลับเป็นสีอ่อน อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากลูบขึ้นมา ฉิบหายแน่ๆ เลยไอ้เจ็ท

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากสมองแล้วตั้งสมาธิเพื่อบังคับตัวเองให้มองไปข้างหน้าจนสำเร็จ เชื่อไหมว่าพอจดจ่ออยู่กับการวิ่งแล้วรู้สึกเหนื่อยเป็นบ้า เพราะอัดสปีดจนนำหน้าพี่ทาวน์ไปเกือบร้อยเมตร กลัวว่าอยู่ใกล้กันจะเผลอมองอีก

"กรี๊ด แกๆ ดูสิ นั่นมันเจ็ทนี่นา โอ้ย รอยสักพวกนั้นทำฉันใจสั่นสุดๆ ฮือ"
เสียงกรีดร้องของสาวๆ ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งโหยง ไม่คิดเลยว่าจะมีใครมานั่งกรี๊ดกับรอยสักที่ไม่ได้ตั้งใจโชว์ ก็แค่ใส่เสื้อกล้ามเพราะอากาศมันร้อน อยากวิ่งหนีสายตาโลมเลียของพวกเธออยู่หรอก แต่ต้องรอพี่ทาวน์ ทิ้งห่างกันเกินไปแล้ว

"ใช่ๆ อยากเข้าไปลูบดูสักครั้ง"
ไม่คิดว่าคนฟังอย่างผมจะขนลุกบ้างหรือไงวะ พวกเธอเป็นผู้หญิงนะเว้ย ออกตัวแรงแบบนี้ใช่ว่าหนุ่มๆ มันชอบสักหน่อย บางทีก็น่ากลัวเกินไป

"ลองหกล้มต่อหน้าเขาปะ อ่อยไปเลย"
ผมผ่านหน้าพวกเธอไปเกือบสิบเมตรแล้วแต่ยังได้ยินเสียงคุยไม่ขาดปาก รู้สึกเริ่มร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล เพราะเห็นพี่ทาวน์ไล่ตามมาด้านหลังแล้ว แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขากำลังรูดซิปเสื้อแขนยาวออกแล้วเหวี่ยงมันตรงมาทางนี้ เฮ้ย จะทำอะไรวะนั่น อิจฉาที่สาวๆ กรี๊ดนายภาคินเหรอ

พรึ่บ

"เฮ้ย พี่ทำอะไรเนี่ย ผมมองทางไม่เห็น"
ผมโวยทันทีที่เสื้อตัวหน้าปลิวมาคลุมหัว เท้าหยุดชะงักเมื่อสายตาถูกบดบังจนไม่เห็นวิวทิวทัศน์ใดๆ มือหนากระชากมันออกด้วยความงงด้วย พอดีกับพี่ทาวน์ที่หยุดวิ่งแล้วยืนอยู่ข้างๆ กัน

"ใส่เสื้อซะ"
เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงดุ แถมยังส่งสายตาราวกับจะฆ่าแกงกันมาให้ เดี๋ยวก่อนสิ นี่ผมทำอะไรผิดวะ

"ห๊ะ... ทำไมครับ"
ผมถามก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูง ใบหน้าแสดงความไม่เข้าใจอย่างชัดเจน ไม่เข้าใจว่าเขาจะถอดเสื้อแล้วขว้างให้ทำไม ทำอย่างกับ... กำลังหวงอย่างนั้นล่ะ เพราะผู้หญิงพวกนั้นเหรอ ใช่หรือเปล่า

"ใส่เข้าไป"
พี่ทาวน์ไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่มแต่กระชากเสื้อของตัวเองแล้วฟาดมันลงบนตัวผมอีกครั้งจนต้องหลับตาปี๋ มันเจ็บนะเว้ย พี่แม่งโมโหอะไรเนี่ย

"ผมงงอะ"
ผมพึมพำเบาๆ อย่างไม่เข้าใจแล้วทำเพียงแค่กางเสื้ออกแล้วคลุมไหล่ไว้เท่านั้น ขายาวขยับเข้าใกล้คนเจ้าอารมณ์เพื่อเค้นเอาคำตอบ แต่เขากลับเงียบและส่งรังสีอำมหิตมาทางสายตาให้เป็นระยะ จริงๆ ก็อยากเข้าข้างตัวเองว่าโดนหวง แต่กลัวหน้าแตกไง หมอไม่รับเย็บด้วยสิ แถมจะกระทืบซ้ำ

"กรี๊ด ~ ฉันอยากเอาหน้าไปซุกรอยสักของเจ็ทจัง"
มาอีกแล้ว ไอ้เสียงกรี๊ดกร๊าดไม่รู้จักเวล่ำเวลาเนี่ย หน้าพี่ทาวน์ก็ยิ่งตึงขึ้นเรื่อยๆ แต่เดี๋ยวนะ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่คนนิ่งขรึมจะมาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแบบนี้

"พี่ทาวน์หวงผมเหรอ"
ผมก้มลงกระซิบข้างหูแล้วลอบยิ้มมุมปาก หัวใจกำลังสั่นระรัวเพราะเผลอคาดหวังกับคำตอบที่จะได้รับกลับมา พี่ทาวน์รีบดีดตัวออกห่างแล้วใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจจ้องเขม็ง คราวนี้คงเป็นเพราะคำพูดไม่รู้จักคิดของนายภาคินแน่ๆ

"พูดเรื่องอะไร"
พี่ทาวน์ถามกลับด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน เขาเอื้อมมือมากระตุกคอเสื้อกล้ามอย่างเอาเรื่อง แต่แทนที่สาวๆ พวกนั้นจะตกใจกลัวกลับวี๊ดว้ายร้องเสียงหลงว่า ‘เจ็ททาวน์เขากำลังหึงหวงกันค่า’ ค่าพ่อง กูจะตายคามือเขาอยู่แล้วเนี่ย อย่ามาฟินกันตอนนี้เลย ขอร้องเถอะ

แต่ด้วยความกล้าบ้าบิ่นและไม่รู้ผีห่าซาตานตนใดสั่งการลงมา ทำให้ผมคว้าจับมือเรียวนั่นไว้แล้วพูดบางอย่างที่ทำให้คิ้วสวยของพี่ทาวน์กระตุก ถ้ามันจะฉิบหายก็ปล่อยไป เพราะหน้าแดงๆ ของเขามันกระตุ้นความอยากแกล้ง

"ก็... ที่สาวๆ บนอัฒจันทร์พูดกันไง"

"หลงตัวเอง กูแค่รำคาญเสียงกรี๊ด"
พี่ทาวน์ตอบเสียงเรียบแล้วสะบัดมือออกจากการเกาะกุมจนฟาดเข้าปลายคางผมเต็มๆ หน้าหงายไม่พอยังเผลอหลุดร้องเสียงหลงออกไป ตอนแรกก็ว่าจะหยุดเพียงแค่นี้ แต่เขาดันเบือนหน้าไปทางอื่นทำให้ความอยากรู้ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น นี่นายภาคินกำลังโดนนายเมืองเหนือหวงอยู่จริงๆ ใช่ไหม หัวใจจะระเบิดอยู่แล้ว

"เหรอครับ ไม่หวงผมจริงเหรอ"
ผมถามย้ำแต่คราวนี้ขยับไปตั้งรับอีกสองสามก้าว พี่ทาวน์หันขวับกลับมามองด้วยดวงตาวาวโรจน์ แต่เพียงครู่เดียวก็มีเสียงถอนหายใจหนักๆ หลุดออกมา คล้ายว่ากำลังข่มอารมณ์ที่กำลังรู้สึก

"กูไม่ได้เป็นอะไรกับมึง จะหวงไปทำไม"
พูดทำร้ายจิตใจกันจับก็พาร่างกายของตัวเองเดินผ่านไป แต่คิดเหรอว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ผมไม่เชื่อหรอกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเพียงแค่ความรำคาญ

"แล้วถ้าพี่เริ่มชอบผมบ้าง จะหวงก็ไม่แปลกนี่ครับ"
ผมเดินตามเขาไปอย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อพูดจบประโยคร่างสูงตรงหน้ากลับหยุดชะงักการเดิน ทำให้คนไม่ทันระวังตัวถึงกับเสยจมูกเข้ากับศีรษะทุย สัด เจ็บจนอยากลงไปดิ้นกับพื้นเลยไอ้เหี้ย

ผมถูจมูกตัวเองเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บ พี่ทาวน์ไม่หันมาโวยวายหรือแม้แต่จะตอบกลับอะไรทั้งสิ้น เขายืนตัวแข็งทื่ออย่างกับคนโดนสาป หรือว่าจะโกรธจนถึงขีดสุดวะ ควรวิ่งกลับไปทางเก่าหรือเปล่า กลัวพี่ทาวน์สวนหมัดใส่แล้วได้ลงไปนอนกลิ้งสมใจแน่ๆ กูชักกลัวแล้วนะ!

"....."

"พี่... เริ่มชอบผมแล้วใช่ปะ"
ผมตะครุบปากตัวเองทันทีหลังจบประโยค สมองคิดปุ๊ปพูดปั๊ป เหี้ยแล้วไหมล่ะ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจถามออกไปเลยด้วยซ้ำ ทำไงดีวะ ขาก็ดันแข็งทื่อขยับถอยไม่ได้ หัวใจก็เต้นรัวเพราะลุ้นคำตอบ คราวนี้นายภาคินตายแน่ๆ แบบไม่ต้องสืบเลย กวนตีนเขาเยอะเกินไปแล้วมึง

"เพ้อเจ้อ!"
พี่ทาวน์ตวาดลั่นแล้วออกวิ่งไปในทันที ทิ้งให้ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะคิดว่าเมื่อครู่คงโดนต่อยแน่ แต่เปล่าเลย เขาไม่หันกลับมามองกันด้วยซ้ำ คือตกลงแล้วยังไงอะไรกันแน่ ที่บอกว่าเพ้อเจ้อคือกลบเกลื่อนความเขินหรือไม่ได้ชอบจริงๆ มันไม่ชัดเจนอะ แต่ไม่กล้าเซ้าซี้อีกแล้ว กลัวโดนเตะออกจากชีวิตของเขา

ผมวิ่งกับพี่ทาน์ท่ามกลางความเงียบ ไม่กล้าเอ่ยแม้กระทั่งคำขอโทษใดๆ เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่พร้อมคุย รอบแล้วรอบเล่าจนครบตามที่ตกลงกันไว้

"เดี๋ยว... ผมเอาเสื้อไปซักให้นะครับ"
ผมทำใจดีสู้เสื้อชวนเขาคุยในขณะที่กำลังเดินไปลานจอดรถ พี่ทาวน์เหลือบมองก่อนจะครางรับในลำคอ ดูท่าทางตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว ค่อยโล่งใจหน่อย

"อืม"

"พรุ่งนี้มาวิ่งด้วยกันอีกนะ"
ปากพาซวยอีกรอบ ทำงามหน้าไว้ขนาดนั้นยังกล้าชวนเขามาวิ่งอีก ไม่โดนต่อยก็บุญเท่าไหร่แล้ว ผมขยี้หัวจนยุ่งเหยิงเพราะคิดอะไรไม่ออกเลยตอนนี้ กลัวพี่ทาวน์จะกลับมามึนตึงใจอีก แบบนั้นโคตรแย่เลย

"ถ้าว่าง"
คำตอบสั้นๆ ของเขาทำให้ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก มันเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าพี่ทาวน์อารมณ์ปกติ

"ครับ แล้วผมจะรอคำตอบจากพี่นะ"
ผมตอบรับคำแล้วลอบยิ้มบางให้กับแผ่นหลังกว้าง ยอมรับว่าเขาหุ่นดีมาก ถ้าไม่เป็นหมอในอนาคตก็เป็นนายแบบได้สบายๆ ไม่แปลกหรอกที่จะมีสาวๆ ห้อมล้อมอยู่เสมอ คิดไปคิดมาก็รู้สึกปวดใจ เพราะก่อนออกมาจากสนามยังมีผู้หญิงหน้าตาน่ารักเดินเข้ามาขอไลน์ พี่ทาวน์ก็เสือกให้ไปด้วยนะ ฟายเอ้ย กูนี่หน้าชาเลย ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามเขาไง ได้แต่ยืนมองเหมือนหมาโดนเจ้านายทิ้ง เจ็บสัดๆ

"เลิกใส่เสื้อกล้ามซะ"
อยู่ๆ คนที่ยืนพิงรถหรูก็เปิดปากพูด ผมที่กำลังกระดกน้ำถึงกับชะงักกึกมองหน้าพี่ทาวน์ด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ๆ ก็วกเข้าเรื่องนี้อีกแล้ววะ ไม่ใช่โกรธจนไม่อยากพูดหรือไง ก็เล่นโดนนายภาคอนแหย่ไปขนาดนั้น

"หือ มันสบายดีออก"
ผมตอบกลับด้วยท่าทางใสซื่อ รู้ตัวว่าเริ่มกวนส้นตีนอีกแล้ว แต่มันยั้งปากไม่ทันจริงๆ ขอโทษนะครับพี่ทาวน์ จากใจเลย

"ไม่รำคาญเสียงกรี๊ดบ้างหรือไง"
คำพูดเดิมๆ คล้ายเหตุการณ์เดจาวูทำให้ผมพยักหน้ารับง่ายๆ ถึงจะคาดคั้นหาเหตุผลไปมากกว่านั้นคงไม่ได้อะไรกลับว่า เพราะพี่ฟาเคยบอกว่าเพื่อนเขาทั้งปากแข็งและใจแข็ง สักวันเถอะ นายภาคินคนนี้จะทำให้อ่อนไปซะทุกอย่างเลย

"อ๋อ... เข้าใจแล้ว จะทำตามอย่างเคร่งครัดเลยครับ"

"อืม จะกลับแล้ว"
พอได้คำตอบที่น่าพอใจเขาก็หันไปเปิดประตูรถก่อนจะสอดกายเข้าไปประจำที่คนขับ ผมรับรั้งไว้ด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

"เดี๋ยวครับ"

"อะไร"
พี่ทาวน์หันมาเลิกคิ้วใส่กัน มือของเขาชะงักค้างอยู่ที่ประตู ส่วนผมยืนท้าวมือกับหลังคารถ ฉากโคตรโรแมนติก คล้ายพระเอกกำลังจีบนางเอกใต้แสงไฟนีออนสลัว โอ้โห แต่ถ้ามองรอบๆ ดีๆ วังเวงฉิบหาย

"พี่ทาวน์ไม่อยากทำแบบที่สาวๆ พวกนั้นพูดบ้างเหรอ"
ผมเป็นเชี่ยอะไรเนี่ย ควบคุมสติและปากตัวเองไม่ได้เลยวันนี้ สมองคิดจะพูดอีกเรื่องดันสื่อสารอีกเรื่อง วอนโดนตีนละไอ้สัดเจ็ท พี่ทาวน์ต้องจ้างนักเลงมากระทืบมึงสักวันแน่ๆ แต่จะให้แสดงท่าทางหงอก็เสียฟอร์ม เก๊กๆ ไปก่อนแล้วกัน

"พิศวาสรอยสักมึงน่ะเหรอ"
พี่ทาวน์ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย สายตาเต็มไปด้วยประกายวูบวาบ ไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะผมไม่สามารถเดาใจของเขาได้ว่าคิดอะไรอยู่ ร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงชอบกล สงสัยเป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้หมดลมหายใจแหง

"ก็... ทำนองนั้น อยากซบอะไรอย่างงี้"
ยัง มึงยังไม่หยุดปากพอซวยอีกหรือไง เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ เสือกอยากเป็นปุ๋ยให้ต้นมะม่วง โอย สติ!

"อืม... อยาก"
เฮ้ย! เกินคาดไปไกลโขแล้วมึง หูฝาดหรือเปล่าเนี่ย

"จริงเหรอครับ"
ผมถามย้ำด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หัวใจนะรัวราวจังหวะกลอง พี่ทาวน์ต้องแอบมีใจให้กันแน่ๆ กลับไปต้องอวดไอ้ไธสักหน่อยแล้ว

"ใช่"
พี่ทาวน์ตอบเสียงหนักแน่น เขาลุกขึ้นจนเราเผชิญหน้ากัน ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบลงบนแก้มของอีกฝ่าย ใกล้กันมากจนเผลอขยับตัวนิดหน่อยปลายจมูกก็ชนกันแล้ว จูบเลยดีไหมวะ ถ้าโดนต่อยกลับมาก็ยอม

"งั้นผมพร้อมให้พี่ซบแล้วครับ”
ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วยืดอกให้คนตรงหน้าซบได้เต็มที่ พี่ทาวน์เอื้อมมือแตะหลังคอแล้วโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู หัวใจเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง ให้ตายเถอะ กูกำลังจะได้ขึ้นสวรรค์แล้วแม่งเอ้ย โอ้ยๆๆ ต้องกลับไปอวดไอ้ฟาร์มด้วย

"อยากถีบหน้ามึง ไอ้เด็กเปรต!"
ผมวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายก็โดนพี่ทาวน์ประทับรอยเท้าไว้เต็มก้นทั้งสองข้าง ช้ำกันไปเป็นวันๆ เลยทีเดียว

ผ่านมาเกือบหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ไปวิ่งด้วยกัน ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ดูเหมือนจะขยับขึ้นไปอีกนิดหน่อย เพราะสังเกตได้ว่าทุกครั้งที่เจอกันพี่ทาวน์เป็นอันต้องยื่นอมยิ้มมาให้ผมทุกทีไป ราวกับตั้งใจซื้อมาฝากแต่ปากแข็งบอกว่าสาวๆ ให้มา ขอไม่เซ้าซี้แล้วกันเพราะเดี๋ยวอดกิน

วันนี้เป็นเช้าวันเสาร์ที่ฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย อากาศเย็นจนอยากซุกตัวอยู่ในผ้านวม แต่เพราะความหิวไม่เคยปรานีใครทำให้ผมต้องลุกจากที่นอนจนได้ ขายาวๆ พาร่างกายสมส่วนออกจากห้องแล้วหยุดอยู่บริเวณหน้าตู้เย็น เปิดประตูหยิบนมออกมาดื่มเรียบร้อยพลางสังเกตคนที่เอาแต่ยืนเหม่ออยู่หน้าเขียงพลาสติก จิณณ์มีอาการแบบนี้มาร่วมอาทิตย์แล้ว เป็นบ้าอะไรของมันเนี่ย

"จิณณ์ วันนี้ทำอะไรกินวะ"
ผมเอ่ยปากถามเมื่อเห็นจิณณ์เอาแต่เหม่อ มือชะงักค้างกลางอากาศมาราวๆ หนึ่งนาทีแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มลงมือหั่นผักต่อ เช้านี้กูจะได้กินข้าวไหมวะ สัด ต้มข้าวไว้ก็ไม่ยอมคน ไหม้ติดหม้อพอดี

"....."
มันเงียบสนิท ไม่แม้แต่จะรับรู้การมาถึงของผมเลยสักนิด ขนาดเข้าไปยืนคนข้าวต้มในหม้ออยู่ข้างๆ มันก็ยังเหม่อ ฉิบหาย จิตหลุดไปถึงไหนแล้ววะพี่กู

"จิณณ์... หยิ่งเหรอ"
ผมแกล้งเย้าเผื่อว่ามันจะรู้สึกตัวบ้าง เออว่ะ มันขยับมือมาจับมีดแล้ว เริ่มหั่นผักบุ้งด้วย แต่แม่ง! ไอ้สัด ตามึงมองเชี่ยอะไรอยู่

"ไอ้สัดจิณณ์ เหม่อเหี้ยอะไรเนี่ยมีดจะบาดมือแล้ว!"
ผมตะโกนเสียงดังพร้อมกลับหันหลังวิ่งหนีเพราะกลัวมันตกใจแล้วแทงมีดกระซวกไส้ จิณณ์สะดุ้งเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันใบหน้ามึนๆ มาทางด้านหลัง โอย ขวัญเอ้ยขวัญมา แทบช็อกตายแล้วไอ้เจ็ท

"ห๊ะ ทะ โทษทีมึง กูคิดอะไรเพลินๆ"
จิณณ์ละล่ำละลักขอโทษก่อนจะก้มหน้าก้มตาหั่นผักบุ้งต่อ ผมเห็นสภาพแบบนั้นเลยได้แต่ถอนหายใจแล้วแบมือขอมีดเพื่อจัดการอาหารเอง ยังไม่บำรุงร่างกายด้วยเลือดของฝาแฝดหรอก

"อยากมีเก้านิ้วหรือไง"
ผมรับอาวุธมาจากมันแล้วเริ่มทำหน้าที่พ่อครัวแทน แอบเหลือบมองเป็นครั้งคราวว่าจิณณ์มีปฏิกิริยายังไงบ้าง

"ฟาย ไข่กูสิบนิ้วเว้ย"
มันเบิกตากว้างแล้วร้องโวยวายยกใหญ่ แถมเด้งเป้าใส่จนผมได้แต่ส่ายหัวเพราะความเอือม สมงสมองเบลอไปหมดแล้วพี่กู ประมวลผลบ้าอะไรของมันเนี่ย จะบ้าตาย

"กูหมายถึงนิ้วมือ ห่า!"
ผมด่ามันเสียงดังแล้วกระแทกมีดที่ใช้เสร็จลงบนเขียง ไม่ได้รำคาญแต่มันน่าโมโหที่จิณณ์เอาแต่เหม่อมาทั้งอาทิตย์ ถามเรื่องหนึ่งตอบอีกเรื่องหนึ่ง เป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก

"อ๋อ... นึกว่าพูดถึงมังกรยักษ์"
มันหัวเราะแห้งๆ ปิดท้ายแล้วสลับที่ไปยืนคนข้าวต้มในหม้อแทน อยากจะบอกเหลือเกินว่าให้มึงเททิ้งแล้วทำใหม่เถอะ เหม็นกลิ่นไหม้คลุ้งไปทั้งครัวแล้ว

"ถามจริง ทำไมช่วงนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"
ผมปิดแก๊สแล้วแย่งทัพพีในมือของจิณณ์ออกก่อนจะเทคนข้าวต้มที่ก้นหม้อขึ้นมาให้มันดู ทั้งดำทั้งส่งกลิ่นไหม้ จากที่ถลึงตาใส่กลับกลายเป็นหัวเราะแห้งๆ ถ้าปล่อยไว้คนเดียว ไฟคงไหม้ห้องตายห่าพอดี

"ก็... มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย"
มันหลบสายตาแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ดวงตาคมหลุบลงคล้ายกับคนไปทำผิดอะไรมา ผมเหลือบมองครู่เดียวก่อนจะจัดการต้มข้าวใหม่ จากมื้อเช้ากลายเป็นมื้อเที่ยงแน่ๆ

"นี่มึงเครียดจนหน้าแดงเลยเหรอ มีเรื่องอะไรปรึกษากูได้นะ"
ผมถามจากอาการที่สังเกตเห็น ท่าทางของจิณณ์ดูคล้ายมีอะไรในใจ เดี๋ยวหน้าแดงเดี๋ยวหน้าเขียว เหมือนโกรธทีเขินที หรือมีใครที่ไหนมาสารภาพรักกับมันวะ คิดแล้วก็รู้สึกตะหงิดๆ กลัวว่าไอ้ไธจะแดกแห้วอีกครั้ง

"ทำตัวมีประโยชน์ตั้งแต่เมื่อไหร่"
คำถามประชดดังมาจากทางด้านหลังทำให้ผมที่กำลังเทน้ำมันลงในกระทะต้องชะงักมือแล้วหันกลับไปแยกเขี้ยวใส่ จิณณ์พูดอย่างกับน้องชายเป็นพวกไร้ประโยชน์ ทั้งที่จริงๆ แล้วนายภาคินเป็นห่วงมันจะตาย แค่ไม่แสดงออกเอง...

"ดูถูกสัดๆ ก็ตั้งแต่จะมีแฟนเป็นว่าที่หมอนี่ล่ะ"
ผมประชดกลับแล้วยักคิ้วกวนใส่ จิณณ์ถึงกับเบะปากแล้วขว้างกระดาษทิชชู่ใช้แล้วมาทางนี้ ดีหน่อยที่รับได้แม่น ไม่อย่างนั้นมันคงไปนอนลอยคออยู่ในหม้อข้าวต้มแล้ว

"ฝันกลางวันนะน้องกู"

"เออน่า แล้วตกลงมึงคิดเรื่องอะไร"
ผมโบกมือปัดๆ เรื่องของตัวเอง จะฝันกลางวันหรือไม่ก็มีแต่พี่ทาวน์คนเดียวที่ให้คำตอบได้ ตอนนี้อยากรู้เรื่องจิณณ์มากกว่า ตั้งแต่โตมาด้วยกันเกือบยี่สิบปีไม่เคยเห็นมันมีอาการแบบนี้มาก่อนเลย

"คือ... มีคนมาสารภาพรักกับกูว่ะ"
น้ำเสียงอ้อมแอ้มตอบกลับมาทำให้ผมเบิกตาโตแล้วตบมือลงที่เข่าอย่างแรง นั่นปะไร เคยเดาอะไรผิดที่ไหนวะ นี่เพื่อนกูต้องแดกแห้วอีกแล้วใช่ปะ จิณณ์อยู่เฉยๆ ยังมีคนมาสารภาพรัก โธ่เว้ย (อย่าว่าแต่คู่แฝด ตัวเองก็มีคนเข้าหาบ่อยๆ)

"ผู้หญิงที่ไหนอีก"
ผมกดเสียงต่ำแล้วทำเป็นไม่สนใจคำตอบที่จะได้ ลงมือเทกระเทียมสับที่จิณณ์เตรียมไว้ลงในกระทะก่อนจะใส่ผักบุ้งตามลงไป มื้อนี้ถ้ากับข้าวแดกไม่ได้อย่ามาด่าแล้วกัน

"ถ้าเป็นผู้หญิงก็ดีสิวะ"
น้ำเสียงของจิณณ์สั่นเครือจนผมต้องหันไปมอง เมื่อครู่มันบอกว่าอะไรนะ ฟังไม่ค่อยถนัด หูเพี้ยนหรือเปล่าที่แปลความหมายได้ว่าคนที่สารภาพรักไม่ใช่ผู้หญิง แต่...

"ห๊ะ อย่าบอกนะว่า..."



ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 18 - P.2 (23/09/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-09-2017 10:51:35
"เพื่อนมึงนั่นล่ะ ทำกูปั่นป่วน!"
จิณณ์ตบโต๊ะดังปังแล้วลุกขึ้นตะโกนอัดหน้าผมแบบฝอยน้ำลายเต็มหน้า ทั้งตกใจทั้งขยะแขยงมันเลยเว้ย ตะหลิวเกือบหล่นจากมือ ไอ้ฉิบหาย! คุณธามไธใจกล้าโคตร

"จริงดิ ไอ้ไธสารภาพกับมึงแล้วเหรอวะ!”
ผมถามเสียงดังไม่แพ้กัน ตะหลิวในมือถูกยกชี้หน้าคู่สนทนาด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดเพื่อนรักก็กล้ากับเขาสักที ไม่ต้องปากเปียกปากแฉะกรอกหูอีกแล้ว ต่อไปก็เหลือแค่ตัวจิณณ์ว่ารู้สึกยังไง ขอให้ไอ้ไธไม่แดกแห้วเถอะ สงสาร

"หมายความว่ายังไง พูดอย่างกับมึงรู้เรื่องมาตลอด"
จิณณ์ใช้สายตาจับผิดจ้องมาทำให้ผมต้องหันกลับไปสาละวนกับการตักผัดผักบุ้งใส่จาน ไม่คิดโกหกหรอกแต่แค่ไม่กล้าสบตาเฉยๆ

"ก็แหงดิ เพื่อนกูนะเว้ย"
ผมบอกด้วยความภาคภูมิใจแต่เสียงกลับสั่นเล็กน้อยเพราะกลัวปฏิกิริยาตอบกลับของจิณณ์ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าคนรับฟังเขารู้สึกยังไง ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำแบบนี้มาก่อนด้วย

"แต่กูแฝดมึงนะ ไม่คิดจะบอกอะไรหน่อยเหรอไง”
จิณณ์พูดเสียงรอดไรฟันและยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้กระโดดข้ามโต๊ะมาฆ่ากันอย่างที่คิดไว้ ผมลอบถอนหายใจก่อนจะยกจานผัดผักบุ้งไปตั้งบนโต๊ะแล้วเท้าแขนทั้งสองข้างลง ใช้สายตาจริงจังมองคู่สนทนา

"เพื่ออะไร บอกให้มึงหนีหน้ามัน หรือบอกให้มึงกระทืบมันเหรอไง"
ผมถามในสิ่งที่คิดว่าคนนิสัยอย่างจิณณ์จะทำเมื่อเจอเรื่องไม่คาดฝัน มันถึงกับเบิกตาโตแล้วเม้มปากแน่นคล้ายคนกำลังสับสน ถ้ามันมีใจให้ไอ้ไธสักนิดคงดีไม่น้อย คนที่รักเราซื่อสัตย์แน่นอน อยากให้พี่และเพื่อนมีความรักที่ดีและมั่นคง นายภาคินคงต้องสถาปนาตัวเองเป็นกามเทพ (ได้ข่าวว่าเรื่องตัวเองยังเอาไม่รอด)

"กู... ไม่รู้ กูไม่ได้รังเกียจพวกรักร่วมเพศนะเว้ย แต่เจอกับตัวแล้วมันแปลกๆ"
จิณณ์พูดติดๆ ขัดๆ แล้วเอาหน้าซุกลงกับฝ่ามือทั้งสองข้าง ไอ้ที่บอกมาน่ะก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้รังเกียจการรักเพศเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงด่าผมไปตั้งแต่สารภาพว่าชอบพี่ทาวน์แล้ว

"ชอบหรือไม่ชอบ ความรู้สึกตอนนี้น่ะ"
ผมถามแล้วลากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออกก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง อาหารมื้อนี้ก็แดกแค่ข้าวต้มกับผัดผักบุ้งไปแล้วกัน เพราะอยากรู้คำตอบของจิณณ์มากกว่า ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับภูมิภาคได้เลยนะเว้ย ลุ้นจนฉี่จะแตกแล้วเว้ย อยากให้ไอ้ไธมาอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วยชะมัด

"ถามบ้าอะไรวะ"

"ชอบไอ้ไธหรือเปล่า"

"มะ มันเป็นผู้ชายนะเว้ย จะชอบเข้าไปได้ไง"
จิณณ์ตอบเสียงตะกุกตะกักแถมยังหูแดงเถือกไปหมด ผมสังเกตเห็นแล้วลอบยิ้มเงียบๆ เอาเถอะ ยังไงมันก็ซึนได้ไม่นานหรอก โดนตะล่อมอีกหน่อยก็คงหลุดปาก หึหึ

"ไม่ต้องคิดแบ่งแยกเรื่องเพศดิวะจิณณ์ เอาความรู้สึกจริงๆ น่ะ"
ผมพูดน้ำเสียงจริงจังและเพิ่มความเคร่งขรึมด้วยการเท้าแขนและใช้หลังมือทั้งสองข้างรองรับปลายคาง มาดอย่างกับนักธุรกิจแต่ความจริงเป็นแค่พวกเจ้าเล่ห์ท่าเยอะ กดดันมันเข้าไป เดี๋ยวก็สติแตกเองล่ะน่า

"ไม่รู้... กูไม่รู้อะไรเลย"
ยังจะปากแข็งอีก แบบนี้นายภาคินไม่ทนแล้วเว้ย

"ปากบอกไม่รู้แต่เสือกยืนเหม่อแล้วหน้าแดงเนี่ยนะ สัดเอ้ย ซึนฉิบหาย"
ผมว่าก่อนจะใช้มือผลักหัวคนตรงข้ามด้วยความหมั่นไส้ กรอกตาไปรอบๆ แสดงอาการเบื่อหน่าย แค่ยอมรับว่าตัวเองหวั่นไหวกับไอ้ไธมันยากนักหรือไงวะ ตอนเสนอหน้าเข้าไปจีบสาวๆ ยังกล้าเลย แปลกคนจริงๆ

"ซึนบ้านพ่อมึงดิ โดนผู้ชายขโมยจูบกลางร้านเหล้าแถมเสือกเผลอตอบโต้กลับ กูก็อายเป็นนะเว้ย!"
จิณณ์ตะโกนอย่างเหลืออด ใบหน้าหล่อแดกก่ำเหมือนลูกมะเขือเทศสุก มันทึ้งหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง แต่ผมนี่สติหลุดไปไกลได้แต่ถลึงตาอ้าปากพะงาบๆ ฉิบหาย พี่ชายกูเสียจูบให้ไอ้ไธแล้วเหรอวะ โคตรอิจฉา!

"ว่าไงนะ! มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทำไมกูไม่รู้เรื่องอะ"
ผมลุกพรวดจนเก้าอี้ขูดไปกับพื้นเกิดเสียงดังครืดก่อนจะโน้มตัวเข้าไปจับไหล่จิณณ์แล้วเขย่าอยู่สองสามครั้ง โอย ทำไมพวกมึงแซงหน้ากูไปแบบนี้เนี่ย แค่จับมือพี่ทาวน์ยังทำไม่ได้เลย ฮือ

"โอ้ย สัด! วันๆ มึงเอาแต่เฝ้าพี่ทาวน์ เคยสนใจพี่อย่างกูด้วยหรือไง"
มันสะบัดตัวหนีแล้วผละตัวออกไปไกลจนผมเอื้อมไม่ถึง ใบหน้าบูดเบี้ยวสื่ออารมณ์ทั้งน้อยใจและหงุดหงิด แทนที่ผมจะโกรธต่อเลยทำได้แค่ไหวไหล่ ไม่ยี่หระต่อคำกล่าวหาใดๆ ก็เรื่องจริง เคยได้ยินหรือเปล่าว่า ‘ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก’ ไม่นานมึงได้น้องสะใภ้เป็นว่าที่หมอแน่ๆ ไม่ต้องห่วง

"ช่วงหลังๆ กูก็ขลุกอยู่กับมึงปะวะ ปลายอาทิตย์หน้าเริ่มสอบไฟนอลแล้วไปกวนพี่ทาวน์มาก เดี๋ยวกูจะได้แดกแห้วเข้าจริงๆ”
ผมพูดเสียงกระเง้ากระงอดแล้วกระแทกตัวลงบนพนักเก้าอี้หลายๆ ครั้งเพื่อระบายความงุ่นง่านในใจ ไม่ได้คุย ไม่ได้เจอกันเลย มันก็รู้สึกคิดถึงว่ะ ส่งไลน์ไปให้กำลังใจเขา อีกห้าชั่วโมงให้หลังถึงจะได้สติ๊กเกอร์ตอบกลับมาสักตัว จิตใจทำด้วยอะไรเนี่ย

"จ้า กูดีใจมากเลยที่มึงจะกลับมาเสือกเรื่องกู พ่อน้องรัก"
ไอ้นี่ก็ประชดเก่งจังวะ ติดนิสัยพี่แจมหรือไง นับวันยิ่งทำตัวเป็นเหมือนผู้หญิง เห็นอนาคตรำไรเลยว่าต่อไปต้องอยู่บนแน่ๆ ไม่ใช่ฝ่ายรุกนะ มันออนท็อปต่างหาก...

"หยุดพากูออกนอกเรื่อง ตกลงแล้วมึงคิดยังไงกับเพื่อนกู เอาความจริง อย่าตอแหล"
ผมดึงสติมันกลับมาด้วยความเสือกล้วนๆ อยากรู้ใจจะขาดแล้วว่าไอ้ไธมีหวังหรือเปล่า ถ้าไม่ก็จะได้เคลียร์ให้จบๆ

"มึงเห็นเพื่อนดีกว่าพี่เหรอ"
ดราม่าก็มาวะ... ผมไหวไหล่แล้วโน้มตัวไปใกล้จิณณ์ จะว่าแทบขึ้นไปนั่งบนโต๊ะเลยก็ว่าได้ มันขยับถอยห่างอีกครั้งจนเกือบตกเก้าอี้ ถ้าหัวฟาดไปใครจะรับผิดชอบวะ กูคงโดนที่บ้านยำตีนแน่ๆ

"มันแอบรักมึงมาหลายปีนะจิณณ์ กูจะเข้าข้างก็ไม่แปลก"
ผมเอาความลับของเพื่อนมาขายก็เพื่อตัวมันเอง ระยะเวลาหลายปีอาจจะทำให้จิณณ์ใจอ่อนลงบ้างก็ได้ ก็แค่การคาดเดาเท่านั้น แต่พอเห็นพี่ชายทำหน้าตกใจก็คิดว่าความหวังมีเกินห้าสิบเปอร์เซ็นว่ะ

"เออๆ เข้าใจ... กูแม่ง เอาจริงๆ โคตรเขินเลยว่ะ สัดเอ้ย ที่เหม่อช่วงนี้ก็เพราะคิดถึงปากนุ่มนิ่มของไอ้ไธนั่นล่ะ แม่ง จูบเก่งเป็นบ้า ดูแลเอาใส่ใจก็ดีที่หนึ่ง ยอมรับเลยว่าแอบหวั่น"
จิณณ์พรั่งพรูสิ่งที่อัดอั้นไว้ในใจออกมาจนหมดโดนที่ไม่ยอมมองหน้ากัน แก้มที่เคยกลับไปเป็นสีเนื้อปกติตอนนี้แดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ ผมเพิ่งคิดได้ว่าควรหยิบโทรศัพท์มาอัดเสียงคำพูดเมื่อครู่ ถ้าเอาไปเปิดให้ไอ้ไธฟังมันคงดีใจสุดๆ โอ้ย หน้าที่กามเทพกำลังจะสำเร็จใช่ไหม

"ชอบมันแล้วดิ"

"ยะ ยังว่ะ จะรีบไปไหน ให้กูไตร่ตรองมากกว่านี้เถอะ ไม่อยากตัดสินใจผิดพลาดแล้วทำให้ไอ้ไธผิดหวัง"
มีแคร์ความรู้สึกกันด้วย น่าหมั่นไส้จนเผลอเบะปากเลยกู ทำไมพอเป็นเรื่องพี่ทาวน์ถึงไม่มีใครออกปากช่วยกูแบบนี่บ้างวะ แม่ง น่าน้อยใจชะมัด

"แหม เสียงสั่น หน้าแดง เออๆ ยังก็ยัง แต่มึงไม่รังเกียจที่จะให้มันจีบใช่ไหม"
ผมออกปากถามแทนเพื่อนเลยเรื่องนี้ ไม่อยากให้ค้างๆ คาๆ เคลียร์จบจะได้ไปจัดการเรื่องตัวเองต่อ จิณณ์มีท่าทีกระอักกระอวน เหลือบมอง กัดปาก เขย่าขา หันหน้าไปมา นี่ตกลงมึงเป็นบ้าหรือเปล่า ทำไมอาการดูใกล้เคียงชอบกล

"ก็... เออ! จะจีบก็จีบ"
ตะโกนซะเสียงดัง มึงอยากให้ไอ้ไธที่อยู่ชั้นหนึ่งได้ยินเลยใช่ไหมไอ้สัด เดี๋ยวคนข้างห้องก็เอาขี้แมวมาปาใส่หรอก หูดับไปชั่วขณะเลยกู

"เออดี"
ผมแคะหูก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินออกจากห้องครัว ทุกเวลามีค่าต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ แถมวันนี้ไอ้ไธไม่ออกไปไหนด้วย ควรอย่างยิ่งๆ

"เดี๋ยวๆ นั่นมึงจะไปไหนอะเจ็ท"
จิณณ์วิ่งตามออกมาแล้วกางแขนดักหน้าผมเอาไว้ ใบหน้าบ่งบอกถึงความสงสัยสุดขีด คิ้วขมวดจนแทบเป็นปม ตลกดีว่ะ

"ไปบอกไอ้ไธ"

"บอกอะไร"
โอ้ๆ หน้าหงึกแล้วเว้ย

"ให้มันขึ้นมาจีบมึงเดี๋ยวนี้เลย"
ผมตอบแล้วผลักจิณณ์ให้พ้นทางก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้อง ได้ยินเสียงด่าตามหลังแล้วได้แต่หัวเราะชอบใจ มีความสุขจังเว้ย!

"ไอ้สัด ให้เวลากูตั้งหลักบ้างเถอะ!"
มัวแต่ตั้งหลักเดี๋ยวก็อดมีผัวกันพอดีครับฝาแฝด ส่วนผมเตรียมตัวพร้อมจะมีเมียแล้ว หึหึ

ด้วยความคิดถึงพี่ทาวน์อย่างหนัก ผมเลยระบายความรู้สึกนี้ลงในไอจีโยเลือกอัพรูปแผ่นหลังของเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจภายในห้องสมุด ใบหน้าเปื้อนยิ้มยามจรดนิ้วพิมพ์แคปชั่นหวานหยดย้อยพร้อมแท็กไปหา ได้แต่ภาวนาว่าคงไม่โดนด่ากลับมานะ
Phakin_Jet คิดถึงคนในรูปจังเลยครับ ♥
Phokin_Jinn อยากจะแหมไปให้ถึงดาวอังคารจริงๆ เลยเว้ย
RU.Sexyboys หมั่นไส้จังเลยค่า ~
Farmer_xx เพ้อนะมึง คิดถึงก็ไปหาสิว้า
Mr.Fafar คิดถึงก็มาหอสมุดคณะแพทย์ดิวะ หายหัวไปเลยนะมึง เดี๋ยวหมาก็คาบไปแดกหรอก
Phakin_Jet @Farmer_xx @Mr.Fafar โหย พูดง่ายแต่ทำยากนะ ไม่อยากไปรบกวนเวลาอ่านหนังสือว่ะ กลัวโดนหักคะแนนความประพฤติ

ผมตอบคอมเม้นท์ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ไอ้ฟาร์มกับพี่ฟานี่มันพูดง่ายกันจริงๆ เลยเว้ย เพราะไม่อยากรบกวนเวลาเป็นเงินเป็นทองของนักศึกษาแพทย์นี่สิ กลัวไปทำเขาเสียสมาธิ รู้ตัวเองว่าชอบไปนั่งจ้อง นั่งมอง เดี๋ยวโดนหักแต้มความสัมพันธ์จะแย่เอา กว่าจะเข้าใกล้พี่ทาวน์ได้มากขนาดนี้เสียน้ำตาไปเท่าไหร่แล้ว

ผมกำลังจะวางโทรศัพท์ลงเพราะได้ยินเสียงจิณณ์เรียกให้ไปดวนเกม Pokken Tournament DX ที่เพิ่งออกใหม่เมื่อวานนี้ แต่เสียงแจ้งเตือนกลับดังขึ้นซะก่อนเลยดึงความสนใจกลับมาที่เครื่องมือสื่อสาร

Maungneua_t จะมาหาก็มา อมยิ้มเต็มกระเป๋ากูแล้ว

ผมแหกปากร้องแบบไร้เสียงแล้วกระโดดเหยงๆ ด้วยความดีใจ นี่พี่ทาวน์บอกว่าคิดถึงทางอ้อมใช่ไหม โอ้ย เกมเชี่ยอะไรไม่เล่นแล้วเว้ย จะทำตัวเป็นเด็กขยันไปหอสมุดเดี๋ยวนี้ล่ะ ขอยืมรถจิณณ์ด้วยแล้วกัน!

“ไอ้จิณณ์ กูยืมรถหน่อยนะเว้ย จะไปหาพี่ทาวน์ที่มหา’ลัย!”

“ไอ้เหี้ย ทิ้งกู!”



--------------------------------------------

ความหวังอยู่แค้เอื้อมแล้วน้องเจ็ทเว้ย แต่พี่แกนำหน้าไปไกลโขเลย 5555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 18 - P.2 (23/09/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 23-09-2017 19:37:19
 :z2:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 18 - P.2 (23/09/60)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 24-09-2017 21:59:20
ตอนแรกนึกว่าเจ็ทจะเป็นรับ ที่ไหนได้เจอหมอของขาวไปหน่อย หมอจากมีแฟนหญิงมา ก็ทำใจรับไปเหอะนะ 555

จิณณ์เจ็ทน่ารักดี เป็นพี่น้องที่งอแง เร้าหรือกันดีค่ะ ตีกันบ้าง แต่ห่วงกันดี
ไธก็สักทีเหอะนะ รุกจูบขนาดนั้น อย่าปล่อยทิ้งไว้ค่ะ ต้องตีอีก 5555
ฟาร์มคือจะจีบฟาตอนไหน หรือรอตังค์มีคู่ก่อน
ทาวน์คะ เข้มมาก ปากแข็งมาก ทำเจ็ทเจ็บมาหลายรอบ แต่ชอบตอนนี้ เพราะเริ่มรู้ตัวแล้ว

ชอบเรื่องนี้ตรงที่ เวลาเฟล เวลาเจ็บ ผู้ชายก็เสียน้ำตาได้
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 19 - P.2 (03/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 03-10-2017 14:28:07
แข่งครั้งที่ 19




การสอบปลายภาคเริ่มต้นขึ้นด้วยเมื่อปลายอาทิตย์ที่แล้วและกำลังจะจบลงในวันนี้ ผมแทบกระอักเลือดกับวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ทำไมมันยากอย่างกับไม่เคยเรียนมา บางข้อถึงกับเดาแบบไม่มีจุดหมายปลายทาง เขียนอะไรไดก็เขียนดีกว่าปล่อยให้กระดาษว่างเปล่า

ครั้นหันไปมองไอ้ฟาร์มที่นั่งอยู่ข้างๆ กันถึงกับต้องกลั้นหัวเราะ รายนั้นยู่ปากจนติดจมูกแถมยังเอาปากกาเคาะหัว ท่าทางคงทำข้อสอบไม่ได้ยิ่งกว่าผมซะอีก ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะถอนหายใจ อีกแค่ยี่สิบนาทีจะหมดเวลาแล้ว แม่งเอ้ย ไม่เคยนั่งจนรากงอกขนาดนี้มาก่อนในชีวิต วิชานี้วิชาแรกเลย

“อีกยี่สิบนาทีจะหมดเวลา นักศึกษาทุกคนกรุณาตรวจทานข้อสอบให้ดีๆ ก่อนส่งด้วย”
เสียงเข้มของอาจารย์คุมสอบดังขึ้นทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ของบรรดานักศึกษาที่ทำข้อสอบไม่ได้เหมือนๆ กัน ผมแทบจะเคี้ยวกระดาษลงท้องเพราะสมองตื้อไปหมด เคาะปากกาลงกับโต๊ะก็แล้ว กระดิกเท้าก็แล้วยังคิดคำตอบข้อสุดท้ายไม่ออก อยากจะบ้าตาย!

ไม่เกินห้านาทีหลังจากเสียงอาจารย์เงียบลง ผมก็ตัดสินใจเก็บอุปกรณ์การสอบใส่กระเป๋าเสื้อนักศึกษาแล้วคว่ำกระดาษคำตอบลงกับโต๊ะ ลุกขึ้นยืนด้วยเสียงที่เบาที่สุด ก่อนเดินออกจากห้องทันสังเกตเห็นไอ้ฟาร์มขยับปากด่า จับใจความได้ประมาณว่า ‘ทิ้งกู ไอ้ห่า’ อยากจะเดินเข้าไปตบหัวสักทีแล้วถามว่า ‘กูอยู่ไปช่วยอะไรมึงได้เหรอ ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ไอ้สัด’

ผมเดินห่อไหล่เข้าไปหาไอ้ไธที่นั่งรออยู่หน้าระเบียงห้องสอบ มันทำเพียงแค่เหลือบตามองแล้วกลับไปสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ เดี๋ยวนี้พ่อคุณเขาว่างไม่ได้หรอก ต้องรายงานจิณณ์ตลอดว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน กับใคร โอย อิจฉา เริ่มจีบกันทีหลังแต่แซงหน้าไปมากโขคืออะไรวะ เซ็งฉิบหาย

“ไงมึง ออกมาคนแรกเลยนะ”
ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะแอบชะโงกหน้าดูจอโทรศัพท์ ที่เดาเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเลย เพราะแชทของจิณณ์โชว์หราเต็มสองลูกตา เห็นแบบนั้นก็ได้แต่เบะปากด้วยความหมั่นไส้ คนที่ปากตรงกับใจ อะไรๆ มันก็ง่ายไปซะหมด

“ขี้เสือกว่ะ”
ไอ้ไธพูดเสียงไม่จริงจังนักก่อนจะพิมพ์ตอบอะไรจิณณ์นิดหน่อยแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อ ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ยอมรับว่าขี้เสือก ก็มันเป็นเรื่องของคนสนิทนี่หว่า อยากรู้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

“จะไปไหนต่อปะวะ”
ผมถามเพื่อจะชวนมันเล่นเกมที่ห้อง ไหนๆ วันนี้ก็สอบวิชาสุดท้ายแล้ว คลายเครียดสักหน่อยก็ดี ที่ไม่ชวนกันไปหาอะไรกินฉลองก็เพราะเย็นนี้ไอ้ฟาร์มจะกลับไปจัดกระเป๋าเพื่อกลับบ้านที่ชลบุรี ส่วนตังค์ก็มีราชรถสีชานมมารับ รอว่างๆ ก่อนเถอะ จะเรียกไอ้เอยมาซักฟอกให้ขาวเลย

“มีนัดว่ะ”
มันตอบพร้อมรอยยิ้มหวานๆ หน้าตาเปี่ยมสุขขนาดนี้ไม่ต้องถามต่อเลยว่านัดกับใครที่ไหน ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยต่อยแขนไอ้ไธไปทีนึงโทษฐานทำคะแนนแซงหน้าคนอื่น ดูอย่างไอ้ฟาร์มสิ ยังอยู่ที่จุดเริ่มต้นอยู่เลย ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะก้าวไปข้างหน้า หรือบางทีสุดท้ายแล้วมันอาจจะถอยหลังออกจากสนาม คงต้องรอลุ้นไปเรื่อยๆ

“หมั่นไส้”
ผมบ่นอุบก่อนจะเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็น อีกไม่กี่นาทีก็จะห้าโมงแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ทาวน์ทำอะไรอยู่ที่ไหน นักศึกษาแพทย์สอบเก็บคะแนนมาตลอดการเรียน ก็ไม่แปลกที่ไฟนอลจะจบก่อนคณะอื่นๆ

“มึงไม่นัดกับพี่ทาวน์เหรอไง”
ไอ้ไธถามก่อนจะพาดแขนลงบนไหล่ของผม ดวงตาที่มองมามีแววหยอกล้อ มันคิดว่าคนอย่างนายภาคินมีชีวิตรักที่ดีนักหรือไงกัน ถามก่อนเถอะว่าอีกคนเงียบหายไปนานแค่ไหนแล้ว นัดอะไรอย่าหวังซะเถอะ

“หึ คุยยังไม่ได้คุยเลยเถอะ ตั้งแต่กูเริ่มสอบพี่เขาไม่ตอบไลน์เลย”
ผมบอกเสียงหงอยแล้วโขกหน้าผากลงกับฝ่ามือตัวเองอย่างคนไร้หนทางเดินต่อ ตั้งแต่เริ่มสอบวันแรกจนวันสุดท้ายพี่ทาวน์ยังไม่เปิดอ่านไลน์ด้วยซ้ำ ไอ้เราก็หน้าด้านส่งข้อความไปหาทุกวัน จนหลังๆ เริ่มกลัวเขารำคาญเลยหยุด แต่สุดท้ายก็เอาแต่กังวลว่าอีกฝ่ายจะไปคุยกับคนอื่นไหม แค่คิดก็จุกจนเจ็บ

“เขาอยากให้มึงตั้งใจสอบไง”

“แต่กูต้องการกำลังใจ”

“มึงหวังอะไรมากมายจากพี่ทาวน์ว่ะ”
ไอ้ไธบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่คำพูด่างทำร้ายจิตใจ มันแปลว่าผมไม่มีหวังในเรื่องพี่ทาวน์เลยใช่ไหม ที่จีบมาหลายเดือนก็คงไม่มีผลสินะ

“นั่นสิ กูคงหวังมากไป”
ผมเอนหัวไปซบไอ้ไธโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง จากที่ไม่เคยคิดมากตอนนี้หัวแทบแตก มองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะความเย็นชาของพี่ทาวน์กอปรกับที่เขาไม่ค่อยแสดงออกและปากแข็ง เหนื่อย ท้อ แต่ขอไม่ถอย คนนี้นายภาคินอยากได้มาครอบครองจริงๆ

“มึงอย่าดราม่า กูหมายถึงพี่เขาไม่ใช่คนละเอียดอ่อนมานั่งให้กำลังใจใครแบบนั้น ไม่ใช่ว่าไม่สนใจมึง”
ไอ้ไธผลักหัวกันเบาๆ คงเพราะหมั่นไส้ที่ผมทำท่าหงอย เพราะคำพูดของมันไง ยังจะมาทำร้ายกันอีก นี่เพื่อนนะไม่ใช่ลูกบอล

“อ้าวเหรอ แต่กูคิดถึงเขาไง”
ผมเด้งตัวออกแล้วทำหน้าเอ๋อใส่มัน ปล่อยให้คิดเป็นตุเป็นตะอยู่ได้ แม่ง อายฉิบหาย

“ตอนนี้ก็ไลน์ไปคุยด้วยซะสิ ไม่ก็โทรไปเลย”
ไอ้บ้านี่ก็พูดง่ายแถมยังทำหน้ากวนใส่อีก ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไลน์นิ่งสนิท ไม่มีข้อความตอบกลับหรือแม้แต่อ่านเลยสักนิด พี่ทาวน์กำลังปั่นหัวอยู่เหรอไง นิสัยไม่ดีเลย

“ข้อความอันเก่ายังไม่ตอบกูกลับมาเลยเถอะ ใครจะกล้าทักไปใหม่”

“เรื่องของมึง กูไม่ยุ่งแล้ว”

สุดท้ายก็โดนเพื่อนทิ้งไว้กลางทางเพราะผมกลายเป็นไอ้ป๊อดขึ้นมาซะเฉยๆ ไอ้ไธไปรับจิณณ์ที่คณะ ส่วนไอ้ตังค์ก็มีราชรถมาเกยถึงที่ แถมยังกอดคอแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบออกนอกหน้า นี่กูแพ้ไอ้เอยเหรอวะ มาช้าแต่ความสัมพันธ์แซงคนอื่น เรื่องเชี่ยอะไรเนี่ย

ผมเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมๆ กับไอ้ฟาร์มที่คุยโทรศัพท์กับที่บ้าน พรุ่งนี้มันจะกลับชลบุรี ดูท่าทางคงปลงเรื่องพี่ฟาไปแล้ว เพราะรายนั้นหนุ่มๆ ใจกล้าเข้าหาเยอะ ส่วนคนกากก็ได้แต่มองอยู่ห่างๆ จะว่าไปแล้วบางครั้งความรักก็ทำให้คนๆ หนึ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง จากที่เคยบ้าบิ่นกลายเป็นขี้อายซะได้ แววแดกแห้วลอยมาแต่ไกลเลยเพื่อน

“เชี่ยเจ็ท พรุ่งนี้อย่าลืมมารับกูด้วยนะเว้ย”
ไอ้ฟาร์มย้ำอีกครั้งหลังจากที่มันวางสายแล้ว ผมพยักหน้ารับแกนๆ แบบขอไปที จะใช้ให้ทำอะไรก็ไม่เกี่ยง เพราะหลังจากวันนี้ไปก็เข้าช่วงปิดเทอม ชีวิตเงียบเหงา ความรักก็ไม่รุ่ง แม่ง อยากบินไปอังกฤษฉิบหาย หนีไปพักใจไกลๆ แต่ติดตรงที่จิณณ์ขี้เกียจ

“ถามจริง ทำไมไม่ขับรถกลับบ้านวะ นั่งรถตู้เพื่ออะไร”
ผมยืนพิงรถไอ้ฟาร์มแล้วถามด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามันจะดั้นด้นไปเบียดเสียดคนอื่นเพื่อกลับบ้านทำไม แล้วเดือดร้อนคนอื่นต้องไปส่งถึงคิวอีก

“กูขี้เกียจไง อีกอย่างนั่งรถตู้ประหยัดเงินมากกว่าด้วย”
มันบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับภาคภูมิใจกับความคิดของตัวเอง ผมได้แต่เบ้ปากมองเพื่อนด้วยความไม่เชื่อถือร้อยวันพันปีเพื่อนคนนี้จะรู้จักคำว่าประหยัด ปกติฟุ่มเฟือย เปย์ให้สาวๆ เป็นว่าเล่น

“กูหูฝาดปะ ป๋าฟาร์มสายเปย์รู้จักคำว่าประหยัดด้วย”
ผมขยับตัวไปกอดไหล่แล้วหรี่ตามองเพื่อจับผิด ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่ามันเปลี่ยนไปขนาดนี้ เรื่องเลิกเปย์สาวก็พอรู้ว่าบ้างเพราะมันไปชอบพี่ฟา แต่เลิกฟุ่มเฟือยเหนือความคาดหมายจริงๆ

“กูเลิกเปย์แล้วเว้ย”
ไอ้ฟาร์มโวยวายเสียงดังจนคนอื่นหันมามองทำให้ผมต้องเบี่ยงตัวหลบออกมาแล้วทิ้งท้ายไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปรับที่บ้าน ถ้ายังอยู่ตรงนั้นคงกลายเป็นจุดสนใจได้ไม่ยาก และอีกอย่างคือเห็นแฟนเก่าของจิณณ์แว๊บๆ ด้วย หนีก่อนจะเกิดเรื่องดีกว่า

ผมเดินทอดน่องไปที่ลานจอดรถรวมของมหา’ลัย ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดเรื่องของใครบางคน แต่ขายาวต้องหยุดชะงักอยู่แถวสนามบาสฯ กลางแจ้งเพราะโทรศัพท์ในกระเป๋ากำลังสั่นรัว

“ฮัลโหลครับพี่ฟา”
ผมกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปด้วยความประหลาดใจ น้อยครั้งที่พี่ฟาจะโทรหากันแบบนี้ โดยปกติแล้วคุยไลน์กันมากกว่า สงสัยมีธุระด่วนแน่ๆ

‘มึงสอบเสร็จวันไหน’
พี่ฟาถามกลับเสียงเรียบทำให้ผมได้แต่ขวดคิ้วแน่น ความสงสัยเริ่มทวีคูณมากยิ่งขึ้น มีอะไรหรือเปล่าวะ

“วันนี้ครับ มีอะไรหรือเปล่า”
ผมออกเดินอีกครั้งเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการกลับไปพัก หลังจากไม่ได้นอนติดต่อกันหลายคืนเนื่องจากทุ่มอ่านหนังสือและคิดมากเรื่องพี่ทาวน์

‘งั้นดีเลย พรุ่งนี้กูวานมึงไปรับไอ้ทาวน์ที่คอนโดให้หน่อยดิ’
พี่ฟาบอกเสียงใสด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่ผมได้แต่หยุดชะงักเท้าอีกครั้ง เมื่อครู่เขาพูดว่าอะไรนะ หูเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย หรือกำลังฝัน

“หา รับไปไหน อะไรยังไงครับ”
ผมละล่ำละลักรีบถามจนสำลักน้ำลายไอโขลกใส่โทรศัพท์ โดนพี่ฟาบ่นซะยกใหญ่ก่อนจะยอมตอบคำถาม

‘คืองี้ ไอ้ทาวน์รถเสีย แล้วพรุ่งนี้มีประชุมงานโอเพ่นเฮ้าท์ที่คณะ’

“อ่า... พี่ฟาไม่ว่างเหรอ”

‘แม่ง ง่ายๆ คือกูเปิดโอกาสให้มึงทำคะแนนกับไอ้ทาวน์อะ’
พี่ทาวน์หัวเราะคิกคักตบท้ายราวกับเจอเรื่องสนุกนักหนา และผมเองก็ไม่สามารถหุบยิ้มได้เลยเมื่อรู้ว่าเพื่อนของเขาสนับสนุนขนาดนี้ ก็มีแต่เจ้าตัวนั่นล่ะที่ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึก

“อ้อ... แต่ผมต้องไปรับเพื่อนนี่ดิ มันจะกลับบ้านที่ชลบุรี”
ผมร้องก่อนจะเงียบไปประมาณสิบวินาทีแล้วยกเรื่องที่ต้องไปรับไอ้ฟาร์มที่บ้านบอกพี่ฟาไป ทั้งที่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย จะฝากไอ้ไธยังได้ แต่ในเมื่อโอกาสช่วยเพื่อนมาอยู่ตรงหน้าแล้ว จะปล่อยให้หลุดมือก็คงไม่ดี

‘เพื่อนคนไหน’
พี่ฟาถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ผมที่เป็นคนคิดแผนเด็ดได้ภายในไม่กี่วินาทียืนอมยิ้มกรุ้มกริ่มจนสาวๆ แถวลานจอดรถถึงกับส่งเสียงกรี๊ด คือ... อย่าเข้าใจผิดว่านายภาคินกำลังล่อเหยื่อสิ ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยเว้ย รักเดียวใจเดียวแค่พี่ทาวน์

“ไอ้ฟาร์มครับพี่”
ผมตอบเสียงดังฟังชัดก่อนจะล้วงกระเป๋าหากุญแจรถยนต์ที่อาสาเป็นคนขับมาเมื่อเช้า เย็นนี้จิณณ์ไปกับไอ้ไธกรรมสิทธิ์ในการครอบครองเลยตกมาอยู่ที่นายภาคินแบบเต็มร้อย

‘อ๋อ งั้นเดี๋ยวกูไปส่งมันที่ชลบุรีแล้วกัน’

“เฮ้ย แค่คิวรถตู้ก็พอพี่”
ผมร้องด้วยความตกใจก่อนจะก้มลงเก็บกุญแจรถที่ทำหล่นเพราะอึ้งกับคำพูดของพี่ฟา ต้องใจดีขนาดไหนถึงอาสาขับรถไปส่งไอ้ฟาร์มถึงชลบุรีวะ ระยะทางไม่ได้ใกล้เลย นี่มันโชคสองชั้นชัดๆ แม่ง โคตรน่าอิจฉามันเลยเว้ย ทำไมไม่มีคนช่วยกูบ้างเนี่ย

‘เออน่า กูถือว่าไปเที่ยวทะเลด้วยเลย’
ผมฟังพี่ฟาพูดด้วยความเบลอ มีคนแบบนี้บนโลกด้วยเหรอวะที่ยอมช่วยคนอื่นแต่ลำบากตัวเอง แถมมองโลกในแง่ดีได้ขนาดนั้น สุดยอดว่ะ ถ้าไอ้ฟาร์มจีบเขาตืดคงดีไม่น้อย

“แล้วพี่ไม่เข้าประชุมงานเหรอวะ”

‘ไม่อะ กูอยู่ฝ่ายทำเอกสารแนะนำคณะ ส่วยไอ้ทาวน์นี่เป็นคนเฝ้าซุ้ม คนละหน้าที่กัน’

“อ๋อ งั้นผมฝากไอ้ฟาร์มด้วย แล้วก็... ขอบคุณครับ”
ผมเอ่ยขอบคุณจากใจจริง เพราะถ้าพี่ฟาไม่ยกโอกาสนี้ให้ก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรโทรไปคุยกับพี่ทาวน์ที่เงียบหายเข้ากลีบเมฆ

‘เออๆ สอยไอ้ทาวน์ให้ได้นะเว้ยว่าที่น้องเขยของพี่’
เขาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะแล้ววางสายไป ปล่อยให้ผมยิ้มอย่างกับคนบ้ายืนถือกุญแจรถค้างไว้ในมือโดยไม่ทำอะไรต่อ ชอบคำอวยพรเมื่อครู่จนอยากจะโห่ร้องว่าต้องทำให้ได้ แต่เกรงใจคนรอบข้างรวมถึงกลัวอาจารย์ด่า

พี่ก็รีบมาเป็นเพื่อนสะใภ้ของผมสักทีเถอะ สงสารไอ้ฟาร์มมัน ทั้งชีวิตเก่งเรื่องผู้หญิงมาตลอด ดันเสือกมาตายเอาตอนที่ชอบผู้ชาย กากจริงๆ

ผมบึ่งรถกลับคอนโดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ริมฝีปากหยักขยับไปตามเพลงที่เปิดคลอ อารมณ์ดียิ่งกว่าคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งซะอีก เพราะหลังจากวางสายพี่ฟาไปแล้วไม่นานนักก็ได้รับข้อความไลน์ตอบกลับของคนที่กำลังคิดถึงมาตลอดอาทิตย์ว่าเพิ่งซื้อโทรศัพท์ใหม่เนื่องจากเครื่องเก่าดิ่งพื้นชิ้นส่วนกระจาย

นาฬิกาติดผนังบอกเวลาสี่ทุ่ม ผมควรจะอาบน้ำและจัดการตัวเองให้เรียบร้อยพร้อมนอนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่เปล่าเลยเพราะยังคงนั่งพิมพ์ไลน์ตอบโต้กับพี่ทาวน์มาตั้งแต่หนึ่งทุ่ม มีอะไรมากมายเล่าให้เขาฟัง โดยลืมนึกไปว่าอีกคนจะเบื่อหรือรำคาญความคิดถึงนี้บ้างไหม ก็ได้แต่นั่งกลั้นหายใจเมื่อได้สติว่าเวินเว่อไร้สาระมากเกินไป

แต่ผลตอบรับกลับดีเกินคาดตรงที่ทางนั้นรับฟังและออกความคิดเห็นเป็นบ้างครั้ง ถามไถ่ถึงการสอบของผมว่าทำได้หรือเปล่า จากที่เคยตัดพ้อว่าพี่ทาวน์ไม่สนใจกลับต้องเปลี่ยนความคิดใหม่อย่างกะทันหัน พอโดนใส่ใจเข้าหน่อยมุมปากก็กระตุกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มแก้ม ความสุขเอ่อล้นทะลักอย่างที่ไม่เคยเป็น

เกือบตีหนึ่งผมโดนพี่ทาวน์ไล่ให้ไปอาบน้ำเป็นครั้งที่สิบ และถ้าไม่ยอมทำตามสักทีเขาจะไม่ยอมคุยด้วยอีกเลย แล้วไอ้คนที่เป็นรองทุกอย่างจะทำอะไรได้นอกจากกุลีกุจอลงจากเตียงจนหน้าเกือบคะมำเพื่อวิ่งเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย กลับออกมาอีกทีก็โดนบอกราตรีสวัสดิ์ซะอย่างนั้น ของอนได้ไหมล่ะ

แสงแดดยามเช้าส่องลอดรอยแยกขอผ้าม่านเข้ามากระทบลงบนเปลือกตาทำให้ผมที่นอนหลับด้วยความเพลียต้องสะลึมสะลือตื่นอย่างช่วยไม่ได้เนื่องจากมีภารกิจต้องไปรับพี่ทาวน์ที่คอนโด ใช้เวลาประมาณห้านาทีในการเรียกสติกลับคืนเข้าร่างแล้วระบายยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงคนที่กำลังจะได้เจอกัน

“สวัสดีครับพี่ทาวน์”
ผมเอ่ยทักทายคนที่ยืนรออยู่หน้าคอนโดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หัวใจเต้นระรัวราวกับเพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรก ความคิดถึงกำลังแสดงออกทางสายตาให้พี่ทาวน์รับรู้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามไม่สนใจในขณะที่เปิดประตูขึ้นรถ โธ่ เย็นชาไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ แต่ก็รักนะ

“แผนสูง”
พี่ทาวน์พูดออกมาสั้นๆ แล้วจ้องหน้าเขม็งอย่างเอาเรื่อง ผมได้แต่เลิกคิ้วขึ้นเพราะไม่เข้าใจ ใครที่ไหนแผนสูงวะ แต่จะว่าไปเขาดูหล่อขึ้น อาจจะเพราะเปลี่ยนสีผมเป็นสีควันบุหรี่ด้วยล่ะมั้ง โคตรเท่เลย

“อะไรนะครับ”
ผมถามย้ำในขณะที่สายตาก็มองสำรวจใบหน้าของเขาไปเรื่อย ทำไมถึงชอบให้คิดถึงอยู่เรื่อยเลยนะ พี่ทาวน์ไม่รู้หรือไงว่ากำลังทำให้คนๆ หนึ่งจะขาดใจตายให้ได้ตอนที่หายตัวไป

“มึงไง แผนสูง”
พี่ทาวน์ขยายความกว้างขึ้นเพียงนิดเดียวก่อนจะเบนหน้าหลบสายตาของผม เขาเอนหลังพิงพนักให้อยู่ในท่วงท่าสบายๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดเพลง

“ผมไม่เข้าใจอะ”
บอกเขาก่อนจะเริ่มออกรถโดยเหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อย จริงๆ อยากหยุดเวลาที่เรามองหน้ากันและกันเอาไว้ ยังไม่หายคิดถึงเลย ถ้าถึงมหา’ลัยไว ก็ต้องแยกกันไว แบบนั้นโอกาสที่พี่ฟาให้มาคงเปล่าประโยชน์ แต่จะทำไงได้ ขืนจอดอยู่กับที่คงโดนพี่ทาวน์ฆ่าหมกป่าแน่ๆ

“มึงมารับกู ส่วนไอ้ฟาไปรับฟาร์ม”
ขยายความกว้างขึ้นมาอีกนิดจนผมถึงบางอ้อ ไอ้ที่ว่าแผนสูงคือการที่เผลอหยิบยื่นโอกาสให้กับเพื่อนสนิทใช่ไหม ก็เหตุการณ์มันพอเหมาะพอเจาะจะปล่อยเลยไปก็เสียดาย อีกอย่างคือสงสารไอ้ฟาร์ม มันไม่เคยมีอาการป๊อดกับใครอย่างนี้มาก่อน คงจริงจังมากกับความรักครั้งนี้จริงๆ

“ก็... พี่ฟาวานให้ผมมารับพี่ไง”

“กูรู้ว่าฟาร์มชอบไอ้ฟา”
พี่ทาวน์ไม่ยอมแพ้จริงๆ สินะ ถ้าอย่างนั้นผมยอมเองก็ได้ ถือซะว่าเป็นการเอาใจเขาแล้วกัน มันเกี่ยวกันได้หรือเปล่าวะ

“ครับๆ ยอมแพ้ ถือว่าช่วยเพื่อนให้สมหวังในความรักไง”
ผมพูดเสียงอ่อยเพราะกลัวจะโดนด่า แถมยังไม่กล้าเหลือบตามองพี่ทาวน์ด้วยซ้ำ ดูๆ ไป ในอนาคตนายภาคินคนนี้คงกลัวเมียแน่นอน

“หึ น่ากระทืบทั้งคู่จริงๆ”
พี่ทาวน์หัวเราะเสียงต่ำแถมแสยะยิ้มชวนสยอง ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อนิ้วเย็นเฉียบสัมผัสเข้าที่แก้มก่อนจะโดนดึงอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บจี๊ด เขาเล่นอะไรเนี่ย แต่โคตรรู้สึกดีที่โดนจับเนื้อต้องตัว ถ้าขอกอดบ้างจะได้ไหมวะ

“โอ้ย อย่าใจร้ายสิครับ”
ผมร้องเสียงหลงแล้วพยายามอ้อนเขาโดยการขยับหัวเพื่อถูไถแก้มเขากับมือเรียว พี่ทาวน์ผละออกอย่างนวดเร็วแล้วถลึงตาใส่อย่างกับโกรธใครมาสักสิบชาติ แทนที่จะดูน่ากลัว กลับกลายเป็นว่าน่ารักน่าแกล้งมากกว่า

“ยอมไปด้วยยังหาว่าใจร้ายอีกหรือไง”
พี่ทาวน์พูดไม่เต็มเสียงแต่ก็แฝงความเย็นชาเหมือนเคย ใบหน้าหล่อหันกลับไปมองถนนอย่างเคย ถ้าตาไม่ฝาดละก็เมื่อครู่คิดว่าผมเห็นเขายิ้มนะ

“ใจดีที่สุดเลย ~”
ผมลากเสียงหวานหยอกล่อคนข้างกายที่พูดประโยคน่ารักๆ เมื่อครู่ออกมา พี่ทาวน์ปากร้ายใจดี แต่บางครั้งก็ปากร้ายใจร้าย เอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้จริงๆ

“อย่ามาประชด”
นั่นไง ชมจากใจจริงยังโดนหาว่าประชด แบบนี้ผมจะจีบพี่ทาวน์ติดเมื่อไหร่วะเนี่ย หรือว่ารวบหัวรวบหางจับปล้ำทำเมียซะหมดเรื่อง พอสมองเริ่มคิดอกุศลสายตาก็ชำเลืองมองการแต่งกายของคนข้างตัวอีกครั้ง กางเกงพอดีเข่าที่เวลานั่งจะร่นขึ้นจนเห็นขาอ่อนขาวๆ ทำให้ต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อกลงคอ รู้สึกตัวร้อนชอบกล แม่ง เสือกมาหื่นเอาตอนนี้มีแต่ตายกับตาย

“ผะ ผมพูดจริงๆ นะ”
ย้ำคำเสียงสั่นแล้วรีบเลยหน้าหนีต้นขาขาวนั่น หัวใจกำลังทำหน้าที่สูบฉีดเลือดอย่างหนัก สมองเริ่มเบลอๆ ภาพที่เห็นเริ่มไปไกลถึงเตียงนอนหลังกว้างที่มีสองร่างเปลือยเปล่ากำลังคลอเคลียกัน โคตรฟินจนต้องเอื้อมมือหยิบกระเป๋าเป้จากด้านหลังมาปิดเป้าไว้ขณะรถติดไฟแดง

ไอ้ฉิบหาย ถ้าพี่ทาวน์รู้ว่าผมคิดอะไรคงลากไปกระทืบให้ตายคาตีนแน่ ยิ่งนานวันอารมณ์เรื่องอย่างว่ายิ่งพุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่จริงๆ มีอยู่หลายครั้งที่แอบช่วยตัวเองแล้วเรียกชื่อเขาออกมา... พอเสร็จกิจก็ได้แต่ร้องขอโทษอยู่ในใจเป็นร้อยครั้ง เคยพยายามเลิกทำเรื่องบัดสีแบบนี้แล้วแต่ทำไม่ได้จริงๆ

ผมโดนพี่ทาวน์มองด้วยสายตาจับผิดมาตลอกทางจนถึงหน้าคณะแพทย์ที่เขาต้องไปประชุมเรื่องงานโอเพ่นเฮ้าส์ที่จะจัดขึ้นเมื่อเปิดเทอมมาถึง ไอ้กระเป๋าที่อยู่บนตักนั่นล่ะเป็นจุดสนใจ มีคนบ้าที่ไหนเอามันมาตั้งเกะกะไว้ตรงนี้บ้าง แต่มันเป็นวิธีเดี๋ยวที่จะปิดบังน้องชายที่ตื่นตัวไว้ได้ ขืนปล่อยให้ชี้หน้าอยู่คงไม่ดีแน่ โดนมองเป็นพวกโรคจิตคงดูไม่จืด

“จะให้ผมมารับกี่โมงครับ”
ผมเอ่ยถามทันทีเมื่อพี่ทาวน์เปิดประตูรถ เขายังไม่ทันหย่อนขาลงพื้นด้วยซ้ำก็ตวัดสายตามองมาทางนี้ มีทั้งแววฉงนและสงสัย

“ว่างนักหรือไง”
คำถามสั้นๆ แต่มาพร้อมกับการที่พี่ทาวน์แลบลิ้นเลียปากหลังพูดจบ ผมตัวแข็งทื่อคิดหาเสียงตัวเองไม่เจอไปประมาณสิบวินาที เมื่อครู่เขาแค่ปากแห้งใช่ไหม คงไม่ได้อ่อยกันหรอก เลิกคิดอกุศลสักทีสิวะ น้องชายแม่งตื่นตัวไม่หยุดเลย กูจะตายแล้ว!

ผมหลับตาลงเพื่อข่มความรู้สึกทั้งหมดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วระบายออกช้าๆ ยุบหนอ ไม่พองหนอ อดทนไว้แล้วทุกอย่างจะสงบเอง

“สำหรับพี่ทาวน์ ผมว่างเสมอ”
ผมกลั้นใจหยอดเขาไปพร้อมรอยยิ้มหวาน ทั้งที่มือกำลังสั่นเพราะไอ้การข่มใจห่าเหวอะไรนั่นพังทลายลงจนเกลี้ยงเมื่อลืมตาขึ้นแล้วเจอเข้ากับพี่ทาวน์ที่ทำหน้าฉงน โคตรน่าขยี้! ถ้าไม่เกรงใจขนาดตัวและขนาดตีนคงหน้ามือตามัวจับเขาปล้ำไปแล้วจริงๆ

“เลี่ยน”
บอกว่าเลี่ยนแล้วเบะปากใส่ไม่คิดเหรอว่ามันน่ารักมากขนาดทำให้ใจเต้นแรงแทบทะลุออกมาจากอก ใช่ว่าจะได้เห็นพี่ทาวน์แสดงอารมณ์บ่อยๆ ซะที่ไหนกันวะ ชอบ จนอยากให้เขาเป็นแบบนี้กับผมแค่คนเดียว ขอมากเกินไปหรือเปล่านะ

“ก็คนมันจีบอยู่ ไม่รู้หรือไง”
ผมแกล้งพูดเพื่อจะดูปฏิกิริยาของพี่ทาวน์ว่าเป็นยังไงต่อไป ผลที่ได้คือใบหน้าหล่อเบนหนีพร้อมกับที่ขายาวก้าวลงจากรถ ได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ จากริมฝีปากบาง

“ไม่รู้ได้ด้วยเหรอ”
ใครสอนให้พูดแบบนี้ครับพี่ทาวน์ สารภาพมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย แล้วไอ้ท่าทางหลบตาคืออะไรวะ เขินเหรอ หรือแค่ไม่อยากมองหน้าเพราะผมเสี่ยวแดก ใครก็ได้ช่วยบอกที ว่าตอนนี้คนตรงหน้ารู้สึกยังไง!

“ก็ไม่รู้สิครับ จีบมาตั้งนาน ไม่เห็นพี่จะหวั่นไหวสักที”
ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการอยากฟัดเขา ทั้งที่อยากจะพุ่งไปคว้าข้อมือขาวแล้วกระชากให้กลับเขารถ ทำมิดีมิร้ายจนหนำใจแล้วค่อยปล่อย แต่ก็ทำได้แค่คิดแล้วนั่งกัดฟันข่มอารมณ์พุ่งพล่าน คงต้องแวะเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองจริงๆ จังๆ สักที ไม่ไหวแล้วเว้ย!

“หึ อีกสองชั่วโมง มารับด้วยแล้วกัน”
พี่ทาวน์ระบายยิ้มก่อนจะโบกมือให้แล้วเดินจากไป ผมได้แต่นิ่งค้างเพราะสมองประมวลผลไม่ทัน เมื่อครู่ฟังไม่ผิดใช่ไหม เขาบอกว่าอีกสองชั่วโมงให้มารับตรงนี้ที่เดิมใช่ไหมวะ! ทำไมน่ารักแบบนี้ ไม่เจอกันอาทิตย์เดียวแอบไปอัพสกิลเล่นไสยศาสตร์ป้ายยาเสน่ห์ใส่กูหรือเปล่าวะ ทำไมรู้สึกว่าเจ้าตัวน่ารักขึ้น ยิ้มง่ายขึ้นแถมยังพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเต้นรัว

“ได้ครับ!”
กว่าจะเรียกสติกลับเข้าร่าง กว่าจะตอบออกไปร่างของพี่ทาวน์ก็หายเข้าไปในตึกเรียบร้อยแล้ว ผมอยากลงจากรถแล้ววิ่งไปกอดเขาไว้แนบอกที่สุด คนอะไรทำให้มีความสุขได้ขนาดนี้

ผมไม่ได้ไปไหนไกลจากมหา’ลัยเลย เพราะกลัวว่ารถจะติดแล้วกลับมารับพี่ทาวน์ไม่ทันตามที่ได้นัดกันเอาไว้เลยพาตัวเองมานั่งดมกลิ่นกาแฟคั่วบดในคาเฟ่ที่ตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่น อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย บาริสต้าโคตรหล่อเคยเป็นเดือนคณะบริหารมาก่อน ขนาดตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม สาวๆ ยังทยอยกันเข้ามาสั่งขนมกับเครื่องดื่มอยู่เรื่อย ไม่ค่อยแน่ใจว่าจุดประสงค์คืออยากกินอาหารหรือคนขายกันแน่



ต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 19 - P.2 (03/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 03-10-2017 14:28:35
พอถึงเวลานัดผมก็ตรงดิ่งไปรับพี่ทาวน์ที่หน้าคณะทันทีพร้อมกับชวนเขาไปกินข้าวต่อ นั่งลุ้นอยู่เกือบนาทีกว่าจะได้รับคำตอบตกลง ดูๆ ไปคงอยากแกล้งกันมากกว่า

“กินอะไรกันดีครับ”
ผมเอ่ยถามคนที่เดินข้างกันมาสักระยะหนึ่ง ก่อนหน้านี้เราชวนกันเข้าร้านเสื้อผ้าและได้ของติดไม้ติดมือมาคนละหลายถุง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสองจะเริ่มหิวก็คงไม่แปลก

“แล้วแต่”
โจทย์ยากฉิบหายไอ้แล้วแต่เนี่ย ถ้าเลือกร้านไม่ถูกใจเขาจะโดนด่าไหม

“งั้น... ชาบูดีไหม”
ผมเลียบๆ เคียงๆ ถามเพราะอากาศวันนี้เป็นใจให้กินชาบู ท้องฟ้าครึ้มกับสายฝนโปรยปรายด้านนอก ได้ซดน้ำซุปร้อนๆ คงอุ่นดี พี่ทาวน์คิดอยู่สักพักก่อนพยักหน้าเป็นเชิงตกลง

“ได้ มึงไปจองโต๊ะก่อนแล้วกัน”
เขาบอกก่อนจะพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้ผมเดินไปที่ร้านก่อน ส่วนตัวเองก็หมุนตัวเพื่อกลับทางเก่าที่ผ่านมา

“อ้าว แล้วพี่จะไปไหนครับ”
ผมขมวดคิ้วมองหน้าเขาด้วยความสงสัย อยู่ๆ จะทิ้งกันกลางทางแบบนี้มันแปลกอยู่นะ ถ้าพี่ทาวน์หนีกลับบ้านก่อนไม่ต้องนั่งรอจนรากงอกหรือไง กลายเป็นไอ้เอ๋ออีก

“ธุระ”
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมไม่กล้าถามต่อเพราะมันบ่งบอกในตัวอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ควรยุ่ง

“โอเคๆ งั้นผมรอที่ร้านนะ”
ผมตอบรับแล้วคลี่ยิ้มกว้างให้เขา พี่ทาวน์ครางอืมในลำคอแล้วเดินหายไป

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงพี่ทาวน์ก็กลับมาพร้อมถุงใบใหญ่ ดูจากลักษณะแล้วคงเป็นกล่องอะไรสักอย่าง ดีนะที่ร้านชาบูนี่ไม่ได้กำหนดเวลาการกิน

“โอ้โห ได้อะไรมาครับเนี่ย”
ผมถามไปออกไปด้วยความอยากรู้ทั้งที่มันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ไม่ได้หวังว่าพี่ทาวน์จะตอบกลับมาหรอก เผื่อฟลุคแค่นั้นเอง

“อยากรู้ก็เปิดดูเอง”
พี่ทาวน์บอกเสียงเรียบแถมยังตั้งถุงไว้บนตักของผมราวกับเชิญชวนให้รับรู้ธุระที่เขาไปทำ แทบจะแหกปากร้องด้วยความดีใจที่คนเย็นชายอมให้วุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ก็บอกแล้วไงว่านายเมืองเหนือโคตรน่ารัก

“เฮ้ย จะดีเหรอครับ”
ผมแกล้งถามแล้วทำตาโตเหมือนคนตกใจ มือไม้สั่นอย่างกับเจ้าเข้า อยากก้มลงไปแกะสก็อตเทปที่แปะถุงออกจะตายอยู่แล้ว แต่ขอทำฟอร์มหน่อยเถอะ กลัวพี่ทาวน์หาว่าเป็นเด็กขี้เสือก

“กูอนุญาต”
พี่ทาวน์ยักคิ้วให้ก่อนจะเลิกสนใจผมที่มีอาการตื่นเต้น เขาคีบเนื้อใส่หม้อชาบูตามด้วยผักนานาชนิด หน้าตาดูมีความสุขเหลือเกิน

“งั้นไม่เกรงใจแล้วนะครับ”
ผมบอกเป็นเชิงขออนุญาตอีกครั้งแล้วก้มลงแกะสก็อตเทปปิดปากถุงออก สิ่งของที่อยู่ภายในนั้นทำให้ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจจนต้องรีบเงยหน้ามองคนที่นั่งคีบหมูใส่ปากแบบไม่ทุกข์ร้อน

“เฮ้ย! Nintendo Switch พี่ซื้อมาเล่นเหรอครับ”
ผมร้องถามเสียงดังจนโดนพี่ทาวน์ถลึงตาใส่จนต้องหุบปากฉับเพราะไปรบกวนโต๊ะข้างๆ ก็มันน่าตกใจนี่หว่า ปกติเขาเคยเล่นเกมซะที่ไหน บอกว่าไร้สาระอย่างนั้นอย่างนี้ นี่มันเกินความคาดหมายมาก

“ซื้อมาแดกมั้ง ก็เห็นอยู่ว่าเป็นเครื่องเล่นเกม”
พี่ทาวน์เอื้อมมือมาผลักหัวกันด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะกลับไปสนใจหม้อชาบูตามเดิม ไม่ได้แสดงอาการมีพิรุธอย่างที่ผมคิดไว้ เขารู้ตัวไหมว่ากำลังโดนจับผิดอยู่

“ไหนบอกว่าไม่ค่อยชอบเล่นเกมไง”
ผมถามลองเชิงอีกครั้งแล้วเหลือบมองคนที่ทำเป็นเอร็ดอร่อยกับผักต้มนักหนา เขาทำเพียงแค่ชะงักมือครู่เดียวก่อนจะส่งเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับจนแก้มตุ่ย อยากฟัดจริงๆ เลย!

“อยากเล่นไม่ได้เหรอไง”
เขาตอบกลับมาโดยไม่มองหน้า ผมเลยได้แต่ขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นปม ผีเข้าเหรอ อยู่ๆ ก็อยากเล่นเกม นี่งงนะเว้ย

“ก็มันแปลกๆ นี่ครับ”
ผมบ่นพึมพำเบาๆ แล้วยกถุงเครื่องเล่นเหมไปตั้งไว้ที่เก้าอี้ข้างตัวก่อนจะเอื้อมมือหยิบตะเกียบเพื่อเริ่มกินบ้างแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อพี่ทาวน์เงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยบางอย่างออกมา

“เพราะใครแถวนี้ติดมันนักหนา เลยอยากรู้ว่าเล่นแล้วจะสนุกแค่ไหน”

“.....”
ผมใบ้แดกไปชั่วขณะเพราะกำลังอึ้งในสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่ น้ำเสียงของพี่ทาวน์ราบเรียบมากเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศปกติ แต่แววตาที่มองมานั้นฉายความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด อาการแบบนี้มันพาลให้คิดว่าเขาเริ่มมีใจให้หรือเปล่า อิจฉาเจ้าเกมนั่นที่ผมมักให้เวลาว่างกับมันทุกครั้งไหม

“ฮันแน่ เริ่มชอบผมแล้วล่ะสิ”
พอผมดึงสติกลับมาได้ก็เริ่มออกปากแซวและถามอย่างตื่นเต้น ใบหน้าและแววตาแสดงความรู้สึกทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง มือใหญ่บีบต้นขาเพราะกำลังลุ้นคำตอบ แม่งเอ้ย ชาบงชาบูไม่แดกมันแล้ว!

“เกี่ยวกันตรงไหน”
พี่ทาวน์ชะงักมือที่ถือตะเกียบแล้วมองหน้าผมนิ่งก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนแทบติดลบ ผมเผลอกลั้นหายใจเพราะกลัวว่าสิ่งที่คิดทั้งหมดเป็นแค่การมโนไปเอง รู้สึกหงอยๆ เลยว่ะ โดนแบบนี้เข้าไป

“ก็... พี่สนใจในสิ่งที่ผมชอบ”
ผมพูดเสียงอ่อนแล้วเหลือบสายตามองพี่ทาวน์เพราะไม่กล้าสบตรงๆ เรื่องอื่นความมั่นใจเต็มร้อนเสมอแต่กับเรื่องคนตรงหน้านี่ป๊อดไม่เลิก แต่ก็ดีกว่าไอ้ฟาร์มคนกาก

“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็ทำไป”
เจอคำตอบของเขาเข้าไปผมก็เอาแต่นั่งเงียบแล้วไม่พูดอะไรต่ออีกเลยจนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงและด้วยความอึดอัดระหว่างกันเลยทำให้ต้องรวบรวมความกล้าเปิดปากคุยกับพี่ทาวน์อีกครั้ง

“พี่ทาวน์...”

“อะไร”

“พี่ชอบผมแล้วใช่ไหมครับ”
ถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจังและไม่ยอมละสายตาจากคนตรงหน้า พี่ทาวน์ทำเพียงเหลือบตามองแล้วก้มลงสนใจแซลมอนในจานต่อ ทำไมเห็นของกินสำคัญกว่าผมตลอดเลยวะ

“คิดเอาเอง”

“ทำไมปากแข็ง”
ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าเขาแค่ต้องการถามว่าทำไมต้องปากแข็งขนาดนี้ ทั้งที่การกระทำของเขาแสดงออกมากกว่าแต่ก่อน ถึงจะไม่ชัดเจนทว่ารับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง แต่คนๆ นั้นคือนายเมืองเหนืออะไรก็ไม่แน่นอน อาจจะเกิดสิ่งไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา กลัวใจพี่ทาวน์เหลือเกิน

“รับไม่ได้ก็เลิกจีบ”
น้ำเสียงเรียบแต่ประโยคช่างทำร้ายจิตใจอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ

“ทำไมพูดแบบนี้...”
ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว อารมณ์ดิ่งลงอย่างรวดเร็วจนไม่มีแรงจับตะเกียบ อีกแล้ว เขาทำร้ายกันด้วยคำพูดเย็นชา ตอนที่ทำท่าจะลุกหนีจากเหตุการณ์ตรงหน้าก็โดนมือเรียวคว้าจับชายเสื้อไว้แล้วกระตุกให้นั่งลงที่เดิม

“อย่าดราม่า กูแค่ล้อเล่น เอานี่”
พี่ทาวน์บอกแบบนั้นก่อนจะคับแซลมอนจ่อมาที่ปากของผม แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์คิดว่ามันเป็นการล้อเล่นแต่อย่างใด อารมณ์มันดิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยจริงๆ เสียใจว่ะ แกล้งเล่นแบบนี้ไม่สนุกเลย

“พี่กินเถอะครับ”
ผมผละมือของพี่ทาวน์ออกแล้วเบนหน้าหนีไปอีกทาง อยากให้เขาเลิกล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่นสักที แต่จะเอาสิทธิ์ที่ไหนไปกำหนด ชอบก่อน รู้สึกก่อน จีบก่อน ตามตื๊อก่อน หึ ทำทุกอย่างอยู่ฝ่ายเดียวจริงๆ

“กูง้ออยู่ อย่าลีลา”

ผมอยากจะแหกปากให้ลั่นร้านว่าพี่ทาวน์โคตรขี้โกงไม่น่ามาเรียนหมออย่างทุกวันนี้เลย แค่คำพูดสั้นๆ กลับทำให้ความเสียใจ ความนอยด์ทั้งหลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง มุมปากก็ทรยศเอาแต่ยกยิ้มอย่างไม่น่าให้อภัย ทำไมวะ ทำไมไม่เคยโกรธเขาได้จริงๆ จังๆ สักที คงเป็นเพราะความรักที่มีให้มากขึ้นทุกวันสินะ เมื่อไหร่พี่จะรับมันไปสักที ผมแบกมันคนเดียวไม่ไหวแล้ว

ผมขับรถออกจากห้างสรรพสินค้าในเวลาเกือบห้าโมงเย็นหลังจากที่โดนจิณณ์โทรตามให้กลับคอนโดด่วนเพราะมันจะใช้รถ ด้วยความหงุดหงิดเลยบอกให้ขี่ฟีโน่ไปก่อนก็เลยโดนด่ามาซะหูชา ก็คนกำลังมีความสุข ทำไมชอบขัดอยู่เรื่อย

“ซื้อเกมอะไรมาบ้างครับเนี่ย”
ผมถามเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งข้างกันหยิบกล้องใส่การ์ดเกมขึ้นมาดู ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าเขาจะเลือกอะไรมาเล่นบ้าง

“เหมือนที่มึงเล่น”
คำตอบนั้นทำให้ผมถึงกับคลี่ยิ้มกว้าง สามารถคิดเข้าข้างตัวเองได้จริงๆ แล้วใช่ไหมว่าตัวเองโดนให้ความสนใจเพิ่มขึ้นมากว่าแต่ก่อน ความสัมพันธ์กำลังคืบหน้า

“โห... โคตรลงทุน รวมๆ แล้ว เสียเงินไปเกือบสี่หมื่นเลยสินะ”
ผมคำนวณคร่าวๆ แล้วราคาเครื่องบวกการ์ดเกมห้าแผ่นประมาณนี่เลย คิดไปคิดมาเล่นเกมก็เสียเงินเยอะว่ะ หันมาเล่นจ้ำจี้กับพี่ทาวน์ประหยัดกว่าไหม...

“นี่... ให้ผมสอนเล่นเกมปะ”
ผมเอ่ยปากเสนอตัวเมื่อคิดแล้วว่าทำแบบนี้อาจจะได้ใกล้ชิดพี่ทาวน์มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

“ศึกษาเองได้”

“แต่ผมสอนให้ พี่จะเล่นเป็นเร็วกว่านะ”
ผมไม่ยอมแพ้หรอกคราวนี้ ยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ

“ตามใจ”

“แต่ผมขอค่าตอบแทนนิดนึงได้ไหม”
พอเขาอนุญาต แผนการขั้นต่อไปก็ผุดขึ้นในสมองทันที ผมไม่สอนเขาฟรีๆ หรอกนะ ของแบบนี้มันต้องมีค่าตอบแทนถึงจะเป็นฝ่ายเสนอตัวเองก็เถอะ

“เจ้าเล่ห์นะมึง อยากได้อะไร”
แทนที่จะปฏิเสธพี่ทาวน์กลับถามความต้องการกลับมา นั่นเลยทำให้ผมแทบนั่งไม่ติดเบาะ ตื่นเต้นจนจะบ้าตายอยู่แล้วเว้ย

“หอมแก้มทีนึง”
ผมพูดเสียงดังฟังชัดแล้วรอคำตอบของพี่ทาวน์ด้วยใจลุ้นระทึก เขาตวัดสายตาจ้องกันอย่างเอาเป็นเอาตายจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นานภาคินคบมีโอกาสได้แก่ตายใช่ไหม

“ใครหอมใคร”

“ผม... หอมแก้มพี่ทาวน์”
พูดด้วยความไม่มั่นใจ แต่ความอยากสัมผัสมีมากกว่าความกลัว พี่ทาวน์นิ่งครู่หนึ่งก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก

“กูให้จูบเลย”
แถมยักคิ้วใส่ด้วย คนอะไรโคตรใจปล้ำ! ขอแตะปากมัดจำไว้ก่อนได้ไหมวะ

“เฮ้ย จริงอะ จูบได้จริงเหรอวะพี่!”

“จูบได้สิ”

“พี่ต้องรักผมแล้วแน่ๆ”

“จูบตีนน่ะนะ หึหึ”

“พี่มันร้าย!”

ผมจะไม่เชื่อคำพูดเชิญชวนของพี่ทาวน์อีกแล้ว ให้ตายเถอะ!




-----------------------------------------------

มาต่อแล้ว... เห็นความคืบหน้าของทุกคู่ใช่ไหม? 55555
เราจะไม่เร่งรีบ เรื่องนี้ความสัมพันธ์จะเรื่อยๆ แต่มั่นคงน้า

ใครชอบไม่ชอบยังไงช่วยติชมหน่อยน้า เราจะได้รู้ว่าควรปรับปรุงตรงไหนบ้าง
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 19 - P.2 (03/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 03-10-2017 21:03:04
 :ling1: :ling1: :ling1: ดูอิมเมจเจ็ทละแบบ ทำไมเราอยากไห้นางเป็นรับฟะ แบดๆ เหมือนจะร้ายแต่เหมือนหมาขี้อ้อน

อิพี่ทาวนี้นับวันยิ่งน่ากลัว คือเย็นชาดั่งเดิม เพิ่มเติ่มคือความเจ้าเล่ และขี้โกง

ดูกักๆ เจ็ทยังไงไม่รุ้ เหมือนเจ็ทมันก็ไห้ไปเต็มร้อยอะเกินร้อย แต่พี่หมอเหมือนจะขยับความสัมพันนะ แต่ก็ดูกักๆ ดูไม่ไปไหน

 :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 20 - P.3 (08/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 08-10-2017 09:34:29
แข่งครั้งที่ 20



“ทะเล! ~”
เสียงโหวกเหวกโวยวายของบุคคลที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วดังขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ผมพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะดึงหมอนปิดหู รำคาญความตื่นเต้นของจิณณ์ฉิบหาย ทำอย่างกับเด็กป่าไม่เคยพบเคยเจอทะเล ขอนอนต่ออีกสักสิบยี่สิบนาทีไม่ได้หรือไง และเมื่อดวงตาคมหรี่มองนาฬิกาปลุกก็ได้แต่ขมวดคิ้วพลางสบถชื้อสัตว์เลื้อยคลาน ออกมายาวเหยียด เพิ่งจะตีห้าครึ่ง แม่งเอ้ย! แล้วนี่ก็ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม

“โอ้ ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส ~”
ไอ้สัด คราวนี้มาเป็นเพลงเลย! ผมเด้งตัวขึ้นจากที่นอนแล้วดิ้นพลาดๆ ด้วยอารมณ์ไม่พอใจสุดขีดก่อนจะตะโกนด่าออกไปแบบไม่เกรงใจห้องข้างๆ

“ไอ้เหี้ย คนจะหลับจะนอน หุบปาก!”
ผมหอบหายใจหนักเพราะใช้พลังงานเยอะ รู้สึกเบลอๆ เพราะเมื่อครู่เอาแต่ดิ้นจนลืมสังขารที่ดันนอนเกือบตีสาม สาเหตุมาจากคุยกับพึ่ทาวน์เรื่องเกมเพลินไปหน่อย บอกเทคนิคการเล่นนั่นนี่ให้ แถมยังหยอดเขาจนตัวเองเขินเอง กากจริงๆ เลยกู

เสียงจิณณ์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตามมาด้วยเสียงก๊อกแก๊กคล้ายคนกำลังไขกุญแจ ไม่นานนักประตูห้องก็เปิดออกพร้อมด้วยร่างของคนที่แต่งตัวเต็มยศเพื่อไปทะเล เสื้อกล้ามสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสดใส กางเกงสีเหลืองเหนือเข่า ผมมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ่งหัวเสียมากยิ่งขึ้น มึงเป็นห่าอะไรตั้งแต่ตีห้า เพิ่งออกมาจากป่าหรือไง!

“มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล ~”
จิณณ์ร้องเพลงท่อนต่อจากเมื่อครู่ประกอบท่าเต้นส่ายสะโพกโยกย้าย ใบหน้าเปื้อนยิ้มร่าเริงชวนให้รู้สึกคิ้วกระตุก ที่ผมด่ามันไปคือไม่สำนึกเลยใช่ไหม แถมยังคุ้ยหากุญแจห้องเปิดเข้ามากวนตีนกันอีก มึงอยากตายใช่ไหม ได้ๆ กูจัดให้

ฟับ!

ผมขว้างหมอนในมือไปยังเป้าหมายที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่หน้าประตูอย่างแม่นยำ ร่างทั้งร่างทรุดลงกับพื้นดังตุบ หน้าตาดูมึนงงราวกับไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพียงไม่นานมันก็เริ่มเบะปากแล้วร้องโวยวายทันที นี่กูยังไม่ได้คลี่ยิ้มเยาะเพราะความสะใจเลย รีบได้สติไปไหนวะ เซ็งฉิบหาย

“ไอ้เจ็ท ไอ้คนใจร้าย ไอ้คนอกตัญญู ฮึก กูจะฟ้องไอ้ไธให้เตะมึง!”
มันตวาดลั่นห้องแล้วชี้หน้าผมจนมือสั่น ใบหน้างอง้ำอย่างกับโกรธกันมาสิบชาติ แต่อย่าคิดว่าความสำนึกมันจะก่อตัวขึ้นกับกูเลย ไม่มีทาง

“เดี๋ยวนี้มึงเป็นง่อยเหรอ อะไรๆ ก็ไอ้ไธอย่างนั้น ไอ้ไธอย่างนี้ หมั่นไส้”
ผมกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย รู้สึกหงุดหงิดที่ฝาแฝดเอาแต่ติดไอ้ไธแจ ไม่มีวันไหนหยุดพูดชื่อนี้เลยสักครั้ง เป็นเมียเขาแล้วหรือไงวะ

“เป็นง่อยแล้วมีความสุข ดีกว่าคนครบสามสิบสองที่แดกแห้วล่ะวะ”
จิณณ์ลุกขึ้นจากพื้นแล้วแลบลิ้นใส่หลังจบประโยคด้วยท่าทีเหนือกว่า ผมได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ ทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ เพราะสรรหาคำโค้กลับไม่เจอ เหี้ย ใครให้เอาเรื่องจริงมาพูดเล่นแบบนี้

เจ็บ จุก ไอ้ห่า น้ำตาก็มา...

พี่ชายที่แสนดีออกไปเตรียมอาหารตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เป็นอันว่าผมได้ฤกษ์ลุกจากเคียงไปชำระร่างกายสักที เพราะช่วงเจ็ดโมงครึ่งต้องออกจากคอนโดได้แล้ว กว่าจะถึงชลบุรีก็อีกประมาณสองชั่วโมง ขี้เกียจขับรถฉิบหาย

“จิณณ์ มึงบ้าเหรอ อาทิตย์นี้กูแดกแต่ไข่ม้วนเป็นอาหารเช้าจนเอียนแล้วนะ”
ผมโวยวายทันที่ที่เห็นอาหารในจาน จำได้ว่ากินมันมาตั้งแต่ต้นอาทิตย์ยันท้ายอาทิตย์ หน้ากูจะกลมเป็นไข่แล้วไอ้สัด

จิณณ์หันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่า ‘มึงมีปัญหาเหรอ งั้นก็ทำแดกเองสิ’ ก่อนจะส่งขวดซอสมะเขือเทศและมายองเนสแบบบีบมาให้ จะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะเห็นเวลาแล้วถ้าไม่ยอมกินไข่ม้วนคงหิวไปจนเกือบเที่ยงวัน โอย เอียนจะอ้วก

“วันจันทร์ไข่ปรุงรส อังคารใส่แฮม พุธใส่ไส้กรอก พฤหัสใส่เบคอน ศุกร์ใส่ปูอัด เสาร์ใส่...”

“พอ! วันเสาร์มันพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าจะเอาเครื่องทำไข่ม้วนไปด้วย”
ผมตาลีตาเหลือกขัดคำบอกเล่าของจิณณ์ทันทีเมื่อมันร่ายเมนูไข่ม้วนออกมา เหลือบมองเครื่องมือทรงกระบอกสีเขียวก็ได้แต่หวั่นใจ กลัวว่าคณะเดินทางสู่ชลบุรีจะพบเจอเรื่องสยองขวัญเหมือนตัวเอง ไม่ตลกนะเว้ยที่ต้องมานั่งกินเมนูเดิมๆ ซ้ำทุกวัน

“ฮิฮิ ก็กะว่าจะเอาไปอยู่นะ”
จิณณ์หัวเราะเสียงเล็กแล้วคว้าไอ้เครื่องไข่ม้วนมากอดอย่างรักใคร่ก่อนจะวางมันลงในซิงค์ล้างจาน ผมมองการกระทำนั้นแล้วตบหน้าผากอย่างไม่รู้ต้องทำยังไงให้มันเลิกเห่อสักที เกลียดอาการแบบนี้เป็นบ้า

“กูขอเหอะ อย่าทำให้ทริปเที่ยวทะเลล่มเพราะไข่ม้วนของมึงเลย”
ผมยกมือไหว้มันท่วมหัวอย่างขอร้องในขณะที่มันหันกลับมาพอดี คิ้วหนาเลิกขึ้นก่อนเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจะตามมา นี่มึงแกล้งกูใช่ไหมไอ้ฟาย!

“กินไข่ม้วนแค่นี้ทำเป็นจะตาย ทีกับไข่พี่ทาวน์ล่ะจ้องเอาๆ”
มันพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะแกล้งสะบัดน้ำจากมือใส่หน้ากัน ผมเอี้ยวตัวหนีจนเกือบตกเก้าอี้ ใจหายใจคว่ำหมด โดนแกล้งตั้งแต่เช้า ชีวิตวันนี้คงรันทดน่าดู

“สัด! สกปรกนะมึง แล้วพูดซะกูดูเป็นคนโรคจิต”
ผมสบถด่าแล้วหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดหนดน้ำที่เปียกตามใบหน้าและตัวก่อนจะมองคาดโทษมันที่เอาแต่ทำหน้ากวนตีน ไม่เคยมีสำนึกเลยสินะคนอย่างมึงเนี่ย

“หรือไม่จริง มึงช่วยตัวเองแล้วเรียกชื่อพี่ทาวน์บ่อยจะตายไป”

“มึงรู้ได้ยังไง!”
ผมถลึงตัวลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดังเพราะตกใจในสิ่งที่จิณณ์พูด เรื่องช่วยตัวเองเป็นความจริงแต่ทำในห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนของตัวเองอีกที แล้วมันไปได้ยินมาจากไหน... โอย มึงเป็นสต็อกเกอร์เหรอครับ ไม่ต้องเรียนแล้วมั้งไอ้วิศวะโยธาเนี่ย ลาออกเถอะ!

“เสียงดังทะลุผนังห้องขนาดนั้น ไม่ได้ยินก็แปลกแล้ว”

“ไม่จริง มึงอย่ามาโกหก!”
ผมพุ่งตัวเข้าไปคว้าคอเสื้อของจิณณ์อย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน มันเบะปากราวกับจะร้องไห้แล้วตีลงที่ไหล่นับครั้งไม่ถ้วน มือโคตรหนัก กระดูกจะหักไหมเนี่ย

“ปล่อยกู เสื้อยับ!”
จิณณ์ตะโกนอย่างเดือดดานแล้วรัวมือลงบนหน้าอกของผมจนรู้สึกตุกไปหมดทำให้ต้องปล่อย มันจัดเสื้อของตัวเองด้วยใบหน้าบึ้งตึงแถมยังส่งตาขวางมาทางนี้ เป็นอะไรนักหนากับการแต่งตัววะช่วงนี้ ต้องเนี๊ยบต้องดูดีตลอด กลัวไอ้ไธเปลี่ยนใจหรือไง ได้ข่าวว่ารายนั้นเคยเห็นนายโภคินทั้งตอนหลับน้ำลายยืดและเพิ่งตื่นนอนไปแล้วชัวร์ๆ

“บอกมาว่ามึงรู้ได้ยังไง”
ผมกดเสียงต่ำเพื่อคาดคั้นคนขี้แกล้งก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้วหยิบไข่ม้วนใส่ปูอัดขึ้นมากัดระบายความเครียด ซอสเซิสอะไรไม่จิ้มแล้ว รู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ใครๆ ก็ช่วยตัวเอง แต่การเรียกชื่อพี่ทาวน์ประกอบนี่สิ โคตรน่าอาย แม่ง ถ้าจิณณ์เอาเรื่องนี่ไปเล่าให้เขาฟัง ชาตินี้คงได้เป็นพญานกแน่

“เซ้าซี้จริง ก็วันนั้นเข้าไปหยิบของในห้องมึงแล้วเสือกหูดีได้ยินเสียงครางไง ตอนแรกนึกว่าเปิดหนังเอวีทิ้งไว้ แต่ที่ไหนได้เสียงน้องกูเอง”
มันพูดพร้อมกับหรี่ตามองจนผมต้องเบนหน้าหนี รู้สึกแก้มันร้อนๆ ชอบกล แอร์เสียเหรอ มือก็สั่น สงสัยจะหิวข้าวมาก จะว่าไปไข่ม้วนก็อร่อยเนอะ ยัดเข้าปากแทบติดคอตาย ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะกวนตีนจากจิณณ์ ยิ่งตัวจะระเบิด โอ้ย คราวหน้าถ้าช่วยตัวเองอีกจะร้องเพลงโดเรม่อน!

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเก้าโมงที่ผมต้องทนหลังขดหลังแข็งขับรถเอสยูวีคันเก่าของพี่ทาวน์มีตุ๊กตาหน้ารถเป็นไอ้ตังค์ที่ไม่ยอมเสียสละตัวเองไปกับไอ้เอย อยากจะบอกว่าจุดหมายคือพัทยาไม่ใช่เสม็ด คงไม่เสร็จทุกราย... มั้ง

ผู้โดยสารคันนี้ประกอบไปด้วย ผม ไอ้ตังค์ พี่ทาวน์ พี่ฟา และพี่แฮม ส่วนอีกคันมีไอ้ไธ จิณณ์แล้วก็ไอ้เอย ส่วนป๋าฟาร์มคนดีก็นอนตีพุงรออยู่ที่บ้านเรียบร้อย จองที่พักให้เสร็จสรรพ ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ อีกอย่างคือรีสอร์ทเป็นกิจการของครอบครัวมัน ฟรี ฟรี แล้วก็ฟรี ~ แต่เสียอย่างเดียวที่คนนั่งด้านข้างนี่ล่ะ ไม่เจริญหูเจริญตาเอาซะเลย เซ็ง

“คุณเจ็ทครับ...”
ไอ้ตังค์ส่งเสียงเรียกขัดจังหวะการฮัมเพลง ผมเลิกคิ้วแล้วหันไปมองเป็นเชิงถามว่ามีอะไร อยากจะบอกว่าช่วงนี้มันเลิกดูการ์ตูนอย่างถาวรเพราะไอ้เอยบังคับให้คุยโทรศัพท์กันทุกเย็นจนถึงเที่ยงคืน วิธีการจีบโคตรฮาร์ดคอร์ นับถือความเผด็จการนี้จริงๆ

“คือ... แวะปั๊มหน่อยได้ไหมครับ ผมปวดฉี่สุดๆ”
มันนิ้มแหยก่อนจะหนีบขาเข้าหากันประกอบคำพูด ท่าทางคงปวดทานานแล้วแต่ไม่กล้าบอก และนั่นทำให้ผมหลุดขำก่อนพยักหน้ารับ พอดีกับที่ด้านหน้ามีปั๊มน้ำมัน คนอื่จะได้หาอะไรใส่ท้อง เพราะได้ยินพี่แฮมบ่นๆ ว่าหิว

“เดี๋ยวผมจะแวะปั๊มนะครับ พอดีไอ้ตังค์ปวดฉี่”
ผมบอกผู้โดยสารเบาะหลังก่อนจะเปิดไฟเลี้ยว ทุกคนสงเสียงครางรับแต่ไอ้ตังค์กลับยกมือปิดหน้า แค่นี้ทำเป็นอาย ตอนโดนไอ้เอยพูดเรื่องลามกใส่ทำตาโต ใสซื่อผิดเวลาแล้วมั้งมึง อย่าให้แฉ!

“กูจะเหมาขนมให้มันเซเว่นเลย”
ความมุ่งมั่นของพี่แฮม

“กูขอกาแฟกับขนมปัง หิว ~”
พี่ฟาคนดียังไม่ได้กินอะไรเพราะตื่นสาย ส่วนพี่ทาวน์นั่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรตามสไตล์คนเย็นชา

พอรถจอดสนิทไอ้ตังค์ก็พุ่งลงรถอย่างรวดเร็ว ส่วนด้านหลังประตูก็เปิดออกพร้อมกันตามด้วยร่างของพี่ฟาและพี่แฮมที่ตรงเข้าเซเว่นด้านหน้า พี่ทาวน์ที่นั่งอยู่เบาะกลางไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน นั่นถือเป็นโอกาสจีบของผมสินะ โคตรดี ย้ายมานั่งข้างหน้าด้วยกันเถอะ

“พี่ทาวน์ครั...”

“เดี๋ยวมา จะลงไปซื้อน้ำ”
ผมยังพูดไม่ทันจบดีเขาก็เอ่ยขัดขึ้นก่อนจะลงจากรถไป อุตส่าห์นึกว่าอยากใช้เวลาด้วยกันสองต่อสอง แต่เปล่าเลย หนีไปนู่นแล้ว ปล่อยให้นายภาคินทำปากเบะเพราะโดนเบรก

“คุณเจ็ท... ปวดขี้เหรอครับ ลงไปสิ เดี๋ยวผมเฝ้ารถให้”
ไอ้ตังค์ที่กลับมาได้จังหวะพอดีคงเห็นผมกำลังทำหน้างอง้ำเลยคิดว่าปวดขี้ อยากจะถีบมันลงจากรถจริงๆ มารผจญเอ้ย ถ้ายอมไปกับไอ้เอย ตุ๊กตาหน้ารถคันนี้คงเป็นพี่ทาวน์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“ไม่ขี้ ทำไมมึงไม่ไปกับไอ้เอยวะ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มที่ จนคนฟังถึงกับเบิกตาโตก่อนก้มหน้าก้มตาจนคางแทบชิดอก ถามแค่นี้ถึงกับเงียบเลยเหรอวะ ตอบยากเหรอ ไอ้เอยจะข่มขืนมึงในรถหรือไง

“ตังค์... จะเงียบทำซากอะไรเนี่ย คำถามกูมันยากนักเหรอ”
ใส่ไปอีกดอกเมื่อเห็นท่าทางอึกอักของไอ้เด็กเนิร์ด ลอบสังเกตการแต่งตัวของมันแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว เสื้อคอเต่ากับกางเกงขายาว มึงไม่ร้อนหรือไง นี่ประเทศไทยนะเว้ย ฮีทสโตรกขึ้นมาเดือดร้อนกูอีก

“ยากครับ”
มันตอบอย่างไม่ลังเลแล้วเม้มปากแน่นทำให้ผมต้องถอนหายใจเพราะขี้เกียจเซ้าซี้ต่อ ไอ้ตังค์ไม่ตอบค่อยไปถามไอ้เอยเอาก็ได้ รายนั้นซิปที่ปากเสีย

“โอเค กูยอมแพ้ แต่ว่ามึงจะใส่เสื้อคอเต่าทำไมเนี่ย”
ผมถามก่อนจะใช้นิ้วเกี่ยวคอเสื้อคนข้างๆ ไอ้ตังค์ผวาก่อนจะปัดมือกันทิ้งอย่างแรง ท่าทางผิดปกติแบบนี้คงคิดดีไม่ได้อีกแล้ว

ผมหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างจับผิดก่อนโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วยกมือขึ้นบีบไหล่เพื่อคาดคั้นหาคำตอบ แต่ครั้นจะเอ่ยปากถามเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมคนทั้งสามกลับมาในสภาพหิวถุงพะรุงพะรัง คนที่มากสุดคงเป็นพี่แฮม รองลงมาพี่ฟา ส่วนพี่ทาวน์เล็กสุด ซื้อยาดมมาหรือเปล่าวะ

ผละตัวออกจากไอ้ตังค์ได้ก็เริ่มการเดินทางอีกครั้ง ได้ยินเสียงแกะห่อขนม เสียงเคี้ยวดังมาเป็นระยะ กลิ่นนั่นนี่ตีกันไปหมดจนเริ่มรู้สึกอยากหาอะไรยัดใส่ปากบ้าง จะว่าไปช่วงนี้ผมก็ขาดอมยิ้มมาหลายวันแล้ว คิดถึงว่ะ

“ตังค์ มึงมีลูกอมปะ”
ผมถามแล้วเหลือบตามองคนข้างๆ ที่สะดุ้งโหยงรีบเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วส่ายหัวรัวเพื่อปฏิเสธ ไม่มีลูกอมก็ไม่ว่าอะไร แต่ทำไมต้องแสดงอาการตกใจแบบนั้น ชักมีพิรุจมากเกินไปแล้วนะมึง

“ขวัญอ่อนซะจริงเพื่อนกู”
ว่ามันขำๆ ก่อนจะกลับไปตั้งใจขับรถต่อ แต่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงงอแงของพี่ฟาดังมาจากด้านหลัง สงสัยจะแย่งขนมกับพี่ทาวน์ เดี๋ยวนะ... มันใช่เหรอวะ

“ทำไมมึงขี้งกแบบนี้อะ”

“กูซื้อมาอันเดียวไง”

“ให้กู”

“ไม่ได้”

“มึงไม่ชอบกินของหวานนี่”

“อย่ายุ่งน่า”

“ใจร้าย!”
เสียงกระเง้ากระงอดขนาดนี้พี่ฟางอนแน่ๆ ผมได้แต่กลั้นหัวเราะไว้ เพราะถ้าเผลอหลุดออกมาคงไม่วายโดนด่าว่าใจร้ายไปอีกคน ทะเลาะกันอย่างกับเด็กน้อย แต่ชักอยากรู้แล้วว่าพี่ทาวน์ซื้ออะไรมา

“คุยเจ็ทครับ นี่ครับ”
ไอ้ตังค์เรียกชื่อผมก่อนจะยื่นวัตถุทรงกลมบนไม้สีขาวมาให้ อมยิ้มกลิ่นโคล่ามาได้ยังไงวะ เมื่อครู่ก็บอกว่าไม่มีลูกอมไม่ใช่เหรอ หรือมันกวนตีน

“ไหนบอกว่าไม่มีลูกอมไงวะ”
ผมถามพลางขมวดคิ้วเหลือบมองโดยไม่ยอมรับอมยิ้ม ถ้าแกล้งกูมึงตกรถแน่ๆ เรื่องเก่ายังไม่เคลียร์จะสร้างเรื่องใหม่เหรอ

“ไม่ใช่ของผม”
มันตอบแล้วยื่นอมยิ้มมาจ่อถึงปาก ผมผงะถอยหนีเพราะกลัวคนข้างหลังจะเห็นบรรยากาศสีชมพูนี้ ไอ้ตังค์แม่ง ทำบ้าอะไรของมัน

“ของใคร”

“ของคุณทะ...”

“ของกูเอง จะแดกหรือไม่แดก”
คำตอบจากคนด้านหลังทำให้ผมชะงักกึก สุดท้ายเจ้าของตัวจริงก็ยอมเฉลยแล้ว ที่แย่งกับพี่ฟาเมื่อกี้คือไอ้อมยิ้มกลิ่นโคล่าเหรอ ควรจะดีใจไหมวะ โอย ทำไมน่ารักแบบนี้

“แดก เอ้ย กินครับๆ ขอบคุณน้า”
ผมตอบรับอย่างอารมณ์ดีแล้วส่งยิ้มให้คนด้านหลังผ่านกระจกก่อนจะอ้าปากคับอมยิ้มจากมือไอ้ตังค์ ฝ่ายนั้นสะดุ้งเฮือกแล้วหน้าแดงแปร๊ด ท่าทีแปลกๆ คืออะไรวะ หรือว่าไอ้เอยทำมิดีมิร้ายไอ้เนิร์ด เรื่องนี้ต้องมีเงี่ยน เอ้น เงื่อนงำแน่ๆ

“อืม ตั้งใจขับรถไป”
พี่ทาวน์บอกก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่กันแล้วกลับไปนั่งหลับตาเหมือนเดิม อิจฉาชะมัด อยากนอนบ้างอะ

“มึงแม่ง... ชิ”
เสียงสบถจากพี่ฟาดังขึ้นแล้วเงียบหายไป คงเจ็บใจที่ผมเป็นคนได้กินอมยิ้มแน่ๆ ขอโทษนะครับ แต่ขอหน่อยเถอะความสุขเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย

เกือบสิบเอ็ดโมงก็ถึงที่พักซึ่งเป็นพูลวิลล่าสำหรับเข้าพักได้ประมาณแปดคนซึ่งพอดีกับจำนวนของเรา มีสี่ห้องนอนแสดงว่าต้องจับคู่ ปัญหามันเลยเกิดจนต้องมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่น ผมอยากนอนกับพี่ทาวน์นะเว้ย ให้ตายเถอะ!

ตอนแรกตกลงกันดิบดีว่าจิณณ์จะนอนกับไอ้ไธ (ไม่ค่อยออกตัวแรงเลยไอ้คู่นี้) ผมกับไอ้ฟาร์ม พี่ทาวน์กับพี่ฟาและพี่แฮม ส่วนห้องสุดท้ายเป็นไอ้เอยกับไอ้ตังค์ ดูลงตัวใช่ไหมล่ะ แต่เปล่าเลย... เหี้ยเอ้ย

“ผมไม่นอนกับคุณเอยเด็ดขาด”
ตัวปัญหาหนึ่งเดียวในทริปพูดเสียงดังฟังชัดก่อนจะเดินมากอดแขนผมไว้แน่น ราวกับยืนยันว่ายังไงก็จะนอนด้วย ทำไมชอบทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ของเราวะเฮ้ย ช่วยเกรงใจคนกำลังจะนกบ้างสิไอ้สัด อุตส่าห์ทำคะแนนได้ตั้งเยอะแล้ว

ผมทั้งสะบัดทั้งแงะมือไอ้ตังค์ออกแต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะมันเกาะแน่นยิ่งกว่าปลิงซะอีก ไหนว่ามา มึงจะเอายังไงกับกูห๊ะ ชวดนอนกับพี่ทาวน์แล้ว ขอนอนกับไอ้ฟาร์มแบบสบายๆ ไม่ได้หรือไง

“จะเอายังไงว่ามา กูหิวข้าวแล้วนะ”
ผมถามไอ้ตุ๊กแกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ส่วนคนอื่นๆ ทยอยหาที่นั่งพักร่างกายเรียบร้อยก่อนมองมาทางนี้เป็นตาเดียว แอบสังเกตพี่ทาวน์เล็กน้อย แต่ก็ไม่พบอาการอะไร หึงหวงหน่อยก็ได้ถึงไอ้ตังค์จะเป็นเพื่อนก็เถอะ

“ให้คุณฟาร์มไปนอนกับคุณเอย”
คำสั่งกึ่งขอร้องดังขึ้นส่งผลให้คนโดนเอ่ยชื่อถึงกับลุกจากโซฟาทันที ไอ้ฟาร์มเบะปากเหมือนคนจะร้องไห้แล้วเขามาเกาะแขนอีกคน ใครก็ได้บอกกูทีว่าที่มีอยู่คือเพื่อนหรือลูก งอแงกันจังวะ

“เฮ้ย ไม่เอา กูไม่สนิทกับไอ้เอย”
เสียงกระเง้ากระงอดมาพร้อมท่ากระทืบเท้าทำให้ผมอยากกุมขมับเหลือเกิน มึงไม่อายคนอื่นแต่กูโคตรอาย แล้วพี่ฟาจะหัวเราะแล้วทำหน้ากรุ้มกริ่มเพื่ออะไร มีซัมติงรองกับไอ้ฟาเหรอ

“ผมก็ไม่สนิทกับคุณเอย”
ไอ้ตังค์ไม่ยอม มันทำหน้าหงิกอย่างกับจวัก ส่วนไอ้เอยเอาแต่นั่งฟังเงียบๆ ไม่แสดงอาการอะไร แต่ผมรู้ว่ามันเริ่มไม่พอใจเพราะกำหมัดแน่น หายนะกำลังมาเยือนกูสินะ เวร

“ไม่สนิทกับผีน่ะสิ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด”
ไอ้ฟาร์มเย้าก่อนจะทำเสียงฮึดฮัด โอย ปล่อยกูก่อนเถอะ ทุเรศลูกตาคนอื่นเขา

“ก็คุณเอยบัง... อื้อ!”
ไอ้ตังค์กำลังจะพูดอะไรบ้างอย่างแต่แขนมันอีกข้างโดนกระชากโดยบุคคลที่โดนพาดพิงมาหลายครั้ง ใบหน้าที่มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอบึ้งตึงลงด้วยความหงุดหงิด แต่แววตาเต็มไปด้วยความน้อยใจ ผมว่าเรื่องของผัวเมียอย่าเข้าไปยุ่งดีกว่า

แต่เมื่อครู่เจ็บฉิบหายเพราะไอ้เนิร์ดมันจิกเล็บลงบนแขน เหี้ยเอ้ย ได้เลือดเลยไหมล่ะกู ลงเล่นน้ำคงแสบเป็นบ้า

“รังเกียจกูนักหรือไง นอนด้วยกันแค่นี้จะตายเหรอ”
ไอ้เอยเสียงแข็งแล้วมองคนในอ้อมแขนด้วยแววตาสั่นไหว คนอื่นมองทั้งสองเป็นตาเดียวกันแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา รางกับกำลังลุ้นว่าเรื่องนี้จะจบยังไง ไอ้ฟาร์มที่ยังเกาะกันอยู่เลยลากให้ผมไปนั่งรวมกลุ่ม พวกคุณๆ นึกว่าดูหนังในโรงอยู่เหรอ ตั้งอกตั้งใจจังวะ

“ปล่อยผมนะคุณเอย”
ไอ้ตังค์มีการดิ้นขัดขืนแต่ไอ้เอยรวบเอวมันไว้แน่นจนหน้าหวานๆ แนบลงไปกับอกแกร่ง ฟินไหมล่ะมึง โปรดแถลงข่าวหลังจากวันนี้ด้วย

ผมพอจะเดาได้รางๆ ถึงสาเหตุของการใส่เสื้อคอเต่านั่น ไอ้ตังค์โดยกระทำชำเราจนเป็นรอยคิสมาร์กแน่ๆ เชื่อเถอะ ไอ้เอยมันร้าย!

“ไม่ปล่อย เดี๋ยวกูขอเคลียร์กับมันเอง พวกพี่ๆ กับพวกมึงก็นอนเหมือนที่ตกลงกันไว้นั่นล่ะ”
มันบอกไอ้ตังค์จบแล้วหันมาบอกพวกเราที่มองหน้ากันเหลอหลาเพื่อกลบเกลื่อนอาการเผือก ดูๆ ไปพี่ทาวน์คงเนียนสุดเพราะเอาแต่นั่งนิ่งไม่เปลี่ยนอารมณ์ คงเป็นข้อดีของคนเจ็นชา

“คุณเอย ไม่เอานะครับ ผมไม่นอน!”

“เงียบน่า!”
เข้าห้องไปแล้ว.... ขอให้โชคดีมีผัว เอ้ย มีชัยกลับมานะเพื่อนรัก

“เอ่อ... แยกย้ายกันเอาของไปเก็บเถอะ จะได้ออกไปหาอะไรกินกัน”
พี่แฮมทะลุกลางปล้องขึ้นมาเพื่อเรียกสติ ทุกคนพยักหน้ารับแล้วหยิบกระเป๋าของตัวเองแยกย้ายไปตามห้องที่ตกลงไว้ตอนแรก ไม่เกินยี่สิบนาทีก็ออกมารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นเพื่อออกเดินทางไปยังร้านอาหาร ซีฟู้ดจงเจริญ ~

“มึง... ไอ้ตังค์ปิดปากสนิทเลยว่ะ เคลียร์กันท่าไหนเนี่ย”
เสียงกระซิบของไอ้ฟาร์มที่นั่งแหมะอยู่ทางด้านขวาของผม ถัดไปเป็นพี่ฟา ทางด้านซ้ายมีไอ้ไธแล้วก็จิณณณ์ หึ มึงห่างกันบ้างจะตายไหม หมั่นไส้เว้ย ส่วนฝั่งตรงข้ามมี ไอ้เอย ไอ้ตังค์ พี่ทาวน์ และพี่แฮม

“อาจจะท่าลิงอุ้มแตง”
ไอ้ไธออกความคิดเห็นได้ดี... ก็เหี้ยแล้ว!

“ไอ้สัด นั่นไม่เรียกเคลียร์แล้ว”
ผมที่นั่งตรงกลางระหว่างพวกมันกัดฟันพูดบ้างก่อนจะคลี่ยิ้มให้พี่ทาวน์ที่อยู่ฝังตรงข้าม อยากชวนคุยแต่ตอนนี้มารผจญมันเยอะเหลือเกิน

“เออวะ กูเห็นปากมันเจ่อๆ ด้วยอะ”
ไอ้ฟาร์มมันไม่ยอมแพ้ แถมยังจับๆ ดึงๆ ปากตัวเองเป็นการบอกให้สังเกตของไอ้ฟาร์มบ้าง ก็อยากทำตามอยู่หรอก แต่พี่ทาวน์ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านเมนูน่าดูกว่าเยอะ

“เพ้อเจ้อน่า”
ผมบอกปัดๆ เมื่อเห็นท่าทางของไอ้ตังค์ มันจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว ช่วยเลิกสุ่มหัวสักทีเถอะ

“จริงๆ นะเว้ย ไม่เชื่อสังเกตดู”
ไอ้ฟาร์มแทบจะเอามือมาจับหน้าผมแต่โดนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามร่อนเมนูมาให้ซะก่อน ดีนะที่รับไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงลงไปกองที่พื้นทั้งเล่ม

“พวกมึงจะกินอะไร สั่งซะ”
พี่ทาวน์บอกก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางพนักงานที่ยืนรอรับออเดอร์อยู่ เธอคลี่ยิ้มหวานบิดตัวไปมาแถมทำท่าเขินอาย โธ่... พี่สาวปล่อยพวกผมไปเถอะนะ ไม่อยากจะบอกเลยว่าแดกกันเองยกก๊วน เอ้อ ยกเว้นพี่แฮมไว้คนหนึ่งแล้วกัน รายนั้นรักไม่ยุ่งมุ่งแต่กิน

“ครับๆ แล้วพี่สั่งอะไรไปบ้าง”
ผมถามกลับไปแล้วเอาแต่มองหน้าพี่ทาวน์ เมนูถูกส่งต่อให้ไอ้ฟาร์มเรียบร้อยแล้ว ส่วนไอ้ไธกับจิณณ์น่ะเหรอยกโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่กันสองคน ไอ้เชี่ย ไม่ใช่ทริปฮันนีมูน สนใจเพื่อนร่วมโต๊ะหน่อย!

“ปูเผา กุ้งเผา หมึกนึ่งมะนาว ปลาเก๋าสามรส”
แค่ฟังชื่อเมนูจากริมฝีปากบางนั่นก็รู้สึกหิวอยากกินคนสั่ง เฮ้ย อาหารสิวะ ทำไมช่วงนี้หื่นขึ้นสมองขนาดนี้ ไม่รู่ว่าเผลอทำหน้าโรคจิตออกไปหรือเปล่า

“โห... เยอะแล้วนะ”
ผมแกล้งอุทานกลบเกลื่อนความหื่นของตัวเอง ใจยังคืดอยากจะนอนกับพี่ทาวน์อยู่เลย ฮึก ไม่อยากนอนกับไอ้ฟาร์มเลย มันไม่ฟิน!

“ไม่พอหรอก แค่ไอ้แฮมแดกก็หมดแล้ว”
พี่ทาวน์ยักคิ้วกวนแล้วเหล่มองคนด้านข้าง พี่แฮมพยักหน้ารับคำกล่าวหานั่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ ลืมไปเลยว่าเอามนุษย์กระเพาะหลุมดำมาด้วย กินเยอะไม่ว่าแต่เงินน่ะจ่ายไหม ไม่อยากล้างจานชดเชยนะครับ

“งั้นผมเอาหอยนางรมสด หอยแครงลวก แล้วก็หอย...”
ผมมองคนสั่งด้วยความทึ่ง ไอ้ป๋าฟาร์ม มึงไปอดอยากหอยมาจากไหนวะ สั่งเอาๆ ท้องเสียขึ้นมากูปล่อยให้จมกองขี้เลยนะ ขี้เกียจพาไปหาหมอ

“พอๆ มึงจะแดกแค่หอยหรือไงไอ้ฟาร์ม”
เป็นไอ้ไธที่เอื้อมมือมาหยิบเมนูออกไปจากมือมัน (ได้ข่าวว่าเมนูที่จิณณ์มรอีกเล่มนะ) แล้วถามเสียงขุ่น เพราะไอ้ฟาร์มแดกหอยทีไรท้องเสียทุกที

“ไม่ๆ จริงๆ กูอยากกินไข่อะ”
บอกว่าอยากกินไข่แล้วเลียปากแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ คิดดีไม่ได้เลยกู แถมไอ้ฟาร์มยังเหลือบมองพี่ฟาอีก มึงอย่าหื่นตอนนี้ ขอร้อง กูหิวข้าว

“เดี๋ยว... ไข่เหี้ยอะไร”
ไอ้ไธถามพลางขมวดคิ้ว สงสัยมันจะคิดอกุศลเหมือนผมแน่ๆ ไข่... พี่ฟา

“กูไม่กินไข่เหี้ย...”
กวนตีนหรือโง่จริง กูชักปวดหัวกับมึงแล้วนะฟาร์ม

“เดี๋ยวกูตบหัวทิ่ม”
ไอ้ไธเจ้าเดิม

“อยากกินไข่เจียวหมูสับ”
คำตอบส้นตีนอะไรเนี่ย คนเข้าอุตส่าห์ลุ้นจนก้นแทบไม่ติดเก้าอี้ เสือกอยากแดกไข่เจียว

“กลับไปแดกที่บ้านไป!”
ผมกับไอ้ไธประสานเสียงตะโกนใส่ไอ้ฟาร์มเต็มๆ ทุกคนได้แต่มองด้วยสายตางุนงงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา



ต่อด้านล่างจ้า





หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 20 - P.3 (08/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 08-10-2017 09:34:50
ไม่เกินครึ่งชั่วโมงอาหารที่สั่งก็มาพร้อมหน้าพร้อมตา ผมเลือกตักเฉพาะของที่ไม่ต้องแกะเปลือกอย่างเช่น ปลาสามรส ส้มตำ กุ้งแช่น้ำปลา หอยนางรมสดๆ เนื้อขาวใส ทั้งที่ตัวเองชอบกินปูกับกุ้งเผา ก็มันขี้เกียจนี่หว่า

“แปลก”
อยู่ๆ จิณณ์ก็หันมามองหน้าผมแล้วพึมพำคำว่าแปลกออกมา คืออะไรวะ

“มีอะไร”
ผมถามมันกลับไปก่อนจะจิ้มกุ้งแช่น้ำปลาใส่ปาก ถ้าได้เบียร์สักหน่อยจะฟินมากกว่านี้ แต่สำหรับตอนเที่ยงวันคงไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคงเมาจนจมทะเลยตายซะก่อน

“ไม่กินปูเผากุ้งเผาหรือไงวันนี้”

“ขี้เกียจแกะ มือยังเป็นแผลอยู่เลย”
ผมยื่นนิ้วผ่านหน้าไอ้ไธไปให้พี่ชายดู แผลที่โดนมีดบาดเมื่อสองสามวันก่อนยังไม่สมานกันเนื่องจากมันลึกมาก จะว่าไปก็รู้สึกแสบขึ้นมาเลยว่ะ

“อดแดกไปนะมึง”
จิณณ์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผลักมือกลับ ผมได้แต่จิ๊ปากแล้วนั่งจกส้มตำไข่เค็มมากินต่อ วันนี้ยอมแพ้จริงๆ ถ้าขืนใช้มือแกะปูกับกุ้งคงไม่วายแผลลึกกว่าเดิม แต่พี่ทาวน์กินน่าอร่อยว่ะ จะร้องไห้

“เอาไป กูแกะให้ สงสารมึง”
ไอ้ไธที่นั่งเงียบไปนานตักกุ้งเผาตัวโตที่แกะเปลือกให้เรียบร้อยแล้วมาวางไว้ในจานพี้อมบริการราดน้ำจิ้มซีฟู้ดอีกด้วย ผมแทบจะก้มลงกราบที่ตักของเพื่อนงามๆ น่ารักแบบนี้วางใจให้ดูแลจิณณ์ได้เลย

“ขอบคุณมาก”
ผมเอ่ยขอบคุณพร้อมส่งยิ้มกว้างไปให้เพื่อนแล้วลงมือชำแหละเนื้อขาวนุ่มใส่ปาก ละเลียดความหวานหอมบวกกับน้ำจิ้มรสเด็ด โอย ฟินไปถึงดาวอังคารเลยครับ

จัดการกุ้งเรียบร้อยก็คว้าแก้วน้ำมาดื่ม แต่จังหวะที่กำลังจะวางกลับที่เดิม กล้ามปูเนื้อแน่นๆ ก็ถูกวางลงในจานโดยฝีมือของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมได้แต่ชะงักค้างแล้วมองหน้าพี่ทาวน์อย่างอึ้งๆ เอาจริงอะ แกะให้กินจริงๆ เหรอวะ หัวใจเต้นแรงฉิบหาย

“จะกินอะไรก็บอก เดี๋ยวกูแกะให้”
พูดออกมาแบบนั้นแต่ไม่ยอมสบตากันหมายความว่าอะไรครับคุณเมืองเหนือ ทำตัวน่ารักแล้วเขินเหรอ โอย ใจจะพังแล้วพี่ทาวน์ ผมต้องกลั้นยิ้มจนปวดแก้มมากแค่ไหนจะรู้หรือเปล่า อยากเจ็บมือไปนานๆ เลยว่ะถ้าจะได้รับการดูแลแบบนี้

“บริการดีจังครับ”
ผมเอ่ยเย้าเลยได้การจ้องเขม็งตอบกลับมา

“เจ็บมือไม่ใช่หรือไง”

“ครับ... น่ารักว่ะ”
พูดออกไปดังพอให้ทั้งโต๊ะได้ยิน พี่ทาวน์ถึงกับแยกเขี้ยวใส่ ส่วนคนอื่นๆ ยิ้มล้อเลียน บ้างก็ยักคิ้วหลิ่วตา เอาน่า ขอหยอดคำคะแนนบ้างเถอะ

“กินๆ ไป”
คำสั่งเฉียบขาดทำให้ผมพยักหน้ารับแล้วหยิบก้ามปูขึ้นมากัด อืม... เนื้อโคตรหวานเหมือนการกระทำของพี่ทาวน์เลย รักจัง

“แหมๆ โลกนี้สีชมพูจังนะเพื่อน มีแกะปูให้ไอ้เจ็ทด้วย”
คำแซวของพี่ฟาเรียกใบหน้าถมึงทึงของพี่ทาวน์ได้เป็นอย่างดี ขนาดพี่แฮมยังต้องชะงักมือที่กำลังจะแกะหอยแครงเพื่อหยุดฟัง คนอื่นทำท่าไม่สนใจแต่ผมรู้ว่าหูผึ่งเพื่อเผือกอย่างเต็มที่แน่นอน

“เออ แล้วจะทำไมครับ”
คำตอบที่ไร้ซึ่งคำว่าไม่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากจานโดยเร็ว ความสามารถในการเก็บอาการกลั้นยิ้มเท่ากับศูนย์ หัวใจเต้นรัวยิ่งกว่าแผ่นดินไหว มือไม่สั่นไปหมด ขอคิดเข้าข้างตัวเองเถอะว่าได้เข้าไปนั่งในใจพี่ทาวน์แล้ว แต่แค่คนปากแข็งไม่ยอมรับเท่านั้น

“หูย ไม่ปฏิเสธด้วยอะ ฮิ้ว ~”
พี่ฟาแซวพร้อมทำตาเล็กตาน้อยใส่ ที่เขากล้าขนาดนี้เพราะนั่งไกลมือไกลตีนพี่ทาวน์หรอก ทั้งโต๊ะก็หัวเราะคิกคักกับอาการชะงักไปของคนโดนแซว

“จะแดกข้าวหรือแดกตีนกูเลือกเอา”
คราวนี้หุบปากแทบไม่ทันทั้งโต๊ะ ต่างคนต่างทำเป็นเอร็ดอร่อยกับอาหารเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เรื่องหนีตายขอให้บอก เก่งกันนักเชียว



------------------------------------------

พี่ทาวน์ก็แค่เห็นใจน้องเจ็ทที่มือเจ็บเอ๊ง ไม่มีอะไรในกอไผ่จริงจริ๊งเชื่อเราเถอะ 55555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 20 - P.3 (08/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 08-10-2017 16:08:41
 :-[
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 21 - P.3 (12/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-10-2017 08:30:33
แข่งครั้งที่ 21
:: ทาวน์ ::



พระอาทิตย์ดวงโตกำลังส่องแสงสุดท้ายของวันก่อนมันจะลาลับขอบฟ้าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เสียงคลื่นกระทบฝั่งคล้ายกับดนตรีบรรเลงที่ไพเราะขับกล่อมให้อารมณ์ผ่อนคลาย ขายาวก้าวเดินไปตามชายหาดสีขาวเคียงข้างกับใครอีกคนที่ไม่ยอมใส่รองเท้า ผมได้แต่มองแล้วถอนหายใจ ถ้าเหยียบโดนเศษแก้วจะสมน้ำหน้าให้เข็ด

บรรยากาศโรแมนติกแบบนี้เกิดขึ้นเพราะฝีมือคนร่วมทริป พวกนั้นไล่ผมกับไอ้เจ็ทให้ออกมาเดินเล่น โดยให้เหตุผลว่าอยู่ไปก็เกะกะการเตรียมปาร์ตี้บาร์บีคิว อยากจะบอกว่ามันโคตรไม่เนียน แต่ช่างเถอะ ไม่ต้องช่วยอะไรก็ดีเหมือนกัน รอกินอย่างเดียว

คนข้างตัวหยุดชะงักดื้อๆ เหม่อมองดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนตัวลงต่ำจนส่วนโค้งคล้ายแตะขอบทะเล เท้าเปลือยเปล่าถูกคลื่นซัดจนเปียกชื้น ผมได้แต่มองภาพนั้นนิ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้เพียงแค่ว่าสมองสั่งการให้มุมปากขยับ และตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วก็ยังสงสัยว่าไอ้เจ็ทมันอินดี้อะไรนักหนาถึงไม่ยอมใส่รองเท้า

“พี่ทาวน์ชอบทะเลไหมครับ”
อยู่ๆ คนข้างตัวก็ออกปากถามโดยสายตายังคงจับจ้องท้องฟ้ายามเย็น ใบหน้าด้านข้างอาบไล้ด้วยแสงสีส้มนวลทำให้ดูมีสเน่ห์มากกว่าปกติ ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าไอ้เจ็ทหล่อ แต่จะให้พูดชมตรงๆ ก็อย่าหวังเลย เดี๋ยวมันได้ใจกันไปใหญ่ ใจอ่อนให้แค่นี้ไอ้เด็กบ้าก็ยิ้มปากฉีกแล้ว น่าหมั่นไส้

“ไม่ชอบ”
ผมตอบไปตามความจริงแล้วเลิกมองใบหน้าของมันก่อนที่เจ้าตัวจะจับได้ ลมทะเลทำให้เหนียวตัวเลยไม่ค่อยชอบ แต่นานๆ มาเที่ยวครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นไรแถมไอ้เจ็ทยังออดอ้อนแทบตาย บวกกับพวกเพื่อนไซโค ยอมๆ ไปคงไม่มีปัญหา

“อ้าว... ผมขอโทษนะที่ชวนมา”
ไอ้เจ็ททำหน้าหงอยแล้วก้มหัวขอโทษอย่างจริงจังจนผมได้แต่ลอบยิ้ม จะมารู้สึกผิดอะไรตอนนี้วะ ตอนชวนไม่เห็นถามสักคำว่าชอบไม่ชอบ อารมณ์แปรปรวนจริงๆ เลยพวกเด็กศิลป์เนี่ย

“ขอโทษทำไม แค่ไม่ชอบ ไม่ใช่มาไม่ได้”
คำตอบอาจจะงงๆ แต่นั่นคือผมจริงใจที่สุดแล้ว ความจริงปฏิเสธแบบเด็ดขาดก็ได้ แต่เลือกมาทะเลเพราะอะไรหลายๆ อย่าง ไม่อยากนอนแห้งตายอยู่คอนโดในขณะที่เพื่อนหนีเที่ยว แล้วอีกเหตุผลคือรู้สึกว่าอยากใช้เวลากับเจ็ทดูบ้าง เผื่อบางอย่างคงชัดเจนขึ้นมากกว่านี้ สงสารคนรอเหมือนกัน

“ขอบคุณนะครับที่ยอมมาด้วยกัน”

“เพราะเพื่อนบังคับหรอก”
ผมพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ภายในกลับรู้สึกสนุก แค่อยากแกล้งคนที่ชอบพูดอะไรซึ้งๆ ว่าจะมีปฏิกิริยาแบบไหน เพราะฟังแล้วรู้สึกขนลุกยังไงชอบกล

“โห... เอามีดมาปาดคอผมเลยดีกว่า”
ไอ้เจ็ทเบะปากเหมือนเด็กโดนขัดใจแถมยังส่งตาละห้อยมาให้กัน รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มันขี้อ้อนมากขึ้นจนผมรู้สึกหวั่นใจ ไม่อยากยอมรับเลยว่ามีความสุขกับการโดนจีบ

“หึ ล้อเล่น ใจเสาะไปได้”
ผมเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมสีดำขลับแรงๆ แอบหมั่นไส้ความเสแสร้งแกล้งดราม่าของมัน พอโดนสัมผัสเข้าหน่อยก็เอาแต่ยิ้มกว้างด้วยหน้าตาร่าเริงจากจากเมื่อครู่ลิบลับ ไอ้เจ็ทอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนน่าเป็นห่วง สักวันสัญญาว่าจะพาน้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลสวนปรุงที่บ้านแล้วกัน ถ้าเป็นบ้าจะได้เข้ารับการรักษาเลย

“งั้นแสดงว่าพี่ยอมมาเพราะผมชวนเหรอ”
คำถามมาพร้อมน้ำเสียงตื่นเต้นทำให้ผมผงะไปนิดแล้วขยับมือออกจากหัวทุยนั่น เหม่อมองดวงอาทิตย์ด้านหน้าที่หายไปเกือบครึ่งดวงที่ขอบฟ้า เพราะการมองหน้าไอ้เจ็ทตอนนี้มันทำให้หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เกลียดสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข ความหวัง และความรักนั่นจริงๆ

“แล้วแต่จะคิด”
ผมก็ยังคงความเป็นตัวเองด้วยคำตอบที่ไม่เคยชัดเจนและดูเย็นชา ไม่ได้อยากทำร้ายใจใครแต่จะให้พูดอะไรเลี่ยนๆ มันก็กระดากปาก อย่างเช่น ‘ใช่ มาเพราะมึงชวน’ หรือ ‘อยากใช้เวลากับมึง’ ดูเป็นการอ่อยฉิบหาย

“ตลอดเลยพี่ทาวน์ ผมไม่อยากคิดไปเองนะ”
ว่ากันด้วยเสียงกระเง้ากระงอด ตาคมที่จ้องมองมาเต็มไปด้วยประกายความน้อยใจ และก่อนที่เรื่องจะเลยเทิดไปมากกว่านี้ผมควรเลิกแกล้งมันสักที หัดเลิกปากแข็งไปทีละนิดแล้วกัน ขอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนนะ

“งอแงเป็นเด็กไปได้ ก็เพราะ...”
ผมยังพูดไม่ทันจบปลายหางตาก็เห็นเพื่อนร่วมทริปที่ชื่อเอยวิ่งตรงมาทางนี้ ไม่มีท่าว่าจะเบรกแต่อย่างใด อีกนิดเดียวชนแน่ๆ

“ไอ้เจ็ท!”
เสียงตะโกนดังลั่นก่อนที่ร่างกายทั้งสองคนจะปะทะกันอย่างแรงตนล้มกลิ้งไปตามผืนทรายทั้งคู่ ผมมองด้วยความตกใจเพราะจังหวะเมื่อครู่ไม่สามารถคว้าตัวเจ็ทให้หลบทางเอยได้

โครม!

“โอ้ย ไอ้เหี้ยเอย เล่นอะไรของมึงเนี่ย ตัวอย่างกับควาย วิ่งมาชนอยู่ได้”
เจ็ทโวยวายเสียงดังลั่นก่อนจะสำลักน้ำทะเลจนไอโขลก ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยทรายสีขาว ดูเลอะเทอะและน่าสงสาร อยากจะหัวเราะก็ตัวคนที่เจ็บตัวจะโกรธเอา

เอยพยุงตัวลุกขึ้นเป็นคนแรกแล้วปัดเศษทรายออกจากตัว สังเกตเห็นแผลถลอกเล็กน้อยพอให้เลือดซิบ เจ็ทยังคงนั่งแหมะแช่น้ำอยู่ที่เดิม ปล่อยให้คลื่นกระทบตัวเป็นระยะ ริมฝีปากหยักยู่เข้าหากันเมื่อรู้สึกแสบแผล ส่วนผมได้แต่นั่งยองลงข้างๆ แล้วตาสำรวจร่างกายคนตรงหน้าว่ามีอะไรบุบสลายหรือเปล่า

“โทษทีๆ จะเรียกให้มึงหลบนั่นล่ะ แต่ไม่ทัน”
เอยขอโทษขอโพยด้วยใบหน้ารู้สึกผิด แล้วยื่นมือมาตรงหน้าของเจ็ทเพื่อช่วยให้ลุกขึ้นยืน แต่มันกลับเฉยแล้วจ้องหน้าอีกคนอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมล่ะอยากตบหัวสักที ไม่รู้จะนั่งแช่น้ำให้ก้นเปียกไปถึงเมื่อไหร่

“สัด วิ่งหนีใครมา”

“ไอ้ตังค์มันโยนกุ้งสดใส่กู สกปรกฉิบหาย”

“ไปทำอะไรให้มันโกรธ”
ไอ้นี่ก็คาดคั้นเหลือเกิน ให้อารมณ์พ่อหวงลูกสาว ตลกดีเหมือนกัน

“แค่จะแอบหอมแก้มเอง”
เอยว่าเสียงอ้อมแอ้มแล้วเบนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่รู้ว่าแก้มแดงด้วยหรือเปล่าเพราะตอนนี้ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ก็เหลือแค่แสงไฟจากหลอดนีออนที่รีสอร์ทส่องมานั่นล่ะ

“สมควร!”
เจ็ทกระแทกเสียงแล้วหันมาทำหน้าอ้อนใส่ผม บ่นว่าเจ็บข้อศอกบ้างหัวเข่าบ้าง สำออยขึ้นมาทันที แต่อย่าหวังว่าจะโอนอ่อนตาม แผลแค่นี้ไกลหัวใจเยอะ

“แม่ง... เห็นติ๋มๆ ใครจะคิดว่าโมโหร้ายวะ”
เอยบ่นงึมงำก่อนจะขยี้เส้นผมสีน้ำตาลแดงจนยุ่งเหยิงมากขึ้นจากปกติที่โดนลมพัดอยู่แล้ว คาดว่ากลับไปต้องใช้หวีสางจนแทบบ้าเลยล่ะ

“เลิกบ่นแล้วช่วยพยุงกูหน่อย”
เจ็ทขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่ดูท่าทางลำบากชอบกล สงสัยจะเคล็ดตามเนื้อตัวเพราะล้มกลิ้งไปขนาดนั้น

“เดี๋ยวกูช่วยอีกคน”
ผมเสนอตัวแล้วดึงแขนข้างหนึ่งของเจ็ทให้พาดบ่า อีกข้างได้เอยช่วยพยุง แต่พอพวกเราออกแรงยกตัวมันขึ้นจากพื้นทราย เสียงร้องโอดโอยก็ดังขึ้นแทบทันที เจ็บหรือสำออยชักไม่แน่ใจแล้วสิ

“โอย เบาๆ”

“สำออย”
ด่าเพราะหมั่นไส้ที่มันเอาหัวมาซบที่บ่าล้วนๆ

“เปล่าๆ ข้อเท้าเหมือนจะแพลง”
ยังมีหน้ามาปฏิเสธแล้วชี้มือชี้ไม้ไปที่ข้อเท้าด้านขวาด้วยใบหน้าเหยเก ผมเลยตัดสินใจผละแขนแกร่งออกแล้วใช้สายตาบังคับให้เจ็ทนั่งลงที่เดิมเพื่อจะขอเช็คข้อเท้า

“ขอดูหน่อย”
ผมนั่งยองลงตรงหน้าแล้วจับข้อเท้าเพื่อลูบๆ คลำๆ แต่เจ็ทกลับทำหน้าเกรงใจแล้วเอาแต่ปฏิเสธว่ามันเป็นของต่ำ ผมเลยบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของหมอ อีกคนเลยยอมแต่โดยดี ส่วนเอยก็เปิดแฟลชโทรศัพท์เพื่อให้แสงสว่างแก่เรา

ผลสรุปคือข้อเท้าขวาบวมจริง ส่วนฝ่าเท้าซ้ายโดนก้อนหินบาดเป็นทางยาวจนเลือดซึม เจ็บตัวเพราะคนอื่นแท้ๆ

“ขึ้นมา”
ผมหันหลังให้อีกคนแล้วสั่งเสียงเข้ม สภาพเท้าแบบนั้นให้เดินกลับที่พักเองคงไม่ใช่เรื่องดี แผลโดนหินบาดจะสกปรกเอาได้ ให้ขี่หลังเป็นทางเลิกที่ดีที่สุดแล้ว

ไม่เห็นว่าไอ้เจ็ททำหน้าแบบไหน ช็อกไปแล้วหรือยิ้มจนป่กฉีกเพราะดีใจ แต่เอยถึงกับมือสั่นแล้วมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ถ้าสนิทกันสักหน่อยมันโดนเตะไปแล้ว แค่เห็นใจคนเจ็บ ไม่ได้พิสวาสอะไรเลยจริงๆ แม่ง ยอมรับก็ได้ว่าเป็นห่วงมัน

“ไม่เอาพี่ ผมไม่ขี่หลัง แค่พยุงก็พอ”
ไอ้คนด้านหลังปฏิเสธเสียงรัว ผมเหลือบมองหน้ามันแล้วได้แต่กลั้นขำ ช็อกจนปากคอสั่นไปหมด เบิกตากว้างอย่างกับเอเลี่ยร ตลกว่ะ

“หรือจะให้กูอุ้ม”
ผมยืดตัวขึ้นแล้วกอดอกมองคนดื้อ ไม่ใช่ว่าจะโกรธ แต่อยากเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของมัน เป็นฝ่ายจีบก่อนแต่เสือกป๊อดตอนโดนโต้กลับ แบบนี้เรียกไอ้กากคงได้

“พี่ทาวน์ ผมพอจะเดินได้”
ไอ้เจ็ทเบะปากแล้วมองด้วยสายตาอ้อนวอน พยายามจะเดินทั้งๆ ที่เอยยังพยุงแขนอยู่ สภาพดูไม่ได้เลยว่ะ แบบนี้คงให้ลงเล่นน้ำทะเลพรุ่งนี้ไม่ได้แน่ๆ แผลจะอักเสบเอา

“เดินห่าอะไร อย่าทำอวดเก่ง”
ผมกดดันมันอีกครั้งแล้วหันหลังเพื่อโค้งตัวลงในท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง แต่รอนานแล้วอีกคนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหวสักที แบบนี้ต้องใช้ไม้แข็ง

“.....”

“นับหนึ่ง”
ผมเริ่มนับเลขขึ้นมาดื้อๆ โดยไม่หันมองด้านหลัง แต่หางตาเห็นเอยกระทุ้งศอกใส่อีกคนให้รีบๆ ทำอะไรสักอย่าง

“พี่... มันน่าอาย”
เสียงอ้อมแอ้มของไอ้เจ็ททำให้ผมต้องหันไปมองอย่างห้ามไม่ได้ พอเห็นใบหน้ากระอักกระอวนนั่นก็ยิ่งอยากแกล้งมากขึ้น กลัวเสียฟอร์มที่ต้องขี่หลังแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคนที่รุกจีบแบบมันคงไม่ปล่อยโอกาสใกล้ชิดให้หลุดมือหรอก

“นับสอง”

“.....”
เจ็ทยังคงเงียบจนผมแกล้งถอนหายใจหนักๆ ใส่

“อย่าลีลานะมึง โอกาสทองเลยนะเว้ย”
เสียงเอยซุบซิบกับคนที่ยังละล้าละหลังไม่ยอมทำอะไรสักที ท่าทางคนพยุงคงเมื่อยเต็มแก่เพราะน้ำหนักตัวอีกคนไม่ใช่น้อยๆ

“เชี่ย มันไม่แมนนะมึง”
ผมแทบจะสำลักอากาศเมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญของไอ้เจ็ท ที่ไม่ยอมขี่หลังเพราะดูไม่แมนอย่างนั้นเหรอ แม่ง นี่คิดว่าเป็นฝ่ายจีบแล้วจะได้รุกเหรอ ฝันกลางวันแล้วล่ะ ใครจะยอมง่ายๆ

“เวลานี้มึงจะมาคิดเรื่องแมนไม่แมนอีกหรือไงวะ โง่ฉิบหาย”

“นับสาม”
ผมนับต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้เจ็ทคิดต่อเพราะรอจนเมื่อยขาและหลังไปหมด แสดงอาการบังคับให้ขี่หลังขนาดนี้ยังกล้าปฏิเสธอีกหรือไง หวังจะให้พูดว่าเป็นห่วงเหรอ อย่าหวังเลย เรื่องนี้เกินความสามารถจริงๆ

“ยอมๆ แล้วครับ ขี่ก็ขี่”
สุดท้ายคนโดนกดดันก็ยอมแพ้อย่างราบคาบ แต่ไม่วายเบะปากตอนเอยช่วยประคองให้ขึ้นหลัง นิสัยอย่างกับเด็กน้อย คิดนั่นคิดนี่ซะวุ่นวาย

ผมปล่อยให้เจ็ทชำระร่างกายแต่งตัวเรียบร้อยก่อนจะจัดแจงทายา นวดข้อเท้า และพันผ้าจนเสร็จ มันเอาแต่พร่ำขอบคุณแล้วยิ้มกริ่มไม่หยุดหย่อนราวกับคนบ้า อดหมั่นไส้ไม่ได้เลยผลักหัวไปทีหนึ่งโทษฐานทำให้นายเมืองเหนือรู้สึกงุ่นง่าน อากาศร้อนๆ ชอบกลทั้งที่เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำ

“จะออกไปร่วมวงกับคนอื่นหรือพักอยู่ที่นี่”
เหลือบมองคนที่นั่งบนโซฟาก่อนจะเก็บกล่องปฐมพยาบาลของไอ้แฮมให้เรียบร้อย ไม่อยากมองหน้าหลังจากเผลอทำอะไรหวานๆ ให้มัน เพราะปกติแล้วผมไม่เคยลงทุนปรนิบัตใครขนาดนี้ แม้แต่แฟนเก่าก็ยังไม่ได้สัมผัส แปลกใจตัวเองชะมัด

“ออกไปดีกว่าครับ นอนกลิ้งอยู่คนเดียวน่าเบื่อจะตาย”
น้ำเสียงบ่งบอกถึงความเบื่อโดยไม่ต้องมองหน้าคนตอบ ผมผงกหัวรับคำก่อนจะปลายตามองแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ตแบตฯ เอาไว้ขึ้นมากด หาทางหลีกเลี่ยงความใกล้ชิดอย่างเต็มที่ เพิ่งมารู้สึกขัดเขินเอาตอนนี้สายไปหรือเปล่าวะกู ขอความเย็นชาคืนได้ไหม ไม่ชอบอาการเงอะงะของตัวเองเลย

“จะให้เรียกคนอื่นมาพยุงหรือรอออกไปพร้อมกัน”
ถามทั้งที่มือสไลด์หน้าจอโทรศัพท์อย่างไร้จุดหมาย เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่าโดยใครอีกคนจ้องอยู่ทั้งที่เราไม่เห็นเขา ตอนนี้ผมกำลังตกเป็นเป้าสายตาแน่ๆ

“ออกไปพร้อมพี่ทาวน์ก็ได้ครับ”

“งั้นกูไปอาบน้ำล่ะ”
พอได้รับคำตอบผมก็รีบผละตัวออกจากสถานการณ์น่าอึดอัดทันที เผลอพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเท้าสัมผัสกับพื้นห้องน้ำแล้ว เผลอทำอะไรที่แสดงความใจอ่อนไปตั้งมากมายสำหรับวันนี้ ทั้งซื้ออมยิ้มไปฝาก แกะปูให้ บังคับขี่หลัง ทำแผล ทายา นวดข้อเท้า... ทั้งหมดที่ทำลงไปมันหมายความว่า ‘ชอบ’ แล้วใช่ไหม ไม่เคยไม่แน่ใจอะไรมากขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้วพาตัวเองไปยืนใต้ฝักบัวเพื่อชำระร่างกาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของครีมอาบน้ำทำให้ประสาทที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วปล่อยอารมณ์ไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจคงดีกว่า ความรักถ้าใช้สมองมากไปอาจจะพลาดโอกาสดีๆ ไปตลอดชีวิต

“หูย มีพยุงกันมาด้วย น่าอิจฉาจังเลย”
เสียงไอ้ฟาดังขึ้นเมื่อผมและไอ้เจ็ทพยุงกะนออกมาที่หน้าประตูบ้านพัก ทุกสายตาจับจ้องมาที่จุดโฟกัสเดียวด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม อยากจะทิ้งคนขาเดี้ยงแล้วเตะก้านคอพวกนี้คนละทีสองทีให้เลิกล้อ ไม่รู้กันหรือไงว่ามันน่าอายแค่ไหน

“โห... เพิ่งเคยเห็นไอ้ทาวน์บริการคนอื่นดีขนาดนี้”
ไอ้แฮมที่ยังเอื้อมมือไปคีบหมึกย่างบนเตาก็มาร่วมวงล้อเลียนกับชาวบ้านเขาอีก ขอให้มึงแดกแล้วติดคอตาย

“ปากว่างนักหรือไง เห่าอยู่ได้”
ผมพูดเสียงเรียบแล้วชี้หน้าคาดโทษเพื่อนสนิทก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ไอ้เด็กปีหนึ่งกวนประสาททั้งหลาย พวกมันกุลีกุจอทำเป็นยุ่งกับอาหารบ้าง แก้วเหล้าบ้าง หรือแม้กระทั่งเศษซากไม้เสียบบาร์บีคิว มึงกินมันเข้าไปหมดนั่นเลยไหมไอ้น้องฟาร์ม กวนส้นตีนกันฉิบหาย

“เงียบก็ได้จ้าคุณเมืองเหนือ”
เสียงไอ้ฟานี่กวนประสาทกว่าใครเพื่อน แถมสีหน้าบ่งบอกว่าไม่กลัวตายทำให้ผมถึงกับตีนสั่น อย่าเผลอนะมึง กูกระทืบฝั่งกลบบนหาดแน่ๆ ไอ้ฟาร์มก็ไม่ช่วยหรอก

ผมวางไอ้เด็กขาเดี้ยงไว้บนเก้าอี้บุนวมตัวยาวก่อนจะแยกออกมานั่งรับลมทะเลที่ปากบอกว่าเกลียดนักหนา ตอนกลางคืนอากาศมันเย็นสบายก็พออนุโลมได้ถึงแม้จะไม่เลิกเหนียวตัวก็ตาม

บนท้องฟ้าปรากฎดวงจันทร์สีเหลืองนวลล้อมรอบด้วยดาวดวงเล็กๆ ที่หาดูได้ยากในเมืองหลวง ความทรงจำค่อยๆ ไหลออกมาตั้งแต่เจอหน้าเจ็ทเป็นครั้งแรก มันเข้ามาในตอนที่ผมเพิ่งเลิกกับแฟนเก่าแบบพอดิบพอดี คอยดูแล ให้กำลังใจ อยู่เคียงข้าง หรือแม้แต่ปกป้อง ทำให้ยิ้มได้เสมอ ไม่เคยถอดใจทั้งที่โดยไล่มาครั้งแล้วครั้งเล่า หยอดเก่ง บางทีก็ขี้อาย ทำตัวเป็นเด็กน้อยแต่ก็ดูน่ารัก แสดงความรู้สึกตรงๆ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ได้ปากแข็งหรือซึนอะไร น่านับถือความพยายามทั้งหมดนั่นจริงๆ แล้วนายเมืองเหนือควรจะตอบแทนยังไงดี

“เอาหน่อยไหม”
ความเย็นจากแก้วเบียร์ที่แตะลงมาข้างแก้มกับเสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไอ้แฮมสายแดกนี่เอง

“ก็ดี”
ผมคว้าแก้วเบียร์มากจากมือเพื่อนแล้วกระดกเข้าปากเกือบครึ่งแก้วก่อนที่จานของกินจะถูกส่งมาตรงหน้า

“แดกบาร์บีคิวปะ กูแบ่งให้”
คนชวนดูอารมณ์ดีเหลือเกินเพราะสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ของกินพูนจานขนาดนี้ไม่อ้วนตายให้มันรู้ไป ไม่อยากแย่งหรอกกลัวเพื่อนสุดที่รักกินไม่พอ

“ตามสบายเถอะ”
ผมบอกไปแบบนั้นแต่ก็โดนไอ้แฮมยัดเยียดบาร์บีคิวหมูในจานให้ไม้นึงอยู่ดี โดยให้เหตุผลว่ากระดกเบียร์ตอนท้องว่างจะเมา ก็รู้อยู่แก่ใจดี แต่ด้วยความที่กระเพาะเหล็กและคอแข็งเป็นทุนเดิมอยูาแล้วเลยไม่รู้สึกอะไร

ไอ้แฮมไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เราทั้งคู่ทำเพียงนั่งเคียงข้างกันไปใต้ความเงียบระหว่างเรา จะมีก็แต่เสียงเคาะขวดเป็นจังหวะเสียงร้องโหยหวนของใครสักคนที่ฟังแล้วแทบยากเอาปีนยิงกบาลให้หุบปากสักที ร้องเพลงไม่รู้เรื่องขนาดนั้นมึงควรกลับไปนอน

ผมไม่เคยรู้ว่าเจ็ทดื่มแอลกอฮอล์ไหม คอแข็งหรือเปล่า แต่จากที่ได้ยินเสียงบ่นของมันแล้วก็สรุปได้ว่าคงลอยตัวตามแบบฉบับเด็กสถาปัตย์ที่แดกเหล้าแทนน้ำได้ คนเมาคงเป็นเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มที่ตอนนี้เริ่มเลื้อยไปหาเอย รายนั้นแทบจะอุ้มไปปล้ำ ถ้าไม่ติดไอ้พ่อหวงลูกตัวโตนั่น

“นี่...”
ไอ้แฮมที่เงียบไปนานเอ่ยขึ้นก่อนจะกระแซะไหล่เข้าหาเพื่อเป็นการเรียกสติของผมที่เอาแต่มองภาพที่อยู่ข้างตัว

“ว่าไง”
ผมถามกลับไปแล้วเริ่มควงแก้วที่ยังมีน้ำแข็งเหลืออยู่เล่นเพื่อรอว่าเพื่อนจะพูดอะไรต่อ หางตาเหลือบไปเห็นจานว่างเปล่าก็ได้แต่ลอบยิ้ม ถ้าไอ้แฮมไปแข่งกินมารธอนคงได้รางวัลที่หนึ่งแน่ๆ ยอมใจมันเลย

“ถามอะไรอย่างดิ”
เสียงเครียดมาเชียว จะปรึกษาเรื่องเรียนหรือไงวะ

“อืม”
ผมตอบรับก่อนจะกระดกน้ำแข็งใส่ปาก แลล้วเคี้ยวกร๊วมๆ อยากเดินไปเบียร์ขวดใหม่แต่ขี้เกียจลุก จะใช้ไอ้ฟาก็เกรงใจในเมื่อมันตะล่อมเด็กชายฟาร์มอยู่ อีกคนยึกยักไม่กล้าจีบ อีกฝ่ายเลยพุ่งเข้าหาซะเอง เป็นอันจบไปอีกคู่ ไว้รอดูผลแล้วกัน

“มึงคิดยังไงกับไอ้เจ็ทวะ น้องมันก็จีบมานานแล้วนะเว้ย”
คำถามของไอ้แฮมทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าคนที่ห่วงแต่เรื่องกินแบบมันจะสนใจชีวิตรักของคนอื่นด้วย แล้วไอ้ที่ใช้สายตากดดันมองแบบนั้นคืออะไร กูไปนั่งทับหน้าแม่มึงเหรอ

“เดือดร้อนแทนมันหรือไง”
ผมมองมันกลับอย่างไม่ยี่หระ แสดงออกถึงความไม่หวั่นไหวทั้งที่ในใจกนด่าเพื่อนสารพัดว่าจะขี้เสือกไปถึงไหน ติดนิสัยไอ้ฟามาหรือไงกัน

“ก็สงสารมันนี่หว่า มึงออกจะเย็นชาขนาดนี้”
มันเบ้ปากก่อนจะเหลือบมองไปที่ไอ้เจ็ทซึ่งกำลังลากตังค์ให้ผละจากอ้อมกอดของเอย ตลกดีว่ะ ชุลมุนวุ่นวายฉิบหาย นั่นวงเหล้าหรือเนสเซอร์รี่เลี้ยงเด็ก เสียงงอแงทะลุออกมาเชียว

“มึงเชียร์มันเหรอ”
ผมดึงความสนใจกลับมาแล้วถามไอ้แฮมด้วยน้ำเสียงสบายๆ รู้แก่ใจดีว่าเพื่อนเชียร์เด็กนั่นมากแค่ไหน ดูแลดีเสียจนเผลอคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงไปแล้วทุกวันนี้ เจ็ทมักจะเอาของกินมาให้เสมอคงถูกใจเขาล่ะ

“ก็นะ น้องมันเป็นคนดี”
มันยักไหล่ราวกับว่าใครๆ ก็รู้เรื่องนี้ดี ซึ่งผมก็ไม่เถียงในความเป็นคนดีของไอ้เจ็ท แม้จะมีสาวๆ ทยอยเข้าไปหา แต่ก็โดนปฏิเสธทุกรายเพราะมีคนที่ชอบแล้ว ความจริงข้อนี้ทำให้ใจเต้นแรงอยู่เหมือนกันนะ เพราะมันเป็นความมั่นคงที่ไม่เคยหาได้จากตัวพรีม

“เออ ดีจนกูไม่อยากดึงมาอยู่ในชีวิต”
ผมวางแก้วลงแล้วเท้าแขนทั้งสองข้างลงบนผืนเสื่อ แหงนหน้ามองฟ้าปล่อยให้สายลมพัดพากลิ่นอายทะเลมาแตะจมูก รับรู้ได้ถึงความเค็มโดยไม่ต้องสัมผัส เจ็ทอาจจะดีเกินไปสำหรับชีวิตนายเมืองเหนือที่ไม่มีอะไรแน่นอน เพราะความเย็นชาของตัวเองอาจจะทำให้เด็กคนนั้นเจ็บปวด หรือแม้แต่หลักเกณฑ์การใช้ชีวิตตามสังคมนิยมของครอบครัว ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง

“ทำไมพูดแบบนั้นวะทาวน์ ชีวิตมึงไม่ได้ดาร์กขนาดนั้น”
แฮมพูดถูกว่าชีวิตของผมไม่ได้มืดมนอะไรมากมาย แต่นั่นคือส่วนที่เพื่อนรู้จักเท่านั้น ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังเป็นความลับ

“กูชอบผู้หญิงมาตลอดชีวิตนะแฮม กลัวว่าถ้าตกลงคบมันไปแล้วเกิดคิดกลับตัวขึ้นมากะทันหันจะทำยังไง เจ็ทไม่ต้องเจ็บหนักเหรอวะ”
กลับตัวไม่ใช่เพราะใจเปลี่ยน แต่อาจจะเป็นเพราะที่บ้านบังคับให้ต้องทำ ผมไม่อยากให้ความรักกลายเป็นสิ่งทำลายชีวิตใคร อยากให้มันสวยงามอยู่เสมอ รอยยิ้ม ความร่าเริงของเจ็ทมีค่าจนไม่สามารถเอามาเสี่ยงได้จริงๆ

“ทาวน์... มึงเป็นคนที่คิดอะไรรอบคอบที่สุดในกลุ่มแล้วนะเว้ย ก่อนจะลงมือทำอะไร กูเชื่อว่ามึงไตร่ตรองดีที่สุดแล้ว”
แฮมไม่เคยเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผมเลยสักนิด ความรอบคอบ การไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนคือนิสัยของนายเมืองเหนือ แต่สิ่งที่อยู่เหนือสมองทั้งหมดคือความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าก่อตัวขึ้นตอนไหน จะถอยกลับก็ทำไม่ได้อีกแล้ว ต้องเสี่ยงจริงๆ น่ะเหรอ

“.....”
ผมเงียบเพื่อคิดทบทวนชั่งน้ำหนักระหว่างความเหมาะสมและความรู้สึก สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นนั้นเราควรเลิกสนใจใช่ไหม ที่น่าจะทำตอนนี้คือยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเจ็ทสักที ตอบแทนความพยายามหลายเดือนของเขา เรื่องครอบครัวหรือสังคมนิยมคืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง ยังมีเวลาอีกมากมายให้เตรียมรับมือกับมัน กว่าจะถึงเวลานั้นควรหาความสุขใส่ตัวเองก่อนสินะ

“ตกลงตอนนี้มึงคิดยังไงกับน้อง”
คำถามเดิมวนกลับมาในตอนที่ผมได้ข้อสรุปให้กับตัวเองว่าหัวใจและความรู้สึกสำคัญกว่าสังคมและครอบครัว ไม่ใช่ว่าละเลย แต่จะทำให้พวกเขายอมรับทางเดินที่เราเลือกให้ได้ ไม่มีต้องลำบากหรือมีอุปสรรคมากมายแค่ไหน มันต้องผ่านไปด้วยดีแน่ๆ เชื่อมั่นใจตัวเองและคนที่อยู่เคียงข้าง

“ก็ดี”
ผมตอบเพียงสั้นๆ เพราะคิดว่าเพื่อนคงเข้าใจในความหมายของมัน แต่ดูเหมือนฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือความกวนตีนส่วนตัวก็ไม่รู้ที่ทำให้ไอ้แฮมขมวดคิ้วฉับ ทำหน้าอย่างกับหมางงจนอยากตบหัวสักที หมั่นไส้

“ขยายความดิ เข้าใจยากฉิบหาย”
มันบ่นกระปอดกระแปดแล้วโบกหัวลงบนไหล่ของผม ท่าทางอย่างกับเป็นคนรอคำตอบซะเอง ขี้เสือกใช่เล่นนะมึงเนี่ย เผลอๆ ยิ่งกว่าไอ้ฟาซะอีก

“แม่ง เป็นพ่อกูหรือไง คาดคั้นจัง”

“จะตอบดีๆ หรือให้กูเรียกไอ้ฟามาบีบมึงอีกคน”

“พอๆ อย่าพาไอ้ปากสว่างนั่นมาเลย”
ผมยกมือขึ้นยอมแพ้ ถ้าไอ้ฟารู้โลกรู้แน่ๆ

“งั้นก็ตอบมา”
ไอ้แฮมจ้องอย่างคาดคั้น ส่วนผมทำได้แค่หลบตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แค่คำแสดงความรู้สึกสั้นๆ ทำไมต้องกระอักกระอวนแบบนี้ หัวใจเต้นรัวฉิบหาย จะตายคาหาดไหมล่ะ

“เออ... กูชอบมัน”
ทิ้งช่วงประโยคไปเกือบนาที ในที่สุดก็พูดได้ไอ้ความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัวแบบไม่รู้วันและเวลา เผลอชอบไอ้เด็กบ้านั่นจนถอนตัวไม่ได้ ตกหลุมผู้ชายนี่หาทางขึ้นยากกว่าผู้หญิงอีก

“โอย ดีใจเหมือนโดนสารภาพรักเองเลยว่ะ”
ไอ้แฮมสะดีดสะดิ้งแทบลงไปนอนบนพื้น ใบหน้าเปี่ยมสุขที่ยิ้มกว้างทำให้ผมง้างมือเคาะหน้าผากมนด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะหัวเราะออกมา รู้ว่าเพื่อนดีใจที่นายเมือเหนือยอมเปิดใจอีกครั้ง หลังจากโดนหักอกยับเยิน

“เว่อร์ฉิบหาย... แต่ช่วยเก็บเป็นความลับไว้ก่อนแล้วกัน”
ผมยังไม่บอกความรู้สึกนี้กับไอ้เจ็ทหรอก แค่ชอบกันมันยังไม่พอ รอให้รักเมื่อไหร่จะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปสารภาพและขอเป็นแฟนด้วยตัวเอง

ไอ้แฮมลากผมกลับเข้าวงเหล้าด้วยสีหน้าเบิกบานแถมยังเข้าไปตบบ่าเด็กขาเดี้ยงปุๆ โดยไม่พูดอะไร ฝ่ายนั้นก็งงไปสิแต่ยิ้มรับหน้าตาเฉย เดี๋ยวจะลากไปสวนปรุงทั้งคู่



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 21 - P.3 (12/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-10-2017 08:30:57
“น้องปีหนึ่งจะร้องเพลงให้พี่ปีสองฟังนะครับ ~”
เสียงยานๆ ของไอ้น้องฟาร์มดังขึ้น ดวงตาปรือปรอยฉ่ำเยิ้มบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเริ่มเมาแล้ว ผมได้แต่ส่ายหัวกับความพยายามของมัน นั่งก็ไม่ตรงยังเสือกจะร้องเพลง ถ้าไม่มีไอ้ฟาพยุง ปานนี้คงลงไปนอนกองที่พื้นแล้ว

“นักร้องคือกระผม อึก นายฟาร์ม และมือกีต้าร์กิติมาศักดิ์ขาเดี้ยง อะ อึก นายเจ็ท เชิญรับฟังเลยครับ”
พยายามร่ายยาวจนจบประโยคด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น จะไหวไหมเนี่ย ควรพากันไปนอนเหมือนคู่ตังค์กับเอยนะ ปานนี้ฝันเลขเด็ดไปแล้วมั้ง

“คิดอยู่ว่าต้องทนไว้ จะทุกจะทนเท่าไหร่ ความรักก็พาหัวใจไป”
เสียงร้องดังขึ้นจากริมฝีปากบางที่ตอนแรกพูดแทบไม่รู้เรื่อง แต่แปลกเป็นเพลงกลับเพราะจับใจ

“คิดเองว่าต้องทนไว้ แต่ยิ่งทุกข์ยิ่งทนเท่าไหร่ ความรักที่มียิ่งหายไป จะโทษดินจะโทษน้ำ จะโทษเดือนและดาว กับเรื่องราวที่ปวดร้าว ที่เธอมาทำแล้วหนีปาย ~”
ตายตรงท้ายท่อนว่ะ เสียงเมาฉิบหายจนคนดีดกีตาร์ต้องรับหน้าที่ร้องแทน

“ฟ้า ถ้าไม่ส่งมา ให้เธอมีใจ บอกกันซักกคำเป็นไร ว่าเหตุใดต้องมาทำร้ายกัน จากนี้เรื่องราวที่มี ก็ให้ลืมมันไป อย่าจำว่าเคยเป็นใคร ว่ามีใครที่เคยทำร้าย คนอย่างฉัน ~”
เสียงทุ้มเอ่ยคำร้องแผงด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้นสื่อออกมาทางสายตา ตัดพ้อ น้อยใจ เสียใจอย่างชัดเจน ผมไม่ได้หลบหนีแต่จ้องกลับไป เพลงโคตรเศร้าเลยแม่ง เพราะเด็กไอ้ฟาคนเดียว เฮ้อ

ปล่อยให้วงเหล้าดำเนินต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะสั่งให้ทุกคนแยกย้ายแล้วแบกคนของตัวเองเข้าที่พัก ไธกับจิณณ์ดูมีสติมากที่สุดจึงช่วยแบกไอ้เจ็ทที่เมาสปาย ไอ้ฟาแบกไอ้น้องฟาร์ม ส่วนแฮมกับผมช่วยกันเก็บข้าวของเพื่อไม่เป็นภาระตอนเช้าที่วางแพลนจะไปขับรถเที่ยวเมืองชลบุรี

ผมชะงักเมื่อเปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้วพบร่างของไอ้เด็กขาเดี้ยงนั่งพิงหัวเตียงด้วยสภาพสะลึมสะลือ ความสงสัยพุ่งพล่านว่าสองคนนั่นส่งตัวผิดห้องหรือเปล่าเลยเดินย้อนกลับไปดูอีกห้อง สรุปว่าไอ้ฟากับน้องฟาร์มนอนกรนไปเรียบร้อยแล้ว แม่ง... สรุปว่าที่ตกลงกันไว้เป็นโมฆะสินะ

“กูไปนอนโซฟานะ”
อ้าวไอ้แฮม มีงจะมาทิ้งกูไว้กลางทางแบบนี้ไม่ได้นะ มึงก็เห็นว่าไอ้เจ็ทมันนั่งหลับอยู่ในห้องของเรา

“เดี๋ยว ก็นอนด้วยกันนี่ล่ะ”
ผมดึงชายเสื้อของเพื่อนไว้แน่น เรื่องอะไรจะเสี่ยงอยู่กับเด็กนั่นสองคนในตอนที่รู้หัวใจตัวเองแล้ววะ เกิดเผลอหน้ามืดทำเรื่องบ้าๆ ขึ้นมา ตายกันพอดี

“ไม่อยากเป็น กขค”

“พ่อง กขค เหี้ยอะไร”
ด่าแม่งซะเลย ปากดีนัก

“เผื่อมึงปล้ำน้อง ไม่ก็น้องปล้ำมึงไง”
พูดออกมาด้วยหน้าตาทะเล้นจนผมต้องแยกเขี้ยวใส่ ใครจะทำเรื่องแบบนั้นกับคนเมาวะ แค่ถ้าไอ้เจ็ทคึกปล้ำกูจริงได้ตายคาตีนแน่ๆ

“ไอ้แฮม มึงไม่อยากแก่ตายใช่ไหม”

“กูล้อเล่นน่า นอนสามคนอึดอัด”
มันตบไหล่ผมปุๆ ด้วยสีหน้าปกติ ไม่มีความกวนตีนหรือทะเล้นอีกแล้ว เตียงหกฟุตกับผู้ชายตัวโตสามคน ดูยังไงก็ไม่น่าจะไปกันรอดจริงๆ

“เออๆ ตามใจมึง”
สุดท้ายก็ต้องปล่อยไอ้แฮมไปแล้วกลับเข้าห้องเพื่อจัดการเด็กคอแข็งแต่เสือกเมาสปายรสหวาน

“พี่ทาวน์ใจร้าย”
อยู่ๆ มันก็พูดในขณะที่ผมเริ่มเช็ดตัวให้ กงการอะไรที่ต้องมาปรนนิบัติวะเนี่ย แฟนก็ไม่ใช่ เมียนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ห่างไกลสุดๆ

“อะไรของมึงอีก”
ผมถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่ออีกคนถ่ายน้ำหนักตัวมาจนเกือบจะทับกัน ดีหน่อยที่ทรงตัวไว้ได้ ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปนอนจุกบนพื้น

“พี่รู้ไหม... อึก ตอนพี่ทำดีด้วยผมดีใจแทบบ้าแต่ลึกๆ ก็กลัวว่าพี่จะทำแบบนี้กับทุก อึก คน”
พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักทั้งที่ยังหลับตา ผมเกือบจะดึงมันมากอดอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าตาคมปิดสนิท

“ละเมอสินะ”
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะจัดแจงท่าทางให้อีกคนนอนลงบนเตียงแล้วยกกะละมังไปเก็บ กลับมาอีกทีก็ได้ยินไอ้เจ็ทละเมออีกครั้ง

“ฮึก ชอบผมสักนิดไม่ได้เหรอครับ ไม่ต้องรักก็ได้”
น้ำตาหยดใสไหลอาบแก้มนิ่ม ผมหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แล้วใช้นิ้วเกลี่ยมันออกอย่างแผ่วเบา ทำไมรู้สึกปวดหนึบในใจได้ขนาดนี้วะ

“ผมรักพี่นะ ฮึก”
คำบอกรักที่ออกมาจากริมฝีปากหยักทำให้ผมตะลึง แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความดีใจ ใครๆ ก็บอกว่าคนละเมอมักพูดความจริงเสมอ

“หึ นอนซะนะเด็กดี”
ผมลูบหัวทุยนั่นด้วยรอยยิ้มก่อนจะโน้มตัวประทับจูบลงบนหน้าผากมนเพื่อกล่อมให้อีกคนจมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบ

จุ๊บ

หวังว่าจุมพิตนี้จะทำให้มึงเลิกละเมอและฝันดีสักที



- เพลง ฟ้า Tattoo Colour -




---------------------------------------------



พี่ทาวน์เลิกปากแข็ง(กับเพื่อน)แล้วเว้ย 55555555
แต่กับเจ็ทนี่ต้องรอลุ้นกันต่อไป ~

ระวังเบาหวานขึ้นนะ... เราเตือนแล้ว
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 21 - P.3 (12/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 12-10-2017 10:46:24
 :-[ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งช่วงเทศกาล : ฮาโลวีน - P.3 (31/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 31-10-2017 08:27:59
แข่งช่วงเทศกาล
ฮาโลวีน



ปลายเดือนตุลาคมที่เดี๋ยวฝนก็ตกเดี๋ยวแดดก็ออกสลับกันไปมาทำให้สภาพร่างกายปรับตามอุณหภูมิไม่ทัน เจ้าเชื้อหวัดเลยสิงสถิตอยู่ในร่างกายได้ไม่ยาก ทั้งไอทั้งจามจนสังคมรอบข้างเริ่มออกอาการรังเกียจ ไอ้ตังค์ยื่นหน้ากากอนามัยมาให้ ไอ้ฟาร์มทำหน้าอย่างกับเพื่อนเป็นวัณโรค ส่วนไอ้ไธเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์ มัวแต่คุยกับจิณณ์จนไม่สนใจใครเลย น่าหมั่นไส้สุดๆ

“คุณเจ็ทน่าจะไปหาหมอนะครับ”
คนที่ส่งหน้ากากอนามัยมาให้เอ่ยขึ้นแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางโรงพยาบาลของมหา’ลัยใกล้ๆ ตึกคณะแพทย์ ผมมองตามก่อนจะส่ายหัวรัว ไม่ได้อาการหนักขนาดนั้น แล้วอีกอย่างกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ก็ไม่น่าพิศมัยเช่นกัน

“แค่เป็นหวัด ไม่นานก็หายแล้ว”
ผมโบกมือไปมาแล้วไอโขลกออกมาอีกชุดใหญ่ ก็แค่แอบกินไส้กรอกทอดแค่สองสามชิ้นเอง คันคอฉิบหายเลยแม่ง หน้ากากอนามัยก็ใส่ไม่ได้ หายใจไม่ออก

“หายที่หน้ามึงอะเจ็ท แดกยาบ้างหรือเปล่าเถอะ”
ไอ้ฟาร์มทำปากยื่นปากยาวก่อนจะยกชีทประวัติศาสตร์ศิลปะฟาดลงบนหัวของผมจนรู้สึกมึนตึ๊บ ไม่สามารถตอบโต้ได้ไปชั่วขณะ อยากด่าให้ลานคณะราบเป็นหน้ากองแต่มันเริ่มพะอืดพะอมแปลกๆ โอย จะอ้วกเว้ย

“สัด”
ด่ามันได้แค่นั้นก่อนจะรีบคุ้ยหายาดมในกระเป๋าเสื้อนักศึกษาขึ้นมาสูดเข้าปอด กลิ่นเมนทอลหอมๆ ช่วยลดอาการมึนได้อย่างดี จนสามารถหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ฟาร์มได้แล้ว ท่าทางอาการจะหนักกว่าที่คิด ดีนะที่ไม่เป็นน้ำมูก โสโครกน่าดู

“ไหวปะมึง เห็นทำท่าเหมือนคนท้องมาหลายรอบแล้ว”
ไอ้ไธที่เพิ่งละสายตาจากจอโทรศัพท์หันมาถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะผละหลังมือมาอังหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจนผมคิดว่าตัวเองไปเหยียบตาปลามันหรือเปล่า

“ไอ้สัดฟาร์มเอาชีทมาฟาดหัวกูนี่”
ผมบอกเสียงง้องแง้งแล้วไถหัวลงกับลาดไหล่กว้างของเพื่อนสนิท ถ้าเปลี่ยนจากมันเป็นพี่ทาวน์ก็คงจะดีกว่านี้ ว่าแต่ตอนนี้คงสอบไม่ก็ผ่าอาจารย์ใหญ่อยู่มั้ง คิดถึงจัง

“กูว่าไม่เกี่ยว มึงตัวร้อนเหมือนจะมีไข้”
ไอ้ไธยกฝ่ามือขึ้นลูบหัวอย่างอ่อนโยนทำให้ผมเคลิ้มจะหลับ แต่เพราะเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ที่ดังอยู่ไม่ไกลนั้นทำให้หัวคิ้วขมวดเป็นปม รู้สึกหงุดหงิดอยากย้ายที่นั่งชะมัด อยากผงกหัวแล้วถามพวกเธอว่า ‘มดเข้ากางเกงในเหรอครับ ผมช่วยเอาออกปะ’ คือไม่สบายแล้วชอบพาลไง อย่าถือสาเลย

“แดดร้อนไง ตัวเลยร้อนตาม”
ผมเฉไฉไปเรื่อย ไม่อยากไปหาหมอนี่หว่า ไม่ใช่ว่ากลัว แต่รู้ๆ กันอยู่ว่าโรงพยาบาลรัฐฯ คนเยอะ กว่าจะได้ตรวจ คนไข้คงหายดีแล้ว

“ทฤษฎีห่าอะไรของมึงเนี่ย”
ไอ้ไธถามก่อนจะยักไหล่ถี่ๆ จนผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ให้ซบดีๆ ก็ไม่ได้ กวนประสาทฉิบหาย อาการพะอืดพะอมกลับมาอีกครั้ง โอย อยากจะอ้วก

“เออน่า ตอนนี้ย้ายที่นั่งได้ปะวะ รำคาญเสียงกรี๊ด”
ผมไม่ได้ต่อว่าเพื่อนแต่ทำเพียงแค่ผละออกมาแล้วสูดยาดมแรงๆ เพื่อลดอาการวิงเวียน เมื่อสอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณลานคณะก็เจอเข้ากับกล้องโทรศัพท์ที่เล็งมาทางนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานไอ้เพจเซ็กซี่บอยคงมีรูปคู่พวกเราว่อนเต็มไปหมด พร้อมด้วยแท็ก #เจ็ทไธ #ไธเจ็ท อยากจะคอมเม้นท์ใต้ภาพให้เปลี่ยนเป็น #ไธจิณณ์ เหลือเกิน แต่กลัวโดนหาว่ารักสามเศร้าเราสามคน ห้ามดูถูกแรงมโนของมนุษย์นะเว้ย มันร้ายกาจมาก

“ตรงนี้ร่มที่สุดแล้วนะ เพราะมึงนั่งซบไอ้ไธไง สาวๆ แม่งก็ฟินไปดิ”
ไอ้ฟาร์มบอกเสียงกระเง้ากระงอดแต่หน้าตานี่ล้อเลียนเต็มที่ ป่วยการจะหาอะไรอุดปากหมาๆ ของมัน แซวได้แซวไป ถึงคราวกูบ้างแล้วมึงจะหนาว ระวังได้ขึ้นชื่อว่า ‘คนนก 2017’ ไว้ให้ดี

“ถ้ากูกับไอ้เจ็ทเอากันจริงคงมีลูกตั้งทีมฟุตบอลได้แล้วมั้ง”
นั่นปากมึงเหรอไธ พูดอะไรชวนอ้วกอีกแล้วว่ะ ผมหันไปถลึงตาใส่มันเพราะเมื่อครู่เสียงแม่งดังจนคนทั้งลานได้ยินแล้วมั้ง

“เชี่ยไธ พูดอะไรวะ ขนลุก”
ผมบ่นก่อนจะจามออกมาแรงๆ ส่งผลให้ทั้งโต๊ะเบนหน้าหลบกันพัลวัน หึ รังเกียจกันนักเดี๋ยวพอจามใส่ทีละคนเลยแม่ง ขนาดไอ้ตังค์ยังเบะปาก

“ล้อเล่นน่า ตกลงจะไปหาหมอไหม เดี๋ยวกูไปส่ง”
คำถามเดิมวนกลับมาอีกรอบ แต่คำแถเปลี่ยนไปเรื่อย

“ขี้เกียจไปนั่งรอ คนเยอะจะตาย”
ผมฟุบลงกับโต๊ะแล้วมองไอ้ไธด้วยดวงตาปรือๆ ทำไมรู้สึกเพลียจังวะ อยากนอนแล้วเนี่ย เมื่อไหร่พวกมึงจะทำรายงานเสร็จสักที เอาแต่ชวนคุยกันอยู่ได้

“งั้นคลินิคก็ได้”
ไอ้บ้านี่พยายามจังวะ ไม่ว่าเปล่ายังส่งมือมาลูบหัวลูบหางกันอีก ถ้าเป็นพี่ทาวน์มาพูดแบบนี้ผมคงยอมไปนานแล้ว

“เป็นเมียกูหรือไง บังคับจัง”

“ยอมเป็นเมียวันนึง ถ้ามึงยอมไปหาหมอ”
เอากับมันสิครับ มีการยอมเป็นเมียด้วย กูยอมใจมึงจริงๆ เพื่อน

“ลงทุนโคตรๆ เลยเพื่อนไธ”
ไอ้ฟาร์มแซวก่อนจะทำหน้าทะเล้นในแบบฉบับของมัน ปากพูดแต่มือพิมพ์รายงานก็ดีไป ส่วนผมแรงจะทรงตัวนั่งยังไม่มี

“มึงไม่ช่วยไซโคไอ้เจ็ทก็เงียบปากไป แดกแห้วที่ไอ้ตังค์ซื้อมาก็ได้ รำคาญ”
ไอ้ไธแยกเขี้ยวใส่คนไร้ประโยชน์แล้วชี้ไปที่ถุงแห้วที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ เจ้าของเคี้ยวหงุบหงับเต็มปากอย่างเอร็ดอร่อย ผมไม่ค่อยชอบกินว่ะ เนื้อสัมผัสกับกลิ่นมันแปลกๆ

“ไม่แดก เดี๋ยวนกจากพี่ฟา ไอ้เนิร์ดมึงจะซื้อแห้วมาทำไมเนี่ย ลางไม่ดี”
มึงอยู่เฉยๆ ไม่จีบเขามันก็นกสิวะ ไม่แก้วกับน้องแห้วเลยสักนิด แล้วจะไปว่าไอ้เนิร์ดทำไม มันชอบกินของมันมานานแล้ว เพราะบางทีจะหิ้วทับทิมกรอบมา ยอมใจ

“ซื้อมากินสิครับคุณตังค์ ใครที่ไหนจะเอาแห้วมาซักผ้า”
หน้านิ่งๆ เสียงเรียบๆ แต่ทำให้ไอ้ฟาร์มถึงกับอ้าปากค้าง เห็นมันเนิร์ดแต่ปากอย่างกับกรรไกร ใครอย่าลองดีเลย ยับแน่

“กวนตีน เดี๋ยวปั๊ดต่อยร่วง”
ไอ้ฟาร์มขู่แล้วทำท่าจะต่อยเด็กเนิร์ดจริงๆ แต่คนโดนกระทำกลับนั่งเฉยแถมยังหยิบแห้วใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับ กวนตีนไม่มีใครเกิน มากกว่านั้นคือ โน่น ว่าที่สามีมันเดินดุ่มๆ มาทางนี้แล้ว ปัจจุบันนึกว่าไอ้เอยซิ่วจากวิศวะมาเรียน’ถาปัตย์ซะอีก เจอกันโคตรบ่อย

“จะต่อยใครเหรอมึง”
เสียงมาก่อนตัวพร้อมรอยยิ้มเย็นๆ ที่ทำให้ไอ้ฟาร์มถึงกับรีบเก็บมือลง คนแดกแห้วสะดุ้งโหยงแล้วหันมองวิญญาณตามติดอย่างไอ้เอยด้วยท่าทีหวาดกลัว คนหนึ่งจีบคนหนึ่งถอยห่าง จะสมหวังเมื่อไหร่วะ อย่าว่าแต่เพื่อนๆ เลย ตัวผมยังเอาไม่รอด

“ไอ้เอย มาทำอะไรวะ”
ผมถามเมื่อมันเดินมาถึงโต๊ะก่อนจะผลักไหล่ไอ้ฟาร์มที่นั่งข้างสุดสวาทของมันให้หลบไปไกลๆ เผด็จการเป็นนิสัยของเด็กช่างหรือเปล่าเนี่ย ไม่ต่างจากจิณณ์ตอนเอาแต่ใจเลย

“มาแดกแห้ว”
ไอ้เอยตอบก่อนจะมองไอ้ตังค์ที่เอาแต่จับแห้วยัดปากตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย มีสำลักเล็กน้อยจนเดือดร้อนผมต้องส่งน้ำให้มันดื่มตาม

“เดี๋ยวๆ มึงถ่อสังขารจากวิศวะมาถึง ‘ถาปัตย์เพื่อ แค่ก แดกแห้วเนี่ยนะ”
ผมถามแล้วขมวดคิ้วมองอย่างจับผิด มาหาไอ้ตังค์แน่ แต่พูดอ้อมโลกไปอย่างนั้นล่ะ มันไหวไหล่ราวกับไม่แคร์อะไรก่อนจะนั่งลงข้างสุดที่รักแล้วเอื้อมแขนพาดไหล่ สงสารก็แต่เพื่อนตัวน้อยที่เอาแต่อ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไง

“เออ”

“กูว่าไม่ใช่ละ”
เป็นไอ้ฟาร์มเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ มองไอ้เอยสลับกับเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มด้วยดวงตาวิบวับ มันเป็นเรื่องสนุกที่ได้ล้อเลียนเพื่อน อันนี้ผมเห็นด้วย เพราะนานๆ ทีไอ้ตังค์จะมีคนมาสนใจ หน้าตาน่ารักแต่เป็นเจ้าพ่อโอตาคุก็ไม่ไหวปะวะ

“แสนรู้”
ไอ้เอยเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวไอ้ฟาร์มที่นั่งอยู่บนเก่าอี้อีกตัวจนผมยุ่งเหยิง คนโดนกระทำแยกเขี้ยวขู่แต่ไม่ได้ปัดป้องอะไร สาวๆ แถวนั้นเลยทำหน้าที่เก็บรูปไปตามระเบียบ ในเพจเซ็กซี่บอยคงเกิดแท็กให้แน่ๆ #เอยฟาร์ม แต่ #ฟาร์มเอย น่าจะไม่มีเพราะเพื่อนผมตัวเล็กกว่า

“สัด กูไม่ใช่กระต่าย”
ไอ้ป๋าบ่นงุ้งงิ้งจนคนทั้งกลุ่มหัวเราะก๊าก แสนรู้มันใช้กับหมาเว้ย มึงมาซะน่ารักเชียว ขนาดไอ้ตังค์ยังลืมอาการเกร็งร่วมขำจนไหล่สั้นไปด้วย

“แบ๊วเหี้ย”
โดนไอ้เอยล้อเข้าหน่อยมันถึงกับสะบัดสะบิ้งแล้วเดินหนีไปหาเพื่อนอีกกลุ่มที่นั่งทำงานใกล้ๆ กัน แล้วเมื่อไหร่งานกลุ่มจะเสร็จสักทีวะเนี่ย อยากกลับไปนอนจะแย่แล้ว ตอนค่ำมีนัดดูหนังกับว่าที่คุณหมอซะด้วย

“ตกลงมาทำไม”
ผมถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่ได้มีธุระอะไรกับตัวเอง เพราะวันนี้จิณณ์เป็นลำไส้อักเสบเลยนอนอยู่ที่ห้อง สงสารมันนะ แต่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ป่วยพร้อมกันนี่เป็นเรื่องแย่จริงๆ

“มาแดกเจ้าของแห้วอะ”
ตอบจบก็โน้มหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเฉียดขาแว่นไอ้เด็กเนิร์ด พ่อกระต่ายตื่นตูมถึงกับออกแรงผลักคนที่ทำรุ่มร่ามใส่ตัวเองเกือบกระเด็นตกเก้าอี้ ดีหน่อยที่ไอ้ฟาร์มมันเอี้ยวตัวมาดึงคอเสื้อไว้ได้ทัน (ฟาร์มนั่งหันหลังให้เอย)

“คุณเอย!”
ทำร้ายว่าที่สามีเสร็จมันก็โวยวายจนคนทั้งลานคณะหันมาให้ความสนใจ ไอ้เอยยิ้มตอบหน้าระรื่นไม่มีแววโกรธไอ้ตังค์เลยสักนิด ไม่เข้าใจว่าไปหลงเสน่ห์มันตรงไหน หรือหุ่นใต้ชุดนักศึกษานั่นแซ่บวะ

“ฮิ้ว ~ ไปๆ ไปแดกกัน เชิญ!”
เสียงไอ้ฟาร์มไม่ใช่อื่นไกล พูดจบยังมีการแท็กมือกับไอ้เอยอีก พวกมึงติดสินบนอะไรกันสารภาพมาซะดีๆ เพราะตอนแรกมันออกอาการหวงไอ้ตังค์เหมือนลูกในไส้กำลังจะไปมีแฟน แต่ตอนนี้เหมือนพ่อตาโดนลูกเขยถวายสินสอดให้มูลค่าสิบล้าน

“ไม่เอาดิคุณฟาร์ม ไม่ห่วงผมแล้วเหรอ!”
ไอ้ตังค์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่เพื่อนไม่ช่วยตัวเองจากเงื้อมมือปีศาจ ผมกับไอ้ไธได้แต่นั่งเงียบดูสถานการณ์ไปเรื่อยเหมือนชมละครหลังข่าว ก็สนุกดี

“เพื่อนจะได้ผัวเป็นตัวเป็นตน ถ้ากูเข้าไปขวางคงบาปหนักว่ะ คิกๆ”
เออ อันนี้ผมเห็นด้วยกับไอ้ตังค์ว่ะ

หลังจากไอ้ตังค์โดนสุดที่รักมันลากไปปู้ยี่ปู้ยำ ผมก็รับงานส่วนที่เหลือมาทำต่อเพราะจะได้ส่งๆ เสร็จๆ ไปสักที แต่เพิ่งมาเสียใจเอาทีหลังเพราะไอ้ไธใช้แรงควายลากกูไปโรงพยาบาลมหา’ลัยจนได้! เกลียดมึงที่สุดในโลกเลย จะฟ้องจิณณ์

ผมนั่งหน้ามุ่ยอยู่ในรถของพ่อคนที่สอง ในมือกำถุงยาจากโรงพยาบาลเอาไว้แน่น ถ้ากินหมดนี่คงอิ่มแทนข้าวจริงๆ แถมยังโดนหมอดุอีกว่าปล่อยให้ไอคนคอแดงเทือกได้ยังไง ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ ไม่ช็อกตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว ที่สำคัญคือเขาเป็นอาจารย์หมอและญาติของพี่ทาวน์ซะด้วย ชีวิตของนายภาคินใกล้จบสิ้นเต็มที

“มึงควรกลับไปนอนพักนะเจ็ท”
ไอ้พ่อบังเกิดเกล้าทำเสียงดุ ขมวดคิ้วยุ่งมองหน้าผมมาราวๆ ห้านาที เพราะก่อนหน้านี้ทะเลาะกันเล็กน้อย แต่มันสำคัญต่อหัวใจ

“กูมีนัดดูหนังกับพี่ทาวน์”
ผมยืนยันเสียงแข็งโดยไม่มองหน้าเพื่อนสนิท กูดื้อเว้ย

“สภาพไข้หวัดใหญ่แดก ตาปรือแบบนี้อะนะ”
มันเอานิ้วมาจิ้มแก้มกันจึกๆ แล้วถามด้วยเสียงสูง ผมรำคาญเลยปัดมือไอ้ไธทิ้งแล้วหันไปไอโขลกใส่หน้า หมั่นไส้ความตอแยจริงๆ

“ไม่อยากผิดนัด”
ผมตอบกลับเสียงแหบก่อนจะหยิบขวดน้ำออกมาจิบ ไอ้ไธที่เพิ่งลดมือลงจากใบหน้าถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูก็รู้ว่ามันเป็นห่วงกัน แต่เรื่องนี้ก็สำคัญพอตัว

“แต่มึงไม่สบาย”
มันพูดเสียงอ่อยแล้วขยับมือเพื่อแปะลงบนหัวของผม ออกแรงลูบเบาๆ คล้ายกำลังปลอบประโลมทั้งร่างกายและจิตใจ รู้ว่าไม่ควรเอาสุขภาพตัวเองไปเสี่ยงเพราะดูโง่ แต่กว่าจะทำให้พี่ทาวน์ยอมใจอ่อนได้มันยากมากจริงๆ ถ้าพลาดโอกาสนี้อาจทำให้นกก็ได้

“ไธ... กว่ากูจะอ้อนชวนพี่ทาวน์ให้ไปดูหนังด้วยกันได้ แค่ก ใช้เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์เลยนะ”
ยกเหตุผลร้อยแปดมาประโคมใส่เพื่อนรักด้วยดวงตาอ้อนวอน สุดท้ายไอ้ไธก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ ก่อนพยักหน้ารับ เป็นอันว่าจบภารกิจดื้อด้านของนายภาคินสักที

“รักจริงหวังแต่งว่างั้น”

“เออดิ แค่กๆ”

“กูล่ะสงสารมึงจริงๆ นัดพี่ทาวน์ที่ไหน กี่โมง”

“ห้าง xxx ตอนสองทุ่ม”

“ดึกขนาดนั้น มึงจะไหวเหรอเจ็ท”
คำถามเดิมที่มีความห่วงใยเพิ่มมากขึ้น ผมคลี่ยิ้มบางให้มันก่อนจะตอบไปตามความจริงเพราะโกหกไปไอ้ไธก็คงไม่เชื่ออยู่ดี เผลอๆ มันโทรไปฟ้องพี่แจมอีก คราวนี้คงหูอื้อไปสักสิบวัน

“ไม่ไหวก็ต้องไหว”

“เออๆ เดี๋ยวกูไปส่งแล้วจะนั่งรอเป็นเพื่อนจนกว่าพี่ทาวน์มา”
มันเอื้อมมือมาขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงก่อนจะผละไปจับพวงมาลัยเพื่อออกรถ

“ขอบใจ”
ผมเอ่ยเสียงแผ่วด้วยรอยยิ้มก่อนจะผิดเปลือกตาที่หนักอึ้งเพราะพิษไข้ลง งีบสักหน่อยคงมีแรงดูหนังล่ะวะ

กว่าจะถึงห้างก็เกือบหนึ่งทุ่มเพราะจราจรติดขัด ไอ้ไธรีบลากผมไปร้านอาหารก่อนเพราะถึงเวลามื้อเย็นที่มียาพ่วงมาด้วย มันจัดการสั่งเมนูสำหรับคนป่วยให้เสร็จสรรพอย่างโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้า ส่วนตัวเองสั่งบะหมี่ต้มยำพิเศษ กูอยากจะพุ่งข้ามโต๊ะไปบีบคอมึงจริงๆ เลย สั่งอะไรไม่สั่งแต่เจาะจงเอาของที่ผมเพิ่งบ่นว่าอยากกิน ส้นตีน!

ผมปรือตาขึ้นสู้กับแสงไฟนีออนที่สาดเข้ามากระทบลูกตา เพดานสีขาวอยู่เบื้องหน้า บรรยากาศรอบๆ ที่คุ้นเคยทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น จำได้ว่าเมื่อครู่ยังอยู่ห้างนี่ แล้วทำไมตอนนี้มานอนตายอยู่คอนโดวะ!

ผมนวดขมับที่รู้สึกปวดตุบๆ พยายามคิดว่าตัวเองกลับมาที่ห้องได้ยังไง ก็ตอนนั้นนั่งกินโจ๊กอยู่กับไอ้ไธตามด้วยยาหนึ่งกำมือ หลังจากนั้นก็... เหี้ยแล้ว ภาพตัด! นายภาคินหลับกลางร้านอาหาร โอย รู้ถึงไหนอายถึงนั่นจริงๆ แล้วพี่ทาวน์ล่ะ ตอนนี้จะโกรธกันไปหรือยังวะ

ผมดันตัวลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะควานหาโทรศัพท์ที่คาดว่าน่าจะวางอยู่ใกล้ๆ มือ แต่ต้องตกใจเพราะปลายเตียงมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้านิ่งขรึม แว่นกรอบดำ หนังสือ Text Book เล่มหนาปาหัวสลบ พี่ทาวน์!

“เฮ้ย พี่ทาวน์ ทำไมอยู่ที่นี่ แค่กๆๆ”
ผมไอโขลกออกมาหลังจากพูดจบ คอแห้งเป็นผงและเกิดอาการระคายเคืองอย่างแรง เดือดร้อนคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือต้องรีบเดินไปรินน้ำใส่แก้วมาให้ถึงที่ ระหว่างที่เขาหายไปก็แอบหยิกแขนตัวเองเพราะกลัวว่าทั้งหมดที่เห็นเป็นแค่ความฝัน พี่ทาวน์เนี่ยนะอยู่ในห้องของนายภาคินสองต่อสอง แถมท่าทางเหมือนมานั่งเฝ้ากันแบบนั้น ใจเต้นแรงฉิบหาย

“กินน้ำก่อน”

“แค่ก ขอบคุณครับ”
ผมรับน้ำมาดื่มด้วยความกระหายจนหมดแก้ว พี่ทาวน์กลับไปนั่งที่เดิมก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นอ่านอีกครั้ง ตอนนี้เองเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาใส่เพียงชุดลำลองสบายๆ พร้อมนอน เอาจริงดิ มาเฝ้าไข้กันเหรอ หรือยังไง แล้วไอ้พี่กับพ่อบังเกิดเกล้าหายหัวไปไหน

ด้วยความอยากรู้คำตอบผมเลยหยิบโทรศัพท์ที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาพิมพ์ไลน์หาทั้งสองคน ไม่นานเกินรอก็มีคำตอบกลับมา

‘ปาร์ตี้วันฮาโลวีนที่ร้าน Addict’

คำตอบโคตรทำร้ายจิตใจคนป่วยเลยว่ะ

“ทำไมไม่กลับมานอนพัก”
อยู่ๆ คนที่เงียบไปนานก็ถามขึ้นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์อย่างช่วยไม่ได้ทั้งที่กำลังเมามันในการด่าเพื่อนกับพี่ชายอยู่

“หา...”
ผมส่งเสียงออกไปแค่นั้นเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก สมองยังคงเบลอๆ ว่าพี่ทาวน์โผล่มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง หรือไอ้ไธเล่าให้ฟังหมดแล้ว

“ไปรอกูที่โรงหนังทำไม”
พี่ทาวน์วางหนังสือลงแล้วถอดแว่นสายตาออก เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินมาใกล้ โน้มตัวลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ จำเป็นต้องคุยด้วยระยะห่างไม่ถึงฟุตเหรอ

“ก็นัดกันไว้...”
ผมตอบเสียงแผ่วก่อนจะเบือนหน้าหนีเนื่องจากสบตาแล้วใจเต้นแรงเกินไป ไหนจะกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่ชวนให้สติกระเจิงนั่นอีก รู้สึกป่วยหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่า ร่างกายร้อนแปลกๆ

“สุขภาพสำคัญกว่า”
ไม่ว่าเปล่าแต่ยกมือขึ้นแตะหน้าผากกันเพื่อวัดอุณหภูมิ ผมสะดุ้งแต่ก็ลอบมองใบหน้าหล่อเหลานั่นไปด้วย เขาเป็นห่วงเราเหรอถึงได้ทำตัวแบบนี้หรือเพราะแค่จิตสำนึกของคนที่เรียนแพทย์เท่านั้นที่ต้องดูแลคนป่วย

“แต่พี่ก็สำคัญ”
นายภาคินจะไม่ยอมแพ้เว้ย

“อย่าดื้อ”
เขาดุก่อนจะผละตัวออกไป ผมได้แต่นั่งเบะปากอยู่บนเตียง ไอ้ไธก็หาว่าดื้อยังมาโดนพี่ทาวน์อีกคน สรุปว่าต้องยอมรับอย่างนั้นเหรอ ไม่เอาหรอก นายภาคินก็แต่งอแงเวลาป่วยเท่านั้นเอง ร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็อ่อนแอ เคยได้ยินไหม
“ผมเปล่า”
ปฏิเสธเสียงอ่อยแล้วหลบสายตาคนแก่กว่า รู้ว่าตัวเองดื้ออย่างที่โดนดุจริงๆ แต่เหตุผลคืออยากใช้เวลากับพี่ทาวน์ในตอนที่มีโอกาส เพราะในอนาคตไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าชีวิตรักของผมจะไปทิศทางไหน อาจสมหวังหรือร้องไห้เป็นพญานก

“งั้นกูกลับล่ะ ไม่ชอบดูแลคนดื้อ”
พี่ทาวน์ว่าเสียงเรียบก่อนจะหมุนตัวเพื่อเดินออกไป ผมเงยหน้าพรึ่บแล้วรีบเอ่ยรั้งด้วยใบหน้าตื่นๆ เมื่อครู่เขาบอกว่าจะดูแลกันใช่ไหม

“เฮ้ยๆ ไม่เอาดิครับ อยู่ด้วยกันก่อนนะ”
แทบจะคลานไปกอดเอวอยู่รอมร่อแต่ห้ามตัวเองได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงโดนกระทืบซะก่อน พี่ทาวน์หันมายักคิ้วให้แล้วใช้มือดีดหน้าผากของผมดังป๊อก

“กูไม่หนีมึงไปไหนหรอก ดูหนังไว้ชวนใหม่ก็ได้”
พี่ทาวน์บอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเลื่อนมือขยี้หัวกันยุ่งเหยิง ผมปล่อยให้เขาทำตามใจชอบด้วยหัวใจที่อิ่มเอม ภายใต้ความเย็นชายังมีความน่ารักแฝงอยู่เสมอ หึหึ

“จะยอมไปด้วยกันเหรอครับ”
ผมถามเมื่อมืออุ่นนั่นผละออกไป ดวงตาคมมองใบหน้าหล่ออย่างคาดหวังในคำตอบ ชวนตอนไหนก็จะยอมไปด้วยกันจริงๆ เหรอวะ มันราวกับคนละคนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วที่เอาแต่บ่ายเบี่ยงเลยนะ อย่าหลอกให้ดีใจเล่นได้ไหม

“ถ้าว่าง”
คำตอบแค่นั้นก็ทำให้ผมเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้ง

ผมนอนกลิ้งไถหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยเพราะยังไม่อยากนอน ส่วนพี่ทาวน์ก็ปลงไปตั้งนานแล้วเลยนั่งอ่านหนังสือต่ออยู่ข้างๆ กัน แอพพลิเคชั่นไลน์แจ้งเตือนว่ามีคนส่งข้อความมาจนต้องเปิดดูอย่างเลี่ยงไม่ได้ รูปงานปาร์ตี้ฮาโลวีนที่ร้าน Addict ปรากฏสู่สายตานับสิบภาพ แต่ละคนยิ้มแย้มมีความสุข ในมือถือแก้วเหล้า โคตรน่าอิจฉา

“วันนี้ฮาโลวีนเหรอพี่”
ผมละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมเพื่อมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาวน์ที่เอาแต่ตั้งใจอ่านหนังสือ เขาจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าวันนี้ข้างนอกคอนโดนั่นสนุกมากแค่ไหน

“อืม”
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมถึงกับลอบถอนหายใจ นึกว่าคนเย็นชาแบบพี่ทาวน์จะไม่สนใจเทศกาลอะไรแล้วซะอีก เพราะจากคำบอกเราของพี่ฟานั้น แม้แต่วันสงกรานต์เขายังไม่สนใจเลย

“อดไปปาร์ตี้ฮาโลวีนที่ร้าน Addict เลยเนอะ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงอยๆ เพราะอยากออกไปสนุกกับเพื่อนบ้าง แต่อยู่กับพี่ทาวน์ก็มีความสุขดีนะ อบอุ่นใจ

“ดูสภาพตัวเองหน่อย”
คนข้างๆ ถึงกับปิดหนังสือแล้วยกขึ้นมาเคาะหัวกัน เจ็บจนต้องลูบหัวเพื่อบรรเทา

“โธ่... อย่าดุสิครับ”
ผมบอกเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะเนียนขยับเข้าไปใกล้อีกคนจนไหล่ชนกัน พี่ทาวน์เหลือบมองเล็กน้อยแต่ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร แถมยังถอดแว่นวางไว้บนหนังสือเล่มหน้า หันมาสบตาก่อนจะเปล่งคำพูดบางอย่าง

“Trick or Treat”

“หา...”
ผมร้องเสียงหลงเพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำไมอยู่ๆ ก็ดึงบรรยากาศวันฮาโลวีนกลับมาได้วะ คือกำลังจะอ้อนเว้ย

“ตอบดิ”
พอเห็นผมเงียบพี่ทาวน์ก็รบเร้าเอาคำตอบพลางขมวดคิ้วมองกันอย่างไม่ลดละ บางครั้งเขาก็ดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ต้องการเพื่อเล่น มุมแบบนี้นายภาคินขอหวงไว้พบเจอคนเดียวได้ไหม

“คือ... ผมงงอะ”
ผมก็ทำตัวเอ๋อตามสไตล์ ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยประกอบคำพูดว่าไม่เข้าใจจริงๆ อยากเข้าโหมดออดอ้อนหวานซึ้งแต่ทำไมกลายเป็นเล่นขอขนมวันฮาโลวีนไปได้

“ฮาโลวีนไง เล่น Trick or Treat”
พี่ทาวน์บอกน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะล้วงอมยิ้มประมาณสามสี่อันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่ เขาพกของแบบนี่ไปไหนมาไหนด้วยเหรอ ปกติไม่เห็นชอบกินเลยนี่

“อ๋อ... งั้นผมเลือก Treat”
ตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ใจจริงอยากได้อมยิ้มในมือเขาด้วยนั่นล่ะ ถึงจะไอจนเจ็บคอก็เถอะ เก็บไว้กินวันหลังก็ได้

“หวังจะเอาลูกอมล่ะสิ”
ผมเกลียดคนรู้ทันได้ไหม เอาอมยิ้มมาโบกๆ ล่อแล้วเก็บเข้ากระเป๋าเหมือนเดิมคืออะไรวะ พี่ทาวน์กวนตีน!

“พี่จะไม่ให้เหรอ”
ผมจ้องเขม็งไปที่กระเป๋ากางเกง สาบานว่าไม่ได้มองเป้าจริงๆ นะ

“ไอคอจะแตกยังจะแดกลูกอม”
พี่ทาวน์ดุก่อนจะแจกมะเหงกให้ผมกินแทนลูกอม นี่เขาเห็นหัวเป็นลูกบอลหรือเปล่า เดี๋ยวจับ เดี๋ยวขยี้ เดี๋ยวลูบ เพลินเลยนะครับ

“.....”
ผมนั่งคอตกทำท่าหงอยเหมือนหมาถูกเจ้านายงดขนม เริ่มไอโขลกอีกครั้งจนคนขี้แกล้งต้องช่วยลูบหลัง มันไม่ช่วยให้บรรเทาอาการหรอก แต่คนส่วนมากชอบทำแบบนี้ให้คนอื่น คล้ายๆ กำลังให้ความใส่ใจซึ้งกันและกัน

“แดกยาอมมะแว้งแทนก่อนก็แล้วกัน”
พี่ทาวน์ส่งซองยาอมสมุนไพรมาให้ตรงหน้า ผมเหลือบมองแล้วเบะปาก รสชาติมันต้องไม่อร่อยแน่ๆ แต่พอเห็นแววตาคาดคั้นของเขาก็ทำได้แค่จำยอม ขืนเถียงอีกคืนนี้คงถูกทิ้งให้นอนคนเดียว

“ป้อนหน่อย”
ไม่วายหาเรื่องอ้อนพี่ทาวน์จนได้

“เป็นง่อยเหรอ”
คนโดนอ้อนถึงกลับตวัดซองยาใส่หน้าด้วยความหมั่นไส้ ดีนะที่ผมหลบทันแต่หงายหลังตึงลงบนเตียงก็ไม่ใช่เรื่องตลก นอนจุกอยู่ราวๆ หนึ่งนาทีกว่าจะเปล่งเสียงโต้ตอบได้ อนาถใจกับสภาพตัวเองเหลือเกิน ความทงความเท่ที่อยากโชว์ให้พี่ทาวน์เห็นก็ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

“ยอมครับ”
ผมบอกก่อนจะส่งสายตาอ้อนพี่ทาวน์ที่ตอนนี้ที่โน้มตัวเข้ามาใกล้ ซองยาถูกเปิดออกพร้อมด้วยมือเรียวที่หยิบวัตถุทรงกลมขึ้นมา

“หึ”
เสียงหัวเราะต่ำทำให้ผมขมวดคิ้วก่อนจะต้องเบิกตาโตเมื่อยาสมุนไพรในมือของพี่ทาวน์ค่อยๆ ไล่ไปตามริมฝีปากสีซีดอย่างอ้อยอิ่งราวกับกำลังหยอกล้อให้หัวใจวายตาย ไหนจะรอยยิ้มยั่วยวนของคนที่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนนั่นอีก เขาคิดจะทำอะไรคนป่วยกันนะ แค่นี้ยังตัวร้อนไม่พออีกหรือไง

“อึก...”
ปลายนิ้วเรียวสอดเข้ามาในปากพร้อมด้วยยาอมสมุนไพร ผมหายใจติดขัดจนแทบสำลักมันออกมา พี่ทาวน์ผละออกไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ ปล่อยให้นายภาคินนอนนิ่งมองเพดานเพราะยังอึ้งไม่หาย เมื่อครู่เหมือนถูกสะกดด้วยคาถาเลยว่ะ โอย อยากจะบ้าตาย!

“ถึงกับช็อค น่าสงสารจริงๆ เด็กโง่”
พี่ทาวน์หัวเราะเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะใช่นิ้วจิ้มแก้มกันด้วยความเอ็นดู ผมได้แต่นอนหน้าร้อนเพราะอายที่ตัวเองเผลอเคลิ้มไปกับสัมผัสหลอกลวงนั่น เมื่อครู่จำได้ว่าตัวเองเลือก Treat นะ ทำไมโดน Trick ล่ะเฮ้ย

“พี่แกล้งผม!”
ผมตะโกนเสียงดังก่อนจะไล่งับนิ้วเจ้าปัญหาที่หยอกเอินกันมาแล้วถึงสองครั้ง แต่คนประสาทสัมผัสไวกลับหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ท่าทางของเราตอนนี้ช่างล่อแหลมชวนใจเต้นเหลือเกิน เป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

ผมคร่อมพี่ทาวน์ในระยะที่หากเผลอโน้มหน้าเข้าไปก็จะกลายเป็นจูบได้ในทันที

“จุ๊ๆ หลอกต่างหาก นี่ฮาโลวีนเชียวนะ”
คนอารมณ์ดีใช้นิ้วชี้แตะบนริมฝีปากของผมแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง ดวงตารีฉายแววสนุกสนานแบบไม่ปิดบัง นายภาคินยอมแพ้จริงๆ ไม่สามารถตามพี่ทาวน์ได้ทันเลย เขามีความสุขในวันที่แสนน่ากลัวแบบนี้ก็ดีไป

“ร้ายกาจจริงๆ เลย อย่าให้ถึงคราวผมหลอกพี่บ้างนะ”
ผมโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหู กลิ่นกายหอมๆ ชวนให้ต้องสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ถ้าไม่ติดว่าป่วยจะจับปล้ำให้ ก็ดูพี่ทาวน์ตอนนี้สิ ไม่ผลักไสแถมยังนั่งนิ่งๆ ให้นายภาคินตักตวงความสุขอีก

“จะหลอกอะไรกูล่ะ”
ถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ มือเรียววางแปะลงบนลาดไหล่ของผมทั้งสองข้าง อีกนิดเดียวจะกลายเป็นคล้องคออยู่แล้ว ใจเต้นตึกๆ จนปวดหน้าอกไปหมด

“หลอกให้รัก”
ผมแกล้งเป่าลมใส่หูของคนขี้แกล้งเพื่อเอาคืน แต่ผิดคาดที่พี่ทาวน์ยังคงนิ่งแถมมุมปากยังกระตุกเป็นรอยยิ้มหวานๆ ที่นานครั้งจะได้เห็น แทนที่จะรู้สึกดีใจกลับกลายเป็นว่าเริ่มหวาดกลัวคนใต้ร่าง เขาจะมาไม่ไหนอีกวะเนี่ย นายภาคินป่วยอยู่นะพี่

“ก็หลอกสิครับเด็กดี”

น็อกเอ้าท์!

ฝ่ายนายเมืองเหนือชนะไปด้วยสกอร์ 100 ต่อ 0 ครับ ผมจะยอมเป็นเด็กดีของพี่ตลอดไปเลยเว้ย แบบนี้เรียกว่าอ่อยใช่ไหม!

ถึงผมจะไม่ได้ไปเมาหัวราน้ำร่วมงานปาร์ตี้ฮาโลวีนหรือดูหนังสยองขวัญนั่งแทะป๊อปคอร์นในโรงภาพยนตร์ก็ตาม แต่การได้พูดคุย หยอกล้อกับคนที่ตัวเองชอบนั้น มันทำให้มีความสุขกว่าอะไรทั้งหมดจริงๆ

‘Trick or Treat’
ถ้าเลือก Trick ผมจะล่อลวงคุณด้วยหัวใจแล้วหลอกให้รักไปตลอดชีวิต
ถ้าเลือก Treat ผมจะเลี้ยงดูปูเสื่อคุณเป็นอย่างดี ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมไปตลอดชีวิต

พวกคุณคิดได้หรือยังว่าจะเลือกข้อไหน แต่สำหรับพี่ทาวน์แล้วนั้น ผมยัดเยียดให้เขาทั้งหมดเลยแล้วกัน

สุขสันต์วันฮาโลวีนครับ



------------------------------------------------

กลับมาอัพนิยายแล้วน้า อ่านตอนพิเศษกันไปก่อนเนอะ 5555
เดี๋ยวแข่งครั้งที่ 22 จะตามมาเร็วๆนี้ฮะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งช่วงเทศกาล : ฮาโลวีน - P.3 (31/10/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-11-2017 13:10:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 22 - P.3 (02/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-11-2017 08:56:11
แข่งครั้งที่ 22



ปวดหัว... นั่นคือความรู้สึกแรกหลังจากรู้สึกตัวในเช้าวันต่อมา เมื่อคืนหมาตัวไหนกรอกสปายใส่ปากกูวะแม่ง น็อคคาวงเหล้าเลยไอ้ฉิบหาย จำได้รางๆ ว่าโดนเพื่อนกับพี่ชายห่ามมาส่งถึงบนเตียงแล้วบ่นสารพัด ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอกสติสตังหนีลงทะเลเกลี้ยงเลยตอนนั้น

พยายามพยุงตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงแต่ต้องผงะเมื่อดวงตาเบลอๆ เห็นภาพตรงหน้า นี่กูยังเมาค้างหรือไง ทำไมพี่ทาวน์ถึงมายืนเช็ดผมอยู่หน้าประตูวะ ไม่อยากจะบอกว่าโคตรเซ็กซี่ขยี้ใจ ใส่เสื้อกล้ามสีขาวซะด้วย โอย นายภาคินหัวใจจะวาย

“มองอะไร”
เสียงเย็นๆ ถามขึ้นก่อนที่ภาพในจินตนาการจะขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกาย ผมยังคงคิดว่าตัวเองเมาเลยลองยื่นมือไปจับชายเสื้อยืดนั่นให้เปิดขึ้น อู้หูว ซิกแพคน้อยๆ อยากลูบว่ะ เผลอแลบลิ้นเลียปากไปแล้วด้วย อืม...

เพี๊ยะ!

เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นจนผมสะดุ้งโหยง นี่มันไม่ใช่อาการเมาค้างเห็นภาพหลอนแล้วไอ้สัด พี่ทาวน์ตัวเป็นๆ เลยเว้ย ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ต่อยหน้าให้ เผลอทำตัวรุ่มร่ามและแสดงสีหน้าหื่นกามไปขนาดนั้น มีแต่คำว่าฉิบหายแปะอยู่บนหัวเลย

“ทำเหี้ยอะไรของมึง”
สัตว์เลื้อยคลานก็มาวะ ตาเขียวปั๊ดเลยแม่งเอ้ย ผมได้แต่ผงกหัวแล้วพึมพำขอโทษชุดใหญ่ ยังอยากมีชีวิตต่อเพื่อเป็นสามีพี่ทาวน์ในอนาคต

“แฮ่... เมาค้างครับ ปวดหัวจัง”
ผมเบี่ยงประเด็นเมื่ออีกคนส่ายหน้าเหนื่อยๆ แล้วทิ้งตัวลงปลายเตียง แผ่นหลังกว้างนั่นน่าซบเป็นบ้า พอย้อนคิดไปถึงเมื่อตอนเย็นวานก็ต้องอมยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ มาเที่ยวทะเลโคตรกำไรชีวิตอะ แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมนายพาคินมานอนที่นี่วะ จำได้ว่าห้องตัวเองมองไม่เห็นระเบียงหน้าบ้านนี่หว่า หรือจำผิด

“เดี๋ยวชงกาแฟดำให้กิน”
พี่ทาวน์บอกเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อออกไปทำตามที่บอก แต่ผมกลับคลานอย่างทุลักทุเลไปคว้าข้อมือเขาเอาไว้ อยากอ้อนก่อนหายแฮงค์ได้หรือเปล่า

ว่าที่คุณหมอหันกลับมาในสภาพหัวคิ้วขมวด มองข้อมือตัวเองสลับกับหน้าของผมเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ดีหน่อยที่เขาไม่ได้ด่า ช่วงนี้รู้สึกอะไรๆ ก็ดูอ่อนลง ทั้งคำพูด การกระทำ อาจจะรวมไปถึงหัวใจ

“อย่าเพิ่งไปเลยครับพี่ทาวน์”
ผมว่าเสียงอ่อนก่อนจะปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าที่หลงใหลมาหลายเดือนด้วยหัวใจที่เต้นรัว เวลาพี่ทาวน์ทำหน้าสงสัยมันน่าหยิกชะมัด

“ทำไม”
เขากอดอกคล้ายกำลังกดดันเพื่อเอาคำตอบ ผมซึ่งยังคงคิดว่าตัวเองยังคงเมาค้างเลยทำสิ่งที่หน้าด้านกว่าปกติ จ้องตา พูดความต้องการออกไปตรงๆ

“อยากอยู่ด้วย”
ช่วงไหนป๊อดก็หัวหดในกระดองสุดๆ ช่วงไหนก็ก็โคตรหน้าด้าน เกลียดตัวเองว่ะ

“หึ นอนด้วยกันทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไง”
พี่ทาวน์ผลักหัวกันแล้วยกยิ้มมุมปากที่ทำให้ผมต้องสตั๊นไปเกือบสิบวินาที นอนคงามหมายไหนวะ สมองประมวลผลไม่ทัน แม่ง ขอกาแฟดำด่วนๆ เลยได้ไหม

“ห๊า...”
ผมร้องเสียงหลงแล้วอ้าปากพะงาบๆ กระพริบตาถี่ๆ หัวใจเต้นระรัวเหมือนคนวิ่งหนึ่งกิโลเมตรแบบไม่หยุดพัก จะช็อกตายอยู่แล้วเว้ย

“นอนหลับเฉยๆ มึงจะตกใจอะไร”
พี่ทาวน์ขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะหรี่ตามองอย่างจับผิดว่าผมคิดไปถึงไหนต่อไหน แล้วนายภาคินจะทำอะไรได้นอกจากก้มหน้าหลบตาจนคางชิดอก โคตรอายที่เผลอคิดอกุศลกับเขาไป แต่ลึกๆ ก็อยากให้มันเป็นเรื่องจริงนะ รวบหัวรวบหางจับทำเมียซะ ไม่ต้องจีบให้ยุ่งยาก แต่ทำไมได้ยินเสียงใครสักคนตะโกนว่าฝันกลางวันอยู่ไกลๆ วะ

“แล้วผมมานอนที่นี่ได้ไงอ่า”
เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วแต่ไม่วายวนๆ กับการนอนนี่ล่ะ

“ไอ้ฟาร์มกับไอ้ฟากอดคอกันตายในห้องมึงไง”

“อ๋อ...”
นึกว่าพี่ทาวน์พิสวาสลากผมเข้าห้องซะเอง นี่ถ้าตื่นมาแล้วปวดสะโพก กูแหกปากร้องไม่ไว้หน้าใครเลยนะ... ยิ่งกลัวๆ ว่าจะได้เป็นเมียอยู่

“กูไปได้หรือยัง”
คำถามของเขาช่างทำร้ายจิตใจคนแฮงค์ได้อย่างอยู่หมัด ยังไม่ทันได้อ้อนให้หนำใจก็โดนบอกลาซะแล้ว เกิดเป็นผมชีวิตรันทดจริงๆ

“อ่า... รีบเหรอครับ”

“เออ ดูนาฬิกาด้วยว่ามันกี่โมงแล้ว”
พี่ทาวน์พูดจบก็เดินออกไปทันทีโดยไม่รอผมที่กำลังหันซ้ายหันขวาหาอุปกรณ์บอกเวลา จะให้ลุกตามไปก็รู้สึกเวียนหัวจนอยากจะอ้วกเลยทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง หมดสภาพจริงๆ เข็ดแล้วกับสปาย ถ้าใครซื้อมาแดกอีกพ่อจะเผาทิ้ง!

ผมกวาดมือสะเปะสะปะไปตามโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างเตียงแล้วเจอเข้ากับโทรศัพท์มือถือของ... กดดูหน้าจอแล้วได้แต่อึ้ง ไม่ใช่ของตัวเองว่ะ แต่เป็นของพี่ทาวน์ ล็อกสกรีนเป็นรูปหมาป่า โอ้โห บ่งบอกถึงความดุชัดๆ

เดี๋ยวนะ เลขหนึ่งที่นำเลขศูนย์อยู่สามตัวบนหน้าจอโทรศัพท์นี่คือ... ไอ้เหี้ย สิบโมง สายจนตะวันเสยตูดแล้ว!

ผมกุลีกุจอลุกจากเตียงโดยลืมว่าข้อเท้าแพลงทำให้เสียการทรงตัวจนก้นกระแทกพื้น เจ็บจนจุกแถมร้องไม่ออกสักแอะ พี่ทาวน์ที่เปิดประตูกลับเข้ามาพร้อมถ้วยกาแฟในมือถึงกับหัวเราะลั่นกับสภาพน่าอนาถใจ เขาเข้ามาช่วยพยุงและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปลายจมูกของนายภาคินแตะลงบนแก้มนุ่มขาวผ่องนั่น เผลอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดจนได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟ อยากจะบอกว่าผมเมามากกว่าทีแรกซะอีก เมารักน่ะนะ

ได้จิบกาแฟดำที่เข้มจนเปรี้ยวไปสองสามอึกอาการมึนก็เหมือนจะดีขึ้นเลยลากสังขารเปลี้ยๆ เข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง ด้วยความรีบเกือบล้มหัวฟาดชักโครกตายอีก ข้อเท้าแพลงแถมอีกข้างเป็นแผลโคตรใช้ชีวิตลำบาก แต่ผมเสือกกลัวเหงาเลยดั้นด้นออกไปเที่ยวกับคนอื่นด้วย ตัวถ่วงขนานแท้เลยกู

“พยาบาลส่วนตัวมึงนี่งานดีฉิบหาย”
ไอ้ฟาร์มเข้ามากระซิบกระซาบหลังจากพี่ทาวน์พยุงผมมาส่งที่หน้าประตูแล้วกลับไปเอากุญแจรถที่ลืมหยิบมา วันนี้ได้นั่งตัวเองกลายเป็นตุ๊กตาหน้ารถแทนไอ้ตังค์

“อิจฉากูเหรอฟาร์ม”
ผมพูดเสียงทะเล้นก่อนจะยักคิ้วกวน ถึงจะเจ็บแต่โคตรมีความสุขเลยว่ะ พี่ทาวน์ดูแลแทบจะทุกเวลา ดีหน่อยที่ไม่ได้ถึงขนาดป้อนข้าวป้อนน้ำ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงคิดว่าตัวเองง่อยแดก

“อิจฉาก็ควายแล้วเพื่อน เป็นไอ้เดี้ยงขนาดนี้”
มันเบ้ปากใส่ก่อนจะผลักหัวผมเต็มแรงจนเกือบเซล้ม ดีหน่อยที่ไอ้ไธขยับมาจับแขนกันไว้พอดี ไม่อย่างนั้นคงเขียวช้ำไปทั้งตัว เมื่อเช้าก็ก้นกระแทกพื้น ขออย่าน่วมไปกว่านี้เลย

“สัด”
ด่าเสียงรอดไรฟันตามหลังคนที่วิ่งร่าเริงไปหาพี่ฟาด้วยความหมั่นไส้ คู่นี้ก็แปลก ไอ้คนที่ตั้งท่าจะจีบชาวบ้านโคตรป๊อด แต่ไอ้คนที่จะถูกรุกกลับเข้าหาซะเอง ดูๆ ไปโคตรน่าอิจฉา เท่ากับว่าไอ้ฟาร์มไม่ต้องทำอะไรเลย กูเนี่ยพยายามแทบตาย ยังไม่มีความคืบหน้าเลย เฮ้อ

“มานี่ เดี๋ยวกูช่วยพยุง”
ไอ้ไธบอกแล้วดึงแขนผมไปพาดบ่าตัวเองก่อนจะพากันเดินเรื่อยๆ ไปที่ลานจอดรถ ได้ยินเสียงพี่ทาวน์ที่ออกมาจากบ้านพักเป็นคนสุดท้ายกำลัง

“ขอบใจเว้ยไอ้ไธ”

“เออ เมื่อคืนฟินไหมล่ะ ได้ข่าวว่านอนห้องพี่ทาวน์ ขนาดพี่แฮมยังยอมย้ายสังขารเปลี้ยๆ ออกมาตายข้างนอก”

“ฟินห่าอะไร หลับอย่างกับตาย นี่ยังปวดหัวอยู่เลย หมาตัวไหนเอาสปายกรอกปากกูเนี่ย”

“หมาแฝดมึงอะ”

“ไอ้จิณณ์!”

“ว่าไงน้องชาย ฮี่ฮี่”
ฮี่พ่อง เดี๋ยวกูต่อยฟันร่วง

“จะไปไหนกันครับ”

“สวนสัตว์”

“ห๊ะ...”

“เอามึงไปปล่อย หึหึ”

“.....”
กูนี่คิดไม่ออกเลยว่าตัวเองควรเป็นสัตว์อะไรดี ฮึก ควายป่าเหรอ หรือนก ไม่เอานะเว้ย ไม่โอเคทั้งคู่เลย!

นั่งรถจนก้นชาก็มาถึงที่หมายอย่างเจพาร์ค ไม่ต้องถามว่าใครขอทริปนี้มานอกจากไอ้เนิร์ดตังค์ที่คลั่งทั้งอนิเมะและประเทศญี่ปุ่น ผมก็ชอบพวกหนังเอวี เด็ดสุด หูย... แต่อย่าบอกพี่ทาวน์นะ โดนด่าว่าบ้ากามแน่ๆ

“จะตามมาเป็นภาระชาวบ้านทำไมเนี่ย” ไอ้ฟาร์มที่เดินข้างๆ กันส่งเสียงกระแนะกระแหนแถมยังเอาไหล่มาชนจนผมเกือบเซไปชนราวสะพานสีแดง จุดนี้วิวสวยเหมาะแก่การถ่ายรูป แต่ตอนนี้มีอารมณ์อยากถีบเพื่อนให้ตีลังกาตกลงไปข้างล่าง

“ไอ้สัด จะไปไหนก็ไปดิวะ”
ผมแยกเขี้ยวใส่แล้วผลักมันออกไปห่างๆ คนยิ่งเดินไม่ถนัดทำไมชอบแกล้งกันนักวะ แล้วพี่ทาวน์ก็หายไปกับเพื่อนซะเฉยๆ เฮ้อ ว่าจะชวนถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย

“เดี๋ยวหาว่ากูทิ้งเพื่อนอีก”
มันเบ้ปากใส่ก่อนจะบ่นอะไรงุ้งงิ้งตามประสา ผมไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้น รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้แค่ไหน เข้าใจดีว่าคนอยากมาเที่ยว ใครจะขัดความสุขเพื่อนวะ

“กูไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น”
ผมบอกก่อนจะผลักหัวมันด้วยความหมั่นไส้ ขนาดไอ้ตังค์โดนไอ้เอยลากไปตั้งแต่ลงจากรถยังไม่เป็นปัญหาเลย ทั้งๆ ที่มันน่าเป็นห่วงมากกว่าคนอื่น

“งั้น... ไปนะ อิอิ”
มันบิดตัวไปมาแล้ววิ่งดุ๊กดิ๊กหายไปอีกทางหนึ่งด้วยความร่าเริง ผมได้แต่มองตามไปแล้วหัวเราะออกมา เพื่อนมีความสุขก็ดีแล้ว จะมาเดินตามคนเดี้ยงทำไมล่ะวะ

“อยากเตะก้านคอมันสักที แม่ง”
ผมบ่นแต่ก็ยิ้มออกมา ไอ้ไธที่ยืนอยู่ข้างๆ เลยตบบ่าเป็นเชิงปลอบใจ นี่ก็อีกคน เกาะติดกันอยู่ได้ ทำไมไม่เดินไปกับจิณณ์วะ กำลังทำคะแนนได้ดีอยู่แล้วเชียว ไม่กลัวแดกแห้วหรือไง

“ใจเย็นน่า มันก็หยอกมึงเล่น”

“เออ รู้ แต่หมั่นไส้ไง”

“เจ็บแผลปะวะ ลงน้ำหนักขนาดนั้น”
ไอ้ไธถามก่อนจะมองลงไปที่เท้า ผมทิ้งน้ำหนักลงเท้าด้านที่เป็นแผลโดยที่ไม่สามารถไปยุ่งกับข้างที่แพลงได้ เพราะมันระบม ก่อนออกมาจากบ้านก็โดนพี่ทาวน์บ่นๆ ใส่นิดหน่อยที่ดื้อ ก็ไม่อยากอยู่คนเดียว

“ก็เจ็บนะ แต่ไม่อยากเป็นภาระใคร”
ผมบอกก่อนจะพิงสะโพกกับราวสะพานเพราะไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหนดี ต่างคนต่างแยกกันไปมันก็จะเหงาๆ หน่อย

“กูช่วยพยุงได้น่า”
ไอ้ไธทำท่าจะจับแขนให้คล้องคอตัวเองแต่ผมส่ายหน้าเป็นพัลวันแถมยังโบกมือไล่เพื่อนอีกรอบ ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากเป็นภาระใครที่ไหน ถึงมันจะเต็มใจก็เถอะ

“ไม่เอาๆ เกรงใจ มึงไม่ไปเดินกับจิณณ์ล่ะ”
ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วมองสิ่งปลูกสร้างสไตล์ญี่ปุ่นจ๋าตรงหน้า ดูๆ ไปมันก็สวยดี ถ้าในอนาคตสร้างบ้านแบบนี้คงคลาสสิคใช่เล่น แบบเรือนไทยก็เข้าท่า แต่มันวังเวงชอบกล

“เว้นระยะห่างบ้าง ตามติดเกินไปจิณณ์คงอึดอัด”
ไอ้ไธบอกก่อนจะคลี่ยิ้มบางประกอบ มันล้วงโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปตรงนั้นทีตรงนี้ทีแล้วจบด้วยผมที่ทำหน้าเหวอ บอหให้ลบก็ไม่ยอมเลยปล่อยไป แต่ถ้ามึงเอารูปกูไปลงจะบอกให้จิณณ์งอนแม่งเลย หมั่นไส้นัก ชอบแกล้งคนไม่มีทางสู้

“ไปเดินเล่นเถอะ เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนไอ้เจ็ทเอง”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านข้าง ผมกับไอ้ไธหันขวับไปมองพร้อมกัน พี่ทาวน์เดินตรงเข้ามาพร้อมแก้วชาเขียวและชานม โผล่มาแบบนี้เป็นห่วงกันหรือเปล่า แอบดีใจว่ะ

ไอ้ไธหันมองผมสลับกับพี่ทาวน์อย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมพยักหน้าก่อนจะรับแก้วชานมมาถือไว้ โคตรมีน้ำใจอะ น่ารักจริงๆ เลย

“เอ่อ... ก็ได้ครับ งั้นผมฝากมันด้วยแล้วกัน”
มันฝากฝังผมไว้กับพี่ทาวน์ก่อนจะเดินออกไปด้วยความมึน ยกมือเกาท้ายทอยอย่างกับคนเป็นเหา ตลกว่ะ

“อ้าว ทิ้งกันเฉย”
ผมพึมพำแล้วมองตามไอ้ไธไปจนลับตา ได้อยู่กับพี่ทาวน์สองคนมันก็ดี แต่รู้สึกเขินแปลกๆ ที่อีกคนหายไปแล้วกลับมาอยู่ข้างกันในตอนนี้ นึกว่าจะแยกกันเดินจนถึงเวลานัดหมายกลับไปที่รถซะอีก

“อยู่กับกูไม่ได้หรือไง”
พี่ทาวน์ถามเสียงเรียบแล้วดันแก้วชาเขียวที่เหลืออยู่มาแตะแก้ม ผมสะดุ้งเฮือกเพราะมันเย็นเจี๊ยบ เผลอลงน้ำหนักเท้าข้างที่แพลงไปเยอะจนต้องนิ่วหน้า เจ็บฉิบหาย กลับถึงที่พักคงโดนว่าที่คุณหมอด่าเอาแน่ๆ

“เปล่าครับ แต่กลัวเป็นภาระพี่น่ะ”
ความเกรงใจเดิมๆ กลับมาอีกครั้ง พี่ทาวน์ที่กำลังผละแก้วชาเขียวออกจากแก้มชะงักมือไปก่อนจะหันมองมาทางนี้ด้วยสายตาเคืองๆ ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าวะ

“หึ เออ ภาระคนอื่นโคตรๆ เลยมึงนะ”
พี่ทาวน์ใช้มือข้างที่ว่างผละหัวกันเบาๆ แล้วยัดแก้วชาเขียวใส่มือผม หน้าตาไม่ได้บ่งบอกว่าหงุดหงิดอะไร แต่แค่คำพูดนั้นของเขาก็ทำให้หน้าชาแล้ว สรุปว่านายภาคินเป็นภาระคนอื่นจริงๆ ใช่ไหม รู้สึกผิดเลยแม่ง

“ขอโทษครับ”
ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะก้มหน้าดูดชาเขียวที่พี่ทาวน์อุตส่าห์ซื้อมาฝาก กัดหลอดจนแทบแตกคาปากเพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ ต้องช่วยเหลือคนอื่นแล้วไม่ได้ไปเที่ยวอย่างใจนึก

“แต่มึงไม่ใช่ภาระสำหรับกูนะ”
น้ำเสียงทุ้มนั้นทำให้ผมเบิกตากว้างมองคนข้างกายอย่างอึ้งๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากคนปากแข็ง ตอนนี้รู้สึกจะบ้าตายให้ได้ พี่ทาวน์กำลังยื่นความหวังให้ใช่ไหม ประโยคหวานจนรู้สึกน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นเลยว่ะ แล้วรอยยิ้มละมุนที่ส่งมาคืออะไร มันทำให้ใจสั่นไม่รู้หรือไง แรงยิ่งกว่าแผ่นดินไหวซะอีก

ประมาณห้าโมงเย็นเราก็กลับมาถึงที่พักพร้อมกับของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายถุง เย็นนี้จะมีปาร์ตี้ริมหาดเพื่อรอเค้าท์ดาวน์เข้าปีใหม่ ผมเห็นไอ้ตังค์รีบวิ่งลงมาจากรถสีชาทันทีโดยไม่สนคนที่ตะโกนเรียกด้านหลัง

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะครับคุณฟา”
ไอ้ตังค์ถามก่อนจะเอื้อมมือมาช่วยหิ้วถุงจากพี่ฟา ดวงตาใต้กรอบแว่นมองทุกอย่างด้วยความตื่นเต้น เห็นตัวเล็กๆ แบบมันก็กินเก่งไม่แพ้พี่แฮมเลย สายแดกที่แท้ทรู

“ไอ้ทาวน์จะโชว์ฝีมือทำกับข้าวคืนนี้”
พี่ฟาตอบเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยิ้มเยาะคนที่พยุงตัวผมอยู่ เพิ่งรู้ว่าพี่ทาวน์ทำอาหารเป็น ราศีแม่บ้านแม่เรือนจับเชียว

“ตลกแล้วไอ้สัด”
พี่ทาวน์ถลึงตาใส่เพื่อนแล้วยกนิ้วกลางให้ ท่าทางแบบนี้ขอเดาเลยว่าพี่ฟาแม่งประชดประชัดชัวร์

“กูยอมอดตายอะ”
เสียงพี่แฮมยืนยันความคิดของผมได้ดี พี่ทาวน์ทำอาหารไม่เป็น ถ้าทำเป็นช่วงเช้าของทุกวันที่มีเรียนคงไม่ต้องแบกท้องไปหาอะไรกินที่มหา’ลัยหรอก

“โคตรเว่อร์”
พี่ทาวน์ปลายตามองพี่แฮมก่อนจะส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจที่โดนรุม ผมได้แต่กลั้นยิ้มเอาไว้กับท่าทางเด็กๆ ของเขาที่แสดงออกมา

“ล้อเล่นน่า เดี๋ยวกูกับจิณณ์จะช่วยกันทำอาหาร ส่วนพวกมึงๆ ทั้งหลายก็เตรียมเครื่องดื่ม กับแกล้มให้พร้อมแล้วกัน”
พี่ฟาบอกก่อนจะโบกมือไล่พวกผมที่เหลืออยู่เพื่อกระจายไปเตรียมของสำหรับปาร์ตี้คืนนี้ ส่วนผมโดนพี่ทาวน์เอามาหย่อนทิ้งไว้ที่ม้านั่งตัวยาวแล้วเดินออกไปคุยโทรศัพท์กับที่บ้าน ดูท่าทางเครียดๆ ยังไงชอบกล คงเป็นเรื่องที่ไม่ยอมกลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวล่ะมั้ง

“วงเหล้าสองคืนติดเลยว่ะ”
ไอ้เอยที่นั่งอยู่ข้างผมบ่นพึมพำในขณะที่มือก็เล่นเกมในโทรศัพท์ไปด้วย มันติด ROV ครับ บางทีก็ได้ยินมันเปิดไมค์ด่าเพื่อนร่วมทีม หัวร้อนจนใครก็ไม่กล้ายุ่ง แต่พอไอ้ตังค์จะดูการ์ตูนบ้างกลับห้ามแล้วห้ามอีก เห็นแก่ตัวสุดๆ ผัวจอมเผด็จการในอนาคตชัดๆ สงสารไอ้เนิร์ดล่วงหน้าเลย

“หรือไม่ดีไอ้เอย”
พี่แฮมที่ก้มๆ เงยๆ รื้อของในถุงพลาสติกหันมาถาม ผมเดาว่าเขาคงหาขนมกระแทกปากอยู่แน่ๆ หน้ายุ่งเชียว ได้ยินเสียงพึมพำว่าปลากรอบกูหายไปไหนด้วย

“โคตรดีครับพี่ หึหึ”
ไอ้เอยหัวเราะเสียงต่ำแล้วหันไปมองไอ้ตังค์ด้วยดวงตาแวววาว ผมอยากจะเอาไม้เสียบลูกชิ้นที่ไอ้ไธกำลังกินอยู่จิ้มๆ ให้มันบอดฉิบหาย มึงอย่ามาหื่นใส่เพื่อนกูนะเว้ย ตัวเล็กๆ บางๆ แบบนี้เดี๋ยวเอวหักตายกันพอดี

“หัวเราะบ้าอะไรครับคุณเอย”
ไอ้ตังค์ถามเสียงฉุนก่อนจะขยับตัวหนีไปยืนหลบอยู่ด้านหลังจิณณ์ แต่ฝ่ายนั้นไม่ให้ความร่วมมือเพราะมันหย่อนตัวนั่งเบียดผมซะอย่างนั้น แทบจะเกยตักอยู่แล้ว ไอ้ห่า!

ผมใช้ศอกกระทุ้งจิณณ์ให้ออกไปห่างๆ เพราะเมื่อครู่มันเหวี่ยงขามาแตะโดนข้อเท้าผมเต็มๆ เจ็บจนร้องไม่ออก แต่มันกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังเอื้อมมือไปขโมยลูกชิ้นจากปากไอ้ไธอีก ไอ้สัด น้ำจิ้มหกใส่กางเกงสีขาวของกูแล้ว อีกอย่างคืออย่ามาแสดงความรักกันแถวนี้ อิจฉา! ไปรุงรังกันที่อื่นไป๊

“เปล๊า มึงไปซื้อเครื่องดื่มกับกูที่เซเว่นดีกว่า”
ไอ้คู่นี้ก็ยังไม่เลิกวอแวกันสักที อีกคนเข้าหา อีกคนวิ่งหนี ชาตินี้คงสมหวังหรอก รำคาญเว้ย เหม็นความรักด้วย

“ไม่เอา”
ผมกับคนที่เหลือเงียบลงอย่างพร้อมเพียงเพราะอยากเผือกเรื่องของไอ้คู่นี้ว่ามันไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว เพราะเมื่อคืนพากันไปนอนก่อนใครเพื่อน ใครคึกปล้ำใครบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

“ตังค์ครับ”
เสียงเรียกดุๆ ทำให้ผมหันขวับไปมองไอ้เอยทันที รู้สึกได้ถึงการแผ่รังสีอำมหิตแปลกๆ เหมือนคนที่ถือไพ่เหนือกว่าแล้วบังคับด้วยการเอาความลับระหว่างสองคนมาขู่ อย่าบอกว่าพวกมึงได้เสียกันเรียบร้อยเมื่อคืนนะ กูจะร้องไห้ มาทีหลังอย่าสำเร็จภารกิจก่อนสิวะ

“ฮึย ก็ได้ๆ”
คราวนี้ยอมง่ายจังวะเฮ้ย แถมไม่สะบัดมือที่โดนไอ้เอยจับอีก ผมว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วนะคู่นี้ รู้สึกใจคอไม่ดีเลยว่ะ

“กูว่าสองคนนั้นคงได้เสียกันแล้ว”
ฝาแฝดที่เคี้ยวลูกชิ้นตุ่ยๆ หันมาพูดด้วยหน้าตาจริงจังจนผมต้องขมวดคิ้วมอง ไม่จริงมั้ง เมื่อคืนไม่เห็นมีเสียงแปลกประหลาดอะไรเลย แต่เดี๋ยวก่อน... กูเมาหลับนี่หว่า ขนาดพี่ทาวน์นอนข้างๆ ยังไม่รู้เรื่องเลยแม่ง

“ปากมึงนะจิณณ์ เพื่อนกูเป็นพวกหัวโบราณจะตาย”
ผมพยายามช่วยเพื่อนทั้งที่ในใจก็เผลอคิดไม่ต่างจากจิณณ์เลยสักนิด เพราะมีอะไรบางอย่างในตัวไอ้ตังค์บ่งชี้ไปในทิศทางนั้นจริงๆ

“ตามึงบอดเหรอน้องชาย รอยแดงเป็นจ้ำๆ ที่คอเพื่อนมึงนี่คิดว่ายุงกัดหรือไง”
จิณณ์พูดย้ำในสิ่งที่ปรากฏบนตัวไอ้ตังค์ หลักฐานชิ้นโตที่ประทับลงบนคอขาวเนียนนั่นชัดเจนอยู่ในความทรงจำของผม ตอนที่เห็นครั้งแรกสงสัยแทบตายว่ารอยอะไรแต่ไม่กล้าถามเพราะดูท่าทางมันจะหงุดหงิดตั้งแต่เช้า แต่ด้วยความที่ไม่อยากใส่ความเพื่อนเลยปัดๆ ทิ้งไป

“งั้นรอยที่คอมึงก็โดยไอ้ไธดูดอะดิ”
ผมจิ้มนิ้วลงไปที่รอยแดงช้ำม่วงบนคอของจิณณ์ซะเต็มแรง มันสะดุ้งแล้วหันมาถลึงตาใส่อย่างโกรธๆ หน้าดำหน้าแดงไปหมดแล้ว ดีนะที่ไอ้ไธเดินไปหาน้ำกินในบ้าน ไม่อย่างนั้นคงนั่งสำลักลูกชิ้นตายห่าไปแล้ว

“บ้า! ยุงกัดเว้ย”
มันยกมือขึ้นปิดซอกคอด้วยหน้าตาตื่นๆ ยุงอะเมซอนมั้งกัดซะม่วง ตอแหลไม่มีใครเกิน

“จ้า ยุงกัดจนช้ำเลย ถ้ากูเชื่อก็ควายแล้ว”
ผมเหน็บมันก่อนจะเบ้ปาก ไอ้คนตอแหลลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วหันมาย่นจมูกใส่

“ไม่คุยกับมึงแล้ว ไร้สาระโคตรๆ”
ด่ากับจบมันก็สะบัดก้นไปช่วยไอ้ไธเตรียมกับแกล้มอีกด้านหนึ่ง ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยตะโกนไล่หลังไป

“แหม ไอ้คนมีสาระ!”

“ทะเลาะกันอย่างกับเด็กๆ นะพวกมึง”
พี่ทาวน์ทิ้งตัวลงนั่งข้างกันแล้วยื่นอมยิ้มรสส้มมาให้ ผมรับมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณ เดี๋ยวนี้กินมันจนฟันจะผุแล้วครับ

“จิณณ์มันชอบกวนตีนผมอะ”
ผมบอกก่อนจะก้มหน้าก้มตาแกะห่ออมยิ้ม แต่เคยเป็นกันไหมที่ดึงพลาสติกเท่าไหร่มันก็ไม่ออก ทั้งใช้ฟันกัด กระชากก็แล้ว โอย ไม่แดกแม่ง แต่ตอนที่กำลังจะตัดใจพี่ทาวน์ก็เอื้อมมือมาแย่งไปจัดการให้โดยไม่นึกรังเกียจน้ำลายเยิ้มๆ นั่น ทำไมช่วงนี้ชอบทำตัวเหมือนเอาใจกันจังวะ แอบคิดเข้าข้างตัวเองแล้วเนี่ย

หลังจากที่ผมได้รับอมยิ้มคืนกลับมาเราก็นั่งเงียบใส่กัน พี่ทาวน์นั่งกดโทรศัพท์ตอบไลน์คนโน้นคนนี้ไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย แอบเห็นว่ามีสาวๆ ทักมาเพียบ รู้สึกไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิ์ในตัวเขา

“มึงไปอาบน้ำไป จะได้ทายาแล้วก็ทำแผลอีก”
อยู่ๆ คนที่นั่งสนใจแต่โทรศัพท์ก็หันมาสั่งกัน ผมได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะดึงไม้อมยิ้มที่กัดระบายความเครียดจนเละทิ้งลงในถุงขยะที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ แล้วพยุงตัวเองลุกขึ้น รู้สึกเจ็บแปลบจนต้องยืนนิ่งอยู่สักพัก

“โอเคครับ”
ผมตอบแล้วค่อยๆ ลากสังขารเข้าบ้านพัก เมื่อปลอดคนก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ บางทีก็ดูเหมือนมีความหวังเรื่องพี่ทาวน์แบบสุดๆ แต่บางทีก็เหมือนเรื่องราวระหว่างเราช่างเลือนรางเหลือเกิน เฮ้อ

ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มที่ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันรอบวงเหล้าหน้าบ้านพัก เสียงคลื่นทะเลที่ซัดกระทบฝั่งยามนี้ฟังคล้ายดนตรีขับกล่อมไพเราะ แต่ไม่มีเวลาจะดื่มด่ำบรรยากาศธรรมชาติหรอกเพราะอยู่ๆ ไอ้ฟาร์มก็เคาะขวด ขัดอารมณ์สุนทรีย์ของกูจริงๆ เลย

“นี่ๆ เรามาหาเกมเล่นฆ่าเวลาก่อนจะเค้าท์ดาวน์กันดีกว่า”
ไอ้ฟาร์มเสนอด้วยสีหน้าตื่นเต้น ไม่รู้ว่าคิดเกมอะไรสัปดนอยู่หรือเปล่า ผมได้แต่นั่งฟังเงียบๆ แล้วจิบเบียร์ที่ไอ้ไธส่งมาให้

“จะเล่นอะไรวะ”
เสียงพี่ฟาถามอย่างอยากรู้ ผมนี่อยากจะแหมไปถึงดาวอังคารตอนไอ้ฟาร์มหันไปยิ้มกรุ้มกริ่มใส่คนข้างตัว ที่เมื่อก่อนป๊อด พอเขามาส่งที่บ้านครั้งเดียวกลับระริกระรี้ เกลียดมันจริงๆ

“คิง!”
ชื่อเกมสั้นๆ เรียกให้ทุกคนชะงักการกระทำทั้งหมด เดี๋ยวแม่งต้องมีใครสั่งอะไรแปลกๆ แน่ ครั้งก่อนผมเคยตะโกนบอกรักยางรถยนต์กลางลานจอดรถรวม โคตรอาย

“เล่นยังไงครับ”
ไอ้ตังค์ถามก่อนจะเอนหัวซบไหล่ไอ้เอย ท่าทางอ่อนข้อแบบนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันคงกรึ่มๆ แล้ว คออ่อนชะมัด


“เรามีกันเก้าคนใช่ปะ คนหนึ่งสละตัวเป็นพระราชาตาแรก ส่วนที่เหลือจับสลากเลขหนึ่งถึงแปด เลขที่เหลือเป็นของคิง”
เกมใช้ดวงล้วนๆ ส่วนผมนี่แต้มบุญหมดไปตั้งแต่ชาติที่แล้ว วันนี้คงซวยเจอคำสั่งเหี้ยๆ อีกตามเคย ทำใจเอาไว้เรียบร้อย

“อืม... แล้วพระราชาเชี่ยๆ ก็ออกคำสั่งให้ทำตามสินะ”
ไอ้ไธกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย เพราะครั้งก่อนมันก็โดนคำสั่งบ้าๆ จากไอ้ฟาร์มเหมือนกัน มีอย่างที่ไหนให้เดินไปขอเบอร์พี่กระเทยร่างยักษ์ที่คณะเกษตรวะ ดีแค่ไหนที่มันเอาตัวรอดกลับมาได้ ไม่ได้ข่มขืนซะก่อน

“เยป... หน้ากูชาเลยไอ้สัด อุตส่าห์จะสละตัวเป็นพระราชาให้ก่อน”
ไอ้ฟาร์มบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะทำหน้ามุ่ยจนพี่ฟาที่นั่งอยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นขยี้หัวด้วยความเอ็นดู ปลายหางตาเหลือบเห็นพี่ทาวน์ที่กรอกตาใส่การกระทำของเพื่อนตัวเองอย่างเบื่อหน่าย สงสัยจะเหม็นความรักพอๆ กันกับผม ก็เราไม่ลงเอยกันสักทีไงครับเลยต้องพาลอิจฉาคนอื่นแบบนี้

“เชิญครับ กูขอไปหากระดาษมาทำสลากก่อน”
ไอ้ไธลุกออกจากวงเหล้าเพื่อไปหาของที่ต้องการใช้ ส่วนพวกที่เหลือก็กระดกเบียร์ กินกับแกล้มเพื่อรอ มีพูดคุยเรื่องานโอเพ่นเฮ้าท์ที่จะจัดตอนเปิดเทอมนิดหน่อย ผมได้ประจำซุ้มขายอาหารของคณะ ต่างจากพี่ทาวน์ที่ต้องให้ความรู้กับน้องๆ ที่มาชมงาน

ไม่เกินสิบนาทีแก้วที่เต็มไปด้วยสลากเก้าใบก็ถูกส่งไปรอบวงเพื่อหยิบ ส่วนไอ้ฟาร์มที่เป็นคิงโดนสั่งให้นั่งหันหลังเพื่อความยุติธรรม ต่างคนต่างเปิดกระดาษดูตัวเลขที่ได้รับ

“จับสลากครบกันยังวะ จะสั่งแล้วนะเฮ้ย”
ไอ้เชี่ยนี่ก็รีบจังวะ ขอสูดแอลกอฮอล์ยอมใจหน่อยก็ไม่ได้ ทุกคนทำหน้าเอือมระอาก่อนจะกระแทกเสียงตอบพร้อมกัน

“เออ!”
อย่าคิดว่าไอ้ฟาร์มจะรู้สึกแย่กับท่าทีไม่เป็นมิตรของคนในวงเหล้า เพราะตอนนี้มันเสือกยิ้มกรุ้มกริ่มน่ะสิ ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบชอบกล

“อืม... หนึ่งกับห้าคล้องแขนกันกระดกเบียร์ เจ็ดนั่งตักสองหนึ่งตา เก้ารอด แปดกับสามเต้น T26 ส่วนสี่แดกพริกสองเม็ด หกเป็นพระราชาต่อ อิอิ”
มันสั่งรวดเดียวแล้วมองพวกเราทีละคนด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ผมแทบอยากกระโดดถีบยอดหน้ามันฉิบหาย ทำไมไอ้เอยต้องมานั่งตักกูด้วยเนี่ย หนักอย่างกับควาย ฮือ แล้วดูไอ้ไธกับพี่ทาวน์สิ คล้องแขนกันกระดกเบียร์อย่างกับคู่รัก อิจฉาสัดๆ แต่ที่ตลกสุดคงเป็นไอ้ตังค์กับพี่แฮมที่ต้องเต้น T26 เพราะใครๆ ก็ต่างยกโทรศัพท์ขึ้นมาอัดวีดีโอ ส่วนสุดที่รักของไอ้ฟาร์มรอดอย่างหวุดหวิดเหมือนนัดกันมา

ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งกันเรียบร้อยก่อนจะหันไปที่ไอ้ฟาร์มเป็นตาเดียวกัน มันคงยังไม่รู้ตัวเองว่ากรรมกำลังตามสนอง

“กูได้เลขอะไรอะ”
มันถามแล้วมองไปรอบวง เดาว่าจิณณ์คงได้เป็นพระราชาต่อแน่ๆ เพราะมันยิ้มเจ้าเล่ห์เหลือเกิน

“สี่!”
คนที่ถือแก้วสลากอย่างไอ้ไธตะโกนเสียงดังลั่นกรอกหู ไอ้พระราชารอบที่แล้วถึงกับตาเหลือก มึงไม่แดกของเผ็ดแต่เสือกสั่งตัวเองแดกพริก ควายล้วนๆ ไม่มีวัวผสมเลย สะใจเว้ย!

“ไอ้ฉิบหาย ซวยสัดๆ”
มันบ่นแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปหยิบพริกมากินทั้งน้ำตานองหน้า เอาเป็นว่าเผ็ดแค่ไหนไม่รู้แต่มันกินน้ำเปล่าตามจนหายเมาอะคิดดู

เราเล่นเกมกันไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาห้าทุ่ม ที่ผ่านมาบางคนก็ยอมแพ้โดนลงโทษไปบ้าง ก็ใครมันจะกล้าวิ่งลงทะเลตามคำสั่งของพระราชาตอนนี้บ้างวะ หนาวตายห่า อีกอย่างที่พีคสุดๆ คือ จะให้ผมเดินไปขอกางเกงในจากสาวบ้านพักข้างๆ ผัวเขาได้กระทืบม้ามแตกไหมล่ะ

“รอบสุดท้ายขอมันๆ”
ไอ้ฟาร์มยังมีหน้าร้องขออีก ทั้งที่ตัวเองโดนปั่นจิ้งหรีด นอนคลุกทราย จูบตีนพี่ฟา ไอ้เอยกัดหู สารเลวทั้งนั้นแต่ละคำสั่ง อย่าถามว่าฝีมือใครบ้าง จำไม่ได้หรอก

“จัดไป”
ใครเป็นคนเห็นดีเห็นงามกับไอ้ฟาร์มเนี่ย ยิ่งดึกคำสั่งยิ่งเลว ไอ้เหี้ยเอ้ย เมื่อครู่ผมโดยให้ก้มหัวจูบทรายอยู่ห้านาที แถมไม่รู้ใครกดท้ายทอยขยี้ลงมาอีก อยากจะรัวคำว่าสัดๆๆ ใส่สักร้อยที แต่กลัวคนทำเป็นพี่ทาวน์ ตานี้เสือกได้ไอ้เอยเป็นพระราชาด้วยความบรรลัยมาเยือนแน่ๆ มันสัปดนกว่าใครเพื่อน




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 22 - P.3 (02/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-11-2017 08:56:44
“กูสั่งล่ะนะ ห้าเจ็ดเก้าถอดเสื้อแดกเหล้ารอเค้าท์ดาวน์”
สัดด๋อย ลมทะเลตอนเดือนธันวาคมเนี่ยนะ ปอดบวมแดกตายห่า แต่รอดไปเพราะไม่ใช่ผม หึหึ

“หนึ่งกับหก... นอนทับแล้วเด้ากันสักสามที”
โอ้โหเหี้ย! คำสั่งอะไรของแม่งเนี่ย ไอ้ตังค์ถึงกับตัวแข็งทื่อเลยไหมล่ะ มันได้เลขหนึ่ง ส่วนคู่กรณีก็พระราชากามๆ นี่ล่ะ ชีวิตสดใสเลยไหมล่ะมึง กูอวยพรล่วงหน้าให้ประตูหลังอยู่รอดปลอดภัยนะเพื่อน

“สามกับสองแดกเส้นทาโร่ปากต่อปาก”
กูอยากจะแหมให้ถึงดาวอังคารจังเลยเมื่อเห็นหน้าไอ้ไธบานอย่างกับกระด้ง ส่วนจิณณ์นี่รีบไปรื้อหาซองทาโร่จากถุงขนมทันที มึงอย่าแรดครับพี่ น้องเจ็ทรับไม่ได้เว้ย แล้วคืออะไรที่เหลือสี่กับแปดไว้รายการสุดท้ายอะ รู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆ ชอบกล

“สี่กับแปด... ดีพคิส จบ!”
จบบ้านเตี่ยมึงสิไอ้เอย คำสั่งห่าเหวอะไร มึงบอกให้กูไปตายง่ายกว่าไหม อีกคนนั่นพี่ทาวน์นะเว้ย คงได้ดีพดิ่งนรกอะ!

“เหี้ยเอย...”
ผมเรียกมันเสียงสั่น มึงอย่าเพิ่งลุกไปเด้าไอ้ตังค์สิวะ ลงโทษกูก่อน แต่ไอ้เอยยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองได้เลขอะไร

“ว่าไงน้องเจ็ท มึงได้เลขอะไร”
มันถามเหมือนจะรู้ว่าผมขอผ่านภารกิจนี้เพราะพี่ฟา ไอ้ฟาร์มและพี่แฮมกำลังถอดเสื้อออก ส่วนจิณณ์กับไอ้ไธแกะซองทาโร่รอพ่อไปตัดริบบิ้นแล้ว

“แปด”
ผมตอบเสียงแผ่ว คนข้างๆ ยังคงนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบรับทั้งที่เขารู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องดีพคิสกัน พี่ช่วยแสดงอาการอะไรสักอย่างได้ไหมวะ เงียบแบบนี้ใจคอไม่ดีเลย

“สี่ล่ะ อย่าบอกว่ากูนะ จะอ้วก”
ไอ้เอยทำหน้าขยะแขยงสุดตัว มึงช่วยดูหน้าไอ้ตังค์ด้วยมันจะขาดอากาศหายใจตายอยู่แล้วเพราะความเกร็ง มองคู่กรณีตาค้างแบบนั้นยังไม่รู้ตัวอีก โง่จริง!

“ฟาย! ไม่ใช่เว้ย”
ผมด่ามันเสียงดังลั่นเพราะรู้สึกขนลุกไม่ต่างกัน ถ้าต้องทำท่าเด้าไอ้เอยกูยอมโดนลงโทษเลยเอ้า

“แล้วใคร”
มันถามย้ำอีกครั้งด้วยความหวาดระแวง มองผมสลับกับไอ้ตังค์เป็นระยะ โธ่ พ่อคุณ ถ้ากูได้ดีพคิสกับน้องเนิร์ดนะ ไม่ยอมสละสิทธิ์หรอกเพราะยั่วโมโหไอ้เอยได้ดีนัก สะใจ แต่เพราะไม่ใช่ไงถึงเดือดร้อนอยู่เนี่ย!

“กูเอง”
พี่ทาวน์ชิงตอบเสียงเรียบก่อนจะชูกระดาษที่เขียนเลขสี่เพื่อยืนยันกับทุกคน ผมอยากจะร้องว่าเหี้ยมากเมื่อเห็นสายตากรุ้มกริ่มรอบวงมองมาทางนี้ อย่านะ อย่าพูดอะไรออกมานะเว้ย!

“ฮิ้ว ~ จูบเลยๆๆๆ”
ไอ้สัด! เพิ่งภาวนาในใจอยู่หยกๆ ว่าอย่าเชียร์ สนตีนจริงๆ เลย ให้ตาย

“เดี๋ยวๆๆ ไม่ กูจะขอบทลงโทษ”
ผมลนลานพูดแล้วโบกมือเป็นพัลวัน ทุกคนเงียบกริบเหมือนกำลังตกใจที่ไอ้โง่คนหนึ่งกำลังปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือ คืออยากจูบจะตายห่าแล้วแต่กลัวโดนฆ่าไงเว้ย อย่ามองกันด้วยสายตาหยามเหยียดแบบนั้นสิ ฮึก

“ห๊ะ...”
ใครมันร้องเสียงหลงมาวะ เดี๋ยวพ่อจับเชือกเลยนี่!

“ไม่ต้อง มานี่”
พี่ทาวน์กระตุกคอเสื้อของผมเข้าไปใกล้จนปลายจมูกของเราแตะกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนได้แต่กระพริบตาปริบๆ เพราะยังเบลอ

“เฮ้ย พะ พี่ทาวน์ ไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวผมรับบทลงโทษคนเดียวเอง”
ผมรีบผละออกแล้วละล่ำละลักพูดออกมา ไม่กล้าสบตาเขาเพราะหัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะ ลมหายใจอุ่นๆ แววตาหวานช่ำเมื่อครู่ กำลังทำให้สติของนายภาคินเตลิด

“แต่กูอยากทำ”
จบประโยคเอาแต่ใจผมก็ถูกจู่โจมด้วยรอมฝีปากเย็นชืด ดวงตาคมเบิกค้างเพราะตกใจอย่างรุนแรง แต่เมื่อตั้งสติได้ก็เคลิ้มตามอย่างง่ายดาย การจูบกลับเริ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิร่างกายเพิ่ม ดีพคิสจนหน้ามืด ตาลาย หูวิ้งหมดเลยกู ตอนผละออกจากกันไม่มีใครยอมมองหน้าใครเลยเถอะ โคตรอาย!

หลังจากที่เลิกเล่นเกมพวกเราก็นั่งดื่มกันต่อจนบางคนล้มพับคาวงเหล้า เหลือที่ประคองสติได้เพียงสี่คนเท่านั้น มีผม พี่ทาวน์ ไอ้ไธและจิณณ์ ก่อนจะมานั่งรับลมทะเลเพื่อรอเค้าท์ดาวน์นั่นก็ต้องช่วยกันลากซากศพไปเก็บในบ้าน เหนื่อยชะมัด แถมเจ็บข้อเท้าเพิ่มด้วย ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย

พี่ทาวน์ที่หายไปเข้าห้องน้ำกลับมาพร้อมอมยิ้มรสโคล่าสองอันในมือ ผมรับไว้หนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งเขากินซะเอง

“ทำไมถึงเลือกดีพคิสวะพี่”
อยู่ๆ ผมก็โผลงออกไปในขณะที่อีกคนกำลังพยายามแกะเปลือกอมยิ้ม เขาชะงักมือก่อนจะเงยมองหน้ากันแบบไม่สะทกสะท้าน พี่จะเขินบ้างไม่ได้หรือไง ส่วนนายภาคินเนี่ยฟินตัวจะแตกแล้วเว้ย

“ไม่เห็นจะเป็นไร ผู้ชายเหมือนกัน”
คำตอบของพี่ทาวน์โคตรแถ มันไม่ปกติหรือเปล่าที่ผู้ชายสองคนจะมานั่งจูบกันต่อหน้าเพื่อนนับสิบคน

“เป็นดิ ในเมื่อผมคิดไม่ซื่อกับพี่”
ผมบอกเสียงสั่นแล้วมองใบหน้าด้านข้างของเขาแบบไม่วางตา ตอนนี้อมยิ้มอะไรไม่อยู่ในความคิดแล้ว เพราะกำลังสับสนกับการกระทำไม่มีเหตุผลของพี่ทาวน์ กำลังสนุกเหรอหรือมีใจให้กันแล้ว ขอคำตอบหน่อยได้ไหม

“ช่างมันเถอะ”
เจอคำนี้เข้าไปทำให้ผมหุบปากฉับ ไม่กล้าเซ้าซี้ต่อจริงๆ

ผมกัดไม้อมยิ้มระบายความตึงเครียดจนรู้สึกว่ามันบี้แบน การที่เราทั้งคู่เอาแต่เงียบทำให้อะไรๆ ก็ดูอึดอัดไปซะหมด มีหลายครั้งที่เราต่างคนต่างหันมาสบตากันแต่ไม่มีใครพูดอะไร เหตุการณ์แบบนี่ไม่ดีเลยว่าไหม ค้างคาชะมัด

“อีกห้านาทีจะเข้าปีใหม่แล้ว วางแพลนอะไรไว้บ้าง”
อยู่ๆ พี่ทาวน์ก็ถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ดวงตารีจับจ้องฝืนฟ้าสีนิล ผมมองเขาอีกต่อด้วยความรู้สึกที่มากล้น

“ผมเหรอ... คงตั้งใจจีบพี่ให้ติดล่ะมั้ง”
ผมตอบเสียงกลั้วหัวเราะ แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมคิดออกจริงๆ เพราะปกติแล้วชีวิตไม่เคยมีแบบแผนมาก่อน

“เอาดีๆ”
พี่ทาวน์หันมาส่งสายตาดุๆ จนผมต้องเม้มปากเพื่อหยุดหัวเราะ ช่วยตลกสักนิดไม่ได้เหรอ พวกเรียนหมอนี่จริงจังทุกคนหรือเปล่านะ

“ก็... ไม่รู้ดิ ผมไม่เคยวางแพลนในชีวิตมาก่อน อยากทำอะไรก็ทำเลยมากกว่า แล้วพี่ล่ะ”
ผมตอบไปตามความจริงแล้วถามเขากลับ พี่ทาวน์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาสบตาแล้วตอบสิ่งวางแพลนสำหรับปีหน้าเอาไว้

“ปรับนิสัยแย่ๆ ของตัวเอง”
ตอบโดยไม่ละสายตาแถมยังรู้สึกเหมือนว่าใบหน้าของพี่ทาวน์ขยับเข้ามาใกล้ ผมคงเมาแล้วล่ะ กะระยะไม่ค่อยถูก

“หือ... ยังไงครับ”
ผมเป็นฝ่ายหลบตาเขาซะเอง พยายามสะบัดไล่ความมึนออกจากหัว แต่กลับพบว่าสติยังครบถ้วน เมื่อครู่พี่ทาวน์ขยับเข้ามาใกล้จริงๆ เหรอวะ

“เดี๋ยวก็รู้เอง”
เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนความเงียบจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราอีกครั้ง เสียงเข็มนาฬิกาดังติ๊กๆ ชวนปวดประสาทเหลือเกิน ความคิดมากมายกำลังทำให้ผมเป็นบ้า สับสนเรื่องพี่ทาวน์ หาข้อสรุปให้ตัวเองไม่ได้ว่าตอนนี้อะไรเป็นยังไง ควรก้าวต่อหรือพอสักที เขามีใจหรือไม่รู่สึกอะไรทั้งนั้น โอย ปวดหัวเว้ย ช่างแม่งเถอะ ไม่ว่าจะต้องจีบอีกสักกี่ปี นายภาคินคนนี้ไม่ขอยอมแพ้หรอก

ผมเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลของตัวเองแล้วหันไปบอกพี่ทาวน์ทันที อีกไม่นานจะเข้าสู่ปีใหม่แล้ว

“มานับถอยหลังกัน ห้า”
ผมนับในขณะที่พี่ทาวน์หันมาสบตา

“อืม สี่”
เขานับต่อด้วยรอยยิ้มบาง

“สาม”
ใจผมเริ่มสั่น

“สอง”
พี่ทาวน์เม้มปาก

“หนึ่ง”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวคำสวัสดีปีใหม่ ส่วนพี่ทาวน์หลับตาลงและพูดอะไรบางอย่างออกมาพร้อมกัน

“สวัสดีปีใหม่ครับ / กูชอบมึง”

อะไรนะ เสียงพลุโคตรดังเหมือนหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ในอกของผมเลย พี่ทาวน์ครับ ช่วยทำ CPR ให้หน่อยได้ไหม ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะขาดอากาศตายอยู่แล้ว...




----------------------------------------------

คนอ่านหัวใจวายตามเจ็ทไปหรือยังฮะ...
พี่ทาวน์เขาเลิกปากแข็งแล้วนะเออ ><

ตอนต่อไปยิ่งกว่านี้อีก... มั้ง!
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 22 - P.3 (02/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: KS.F ที่ 02-11-2017 10:45:40
 :-[
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 22 - P.3 (02/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 02-11-2017 13:07:29
 :-[
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 22 - P.3 (02/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 02-11-2017 13:42:18
เจ็ทนี่เหมาะเป็นเคะมากกว่านะ 5555 :hao6:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 23 - P.3 (06/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 06-11-2017 08:26:18
แข่งครั้งที่ 23



ตอนนี้หูทั้งสองข้างกำลังอื้ออึงไปหมด ไม่ได้ยินเสียงคลื่นทะเลหรือแม้แต่เสียงจุดพลุฉลองเข้าปีใหม่เลยสักนิด ผมกำลังมึนงงกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของพี่ทาวน์เมื่อครึ่งนาทีที่แล้ว

‘กูชอบมึง’

ผมนิ่งเงียบแล้วก้มมองเข่าที่กอดกระชับเอาไว้ด้วยความตกใจปนตื่นเต้น ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายกำลังเต้นตุบๆ อย่างน่ากลัว มือสั่นเหมือนคนลงแดงขาดยามาหลายอาทิตย์ เมื่อครู่หูฝาดไหม หรือว่าเบลอเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เลยได้ยินสิ่งที่ได้ปรารถนา

“ตายยังมึง”
เสียงจากพี่ทาวน์ทำให้ผมสะดุ้งเฮือก แขนขาเปลี้ยไปหมด คนกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อถามให้แน่ใจอีกครั้งว่าเขาพูดอะไรเมื่อครู่ แต่ตอนนี้สติกระเจิงหนีลงทะเลหมดแล้ว ครั้นจะพยุงตัวลุกขึ้นก็พลาดเซล้มคลุกทราย แม่ง หน้าอายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

พี่ทาวน์เข้ามาช่วยประคองก่อนปัดเศษทรายที่เปื้อนตามข้อศอกและเสื้อผ้าให้ ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบเดียวเท่านั้น หัวใจเต้นแรงจนต้องเลื่อนมือขึ้นขยำเสื้อ ผมจะตายแล้วแน่ๆ ยิ่งได้มองในระยะประชิดแบบนี้ยิ่งปอดแหก ต้องทำอะไรก่อนดีวะ สับสนไปหมดแล้ว

“เจ็บหน้าอกหรือไง”
พี่ทาวน์ชะงักมือเมื่อเห็นว่าผมขยำเสื้อตัวเองไว้แน่น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงเสียงคลื่นเท่านั้นที่ดังแทรกระหว่างเราสองคน นายภาคินกำลังจะหมดลมหายใจ ใครก็ได้ช่วยทำ CPR ให้ที

“ปะ เปล่าครับ”
ผมตอบตะกุกตะกักแล้วผละตัวออกห่างจากพี่ทาวน์เพื่อสูดลมหายใจ หลับตาทำสมาธิอยู่เกือบนาที ไม่รู้ว่าอีกคนทำหน้าแบบไหน สงสัยการกระทำบ้าๆ หรือเปล่า แต่ตอนนี้นายภาคินรวบรวมความกล้าได้แล้วเว้ย ฮึบ จะถามแล้วนะ!

“เป็นบ้าอะ...”

“เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรเหรอครับ”
ผมพูดแทรกขึ้นเมื่อพี่ทาวน์กำลังถามอะไรบางอย่าง ดวงตาคมจ้องใบหน้าหล่ออีกฝ่ายด้วยความสั่นไหวในหัวใจ กลัวตัวเองจะหูฝาดว่ะ

“ตอนไหน”
เขาถามเสียงเรียบก่อนจะเบนหน้ามองทะเลยามค่ำคืน สายลมเอื่อยๆ ทำให้บรรยากาศระหว่างเราไม่อึดอัดสักเท่าไหร่ แต่ผมจะตายอยู่แล้ว เพราะรู้สึกตื่นเต้น ลุ้นระทึก วิตกกังวล กลัวสารพัดไปหมด เหมือนคนใกล้บ้าเข้าไปทุกที ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย

“หลัง คะ เค้าท์ดาวน์”
อยู่ๆ ผมก็เสียงสั่นขึ้นมา ความกล้าเริ่มกระจัดกระจาย หรือไม่ควรถามดีวะ จะย้อนเวลากลับก็ไม่ได้ ต้องทำไงวะ เกาหัวจนแสบหมดแล้วเนี่ย มัวแต่วุ่นวายกับตัวเองโดยไม่ได้สนเลยว่าอีกคนทำหน้าแบบไหน

“หูตึงเหรอ”
คำพูดเรียบๆ ทำให้ผมสะอึก ความมั่นใจในสิ่งที่ได้ยินเพิ่มขึ้น แทบจะเก็บอาการดีใจไม่อยู่ อยากพุ่งเข้าไปกอดพี่ทาวน์ที่เขาเลิกปากแข็ง แต่ขอฟอร์มจัดนิดนึง อยากแกล้ง...

“ไม่ดิครับ แต่ตอนนั้นพี่พูดพร้อมผมแล้วไหนจะเสียงพลุ เสียงคลื่นทะเลอีก”
ผมยกปัญหาสารพัดในการได้ยินขึ้นมาอ้างด้วยใบหน้าเหยเกทั้งที่ข้างในแทบจะแหกปากตะโกนร้องด้วยความดีใจ ในที่สุดความพยายามตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาก็สำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ลึกๆ กลับมีความกลัวว่าเขาก็แค่อำเล่นเพื่อความสนุกสนาน โอย สับสนฉิบหาย

“ของดีมีครั้งเดียว”
พี่ทาวน์เหลือบตามองแค่ครู่เดียวแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีดาวระยิบระยับ ถ้าดูไม่ผิดรู้สึกว่าแก้มขาวๆ นั้นจะซับสีแดงขึ้น ผมสามารถมั่นใจได้แล้วใช่ไหมว่าเขาชอบกันจริงๆ ไม่ได้หลอกให้ดีใจเล่น

“พี่ทาวน์คนหล่อ อย่าใจร้ายกับน้องสิครับ”
ผมพูดเสียงอ้อนแต่แทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะมันสั่นแม้กระทั่งริมฝีปาก มือเรียวถูกยกขึ้นขยำหน้าอกซ้ายอีกครั้ง ดวงตาคมก็คอยเหลือบมองพี่ทาวน์เป็นระยะ เขาคลี่ยิ้มทะเล้นใส่ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแทงใจดำ

“อยากเป็นน้องกูเหรอ”
เขาถามเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นแล้วแกล้งปักทรายใส่หน้ากัน ผมยกมือขึ้นบังหน้าตาก่อนจะโวยวายเสียงดังด้วยความตกใจ ใครเขาอยากเป็นน้องพี่กันล่ะวะ จีบขนาดนี้ต้องเป็นผัว ไม่สิ แค่แฟนก่อนเถอะ

“เฮ้ย ไม่ใช่สิพี่ อยากเป็นแฟนครับ!”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเพราะยังเจ็บเท้า พี่ทาวน์ไม่มีท่าทีจะเข้ามาช่วยสักนิด แต่ไม่เป็นไร เขาคงเขินประโยคเมื่อครู่แน่ๆ ก็เล่นเบือนหน้าหนีขนาดนั้น

“กล้าพูด”
พี่ทาวน์พึมพำแล้วขยับตัวออกห่าง ผมที่เพิ่งทรงตัวยืนได้ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อสายตาปะทะเข้ากับรอยยิ้มหวานๆ แถมใบหูของเขายังมีสีแดงจนน่ากลัว

เขายิ้มให้ทะเลนะ ไม่ใช่ผมหรอก

“ก็อยากเป็นจริงๆ นี่ครับ พี่ทาวน์บอกผมหน่อยสิครับ น้า นะๆ”
เห็นท่าทางแบบนั้นก็ไม่ต้องการคำตอบอะไรอีก แต่อยากแกล้งให้พี่ทาวน์เขินมากขึ้น เพราะปกติเห็นทำหน้าขรึมๆ เครียดๆ พอเป็นแบบนี้มันโคตรน่ารักเลย ถ้าไม่กลัวว่าจะโดนถีบคงกระโดดกอดให้หนำใจ ดีใจสุดๆ เลยเว้ย ผมยื่นหน้าเข้าไปก่อนแล้วกระพริบตาปริบๆ เพื่ออ้อน

“มึงเป็นหมาหรือคน อ้อนได้อ้อนดี”
พี่ทาวน์เบ้ปากใส่ก่อนจะใช้มือผลักหัวกันเต็มแรง ผมไม่ทันตั้งตัวเลยเซจนแทบล้ม ซี๊ดปากไปหลายรอบ แต่ดีหน่อยที่คนกระทำยังมีน้ำใจเข้ามาประคอง มันเป็นจังหวะดีที่เผลอสูดลมหายใจเข้าปอดเลยได้รู้ว่าตัวคนข้างๆ โคตรหอม จมูกบานแล้วมั้งกู โอย อยากกดริมฝีปากลงบนต้นคอนั่นสักครั้ง ประทับรอยจองไว้ก่อนได้หรือเปล่านะ

“ยอมเป็นหมาก็ได้ถ้าพี่เห็นว่าดี”
ผมบอกเสียงหวานก่อนจะโน้มหน้าลงสูดกลิ่นหอมจากเขาอีกครั้ง แต่คงลืมตัวไปหน่อยเลยทำให้พี่ทาวน์จับได้เลยหันมาแสยะยิ้มก่อนจะผละตัวออกห่าง ต่อยเข้าที่ต้นแขนแบบเต็มรัก เจ็บเว้ย แต่ก็ยอม ฟินไปยันชาติ

“หึ จะไปนอนแล้ว ง่วง”
พี่ทาวน์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะใส่รองเท้าเพื่อกลับเข้าบ้านพักแต่ผมเอื้อมมือรั้งชายเสื้อเอาไว้ซะก่อน ยังแกล้งไม่เต็มอิ่มเลย อย่าเพิ่งหนีสิ

“เดี๋ยวดิครับ ยังไม่บอกผมเลย”
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วแกล้งก้มหน้าก้มตามองพื้นทั้งที่เม้มปากกลั้นยิ้มจนรู้สึกระบมไปหมด อยู่ๆ ก็เกิดเดตแอร์ ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจหนัก หลังจากนี้นายภาคินคงโดนด่าแน่ๆ เล่นมากเกินไป ห่าเอ้ย สำนึกตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว

“มึงจะเซ้าซี้อะไรจากคนปากแข็งอย่างกู”
นั่นไง โดนมาดอกนึงเต็มๆ พร้อมกับที่เขาดึงมือผมออกจากชายเสื้อแถมยังบีบมันซะแน่น พิศวาสหรือพิโรธว่ะ แต่อย่างหลังมีแนวโน้มมากกว่า ตายคาตีนแน่ๆ

“ก็...”
พูดไม่ออก ไม่กล้าเล่นต่อเลยกู มองเท้าเขาสลับกับเท้าตัวเองเหมือนของล้ำค่า เวลานี้ถ้าเผลอสบตากันอาจจะช็อกตายได้

“หึ กูรู้ว่ามึงได้ยิน”
ลามมาจับข้อมือกันแล้วเฮ้ย ผมควรทำยังไงต่อดีวะ สะบัดหนีหรือบีบนม เอ้ย หรือสู้ต่อดี

“ก็... อยากฟังให้ชัดๆ อีกที กลัวหูเพี้ยนอะ”
ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม ไม่กล้าทำเสียงทะเล้นแนวหยอกล้ออีกแล้ว รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างกายอีกคน อากาศจะเย็นลงหาพระแสงอะไรเนี่ย ไข่หดหมดแล้ว ฮือ

“ถามมากระวังกูเปลี่ยนใจนะ”
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วคลายการเกาะกุมออก เปลี่ยนเป็นเดินช้าๆ กลับเข้าที่พักโดยไม่สนใจเลยว่าผมจะทำหน้าตาเหมือนคนจมน้ำตาย ปากอ้าพะงาบๆ แถมยังต้องลากสังขารเดี้ยยงๆ เพื่อไล่ตามอีก

“เฮ้ย ชอบแล้วชอบเลยดิพี่ ห้ามเปลี่ยน!”
ผมตะโกนลั่นเมื่อไม่สามารถเดิมตามอีกคนได้ทันก่อนจะหอบแฮ่กเพราะเสียการทรงตัวแต่คว้ารางบันไดหน้าบ้านพักได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงช้ำไปทั้งตัวแน่ๆ โคตรรำคาญตัวเองเลยแม่ง ทำอะไรก็ไม่สะดวก

“สั่งจังวะ เป็นเมียหรือไง”
พี่ทาวน์ขมวดคิ้วฉับแล้วตวัดสายตามองคล้ายกับไม่พอใจ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วดึงแก้มกันแรงๆ

“เป็นผัวครับ”
ผมใกล้กล้าตอบกลับไปก่อนจะโดนตบหัวอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มที่เพิ่งคลี่ออกยกค้างทันที โอย เจ็บฉิบหาย พี่ทาวน์โคตรมือหนัก!

“อยากตายก่อนแก่สินะมึง”
พี่ทาวน์ถามเสียงรอดไรฟันก่อนจะง้างมือเพื่อตบหัวอีกสักที แต่ผมหลับตาปี๋งอตัวอย่างกับกุ้ง คิดว่าเจ็บแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเสียงหัวเราะ เขากำลังเอาคืนใช่ไหม

“โธ่ ผมแค่ล้อเล่นเอง”
ผมเปิดตาแค่ข้างเดียวเพื่อดูสถานการณ์ตรงหน้า พี่ทาวน์ส่ายหัวคล้ายกับปลงก่อนจะคลี่ยิ้มสบายๆ ออกมา นายภาคินรอดตายแล้ว

“หึ”

“โคตรดีใจเลยที่พี่ชอบผมแล้ว”
ผมยืดตัวขึ้นแล้วบอกเขาด้วยน้ำเสียงสดใส ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างแห่งความดีใจ ยิ่งได้มองอีกคนในระยะประชิดหัวใจก็ยิ่งเต้นแรง ความรู้สึกตรงกันมันดีแบบนี้นี่เอง

“กรี๊ดเลยไหมล่ะ”
แทนที่เขาจะเขินอายกลับกลายเป็นว่ายืนกอดอกแล้วยักคิ้วกวน อยากเอื้อมมือไปบีบแก้มเพราะมั่นเขี้ยวเขาเหลือเกินแต่ต้องหักห้ามใจเมื่อตัวเองไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้ถ้าโดนเอาคืน รอให้หายดีก่อนเถอะ จะลากพี่ทาวน์มากระทำชำเราให้เข็ด

“อยากตะโกนดังๆ เลยว่าพี่ทาวน์ชอบผมแล้ว!”
เอาคืนด้วยการป้องปากตะโกนให้สายลม ทะเล ท้องฟ้า ดวงดาว และอื่นๆ อีกมากมายในที่นี่ได้รับรู้ถึงความสำเร็จด้านความรักของตัวเอง ภูมิใจที่สามารถเอาชนะทุกกฎเกณฑ์ของพี่ทาวน์ได้ ถึงแม้ว่ามันจะยังเพิ่งแค่เริ่มต้น ผมกางแขนออกแล้วยิ้มอย่างมีความสุขแต่กลับโดนอีกคนฟาดเข้าให้ที่สีข้างจนต้องเบ้ปาก ยกมือขึ้นลูบป้อยๆ เอวจะหักหรือเปล่าวะ

“ชู่ เดี๋ยวขวดเบียร์ก็ลอยมาหรอก”
พี่ทาวน์ใช่นิ้วชี้จรดริมฝีปากของผมเพื่อเตือนให้เงียบ แต่แทนที่จะสำนึก นายภาคินกลับคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม ถ้าแอบจุ๊บเบาๆ จะโดนต่อยไหมวะ

“เป็นห่วงเหรอครับ”
ผมขยับปากพูดเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาผละนิ้วออก แอบเสียดายอยู่นิดหน่อยที่ไม่ได้แกล้งจุ๊บ แต่ไม่เป็นไร ได้เห็นพี่ทาวน์เบนหน้าหนีก็คุ้มแล้ว ใครว่าคนเย็นชาเขินไม่เป็น ไอ้เจ็ทขอเถียงหัวชนฝาเลย

“หึ กูสงสารตัวเองมากกว่าที่ต้องมาคอยทำแผลให้มึง”
พี่ทาวน์เดินหนีไปจนถึงประตูหน้าบ้านพักโดยที่ผมได้แต่มองตามตาปริบๆ เอาจริงดิ ไม่เป็นห่วงกันสักนิดเลยเหรอ หรือจริงๆ แล้วโรคปากแข็งมันกำเริบ

“น้อยใจอะ ไม่สำคัญพอ”
ผมบ่นเสียงกระเง้ากระงอดก่อนจะยันราวบันไดเพื่อพยุงตัวเดินตามอีกคน จังหวะที่เงยหน้าขึ้นก็พบกับพี่ทาวน์ที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตู สายตาที่มองมาบ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อสิ่งที่นายภาคินพูดเลยสักนิด โธ่ อุตส่าห์แกล้งดราม่าอยากให้เขาปลอบ

“ตอแหลได้อีก”
โอ้โห เกือบสำลักลมหายใจตายอยู่ตีนบันไดแล้วเนี่ย ไม่รู้ทันสักวันได้ไหมเล่าพี่ทาวน์ แบบนี้อนาคตอยู่สมาคมเกียมัวแน่ๆ เลยกู

ผมนั่งแกว่งเท้าอยู่บนเตียงอย่างสบายใจ ตอนนี้ไม่มีความง่วงเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะอยากมองหน้าคนที่เพิ่งสารภาพความรู้สึกไปจนถึงตอนเช้า กลัวว่าถ้านอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาจะพบว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน ในตอนนี้พี่ทาวน์กำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอยู่ไม่ไกล เนื่องจากว่าพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเปิดเทอมในภาคเรียนใหม่

ทุกการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของผมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะพับผ้า เก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า มันดูเป็นธรรมชาติจนเผลออมยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ จะมีใครสักกี่คนได้สัมผัสเดือนมหา’ลัยในมุมแบบนี้บ้างนะ

“นี่...”
อยู่ๆ ผมก็ออกปากเรียกคนที่กำลังหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบ่า เขาหันเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“อะไร”

“เป็นแฟนกันไหมครับ”
ไม่รู้ว่าเอาความกล้าจากที่ไหนถามออกไปแบบนั้น แต่ส่วนลึกของหัวใจสั่งให้ทำแบบนี้ หัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้งเพราะมันกำลังตื่นเต้นและคาดหวังรอคำตอบ พี่ทาวน์ชะงักกึกก่อนจะหันหลังกลับเพื่อหยิบชุดนอน

“รีบเหรอ”
เขาไม่ตอบแต่กลับถามแทนด้วยน้ำเสียงเรียบไม่สามารถเดาอารมณ์ได้ ผมอยากเห็นหน้าเขาแต่ไม่สามารถลุกออกไปจากตรงนี้ ในเมื่อข้อเท้าบวมมากกว่าเดิมและพี่ทาวน์เพิ่งจัดการใส่ยาให้หมาดๆ ขืนเดินแล้วลื่นล้มคงโดนกระทืบซ้ำแน่ๆ

“ก็ใจเราตรงกันแล้วนี่นา”

“ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม มึงเคยได้ยินไหม”
สุภาษิตก็มาวะ แต่ผมตกภาษาไทยอะ บอกว่าไม่เคยได้ยินจะโดนด่าไหม รอนานๆ มันกลัวว่าพี่ทาวน์จะเปลี่ยนใจนี่สิ

“ผมไม่อยากได้พร้านี่”

“.....”

“แต่ผมอยากได้พี่อะ”

“ไปไกลๆ ตีนกูเลย”
พี่ทาวน์ถึงกับหันมาแยกเขี้ยวแล้วโยนผ้าขนหนูมาใส่กัน แต่อย่าคิดว่าผมหลบทันอย่างพระเอกในละครเพราะตอนนี้มันคลุมหัวอยู่จนมองไม่เห็นอะไรเลย แม่ง นักกีฬาบาสฯ แม่นจริงๆ

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวมันจะไกลหัวใจพี่ไปด้วย”
ผมยังไม่ยอมแพ้เลยหยอดพี่ทาวน์ไปอีกหนึ่งดอกด้วยความคึก จริงๆ แล้วเขาจะให้รอนานแค่ไหนก็ได้ ถึงแอบกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ลึกๆ ก็เชื่อมั่นว่าตัวเองมีดีพอที่จะครอบครองหัวใจใครสักคน

“ไอ้เจ็ท...”
เสียงตึงๆ ของพี่ทาวน์ทำให้ผมต้องรีบดึงผ้าขนหนูออกแล้วโผล่แค่ลูกกะตา ใบหน้าหล่อนั่นเข้าใกล้กันมากกว่าเดิม จนเขาสามารถฟาดมือมาตบกันได้สบายๆ

“.....”
ผมนั่งกระพริบตาปริบๆ ไม่กล้าพูดอะไรเพราะรอดูว่าพี่ทาวน์จะทำอะไรต่อ เขานิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเป็นฝ่ายผละออกไปหย่อนตัวนั่งที่ปลายเตียงแล้วกระชากผ้าขนหนูกลับคืน อ่า... ยังไม่ได้สูดกลิ่นมันเลยนะเว้ย จะรีบเอาคืนไปไหนเนี่ย เสียดายว่ะ

“อยากเดี้ยงไปตลอดชีวิตไหม”
ถามด้วยรอยยิ้มเย็นก่อนจะเคลื่อนตัวมาคร่อมกันให้หวั่นใจเล่น ผมนอนราบไปบนเตียงเพราะสถานการณ์บังคับ นึกว่าคืนนี่ยังไงก็มีใครเสร็จใครแน่ๆ แต่เปล่าเลย แทบจะอุทานว่าไอ้เหี้ยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือพี่ทาวน์

“เฮ้ย อย่าเล่นโคมไฟ ไม่น่ารักนะครับพี่ทาวน์”
ผมร้องเสียงหลงเมื่อสายตาปะทะเข้ากับโคมไฟเซรามิค ดวงตาคมเบิกกว้างก่อนจะพยายามแตะมือให้พี่ทาวน์วางมันลงที่เดิม ยังไม่อยากเลือดอาบตอนนี้ เท่าที่เป็นอยู่ก็สมเพชตัวเองมากพออยู่แล้ว

“กูไม่น่ารักอยู่แล้ว”
พี่ทาวน์พูดเสียงแข็งก่อนจะกระแทกโคมไฟลงบนหัวจริงๆ แต่มันไม่ได้แรงจนเลือดไหล ก็แค่เจ็บจี๊ดๆ เหมือนมดกัด ทว่าใจฝ่อเหลือเท่าเมล็ดถั่วเขียวซะแล้ว โอย น่ากลัวว่ะ ถ้าเขาเรียนยิงปืนผมคงกลายเป็นเป้าแน่ๆ

“แค่ล้อเล่นเอง พี่ชอบผมจริงปะเนี่ย”
ท้ายประโยคเสียงเบาแทบกระซิบแต่ด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งฟุตทำให้พี่ทาวน์ได้ยินอย่างชัดเจน ผมหลบตาเมื่อลมหายใจอุ่นปะทะลงบนแก้ม นั่นหมายถึงเขาขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม นี่จะแกล้งให้หัวใจวายตายเลยใช่ไหมถึงจะพอใจ ถ้านายภาคินไม่กากและเจ็บตัวแบบนี้นายเมืองเหนือได้ลงไปนอนครางบนเตียงตั้งนานแล้วเถอะ

“จะเลิกชอบมึงเดี๋ยวนี้ล่ะ”
พี่ทาวน์เคาะข้อนิ้วลงบนหน้าผากก่อนจะผละตัวออกไปยืนตีหน้ายักษ์อยู่ข้างเตียง ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะสถานการณ์กระอักกระอวนผ่านไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ความกังวล ขู่ว่าจะเลิกชอบแบบนี้ไม่ตลกนะพี่ นายภาคินอ่อนไหว!

“ไม่เอาดิ อย่านะพี่ทาวน์ ผมร้องไห้จริงๆ ด้วย”
ผมขยับตัวขึ้นพิงหัวเตียงแล้วช้อนตามองเขาด้วยใบหน้าอ้อนวอน มือทั้งสองข้างคว้าชายเสื้อพี่ทาวน์แล้วขยำไว้แน่น เกิดมาจะยี่สิบปีไม่เคยทำตัวปัญญาอ่อนแบบนี้มาก่อน แต่เพื่อความรักแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้

“งอแงเป็นผู้หญิงเลยนะมึง”
พี่ทาวน์ขำตบท้ายก่อนจะยกมือขึ้นมาโยกหัวผมไปมา มันดูอ่อนโยนจนผมเผลอขยับตัวเข้าไปซบที่หน้าท้อง อืม... แข็งฉิบหาย ใต้เสื้อเชิ้ตจะมีหุ่นแบบไหนซ่อนอยู่นะ อยากกระชากจริงๆ ให้ตาย

“ความรักมักทำให้คนเราอ่อนไหว พี่ไม่เคยได้ยินเหรอวะ”
ผมพึมพำเสียงอู้อี้เพราะยังไม่ละใบหน้าไปไหน ก็พี่ทาวน์ไม่ผลักออกนี่หว่า ขอหากำไรให้กับตัวเองสักหน่อยเถอะ ถึงจะได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังอยู่ไม่ไกล แต่นายภาคินหน้าด้านพอ โอย คนบ้าอะไร กลิ่นตัวโคตรหอม

“หึ กูอยากถีบมึงจริงๆ”
หลังจากคำนั้นดังผ่านหู ผมแทบจะตีลังกาหนีไปที่เตียงอีกฝั่งทันที ถ้าแค่พูดคงไม่กลัวขนาดนี้ แต่นี่ตีนกระตุกยิกๆ แล้วครับ ถอยดีกว่า

พี่ทาวน์สะบัดก้นหนีเข้าห้องน้ำไปแล้ว ปล่อยให้ผมกลิ้งอยู่บนเตียงด้วยความร่าเริง ถึงจะง่วงมากแค่ไหนก็ยังหยิบโทรศัพท์มากดเล่นเกมเพื่อฆ่าเวลารออีกคน นี่เป็นครั้งแรกที่นายภาคินมีสติครบถ้วน การได้นอนมองหน้าคนที่เราชอบคงมีความสุขพิลึก ถ้าเมาเป็นหมาอีกคงพลาดโอกาสดีๆ

“ยังไม่นอนอีก”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมสะดุ้งเพราะกำลังเล่นเกมผีๆ อยู่ เมื่อสายตาละออกจากหน้าจอโทรศัพท์กระชับต้องอ้าปากค้างเมื่อสภาพพี่ทาวน์ช่างเซ็กซี่ขยี้ใจเหลือเกิน เสื้อกล้ามสีดำขนาดพอดีตัวกับกางเกงสะดอ (พี่ทาวน์เรียกแบบนี้เพราะเป็นคนภาคเหนือ) แขนขาวโคตรน่ากัด กำเดาจะไหลเว้ย

“รอพี่ทาวน์ไงครับ”
ผมบอกแล้วฉีกยิ้มกว้างให้คนที่ยืนเช็ดผมอยู่ใกล้เตียง เขาขมวดคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ

“เพื่อ”
ถามแล้วชะงักมือ เขาจะรู้ไหมว่าตอนนี้ตัวเองน่าฟัดมากแค่ไหน เส้นผมเปียกๆ นั่น โอย นายภาคินขอเมาแล้วปล้ำเลยได้ไหมวะ การอดทนมันทรมานเหลือเกิน

“รอนอนพร้อมกัน”

“ขนลุก”

“โธ่ พี่ไม่มีความโรแมนติกเลย”
หมดอารมณ์ เลิกๆ ผมผิดเองที่พูดอะไรชวนอ้วก ฮือ

“กูก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก มึงน่าจะรู้ดี”
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนั่งเช็ดผมที่ปลายเตียง ผมเห็นแบบนั้นแล้วรู้สึกอยากเข้าไปจู่โจมด้านหลังจัง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ก็ชวนหลงใหลเหลือเกิน

ผมพยุงตัวลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะโน้มตัวกระซิบคำหวานข้างหู ไม่ได้แกล้งเพื่อให้เขิน แต่มันกลั่นกรองมาจากจิตใจส่วนลึก

“รู้ครับ แต่ก็รักนะ”
ผมรักเขาจริงๆ ครับ ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหนเหมือนกัน

“อะไรนะ”
พี่ทาวน์ถามเสียงหลงแถมยังหันมาขมวดคิ้วใส่กันอีก แต่อะไรก็ไม่สะดุดตาเท่าแก้มขาวที่เริ่มซับสีแดงระเรื่อ โคตรน่ารักเลย

“ผมรักพี่ทาวน์ครับ”
ผมย้ำอีกครั้งก่อนจะอ้าแขนเพื่อสวมกอดเขาจากด้านหลังแต่กลับวืดหน้าคะมำลงบนเตียงเพราะพี่ทาวน์ลุกขึ้นไปแล้ว แม่ง หน้าแหกหมอไม่รับเย็บเลยกู อายเว้ย

“กูไปเป่าผมล่ะ มึงนอนได้แล้ว”
เขาบอกเสียงนิ่งโดนไม่หันกลับมามองสภาพน่าอนาถของผมเลยสักนิด แต่ดีแล้วที่เป็นแบบนั้น เพราะไม่อยากหาข้อแก้ตัวในการเอาหน้าลงไปไถกับที่นอน

“ให้ผมช่วยไหม”
ก็ยังมีกะจิตกะใจไปยั่วโมโหเขาเนอะไอ้เจ็ท

“นอนไปเถอะไอ้เดี้ยง!”
จ้า นอนก็ได้จ้า ~

หน้าที่ขับรถกลับกรุงเทพเป็นของพี่ทาวน์ไปโดยปริยายและมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนคือไอ้ฟาร์มที่ตามมาวอแวพี่ฟาไม่เลิก แต่เจ้าตัวเขาดูจะมีความสุขมาก ส่วนไอ้ตังค์โดนสามีลากไปอีกคันจนได้ สงสารมันนะ แต่ไอ้การที่หน้าแดงใส่คู่กรณีเป็นอาการของคนมีใจชัดๆ หึ ปล่อยแม่งไปเถอะ คิดถึงรอยดูดที่ต้นคอนั่นแล้วรู้สึกตัวเองแพ้ไอ้เอยว่ะ หงุดหงิด!

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว เพราะกว่าจะออกจากที่พักก็เย็นย่ำเพราะอยากแวะตลาดนัดตอนค่ำระหว่างกลับ พี่ทาวน์ทยอยส่งทุกคนที่บ้านจนครบ ทำให้เวลานี้เหลือแค่เราสองต่อสองอยู่ด้วยกัน และขณะนี้รถได้จอดนิ่งสนิทอยู่หน้าคอนโดของผมแล้ว ยังไม่อยากลงเลย

“เจ็ท...”
ในขณะที่ผมกำลังตัดใจแล้วง้างที่เปิดประตูออกกลับได้ยินเสียงเรียกชื่อจากข้างตัว

“ครับผม”
ผมขานรับด้วยน้ำเสียงหงอยเพราะคิดว่าอีกคนคงไล่ให้ลงจากรถไปเร็วๆ

“กูค้างด้วยได้ไหม”

“ห๊ะ พี่ทาวน์ถามว่าอะไรนะครับ”
ผมคิดว่าช่วงนี้ตัวเองหูฝาดโคตรบ่อยเลยว่ะเอาจริง เมื่อครู่พี่ทาวน์ถามว่าอะไรนะ

“ค้างด้วยได้ไหม พรุ่งนี้มีประชุมงานโอเพ่นเฮ้าส์แต่เช้า ขี้เกียจตื่นเร็ว”
คราวนี้ชัดเจนได้ยินทั้งสองรูหู ผมเบิกตาค้างเพราะกำลังดีใจแบบสุดเหวี่ยงจนพี่ทาวน์ถึงกับเบนหน้าหนีไปทางอื่น อย่าทำแบบนี้สิ ไม่รู้หรือไงว่าอยากพุ่งเข้าไปกระทำชำเรามากแค่ไหน โอย หัวใจจะพัง

“ดะ ได้ครับ!”
รีบตอบกลับจนโดนค้อนวงใหญ่เลยกู แฮ่


“จิณณ์ อยู่ปะวะ วันนี้พี่ทาวน์จะมาค้างด้วยนะเว้ย”
ผมตะโกนบอกฝาแฝดที่คิดว่าน่าจะกลับมาถึงคอนโดได้สักพักแล้ว แต่ไอ้สภาพห้องที่ปิดไฟมืด ไม่มีเสียงตอบรับแบบนี้มันน่าสงสัยชอบกล หลับไปแล้วหรือยังไง

“พี่ทาวน์นั่งก่อนนะครับ หรือว่าหิวก็เปิดตู้เย็นในครัวได้เลยนะ”
ผมหันไปบอกคนที่เดินตามหลังมาแล้วพยักพเยิดให้เขานั่งที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น ดวงตาคมสอดส่ายไปตามมุมต่างๆ แต่กลับไม่เจอจิณณ์ หรือยังไม่กลับ

“อืม โอเค”
พี่ทาวน์ตอบรับแล้วนั่งรอที่โซฟา ผมคลี่ยิ้มให้ทีหนึ่งก่อนจะผละออกมาหาจิณณ์อีกรอบ ในห้องนอนไม่มี ห้องน้ำไม่มี ระเบียบไม่มี หายไปไหนของมันวะเนี่ย

ผมล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงมากดต่อสายถึงพี่ชายสุดที่รัก รอไม่นานนักก็มีเสียงตะกุกตะกักดังขึ้น แอบเป็นห่วงกลัวรถจะชน เพราะสารถีคันนั้นขับรถโคตรไว

‘เจ็ท ~ กูขอโทษ’
เสียงอ่อยมาเชียวมึง

“อะไรของมึงเนี่ย แล้วอยู่ที่ไหน รถน้ำมันหมดกลางทางหรือไง”
ผมมุดเข้าห้องนอนตัวเองก่อนจะเปิดประตูระเบียงเพื่ออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก คืนนี้อากาศในเมืองหลวงเย็นสบายสมกับเป็นช่วงต้นปี

‘กูอยู่บ้านไอ้เอย คงไม่ได้กลับคอนโดอะคืนนี้’

“ไม่บอกกูพรุ่งนี้เลยล่ะ แล้วเพื่อนกูอยู่ไหน”

‘ไอ้ฟาร์มกับไอ้ตังค์ถึงบ้านแล้ว ส่วนไอ้ไธนั่งแท็กซี่กลับคอนโด’
มันบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ผมกลับสะดุดตรงประโยคสุดท้าย ทำไมไอ้ไธต้องนั่งแท็กซี่กลับคอนโดวะ ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ถ้าเกิดตกลงกันแต่แรกให้มันนั่งรถพี่ทาวน์ก็ได้

“คือเชี่ยอะไรทิ้งเพื่อนกูวะ”
ผมถามไปด้วยความไม่เข้าใจ เสียงตึงๆ เพราะใจก็เป็นห่วงเพื่อนที่ยังไม่ถึงคอนโด โกรธจิณณ์ด้วยที่ทิ้งให้มันนั่งแท็กซี่กลับ ค้างคืนบ้านไอ้เอยด้วยกันจะตายหรือไง แม่ง

‘ไม่ได้ทิ้ง... แต่กูงอนมันอะ’
โอ้โห กูอยากมุดโทรศัพท์แล้วโผล่ไปตบหัวมันอีกฝั่งเหลือเกิน เหตุผลส้นตีนอะไรวะ เป็นเด็กประถมโกรธกับเพื่อนหรือไง

“อะไรนะ งอนบ้าอะไรของมึง”

‘ก็แม่ง... จีบกูอยู่ใช่ปะ แต่ตอบไลน์คนอื่น’

“แค่ตอบไลน์ มึงจะอะไรนักหนา”

‘แต่เขามาจีบมันนะเว้ย’

“กลัวไอ้ไธจะเปลี่ยนใจหรือไง”
จากที่ผมหน้าตึงกลายเป็นยิ้มกริ่มเมื่อรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังก่อตัวในใจจิณณ์ หึหึ มึงอย่ากลบเกลื่อน

‘กูแค่ไม่ชอบปะวะ’
ไม่ชอบอะไรของมึงครับพี่ชาย หึหึ

“มึงอย่ามาซึน ชอบมันแล้วก็บอก”
ผมเป็นคนตรงๆ

‘ใครชอบ ไม่มีอะ มั่ว!’
มันน่ะเป็นคนซึนๆ ปากหมา เอ้ย ปากแข็ง

“งั้นกูยุให้มันคบกับเพื่อนในคณะดีกว่า ยังไงก็แม่งแดกแห้วจากมึงแน่ๆ”
ผมระบายยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่หาเรื่องเอาคืนพี่ชายแทนเพื่อนสนิทได้ ละจากระเบียงออกมาเพราะรู่สึกเริ่มปวดข้อเท้าอีกครั้ง การยืนเป็นพระเอกเอ็มวีรับลมไม่เท่เอาซะเลย



ต่อด้านล่างเนอะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 23 - P.3 (06/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 06-11-2017 08:26:35
‘ได้ไง! นี่พี่มึงนะเจ็ท ฝาแฝดสุดหล่อเลยนะเว้ย’
ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธ แต่มันโวยวายจนหูคนฟังแทบแตก แทนที่ผมจะโกรธกลับยิ้มกริ่ม หึหึ ท่าทางแบบนี้ยังไม่ยอมรับอีก ว่าแต่พี่ทาวน์ปากแข็ง มึงก็ไม่ต่างกันเลย

“แล้วไง ก็มึงไม่ชอบมันนี่”

‘ไอ้สัด กูชอบมัน พอใจยัง!’

“บอกมันนู่น บอกกูทำไม”
โคตรพอใจ โอย ไอ้ไธกำลังจะสมหวังแล้วเว้ย ต้องไลน์ไปบอก แล้วให้มันเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นมื้อใหญ่ หึ!

‘กูจะกลับไปตบปากมึงเดี๋ยวนี้เลย’
มันบอกเสียงขู่แต่ไม่มีทางที่จะยอมถ่อสังขารกลับมาตอนนี้แน่ๆ แต่ผมตกใจว่ะ ไม่ได้นะ

“ไม่ต้องกลับมา!”
เผลอตะโกนออกไป สายเกินที่จะตะครุบปากตัวเองเลยได้แต่กำหมัดต่อยลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิดใจ พลาดฉิบหายแล้วกู

‘อะไรวะ แอบพาใครไปอึ๊บเหรอ’
ไอ้สัด มองน้องมึงเป็นคนยังไงวะ!

“เตี่ยมึงสิ พี่ทาวน์มาค้างด้วยเว้ย”
ไอ้นี่ก็บ้าจี้ไปบอกเขา ตบปากตัวเองสิบที ปฏิบัติ!

‘ว๊าย พัฒนามากอะน้องกู พี่เขาอ่อยมึงแน่ๆ’
ถ้าอ่อยก็ดีสิวะ แม่ง พูดให้กูสติแตกอีกแล้ว

“เกลียดเสียงมึง! เขามีประชุมงานโอเพ่นเฮ้าส์ตอนเช้าเว้ย นี่มันก็จะเที่ยงคืนแล้ว”
ผมอธิบายยาวเหยียดแล้วนั่งหอบหายใจแฮ่กอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ใครคิดว่าคนอย่างพี่ทาวน์จะอ่อยคนอื่น เดี๋ยวเสียหายกันพอดี

‘จ้าๆ อย่าปล้ำพี่เขาแล้วกัน กูยังไม่อยากจองศาลาวัด’
เสียงใสจนน่ากระทืบ มึงเคลียร์เรื่องไอ้ไธกับกูก่อนไหมล่ะจิณณ์ มันถึงคอนโดหรือยังไม่รู้

“รักกูมากมั้ง”
ประชดมันกลับ หงุดหงิดเว้ย

‘รักที่สุดในสามโลกแล้ว อิอิ’
ไอ้เหี้ยนี่ไม่สำนึก

“สัด!”
ด่ามันส่งท้ายก่อนจะกดวางสายด้วยอารมณ์คุกรุ่น แต่พอเดินออกมาเห็นพี่ทาวน์นั่งตาปรืออยู่บนโซฟากลับคลี่ยิ้มด้วยความเอ็นดู น่ารักจัง

“พี่ทาวน์ครับ”

“ว่าไง”
เสียงงัวเงียไปอีก แล้วท่าทางตอนขยี้ตาโคตรน่าขย้ำ ฮือ นายภาคินกำลังหลงพี่ทาวน์หัวปักหัวปำแล้ว

“เดี๋ยวพี่นอนห้องผมเนอะ ผมจะไปนอนห้องจิณณ์ คืนนี้มันค้างบ้านไอ้เอย”
ผมจัดแจงเสร็จสรรพเพื่อความสบายของอีกคน อีกอย่างคือปลอดภัยจากความหน้ามืดตาลายของไอ้เจ็ทคนนี้ด้วย

“นอนด้วยกัน จะได้ไม่ต้องลำบาก”
พี่ทาวน์อ้าปากหาวปิดท้ายแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะยืดแขนเพื่อบิดขี้เกียจจนเสื้อเชิ้ตสีพาสเทลของเขาเปิดขึ้น ผมได้แต่กลืนน้ำลายเอื๊อก ขอบกางเกงในเอย วีเชฟเอย กูจะตายแล้วเว้ย จิณณ์กลับมาห้ามหน่อย ฮือ

“ผมมะ ไม่ลำบากหรอก”
หลบสายตาอีกคนที่มองมาแล้วทำเป็นว่าจัดนู่นจัดนี่เข้าที่ ดีหน่อยที่ไม่เผลอไปคว้าไม่กวาดมา ไม่อย่างนั้นต้องโดนจับได้แน่ๆ ว่ากำลังคิดอกุศล

“นอนด้วยกัน”
พี่ทาวน์ย้ำเสียงเข้มก่อนจะเดินเข้ามาประชิด ผมรีบผละออกห่างเพราะหัวใจกำลังเค้นแรง หน้าร้อนวูบวาบจนน่ากลัว

“เอ่อ น่าจะไม่ดีนะครับ”

“ทำไม”

“ผมกลัวเผลอปล้ำพี่อะ”
บอกไปตรงๆ เขาจะได้ยอมปล่อยกันไป แต่เปล่าเลย พี่ทาวน์กลับแสยะยิ้มใส่

“หึ ลองดู กูจะกระทืบให้ม้ามแตกเลย”

สุดท้ายก็ต้องนอนด้วยกัน เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ยุบหนอ ไม่พองหนอ

ผมหยิบเสื้อผ้าเข้ามาเปลี่ยนในห้องน้ำเพื่อความสบายใจของตัวเอง แผลที่ฝ่าเท้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจนต้องระวังเป็นพิเศษ หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เปิดประตูออกมาเผชิญโลกกว้างและบุคคลที่นอนตาปรืออยู่บนเตียง แอบเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่ารอนอนพร้อมกัน

“จะนอนหรือยังครับ”
ผมเอ่ยถามคนบนเตียงแล้วยืนรอที่สวิตซ์ไฟเพื่อเตรียมปิด พี่ทาวน์พยักหน้าก่อนจะเก็บโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ

“อืม”

“งั้นปิดไฟนะ”
บอกก่อนจะปิดไฟแล้วคลานขึ้นเตียงอีกฝั่ง แสงจากดวงจันทร์ยังพอให้มองภาพต่างๆ ในห้องได้เป็นรูปร่าง พี่ทาวน์ตะแคงข้างแล้วนอนมองกันนิ่ง ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ ให้กับเพดาน โคตรเกร็งเลยเว้ย

“เรื่องเป็นแฟนกันน่ะ...”
อยู่ๆ น้ำเสียงเบาราวกระซิบก็ดังขึ้นเรียกให้สายตาของผมต้องละจากเพดาน พี่ทาวน์ก้มหน้าซุกกับหมอนข้างไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ดีนะ หัวใจจะได้สงบลงหน่อย

“ครับ”
ผมขานรับเพราะกลัวความเงียบจะทำให้อึดอัด ตอนนี้สมองคิดอยู่สองเรื่องคือประโยคต่อไปของพี่ทาวน์กับขอกอดเขานอนดีไหม

“พร้อมเมื่อไหร่กูจะขอมึงเอง”
พี่ทาวน์พูดแล้วพลิกตัวหันหลังให้กัน ผมเผลอสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะเพราะทั้งอึ้งทั้งดีใจ โอย อยากจับมาฟัดให้หนำใจจริงๆ รู้ตัวบ้างไหมว่าน่ารักแค่ไหน

“อ่า... จะรอนะครับ!”
ผมตอบเสียงดังจนพี่ทาวน์สะดุ้งแต่ก็ไม่ได้ด่าอะไรกลับมา คงแอบยิ้มอยู่ล่ะมั้ง ขอมโนเองสักนิดเถอะ

“อืม”

“ฝันดีนะครับพี่ทาวน์”
ผมขยับเข้าไปกระซิบข้างหูก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาท่ามกลางความมืด มีความสุขมากจรอยากหยุดช่วงเวลานี่ไว้

“ฝันดี”

หลังจากคำพูดนั้นก็ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของพี่ทาวน์ ผมยังไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย ถึงแม้จะเห็นแค่แผ่นหลังก็เถอะ ไม่ใช่ว่าไม่ง่วงแต่...

ไอ้สัด นอนไม่หลับ หัวใจเต้นแรงมาก

ฟึบ!

เสียงพลิกตัวของอีกคนดังขึ้น ผมที่ไม่ทันระวังเลยเบิกตาด้วยความตกใจเมื่อริมฝีปากนุ่มหยุ่นของพี่ทาวน์แตะลงมาที่ตำแหน่งเดียวกันอย่างพอดิบพอดี อ๊าก กำไรชีวิตที่สุดในรอบเกือบยี่สิบปีที่เกิดมาเลยเว้ย

บึ้ม!

ร่างระเบิดตายไปเลยกู



--------------------------------------------

ช่วงนี้เจ็ทก็จะหน้าบานหน่อยๆ ก็คนมีความสุขอะเนอะ
เมาจูบหวานๆ ของพี่ทาวน์ซะด้วย 555555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 23 - P.3 (06/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 06-11-2017 14:11:20
นี่มันเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีมากเลยเน๊อะเจ็ท 5555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 23 - P.3 (06/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 06-11-2017 14:57:19
น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 23 - P.3 (06/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 06-11-2017 14:57:41
โอยยย สติหายไปพร้อมเจ็ท ฮรื้ออออออออออ :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 24 - P.3 (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 11-11-2017 08:29:15
แข่งครั้งที่ 24



การเปิดเทอมเริ่มมาได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์แล้ว งานโอเพ่นเฮ้าส์ของมหา’ลัยจะมีการจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ พวกผมเลยต้องลากสังขารเปลี้ยๆ ออกมาจากห้องเขียนแบบเพื่อช่วยจัดซุ้มขายเครื่องดื่มจำพวก ชา กาแฟ และอิตาเลี่ยนโซดาสีสันสดใส ข้างกันเป็นร้านขายทาโกะยากิของเด็กทันตะฯ สาวๆ เพียบ

“เจ็ท กูวานมึงช่วยไปยกป้ายร้านมาติดหน่อย อยู่ท้ายรถอะ”
ไอ้ชัยเพื่อนในคณะที่เป็นสาวประเภทสองร้องขอให้ช่วยก่อนจะโยนกุญแจรถมาให้ ผมพยักหน้ารับแล้วเดินดุ่มๆ ไปเอาป้ายร้าน อยากรู้เหมือนกันว่ามันตั้งชื่ออะไร เพราะถามไปเกือบสิบรอบก็ไม่ยอมตอบ

“ไอ้เจ็ท จะไปไหนวะ”
ไอ้ไธวิ่งตามมาด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัวอย่างกับคนไปกระโดดคลอง ผมหยุดรอมัน ควงกุญแจเล่นไปเรื่อยจนโดนสาวน้อยสาวใหญ่แถวนั้นกรี๊ดใส่ ไม่ได้ตั้งใจทำเท่เว้ย กูแค่หาอะไรทำแก้เบื่อ

“ไปเอาป้ายร้านให้ไอ้ชัย”

“อ๋อ มึงพกพาวเวอร์แบงค์มาปะ”
ไอ้ไธหอบแฮ่กแต่มีแววตามุ่งมั่นส่งมาทางนี้ ผมขมวดคิ้วมองด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วมันไม่ค่อยสนว่าโทรศัพท์แบตฯ จะหมดหรือเปล่า แล้ววันนี้คืออะไรยังไงวะ

“เอามา อยู่ในกระเป๋าเป้ที่ไอ้ตังค์”
ผมบอกเพื่อนเสร็จสรรพแล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาเงียบๆ มันยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือมาตบที่บ่า ดีใจขนาดนั้นเลย หรือไอ้ไธคุยธุระสำคัญกับใครค้างไว้

“เออๆ ยืมหน่อย”

“แบตฯ หมดเหรอ”

“เกือบๆ วีดีโอคอลกับจิณณ์น่ะ”
จากที่เคยขมวดคิ้วทำหน้าหมาสงสัยใส่มัน ตอนนี้ผมเลยเปลี่ยนมาเบ้ปากพร้อมผลักไหล่ไอ้ไธด้วยความหมั่นไส้ หวานซะจริงนะพวกมึง อิจฉาเว้ย ของกูเนี่ยจากวันที่ค้างด้วยกันถึงวันนี้ทุกอย่างปกติสุขมาก ไม่มีกุ๊กกิ๊กอะไรเลย พี่ทาวน์เรียนหนักตั้งแต่เปิดเทอม เข้าแล็บบ่อยยิ่งกว่ายกหูโทรหากันอีก คิดแล้วเศร้าว่ะ

“กูอยากจะแหมให้ถึงเชียงใหม่จริงๆ ครับเพื่อน เดี๋ยวนี้ห่างกันไม่ได้เลยเนอะ มนต์รักทาโร่เหรอมึง”
ผมเอ่ยแซวด้วยความหมั่นไส้ หรี่ตามองด้วยความริษยา มันไหวไหล่แถมด้วยการยักคิ้วกวน เดี๋ยวพ่อไม่ให้ยืมพาวเวอร์แบงค์!

“อย่าให้กูแหมคืนบ้างนะ มึงก็ใช่ย่อย พูดอวดเรื่องพี่ทาวน์สารภาพรักมาร้อยรอบแล้วมั้ง”
ไอ้ไธเอาคืนได้อย่างเจ็บแสบจนรู้สึกร้อนที่พวงแก้ม ยกมือขึ้นถูๆ เพื่อปกปิดความอ่อนไหวที่แสดงออกมา ก็มันดีใจนี่หว่าที่คนเย็นชาแบบนั้นสารภาพความในใจให้ฟัง ไม่ใช่การพิมพ์หรือเขียนบอก

“เว่อร์จริง”
ผมบ่นอุบก่อนจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อคิดถึงจูบที่ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจนั่น อยากสัมผัสอีกสักรอบว่ะ ยังหวานและนุ่มอยู่ในความทรงจำ

“มึงรีบไปเอาป้าย จะได้กลับหอกันสักที”
ไอ้ไธโบกมือไล่ด้วยใบหน้าเอือมระอากับท่าทางสาวน้อยของผมก่อนจะหันหลังกลับไปทางซุ้มขายน้ำที่มีไอ้ตังค์นอนหลับเฝ้ากระเป๋าพวกเราอยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนแม่งไปไหนมาถึงได้เพลียขนาดนี้ ถ้าคิดลึกหน่อยคงโดยไอ้เอยล่อยันเช้า... ขอโทษนะเพื่อนที่ยัดเยียดผัวให้มึง

ผมกดรีโมทเปิดท้ายรถเพื่อจะหยิบป้ายร้านแต่กลับชะงักกึกเมื่อเห็นตัวอักษรสีสันสดใสเขียนว่า ‘ผู้ชายขายน้ำ’ ได้แต่ร้องเหี้ยในใจ ถึงมุกจะเก่าแต่ก็กามเหมือนเดิมว่ะ คิดดีไม่ได้เลยจริงๆ แล้วคนขายซุ้มนั้นก็ผู้ชายล้วน คงโดนล้อจนป่นปี้แน่ๆ

ผมหยิบป้ายที่ทำด้วยไม้อัดมาแนบข้างลำตัวโดยให้ชื่อร้านหันเข้าด้านใน รีบเดินดุ่มๆ กลับซุ้มเพราะกลัวคนอื่นเห็น ใครไม่อายก็ช่างมัน แต่กูหน้าบางเถอะ คือมันมีรูปปากคนสีแดงน้ำลายหกประดับอยู่หลังตัวอักษรด้วยไง ไม่ค่อยส่อเลยจริงๆ แม่ง

“ไอ้ชัย มึงเป็นคนตั้งชื่อร้านเหรอ โคตรเหี้ยเลยเนี่ย”
ผมโยนป้ายชื่อให้ไอ้ชัยที่นั่งกดโทรศัพท์อยู่บนพื้นแล้วกอดอกมอง มันเงยหน้าขึ้นจ้องเขม็งก่อนถลึงตาใส่อย่างกับใครไปเหยียบบนหัว

“กรี๊ด ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้เจ็ท กูเปลี่ยนชื่อเป็นกระต่ายแล้วเว้ย เห็นปะ มีหูด้วย”
มันชี้ที่คาดผมหูกระต่ายบนหัวแล้วแยกเขี้ยวใส่ผมที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แบ๊วสัดไม่ดูหนังหน้าและทรงผมมึงเลยเนอะ ไถข้างซะเกรียนหนวดเคราครึ้ม แมนกว่าผู้ชายแท้แถวนี้อีก โหดสัด

“หน้าอย่างมึงอะนะ เหมาะกับหมาในมากกว่า”
ผมเย้าไอ้ชัยเล่นด้วยความสนุกปาก ไม่ได้คิดจะว่าเพื่อนแบบจริงจังอะไร แค่เห็นปฏิกิริยาดีดดิ้นแล้วหมั่นไส้เท่านั้นเอง

“อี...”
มันชี้หน้าปากคอสั่นไปหมด แต่อย่าหวังว่าผมจะเปิดโอกาสให้ด่านะเออ

“หรืออีกัวน่าดีวะไธ”
ผมหันไปถามไอ้ไธที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์ มันหันมาขมวดคิ้วใส่เป็นเชิงถามว่าอะไร โธ่ กูล่ะอยากเตะมึงจริงๆ เลย นี่ถ้านินทาระยะเผาขนก็คงไม่รู้ตัวแน่

“ไอ้...”

“หรือว่า...”

“เดี๋ยวกูจูบให้ปากบี้เลย!”
ยกนี้มันชนะเว้ยเฮ้ย ตะโกนอัดหน้ายังพอทนแต่ลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้ามาหากันนี่ไม่ไหว ผมวิ่งไปหลบหลังไอ้ไธอย่างไว กลัวโดนจูบจริงๆ จะหลอนเอา

“โธ่ น้องกระต่ายคนสวย พี่ล้อเล่นครับ”
ผมพูดเสียงอ้อนแล้วกระพริบตาอ้อนวอนไอ้ชัย มันกอดอกเชิ่ดหน้าใส่ราวกับจะโกรธกันต่ออีกสักสิบชาติ นี่ง้อแล้วนะเว้ย อย่าเล่นตัวนักดิเพื่อน

“ชิ สายไปแล้วย่ะ”
มาชงมาชิใส่กูแถมด้วยการทำแก้มป่องๆ คล้ายรอให้หอมแก้มง้อ ฝันกลางวันไปเถอะ เดี๋ยวพ่อถีบกระเด็นเลยนี่ ทำอะไรช่วยเห็นแก่หนวดบนหน้ามึงบ้างเถอะนะ กูจะยกมือกราบแล้วเนี่ย

“งอนเป็นตุ๊ดไปได้”
ผมบ่นพึมพำแล้วเดินไปดึงหนวดของเพื่อนคนสวยเล่น มันถลึงตาใส่ก่อนจะตีเพี๊ยะลงบนมือ เจ็บจนร้องซี๊ดเลยกู แรงควายฉิบหาย

“ก็กูเป็นตุ๊ด”
ไอ้ชัยจีบปากจีบคอบอกก่อนจะใช้มือจัดแต่งหนวดเคราให้เข้าที่เข้าทาง ผมเคยเห็นมันเอาเจลจัดแต่งทรงใส่ด้วยนะ

“อ้าวลืม โทษๆ ว่าแต่มึงเปลี่ยนชื่อร้านเหอะ กูว่ามันกาม”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วเดินไปหยิบป้ายชื่อร้านขึ้นมา ไอ้ชัยถึงกับส่ายหน้าพรืดปฏิเสธอย่างแข็งขืน มันหรี่ตาคมๆ มองอย่างล้อเลียน อะไร กูเริ่มเสียงสันหลังแล้วนะ

“มึงน่ะสิกาม คิดลึกไปได้”
มันบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วแย่งแผ่นป้ายชื่อร้านอันแสนภูมิใจไปยืนลูบๆ คลำๆ เห็นแล้วรู้สึกขนลุกยังไงชอบกล

“ใครๆ ก็คิด กูเชื่อแบบนั้น”
ผมไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่กล้ายืนใกล้ไอ้ชัยอีก กลัวมันจะเปลี่ยนเป้าหมายมาลวนลามกันแทน มือสากอย่างกับกระดาษทรายเบอร์สิบ ไม่นิ่มนวลเหมือนพี่ทาวน์เลย คิดถึงอีกแล้วว่ะ แย่ๆ

“เออน่า มันเป็นจุดขายไง สาวๆ คงอยากได้น้ำของน้องเจ็ทกันตรึมเลยค่ะ”
มันยิ้มหวานชวนสยองมาให้ก่อนจะเดินนวยนาดไปส่งป้ายให้กับเพื่อนในคณะอีกคนที่ปีนเก้าอี้รออยู่แล้ว ผมตามไปติดๆ เพื่อด่าไอ้ชัย พูดแบบนี้ต่อยกันเลยไหม มึงนี่ตัวกามเลย

“พ่อง ไม่ขายเว้ย”

“จะเก็บไว้ให้เดือนแพทย์เหรอจ๊ะ”
หันหรี่ตามองกูหมายความว่าไงห๊ะ แล้วอะไรคือรู้เรื่องเดือนแพทย์ เกลียดมึงจัง

“จะถูกรีดทิ้งชักโครกล่ะสิไม่ว่า”
ผมบ่นพึมพำ แค่จะกอดเขายังไม่มีปัญญาเลย มาพูดเรื่องน้ำอะไรวะ ห่างไกลสุดๆ

“ไร้น้ำยาจังทูนหัว”
ไอ้ชัยว่าเสียงเยาะเย้ยแล้วยื่นมือมาสะกิดปลายคางกันอย่างหยอกล้อ ผมผงะถอยหลังแล้วถูตำแหน่งนั้นจนรู้สึกแสบไปหมด ถ้ามึงจะโกนหนวดหน่อยคงดีกว่านี้ กลัวเว้ย!

“เดี๋ยวกูต่อยคว่ำ”
เงื้อหมัดขู่เมื่อเห็นว่ามันจะพุ่งเข้ามาลวนลามกันอีกครั้ง ไอ้ชัยชะงักกึกแล้วทำท่าทีฮึดฮัดราวกับเด็กโดนขัดใจ คิดว่าน่ารักเหรอ เหมือนช้างตกมันเลยแม่คุณ

“อย่าทำร้ายผู้หญิงบอบบางนะ!”
อยากจะขากถุยกับสารร่างตรงหน้าเหลือเกิน

“โอ้โห กล้าพูดนะมึง บางมากมั้ง”
ผมมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า ตัวสูงๆ ผิวสีแทน กล้ามเป็นมัด ซิกแพคแน่นมาก หุ่นรุกสุดใจขาดดิ้นแต่ใจเป็นรับร้อยเปอร์เซ็น ไอ้ชัยแยกเขี้ยวขู่กันแง่งๆ เพราะเถียงไม่ออก คงโกรธมากที่วิจารณ์ไปแบบนั้น

“บางกว่าสามชั้นมิลฯ เดียวอะ”
ไม่ใช่เสียงผมนะเว้ย นู่น ไอ้ป๋าฟาร์มที่เพิ่งเดินหล่อเสยผมมาทางนี้สดๆ ร้อนๆ วอนโดนข่มขืนแล้วมึง กูขอจรลีก่อนล่ะ ไม่อยากเซ็กซ์หมู่

ผมแอบย่องหนีกลับมานั่งข้างๆ ไอ้ไธที่เลิกวีดีโอคอลไปแล้ว ส่วนไอ้ตังค์นั่งหน้ามึนอมน้ำลายบูด สภาพควรลากกลับบ้านจริงๆ เดี๋ยวไว้ว่างๆ กูจะโทรเรียกไอ้เอยให้นะ ตอนนี้ขอดูละครสดจากสองคนนั้นก่อน คงสนุกพิลึก

“อีฟาร์ม! มาถึงก็ปากดีเลยนะมึง”
มวยคู่เอกของคณะเริ่มฟาดฟันกันแล้วครับท่านผู้ชม ทุกคนที่อยู่บริเวณที่ต่างทิ้งงานของตัวเองแล้วให้ความสนใจอย่างเต็มที่ แอบอู้เชียวนะพวกมึง

“ไม่ใช่ปากดีอย่างเดียวนะ เอวก็ดี อิอิ”
ไอ้ฟาร์มหัวเราะเสียงใสอย่างอารมณ์ดี คำพูดสองแง่สองง่ามของมันกำลังจะนำพาความบรรลัยมา เชื่อเถอะ คนอย่างไอ้ชัยแผนสูงกว่าเยอะ

“กูไม่เชื่อ มึงต้องพิสูจน์”
นั่นไง เข้าทางพี่แกสิครับ ถ้าไอ้ฟาร์มตกลงนี่ถือว่าชีวิตมันจบเลยนะ เพราะไอ้ชัยไม่ปล่อยผัวไปไหนแน่ๆ กว่าจะตกถึงท้องสักคนต้องกักขังให้ถึงที่สุด

“ว๊าย ไม่เอาค่ะพี่ชัย หนูเป็นตุ๊ดเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวฟ้าผ่า”
รับรางวัลออสก้าไปเลยเพื่อน ผมกับพวกในคณะหัวเราะก๊ากแบบไม่อายชาวบ้านข้างเคียง ทั้งสีหน้า น้ำเสียง และท่าทางของไอ้ฟาร์มแม่งโคตรตลก สมจริงเหมือนมันเป็นสาวประเภทสองของแท้ ไอ้ชัยถึงกับเต้นเร่าๆ เมื่อโดนเอาคืนด้วยวิธีนี้ ลุ้นต่อว่าจะงัดไม้ไหนออกมาสู้ สนุกจริงวุ้ย

“อีฟาร์ม ขอให้มึงนกจากคนที่มึงชอบ”
หลังจบคำแช่งของไอ้ชัยผมกับเพื่อนถึงกับนิ่งค้างเพราะสายตาปะทะเข้ากับแก๊งค์ว่าที่คุณหมอที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าซุ้มเมื่อครู่นี้ คงทันได้เห็นท่าทางอ่อนช้อยของป๋าฟาร์มแน่ๆ ฉิบหายแล้วมึง ตัวใครตัวมันนะงานนี้

“ไอ้ฟาร์ม...”
พี่ฟาเรียกมันเสียงนิ่ง ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกยินดียินร้าย แต่ไอ้หูกับแก้มแดงก่ำคืออะไรวะ โกรธเหรอนั่น เข้าใจผิดไอ้ฟาร์มหรือเปล่า ผมอยากเข้าไปเผือกแล้วบอกว่ามันแมนแต่ดูสถานการณ์แล้วนั่งหุบปากเงียบๆ คงดีกว่า ยังไม่อยากตาย

“เฮ้ย พะ พี่ฟา คือว่าเมื่อกี้...”
ไอ้ฟาร์มละล่ำละลัก ดวงตาเบิกกว้างเพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี อาการลนลานแบบนี้พบเห็นได้บ่อยจนพวกผมเดาทางออก กับคนที่ชอบใบ้แดกทุกทีสิน่า

“อุบ...”
หืม

“พี่...”
ไอ้ฟาครางได้เท่านั้นก็โดนกลบด้วยเสียงหัวเราะลั่น พี่ฟางอตัวอย่างกับกุ้งต้มสุกเดือดร้อนพี่ทาวน์ต้องคอพยุงตัวเพื่อนเอาไว้ก่อนจะลงไปนอนกลิ้งบนพื้น ขำจนพวกผมยังอายอะ

ปล่อยให้ไอ้ฟาร์มกับพี่ฟาหยอกล้อกันที่มุมหนึ่งส่วนผมก็แยกออกมาทักทายพี่ทาวน์เป็นการส่วนตัว โดยมีสายตาเหน็บแนมเชิงอิจฉาส่งมาจากไอ้ชัยเป็นระยะ รายนั้นเขาเป็นแฟนคลับเดือนมหา’ลัยทุกปีนั่นล่ะ อย่าไปสนใจมัน

“สวัสดีครับพี่ทาวน์”
ผมคลี่ยิ้มหวานหยดส่งให้บุคคลอันเป็นที่รักของตัวเอง หัวใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น ครั้งแรกในรอบเกือบสองอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอหน้ากัน อยากขอกอดสักครั้งแต่เกรงใจสถานที่ เอาจริงๆ กลัวโดนเตะก้านคอมากกว่า ข้อหาทำตัวรุ่มร่าม

“อืม”
คำตอบสั้น ตามแบบฉบับของพี่ทาวน์ทำให้ผมรู้สึกเหี่ยวเฉายังไงชอบกล ช่วยมีปฏิกิริยามากกว่าขยับจมูกหายใจได้ไหมครับพี่ ไม่เจอกันหลายวันเลยนะเว้ย

“มาหาผมเหรอครับ”
ผมเป็นคนมีความหวังเสมอ ถึงใครจะมองว่าขี้มโนก็เถอะ

“หึ เปล่า มาส่งไอ้ฟา”
แล้วคนนี้ก็กระทืบมโนของผมให้จมดินได้เสมอเลย แต่ยังไงก็รักนะ

“โห ไม่คิดถึงผมบ้างเหรอ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ”
ผมบ่นเสียงกระเง้ากระกอดพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ เพื่ออ้อนคนตรงหน้า มันไม่ได้น่ารักน่าเห็นใจหรอก รู้ตัวดี เพราะดูจากสีหน้าพี่ทาวน์ที่ขมวดคิ้วแล้ว คงหน้าถีบให้กระเด็นตกคลองมากกว่า

“จำเป็นต้องคิดถึงด้วยเหรอ”
ธนูดอกแรกปักเข้าที่ไหล่ ดอกที่สองตรงหัวใจเป๊ะ เจ็บจี๊ดเลยไหมล่ะกู โอย

“ชอบกันจริงปะเนี่ย”
ผมถามเสียงน้อยใจก้มหน้าก้มตาเหมือนหมาโดนเจ้าของดุ รู้ทั้งรู้ว่าพี่ทาวน์ปากแข็ง แต่มันอดนอยด์ไม่ได้จริงๆ

“ถามมากจะเลิกชอบ”
พี่ทาวน์ยื่นคำขาดก่อนจะเอื้อมมือมาตบแก้มผมเป็นเชิงหยอกล้อเบาๆ แค่ถูกสัมผัสจากคนที่ชอบ ไอ้อาการงี่เง่าทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกใจชื้นขึ้นเยอะ

“โอเคๆ ไม่ถามแล้วครับ พี่จะไปไหนต่อหรือเปล่า”
ผมรีบเปลี่ยนท่าทีเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะเลิกชอบกันขึ้นมาจริงๆ พี่ทาวน์กระตุกยิ้มก่อนจะตอบคำถาม

“แวะกินข้าว กลับคอนโด”

“ผมไปกินข้าวด้วยได้ปะ”
ลองถามดูเผื่อพี่เขาอยากได้เพื่อนกินข้าว

“อืม จะชวนพอดี”
แจ็กพอตแตกว่ะ อยากจะแหกปากตะโกนด้วยความดีใจเว้ย! ก็บอกแล้วว่าพี่ทาวน์น่ารัก

ผมกลับคอนโดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจนจิณณ์หาว่าบ้า แต่ใครจะสนในเมื่อได้รับความสุขมาเต็มกระบุง อยากจะด่ามันสวนเหมือนกันเพราะจำได้ว่าพี่ชายสุดที่รักก็มีนัดกินข้าวกับไอ้ไธ อย่าให้รู้ว่ามึงแอบเสียตัวก่อนตกลงเป็นแฟนกันนะ พ่อจะฟ้องพี่แจมให้บ่นจนหูชาเลยคอยดูเถอะ

แสงแดดยามเช้าลอดรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาทำให้ผมต้องดึงตุ๊กตาหมาซึ่งเป็นของขวัญวันเกิดจากหลานชายตัวแสบขึ้นมาปิดหน้าไว้ ยังไม่อยากตื่นเลยเว้ย เมื่อครู่กำลังฝันว่าจะได้จูบกับพี่ทาวน์อยู่แล้วเชียว

“ไอ้เจ็ทเว้ย ตื่นได้แล้ว!”
กำลังจะเคลิ้มอยู่แล้วเชียว มีมารส่งเสียงขัดจังหวะจนได้

“อือ ขอห้านาที”
ตอบเสียงงัวเงียกลับไปเมื่อรู้สึกได้ว่าวิญญาณตามติดอย่างจิณณ์ยืนอยู่ปลายเตียง คราวหน้ากูจะล็อกกลอนห้องแล้วแม่ง เข้าออกห้องคนอื่นเป็นว่าเล่น

“ไม่ได้เว้ย นี่มันจะเก้าโมงแล้ว”
เสียงโวยวายมาพร้อมแรงเขย่ามหาศาล ผมเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินคำแสลงหู กี่โมงแล้วนะ!

“ห๊ะ!”
ผมเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วจนตุ๊กตาหมากลิ้งลุนๆ ไปบนพื้นห้อง ฉิบหายแล้วไหมล่ะมึง ไอ้ชัยนัดเก้าโมง มันบอกถ้าไปสายจะบีบไข่ให้หน้าเขียว กูกลัวแล้วจ้า

“ไม่ห๊ะ รีบๆ ไป ‘ขายน้ำ’ มึงได้แล้ว”
พี่กูนี่ยังไงวะ เน้นคำว่าขายน้ำจังเลยเฮ้ย

“กามสัด!”

ผมถึงมหา’ลัยเกือบสิบโมงแต่ดีหน่อยที่ไอ้ชัยมันต้องรีบไปทำธุระให้พวกที่จัดซุ้มแนะนำคณะ รอดจากการโดนบีบไข่แบบหวุดหวิดเลยกู ได้ข่าวว่าไอ้ฟาร์มมาส่ายแค่สองนาทีโดนสำเร็จโทษไปเรียบร้อย นั่งแหกปากร้องไห้ราวๆ สิบนาที น่าสงสารจัง

ผู้คนที่มาชมงานโอเพ่นเฮ้าส์หลั่งไหลเข้ามาอย่างกับหนอน เครื่องดื่มขายดีกว่าพวกอาหารเพราะวันนี้อากาศร้อนอบอ้าวคล้ายฝนจะตก ถือว่าดีเพราะร้านผู้ชายขายน้ำมีรายได้เข้าเยอะ แต่เสียตรงที่ว่าโดนลูกค้าตอดเล็กตอดน้อยจนเนื้อแทบไม่เหลือ เพลียฉิบหายเลยแม่ง

“โอย กูอยากเปลี่ยนตัวผู้เล่น ไม่ไหวแล้วเนี่ย”
ผมบ่นเมื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู มันบอกเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ตั้งแต่สิบโมงยันตอนนี้ยังไม่ได้พักเลยเถอะ ไอ้พวกปีหนึ่งคนอื่นๆ หายหัวไปไหนไม่รู้ พอโทรตามแม่งก็บอกว่า ‘จะให้กูไปไล่ลูกค้าเหรอ ดูสารรูปพวกกูหน่อย’ คืออยากเถียงใจจะขาด แต่ต้องยอมรับความจริงว่าเราไม่สามารถเอาโจรฆ่าข่มขืนมาขายน้ำได้จริงๆ ท้อแท้สัด

“เดี๋ยวกะดึกไอ้ชัยส่งคนอื่นมาเปลี่ยน ทนๆ อีกชั่วโมงเดียว”
ไอ้ไธที่ยืนอยู่ข้างกันปลอบใจด้วยเสียงเนือยๆ ในขณะที่มือก็ยังคงชงชาเขียวไม่หยุดเพราะจะเอามาดับกระหายตัวเอง เชื่อไหมว่าข้าวเที่ยงยังต้องแดกที่ซุ้มเลย ขยับตัวไปไหนไม่ได้จริงๆ ดีหน่อยที่ไอ้พวกโจรเอาเสบียงมาส่ง ไม่อย่างนั้นกูจะฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาว่ามันไม่ช่วยงาน!

“จะเคารพธงชาติแล้วนะมึง กูเมื่อยขา”
ผมทุบหน้าขาดังตุบตับ ไม่ใช่ว่าเพื่อนแล้งน้ำใจไม่ขนเก้าอี้มาให้นั่ง แต่ไม่มีเวลาหย่อนก้นเลยต่างหาก เพราะชื่อร้านมึงเลยไอ้ชัย ไอ้สันขวาน หอกหัก!

“บ่นเป็นคนแก่ไปได้ครับคุณเจ็ท”
ไอ้ตังค์พูดเสียงเรียบก่อนจะใช้สายตาเนือยๆ ส่งมาทางนี้ ผมหันขวับไปจ้องเขม็ง มึงอยากตายใช่ไหม

“ยังมีหน้าด่าคนอื่นเนอะมึง นั่งตักน้ำแข็งสบายตายห่า”
ผมจิ้มนิ้วลงบนหน้าผากมนของไอ้ตังค์ด้วยความหมั่นไส้ ทำงานเบากว่าคนอื่น แถมยังนั่งแนบถังน้ำแข็งตลอดเวลา น่าอิจฉาจะตายไป ยังจะมาเหน็บกันอีก

“อยากเกิดมาหล่อเรียกลูกค้าทำไมล่ะครับ”
มันเถียงก่อนจะปัดป่ายมือผมออก ทำหน้ายู่ๆ ย่นจมูก คิดว่าน่ารักตายล่ะ แต่สำหรับไอ้เอยคงใช่ รายนั้นหลงไอ้ตังค์ยิ่งกว่าอะไรดี สเปคโคตรแปลกและแตกต่างจากชาวบ้านเขาจริงๆ

“กูหล่อก็ผิดว่างั้น”
ผมเท้าคางแล้วจ้องหน้าถามมัน

“อื้อ”
ไอ้ตังค์พยักหน้ารับโดยไม่ต้องคิด คือกูหล่อก็ผิด ต้องเอาน้ำกรดมาสาดหน้าให้เสียโฉมไหมถึงจะเป็นคนถูกกับเขาบ้าง ตรรกะมึงป่วยมากไอ้เนิร์ด

ผมเอื้อมมือไปรับชาเขียวเย็นไม่ใส่นมมาจากไอ้ไธแล้วจัดการดื่มไปเกือบครึ่งแก้ว ได้ดับกระหายแล้วสมองแล่นจนคิดหาวิธีเอาคืนไอ้ตังค์ได้ คราวนี้ยิงปืนครั้งเดียวได้นกทั้งฝูงแน่ๆ

“ป่านนี้ไอ้เอยคงโดนสาวรุมไปแล้วมั้ง เห็นว่าวิศวะเปิดซุ้มขายเครปเย็นถอดเสื้อนี่หว่า”
ผมพูดขึ้นลอยๆ แต่ส่งสัญญาณให้ไอ้ไธเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ได้เห็นคนร้อนตัวแน่ๆ ที่บอกว่าวิศวะขายเครปเย็นถอดเสื้อคือเรื่องจริง จิณณ์ไลน์มาบอกว่าใกล้ตายแล้วเพราะทำไปโดนขอถ่ายรูปไป มีบางคนแอบจับแอบลูบก็มี น่าสงสารว่ะ

“เออว่ะ อาหารตาชัดๆ”
ไอ้ไธเป็นลูกคู่ที่ดีด้วยการย้ำคำพูดของผมให้ดูน่าเชื่อถือ พวกเราแสร้งทำเป็นไม่สนใจไอ้ตังค์แต่จริงๆ แล้วแอบลุ้นกันแทบตาย

“จิ๊”
ปฏิกิริยามาแล้วเว้ย ชัดเจนทั้งเสียงทั้งหน้าตาที่มู่ทู่เลย หึหึ

“ไธ มึงได้ยินเสียงอะไรปะ”

“คล้ายๆ เสียงคนกำลังหงุดหงิดว่ะ หึหึ”

“ผมขอไปเข้าห้องน้ำนะครับ!”

“เชิญตามสบายเลยจ้า”
ผมแท็กมือกับไอ้ไธเมื่อคนขี้หงุดหงิดปลีกตัวออกไปแล้ว ท่าทางชัดเจนขนาดนั้นคงไม่ได้ไปห้องน้ำแน่นอน นู่น ซุ้มขายเครปเย็นแถวๆ เวทีกลางคือจุดหมาย

“กูว่าไอ้ตังค์ชอบไอ้เอยชัวร์ๆ”
ผมบอกน้ำเสียงมั่นใจ สุดท้ายไอ้ตังค์ก็แพ้ลูกตื๊อของเด็กวิศวะจนได้ หรือเพราะมันสะดุดลานเกียร์ครั้งนั้นวะ

“อาการชัดเจนขนาดนี้ แน่นอน”
ไอ้ไธช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผมอีกหนึ่งเสียงก่อนที่เราจะหัวเราะอย่างคนกุมชัยชนะไว้ในมือ

“ไอ้เจ็ท ไอ้ไธ ~ กูกลับมาแล้ว”
เสียงร่าเริงของไอ้คนที่อยู่ๆ ก็หายหัวไปเกือบชั่วโมงดังขึ้น มันมาพร้อมกับรอยยิ้มชวนหมั่นไส้บนใบหน้าเปื้อนเหงื่อ ดูจากสภาพแล้วคงไปเบียดเสียดคนจำนวนมากจากที่ไหนสักแห่งแน่ๆ

“ไปไหนมาวะ”
ผมถามก่อนจะส่งแก้วชาเขียวในมือให้ มันรับไปดูดจนหมดแล้วทิ้งตัวลงนั่งแทนที่ไอ้ตังค์

“เวทีกลาง ไปส่งไอ้บูมร้องเพลงมา”

“ตกลงว่าส่งไอ้บูมเหรอ”
ไอ้ไธถามพลางขมวดคิ้วมุ่น จะว่าไปก่อนหน้านี้บูมปฏิเสธเสียงแข็งเลยนี่หว่า ไม่ยอมขึ้นร้องเพลงท่าเดียวเพราะตื่นคนเยอะ

“เออดิ มันร้องเพลงเพราะสุดในคณะแล้ว”
ไอ้ฟาร์มเทน้ำแข็งใส่ปากแล้วเคี้ยวกร๊วมๆ อย่างสบายใจ หาได้รู้ตัวไม่ว่าผมจะใช้งานมันต่อ

“ก็จริง มึงตักน้ำแข็งแทนไอ้ตังค์เลย มันตายห่าคาห้องน้ำไปแล้วมั้ง”

“ไม่ๆ กูจะลากพวกมึงไปเวทีกลาง”
มันโบกมือพัลวันแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทันที ผมได้แต่นั่งย่นคิ้ว จะไปเวทีกลางตอนนี้ทำไมวะ งานยังไม่เสร็จเลย ไอ้ชัยยังไม่หิ้วเด็กมาเปลี่ยนกะ

“ไปยังไงไอ้สัด ใครจะขายน้ำ”

“กูโทรเรียกไอ้ชัยแล้ว”
มีการเตรียมพร้อม แบบนี้เวทีกลางต้องมรอะไรเด็ดๆ แน่นอน

“ดูมึงตื่นเต้นจังนะ”

“โอย ใครจะไม่ตื่นเต้นบ้างครับคุณเจ็ท เดือนมหา’ลัยปีที่แล้วจะขึ้นร้องเพลงอะ”
เออว่ะ น่าตื่นเต้นดี คนดังจะร้องเพลง

“อ๋อ”
ผมร้องตอบพลางพยักหน้า

“อืม”
ไอ้ฟาร์มครางรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่เดี๋ยวนะ... เมื่อครู่นี้มันบอกว่าใครจะร้องเพลง

“ห๊ะ! มึงว่าไงนะไอ้ฟาร์ม”
ผมพุ่งเข้าไปเขย่าคอไอ้ฟาร์มด้วยความตื่นเต้น ถ้าประมวลผลไม่พลาด คนๆ นั้นตือพี่ทาวน์ใช่ไหม!

“พี่ทาวน์จะขึ้นร้องเพลงเว้ย แค่ก ปล่อยคอเสื้อกู”
ไอ้ฟาร์มรัวมือตีกันไม่ยั้ง ผมรีบปล่อยแล้ววิ่งออกไปทางเวทีกลางโดยไม่ฟังเสียงโวยวายของใครที่ไล่หลังมา ช้าไม่ได้เดี๋ยวไม่ทันดูของดี

“เฮ้ย รอพวกด้วยสิไอ้เจ็ทเว้ย ชัยเดินไวๆ ไอ้สัด เพื่อนกูไปถึงดาวอังคารแล้ว!”
กูรอมึงอยู่ที่ทางช้างเผือกแล้วกะนนะเพื่อน

เสียงทุ้มขับร้องเพลงจังหวะจะรักของวี วิโอเลตแว่วมากระทบโสตประสาทการได้ยิน ผมที่กำลังวิ่งอยู่ถึงกับสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะ พี่ทาวน์... ทำไมเลือกเพลงนี้ มันโคตรจะหวานละมุนในความรู้สึกคนฟัง

เธอได้ยินเสียงนั้นหรือไม่ ดังมาจากที่ใด ได้ยินหรือเปล่า ฟังออกไหมว่าเสียงอะไร จากที่ไหนใกล้ไกล เสียงดังหรือเบา คงเป็นเสียง ข้างใน หัวใจที่สั่นไหวทุกคราว

ผมแหวกผู้คนที่เนืองแน่นมาจนถึงด้านหน้าของเวทีซึ่งมีพี่ฟายืนรออยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจเหลือเกิน พี่ทาวน์ขยับยิ้มและยักคิ้วข้างหนึ่งมาให้กัน เล่นเอาหัวใจนายภาคินกระตุกวาบเลยว่ะ

เธอได้ยินเหมือนกันหรือไม่ มันคือเสียงเต้นของหัวใจ ทุกๆ ครั้งที่เรานั้นใกล้ เสียงหัวใจของฉันมันบอกว่า

“ไอ้ทาวน์อยากให้มึงตั้งใจฟัง!”
พี่ฟาตะโกนแข่งกับเสียงดนตรี ผมหน้ารับแล้วทำตามทันที ถึงไม่บอกก็ตั้งใจฟังอยู่แล้ว เพราะรู้สึกได้ว่าเขาเลือกเพลงนี้เพื่ออยากร้องให้นายภาคินฟัง

ดีใจ ทุกครั้งที่เจอกัน ดีใจ เมื่อเรานั้นใกล้กัน เชื่อไหม ทุกครั้งที่ได้เจอ มันเป็นความสุขของหัวใจ เมื่อเราได้พบกันเสมอ ใจมันเต้นแรงทุกครั้งที่อยู่ใกล้เธอ

ผมร้องเพลงคลอตามโดยไม่ละสายตาจากใบหน้าหล่อที่จ้องตรงมาทางนี้เช่นกัน อยากบอกว่าหัวใจของนายภาคินก็เต้นแรฃทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ นายเมืองเหนือเหมือนกัน

เธอได้ยินเสียงนั้นหรือไม่ หากได้ยินเมื่อไร ช่วยบอกฉันที หลับตาฟังแล้วคงเข้าใจ ความรู้สึกข้างใน หัวใจที่มี มันคือเสียง ข้างใน หัวใจที่สั่นไหวทุกที

แบบนี้เขาเรียกว่าบอกรักทางอ้อมได้หรือเปล่าครับพี่ทาวน์ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลอยได้อยู่แล้ว ตอนนี้คล้ายกับว่าโลกทั้งใบมีแค่เราสองคนที่ยืนอยู่ตรงนี้

เธอได้ยินเหมือนกันหรือไม่ มันคือเสียงเต้นของหัวใจ ทุกๆ ครั้งที่เรานั้นใกล้ เสียงหัวใจของฉันมันบอกว่า ดีใจ ทุกครั้งที่เจอกัน ดีใจ เมื่อเรานั้นใกล้กัน เชื่อไหม ทุกครั้งที่ได้เจอ มันเป็นความสุขของหัวใจ เมื่อเราได้พบกันเสมอ ใจมันเต้นแรงทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้เธอ

จะดีอยู่แล้วเชียวถ้าสายตาของผมไม่ได้ปะทะเข้ากับแผ่นหลังบอบบางภายใต้ชุดเดรสสีชมพูอ่อน ผมลอนสวยพลิ้วไหวตามแรงลม พรีม... แฟนเก่าของพี่ทาวน์ที่กำลังยื่นช่อดอกไม้ให้นักร้องบนเวทีด้วยรอยยิ้มหวานจับใจท่ามกลางเสียงฮือฮาของผู้ชมรอบด้าน

ผมควรจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ตรงหน้าดีนะ




------------------------------------

รักของน้องเจ็ทสะดุดก้อนหินเด้อ....
แต่ไม่เจ็บมากหรอก ตอนต่อไปมาลุ้นกันเนอะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 24 - P.3 (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 11-11-2017 09:31:02
โหยยยยยย....แฟนเก่าเขาแสดงตัว ส่วนไอรเรามันแค่คนที่เขาบอกชอบแต่ไม่มีสถานะ นิ่งไว้ก่อนนะเจ็ท รอดูท่าทีพี่มันก่อน
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 24 - P.3 (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-11-2017 09:46:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 24 - P.3 (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 11-11-2017 09:58:22
 :L2:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 24 - P.3 (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mafiaziip ที่ 12-11-2017 11:12:30
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

นังพรีมมมมมมม ไม่จบไม่สิ้น  :ling1: :z6:
 
ใจเย็นไว้นะน้องเจ็ท พี่เขาไม่โลเลหรอกลูก
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 24 - P.3 (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 12-11-2017 15:42:29
ตอนต่อไปเลยได้ไหม
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 24 - P.3 (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: arakanji ที่ 12-11-2017 23:52:20
สนุกมาก ชอบมาก อ่านรวดเดียวเลยค่ะ 24 ตอน
จะรอตอนต่อไปนะค่ะ ขอเป็นแฟนงานเขียนของคุณด้วยคน
อย่าหายไปไหนนะค่ะ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุกๆมาให้อ่านค่ะ^^
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 24 - P.3 (11/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 13-11-2017 20:15:13
ชะนีพรีมนี้ตกลงนางจะเอาไงกันแน่ห่ะ !! :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 25 - P.3 (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-11-2017 08:27:42
แข่งครั้งที่ 25



นักร้องบนเวทีมองสาวสวยในชุดเดรสสีหวานด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาย่อตัวลงมารับช่อดอกไม้ แต่เธอคนนั้นกลับยื้อไว้ราวกับเล่นเกมเพื่อหาความสนุก พรีมต้องการทำอะไรท่ามกลางสายตาคนนับร้อยแบบนี้

ผมกำมือแน่นจนพี่ฟาที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่ลูบแขนเพื่อเป็นการปลอบประโลม ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากคนที่กำลังจมน้ำและหาทางรอดไม่ได้ เหมือนกับโลกกำลังโคลงเคลงใกล้พังทลายเต็มทน พี่ทาวน์จะทำยังไงกับแฟนเก่าของเขาล่ะ

“ทาวน์คะ...”
เสียงหวานเรียกชื่อเป้าหมายจนทำให้คนควบคุมต้องเบาเสียงดนตรีลงอย่างสอดรู้สอดเห็น ผมเข้าใจว่าใครๆ ก็ต้องอยากเผือกเรื่องของอดีตเดือนมหา’ลัยเป็นธรรมดา ผมรู้สึกว่าเวลาต่อจากนี้ตัวเองต้องได้รับแรงกระทบกระเทือนที่หัวใจอย่างรุนแรงแน่ๆ เพราะลางสังหรณ์ร้องเตือนว่าแฟนเก่าเขามาทวงคืน

“.....”
พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบรับแต่จ้องหน้าคู่กรณีเขม็งเหมือนกำลังพยายามอ่านใจ เสียงดนตรียังคงคลอเป็นแบล็คกราวน์ชวนให้บรรยากาศรอบๆ กลายเป็นสีชมพู ผมหายใจติดขัดจนต้องยกมือขึ้นขยำเสื้อตรงอกด้านซ้ายไว้แน่น กลัวเหลือเกินกับเหตุการณ์ต่อไป

“กลับมาคบกันเถอะนะ พรีมรักทาวน์”

ประโยคนั้นทำให้ผู้คนทั้งบริเวณส่งเสียงอื้ออึงทั้งเชียร์ ทั้งโห่ร้อง กรี๊ด ด่าทอ หรือแม้กระทั่งขับไสไล่ส่ง พี่ทาวน์ชะงักไปเหมือนกำลังตกใจที่โดนจู่โจมแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่รอฟังคำตอบหรือเดินหนีไปไกลๆ ดี ทำอะไรไม่ถูกเลยว่ะ ทำไมตอนซื้อหวยเดาเลขไม่ถูกเป๊ะแบบนี้บ้างล่ะ คงรวยอื้อไปนานแล้ว

“ไอ้เจ็ท...”
พี่ฟาครางชื่อผมก่อนจะเอื้อมมือเล็กๆ มาแตะไหล่ แต่ไม่รู้ขายาวของผมก้าวออกมาจากบริเวณนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หูทั้งสองข้างอื้ออึงไม่ยอมรับฟังสิ่งรอบตัว หัวใจกำลังบีบรัดจนเจ็บปวด คำตอบของพี่ทาวน์จะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่นายภาคินยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้

ผมลากสังขารเปลี้ยๆ ของตัวเองมาไกลจนถึงซุ้มขายเครปถอดเสื้อของวิศวะโยธาที่อยู่เกือบถึงประตูหลังมหา’ลัย ทิ้งร่างกายอ่อนล้าลงบนเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะโดยมีสายตามึนงงจากนายช่างทั้งหลายมองมา ด้วยความสงสัยว่า ‘มึงไปฟัดกับหมาที่ไหนมา สภาพถึงได้เยินขนาดนี้’ กูแค่เดินขยี้หัวมาตลอดทางเถอะ

“เป็นห่าอะไร ขายน้ำจนเพลียเหรอ”
ไอ้เอยที่นั่งอยู่ถัดจากผมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เดาเอาว่ามันคงอยู่ในช่วงพักเพราะตอนนี้จิณณ์กำลังขมักเขม้นทำเครปอยู่หน้าเตา ตอนเดินผ่านเห็นลูกค้ายกกล้องขึ้นถ่ายรูปพ่อค้าด้วย น่าจะเก็บเงินเพิ่มคนละสิบบาทนะว่าไหม ดูๆ ไปก็เปลืองตัวฉิบหาย

“ไม่คิดลามกสักวันได้ไหมไอ้เอย”
ขนาดผมขยับปากด่ามันยังเหมือนเสียงคนเพิ่งตื่นนอน แค่หนีคำตอบของพี่ทาวน์มา สภาพกูเยินขนาดนี้เลยเหรอวะ โธ่เว้ย ไอ้กาก ไอ้ป๊อด ถ้าเขาจะกลับไปหาแฟนเก่าก็ทำไปนานแล้วมั้ง คงไม่มานั่งบอกชอบกันอยู่หรอก แต่ก็อดคิดไม่ได้... ถ้าขืนเขาเปลี่ยนใจ กูก็หมาหัวเน่า

“ถามจริง มึงเป็นอะไร มาถึงไม่พูดไม่จา ทำหน้าอย่างกับคนอกหัก”

จึก เสียงมีดแทงทะลุเนื้อตัดขั้วหัวใจ มึงแอบเล่นของปะเนี่ยไอ้เอย กูอยากจะร้องไห้อัดกระปุกใส่ลูกพีชเชื่อมตรงหน้า

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
ผมตอบแล้วใช้มือขยี้ตาลวกๆ เพื่อกลบเกลื่อนหยดน้ำที่รื่นอยู่ตรงขอบตาออก ความกลัวสามารถทำให้มนุษย์แสดงความอ่อนแอออกมาไม่จำกัดว่าจะเป็นเพศอะไร ผู้ชายก็คน ร้องไห้เป็นไม่เห็นแปลก

“เดี๋ยวๆ หลังกลับจากเที่ยวทะเลมึงยังดี๊ด๊าว่าพี่ทาวน์บอกชอบอยู่เลย”
ไอ้เอยถามด้วยความงงก่อนจะเกาหัวแกรกๆ อย่างคนไม่ได้สระผมมาร่วมอาทิตย์ มึงช่วยเกรงใจกระปุกใส่ผลไม้บนโต๊ะหน่อย กลัวขี้รังแคตกใส่

ผมถอนหายใจเฮือกแล้วปิดเปลือกตาลง ภาพเหตุการณ์และเสียงของพรีมยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท เธอกล้ามาก ท่ามกลางคนเป็นร้อยขนาดนั้น ทำได้ยังไงกัน เอาความมั่นใจจากที่ไหนมา หรือเพราะว่ารักจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างกันนะ

“เมื่อกี้มึงได้ยินเสียงผู้หญิงไหม”
ผมถามเพื่อนพี่ชายทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ไม่อยากพบเจอความวุ่นวาย ขอพักสักครู่เถอะนะ

“เชี่ย ดึกดื่นค่อนคืนใครให้พูดเรื่องแบบนี้วะ ขนลุก”

“พ่อง กูหมายถึงเสียงจากเวทีกลางโว้ย”
ถึงกับต้องลืมตาขึ้นมาด่า หัวสมองคนเรียนวิศวะคิดได้แค่นี้หรือไงวะ อยากกระทืบให้ม้ามแตกจริงๆ หงุดหงิด

“ได้ยิน ที่ขอแฟนคืนดีอะนะ”
จึก มีดแทงเขาไปอีกหนึ่งแผล กูตายซ้ำตายซากจนเหนื่อยแล้ว

“เออ”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่มึงจะอกหัก”

“ถามเหมือนคนหูหนวก ไม่ได้ยินเหรอว่าผู้หญิงคนนั้นบอกว่ารักใคร”
ผมเริ่มโมโหที่ไอ้เอยทำเหมือนไม่เข้าใจเรื่องราว อยากจะถีบมันไปแทนที่จิณณ์เหลือเกิน ปรึกษาเหี้ยอะไรไม่เคยได้เลย

“ด่ากูอีก มึงลองเงี่ยหูฟังดิ ขนาดคนร้องเพลงยังได้ยินไม่ชัดเลย แม่ง อยู่ไกลปืนเที่ยงขนาดนี้”
พูดซะบ้านนอก แต่ก็จริงของไอ้เอย ระยะการได้ยินของจุดนี่คงไม่ชัดพอจะได้ยินอะไรชัดเจนอย่างที่ผมประสบมา คิดแล้วก็ปวดใจ

“พรีม... ขอพี่ทาวน์คืนดี”
ผมบอกด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาคมทอดมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ได้ทำให้รู้สึกสนุกเพราะตอนนี้หัวใจปวดหนึบแทบตลอดเวลา

“อะไรนะ!”
เสียงตะโกนจากคนด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ความคิดฟุ้งซ่านกระจัดกระจายหายไปในอากาศ อยากจะหันไปด่าให้มันลืมทางกลับบ้านแต่ก็กลัวเป็นภาระตัวเอง

“เสียงดังหาพ่อมึงเหรอไอ้จิณณ์”
ไอ้เอยหันไปด่าเจ้าของเสียงปรอทแตกนั่นด้วยใบหน้ามู่ทู่ มันกระชากแขนจิณณ์ให้ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ด้านข้าง ก่อนจะแย่งเครปเย็นในมือไปแดกหน้าตาเฉย ถ้าให้เดาคงทำให้ผม

“เดี๋ยวกูเอาตีนฟาดปากแตก”
จิณณ์แย่งขนมคืนจากไอ้เอยแล้วยัดใส่อุ้งมือผมที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้า ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของลูกพีชเชื่อมแล้วน้ำลายแตก แต่ไม่มีกระจิตกระใจจะกลืนมันลงท้อง ตอนนี้นายภาคินเข้าโหมดวิตกกังวลโดยสมบูรณ์แบบแล้ว เกลียดที่ตัวเองกลายเป็นคนคิดมากจัง

“หูย พี่ไม่สู้ครับ”
ไอ้เอยทำท่ากลัวแบบตอแหลก่อนจะลุกไปขายเครปให้ลูกค้าสาวสวยแทนการนั่งเผือก จิณณ์เอื้อมมือคว้าเสื้อช็อปที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาคลุมไหล่แล้วจ้องมาที่ผมเพื่อคาดคั้น

“มึงเล่ามาให้หมด”
จบคำสั่งของจิณณ์ ผมก็เล่าทุกอย่างที่ตัวเองเจอมาให้ฟังทั้งหมด สีหน้าของมันบ่งบอกให้รู้ว่าเครียดไม่แพ้กัน

“โธ่ๆ น้องชายกู เลยมานั่งเฉาเป็นมะเขือเหี่ยวที่นี่อะนะ”
มันพูดติดตลกแต่มือที่คอยลูบหัวเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าจิณณ์เป็นห่วงผมมากแค่ไหน ถึงจะชอบกัดกัน แดกดัน ดุด่า แต่ทั้งหมดก็มาจากความรักระหว่างพี่น้อง

“มึงเลิกเปรียบเทียบกูแบบเหี้ยๆ สักที”
ผมตวัดสายตามองมันอย่างหงุดหงิด ตอนนี้หลากหลายอารมณ์กำลังตีกันยุ่งเหยิง รู้สึกปวดขมับตุบๆ ร่างกายอยากพักแต่หัวใจกลับตื่นกลัว ป่านนี้พี่ทาวน์กับพรีมจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

“อยากให้มึงยิ้ม”
พี่ชายคนดีพูดเสียงอ่อนพลางฉีกยิ้มกว้างจนมองไม่เห็นลูกกะตา ผมถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ใครมันจะไปมีอารมณ์ทำแบบนั้นกัน อยากร้องไห้จะตายชัก

“ถ้าคนที่มึงรักกำลังถูกแฟนเก่าขอคืนดี ยิ้มออกเหรอไง กูไม่ใช่คนบ้า”

“มึงมันคนคิดมาก”

“กูเปล่า”
ผมปฏิเสธเสียงแผ่ว รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเผลอกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะแคร์และรักพี่ทาวน์มาก ถ้าเสียเขาไปคงทนไม่ไหว

“แล้วมึงจะวิ่งหนีมาทำไมวะ”
เซ้าซี้จังวะ แต่ผมรู้ว่ามันถามในฐานะพี่ชายที่พร้อมให้คำปรึกษากับทุกเรื่อง ขอบคุณและขอโทษที่เผลอขึ้นเสียงไป แต่จะให้พูดกับจิณณ์ตรงๆ ก็อาย ทำแบบนี้ล่ะดีแล้ว

“กูแค่กลัว”
ไม่มีอะไรต้องปิดบังกับคนในครอบครัว

“กลัวอะไร”

“กลัวใจพี่ทาวน์...”

“ทั้งๆ ที่กูบอกว่าชอบมึงน่ะเหรอ”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังอยู่ไม่ไกล มันแหบพร่า สั่นเครือปนเสียงหอบในเวลาเดียวกัน ผมคิดว่าตัวเองหูฟาดที่คิดว่าเป็นพี่ทาวน์แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงก็ได้แต่ตกตะลึง เขาตามมาถึงที่นี่ได้ยังไงกัน

“พี่...”
ผมครางเรียกคนตรงหน้าได้แค่นั้นเพราะตอนนี้สมองไม่สามารถประมวลผลอะไรได้อีกแล้ว ภาพตรงหน้าชี้ชัดว่าพี่ทาวน์พยายามตามหากันมากขนาดไหน เหงื่อที่ไหลจนเปียกชุ่มบนเสื้อนักศึกษาแขนยาว เสียงหอบหายใจราวกับคนวิ่งแข่งในสนาม ดวงตารีดุที่จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เห็นแบบนี้แล้วหัวใจเต้นแรงเลยว่ะ

“เออ กูเอง ไม่ใช่ผี”
พี่ทาวน์ตอบเสียงฉุนก่อนรับแก้วน้ำเปล่าเย็นๆ จากมือจิณณ์ไปดื่มดับกระหาย ผมลืมวิธีพูดไปชั่วขณะเมื่อเผลอจ้องมองลูกกระเดือกขยับตามจังหวะการกลืน ทำไมถึงได้เป็นคนมีช่วงลำคอยาวและเซ็กซี่ขนาดนี่ว่ะ เฮ้ย กูต้องอยู่โหมดดราม่าไม่ใช่หรือไง สติ!

“มา... มาได้ยังไงครับ”
ผมหลุบตาลงมองมือตัวเองที่ยังกำกรวยเครปเย็นอยู่ ได้แต่สบถในใจว่าทำไมกูไม่วางมันลงหรือทิ้งขนมนี่ไปสักที เพราะอยากกินเหรอ สับสนความรู้สึกฉิบหาย

“ก็ไอ้หมาตัวไหนมันวิ่งออกมาหน้าตาเฉยวะ สัด กูหามึงเกือบทั่วมหา’ลัย”
พี่ทาวน์ตบโต๊ะหลังพูดจบแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจกลิ่นมื้นท์ ดวงตารีจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ผมผงะถอยหลังจนเกือบตกเก้าอี้ แต่ดีที่ได้จิณณ์ช่วยประคอง

“ทะ ทำไม...”
ผมถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพยายามมองใบหน้าของพี่ทาวน์ว่ากำลังแสดงอารมณ์แบบไหน เขาพ่นลมหายใจยาวๆ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อแล้วออกแรงดึง เฮ้ย ใจเย็นนะพี่

“ไปกับกู”
พี่ทาวน์ออกคำสั่งพร้อมกระตุกเสื้อของผมหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณให้ลุกขึ้น

“ผม...”
ผมนั่งนิ่งเพราะกำลังกลัวว่าถ้าอยู่กันสองคนแล้วเขาบอกว่ากลับไปคบกับพรีมขึ้นมาจะต้องทำหน้าแบบไหน ต้องพูดยังไง แสดงความรู้สึกอย่างไร

“ภาคิน”
เชื่อไหมว่าผมขนลุกซู่ทันทีเมื่อได้ยินชื่อจริงจากริมฝีปากสีซีดนั่น ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พี่ทาวน์จะเรียกกันแบบนี้ ลางสังหรณ์บอกว่าถ้านายภาคินยังดื้อด้านคงตายศพไม่สวยแน่ๆ

“แหล่วๆๆ”
เสียงไอ้เอยกับจิณณ์ที่หนีไปยืนเกาะกลุ่มอยู่ไม่ไกลดังแว่วมา ผมแยกเขี้ยวใส่พวกมันก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เอาวะ มาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่มีอะไรต้องเสีย สู้กับความจริงจากปากพี่ทาวน์สักครั้งคงไม่ถึงกับตาย

“ครับ ไปก็ไป”

พี่ทาวน์เปลี่ยนจากดึงคอเสื้อเป็นจับข้อมือของผมแล้วลากเดินไปตามฟุตบาทสู่ลานจอดรถรวมที่เงียบสงบ ไม่มีแม้แต่หมาหรือแมวสักตัว แสงไฟนีออนส่องสว่างพอให้มองเห็นทุกอย่าง แต่การที่ร่มไม้วูบไหวกลับทำให้รู้สึกวังเวงชอบกล ดูๆ ไปเหมาะแก่การหล่อเหยื่อมาฆ่าชะมัด

“วิ่งออกมาไม่เหนื่อยหรือไง”
พี่ทาวน์ผละมือออกไปแล้วทิ้งสะโพกพิงกับรถของตัวเองที่จอดอยู่ กอดอกมองหน้าผมอย่างคาดคั้น บรรยากาศชวนอึดอัดจนอยากหนีจริงๆ เหนื่อยในความหมายของเขาคืออะไร ใจหรือกาย

“ก็... นิดหน่อยครับ”
ผมตอบรวบทั้งความรู้สึกทางกายและจิตใจ

“หึ ทำหน้าเหมือนกับจะตาย”
พี่ทาวน์หัวเราะเสียงต่ำก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิทที่ไร้ดาวแต่มีพระจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนนั้น ถ้าไม่มีความอึดอัดและกระอักกระอวนระหว่างเราคงเป็นคืนที่โรแมนติกหน้าดู

เขามองพระจันทร์ แต่ผมมองหน้าเขา...

“ผมกลัว...”
ผมตอบเสียงแผ่วราวกระซิบ สายลมอ่อนช่วงเดือนมกราคมชวนให้รู้สึกหนาวจับใจ

“กลัวอะไร”
พี่ทาวน์ละสายตาจากสิ่งสวยงามเบื้องบนมามองใบหน้าซังกะตายของผม เกิดความเงียบระหว่างเราชั่วครู่หนึ่ง ควรบอกสิ่งที่ตัวเองคิดให้เขาฟังจริงๆ น่ะเหรอ

“อย่าเงียบ”

“ผมเป็น... แค่คนที่พี่ชอบ แต่พรีมเป็นแฟนเก่าที่เคยคบมาหลายปี”

“แล้วไง”
น้ำเสียงเรียบเฉยไม่เคยเปลี่ยนทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ไม่น่าพูดเลยจริงๆ

“ผม...”
พูดไม่ออก นั่นสินะ แล้วยังไงวะ ความสำคัญของใครมากกว่าก็ควรรู้อยู่แก่ใจ ผมเค้นยิ้มอย่างอ่อนแรง ต้องอกหักจริงๆ เหรอ

“กูไม่ได้รักพรีมแล้ว จะให้ย้ำกี่ครั้ง”
อ้าว คดีพลิกเฉย สรุปว่าผมคิดมากโคตรๆ ไปคนเดียวสินะ แต่ดอกไม้ในมือที่เขาถือติดมาด้วยคืออะไรวะ

“แต่พี่รับดอกไม้ของพรีมมา”
ผมมองดอกไม้ในมือของพี่ทาวน์ไม่วางตา จำได้ว่ามันเป็นของพรีมไม่ผิดแน่ๆ

“กูรับตามมารยาทแล้วบอกพรีมไปว่า ‘ผมรับแค่ดอกไม้นะครับ ส่วนความรู้สึกเอากองไว้ตรงนั้นก็พอ’ เข้าใจหรือยัง”
พี่ทาวน์โยนดอกไม้ในมือทิ้งอย่างไม่ใยดีแล้วขยับเข้ามาใกล้จนร่างกายแทบแนบชิดกัน ผมหันหลังด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าอีกคนจะจู่โจมขนาดนี้ หัวใจเต้นตึกตักจนน่ารำคาญ เขายอมพูดอะไรยาวๆ แบบนี้เพราะแคร์กันใช่ไหม

“ผะ ผม...”
ติดอ่างเพราะไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปดี มันทั้งโล่งอกและดีใจที่เขายังอยู่กับผมตรงนี้ไม่ได้เดินกลับไปหาใครที่ไหน จากที่เคยหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ ตอนนี้กลับอุ่นด้วยอ้อมกอดจากด้านหลัง พี่ทาวน์กำลังทำในสิ่งเหนือความคาดหมาย

“เป็นแฟนกัน”
ถ้อยคำกระซิบข้างหูช่างแผ่วเบาแต่กลับดังก้องอยู่ในหู ผมสะดุดลมหายใจ ดวงตาเบิกกว้าง ตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นรัวเหมือนจังหวะเพลงร็อก ปลายจมูกที่กดลงบนไหล่ยิ่งย้ำเตือนว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง

“อะ อะไรนะครับ!”
ผมตะโกนถามเสียงสั่นทั้งที่ได้ยินชัดเจน ตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวราวกับหยุดนิ่งไปหมด ภาพตรงหน้าเบลอๆ คล้ายดวงตากำลังจะปิดเพราะง่วงนอน หรือกำลังฝันวะ

“หูตึงหรือไง”
เสียงฉุนๆ ดังอยู่ข้างใบหู ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอชวนให้รู้สึกวาบหวาม ผมควรทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี อยากแหกปากร้องด้วยความดีใจ อยากหมุนตัวกลับไปกอดพี่ทาวน์ให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยากบอกรัก แต่ร่างกายมันสั่นจนควบคุมอะไรไม่ได้เลย

“มะ มันเหมือนผมกำลังฝัน”
ผมพูดด้วยเสียงเพ้อๆ ก่อนจะทาบทับมือลงบนแขนแกร่งที่โอบรอบเอวตัวเอง พี่ทาวน์สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ผละหนีไปไหน เขาทำเพียงแค่คลายกอดลงไม่ให้อึดอัดก็เท่านั้น

“มึงหลับกลางหาวหรือไง”
คำเหน็บแนมทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆ จนทำให้พี่ทาวน์ยกกำปั้นทุบลงกลางหลังแล้วผละออกห่าง สายลมเย็นที่พัดผ่านมาทำให้รู้ว่าตัวเองต้องการอ้อมกอดของเขามากแค่ไหน

ถ้าพี่ไม่กอด ผมจะกอดพี่เอง

“ผม... ทำอะไรไม่ถูกแล้วว่ะ”
หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่กลับไปยืนกอดอกพิงรถ ส่งสายตาหงุดหงิดมาให้ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลยสักนิด เพราะรอบๆ ตัวพวกเราคล้ายกับมีละอองแห่งความรักลอยวนอยู่รอบๆ

“จะเล่นตัวอีกนานไหม กูชักรำคาญแล้วนะ”
ถึงปากจะพูดคำเชือดเฉือนความรู้สึกออกมา แต่ใบหน้าหล่อกลับแดงเหมือนลูกมะเขือเทศ หรือผมเมาอากาศจนภาพที่เห็นเบลอๆ วะ พี่ทาวน์คงไม่ได้เขินใช่ไหม... อ่า น่ารักชะมัด

“พี่ทาวน์อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิครับ พูดอีกครั้งหนึ่งนะ นะครับ”
ผมกระพริบตาปริบๆ แล้วเป็นฝ่ายใจกล้าหน้าด้านดึงเขาเข้ามากอดแทน ความอบอุ่นที่กลับมาอีกครั้งทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น แต่ครั้งนี้มีสองดวงแหนะ จังหวะเดียวกันซะด้วย

พี่ทาวน์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อแยกเขี้ยวใส่ ผมหัวเราะด้วยความเอ็นดูเพราะยักษ์ในอ้อมกอดเขินซะแล้ว เขินมากด้วยล่ะ อย่าคิดว่าที่แอบยิ้มจะไม่มีใครเห็นนะเออ

“สัด... เป็นแฟนกัน”
พี่ทาวน์ด่าแต่ก็ยอมพูดประโยคนั้นออกมาก่อนจะอ้าปากงับเข้าที่ไหล่ของผมเต็มแรงเพื่อเป็นการเอาคืนที่โดนแกล้ง แทนที่นายภาคินจะร้องโอดโอยเพราะเจ็บกลับฉีกยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า อ้อมแขนกระชับแน่นขึ้นเพื่อส่งถ่ายความรู้สึกที่มีให้กับเขาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

“ตกลงครับครับ! ผมชนะใจหมอแล้วสินะ”

“เออ”

ในที่สุดก็ทำสำเร็จสักที ผมก้มลงจูบหน้าผากของพี่ทาวน์อย่างแผ่วเบาเพื่อสื่อความหมายว่าจากนี้และต่อไป ‘นายภาคินจะรัก ทะนุถนอม ดูแลและอยู่เคียงข้างนายเมืองเหนือให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทำเพื่อคนรักได้’

ความรักเนี่ย... หวานเนอะ

เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความสดชื่น ไม่มีอาการงัวเงียหรือเดือดร้อนให้จิณณ์ต้องแหกปากปลุก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่น่าตกใจสำหรับคนที่รู้จักกันมาตลอดชีวิต มันใช้ดวงตาคมมองกันตั้งแต่หัวจรดเท้า จับพลิกหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อหาสาเหตุความผิดปกตินี้ กูแค่มีความสุขสุดๆ แปลกตรงไหนวะพี่ชาย

จิณณ์เลิกสนใจผมแล้วหันกลับไปทำอาหารเช้าอย่างข้าวต้มปลาเก๋าใส่ขิงดับกลิ่นคาว มีไข่เค็มและไข่เยี่ยมม้าอย่างละฟองเป็นเครื่องเคียง ถ้ายำสักหน่อยคงได้รสชาติมากกว่านี้ แต่ขี้เกียจทำว่ะ กินแค่นี้ก็พอแล้ว

“เบาๆ หน่อย ไอ้น้อง”
จิณณ์พูดขึ้นขณะที่ตักข้าวต้มใส่ถ้วยแล้วส่งมาให้ กลิ่นหอมๆ และควันสีขาวตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ผมสูดลมหายใจก่อนจะทำหน้าฟิน ตักผักชี โรยพริกไทย อร่อยเหาะแน่

“อะไรของมึง”
ผมถามมันกลับในขณะที่คนทุกอย่างในถ้วยให้เข้ากัน ช้อนในมือสังหารไข่เยี่ยวม้าออกเป็นสองซีก ความมันเยิ้มของไข่แดงชวนให้น้ำลายแตกจริงๆ โคตรฟิน

“ยิ้มหน้าบานกว่าถ้วยแล้ว หมั่นไส้”
เสียงล้อเลียนทำให้ผมชะงักมือ เหลือบดวงตามองหน้าจิณณ์ด้วยท่าทางกวนตีนแล้วยักคิ้วให้ อิจฉาล่ะสิ หึหึ

“ก็คนมีความสุข”
ผมจ้วงข้าวต้มใส่ปากหลังจากเป่าจนมันอุ่น สัมผัสนุ่มลิ้นของเนื้อปลากับตัวข้าวที่ต้มจนได้ที่นั้นทำให่รสชาติเหนือคำบรรยายจริงๆ จิณณ์ยังคงมองกันด้วยสายตาล้อเลียน ต้องการอะไรวะ

“จ้าๆ อย่างกับถูกเลือกไปเป็นพระเอกหนัง”
อะไรของมึง

“หนังอะไร”

“GV”

“ไอ้เชี่ย แค่ก ขนลุก ใครจะไปอยากเล่น!”
ผมสำลักข้าวแทบตาย มันก็ยังอุตส่าห์ใจดียื่นแก้วน้ำมาให้ดื่ม ไอ้เหี้ย ไม่น่าเสวนากับคนอย่างมีงเลยให้ตาย เสียบรรยากาศชะมัด กูชอบพี่ทาวน์ ไม่ใช่ผู้ชายคนไหนก็ได้!


“กับพี่ทาวน์ก็ไม่อยากเล่นเหรอวะ”
คำถามที่มาพร้อมประกายแวววาวในดวงตานี่มันอะไรกัน แล้วคนอย่างผมที่รักพี่ทาวน์ยิ่งกว่าตัวเองจะตอบว่ายังไงล่ะ

“อยาก!”

“คิดบ้างก็ได้มั้งมึง”
จิณณ์ถึงกับเบะปากใส่ พอพูดอ้อมก็หาว่ากระแดะ พอพูดตรงก็หาลามก จะเอายังไงกับกูห๊ะ

“คิดมาเกือบปีแล้ว ยังไม่พออีกเหรอ”
ผมตอบหน้าตายก่อนจะแย่งคว้านไข่แดงเค็มมาทั้งลูก จิณณ์ถึงกับถลึงตาใส่ ช่วยไม่ได้นะ ก็กูไม่ชอบไข่ขาวนี่หว่า

“มึงนี่บ้ากามใช้ได้จริงๆ กูก็มีความสุขนะที่น้องได้เมียหรือว่าผัววะ”
มันถามเสียงกลั้วหัวเราะ ผมถึงกับสำลักไข่แดงเค็มที่เพิ่งกินเข้าไป ไอ้บ้านี่ เอาคืนกันหรือไงวะ แสบนักนะมึง

“เมียสิวะ!”
ผมโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ถึงจะรู้สึกแสบคอแสบจมูกก็เถอะ ยกน้ำขึ้นดื่มอึกๆ ต่อด้วยความโมโห คิดว่าคนอย่างนายภาคินเหมาะกับการไปนอนครางใต้ร่างคนอื่นหรือไง บอกเลยว่าไม่มีทางเว้ย

“คิดว่าพี่ทาวน์จะยอมให้มึงควบหรือไง”
แล้วมึงคิดว่าพี่ทาวน์เป็นม้าหรือไง ดูแม่งใช้คำสิ เอาซะกูหน้าร้อนเลยไอ้พี่เลว! เพิ่งคบกันได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ทำไมต้องชวนคิดเรื่องอกุศลด้วยวะ เออ แล้วถ้าพี่ทาวน์ไม่ยอมจริงๆ ล่ะ ควรหาทางแก้ไขยังไง อืม...

“ถ้าแบบนั้นต้องเป่ายิงฉุบ!”
วิธีปัญญาอ่อนที่ช่วยตัดสินทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ไม่ได้วัดกันที่ความฉลาด ความแมนหรืออะไรทั้งนั้น เพราะมันใช้ดวงล้วนๆ

“คนดวงซวยอย่างมึงโดนเสยตูดแน่ๆ”

“ตายซะเถอะ!”
ไล่เตะพี่รับอรุณก็เข้าท่าดีเหมือนกัน

วันนี้ผมเดินทางไปมหา’ลัยด้วยฟีโน่คู่ใจเหมือนเดิมเนื่องจากเรียนคนละเวลากับจิณณ์ ส่วนเพื่อนรักอย่างไอ้ไธก็เพิ่งหอบสังขารเปื่อยๆ ติดรถพี่แทนมาจากบ้าน แดกเหล้าแล้วแฮงค์ น่าสงสารจัง

ลานคณะยามใกล้เที่ยงเต็มไปด้วยเด็กหลากหลายชั้นปี เสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างกับตลาดสดเป็นเอกลักษณ์ไม่เคยเปลี่ยน ผมสไลด์ตัวเข้าไปจองที่ว่างเพื่อนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระรอเวลากินข้าวเที่ยง

“คุณเจ็ทครับ”
เสียงเนิบนาบของไอ้ตังค์ดังขึ้น แต่ผมไม่ได้สนใจมันนักเพราะกำลังชมนกชมไม้อย่างอารมณ์ดี เมื่อเช้ามีข้อความบอกให้ตั้งใจสอบเก็บคะแนน กำลังใจเปี่ยมมาก แต่ที่ทำไปเมื่อครู่นี่แทบลากเลือด บางข้าจำไม่ได้ว่าเคยเรียนตอนไหนด้วยซ้ำ

“อือ...”

“ลืมกินยาเหรอครับ”
ผมขมวดคิ้วพลางยกมือขึ้นแตะหน้าผาก ตัวไม่ร้อนนี่หว่า เฮ้ย กูไม่ได้ป่วยนะไอ้ตังค์ มึงบ้าปะเนี่ย

“หา ยาอะไรวะ”
เกาหัวประกอบอาการสงสัยขั้นสุด

“ยาระงับประสาทครับ เห็นนั่งเหม่อแล้วก็ยิ้มมาครึ่งชั่วโมงแล้ว”
ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วพุ่งไปคว้าคอเสื้อนักศึกษาไอ้ตังค์ด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ เดี๋ยวนี้พัฒนาสกิลการปากดีฉิบหาย อยากให้มึงกลับไปติดการ์ตูนเหลือเกินจะได้เงียบซะบ้าง

“ไอ้ตังค์... เดี๋ยวนี้เหิมเกริมกล้าด่ากูเหรอ”
ผมกระตุกเสื้อแน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าดวงตาใต้กรอบแว่นจ้องเขม็งไม่มีแววกลัวเกรง ที่จริงแค่อยากแกล้งมันก็เท่านั้น แสดงอารมณ์บ้างสิวะ อย่าเอาแต่เฉยชาเหมือนพี่ทาวน์ มึงไม่น่ารักอย่างเขาสักหน่อย

“ผมพูดตามที่เห็นนะครับคุณเจ็ท”

“ไอ้...”
ด่ามันไม่ออกเลยได้แต่ทำปากพะงาบๆ เพราะมันคือความจริง ยิ้มก็หาว่าบ้า ทำตัวยังไงถึงจะเรียกว่าปกติวะเนี่ย

“อย่าไปมีเรื่องกับมันเลย ผัวดุจะตาย”
ไอ้ฟาร์มตีแปะๆ ลงบนแขนของผมทำให้ต้องผละมือออกจากคอเสื้อเด็กเนิร์ดแล้วหันไปขมวดคิ้วใส่มันแทน เมื่อครู่พูดอะไรนะ ผัวใคร ใครมีผัววะ

“ห๊ะ ผัวที่ไหนวะ”

“คุณฟาร์ม ห้ามพูดนะ!”
ไอ้ตังค์พุ่งเข้าไปปิดปากไอ้ฟาร์มที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันที โดยไม่สนว่าขนมที่มันถือเมื่อครู่จะหล่นลงพื้นแล้วก็ตาม เดี๋ยวนี้หัดมีความลับเหรอวะ แบบนี้ต้องเค้นคอ!

“กูเป็นคนไม่มีความลับกับเพื่อนว่ะตังค์”
ไอ้ฟาร์มปัดมือเพื่อนออกจากปากแล้วขยับมาเบียดที่เก้าอี้ตัวเดียวกับผมเพื่อหลีกหนี ส่วนไอ้ไธทำหน้าที่ดีโดยเดินไปนั่งคั่นแทนที่ ไอ้ตังค์ชะงักทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ แต่ไม่มีใครสงสารมันหรอก เชื่อเถอะ

“อย่านะ ผมขอร้อง...”
ปากคอสั่น ยกมือขึ้นกุมไว้ที่หน้าอกราวกับขอร้อง ดูเหมือนไอ้ฟาร์มจะการ์ดอ่อนเพราะมันเม้มปากแน่น เฮ้ย อย่าหลงกลมารยาของไอ้เนิร์ดดิ นี่มันปัญหาระดับชาติเลยนะเว้ย

“อายเหรอที่คบกับกู”
ทุกคนหันขวับไปมองทางต้นเสียงที่ไม่รู้เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของมันบึ้งตึง รังสีดำทะมึนแผ่อยู่รอบกาย เรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่ง พวกมึงเคลียร์กันเอาเอง แต่อยากเสือกว่ะ ไปตกลงคบกันตอนไหน

“คะ คุณเอย”
ผมเบะปากใส่ไอ้ตังค์ทันที พอเป็นคนอื่นละเสียงสั่นเชียวนะมึง กลัวขนาดนั้นเชียว ทำหน้าสำนึกผิดแทบไม่มันเลยสินะ หมั่นไส้ว่ะ

“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งสร้างดราม่า ตกลงพวกมึงคบกันแล้วเหรอ”
ผมมันพวกความอดทนต่ำเลยถามออกไปขัดจังหวะ ก่อนที่พวกมันจะตีกันใหญ่โต ไอ้ตังค์หันมาถลึงตาใส่

“เออ”
คราวนี้ไอ้ตังค์หันไปจ้องหน้าคู่กรณีอีกคนแทน แต่ไม่ได้ทำท่าทีเกรี้ยวกราดใส่ เหมือนลูกหมากำลังอ้อนเจ้าของมากกว่า สองมาตรฐานชัดๆ

“เมื่อไหร่วะ”
ไอ้ไธถามต่อ

“คืนวันงานโอเพ่นเฮ้าส์”
คืนเดียวกับผมเลยเว้ย สุดยอดๆ หึหึ

“ร้าย ~ บังคับไอ้ตังค์ปะเนี่ย”
คนที่รู้เรื่องอยู่แล้วอย่างไอ้ฟาร์มถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียนพลางเอื้อมมือไปตบๆ ที่ไหล่ของไอ้ตังค์เหมือนปลอบใจเลยโดนแยกเขี้ยวใส่กลับมา

“ระดับกู สมยอม โอย อย่าหยิก”
ไอ้เอยร้องเสียงหลงก่อนจะดึงมือที่ประทุษร้ายตัวเองมากอบกุมไว้แน่น คนก่อเหตุก้มหน้าจนคางชิดอก แต่อย่าหวังว่าคนตาดีอย่างผมจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง ไอ้ตังค์มันเขิน!

“พูดอะไรไม่อายเลยนะครับ”
เสียงมันดุแต่กลับสั่นมาก อยากแกล้งว่ะ แต่ไอ้เอยยืนอยู่ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน เพราะจิณณ์เคยบอกว่ามันเป็นคนขี้หึงมาก

“มึงเขินสินะ หึหึ”
ไอ้เอยใช้ปลายนิ้วแตะคางแฟนสุดที่รัก ออร่าสีชมพูฟุ้งกระจายจนไอ้คนที่นั่งเบะปากอยู่นานถึงกับทำเสียงจิ๊จ๊ะ ไอ้ฟาร์มมันอิจฉาแน่ๆ

“รู้แล้วยังจะถาม”
จ้า รู้ใจกันจังเลย มีมองค้อนด้วยท่าทางน่ารักด้วย หมั่นไส้วุ้ย

“ไปเดทกันดีกว่านะที่รัก”
อ่าวๆ มึงไม่ทะเลาะกันแล้วเหรอวะ มีกอดคอเพิ่มความสนิทสนมด้วย โอย พี่ทาวน์อยู่ที่ไหน ผมคิดถึงเว้ย



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 25 - P.3 (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-11-2017 08:28:09
“โอ้โห... ไวไฟฉิบหาย กูกับพี่ฟายังอยู่จุดเริ่มต้นอยู่เลยอะ”
ไอ้ฟาร์มบ่นกระปอดกระแปดขณะนั่งเท้าคางมองคู่รักแปลกประหลาดเดินหยอกล้อกันไปที่รถสีชาเย็น ผมสงสารมันแต่ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนพี่ฟาก็ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น แต่ทางฝั่งเรากลับไม่ทำอะไร เขิน อาย กลัว หรือความเจ้าชู้มันตายไปแล้ว แค่จีบคนที่ชอบจะยากขนาดนั้นเชียว

“พยายามต่อไปนะฟาร์ม กูลอยลำแล้ว”
ผมตบบ่ามันด้วยความเห็นใจแต่ใบหน้ากลับยิ้มระรื่นจนปากจะฉีกถึงหู ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากจิณณ์กับไอ้ไธ

“เดี๋ยว หมายความว่าไงวะ”
มันหันขวับมามองผมพลางขมวดคิ้วแน่น นิ้วสั่นๆ ชี้หน้าอย่างหาเรื่อง

“กูคบกับพี่ทาวน์แล้วว่ะ”

“เฮ้ย มึงอย่าตลก กูซีเรียสนะ!”
มันลุกขึ้นตบโต๊ะจนคนอื่นๆ หันมองด้วยความสนใจ ผมจึงต้องกระตุกชายเสื้อไอ้ฟาร์มให้นั่งลง มึงไม่อายแต่กูอาย

“กูเป็นพยานได้ มันพูดเรื่องจริง”
ไอ้ไธยืนยันอีกเสียงจนไอ้ฟาร์มถึงกับมือไม้อ่อนกระแทกกับโต๊ะจนน้ำตาคลอ โธ่... เพื่อนรักคนกาก

“ฮึก พวกมึงทิ้งกูไปมีแฟนกันหมดเลย แง”
มันดิ้นพล่านอยู่บนเก้าอี้ พวกผมต่างขยับหนีเพราะไม่อยากอยู่ใกล้คนบ้า ทำตัวอย่างกับเด็กโดนพ่อแม่ทิ้งไปได้ แค่มีแฟนเฉยๆ ยังไม่หนีไปไหนสักหน่อย

“ใจเย็นๆ กูยังโสด”
ไอ้ไธพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปตบหัวคนบ้าที่ยังแหกปากโยเยไม่หยุด มันชะงักก่อนจะช้อนตามองอย่างมีความหวัง แต่เพียงครู่เดียวกลับจ้องเขม็ง ผีเข้าเหรอมึง

“หึ! เดี๋ยวมึงกับจิณณ์ก็เป็นแฟนกัน กูรู้กูเห็น”
พูดเหมือนมึงเลี้ยงพรายกระซิบ กูชักจะหลอนแล้วนะ บ้านมึงเปิดสำนักหมอผีปะเนี่ย เพราะที่มันสงสัยคือความจริง อีกไม่นานไอ้ไธคงเป็นฝั่งเป็นฝากับจิณณ์แล้ว

“มึงเลี้ยงกุมารทองเหรอไง”
ไอ้ไธยังคงถามติดตลก

“หรือไม่จริง”
ไอ้นี่ก็เบะปากจนน่าเกลียด

“เออ แค่รอวันวาเลนไทน์เฉยๆ”
สุดท้ายไอ้ไธก็ยอมแพ้เฉลยความจริงออกมา ไม่ใช่เพราะมันหรอกที่มานั่งรอวันวาเลนไทน์บ้าบอ คือความอินดี้ของคนเรียนวิศวะนู่น คบกันเมื่อไหร่ก็ความรู้สึกเดิมปะวะ ไม่เข้าใจจริงๆ

“ฮึก... ฮือๆๆๆ”
ไอ้ฟาร์มแหกปากร้องไห้พลางบีบน้ำตาจนพวกผมได้แต่ถอนหายใจกับสภาพคนปัญญาอ่อนตรงหน้า เกินเยียวยาแล้วจริงๆ ถ้าพี่ฟามาเห็นคงได้มีถอดใจถอยกลับไปอยู่ในที่ของตัวเองแน่ๆ ใครอยากจะมีผัวเป็นคนบ้าบ้างล่ะ

“รำคาญเว้ย หยุดร้องไห้สักที”
ผมหัดข้อนิ้วประกอบคำพูดแล้วจ้องหน้ามันเขม็ง ไม่ได้รำคาญแต่อายเพื่อนร่วมโลกนี่ล่ะ มันหุบปากฉับเมื่อสายตาสบกัน คงกลัวว่าจะโดนต่อยจริงๆ สินะ หึหึ

“ก็เสียใจอะ ต่อไปพวกมึงคงทิ้งกู ฮึก”
ยังมีเสียงสะอื้น เดี๋ยวผมจะต่อยมันจริงๆ แล้วนะ

“รู้ตัวก็ดี ถือว่าพวกกูเอาคืนที่เมื่อก่อนมึงเอาแต่ติดหญิงแล้วกัน”
คำพูดของไอ้ไธทำให้ผมพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน เห็นด้วยกับมันที่สุด แต่ก่อนไม่ว่าป๋าฟาร์มจะมีเวลาว่างมากแค่ไหนก็เทให้กับสาวๆ เพื่อนหรือก็แค่หมาหัวเน่า

“.....”
ไอ้ฟาร์มถึงกับหุบปากฉับไมต่อล้อต่อเถียงเหมือนเคยแถมยังค่อยๆ ก้มหน้าลงต่ำเพื่อหลบสายตา พอแบบนี้ทำเป็นสำนึกผิด มันน่าหนีไปกินข้าวกับไอ้ไธแค่สองคนไหมล่ะ

ผมเลิกสนใจไอ้ฟาร์มแล้วหันมาพูดเรื่องเกมที่กำลังเล่นอยู่แทน ตอนนี้ติด Mario Odyssey เป็นเกมแนวผจญภัยฝ่าด่านต่างๆ มีบางฉากที่เป็นมาริโอ้แบบสองมิติที่เราคุ้นเคยในวัยเด็ก กราฟิกมันสวยดี

“ไง พวกมึง”
เสียงหวานๆ ของใครบางคนเอ่ยทักทายขัดจังหวะผมที่กำลังเล่าเรื่องหนังผีที่เพิ่งดูแบบออนไลน์ไปเมื่อหายวันก่อนให้ไอ้ไธฟัง ประเด็นมันอยู่ที่จิณณ์แทบกระโดดขึ้นมานั่งเกยตัก ก็เลยชี้โพรงให้เพื่อนลองทำตามดู นี่ไม่ได้สนับสนุนให้พี่ชายมีผัวเลยนะเออ

“เฮ้ย มาได้ไงพี่ฟา”
และเป็นผมเองที่ทักทายเขากลับด้วยคำถาม ส่วนไอ้ฟาร์มที่มองเขาตาเป็นมันกลับปิดปากเงียบ เจอหน้ากันทีไรใบ้แดกทุกที มึงช่วยเอาความเพ้อพกตอนอยู่กับเพื่อนออกมาใช้บ้างสิวะ

“มาชวนไปกินข้าวน่ะ”
พี่ฟาบอกก่อนจะยักคิ้วจึกๆ มีเหลือบสายตามองไอ้ฟาร์มเล็กน้อยแต่ไม่นานก็เลิกสนใจ ถ้าเป็นผมคงตะครุบเขาไปแล้วล่ะ เดินมายั่วถึงที่ ยืนห่างแค่ไม่ถึงฟุต โอกาสทองชัดๆ

“พวกผมเหรอ”
ไอ้ไธชี้นิ้วกวาดไปทั่ว

“เออ ก็ทุกคนนั่นล่ะน่า”

“นึกว่ามาชวนไอ้ฟาร์มคนเดียวซะอีก”
ผมเย้าพี่ฟาด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ แอบชำเลืองมองเพื่อนสนิทที่แอบยิ้มเงียบๆ คนเดียวแล้วหมั่นไส้ มึงกลายเป็นลูกไก่ขี้กลัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย น่ารำคาญฉิบหาย จะทำอะไรก็ไม่ทำสักที

“พี่ไม่โง่ทอดสะพานให้คนกากหรอกน่า ตกลงจะไปด้วยกันปะ”
พี่ฟาใช้คำพูดแทงลงบนหัวใจไอ้ฟาร์มซะเต็มแรงแถมยังใช้สายตาดูถูกดูแคลนมันอีก เอาแล้วไง มึงจะแดกแห้วก็คราวนี้ล่ะเพื่อน พวกกูก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ถึงจะชิ่งไปมีแฟนก็ใช่ว่าเก่งเรื่องความรัก

“อึก”
ถึงขั้นสะอึกเลยเหรอ น่าสงสารจัง

“คือ...”
ผมลังเลเพราะจะให้ไปนั่งกินข้าวกับพี่ฟามันก็ยังไงอยู่ เหมือนเด็กสถาปัตย์จะรุมทำร้ายเด็กแพทย์ยังไงไม่รู้

“ไอ้ทาวน์ก็ไปนะ มันจอดรถรออยู่ตรงนู่น”
พี่ฟาฉีกยิ้มกว้างแล้วชี้ไปที่ริมฟุตบาทที่ผมไม่คิดจะสนใจว่าใครจอดรถอยู่ตรงนั้น แต่พอได้รู้ความจริงร่างกายก็ลุกพรวดขึ้นอย่างอัตโนมัติ หัวใจเต้นแรงราวกับเจอพ่อมดขี้ไม้กวาดผ่านหัวไป

“ไปครับ พวกมึงลุก!”
สวรรค์ทรงโปรด นึกว่าวันนี้จะทำได้แค่คุยโทรศัพท์กันซะแล้ว

“สวัสดีครับพี่ทาวน์”
ผมรีบวิ่งไปที่รถก่อนใครเพื่อนเพราะคิดถึงคนที่แยกจากกันไปเมื่อคืน จะหาว่าเห่อแฟนก็เอาเถอะ ยอมรับหมดนั่นล่ะ ก็คนมันรักมากนี่หว่า ก้มตัวลงฉีกยิ้มให้พี่ทาวน์อย่างเป็นมิตร แทบพุ่งไปกอดด้วยซ้ำแต่ตืดที่ว่ามีประตูกั้นอยู่กับเสียงล้อเลียนจากด้านหลัง

“อืม ขึ้นมานั่งข้างหน้า”
พี่ทาวน์ตบเบาะข้างตัวเองเป็นสัญญาณให้ขึ้นไปนั่ง ผมเลิกคิ้วมองด้วยความงงและตกใจ เอาจริงดิ จะเปลี่ยนตุ๊กตาหน้ารถง่ายๆ แบบนี้พี่ฟาจะแดกหัวกันไหม แย่งที่เขาเนี่ย

“คะ ครับ”
แต่ผมเป็นเด็กดีไงเลยรีบเปิดประตูรถอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาก็โดนมือปริศนาคว้าท่อนแขนเอาไว้ซะก่อน พี่ฟาแผ่รังสีทะมึนออกมาเชียว... เคลียร์กันเอาเองเนอะ นายภาคินไม่เกี่ยว

“อ้าวเฮ้ย แล้วกูอะทาวน์ ทำไมทำงี้อะ”

“รถกู”
พี่ทาวน์บอกหน้าตาเฉยก่อนพยักพเยิดหน้าเพื่อให้ผมขึ้นรถสักที

“เอ้อ ได้แฟนแล้วลืมเพื่อน จำไว้เลยนะมึง!”พี่ฟากระแทกเสียงใส่เพื่อนสนิทด้วยใบหน้ามู่ทู่แถมยังแอบหยิกแขนผมเป็นการเอาคืนอีก เจ็บนะเว้ยเล่นจิกเล็บลงในเนื้ออะ ฮือ

“รกสมอง”
ยัง พี่ทาวน์ยังไม่หยุดยั่วโมโหพี่ฟาสักที ผมต้องพุ่งเข้าไปจูบปิดปากไหมถึงจะเลิกตีกันเป็นเด็กๆ จะไม่ว่าอะไรเลยถ้าคนกลางไม่โดนกระหน่ำตีแขนแบบนี้อะ โอย ช้ำไปทั้งตัวแล้ว

“เชอะ!”
จ้า งอนสะบัดตูดไปนั่งเบียดไอ้ฟาร์มด้านหลังนู่นแล้ว พี่ทาวน์ก็เอาแต่หัวเราะความพังพินาศที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่สงสารผมที่กลายเป็นคนรองรับอารมณ์เพื่อนตัวเองหน่อยหรือไงนะ เป็นแฟนกับเขานี่งานช้างจริงๆ

เสียงเพลงสากลที่เปิดคลอเบาๆ ในรถแทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะมีพี่ฟาเปิดโหมดชวนไอ้ฟาร์มคุยเรียบร้อยแล้ว ก็ไหนบอกว่าจะไม่ทอดสะพานให้คนกากไง แล้วนั่นอะไร มือพาดอยู่บนขาเพื่อนผมน่ะ อ่อยเกินไปแล้ว

“พี่ทาวน์ครับ”
ผมเลิกสนใจเรื่องชาวบ้านแล้วหันมาคุยกับแฟนหมาดๆ บ้าง พี่ทาวน์เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะครางรับในลำคอเบาๆ ลืมชมไปเลยว่าวันนี้เขาหล่อมาก ใส่แว่นกันแดดสีชาโคตรคูล

“หืม”

“เราจะไปกินอะไรกันเหรอครับ”
เป็นคำถามที่สิ้นคิดมาก แต่ผมยังคงตื่นเต้นกับสถานะใหม่นี่หว่า กล้าเปิดปากคุยโดยไม่เขินก็บุญขนาดไหนแล้ว

“ให้มึงเลือก”
คำตอบของพี่ทาวน์ทำให้ผมมือไม้อ่อน อะไรคือตามใจวะ เป็นแฟนแล้วโปรโมชั่นดีขนาดนี้เลยเหรอ หัวใจเต้นตึกตักจะแย่แล้วจริงๆ

“เอ่อ ผมว่าถามคนอื่นด้วยดีกว่าเนอะ”
กลัวพี่ฟาอาละวาดไง แอบเห็นพี่แกเบะปากใส่ทางกระจกมองหลังด้วย

“ไม่ กูตามใจมึงคนเดียว”
ฉึกๆๆๆ เสียงความน่ารักปักลงในหัวใจ

“อ่า...”
ฉิบหาย ทำไมผมเขินวะ โอย พี่ทาวน์ตอนเป็นแฟนโคตรฟัดเลยแม่ง

“ไอ้นิสัยเทคแคร์แฟนเป็นอย่างดีกลับมาแล้วสินะ”
เสียงพี่ฟาพึมพำด้านหลังทำให้ผมหูผึ่ง แต่ได้ยินไม่ถนัดหรอกเพราะเสียงไอ้ฟาร์มกลบหมดแล้ว จะแหกปากร้องเพื่อ ใครบีบใครมึงหรือไง

“ถ้าอยากแดกข้าวแบบสบายๆ ก็หุบปาก”
พี่ทาวน์พูดลอยๆ แต่พี่ฟากลับเบ้ปากใส่ เฮ้ย ทำไมรู้เรื่องกันอยู่สองคนวะ ผมขอเสือกด้วยได้ไหม อยากรู้

“ชิ”
งอนไปอีกรอบตามระเบียบ เฮ้อ

“นั่งคิดไปแล้วกันจะกินอะไร กูขอแวะเซเว่นก่อน”
พี่ทาวน์บอกก่อนจะจอดหน้าร้านสะดวกซื้อ ผมพยักหน้ารับหงึกหงักแล้วยิ้มส่งเขา

“ได้ครับผม”

“กูอยากจะแหมให้ถึงทางช้างเผือก หมั่นไส้”
เสียงพี่ฟาดังไล่หลังเพื่อนสนิทที่เพิ่งปิดประตูรถไปไม่ถึงสามวินาที ริมฝีปากสีแดงเรื่อเบะแล้วเบะอีก ผมเอี้ยวตัวมองด้วยความสงสัยว่าเขาหมั่นไส้ใคร แต่เจอเข้ากับสายตาแวววับของไอ้ฟาร์มถึงกับกลั้นหัวเราะ จ้องอย่างเดียวเมื่อไหร่จะได้แอ้มล่ะ

“แหมใส่ใครวะพี่”
ผมถามด้วยความใสซื่อ กระพริบตาปริบๆ ตบท้ายแต่กลับโดนพี่ฟาค้อนใส่วงใหญ่ เขายังโกรธที่โดนแย่งที่นั่งเหรอเนี่ย

“มึงไง ยังไม่รู้ตัวอีก”

“ห๊ะ ทำไมอะ”
งงในงงว่ะตอนนี้

“เดี๋ยวมึงก็รู้เองว่าทำไมกูต้องกลายเป็นคนขี้อิจฉาตาร้อน หึ”
พี่ฟาสะบัดหน้าหนีไปแล้ว ผมเลยได้แต่เกาหัวแกรกๆ เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด อะไรที่ทำให้ต้องอิจฉาตาร้อนวะ

“อะไรของเขาวะ งงฉิบหาย”
ผมพึมพำในลำคอแล้วเลิกสนใจพี่ฟา ก่อนจะนั่งฮัมเพลงรอเจ้าของรถไปเรื่อยๆ เพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีเขาก็กลับมาพร้อมถุงเซเว่น

“รับไปหน่อย”
พี่ทาวน์ส่งถุงในมือมาให้ก่อนจะสอดตัวเข้ามานั่งประจำที่ ผมยื่นมือไปรับแล้วตั้งไว้บนตัก

“ซื้ออะไรมาเหรอพี่”
ผมชวนคุยเฉยๆ ไม่ได้สอดรู้เรื่องของเขาเลยนะ

“เปิดดูสิ”
พี่ทาวน์บอกแล้วพยักพเยิดให้ผมเปิดถุงดูได้ ตอนที่เห็นของได้ในถึงกับอ้าปากค้าง นี่มันอะไรกันวะ

“เฮ้ย นี่พี่เหมาอมยิ้มมาหมดเซเว่นเลยเหรอ”
อมยิ้มนับสิบแท่งนอนอยู่ก้นถุงปะปนกับขนมขบเคี้ยวสองสามอย่างและน้ำเปล่า ผมมองหน้าพี่ทาวน์ ขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย มือก็ลูบๆ คลำๆ ไปเรื่อย อยากกินอะไรหวานๆ จัง ขาดน้ำตาลมาเกือบอาทิตย์แล้ว

“เว่อร์”
โดนผลักหัวไปหนึ่งที แต่ผมกลับไม่รู้สึกหงุดหงิด

“ซื้อมาทำไมเยอะแยะครับเนี่ย”

“ของมึง”
พี่ทาวน์พึมพำอะไรวะ

“ห๊ะ”
ผมร้องเสียงหลงแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเมื่อครู่พูดอะไร เขาเม้มปากแน่นเหมือนกำลังชั่งใจจนพ่นลมหายใจออกมาก่อนที่คำพูดหวานๆ จะหลุดจากริมฝีปากสีสวย

“ซื้อให้แฟนครับ”

ผมตายแน่ เรียกรถพยาบาลที!

โอ๊ย ผมคลี่ยิ้มจนปากจะฉีก ใบหน้าร้อนวูบ หัวใจกระหน่ำเค้นโครมคราม อยากจับคนข้างๆ มันฟัดให้ช้ำไปทั้งตัว อยากบีบ ฮึ้ย ทำไมเป็นผู้ชายที่น่ารักน่าหมั่นเขี้ยวขนาดนี้วะแฟน

ผมรู้เหตุผลที่พี่ฟาอยากจะแหมให้ถึงทางช้างเผือกแล้วล่ะ พี่ทาวน์แม่ง... เล่นแบบนี้นายภาคินก็หลงหัวปักหัวปำสิครับ ร้ายจริงๆ นายเมืองเหนือ!




------------------------------------------------

เห็นความน่ารักของพี่ทาวน์กันหรือยัง เอ๊ะ หรือ ความยั่วหนอ 55555
ว่าที่หมอเราเป็นพวกดูแลแฟนดีนะเออ หวานจนเจ็ทเขินเลยจ้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 25 - P.3 (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Mafiaziip ที่ 15-11-2017 09:32:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

มันก็จะสำลักความรักหน่อยๆ พี่ทาวน์น่ารักมากอ่ะ พี่คือความดีงามของแฟนจริงๆ  :mew1: :katai2-1:

เอ็นดูฟาร์ม เจอหน้าพี่ฟาเมื่อใดก็ได้แต่เงียบ โอ๊ยยยยยยยย เมื่อไรจะได้ละลูก พี่เขากอ่อยแล้วอ่อยอีก รุกต่อเลยลูก สู้ๆ :hao3:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 25 - P.3 (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 15-11-2017 09:39:28
ใจบางแทนเจ็ทไปอี๊กกก :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 25 - P.3 (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 15-11-2017 10:44:00
พี่แกรุกได้สมกับที่อ่อยมานานมาก  คือความพิเศษของแฟนมันเริ่ดมาก!
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 25 - P.3 (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 15-11-2017 13:52:55
 :-[
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 25 - P.3 (15/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 15-11-2017 23:49:25
ขอแบบพี่ทาวน์ซักคน สาธุสาธุสาธุ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 26 - P.4 (24/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-11-2017 13:15:35
แข่งครั้งที่ 26


วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนฝนจะตกเลยทำให้อากาศร้อนอบอ้าวมากกว่าปกติ ผมไถลหัวลงกับโต๊ะอย่างหมดแรงเมื่อจบการเรียนวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของโลก ถึงปีหนึ่งใครๆ ก็บอกว่าสบาย แต่กิจกรรมที่ตามมาเยอะเป็นบ้า แต่ไม่ควรบ่นเพราะเด็กคณะแพทย์รับศึกหนักกว่าเราเยอะ นับถือจริงๆ

“ลุกขึ้น มีนัดกับพี่ทาวน์ไม่ใช่เหรอมึงน่ะ”
เสียงทุ้มๆ ของไอ้ไธดังขึ้นในระยะประชิดเพราะมันโน้มตัวเข้ามาใกล้แถมด้วยการใช้มือสะกิดที่แก้มจนเกรงว่าจะเป็นรอยแดง ถ้ามึงจะรุนแรงแบบนี้ตบกันเลยดีกว่าไหม

“เออ มีนัด แต่พี่ทาวน์เลิกหกโมงนู่น อีกตั้งชั่วโมง”
ผมตอบเสียงอู้อี้แล้วปัดมือไอ้ไธทิ้งเพราะรำคาญ มันหัวเราะก่อนจะพยักหน้ารับรู้แต่ไม่วายเปลี่ยนมาดึงแขนแทน ต้องการอะไรจากคนอย่างกูวะ

“งั้นไปรอพี่ทาวน์ที่ร้านกาแฟไหม”
มันถามเสียงเรียบแต่แววตาเต็มไปด้วยความสุข ถ้าให้เดาคงไม่พ้นเรื่องจิณณ์ ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ และคิดว่าผมสามารถเดาถูก

“มึงนัดจิณณ์ไว้ที่นั่นล่ะสิ”
ผมหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิดก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องด้วยสภาพเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนและไม่นานเกินรอก็ได้รับคำชมพร้อมกับมือใหญ่ที่ขยี้ลงบนหัวจนยุ่งเหยิง

“แสนรู้จังเลยครับเพื่อน”
เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างชอบใจ ผมบึนปากใส่มันก่อนจะปัดมือวุ่นวายนั่นออก ไอ้ไธจะรู้ไหมว่าผมไม่ได้สระผมมาสามวันแล้ว

“กูไม่ใช่หมา!”

“งั้นเหรอ แต่ทำไมเวลามึงอยู่กับพี่ทาวน์กูเห็นเพื่อนเป็นหมาทุกทีเลยวะ”
ไอ้ไธขยับเข้ามากระแซะไหล่ก่อนจะพาดแขนยาวกักขังผมไว้ในอ้อมกอด มืออีกข้างจิ้มแก้มกันอย่างหยอกล้อจนได้ยินเสียงกรี๊ดจากพวกสาววาย จิ้นกันให้สุดแล้วหยุดที่ต่างฝ่ายต่างมีแฟนแล้วกันเนอะ แต่อย่าคิดว่าอะไรแบบนั้นหยุดพวกเธอได้เลย ความมโนชนะเลิศเสมอ

“อ้อนแฟนไหมล่ะ”
ผมตอบเสียงทะเล้นแล้วปล่อยให้มันจิ้มแก้มอยู่อย่างนั้นเพราะไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ เผื่อว่าใครเอารูปไปลงในโซเชี่ยลแล้วพี่ทาวน์เห็นตะได้แสดงอาการหึงหวงกันบ้าง

“เต็มปากเต็มคำเนอะ”
ไอ้ไธยังไม่วายเอ่ยล้อเลียนผละตัวออกห่างเมื่อสาวๆ เริ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเยอะเกินความจำเป็น ช่วงแรกๆ ก็รู้สึกรำคาญแต่ตอนนี้ปลงแล้วว่ะ ใครจะคิดยังไงก็ช่างเพราะตัวเรารู้ความจริงอยู่แก่ใจ

“ขี้อิจฉานะมึงอะ”
หยอกกลับไปพร้อมด้วยการผลักหัวเดือนคณะ ไอ้ไธไหวไหล่ไม่แคร์ก่อนจะล้วงหยิบกุญแจรถขึ้นมาควงเล่น ผมเชื่อว่าใครหลายคนอยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้มัน

“แล้วแต่มึงจะคิดเลย ตกลงจะไปด้วยกันไหม”

“ไปดิ จะโง่อยู่รอคนเดียวทำไม”
แล้วผมก็สอดตัวไปเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้มันท่ามกลางสายตาเด็กร่วมคณะที่เอาแต่ชี้ไม้ชี้มือมาทางนี้ ผู้ชายสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นเรื่องที่ควรคิดมากแล้วเหรอวะ ปวดหัวจริงๆ เลย

ผมมาถึงร้านกาแฟหน้ามหา’ลัยในอีกสิบห้านาทีถัดมาเพราะเสียเวลาห้าที่จอดรถ จิณณ์นั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน เงียบสงบคนไม่ค่อยพลุกพล่านเพราะส่วนใหญ่แล้วมานั่งอ่านหนังสือกันมากกว่า

“จะกินอะไร เดี๋ยวสั่งให้”
จิณณ์เงยหน้าขึ้นถามในขณะที่พวกเรากำลังหน่อนก้นลง ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าของไอ้ไธสื่อความหมายอย่างชัดเจน ผมได้แต่เบ้ปากกับความลำเอียงของพี่ชาย แทนที่มันจะเอาใจน้องชายกลับกลายเป็นว่าที่แฟนไปซะได้ มันน่าน้อยใจจริงๆ เลยเว้ย

“อะไรก็ได้ ตามใจจิณณ์”
ไอ้นี่ก็อีกคน น่าหมั่นไส้ไม่แพ้จิณณ์เลย ทำตัวหวานหยดให้คนไร้คู่ ณ เวลานี้ได้แต่ทำหน้าอิจฉา

“งั้นกูสั่งชีสเค้กกับเครปเค้ก เอามากินด้วยกัน น้ำล่ะ เอาอะไรดี”
จัดการเลือกของกินเสร็จสรรพก่อนจะขยับทั้งตัวและเมนูในมือเข้าไปใกล้ไอ้ไธ ใกล้กันชนิดที่ว่าถ้ามันก้มหน้าอีกนิดก็กลายเป็นจูบกระหม่อมแล้ว มึงจะสิงกันที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่กลางร้านกาแฟแบบนี้!

“คาปูชิโน่เฟรปเป้”

“โอเค”
จิณณ์คลี่ยิ้มกว้างพยักหน้ารับคำก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปสั่งอาหารที่เค้าน์เตอร์ ผมคว้าชายเสื้อช็อปตัวใหม่เอี่ยมไว้ด้วยความเหวอ เอาจริงดิ ไม่สนใจน้องชายตัวเองหน่อยเหรอวะ

“เดี๋ยวๆ มึงจะไม่ถามน้องหน่อยเหรอว่าจะเอาอะไรไหม”
ผมละล่ำละลักพูด ช้อนสายตาฉงนมองหน้าพี่ชายอย่างเอาเรื่อง มือกำชายเสื้อแน่นไม่ยอมปล่อยแน่ๆ ถ้าคำตอบไม่ถูกใจ

“ไม่อะ อยากแดกอะไรก็ไปสั่งเองดิ”
จิณณ์มองด้วยหางตาก่อนจะใช้นิ้วดีดมือดังเป๊าะจนผมต้องปล่อยชายเสื้อถอยมาตั้งหลักอย่างเจ็บปวด ไอ้ไธตัวดีเอาแต่นั่งกลั้นหัวเราะหน้าดำหน้าแดง ถ้าไม่ติดว่ากลัวโดนเตะคงถีบมันตกเก้าอี้ไปแล้ว ไม่รู้มีความสุขอะไรนักหนาเวลาเพื่อนกลายเป็นหมาหัวเน่า

“มึงทำไมสองมาตรฐานแบบนี้อะ”
ผมจ้องตาอย่างไม่ยอมแพ้ กะว่าวันนี้ถ้าจิณณ์ไม่ยอมอ่อนข้อให้จะงอแงไม่เลิก ไม่ใช่เพราะน้อยใจแต่หมั่นไส้ความลำเอียงกับการแสดงออกว่าไอ้ไธเป็นคนพิเศษ

“เออ จะทำไม อยากมีปัญหากับพี่เหรอน้อง”
จิณณ์เคาะข้อนิ้วลงบนหน้าผากกันก่อนจะสะบัดก้นหนีไป ผมได้แต่ชี้มือแล้วอ้าปากพะงาบๆ อึ้งกับการกระทำของฝาแฝด นับวันยิ่งกวนตีนขึ้นเรื่อย ขอให้คนที่ได้มันเป็นแฟนโชคดีมีชัย

“แม่ง...”
เก็บมือกลับมาจิ้มขมับตัวเองด้วยความเซ็งก่อนจะคว้าเมนูมาพลิกหาของที่อยากกิน ในใจยังก่นด่าจิณณ์ว่าแค่น้ำเปล่าก็สั่งมาเผื่อหน่อยไม่ได้เลยใช่ไหม อย่าให้ต้องฟ้องพี่แจมนะว่ามันเห็นผู้ชายดีกว่าน้อง

“เอาน่ามึง”
ตัวต้นเหตุเอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อปลอบใจ แต่ผมกลับหันไปค้อนวงใหญ่ใส่มัน ยังทำเหมือนตัวเองไม่รู้เรื่องอีก เดี๋ยวมึงจะโดนแบน!

“อะไร กูโกรธมึงด้วย”
ผมสะบัดแขนมันออกแล้วขยับตัวหนี เปิดเมนูดังพึ่บพั่บจนเกรงว่าจะหลุดเป็นชิ้นๆ ไม่เคยรู้สึกอิจฉาใครมากแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ลึกๆ ก็ดีใจที่เพื่อนกับพี่หาความสุขในชีวิตรักเจอสักที ถึงแม้ทางข้างหน้าอาจมีอุปสรรครออยู่ก็เถอะ เชื่อว่าทั้งสองคนคงจับมือผ่านมันไปด้วยดี

“กูทำอะไรผิดเนี่ย”
ไอ้ไธหดมือกลับไปเกาหัวแกรกๆ คิ้วขมวดเป็นปมแสดงความสงสัยเต็มขั้น ผมเหลือบมองก่อนจะพับเมนูลง ตัดสินใจแล้วว่ารอไปกินพร้อมพี่ทาวน์เลยแล้วกัน ตอนนี้ขอกระแนะกระแหนเพื่อนรักสักนิดสักหน่อย คันปากว่ะ

“ทำให้พี่กูหลงมึงไง มันเคยปรนนิบัติใครดีแบบนี้ซะที่ไหน”
ผมบอกเสียงเรียบแต่แอบยกยิ้มมุมปากเมื่อไอ้ไธทำตาโตราวกับได้ฟังเรื่องแปลกประหลาด ถึงมันจะรู้จักจิณณ์แต่ไม่ได้แปลว่าเข้าใจจิณณ์ทุกเรื่อง

โดยปกติแล้วจิณณ์เป็นพวกไม่ชอบทำอะไรแทนใคร อย่างเช่นรับอาสาไปสั่งอาหารให้อย่างที่กำลังทำอยู่ มันคือความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่มีแต่คนในครอบครัวและเพื่อนสนิทเท่านั้นที่จะสังเกตเห็น อาการเริ่มรัก อยากดูแล เอาใจใส่ คิดถึงเขาก่อนตัวเอง เรียกว่าเป็นโปรโมชั่นพิเศษสำหรับแฟนก็ว่าได้

“ช่วยไม่ได้นะ คนมันมีดี”
ไอ้ไธยักคิ้วกวนมั่นอกมั่นใจและมั่นหน้าเป็นที่สุด จะออกปากเถียงว่าไม่จริงก็ดูหลอกลวงเลยได้แต่บุ้ยปากใส่มันเพราะทำอะไรไม่ได้

“เหอะ หมั่นไส้ว่ะ”
บ่นงุ้งงิ้งคนเดียวก่อนจะล้วงโทรศัพท์ที่ถูกลืมขึ้นมากดเล่น แจ้งเตือนมากมายจากโลกโซเชี่ยลทำให้ผมกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย ถ้ามีสักอันเป็นของพี่ทาวน์คงดี

“พี่ทาวน์ก็ใช่ย่อย ดูแลมึงดีจะตาย”
คิดถึงว่าที่คุณหมออยู่ดีๆ เพื่อนรักก็พูดถึงเขาจนผมชะงักมือที่กำลังไล่ลบแจ้งเตือน ดวงตาคมละจากหน้าจอโทรศัพท์ครู่หนึ่งเพื่อลอบสังเกตคนด้านข้าง ยิ้มกริ่มเชียวนะมึง สนุกที่แกล้งให้กูหน้าแดงได้ล่ะสิ

“อย่าล้อ...”

“ทำไมวะ”
เอียงคอถามได้หน้าเตะมาก คิดว่าน่ารักเหรอวะ

“กูเขินว่ะ ไม่เคยคิดว่าสวัสดิการเป็นแฟนจะดีขนาดนี้”
ถึงจะหมั่นไส้เพื่อนแต่ก็เขินเมื่อคิดถึงการกระทำของพี่ทาวน์ที่เกิดในช่วงหลังจากเลื่อนสถานะอยู่ดี มือเรียวลูบแก้มเบาๆ เพื่อช่วยลดอาการหน้าแดง

“ดีแล้วนี่ สมกับที่มึงเสียน้ำตาไปหลายลิตร”
จึกเลยครับ ยอมรับว่ารู้สึกเสียวแปลบขึ้นมาในใจวูบหนึ่ง จริงอย่างที่ไอ้ไธพูด สิ่งที่ได้รับกลับมาจากพี่ทาวน์มันช่างคุ้มค่าจริงๆ ผมลอบยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ เรื่องราวในอดีตจะกลายเป็นบทเรียนอันล้ำค่า จดจำไว้ว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยเพียรพยายามจนประสบความสำเร็จ

“ขี้ประชดจังวะ”
ไม่วายหันไปจิกกัดเพื่อนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เราทั้งคู่ได้ผ่านเวลาแห่งความยากลำบากในความรักไปแล้ว ต่อจากนี้ขอให้มีแต่เรื่องราวดีๆ เถอะ

ผมนั่งคุยอะไรเรื่อยเปื่อยกับไอ้ไธและจิณณ์ไมว่าจะเป็นเรื่องเรียน กิจกรรม เกมตัวใหม่ล่าสุด ปิดเทอมใหญ่ที่หลานชายตัวน้อยจะมาเยี่ยมเยียนบรรดาน้าๆ จวบจนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่ยังไม่ได้คบกันก็ขอแยกไปดูหนัง เดินห้างตามประสาคนออกเดท แถมมีทิ้งท้ายว่านายภาคินเป็นก้างชิ้นโต แม่ง มันน่ากระทืบให้ตายทั้งคู่จริงๆ

Rrrrr
เสียงริงโทนดังขึ้นเรียกให้ผมที่กำลังหยิบแก้วน้ำเปล่า(เดินไปสั่งมาเอง) ถึงกับชะงัก ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา หัวใจเต้นตึกตักราวกับหนุ่มน้อยเพิ่งหัดมีความรัก บ้าฉิบหาย ใครรู้เรื่องนี้คงอายเขาตาย

“ฮัลโหลครับ”
ผมกดรับแล้วกรอกเสียงที่พยายามควบคุมความตื่นเต้นเอาไว้ กลัวปลายสายส่งเสียงล้อเลียนมาให้ได้เขินอีกระลอก

‘เลิกเรียนแล้ว มึงอยู่ที่ไหน’
น้ำเสียงเรียบๆ ที่คุ้นเคยทำให้ผมคลี่ยิ้มละมุนออกมา ถึงจะได้ยินมันทุกวันก็ไม่เคยนึกเบื่อเลย อยากฟังไปตลอดชีวิต รู้ว่าน้ำเน่าแต่ชวนทนๆ คนเห่อความรักนิดนึง

“ร้านกาแฟหน้ามหา’ลัยครับ เดี๋ยวผมไปหาที่คณะ”
ผมลุกขึ้นเพื่อจะเรียกวินเข้าคณะแพทย์ แต่เสียงจากปลายสายทำให้ต้องชะงักขาที่กำลังจะก้าว

‘ไม่ต้อง เดี๋ยวกูไปหาเอง’

“แต่พี่ไม่ได้เอารถมานี่ครับวันนี้”
ผมเหลือบมองกุญแจรถในมือที่จิณณ์ทิ้งไว้ให้เพื่อเอาไปเดทกับพี่ทาวน์ จะให้อีกฝ่ายลำบากออกมาหาที่นี่ก็ดูจะเอาแต่ใจไปหน่อยหรือเปล่า

‘ติดรถไอ้แฮมออกไป’
เสียงพี่ทาวน์เริ่มตึงมันคือสัญญาณให้ผมห้ามเถียงแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เดิมอย่างว่าง่าย ถ้าเกิดพลั้งปากไปคงชวดการเดทครั้งนี้แน่

“อ่า งั้นผมรออยู่ที่นี่นะ โต๊ะริมขวาครับ”
ผมบอกตำแหน่งที่นั่งเรียบร้อยก่อนจะกวาดตามองบรรยากาศรอบร้านอีกครั้ง ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น เสียงเริ่มดังขึ้น พวกที่อ่านหนังสืออยู่เมื่อครู่ก็หายไปกันหมดแล้ว ที่สำคัญคือเริ่มตกเป็นเป้าสายตาสาวๆ แถวนี้ ชักอยากจะเดินหนีแล้วสิ

‘อืม ห้านาทีเจอกัน’

ห้านาทีมันช่างนานเหมือนห้าชั่วโมงเพราะหลังจากที่วางสายปุ๊ปก็มีคนเดินยิ้มกระมิดกระเมี้ยนเขามาขอถ่ายรูป ขอให้ทำท่าแบบนั้นแบบนี้จนผมชักออกอาการตึงๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบการที่ต้องยิ้มให้กล้องโดยการบังคับ ดวงตาคมคอยมองหาพี่ทาวน์อยู่เรื่อยจนในที่สุดเขาก็โผล่มา

“พี่ทาวน์ ทางนี้ครับ”
ผมโบกมือให้กับผู้มาเยือนที่มีสีหน้าอ่อนล้า ข้างกันมีพี่แฮมยืนประกบอยู่ พี่ทาวน์พยักหน้ารับก่อนจะหันไปคุยกับคนข้างกายสองสามประโยคแล้วแยกออกมา

“จะไปกินข้าวกันเลยไหมครับ”
ผมออกปากถามเมื่อพี่ทาวน์เดินมาถึง ดวงตารีมองดูความเสียหายบนโต๊ะครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ

“อืม จ่ายเงินหรือยัง”
ผมแทบดึงเขาเข้ามากอดเพราะรู้ว่าประโยคนี้ถามขึ้นเพื่อจะจ่ายเงินค่าอาหารให้ เขามักบอกเสมอว่ายามมีก็เลี้ยงได้ ตอนไหนไม่มีก็ต่างคนต่างช่วยเหลือตัวเองไป

“เรียบร้อยครับ มีคนเลี้ยง”
ผมคลี่ยิ้มกว้างตอบอย่างอารมณ์ดีเพราะได้ผลาญเงินในส่วนของพี่ชายเกือบประมาณสองร้อยบาท จากตอนแรกจะรอกินพร้อมพี่ทาวน์แต่ตบะแตกตอนได้กลิ่นขนมปังอบชีสร้อนๆ เลยลุกไปสั่งพร้อมกับน้ำเปล่าและโกโก้เฟรปเป้

“ใคร”
พี่ทาวน์จ้องตาเขม็งพลางขมวดคิ้ว ผมแปลกใจกับปฏกิริยาประหลาดนั่น ใช้เวลาคิดทบทวนไม่นานก็ได้คำตอบ

“เสียงแข็งเชียว หึงเหรอครับ”
ยอมรับว่าเดาล้วนๆ คนอย่างพี่ทาวน์จะหึงเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้ยังไง แต่ลองแหย่ดูเผื่อเจอแจ็กพอต

“ภาคิน”
เสียงเรียกชื่อจริงทำให้ผมสะดุ้งโหยง เมื่อไหร่ที่คำว่าภาคินหลุดจากปากพี่ทาวน์มันสื่อความหมายได้ว่า ‘ไม่สนุกนะ กูกำลังจริงจัง’ ขืนเล่นต่อมีหวังเป็นหมันไม่รู้ตัว

“โอ๋ๆ ไม่แกล้งแล้วครับ จิณณ์เลี้ยงน่ะ”
ผมว่าเสียงอ่อนก่อนจะส่งสายตาอ้อนไปให้ พี่ทาวน์ถอนหายใจแล้วเบนหน้าหนี คงแพ้ท่าทางลูกหมาของนายภาคินแน่ๆ เพราะมันใช้ได้ผลเสมอ

“อืม ไปเถอะ หิวแล้ว”
คนหิวเดินนำลิ่วๆ ออกจากร้านโดยไม่รอสารถีคนนี้เลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้ผมยกยิ้มแล้วรีบวิ่งตามไป

เสียงเครื่องปรับอากาศดังสลับกับเสียงเพลงสากลทำให้บรรยากาศภายในรถไม่เงียบเหงาจนเกินไป ผมเพิ่งวางสายจากแม่ที่โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบลูกชายคนเล็กของบ้านและไม่พลาดแซวเรื่องพี่ทาวน์ ต้องแหกปากโวยวายเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เคยเรียนตอนมัธยมช่วงที่แอบชอบสาวสายภาษาใส่เธอถึงจะยอมหยุด กลัวเขาได้ยินน่ะ เพราะไม่เคยบอกว่าครอบครัวรับรู้เรื่องที่คบกันแล้ว

“กินอะไรกันดีครับ”
ผมหันไปถามคนข้างตัวที่เอาแต่นั่งไลด์หน้าจอโทรศัพท์ สีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ เดาว่าคงอ่านไลน์กลุ่ม ไม่ก็โดนแจ้งสอบเก็บคะแนนกะทันหัน มีไม่กี่เรื่องที่ทำให้พี่ทาวน์แสดงอารมณ์ออกมาชัดเจน

“แล้วแต่มึง”
ตอบโดยไม่ละสายตา ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังตามมา ผมที่ลอบมองอยู่นานนับนาทีดันคลี่ยิ่ม เวลาพี่ทาวน์แสดงสีหน้าก็ดูน่ารักดี กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ไปเลย

“โห ตามใจผมบ่อยเดี๋ยวเคยตัวนะ”
ผมแกล้งทำเสียงทะเล้นจนพี่ทาวน์ยอมละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยม ปากบางเม้มแน่นก่อนจะคลายออก

“ตามใจแฟนผิดตรงไหน”
เสียงแผ่วแต่กลับได้ยินชัดเจนจนสะท้อนก้องในหัวใจ ผมอยากจะจับเข้ามาฟัดให้น่วม กอดแน่นๆ ให้ร่างหลอมรวมกัน คนอะไรพูดจาน่ารัก แถมหวานหู มันเขี้ยวว่ะ

“พี่ทาวน์แม่ง...”
ผมเผลอเสียงดังจนโดนพี่ทาวน์จ้องเขม็ง แทนที่จะกลัวกลับคลี่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ หัวใจทำงานหนัก มือที่จับพวงมาลัยถึงกับสั่น เพิ่งรู้ว่าการควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการมันโคตรทรมาน

“ด่ากูเหรอ”

“มันเขี้ยวเว้ย ทำไมน่ารักแบบนี้”
ร่างกายคุมได้แต่ปากเปราะชะมัด

“หึ จะได้ไม่คิดนอกใจ”
ตายรอบที่ร้อยกับคำพูดทำนองนี้ มันไม่หวานแต่ให้ความรู้สึกว่าเป็นที่รัก ความสุขล้นทะลักจนต้องกลั้นยิ้มไว้เพราะกลัวว่าแก้มจะแตกซะก่อน

“ผมไม่ทำแบบนั้นแน่นอน รักพี่ทาวน์จะตาย”
ผมพูดอย่างเอาใจก่อนจะเผลอเอาหัวไปถูไถที่ไหล่อย่างออดอ้อน มีชะงักไปครู่หนึ่งกลัวพี่ทาวน์รำคาญ แต่หน้าด้านทำแล้วก็ทำต่อเถอะ ตัวหอมชะมัดแฟนใครเนี่ย

“ให้มันจริง ออกรถได้แล้ว”
เออว่ะ น้ำมันลดไปเป็นลิตรแล้วมั้ง

ความตามใจแฟนของพี่ทาวน์ทำให้ผมเลือกร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำเพราะไม่อยากทำตัวเป็นพวกฟุ้งเฟ้อ เดททีต้องเลือกแต่อาหารแพงๆ ซึ่งเขาก็ออกปากว่าอยากกินอยู่พอดี ต่อด้วยการเดินเล่นตลาดนัดอีกนิดหน่อยก่อนจะพากันกลับคอนโด

เรื่องที่ทำให้ผมยิ้มหน้าบานตั้งแต่ออกรถจนถึงที่หมายคือพี่ทาวน์ขอค้างด้วยเนื่องจากช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้มีสอบเก็บคะแนน แทบจะโทรไล่จิณณ์ให้นอนกับคนอื่น สรุปว่ามันปลีกตัวไปบ้านไอ้ไธเรียบร้อย อย่าจะแหมให้เสียงแหบจริงๆ เลย สถานะไม่เลื่อนแต่ความสัมพันธ์โคตรก้าวหน้า

“เอาน้ำอะไรดีครับ”
ผมถามเมื่อเห็นว่าพี่ทาวน์ทิ้งตัวลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะออกปากตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ลาเต้”
ผมเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินคำตอบ เหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังยิ่งไม่สนับสนุน สามทุ่มกับกาแฟ ตาค้างแน่ๆ

“กินกาแฟตอนนี้พี่จะเข้านอนตอนไหนวะ”

“อยาก”
พี่ทาวน์ยืนยันเสียงแข็ง แต่มีหรือนายภาคินจะยอมให้แฟนเสียสุขภาพ

“ไม่เอาครับ เดี๋ยวไม่ได้นอนกันพอดี”
ผมบอกปัดด้วยสีหน้าจริงจัง กลัวว่าเขาจะโกรธแต่ที่ไหนได้กลับยิ้มกริ่มราวถูกใจอะไรบางอย่าง คงภูมิใจในตัวแฟน หึหึ

“งั้นเอานมร้อน”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมเอามาให้”
ผมยิ้มรับก่อนจะปลีกตัวมาเตรียมนมร้อนให้เขา พยายามระงับอาการตื่นเต้นยามที่ต้องอยู่กันสองคนในพื้นที่ส่วนตัว กลัวว่าจะเผลอทำตัวรุ่มร่ามไม่เหมาะสม เป็นแฟนกันแล้วก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน

“นี่ครับ”
ผมส่งแก้วนมอุ่นให้กับพี่ทาวน์พร้อมกันรอยยิ้มหวานๆ เขารับมันไปโดยไม่มองหน้าสักนิด โธ่ เหงือกแห้งเก้อเลย

“ขอบคุณ”

“พรุ่งนี้มีสอบตั้งแต่เช้าเลยเหรอ”
ผมรู้ว่าเป็นคำถามที่โง่แต่มันก็ดีพอที่จะทำลายความเงียบระหว่างเรา

“อืม เจ็ดโมง”
พี่ทาวน์วางแก้วในมือลงก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่หัวคิ้วขมวดแน่น ผมถึงกับอ้าปากค้าง ไม่เคยเจอนัดสอบเวลาเช้าขนาดนี้ เจ็ดโมงสติยังไม่เต็มร้อยเลย

“ห๊ะ ทำไมเช้าขนาดนั้นอะพี่”

“ช่วงสายอาจารย์ไม่ว่าง”

“อ๋อ...”
แล้วผมก็ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมรอบตัวเรา พี่ทาวน์ดูผ่อนคลายเพราะนั่งจิบนมร้อนสบาย ดวงตารีตดจ้องรายการสารคดีนกเพนกวินที่ผมเปิดทิ้งไว้ สิ่งมีชีวิตตัวกลมๆ กำลังกระโดดไปตามหน้าผาสูงชัน น่ารักน่าขย้ำแต่ไม่เท่ากับคนที่นั่งอยู่ตรงนี้หรอก

“มีอะไร”
พี่ทาวน์ถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแต่ดวงตายังไม่ละจากจอสี่เหลี่ยม ผมสะดุ้งเมื่อได้สติกลับมาหลังจากเผลอจ้องปากเขาอยู่นาน

“หา ปะ เปล่าครับ”
ผมละล่ำละลักตอบก่อนจะเบนสายตาหนีแต่ไม่วายแอบมองเป็นระยะ ริมฝีปากสีชมพูดูอิ่มๆ น่าจูบเป็นบ้า

“โกหก ก็เห็นว่ามองอยู่”
ครั้งนี้พี่ทาวน์ละสายตาออกจากหน้าจอแล้วหันมาจ้องกันอย่างคาดคั้น ผมได้แต่ถดตัวหนีเมื่อสติเริ่มพร่าเลือน อย่าขยับมาใกล้ทั้งๆ ที่ตัวเองจะโดนลวนลามสิวะ

“คือ ปากพี่...”
ผมอ้ำอึ้งชี้มือไปส่งๆ จะโกหกว่ามองเพราะอะไรดีวะ กรอกตารอบทิศยังคิดไม่ออกเลยกู

“.....”
พี่ทาวน์จ้องเขม็งกดดันจนผมได้แต่ก้มหน้าหลบสายตา พอดีกับที่เหลือบไปเห็นแก้วนม

“เลอะคราบนมครับ!”
โกหกคำโตเลยไอ้เจ็ท คราบนมที่ไหนไปติดที่ปากพี่ทาวน์ล่ะ จิบทีละนิดขนาดนั้น

“อืม... เช็ดให้หน่อยสิ กูมองไม่เห็น”
พี่ทาวน์เอื้อมมือคว้าทิชชู่ก่อนจะส่งให้แล้วขยับเข้ามาจนขาแนบชิดกัน ผมสะดุ้งผละออกเล็กน้อยไม่กล้ามองเขา รู้แน่ๆ ว่าโดนจับพิรุธได้เพราะมีเสียงหัวเราะขบขันดังขึ้น แพ้ทางตลอด! ไอ้ภาคิน ไอ้โง่

“คะ ครับ!”
ไหลตามน้ำด้วยการเอื้อมมือสั่นๆ พร้อมกระดาษทิชชู่ง่อยๆ ไปซับรอบริมฝีปากของพี่ทาวน์ หัวใจดันเต้นแรงจนอีกคนขยับมุมปากเป็นรอยยิ้ม โอย จะบ้าตายแล้วเว้ย แฟนขี้แกล้งฉิบหาย

“กลั้นหายใจทำไม”
เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับปลายนิ้วมือเย็นเฉียบแตะลงบนปลายจมูกของผม ร่างกายเมื่อโดนสัมผัสเลยสะดุ้งโหยงเพราะตกใจ

“ปะ...”
กำลังจะอ้าปากปฏิเสธแต่นิ้วเรียวกลับลากลงมาห้ามไว้ หัวใจจะวายอยู่แล้วคนดี ขืนยังแกล้งกันแบบนี้ผมไม่รับประกันความปลอดภัยของพี่นะเว้ย

“อยากจูบหรือไง”
คำถามตรงไปตรงมาทำให้ผมเผลอสะอึก ดวงคาคมเบิกค้าง ปากอ้าพะงาบๆ คิดจะปฏิเสธแต่พูดไม่ออก อยากรู้ว่าถ้าบิกความจริงผลลัพธ์จะเป็นยังไง โอย ลุ้นนิ่งกว่ารอผลสอบอีกเว้ย

“คือ...”
มองปากพี่ทาวน์แล้วกลืนน้ำลายลงคอ อยากดูดให้มันเจ่อสักครั้ง มันเขี้ยวว่ะ

“จะมองอีกนานไหม จะจูบก็จูบ”

“ดะ ได้ด้วยเหรอครับ!”
ผมตะโกนถามด้วยความลืมตัว ดวงตาจ้องมองปากพี่ทาวน์อย่างหื่นกระหาย ยอมรับว่าตกใจคำเชิญชวนแบบห่ามๆ นั่นอยู่พอตัว แต่ความอยากจูบมีมากกว่าเยอะ

“โง่ พูดไปขนาดนั้นยังจะถาม”
พี่ทาวน์ว่าเสียงฉุนแล้วผละตัวออกคล้ายกับไม่ยอมให้จูบอีก แต่ใครจะจอมในเมื่ออีกฝ่ายอ่อนกันไว้ขนาดนี้ ผมรีบขยับตามไปจนปลายจมูกของเราชนกัน ลมหายใจอุ่นเป่ารดบนแก้มพาลให้หัวใจเต้นรัว

“งั้น... งั้นผมขอจูบนะครับ”
ถามเสียงอ้อนแล้วเลื่อนริมฝีปากเข้าไปใกล้ มันเฉียดกันอย่างผะแผ่วชวนให้หัวใจเต้นรัว ผมมันทั้งขี้ขลาดและตื่นเต้น ก็แค่อยากให้เรื่องราวความรักระหว่างเราค่อยเป็นค่อยไป

“ลีลาเยอะจริง รำคาญ”

ริมฝีปากที่คอยเฝ้ามองทาบทับลงมาตำแหน่งเดียวกันก่อนค่อยๆ บดเบียดลงมาแนบชิดกว่าเดิม ความอุ่นร้อนและนุ่มหยุ่นทำให้หัวใจสั่นราวกับแผ่นดินไหว จังหวะที่ต่างคนต่างขบเม้มยิ่งพาลให้สติเตลิดไปไกล กลิ่นคาวนมคละคลุ้งไปทั่วยามลิ้นร้อนเกี่ยวกวัดกวดต้อนความหวาน

กว่าจะผละออกจากกันก็ตอนที่ลมหายใจขาดห้วง น้ำหยาดใสยืดเป็นสายเชื่อมต่อเรา ช่างน่าอายจนต้องเบือนหน้าหนี

ทำไมกลายเป็นว่าผมถูกพี่ทาวน์จู่โจมก่อนวะ แต่ไม่เสียเที่ยวเพราะสุดท้ายนายภาคินก็เป็นฝ่ายนำสำเร็จ หึหึ จูบหวานๆ จากแฟนมันดีจริงๆ ด้วย

ผมนอนฝันหวานทั้งคืนหลังจากได้รับจูบของคนที่รัก เช้านี้เลยตื่นมาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสพร้อมกับมีแรงในการทำอาหารเช้าอย่างไข่ดาวรูปหัวใจ อุตส่าห์ไปรื้อหาแม่พิมพ์อยู่นานสองนานโดนหาว่าเสี่ยวก็ยอม รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเมื่อนึกถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างเรา พูดได้เต็มปากว่าปัจจุบันนี้มีความสุขเหลือเกิน

“ตื่นเช้านะ”
เสียงงัวเงียจากผู้ร่วมเตียงกับผมดังขึ้นที่ด้านหลัง สภาพพี่ทาวน์เรียกได้ว่าเพิ่งตื่นนอนอย่างแท้จริงเพราะผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้ามันแต่อยากบอกว่ายังดูดีสมกับเป็นอดีตเดือนมหา’ลัยจริงๆ

“เตรียมอาหารเช้าให้พี่ทาวน์ไงครับ”

“หึ แฟนที่ดีจริงๆ”

“มีรางวัลไหมครับ”
แค่แกล้งแหย่เผื่อได้จริงๆ

“หึ กูขอไปแปรงฟันก่อนเดี๋ยวมาให้รางวัล”

เชื่อไหมว่าผมได้รางวัลเป็นการหอมเหม่งรับอรุณล่ะ แม่ง... พี่ทาวน์จะน่ารักเกินไปแล้ว



-----------------------------------------

มันก็จะอ่อยๆ นิดนึง หัวใจเต้นแรงหน่อยๆ 5555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 26 - P.4 (24/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Somporn ที่ 24-11-2017 13:24:58
ขอบคุณครับ ติดตามๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 26 - P.4 (24/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 24-11-2017 13:38:44
 พี่ทาวน์อ่อยหนักมาก
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 26 - P.4 (24/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 24-11-2017 14:26:45
 :-[
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 26 - P.4 (24/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-11-2017 15:44:08
  :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 26 - P.4 (24/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 24-11-2017 22:53:44
งุ้ยยยยยยยย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 27 - P.4 (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-11-2017 09:08:32
แข่งครั้งที่ 27



วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่มีการเรียนการสอนก่อนจะปิดช่วงสงกรานต์ ผมกำลังยืนขมวดคิ้วอยู่ใต้ตึกคณะมองสายฝนที่กระหน่ำตกลงมา นี่มันเดือนเมษาฯ หน้าร้อนไม่ใช่หรือ อากาศรอบตัวเริ่มมีอุณหภูมิต่ำลงแต่ไม่ได้ทำให้อารมณ์เย็นเลย เพราะมีนัดกับพี่ทาวน์ซึ่งมันจวนถึงเวลาเข้าไปทุกที

“เป็นอะไรมึง ทำหน้าอย่างกับตูด”
น้ำเสียงกวนโอ๊ยดังขึ้นข้างหูทำให้ผมต้องตวัดสายตามองเขม็ง จะขอยืมร่มกางไปคณะแพทย์สักหน่อย มันเสือกใจป๋าให้สาวยืมซะอย่างนั้น อย่าให้ผมต้องฟ้องพี่ฟานะ หงุดหงิดฉิบหาย

“เพราะมึงไง”
ผมมองมันด้วยหางตาก่อนจะพิงหลังเข้ากับผนัง ยิ่งเห็นฝนตกหนักขึ้นอารมณ์ก็ยิ่งดิ่ง เมื่อไหร่จะหยุดให้ชาวบ้านทำมาหาเมียสักทีวะ...

“เรื่องร่มอะเหรอ กูขอโทษ ก็ไม่รู้ว่ามึงจะยืม”
ไอ้ฟาร์มบอกเสียงอ่อย ดวงตาฉายแววขอโทษอย่างจริงใจ แต่ด้วยความหงุดหงิดเลยยังหาเรื่องพาลไม่เลิก

“แล้วมึงไม่ใช้กางไปเอารถหรือไง”
ไอ้ฟาร์มถึงกับสะอึก มันคงคิดไม่ถึงว่าตัวเองก็ต้องใช้ประโยชน์จากร่มที่คนในบ้านยัดเยียดให้พกมา สักแต่ว่าปัดๆ ขี้เกียจหิ้วไปนั่นไปนี่นิสัยเหมือนผมไม่มีผิด จะว่าไปเมื่อเช้าจิณณ์ก็บอกให้หยิบเหมือนกัน แต่ลืม

“กูลืมคิดอะ...”
ทำหน้าหงอยอย่างกับหมาโดนเจ้านายดุ ตลกว่ะ

“เออ ช่างแม่งเถอะ”
ผมปัดไม้ปัดมือเป็นเชิงว่าไม่ได้ใส่ใจจริงๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งยองเพื่อรอฝนหยุด โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ใกล้หมดลมหายใจเพราะเผลอเล่นเกมเยอะไป

“เจ็ท...”
เสียงเรียกดังไม่ไกลหูเท่าไหร่ทำให้รู้ว่าไอ้ฟาร์มก็นั่งยองอยู่ข้างกัน สีหน้าดูขาดความมั่นใจจนผมเผลอแสดงความรำคาญใส่ เชื่อเถอะว่าไม่พ้นเรื่องความรักของคนกาก

“อะไรอีก”
เสียงสะบัดแบบไม่กลัวว่าเพื่อนจะเหวอ ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่มันจะโอดครวญความขี้คลาดเรื่องพี่ฟาสักทีเถอะ

“หยุดสงกรานต์มึงไปไหนปะ”
คำถามนำร่องมาพร้อมกับประกายในดวงตาแห่งความหวัง ผมเลิกคิ้วขึ้นทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าหลังจากนี้จะเจออะไรต่อ คนอย่างไอ้ฟาร์มเดาง่าย ไม่อย่างนั้นพี่ฟาคงไม่รู้ว่ามันชอบหรอก

“ไม่แน่ใจว่ะ ถามทำไม”
ผมไม่มีแพลนที่จะไปไหนช่วงสงกรานต์เพราะเบื่อการเล่นน้ำกลางแดดเปรี้ยงที่ทำให้สภาพร่างกายย่ำแย่ มีปีหนึ่งเคยเป็นไข้จนต้องเข้าโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็เข็ดขยาดกับเทศกาลนี้ไปเลย แต่ถ้าพี่ทาวน์ชวนก็ไม่แน่นะ หึหึ

“พี่ฟาชวนกูไปข้าวสาร”
แก่นของเรื่องหลุดจากปากไอ้ฟาร์มเสียงที่เบา ดวงตาหลุบลงต่ำ ใบหน้าแดงระเรื่อแต่มีความกังวลแฝงอยู่ ผมเหลือบมองเพื่อนสนิทด้วยความลิงโลดในใจ แบบนี้ก็แสดงว่าพี่ฟายอมจีบมันก่อนทั้งที่ปากบอกว่าจะไม่ทำหรือเปล่า

“ไปสองคนเหรอ”
ผมถามย้ำกับสิ่งที่ตัวเองคิด แต่เมื่อเห็นไอ้ฟาร์มนั่งห่อตัวบ่นพึมพำกับหัวเข่าก็ได้คำตอบชัดเจนแล้ว โอกาสทองแน่ๆ

“ทำนองนั้นว่ะ”

“ตอบตกลงไปเลยมึง ใช้โอกาสที่พี่ฟาให้ทำคะแนนซะ”
ผมยุมันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างกับตัวเองมีโอกาสจีบพี่ฟาซะเอง แต่ไอ้เพื่อนตัวดีกลับกัดนิ้วแสดงความกังวลก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำตัวเครียดยิ่งกว่าสอบปลายภาคอีกมั้งมึง

“จะดีเหรอวะ กูไม่มั่นใจ”

“ปอดแหกอะไรอีกเนี่ย”
ผมเอื้อมมือไปผลักหัวมัน เริ่มหงุดหงิดอีกครั้ง พลางคิดว่าเพื่อนคนนี้ขัดใจไปซะทุกอย่างจริงๆ

“กลัวจีบไม่ติด”
มันบอกเสียงอ่อยแล้วซุกหน้าลงกับขา ปากสีซีดเม้มเข้าหากันแน่นบ่งบอกว่ากังวลและกลัวจริงๆ ผมส่ายหัวกับความขี้ขลาดของเพื่อนสนิท ความรักก็แบบนี้ สามารถเปลี่ยนคนๆ หนึ่งอย่างง่ายดาย ขนาดกับคนเจ้าชู้ขี้หลี อานุภาพแรงจริงๆ

แต่ในกรณีของไอ้ฟาร์มผมขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันเลยว่าไม่มีอะไรให้กลัวหรือกังวล เพราะอีกฝ่ายแทบจะแก้ผ้ารอให้มันเดินเข้าไปปล้ำอยู่แล้ว แม่ง อ่อยขนาดนี้ถ้าเป็นคนอื่นเลื่อนสถานะเป็นผัวเมียนานแล้ว

“โหย ไอ้ควาย พี่ฟาทอดสะพานขนาดนี้มึงยังลังเลอะไรอีก รอให้หมาคาบไปแดกก่อนปะถึงจะกล้า”
อดด่ามันด้วยน้ำเสียงและท่าทางเกรี้ยวกราดไม่ได้จริงๆ ตีมือลงบนต้นแขนมันถี่ๆ พูดย้ำตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้เดินหน้าจีบพี่เขาสักที เรื่องยืดเยื้อจนชาวบ้านออกอาการเบื่อหน่ายแล้วเว้ย

ไอ้ฟาร์มถึงกับทำหน้าแหย ขยับตัวหนีการประทุษร้าย ก้มหัวหงุดไม่ยอมสบตา มีเพื่อนไม่มั่นใจในตัวเองเฉพาะตอนที่เริ่มจริงจังกับใครสักคนมันควรรู้สึกยังไงวะ ทำตัวไม่ถูกเลยกู

“พูดซะกูเห็นภาพเลย เอาวะ คราวนี้เป็นไงเป็นกัน หลังสงกรานต์ไอ้ฟาร์มต้องได้พี่ฟาเป็นเมีย”
มันทำหน้ามุ่งมั่น สายตาแสดงความแน่วแน่อย่างเช่นทุกครั้งที่ได้รับการปลุกความกล้าจากผม แต่ครั้งนี้บรรยากาศรอบตัวไอ้ฟาร์มที่สัมผัสได้แตกต่างออกไป มีความจริงจังแฝงอยู่ในน้ำเสียง เชื่อว่าอีกไม่นานคงสมหวัง แต่ให้ถึงขั้นเป็นผัวเป็นเมียกันโคตรฝันกลางวัน

อย่าข้ามหน้าข้ามตาคู่กู ขอเถอะ ไม่ใช่อะไรหรอก อายเขาน่ะที่ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากกว่านี้ ขนาดจะจูบยังเป็นฝ่ายเริ่มก่อนยากเลย ก็มีนเขินๆ ยังกล้าๆ กลัวๆ ความนิ่งของพี่ทาวน์อยู่ ขืนวันไหนเจ้าตัวอารมณ์เสีย ผมคงโดยต่อยหน้าช้ำ

“แค่แฟนก็ให้รอดก่อนเถอะมึง”
ผมเบ้ปากใส่กับความขี้อวดนั่นก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อไล่ความเมื่อยสะสมจากการนั่งยองมาเกือบสิบนาที สายฝนด้านนอกเริ่มซาแล้วแต่ก็ยังลำบากสำหรับคนป่วยง่ายที่จะฝ่าออกไป

“เชื่อมือป๋าเถอะน่า”
ปล่อยมันหลงตัวเองไปเถอะ ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่เราค่อยหัวเราะทีหลัง เอาให้จุกไปถึงลิ้นปี่เลย

ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ที่แบตฯ เหลืออยู่แค่สิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นมากดส่งข้อความหาพี่ทาวน์ว่าขอเลื่อนนัด เพราะไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกง่ายๆ ส่วนไอ้ฟาร์มเหมือนจะหลบเข้าโลกส่วนตัวโดนการใส่หูฟัง ฮัมเพลงตามเบาๆ มีความสุขเนอะ

Rrrrr
เสียงริงโทนที่ดังขึ้นดึงสติของผมให้กลับสู่ปัจจุบัน รายชื่อผู้โทรเข้าทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอาการตื่นเต้นปนหวาดกลัว

“ครับ พี่ทาวน์”
ผมกรอกเสียงลงไปก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้ม แอบตำหนิมันอยู่ในใจว่าทำไมนิสัยเสียแบบนี้ สายฝนเหมือนแกล้งกันในเวลาที่เราต้องการเดินทางไปไหนถึงได้กระหน่ำตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา

‘อยู่ไหน’
พี่ทาวน์ก็ยังคงเป็นพี่ทาวน์ น้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ถามกลับมาให้ผมหวั่นใจเล่น

“ผมติดฝนอยู่คณะ ขอโทษนะครับ เลยเวลานัดมาแล้ว”
พูดออกไปพร้อมกับยกมือขึ้นลูบ รู้สึกว่าตัวเองเป็นแฟนที่แย่มาก ผิดนัดเพราะติดฝน เหตุผลโคตรฟังไม่ขึ้นเลยว่ะ

‘อืม ไม่ต้องมาหากูแล้ว’
ผมแทบทรุดลงไปกองกับพื้นเมื่อสิ้นประโยคจากปลายสาย มันหน่วงๆ ในใจเหมือนใครเอาก้อนหินมาผูกถ่วงไว้ ไม่แปลกที่พี่ทาวน์จะโกรธ เพราะตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ต้องโทษตัวเองที่มัวแต่คิดว่าจะไปทันนัดเลยไม่ได้บอกเขาล่วงหน้า

“พี่ทาวน์โกรธเหรอ ขอโทษจริงๆ ครับ”
ด้วยความหงุดหงิดตัวเอง ผมเลยทึ้งหัวจนยุ่งเหยิง กัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ ไม่น่าเลย เป็นคนขอนัดเขาแท้ๆ สุดท้ายก็ทำพลาด พี่ทาวน์เรียนหนักแต่ยอมรับปากกับเรื่องไร้สาระของผมก็ถือว่าใจดีมากแล้ว

‘หึ ถ้าโกรธกูจะเปลืองค่าโทรศัพท์เพื่ออะไร’
หืม หมายความว่ายังไงวะ ประมวลผลไม่ทัน

“แต่พี่ไม่ให้ผมไปหาแล้ว...”
ผมทวนคำของเขาอีกครั้งเพื่อย้ำว่าตัวเองเข้าใจถูก ยอมรับว่ามันมึนงง แปลความหมายที่เขาจะสื่อไม่ออกจริงๆ ตอนนี้ไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าใครเรียนหนักกว่ากันแน่ ทำไมสมองนายภาคินถึงเบลอนัก

‘เพราะกูจะไปหามึงแทน’

บึ้ม เสียงหัวใจของผมระเบิดไปแล้วครับ

“อะไรของมึง วางโทรศัพท์ปุ๊ปหน้าบานปั๊ป ขาดยาเหรอ”
ยิ้มได้ไม่ถึงสองวินาทีกลับต้องหุบปากฉับเมื่อได้ยินคำล้อเลียนจากไอ้ฟาร์มที่เหล่มองกันอย่างจับผิด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันเลิกฟังเพลงแล้วเงี่ยหูมากเสือกเรื่องผมแทน เกรงใจกูบ้างเถอะครับ จะคุยกับแฟนแค่สองคนไง

“เดี๋ยวกูถีบให้ ไม่แหย่สักวันจะตายไหม”
ผมแยกเขี้ยวขู่ก่อนขยับเข้าไปใกล้เพื่อหวังตบหัวมัน แต่ต้องชะงักมือเมื่อเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของไอ้ฟาร์มในระยะประชิด กำลังคุยไลน์กับพี่ฟา สงสัยคราวนี้คงเลิกป๊อดจริงๆ ไว้ว่างเมื่อไหร่จะพาไปเลี้ยงสละโสดแล้วกัน

“โอ๋นะครับ กูแค่ไม่อยากให้เพื่อนเครียด”
มันหมุนข้อมือไปมาเหมือนตอนโอ๋เด็กน้อย ปากก็ทำเสียงอ้อนๆ ให้ดูน่ารัก แต่ผมคิดว่าอยากถีบมากกว่า ทำตัวกวนประสาทเข้าไปทุกวัน

“เครียดเพราะมุกควายๆ ของมึงนี่ล่ะ”

“จ้าๆ ยอมจ้า แล้วตกลงมีเรื่องอะไรดีๆ เหรอ”
มันกระแซะไหล่เข้ามา ทำท่าอยากรู้อยากเห็นจนผมหลุดขำ จะโกรธก็โกรธไม่ลงเพราะรู้ว่าเพื่อนถามไปด้วยความเป็นห่วงจริงๆ

พวกเราไม่ค่อยมีความลับต่อกัน แต่ยกเว้นไอ้ตังค์ไว้คนหนึ่ง รายนั้นชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ คล้ายหวาดระแวง แค่โดนดูดคอมึงไม่จำเป็นต้องทำตาขวางใส่พวกกูปะวะ เรื่องปกติของคนเป็นแฟนกันไหม หรือจะแค่เขินอายเฉยๆ อันนี้ต้องดูท่าทางต่อไป

“พี่ทาวน์จะมาหากู”
ผมยิ้มกริ่มหลังพูดจบ ไอ้ฟาร์มเลยเบะปากใส่เพราะความหมั่นไส้ คนไม่มีแฟนก็ขี้อิจฉาเป็นธรรมดานั่นล่ะ

“อยากจะแหม แฟนขับรถมาหาถึงที่”

“อย่าอิจฉาครับเพื่อน”

“รอถึงทีกูบ้าง มึงจะถึงขั้นริษยาเลยล่ะ หึ”

“จะรอนะคะป๋าฟาร์ม”
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะได้รีบค้อนวงใหญ่จากมัน แกล้งกันไปแกล้งกันมาก็มีความสุขดี ไอ้ไธก็ร่างเริงเลิกเรียนปุ๊ปจิณณ์ขับรถมาเกยถึงที่ แถมด้วยการยื่นแก้วชาเขียวเย็นๆ ให้ ปรนนิบัติพัดวีกันดีเหลือเกิน ส่วนไอ้ตังค์ก็ตามสไตล์ ผัวไปรับไปส่งตลอด

Rrrrr

“ครับพี่ เดี๋ยวผมวิ่งไปขึ้นรถเนอะ”
ผมกดรับแล้วพูดอย่างรู้งาน เพราะสายตาเห็นรถที่คุ้นเคยจอดเทียบหน้าฟุตบาทคณะพอดี มีหลายคนที่ชะเง้อคอมองสอดรู้สอดเห็นว่าเขามารับใคร อยากจะตะโกนว่า ‘กูไง กูไง’ แต่กลัวเป็นข่าวหน้าหนึ่งของมหา’ลัย

‘หยุด กูจะเอาร่มลงไปรับ’
ปลายสายว่าเสียงเข้มจนผมต้องชะงักเท้า เหลือบมองด้านซ้ายด้านขวาก็กลัวว่าใครจะแอบถ่ายรูปเอาไปนินทาได้ ถึงจะเคยเปิดตัวว่าจีบพี่ทาวน์อย่างออกหน้าออกตา แต่การประกาศความสัมพันธ์ให้คนอื่นล่วงรู้ยังนับว่าไม่เหมาะสม เพราะเรื่องความรักควรมีความเป็นส่วนตัว คนไม่เห็นด้วยก็มีเยอะแยะ

“ฝนซาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
ผมไม่ได้ห่วงหน้าตาตัวเองถ้าจะถูกนินทาว่าร้าย เป็นห่วงความรู้สึกของพี่ทาวน์มากกว่า เป็นเดือนมหา’ลัยที่เคยคบผู้หญิงมานาน อยู่ๆ มีแฟนเป็นผู้ชายคงไม่ชิน

‘มึงเป็นหวัดง่าย อย่าดื้อ’
โดนคำนี้เข้าไปถึงกับหลุดยิ้มออกมา ถึงจะเป็นประโยคที่ใช้น้ำเสียงดุแต่เนื้อความแฝงไม่ด้วยความห่วงใย นิสัยอย่างหนึ่งของพี่ทาวน์ที่ผมรู้คือปากร้ายแต่ใจดี ดูแลคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ ถ้าจำครั้งแรกที่เจอกันได้ นายภาคินก็หลงเสน่ห์เขาตรงนี้ล่ะ

“เป็นห่วงผมล่ะสิ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น อยากจะวิ่งไปกอดคนที่อยู่บนรถเหลือเกิน แฟนใครทำไมน่ารัก ชมเป็นร้อยครั้งก็คงไม่พอ

‘อืม ไม่ห่วงแฟนจะให้ห่วงหมาที่ไหน’
ปลายสายตอบกลับอย่างลื่นไหลไม่มีติดขัด กลับเป็นผมเองที่เผลอเข่าอ่อนจนต้องพึ่งผนังเพื่อการทรงตัว พี่ทาวน์โหมดทำลายล้างหัวใจมันน่ากลัวแบบนี้นี่เอง เข้าใจความอิจฉาของพี่ฟาขึ้นไปอีกระดับ

“โอย ใจละลายหมดแล้วครับ”
ผมกำเสื้อแน่นเพราะรู้สึกว่าใจเต้นแรงและกำลังละลานอย่างที่พูด เคยตกหลุมรักใครซ้ำๆ ไหม ตอนนี้นานภาคินกำลังอยู่ในภาวะนั้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น มันตื้นตัน มันหายเหนื่อย

‘หึ เด็กน้อยจริงๆ’
ผมไม่โกรธที่พี่ทาวน์กล่าวหาแบบนั้น เพราะนายภาคินจะยอมเป็นเด็กน้อยของนายเมืองเหนือตลอดไป มีความสุขจังเว้ย

หลังจากไปเดทกันที่ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีจบโดยที่รอบนี้ผมเป็นคนจ่าย ต่อด้วยเดินย่อยอาหารในโซนร้านหนังสือ พี่ทาวน์ได้ตำราเกี่ยวกับการแพทย์ ส่วนผมได้การ์ตูนมาสองสามเล่ม ระหว่างทางมีคนมองพวกเราเป็นระยะจนน่ารำคาญ บ้างแอบถ่ายรูป บ้างซุบซิบนินทาต่างๆ นานา เกือบทนไม่ไหวจะเข้าไปถามตรงๆ ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ก็โดนห้ามไว้เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โต เอาเถอะ ถือซะว่าหมาเห่า

ขากลับคอนโดพี่ทาวน์รับอาสาขับรถทั้งๆ ที่ผมปฏิเสธแทบตาย แต่อาการจามไม่หยุดทำให้ผมต้องเป็นผู้โดยสารอย่างห้ามไม่ได้ บางทีก็เบื่อร่างกายตัวเอง โดนละอองฝนนิดหน่อยก็ป่วย แบบนี้จะดูแลแฟนยังไงไหววะ

“ทำไมวันนี้ลากผมกลับมาคอนโดด้วยล่ะครับ”
ผมถามอย่างมึนๆ เมื่อเรามาถึงคอนโดของพี่ทาวน์ เขาไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะให้มาค้างด้วย

“จะจองตั๋ว”
เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะล้วงคีย์การ์ดขึ้นเปิดประตูและเดินนำเข้าไป จัดการถอดรองเท้าก่อนจะทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนโซฟา ท่าทางเด็กๆ นั่นทำให้ผมลอบยิ้ม ชอบความเป็นธรรมชาติไม่ต้องตีหน้าขรึมหรือวางตัวดีต่อหน้าคนอื่น แต่เรื่องที่พี่ทาวน์พูดทิ้งไว้หมายความว่าอะไร

“ตั๋วอะไร ใครจะไปไหนครับ”
ผมวางขนมทึ่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตลงบนโต๊ะกาแฟแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพรมหน้าโซฟา ส่วนพี่ทาวน์ยังคงนอนหงายมองเพดานอยู่เหมือนเดิม เดี๋ยวนี้นายภาคินพัฒนากล้าเข้าใกล้แฟนแบบแนบชิดแล้วนะเออ

“กูจะกลับเชียงใหม่”
พี่ทาวน์ผงกหัวขึ้นมาตอบสิ่งที่ผมอยากรู้ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคงแล้วใช้หน้าผากอังกับแผ่นหลัง แนบชิดจนรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายภายใต้ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ รู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจ

“อ๋อ...”
ผมครางรัยก่อนจะนึกได้ว่ามหา’ลัยปิดยาวตั้งแต่วันที่สิบเอ็ดถึงสิบเจ็ด พี่ทาวน์จะกลับบ้านคงไม่แปลก ถ้าอย่างนั้นแปลว่าเราต้องห่างกันเป็นอาทิตย์เลยสินะ แย่หน่อยแต่ทนได้แน่นอน

“มึงต้องไปด้วย”
พี่ทาวน์บอกว่าอะไรนะ

“ห๊ะ เดี๋ยวๆ จะให้ผมไปบ้านพี่น่ะเหรอ”
ผมหมุนตัวกลับเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าของห้องที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าผ่อนคลายเหมือนชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่มีความเครียดปะปนเลย หรือว่ากูจะคิดมากไปคนเดียววะ คงไม่ได้พาไปเปิดตัวแน่ๆ

“อืม ปกติก็ลากไอ้แฮมไม่ก็ไอ้ฟากลับไปด้วยประจำ”
พี่ทาวน์กระตุกยิ้มมุมปากคล้ายรับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรบ้าๆ อยู่ แต่แบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย เพราะเชื่อว่าทางบ้านของเขาคงไม่สนับสนุนให้ลูกชายเป็นเกย์ คิดๆ แล้วก็แอบอิจฉาพี่ฟากับพี่แฮมที่ได้สนิทกับครอบครัวของเขา

“เอ่อ... ทำไมล่ะครับ”
ถึงผมจะโล่งใจว่าเป็นปกติที่เขาจะชวนเพื่อนไปเที่ยวที่บ้านด้วย แต่มันอดข้องใจไม่ได้ ทำไมล่ะ เหงาเหรอ หรือที่บ้านบรรยากาศไม่น่าอภิรมย์

“กลับไปคนเดียวมันน่าเบื่อ”
พี่ทาวน์ตอบแล้วหลับตาลงเพื่อปิดกั้นคำถามต่อไป ถึงแม้ผมจะยังสงสัยแต่ไม่อยากเซ้าซี้เรื่องส่วนตัว เชื่อว่าเขาคงมีเหตุผลมากพอที่ทำแบบนี้ แค่ไปเชียงใหม่กับแฟนไม่เป็นปัญหาหรอก ดีใจด้วยซ้ำที่เขาคิดถึงเราหลังจากที่บรรดาเพื่อนๆ ไม่ว่าง

“อ่า งั้นผมโทรไปขอเงินค่าตั๋วจากแม่ก่อนเนอะ”
ผมก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง ทำอะไรก็ต้องพึ่งครอบครัวตลอด แต่ไม่ใช่ว่าจะขอตังค์แม่มาฟรีๆ รับทำงานชดใช้แน่นอน

“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูออกให้”
พี่ทาวน์เอื้อมมือมาแตะลงบนต้นแขนเพื่อยั้งไม่ให้ผมกดโทรศัพท์หาแม่ ถ้อยคำที่ได้ฟังไปเมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ในหู ไม่ได้โกรธที่เขาจะออกเงินให้ แต่รู้สึกขำมากกว่า เพราะตัวเองเหมือนเด็กป๋าที่กำลังถูกเปย์

“เฮ้ย ไม่ได้ๆ ผมจ่ายเอง”
ผมปฏิเสธพัลวัน โบกไม้โบกมือเป็นเชิงห้ามจ่าย รู้ว่าเขาแค่อยากรับผิดชอบที่ออกคำสั่งให้ไป พี่ทาวน์ถึงกับขมวดคิ้วแน่น เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็เงียบ แต่ไม่นานเกินรอก็มีเสียงเย็นๆ ดังขึ้น

“คนละครึ่งทาง กูออกให้ก่อน มึงค่อยเอาค่าขนมมาผ่อนกูเดือนละนิดก็แล้วกัน ไม่ต้องเดือดร้อนแม่”
พี่ทาวน์พูดสิ่งที่ไต่ตรองออกมาระหว่างที่สบตากันไปด้วย ผมพยักหน้ารับความคิดเห็นนั้น เข้าท่าดี คล้ายกับว่าเราซื้อของเงินผ่อนดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์ อัดแน่นด้วยของแถมพิเศษที่เรียกว่าความสุข

“เป็นความคิดที่ดีครับ”
ผมยิ้มแต่พี่ทาวน์กลับก้มหน้าลงต่ำ เดาไม่ออกเลยว่าท่าทางแบบนี้คืออะไร ขอโทษที่โง่จนคิดเองไม่ได้ แต่เชื่อว่าเขาไม่ใจร้ายกับแฟนหรอก

“ขอโทษที่บังคับให้ไป”
เสียงแผ่วจนผมใจหาย ถึงเขาจะบอกว่าบังคับแต่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย เหมือนเขาขอร้องในแบบฉบับคนเย็นชาแค่นั้นเอง

“อย่าคิดแบบนั้น ผมเต็มใจ จริงๆ ก็อยากไปเที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่สักครั้งนะ มีโอกาสแล้วด้วย”
ผมพูดปลอบพี่ทาวน์แล้วถือวิสาสะใช้มือลูบหัวคนที่นอนตะแคง เขาปลายสายตามองเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่มีการปัดป้องใดๆ แถมยังมีรอยยิ้มบนมุมปาก เผลอใจสั่นเลยว่ะ หรือนี่จะเป็นโหมดอ้อนแฟน

“สนุกกว่ากรุงเทพฯ กูรับรอง”
สงกรานต์ที่ไหนๆ คงไม่สนุกถ้าไม่มีพี่ทาวน์ไปด้วยกัน ผมไม่พูดให้ฟังหรอก เดี๋ยวจะโดนหาว่าน้ำเน่า แค่นั่งยิ้มคนเดียวก็ใกล้เป็นคนบ้าเต็มทีแล้ว

แต่เอ๊ะ... เพิ่งคิดได้ว่าจองตั๋วเครื่องบินผ่านแอพพลิเคชั่นก็ได้นี่หว่า แล้วพี่ทาวน์จะลากผมกลับมาคอนโดด้วยกันทำไม หรือจริงๆ แล้วอยากให้ค้างที่นี่ โธ่ คุณแฟนแสนซึนเดระของนายภาคิน น่าขย้ำจริงๆ เลย ให้ตายเถอะ

ผมตื่นเช้ามาด้วยสติที่เหลือไม่ถึงครึ่งเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตีสอง อยู่ๆ ก็เกิดอาการตาค้าง สมองพาลคิดแต่เรื่องอกุศล ต้องโทษพี่ทาวน์ที่ใส่เสื้อกล้ามสีขาวตัวบางกับกางเกงบ๊อกเซอร์ แถมยังนั่งทาครีมต่อหน้าต่อตา คล้ายตั้งใจจะยั่วแต่ก็ไม่ใช่ โคตรสับสน

ในตอนที่กำลังจะพลิกตัวไปอีกด้านกลับพบว่ามีอะไรบางอย่างทับอยู่บนหน้าท้อง มันทั้งอุ่นและนุ่มจนปมต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมอง ท่อนแขนของพี่ทาวน์กอดรอบเอวสอบของผม จากที่ง่วงๆ กลับหายเป็นปลิดทิ้ง หัวใจทำงานสูบฉีดเลือดแรงตั้งแต่ฟ้าสาง

ผมกลับคอนโดของตัวเองตอนบ่ายเพราะมัวแต่อิดออดไม่อยากกลับ ขอกอดขอซุกพี่ทาวน์อยู่พักใหญ่จนโดนเตะไปหลายที ก็ใครมันปลุกสัญชาตญาณดิบขึ้นมาล่ะวะ รับผิดชอบด้วยสิ โธ่

“เมื่อคืนหายไปไหนมาวะ แล้วเอาชุดใครมาใส่เนี่ย”
คำถามสาดรัวๆ เมื่อประตูห้องปิดลง ผมยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าก็เจอพี่ชายตัวดีที่ลากสลิปเปอร์มาริโอ้มายืนกอดอกขวางทาง ใช้สายตาจับผิดมองตั้งแต่หัวยันปลายตีน คือกูก็ไม่ได้หยิบสายเดี่ยวกับกระโปรงสั้นของใครมาใส่ปะวะ รู้ได้ยังไงว่าชุดนี้ของคนอื่น หรือจำกลิ่น... แสนรู้เกินไปแล้วพี่ชาย

“ไปค้างกับพี่ทาวน์มา ชุดนี่ก็ของเขา”
ผมลอบมองปฏิกิริยาของจิณณ์ก่อนจะเดินผ่านมันเพื่อแอบขำ จากใบหน้าโกรธขึงแปรเปลี่ยนเป็นตกใจแค่เสี้ยววินาที คงลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนน้องชายไม่ได้รายงานว่าจะค้างกับคนอื่น

“เฮ้ย กูได้น้องสะใภ้แล้วเหรอ”
มันก้าวเท้าฉับตามมาติดๆ ทิ้งตัวนั่งลงข้างผมบนโซฟาจนแทบจะเกยตัก ดวงตาคมเป็นประกายระยิบระยับแฝงความยินดี แต่ขอโทษเพราะไม่เป็นอย่างที่คิด กูหื่นอยู่คนเดียวครับแฝด พี่ทาวน์นอนหลับสบายมากจ้า

“วันๆ มึงคิดแต่เรื่องใต้สะดือหรือไง แค่นอนข้างกันได้ก็บุญกูแล้ว”
ผมด่ามันไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากโดนเซ้าซี้มากไปกว่านี้ มึงเข้าใจคำว่าค่อยเป็นค่อยไปไหม ถ้าพวกกูเป็นเกย์กันมาตั้งแต่เกิดคงนอนแก้ผ้าคุยกันตั้งแต่วันแรกๆ ที่ตกลงเป็นแฟนแล้ว คนไม่เคยปุบปับให้ทำคงหายนะมาเยือน

“นอนเฉยๆ จับมือก็ไม่ กอดก็ไม่งั้นเหรอ”
ยัง มึงยังจะถามอีก ให้กูถามเรื่องรอยข่วนบนคอไอ้ไธกลับบ้างไหม อยากรู้มานานแล้วว่าพวกมึงสองคนทำอะไรกัน พออัพเดทสถานะเป็นแฟนกันปุ๊บก็จัดหนักเลยเหรอวะ โธ่เว้ย กูช้าเกินไปอีกแล้วเหรอเนี่ย

“เออ เซ้าซี้จังวะ”

“ไร้น้ำยาจัง”
มึงบ่นพึมพำแต่กูได้ยินนะเว้ย

“เดี๋ยวถีบกระเด็น”
ผมยกเท้าเตรียมจะถีบมันจริงๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีเข้าห้องเพื่อรื้อหากระเป๋าใส่เสื้อผ้า อีกสองวันจะต้องเดินทางแล้วขอเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เผื่อขาดเหลืออะไรจะได้เพิ่มทันการ

“ก็แค่แหย่เล่นเองน่า แล้วนั่นรื้อกระเป๋าเดินทางออกมาทำไม”
ความสอดรู้สอดเห็นนี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ เลยว่ะ ถามไม่พอยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะจูบกระหม่อมอยู่แล้ว ได้กลิ่นตุๆ จากหัวจิณณ์ด้วย ไอ้เชี่ยนี่ไม่สระผมอีกแล้ว

“จะไปเชียงใหม่กับพี่ทาวน์”
ผมผละหัวจิณณ์ออก ทำจมูกฟุดฟิดเพราะรู้สึกระคาย จะจามก็ไม่จามมันทรมานรู้ไหม กำลังจะเปิดซิปกระเป๋าแต่โดนมันกระชากไหล่ซะก่อน

“เดี๋ยวๆ เปิดตัวลูกเขยเหรอ!”
ตะโกนใส่หน้าเต็มๆ พร้อมน้ำมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์กระจายทั่วใบหน้า ผมปัดมือมันทิ้งก่อนจะเบนหนีแล้วจามออกมาเสียงดัง กลิ่นชะอมคลุ้งเลยไอ้นี่ เหม็นฉิบหาย

“บ้า ไม่ใช่เว้ย ก็ไปเป็นเพื่อนเฉยๆ”
ผมบอกเสียงอู้อี้เพราะใช้มือถูปลายจมูกไปด้วย จิณณ์ขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมเมื่อได้ยินคำตอบนั่น ขอร้องอย่าเครียดแทนกู

“อ้าวเหรอ แบบนั้นจะไม่อึดอัดเหรอวะ”
รู้ว่ามันถามเพราะความเป็นห่วง แต่เงียบๆ ไว้บ้างก็ได้เว้ย อุตส่าห์ทำใจเลิกคิดถึงข้อนี้ไปแล้ว

“เออน่า กูคงรับมือสถานการณ์แบบนั้นได้ไม่ยากหรอก”
ตอบเพื่อให้กำลังใจตัวเองและไม่อยากให้แฝดเป็นห่วงมากเกินไป ผมไม่รู้หรอกว่าถ้าเจอสถานการณ์จริงๆ แล้วจะเอาตัวรอดได้หรือเปล่าเพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต แต่เชื่อว่าพี่ทาวน์คงช่วยให้มันผ่านไปด้วยดี

“เออๆ อย่าทำตัวมีพิรุธจนที่บ้านเขาจับได้แล้วกัน”

“ครับคุณพ่อ กูก็ยังไม่อยากโดนคนที่นั่นกระทืบหรอก”

“ก็มึงล่อลวงลูกเขาให้เป็นเกย์นี่เนอะ”
จิณณ์พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะทิ้งตัวนอนกลิ้งบนเตียงอย่างอารมณ์ดี ผมที่กำลังรื้อเสื้อผ้าในตู้ถึงกับต้องหันขวับไปค้อนใส่ ปากเลี้ยงหมาไว้กี่ตัวห๊ะ เดี๋ยวขอให้พี่ทาวน์ช่วยผ่าออกให้

“พูดอย่างกับมึงไม่ได้ล่อลวงไอ้ไธ”

“เฮ้ยๆ มันชอบกูก่อนนะ”
มันเด้งตัวขึ้นมาชี้หน้ากันด้วยท่าทางตื่นๆ ผมไหวไหล่เป็นเชิงไม่รับรู้ว่าใครเริ่มก่อนแล้วหันไปยุ่งวุ่นวายกับเสื้อผ้าต่อ เอากางเกงในตัวใหม่ไปดีกว่า

“ไม่คุยกับมึงแล้ว จัดของต่อดีกว่า”

“เชิญเลยจ้าพ่อน้องชาย ขอให้มีความสุขในทริปฮันนีมูน”
ถึงน้ำเสียงมันจะประชดเต็มขั้นแต่รอยยิ้มยินดีก็ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าอย่างชัดเจน ทริปฮันนีมูนหน้าร้อนเหรอ ตลกว่ะ แต่ทำไมกูเขินเนี่ย พอเป็นเรื่องพี่ทาวน์ทีไรเสียการทรงตัวประจำเลย แย่ๆ

ผมยัดของจำเป็นเท่าที่คิดออกลงกระเป๋าเรียบร้อย หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปส่งไปอวดพี่ทาวน์ถึงความกระตือรือร้นของตัวเองว่าอยากไปจริงๆ ข้อความแจ้งว่าอีกฝ่ายอ่านแทบจะทันที ก่อนได้รับคำตอบกลับมาว่า ‘เด็กขี้เห่อ’

ผมคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะพิมพ์โต้ว่า ‘ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะความรักผลักดัน’ หลังจากนั้นพี่ทาวน์ก็ส่งสติ๊กเกอร์หมีใส่นวมเตรียมต่อยกลับมาให้ คงเขินกับมุกเสี่ยวๆ แน่เลย ตอนที่กำลังจะเดินผ่านโซฟา หูดันได้ยินเสียงแว่วๆ คล้ายคนกำลังคุยกัน เหลือบสายตามองก็เห็นจิณณ์กำลังวีดีโอคอลกับไอ้ไธอยู่ ขอเสือกนิดนึงนะ อย่าโกรธกันเลย

“ไธ ~”
โอ้โห เสียงหวานจนผมขนลุกซู่เลยว่ะ ถ้าไม่เกรงใจว่ามันจะรู้ตัวคงขยับเข้าไปใกล้กว่านี้ อยากเห็นหน้าจิณณ์ฉิบหาย แต่จากมุมนี้เจอแต่แผ่นหลังล้วนๆ

“ว่าไงครับ”
อีกฝั่งก็ตอบรับเสียงอ่อนไม่แพ้กัน มึงขยันผลิตน้ำตาลกันจังเลยเนอะ

“คืนนี้ขอไปค้างด้วยนะ”
ผมถึงกับตาค้าง เมื่อครู่จิณณ์บอกว่าจะทำอะไรนะ นี่มันอ่อยเกินไปแล้วเว้ย

“ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยไหม”
ไม่ได้! มึงจะพรากฝาแฝดออกจากกันเหรอไอ้ไธ ไอ้เพื่อนทรยศ แล้วกูจะแดกอะไรล่ะ ฮือ ผมอยากโวยวายแทบตายแต่ทำได้แค่ยืนกัดปากน้ำตาตกไหน จิณณ์ห้ามตอบตกลงนะ อย่าใจง่าย มันจับมึงเล่นกีฬาในร่มทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ

“ขอเวลาคิดหน่อย”
สงสัยจะปรึกษาผมก่อน ดีใจจัง

“กี่อาทิตย์ดี”

“ครึ่งวันก็พอ”

กูอยากตาย มึงจะเล่นตัวทำห่าอะไรวะจิณณ์ อยากย้ายไปอยู่กับมันก็ตอบตกลงไปเลยไป๊ โกรธแล้ว!




---------------------------------------------

ก็ชวนไปเชียงใหม่แบบที่เคยชวนเพื่อนไป ไม่มีอะไรพิเศษหรอกน่า หึหึ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 27 - P.4 (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 27-11-2017 09:44:19
ไธคืบหน้าาาาาา แล้วเจ็ทละ :laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 27 - P.4 (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 27-11-2017 10:39:58
อร๊ายเชียงใหม่
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 27 - P.4 (27/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 27-11-2017 11:38:56
ความอ่อยทำไมไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมน้องเจ็ทจะได้ไม่ต้องเทียวหมั่นเพื่อนกับแฝดอยู่แบบนี้ 555

รอดูการขึ้นเหนือครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้น
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 28 - P.4 (30/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-11-2017 15:49:34
แข่งครั้งที่ 28




กระเป๋าใบโตถูกโยนขึ้นหลังสะพายจนมาถึงที่หมายอย่างสนามบินดอนเมือง ผมและพี่ทาวน์ได้แต่กรอกตามองเหล่าเพื่อนสนิทด้วยความเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าจะยกโขยงมาส่งทำไม แค่ไปเชียงใหม่ไม่กี่วัน ทำอย่างกับไปทัวร์ต่างประเทศเป็นเดือน

“ถามจริง จะมากันทำไมเยอะแยะ”
คนที่เท้าแขนกับกระเป๋าเดินทางเอ่ยปากถามเสียงเรียบ ดวงตารีกวาดมองเพื่อนสองหน่อที่เอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมคิดว่าถ้าพี่ทาวน์ได้คำตอบคงอยากพุ่งเข้าไปบีบคอแน่ๆ

“มาส่งเพื่อนไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ไง”
คนตัวเล็กบอกเสียงใสก่อนตบบ่าพี่ทาวน์เป็นเชิงหยอกล้อ ผมเหลือบมองทั้งสองคนสลับกันแล้วได้แต่กลั้นหายใจลุ้นสิ่งที่จะเกิดต่อจากนี้ ก็คำตอบมันวอนโดนตีนเหลือเกิน

“กูไม่แต่งงานกับมันง่ายๆ หรอก”
จึก คล้ายเสียงหัวใจถูกลิ่มแทงนับร้อยครั้ง แค่จะบอกปฏิเสธเพื่อนทำไมต้องทำร้ายกันแบบนี้ด้วยวะพี่ทาวน์ แต่ให้อภัยก็ได้ ในเมื่อวันนี้เขายอมใส่ชุดที่ผมเลือก เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเขียวมินท์ลายใบไม้เล็กๆ แนวมินิมอลกับกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าผ้าใบสีขาวหุ้มข้อ ดูเป็นเด็กกะโปโลดี น่ารัก น่าขย้ำว่ะ

พี่ทาวน์เหลือบสายตามองก่อนจะหัวเราะหึออกมาเมื่อเห็นใบหน้ามู่ทู่ของผม อยากงอนให้ได้อย่างที่คิดไว้แต่สุดท้ายต้องผ่ายแพ้เมื่อฝ่ามืออุ่นทาบลงบนหัวพร้อมออกแรงขยี้เบาๆ มันเป็นการปลอบที่ทำให้รู้สึกใจเต้นแรงทุกครั้ง

“ไม่แต่งแต่จะหนีตามกันก็บอกมาเถอะไอ้ทาวน์”
พี่แฮมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วใช้สายตากรุ้มกริ่มมองเราทั้งสองคนที่ไม่ได้ผละออกจากกัน พวกขี้เผือกทั้งหลายพนักหน้าเห็นด้วยกันเป็นแถบ ยกเว้นก็แต่ไอ้ตังค์ที่ยืนบิดเขินสามีมันอยู่ จะหอมหัวกันที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่ตรงนี้เว้ย เกรงใจคนอื่นบ้างไหมพวกมึง

“เรื่องของกูน่า กลับๆ กันไปได้แล้ว”
พี่ทาวน์โบกมือไล่ทุกคนก่อนเลื่อนมือข้างที่ลูบหัวกันลงมากอดไหล่ ผมเผลอยิ้มอย่างลิงโลดเพราะน้อยครั้งที่เขาจะแสดงความเป็นเจ้าของในที่สาธารณะ

“โหย รีบไปฮันนีมูนกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
ไอ้ฟาร์มสอดปากเข้ามาทำหน้าใสซื่อไร้เดียงสาจนผมตีนกระตุก เกือบจะเตะมันได้อยู่แล้วแต่โดนพี่ทาวน์รั้งคอเสื้อไว้ โดนส่งสัญญาณทางสายตาว่าอย่าทำอะไรวุ่นวายในสนามบิน

“มึงก็รีบไปจีบไอ้ฟาให้ติดเถอะ หนุ่มๆ มันเยอะนะ”
พี่ทาวน์เอาคืนด้วยคำพูดนิ่มๆ พร้อมรอยยิ้มเคลือบยาพิษ เขาหันมาขยิบตาให้ผมเป็นอันรู้กันว่าจัดการเอาคืนให้เรียบร้อยไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงสักนิด ปัจจุบันนี้เขาแสดงความรู้สึกมากขึ้น พูดมากขึ้น บางครั้งก็แทบทำให้หัวใจวาย ร้ายจริงๆ ผู้ชายคนนี้

ไอ้ฟาร์มถึงกับหันขวับไปมองพี่ฟาที่ยืนถัดจากตัวเองด้วยอาการตกตะลึงทำหน้าราวกับจะร้องไห้ คนตัวเล็กไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธข้อกล่าวหาแต่กลับยกยิ้มมุมปากราวกับว่ามีคนตกหลุมพราง ที่ผมว่าพี่ทาวน์ร้ายขอเปลี่ยนคำพูดแล้วกัน เพราะมีเหนือฟ้ายังมีฟ้า

“พวกกูไปล่ะ”
พี่ทาวน์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินนำเข้าเกทไป ผมบอกลาบรรดาเพื่อนและพี่แล้วตามไปติดๆ ได้ยินเสียงอวยพรไล่หลังมาจนเผลอหลุดขำเพราะมันคือการบอกว่า ‘อย่าลืมของฝาก’ หรือ ‘เลื่อนขั้นไวๆ นะพวกมึง’ หรือ ‘เชียงใหม่บรรยากาศดี ห้ามพลาด’ นี่ทุกคนคิดว่าเราไปฮันนีมูนจริงๆ เหรอวะ เฮ้อ

จากกรุงเทพถึงเชียงใหม่ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมชอบมองก้อนเมฆปุกปุยบนท้องฟ้าสีคราม แต่วันนี้พี่ทาวน์ขอแลกที่นั่งข้างหน้าต่างแทนเพราะอีกฝั่งเป็นฝรั่งตัวขาวแต่กลิ่นตัวโคตรแรง โอย แสบจมูกสัดๆ ขอยาดมหน่อย มีคนจะเป็นลมครับ!

“อากาศดีไหมมึง”
พี่ทาวน์ถามเสียงเบาปนหัวเราะ ในมือถือขนมที่สายการบินแจกส่งมาตรงหน้าเพื่อป้อนให้ผมกิน ถ้าเป็นเวลาปกติคงยิ้มหน้าบานใจเต้นแรง แต่ตอนนี้ที่กลิ่นเหม็นเขียวตลบอบอวลกลับรู้สึกอยากอ้วกเอาอาหารเช้าออกมา กาแฟสตาบัคเชียวนะเว้ย อย่านะ...

“โห ยังจะถามอีก ผมจะเป็นลมแล้วเนี่ย”
ผมโวยวายแล้วดันขนมกลับไปแถมยัดของตัวเองให้อีกหนึ่งชิ้น หยิบแก้วน้ำส้มกระดกอึกๆ เผื่อจะลดความคลื่นไส้ได้บ้าง พี่ทาวน์กลั้นหัวเราะจนไหล่สั่นอย่างน่าหมั่นไส้ อยากจะกระชากมาจูบทำโทษแต่ติดอยู่ที่คนเยอะและมีหน้ากากอนามัยขวางอยู่

ใช่ พี่ทาวน์ใส่หน้ากากอนามัย แต่ผมไม่ได้ใส่!

“อดทนเพื่อกู ได้ไหม”
คำพูดคล้ายกำลังอ้อนมาพร้อมกับใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทำให้ผมมือไม้อ่อน จากที่รู้สึกหงุดหงิดเพราะโดนแกล้งกลายเป็นว่ายอมเขาไปซะทุกอย่าง ถามมาแบบนั้นต้องการอะไรวะ โธ่ แฟนนะแฟน เปลี่ยนจากคนเย็นชาเป็นคนเจ้าเล่ห์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“ได้เสมอครับ แต่จะดีกว่านี้ถ้าให้ผมย้ายไปนั่งข้างหน้าต่างด้วย”
ผมบอกเสียงจริงจังพร้อมกับยกมือขึ้นถูจมูกอีกครั้ง ถ้าใครเคยเจอสถานการณ์แบบนี้จะเข้าใจได้ดี เพราะเราไม่สามารถลุกหนีไปไหนได้ มีแต่ต้องทนกับทนไปจนถึงเวลาเครื่องแลนดิ้ง

“จะนั่งยังไงล่ะ”
พี่ทาวน์เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองด้วยสายตาสงสัย เห็นท่าทางแบบนั่นแล้วผมก็อยากแกล้งเลยคิดคำตอบที่ชวนวาบหวิวน้อยๆ ถ้าไม่หวั่นไหวให้ตบหัวทีนึงเลย

“พี่นั่งตักผมไง”
ขยับหน้าเข้าไปใกล้อีกคนแล้วเผยยิ้มกรุ้มกริ่ม แขนเท้าคร่อมกับหน้าต่างกักตัวไม่ให้หนีไปไหน พี่ทาวน์จ้องกลับก่อนจะผลักมือออกจนผมเสียการทรงตัว เกือบเอาหัวชนอกเขาแต่ดีที่เบรกทัน ไม่อย่างนั้นคงโดนเขาต่อยแก้มช้ำแน่ๆ

“ฝันไปเถอะ กูจะนอนแล้ว”
พี่ทาวน์บอกเสียงแข็งก่อนจะปิดตาลงแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางปล่อยให้ผมนั่งฉีกยิ้มกว้างเพราะอารมณ์ดีอยู่คนเดียว ไอ้เรื่องที่เขาจะนั่งตักอาจเป็นได้แค่ฝัน แต่เรื่องที่เขาเขินมันเกิดขึ้นแล้ว แก้มแดงจนน่าหยิก มันเขี้ยวว่ะ

“โธ่ เขินแล้วหนีเหรอ”
ผมแกล้งเย้า เหลือบสายตามองปฏิกิริยาของคนถูกแกล้งในขณะที่กำลังกระดกน้ำส้มคั้นลงคอ ความเปรี้ยวและกลิ่นหอมทำให้ลืมฝรั่งข้างๆ ไปบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่ไม่มีสิ่งให้โฟกัส ความหายนะกับโพรงจมูกจะกลับมาอีกครั้ง โธ่ เพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมงเอง นานอย่างกับเป็นปี

พี่ทาวน์หันขวับมามองกันด้วยสายตาเอาเรื่องจนคิ้วขมวดยุ่ง นิ้วเรียวชี้หน้าคาดโทษ ผมฉีกยิ้มกว้างสู้อย่างไม่สะทกสะท้านแต่ต้องรีบหุบปากฉับเพราะคำขู่ของเขา มันน่ากลัวเกินจะท้าทายจริงๆ ว่ะ ยอมแล้ว

“ถ้ายังพูดมาก กูจะผลักหัวมึงให้ซุกรักแร้ฝรั่งนั่น”
เหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะ ‘ฮิฮิ’ ของปีศาจดังก้องอยู่ในหัว ผมรีบโบกมือเป็นเชิงยอมแพ้ สู้ไม่ไหวจริงๆ กลิ่นตัวไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะเว้ย จะแบกหน้าไปบอกฝรั่งนั่นว่าตัวเหม็นก็กลัวโดนต่อยหน้าแหก ฮือ จะร้อง แค่นั่งข้างๆ ยังอบอวลขนาดนี้ ขืนเอาหน้าไปซุกรักแร้คงน้ำลายฟูมปาก

สมัยเรียนมัธยมผมมีเพื่อนคนหนึ่งกลิ่นตัวแรงมาก คุณครูชาวต่างชาติที่สอนถึงกับทนไม่ไหว เดินเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยภาษาอังกฤษปนไทยว่า ‘ยูทาพาวเดอร์บ้างนะ กลิ่นตัวแรงมาก’ คือตอนนั้นนั่งอยู่ข้างๆ ยังหน้าชาแทนแล้วมันจะรู้สึกยังไงวะ

“โอย ยอมแพ้จริงๆ ครับ แค่นี้ก็จะตายแล้ว”

เครื่องแลนดิ้งที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ในเวลาเกือบเที่ยงวัน ยืนรอกระเป๋าตรงสายพานเกือบสิบนาทีก่อนจะพากันเดินออกไปด้านนอกอาคาร พี่ทาวน์โทรบอกให้คนที่บ้านมารับ ซึ่งผมก็พยักหน้าเข้าใจ แต่ใครจะไปคิดไปฝันว่าเขามีคนขับรถวะ แถมใส่ชุดพื้นเมืองเข้าบรรยากาศสงกรานต์สุดๆ

ยี่ห้อรถที่ขับมารับทำให้ผมเกร็งไปทั้งร่าง เผลอนั่งตัวตรงเด่อยู่ข้างๆ พี่ทาวน์ที่เอนหลังพิงเบาะอย่างสบาย ไอ้เชี่ย โรเซอรอยนะเว้ย แม่ง บ้านเขารวยขนาดไหนวะถามจริง ขนาดพี่เขยผมทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังขับแค่ออดี้เลย

“คุณหนูจะแวะที่ไหนก่อนไหมครับ”
เสียงทุ้มของคุณอาคนขับรถวัยสามสิบปลายๆ ดังขึ้นทำให้ผมที่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงกับสะดุ้ง หางตาเหลือบเห็นพี่ทาวน์กำลังกลั้นขำแล้วนึกหมั่นไส้ แต่ทำอะไรประเจิดประเจ้อตอนนี้ไม่ได้ อย่าให้ถึงที่ลับตาคนนะ หึหึ จะลงโทษให้น่วมเลยคอยดู

“ไม่ครับ ตรงกลับบ้านเลย”
พี่ทาวน์ตอบกลับเสียงเรียบก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น แก้มที่เคยขาวเนียนกลับขึ้นสีชมพูจางๆ ตอนแรกก็ว่าจะไม่พูดถึงคำเรียกเมื่อครู่ แต่เจ้าตัวออกอาการอายขาดนี้ก็ขอหน่อยแล้วกัน

“คุณหนูทาวน์ ~”
ผมลากเสียงล้อเลียนให้ได้ยินกันแค่สองคนเพราะยังนึกเกรงใจคนขับรถอยู่บ้าง ถ้าเขาจับพิรุธได้ว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อนกันอาจจะเจอเรื่องไม่คาดฝันอย่างเช่นพ่อตาเอาปืนลูกซองยิงสมองกระจุย

“อยากนอนนอกบ้านหรือไง”
พี่ทาวน์พูดเสียงเย็นก่อนจะหันมองเขม็ง มือข้างหนึ่งง้างกำปั้นค้างไว้กลางอากาศเตรียมลงมือต่อยได้ทุกเมื่อ ผมเบิกตากว้างเพราะช็อกกับสิ่งที่ได้ยินมากกว่า ใครเขาอยากจะนอนกลางดินกินกลางทรายล่ะวะ คนอื่นอุตส่าห์คิดว่ามาฮันนีมูน

“เงียบก็ได้ครับ”
ผมพูดเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะแสดงอาการสำรวมโดยการนั่งปิดปากเงียบไปตลอดทางจนถึงที่หมาย อดตะลึงไม่ได้เมื่อภาพตรงหน้าคือบ้านเรือนไทยขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ บริเวณโดนรอบกว้างขวาง มีบ่อปลาคราฟให้เชยชม โรงจอดรถอัดแน่นจนอยากออกปากยืมขับสักคัน

เท้ายังไม่ทันได้แตะบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงฝีเท้าถี่ๆ ดังมาจากด้านใน ไม่นานนักคุณป้าหน้าตาใจดีก็โผล่ออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกางแขนเพื่อเป็นสัญญาณให้ ‘คุณหนู’ ของเธอโผเข้าสู่อ้อมกอด ผมได้แต่ลอบยิ้มเมื่อพี่ทาวน์ทำตามอย่างว่าง่าย ดูเป็นเด็กว่าง่ายไปเลย

“คุณหนู ป้ากึ๊ดเติงหาขนาด สะบายดีก่อเจ้า”
เสียงทุ้มหวานสำเนียงภาษาถิ่นเหนือไถ่ถามคุณหนูของเธอด้วยความคิดถึง มือเล็กๆ จับไปตามร่างกายเพื่อตรวจดูว่ามีตรงไหนสึกหลอไปหรือเปล่า ท่าทางแบบนั่นทำให้ผมคิดถึงพ่อกับแม่ขึ้นมาทันที อยากบินไปอ้อนที่อังกฤษจังเลย

“สบายดีครับ ป้านวลล่ะ”
คนถามโดนหอมแก้มไปสองฟอดใหญ่พร้อมกับกอดแน่นๆ อีกครั้งก่อนที่ป้านวลจะผละตัวออกไป พี่ทาวน์คลี่ยิ้มทาวน์คลี่ยิ้มบางเมื่อเธอพยักหน้าอย่างแข็งขัน

“สะบายดีเจ้า ป้าจัดห้องหื้อแล้ว”

“ขอบคุณครับ”
พี่ทาวน์ยกมือไว้ป้านวลอย่างนอบน้อม ถ้าให้เดาคงสนิทกันมากตั้งแต่เด็กจนโต เธอส่ายหน้าแล้วกอบกุมมือเรียวไปจับไว้ คงคิดถึงมากจริงๆ

“โอ๊ะ นี่เพื่อนคุณหนูก่อ”
เธอสะดุดกึกเมื่อเห็นผมที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากพี่ทาวน์ในเวลาต่อมา ดวงตากลมหรี่ลงเหมือนกำลังสำรวจบุคคลแปลกหน้า

“สวัสดีครับป้านวล”
ผมยกมือไหว้พร้อมกับก้มศีรษะลง

“ไม่ใช่ครับ เป็นรุ่นน้องที่สนิทกัน”
พี่ทาวน์ออกปากแทนแล้วหันมายักคิ้วให้เป็นเชิงหยอกล้อ ความจริงแค่บอกว่าเป็นเพื่อนกันก็ได้เพราะไม่มีใครรู้จักผม แต่ที่เขาเลือกพูดแบบนั้นคงคิดถึงความรู้สึกลึกๆ ก็เพราะเราไม่ได้อยู่ในสถานะนั้น

“อ๋อ หล่อขนาด ชื่ออะหยังเจ้า”
ป้านวลผละออกจากคุณหนูคนหล่อของเธอแล้วเดินมาจับตัวผมหมุนแทน อย่างกับแมวมองกำลังสำรวจนายแบบ

“เอ่อ ชื่อเจ็ทครับ”
ผมตอบด้วยความไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ได้ยินป้านวลพูดคำว่าชื่อเลยคิดว่าใช่ ภาษาเหนือบางครั้งก็ฟังยากเกินไป

“ป้านวลครับ พ่อไปไหน”
เหมือนพี่ทาวน์กำลังช่วยชีวิตผมจากป้านวลที่มีท่าทางจะชอบคนหล่อเป็นพิเศษ เธอชะงักเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับไปหาคุณหนูอีกครั้ง ปล่อยให้ผมยืนกลั้นขำเมื่อเห็นสีหน้าเสียดาย

“คุณท่านไปโฮงยาเจ้า เมื่อแลงถึงจะปิ๊ก”
ผมตั้งใจฟังแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แต่พี่ทาวน์พยักหน้ารับแล้วเอื้อมมือมาสะกิด พยักพเยิดไปทางบรรดาห้องพักต่างๆ

“ครับ งั้นผมกับเจ็ทของตัวเอาของไปเก็บก่อนนะครับ”

“เจ้า ห้องคุณเจ็ทอยู่ตางซ้ายเน้อ ถัดจากห้องคุณหนู”
ผมและพี่ทาวน์มองหน้ากันก่อนรับคำแล้วลากกระเป๋าไปยังที่หมาย แอบสอดส่องสำรวจไปทั่ว ถ้ามีโปรเจ็คสร้างโมเดลบ้าน จะแอบเอาแบบที่นี่ไปใช้ แต่มีเรื่องที่ทำให้ความคิดสะดุด

“โห แยกห้องนอนด้วยอะ เซ็งเลย”
ผมบ่นกระปอดกระแปดเมื่อคนที่เดินนำหน้าหยุดฝีเท้าที่หน้าห้องหนึ่ง ป้ายสีทองเด่นหราว่ามันคือสถานที่ใช้รับรองแขก อยากนอนห้องเดียวกันกับพี่ทาวน์มากกว่า ไม่ได้คิดอกุศลแต่มันแปลกที่แปลกทางกลัวนอนไม่หลับ...

“หึ นอนด้วยกันแต่โดนพ่อกูกระทืบจะยอมไหมล่ะ”
คำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันเกือบทำให้ผมปล่อยกระเป๋าร่วงจากมือเพราะหมดแรง เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามไรผม รู้สึกเย็นสันหลังวาบทั้งที่อากาศร้อนจนตัวจะแตก เอาจริงดิ พ่อตาโหดขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“โหดมาก งั้นผมเอาของไปเก็บก่อนนะครับ”
ผมบ่นพึมพำในประโยคแรกก่อนจะบอกพี่ทาวน์เสียงแผ่ว มาเที่ยวครั้งนี้หวังว่าคงมีชีวิตรอดกลับไปสอบไฟนอลนะ

“อืม เก็บเสร็จก็มาหากู”
หลังจากคำพูดนั้นเราก็แยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน

ผมยืนหมุนซ้ายหมุนขวาเมื่อเห็นสภาพห้องนอน มีเตียงสี่เสาที่ติดผ้าม่านสีครีมรอบด้าน ตู้เสื้อผ้าทำจากไม้สักเหมือนตัวบ้าน ทีวีจอแบนติดผนัง ห้องน้ำในตัว ทุกอย่างดูหรูไปหมดจนรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับเขา บางทีฐานะก็ทำให้คนเราเกิดข้อเปรียบเทียบและเผลอคิดมากได้

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างแล้วนอนหงายมองเพดาน สูดชมหายใจรับอากาศบริสุทธิ์ของเมืองเชียงใหม่จนเต็มปอด ช่วงเดือนเมษายนที่นี่ร้อนจนน่ากลัว ลองคิดถึงตอนโดนน้ำสาดแล้วแดดเผา ไม่อยากคิดสภาพตัวเองเลยจริงๆ คงป่วยชนิดที่ว่าต้องหยอดน้ำข้าวต้ม

กะเวลาความเป็นส่วนตัวให้พี่ทาวน์ประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นผมก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ มองกระเป๋าเป้ใบโตที่ยังวางอยู่ที่เดิม ไม่จำเป็นต้องรื้ออะไรมาจัดให้ยุ่งยาก เพราะใช้เวลาพักที่นี่แค่ห้าวันเท่านั้น ก่อนจะเดินออกจากห้องเพิ่งคิดได้ว่ายังไม่รายงานตัวกับคุณฝาแฝด ป่านนี้คงลากไอ้ไธไปเที่ยวแล้วล่ะมั้ง

ผมส่งไลน์หาทุกคนว่าถึงเชียงใหม่อย่างปลอดภัยแล้ว ได้รับข้อความตอบกลับอย่างเดียวกันเหมือนเตี๊ยมไว้ว่า ‘เจอพ่อตาหรือยัง’ แม่ง รู้สึกเหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายยังไงชอบกล เพราะไม่รู้ว่าพ่อของพี่ทาวน์จะดุขนาดไหน

กว่าจะไล่ความวิตกกังวลออกไปได้ก็ตอนที่ขายาวหยุดชะงักอยู่หน้าประตูห้องของพี่ทาวน์ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความตื่นเต้นเพราะจะได้เข้าสู่โลกส่วนตัวของเขาอีกครั้ง มือหนายกขึ้นเคาะส่งสัญญาณสองครั้งก่อนเปล่งเสียงเรียก

“พี่ทาวน์ครับ ผมมาแล้วนะ”
ผมยืนรอรับคำตอบด้วยหัวใจเต้นระรัว มือไม้สั่นจนแทบปล่อยโทรศัพท์ตกพื้น รู้สึกตัวเองคล้ายเด็กวัยใสเพิ่งมีความรักครั้งแรก ตื่นเต้นไปซะทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพี่ทาวน์

“เข้ามาสิ”
เสียงเชิญชวนดังผ่านประตูไม้เนื้อดีทำให้ผมถือวิสาสะเปิดเข้าไป รอยยิ้มบนใบหน้ากลับหุบลงในทันทีเมื่อดวงตาคมปะทะกับภาพตรงหน้า

พี่ทาวน์กำลังยืนมองรูปถ่ายบนบอร์ดสีน้ำตาล แฟนเก่าที่ได้ชื่อว่าคบกันมานานกำลังยิ้มมีความสุขอยู่ตรงนั้น ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรรู้สึกแบบไหน และทำหน้าอย่างไร พูดอะไรดี สมองมันตื้อๆ หัวใจปวดหน่วงชอบกล

“อ่า...”
ผมครางเสียงเบา ดวงตาคมจ้องมองแผ่นหลังพี่ทาวน์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย สมองกำลังประมวลผลอย่างหนักว่าควรพูดอะไรดี แม่งเอ้ย ทำไมอยู่ๆ ก็ขาดความมั่นใจซะได้ เราคือแฟนคนปัจจุบันที่เขาเลือกไม่ใช่หรือไง สู้สิวะไอ้เจ็ท

“กูกำลังจะแกะทิ้ง ช่วยหน่อยสิ”
เสียงเรียบเอ่ยขึ้นโดยไม่หันมามองทางนี้ มือเรียวกำลังแกะรูปภาพออกจากบอร์ดตามที่บอก ไม่รู้ว่าสีหน้าและความรู้สึกของพี่ทาวน์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วที่บ้านรู้เรื่องพรีมหรือยัง

“.....”
ผมยืนนิ่งไม่ขยับเพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อย แถมประตูห้องก็ยังเปิดค้างอยู่แบบนั้นจนทำให้พี่ทาวน์ละความสนใจจากสิ่งที่ทำแล้วเดินตรงมาทางนี้

“เจ็ท เป็นอะไร”
นานครั้งที่เขาจะเรียกชื่อกันแบบนี้ ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าพัลวันเป็นการปฏิเสธ แต่มันยิ่งทำให้พี่ทาวน์ขมวดคิ้วแน่น สงสัยโกหกไม่เนียน ต้องไปเรียนมาใหม่แล้วล่ะ

“ปะ เปล่าครับ เมื่อกี้จะให้ผมทำอะไรนะ”
ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ พี่ทาวน์ไม่ตอบอะไรก่อนจะเดินไปปิดประตูห้อง แล้วกลับไปยืนที่ปลายเตียงด้วยใบหน้าขึงขัง

“มานั่งนี่”
พี่ทาวน์พยักพเยิดหน้าไปทางปลายเตียงเป็นเชิงว่าให้ผมนั่งตรงนั้น

“หา...”
ผมเอียงคอมองด้วยความสงสัยว่าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย ก็ไหนบอกจะให้ช่วยแกะรูปพี่ทาวน์กับพรีมออกไม่ใช่หรือไง

“เร็วๆ”
พี่ทาวน์เร่งเสียงขุ่น ดวงตารีฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ผมรีบละล่ำละลักตอบรับแล้วเดินเข้าไปหาทันที กลัวโดนเตะก้านคอว่ะ

“เป็นอะไร จะบอกได้หรือยัง”
คำถามเชิงคาดคั้นถูกส่งมาในขณะที่ผมหย่อนก้นลงบนเตียงนุ่ม พี่ทาวน์ยืนค้ำหัวกดดันทางสายตาอีกระลอก จะให้ตอบความจริงที่คิดน่ะเหรอ จะรับได้ไหมครับกับความคิดมากของแฟนคนนี้

“คือ... แค่คิดว่าเมื่อก่อนพี่ทาวน์กับพรีมคงรักกันมาก”
ผมพูดเสียงเบาไม่กล้าสบตาเจ้าของห้อง ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงยวบข้างตัว พี่ทาวน์ลงข้างๆ กัน แนบชิดจนไม่เหลือช่องว่าง

“อืม ก็ใช่ พรีมเหมือนเป็นทั้งชีวิตของกู”
เขาเริ่มพูดถึงความหลังที่ผมไม่อยากฟัง แต่จะห้ามคงไม่ได้

“อ่า...”

“พรีมแสงสว่าง เป็นรอยยิ้ม เป็นเสียงหัวเราะ”
สรุปเอาง่ายๆ คือพรีมเป็นทุกอย่างของพี่ทาวน์ในช่วงเวลานั้น ผมหลุดขำเพราะสมเพชตัวเองที่เป็นได้แค่คนน่ารำคาญคอยตามตื๊อพี่ทาวน์ตลอดเวลา เขาไล่ก็ยังหน้าด้านจะจีบ แย่เนอะ

“ผม... คงสู้พรีมไม่ได้”
ผมตัดพ้อตัวเองจากความรู้สึกข้างใน น้ำเสียงสั่นระรัวราวกับคนใกล้ร้องไห้ ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่นเพราะต้องทำตัวเข้มแข็ง

“คิดมากเรื่องนี้เหรอไง”
พี่ทาวน์ถามอย่างรู้ทัน เขาแตะมือลงบนหัวของผมก่อนออกแรงขยี้ราวกับมันเป็นของเล่นแต่กลับอบอุ่นจนรู้สึกผิดที่คิดอะไรมากมายขนาดนั้น เขายังไม่ได้ว่าอะไรสัดคำนี่ สรุปแล้วทั้งหมดคือความน้อยใจและความกลัวของนายภาคินเอง

“ขอโทษนะครับที่ผมน้อยใจเป็นเด็กๆ”
ผมช้อนตามองคนที่ผละมือออกไป พี่ทาวน์กระตุกรอยยิ้มมุมปากก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่ ท่าทางแบบนั้นเดาไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“มึงสู้พรีมไม่ได้จริงๆ นั่นล่ะ”
จุกกว่านี้มีอีกไหม เหมือนหัวใจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยว่ะ ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ชายคงทำตัวน่ารักอ่อนหวานอย่างที่พี่ทาวน์ต้องการไม่ได้

“.....”
ผมเม้มปากแน่นกลั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้น เป็นผู้ชายแต่ร้องไห้ง่ายๆ มันไม่แมนเข้าใจไหม ต่อไปจะดูแลปกป้องพี่ทาวน์ได้ยังไงกัน

“เพราะพรีมเป็นอดีต แต่มึงคือปัจจุบันและอนาคต ไม่จำเป็นต้องแข่งกับใครทั้งนั้น”
ผมแทบจะเผลอกัดปากตัวเองเมื่อได้ยินประโยคถัดมา ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ความกลัวมลายสิ้น ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มอยอุ่นจากพี่ทาวน์ยิ่งทำให้หัวใจเต้นรัว เขากำลังบอกรักหรือเปล่า

“แอบบอกรักผมทางอ้อมเหรอครับ”

“ขี้มโนเนอะ”

“อ้าว หรือว่าพี่ไม่รักผม”
ผมหน้างอเมื่อพี่ทาวน์พูดแบบนั้น คนยิ่งใจเสียกับเรื่องพรีมอยู่ จะบอกว่ารักให้มั่นใจหน่อยไม่ได้เหรอ

“ทำหน้างอนเป็นเด็กไปได้”
พี่ทาวน์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วเอาคางเกยไหล่ของผมไว้อย่างแนบชิด ตอนนี้ยอมรับว่าอยากหันไปกอดเขาแน่นๆ แต่ต้องข่มใจ ดูสิว่าจะง้อด้วยวิธีไหน

“ผมเปล่านะเว้ย”
เดี๋ยวนี้ผมพัฒนาความปากแข็งตามที่ทาวน์แล้วเหอะ

“รักสิครับ รักน้องเจ็ทนะ คนดีของพี่ทาวน์”
ลมหายใจสะดุดกึกเมื่อได้ยินคำบอกรักแสนหวานที่ข้างหู ผมหันขวับไปมองพี่ทาวน์ด้วยความแปลกใจปนดีใจ ปากฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่เคยเป็น โอย จะบ้าตาย!

“พี่จะแกล้งให้ผมหัวใจวายตายใช่ไหมครับ!”
ผมถามรัวจนลิ้นแทบพันกัน รับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็ใครใช้ให้พี่ทาวน์แก้มแดงหูแดงตอนนี้ล่ะวะ แถมยังไม่ยอมสบตากันอีก จะเขินได้น่ารักเกินไปแล้ว

“แล้วคิดว่าที่พูดออกไป กูไม่เขินหรือไง”
เสียงแผ่วๆ ที่หลุดจากริมฝีปากสีชมพูทำให้ผมต้องระงับความต้องการของตัวเองอย่างสูง พยายามท่องไว้ว่านี่บ้านของเขา มีคนอยู่เยอะแยะ จะไม่จูบเด็ดขาด

“พี่ทาวน์น่ารักเกินไปแล้วนะครับ”
แต่ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะขยับเข้าใกล้จนหน้าผากของเราแตะกัน พี่ทาวน์ช้อนสายตามองก่อนจะพึมพำสิ่งที่ทำให้สติพร่าเลือน

“แต่มึงน่าจูบ”
ไม่สนใจอะไรแล้วเว้ย ขอหน่อยเถอะ!

“ก็จูบสิครับ ผมพร้อม... อืม ~”

ยังไม่ทันจบประโยคริมฝีปากสีสวยก็ทาบทับลงมาในตำแหน่งเดียวกัน คนเริ่มบดคลึงอย่างเชื่องช้าแต่ทว่ามีความยั่วยวนจนทำให้ผมทนไม่ไหว เผลอผละออกก่อนจะขึ้นคร่อมแล้วบรรจงจูบลงไปอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเต็มไปด้วยความร้อนแรงเมื่อลิ้นร้อนสอดเข้าไปเกี่ยวตวัดหยอกล้อ ดูดกลืนเอาความหอมหวานของลูกอมรสโคล่า

มือหนาเริ่มสอดล้วงเข้าไปด้านในเสื้อเชิ้ตสีเขียวมิ้นท์ สัมผัสได้ถึงกล้ามหน้าท้องแน่นตึงแต่เรียบเนียนจนเผลอไผลอย่างทำมากกว่านั้น พี่ทาวน์ไม่ได้ขัดขืนกลับแอ่นตัวรับการปรนเปรออย่างดี ปากของเราผละออกจากกันเพียงครู่เดียวก่อนจะแนบชิดอีกครั้ง ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นก็มากจากการยินยอมของทั้งสองฝ่าย

ในจังหวะที่ผมกำลังจับชายเสื้อเชิ้ตอยู่นั้นกลับมีเสียงเคาะประตูทำชายห้วงอารมณ์ปรารถนา ความตกใจของพี่ทาวน์ทำให้เขาออกแรงผลักอย่างแรง แล้วคนอย่างนายภาคินที่ไม่ทันตั้งตัวจะไปอยู่ที่ไหนถ้าไม่ใช่พื้น โอย ก้นระบมแล้วครับ เจ็บจนต้องนิ่วหน้าเลยทีเดียว

“คุณหนูเจ้า คุณเจ็ทเจ้า ป้าเตรียมข้าวตอนหื้อแล้ว ออกมากิ๋นเต๊อะ”
เสียงป้านวลดังขึ้นที่นอกประตู ผมหันไปจ้องเขม็งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถ้าเกิดเป็นพ่อพี่ทาวน์คงไม่หยุดอยู่ตรงนั้น อาจจะเปิดเข้ามาเลยก็ได้

“ครับป้า เดี๋ยวพวกผมออกไป”
พี่ทาวน์ตอบรับแล้วเข้ามาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น พวกเรามองหน้ากันก่อนหัวเราะออกมากับความคึกคะนองไม่ดูสถานที่ ต่างคนต่างหน้าแดงก่ำเพราะความเขินอาย

“เอาไว้ปลอดคนเมื่อไหร่เรามาลองทำแบบเมื่อกี้อีกครั้งนะครับ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อแต่ไม่วานซี๊ดปากเมื่อพี่ทาวน์ขยำมือลงบนก้น เจ็บจนน้ำตาเล็ดเลยเว้ย คนทำต้องรับผิดชอบทายาให้ด้วยนะเออ

“อยากก้นช้ำมากกว่านี้หรือไง”
พี่ทาวน์ตีเข้าที่ก้นผมอย่างหยอกล้อ

“โธ่ อย่าใจร้ายสิครับ”
ผมขยับหัวไปถูไถ่กับลาดไหล่กว้างอย่างออดอ้อน ใครจะไปอยากก้นช้ำเพิ่มล่ะวะ แค่นี้ก็เจ็บจนไม่กล้านั่งแล้ว ขอนอนกินข้าวได้ไหม

“หึ ไปกินข้าวกันเถอะ”
พี่ทาวน์ขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงก่อนจะผละออกไปเปิดแระตูห้อง ยอมรับว่าหิวแต่ยังไม่ยอมแพ้เรื่องนั้นหรอก ยังไงสักวันมันก็ต้องสำเร็จ

“ครับๆ แต่อยากกินพี่ทาวน์มากกว่า ไม่ได้เหรอ”
ขยับเข้าไปกระซิบข้างหูก่อนจะผละตัวออกมาเพื่อเตรียมใจโดนแจกมะเหงก แต่ผิดคาดที่พี่ทาวน์กลับหูแดงแล้วตอบกลับเสียงอ้อมแอ้ม

“กลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
พี่ทาวน์ก้าวขาฉับๆ เดินห่างออกไปแล้ว ทิ้งให้ผมได้แต่ยืนอึ้งกับคำตอบ ขอเก็บของแล้วลากกันกลับตอนนี้เลยได้ไหววะ โอย นี่เขาเรียกอ่อยใช่ไหม ใช่ไหม!

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว เราทั้งคู่นั่งอยู่ในศาลากลางสวนดอกกุหลาบ กลิ่นของมันหอมหวนชวนให้ผ่อนคลาย พี่ทาวน์กำลังทำงานส่วนผมเล่นเกมในโทรศัพท์ ตกลงกันเอาไว้ว่าหนึ่งทุ่มจะออกไปหาอะไรกินที่นิมมานซึ่งไม่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่

“คุณหนูเจ้า”
เสียงป้านวลทำให้ผมต้องดีดตัวขึ้นนั่งหลังจากที่เอนนอนมาได้พักใหญ่ พี่ทาวน์เงยหน้าขึ้นมองไม่แสดงอารมณ์ราวกับรู้ว่าเธอเรื่องด้วยเหตุผลอะไร”

“ครับ”

“คุณท่านบ่ปิ๊กเฮือนเน้อเจ้า มีประชุมที่กรุงเทพฯ ด่วน”
จบคำบอกเล่าของป้านวลผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึจากพี่ทาวน์ บรรยากาศทะมึนอย่างบอกไม่ถูก ถ้าให้เดาสองพ่อลูกคงไม่ญาติดีกันเท่าไหร่

“ครับ ขอบคุณที่มาบอก เดี๋ยวผมกับน้องจะออกไปนิมมาน บอกอามิ่งเตรียมรถให้ด้วยนะครับ”
พี่ทาวน์วางมือจากงานแล้วพับหน้าจอโน้ต

“คุณหนูจะขับเองก่อ”

“ครับ ผมขับเอง”

นั่งรถชมวิวเชียงใหม่ตอนกลางคืนสองต่อสองก็ดูโรแมนติกดีเนอะ




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 28 - P.4 (30/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-11-2017 15:50:07
เจ้าถิ่นอย่างพี่ทาวน์ลากผมเข้าร้าน ‘ข้าวซอยนิมมาน’ จะขัดว่ากินไม่เป็นก็กลัวว่าคนพามาจะเสียอารมณ์เลยยอมๆ ตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากได้ชิมก็บอกได้ว่ารสชาติมันอร่อยดี แต่ติดตรงที่เลี่ยนไปหน่อย พอบอกว่าอยากหาอะไรล้างปากก็โดนลากมาต่อที่ร้าน ‘Guu Fusion Roti & Tea’

พี่ทาวน์ไม่พลาดที่จะสั่งกาแฟดื่มตอนสองทุ่มกว่า ส่วนผมสั่งน้ำผลไม้เปรี้ยวๆ กับโรตีทิชชู่วิปครีมฝอยทอง เมนูแปลกแต่อร่อยเพื่อดับความเลี่ยนจากอาหารจานหลัก ต่อจากนี้จะไปเที่ยว Warm Up ปลุกความเป็นวัยรุ่นในตัวให้กระจายออกมา เชื่อไหมว่าไกด์พาเที่ยวอย่างเขาถึงกับหน้าตูม ก็นายภาคินเล่นออกปากขอไปที่นี่ด้วยตัวเอง ก็แค่อยากรู้ว่าผับเชียงบใหม่บรรยากาศเป็นยังไง

“มึงควรกลับไปใส่เสื้อแขนยาว”
พี่ทาวน์พึมพำอะไรอยู่คนเดียวเมื่อเราขับรถมาถึงจุดหมายคือร้าน Warm Up ที่ขึ้นชื่อในเชียงใหม่ ลานด้านนอกอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่อยากได้บรรยากาศแบบผ่อนคลาย ส่วนโซนด้านในจะเป็นผับสำหรับขาแดนซ์ ผมเลิกคิ้วในขณะที่มองหน้าเขาอย่างต้องการคำตอบ แต่กลับได้รับค้อนวงใหญ่ เล่นเอาเบลอไปชั่วขณะ นายภาคินทำอะไรผิดวะเนี่ย

“พี่ทาวน์รอผมด้วย”
ผมตะโกนเรียกคนที่ก้าวฉับๆ เข้าไปในร้านแบบไม่รอกัน ระหว่างทางมีคนส่งยิ้มให้จนรู้สึกอึดอัดแปลกๆ แค่ใส่เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงยีนส์ขาเดฟขาดๆ กับรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สเอง ประหลาดหรือไงวะ ก็อากาศมันร้อน

“พี่ทาวน์ โกรธอะไรผมหรือเปล่า”
ผมรีบถามเมื่อทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนที่แสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน แต่เขากลับโบกมือปัดๆ เป็นเชิงว่าไม่ได้โกรธอะไรแถมยังเรียกพนักงานเสิร์ฟเพื่อสั่งของมึนเมาอีก

“จะแดกอะไรก็สั่ง”
   น้ำเสียงกระแทกกระทั้นเป็นตัวยืนยันอย่างดีว่าเขากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่รู้จะง้อยังไงในเมื่อไม่รู้สาเหตุ ก็เลยได้แต่ออกปากสั่งเหล้ากับโซดาและกับแกล้มอีกสองสามอย่างไปแทน คืนนี้มีแววโดนเนรเทศให้ออกไปนอนที่สนามหญ้าหน้าบ้านชัวร์

ผมรับหน้าที่ชงเหล้าให้พี่ทาวน์เป็นการเอาใจ ดูเหมือนอารมณ์ของเขาจะดีขึ้นเมื่อได้ฟังเพลงสบายๆ รับกับบรรยากาศของร้านด้านนอก ถ้าหากว่าสังเกตสักหน่อยจะรับรู้ได้ว่ามีสายตาของผู้หญิงโต๊ะหนึ่งมองมาทางนี้ เป้าหมายอาจจะเป็นคนที่นั่งฮัมเพลงอยู่ เขาดูมีเสน่ห์แม้กระทั่งใส่แว่นสายตาไว้ ถ้ายิ่งถอดออกคงดูดีมากกว่านี้ ควรจะปั้นๆ แฟนให้เป็นก้อนแล้วกลืนลงท้องไปซะดีไหม หวงเว้ย

“พี่ทาวน์...”

“สวัสดีค่ะ”
ผมพูดยังไม่ทันจบแต่มีเสียงหวานๆ พร้อมกับร่างระหงมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นสาวจากโต๊ะนั้นแน่นอน แต่เป้าหมายพลาดไปหน่อยว่ะ ตอนนี้พี่ทาวน์เลยหันมาจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง จะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าโดนหึง...

“สวัสดีครับ”
ผมตอบกลับอย่างมีมารยาท แอบสำรวจผู้หญิงตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอหุ่นดี ผิวขาว หน้าตาน่ารัก หมวยๆ คล้ายคนจีน ชุดสีใส่ก็โชว์ความเซ็กซ์ซี่จนแทบน้ำลายไหล ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่ปฏิเสธที่จะพูดคุยกันอย่างสนิทสนม พี่ทาวน์เอื้อมมือมาหยิกที่ต้นขาจนเผลอเบ้ปาก นี่เขาหึงจริงๆ ใช่ไหมวะ น่าดีใจจัง ขอแกล้งอีกหน่อยดีกว่า หึหึ

“มากับเพื่อนเหรอคะ”
เธอถามเสียงหวานก่อนจะโน้มตัวลงมาจนเห็นร่องอกได้ชัดเจน รอยยิ้มเป็นมิตรนั้นทำให้คนข้างกายของผมยิ่งหน้าบูด เขาหึงไม่ผิดแน่ๆ แล้วที่ไอ้พึมพำตอนเดินเข้าร้านนั่นอีก นึกว่าตัวเองหูฝาด ที่แท้ก็หวงเนื้อหนังมังสาของแฟนนี่เอง น่ารักชะมัดว่าที่คุณหมอตัวแสบ

“มากับเมียครับ”
ผมไม่ได้เป็นคนตอบเลยนะเว้ย พี่ทาวน์ล้วนๆ แถมยังมีการสอดแขนมาคล้องกันไว้แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างออกนอกหน้า แอบตะลึงแต่ก็ดีใจที่เขาแสดงตัวแบบนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ นายเมืองเหนือ ยอมให้ตัวเองเป็นเมียซะด้วย ท่าทางจะหึงแรง

“เอ่อ... ขะ ขอโทษนะคะ”
เธอถึงกับละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษแล้วเดินกลับโต๊ะอย่างรวดเร็ว ผมได้แต่กลั้นหัวเราะจนปวดท้อง กลัวพี่ทาวน์จะตบกบาลเข้าให้ ก็เล่นมองกันตาเขียวปั๊ดขนาดนั้น กลัวแล้วจ้าคนขี้หึง

“เสน่ห์แรงนักเหรอไง”
คำพูดกระแนะกระแหนมาพร้อมกับแรงผลักที่หัว ผมเซเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมคว้ามือพี่ทาวน์ไว้ ตอนนี้ถีบตกเก้าอี้ยังไม่โกรธเลย หัวใจมันพองโตสุดๆ

“หึงผมเหรอ”

“หึ ยังจะให้พูดอีกหรือไง”
โดนสะบัดแขนใส่เต็มๆ มือเกือบฟาดหน้าแหนะ แต่ผมก้ยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับท่าทางโมโหของพี่ทาวน์อยู่ ทำไมมันดูน่ารักแบบนี้วะ

“ก็อยากแน่ใจ”

“ทั้งหึงทั้งหวง พอใจหรือยัง”
ทั้งกระแทกเสียงและแยกเขี้ยวใส่ยังไม่น่ากลัวเลย อยากจับมาจูบชะมัด มันเขี้ยวจังแฟน

“ชื่นใจจังครับ”
ผมเอื้อมมือไปหยิกแก้มพี่ทาวน์อย่างกล้าหาญ เขาไม่ได้ปัดป้องเพราะแค่ทำเสียงฮึดฮัดใส่เท่านั้น

เมาแล้วว่ะ นายภาคินกำลังเมาความรัก ยิ้มทั้งคืนเลยเชียว




-------------------------------------------------

อยากได้พี่ทาวน์เป้นของตัวเองจะผิดไหมหนอ... คนอะไรน่าขยี้จังเลย!
เขามีความคืบหน้านะเออ ถึงจะไม่สำเร็จก็เถอะ -///-

เรื่องภาษาเหนือถ้าเราใช้คำผิดหรือยังไง ขอโทษด้วยน้า ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 28 - P.4 (30/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 30-11-2017 20:36:48
งุ้ยยยยยย ใจบางกับความเมียของนาง  :impress2:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 28 - P.4 (30/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-11-2017 23:25:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 28 - P.4 (30/11/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 01-12-2017 00:29:56
 :mew1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 29 - P.4 (04/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-12-2017 11:39:07
แข่งครั้งที่ 29

:: ทาวน์ ::




นาฬิกาบอกเวลาเกือบตีสองแล้วแต่ดวงตารียังคงเพ่งมองเพดานผ่านความมืด ข้างกายมีโทรศัพท์มือถือที่ยังคงมีแจ้งเตือนเข้ามาไม่หยุดหย่อน ฝีมือไอ้พวกตัวป่วนล้วนๆ คุยไลน์กลุ่มอย่างกับคนไม่ได้เจอกันเป็นชาติ แต่มีอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วคือ ‘เข้าหอกันหรือยัง’ ก็บอกว่าแค่กลับบ้านไง ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ

ผมพลิกตัวนอนตะแคงแล้วหยิบโทรศัพท์ไปตั้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง ตัวตารีปิดลงเพื่อพาตัวเองเข้าสู่นิทรา แต่ผ่านไปห้านาทีสติสัมปชัญญะก็ยังครบถ้วน จะบอกว่าแปลกที่ก็ใช่เรื่อง บ้านตัวเอง ห้องตัวเอง หรือเป็นเพราะใครบางคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ป่านนี้หลับไปหรือยังก็ไม่รู้

คิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อตอนค่ำก็รู้สึกอยากจะฆ่าตัวเองให้ตายๆ ทำไมต้องออกอาการหึงเด็กนั่นขนาดประกาศตัวว่าเป็นเมีย มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวระบายความอับอายที่อัดแน่นอยู่ด้านในก่อนจะพบว่าแก้มทั้งสองข้างอุณหภูมิสูงขึ้น ผมชะงักกึก นี่มันแปลกเกินไป คนอย่างนายเมืองเหนือเขินเหรอ บ้าน่า...

มันควรต้องรู้สึกว่าทุเรศสิ้นดีกับสิ่งที่ทำลงไปสิ

ผมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วลองสงบสติอารมณ์เพื่อหาทางออกให้กับความสับสน บางทีการเป็นคนถูกดูแลอาจจะดีกว่าเป็นฝ่ายดูแลอย่างเช่นที่ผ่านมา เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้หลุดปากว่าตัวเองเป็นเมีย ตลกชะมัด สมองคงกระทบกระเทือนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ

ครืด ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นดึงผมกลับมาสู่โลกความจริง มือเรียวเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาสำรวจว่ามีใครส่งข้อความมาอีกหลังจากลงมือปิดแจ้งเตือนกลุ่มไลน์ของเพื่อนสนิท บนหน้าจอสี่เหลี่ยมปรากฏชื่อของบุคคลที่อยู่ห้องถัดไป มุมปากเผลอกระตุกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ เด็กหนอเด็ก ทำตัวแบบนี้คิดว่าน่ารักหรือไง

Phakin
นอนหรือยังครับคุณแฟน ผมนอนไม่หลับ


ใครใช้ให้เรียกผมด้วยคำแบบนั้นกัน ไม่รู้หรือไงว่าปากคลี่ยิ้มกว้างมากแค่ไหน มีแฟนนิสัยเด็กก็ไม่ได้แย่เสมอไป มันอ้อนเก่งดี น่าถีบ หึหึ

ผมฉีกกฎของตัวเองด้วยการพิมพ์ตอบข้อความของเจ็ททั้งที่ปกติถ้าเลยเวลาตีหนึ่งจะไม่ยอมจับโทรศัพท์หากไม่จำเป็น ก็กลับบ้านมาพักผ่อนนี่เนอะ ใช้ชีวิตแบบหย่อนๆ บ้างคงไม่แย่เท่าไหร่

Muangneua
กำลังจะนอน ส่งไลน์มากวนอยู่ได้


อยากแกล้ง ดูสิว่าจะตอบกลับมาแบบไหน

Phakin
เฮ้ย ขอโทษครับ งั้นพี่ไปนอนเถอะ ผมไม่กวนแล้ว


ผมอ่านข้อความจบก็เผลอหัวเราะออกมา คิดไว้ไม่มีผิดว่าต้องแสดงความเกรงใจแน่ๆ ถึงจะเป็นแฟนก็ยังเผลอเกร็งใส่สินะ ทำเป็นเด็กไม่เคยมีความรักไปได้ ตลกจริงๆ

Muangneua
คุยก่อนก็ได้ นอนไม่หลับเพราะแปลกที่หรือไง

Phakin
คงงั้นครับ แต่จริงๆ อยากนอนกอดพี่ทาวน์มากกว่า

ลมหายใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะก่อนที่จะรู้สึกว่าเลือดในกายสูบฉีดขึ้นบนใบหน้า ใครมองไอ้เจ็ทเป็นคนหงิมๆ นี่คิดผิดถนัดเลย เจ้าเล่ห์แบบนุ่มนวล ชวนให้ใจสั่นอยู่บ่อยๆ ยอมแพ้เขาเลยจริงๆ

คิดว่าผมควรตอบกลับสถานการณ์แบบนี้ยังไงดี

ไม่รู้ว่าขายาวๆ เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องถัดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือกำโทรศัพท์ไว้แน่น จะทำยังไงดี แค่โดนไอ้เด็กนั่นหยอดคำหวานใส่เข้าหน่อยก็ใจอ่อนยวบอย่างกับขี้ผึ้งลนไฟ ครั้งนี้เจ็ทเป็นคนเริ่มเลยรู้สึกหวิวขึ้นมา ตื่นเต้นเพื่ออะไรวะ ก็แค่มานอนเป็นเพื่อนเฉยๆ

ในขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะพูดอะไรดีเมื่อเจอหน้าเจ็ท ยังคิดไม่ทันออกทุกอย่างก็ต้องชะงักเมื่อบานประตูไม้เปิดออกมา เขาสะดุ้งไม่ต่างจากผมที่เผลอแสดงอาการลนลาน อยากขุดพื้นหนีออกไปเดี๋ยวนี้เลย อับอายขายขี้หน้าชะมัด ตอนแรกเคยเย็นชากับน้องไว้เยอะ แล้วดูตอนนี้สิ หลงมันหัวปักหัวปำเลยมั้ง

“เอ่อ... พี่ทาวน์มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เป็นเจ็ทที่ได้สติกลับมาก่อนแล้วเอ่ยถามผมที่ทำได้เพียงแกล้งตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติทั้งๆ ที่หัวใจเต้นแรงมาก ชนิดที่ว่าถ้ากระเด้งออกมาจากอกได้คงนอนอยู่บนพื้นแล้ว

ผมไม่ได้ตอบคำถามแต่เบี่ยงตัวเดินผ่านเจ็ทเข้าไปในห้อง เด็กน้อยขมวดคิ้วมองด้วยท่าทีสงสัยแต่ก็จอมปิดประตูแล้วตามมาหย่อนก้นลงบนเตียงข้างๆ กัน จะพูดยังไงดีให้มันไม่ได้ใจไปมากกว่านี้วะ ใครที่เป็นแฟนกับเพศเดียวกันต้องคิดหนักทุกคนแบบนี้หรือเปล่า อยากขอคำปรึกษา

“จะจ้องกันทำไม”
ผมถามเสียงขุ่นเมื่อดวงตาคมไม่ยอมละจากใบหน้า ถึงท่าทางของเจ็ทจะดูมึนงง แต่บรรยากาศรอบตัวช่างอันตรายเหลือเกิน เหมือนเสือที่รอตะครุบเหยื่อทีเผลอ

“พี่มาให้ผมกอดเหรอ”
คำถามซื่อๆ แต่กลับทำให้ผมเบิกตากว้าง หัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะราวกับเด็กโดนจับได้ว่าแอบกินลูกอม อุตส่าห์ท่องไว้ในใจตลอด ‘มาที่นี่ก็แค่จะนอนเป็นเพื่อน’ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

“คิดอะไร แค่มานอนเป็นเพื่อนในฐานะเจ้าบ้านที่ดี”
ผมบอกสิ่งที่พยายามท่องมาตลอดหลายนาทีที่ผ่านมา ไม่ยอมสบตากับคนข้างตัวเพราะลึกๆ แล้วคงเป็นอย่างเจ็ทได้ถามไว้ ‘นอนกอด’ ก็อยากลองว่ามันจะอุ่นหรืออึดอัดสักแค่ไหน แต่กลัวว่าถ้าเผลอติดใจคงลำบากแน่ๆ กับแฟนคนเก่าไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย บ้าจริง

“ต้องบอกว่าเป็นแฟนสิครับ”
มันว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ใบหน้าหล่อยิ้มกรุ้มกริ่มจนผมอยากเอานิ้วจิ้มตาวาวๆ นั่นซะให้เข็ด ขยันใช้คำว่าแฟนเหลือเกิน ไม่รู้เลยใช่ไหมว่ามันทำให้ใจสั่นแค่ไหน ระวังตัวไว้เถอะ ตอนโดนเอาคืนจะร้องไม่ออก

“อย่าเล่นมุกควายๆ”
ผมยกมือผลักหัวแฟนด้วยความหมั่นไส้ ไม่ได้โมโหแต่ทำไปเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกข้างในที่มันพาลจะยิ้มทุกที มุกควายๆ แต่อานุภาพทำลายล้างช่างสูงเหลือเกิน

“จุกเลยครับ”
เจ็ทโอดโอยเหมือนคนถูกทำร้ายอย่างหนัก แต่ดวงตาคมที่ช้อนมองกลับมีความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ ถ้าไม่รีบตัดบทตอนนี้มันต้องรู้ความลับที่ผมกำลังเขินแน่ๆ แล้วโคมไฟเนี่ยจะเปิดอีกนานไหมวะ

“หุบปากแล้วก็นอนลงไป”
ผมโบกมือไล่ก่อนจะสอดตัวเข้าในผ้าห่มผืนเดียวกัน คืนนี้ต้องนอนด้วยกันก็ว่าห้ามใจยากแล้ว เจอสถานการณ์ต้องตัวติดกันอีก ดูสิว่าใครตบะแข็งกว่ากัน เพราะเรื่องอยากแตะต้องตัวคนที่เรารักมันธรรมดามากจนน่ากลัว

“ครับๆ นอนแล้ว”
เด็กว่านอนสอนง่ายก็ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ในขณะที่ผมปิดเปลือกตาลงเพราะกลัวว่าจะเผลอหันไปมองใบหน้าหล่อนั่น ตาคม จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ปากรูปกระจับ สันกรามที่ดูดุดัน... อ่า ชักจะหลงคนที่ชื่อภาคินเข้าทุกวัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวเองสามารถรู้สึกกับเพศเดียวกันได้มากขนาดนี้ เขาเรียกแพ้ทางหรือเปล่านะ

ผมนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ใต้ความมืดและความเงียบที่โรยตัวระหว่างเราสองคน โคมไฟดวงน้อยถูกปิดแล้ว เหลือเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา บรรยากาศของบ้านสวนดีกว่าคอนโดในกรุงเทพมากโข ถ้าเป็นไปได้ตอนเรียนจบก็อยากมาทำงานที่นี่ แต่ไอ้คนข้างตัวมันจะทำยังไงนะ ช่างเถอะ เรื่องของอนาคตยังอีกยาวไกล เผลอๆ ตอนนั้นอาจเลิกลากันแล้วก็ได้

“พี่ทาวน์ หลับหรือยังครับ”
น้ำเสียงทุ้มถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมที่แกล้งหลับไปแล้วเลยอยากเนียน เผื่อมันจะหลุดพูดอะไรแปลกๆ ออกมาบ้าง

“.....”
ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ ก็นึกอยากเอื้อมมือไปตบหัวเหลือเกิน เรื่องเยอะจริงๆ เด็กคนนี้ เครียดอะไรอีกล่ะ

“เงียบขนาดนี้แสดงว่าหลับแล้วล่ะสินะ”
ทำเสียงอ่อยแบบนั้นใครมันจะใจร้ายใส่ลงวะ เจ้าเล่ห์นักนะเจ้าเด็กเมื่อวานซืน

“มีอะไร คนจะนอนแล้ว”
ผมแสร้งทำเสียงหงุดหงิดก่อนจะพลิกตัวไปจ้องหน้ามันเขม็ง แต่ไม่นานก็เลื่อนสายตาไปที่ปลายคาง จู่ๆ ก็อยากชิมริมผีปากนั่นอีกครั้ง แต่ไม่อยากเป็นคนเริ่มแล้วนี่หว่า อายตัวเองโคตรๆ

“กอดได้ไหมครับ”
คำถามที่ใช้เสียงออดอ้อนนั้นทำให้ผมเผลอแก้มร้อน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้สบตากันแต่ลมหายใจอุ่นๆ ที่ตกกระทบนั้นชวนให้ใจหวิว ถ้ากอดแล้วเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยงเกิดขึ้นอีกครั้งคงไม่มีอะไรหยุดได้แล้ว ถามว่าพร้อมสำหรับเรื่องเซ็กไหม ตอบเลยว่ายังไม่มั่นใจ... รอให้คบกันนานกว่านี้หน่อยค่อยว่ากันอีกครั้ง

“ไม่ได้”
ผมตอบเสียงหนักแน่นก่อนจะพลิกตัวนอนหงายเมื่อความอุ่นของลมหายใจทำให้หวั่นไหว ลึกๆ ก็อยากทำเหมือนคนเป็นแฟนทั่วไปปฏิบัติต่อกัน แต่ด้วยความที่เป็นผู้ชายเกิดอารมณ์ง่ายและเรื่องเซ็กซ์มันเป็นพื้นฐานของชีวิต ไม่ควรเสี่ยงอย่างยิ่ง...

“แต่ผมอยากกอดนี่”
เสียงกระเง้ากระงอดพร้อมกับแรงเขย่าบนเตียงทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ได้แต่ภาวนาให้เจ็ทเป็นเด็กดีขี้เกรงใจเหมือนเดิม เพราะถ้าเขาเริ่มอะไรสักอย่างแล้ว นานเมืองเหนือคงไม่ออกปากห้าม มีแต่จะคล้อยตาม

“ขัดใจเดี๋ยวโดนถีบ”
สถานการณ์อันตรายจนต้องออกปากขู่ไว้ก่อน เจ็บใจตัวเองที่ไม่ยอมแบกหมอนข้างมาด้วย จะเอาอะไรกั้นวะเนี่ย เป็นว่าที่หมอก็มีมุมโง่ได้เหมือนกัน

“โธ่ ร้ายกาจใส่ตลอด”
ไม่ร้ายกาจก็เสร็จมึงไปนานแล้วสิครับแฟน อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะเจ็ท จ้องจะปล้ำกันอยู่ตลอดเวลาขนาดนั้น

“นอนๆ ไป ฝันดี”
ผมตัดบทด้วยการออกปากไล่แล้วนอนหันหลังให้ ไม่ได้อ่อยอย่าเข้าใจผิด แค่กลัวว่าตัวเองจะนอนละเมอเป็นฝ่ายกอดเขาแทน

“ฝันดีครับ รักนะ”
เจ็ทยังคงเป็นเด็กดีด้วยการยอมรับคำง่ายๆ แถมท้ายด้วยการบอกรักที่ทำให้ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม ขอบคุณที่รักและให้เกียรติกันขนาดนี้ ผมก็รู้สึกไม่ต่างจากมันหรอกแต่ขี้เกียจพูด ง่วงแล้ว

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่อาจจะรู้ได้ ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดต้นคอช่างรบกวนการนอนเหลือเกิน ในขณะที่พยายามข่มตาหลับกลับสัมผัสได้ถึงความหนักที่เอวสอบ บางอย่างพาดทับลงมาอย่างถือวิสาสะ ผมขอเอาคำชมว่าเด็กดีคืนเถอะ ไอ้เจ็ทมันร้าย สุดท้ายก็กอด

ผมขยับกำลังจะพลิกตัวกลับไปด่า แต่ความอุ่นจากร่างกายกำยำ แผ่นหลังแนบชิดอกแกร่งทำให้ริมฝีปากปิดสนิท ยิ่งโดนกดจูบลงกลางกระหม่อมก็เหมือนเรี่ยวแรงทุกอย่างหดหายไม่สามารถต่อต้านได้ เกลียดตัวเองที่เดี๋ยวนี้ยอมใจอ่อนให้คนที่มีสถานะแฟนเสมอ ต่อไปจะเคยตัวหรือเปล่านะ

“ขอโทษนะครับที่ล่วงเกิน แต่ช่วยตื่นมาด่าผมพรุ่งนี้ทีเดียวแล้วกันเนอะ”
เสียงพึมพำคำขอโทษที่ฟังแล้วให้อารมณ์กล้าๆ กลัวๆ ทำให้ผมต้องเม้มปากกลั้นยิ้มอยู่นาน ไม่ว่าเขาจะเจ้าเล่ห์แค่ไหนก็ยังให้เกียรติและเกรงใจอยู่เสมอ ถือว่าให้รางวัลก็แล้วกัน นอนแบบนี้ก็อุ่นดี

ผมผล็อยหลับไปตอนเกือบตีสาม รู้สึกตัวอีกทียามแสงแดดลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่าน กำลังจะขยับกายบิดขี้เกียจแต่ต้องชะงักเมื่อแขนของใครบางคนยังทายทับอยู่บนเอวสอบ เสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าเจ็ทยังอยู่ในห้วงนิทรา คงฝันหวานอยู่แน่ๆ น่าหมั่นไส้ชะมัด

เสียงฝีเท้าด้านนอกทำให้ผมตัดสินใจยกแขนของเจ็ทออกจากลำตัวแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง พยายามที่จะย่องออกจากห้องแต่กลับโดนมือหนาคว้าเอาไว้จนหงายหลังทับอีกคน เล่นอะไรของมันวะ

“ทำไมรีบตื่นจังครับ”
เจ็ทถามเสียงงัวเงียก่อนสอดแขนรวบกอดรอบเอวสอบไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะหนีหาย ด้วยความหมั่นไส้เลยฟาดลงบนหลังมือไปทีหนึ่ง นับวันยิ่งออกลาย ใครร้ายกาจกว่ากันนะตอนนี้ หึ

“กลัวโดนด่าหรือไง”
ผมถามกลับด้วยเสียงเรียบทั้งทีมุมปากมีรอยยิ้ม เจ็ทสะดุ้งเฮือก ได้ยินเสียงลำลักลมหายใจเบาๆ ตามมา ตกใจอย่างกับแอบไปขโมยเงินใครมาแล้วโดนจับได้ นิสัยเด็กจริงๆ เลย

“สะ แสดงว่าเมื่อคืนตอนผมกอด พี่ก็ไม่ได้หลับอย่างนั้นเหรอ”
น้ำเสียงตะกุกตะกักพร้อมแรงกอดที่คลายออกทำให้ผมนึกขำ ไอ้เจ็ทคนเจ้าเล่ห์ที่แอบลักหลับคนอื่นหายไปไหนแล้ว เหรือแต่คนกากๆ ที่เป็นแฟนของผม น่ารักจริงๆ เลย ไม่แกล้งก็แล้วกัน

“ใช่”
ผมตอบไปตามตรงก่อนจะหันไปเผชิญหน้า เจ็ทผงะถอยจนเกือบตกเตียง ดวงตาคมฉายแววตื่นตะหนก

“ละ แล้วทำไมถึง... ยอม”
ช้อนตามองกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ มือที่เคยเกาะเกี่ยวเอวสอบยกขึ้นลูบหน้าอย่างกังวล ผมชอบท่าทางน่าแกล้งแบบนั้นจนหลงรักมันจนถอนตัวไม่ขึ้น

“ก็... อุ่นดี”
ผมคลี่ยิ้มหวานส่งให้ แม้ข้างในจะอายแทบตาย การพยายามเลิกปากแข็งนี่... ไม่ไหวเลย หน้าร้อนไปหมด เจ็ทที่มองอยู่ถึงกับสูดหายใจเข้าแรงๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า ตกใจกับคำตอบเหรอ

“ขอฟัดได้ไหม”
คำขอแบบโต้งๆ ทำให้ผมผงะถอยหลัง แต่ไม่ทันมือหนาที่คว้าหลับเข้าที่ต้นแขนออกแรงกระตุกจนใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบเดียว ปลายจมูกเสียดสีไปมาจนพาลให้หัวใจเต้นระรัว เวลาเช้าแบบนี้ อะไรๆ ใต้กางเกงมันก็ตื่นเป็นธรรมดาของผู้ชายที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่แล้ว เจอของกระตุ้นแบบนี้ควรทำยังไงดีวะ

“อะไรของมึง”
ผมหลุบตาลงมองต่ำ พยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นๆ ภายใต้อุณหภูมิต่ำของเครื่องปรับอากาศ แต่การทำแบบนั้นกลับยิ่งยุให้อีกคนรัดแน่นมากขึ้น ชาติที่แล้วมึงเคยเป็นปลาหมึกหรือไง

“ก็พี่ทาวน์อยากทำตัวน่ารักก่อนเอง ผมมันเขี้ยว”
ไม่พูดเปล่าแต่มันอ้าปากงับเข้าที่เอวของผมเต็มๆ จนเผลอง้างมือฟาดเต็มกบาล ได้ยินเสียงร้องโอดโอยแล้วสะใจชะมัด

“ถามจริงเหอะ จ้องจะปล้ำกูวันละกี่รอบ”
ผมใช้มือทั้งสองประคองใบหน้าหล่อเอาไว้พร้อมกับออกแรงขยี้แก้มด้วยความมันเขี้ยว ในตอนที่ปากกระจับยู่ไปมาโคตรตลกเลย

“ให้ตอบจริงๆ เหรอ เขินจัง”
เสียงอู้อี้ถามกลับมา ขนาดแก้มบี้จนจะเละคามือของผมก็ยังส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ ขอไอ้เจ็ทคนที่น่ารักใสๆ ซื่อๆ เหมือนควายกลับมาได้ไหม หรือจริงๆ แล้วตั้งแต่แรกมันหลอกลวงมาตลอด

“อย่าทำตัวตอแหล ตอบมา”
ผมตบป้าบเข้าที่แก้มหนึ่งครั้งแล้วจ้องเขม็งเพื่อเค้นคำตอบ ไอ้เจ็ทบุ้ยปากเพราะโดนทำร้าย แต่ไม่นานก็คลี่ยิ้มหวานจนน่าขนลุก แล้วไอ้มือปลาหมึกเนี่ยจะลูบแขนคนอื่นทำไม ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว

“โหย ก็... วันละหลายรอบ แต่ผมรอพี่สมยอมนะ”
คำพูดคำจาฟังดูดีและผมก็เชื่อว่ามันจะทำแบบนั้นได้ตลอดลอดฝั่ง ให้รางวัลเด็กสักหน่อยก็แล้วกัน

“หึหึ เด็กดี อยากได้รางวัลไหม”

“ไม่อยากได้ครับ แต่อยากให้รางวัลพี่ทาวน์มากกว่า”
แววตาเจ้าเล่ห์ที่คอยหลอกล่อให้ผมติดกับอยู่เสมอส่งตรงมาจนทำให้หัวใจเต้นรัว อยากแสดงความยินดีที่วันนี้มันทำสำเร็จแล้ว ผมยอมทุกอย่างถ้าเป็นเจ็ทที่ขอร้อง แต่อย่าไปบอกมันเชียวล่ะ เดี๋ยวจะเหลิง

“เอาสิ”

จบคำพูดเชิญชวนผมก็ถูกมือหนาประคองท้ายทอยแล้วตามด้วยริมฝีปากอุ่นทาบทับลงมา อยากจะท้วงเรื่องแปรงฟันแต่เกินเลยมาถึงขั้นนี้ก็ช่างแม่งเถอะ แรงดูดดุดและขบเม้มทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้น ต่างคนต่างไม่มีใครยอมแพ้ แลกรสจูบกันอย่างเมามัน เสียงน้ำลายเฉอะแฉะน่าอายทำให้หัวใจเต้นรัว พาลให้ความคิดเตลิดไปมากกว่านั้น

เราผละออกจากกันเพียงชั่วครู่แล้วเคลื่อนตัวเข้าหากันอีกครั้ง มันร้อนแรงขึ้น ยั่วยวนขึ้นและเต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนา มือหนาของอีกคนลูบไล้แผ่นหลังกว้างอย่างเนิบนาบ ผมบีบขยำเสื้อยืดสีขาวตัวบางของเจ็ทไว้แน่นเพื่อระบายความรู้สึกวาบหวามที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะมอดลงง่ายๆ อ่า... ปล่อยตัวปล่อยใจอีกแล้วนายเมืองเหนือ แย่จริง

ลมหายใจขาดห้วงจนผมต้องทุบอกอีกคนประท้วง เราผละออกจากกันอีกครั้ง ได้ยินเสียงหอบเบาๆ ก็พาลเรียกเลือดให้ขึ้นไปกองบนใบหน้า ไม่กล้าสบตา รสจูบเมื่อครู่มันรุนแรงแทบควบคุมสติไม่อยู่ ถ้าตอนนี้อยู่ที่คอนโดไม่ใช่บ้าน อะไรๆ คงเตลิดมากกว่านี้

“อึก ฉิบหาย ผม...”
น้ำเสียงกระเส่าขาดท่อนจากคนตรงหน้าทำให้ผมต้องช้อนตามองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจ็ทมีท่าทางอึดอัดคงกำลังอดกลั้นสุดความสามารถ

“มีอารมณ์หรือไง”
ผมถามทั้งๆ ที่รู้ จะช่วยยังไงดี

“ครับ...”
เจ็ทตอบเสียงแผ่วก่อนจะเลื่อนมือไปปิดเป้า ใบหน้าหล่อแดงก่ำ มีอะไรฉิบหายไปกว่าการทำให้แฟนมีอารมณ์กับตัวเองได้แล้วมานั่งเขินแบบนี้บ้าง ตอนคบพรีมก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ แน่แล้วไอ้เมืองเหนือ สัญญาณอันตรายชัดๆ

“ไปห้องน้ำสิ”
ผมชี้นิ้วไปทางห้องน้ำตามสเต็ป ใครมันจะกล้าเสนอตัวชวนทั้งๆ ที่รู้ว่าเสี่ยง

“ไม่ช่วยผมหน่อยเหรอ เบื่อเมียทั้งห้าแล้วอะ อยากมีเมียใหม่”
เจ็ทขยับมาใกล้ก่อนจะถูไถหัวลงบนลาดไหล่อย่างออดอ้อน ผมผละออกด้วยความตกใจปนอึ้ง ไอ้เด็กที่ขี้ขลาด แค่จูบก็ยังไม่กล้ามันหายไปไหนวะ ขอคืนได้ไหม ไม่เอาคนเจ้าเล่ห์แบบนี่แล้ว ตามไม่ทัน

“ถ้ายังล้อเลียนอีก จะบีบให้หน้าเขียวเลย”
ผมว่าเสียงลอดไรฟันแล้วจ้องเป้าเพื่อขู่ เจ็ทผงะถอยหลังก่อนจะลนลานลงจากเตียง มือชี้สะเปะสะปะไปทางห้องน้ำทันที ไอ้เด็กน้อยน่ารักมันกลับมาแล้ว หึหึ ไม่แน่จริงนี่หว่า

“โอย ไม่เอาครับ งะ งั้นผมขอไปห้องน้ำก่อนนะ”
มันพูดจบก็หมุนตัววิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที ปล่อยให้ผมนั่งขำและถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ ถ้าบ้านมีความเป็นส่วนตัวมากกว่านี่ไม่ต้องคิดเลยว่าเราจะเลยเถิดไปถึงขั้นไหน

ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์เพื่อจะเช็คว่าใครติดต่อมาบ้าง แต่แล้วต้องชะงักกึกเมื่อหูได้ยินเสียงแว่วออกมาจากห้องน้ำ ขนอ่อนในกายลุกชันอย่างพร้อมเพรียง หัวใจเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าว ทำไมสถานการณ์มันแย่ลงกว่าเดิมวะ... มีอะไรผิดพลาดไปเหรอ

“อะ อา... พะ พี่ ทาวน์ อืม ~”
เสียงโคตรเร้าอารมณ์ จากที่ผมรู้สึกแค่นิดๆ ตอนนี้รู้สึกว่าน้องชายกำลังอยู่ไม่สุขเข้าให้แล้ว

“สัด...”
จะเรียกชื่อกูทำไมไม่ทราบ... ทำแบบเงียบๆ ไม่ได้หรือไงวะ

“อึก อะ อา ทาวน์ อืม แรงอีก อา สิครับ ซี๊ด”
เลิกกับมันตอนนี้ทันไหม แล้วไอ้คำเรียกชื่อห้วนๆ ทำไมผมต้องเขินแทนที่จะโกรธ มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิงก่อนทิ้งตัวลงบนหมอนแล้วถูแก้มจนรู้สึกเจ็บ ไม่เคยงุ่นง่านขนาดนี้มาก่อนเลย ให้ตานเถอะ!

“แม่ง... ไอ้เชี่ยเจ็ท!”
ผมตะโกนด่าคนในห้องน้ำก่อนจะหยิบโทรศัพท์แล้วพุ่งออกจากห้องโดยเร็ว ไม่อยากฟังเสียงครางบ้าบอนั่นอีกแล้ว หัวใจยังไม่แข็งแรงพอ

ช่วงสายของวันที่ผมสัญญาว่าจะพาเจ็ทออกไปเล่นน้ำสงกรานต์รอบคูเมืองเชียงใหม่เป็นอันต้องพับเก็บ เนื่องจากฟ้าฝนไม่เป็นใจและประมุขของบ้านกลับมาจากการประชุม บรรยากาศอึมครึมคล้ายกับความรู้สึกของผมตอนนี้เมื่อกระดาษแจ้งผลการเรียนเมื่อเทอมที่แล้วถูกพ่อหยิบขึ้นมา

ดีหน่อยที่เจ็ทแยกตัวไปนั่งเล่นที่ศาลา ไม่อย่างนั้นคงตกใจกับการกระทำของพ่อ

“เกรดวิชานี้หมายความว่ายังไง”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากกระดาษแจ้งผลการเรียน ผมเข้าใจทันทีว่าพ่อหมายถึงอะไร เขาแค่ต้องการคำตอบว่าทำไมเทอมนี้ถึงมีเกรด ‘บีบวก’ โผล่มา

“ตามนั้นครับ”
ผมตอบไปตามนิสัย ไม่มีการอธิบายหรือหว่านล้อมด้วยคำสวยหรู ที่เกรดตกเพราะปัจจัยหลายๆ อย่าง เซเรื่องพรีมก็เป็นหนึ่งเหตุผลในนั้น

“แย่”
คำตอบรับสั้นๆ ของพ่อทำให้ผมถึงกับมือสั่น แค่เกรดบีบวกมันจะตายหรือไง แค่นี้ไม่ได้ทำให้เกียรตินิยมที่เขาอยากได้หลุดลอยไปไหนหรอก

“พ่อ ผมไม่ได้ติดเอฟ”
เขาทำหน้าอย่างกับผมไปทำคนไข้ตายคามือ สายตาดูถูเหยียดหยามนั่นควรใช้กับลูกจริงๆ หรือ เกรดไม่ได้เป็นทุกอย่างของชีวิต แต่รู้ว่ามันสำคัญสำหรับพ่อที่อยากให้ลูกชายเป็นที่หนึ่งในทุกเรื่อง

“แกต้องได้เอทุกตัว”
พ่อพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังคล้ายกับว่าถ้าไม่ได้เอขึ้นมาสักตัวโลกจะแตก ผมแค่คนธรรมดามีสิ่งที่ถนัดและไม่ถนัดปะปนกันไป ที่เลือกเรียนหมอเพราะใจรัก แต่เขาไม่ควรกะเกณฑ์ผลของมันมากขนาดนี้

“ผมไม่ใช่อัจฉริยะ”
ผมพยายามใจเย็นอย่างที่สุด รู้ว่าพ่อหวังดีทุกอย่าง แต่ต้องไม่ใช่การบังคับและเอาแต่ต่อว่าเมื่อเราทำไม่ได้อย่างที่เขาตั้งความหวังไว้ การแบกรับความรู้สึกคนอื่นบางครั้งมันก็หนักเกินไปจนท้อ

“แต่แกเป็นลูกชายของฉัน”
คำนี้วนเวียนอยู่ในสมองนับพันครั้ง ผมเป็นลูกชายผอ.โรงพยาบาลจำได้ขึ้นใจ ถ้ามันยากนักขอลาออกจากตำแหน่งนี้ได้ไหม เพราะความกดดันแบบนี้ การกลับบ้านเลยน่าเบื่อ

“ผมทำได้ขนาดนี้แต่พ่อยังไม่พอใจก็ขอโทษด้วยครับ”
ผมไม่ได้ประชดแต่พูดไปตามความจริง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อการเรียน พยายามทำมันให้ดีทุกครั้ง ไม่เคยเกเร ไม่เคยนอกลู่นอกทาง เป็นเด็กดีเสมอ แต่ผลตอบรับของคนเป็นพ่อเห็นลูกสำคัญเทียบเท่าใบเกรดอย่างนั้นเหรอ อยากหนีตามแม่ไปอยู่บนสวรรค์เหลือเกิน

“จะไปไหนก็ไป”
โบกมือไล่อย่างเหลืออด ผมเลยทำได้แค่ยกมือไว้แล้วเดินลงบันไดตรงไปที่ศาลาด้วยอารมณ์ที่เป็นปกติ ชินแล้วกับนิสัยแบบนี้ของคนเป็นพ่อ เอาแต่ใจ คาดหวังสูง ไม่เคยให้กำลังใจในสิ่งที่ทำผิดพลาด และไม่มีใครชนะเขาได้แม้กระทั่งแม่

“เจ็ท ไปเก็บของ”
ผมพูดในขณะที่เดินจนถึงตัวศาลา เจ็ทที่ฉีกยิ้มกว้างเมื่อครู่กลับขมวดคิ้วแน่นราวกับสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นบนบ้าน

“พ่อไล่กู ไปเก็บของเถอะ”
ผมไม่รอช้าให้เจ็ทถามอะไรก็หมุนตัวกลับขึ้นบ้านเพื่อเก็บของ การเยี่ยมเยียนจบลงเท่านี้ หวังว่าผ่านไปสักหนึ่งเดือนเขาจะรับความเป็นคนธรรมดาของนายเมืองเหนือคนนี้ได้ ไม่ผิดที่เขาจะคาดหวัง แต่ถ้ามันมีขอบเขตบ้างก็คงดี




ต่อด้านล่างน้า






หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 29 - P.4 (04/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-12-2017 11:39:42
ตลอดทางจากบ้านเรือนไทยสู่บ้านจัดสรรโครงการใหญ่ผมปิดปากเงียบมาตลอดทางเพราะไม่สะดวกที่จะเล่าให้คนข้างๆ ฟัง เจ็ทก็ดูเป็นห่วงจนอดนึกสงสารไม่ได้ อยากดึงมันมากอดชาร์ตกำลังใจเหลือเกิน แต่ตอนนี้คงไม่สะดวกในเมื่อลูกพี่ลูกน้องจ้องเราทั้งคู่ตาวาว

“เพื่อนเหรอ”
ชายหนุ่มหน้าหวานในชุดลำลองเอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจ เขามองเจ็ทตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตากลมฉายแววกรุ้มกริ่มจนผมเผลอกัดปากตัวเอง ‘พี่กั้ง’ มันเป็นเกย์

“รุ่นน้อง”
ผมตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของเราทั้งสองคน ยังไม่รู้ว่าพ่อจะรับเรื่องนี้ได้มากแค่ไหนถ้าเกิดไอ้พี่กั้งปากโป้งออกไป

“เหรอ หล่ออะ อยากได้จัง”
กั้งเบียดตัวกระแซะเด็กน้อยด้วยท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างโจ่งแจ้ง เจ็ทยิ้มแหยเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี มาอาศัยเขาอยู่จะออกตัวแรงก็ไม่ได้

“คือผม... มีแฟนแล้วครับ”
ถึงน้ำเสียงจะขาดห้วงไปบ้างแต่ผมสัมผัสได้ถึงความจริงจังในแววตานั่น รู้สึกอยากขอบคุณเจ็ทสักร้อยครั้งที่ทำให้รู้สึกดีเสมอ

“น่าเสียดายจัง แต่พี่ไม่แคร์หรอกน้า”
กั้งคลี่ยิ้มหวานก่อนจะลากนิ้วมือไปตามสันกรามของคนเด็กกว่าด้วยความยั่วเย้า ผมกัดฟันกรอดมองคนทั้งคู่ด้วยอารมณ์คุกรุ่น นายเมืองเหนือไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับคนของตัวเอง

“หยุดลวนลามน้องมันสักทีเถอะกั้ง”
ผมว่าเสียงเรียบก่อนจะปัดมือนั่นทิ้งอย่างไม่ใยดี กั้งชะงักไปส่วนเจ็ทถึงกับเบิกตาโตไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“หวงเหรอ หืม ~”
หมอเด็กเปลี่ยนมาหยอกผมแทนด้วยน้ำเสียงทะเล้น มันต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร ฉลาดเป็นกรดซะอย่างนั้น

“เออ อย่ายุ่ง”
ผมลุกขึ้นแล้วลากเจ็ทให้ออกห่างจากกั้งแล้วแทรกตัวระหว่างทั้งสองคนแทน เกลียดตัวเองจริงๆ ที่แสดงอาการจนโดนจับได้ แฟนทั้งคนใครไม่หวงก็บ้าแล้ว

“แหม บอกว่าเป็นแฟนกันก็จบปะเมือง ปิดบังอยู่ได้”
กั้งพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะโอบหัวผมไปกอดเหมือนลูกคนหนึ่ง ท่าไม่ติดว่ามาขออาศัยบ้านเขาอยู่จะเขกกะโหลกสักที โทษฐานทำอะไรไม่เคยปรึกษา อายแขกที่มาเยือนหน่อยสิวะ

“กั้งพูดง่ายว่ะ”
ผมบ่นอุบ

“กั้งไม่เอาไปฟ้องอาหรอกไว้ใจได้ ความรักไม่ว่ากับเพศไหนมันก็ดีทั้งนั้น”
กั้งลูบหัวกันเบาๆ เหมือนต้องการปลอบประโลมความกลัวก่อนหน้านี้ให้จางหายไป ผมพยักหน้ารับกับอกบางนั่น

“ขอบคุณที่เข้าใจ”
ผมเอ่ยขอบคุณก่อนผละตัวออกมา ใครว่านั่งกอดท่านั้นมันสบาย เมื่อยคอจะตาย

“แล้วทำไมถึงมาที่นี่”
กั้งถาทด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะก่อนหน้านี้ผมแค่โทรมาขอค้างด้วยเท่านั้น ไม่ได้บอกเหตุผลเพิ่มเติม

“พ่อไล่น่ะ”
ผมตอบ ไหวไหล่ให้รู้ว่ามันก็แค่เรื่องธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกครั้งที่พ่ออารมณ์เสียหรือไม่พอใจอะไรสักอย่างในโลกใบนี้

“อีกแล้วเหรอ”
กั้งเบ้ปากเนื่องจากรู้ดีว่าคุณอาของมันนิสัยเป็นยังไง ขนาดลุงยังเพลียกับพฤติกรรมของพ่อแต่พูดมากไม่ได้ ลูกคนเล็กก็แบบนั้นล่ะ เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง ย่าบอกมาน่ะนะ

“อืม”

“เรื่องอะไรล่ะคราวนี้”

ผมได้ทีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองคนฟังไปพร้อมๆ กัน ท่าทีของกั้งก็เหมือนทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้แต่สำหรับเจ็ทแล้วมันคงเป็นความแปลกใหม่เพราะเขาดูตกใจเป็นอย่างมาก

เรื่องที่เคยบอกว่าจะเอาเกรดไปแลกรถกับพ่อนั้นโกหกทั้งเพ ก็แค่อยากพูดขำๆ ให้เด็กน้อยฟัง ไอ้บีเอ็มฯ คันใหม่นั่นย่าเป็นคนซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดต่างหาก เขาคนนั้นแค่คำอวยพรยังไม่มีเลย เวลาทั้งหมดก็ให้กับงาน งาน งาน

กั้งหนีไปโรงพยาบาลเพราะมีเคสด่วนเข้ามาปล่อยให้ผมกับเจ็ทนั่งดูหนังรีรันโง่ๆ อยู่ในบ้านจัดสรรหลังใหญ่ มีหมาพันธุ์ปอมเมอเรเนี่ยนคลอเคลียเด็กนั่นไม่ห่าง ขออิจฉาได้ไหมล่ะ เจอกันวันแรกหอมหัวจูบแก้มขนาดนั้น

“พ่อพี่ทาวน์ดุเนอะไข่ตุ๋น”
เจ็ททำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับเจ้าเปี๊ยกราวกับมันรู้เรื่อง ผมเผลอยิ้มออกมาให้กับความเป็นเด็กนั่น ไม่ได้นึกโกรธที่เขาว่าพ่อเลย เพราะมันคือเรื่องจริง

“ถ้าเขารู้ว่าเรากับพี่ทาวน์เป็นแฟนกันคงบ้านบึ้มแน่ๆ”
ผมเกือบหลุดหัวเราะเสียงดังเมื่อฟังประโยคนั้นจบ ความคิดมากนี่อยู่คู่กับไอ้เจ็ทจริงๆ ถึงพ่อจะเผด็จการเรื่องเรียนมากแค่ไหน เชื่อเถอะว่าเรื่องความรักคงไม่ก้าวก่าย แต่อาจมีข้อแม้หินๆ ให้เราทำตามทั้งคู่ เพื่อลองใจ

“ประสาทหรือไง คุยกับหมา”
ผมถามก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวไอ้ไข่ตุ๋นอย่างนึกเอ็นดู ความจริงแล้วอยากเลี้ยงหมาแต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างเลยทำได้แค่ชมของคนอื่น เจ็ทบุ้ยปากที่โดนกล่าวหา แต่ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มเจ้าเล่ห์ที่ขยับเข้ามาขโมยหอมแก้ม เดี๋ยวนี้ชักจะกล้าหาญเกินไปแล้ว

“ถึงเป็นโรคประสาทแต่พี่ทาวน์ก็รักใช่ไหม”
หมาตัวใหญ่ขยับเข้ามาอ้อนด้วยกันกดจูบลงบนซอกคอเร็วๆ ราวกับกลัวว่าผมจะตีนกระตุก ขนอ่อนในกายลุกชั้นเพราะตรงนั้นคือจุดเรียกเลือดได้เป็นอย่างดี เด็กเวรนี่ ทำอะไรชวนใจเต้นตลอด

“ยังไม่เคยพูดแบบนั้นสักคำ”
ผมแสร้งทำเป็นนิ่งพร้อมกับใช้หางตามองอย่างเยาะเย้ย คนมั่นใจในตัวเองถึงกับหน้าเสียแต่ไม่นานก็คลี่นิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นอะไรมากไหมมึง อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนน่ากลัว

“ผมสัมผัสได้จากดวงของพี่ มันมีความรักอยู่ในนั้น”
คำพูดหวานเลี่ยนและเข้าข้างตัวเองอย่างที่สุดทำให้ผมถึงกับสะดุดลมหายใจ ไม่ใช่เพราะเขินแต่มันตลกจนกลั้นขำไม่ไหว เจ็ทเห็นแบบนั้นก็เบะปากทันที มุกหยอดไม่ผ่านนะไอ้น้อง ไปเรียนมาใหม่

“กูรักไอ้ไข่ตุ๋นต่างหาก”
ผมขโมยเจ้าเปี๊ยกมากอดไว้เองก่อนจะยกมือลูบหัวลูบหางมันอย่างเอ็นดูโดยไม่สนใจหมาตัวใหญ่อีก ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ อีกไม่นานมีก่อดราม่าแน่ๆ

“โธ่ กับหมาผมก็สู้ไม่ได้เหรอ”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดมาแล้ว ผมลอบยิ้มอย่างผู้ชนะที่เอาคืนไอ้เด็กนี่ได้ เจ้าเล่ห์มาเจ้าเล่ห์ตอบ ไม่มีโกงอย่างแน่นอน

“รู้ตัวก็ดี”
ผมย้ำอีกครั้งก่อนจะโดนอ้อมแขนแกร่งรวบกอดเอาไว้ ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะเข้ากับซอกคอพาลทำให้มือไม้อ่อนจนเกือบเผลอปล่อยไอ้ไข่ตุ๋นร่วง ภูมิต้านทานคนชื่อเจ็ทดูเหมือนจะอ่อนลงเรื่อยๆ ในขณะที่มันกล้าหาญมากยิ่งขึ้น อันตรายจริงๆ

“จับปล้ำซะดีไหมหืม แกล้งผมจังเลยเนี่ย”
เสียงกระซิบแหบพร่าสั่นสะท้านความรู้สึกของผมได้อยู่หมัด สัมผัสขบเม้มที่ติ่งหูเกือบทำให้ขาดสติแล้วตอบตกลง แต่เมื่อเห็นดวงตากลมๆ ของไอ้ไข่ตุ๋นก็ต้องหลุดขำออกมา อายหมาบ้างเถอะวะ สงสารมัน

“ไอ้ไข่ตุ๋นยังเด็ก ทำอะไรเกรงใจมันบ้าง”
ผมผละหัวไอ้เจ็ทออกแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้มันก่อนอุ้มไอ้ไข่ตุ๋นขึ้นระดับใบหน้าเพื่อล้อเลียนเจ้าเด็กหื่น ได้ยินเสียงฟึดฟัดไม่พอใจก็ได้แต่ลอบยิ้ม นายภาคินโเนขัดใจซะแล้ว

“พี่ทาวน์... ผมอยากร้องไห้!”
ร้องเลย ผมไม่โอ๋หรอกนะ หึหึ สะใจชะมัด



----------------------------------------------------

หวานจนอยากจะเป็นมือที่สามเพราะความหมั่นไส้เลยวุ้ย
เรื่องพ่อของพี่ทาวน์ดราม่าพอกรุบกริบ ไม่มากฮะ ไม่ต้องกังวล
ใครรุกใครรับอย่าไปเครียดน้า ยังไงเขาก็รักกัน ฮึบๆ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 29 - P.4 (04/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 05-12-2017 20:30:17
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 29 - P.4 (04/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 05-12-2017 20:50:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 29 - P.4 (04/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 11-12-2017 14:37:53
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 30 - P.4 (14/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-12-2017 16:43:13
แข่งครั้งที่ 30



เสียงเปิดหน้ากระดาษดังสลับกับเสียงถอนหายใจมาร่วมสองชั่วโมง ผมเหลือบมองสิ่งมีชีวิตที่ได้ชื่อว่าฝาแฝดแนบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง เราต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค อีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นนรกจะมาเยือนแล้ว

ด้านนอกคอนโดวันนี้อากาศเลวร้ายมากถึงมากที่สุด สายฝนกระหน่ำตกจนมองไม่เห็นทัศนวิสัยใดๆ ทั้งฟ้าแลบฟ้าร้องมากันครบ ผมเคาะปากกาไฮไลท์ลงบนหนังสือเมื่อสิ่งที่อ่านอยู่ไม่เข้าหัวเลยสักนิด อยากจะนอนพักแต่ภาระมันค้ำคอ ที่สำคัญคือคิดถึงว่าที่คุณหมอสุดใจ ทุกวันนี้คุยกันแทบนับคำได้จริงๆ

“เจ๊กอย่าเคาะปากกาดิวะ กูไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ”
เสียงฉุนๆ มาพร้อมกับดวงตาคมที่ตวัดมองอย่างเอาเรื่อง ผมไหวไหล่ใส่มันอย่างไม่ใส่ใจ ทำเป็นขยันไปได้ มึงถอนหายใจทุกครั้งที่พลิกหน้ากระดาษคืออะไรวะ แล้วดูมันเรื่องชื่อ เตะให้เดี้ยงซะดีไหมเนี่ย

“เดี๋ยวกูเตะก้านคอดับ เรียกให้มันดีๆ หน่อย”
ผมชี้หน้าคาดโทษมันแล้วยอมวางปากกาไฮไลท์ลงกับโต๊ะก่อนยืดแขนขึ้นบิดไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ จิณณ์บุ้ยปากใส่แล้วฟุบหน้าลงกับหนังสือ ดูท่าทางคงอ่านต่อไม่ไหวแล้วมั้ง ควรเรียกให้ไธขึ้นมาให้กำลังใจหรือเปล่า

“มึงกวนตีนก่อน”
มันว่าเสียงอู้อี้เพราะยังนอนซบท่อนแขนตัวเอง ผมไม่เถียงแต่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินไปหาอะไรกินในครัวเพราะนาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว อิ่มเมื่อไหร่จะแอบงีบสักนิด ตื่นค่อยโทรไปกวนพี่ทาวน์

“จะกินอะไรไหม เดี๋ยวทำให้”
ผมหันไปถามเมื่อคิดได้ว่าอีกคนก็ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง จิณณ์ผงกหัวขึ้นมามองก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ แล้วชี้นิ้วลงด้านล่าง คืออะไรของมันวะ กูงงจนต้องยกมือเกาท้ายทอยแล้วเนี่ย

“เดี๋ยวไธซื้อมาฝาก”
มันยิ้มหน้าระรื่นเหมือนไม่เคยทำท่าซังกะตายมาก่อน ผมยืนบดฟันด้วยความหมั่นไส้ อย่าให้กูอยู่ใกล้กับแฟนบ้างนะมึง จะเย้ยให้กระอักเลือดกันไปข้างหนึ่งเลย แต่ตอนนี้กลายเป็นคนขี้อิจฉาตาร้อนว่ะ

“ผัวดูแลดีเนอะมึงเนี่ย”
ผมเหน็บแนมพร้อมกรอกตา จิณณ์ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะแล้วชี้มือสั่นๆ มาทางนี้ ทำหน้าอย่างกับโดนบังคับให้กินนมบูด กูพูดอะไรผิดอีกล่ะ

“อะไร ใครเป็นผัว ยังไม่ได้กันสักหน่อย”
มันบ่นเสียงงุ้งงิ้งแต่ด้วยความที่ห้องเงียบมาเลยได้ยินอย่างชัดเจน ผมถึงกับเบ้ปากแล้วยกนิ้วกลางให้ นึกว่ากูโง่หรือไง ไอ้รอยต่างๆ นานาบนตัวพวกมึงเนี่ยหมาตัวไหนทำหื้ม อยากจะถ่ายรูปเก็บหลักฐานเอามาประจานเหลือเกิน

“โห ยังมีหน้ามาตอแหล รอยดูดรอยข่วนที่คอนี่มึงอย่าบอกว่าเล่นกันนะ”

“ไม่ได้เล่นเว้ย เอาจริง แต่ยังไม่ได้กัน”

“ห๊ะ คือยังไง”
ผมนี่แทบปล่อยลูกตาให้กลิ้งลงพื้น เอาจริง แต่ไม่ได้กันหมายความว่าไงวะ งงในงงฉิบหาย

“จากที่ดูๆ ไอ้ไธรุกใช่ปะ กูก็อยากรับให้นะ แต่ใจไม่กล้า พอมันจะถอดกางเกง ขากูมันก็ไปเองอะ...”
เดาได้เลยว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นคืออะไร จุกจนหน้าเขียวแน่ๆ ไม่ก็หลังหักไปเลย สงสารเพื่อนว่ะ

“มึง... ถีบไอ้ไธเหรอ”
ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจในความคิดตัวเอง จิณณ์พยักหน้าหงึกหงักรับแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ หน้าตาไม่สู้ดีนักจนไม่กล้าหัวเราะใส่เลย ดราม่าไปอีกชีวิต

“เออ กลิ้งตกเตียงจนสะโพกช้ำอะ”
มันบอกเสียงอ่อย สีหน้าสำนึกผิดจนผมอยากเดินเข้าไปปลอบ แต่ช่างมันเถอะ เรื่องแบบนี้ปกติจะตาย

“โหดฉิบหาย”
แต่ไม่วายสงสารเพื่อน กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแต่โดนถีบตกเตียงหนักกว่ากูโดนขัดจังหวะอีกครับ

“กูกลัวนี่ มันต้องเจ็บมากแน่ๆ”
มันคงหมายถึงครั้งแรกกับผู้ชายใช่ไหมวะ ผมคิดว่าตัวเองน่าจะเดาถูก

“ก็คงเจ็บล่ะมั้ง”
ผมขยับตัวไปพิงกรอบประตูครัวแล้วมองหน้าจิณณ์ สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย วันนี้พี่ทาวน์จะปวดหัวกับหนังสือเล่มหนาๆ ของเขาหรือเปล่านะ

“มึงกับพี่ทาวน์ล่ะ ได้กันยัง”
คำถามอยากรู้อยากเห็นมาพร้อมกับร่างสูงที่พุ่งเข้ามาหา ผมผงะตัวถอยหลังหลบอย่างรวดเร็วก่อนยกขาขึ้นขู่ ขยับอีกนิดกูถีบมึงแน่

“ถามเหมือนพวกกูไวไฟ”
ผมมองมันด้วยหางตาแล้วลดขาลงเมื่ออีกคนยกมือยอมแพ้ มุมปากจิณณ์ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนที่คำสบประมาทจะหลุดออกมา จี๊ดเลย จี๊ดมาก!

“เออ ลืมไป พวกมึงน่ะเต่าค่อยๆ คลาน กว่าจะได้กันคงไม่มีแรงขย่มแล้ว”
เสียงกลั้วหัวเราะดังสนั่นจนผมต้องยกมือฟาดกะโหลกมันไปเต็มๆ ด้วยความหมั่นไส้ เรื่องล้อเลียนคนอื่นล่ะเก่งที่หนึ่ง ทำอย่างกับตัวเองสำเร็จวรยุทธขั้นอรหันต์ไปแล้ว มึงก็เต่าเหมือนกันเถอะ กว่าจะพร้อมคงถือไม้เท้า!

จิณณ์แยกเขี้ยวใส่ผมแต่ไม่กล้าเอาคืน มันถอยห่างออกไปก่อนจะชูนิ้วกลางแทน โธ่ คนป๊อด

“ดูถูกกูนะมึง”

“เออดิ ถูกแล้ว ไม่ผิดแน่ๆ”
มันย้ำคำอีกรอบทำให้ผมขยับเท้าเข้าไปหาเพราะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ จิณณ์รีบถอยออกจากบริเวณครัวจนถึงโซฟาแล้วยกหมอนใบโตขึ้นเป็นเกราะกำบัง

“อยากโดนก้านคอใช่ไหม”
ผมขู่อีกรอบ จริงๆ อยากเตะจิณณ์ให้สลบไปสักครึ่งวันแต่กลัวว่าที่สามีมันมาเอาคืน กูต้องตายคาตีนไอ้ไธแน่ๆ

“ใครจะไปอยากวะ”
มันทำท่าสยองได้น่าหมั่นไส้ผมเลยก้าวขาเข้าไปหาเพื่อแกล้ง แต่ต้องชะงักกึกเมื่อประตูห้องเปิดออก ร่างที่ปรากฏตรงนั้นทำให้ดวงตาคมเบิกกว้าง

“ทะเลาะอะไรกันพวกมึง”
เสียงทุ้มคุ้นหูเอ่ยถามพร้อมกับมองผมสลับกันจิณณ์ ในมือทั้งสองข้างของมันหอบถุงอาหารกลิ่นหอมฉุยเต็มไปหมด เกือบเคลิ้มปล่อยตัวไปแล้วเชียว แม่ง เปิดประตูเข้ามาได้ยังไงวะ หรือแอบเอาคีย์การ์ดไปก๊อปปี้

“เข้ามาได้ไงวะ กูลืมล็อคประตูเหรอ”
ผมถามเผื่อเพราะกลัวหน้าแตก แต่จำได้ว่าเมื่อเช้าหลังกลับมาจากส่งผ้าซักก็ล็อคประตูแล้วนี่หว่า คีย์การ์ดก็อยู่ครบ หรือจะมีหนอนบ่อนไส้...

“กูมีคีย์การ์ด”
มันตอบเสียงเรียบก่อนจะปิดประตูตามหลังแถมด้วยการโชว์พวงกุญแจที่มีตุ๊กตาหมาชิบะอย่างที่จิณณ์ชอบให้ผมดู โอ้โห อยากจะแหมใส่หน้าให้ถึงเชียงใหม่เหลือเกิน ทำไมกูไม่มีของพี่ทาวน์บ้างวะ

“เอามาจากไหน”
คราวนี้ผมหันไปคั้นคำตอบจากจิณณ์ เพราะมีมันอยู่คนเดียวที่จะทำเรื่องแบบนี้ พวกมึงไม่เกรงใจคนอยู่ไกลแฟนแบบกูบ้างเหรอไง!

“แฮ่ กูให้ไอ้ไธเอง”
จิณณ์ส่งยิ้มแหยๆ มาให้ก่อนจะรีบวิ่งไปหลบหลังไอ้ไธ ผมถึงกับกรอกตามองบนให้กับเรื่องนี้ พี่กูหลงเขาวงกตเข้าจริงๆ ก็งานนี้ล่ะวะ ยอมเอาความเป็นส่วนตัวให้คนอื่นแบบนี้ รักจริงหวังถูกฟันชัวร์

“โอ้โห เพิ่งรู้ว่าพี่กูอ่อยแรงขนาดนี้”
ผมหยอกเอินคนที่เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังไอ้ไธด้วยความหมั่นไส้ ตอนแรกใครกันที่แสดงออกว่าเกลียดเขาอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วดูปัจจุบันสิ แทบจะห่างกันไม่ได้เลยเว้ย หวานจนน้ำอ้อยยังแพ้ แต่เห็นเพื่อนกับพี่ชายมีความสุขก็สบายใจไปด้วย เรื่องบาดหมางในอดีตจบลงสักที

“บ้า ไม่ได้อ่อยเว้ย ให้ไว้เพื่อความสะดวก”
คนหน้าแดงปฏิเสธเสียงตะกุกตะกักแล้วแย่งถุงอาหารในมือไอ้ไธไปถือเพื่อแก้อาการเขิน ผมกับเพื่อนส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กันอย่างรู้ทัน แกล้งจิณณ์ดีกว่า รับรองสนุกแน่นอน

“สะดวกยังไง อธิบายสิ”
ผมบอกเสียงนิ่งก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วมองไปที่จิณณ์อย่างกดดัน ไอ้ไธแอบยิ้มที่เห็นแฟนตัวเองอ้าปากพะงาบๆ เพราะหาคำตอบไม่เจอ ตอนมันโก๊ะๆ ก็น่ารักดี ไม่แปลกที่ใครก็ชอบมัน พ่อเดือนวิศวะ แต่สุดท้ายโดนเดือนสถาปัตย์คาบไปแดกว่ะ

“ก็... มึงกับกูไม่ต้องเสียเวลาเปิดประตูให้ไอ้ไธไง”
เหตุผลโคตรส้นตีน แค่เสียเวลาไปเปิดประตูไม่ถึงนาทีมันจะตายหรือไง แล้วอีกอย่างผมไม่เคยเปิดปากบ่นเรื่องนี้สักครั้ง มึงสอบตกเรื่องการโกหกนะจิณณ์ ไปศึกษามาใหม่เถอะ อายคนอื่นเขา

“ไม่ย้ายไปอยู่ด้วยกันซะเลยล่ะ กูจะได้ยึดห้อง”
ผมพูดขึ้นลอยๆ เป็นการประชดแต่สีหน้าของจิณณ์ที่มีแววกังวลในตอนแรกกลับดูมีประกายแห่งความดีใจผุดขึ้นมา จากหน้ามือเป็นหลังเท้าเชียว หรือนี่คือแผนขออนุญาตย้ายไปอยู่กับผัว เอ้ย แฟนของมันวะ ร้ายนักนายโภคิน เดี๋ยวช่วงปิดเทอมกูจะแฉมึงให้พี่แจมฟังจนหมดเปลือกเลย คอยดูเถอะ

“อย่าท้านะ กูไปจริง”
แหนะ อยากไปก็พูดดีๆ จะเป็นไรวะ ถึงมันย้ายไปอยู่กับไอ้ไธจริงก็แค่เปลี่ยนชั้นหรือเปล่า ไม่ได้เปลี่ยนคอนโดสักหน่อย ผมไม่ห้ามหรอกถ้าสิ่งไหนที่จิณณ์ทำแล้วมีความสุข พร้อมสนับสนุนเสมอ และเชื่อว่าคนอย่างนายธามไธคงไม่ทำให้แฟนเสียใจแน่ๆ

“ไปเหอะ กูเลิกห่วงมึงแล้ว อยากไปมีผัวเป็นตัวเป็นตนก็เชิญเลย”
ผมโบกมือไล่อย่างไม่จริงจังนักก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจหวังจะได้ยินเสียงโวยวายจากจิณณ์ แต่เปล่าเลย สิ่งมีชีวิตอีกสองคนกลับส่งยิ้มหวานให้กันแถมโผเข้ากอดแบบไม่คิดชีวิต อยากถามจริงๆ ว่าพวกมึงหาโอกาสให้กูไล่มานานแล้วใช่ไหม เห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่เบ้ปากใส่ หมาหัวเน่าเลยสินะไอ้เจ็ท พี่ไม่รัก แฟนไม่มีเวลาให้ ชีวิตน่าสงสารจัง

“งั้นย้ายวันนี้เลยดีไหม”
จ้า ถามกันแบบนี้เอามีดมาปาดคอหอยก้างอย่างกูเถอะ ช่วยเกรงใจว่ามีมนุษย์อีกคนยืนทำหน้าเบี้ยวหน้าบูดอยู่ตรงนี้บ้างสิวะ ไอ้ไธมึงแม่งร้าย คิดจะปล้ำพี่กูแบบไม่ต้องกังวลสินะ

“ไอ้นี่ มึงจะไม่ขัดหน่อยเหรอไง”
ผมท้วงเมื่อทั้งสองคนยืนตกลงกันอย่างจริงจังว่าจะเอายังไงกับชีวิตรักที่กำลังบานสะพรั่งดี ถ้าจิณณ์ท้องได้คิดว่าอนาคตคงมีลูกจนเกินโหลแน่ๆ ไวไฟกันเหลือเกินพ่อคุณทูนหัวของบ่าว

“ไม่ เพราะกูอยากอยู่กับจิณณ์”
คำตอบที่มาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นนั้นทำให้ผมยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ พวกมึงจะพากันขึ้นสวรรค์หรือลงนรกก็ตามสบายเลย ขอไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น

“เชิญๆ ใครจะไปไหนก็ไปเถอะ กูชิวๆ”
ผมว่าอย่างปลงๆ ก่อนจะเดินหนีฉากรักโรแมนติกท่ามกลางกลิ่นอาหารหอมฉุยที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้แกะกินกันสักที หยิบขวดน้ำจากตู้เย็นขึ้นกระดกลงคอเพื่อดับกระหายความรุ่มร้อนในอก เรียกง่ายๆ คือ ‘อิจฉา’ นั่นล่ะ

“กินข้าวเสร็จช่วยกูขนของด้วยนะน้องรัก”
น้ำแทบพุ่งออกทางจมูกเมื่อได้ยินคำขอร้องแกมบังคับ ผมเผลอบีบขวดในมือจนมันยับ พี่กูทำไมใจง่ายแบบนี้เนี่ย ปากบอกไม่อ่อยแล้วมึงรีบย้ายไปอยู่กับมันขนาดนี้ โอย จะบ้าตาย!

“นี่มึงจะย้ายเดี๋ยวนี้เลยเหรอ!”

“ใช่จ้า”
ยิ้มหน้าระรื่นเชียว

“จ้าพ่อง!”

ไอ้ไธจัดการแกะอาหารที่ซื้อมาใส่จานให้เรียบร้อย มีทั้งข้าวขาหมูเจ้าเด็ดของโปรดจิณณ์ ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นต้มยำพิเศษเส้นเล็กของผม ส่วนข้าวผัดปลากระป๋องก็ของมัน ช่างเป็นเพื่อนที่รู้ใจแฟนซะจริงๆ ควรมอบโล่สามีดีเด่นให้ว่ะ

ผมนั่งมองผลของความรักที่กำลังงอกเงยจากการช่วยกันทะนุถนอมของจิณณ์กับไอ้ไธด้วยรอยยิ้ม บางมุมอาจจะดูหวานเลี่ยนจนต้องยี้ใส่ บางมุมอาจจะฮาร์ดคอร์ขึ้นกูมึงจนแทบสะดุ้ง แต่เขาทั้งสองคนก็มีความสุขดี ขอให้เป็นแบบนี้ไปอีกนาน ตายกันไปข้างเลยยิ่งดี

แขกของห้องลงมือเก็บเศษอาหารพร้อมกับล้างจานให้เสร็จสรรพไม่วายคั่นน้ำผลไม้ให้ดื่มล้างปากอีกคนละแก้ว จิณณ์ผู้ตั้งตัวเป็นคุณนายได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนโซฟา คงมีความสุขมากที่แฟนมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ คนมีความรักก็แบบนี้อยากเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลา ส่วนผมคงต้องปล่อยให้พี่ทาวน์มีเวลาส่วนตัวอย่างที่ควรเป็น อย่างเช่นทุกวันนี้ที่ต่างคนต่างอ่านหนังสือมากกว่าคุยกัน ตอนนี้คงติวอยู่ล่ะมั้ง คิดถึงจัง

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโปรแกรมไลน์แล้วจัดการส่งความคิดถึงที่อัดแน่นลงไปในรูปแบบสติ๊กเกอร์ หวังว่าคนรับคงรู้สึกถึงมันได้โดยง่าย อยากจะพิมพ์ข้อความต่อท้ายสักหน่อยแต่กลับคิดไม่ออก ตอนนี้มีแต่คำถามสิ้นคิดอยู่ในหัว ‘กินข้าวหรือยัง’ หรือ ‘อ่านหนังสือเหนื่อยไหมครับ’ หรือ ‘คิดถึงผมไหม’ ไม่มีอะไรเข้าท่าเลย เฮ้อ

“เจ็ท”
ไอ้ไธเรียกชื่อในขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟา หน้ามันนิ่งแสดงให้เห็นว่ามีเรื่องกลุ้มใจ

“ว่าไง”
ผมวางเครื่องเล่นเกมในมือลงเปลี่ยนมาตั้งใจฟังเพื่อนสนิทแทน

“ออกไปคุยกับกูที่ระเบียงหน่อย”
มันบอกแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางระเบียงด้านนอก ผมขมวดคิ้วมองตามอย่างไม่เข้าใจ ฝนยังเทกระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตาปะวะ แค่เปิดประตูก็เปียกแล้วมึงเอ๊ย

“มึงจะออกไปตากฝนเพื่ออะไรวะ”
ผมถามกลับ มันทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ก่อนจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ ชวนคิดลึกมากเพื่อนเอ๋ย

“เออ ลืม ในห้องนอนก็ได้”
ครับเพื่อน เอาซะจิณณ์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ถึงกับมองตาเขียว กูไม่ได้พิศวาสมันเถอะ แต่ก่อนระแวงไอ้ไธ เดี๋ยวนี้ระแวงน้องตัวเอง เจริญจ้าๆ

“มีอะไร”
ผมถามเมื่อทิ้งตัวลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว ส่วนไอ้ไธยืนพิงผนังอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาคมกวาดมองรอบห้องคล้ายกำลังชั่งใจกับสิ่งที่จะพูด คงเหมือนการยื้อเวลาเพื่อไตร่ตรองประโยคให้ดี

“ช่วงนี้มึงได้คุยกับพี่ทาวน์บ้างไหม”
คำถามแรกทำให้ผมแปลกใจ ไอ้ไธไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องยิบย่อยแบบนี้

“ก็คุยทุกวันนะ ถามทำไมวะ”
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ลอบมองปฏิกิริยาของเพื่อนไปด้วย มันทำหน้ากระอักกระอ่วนก่อนเบนสายตาหนีไปทางอื่น มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่

“ไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหม”
ผมเผลอสะดุดลมหายใจเมื่อได้ยินคำถาม เพราะอะไรเพื่อนถึงคิดแบบนั้น อย่าว่าแต่ทะเลาะเลย ผิดใจกันนิดๆ หน่อยๆ ยังไม่เคยมีตั้งแต่เลื่อนสถานะใหม่

“เออดิ ก็แค่ต่างคนต่างเตรียมตัวสอบ เลยคุยกันน้อย”
ตอบไปอย่างที่สมองคิด แต่ในใจกลับรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ผมรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงระหว่างเราแต่ไม่พูดมันออกมาให้ใครรับรู้ หวังว่าพี่ทาวน์จะไม่ปิดบังหรือมีความลับ

“ถ้ากูบอกอะไรสักอย่างมึงสัญญาได้ไหมว่าจะไม่โวยวาย”
มาแนวนี้จะให้ตอบยังไงวะ พี่ทาวน์มีความลับกับผมจริงๆ สินะ

“จะพยายาม”
ผมตอบเสียงนิ่ง พยายามเตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน ไอ้ไธไม่เคยเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นแน่ๆ

“ตอนกูไปซื้อข้าว... กูเจอพี่ทาวน์กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านว่ะ”
หัวใจเหมือนหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม สิ่งที่ผมกลัวมากคือพี่ทาวน์จะเปลี่ยนใจกลับไปชอบผู้หญิง ความเชื่อใจมี แต่อะไรมันก็ไม่แน่นอน อนาคตไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ

“แล้วยังไงต่อ”
ผมไม่ด่วนสรุปว่าพี่ทาวน์กำลังนอกใจ เพราะเขายังยกหูโทรมาหาทุกวันไม่ขาดถึงแม้เวลาคุยจะน้อยลงไปทุกที กี่อาทิตย์แล้วที่เป็นแบบนี้กันวะ

“เหมือนเธอจะติดพี่ทาวน์มาก เดินตามทุกฝีก้าว”

“.....”
อืม คิดอะไรไม่ออกเลยว่ะ ควรรู้สึกยังไงดีที่มีผู้หญิงตามเจ๊าะแจ๊ะแฟนตัวเองโดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“เจ็ท... กูขอโทษ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
ไอ้ไธรีบเดินเข้ามาปลอบกันด้วยการตบบ่า ผมส่ายหัวเพราะกำลังสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูกกับเรื่องที่ได้ยิน

“กูไม่รู้ว่ะ ช่วงนี้คุยกันไม่ถึงสิบนาทีพี่ทาวน์ก็ขอวางสาย มีเสียงผู้หญิงแทรกเป็นครั้งคราวแต่ก็ช่างแม่งทุกที”
นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามมองข้ามตลอดแล้วคิดว่าเขาคงไปติวกับเพื่อนๆ ในคลาสล่ะมั้ง พยายามโลกสวยแต่สุดท้ายแม่งไม่ช่วยอะไรเลย เกิดปัญหาจนได้

“พี่ทาวน์อาจจะกำลังมีปัญหา”

“กูก็ไม่อยากคิดว่าเขานอกใจหรอก แต่มีอะไรก็ควรบอกกันบ้างดิ แบบนี้จะให้คิดยังไงวะ”
ผมก้มหน้า มือหนาขยำกางเกงขาสั้นจนยับเยิน หัวใจเริ่มปวดหนึบเพราะความคิดร้ายๆ ที่กำลังแทรกเข้ามา อยากเข้มแข็งให้มากกว่านี้ แต่ทำไมทำไม่ได้วะ

“ใจเย็นๆ เว้ย ลองถามพี่ฟาไม่ก็พี่แฮมดูไหม”
ไอ้ไธยื่นทางออกให้ แต่ผมกลับปัดมันทิ้งเนื่องจากเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่อยากดึงใครเข้ามาเกี่ยวมากกว่านี้

“กูไม่อยากกวนเวลาอ่านหนังสือของเขาด้วยเรื่องส่วนตัว”

“แต่มึงจะแย่เอานะ กว่าจะสอบเสร็จอีกตั้งสองอาทิตย์”

“ไม่เป็นไร กูไหว”
ผมเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มฝืนไปให้เพื่อนเพื่อความสบายใจ มันพยักหน้ารับไม่เซ้าซี้ต่อ

“เจ็ท... ถ้าไม่ไหวก็บอก กูจะไปคุยกับพี่ทาวน์เอง”
ผมส่ายหัวเพื่อปฏิเสธความหวังดีนั่นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สูดลมหายใจเข้าปอดหนักๆ เพื่อมันช่วยให้สมองผ่อนคลายได้บ้าง พี่ทาวน์นะพี่ทาวน์ กลายเป็นเด็กดื้อแล้วหรือไง อยากจับตีก้นนัก แต่ตอนนี้ไม่มีแรงเลยว่ะ

“ช่างแม่งเถอะ ไปอ่านหนังสือต่อกัน”

ผมยอมแพ้ตัวหนังสือนับร้อยเพราะอ่านต่อไม่ไหว สมองไม่รับรู้ ไม่สั่งการให้เข้าใจอะไรทั้งนั้น เรื่องของพี่ทาวน์ยังคงวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากรู้ความจริงจากปากของเขาแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะฟัง คำว่ากลัวช่างมีอิทธิพลยิ่งใหญ่เหลือเกิน

นายภาคินแม่งแย่เนอะ แค่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาตามแฟนตัวเองต้อยๆ ก็คิดมาก ควรแก้นิสัยแบบนี้ยังไงดีวะ

“ไปล้างหน้าล้างตาไป วันนี้ไม่ต้องอ่านต่อแล้วมึง”
เสียงแฝดดังขึ้นเหนือหัวพร้อมกับหนังสือที่ถูกปิดลงโดยไม่ถามความเห็นผู้อ่านเลยสักนิด ผมเงยหน้าขึ้นมองพลางขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ อีกสองสามวันก็จะสอบแล้ว พักได้ด้วยเหรอ มีแต่วิชาหินๆ ทั้งนั้น

“กูโอเค”
ผมบอกอย่างรู้ทัน จิณณ์คงเป็นห่วงเรื่องที่ไอ้ไธเล่าให้ฟังเมื่อครู่

“กูเป็นพี่มึงนะ อย่าเถียง”
จิณณ์ว่าเสียงดุก่อนจะดึงผมให้ลุกขึ้นด้วยแรงมหาศาลโดยไม่ทันตั้งตัวเลยเซเกือบชนเข้ากับขอบโต๊ะ

“เออๆ ยอมแพ้”

ผมยอมเดินไปล้างหน้าล้างตาตามที่จิณณ์สั่งแกมขอร้อง มองตัวเองให้กระจกถึงกับหลุดหัวเราะเยาะ นี่เหรอสภาพของคนที่ใครต่างชมว่าดูดี เหมาะแก่การเป็นเดือนคณะอีกคนหนึ่ง อย่างกับซากศพ

Rrrrr

เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมชะงักมือที่กำลังรองน้ำในอ่าง ผ้าขนหนูถูกหยิบมาเช็ดก่อนจะล้วงหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้หัวใจกระตุก ต้นเหตุของความคิดมากทั้งหมดมาเยือนแล้ว ทำยังไงดี

สุดท้ายผมก็ปล่อยให้เสียงริงโทนเงียบไปแล้วยัดมันลงกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ใยดีเพราะยังไม่พร้อมจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น และกว่าจะจัดการล้างหน้าเรียกสติคืนได้ก็ปาเข้าไปเกือบสิบนาทีจนไอ้ไธต้องเคาะประตูเรียก

เสื้อยืดที่ใส่อยู่เปียกเป็นวงกว้างจนต้องจัดการถอดมันทิ้งแล้วโยนลงตะกร้าอย่างแม่นยำ อุณหภูมิตอนนี้ทำให้ผิวหนังเย็นเฉียบอย่างรวดเร็ว ผมยกแขนขึ้นกอดตัวเองไว้ แต่เผลอคิดถึงพี่ทาวน์ ความอบอุ่นที่เคยได้รับ ต่อจากนี้จะเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหมนะ

Rrrrr

อีกครั้งที่เสียงริงโทนดังขึ้นแต่ผมเลือกจะเฉยกับมันแล้วเดินดุ่มๆ ไปหยิบเสื้อในห้องนอนมาเปลี่ยน ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วหยิบรีโมทมาเปิดทีวีดูคลายเครียดเพราะหนังสือโดนฝาแฝดยึดไปจนหมดเกลี้ยง เหลือไว้ให้แค่ปากกาไฮไลท์

จูราสสิคเวิลด์ภาคล่าสุดกำลังฉายรีรันอยู่ตอนนี้ ผมชอบตอนที่พระเอกฝึกพวกแรพเตอร์จำได้ว่ามีคนเอาฉากนี้ไปล้อเลียนถ่ายภาพกับสัตว์หลายชนิด หมู หมา กา ไก่ ช้าง ฮิปโป หรือแม้แต่โลมา ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกลุ้นระทึกอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวไดโนเสาร์มันใช้สัญชาตญาณของตัวเองมากกว่าจะเชื่อฟังคนสอน

ผมชันเข่าขึ้นเมื่อถึงฉากที่อินโนไมนัส เร็กซ์ต่อสู้กับแรพเตอร์ ลุ้นจนแทบนั่งไม่ติดโซฟา แม่ง หวาดเสียวฉิบหาย ขนาดตัวต่างกันลิบลับแล้วจะเอาชนะได้ยังไงวะนั่น โอย พระเอกหาที่หลบดีๆ สิวะ เดี๋ยวก็ตายหรอก

Rrrrr

เสียงริงโทนดังขึ้นอีกครั้งทำให้กระตุก อารมณ์ที่จะดูหนังหมดลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้พร้อมด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบในตอนนี้

“ใครโทรมาวะ ทำไมไม่รับสาย”
จิณณ์ยืนค้ำหัวมองด้วยสายตาไม่เข้าใจว่าทำไมปล่อยให้โทรศัพท์ดังโดยไม่รับมาหลายรอบ ผมอึกอักเอาแต่เงียบ ไม่กล้าสบตา พยายามสนใจแรพเตอร์ตัวน้อยที่กำลังสู้เพื่อช่วยพระเอกอย่างสุดชีวิต มันชื่ออะไรนะ บูลเหรอ ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่นั่น

“เจ็ท”
เสียงเย็นๆ ของจิณณ์ทำให้ผมต้องยอมแพ้ เพราะรู้ว่าถ้ายังปากแข็งต่อไปอาจจะมีระเบิดลงกลางหัว เวลาเขาโมโหอะไรก็ฉุดไม่อยู่ เคยเจอตอนมันทะเลาะกับพ่อเรื่องสูบบุหรี่ บ้านแทบแตก สมัยมัธยมต้นนายโภคินน่ะร้ายสุดๆ

“พี่ทาวน์”
ผมตอบกลับเสียงเรียบโดยไม่ละสายตาจากทีวี ตอนนี้ยอมรับว่าดูไปก็ไม่รู้เรื่องเพราะสมาธิดันไปจดจ่ออยู่ที่โทรศัพท์ในมือของจิณณ์ มันล่วงไปกองอยู่บนโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ

“รับๆ ไป แล้วคุยกันให้รู้เรื่อง”
เครื่องสื่อสารถูกยื่นมาแทบกระแทกสันจมูก ผมผงะถอยหลังมองมันเหมือนยาพิษที่หากเข้าใกล้อาจจะตายได้ ถ้าบอกว่ายังไม่พร้อมรับสายคงโดนด่าเปิงแน่ๆ เป็นคนขี้ขลาดก็ลำบากแบบนี้ล่ะ

“กู...”

Rrrrr

โธ่เว้ย ทำไมวันนี้พี่ทาวน์ขยันโทรจังวะ


“รับ กูรำคาญ”
จบคำสั่งของจิณณ์ผมก็รับโทรศัพท์จนได้ ก็เล่นยืนกดดันด้วยหน้าบึ้งตึงขนาดนั้น ขืนขัดใจอาจจะโดนตัดเงินค่าขนมก็ได้

แม่นะแม่ บอกให้โอนแยกบัญชีไง ทำแบบนี้มันหายนะชัดๆ มีครั้งไหนที่สามารถหือกับพี่ชายได้บ้างล่ะ อยากร้องไห้!

“ครับ”
ผมกรอกเสียงนิ่งๆ ลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่พอคิดถึงเรื่องที่ไอ้ไธเล่าให้ฟังก็ได้แต่เลยตามเลย

‘โทรไปตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับ’
พี่ทาวน์ดูจะเป็นกังวลเรื่องที่ผมไม่ยอมรับสายสักทีเพราะฟังจากน้ำเสียงแล้วมันสั่นแปลกๆ ยอมรับว่าดีใจแต่มันไม่สุด

“อ่านหนังสือครับ”
ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้ปกติได้จริงๆ พยายามแล้วที่จะร่าเริง พยายามปล่อยผ่านไป แต่... ไม่ไหว ทำไมพี่ถึงต้องปิดบังเรื่องผู้หญิงคนนั้นวะ

‘อืม... เป็นอะไรหรือเปล่า’

“เปล่านี่ครับ สบายดีทุกอย่าง”

‘มึงเสียงแข็ง’

“เหรอครับ ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
ยอมรับว่าตั้งใจกวนตีน แต่ตอนนี้อะไรก็ตามที่ทำให้เขารีบวางสายได้ก่อนที่ผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้ไปมากกว่านี้ ผมอยากถามเรื่องนั้น แต่เพราะอยู่ในช่วงเตรียมตัวสอบเลยอยากปล่อยให้มันผ่านไปก่อน

‘อย่ากวนตีน เป็นอะไรบอกมา’
ปลายสายไม่ยอมแพ้ถึงกับถามเสียงแข็ง ผมสติหลุดจริงๆ แล้วตอนนี้เพราะคิดว่าพี่ทาวน์ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าที่เป็นอยู่คืออะไร ว่าที่หมอโง่เหรอ หรือแค่อยากเก็บไว้เป็นความลับ

“เป็นคนโง่มั้งครับ”
ปากพาซวยแต่ผมเลิกสนใจผลลัพธ์มันแล้ว ความน้อยใจ ความเสียใจ ความกลัว ผสมปนเปจนกลั่นตัวเป็นคำพูดประชดประชัน ผมนิสัยแย่รู้ตัวดี

‘ภาคิน’
พี่ทาวน์คงโกรธกันแล้วเลยเรียกชื่อจริงแบบนั้น เอาเถอะ ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

“ครับ ถ้าไม่มีอะไรก็แค่นี้นะครับ จะอ่านหนังสือต่อ”

‘เดี๋ยวสิ’
เสียงรั้งของพี่ทาวน์ทำให้ผมใจอ่อนยวบ มันทั้งสั่นทั้งอ้อนวอนราวกับจะขาดใจ ตอนนี้ควรรู้สึกยังไง ดีใจหรือเสียใจ โคตรสับสนเลยว่ะ

“ครับ”

‘กูคิด... ทาวน์คะ อยากกินน้ำปั่นจังเลย’
เสียงหวานๆ ดังแทรกขึ้น ผมแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้งเพราะระยะที่ได้ยินแทบเหมือนเธอแนบหน้าคุยแทนอีกคน ใกล้จนเนื้อแนบเนื้อหรือเปล่า พี่ทาวน์ยอมให้คนอื่นตัวติดขนาดนี้เมื่อไหร่กัน

“หึ เสียงอะไรเหรอครับ”
ผมหน้ามืดตามัวละทิ้งคำว่าช่วงสอบไปจนหมดสิ้น หาเรื่องทะเลาะกันตอนนี้มีมันแย่ แต่เสียงนั่นเป็นหลักฐานชั้นดีว่าพี่ทาวน์มีเรื่องปิดบังกันจริงๆ และมันช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ไอ้ไธเห็นมาไม่ผิด

‘เสียง... ทีวีน่ะ’
พี่ทาวน์ตอบเสียงเบา คำโกหกนั่นทำให้ผมจุกในอก อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ อยากจะแหกปากร้องไห้แบบไม่อายใครแต่ทำไม่ได้เลย สมองมันตื้อไปหมด เขานอกใจเหรอ ทำไมล่ะ ผู้ชายอย่างนายภาคินเป็นแฟนที่ไม่ดีสินะ

“อ้อ ผมเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้พี่เล่นละครด้วยเนอะ เรียกชื่อกันซะชัดเลย”
ผมควรวางสายแล้วจริงๆ

‘เจ็ท...’

“ตอนนี้ผมยังเป็นแฟนพี่อยู่หรือเปล่า”
ความงี่เง่ามันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ นะ

‘เป็นสิ ทำไมถามแบบนั้น’

“ถ้าไม่อยากเป็นเมื่อไหร่ก็บอกกันนะครับ”
จบบทสนทนาด้วยประโยคที่ทำให้ผมถึงกับน้ำตาหยด ไม่ได้อยากพูดแบบนั้นแต่อารมณ์มันพาไปล้วนๆ ปิดเครื่องหนีปัญหาเหมือนพวกผู้หญิงอ่อนแอ ยอมรับว่าทำใจไม่ได้ที่โดนโกหกซึ่งๆ หน้าแบบนั้น ทำไมวะ ทำไม มีแต่คำถามอยู่เต็มหัวไปหมด

“เจ็ท มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย ชวนพี่ทาวน์เลิกทำไม!”
เสียงโวยดังมาจากจิณณ์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไป ขายาวก้าวเข้ามาด้วยความแตกตื่น ผมฟุบหน้าลงกับเข่าปล่อยให้น้ำตาหยดใสซึมไปกับเนื้อผ้า พี่ทาวน์คงรู้สึกแย่ไม่แพ้กันในตอนนี้

“กูผิดมากเหรอวะที่พูดแบบนั้น เขาโกหกกูนะจิณณ์ ถ้ามันไม่มีอะไรก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”
ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไร คิดอะไร หรือแม้แต่รู้สึกยังไง พี่ทาวน์เป็นคนเงียบโดยพื้นฐาน ไม่ค่อยปรึกษาปัญหากับใคร ไม่เล่าเรื่องส่วนตัว แล้วยิ่งเป็นแบบนี่จะให้เข้าใจว่ายังไง

“พี่ทาวน์อาจจะอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเอง”
ไอ้ไธทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนลาดไหล่จะโดนบีบเพื่อให้กำลังใจ ผมรู้ว่าทุกคนกำลังเป็นห่วง แต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าเมื่อครู่เขาบอกกันตรงๆ คงรู้สึกดีกว่านี้

“กูเป็นคนที่ดูไม่น่าพึ่งพาได้ขนาดนั้นเลยเหรอ เขาถึงต้องรับปัญหาไปแก้คนเดียว”
ผมเป็นแฟนที่พร้อมจะเป็นทุกอย่างให้เขา แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย คล้ายๆ ว่าเป็นคนไร้ค่าไม่ดีพอให้พึ่งพา

“เจ็ท...”
จิณณ์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ผมโผเข้ากอดมันหนึ่งครั้งแล้วบอกด้วยน้ำเสียงสั่น




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 30 - P.4 (14/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-12-2017 16:43:39
“กูขออยู่คนเดียว ถ้ามึงจะไปนอนห้องไอ้ไธก็ฝากล็อคประตูด้วย”

สุดท้ายแล้วคืนนี้ก็ไม่ยอมมีใครก้าวออกจากห้องสักคน จิณณ์ถึงขนาดลงมือทำเมนูแฮมเบิร์กเพื่อเอาใจผม ไอ้ไธช่วยเขียนสรุปเนื้อหาสำคัญวิชาที่จะมีสอบวันจันทร์หน้าทุกคนแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน แต่คนนั้นกลับเงียบหายเหมือนไม่มีตัวตน ตอนนี้คงเป็นเวลาคิดทบทวนสิ่งที่ทำลงไปของทั้งสองคน

ผ่านการสอบปลายภาคไปอย่างสวยงามในช่วงสายของวันศุกร์สุดสัปดาห์ เด็กปีหนึ่งของคณะสถาปัตย์ถึงกับส่งเสียงเฮแสดงความดีใจ แต่ยกเว้นผมที่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับเขา กี่วันมาแล้วที่ชีวิตอยู่โดยปราศจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘แฟน’ ขาดการติดต่อกันอย่างสมบูรณ์ ส่งข้อความไปขอโทษที่ทำเรื่องงี่เง่าวันนั้นแต่ไร้การตอบรับ พี่ทาวน์คงยุ่งกับปัญหาชีวิตและการสอบ หรือไม่ก็ตัดสินใจเป็นโสด

“นี่คนหรือซอมบี้วะ โทรมได้อีก”
เสียงทากไอ้ฟาร์มผ่านหูผมไปโดยง่าย สมองมันงงๆ เบลอๆ จนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เมื่อครู่พูดถึงด๊อบบี้ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์หรือเปล่า ฟังไม่ถนัดเลย

“เงียบๆ น่าไอ้ฟาร์ม”
ไอ้ไธผลักหัวทุยๆ ของเพื่อร่วมกลุ่มอย่างแรงจนผมบ๊อบของไอ้ฟาร์มแตกกระจาย โหดร้ายจัง แบดบอยสัดๆ

“อะไรวะ กูแค่ชวนคุย”
ไอ้ฟาร์มพูดเสียงง้องแง้งก่อนจะค้อนขวับจนคอแทบหัก ผมที่กำลังนอนทับแขนยังเผลอหัวเราะออกมา แต่น้ำตาดันจะไหล ชีวิตรันทดเหลือเกินนานภาคิน แดกยาฆ่าหญ้าดีไหม เฮ้อ ไม่เอาดีกว่า สงสารพ่อแม่

“ไม่ชวนจะดีกว่านี้”

“มึงแม่งใจร้าย”

“เออ ยอมรับ”

ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ เลยว่ะ แต่ฟังแล้วเพลินดี

“กินอะไรมาหรือยัง”
คำถามวนกลับมาที่ผมอีกครั้งหลังจากที่มันสองคนเลิกตีกัน ไอ้ไธเอื้อมมือมาบีบไหล่เพื่อเค้นเอาคำตอบ อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าตอนนี้รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวคล้ายคนจะป่วย

“ยัง ไม่หิว”
ผมตอบก่อนจะซุกหน้าลงเพื่อเลี่ยงการสบตากับไอ้ไธ ไม่อยากให้รู้ว่ากำลังถูกโกหก เพราะความจริงแล้วหิวจนเลิกหิวไปแล้ว

“แสดงว่ากินข้าวเช้าเลท”
อยากจะยกนิ้วให้ไอ้ตัวเสือกอย่างฟาร์มจริงๆ กูกินข้าวเลทมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วมั้งเพื่อน

“เปล่า ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืน”

“คุณเจ็ทครับ มันไม่ดีต่อร่างกายนะ เอาขนมปังทูน่าของผมไปกินก่อนไหม”
ไอ้ตังค์อุตส่าห์ดึงแซนวิชส่วนที่เหลือส่งมาให้ผม สภาพมันเปียกน้ำลายขนาดนั้นกูเกรงใจมาก กลัวเพื่อนไม่อิ่ม

“ไม่เป็นไร มึงกินเถอะ กูไม่หิวจริงๆ”
สาบานว่าไม่ได้รังเกียจน้ำลายเพื่อนจริงๆ

“ทำอย่างกับคนอกหัก”
ผมถึงกับสำลักน้ำลายจนไอโขลก ไม่มีใครปากเสียยิ่งกว่าไอ้ฟาร์มอีกแล้ว แม่ง แช่งกันขนาดนี้มึงเผาพริกเผาเกลือตามด้วยสิ

“ไอ้สัดฟาร์ม กูบอกให้เงียบไง”
ไอ้ไธจัดการเขกกะโหลกคนปากดีให้แทน ไอ้ฟาร์มร้องโวยวายยกใหญ่แต่กลับไม่มีใครสนใจ เหมือนเป็นอากาศธาตุจนสุดท้ายมันต้องยอมแพ้

“เออๆ ไอ้ตังค์เอาสก็อตเทปมาแปะปากกูที”
หันไปคุยกับไอ้ตังค์ ใครก็เดาได้ว่ามันประชด แต่มีคนหนึ่งที่ไม่รู้... จริงจังให้มันได้ทุกเรื่องวะ เพลียจิต

“เอาสีเทาเลยไหมครับ เหนียวดี”
ผมไม่รู้ว่าไอ้ตังค์ซื่อหรือมันแกล้งยั่วประสาทไอ้ป๋ากันแน่ สรหน้าเรียบเฉยจนเดาอะไรไม่ได้ แต่กูสงสัยเหลือเกินว่าเมื่อไหร่แซนวิชมึงจะหมดสักที ตอดอย่างกับปลาหางนกยูง เห็นแล้วอยากแดกแทนแต่เกรงใจขนมปังชุ่มน้ำลาย

“โอย มึงนี่มัน เตะสักทีดีไหมวะ”
ถึงกับง้างมือจะฟาดไอ้ตังค์ แต่รายนั้นเอาชนะด้วยวิธีง่ายๆ แถมไม่ต้องออกแรงอะไรเลย

“ผมฟ้องคุณเอยนะ”
ชื่อผัวมันมีอิทธิพลกับไอ้ฟาร์มจริงๆ หยุดทุกการกระทำแม้แต่ลมหายใจก็เกือบเหมือนกัน ร้ายจริงๆ น้องเนิร์ดของพี่ แอบสะใจเล็กๆ

“แดกๆ เข้าไปบ้าง เดี๋ยวจะตายซะก่อน”
ไอ้ไธไม่รู้ไปเอาไส้กรอกมาจากไหนอยู่ๆ ก็ยัดใส่มือผมแล้วบังคับให้กิน ดวงตาคมจ้องประมาณว่าถ้ามึงไม่จัดการมันจะฆ่าทิ้งซะตอนนี้ คนบงการต้องเป็นจิณณ์ชัวร์

“ไม่เอา”
ผมวางมันลงบนโต๊ะแล้วเบ้ปากใส่ เข้าใจคนที่หิวแต่กินไม่ลงหรือเปล่าวะ

“ดื้อ”
ไอ้ไธบอกเสียงแข็งก่อนจะผลักหัวกัน ผมแยกเขี้ยวใส่แต่ไม่ได้ทำอะไรกลับไป

“เออ มันแดกไม่ลง”

“คิดมากล่ะสิ”
เสียงไอ้ไธอ่อนลงก่อนจะมองกันด้วยสายตาเป็นห่วง ผมพยักหน้ารับ ถอนหายใจด้วยความกังวล ส่งข้อความขอโทษไปทุกวัน ได้ตอบกลับมาแค่ความเงียบ เขาคงไม่อยากคุยกับคนงี่เง่าล่ะมั้ง

“อืม กูไม่รู้จะทำยังไงดี”
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาเพื่อคลายความเครียด แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อสมองยังคิดวนเวียนเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ใครผิดหรือใครถูกก็ช่างแม่งเถอะ โคตรคิดถึงพี่ทาวน์เลย รู้ตัวว่านิสัยแย่ที่ไม่ฟังอะไร แต่เขาก็ไม่คิดอธิบายเหมือนกันนี่หว่า

“ใจเย็นๆ กูเชื่อว่าพี่ทาวน์มีเหตุผลที่ต้องโกหกมึง”

“สับสนว่ะ”

“กูเข้าใจดี”
ไอ้ไธตบบ่าเป็นการปลอบ ผมถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะทิ้งหัวลงซบท่อนแขนแบบเดิม แต่เสียงโวยวายของไอ้ฟาร์มทำให้ดวงตาคมเบิกกว้าง

“เฮ้ยๆ พี่ทาวน์มาว่ะ แต่ไม่รู้มีผู้หญิงที่ไหนตามมาด้วย”
ท้ายประโยคนั้นทำให้ผมตัดสินใจหนี ไม่รู้เหตุผลว่าเขาพาเธอมาด้วยทำไมแต่มันไม่พร้อมจะเจอจริงๆ ความเชื่อใจที่มีเริ่มสั่นคลอน กลัวคำตอบที่อยากถาม

“กูจะไปห้องน้ำ”
ผมลุกพรวดขึ้นแต่ไอ้ไธกลับรั้งให้นั่งลงที่เดิม

“มึงนั่งลง จะเอาแต่หนีเพื่ออะไรวะ เป็นอาทิตย์แล้วที่มึงไม่ได้คุยกับเขา”
ผมสะอึกกับผมพูดของไอ้ไธ ความคิดถึงมันมีมากแต่ไม่พอจะลบล้างความสับสนที่โดนโกหก แล้วที่เขาพาเธอมาด้วยต้องการอะไรวะ

“กูไม่พร้อม”
ผมว่าเสียงอ่อนแต่ไม่ขัดขืน แกล้งตายเลยดีไหมวะ

“ตอนนี้จำเป็นต้องพร้อมแล้วว่ะ หน้าพี่ทาวน์อย่างกับจะแดกหัวคนได้”
ผมเผลอเหลือบหางตามองบุคคลที่กำลังเดินใกล้เข้ามา ลมหายใจเริ่มติดขัดรู้สึกปวดหน่วงในอก แม่ง ยิ่งเห็นปลายรองเท้าหนังขัดเงาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ยิ่งอยากมุดดินหนี

“เจ็ท”
เสียงทุ้มที่คิดถึงมาตลอดหนึ่งอาทิตย์เอ่ยเรียกชื่อกัน

“ครับ”
ผมตอบรับก่อนจะช้อนตามองด้วยความกล้าที่มีอยู่น้อยนิด อยากเห็นหน้าให้เต็มๆ ตาว่ายังสบายดี แต่เปล่าเลย ว่าที่คุณหมอมีสภาพใกล้เคียงกับหมีแพนด้า เพิ่งรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะที่จะเป็นเดือนมหา’ลัยก็ครั้งนี้ล่ะ โทรมยิ่งกว่าซากซอมบี้ที่ไอ้ฟาร์มด่าอีก

“มาคุยกันหน่อย”
พี่ทาวน์บอกเสียงนิ่งก่อนจะเอื้อมมือมาจับต้นแขน ผมเบนหน้าหนีเพราะไม่สามารถทนแววตาอ้อนวอนนั่นได้ ทำไมวะ ทำไมต้องแพ้เขาตลอด ใจแข็งบ้างไม่ได้หรือไง

“คุยตรงนี้ก็ได้ครับ”
ผมคลี่ยิ้มส่งให้เขาเป็นการบอกว่าคุยตรงนี้สิ ชิวๆ สบายๆ น่า แต่พี่ทาวน์กลับขมวดคิ้วและเริ่มออกแรงบีบต้นแขน

“เรื่องของกูกับมึง”
เขาย้ำชัดเจนว่าไม่อยากคุยตรงนี้ ผมพยักหน้ารับเพราะไม่อยากสร้างความลำบากใจให้เพื่อน แค่นี้พวกมันก็นั่งตัวเกร็งเหมือนก้อนหินแล้ว ตลกก็แต่ไอ้ฟาร์มที่นั่งกลั้นหายใจ อย่าเพิ่งตายนะ กูขี้เกียจไปช่วยงานศพ

“ผู้หญิงคนนี้ด้วยไหมครับ”
ผมถามถึงคนที่ยืนหลบอยู่ด้านหลัง เธอหน้าตาสวย แต่งตัวดีแต่จะเกาะไหล่พี่ทาวน์ทำไมวะ สนิทกันมากหรือไง

“อืม”
พี่ทาวน์พยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนเป็นดึงข้อมือให้ผมลุกตามโดยไม่สนใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำหน้าอยากร้องไห้ทากแค่ไหน

หลังตึกสถาปัตย์มีบึงอยู่ ถ้าผมเผลองี่เง่าใส่คงได้ลงไปนอนอืดตายอยู่ในนั้น โธ่ ก็คนมันขี้หึงเข้าใจบ้างสิ

“มีอะไรครับ”
ผมถามเมื่อเรามาถึงที่หมาย พี่ทาวน์หันไปมองผู้หญิงคนนั้นก่อนพยักหน้าเป็นสัญญาณอะไรสักอย่าง

“อธิบายเรื่องทั้งหมดหน่อยสิไอซ์”
ชื่อสวยตามหน้าตาเชียว เธอครางรับก่อนเดินมาใกล้ ผมขยับตัวหนีเพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“คือ... เจ็ทอย่าโกรธทาวน์เลยนะ ไอซ์แค่โดนคุณลุงไหว้วานมาให้ป่วนน่ะ เขาอยากให้พวกนายเลิกกันเพราะคิดว่าความรักอย่างนี้มันไม่มั่นคง”
พี่ไอซ์เริ่มอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงอึกอัก ใบหน้าสวยหมองลงจนสังเกตได้ เธอคงไม่อยากทำหรือเสียดายที่ต้องบอกความจริงกันแน่ ยอมรับว่าตกใจและเสียใจ ถูกกีดกันเพราะเป็นเพศเดียวกัน... อืม ต้องทำยังไงดีนะ

“ผมโดนพ่อตาเกลียดเข้าแล้วสินะ”
ผมพึงพำอย่างหมดแรงก่อนจะยิ้มเยาะให้กับความดันทุรังจีบพี่ทาวน์ ลูกเขาต้องเป็นแบบนี้ก็ไม่ผิดที่จะเกลียดและอยากให้เลิก แต่ไม่เคยเสียใจที่ทำลงไป ก็เพราะรัก ไม่ได้บังคับพี่ทาวน์ให้มาคบด้วยสักหน่อย เรายินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย

“ไม่ใช่แบบนั้น คุณลุงแค่เป็นห่วงทาวน์”
พี่ไอซ์รีบแก้ความเข้าใจผิดให้ ผมถึงกับร้องอ๋อออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ ความเป็นห่วงของพ่อแม่บางครั้งก็น่ากลัวเกินไป

“หึ กลับไปบอกพ่อด้วยนะว่าผมดูแลตัวเองได้ จะมั่นคงหรือไม่มั่นคงมันเป็นเรื่องของเราสองคน ไม่ต้องตัดสินแทน”
พี่ทาวน์สรุปด้วยเสียงนิ่งจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขากับพ่อไม่ลงรอยกันจริงๆ นั่นล่ะ ผมก็ทำได้แค่อยู่ข้างเขาแบบนี้ ไม่กล้าออกความคิดเห็นเพราะไม่รู้ว่าปัญหามันใหญ่มากแค่ไหน พี่ไอซ์ถึงกับเบิกตาโตเมื่อได้ฟังประโยคนั้นจบ ใบหน้าสวยเปลี่ยนไปคล้ายจะร้องไห้

“ทาวน์... ไม่แรงไปหน่อยเหรอ”

“ไอซ์คิดว่าที่พ่อทำกับผมมันเบาหรือไง”
พี่ทาวน์ตอกกลับจนผมได้แต่เงียบแล้วเดินเข้าไปแตะแขนเพื่อเป็นการบอกว่าให้เบาลงหน่อย ดูเหมือนเธอจะตกใจและเคารพคุณลุงมาก

“แต่...”
เธออึกอัก

“กลับไปเถอะ แค่นี้แฟนผมก็โกรธจะแย่แล้ว”
ผมเบิกตาโตเมื่อได้ยินคำเรียกนั้น ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะกล้าบอกใครๆ แล้วไอ้สายตาอ้อนนั่นคืออะไร ต้องการให้นายภาคินรู้สึกยังไงวะ ลากไปปล้ำหลังต้นไม้นั่นดีไหม จากที่โกรธว่าเขาโกหก ตอนนี้อยากขย้ำมากกว่า

“อื้อ ขอโทษทั้งสองคนด้วยนะ”
พี่ไอซ์ก้มหัวขอโทษเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากบริเวณนี้ ทิ้งให้ความกระอักกระอ่วนโรยตัวระหว่างพวกเรา

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับนะ”
ผมเลือกที่เดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับพี่ไอซ์ ถึงจะรู้เหตุผลที่เขาปิดบังเรื่องนี้ แต่ลึกๆ ก็โกรธที่โดนมองข้าม มีปัญหาแล้วเลือกเก็บไว้คนเดียวทั้งที่เป็นเรื่องของเรา และรู้สึกแย่จริงๆ ที่ช่วยอะไรไม่ได้

“เดี๋ยว ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ”
มือเรียวรั้งไหล่ผมเอาไว้ก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มที่ฟังดูแปลกไป เหมือนกำลังอ้อน โอย ใจแข็งเข้าไว้ ขอเคลียร์เรื่องปากแข็งของพี่ทาวน์ก่อนสิวะ

“เปล่าครับ ไม่ได้โกรธ”
ผมตอบโดยไม่หันกลับไปมองเพราะกลัวจะแพ้เขาตั้งแต่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“แล้วทำไมถึงเย็นชากับพี่”
พี่ทาวน์ผละมือออกทำให้ผมต้องหันกลับไปมองเขาอย่างเต็มตา แทบจะดึงเข้ามากอดปลอบเมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยนั่น นี่มันเพราะการสอบหรือเรื่องของเรากันแน่วะ แต่ช่างมันก่อน ขอพูดสิ่งที่ค้างคามาเป็นอาทิตย์

“ตอนนี้ผมเป็นแฟนกับพี่ใช่ไหมครับ”
ผมถามเสียงนิ่งแล้วจ้องดวงตารีนั่นอย่างสื่อความหมาย พี่ทาวน์มองตอบก่อนพยักหน้ารับ

“มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอก ผมเป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้เลยเหรอ”

“ไม่ใช่แบบนั้น กูแค่อยากจัดการมันด้วยตัวเอง”

“ไม่คิดถึงผมบ้างหรือครับว่าจะรู้สึกยังไงที่โดนพี่ปิดบัง แถมโกหกใส่แบบนั้น”
ผมว่าเสียงอ่อนก่อนจะยกมือขึ้นแตะตรงแก้มขาวอย่างแผ่วเบา ดวงตารีฉายแววสำนึกผิด

“ขอโทษ”
พี่ทาวน์เอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเป็นฝ่ายดึงมือผมไปกุมเอาไว้ ที่เขากล้าขนาดนี้เพราะบริเวณโดยรอบไม่มีใคร

“อย่าปิดบังผมอีกนะครับ ขอร้อง”

“อืม จะพยายาม”
พี่ทาวน์ผละตัวออกห่างเมื่อเห็นว่ามีคนตรงมาทางนี้ ไม่ใช่ใครอื่นเลย ไอ้พวกตัวยุ่งชอบเสือกเรื่องชาวบ้านนั่นล่ะ กำลังจะเข้าฉากสวีทอยู่แล้วเชียว เซ็งเว้ย

“ผมขอโทษด้วยที่ชวนเลิกไปวันนั้น โคตรงี่เง่าเลยเนอะ”
ผมเอ่ยขอโทษเสียงอ่อยแถมด้วยการก้มหัวให้ สำนึกผิดจนแทบจมกองน้ำตาตายอยู่แล้ว แต่พี่ทาวน์ก็นิ่งด้วยการไม่อ่านไม่ตอบไลน์

“ไม่หรอก กูผิดเอง”
เขาย้ำว่าตัวเองผิดจนผมได้แต่ส่ายหน้าตอบว่าไม่เป็นไรเพราะตัวเองก็ผิดเหมือนกัน คนหนึ่งอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเอง อีกคนหนึ่งอยากช่วยเพราะมันเป็นเรื่องของเรา ถือว่าเป็นบทเรียนที่จะปรับนิสัยเข้าหากันให้ลงตัว

“ถ้าอย่างนั้นต้องให้ผมลงโทษที่พี่เป็นเด็กดื้อ”
ผมได้ทีทำหน้าขึงขังใส่เป็นการแกล้งหยอก แต่ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วตอบกลับมาแบบนั้น

“ยอมครับ”

มาดูกันว่าผมหรือพี่ทาวน์จะตายเพราะบทลงโทษครั้งนี้




---------------------------------------------

พี่ทาวน์เล่นเอาเจ็ทใจบ่ดี นิสัยไม่ดีเลย ทำน้องแบบนี้ได้ไง
ส่วนเจ็ทก็เป็นเด็กขี้กลัวเสมอต้นเสมอปลาย แล้วก็เจ้าเล่ห์เหมือนเดิมจ้า
จะทำโทษพี่เขายังไงก็ไม่รู้ หึหึ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 30 - P.4 (14/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-12-2017 20:02:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 30 - P.4 (14/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 14-12-2017 20:23:35
รอลุ้นบทลงโทษไปอี้กกก :hao6:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 30 - P.4 (14/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 14-12-2017 20:25:35
นี่รอดูบทลงโทษของคนขี้กลัวกับคนอวดเก่ง  ต่อไปมีอะไรต้องคุยกันนะอย่าอวดเก่งคิดเองทำเองคนทำให้คนขี้กลัวมันนอยแดก
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 30 - P.4 (14/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 14-12-2017 21:37:25
รอลุ้นกับบทลงโทษ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 30 - P.4 (14/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 15-12-2017 19:14:35
ทำไมต้องชวนเลิกตลอด ไม่เคยอยู่ฟังเหตุผล ไม่เคยไตร่ตรอง ถ้าเห็นชะนีติดจำเป็นต้องหลีกป่ะ เดินไปถามดิเอาไง ตบไหมงี้ อุปสรรคมีไว้ฝ่า นี่เอ่ะอ่ะเลิกอย่างเดียว ที่ผ่านมาพี่หมอแกไม่แสดงออกเหรอว่ารักแกน่ะ อยากตบเจ็ทแทนละ งี่เง่าเอ้ยยยย  :katai1:
อินต่อไป
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 31 - P.5 (20/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-12-2017 17:06:55
แข่งครั้งที่ 31



ช่วงเวลาปิดเทอมเป็นสวรรค์ของเด็กมหา’ลัยแทบทุกคน แต่ดูเหมือนว่าพี่ทาวน์ยังทำตัวปกติเหมือนเดิมด้วยการอ่านหนังสือ Text Book ภาษาอังกฤษเล่มหนาๆ ผมเคยถามตัวเองหลายรอบว่ามันสนุกเท่ากับเกมหรือเปล่า สุดท้ายก็เลิกหาคำตอบเพราะรู้ดีว่าไลฟ์สไตล์ของเราต่างกัน

ผมนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาโดยปราศจากสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าจิณณ์ มันย้ายสำมโนครัวเข้าห้องไอ้ไธอย่างเป็นทางการตั้งแต่สอบเสร็จ ส่วนพี่ทาวน์ที่ยอมรับบทลงโทษนั้นแบกกระเป๋าเป้เข้ามาอยู่แทนจนกว่าจะถึงวันเปิดเทอม เจ๋งใช่ไหมล่ะ หึหึ ไม่ต้องห่วงว่าเบาไป นี่เพียงข้อแรกเท่านั้น คนเจ้าเล่ห์อย่างนายภาคินต้องหากำไรให้ชีวิตได้มากกว่านี้แน่นอน

เครื่องเล่นเกมในมือถูกลดต่ำลงเมื่อได้ยินเสียงขยับตัวจากคนที่นั่งบนโซฟาเดี่ยวใกล้ๆ พี่ทาวน์ขมวดคิ้วคล้ายไม่เข้าใจเนื้อหาในหนังสือ ผมมองเขานิ่งก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา แค่อยู่ด้วยกันไม่ต้องพูดคุยก็รู้สึกดี โคตรมีความสุข

“ยิ้มอะไร”
พี่ทาวน์ถามขึ้นทั้งที่ตายังจ้องหนังสือ ผมสะดุ้งเฮือกแต่ก็ยิ้มรับหน้าบาน ถามมาก็ดีจะได้หาเรื่องหยอดให้หายเครียด ไม่ชอบให้เขาขมวดคิ้ว

“มีความสุขครับ”
ผมตอบก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วขยับหน้าเข้าไปใกล้จนเขาละสายตาจากหนังสือ เมื่อเราสบตากันคล้ายกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เหมือนตกอยู่ในมนตร์สะกด

“ขยับไปห่างๆ ร้อน”
พี่ทาวน์ปิดหนังสือลงแล้วใช้สันหนาๆ ดันหน้าผมออกห่างจนเกือบหงายหลัง รักความรุนแรงที่หนึ่ง นานๆ ทีจะหวานให้ชื่นใจนะแฟน โธ่

“ร้อนตรงไหนกันครับ นี่หนาวอย่างกับขั้วโลกเหนือแล้ว”
ผมหยิบรีโมทแอร์ขึ้นมาโบกเพื่อให้คนที่บ่นว่าร้อนดูจอแสดงอุณหภูมิ พี่ทาวน์เหลือบสายตามองก่อนจะทำเป็นไม่สนใจแล้วก้มลงอ่านหนังสือต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไอ้ที่บ่นร้อนคงไม่ใช่อากาศแต่เป็นหน้ามากกว่า เขินแน่ๆ

“เขินเหรอหืม ~”
ผมแกล้งลากเสียงยาวถาม พี่ทาวน์ชะงักมือที่กำลังเปิดหนังสือแล้วตวัดหางตามองกันอย่างไม่พอใจ แก้มขาวๆ เริ่มกลายเป็นสีแดงเพราะ... น่าจะโกรธ แม่ง ปากพาซวยอีกแล้วกู

ผมขยับหนีเมื่ออีกคนโน้มตัวมาใกล้ ใบหน้าหล่อนั้นยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ ลมหายใจอุ่นเอารดเฉียดใบหูให้รู้สึกวูบวาบไปทั้งร่างกาย ถ้าพี่ทาวน์โหดใส่ก็ไม่แปลกเพราะชินแล้ว แต่มาแนวคุกคามแบบนี้รับมือไม่ไหวจริงๆ สติจะแตกเว้ย

“มึงต่างหากที่เขินกู”
เขาพูดจบก็โฉบตัวลงมาใกล้ ผมหลับตาปี๋เพราะไม่รู้ว่าจะโดนทำอะไร แต่ไม่นานนักก็มีสัมผัสอุ่นนุ่มทาบทับบนปลายจมูกอย่างแผ่วเบา แต่ทำให้หัวใจสั่นขนาดสิบริกเตอร์ แม่ง แพ้อีกจนได้ ตกลงใครเจ้าเล่ห์กว่ากันแน่

“.....”
เออ ผมเขิน เขินจนพูดไม่ออกทำอะไรไม่ถูกนอกจากทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนโซฟาอย่างหมดแรง ลืมตาขึ้นก็เจอกับพี่ทาวน์ที่กลั้นขำจนไหล่สั่น สนุกเขาล่ะ มันน่าจับตีก้นจริงๆ เลยเว้ย

“หึหึ ไปทำอาหารเที่ยงไป หิวแล้ว”
พี่ทาวน์ออกปากไล่เสียงสั่นเนื่องจากกลั้นหัวเราะไม่ไหว ผมเดาะลิ้นแล้วคิดว่าวิธีเอาคืนในเหนือกว่า จูบปากเลยดีไหม เอาให้สตั๊นไปเลย แต่ถ้าพลาดคงโดนสันหนังสือฟาดกบาลแน่ๆ จะชนะเขายังเร็วไปสิบปี ก็รายนี้เคยตกใจอะไรกับใครที่ไหน

“ได้ครับ แต่ก่อนไปขอ...”
ผมทิ้งช่วงเพื่อให้เกิดความตื่นเต้น ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยจนเขานึกระแวงรีบขยับตัวหนีคล้ายรู้ทัน แต่อย่าคิดว่าจะรอดเลย ที่ลงโทษให้อยู่ด้วยกันก็เพื่อการตอดเล็กตอกน้อย และสักวันอาจจะกลายเป็นการตอดใหญ่ บันเทิงแน่ๆ รับรอง

“อะไร”
พี่ทาวน์ถามเสียงแข็ง ดวงตาจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง มือเรียวจับหนังสือไว้มั่นเตรียมฟาดอย่างเต็มที่ ผมชั่งใจเมื่อเห็นท่าทางเหล่านั้น ถ้าเจ็บตัวก็คงคุ้มล่ะมั้ง เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน อย่างมากคงหัวปูดไปสักอาทิตย์

ผมลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้วกระทำการอุกอาจโน้มตัวโฉบริมฝีปากเรียวอย่างรวดเร็ว จุ๊บเบาๆ จนเกิดเสียงก่อนจะผละตัวออกแล้ววิ่งเข้าครัวทันที กลัวพี่ทาวน์ตั้งสติได้ฉิบหาย ถ้าตามมากระทืบคงตายชัวร์

ฟุบ!

หมอนลอยมากระแทกหัวจนเกือบถลาชนวงกบประตูครัว พี่ทาวน์ขว้างเต็มแรงแบบไม่ปรานี ผมชะงักเท้าก่อนจะลูบหัวป้อยๆ รู้สึกกระดูกคอเคลื่อน แต่พอหันไปสบตาด้วยต้องกลับคำพูดทันที ก็ไอ้หน้าแดงๆ กับปาที่กลั้นยิ้มนั้น ดูยังไงก็เขิน โว๊ย ทำไมต้องน่าฟัดขนาดนี้วะ

อาหารเที่ยงเราควรขึ้นเตียงมากกว่าขึ้นโต๊ะว่าไหม

ผมรื้อตู้เย็นหาวัตถุดิบทำสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าที่จิณณ์เพิ่งสอนไปเมื่อหลายวันก่อนเพื่อเอาใจพี่ทาวน์ ไข่ไก่ เส้น แฮม เกลือ พริกไทย หอมใหญ่ เนย น้ำมันมะกอก พาเมซานครบแต่ขาดครีม เอานมสดแทนก็ได้วะ

หยิบนั่นโยนนี่ลงกระทะเท่าที่จำได้ลางๆ สปาเก็ตตี้หน้าตาน่ากินก็เสร็จโดยสมบูรณ์แบบ กลิ่นหอมฟุ้งจนสามารถเรียกพี่ทาวน์ให้เดินเข้ามาในครัวได้ แต่เรื่องรสชาติผมไม่มั่นใจว่าถูกปากเขาหรือเปล่า เพราะนานๆ ครั้งจะลงมือทำอาหารจานหลักให้ชิม

“จะกินได้เหรอ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามจากด้านหลังสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดแถวใบหู ใกล้ไปไหมครับ สปาเก็ตตี้ไม่ต้องกินแล้วมั้งหื้ม ~

“กินได้สิครับ อย่าดูถูกฝีมือผมนะ”
ผมหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับพี่ทาวน์ ปลายจมูกของเราชนกันแต่ไม่มีใครแตกตื่นเพราะตั้งใจทั้งสองฝ่าย ขยับอีกติดก็สามารถกดจูบลงบนริมฝีปากสีชมพูนั่นได้แล้ว มันเขี้ยวฉิบหาย

“ถ้ามันไม่อร่อยจะทำไง”
พี่ทาวน์ถามย้ำก่อนจะผละตัวออกเพื่อสบตากันได้สะดวกขึ้น ผมไหวไหล่แล้วพิงสะโพกลงกับขอบโต๊ะพลางครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหา ทำไงดีวะ

“คิดไม่ออก”
ผมตอบไปตามจริง ถ้าจะให้ทำใหม่คงออกไปกินที่ร้านสะดวกกว่ามั้ง แต่พี่ทาวน์กลับยกยิ้มมุมปาก ขยับใบหน้าหล่อๆ ที่ชวนหลงใหลใกล้เข้ามา นี่เขากำลังอ่อยหรือแกล้งวะ ไม่แน่ใจจริงๆ

“กินมึงแทน”

“แบบนั้นไม่ต้องชิมสปาเก็ตตี้แล้วครับ ขึ้นเตียงเลยดีกว่า”
ความหื่นบังตาทำให้ผมคว้าข้อมือขาวของคนตรงหน้าไว้พร้อมออกแรงกระตุกเป็นสัญญาณให้เดินไปที่ห้อง แต่พี่ทาวน์กลับหัวเราะออกมาแล้วดึงแก้มกันซะยืด เจ็บจนเผลอร้องโอ๊ย นี่ไม่ได้สำออยจริงๆ

“หื่นตลอดเวลาเลยนะมึง”
พี่ทาวน์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะ มองผมด้วยแววตาขำๆ ตลกหรือไงเล่า คนมันหื่นไง ธรรมดาของผู้ชายน่า

“พี่อ่อยผมขนาดนี้ไม่หื่นก็แปลกแล้ว”
ผมบุ้ยปากใส่แล้วเอื้อมมือไปดึงแก้มพี่ทาวน์ด้วยความมันเขี้ยว เอาคืนบ้างจะเป็นไรไป

“หึ นู่น ห้องน้ำ ไปจัดการตัวเองซะ กูจะกินสปาเก็ตตี้”
พี่ทาวน์ปัดมือผมทิ้งแล้วชี้นิ้วไปทางห้องน้ำ สีหน้าดูมีความสุขที่ได้แกล้งให้คนอื่นสติแตก ฝากไว้ก่อนเถอะ เห็นว่าตอนนี้ยังเที่ยงอยู่นะ ตกดึกเมื่อไหร่จะไม่ปล่อยให้ลอยนวลแน่

“โห ร้ายกาจ แกล้งผมอีกแล้วว่ะ”
ผมแกล้งว่าเสียงงอนๆ แต่ในใจวางแผนไว้เรียบร้อย ก่อนเปิดเทอมจะเผด็จศึกพี่ทาวน์แบบสมยอมให้ได้

“ทำตัวน่าแกล้งเอง ช่วยไม่ได้”
พี่ทาวน์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจแถมยังเดินชนไหล่ผมให้เจ็บใจเล่นๆ เดี๋ยวเถอะนายเมืองเหนือ อย่าเผลอเชียวนะ

มื้อเที่ยงผ่านไปอย่างราบรื่น พี่ทาวน์ชมว่าอร่อยดีทำให้ผมยิ้มแก้มแตกตลอดการกิน ช่วงเย็นตกลงกันว่าจะออกไปนั่งร้านบรรยากาศชิวๆ ริมน้ำ ดูแสงสียามค่ำคืน นั่งรถเปิดประทุนชมเมือง คิดแล้วก็โรแมนติกดี

ผมเอื้อมหยิบรีโมททีวีเพื่อเปลี่ยนช่องไปดูหนังแทนสารคดีสัตว์โลกที่เปิดทิ้งไว้ พี่ทาวน์ยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มเดิม เห็นใกล้ๆ เลยรู้ว่าเนื้อหามันคือ Anatomy เส้นเลือด กล้ามเนื้อ กระดูกมาเต็ม บวกกับศัพท์เฉพาะทางทำให้คนไม่เคยสัมผัสอะไรแบบนี้ถึงกับเบลอ คนจะเป็นหมอนี่เก่งอย่างเดียวไม่ได้ต้องขยันด้วย

หนังที่กำลังฉายนั้นคือเรื่อง ‘ทรานส์ฟอร์เมอร์ส’ บับเบิ้ลบีเป็นตัวละครที่ผมชอบ รองลงมาคงออฟติมัสไพม์ จำได้ว่าโจชัวร์เครซี่สองตัวนี้มากจนต้องอ้อนขอพี่แจมให้ซื้อหุ่นยนต์ ไม่รู้ป่านนี้ได้ไปหรือยัง

“จ้องขนาดนั้น ชอบเหรอ”
พี่ทาวน์เอ่ยทักขึ้นในขณะที่ผมกำลังสนใจฉากแปลงร่างของบับเบิ้ลบี ยอมรับว่ากราฟิกสมจริง ภาพสวย เนื้อเรื่องของไม่พูดถึงเพราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

“ครับ หมายถึงทรานส์ฟอร์เมอร์สเหรอ”

“อืม”
เขาครางรับโดยที่ยังไม่ละสายตาจากหนังสือ เมื่อไหร่ตะวางมันลงสักที ปิดเทอมก็ควรพักบ้าง ไม่อยากให้เครียดมากเกินไป

“ก็ชอบครับ แต่ชอบพี่ทาวน์มากกว่า”
ผมตั้งใจหยอดเล็กหยอดน้อยให้คลายเครียดซึ่งมันได้ผลเมื่อพี่ทาวน์หรี่ตามอง นิ้วเรียวคั่นหน้าหนังสือเอาไว้ โธ่ เลิกอ่านมันสักทีเถอะครับ พักบ้างสักชั่วโมงสองชั่วโมงคงไม่เป็นไร

“เกี่ยวกันตรงไหน”
พี่ทาวน์มองสบตาแล้วถามเสียงนิ่ง ผมเห็นโอกาสเล็กๆ เลยขยับหน้าเข้าไปใกล้หมายจะทำให้เขาเขิน แต่ดันรู้สึกแพ้ริมฝีปากบางๆ นั่นเข้าให้ อยากกดจูบ ดูดแรงๆ ให้เจ่อเลย

“แค่อยากหยอดนะครับ”
ผมกระซิบเสียงแผ่วก่อนจะโน้มตัวจนปลายจมูกแตะกัน ออกแรงถูเบาๆ ให้หัวใจสูบฉีดเลือด พี่ทาวน์แก้มแดงแต่ไม่แสดงอาการเขิน เขาใช้หนังสือในมือโบกหัวเข้าเต็มๆ จนต้องย่นคอหนี มึนเลยว่ะ

“ไร้สาระจริงๆ”
เขาส่ายหน้าปลงๆ แต่ก็หัวเราะออกมาแล้วทำท่าจะกางหนังสืออ่านต่อ ผมเลยต้องส่งมือไปรั้งเอาไว้พร้อมกับทำปากยื่นปากยาว ตอนแรกก็มีความสุขกับการนั่งเงียบๆ ข้างกัน แต่ตอนนี้ชักรู้สึกไม่พอ เฮ้อ นิสัยแย่เนอะ

“โธ่ ก็พี่เอาแต่อ่านหนังสือมาหลายวันแล้วนะครับ ไม่เห็นจะสนใจผมเลย”
ผมว่าเสียงงอนๆ ก่อนถือวิสาสะแย่งหนังสือมาซ่อนไว้ด้านหลัง ถ้าไม่กลัวว่าจะโดนกระทืบคงเอามันไปเผาทิ้งแล้ว พี่ทาวน์อึ้งนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็คลี่ยิ้มแล้วส่งมืออุ่นๆ มายีหัวกัน ชอบให้ทำแบบนี้ เหมือนเขาเอ็นดูเรามากกว่าใคร

“ขี้น้อยใจ”
ไม่ว่าเปล่ายังจับหัวผมโยกซ้ายทีขวาทีจนภาพตรงหน้าเบลอ แต่ไม่เป็นไร พี่ทาวน์มีความสุขไอ้เจ็ทก็ยอม พอดีรักแฟนมาก

“อยากให้แฟนสนใจผิดเหรอครับ”
ผมคว้ามือซนๆ มาจับไว้แล้วใช้สายตาหมาน้อยมองเจ้าของอย่างออดอ้อน พี่ทาวน์คงหมั่นไส้เลยพุ่งเอาหน้าผากโขกกับไหปาร้าเต็มๆ โอย ทำไมรุนแรงแบบนี้เนี่ย กะจะทำให้ช้ำทั้งตัวเลยหรือไง หมอหรือนักมวยปล้ำครับ บอกที

“ที่ให้นอนกอดทุกคืนยังไม่พอหรือไง”
พี่ทาวน์ว่าเสียงฉุนก่อนจ้องตาอย่างเอาเรื่อง ผมเบิกตาโตแล้วรีบผละออกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะรู่ตัวเรื่องโดนแอบกอดทุกคืน แม่ง กูมันโง่จริงๆ เลยเว้ย ทำอะไรโดนจับได้ตลอด ถ้าคิดนอกใจคงไม่รอดแน่...

“.....”
ใบ้แดกไปเป็นนาทีก่อนจะหัวเราะแห้งๆ เพราะไม่รู้จะเถียงอะไรดี อย่าถือสาคนงี่เง่าปัญญาอ่อนอย่างผมเลย คิดมากคนเดียวอยู่เรื่อย แย่จริงๆ

พี่ทาวน์กระตุกยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาตบแก้มอย่างเยาะเย้ย ผมแพ้ทุกอย่างที่เป็นเขาจริงๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่มีวันชนะได้เลย

“หึ กูง่วง ยืมตักหน่อย”
อยู่ๆ หัวทุยของว่าที่คุณหมอก็ทิ้งตัวลงบนตักของผมท่ามกลางความงุนงง เสียงร้องประหลาดใจดังขึ้นตามมาด้วยสีหน้าของคนตกใจ

“หา”
ผมหาสติตัวเองไม่เจอแล้วว่ะ ทำไงดี

“ขี้เกียจหยิบหมอน”
หือ... หมอนที่อยู่ด้านหลังเขาเมื่อครู่อะนะ พี่ทาวน์มันร้ายจริงๆ มาเงียบๆ แต่น็อคผมอยู่หมัดเลยเว้ย นับถือ

“อ้อ ครับ ชอบตักผมล่ะสิ”
ผมว่าเสียงเย้าก่อนลงมือลูบหัวคนบนตักเพื่อเป็นการกล่อมก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะผุดขึ้นที่มุมปากของพี่ทาวน์ ไม่แปลกที่เขาจะง่วง ก็เมื่อคืนเล่นอ่านหนังสือนั่นเกือบตีสอง ตัวติดกันยิ่งกว่าอะไร ขนาดเข้าห้องน้ำยังพามันไปด้วย น่าอิจฉาไหมล่ะ...

“เพ้อเจ้อ สี่โมงปลุกด้วย”
พี่ทาวน์บ่นก่อนจะซุกหน้าลงกับขาอ่อน ลมหายใจอุ่นๆ ทำให้ผมเผลอเกร็งตัวเพราะเผลอคิดอกุศล แม่ง เลิกหื่นไม่ได้ว่ะ คงต้องวิ่งเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองสักรอบอย่างที่โดนแนะนำจริงๆ นั่นล่ะ

“ครับๆ ฝันดีนะ”
ผมหลับบ้างดีกว่าจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแต่ผ้าห่มอุ่นๆ ที่คลุมอยู่บนตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพี่ทาวน์ตื่นก่อนแล้ว ผมขยับกายเพื่อบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวหนึ่งครั้งก่อนจะมองหาแฟนแต่กลับไม่พบ หายไปไหนของเขา นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ฉิบหาย!

ผมรีบดีดตัวขึ้นจากโซฟาแต่ดันหน้ามืดจนเซไปชนโต๊ะตรงหน้าดังปึงส่งผลให้คนที่ตามหารีบสาวเท้าเข้ามาพยุงด้วยความเป็นห่วง กลิ่นสบู่อ่อนๆ ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่ทาวน์แค่หายไปอาบน้ำ ไม่ได้หนีออกไปกินข้าวคนเดียวอย่างที่กังวล

“ไหวไหม”
เสียงทุ้มถามด้วยความเป็นห่วง มือเรียวสอดรอบเอวเพื่อพยุง ผมใช้โอกาสนี้ในการสำออยซบหัวลงกับซอกคอขาวแล้วแอบสูดกลิ่นหอมละมุนคล้ายแป้งเด็กเข้าเต็มปอด สดชื่นเหมือนยืนอยู่บนยอดดอย อยากอยู่แบบนี้นานๆ โลกเอียงเนอะ

“หน้ามืดครับ”
ผมตอบเสียงแผ่วเพื่อให้ดูน่าสงสารจะได้ซบตรงนี้นานๆ พี่ทาวน์ไม่ว่าอะไรแต่กลับเอื้อมมือมาลูบแก้มเหมือนช่วยให้อาการทุเลา ขืนทำแบบนี้บ่อยๆ หัวใจกลายเป็นของเหลวพอดี อ่อนโยนจนกลัวว่าต่อไปคนไข้ที่มาหาหมออาจจะติดใจ

“ไม่สบายหรือไง แต่ตัวก็ไม่ร้อนนะ”
พี่ทาวน์ดันหัวผมขึ้นเพื่อใช้หลังมือวัดอุณหภูมิร่างกายจากหน้าผาก คิ้วสวยขมวดเข้าหากันแทบเป็นปมเมื่อพบว่าตัวไม่ร้อน ตายแน่ๆ ไอ้ภาคิน หลอกใครไม่หลอกดันหลอกว่าที่หมอ

“ผม... ลุกเร็วเกินไปน่ะครับ”
บอกเสียงอ่อยแล้วแอบเนียนถอยหลังไปหลายก้าว พี่ทาวน์ไม่ได้แสดงอาการอยากกระทืบผมขึ้นมาแต่สายตากลับทิ่มแทงจนรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว

“โง่”
จ้า คำเดียวรู้เรื่องเลย เจ็บไปถึงขั้วหัวใจจริงๆ

“ไปอาบน้ำไป ชักช้าเดี๋ยวจะเปลี่ยนใจ”
ที่ทาวน์โบกมือไล่แล้วเดินผ่านไปทิ้งตัวลงบนโซฟา ผมอ้าปากพะงาบๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอาเรื่องนี้มาขู่ ใครไม่อยากไปบ้างวะ แฟนชวนเดทริมแม่น้ำบรรยากาศโคตรโรแมนติกเนี่ย

ผมจัดการอาบน้ำรวมแต่งตัวภายในสิบนาที ออกมาในสภาพที่พร้อมจะไปเดินแบบบนแคทวอล์คจนโดนคนที่นั่งเล่นเกมอยู่เอ่ยแซว โธ่ จะไปเดททั้งทีขอหล่อหน่อยเถอะครับ

“จะหล่อไปเพื่อใครหืม”
หืมซะผมอยากเข้าไปฟัดเพราะมันเขี้ยวเลย โอย หัวใจจะวายวันละหลายรอบ พี่ทาวน์แม่งร้าย ยิ้มทีไรสามารถฆ่าคนได้ทุกที แล้วไอ้ท่าทางกวนๆ อีก โคตรมีเสน่ห์

“เดททั้งที ต้องหล่อเพื่อแฟนสิครับ”
หยอดกลับซะเลย ไม่ยอมแพ้หรอก

“ไม่ต้อง หวง”
พี่ทาวน์พึมพำอะไรวะ หรือว่าอยากกินหอย

“พี่ว่าไงนะครับ ฟังไม่ถนัด”
ผมแคะขี้หูรอเพราะเมื่อครู่ไม่ได้ยินจริงๆ แต่พี่ทาวน์กลับโบกมือให้แล้วเฉไฉพูดเรื่องอื่น

“จะไปหรือยัง”
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคว้ากุญแจรถเปิดประทุน กระเป๋าเงิน โทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งไปถอยมาราคาเหยียบครึ่งแสน ผมก็อยากได้นะ แต่ต้องคร่ำครวญเงียบๆ ในใจเพราะพ่อออกปากว่าจะซื้อรถให้แลกด้วยการรับงานที่บริษัทพี่เขยมาทำ เอาวะ คุ้มเกินคุ้ม

“ครับๆ พร้อมแล้ว”
ผมตอบด้วยเสียงร่าเริงแล้วคลี่ยิ้มให้บุคคลที่พยักหน้ารับ กุญแจในมือถูกโยนมาทางนี้เป็นสัญญาณว่าหน้าที่สารถีคือใคร

“วันนี้มึงขับ”

“ได้เลยครับเจ้านาย ~”
เปลี่ยนจากขับรถเป็นขี่พี่ทาวน์แทนได้ไหม... ต้องขอโทษด้วยถ้าความคิดของผมติดเรท ฉ

ช่วงตอนเย็นการจราจรติดขัดบวกกับฝนตกกว่ารถจะขยับแต่ละทีก็ลุ้นกันฉี่แทบราดพี่ทาวน์เลยหยิบหนังสือคู่ใจเล่มเดิมขึ้นมาอ่าน บอกแล้วว่าตัวติดกันจนน่าอิจฉา ส่วนผมทำได้แค่เคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยตามจังหวะเพลงที่เปิดคลอเบาๆ เพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเกินไป แต่เสียงฟ้าร้องโคตรน่ารำคาญเลยว่ะ

คนที่อ่านหนังสือสะดุ้งเฮือกเมื่อท้องฟ้าสีดำส่งแสงแปลบปลาบ ผมมองเขาอย่างพิจารณาว่าแค่ตกใจหรือกลัว แต่อาการที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจนแทบสิงหนังสือนั้นก็ได้ข้อสรุปง่ายๆ

“กลัวเหรอครับ”
ผมหันไปถามคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีแววขำหรืออย่างใดเพราะรู้ว่าคนเรากลัวสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน และไม่ควรเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น

“อะไร”
พี่ทาวน์ถามเสียงแข็ง ตวัดสายตามองผมอย่างประเมิน สงสัยกลัวจะถูกล้อเรื่องนี้

“ก็ฟ้าแลบไง”
ผมขยายความแล้วชี้ไปบนท้องฟ้าที่ตอนนี้มีแต่สายฝนกับเสียงครืนๆ รถยังอยู่ที่เดิม กว่าจะถึงร้านอาหารคงเกือบสองทุ่ม

“อืม”
เขาครางรับแล้วกอดหนังสือไว้แนบอก ดวงตารีจ้องมองท้องฟ้าด้านบนอย่างหวาดระแวง

“แล้วฟ้าร้องล่ะครับ”

“ไม่กลัว”

“อืม... งั้นซบไหล่ผมไหมเผื่อหายกลัว”
ผมส่งยิ้มกรุ้มกริ่มไปให้ พี่ทาวน์ถึงขนาดหันขวับมามองตาขวาง หนังสือในมือถูกง้างสูงจนต้องย่นคอหนี ถ้ามันฟาดลงมาคงมึนตึ๊บ

“เดี๋ยวจะโดน”

“โธ่ ล้อเล่นครับ หลับตาไหมอาจจะช่วยได้บ้าง”
ผมบอกอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วแนะนำวิธีที่น่าจะช่วยเขาได้ แต่พี่ทาวน์กลับส่ายหน้าแล้วระบายยิ้มบาง

“แค่ชวนคุยก็พอ”

“คุยเรื่องของเราเหรอครับ”
ผมแกล้งแหย่เขาด้วยใบหน้าซื่อๆ จนโดนแยกเขี้ยวใส่

“กูเปลี่ยนใจ หลับตาดีกว่า”
พี่ทาวน์บ่นงึมงำก่อนจะหลับตาหนีไปจริงๆ ผมได้แต่มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม ตอนเขาเขินเป็นอะไรที่ดีต่อใจเหลือเกิน

ท้องฟ้าเกิดแสงแปลบปลาบอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงครืนๆ ติดต่อกัน พี่ทาวน์สะดุ้งเฮือกพยายามเบียดตัวจนจมลงกับเบาะ ถึงจะกลัวแต่ยังรักษาความสุขุมไว้ได้ตลอดเวลา ไม่มีการหลุดเหวอใดๆ

ผมถือวิสาสะกุมมือเรียวแล้วบีบเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบ เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงจึงโน้มตัวฝังปลายจมูกลงบนแก้มขาวอย่างเอาใจ มันเป็นวิธีลดอาการกลัวตามแบบฉบับของนายภาคิน ตอนแรกคิดว่าจะโดนต่อยกลับแต่สุดท้ายพี่ทาวน์แค่ผงะไปเล็กน้อยแล้วคลี่ยิ้มบางออกมา คงอุ่นใจล่ะมั้ง

สองทุ่มกว่าๆ พวกเราก็มาถึงที่หมาย บรรยากาศร้านอาหารริมน้ำกับเพลงบรรเลงหวานๆ ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเหมือนอบอวลไปด้วยความรัก ไวน์รสนุ่มถูกสั่งเพื่อฉลองวันครบรอบที่ผมแอบลืมไปแล้วเพราะมัวแต่งอแงเรื่องพี่ทาวน์ไม่สนใจ เพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองโคตรงี่เง่า แม่ง อยากต่อยตัวเองสักร้อยหมัดจริงๆ อาจทำให้เลิกคิดมากได้บ้าง

อาหารทะเลตามใจพี่ทาวน์ทั้ง ปลาหมึกนึ่งมะนาว ปลากะพงสามรส กุ้งเผา ส่วนผมสั่งเป็นกุ้งแช่น้ำปลากับหอยนางรมสดบ่งบอกถึงความขี้เมาได้เป็นอย่างดี ที่จริงอยากสั่งเบียร์เพิ่มแต่กลัวมันจะตีกับไวน์จนพาลทำให้อ้วกแตก

“ชอบไหม”
พี่ทาวน์ถามในขณะที่เขามองไปรอบๆ ร้านอาหาร สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาเล็กน้อยแต่ก็ทำให้อากาศคืนนี้ไม่ร้อนอบอ้าว

“ชอบครับ”
ผมตอบกลับก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างแล้วตักปลาหมึกนึ่งมะนาวใส่จานให้ เขาพยักหน้ารับแล้วส่งมันเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย น่ารักจนอยากเก็บไว้มองคนเดียว ไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่วายมีสายตาของสาวๆ จ้องมองอยู่เสมอ

“ถ้าฝนไม่ตกคงได้นั่งติดริมน้ำ”

“แค่นี้ก็ดีแล้วครับ มีพี่ทาวน์อยู่ด้วยซะอย่าง”
ผมคลี่ยิ้มประกอบคำพูด ดวงตาคมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสื่อความหมายทั้งความรัก ความห่วงใยที่มีให้เขา พี่ทาวน์ทำเพียงแค่ไหวไหล่แบบไม่ใส่ใจ แต่สีแก้มจางๆ นั่นทำให้รู้ว่าคงเขินไม่น้อย

“หึ ปากดี”
พี่ทาวน์กระตุกยิ้มก่อนจะแกะกุ้งเผาใส่ปาก ผมมุ่ยหน้าเพราะไม่พอใจที่โดนกล่าวหาแบบนั้น

“แบบนี้เขาเรียกปากหวานครับ จะลองชิมไหม”
ผมแก้คำใหม่ก่อนจะรั้งมือเรียวที่กำลังจะส่งกุ้งเผาอีกชิ้นเข้าปาก พี่ทาวน์เหลือบมองกันครู่หนึ่งแล้วตอบเสียงนิ่งแต่ดวงตากลับเป็นประกาย

“ค่อยชิมที่ห้อง”
เสียงแผ่วชวนให้หัวใจเต้นรัว ไหนจะเจอการขยิบตาใส่แบบเชิญชวนนั่นอีก ผมควรทำยังไงกับพี่ทาวน์ดีวะ ตามไม่ทันจริงๆ อยากขย้ำให้เข็ด ช่างยั่วดีนัก

“อ่อยปะเนี่ย”
ผมแกล้งถามเสียงทะเล้นเพื่อกลบเกลื่อนอาการหูตั้งหางกระดิกของตัวเอง กลัวว่าถ้าแสดงออกชัดเจนจะโดนพี่ทาวน์เตะความหวังปลิวกระเด็นไปนอกโลก

“แล้วแต่จะคิด”
พี่ทาวน์ยักคิ้วกวนก่อนจะส่งกุ้งเผาในมือยัดใส่ปากผมแทน นิ้วเรียวที่เผลอแตะลงมาทำให้หัวใจเต้นระรัว อยากจะงับมันแล้วแกล้งดูดจริงๆ เลย

“ถ้าผมหน้ามืดขึ้นมาจะโทษกันไม่ได้นะเว้ย”
ผมออกตัวเสียงอู้อี้เพราะยังเคี้ยวกุ้งไม่หมด ทำหน้าตาขึงขังให้รู้ว่าพูดจริง ถ้าเกิดอารมณ์ครั้งนี้จะไม่ยอมหยุดกลางครันแน่ๆ

“ก็ลองดู”
ไอ้เจ็ทตายแน่ๆ พี่ทาวน์อ่อยฉิบหาย!

กว่าเราจะย้ายก้นออกจากร้านอาหารนาฬิกาก็บอกเวลาสี่ทุ่ม ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วทำให้การนั่งรถเปิดประทุนเล่นรอบเมืองนั้นกลายเป็นความจริง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่อากาศเย็นเกินไป ตัวช่วยที่มีคือแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้กับเสื้อกันหนาวที่ติดรถมาด้วย

พี่ทาวน์พิงหัวกับเบาะก่อนจะหลับตาลงเพื่อรับลมที่ปะทะเข้ามา รอยยิ้มตรงมุมปากทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้เขาคงมีความสุข แต่สีระเรื่อตรงข้างแก้มทำให้คิดถึงเรื่องปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ของเขา ไวน์หนึ่งขวดคนเดียว มีสติเดินกลับรถเองได้ถือว่าเก่งมาก

“ไม่คิดว่าพี่จะดื่มหนักขนาดนี้”
ผมเปรยออกไปแล้วลอบมองคนที่ยังหลับตานิ่งดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนผ่านผิวกาย คิ้วสวยขมวดเข้าหากันก่อนที่มือเรียวจะยกโยกไป

“นานๆ ที แค่กรึ่มๆ”
เสียงทุ้มยังอยู่ในเกณฑ์ปกติไม่อ้อแอ้เหมือนคนเมา จะมีก็แค่กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนๆ กับใบหน้าและลำคอที่ขึ้นสีระเรื่อเท่านั้น ให้ความรู้สึกเซ็กซ์ซี่ยั่วยวนยามที่ริมฝีปากเผยอขึ้น แม่ง ความคิดชั่วร้ายมาอีกแล้ว

“อยากจูบว่ะ”
ปากไปไวกว่าสมองด้วย จะโดนถีบตกรถไหมเนี่ยกู

“หื่นอะไรตอนนี้”
พี่ทาวน์ลืมตามองกันอย่างขำๆ แต่ที่ทำให้ผมเกือบสติแตกเหยียบเบรกกลางถนนคือลิ้นชื้นๆ ที่แลบเลียรอมฝีปากบางนั่น ตั้งใจจะยั่วกันใช่ไหม นี่คนไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะครับ ช่วยปรานีกันหน่อยเถอะทูนหัว

“ก็ปากพี่มันน่าจูบ”
ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งโต้ลม พยายามเลิกสนใจริมฝีปากเจ้าปัญหานั่น แต่เสียงหัวเราะเบาๆ จากคนด้านข้างยิ่งทำให้สติเตลิด ตลกอะไรของเขาวะ

“จอดข้างทางเลยไหม”
คำพูดของพี่ทาวน์ทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบ มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยแน่น นี่เขาจะจอมให้ผมจูบตอนนี้จริงๆ เหรอวะ ขอปิดหลังคาแล้วจับปล้ำในรถเลยได้ไหม!

“เอาจริงดิ!”
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นบวกกับอาการที่เหลียวมองพี่ทาวน์สลับกับถนนด้านหน้าที่มุ่งสู่คอนโด อยากจะเยียบให้มิดไมล์จริงๆ

“กูประชด ตั้งใจขับรถไป”
พี่ทาวน์มองตาขวางก่อนจะใช้สันมือเคาะลงกลางหัวในขณะที่ผมชะลอรถเพื่อหยุดไฟแดง โอย เจ็บฉิบหาย

“โหย ยั่วให้อยากแล้วจากไปชัดๆ”
ผมบ่นก่อนจะยกมือลูบหัวป้อยๆ เหลือบมองพี่ทาวน์ด้วยหางตาแล้วพบว่าอีกคนยิ้มกริ่มอย่างสบายใจ เอาอีกแล้ว แกล้งกันตลอดเลยเว้ย เดี๋ยวถึงคอนโดเมื่อไหร่จะเอาคืนให้เข็ด!

ร่างสูงประคับประคองตัวเองจนมาถึงหน้าห้อง ผมล้วงมือควานหาคีย์การ์ดครู่หนึ่งก่อนจะใช้มันแตะลงกับประตูแล้วเปิดเข้าไป พี่ทาวน์เดินตามมาติดๆ แถมยังเบียดกันแทบจะสิง จนใจยั่วกันชัวร์ ที่ตั้งกว้าง!

“พี่ทาวน์...”
ผมเรียกเสียงสั่นเพราะแรงอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นทีละนิด ถือวิสาสะคว้าข้อมือขาวเอาไว้แล้วดันเจ้าของมันจนหลังแนบชิดกับผนังห้อง ยังไม่ทันได้ถอดรองเท้าให้เรียบร้อยด้วยซ้ำ ถึงจะเรียกหาสติตอนนี้ก็คงไม่กลับมาแล้วในเมื่อพี่ทาวน์ยอมยืนนิ่งๆ ให้ตกอยู่ในกับดักอ้อมแขน

“อะไร”
พี่ทาวน์ถามเสียงเรียบแต่ดวงตากลับฉ่ำน้ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ดูยั่วยวนมากยิ่งขึ้นทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดแค่ช้อนตามอง ผมก็จอมสิโรราบให้เขาหมดตัวหมดใจ

“ขอจูบนะครับ”
ผมเอ่ยขอเสียงพร่า ตอนนี้อารมณ์มีมากกว่าการทำอะไรพื้นๆ จูบก็เริ่มต้น คืนนี้คงไม่จบแค่แลกน้ำลาย

“ไม่ให้”
พี่ทาวน์ตอบเสียงแข็ง มือเรียวดันอกผมให้ออกห่าง ลมหายใจผสมกลิ่นแอลกอฮอล์ของเราต่างตกกระทบบนใบหน้าอีกฝ่ายชวนให้หัวใจเต้นรัว ถ้าเขาปฏิเสธด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดมากกว่านี้คงไม่หวังขนาดนี้

“แต่นี่วันครบรอบนะครับ”
ผมดันตัวเข้าใกล้ไม่สนใจว่าเขาจะต่อยหน้าหรือไม่ ดวงตาคมอ้อนขอเหมือนลูกหมาชวนเล่น ตอนนี้มันอยากเลียปากเจ้านายเหลือเกิน

“แล้วไง”
คิ้วสวยเลิกขึ้นพร้อมกับแขนที่กอดอกไว้ ท่าทางดูกวนประสาทมากกว่าจริงจัง แบบนี้ยิ่งน่ามันเขี้ยวเข้าไปใหญ่

“ของขวัญไงครับ”
เป็นคนลืมวันครบรอบเองแต่ยังหน้าด้านพูดเรื่องของขวัญ ไม่มีใครน่าเกลียดเหมือนผมแล้ว... ให้ตายๆ






ต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 31 - P.5 (20/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-12-2017 17:07:20
“กูชวนมึงไปเดทแล้ว”
พี่ทาวน์เสียงแข็งแต่เขาคลายอ้อมกอดแล้วส่งมือเย็นๆ ตบลงข้างแก้มผมเป็นการหยอกล้อ ใบหน้าหล่อเปื้อนยิ้มละมุนที่นานๆ จะได้เห็นครั้งหนึ่ง

“ผมให้จูบเป็นของขวัญ”
นายภาคินจะเป็นคนให้ต่างหากเล่า อย่าเข้าใจผิดว่าผมทวงสิครับ หึหึ

“อือ อะ... อืม”
พี่ทาวน์ไม่ทันได้ปฏิเสธผมก็ทาบทับรอมฝีปากบางนั่นด้วยอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ บดเบียดละเลียดชิมความหวานที่โหยหามานาน ลิ้นเรียวดุนดันสอดแทรกเข้าไปเกี่ยวกวัดหยอกล้อด้านใน เราแลกเปลี่ยนรสจูบแบบไม่มีใครยอมใครจนแทบจะขาดหายใจ

ต่างคนต่างปรับองศาใบหน้าเพื่อให้แนบชิดกันมากขึ้น มือหนาเลื่อนประคองส่วนท้ายทอยและเอวสอบของคนตรงหน้าพลางลูบไล้ปลุกเร้าอารมณ์ความต้องการที่อยู่ภายใน กอปรกับเสียงเฉอะแฉะของน้ำลายทำให้สติหลุดไปไกล ควบคุมไม่อยู่แล้วจริงๆ

“ผม... หยุดไม่ได้แล้วว่ะ”
เราต่างหอบหายใจใส่กันเมื่อผละออก ใบหน้าของพี่ทาวน์สีแดงระเรื่อจนอยากขย้ำให้ช้ำไปทั้งตัว ทั้งฤทธิ์แอลกอฮอล์ ความเขิน แรงอารมณ์แสดงชัดอยู่บนนั้น คราวนี้ผมหวังว่าภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้จะเสร็จโดยไม่ถูกขัดขวาง

“ก็ไม่ต้อง... หยุด”
พี่ทาวน์บอกเสียงพร่าก่อนจะโอบแขนรอบแผ่นหลังของผมตอบ ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดข้างใบหูนั้นทำให้ต้องกัดฟันกรอด ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะนี้คือครั้งแรก อยากให้มันอ่อนโยนและเป็นความทรงจำที่ดีของเราทั้งสองคน

“พี่แม่ง... จะทำให้ผมคลั่งตาย”

“หึ”

ผมประกบจูบอีกครั้งและเพิ่มความวาบหวามด้วยการไล้นิ้วไปตามซอกคอขาวเนียน พี่ทาวน์กระตุกเล็กน้อยก่อนจะจิกมือลงบนบั้นเอวเพื่อระบายความรู้สึก เจ็บแต่ทนได้ โคตรตื่นเต้นเลยว่ะ

“อะ อา... อึก”
เสียงครางไม่เป็นภาษาหลุดออกมาจากริมฝีปากบางยามเมื่อจมูกโด่งของผมไซร้ไปตามซอกคอขาวก่อนจะกดจูบและตามด้วยการดูดดุนจดเกิดเสียงน่าอาย ร่องรอยสีกุหลาบที่ปรากฏทำให้เกิดรอยยิ้มพึงพอใจ เครื่องหมายของการมีเจ้าของ...

พี่ทาวน์เชิดหน้าขึ้นตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูง เขาเริ่มใช้มือสอดเข้ามาลูบไล้หน้าท้องแกร่งของผมเพื่อปลุกอารมณ์บ้าง เสื้อเชิ้ตถูกปลดกระดุมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ รู้ตัวก็เมื่อผิวโดนลมจากเครื่องปรับอากาศ แม่ง ยังไม่ถึงโซฟาเลย

“ตัวหอมฉิบหาย”
ผมพึมพำแล้วกดจูบลงบนต้นคอขาวอีกครั้งก่อนจะใช่ลิ้นลากไล้ลงต่ำจนถึงหน้าอกที่เสื้อถูกปลดกระดุมแล้ว ตุ่มไตที่หวานเชิญชวนให้ครอบครองและดูดดุนเล่น หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“เว่อร์ เหม็น อะ อืม ไวน์ อา...”
พี่ทาวน์พยายามกลั้นเสียงหน้าอายด้วยการทำแบบเดียวกัน เขาผลักผมไปที่โซฟาแล้วขึ้นคร่อมไว้ ใบหน้าหล่อโน้มลงไล่เลียตุ่มไตสีเข้มอย่างหยอกล้อ มือเรียวลูบไล้บีบเค้นหน้าท้องแกร่งจนแทบทนไม่ไหว ไอ้เจ็ทจะบ้าตายแล้วเว้ย

“อยากกลืนพี่เข้าไปทั้งตัวเลยว่ะ อึก”
ผมว่าก่อนจะเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นด้านบนแล้วจัดการเขากลับ ปลายลิ้นลากไล้จนถึงขอบกางเกงยีนส์ตัวเก่ง มือหนาปลดเข็มขัดออกก่อนดึงมันลงจนถึงขาอ่อน แม่ง... ได้เห็นพี่ทาวน์น้อยครั้งแรก หัวใจจะวาย

ออด ~

โอ้โห ใครมากดออดหน้าห้องเช่นตอนนี้วะเฮ้ย จ้างล้านนึงก็ไม่เปิดประตู!

“อะ อา... อึก มีคนมา”
พี่ทาวน์ผลักผมออกแล้วพยักพเยิดหน้าที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์เป็นสัญญาณให้เปิดประตู ผมส่ายหัวแทบหลุด ใครจะไปยอมวะ ถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้คงรอกันอีกยาวแน่ๆ โธ่ คนรักกันอยากมีอะไรกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้หื่นเล๊ย จริงๆ

“ช่างมันเถอะ”
ผมบอกปัดแล้วจัดการดึงกางเกงยีนส์ของพี่ทาวน์ลงอีก แต่เจ้าตัวกลับใช้มือรั้งไว้ทั้งที่ตัวเองมีอารมณ์ขั้นสุดเหมือนกัน โธ่ ทนไหวจริงๆ เหรอวะ ขอกัดไหล่หน่อยเถอะ

“อา... ปะ ไปเปิดประตูเถอะ อึก อาจจะมีธุระด่วน”
พี่ทาวน์ใช้เท้ายันขาอ่อนของผมเป็นการบอกอีกครั้ง คราวนี้ถ้าไม่ยอมเปิดประตูคงโดนกระทืบแน่ๆ

ผมพยักหน้ารับแล้วระบายลมหายใจหนักๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตึงตังไปที่ประตูพร้อมขยี้หัวจนยุ่งเหยิง เสื้อผ้าอย่าไปถามถึง ถอดทิ้งไว้ตรงไหนยังไม่รู้เลย

“โธ่เว้ย ใครมาขัดจังหวะเนี่ย”
บ่นพึมพำระหว่างทางแต่ก็ยอมกดอินเตอร์โฟนเพื่อคุยกับคนด้านนอกประตู ถ้าแม่งกดออดผิดห้องพ่อจะด่าให้ลืมชื่อตัวเองเลย โว๊ย!

“ใครครับ”
ผมกรอกเสียงติดหงุดหงิดลงไป รออยู่ครู่หนึ่งแต่อีกฝั่งไม่ตอบอะไรกลับมา ในตอนที่กำลังจะโวยวายนั้นก็ต้องขมวดคิ้ว...

‘พี่สาวไง จำได้ได้เหรอ’
ผู้หญิงที่ไหนมาตอนนี้วะ พี่สาวที่ไหนอีก จำห้องผิดหรือเปล่า

“.....”
ผมเงียบเพราะกำลังคิดทบทวน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หรือว่าผีหลอก... แม่ง อยากจะบ้าตาย เตรียมอ้าปากถามเธอว่าเป็นใครนั่นเอง เสียงใสๆ ของเด็กผู้ชายก็ดังสวนขึ้นมา

‘น้าเจ็ท สไปรท์ ~ ไอมิสยู!’
ชัดเลย ชัดมาก โอย แม่งเซอร์ไพร์สจนอยากทึ้งหัวตัวเองให้หลุดจากบ่า ทำไมไม่ยอมโทรบอกกันก่อนว่าจะมาวันนี้ คนกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเนี่ย อ๊าก ก้างจากอังกฤษ เกลียด!



---------------------------

พญานกตัวโตเนอะ 555555555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 31 - P.5 (20/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 20-12-2017 19:41:26
ค้างแทน 5555    :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 31 - P.5 (20/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 20-12-2017 20:23:54
อนุญาตเกลียดด้วยยย ฮืออออออ :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 31 - P.5 (20/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 21-12-2017 15:27:45
ขัดจังหวะความสุข
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 31 - P.5 (20/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 21-12-2017 16:42:47
ก้างจากแดนไกล 55+
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 31 - P.5 (20/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 24-12-2017 06:40:56
 :pig4: อ่านกันยาวๆ เลยค่ะ   ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 31 - P.5 (20/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 24-12-2017 11:45:48
ของขวัญวันครบรอบ ให้นกเจ็ทไปเต็มๆจ้า55555 คนอะไรโชคร้ายมาก
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 32 - P.5 (26/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-12-2017 08:30:13
แข่งครั้งที่ 32



พายุที่ชื่อว่า ‘พี่แจม’ จากไปแล้ว แต่เธอยังเหลือร่องรอยความเสียหายเอาไว้เป็นเด็กน้อยลูกครึ่งหน้าตาน่ารักซึ่งตอนนี้นั่งแปะอยู่บนตักของแฟนผมอย่างสนิทสนมแถมด้วยการเอาแขนป้อมๆ คล้องลำคอขาวไว้ ไหนบอกว่าคิดถึงน้าเจ็ทไง... เดี๋ยวจับฟัดให้จมเขี้ยวเลยนี่ เจ้าเล่ห์ดีนัก

พี่ทาวน์ที่มักจะทำหน้านิ่งเสมอ ในตอนนี้กลับยิ้มอบอุ่นหยอกล้อโจชัวร์ด้วยการหยิกแก้มกลมๆ นั่นเล่น สีหน้าดูมีความสุขจนผมนึกอิจฉาหลาน น้ามันพยายามจีบตั้งนานกว่าจะได้นายเมืองเหนือเวอร์ชั่นอ่อนโยน แล้วนี่อะไร แค่ไม่ถึงหนึ่งช่วงโมงตัวติดกันอย่างกับตังเม

“น้าทาวน์ๆ คอแดง ~”
เด็กน้อยบอกน้าคนใหม่เสียงใสพร้อมกับใช้นิ้วเล็กๆ จิ้มลงไปตรงตำแหน่งที่เป็นรอยแดง พี่ทาวน์สะดุ้งก่อนจะหันมามองค้อนผมจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นี่ขนาดนั่งโซฟาคนละคนตัวนะเว้ย

“ยุงกัดครับ”
เขาตอบพร้อมส่งรอยยิ้มให้โจชัวร์ เด็กน้อยขมวดคิ้วฉับทำใบหน้าขึงขังเอาเรื่อง คงโกรธยุงตัวนั้นที่ทำให้น้าทาวน์มีรอยแดงเป็นจ้ำที่คอแน่ๆ ผมได้แต่มองโน่นมองนี่ทำเฉไฉไปเรื่อย กลัวความผิดมันจะพันคอจนขาดอากาศหายใจตาย แล้วที่สำคัญคือทำไมหลานตาดีแบบนี้ครับ

“ยุงเหรอ โจชัวร์จะตีๆ ให้ตายเลย ฮึบ”
โจชัวร์ลุกขึ้นยืนบนตักพี่ทาวน์จนเกือบหน้าคะมำแต่ดีที่เขารวบกอดเอวเล็กไว้ได้ ตากลมๆ มองหายุงตัวดีพร้อมกับกวาดมือไปกลางอากาศ พยายามอย่างยิ่งที่จะฆ่ามันให้ตาย ผมนั่งกลืนน้ำลายลงคอไม่กล้าพูดอะไรสักคำ นั่นก็เด็กไร้เดียงสา คนหล่อๆ นั่นก็แฟนผู้เคร่งขรึม ขืนพลาดขึ้นมาน้าเจ็ทเป็นหมาแน่นอน

“นั่งลงเถอะครับ น้าทาวน์เจ็บขา”
พี่ทาวน์ว่าเสียงเรียบไม่เชิงว่าจะดุ โจชัวร์ชะงักกึกก่อนรีบนั่งลงตามคำขอนั่นทันที แถมยังโอ๋ๆ ผู้ใหญ่ด้วยการใช้มือป้อมลูบขาอ่อนที่เป็นรอยแดงจากการกดทับ โวย หลานครับ น้ายังไม่เคยลูบตรงนั้นเลยเว้ย อิจฉาตาร้อนฉิบหาย

“ฟู่ๆ แอมซอรี่ หายเจ็บน้า โอ๋ๆ”
เด็กน้อยพยายามก้มหน้าลงแล้วอมลมเต็มแก้มเพื่อเป่ารอยแดงเป็นการปลอบ ความน่ารักนั้นทำให้พี่ทาวน์หลุดหัวเราะแล้วเอื้อมมือลูบหัวทุยด้วยความเอ็นดู ถ้าวันหนึ่งเขาอยากมีลูกผมคงทำได้แค่พยักหน้ารับเท่านั้นเพราะทำอะไรไม่ได้

“หึ โจชัวร์ง่วงไหม”
พี่ทาวน์หัวเราะแล้วกอบกุมแก้มกลมทั้งสองข้างไว้บังคับให้สบตา โจชัวร์ส่ายหน้าพรืดเป็นคำตอบก่อนที่หัวทุยจะแนบลงกับอกอุ่นภายใต้เสื้อเชิ้ตที่ผมเพิ่งถอดทิ้งไปเมื่อไม่นาน ฮึ่ม แค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา พี่แจมมันมีตาทิพย์หรือเปล่าวะ มาขัดจังหวะตรงเวลาเหลือเกิน

ผมเท้าคางมองเด็กขี้อ้อนถูไถแฟนตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย น่ารักดีแต่ก็น่าอิจฉาไปพร้อมๆ กัน แย่งพี่ทาวน์ไปหน้าตาเฉยแถมยังเมินน้าอีกนะโจชัวร์ ร้ายจริงๆ ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่ง่วงคงเพราะเวลาทางอังกฤษกับไทยแตกต่างกันมาก แล้วจะได้นอนกันกี่โมงล่ะ เฮ้อ

“แต่น้าเจ็ทคงง่วงแล้วมั้ง”
พี่ทาวน์ชี้นิ้วเรียวมาทางผมเป็นสัญญาณให้เจ้าแสบสนใจ ตรงไหนที่บ่งบอกว่าง่วง ตาก็ยังใสเพราะอารมณ์ค้าง... งงว่ะ

“น้าเจ็ท ~”
เสียงใสเรียกชื่อผมอย่างเอาใจก่อนที่ร่างป้อมๆ จะลงจากตักของพี่ทาวน์แล้วเดินอุ้ยอ้ายเข้ามาใกล้ กางแขนออกเป็นสัญญาณให้กอดหรืออุ้ม

“ครับผม”
ผมรับคำแล้วเอียงคอมองว่าเขาจะทำยังไงต่อ โจชัวร์เขย่งปลายเท้าแล้วกางแขนยืดมากขึ้นกว่าเดิม หน้ากลมๆ เชิ่ดขึ้น ปากแหลมขมุบขมิบเป็นคำสั่นง่ายได้ใจความ

“ฮักมีพลีส”
อ้อ... ภาษากายของการขอให้กอดนี่เอง เข้าใจแล้ว

“ไม่อ้อนน้าทาวน์เหรอหืม”
ผมถามก่อนจะโน้มตัวลงกอดเด็กน้อยแล้วอุ้มขึ้นนั่งตัก พี่ทาวน์ที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวยักคิ้วกวนมาให้ ท่าทางแบบนั้นทำให้มันเขี้ยวจนอยากทิ้งหลานแล้วฟัดเขาแทน กวนกันดีนักนะ อารมณ์ยังค้างพร้อมต่อยอดเสมอ

“เดี๋ยวน้าเจ็ทน้อยใจ”
เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆ อย่างออดอ้อนก่อนจะโผเข้ากอดคอแล้วแนบหน้าลงบนไหล่ ผมหลุดหัวเราะให้กับความขี้อ้อนนั่นแล้วขยี้หัวทุยด้วยความมันเขี้ยว หลานเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าน้าอีกมั้ง ยอมแพ้จริงๆ ขโมยหัวใจพี่ทาวน์ได้ในเวลาอันสั้น โคตรเก่ง

“คิ้วท์บอย ~”
ผมหอมหัวหอมแก้มหลานจนหนำใจแล้วปล่อยให้โจชัวร์ได้โผหัวขึ้นจากไหล่ ใบหน้าจิ้มลิ้มงอง้ำ คงโกรธที่โดนฟัดแรงๆ ก็ใครมันใช้ให้เกิดมาน่ารัก พี่ทาวน์ที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ก็ระวังตัวไว้เถอะ ยั่วกันดีนักนะ

“เอ๊ะ น้าเจ็ท ยุงกัดหยอ”
เด็กหน้างอเมื่อครู่กลายเป็นเจ้าหนูจำไมอีกครั้ง นิ้วเล็กจิ้มลงกลางอกซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีรอยแดงเป็นจ้ำ ผมชะงักกึกมองมันอย่างตกใจ พอจะรู้สาเหตุแล้วว่าก่อนพี่แจมออกจากห้องทำไมถึงบอกว่า ‘เบาๆ มือกันหน่อย โจชัวร์ยังเด็ก’ แฟนร้ายกาจ เอาคืนกันใช่ไหมเนี่ย

ผมส่งสายตาล้อเลียนพี่ทาวน์แต่เขากลับเบือนหน้าหนีแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเดินหายเข้าไปในครัว สงสัยจะแก้เขินด้วยการหาอะไรกินแน่ แต่นี่มันตีหนึ่งแล้วนะเว้ย ไม่อาบน้ำนอนกันจริงๆ เหรอ

“อ้อ ยุงตัวนี้ดุ กัดแรงมากๆ เลย”
ผมบอกหลานแล้วแอบมองไปทางครัว คนถูกกล่าวหาชะงักกึกอยู่ไม่ไกล เขาส่งสายตาเคืองๆ มาให้ก่อนจะเดินต่อ ในมือมีแก้วนมช็อกโกแลตคงเป็นของโจชัวร์

“ยุงยังไม่ตายเหรอ”
เด็กขี้สงสัยเอียงคอถามแล้วมองไปรอบห้องเพื่อหายุงตัวนั้นแต่ทุกอย่างกลับหยุดลงเมื่อพี่ทาวน์ส่งแก้วนมมาให้พร้อมหลอดดูด โจชัวร์ตาวาวก่อนจะพุ่งลงจากตักไปหาของกิน ล่อลวงง่ายจริงๆ เลยว่ะ

“คนละตัวครับ ที่กัดน้าทาวน์ดุกว่า”
ผมว่าต่อทั้งที่หลานคงลืมเรื่องยุงไปแล้ว เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักเหมือนเข้าใจ แต่ความจริงคงเป็นปฏิกิริยาของโจชัวร์เวลามีความสุขกับอะไรสักอย่าง ชอบส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก น่ารักน่าฟัดที่หนึ่ง

“หึ หื่นมากกว่ามั้ง”
พี่ทาวน์ว่าลอยๆ ด้วยน้ำเสียงล้อเลียนแล้วลุกขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้คงไปอาบน้ำเพราะหยิบผ้าขนหนูพาดบ่า ผมหาวหวอดแล้วทำหน้าที่ป้อนนมหลานต่อจนหมดแก้วก่อนจะพาไปแปรงฟัน พี่แจมเตรียมทุกอย่างพร้อมแม้กระทั่งแป้งเด็กทาตัว สงสัยกลัวลูกแพ้ยี่ห้ออื่น

ผมหนีบโจชัวร์เข้าเอวแล้วจัดการปิดไฟปิดแอร์ด้านนอกแล้วพาไปห้องนอน ระหว่างที่รอพี่ทาวน์อาบน้ำก็จัดแจงเตรียมเสื้อผ้าให้หลาน

“มัมไปฮันนีมูนกับแด๊ดที่ไหนครับ”
ผมถามในขณะหย่อนก้นลงข้างๆ โจชัวร์ที่กำลังรื้อหานิทานภาษาอังกฤษในกระเป๋าเป้ เด็กน้อยชะงักมือแล้วส่ายหัวรัวเป็นการปฏิเสธ พี่แจมโกหกเหรอวะ ก็ก่อนไปบอกว่า ‘ฮันนีมูนรอบที่ห้า’ ไม่ใช่เหรอ

“โนๆ มัมกับแด๊ดไปทำน้อง”
โจชัวร์ฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางภูมิใจที่พ่อกับแม่จะทำน้องให้ แต่ผมนี่สิ สติหลุดไปแล้ว

“ห๊ะ...”
ใครบอกหลานแบบนั้นวะเนี่ย กลับมาเมื่อไหร่พ่อจะด่าให้หูชาเลย!

ผมพาโจชัวร์ไปอาบน้ำจนตัวหอมฉุยแล้วฝากพี่ทาวน์ช่วนอ่านนิทานภาษาอังกฤษให้หลานฟังไปพลางๆ เพราะจะไปจัดการตัวเองต่อ ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักแทรกผ่านเสียงสายน้ำแล้วก็เผลอคลี่ยิ้มออกมา มีเด็กอยู่ด้วยสักคนก็มีสีสันดี แต่นานๆ ครั้งนะ ทุกวันคงไม่ไหว เวลาจู๋จี๋หายกันพอดี

เดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำแล้วต้องหยุดกึกอยู่แถวๆ ตู้เสื้อผ้า เพราะภาพตรงหน้าทำให้ตะลึงอยู่ไม่น้อย พี่ทาวน์โน้มตัวลงจุมพิตหน้าผากเด็กน้อยอย่างแผ่วเบาตบท้ายด้วยรอยยิ้มละมุนที่ผมเฝ้าใฝ่ฝันวันละหลายรอบ นานๆ ครั้งจะได้เห็นมัน

“โจชัวร์หลับแล้ว”
พี่ทาวน์บอกทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น นับว่าประสาทสัมผัสของเขาดีเป็นเลิศ ผมครางรับแล้วเดินไปจนถึงปลายเตียง กำลังจะหย่อนตัวลงนั่งแต่เสียงทุ้มดังขัดขึ้นซะก่อน

“ครับ หลับง่ายดีเนอะ แค่อ่านนิทานให้ฟัง”
ผมมองเจ้าแสบที่นอนขดเป็นกุ้งแล้วระบายยิ้มบาง ได้เจอกันปีละครั้งสองครั้งเลยเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ตัวสูงขึ้น หน้าตาคมขึ้น หล่อได้พ่อจริงๆ โตมาคงมีสาวติดตรึม

“เปล่า เล่นมวยปล้ำน่ะ”
พี่ทาวน์เฉลยวิธีทำให้เด็กหลับแล้วยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก ดูท่าทางแล้วคงต้องอาบน้ำใหม่ ผมพยักหน้ารับว่าเข้าก่อนจะเริ่มเช็ดหัวต่อ ง่วงเต็มที่แล้ว

“ออกไปคุยกันที่ระเบียง”
พี่ทาวน์พูดก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินนำออกไปปล่อยให้ผมนั่งอ้าปากพะงาบๆ เพราะเดาได้ว่าเขาต้องการคุยเรื่องอะไร ไม่ตายวันนี้คงแปลกแล้วไอ้เจ็ท เพราะพี่แจมคนเดียวขายความลับซะเกลี้ยง

ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งไม่ยอมลุกจากเตียงจนโดนสายตาอาฆาตทำให้ต้องรีบกระเด้งตัวแล้วเดินไปหาพี่ทาวน์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ประตูกระจกถูกเลื่อนออกอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวว่าเสียงจะรบกวนการนอนของเด็กน้อย สิ่งแรกที่สัมผัสได้เมื่อเท้าเหยียบด้านนอกพบว่าลมเย็นมาก ดีหน่อยที่ฝนหยุดตกสนิท

“ชักช้า”
คำแรกกระแทกหูจนผมชะงักมือที่กำลังปิดประตูไปหนึ่งจังหวะ ได้แต่หันไปยิ้มแหยๆ ให้เพราะไม่มีข้อแก้ตัว

“มีอะไรจะคุยเหรอครับ”
ผมยืนเกาะระเบียงแล้วรวบรวมความกล้าถามขึ้นก่อน พี่ทาวน์แหงนหน้ามองผืนฟ้าสีดำสนิทคล้ายต้องการซึมซับบรรยากาศเงียบสงบยามตีสอง ถ้าให้ออกมาคนเดียวคงไม่กล้า วังเวงฉิบหาย

“พี่แจมรู้เรื่องของเราได้ยังไง”
น้ำเสียงเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์เอ่ยถามขึ้น พี่ทาวน์ไม่ได้คาดคั้นเพียงแค่รอคำตอบอย่างใจเย็น เขาหลับตาลงสูดหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ ผมควรอธิบายเรื่องนี่ยังไงดีวะ พี่แจมก็ไม่แสดงท่าทีตกใจตอนเห็นเราอยู่ด้วยกันสองคนโดยปราศจากสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าจิณณ์ แถมยิ้มร่าแล้วถามว่า ‘นี่แฟนใช่ไหม หล่อกว่าในรูปอีก’ ฉิบหายเลย

“คือ... ผมกับครอบครัวไม่มีเรื่องปิดบังกัน”
ผมตอบเสียงแผ่วเพราะกลัวว่าพี่ทาวน์จะไม่ชอบใจเรื่องที่คบกันไปบอกคนอื่น ไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ช่าง แต่ผิดคาดที่เขาพยักหน้ารับแล้วหันมามองกันด้วยสายตาอ่อนโยน

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็... ตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบพี่”

“ไม่กลัวพ่อแม่เสียใจหรือไง ชอบผู้ชายน่ะ”
พี่ทาวน์เบือนหน้าหนีกลับไปมองท้องฟ้าเช่นเดิม ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่เขาอารมณ์ปกติดี ก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“กลัวสิครับ แต่ผมมั่นใจว่าชอบพี่จริงๆ เลยกล้าที่จะบอกพวกเขาไปตามตรง ไม่อยากปิดบัง”
ผมคลี่ยิ้มปิดท้ายในขณะที่เขาหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ สัมผัสที่แตะลงข้างแก้มทำให้สะดุ้งเล็กน้อยแต่มันช่างอ่อนโยนเหลือเกิน

“ขอบคุณ”
ถ้อยคำที่ไม่คาดคิดมาพร้อมกับรอยยิ้มละมุน หัวใจของผมเต้น อุณหภูมิร่างกายเพิ่มสูงทั้งที่อากาศเย็นเมื่อลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงบนใบหน้า ระยะห่างแค่นี้ชวนให้สติเตลิดไปไกล

“ขอบคุณผมทำไม”
ผมโน้มหน้าลงไปใกล้จนริมฝีปากแตะกัน พี่ทาวน์ไม่ได้ผละถอยแต่ก็ไม่ได้กดจูบ โอย โคตรลุ้นระทึก ถ้าไม่อยากรู้คำตอบคงเรียบร้อยโรงเรียนเจ็ทไปแล้ว

“ขอบคุณที่ชัดเจนมาตลอด”
เขาบอกก่อนจะกดจูบลงมาอย่างที่ผมหวังมันเป็นเวลาเพียงแค่เสี้ยวหนึ่ง ยังไม่พอใจ ยังไม่อิ่ม แต่รอยยิ้มหวานๆ นั่นทำให้ต้องเอ่ยคำตอบแทน

“เพราะผมรักพี่ไง”
พูดจบก็คว้าเขาเข้ามากอดเต็มรัก พี่ทาวน์ดิ้นขลุกขลักครู่เดียวก่อนจะนิ่งไปแล้วโอบคืน ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ สัมผัสที่ซุกลงแถวซอกคอยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกวูบวาบในช่องท้อง ผมยังอารมณ์ค้างอยู่นะพี่ แต่จะพยายามซึ้งให้จบก่อน

“อือ รู้แล้ว ขยันบอกจริง”
เสียงครางอู้อี้ทำให้ผมหลุดยิ้ม เราผละออกจากกันเพื่อประสานสายตา

“กลัวพี่จะลืมว่าผมอยู่ตรงนี้”
ผมจิ้มนิ้วลงบนหน้าอกข้างซ้ายของเขา พี่ทาวน์หัวเราะเสียงใสแล้วใช้มือขยี้หัวกันแรงๆ เอาเถอะ จะนอนแล้วไม่ห่วงหล่อหรอก

“ใครจะไปลืม ตัวใหญ่กว่าควายอีกมั้ง”
โอ้โห อยากร้องไห้วันละสิบรอบ แฟนใครช่างเปรียบเทียบได้น่ารักเหลือเกิน หลงจะแย่ ฮือ

“โหย แรงว่ะ”
ผมมุ่ยหน้าใส่คนปากร้ายก่อนจะโดนเขาดึงแก้มด้วยความมันเขี้ยว

“หึ กลับเข้าข้างในเถอะ กูจะไปอาบน้ำอีกรอบ”
เขาผละออกแล้วเปิดประตูกระจกออก เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเท้าแขนกักตัวพี่ทาวน์ไว้ก่อนก้มลงกระซิบข้างหูด้วยเสียงหยอกล้อ ขอเอาคืนบ้างเถอะ

“ให้ผมช่วยปะ”

“อืม”
ห๊ะ นี่ผมฝันไปหรือเปล่าเนี่ย ตาวาวเลยกู

“เฮ้ย เอาจริงเหรอ”
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ไอ้ที่เก๊กๆ ไว้หลุดหมด กลายเป็นหมาตัวโตหูตั้งหางกระดิกเพราะเจ้านายเล่นด้วย

“ช่วยนอนเงียบๆ ไป อย่าวุ่นวาย เข้าใจนะ”
ความฝันแตกสลายจนไม่เหลือชิ้นดี ผมแทบทรุดลงไปกองกับพื้น พี่ทาวน์ขี้แกล้งฉิบหาย จิตใจทำด้วยอะไรวะ

“อยากต่อ...”
ผมว่าเสียงอ่อยก่อนขยับเข้าไปกอดอ้อน แต่พี่ทาวน์กลับเขกหัวแล้วผลักกันออก

“โจชัวร์อยู่”
เสียงดุเลย หงอยสิครับรออะไร

“แต่...”

“ถ้าหลานกลับเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”
แทบกระโดดกอดพี่ทาวน์ให้ล้มลงไปกับพื้นเลย เยส!

ตอนนี้ช่วงเลยเข้าสู่เวลาตีสามแล้วแต่ผมยังนอนไม่หลับ โซฟามันคับแคบจะตาย อยากร้องไห้สักสามวันติดต่อกัน สาเหตุมันมาจากโจชัวร์แย่งที่บนเตียงไปจนหมด โธ่ พี่แจมเอาก้างมาให้จริงๆ ก็คิดอยู่ทำไมเธอต้องเอาลูกมาฝาก... ร้ายนัก!

ผมนั่งเกาหัวแกรกๆ มองสองชีวิตบนเตียงผ่านแสงสลัวจากโคมไฟดวงน้อย โจชัวร์อยู่ในอ้อมกอดของพี่ทาวน์ ดูไปก็น่ารักดี แต่ความอิจฉาทำให้หมั่นไส้หลานนิดๆ ตื่นเมื่อไหร่น้าจะจับฟัดให้น่วมเลยคอยดูเถอะ

กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตีห้าเพราะเล่นเกมเพลิน

แสงอาทิตย์ลอดส่องรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาทำให้ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวเพื่อหนี ได้ยินเสียงเท้าของใครบางคนเดินไปมาก็ได้แต่อมยิ้ม ว่าที่คุณหมอตื่นเช้าเหมือนเดิมเพื่อออกกำลังกาย โจชัวร์คงเกิดอาการเจ็ทเลคเลยยังไม่ตื่น

ในเวลาที่ห้องนิทรากำลังจะมาเยือนอีกครั้ง โสตประสาทการรับฟังก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มดังใกล้ๆ ต่อด้วยสัมผัสอุ่นที่ข้างแก้ม ผมสะลึมสะลือลืมตาก็พบกับพี่ทาวน์ในชุดลำลองกับโจชัวร์ในชุดเสือสีส้มยืนฉีกยิ้มกว้าง อุตส่าห์ดีใจว่าโดนแฟนหอมแก้ม ที่ไหนได้เป็นหลานตัวน้อยนี่เอง

“น้าทาวน์ น้าเจ็ทตื่นแล้ว เย้ๆ”
เด็กตัวน้อยกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเมื่อเห็นผมลุกขึ้นขยี้หัว พี่ทาวน์คลี่ยิ้มบางแล้วพยักหน้ารับกับหลาน สถานการณ์ตอนนี้ใกล้เคียงคำว่าครอบครัว มีพ่อ แม่ และลูก พร้อมหน้าพร้อมตา

“ครับ จะได้ไปเที่ยวกันแล้วเนอะ”
พี่ทาวน์ลูบหัวหลานด้วยความเอ็นดูแล้วอุ้มขึ้นหนีบเอว แขนป้อมๆ ยกคล้องคอทันทีเพราะกลัวตกลงมา จะตัวติดกันไปถึงไหนครับ สงสารน้าเจ็ทบ้างเถอะ หมาหัวเน่าแล้วเนี่ย

“อควาเรียม ~ ฟิช ชาร์ค”
โจชัวร์กวาดมือแล้วยิ้มกว้างจนตาหยี ผมที่เบลอๆ ก็พลอยไหลตามน้ำ เผลอตกลงไปเที่ยวอควาเรียมตอนไหนวะ หรือเมื่อคืนละเมอตอบ โอย งง

“เอ่อ... ตอนนี้กี่โมงครับ”
ผมก่อนใช้สันมือเคาะขมับเพื่อไล่ความมึน พี่ทาวน์ล้วงโทรศัพท์ให้ดูเวลา แปดโมงแล้ว กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวกินข้าวเช้าเสร็จคงเกือบสิบโมง รีบหน่อยดีกว่า เดี๋ยวรถติดคงแย่

“งั้นผมไปอาบน้ำก่อนเนอะ เดี๋ยวน้าจิณณ์คงมาหาโจชัวร์”
ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วขโมยหอมแก้มพี่ทาวน์ไปหนึ่งฟอดเพราะเขาไม่สามารถโต้ตอบได้เนื่องจากอุ้มเจ้าตัวแสบอยู่ แต่มือเล็กๆ ของโจชัวร์กลับตีเปี๊ยะลงมาบนจมูก เฮ้ย... ทำไมกบฏขนาดนี้เนี่ย ตกลงใครเป็นน้ากันแน่วะ

“อย่ารังแกน้าทาวน์!”
หลานตวาดลั่นแถมกอดอกพองแก้มด้วยความไม่พอใจ พี่ทาวน์ถึงกับหัวเราะก๊าก ชอบใจที่ผมโดนตีสินะ

“ไม่เอาครับ ไม่เสียงดังใส่น้าเจ็ทนะ เราไปนั่งรอน้าจิณณ์กันดีกว่า”
พี่ทาวน์ปลอบหลานด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแล้วพากันเดินออกไปจากห้องปล่อยให้ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ สามสี่วันนี่คงไม่ต้องหวังมีเวลากุ๊กกิ๊กกันสองคนหรอก ถ้าพี่แจมกลับมาแล้วไม่มีของตอบแทนที่ดีจะอาละวาดให้บ้านแตกเลยคอยดู

ผมจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วเดินตรงไปที่ห้องครัว แต่ต้องชะงักกึกอยู่หลังโซฟาหน้าทีวี สองชีวิตนั่งดูการ์ตูนยามเช้าโดยปราศจากคนชื่อจิณณ์ ตาคมเหลือบมองนาฬิกาติดผนังแล้วขมวดคิ้วแน่น

“จิณณ์ยังไม่มาเหรอครับ”
หลังจากจิณณ์ย้ายไปอยู่กับไอ้ไธจะเอาอาหารมาส่งให้ทุกเช้า แต่วันนี้แปลก ไม่มีแม้แต่ไลน์หรือโทรมาบอกว่าไม่ว่าง คงต้องไปหาถึงห้องแล้วมั้ง

“อืม เอานมให้โจชัวร์กินรองท้องแล้ว”

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจัดการอาหารเช้าเอง”

“อืม ขอข้าวต้มหมูแล้วกัน”

หลังจากที่เราฟาดข้าวต้มหมูกันเสร็จก็พากันลงมาด้านล่างเพื่อไปหาจิณณ์ก่อนจะออกไปอควาเรียมตามที่โจชัวร์เรียกร้อง ผมเคาะประตูห้องไอ้ไธ ไม่นานนักเจ้าของก็เปิดมันออกด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ไม่ใช่ว่ากูมาขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มนะ...

“น้าไธ ไอมิสยู ~”
เด็กตัวน้อยในอ้อมแขนของผมโผเข้ากอดน้าไธเต็มรัก ไอ้คนที่กำลังเบลอๆ ถึงกับเบิกตาโตด้วยความตกใจแต่ก็รับตัวโจชัวร์เอาไว้ ท่าทางมึงตอนนี้เหมือนกับกูเมื่อคืนไม่มีผิด สไปร์ทพอกันเลยเพื่อน

“นะ น้าไธก็คิดถึงโจชัวร์”
ถึงกับติดอ่างจนผมได้แต่กระตุกยิ้มเยาะ ส่วนพี่ทาวน์ก็นิ่งขรึมตามสไตล์ของเขา

“น้าไธๆ น้าจิณณ์อยู่ที่นี่ไหม”
เสียงเล็กถามเจื้อยแจ้ว ดวงตากลมสอดส่องไปหลังบานประตูเพื่อหาน้าชายอีกคนที่ยังไม่เจอหน้า ปกติแล้วโจชัวร์จำไม่ได้ว่าใครเป็นใครหรอก แต่ตอนนี้เขาอยู่กับผมที่บอกว่าคือน้าเจ็ทไงเลยถามหาน้าจิณณ์

“อยู่ อยู่ครับ น้าจิณณ์นอนอยู่”
ไอ้ไธตอบหลานแต่กลับเหลือบมองผมกับพี่ทาวน์คล้ายกำลังหวาดระแวง มันไม่ยอมขยับตัวออจากประตูเลยสักนิด มีพิรุธเกินไปแล้วว่ะ

“สลีปอิน ~”
อยู่ๆ น้าจิณณ์ก็โดนเด็กหาว่าตื่นสายว่ะ สมน้ำหน้า นอนกินบ้านกินเมืองอะไรขนาดนั้น ทั้งที่ปกติก็ตื่นแข่งกับไก่ขันได้ หรือไม่สบาย

“จิณณ์ไม่สบายเหรอ”
เป็นว่าที่คุณหมอถามขึ้น ผมพยักหน้าเห็นด้วยแล้วรอคำตอบ ไอ้ไธอึกอักกรอกตาไปมาเหมือนคนทำความผิด มึงมีอะไรในกอไผ่ใช่ไหม จะบอกดีๆ หรือต้องคาดคั้น!

“ก็นิดหน่อยครับพี่”
มันตอบเสียงอ่อยแล้วแสร้งทำเป็นสนใจเด็กในอ้อมแขน หอมแก้มบ้าง ชวนคุยบ้างคนผมชักเริ่มรำคาญจนต้องเอื้อมมือไปผลักไหล่มัน จะเข้าไปดูจิณณ์เว้ย อยากรู้ว่าป่วยเพราะอะไร

“ขอเข้าไปหน่อยดิวะ”
ผมบอกก่อนพยายามเบียดตัวเข้าไปแต่โดนไอ้ไธเอาเกราะกำบังชื่อโจชัวร์ดันกลับมา แม่ง มันต้องมีสาเหตุอะไรลามกที่ทำให้จิณณ์ป่วยแน่ๆ พี่กูเสียตัวให้มึงแล้วใช่ไหม

“ให้จิณณ์พักผ่อนเถอะมึง”
น้ำเสียงอ้อนวอนทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วสงสัย หันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ทาวน์ก็ได้รับการพยักหน้ากลับ คราวนี้มึงไม่รอดแน่ๆ ไอ้ไธ

“แต่โจชัวร์อยากเจอน้าจิณณ์ ใช่ไหมครับ”
พี่ทาวน์ถามเด็กในอ้อมแขนของไอ้ไธแล้วจิ้มแก้มกลมนั่นเล่น โจชัวร์รีบพยักหน้าอย่างแข็งขันเหมือนกลัวจะไม่ได้เจอน้าของตัวเอง

“อื้อ จะชวนน้าจิณณ์ไปอควาเรียม ~”
ความมุ่งมั่นหนึ่งเดียวที่อยากเจอน้าจิณณ์ เด็กหนอเด็ก

“อ่า... ครับ”
สุดท้ายไอ้ไธก็แพ้ลูกอ้อนของโจชัวร์จนหมดสิ้น

ผมรุดเข้าไปหาจิณณ์คนแรกเพราะโจชัวร์ร้องอยากกินขนมพี่ทาวน์เลยอาสาดูแลให้ ในขณะที่ประตูห้องนอนเปิดออก สิ่งที่เห็นคือสภาพพี่ชายนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง ในมือถือยาดมยัดจมูกสูดแรงจนได้ยินเสียง ใกล้ตายหรือยังวะนั่น

“จิณณ์... ทำไมสภาพมึงเป็นแบบนั้นวะ ฟัดกับหมามาหรือไง”
ผมหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงแล้วชะโงกหน้าไปดูสภาพพี่ชายตัวเองใกล้ๆ จิณณ์สะดุ้งแล้วลืมตาขึ้นเพราะตกใจ แต่ไม่นานก็เบะปากใส่ อย่าเพิ่งร้องไห้ครับ กูยังซักมึงไม่จบ

“หมาชื่อไอ้ไธไง แม่ง จัดซะกูเดินไม่ไหว”
เสียงแหบพยายามเค้นออกมา ใบหน้าบูดเบี้ยวเมื่อมันพยายามขยับตัว ผมได้แต่อ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน นี่ตกลงว่าพวกมึงได้กันแล้วเหรอ ไหนปากบอกว่าไม่พร้อมไง ทำแบบนี่ได้ยังไงวะ!

“เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่ามึงกับไอ้ไธ...”
ผมจ้องแทบตาถลน มันพยักหน้าหงึกหงักแล้วสูดยาดมเข้าเต็มปอด ริมฝีปากบวมเจ่อ ตามซอกคอมีรอยแดงเป็นจ้ำลามไปจนถึงช่วงอกที่โผล่ออกมาจากสายเสื้อ โอ้โห จัดหนักจริงตามคำบอกเล่าเลยวะ

“เออ... เป็น โอย ผัวเมียกันอย่างสมบูรณ์”
ช่วยเขินหน้าแดงตอนพูดเรื่องนี้ไม่ได้หรือไง... กูเพลียใจแทนผัวมึง

“เหี้ย”
แต่ผมอาการหนักกว่าถึงขั้นอุทานคำหยาบ เพราะเรื่องเมื่อคืนก็เกือบจะลงเอยแบบจิณณ์ไง แค่เกือบ!

“ด่ากูทำไม”
ไอ้นี่ก็ร้อนตัว ทำตาโตอย่างกับไข่ห่าน ยาดมยัดอยู่ในรูจมูก ดูทุเรศฉิบหาย

“แม่ง มึงรู้ไหมว่ากูกับพี่ทาวน์ก็กำลังจะได้กัน”
ผมพูดอย่างไม่อายแล้วทุบกำปั้นลงบนเตียงอย่างแรง เจ็บใจนัก

“แล้วไงวะ”
จิณณ์พยายามแสดงความตื่นเต้น แต่มันดูเหมือนคนกำลังช็อคมากกว่า มึงควรบอกให้ไอ้ไธเบาๆ มือหน่อยนะ

“พี่แจมบินมาจากอังกฤษ...”
ผมพูดเสียงเครียดก่อนจะทิ้งตัวลงข้างจิณณ์

“ไอ้เจ๊ก มึงกลับมาเรื่องเดิมก่อนสิวะ อย่าเพิ่งเปลี่ยน กูงง”
มันฟาดมือเขากลางจมูกผมจนรู้สึกเหมือนเลือดกำเดาจะไหล โอย ถ้าไม่ติดว่ามึงเจ็บก้นจะยันแรงๆ สักที

“เรื่องเดียวกัน พี่แจมมาหากูเมื่อคืน ฝากเลี้ยงโจชัวร์ด้วย!”
ผมกัดฟันกรอดพูดเสียงรอดไรฟัน ยกมือขึ้นขยี้หัวแรงๆ โดยไม่สนว่ามันจะยุ่งเหยิงแค่ไหน โอย แค่คิดก็หงุดหงิดแล้ว

“อะไรนะ แล้วพี่มันไปไหนวะ”
จิณณ์ขมวดคิ้วแน่น คงรู้สึกแปลกที่พี่สาวมาไวไปไวขนาดนั้น แต่ผมรู้แล้ว ชัดเจนมากจนอยากผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอก

“ทำน้อง”
ผมตอบเสียงสะบัดก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนแล้วว้ากอัดเพื่อระบายอารมณ์ ไม่ไหวแล้วเว้ย พี่แจมไปทำน้องผมก็อยากทำเหมือนกัน ทำไมไม่เข้าใจ ฮือ

“ห๊ะ โอย กูอยากจะขำให้คอแตก มึงนี่พญานกจริงๆ”
จิณณ์นอนเม้มปากกลั้นขำจนหน้าแดงเพราะกลัวจะกระทบกระเทือนช่วงล่าง ผมบึนปากใส่มันแล้วทำท่าง้างเท้า

“เดี๋ยวกูถีบตกเตียงแน่”

“อย่าๆ แค่นี้กูก็จะตายแล้ว”
มันโบกมือเป็นพัลวัน ดวงตาเบิกโตเท่าไข่ห่าน ครั้งแรกคงเจ็บจริงๆ อย่างที่มีคนบอก...

“เออ แล้วนี่มึงกินข้าวกินยาหรือยัง”
ผมเลิกเซ้าซี้เรื่องนั้นแล้วถามถึงสุขภาพช่วงล่างของฝาแฝด มันพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะนิ่วหน้าเพราะเผลอขยับตัว ถ้ามันลำบากขนาดนี้ต้องทำยังไงพี่ทาวน์ถึงไม่เจ็บ

“เรียบร้อย แล้วโจชัวร์อยู่...”

“น้าจิณณ์ ~ ตึก”
จิณณ์ยังพูดไม่ทันจบร่างป้อมๆ ก็พุ่งเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัว ผมชะงักค้างมองภาพนั้นแล้วรู้สึกเจ็บแทน

“โอ๊ะ อึก อะ ไอ้เจ็ท ฮือ กูเจ็บ โอย”
เสียงร้องแหบๆ ดังขึ้นอย่างน่าสงสาร แต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเจ้าแสบกอดน้าจิณณ์ซะเต็มรัก นอนเกยบนตัวอย่างมีความสุข คงต้องพูดกันดีๆ

“โจชัวร์ครับ อย่าทับน้าจิณณ์แบบนั้น มานั่งตักน้าเจ็ทเร็ว”
ผมล่อลวงเด็กน้อยที่เอียงคอมองตาแป๋ว นานนับนาทีที่มีแต่ความเงียบเข้าปลกคลุม แต่สุดท้ายโจชัวร์ก็พยักหน้ารับแล้วยอมลุกออกมา แต่ไม่วายเซทับลงบนขาอ่อนทิ้งท้าย จิณณ์ถึงกับน้ำตาเล็ด

“น้าจิณณ์ร้องไห้...”
โจชัวร์พูดเสียงอ่อยแล้วยื่นมือป้อมๆ ไปเกลี่ยน้ำตา แต่จิณณ์กลับผงะถอยเพราะตกใจ เจ็บคูณสองไปอีกเว้ย

“น้าจิณณ์เจ็บครับ โจชัวร์ทับ”
ผมกระซิบบอกหลานแล้วเหลือบมองจิณณ์ที่หน้าบูดเบี้ยวเกินบรรยาย มือหนาคลำลูบช่วงล่างเพื่อบรรเทาความเจ็บ สงสารแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง ให้อาสาทายายิ่งแล้วใหญ่ ผัวมันคงเตะติดประตู

“แอมซอรี่”
โจชัวร์พูดเสียงอ้อมแอ้มก้มหน้าสำนึกผิด ไอ้ท่าทีหมาหงอยแบบนี้ใครจะไปโกรธลง ขนาดจิณณ์ที่เจ็บเจียนตายยังเผลอยิ้มให้กับความน่ารักของหลาน

“มะ ไม่เป็นไร ซี๊ด”
โอ้โห อาการหนักสุดๆ ไอ้ไธไม่ได้ใช้เจลหล่อลื่นเหรอ เปิดซิงพี่กูจนเลือดอาบหรือเปล่าเนี่ย ต้องเรียกสินสอดให้หมดตัว!





ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 32 - P.5 (26/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-12-2017 08:30:48
ผมนั่งคุยกับจิณณ์เรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ มีโจชัวร์แทรกบ้างเป็นระยะเพราะอยากมีส่วนร่วม ไอ้ไธขอตัวไปจัดการอาหารเที่ยง ส่วนพี่ทาวน์นั่งกดโทรศัพท์ฆ่าเวลา เขาไม่ได้เล่นเกมแต่อ่านอีบุ๊คตำราแพทย์ต่างหาก เรียนหมอไม่มีวันหยุดพักจริงๆ สินะ สถาปัตย์กลายเป็นวิชาสบายไปเลย แต่ตอนทำโปรเจ็คคงสภาพเละไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

“น้าจิณณ์ ไปอควาเรียมกัน!”
อยู่ๆ เจ้าเด็กที่ขอดูการ์ตูนในโทรศัพท์ก็โผงขึ้นมาเมื่อคิดถึงจุดประสงค์หลักของวันนี้ ผมจะทำลืมแล้วเชียวเพราะขี้เกียจขับรถ สยามไม่ใกล้เลย ฮือ นั่งรถไฟฟ้าไปได้ปะวะ

“น้าจิณณ์ไม่สบายครับ ไปกับเราไม่ได้”
เสียงพี่ทาวน์ที่นั่งอยู่ไม่ใกล้เอ่ยบอกแทน ไม่รู้ว่าเลิกอ่านหนังสือไปตอนไหนเหมือนกัน

“งือ ป่วยเหรอ ต้องวัดไข้”
เด็กน้อยอนาคตคงอยากเป็นคุณหมอขยับลงจากตักของผมแล้วโน้มตัวลงแนบหน้าผากกับจิณณ์ แก้มกลมๆ ย้อนลงจนคนเป็นน้านึกหมั่นไส้จับบีบจนหลานยู่ปาก

“น่ารักจริงๆ เลยเจ้าลูกหมูของน้า”
จิณณ์บอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วจับหลานหอมแก้มซ้ายแก้มขวาย้ำหลายครั้ง โจชัวร์ปัดป่ายมือไปในอากาศราวกับไม่พอใจ

“โจชัวร์ผอมๆ ไม่หมู”
เมื่อหลุดออกมาจากอ้อมแขนของจิณณ์ได้ เจ้าตัวแสบก็กอดอกพองแก้มใส่เรียกเสียงหัวเราะจากคนในห้อง ไม่หมูเลย แก้มย้อน พุงกลมขนาดนี้

“ครับๆ ไม่หมู แต่ตอนนี้เราให้น้าจิณณ์พักผ่อนเนอะ”
ผมอุ้มโจชัวร์แนบอกแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะบอกลาจิณณ์ที่นอนเป็นผักเหี่ยว พี่ทาวน์ขยับเข้าไปคุยอะไรเล็กน้อย สงสัยคงแนะนำยาทาแผลล่ะมั้ง

“อื้อๆ เก็ทเวลซูน ~”
เด็กน้อยบอกน้าชายด้วยรอยยิ้มก่อนที่เราจะพากันไปยังจุดหมายที่อควาเรียม บอกลาเงินในกระเป๋าเพื่อจ่ายค่าเข้าชมได้เลย แพงหูฉีกแน่ๆ

พี่ทาวน์รับอาสาอุ้มเจ้าแสบแล้วให้ผมเดินไปซื้อบัตรเข้าชมที่หน้าเค้าน์เตอร์ เสียเงินสำหรับสามคนราวๆ สองพันห้าร้อยบาท ได้แผนที่ทางเดินมาสามแผ่น โธ่ ต้องเอาบิลไปเบิกกับพี่แจม รีดไถให้หมดตัวเลยแม่ง

ผมเดินไปสมทบกับพี่ทาวน์แล้วคุยกันเรื่องค่าบัตร เขาจะจ่ายในส่วนของตัวเองจนต้องเบรกว่าพี่แจมสนับสนุนการเที่ยวในครั้งนี้เพราะเป็นคนฝากพวกเราเลี้ยงลูกเอง เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้มีผู้คนเข้าชมอควาเรียมไม่น้อย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และวัยรุ่น ถ้าหากสังเกตสักนิดจะพบว่ามีหลายครั้งที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น

“เข้าไปกันเถอะ”
พี่ทาวน์ชักชวนก่อนจะเดินนำแต่ผมรั้งเขาไว้แล้วขออุ้มโจชัวร์แทนเพราะหลานตัวหนักไม่น้อย กลัวว่าจะเมื่อยแขนซะก่อน

เราเดินไปตามแผนที่ เริ่มต้นด้วยปลาขนาดเล็กแล้วเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โจชัวร์ดูตื่นเต้น สนุกสนานกับการชมสัตว์น้ำนานาชนิด พี่ทาวน์ช่วยคุยเป็นครั้งคราวเพื่อลดความกระอักกระอวนจากสายตาคนรอบข้าง จะมองอะไรกันนักหนา แค่พาหลานมาเที่ยวเว้ย

อุโมงค์ปลาฉลามเป็นจุดที่ผมอ้อยอิ่งนานที่สุดเพราะทุนเดิมชอบความเกรี้ยวกราดและรูปร่างปราดเปรียวของมันอยู่แล้ว บวกกับโจชัวร์อีกหนึ่งคนที่เป็นพวกเดียวกัน เจ้าหน้าที่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช่แฟลตก็เลยจัดกันไปอย่าให้เสียเที่ยว ดูไปดูมาก็เหมือนครอบครัวพาลูกมาเที่ยวว่ะ

“น้าทาวน์ ชาร์คแวรี่บิ๊ก!”
เสียงตื่นเต้นของโจชัวร์ดังขึ้นเมื่อปลาฉลามตัวโตว่ายน้ำผ่านศีรษะของเรา ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วได้แต่ยกยิ้ม ไม่เสียเที่ยวที่มาอควาเรียม สนุกดีเหมือนกัน อีกอย่างคือได้เห็นมุมพี่ทาวน์มีความสุขกับการเดินเล่นที่นี่

“ครับ ตัวใหญ่กว่าโจชัวร์เยอะเลย”
พี่ทาวน์บอกก่อนจะจับแก้มกลมให้ยืดออกด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ดวงตากลับเป็นประกาย เขาชอบเด็กและมีความสุขเป็นสิ่งที่ผมประมวลผลได้ในเวลานี้

“โจชัวร์จะกินเยอะๆ แล้วโตเท่าชาร์คเยย”
เจ้าตัวแสบอ้าแขนกว้างประกอบคำพูด เชิ่ดขึ้นอย่างมั่นอกมันใจว่าตัวเองจะโตเท่าฉลามจริงๆ

“จะโตเท่าหมูมากกว่ามั้ง เนี่ย พุงกลมแล้ว”
ผมหยอกก่อนจะจิ้มนิ้วลงบนพุงกลมที่อัดแน่นไปด้วยขนม โจชัวร์บุ้ยปากใส่ทันทีเมื่อได้ยินคำว่าหมู โอย เด็กอะไรน่าฟัดจริงๆ เลย ขี้อ้อนมากแต่กลับขี้งอนมากกว่า

“งือ น้าเจ็ทโซแบด!”
กลายเป็นคนไม่ดีเฉยเลย แค่พูดความจริงเอง โธ่

“โอ๋ๆ น้าเจ็ทล้อเล่น เราไปซื้อตุ๊กตาดีไหม”
แต่สุดท้ายผมก็โอ๋หลานเพราะกลัวว่าถ้าขัดใจมากๆ จะร้องหามัมกับแด๊ดที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปโผล่ที่ไหนกันแล้ว โทรไปก็ไม่รับ หึ

เด็กน้อยที่ทำหน้าบึ้งในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเบิกตาโตด้วยความตื้นเต้น รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นทันที โลกสดใสอย่างกับพระอาทิตย์ในวันที่ฟ้าปลอดโปร่ง เยี่ยม... เอาของเล่นล้อยังได้ผลดีเสมอ

“ไป เอาชาร์คนะ ชาร์ค ~”
ผมพยักหน้ารับแล้วหลุดหัวเราะให้กับความคลั่งฉลามของเด็กแสบ พี่ทาวน์ส่ายหัวช้าๆ คงปลงกับความกากของแฟนตัวเอง ใช้มุกเดิมๆ หลอกเด็ก แต่ถ้ามันได้ผลไอ้เจ็ทก็ยอมล่ะวะ

“ครับๆ น้าทาวน์สายเปย์ ฮึบ”
ให้กำลังใจตัวเองสักหน่อยก่อนที่ต้องควักแบงค์สีเทาอีกหลายใบ ฮือ แม่จ๋า ส่งพ็อกเก็ตมันนี่ให้ผมที หลานถลุงใช้หมดแล้ว

กว่าจะถึงคอนโดก็ปาเข้าไปสองทุ่ม โจชัวร์หลับคาอกพี่ทาวน์และไม่มีใครกล้าปลุกเลยปล่อยให้นอนไปก่อน ตื่นเมื่อไหร่ค่อยจัดการอาบน้ำแต่งตัวซะใหม่ ส่วนผมกับพี่ทาวน์ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง เที่ยวกับเด็กน้อยเป็นอะไรที่ทรหดจริงๆ

“ปวดเท้าฉิบ”
พี่ทาวน์บ่นพึมพำแล้วยกฝ่าเท้าขึ้นมากดไล่ความปวด ผมที่มองอยู่ถึงกับลุกพรวดขึ้นจากโซฟาเมื่อคิดอะไรได้

“พี่ทาวน์รอแป๊ปนึงนะครับ เดี๋ยวผมมา”
ผมบอกแล้วรีบเดินไปรื้อหากะละมังซักผ้าในห้องน้ำ เอามาใช้ทดแทนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

ผมรองน้ำอุ่นในภาชนะจนเกือบเต็มแล้วยกมันออกมาจากห้องน้ำ พี่ทาวน์ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

“นี่ครับ”
ผมวางกะละมังลงตรงหน้าพี่ทาวน์แล้วคลี่ยิ้มกว้าง ในมือมีน้ำมันหอมละเลยกลิ่นยูคาลิปตัสติดมาด้วย ถ้าหยดลงไปคงผ่อนคลายน่าดู

“เอามาทำไม”

“แช่เท้าไงครับ น้ำอุ่นจะช่วยลดความเมื่อยล้า ใช่ไหม”
คำบอกเล่าเชิงถามย้ำเพื่อความแน่ใจดังขึ้น ผมรอคำตอบด้วยใจจดจ่อในขณะที่พี่ทาวน์เบนหลบสายตา

“อืม”

“แช่เลยครับ เดี๋ยวผมหยดน้ำมันหอมเพิ่มเนอะ”
ผมบอกเขาแล้วหมุนฝาขวดน้ำมันหอมระเหยพร้อมหยด แต่พี่ทาน์กลับรั้งมือไว้ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ไม่อยากแช่เท้าเหรอ

“เดี๋ยวทำเอง ของต่ำ”
ที่แท้ก็เกรงใจ น่ารักชะมัด

“ผมเต็มใจ”
ผมคลี่ยิ้มแถมด้วยการจับข้อเท้าของพี่ทาวน์ให้จุ่มลงในอ่างน้ำอุ่นแบบไม่นึกรังเกียจ ให้จะถือเรื่องของต่ำของสูงก็ถือไป แต่นายภาคินชิวๆ ไม่เคร่งครัดอะไรมาก อยากทำอะไรก็ทำ

“เจ็ทครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกด้วยคำที่แปลกไปทำให้ผมต้องช้อนตามองอย่างช่วยไม่ได้ ในตอนนี้เองที่เพิ่งได้รู้ว่าระยะห่างของเราใกล้เคียงเลขศูนย์เข้าไปเต็มทน

“ขอบคุณ”
ถ้อยคำแผ่วเบาผ่านหูไปก่อนที่สัมผัสนุ่มหยุ่นจะแตะลงบนกลีบปาก อ้อยอิ่งเชื่องช้าเพื่อแสดงความขอบคุณจากใจจนไม่อยากผละออกจากกันเลย

บอกแล้วว่า ‘พี่ทาวน์’ น่ารักที่สุดในโลก





------------------------------------------------

มันก้จะครอบครัวหน่อยๆ ละมุนละไม คึคึ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 32 - P.5 (26/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 26-12-2017 12:15:36
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 32 - P.5 (26/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Ouizzz ที่ 26-12-2017 12:32:59
สงสารเจ็ท :m20:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 32 - P.5 (26/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 26-12-2017 12:45:59
ถึงเจ็ทจะนก แต่โจชัวร์น่ารักเราให้อภัย ขอฟัดแก้มหมูน้อยที  :กอด1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 32 - P.5 (26/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 26-12-2017 13:21:49
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 32 - P.5 (26/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 26-12-2017 16:05:11
พญานกจริงๆสินะเจ็ทเอ้ยยยยยย
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 32 - P.5 (26/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 27-12-2017 00:03:47
พญานก มาก เว่อร์ :m20:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 32 - P.5 (26/12/60)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-12-2017 00:05:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 33 - P.5 (04/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-01-2018 20:36:29
แข่งครั้งที่ 33



การเลี้ยงเด็กผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และขอสาบานว่าในอนาคตหากพี่ทาวน์อยากมีลูกผมจะค้านหัวชนฝา เหนื่อยสายตัวแทบขาด ตอนที่โจชัวร์งอแงไม่เอาใครมันสาหัสจริงๆ แต่ของตอบแทนค่าเหนื่อยถือว่าคุ้มเพราะได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่มาครอบครอง ส่วนพี่ทาวน์ได้น้ำหอมแบรนด์ Tomford ขวดละเป็นหมื่น (ความจริงแล้วคือครอบครัวรวมหัวกันซื้อให้เป็นของขวัญรับแฟนลูกชายคนเล็ก)

สัปดาห์สุดท้ายของการปิดเทอมได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมกับพี่ทาวน์ตกลงกันว่าจะขับรถลงใต้ไปเที่ยวภูเก็ตพร้อมด้วยบรรดาเพื่อนๆ อีกหลายชีวิต กระเป๋าใบโตที่บรรจุเสื้อผ้าสำหรับสองคนถูกจัดเตรียมเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืน ไอ้เอยเป็นคนจัดการเรื่องวิลล่า พี่แฮมวางแผนเรื่องร้านอาหาร ไอ้ฟาร์มหาสถานที่ท่องเที่ยว ส่วนที่เหลือช่วยกันออกความคิดเห็น

ยามเช้าที่มีฝนตกปรอยๆ ทำให้ผมคุดคู้อยู่บนที่นอนอย่างเกียจคร้าน มันหนาวจนต้องควานมือหาความอบอุ่นแต่ข้างตัวว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต พี่ทาวน์คงตื่นไปออกกำลังกายแล้ว

ผมยันกายลุกขึ้นจากเตียงแล้วบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนเดินออกไปนอกห้องนอน สิ่งที่เจอต่างไปจากสิ่งที่คิดอยู่มาก เพราะพี่ทาวน์กำลังเตรียมอาหารเช้าด้วยการยกข้าวต้มแช่แข็งของเซเว่นเข้าตู้ไมโครเวฟ ทุกทีเขาไม่เคยทำ แต่วันนี้สงสัยฝนจะตก พายุจะเข้า...

“พี่ทาวน์ครับ”
ผมเรียกเขาเสียงเครือเพราะเพิ่งตื่นนอน อีกฝ่ายทำเพียงแค่เหลือบมองแล้วกลับไปสนใจตู้ไมโครเวฟต่อ อยากถามว่ามันหน้าตาดีนักหรือไงถึงสนใจมากกว่าแฟนแบบนี้

“ไปอาบน้ำ”
คำสั่งเรียบๆ แต่ทำให้ผมถึงกับเบะปาก จะเข้ามาอ้อนกอดสักหน่อยกลับโดนไล่ซะอย่างนั้น เกิดเป็นไอ้ภาคินช่างน่าสงสาร

“โธ่ เพิ่งหกโมงเองครับ ไม่ต้องรีบอาบหรอก”
ผมขัดคำสั่งแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ดวงตาคมมองคนที่ยืนพิงสะโพกกับเค้าน์เตอร์ครัวด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่อย่าหวังว่าพี่ทาวน์จะเขินง่ายๆ เพราะตอนนี้เริ่มทำเสียงหึให้ขนลุกแล้ว

“นัดแปดโมง”
นัดออกเดินทางไปภูเก็ต ซึ่งผมเป็นคนขับรถครึ่งแรกจ้า ส่วนครึ่งหลังเป็นไอ้ไธ ต้องเพิ่ง GPRS ทั้งคู่ แล้วคนที่รู้เส้นทางก็เสือกรวมตัวกันที่รถอีกคัน แม่ง อยากจะฆ่าพวกมันทิ้งจริงๆ

“ชิวๆ อาบน้ำสิบนาทีก็เสร็จ แต่ตอนนี้หนาวจังเลยครับ ขอกอดได้ไหม”
ผมบอกด้วยเสียงอ้อนๆ แล้วกางแขนเพื่อรอรับอีกคนเข้าสู่อ้อมกอด แต่พี่ทาวน์ทำเพียงย่นคิ้วแล้วบุ้ยปากไปทางตะกร้าใส่เสื้อผ้าที่เพิ่งซักมาใหม่

“ใส่เสื้อสิ ไม่ใช่ล่อนจ้อนโชว์รอยสักแบบนี้”
พี่ทาวน์หรี่ตามองคล้ายไม่พอใจที่ผมถอดเสื้อนอนเมื่อคืนนี้ ก็เมื่อคืนอากาศมันร้อนใครจะคิดว่าตอนรุ่งสางฝนจะตก แต่นายภาคินไม่ยอมรับความพ่ายแพ้หรอก ยังไงเช้านี้ก็ต้องได้รับกอดอุ่นๆ จากแฟน

“ใจสั่นก็บอก”
ผมเอ่ยล้อก่อนจะลุกขึ้นแล้วยืดอกเพื่อตั้งใจโชว์รอยสักรูปเข็มทิศ จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน พี่ทาวน์เคยหงุดหงิดเพราะมันมาแล้ว

“หึ อยากรู้ก็เข้ามาพิสูจน์ใกล้ๆ”
พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบคำถามกลับมาตรงๆ แต่ออกปากเชิญชวนด้วยท่วงท่าที่ทำให้ผมต้องขบกรามแน่นเพราะเขาหงายมือแล้วกระดิกนิ้วชี้ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แม่ง โคตรจะยั่ว แบบนี่เขาเรียกพูดน้อยแต่ต่อยหนักหรือเปล่า ปล่อยหมัดทีก็ชนะน็อคตลอด

“เชิญชวนเหรอครับ”
ผมรู้ว่านั่นเป็นกับดักทรงพลังแต่ก็เต็มใจยื่นเท้าเข้าไปแหย่หรือบางทีก็กระโจนทั้งตัว

“อืม”
พี่ทาวน์พยักหน้ายืนยันทำให้ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปหา แต่เมื่อระยะทางลดลงกลับต้องชะงักกึก เบิกตาโพลงมองสิ่งที่ถูกส่งมาเป็นปราการป้องกัน ฉิบหายแน่ๆ คราวนี้

“เฮ้ย ยกเท้าทำไมพี่”
นี่ถ้าเขายกยันหน้าอกผมได้คงทำไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็อันตรายเหมือนกันเพราะมันอยู่กลางเป้า

“ก็กูเท้าสั่นอยากถีบมึงไง”
คำเฉลยเสียงกลั้วหัวเราะทำให้ผมถึงกับบุ้ยปากแล้วยอมถอยกลับไปนั่งที่เดิม ขืนทำรุ่มร่ามมากกว่านี้คงโดนถีบแน่ๆ จะกอดแต่ละทีอุปสรรคเยอะเหลือเกิน นี่แฟนหรือข้าทาสครับ ทำร้ายกันจังเลย ฮือ

“โห ร้ายกาจ!”

หลังจากงอแงพอเป็นพิธีก็ได้เลิกกลับเข้าห้องเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว ชุดที่จะใส่วันนี้เป็นเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนแบบสบายๆ เหมาะแก่การไปทะเลแต่ให้กูใส่ตั้งแต่ออกจากคอนโดกว่าจะถึงที่หมายก็ดึกแล้ว ไอ้เวรจิณณ์เอ้ย มึงจะรีบทำไมเนี่ย!

คิดว่าผมจะใส่ชุดที่ฝาแฝดเตรียมให้ไหม คำตอบคือใส่เพราะขี้เกียจเถียงกับมัน ส่วนพี่ทาวน์อยู่ในชุดลำลองง่ายๆ อย่างเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงขาสามส่วนกำลังง่วนอยู่กับการยกข้าวต้มออกจากไมโครเวฟเทใส่ถ้วยกระเบื้อง กลิ่นหอมเชิญชวนให้น้ำย่อยเริ่มทำงาน ถึงจะไม่ใช่อาหารที่อร่อยที่สุด แต่เขาเป็นคนเตรียมให้เชียวนะ

“หูย ข้าวต้มน่ากินจังครับ”
ผมพุ่งเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้วยท่าทางตื่นเต้นพร้อมฉีกยิ้มกว้าง พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบกลับแต่ส่งช้อนมาให้ ใบหน้าช่างเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ซะจริงๆ

ผมจ้วงข้าวต้มเซเว่นขึ้นมาเป่าเพื่อระบายความร้อนแต่สายตากลับจับจ้องคนที่กำลังละเลียดลาเต้ลงคอ ฟองนมที่ติดอยู่บนริมฝีปากทำให้ต้องกลืนน้ำลายฝืดๆ อยากพุ่งเข้าไปทำความสะอาดให้เหลือเกิน

“ข้าวต้มอร่อยมากเลย”
ผมลองพูดเพื่อดูปฏิกิริยาตอบกลับ แต่พี่ทาวน์ก็ยังคงสนใจลาเต้ร้อนเหมือนเดิม ทำไมเขาทำกับแฟนแบบนี้ล่ะวะ

“.....”

“ฟินสุดๆ”
ผมพูดต่อ แต่คราวนี้พี่ทาวน์ถลึงตาแล้วหยิบหัวหอมในแซนวิชปาใส่ สงสัยหมดความอดทนหรืออีกอย่างคือทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะเขินที่มาเตรียมอาหารให้ครั้งแรก... หูย ใช่แน่ๆ

“เดี๋ยวสลบไม่รู้ตัว”
เสียงเย็นๆ ที่เปล่งออกมาทำให้ผมกลายเป็นหมาหงอย เคี้ยวข้างในปากอย่างซึมๆ แหย่เขามากไปจนได้เรื่องอีกแล้วกู

“ก็แค่อยากชม...”
ผมพึมพำเสียงอ่อย ช้อนตามองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ประสาท แค่จับใส่ไมโครเวฟจะชมเพื่ออะไร”
พี่ทาวน์หูดีอย่างเหลือเชื่อ ถึงปากจะบ่นแต่มือยังหยิบของกินประเคนให้ไม่หยุด นม น้ำผลไม้ แถมตามด้วยอมยิ้มกลิ่นแอปเปิ้ล ซึนไม่มีใครเกินจริงๆ เลย

“ก็แฟนน่ารักนี่หว่า”
ผมเลิกหงอก่อนท้าวคางมองพี่ทาวน์ด้วยรอยยิ้ม วางมือจากช้อนแล้วเอื้อมไปจับแก้มนุ่มเล่น เขาถลึงตาใส่แต่ไม่ได้ปัดป้องแต่อ้าปากจะงับมือกันต่างหาก โคตรโหด

“พูดมาก รีบๆกิน จะแปดโมงแล้ว”

มื้อนี้อาจจะไม่อิ่มท้อง แต่อิ่มอกอิ่มใจแน่นอน

ผมแบกกระเป๋าใบโตขึ้นหลังแล้วให้พี่ทาวน์หิ้วพวกเสบียงตามมาเพื่อเอาไว้กินระหว่างออกเดินทาง ส่วนคนที่เหลือก็ยืนรออยู่ตรงล็อบบี้ ข้าวของท่วมท้นอย่างกับไปต่างประเทศ พวกมึงจะนั่งกันตรงไหนหื้ม ได้ข่าวว่าเอารถไปแค่สองคันนะเว้ย

“พวกมึงจะย้ายบ้านไปอยู่ภูเก็ตหรือไง”
ผมเอ่ยทักเมื่อเดินมารวมตัวกับกลุ่มเพื่อนเรียบร้อยก่อนจะหันไปยิ้มทักทายพี่ฟาและพี่แฮมที่ยืนถัดไป ไอ้ฟาร์มเจ้าของกระเป๋าใบโตฉีกยิ้มกว้างไม่รู้สึกรู้สากับคำประชด หน้าด้านจริงๆ เลยว่ะ

“เออ จะขอพ่อแม่ไปสร้างเรือนหอที่นั่น”
มันบอกเสียงใส ท่าทางร่าเริงเกินเหตุจนผมต้องหรี่ตามองอย่างคาดคั้น มีอะไรเกิดขึ้นวะ หรือมันกับพี่ฟาลงเอยกันเรียบร้อยแล้ว

“จีบพี่ฟาติดแล้วหรือไง”
จิณณ์ที่ยืนป้อนขนมไอ้ไธอยู่ถึงขนาดสอดปากเข้ามาถามคนขี้มโน ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยจนทำให้ไอ้ฟาร์มหน้ามุ่ยไปเลย พวกเราไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย

“อย่าทำลายความฝันกูสิวะจิณณ์ แต่อีกไม่นานกูจะคว้าดาวให้ได้ ที่ภูเก็ตนั่นล่ะ”
มันบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่กับแผ่วเบาเหมือนกลัวใครแถวนี้ได้ยิน ซึ่งคงไม่พ้นพี่ฟาที่คุยกับแฟนผมอย่างออกรส (พี่เขาคนเดียวน่ะนะ ส่วนพี่ทาวน์แค่พยักหน้า)

“สาธุนะมึง ขอให้ได้ ขอให้โดน”
อันนี้ไอ้ไธมันอวยพรพร้อมทั้งตบบ่าให้กำลังใจ ผมก็ได้แต่ยิ้มเท่านั้น เพราะขี้เกียจจะยุ่งเรื่องนี้ ยืดเยื้อจนบางทีเผลอคิดว่าถ้าพี่ฟาไม่ได้ชอบไอ้ฟาร์มเป็นทุนเดิม เขาอาจมีแฟนไปแล้วมั้ง

“ถ้าคุณฟาร์มทำได้ ผมยอมเลี้ยงบิงซูในสเวนเซ่นเลยครับ”
ขนาดไอ้ตังค์ที่ยืนสงบเสงี่ยมในตอนแรกยังกล้าออกปากท้า มันคงเห็นไอ้ฟาร์มเป็นคนกากแห่งปี ไม่สิ ข้ามปีแล้วต่างหาก

“เตรียมเงินไว้เลยไอ้แว่น!”
ไอ้ฟาร์มรับคำท้าอย่างหนักแน่นแล้วเอื้อมมือไปจิ้มหน้าผากไอ้เนิร์ดจนเกือบหงายหลัง เป็นจังหวะเดียวกันที่สามีสุดเถื่อนของมันกลับมาจากห้องน้ำ ผมได้แต่ร้องบอกเพื่อนในใจว่า ‘โชคดีนะมึง อย่าเพิ่งตายทั้งที่ยังไม่ได้พี่ฟาเป็นแฟน’

“ตวาดอะไรแฟนกู เดี๋ยวตบหัวทิ่ม”
ไอ้เอยขู่เสียงเขียวก่อนจะรวบเอวคนร่างเล็กเข้าไปกอดไว้อย่างหวงแหน ไม่มีคำว่าอายหรือกลัวสายตาคนอื่นจะมองแปลกๆ เลยด้วยซ้ำ ผมว่าผมชอบความเป็นไอ้เอยนะ ตรงๆ ไม่อ้อมค้อมดี ที่สำคัญคือไอ้ตังค์ไม่ขัดขืน นี่ก็อ้อนผัวน่าดู หมั่นไส้เว้ย

“ถามจริง มึงหลงอะไรไอ้แว่นนักหนาเนี่ย”
ไอ้ฟาร์มทำเนียนด้วยการค่อยๆ ถอยหลังหนีแล้วเอาผมเป็นเกราะป้องกันส่วนตัวเนื่องจากคำถามวอนโดนตีน แล้วกูเกี่ยวอะไรกับมึงเนี่ย อยากจะบ้าตาย เฮ้อ

“มันน่ารัก”
แต่ไอ้เอยกลับตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแถมหลุบสายตามองไอ้ตังค์ด้วยรอยยิ้มชวนหลงใหล นี่สินะ เขาเรียกว่าความรักที่แท้จริง คนเถื่อนกับเด็กเนิร์ดคนละแนวเลยไหมล่ะมึง

“ตรงไหน”
ไอ้ฟาร์มถามอีกครั้งก่อนคว้าชายเสื้อของผมไว้แน่เพื่อป้องกันการหนี ถ้ามันไม่กระซิบบอกว่าจะซื้ออมยิ้มเซ่นทั้งเดือนคงไม่ยอมหรอก นี่ไม่ได้เห็นแก่กินจริงๆ นะ

“สำหรับกู พอใจยัง”
คำตอบของไอ้เอยทำให้พวกเราเบะปากโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ไอ้คนที่ยืนหน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุกโคตรน่าหมั่นไส้กว่าร้อยเท่า ตั้งแต่มันมีผัวเป็นตัวเป็นตนนี่หน้าบางสุดๆ ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลงและยอมรับว่าเพื่อนกลายเป็นสาวน้อยบอบบางไปแล้ว

“จ้า กูล่ะอิจฉาคนมีความรักเหลือเกิน ชิ”
ไอ้คนปากหมาก็ยังไม่วายแขวะเพื่อนจนผมต้องหันไปส่งสายตาเป็นเชิงปราม จากที่แค่จะเล่นสนุกถ้าเกิดโกรธกันจริงขึ้นมาทริปจะล่มแล้วกูอดเผด็จศึกพี่ทาวน์ แค่กๆ ทำไมอยู่ๆ ก็คันคอจัง

“ถ้ากูเป็นพี่ฟาจะไม่เอามึงทำผัวแน่ๆ ปัญญาอ่อน”
ไอ้เอยส่ายหัวด้วยท่าทางกวนตีนสุดๆ แถมยังเย้ยไอ้ฟาร์มด้วยการส่งสายตาไปมองพี่ฟาที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตัวเอง

“ไอ้เอย!”
ไอ้ฟาร์มทิ้งเกราะป้องกันตัวแล้วทำท่าจะเดินไปเอาเรื่องคนเถื่อนแต่ดีที่ผมคว้าคอเสื้อด้านหลังไว้ได้ทัน และนั่นส่งผลให้มันไอ้โขลกออกมา กูขอโทษ

“เฮ้ยๆ พอเหอะน่าเอย มึงอย่าไปแกล้งมันดิวะ”
จิณณ์ละจากการปรนนิบัติไอ้ไธแล้วมาห้ามสงครามโดยการที่ส่งมือไปตีแขนเพื่อน

“สนุกดี อารมณ์ขึ้นง่ายฉิบหาย”
มันกระตุกยิ้มยั่วจนทำให้คนที่เพิ่งไอโขลกกลับมาหน้าตึงอีกครั้ง คราวนี้ผมยึดไหล่ไอ้ฟาร์มไว้แน่น ลองขยับตัวสิ พ่อจะกัดให้หูขาดเลย ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้

“นิสัยไม่ดีเลยครับคุณเอย คืนนี้งดนะ”
คำพูดนิ่งๆ ของไอ้ตังค์ทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้างตาถลน ไม่เว้นแม้แต่ไอ้เอยที่มุ่ยหน้าทันทีราวกับโดนขัดใจ อย่า... พวกมึงอย่าทำให้กูคิดอกุศล

“ไม่ได้สิวะ กูอดอยากมาเป็นเดือนๆ แล้ว”
ชัดเจนจนเบี่ยงไปเรื่องอื่นไม่ได้เลย ให้ตาย พวกมึงอย่ามาโชว์ความเป็นผัวเมียแถวนี้นะเว้ย พญานกรู้สึกเจ็บจี๊ดยังไงก็ไม่รู้

“เดี๋ยวๆ พวกมึงคุยเรื่องอะไรกัน เกรงใจคนอื่นหน่อย”
ผมเอ่ยปรามพวกมันแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าไม่เกรงใจกูก็เกรงใจไอ้ฟาร์มที่ยังไม่ได้แฟนมาควงเถอะ ช้ำกว่านี้ก็คงกระอักเลือดตาย

“จำเป็นเหรอ เรื่องของผัวเมีย มึงไม่มีอย่าเสือก”
โอ้โห จุกถึงลิ้นปี่เลย

“ไอ้...”
แถมด่าไม่ออกด้วย เจ็บเว้ย!

ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ ชี้หน้าไอ้เอยอยู่แบบนั้น มันยิ้มเยาะแล้วกอดคอแฟนหนีออกไปขึ้นรถอีกคัน แม่ง... ทำไมเป็นคนที่เอาเรื่องจริงมาพูดเล่นแบบนี้วะ มึงต้องการอะไรกับคนกากอย่างกู

“เจ็ท ไปกันเหอะ สายแล้ว”
เสียงเรียบที่ดังมาจากมุมหนึ่งของล็อบบี้ทำให้ผมหันขวับไปมอง ลืมไปแล้วว่าพวกพี่ทาวน์ก็ยืนอยู่ไม่ไกล จะได้ยินที่พวกเราคุยกันไหมวะ โอย อยากเอาหัวโขกกำแพงแล้วก็ตายไปอย่างเงียบๆ

“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้เลย”
แต่ผมทำได้แค่วิ่งแบกกระเป๋าตรงไปหาเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเวลาต่อจากนี้ไปแผนเผด็จศึกพี่ทาวน์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว หึหึ คราวนี้ไม่พลาดแน่ รับรอง

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาลพิเศษ โดยเลือกใช้เส้นทางพระรามสองตามที่คนในพันทิปแนะนำ ผ่านประจวบฯ เลยแวะกินข้าวเที่ยงกันก่อนจะเดินทางต่อ ภายในรถเงียบกริบเพราะต่างคนต่างจมเข้าโลกส่วนตัว ไอ้ไธหลับ ส่วนจิณณ์นั่งเล่นเกม พี่ทาวน์อ่านตำราเรียน ผมล่ะอยากขว้างหนังสือเล่มนั้นทิ้งจริงๆ เลย ดึงความสนใจดีนักนะ ครั้นจะชวนคุยก็เกรงใจเลยได้แต่ทำหน้าบูดเป็นตูดอยู่แบบนี้

“เอาอมยิ้มไหม”
อยู่ๆ คนที่ก้มหน้าอ่านหนังสือก็ถามขึ้นทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าลืมกันไปแล้วหรือ

“ไม่เอาครับ”
ผมปฏิเสธเพราะรู้สึกกระหายน้ำมากกว่า แต่ดูเหมือนพี่ทาวน์จะเข้าใจผิดว่าโดนงอนเพราะเขาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพลางขมวดคิ้วแน่น

“เป็นอะไร”
เสียงปิดหนังสือตามมาทำให้ผมหายใจติดขัด เมื่อครู่เกือบเหยียบเบรกกะทันหันซะแล้ว ทำไมบรรยากาศมันอึมครึมขนาดนี้ หรือเมื่อครู่เผลอแสดงสีหน้าแย่ๆ ออกไปวะ

“เปล่าครับๆ แค่หิวน้ำน่ะ”
ผมปฏิเสธก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ เป็นการยืนยัน พี่ทาวน์ครางรับแล้วเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำออกมาเป็นขณะเดียวกันกับที่รถติดไฟแดงพอดี

“กินซะ”
ขวดน้ำที่ถูกเปิดอย่างเรียบร้อยพร้อมกับหลอดที่ปักลงไปพร้อมดูด ผมทำท่าจะเอื้อมมือไปรับแล้วกล่าวขอบคุณแต่พี่ทาวน์กลับขยับหนีแถมด้วยการถลึงตาใส่ ไอ้ภาคินทำอะไรผิดครับ... งงในงงมาก

“ป้อน”
คำพูดสั้นๆ ทำให้ผมสตั้นก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างที่สุดในรอบวัน รีบก้มลงดูดน้ำเปล่าไปเกือบครึ่งขวด โคตรสดชื่น

“ขอบคุณนะครับที่รัก”
ผมหยอดคำหวานด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเลยโดนสายตาอาฆาตจ้องเขม็งก่อนที่ขวดน้ำจะปิดมากระแทกหน้าผากเข้าเต็มๆ ซี๊ดเลยครับ แถมได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วจากคนเป็นพี่ชาย โคตรอาย!

“เลี่ยน”
พี่ทาวน์เบนหน้าหนีไปทางอื่นแต่ก็แอบยิ้มเล็กๆ โอย โคตรน่ารักเลยเว้ย รีบขับรถให้ถึงสุราษฎร์ฯ ดีกว่าจะได้เปลี่ยนไปนั่งจู๋จี๋กับเขาที่เบาะหลังสักที

กว่าจะถึงที่หมายในการเปลี่ยนมือคนขับผมก็แทบจะคลานลงจากรถเพราะไม่ค่อยเดินทางไกลมากนัก ขาขวาปวดร้าวจนไม่อยากขยับ นี่คือผลของการอู้ออกกำลังกายมาหลายเดือนหรือเปล่าวะ

“หมดสภาพเลยเหรอวะ”
ไอ้เอยที่เดินลงมาเซเว่นด้วยกันทักขึ้นเมื่อเห็นผมเดินลากขา หันไปตวัดสายตามองแรงใส่มันเพราะยังไม่หายเคืองเรื่องเมื่อเช้า

“ยุ่ง”
ผมบอกปัดๆ ก่อนจะเดินไปหยิบไส้กรอกสองถุงแล้วตรงไปจ่ายเงินที่เค้าน์เตอร์ มันก็ไม่วายตามมายืนอยู่ด้านหลังแถมหยิบกล่องถุงยางขึ้นมายั่วอีก เดี๋ยวกูถีบออกไปนอกร้านเลยไอ้เพื่อนเหี้ย

“ไม่ซื้อบ้างเหรอ อ้อ ลืมไปว่าคงไม่มีโอกาสใช้”
ปากหมากว่าไอ้ฟาร์มก็วิศวะหน้าเหี้ย... ม อย่างมันนี่ล่ะ โอย ใครก็ได้เอามันออกไปไกลๆ ที

“มึงไม่ได้ฉีดยาหรือไง กัดกูจังนะวันนี้”
ผมถามเสียงรอดไรฟันแต่ฉีกยิ้มให้พนักงานหน้าเค้าน์เตอร์แล้วล้วงเงินออกไปจ่ายและรอไส้กรอกที่ส่งเข้าไมโครเวฟ ไอ้เอยขยับเข้าไปแทนที่เพื่อจัดการธุระของตัวเองแต่ไม่วายหันมาตอบคำถาม

“แค่อยากกระตุ้นให้มึงเลิกนกสักที นี่กูหวังดีนะ”

“อย่างมึงเขาเรียกกวนตีน ไอ้เหี้ย”

“อ้าวเหรอ เพิ่งรู้ตัว”
มันเลิกคิ้วขึ้นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จนผมอยากจะยกขาถีบก้น แต่ด้วยความที่คนในเซเว่นเยอะเลยทำได้แค่แจกเขี้ยวใส่ คำด่าก็คิดไม่ออก

“ไส้กรอกได้แล้วค่ะคุณลูกค้า”
เสียงระฆังจากพนักงานสาวทำให้ผมต้องปรับสีหน้าทันควันเมื่อยื่นมือรับไส้กรอก เธอยิ้มเขินๆ มาให้แล้วกลับไปคิดเงินลูกค้าคนอื่นต่อ ทีไอ้เอยซื้อถุงยางทำไมหน้านิ่งจังวะ กูแค่ซื้อไส้... กรอก โอย ขอร้องอย่าจับคู่จิ้น!

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง”
ผมทำได้แค่กำถุงไส้กรอกแน่นแล้วชี้หน้าคู่กรณีเป็นการคาดโทษก่อนจะเดินออกจากร้านแบบลืมว่าปวดขากันเลยทีเดียว

ผมส่งของกินในมือให้พี่ทาวน์แล้วจัดการของตัวเองไปเงียบๆ เพราะอารมณ์ยังบูด ก็รู้ว่าเพื่อนมันแกล้งเล่นแต่ลึกๆ มันกลับคล้ายการดูถูกมากกว่า คนที่ยังไม่มีอะไรกับแฟนมันผิดนักหรือไงวะ รู้จักคำว่ายินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่ายหรือเปล่า ไม่ใช่อยากได้ก็ปล้ำเอาแบบมัน กว่าจะจีบพี่ทาวน์ติดมันยาก ถ้าพังเพราะความหื่นก็คงน่าสมเพช

“ช่วยกินหน่อย”
อยู่ๆ พี่ทาวน์ก็ส่งตับไก่ย่างที่ไม่รู้ว่าเดินไปซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมกำลังจะส่ายหัวปฏิเสธแต่เขาขยับมาจ่อที่ปาก กินก็กอนวะ แฟนอุตส่าต์ป้อนทั้งที

ผมงับตับไก่แล้วเคี้ยวจนแก้มตุ่ย จังหวะที่กำลังจะคลี่ยิ้มเป็นการขอบคุณคนป้อนกลับโดนมือเรียวปาดเข้าที่มุมปากอย่างแผ่วเบา การกระทำไม่มีสะดุดคล้ายกับว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ากลัว น่ารัก น่ารักเกินไปแล้ว

“กินอย่างกับเด็ก”
คนทำตัวแก่บ่นกระปอดกระแปดก่อนจะเช็ดนิ้วเปื้อนลงบนกระดาษทิชชู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมมองท่าทางนั้นแล้วคลี่ยิ้มละมุน อยากจับเขาฟัดให้น่วมจริงๆ เดี๋ยวนี้แสดงออกถึงสถานะระหว่างเราชัดเจนขึ้น ถึงแม้ไม่ได้ป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ก็เถอะ

“ทำไมวันนี้ทำตัวน่ารักจังครับ”
ผมรวบถุงไส้กรอกไว้ในมือก่อนจะมองคนข้างตัวด้วยแววตาสงสัย ไอ้ทำตัวน่ารักมันก็ดี หัวใจทำงานหนักนืดหน่อย แต่ยังไงก็ดูแปลก... ต้องมีเหตุผลสิ

พี่ทาวน์ชะงักมือที่ง่วนอยู่กับการแกะพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำ ดวงตารีเหลือบมองผมครู่หนึ่งก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามเย็น

“ก็มึง... หงุดหงิดอยู่ไม่ใช่หรือไง”

“พี่รู้เหรอ”
ผมถามด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะรับรู้เรื่องในวันนี้

“อืม กูถามไธเมื่อกี้”
เขาพยักหน้ารับก่อนจะยกขวดน้ำขึ้นกระดก ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเพราะเพิ่งคิดได้ว่าทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงมาตลอดทั้งวัน

“อ่า... ผมคงงี่เง่ามากไป ไอ้เอยก็แค่แกล้ง”
ผมพูดเสียงเบาก้มหน้ามองพื้น รู้ทั้งรู้ว่าไอ้เอยขี้แกล้งแต่ก็เผลออารมณ์เสียไปกับมันจนได้ ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย แล้วแบบนี้จะปกป้องพี่ทาวน์ได้ยังไง

“ไม่หรอก ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ไม่ต้องใส่ใจ กูกับมึงเป็นยังไงเรารู้ดีกันแค่สองคน”
พี่ทาวน์เอื้อมมือมาบีบไหล่กันจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มละมุนเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าเขาคิดอย่างที่พูดจริงๆ แววตาไม่มีแววตำหนิอะไรทั้งนั้น

“โคตรรักพี่เลยว่ะ”
ผมโน้มตัวลงไปกระซิบข้างใบหูแล้วกดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่มนั่น ดีหน่อยที่ตรงนี้เป็นมุมอับสายตาและมีรถเอสยูวีบังอยู่ ถ้าไม่เกรงใจจริงๆ คงจับฟัดไปแล้ว

“หึ ให้มันจริง”
พี่ทาวน์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะใช้ฝ่ามือตบแก้มกันเบาๆ เป็นการหยอกล้อแล้วขึ้นรถไปในขณะที่คนอื่นๆ กลับมาจากทำธุระส่วนตัว

พวกเราออกเดินทางกันต่อโดยที่รอบนี้มีไอ้ไธเป็นคนขับ บรรยากาศในรถคึกครื้นขึ้นเพราะจิณณ์เปิดเพลงคลอ เพื่อกระตุ้นไม่ให้ง่วง ผมสอดหมอนรองคอแล้วเอนหลังพิงเบาะ ความเมื่อยล้าที่สะสมตลอดทั้งวันพาลให้ร่างกายอยากพัก ขอนอนหน่อยนะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงจะถ่างตาไปพี่ทาวน์ก็เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ดี

จำได้ว่าก่อนจะหลับยังนั่งพิงเบาะอยู่เลย แต่ทำไมตอนลืมตาตื่นเพราะเสียงเฮลั่นของจิณณ์ว่าถึงวิลล่าที่จองเอาไว้กลับกลายเป็นว่านอนหนุนตักพี่ทาวน์อยู่ แถมเขายังเก็บหนังสือไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และที่น่าตกใจสุดๆ คือมือเรียววางทับอยู่บนเอวสอบ แม่ง... พลาดโมเม้นท์ดีๆ จนได้เลยกู

ผมเดินตัวปลิวเข้าที่พักอย่างงัวเงียเต็มที่โดยที่พี่ทาวน์ยึดกระเป๋าเสื้อผ้าไปถือไว้เอง แถมยังทำหน้าดุใส่ตอนที่จะไปแย่งคืน โอเคครับ เข้าใจแล้วว่าเป็นห่วงแต่ปากแข็ง

แต่ละคนมีสภาพไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไหร่เพราะตาปรือพร้อมที่จะทิ้งตัวลงบนเตียงทุกคน ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วได้แต่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ดึกจนล่วงเลยเข้าวันให่ขนาดนี้ใครไม่ง่วงคงแปลก

วิลล่าหลังใหญ่แบ่งห้องนอนเป็นสี่ ห้องนั่งเล่นตรงกลาง มีห้องครัวสำหรับทำอาหารอย่างง่าย โต๊ะกินข้าวขนาดสิบที่นั่ง สระว่ายน้ำส่วนตัว ก่อนมาที่นี่เราตกลงกันไว้แล้วว่าใครจะนอนกับใคร ก็... จับคู่แฟนตัวเองนั่นล่ะ ส่วนคนโสดไปกระจุกอยู่ด้วยกัน ได้แก่ พี่แฮม พี่ฟา และไอ้ฟาร์ม

จิณณ์กับไอ้ไธขอตัวเข้าห้องก่อนใครเพื่อนแล้วตามมาด้วยคู่รักต่างขั้วและพี่ทาวน์ที่หนีไปจัดเสื้อผ้า เหลือทิ้งไว้ก็แต่ผมที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟา กับหนุ่มโสดสามหน่อที่กำลังยืนลับฝีปากคอเป็นเอ็น

“โอย กูขอไม่อาบน้ำนะ โคตรอยากนอนเลย”
เสียงงอแงของพี่แฮมดังขึ้น ผมที่นั่งหลับตาพิงพนักโซฟาถึงกับขมวดคิ้วแน่น แปลกใจที่คนโอดครวญคือบุคคลซึ่งนั่งกินขนมสบายๆ อยู่เบาะหลัง

“อี๋ สกปรกอะมึง ไปไกลๆ เลย ไม่ต้องมานอนกับกู”
น้ำเสียงแสดงความรังเกียจนั่นทำให้ผมปรือตามองสถานการณ์ที่มุมห้องรับแขกอย่างสนใจ ไอ้ฟาร์มที่เป็นคนกลางค่อยๆ ปลีกตัวออกจากวงแล้วหย่อนตัวลงบนโซฟาข้างกัน ท่าทางอยากนอนเต็มแก่แต่เข้าห้องไม่ได้เพราะอีกสองคนยังเถียงกันไม่จบ

“อยากนอนกับไอ้ฟาร์มสองคนก็สารภาพมา ไม่ต้องทำรังเกียจเพื่อนฝูงขนาดนี้ก็ได้”
พี่แฮมยืนพิงผนังแล้วกอดอกมองเพื่อนด้วยท่าทางเบื่อหน่าย คนโดนกล่าวหาถึงกับแยกเขี้ยวขู่แง่งๆ แต่หน้ากลับแดงเหมือนลูกตำลึง เขินหรือโกรธนะ

“กูไม่ใจง่ายขนาดนั้นนะ”
คำตอบถูกส่งให้พี่ฟาแต่สายตากลับมองไอ้ฟาร์ม เพื่อนคนกากของผมถึงกับสะดุ้งเฮือก มึงจะตกใจอะไรนักหนาหือ

“งั้นคืนนี้ให้ไอ้ฟาร์มนอนโซฟาแล้วกัน ขี้เกียจเบียด”

“ไม่ได้!”
พี่ฟาปฏิเสธเสียงดังจนผมเกือบกลิ้งตกโซฟา

“ทำไมวะ”
พี่แฮมเลิกคิ้วถาม

“กะ ก็มึงไม่อาบน้ำ ส่วนไอ้ฟาไม่สกปรกเหมือนมึง”
ตอบเสียงอ้อมแอ้มจนผมอจากจะล้อว่าห่วงไอ้ฟาร์มเหรอแต่สถานการณ์ตอนนี้ควรปิดปากเงียบแล้วรอดูดีกว่า

“กูอาบให้ก็ได้ แต่ไอ้ฟาร์มนอนโซฟาเหมือนเดิม”
พี่แฮมแม่งขี้แกล้ง ไอ้ฟาร์มนี่หน้าซีดไปหมดแล้วเว้ย

“มึงอย่าใจร้ายกับน้อง”
พี่ฟาเริ่มเสียงอ่อนลง สีหน้าไม่สู้ดี

“ก็มันนอนลำบาก”
เดี๋ยวกูจะติดแท็กให้พี่แฮมเป็นคนขี้แกล้งแห่งปี




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 33 - P.5 (04/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 04-01-2018 20:37:05
“แฮม...”
เขาเรียกเพื่อนเสียงเข้มก่อนจะง้างมือขึ้นสูง คงทนไม่ไหวแล้วจริงๆ นั่นล่ะ

“เออๆ กูไม่แกล้งมึงแล้ว เดี๋ยววีนแตกอีก”

ละครจบก็ต้องแยกย้าย กะว่าจะนั่งคุยกับไอ้ฟาร์มสักพักแต่พี่ทาวน์โผล่หน้าออกมาเรียกเข้าห้อง คงรู้สึกนะว่าเลือกทางไหน ยังไงแฟนก็มาก่อนเพื่อนกากๆ แน่นอน หึหึ อย่าหาว่าเลวเลย ช่วงนี้ต้องรีบทำคะแนน

“อยากเสนอตัวไปนอนโซฟาบ้างไหม”
คำถามแรกหลังจากผมทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่ม ดวงตาคมเบิกกว้างรีบส่ายหัวจนคอแทบหลุด เรื่องอะไรจะทำแบบนั้นเล่า

“เฮ้ย ไม่เอาหรอกพี่ นอนตรงนี้ดีกว่าเยอะ นุ่มสบาย”
ผมตบที่นอนปุๆ เป็นการยืนยันก่อนจะไถหน้ากับหมอนอย่างมีความสุข

“นึกว่าอยากนอนกอดกูซะอีก”
พี่ทาวน์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า ผมชะงึกไปเรียบร้อยแล้วที่โดนจับได้ ไม่เกี่ยวกับความนุ่มของที่นอนเลย แค่ได้กอดพี่ทาวน์ก็เป็นอะไรที่สบายสุดๆ ในชีวิต

“โห... พี่ไม่รู้ทันสักเรื่องได้ปะวะเนี่ย ผมเขินจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วเด้งตัวขึ้นนั่งจัดสมาธิ มือหนาลูบไล้ตามใบหน้าเพื่อลดความร้อน จริงๆ อายมากกว่าที่คิดเรื่องแบบนั้นกับพี่ทาวน์

“เด็กน้อยจริงๆ”
มือเรียวเอื้อมมาขยี้หัวกันด้วยความมันเขี้ยว ผมเลยคว้าเอวสอบมากอดแล้วแนบหน้าลงบนท้อง อืม... ตัวหอมจนอยากมุดเข้าไปในเสื้อเลยว่ะ จำได้ว่ามันเป็นกลิ่นน้ำหอมยอดฮิตอย่าง Bleu De Chanel

“โธ่พี่ ผมมันคนหน้าบาง”
บางที่ก็หื่นอะนะ

“หึ กูจะไปอาบน้ำแล้ว ง่วง”
พี่ทาวน์ผลักหัวทุยๆ ของผมออกห่างแล้วแกะมือปลาหมึกออกจากรอบเอว ก่อนจะหันหลังมุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ

“ให้ผมช่วยปะ”
ผมรั้งเขาด้วยน้ำเสียงทะเล้น ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ พี่ทาวน์เหลือบมองแค่หางตาก่อนจะพูดคำที่ทำให้โลกกลายเป็นสีเทาตุ่นๆ ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลยกู

“นั่งรอไปเงียบๆ ถ้ายังอยากหายใจ”
แฟนโหดโปรดทำตัวเป็นเด็กดีครับ

ผมเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าเพื่อเตรียมชุดที่จะใส่หลังอาบน้ำ แต่พบว่ากางเกงในของตัวเองไม่มีสักตัว Calvin Klein ที่เห็นอยู่ก็เป็นของพี่ทาวน์ไม่ผิดแน่ๆ แล้วต้องทำยังไงวะ ไม่ชินที่ต้องห้อยโตงเตงนะเว้ย ฮือ ลืมหยิบมาจริงๆ เหรอวะ

เริ่มค้นกระเป๋าอีกครั้ง แทบจะมุดหัวเข้าไปทุกซอกทุกมุมแต่ไม่เจอ Diesel ของพี่อยู่ไหนวะ แม่ง ปัญหาระดับชาติเลยนะ ไม่มีกางเกงในใส่เนี่ย

“หาอะไร”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้ผมชะงักกึกแล้วเงยหน้าที่กำลังเบะเตรียมร้องไห้ขึ้นไปมองเขา

“กางเกงในของผม...”

“อ๋อ สีขาวนั่นไง”
พี่ทาวน์ตอบก่อนจะชี้กางเกงในสีขาวยี่ห้อเดียวกันกับของเขาให้ดู ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย มันใช่เหรอ

“ห๊ะ ของพี่ไม่ใช่เหรอครับ”

“กูซื้อใหม่ให้”
ห๊า... อะไรนะ

“เอ่อ...”
ควรรู้สึกดีใจหรือเขินก่อนวะ ทำตัวไม่ถูกเว้ย แฟนซื้อกางเกงในให้เนี่ย!

“ก็ตัวเก่ามันเน่า กูเก็บทิ้งหมดแล้ว”
อ๋อ ทำไมเป็นแฟนที่น่ารักขนาดนี้วะ อยากให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยได้ไหม

“แอบวัดขนาดผมตอนไหนเนี่ย”
ผมถามเสียงทะเล้นแก้เขินก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อโน้มตัวเข้าไปใกล้ พี่ทาวน์ไม่ขยับหนีแต่ง้างเท้าเตรียมเตะ ใครไม่กลัวก็บ้า

“เดี๋ยวก็เตะเดี้ยง”

“โหย ล้อเล่นครับ ขอบคุณนะ”
ผมยิ้มกว้างแล้วขโมยหอมแก้มคนใจดีหนึ่งฟอด พี่ทาวน์พยักหน้ารับก่อนจะโบกมือไล่ให้ไปอาบน้ำ

“พี่ทาวน์ครับ หลับหรือยัง”
เมื่อหลังสัมผัสเตียงก็ออกปากถามพี่ทาวน์ที่นอนตะแคงหันหลังให้ แบบว่าแอร์มันหนาว กอดกันหน่อยได้ไหม...

“กำลัง”
คำตอบห้วนสั้นทำให้ผมลังเลที่จะขอ คือเอาจริงๆ อยากทำมากกว่ากอดเว้ย เสียงเครือไปหมดเพราะกำลังระงับอารมณ์ ก็ใครใช้ให้พี่ทาวน์ใส่บ๊อกเซอร์สั้นๆ กับเสื้อกล้ามสีขาวนอนล่ะ ไม่ใช่พระอิฐพระปูนสักหน่อย

“ผม...”

“ปล่อยให้กูเที่ยวสบายๆ สักสองสามวัน หลังจากนั้นจะทำอะไรค่อยว่ากัน”
พี่ทาวน์พลิกตัวกลับมาสบตากันแล้วใช้นิ้วดีดลงบนหน้าผากของผมอย่างหยอกล้อ ถึงแม้ว่าภายในห้องพักจะมืดสลัวแต่ก็พอมองเห็นว่าเขากำลังยิ้ม อยากจับมาขยี้จูบให้ปากเจ่อจริงๆ แต่เดี๋ยวนะ... เมื่อครู่พูดว่าอะไร

“เฮ้ย คือเปล่า ไม่ได้คิดเรื่อง...”
ผมรีบปฏิเสธเสียงรัว ส่ายหัวแทบหลุด แต่พี่ทาวน์กลับใช้นิ้วชี้แตะลงบนริมฝีปากกันแล้วออกแรงคลึงเบาๆ ให้รู้สึกวูบวาบ

“คิดว่ากูโง่เหรอ”
พี่ทาวน์กดจูบลงมาทั้งๆ ที่มีนิ้วชี้ขั้นกลางก่อนจะหัวเราะเสียงต่ำ ผมได้แต่เบิกตาโตเพราะโดนแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่เอาคืนไม่ได้ ทำไมเป็นคนช่างยั่วได้ขนาดนี้วะ โอย

“ทำแบบนี้ผมแย่นะพี่”
ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะถูขาไปมาเพราะเริ่มมีอารมณ์ พี่ทาวน์เลิกคิ้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่กลับมองตรงไปยังห้องน้ำ เป็นอันรู้กันว่าอยากทำอะไรก็เข้าไปทำในนั้นแล้วกัน โคตรใจร้ายอะ

“ฝันดี... ครับ”
โธ่ ถ้าเล่นพูดเพราะขนาดนี้ผมยอมนอนข่มตาหลับก็ได้วะ




----------------------------------------------------

รับรองว่าทริปนี้ไม่นกแน่ๆ แต่ใครจะรุกใครนั่นอีกเรื่องเนอะ 5555555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 33 - P.5 (04/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 05-01-2018 01:01:05
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 33 - P.5 (04/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 05-01-2018 11:16:12
งู้ยยยยยยย ใจบางไปอีกกกก งื้ออออ :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 33 - P.5 (04/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 05-01-2018 21:45:10
พี่ทาวน์ไม่ยอมเป็นรับหรอก...มั้ง555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 33 - P.5 (04/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 06-01-2018 02:15:03
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 33 - P.5 (04/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 08-01-2018 12:22:44
 :ling1: :ling1: :ling1:รอๆ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 34 - P.5 (12/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-01-2018 08:48:45
แข่งครั้งที่ 34



อย่าถามว่าเมื่อคืนผมหลับไปเมื่อไหร่เพราะตอนที่แสงอาทิตย์แรกของวันโผล่พ้นขอบฟ้าตายังสว่างอยู่เลย ก็พี่ทาวน์เล่นขยับหน้าเข้ามาซุกตรงซอกคอแล้วปล่อยลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดตลอดเวลา แทบจะพุ่งเข้าห้องน้ำตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ทำ นานๆ จะโดนคลอเคลียแบบนี้ ฮึ่ม!

เป็นโชคดีที่ผมเลือกห้องติดริมระเบียงที่สามารถมองเห็นหาดทรายได้อย่างชัดเจน เสียงคลื่นกระทบฝั่งคล้ายเสียงดนตรีขับกล่อมในยามเช้า อากาศสดชื่นจนอยากจะย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่นี่

ดวงตาคมปิดลงก่อนแหงนใบหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ถึงแม้ไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ยังรู้สึกว่ามีพลังในการเที่ยวเหลือล้น แต่ไม่แน่ว่าช่วงเที่ยงอาจจะน็อค

“ตื่นเช้านะ”
เสียงเลื่อนประตูกระจกดังขึ้นพร้อมเสียงทักทายจากคนเพิ่งตื่นนอน ผมเผลอสะดุ้งแต่ก็หันไปยิ้มหวานให้เขา อยากบอกเหลือเกินว่าไม่ได้นอนทั้งคืนแต่ปากกลับขยับตอบไปว่า...

“ครับ อยากสูดกลิ่นทะเลยามเช้าน่ะ”
อยากจะตบปากตัวเองที่ตอแหลไม่เนียนเลย แถมยังหาวใส่พี่ทาวน์อีก เวรกรรมอะไรของกูนักหนาเนี่ย

“หึ ตาดำเหมือนหมีแพนด้าเนี่ยนะ”
พี่ทาวน์ยิ้มเยาะก่อนจะละสายตาไปมองทะเลยามเช้าที่มีแสงแดดตรงกระทบ มันระยิบระยับราวกับเพชรพลอย สวยจนอยากถ่ายรูปแต่บังเอิญไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมา

“ก็... มันแปลกที่น่ะครับ”
ผมตอบเสียงอ่อย เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของคนรู้ทันแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ ถ้าเขารู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงอาจขอย้ายห้องนอนก็เป็นได้ ใครจะไปกล้าเสียงกับคนที่จ้องกินตัวเองตลอดเวลา

“อ๋อเหรอ ไม่ใช่ว่าหะ...”
หะ หอย เห็บ ห่าน เหา หัว หรือ หื่นวะ โอย ใครมาขัดจังหวะเนี่ย

“ไอ้ทาวน์กับไอ้เจ็ทตื่นยังวะ!”
เสียงทุ้มๆ แหบๆ แบบนี้เป็นของพี่แฮมไม่ผิดแน่ พี่ทาวน์ชักสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้เพื่อนสนิท ทิ้งให้ผมเดินตาม หย่อนตัวลงนั่งบนเตียงอย่างเกียจคร้าน ขอนอนสักงีบได้ไหม เพิ่งหกโมงอยู่เลย หาว ~

“ตะโกนอะไรแต่เช้าไอ้หมู”
พี่ทาวน์ทักทายเพื่อนพร้อมกับเปิดประตูให้ คนมาเยือนถึงกับเบ้ปากเมื่อได้ยินสรรพนามเรียกตัวเอง แต่ผมว่ามันปกติจะตาย ก็แฮมทำมาจากหมูนี่ คล้ายๆ กันนั่นล่ะน่า

“โห เรียกกูซะเสื่อมเสีย จะมาบอกว่ารีบๆ อาบน้ำ เดี๋ยวเข้าเมืองไปกินโรตีแถวน้ำกัน”
พี่แฮมดูร่าเริงเมื่อได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา ใบหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเพราะ ‘โรตีแถวน้ำ’ ที่เขาพูดถึงคือร้านแนะนำของจังหวัดภูเก็ต ความอร่อยติดอันดับที่คนรีวิวกันอย่างล้นหลาม แต่ผมกลับดีดดิ้นบนเตียงเพราะง่วงเกินกว่าจะหิว ฮือ แดกอะไรเช้าขนาดนี้วะ นี่มันเวลานอนเว้ย สลีปไทม์อะ รู้จักไหม!

“เออๆ ขอหนึ่งชั่วโมง”
ไอ้คนตื่นเช้าก็พยักหน้ารับง่ายๆ โกรธซะดีไหมเนี่ย ช่วยหันมาดูแฟนคุณหน่อยสิครับ หนังตาจะย้อยถึงพื้นอยู่แล้ว ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วม้วนเป็นซูชิประท้วง แต่เชื่อว่าไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก เขาสนใจเราซะที่ไหนเล่า

“นานจังวะ เผื่อเวลาแหย่รูกันเหรอ”
คำถามกลั้วหัวเราะนั่นทำให้ลมหายใจของผมสะดุดกึก ดวงตาคมเบิกโพลงก่อนจะรีบมุดหัวออกจากผ้าห่มเพื่อดูว่าพี่ทาวน์ทำท่าทางแบบไหนตอบกลับไป จะเขินหรือเปล่า หน้าแดงไหม หรือโมโหจนถีบเพื่อนล้มหงาย แม่ง ลุ้นยิ่งกว่าเชียร์บอลซะอีก

“อยากตายเหรอมึง”
พี่ทาวน์ปล่อยหมัดใส่ต้นแขนของเพื่อนแบบไม่ออมแรงทำให้พี่แฮมสะดุ้งโหยงก่อนจะร้องเสียงหลง เบะปากทำหน้างอนเต็มที่ ผมควรสงสารหรือขำก่อนดีที่ผู้ชายสองคนกำลังทำตัวเหมือนเด็กน้อย

“โอย ล้อเล่นเอ๊ง อย่ารุนแรงสิวะ”
เสียงสูงๆ นั่นทำให้พี่แฮมโดนโบกหัวไปอีกหนึ่งทีโทษฐานไม่สำนึกผิด คราวนี้ผมคิดว่าควรสมน้ำหน้ามากกว่า เพราะชอบเอาเรื่องไม่จริงมาพูดเล่น แหย่รูบ้าอะไรเล่า แค่ถอดเสื้อผ้าบนตัวให้หมดทุกชิ้นยังไม่เคยทำสำเร็จมาก่อนเลย เศร้ากว่านี้มีอีกไหม...

“ไปไกลๆ ตีน น่ารำคาญ”
พี่ทาวน์โบกมือไล่เพื่อนสนิทแล้วปิดประตูใส่หน้าก่อนจะเดินดุ่มๆ กลับเข้ามาแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นผมที่พยายามม้วนตัวออกจากผ้าห่ม สีหน้าของเขาดูสงสัยมาก ประมาณว่า ‘มึงทำบ้าอะไร ว่างนักเหรอ’

“เอ่อ...”

“เล่นอยู่ได้ ไปอาบน้ำ!”
เขาตวาดด้วยใบหน้าแดงก่ำแล้วพุ่งเข้าห้องน้ำซะเฉยๆ ก็ไหนว่าให้กูไป...

ผมนั่งนิ่งอยู่บนเตียงเพื่อประมวลผลเหตุการณ์เมื่อครู่ ตกลงว่าที่ออกคำสั่งนั้นแค่แก้เขินใช่ไหม โดนเพื่อนพูดเรื่องสัปดนด้วยแล้วรับไม่ได้สินะ โธ่ๆ น่ารักอะไรอย่างนี้ อย่าเผลอนะ พ่อจะจับฟัดให้น่วมเลยคอยดู มันเขี้ยวๆ!

เจ็ดโมงล้อหมุนอย่างรวดเร็ว ผมแทบกราบตักจิณณ์ที่ปรานีเป็นสารถีขับรถให้โดยไม่มีข้อแม้ แต่แปลกที่ไอ้ไธดูเพลียๆ ชอบกล นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอวะ อยากถามมากแต่ติดตรงที่พี่ทาวน์กำลังยื่นกล่องนมจืดมาจ่อปาก บริการดีขนาดนี้ต้องยกให้เป็นแม่ศรีเรือน แค่กๆ อยู่ๆ ก็คันคอเฉย

ผมงับหลอดดูดแล้วช้อนตามองพี่ทาวน์ด้วยดวงตาหวานเยิ้มคล้ายเชิญชวนให้ทำเรื่องอย่างว่ากันตรงนี้ แต่ที่หวังให้เขาเคลิ้มตามคงเป็นไปได้ยาก เพราะกล่องนมถูกปล่อยทิ้งให้ลอยกลางอากาศ แม่ง คว้าแทบไม่ทัน ถ้าหกเลอะรถซวยกูอีก ค่าทำความสะอาดไม่ใช่ถูกๆ นะ

“ห้ามเลอะ”
ผมเดาว่าประโยคต่อไปคง ‘ถ้าเลอะมึงตาย’ อะไรประมาณนี้ เลยได้แต่นั่งดูดนมแบบสงบเสงี่ยมไม่กล้าส่งสายตายั่วอีกเลย กลัวจะโดนจิ้มตาบอดซะก่อนได้เห็นพี่ทาวน์เปลือย แค่กๆๆ คราวนี้ส้นตีนแฟนติดคอแน่ๆ ฮือ จะร้อง

“พี่ทาวน์ครับ ขอจับนมหน่อย”
เสียงเพลียๆ ของไอ้ไธดังขึ้นพร้อมกับแขนยาวที่ยืนมาจากเบาะหน้า เจ้าของชื่อพยักหน้ารับแต่ผมกลับถลึงตามองเพื่อนอย่างอาฆาต มันจะมากเกินไปแล้ว ขอกันง่ายๆ ได้ไงวะ!

“อยู่ๆ มาขอจับนมแฟนคนอื่นได้ไงวะ!”
ผมโวยวายเสียงดังจนลืมว่าตัวเองกำลังดูดนมอยู่ ปลายหลอดดีดน้ำสีขาวขุ่นจนเลอะเป็นดวงๆ บนเบาะคนขับ โธ่เว้ย สติไม่ค่อยมีแถมยังหาเรื่องซวยให้ตัวเองอีก

เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป ให้รถยนต์ ~

“เชี่ยมึง กูขอนมกล่องเว้ย จับห่าอะไร เบลอนะมึง แอบพี้กัญชาเหรอ!”
ป้าบ โดนไอ้ไธกับพี่ทาวน์ประเคนฝ่ามือใส่หัวคนละครั้ง ผมได้แต่อ้าปากงงๆ เมื่อครู่มันขอนมกล่องเหรอ ไม่ได้ขอจับนมใช่ปะ เอ้อ สงสัยกูคงต้องนอนแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นวันนี้คงเบลอตลอดทริปแน่

“ง่วงก็นอน อย่าสร้างความวุ่นวาย”
คำพูดเรียบๆ แต่อานุภาพทำลายล้างช่างรุนแรงจนผมได้แต่ซุกหน้าลงกับหมอนอิงสกรีนลายน้องหมาไซบีเรียนที่คาดว่าคงติดรถมาตั้งแต่พี่ทาวน์คบกับพรีม ตอนเห็นครั้งแรกก็แอบนอยด์ หลังๆ เริ่มช่างมันและคิดได้ว่าไม่ควรเอาอดีตมาบั่นทอนปัจจุบันและอนาคต

ผมวางหมอนลงบนเบาะแล้วเอนศีรษะทับเอียงหน้ามองภาพวิวทิวทัศน์ที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ ผ่านกระจกที่ติดฟิล์มหนา การจราจรบนท้องถนนคล้ายกับเมืองหลวงแต่เบาบางกว่านิดหน่อย จังหวัดภูเก็ตถือเป็นเมืองท่องเที่ยวจึงไม่แปลกใจที่รถติดแบบนี้เลย ตอนแรกตั้งใจว่าจะนอนเอาแรงกลับกลายเป็นว่าข่มตาหลับไม่ได้ซะอย่างนั้นเพราะหูดันได้ยินเสียงคนที่เหลืออยู่คุยกัน

“พี่ทาวน์แยกผมกับไอ้เจ็ทออกด้วยเหรอ ใครๆ ก็บอกว่าเราหน้าเหมือนกัน”
จิณณ์เป็นคนตั้งคำถามขณะที่รถกำลังผ่านวงเวียนอนุสาวรีย์ท้ายเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร ผมหลับตาลงเพื่อในเนียนกับการแอบฟังเนื่องจากเป็นเรื่องที่อยากรู้มานานแล้ว ได้โอกาสก็ขอหน่อยเถอะ เพราะคนส่วนใหญ่ชอบเรียกเราสลับกันประจำ

“ออกสิ เจ็ทสักแต่จิณณ์ไม่...”
ผมแทบสำลักอากาศเพราะไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะตอบคำถามได้กวนขนาดนี้ ถ้าใครไม่สนิทคงคิดว่าเขาตอบจริงจังเพราะสีหน้าก็เรียบเฉย แต่ด้วยความที่คลุกคลีกันบ่อยเลยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“เฮ้ย ไม่เอารอยสักดิ”
ไอ้คนไม่รู้เรื่องก็โวยวายไปตามประสาจนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากพี่ทาวน์ ผมล่ะอยากลืมตาแล้วร่วมวงสนทนาเหลือเกิน แต่อีกใจก็กลัวว่าเขาจะไม่ตอบคำถามทำนองนี้ ก็รู้ๆ อยู่ว่าปากแข็งยิ่งกว่าหิน

“ความรู้สึกมันบอก อธิบายไม่ถูก”

“โห คำตอบโคตรกว้าง”
เออ อันนี้กูเห็นด้วยอย่างแรงเลยว่ะจิณณ์ คำตอบกว้างกว่าจักรวาลอีกมั้งเนี่ย

“หึหึ แล้วไธแยกแฝดสองคนนี้ได้ยังไง”
ทำไมอยู่ๆ พี่ทาวน์ก็ไปถามไอ้ไธล่ะเว้ย นี่มันเลี่ยงตอบคำถามเรื่องตัวเองชัดๆ ไม่ใช่เหรอ ผมหงุดหงิดจนเผลอพ่นลมหายใจแรง ได้แต่ภาวนาให้ทุกคนไม่ได้ยินด้วยเถอะ

“ผมขอสารภาพตามตรงเลยนะครับ ช่วงแรกๆ ผมคิดว่าตัวเองชอบไอ้เจ็ทด้วยซ้ำ แต่อยู่ไปนานๆ เพิ่งสำนึกได้ว่าชอบจิณณ์”
ไอ้ไธตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแต่ทำให้คนฟังอย่างผมถึงกับลอบเบะปาก ขนลุกซู่ ถ้ามันชอบกันจริงๆ ป่านนี้ฟ้าคงผ่าตายไปแล้ว...

“เพราะอะไร”
ผมพยายามขยับตัวเบาๆ เพราะกลัวว่าพี่ทาวน์จะจับได้ ก็แอบฟังแล้วเกร็งจนเมื่อย... ชีวิตช่างรันทดเหลือเกิน

“ทั้งนิสัย ท่าทาง น้ำเสียง รอยยิ้ม วิธีการพูด สองคนนี้ให้ความรู้สึกต่างกันเวลาอยู่ด้วย แล้วก็อีกหลายๆ อย่าง ให้พูดวันนี้คงไม่จบครับ”
ผมแอบหรี่ตามองเพื่อนสนิทด้วยความหมั่นไส้ ไม่เถียงว่าเป็นเรื่องโกหกเพราะถึงจะเป็นแฝดกันแต่บรรยากาศรอบตัวแตกต่างจริงๆ แต่รู้สึกว่ามีออร่าสีชมพูฟุ้งกระจายยังไงชอบกล

“อืม คงคล้ายๆ กัน”
พี่ทาวน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผมอยากจะเปิดตาแล้วมองเขาตรงๆ ยิ้มบางไหม เขินบ้างไหมนะ

“พี่ทาวน์ ผมขอเสียมารยาทถามอะไรหน่อยได้ไหม”
จิณณ์เป็นคนช่างซักไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ แต่ผมก็เป็นคนช่างเสือกพอๆ กับมันนั่นล่ะตอนนี้

“ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”
แฟนผมก็นิ่งเหมือนเดิม

“จิณณ์...”
ไอ้ไธเหมือนจะเรียกชื่อปรามแฟนตัวเอง เรื่องที่ถามมันเสี่ยงตายขนาดไหนกันวะ ชักสงสัย

“เออน่า ให้กูถามเหอะ”
โอย อยากรู้จะตายแล้ว พวกมึงอย่าเพิ่งเถียงกันตอนนี้ ผมเกร็งจนแทบขมิบก้นเลยเนี่ย แม่งๆๆ

“ตามใจ”
เออ พูดง่ายๆ จะได้โล่ผัวดีเด่นนะเพื่อน จำไว้!

“คือ... พี่ทาวน์รักไอ้เจ็ทจริงๆ ใช่ไหมครับ ผมแค่อยากรู้ ไม่อยากให้มันเสียใจ”
น้ำเสียงของจิณณ์แสดงออกว่าเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด หลายครั้งที่ผมอยากจะกอดมันให้จมอกเพราะความรักและความหวังดีมากมายที่ถูกมอบให้ แต่ถ้าคำตอบจากพี่ทาวน์ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดคงแย่ แต่ไม่หรอก เขายอมคบด้วยต้องรู้สึกรักอย่างที่เคยบอกแน่นอน มั่นใจเกินร้อย

“ถ้าไม่รักจะคบกันทำไม มีแฟนเป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับกูเลย”
นั่นปะไร เรื่องนี้ผมรู้ใจแฟนดี กว่าจะจีบพี่ทาวน์ได้ร้องไห้ไปตั้งกี่รอบ เขาคงไม่คบด้วยเพราะความสงสารหรอก แล้วการที่ผู้ชายคนหนึ่งเปลี่ยนรสนิยมความชอบก็เป็นอะไรที่ต้องใช้ความรู้สึกนำทางมากกว่าสมองอีกด้วย

ผมแอบลอบยิ้มแล้วกระชับอ้อมแขนกอดตัวเองแน่นขึ้น จริงๆ อยากฟัดพี่ทาวน์เพราะตอบคำถามได้ซึ้งกินใจ แต่เวลานี้คงไม่เหมาะ คนเยอะ แถมยังดูเป็นคนขี้เสือกแอบฟังชาวบ้านคุยกันอีก... นิสัยไม่ดีเลยว่ะไอ้ภาคิน

“ขะ ขอโทษที่ถามครับ ผมแค่เป็นห่วงน้อง เพราะช่วงก่อนเห็นมีผู้หญิงมาตามพี่ต้อยๆ”
ถึงจิณณ์จะพูดขอโทษพี่ทาวน์แต่ไม่วายถามถึงเรื่องพี่ไอซ์ที่เคยตามมารังควาญพวกเราถึงที่ ครั้งนั้นผมแทบเอาตัวไม่รอดเพราะคิดมาก ปัจจุบันก็ยังระวังตัวว่าพ่อตาจะเริ่มเปิดศึกอีกเมื่อไหร่ เขาว่ากันว่าคลื่นลมสงบก่อนพายุเข้าเสมอ ก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้ร้ายแรงเกินรับมือเลย

“อืม ช่วงนี้ก็มีเหมือนเดิม แต่ไม่ถึงเนื้อถึงตัวเหมือนครั้งก่อน”
ก็ตามนั้น... แต่เพราะเป็นช่วงปิดเทอมที่พี่ทาวน์ย้ายมาอยู่กับผมพวกเธอเลยได้แต่ตามรังควาญในโซเชี่ยลก็เท่านั้น

“เฮ้ย... แล้วทำยังไงครับ”
จิณณ์ดูจะตกใจมากจนผมเผลอหลุดหัวเราะ รีบเม้มปากแทบตายเพราะกลัวพี่ทาวน์จับได้ว่าแกล้งหลับ เดี๋ยวเขาไม่พูดต่อแล้วจะแย่ ก็อยากรู้ว่าครั้งนี้มีแผนการจัดการแบบไหนอีก ถ้าคิดทำอะไรคนเดี๋ยวโดนดีแน่ครับแฟน

“กลับจากทริปนี้กูจะเคลียร์กับพ่อให้จบ”
น้ำเสียงหนักแน่นทำให้ผมที่แกล้งแอบหลับถึงกับคลี่ยิ้มกว้างแล้วพุ่งเข้ากอดอย่างไม่ลืมหูลืมตา พี่ทาวน์สะดุ้งก่อนที่ฝ่ามือจะตีลงมาบนลาดไหล่

“ขอบคุณนะครับพี่ทาวน์”
ผมเอ่ยขอบคุณก่อนขโมยหอมแก้มไปหนึ่งครั้งโดยไม่สนใจสายตาของผู้ร่วมเหตุการณ์ พี่ทาวน์ถึงกับเบิกตาโตเพราะตกใจ หลังจากนั้นก็กลายเป็นเสียงหัวเราะต่ำจนน่ากลัว ผวาสิครับพี่น้อง ผงะถอยหลังแทบไม่ทันเลย

“สายเสือกเหรอมึง นิสัยเสียแอบฟังคนอื่นคุยกัน”
เสียงโทนต่ำที่ใช้ดุหลุดออกจากริมฝีปากสวยได้รูป ผมยิ้มแหยส่งให้เขาพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเพราะไม่สามารถหาอะไรมาแถต่อได้ ถ้าเมื่อครู่ไม่ดีใจเกินเหตุคงรอดตัวแล้วแท้ๆ

“แหม... ก็มันได้ยินพอดี”
ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มไม่กล้าสบตาทุกคน แอบงอแงอยู่ในใจว่าทำไมรถต้องติดไฟแดงตอนนี้ด้วยวะ โดนรุมด่าแน่ๆ

“ตอแหล!”
จ้า... พร้อมใจกันประสานเสียงด่ากูเหลือเกิน ฮือ

หลังจากโดนด่าจนหนำใจ เพียงไม่ถึงห้านาทีเราก็ถึงจุดหมายที่ร้านโรตีแถวน้ำเลยไปจอดรถแถวๆ ลานมังกรแล้วเดินเท้าย้อนกลับมา กลิ่นหอมของอาหารชวนให้ทุกคนรีบหาโต๊ะและลงมือสั่งทันที

“ผมเอาโรตีใส่ไข่กับโรตีเพิ่มไข่ดาวแกงเนื้อ แล้วก็ชาดำเย็นครับ”
รายแรกคือพี่แฮมที่ทำการบ้านเรื่องเมนูอาหารประจำร้านเป็นอย่างดี ก้นหย่อนถึงเก้าอี้ปุ๊บออกปากสั่งปั๊บ ต่างกับพวกผมที่มองรายการอยู่ครู่ใหญ่

“แดกไม่หมดกูไม่ช่วยนะ”
พี่ฟามองเพื่อนสนิทด้วยหางตา บ่งบอกให้รู้ว่าตัวเองเคยเป็นคนช่วยเก็บกวาดอาหารส่วนที่เหลือของพี่แฮมบ่อยแค่ไหน

“ระดับนี้ จิ๊บๆ”
คนรักการกินยักไหล่พลางยิ้มกว้างประกอบคำ แต่พี่ฟาเลิกสนใจแล้วทำการสั่งของตัวเองบ้าง

“ผมเอาโรตีใส่ไข่กับกาแฟร้อนครับ”

คนอื่นจัดการสั่งอาหารเรียบร้อยจนตอนนี้เหลือผมกับพี่ทาวน์ที่ยังเลือกไม่ได้ อันนั้นก็น่ากิน อันนี้ก็น่าลอง สารภาพว่าทั้งชีวิตเคยกินโรตีไม่เกินสิบครั้ง แล้วส่วนใหญ่จะเป็นแบบธรรมดา ใส่ไข่หรือกล้วยเท่านั้น แบบน้ำแกงหาเจ้าอร่อยๆ ยาก

“ผมเอาโรตีน้ำแกงไก่เพิ่มไข่ดาวกับชาเย็นครับ พี่ทาวน์กินอะไรดีครับ”
ผมหันไปสั่งกับเด็กเสิร์ฟแล้วถามพี่ทาวน์ต่อ ดูท่าทางรายนี้จะไม่ชอบกินอาหารเช้าสักเท่าไหร่ บางทีกาแฟแก้วเดียวก็อยู่หมัดแล้ว ทำไมคนเรียนหมอไม่รู้จักดูแลสุขภาพบ้างนะ

“กาแฟร้อนกับโรตีใส่ไข่ใส่กล้วย เดี๋ยวเอามาแบ่งกันกิน”
พี่ทาวน์สั่งเมนูหวานๆ ก็น่าแปลกใจแล้ว เจอคำว่า ‘แบ่งกันกิน’ ผมนี่ยิ้มปากจะฉีก พยักหน้ารับคอแทบหัก ทำไมแฟนน่ารักแบบนี้วะ โอย หัวใจจะวาย

พวกเราแบ่งกันนั่งสองโต๊ะ ที่อยู่กับผมมีพี่ทาวน์ พี่ฟาและพี่แฮม ส่วนข้างๆ มีจิณณ์ ไอ้ไธ ไอ้ฟาร์ม ไอ้ตังค์และไอ้เอย พวกเด็กสถาปัตย์กับวิศวะโยธาก็คุยกันเรื่องรูปทรงตึกชิโนฯ ที่ยุคนี้หาดูได้ยาก ส่วนว่าที่คุณหมอทั้งหลายคุยเรื่องงานรับเสื้อกาวน์ของรุ่นพี่ปีสี่

เนื่องจากลูกค้าเยอะทำให้ระยะเวลาในการรอนานไปหน่อย กว่าจะได้ทุกคนก็คุยกันจนน้ำลายแห้ง พออาหารมาเสิร์ฟตรงหน้าต่างคนต่างจ้วงกินแบบลืมตาย สีหน้าดูพอใจกับรสชาติเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสายแดกอย่างพี่แฮมที่ทำท่าจะสั่งเพิ่ม โอย พ่อคุณ ผมกับพี่ทาวน์ยังจิบเครื่องดื่มอยู่เลยครับ

ผมเริ่มลงมือกินอาหารของตัวเองที่เขาเรียกกันว่า ‘โรตีมะตะบะ’ น้ำแกงรสชาติเข้มข้นไม่เผ็ดไป ส่วนตัวแป้งโรตีก็กรอบนอกนุ่มใน ยิ่งเพิ่มอรรถรสด้วยไข่ดาวด้วยแล้วโคตรฟินละมุนลิ้นจนอยากสั่งกลับไปกินที่วิลล่าต่อ

พี่ทาวน์ทำอย่างที่พูดไว้ในตอนแรกจริงๆ คือการแบ่งกันกิน เขาจิ้มจานผมบ้างจานตัวเองบ้างสลับกันไปเพื่อความไม่เลี่ยน เวลาที่ปากสีอ่อนเริ่มเคี้ยว แก้มใสๆ จะขยับจนน่ามันเขี้ยว อยากกดจูบสักฟอดสองฟอด ฮึ่ย

“แหม... ไม่ป้อนกันไปเลยล่ะครับคุณทาวน์ มีจิ้มโรตีไว้ให้ด้วย หมั่นไส้”
ผมสะดุ้งเฮือกกับเสียงกระแนะกระแหนของพี่ฟาเพราะมัวแต่จ้องปากบางขณะอ้างับโรตี ลิ้นเล็กๆ ชอบเลียเก็บคราบนมข้นที่เลอะรอบๆ สารภาพอย่างหมดเปลือกเลยว่าคิดดีไม่ได้จริงๆ ไม่กินโรตีแล้วได้ไหมวะ แฟนน่ากินกว่าเยอะ

พี่ฟาเบะปากมองพวกเราสลับกับจานอาหารตรงหน้า ผมเพิ่งสังเกตในตอนนี้เองว่าพี่ทาวน์มักจะจิ้มชิ้นโรตีทิ้งไว้ให้เสมอ นิสัยคล้ายกับแม่ผมเลยว่ะ ชอบ... ไม่สิ รักเลย

“อย่าท้า แค่ป้อนกูทำได้”
แฟนผมมาดแมนน่าซั่ม เอ้ย แฮนด์ซั่มสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ พี่ทาวน์ไม่พูดเปล่าแต่จับส้อมมาจ่อปากกันจริงๆ คือกูเคี้ยวกล้วยอยู่ครับ ใจเย็นเนอะ ยังไม่อยากเอาไก่เข้าปากตอนนี้...

เนื่องจากผมผงะหนีไก่พี่ทาวน์เลยส่งเข้าปากตัวเองเคี้ยวหงุบหงับแทน สีหน้าดูมีความสุขเมื่อได้กินโรตีเจ้าอร่อยที่นานๆทจะได้เจอ

“ไม่กลัวคนอื่นรู้หรือไงว่าเปลี่ยนรสนิยม”
คำถามของพี่ฟาไม่ได้จริงจัง แต่ผมอดหน้าชาไม่ได้ที่อยู่ๆ ก็ดึงอดีตเดือนมหา’ ลัยมาเป็นเกย์ แต่เชื่อเถอะว่าคำตอบของพี่ทาวน์เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายแน่นอน

“ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร ชีวิตเป็นของกู”
คำพูดเท่ๆ ยิ่งทำให้พี่ทาวน์ดูหล่อขึ้นเป็นกอง ผมฉีกยิ้มกว้างทั้งที่ดูดน้ำ เดือดร้อนต้องรีบคว้าทิชชู่มาซับก่อนที่ใครจะเห็น ดีใจจนลืมตัวเป็นแบบนี้นี่เอง

“จ้าๆ คุณเมืองเหนือผู้แข็งแกร่ง”
พี่ฟากรอกตามองบนด้วยความหมั่นไส้แล้วกลับไปจัดการโรตีใส่ไข่ของตัวเองต่อ ส่วนพี่แฮมไม่สนใจใครเอาแต่จ้วงกินๆ อยากเตือนเขาว่าระวังอ้วนแต่เสื้อรัดรูปที่เน้นหน้าท้องแกร่งก็ทำให้ต้องกลืนคำพูดลงคอ หุ่นดีกว่ากูอีกมั้งเนี่ย

“ปากเลอะ กินอย่างกับเด็ก”
นิ้วเรียวของพี่ทาวน์ส่งมาป้ายคราบเลอะที่มุมปากของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับผิวปากล้อเลียน อย่าถามว่ากูรู้สึกยังไงตอนนี้ ทั้งตกใจ ทั้งตะลึง ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ในที่สาธารณะ โอย บ้าบอ

“เฮ้ย ผมเช็ดเองก็ได้ครับพี่”
ผมผงะถอยหลังแล้วใช้มือปาดตรงตำแหน่งเดิมด้วยท่าทีตื่นๆ ดวงตาคมมองไปรอบๆ ร้านด้วยความระแวง

“กูเช็ดให้ อย่าเรื่องเยอะ”
พี่ทาวน์ส่งเสียงดุแล้วหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ผมอีกรอบอย่างเบามือ ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าร้อนๆ ชอบกล สงสัยจะเขิน

“ผมแค่กลัวว่าคนอื่นจะเอาพี่ไปนินทาเสียๆ หายๆ”

“เวลาทุกนาทีสำคัญ อยากทำอะไรก็ทำ”
สั้นง่ายได้ใจความตามแบบฉบับของพี่ทาวน์ ผมคลี่ยิ้มพยักหน้ารับก่อนจะกวาดตามองบุคคลร้านที่ให้ความสนใจพวกเราจนผิดปกติ คนที่ได้ชื่อว่าแฟนไหวไหล่เป็นเชิงไม่สนใจ เอาเถอะ คิดมากไปก็ไม่ทำให้มีความสุข เขาว่าไงไอ้ภาคินก็ว่างั้นเพราะไม่ได้ไปรักกันบนหัวใครสักหน่อย

“เข้าใจแล้วครับ”
ตอบเสียงดังฉะฉานแล้วเอื้อมมือไปจับต้นขาของพี่ทาวน์เพื่อส่งต่อความรู้สึกข้างใน แต่ลึกๆ แล้วแค่อยากแต๊ะอั๋งแฟนที่บังอาจใส่ขาสั้นออกมาข้างนอก แต่อย่าเอาอะไรมากเลย เพราะผมก็ใส่เสื้อกล้ามเหมือนกัน

“แดกช้ากันจริงพวกมึง เดี๋ยวกูช่วยนะ”
เสียงของพี่แฮมทำให้บรรยากาศหวานๆ แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ผมกับพี่ทาวน์หันขวับมองส้อมที่กำลังจะจิ้มลงมาบนโรตีเขม็ง ของกินข้าใครอย่าแตะ!

“ไม่ต้อง!”
เป็นอันรู้กันว่าพี่แฮมหดหัวกลับไปที่เดิมอย่างรวดเร็วแล้วออกปากสั่งโรตีเพิ่มกับเด็กเสิร์ฟ

หลังจากฟาดมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็ข้ามฝั่งไปยัง ‘ถนนถลาง’ ซึ่งรวมอาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ห้าเอาไว้ มีทั้งร้านขายผ้าปาเต๊ะ โรตีมะตะบะ อาหารคาวหวานให้เลือกชมกันหลายแบบ ส่วนมากคนจะนิยมถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

คนเป็นตากล้องอย่างผมแทบไม่ได้สนใจอาคารสวยๆ ตรงหน้าเพราะมัวแต่จ้องท่อนขาขาวของแฟนที่เดินนำหน้า พยายามแล้วที่จะละความสนใจแต่มันทำไม่ได้จริงๆ แม่ง ถ้ารู้ว่าออกมาข้างนอกแล้วพี่ทาวน์ So Damn hot ขนาดนี้คงขังไว้ในห้อง

“ไอ้เจ็ท ถ่ายรูปตึกหน่อยดิ”
เสียงไอ้ฟาร์มที่เดินอยู่ข้างๆ ดังขึ้น แต่ผมไม่รู้เลยว่ามันพูดอะไร เพราะสมาธิเพ่งไปด้านหน้าจนหมดเกลี้ยงถึงขนาดพลาดเหยียบหมากฝรั่งติดรองเท้ามาแล้ว ซื่อบื้ออะไรนักหนาวะกู (ฝีมือไอ้เอยเลย คายหมากฝรั่งแกล้งกันชัดๆ โธ่เว้ย)

“เจ็ทเว้ย เป็นห่าอะไรเนี่ย!”
ไอ้ฟาร์มกระแทกเสียงใส่หูผมเต็มๆ จนสะดุ้งโหยงเกือบสะดุดขาตัวเองล้ม คนอื่นในทริปหันมามองด้วยความสงสัยไม่เว้นแม้แต่เจ้าของขาขาว... ฉิบหายแล้ว ตายังจ้องอยู่ที่โฟกัสเดิมทั้งที่ตกใจแทบตาย

“กะ กูมองวิวเพลินไปหน่อย”
ผมรีบละสายตาจากจุดโฟกัสเดิมแล้วตอบเพื่อนเสียงตะกุกตะกัก มือหนายกขึ้นถูท้ายทอยเพราะกำลังกังวลว่าพี่ทาวน์จะจับได้หรือเปล่าที่แอบจ้องวิวหว่างขา ขาวๆ เนียนๆ น่าเลีย เอ้ย น่าลูบสุดๆ ใจบางไปหมดแล้วครับคุณ อยากกลับวิลล่าเดี๋ยวนี้เลย

“วิวเชี่ยอะไร มองส้นตีนพี่ทาวน์มากกว่ามั้ง”
ไอ้ฟาร์มหรี่ตามองผมอย่างจับผิด แต่จะไม่อะไรเลยถ้ามันพูดเสียงเบา ได้ยินไปถึงท้ายถนนแล้วไอ้สัด!

“อย่างไอ้เจ็ทน่าจะมองขาพี่ทาวน์มากกว่า จริงไหม”
ไอ้ไธพูดขึ้นด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มและนั่นทำให้คนทั้งกลุ่มหยุดชะงักเท้าแล้วหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน จะเฉไฉไปเรื่องอื่นก็ทำไม่ได้ เพราะดูเหมือนทุกคนพร้อมรุมกระทืบคนโกหก ถ้ากูรอดไปได้เมื่อไหร่พวกมึงตายแน่ เพื่อนทรยศ!

“เงียบๆ ก็ได้มั้ง กูไม่คิดว่ามึงเป็นใบ้หรอกนะพี่เขย”
ผมขยับเข้าไปกระซิบข้างหูไอ้ไธแต่คลี่ยิ้มให้คนอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะกลัวพี่ทาวน์จะหนี ส่วนตัวต้นเหตุอย่างไอ้ฟาร์มเสือกยืนส่งสายตาหวานๆ ให้พี่ฟาเฉย ช่วยห่าอะไรไม่ได้จริงๆ

“แสดงว่ามึงจ้องขากูจริงๆ”
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงที่ควรจะเป็นของไอ้ไธกลับกลายเป็นเจ้าของท่อนขาขาวๆ นั่น ไม่ทันสังเกตว่าเขาประชิดตัวเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วยซ้ำ สีหน้ายังคงเรียบเฉยเหมือนสิ่งที่เกิดเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป

ไอ้ไธเฟดตัวออกไปอย่างรวดเร็วทำเป็นชี้นกชี้ไม้ให้จิณณ์ดูอย่างมีความสุขจนผมอยากกระโดดถีบมันให้กระเด็น ช่วยแก้สถานการณ์ให้เพื่อนก่อนไม่ได้หรือไงวะ ก็รู้ว่ากูโกหกไม่เก่ง แม่ง อย่าให้นกซ้ำนกซ้อนเลย เบื่อตัวเองจะแย่แล้วจ้า

“ก็... มะ มันขาวๆ ผมหวงนะเว้ย”
ผมอ้ำอึ้งตอบความจริงออกไปเสียงแผ่ว ก้มหน้ามองปลายเท้าขาวๆ ของคนตรงหน้าเพราะไม่กล้าสบตา กลัวจะเผยความหื่นให้เขาได้เห็น แต่อยากจะบอกว่าแค่เห็นข้อเท้าก็อยากกัด ดูด เลีย... เชี่ยมาก ภูเก็ตอากาศร้อนเกินไปหรือเปล่าวะ ทำไมกูหื่นแตกได้ขนาดนี้



ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 34 - P.5 (12/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-01-2018 08:49:01
“หวงหรือหื่น เอาดีๆ นะเพื่อน”
เดี๋ยวกูถอดรองเท้าฟาดปากแม่งเลย กลับไปชี้นกให้จิณณ์ดูเถอะไป๊

“นั่นสิครับคุณเจ็ท”
ไอ้เนิร์ดก็เอากับเขาด้วยจนผมต้องแยกเขี้ยวใส่เป็นเชิงขู่ ขนาดว่ามันกำลังเป็นแบบให้ไอ้เอยถ่ายรูปน่ะนะ ยังคิดจะล้อคนอื่นอีก มึงกล้ามาก อย่าคิดว่ามีผัวหนุนหลังแล้วกูไม่กล้าเขกกบาลนะ เผลอเมื่อไหร่ตายแน่ไอ้แว่น

พี่ทาวน์ยืนฟังคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ตากลับเป็นประกายที่บ่งบอกว่ากำลังสนุก แต่ที่มากไปกว่านั้นคือเขาขยับเข้ามาใกล้จนเนื้อบริเวณท่อนขาของเราทั้งคู่เสียดสีกัน นี่จงใจใช่ไหม ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ จะไม่อดทนแล้วนะเว้ย

“โอย ไม่ต้องมาซักกูเลย นู่นๆ ดูตึกไป๊”
ผมบอกเสียงขุ่นกลบเกลื่อนอารมณ์บางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นแล้วผละตัวออกมายืนหอบหายใจ โบกไม้โบกมือไล่เพื่อนอย่างกับคนบ้า เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มหน้าผากจนต้องเสยผมเพื่อนะบายความร้อน ชีวิตของนายภาคินที่สั่งสมความคูลมาตลอด จบสิ้นในทริปเที่ยวภูเก็ตนี้แล ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไหมล่ะกู หื่นไม่เลือกเวล่ำเวลาเนี่ย

“แหม ทำเป็นอาย”
พ่อวิศวะหน้าเหี้ยมลดกล้องในมือลงแล้วพูดด้วยเสียงล้อเลียน ใบหน้าแสดงออกว่าหมั่นไส้กันสุดๆ มึงห้ามพูดอะไรต่อนะไอ้เอย ไม่อย่างนั้นกูยึดไอ้แว่นคืนแน่ๆ พาลเว้ยพาล!

“หยุดเลยไอ้เอย”
ผมยกมือขึ้นชี้หน้ามันด้วยความหงุดหงิด ทำไมทุกคนต้องรุมแกล้งกูแบบนี้ด้วยวะ แล้วดูพี่ทาวน์เถอะ ยืนอมยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ได้ โธ่ ถ้าด่าหรือโกรธกันเลยจะรู้สึกดีกว่านี้

“อุ้ย น่ากลัวจัง ที่รักช่วยเค้าด้วย”
ไอ้เอยบีบเสียงทำตัวสะดิ้งเข้าไปเกาะไหล่ไอ้ตังค์ด้วยท่าทางออดอ้อน ผมเบะปากแล้วชูนิ้วกลางให้มันทันที คนอะไรกวนตีนที่หนึ่ง ส่วนคนอื่นหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเพราะตลก ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่ามันนิสัยแบบนี้จะไม่ให้จิณณ์คบด้วยเด็ดขาด กาก เกรียนไม่มีใครเทียบจริงๆ

ตลอดเส้นทางถนนถลางตั้งแต่ต้นไปจนสุด พวกเราแทบจะเก็บภาพทุกตัวตึกเพราะรูปทรงและสีสันแตกต่างกันออกไป ส่วนมากผมจะแอบถ่ายภาพพี่ทาวน์ทีเผลอมากกว่า ด้านข้างบ้าง ด้านหลังบ้างดูเป็นศิลปะดี อาคารหลังไหนขายของก็จะแวะชมแวะซื้อจนกระเป๋าเบา แวะชิมของหวานไปก็หลายที่จนถึงเวลาเที่ยงวันทยอยกลับมาที่รถเพื่อตะเวนหามื้อกลางวันใส่ท้อง

ไม่ไกลกันนักมีร้านศูนย์อาหารพื้นเมืองภูเก็ตที่ชื่อว่า ‘ลกเที้ยน’ ตั้งอยู่บริเวณแยกถนนเยาวราชตัดกับถนนดีบุก เมนูที่พวกผมเล็งไว้จะเป็น ‘โลบะ’ (อาหารพื้นเมืองของภูเก็ต คือ หัวหมูและเครื่องในหมูต้มพะโล้แล้วเอาไปทอดอีกครั้ง) ‘เกี้ยนทอด’ (คือหมูสับผสมปูหรือกุ้งปรุงรสด้วยผงพะโล้แล้วปั้นเป็นแท่งห่อด้วยฟองเต้าหู้ นำไปนึ่งแล้วทอด) ‘ป๋อเปี๊ยะสด’ ตามมาด้วย ‘หมี่ผัดฮกเกี้ยน’ (เส้นหมี่เหลืองกลมผัดใส่เนื้อสัตว์และผัก) ‘หมี่หุ้นกระดูกหมู’ (หมี่หุ้นเส้นขาวผัดโรยหน้าด้วยหอมเจียวกินคู่กับน้ำซุปกระดูกหมู) ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานขึ้นชื่ออย่าง ‘โอ้เอ๋ว’ (วุ้นที่ทำจากสมุนไพรจีนตัดพอดีคำ ใส่ถั่วแดงโปะหน้าด้วยน้ำแข็งไสราดน้ำแดงและนมข้นหวาน)

ทุกอย่างที่ลิสต์ไว้ทยอยมาเสิร์ฟหลังจากที่สั่งไปสักระยะเพราะคนแน่นร้าน พี่แฮมเป็นคนล้วงโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปก่อนที่พวกหิวโซจะจ้วงกินแบบไม่คิดชีวิต ไร้ซึ่งการพูดคุยเพราะสงครามแย่งชิงตรงหน้าสำคัญกว่าเป็นไหนๆ คำแรกที่โลบะส่วนหูหมูเข้าปากสัมผัสได้ถึงความกรอบของกระดูกอ่อน นุ่มลิ้นด้วยส่วนของหนัง กลิ่นเครื่องพะโล้อบอวลบวกกับน้ำจิ้มรสเด็ดทำให้รู้ซึ้งถึงความอร่อยขั้นสุด ฟินจนอยากสั่งใส่ห่อส่งไปให้ครอบครัวที่อังกฤษได้ชิม

เมนูอื่นๆ ก็อร่อยไม่แพ้กันจนต้องมีการสั่งเพิ่มโดยเฉพาะพี่แฮมที่เป็นคนแนะนำร้านก็กินแบบลืมหายใจจนพวกผมละสายตาจากอาหารไม่ได้ ตบท้ายด้วยของหวานขึ้นชื่อ ลืมบิงซูแบบเกาหลีไปได้เลยเมื่อเจอน้ำแข็งไสเครื่องแน่น หวานฉ่ำ ดับกระหายได้เป็นอย่างดี

หลังจากเติมพลังเสร็จพวกเราก็มุ่งหน้าสู่การเป็นคนดีคือไหว้พระที่ ‘วัดไชยธาราราม’ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘วัดฉลอง’ ซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวภูเก็ตแล้วต่อด้วยการขึ้นเขานาคเกิดเพื่อชมความงามของวิวมุมสูงและพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรีองค์ใหญ่ สูงประมาณสี่สิบหน้าเมตรประดับด้วยผิวหินอ่อนหยกขาวจากพม่า

เกือบห้าโมงเย็นเป็นเวลาที่สภาพของทุกคนคล้ายผ่านสนามรบ แข้งขาแทบไม่มีแรงเดินแต่ด้วยความคึกทำให้ใครบางคนเสนอไปต่อแหลมพรหมเทพเพื่อดูพระอาทิตย์ตกยามเย็น ผมออกตัวปฏิเสธคนแรกเพราะอยากนอนเต็มแก่ ต่อมาด้วยพี่ทาวน์และคนอื่นๆ อีกเกินครึ่งกลุ่ม ทำให้ทริปนี้ต้องยกยอดสู่วันถัดไป

ขากลับผมรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถกลับเพราะจิณณ์บอกว่าคืนนี้จะไปผับกันต่อเลยต้องเก็บแรงไว้ดิ้นคืนนี้ ส่วนไอ้ไธกับพี่ทาวน์หมดแรงหลับคอพับคออ่อนเหมือนเด็กน้อยจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้ดูเล่น

“ขับรถก็มองทางดิวะ”
จิณณ์ว่าเสียงดุเมื่อหันมาเห็นผมที่กำลังชะเง้อคอมองกระจกเพื่อส่องคนด้านหลัง

“ก็มองอยู่นี่ไง”
ผมบอกก่อนจะปล่อยพวงมาลัยมือหนึ่งแล้วชี้ถนนด้านหน้าเป็นการยืนยัน กูมองจริงๆ นะ แต่ไม่ตลอดเวลา โธ่ ก็ตอนนี้รถมันติด ขับช้าอย่างกับเต่า ไม่เกิดอุบัติเหตุหรอกน่า

“เออๆ ขี้เกียจเถียงกับมึง ว่าแต่คืนนี้จะไปผับด้วยกันปะ”
มันบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเพราะรู้ว่าผมโกหกใส่แต่ไม่วายถามถึงเรื่องชวนเที่ยวผับคืนนี้ ไอ้อยากไปมันก็อยากน่ะนะ แต่สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่เพราะรู้สึกปวดเท้า อยากแช่น้ำอุ่น อยากนอนบนเตียงนุ่มๆ เปิดแอร์ฉ่ำๆ สรุปคือกูขี้เกียจ

“ไม่ล่ะ กูอยากนอนมากกว่า”
ผมบอกด้วยความสัตย์จริง ใครจะไปไหนก็ไปเถอะ ขอนอนเอาแรงเพื่อทริปพรุ่งนี้ดีกว่า ขับรถรอบเกาะไม่ใช่เรื่องขี้ๆ นะเว้ย เห็นใจสารถีอย่างกูบ้างเหอะ

“ถ้าพี่ทาวน์ไปล่ะ สาวๆ เข้ามาจีบไม่รู้ด้วยนะเว้ย”
จิณณ์ยักคิ้วกวนอารมณ์ส้นเท้าจนผมแทบเหยียบเบรกแล้วพุ่งเข้าไปเขย่าคอมันโทษฐานพูดเรื่องสะกิดใจ แค่พี่ทาวน์ใส่กางเกงขาสั้นออกมาเดินเที่ยวก็หวงจนหื่นขึ้นตาขนาดนั้น ถ้าคืนนี้ปล่อยเขาไปผับคงแย่แน่ๆ แต่คนเรามันต้องวางตัวดีให้สมกับอายุ

“มันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา แฟนกูหล่อนี่”
พูดให้ตัวเองดูใจกว้างทั้งที่ความจริงแทบจะพ่นไฟใส่หน้าจิณณ์อยู่แล้ว ชอบเอาจุดอ่อนคนอื่นมาล้อเล่นอยู่เรื่อย แม่ง กูเป็นคนขี้หึงขี้หวงไง ไอ้สัด!

“พูดดูดีเนอะ ไอ้เด็กขี้หวง อย่ามาทำเก๊ก”
จิณณ์ผลักหัวกันเบาๆ แล้วหัวเราะเสียงดังจนผมต้องจุ๊ปากเพราะกลัวว่าสองคนด้านหลังจะตื่น ไม่มีการโต้แย้งคำกล่าวหาพวกนั้นเพราะมันคือเรื่องจริง

“กูต้องเว้นระยะให้แฟนมีพื้นที่ส่วนตัวบ้างดิวะจิณณ์ ถ้าทำตัวเป็นเด็กตลอดเดี๋ยวจะโดนรำคาญ”
ผมควรโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถปกป้องคนรักได้สักที ไม่ใช่เด็กที่เอาแต่คิดมากและใช้น้ำตาระบายความรู้สึกเพียงเท่านั้น ต้องมีความเชื่อใจ เชื่อมั่นให้มากกว่านี้ จะเป็นแฟนที่ดีให้จงได้ ขอสัญญา

“โตขึ้นอีกขั้นแล้วนะมึง ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ตอนนี้ทุกคนถึงวิลล่าโดยสวัสดิภาพแล้วแยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อเตรียมตัวไปผับกันต่อในเวลาสองทุ่ม พี่แฮมสละเรือเป็นคนแรกเพราะจะอยู่กินบุฟเฟ่ต์ของทางโรงแรม ส่วนผมก็เป็นอีกรายที่ขอตัวพักผ่อนโดยที่พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำชวนของจิณณ์ เล่นเอารู้สึกว้าวุ่นจนเล่นเกมแพ้หลายรอบ อยากถามก็กลัวคำตอบ โอย ช่างแม่งเถอะ ท่องเอาไว้ว่าต้องเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผล

ตอนนี้ในที่พักเหลือแค่ผม พี่ทาวน์ ไอ้ไธและจิณณ์เท่านั้น ส่วนพี่แฮมออกไปกินบุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหารริมหาด พวกที่เหลือทยอยไปรอในรถ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าคงต้องอยู่คนเดียวเพราะความพยายามเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง ได้แต่คิดทบทวนว่าแบบนี้ดีแล้วหรือ เฮ้อ

ไอ้ไธกำลังทำหน้ายุ่งอยู่ตรงระเบียงที่พักเพราะคุยธุระกับพี่แทนไม่ลงตัว คงทะเลาะกันตามประสาพี่น้องอีกตามเคย ส่วนจิณณ์ก็เป็นแฟนที่ดีนั่งรออย่างใจเย็นเพื่อเดินออกไปพร้อมกัน ผมได้แต่เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเอื้อมมือหยิบรีโมททีวีกดเลือกรายการสารคดีสัตว์ใต้ท้องทะเลดูฆ่าเวลาก่อนเข้านอนคนเดียวในขณะที่พี่ทาวน์กำลังอาบน้ำเตรียมออกไปเที่ยวผับ สงสารตัวเองก็วันนี้ล่ะ

“เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะมึง”
คำพูดลอยๆ ของคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาเล่นเกมทำให้ลมหายใจของผมสะดุดกึก เดี๋ยวกูถีบตกโซฟาเลยไอ้นี่ ชอบทำให้คนอื่นไขว่เขวตลอด

“ไม่ กูจะนอน เมื่อยขาจะตายห่า”
ผมแกล้งบ่นแล้วทุบขาตัวเองประกอบเพื่อความสมจริง เราต้องยึดมั่นกับคำพูดและการกระทำของตัวเองสิวะ แต่ไอ้ดวงตาคมที่หรี่มองอย่างเจ้าเล่ห์นั่นทำให้ความรู้สึกสั่นคลอนชอบกล

“กูไม่อาสาเป็นไม้กันหมานะ แค่ตัวเองกับไอ้ไธไม่รู้จะรอดหรือเปล่า”
จ้า อยากจะแหมให้ไกลถึงเชียงราย ไอ้พวกมั่นหน้ามั่นโหนกว่าหล่อฉิบหายเนี่ย เบะปากใส่รัวๆ เลยแม่ง

ในตอนที่ผมกำลังจะอ้าปากเหน็บแนมฝาแฝดด้วยความหมั่นไส้ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้นพร้อมกับร่างสมส่วนที่อยู่ในชุดนอนแขนสั้นขาสั้นสีกรมท่า หัวคิ้วย่นเข้าหากันทันทีเมื่อเห็น ไม่ไปผับแล้วเหรอวะ... หรือยังไง

“ยังไม่ไปกันอีกเหรอ”
พี่ทาวน์ถามจิณณ์แล้วเดินมานั่งลงข้างผมจนตัวแทบสัมผัสกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ทำให้อยากซุกหน้าลงกับซอกคอเหลือเกิน โอย คิดดีไม่ได้เลย

“รอไอ้ไธคุยโทรศัพท์ครับ แล้วพี่ทาวน์ไม่ไปเหรอ”
จิณณ์ละใบหน้าจากโทรศัพท์แล้วจ้องมองบุคคลในชุดน้อยด้วยใบหน้าสงสัยซึ่งไม่ได้ต่างจากผมที่กำลังขมวดคิ้วและขบคิดอยู่เช่นกัน พี่ทาวน์ไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธการเที่ยวกลางคืนแต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ

“ไม่ไป ปวดเท้าน่ะ”
น้ำเสียงราบเรียบทำให้ผมต้องรีบก้มลงไปดูเท้าขาวๆ ของพี่ทาวน์ทันที ปวดตรงไหนบ้างวะ อยากนวดให้เดี๋ยวนี้เลยแต่ตืดที่ว่าจิณณ์ยังนั่งอยู่ด้วยกัน

“อ๋อ... งั้นพวกผมขอไปเที่ยวกันก่อนเนอะ”
จิณณ์พยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะส่งยิ้มลาพวกเราทั้งสองคน เห็นมันรีบเดินไปลากไอ้ไธแล้วได้แต่หัวเราะ คู่รักประสาอะไร รุนแรงใส่กันทุกวัน แต่แบบนี่เขาว่าลูกดกปะ...

ผมละความสนใจจากเรื่องคนอื่นแล้วกลับมาโฟกัสอาการปวดเท้าของแฟน สังเกตว่าเท้าของเขามีสีแดงก่ำผิดปกติ สงสัยจะปวดเท้ามากจริงๆ ถึงขนาดยอมพลาดโอกาสเข้าผับกินเหล้าปลดปล่อยความเครียดเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเรียนปีสามอย่างเป็นทางการ

“พี่ปวดเท้ามากเหรอ เดี๋ยวผมหาน้ำอุ่นมาให้แช่เนอะ”
ผมผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วโดนไม่รอฟังความเห็นจากอีกคน กำลังจะก้าวเท้าออกไปหากะละมังแต่กลับถูกรั้งข้อมือเอาไว้

“เดี๋ยว”

“ครับ จะเอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า”
ผมก้มหน้าประสานกับพี่ทาวน์แล้วพบว่ามันมีบางอย่างแปลกไป ทั้งบรรยากาศรอบตัว ความละมุนในน้ำเสียง หรือแม้กระทั่งสีเลือดฝาดบนแก้มขาว เขาต้องการสื่ออะไร

“นั่งลง”
เชื่อไหมว่ามันเป็นคำสั่งที่อ่อนโยนมากจนผมยอมนั่งลงโดยไม่มีข้อแม้ราวกับโดนมนตร์สะกด พี่ทาวน์ไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากนั้นนานนับนาที มือที่เกาะกุมกันอยู่ก็ไม่ได้ผละออกไปไหน แปลกมากจริงๆ

“โกหกน่ะ แค่อยากใช้เวลากับมึง”
คำบอกเล่าแผ่วๆ กับแรงบีบที่ข้อมือทำให้ผมแทบสิ้นลมหายใจ ไม่คิดเลยว่าคนอย่างพี่ทาวน์จะทำอะไรแบบนี้เพื่อได้อยู่กับแฟน น่ารักจนไม่รู้ต้องชมยังไงแล้วจริงๆ

“พี่ทาวน์...”
ผมเรียกชื่อเขาได้แค่เท่านั้นเพราะยังอึ้ง ทึ่ง มองคนข้างๆ ด้วยดวงตาสื่อความหมายแต่กลับโดนผลักหัวซะอย่างนั้น โธ่ เขินก็บอกว่าเขินสิ ไม่ใช่รุนแรงใส่แบบนี้

“หึ อึ้งอะไรขนาดนั้น”

“น่ารักว่ะ”
ผมพึมพำเสียงเบาแล้วขยับเข้าไปใกล้แล้วโน้มหน้าขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่ มันชื่นใจจนเผลอแลบลิ้นเลียนอมฝีปาก ถ้าต้องการทำมากกว่านี้จะได้ไหมนะ ก็ไม่ได้เป็นระยะเวลาตามที่ตกลงกันไว้ซะหน่อย

“อยากทำอะไรก็ทำ ทางสะดวกแล้ว”
เดี๋ยวนะ เมื่อครู่ผมหูฝาดหรือเปล่าวะ

“อะ อะไรนะครับ”
ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ แต่หัวสมองกลับคิดเรื่องอกุศลจนไม่เหลือที่ว่างให้คิดเรื่องอื่น ‘หื่นให้สุดแล้วจบที่พี่ทาวน์’ สโลแกนประจำตัวอันใหม่

“ตามนั้น”
เปรียบเสมือนคำอนุญาตให้ผมทำอะไรกับร่างกายขาวๆ ตรงหน้าก็ได้ พี่ทาวน์เบนหน้าหนีไปทางอื่นแต่สังเกตได้ว่าเขาแก้มแดงมากแค่ไหน โอย ไอ้ภาคินไม่นกแล้วเว้ย!

“เดี๋ยวผมออกไปเซเว่นแป๊ป!”

“ไปทำไม”

“ก็ซื้อถะ ถุงยางกับเจล...”
ผมกลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นสิ่งที่พี่ทาวน์ขยับไปหยิบเมื่อครู่นี้ กล่องถุงยางอนามัยยี่ห้อ Okamoto ยอดฮิต สูตรเย็นผิวไม่เรียบกับเจลหล่อลื่นสูตรน้ำของ Durex ให้ตายเถอะ ใครกันแน่ที่หื่นกว่ากันเนี่ย

“มีแล้ว”
อยากถามสุดๆ ว่า แอบไปซื้อมาตอนไหนวะ! แต่ทำได้แค่เบิกตาอ้าปากพะงาบๆ อึ้ง ทึ่ง เสียวเลยคราวนี้

“พี่...”
ผมครางเรียกชื่อเขาได้สั้นๆ อีกแล้ว แม่งๆๆๆ ถ้าไม่ทะนุถนอมจะได้ต่อยปะวะ ทำไมเป็นคนขี้ยั่วแบบนี้ ไหนพูด!

“หุบปากแล้วเริ่มสักที”
พี่ทาวน์ออกคำสั่งจบแล้วเอื้อมมือมารั้งท้ายทอยของผมเข้าไปประกบปากจูบทันทีเพื่อส่งสัญญาณให้เริ่มกิจกรรมเข้าจังหวะครั้งแรกในค่ำคืนนี้

ริมฝีปากค่อยๆ บดเบียดเค้าคลึง ขบเม้ม ดูดดุนกระตุ้นแรงอารมณ์ให้กระพือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เสียงเฉอะแฉะยามลิ้นร้อนตวัดเกี่ยวพันกันยิ่งทำให้สติสัมปชัญญะแตกกระเจิงจนไม่เหลือชิ้นดี และที่สำคัญคือตอนนี้พวกเราลืมไปแล้วว่ากำลังนั่งอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นของวิลล่าที่ยังไม่ได้ปิดผ้าม่าน... ตื่นเต้นดีไหมล่ะ




-------------------------------------------

เราบอกแล้วว่าเจ็ทไม่นกจริงๆ นะ 
ตอนหน้าพี่ทาวน์ยึดมาพร้อมกับ NC ตัดเข้าโคมไฟ...

ล้อเล่น!!! NC สักครึ่งตอนดีไหม? 55555555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 34 - P.5 (12/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: numay ที่ 12-01-2018 19:03:57
รอตอนต่อไป  :oo1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 34 - P.5 (12/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 12-01-2018 19:57:49
 :mc4:  เจ็ทจะไม่นกแล้ว
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 34 - P.5 (12/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 14-01-2018 08:48:23
รอตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้ว เจ็ทจะไม่นก?
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 34 - P.5 (12/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 14-01-2018 10:49:22
 :mc4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 35 - P.6 (16/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-01-2018 20:34:41
แข่งครั้งที่ 35

:: ทาวน์ ::




เครื่องปรับอากาศส่งเสียงครางหึ่งๆ ในเวลาเกือบสามทุ่ม ลมหนาวตกกระทบสองร่างที่กำลังกอดกันนัวเนียบนโซฟา กระดุมเสื้อชุดนอนถูกปลดออกอย่างรีบร้อนด้วยฝีมือคนที่มีอายุน้อยกว่า ใบหน้าหล่อในเวลานี้แสดงความต้องการอย่างไม่ปิดบังจนผมเกิดอาการเขินอายเพราะห่างหายเรื่องอย่างว่ามานาน จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรงที่ตัดสินใจมีอะไรกับผู้ชาย... ต้องเริ่มยังไงดี

สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดคือการนอนมองการกระทำของเจ็ท พยายามกลั้นเสียงครางน่าอายที่หลุดลอดออกมายามเขาไล้ลิ้นร้อนลากเลียบริเวณซอกคอ มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเป็นคนเริ่มเองเป็นไหนๆ ยิ่งได้เห็นแก้มสีเรื่อเพราะแรงอารมณ์ของเขา ยิ่งทำให้อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงขึ้นจนต้องจิกเล็บลงบนโซฟาโดยไม่กลัวว่ามันจะขาด

“เจ็ท อย่าแกล้ง”
ผมว่าเสียงดุใส่คนที่กำลังเล่นกับตุ่มไตสีหวาน ดูดดุนขบเม้มสลับกับการใช้ปลายลิ้นสะกิดหยอกล้อจนสติแทบเตลิด เจ็ทผงกหัวขึ้นมองด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ คลี่ยิ้มหวานพลางก้มลงจูบกลางอกก่อนขยับโน้มตัวลงกระซิบข้างใบหู

“เสียวเหรอครับ”
ฟึ่บ

เสียงหมอนอิงลอยหวืดกระแทกหัวทุยของคนบนร่าง ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยยกเข่ากระทุ้งหน้าท้องแกร่งไปอีกครั้ง ถ้าจะล้อเลียนกันแบบนี้เปลี่ยนจากมีเซ็กซ์เป็นต่อยกันดีกว่าไหม

“ถ้ายังพูดมากอีกกูจะไปนอน”
ผมผลักเจ็ทออกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินเข้าห้องนอนเพราะตรงนี้คงไม่ปลอดภัยนักถ้าใครพรวดพราดเปิดประตูเข้ามาเจอหนังสด แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะเข้าใจผิดเพราะอ้อมกอดแข็งแรงรีบรวบเอวสอบไว้ทันทีแถมด้วยการใช้จมูกถูไถตรงแนวกระดูกสันหลังเป็นเชิงอ้อน

ผมไม่เคยแพ้ใครมาก่อน แต่มีมันคนแรกนี่ล่ะที่ชนะมาตลอด หึ

“ผมขอโทษครับ จะไม่ถามแบบนั้นอีกแล้ว”
เจ็ทบอกเสียงอ่อยก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะประทับลงบนบั้นเอวอย่างแผ่วเบาแล้วไล้สูงขึ้นตามแนวกระดูกสันหลังจนรู้สึกว่าขนอ่อนในกายลุกชัน มันช่างวาบหวามจนแทบหมดแรงทรงตัว แย่จริงๆ ที่ยอมให้เด็กคนนี้เข้ามายึดหัวใจ

“กูจะเข้าห้อง”
ผมผละตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งโดยไม่หันไปมองลูกหมาที่ยืนสลดอยู่ด้านหลังเพราะอยากแกล้งเอาคืนที่ชอบตั้งคำถามน่าอายแบบนั้นออกมา ไม่ใช่ว่าโกรธแต่มันทำให้ยิ่งเขินและมีอารมณ์เพิ่มขึ้น ไม่คิดว่าคนกากจะเชี่ยวชาญเรื่องบนเตียงขนาดนี้ แต่พอคิดว่าเขาคงผ่านมาเยอะก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา นี่สินะอาการหึง... ตลกดีว่าไหม

“พี่ทาวน์...”
ทำไมต้องเรียกชื่อด้วยเสียงสั่นๆ คล้ายกำลังจะร้องไห้ด้วยวะ แต่ต้องใจแข็งเข้าไว้

“ปิดแอร์กับทีวีด้วยล่ะ”
ผมใช้โทนเสียงเดิมมันเรียบเฉยแต่แฝงความดุ ซึ่งเจ็ทน่าจะคิดว่าโดนโกรธทั้งที่มันไม่ใช่... ว่าที่หมอก็ไม่ได้ด้อยเรื่องการแสดงหรอกนะ

“พี่โกรธผมเหรอ ขอโทษจริงๆ ครับ ผมมันปากเสียเอง”
หลังจากจบประโยคนั้นก็ได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นจนต้องรีบกลับหลังหันเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพที่เห็นคือเจ็ทกำลังฟาดมือลงบนแก้มของตัวเองเพื่อเป็นการลงโทษที่พูดอะไรไม่เข้าท่า แม่ง เด็กบ้า เคยตามความคิดผมทันบ้างไหม โง่จริงๆ เลย

ผมรีบจับข้อมือของคนตรงหน้าเอาไว้แล้วโน้มตัวลงไปประกบจูบอย่างเร่าร้อน เบียดกายแนบชิดจนรู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายของกันและกัน เสื้อยืดที่เจ็ทใส่อยู่ตอนนี้เกะกะเหลือเกิน อยากกระชากมันให้ขาด ชอบทำตัวเป็นหมาหงอยอยู่ได้ น่ามันเขี้ยวฉิบหาย

“กูแค่อาย ไม่ได้โกรธ เข้าใจไหม”
ผมผละตัวออกแล้วอธิบายอย่างใจเย็นพร้อมสบตาสื่อความหมาย มือเรียวลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของเจ็ทด้วยความเอ็นดู ทุกวันนี้ยังสงสัยว่ามีแฟนหรือรับเลี้ยงหมาโกลเด้นกันแน่

“อ่า... งั้นต่อได้ใช่ไหมครับ”
เจ็ทมองอย่างมีความหวังแต่ไม่แสดงท่าทีจนน่าเกลียดว่าตัวเองหื่นทั้งที่เป้าตุงขนาดนั้น ผมเบนหน้าหนีเมื่อรู้จุดโฟกัสของตัวเองแล้วหมุนตัวไปอีกทาง เป็นปกติที่ผู้ชายส่วนมากอยากรู้อยากลองและมีความต้องการทางเพศสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งกับคนที่รักมันจะรู้สึกมากเป็นพิเศษ

“อืม... ในห้องนะ”
ผมตอบแค่นั้นก่อนจะก้าวยาวๆ ตรงไปที่ห้องพัก เกือบเดินชนประตูเพราะสติตกหล่นกลางทาง อยากกอดเจ็ทให้ช้ำไปทั้งตัว อยากกัดแสดงความเป็นเจ้าของ อยากทำให้ทุกคนรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นของใคร วันนี้เด็กนั่นกล้าใส่เสื้อกล้ามโชว์รอยสักให้ทั้งหนุ่มและสาวมองกันขนาดนั้น น่าตีไหมล่ะ ที่เห็นเงียบๆ ไม่พูดอะไรก็แค่เก็บอาการเท่านั้น หวงจนแทบหาผ้าคลุมให้

ผมทิ้งตัวลงบนปลายเตียงแล้วพยายามสงบสติอารมณ์ สูดหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ ทุกอย่างกำลังไปได้สวยถ้าเกิดไม่มีเสียงเปิดประตูพร้อมกับร่างกายที่มีเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว แบบนี้มันยั่วกันเห็นๆ

ผมจ้องสัดส่วนของคนตรงหน้าอย่างไม่เขินอาย ไล่ตั้งแต่ลาดไหล่กว้างจนถึงช่วงวีเชฟตรงหน้าท้อง ไรขนอ่อนทำให้เจ็ทดูเซ็กซ์ซี่น่าขย้ำขึ้นอีกเท่าตัว รอยสักรูปเข็มทิศตรงกลางอกทำให้ลุคของเขายิ่งดูดิบเถื่อนกระตุ้นอารมณ์ เกิดมายี่สิบปีเพิ่งเคยมีอยากมีอะไรกับผู้ชายเป็นครั้งแรก ให้ตายเถอะ ความรู้สึกมันอธิบายไม่ถูกจริงๆ ตื่นเต้น เร้าใจ เสียว วาบหวามยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก

“มองแบบนั้น จะกินผมเข้าไปทั้งตัวหรือเปล่าครับ”
เจ้าของรอยสักเข็มทิศย่างเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าแสดงถึงความต้องการ เขาโน้มตัวลงใช้จมูกสัมผัสไล้ไปตามแนวลำคอขาว ความรู้สึกวาบหวามแล่นสู่ท้องน้อย นิ้วเรียวจิกเกร็งจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่คามือ

เด็กนี่จะเชี่ยวชาญในการปลุกอารมณ์มากเกินไปแล้ว

“ใคร... จะกินใครกันแน่”
ผมถามเสียงกระท่อนกระแท่นก่อนจะเอียงใบหน้าเพื่อรับสัมผัสให้มายิ่งขึ้น สองมือขยับเอื้อมไปลูบไล้หน้าอกแกร่งลากปลายนิ้วตามร่องกล้ามเนื้อหน้าท้อง เจ็ทเผลอครางเสียงต่ำและกลบเกลื่อนมันด้วยการฝากรอยสีกุหลาบไว้บนหัวไหล่

คำว่า ‘เจ้าเล่ห์’ ผุดขึ้นในสมองทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากหยักของแฟน การกระทำเมื่อครู่ไม่ได้ทำเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหน้าอาย แต่เป็นอุบายในการแอบแสดงความเป็นเจ้าของอย่างแนบเนียนเท่านั้น ผมโอบแขนรอบเอวสอบแล้วรั้งเจ็ทเข้ามาใกล้ก่อนแนบริมฝีปากลงบนหน้าท้องแกร่ง ดูดดึงจนมันขึ้นรอยแดงไม่ต่างกัน

เด็กน้อยสะดุ้งเฮือกก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางของผมขึ้นแล้วโน้มตัวลงมากดจูบอย่างดูดดื่ม ปลายลิ้นร้อนแทรกผ่านริมฝีปากเข้ามาเกี่ยวตวัดแลกเปลี่ยนความหวานจนเกิดเสียงดังเฉอะแฉะ ไม่ได้รู้สึกอายแต่มันเพิ่มพูนความต้องการได้ผลดีจนน่ากลัว พูดง่ายๆ คือของขึ้นแล้ว...

ถ้าเกิดผมคลั่งความเป็นเจ็ทคงไม่ผิดใช่ไหม

“ถ้าเป็นพี่ แบบไหนผมก็ยอมทั้งนั้นล่ะครับ”
เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูก่อนจะตามมาด้วยการกดจมูกลงบนแก้มของผม ถูไถเบาๆ อย่างออดอ้อน อยากจับตีก้นซะให้เข็ด ทำไมซนแบบนี้

“งั้นมึงรับ กูจะรุก”
ผมบอกเสียงจริงจังก่อนกระชากคนยืนให้ล้มตัวลงบนเตียงแล้วขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว คราวนี้จะไม่ปล่อยให้เดินเกมตามใจชอบอีกแล้ว อยากเจ้าเล่ห์ดีนัก โดนเอาคืนบ้างคงไม่เป็นอะไร

“เอาจริงเหรอ...”
เจ็ทถามด้วยเสียงตื่นๆ ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่มือปลาหมึกกลับลูบไล้อยู่บนต้นแขนของผม อ้อยอิ่ง ออดอ้อน ยั่วเย้า มันน่านัก เดี๋ยวจะจัดหนักจนลุกไม่ขึ้นเลยคอยดู

“จริงสิ กูเคยล้อเล่นที่ไหน”
ผมเอ่ยย้ำก่อนจะโน้มตัวลงครอบครองตุ่มไตสีหวาน เจ็ทสะดุ้งเฮือกแล้วแอ่นอกรับสัมผัสอย่างกล้าๆ กลัวๆ ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อปิดกลั้นเสียงครางน่าอาย

เขาจะรู้ไหมว่าผมรอฟังเสียงแห่งความสุขนั้นมานานแค่ไหน ไม่ยอมให้ปิดปากเงียบหรอก คอยดู

“อะ เอางั้นก็ได้ครับ ผม... พร้อม!”
ผมเกือบหลุดคำเมื่อเจ้าเด็กใต้ร่างทำท่าฮึกเหิมทั้งๆ ที่มือชื้นไปด้วยเหงื่อ แต่เขาบอกว่าพร้อมก็คงต้องจัดให้อย่างเดียวล่ะนะ คืนช้าเดี๋ยวมารผจญโผล่มาอีกจะแย่ แต่คนอย่างไอ้ทาวน์คงกินบุฟเฟ่ต์จนเก็บนั่นล่ะ ตะกละปานนั้น

“หึ ห้ามเปลี่ยนใจทีหลัง”

“ครับ!”

ผมขุดความเป็นผู้นำของตัวเองด้วยการปลุกปั่นอารมณ์ของคนใต้ร่าง ทั้งไซร้ซอกคอ หยอกล้อยอดอก สร้างรอยสีหวานบนหน้าท้องแกร่ง ไล่ปลายลิ้นร้อนไปตามขอบกางเกงตัวจิ๋ว อ้าปากงับเอวยางก่อนจะดึงลงอย่างหมิ่นเหม่ เจ้าหนอนน้อยใกล้จะออกมาเผชิญโลกกว้างแล้วสินะ

“พะ พี่ทาวน์ ตรงนั้นโคตร อา... เสียว”
เสียงครางในลำคอดังขึ้นเมื่อผมแนบริมฝีปากลงบนท่อนเนื้อร้อนที่ตอนนี้แข็งขื่นอยากระบายออกเต็มแก่ มือเรียวค่อยๆ ดึงปราการชิ้นสุดท้ายลงจนพ้นข้อเท้า แลบลิ้นไล่เลียไปตามความยาวอย่างไม่นึกรังเกียจ อ่า... ความรู้สึกตอนนี้เป็นอะไรที่บรรยายไม่ได้จริงๆ

“ชอบสินะ”
ผมเอ่ยเย้าก่อนจะเปลี่ยนเป็นใช้มือจับท่อนเนื้อร้อนรูดขึ้นลงเป็นจังหวะ ครั่งแรกกับปากคงไม่ไหวเพราะยังไม่ชำนาญเท่าไหร่ กลัวทำให้เจ็บจนหมดอารมณ์ เจ็ทแอ่นสะโพกรับทุกสัมผัสที่ถูกมอบให้ ดวงตาคมที่จ้องมองมานั้นหวานฉ่ำจนแทบละลายหัวใจผู้กระทำ

“อืม ~ ก็ตอนช่วยตัวเองไม่รู้สึก อะ อา ดีขนาดนี้”
ทั้งคำพูดและเสียงครางที่ผมปรารถนาจะได้จนทำให้สติขาดผึ่งลงอย่างรวดเร็ว มันสุดขีดจำกัดความอดทนที่มี

“พูดมาก”
ผมเอ่ยเสียงดุแล้วใช้นิ้วกดส่วนปลายขยี้เบาๆ เพื่อแกล้งคนที่นอนหอบหายใจ ร่างกายของเจ็ทกระตุกเฮือกก่อนมือหนาจะเอื้อมมาดึงหัวไหล่ ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นผสมกลิ่นยาสีฟันรสมิ้นท์

“ไม่อยากให้ผม อึก พูด ก็จูบปิดปากสิครับ”
ขนาดทรมานจนใบหน้าบิดเบี้ยวแต่ไม่วายแสดงความกะล่อนออกมาให้เห็น ด้วยความมันเขี้ยวผมเลยประกบจูบแล้วกัดริมฝีปากของเจ็ท ถ้าไม่กลัวโดนล้อจากผู้ร่วมทริปคงทำให้เลือดออกไปแล้ว

“เจ้าเล่ห์นะ”
ผมผละออกแล้วว่าเสียงดุก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงข้สงกันก่อนจะเอื้อมมือดึงแขนเจ็ทให้ขึ้นคร่อมแทน คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวได้แต่ทำหน้าเหวอๆ ส่งสายตาแสดงความสงสัย เอียงคอมองอย่างมึนงง ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ อยากกัดให้จนเขี้ยวไปทั้งตัวเลย

“พี่ ทำไม...”
ปลายประโยคขาดหายไปกับอากาศ แต่บริบทมาแบบนี้ก็เดาไม่ยาก ‘ทำไมถึงทำแบบนี้’

ผมไม่ตอบในทันทีแต่กลับยกแขนเรียวขึ้นคล้องคอเด็กด้านบน กดท้ายทอยลงเพื่อลิ้มลองริมฝีปากหยักอีกครั้งก่อนจะผละออกแล้วจ้องตาเพื่อเอ่ยเรื่องสำคัญ

“กูรู้ว่ามึงกลัวการเป็นรับ”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ประดับร้อยยิ้มอ่อนโยนไว้บนใบหน้า ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเจ็ทอาจจะทำตัวงอแง งี่เง่า ขี้แยบ่อย แต่เขากลับเอาใจใส่และดูแลกันได้ดีเกินคาด ใครจะเป็นฝ่ายรับหรือรุกนั้นไม่สำคัญเท่ากับความรักที่มีให้กัน

รู้ตั้งแต่แรกว่าเจ็ทไม่ใช่คนอ่อนแอ เขาแค่อ่อนไหวในเรื่องของความรู้สึก และการที่ยอมรับการเป็นฝ่ายรับทั้งที่แสดงออกว่าอยากรุกมาตลอดก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ‘นายภาคินสามารถยอมนายเมืองเหนือได้ทุกอย่าง’ ไม่แปลกที่ครั้งนี้ผมจะเป็นฝ่ายยอมบ้าง ด้วยความเต็มใจ

“มะ ไม่ใช่แบบ...”
ผมใช้นิ้วแตะริมฝีปากหยักเพื่อเป็นการบอกให้เขาหยุดพูด ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววฉงนจนผมเผลอหลุดยิ้มออกมา หมากำลังงงสินะ

“มึงทุ่มเทกับความรักครั้งนี้มาก เพราะฉะนั้น นี่คือรางวัลของเด็กดี อยากทำอะไรก็ทำ แต่ขออย่างเดียว...”
ผมไม่ขยายความไปมากกว่านั้นเพราะอยากให้เจ็ทสบายใจและไม่กังวลกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น รู้แค่ว่าใครเป็นรุกเป็นรับก็พอ ถ้ารู้เหตุผลเดี๋ยวจะซึ้งจนไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี

“อะ อะไรครับ”
ริมฝีปากหยักสั่นระริกแต่ดวงตาคมกลับทอประกายแห่งความดีใจจนผมอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปตบแก้มเขาเบาๆ

“อย่าเรียกกูว่า ‘เมีย’ หลังจากวันนี้”
ผมเอ่ยเสียงเบาแต่แฝงความดุไว้อย่างล้นเหลือ คนถูเตือนทำแค่คลี่ยิ้มหวานแล้วโน้มลงมาพูดชิดริมฝีปาก คลอเคลียเหมือนลูกหมา

“ได้สิครับ ผู้ชายคงไม่อยากให้ใครเรียกว่าเมียหรอก”
พูดจบก็เลื่อนลงไปแตะจูบลงตำแหน่งหัวใจก่อนจะถูคางเบาๆ ลงบนยอดอกจนรู้สึกร้อนวูบที่ส่วนอ่อนไหว ให้ตายสิ อย่าอ้อนด้วยวิธีแบบนี้

“ไม่ใช่ อึก หรอก”
เกือบส่งเสียงครางออกไปตอนที่ริมฝีปากขบเม้มตุ่มไตสีหวานอีกครั้งและอีกครั้ง จะหยุดคุยนิ่งๆ สักสองสามนาทีไม่ได้เลยหรือไงกัน

“แล้ว...”

“กูแค่เขิน อีกอย่างคือไม่ชินเพราะเคยเป็นแต่ผัวคนอื่น”
ใครจะหาว่าผมปากแข็งไม่ได้แล้วนะ พูดเองก็เขินเอง ทำไมลำบากแบบนี้วะ

“โธ่ จะน่ารักไปถึงไหนครับแฟน”
ไอ้เด็กนี่ก็ชอบชมว่าน่ารักอยู่เรื่อย แต่ครั้งนี่ผมกลับรู้สึกดีเพราะสามารถดึงความเจ้าเล่ห์ของตัวเองออกมาใช้ได้ทันที ก่อนหน้านี้เจ็ทเป็นเด็กช่างยั่วใช่ไหม ต่อไปนายเมืองเหนือก็ไม่แพ้กันหรอก

“หึ ถ้ากูน่ารักก็ ‘กอด’ แน่นๆ แล้วกัน”

“อย่าเสียใจทีหลังนะครับพี่ทาวน์ ที่ยอมผม”

ผมขอย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตตอนนี้เลยได้ไหม การที่ตกกระไดพลอยโจรยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำนั้นถือเป็นความผิดพลาดจริงๆ เพราะหลังจากบทสนทนาจบลงกางเกงนอนพร้อมด้วยชั้นในก็ถูกกระชากออกอย่างรวดเร็ว แก่นกายที่เริ่มพองตัวถูกครอบครองด้วยริมฝีปากหยักช่างเจรจานั่น ปลายลิ้นร้อนทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีจนกลั้นเสียงครางแทบไม่อยู่

แรงดูดดุนส่วนปลายทำให้ผมบิดเร่าด้วยความเสียวซ่าน พยายามใช้มือผลักเจ็ทออกแต่ไม่สำเร็จเพราะไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน ความรู้สึกเปียกชื้นตรงนั้นมันเป็นสัญญาณอันตรายจริงๆ นะ พอสักทีเถอะ...

“อึก อืม อย่าดูด ตะ ตรงนั้น เดี๋ยวแตก”
เพราะกลัวมันจะฉีดเข้าปากเจ็มเลยต้องพยายามห้าม ใครมันจะอยากกินน้ำของคนอื่นบ้างล่ะ

เชื่อแล้วว่าสุถาษิต ‘ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุเป็นความจริง เพราะหลังจากนั้นเจ็ทยิ่งเพิ่มแรงดูดมากขึ้นแถมด้วยการขยี้ปลายลิ้นลงมาถี่ๆ จนสุดท้ายความอดทนแตกเป็นเสี่ยง อีกนิดเดียวก็จะเลอะแล้ว

“จะ เจ็ท... ไอ้เด็กบ้า”
ผมด่ามันเสียงกระท่อนกระแท่น ใจอยากเบี่ยงตัวหนีแต่ร่างกายกลับแอ่นรับทุกจังหวะที่เจ็ทมอบให้ เด้งสะโพกส่วนใส่ปากอย่างน่าอาย ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีอะไรกับผู้ชายได้ แม่ง... แต่มันก็เป็นไปแล้วจริงๆ แถมยังโคตรรู้สึกดีอีกด้วย

“พี่ทาวน์โคตรน่ารักเลยว่ะ ตัวแดงไปหมด”
ชมไม่ว่าแต่ไอ้หน้าตามันเขี้ยวนั่นคืออะไร อะ อย่าดูดแบบนั้นสิ จะตายอยู่แล้ว

“เพราะมึงไง อะ อา... อึก แฮ่ก”
พูดยังไม่ทันจบทุกอย่างที่อดกลั้นมาก็ทะลักจนล้นออกจากริมฝีปากหยักที่ครอบครองส่วนอ่อนไหวลงไปอีกครั้ง ผมแทบพลิกตัวซุกหน้าลงกับหมอนเพราะอาย แต่ตืดที่ได้ยินเสียงไอ้ค่อกแค่กของเจ็ท สมน้ำหน้า หาเรื่องดีนัก

“ทาวน์ขี้โกง เสร็จก่อนได้ไง”
คำพูดคำจาน่าเตะให้เลือดกลบปาก แต่ผมดันชอบที่เจ็ทเรียกชื่อเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีคำนำหน้า มันเหมือนเราสนิทกันไปอีกขั้น แต่อย่างที่รู้ว่าต้องฟอร์มจัดไว้ก่อนเดี๋ยวเด็กจะได้ใจกันไปใหญ่ แค่นี้ก็ตกเป็นเบี้ยล่างมากเกินพอแล้ว

“หุบปาก”
ผมออกคำสั่งเสียงดุแล้วเอื้อมมือเช็ดคราบขุ่นที่ติดอยู่ตรงมุมปากแต่เจ็ทไวกว่าเพราะเขาแลบลิ้นเลียมันจนเกลี้ยง แม่ง... อายจนหน้าร้อนไปหมดแล้ว

“ผมจะเริ่มของจริงแล้วนะครับ ถ้าเจ็บก็บอกนะ”
เจ็ทโน้มตัวลงจูบหน้าผากก่อนจะขยับตัวลงต่ำเพื่อเริ่ม ‘ของจริง’ อย่างที่พูด ผมอยากวิ่งหนีแต่ทำได้แค่พยักหน้าหงึกหงัก ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม อารมณ์มาเต็มขนาดนี้ก็ทำให้มันจบๆ ไปเถอะ

“อืม กู... ให้แค่รอบเดียวนะ กลัวพรุ่งนี้จะเดินไม่ไหว”
ที่จริงแค่กลัวว่าเพื่อนจะจับได้ว่าผมเสร็จไอ้เด็กนี่แล้วก็เท่านั้น เพราะปากแข็งเคยพูดไว้ว่าคบกันไม่ถึงสามปีไม่ยอมหรอก เกลียดตัวเองชะมัด

“ผมอุ้มได้นะ ถึงพี่จะตัวเท่าผมก็เถอะ”
ยังจะมากวนตีนอีก ให้สไลด์หมอนช่วยตัวเองดีไหม

“เดี๋ยวกูเตะ”
ผมยกเท้าขึ้นเป็นการยืนยันคำพูดจนเจ็ทผวารีบเก็บหนอนน้อยที่ตอนนี้กลายเป็นมังกรทันที กลัวอะไรขนาดนั้นวะ

“ล้อเล่นนะครับ”
หัวเราะแห้งตบท้าย ดูน่าสงสารจนต้องคล้องคอดึงลงมาจูบเพื่อเป็นสัญญาณให้เริ่มกระทำสักที ขืนปล่อยไว้นานความอายคงท่วมท้นมากกว่านี้

ผมโคตรเกลียดแฟนตัวเองตรงที่มันชอบเล้าโลม ยามเมื่อปลายลิ้นแตะลากผ่านช่องทางด้านหลัง ชอนไชอย่างชำนาญจนเสียวไปทั้งร่าง บิดเร่า จิกเกร็ง เม้มริมฝีปาก ทำทุกอย่างเพื่อสะกดกลั้นแรงอารมณ์ แต่มันไม่ได้ผลเลย...

“อ๊ะ แม่ง อืม มะ มันแน่น”
เมื่อนิ้วแรกสอดใส่เข้ามาในช่องทาง ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดและไม่ชิน แทบหุบขาหนีแต่โดนคำพูดกระแทกใส่เต็มๆ จนได้แต่นอนถลึงตาใส่คนปากดี พูดออกมาได้ยังไงวะ

“โคตรฟิต”
มึงไม่อายแต่กูอาย!

“เจ็ท!”
เผลอตะโกนเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนความอาย แต่เจ็ทคงเข้าใจผิดว่าผมโกรธที่ทำให้เจ็บ โธ่เว้ย ทำหน้าเป็นหมาหงอยแล้ว เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจจับกดซะเลย

“ขอโทษครับพี่ทาวน์”
ปากขอโทษแต่นิ้วกลับขยับ นี่มันคนเจ้าเล่ห์ชัดๆ แต่ที่บ้าสุดๆ คือผมดันเคลิ้มกับมันซะได้ จากที่เคยอึดอัดกลายเป็นเริ่มเสียว...

“อึก อา... ระ เรียกแค่ชื่อก็ได้”
ผมไม่สามารถควบคุมสติได้แล้วจริงๆ เมื่อนิ้วที่สองและสามเพิ่มขึ้น ขยับเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ ไม่ช้าไปไม่เร็วไป สร้างความวาบหวามจนปล่อยเสียงครางหลุดลอดออกมาอย่างไม่อาย

“โอย ผมจะทนไม่ไหวแล้ว”
เจ็ทโอดครวญอย่างน่าสงสารเพราะต้องทนสร้างความเคยชินกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในช่องทางของผม

“กะ ก็รีบทำสักที หนาวจะตายอยู่แล้ว”
ผมก็แค่ไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อก็เท่านั้น อย่าคิดลึกกันเลย

“งั้นไม่เกรงใจแล้วนะครับ”
เสียงกระดี๊กระด๊าจนอยากถีบให้ตกเตียง เจ็ทหยิบถุงยางที่ถูกเตรียมไว้มาสวมด้วยมืออันสั่นเทา สงสัยคงตื่นเต้น ผมอยากจะขำแต่ขำไม่ออกในเมื่ออีกไม่นานก็ต้องตกเป็น ‘เมีย’ อย่างสมบูรณ์แบบ

เจลหล่อลื่นถูกป้ายเพิ่มลงมาแล้วตามด้วยแกนกายอุ่นที่ค่อยๆ สอดแทรกผ่านช่องทาง ผมจิกมือลงบนเตียงแน่เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บที่แผ่เป็นวงกว้าง ขนาดของเจ็ทใหญ่เกินไป

“จุก... อึก”
รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เมื่อความเป็นเจ็ทแทรกเข้ามาจนสุด จุกไปถึงคอหอยเลยมั้ง โคตรเจ็บ ไม่เอาแล้วได้ไหมวะ

“ผมขอโทษ ให้หยุดทำไหม”
ถามด้วยเสียงอ่อยๆ มองตาละห้อยแบบนั้นใครมันจะใจร้ายได้ลงคอ แพ้ทางไอ้เด็กคนนี้ทุกที

“ไม่ต้อง... ค่อยๆ ขยับ อย่ารีบ”
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมรับแรงขยับที่กำลังจะเกิดขึ้น ในช่วงแรกมันเจ็บจนร่างแทบแหลกแต่พอใช้เวลาสักระยะกลับรู้สึกได้ถึงความเสียวซ่าน

“อะ อา... เสียว”
ผมครางเสียงหวานเมื่อเจ็ทกดย้ำตรงจุดกระสันหลายครั้งอย่างไม่ปรานี ร่างกายขยับโยกไปตามจังหวะร้วมรักที่ส่งให้ ด้วยความหมั่นไส้เลยเลื่อนมือไปจิกตรงหน้าขาของเขาเพื่อระบายความเสียวแทนที่จะเป็นผ้าปูที่นอนสีขาวโง่ๆ นั่น

“ซี๊ด โคตรดีเลย”
เสียงบ่นงึมงำมาพร้อมกับจังหวะที่เร่งเร้ามากยิ่งขึ้น มือหนาทำหน้าที่รูดรั้งแก่นกายของผมได้เป็นอย่างดี สอดคล้องราวกับวงดนตรีบรรเลงเพลงเพราะ เสียงเนื้อกระทบเนื้อและเสียงเฉอะแฉะช่วยโหมกระพือแรงอารมณ์ให้พุ่งสูงขึ้นอีกขั้น อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงสวรรค์สักที

“จูบ... หน่อย”
ผมร้องขอเสียงแหบพร่า ไม่อยากครางแล้ว มันแสบคอไปหมดเลย

“ครับแฟน”
เจ็ทตอบรับก่อนจะทำตามคำขอร้องอย่างเร้าร้อน ดูดเม้ม ไล่เลีย ขบกัด ทุกๆ อย่างที่หมายถึงการจูบ... ไม่อยากจะชมเลยว่าเขาเก่ง

“อะ อืม ระ เร็วอีก”

“ทาวน์ขี้ยั่วว่ะ”
กระแทกเข้ามาจนผมตัวลอยวืด เสียว... ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

“มึงก็ขี้อ่อยเหมือนกัน อะ อา...”

เจ็ทกระแทกตัวถี่ๆ ติดต่อกันหลายครั้งจนหัวสมองของผมขาวโพลนไปหมด รู้ตัวอีกก็ตอนที่ทำนบเขื่อนแตกเป็นสายขาวขุ่น เลอะเปรอะเปื้อนจนเดือดร้อนคนที่ได้ชื่อว่าเป็นของกันและกันเมื่อครู่ต้องจัดการความเรียบร้อยแทน

ผมนอนนิ่งไม่กล้าขยับตัวมากเพราะปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ดวงตาปรือปรอยใกล้ปิดลงทุกที ไม่คิดว่าแค่เป็นฝ่ายถูกกระทำจะเหนื่อยขนาดนี้ ถ้าเจ็ทขอต่ออีกรอบคงไม่มีเรี่ยวแรงไปเที่ยวในวันรุ่งขึ้นแน่นอน ไอ้ความทะนุถนอมก็มีในช่วงหลัง พอแรงอารมณ์หนักขึ้นทุกอย่างดูเร่าร้อนรุนแรงไปหมด สภาพเลยออกมาเดี้ยงอย่างที่เห็น

“พี่ทาวน์ เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้นะ”
คนยิ้มร่าเพราะรู้สึกสบายตัวเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว มือหนาลูบลงบนหัวอย่างแผ่วเบาจนผมแทบจะปิดตาลง มันเป็นวิธีกล่อมให้หลับชนิดหนึ่ง ไม่รู้หรือไงเจ็ท คืนนี้กูยังอยากคุยกับมึงอยู่นะ

ได้ยินคำเรียกตัวเองที่เหมือนเดิมแล้วรู้สึกหงุดหงิดจนต้องย้ำความทรงจำของแฟน

“ทาวน์”
บอกแค่นี้คงเข้าใจ

“อ่า... ครับทาวน์ เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้เนอะ”
ผมอยากขอบคุณเหลือเกินที่ตอนนี้เจ็ทเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายๆ แถมทำตัวดีรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างเต็มใจ ที่จริงก็อยากลุกไปอาบน้ำแต่สภาพร่างกายคงไม่เอื้ออำนวย ขอเป็นคนเห็นแก่ตัวนอนสบายๆ สักวันเถอะ

“อืม เบาๆ ด้วย ปวดตัวมาก”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมออกไปขอยาที่หน้าฟร้อนท์ให้นะ”
เจ็ททำท่าจะลุกออกไปแต่ผมรั้งข้อมือไว้ ถึงขนาดที่เตรียมถุงยางกับเจลหล่อลื่นมา แค่ยาคงไม่มีทางลืมหรอก

“ไม่ต้อง มีอยู่ในซิปกระเป๋าด้านหน้า”
บอกเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ความรู้สึกภายในแทบมุดเตียงหนี เจ็ทจะคิดว่าผมเป็นคนยังไงล่ะ ฉิบหาย

“โห เตรียมพร้อมสุดๆ”
เจ้าเด็กแสบพูดล้อเลียนให้ผมได้อายเล่นๆ หน้าเน้อเห่อร้อนไปหมด อยากจะบ้าตาย

“มีแฟนหื่นก็แบบนี้”
แต่ผมก็เป็นสายแข็งพูดออกไปตรงๆ แถมยังทำใจกล้าจ้องตาอีกคนอย่างไม่ลดละ

“พูดงี้เดี๋ยวมีต่ออีกสักยก ผมยังไม่อิ่มเลยนะเนี่ย”
เจ็ทโน้มตัวลงมาใช้จมูกถูไถข้างแก้มจนผมต้องผลักเขาออกไปไกลๆ ถ้าเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้งคงไม่พ้นการต่อรอบสอง แถมไอ้เสียงกระเส่านั่นก็ชวนเคลิ้มอีกด้วย ไม่ไหว แพ้ตลอดแบบนี้โคตรแย่

“เอาตีนไปแดกก่อนไหม”
พูดได้แต่ปากเท่านั้นเพราะตัวแทบขยับไม่ได้ ตาก็จะปิด เพลียกว่าตอนเรียนอีกมั้งเนี่ย

“ล้อเล่นครับๆ เช็ดตัวดีกว่าเนอะ”
เจ็ทยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้แล้วลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อหาอุปกรณ์ในการเช็ดตัว ผมคลี่ยิ้มให้กับแผ่นหลังกว้างที่มีรอยเล็บประปราย อบอุ่นกว่านี้คงหาไม่ได้แล้วสินะ ขอบคุณที่เข้ามาจีบในวันนั้นและอดทนรอจนถึงทุกวันนี้

“อืม ฝันดีล่วงหน้า”
ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพราะความอ่อนล้า รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ที่ขยับเข้ามาใกล้ ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากชวนให้ใจเต้นรัว อ่อนโยนจัง

“ครับ ราตรีสวัสดิ์ แล้วก็... ขอบคุณนะครับที่ยอมเป็นของผม”
ประโยคสุดท้ายผมได้ยินไม่ชัดนักเพราะสติกำลังเลือนลาง แต่รอยยิ้มที่มุมปากของตัวเองพิสูจน์มันได้ดีว่าคงเป็นคำพูดที่ทำให้มีความสุขเหลือเกิน

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหนแต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าแสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามานั้นช่างมีอุณหภูมิสูงเหลือเกิน ผมพลิกอย่างเชื่องช้าแต่ไม่วายต้องนิ่วหน้าเพราะยังรู้สึกปวดตัว มือเรียวเอื้อมหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเพื่อดูเวลา เที่ยงสิบนาที... สายจนไม่รู้จะสายยังไง อีกอย่างคือคนที่นอนกอดกันทั้งคืนกลับหายสาบสูญ

ถ้าเกิดเจ็ทฟันแล้วทิ้งจะยิงหัวให้กระจุย คอยดู




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 35 - P.6 (16/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-01-2018 20:34:57
ผมพยายามเดินให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คิดว่าคงไม่พบเจอใครในที่พักในเวลานี้เพราะคงออกไปเที่ยวกันหมด แต่เปล่าเลย เปิดประตูออกมาก็เจอไอ้ฟายืนอยู่ด้านหน้า มันกำลังกดโทรศัพท์เล่นเกมอย่างเมามัน

“วันนี้พายุจะเข้าปะเนี่ย คนอย่างไอ้ทาวน์ตื่นซะเที่ยง”
นึกว่าจะรอดแต่กลับโดนทักด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไอ้ฟาละสายตาจากโทรศัพท์แบบไม่เสียดายคะแนนในเกม มันเดินวนรอบตัวผมคล้ายสำรวจหาความผิดปกติ

“เรื่องกู”
ผมตอบปัดๆ แล้วพยายามทำหน้านิ่งทั้งที่รู้สึกเสียดด้านหลัง เจ็บจนอยากร้องไห้ นั่งยาก ลุกยาก แถมยังเดินยากอีกต่างหาก

“แหมๆ มีเสียงแหบเซ็กซี่แถมหน้าซีดด้วย ไม่สบายเหรอวะ”
ถึงจะเอ่ยปากแซวแต่ก็เอื้อมมือมาวัดอุณหภูมิร่างกายให้ ผมยืนนิ่งให้มันทำตามใจเพราะไม่อยากทำตัวผิดสังเกต อีกอย่างคือไม่กล้าขยับตัวมาก แช้วนี่ไอ้ตัวต้นเหตุความเจ็บหายหัวไปไหน อย่าบอกนะว่าหนีเที่ยว

“เออ มึงจะไปไหนก็ไป ขวางทางเดิน”
ผมเบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินไปยังห้องครัวขนาดย่อม หิวจนไส้จะขาด หวังว่าคงเหลืออะไรให้กินบ้าง

“เกรี้ยวกราดแต่เช้าเลยฮะ แล้วทำไมเดินแปลกๆ วะมึง หรือว่า... ได้กับไอ้เจ็ทแล้ว!”
ไอ้ฟาที่เดินตามมาทักขึ้นอีกรอบจนผมเกือบสะดุดเท้าตัวเองล้มหน้าคะมำ หันไปถลึงตาใส่มันเพื่อข่มขู่แต่มีหรือคนกวนตีนจะกลัว โคตรพลาด

“เสียงดัง ตะโกนหาพ่อมึงเหรอ”

“ตกลงอะไรยังไง ไหนเล่า! พวกกูออกไปเที่ยวแป๊ปเดียว น้องทาวน์กลายเป็นเด็กใจแตกแล้วเหรอ”
คำขู่ไม่ได้ช่วยให้มันสงบสติอารมณ์ได้เลยสักนิด แถมยังเพิ่มความอยากรู้ด้วยการจับไหล่ผมเขย่าจนรู้สึกเจ็บไปหมด ไม่ไหวแล้วเว้ย!

“เหี้ยจริงไอ้ฟา มันก็เรื่องธรรมชาติ”
ผมสะบัดมือมันทิ้งแล้วใช้หลังพิงผนังอย่างหมดแรง ทั้งอายทั้งเจ็บ มีอะไรบัดซบมากกว่านี้อีกไหมชีวิต

“ธรรมชาติที่มึงยอมเป็นเมียน้องเจ็ทอะเหรอ”
สัด สาบานว่านั่นปากคนไม่ใช่ปากหมา ต่อยสักทีดีไหม

“อยากเลือดกบปากหรือไง”

“ท้องปะเนี่ย ขี้หงุดหงิดโคตร”
ยังไม่หยุดอีก

“ฟา...”
ผมเรียกมันเสียงต่ำเพื่อให้รู้ว่าจะต่อยมันจริงๆ ถ้าหากยังล้อไม่เลิก

“ไม่ล้อแล้วๆ กูขอโทษ”
ปากบอกไม่ล้อแต่หน้าตานี่กวนตีนฉิบหาย

“เออ หาเบาะรองนั่งให้หน่อย”
ผมขยับเดินต่อแล้วออกปากใช้งานเพื่อนเพราะตัวเองคงเดินไปเดินกลับไม่ไหว ไอ้ฟาก็แสดงความมีน้ำใจด้วยการพยักหน้ารับ แต่ไม่วายกัดกันอีก

“ครั้งแรกก็งี้ ครั้งต่อไปชิวๆ เชื่อกู”
ปรมาจารย์ด้านนี้ว่างั้น... ผมกำลังจะตอบอะไรบางอย่างกลับไปแต่ปลายสายตากลับเห็นเจ็ทที่เดินออกจากห้องของไธกับจิณณ์ ความคิดบ้างอย่างแล่นเข้าในสมองจนเผลอยกยิ้มมุมปาก

“ครั้งต่อไปกูจะเปลี่ยนตำแหน่งบ้าง”
ผมแกล้งพูดเสียงดังจนคนที่กำลังเดินเข้ามาหาชะงักกึก ดวงตาคมเบิกกว้าง ปากอ้าพะงาบๆ อย่างน่าสงสาร เอาคืนที่มันหายหัวแถมยังไม่ยอมปลุกอีกต่างหาก

“เฮ้ย เอาจริงดิ”
ไอ้ฟาที่กำลังวางเบาะนุ่มลงบนเก้าอี้ถึงกับหันมาถามด้วยความอยากรู้

“หึหึ”
ผมไม่ตอบอะไรกลับไปแต่หันไปยักคิ้วกวนใส่เจ็ทแทน เดินหนีเข้าห้องนอนทำไมวะนั่น แอบไปร้องไห้หรือเปล่า

“หัวเราะบ้าอะไรเนี่ย”

“กูแค่สนุกที่ได้แกล้งคน”

“อะไรวะ”
ไอ้ฟาเกาหัวแกรก

“ช่างเหอะ ช่วยยกมื้อเช้ามาให้กูหน่อย”
ผมบอกปัดแล้วบอกสิ่งที่ต้องการ กินข้าวเพิ่มพลังเพื่ออกไปเที่ยวกันดีกว่าเนอะ

แผนการขับรถรอบเกาะถูกยกเลิกเพราะผมตื่นสาย ทริปวันนี้เลยเริ่มต้นด้วยการเที่ยวหาดป่าตองอันเลื่องชื่อ ค่อยๆ ไล่ลงมาตามสถานที่ต่างๆ จนสิ้นสุดที่แหลมพรหมเทพ แต่เพราะอากาศร้อนมากกว่าปกติบวกกับสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยเลยทำให้เดินเซจนถูกจับสังเกตได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไอ้แฟนตัวดีนี่ล่ะ

“เหมือนจะมีไข้นะครับ กลับวิลล่าไหม”
คนที่เข้ามาประคองเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ผมรีบโบกมือปัดๆ เพื่อเป็นการบอกว่าแค่นี้สบายมาก

“ไม่เป็นไร”

“แต่ทาวน์ตัวร้อน”
เจ็ทไม่ยอมแพ้เพราะเขาสัมผัสตัวผมอยู่เลยรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกาย ใบหน้าหล่อยับยู่ดูกังวลเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องห่วง”
ผมยังคงปากแข็ง ถ้าขอกว่าไม่สบายทุกคนในทริปจะพลอยหมดสนุกไปด้วย ดีหน่อยที่ตอนนี้เราเดินรั้งท้ายขบวนเลยไม่มีใครสังเกตเห็น

“ทาวน์ไม่ดื้อสิครับ ผมเป็นห่วงนะ”
เจ็ทกระชับมือที่โอบรอบเอวแน่นขึ้นแล้วมองกันด้วยสายตาอ้อนวอนจนผมยอมแพ้ จะพาไปไหนก็ไปเลย เอาที่คุณแฟนสบายใจครับ

“ตามใจเลยครับ”

สุดท้ายผมก็ได้สารถีมาคนหนึ่งเพราะมันอยากกลับไปนอนเนื่องจากเมื่อคืนเมาจนแฮงค์หนักตอนนี้เลยยังมึนๆ และปวดหัว ไอ้แฮมไม่มีทีท่าว่าจะล้ออะไร ชีวิตมันสนใจแต่เรื่องกินเท่านั้นล่ะ เรื่องชาวบ้านไม่ค่อยยุ่ง

พอถึงวิลล่าผมแทบกระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนหลับทันทีแต่กลับโดนเจ็ทรั้งตัวเอาไว้ ทำไมต้องมาขัดใจตอนนี้ด้วย ไม่น่ารักแล้วนะมึง

“เช็ดตัวหน่อยนะ”
เพิ่งอาบน้ำไปสามสี่ชั่วโมงเอง จะอะไรนักหนาวะ

“หึ ไม่เอา จะนอนแล้ว”
ผมปัดมือเจ็ททิ้งแล้วคลานขึ้นเตียงอย่างทุลักทุเล ความง่วงส่งผลให้ลืมความเจ็บปวดไปจนสิ้น กระตุกผ้าห่มขึ้นคลุมถึงช่วงคอ พักเถอะ ร่างกายมันบอกแบบนี่

“แต่มันจะไม่สบายตัวนะครับ”
ยังไม่เลิกเป็นห่วงจนเกินพอดีอีก แต่ช่างมันเถอะ เป็นแบบนี้ก็มีความสุขเหมือนกัน

“มานอนด้วยกัน”
ผมไม่สนใบหน้าบึ้งตึงของเจ็ทแล้วดึงตัวเขาให้นอนลงข้างๆ กัน เพื่อตัดปัญหาความวุ่นวายทิ้ง ไม่จำเป็นต้องเช็ดตัวก่อนนอนสักหน่อย แค่ยาหนึ่งกำมือก็เพียงพอแล้ว

“เดี๋ยวสิ อย่าเปลี่ยนเรื่องนะทาวน์”
เจ็ทบอกเสียงดุก่อนจะใช้มือดึงแก้มกันด้วยความมันเขี้ยว ไม่เจ็บแต่เริ่มรำคาญแล้ว อยากนอนกอดไม่รู้หรือไง คนป่วยมักชอบงอแง ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ไม่แสดงออกตรงๆ

“นอนเถอะน่า ง่วงแล้ว”
ผมตบเตียงปุๆ แล้วใช้สายตาหมาน้อยกับมันบ้าง คราวนี้คนใจบางถึงกับรีบคลานขึ้นเตียงแล้วเข้ามากอดอย่างรู้งาน มือหนาค่อยๆ ลูบหัวทุยเพื่อกล่อมให้เข้าสู่นิทรา

“เด็กน้อยของเจ็ท รักนะครับ”

“อือ”
รักเหมือนกัน



--------------------------------------------

ใครเชียร์ เจ็ททาวน์ สมหวังแล้วนะ ~
แต่ใครที่เชียร์ ทาวน์เจ็ทไม่ต้องเสียใจนะยู
ยังไงพี่ทาวน์ก็ดูหล่อกว่าเจ็ทอยู่ดี 5555

เราแต่งเอ็นซีไม่ค่อยเก่งเนอะ ติชมกันได้นะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 35 - P.6 (16/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Jadd ที่ 16-01-2018 21:12:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 35 - P.6 (16/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: ptp ที่ 16-01-2018 21:37:13
ขุ่นแม่ เขาได้กันแล้ว ฮือออออ ดีงามมม #แอบอยากให้ผลัดกัน  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 35 - P.6 (16/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 16-01-2018 22:01:39
 กรี๊ดดดด เจ็ทไม่นกแถมยังได้รุกอีก ถ้าพี่ทาวน์ไม่รักมากคงไม่ยอมรับให้ :-[
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 35 - P.6 (16/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 16-01-2018 22:06:33
ก็คิดเอาไว้แล้วละว่าพี่ทาวแกสปอยแฟนขนาดนั้นคงยอมแน่ๆ 555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 35 - P.6 (16/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-01-2018 10:02:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 35 - P.6 (16/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 17-01-2018 10:15:21
งื้ออออออออออออออ ใจบางอ่ะเนี้ยยยย :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 36 - P.6 (27/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-01-2018 10:42:05
แข่งครั้งที่ 36



หลังจากทริป ‘เอา’ แต่ใจที่ภูเก็ตจบลงการเปิดเทอมใหม่มาเยือนอีกครั้งซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น เนื่องจากพี่ทาวน์ต้องย้ายกลับไปอยู่คอนโดของตัวเอง อยากรั้งแต่ก็ดูงี่เง่าเกินไป ถึงแม้ว่าเป็นแฟนกันบางครั้งพื้นที่ส่วนตัวก็สำคัญ ให้อิสระ ไม่จำกัดขอบเขต แต่ก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลย

ถึงจะบอกว่าอยากให้อิสระกับเขาแต่เมื่อเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ผมกลับทุรนทุรายคิดถึงสัมผัสอุ่นๆ จากคนที่ได้ชื่อว่าแฟนเลยทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการโกหกว่าแอร์เสีย ก๊อกน้ำรั่ว หรือแม้กระทั่งคนข้างห้องเสียงดัง มาวันนี้ข้ออ้างที่คิดได้คือ ‘หม้อหุงข้าวพัง’ สมเหตุสมผลดีว่าไหม ขอค้างกับพี่ทาวน์คงไม่เป็นไรหรอก... มั้ง

ผมเพิ่งได้รถคันใหม่มาจากพี่เขยเนื่องในโอกาสอยากให้เพราะว่ามีแฟนแล้ว จะได้ทำหน้าที่ ‘สามี’ ไม่ขาดตกบกพร่อง สนับสนุนให้น้องเอาใจ ‘เมีย’ เยอะๆ เหมือนตัวเองไม่มีผิด แถมยังสอนอีกว่า ต้องเคารพ เชื่อฟัง และซื่อสัตย์ สรุปคือพ่อบ้านเกียมัวนั่นเอง แต่นายภาคินคือพ่อบ้านใจกล้าเว้ย จำไว้!

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาห้าโมงเย็นซึ่งเด็กคณะแพทย์ปีสามกำลังทยอยลงมาจากตึก หนึ่งในนั้นมีพี่ทาวน์ที่ง่วนอยู่กับการยัดชีทลงกระเป๋าเพื่อจะเดินมาขึ้นรถ ผมเป็นคนอาสามารับเขาถึงที่โดยให้เหตุผลว่า ‘อยากทำ’ เนื่องจากต่างคนต่างเรียนหนัก กว่าจะได้เจอกันในวันว่างคงอีกนาน ทั้งหมดคือข้ออ้างของคนติดแฟนเพียวๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม

ผมยืนพิงสะโพกกับรถนิสสันจู๊คสีขาวสะอาดตาแล้วคลี่ยิ้มกว้างส่งให้บุคคลที่กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามปกติ แต่สิ่งที่แปลกออกไปคือแก้มทั้งสองข้างกลับเป็นสีแดงเหมือนไปวิ่งมา สงสัยจะโดนพี่ฟาล้อเลียนอีกตามเคย เขินแล้วโคตรน่าฟัด เอ้ย น่ารักจริงๆ

“จะใส่แว่นกันแดดทำไม”
เขาถามเมื่อเดินมาถึงริมฟุตบาท มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอาหนังสือที่ยัดลงกระเป๋าไม่หมดฟาดเข้าที่ต้นแขนเต็มแรงจนเผลอนิ่วหน้าเพราะเจ็บ

“ทาวน์ตีผมทำไมอะ”
ผมถามเสียงอ่อยแล้วลูบแขนตัวเองป้อยๆ บรรเทาความเจ็บ พี่ทาวน์จ้องเขม็งแต่ไม่ยอมพูดอะไรก่อนจะเบี่ยงตัวเปิดประตูรถสอดตัวเข้าไปนั่ง ไอ้เราก็ได้แต่เดินวนไปฝั่งคนขับด้วยความงงงวยแถมด้วยเกาหัวประกอบ คือไม่เข้าใจทั้งคำถามและการกระทำของเขาเลย

“คิดว่าหล่อนักเหรอไง”
ผมขึ้นรถปุ๊บก็โดนยิงคำถามใส่ปั๊บจนได้แต่อ้าปากหวอ ทำไมพี่ทาวน์ดูโมโหเรื่องแว่นกันแดดจังวะ ปกติก็ใส่ตลอดตอนขับรถ แล้ววันนี้คืออารมณ์เสียเพราะอะไร ท้องหรือเปล่า ไอ้เราก็มีน้ำยาเหมือนกันนี่หว่า (ระวังโดนพี่ทาวน์กระทืบม้ามแตกนะ)

“เปล่าครับ ก็ใส่...”
ผมชะงักกึกเมื่อเห็นสายตาอาฆาตของพี่ทาวน์มองมา อยากจะบอกว่าแทบกดแตรแทนปุ่มสตาร์ทรถเลยทีเดียว บรรยากาศก็อึมครึมแปลกๆ กูจะตายคารถไหมหนอ...

“ทีหลังไม่ต้องมารับ”
พี่ทาวน์บอกเสียงแข็งแล้วพยักพเยิดให้รีบออกรถ แต่ผมยังคงนั่งเบลอเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยโดนหยิกเข้าที่ท้องแขน โอเค ไปก็ได้จ้า ลึกๆ ได้แต่คิดว่ากูแอบเป็นชู้กับใครโดนไม่รู้ตัวหรือเปล่าวะ แฟนทำไมต้องเกรี้ยวกราดแบบนี้ใส่ด้วย

“อ้าว... แต่ผมจะไม่ได้เจอทาวน์เลยนะ”
ผมเพิ่งวิเคราะห์ประโยคเมื่อครู่ของเขาได้เลยรีบโวยวายใหญ่โตทั้งน้ำเสียงทั้งหน้าตาแสดงความกังวลอย่างเต็มที่ แต่พี่ทาวน์กลับขบกรามแน่นแล้วเบนหน้าหนีไปทางอื่น สรุปแล้วเขาอยู่ในอารมณ์แบบไหน ใครก็ได้ช่วยกระซิบบอกที

“กูไปหาที่คณะมึงเอง”
พี่ทาวน์ยังยืนยันว่าไม่ให้ไปรับเหมือนเดิม แถมยังยอมลงทุนไปหาผมที่คณะแทน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ผมขับรถมารับสะดวกกว่านะ”
ลองพยายามพูดในสิ่งที่คิดเผื่อพี่ทาวน์จะหลุดเหตุผลจริงๆ ออกมาบ้าง หรือเรียกการกระทำนี้แบบภาษาชาวบ้านว่า ‘หลอกถาม’ นั่นเอง

“อย่าดื้อ”
แต่คนเรียนหมอคงฉลาดและรู้เท่าทันคนสมองกลวงอย่างผม โดนบอกว่าดื้อเฉยเลยเว้ย

“เฮ้ย เปล่านะพี่ แค่อยากอำนวยความสะดวกให้”

“ไม่ต้อง”
เสียงแข็งยิ่งกว่าหินมาพร้อมกับสายตาเชือดเฉือนที่บางครั้งอาจจะทำให้ผมเจ็บตัว สมองมึนงงเพราะคิดสาเหตุที่ทำให้พี่ทาวน์ตึงใส่กันได้มากขนาดนี้ไม่ออก หรือเผลอทำอะไรไม่ถูกใจไปหรือเปล่าวะ แค่เรื่องใส่แว่นกันแดดคงไม่ใช่ประเด็นหลักแน่นอน มันต้องมีเงื่อนงำ

“โกรธอะไรหรือเปล่าครับ”

“กำลังจะโกรธเพราะมึงเซ้าซี้นี่ล่ะ”
อารมณ์หงุดหงิดมาเต็มจนผมได้แต่อ้าปากหวอ ความฉิบหายกำลังจะมาเยือนคนขี้สงสัยสินะ

“ห๊ะ... ดะ เดี๋ยวสิครับ”
ผมนี่แทบเหยียบเบรกหัวทิ่มเมื่อพี่ทาวน์ขู่ว่าจะโกรธจริงๆ ตั้งแต่คบกับมายังไม่เคยเจอความเกรี้ยวกราดแบบนี้มาก่อน และไม่รู้ด้วยว่าต้องใช้วิธีแบบไหนในการง้อ

“ยังไม่หยุดพูดอีกเหรอ”
พี่ทาวน์กดเสียงต่ำแล้วเอื้อมมือเปิดเครื่องเสียงจนมันดังกระหึ่มลั่นรถ ซาวน์ดนตรีหนักๆ ทำให้ผมแทบอ้วก หูจะแตกแล้วเว้ยแฟน!

“ทำมะ... อื้อ!”
ผมยังพูดไม่ทันจบนิ้วมือเรียวก็ป้ายเข้าที่ปาก สัมผัสได้ถึงรสชาติเค็มปะแล่มจากเหงื่อ ครั้นจะถุยออกก็กลัวโดนโกรธ ไอ้จะกลืนเข้ามันก็ดูโรคจิตชอบกล ไม่ได้นึกรังเกียจ แต่รู้สึกอยากเลียพี่ทาวน์ไปทั้งตัวมากกว่า โอยสรุปกูต้องทำตัวยังไงในสถานการณ์แบบนี้เนี่ย เครียดยิ่งกว่าเขาทำหน้าตึงใส่อีก

“เงียบๆ สักที จะนอน”
พี่ทาวน์ดุใส่ก่อนจะปิดหนังตาลงหลีกหนีเจ้าหนูจำไมที่ยังจัดการอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วงัดความหื่น เอ้ย งัดสมาธิขับรถไปส่งแฟนที่คอนโดจะดีกว่า

เกือบสองชั่วโมงที่ต้องเผชิญรถติดยามเย็นในช่วงวันศุกร์ ผมหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าลานจอดรถใต้คอนโดของพี่ทาวน์อย่างไม่ลังเลและไม่สนว่าคนข้างตัวขมวดคิ้วจนเป็นปมมากแค่ไหน วันนี้ไม่ยอมกลับไปนอนเหงาที่ห้องคนเดียวแน่ๆ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีเมคอัพคลาสแต่เช้า...

“มาส่งเสร็จก็กลับไปได้แล้ว”
พี่ทาวน์พูดเมื่อเท้าทั้งสองข้างแตะลงบนพื้นลานจอดรถ ผมที่กำลังจะปิดประตูถึงกับชะงักค้างแล้วรีบพุ่งเข้าไปออดอ้อนคุณแฟนทันที ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้แผนการจะพังไม่เป็นท่า!

“ขอขึ้นไปส่งบนห้องนะครับ”
ผมกระพริบตาปริบๆ เพื่อเพิ่มความน่าเอ็นดู พี่ทาวน์ไม่ได้ตอบอะไรกลับแต่ส่ายหัวเหมือนคนปลงตกแล้วเดินนำลิ่วไปขึ้นลิฟท์ ท่าทางแบบนั้นก็เท่ากับคำอนุญาตล่ะวะ สุภาษิต ‘ด้านได้อายอด’ นี่มันเรื่องจริงทั้งนั้น

พี่ทาวน์เดินนำหน้าโดยไม่รู้ว่าคนที่เดินตามหลังกำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์มากแค่ไหน ในหัวสมองเอาแต่คิดวกวนถึงแผนการที่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า มุมปากก็คอยแต่จะยกยิ้มเผยความชั่วร้าย ตั้งแต่คืนวันที่วิลล่าผ่านมาผมก็ไม่เคยหยุดความอยากสัมผัสร่างกายขาวเนียนของเขาได้อีกเลย มันคือความฉิบหายที่ไม่สามารถปรึกษาใครได้ เพราะกลัวโดนด่าว่าโรคจิต...

“ถึงแล้ว กลับไปสิ”
เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้ผมถึงกับสะดุ้งเฮือกตาถลน เพิ่งรู้ตัวว่าเดินมาถึงหน้าห้องของพี่ทาวน์แล้ว เพราะมัวแต่จินตนาการภาพอนาจารเลยทิ้งสติสตังเกลื่อนกลาด อยากจะบ้าตายจริงๆ

“คือว่าวันนี้ เอ่อ...”
ผมเริ่มแผนการอย่าแยบยลบวกด้วยการทำหน้าเศร้าๆ เพื่อให้เข้ากับเหตุผลขอค้างพี่ที่เตรียมมาอย่างดี แต่พี่ทาวน์จะเชื่อไหมนั่นอีกเรื่อง...

“อะไร”
น้ำเสียงราบเรียบปกติไม่ได้แสดงอาการสงสัย แต่ในแววตานั้นกลับมองมาอย่างรู้ทัน ผมคงทำอะไรไม่ได้นอกจากแถเท่านั้น หน้าด้านเข้าไว้แล้วทุกอย่างจะดีเอง เชื่อเถอะ คืนนี้ไม่พลาดแน่ๆ เพราะก่อนหน้านั้นพังไม่เป็นท่ามาหลายรอบแล้ว

“หม้อหุงข้าวที่ห้องเสียน่ะครับ!”
หลับตาตะโกนอัดหน้าเขาแบบไม่คิดชีวิต แล้วเพิ่งสำนึกได้ว่ามันโคตรบ้าบอก็ตอนที่เสียงหัวเราะต่ำๆ ดังไม่หยุด พอเงยหน้ามองก็เห็นพี่ทาวน์ตัวสั่นกึก ตลกอะไรขนาดนั้น หม้อหุงข้าวเสียเรื่องใหญ่ระดับชาตินะเว้ย

“หึ ห้องกูไม่มีหม้อหุงข้าวให้มึงใช้หรอกนะ”
ความฉิบหายพุ่งชนหน้าเต็มๆ จนได้แต่ยืนนิ่งสำนึกความโง่ ลืมไปได้ยังไงว่าเขาไม่ทำอาหารกินเอง... ควายล้วนๆ ไม่มีวัวผสมเลยกู

“แต่ว่า...”
ผมยังไม่ละความพยายาม ทำหน้าตาออดอ้อนแฟนอย่างเต็มที่จนพี่ทาวน์ถึงกับต้องเอนหลังพิงประตู กอดอกมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ไม่รู้ทำไมถึงเสียวสันหลังแปลกๆ

“ให้พูดอีกครั้ง”
นั่นไง ควายก็คือควาย คนอัจฉริยะก็เก่งอยู่วันยันคำ สุดท้ายผมก็โดนพี่ทาวน์ไล่ต้อนจนมุม ไม่สามารถหาข้ออ้างที่ดูมีสาระได้อีก ถ้าอย่างนั้นคงต้องเอาความรู้สึกเข้าสู้พร้อมด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น

“คือ... ผมคิดถึงทาวน์นี่”
ผมบอกเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะกลางแขนหมายกอดคนตรงหน้า แต่โดนมือเรียวยันหน้าผากจนหงายหลังซะก่อน โธ่ ก็แค่อยากแสดงความคิดถึงให้ลึกซึ้ง กลัวไม่เชื่อคำพูดกันไง...

“ก็แค่นั้น พูดแต่แรกก็จบ จะค้างก็ค้าง”
พี่ทาวน์ตบแก้มผมเป็นเชิงหยอกล้อแล้วหมุนตัวไปแตะคีย์การ์ด ประตูห้องถูกเปิดออกเชิญชวนให้รีบพุ่งเข้าไป แต่ความคิดซับซ้อนก็ทำให้ทุกอย่างชะงักแม้แต่เขาที่กำลังก้าวเท้า

“ทาวน์... ไม่คิดว่าผมงี่เง่าเกินไปเหรอ”
ผมรั้งข้อมือขาวไว้แล้วถามด้วยเสียงขาดห้วง กลัวว่าเขาจะบอกว่าทำตัวงี่เง่าเพราะห่างกันเป็นเวลาไม่นาน

“ไม่ กูเข้าใจ มึงก็อย่าคิดเองเออเอง”

“แล้วทาวน์คิดถึงผมไหม...”
ผมมันคนช่างตื๊อ จะด่าอะไรก็เอาเลย เต็มที่ครับ

“อนุญาตแบบนี้ยังต้องถามอีกเหรอ”
เออเนอะ เขายอมให้ค้างยังจะเอาอะไรอีก แต่คนมันอยากฟังจากปากว่า ‘คิดถึง’ ไง กระชุ่มกระชวยดีออก

“ทาวน์น่ารักว่ะ”
ผมกัดฟันพูดเพราะต้องข่มอาการอยากฟัดเขาไว้ด้วย ถ้าไม่ติดว่ายืนอยู่หน้าประตูคงจัดการคนน่ารักจนน่วมไปแล้ว

“จะเข้าห้องไหม ถ้าไม่จะปิดประตู”
พี่ทาวน์สะบัดมือออกจากการเกาะกุมแล้วเดินเข้าห้องไปแบบสบายๆ แต่ทำให้ผมสะเทือนถึงหัวใจ รีบแทรกตัวผ่านช่องแคบทันที จะมาตายน้ำตื้นตอนนี้ไม่ได้นะเว้ย อุตส่าห์พยายามมาตั้งขนาดนี้

“โหย อย่าโหดสิครับแฟน”
บุ้ยปากใส่เขาแต่ก็โน้มตัวขโมยหอมแก้มด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะรีบวิ่งหลบฝ่าเท้าของพี่ทาวน์ที่ยกขึ้นเตรียมถีบ ไม่ได้กินคนเจ้าเล่ห์อย่างนายภาคินหรอกครับ วันนี้เตรียมตัวมาดี หึหึ

ผมทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มที่อบอวลด้วยกลิ่นตัวของพี่ทาวน์ ซุกหน้าลงถูไถด้วยรอยยิ้มปริ่มจนคนที่กำลังเก็บของถึงกับส่ายหน้าอย่างปลงๆ ก่อนจะโยนขวดน้ำดื่มเย็นจัดมาให้ ดีหน่อยที่รับทัน ไม่อย่างนั้นหน้าผากคงปูดเป็นลูกมะนาว

พี่ทาวน์ถอดเสื้อผ้าแบบไม่เกรงใจสายตาหื่นๆ ของผมที่คอยแอบมองเขาอยู่ตลอดเวลา ไอ้น้ำดื่มที่ลงคอไปเมื่อครู่แทบพ่นออกทางจมูกเมื่อกางเกงนักศึกษาร่นไปกองอยู่ที่พื้น ภาพที่เห็นตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเสื้อเชิ้ตปิดต้นขาอ่อนอย่างหมิ่นเหม่ชวนให้ใจสั่นยิ่งกว่าแผ่นดินไหว รู้สึกเหมือนสึนามิเลือดกำเดาจะทะลักออกมา โอย... สาบานสิว่าแค่เตรียมตัวอาบน้ำตามปกติไม่ได้ยั่ว!

และผมก็ได้คำตอบเป็นการที่พี่ทาวน์หันมายิ้มยั่วแล้วยักคิ้วให้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำปิดประตูลงกลอน ไม่ได้ยั่ว แต่ ตั้งใจแกล้ง เจ้าเล่ห์นักนะครับแฟน คืนนี้จะโดนเอาคืนจนรู้เรื่องเลย!

ผมข่มอารมณ์ด้วยการถือวิสาสะเปิดทีวีดูรายการเพลง ช่วงนี้ใครไม่รู้จัก ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ คงเชยสุดๆ ขนาดโจชัวร์ยังร้องได้นับประสาอะไรกับคุณน้าทั้งหลายที่เอามาเต้นแร้งเต้นกาทุกเวลาว่าง ไอ้ฟาร์มกับพี่ฟานี่ตัวดีเลย เข้ากันดีเหลือเกินแต่ไม่ลงเอยสักที จะเป็นยังไงต้องติดตามตอนต่อไป

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงคนขี้แกล้งก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่หนักกว่าเมื่อครู่ ผ้าขนหนูผืนเดียวที่ปิดบังร่างกาย หยดน้ำพราวบนตัว เส้นผมเปียกที่ถูกเสยขึ้น รอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากนั่นมันทำให้ผมแทบกระโจนออกจากโซฟาภายในวินาทีเดียว โอย ยกมือปากน้ำลายแทบไม่ทัน

พี่ทาวน์เมินสายตาหื่นกามแล้วเบี่ยงตัวไปยืนเลือกเสื้อผ้า แผ่นหลังกว้างน่าซบนั้นดึงดูดผมให้ทิ้งรีโมททีวีแล้วจ้ำอ้าวไวๆ ไปหา หัวใจเต้นโครมครามเมื่อพี่ทาวน์ขยับขาจนรอยเกิดรอยแยกเห็นไปถึงไหนต่อไหน ยุบหนอ พองหนอ มันไม่ยอมยุบแล้วทำไงดี...

“ทะ ทาวน์...”
เสียงของผมแห้งผากเมื่อเข้าประชิดตัวพี่ทาวน์จนได้กลิ่นหอมสบู่อ่อนๆ มือหนารวบกอดเอวสอบโดนไม่สนว่าเสื้อนักศึกษาจะเปียก อ่า... ก่อนจะไปกินข้าวขอขย้ำของหวานก่อนได้ไหม ตอนนี้ความอดทนอยู่ในขั้นวิกฤตแล้ว

“ทำอะไรของมึง”
พี่ทาวน์ไม่ได้สะบัดตัวออกแต่ก็ไม่ได้ยืนนิ่งให้กอดเฉยๆ เพราะเขาดันพลิกตัวมาเผชิญหน้า ริมฝีปากสีชมพูเผยอออกเล็กน้อย น่าจูบจนไม่อยากตอบคำถามอะไร แล้วทำไมผมต้องกลืนน้ำลายลงคอขนาดนี้ด้วยวะ

“ทาวน์ยั่ว”
ผมก้มลงกระซิบข้างหูด้วยเสียงสั่นเครือและหมายที่จะกดจูบตรงซอกคอเพราะมันเขี้ยวกลิ่นและความขาวของมัน แต่เหมือนเจ้าของรู้ทันเลยผละตัวออกห่างแล้วจ้องตาเขม็ง โธ่... ขอแต๊ะอั๋งหน่อยเดียวก็ไม่ได้ ขี้เหนียวจังวะแฟน

“ตอนไหน”
เขาถามก่อนเอามือเปียกชื้นไล้ไปตามกรอบหน้าของผม ค่อยๆ เลื่อนลงไปจนถึงแผงอกที่ขยับขึ้นลงอย่างเร็วเพราะตื่นเต้น ลุ้นว่าต่อไปพี่ทาวน์ของเขาจะทำอะไรต่อไป นี่ขนาดไม่ยั่วนะ ถ้าเกิดยั่วต้องผลักกันแล้วขึ้นคร่อมเลยหรือเปล่า

“ทุกตอนเลย”
ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เถอะ แต่จริงๆ ผมคงหื่นกามไปเอง ก็นี่มันพี่ทาวน์ตัวขาวๆ หอมๆ นุ่มนิ่มนี่หว่า

“มโนว่ะ”
เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นพร้อมร่างกายที่ผละออกจากกัน เขาหันกลับไปเลือกเสื้อผ้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมที่อยู่ด้านหลังกำลังแย่ อารมณ์มันมาแล้วคงไม่หายง่ายๆ หรอก อยากกอดพี่ทาวน์ต้องทำยังไง

“ทาวน์ครับ...”
ผมไม่ละความพยายามโดยการเรียกชื่อเขาด้วยเสียงแหบพร่าแล้วกดจูบลงบนลาดไหล่ขาวเนียนอย่างออกอ้อน ใช้จมูกถูไถเบาๆ เผื่อพี่ทาวน์จะเกิดอารมณ์ร่วมบ้าง แต่เปล่าเลย เหตุการณ์ราบเรียบเหมือนช่วยคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ นายภาคินอยากร้องไห้

“ว่าไง”
ถามกลับมาเสียงนิ่งแต่ใบหูกลับแดงเหมือนมะเขือเทศ ผมรู้สึกใจชื้นและเห็นหนทางสู่สวรรค์อยู่รำไร อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น พี่ทาวน์กำลังใจอ่อนแล้ว หึหึ หมาโกลเด้นก็มารยาเยอะนะเออ

“ขอได้ไหม จะไหมไหวแล้ว”
ผมรวบเอวสอบเข้าประชิดลำตัวอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายร้อนผ่าวของทั้งคู่

“ห้องน้ำมี เชิญ”
เย็นชากว่านี้ก็ภูเขาน้ำแข็งแล้วครับ แต่คนอยากผมที่มีไฟราคะแผดเผาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก ดูเลวยังไงไม่รู้...

“มันไม่ฟินอะ ทาวน์ ~”
ใช้น้ำเสียงอ้อนคล้ายตอนโจชัวร์อยากได้ของเล่น ไม่คิดว่ามันจะได้ผลเพราะดูปัญญาอ่อน แต่พี่ทาวน์กลับหมุนตัวมาเผชิญหน้า

“ถ้าจะทำต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
ผมนี่แทบกรี๊ดลั่นห้อง ตอนนี้ไม่ว่าจะข้อแลกเปลี่ยนอะไรก็ยอมทั้งนั้น มีบ้านให้บ้าน มีรถให้รถอะบอกเลย พร้อมเปย์มาก! ถ้าเป็นหมาคงหูตั้งหางกระดิกรัวแน่นอน

“ได้สิครับ ทาวน์อยากได้อะไรว่ามาเลย”
ผมขโมยจูบริมฝีปากคนตรงหน้าด้วยความมั่นเขี้ยว สอดแขนทั้งสองข้างกอดกระชับเขาเข้ามาแนบชิดจนปลายจมูกแตะกันเบาๆ ลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบไหปลาร้าให้หัวใจเต้นแรง อยากข้ามขั้นตอนไปขึ้นเตียงเลยได้ปะ ตึงจะแย่แล้ว

“ข้อหนึ่งไปอาบน้ำให้เรียบร้อย ส่วนข้อสองมื้อเย็นกูจะให้มึงเลี้ยง”
ข้อแลกเปลี่ยนเยอะจนผมแทบจะปฏิเสธ แต่พอประมวลผลดีๆ แล้ว เอาก็เอาวะ ดีกว่าพี่ทาวน์ให้รอไปอีกเดือน สองเดือน ไม่ก็สามเดือน ลงแดงตายกันพอดี

“สบายมาก!”
ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่นพร้อมฉีกยิ้มกว้างทั้งทีในใจกังวลว่ากลับมาจากอาบน้ำคงหมดอารมณ์กันพอดี แต่ไม่เป็นไร เชื่อเถอะว่าคนช่างยั่ว แค่กๆๆ คนช่างแกล้งต้องหาวิธีปลุกมันอีกจนได้

“บุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นหัวละสามพันนะ”
ห้าพันตอนนี้ก็ยอมบากหน้าไปยืมตังค์จิณณ์แล้วล่ะครับ เพื่อสวรรค์บนเตียง

“ย่อมได้ครับ ~ เพื่อแฟน”
หอมแก้มมัดจำไว้สองฟอด อ่า... โคตรชื่นใจ

“หึ เพื่อความหื่นกามของมึงมากกว่าครับแฟน”
เกลียดคนรู้ทัน แต่ก็รักความเป็นพี่ทาวน์นะ

เรื่องบนเตียงของพวกเราผ่านเลยมาจนถึงเวลาเกือบสามทุ่มเลยเป็นอันต้องยกยอดอาหารญี่ปุ่นไว้เป็นวันพรุ่งนี้ช่วงเที่ยงหลังจากผมเลิกเรียนโดยพี่ทาวน์อาสาไปส่งและไปรับ ช่างน่ารักอะไรเยี่ยงนี้จนเผลอไม่ได้ที่จะมอบจูบหวานๆ ให้อีกหนึ่งครั้ง หลังจากจัดหนักไปสองรอบ

ผมหอบสังขารที่ดูสดใสมากกว่าอ่อนเพลียเข้าครัวทำอาหารหลังจากที่ลงไปเดินเตร่ที่มินิมาร์ทใกล้ๆ คอนโดมา ได้ไส้กรอก ไข่ไก่ ซอสปรุงรสขวดเล็ก ซุปก้อน ข้าวไรซ์เบอร์รี่แช่แข็งและข้าวโพดต้ม สรุปเมนูวันนี้คือข้าวผัดไส้กรอกกับแกงจืดไข่น้ำ ง่ายๆ เบาๆ อิ่มสบายท้อง (ห้องพี่ทาวน์มีกระทะไฟฟ้าที่พี่แฮมเอามาฝากไว้และมีไมโครเวฟสำหรับทำอาหารแช่แข็ง...)

หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็ลงมือเนรมิตเมนูทั้งสองภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตักข้าวผัดใส่จาน ตักแกงจืดไข่น้ำใส่ถ้วยยกถาดไปเสิร์ฟถึงข้างเตียงเพราะพี่ทาวน์บ่นว่าปวดเอวมาก ผมที่เป็นตัวต้นเหตุในตอนนั้นก็ทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ ก้มหัวขอโทษไปหลายรอบ ก็มันเพลินอ่า

“ลุกขึ้นมากินข้าวกันเถอะครับ”
ผมยกจานข้าวและถ้วยแกงจืดวางบนโต๊ะแล้วจัดการเทน้ำเปล่าใส่แก้วให้เรียบร้อย

“อืม ช่วยหน่อย”
พี่ทาวน์ร้องขอด้วยใบหน้าอ่อนเพลียจนผมต้องรีบเข้าไปประคองตัวให้เขาลุกขึ้นก่อนจะจัดแจงเอาหมอนรองหลังให้นั่งพิงกับหัวเตียง การดูแลเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งมันก็ทำให้เราได้รับรอยยิ้มกลับมา อิ่มใจจัง

“ทำไมตักมาแค่นี้ ไม่กินเหรอ”
ไม่แปลกที่จะโดนถามเพราะผมตักข้าวใส่จานใบเดียว

“กินครับ ใช้จานเดียวกันนี่ล่ะ ง่ายดี”
เนียนไหมล่ะ ความจริงแล้วแค่อยากทำตัวโรแมนติกใส่แฟนบ้างก็แค่นั้น ตั้งแต่คบกันมาไม่เคยมีเรื่องเซอร์ไพร์สให้กันเลย

“หึ จะป้อนด้วยใช่ไหมล่ะ”

“เฮ้ย รู้ความคิดผมได้ไง”
ผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ พี่ทาวน์อ่านใจคนได้เหรอ จบหกปีนี่ไปต่อทางสายจิตแพทย์ไหม วิเคราะห์คนเก่งเหลือเกิน

“กูฉลาด”
จ้า ผมมันโง่ที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเฉลยคำตอบให้พี่ทาวน์ตั้งแต่เอาช้อนส้อมมาคู่เดียวแล้ว...

ผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที อาหารทุกอย่างหายวับไปกับตาแม้กระทั่งน้ำแกงจืดยังไม่เหลือ ผมรู้สึกว่ามื้อนี้อร่อยมาก กินเองบ้างป้อนพี่ทาวน์บ้าง โคตรมีความสุข ก่อนจะปลีกตัวไปทำงานต่อก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ หลักๆ แล้วไม่พ้นพี่ฟากับไอ้ฟาร์ม ดูเหมือนคืบหน้าแต่ความจริงไม่ได้ขยับความสัมพันธ์ไปไหน คนหนึ่งทอดสะพานแทบตาย อีกคนเอาปากดีแต่ไม่กล้าทำ ต้องเอาไอ้ตังค์เป็นตัวอย่าง เห็นเงียบๆ แบบนั้นถ้าเป็นผู้หญิงคงท้องจนใกล้คลอดแล้ว

พอรู้สึกว่าอาหารเริ่มย่อยพี่ทาวน์ก็ลุกไปแปรงฟันเพื่อเตรียมเข้านอน ส่วนผมก็หยิบงานที่ยังทำไม่เสร็จและต้องส่งพรุ่งนี้ขึ้นมาทำต่อ ช่วงเวลากลางคืนสมองแล่นดีกว่า ไม่ได้ดองไว้จนเปรี้ยวนะเว้ย

ผมเดินกลับมาบริเวณส่วนห้องนอนแล้วพบว่าพี่ทาวน์กลับขึ้นเตียงแล้ว แต่ในมือกำโทรศัพท์ไว้แน่น มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ

“ทาวน์ครับ”

“.....”

“ทาวน์”
คนโดนเรียกสะดุ้งเล็กน้อย เหมือนเขาตกอยู่ในภวังค์

“ว่าไง”

“เป็นอะไรครับ ทำไมขมวดคิ้วแบบนั้น”
ผมถามก่อนทิ้งตัวลงที่ว่างข้างๆ แล้วใช้นิ้วกดวนระหว่างคิ้วให้คลายออก ก่อนนอนทำหน้าเครียดแล้วเมื่อไหร่จะหลับได้

“ปวดหัวนิดหน่อย”
เขาบอกก่อนปิดเปลือกตาลง ผมเลยไม่เซ้าซี้ต่อถึงในใจจะรู้ดีว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้น

“งั้นนอนพักดีไหม เดี๋ยวผมปิดไฟให้”

“ไม่ต้องหรอก มึงจะทำงานต่อนี่”

“เดี๋ยวผมขยับไปทำตรงโซฟาก็ได้”
ตอนแรกก็กะว่าจะปลีกวิเวกไปทำงานไกลๆ พี่ทาวน์อยู่แล้วเพราะไม่อยากรบกวนเวลานอน

“อยู่ตรงนี้ล่ะ”
คำพูดของเขาทำให้ผมต้องหลุดหัวเราะ ไหนจะมือที่จับแขนไว้แน่นอีก น่ารักไม่มีใครเกินเลยจริงๆ

“อ้อนเหรอครับ”
ผมถามเสียงหยอกล้อก่อนจะถือวิสาสะเอื้อมมือไปหยิกแก้มขาวนั่นด้วยความมันเขี้ยว พี่ทาวน์ไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับซุกหน้าลงมามากขึ้น คงอ้อนจริงๆ นั่นล่ะ

“อืม”

“น่ารักจัง”
ก้มลงจูบหน้าผากหนึ่งฟอดก่อนจะผละไปเอาอุปกรณ์ทำงานมานั่งที่พื้นข้างเตียง

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ แต่ความเงียบทำให้ผมที่กำลังพักมือต้องออกปากถามคนบนเตียงโดยไม่หันไปมอง เพราะกลัวว่าอาการอยากลวนลามเขาจะกลับมาอีก บางที ‘ลักหลับ’ ก็น่าตื่นเต้นดี หึหึ

“ทาวน์หลับหรือยัง”
ผมตัดสินใจก้มหน้าลงทำงานต่อเพราะเหลืออีกไม่มากก็จะเสร็จแล้ว แต่ลมหายใจอุ่นๆ ที่กระทบหลังคอทำให้มือหยุดชะงัก

“ยัง”
คำตอบมาพร้อมริมฝีปากอุ่นกดลงมาตรงซอกคออย่างแผ่วเบาก่อนจะผละออก ผมระบายยิ้มแล้ววางงานในมือเพื่อหันไปคุยกับพี่ทาวน์ อ้อนโคตรๆ ตั้งแต่คบกันมาก็วันนี้ล่ะ

“ไม่ง่วงเหรอ”
ผมขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมของเขาเล่น

“นั่งมองมึงทำงานก็เพลินดี”
อยากจับฟัดสักทีสองที

“หลงเสน่ห์ผมล่ะสิ”
ผมบีบปลายจมูกพี่ทาวน์ด้วยความมันเขี้ยว รู้หรอกว่าเพลินที่ฝีมือวาดรูปมากกว่าหน้าตา

“อืม”
แต่คำตอบรับกลับทำให้ผมต้องเอียงคอมองเพราะเหนือความคาดหมาย บทจะตรงก็ตรงเกิน หัวใจตั้งรับไม่ทันเลย

“ไม่ปฏิเสธเหรอ”

“หลงจริงๆ ไม่อยากโกหก”
โอย จะละลายแล้วครับ รู้สึกแก้มร้อนเหมือนสาวน้อยโดนจีบเลย

“ขอเวลาเขินสักห้านาทีได้ไหม”
ผมก้มลงหอมแก้มพี่ทาวน์ไปหลายฟอดเพื่อแก้เขินจนโดนมือเรียวตีเข้าที่ต้นแขนเต็มแรง เจ็บแต่คุ้มค่า ยอมครับ

“เว่อร์ไป”

“นิดนึงน่า ผมทำงานต่อนะ”
ได้กำลังใจแล้วก็ควรทำงานต่อให้เสร็จ แต่กลับโดนพี่ทาวน์สอดแขนรั้งเอวสอบไว้

“เจ็ท...”
เสียงเรียกนั่นทำให้ผมต้องหายใจเข้าลึกๆ เพราะมันทั้งสั่นและเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ

“ครับ”
ผมเอี้ยวตัวกลับไปมอง พี่ทาวน์ขมวดคิ้วแน่น ริมฝีปากเม้มจนขึ้นสีขาว เรื่องเครียดที่เคยสงสัยกำลังจะถูกเปิดเผยแล้วล่ะ

“พรุ่งนี้... พ่อกูจะมาที่นี่”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมถึงกับเกร็งไปทั้งร่างกาย พ่อของพี่ทาวน์เป็นบุคคลที่หาวิธีกีดกันความรักของพวกเราทุกวิถีทาง ถึงมันจะไม่แรงมากนักแต่ก็ไม่น่าไว้ใจ

“หา งั้นผมเก็บของกลับคอนโดตอนนี้เลยดีกว่า”
ผมลนลานมือสั่นแต่พี่ทาวน์กลับขยับมากอดกันไว้จนแน่น ไม่ใช่ว่าอยากทิ้งให้เขาเผชิญหน้าพ่อคนเดียว แต่การที่อยู่ด้วยกันอาจจะทำให้ยิ่งมีปัญหาหนักขึ้น

“ไม่ต้องไป เขาจะว่ายังไงก็ช่าง”

“แต่มันจะทำให้ทาวน์กับพ่อมีปัญหากันนะครับ”
ผมพลิกตัวกลับไปกอดตอบแล้วลูบหลังคนที่ตัวสั่น รู้ว่าเขาตัวแต่ก็อยากทำให้เรื่องระหว่างเรามั่นคงมากยิ่งขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้นในสายตาของพ่อตัวเองที่ไม่ยอมรับ

“อยู่ข้างกู เราจะผ่านเรื่องนี่ไปด้วยกัน”
พี่ทาวน์ซุกหน้าลงกับลาดไหล่แล้วพึมพำเสียงอู้อี้จนผมต้องระบายยิ้มด้วยความเอ็นดูก่อนเพิ่มแรงกระชับกอดมากยิ่งขึ้น

“ถ้าทาวน์พร้อม ผมก็พร้อมครับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สัญญาว่าจะไม่ยอมปล่อยมือคู่นี้แน่ๆ”
จบคำพูดก็ยกมือเรียวๆ ของแฟนขึ้นมาจูบยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างและร่วมเผชิญปัญหาไปด้วยกัน

“ขอบคุณ”
มันช่างแผ่วเบาแต่กลับชัดเจนในความรู้สึก แต่ผมกลับส่ายหัวเพราะอยากได้คำขอบคุณที่มากกว่านี้ มันคือวิถีของคนโลภมากนั่นเอง

“จูบแทนได้ปะ”
ผมถามเสียงทะเล้นเพื่อให้พี่ทาวน์เลิกเครียด ผลตอบรับคือเขารีบผละออกแล้วล้มตัวนอนดึงผ้าห่มปิดจนถึงใต้จมูก โธ่ ทำไมช่างน่าเอ็นดูขนาดนี้วะเมีย แค่กๆ แฟนก็ได้

“หึ จะนอนแล้ว”
มันคือวิธีการหนีของว่าที่คุณหมอที่ได้ผลดีทุกคราวนั่นล่ะ เด็กดีอย่างผมจะว่าอะไรได้นอกจากส่งเขาเข้านอนด้วยการมอบจุมพิตบนหน้าผากมน

“ฝันถึงผมด้วยนะครับ”
ความสุขของคนเรามันก็เท่านี้ล่ะ เห็นแฟนกินอิ่มนอนหลับก็สบายใจแล้ว

ผมเพิ่งได้รู้ความจริงเรื่องที่พี่ทาวน์ดูไม่สบอารมณ์เมื่อตอนเย็นจากพี่ฟา เขาก็แค่หึงหวงที่มีผู้หญิงในคณะของตัวเองพูดถึงแฟนมากเกินไป ก็ช่วยไม่ได้อะเนอะ คนมันหล่อ... ถุย เอาเป็นว่าโคตรดีใจเลย จะโมโหใส่อีกกี่ครั้งก็พร้อมถ้ามาจากเหตุผลนี้น่ะนะ



----------------------------------

มันก็จะหวานๆ ใส่น้ำตาลเยอะหน่อยเนอะตอนนี้
ตอนหน้าเราจะมาเคลียร์เรื่องพ่อตากันเน้อ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 36 - P.6 (27/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 27-01-2018 22:46:51
งานต่อสู้กับพ่อตาไปอีกกก o22
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 36 - P.6 (27/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 27-01-2018 22:46:57
หึหึ...คนพี่ขี้หวง คนน้องขี้เห่อ   ช่างเป็นคุณแฟนที่สมกัน
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 37 - P.6 (31/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 31-01-2018 20:06:43
แข่งครั้งที่ 37




ผมโทรเรียกไอ้ไธให้มารับงานและใบลากิจไปส่งอาจารย์ตั้งแต่เช้าตรู่ มันโวยวายเล็กน้อยแต่เมื่อรู้เหตุผลก็มอบกำลังใจมาเต็มกระบุง แถมเย็นนี้จะเลี้ยงหมูกระทะอีกด้วยถ้าสามารถผ่านด่านพ่อตามหาโหดไปได้ มีเพื่อนพ่วงตำแหน่งพี่เขยก็ดีแบบนี้

หลังจากร่ำลาเพื่อนเสร็จก็ถึงเวลาที่ผมต้องทำหน้าที่แฟนโดยการเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าสำหรับวันนี้ เมนูคงไม่พ้นข้าวต้มไรซ์เบอร์รี่ใส่ไข่แกล้มด้วยไส้กรอกทอด ถ้าหากมีเวลาคงได้กินอะไรที่ดีกว่านี้ ส่วนพี่ทาวน์ยังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง สงสัยใช้พลังงานมากไป

กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเจ็ดโมงและเป็นเวลาเดียวกันที่พี่ทาวน์ตื่นขึ้นมาในสภาพหัวฟูฟ่อง หน้ามันเยิ้ม แต่ในความคิดของผมเขายังดูดีเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ ร่างสูงเดินเซเข้ามาหาก่อนที่แผ่นหลังจะสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากร่างกายอีกคน กอดรับอรุณมันรู้สึกดีจนแทบบ้า อยากหันไปกดจูบหนักๆ แต่ติดตรงที่กำลังชงกาแฟอยู่

"อ้อนแต่เช้าเลยนะครับคุณแฟน"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วกดน้ำร้อนจากเครื่องทำกาแฟใส่แก้วพลางรอฟังคำตอบ พี่ทาวน์ใช้หัวชนหลังดังปึกๆ หลายครั้งคล้ายกับว่ากำลังเขิน

"เปล่า"
เขาซบหน้าลงกางแผ่นหลังอีกครั้งแล้วนิ่งไป ถ้าไม่ใช่การอ้อนแล้วที่ทำอยู่มันคืออะไร ผมชักตามไม่ทันแล้ว

"ถ้าอย่างนั้นคืออะไรครับ"
ผมพลิกตัวกลับไปเผชิญหน้า คนมึนถอยหลังพิงสะโพกกับเค้าน์เตอร์แล้วหาวหวอดใส่หนึ่งครั้งแทนคำตอบ ยังไม่อยากตื่นสินะ

"ง่วง เหนื่อย เพลีย"
รู้สึกผิดขึ้นมาตงิดๆ เลยว่ะ

"ขอโทษครับ"
ผมว่าเสียงอ่อยก่อนจะโอบเอวพี่ทาวน์เอาไว้แล้วโน้มตัวลงจุ๊บแก้มเพื่อไถ่โทษ แต่รู้สึกว่าได้กำไรเต็มๆ

"ตลก ทำก็ทำด้วยกัน ขอโทษทำไม"
พี่ทาวน์ส่งนิ้วมาดีดหน้าผากดังป๊อกทำให้ผมต้องรีบยกมือลูบเพื่อบรรเทาความเจ็บ

"ก็..."
ผมกำลังจะพูดต่อว่า 'ถ้าเมื่อคืนไม่เอาแต่ใจเกินไป สภาพทาวน์คงไม่เป็นแบบนี้' แต่กลับโดนคนตรงหน้าสวนขึ้นซะก่อน

"อาบน้ำให้หน่อย"
เสียงที่ใช้เนิบนาบจนเหมือนเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป แต่คนฟังอย่างผมถึงกับอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เมื่อครู่เขาบอกว่าอะไรนะ โอย รู้สึกเหมือนหัวใจจะวายเลย

"ห๊ะ ผมหูฝาดไปหรือเปล่า"
มองหน้าเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง แต่พี่ทาวน์ทำแค่เพียงไหวไหล่แล้วหันหลังให้ ยั่วไม่ยั่วล่ะแบบนี้

"จะช่วยหรือไม่ช่วย"
สลัดเสื้อผ้าเตรียมลงอ่างได้เลยครับแฟน!

"ยอมชงกาแฟใหม่เลยครับ!"
กาแฟจะเบิร์น จะไหม้ จะขมจนแดกไม่ได้ก็ช่างแม่งเถอะครับ ของหวานมาเสิร์ฟถึงปากขนาดนี้จะพลาดได้ยังไง

กว่าจะ 'อาบน้ำ' เสร็จทั้งคู่ก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งชั่วโมงทำให้อาหารเย็นชืดจนต้องจัดการอุ่นมันใหม่แล้วนั่งกินท่ามกลางบรรยากาศขัดเขิน ต่างคนต่างเหลือบมองหน้ากันก่อนจะหลบไปคนละทาง คงไม่ต้องบอกว่าน้ำให้อ่างกระเพื่อมและกระจายแค่ไหน... ความรู้สึกโคตรแปลกใหม่เลยว่ะ อืม

"เจ็ท..."
พี่ทาวน์เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน เขาวางช้อนลงแล้วใช้มือเท้าคางมองตรงมาทางนี้ ผมที่กำลังจะงับข้าวคำสุดท้ายเข้าปากเลยชะงักมือแล้วขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร

"แบบเมื่อกี้ไม่เอาแล้วนะ"
เขาพูดจบแล้วก้มหน้าลงเพื่อปิดบังแก้มสีแดงระเรื่อไว้ ผมถึงกับมืออ่อนปล่อยช้อนล่วงกระทบถ้วยกระเบื้อง ควรรู้สึกยังไงดีวะที่แฟนเอาเรื่องแบบนี้มาพูดบนโต๊ะอาหาร แล้วไอ้ท่าทางเขินอายคืออะไร โอย กูจะบ้าตาย

"ทะ ทำไมครับ"
ผมถามเสียงตะกุกตะกักเพราะไม่แน่ใจว่าคำตอบจะไปทิศทางไหน ชอบหรือไม่ชอบยังไง

"น้ำมัน... เข้าไปข้างใน"
เสียงพี่ทาวน์แผ่วจนแทบไม่ได้ยิน แต่ผมกลับนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงชัดเจนในความทรงจำ อยู่ๆ ก็หน้าแดงตามเฉยเลย แม่ง

"คะ ครับ"
ไปไม่ถูกเลยจ้า พี่ทาวน์ช้อนตามองแล้วคลี่หวานตอบกลับมา ใจพังแล้วครับ ละลายเหลวเป๋วไม่เหลือชิ้นดีเลย อยากถามกลับว่าชอบบนเตียง ระเบียง โซฟา หรือห้องครัวก็กลัวจะโดนฝ่าตีนยันหน้าเอา ฮึย ค่อยๆ ทดลองไปทีละแห่งก็แล้วกัน ครั้งนี้อ่างไม่ผ่าน...

ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรไปไกลกว่านั้นเสียงออดจากหน้าประตูก็ดังขึ้นเรียกให้เราทั้งคู่สะดุ้งและเหลือบมองนาฬิกาติดผนังอย่างพร้อมเพรียง เก้าโมงสี่สิบเจ็ดนาที คนที่นัดไว้คงมาก่อนเวลาพอๆ กับความวุ่นวาย ไม่ต้องเดาให้เหนื่อยว่าใคร คุณพ่อตาอย่างแน่นอน

"เดี๋ยวผมลุกไปเปิด..."

"เดี๋ยวกูไปเอง มึงเก็บถ้วยไปล้างเถอะ"
พี่ทาวน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วพยักพเยิดให้ผมเก็บจานชามบนโต๊ะไปล้าง ความจริงแล้วอยากออกไปเผชิญหน้ากับพ่อตาพร้อมๆ กัน แต่ถ้าเขาต้องการแบบนี้ก็จะไม่ขัด

"ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาน้ำเย็นๆ ไปให้นะ"
ผมส่งยิ้มให้กำลังใจก่อนจะรวบเก็บทุกอย่างบนโต๊ะลงอ่างล้างจาน ได้ยินเสียงครางรับเบาๆ จากทางด้านหลังตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ไกลออกไป ก็ได้แต่ภาวนาให้เรื่องไม่เลวร้ายเกินไป

ผมพยายามตั้งสมาธิจดจ่อกับการล้างจานแต่หูก็ดันสนใจสิ่งที่สองพ่อลูกคุยกัน แค่คำเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน ทักทายแบบทั่วไป ไม่มีความพิเศษ ไม่มีการบอกคิดถึง เป็นความอึดอัดระหว่างพ่อกับลูกอย่างแท้จริง

เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มือของผมสั่นจนเกือบทำจานตกแตก ถึงจะยืนอยู่ในครัวแต่มันเปิดโล่ง ยังไงๆ พ่อพี่ทาวน์ก็ต้องเห็นกันอยู่ดี และเป็นดังคาดเมื่อเสียงทุ้มแปลกหูถามขึ้น

"ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่"
ผมหันกลับไปไหว้ผู้มาเยือนทันทีที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย หน้าตาแสดงออกถึงความไม่พอใจเมื่อเห็นคนอื่นในห้องลูกชาย

"ผม... มาขอค้างกับพี่ทาวน์น่ะครับ"
ตอบไปตามความจริงก่อนจะเดินออกจากครัว ถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้กันสักที 'เรื่องของเรา'

"บ้านช่องก็มีทำไมไม่กลับ"
เขายังคงเค้นหาคำตอบที่มีเหตุผลในการขอค้างมากกว่านี้ แต่พี่ทาวน์กลับดึงทุกอย่างกลับไปหาตัวเอง แล้วส่งสัญญาณมือให้ผมขยับมายืนข้างๆ

"พ่อ มีธุระอะไรครับ"
คำถามห่างเหินนั้นทำให้คนเป็นพ่อถึงกับขมวดคิ้วแน่นมองหน้าลูกชายด้วยแววตาวาวโรจน์ เขาทิ้งตัวลงบนโซฟา นั่งไขว่ห้าง ดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามจนผมรู้สึกหวั่น ถ้าวันนี้เราทั้งคู่แพ้คงลำบากน่าดู

"ต้องมีธุระด้วยหรือไงถึงจะเหยียบที่นี่ได้"

"ก็เปล่า แต่พ่อไม่เคยมาที่นี่"
พี่ทาวน์นั่งลงพร้อมๆ กับผม เราเว้นระยะห่างพอประมาณ ถึงยังไงก็ควรเกรงใจพ่ออยู่ดี

"หึ เพราะแกทำตัวแย่ ฉันเลยต้องมาดูพฤติกรรมไง"
ประโยคนั้นทำให้ผมเกร็งไปทั้งตัว พยายามสังเกตสีหน้าของพี่ทาวน์ว่ารู้สึกยังไง พบว่าทุกอย่างยังปกติดี เพียงแต่มือทั้งสองข้างขยำขากางเกงจนยับ

"ผมทำอะไร"
น้ำเสียงเย็นชาถามกลับโดยไม่กลัวเกรง เช่นเดียวกับคนเป็นพ่อที่ไม่ลดการวางท่าข่มกันเลย

"คบกับเด็กคนนี้ยังแย่ไม่พออีกหรือ"
เขาปลายตามองผมอย่างไม่พอใจก่อนจะจ้องหน้าพี่ทาวน์ สถานการณ์ตอนนี้เรียกว่าทุกคนกำลังเดินหน้าเข้าสู่สนามรบแล้ว

"มันไม่ได้แย่"

"เพศเดียวกันยังจะปฏิเสธอีกหรือ"

"ผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน"
พี่ทาวน์กัดฟันกรอด มือทั้งสองกำแน่นจนขึ้นข้อขาว ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเอื้อมมือไปแตะไหล่เพื่อปลอบให้เขาใจเย็นลงบ้าง ไม่อย่างนั้นคงทะเลาะกันใหญ่โตแน่ๆ

"พี่ทาวน์ ใจเย็นครับ"
ผมกระซิบเสียงเบา พี่ทาวน์พยักหน้ารับแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเป็นการระงับอารมณ์ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังเดือดได้ที่เมื่อโดนลูกชายสวนไปแบบนั้น

"ฉันนี่ไงเดือดร้อน ลูกชายคนเดียวที่เลี้ยงมากับมือกลายเป็นเกย์ คิดว่ามันน่าภูมิใจนักหรือไง!"
เขาตวาดเสียงดังลั่นจนหน้าดำหน้าแดง แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นและอัดอั้น ผิดหวังที่ลูกชายไม่ได้เดินตามทางที่ตัวเองขีดไว้ พี่ทาวน์นิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่รับรู้ได้ว่าเขากำลังจะร้องไห้ ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกแล้ว ถึงใครหาว่าเป็นเด็กไร้มารยาทก็ยอม

"พี่ทาวน์ไม่ได้เป็นเกย์ครับ! เราก็แค่รักกัน"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จ้องมองผู้ใหญ่ด้วยแววตาเด็ดเดียว พวกเราไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ แค่นายภาคินรักนายเมืองเหนือก็เท่านั้น

พี่ทาวน์เบิกตาโตมองผมด้วยความตกใจ คงไม่คิดว่าลูกหมาตัวนี้จะกล้างัดข้อกับนายใหญ่ของเจ้านายตัวเอง เขาเป็นคนพูดเองว่าต้องผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน แล้วใครจะปล่อยให้แฟนสู้อยู่คนเดียวล่ะ มันไม่แฟร์จริงไหม

"หึ จะรักกันไปได้สักกี่น้ำ พอเบื่อก็ทิ้งขว้างตามประสาเด็ก เจอใครที่ดีกว่าก็เลิกกันอยู่ดี"
ที่พ่อพี่ทาวน์พูดมันเป็นความจริงของมนุษย์โลก แต่ก็ไม่เสมอไป สายตาดูถูก สายตาเหยียดหยามทำให้ใจฟ่อแต่ความอบอุ่นที่ได้รับจากมือเรียวทำให้ผมมีแรงสู้ขึ้นอีกครั้ง ยังไงวันนี้เราทั้งคู่ก็ต้องชนะ

"พ่อไม่มีสิทธิ์ดูถูกความรักของพวกเรา"

"ฉันเป็นพ่อแก ฉันผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ฉันรู้ดี น้ำหน้าอย่างพวกแกไปกันไม่รอดแน่นอน"
ถ้อยคำทำร้ายจิตใจยังคงถูกขุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย แต่มือที่กุมกันไว้แน่นของพวกเรานั้นเป็นตัวยืนยันว่าจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะไม่ไหวกันจริงๆ

"เพราะพ่อตัดสินคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกันดีแบบนี้ไง ถึงทำให้แม่ทนไม่ได้!"
พี่ทาวน์ตะโกนเสียงดังลั่นจนผมสะดุ้งเฮือก ยังไม่ทันที่จะได้ฉุดรั้งข้อมือของคนสติหลุด คนแก่กว่าก็เงื้อมือและฟาดเข้าที่ใบหน้าของลูกชายเต็มๆ

"ไอ้ทาวน์!"

"คุณลุง!"
ผมตะโกนเสียงดังไม่แพ้ใครแล้วรีบประคองตัวพี่ทาวน์กลับเข้ามาในอ้อมกอดอย่างหวงแหน รีบสำรวจใบหน้าที่โดนฟาดนั่นด้วยความว้าวุ่นพบว่ามุมปากแตกจนเลือดซึมและบวมเป่ง ต้องหากล่องปฐมพยาบาล!

"หึ ถึงขนาดทนไม่ได้เลยเหรอครับ คำพูดแทงใจดำสินะ"
พี่ทาวน์ไม่ยอมหยุดพูดทั้งที่ตัวเองเจ็บจนแทบขยับปากไม่ได้ ผมรีบคว้าเอาทิชชู่มาซับเลือดตรงมุมปากให้เขาอย่างแผ่วเบาก่อนจะนึกโทษตัวเองที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

"หยุดเดี๋ยวนี้นะ ก่อนที่ฉันจะตบแกอีกครั้ง"
เขาชี้หน้าพี่ทาวน์อย่างเอาเรื่อง มือไม้สั่นเทาด้วยความโกรธจัด แต่ครั้งนี้ผมไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบเมื่อครู่อีกแน่ๆ เลยเอาตัวเองเป็นเกราะป้องกัน

"พ่อก็เป็นแบบนี้ เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เคยมองว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง ผมเสียใจแค่ไหนก็มองข้ามตลอด"
เป็นช่วงเวลาที่พี่ทาวน์ใช้คำพูดเปลืองที่สุด ความในใจที่เก็บไว้พรั่งพรูเหมือนเขื่อนแตก น้ำตาหยดใสไหลลงบนแก้มโดยไม่มีเสียงสะอื้น เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความอ่อนแออย่างที่สุดของเขาจริงๆ ผมโอบกอดอีกคนโดยไม่สนสายตาของผู้เป็นพ่อ เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความรู้สึกอันเปราะบางอีกแล้ว ต้องรักษา ต้องประคองไม่ให้มันแตกสลาย

"ฉันไม่อยากให้แกเดินทางผิด ความรักแบบนี้ไม่มีความมั่นคง ไหนล่ะสิ่งที่ยืนยันว่าพวกแกจะอยู่ด้วยกันตลอดไป"
เสียงของคนเป็นพ่ออ่อนลงแต่ดวงตายังคงเป็นวาวโรจน์ ผมกำลังจะอ้าปากตอบในสิ่งที่คิด สิ่งยืนยันในโลกนี้ว่าคนๆ หนึ่งจะรักคนๆ หนึ่งตลอดไปมันไม่มีรูปร่างให้เห็น แต่มันคือความรู้สึกล้วนๆ

"ถ้าหมายถึงทะเบียนสมรสกับลูกสักคนคงใช้ไม่ได้ครับ ไม่ว่าจะเพศไหนความรักก็เป็นเรื่องไม่แน่นอนอยู่ดี จดได้ก็หย่าได้ จริงไหม พ่อกับแม่ก็เป็นตัวอย่างที่ผมเห็น"
พี่ทาวน์กลับเป็นคนพูดซะเอง แถมท้ายด้วยการตอกย้ำสิ่งผิดพลาดของผู้เลี้ยงดู ผมรู้ว่าเขาเสียใจแต่มันอาจจะเป็นแค่เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้พ่อคิดทบทวนอะไรได้บ้าง

เขาถามหาสิ่งยืนยันทั้งๆ ที่ตัวเองเคยมี แต่ปัจจุบันมันเป็นแค่เพียงความทรงจำแสนเลือนราง

"พี่ทาวน์..."
ผมเรียกคนข้างๆ ด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง ลูบหลังมือเพื่อให้กำลังใจ ถ้าหากว่าวันนี้เราไม่ชนะใจพ่อแล้วจริงๆ ก็คงต้องยอมถอยก่อน หลังจากนั้นคงต้องเตรียมตัวกันใหม่ ไม่มีคำว่าแพ้แน่นอน

"กูไม่เป็นไร"
พี่ทาวน์คลี่ยิ้มบางให้ทั้งที่ยังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อน ผมถือวิสาสะใช้นิ้วป้ายมันออก สบตาสื่อความหมายว่า 'คนๆ นี้ จะอยู่ข้างกายเสมอ ไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม' ความรักอบอวลอยู่รอบตัวเราแม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะมาคุขนาดไหน

"นั่นสินะ มีทะเบียนสมรส มีลูก ก็ใช่ว่าความรักจะยืนยาว ฉันมันแย่เองที่บังคับแกไปซะทุกอย่าง แต่แกมั่นใจเหรอว่าจะรักผู้ชายอย่างเด็กคนนี้ได้จริงๆ"
คนเป็นพ่อเค้นยิ้มไม่ยอมสบตาลูกชาย เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าคล้ายคนหมดหนทางไปต่อ ผมเข้าใจทุกคนดี ฝั่งหนึ่งกลัวความไม่มั่นคงและเป็นห่วงแต่แสดงออกแข็งกระด้าง ส่วนอีกฝั่งแค่ต้องการให้ยอมรับความรักในครั้งนี้ก็เท่านั้น

"ผมกับเจ็ทเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว พ่อคิดว่าผมรักมันไหมล่ะ"
พี่ทาวน์พูดเสียงเรียบโดยไม่แสดงท่าทีเขินอาย ซึ่งต่างจากผมที่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ทั้งตกใจทั้งกลัวว่าอีกคนจะบันดาลโทสะ เหลือบตามองก็พบว่าคุณลุงทำสีหน้าอึกอักจนได้แค่คำรามเสียงต่ำ

"แก..."

"คุณลุงครับ... ยอมให้ผมกับพี่ทาวน์ได้รักกันเถอะนะ"
ผมเลื้อยลงจากโซฟาเพื่อนั่งบนพื้นแล้วพูดขอความกรุณาจากผู้ใหญ่ด้วยแววตาอ้อนวอน เขาถอนหายใจหนักๆ แล้วจ้องหน้าแบบไม่วางตา จะให้ถอยตอนนี้คงไม่ได้แล้ว ต้องสู้เท่านั้น

"เธอจะดูแลลูกฉันได้หรือไง เด็กกว่า การงานก็ยังไม่ได้ทำ ทุกวันนี้ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้ เอาอะไรมาเป็นหลักประกันล่ะ"
น้ำเสียงทุ้มถามกลับมาไม่แฝงแววโกรธเคืองหรือโมโหแต่มันกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงลูกเพียงคนเดียวของเขา ผมคลี่ยิ้มบางแล้วส่ายหน้า ตอนนี้ไม่มีหลักประกันอะไรทั้งนั้น มีแค่ตัวกับหัวใจ

"ไม่มีครับ ผมรู้ว่าตัวเองยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ผมจะคอยรัก ดูแล ห่วงใย เป็นกำลังใจ ค่อยช่วยเหลือ อยู่ข้างๆ พี่ทาวน์ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจกับสีหน้ามุ่งมั่น ถึงแม้เวลานี้อะไรๆ มันจะดูเลื่อนลอยไปทุกอย่าง ไม่มีหลักประกัน มองไม่เห็นอนาคต แต่ความรักสามารถทำให้คนเรามีความพยายามสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาได้

ต่อไปนายภาคินและนายเมืองเหนือจะมีอนาคตที่ดีร่วมกันอย่างแน่นอน ผมมั่นใจ ในขณะที่พี่ทาวน์ก็ส่งยิ้มมาแล้วพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับคำพูดทั้งหมดนั่น ซึ้งล่ะสิ แฟนน่ารักใช่ไหมล่ะ หึหึ เดี๋ยวเก็บไว้ถามกันสองคนเนอะ

"ใครๆ ก็พูดได้ทั้งนั้น"

"ผมพร้อมพิสูจน์ทุกอย่างที่พูดออกไปครับ ถ้าคุณลุงเห็นแล้วบอกว่ามันน้อยไป ผมก็จะพยายามให้มากยิ่งขึ้น"
ไม่มีคำว่ายอมแพ้สำหรับนายภาคิน ก็เล่นรักลูกชายเขามากจนแทบถวายหัวให้อยู่แล้ว ใครจะให้นายเมืองเหนือจากไปง่ายๆ ไม่มีทาง

"หึ แล้วฉันจะคอยดู"
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำกับคำพูดนั้นทำให้ผมกับพี่ทาวน์มองหน้ากันก่อนจะหันขวับไปมองต้นตอ รอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรื่องของเราผ่านไปด้วยดีแล้วใช่ไหม แต่ดูเหมือนคนเป็นลูกชายต้องการคำตอบที่แน่ใจเลยเอ่ยถามอีกครั้ง

"นี่ตกลงว่า..."

"จะคบก็คบกันไป แต่ถ้าเรียนแย่ลงพวกแกเตรียมเลิกกันได้เลย"
ในอนาคตคุณคงจะได้เห็นหมออัจฉริยะ 'นายแพทย์เมืองเหนือ' อย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าพี่ทาวน์ทำได้ ส่วนผมก็พยายามในส่วนของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น

"พ่อ... ขอบคุณครับ"
พี่ทาวน์ยกมือไหว้แล้วเอ่ยเสียงสั่น เขาเม้มปากกลั้นน้ำตาแต่สุดท้ายก็ไม่ไหวอยู่ดี ผมเลยถือวิสาสะเอื้อมไปเช็ดในอีกครั้งแล้วหันไปขอบคุณผู้ใหญ่

"คุณลุง ขอบคุณนะครับ"

หลังจากปัญหาทุกอย่างคลี่คลายและรวมถึงพ่อพี่ทาวน์ได้กลับไปแล้ว ทำให้ตอนนี้ผมนอนเล่นเกมในโทรศัพท์อย่างสบายใจเพราะเย็นนี้จะได้กินหมูกระทะฟรี ส่วนแฟนที่น่ารักก็กลับเข้าสู่โหมดเด็กขยันเช่นเคย เชื่อแล้วว่าการเรียนหมอนั้นต้องเป็นกิ๊กกับหนังสืออยู่ตลอดเวลาจริงๆ

ผมเหลือบมองพี่ทาวน์ที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นว่าเขาขมวดคิ้วแน่นแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างคนสงสัยหนัก มันเป็นภาพที่บุคคลทั่วไปคงเห็นได้ยากนัก คนหลงแฟนก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าเขาอยู่ในสภาพไหนยังไงก็มองว่าน่ารักเสมอ

เสียงเตือนเกมโอเว่อร์ทำให้ผมสะดุ้ง เพิ่งรู้ว่าเผลอมองพี่ทาวน์นานไป เจ้าตัวช้อนตาขึ้นมองก่อนจะส่งเสียงหัวเราเบาๆ ตอกย้ำว่าสะใจ อ่านหนังสือก็ไม่จำเป็นต้องรู้ตัวว่าถูกจ้องหรือเปล่า แบบนี้ก็เสียเซลฟ์หมดอะดิ

"สมน้ำหน้า"
พี่ทาวน์พูดลอยๆ แต่กลับทำให้ผมหน้าหงิก อุตส่าห์ตั้งใจเล่นจนผ่านมาเกือบถึงด่านสุดท้ายอยู่แล้วเชียว มันเพราะใครกันที่หว่านเสน่ห์ไปทั่ว...

"เพราะทาวน์เลย อยากน่ารักก่อนทำไมล่ะ"
ผมโบ้ยความผิดให้อีกคนแบบเต็มๆ แล้วดึงแขนเขาให้ขึ้นมานั่งตัก จอมรับว่าใช้แรงเยอะมากเพราะขนาดตัวไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ แต่ดีตรงที่พี่ทาวน์ไม่ขัดขืนและยอมง่ายๆ

"กูแค่นั่งอ่านหนังสือ"
มือเรียวดีดป๊อกลงบนหน้าผากของผมหลังพูดจบ คงหมั่นไส้ในความหลงแฟนล่ะมั้ง ก็คนมันรักให้ทำยังไง

"ไม่ว่าทาวน์จะทำอะไร ผมก็มองว่าน่ารักทั้งนั้นล่ะครับ"
ผมโน้มตัวขโมยหอมแก้มทั้งสองข้างด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะเปลี่ยนมางับจมูกโด่งๆ นั่นให้พี่ทาวน์ด่าเล่น

"ประสาท"
โอย มีความสุขจัง ถึงโดนด่า แต่พี่ทาวน์ก็หน้าแดงล่ะวะ ฟัดสักทีสองทีหรือลากยาวขึ้นเตียงเลยดีกว่าวะ

"เขินก็บอกว่าเขินสิแฟน"
ผมยังไม่วายหยอกล้อแฟนบนตักอย่างสนุกสนาน บีบแก้มบ้าง บีบจมูกบ้าง ยิ่งไม่โดนปัดป้องยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ถึงขนาดโน้มตัวลงประกบจูบปากเลยทีเดียว ชื่นใจจัง

"หึ กูหิวข้าวแล้ว มึงพร้อมเสียเงินสามพันหรือยัง"

"ขอแวะตู้เอทีเอ็มก่อนนะ ไม่มีเงินติดตัว"
ผมพูดเสียงอ่อยเพราะปกติจะพกเงินในกระเป๋าไม่เกินหนึ่งพันบาท มีมากก็ใช้มากเลยต้องจำกัดตัวเองไว้ พี่ทาวน์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะเอื้อมมือมาดึงติ่งหูกันเล่น โอย อย่ายั่วแบบนี้ ใจไม่ดีครับ

"ไม่ต้อง กูล้อเล่น แค่บะหมี่หน้ามหา'ลัยก็พอแล้ว"

ห้ามหลงแฟนผมนะเฮ้ย หวง!

ผมขับรถของพี่ทาวน์ออกมาจากคอนโดในเวลาเกือบเที่ยงวัน รถติดนารนับครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย ดีหน่อยที่ร้านบะหมี่หน้ามหา'ลัยเป็นแบบติดแอร์ ไม่อย่างนั้นคงกินไปเช็ดเหงื่อไปเนื่องจากวันนี้อากาศด้านนอกร้อนอบอ้าวคล้ายกับว่าอีกไม่นานฝนจะตก

"หูย พวกมึงถ่อมากินข้าวถึงนี่เลยเหรอวะ"
ได้ยินเสียงทุ้มแหบทักขึ้นไม่ไกลทำให้ผมและพี่ทาวน์ต้องเงยหน้าขึ้นจากเมนูแล้วเจอเข้ากับนักกินตัวยงอย่างพี่แฮม วันนี้เขาแต่งตัวดีกว่าปกติ เสื้อเชิ้ตสีเข้มพับแขน กางเกงยีนส์ขายาว แว่นตากันแดดสีชา ทรงผมที่เซ็ตอย่างเรียบร้อย เหมือนกำลังออกเดท

แต่เดี๋ยวก่อน คนที่เดินตามกันมาเป็นผู้ชายนี่ แถมหน้าตาดีซะด้วย ให้ความรู้สึกแบบคุณชายเนี๊ยบๆ เจ้าสำอาง และหยิ่งพอตัว มันหมายความว่ายังไง ผมสงสัยจนอยากถามแต่รอดูท่าทีของพี่ทาวน์ก่อนดีกว่า

"อืม แล้วมึงมาทำอะไรแถวนี้"
คำถามของพี่ทาวน์ก็ปกติทั่วไปยามเจอเพื่อน แต่พี่แฮมกลับมีท่าทีเลิ่กลั่กคล้ายโดนจับผิด นี่มันแปลกเกินไปแล้ว

"เอ่อ... คือ มาทำธุระน่ะ"
พี่แฮมฉีกยิ้มกว้างกลบเกลื่อนความรู้สึกลนลานที่ฉายแววในดวงตา คนข้างตัวก็เหมือนจะรับรู้ถึงบรรยากาศมาคุเลยก้มลงกระซิบแล้วเดินหนีออกไปอีกด้านหนึ่งของร้าน

"แล้วนั่นใคร"
อย่าปฏิเสธว่าไม่รู้จักหรือไม่ได้มาด้วยกันนะ หลักฐานชัดเจนขนาดนั้น

"พะ พี่ที่รู้จักกัน เรียนอยู่บริหาร"
ทำไมต้องพูดเสียงตะกุกตะกักด้วยวะ แบบนี้ต่อมเผือกยิ่งทำงานหนักขึ้น พี่ทาวน์ยังเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเลย

"เหรอ มากับเขาว่างั้น"

"มาคนเดียวเว้ย เพิ่งเจอกันเลยชวนมากินข้าวเฉยๆ"
พี่แฮมบอกเสียงจนคนอื่นๆ หันมามองเป็นตาเดียว ขนาดพี่คนที่มากับเขายังร่วมด้วย แต่ดูเหมือนไม่พอใจมั้งเพราะหน้าบูดเชียว ต้องมีซัมติงกันแน่ๆ ไอ้เจ็ทนอนยันเลย

"อืม ไปเถอะ พี่เขาจะรอนาน"
พี่ทาวน์โบกมือไล่เพื่อนคงเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตานานๆ พี่แฮมรีบฉีกยิ้มกว้างแล้วเดินหนีไปเลย หาโอกาสปลีกตัวอยู่สินะ หึหึ

"ทาวน์... ผมว่ามันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่ๆ พี่แฮมมีพิรุธแปลกๆ"
ผมกระซิบกระซาบแล้วเหลือบตามองคนที่เพิ่งเดินหนีไป พี่ทาวน์ส่ายหัวปลงๆ ก่อนจะแจกมะเหงกให้หนึ่งครั้ง ชี้นิ้วลงบนเมนูเป็นสัญญาณ

"สนใจแต่คนอื่น เอาเรื่องตัวเองก่อนเถอะจะแดกอะไร"
ดุ ดุจังเลย แต่ก็รักนะเออ

"แฮ่ เอาบะหมี่น้ำหมูแดงต้มยำครับ"

มื้อเย็นจากร้านหมูกระทะกลายเป็นร้านเหล้าเนื่องจากสาเหตุที่ว่าโต๊ะมันเต็ม จริงๆ ปูเสื่อนั่งพื้นเอาก็ได้ใครจะกว้าว่าอะไร ถิ่นพี่ฟาซะอย่าง

บรรยากาศสบายๆ เคล้าเสียงดนตรีหวานภายในร้านทำให้พวกเราเลือกนั่งบริเวณเอ้าท์ดอร์เพราะอากาศถ่ายเทมากกว่าส่วนด้านในที่เน้นการโยกย้ายส่ายสะโพกเป็นหลัก เมนูอาหารมากมายทยอยเสิร์ฟโดยบริกรหน้าตาสวยใส เธอยิ้มตลอดเมื่อหันไปเจอพี่ทาวน์ ผมรู้ว่าแฟนกำลังโดนอ่อยแต่ต้องนิ่งไว้ ถ้ามีอะไรมากกว่านั้นค่อยออกตัว

จิณณ์ลงมือจิ้มหมูมะนาวเข้าปากเป็นคนแรกแล้วชมเปราะว่ารสชาติอร่อยกว่าที่เคยกินมาทั้งหมด ทุกคนที่ได้ลองชิมก็พยักหน้าเห็นด้วย มื้ออาหารผ่านไปท่ามกลางเสียงพูดคุยสัพเพเหระ แกล้งบ้าง เย้าหยอกบ้างตามประสาคนสนิทกัน พอเหล้าเข้าปากอะไรๆ ก็ง่ายขึ้น แม้กระทั่งความในใจ

คนชอบเฉไฉอย่างจิณณ์กล้าบอกรักไอ้ไธกลางวงเหล้า ตบท้ายด้วยการกระชากหัวมาหอมฟอดใหญ่ ใครไม่อายแต่กูอายแทนเว้ย โดนมองอย่างกับตัวประหลาด ไหนจะโทรศัพท์นับสิบที่ยกขึ้นเก็บรูปนั่นอีก เชื่อเถอะว่าพรุ่งนี้ดังไปทั้งมหา'ลัยแน่ๆ เมาแล้วเรื้อนฉิบหายเลยพี่กู



ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 37 - P.6 (31/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 31-01-2018 20:07:05
ผมกับไอ้ไธปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำเพราะทนไม่ไหวจริงๆ พี่ทาวน์ก็ยังคงเป็นคนใจดีที่รับดูแลคนเมาอย่างจิณณ์ เราทั้งคู่ยืนฉี่ข้างกันและใช้เวลาถามไถ่ถึงไอ้ฟาร์มที่หายเข้ากลีบเมฆ ชวนแดกเหล้ายังปฏิเสธ โคตรแปลก ส่วนไอ้ตังค์ไม่ต้องไปสนใจหรอก คงโดนไอ้เอยนอนกกเหมือนปกติ หวงกันอย่างกับไข่ในหิน เฮ้อ

"ไอ้ฟาร์มมันหายหัวไปไหน"

"เฝ้าว่าที่เมียมันโน่น"

"ห๊ะ พี่ฟาเป็นอะไรวะ"

"ป่วย..."

"จริงเหรอ ทำไมพี่ทาวน์ไม่เห็นพูดอะไร"

"ป่วยอ่อย มึงรู้จักปะ"
นี่คงเป็นศัพท์ใหม่ 'ป่วยอ่อย' โอ้โห เทพจริงๆ ไอ้ไธ

"อ้อ... กูหวังว่าไอ้ฟาร์มจะฉลาดพอ"

"เออ อ่อยขนาดนั้นยังปล่อยให้หลุดมือได้ก็โคตรควายแล้ว"

ผมกับไอ้ไธเดินไปที่โต๊ะด้วยความร่าเริงหลังจากได้ปลดทุกข์แต่กลับต้องชะงักกึกเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนเจรจาอะไรบางอย่างกับพี่ทาวน์ ท่าทางของเธอดูก็รู้ว่าต้องการอ่อยเต็มที่ถึงแม้หน้าตาจะใสซื่อน่ารักก็ตาม

"พี่ทาวน์เสน่ห์แรงว่ะ"
ไอ้ไธพูดลอยๆ ก่อนจะหันมายักคิ้วกวน ผมเบ้ปากใส่เพราะรู้สึกไม่ชอบใจ มีคนมาเกาะแกะแฟนมันน่าภูมิใจตรงไหนวะ

"เออ"

"นั่นๆ เธอก้มต่ำขนาดนั้นเห็นไปถึงสะดือแล้วมั้ง"
ไอ้ส้นตีน มึงสนุกนักหรือไง หัวเราะอยู่ได้ ถ้าเป็นจิณณ์โดนอ่อยบ้างล่ะ แม่ง หงุดหงิดโว้ย

"มึง! ไม่ต้องพากย์ก็ได้เว้ย"
ผมหวังกระทืบเท้ามันให้จมพื้นแต่ไอ้ไธเสือกไหวตัวทันขยับไปห่างเป็นคืบ โอย โมโห!

"แหม ถ้าหวงก็เดินเข้าไปสิครับ มายืนแอบดูทำซากอะไร๊!
จะเสียงสูงหาใครไม่ทราบ ผมถอนหายใจแรงๆ แล้วยืนพิงต้นไม้ใหญ่แถวนั้น

"ไม่อยากทำตัวงี่เง่า"
กลัวเขาจะเบื่อถ้าเห็นผมแสดงท่าทีหึงไม่เป็นเรื่อง เธอก็แค่เข้ามาชวนคุยไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวนี่ ส่วนพี่ทาวน์ก็ยังนิ่งตามสไตล์เขา จิณณ์แม่งไร้ประโยชน์จริงๆ เมาหลับได้ไงวะ!

"งั้นก็รอดูต่อไป"
ไอ้ไธขยับเข้ามากอดบ่าเป็นการให้กำลังใจ ผมพยักหน้ารับเพราะมันเป็นทางออกที่เวิร์คสุดในเวลานี้

ผ่านไปเกือบสิบนาที พี่ทาวน์เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ ถึงใบหน้าจะเรียบเฉยแต่เขาขยับตัวหนีเมื่อเธอพยายามแนบชิด ส่งโทรศัพท์ให้คล้ายกับว่ากำลังขอช่องทางติดต่อ

"เฮ้ย พี่ทาวน์หันมาว่ะ"
ในจังหวะนั้นพี่ทาวน์หันมาทางทีพอดีเราเลยมีเวลาสบตากัน เขาเบือนหน้าหนีก่อนจะรับโทรศัพท์จากเธอ กดอะไรบ้างอย่างลงไป พูดคุยอีกเล็กน้อย แล้วแยกจากกัน ผมควรรู้สึกยังไงวะ

"เออ กลับโต๊ะได้ยัง เมื่อยแล้วเนี่ย"
ไอ้ไธรีบถามเมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินออกไปแล้ว

"เออๆ"

ผมกลับมาถึงโต๊ะด้วยหัวสมองว่างเปล่า ภาพเมื่อครู่ที่เห็นมันบอกได้ว่าพี่ทาวน์ให้บางอย่างกับเธอไปจริงๆ ความรู้สึกตอนนี้สับสนไปหมด ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น ต้องมีเหตุผลที่ดีสิ

"ทาวน์..."

"ไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น"

"คือ... กลัวจะหึงจนทำตัวงี่เง่าน่ะครับ"
ผมตอบเสียงแผ่วแล้วนั่งลงที่เดิมโดยไม่มองหน้าพี่ทาวน์ ทุกอย่างดูอึดอัดและวางตัวไม่ถูก อยากถามให้แน่ใจว่าเมื่อครู่เขาคุยอะไรกับเธอบ้างแต่ไม่กล้าจริงๆ

"เธอขอไลน์"
เหมือนเขาจะรู้ความคิดของผมเลยเป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฟังก่อน ดวงตารีที่มองมานั้นไม่บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกยังไง

"ให้ไปหรือเปล่า"

"อืม"
ผมเผลอบีบแก้วในมือแน่นเมื่อได้รับคำตอบกลับมาแบบนั้น พี่ทาวน์ยังคงจ้องมองกันอยู่เหมือนเดิม ไอ้ไธที่นั่งฝั่งตรงข้ามถึงกับทำตัวไม่ถูกเลยต้องแกล้งสำรวจนั่นนี่ของจิณณ์ไปเรื่อย บรรยากาศอึมครึมจนน่ากลัว

"ทำไม..."
เสียงแผ่วหลุดรอดจากริมฝีปากหยัก ผมยกแก้วเหล้ากระดกรวดเดียวจนหมด เขากำลังแกล้งโกหกกันอยู่หรือเปล่า มันไม่สนุกเลยนะ

"ไลน์มึง"

"ห๊ะ"
แก้วในมือแทบร่วงลงกับพื้น ดีหน่อยที่ผมคว้าไว้ได้ทัน ทำไมทำแบบนั้นวะ... เล่นอะไรของเขาเนี่ย

"กูบอกให้เขาไปขออนุญาตมึง ถ้าจะคุยกับกู"
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะตบแก้มผมเป็นเชิงหยอกล้อ อยากตะโกนให้ลั่นร้านว่าแฟนโคตรขี้แกล้ง ผู้หญิงคนนั้นคงน้ำตาแตกไปแล้วมั้งถ้าเห็นเจ้าของไลน์... ควรสงสารเธอดีหรือเปล่า

"แสบนะเนี่ย"
ผมหัวเราะขึ้นบ้างก่อนจะเอื้อมมือไปดึงแก้มใสด้วยความมันเขี้ยว ปล่อยให้จิตตกอยู่ตั้งนานนะคนเรา!

"หึ ไม่หึงแล้วนะเด็กดี"
โธ่ พูดแบบนี้ใครจะกล้าหึงต่อล่ะครับคุณแฟน ยอมเป็นลูกไก่ในกำมือเลยจ้า



-------------------------------------

เรื่องดราม่าผ่านไปแล้วเนอะ หลังจากนี้คงหวานจนเลี่ยนเลยมั้งเนี่ย 55555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 37 - P.6 (31/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 31-01-2018 22:12:38
หวานมากเลย ไม่คิดว่าพี่ทาวน์จะน่ารักขนาดนี้นะเนี้ยตอนแรกเห็นโหดๆ ผ่านด่านคุณพ่อไปได้ดีใจ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 37 - P.6 (31/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 01-02-2018 14:52:27
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 37 - P.6 (31/01/61)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 03-02-2018 06:06:12
เจ็ทสมหวังสักที ไม่นกแล้วนะ
แถมอาจจะฟินล้ำหน้าชาวบ้านก็ได้

ทาวน์คือดี เป็นแฟนแล้วละมุน
ปากไม่แข็ง แต่เขิน เลยทำโหด

ไม่มีใครฟินเท่าเอยแล้วมั้ง หวงยังกับลูกน้อย
ตังค์มาวินมาก ตอนนี้การ์ตูนคือเรื่องรอง
เรื่องอ้อนและติดแฟนเป็นเรื่องหลัก

ไธน่ารักดี ห่วงเพื่อนไม่ต่างกับห่วงจิณณ์
ดูแลเจ็ทดีไปอีก กับจิณณ์เลยทำให้มากกกว่า
จิณณ์เป็นคนตลก คือไม่อยากย้ายเท่าไหร่เลยเนาะ

ฟาร์มเอ้ยย ที่ผ่านมา คือภาพลวงตาหรอ
กว่าจะได้พี่ฟา ก็คงแห้งไปก่อนละ
ฟาก็ปูทางสุดๆ แทบจะตะครุบก็หลายรอบ

แฮมมีพิรุธนะ ทำมีความลับ
เค้าคนนั้นเป็นใครกัน มาบอกซะดีๆ

โจชัวร์น่ารัก หนูไม่หมูเนาะ
แค่กำลังโต เลยมีพุง

น่ารักดีค่ะเรื่องนี้ ผู้ชายเรื่องนี้อ่อนไหวดี แบบละมุนก็มีมาก
คือไม่ได้พระเอกจ๋า แบบหวั่นไหวไม่เป็น ชอบค่ะ
แถมเค้าก็ดูแลกันดี ทั้งฟีลเพื่อน และฟีลแฟน

ผ่านเรื่องพ่อไปได้ด้วยดี ขอบคุณที่ไม่ดราม่านานค่ะ
เจ็ททำทาวน์เปลี่ยนไป ติดความเป็นเจ็ทอย่างถาวร
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 38 - P.6 (05/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-02-2018 09:09:20
แข่งครั้งที่ 38




เรื่องร้ายๆ ผ่านไปได้ด้วยดี เรื่องรักก็รุ่ง แต่ติดอยู่อย่างเดียวคือเรื่องเรียนเพราะช่วงนี้ต้องปั่นงานส่งอาจารย์ก่อนสอบกลางภาค เวลานอนแทบไม่มี อย่าถามว่าได้คุยกับแฟนบ้างหรือเปล่า ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัว มุมใครมุมมัน เหมือนเช่นตอนนี้

ผมยึดโต๊ะหน้าทีวีเป็นฐานที่มั่นใช้ในการทำงานออกแบบร้านกาแฟ กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกขยำทิ้งบนพื้นจนเกลื่อนกลาดเพราะวาดมาไม่รู้กี่รอบก็ไม่ได้ดั่งใจ หัวสมองตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก หิวก็หิว มีอะไรวุ่นวายมากกว่านี้อีกไหมชีวิต

ดวงตาคมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานแล้วได้แต่อมยิ้ม สัปดาห์นี้พี่ทาวน์ยอมย้ายสำมโนครัวมาอยู่ด้วยกันชั่วคราวด้วยเหตุผลกากๆ ของคนติดแฟน ‘ก็มันคิดถึง’ ตอนแรกเกือบโดนปฏิเสธ แต่เพราะผมโดนสาวน้อยที่คณะจีบแถมยังชวนไปกินบิงซูต่อหน้าต่อตาเลยเปลี่ยนใจ ถึงเขาจะไม่พูดตรงๆ แต่ก็แสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกยังไง หึงน่ารักชะมัด

ความคิดทุกอย่างจบลงเมื่อผมเลื่อนสายตากลับมาเจอกระดาษว่างเปล่าแผ่นใหม่ตรงหน้า ความสุขกลืนหายไปพร้อมกับสติที่แตกจนเผลอร้องโวยวายเสียงดัง ผลที่ได้คือก้อนกลมๆ ถูกขว้างเข้าเต็มหัวโดยฝีมือคนร่วมห้อง

“ทาวน์ขว้างกระดาษใส่ผมทำไมเนี่ย”
ผมลูบหัวป้อยๆ แล้วมองพี่ทาวน์ด้วยใบหน้าสงสัย เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับแต่ลุกขึ้นแล้วก้าวมาทางนี้ จะโดยเขกกะโหลกที่ทำเสียงดังปะวะเนี่ย รบกวนการอ่านหนังสือไปแบบนั้น

“แหกปากทำไม”
จบคำถามเขาก็ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้านหลังของผม ใบหน้าหล่อโน้มต่ำลงมาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ตรงกลางศีรษะ ถ้าหากเงยขึ้นไปจะเกิดอะไรขึ้นนะ แม่ง... ขโมยจูบสักทีดีไหม อ่อยถึงที่ขนาดนี้

“คิดงานไม่ออกครับ”
บอกเขาเสียงอ้อนก่อนจะถือวิสาสะวางหัวซบลงบนตักนิ่ม ช้อนตามองใบหน้าเรียบเฉยของคนด้านบนอย่างขอกำลังใจ แต่ได้รับกลับมาแค่การครางรับเบาๆ ในลำคอ

“พยายาม เดี๋ยวก็คิดออก กูจะไปอ่านหนังสือต่อแล้ว”
พี่ทาวน์ตบแก้มกันเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณให้เลิกเกาะแกะสักที แต่ผมที่ยังอยากงอแงใส่เลยดื้อไม่ยอมขยับไปไหนแถมยังซุกจมูกถูกับต้นขาขาวที่โผล่พ้นกางเกงออกมา หอมกลิ่นสบู่ฉิบหาย... อยากดมทั้งตัวเลยเว้ย

“ทาวน์ยังไม่ให้กำลังใจผมเลยนะ”
แอบจุ๊บต้นขานุ่มไปหนึ่งครั้งก่อนจะโดนแจกมะเหงกลงกลางหัวเต็มๆ พี่ทาวน์สะบัดตัวแล้วลุกหนี มองผมด้วยสายตาดุ นั่นเขินหรือโกรธแยกไม่ออกเลย

“เรื่องเยอะ”
เขาพึมพำด่าเสร็จก็เดินกลับไปที่โต๊ะแล้วเปิดหนังสืออ่านต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ทาวน์เวอร์ชั่นใส่แว่นตาโคตรน่าหลงใหล ผมเคยแอบถ่ายรูปเอาไว้เยอะแยะแต่เจ้าตัวไม่รู้ วันไหนไม่ได้อยู่ด้วยกันเวลาคิดถึงก็เอามานอนดู จูบหน้าจอโทรศัพท์บ้าง บางครั้งมีอารมณ์ก็แทบเลีย (ขอร้องอย่าด่าแรง น้องเจ็ทเป็นคนบอบบาง)

ผมเท้าคางมองพี่ทาวน์อยู่นับสิบนาทีเพราะยังคิดงานไม่ออก พอรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนสายตาดุจ้องมาทำให้ต้องรีบกุลีกุจอหาดินสอจับมันขีดๆ เขียนๆ จากตอนแรกที่โดนก้อนกระดาษปาหัว ต่อไปอาจจะเป็นกระป๋องน้ำอัดลมบนโต๊ะของพี่ทาวน์ก็ได้

ในตอนที่กำลังจะขยำกระดาษทิ้งอีกครั้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ดวงตาคมเหลือบเห็นสลิปเปอร์ลายหมีคุมะที่จิณณ์ซื้อให้หยุดอยู่ไม่ไกล ผมหดคอโดยอัตโนมัติเพราะคิดว่าพี่ทาวน์คงรำคาญ ก็นายภาคินเล่นเดี๋ยวฟึดฟัด เหลาดินสอ ลุกไปเข้าห้องน้ำ เดินวนรอบห้อง แอบสูบบุหรี่คลายเครียด ล้วนแต่ทำลายสมาธิคนอื่นทั้งนั้น

“เจ็ท”
เสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อทำให้ผมยิ่งหดคอจนคางแทบชิดหน้าอก มือทั้งสองข้างยกขึ้นบังหัวเพื่อลดการกระแทก แต่ผ่านไปเกือบหนึ่งนาทีกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจริงๆ แล้วพี่ทาวน์แค่จะมาบอกว่าหิว

“เงยหน้าขึ้นมาหน่อย”
แรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยอมเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะพบว่าพี่ทาวน์อยู่ใกล้กันมาแค่ไหน พูดง่ายๆ คือตาไม่สามารถโพกัสได้ มันเบลอไปหมด และคงได้กลิ่นบุหรี่ที่แอบไปสูบที่ระเบียง (นานๆ ครั้งคงไม่เป็นไร)

“ทาวน์มีอะ... อุบ”
คำถามทั้งหมดถูกหยุดด้วยริมฝีปากอุ่นที่ทาบทับลงมาก่อนที่ลิ้นชื้นจะแทรกผ่านรอยแยกเพื่อเกี่ยวตวัด ดูดดุน ไล่ต้อนหาความหวาน เราสองคนแลกเปลี่ยนน้ำลายอยู่ครู่ใหญ่เมื่อเริ่มหายใจติดขัดจึงผละออกจากกัน

“อยากได้นักไม่ใช่หรือไง”
พี่ทาวน์พูดเสียงหอบแล้วยกหลังมือเช็ดคราบน้ำใสๆ ตรงมุมปาก ใบหน้าหล่อแดงระเรื่อจนอยากจะดึงลงมาจูบอีกสักรอบ ถ้ากลายเป็นคนโลภมากก็อย่าโทษกันเลย มีแฟนซึนก็แบบนี้ ปากอย่างการกระทำอย่างแต่ฟินไปยันโลกหน้าจริงๆ คอนเฟิร์ม

“ทาวน์...”
ผมครางชื่อเขาได้แค่นั้นเพราะหัวใจเต้นโครมครามอย่างหนัก ไอ้อาการหลงแฟนมันผุดเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าดอกเห็ดในป่าเวลาฝนตกซะอีก ไม่ต้องคิดว่านายภาคินจะนอกใจเมื่อไหร่ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ตกบ่วงพี่ทาวน์แบบยอมถวายชีวิตเลย

“ให้เวลาทำงานอีกสองชั่วโมง เริ่มหิวแล้ว”
พี่ทาวน์พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินกลับไปอ่านหนังสือในมุมของเขาตามเดิมโดยที่ยังไม่เลิกหน้าแดง ผมหลับตาปี๋แล้วคลี่ยิ้มกว้าง กำลังใจทะลุปรอทเลยเว้ย อีกไม่นานคงได้แบบบ้านในฝันมาครอบครองแน่ๆ

“รับทราบครับ!”
ตอบรับเสียงดังฟังชัดก่อนเอื้อมหยิบกระดาษใบใหม่ขึ้นมาทำงาน แต่ต้องชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ลอยมาจากแฟน

“แปรงฟันด้วย เหม็นบุหรี่”
พี่ทาวน์ยักคิ้วกวนให้กันแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“อ่า...”
จะต้องรู้สึกยังไงดีวะเนี่ย เขาแค่เตือนเรื่องกลิ่นปากแต่ผมดันคิดถึงตอนจูบ ตายแน่ๆ ไอ้หมาเจ็ท มึงจะหมกมุ่นกับเรื่องพี่ทาวน์จนงานไม่เดินไม่ได้นะ!

เวลาล่วงเลยเข้าสู่บ่ายสามทำให้ผมต้องวางมือจากงานเพราะเสียงท้องร้อง ลืมไปสนิทว่าพี่ทาวน์ให้เวลาทำงานแค่สองชั่วโมง แต่เป็นเขาเองที่ไม่ทักท้วงอะไรยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างมีความอดทน นับถือจริงๆ เพราะแบบนี้ไงถึงได้ทั้งหลงและรักมาก

ผมลุกขึ้นยืนแล้วบิดตัวเพื่อไล่ความเมื่อยก่อนจะลากสังขารเปลี้ยๆ ไปหาว่าที่หมอ โน้มตัวลงกอดรอบคอแล้วฝังจมูกลงบนแก้มขาวอย่างแผ่วเบา พี่ทาวน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ปัดป้อง ถือว่ายังไม่ถึงขั้นรำคาญ

“ขอโทษนะครับ ที่ทำงานเกินเวลา”
ผมบอกเสียงอ่อย วางคางลงบนไหล่กว้างก่อนจะขโมยหอมแก้มเขา พี่ทาวน์ส่งเสียงจิ๊จ๊ะแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องตามสไตล์คนซึนแห่งปี

“อืม จะแต๊ะอั๋งอีกนานไหม หิวข้าว”
พี่ทาวน์หรี่ตามองก่อนจะปิดหนังสือเล่มหนาลง ผมคลี่ยิ้มกว้างแล้วกอดจูบลงข้างขมับหนักๆ

“โอ๋ ปะๆ เดี๋ยวป๋าพาไปกินข้าวนะคะ”
ผมบอกเสียงทะเล้น เกลี่ยแก้มขาวเล่นพลางอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของพี่ทาวน์บูดบึ้งอยากกับไปกินรังแตนที่ไหนมา

“แดกตีนกูก่อนไหม”
เสียงดุๆ มาพร้อมกับแรงฟาดที่แขนทำให้ผมต้องรีบผละออกอย่างรวดเร็ว ยืนซี๊ดปากอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง คนบ้าอะไรมือหนักได้โล่

“โหดอีกแล้วแฟน”
ผมลูบแขนตัวเองป้อยๆ เบะปากใส่อย่างกับเด็กน้อยแถมด้วย

“มึงกวนตีนก่อนเอง”
พี่ทาวน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วแยกเขี้ยวใส่ แต่ผมกลับมองว่ามันน่ารักมากกว่าน่ากลัวเลยอดไม่ได้ที่จะแกล้งเขาต่ออีกนิดหน่อย

“กวนใจต่างหาก”
พร้อมกับส่งมินิฮาร์ทไปให้ก่อนที่หมอนอิงใบเขื่องจะลอยผ่าอากาศมาดังเฟี้ยว ยืนยันว่ามันโคตรแรง โอย ดีนะที่หลบทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ลงไปนอนแผ่บนพื้นอย่างแน่นอน

“เจ็ท...”
เสียงแข็งแล้วเว้ย ผมควรเลิกกวนตีนกวนใจแฟนสักที ถ้ามากกว่านี้อาจจะตายได้

“ครับๆ ไม่แกล้งแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ”

“เออ”

มื้อเที่ยงควบเย็นของเราจบลงที่ปิ้งย่างมังกรเขียวอ้วนตุ๊ต๊ะเนื่องจากหิวจนไส้แทบขาด ต่อด้วยไอศกรีมสเวนเซ่นชุดเอิร์ธเควก เดินย่อยอาหารด้วยการซื้อของเข้าบ้านเพราะตู้เย็นโล่งจนพี่ทาวน์บอกว่าเสียบปลั๊กไว้ก็เปลืองไฟเปล่าๆ พรุ่งนี้ก็เลยกะว่าจะทำอาหารกินตั้งแต่เช้ายันค่ำ เอาให้เบื่อฝีมือผมกันไปเลย

ผมทำตัวเป็นแฟนที่ดีด้วยการขันอาสาเข็นรถแล้วให้พี่ทาวน์เป็นคนเลือกว่าอยากกินเมนูอะไร แต่สุดท้ายก็ต้องสลับตำแหน่งกันเพื่อความสะดวกในการหยิบจับของที่ต้องการ เขาบอกว่าจะให้คนที่ไม่เคยทำอาหารเลือกวัตถุดิบคงเป็นไปไม่ได้ ก็จริง เมื่อก่อนจิณณ์ก็จะเป็นคนจัดการเองทุกอย่างเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้มันย้ายไปอยู่กับผัว แค่กๆ แฟนแล้ว ก็เลยห่างจากหน้าที่นี้ไป

“อยากกินอะไรครับ”
ผมถามเมื่อเราหยุดตรงที่แผนกของสด ไม่ว่าจะเป็นผักหรือเนื้อ อาหารทะเล รวมไปถึงผลไม้ พี่ทาวน์ไม่ตอบกลับในทันทีแต่เอื้อมมือหยิบลูกพีชขึ้นมาดูแล้ววางลง ทำแบบนี้อยู่สองสามรอบก่อนส่ายหัวดิกเป็นเชิงปฏิเสธ

“กูคิดไม่ออก อยากทำอะไรก็ทำ”
พี่ทาวน์ไหวไหล่อย่างคนไม่เรื่องมาก แล้วเดินหนีไปทางตู่แช่เย็นที่มีบรรดาโยเกิร์ตและนมหลากหลายรสชาติอยู่ในนั้น ผมยิ้มให้กับแผ่นหลังกว้างพลางคิดถึงเรื่องอกุศล อยากทำอะไรก็ทำเหรอ หึหึ เข้าทางล่ะ

“งั้นกลับคอนโดครับ”
ทำเสียงตัวปกติ ใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งจะได้ดูโปรฯ พี่ทาวน์คงจับไม่ได้ว่าลึกๆ มีบางอย่างแอบแฝงอยู่

“ไหนว่าจะซื้อของ”
พี่ทาวน์เอียงคอมองด้วยความสงสัย คิ้วสวยขมวดจนเกือบเป็นปม มือที่ถือถังโยเกิร์ตไซส์ยักษ์หยุดชะงัก ผมคลี่ยิ้มหวานตอบแล้วโน้มตัวลงเพื่อกระซิบข้างใบหู

“ก็อยากกินทาวน์”
ผมแกล้งพ่นลมหายใจใส่เบาๆ ก่อนผละออกมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่โดยไม่สนว่าจะโดนคนอื่นมอง เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง มีแฟนคลับคู่เจ็ททาวน์คอยสนับสนุนเป็นอย่างดี ส่วนคนที่เกลียดพวกเราก็ช่างเจสอย่าเอามาคิดให้บั่นทอนจิตใจ

“เดี๋ยวกูเอาถังโยเกิร์ตปาหัวแม่ง”
พี่ทาวน์กัดฟันกรอดแล้วยกถังโยเกิร์ตขึ้นอย่างที่พูด ไอ้คนกากอย่างผมเลยสละรถเข็นแล้วถอยหลังหนีไปไกลหลายก้าว ส่งยิ้มแห้งให้แล้วก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ จะไม่เล่นแบบนี้แล้วค่ะแฟน ~

“ล้อเล่นจ้า งั้นมื้อเช้าเอาเป็นหมี่ซั่วน้ำหมูสับแล้วกันเนอะ”
ผมพาเขาเปลี่ยนเรื่องเผื่อจะช่วยให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิดในครั้งนี้ พี่ทาวน์ส่ายหัวอย่างปลงๆ ก่อนพยักหน้ารับโดยไม่ทักท้วงอะไร

“ติดใจมาจากภูเก็ตว่างั้น”
ที่เขาถามแบบนั้นก็เพราะ ‘หมี่ซั่ว’ คืออาหารพื้นเมืองของจังหวัดภูเก็ต น้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ก๊วนเรามีพี่แฮมนักแดก แค่กๆ ซะอย่าง ไม่มีพลาดแน่นอน รสชาติคล้ายๆ แกงจืดบ้านเรานั่นล่ะ แต่ผมว่ามันอร่อยกว่านะ

“ก็มันอร่อย”
ฉีกยิ้มแป้นเหมือนเด็กห้าขวบที่เจอของกินถูกใจ

“สู้กูไม่ได้หรอก”
หือ ผมได้ยินพี่ทาวน์พึมพำอะไรสักอย่าง แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่หรือเปล่า หูหาหื่นตลอดเลยกู

“ห๊ะ ทาวน์ว่าอะไรนะครับ”


“อยากกินข้าวต้มแห้ง”
พี่ทาวน์บอกเสียงดังฟังชัดก่อนจะหมุนตัวแล้ววางถังโยเกิร์ตลงในรถเข็น ออกเดินลิ่วๆ กลับไปยังทางอาหารสดโดยไม่สนว่าผมตามไปหรือเปล่า แค่บอกว่าอยากกินข้าวต้มแห้งทำไมต้องหูแดงด้วยวะคนเรา แปลกจริงๆ

“อ้อ ได้ๆ งั้นไว้เป็นมื้อเย็นเนอะ แล้วมื้อเที่ยงกินอะไรกันดี”
ผมรีบเข็นรถเร็วๆ เพื่อตามพี่ทาวน์ให้ทันแล้วพูดเสียงเจื้อยแจ้วเรื่องเมนูอาหารต่อ เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะช่วยคืดสิ่งที่อยากกิน

“กะเพราหมูสับกับไข่เจียว”
เมนูอาหารจากปากแฟนทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆ เพิ่งกินไปเมื่อวานเอง พรุ่งนี้ก็จะกินอีกเหรอ แต่ไม่เป็นไร ตามใจพี่ทาวน์อยู่แล้ว

“โอเคครับผม!”

พวกเรากลับมานั่งเข้ามุมอย่างเคยหลังจากอาบน้ำกันเรียบร้อย เสียงเปิดหนังสือกับเสียงดินสอขีดเขียนช่างคล้องจองกันจนต้องเผลอยิ้มออกมา ถึงจะไม่ได้พูดคุยแต่อุ่นใจเมื่อรู้ว่ามีใครบางคนอยู่ใกล้ๆ

แบบบ้านหลังน้อยของผมดำเนินไปได้เกือบห้าสิบเปอร์เซ็นโดยไม่ขยำกระดาษทิ้งอีกเลย ส่วนพี่ทาวน์อ่านชีททบทวนเป็นรอบที่สอง ตอนที่กำลังจะหันไปถามเขาว่าจะเอานมอุ่นสักแก้วไหมเพราะตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้วคงหิวเอาเรื่อง แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเรียกเข้าของโทรศัพท์

Rrrrr

ชื่อหน้าจอที่แสดงทำให้ผมขมวดคิ้วยุ่ง ดึกปานนี้แล้วพี่ฟามีธุระอะไร หรือมีปัญหาเรื่องไอ้ฟาร์มไม่ยอมกลับบ้าน (สองคนนั้นลงเอยกันเรียบร้อย ขึ้นเตียงก่อนเป็นแฟนซะอีก ไม่ใช่ไอ้ฟาร์มเป็นคนรุกนะ พี่ฟาโน่น อ่อยแถมยังเริ่มก่อน แจ่มไหมล่ะ)

“ครับพี่ฟา”
ผมกรอกเสียงตามปกติลงไปแล้ววางดินสอในมืออีกข้างลงถือเป็นการพักไปในตัว เหลือบมองพี่ทาวน์เล็กน้อยก็พบว่ารายนั้นยังอยู่ท่าเดิม ขยันสมเป็นว่าที่หมอจริงๆ

‘เปิดประตูหน่อย’

“ห๊ะ อะไรนะครับ”
ผมมัวแต่ภูมิใจในตัวแฟนเลยไม่ทันได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูด อะไรเปิดๆ วะ งง

‘กูอยู่หน้าห้องมึง เปิดประตูที’
คราวนี้พี่ฟาแน่นชัดทุกคำจนผมเกือบจะขว้างโทรศัพท์ทิ้ง เสียงดังทะลุออกมาด้านนอกจนพี่ทาวน์ถึงกับหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“เฮ้ย พี่มาทำอะไรเนี่ย”
ผมไม่ได้ตอบพี่ทาวน์แต่ส่งยิ้มให้แทนแล้วถามพี่ฟากลับ มีเหตุจำเป็นอะไรถึงต้องบุกห้องคนอื่นยามวิกาลแบบนี้ด้วยวะ ไม่คิดว่าจะเข้านอนแล้วหรือไง

‘ติวดิ ไอ้แฮมก็มาด้วยกัน’
ได้ยินเสียงทักทายจากพี่แฮมแว่วเข้ามาเป็นการยืนยัน ทุกอย่างพังหมด อุตส่าห์แพลนจะออกกำลังกายยามดึกกับพี่ทาวน์สักหน่อย ทำไมต้องมีมารผจญด้วยวะ ยอมไม่ได้!

“เดี๋ยวๆ นี่มันจะห้าทุ่มแล้วนะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ปะ”
ห้าทุ่มนะพี่ ควรกลับไปป้อนนมไอ้ฟาร์มแล้วตบตูดกล่อมมันหลับมากกว่า อย่ามาขัดความสุขน้องเลย ขอร้อง!

‘โต้รุ่งครับคืนนี้ รีบๆ มาเปิดเลย!’
อยากจะกรี๊ดให้ผนังห้องร้าวเพราะปลายสายทำเสียงขมขู่

“พี่จะมาขัดเวลาเข้าหอไม่ได้นะเว้ย”
ผมลดเสียงลงเพราะกลัวพี่ทาวน์จะได้ยินก่อนใช้มืออีกข้างนวดขมับเพื่อบรรเทาความเครียด โอย งานก็ยังไม่เสร็จ อารมณ์ก็ยังไม่ได้ปลดปล่อย มีอะไรเลวร้ายมากกว่านี้อีกไหมชีวิต

‘เรื่องมึงสิ เด้าหมอนไปเถอะ ถ้ายังไม่ยอมเปิดประตูกูจะฟ้องไอ้ทาวน์ว่ามึงจะปล้ำมันคืนนี้’
โอ้โห ผมนี่ลุกขึ้นยืนอย่างไว สลิปปงสลิปเปอร์ไม่ต้องใส่แม่งแล้ว

“โอย ขอเถอะ ผมเปิดให้ก็ได้”
ผมกดตัดสายแล้วสาวเท้าฉับๆ ตรงไปยังประตูห้อง แต่โดนเสียงทุ้มรั้งเอาไว้ซะก่อน

“คุยกับใคร”

“พี่ฟาครับ”
ผมตอบไปตามความจริง โกหกไปก็เท่านั้น

“หืม โทรมาทำไม”

“บอกว่าอยู่หน้าห้อง จะมาติว ให้ผมไปเปิดประตู”

“อ๋อ ไปเปิดสิ”
สีหน้าพี่ทาวน์ไม่ทุกข์ร้อน ทั้งที่วิเคราะห์จากบทสนทนาเมื่อครู่เขาคงไม่ได้นัดเพื่อนให้มาที่นี่ แต่ก็ยังเต็มใจเปิดครอสติวให้ ช่างมีน้ำใจปานนางสาวไทย ผมขอร้องไห้ได้ไหมล่ะ

“ทาวน์... ไล่เพื่อนกลับไปไม่ได้เหรอครับ อยากอยู่ด้วยกันแค่สองคนอะ”
ผมเริ่มออกอาการงอแงแล้วตรงเข้าไปกอดรอบคออีกคนจากทางด้านหลัง ใช้จมูกดุนดันตรงซอกคอเป็นการอ้อน เผื่อว่าพี่ทาวน์จะเห็นใจแล้วบอกเพื่อนให้มาใหม่ในวันรุ่งขึ้น แต่เปล่าเลย คำตอบมันช่างบาดใจ

“ใกล้สอบแล้วมึงต้องเข้าใจ”

“ผมเข้าใจนะ แต่นี่มันดึกแล้ว จะติวก็ค่อยมาพรุ่งนี้สิ”
นายภาคินไม่ยอมแพ้ เรื่องเวลาก็เป็นส่วนสำคัญในการติว ดึกๆ ต้องพักผ่อนไม่ใช่หรือไง

“ถ้างั้นกูย้ายกลับคอนโดตัวเอง จะได้ไม่รบกวนมึง”
ประโยคถัดมาทำให้ผมตัวชาตั้งแต่หัวจรดเท้า มือที่เคยกอดรอบคอถูกคลายออกช้าๆ ดวงตาคมสั่นระริก พยายามอ้อนขอให้มานอนด้วยกันแทบตาย แต่เขาจะกลับเพราะมีเรื่องเพื่อนเข้ามาน่ะนะ ควรรู้สึกยังไง

“.....”

“เจ็ท...”
พี่ทาวน์ครางเรียกชื่อกันเสียงเบา มือเรียวเอื้อมมาหาแต่ผมกลับเบี่ยงตัวหลับก่อนจะตอบกลับไป

“เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้”

ผมย้ายตัวเองเข้าห้องนอน ทำใจไว้แล้วว่าคืนนี้คงไม่มีคนให้กอด ความน้อยใจถาโถมจนเผลอแสดงอาการเย็นชาใส่พี่ทาวน์ไป ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเกลียดกันหรือยัง ส่วนงานก็ไม่ขยับ หัวสมองว่างเปล่า ทำได้แค่นั่งมองท้องฟ้ายามราตรีผ่านบานกระจก ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้

ผมมันแย่ ผมรู้ตัว แต่ทำไมถึงแก้นิสัยแบบนี้ไม่ได้กันนะ

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมเผลอหลับไปทั้งที่ยังนั่งอยู่ตรงปลายเตียง ดีแค่ไหนที่ไม่ล้มกลิ้งบนพื้น นอนแผ่มองเพดานอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคน

เมนูแรกของวันคือหมี่ซั่วที่ผมต้องเปิดสูตรหาจากอินเตอร์เน็ต นานๆ ครั้งเข้าครัวก็มีงงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ได้อาหารเช้ากลิ่นหอมหน้าตาน่ากินมาจนได้ รสชาติก็อยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าดี ขั้นตอนต่อไปคงต้องปลุกคนอื่นๆ ทั้งที่ในใจอยากกลับเข้าห้องมากเพราะยังรู้สึกแย่กับคำพูดของพี่ทาวน์

เสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังทำให้ผมรู้สึกเกร็ง พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร เช้าขนาดนี้ก็มีแค่พี่ทาวน์ที่ตื่นไหว เนื่องจากคนอื่นมีเวลานอนเท่าไหร่ก็จัดไปเต็มที่ทุกที

“ผมเตรียมมื้อเช้าไว้ให้ทุกคนแล้วนะ”
ผมบอกโดนที่ไม่หันไปมองแล้วปิดเตาก่อนจะผละตัวออกมาจากหม้อหมี่ซั่ว เปิดตู้เย็นเพื่อหยิบนมจืดขวดใหญ่ เช้านี้คงทรยศความอยากกินของตัวเองด้วยการดื่มนม

“อืม แล้วมึงจะไปไหน”
พี่ทาวน์ถามในขณะที่ผมกำลังจะก้าวเท้าหนีไปจากตรงนี้

“ทำงานต่อครับ”

“เดี๋ยวก่อน”
เขารั้งข้อมือกันเอาไว้ พวกเราสบตากันโดยไม่มีใครยอมใคน ผมเห็นความไม่มั่นใจของพี่ทาวน์ คงคิดไม่ตกกับเรื่องเมื่อคืน

“ครับ”

“โกรธเหรอ”
น้ำเสียงอ่อนลงจนผมเผลอเม้มปากแน่น ความรู้สึกข้างในกำลังตีรวนผสมปนเปไปหมด ต้องทำยังไงดี

“เปล่าครับ ขอตัวนะ”
ผมทำได้แค่ยิ้มบางก่อนจะแกะมือของพี่ทาวน์ออกช้าๆ โดนหนีบขวดนมไว้กับแขน

“เจ็ท... ตั้งใจทำงานนะ”
เขาเว้นวรรคประโยคเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็กลายเป็นคำให้กำลังใจธรรมดาๆ ที่ผมเคยชอบ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกแย่

“ครับ”

ผมเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว รู้ตัวว่างี่เง่าแต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ ความรู้สึกแม่งโคตรเหี้ยจริงๆ เข้าใจว่าใกล้ช่วงสอบ เรื่องติวก็สำคัญ แต่ผมดันอยากได้เวลาจากพี่ทาวน์ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันทั้งวัน ชีวิตมนุษย์ไม่รู้จักคำว่าพอจริงๆ นั่นล่ะ เฮ้อ

ควรเตรียมคำพูดขอโทษกับการกระทำโคตรงี่เง่าของตัวเองไว้ เจอหน้ากันอีกครั้งจะได้เข้าใจกันสักที

เวลาผ่านไปนานเท่าที่จะรู้สึกหิวอีกครั้ง ผมวางมือลงเมื่องานถึงแปดสิบเปอร์เซ็น บิดขี้เกียจเพื่อไล่ความเมื่อยขบสะสมจากการนั่ง ดวงตาคมเสมองไปที่ประตูแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดถึงคนที่อยู่ด้านนอก ป่านนี้จะเป็นยังไงกันบ้างนะ

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อสร้างความกล้า แต่ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้ง ไม่มีใครนอกจากพี่ทาวน์หรอก

ก๊อกๆ

“ครับ”
ผมเปิดประตูออกไปก็เจอพี่ทาวน์ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นของผม ตอนนี้ความน้อยใจทั้งหมดแทบหายจนหมด ทำไมต้องทำตัวแบบนี้นะคนเรา ง้อโดยไม่มีคำพูดอะไร บ้าเอ๊ย หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน

“จะบ่ายโมงแล้ว”
เขาเกริ่นแค่นั้นทำให้ผมคิดไปเองว่าโดนทวงอาหารมื้อเที่ยง จากที่ดีใจกลายเป็นห่อเหี่ยวเข้าโหมดทะมึนอีกครั้ง ทั้งที่จะขอโทษแต่ปากกลับพูดไม่ออก

“อ๋อ ขอโทษทีครับ เดี๋ยวจะรีบเตรียมมื้อเที่ยงให้เนอะ”
ผมคลี่ยิ้มก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อออกไปด้านนอก แต่พี่ทาวน์กลับจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แน่น มองกันด้วยสายตาที่เอ่อล้นด้วยความรู้สึก

“ไม่ต้อง จะมาถามว่าหิวหรือยัง”

“ทำงานเพลินจนลืมหิวไปแล้วครับ”
ผมโกหกคำโตเพราะอยากรู้ว่าเขาเป็นห่วงกันบ้างหรือเปล่า

“กู... ทอดไข่ดาวไว้ให้ หวังว่าคงกินได้”
เสียงพูดอ้อมแอ้มกับสัมผัสที่คลายออกทำให้ผมเบิกตากว้างเพราะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเข้าครัวกลับลงมือทอดไข่ดาวไว้ให้ผมกิน บ้าไปแล้ว... นี่กูกำลังทำตัวโคตรเหี้ยใส่แฟนอยู่ใช่ไหมวะ

“ทาวน์...”

“กูขอโทษที่พูดว่าจะกลับคอนโดเมื่อคืนนี้”
พี่ทาวน์เป็นฝ่ายขอโทษก่อนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมรีบส่ายหัวรัวๆ เพื่อปฏิเสธมัน เขาไม่ผิดสักหน่อย ทำไมเรื่องเป็นแบบนี่ไปได้

“ผมต่างหากที่งี่เง่า ขอโทษนะครับ”
ดึงอีกคนเข้ามากอดแล้วลูบหัวลูบหลังเพื่อปลอบ ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะรู้สึกขนาดนี้ ตาแดงก่ำราวกับอยากร้องไห้เต็มแก่

“อืม อย่าคิดมาก กูแค่ไม่อยากกวนมึง แต่ลืมคิดไปว่ามึงก็อยากอยู่ด้วยกัน”
พี่ทาวน์ตบหัวผมปุๆ คล้ายกับการปลอบเด็กน้อย มันทำให้หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวในตอนแรกกลับมาพองฟูอีกครั้ง เขาก็แค่หลงลืมบางอย่าง แต่ไม่ได้ละเลย

“ไม่เป็นไรครับทาวน์ ผมแย่เอง จะพยายามปรับปรุงตัวนะ”
กระชับกอดคนในอ้อมแขนมากขึ้น พี่ทาวน์ก็ทำไม่ต่างกัน

“อืม กูก็จะพยายามใส่ใจมึงมากกว่านี้”
โธ่... คนดีของผม

“ครับ นี่ติวกันไปถึงไหนแล้ว”
ผมผละออกแล้วชวนเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะรู้ว่าถ้ายังย่ำอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนอาจจะเถียงกันจนทะเลาะใหญ่โตก็เป็นได้

“หึ ไอ้ฟากับไอ้แฮมกลับไปแล้ว”
พี่ทาวน์ก็เหมือนจะเข้าใจในการกระทำของผมเลยหัวเราะเสียงต่ำแล้วไหวไหล่ให้กับความว่างเปล่าทางด้านหลัง ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเราสองคนอีกแล้ว ทำไม...

“อ้าว...”
ผมเกาหัวแกรกๆ ขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือทุกคนเอือมกับคนกากๆ จนหนีหายกันไปหมด

“มันบอกให้กูมาง้อ ‘สามี’ ซะ เห็นทำหน้าเหมือนหมาหงอยแล้วทนไม่ได้”
ห๊ะ เดี๋ยวนะ ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย

“ทาวน์เรียกผมว่าอะไรนะ”
ต้องถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าไอ้คนที่ขอสงวนคำว่าเมียเนี่ยกล้าเรียกผมว่าสามีจริงๆ เหรอวะ หูฝาดไปแน่ๆ แม่ง สงสัยต้องหาสำลีปั่นสักหน่อย

“ไม่ใช่กู พวกนั้นต่างหาก”
อยากจะถามว่าถ้าพี่ไม่เอนเอียงตามเพื่อนจะกล้าพูดคำว่าสามีต่อหน้าผมเหรอ แต่ยั้งปากไว้ดีกว่าเพราะไม่อยากโดนกระทืบตายซะก่อน

“กำลังจะฟินอยู่แล้วเชียว”
แกล้งทำหน้ามุ่ยหวังว่าเขาจะเรียกสักครั้งให้ชื่นใจ แต่กลายเป็นว่าถูกหัวเราะเสียงต่ำใส่ โธ่ มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ สินะตัวกู

“หึ ออกมาทำงานข้างนอกเถอะ”
เหงาล่ะสิ ทำเป็นชวนคนอื่นเขา น่ารักจริงๆ เลยแฟน

“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปขนอุปกรณ์ออกมาเนอะ”
ผมหมุนตัวกลับเข้าห้องเพื่อโกยอุปกรณ์ทำงานแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อเสียงคนด้านหลังดังขึ้น

“อืม อย่าขี้งอนนักนะ ‘คุณสามี’ กูขี้เกียจง้อ”
มันแผ่วเบาแต่กลับได้ยินชัดเจนจนเผลอมือสั่น ร่างกายร้อนวูบไปทั้งตัวจนอยากแก้ผ้า ตายแน่ๆ ทาวน์แอทแทคขนาดนี้ต้องรู้สึกดีใจขนาดไหนวะ โอ๊ย แม่จ๋าพ่อจ๋าเตรียมสินสอดสิบล้านมาขอลูกสะใภ้ที ไม่ไหวแล้วเว้ย อยากบินไปจดทะเบียนที่ต่างประเทศด้วย จะเอา จะเอา คนนี้!

“โอย ผมจะบ้า”
พึมพำได้แค่นั้นก็หมุนตัวกลับมาขโมยหอมแก้มพี่ทาวน์หนักๆ ไปหลายครั้ง หัวใจจะวายแล้วเว้ย

“อะไร”
พี่ทาวน์ปัดป้องยกใหญ่เมื่อมือของผมเริ่มอยู่ไม่สุก เกือบโดนเสยปลายคางแล้วถ้าผละออกมาช้ากว่านี้ เสียบวาบเลยกู

“ทาวน์แม่ง ทำไมน่ารักแบบนี้”
ยอมรับว่ามันเขี้ยวจนต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองเพื่อไม่ตรงไปฟัดเขาในตอนนี้ ท่องไว้สิวะว่าตอนนี้เพิ่งเที่ยงวัน

“ชอบไม่ใช่เหรอ”
มือเรียวเอื้อมมาประคองแก้มทั้งสองข้างของผม เราสบตากัน สื่อความรู้สึกทุกอย่างผ่านทางนั้น

“ชอบสิครับ แต่ถ้ามันฝืนตัวเอง ทาวน์ก็ไม่ต้องทำนะ”
ผมวางมือทาบทับลงในตำแหน่งเดียวกันก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ถึงจะชอบพี่ทาวน์โหมดน่ารัก ปากตรงกับใจ แต่อะไรก็ไม่ดีไปกว่าการที่เขาเป็นตัวของตัวเอง นายภาคินรักนายเมืองเหนือที่ตรงนั้นล่ะ

“หึ กูทำตัวแบบนี้กับคนที่เป็นแฟนเท่านั้นล่ะ รู้เอาไว้ว่ามันเป็นความเต็มใจ ไม่ใช่การฝืนแสดงออกให้มึงมาหลงรัก เข้าใจไหม”
อยากตะโกนให้ก้องโลกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้คนอย่างพี่ทาวน์เป็นแฟน ขอบคุณที่วันนั้นเขาตกลงปลงใจคบกับผมไม่ใช่คนอื่น รัก รักที่สุด

“รักทาวน์มากขึ้นอีกแล้วครับ”
ก็ไม่รู้หรอกว่าการบอกรักสำครับคู่อื่นมันต้องน้อยหรือมากขนาดไหนที่จะเหมาะสมและพอดีจนไม่น่าเบื่อเกินไป แต่สำหรับผมกับพี่ทาวน์แล้วนั้น เวลาไหนอยากพูดก็พูด เพราะคำว่า ‘รัก’ ได้ยินทีไรก็รู้สึกดีทุกครั้ง

“หึ เหมือนกัน เด็กโง่ของพี่ทาวน์”
อ่า อย่าน่ารักเรี่ยราดแบบนี้ได้หรือเปล่า อยากจะปั้นตัวพี่เป็นก้อนกลมๆ แล้วยัดใส่ปากกลืนลงท้องจริงๆ ไม่อยากให้ใครพบเจอเลย

เขาเรียกผมว่าเด็กโง่ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นจะยอมเป็นหมาโกลเด้นโง่ๆ ให้เลี้ยงตลอดไปเลยแล้วกัน



---------------------------------------

เจ็ทก็ยังเป็นเจ็ท ทาวน์ก็ยังเป็นทาวน์
หวานไม่มาก แต่รักกันมากนะจ๊ะ.. 5555555

ตอนต่อไปจะเห็นความน่ารักของพี่ทาวน์เพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
น่ารักแบบซึนๆ น่ะนะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้น้า อีกสองตอนจะจบแล้ว
มารอเจ็ททาวน์ออกมาในรูปแบบหนังสือไปพร้อมๆ กันนะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 38 - P.6 (05/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 06-02-2018 10:13:10
งุ้ยยยยย งั้ยยยยยยยย :impress2:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 38 - P.6 (05/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 06-02-2018 15:14:25
 o18 o18 :-[ สามีภรรยา
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 39 - P.6 (09/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-02-2018 13:51:24
แข่งครั้งที่ 39




การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของคนที่แต่ละวันหมดเวลาไปกับการเรียนและตำราเล่มหนา วันนี้เขากลับตรงมาบอกว่าอยากทำอาหารเป็นให้ผมช่วยสอนหน่อย แค่เมนูง่ายๆ ก็ได้ แต่ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไมและเพราะอะไร ไม่ว่าจะไปถามใคร คำตอบคือ ‘ไม่รู้’ หรือ ‘มันคงเครียดเรื่องเรียนเลยหาทางระบาย’ เอาวะ เลยตามเลยก็แล้วกัน

ช่วงเช้าของวันนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอวลของความรัก ผมมองใบหน้ายามหลับของพี่ทาวน์ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกให้รู้ว่าเขายังคงอยู่ในนิทราหวานๆ ตื่นนอนแล้วเจอคนที่เรารักมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก รู้สึกผ่อนคลาย อบอุ่น และมีความสุข

เขาขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วซุกใบหน้าลงบนอกแกร่ง ดวงตารีปรือขึ้นมองกันก่อนจะปิดลงอีกครั้ง มีใครหลายคนบอกว่าตอนแฟนงัวเงียน่ารักโคตรๆ ซึ่งมันก็จริง แถมยังน่าฟัดอีกต่างหาก บ้าจริง ผมคิดว่าตอนเช้ากับการที่น้องชายเคารพธงชาติมันเป็นเรื่องปกติแต่ไอ้หื่นตลอดเวลาคงเป็นเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่สามารถรักษาได้ตราบใดที่ยังรักพี่ทาวน์อยู่

“มองทุกวันไม่เบื่อหรือไง”
เสียงแหบๆ ติดอู้อี้ดังขึ้นเพราะเขาฝังจมูกลงกลางอกของผม มือเรียวไร้ไปตามลายสักอย่างแผ่วเบา หลังจากเสร็จกิจเมื่อคืนยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยสักชิ้น ต้องข่มใจขนาดไหนวะ ถึงจะนิ่งเป็นพระอิฐพระปูนได้ โอย

“มองแฟนไม่มีเบื่อหรอกครับ”
ผมหยอดไปตามประสาคนที่อยากให้แฟนเขิน ทั้งที่รู้ว่าผลสุดท้ายพี่ทาวน์คงหน้านิ่งใส่เหมือนเดิมและเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ครั้งนี้เขากลับนิ่งก่อนจะช้อนตาเยิ้มๆ มองกันจนรู้สึกหวิวในช่องท้อง ยั่วไม่ยั่ว โปรดแถลงไข

“ปากหวาน”
นิ้วเรียวถูกไล้ไปตามกลีบปากหยักอย่างแผ่วเบา บางครั้งถ่ายน้ำหนักกดคลึงจนรู้สึกถึงอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นเรื่อยๆ ถ้าพี่ทาวน์ยังไม่หยุดแกล้งกันแบบนี้ ผมจะไม่ทนแล้วนะ ไม่สนด้วยว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้างด้วย

“อยากชิมเหรอ”
ผมถามจบแล้วอ้าปากงับนิ้วเรียว ดูดดุนเบาๆ เพื่อทำให้อีกคนมีอารมณ์ร่วม แต่ไม่ถึงสิบวินาทีพี่ทาวน์ก็กระตุกนิ้วออกไปพลางมองกันด้วยหางตา

“หึ เหม็นน้ำลายบูด”
เขาไม่พูดเปล่ายังเอามือชุ่มน้ำลายป้ายลงบนแก้มของผมเป็นการเช็ดทำความสะอาด แถมส่งท้ายด้วยการกระตุกยิ้มพร้อมยักคิ้วกวน ทุกอย่างเป็นอันจบเฮ ไม่ได้คร่อม ไม่ได้กิน

“โธ่ หมดกันความโรแมนติก”
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วนอนมองเพดานอย่างหมดหวัง ขณะที่จะปิดเปลือกตาลงเพื่อหลับอีกครั้งกลับมีเงาดำทาบทับลงมาพร้อมด้วยสัมผัสหนุ่มหยุ่นตรงริมฝีปากเพียงเสี้ยววินาที แต่เท่านั้นกลับทำให้หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ากลัว

จุ๊บ

เสียงนั่นยิ่งทำให้รู้ว่าคนที่เขินน่ะ มันตัวผมเองต่างหาก โธ่เว้ย แพ้ทางนายเมืองเหนือทุกครั้งจริงๆ

“จะออกไปวิ่งนะ”
น้ำเสียงร่าเริงจนน่าหมั่นไส้เอ่ยบอกพร้อมกับร่างสูงที่ดีดตัวขึ้นจากเตียง บิดตัวทางซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยขบ ผมคว้าหมับเข้าที่เอวสอบแล้วซุกหน้าลงบนซอกคอขาว กลิ่นตัวที่ไม่สามารถบรรยายได้แต่กลับดึงดูดนี่มันสุดยอดจริงๆ ทั้งหลง ทั้งรัก จนโง่หัวไม่ขึ้นแล้ว

“เดี๋ยวสิครับ ทำแบบนี้แล้วคิดจะหนีเหรอ”
ผมกระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มือหนาเริ่มอยู่ไม่สุข ลูบไล้หน้าท้องที่มีมัดกล้ามเนื้อสวย วนนิ้วรอบสะดือจนไล่ต่ำไปจนถึง... หมับ

“แบบไหน”
พี่ทาวน์คว้าข้อมือกันไว้แน่นก่อนที่มันจะจับโดนของสงวน น้ำเสียงช่างสั่นเครือบ่งบอกให้รู้ว่าเขาก็เริ่มมีอารมณ์แล้วเหมือนกัน แต่อย่างว่าแฟนผมใจแข็ง ถ้าไม่ก็คือไม่ ปล้ำก็ได้แต่โดนตีน

“ก็เมื่อกี้ไง จุ๊บๆ น่ะ”
ผมทำเสียงจุ๊บๆ เลียนแบบเหตุการณ์เมื่อครู่ กำลังจะกดปากลงบนซอกคอขาวเพื่อทบทวนความจำแต่กลับโดนมือเรียวผลักหัวจนคอแทบเคล็ด รุนแรงกว่านี้ได้อีกเยอะจ้าแฟน

“แล้วไง”
แข็งยิ่งกว่าเพชรก็พี่ทาวน์นี่ล่ะ

“ผม ‘อยาก’ น่ะสิครับ”
หน้าด้านกว่าปูนซีเมนต์ก็ไอ้เจ็ทนี่ล่ะ

“ไปเตะบอลสิ”
คำตอบช่างเรียบนิ่งเหมือนแนะนำให้ผมออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เอาจริงนะ เคยได้ยินมานานแล้วว่ามีเซ็กซ์ให้ไปเตะบอล คือมันช่วยได้จริงเหรอ งงในงง

“มันช่วยได้จริงเหรอวะพี่”
คำถามพาซื่อหลุดออกจากปากทำให้คนในอ้อมกอดถึงกับหลุดขำจนไหล่สั่น เขาพลิกตัวมาเผชิญหน้ากันก่อนที่มือเรียวจะตบลงบนแก้มอย่างหยอกล้อ

“หึ กูว่ามือน่ะช่วยมึงได้แน่ๆ บาย”
แล้วพี่ทาวน์ก็ดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วจนผมที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับคว้าได้แต่อากาศ ล้มหน้าคะมำไถไปกับเตียงนอน แม่ง เจ็บจมูกฉิบหาย!

“อย่าหนีสิครับ!”
แสบนักนะทาวน์ เดี๋ยวนี้แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ด้วย ถ้าจับได้เมื่อไหร่ ยับแน่!

หลังจากที่ปล่อยพี่ทาวน์ไปวิ่งส่วนผมก็เตรียมมื้อเช้าตามประสาพ่อบ้านที่ดี เมนูวันนี้เป็นอะไรที่กินง่ายอย่างโจ๊กไข่ขาวไก่ฉีกแคลอรี่ต่ำ ช่วงนี้ดูเหมือนว่าน้ำหนักของเราทั้งคู่จะเพิ่มขึ้น ไม่มีเวลาออกกำลังกายเท่าที่ควรเนื่องจากต้องอ่านหนังสืออย่างหนักเพราะใกล้สอบปลายภาคเรียนแล้ว

ผมตักโจ๊กไข่ขาวใส่ถ้วยก่อนจะโรยหน้าด้วยไก่ฉีก ไข่ลวก ต้นหอม ผักชี และพริกไทยดำป่น เตรียมพร้อมสำหรับมื้อเช้า แค่รอให้พี่ทาวน์อาบน้ำเสร็จเท่านั้น

ระหว่างที่นั่งรอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอัพเดทข่าวสารบ้านเมืองตอนนี้ แจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นแชทเด้งขึ้นมาเป็นอย่างแรก ผมจิ้มอ่านข้อความนั้นก่อนที่จะต้องส่ายหัวให้กับความบ้าบิ่นของฝาแฝด

Phokin
วันนี้จะรุกไอ้ไธ มึงเป็นกำลังใจให้กูหน่อย


จิณณ์บอกแบบนี้เป็นรอบที่ล้าน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นลุกขึ้นมารับให้ไอ้ไธทุกที ทั้งที่เพื่อนผมมันยอมทุกอย่างได้อยู่แล้ว

Phakin
รุกอะไรของมึง


แกล้งโง่พิมพ์ถามไปแบบนั้นก่อนจะกดเข้าไอจีบ้าง ช่วงหลังๆ มานี่แทบไม่ได้อัพรูปอะไรเลย ล่าสุดคงเป็นตอนที่คบกับพี่ทาวน์ใหม่ๆ

ครืด ~

เสียงโทรศัพท์สั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้าทำให้ผมละความสนใจจากไอจีแล้วกดสลับแอพกลับไปที่เก่า อ่านสิ่งที่พี่ชายส่งมาแล้วได้แต่หัวเราะก๊าก คราวนี้ผิดคาดกับคำตอบสุดๆ

Phokin
รุกอ่อย ให้ผู้ชายคร่อม พอใจยัง!


วันนี้ยอมรับสภาพตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิด้วยเว้ย

Phakin
ลืมกินยาเหรอ ปกติเห็นอยากเป็นผัวไอ้ไธจะตาย


ผมรู้ว่าปากมันก็พูดไปอย่างนั้นเพราะโดนเพื่อนล้อว่าหล่อซะเปล่าแต่ดันกลายเป็นเมียคนอื่น เดี๋ยวนี้คนจะรุกหรือรับมันไม่ได้มองกันที่หน้าตาแล้ว เขาวัดกันที่ลีลาบนเตียงน่า พวกหัวโบราณเอ๊ย

Phokin
ได้ที่ไหน! ตอนนี้หาเวลาว่างให้กูได้คุยกับมันเป็นเรื่องเป็นราวก่อนเถอะ จะผัวจะเมียก็เอาทั้งนั้น


อันนี้เขาเรียกคิดถึงหรืออดอยากวะ... ผมไปไม่เป็นเลย

Phakin
มัวแต่คุยกับกูอยู่ เสียเวลาไปตั้งเท่าไหร่แล้วจิณณ์ ผัวมึงจะปั่นงานอีกแล้วมั้ง

Phokin
ไอ้เจ๊ก ขอให้มึงอดกินพี่ทาวน์ตลอดชาติ!


มึงไม่แช่งกูก็นกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วเว้ย เจ็บ จุก อยากร้องแต่ทำได้แค่เสียใจเบาๆ ฮึก (ได้ข่าวว่าเมื่อคืนก็จัดหนักจัดเต็มไปตั้งสองรอบแล้วนี่)

ผมเลิกสนเรื่องจิณณ์หลังจากที่พี่ทาวน์เดินเข้ามาในครัวพร้อมกลิ่นน้ำหอมยี่ห้อดัง อยากเข้าไปซุกไซร้ให้หนำใจแต่ทำได้แค่ยิ้มรับแล้วแนะนำเมนูอาหารของวันนี้ก่อนจะลงมือกินอย่างเงียบๆ จนถ้วยเกลี้ยง แสดงว่าอร่อยจริงจัง ปลื้มใจ ~

เพราะวันนี้เจ้าของห้องคือพี่ทาวน์หน้าที่ล้างจานเลยตกเป็นของเขาโดยปริยาย ผมมองแผ่นหลังกว้างนั่นก่อนจะยกยิ้มให้กับจินตนาการในสมอง ถ้าหากวันหนึ่งเราทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ทุกวันก็คงดี

ตื่นมาก็เจอเขาเป็นคนแรก ก่อนนอนก็เจอเขาเป็นคนสุดท้าย สุขยิ่งกว่าสุขซะอีก ว่าไหม

“วันนี้อยากทำเมนูอะไรครับ”
ผมเอ่ยถามคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ กันบนโซฟา เขาเอียงคอมองเล็กน้อย ขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิด อยากทำอะไรกับอยากกินอะไรคือสิ่งที่ตอบยากที่สุดในชีวิตรองลงมาจากข้อสอบวัดผลแล้ว

“อืม... ไก่ทอดเกาหลี”
แอดวานซ์ไปอีก แต่ไม่มีอะไรที่นายภาคินคนนี้ทำไม่ได้

“โอเคครับ แต่เราต้องออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ตนะ ซื้อปีกบนกับปีกกลาง”
จริงๆ แล้วถ้าจะทำอาหารกันที่นี่คงต้องซื้อเครื่องปรุงและอุปกรณ์ทุกอย่าง เลยกะว่าออกไปห้างแล้วกลับคอนโดผมดีกว่า ซึ่งพี่ทาวน์คงเห็นด้วย

“ขี้เกียจ”
แต่คำตอบนั้นทำให้ผมแทบเสียการทรงตัว แบบนี้ไม่เท่ากับว่าต้องซื้อทุกอย่างยกเซ็ตเลยหรือไง

“แต่ถ้าทาวน์ไม่ออกไปกับผม เครื่องปรุงกับอุปกรณ์ทุกอย่างต้องซื้อใหม่ทั้งหมดนะ”
ผมบอกอย่างใจเย็นแล้วรอดูปฏิกิริยาตอบกลับ ซึ่งมันคือการที่พี่ทาวน์เอียงคอและขมวดคิ้วใส่กัน

“ถ้าไม่ซื้อจะทำยังไง”
เขาวางหนังสือในมือลง ตั้งใจรอฟังคำตอบจากปากผมอย่างเต็มที่ โธ่ ว่าที่คุณหมอ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไม่รู้หรือไงว่าโคตรน่ารัก (ความหลงพี่ทาวน์ไม่มีวันสิ้นสุดจริงๆ)

“ไปทำที่คอนโดผมไง”

“ไม่ทำแล้วได้ปะ”
อยากจะร้องโอ้โห แต่ทำได้แค่คลี่ยิ้มละมุนให้เขา ทำไมวันนี้แฟนขี้เกียจเดินทางจังวะ กิ๊กกับหนังสือจนผมแอบน้อยใจแล้วเนี่ย

“งั้นทาวน์รออยู่ที่นี่ ผมไปไม่เกินชั่วโมง เดี๋ยวกลับมารับครับ”
ผมเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้เขาไปแล้วเตรียมตัวออกจากห้องเพื่อไม่เป็นการเสียเวลามากกว่านี้ เพราะถ้าถึงช่วงเที่ยงวันรถจะติดมากกว่าปกติ

เขานิ่งไม่ตอบอะไรกลับมาอยู่นานสองนานจนผมก้าวขาเกือบถึงประตูห้องก็มีเสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับสัมผัสอุ่นที่ข้อมือ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ สมกับเป็นพี่ทาวน์

“หึ ไปด้วย”

“เลิกขี้เกียจแล้วเหรอครับ”
หันกลับไปถามด้วยเสียงทะเล้นเลยได้ค้อนวงใหญ่ตอบกลับมาพร้อมแรงบีบข้อมือ คงกะว่าเอาให้กระดูกแหลกไปเลยสินะ ร้ายจริงๆ ผู้ชายของผมเนี่ย

“คิดได้ว่าอยากกินนมเมล่อน”
เขาบอกก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับปล่อยมือออก ท่าทางมีพิรุธจนผมเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ เอาวะ ลองเชิงดูหน่อยคงไม่เป็นไร

“ผมซื้อมาฝากก็ได้”

“เจ็ท...”
โดนเรียกชื่อด้วยโทนเสียงต่ำขนาดนี้ ผมก็ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าทำไมพี่ทาวน์ถึงอารมณ์แกว่งไปแกว่างมานัก

“กลัวจะมีคนมาจีบผมก็บอก”
พูดอย่างคนเหนือกว่าแล้วกระตุกยิ้มมุมปากส่งให้พี่ทาวน์ที่กำลังยืนแยกเขี้ยวอยู่ไม่ไกล เขาง้างมือฟาดลงบนแขนผมเต็มแรง แต่ดีที่สามารถขยับหลบได้ทน เกือบช้ำเป็นลูกกระท้อนแล้วไหมล่ะ

“กูไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น”
เขาปฏิเสธเสียงแข็งก่อนจะผลักไหล่กันให้พ้นจากทางเดินเพื่อตรงไปใส่รองเท้าที่หน้าประตู ผมมองแผ่นหลังกว้างแล้วได้แต่ยิ้ม ยิ้มจนปากจะฉีกถึงรูหูกับความหึงหวงแบบซึนๆ นี้ ปากมองไม่แต่การกระทำโคตรชัดเจน แฟนหนอแฟน โกหกไม่เก่งเลยรู้ตัวไหม

“แต่ผมงี่เง่านะ กลัวมีคนมาจีบทาวน์ตลอดเวลาเลย”
จากที่จะล้อเขาก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายแสดงความหึงหวงแทน ผมขยับตัวเข้าไปแนบชิดก่อนถือวิสาสะโอบรอบเอวสอบแล้วกดฝังจมูกลงบนลาดไหล่กว้างอย่างออดอ้อน มารยาสาไถจะมีมากกว่าผู้หญิงอีกมั้งกูเนี่ย

“กูหล่อล่ะสิ”
แหม... บุคคลหลงตัวเองแห่งปีพอๆ กับผมเลยนะแฟน แต่เถียงไม่ได้หรอกเพราะเขาเป็นอย่างที่พูดจริงๆ

“โคตรหล่อเลยครับ”
พูดจบก็เลื่อนปากประทับลงข้างแก้มด้วยความมันเขี้ยว นัวเนียอยู่แบบนั้นจนหนำใจโดยไม่โดยพี่ทาวน์ทำร้ายร่างกาย มันคือความฟินขั้นสูงสุดจริงๆ

“มีมึงเป็นแฟนแค่คนเดียวก็ปวดหัวจะตายห่าแล้ว ไม่อยากมีภาระเพิ่ม เข้าใจนะ”
พี่ทาวน์ถวายมะเหงกให้หนึ่งลูกก่อนจะผละตัวหนีอ้อมกอดสุดอบอุ่น ใบหน้าหล่อปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบังแถมด้วยท่าทางที่เขาเอาสันมือเคาะข้างขมับประกอบคำพูดนั้น ผมแทบล้มทั้งยืน หมดแรงเอาดื้อๆ ควรรู้สึกยังไง ใครก็ได้บอกที

“โอย ผมควรดีใจหรือเสียใจดีวะเนี่ย”
บ่นพึมพำไปอย่างนั้นแต่ความจริงก็ยอมรับฟังเขาทุกอย่างนั้นล่ะ นายภาคินคือตัวอย่างทาสของความรักฉบับสมบูรณ์ ลิมิเต็ดอิดิชั่นด้วย มีคนเดียวในโลกซึ่งบัดนี้มีเจ้าของชื่อทาวน์และคงจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน

ไอ้คนขี้เกียจเมื่อหลายนาทีที่แล้วกลับเป็นคนอาสาขับรถด้วยตัวเอง ไม่มีเหตุผลแถมยังบังคับให้ผมนั่งเงียบๆ แบบไร้ปากเสียงอีกด้วย กว่าจะถึงห้างก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง วนหาที่จอดอีก ปาเข้าไปบ่ายโมงพอดี

ผมคว้ารถเข็นได้ก่อนแล้วยิ้มร่าเมื่อพี่ทาวน์ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่ วันนี้เขามาแปลกตรงที่บริการความสะดวกให้กันแทบทุกอย่าง แต่เอาเถอะ จะไม่ถามให้เสียเรื่องแถมเสี่ยงโดนด่าอีก อยากน่ารักยังไงเอาให้เต็มที่เลยครับ นายภาคินคนนี้ยังเดินไหวแม้มีเซๆ บ้างก็ตามที

“ทาวน์ ซื้อโซจูไปกินกับไก่ทอดดีปะครับ”
ในขณะที่เดินผ่านแผนกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขายาวก็หยุดชะงักลง ดวงตาคมสอดส่ายหาของมึนเมาสไตล์เกาหลี ถ้าได้แกล้มกับไก่ทอดคงเข้ากันเป็นอย่างมาก แต่ว่าที่คุณหมอกลับแยกเขี้ยวใส่

“ไม่ดี”
เสียงเย็นจนผมขมวดคิ้วยุ่ง คิดไม่ตกจริงๆ ว่าไม่ดียังไง เพราะปกติดื่มแอลกอฮอล์พี่ทาวน์ก็ไม่เคยห้าม แปลก โคตรแปลก

“ทำไมอะ”

“กลิ่นเหมือนเหล้าขาว”
หืม... ปกติพี่ทาวน์ไม่เคยบ่นเรื่องกลิ่นโซจูเลยนะ มันต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ แล้วเขาจะเดินหนีผมทำไม ทำตัวมีพิรุธน่าสงสัย

“เดี๋ยวนี้ปรับปรุงใหม่ มีรสพีชแล้วนะ กลิ่นไม่ค่อยแรงด้วย”
ผมพยายามบอกอีกครั้งขณะที่เข็นรถตามร่างสูงไปแผนกขายอาหารสด พี่ทาวน์ตวัดสายตามองอย่างเอาเรื่องเหมือนเผลอตัวลวนลามเขา

“ไม่ให้กิน”
พี่ทาวน์ยื่นคำขาดก่อนจะส่งหมัดตรงมาที่ต้นแขนของผม เจ็บจนต้องซี๊ดปากแต่ไม่วายถามเขากลับด้วยเสียงอ้อนๆ

“ทำไมอ่า”
ไม่ได้อยากดื่มโซจูขนาดนั้น แต่อยากรู้เหตุผลที่แท้จริงของการห้ามมากกว่า

“ปกติไม่เมาก็หื่นจะตายห่าอยู่แล้ว”

“.....”

“พอเมา แม่ง... กูจะตายทุกที”
คนตอบหน้าแดงเถือกเป็นลูกมะเขือเทศไปแล้ว แต่ผมกลับคลี่ยิ้มกว้างเหมือนถูกล็อตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่ง โอย อยากจะจับพี่ทาวน์ฟัดตรงนี้เลย คนบ้าอะไรโคตรน่ารัก

“แต่ก็ชอบใช่ไหมล่ะครับ”
ผมโน้มตัวไปกระซิบข้างหูของพี่ทาวน์ก่อนจะผละออกมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ คนวอนโดนตีนก็นายภาคินของนายเมืองเหนือนี่ล่ะ แม่ง เสี่ยงตายสุดชีวิต แต่เพื่อความฟินต้องยอม

“ลองมาเป็น ‘เมีย’ ดูบ้างไหมล่ะหืม”
ผลตอบกลับทำให้ผมรีบคว้ารถเข็นมุ่งตรงไปที่แผนกขายน้ำอัดลมทันที ไอ้การที่จะให้สลับตำแหน่งมันก็ได้ แต่ขอทำใจสักปีสองปีแล้วกันเนอะ...

“โอ้ งั้นซื้อน้ำอัดลมไปกินก็ได้ครับ เนอะๆ อร่อยเหมือนกันเลย”
เฉไฉเอาตัวร้อยไปเรื่อยแล้วหยิบน้ำอัดลมหลากสีใส่รถเข็น ได้ยินเสียงหัวเราะหึดังมาจากข้างหลังพร้อมด้วยคำสบประมาทที่ผมยอมรับแบบไร้คำเถียง ฮือ

“ไอ้กาก”
จ้า กากก็กาก คนเรามันติดใจเป็นฝ่ายรุกไปแล้วจะให้ทำยังไงเล่า จริงๆ แล้วเคยถามพี่ทาวน์อยู่เหมือนกันว่าอยากสลับตำแหน่งบนเตียงบ้างหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ ‘อย่าทำเรื่องให้ยุ่งยาก’ ก็เท่ากับว่าแบ็คทูเบสิค หวานหมูจริงๆ หึหึ

ผมบอกวิธีการทำไก่ทอดเกาหลีให้พี่ทาวน์ฟังอย่างละเอียดก่อนผละตัวออกไปหุงข้าวและเตรียมทำแกงกิมจิใส่เนื้อวัว แบ่งหน้าที่กันชัดเจนเพื่อร่นระยะเวลา เกือบบ่ายสามแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากข้าวเช้าเลย รอชิมฝีมือแฟนสุดใจ

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็เตรียมทุกอย่างจนเสร็จ ในขณะที่กำลังตักแกงกิมจิใส่ถ้วยนั้นพี่ทาวน์ก็เทปีกไก่ที่หมักทิ้งไว้ลงในกระทะ เสียงซู่ซ่าของน้ำมันการันตีได้เป็นอย่างดีว่ามันต้องออกมาหน้าตาน่ากินแน่นอน

“พี่ทาวน์ระวังน้ำมันกระเด็นใส่ด้วยนะครับ”
ผมเตือนด้วยความหวังดีเพราะคนที่เคยทำอาหารใหม่ๆ จะไม่ระวังตัวเรื่องนี้ แต่ยังไม่ทันขาดคำคนที่อยู่หน้าเตาก็ก้าวถอยหลังมาชนกันอย่างจัง ได้ยินเสียงซี๊ดปากเบาๆ จนต้องหมุนตัวกลับไปถามด้วยความตกใจ

“เป็นอะไรครับ!”
ผมรีบมองสำรวจแฟนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพบว่าแขนของเขามีจุดแดงๆ หลายแห่ง พี่ทาวน์พยักพเยิดหน้าบอกสาเหตุก่อนจะถอนหายใจออกมา คงหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ระวัง

“ล้างแผลด้วยน้ำเย็นก่อนนะครับ เดี๋ยวผมเอายามาทาให้”
ผมบอกอย่างรีบร้อนแล้วมุ่งตรงไปทางกล่องปฐมพยาบาลทันที แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาพี่ทาวน์กลับเอื้อมมือมารั้งไหล่กันไว้ สีหน้าดูแย่มากจนต้องหยุดชะงัก

“แต่ไก่จะไหม้”
โธ่ นึกว่าห่วงเรื่องอะไร

“ไม่หรอกครับ เราใช้ไฟอ่อน วางใจได้”
ผมบอกพลางคลี่ยิ้มให้เขาวางใจ พี่ทาวน์ลังเลมองกระทะทอดไก่อยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ารับ

“อือ”

พี่ทาวน์นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าเป็นกังวล ส่วนผมก็เปิดหลอดยามาตั้งแต่ไกล เกือบสะดุดขาตัวเองล้มเพราะรีบเดินเกินเหตุ ใส่ยาให้เขาเสร็จเรียบร้อยก็รับหน้าที่ทำอาหารต่อโดยไม่ฟังเสียงงอแงจากคนบาดเจ็บ จะไม่ปล่อยให้ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว ถ้าอยากทำจริงๆ ขอเป็นเมนูที่ไม่ต้องทอดดีกว่า

เขานั่งรอเงียบๆ ไม่แสดงสีหน้าว่ารู้สึกยังไง แถมยังฆ่าเวลาด้วยการหยิบชีทเล่มหนาขึ้นมาอ่านปิดกั้นการพูดคุย สงสัยจะงอนที่โดนห้ามทำอาหารมื้อนี้ทั้งที่ตั้งใจมาตั้งแต่เมื่อวานแน่นอน ก็คนมันเป็นห่วงนี่ กลัวเจ็บตัวไปมากกว่านี้

ผมตักไก่ทอดพักไว้แล้วเปลี่ยนกระทะเพื่อทำน้ำซอส ได้ยินเสียงเปิดกระดาษจากทางด้านหลังแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ เหตุการณ์แบบนี้ควรง้อด้วยวิธีไหนวะ

ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั้น เสียงเรียกจากด้านหลังก็ทำให้ผมกลับมาสู่โลกความเป็นจริง นึกว่าพี่ทาวน์จะปิดปากเงียบตลอดทั้งวันแล้วซะอีก

“เจ็ท...”

“ครับ”

“ทำไมเมื่อกี้ไม่ใช่ยาสีฟันล่ะ”
อ้อ... มีครั้งหนึ่งผมเคยโดนน้ำมันกระเด็นใส่แล้วรีบเอายาสีฟันป้ายแล้วพี่ทาวน์มาเห็นจังหวะนั้นพอดี แต่ฝ่ายนี้เฉไฉว่าไม่มีอะไรเลยไม่ได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องจากเขา ฮือ ก็ว่าแล้ว ทำไมถึงโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ แถมหัวเราะใส่กันอีก ร้ายมาก

“อ๋อ... ไปศึกษาวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาแล้วครับ”
หัวเราะแห้งๆ พร้อมกับเกาท้ายทอย โคตรอาย

“เหรอ”

“อื้อ ก็แฟนเป็นถึงว่าที่หมอนี่ครับ ทำอะไรผิดวิธีคงไม่ดีเท่าไหร่”

“หึ หิวแล้ว ใกล้เสร็จหรือยังล่ะ”
เชื่อว่าเขาคงแอบยิ้มอยู่แน่ๆ

“เสร็จแล้วครับๆ ~”

เรานั่งกินข้าวไปคุยกันไปเรื่อย เรื่องดินฟ้าอากาศบ้าง เรื่องเรียน เรื่องสอบ หรือแม้กระทั่งอนาคตของการคบกัน มันก็เป็นธรรมดาของคนที่จริงจังในความรักและอยากใช้ชีวิตคู่กับใครสักคน ผมไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะเจอใครที่ดีกว่าพี่ทาวน์ แต่ถึงแม้วันหนึ่งเกิดเจอขึ้นมาก็คงไม่เปลี่ยนใจอย่างแน่นอน

“ปีหน้ากูอาจจะไม่มีเวลาให้มึงเหมือนเก่า”
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแต่ดวงตากลับฉายแววเป็นกังวล ผมพยักหน้าเข้าใจในจุดนี้เพราะพี่ทาวน์กำลังจะขึ้นปีสี่และต้องเรียนทุกวิชาภายในโรงพยาบาล

“ครับ ผมเข้าใจ”
ผมคลี่ยิ้มให้กับเขาก่อนยกแก้วน้ำขึ้นจิบ พี่ทาวน์พยักหน้ารับแต่ไม่วายขมวดคิ้วแสดงความเครียดออกมาอย่างชัดเจน สงสัยคงแปลกใจที่นายภาคินไม่งอแง โธ่ แอบมีแผนเด็ดรออยู่เท่านั้นเอง

“มึงไม่งอแงเหรอ ปกติติดกูจะตาย”
พี่ทาวน์หรี่ตามองอย่างสงสัยแต่ผมก็ยังเนียนไปตามประสาคนเจ้าเล่ห์

“โตแล้วครับ ต้องเข้าใจแฟนสิ”

“เหรอ งั้นก็ขอบคุณที่เข้าใจกัน”
พี่ทาวน์คลี่ยิ้มละมุนส่งให้ นั่นล่ะ สัญญาณของคนติดกับดักแล้ว เยส!

“ครับ แต่ว่า...”
ผมรีบแทรกขึ้นทันทีแล้วเว้นวรรคเพื่อให้เขาถาม

“อะไร”
คิ้วขมวดจนแทบผูกโบว์ได้แล้ว โอ๊ย น่าแกล้งฉิบหาย แต่พอก่อน เดี๋ยวความหวังจะพังไม่เป็นท่า

“พี่ทาวน์ย้ายมาอยู่กับผมได้ไหมครับ ที่นี่ใกล้โรงพยาบาลมากกว่านะ”
ผมเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแล้วคว้ามือนุ่มมาจับไว้ ใช้สายตาหมาน้อยมองคนตรงหน้าอย่างขอความเห็นใจ ถึงจะไม่มีเวลาให้ แต่การย้ายที่อยู่มันทำให้เราเจอกันอย่างแน่นอน

“หึ กูก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างมึงไม่งอแงมันแปลก”
พี่ทาวน์หัวเราะเสียงต่ำก่อนจะแจกมะเหงกให้ปมไปหนึ่งที หูย เจ็บมากแต่เชื่อว่าโคตรคุ้ม

“ก็แบบว่า... ผมคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วนี่ครับ”
หลุบตาลงต่ำอย่างคนสำนึกผิด แต่เปล่าเลย แค่อยากให้พี่ทาวน์ใจอ่อน

“อืม จะไม่เบื่อหน้ากูหรือไง เจอกันทุกวัน”

“ไม่หรอกครับ ผมรักพี่ทาวน์นี่นา”

“อยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”
โธ่ แฟนกลายเป็นคนคิดมากไปตั้งแต่เมื่อไหร่

“ผมรักใครไม่มีวันเบื่อหรอก จะรักตลอดไปด้วย”
ผมยืนยันเสียงหนักแน่นแล้วกดริมฝีปากลงบนหลังมือของพี่ทาวน์ ส่งถ่ายความรู้สึกไปให้เขาว่ารักมากแค่ไหน

“ตลอดไปของมึงมันนานแค่ไหน หนึ่งวินาที หนึ่งนาที หนึ่งชั่วโมง หนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี"
เขาแกะมือออกจากการเกาะกุมแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อทิ้งตัวลงบนตักของผม เราเผชิญหน้ากัน เป่ารดลมหายใจใส่กัน แตะปลายจมูกถูไถกันอย่างแผ่วเบา โอย โคตรอีโรติกจนแทบคิดอะไรไม่ออกเลย

"ตลอดชีวิตของผมครับ"
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นหลังจากพี่พยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถแล้วจริงๆ เชื่อว่าคุยกันแบบนี้ต่อไปอีกไม่นานคงจบลงบนเตียง

"หึ น้ำเน่าว่ะ คิดว่ากูจะเชื่อเหรอ”
แต่ทุกอย่างกลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อพี่ทาวน์ผละออกไปแล้วใช้นิ้วดีดป๊อกลงบนสันจมูกของผม ยอมรับว่าเจ็บแต่ไม่ยอมแพ้ ก็คนมันจริงใจ

“ผมพิสูจน์ได้นะ”

“ยังไง”

“คอยดูกันต่อไปครับ ถ้าผมผิดคำพูด ยอมให้กระทืบเลย”
ไม่ได้พูดติดตลก แต่ถ้าวันไหนผมผิดคำพูดจริงๆ จะยอมให้กระทืบจนต้องเข้าโรงพยาบาลเลย ที่กล้าท้าเพราะมั่นใจในตัวเองว่าไม่มีทางหมดรักพี่ทาวน์แน่นอน

“หึ ตกลงตามนั้น”
ตกลงง่ายจังวะ แต่เชื่อว่าเขาก็คิดไม่ต่างจากผมตรงที่ว่าเราจะรักกันตลอดไปได้จริงๆ ถึงแม้จะเป็นเรื่องของอนาคตก็เถอะ

“แล้วเรื่องย้ายมาอยู่ด้วยกันล่ะครับ”
ผมวนกลับมาถามเรื่องเดิมเพราะกลัวว่าพี่ทาวน์จะไม่ยอมตกลง ถ้าเป็นอย่างนั้นคงเกิดการงอแงแบบปกติอย่างแน่นอน คนติดแฟนยังไงมันก็แก้นิสัยนี้ยาก โธ่ อีกสิบปีก็ไม่รู้ว่าทำได้หรือเปล่า

“โทรไปขอพ่อตามึงสิ ถ้าเขาอนุญาตกูก็ไม่มีปัญหา”
พี่ทาวน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะลุกออกจากตักของผมแล้วหนีไปซะดื้อๆ ทิ้งให้นายภาคินทำท่าฮึดฮัดอยู่คนเดียว

ถ้าเขาจะเล่นกันแบบนี้ ผมเป็นคนย้ายไปอยู่คอนโดพี่ก็ได้เว้ย แมนพอ!



--------------------------------------

ตอนหน้าจะจบแล้วน้า ฮือ ~
คอมเม้นท์ติชมกันได้เนอะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 39 - P.6 (09/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 09-02-2018 19:15:57
โอ้โหหหหหหหหหห เจ็ทคนแมนนนนนน :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งที่ 39 - P.6 (09/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 09-02-2018 20:34:03
จ้าาา  อิเจ็ทคนแมน 555
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-02-2018 09:43:12
แข่งครั้งสุดท้าย




ช่วงที่พี่ทาวน์ต้องเตรียมตัวสอบใบประกอบโรคศิลป์นั้นทำให้เราไม่ได้คุยกันเลย เหมือนขาดการติดต่อ แต่ผมก็ทำได้เพียงอดทนและทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ การเรียนเป็นสิ่งสำคัญเพราะฉะนั้นแล้วเขาต้องทุ่มเทอย่างที่สุดแน่นอน

กว่าจะได้มาเจออีกครั้งก็คือวันงานพิธีมอบเสื้อกาวน์สำหรับนักศึกษาแพทย์ที่ขึ้นปีสี่ ความฉิบหายคือผมดันตื่นสาย ลนลานแทบตกเตียงตายจนโดนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่างไอ้ฟาร์มด่าหูชา แต่ดีที่ยังมาทันเพราะว่าที่คุณหมอทั้งหลายยังไม่ออกมาจากหอประชุม

“มึงหอบเหี้ยอะไรมาเนี่ย”
ไอ้ฟาร์มถามเสียงเครียดแล้วใช้สายตามองของขวัญในมือผมเหมือนมันคือสัตว์ประหลาด ก็แค่ไม่ใช่ดอกไม้อย่างที่ใครๆ หอบมาให้ว่าที่หมอก็เท่านั้น กูอยากแตกต่างบ้างไม่ได้หรือไง

“ตุ๊กตาไง มึงเห็นกล่องถุงยางเหรอ”
ผมแทบจะเอาของในมือปาใส่หัวเพื่อนรัก ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นตุ๊กตาหมาไซบีเรียนขนาดพอกอด ไม่ใช่ตัวเหี้ย

“ตุ๊กตาหมาเนี่ยนะ มึงเห็นพี่ทาวน์เป็นเด็กหรือไง”
ไอ้ฟาร์มเบ้ปากมองหน้าผมสลับกับหน้าหมาในมือ อันที่จริงก็คิดไว้แล้วว่าคำถามแบบนี้ต้องเกิดขึ้น ไม่มีใครหอบตุ๊กตาเด็กน้อยแบบนี้มาแสดงความยินดีให้ว่าที่หมอในอนาคตหรอก แต่ดอกไม้มันซ้ำซากจำเจ คนนั้นก็มี คนนี้ก็มี เห็นแล้วเบื่อ

“ทำไม ดอกไม้ให้ไปเดี๋ยวแม่งก็เหี่ยว สู้ของกูไม่ได้หรอก”
ผมกอดตุ๊กตาอย่างสุดหวงแล้วเชิ่ดใส่เพื่อนอย่างมั่นใจว่าพี่ทาวน์คงเห็นดีเห็นงามด้วยเรื่องดอกไม้จะเหี่ยว ขนาดไอ้ฟาร์มยังถือถุงน้ำหอมแบรนด์ดังมาเลย

“เออๆ ไม่เถียงกับมึงแล้ว เดี๋ยวพี่ทาวน์ด่าแน่ เชื่อกู”
มันเอื้อมมือมาตบหัวตุ๊กตาด้วยความมันเขี้ยวแล้วยิ้มเยอะเย้ยจนผมแอบใจแป้ว ที่จริงแล้วนอกจากหมาในอ้อมแขนก็ยังมีของขวัญพิเศษเป็นปากกาและกำไลข้อมือทองคำขาวที่ทางบ้านฝากมาให้อีกหนึ่งวง

“คอยดูก็แล้วกัน หึหึ”
ผมไม่ยอมแพ้หรอก เชื่อว่าตุ๊กตาตัวนี้คงเป็นที่โปรดปรานของคนชอบหมาแต่ไม่มีความสามารถในการเลี้ยงแน่นอน (พี่ทาวน์อยากเลี้ยงหมา แต่เนื่องจากตัวเองอยู่คอนโดเลยล้มเลิกความตั้งใจ ดูได้จากรูปถ่ายสมัยยังคบกับพรีม คอลเล็คชั่นเจ้าหน้าขนเยอะกว่าคนซะอีก)

หลังจากที่เราทั้งคู่เถียงเรื่องของขวัญกันเสร็จก็พากันไปหาที่นั่งรอบรรดาว่าที่คุณหมอออกจากหอประชุม พูดคุยเรื่องโน่นนี่ฆ่าเวลาไปเรื่อย ไม่เว้นแม้กระทั่งการนัดแนะไปเที่ยวก่อนจะตกนรกที่เขาเรียกกันว่าการตัดโมฯ ปีนี้ยับแน่ๆ โต้รุ่งชัวร์อย่างไม่ต้องสงสัย

ถัดมาก็เป็นเรื่องไอ้ฟาร์มที่ประสบความสำเร็จในชีวิตไปอีกขั้น ได้เป็นแฟนกับคนที่ตัวเองชอบถึงแม้ข้ามขั้นเลยเถิดเป็นผัวเมียกันก่อนสถานะจะเกิด แต่ถ้าพี่ฟาไม่อ่อยแรงคงไม่มีวันนี้ ใครเริ่มก่อนไม่ต้องคิดเยอะแล้ว ปัจจุบันเพศไหนก็มีความเท่าเทียม ดูอย่างผู้หญิงพวกนั้นที่หอบดอกไม้ช่อโตพุ่งเข้าหานักศึกษาแพทย์สิ เขาเพิ่งออกมาจากหอประชุมนะเว้ย ให้หายใจบ้างก็ได้!

หนึ่งในนั้นคือว่าที่คุณหมอใส่เสื้อกาวน์ยาวหน้าตาหล่อเหลาอดีตเดือนคณะพ่วงมหา’ลัย พี่ทาวน์ยังเป็นคนเดิม ไม่แสดงอารมณ์ ไม่แสดงสีหน้าว่าตัวเองรู้สึกยังไง เขาทำแค่รับของขวัญที่ถูกยื่นไปให้อย่างมีมารยาท ผมดันคิ้วกระตุก ขยำบีบตุ๊กตาในมือจนแทบไส้แตก รู้สึกไม่ชอบใจพวกเธอที่ไม่เว้นระยะห่าง แอบกระแซะ แตะนั่นแตะนี่แฟนคนอื่น มากเกินไปแล้ว...

“โห... โคตรฮอต”
ขนาดไอ้ฟาร์มยังอุทานออกมากับความฮอตของพี่ทาวน์ สาบานได้ว่าพวกผมหน้าตาอยู่ในเกณฑ์ดีแต่ไม่มีใครสนใจเพราะที่นี่มันงานรับเสื้อกาวน์ นักศึกษาแพทย์จะได้รับความนิยมก็ไม่แปลก

“จะรุมแฟนกูทำไมกันนักหนาวะ นั่นๆ จะเอาดอกไม้ทิ่มหน้าอยู่แล้ว!”
ตอนแรกก็ว่าจะเก็บอาการไม่อยากเข้าไปวุ่นวายเวลาแห่งความสุขของแฟนคลับสักเท่าไหร่ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วพี่ทาวน์คงหลุดพ้นจากตรงนั้นได้ยาก ก็พวกเธอยังยืนรุมเขาอยู่แบบนั้นทั้งที่ของขวัญก็ให้ไปแล้ว ต้องการอะไรกันอีก

“เฮ้ย ใจเย็นๆ แฟนคลับก็งี้ล่ะน่า ส่วนมึงเป็นแฟนครับก็เข้าไปช่วยพี่ทาวน์ถือของหน่อย”
ไอ้ฟาร์มบอกให้ผมใจเย็นแตามือกลับผลักหลังกันยิกๆ ให้รีบเดินเข้าไปหาพี่ทาวน์ ประโยคแรกกับประโยคหลังทำไมมันย้อนแย้งฉิบหายเลยวะ ขมวดคิ้วใส่แม่งเลย

“แต่ว่ากูก็ไม่อยากแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าขนาดนั้นปะ”
ถ้าเดินเข้าไปตอนนี้สายตาของพวกเธอต้องเต็มไปด้วยความสงสัยแน่ๆ ว่าทำไมคู่จิ้นของพี่ทาวน์ถึงมางานนี้ได้ สนิทกันเหรอ หรือเป็นอะไรที่มากกว่านั้น ถึงพวกเราจะไม่เคยปิดบังสถานะแต่น้อยคนนักจะเชื่อว่านายภาคินกับนายเมืองเหนือรักกันจริงๆ

“หรือมึงจะรอให้สาวๆ พวกนั้นลากพี่ทาวน์ไปซะก่อน”
มีแต่ควายเท่านั้นล่ะที่จะยอม!

“สัด ใครจะไปยอมวะ”
เตรียมพุ่งเข้าไปเต็มที่แล้วเนี่ย รอจังหวะเหมาะๆ ก่อนสิวะ กลัวพี่ทาวน์จะด่าให้เพราะผมตื่นสายมาไม่ทันก่อนเขาเข้าหอประชุม

“งั้นรีบๆ ไปเสนอหน้าซะ กูจะไปหาเมียเหมือนกัน โอ๊ย ไอ้เหี้ยพวกนั้นอย่าลวนลามพี่ฟาสิวะ!”
ผมถึงบางอ้อทันทีเมื่อเห็นไอ้ฟาร์มชี้ตรงไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์เกือบสิบคนที่ยืนล้อมคนหน้ารักอยู่ไม่ไกล มันเต้นเร้าๆ เหมือนมีใครเอาไฟมาลนก้น หึ แฟนมึงก็ฮอตไม่ต่างกันนักหรอก แต่ก่อนจะปล่อยไปขอแซวหน่อยเถอะ คันปากมาก

“เต็มปากเต็มคำ”
ผมหมายถึงคำว่า ‘เมีย’ ที่มันใช่เรียกพี่ฟาน่ะนะ

“ทำไม ได้กันแล้วจะเรียกยังไงก็ได้”
มันตวัดสายตามองแล้วตอบผมด้วยสีหน้าผู้ชนะ อยากจะถุยน้ำลายใส่ให้รู้แล้วรู้รอด ไอ้กากเอ๊ย กว่าจะได้เขาเฝ้าอยู่เป็นปีๆ เฮ้อ

“จ้า ไอ้พ่อบ้านใจกล้า”
หมั่นไส้แรงกว่านี้ไม่มีอีกแล้วครับ

ผมปล่อยเพื่อนเข้าสู่วงตีนแล้วเดินมุ่งตรงไปหาพี่ทาวน์ที่ยังคงโดนสาวๆ พวกนั้นรุมอยู่ ไม่มีใครยอมแพ้ใคร บางคนแต่งหน้าซะสวยจนจำไม่ได้ แล้วนายภาคินหน้าสดนี่พอสู้ไหวปะวะ

พอถึงระยะที่สามารถได้ยินบทสนทนาระหว่างพี่ทาวน์กับพวกเธอผมถึงกับขมวดคิ้วแน่น ตุ๊กตาในมือถูกบีบอีกครั้ง ถ้ามันไส้แตกจริงๆ คงต้องซื้อใหม่ ทำไมผู้หญิงเดี๋ยวนี้ออกตัวแรงจัง

“พี่ทาวน์คะ ขอถ่ายรูปหน่อยค่ะ”
ขอถ่ายรูปหรือจะเซลฟี่พูดให้มันถูกหน่อย แล้วนั่นจำเป็นต้องเอารองพื้นไปถูหน้าพี่ทาวน์ขนาดนั้นไหม โว๊ย หงุดหงิดเว้ย

“พี่ทาวน์คะ ดอกไม้ค่ะ หนูตั้งใจซื้อมาเลยน้า”
ยื่นดอกไม้ให้น่ะเข้าใจ แต่ส่งสายตาอ่อยเขาน่ะมันไม่ใช่แล้วน้อง นั่น ‘เมีย’ พี่ โปรดทำความเข้าใจด้วย อยากลงไปดิ้น จะทนไม่ไหวแล้ว

“พี่ทาวน์ ~ ไปเดทกันนะคะ”
อ่า... หันขวับไปมองต้นเสียงจนคอแทบเคล็ดเลย กล้ามาก กล้าสุดๆ ต่อหน้าแฟนคลับด้วยกันก็ไม่กลัว ผมนี่อยากแทรกเข้าไปแล้วบอกว่า ‘ผัวพี่ทาวน์มาแล้วครับ’ แต่ทำได้แค่เกาหัวแรงๆ แล้วเอ่ยเรียกชื่อเขา ปล่อยให้พวกเธอคุกคามมากกว่านี่ไม่ได้ ต้องเบรก

“เอ่อ ทาวน์ครับ”
ทุกคนหันมามองทางนี้เป็นตาเดียว โอ้โห กูควรถอยกลับไปรอที่รถไหมอะ

“เจ็ท... มาแล้วเหรอ”
พี่ทาวน์รีบปลีกตัวออกมาหาผมแทบทันทีโดยไม่สนว่าบรรดาสาวๆ จะมองพวกเราแบบไหน ขอโทษที ความสำคัญมันต่างกันอะเนอะ

“ครับ ขอโทษที่ตื่นสาย”
ผมตอบแล้วคลี่ยิ้มบาง จริงๆ แล้วสำนึกผิดแต่สะใจที่ได้เห็นหน้างงๆ เอ๋อๆ ของพวกเธอมากกว่า

“กูไม่นอนด้วยก็งอแงเชียวนะ”
เดี๋ยว... พี่ทาวน์อย่าเพิ่งเดินเรือตอนนี้สิวะ ทุกคนตาถลนมองผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแล้ว ไอ้เขินมันก็เขินนั่นล่ะเพราะไม่คิดว่าพี่ทาวน์กล้าพูดขนาดนี้

“ก็...”
ไปไม่ถูกจริงๆ แล้วกู ก็พี่ทาวน์ดันยืนเบียดจนแทบสิงกันขนาดนี้ หัวใจจะวายเว้ย

“กรี๊ด พวกพี่นอนด้วยกันเหรอคะ!”
ผมสะดุ้งเกือบคว้าพี่ทาวน์มากอด แต่ดีที่เบรกทัน จะกรี๊ดหาอะไรครับผมนึกว่าแมลงสาบบินเข้ากระโปรง!

“ครับ เรื่องปกติ”
ชงเข้มกว่าแม่ยกคู่จิ้นก็กัปตันเรือนี่ล่ะครับ เอาให้พังกันไปเป็นแถบๆ

“ทาวน์ ผมว่ามัน...”
ผมจะเอ่ยปรามเพราะรู้สึกว่าพวกเธอบางคนจะไม่ปลื้มสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนที่ชวนพี่ทาวน์ไปเดท

“เฉยๆ เถอะ ช่วยถือของด้วย”
พี่ทาวน์มองดุก่อนจะส่งของในมือให้ผมช่วยถือ มุ้งมิ้งงุ้งงิ้งกันอยู่สองคนจนมีหน่วยกล้าตายเอ่ยปากถามจนได้

“พวกพี่เป็นอะไรกันเหรอคะ”
คำถามสุดเบสิก และคำตอบก็โคตรเรียล

“แฟนครับ ขอตัวนะ”
ชัดเจนกว่าคำพูดคือการที่พี่ทาวน์คว้ามือผมไปกุมเอาไว้แล้วพากันเดินหนีออกจากความวุ่นวาย ได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังมาจากด้านหลังแล้วรู้สึกสยองชะมัด ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่คาดเดาได้โซเชี่ยลคงร้อนระอุเป็นไฟ

“ทาวน์ บอกไปแบบนั้นจะดีเหรอครับ”
ผมหยุดเดินเพื่อถามให้แน่ใจว่าที่เขาทำลงไปนั้นคิดว่าดีแล้วจริงๆ ใช่ไหม เพราะพี่ทาวน์ไม่ใช่คนที่แสดงออกภายนอก จะให้ตั้งท่าสังเกตทั้งที่เขาปิดบังคงยาก

“ดีสิ จะได้เลิกยุ่งวุ่นวายกับกูสักที”
พี่ทาวน์หันมาจิ้มให้ทั้งตาทั้งปากยืนยันว่าดีจริงๆ แต่ผมยังลังเลเพราะกลัวว่าที่เขาทำลงไปเพราะอยากให้คนเป็นแฟนสบายใจและไม่คิดมาก ก็นายภาคินมันขี้หึงขี้หวงจนชาวบ้านรู้ทั้งประเทศแล้ว

“ถ้าพวกเขาไม่ชอบขึ้นมาจะทำยังไงครับ กลัวพี่โดนมองด้วยสายตาแย่ๆ”
ส่วนตัวผมไม่สนใจโลกมานานแล้ว ก็ห่วงแต่ความรู้สึกคนเป็นแฟนนี่ล่ะ

“เราไม่จำเป็นต้องแคร์คนทั้งโลก ใส่ใจความรู้สึกคนข้างๆ ก็พอ”
พี่ทาวน์เอื้อมมือข้างที่พยายามทำให้ว่างมาขยี้หัวกันอย่างทุลักทุเล ผมพยักหน้ารับแล้วคลี่ยิ้มตอบกลับจนปากจะฉีกถึงหู ยอมรับว่าเขินหน้าแทบไหม้ หัวใจเต้นแรงแทบละลาย นี่สินะความรัก มันทั้งหอมหวานและสวยงามชวนหลงใหล

“โหย ซึ้งน้ำตาจะไหลเลย”
ผมเย้าด้วยเสียงทะเล้นเพราะไม่อยากให้ต่างคนต่างเขินอยู่แบบนี้ พี่ทาวน์ยักคิ้วกวนๆ ก่อนจะผละออกแล้วหอบหิ้วของขวัญในมือต่อ เอาไปทิ้งดีไหมเนี่ย เห็นแล้วขัดลูกตาฉิบหาย

“หึ ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยสิ”

“รูปคู่เหรอ”
ผมถามพาซื่อทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้ว นานครั้งที่จะได้ถ่ายรูปคู่กัน อัพลงไอจีคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม... ก็คนมันเห่อ

“อืม แล้วตุ๊กตานั่นของกูหรือเปล่า”
พี่ทาวน์ชี้มาที่ตุ๊กตาหมาตัวนิ่มที่ผมใช้แขนหนีบมันไว้ ถ้าเขาไม่ทักคงลืมให้ไปแล้ว แม่ง มัวแต่หงุดหงิดจนไม่ได้ให้ของขวัญเลย

“อ้อ ใช่ครับ ผมเอามาให้เป็นของขวัญ”
ผมเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะวางของชิ้นอื่นๆ ในมือลงแล้วจัดการยื่นตุ๊กตาที่แสนภูมิใจนำเสนอไปตรงหน้าเขา มีการ์ดแสดงความยินดีใบเล็กหนีบกับคลิปไว้ตรงใบหู พี่ทาวน์ไม่ได้รับไปในทันทีแต่ขมวดคิ้วมองเหมือนเห็นมันเป็นของแปลก... ฉิบหาย คำพูดของไอ้ฟาลอยมาเลย โดนด่าแน่กู

“เห็นกูเป็นโจชัวร์เหรอ”
จึก... โดนถามเหมือนไอ้ฟาเลย โธ่ ถ้าตอบว่าพี่น่ารักเหมือนโจชัวร์จะโดนไล่ถีบรอบมหา’ลัยหรือเปล่าวะ ถ้าเมื่อไหร่ซื้อบ้านสักหลังเป็นของตัวเองได้ จากตุ๊กตาหมาคงกลายเป็นตัวจริง ให้เลี้ยงสองตัวเลย!

“คือ...”

“ตุ๊กตาหน้าเหมือนมึงดี กูชอบ”
หูย เข้าอ่อนแทบล้มทั้งยืน พี่ทาวน์แอบบอกชอบผมทางอ้อมหรือเปล่า ร้ายนะเนี่ย แฟนใครหว่า โอย อยากกลับคอนโด จะฟัดให้หนำใจเลย

“ชอบผมหรือตุ๊กตา”
ผมถามย้ำในขณะที่โน้มหน้าเข้าไปใกล้ คนรอบด้านกลายเป็นอากาศธาตุทันทีเมื่อเราอยู่ด้วยกันสองคน ถ้าไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ใครจริงไหม

“ทั้งสอง”
คนตอบแก้มขึ้นสีระเรื่อน่ารักน่าหยิก ผมรีบผละตัวออกก่อนจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหว หันหน้าหนี เม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็หลุดพูดอยู่ดี ก็มันเก็บไว้ไม่ได้แล้ว

“โอย ทำไมน่ารักขนาดนี้วะ”
อยากปั้นเป็นก้อนแล้วกลืนลงท้องจริงๆ ยืนยันรอบที่ล้าน

“หึ ไปเรียกไอ้แฮมมาถ่ายรูปให้สิ ยืนอยู่ตรงนั้น”
จอมเปลี่ยนเรื่องชี้โบ้ชี้เบ้ให้มองเพื่อนที่ยืนอยู่ไม่ไกล รายนั้นกำลังยืนคุยอยู่กับใครบางคน ดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นผ่านๆ ผมพยายามนึกจนในที่สุดก็ถึงบางอ้อ เอาจริงดิ!

“เฮ้ย นั่นมันรุ่นพี่ที่เราเจอกันเมื่อวันนั้นไม่ใช่เหรอ ทำไมถึง...”
หอบดอกกุหลาบช่อโตมาล่ะวะ กอไผ่ของพี่แฮมน่ารื้อค้นฉิบหาย ความลับไม่มีในโลก จำไว้!

“อืม เดี๋ยวชัวร์เมื่อไหร่มันคงเปิดตัวเอง”
สรุปว่าจะไม่มีใครสนผู้หญิงกันแล้วใช่ไหม... เออ แค่คบเพศเดียวกันอะไรๆ มันก็สบายกว่าเยอะ แถมไม่ต้องกังวลเรื่องท้องด้วย หึหึ (สมองคิดอยู่แค่นี้จริงๆ สินะ ไม่มีเวลาไหนเลิกหื่นได้เลย เฮ้อ)

ผมทิ้งพี่ทาวน์ไว้กับกองของขวัญแล้วเดินออกมาจับผิด เอ้ย เรียกพี่แฮมให้ช่วยไปเป็นตากล้อง รอยยิ้มกริ่มผุดขึ้นเมื่อเป้าหมายทำท่าจะเอนหัวไปซบไหล่รุ่นพี่คณะบริหารคนเดิมที่เคยเจอกันในร้านก๋วยเตี๋ยว ประเจิดประเจ้อขนาดนี้ไม่ต้องเปิดตัวแล้วมั้ง

“พี่แฮม”
ผมแกล้งเรียกเสียงใสโบกมือทักทายหลังจากแอบดูอยู่นาน เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกรีบผละตัวออกห่างจากรุ่นพี่ทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวัล ดวงตากรอกไปมาเหมือนกำลังเตรียมคำโกหกแต่ไม่ลืมที่จะตั้งคำถามชวนมีพิรุธ

“เฮ้ย! มะ มึงมาได้ไง”
ก็รู้ๆ ว่าผมเป็นอะไรกับใครยังเสือกตั้งคำถามแบบนั้น โธ่ พ่อนักกินริอ่านจะมีความลับ หึหึ

“เอ้า ก็แฟนผมเรียนหมอเหมือนกันเถอะ ทำไมจะมาไม่ได้วะ”

“อะ เออ กูลืมไป”
หน้าเสียไปอีก โอย อยากจะขำก๊ากแต่ต้องเก็บอาการเดี๋ยวไก่ตื่น

“พี่ทาวน์ขอให้ช่วยไปถ่ายรูปให้หน่อย”
ผมบอกธุระที่อุตส่าห์เดินมาหาเขา พี่แฮมขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ห๊ะ ทำไมต้องกู”

“ไม่ได้เหรอ”
ทำหน้าหมาอ้อนไปทีหนึ่งแต่ดูเหมือนพี่แฮมกำลังจะปฏิเสธผมเลยเหลือบตามองรุ่นพี่คณะบริหาร คราวนี้คนมีพิรุธถึงกับเดินมาตบบ่ากันทันที แหมให้ไกลถึงดาวอังคารคงน้อยไปเนอะ

“เฮ้ย เรื่องแค่นี้ ได้ดิ ปะๆ”
กอดคอผมอย่างสนิทสนมแล้วรีบออกแรงผละให้เดินไปข้างหน้า แต่นายภาคินมันคนดีไงเลยเป็นห่วงคนที่ยืนดูเหตุการณ์เงียบๆ ไม่หือไม่อือคล้ายพี่ทาวน์เลยว่ะ โคตรเดาอารมณ์ยาก

“แล้วพี่คนนั้น...”

“หา เอ้อ กะ ก็รุ่นพี่ที่รู้จักไง”
จ้า นึกว่าลืมไปแล้วว่าแนะนำตัวรุ่นพี่กับพวกผมว่ายังไง ถ้าไม่สนิทเขาจะมางานรับเสื้อกาวน์แบบนี้เหรอพี่แฮม... โกหกไม่เนียนไปเรียนมาใหม่เนอะ!

“ผมยังไม่ได้ถามอะไรเลย ร้อนตัวนะเรา”
ผมว่าเสียงล้อแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มมองสลับระหว่างพี่แฮมกับรุนพี่คนนั้น เขากลบเกลื่อนโดนการเอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับใบหน้ากันก่อนบังคับให้มองตรงไปจังพี่ทาวน์ที่นั่งอยู่ไม่ไกล แม่ง กระดูกคอแทบเคลื่อน!

“โอ๊ย ไม่มีอะไรหรอก รีบๆ ไปถ่ายรูปเหอะ”
ถ้ากูยังขืนนิ่งอยู่ที่เดิมคงโดนว่าที่หมอจับเชือดแน่นอน

หลังจากที่ใช้งานตากล้องจำเป็นเสร็จก็ได้เวลาที่เราจะแยกย้ายไปทำธุระอย่างอื่นต่อ วันนี้มีงานรับเสื้อกาวน์แล้วยังมีการย้ายคอนโดของพี่ทาวน์อีกด้วย ฤกษ์ดีกว่านี้ไม่มีแล้ว โอย ตื่นเต้นจนอยากลงไปดิ้นกับพื้น

ในขณะที่ผมรอรับเสื้อกาวน์จากพี่ทาวน์นั้น ว่าที่หมออีกคนก็เดินตรงมาทางนี้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ด้านหลังมีขี้ข้ากิตติมาศักดิ์เดินตามต้อยๆ และเหมือนมันกำลังประสบปัญหาการถือของ โง่ไม่โง่ก็ทำช่อดอกไม้ตกกระจายบนพื้นล่ะวะ เกลื่อนจ้า ภารโรงด่ามึงแน่ๆ

“พวกมึงจะไปไหนกันต่อปะ”
ถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วมองผมสลับกับเพื่อนของตัวเอง มีแอบยิ้มกริ่มสงสายตารู้ทันให้อีกด้วย เดี๋ยวนะพี่ฟา นี่ยังไม่ได้แสดงท่าทางแปลกๆ เลย ล้อเลียนกันตลอดเว้ย

“กลับไปขนของ”
คนตอบเป็นพี่ทาวน์ไม่ใช่ผม เพราะอีกคนส่งน้ำมาให้ดูดพอดี บริการระดับพรีเมี่ยมหาได้จากแฟนนี่ล่ะ ประทับใจสุดๆ

“ขนไปไหนไอ้เมือง”
พี่ฟาขมวดคิ้วแน่นแล้วโน้มตัวมาใกล้เป้าหมาย สายตาคาดคั้นอย่างเต็มที่ แต่มีหรือพี่ทาวน์จะหวดหวั่น รายนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเสาเข็มอีก

“ย้ายคอนโด”
ตอบเหมือนบอกว่าไปกินข้าวเที่ยง หึหึ เฉยชาสุดๆ

“ห๊ะ ทำไมกูไม่รู้เรื่อง จะย้ายไปไหนอะ”
พี่ฟาถึงกับเข้าไปเขย่าแขนเพื่อนด้วยความอยากรู้ พี่ทาวน์ฟาดมือซุกซนนั่นแล้วขยับมาเบียดผมเพื่อหนีการเกาะแกะ

“คอนโดไอ้เจ็ท”
เสียงเบาแทบกระซิบแค่ไอ้คนหูดีกลับแทบป่าวประกาศให้คนรอบหอประชุมรับรู้ ใจเย็นๆ ครับ พวกผมจะแต่งงานเมื่อไหร่ค่อยทำแบบนี้แล้วกัน

“หง่อว! พัฒนาโคตร”
พี่ฟาบอกปากแซวแล้วเข้ามากระแซะไหล่เพื่อนแรงๆ จนพี่ทาวน์เซมาชนผมทั้งตัว ดีที่คว้าเอวสอบไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงหน้าคะมำจับกบบนพื้น

“จะไปช่วยขนเหรอ”
อย่าหาความเขินจากพี่ทาวน์ในเวลานี้ เพราะเขากำลังต้อนเหยื่อให้ติดกับมากกว่า การย้ายที่อยู่ใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้ามีคนช่วยเพิ่มขึ้นคงดี

“เปล่าเว้ย ถามเฉยๆ เดี๋ยวกูจะพาเด็กน้อยไปกินข้าวเที่ยงละ”
พี่ฟาชี้ไปทางไอ้ฟาร์มที่ยังวุ่นวายกับการเก็บกลีบกุหลาบบนพื้น ปลายหางตาเห็นพี่ทาวน์เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ ส่วนผมอยากจะหัวเราะให้คอแตก คนหลงแฟนนี่ไม่ได้มีแค่กูคนเดียวสินะ เด็กน้อยล้าอะไรตัวอย่างกับควาย

“เอาใจกันจริง”

“นิดนึงน่า สามีกูทั้งคนอะ”
โอ้โห ทั้งผัวทั้งเมียเลยจ้า

“อายปากบ้าง”
พี่ทาวน์ถึงกับส่ายหัวเพราะทนความเป็นพี่ฟาไม่ได้ ออกตัวแรงกว่านี้ก็ซุปเปอร์คาร์ติดเทอร์โบแล้วครับ

“คิก งั้นกูไปแล้วน้า แต่งเมื่อไหร่บอกกูด้วย”
พี่ฟาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะวิ่งไปลากไอ้ฟาร์มให้เดินตามดูเหมาะสมกันเหลือเกินคู่นี้ ส่วนพี่ทาวน์ทำได้แค่ตะโกนไล่หลังเพื่อนทั้งที่หน้าแดงเถือก ไม่รู้ว่าเขินหรือโกรธ

ผมยัดของทุกชิ้นไว้หลังรถก่อนจะเอื้อมหยิบไม้แขวนเพื่อเก็บเสื้อกาวน์ จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินวนกลับไปฝั่งคนขับเพื่อทำหน้าที่สารภีให้กับคุณแฟน เขานั่งหลับตานิ่งๆ หายใจเข้าออกสม่ำเสมอคงกำลังผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ปล่อยให้พักผ่อนแล้วกัน

รถกำลังเคลื่อนตัวออกจากลานจอดไปตามเส้นทางมุ่งสู่คอนโดหรู ผมเหลือบมองคนข้างกายเป็นระยะก็พบว่าเขาลืมตาแล้วและกำลังง่วนอยู่กับการหาคลื่นวิทยุเพื่อฟังเพลง คลาสสิกไปอีก

“ทำอย่างที่พี่ฟาบอกดีไหมครับ”
ผมรอโอกาสพูดเรื่องนี้ตั้งแต่ขึ้นรถมา ไม่ใช่แค่อยากแกล้งให้เขาเขิน แต่กำลังจริงจังกับความสัมพันธ์ของพวกเรามากขึ้นไปอีกขั้น

“อะไร”
พี่ทาวน์ถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะฮัมเพลงสากลตามวิทยุ

“ก็เรื่องแต่งงานไง”
ผมพูดจบทุกอย่างก็เงียบลงทันที แอบหวั่นใจว่าจะถูกพี่ทาวน์ด่าแต่กลับผิดคาดเมื่อโดนตั้งคำถามกลับมา

“หึ มีเงินมาขอกูเหรอ เรียกแพงนะ”
เหนือความคาดหมายคือการถามหาสินสอดเว้ย ผมแทบจะเหยียบเบรกแล้วตอบคำถามของพี่ทาวน์อย่างจริงจัง แต่คิดทบทวนดูแล้วคงมากเกินไปเลยทำแค่ชะลอรถแล้วพูดสิ่งที่คิด

“ชีวิตของผมทั้งหมด พอไหมครับ”
ถ้าเขาตอบว่าไม่พอผมกลายเป็นหมาเลยนะ ลุ้นฉิบหาย มือชื้นเหงื่อหมดแล้วเนี่ย

“ไม่ลงทุนเลย”
พี่ทาวน์ส่งนิ้วมาเคาะหัวกันแล้วเบะปากใส่ มันน่ารักจนผมแทบพุ่งไปจูบ แต่ตอนนี้ขอเคลียร์เรื่องสินสอดก่อน



ต่อด้านล่างจ้า

หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-02-2018 09:45:47
“ก็ตอนนี้ผมไม่มีรายได้เป็นของตัวเองนี่น่า”
ผมบอกเสียงอ่อย ทำหน้าเศร้าคล้ายลูกหมาโดนเจ้าของทิ้ง ส่วนพี่ทาวน์ก็หัวเราะชอบใจที่ได้เห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของแฟนตัวเองก่อนจะเอื้อมมือมาโคลงหัวกันด้วยรอยยิ้มละมุน ตบหัวแล้วลูบหลังปะเนี่ย

“เรียนจบค่อยมาคุยเรื่องนี้ใหม่”
แสดงว่าผมมีหวังใช่ไหม! เผลอเหยียบเบรกจนหัวทิ่มทั้งคู่เลยโดนพี่ทาวน์ต่อยแขนเขาให้แบบไม่ยั้งมือแถมด้วยการแยกเขี้ยว แต่อย่าคิดว่านายภาคินจะกลัว ตอนนี้อยากรู่เรื่องแต่งงานมากกว่า

“ทาวน์... จะยอมแต่งกับผมเหรอ!”
ผมทำตาวิบวับใส่พี่ทาวน์ ตอนนี้เราอยู่หน้าคอนโดพี่ทาวน์แล้ว ดีหน่อยที่เมื่อครู่ไม่มีรถตามหลัง ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาคงโดนโกรธเป็นเดือนแน่

“กูพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
เอ้า... แล้วประโยคนั้นไม่ได้หมายความแบบนี้เหรอ หมาหงอย หมาเหงา หมาเศร้ามาครบ ฮึก

“ง่ะ...”

“ไปๆ ถ้าชักช้ากูไม่ย้ายคอนโดแล้วนะ”
คราวนี้พี่ทาวน์ทำเสียงดุก่อนพยักพเยิดหน้าให้ผมขับรถเข้าลานจอดสักที ทำไมชีวิตช่างโหดร้ายแบบนี้!

“ตกลงแล้วห้ามเปลี่ยนใจครับ!”

หลังจากที่รวมพลคนย้ายของได้สี่ชีวิต มีผม พี่ทาวน์ ไอ้ไธ และคนสุดท้ายคือจิณณ์ ใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมงในการขน จัดห้องใหม่กันเรียบร้อยก็นอนแผ่อยู่บนพรมหน้าทีวี ไม่ไหวจริงๆ เหนื่อยอย่างกับไปวิ่งรอบสนามสิบกิโลเมตร

“กูจะนอนห้องเก่าจิณณ์แล้วกัน”
คนที่นอนบนโซฟาพูดขึ้นลอยๆ ทำให้ผมลืมตาพรึบด้วยความตกใจ ย้ายมาอยู่ด้วยกันแต่นอนคนละห้องคืออะไรวะ

“เฮ้ย เดี๋ยวๆ ได้ไงครับ ย้ายมาแล้วก็ต้องนอนกับผมสิ”
ผมโวยวายเสียงดังก่อนจะลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองพี่ทาวน์ด้วยสีหน้าเครียดขึง ไม่เอาแบบนั้นนะเว้ย นายภาคินมันเป็นคนโลภมากไง อยากมีพี่ทาวน์ไว้ข้างตัวทุกวันและนอนกอดทุกคืน

“ขอเหตุผลดีๆ สักข้อ”
พี่ทาวน์ลุกขึ้นนั่งไม่ต่างกันแต่กลับกอดอกแล้วมองผมอย่างคาดคั้น เหตุผลดีๆ สักข้อคงไม่มีหรอก มีก็แค่เด็กขาดความอบอุ่นและติดแฟน

“อยากนอนกอดแฟนนี่นา”
ผมบุ้ยปากเหมือนเด็กโดนขัดใจ ดวงตาคมช้อนมองคนบนโซฟาอย่างออดอ้อนหวังว่าเขาจะอ่อนให้ แต่พี่ทาวน์ทำสิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างการวางมือลงบนหัวกันแล้วโคลงเบาๆ ท่าทางคล้ายเจ้าของเอ็นดูหมาที่เลี้ยงไว้ โธ่แฟน...

“ถ้าวันหนึ่งกูไม่อยู่ขึ้นมาจะทำยังไง”
ทำไมอยู่ๆ เข้าโหมดดราม่าวะ ผมขมวดคิ้วแล้วจับมือพี่ทาวน์มาบีบไว้แน่น ทำไมพูดแบบนั้น ใจจะพัง

“พี่คิดจะทิ้งผมเหรอ!”

“กูหมายถึงเวลาไม่ว่างเจอกัน”
โป๊ก โดนเคาะหัวจนมึนเลย เจ็บอะ

“อ๋อ... ก็คงคิดถึงพี่”
ผมยิ้มแห้งตอบกลับพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวป้อยๆ พี่ทาวน์มองก่อนจะถอนหายใจแล้วคลี่ยิ้ม อารมณ์แปรปรวนเหลือเกินที่รัก

“ไม่งอแงเหรอ”

“งอแงสิ แต่ไม่ทำให้ลำบากใจแน่นอน”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง แล้วเนียนซุกหน้าลงกับต้นขาขาวๆ ที่โผล่พ้นกางเกงตัวจิ๋วออกมา ถูไถแก้มเบาๆ อย่างออดอ้อน ชอบช่วงเวลาแบบนี้ที่เขาไม่ปฏิเสธแถมด้วยการหัวเราะ

“น่ารัก”
คำชมทำให้ผมคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะถือวิสาสะกดจูบลงบนต้นขาขาวอย่างทะนุถนอม จริงๆ อยากกัดมากกว่าแต่กลัวโดนถีบยอดอกจนจุก

“ตอนนี้เรามีเวลาให้กันก็ควรใช้มันให้คุ้มไม่ใช่เหรอครับ”
เหตุผลเบสิกที่ผมพูดออกมาจากความรู้สึก ไม่มีการปรุงแต่งให้ฟังดูดี เพราะความเป็นจริงแล้วเวลาของเราทุกคนเดินเร็วยิ่งกว่ารถซุปเปอร์คาร์ซะอีก ควรใช้มันให้คุ้ม

“หึหึ โอเค กูยอมแพ้”
พี่ทาวน์บอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงด้วยความมันเขี้ยว หลังจากนั้นก็โถมน้ำหนักทับกันเต็มๆ ฟัดกันไปฟัดกันมาจนหอบเหนื่อยไปอีกรอบ อยากตะโกนว่ามีความสุขให้ก้องโลกจริงๆ

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพผมเปียกลู่กับชุดนอนย้วยๆ เห็นพี่ทาวน์กำลังเปิดตู้เย็นแล้วรื้อของอยู่ทำให้ต้องเดินเข้าไปถามด้วยความอยากรู้ ทำอะไรของเขานะ

“อยากกินอะไร”
อีกฝ่ายคงได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้าไปเลยเอ่ยปากถามตัดหนาก่อน ผมชะงักกึกก่อนที่รอยยิ้มตรงมุมปากจะผุดขึ้น ตั้งแต่เริ่มทำอาหารเป็นเขาก็น่ารักขึ้นเป็นกอง

“หืม ทาวน์จะทำเหรอครับ”

“อืม”

“เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะ ให้ผมทำเถอะ”
ไม่ใช่ว่าเขาทำไมอร่อย แต่ผมอยากให้พักผ่อนมากกว่า ก็เล่นตื่นตีห้าไม่เพลียยังไงไหว

“อยู่เฉยๆ น่า”
นายภาคินโดนดุแล้วไง แถมโดนก้านผักบุ้งฟาดเอาด้วย

“ทำไมล่ะครับ ผมอยากให้ทาวน์พักผ่อน”
ผมก้มลงเก็บซากผักบุ้งเมื่อครู่ทิ้งลงถังเพราะสภาพมันซีดจนเกินเยียวยา พี่ทาวน์หยุดรื้อค้นตู้เย็นแล้วหันมาจ้องกันเขม็ง

“กูอยากเอาใจแฟนไม่ได้หรือไง”
โอย ชอตนี้น้องยอมแล้วครับพี่ ผมก็อยากเอาทาวน์เหมือนกัน... (มันใช่เหรอเจ็ท)

“ทาวน์กำลังยั่วผมนะ”
ผมเดินเข้าไปประชิดตัวเขาแล้วโน้มใบหน้าลงจนปลายจมูกของเราแตะกัน มือหนารวบเอวสอบมากอดไว้ รั้งให้ร่างกายแนบกัน

“มโน”
โดนดีดปลายคางดังป๊อก เจ็บแต่ไม่ยอมแพ้!

“ก็ทาวน์แม่งทำตัวน่ารักอีกแล้ว”
ครวนี้ผมขโมยจูบคนตรงหน้าได้ ก่อนจะผละออกแล้วโดนพี่ทาวน์แยกเขี้ยวใส่ ฮือ น่ารักจนใจจะพัง เมียใครเนี่ย!

“มึงก็หื่นตลอดเวลา”
ยอมรับหน้าด้านๆ เถียงไม่ออกเลยจ้า

“ไม่ได้เหรอ คิดถึงจะแย่”
ห่างกันเป็นเดือน น้องเจ็ทคิดถึงพี่ทาวน์สุดๆ เลย

“งอแง”
ว่าผมแต่แก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศคืออะไรครับ แล้วนิ้วเรียวที่เกลี่ยกรอบหน้ากันคือยั่วใช่ไหมหรือยังไง

“นะครับ น้า”
อ้อนทั้งน้ำเสียงทั้งหน้าตาแถมด้วยการซุกจมูกลงบนต้นคอขาว แม่งเอ๊ย หอมจนอยากจะเลียไปทั้งตัว ทำไม ทำไมกูหื่นแบบนี้!

“ไม่”
แทบล้มทั้งยืน ไม่นะ ผมต้องไม่แพ้

“พี่ทาวน์ของน้องเจ็ท ~”
อ้อนขั้นแอดวานซ์ถึงจะโคตรอายก็เถอะ แต่เหมือนมันจะได้ผลเพราะพี่ทาวน์หน้าแดงกว่าเดิมบวกกับการขบกรามแน่น

“ไอ้เจ็ท...”
พี่ทาวน์เรียกดันเสียงต่ำแล้วเลื่อนมือลงมาขยำอกเสื้อของผมจนยับยู่ยี่ก่อนที่ใบหน้าจะซบลงเหมือนต้องการหลีกหนีสายตาหวานช่ำที่จ้องมองอยู่

“ไม่รักผมเหรอ”

“เกลียดมึงมั้งทุกวันนี้”
ทุบอกผมอีก จะเขินรุนแรงเกินไปแล้ว แต่โคตรน่ารัก หูแดงด้วย!

“งั้นขอไม่ได้เหรอ...”
ลองพยายามอีกครั้งด้วยการกระซิบข้างหูแล้วแกล้งแลบลิ้นเลียซอกคอขาว พี่ทาวน์สะดุ้งเฮือกก่อนปัดป่ายมือจนตบเข้าหน้าผมเต็มๆ โอย ซี๊ดเลยกู

“รำคาญ”
พี่ทาวน์สะบัดตัวออกจากอ้อมกอดแล้วจ้องหน้ากันเขม็ง

“.....”
ผมนิ่งเงียบแล้วก้มหน้าลงต่ำ ยอมแพ้ก็ได้

“จะทำอะไรก็ทำ แต่ขอสเต็กปลาหิมะ หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ๊ว โซบะกุ้งเทมปุระมาแลกก็พอ”
ตอนนี้หูฉลามน้ำแดงผมก็หามาให้พี่ได้ครับ เชื่อสิ!

ตั้งแต่วันนั้นที่ร้านดอกไม้จนถึงวันนี้ ผมอยากขอบคุณพี่ทาวน์ที่ยอมใจอ่อน ยอมให้รัก ยอมให้ดูแล และใช้ชีวิตร่วมกัน ต่อจากนี้ไปขอสัญญาว่าถึงแม้จะมีอุปสรรคผ่านเข้ามามากมายแค่ไหนก็จะผ่านมันไปด้วยกัน ไม่มีวันปล่อยมือพี่ทาวน์อย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้ไม่มีอะไรจะบอก นอกจากว่า ผม ‘ชนะใจหมอ’ แล้วนะ




-----------------------------------------------

จบแล้ว ~ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาอย่างยาวนานน้า
ขอบคุณที่คอมเม้นท์ติชมและให้กำลังใจ
เรื่องภาค 2 เรายังไม่ได้วางแพลนเลย ต้องรอดูกันต่อไปในอนาคต ฮือ

ติดตามเรื่อง Match ต่อกันได้ในแบบรูปเล่มนะ รับรองว่าตอนพิเศษจะทำให้ฟินสุดๆ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-02-2018 11:26:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 12-02-2018 14:00:11
ชนะใจหมอไม่พอ อ้อนจนพี่มันใจอ่อนยอมตามใจตลอด
 :-[ :-[ :-[
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 12-02-2018 20:10:01
งื้ออออออ จบแล้วหรอออ ยังไม่อยากให้จบ ชอบบบบบอะชอบบบบบบบบบ :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 12-02-2018 21:33:49
พลาดเรื้องนี้ตั้งแต่แรกได้ไง ชอบมากค่ะ
รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ

ขอบคุณคุณคนเขียนมากค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 13-02-2018 06:11:35
พี่ทาวน์ทำอะไรหรือพูดแบบไหนเจ็ทสามารถมโนได้หมดว่าพี่ทาวน์ยั่ว555555 หื่นตลอด ขอบคุณค่ะสนุกมาก รอเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 28-02-2018 15:04:41
เจ็ทคือผู้ชายที่เป็นได้ในชีวิตจริง
จะเศร้า จะหวาน จะเฮิร์ท จะอ้อน ได้หมด
คือไม่มีกั๊ก นอยด์อะไรก็แสดงออกหมด
น่ารักดีค่ะ ชอบอารมณ์ตอนอ้อนพี่มาก

ทาวน์คือมาดดี มาดเข้ม ทำขรึม จะหลุดก็เกรงว่าจะแปลก
แต่ตอนที่ยอมเจ็ทคือดี ยอมให้อ้อน ยอมให้เอาแต่ใจ
และยอมลงให้หลายอย่างเลย ปลื้มค่ะ

ไธจิณณ์ คือ ตลกจิณณ์มาก เหมือนจะห่วงเจ็ท แต่ก็อยากจะย้ายมากกว่า

เอยตังค์ คือ ตังค์ได้แต้มมากค่ะ และเอยก็ไม่สนใครเลย 5555

ฟาร์มฟา คือ คู่แผลงมาก รุกกันจนสมยอมเลย

แล้วแฮมคะ จะปิดทำเพื่อ กลัวเพื่อนแกล้ง แซ็ว หรือกลัวเค้าอาย

น่ารักดีค่ะ ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 07-03-2018 08:25:52
เจ็ท ขี้อ้อน แบบนี้ พี่ทาว น่าจับเจ็ทกดจังเนอะ :hao7:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 02-06-2018 13:09:58
น่ารักทุกคู่จริง ฉากเศร้าก็น้ำตาคลอตามเลย 55555 อิน
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-04-2020 00:26:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: = MATCH ชนะใจหมอ = แข่งครั้งสุดท้าย - P.6 /จบแล้ว/ (12/02/61)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 20-04-2020 19:07:11
น่ารักดีค่ะ
ชอบผองเพื่อนกินกันเองหมดเลย 55555+
อ่านตอนแรกคิดว่าพี่ทาวเป็นเมะสะอีก
เพราะเจ็ทมันเคะมากๆอ่ะ
เอะอะร้องไห้ตลอดดดด
แต่คดีพลิก 5555+
แต่ก็ขอบคุณคนเขียนค่ะสำหรับนิยายน่ารักๆ