พิมพ์หน้านี้ - Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: libra82 ที่ 20-05-2017 19:49:02

หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 20-05-2017 19:49:02
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
........................

Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ


Intro


    กรณ์กวาดสายตาอ่านเอกสารตรงหน้าคราวๆ ก่อนจะตวัดตาขึ้นมองเจ้าของประวัติที่กรอกมาอย่างละเอียดยิบ ลายมือไม่เชิงบรรจงแต่ก็ไม่หวัดมากจนอ่านไม่ได้ ชื่อระบุว่า ‘ดนตร์ เจนกิจโสภณ’ อายุสิบเก้าปี น่าแปลกที่เขาคิดว่าไอ้หมอหน้าเด็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ดวงตากลมหลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยมมองมาที่เขาคล้ายกับจะมีข้อซักถาม แต่เจ้าตัวกลับไม่พูดอะไร

    “ชื่อดนตร์เหรอ”

   “อ่า...ครับ”

    “ชอบการแสดงกับเล่นบาส...อืม” เขาถามต่อ อดแปลกใจไม่ได้เพราะเด็กตรงหน้าลักษณะไม่เหมาะกับงานอดิเรกที่กรอกลงมาเท่าไรนัก
    “ครับ”

    เขาพยักหน้าทำทีเป็นรับรู้แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าไร หลังจากตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็โบกมือไล่ เด็กหนุ่มยังคงทำหน้าเหมือนมีบางอย่างอยากพูดแต่ก็ไม่ยอมพูดสุดท้ายก็ได้แต่เดินจากไปเงียบๆ เขามองตามแผ่นหลังเล็กไปก่อนที่โทรศัพท์ในกระเป๋าจะสั่นเตือน...โยษิตาคนรักของเขานั่นเอง

    “ว่าไง”

   “จะกลับหรือยัง รอนานแล้วนะ ทำไมต้องไปรับคนเข้าชมรมด้วย ชมรมของตัวเองก็ไม่ใช่”

    โยษิตากระเง้ากระงอดต่อว่า ที่จริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกที่เธอจะไม่พอใจเพราะที่กำลังทำอยู่มันใช่หน้าที่ของเขาเสียที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เจ้าอ้วนตัวดีนั่นเขาคงได้พาเธอไปดูหนังแล้ว

   “จะเสร็จแล้วครับ ไม่เกินชั่วโมง รอหน่อยนะ เดี๋ยวเราค่อยไปดูหนังกัน”

   “สัญญาแล้วนะ ห้ามเลทด้วยไม่งั้นจะงอนจริงๆ ด้วย”

    “ครับๆ สัญญาเลย” กรณ์ยิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนรักที่ทำแก้มป่องปากยกสูงเพราะกำลังงอนเขาอยู่

    โยษิตาวางสายไป ความหงุดหงิดลงลดเมื่อเขาเอาใจ เขากับโยษิตารู้จักกันมาเกือบสองปีแล้ว ตั้งแต่ที่ประกวดตอนที่เธอประกวดดาวคณะ แต่เพิ่งจะคบหาดูใจกันจริงๆ ตอนขึ้นปีสอง เขากับเธอเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงจะขี้หึงไปนิด งอนบ้าง แต่ก็ตามประสานิสัยผู้หญิง ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยสิแปลก ในเมื่อเขาเองก็เป็นคนดังของมหาวิทยาลัยคนหนึ่งเหมือนกัน

    กรณ์เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าก่อนจะกลับมาทำหน้าที่ที่โดนบังคับมาต่อ สาบานว่าถ้าเจอไอ้เจ้าอ้วนอีกเมื่อไรเขาจะให้มันเลี้ยงเหล้าซะให้เข็ด โทษฐานที่เอาญาติตัวเองมาทรมาน...


    ดวงตากลมชำเลืองมองคนที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มผ่านเลนส์แว่น หัวใจดวงน้อยในอกเต้นตุบตับผิดจังหวะ ผู้ชายคนนั้นโดดเด่นเสมอไม่ว่าอยู่ตรงไหน ไม่เพียงแต่ส่วนสูงที่น่าจะเกินหกฟุตแต่ยังความหล่อเหลาชนิดที่เป็นดาราได้สบายๆ นั่นอีก เขาเคยได้ยินมาจากรุ่นพี่บางคนว่าผู้ชายที่ชื่อกรณ์เคยถ่ายแบบลงนิตยสารด้วย ไม่แปลกหรอกเพราะได้มาเห็นใกล้ๆ คำว่าหล่อยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ

    ดนตร์หันหลังกลับแล้วบังคับตาตัวเองให้เดินไปข้างหน้าก่อนที่จะโดนคนอื่นๆ จับได้ว่ากำลังแอบมองรุ่นพี่แถมยังเป็นผู้ชายอีกด้วย เด็กหนุ่มพรูลมหายใจช้าๆ แต่หลายครั้งกว่าที่จังหวะหัวใจจะกลับมาเป็นปกติ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา แค่ได้เจอกับกรณ์ผู้โด่งดังใจก็เต้นแรงเสียแล้ว สาบานได้ว่าดนตร์คนนี้ไม่ได้เป็นเกย์ ไม่เคยมีจิตพิศวาสกับผู้ชายอื่นมาก่อน แต่กลับมาใจเต้นกับรุ่นพี่คนนี้เสียได้ สงสัยเขาจะรับฟังเรื่องของกรณ์มามากเกินไปแน่ๆ...
..................

Chapter 1 การพบกันครั้งที่ 2

    เกือบปีแล้วที่เขาได้มาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าเรียนที่นี่ อ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำ จนในที่สุดเขาก็ได้มาเรียนที่นี่ในคณะนิเทศน์ศาสตร์ จริงๆ แล้วเขาเป็นพวกชอบแสดงออก ชอบเต้น ชอบร้อง แต่เพราะรูปร่างหน้าตาที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมายเลยมักจะถูกมองข้ามเสมอๆ แต่เขาก็รักสาขาที่เลือกเรียนและจะทำมันให้ดีที่สุด

    ที่นี่ไม่ค่อยเคร่งเรื่องพี่รหัส มีก็ได้หรือจะไม่มีก็ได้ เขาไม่มีพี่รหัสแต่รุ่นพี่ที่เคารพและหนึ่งในนั้นคือชนวีร์ประธานชมรมภาพยนตร์

    เขาได้อยู่ในชมรมภาพยนตร์ที่มีรุ่นพี่จากคณะเดียวกันอยู่ด้วยหลายคน กิจกรรมหลักของชมรมคือการทำหนังสั้น และสถานที่เหมาะแก่การเผยแพร่ความสามารถก็คือโลกออนไลน์ ถึงแม้ยอดคนดูจะไม่มากนักแต่คำติชมก็สามารถนำไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือได้ รุ่นพี่หลายคนที่จบจากคณะนี้ได้ทำงานในบริษัทผลิตหนังใหญ่ๆ ในไทยหลายคนแล้ว ดนตร์ใช้เวลาไม่นานในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม เขาไม่ใช่คนกรุงเทพฯโดยกำเนิด ดังนั้นอะไรหลายๆ อย่างจึงเป็นเรื่องแปลกใหม่และต้องเรียนรู้ โชคดีที่เขามีมนุษย์สัมพันธ์ดีเลยพอจะมีเพื่อนกับเขาบ้าง

    “นี่ๆ เธอเห็นพี่กรณ์อัพเฟซบุ๊คมั้ย โอ๊ย! ฉันละอิจฉายัยยาหยีจริงๆ คนอะไรโชคดีชะมัดได้เป็นแฟนกับผู้ชายที่ทั้งหล่อทั้งรวย”

    “วาสนาคนเราไม่เท่ากัน นอกจากอิจฉาเราก็ทำอะไรไมได้แล้วล่ะ”

    ประโยคสนทนาจำพวกนี้เขาได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ คำว่ากรณ์เยอะพอๆ กับคำว่ารายงานเลยทีเดียว ไม่แปลกอะไรหรอกเพราะในมหาลัยแห่งนี้กรณ์เป็นคนเด่นคนดัง รูปหล่อพ่อรวยตัวสูงใครก็พากันพูดถึงทั้งแง่ดีบ้างไม่ดีบ้าง เขาเองไม่ได้รู้จักรุ่นพี่คนนี้เป็นการส่วนตัวแต่มักจะได้ยินประวัติจากคนนั้นคนนี้อยู่เรื่อย ตอนนี้กรณ์เรียนอยู่ปีสาม คณะสถาปัตย์มีแฟนชื่อโยษิตา เขาเคยเห็นเธออยู่บ้างเหมือนกัน หน้าตาน่ารักเหมาะสมกับกรณ์ ทั้งคู่เป็นคู่รักที่ใครๆ ก็พากันอิจฉา...รวมถึงตัวเขาด้วย

    เขาใช้เวลาที่ว่างจากการเรียนมาเตร็ดเตร่ในชมรมเสมอ ถึงไม่ได้เป็นดาราหน้ากล้องแต่การได้ช่วยเหลืองานเล็กๆน้อยๆ ก็แก้เบื่อได้ดีเหมือนกัน เขาไม่ชอบไปนั่งเหงาอยู่ในห้องกับรูมเมทที่เห็นหน้ากันทุกวัน ดังนั้นในชมรมภาพยนตร์แห่งนี้เลยเป็นที่สิงสถิตหลักของเขา วันนี้ก็เช่นกัน เขาเลือกที่จะนั่งเล่นอยู่ในชมรมฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเย็นแล้วค่อยกลับไปที่หอพัก ดนตร์ก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์มือถือของตัวเองสนทนากับเพื่อนสนิทถึงเรื่องเรียน คนรัก หรืออะไรก็ตามแต่ที่อีกฝ่ายจะหยิบยกขึ้นมา

    “เพลงนายมานี่หน่อย”

    “ครับ”

    เด็กหนุ่มตากลมที่ยังคงสวมแว่นกรอบหนาสีดำอยู่รีบเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือ มองหาเจ้าของเสียงที่อยู่ไม่ไกลนักและเห็นได้ชัดเจนด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตมากกว่าคนอื่นๆ ดนตร์สอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วรีบวิ่งไปหารุ่นพี่ก่อนจะโดนเขมือบหัว

    ใบหน้าอิ่มเพราะไขมันตั้งนิ่งบนร่างที่ทั้งสูงและใหญ่ ดวงตากลมแต่เป็นประกายมองมาที่เขา ริมฝีปากสีสดระบายยิ้มน้อยๆ วันนี้หัวหน้าชมรมของเขาคงอารมณ์ดีไม่น้อย ถึงไม่ได้ทำท่าเหมือนจะเชือดคอเขาเหมือนทุกวัน

    “พี่วินมีอะไรหรือครับ”

    “นายเล่นบาสเป็นใช่ปะ”

   ดนตร์พยักหน้า ไม่ใช่แค่เป็นแต่ยังเก่งมากอีกด้วย น่าเสียดายที่ความสูงของเขามันน้อยไปหน่อยไม่อย่างนั้นคงได้ติดทีมของคณะไปแล้ว

    ชนวีร์พินิจพิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่สองรอบราวกับไม่แน่ใจนัก

    “ตกลงมีเรื่องอะไรหรือครับ” ดนตร์ถามซ้ำ

    “วันนี้มีเล่นบาส ทีมเราขาดคน นายสนใจหรือเปล่า”

   “สนสิครับ” ดนตร์ตอบรับทันที เขาคันไม้คันมืออยากจะเล่นใจจะขาด ถึงจะเคยเล่นบ้างแต่ก็ไม่บ่อยเพราะส่วนใหญ่สนามบาสจะตกเป็นของนักกีฬาของแต่ละคณะ ส่วนเขาที่เป็นแค่ตัวแถมได้แจมแค่เกมสองเกมเท่านั้น

   “แต่ห้ามแพ้นะ เงินเดิมพันมันสูง”

   “เดิมพัน? เล่นพนันกันหรือครับ”

   “ก็เออน่ะสิ” ชนวีร์จิ๊ปาก “ไอ้พวกนั้นมันท้ามา แถมวันนี้ไฟดันติดธุระเสียอีก”

    “พี่ไฟน่ะเหรอครับ” เขานึกถึงรุ่นพี่ปีสามตัวสูงใหญ่หน้าตาดีที่ชอบถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ มีโอกาสได้คุยกันหลายครั้งเขาเลยได้รู้ว่าพี่ไฟหรืออัคคีใจดี แถมยังสอนอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการถ่ายภาพอีกด้วย

    “เออๆ คนก็เลยขาด อย่าถามมากรีบไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนแล้วเจอกันที่สนามบาสตอนห้าโมงเย็น”

    “ครับ”

    ดนตร์รับปากพลางมองตามหลังรุ่นพี่ตัวอ้วนไป ถึงจะอ้วนเหมือนหมีขาวอย่างนี้ก็เถอะ พี่วินของเขาก็น่ารักไม่หยอก ชอบทำหน้าดุใส่แต่ที่จริงใจดีอย่าบอกใคร...



    ดนตร์ไปถึงสนามก่อนห้าโมง ในสนามมีคนอื่นๆ อยู่ด้วยที่เขาไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถึงจะเรียนมาเกือบปีแล้วแต่สังคมยังแคบไม่ค่อยรู้จักใครนัก แต่ที่เห็นแต่ละคนสูงเกินหกฟุตแทบทั้งนั้น มีแต่เขาเท่านั้นที่ระดับความสูงเทียบเท่ากับมาตรฐานผู้ชายธรรมดา ดนตร์อาศัยเงาของเสาแป้นบาสหลบแดดและไม่อยากเป็นจุดเด่นนักเพราะเขาไม่รู้จักใครในสนามเลย พี่วินก็ยังไม่มา

    “อ้าว! กรณ์มาแล้วเหรอ โชคดีจริงๆ วันนี้ได้นายมาช่วย อีกทีมไม่มีตัวเก่งด้วย สงสัยวันนี้ได้เงินไปกินเหล้าแหง”

    ชื่อของกรณ์เรียกความสนใจไปได้มากทีเดียว ทุกคนในสนามวิ่งเข้าไปรุมผู้ชายตัวสูงผิวขาว คิ้วหนาคม จู่ๆ หัวใจของดนตร์ก็เต้นแรง เขาต้องยกมือจับหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเอาไว้ เงาของเสาแป้นบาสกลายเป็นปราการสำคัญในการกำบังตัว แข้งขาพาลสั่นจนต้องนั่งยองๆ ภาวนาให้คนตัวสูงไม่มองมาทางเขา แต่ถึงจะสั่นประหม่าแค่ไหนแต่ตาเจ้ากรรมก็ไม่อาจละไปจากร่างสูงได้ ความหล่อเหลาเทียบเท่ากับดาราแถวหน้าเปล่งประกาย เรือนผมสีดำสนิทยิ่งทำให้ใบหน้าขาวจัด คิ้วหนาเข้มกันดีกับดวงตาเจ้าเล่ห์พราวเสน่ห์ จมูกโด่งสวย ริมฝีปากหนาสีสด น่าแปลกใจที่คนสูบบุหรี่หนักจะยังมีริมฝีปากแดงระเรื่อได้อยู่อีก

   ตุบ ตุบ ตุบ

   เสียงหัวใจของเขาเต้นดังเหลือเกิน ดังจนปวดแก้วหู ดนตร์พร่ำด่าตัวเอง ใช้ทุกความพยายามในการควบคุมความรู้สึกของตัวเอง แต่มันยากเกินไปเพราะกรณ์เข้ามาในความคิดของเขามากและนานเกินไป เวลาร่วมปีน่าจะพอสำหรับการบ่มเพาะความรู้สึกประหลาด...ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่อาจนิยามได้ เหงื่อไหลซึมจากขมับลงข้างแก้ม เขาใช้หลังมือปาดมันทิ้งลวกๆ พยายามหายใจเข้าออกให้ลึกที่สุด และสั่งให้ตัวเองเลิกมองคนที่อยู่ห่างออกไปเกือบสิบเมตรได้แล้ว

    “เพลง!”

    เจ้าของชื่อที่อาศัยร่มเงาของเสาแป้นบาสสะดุ้งโหยงจนเสียการทรงตัว ร่างเล็กล้มหงายหลังไม่เป็นท่า ข้อศอกกระแทกกับพื้นคอนกรีตเต็มแรงจนเจ็บแปลบ

    “อ้าวเฮ้ย! ซวยแล้ว”

    เสียงฝีเท้าที่มากกว่าหนึ่งคู่วิ่งตรงมาที่คนเจ็บ ดนตร์ยังคงตกใจและเจ็บจนเกินกว่าจะใส่ใจกับสิ่งอื่น แขนเรียวถูกมือของใครสักคนดึง ร่างที่เล็กกว่าคนอื่นๆ ถูกรั้งขึ้นตามแรงดึง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ดนตร์รับรู้แค่ม่านอากาศที่กรีดผ่านหน้าไป ไออุ่นจากบางอย่างโอบรอบลำตัว ดวงตากลมเปิดขึ้นขณะที่สติยังไม่กลับเข้าที่

    “เป็นอะไรหรือเปล่า”

   น้ำเสียงทุ้มต่ำของใครสักคนเอ่ยถาม แม้จะยังงุนงงอยู่แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ คนเจ็บกะพริบตาปริบๆ เพื่อปรับภาพพร่าเลือนให้ชัดเจนขึ้น

   “....กร...ณ์”

   “เฮ้ย! ไอ้เด็กนั่นเป็นอะไรหรือเปล่า”

     กรณ์มองเด็กหนุ่มในอ้อมแขน เจ้าตัวทำหน้าเหมือนคนไม่มีวิญญาณ ผิวหน้าขาวซีดไร้เลือด ร่างกายอ่อนปวกเปียกจนเขาต้องโอบรอบเอวไว้เพราะกลัวว่าจะร่วงลงไปกระแทกซ้ำ เขาหันมาเห็นพอดีตอนที่เจ้าตัวเล็กนี่ล้มหงายลงไป ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขากับเพื่อนๆ เลยรีบมาดู

    “ไม่แน่ใจว่ะ หัวกระแทกพื้นหรือเปล่าวะเนี่ย”

    เจ้าเด็กแว่นกระพริบตาเร็วสักพักก็ขืนตัวส่งสัญญาณบอกว่าสามารถยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว เขาปล่อยมือแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ เพราะหน้าของมันซีดจนน่าเป็นห่วง

    “นาย...เป็นอะไรหรือเปล่า”

    ดูเหมือนว่าดนตร์จะลืมวิธีพูดไปแล้ว อย่าว่าแต่เปล่งคำพูดเลยแม้แต่การได้ยินก็ถูกทำลายไปด้วย หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่กี่วินาทีมันก็กลับมาเต้นรัวกระหน่ำ ทุกความรู้สึกถูกทำลาย ตัวเย็นไปหมดแม้แต่สมองก็หยุดทำงานไปด้วย มีเพียงแต่สายตาเท่านั้นที่จับจ้องคนตรงหน้า...ตัวสูงจนต้องเงยหน้า ดวงตาที่ทอดมองมาเจือด้วยความห่วงใย

    ดนตร์สั่นหน้าทั้งที่ไม่ได้เข้าใจในคำถามสักนิด แล้วทั้งร่างก็ถูกแรงมหาศาลโถมเข้าใส่จนเกือบจะล้มไปอีกรอบ คนที่อยู่ด้านหน้าทำท่าจะยื่นมือไปรับ แต่เขาตั้งหลักได้ก่อนแล้วรีบหันมองเจ้าของแรงช้าง แล้วก็เป็นคนที่ตัวเกือบจะเท่าช้างจริงๆ

    “พี่วินผมเจ็บนะ”

    “เฮ้ยโทษทีๆ ฉันเห็นนายล้มเลยเป็นห่วง แล้วนี่เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า แย่เลยสงสัยวันนี้ต้องยกเลิกแข่งบาสไปก่อน ทีมฉันไม่พร้อม” ประโยคหลังชนวีร์คงหมายถึงคนที่มาจากอีกทีม

   “อะไรวะ คณะเอ็งมีคนแค่นี้หรือไง แล้วนี่อย่าบอกนะว่าไอ้เปี๊ยกนี่จะเอามาแทนไอ้ไฟ” ใครบางคนที่ดนตร์ไม่รู้จักพูดขึ้น ตากลมเล็กมองคนพูดที่ส่วนสูงไม่ได้ต่างจากกรณ์มากนัก ใบหน้ายียวนกวนโมโหอยู่นิดหน่อย ดีที่เขายังเจ็บอยู่ไม่อย่างนั้นคงมีวัดฝีมือกันบ้างล่ะ

    “ผม...ไม่เป็นไรครับพอแข่งได้”

   “ไม่เป็นไร? แขนนายเลือดออกนะรู้หรือเปล่า”

    ดนตร์ก้มลงมองแขนตัวเอง แล้วก็เห็นรอยหยดน้ำสีแดงข้นไหลผ่านตามความยาวของท่อนแขน สาบานด้วยความสัตย์จริงเขาแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองมีบาดแผลหลังจากที่ตะลึงงันไปพักใหญ่เพราะใครบางคน

    “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ แผลคงไม่ลึกเท่าไร”

    “ไม่ลึกอะไร!” ชนวีร์ตวาด “เลือดออกขนาดนั้น”

   “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมแข่งได้ พี่มีผ้าหรืออะไรที่พอจะพันแผลได้ไหมล่ะครับ”

   เมื่อเจ้าตัวยืนกรานว่าไม่เป็นอะไรก็ไม่มีใครคัดค้าน ชนวีร์ค้นหาอุปกรณ์ทำแผลแบบทันด่วนในกระเป๋าเป้ แผลของดนตร์ถูกทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าและพันด้วยผ้าพันคอลายหัวกะโหลกสีดำ แม้จะยังเจ็บอยู่แต่ดนตร์ก็เล่นเต็มที่เป็นผู้เล่นที่ตัวเล็กที่สุด แต่กลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและรับส่งลูกได้อย่างแม่นยำ ที่สำคัญยังกระโดดได้สูงจนน่าทึ่งอีกด้วย ทว่าสุดท้ายแล้วทีมของกรณ์ก็ชนะไปอยู่ดี ด้วยสกอร์ที่ห่างกันแค่ 2 แต้มเท่านั้น

    “โอ๊ย! เสียดาย อีกนิดเดียวแท้ๆ เลย”

   ชนวีร์บ่นเสียงดัง ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่ผู้เชียร์ข้างสนามเท่านั้น เงินเดิมพันตกเป็นของอีกทีมตามข้อตกลง หนุ่มตัวอ้วนแต่หน้าตาน่ารักเดินไปคว้าคอรุ่นน้องตัวเล็ก ที่เดินทิ้งท้ายแถว ดนตร์ตัวเล็กก็จริงแต่ฝีมือไม่ธรรมดา

    “เดี๋ยววันนี้ฉันพาไปเลี้ยงข้าว”

    ดนตร์ขมวดคิ้วมุ่น “พี่เพิ่งเสียเงินเดิมพันไม่ใช่หรือครับ”

    “เงินแค่นั้นขนหน้าแข้งฉันไม่ร่วงหรอกน่า นายรีบไปเปลี่ยนชุดฉันจะรอที่หน้าคณะ”
    

        เด็กหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้า ดนตร์เกือบจะเดินกลับไปที่คณะแล้วถ้าหากว่าสายตาไม่เหลือบไปเห็นทีมคู่แข่งเสียก่อน ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นปรีดาที่ได้เห็นผู้ชายตัวสูงที่ชื่อกรณ์ แต่เพราะเขาได้เห็นกรณ์กำลังหัวเราะอยู่กับผู้หญิงอีกคน...แม้จะอยู่ห่างกันร่วมสิบเมตร เขาก็ยังเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นทั้งสวย ทั้งน่ารัก อ่อนหวาน เธอสวมเสื้อผ้าตามสมัยและมีสไตล์ ผมยาว ผิวขาวเหมือนหิมะ ดวงตากลมโตเป็นประกาย เธอสูงอยู่ราวหัวไหล่ของกรณ์ ทั้งคู่ดูเหมาะสมกัน...ชนิดที่เขาไม่มีสิทธิ์เทียบเคียงได้เลย   
   
         ดนตร์หลับตาลงเมื่อเห็นว่ากรณ์สอดมือประคองเอวบางของคนรัก เขาปิดตาได้ทันก่อนที่จะเห็นว่าจมูกของกรณ์ประทับไปบนแก้มของเธอ หัวใจเจ็บจี๊ดยิ่งกว่าแผลที่ข้อศอกเสียอีก

    “ตกลงแกจะไปกับฉันหรือเปล่า กรณ์”

    เสียงของชนวีร์ดังขึ้น ฉุดให้เขาหลุดจากภวังค์ แล้วพอลืมตาขึ้นก็เห็นกรณ์เดินตรงมาพร้อมกับคนรักแล้ว เขาขยับตัวถอยห่างโดยอัตโนมัติ นึกอยากจะปฏิเสธคำชวนของชนวีร์

    “เรียกใครว่าแก ฉันมีศักดิ์เป็นพี่แกนะไอ้อ้วน” กรณ์สวนกลับ “ยาหยีอยากไปด้วย แกสปอร์ตพอที่จะเลี้ยงแฟนฉันอีกคนหรือเปล่าล่ะ”

    “สบายอยู่แล้ว” ชนวีร์ยักไหล่ “อ้าว เพลงยังไม่ไปเปลี่ยนเสื้ออีก รีบไปสิจะได้ไปกินเหล้ากัน”

    “เอ่อ...ครับ”

    เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดพยักหน้ารัวเร็ว หันหลังแล้ววิ่งหายไปกับความมืด...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Intro+Chapter 1
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 20-05-2017 19:59:21
    ร้านที่ชนวีร์เลือกอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กในมหาวิทยาลัย ที่นี่ให้อิสรเสรีในการดื่มกินขอแค่ไม่ก่อเรื่อง ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็พอ ดนตร์นั่งอยู่โต๊ะตัวในสุด โดยมีอัคคีขนาบข้าง จากนั้นก็เป็นชนวีร์ ส่วนฝั่งตรงข้ามคือกรณ์ โยษิตา และธาวินเพื่อนสนิทของกรณ์ ซึ่งรายหลังเป็นหนึ่งในทีมบาสด้วยฝีมือดีพอๆ กับกรณ์เลยทีเดียว

    อัคคีที่ติดธุระกลับมาทันมื้อเย็นพอดีราวกับตั้งใจ ชนวีร์บ่นเป็นหมีกินผึ้งเรื่องที่แพ้บาสเก็ตบอลแล้วโยนความผิดให้อัคคีโทษฐานที่ไปทำธุระส่วนตัว แต่ไม่ลืมชมเรื่องฝีมือการเล่นของเขา

    ดนตร์นั่งดื่มเงียบๆ พอได้เหล้าเข้าไปอาการอักเสบของแผลก็ทุเลาขึ้นมาบ้าง เขารู้ว่าเลือดยังคงไหลอยู่เพราะฝืนใช้งานมันทั้งที่ควรจะได้รับการปฐมพยาบาล แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะบอกใครได้ ช่วยไม่ได้ก็เขามันซุ่มซ่ามเองนี่นา เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกรณ์พอดี ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติคงจะรู้สึกดีไม่น้อย ทว่าในตอนนี้เขาอยากจะลุกหนีไปที่อื่นมากกว่า กรณ์กับคนรักไม่ได้สนใจเลยว่ายังมีคนอื่นอยู่ร่วมโต๊ะด้วย ทั้งคู่คุยกันกระหนุงกระหนิง ป้อนอาหารให้กัน แถมโยษิตายังดูแลกรณ์อย่างดีอีกด้วย ทั้งเทเหล้า คีบอาหารให้ หยอกล้อกันด้วยคำหวานจนแม้แต่อัคคียังทนไม่ไหว

    “ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ นี่มากัน 6 คนนะ ไม่ได้มาแค่สองคน ฉันก็อิจฉาเป็นเหมือนกันนะโว้ย”

    “หึ อิจฉาอะไร แกก็มีของแกไม่ใช่รึไง” กรณ์ตอกกลับ พลางรับแก้วที่โยษิตาส่งให้

    “คนนี้น่ะเหรอ” อัคคีเหลือบตามองไปทางซ้ายมือของตัวเอง “ช่วงนี้อ้วนไปหน่อยว่ะ กอดไม่มิด...แต่ถ้า...” รุ่นพี่หนุ่มหยุดพูดแล้วเบนสายตามาอีกฝั่ง “ตัวเท่าน้องลูกเจี๊ยบก็น่าจะดี”

    “ไอ้ไฟ!”
   
    ทุกคนในโต๊ะหัวเราะครืน ยกเว้นแค่ดนตร์เท่านั้น จริงๆ แล้วชื่อลูกเจี๊ยบมันมาจากวันรับร้อง เขาโดนบังคับให้ทำท่าพร้อมกับทำเสียงเจี๊ยบๆ ตามฉลากที่จับได้ จากนั้นคนในคณะบางคนหรือเพื่อนสนิทก็เรียกเขาว่าลูกเจี๊ยบแทนชื่อ เด็กหนุ่มยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไรนัก จะว่าไปไม่ใช่แค่แผลเท่านั้นที่ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บ สมองของเขาก็ทำงานช้าลงด้วยเช่นกัน ดนตร์ไม่ได้สนใจอะไรอีก หัวใจทำงานหนักเช่นเดียวกับมือที่คอยแต่จะยกแก้วเข้าปาก

    “เฮ้ย! ฉันว่านายดื่มหนักไปแล้วนะ”

     ใครสักคนยื่นมือมาผลักแก้วเหล้าที่กำลังจะเข้าปากออก ดนตร์เงยหน้าขึ้นมอง ทว่าดวงตาหลังแว่นกรอบหนามันพร่าเลือนเหลือเกิน

    ธาวินถอยหายใจด้วยอดหงุดหงิดไม่ได้ ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นได้หมอนี่กินเหล้าไม่หยุด เขาจำได้ว่าไอ้เจ้าตัวเล็กนี่มีแผลที่ข้อศอกแถมยังไม่ได้รับการปฐมพยาบาลแค่เอาผ้าพันไว้ลวกๆ แถมยังอึดเล่นจนจบเกม เขาอดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกัน เพราะหมอนี่ตัวเล็กกว่าคนอื่นๆ ถึงจะฝีมือดีก็เถอะ แต่แรงปะทะหลายๆ ครั้ง คงจะกระเทือนไปถึงแผล มิหนำซ้ำเจ้าตัวยังกินเหล้าเป็นว่าเล่นยิ่งกระตุ้นให้เลือดไหลง่ายขึ้น

    ดวงตากลมหลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยมเชยหยุดโลกช้อนมองเขา มันอ่อนเชื่อมด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ริมฝีปากแดงฉ่ำ ผิวแก้มระเรื่อ ธาวินรับรู้ถึงแรงบีบของหัวใจที่มีมากกว่าปกติ

    ...น่ารัก...

    “เออ ฉันว่านายดื่มเยอะไปแล้ว จริงสิ! ทำแผลหรือยัง ลืมไปแล้วนะว่านายมีแผล” ชนวีร์ยื่นมือผ่านหน้าอัคคี คว้าแขนรุ่นน้องข้างที่มีผ้าพันคอของตัวเองพันไว้ “ตายห่า! เลือดออกเต็มเลยว่ะ ฉันว่าเราพาเพลงไปหาหมอดีกว่าเดี๋ยวแผลจะติดเชื้อ”

    “เป็นแผลแล้วมาทำไม” กรณ์ถาม ไม่ยี่หระกับอาการบาดเจ็บของดนตร์หนัก

   “ก็เพราะฉันชวนมันมาน่ะสิ!” ชนวีร์ตวาด “ถ้านายจะอยู่ต่อก็ตามใจ เอาบัตรฉันจ่ายไปก่อน” มืออูมดึงกระเป๋าเงินออกมาแล้วส่งบัตรเครดิตให้ “ฉันจะพาเพลงไปหาหมอก่อน....นายจะไปด้วยหรือเปล่า” ประโยคหลังถามผู้ชายตัวโตอีกคน

   อัคคีพยักหน้า ท่าทางดนตร์ไม่ดีอย่างที่ชนวีร์ว่าจริงๆ “พวกนายอยู่กันต่อก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันกับชนวีร์จะพาเพลงไปเอง”

    “ผม...ไม่เป็นไร...พวกพี่ๆ อยู่ต่อกันเถอะครับ...ผมกลับเองได้”

    ดนตร์ยังไม่ได้เมาถึงกับไม่รู้เรื่องอะไร แต่ความคิดช้าลงไปเท่านั้นเอง ทว่าความรู้สึกมันกลับชัดเจนยิ่งกว่าเดิม คำพูดของกรณ์เมื่อครู่เหมือนมีดคมกรีดลงบนบาดแผลให้ลึกกว่าเดิม เขาไม่ได้เรียกร้องความเห็นใจจากใครแต่ปฏิเสธใครไม่เป็นเท่านั้น ร่างเล็กผุดลุกขึ้นแต่ก็ต้องเสียหลักเพราะประเมินฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ต่ำเกินไป ตัวเขาโอนเอนไปด้านหลัง ดีที่ได้อัคคีคว้าแขนเอาไว้

    “เมาขนาดนั้นแล้วยังจะทำเป็นอวดดี”

    คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหน็บแนมอีกครั้ง ดนตร์กัดฟันกรอด เขาสะบัดแขนจนหลุดจากมือของอัคคีแล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้น ไม่สนใจว่าจะชนใครหรืออะไรบ้าง

    เกลียด...เขาเกลียดกรณ์ที่สุด!

    ดนตร์หยุดวิ่งเมื่อรู้สึกว่าอากาศในปอดมันแทบไม่เหลือ เขาหยุดพักหายใจ ลมหายใจอุ่นร้อนผ่อนออกทางปากและจมูก หัวใจเต้นรัวแต่อาการเจ็บแปลบก็ไม่ได้น้อยลง เจ็บมากกว่าแผลที่ข้อศอกด้วยซ้ำ คำพูดของกรณ์ดังสะท้อนอยู่ในสมอง ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็สลัดมันทิ้งไม่ได้ ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งบนพื้นคอนกรีตเย็นๆ ตรงนั้น เขาเกลียดกรณ์ที่ทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง แต่เขาเกลียดตัวเองยิ่งกว่าที่หยุดคิดถึงกรณ์ไม่ได้

    “มานั่งทำอะไรตรงนี้” เสียงทุ้มต่ำของใครสักคนดังขึ้นเหนือศีรษะ

    ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกรีบเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่พอจะหายพร่าเลือนบ้างมองผู้ชายที่ยืนค้ำศีรษะตัวเองอยู่ ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตากลมแต่คมกริบ ริมปากสีสดกำลังระบายยิ้มคล้ายขบขัน ดนตร์ใช้มือยันตัวเองขึ้นจากพื้นแต่ก็ต้องล้มลงไปอีกรอบเพราะแผลที่อยู่ในผ้าพันคอของชนวีร์มันเจ็บจี๊ดจนต้องสูดปาก

    “เจ็บอยู่ไม่ใช่หรือไง!” ใครคนนั้นตวาดเสียงดัง พลางใช้มือรั้งต้นแขนข้างที่ไม่ได้เจ็บช่วยพยุงเขาขึ้นมา

    นัยน์ตาสีดำมีแววตำหนิแต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงใย ร่างสูงช่วยประคองให้เขายืนบนพื้นได้ปลอดภัย มีโงนเงนนิดหน่อยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังเหลืออยู่ มือใหญ่จับแขนของเขาขึ้น คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน

    “เลือดออกเยอะเลยนี่ ท่าทางจะอักเสบด้วย”

    “ผม...ไม่เป็นไร” ดนตร์ปฏิเสธ อยากจะดึงแขนออกแต่เพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ต่างคณะ เขาไม่อยากจะเสียมารยาท

    “อย่าดื้อ เห็นอยู่ว่าเลือดออกเยอะ ดูซิจะชุ่มผ้าแล้ว” อีกฝ่ายเอ็ด “เดี๋ยวฉันพาไปหาหมอ”

   “ไม่เป็นไรครับ...เอ่อ...ป่านนี้คลินิกคงปิดหมดแล้ว โรงพยาบาลก็ไกลเกินไป”

    คนตัวสูงกว่ายกยิ้ม “ที่มหา’ลัย เรามีหมอนะ อย่าลืมสิ”

     ‘หมอ’ ที่รุ่นพี่ต่างคณะบอก ไม่ใช่หมอประจำโรงพยาบาล คลินิก หรือแม้แต่อาจารย์หมอ แต่เป็นว่าที่คุณหมอ ธาวินพาเขามาที่คณะแพทยศาสตร์ และตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าว่าที่คุณหมอที่แนะนำตัวคร่าวๆ ว่าชื่อ จันทร์ทิวาหรือพี่ทิว ว่าที่คุณหมอจันทร์ทิวาบ่นเสียงขรมตอนที่ธาวินพาเขาไปบุกถึงห้องพัก จากนั้นก็พากันมาที่ห้องพยาบาลประจำคณะ เพราะที่ห้องของจันทร์ทิวาไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะรักษาแผลของเขาได้

    บาดแผลที่คิดว่าไม่ลึกที่จริงแล้วมันหนักหนากว่านั้น รอยถลอกเป็นทางยางร่วมสิบเซน จันทร์ทิวาบ่นไม่ขาดปากขณะคีบสำลีชิ้นแล้วชิ้นเล่าทิ้งหลังจากที่ใช้มันชุบแอลกอฮอล์เช็ดแผลเขา ดนตร์กัดฟันแน่นด้วยความแสบแสนสาหัส ความเจ็บปวดพุ่งพรวดเป็นเท่าตัว เขาทั้งเจ็บทั้งแสบจนน้ำตาไหล
    “หึ...ร้องไห้เลยเหรอ เด็กชะมัด” ธาวินพูดลอยๆ ดนตร์สูดน้ำมูกเสียงดัง ก่อนจะตวัดตามองรุ่นพี่ตัวสูง

    “ลองมาโดนมั่งไหมล่ะ”

    “ฉันไม่ซุ่มซ่ามเหมือนนายนี่” ธาวินยักไหล่ “แต่ก็หายเมาเลยใช่ไหมล่ะ”

    “อือ” ดนตร์พยักหน้ายอมรับ ฤทธิ์เดชแอลกอฮอล์ล้างแผลรุนแรงกว่าแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปหลายเท่านัก

    ว่าที่คุณหมอจันทร์ทิวาทำแผลไปเรื่อยๆ อาการเจ็บแสบทุเลาลง แต่ก็ต้องเผลอสูดปากอยู่หลายครั้ง กระทั่งมือขาวแปะเทปผ้าลงบนแผลการรักษาถึงได้สิ้นสุดลง

    “ระหว่างนี้ก็อย่าให้แผลโดนน้ำ ล้างแผลเองได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็มาที่นี่เดี๋ยวฉันทำให้ อ้อ! กินนี่ด้วย” จันทร์ทิวายัดซองยาสองสามอย่างใส่ในมือ “ยาแก้อักเสบ แก้ปวด กินหลังอาหารนะ”

    “ครับ” ดนตร์รับคำ “ขอบคุณนะครับ”

    “ไม่เป็นไรๆ แต่คราวหลังอย่าปล่อยให้แผลอักเสบขนาดนี้แล้วค่อยมาหาฉัน ที่สำคัญห้ามดื่มเหล้าไปสักพักนะมันจะทำให้แผลหายช้า”

    ดนตร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย ตอนนี้เขาทั้งเพลียทั้งง่วงจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ เด็กหนุ่มเปิดปากหาวอย่างลืมตัว เรียกรอยยิ้มจากว่าที่คุณหมอขี้บ่นได้

   “ธาม ฉันว่านายพาน้องไปนอนเถอะ ง่วงจนตาปิดแล้ว”

    ธาวินเห็นด้วย “ขอบใจมาก ไว้ฉันจะเลี้ยงเหล้านะ”

   “เออๆ เพื่อนกันเรื่องแค่นี้สบายมาก พาไอ้เจ้าตัวเล็กนี่ไปเถอะ ที่เหลือฉันจัดการเอง”

   ธาวินขอบคุณเพื่อนรักอีกครั้งก่อนจะช่วยพยุงปีกรุ่นน้องต่างคณะขึ้นจากโต๊ะ ไอ้เด็กดื้อทำท่าจะปฏิเสธ ทั้งที่ตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแล้วแต่ยังบอกว่าไม่เป็นไร ธาวินไม่ได้สนใจความดื้อของดนตร์ มือหนาสอดรัดเอวคนตัวเล็กกว่า

    “นายพักที่หอไหน”

   “หอชายห้อง 502 ครับ”

    ดนตร์ตื่นมาพร้อมกับความปวดแปลบที่ข้อศอกซ้าย หัวปวดตุบคงเป็นผลพวงจากแผลที่อักเสบ มิ่งขวัญเพื่อนร่วมห้องคงไปเรียนแล้ว ดวงตาปวดร้าวพยายามเพ่งมองนาฬิกาข้อมือที่ถอดไว้ เข็มสั้นยาวบอกเวลาว่าจวนจะสิบโมงแล้ว วันนี้เขามีเรียนตอนเก้าโมง แต่ดูจากสภาพร่างกายแล้ววันนี้เขาคงต้องเกเรสักวัน ศีรษะหนักอึ้งทิ้งตัวกลับลงไปบนหมอนใบเดิมอีกครั้ง กลิ่นยาทำแผลคลุ้งในอากาศ เขาทั้งปวดแผล ปวดหัวแถมยังหิวอีกด้วย ทว่าเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ในตอนนี้แค่หายใจกับกะพริบตายังทำได้ยากเลย

    ดนตร์หลับไปอีกครั้งทั้งอย่างนั้น เขาตื่นอีกทีตอนที่ประตูห้องโดนระดมทุบอย่างเสียมารยาท เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ใจจริงอยากจะดื้อดึงนอนต่อแต่เพราะความไร้มารยาทของคนด้านนอกยังคงมีอยู่เลยจำใจต้องฝืนสังขารลุกจากเตียงไปเปิดประตูรับอาคันตุกะ

    ร่างเล็กยืนโงนเงนหน้าประตูห้องพัก ดวงตาที่เปิดครึ่งปิดครึ่ง ร่างกายยังไม่ตื่นดีบวกกับอาการไข้ที่รุมเร้าทำให้การมองเห็นรวมทั้งสติเลือนรางเต็มที

   “ยังไม่ตายนี่ ไอ้อ้วนมันจะห่วงอะไรนักหนา”

    ร่างกายที่ย่ำแย่ตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย ถึงสติจะเหลือน้อยเต็มทีแต่เขาก็จำได้ว่าเสียงต่ำๆ ติดแหบนั่นเป็นของใคร เวลาร่วมปีมันมากพอที่จะทำให้จดจำอะไรได้ แม้จะไม่เคยคุยกันเลยก็ตาม เจ้าของห้องพยายามจะเงยหน้ามองผู้มาเยือนเพราะอยากจะแน่ใจว่าพิษไข้ไม่ได้ทำให้เขาสร้างภาพในจินตนาการขึ้นมาเอง ไออุ่นที่แผ่มาถึงผิวหนังช่วยยืนยันได้อีกหน่อยว่าเขาไม่ได้สร้างภาพของกรณ์เอง

    “ไหวหรือเปล่าวะ หน้าซีดเชียว ทำแผลแล้วใช่ไหม กินข้าวกินยาหรือยัง ไอ้อ้วนก็เหลือเกินเป็นห่วงแล้วทำไมไม่มาดูเองก็ไม่รู้ วานมันได้ทุกเรื่องจริงๆ”

    อีกคนหนึ่งบ่นเป็นหมีกินผึ้ง หากเป็นช่วงเวลาปกติเขาคงยินดีไม่น้อยที่ได้ยินกรณ์พูดยาวขนาดนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงที่แม้แต่จะดีใจ ดนตร์ขยับเท้า เขาอยากกลับไปนอนต่อ ทว่าเพียงแค่ก้าวขาโลกใต้เท้าก็โคลงเคลงไปหมด ร่างกายเสียศูนย์ทิ้งตัวไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก

   “อ้าวเฮ้ย!”

   “แม่งเอ๊ย!”

    กรณ์เผลอสบถหยาบคาย ตอนที่ต้องแบกร่างของเด็กแว่นจอมอวดดีกลับมาที่เตียงเล็กคับแคบ หอพักนักศึกษาเป็นสิ่งที่เกลียดที่สุดเพราะแคบและอึดอัด โชคดีที่เขามีเงินพอที่จะเช่าคอนโดใกล้ๆ อยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้หายใจไม่ออกตายเข้าสักวัน ร่างสูงใหญ่ดูเทอะทะไปหน่อยสำหรับห้องพักเล็กๆ เขาวางร่างเล็กลงบนเตียงที่เดาเอาเองว่าเป็นเตียงของเจ้าตัว

   “เฮ้อ! เวรกรรมอะไรของกูวะเนี่ย” กรณ์ยังคงบ่นอย่างต่อเนื่อง

    ตากลมคมเหลือบมองคนบนเตียง ใบหน้าขาวซีดเผือดไม่ต่างจากหน้ากระดาษ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายบนหน้าผาก ริมฝีปากอิ่มแดงสด แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเร็วกว่าปกติ เมื่อครู่ตอนที่อุ้มมาตัวของดนตร์ร้อนผ่าว ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาไอ้เจ้าเด็กจอมอวดดีนี่ป่วยแล้วอย่างแน่นอน

    เขาอยากจะด่าไอ้เจ้าอ้วนชนวีร์นัก มันอ้อนวอน ขอร้องแกมขู่ให้เขามาดูดนตร์รุ่นน้องที่รักยิ่งกว่าเขาที่มีศักดิ์เป็นพี่ของมันเสียอีก เขากับชนวีร์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ถึงจะหุ่นจะต่างกันแต่หน้าตาละม้ายคล้ายกันพอสมควร และแน่นอนว่าเขาต้องหล่อกว่ามัน รวมไปถึงอัคคีด้วย มันมักไม่ค่อยเกรงใจตำแหน่งศักดิ์ที่สูงกว่าของเขาเท่าไรนัก ชอบใช้ไหว้วานให้เขาทำโน่นทำนี่ให้อยู่เรื่อยจนเป็นนิสัย ไอ้เขาเองก็เผลอตกปากรับคำเสียหลายครั้ง รวมถึงครั้งนี้ด้วย

    กรณ์ถอยหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายแกมหนักใจ ถ้าหากไอ้เจ้าเด็กดนตร์นี่มันแค่เจ็บแผลแล้วทำเป็นสำออยหยุดเรียนเขาจะสบายใจกว่านี้ แต่สภาพมันย่ำแย่กว่านั้นมาก ไอ้ท่าทางอวดดีเมื่อคืนไม่มีให้เห็น มือเรียวยกขึ้นเกาหัวจนผมที่เซ็ทมาอย่างดีแทบจะเสียทรง เกิดมาไม่เคยดูแลคนป่วยเสียด้วยสิ หนักไปทางให้คนดูแลเสียมากกว่า

   “อือ...หนาว”

    คนป่วยครางขึ้น น้ำเสียงแหบพร่า เหงื่อผุดซึมเสื้อยืดตัวเก่า เขายืนหันรีหันขวางอยู่อย่างนั้นเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี แล้วก็เหมือนมีระฆังมาช่วย โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นแล้วคนที่โทรมาคือคนที่อยากจะด่ามากที่สุดเสียด้วย

   “ไอ้อ้วน! แกรีบมาดูไอ้แว่นเลย มันป่วยเนี่ย”

    “อ้าว! แล้วมีใครพาไปหาหมอหรือยัง” เจ้าอ้วนหรือชนวีร์ถามกลับทันทีน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

   “ยัง! มันหลับไปแล้ว แต่ตัว...” กรณ์ยื่นมือไปอังหน้าผากชุ่มเหงื่อ มันร้อนจัดจนเขาต้องชักมือกลับทันที “ตัวร้อนมาก ทำไงดีวะ”

    “ร้อนก็เช็ดตัวสิ”

    “ก็เช็ดไม่เป็นไง!” กรณ์ตะโกนกลับ คิ้วหนาเข้มขมวดจนแทบจะชนกัน

   “ทำไมโง่จังวะ โตมาได้ยังไงตั้งยี่สิบกว่าปี” อีกฝ่ายเหน็บแนมอย่างไม่ยอมความ

    “ไอ้อ้วน!”

    “เออๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน นายไปหาผ้าเช็ดตัวมาสักผืน ชุบน้ำบิดพอหมาดแล้วก็เอาไปเช็ดตัวให้ดนตร์ เช็ดจนกว่าตัวจะเย็นลงนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไป แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปคณะแพทย์ฯ นะ”

    กรณ์ยกมือทึ้งเส้นผม แค่คิดก็ยุ่งยากแล้ว ชนวีร์วางสายไปแล้ว วันนี้มันมีเทสต์ย่อยเลยขอให้เขามาช่วยดูรุ่นน้องเพราะเป็นห่วง

    เขาคิดว่าชนวีร์เป็นห่วงไอ้เจ้าสี่ตานี่มากเกินไป ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่มันทำท่าจะวิ่งตามไปหลังจากที่รุ่นน้องวิ่งหนีไปอย่างไร้มารยาท แต่ธาวินเพื่อนสนิทของเขาไวกว่า ไอ้หมอนั่นลุกพรึ่บแล้ววิ่งพรวดพราดไปแบบไม่ล่ำลากันด้วยซ้ำ ทำเอาคนที่เหลืองงเป็นไก่ตาแตก จากนั้นทั้งชนวีร์และอัคคีก็กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ดนตร์หนีไป บรรยากาศในโต๊ะกร่อยไปโดยปริยาย อัคคีพาชนวีร์กลับเหลือแค่เขากับโยษิตาที่ยังดื่มกินอีกสักพัก

    และด้วยเหตุนี้วันรุ่งขึ้นไอ้เจ้าอ้วนเลยกระหน่ำโทรหาเขานับสิบสายโยนความผิดทั้งหมดใส่เขา แล้วก็สั่งให้เขามาดูอาการของดนตร์ เขาเองก็จนแต้มเพราะโดนมันขู่ด้วยเรื่องที่เขาเอารถแลมโบกีนี่สุดที่รักของบิดาไปเฉี่ยวเสาไฟฟ้ามาเมื่อต้นปี แล้วเอาไปจอดไว้ที่เดิมทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เพราะวันนั้นมันอยู่ในเหตุการณ์ด้วยพอดี แลมโบกีนี่เลยกลายเป็นประเด็นขู่ขึ้นมาทุกครั้งที่เขาทำท่าจะปฏิเสธ

    กรณ์มองหาผ้า หรืออะไรที่ใกล้เคียงกับผ้าขนหนู หอพักนักศึกษาที่ทั้งเล็กทั้งแคบทำให้ข้าวของเครื่องใช้ถูกวางไม่เป็นระเบียบนัก แล้วเขาก็พบผ้าขนหนูสีเขียวพาดอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ข้างเตียง ชายหนุ่มคว้ามันไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ดีหน่อยที่มีห้องน้ำในแต่ก็เล็กเสียจนคนที่สูงเกินหกฟุตอย่างเขาต้องก้มหัวเข้าประตู หนุ่มคณะสถาปัตย์กลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าเปียกที่คิดว่าใกล้เคียงกับคำว่าหมาด เขายืนมองคนป่วยอย่างลังเลว่าควรจะเช็ดส่วนไหนก่อนดี ดนตร์หายใจแรงกว่าเดิม ริมฝีปากแดงสดเผยอเพื่อช่วยหายใจ เหงื่อพรายทั่วหน้าผาก เขาตัดสินใจวางผ้าไปบนหน้าผากก่อนแล้วค่อยๆ ไล้ไปส่วนอื่นๆ ของใบหน้า มือขยับไปตามเท่าที่สมองจะย้อนระลึกหวนไปถึงฉากในละครที่เคยดู ถึงจะไม่ใช่แต่ก็พอจะใกล้เคียง

    พอเช็ดทั่วใบหน้าเขาก็ใช้หลังมืออังหน้าผากคนป่วยอีกรอบ ไอร้อนยังไม่ได้ทุเลาลงเท่าไรนัก ผ้าในมือแห้งไปพอสมควร เขากลับไปในห้องน้ำอีกครั้งคราวนี้มีกระป๋องพลาสติกเล็กใส่น้ำติดมือมาด้วยเพราะคิดแล้วว่าเขาคงต้องเช็ดตัวให้หมอนี่อีกหลายรอบเลยทีเดียวกว่าตัวจะเย็นลง

    เสื้อยืดตัวบางของดนตร์เริ่มชื้นเหงื่อ แค่เช็ดหน้าอย่างเดียวคงไม่พอ มือเรียวยกขึ้นเกาผมตัวเองจนยุ่ง ท้องครางประท้วงเพราะได้เวลามื้อเที่ยง ชายหนุ่มสบถด้วยความหงุดหงิดคอยดูเถอะถ้าไอ้อ้วนมาถึงเมื่อไรเขาจะให้มันชดใช้อย่างสาสมเลยทีเดียว โทษฐานที่บังอาจทำให้ท่านกรณ์วุ่นวายได้ขนาดนี้ เขาวางหัวเข่าบนเตียงเล็กก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้ร่างของคนป่วย ออกแรงยกร่างที่เล็กกว่าตัวเองขึ้น แต่คนป่วยที่ยังหลับไม่ได้สติไม่อาจทรงตัวได้ด้วยตัวเอง ดนตร์ล้มลงไปนอน กรณ์จิ๊ปากแล้วรั้งร่างเล็กขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาจับศีรษะทุยวางบนหัวไหล่ของตัวเองพลางใช้แขนข้างขวารัดรอบเอวอีกฝ่ายเอาไว้

    การถอดเสื้อให้ดนตร์เป็นไปด้วยความทุลักทุเลแต่สุดท้ายเขาก็ดึงมันออกหลุดจากศีรษะได้ กรณ์วางร่างคนป่วยลงไปนอนตามเดิม ดวงตากลมคมกวาดมองท่อนบนของเด็กหนุ่มจอมอวดดี ดนตร์เป็นคนผิวขาว ผ่องใส เนียนละเอียดเหมือนกับผู้หญิง เม็ดทับทิมเล็กๆ ทั้งสองสีสดตัดกับผิวกายขาวจัด กรณ์นิ่งงันไปชั่วนาทีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังจดจ้องอยู่ที่เรือนร่างของเพศเดียวกัน

    “อือ...หนาว”

    เสียงครางของคนป่วยดึงให้เขาหลุดจากความภาพตรงหน้า กรณ์สะบัดหัวแรงๆ ไล่ความรู้สึกประหลาดออกไป แล้วกลับไปทำหน้าที่คุณหมอจำเป็นต่อ

    เขาใช้ผ้าผืนเดิมเช็ดไปบนผิวกายเนียนใส ไอร้อนดูดซับน้ำไปอย่างรวดเร็ว เขาต้องวนเวียนเช็ดอยู่หลายรอบกระทั่งความร้อนทุเลาลง กรณ์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง เหลือบมองนาฬิกามันเกือบจะบ่ายสองโมงแล้ว เขาเฝ้าเช็ดตัวให้หมอนี่ร่วมสองชั่งโมงเลยทีเดียว ความหิวหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ใบหน้าที่ไม่ได้ซีดเผือดแล้วของดนตร์มันทำให้เขาลืมหิวได้จริงๆ

    กรณ์ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ตัวเล็ก เหยียดขาไปตามความยาว เกิดมาไม่เคยต้องมาทำอะไรให้ใครเท่านี้มาก่อน ขนาดโยษิตาป่วยเขายังแค่ซื้อของบำรุงไปให้เท่านั้น ไม่เคยต้องมาเช็ดตัวให้ กรณ์เหลือบมองคนป่วยอีกรอบ ดนตร์ไม่เพ้อมาพักใหญ่แล้ว แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเป็นปกติ ริมฝีปากหนาแต่หยักสวยเผลอกระตุกยิ้มโดยไม่รู้ตัว เขาเผลอมองอยู่อย่างนั้นจนเปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ...

............................

กลับมาที่นี่อีกครั้งหลังจากที่หายไปนาน

เรื่องนี้เป็นฟิคแปลงนะคะ ส่วนเรื่องของโยธินนั้น........รอก่อนน๊าาาาาาาาาา

ป.ล. ขออัพอาทิตย์ละตอนเด้อจ้า
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Intro+Chapter 1
เริ่มหัวข้อโดย: maekkun ที่ 20-05-2017 21:05:09
 :pig4:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ [Chapter 2... 22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 22-05-2017 19:26:07
Chapter 2 พระเอก?

    เสียงพูดคุยดังอยู่ใกล้ๆ หู รบกวนการพักผ่อนที่ยาวนานให้ยุติลง เปลือกตาบางกะพริบเบาๆ ไม่กี่ครั้งก็เปิดขึ้น สิ่งที่เห็นพร่าเลือนด้วยสายตาที่สั้นเกินกว่าระดับปกติ บวกกับสติสัมปชัญญะที่ยังขาดๆ หายๆ เลยยิ่งทำให้ทั้งการมองเห็นและการได้ยินมีปัญหา มือเรียวควานหาเครื่องช่วยในการมองเห็นที่มักจะวางไว้ข้างหมอน แต่มันกลับว่างเปล่า ดนตร์พยายามยันตัวขึ้น แต่ศีรษะหนักอึ้งจนต้องทิ้งตัวหลับตาลงกลับไปนอนอีกรอบ ร่างกายปวดร้าวราวกับออกกำลังกายหนัก ลำคอแห้งผาก เขากระหายน้ำขึ้นมาทันที

    “....น้ำ”

   สิ้นเสียงร้องขอ สัมผัสเย็นก็แตะที่ริมฝีปากแล้วความชุ่มชื้นจากน้ำก็ไหลผ่านลิ้นลงสู่ลำคอ เขากินน้ำจนหมดทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจากที่ใด บางทีเขาอาจจะป่วยหนักจนคิดว่ามีเทวดาหรือนางฟ้าเอาน้ำมาให้กิน

   “เป็นไงบ้าง...ลูกเจี๊ยบ”

    น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นไม่ไกลนัก เจ้าของชื่อเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ภาพที่เลือนรางเมื่อครู่ดีขึ้นนิดหน่อยแต่เพราะไม่มีแว่นตาเลยยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก เขาขมวดคิ้วพยายามมองหาคนพูด จับจากน้ำเสียงอาจจะเป็นพี่วิน

   “พี่...วินเหรอครับ” เสียงของเขาแหบหนักยิ่งกว่าเป็ดเทศเสียอีก ดนตร์นิ่วหน้า คอของเขาเจ็บเหมือนมีหนามนับร้อยอยู่ในนั้น

    “ใช่ ฉันเอง นายเป็นยังไงบ้าง เฮ้ยๆ ยังไม่ต้องลุก”

    ชนวีร์รีบปรามรุ่นน้องที่ทำท่าจะยันตัวขึ้นมานั่งสนทนา แต่อีกฝ่ายก็แสนดื้อพาตัวขึ้นมานั่งกึ่งนอนจนได้ หนุ่มตัวอ้วนถอยหายใจเบาๆ ก่อนจะช่วยจัดท่าให้นั่งสะดวกขึ้น พลางส่งแว่นตาให้ ดนตร์กล่าวขอบคุณด้วยเสียงที่ฟังแล้วน่าสงสาร

   เมื่อได้เครื่องมือในการมองเห็น อะไรๆ ก็ชัดเจนมากขึ้น เขาเพิ่งรู้ว่าในห้องพักนักศึกษาที่เล็กเท่ารูหนูอัดแน่นไปด้วยผู้ชาย...ตัวใหญ่ ทั้งชนวีร์ อัคคี และผู้ชายอีกสองคนที่เขาเห็นไม่ชัดเพราะยืนอยู่มุมห้องและเป็นที่แสงส่องไปไม่ถึง ทว่าลักษณะคุ้นตาเหลือเกิน

    “พี่...มาทำอะไรกัน...เหรอครับ” คนป่วยเอ่ยถาม เขารู้ว่าตัวเองป่วยแต่ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมาชุมนุมอยู่ในห้องนี้

    “มาดูนายน่ะสิ รู้ไหมนายหลับไปตั้ง 3 ชั่วโมงแหนะ ดีนะที่ไข้ลดลงแล้ว ไอ้ทิวบอกว่าถ้าไข้นายยังไม่ลดจะต้องพานายไปหาหมอแล้ว” ชนวีร์บอก

    “...ทิว”

   “เออ จำได้หรือเปล่า ธามบอกว่าเมื่อคืนนายก็ไปให้เขาทำแผลให้”

   “ธาม...”

     ดนตร์นึกถึงเจ้าของชื่อทั้งจันทร์ทิวาและธาวิน เขารู้สึกคับคล้ายคับคลาว่าได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ยิ่งคิดเส้นประสาทรอบขมับก็ยิ่งทำงานหนัก จำได้แค่ว่าเขาล้มข้อศอกเป็นแผล แข่งบาส ไปกินเหล้าแล้วก็วิ่งออกมาอย่างเสียมารยาท ความทรงจำหยุดตรงแค่ใครบางคนพาเขากลับมาที่มหาวิทยาลัย แล้วทุกอย่างก็เหมือนถูกแช่เข็งไว้ เขาจำอะไรไม่ได้แล้ว

    “ใช่ หมอนั่นเป็นคนพานายไปหาทิวแล้วก็ทำแผลให้ แถมยังพานายกลับมาห้องด้วย” ชนวีร์ช่วยเติมเต็มความทรงจำที่ขาดหายให้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังนึกใบหน้าของธาวินและจันทร์ทิวาไม่ออกอยู่ดี คงเป็นเพราะพิษไข้ที่บั่นทอนความคิดให้ลดน้อยลง

    “...ฝากขอบคุณเขาด้วยนะครับ”

   “จะฝากทำไมล่ะ...ไอ้ธาม เพลงฟื้นแล้ว” คนพูดยกยิ้ม พลางกวักมือเรียกเจ้าของชื่อ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในสองคนที่ดนตร์สงสัยว่าเป็นใคร

    เงาร่างสูงใหญ่ทาบทับมาบนตัวเขาจนแทบมิด แสงสว่างจากด้านนอกและดวงไฟกลางห้องส่องกระทบใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาด ดวงตากลมแต่ไม่ลึกเป็นประกาย จมูกโด่งสวย รับกับริมฝีปากสีสด ดวงหน้าเรียว เรือนผมดำถูกเซ็ทเป็นทรงตามสมัยนิยม รูปร่างสูงใหญ่ คะเนด้วยสายตาน่าจะเกินหกฟุต สวมเสื้อยืดสีดำแขนยาวเนื้อดีกับกางเกงสีเดียวกัน ตัดด้วยรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสีขาว พอได้เห็นชัดๆ ความทรงจำที่เกี่ยวกับธาวินก็เริ่มกลับมาบ้าง เขาจำได้ว่ารุ่นพี่ต่างคณะคนนี้อยู่ในทีมบาสเก็ตบอลฝ่ายตรงข้าม และเป็นเพื่อนสนิทของกรณ์

    “ไงไอ้ตัวเล็ก ดีขึ้นแล้วนี่ ยังปวดแผลอยู่ไหม”

    ดนตร์สั่นหัว แผลที่ข้อศอกไม่เจ็บเท่าไร เขาเหลือบมองผ้าพันแผลสีขาวสะอาดลักษณะเหมือนเพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่

   “ทิวมาทำให้เมื่อชั่วโมงก่อน ไอ้เจ้าอ้วนมันโวยวายใหญ่กลัวแผลนายจะสกปรก” ธาวินพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินเบียดเจ้าอ้วนเข้าไปที่เตียงคนป่วย แล้วค่อยหย่อนสะโพกลงนั่ง มือหนายื่นไปที่หน้าผากใช้มันวัดอุณหภูมิร่างกายแทนปรอท “ตัวเย็นแล้ว เดี๋ยวกินข้าวแล้วก็กินยาด้วยนะ”

    “...ครับ” ดนตร์พยักหน้า ธาวินยิ้มให้เขา แล้วก็นั่งอยู่ตรงนั้นโดยที่สายตายังไม่ละไปที่ไหน

    “หิวหรือเปล่า” อัคคีถาม

   คนป่วยไม่แน่ใจนักเพราะยังคงมึนงงไม่หาย เขาไม่หิวแต่อ่อนล้ามากกว่า

    “ไม่ค่อย...”

    “หิว! ถ้าเยี่ยมเสร็จแล้วก็ไปๆ กันซะทีฉันหิวจะแย่แล้ว”

    เสียงคนพูดดังมาจากมุมห้องที่ค่อนข้างมืด ดนตร์เพ่งมองเงาร่างสูงใหญ่ของใครคนนั้น หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นๆ ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่เขาก็จำเสียงได้ วิธีการพูดที่ไม่รักษาน้ำใจคนฟัง โดยเฉพาะกับเขายิ่งทำให้แน่ใจว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นใคร

    “ฉันเพิ่งรู้ว่าพ่อเทพบุตรกรณ์ที่จริงแล้วโคตรจะงี่เง่า”

    “ก็มันเบื่อ ฉันอยู่ในห้องเล็กเท่ารูหนูนี่มาครึ่งวันแล้วนะไอ้ไฟ ฉันอยากจะไปกินข้าวกับแฟน”

    คนในมุมมืดเดินออกมาสู่แสงสว่าง ใบหน้าหล่อจัดมีรอยไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคมดุมองไปยังต้นเหตุที่ทำให้ต้องหัวเสีย ดนตร์หน้าร้อนผ่าวรีบหลบตาวูบ เขากลัวดวงตาคู่นั้นจริงๆ

     “ถ้ายังบ่นอีก ฉันจะเอาเรื่องที่นายขับแลมโบกีนี่ไปเฉี่ยวเสาไฟฟ้าไปบอกคุณลุง”

   “ไอ้อ้วน! นี่มันจะเกินไปแล้วนะ” กรณ์ขึ้นเสียง “ใครจะเป็นยังไงฉันไม่สนใจแล้ว หมดหน้าที่ฉันซะที!”

    ดวงตาดุกร้าวมองเขม็งไปยังร่างเล็กที่นั่งกึ่งนอนบนเตียงแคบเท่าแมวดิ้นตาย กรณ์กระแทกลมหายใจแรงๆ ก่อนจะออกจากห้อง 502 ไปโดยไม่อยู่ฟังคำต่อว่าจากใครอีก

    ดนตร์มองบานประตูที่ปิดลงหลังจากกรณ์ออกไปแล้ว กลิ่นไอความไม่พอใจของกรณ์ยังลอยคลุ้งในอากาศ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนผิดที่ทำให้อีกฝ่ายหัวเสียได้ขนาดนั้น แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมกรณ์ถึงต้องโกรธเขาด้วย

    ชนวีร์ถอยหายใจเสียงดัง บางทีเขาก็เอือมระอานิสัยผีเข้าผีออกของกรณ์เหมือนกัน แต่ไม่เคยถือสาหาความเพราะเข้าใจว่าอารมณ์ศิลปินก็เป็นแบบนี้ เอาแน่เอานอนไม่ได้

   “อย่าไปถือสาเลยนะลูกเจี๊ยบ หมอนั่นมันคงโมโหหิว ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง แถมยัยหยาหยีก็โทรตามอีก”

   “แล้วทำไมเขาไม่กินละครับ” ดนตร์ถามต่อ

   “ก็เพราะว่าหมอนั่นมันเฝ้าไข้นายไง” อัคคีตอบแทน กดยิ้มที่มุมปากระหว่างที่ยกมือพาดหัวไหล่เจ้าอ้วน “มันเช็ดตัวให้นายจนไข้ลดเลยนะ นี่ถ้าข่าวนี้หลุดไปนะ รับรองนายได้โดนแฟนคลับกรณ์เล่นงานแน่”

    “เช็ด...ตัว” ดนตร์พึมพำเหมือนคนละเมอ ซึ่งก็ไม่ต่างจากการได้ยินสิ่งที่อัคคีพูดเมื่อครู่นัก เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง อัคคีต้องล้อเขาเล่นแน่ๆ คนอย่างกรณ์ไม่มีทางจะทำแบบนั้นกับเขาหรอก

    “จริงๆ ฉันเป็นคนขอให้มันมาเอง ตอนที่เข้ามาฉันก็เห็นหมอนั่นหลับอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนาย ผ้าขนหนูตกอยู่ในกระป๋องน้ำ” ชนวีร์ช่วยสำทับอีกแรง

    คนป่วยไม่ได้ถามอะไรอีก ในหัวชาวาบไปหมดขณะที่หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่ากลองชุด กรณ์คนนั้นน่ะหรือ คนที่พูดจาไม่ดีกับเขา จะคอยดูแลเขาในตอนที่ป่วย ดนตร์ก้มหน้าลง เขาไม่อาจบังคับริมฝีปากของตัวเองไม่ให้ยกยิ้มได้...



    หลังจากที่ป่วยจนต้องนอนพักรักษาตัวอยู่สองวัน ดนตร์ก็กลับมาเรียนได้ตามปกติ โชคดีที่เพื่อนรักเมธัสช่วยจดเล็คเชอร์ให้ในระหว่างที่เขาป่วย เมธัสเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเขาถึงจะไม่ได้เป็นรูมเมทกันแต่ก็สนิทกันมากพอตัว เมธัสเป็นผู้ชายตัวผอมบาง ผอมกว่าเขาด้วยซ้ำ ดวงตากลมโต จมูกโด่ง หน้าตาน่ารักไม่น้อย ทว่านิสัยและฝีปากต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกลิบลับ

    ส่วนเพื่อนสนิทอีกคนเป็นผู้หญิง เธอชื่อลลิตา หน้าตาน่ารักน่าชังเหมือนตุ๊กตา ดีกรีความน่ารักทำให้เธอถูกคัดเลือกให้เป็นดาวคณะ เขามักจะไปไหนมาไหนกับสองคนนี้ มีบางครั้งที่ต้องแยกออกมาเพราะทั้งลลิตาและเมธัสเป็นคนดังคณะเลยถูกรุ่นพี่หรืออาจารย์เรียกใช้งานอยู่บ่อยๆ ส่วนเขา...ยังคงเป็นดนตร์ที่น่าเบื่อคนเดิมต่อไป

    “ไม่อยากเข้าเรียนวิชาอาจารย์เกลือเลยอ่ะ บรรยายทีฉันจะหลับ” เมธัสบ่นอุบ ก่อนจะตักข้าวใส่ปากคำใหญ่

    “เหมือนกันเลย เสียงอาจารย์เกลือเหมือนยานอนหลับ” ลลิตาพยักหน้าเห็นด้วย ตักหมูในจานตัวเองให้คนเพิ่งหายป่วย “กินเนื้อเยอะๆ จะได้หาย กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม”

   ลลิตาที่แสนดี ไม่ใช่เพียงแต่ใบหน้าที่น่ารักเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงนิสัยใจคออีกด้วย เธอมีน้ำใจกับเพื่อนๆ ไม่เคยยกตัวสูงกว่าใครแม้ว่าจะเป็นถึงดาวคณะก็ตาม

   “ขอบใจนะ”

    ดนตร์กล่าวขอบคุณเพื่อนรัก เขาตักข้าวขึ้นกินบ้างระหว่างนั้นก็มองบรรยากาศวุ่นวายของโรงอาหารไปด้วย แต่แล้วสายตาก็สะดุดกับกลุ่มบุคคลที่ดูโดดเด่น ดึงดูดสายตา แม้จะอยู่ในระยะห่างที่ห่างออกไปหลายสิบเมตรก็ตาม จังหวะการเคี้ยวอาหารของเขาลดน้อยลง ตายังคงจับจ้องไปยังผู้ชายตัวสูงหลายคนที่เดินมาเป็นกลุ่ม ไม่ใช่แค่เขาหรอก บรรดาสาวๆ ก็ด้วย มีบางคนหลุดชื่อของคนในกลุ่มนั้น บางคนก็เผลอส่งเสียงดีใจ ราวกับได้เห็นดาราชื่อดังในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย

    แต่ในกลุ่มนั้นไม่ได้มีแค่ผู้ชายเท่านั้น ทว่ายังมีผู้หญิงอยู่ด้วย เขาจำได้ว่าทันทีว่าเธอเป็นใคร ความสวยของเธอโดดเด่นพอๆ กับคนพวกนั้น ดวงตาหลังเลนส์แว่นมองเห็นมือใหญ่ของผู้ชายเกาะเกี่ยวเอวเล็กคอดกิ่วของเธอด้วย เขารีบก้มหน้าลงตักข้าวเข้าปากแต่รสชาติที่สัมผัสลิ้นมันกร่อยไปหมด

    “กรี๊ดอะไรกันวะ” เมธัสหันไปมองตามเสียงร้องที่ได้ยิน และทันทีที่รู้สาเหตุก็บิดปากคล้ายรังเกียจ “ฉันละไม่เข้าใจแม่พวกนี้จริงๆ ทำไมต้องไปกรี๊ดไอ้พวกนี้ด้วยวะ ไม่เห็นจะน่าปลื้มตรงไหน ฉันยังเท่ห์กว่าตั้งเยอะ”

    “อย่าพูดเสียงดังสิ เดี๋ยวแฟนคลับเขาได้ยินนายได้โดนรุมสกรัมแน่” ลลิตาปราม แต่ไม่ได้ผลสักเท่าไรนัก

    “ฉันไม่สน มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียดสิ แล้วฉันก็อยู่ในประเภทที่สอง” เมธัสยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก
    ดนตร์เองก็ควรจะทำเช่นเดียวกันกับเมธัส เขาบังคับตัวเองไม่ได้เงยหน้าไปมองใคร เพ่งความสนใจอยู่แค่ที่จานข้าวของตัวเองเท่านั้น ทว่าเสียงฮือฮารอบตัวดังขึ้น สัญชาตญาณบอกถึงความผิดปกติบางอย่าง เด็กหนุ่มเงยหน้าจากจานข้าว สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชาย 4 คน....และโยษิตา

    ดวงตาคมเรียวดุของคนที่อยู่ตรงหน้าพอดีมองมาที่เขา มันเย็นชาและห่างเหิน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะเขาไม่ใช่คนที่น่าสนใจนัก ใบหน้าขาวเรียบเฉย มือใหญ่เกี่ยวเอวเล็กของหญิงคนรักเอาไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของขณะที่ฝ่ายผู้หญิงกำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด

    “ไงไอ้ตัวเล็ก หายแล้วเหรอ” คนที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรเป็นฝ่ายทักก่อน พี่ธามยิ้มให้เขา มือวางเท้าบนโต๊ะอาหารชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “หน้าตาดีขึ้นเยอะเลยนี่”

    “คนนี้เหรอวะที่แกพูดถึง” คนตัวสูง ดวงตาค่อนข้างใหญ่กว่าคนอื่นเอ่ยถาม 

    “เออ นี่น้องเพลงคณะนิเทศน์ รุ่นน้องไอ้อ้วนวิน” ธาวินแนะนำตัวให้เขาเสร็จสรรพ ริมฝีปากหยักสวยยิ้มยก นัยน์ตาเป็นประกายอย่างคนอารมณ์ดี “ไง น่ารักหรือเปล่า”

   คนถูกถามไม่ได้พูดอะไรได้แต่ยักหัวไหล่เท่านั้น ธาวินถือวิสาสะสอดกายนั่งลงที่โต๊ะอาหาร “ฉันว่าเรานั่งกินตรงนี้ดีกว่า โต๊ะอื่นเต็มหมดแล้ว”

    “แต่พวกผมนั่งอยู่” เมธัสแทรกขึ้น สีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “หรือถ้าพวกพี่อยากจะนั่งก็ได้ แต่ต้องรอให้ผมกินอิ่มก่อน”

    “ยีนส์!” ลลิตาขมวดคิ้วเตือนเพื่อน แล้วรีบหันไปยิ้มหวานไกล่เกลี่ยแทนเพื่อน “เรากำลังจะอิ่มพอดีเลย ใช่ไหมลูกเจี๊ยบ”

    “....อ่า...ครั...”

   “ยังไม่อิ่ม! ฉันอยากกินจะขนมต่อ ลูกเจี๊ยบนายอยากจะกินอะไรอีกไหมเดี๋ยวฉันไปซื้อให้ แต่นายต้องนั่งเฝ้าโต๊ะไว้นะเพราะเดี๋ยวจะมีพวกนิสัยไม่ดีมาแย่งไป” เมธัสไม่ยอมง่ายๆ ดวงตากลมโตตวัดมองรุ่นพี่อย่างไม่หวาดหวั่น

    นักรบยกมือขึ้นกอดอก ดวงตาคมใหญ่เหลือบมองคนพูดที่เป็นแค่รุ่นน้องปีหนึ่งตัวเล็กเท่าลูกหมา แต่กลับอวดเก่งกล้าต่อปากต่อคำทั้งที่เขาเป็นถึงรุ่นพี่ปีสาม ถึงจะต่างคณะแต่ด้วยมารยาทแล้วคนเป็นรุ่นน้องเคารพรุ่นพี่ทุกคน

    “ฉันเห็นด้วยกับไอ้ธาม เรานั่งกันที่นี่ก็ได้ ที่ตั้งกว้างพอนั่งอยู่แล้ว...พวกนายว่าไง”

    กรณ์ยักไหล่ไม่แสดงความคิด อันที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยจะสนใจอะไรเท่าไรเพราะมัวแต่ดูหน้าจอโทรศัพท์ของคนรักในอ้อมแขน ส่วนผู้ชายตัวสูงอีกคนที่ดูยียวนกวนบาทาที่สุดพยักหน้าเออออ ดนตร์จำได้ว่าเป็นคนที่อยู่ในทีมบาสของกรณ์ด้วย เขาหลบตาวูบเพราะถูกผู้ชายตัวใหญ่สองคนมองมาพอดี...แน่นอนว่าไม่มีชื่อของกรณ์อยู่ในนั้น

    เมธัสกระแทกลมหายใจแสดงออกชัดเจนว่าหงุดหงิด ดวงตาค่อนข้างโตเพ่งมองรุ่นพี่ต่างคณะสามคนที่ถือวิสาสะแทรกกายนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม ข้างๆ กับดนตร์เพราะมีที่ว่างเหลือมากที่สุด ส่วนคู่รักคู่ฮอตของมหาวิทยาลัยนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับเขา

    เขารู้จักคนพวกนี้เพราะแก๊งนี้ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นสี่จตุรเทพของมหาวิทยาลัย กรณ์ ธาวิน อริญชย์ และนักรบ คนสุดท้ายนี่เป็นคนที่เขาไม่ชอบหน้ามากที่สุดแต่อาจจะน้อยกว่ากรณ์นิดหน่อย

    “เพลง นายอยากกินขนมอะไรเดี๋ยวฉันไปซื้อให้” เขาเอ่ยถามเพื่อนรักที่นั่งนิ่งเหมือนโดนสาป

   “ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปเอง”

    “ไม่ได้! ถ้านายไปก็เสียที่นั่งสิ บอกมาจะกินอะไร ฉันกับลินจะไปซื้อให้”

   “ฉัน...เหรอ” ลลิตาใช้นิ้วชี้ที่ตัวเอง สีหน้าลำบากใจ

   “ใช่สิ เธอไปกับฉัน ส่วนนายเดี๋ยวฉันซื้อให้เอง นั่งอยู่นี่แหละ” เมธัสคิดและตัดสินใจให้เสร็จสรรพ ก่อนจะดึงเอามือลลิตาให้ลุกตามกันไป

    “นายพาฉันมาทำไม ทิ้งเพลงไว้คนเดียวแบบนั้นมันจะดีเหรอ” ลลิตาติงเพื่อนรัก หันไปมองเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อมของรุ่นพี่ปีสามต่างคณะ

    “โง่หรือไง ขืนทิ้งเธอไว้กับไอ้พวกฮายีน่าก็แทะไม่เหลือซากสิ” เมธัสบอก ชั่วจังหวะหนึ่งที่เขาเอี้ยวตัวกลับไปมองที่โต๊ะกินข้าว เขาเห็นดวงตาใหญ่มองตรงมา เมธัสถลึงตาใส่อย่างไม่เกรงกลัวว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ปีสาม ใครจะกลัวจะเกรงก็ตามใจเถอะ แต่เมธัสคนนี้ไม่กลัวใครทั้งนั้น

     เมื่อลับร่างเพื่อนรักทั้งสองแล้ว ดนตร์เลยกลายเป็นไข่แดงท่ามกลางวงล้อมของรุ่นพี่ต่างคณะ แถมยังเป็นกลุ่มบุคคลที่คนในมหาวิทยาลัยให้ความสนใจมากที่สุด ดนตร์กลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกถึงเม็ดเหงื่อที่ซึมแถวไรผม ถึงเขาจะนั่งริมสุดไม่ได้โดนเบียดอะไรมากนักแต่ก็ยังอึดอัดอยู่ดี

   คนที่นั่งติดกับเขาคือพี่ธาม ถัดไปคือนักรบ และอริญชย์ ส่วนฝั่งตรงข้ามที่เมธัสกับลลิตาเพิ่งลุกไป กรณ์กับคนรักนั่งอยู่ ทั้งคู่ดูเหมือนหลุดจากวงโคจรจากคนรอบข้าง โยษิตายื่นโทรศัพท์ให้กรณ์ดูแล้วหัวเราะคิกคัก

    “พวกพี่ๆ จะกินอะไรกันครับเดี๋ยวผมไปซื้อให้” เขาเสนอตัว บางทีการขันอาสาน่าจะดีกว่านั่งอยู่ตรงนี้ ทว่าธาวินกลับปฏิเสธ

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกพี่ไปซื้อกันเอง แล้วลูกเจี๊ยบอิ่มแล้วเหรอ”

    “ครับ” เขารับคำง่ายๆ แม้ว่าข้าวในจานจะยังคงเหลืออยู่ก็ตาม

    “ไม่รีบไปไหนใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นนั่งเป็นเพื่อนกันหน่อยนะ” ธาวินชวน

    ดนตร์ทำหน้าลำบากใจ มันค่อนข้างจะพิลึกไปเสียหน่อยที่จะต้องนั่งอยู่ด้วย เขากับคนพวกนี้ไม่ได้สนิทกันเท่าไร เจอกันจริงจังแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าทั้งธาวินและกรณ์จะเคยมีบุญคุณกับเขาก็ตาม เด็กหนุ่มแอบถอยหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับหรือปฏิเสธดี

    “น้องมันจะกลับไปทำงานหรือเปล่า” อริญชย์ออกความเห็น พลางยื่นมือผ่านหน้าเพื่อนทั้งสองคนแล้วคว้าแก้วน้ำมะนาวปั่นของเขาไปดูดหน้าตาเฉย

    เจ้าของแก้วน้ำกะพริบตาปริบๆ เขาไม่ได้เป็นคนขี้เหนียวของกิน แต่มันเป็นแก้วที่เขากินแล้วถึงจะเหลือเกินครึ่งแก้วก็ตามแถมยังใช้หลอดเดียวกันอีก ถึงเขาจะไม่ใช่สาวน้อยช่างฝันที่คิดว่าการดูดหลอดเดียวกันจะเป็นการจูบทางอ้อม แต่ก็อดหน้าร้อนไม่ได้ ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะแสดงความสนิทสนมกับเขาเกินไปหน่อยแล้ว

    “ไอ้รันทำอะไรวะ หิวน้ำก็ไปซื้อเองสิ นั่นมันของน้องแถมยังไม่ขออีก เสียมารยาทว่ะ” ธาวินบ่นเพื่อนเสียงดัง ก่อนจะหันมาขอโทษเขาแทนเพื่อนของตัวเอง “พี่ขอโทษด้วยนะ เอาอย่างนี้เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ใหม่ น้ำนั่นน้ำอะไร ใช่มะนาวหรือเปล่า”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมอิ่มแล้ว” ดนตร์ปฏิเสธ สาบานด้วยความสัตย์จริงเขาไม่ได้คิดเสียดายน้ำแก้วนั้นเลยจริงๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมดึงดันจะไปซื้อให้

    “แกไปกับฉันเลยไอ้รัน”

   “ไม่ไปได้ไหมวะ ขี้เกียจ” อริญชย์อิดออด แต่เมื่อเห็นสายตาอาฆาตของธาวินก็จำใจลุกขึ้นจากที่นั่ง

    “ฉันไปด้วย” นักรบพูดขึ้นแล้วลุกตามเพื่อนทั้งสองคนไป กลายเป็นว่าตอนนี้เหลือแค่ดนตร์กับหนุ่มสาวคู่รักที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น

    ความอึดอัดเบาบางลง เหลือแค่อาการแปลบๆ ในอกเท่านั้น ดวงตากลมเหลือบมองผู้ชายกับผู้หญิงที่นั่งเคียงข้างกัน ศีรษะของทั้งคู่แทบจะชนกัน หลายครั้งที่โยษิตาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วปลายจมูกของเธอเกือบจะชนกับแก้มของกรณ์ แล้วถ้าตาไม่ฝาดไปเขาเห็นรอยแดงช้ำที่ต้นคอของกรณ์ ดนตร์หลุบตาลงเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังไร้มารยาทมากเกินไปแล้ว

    เขาชะเง้อชะแง้มองหาร่างของเพื่อนรักทั้งสองที่หายไปพักใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่เห็น ดนตร์ดึงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นบ้าง อาการอยากอาหารหมดไปตั้งแต่เห็นกลุ่มรุ่นพี่ปีสามพวกนี้แล้ว นิ้วมือกดแป้นบนหน้าจอโทรศัพท์ส่งความคิดถึงไปให้พี่สาวที่อยู่จังหวัดบ้านเกิด ร่วมปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับไปบ้านเลย ตั้งใจว่าปิดเทอมใหญ่เขาจะต้องกลับไปกอดพ่อแม่กับพี่สาวให้ได้

    “กรณ์คะ ยาหยีปวดท้องฉี่ เดี๋ยวมานะคะ”

    “ให้ไปเป็นเพื่อนไหม”
 
   “จะบ้าเหรอ ไม่ต้องเฝ้าขนาดนั้นก็ได้ ไม่หนีไปไหนหรอกน่า”

    บทสนทนาดังลอดเข้าในความคิด ฉุดรั้งความสนใจของเขาโดยอัตโนมัติ ดนตร์เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ชั่ววินาทีสั้นๆ เขาเห็นดวงตาคมเฉี่ยวมองมาพอดี ผิวแก้มร้อนวูบ เขารีบหลุบตากลับลงที่เดิมทันที

    ราวกับรอบกายจะตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ เสียงพูดคุย เสียงช้อนกระทบจาน หายไปอย่างไร้ที่มา แก้วหูของเขาจับได้แต่คลื่นเสียงจากคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ทั้งการขยับขา เปลี่ยนท่า นั่นล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในการได้ยินของเขาทั้งสิ้น

    ...เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ...

    โยษิตาไม่อยู่ตรงนั้นแล้วนั่นหมายความว่าทั้งโต๊ะเหลือแค่เขากับกรณ์เท่านั้น ดนตร์ใช้มือที่สั่นน้อยๆ ของตัวเองดึงเอาหูฟังออกมาเสียบแล้วยัดเข้าไปในหูตัวเอง เร่งเสียงจนแน่ใจว่าจะได้ยินเสียงจากที่ใดอีก นานร่วมนาทีเขาก็สงบลง เขาใช้บทเพลงกล่อมให้ตัวเองจดจ่อกับจังหวะและเสียงร้องเท่านั้น แต่แล้วหูฟังข้างหนึ่งก็โดนกระชากเต็มแรง 

   “หูหนวกหรือไง! ฉันคุยกับนายอยู่นะ!”

    ดวงตากลมถ่างกว้างสุดเท่าที่มันจะทำได้ ใบหน้าของกรณ์อยู่ห่างไม่ถึงคืบดี ตาคมเฉี่ยวฉายแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด อยู่ใกล้เสียจนเขาได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพง ดนตร์เอียงตัวหลบรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังมาเยือน

    “พี่...มีอะไรกับผม...เหรอครับ”

    “หึ” กรณ์หัวเราะขึ้นจมูก ยังคงเท้ามือบนโต๊ะแล้วชะโงกเข้ามาใกล้เช่นเดิม “ช่างมันเถอะ...คนอย่างนายไม่สมควรได้ยินมันซ้ำสองหรอก”

   ความตกใจเมื่อครู่ถูกแทนด้วยความโกรธ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมกรณ์ต้องทำเหมือนไม่พอใจเขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะครั้งไหนก็มักจะพูดจาไม่ดีใส่เขา แม้แต่ครั้งนี้ก็ด้วย

    “ผมไปทำอะไรให้พี่เหรอครับ พี่ถึงได้ทำเหมือนเกลียดผมนักหนา”

    กรณ์เงียบไป ใบหน้าหล่อจัดยังคงอยู่ที่เดิมมีแค่ดวงตาที่แข็งกร้าวขึ้น ไม่มีคำตอบให้กับคำถาม เขาก็ไม่จำเป็นต้องทวงถามอีก ก็ดีเหมือนกัน กรณ์เกลียดเขาอย่างนี้ เขาจะได้มีเหตุผลให้ตัวเองเลิกหวั่นไหวเสียที

    ดนตร์เก็บหูฟังลงกระเป๋าสะพายพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ เขาไม่สนใจแล้วว่าใครจะไปซื้ออะไรที่ไหน เขาต้องการไปตรงนี้ให้เร็วที่สุด ร่างเล็กผุดลุกขึ้นแต่ก่อนที่จะได้ก้าวไปไหนแขนก็ถูกคว้าเสียก่อน

    “จะไปไหน!”

    “เรื่องของผม” ดนตร์สะบัดแขน แล้วก็ต้องเบ้หน้าเพราะมันเป็นข้างที่ได้รับบาดเจ็บเมื่อหลายวันก่อน ถึงจะอาการจะดีขึ้นเพราะฝีมือของว่าที่คุณหมอจันทร์ทิวาแล้ว แต่เพราะการเคลื่อนไหวที่เร็วเกินทำให้มันเจ็บจี๊ดขึ้นมา ผู้คนรอบข้างต่างหันมองด้วยความสนใจ

(มีต่อค่ะ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ [Chapter 2... 22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 22-05-2017 19:29:46
       “อวดเก่งดีนัก”

    “ผมไม่ได้อวดเก่ง ผมแค่อยากกลับไปเรียน ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”

    “ตามใจ ฉันเองก็ไม่อยากอยู่กับนายนักหรอก อยู่ด้วยทีไรเดือดร้อนทุกที”

    ดนตร์ระงับความโกรธไว้เต็มกำลัง เขาเดินออกไปจากตรงนั้น ใบหน้าร้อนผ่าว ได้ยินเสียงหวีดหวิวของลมในหู แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวปลายจมูกก็กระแทกกับบางอย่างเข้าเสียก่อน

   “อ้าว! จะไปไหนล่ะ ฉันซื้อน้ำมะนาวปั่นมาให้นายแล้วนะ”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากกินแล้ว พี่กินเองไปเลย” ดนตร์ตัดบท ก้าวขาจะขยับหนีแต่อีกฝ่ายไม่ยอม ใช้รูปร่างที่สูงใหญ่กว่าบังทางเอาไว้ “พี่ครับ ผมรีบ”

    “รีบถึงขนาดจะรับน้ำจากฉันไม่ได้เลยหรือไง”

   “ผมไม่อยากกินแล้ว” ดนตร์ปฏิเสธ ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดไปหมด ตากลมมีแววขุ่นเคืองมองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่พอใจ

    “เอาไป ฉันซื้อให้นายแล้ว” แก้วน้ำถูกยัดใส่มาในมือ ก่อนที่เจ้าของจะเดินผ่านร่างไป

    ดนตร์หายใจแรง หันหลังกลับไปมองแผ่นหลังกว้างของอริญชย์ แต่สายตาเจ้ากรรมดันไปปะทะกับร่างของอีกคนที่ทำให้เขาโกรธจนลมออกหู เด็กหนุ่มสะบัดหน้ากลับ ในเมื่อเกลียดกันเขาก็จะไม่เอาหน้ามาให้เห็นอีก ดนตร์สาบานต่อหน้าน้ำมะนาวปั่นในมือเลย!



    เพราะหนีกลับมาก่อนดนตร์เลยถูกเพื่อนทั้งสองเทศน์ชุดใหญ่ จับใจความได้คร่าวๆ ว่า นักรบตามไปกวนโทสะเมธัสถึงร้านขายขนม ท่าทางเพื่อนของเขากับรุ่นพี่คนนี้คงจะไม่ลงรอยกันเท่าไรทั้งที่เพิ่งเจอกัน ดนตร์ถอยหายใจยาว ดวงตากลมเหม่อมองไปบนท้องฟ้ายามเย็นจัด แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่นาที ใครก็ว่ามันเป็นเวลาที่หดหู่ที่สุด รอยต่อระหว่างกลางวันและกลางคืน เป็นช่วงที่คนมักจะทำเรื่องเลวร้ายโดยไม่รู้ตัว แต่สำหรับเขาแล้วกลับมองว่ามันสวยงาม เมฆเป็นสีน้ำเงินเข้ม ที่ปลายฟ้ามีแสงสีส้ม เขาชอบมองตอนที่ทุกอย่างกำลังจะถูกความมืดกลืนกิน

    ดนตร์ลุกขึ้นจากสนามหญ้าริมบึงหน้าคณะ เขามานั่งปลดปล่อยอารมณ์ตรงนี้ตั้งแต่บ่ายสี่โมงเย็น เพื่อนรักทั้งสองคนต้องไปพบกับรุ่นพี่เพื่อคุยเรื่องกิจกรรมของคณะ คนไม่สำคัญอย่างเขาเลยถูกลอยแพ ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงไปสิงอยู่ที่ชมรม แต่วันนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะไปที่ไหนทั้งนั้นเลยมานั่งมองแม่น้ำ ท้องฟ้าเล่น

    ไฟจากตึกเรียนเปิดให้ความสว่างลดความน่ากลัวลงไป เขาไม่ได้กลัวความมืด แต่เขากลัวสิ่งที่อยู่ในความมืดมากกว่า อะไรที่มองไม่เห็นมันน่ากลัวเสมอ โดยเฉพาะความรู้สึก

    เขารู้สึกผิดที่ทำกิริยาไม่ดีกับอริญชย์ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เพราะโกรธกรณ์เขาเลยเผลอแสดงด้านไม่ดีออกไป ดนตร์ถอยหายใจอีกครั้งเอาไว้มีโอกาสเขาจะไปขอโทษอริญชย์ น้ำมะนาวปั่นแก้วนั้นถูกเมธัสจัดการเรียบหลังจากที่เทศน์เขาเสียจนคอแห้ง

    สองเท้าก้าวเดินเอื่อยๆ ไปบนผืนหญ้านุ่ม อีกไม่กี่วันก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว อากาศเย็นเร็วกว่าปกติ มือเรียวกระชับเสื้อฮู้ดสีเทาให้แน่นกว่าเดิมแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คลายหนาวเท่าไรนัก ดนตร์เดินไปตามทางเท้าที่ทอดตัวไปสู่หอพักนักศึกษา เพื่อนร่วมคณะหลายคนยังจับกลุ่มทำการบ้านบ้าง รายงานบ้าง บางคนเงยหน้าขึ้นมาทักทาย บางคนก็ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ซึ่งก็ไม่แปลกนักเพราะเขามันเป็นคนน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ ลมหายใจเย็นๆ ปะปนไปในอากาศเย็นชื้น เขาเริ่มจะคัดจมูกนิดๆ ที่จริงแล้วเขากับฤดูหนาวไม่ค่อยถูกกันเท่าไร ลมหนาวมาทีไรมีอันต้องนอนซมทุกที เพราะอย่างนี้เขาถึงได้ชอบเล่นกีฬาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่มันก็ช่วยได้ไม่เท่าไรนัก เขากำลังจะเดินผ่านคณะของตัวเองในอีกไม่กี่ก้าว แต่ชื่อของเขาก็ดังขึ้น

   “ลูกเจี๊ยบอ่า~”

    แค่ชั่วอึดใจเดียวเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัว ชนวีร์ยิ้มร่าอารมณ์ดี ร่างอวบใหญ่เหมือนหมีในชุดพร้อมสู้กับลมหนาว คิ้วดำของดนตร์ขมวดฉับเขาไม่ค่อยชอบให้ใครเรียกชื่อนี้เท่าไรนัก มันฟังดูเหมือนเด็กน้อย

    “พี่วิน อย่าเรียกผมแบบนี้ได้ไหม”

   “ทำไมล่ะ น่ารักจะตาย” บุรุษตัวอ้วนใหญ่ไม่ได้ยี่หระกับคำปรามเท่าไรนัก

    “มันฟังแล้วปัญญาอ่อนพิกล” ดนตร์บอก คิ้วยังขมวดเหมือนเดิม

   “นายเป็นเด็ก เรียกอย่างนี้น่ะดีแล้ว ไอ้ไฟยังเรียกฉันว่าลูกหมูเลย” ดนตร์เกือบจะกลอกตาบน เขาไม่แน่ใจหรอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่ตัวอ้วนกับพี่ไฟมันคืออะไร แต่จากความรู้สึกทั้งสองไม่ใช่แค่เพื่อนกันธรรมดาแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรถามด้วย

   “พอๆ เลิกคุยเรื่องไร้สาระก่อน” ชนวีร์โบกมือในอากาศ “นายว่างหรือเปล่า ฉันจะให้นายไปช่วยงานหน่อย”

   “งาน? อะไรเหรอครับ”

    “ถ่ายหนังสั้น ตอนนี้มีโครงการประกวดหนังสั้นของนักศึกษา ฉันตั้งใจว่าจะส่งเข้าประกวด นายไปช่วยฉันหน่อยได้ไหม”

    “เอาสิครับ แล้วจะให้ผมช่วยทำอะไร” ดนตร์รับคำ การช่วยงานชนวีร์นับว่าเป็นการฝึกฝีมือตามสายงานที่เรียนไปด้วยในตัว

    “เริ่มจากคืนนี้เลย ฉันอยากให้นายช่วยพิมพ์บทให้”

    ครั้งนี้ชนวีร์ไม่รอให้เขาตอบตกลง มืออูมคว้าข้อมือแล้วลากเขาไปชมรมขณะที่ท้องของเขากำลังร้องขออาหารอย่างหนัก...



    บรรยากาศในชมรมคึกคักผิดปกติ ทุกคนดูกระตือรือร้นเพราะผลงานชิ้นนี้จะได้ส่งประกวดในระดับประเทศ แต่ละคนมีหน้าที่ของตัวเอง ส่วนเขาเป็นเบ้คอยรับใช้ชนวีร์ ทำทุกอย่างที่อีกฝ่ายต้องการและเรียกใช้ แค่บอกว่าพิมพ์บทมันโกหกชัดๆ เพราะตอนนี้รุ่นพี่ตัวอ้วนกำลังให้เขาเสิร์ชหาสถานที่จากอินเทอร์เน็ต หลังจากที่เหล่ารุ่นพี่ประชุมกันแล้วได้ข้อสรุปว่าจะทำหนังสั้นเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยทำงาน สื่อสารผ่านตัวหนังสือที่เขียนลงกระดาษ แทนการใช้สมาร์ทโฟน แต่แน่นอนว่ายังหาตัวแสดงไม่ได้ เพราะถึงจะเรียนอยู่คณะนิเทศน์ศาสตร์ แถมยังอยู่ชมรมการแสดง ทว่าไม่มีใครที่ชนวีร์จะถูกใจ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงรูปร่างหน้าตาที่เหมาะสมกับบทด้วย

   “นายว่าหมอนี่เหมาะกับบทไหม” ชนวีร์ยื่นรูปของสมาชิกในชมรมให้ดู ดนตร์ใช้ตาทั้งสี่มอง เขาจำชื่อคนในรูปไม่ได้แต่ก็หน้าตาหล่อใช้ได้ พอจะพยักหน้าให้ความเห็นอีกฝ่ายก็เปลี่ยนใจ “ไม่เอาดีกว่า หน้าเด็กไปใครจะเชื่อว่าทำงานแล้ว”

    ดนตร์ถอยหายใจ เขาเหลือบมองนาฬิกาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อีกไม่กี่นาทีก็จะสามทุ่มแล้ว เขาหิวจนแสบไส้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่มื้อเที่ยง

   “พี่วิน ผมออกไปหาอะไรกินหน่อยนะ หิวมากเลย”

    “หิวเหรอ งั้นเอานี่ไป” ชนวีร์ดึงเงินออกมาจากกระเป๋า ยื่นแบงค์ที่มีมูลค่ามากที่สุดให้เขา ดนตร์มองด้วยความงุนงง “เอาไปซื้ออะไรกิน แล้วซื้อเผื่อฉันกับคนอื่นๆ ด้วย”

    “แล้วพี่ๆ จะกินอะไรกันล่ะครับ”

    “อะไรก็ได้ กินง่ายๆ รีบไปสิ ท้องนายร้องตั้งแต่ตอนมาด้วยกันแล้วไม่ใช่เหรอ”

    ดนตร์ยิ้มแหย รับเงินจากชนวีร์แล้วออกไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ที่สุด

    ว่าที่ผู้กำกับหน้าใหม่ไฟแรงครุ่นคิดอยู่นานสองนาน เขาไม่อาจเลือกคนที่ถูกใจได้แม้ว่าหลายคนจะมีฝีมือจนน่าทึ่ง แต่รูปร่างหน้าตากลับไม่ดึงดูดพอ ชนวีร์ถอยหายใจหนักหน่วง บทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยความเป็นหนังสั้นเลยไม่มีอะไรซับซ้อนนักแต่ที่ทำให้ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะหาคนที่มาเล่นไม่ได้...ใครกันที่จะมีเสน่ห์มากพอที่จะทำให้หนังของเขาน่าสนใจได้ ใครกันที่จะมาสวมบทหนุ่มออฟฟิศได้อย่างแนบเนียน ใครกันที่มีชื่อเสียงพอที่จะทำให้หนังของเขาถูกกล่าวขาน...ใครกัน?

    กรณ์!

    จู่ๆ ชื่อของลูกพี่ลูกน้องก็ผุดเข้ามาในความคิด จริงสิ! เขาลืมกรณ์ไปได้อย่างไร ทั้งที่เป็นคนใกล้ตัวแท้ๆ ลักษณะภายนอกของกรณ์แทบจะตรงกับบทที่เขียนไว้ เหลือแค่ฝีมือการแสดงเท่านั้น แต่เขาเชื่อว่าคนอย่างกรณ์ถ้าลองตั้งใจไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ชนวีร์ยิ้มกริ่มขณะที่นิ้วอวบกลมจิ้มลงไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ต่อสายถึงคนที่นึกถึงทันที

    “กรณ์ นายว่างไหม มาคุยกันหน่อยสิตอนนี้เลย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเหล้า ไม่ใช่ๆ ร้านเหล้า มาที่ชมรมฉันเลย โอเคนะ”



 
    ดนตร์กลับมาพร้อมกับขนมถุงใหญ่ เขาไม่รู้ว่าใครอยากจะกินอะไรเลยขนซื้อมาเท่าที่จะคิดออก ส่วนของตัวเองก็มีขนมปังก้อนใหญ่ นม 1 ลิตร และมันฝรั่งอีกถุง โดยไม่ลืมซื้อเหล้ามาด้วยเพราะชนวีร์โทรมาสั่งเพิ่มเติมภายหลัง ชมรมยิ่งคึกคักกว่าเดิมเสียอีก โดยเฉพาะพวกสาวๆ เกาะกันเป็นกลุ่ม ส่งเสียงซุบซิบ ตาแพรวระยับ แต่เขาหิวเกินกว่าจะถามว่ามีเรื่องน่ายินดีอะไรหรือเปล่า

    “ทุกคนผมเอาขนมมาให้ครับ” เขาร้องบอกพอเป็นพิธี ดึงส่วนของตัวเองพร้อมกับของกินอีก 3-4 อย่างและเหล้าอีก 2 ขวดออกมา แล้ววางที่เหลือไว้บนโต๊ะให้กับสมาชิกของชมรม ก่อนจะเดินไปหาชนวีร์ที่อยู่ในห้องที่กั้นเอาไว้ “พี่วินผมซื้อขนม...”

    คำพูดหยุดแค่ในลำคอ ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ จนเกือบทำขนมในมือร่วง ในห้องไม่มีได้มีแค่ร่างอวบอ้วนของชนวีร์แต่ยังมีใครอีกคนอยู่ด้วย...กรณ์

    “ว่าไงมาแล้วเหรอ มาๆ ฉันกำลังหิวพอดี นายซื้อเหล้ามาหรือเปล่า” ชนวีร์กวักมือรัว พลางพยักพเยิดให้เขานั่งลงบนโซฟาที่ยังมีพื้นที่เหลือโดยมีกรณ์นั่งอยู่ก่อนแล้ว

    ดนตร์ยังยืนนิ่ง จนกระทั่งชนวีร์เรียกอีกครั้งถึงจะก้าวขาได้ เขาวางขวดเหล้ากับขนมลงบนโต๊ะหน้าโซฟาก่อนจะย่อกายนั่งลงกับโซฟาหนังสีดำ พยายามไม่ให้มันยวบตัวลงไปมากนักเพราะถึงตอนนี้คนที่เขาปะทะฝีปากไปเมื่อตอนกลางวันยังไม่ได้หันมามองหน้ากันแม้แต่นาทีเดียว เขาหยิบขนมปังขึ้นมากินเงียบๆ ถึงจะตกใจแต่ยังไม่ลืมหิว พอรู้สึกว่ามันฝืดคอก็เปิดนมขึ้นดื่ม ขณะที่หูคอยฟังรุ่นพี่สองคนคุยกัน

   “ฉันไม่เคยเล่นหนัง ถ้าหนังนายล่มอย่ามาโทษกันนะ”

    “ไม่หรอกน่า นายเก่งจะตาย ฉันจำได้นะว่านายเคยแสดงละครเวทีตอนเรียน ม.6 ตีบทโรมิโอซะแตกกระจุย บทนี้ง่ายกว่าโรมิโอซะอีก”

    “อย่ามายอ แล้วฉันต้องเล่นกับใคร”

   “ยังไม่รู้ แต่ฉันว่าลินพอใช้ได้”

   “ลิน? ยัยนมแบนนั่นน่ะนะ”

   แค่ก แค่ก แค่ก

   เสียงไอโขลกหยุดการสนทนา ทั้งชนวีร์และกรณ์ต่างหันมามองคนที่กำลังไอหน้าดำหน้าแดง ดนตร์ยกมือทุบอกตัวเอง ทั้งขนมปังและนมเข้าไปติดในหลอดลมหลังจากได้ยินประโยคร้ายกาจจากกรณ์ สาบานเลยว่าถ้าลลิตารู้ต้องร้องกรี๊ดแน่นอน จะมีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ที่โดนปรามาสเรื่องสัดส่วนของตัวเอง

    “เป็นอะไรหรือเปล่า”

   “ไม่เป็นไร...ครับพี่” ดนตร์ตอบ จมูกแดงจัด น้ำตาคลอเบ้าจนต้องถอดแว่นแล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดหยดน้ำ เด็กหนุ่มสูดจมูกเสียงดัง แล้วยกนมขึ้นดื่มอึกใหญ่เพื่อช่วยบรรเทาอาการสำลัก

   ชนวีร์ผ่อนลมหายใจคลายความเป็นห่วง ก่อนจะหันกลับมาสนทนากับลูกพี่ลูกน้องต่อ “ตกลงนายรับเล่นนะ เดี๋ยวฉันส่งบทให้”

    กรณ์พยักหน้าส่งๆ ยังไม่มั่นใจนักหรอกว่าตัวเองจะทำได้ดีพอกับที่ชนวีร์ไว้วางใจหรือเปล่า แต่เขาก็เป็นเสียอย่างนี้ ปฏิเสธใครไม่ค่อยเป็น

    “ขอบใจมากพี่ชาย~ มาๆ กินเหล้าฉลองกันหน่อย” ชนวีร์ยิ้มกว้าง ทำท่าจะค้าขวดเหล้ามาเปิดเพื่อดื่มฉลองความสำเร็จเบื้องต้น แต่กรณ์กดมืออวบเอาไว้

    “ให้รุ่นน้องสุดที่รักของนายเปิดให้สิ”

    “ทำไมต้องให้ลูกเจี๊ยบทำ เรื่องแค่นี้ฉันทำเองได้น่า”

   “แต่ฉันอยากให้ลูกเจี๊ยบของนายเป็นคนเปิด” กรณ์กดเสียงต่ำ ดวงตาคมเรียวเหลือบมองเด็กสี่ตาที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือของตัวเอง

    “แต่ฉันว่า...”

   “นายอยากได้พระเอกใหม่ไม่ใช่เหรอ...วินนี่”

    “ผมเปิดเองครับ”

    คนที่ถูกกล่าวถึงเอ่ยแทรกขึ้น มือเรียวคว้าเหล้าทั้งสองขวดมาถือไว้ แล้วใช้รอยจีบของฝาปิดเกี่ยวกันออกแรงดึงจนมันเปิดออก ดนตร์กระแทกเหล้าลงบนโต๊ะ ไม่สนใจหรอกว่าแรงดันจะทำให้เหล้าหกหรือเปื้อนอะไรบ้าง ตากลมหลังเลนส์มองคนที่ออกคำสั่ง คนที่ทำตัวอยู่เหนือคนทั้งโลก เขาโกรธกรณ์ แต่ที่โกรธมากกว่าคือตัวเองที่ไม่อาจตอบโต้อะไรกลับไปได้ กรณ์ไม่เพียงแต่ไม่ชอบหน้าเขายังจงใจแกล้งกันอีกด้วย!

    กรณ์ลอบยิ้มจนข้างแก้มกดลึกเป็นรอยบุ๋ม มือเรียวยาวจับขวดเหล้าขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้น ของเหลวรสฝาดแกมหวานบาดลึกไหลผ่านลิ้นและลำคอ เขารู้สึกว่าเหล้าขวดนี้รสชาติดีกว่าที่เคยดื่มมา ยิ่งได้เห็นหน้าขาวๆ ของเจ้าสี่ตาระเรื่อขึ้นด้วยความโกรธมันยิ่งทำให้การดื่มเหล้าคล่องคอกว่าเดิม

   ไอ้เจ้าเด็กจอมอวดดีนี่ไม่รู้หรอกว่าหลังจากที่หักหน้าเขาด้วยการเดินหนีไปดื้อๆ มันสร้างความขุ่นเคืองให้เขาแค่ไหน ทั้งที่เขาเป็นห่วงแท้ๆ ยอมรับว่าหัวเสียไม่น้อยตอนที่เอ่ยปากถามไปว่าหายป่วยแล้วหรือยัง แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ยินเพราะมัวแต่ฟังเพลงบ้าบออยู่ พอเขากระชากหูฟังออกก็ทำหน้าเหลอหลา แล้วจะให้คนอย่างกรณ์พูดซ้ำมันไม่มีทางเป็นไปได้ จากนั้นดนตร์ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ คิดว่าเขาตั้งแง่รังเกียจตัวเอง

    ถึงเขาจะไม่ได้พิศวาสเจ้าแว่นสี่ตาเท่าไรนัก แต่จะใช้คำว่าเกลียดหรือรังเกียจมันออกจะเกินไปหน่อย เขาแค่หงุดหงิดใจเล็กๆ ที่เห็นไอ้ธามทำท่าดีใจเกินเหตุตอนที่เจอกัน แถมมันยังพูดถึงรุ่นน้องต่างคณะไม่หยุด จนทั้งอริญชย์กับนักรบอยากจะเจอไอ้เด็กสี่ตาคนนี้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าธาวินไปสะดุดตาสะดุดใจดนตร์เข้าตอนไหน ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้มีอะไรน่าสนใจสักนิด ก็แค่เด็กผู้ชายธรรมดา ใส่แว่นทรงเชยบรม และดูน่าเบื่อ

    สรุปว่าเพราะความ ‘เยอะ’ เกินไปของธาวินบวกกับท่าทางอวดดีของดนตร์ทำให้เขาไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เหตุผลเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับคนอย่างกรณ์แล้ว

     ชายหนุ่มอมยิ้มอีกครั้งแล้วกระดกเหล้าเข้าปาก ตาคมมองไปยังถุงขนมห่วยๆ ที่อยู่ตรงหน้า เขาหยิบมันขึ้นแล้วโยนใส่ตักคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

    “ฉันอยากกิน แกะให้ด้วย”

    “ทำไมผมต้องทำ!” ดนตร์กัดฟันถาม

    “ถ้าไม่ทำฉันก็จะไม่เล่นหนังให้พี่วินของนาย” กรณ์เล่นแง่ ดูเหมือนว่าเขาจะได้กลิ่นนมอ่อนๆ จากตัวของอีกฝ่ายด้วย

    “ไอ้...!”

    ฟันขาวขบกลีบปากล่างจนน่ากลัวจะช้ำ ตากลมขุ่นจัด ระงับความโกรธไว้เต็มที่ แต่คนที่กำลังอารมณ์ดีไม่ได้ยี่หระสักนิด…

   
                                                              *********************************

อัพก่อนเวลา ไม่ว่ากันเน้อออออออ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ [Chapter 2... 22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 23-05-2017 10:07:48
มาแล้ววววว พี่กวางรีบมาต่ออออออ ค้างงง กรณ์ปากร้ายจริมๆ ลูกเจี๊ยบอย่าไปยอม สู้เค้าาาาา!!!!!!!
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ [Chapter 2... 22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 23-05-2017 23:21:56
อิพี่กรณ์ก็แกล้งน้อง
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ [Chapter 2... 22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-05-2017 23:57:02
นิสัยไม่ดีจริง ๆ เลย
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 3 [31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 28-05-2017 22:56:05
Chapter 3 หน้าที่ของดนตร์   


    ดนตร์ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการตกปากรับคำจะนำพาซึ่งความเหนื่อยยากมาให้ ตั้งแต่ทำทุกอย่างที่ชนวีร์สั่ง กระทั่งวิ่งซื้อบุหรี่ รวมไปถึงติดต่อนักแสดงนำฝ่ายหญิง ลลิตาได้รับการเสนอชื่อและมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเหมาะกับบทนางเอกที่สุด แม้ว่าเจ้าตัวจะเพิ่งเรียนปีหนึ่งแต่ทักษะการแสดงไม่น้อยเลย ส่วนเรื่องอายุไม่ใช่ปัญหา แค่แต่งหน้าทำผมสักหน่อยก็ใช้ได้

    ลลิตาไม่ได้ตอบตกลงในทันที เธอลังเลเพราะยังไม่เชื่อในฝีมือของตัวเองนัก เกรงว่าจะทำได้ไม่ดี หน้าที่อีกอย่างของเขาคือการให้กำลังใจ โดยมีกองกำลังเสริมเป็นเมธัส หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองอยู่สองวันลลิตาก็ตอบตกตกลง แต่เมื่อรู้ว่าต้องเล่นกับกรณ์ก็ทำท่าจะปฏิเสธอีก เขาเลยต้องเกลี้ยกล่อมอีกรอบ ทว่าสุดท้ายก็ยอมรับบทนางเอกคู่กับกรณ์

   สถานที่เขาเลือกไว้จากในอินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ในการถ่ายทำ เป็นออฟฟิศอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก ชนวีร์ระบุมาว่าต้องเป็นออฟฟิศที่อยู่ใกล้กัน สามารถมองเห็นอีกฝั่งได้โดยผ่านกระจกหรือบานหน้าต่าง เพราะหนังจะเล่าเรื่องโดยมีแค่ตัวหนังสือที่พระเอกและนางเอกเขียนใส่กระดาษเพื่อใช้สื่อสารกัน ข้อความสั้นๆ ง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึก เขาเคยมาดูสถานที่จริงกับชนวีร์และอัคคีอยู่สองครั้ง โชคดีที่ผู้กำกับตัวอ้วนพอใจ แต่การติดต่อขอใช้สถานที่ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่ยังเป็นแค่นักศึกษา ความน่าเชื่อถือเลยถูกลดลงไปโดยปริยาย จึงจำเป็นต้องให้พ่อของชนวีร์มาช่วยเจรจา เขาถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วครอบครัวของชนวีร์มีบารมีพอตัว เช่นเดียวกับตระกูลวรเกียรติ์สกุลของกรณ์

    เรื่องราวของกรณ์ถูกถ่ายทอดมาให้รู้เป็นระยะจากปากคนใกล้ชิด ชนวีร์เคยเล่าให้เขาฟังว่า บิดาของกรณ์เป็นนักธุรกิจอยู่ที่เมืองใต้ กิจการใหญ่โตและร่ำรวยถึงขนาดที่มีกินมีใช้ไปหลายชาติ ด้วยสายเลือดของพ่อค้า บิดาของกรณ์ต้องการให้บุตรชายเพียงคนเดียวสืบทอดกิจการ ทว่ากรณ์ไม่ได้ชอบตัวเลขแต่ชอบวาดรูปมากกว่า ถึงกับมีปัญหากับบิดาเพื่อให้ได้เรียนในคณะที่รัก สองพ่อลูกมีปากเสียงกันรุนแรง กรณ์หยุดเรียนไปหนึ่งปี ทำตัวเกเรสารพัด จนในที่สุดคนเป็นพ่อก็ต้องยกธงขาว ยอมให้กรณ์ได้เรียนในสิ่งที่รัก

    แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ก็อดชื่นชมในความพยายามของกรณ์ไม่ได้ ถึงวิธีการต่อสู้จะไม่ดีนักแต่ก็ไม่ยอมทิ้งความฝัน แถมยังทำได้ดีอีกด้วย ผลงานหลายชิ้นของกรณ์ถูกพูดถึงในทางที่ดีและมีเอกลักษณ์ เขาเองก็เคยเห็นมาบ้างเหมือนกัน

    ดนตร์หอบหายใจแรงพลางใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วใช้อีกมือจับคอเสื้อขยับเร็วๆ เพื่อหวังให้ลมเพียงน้อยนิดหน่อยช่วยบรรเทาความร้อน อีกไม่กี่วันก็เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วก็จริง แต่เขากลับร้อนจนเหงื่อออก สาเหตุก็เพราะพระเอกกิตติมาศักดิ์ของชนวีร์อยากจะกินน้ำอัดลมขึ้นมา และก็ต้องเป็นเขาที่วิ่งจากชมรมไปร้านสะดวกซื้อ แต่พอมาถึงเจ้าตัวกลับบอกว่าไม่อยากกินยี่ห้อนี้ เขาเลยต้องวิ่งกลับไปซื้อใหม่ แล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย กรณ์ปฏิเสธอีกครั้งโดยรอบนี้ให้เหตุผลว่า

    ‘ฉันไม่กินน้ำส้ม’

    เขากลับไปที่ร้านสะดวกซื้ออีกครั้งแล้วกว้านซื้อทุกยี่ห้อ ทุกรสชาติ ยกเว้นน้ำส้ม ใช้เรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลืออยู่อีกนิดหน่อยหิ้วถุงขนาดน้องๆ กระสอบมา แต่มาได้ไม่ถึงครึ่งทางพลังงานก็หมดลง เลยต้องหยุดพักมันตรงนั้น ร่างเล็กค่อยๆ ทรุดตัวไปบนพื้นหญ้านุ่ม ทั้งนิ้ว แขนและขาปวดล้าไปหมด ถึงจะชอบเต้น ชอบเล่นกีฬา แต่การที่ต้องวิ่งกลับไปกลับมาหลายรอบพ่วงด้วยการหิ้วขวดน้ำอัดลมร่วม 20 ขวด มันก็พรากเอาความแข็งแรงหลุดไปได้ง่ายๆ

   “มานั่งทำอะไรตรงนี้”

   ดนตร์เงยหน้ามองหาเจ้าของเสียง ใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้นายแบบในแมกกาซีน อยู่เหนือศีรษะพอดี เงาจากร่างที่สูงเกินหกฟุตช่วยบังแสงแดดอีกชั้นต่อจากเงาของต้นไม้ เขายิ้มให้ ขยับตัวเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายย่อตัวนั่งลงข้างกัน

    “พักเหนื่อยครับ”

   “แล้วไปทำอะไรมา เหงื่อออกเต็มตัวเลย” ธาวินถามยิ้มๆ มองดวงหน้าผ่องใสของหนุ่มรุ่นน้อง ไรผมสีเข้มชื้นเหงื่อ ที่ปลายจมูกก็ด้วย

    “ซื้อของน่ะครับ ผมมันพวกสมองกลวงเลยต้องวิ่งกลับไปกลับมาหลายรอบ” ดนตร์เหน็บแนมตัวเอง ไม่อยากให้ธาวินรู้ว่าที่เขาต้องมานั่งหมาหอบแดดอยู่เป็นเพราะใคร

    “แล้วทำไมถึงต้องวิ่งกลับไปกลับมาล่ะ ซื้อผิดเหรอ”

   “ครับ” ดนตร์พยักหน้ารับ “แล้วพี่ธามจะไปไหนเหรอครับ”

   “มาตามกรณ์น่ะ งานล่าสุดมีปัญหานิดหน่อย อาจารย์อยากให้แก้” เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าธาวินถือกระดาษที่ม้วนเป็นทรงกลมยาวอยู่ด้วย “เห็นบอกว่าอยู่ชมรมภาพยนตร์ นายเจอมันบ้างไหม”

    “ครับ เขาอยู่ที่ชมรมผม”

    “มันไปทำอะไรที่นั่น”

    “ผมว่าให้เขาเป็นคนบอก...!”

    คำพูดหยุดค้างไว้แค่นั้น เมื่อธาวินเอื้อมมือมาเช็ดเหงื่อบนปลายจมูกให้ ดนตร์กระพริบตารัวด้วยความตกใจ เขาไม่ทันได้ตั้งตัวหรือแม้จะหันหน้าหนีด้วยซ้ำ

    “ไอ้ธาม!”

    นิ้วเรียวชะงักค้างกลางอากาศ เจ้าของมือปรารถนาดีเอี้ยวตัวมองหาคนเรียกชื่อตัวเอง กรณ์ยืนจังก้า ใบหน้านิ่งเฉย แต่ดวงตาดุดัน ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้จนกระทั่งเกิดเงาทาบทับ ธาวินเงยหน้าจนคอตั้งตรงมองหน้าเพื่อนสนิท

    “ฉันกำลังจะไปหาแกที่ชมรมภาพยนตร์พอดี” ธาวินบอก ขณะที่ลดมือจากปลายจมูกชื้นของดนตร์

    “หาฉัน? ทำไม”

    “อาจารย์เบิร์ดฝากงานมาให้แก้น่ะ นายเปิดดูเองก็แล้วกัน” เขายื่นม้วนกระดาษให้อีกฝ่าย กรณ์รับไปด้วยใบหน้านิ่งเฉย เพราะคบกันมานานหลายปี ทำให้พอจะเดาได้ว่าตอนนี้กรณ์อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ชายหนุ่มลุกขึ้นจากสนาม ปัดเศษดินเศษหญ้าออกเล็กน้อย แล้วก้มมองอีกคนที่ยังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิม “พี่ไปก่อนนะลูกเจี๊ยบ ไว้เจอกัน” ธาวินโบกมือลารุ่นน้องต่างคณะ ก่อนจะเดินผ่านร่างของเพื่อนสนิทไป

    ดนตร์ถอยหายใจยาว ไอร้อนคลายตัวลงอย่างรวดเร็ว ความเหนื่อยล้าถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แทรกซึมเข้ามา เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่าอาการเย็นวูบแถวต้นคอมันเรียกว่าอะไร เขาชันกายขึ้นจากพื้นโดยที่ยังไม่ได้มองผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างไปนัก คว้าถุงที่บรรจุขวดน้ำอัดลมขึ้นมาถือไว้

    “คุยอะไรกัน”

   “ครับ?” เด็กหนุ่มยกคิ้วสูงด้วยความสงสัย

    “คุยอะไรกับไอ้ธาม”

    “เปล่านี่ครับ” ดนตร์ปฏิเสธ เขาไม่อยากตอบโต้อะไรอีกเพราะไม่อยากถูกเกลียดไปมากกว่านี้ เด็กหนุ่มกระชับถุงน้ำอัดลมให้แน่นกว่าเดิม แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อคนตัวใหญ่กว่าฉวยมันไปจากมือของเขา “?!”

    “รีบไปซะที เสียเวลานานแล้ว”

    ปากเล็กแดงจัดอ้าค้างอยากจะปฏิเสธน้ำใจ แต่กรณ์ก็เดินนำไปไกลแล้ว ดนตร์ถอยหายใจยาวก่อนจะก้าวขาตามไปเงียบๆ...



    น้ำอัดลมที่โหมซื้อมาเพื่อประชดใครบางคนถูกแจกจ่ายให้กับสมาชิกในชมรม โดยที่คนร่ำร้องจะกินเอาไปแค่น้ำดำขวดเดียวเท่านั้น แถมยังเป็นรสชาติเดียวกับที่เขาซื้อมาในรอบแรกอีกด้วย ดนตร์แทบจะพ่นไฟออกจากปาก คำด่ามีเป็นร้อยในหัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเก็บมันในอก เพราะอีกฝ่ายมีดีกรีเป็นถึงพระเอก ส่วนเขาก็แค่เบ๊ของชนวีร์

    ดนตร์วิ่งวุ่นระหว่างที่ลลิตากับกรณ์กำลังจะเริ่มต่อบทกันก่อนจะไปถ่ายทำในสถานที่จริง ตั้งแต่เช้าเขาเพิ่งกินโจ๊กไปแค่ถุงเดียว ท้องเริ่มร้องขออาหารแต่เขาก็เหนื่อยเกินกว่าจะเดินกลับไปที่ร้านสะดวกซื้อได้อีก จะกินน้ำอัดลมเลยก็เกรงว่ากระเพาะจะมีแผลมากกว่าเดิม เขาเลยต่อสายหาเมธัสให้เพื่อนสนิทช่วยซื้ออะไรมายาไส้ อีกฝ่ายรับปากแต่ต้องรออีกพักใหญ่เพราะกำลังประชุมอยู่กับรุ่นพี่

    ชนวีร์ทำหน้าที่ผู้กำกับยืนอยู่กลางห้อง ข้าวของที่เคยวางไม่เป็นระเบียบถูกขยับออกไปวางรอบห้องเหลือพื้นที่ตรงกลางไว้ ดนตร์หามุมนั่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพื่อรอคอยชมฝีมือการแสดงของพระเอกและนางเอกหน้าใหม่ ลลิตายืนไม่ห่างจากชนวีร์นัก ในมือมีบทที่เขาเป็นคนพิมพ์อยู่ด้วย กลีบปากบางพึมพำตั้งใจท่องบทเต็มที่ ส่วนพระเอกของเรื่องยืนอยู่อีกฟากของห้อง ถือบทไว้เช่นกัน

    “มาๆ ลองมาต่อบทดูก่อน ลูกเจี๊ยบเอากระดาษนี่ไปให้พระเอกกับนางเอกหน่อย”

    คนถูกเรียกทำหน้ามุ่ยเพราะเพิ่งจะนั่งพักไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ ร่างเล็กลุกขึ้นเต็มความสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ ของตัวเองแล้วเดินไปหาท่านผู้กำกับใหญ่เพื่อนำกระดาษที่ว่าให้ไปกรณ์และลลิตา

   “นี่ครับ” เขาพูดเบาๆ กับพระเอกของเรื่อง ตาคมดุเหลือบมองเขานิดหน่อยแล้วรับไป ขนอ่อนที่ท้ายทอยของดนตร์ลุกชันอย่างไร้สาเหตุ อาการหนาวสะท้านก่อตัวเดี๋ยวนั้น เขารีบก้าวห่างก่อนที่จะเกิดความผิดปกติมากไปกว่านี้

    ดนตร์ได้กลับมานั่งอีกครั้ง และเฝ้ามองการซ้อมของทั้งคู่โดยมีชนวีร์ทำหน้าที่ผู้กำกับ เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นรุ่นพี่ตัวอ้วนกำกับงานเป็นครั้งแรก ชนวีร์ดูจริงจังราวกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคน สีหน้าแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ชนวีร์สอนให้นักแสดงทั้งสองแสดงอารมณ์และสีหน้าตามบท เพราะฉากที่กำลังซ้อมเป็นแค่การให้พระเอกและนางเอกตอบโต้กันด้วยตัวหนังสือสั้นๆ ไม่กี่คำแต่แฝงไปด้วยความรู้สึก ลลิตาทำได้ดีตามคาดแม้ว่าจะเป็นการแสดงครั้งแรก ดวงตากลมโตแสดงความรู้สึกโดยที่ไม่เปล่งเสียงใดๆ ขณะที่กรณ์...ค่อนข้างมีปัญหา

    “กรณ์ฉันว่านายเครียดไปหน่อย นายต้องแสดงความตื่นเต้นให้มากกว่านี้”

   “ก็ยัยนี่ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้น” กรณ์ตอบกลับ ทั้งห้องเลยได้เห็นตาของลลิตาโตเท่าไข่ห่าน

    “ฉันไม่ได้ให้นายตื่นเต้นเพราะลิน แต่นายต้องตื่นเต้นเพราะได้เห็นข้อความจากผู้หญิงที่แอบมองมานาน” ชนวีร์ถอยหายใจเสียงดัง แล้วให้ทั้งคู่เริ่มแสดงบทเดิมใหม่อีกรอบ แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น เพราะกรณ์ยังสื่อสารอารมณ์ไม่ได้ตามที่ผู้กำกับต้องการ

    กรณ์ดูหงุดหงิดยิ่งกว่าชนวีร์เสียอีก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ดนตร์เห็นดวงตาคมดุคู่นั้นมันมองมาทางที่เขานั่งอยู่เป็นระยะๆ เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวา เพื่อมองหาสิ่งผิดปกติแต่นอกจากเขากับผนังห้องแล้วก็ไม่มีอะไรอีก บางทีกรณ์อาจจะเห็นหน้าเขาแล้วไม่สบอารมณ์ ถ้าหากเขาไปที่อื่นการแสดงอาจจะดีกว่านี้

    ดนตร์ค่อยๆ ยันกายขึ้นจากพื้น พยายามไม่ลงน้ำหนักที่เท้ามากเกินไป เพราะเกรงว่าการเดินของเขาจะไปรบกวนสมาธิของนักแสดง มือเรียวงับบานประตูให้เงียบเชียบที่สุด ก่อนจะสูดเอาอากาศเย็นๆ จากนอกห้องชมรมไว้จนเต็มปอด ถึงจะเสียดายที่ไม่ได้เห็นฝีมือของลลิตาอีก แต่ก็ยังดีกว่ายังดึงดันอยู่ตรงนั้น เขารู้หน้าที่ของตัวเองดี ตอนนี้ไม่มีใครต้องการเขาแล้ว

    จ๊อก~

    เสียงท้องร้องที่ฟังแล้วน่าสมเพชดังขึ้น ดีที่มันไม่ร้องตอนที่ยังอยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นพี่วินได้อาละวาดใส่แน่ เด็กหนุ่มเขย่งปลายเท้าชะเง้อคอมองหาร่างของเพื่อนรักที่อาจจะโผล่มาในตอนนี้ก็ได้ แต่หลังจากที่ทรงตัวด้วยปลายเท้าอยู่พักใหญ่ ก็ต้องยอมรับว่าเมธัสคงยังไม่มาในเร็วๆ นี้แน่

    ดนตร์ชั่งใจว่าควรจะเดินไปโรงอาหารหรือจะรอเมธัสต่อดี ที่จริงเขาอยากจะเลือกอย่างแรกมากกว่า แต่ถ้าหากว่าเมธัสมาไม่เจอเขามีหวังได้หูชาแน่ ระหว่างที่กำลังยืนรอเพื่อนสนิทโดยมีเสียงท้องร้องเป็นเพื่อน เขาก็ได้ยินชื่อตัวเองจากทางด้านหลัง

     “อยู่นี่นี่เอง”

   “อ้าว! ลิน ออกมาทำไมล่ะ ไม่ซ้อมต่อบทกันแล้วเหรอ” เขาเอียงคอมองเพื่อนสนิทอีกคน สีหน้าของลลิตาไม่ค่อยสู้ดีนัก “เป็นอะไรหรือเปล่าหน้าซีดๆ นะ”

   “ฉันปวดท้อง!” ลลิตาบอก “วันนั้นของผู้หญิงน่ะ มากะทันหันด้วย”

   ดนตร์หน้าชาไปชั่วขณะ รู้สึกว่าพวงแก้มจะเห่อร้อนขึ้นมานิดหน่อย “ละ...แล้วจะให้เราช่วยอะไรไหม”

    “ฉันจะกลับบ้าน กลัวจะเปื้อนยิ่งกว่านี้ นี่โทรให้แม่มารับแล้ว” ลลิตาบอก ใบหน้าขาวซีดเผือดลงเรื่อยๆ “นายช่วยไปต่อบทกับพี่กรณ์ให้หน่อยสิ พี่วินอยากให้พี่กรณ์เล่นให้ดีกว่านี้”

    “ฉันเนี่ยนะ!” ดนตร์ใช้นิ้วชี้ตัวเอว แล้วส่ายหน้าดิก “ไม่มีทางหรอก ฉันเป็นผู้ชายนะ”

    “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันว่านายจำบทได้ เป็นคนพิมพ์เองไม่ใช่เหรอ” ลลิตาขมวดคิ้วแน่น มือกุมหน้าท้อง คู้ตัวลงต่ำเรื่อยๆ “เอาไปๆ แล้วรีบๆ เข้าไปข้างในซะ แม่ฉันมาแล้ว”

    บทถูกยัดใส่มือก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งไปหารถยนต์สีดำคันใหญ่ที่จอดเทียบฟุตบาทพอดี ลลิตาไปแล้วโดยทิ้งบทกับความสับสนไว้ให้

    “ลูกเจี๊ยบ! เออ เจอตัวพอดี ลินบอกนายแล้วใช่ไหม” ชนวีร์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา ใบหน้าอิ่มดูหงุดหงิดไม่น้อย “ไอ้กรณ์มันเล่นห่วยบรม ไม่รู้ไปกินรังแตนมาจากไหน จากที่แอบรักจะเป็นฆ่านางเอกแทน”

    “แล้วทำไมถึงให้ผม...”

   “ก็นายจำบทได้ แล้วคนอื่นก็กลัวหมอนั่นกันหมด รีบๆ ไปเถอะก่อนที่มันจะกระโดดกัดหูใครเข้า”

    “พี่...แต่ผม!”

    ชนวีร์ไม่ให้โอกาสเขาได้โต้แย้งอะไรอีก มืออูมดึงเขากลับเข้าไปในห้องชมรม ที่มีใครบางคนทำหน้าเหมือนไปกินรังแตนจริงๆ ยืนอยู่กลางห้อง

         ภายในห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา ดนตร์ขยับขาหนักอึ้งของตัวเองไปตามแรงดึงของชนวีร์ อัตราการเต้นของหัวใจรัวเร็วยิ่งกว่ากลองชุด มือทั้งสองข้างชุ่มเหงื่อจนน่ากลัวจะเปียกไปถึงกระดาษที่ถือมาด้วย ชนวีร์ทิ้งเขาไว้กลางห้อง ปล่อยให้ประจันหน้ากับพระเอกของเรื่อง ภาพที่เห็นเริ่มไม่ชัดเจน ดนตร์พยายามคิดว่าเขาคงหิวมากเกินไป ไม่ใช่เพราะกลัวผู้ชายตรงหน้า

    “ลองซ้อมกับเจ้าเปี๊ยกนี่ดู เผื่อนายจะเล่นดีขึ้น...ส่วนลูกเจี๊ยบ ให้นายคิดซะว่ากรณ์คือคนที่นายแอบรัก”

    คนที่แอบรัก...อย่างนั้นเหรอ

     ดนตร์หลับตาลง ภาพในหัวของเขาคือใบหน้าของคนที่ ‘แอบรัก’ เขาสามารถจดจำทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมคมและดุ จมูกโด่งสวย ริมฝีปากหนาได้รูป เส้นผมสีดำ เรือนกายสูงใหญ่มีมัดกล้ามพอประมาณอย่างคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

    ...ทุกองค์ประกอบบอกได้ชัดเจนว่าคนนั้นๆ คือ กรณ์ คนที่เขาได้แค่ ‘แอบรัก’ จริงๆ...

    “ฉันจะให้พวกนายเล่นฉากพบกันที่ถนนเลยนะ กรณ์จะได้ถ่ายทอดอารมณ์ง่ายขึ้น”

    ดนตร์ลืมตาขึ้น หวนคิดถึงบทที่ชนวีร์บอก เขาจำมันได้เพราะเป็นแค่เป็นฉากสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความหมาย สองหนุ่มสาวได้พบกันจริงจังเป็นครั้งแรก หลังจากที่สื่อสารผ่านแผ่นกระดาษมานานหลายสัปดาห์ ทั้งคู่พบกันบนถนนท่ามกลางสายฝน บทพูดมีเพียงไม่กี่คำ สายตาและอารมณ์สำคัญกว่า

    กรณ์สอดมือลงในกระเป๋ากางเกง สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปแทบจะทันที ท่อนขายาวในกางเกงแสล็คสีดำขยับตามจังหวะการก้าวเดิน ชายหนุ่มกำลังสวมบทบาทของผู้ชายที่เดินทางมาพบกับผู้หญิงที่แอบมองมานาน และเธอก็อยู่ตรงหน้า

    ดนตร์กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เหลือบมองคนที่เขาต้องรัก...ตามบท ให้ตาย! เขาไม่เคยได้จับงานแสดงมาก่อน ถึงจะเคยเรียนแอ็คติ้งมาบ้าง แต่เวลานี้ทุกอย่างในสมองว่างเปล่า ลืมกระทั่งบทที่เมื่อครู่ยังจำได้อยู่แท้ๆ เขามองกรณ์ที่ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ขณะที่ตัวเองยังยืนนิ่งเป็นก้อนหิน เขาหลับตาลงพยายามตั้งสติ นึกถึงบทที่พิมพ์เองกับมือ แต่โชคร้ายเหลือเกินเพราะแค่เป็นคนพิมพ์ไม่ได้เป็นคนเขียนบท มันเลยหยุดตันแค่การพบกันบนถนนท่ามกลางสายฝนเท่านั้น

    กึก!

   เสียงฝีเท้าดังอยู่ไม่ไกลนัก ไม่ใช่สิมันใกล้มากทีเดียว ดนตร์ลืมตาขึ้น ร่างกายเอนห่างโดยอัตโนมัติ กรณ์อยู่ห่างจากเขาแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น นัยน์ตาสีดำเป็นประกายด้วยความยินดี ริมฝีปากหยักสวยระบายรอยยิ้มน้อยๆ

   ตึก ตึก ตึก

   หัวใจเขาเต้นรัวเร็วจนไม่อาจจับจังหวะได้ ใกล้เกินไป สมจริงเกินไป!

    “ดีใจนะครับที่ได้พบคุณ”

    เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น เขาไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันมีอยู่ในบทด้วยหรือเปล่า ทว่าทั้งน้ำเสียงและดวงตาของกรณ์มันกำลังทำให้เขาเสียการควบคุม หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาด้านนอก ดนตร์จำเป็นต้องหลับตาอีกรอบ เพื่อตั้งสติให้ได้ เขานับหนึ่งถึงสิบพร้อมกับพร่ำบอกกับตัวเองว่า เขาคือนางเอกของเรื่องไม่ใช่ดนตร์

    ไม่ใช่...ไม่ใช่...และไม่ใช่

    เปลือกตาบางเปิดขึ้น แม้ว่าจังหวะหัวใจยังไม่กลับมาเต้นเป็นปกติแต่สามารถควบคุมตัวเองได้มากกว่าเดิม เขาจำบทไม่ได้ หากแต่ริมฝีปากกลับคลี่แย้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาด ดวงตากลมหลุบต่ำลงเล็กน้อย ก่อนจะช้อนขึ้นมองคนตรงหน้า

    “ผมก็ดีใจที่ได้พบคุณ”

    กรณ์ที่กำลังสวมบทพระเอกทำทีเป็นมองท้องฟ้าที่ตามบทกำลังก่อตัวเป็นเมฆฝน ชายหนุ่มฉวยมือเล็กกว่ามากุมไว้ พยักพเยิดเชิญชวนให้หาที่กำบังสายฝน ทั้งคู่เดินจูงมือกันห่างจากจุดเดิมไปเล็กน้อย มือยังคงสอดประสาน พวกเขาหยุดเดินและหันมองหน้ากัน กรณ์ใช้มืออีกข้างปัดแถวไรผม คล้ายกับจะปัดหยดน้ำที่หล่นจากเส้นผมให้ พลางกดใบหน้าต่ำลงจนปลายจมูกห่างกันแค่ลมหายใจกั้นเท่านั้น พวงแก้มของคนตัวเล็กกว่าแดงระเรื่อ ตากลมปิดลงขณะที่ริมฝีปากหยักเคลื่อนต่ำลงมา กระทั่งรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาคล้ายกับปีกผีเสื้อบนกลีบปากของตัวเอง

   “คัท!”

    ไออุ่นลอยห่างออกไปพร้อมๆ กับเสียงตะโกนดังก้องห้อง ดนตร์ลืมตาโพลงเหมือนหลุดออกจากห้วงของความฝัน แล้วกลับสู่โลกของความจริง กรณ์ถอยห่างไปราวห้าเมตร แล้วทั้งตัวของเขาก็ถูกเขย่าจากผู้กำกับที่ยิ้มจนแก้มปริ

   “พวกนายเล่นดีมาก! ทั้งคู่เลย เสียดายที่เพลงไม่ใช่ผู้หญิงไม่อย่างนั้นฉันจะให้นายเล่นบทนี้”

    ผิวแก้มของเขาร้อนจัด สาบานได้ว่าเมื่อครู่เขาคิดว่าตัวเองคือผู้หญิงคนนั้นจริงๆ กรณ์ถ่ายทอดความรู้สึกและอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน ตากลมเหลือบมองคนตัวสูงที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าเขินอายหรือยินดีที่ถูกชม แต่กลับทำเหมือนเบื่อหน่ายเสียมากกว่า

    “พอใจหรือยัง ฉันหิว ต้องกลับไปแก้งานอีก”

    “เออๆ พอใจมากกกกก” ชนวีร์ลากเสียงยาว ปล่อยมือจากไหล่ของดนตร์ “พวกนายเล่นโคตรดีเลยว่ะ เหมือนเป็นแฟนกันจริงๆ”

    “พอๆ ไอ้อ้วน ฉันไม่เหมือนแกนะเว้ย ฉันชอบ...” กรณ์หยุดพูดแล้วปรายตามองข้ามหัวไหล่ของลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วนไป “...ผู้หญิงว่ะ”

     จังหวะหัวใจลดลงอย่างรวดเร็ว ไหล่เล็กลู่ลง แขนทั้งสองข้างแนบกับลำตัว ตากลมหลุบต่ำ ภาพปลายเท้าของตัวเองพร่าเลือน เลนส์แว่นตาขุ่นมัว ในหัวมีแค่ประโยคที่กรณ์ทิ้งไว้เท่านั้น มันเป็นคำพูดธรรมดาแต่สำหรับเขามันเหมือนหอกแหลมคมทิ่มลงบนหัวใจ น้ำตาเอ่อท้นขอบตา ดนตร์ก่นด่าตัวเอง เป็นผู้ชายจะร้องไห้ได้อย่างไร เปลือกตาบางปิดลงนานพอที่จะหยุดหยดน้ำเอาไว้ได้...ตอนนี้เขากลับเป็นฮวงหลี่คนเดิมแล้ว

    แรงบีบเบาๆ ที่หัวไหล่ช่วยเตือนให้รู้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่คนเดียว เด็กหนุ่มกลืนบางอย่างที่จุกอยู่ลำคอลงไป ก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้เจ้าของมือ

    “ผมหิวข้าวแล้ว พี่วินเลี้ยงข้าวผมหน่อยได้ไหม”

    ชนวีร์พยักหน้ารับโดยไม่โต้แย้งอะไร ดนตร์ยิ้มจนตากลมยิบหยี เพื่อกลบรอยช้ำในดวงตา...

ต่อด้านล่าง
    
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 3 50% [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 29-05-2017 01:43:59
อย่ากลับคำนะอิพี่กรณ์ จะทำร้ายจิตใจน้องไปถึงไหน  :z6: เพลงหนีไปซบอกธามเลย
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 3 50% [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 30-05-2017 07:37:24
สงสัยพระเอกของเราจะต้องการตัวกระตุ้น หึหึหึหึหึหึ ปากดีให้ได้ตลอดนะพี่กรณ์ ลูกเจี๊ยบหลุดมือเมื่อไหร่ จะซ้ำเติมให้หนักเลยคอยดู  :katai1: :fire: :katai4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 3 50% [28/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 30-05-2017 11:26:21
รอๆ :katai5:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 3 [31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 31-05-2017 21:16:29
(ต่อ)

         ดนตร์ไม่ได้เข้าชมรมมาหลายวันแล้ว คนที่ถามถึงคงมีแต่ชนวีร์เท่านั้นเพราะขาดลูกมือคนสำคัญไป แต่ขนาดชนวีร์ยังติดต่อไม่ได้ คนอื่นๆ ก็จนปัญญาเช่นกัน กรณ์กับลลิตาแสดงได้เข้าขากันมากขึ้น ฝีมือการแสดงของทั้งคู่ก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้ผู้กำกับหนุ่มตัวอ้วนคลายความกังวลไปได้บ้าง ถึงบางครั้งกรณ์จะแสดงความหงุดหงิดออกมา แต่ก็ไม่หนักหนาถึงกับรับมือไม่ได้

    “ลูกเจี๊ยบมันไปไหนของมันวะ ไม่เจอหน้ามาเกือบอาทิตย์แล้ว เธอเจอมันบ้างไหม” ชนวีร์ถามลลิตาระหว่างที่หยุดพักชั่วคราว เด็กสาวพยักหน้าหงึก
 
    “เจอค่ะ ลูกเจี๊ยบเข้าเรียนครบทุกคาบ แต่พอเรียนเสร็จก็หายไปเลย”

   “หายไป? หายไปไหน”

    “ไม่รู้ค่ะ หนูถามอะไรเขาก็ไม่ยอมพูด เอาแต่ก้มหน้าก้มตาแล้วก็เดินหนีไป”

   ชนวีร์ทำหน้ายุ่งยาก มืออูมยกขึ้นเกาหัวแกรกตั้งแต่รู้จักกันมาร่วมปีเพิ่งเห็นดนตร์มีอาการแบบนี้ หนุ่มตัวอ้วนถอยหายใจเฮือกใหญ่

    ...พี่ชายเขาพูดแรงเกินไปจริงๆ…

     “ถ้าเธอเจอมัน ฝากบอกด้วยว่า ฉันให้มันแข่งบาส ถ้าไม่มาตัดพี่ตัดน้องเด็ดขาด”

    “เอ่อ...ค่ะ”

    ข้อความจากชนวีร์ถูกถ่ายทอดไปสู่ดนตร์ในเช้าวันต่อมา ลลิตาทำท่ายกนิ้วปาดคอเป็นการขู่อาฆาตซ้ำเพราะเขาทำท่าปฏิเสธ ลมหายใจเย็นๆ ถูกพรูออกมาชุดใหญ่ อุตส่าห์หนีมาได้ตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอด เขาต้องกลับไปเผชิญหน้ากับความจริงอยู่ดี คิ้วหนาขมวดน้อยๆ สองขาหนักอึ้งจนแทบไม่อยากจะยกก้าว ตอนนี้ทั้งร่างกายและสมองมันขัดแย้งกันอย่างน่าหงุดหงิด ทั้งที่อยากจะหนีต่อแต่ก็กลัวว่ามิตรภาพดีๆ จะถูกทำลายเพราะความงี่เง่าของตัวเขาเอง ได้แต่ภาวนาให้พี่วินด่าเขาน้อยที่สุด จะได้เหลือความสุขไว้ตอนที่ไปกินเหล้ากับเมธัสบ้าง

    วันนี้เพื่อนรักนัดเขาออกไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียน คงเห็นช่วงนี้เขาพูดน้อยกว่าปกติ เมธัสเลยใจดีอยากจะเลี้ยงเหล้าขึ้นมา

    ถึงเขาจะไม่ได้เป็นคนสำคัญของใคร แต่เพื่อนรักทั้งสองก็ไม่เคยมองข้ามเขา ทั้งลลิตาและเมธัสรู้ว่าเขามีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่ แม้จะไม่ได้ถามไถ่หรือซักไซ้แต่ทั้งสองก็ส่งผ่านความห่วงใยมาทางสายตา รวมไปถึงพี่วินด้วยที่โทรหาเขาเป็นสิบสาย นั่นไม่รวมถึงข้อความที่เยอะจนอ่านไม่ไหว เขารู้ว่าทุกคนเป็นห่วง เขาก็แค่อยากสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเองอีกหน่อยเท่านั้นเอง

    ผมสีดำถูกเกาจนยุ่งเหยิง ยังไม่พร้อมจะตอบคำถามใคร ถึงแม้ว่าบางทีเขาจะไม่ได้อยู่ในความสนใจของใครเลยก็ตาม

    ดนตร์ฝืนบังคับร่างกายจนมาถึงโรงยิม เพราะไม่ได้แข่งกันที่สนามบาสเหมือนครั้งก่อน ไหล่เล็กหดเข้าหากัน มองคนที่กำลังเดินมาด้วยความรู้สึกผิดที่อาบรดร่าง

    “มาแล้วเหรอ มาๆ ได้เวลาแข่งพอดี ใส่เสื้อซะสิ”

    พี่วินไม่ได้อาละวาดใส่เขาอย่างที่คาดการณ์ไว้ แต่กลับโยนเสื้อที่ติดเบอร์ 23 ให้ แถมด้านล่างตัวเลขยังมีอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กๆ พิมพ์ว่า ‘DONE’ อีกด้วย ริมฝีปากคลี่ยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ เขากอดเสื้อที่มีชื่อตัวเองแนบอก แล้วรีบสวมมันทันที

    รุ่นพี่ตัวอ้วนไม่ได้บอกว่าวันนี้เขาต้องแข่งกับทีมของคณะอะไร แต่เมื่อเห็นผู้ชายตัวสูงที่พยายามหลบหน้ามาร่วมอาทิตย์ก็รู้ทันทีว่านี่คือนัดล้างตา ดนตร์ใช้ร่างสูงใหญ่ของอัคคีเป็นปราการ ไม่เสนอหน้าออกไปให้ใครเห็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนตาดีเห็นเขาเข้าจนได้

   “อ้าว! ไงเจ้าเปี๊ยก นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” อริญชย์ร้องทัก เอียงตัวมองเขาที่ยังใช้หลังอัคคีเป็นที่กำบังกาย

    ดนตร์ยิ้มแห้งๆ กลับไป โชคดีที่ได้เวลาแข่งพอดีเลยไม่จำเป็นต้องทักทายใครอีก อัคคีเตือนให้เขาถอดแว่นออกด้วย เพราะเกมวันนี้น่าจะดุเดือดกว่าครั้งก่อน

   แล้วก็เป็นอย่างที่คนมาประสบการณ์บอกไว้ เกมการแข่งขันดุเดือดตั้งแต่ลูกบาสกระทบกับพื้น ดนตร์ถูกผู้เล่นอีกทีมกระแทกใส่จนหน้าแทบคะมำ ดีที่ได้เพื่อนร่วมทีมดึงตัวไว้ เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด รีบตั้งหลักแล้วตอบโต้กลับทันที ถึงจะตัวเล็กกว่าแต่ดนตร์มีความเร็วเป็นอาวุธ เขาแย่งชิงลูกบาสตัดหน้าอีกทีมได้หลายครั้ง และทำแต้มได้จากการชูทกลางสนาม แต่อีกทีมก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

    ทีมจากคณะสถาปัตย์ขอเวลานอกเมื่อถูกนำไป 2 แต้ม จากนั้นก็กลับมาแข่งอีกครั้งโดยที่คราวนี้ส่งผู้เล่นเบอร์ 9 ชื่อกรณ์ตามประกบหมายเลย 23 จากคณะนิเทศน์ ทั้งสองปะทะฝีมือกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ดนตร์พยายามจะใช้ความเร็วของเองเข้าไปแย่งลูกบาส แต่กลับถูกร่างที่ทั้งสูงทั้งใหญ่คอยบังไว้ ทำให้พลาดจังหวะไปหลายครั้ง หรือเมื่อแย่งลูกได้อีกฝ่ายก็เข้ามาพัวพันจนเผลอทำลูกหลุดจากมือ ดนตร์เผลอสบถคำหยาบด้วยความโมโห ขณะที่อีกคนทำแค่ยิ้มเย้ยหยันเท่านั้น

    แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาวิ่งหลบกรณ์ไปที่ใต้แป้นเพื่อรอจังหวะที่เพื่อนร่วมทีมจะส่งลูกมาให้ แล้วโอกาสนั้นก็มาถึง อัคคีโยนลูกมาทางเขา ดนตร์รับลูกไว้ได้ เขาเกือบจะสปริงเท้าขึ้นชูทลูกทว่าก็ต้องปะทะกับกำแพงมนุษย์ที่ชื่อกรณ์อีกครั้ง เขาโยกตัวไปทางซ้ายอีกฝ่ายก็โยกตาม ไมว่าจะไปทางไหนก็ถูกดักไปหมด ดนตร์ตัดสินใจดีดตัวให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในจังหวะที่เขาลอยตัวอยู่ในอากาศ ช่วงเอวก็เย็นวาบจากสัมผัสของบางอย่าง เขาเสียการทรงตัวทันทีทำให้ลูกบาสพลาดห่วงไปอย่างน่าเสียดาย

    กรณ์จับเอวเขา!

    ปี๊ด!

    กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน ทีมจากคณะนิเทศน์ศาสตร์ชนะคณะสถาปัตย์ไปเพียง 2 แต้ม แม้ว่าดนตร์จะทำพลาดในแต้มสุดท้าย แต่ผลการแข่งขันคณะของเขาก็ชนะอยู่ดี เป็นการเอาคืนที่สมน้ำสมเนื้อเลยทีเดียว ดนตร์ถูกชมยกใหญ่อีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะถูกกรณ์ตามประกบก็ยังทำได้ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของกรณ์ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน รายนั้นทำแต้มให้ทีมได้เกินครึ่งเลยทีเดียว

    เขาถูกปล่อยตัวหลังจากนั้นไม่นาน ที่จริงอยากจะไปทั้งสภาพที่ชุ่มเหงื่อไปทั้งตัว แต่เขาทนเหนียวตัวไม่ไหวเลยหลบไปขอใช้บริการห้องน้ำของโรงยิม ดีหน่อยที่ไม่ใช่ช่วงซ้อมกีฬาเลยไม่ค่อยมีคนอยู่มากนัก เรียกว่าแทบจะไม่มีใครเลยก็ว่าได้

    ดนตร์เลือกห้องที่อยู่ด้านในสุด เด็กหนุ่มปลดเสื้อผ้าออกแล้ววางไว้บนม้านั่งตัวยาวหน้าห้องน้ำ ใช้ผ้าขนหนูสีขาวที่หาได้จากแถวนั้นพาดไว้บนบ่าแล้วค่อยเดินเข้าไปด้านใน เพราะบริเวณนี้ไม่มีใครเขาเลยใจกล้าที่เดินโทงๆ อย่างนั้น แต่ถ้าหากใครสักคนอยู่ด้วยถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันเขาก็ไม่กล้าแก้ผ้าให้ใครเห็นหรอก

    มือเรียวขาวจัดหมุนปรับอุณหภูมิน้ำให้อยู่ในระดับที่พอใจแล้วค่อยเปิดให้ฝักบัวปล่อยสายน้ำรดรินผ่านกาย ใช้สบู่ก้อนเล็กๆ ที่อยู่ในนั้นฟอกกายลวกๆ เพราะเมื่อกลับไปถึงห้องพักก็ต้องอาบใหม่อีกรอบอยู่ดี ดนตร์ลากมือผ่านผิวกายของตัวเอง เขาปิดฝักบัวเมื่อคิดว่าสะอาดพอแล้ว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเดิมพันสะโพกไว้หมิ่นเหม่ก่อนจะออกจากห้องน้ำ

    “เฮ้ย!”

    เด็กหนุ่มอุทานด้วยความตกใจ เมื่อทั้งร่างชนกับบางอย่างที่อยู่ตรงหน้า มันไม่ใช่ประตูหรือกำแพง หากแต่ว่าเป็นร่างของคน คนที่ตัวสูงกว่าเขาร่วมสิบเซน....กรณ์

    กรณ์ยังอยู่ในชุดเดิม เสื้อกล้ามสีแดงขลิบขอบด้วยสีดำ มีชื่อคณะที่หน้าอกซ้าย หมายเลข 9 พิมพ์ด้วยสีขาวเด่นกลางหน้าอก สัญชาตญาณบางอย่างบอกถึงความไม่น่าไว้วางใจ เขายกมือลูบใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ ตากลมช้อนมองอีกฝ่าย ใจเขาหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม เพิ่งประจักษ์เดี๋ยวนี้ว่า กรณ์อยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบ ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังเหลือร่องรอยความเหน็ดเหนื่อยให้เห็นก้มต่ำลงกว่าเดิม ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าผ่านหน้าผาก น่าแปลกเหลือเกินที่มันสามารถละลายความเย็นจากสายน้ำได้

    ดนตร์เบี่ยงตัวหนี แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะขยับ เขาเงยหน้ามองอีกครั้งทว่ากลับได้รับสายตาดุดันกลับมาแทน

    “เก่งนี่..ทั้งการแสดง ทั้งเล่นบาส”

    “...ขอบคุณ...ครับ”

   “หึ” กรณ์ทำเสียงขึ้นจมูก “คิดว่าฉันชมนายจริงๆ หรือไง”

    “เปล่าครับ”

    คิ้วหนายกสูงคล้ายแปลกใจในคำปฏิเสธ เด็กหนุ่มขยับตัวพยายามหาทางหนี แต่มือแกร่งยกขึ้นวางบนกำแพงกั้นคนตัวเล็กกว่าไว้ในวงแขน ดวงตาคมดุจ้องมองมาไม่วางตา ดนตร์ร้อนวูบไปทั้งตัว เขาเพิ่งสำเหนียกได้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพล่อแหลมแค่ไหน ทั้งร่างมีแค่ผ้าขนหนูพันสะโพกไว้เท่านั้นเอง ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่กรณ์คือคนที่ทำหัวใจสั่นไหวได้ตลอดเวลา ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้มันไม่ปลอดภัยสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย

    “นายกำลังท้าทายฉันอยู่ใช่ไหม...เพลง”

    “...เปล่าครับ”

   เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ทำให้กรณ์คิดอย่างนั้น แต่ก็ป่วยการที่ต่อความยาวสาวความยืดเลยเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้

    “เปล่า? แล้วไอ้ท่าทางแบบนี้มันหมายความว่ายังไง”

    ดนตร์ถอยหายใจเฮือกใหญ่ นึกอยากจะหนีกลับไปอยู่ในห้องน้ำแทนการเผชิญหน้า แต่เพราะเขาอายุ 19 ปี ไม่ใช่เด็กอนุบาล 3 ขวบเลยไม่อาจทำเช่นนั้นได้

    “ถ้าผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจก็ขอโทษด้วยแล้วกัน พี่ช่วยลดแขนลงหน่อยได้ไหม ผมมีธุระ”

    อีกฝ่ายขมวดคิ้วฉับไม่พอใจ และไม่ลดแขนลงตามที่เขาร้องขอ ห้องอาบน้ำเงียบกริบจนน่าแปลกใจ เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้นจากห้องอื่นบ้าง ทว่าตอนนี้มันเงียบราวกับว่าเหลือแค่เขากับกรณ์เพียงแค่สองคนเท่านั้น

    “พี่กรณ์...”

    “มีธุระ หรือจะรีบไปหาใคร ไอ้ธาม หรืออไอ้รันล่ะ”

    “เกี่ยวอะไรกับพวกนั้นด้วย?” ตากลมไร้เลนส์แว่นบดบังตวัดมอง “ผมนัดเพื่อนไว้ ไม่เกี่ยวกับเพื่อนของพี่หรอกครับ”

    กรณ์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้มีทีท่าว่าจะขยับเปิดทางให้อีกฝ่ายได้ไปทำธุระตามที่กล่าวอ้าง ใบหน้าหล่อจัดก้มต่ำลงปลายจมูกแทบจรดกับหน้าผากเปียกชื้น ร่างกายขาวผ่องมีหยดน้ำเกาะพราว เขาหลุบตาไล่มองตั้งแต่โครงหน้าได้รูป ลำคอยาวระหง ลาดไหล่ขนาดพอดีกับส่วนสูง แผ่นอกที่ไม่ได้หนาหรือแห้งเป็นแผ่นบาง ช่วงเอวคอดและสะโพกเพรียวที่มีผ้าขนหนูกันเอาไว้ลวกๆ ปมเริ่มคลายตัวแล้วนิดหน่อย ท่อนขาค่อนข้างเรียวและเล็ก ทั่วทั้งเรือนร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่เส้นขนให้เกะกะสายตาเลย เว้นเสียแต่เรือนผมสีดำที่ตัดกับผิวขาวผ่องเท่านั้น

    เขาเคลื่อนปลายเท้าเข้าใกล้กว่าเดิมจนระยะห่างแทบไม่มีเหลือ ไอเย็นจากร่างเล็กแผ่มาถึงเขา คงไม่ต่างจากความร้อนในกายของเขาที่จู่ๆ ก็มีมากขึ้น มันคงลามไปถึงอีกฝ่ายเช่นกัน เขาเห็นพวงแก้มใสระเรื่อขึ้นเล็กน้อย เพิ่งสังเกตว่าไอ้เจ้าสี่ตาตอนนี้เหลือแค่สองตาแล้ว ดวงตากลมเฉี่ยวยามไร้แว่นทรงเห่ยๆ ก็น่ามองไม่หยอก มันเข้ากันได้ดีกับจมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากเล็กแดงจัด เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมไาวินและอริญชย์ถึงได้พูดถึงหมอนี่บ่อยนัก โดยเฉพาะรายหลังรู้สึกว่าจะเอาแต่คอยมองหาเจ้าของน้ำมะนาวปั่นทุกครั้งที่ผ่านโรงอาหาร

    ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาแทบไม่เห็นหน้าตาจืดชืดของไอ้เด็กนี่เลย นับตั้งแต่ได้ปะทะการแสดงกันไปเล็กน้อย ตอนนั้นเขาแค่จะแกล้งเล่นโทษฐานที่ทำให้หงุดหงิด แต่พอได้เห็นดวงตาใสซื่อ กับใบหน้าขาวใส เขาก็พาตัวเองหลุดเข้าไปในบทของพระเอก และดนตร์คือผู้หญิงที่เขาเฝ้ามองผ่านบานหน้าต่าง แม้จิตใต้สำนึกจะบอกว่าคนตรงหน้าคือผู้ชายแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากชนวีร์ไม่ได้สั่งคัทเขาอาจจะเผลอจูบดนตร์ไปจริงๆ ก็ได้

    คนในพันธนาการของวงแขนเริ่มไม่อยู่สุข ตากลมมองหาลู่ทางการหลีกหนี หลังจากที่เขาเผลอหลุดปากพูดแย่ๆ ไป ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่พยายามจะหลบหน้าเขา ไม่สิ หลบจากทุกคน ไม่มีใครติดต่อดนตร์ได้เลยแม้แต่ชนวีร์รุ่นพี่คนสนิท ไอ้เจ้าอ้วนเอาแต่โยนความผิดใส่เขา แค่เขาพูดว่า ‘เขาชอบผู้หญิง’ มันก็บ่นเขายาวยิ่งกว่าหางว่าว เขาไม่รู้ว่ามันผิดตรงไหน เพราะในเมื่อเขาชอบผู้หญิงจริงๆ

    ...มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ทำไมเขาถึงละสายตาจากร่างกายนี้ไม่ได้สักที...

    “แน่ใจเหรอว่าเพื่อน”

   ตากลมมองมาที่เขา ใบหน้ายามไร้แว่นบ้าๆ นั่น น่ามองกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เขารู้สึกว่าดนตร์ในตอนนี้เหมือนลูกเจี๊ยบจริงๆ น่ารักและน่าแกล้ง

    “แน่ใจ! พี่ช่วยถอยออกไปด้วย เลยเวลานัดแล้ว”

    กรณ์กระตุกยิ้ม เอียงคอมองคนในวงแขน จมูกอยู่ห่างจากผิวแก้มระเรื่อไม่ถึงเซนดีด้วยซ้ำ “เพื่อนผู้ชายสินะถึงได้รีบร้อนถึงขนาดยอมเสียมารยาทกับรุ่นพี่”

    “พี่ต้องการอะไรกันแน่! ถ้าจะว่าผมก็ว่ามาตรงๆ เลย ถ้าผมมันน่ารังเกียจนักล่ะก็จะมายุ่งกับผมทำไม หรือว่าพี่เองก็สนใจผมเหมือนกัน! อื้อ!”

    เปรี๊ยะ!

    เสียงอะไรบางอย่างในหูขาดออกจากกัน มือหนาคว้าคางเรียวแล้วประกบริมฝีปากลงไป ปิดกั้นคำพูดทั้งหมดของคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ กรณ์บดขยี้กลีบปากนุ่มอย่างไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะเจ็บแค่ไหน ปลายนิ้วบีบแก้มนุ่ม บังคับเรียวปากให้เผยอออกจากกัน ดนตร์ดิ้นรนเท่าที่จะทำได้ เขาเลยก้าวประชิดร่างใช้ร่างกายหยุดการเคลื่อนไหว นาทีนั้นเขาไม่สนใจแล้วว่าเสื้อผ้าจะเปียกเพราะหยดน้ำจากอีกคนหรือเปล่า เขาแค่ต้องการให้ไอ้เจ้าเด็กนี่รู้ว่าเขากำลังโกรธ...โกรธที่มันบังอาจพูดจาอวดดีใส่เขา

    กรณ์สอดลิ้นเข้าสู่โพรงปากอุ่น ลิ้นหนากวาดไล้ทั่วกระทุ้งแก้ม พร้อมกับดูดดึงกลีบปากนุ่มไปด้วย บางจังหวะเผลอใช้ฟันขบกัดเนื้อนุ่ม เขาได้ยินเสียงร้องประท้วง มือสองข้างของดนตร์พยายามผลักไส ชายหนุ่มเบียดร่างแนบชิดยิ่งกว่าเดิมจนแม้แต่อากาศก็ลอดผ่านไม่ได้ กรณ์เอนศีรษะปรับองศาเพื่อให้จูบได้ถนัดขึ้น เรียวลิ้นยังคงโรมรัน อย่างจงใจทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน เสียงชื้นแฉะจากของเหลวดังประสานกับเสียงลมหายใจ กรณ์เริ่มเสียการควบคุม จากจูบที่แค่อยากจะระบายความโกรธมันกลับเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มดูดกลืนกลีบปากอิ่ม ขณะที่ปลายลิ้นรับรู้ถึงรสเค็มปร่าจากบางอย่าง กลิ่นคล้ายสนิมปะปนมากับลมหายใจ

    ...เลือด...

    น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้รู้สึกขยะแขยงรสจูบที่ไม่ได้หวานกำซ่าน แต่รสเลือดยิ่งเพิ่มแรงอารมณ์ให้โหมสูง ไม่ต่างจากการโยนน้ำมันใส่กองไฟ เลือดในกายเขาร้อนรุ่ม หน้าขาปวดหนึบ กรณ์กดหน้าขากับหน้าท้องของอีกฝ่าย เปิดเผยความปรารถนาอย่างหลงลืมตัว...

********************************

คนมันกลืนน้ำลายตัวเองเนาะ

หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 3 [31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 31-05-2017 22:25:52
อีพี่กรรรรรรรรรรรรรณ์ โว้ยยยยยยยยยยยยยย :fire: :m31: :m16: :angry2: :serius2: :katai1:
ไปไกลๆ ไปอยู่กับเมียแกโน่นนนนนนนน
ลูกเจี๊ยบเขามีคนรอให้เลือกอีกตั้งเยอะ ฮึ่ย พิมพ์แล้วขึ้นๆๆๆ

ขอบคุณที่มาต่อค่ะ จุ้บๆ ตอนต่อไปมาไวๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 3 [31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 01-06-2017 00:02:59
มาแนวSM ได้ไง สงสารลูกเจี๊ยบ  :jul1:
อิพี่กรณ์แกล้งน้องตลอดเวลา แล้วก็พูดจาร้ายกาจ สรุปคือหวงเพื่อน หรือหวงน้อง
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 3 [31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 01-06-2017 00:35:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 3 [31/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 01-06-2017 23:53:10
บอกสิ ว่าพี่กรณ์ไม่ใช่พระเอก :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 4 Your lips [04/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-06-2017 19:55:38
Chapter 4 Your lips

    ดนตร์พยายามผลักแผ่นอกหนา ทว่าอีกฝ่ายมีพละกำลังมากกว่าเขาหลายเท่านัก ริมฝีปากถูกรุกรานจนเจ็บระบมไปหมด ที่มุมปากดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ เขาได้กลิ่นเลือดคลุ้งทั่วโพรงปาก กรณ์ไม่ให้โอกาสเขาได้ตั้งรับ ลิ้นใหญ่กวาดต้อนอย่างคนชำนาญการ ลมหายใจถูกลิดรอนจนอากาศในปอดใกล้จะหมดลงทุกที แผ่นหลังเบียดไปกับผนังเย็นเยียบของกำแพง เขาไม่สามารถขยับตัวไปทางไหนได้เลยเพราะกรณ์ใช้ร่างกายพันธนาการเอาไว้ทั้งหมด หน้าอกของเขาสะท้อนหนักและถี่มากขึ้นเรื่อยๆ เขายกมือทุบไปบนแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่ แต่มันไม่ต่างจากเอาปุยนุ่นไปตีขอนไม้ กรณ์ไม่สะท้านสะเทือนเลยสักนิด ทั้งที่เขามั่นใจว่าแรงที่ออกไปนั้นไม่ได้น้อยเลย

     มือกร้านเกาะกุมที่ช่วงเอว บีบขย้ำอย่างไม่เกรงใจ ดนตร์สะดุ้งเฮือกทั้งตกใจและหวาดหวั่น เพราะปมผ้ามันคลายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากดิ้นรนผลักไสมากกว่านี้ อาภรณ์เพียงชิ้นเดียวก็จะหลุดได้ แต่เขาก็ไม่อาจอยู่เฉย ปล่อยให้คนเห็นแก่ได้ปล้นจูบไปอย่างหน้าด้านๆ ที่สำคัญมันคือจูบแรกของเขากับผู้ชาย...ส่วนกับผู้หญิงเขาไม่นับ ฝ่ามืออุ่นจัดเลื่อนจากเอวมาที่หน้าท้อง เด็กหนุ่มเกร็งตัวบิดหนี หากแต่ว่ามันไม่ได้ไปไกลกว่าเดิม มือของกรณ์ยังคงกระทำได้ตามใจ ปมผ้าคลายตัวจนหลุดจากกัน พร้อมกับมือที่เลื่อนลงต่ำ

    “กรณ์คะ! คุณอยู่ที่ไหนน่ะ กรณ์!”

    ปึก!

    ดนตร์ใช้โอกาสสั้นๆ นั้น ผลักอกกว้างเต็มกำลัง ร่างสูงเสียหลักเซไปหลายก้าว เขาตะปบชายผ้าขนหนูที่เกือบจะหลุดไหลเลื่อนจากสะโพกได้ทันแล้ววิ่งหายกลับเข้าไปในห้องน้ำ เบียดตัวแทรกอยู่กับผนังเปียกชื้น ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีสติพอที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของบุคคลที่สาม

    “มาอยู่นี่นี่เอง ฉันตามหาคุณตั้งนาน ไปค่ะ ฉันไม่อยากไปสาย เดี๋ยวยัยพวกนั้นมันจะให้เลี้ยงเหล้า”

    เขาจำได้ว่ามันเป็นเสียงของโยษิตา เปลือกตาบางปิดลง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดเป็นภาพทับซ้อนกับภาพของคู่หนุ่มสาวที่จับจูงกันออกไป ดนตร์ยกมือขึ้นจับหน้าอกข้างซ้าย กำนิ้วขยำมันลงไปให้แน่นที่สุด เพื่อหวังว่ามันจะช่วยให้อาการปวดแปลบทุเลาลง แล้วสั่งน้ำตาให้ไหลกลับไปด้านใน...



    ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองแก้วน้ำสีอำพันที่มีไอน้ำเกาะอยู่รอบๆ น้ำแข็งก้อนสี่เหลี่ยมละลายลดความเจือจางของแอลกอฮอล์ดีกรีแรงได้นิดหน่อย เขาหยิบออนเดอะร็อคขึ้นมาจิบแล้ววางลง ก่อนจะเปลี่ยนใจคว้ามันเทเข้าปากรวดเดียวหมดเหลือแค่น้ำแข็งที่กระทบกันดังกุ๊งกิ๊งอยู่ในแก้ว แต่เหล้าก็ไม่อาจช่วยให้เขาหยุดคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นได้เลย ในหัวของเขายังมีภาพของเด็กหนุ่มผิวขาวจัด ริมฝีปากอิ่มสดปลั่ง กลิ่นของเลือดในโพรงปากเล็กๆ นั่น ไหนจะผิวกายที่เนียนนุ่มมือไม่ต่างจากผ้าแพรชั้นดี บ้าชะมัด! เขากำลังคิดถึงผู้ชาย...ที่ชื่อดนตร์

    “เป็นอะไรไปคะ เครียดที่แข่งบาสแพ้เหรอ” โยษิตากระซิบถาม เธอรู้ใจเขาดีที่สุด ตะโกนสั่งบรั่นดีให้อีกแก้ว

    กรณ์ส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ ถึงจะรักการแข่งขันแค่ไหน แต่การพ่ายแพ้ในเกมวันนี้ไม่ได้ทำให้หัวเสียสักเท่าไร หากแต่เป็นเพราะไอ้เจ้าเด็กจอมอวดดีนั่นต่างหาก

    ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดนตร์หายหน้าไปจากชมรม ไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา กระทั่งชนวีร์ก็ติดต่อไม่ได้ เจ้าลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วนของเขามันหงุดหงิดน่าดู เพราะหาคนทำงานรู้ใจมันไม่ได้ ส่วนเขาก็แค่...ไม่รู้สิ...เหมือนทำผิด ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไร แต่ชนวีร์ก็โทษว่าเป็นความผิดของเขา เขาหงุดหงิดที่ถูกกล่าวหา และหงุดหงิดยิ่งกว่าที่รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป...บางอย่างที่ชื่อว่าดนตร์

    “ออกไปเต้นหน่อยไหม” โยษิตาใช้มือนุ่มนิ่มเกาะต้นแขนเขา ออกแรงรั้งเบาๆ เป็นการชวนแกมบังคับ เขาส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธอีกรอบ คิ้วเรียวยกสูงก่อนจะขมวดน้อยๆ “เป็นอะไรคะ หรือว่าเครียดเรื่องงาน”

   “ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย คุณออกไปเต้นกับเพื่อนเถอะ”

    โยษิตาชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดจูบบนแก้มของเขาเบาๆ แล้วผละออกไปหากลุ่มเพื่อนๆ ที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงกับเสียงเพลงเร้าใจ

    กรณ์กลับมาจมจ่ออยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่อาจปัดเรื่องของดนตร์ออกไปจากสมองได้ ทุกสัมผัส ทุกจังหวะหายใจ ทุกการเคลื่อนไหว หรือแต่เสียงครวญเบาๆ นั่นติดประทับในความทรงจำ น่าแปลกที่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจทั้งที่เป็นเพศเดียวกัน สาบานได้ว่าเขาไม่เคยมีรสนิยมนึกอยากจะลองรสรักกับผู้ชาย เขาชอบผู้หญิง ธรรมชาติสรรค์สร้างให้ผู้ชายเกิดมาอยู่คู่กับผู้หญิง เพื่อมีลูกและสร้างครอบครัว แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การคบหาดูใจกับเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงในประเทศนี้เมืองนี้จะยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว...ทว่าเขาไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทนั้น เขาคือผู้ชายปกติ ที่มีคนรักเป็นผู้หญิง แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้มีอารมณ์กับดนตร์

    แค่ลองคิดว่าถ้าหากไม่ใช่ดนตร์ แต่เป็น ธาวิน อริญชย์ หรือนักรบ ขนในกายก็พากันลุกขันแล้ว ปลายมือปลายเท้าจิกเกร็ง ขยะแขยงจนต้องรีบกรอกเหล้าเข้าปาก แล้วทำไมต้องเป็นไอ้เด็กนั่น ไอ้เด็กหน้าตาจืดชืด ไม่มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง แต่ถ้าไม่ใส่แว่นก็พอดูได้ กรณ์ยกแก้วเหล้าเข้าปากอีกครั้งแล้วพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกที่ผิดเพี้ยนไปของตัวเอง บางทีเขาคงแค่อยากจะเอาชนะท่าทางอวดดีของดนตร์ หรือคงเป็นความหมั่นไส้ที่ใครๆ ก็เอาแต่พูดถึงเด็กนั่น กรณ์พร่ำบอกตัวเองเป็นร้อยๆ ครั้ง เขาไม่ได้คิดอะไรกับดนตร์..ไม่ได้คิดอะไร

    ...พยายามจะไม่คิดจริงๆ...



    หลังจากวันแข่งบาส ดนตร์กลับมาที่ชมรมอีกครั้ง ชนวีร์ไม่ได้ซักไซ้ถามหาเหตุผลของการหายหน้าไปเป็นอาทิตย์ เขาทำทุกอย่างที่รุ่นพี่ตัวอ้วนสั่งด้วยความตั้งใจ ไม่เพียงแต่ต้องมาช่วยงานชนวีร์เท่านั้น แต่เขายังมานะทำรายงานตั้งแต่ต้นเทอม ไม่ใช่แค่ของตัวเองแต่ยังช่วยลลิตากับเมธัสรวมไปถึงมิ่งขวัญที่เป็นรูมเมทอีกด้วย ลึกๆ แล้วดนตร์รู้ตัวดีว่าทำไมต้องทำตัวให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายขนาดนี้ เพราะเขาต้องการใช้มันเป็นเกราะกำบังตัวเอง และอยากให้ความรู้สึกบางอย่างถูกกลบเกลื่อนไปด้วย ทว่า...มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น

    ยิ่งนานวันความรู้สึกและรอยสัมผัสจากใครบางคนยิ่งเด่นชัด เขาไม่เคยลืมรสจูบและกลิ่นเลือดได้เลย ผิวเนื้อที่ถูกฝ่ามือกร้านแตะต้องมักจะร้อนระอุขึ้นมาเสมอถ้าหากเผลอไปนึกถึง เช่นเดียวกับหัวใจ มันเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงใครคนนั้น

    ดนตร์ช่วยคนอื่นๆ ลำเลียงวัสดุ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการถ่ายทำ วันนี้จะเริ่มถ่ายจริงจังแล้ว ลลิตาดูตื่นเต้นไม่น้อยขณะที่พระเอกของเรื่องยังคงสงบนิ่ง...และนิ่งมากจริงๆ กรณ์ไม่คิดจะช่วยหยิบจับอะไรเลยสักชิ้น แม้แต่ลลิตาที่ผอมบางราวกับจะปลิวลมได้ยังช่วยเขายกลังที่หนักร่วมๆ 20 กิโลฯ ทีมงานคนอื่นๆ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ขนของขึ้นรถบรรทุกคันใหญ่ที่ชนวีร์ยืมของมหาวิทยาลัยมาใช้ชั่วคราว มีแค่กรณ์เท่านั้นที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนกายไปไหน แต่เขารู้สึกว่าแผ่นหลังจะร้อนขึ้นเมื่อต้องหันหลัง มันร้อนเหมือนถูกจับจ้องด้วยสายตา…จากใครบางคน

     “นายขึ้นไปก่อนเพลง เดี๋ยวฉันไปดูไฟก่อนไม่รู้ว่าเตรียมกล้องพร้อมหรือยัง”

   เด็กหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะกระโดดเข้าไปนั่งรถแวนสีดำของชนวีร์ ผู้กำกับตัวอ้วนใช้รถยนต์ของตัวเองเป็นพาหนะสำหรับนักแสดงรวมไปถึงลูกมือคนสนิทด้วย ดนตร์เลือกนั่งที่เบาะด้านในสุด เขาไม่รู้ว่าจะมีใครโดยสารไปกับรถคนนี้บ้าง จับจากจำนวนเบาะอย่างน้อยก็ 6-7 คน หรือมากสุดก็ไม่น่าจะเกิน 9 คน มือขาวจัดหยิบหูฟังที่ต่อจากโทรศัพท์มือถือเสียบใส่หู ปล่อยความรู้สึกไปกับเสียงเพลงที่ขับกล่อม

    เขาเกือบหลับไปแล้วจริงๆ ถ้าหากไม่มีแรงกระทบของบางอย่างที่ต้นแขน เปลือกตาบางเปิดขึ้น ดนตร์หันมองไปที่ด้านซ้ายของตัวเอง อาการง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อรู้ตัวว่าคนที่นั่งหัวไหล่เกยกันคือกรณ์ เขาขยับตัว แผ่นหลังตั้งตรงและผินหน้าไปอีกฝั่ง รถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ แต่หัวใจและความรู้สึกกลับไปติดอยู่ที่หัวไหล่เท่านั้น

   ดนตร์บังคับตัวเองไม่ไห้ใส่ใจกับไออุ่นจากอีกคนมากนัก แต่เขามันพวกหัวทึบ แถมยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุ ความสนใจทั้งหมดของเขาพุ่งไปที่หัวไหล่แข็งแรงที่เบียดชิดกัน กรณ์นั่งในท่าที่สบายที่สุด พื้นที่คับแคบไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนตัวสูงเกินหกฟุตเลยสักนิด ท่อนขายาวกางออกเต็มที่จนหัวเข่าชนกับต้นขาของเขา มือกดโทรศัพท์ด้วยความชำนาญ เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังโต้ตอบการสนทนาหรือว่าเล่นเกมกันแน่ ได้ข่าวว่าช่วงนี้กรณ์ติดเกมมากถึงขนาดแชร์เกมที่ตัวเองเล่นในเฟซบุ๊ค

   หลายครั้งที่ทั้งหัวเข่าและไหล่กว้างเบียดมาแน่นกว่าปกติ คงเป็นเพราะจังหวะการโยกของตัวรถและถนนที่คดเคี้ยว แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นความตั้งใจของคนข้างๆ อย่างตอนนี้ รถจอดสนิทที่แยกไฟแดง ทว่าหัวไหล่ของกรณ์ก็เกยซ้อนกับไหล่ของเขา ดนตร์พยายามกระถดตัวเข้าเบียดกับตัวรถ แต่อีกฝ่ายกลับแทรกไหล่เข้ามามากกว่าเดิมจนตัวเขาแทบจะไปอยู่บนแผ่นอกของกรณ์อยู่แล้ว ที่ร้ายที่สุดคือตอนที่เจ้าตัวกางแขนคล้ายกับจะบิดขี้เกียจ ช่วงแขนยาวยื่นผ่านตัวของเขา มองเผินๆ คล้ายกับเขากำลังถูกกรณ์โอบกอดอยู่

    ดนตร์เผลอหลับไปหลายครั้ง ศีรษะโขกกับกระจกรถอยู่ก็หลายครา พอเจ็บตัวก็ตื่นที แต่เมื่ออารมณ์ดำดิ่งเมื่อไรก็จะคอพับลงไปอีกรอบ ส่วนคนที่นั่งอยู่ติดกันก็ยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม...ตลอดเส้นทาง

    ขบวนหนังสั้นของชนวีร์มาถึงสถานที่ตอนเกือบ 10 โมง อากาศดีพอสมควร ทุกคนที่อยู่ด้านในรู้ว่าจะมีการใช้สถานที่ถ่ายทำเลยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บางฉากต้องใช้พนักงานจริงเข้ามาร่วมถ่ายทำด้วย ลลิตาถูกปรับโฉมให้กลายเป็นสาวทำงานเต็มตัว ส่วนกรณ์ต้องรอจนกว่าคิวของลลิตาจะหมดถึงจะย้ายไปถ่ายอีกตึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

    พอชนวีร์สั่งเดินกล้อง ทำหน้าที่ผู้กำกับเต็มตัว แต่ละคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ยกเว้นแต่ดนตร์ เขาไม่ได้มีงานตายตัว เป็นแค่เบ๊ของชนวีร์เท่านั้น เขาหามุมยืนมองการแสดงของลลิตา เพื่อนสนิทคนสวยของเขาทำออกมาได้ดีเยี่ยม ลลิตามีฝีมือมากทีเดียว เขาเชื่อว่าในอนาคตลลิตาจะต้องเป็นนักแสดงที่น่าจับตาแน่นอน

    ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงชนวีร์ก็ได้ฉากที่ต้องการสมใจ ทีมงานบางส่วนย้ายไปที่อีกอาคารอยู่ด้านหลัง กรณ์ต้องไปถ่ายที่นั่น แต่ทีมงานที่ยังอยู่ต้องเก็บภาพจากมุมเดิมที่ลลิตาเคยอยู่ด้วย เป็นการถ่ายสลับกันไปมา เพื่อจะได้แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของหนุ่มสาวที่สื่อสารกันผ่านแผ่นกระดาษ บอกความในใจ แต่มันลึกซึ้งและจริงใจมากกว่าการใช้โซเชี่ยวเน็ตเวิร์ก ดนตร์ต้องตามชนวีร์ไปด้วย เขาแอบมองพระเอกของเรื่องเป็นระยะ วันนี้กรณ์ดูหล่อเหลากว่าที่เคยเห็น ด้วยเสื้อผ้า การแต่งหน้าและทรงผม ทำให้กรณ์กลายเป็นหนุ่มเต็มตัว และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ เขาได้ยินสาวๆ หลายคนในกองพร่ำพรรณนาชื่นชมในความดูดีเกินไปของกรณ์ ไม่ใช่แค่ทีมงานแต่รวมไปถึงผู้หญิงที่ทำงานอยู่ยังแอบชื่นชมพระเอกของเรื่องไม่ได้

     กรณ์จริงจังมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลามีแววกังวลเล็กน้อย ไม่นานชนวีร์ก็สั่งเดินกล้องแล้วเริ่มถ่ายทำ กรณ์ดูจะเกร็งและประหม่าอยู่ไม่น้อย เขาทำได้ดีแต่ชนวีร์ยังไม่พอใจ คงเป็นเพราะกรณ์ไม่ได้เรียนการแสดงมาโดยตรง บางอิริยาบถเลยยังดูไม่เป็นธรรมชาติ

   “คัท! กรณ์ใจเย็นๆ ฉันว่านายเกร็งไปหน่อย ผ่อนคลายๆ หายใจเข้าลึกๆ”

    คิ้วหนาขมวดมุ่น แม้จะอยู่ห่างเป็นสิบเมตรแต่เขาก็ยังเห็นความตึงเครียดที่รายล้อมอยู่รอบตัวของกรณ์ เขาเข้าใจเพราะอีกฝ่ายจับแต่ดินสอวาดรูป ไม่เคยเข้าคอร์สเรียนการแสดง แม้จะเคยซ้อมมาบ้างแต่เวลาถ่ายทำจริงๆ มันยากกว่านั้น เขาเห็นกรณ์เดินเข้าไปหาชนวีร์ ทั้งคู่พูดคุยอะไรบางอย่างกันสักพัก เขาเกือบจะเดินไปหาลลิตาที่กำลังนั่งกินขนมอย่างไม่แคร์ตัวเลขบนตาชั่งแล้ว หากชนวีร์ไม่เรียกเขาไว้เสียก่อน

    “ลูกเจี๊ยบ นายมานี่ซิ”

    เจ้าของชื่อวิ่งเข้าไปหา ชนวีร์มีสีหน้าลำบากใจ มืออูมยื่นมาจับที่หัวไหล่ของเขาไว้ “นายช่วยมายืนตรงหน้าต่างหน่อยได้ไหม”

   “ครับ?” คิ้วหนาแต่เรียงสวยเลิกสูงด้วยความสงสัย

   “เอาน่า แค่ยืนตรงนั้น แล้วก็มอง...มองมาที่กรณ์ แค่นี้ทำได้ไหม”

   “ทำไมต้องมองล่ะครับ”

   “เออ! ฉันให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะน่า!”

    พอชนวีร์เริ่มเสียงดังเขาเลยยอมสงบปากสงบคำ ดนตร์พาร่างสมส่วนของตัวเองไปมุมที่ผู้กำกับตัวอ้วนบอก แม้จะยังไม่เข้าใจจุดประสงค์แต่ก็ไม่กล้าจะถามอะไรอีก หน้าที่ของเขาคือแค่ยืนนิ่งอยู่ข้างบานหน้าต่างหลังตากล้อง กรณ์แสดงบทเดิมอีกครั้ง เริ่มจากยืนถ่ายเอกสารด้วยความเบื่อหน่าย จากนั้นก็ดูนาฬิกาบนข้อมือตัวเอง แล้วก็เริ่มเขียนข้อความบางอย่างลงในกระดาษ ร่างสูงหมุนตัวมาทางเขา กรณ์ยกกระดาษในมือขึ้นสูงระดับหน้าอก ต้องสื่อสารทางสายตาโดยไร้บทพูด ดนตร์รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด เพราะดวงตาคมคู่นั้นมันมองมาที่เขา

    เด็กหนุ่มหลุบตาต่ำ เขาไม่อาจทนประสานสายตากับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ ดนตร์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่บอกกับตัวเองว่าบางทีมันอาจเป็นแค่การคิดไปเองเท่านั้น เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังเห็นกรณ์มองมาที่ตัวเองอยู่ดี ผิวหน้าของเขาร้อนผ่าวราวกับจับไข้ หัวใจเต้นรัวเร็ว ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ภายในมันสั่นไหวอย่างรุนแรง

    “คัท!” ชนวีร์ตะโกนเสียงดัง ใบหน้าอิ่มเต็มไปด้วยความยินดี “ดีมาก! เอาๆ เก็บของวันนี้พอแค่นี้ก่อน”

    ดนตร์ถอยหายใจเหยียดยาวเช่นเดียวกับคนอื่นๆ กรณ์ไม่ได้มองมาที่เขาแล้ว ร่างสูงในชุดพนักงานออฟฟิศหายไปในวงล้อมของทีมงานและสาวๆ ที่เข้ามาให้กำลังใจและหนึ่งในนั้นคือโยษิตา เขาไม่รู้ว่าเธอมาตอนไหน แต่ตอนนี้ร่างน้อยอรชรเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของกรณ์แล้ว ไอร้อนบนหน้าจางลงไปเรื่อยๆ อัตราการเต้นของหัวใจก็เช่นกัน เขาเพิ่งกระจ่างใจ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองมาที่เขาหรอก มันเป็นแค่การแสดง กรณ์คงจินตนาการว่าอีกฟากนึงของอาคารมีร่างของโยษิตาอยู่ ส่วนเขาก็แค่คนไร้ค่าที่ควรจะอยู่ในมุมมืดเท่านั้น...


    ดนตร์ยังคงไปช่วยชนวีร์ทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่พยายามไม่เอาหน้าไปเสนอให้กรณ์เห็นมากนัก เขามักจะหลบอยู่ตามมุมต่างๆ ใช้ความมืดอำพรางตัว โยษิตาตามมาที่กองถ่ายแทบทุกวัน สองหนุ่มสาวไม่เคยอายที่จะแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นหรือในที่สาธารณะ ลลิตากระซิบบอกกับเขาว่า โยษิตาอยากจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าตนเป็นคนรักของกรณ์ ซึ่งอันที่จริงโยษิตาไม่ต้องทำอย่างนั้นทั้งโลกก็รู้ว่าเธอเป็นอะไรกับกรณ์ เพราะเธอมักจะโพสต์รูปคู่กับกรณ์ ทั้งกอด หอมแก้มหรือแม้แต่จูบ

   เขาไม่ได้กดติดตามเฟซบุ๊คของกรณ์แต่เขาติดตามโยษิตา ดังนั้นรูปถ่ายพวกนั้นมันมักจะโผล่มาให้เห็นเป็นระยะๆ อันที่จริงโยษิตาก็ไม่แปลกหรือแตกต่างไปจากผู้หญิงคนอื่นๆ อัพรูปน่ารักๆ ของตัวเอง และรูปคู่กับคนรัก

    การถ่ายทำดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งลลิตาและกรณ์แสดงได้ดีตามที่ชนวีร์ต้องการ จนถึงฉากสุดท้าย ที่ต้องถ่ายทำท่ามกลางสายฝนจำลองและนั่นทำให้เขาลุกจากเตียงไม่ไหว

    หน้าที่สุดท้ายของเขาก่อนจะมานอนซมบนเตียงคือติดต่อหารถทำฝนเทียม มันไม่ใช่งานยาก ทว่าเขาต้องคอยควบคุมปริมาณของน้ำด้วยทำให้ไม่อาจห่างจากตัวรถได้ ละอองน้ำกระเซ็นใส่ตัวจนเสื้อชื้น แถมเวลาที่ใช้ในการถ่ายทำก็นานเกือบชั่วโมง บวกกับอากาศที่หนาวเย็นทำให้ไข้หวัดเล่นงานเขาตั้งแต่กลับถึงหอพัก แม้จะกินยาก่อนนอนไปแล้วแต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทันทีที่ลืมตาตื่นเขาก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว หัวหนักอึ้งจนต้องร้องคราง ดีที่มิ่งขวัญเห็นความผิดปกติเลยอาสาจะไปบอกเมธัสให้ พร้อมกับซื้อโจ๊กมาทิ้งไว้ แต่เขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่ลุกขึ้นมากิน ปล่อยให้พิษไข้เล่นงานจนหลับไปอีกรอบ

    ดนตร์ตื่นมาอีกครั้งเพราะไอเย็นบางอย่างสัมผัสผิวกาย กระบอกตาแสบร้อนไปหมดแต่ก็พยายามเปิดเปลือกตาขึ้นจนได้ ภาพที่เห็นพร่าเลือนไม่ชัดเจน ริมฝีปากและลำคอแห้งผากจนต้องร้องขอน้ำ แล้วก็มีคนใจดีจ่อหลอดชิดกับริมฝีปาก เขาดูดน้ำจากหลอดด้วยความกระหาย

   “ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็สำลักหรอก” เสียงอบอุ่นปลอบประโลม เขารู้สึกถึงแรงรั้งที่หัวไหล่และผ่อนลงเมื่อเขาเบือนหน้าหนีจากหลอดน้ำ

    คนป่วยเอนตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง น้ำที่ซึมซับเข้าสู่ร่างกายพลอยทำให้ความทรมานลดลงไปได้บ้าง ดนตร์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ภาพที่เห็นดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนักเพราะสายตาที่สั้นและไอร้อนของพิษไข้ที่ยังมีอยู่

   “มิ่ง..เหรอ”

    “อะไรกัน น่าน้อยใจชะมัด จำพี่ชายคนนี้ไม่ได้หรือไง”

   ‘พี่ชาย’ คิ้วเข้มเรียงสวยขมวดน้อยๆ มือควานหาแว่นเพื่อช่วยในการมองเห็น พอได้เครื่องมือเขาถึงได้รู้ว่าคนใจดีที่มาเยี่ยมเขาเป็นใคร

   “พี่ธาม”

    เจ้าของชื่อระบายยิ้มอ่อนโยน มือหนาลูบที่กลุ่มผมของเขาแผ่วเบา “ทำไมขี้โรคจัง เพิ่งรู้จักกันแป๊บเดียวนายป่วยไปสองรอบแล้วรู้ไหม”

    คนป่วยยกยิ้มเพราะอาการปวดหัวยังไม่ดีนักเลยทำให้คิดหาคำแก้ตัวไม่ได้ แต่ก็จริงอย่างที่ธาวินพูด เขาขี้โรคแค่แผลอักเสบกับโดนน้ำนานไปหน่อยก็ป่วยเสียแล้ว สงสัยพอหายไข้คงต้องไปเข้าฟิตเนสเพิ่มความแข็งแรงเสียหน่อยแล้ว

   “ดีนะที่คราวนี้ไม่หนักเท่าครั้งที่แล้ว นี่นายกินอะไรหรือยัง”

    ดนตร์ส่ายหน้าทั้งที่ยังนอนบนหมอน “พี่ซื้อเกี๊ยวน้ำมาด้วย นายลุกขึ้นมากินหน่อยนะ”

   “มีโจ๊ก...”

   “มันเย็นหมดแล้ว กินที่พี่ซื้อมาดีกว่า กำลังร้อนๆ”

    คนอายุน้อยกว่ายันกายขึ้น แต่เพราะอาการยังไม่ดีนักเลยต้องทิ้งตัวลงไปอีกรอบ เดือดร้อนถึงอีกคนต้องช่วยประคองขึ้นมา ดนตร์พิงศีรษะกับกำแพงห้องเพราะเตียงของเขาไม่มีหัวเตียงสวยๆ ดีหน่อยที่งวดนี้อาการป่วยของเขาไม่หนักเท่าครั้งก่อน แต่ก็เล่นงานจนลุกไปไหนไม่ได้

    ธาวินเป่าจนไอร้อนคลายลง เกี๊ยวสีเหลืองน่ากินถูกจ่อตรงหน้า ทว่าดนตร์กลับไม่กล้ากินมันทั้งที่ท้องประท้วงร้องขอ เขากระดากใจ เพราะถึงจะป่วยแต่เขาก็เป็นผู้ชาย

    “ผมว่า...ผมกินเองดีกว่า”

   “นายป่วยอยู่ รีบๆ กินเข้าจะได้กินยา ไม่อยากหายป่วยหรือไง”

    ดนตร์ชั่งใจอยู่ร่วมครึ่งนาทีก่อนจะตัดสินใจกินเกี๊ยวในมือของธาวิน รสหวานกำลังดีและน้ำซุปที่เข้มข้นช่วยละลายความเก้อเขินได้ เขากินเกี๊ยวที่ธาวินป้อนให้จนหมด แถมคนใจดียังตบท้ายด้วยน้ำชาอุ่นๆ อีกแก้ว อาการปวดมึนศีรษะทุเลาลงไปบ้าง หลังจากได้รับอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องพึ่งยาอยู่ดี ดนตร์ทำหน้าเบ้ตอนที่รสขมของยาสัมผัสกับปลายลิ้น เขาต้องรีบกินน้ำตามไป เพื่อลบล้างความขม

   “เหนียวตัวไหม อยากให้พี่ช่วยเช็ดตัวให้หรือเปล่า”

   “ไม่เป็นไรครับ” ดนตร์สั่นหน้า “นอนต่ออีกนิดก็น่าจะดีขึ้น ขอบคุณพี่ธามมากนะครับ ผมเลยติดหนี้บุญคุณพี่สองครั้งแล้ว”

    “ไม่ต้องรีบๆ พี่มีเวลาให้นายตอบแทนอีกนานเลยล่ะ” ธาวินยิ้มบางๆ ที่มุมปาก “นายนอนเถอะ เดี๋ยวพี่จะไปเรียนแล้ว แต่ถ้าตื่นมาแล้วยังรู้สึกไม่ดีรีบโทรหาพี่นะ”

    ดนตร์พยักหน้าอือออ ไม่นานยาแก้หวัดก็ออกฤทธิ์ เปลือกตาหนักขึ้นทุกที ความคิดช้าลงเรื่อยๆ กระทั่งทุกอย่างหยุดนิ่งและภาพที่เห็นกลายเป็นสีดำ

   ริมฝีปากบางยกยิ้มมองดูคนป่วยที่หลับไปทั้งที่ยังสวมแว่นตา ก้านนิ้วแข็งแรงดึงเอาแว่นทรงเชยๆ ออกจากกรอบหน้าได้รูป ดนตร์ไม่รู้ตัวหรอกว่าใบหน้ายามไร้แว่นน่ามองแค่ไหน พวงแก้มใสเนียนละเอียด ดนตร์เป็นผู้ชายที่มีผิวพรรณดียิ่งกว่าผู้หญิง ไม่เพียงแค่ขาวจัดแต่ยังผ่องใสนวลเนียนอีกด้วย ดวงตากลมตวัดเฉี่ยวขึ้นน้อยๆ รับกันดีกับคิ้วยาวทอดจรดหางตา จมูกโด่ง ริมฝีปากแดงจัดโดยไม่ต้องพึ่งลิปสติก เรือนร่างโปร่งแต่ไม่ได้ผอมบางอย่างคนขาดสารอาหาร เขาเชื่อว่าถ้าหากจับเปลี่ยนทรงผม กับปรับการแต่งตัวอีกนิดหน่อย เจ้าเด็กเนิร์ดคนนี้จะกลายเป็นหนุ่มฮอตได้อย่างแน่นอน

    แต่เป็นเจ้าดนตร์สี่ตานี่ก็ดีเหมือนกัน เขาชอบความใสซื่อที่มองแล้วเหมือนจะไร้เสน่ห์แบบนี้มากกว่า มันดูน่าค้นหา ชายหนุ่มอมยิ้มกับตัวเอง ใบหน้าในตอนหลับน่ารักไม่แพ้กับตอนตื่น ธาวินงอข้อนิ้ว เกลี่ยไปบนพวงแก้มนุ่ม ไล่เรื่อยลงไปจนถึงริมฝีปากสีสวย นิ้วแตะแผ่วเบาแต่อ้อยอิ่ง มืออีกข้างล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดถ่ายภาพนิ้วมือของเขาที่กำลังไล้บนกลีบปากสดปลั่ง ก่อนจะอัพเดทรูปในเฟซบุ๊คพร้อมกับแค็บชั่นสั้นๆ ว่า

    ‘ฝันดีนะ เจ้าหญิงของพี่’

(มีต่อ)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 4 Your lips [04/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-06-2017 19:59:43
       ในอกร้อนเหมือนมีใครมาจุดไฟสุม หูอื้ออึงได้ยินแค่เสียงลมดังหวีดหวิวอยู่ด้านใน ตาคมแข็งกร้าว เขาแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งทันทีที่ผู้เป็นเพื่อนรักโพสต์รูปริมฝีปากของใครสักคนที่มีนิ้วมือของเจ้าตัวแตะอยู่บนนั้น คนอื่นๆ ต่างฮือฮาที่จู่ๆ คนโสดอย่างธาวินจะโพสต์รูปแนวนี้ แถมยังมีข้อความชวนให้คิดว่าเจ้าตัวอาจจะมีคนพิเศษแล้ว แต่ที่ทำให้เขาเหมือนเป็นกาต้มน้ำที่กำลังเดือดได้ที่ เพราะเขารู้ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของกลีบปากสีสวยนั่นคือ...ดนตร์!

    บ้าเอ๊ย! ต้องสนิทกันมากขนาดไหนถึงถ่ายรูปนี้มาได้!

    ความคิดไหลลื่นหยุดลงทันที ดินสอที่กำลังจดจ่ออยู่บนแผ่นกระดาษเกือบจะหักคานิ้วมือ ความโกรธถูกระบายใส่ทุกสิ่ง ยกเว้นแต่คนต้นเหตุ แต่ที่น่าโมโหมากไปกว่านั้นคือเขายังหาเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมเขาต้องโกรธธาวิน ไม่สิ! ทำไมเขาต้องใส่ใจไอ้เด็กนั่นด้วย มันจะไปอยู่กับใครที่ไหน หรือทำอะไร ก็ไม่เกี่ยวกับเขา ทว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เขาไม่เคยห้ามความคิดของตัวเองได้เลย ทุกครั้งที่เผลอดวงตาของเขาก็จะคอยมองหา และพอรู้สึกตัวก็จะก่นด่าในความสับสนของตัวเอง

    เขาเป็นผู้ชาย...ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง ที่สำคัญดนตร์ไม่มีอะไรเหมาะสมกับเขาสักอย่าง ตั้งแต่เพศจนไปถึงรูปร่างหน้าตา...กรณ์บอกกับตัวเองอย่างนั้น

   แต่กลับมีข้อความจาก กรณ์korn คอมเมนท์ที่ใต้ภาพของธาวินว่า

    ‘เป็นปาก...ที่นุ่มเหมือนมาร์ชเมลโล่เลยล่ะ’

    ดนตร์กลับไปเรียนได้ในวันรุ่งขึ้น เลยได้รู้ว่าที่ธาวินไปเยี่ยมเขาได้ถูกจังหวะเป็นเพราะเมธัสนั่นเอง หมอนั่นบอกว่ารุ่นพี่ต่างคณะมาถามหาเขา เจ้าเพื่อนตัวดีเลยรายงานเสร็จสรรพ เขาไม่ได้โกรธเมธัส เพราะธาวินเขาถึงได้กินเกี๊ยวอร่อยๆ และหายป่วยไวขึ้น

    ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยดำเนินไปอย่างปกติ ทำรายงาน ทำการบ้าน อ่านหนังสือ และโผล่ไปที่ชมรมบ้างเมื่อมีเวลา หมู่นี้พี่วินไม่ได้เรียกตัวเขาเท่าไร คงอยู่ในระหว่างตัดต่อหนัง ซึ่งอีกไม่เกินอาทิตย์หนังเรื่องนี้ก็ถูกส่งให้คณะกรรมการ เขาเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้เพราะเชื่อเหลือเกินว่าผลงานชิ้นนี้ของชนวีร์ต้องดีเยี่ยมกว่าที่ผ่านมา เขาได้เจอกับอัคคีบ้าง รายนั้นคงทั้งเรียนทั้งทำงานหนักเพราะปีนี้ก็จะจบแล้ว ขอบตาเลยดำคล้ำคล้ายหมีแพนด้าเข้าไปทุกที

    เมธัสชวนเขาเข้าไปทำรายงานที่ห้องสมุด เขาเพิ่งค้นพบว่าการที่ได้ขลุกอยู่ในที่เงียบๆ มีเพียงแค่เสียงพลิกหน้ากระดาษ มันทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย ดังนั้นนอกจากชมรมแล้ว คนเพื่อนน้อยอย่างเขาก็เหมาะกับห้องสมุดเหมือนกัน ทั้งสองเลือกมุมที่อยู่ใกล้กับชั้นหนังสือที่เหมาะกับการเขียนรายงาน อาจารย์เกลือไม่อนุญาตให้นักศึกษาทำรายงานด้วยการพิมพ์ แต่บังคับให้ใช้ลายมือตัวเองเท่านั้น

    เมธัสพลิกหน้ากระดาษอย่างใจเย็น พลางจดข้อมูลที่ต้องการลงไปในหน้ากระดาษ ถ้าเทียบกันแล้วเมธัสลายมือดีกว่าเขาเล็กน้อย แต่คนที่แย่ที่สุดคือลลิตา รายนั้นน่าจะไปเรียนหมอมากกว่า ทั้งคู่นั่งทำรายงานเงียบๆ ลลิตาส่งข้อความว่าจะตามมาสมทบ หลังจากเสร็จจากงานกิจกรรมของคณะ ช่วงนี้ลลิตาถูกรุ่นพี่เรียกตัวทุกวันเพราะใกล้วันแข่งขันกีฬาภายในของมหาวิทยาลัยแล้ว แน่นอนว่าคนสวยอย่างลลิตาไม่ได้ลงแข่งในกีฬาประเภทใด แต่เป็นหนึ่งในเชียร์ลีดเดอร์ของคณะต่างหาก ส่วนเขากับเมธัสรับตำแหน่งผู้นั่งสแตนคอยปรบมือให้จังหวะ ซึ่งอีกไม่กี่วันคณะคงเรียกซ้อมพร้อมกัน     

   “นี่แก ฉันเพิ่งเห็นพี่ธามอัพรูป แกว่าคนในรูปใช่แฟนพี่เค้าหรือเปล่า”

   “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง แต่ก็น่าคิดนะ อัพรูปปากคนแถมยังเอานิ้วเกลี่ยอีก สงสัยฉันคงได้อกหักอีกรอบแหงๆ พี่กรณ์ก็มีแฟนแล้ว พี่ธามก็ทำท่าเหมือนจะมีแฟนอีก”

   “นั่นยังน้อยไป มีเด็ดกว่านั้นอีกนะ แกเห็นที่พี่กรณ์คอมเมนท์หรือเปล่า”

   “ไม่เห็นๆ คอมเมนท์มีเป็นร้อยใครจะไปไล่อ่านทัน”

   “นี่ๆ มีคนแค็บหน้าจอแล้วส่งมาให้ฉันดู พี่กรณ์เมนท์ว่า ‘เป็นปาก...ที่นุ่มเหมือนมาร์ชเมลโล่เลยล่ะ’ ถ้าไม่ได้ล้อเล่น เจ้าของปากในรูปนั่นอาจจะเป็นคนที่พวกพี่เขารู้จัก หรือไม่อย่างนั้นก็อาจจะเป็นยาหยี โอ๊ย! ฉันละอยากให้เป็นยัยยาหยีซะจริง ศึกชิงนาง ใครชนะได้ยัยบ้านั่นไป ส่วนคนแพ้ฉันจะรับรักษาแผลใจเอง”

    “เพ้อเจ้อ หล่อๆ อย่างนั้นจะมาแย่งผู้หญิงคนเดียวกันทำไม แถมยัยนั่นก็ไม่เห็นมีอะไรน่าแย่งสักนิด พูดแล้วก็หมั่นไส้ อัพรูปกับพี่กรณ์ทุกวัน”

    มือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษหยุดค้าง เขาเผลอกลั้นลมหายใจเมื่อบังเอิญไปได้ยินบทสนทนาจากผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ในโต๊ะตัวถัดไป เขารู้ว่ามันการเสียมารยาทที่แอบฟังผู้อื่นแต่เพราะมีชื่อของคนที่เขารู้จักอยู่ด้วยเลยเผลอหยุดฟังไปโดยไม่ตั้งใจ เขาสามารถจับใจความจากการได้ยินทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่าบุคคลไร้นามที่พวกเธอพูดถึงเป็นใคร อาจจะเป็นคนรักของธาวินจริงๆ หรืออาจจะเป็นโยษิตา มันมีความเป็นไปได้ทั้งสองกรณี

    ความคิดสะดุดลงอีกครั้งเพราะโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ามันสั่นครืดคราดเตือนว่ามีข้อความมา คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ มองดูการแจ้งเตือนที่มาจากเฟซบุ๊ค ปลายนิ้วกดเลื่อนดูก็ต้องพบว่ามันเป็นภาพที่พี่ธามแท็กมาให้ ภาพริมฝีปากแดงสดของใครสักคนที่มีปลายนิ้วเกลี่ยรอบขอบปาก หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งรูปทรง และปลายจมูกที่ติดมาด้วยในรูป มันคุ้นเคย...ราวกับเคยเห็นมาตลอดชีวิต

   มันเป็นปากของเขา!

    หลังจากนั้นไม่ถึงนาทีก็มีข้อความเข้ามาหาเขาจนนับไม่ถ้วน ดนตร์รีบกดปิดการแจ้งเตือนด้วยความตกใจ ดนตร์ทั้งมึนงงและสับสน คำถามเกิดขึ้นมากมาย ทำไมพี่ธามถึงได้ถ่ายรูปริมฝีปากของเขา แล้วทำไมต้องจงใจแท็กมาหาเขาด้วย สมองเริ่มทำงาน คิดหาความเป็นไปได้ ถ้ารูปนั่นเป็นเขาจริงๆ ธาวินคงใช้ช่วงเวลาที่เขาหลับอยู่เก็บภาพเอาไว้...แต่ทำไมต้องทำอย่างนั้น

    “เฮ้ย! เพลง มีคนส่งข้อความมาถามฉันว่าแกกำลังคบอยู่กับพี่ธามจริงเปล่าด้วย นี่มันอะไรกันวะ”

    เมธัสยื่นโทรศัพท์มาให้ดู มันเป็นข้อความจากใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก เพื่อนสนิททำหน้างงเป็นไก่ตาแตก แล้วจมดิ่งไปกับโลกโซเชี่ยวเพื่อค้นหาที่มาที่ไปแทนการถามจากคนโง่อย่างเขา ที่ถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรงแต่กลับไม่รู้อะไรเลย

    นานร่วมห้านาทีเมธัสก็เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็แฝงไปด้วยความไม่พอใจ เพื่อนสนิทของเขาถอยหายใจเสียงดังก่อนจะเล่าเรื่องที่รับรู้มาให้ฟัง

    “เมื่อสามวันก่อนพี่ธามอัพรูปนี้ แล้วก็แค็บชั่นว่า ฝันดีนะเจ้าหญิงของพี่ ทุกคนก็คิดว่าพี่ธามคงมีแฟนแล้ว แต่พี่กรณ์มาคอมเมนท์ต่อว่า เป็นปากที่นุ่มเหมือนมาร์ชเมลโล่เลยล่ะ ทุกคนพยายามสืบว่าคนในรูปคือใคร แล้วก็มีข่าวว่าพี่ธามกับพี่กรณ์มีปากเสียงกัน ล่าสุดพี่ธามก็แท็กภาพนี้มาหานาย...นี่มันเรื่องอะไรกันวะดนตร์ นายไปเกี่ยวอะไรกับสองคนนั่น”

    ดนตร์ส่ายหน้าไปมา เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่ได้ติดตามทั้งกรณ์และธาวินในเฟซบุ๊ค เลยไม่ได้เห็นความเคลื่อนไหวของทั้งคู่ แถมยังต้องทำรายงานเยอะจนแทบไม่มีเวลาไปเช็คข่าวคราวของใคร เมธัสทำท่าเหมือนจะลากคอเขาไปเค้นความจริงให้ได้ แต่เขายังคงส่ายหน้าเหมือนเดิม ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นแม้ว่าเขาจะเป็นคนในรูปจริงๆ

   เมธัสหรี่ตากลมจนเป็นเส้นเล็ก จากนั้นก็ถอนหายเสียงดัง ยื่นมือข้ามโต๊ะมาตบที่หัวไหล่ของเขาสองสามที

    “สงสัยงานนี้แกโดนแฟนคลับพี่ธามแหกอกแน่ เตรียมใจไว้ได้เลย”



    เขาไม่เชื่อในคำเตือนของเมธัสเท่าไรนัก เพราะเดาไม่ออกว่าธาวินจะพิศวาสเขาได้อย่างไร เขาเป็นคนธรรมดาที่ออกจะจืดชืดน่าเบื่อด้วยซ้ำ ที่สำคัญเขาเป็นผู้ชาย จะมองจากมุมไหนก็ไร้ความเหมาะสมสิ้นดี ดนตร์ออกจากห้องสมุดตอนเกือบบ่ายสาม ท้องร้องขออาหารก่อนมื้อเย็น เขาตั้งใจจะไปที่โรงอาหารก่อนแล้วค่อยกลับไปหอพัก วันนี้พี่วินไม่ได้เรียกใช้งาน ร่างกายและสมองกำลังเหนื่อยล้าได้ที่ วันนี้เขาจะกลับหอรีบเข้านอน ปิดท้ายวันที่แสนสับสนให้เร็วที่สุด

    ทว่าอะไรๆ มันไม่ง่ายดายอย่างที่วางแผนไว้ แค่เส้นทางที่ทอดไปโรงอาหาร เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่จับจ้อง สำหรับคนธรรมดาไร้ความน่าสนใจอย่างเขาแล้ว มันเป็นเรื่องแปลกประหลาด บางทีคำเตือนของเมธัสอาจจะเป็นจริงก็ได้ เด็กหนุ่มพรูลมหายใจเบาบาง ทำเป็นไม่ใส่ใจ อย่างไรเสียท้องเขาก็สำคัญที่สุด

    บรรยากาศภายในโรงอาหารผิดปกติจนรู้สึกได้ เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่อเขาไปถึง จากนั้นทุกสายตาก็มองตรงมา มีเสียงกระซิบกระซาบเป็นระยะๆ แต่เขาก็ยังแกล้งไม่สนใจ แม้ว่าสองขาเริ่มจะสั่นบ้างแล้วก็ตาม ดนตร์ไปสั่งข้าวร้านประจำ มือประคองถาดข้าวลำบากกว่าปกติเล็กน้อยเพราะมันสั่นด้วยความประหม่า เขาเลือกที่จะนั่งในส่วนท้ายสุดของโรงอาหาร มันค่อนข้างเงียบและมืด เขารีบกินและตั้งใจจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด....แต่ก็อีกนั่นแหล่ะไม่เคยมีอะไรง่ายสำหรับดนตร์

   “ทำไมกินข้าวเร็วจัง หรือว่ามื้อเที่ยง”

    ตากลมช้อนขึ้น รสชาติของอาหารเฝื่อนลงทันที ดนตร์ฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า “ผมหิวครับ”

   “หิวก็โทรบอกพี่สิ เดี๋ยวพี่ซื้อขนมไปให้” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะนั่งในเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม คราวนี้ความสงบเงียบถูกทำลายอย่างแท้จริง แทบจะทั้งโรงอาหารหันมามองที่พวกเขา

    ดนตร์อยากจะลุกหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่เขาไม่เคยทำได้ดั่งใจที่ใจคิดเลย มือเรียวตักข้าวเข้าปากทั้งที่อิ่มแล้ว

   “เห็นรูปแล้วใช่ไหม พี่ขอโทษนะที่ถ่ายรูปนายโดยไม่ได้ขอก่อน”

    “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้คิดอะไร”

    “แต่พี่คิดนะ...” ธาวินยกยิ้ม ดวงตาเป็นประกายวาววับ ดนตร์รีบก้มหน้ามองจานข้าว “เราไม่คิดอะไรกับพี่จริงๆ น่ะเหรอ”

    คนถูกถามไร้คำตอบ หัวคิ้วขมวดน้อยๆ ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 19 ปีไม่เคยมีใคร ไม่ใช่สิ ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนพูดจาทำนองนี้กับเขามาก่อน แม้ว่าจะเคยมีความรักมาบ้างแต่ก็เป็นกับผู้หญิงแค่คนเดียว แถมเลิกรากันไปตั้งแต่เขาเรียนไฮสคูลปีสอง เขาแทบจำความรู้สึกของคนมีความรักไม่ได้แล้ว

    ดนตร์ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างเดิม และยังไม่มีคำตอบให้อยู่ดี

    “โกรธพี่เหรอ” น้ำเสียงที่ใช้ถามอ่อนลง ดนตร์เงยหน้ามอง เพิ่งสังเกตเห็นว่าที่มุมปากของธาวินมีรอยช้ำอยู่ด้วย

   “ปากพี่ไปโดนอะไรมาเหรอครับ”

    ธาวินยกมือแตะมุมปากข้างที่ได้รับบาดเจ็บ ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่มีอะไรหรอก แค่หมามันหาเรื่องน่ะ”

    “หมา?”

    “อืมหมา...” รุ่นพี่หนุ่มพยักหน้ารับ “ว่าแต่เราเถอะ หายดีแล้วเหรอ ทำไมไม่เอาผ้าพันคอมาด้วย เดี๋ยวก็ป่วยอีก”

    ดนตร์เผลอยกมือจับที่คอ เพราะวันนี้เขาเลือกที่จะสวมเสื้อยืดแขนยาวโดยไร้อาภรณ์ให้ความอบอุ่นอีก อากาศก็หนาวเย็นลงทุกวัน ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงสุขภาพแต่เขามันขี้หลงขี้ลืม

    แล้วไออุ่นจากบางอย่างก็พันรอบลำคอ ดนตร์กระพริบตารัวเร็ว เพราะสมองสั่งการล่าช้าเลยไม่อาจสั่งการให้ร่างกายตอบรับหรือปฏิเสธได้ในนาทีนั้น

    “อ่ะ พี่ให้ยืม แต่ถ้านายไม่อยากคืนพี่ก็ยินดีให้ไปตลอดชีวิต”

   “ห๊ะ!”

     ธาวินยิ้มกว้าง  ใช้มือโยกหัวรุ่นน้องเบาๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมึนงงสับสนของดนตร์น่ารักน่าชังนัก ผ้าพันคอสีขาวสลับกับสีฟ้าเข้ากับดนตร์ได้ดีกว่าเขาที่เป็นเจ้าของเสียอีก ใครจะว่าเขาบ้าหรือเพี้ยนที่ดันมาชอบผู้ชายเหมือนกันก็ไม่สนใจ ในเมื่อดนตร์น่ารักถูกใจเขาถึงขนาดนี้ ทำไมเขาต้องแคร์คนอื่นในเมื่อมันคือความพึงพอใจของเขาเอง

    “มันก็จริงอย่างที่เขาพูดกันน่ะซิ ธามนายชอบเด็กนี่จริงๆ เหรอ”

    ทั้งธาวินและดนตร์หันมองหาผู้พูด ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลหนัก ดนตร์เห็นโยษิตา และข้างๆ กันนั้นคือคนรักของเธอ...กรณ์

    ธาวินยังไม่ตอบในทันที ร่างสูงลุกจากที่นั่ง ก้าวยาวๆ ไม่กี่ทีก็ถึงตัวคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มวาดมือโอบรอบหัวไหล่เล็ก บีบมือกระชับอีกทีเพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์

    “นายชอบผู้ชายเหรอธาม ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย” โยษิตาถามต่อทั้งที่ยังไม่ได้คำตอบแรกที่ถามไป ใบหน้าน่ารักเต็มไปด้วยความสงสัย ร่างบางในชุดนักศึกษารัดรูปอย่างไม่สนใจอากาศเย็นของฤดูหนาวเบียดชิดกับคนรัก มือเรียวคล้องแขนอย่างสนิทสนม

   “ก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเหมือนกัน จนได้พบกับเพลงนี่แหล่ะ” ธาวินบอก สายตาไม่ได้จับจ้องไปที่คู่สนทนา แต่กลับเบนไปทางคนที่ข้างๆ แทน
    “นี่อย่าบอกนะว่าเด็กนี่คือต้นเหตุที่ทำให้พวกนายทะเลาะกัน โอ๊ย! ฉันอยากจะบ้าตาย” โยษิตาชักสีหน้า ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนด้วยคอนแท็คเลนส์จ้องเขม็งมายังบุคคลต้นเรื่อง “นายรู้หรือเปล่าว่าธามกับกรณ์ต้องทะเลาะกันเพราะนายน่ะ”

    “ยาหยี! เรื่องมันจบไปแล้ว ผมก็บอกคุณแล้วไงว่ามันเป็นแค่การเข้าใจผิด”

   “แต่คุณเจ็บตัว” โยษิตาแย้ง และนั่นทำให้คนที่เอานั่งเงียบต้องเหลือบตาขึ้นมอง

    ที่ปลายคิ้วของกรณ์มีบาดแผลที่น่าจะใหญ่กว่าที่มุมปากของธาวิน เขาเห็นรอยเย็บอยู่ราว 1-2 เข็ม ใจกระตุกวูบ ทั้งสองคนทะเลาะกันจริงๆ มิหนำซ้ำยังร้ายแรงกว่าข่าวที่แพร่กระจายในเฟซบุ๊คเสียอีก 

   แรงบีบที่หัวไหล่มีมากขึ้น ราวกับจะบังคับให้เขาอยู่กับที่ ดนตร์มองแผลที่หางคิ้วของกรณ์ด้วยความเป็นห่วง ถึงมันจะไม่ได้อักเสบหรือปริแตก แต่ความกังวลก็ไม่ได้จางลงสักนิด อย่างน้อยให้เขาได้ถามไถ่อาการ...ก็ยังดี

   “แผลพี่....”

    “ไปกันเถอะยาหยี นัดเพื่อนไว้ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็เลทหรอก”

    แค่ขยับปากคนเจ็บก็ชิงพูดตัดบท ดนตร์ลอบถอยหายใจ เขาสำคัญตัวผิดไปอีกแล้ว ใครจะอยากให้คนอย่างเขาเป็นห่วง

    หนุ่มสาวคู่รักเดินจากไปแล้ว เหลือแค่เขากับธาวินตามลำพังเช่นเดิม คนในโรงอาหารดูเหมือนจะให้ความสนใจระหว่างคู่ของกรณ์และคู่ของเขาพอๆ กัน เขาไม่แคร์สายตาของคนพวกนั้น แต่เขากลับรู้สึกแย่กับท่าทางของคนที่เพิ่งเดินจากไปมากกว่า เพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้อะไรเลย ถึงได้มึนงงและสับสนไปหมด ทำไมทั้งสองต้องทะเลาะกัน

    “พี่กับพี่กรณ์ทะเลาะกันเพราะผมจริงๆ เหรอครับ”

    ธาวินไม่ได้เดินกลับไปนั่งที่เดิม แต่หย่อนสะโพกบนที่ว่างข้างๆ เขาแทน มือหนายังคงโอบรอบหัวไหล่เอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้ดาราอยู่ห่างออกไปแค่คืบเดียว มันใกล้เสียจนรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจและภาพสะท้อนที่อยู่ในดวงตาคมเฉี่ยวคู่นั้น    

    “ก็แค่แลกกันคนละหมัด”

    “ทำไมล่ะครับ”

   “พี่ไม่ชอบที่มันคอมเมนท์รูปของเราอย่างนั้น” สันกรามแข็งแรงขบเข้ากัน “เหมือนกับว่ากรณ์เคยจูบกับนาย”

    “ห๊ะ!...ปะ..เปล่านะครับ” ดนตร์ปฏิเสธเสียงดัง “ผม...ไม่เคย..”

    “แต่มันบอกว่าเคย”

   “!?!”

    ธาวินกระตุกยิ้ม “มันบอกว่ามันเคยจูบนายแล้ว แถมยังบรรยายซะละเอียดว่าปากนายทั้งนุ่มทั้งหวาน พี่เถียงว่ามันโกหก แต่มันยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง แต่ที่ทำให้พี่ฟิวส์ขาดก็เพราะมันบอกว่า มันคือจูบแรกของนาย”

    ทันทีที่ได้ยินเรื่องราวจากธาวิน เส้นประสาทรอบศีรษะก็บีบแน่น เขาปวดหัวเหมือนมีใครเอาเชือกมามัดรอบขมับไว้ ใจหายหล่นไปที่ตาตุ่ม ตัวชาวาบเหมือนคนทำผิดแล้วถูกจับได้ ดนตร์บีบมือแน่น อยากให้สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น

    ธาวินกดปลายนิ้วลงผิวเนื้อบริเวณหัวไหล่ราวกับจะย้ำเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ดวงตาที่มักมองเขาอย่างอ่อนโยนเปลี่ยนไป ไม่เชิงจริงจังแต่ก็น่ากลัว

    “นายเคยบอกว่า นายยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพี่เลย ตอนนี้มันถึงเวลาที่นายต้องตอบแทนบุญคุณพี่แล้ว”

    “อะ..อะไรเหรอครับ”

   “เป็นแฟนกับพี่ แล้วก็อย่าไปยุ่งกับไอ้กรณ์อีก พี่ขอแค่นี้ นายจะทำให้พี่ได้หรือเปล่า”

    “พี่...ธาม ผม...ไม่”

    “ยังไม่ต้องให้คำตอบพี่ก็ได้ แต่ตอนนี้ทั่วทั้งมหา’ลัย รู้แล้วว่านายคือคนรักของพี่ รวมไปถึงไอ้กรณ์ด้วย เตรียมตัวเตรียมใจมีแฟนเป็นหนุ่มฮอตไว้ด้วยล่ะเพลง”

**************************


หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 4 Your lips [04/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 04-06-2017 21:56:12
พี่กรณ์ หมาหวงก้าง นิสัยไม่ดี
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 4 Your lips [04/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ijuney ที่ 04-06-2017 22:26:47
ทีมพี่ธามได้ปะ กรณ์นิสัยไม่ดีเลยยย
รีบมาต่อนะกำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 4 Your lips [04/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 04-06-2017 23:04:19
ธามจะทำอะไร ขอน้องเป็นแฟนเร็วไปปะ ศึกชิงนายก็มา แต่อิพี่กรณ์รับตัวเองไม่ได้ซะงั้น
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 5 One night stand [07/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 07-06-2017 21:05:29
Chapter 5 One night stand


     ข่าวเรื่องที่ธาวินรุดหน้าจีบรุ่นน้องต่างคณะ มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชายแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เพราะเจ้าตัวไม่คิดจะปิดบัง และไม่สนใจว่าใครจะมองว่าเป็นพวกผิดเพศ ครอบครัวธาวินเป็นคนสมัยใหม่ เรื่องรสนิยมไม่มีผลต่อสิ่งใด ขอให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเรียนจบกลับมาพร้อมกับเดินหน้าสานต่อธุรกิจก็พอแล้ว ขณะที่ก๊วนเพื่อนก็ไม่ได้รังเกียจที่ธาวินอยากจะลองมีแฟนเป็นเด็กผู้ชาย ยกเว้นแค่กรณ์เท่านั้น

    ตั้งแต่วันที่มีเรื่องกันจนได้มากันคนละแผล กรณ์กับธาวินยังไม่คุยกันเลย แม้จะบอกว่าไม่มีอะไรติดค้าง แต่ลึกๆ ทั้งสองรู้ดีว่ายังมีเส้นบางๆ ขวางอยู่...เส้นแห่งความรู้สึกที่มีชี่อว่า ‘ดนตร์’

   เพราะรูปและแคปชั่นสั้นๆ นั่นทำกรณ์ทั้งหมั่นไส้ทั้งหงุดหงิด เลยพิมพ์ข้อความกลับไปในเชิงชวนให้คิด ซึ่งนั่นก็เป็นความตั้งใจของเขา เขาอยากให้ธาวินรู้ว่า ริมฝีปากนั่นเขาเคยได้ลิ้มลองชิมรสชาติมาแล้ว...มันนุ่ม หวาน เหมือนมาร์ชเมลโล่จริงๆ แต่เพราะความตั้งใจโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี เขากับเพื่อนสนิทเลยมีปากเสียงจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน

   ธาวินโกรธจัดบุกมาถึงคอนโดของเขาเลยทีเดียว สีหน้าเคร่งเครียด มันแทบจะกระชากคอเสื้อของเขาเพื่อเค้นหาความจริง แน่นอนว่ายิ่งกว่าเต็มใจที่จะบอกเล่าถึงรสชาติจากริมฝีปากสดปลั่งนั่นให้มันได้ฟัง ธาวินตะคอกใส่หาว่าเขาโกหก คนที่รู้จักเขาดีจะรู้ว่าคนอย่างกรณ์ไม่เคยโกหก เรื่องจูบก็ด้วยเช่นกัน เขายังบอกอีกว่าจูบที่ได้จากดนตร์คือจูบแรก...จากผู้ชายด้วยกัน

    นาทีนั้นธาวินฟิวส์ขาด มันพุ่งหมัดตรงมาที่หางคิ้ว เขาเองก็ตอบกลับไปที่มุมปากของมัน แลกกันคนละหมัด เจ็บกันคนละที ธาวินมองเขาด้วยแววตาที่โกรธแค้นแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนก็เปลี่ยนไป คนอื่นๆ ที่เหลือรวมถึงโยษิตา สังเกตเห็นถึงความมึนตึงระหว่างเขากับมัน ธาวินบอกเพียงแค่ว่าเป็นแค่การเข้าใจผิด ส่วนเขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ เพราะไม่อยากให้ทุกอย่างมันแย่ลง และเขาไม่เอาเรื่องพรรค์นี้มาทำให้มิตรภาพแตกหักแน่นอน...ดังนั้นเรื่องที่ธาวินประกาศชัดเจนว่าสนใจดนตร์ เขาจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เห็น...แต่มันก็ยากเต็มที

    กรณ์เรียกสมาธิให้มาจดจ่อกับงานตรงหน้าอีกครั้ง เหลืออีกไม่กี่เดือนเขาก็จะจบชั้นปีที่ 3 และขึ้นเป็นอาใหญ่สุดในปีหน้า ถึงเขาจะไม่ใช่เด็กดี เหล้า ยา นารี ปาร์ตี้ ริลองมาแล้วทั้งนั้น แต่เรื่องเรียนเขาไม่เคยทิ้ง แม้จะกบฏใส่บิดาไป 1 ปี แต่ก็กลับมาเรียน แถมเกรดเฉลี่ยยังทำให้พ่อไปเล่าอวดอากง อาแปะ ในวงน้ำชาได้อย่างไม่น่าอาย นิ้วที่จับดินสอวาดรูปมาร่วม 3 ปี มันเริ่มจะด้านแล้ว แต่ผลงานที่ออกมาก็น่าภูมิใจ

    ดินสอเริ่มกลับมาร่างโครงสร้างของภาพอีกครั้ง งานที่ส่งไปถูกตีกลับมาแก้ไขเพราะอาจารย์อยากให้เขาวาดรายละเอียดให้ชัดเจนกว่านี้ กรณ์พาตัวเองดำดิ่งลงไปในความคิด มือลากเส้นไปตามสิ่งที่อยู่ในหัว ผ่านไปนานจนหลงลืมเวลา กระทั่งโทรศัพท์ร้องขึ้น กรณ์ถึงได้เงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษ สายจากชนวีร์

   “ไงไอ้อ้วน”

   “วะ ไอ้นี่ ทำไมทักกันแบบนี้ คืนนี้ว่างไหม จะชวนออกไปดริงค์แอนด์แดนซ์”

   “ไม่ว่าง”

   “เฮ้ย ทำไมปฏิเสธแบบนี้ล่ะ ฉันจะชวนไปเลี้ยงฉลองหนังตัดต่อเสร็จแล้ว ส่งให้คณะกรรมการแล้วด้วย อีกสองวันจะได้ฉายให้สายตาชาวโลกดู”

    “ขี้เกียจว่ะ งานยังไม่เสร็จเลย” กรณ์ปฏิเสธ ใจจริงเขาก็อยากจะไปเลี้ยงฉลองกับชนวีร์แต่งานยังไม่เสร็จ เหลือเวลาอีกไม่กี่วันต้องส่งแล้วด้วย

   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันให้เพลงไปชวนไอ้ธามก็ได้”

   “เกี่ยวอะไรกับไอ้ธาม” กรณ์เสียงเขียวโดยไม่รู้ตัว

   “ก็อยากให้คนเยอะๆ กินเหล้าต้องหลายๆ คนสิวะถึงจะสนุก” ชนวีร์บอก ทำท่าจะวางสายแต่คนที่ปฏิเสธในตอนแรกรั้งเอาไว้ก่อน

    “ร้านไหน กี่โมง”

   “ร้านเดิม ทุ่มตรง ถ้าเลทเสียที่นั่งดีๆ ไม่รู้ด้วยนะ อ้อ! งานนี้ห้ามเอาผู้หญิงไป เบื่อพวกหวงผัว”



    ตาคมดุกวาดมองหาคนที่นัดเขาไว้ ภายในร้านค่อนข้างมืดแม้จะเป็นช่วงหัวค่ำ ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตทำให้ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก เขาเห็นไอ้เจ้าอ้วนชนวีร์กำลังชนแก้วอยู่กับอัคคี ใบหน้าอวบอิ่มขึ้นด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เสียงหัวเราะของมันดังไปถึงหน้าร้าน กระทั่งพนักงานในร้านที่พอจะคุ้นเคยกันบ้างยังอดขำไม่ได้ ชายหนุ่มสอดนิ้วมือที่เย็นจากอากาศด้านนอกลงในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะก้าวยาวๆ ตามไปสมทบ เพราะกลัวว่าจะชวดที่นั่งดีๆ ตามที่ไอ้เจ้าอ้วนมันเตือนไว้

    “อ้าว! ว่าไงคุณพระเอกของเรื่อง มาๆ นั่งก่อน มาเร็วกว่าที่คิดนะเนี่ย”

   คนที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าภาพกวักมือเรียก พลางชี้นิ้วที่เบาะนั่ง ร้านนี้ไม่มีเก้าอี้นั่งเดี่ยว มันเป็นเบาะนั่งยาว ตั้งล้อมรอบโต๊ะทั้งสี่ด้าน คนที่ไอ้เจ้าอ้วนชวนมาเฉพาะโต๊ะมันนับได้คร่าวๆ ร่วม 10 คน ไม่รวมโต๊ะอื่น ซึ่งเขาคาดว่าทุกคนในชมรมภาพยนตร์คงมาอยู่ที่นี่กันหมด รวมถึงดนตร์ด้วย

    หนุ่มที่กำลังเป็นที่สนใจมากที่สุดในขณะนี้เลือกนั่งด้านในสุด โดยมีลลิตา และเมธัสประกบข้าง และที่นั่งที่เจ้าอ้วนบอกเขาก็อยู่ติดกับลลิตา

    ...นี่เหรอวะที่นั่งดีๆ...

    “เอาออนเดอะร็อคเหมือนเดิมใช่ไหม” ชนวีร์เป็นเพียงคนเดียวที่ชวนเขาคุย ส่วนคนอื่นๆ ถ้าหากไม่เล่นโทรศัพท์ก็คุยกันเฉพาะแค่กับคนที่สนิทด้วย สำหรับเขาแล้ว ถึงจะเป็นหนุ่มฮอตคนหนึ่งของมหาวิทยาลัย ทว่าต่างคณะ ต่างสาขาที่เรียน ความสนิทสนมเลยค่อนข้างน้อย แถมเขายังเป็นพวกอัธยาศัยย่ำแย่ ไม่เก่งเรื่องการผูกมิตรใหม่ แต่ถ้าเรื่องจีบผู้หญิงเขาไม่เป็นสองรองใคร

   กรณ์พยักหน้ารับ เขาเป็นพวกคอแข็งกินได้หมด ยิ่งพวกเหล้าแรงๆ ยิ่งชอบ เขาสังเกตเห็นว่า เมธัสคอยชำเลืองมองเขาเป็นระยะๆ แถมยังนั่งเบียดกระแซะจนทั้งร่างแทบจะซ้อนกับดนตร์ ส่วนลลิตาที่นั่งอยู่ข้างกัน ก็ผูกขาดกับการสนทนากับเพื่อนของตัวเอง เขาคือบุคคลที่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง

    เหล้าถูกส่งมาให้อย่างรวดเร็ว รอบโต๊ะมีแต่เสียงพูดคุยเกี่ยวกับความสำเร็จอีกขั้นของหนัง เขายอมรับว่าชนวีร์มีฝีมือ ทั้งที่อายุยังน้อย แต่กล้าทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ไม่มีเงินทุนหรือบริษัทใหญ่ๆ รองรับ แต่ไอ้เจ้าอ้วนก็ไม่เคยท้อ เขาเห็นความพยายามของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมด้วยซ้ำ ด้วยความที่เป็นญาติกัน ความสนิท ความผูกพัน เลยมีมาตั้งแต่เด็ก เรื่องดีเลวของเขาชนวีร์รับรู้แทบทุกเรื่อง เช่นเดียวกับเขาที่เห็นในความสามารถของไอ้เจ้าอ้วน แล้วเขาก็ดีใจที่ได้เห็นมันทำในสิ่งตัวเองรัก

   กรณ์จิบเหล้าไปเงียบๆ รับรู้ได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรของเมธัส แต่เขาไม่สนใจไอ้เจ้าเด็กตาโตเท่าไข่ห่านนั่น ที่เขาสนใจคือเด็กอีกคนที่นั่งเงียบไม่ต่างกับเขา

   เขาไม่เห็นเงาของธาวิน แต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะมาด้วยหรือเปล่า อาจจะมาเพราะมันเป็นแฟนกับดนตร์ และอาจจะไม่มาเพราะงานนี้ไม่เกี่ยวกับมันสักเท่าไรนัก ซึ่งเขาภาวนาขอให้เป็นอย่างหลัง

   “พี่ธามไม่มาเหรอ นี่นายโทรไปชวนพี่เขาแล้วหรือยังเพลง” เมธัสถามแข่งกับเสียงเพลงที่ดังจนปวดแก้วหู ขณะที่คนถูกถามกำลังง่วนอยู่กับการจิ้มนิ้วใส่หน้าจอโทรศัพท์

   “โทรไปแล้ว แต่พี่เขาบอกว่าติดงาน ต้องเร่งทำให้เสร็จน่ะ”

   “อะไรกัน แฟนโทรชวนทั้งทีกล้าปฏิเสธได้ยังไง”

   “ก็บอกว่าไม่ใช่แฟนไง เลิกพูดเรื่องนี้ซะทีเถอะ”

    เมธัสยิ้มเจ้าเล่ห์ แย่งโทรศัพท์มือถือของดนตร์ไป “ไหนบอกไม่ใช่แฟน แล้วนี่อะไร ‘ตั้งใจทำงานนะครับ อย่านอนดึกเดี๋ยวไม่หล่อ’”

    “เอาคืนมา!” เจ้าของรีบแย่งคืน แต่ดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว ทั้งโต๊ะได้ยินสิ่งที่เมธัสพูดทั้งหมด ใบหน้าขาวจัดระเรื่อขึ้นทันที ชนวีร์กับอัคคีหัวเราะชอบใจ ลลิตาอมยิ้มเหมือนกับคนอื่นๆ มีแต่หนุ่มคณะสถาปัตย์เท่านั้นที่ไม่รู้สึกสนุกไปกับเรื่องนี้

    “เออ กรณ์ ที่คณะนายเขาว่ายังไงกันบ้างเรื่องที่ธามกับเพลงคบกัน” ชนวีร์ถาม ดวงตากลมหรี่ลง มีความนัยน์แอบแฝง

    “ก็ไม่ยังไง”

    เขาตอบแบบขอไปที ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เขาไม่ได้ไปถามไถ่ความรู้สึกจากใคร แต่ในกลุ่มของเขาไม่มีใครคัดค้านหรือรังเกียจอะไร ต่างก็เคารพในความชอบหรือพึงพอใจในสิทธิส่วนตัว...คงมีแค่เขากระมังที่ต่อต้านอยู่กลายๆ ไม่ใช่เรื่องรสนิยมแต่เป็นเพราะตัวบุคคลมากกว่า

    อันที่จริงไม่ได้มีเพียงแค่เขาหรอกที่ไม่พอใจกับเรื่องนี้ ยังมีอริญชย์อีกคน หมอนั่นไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร แต่ระยะหลังมานี่ปลีกตัวออกจากกลุ่มไป คนอื่นอาจจะไม่รู้สาเหตุ ทว่าเขาพอจะเดาได้ ไอ้เจ้าสี่ตามันหว่านเสน่ห์ใส่เพื่อนเขาอีกคน แต่อริญชย์มันเป็นพวกชอบทำอะไรอ้อมโลก ไม่พุ่งชนเหมือนธาวิน ยกนี้ธาวินเลยได้แต้มนำไปก่อน

    กรณ์เหลือบมองไปยังตัวต้นเหตุ ใครจะไปคิดว่าผู้ชายหน้าตาธรรมดา ออกจะจืดชืด จะมีของดีชนิดที่ทำเอาสองหนุ่มฮอตติดกับได้ บางทีอาจจะมีอีกหลายคนที่ตกหลุมพรางความใสซื่อของดนตร์ เพียงแต่ยังไม่แสดงตัวออกมาเท่านั้น

    ...อันตรายจริงๆ..

     ไอ้เจ้าสี่ตากำลังทำหน้าง้ำหลังจากโดนเมธัสแกล้ง ตรงหน้ามีแก้วเหล้าที่พร่องไปแค่นิดเดียวตั้งอยู่ จากนั้นไม่นานเขาก็เห็นรอยยิ้มผุดที่กลีบปากสีสวย ยิ้มหวานขนาดนี้คงจะได้รับข้อความจากธาวินกระมัง
   
    กรณ์กระแทกแก้วเปล่าลงกับพื้นโต๊ะ เขากวักมือเรียกบริกรและสั่งเหล้าเพิ่ม ก่นด่าตัวเองที่เผลอไปสนใจไอ้เด็กแว่นนั่นอีกจนได้..ไม่สิ เขาไม่เคยหยุดคิดเรื่องของดนตร์ได้เลย..ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาเผลอเก็บเอาเรื่องราวของเด็กคนนี้ไปคิด อาจจะเป็นตอนที่บาดเจ็บ..หรืออาจจะนานกว่านั้น 

    โยษิตาส่งข้อความมาหา เธอตัดพ้อเรื่องที่เขาออกมาฉลองแล้วไม่ได้ชวนเธอ โยษิตาส่งรูปใบหน้าที่คิดว่ากำลังงอนอยู่มาให้ แค่เขามองว่ามันน่ารักมากกว่า ตาโตกลมมีแววขุ่นเคืองเล็กน้อย พวงแก้มพองขึ้น ริมฝีปากสีสดยู่น้อยๆ กรณ์หัวเราะเบาๆ อย่างไรเสีย ผู้หญิงก็น่ารักกว่าผู้ชาย เขาพิมพ์ขอโทษเธอไป พร้อมกับสัญญาว่าหลังเสร็จงานจะพาเธอไปช้อปปิ้ง โยษิตาอารมณ์ดีขึ้นทันที เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และปรามไม่ให้เขาดื่มมากเกินไปนัก..มันช้าไปนิดหน่อย เพราะตอนนี้เขาจัดการ ออน เดอะ ร็อค ไป 4 แก้วแล้ว

    แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นหนุ่มคอทองแดงแต่การกินเหล้าแรง สี่แก้วติด แถมยังไม่มีรองท้องมาก่อน ทำให้แอลกอฮอล์ดีกรีร้อนแรงทำงานได้รวดเร็วกว่าปกติ เลือดในกายร้อนระอุ แต่กรณ์เป็นพวกยิ่งเมาก็ยิ่งเงียบ

   “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรนักวะ ฉันชักจะหมั่นไส้แล้วนะ”

   ชนวีร์เสียงดังกลางวง ตากลมตวัดมองเด็กหนุ่มที่กำลังเพลินอยู่กับโทรศัพท์มือถือจนแทบจะลืมแก้วเหล้าตรงหน้า ดนตร์เพิ่งกินเหล้าไปแค่ครึ่งแก้วเท่านั้น

    ทุกสายตาจับจ้องมายังคนที่ชนวีร์พูดถึง เจ้าตัวรู้สึกตัวก็รีบเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วรีบยกแก้วสูง ใช้ข้อศอกสะกิดเพื่อนรักทั้งสองให้ร่วมวงด้วย

    ยิ่งดึกภายในคลับก็ยิ่งคึก หลายคนออกไปวาดลวดลายตามจังหวะเพลงเร้าใจ ดนตร์นั่งมองเพื่อนๆ ที่ออกสเต็ปกันเต็มที่ ส่วนตัวเองทำได้แค่โยกหัวไปมา ถึงเขาจะชอบเต้นแต่ไม่ชอบเต้นในที่แคบๆ และต้องเบียดเสียดกับใคร ลลิตาถูกรุ่นพี่ปี 3 เพื่อนของชนวีร์ชวนออกไปกลางฟลอร์พักใหญ่แล้ว เพื่อนคนสวยของเขาเต้นไม่ค่อยเก่งนักแต่ท่าทางก็น่ารักน่าชัง ส่วนเมธัสนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กับโทรศัพท์มือถือ การแจ้งเตือนว่ามีข้อความมานับสิบครั้ง และถ้าไม่ได้เมาหนักจนตาฝาด ดูเหมือนว่าเขาเห็นชื่อของนักรบด้วย

    “เป็นอะไร ทำหน้าเหมือนท้องผูก” เขากระซิบถามเพื่อนสนิท เมธัสหันมาทำหน้ายุ่งใส่ คิ้วขมวดจนเกือบจะผูกเป็นโบ

   “เปล่า”

   “มีธุระก็กลับก่อนได้นะ ฉันกับลินหาทางกลับเองได้”

   “จริงเหรอ” คิ้วสวยคลายตัวลง แต่ยังมีแววกังวลให้เห็น “ฉันเป็นห่วง...”

   “ไม่ต้องห่วงหรอก” ดนตร์โบกมือในอากาศ “ฉันโตแล้วนะ แถมยังไม่เมาด้วย ส่วนลินเดี๋ยวฉันดูแลเอง นายกลับไปเถอะ โทรศัพท์แบตใกล้จะหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”

    แก้มของเมธัสแดงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก เจ้าตัวเอ่ยปากขอตัวกลับกับชนวีร์โดยอ้างว่ามีธุระ ผู้กำกับตัวอ้วนที่กำลังอารมณ์ดีเต็มที่หัวเราะร่วนแล้วยกมือไล่ ก่อนจะหันกลับไปสนทนาอย่างออกรสกับอัคคีต่อพร้อมกับยกแก้วเหล้าเข้าปากไม่หยุด

    จนเกือบจะเที่ยงคืนสภาพแต่ละคนเริ่มย่ำแย่ ดนตร์เห็นรุ่นพี่หลายคนนั่งคอพับคออ่อน อีกหลายคนเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง แม้แต่พี่วินเองก็แทบจะนอนเกยไปกับโต๊ะ อัคคีน่าจะมีสติมากกว่าแต่ก็คงเหลือน้อยเต็มที ทว่ายังมีอีกคนที่เขาเดาไม่ออกว่าเมาหรือปกติ...กรณ์

   ตั้งแต่มาถึงเขาแทบจะไม่ได้ยินเสียงของกรณ์เลย แต่ก็สังเกตว่าปริมาณแก้วที่วางเรียงรายตรงหน้ามันไม่น้อยเลย คะเนคร่าวๆ มันเกิน 10 แก้วแน่นอน เขารู้ว่า ออน เดอะ ร็อค มันแรงมากระดับหนึ่ง กินเข้าไปมากขนาดนั้นถ้าเป็นเขาคงได้เมาหัวทิ่มไปแล้ว แต่กรณ์ยังดูปกติ...ไม่สิ เกือบปกติมากกว่า เพราะดวงตาคมดุคู่นั้นมันแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ

    ดนตร์เลือกที่จะไม่มองไปฝั่งขวามือมากนัก แถมตอนนี้ไม่มีลลิตากั้นกลางแล้วด้วย เขายิ่งต้องคอยระวังตัว ถึงหมู่นี้ กรณ์จะไม่ได้คอยมาหาเรื่อง แต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าเขาเท่าไรนัก เด็กหนุ่มถอยหายใจเบาๆ ใจจริงอยากจะหนีกลับตามเมธัสไปอีกคน แต่ต้องรอลลิตา เขาเลยจำใจต้องทนอยู่และพยายามไม่ดื่มมากนักเพราะเขาต้องพาลลิตาไปส่ง พอเริ่มจะเบื่อก็ดึงโทรศัพท์ออกมาเล่น เมื่อครู่นี้พี่สาวที่อยู่เชียงใหม่ส่งรูปหลานชายมาให้ดู หลานชายของเขาน่ารักจ้ำม่ำ แก้มใสเป็นพวง ผิวขาวจั๊วะ เขาเผลอหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดู ตั้งใจว่าปิดเทอมใหญ่จะรีบไปหา เขาอยากจะกอดหลานใจจะขาดอยู่แล้ว

   ตึง!

    เสียงกระแทกและแรงสั่นของโต๊ะหยุดรอยยิ้มของดนตร์เอาไว้ ตากลมหลังแว่นกรอบพลาสติกสีดำช้อนขึ้นมองหาที่มาของเสียง แล้วเขาก็ต้องรีบหลบตาวูบเมื่อเห็นสายตาดุดันของคนที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือ แม้จะห่างกันเป็นช่วงแขนแต่เขาก็รับรู้ได้ถึงกระแสของความไม่พอใจ ดนตร์ขยับตัวไปทางซ้ายมากกว่าเดิม แทบจะนั่งหันหลังให้ด้วยซ้ำ นึกอยากจะเดินไปตามลลิตาแล้วขอตัวกลับเลย

    ถึงแม้จะไม่ได้หันไปมองเต็มตา แต่หางตาก็เห็นว่ากรณ์ดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับรุ่นพี่ตัวอ้วน คงมีแค่เขาที่ยังมีสติอยู่ครบ

    “ลูกเจี๊ยบ” เขาได้ยินเสียงเพื่อนรักดังแทรกมากับเสียงเพลง พอหันไปมองก็เห็นมือเล็กโบกหยอยๆ กลางอากาศ

    ดนตร์เดินแหวกฝูงชนที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงเข้าไปหาเธอ ลลิตายกมือทำท่าขอโทษ “ฉันต้องกลับแล้วล่ะ พ่อมารับ ขอโทษทีนะลูกเจี๊ยบ”

    “อ้าวเหรอ” มือเรียวยกขึ้นเกาหัว “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวฉันจะไปลาพี่วิน อยากลับเหมือนกัน”

   “โอเค แล้วเจอกันนะ”

    เขามองตามร่างบางที่เดินเบี่ยงซ้ายหลบขวา ไปหาบิดาที่รอรับอยู่ใกล้กับประตูทางเข้า พอเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วเขาถึงค่อยกลับไปที่โต๊ะ แต่คนที่เขาจะบอกลากลับนอนฟุบคว่ำหน้าไปกับพื้นโต๊ะ ไม่เหลือสติรับรู้อะไรทั้งนั้น อัคคีทำหน้ายุ่งยาก แก้มสองข้างแดงระเรื่อแต่สภาพดีกว่าชนวีร์มาก

   “อ้าวลูกเจี๊ยบมาพอดี ช่วยพี่พาไอ้สองพี่น้องนี่กลับบ้านหน่อยซิ พี่เอาไปคนเดียวไม่ไหว แค่ไอ้อ้วนนี่ก็แย่แล้ว”

   ญาติผู้พี่ของชนวีร์ก็หลับไปกับโต๊ะด้วยเช่นกัน อัคคีพยักพเยิดให้เขาช่วยพาชนวีร์ออกไปก่อน เพราะน้ำหนักตัวที่มากทำให้อัคคีไม่สามารถประคองชนวีร์ไปคนเดียวได้

    กว่าจะพารุ่นพี่ตัวอ้วนไปที่รถได้เกือบจะหมดแรง แต่ยังมีรุ่นพี่อีกคนที่เขากับอัคคีต้องช่วยกันจัดการ กรณ์ยังนอนในท่าเดิม มองเผินๆ คล้ายกับคนกำลังหลับ แต่กลิ่นเหล้ารุนแรงนั่นฟ้องว่าเจ้าตัวหมดสติเพราะเมาไม่ใช่เพราะง่วงนอน

   “เอาแค่กรณ์อีกคนเดียวพอ คนอื่นทิ้งมันไว้ที่นี่แหล่ะ” อัคคีบอก ก่อนจะยกแขนของคนเมาพาดที่หัวไหล่ตัวเอง ส่วนเขาก็ทำเหมือนกัน น้ำหนักแขนที่ทิ้งลงมาบนหัวไหล่มันไม่น้อยเลยเล่นเอาเสียการทรงตัวไปเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับชนวีร์ก็ดีกว่ากันเยอะ

    อัคคีใช้บัตรเครดิตจ่ายค่าเหล้าและอาหารทั้งหมด ก่อนจะกลับมาทำหน้าที่สารถีทั้งที่ตาใกล้จะปิดอยู่รอมร่อ โชคดีที่กรณ์ไม่ได้เอารถมาไม่อย่างนั้นจะยิ่งวุ่นวายกว่าเดิม

    “ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ดนตร์เอ่ยขอตัว เขาเองก็ง่วงมากเหมือนกัน ทว่าอีกคนไม่ยอม

   “ไม่ได้ นายต้องไปส่งพวกนี้เป็นเพื่อนฉันก่อน อย่างน้อยก็นั่งเป็นเพื่อนฉัน ฉันกลัวจะหลับ” อัคคีบอก พลางสะบัดหัวไล่อาการมึนเมาแกมง่วงนอน

   ดนตร์ชั่งใจ เขาง่วงนอนจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็เป็นห่วงอัคคี กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เพราะเจ้าตัวก็ไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของตัวเองเช่นกัน ตากลมเหลือบมองผู้ชายสองคนที่นอนกองรวมกันที่เบาะหลัง กรณ์หลับสนิท ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย แก้มระเรื่อ เส้นผมยุ่งเหยิงเพราะนอนผิดที่ผิดทาง ส่วนพี่วินก็มีสภาพไม่ต่างกัน

    “ก็ได้ครับ”

   เด็กหนุ่มเปิดประตูด้านหน้าคู่กับคนขับ อัคคียิ้มรับ ตั้งสติให้มั่นเพราะมีอีกสามชีวิตอยู่ในมือ

     ดนตร์เพิ่งรู้ว่าพี่วินกับกรณ์พักที่คอนโดเดียวกัน แต่คนละชั้น สถานที่ตั้งอยู่กลางใจเมืองกรุงเทพฯพอดี เป็นที่รู้กันว่าคอนโดนี้ต้องระดับผู้มีอันจะกินเท่านั้นที่จะจับจองได้ ดนตร์ถอยหายใจ เขาแทบจะไม่หลงเหลือพลังงานในการเคลื่อนย้ายผู้ชายตัวใหญ่สองคนนี้แล้ว

(มีต่อ)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 5 One night stand [07/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 07-06-2017 21:10:08
        “เดี๋ยวพี่ให้คนมาช่วยแบกไอ้กรณ์กลับห้อง” อัคคีบอก ระหว่างที่พยายามจะยกแขนหนักๆ ของชนวีร์พาดบ่าตัวเอง “ห้องมันอยู่ชั้น 19 ห้อง 1909 คีย์การ์ดน่าจะอยู่ในกระเป๋ากางเกง นายลองหาดูเอาก็แล้วกัน แล้วก็เอานี่” รุ่นพี่หนุ่มส่งธนบัตรให้ “ให้พนักงานที่เคาน์เตอร์หารถไปส่งที่หอพัก บอกว่าไฟสั่งมา”

    “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมกลับเองได้ ใกล้ๆ แค่นี้เอง” เขารีบปฏิเสธ

“ไม่ได้ๆ ถ้าเจ้าอ้วนมันรู้ว่าฉันให้นายกลับเอง ฉันโดนมันเล่นงานตายแน่ รีบๆ เถอะ ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว”

    อัคคีลากหนุ่มตัวอ้วนออกจากรถได้สำเร็จ จากนั้นก็ออกแรงดึงจนร่างอ่อนปวกเปียกของชนวีร์มาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะตะโกนเรียกชื่อใครสักคนที่น่าจะอยู่แถวนั้น แล้วก็มีจริงๆ เขาเห็นผู้ชายรูปร่างสันทัดวิ่งตรงเข้ามา ดูจากชุดน่าจะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของที่นี่

    “พี่ต๋อยครับ รบกวนช่วยพาไอ้กรณ์ไปที่ห้องทีครับ”

    “ได้ครับคุณไฟ แล้วคุณวิน...”    

     “ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองได้” อัคคีปฏิเสธ กระชับมือที่ร่างอิ่มเอิบของชนวีร์แน่นกว่าเดิม

    พี่ต๋อย ที่อัคคีเรียก เข้ามาช่วยประคองร่างของกรณ์ที่ยังหลับไม่ได้สติ ด้วยเรี่ยวแรงที่มีมากกว่าทำให้ดนตร์ประหยัดพลังงานได้นิดหน่อย

     พอเข้าลิฟต์ ศีรษะหนักๆ เอนหน้าลงมาซบที่ซอกคอ เขาผลักไปทางอื่นหลายครั้งแต่มันก็กลับมาที่เดิม ลมหายใจร้อนๆ ที่มาพร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์มันให้ความรู้สึกประหลาดมากกว่าจะรังเกียจ พี่ต๋อยอมยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไร ดนตร์กัดฟันอดทน จนกระทั่งถึงชั้น 19 พี่ต๋อยช่วยเขาแตะคีย์การ์ดแล้วผลักประตูเข้าไป เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานอัตโนมัติ แสงไฟสีส้มนวลตาให้ความสว่าง เครื่องปรับอากาศทำงานเอง ดนตร์ขมวดคิ้ว ทั้งที่เข้าฤดูหนาวแล้วแท้ๆ แต่กรณ์ยังตั้งเครื่องปรับอากาศไว้อีก

    ทั้งคู่ช่วยกันพาคนเมามาที่ห้องนอน กว่าจะจับนอนบนเตียงได้ก็เล่นเอาเหงื่อซึม

   “ตัวหนักเหมือนกันนะเนี่ย เห็นผ่านๆ ผมนึกว่าจะผอมกว่านี้” พี่ต๋อยบอก “ผมไปก่อนนะครับ ทิ้งหน้าที่นานเดี๋ยวโดนบ่น”

    “ขอบคุณมากนะครับ” ดนตร์ยิ้มจนตาหยี พี่ต๋อยค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป

    เมื่อไม่มีพี่ต๋อย ก็เหลือแค่เขากับกรณ์สองคนเท่านั้น ดนตร์พ่นลมหายใจแรงๆ เขาทั้งเหนื่อยทั้งง่วง อยากกลับไปนอนใจจะขาด ทว่าเสี้ยวหนึ่งของความคิดกลับฉุดรั้งให้อยู่ต่อ...อีกนิด

    ร่างโปร่งทรุดลงที่พื้นใกล้เตียง ตากลมไล่มองโครงหน้าหล่อเหลาได้รูป ทั้งบิดาและมารดาของกรณ์ต้องหน้าตาดีมากแน่ๆ กรณ์ถึงได้มีส่วนผสมที่ลงตัวเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็น คิ้ว ดวงตา จมูก หรือริมฝีปาก เส้นผมสีดำปีกกาดกหนายิ่งเสริมให้ใบหน้าคมสันกว่าเดิม ไหนจะเรือนกายสูงใหญ่ ถึงจะไม่ได้มีมัดกล้ามแบบพวกที่บ้าออกกำลังกาย แต่ก็มีกล้ามเนื้อพอให้เห็นบ้าง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมาสนใจเพศเดียวกัน คงเพราะกรณ์สะดุดตา ทั้งสูง ทั้งหล่อ เป็นผู้ชายที่แม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังอิจฉา เขาเองก็อยากจะตัวสูง มีใบหน้าหล่อเหลาแบบนั้นบ้าง แต่สวรรค์ก็เหมือนแกล้งกัน นอกจากจะหยุดความสูงของเขาไว้แค่ร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ ยังไม่ประทานเครื่องหน้าที่ดูดีมาให้อีกด้วย

    เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังยื่นมือไปแตะกรอบหน้าของคนหลับ ปลายนิ้วเกลี่ยไล่ตั้งแต่แนวขากรรไกรสวย ลากสูงไปที่ผิวแก้ม สันจมูกโด่ง เปลือกตาและคิ้วดำเข้ม

    “บ้าเอ๊ย!” ดนตร์อุทานแล้วก่นด่าในความเผลอไผลของตัวเอง เขารีบชักมือกลับ ทว่ามันช้าไปเสียแล้ว... “อ๊ะ! อ้าวเฮ้ย!”

    ข้อมือของผู้บุกรุกถูกคว้าไว้ ดนตร์เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แล้วก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าคนหลับลืมตาอยู่ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมาที่เขานิ่ง มันไม่ได้หรี่ปรือแต่เปิดขึ้นเต็มที่เลยต่างหาก

    “พี่กรณ์! พี่ไม่ได้หลับอยู่หรอกเหรอครับ” เจ้าของมือแข็งแรงไม่ตอบ แต่กลับยันกายขึ้นจากเตียง ยิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้ดนตร์มากขึ้นไปอีก “พี่ครับ! พี่ละเมออยู่ใช่ไหม”

   กรณ์ยังคงเงียบ ตาที่มองมามันแข็งกร้าวดุดัน ถ้าหากละเมอจริงๆ มันคงไม่น่ากลัวเท่านี้

    “พี่ครับ! พี่กรณ์...อ๊ะ!”

    ข้อมือถูกดึงด้วยเรี่ยวแรงที่มีมากจนน่าใจหาย ดนตร์พยายามบิดข้อมือหนี แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายจะมีมากเกินกว่าคนเมา มันแทบจะเท่ากับตอนปกติด้วยซ้ำ

   “พี่! ผมเจ็บ ปล่อยผมนะ ปล่อยซิ!”

    ชั่ววินาทีที่กรณ์คล้ายกับจะรู้สึกตัว มือหนาคลายออก แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ก็เปิดโอกาสให้ดนตร์หาทางรอดได้ ร่างโปร่งผุดลุกขึ้นด้วยความเร็ว เขาถอยห่างจากเตียง หัวใจเต้นรัวเร็ว ทั้งสับสนทั้งมึนงงกับท่าทางของกรณ์ เขาไม่อาจบอกได้เลยว่าคนที่ลืมตาโพลงอยู่บนเตียงมีสติหรือกำลังละเมออยู่กันแน่

    “ผมไปก่อนนะ!” ดนตร์บอก เขาไม่สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าถ้าขืนอยู่ต่อมีหวังโดนทำร้ายแน่

    มือบางกำลูกบิดประตูและก่อนจะดึงมันเปิดออก หัวไหล่ก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลกระชากจนทั้งร่างหมุนคว้าง เขาเสียหลักล้มลงตรงนั้น โดยมีร่างของอีกคนล้มตามลงมา

    ดนตร์นิ่วหน้าด้วยความเจ็บ หัวของเขาฟาดลงกับพื้น ถึงจะไม่แรงนักแต่ก็มากพอที่จะมึนงงได้ วินาทีต่อมาเขาก็ตระหนักได้ว่าเหนือร่างของตัวเองมีอีกร่างที่หนักหนาทาบทับอยู่ เขาออกแรงผลักคนที่อยู่ด้านบนออก แต่ไม่เขยื้อนเลยสักนิด

    “พี่ครับ พี่ทับผมอยู่ พี่กรณ์ อุ๊บ!”

    ถ้อยคำร้องเตือนกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่อกลีบปากถูกกระแทกเต็มแรง เด็กหนุ่มหลับตาแน่น เพิ่มแรงดันที่แผงอกแกร่งมากกว่าเดิม ทว่ามันกลายเป็นแรงต้าน ยิ่งเขาออกแรง กรณ์ก็ยิ่งกดทับลงมา ริมฝีปากเขาเจ็บไปหมด เขาพลิกหน้าหนี แต่กรณ์ก็ตามไม่หยุดหย่อน ทั้งจมูกทั้งปากเกลือกอยู่บนใบหน้าของเขา แว่นตาถูกกระชากและเหวี่ยงทิ้ง ดนตร์ควานหา แต่มันอยู่ไกลเกินกว่ามือจะเอื้อมถึง

    แล้วในจังหวะหนึ่งที่เขาพลิกหน้าหนี กลีบปากหลุดจากการครอบครอง เขารีบใช้มือดันใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้ กรณ์สบถหยาบคาย ก่อนจะรวบข้อมือทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว

    “พี่กรณ์...!!!”

    แคว่ก!

    แม้ว่าเสื้อที่สวมใส่จะเนื้อหนาและทนต่อลมหนาว ทว่ามันก็ไม่อาจขืนแรงกระชากได้ เนื้อผ้าขาดลุ่ยจากกัน ดนตร์สั่นสะท้าน ทั้งจากไอเย็นของอากาศและความหวาดกลัวที่เพิ่มมากขึ้นทุกนาที ร่างโปร่งดิ้นรนเท่าที่พละกำลังจะอำนวย ข้อมือเล็กถูกจับกดติดกับพื้นเย็นเยียบ ศีรษะสวยหมุนส่ายหนีเพื่อหลบริมฝีปากที่ฉกลงมา พอพลาดเป้า ปลายคางของเขาก็ถูกมือแกร่งคว้าเอาไว้ ฝืนบังคับให้รับจูบที่ไร้ความปราณี กลีบปากเริ่มเจ็บระบมจากการรุกราน เขาพยายามเม้มปากป้องการล่วงล้ำ แต่ก็ไม่อาจทำได้ ก้านนิ้วแข็งแรงบีบที่พวงแก้ม จนเรียวปากเผยอออกจากกัน ดนตร์หลับตาแน่นยามที่ลิ้นร้อนจาบจ้วงเข้ามาอย่างหยาบคาย

    เรียวลิ้นมากประสบการณ์ กวาดไล่ในโพรงปากของเขาตามชอบใจ มันทั้งเกี่ยวพัน ทั้งหยอกเย้า กรณ์ทำทุกอย่างราวกับต้องการให้เขายอมสิโรราบ ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือขืนใจก็ตาม อากาศในปอดลดน้อยลงเรื่อยๆ แผ่นอกบางเรียบสะท้อนขึ้นลงเร็วและถี่ขึ้น เขาพยายามส่งเสียงเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขากำลังจะขาดอากาศหายใจ

    ดูเหมือนว่ากรณ์จะรับรู้อาการของเขา ริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เขารีบโกยเอาอากาศให้ปอดให้ได้มากที่สุดจนร่างกายหอบโยน ดนตร์เปิดตาขึ้น แล้วก็พบว่าดวงตาดุดันมันอยู่ห่างแค่ฝ่ามือกั้นเท่านั้น

   “อย่าดื้อ!” กรณ์พูดติดกลีบปากของเขา ก่อนจะกดริมฝีปากบดเบียดหนักหน่วง

   “อื้อ!

   ดนตร์ส่งเสียงประท้วง แต่มันดังอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น นิ้วแกร่งเลื่อนจากที่แก้มลงไปที่ลำคอ ลาดไหล่ และหยุดบนอกบาง ฝ่ามือสากระคายเคล้าคลึง ปลายนิ้วคีบดึงส่วนยอดของเม็ดทับทิมเล็ก จนมันหดเกร็งและขมวดแข็งเป็นไต

    “อ๊ะ..” เสียงครางปนมากับลมหายใจที่ร้อนระอุขึ้น กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ระเหยมาไม่ได้เหม็นจนน่าสะอิดสะเอียน และรสจูบก็เปลี่ยนไป

     ร่างกายของเขากำลังตอบรับกับการปลุกเร้าโดยที่สมองไม่ได้เต็มใจ ลิ้นถูกกวาดต้อนเสียจนต้องตั้งรับ เขาดูดดุนปลายลิ้นของอีกฝ่าย กรณ์ดูเหมือนจะแปลกใจ แต่เพียงชั่วพริบตาก็กลับมารุกไล่เหมือนเดิม ความรุนแรงของการบดขยี้ก็ลดน้อยลงไปด้วย เหลือเพียงแค่กลีบปากที่คลุกเคล้ากัน รสขมปนหวานของเหล้ายังติดที่ปลายลิ้น ดนตร์เผลอดูดกลืนมันโดยไม่รู้ตัว

    “อา..”

    กรณ์ครางต่ำๆ ในคอ คล้ายกับจะพอใจกับการตอบรับ นิ้วเรียวยาวยังคงหมุนวนอยู่ที่เม็ดทับทิมสีสด ดนตร์สูญเสียการควบคุมตัวเรื่อยๆ บางทีเขาอาจจะถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ปลายลิ้นของกรณ์เล่นงานไปแล้วอีกคน...สมองสั่งให้ปฏิเสธเพราะรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง ทว่าร่างกายและอีกเสี้ยวของความคิดกลับยุยงให้เขาทำตามหัวใจตัวเอง...แค่สักครั้ง

    ในเมื่อคนที่กำลังจูบเขาอยู่ คือคนที่เฝ้ามองมาร่วมปี เป็นคนที่มีอิทธิพลกับเขามากที่สุด และเป็นคนที่เขาคิดถึงมากที่สุด

    ...เขาชอบกรณ์...

    ดนตร์กำลังถูกล่อลวงด้วยรสจูบหวานกำซ่าน หัวสมองเขาหมุนคว้าง อาการขัดขืนลดน้อยลง กรณ์ปล่อยมือให้เป็นอิสระ ถึงเวลานี้เขาไม่หลงเหลือความคิดที่จะต่อต้านอีกแล้ว แต่กลับเกี่ยวรั้งหัวไหล่แกร่งไว้แทน เลือดในกายร้อนขึ้น หน้าท้องเกร็งแน่นด้วยความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น อากาศในปอดทำท่าจะหมดไปอีกครั้ง แต่คราวนี้กรณ์ผละห่างออกไปโดยไม่ต้องรอให้เขาเตือน

    ทว่าร่างสูงใหญ่ไม่ได้หนีหายไปไหน ใบหน้าคมคร้ามเลื่อนต่ำลงไปที่ลำคอ ก่อนจะใช้ริมฝีปากกดเม้มไปบนผิวกาย ขบฟันลงไปเบาๆ เพียงแค่นั้นดนตร์ก็สั่นสะท้าน ลิ้นอุ่นแตะไปบนรอยช้ำ ขณะที่ปลายจมูกซุกไซ้อยู่แถวใบหู เขาหายใจแรงกว่าเดิม มือไม้อ่อนเปลี้ยไปหมด เอียงคอให้อีกฝ่ายรุกรานได้เต็มที่

    “พะ..พี่กรณ์ อื้อ”

    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่คำห้ามปรามเปลี่ยนเป็นเรียกร้องแทน ปลายลิ้นชื้นเลียไล้ที่ติ่งหู ดนตร์หายใจกระเส่า ร่างกายตื่นตัวเต็มที่ ไอเย็นจากอากาศไม่อาจบรรเทาความร้อนในกายได้เลย

   กรณ์ลากริมฝีปากไปที่ลาดไหล่โดยไม่ลืมสร้างรอยประทับเอาไว้ พรมจูบไปทั่วทุกตารางของผิวกาย ทุกครั้งที่ริมฝีปากเย็นแตะลงมาร่างของเขาจะสั่นไหว ลมหายใจร้อนผ่าวคล้ายกับมีพิษไข้ในกาย แล้วก็ต้องผวาเฮือกเมื่อไอเย็นชื้นครอบครองบนยอดอก ลิ้นสากระคายตวัดหมุนวน เขาได้ยินเสียงจ๊วบจ๊าบดังแทรกกับเสียงลมหายใจกระเส่าของตัวเอง

    “พี่..กรณ์ อื้อ”

    นิ้วเรียวสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีดำปีกอีกา ดึงทึ้งมันเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการเสียวเสียดในท้องที่มีมากขึ้นทุกนาที หน้าขาปวดเกร็งจนต้องขดขาเข้าหากัน เขาเผลอแอ่นหน้าอกขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายได้ดูดกลืนจะงอยถันได้ง่ายขึ้น

    ยอดอกเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำจากปลายลิ้นอุ่น พอดูดกลืนจนพอใจ ก็ละริมฝีปากห่างไป ก่อนจะแต้มจูบเบาๆ ไปบนหน้าท้องแบนราบ และหยุดที่ขอบกางเกงยีนส์ ตาคมสีดำช้อนขึ้นมอง มันด้านและไร้แวว ทว่าแฝงเร้นไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เขาสะท้านยิ่งกว่าเดิม

      “พี่กรณ์...อื้อ”

   “เงียบ!”

    เสียงทุ้มต่ำร้องห้าม ขณะที่มือเรียวสาละวนอยู่กับเข็มขัดและตะขอกางเกง เขาอยากจะบิดตัวหนีแทบขาดใจ ทว่าร่างกายกลับสวนทาง สะโพกมนยกขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ตอนที่กางเกงเลื่อนหลุดจากเรียวขา

    กรณ์ที่ยังมีเสื้อผ้าครบทุกชิ้น แทรกตัวเข้ามาในระหว่างขา ผิวกายของเขาเริ่มอุ่นด้วยเลือดที่ร้อนขึ้น ร่างหนาโน้มต่ำลง ลมหายใจร้อนมีกลิ่นของแอลกอฮอล์ปะปนมาปะทะกับผิวแก้ม มือใหญ่วางข้างลำตัว แล้วค่อยโน้มร่างต่ำลงมา เขาเบือนหน้าหนี ไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่ไม่อาจทนต่อสายตาร้อนแรงได้ต่างหาก ทว่าแววตาของคนด้านบนก็เปลี่ยนไป กรณ์ขมวดคิ้วคล้ายกับจะสงสัยในอะไรบางอย่าง

    “ยา...หยี..ทำไม?”

      ‘ยาหยี’ อย่างนั้นหรือ...

    “ยาหยี ทำไมคุณ...ยาหยี”

    ชื่อของคนรักหลุดจากปากของกรณ์อย่างต่อเนื่อง หัวใจที่เต้นรัวกระหน่ำลดลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าชาวาบเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น ร่างกายที่เคยไร้เรี่ยวแรงจากพายุอารมณ์กลับมามีกำลังอีกครั้ง...เขามันโง่ ที่หลงคิดว่ากรณ์เกิดเสน่หาตัวเองขึ้นมาจริงๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อกรณ์เคยพูดเอาไว้ว่าชอบผู้หญิง ที่ทำไปทั้งหมดเพราะเมาจนไม่รู้ตัว หากว่ายังมีสติครบถ้วนคนอย่างกรณ์ไม่มีทางแตะต้องเขาแน่ๆ 

    ดนตร์ข่มความปวดร้าวไว้แค่ในอก เขาออกแรงผลักร่างหนาจนอีกฝ่ายเสียหลักไปเล็กน้อย แล้วใช้จังหวะนั้นพลิกตัวคลานหนี แต่ไม่มีอะไรง่ายดั่งที่ใจคิด ข้อเท้าถูกกระชากเต็มแรงจนทั้งตัวลากไถลไปกับพื้นเย็น กรณ์ใช้ร่างกายใหญ่โตคร่อมทับเขาเอาไว้ เขาพยายามดิ้นรนขัดขืนเท่าที่กำลังจะอำนวย สาบานต่อหน้าดวงตาสีดำด้านคู่นี้ว่าเขาจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย กรณ์จะไม่มีทางได้อะไรจากเขาไปโดยที่คิดว่าเขาเป็นโยษิตา

    “ปล่อยผม! ผมบอกให้ปล่อยไง ผมไม่ใช่พี่ยาหยี พี่ตั้งสติแล้วดูให้ดีๆ ว่าผมเป็นใคร ผมคือเพลงคนที่พี่เกลียดไง ไม่ใช่ยาหยี! ผมคือเพลง ไอ้เพลงไง!” เด็กหนุ่มตะโกนสุดเสียง โพรงจมูกแสบร้อน น้ำตาคลอที่หน่วยตา ในอกปวดร้าวด้วยความจริงที่ไม่อาจทนรับได้

    “เพลง...”

   “ใช่! ผมคือเพลง ไม่ใช่ยาหยีของพี่ รู้แล้วก็ปล่อยผมซะที!”

    “พ..เพลง”

   กรณ์พูดซ้ำเช่นเดียวกับตอนที่พร่ำพูดชื่อของโยษิตา โดยไม่รู้สักนิดว่ามันกำลังตอกย้ำให้คนที่กำลังเจ็บปวดยิ่งร้าวรานกว่าเดิม ดนตร์ยกมือทั้งทุบ ทั้งตี ไม่ใช่แค่เพื่อเตือนสติแต่เขาต้องการทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าตัวเองเจ็บมากแค่ไหนที่ถูกคิดว่าเป็นตัวแทนของโยษิตา แต่กรณ์แข็งแกร่งและทนทานกว่าที่คิดไว้ นอกจากจะไม่สะดุ้งสะเทือนพละกำลังยังไม่ลดลงอีกด้วย

    “ใช่ ผมคือเพ..!!”

    คำพูดหายลงไปในคอ ริมฝีปากหนาฉกวูบลงมากดเน้นย้ำอยู่หลายรอบจนเขารู้สึกถึงความเห่อบวมที่เพิ่มขึ้น ดนตร์ส่ายหน้าหนี ต่อต้านสุดกำลัง เขาจะไม่ยอมคล้อยตามไปกับการหลอกล่ออีกแล้ว กรณ์ไม่รู้หรอกว่าคนที่กำลังกอดอยู่ไม่ใช่โยษิตา แต่เป็นผู้ชายที่ชื่อดนตร์ ลิ้นหนาล้วงลึกเข้ามาอย่างจวบจ้วง เขาไม่หลงเหลือความวาบหวามอีกแล้ว ทว่ากรณ์ก็ไม่ล่าถอย ไม่ใช่แค่เพียงริมฝีปากเท่านั้นที่กำลังปลุกปั่นเขา ฝ่ามือกร้านก็ด้วยเช่นกัน

   แม้จะไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ทว่ามันก็เกิดขึ้นจนได้ กรณ์ปาดป้ายมือไปบนหน้าอกเปลือยเปล่าของเขา นิ้วบีบเค้นยอดอกจนมันหดเกร็งอีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่ากรณ์จะดำเนินตามรอยเดิมทุกอย่าง เพราะคราวนี้มันไม่ได้อ่อนหวาน กลับรุนแรงและดุดันยิ่งกว่าเดิม มือเรียวแต่แข็งแกร่งลากหนักๆ ไปบนผิวกาย บีบเค้นทุกที่ที่ผ่าน อย่างไม่สนใจว่าจะสร้างรอยย้ำไว้หรือไม่ และหยุดลงตรงชั้นในสีขาวสะอาด วินาทีนั้นกรณ์เหลือบตาขึ้น เขาเห็นรอยยิ้มผุดที่มุมปากขวา แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อส่วนหน้าถูกกอบกุมไว้ด้วยอุ้งมืออุ่น

    “ฮื้อ...พี่ ปะ..ปล่อยนะ”

    ไม่เพียงแต่จะไม่ทำตาม กรณ์ยังเพิ่มน้ำหนักมืออีกด้วย ก้านนิ้วแข็งแรงถูไถไปบนเนื้อผ้า ไอร้อนผ่านเข้าไปถึงด้านใน เขาเป็นผู้ชายโดนแตะต้องนิดหน่อยมันก็มีปฏิกิริยาแล้ว แต่สิ่งที่กรณ์กำลังทำมันเรียกว่าการปลุก...ปลุกให้มันตื่นตัวและขยับขยายขนาดอย่างน่าอับอาย เขารับรู้ถึงความเย็นชื้นที่ซึมผ่านผ้า สมองของเขาสั่งให้ร่างกายต่อต้าน ทว่าไม่มีอวัยวะส่วนใดๆ เชื่อฟังเลย กระทั่งมือที่เคยระดมทุบตียังหยุดลงดื้อๆ

    ร่างกายของเขาตอบสนองอย่างน่าอัปยศ แก่นกายแข็งกร้าวอวดรูปร่างให้อีกฝ่ายได้เคล้าคลึงเล่น กรณ์กดริมฝีปากหนักๆ สองสามครั้งแล้วผละออกไป ก่อนจะลดตัวลงไปที่ส่วนกลางของลำตัวแล้วก็ทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง ลิ้นเปียกแตะไปบนเนื้อผ้า ลากเลียไปตามความยาวพร้อมกับนิ้วมือที่สะกิดส่วนปลายยอดให้เปิดออก

    “อา...พี่กรณ์ ปะ..ปล่อย อา”

     ชั้นในรัดรึงจนคับแน่น เขาขดขาเข้าหากันเพื่อบรรเทาความอึดอัด หยาดน้ำที่ผ่านผ้าเข้ามานั้นมันยิ่งกระตุ้นให้มันพองโตกว่าเดิม

    ดนตร์หลุดคราง สะโพกยกสูงขึ้นเรื่อยๆ กรณ์ใช้โอกาสนั้นดึงอาภรณ์ชิ้นน้อย แล้วโยนมันทิ้งไปกองรวมกับชิ้นอื่นๆ กายร้อนแดงจัดขนาดสมกับเจ้าของตั้งเด่นหรา ส่วนปลายบานออกพร้อมกับน้ำที่ปริ่มฉ่ำ ชายหนุ่มอ้าปากรับมันไว้ ใช้กลีบปากห่อฟันเพื่อไม่ให้ครูดไปกับเนื้ออ่อน ขณะที่ลิ้นตวัดลิ้มชิมรสเนื้อแท้ นิ้วร้อนคลึงเคล้าพวงแฝด ดนตร์ร้องลั่น สะโพกหยัดสูง กรณ์เก่งเกินไป ชำนาญเกินไป

    “พี่ครับ ฮื้อ พอ..ไม่เอา อ๊ะ”

    ใบหน้าที่ก้มต่ำติดกับเนื้อร้อนกระตุกยิ้ม ปากร้องห้ามทว่าร่างกายกลับตอบสนองเต็มที่ ดนตร์ตัวสั่นไปหมด หน้าท้องเกร็งแน่น มองเห็นเป็นลอนกล้ามเนื้อ ผิวขาวแดงระเรื่อด้วยเลือดที่สูบฉีด กรณ์เร่งจังหวะการดูดกลืน เสียงน่าอายดังประสานกับเสียงครางของเด็กหนุ่ม จากนั้นไม่กี่อึดใจ ร่างโปร่งก็กระตุกสั่นไหวรุนแรง สายธารอุ่นจัดสีขาวขุ่นพุ่งเข้าสู่โพรงปาก ชายหนุ่มรับมันไว้และกลืนลงไปส่วนหนึ่ง แล้วคายอีกส่วนหนึ่งลงในฝ่ามือก่อนจะป้ายลงไปที่ช่องทางด้านหลัง

   ดวงตาดำสีปีกอีกามองท่อนเนื้อที่ยังกระตุกน้อยๆ หยาดน้ำแห่งอารมณ์ไหลอาบเป็นเงาวาววาบ รสชาติไม่ได้แย่มากนัก คงเพราะอะไรหลายๆ อย่างทำให้กรณ์กล้ากลืนมันลงไป

    ร่างสูงถอยห่างออก พลางปลดเสื้อผ้าออกจากกายด้วยอาการร้อนรน ตาจ้องมองร่างโปร่งสมส่วนนอนอ่อนระโหยไม่วางตา ใบหน้าขาวจัดแต่พวงแก้มกลับแดงเรื่อ ริมฝีปากอิ่มสีสดเผยอขึ้นเล็กน้อย เสียงลมหายใจค่อนข้างชัดเจนในความมืด เขาไล่มองต่ำมาที่แผ่นอกบางใส ช่วงเอวเล็ก จนถึงส่วนกลางลำตัวที่ค่อยๆ สงบลง

   กรณ์กลับมาอีกครั้งด้วยภาพที่เปล่าเปลือยเช่นกัน ลำกายร้อนแข็งและปวดหนึบ มันขยายตัวตั้งแต่ปลายลิ้นได้รสหวานของผิวกายจากอีกฝ่ายแล้ว เลือดในกายร้อนฉ่าราวกับถูกน้ำเดือดเติมลงไป หัวสมองของเขาไม่มีเรื่องใดเข้ามาแทรก มันคิดถึงแต่เรือนร่างที่น่าปรารถนานี้เท่านั้น สามัญสำนึกหรือความผิดชอบชั่วดีถูกความหอมหวานตีแทรกแซงหมดแล้ว ชายหนุ่มแทรกตัวเข้าไประหว่างขาเรียว วางมันพาดกับหน้าขาของตัวเอง สะโพกมนลอยอยู่เหนือพื้นเย็น เขาแหวกขาที่ทำท่าจะขดบดบังความน่ามองออก พลางส่งนิ้วมือไปแตะบนรอยจีบที่เปียกชุ่มจากหยาดน้ำของเจ้าตัว เขากดย้ำๆ จนมันเริ่มคลายตัวลง และโดยไม่มีการบอกกล่าว กรณ์ส่งก้านนิ้วกลางเข้าไปภายในทันที

   “โอ๊ย! เจ็บ! เอาออกไปนะ”

     ดนตร์หวีดร้องเสียงดัง ใช้มือปัดป่าย ทว่ากำลังที่น้อยเพียงนั้นไม่อาจทำอะไรได้เลย ใบหน้าน่ารักเหยเกด้วยความเจ็บปวด แต่กรณ์ไม่ได้ใส่ใจเขายังคงดันนิ้วเข้าไปจนสุด แล้วหมุนควง

   “ฮึก..อื้อ..เจ็บ”

    เด็กหนุ่มยังคงส่งเสียงร้อง แต่นิ้วมือด้านในก็ยังทำหน้าที่ไม่หยุดหย่อน กรณ์สอดนิ้วเข้าไปสมทบ เขาพอใจกับความร้อนจัดที่โอบล้อม และความคับแน่นที่ดูดกลืน ขนาดนิ้วดนตร์ยังตอดรัดขนาดนี้ถ้าเป็นไอ้นั่นของเขาล่ะ มันจะรู้สึกดีแค่ไหน กรณ์ควานนิ้วมือเพื่อขยายช่องทางให้กว้างขึ้น เพราะส่วนนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อศึกรักเหมือนของผู้หญิง เขาจึงจำเป็นต้องทำให้ดนตร์พร้อม...ในระดับหนึ่ง ชายหนุ่มใช้หยาดน้ำรักของเจ้าตัวลดความคับแน่นลง กระทั่งนิ้วที่สามหายเข้าไปจังหวะการเคลื่อนไหวจึงดีขึ้น แต่ดนตร์ก็ยังไม่คลายเจ็บปวด หน้าท้องเนียนเกร็งเป็นระยะๆ

    ชายหนุ่มแตะลิ้นที่ริมฝีปาก เขาไม่อาจทนให้ตัวเองทรมานได้อีกต่อไป เขาดึงนิ้วทั้งสามออกอย่างรวดเร็วส่งผลให้ร่างโปร่งผวาเฮือก กรณ์ยังคงมองใบหน้าน่ารักตลอดเวลา เขาเห็นอารมณ์ที่ปรากฏ อยากจะเห็นในทุกๆ อิริยาบถด้วยซ้ำ มือใหญ่ประคองความแข็งกร้าวร้อนจัดของตัวเองเอาไว้ และจับมันจดจ่อกับช่องทางเล็ก เขาหลุบตามองท่อนเนื้อของตัวเองที่ติดประชิดกับรอยจีบสีสด ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนจะดันมันเข้าไปด้านใน

   “โอ๊ย! ผมเจ็บ! เอาออกไป ไม่! ออกไปนะ ไม่เอา พอที”

    ดนตร์ร้องคร่ำครวญ เขาเงยหน้าขึ้น เห็นหยาดน้ำตาไหลจากดวงตากลม วูบหนึ่งความรู้สึกเขาสงสารอีกฝ่ายจับใจ ทว่าความต้องการของร่างกายมันบีบบังคับให้เดินหน้าต่อ ถ้าขืนหยุดตอนนี้จะเป็นเขาเองที่ทรมาน กรณ์จับเอ็นร้อนพลางดันสะโพกเข้าไปเรื่อยๆ ดนตร์ดิ้นพล่าน หวีดร้องอย่างน่าสงสาร ภายในต่อต้านสิ่งแปลกใหม่ที่ใหญ่โต กล้ามเนื้ออ่อนทั้งดูดและผ่อนออกสลับกัน จนในที่สุดเขาก็เข้าไปได้จนสุด ส่วนโคนติดกับเนื้อนุ่มของสะโพก กรณ์หยุดการเคลื่อนไหว ปล่อยให้ความร้อน ความอ่อนนุ่มได้รับเขาไว้อย่างเต็มที่ เขารอให้ความกำหนัดลดลง พยายามควบคุมตัวเองแล้วค่อยถอนกายออกมา จนเหลือแค่ส่วนปลาย ชายหนุ่มสูดปากด้วยความกระสัน

    ...เด็ดจริงๆ...

    กรณ์จับสะโพกมนเอาไว้เพราะดนตร์ยังไม่หยุดดิ้นหนี เขาโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อนำตัวเองกลับเข้าไปอีกครั้ง แม้การเคลื่อนไหวจะลำบากและดนตร์ดูดรัดเขามากเกินไป แต่ความเสียวเสียดที่มีมากกว่ามันก็สั่งให้เขาเดินหน้าต่อ

   “ไม่! ปล่อยนะ อื้อ มันเจ็บ”

   หยาดน้ำตาไหลผ่านแก้มเนียนใส ใบหน้าของดนตร์ไม่ได้บ่งบอกถึงความสุขอย่างเมื่อครู่เลย หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น ในขณะที่ความต้องการทางร่างกายทวีสูง สามัญสำนึกก็ผุดแทรกขึ้น

    “ชู่ เดี๋ยวก็หาย อย่าร้องนะครับคนดี”

   กรณ์พูดอ่อนโยน พลางก้มลงจูบซับรอยน้ำตา มือข้างหนึ่งละจากสะโพก แล้วเลื่อนมาด้านหน้า กอบกุมส่วนด้านหน้าที่เพิ่งอ่อนตัวลงไปได้ไม่นาน เขารูดรั้งเบาๆ เพื่อปลุกให้อีกฝ่ายลืมความเจ็บปวด เขาไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็น่าจะเบี่ยงเบนจุดสนใจได้

    ดนตร์ยังคงสั่นเทา แต่อาการสะอื้นลดน้อยลง มือเล็กกำแน่นข้างลำตัว กรณ์ระดมจูบไปทั่วใบหน้าขาว ผิวของดนตร์ไม่เพียงแต่ขาวจัดแต่ยังมีกลิ่นที่หอมเหมือนน้ำนมสดอีกด้วย ริมฝีปากอิ่มเห่อบวมเล็กน้อย มันแดงจัดราวกับลูกเชอรี่สุก รูปร่างสมส่วนกำลังดี ไม่ได้หนาล่ำ หรือผอมบางหนังติดกระดูก แต่ยิ่งกอดยิ่งอุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนกอดตุ๊กตาไม่มีผิด ดนตร์กำลังทำให้เขามึนเมา ฤทธิ์ร้ายแรงยิ่งกว่าเหล้าขวดไหนๆ เขาลุ่มหลงจนลืมไปว่าที่กำลังกกกอดอยู่เป็นผู้ชาย

    ชายหนุ่มมอบจูบที่คิดว่าหวานที่สุดเพื่อปลอบประโลม เขาเคลื่อนไหวเชื่องช้าในตอนแรก แม้จะทรมานแทบทนไม่ไหว แต่ก็เสียวกระสันจับใจ กระทั่งความคับฝืดลดน้อยลง การเข้าออกง่ายขึ้น กอปรกับอาการขัดขืนของดนตร์ที่ทุเลาลง เขาเลยลองทำตามใจ กรณ์เร่งจังหวะให้เร็วกว่าเดิมแต่การตอดรัดยังคงรุนแรงไม่ลดลง ทว่ามันก็เสียวสุดใจเช่นกัน

   “อา...สุดยอดไปเลย”

   เขาผละจากริมฝีปากอิ่มแดงฉ่ำ ก่อนจะยกต้นขาขาวขึ้นพาดกับหัวไหล่ โน้มไปด้านหน้าให้มากกว่าเดิม ขนหยาบแนบไปกับเนื้อนวล มือวางข้างลำตัวของคนด้านล่าง ท่านี้ทำให้การเข้าหาล้ำลึกกว่าเดิม เขาสาวตัวออกและกลับเข้าไป ทำซ้ำๆ แต่เร็วและหนักหน่วง

   “อ๊ะ พี่กรณ์ มัน อื้อ พี่ ช้าหน่อย”

    คำปรามไม่เคยได้ผล หูทั้งสองข้างไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงหัวใจที่เต้นรัวของตัวเอง ความร้อนและอ่อนนุ่มโอบรัดไปทุกทิศทุกทาง สาบานว่าไม่เคยมีใครทำให้เขาเสียการควบคุมตัวเองได้ขนาดนี้มาก่อน กลิ่นกายหอมหวาน ผิวขาวสะอาดตา ใบหน้ายามเจ็บปวดแกมสุขสมมันน่ามองยิ่งกว่าภาพวาดของจิตรกรฝีมือดี เขายังปรนเปรอให้ดนตร์ จนเจ้าลูกเจี๊ยบตัวน้อยมันพองใหญ่ขึ้น ตาคมหลุบต่ำลงมองส่วนยอดที่ค่อยๆ คลายตัวจากเนื้ออ่อน หยาดน้ำใสปริ่มอีกครั้ง กรณ์เร่งมือให้เป็นจังหวะเดียวกับสะโพก เด็กหนุ่มเปลี่ยนจากเสียงร่ำไห้เป็นครวญคราง มือน้อยยกขึ้นดันหน้าท้องของเขาเอาไว้

   “อา เพลง นายแน่นชะมัด อา”

    กรณ์กระซิบบอกด้วยเสียงแหบพร่า เส้นความอดทนขึงตึง ความต้องการทั้งหมดวิ่งไปรวมที่จุดเดียว เขารักการครูดรั้งของผนังเนื้ออ่อนยามที่เคลื่อนไหว ลมหายใจกระเส่าประสานกับเสียงครวญดังก้องห้อง ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่มีผลอะไร เหงื่อกาฬไหลจากร่างกาย จังหวะรักรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความอดทนที่ใกล้สิ้นสุดลงทุกที

    มือแกร่งเร่งรูดเร้าเร็วถี่ สะโพกมนลอยเหนือพื้น หน้าท้องบางเกร็งแน่นไม่นาน ดนตร์ก็หวีดร้อง สายธารขุ่นไหลอาบรดมือของเขา คราวนี้มันไม่ได้เยอะเท่ากับครั้งแรก ร่างโปร่งอ่อนระทวย ลมหายใจรัวถี่ แผ่นอกเนียนใสกระชั้นถี่ตามจังหวะหัวใจ กรณ์รีบสาวสะโพก เขากัดฟันแน่นสลับกับสูดปากระบายความเสียวซ่าน ดนตร์ตอดรัดเขารุนแรง ชายหนุ่มคำรามราวกับสัตว์ป่าในนาทีสุดท้าย

   “อา....”

..............................

เชิญด่าอีพี่กรณ์ได้ตามอัธยาศัยค่ะ 55555555
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 5 One night stand [07/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 07-06-2017 21:50:50
 :m31:มีชะนีอยู่แล้วแต่มาทำแบบนี้เลวเกินกว่าจะหาคำบรรยายจริงๆ  :z6:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 5 One night stand [07/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 08-06-2017 12:04:23
ไม่ใช่ว่าตื่นมาอีกทีเนียนว่าเมานะอิพี่กรณ์ เมียก็มีอยู่แล้วจะมายุ่งกับเพลงทำม้ายยยย  :fire: :angry2: :z6:
ไหนว่าเกลียดกันไง หน็อย ทำร้ายจิตใจเพลงตลอด สงสารเพลง เหมือนโดนให้ความหวังแล้วผลักตกผาทุกที
รอตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 5 One night stand [07/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 08-06-2017 14:56:16
ลูกเจี๊ยบลูก เดี๋ยวแม่หาผู้ใหม่ให้ หนูอย่าไปรักอิพี่กรณ์ มันเลวนะคะ

อิพี่กรณ์ ไปตายซะ ไอ้ชั่ว ไอ้เลว อยากเอาชนะลูกเจี๊ยบล่ะสิ โว้ยยยยยยยย :fire: :m31: :angry2: :serius2: :ling1 :katai1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 5 One night stand [07/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 08-06-2017 21:23:35
สนุกมากๆ มาต่ออีกสิ อ่านเพลินเลย
อยากรู้ตอนต่อไปอ่ะ

ได้กันแล้วเพราะว่าเมาก็เถอะ แต่ก็รู้ว่าใครเป็นใคร
โอ้ยๆ ตอนเช้ามาจะเป็นไงละเนี่ย
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 6 Just stared [22/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 11-06-2017 20:13:11
Chapter  6 Just started.


    ดนตร์ลืมตาตื่นก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นเกือบสองชั่วโมง ร่างกายปวดร้าวจนแทบจะไม่ไหว ดวงตาพร่ามัวที่ต้องใช้ความพยายามมากที่จะมองฝ่าความมืด นานชั่วอึดใจถึงได้รู้ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่บนเตียงแล้ว ร่างโปร่งชันกายขึ้น ความร้าวระบมที่สะโพกทำให้ต้องหลุดสูดปากออกมา น้ำตาคลอด้วยความเจ็บแสบ เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่อยู่ภายใน มันเหนียวเหนอะหนะและไม่สบายตัว ผ้าห่มที่คลุมร่างร่วงกองบนตัก นอกจากผ้าผืนนี้แล้วเขาก็ไม่ได้สวมอาภรณ์ชิ้นใดอีก เขาปิดปากแน่นตอนที่เหวี่ยงขาลงบนพื้น มันสะเทือนมาถึงช่องทางที่บาดเจ็บ ดนตร์กัดฟันใช้ความอดทนทั้งหมดทรงตัวให้ได้ ใจหายวูบเมื่อรับรู้ถึงบางอย่างที่ไหลรินลงมาตามต้นขา

    เขาใช้มือยันกำแพงเพื่อพยุงร่าง เพราะขามันสั่นไปหมด ปลายเท้าก็สะดุดกับกองเสื้อผ้าที่ปะปนกันอยู่ เขาคว้าเสื้อกับกางเกงที่เป็นของตัวเองขึ้นมากอดไว้แนบอก เขาเอนกายพิงผนังห้องระหว่างที่บิดลูกบิดประตู เขาทำทุกอย่างด้วยความเงียบเชียบเพราะไม่ต้องการให้อีกคนรู้ตัว…เขาจะไปโดยไม่ทิ้งความทรงจำเอาไว้ และเขาเองก็จะไม่ขอจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ก็ต้องแปลกใจเพราะภายนอกมันสว่างจ้าด้วยหลอดไฟ

    “เพลง!”

    ร่างโปร่งสะดุ้งสุดตัว และเพราะเคลื่อนไหวผิดท่า ส่งผลให้ช่องทางที่เจ็บปวดยิ่งเจ็บมากกว่าเดิม แล้วทั้งร่างก็ถูกมืออวบหนารวบเอาไว้

    “นี่มันอะไร เกิดอะไรขึ้น! ทำไมนาย...นี่อย่าบอกนะว่า”

    “พี่ครับ เบาๆ” ดนตร์เตือน “ผมอยากกลับหอ ขอผมใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหม”

    ใบหน้าอิ่มพยักหน้าครั้งเดียว ปล่อยมือจากร่างเล็ก ดวงตากลมมองอากัปกิริยาท่าทางของรุ่นน้องด้วยความเป็นห่วง สภาพของดนตร์แทบไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นรอยช้ำมากมายปรากฏบนผิวขาวจัดของอีกฝ่าย จังหวะที่ดนตร์ยกขาขึ้นสวมกางเกง เขาสาบานว่าเห็นหยาดน้ำสีขาวขุ่นแกมแดงไหลลงมา

    ไอ้กรณ์! ไอ้คนบัดซบ! มันข่มขืนเพลง!

    “นาย...โอเคนะ” ชนวีร์ถาม เขารู้ว่ามันเป็นคำถามที่โง่ที่สุด แต่ ณ ตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออก ความโกรธในตัวญาติผู้พี่กับความสงสารในตัวรุ่นน้องตีกันยุ่ง มือเขาสั่นตอนที่ไปแตะหัวไหล่ของดนตร์ เจ้าเด็กตาใสเงยหน้าขึ้นพลางสั่นศีรษะ

   “พาผมกลับหอที ผมอยากไปจากที่นี่”

    ชนวีร์ระงับความโกรธเต็มกำลัง นาทีนี้ดนตร์สำคัญกว่าไอ้คนในห้อง เขาพยักหน้าก่อนจะโอบร่างโปร่งเอาไว้ ดนตร์ตัวร้อนและหายใจแรง ดนตร์ยังไม่ได้ทำความสะอาดสิ่งที่ตกค้างอยู่แน่นอน เขารู้ดีว่าถ้าทิ้งเอาไว้มันจะทำให้ป่วยไปหลายวัน เผลอๆ จะติดเชื้ออีกด้วย

    นี่ถ้าหากเขาไม่เอะใจ แล้วฝืนสังขารโทรหามิ่งขวัญ รูมเมทของดนตร์เพราะเป็นห่วง เขาจะไม่รู้เลยว่าดนตร์ยังไม่กลับหอ เลยตัดสินใจมาดูที่ห้องกรณ์ โชคดีที่เขามีคีย์การ์ดของมันไว้อีกใบ เจ้าตัวมันเคยฝากไว้เพราะช่วงเรียนปี 2 กรณ์เที่ยวหนักและดื่มจัดมากจนต้องเดือดร้อนเขาบ่อยๆ มันเลยแก้ปัญหาด้วยการให้คีย์การ์ดกับเขาไว้ เผื่อวันไหนเมาหนัก กลับบ้านไม่ได้ เขาจะได้พามันมาส่งให้ที่ห้อง หรือบางวันที่เมาค้างจนลุกไม่ได้ เขาจะได้เข้ามาดูอาการมัน แต่เพิ่งรู้ว่าการมีคีย์การ์ดจะมีประโยชน์สูงสุดก็วันนี้

    ชนวีร์ขับรถมาส่งดนตร์ที่มหาวิทยาลัยตอนที่พระอาทิตย์กำลังจับขอบฟ้าพอดี อากาศหนาวจัดจนลมหายใจเป็นควันขาวในอากาศ เขาหันมามองรุ่นน้อง ดนตร์ไม่ได้หลับแต่นั่งนิ่ง สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดและอ่อนเพลีย

   “ไปหาไอ้ทิวก่อนไหม ท่าทางนายไม่ดีเท่าไรนะ”

   “ไม่เป็นไรครับ” ดนตร์สั่นหัว ค่อยๆ ยืดกายขึ้น “ขอบคุณพี่วินมาก ผมไปก่อนนะครับ...เอ่อพี่ครับ อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกกับใครนะครับ ผมขอร้อง”

    “แต่นาย...”

   “ผมไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็ผู้ชาย” พูดจบมือขาวซีดก็เปิดประตูออกไป

   “เดี๋ยวลูกเจี๊ยบ...ถ้าไม่ไปหาหมอ นายต้องเอ่อ...ล้างเอาไอ้พวกนั้นออกมาให้หมด แล้วก็หายาแก้อักเสบกินซะ ไม่อย่างนั้นนายจะป่วย”

   ดนตร์อึ้งไปเล็กน้อย หน้าซีดเผือดลงกว่าเดิมแต่พยักหน้ารับรู้ ร่างโปร่งก้าวลงจากรถด้วยสองขาที่ไม่มั่นคงนัก ชนวีร์จะลงไปช่วยแต่ดนตร์ปฏิเสธ เขามองตามร่างของรุ่นน้องไป จนลับสายตา แม้จะห่วงสุดใจแต่ตอนนี้ดนตร์น่าจะอยากอยู่คนเดียวมากกว่า มืออูมบีบพวงมาลัยรถแน่น เขาจะไม่ยอมให้เรื่องเงียบหายไปเฉยๆ แน่

    กรณ์ต้องรับผิดชอบ!



    “อูย..”
    ริมฝีปากสดปลั่งห่อน้อยๆ เผลอครางเอาความเจ็บปวดออกมา การทำความสะอาดส่วนลึกภายในกายไม่ง่ายเลย เขาเปิดอ่านวิธีจากในอินเทอร์เน็ตคร่าวๆ มันค่อนข้างน่าอาย แต่ถ้าไม่ทำเขาจะท้องเสียจนถึงขั้นป่วยอย่างที่พี่วินบอกจริงๆ

   นิ้วเรียวกวาดกวักเอาของเหลวออกด้วยความทรมาน มันเจ็บแสบไปหมด เขารู้ว่าช่องทางมันฉีกขาดด้วย ดนตร์ปล่อยน้ำตาไหลพราก ทั้งเจ็บ ทั้งโกรธ และเสียใจ เขาเป็นผู้ชาย ถึงจะแอบชอบกรณ์แต่เขาไม่เคยคิดว่าเรื่องทุเรศแบบนี้จะเกิดขึ้น ศักดิ์ศรีถูกเหยียบย่ำ ที่เจ็บปวดที่สุดคือกรณ์คิดว่าเขาคือโยษิตา เขาชอบกรณ์ก็จริงแต่ไม่ต้องการเป็นตัวแทนของใคร

   ดนตร์กลั้นเสียงคราง เพราะไม่อยากให้รูมเมทตื่นมาเจอสภาพย่ำแย่ของตัวเอง เขาทำความสะอาดภายในซ้ำๆ อยู่หลายรอบ กระทั่งแน่ใจว่าไม่เหลือสิ่งตกค้างอยู่ ถึงได้ชำระล้างร่างกาย น้ำเย็นสร้างความเจ็บจี๊ดในส่วนต่างๆ ทั้งที่คอ หน้าอก ต้นแขน สะโพกหรือแม้กระทั่งต้นขา มือเรียวปิดฝักบัว มองหาบาดแผลแล้วก็ต้องตกใจ เมื่อพบกับรอยช้ำจำนวนมากมาย ผิวของเขาค่อนข้างขาว รอยพวกนี้เลยยิ่งดูน่ากลัวกว่าปกติ ดนตร์วิ่งไปที่กระจกบานเล็กหน้าอ่างล้างหน้า เขาเห็นรอยฟันที่ต้นคอและหน้าอก เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ

   รอยพวกนี้ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับเขาก็จริง แต่มันคือหลักฐานแห่งความอัปยศ มือเรียวกำแน่น เขากัดฟันห้ามไม่ให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอไหลออกมา

   เขาจะต้องลืม! คิดเสียว่าทุกอย่างเป็นแค่ฝันร้ายที่เพียงแค่ลืมตาตื่นมันก็จะหายไป...



    “ว่าไงเจ้าตัวเล็ก หายไปไหนมา ไม่ตอบไลน์พี่เลย”

   เสียงทักทายดังขึ้นเหนือศีรษะ ตากลมเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ นิ้วขาวที่กำลังกดแป้นอักษรโต้ตอบการสนทนาอยู่กับพี่สาวชะงักลง ดวงตาสดใสมีแววไหววูบ แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับมาเป็นปกติ ริมฝีปากจิ้มลิ้มคลี่ยิ้มกว้างอวดไรฟันขาวสะอาด

    “สวัสดีครับพี่ธาม” ดนตร์ทักทายกลับด้วยน้ำเสียงสดใส “พอดีผมยุ่งน่ะครับ จะมีงานกีฬาด้วย พรุ่งนี้ก็ต้องไปซ้อมเชียร์”

   “เด็กปีหนึ่งก็อย่างนี้ โดนจิกใช้” ธาวินบอก พลางนั่งลงบนที่ว่างใกล้ๆ กัน ช่วงแขนยาววาดแล้วโอบรอบหัวไหล่เล็ก “แล้วเราลงแข่งกีฬาอะไรกับเค้าบ้างหรือเปล่า”

    ดนตร์สั่นศีรษะ “เปล่าครับ เป็นได้แค่กองเชียร์”

   “อ้าวทำไมล่ะ นายเล่นบาสเก่งออก ตัวเล็กแต่ไวเหมือนลิง” ธาวินชม

    “มีคนเก่งกว่าผมเยอะเลยครับ ฝีมือผมมันระดับปลายแถว”

   “ใครว่า นายเล่นเก่งนะ แต่ตัวเล็กไปหน่อย โดนกระแทกแรงๆ ก็ปลิวแล้ว”

   “ผมไม่เล็กนะ” ดนตร์เถียง ยกมือถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วเบ่งกล้ามเนื้ออวดให้รุ่นพี่ดู “นี่ไง ผมมีกล้ามด้วย”

    ธาวินเหลือบมอง ‘กล้าม’ ที่เจ้าตัวเล็กบอก ที่เห็นมันคือเนื้อที่ดันนูนขึ้นมาเล็กน้อยพอเห็นเป็นรูปของกล้ามเนื้ออยู่บ้าง แต่ก็น้อยเกินกว่าที่อวดใครต่อใครว่าตัวเองแข็งแรง “นั่นเรียกว่ากล้ามเหรอ พี่ว่ามันเหมือนไขมันมากกว่านะ”

   “พี่ธาม!” เสียงใสสั้นห้วน แก้มใสระเรื่อขึ้น “พี่ว่าผมอ้วนเหรอ”

   “เปล๊า” ธาวินปฏิเสธเสียงสูง ก่อนจะขยี้เส้นผมนุ่มจนยุ่ง จังหวะที่เขามองนิ้วมือแทรกอยู่ในเส้นผมสีอ่อน เขาก็เห็นบางอย่างบริเวณหลังกกหูของดนตร์ ตาคมหรี่ลงเพ่งมอง ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นรอยแมลงหรือยุงกัด แต่รอยแผลมันค่อนข้างประหลาด ไม่ใช่รอยเขี้ยวของสัตว์แต่เหมือนกับรอยฟันของมนุษย์มากกว่า และไม่ใช่เพียงแค่รอยเดียว ยังมีที่ต้นคออีกด้วย ธาวินใช้ปลายนิ้วแตะไปที่รอยนั่นเบาๆ ดนตร์สะดุ้งหมุนทั้งร่างมาที่เขา มือเรียวยกขึ้นตะปบบริเวณที่ถูกสัมผัส

   “อะ...อะไรครับ!”

    “รอยอะไร แพ้อะไรเหรอ”

   ดนตร์หน้าถอดสีอย่างผิดสังเกต ตากลมหลุบต่ำ แต่ก็ตอบคำถามของเขา “อ้อ ผมไปกินยำแมงกะพรุนกับเพื่อนมาน่ะครับ เลยแพ้ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าแพ้แมงกะพรุน”

    “อย่างนั้นเหรอ” ธาวินพยักหน้า “กินยาแก้แพ้หรือยังล่ะ”

    “กินแล้วครับ...ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”

   ชายหนุ่มระบายยิ้มอ่อนโยน “นายเป็นคนพิเศษของฉันนี่นา จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง เย็นนี้ยังไม่ได้ไปซ้อมเชียร์ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกิน ห้ามปฏิเสธ เจอกันที่หน้าคณะนาย พี่ไปก่อนนะ”

    ธาวินกดริมฝีปากกับหน้าผากนูนแล้วผละออกไปอย่างรวดเร็ว เปลือกตาบางกระพริบรัวถี่ตัวเอง พอตั้งสติได้ก็หันร่างของรุ่นพี่ต่างคณะ แต่ธาวินก็หายไปจากระยะสายตาเสียแล้ว เด็กหนุ่มยกนิ้วขึ้นแตะบริเวณที่ธาวินทิ้งไว้ ไล่ลงมาที่สันจมูกและหยุดที่กลีบปาก ในหัวของเขาไม่ได้นึกถึงคนที่เพิ่งจากไปแต่กลับกระหวัดไปถึงอีกคน คนที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ

    ตอนที่ธาวินถามถึงรอยพวกนั้น เขาตกใจจนคิดหาคำตอบไม่ได้ ดีที่อีกฝ่ายถามก่อนว่าแพ้อะไร สมองเลยเรียบเรียงเรื่องโกหกขึ้นได้ เพราะมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนนี่เอง รอยเลยยังไม่จางหายไปไหน จากสีแดงตอนนี้กลายเป็นสีม่วงช้ำแล้ว เขาผิดเองที่วันนี้เลือกสวมเสื้อที่คอกว้าง ธาวินเลยมองเห็นสิ่งผิดปกติ ได้แต่ภาวนาว่าอีกฝ่ายจะเชื่อเรื่องโกหกที่เขากุขึ้น ดนตร์พรูลมหายใจ ทั้งที่ตั้งใจจะลืมแล้วแท้ๆ แต่กลับมีชนวนให้ต้องคิดถึงอีกจนได้

    เมื่อวานหลังจากที่ทำความสะอาดเสร็จเขาก็หมกตัวอยู่แค่บนเตียงนอน ปฏิเสธคำชวนไปกินข้าวจากมิ่งขวัญแต่ให้รูมเมทช่วยซื้อยาแก้อักเสบให้ เขาปิดโทรศัพท์ แล้วก็เอาแต่นอน ร่างกายอ่อนเพลียเสียจนไม่เหลือเรี่ยวแรงให้คิดถึงเรื่องใดอีก เขาตื่นอีกทีตอนมิ่งขวัญเอายามาให้ พอกินยาก็หลับไปอีก ไม่มีไข้อย่างที่เป็นกังวล แต่อาการเจ็บเสียดยังไม่หายไปง่ายๆ ที่จริงแล้วมันต้องทายาแต่เขาก็กระดากเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือจากมิ่งขวัญ เลยได้แต่พยายามขยับตัวน้อยที่สุด  โชคดีที่เป็นวันอาทิตย์เขาเลยไม่ต้องไปเรียน เขาใช้เวลาหนึ่งวันกับหนึ่งคืนในการนอนรักษาตัว พอรุ่งขึ้นอาการก็ดีขึ้น เพียงแต่ยังเจ็บขัดอยู่บ้าง ถ้าเคลื่อนไหวเร็วๆ แผลคงปริแตก วันนี้เขาเลยตั้งใจว่าจะไปซื้อยามาทาเพราะไม่อยากทิ้งไว้ให้เรื้อรัง

    ชนวีร์โทรมาหลายสาย รวมถึงเมธัสและลลิตาด้วย สองรายหลังพอเห็นหน้าเขาเมื่อเช้าที่คณะก็ยิ้มออก แล้วก็รัวคำถามใส่ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าหลังจากที่ทั้งคู่กลับไปแล้ว เขาได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่มีอะไร และหวังว่าพี่วินจะทำตามที่สัญญากับเขาไว้
    ดนตร์เปลี่ยนท่านั่ง ระวังไม่ให้แผลกระทบกระเทือนมากนัก พลางจัดเสื้อให้มิดชิดกว่าเดิม แย่หน่อยที่รอยน่าเกลียดพวกนั้นมันมีเยอะแถมบางจุดยังอยู่ในส่วนที่ผ้าไปไม่ถึงอีกด้วย เด็กหนุ่มทำหน้ายุ่งนึกตำหนิตัวเองที่ลืมหยิบผ้าพันคอออกมาใช้ มือเรียวเลื่อนเปิดหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง เขาส่งข้อความสั้นๆ ไปหาชนวีร์บอกว่าเขาสบายดีแล้วไม่ต้องเป็นห่วง ชนวีร์อ่านข้อความแต่ไม่ได้ตอบกลับมา ดนตร์เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเป้คู่ใจ ก่อนจะกลับเข้าไปในชั้นเรียน..



    ธาวินรู้ดีว่ารอยแดงจ้ำที่ต้นคอและหลังกกหูของดนตร์มันคือรอยอะไร เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ดนตร์บอก ทว่าเขายังไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์ที่กำลังจะไปในทางที่ดีต้องมีรอยร้าว แต่มันก็ยากนักที่จะห้ามความคิดไม่ให้อคติ หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้น ในอกร้อนรุ่มไปหมด สมองเต็มไปด้วยความคิดต่างนานาในแง่ไม่ดี เขาอยากรู้ว่ามันใครเป็นคนทำรอยนั่น และอยากรู้ว่าทำไมดนตร์ถึงยอมมัน ยิ่งปล่อยความคิดให้ไหลไปตามอารมณ์ ความรู้สึกก็แย่ลงเรื่อยๆ เขาไม่ได้โกรธดนตร์แต่เขาโกรธไอ้เวรนั่นต่างหาก แล้วเสี้ยวหนึ่งในความคิดก็ไปคิดถึงใครอีกคน...คนที่เขารู้ว่ามันคิดเกินเลยกับดนตร์

   กรณ์!

    ชายหนุ่มกำมือแน่น มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะดึงเอากรณ์เข้ามาเกี่ยว ถึงมันจะปฏิเสธกับใครต่อใครว่าเป็นการเข้าใจผิด แต่เขารู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่ ดวงตาที่เขาเห็นมันบอกว่าเรื่องที่กรณ์เคยจูบกับดนตร์เป็นเรื่องจริง เขาไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร แค่อยากทำให้เขากลายเป็นหมาบ้า หรือแค่ต้องการเล่นสนุกเท่านั้น เวลาสามปีที่คบหากัน พอจะรู้ว่ากรณ์มักจะทำเพื่อความพึงพอใจของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงความสมเหตุสมผล

    เขามั่นใจว่าถึงไปบีบคอดนตร์เค้นหาความจริง อีกฝ่ายก็ไม่มีทางปริปากบอกอะไรแน่ ธาวินกัดฟันกรอด ความโกรธปะทุราวกับภูเขาไฟ ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน อะไรก็พาลขวางหูขวางตาไปเสียหมด

    “อ้าว! วันนี้ไม่ไปหาน้องลูกเจี๊ยบเหรอวะ”

   ธาวินเงยหน้ามองคนเอ่ยทัก ปากหยักยกยิ้มมุมปาก นี่ก็อีกคนที่น่าจะเป็นศัตรูหมายเลขที่ 2 ของเขา “ไปมาแล้วว่ะ นัดกันแล้วด้วย”

   อริญชย์ขมวดคิ้วฉับ “นี่แกคิดจะจีบดนตร์จริงๆ เหรอวะ”

   “ก็เออน่ะสิ”

   “แกเป็นเกย์หรือไง”

   “เปล่า” ธาวินส่ายหน้า “ฉันไม่รู้หรอกว่าคำว่าเกย์ของแกมันหมายความว่ายังไง แต่ฉันพอใจกับสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้ แต่ถ้าพวกแกรังเกียจฉัน จะเลิกคบฉันก็ไม่ว่าอะไร”

   หัวคิ้วหนาคลายลงเล็กน้อย อริญชย์ยกมือขึ้นกอดอก ดวงตากลมดุทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังประเมินเขาอยู่ “แกคิดว่าคนอย่างฉันจะเลิกคบแกเพราะเรื่องแค่นี้เหรอวะ ที่ฉันถามเพราะฉันจะได้เตรียมตัว”

   “เตรียมตัวอะไร”

   “เตรียมตัวสู้กับแกยังไงล่ะ” อริญชย์ยกยิ้ม แววตายียวนกวนโทสะ “ฉันเองก็สนใจเพลงอยู่เหมือนกัน”

   “อะไรนะ!”

   “แกได้ยินไม่ผิดหรอก ฉันชอบเพลงว่ะ”

    ธาวินใช้เวลาเสี้ยวนาทีเข้าไปกระชากคอเสื้อฝ่ายตรงข้าม ตาคมจ้องเขม็ง “ไอ้รัน!”

    “อย่าหวงก้าง เพลงยังไม่ได้ตอบตกลงไม่ใช่หรือไง แสดงว่าฉันยังมีหวัง” อริญชย์ปลดมือเขาออก ด้วยพละกำลังที่ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน “ฉันว่าคนที่แกควรกังวลไม่น่าจะใช่ฉัน ไอ้หมอนั่นน่ากลัวว่าฉันเยอะ...ฉันคิดว่านายน่าจะรู้นะว่าฉันหมายถึงใคร” ธาวินปล่อยมือจากคอเสื้อ ความโกรธลดน้อยลง จริงอย่างที่อริญชย์พูด เขาไม่ควรจะห่วงศัตรูที่เปิดเผยตัวตน แต่เขาควร ห่วงศัตรูในเงามืดมากกว่า ชายหนุ่มยกหน้าสูงขึ้นเล็กน้อย เขาไม่กลัวอริญชย์ แล้วก็ไม่กลัวไอ้คนในเงามืดนั่นด้วย  “เชิญเลย ฉันแฟร์อยู่แล้ว เกมน่ะเล่นคนเดียวมันจะไปสนุกอะไร”

    ก้านนิ้วยาวกดลงบนหน้าจอโทรศัพท์พิมพ์ข้อความบางอย่าง แล้วกด...send



    ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผุดขึ้นเป็นฉากๆ ทว่าไม่ปะติดปะต่อ บางช่วงขาดหายไปเหมือนหนังที่โดนตัดทิ้ง ความเจ็บปวดที่มุมปากมาเป็นระยะๆ  เขาลองแตะลิ้นไปที่รอยแตก พบว่ามันมีขนาดกว้างพอสมควร ดีที่เลือดหยุดไหลแล้ว เพราะเขาไม่ชอบกลืนน้ำลายปนเลือดสักเท่าไรนัก แต่จะว่าไปหมัดไอ้เจ้าอ้วนนั่นก็หนักไม่ใช่เล่น ไม่คิดว่าคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายอย่างมันจะมีแรงได้มากขนาดนั้น

    กรณ์สูดปากเบาๆ เวลาหลายชั่วโมงมากพอจะทำให้แผลเริ่มอักเสบและบวม ที่มุมปากเริ่มจะมีรอยช้ำให้เห็น ชายหนุ่มวางมือบนอ่างล้างหน้า ตาคมจ้องมองตัวเองผ่านกระจก กรณ์หลับตาลงพยายามทบทวนความจำ แต่เขาปวดหัวจนเกินกว่าจะใช้ความคิดได้ ทว่าบางอย่างทางความรู้สึกบอกกับเขาว่าสิ่งที่เจ้าของรอยช้ำที่มุมปากบอกเป็นเรื่องจริง

   “แกมันเลวไอ้กรณ์! ฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด และฉันจะไม่ยอมให้เรื่องมันเงียบไปเฉยๆ แน่ แกต้องรับผิดชอบเพลง!”

    ชนวีร์บริภาษเขาอีกชุดใหญ่ แต่คำด่าทอพวกนั้นมันไม่ได้ทำให้เขาสะดุ้งเท่ากับชื่อที่หลุดออกมาให้ได้ยิน ‘ดนตร์’ เด็กนั่นอีกแล้ว ทำไมกัน

    ชายหนุ่มถอยห่างจากหน้ากระจก น้ำเย็นๆ ช่วยให้อาการเมาค้างดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หยดน้ำจากเส้นผมที่เปียกหมด ผ้าขนหนูสีขาวคอยซับน้ำอีกที และอีกผืนพันรอบสะโพกเอาไว้ กรณ์เดินกลับมาที่เตียงนอนยับย่น ร่องรอยของผู้ที่นอนร่วมเตียงในคืนที่ผ่านมายังมีให้เห็นบ้าง แต่หลักฐานชิ้นสำคัญมันคือรอยสีดำแดงคล้ำบนผ้าปูเตียงนั่นต่างหาก ไม่ใช่แค่บนเตียงเท่านั้น บนพื้นที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาด้วย กลิ่นคาวยังมีเหลืออยู่ในอากาศแต่ก็เจือจางไปมากแล้ว

    ...มันเกิดขึ้นจริงๆ เมื่อคืนนี้เขาเผลอทำเรื่องเลวระยำลงไป…

    “เวรเอ๊ย!”

    กรณ์สบถพร้อมกับกระชากลมหายใจแรงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ชนวีร์จะโกรธมากขนาดนั้น แต่ที่แย่ที่สุดคือเขาแทบจำอะไรไม่ได้เลย เว้นเสียแต่ กลิ่นน้ำนมที่ยังติดที่ปลายจมูกและความกำซ่านในอารมณ์  ถึงศีรษะจะหนักอึ้งเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ทว่าร่างกายกลับผ่อนคลาย คงเพราะได้ปลดปล่อยไปไม่น้อย เปลือกตาหนาปิดลง ปล่อยความรู้สึกไปกับกลิ่นหอมละมุนที่ราวกับลอยวนอยู่ในสมอง ผิวกายเนียนนุ่มมือ ความคับแน่นที่โอบรัดเขาเอาไว้...เขาจำได้แล้ว!

    เมื่อคืนก่อนเขาเมามาก สาเหตุมาจากความงี่เง่าของตัวเอง เขาเอาแต่เฝ้ามองดนตร์และคิดไปต่างนานา ยิ่งเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มขณะมือกำลังเล่นโทรศัพท์เขายิ่งหงุดหงิด แล้วก็ใช้เหล้าดับความคิดบ้าๆ พวกนั้น จากนั้นความทรงจำก็ขาดหายไป

    “อา...พี่กรณ์ ปะ..ปล่อย อา”    

    “พี่ครับ ฮื้อ พอ..ไม่เอา อ๊ะ”
   
   “โอ๊ย! เจ็บ! เอาออกไปนะ”


    ถ้อยคำร้องขอผุดเข้ามาในความทรงจำเรื่อยๆ ใบหน้าที่เจือด้วยความเจ็บปวดเด่นชัดขึ้นทุกที ผิวขาวจัดเป็นรอยช้ำจากการกระทำของเขา ลิ้นแตะที่รอยแผลอีกครั้ง คราวนี้เขาระลึกได้ถึงรสจูบหวานล้ำและเรียวลิ้นที่โต้กลับมา กรณ์เปิดตาขึ้น เขารู้ว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะมองหาดนตร์...แต่เขาก็ทำ

(มีต่อ)
   
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 6 Just stared [22/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 11-06-2017 20:17:25
        ดนตร์หายไปไหน ตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจจะเป็นชนวีร์ที่พาดนตร์ไปส่ง เขาภาวนาให้เป็นเช่นนั้น เพราะดูจากร่องรอยความเสียหายทั้งที่พื้นและเตียงนอน ดนตร์คงมีสภาพไม่ดีเท่าไรนัก รอบขมับกลับมาปวดร้าวอีกครั้ง ในความสุขสมมันมีความละอายแก่ใจแทรกซ้อนอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าตอนนั้นเขาจะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรและกับใคร เขาใช้ข้ออ้างว่าเมาข่มเหงดนตร์ ถึงจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันมันไม่ได้เสียหาย ออกจะสุขล้นปรี่ด้วยซ้ำ ทว่าเซ็กซ์ที่ไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ อาจจะสร้างรอยแผลในความรู้สึกได้ และเขาก็ทำมันแล้ว

    ป่านนี้ดนตร์คงเกลียดเขาสุดหัวใจ

    “แกต้องรับผิดชอบเพลง!”

   ประโยคสุดท้ายที่ชนวีร์ทิ้งไว้ให้หลังจากประเคนหมัดเข้าที่มุมปากสองทีซ้อน ย้อนเข้ามาย้ำเตือนถึงสิ่งที่เขาต้องทำ...แต่จะทำอย่างไรในเมื่อดนตร์เป็นผู้ชาย ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ท้อง ไม่มีอะไรผูกมัด คงมีแค่ความรู้สึกเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นส่วนที่ยากที่สุด เขาจะทำอย่างไรเพื่อให้ดนตร์อภัยให้เขา

   “บ้าเอ๊ย! แล้วกูจะทำยังไงวะเนี่ย!”

    ระหว่างที่กำลังสับสน โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น กรณ์ถอนหายใจหนักหน่วง มือเรียวยกขึ้นเสยผมระบายความฟุ้งซ่าน แล้วรีบลดระดับอารมณ์ลง ก่อนจะรับสายจากคนรัก “ครับ”

   “ทำไมต้องทำเสียงเป็นทางการอย่างนั้นด้วยล่ะคะ ตกลงวันนี้เอายังไง ฉันรอคุณมาจะทั้งวันแล้วนะคะ” น้ำเสียงของโยษิตายังฟังดูเป็นปกติอยู่ กรณ์ด่าตัวเองอีกรอบ เขาลืมไปแล้วว่าสัญญาอะไรกับเธอไว้

    “เมื่อคืนผมเมาน่ะ เลยเพิ่งตื่น คุณรอผมสักชั่วโมงนะ เดี๋ยวผมไปรับ”

    “ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะแต่งตัวสวยๆ ไว้รอคุณ โอเค แค่นี้นะคะ บาย” โยษิตาเป็นฝ่ายตัดสายไปก่อน

   กรณ์พรูลมหายใจเบาๆ ไม่ใช่แค่ดนตร์ แต่ยังมีโยษิตาอีกคน...เขากำลังผูกปมเชือกให้แน่นกว่าเดิม...



     เขาพาโยษิตามาที่ห้างใหญ่ใจกลางเมือง ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนอย่างเต็มในอีกไม่กี่วัน กรณ์กระชับเสื้อแจ็คเก็ตสีดำยี่ห้อโปรด เพิ่มไออุ่นให้ตัวเอง โยษิตาสอดมือกอดท่อนแขนของเขาเอาไว้ อกอิ่มเบียดชิด ไม่มีความเขินอายหรือหวงเนื้อหวงตัวกันอีกแล้ว เวลาเกือบสองปีมันมากพอที่จะสร้างความคุ้นเคยทางร่างกาย วันนี้โยษิตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา เธอสวมกระโปรงสั้นสีดำกับเสื้อแขนยาวสีชมพูหวาน ผมยาวสลวยถูกจัดแต่งเป็นลอนใหญ่ เธอเลยดูเหมือนตุ๊กตาอย่างสมบูรณ์แบบ

   “ฉันหิวแล้ว ตอนกลางวันยังไม่ได้กินอะไรเลย เราไปหาอะไรกินกันก่อนไหมคะ แล้วเดี๋ยวค่อยไปดูรองเท้ากัน”

   กรณ์พยักหน้า สมองของเขาทำงานหนักจนเกินกว่าจะคิดหาคำปฏิเสธได้ แถมร่างกายยังโหยหาสิ่งที่เรียกว่าอาหารเช่นกัน เขาปล่อยให้คนรักพาเข้าไปในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ที่คร่าคร่ำไปด้วยผู้คน โยษิตาให้เขาหาที่นั่ง ส่วนตัวเองจะเป็นฝ่ายไปยืนต่อแถวซื้ออาหารให้

   “คุณไปนั่งรอเถอะค่ะ หน้าซีดเชียว ท่าทางจะยังเมาค้างอยู่ เอาไก่ทอดด้วยหรือเปล่า”

   “อือ เอาน้ำอัดลมมาด้วยนะ คอผมแห้งยิ่งกว่าทะเลทรายซะอีก”

   โยษิตายิ้มหวาน หยิกที่แก้มเขาเบาๆ “ได้ค่ะ รอแป๊บ เดี๋ยวโยษิตาคนนี้จะจัดการให้”

    ร่างสูงใหญ่ เรือนผมสีดำถูกจัดแต่งทรงตามสมัย เครื่องหน้าที่ครบครันตั้งอยู่บนใบหน้าเรียวได้รูป ทำให้กรณ์กลายเป็นจุดเด่นไปโดยปริยาย สาวน้อยสาวใหญ่หลายคนมองตาเป็นประกาย เขาหาที่นั่งได้ส่วนมุมสุดด้านซ้ายมือ ห่างจากจุดที่โยษิตาไปซื้ออาหารพอสมควร กรณ์นั่งไขว่ห้าง ดึงเอาโทรศัพท์มาเล่นคั่นเวลา ท้องร้องเตือนเป็นระยะแต่ยังพอทนไหว เขาเช็คข่าวคราวความเคลื่อนไหวต่างๆ ในเฟซบุ๊ค นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์แบบผ่านๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจสักเท่าไร นอกเสียจากการบ่นถึงความยากของงานจากเพื่อนๆ ในคลาสเดียวกัน กระทั่งสะดุดกับข้อความสั้นๆ

    ‘ไม่ว่าจะอยู่ในเงามืดหรือในที่แจ้ง แต่ฉันก็พร้อมจะประกาศสงคราม’

    ธาวิน

    กรณ์ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าข้อความของธาวินต้องมีนัยยะแอบแฝงอยู่แน่นอน บางอย่างบอกกับเขาว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับเขาด้วย อารมณ์ของเขาขมุกขมัวยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มถอยหายใจด้วยความหงุดหงิด ความอยากอาหารก็พลอยลดลงไปด้วย ตาคมดุทอดมองไปอย่างไร้จุดหมาย และถึงแม้จะอยู่ในช่วงอารมณ์ที่ไม่ปกตินักแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ามองลดลงเลย สาวๆ ที่นั่งอยู่ในโต๊ะตรงข้ามมองมาด้วยความสนใจ ทว่ากรณ์ไม่พร้อมจะสานต่อสัมพันธ์กับใคร แค่นี้ชีวิตของเขาก็วุ่นวายยุ่งเหยิงมากพอแล้ว

    “แกต้องรับผิดชอบเพลง!”

    คำสั่งที่กดดันที่สุดผุดขึ้นมาในความคิดอย่างเกินห้ามปราม ตั้งแต่เกิดมาเป็นกรณ์ได้เกือบ 21 ปี เขาไม่เคยทำตามคำสั่งใคร แม้แต่บิดาเขายังกล้าขัดคำสั่ง ทว่าเขากลับไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธสิ่งที่ชนวีร์สั่ง แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคิดอะไรกับดนตร์ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนทำผิดโดยเจตนา...แล้วที่สำคัญเขาจะรับผิดชอบดนตร์ด้วยวิธีอะไร

   “แกๆ ดูคู่นั่นสิ น่ารักชะมัด ผู้ชายตัวเล็กๆ ใส่แว่นนั่น น่ารักนะ พี่คนนั้นก็หล่อ ตัวสูงมากเลย โอ๊ย เดี๋ยวขอถ่ายรูปอัพลงในเฟซบุ๊คหน่อยนะ”

     เสียงฮือฮาดังมาจากโต๊ะฝั่งตรงข้าม สาวๆ ที่ส่งตาหวานให้เขาเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นชะเง้อชะแง้มองอะไรบางอย่าง เขามองตามไปอย่างเสียไม่ได้...แล้วภาพที่เห็นมันก็เปลี่ยนความสับสนให้กลายเป็นโทสะ

    ดนตร์...เด็กนั่นสวมเสื้อแขนยาวสีน้ำตาล กับกางเกงยีนส์ทรงโง่ๆ ผมสั้นสีดำสนิทส่งให้ใบหน้ายิ่งขาวกว่าเดิม ริมฝีปากแดงสดฉ่ำคลี่แย้มน้อยๆ ขณะที่อีกคนทำท่าชี้ชวนให้ดูสารพันรอบตัว และมันคือธาวิน!

    “น่ารักจังเลย”

    สาวๆ โต๊ะนั้นยังชมไม่หยุดปาก แต่ที่เขาเห็นมันก็ไม่ต่างจากที่พวกเธอพูดนัก ดนตร์น่ารักขึ้น ดวงหน้าได้ถึงจะดูซีดเซียวไปบ้างทว่ายังมีความอิ่มเอิบซ่อนอยู่ ผิวขาวจัดราวกับน้ำนมที่เขาจำได้ดีว่ามันหอมแค่ไหน ริมฝีปากสีสวยโดยไร้การแต่งแต้มของเครื่องสำอาง ดวงตากลมหยีลงกว่าเดิมยามที่เจ้าตัวยิ้มหรือหัวเราะ ธาวินดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ทั้งสองเดินเคียงคู่กันจนเกินจำเป็น

   กรณ์ไม่รู้ตัวว่ากำลังบีบมือเข้าหากันและแน่นขึ้นเรื่อยๆ กรามขบแน่นจนเป็นสันนูน เด็กนั่นเป็นของเขา! เป็นของเขา!

    “มาแล้วค่ะ ของโปรดของคุณทั้งนั้นเลย”

    มือที่บีบเกร็งคลายลง เขาพยายามลดระดับความร้อนในอกลง ปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด...แต่มันยากยิ่งนัก เขาไม่ใช่นักแสดงชั้นดี แถมยังแย่มากๆ อีกด้วยโดยเฉพาะช่วงที่อารมณ์กำลังเดือดพล่านเช่นนี้

    โยษิตาวางถาดอาหารลง มีไก่ทอดของโปรดของเขาด้วย น้ำอัดลมสีดำตามที่เขาขอ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย พลางทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

   “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ปวดหัวเหรอ”

   “เปล่าหรอก” ชายหนุ่มโคลงศีรษะเบาๆ “กินกันเถอะ จะได้ไปเลือกรองเท้าไง”

    โยษิตาไม่ถามอะไรอีก เธอมีความสุขอยู่กับอาหารที่ซื้อ ส่วนเขากินแค่น้ำอัดลมแก้วเดียวเท่านั้น ทิ้งของโปรดเอาไว้โดยไม่แตะต้องแม้แต่ชิ้นเดียว

    หลังจากจบมื้อเย็นโยษิตาก็พาเขาไปที่ร้านประจำของเธอ เจ้าของร้านออกมาต้อนรับอย่างเป็นกันเอง เขาปล่อยให้เธอได้เลือกตามใจ บางทีอาจจะไม่ได้จบแค่รองเท้าแต่อาจจะกระเป๋าหรือชุดสวยๆ ตามมาด้วย สำหรับเขาแล้วไม่มีปัญหาเพราะรู้ดีว่าพวกผู้หญิงมักจะมีความสุขกับการจับจ่ายใช้สอย
 
   ร่างสูงหย่อนสะโพกลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กๆ ในร้าน มีลูกค้าผู้หญิงหลายคนมองมาที่เขาด้วยความสนใจ แต่เขาเลือกที่จะเมินสายตาทอดสะพานพวกนั้น ร่างกายยังอิ่มเอมจากความสุขสมเมื่อคืนก่อน ไม่รู้ว่าดนตร์ร่ายเวทมนต์อะไรใส่เขาที่ปลายจมูกยังคล้ายกับได้กลิ่นน้ำนมอยู่อย่างนั้น กรณ์ถอยหายใจด้วยความหงุดหงิด เมื่อไรเขาถึงจะหยุดคิดถึงดนตร์สักที ยิ่งคิดว่าตอนนี้เด็กนั่นอยู่กับใคร ก็ยิ่งโมโห ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ บางทีถ้าได้กาแฟแรงๆ สักแก้วอาการทุรนทุรายในอกอาจจะน้อยลงก็ได้ ตาคมเบนออกไปนอกร้าน มองหาร้านกาแฟ แต่แล้วสายตาก็พลันสะดุดกับผู้ชายคู่หนึ่งในร้านกาแฟชื่อดัง...ดนตร์กับธาวิน กรณ์ยกยิ้มเหยียด ห้างนี้มันแคบจริงๆ
 
    เขามองอยู่สักพักก็เห็นดนตร์ปลีกตัวออกมาคนเดียว กรณ์ผุดลุกจากที่นั่งเดินไปหาคนรัก

   “ยาหยี ผมไปห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”

    โยษิตาพยักหน้ารับรู้ ที่จริงเธอไม่ได้สนใจเขามากไปกว่ารองเท้าในมือสักเท่าไรนัก
 
    กรณ์รีบเดินตามดนตร์ไป จากทิศทางเขาเดาว่าเด็กนั่นคงจะไปห้องน้ำ น่าแปลกที่เขาสามารถมองเห็นดนตร์ได้อย่างชัดเจนทั้งที่ผู้คนเดินขวักไขว่ ร่างโปร่งเดินตามป้ายที่บอกไปห้องน้ำอย่างที่คิดไว้จริงๆ กรณ์เดินตามไปห่างๆ หงุดหงิดเล็กน้อยกับสายตาของผู้หญิงที่ส่งมาเป็นระยะๆ

    ในห้องน้ำไม่มีคนมากนัก ต่างจากข้างนอกพอสมควร ดนตร์เลือกโถที่อยู่ด้านในสุด กรณ์ก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ครั้งก็ถึงตัวแล้ว

    “โลกมันแคบนะ นายว่าไหม”

    ดวงตากลมหลังแว่นทรงเห่ยๆ เบิกกว้าง ไอ้แว่นบ้านี่แหล่ะที่ทำให้ความน่ารักของดนตร์ลดลง ร่างโปร่งขยับหนีอัตโนมัติ จนแผ่นหลังแทบจะติดกับผนัง ใบหน้าขาวเผือดลงกว่าเดิม คนตัวเล็กหันซ้ายหันขวา เขาใช้กำลังที่มีมากกว่าดันร่างโปร่งเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด โดยไม่ลืมลงกลอนประตูด้วย

    ดนตร์หนีไปจนสุดมุมห้อง แต่ก็ไม่ได้ไกลไปกว่าช่วงแขนของเขา แววตื่นตระหนกฉายชัดในดวงตากลม ริมฝีปากสวยเม้มจนเป็นเส้นตรง

    เขาไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ก็เข้าประชิดตัวได้ กรณ์ยกมือกางคร่อมอีกฝ่ายเอาไว้ เด็กหนุ่มหายใจแรงจนเขารับรู้ถึงไอร้อนจากลมหายใจ

    “พี่...สวัสดี...ครับ”

   “หึ หึ หึ สวัสดีอย่างนั้นเหรอ” กรณ์หัวเราะในคอ มองดูลูกแกะตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัวบางสิ่ง...บางสิ่งที่ว่ามันคือเขานั่นเอง “เมื่อคืนก่อน...หลับสบายดีไหม”

    ดนตร์เบิกตากว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง นานชั่วลมหายใจเจ้าตัวถึงปรับสีหน้าและอารมณ์ลงได้ ทว่าในดวงตายังสะท้อนถึงความหวาดหวั่นออกมาให้เห็น

   “สะ...บายดีครับ”

   “เหรอ...แต่ฉันว่าหน้านายซีดๆ นะ นอนเต็มอิ่ม หรือว่า...เจ็บตรงไหน”

     “ไม่ครับ! ผมสบายดี” ดนตร์ตอบ เสียงสั่นจนรู้สึกได้

    “แต่ก็น่าจะสบายดีจริงๆ นั่นแหล่ะ ไม่อย่างนั้นนายคงออกมาเริงร่ากับไอ้ธามไม่ได้หรอก...จริงไหม” กรณ์พูดด้วยเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น ใบหน้าคมก้มต่ำลง กลิ่นหอมที่หลอกหลอนนานเกือบข้ามวันชัดเจนขึ้น...หอมเหมือนนม ริมฝีปากหนาอ้อยอิ่งอยู่แถวหน้าผากขาวสะอาด ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งเห็นว่าดนตร์ผิวดีมากแค่ไหน ไม่มีสิวหรือไฝฝ้าสักเม็ดให้เกะกะลูกตา แก้มใสจนเห็นเส้นเลือดฝาด ริมฝีปากสีสดแดงฉ่ำ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหลั่งไหลในสมอง ร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยาอย่างเกินคาดหมาย

    นิ้วเรียวช้อนคางมน บังคับให้ใบหน้าน่ารักยกขึ้น ตาคมดุกวาดมองไปทั่วดวงหน้าน่ามอง ดนตร์อันตรายจริงๆ ต่อให้เป็นเพศเดียวกันก็ยากนักต่อการต้านทาน เสน่ห์เฉพาะตัวที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่กำลังโดนเสน่ห์นี้เล่นงาน ยังรวมไปถึงธาวินอีกคน

   “ว่าแต่...มันรู้หรือยังล่ะว่าคืนก่อนนายอยู่กับฉัน...ทั้งคืน” เขาพูด ขณะที่กดใบหน้าต่ำลง ลมหายใจร้อนผ่าวรดรินใบหูเล็กจนมันแดงเรื่อ

    ดนตร์ยกมือขึ้นดันหน้าอกหนาให้ออกห่าง แต่มันไม่ง่ายนักเมื่อคนตัวใหญ่กว่าไม่ให้ความร่วมมือ กรณ์คลี่ยิ้มที่มุมปาก ละมือจากผนังห้องน้ำสอดรัดเอวเล็กเอาไว้

    “พี่จะทำอะไรน่ะ! ปล่อยผมนะ”

    “ทำไม รังเกียจนักหรือไง อย่าลืมสิว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกัน” กรณ์เตือน พลางไล้จมูกไปตามใบหูบอบบาง “...นายเป็นเมียฉันแล้วนะเพลง”

    “หยุดพูด!” เด็กหนุ่มผลักอกเขาเต็มแรง เขาเสียจังหวะการทรงตัวไปเล็กน้อย แต่ก็มือยังคงประคองอีกร่างไว้อย่างมั่นคง “ผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ เราไม่ได้มีอะไรกัน ทุกอย่างมันเป็นเรื่องที่พี่คิดไปเอง”

    ใบหน้าที่เคยซีดเผือดเริ่มมีสีสันขึ้นมาบ้างแล้ว...อย่างนี้สิมันถึงจะสนุก

    “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเรื่องจริงหรือความฝัน แต่ว่ารอยพวกนี้..” ก้านนิ้วยาวเกี่ยวคอเสื้อให้เปิดกว้าง อย่างที่คิด เขาเห็นรอยแดงช้ำกระจายบนผิวสวย “ไม่น่าจะเกิดจากสิ่งที่นายบอกกับฉันว่า คิดไปเอง”

    “ผมแพ้อาหาร” ดนตร์แย้ง แต่พวงแก้มสุกปลั่ง “เมื่อคืนพี่เมามากเลยไม่รู้ว่าผมแพ้อาหาร”

   “อาหาร” คิ้วหน้าเลิกสูง “นายนี่ไม่น่าเรียนการแสดงเลยนะ...นายโกหกได้ห่วยมาก”

    “ผมไม่ได้โกหก แต่พี่จะไม่เชื่อก็ตามใจ แล้วก็ช่วยกรุณา ปล่อยตัวผมสักที” ตากลมช้อนมอง ความไม่พอใจแทรกซ้อนมากับความหวาดหวั่น “หรือว่าอันที่จริงแล้ว...พี่เองก็สนใจผมเหมือนกัน”

    “หึ” กรณ์หัวเราะ “ถ้าฉันตอบว่าใช่ล่ะ...นายจะทำยังไง” ตากลมเบิกกว้างอีกครั้ง แก้มยิ่งแดงกว่าเดิมจนเขากลัวว่ามันจะเบิด “ว่าไง ไหนล่ะคำตอบ”

    ระหว่างที่รอคำตอบจมูกของเขาก็สูดเก็บเอาความหอมของผิวกายจากเด็กหนุ่มไปด้วย ผิวขาวใสยิ่งกว่าผู้หญิงบางคน มีรอยแดงจ้ำกระจายไปทั่ว แถมยังเยอะจนเขาแปลกใจ ชายหนุ่มกดจมูกหนักๆ ไปบนต้นคอเรียว ดนตร์สะดุ้งสุดตัว มือผลักไสเขาพัลวัน

   “ปล่อยนะ! ไม่อย่างนั้นผมจะร้องให้คนช่วย”

    “ร้องเหรอ...ก็เอาสิ” เขาท้าทาย “คิดหรือว่าตอนนี้ด้านนอกเขาจะไม่ได้ยินเสียงของนาย” คำพูดกึ่งขู่ของเขาคงได้ผล ดนตร์หุบปากฉับ ขมวดคิ้วมุ่น กรณ์ใช้หัวแม่มือดันคางมนขึ้นอีกครั้ง “เราจะจัดการเรื่องนี้ยังไงกันดี อยากให้ฉันไปสู่ขอกับพ่อแม่นายหรือเปล่า”

   “ไม่ต้อง!” ดนตร์กดเสียงต่ำ “สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือลืมเรื่องบ้าๆ นี่ซะ”

    “ฮะ ฮะ ฉันเพิ่งรู้นะว่าเด็กเนิร์ดอย่างนายเป็นพวก One night stand น้ำแตกแล้วแยกทาง”

    “ไอ้!” เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น ดวงตาน่ารักเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

   ทำไมถึงน่ารักนัก...เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนพวกโรคจิตเข้าไปทุกที ที่ชอบยั่วให้อีกฝ่ายโกรธ

    “นายไม่ต้องการให้ฉันรับผิดชอบอะไร ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องดีสำหรับฉัน แต่ฉัน...จะไม่มีทางหยุดมันไว้แค่นี้แน่นอน”

   “พี่ต้องการอะไร!”

    “ต้องการนาย” เขาตอบสั้นๆ แต่เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด “นายมันเด็ดจริงๆ เพลง ขนาดฉันเมาๆ ฉันยังจำได้ว่านายเร่าร้อนขนาดไหน”

    “ไอ้เลวเอ๊ย!”

    กำปั้นหลุนๆ ลอยมาทางขวามือ ก่อนจะกระแทกใส่เสี้ยวหน้าเต็มแรง หัวสมองของเขาชาวาบจนรู้สึกเหมือนเห็นดาวที่ใต้เปลือกตา กรณ์สบถในคอก่อนจะผลักร่างเล็กกว่าล้มลงไปนั่งบนชักโครกที่ปิดฝาอยู่พอดี มือหนาฉวยคางมนเอาไว้ ออกแรงบีบจนอีกฝ่ายเบ้หน้า

   “นายกล้าต่อยฉันเหรอ เพลง!” กรณ์ถามรอดไรฟัน ดูเหมือนว่าหมัดเมื่อครู่ของดนตร์จะไปสมทบกับรอยเก่าที่ชนวีร์ทำเอาไว้ แผลที่มุมปากปริปากจนลิ้นได้รสเลือด

   “ผมทำได้มากกว่านั้นอีก ถ้าพี่ไม่เลิกเหยียดหยามผม”

   “เหยียดหยาม? นี่นายคิดว่า...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดไว้แค่ในคอ เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมดนตร์ถึงได้อยากให้เขาลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องการความรับผิดชอบใดๆ “แสดงว่าไอ้ธามยังไม่รู้สินะว่านายกับฉันไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ดกันแล้ว หึ ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่ามันจะทำหน้ายังไงตอนที่มันรู้ว่าฉันได้เป็นคนแรกของนาย”

    “หยุดนะ!” ดนตร์เสียงดัง แต่เมื่อรู้ตัวก็รีบเม้มปาก ลดระดับเสียงลง ”อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร”

    “แล้วฉันจะได้อะไร”

    “ผมไม่มีอะไรจะให้พี่หรอก แต่ผมเองก็จะไม่บอกเรื่องนี้กับใครเหมือนกัน”

   “คิดเหรอว่าถ้านายเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่น เขาจะเชื่อในสิ่งที่นายพูด...เครดิตฉันกับนายมันต่างกันนะเพลง” เขาขู่ ไม่สิ เขาพูดความจริง ถึงปมเชือกจะแน่นกว่าเดิมยุ่งเหยิงกว่าเดิมแต่เขาก็ยินดีจะทำมัน คนอย่างกรณ์ไม่เคยมีเหตุผลอยู่แล้ว
   
    “แล้วพี่ต้องการอะไร”

   “เรามาแลกเปลี่ยนกัน ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แต่นาย....” เขาก้มใบหน้าต่ำลง จนริมฝีปากชิดกับใบหูเล็ก “ต้องเป็นของฉัน และห้ามเข้าใกล้ไอ้ธามเป็นอันขาด”

    “ไม่เอา!” ดนตร์ปฏิเสธ “แค่พี่กับผมไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีกก็พอแล้ว”

   “แต่ฉันไม่พอ” เขาสวนกลับ นิ้วหัวแม่มือไล้ขอบปากล่างอย่างสื่อความหมาย “ทำตามข้อตกลงของฉัน ไม่อย่างนั้นนายจะไม่มีหน้าไปเจอใครได้อีก”

    กรณ์กดริมฝีปากบนกลีบปากแดงฉ่ำหนักๆ สองมือประคองใบหน้าน่ารักเอาไว้แล้วใช้ปลายนิ้วบีบแก้มนวลบังคับให้อีกฝ่ายเปิดริมฝีปากขึ้น สอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากอุ่น ดูดกลืนอีกลิ้นอย่างหิวกระหาย ดนตร์ดิ้นอึกอัก ยกมือดันหัวไหล่ของเขาเอาไว้ เขาได้รสหวานปมขมจากลิ้นของเด็กหนุ่ม รสกาแฟที่ยังคงเจือด้วยความนุ่มจากนมสด นานจนพอใจถึงได้ปล่อยให้ริมฝีปากแดงฉ่ำนั่นเป็นอิสระ

    “นายเป็นของฉันแล้วเพลง”
.......................

อนุญาติให้ด่ากรณ์ได้แบบไม่มีลิมิต
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 6 Just stared [22/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 11-06-2017 21:16:51
เลวววววววววววววววววววววว  :z6: :z6: :z6:  เอาคืนมันเลยเพลง!!
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 6 Just stared [22/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 11-06-2017 22:17:13
คนอย่างกรณ์ต้องให้ประสบการณ์สอนเท่านั้น
ลูกเจี๊ยบลูก ถ้ามีหนทางตลบหลังเอาคืนหนูรีบทำเลยนะครับ

ปล. ประโยคนี้ 'ต้องเป็นของฉัน และห้ามเข้าใกล้ไอ้โมเป็นอันขาด'
ไอ้โมคือใคร? ฮาาาา
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 6 Just stared [22/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 12-06-2017 00:27:39
งือออ สนุกมากกก
พี่กรณ์ทำแบบนี้จะยิ่งผูกปมไว้ให้แน่นกว่าเดิม แล้วอย่ามาเสียใจที่หลังนะจ้ะพี่
เพลงสู้ๆนะลูกก
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 6 Just stared [22/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 12-06-2017 10:49:13
ถ้ากรณ์จำได้แล้วเป็นแบบนี้ ก็น่าจะจำไม่ได้ดีกว่า  :katai1: :katai1:
รอดูศึกชิงนาย น่าจะฟาดฟันกันสนุกน่าดู อิตากรณ์ก็เริ่มหลงน้อง หลังๆน่าจะอาการหนัก
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 6 Just stared [22/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 12-06-2017 14:05:24
เอาให้หลงหัวปักหัวปำไปเลย
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 6 Just stared [22/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 12-06-2017 22:13:24
สนุกมากค่ะ. แต่รำคาญความอ่อนแอของเพลง. แล้วกรณ์เลวขนาดนี้ยังจะรักอีกเหรอ. ต่อให้รักมาก. แต่ไม่มีสาเหตุที่ทำให้รักต่อ. ที่โดนกระทำก็เหมือนข่มขืน. แถมกรณ์พยายามแบล็คเมล์ให้มีไรกันต่อประมาณที่ระบายความใคร่.  มีไรกันแค่ครั้งเดียวไม่มีคลิปด้วย ถ้ายอมก็โง่มากค่ะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 6 Just stared [22/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 13-06-2017 03:19:38
รำคาญดนตร์ รู้ว่าเขาเป็นยังไงยังรักอยู่ได้อ่านแล้วหงุดหงิด
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 14-06-2017 21:35:03
Chapter 7 Smell

    นายเป็นของฉันแล้วเพลง

ประโยคนี้มันเลวร้ายยิ่งกว่าคำสาปใดๆ ในโลกเสียอีก ราวกับจะบอกว่าทุกสัดส่วน ทุกอวัยวะ หรือแม้แต่ลมหายใจที่เคยเป็นของเขา บัดนี้มันได้กลายเป็นของกรณ์ไปแล้ว 

อันที่จริงเขาสามารถทำเป็นดื้อเพ่ง ไม่สนใจคำขู่นั่นเสียก็ได้ แต่เขาไม่อยากให้คนที่รักต้องมารับรู้เรื่องบัดซบอย่างนี้ ทั้งพ่อแม่และพี่สาว รวมไปถึงเจ้าหลานชายตัวน้อย เขาเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน เป็นคนที่พ่อแม่ภูมิใจและเป็นน้าชายที่หลานเคารพ ถึงแม้สังคมจะยอมรับเรื่องเพศที่สามมากขึ้น แต่เขายังต้องการใช้ชีวิตอย่างคนหนุ่มทั่วไป เรียนจบทำงานมีครอบครัว โดยจะเก็บเรื่องรสนิยมไว้ให้ลึกที่สุด ทว่าตอนนี้มันไม่ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว...เพียงแค่คืนเดียวทุกอย่างก็ผิดพลาดไปหมด

ดนตร์หอบสังขารที่โรยรากว่าเมื่อวานมาเข้าเรียนได้สำเร็จ ต้องขอบคุณเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ทำให้เขาพอจะมีแรงมาเรียนได้ เมธัสตาวาวทันทีที่ได้เห็นหน้าเขา ไม่ต่างกันกับลลิตา เขารู้ว่าสองคนนี้อยากรู้เรื่องการเดทเล็กๆ ระหว่างเขากับธาวิน เพราะเมื่อวานมีคนอัพรูปพวกเขาลงในเฟซบุ๊ค แถมมีคนติดแฮซแท็กมาหาเขาอีกด้วย...เวรจริงๆ

“ไง เมื่อวานหวานไหม” เมธัสโอบหัวไหล่ทั้งลากทั้งดึงพาเขาเข้าไปในห้องเรียน

“อะไรหวาน” เขาแสร้งทำเป็นยียวน เจ้าเพื่อนตัวดีเลยขมวดคิ้วมุ่น

“อย่ามาเฉไฉ เขารู้กันทั้งมหา’ลัย แล้วว่าแกกับพี่ธามไปเดทกัน ไหนๆ ดูสิ มีอะไรเสียหายไปหรือเปล่า” เมธัสทำทีเป็นจับตัวเขาหมุนไปมาเพื่อหาร่องรอยความเสียหาย

“ไอ้บ้า ไม่มีอะไร ก็แค่ไปกินข้าวแล้วก็ซื้ออุปกรณ์ทำโมเดลหน่อย” เขาตอบและมันก็เป็นความจริง เมื่อวานหลังจากหลุดจากหมาบ้าที่ชื่อกรณ์ ก็รีบกลับไปหาธาวินทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ธาวินแค่ถามเรื่องที่เขาไปเข้าห้องน้ำนาน เขาแต่งเรื่องว่าหลงทาง ยิ่งนับวันเขายิ่งเหมือนเด็กเลี้ยงแกะเข้าไปทุกที

เมธัสยิ้มเจ้าเล่ห์ใช้ข้อศอกกระทุ้งสีข้างเป็นเชิงสรรพยอก

“ฉันว่าพี่ธามก็ดีนะ เท่ห์ดี คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น จริงใจดีด้วย พี่รันก็อีกคน บ๊ะ! เพิ่งรู้ว่ายอดชายนายแว่นเพลงจะเสน่ห์โคตรแรง”

“จริงด้วย สาวๆ นะเมาท์กันใหญ่เลยว่านายน่ะน่ารักขึ้น” ลลิตายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยหูตาแพรวพราว

“บ้าเหรอลิน” ดนตร์ทำหน้ามุ่ย “ฉันเป็นผู้ชายนะ จะน่ารักได้ยังไง ต้องหล่อสิถึงจะถูก”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” สาวสวยหัวเราะ “ส่องกระจกดูบ้างนะ นายน่ะไม่หล่อสักนิด มีแต่ความน่ารัก”

คนโดนชมขมวดคิ้ว “ฉันไม่คุยด้วยแล้ว ยิ่งคุยยิ่งไม่รู้เรื่อง”

ดนตร์ตัดบท แต่ผิวแก้มยังร้อนผ่าวจากคำชม...มันจะเป็นไปได้อย่างไร คนหน้าตาน่าเบื่ออย่างเขาน่ะหรือที่จะน่ารักขึ้น..



กว่าจะเลิกเรียนก็เกินเวลามื้อเที่ยงมาร่วม 10 นาที ท้องของดนตร์ร้องขออาหารตั้งแต่ตอนสิบโมงแล้ว ลลิตาและเมธัสโดนรุ่นพี่ดึงตัวไปเตรียมตัวซ้อมเชียร์ในเย็นนี้ และทิ้งดนตร์ไว้ตามลำพังอีกเช่นเคย ธาวินส่งข้อความมาชวนกินข้าวด้วยกัน แต่เขาปฏิเสธ เพราะไม่อยากละเมิดสัญญาบ้าบอของกรณ์ ธาวินตัดพ้ออยู่ร่วมห้านาทีเล่นเอาเขาเสียสมาธิในการเรียนไปไม่น้อย ธาวินไม่ใช่พวกงี่เง่าคุยไม่รู้เรื่องก็จริง เป็นคนประเภทไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มากกว่า จากนั้นไม่กี่นาที อริญชย์ก็ส่งข้อความนัดพบเขาตอนเย็น แต่เขาก็ปฏิเสธไปอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่าต้องไปซ้อมเชียร์ในเย็นนี้ เขาไม่แน่ใจนักว่าอริญชย์จะเลิกล้มความตั้งใจหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายตอบกลับมาว่า ‘แล้วพี่จะรอ’

โรงอาหารคนเยอะจนน่าหงุดหงิด ดนตร์เลยเลือกที่จะฝากท้องในร้านสะดวกซื้อแทน เขาซื้อขนมปังกับนมเป็นมื้อกลางวัน โดยใช้สวนหลังคณะเป็นที่พักพิง

ที่สวนนี้ไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการนัก เพราะมันค่อนข้างเงียบและมืดกว่าบริเวณอื่น คงเป็นเพราะความหนาแน่นของกิ่งก้านสาขาของต้นไม้หลากพันธุ์ที่แผ่ขยายติดกัน ทว่าสำหรับเขาแล้ว มันกลับเป็นสถานที่พักผ่อนชั้นเยี่ยม เขาค้นพบมันโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้เพราะได้กลิ่นดอกจำปีที่เพิ่งออกดอก ดนตร์เลือกนั่งที่ใต้ต้นจำปี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันช่วยผ่อนคลายได้ไม่น้อย เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง ก่อนจะบรรจงกินมื้อกลางวันง่ายๆ ภายใต้ความเงียบเชียบและร่มเย็น

อากาศบริเวณนี้หนาวเย็นกว่าปกติเพราะแสงแดดผ่านมาได้น้อย มือเรียวกระชับเสื้อแจ็คเก็ตให้แน่นกว่าเดิม ปากสีสดเคี้ยวขนมปังช้าๆ ซึมซับเอาความหวานหอม พอเริ่มฝืดคอก็ใช้นมสดช่วย เขามีเวลาพักอีกเกือบชั่วโมง ตั้งใจว่าจะแอบงีบหลับเสียหน่อยเพราะหมู่นี้เขานอนหลับไม่สนิทนัก ดนตร์มองใบไม้หล่นไปตามแรงพัดผ่านของลม กลิ่นเบาบางของจำปีช่วยขับกล่อมให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทราได้ไม่ยากนัก ไม่นานเปลือกตาก็ปิดลง

หัวคิ้วสวยขมวดน้อยๆ ใบหน้าขาวจัดหันหนีจากบางอย่างที่รบกวนการหลับใหล สัมผัสแผ่วเบาคล้ายขนนกแตะไล่ไปทั่วใบหน้า ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนมันก็ตามราวีไม่เลิกรา คนหลับถอนหายใจอย่างหงุดหงิด มือเรียวยกขึ้นโบกในอากาศอย่างไร้ทิศทาง ทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น พอโดนรุกรานหนักเข้าก็พึมพำแต่จับใจความไม่ได้

“ง่วงเหรอ”

“อืม....” ดนตร์ครางรับ ฟังดูคล้ายกับละเมอมากกว่า

“ไม่หนาวหรือไง”

“อืม...”

“เด็กดื้อ”

เสียงตอบรับหายไป และถูกทดแทนด้วยเสียงลมหายใจที่ยาวเป็นจังหวะสม่ำเสมออีกครั้ง

ริมฝีปากหนาหยักกดยิ้มลึกจนเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม ดวงตาคมทอดมองคนหลับที่ยังคงไม่รู้ตัวว่าบัดนี้ไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกแล้ว แว่นกรอบพลาสติกสีดำไหลลงมาอยู่ที่ปลายจมูก เปลือกตาบางทาบปิดสนิท กลีบปากอิ่มสีแดงสดเผยอน้อยๆ พวงแก้มใสระเรื่อด้วยลมหนาวที่พัดมาเป็นระยะๆ แถมในสวนนี้ยังเย็นกว่าปกติ เสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียวจะไปพอให้ไออุ่นได้อย่างไร

ศีรษะทุยสวยเอียงไปด้านข้างอย่างน่าเป็นห่วงว่าจะปวดเคล็ด แต่ก็เปิดลำคอขาวให้เห็นชัดกว่าเดิม รอยแดงจ้ำเจือจางไปบ้างแต่ก็ยังมีให้เห็น หัวใจของเขาพองโต ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของอวดลำพองในอก นิ้วยาวกรีดไล้แผ่วเบาไปตามกรอบหน้าได้รูป ดนตร์เป็นคนผิวขาวจัด แต่ไม่ได้ซีดเผือด มันเนียนลออ อมชมพู ผุดผ่อง บางใส แค่เผลอลงน้ำหนักมือมากไปหน่อยก็จะเป็นรอยแดง ชายหนุ่มมองปลายนิ้วตัวเองที่เกลี่ยอยู่บนผิวนุ่ม เลือดในกายร้อนขึ้น ภาพในความคิดย้อนกลับไปเมื่อหลายวันที่แล้ว...วันที่เขาได้ครอบครองร่างนี้

กรณ์รู้สึกเหมือนกำลังเสพสิ่งเสพติดอยู่ ดนตร์ทำให้เขาคล้ายคนเมายา ยิ่งนานวันความทรงจำในคืนนั้นก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น เขาจำเหตุการณ์ได้ทั้งหมดกระทั่งตอนที่เผลอหลุดเรียกชื่อโยษิตาออกไป แต่ที่จำได้แม่นยำที่สุดคือผิวกายขาวผ่องและความหอมที่ไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ เขารู้ดีว่าตัวเองเลวแค่ไหนที่ยื่นข้อเสนอระยำนั่นไป แต่เพราะความหวง และความอยากเอาชนะมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด เขาหวงดนตร์และต้องการครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และก็รู้ดีว่าเรื่องมันจะยุ่งยากกว่าเดิมเพราเขามีโยษิตาอยู่แล้ว...แต่เขาต้องการดนตร์จริงๆ

เขาไม่รู้ตัวว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ทว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ความคิดของเขามักวนเวียนอยู่แต่กับเจ้าเด็กสี่ตาจอมอวดดี คนที่ทำให้เขาโดนเจ้าอ้วนชนวีร์ด่า คนที่ทำให้เพื่อนของเขาเพ้อถึง และเป็นคนที่ทำให้เขาหงุดหงิด...ทว่าในความหงุดหงิดกลับมีบางอย่างซ่อนอยู่

...เขาสนใจเด็กคนนี้...

ยิ่งได้ครอบครองแล้วความต้องการยิ่งเด่นชัด เขาไม่ใช่เกย์ ไม่เคยพิศวาสในเพศเดียวกัน แต่กับดนตร์คือกรณีพิเศษ...ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาร้อนรุ่มแค่ไหนตอนที่เห็นดนตร์ให้ความสนิทสนมกับธาวิน ไม่ใช่แค่ธาวินแต่ยังมีอริญชย์อีกคน สองคนนี้เปิดเผยความสนใจในตัวดนตร์ ขณะที่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้เพราะเขายังมีโยษิตาและเธอไม่ได้ทำอะไรผิด

กรณ์หยุดนิ้วหัวแม่มือที่กลีบปากล่าง มันแดงสดยิ่งกว่าผลเชอร์รี่ และเขาก็รู้ดีว่ามันหวานฉ่ำแค่ไหน ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ หัวใจเต้นเร็วกว่าเดิม ความปรารถนาไหลเวียนอยู่ในกาย ส่งผลไปถึงส่วนหน้าที่เริ่มปวดร้าว

“เพลง” เขาเรียกเด็กหนุ่มเบาๆ ยื่นใบหน้าเข้าใกล้กว่าเดิม จ้องมองใบหน้าน่ารัก...ดนตร์น่ารักจริงๆ

“ฮื้อ..”

ดนตร์ถอยหายใจสั้นๆ คล้ายกับจะหงุดหงิดเพราะโดนรบกวนเวลาพักผ่อน กรณ์อมยิ้มน้อยๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่ารังแกคนหลับจะสนุกขนาดนี้

“เพลง...นายน่ารักจัง”

“อื้อ..อย่ายุ่ง” ดนตร์ยกมือปัดสะเปะสะปะ แต่ไม่โดนเป้าหมาย กรณ์เผลอยิ้มกว้าง จรดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่ม “ฮื้อ...อย่า”

กลิ่นหอมคล้ายนมสดเสมือนกรรไกรตัดเส้นความอดทนของเขาให้ขาดผึง ชายหนุ่มวางหัวเข่าบนพื้นหญ้านุ่ม ก้านนิ้วยาวดึงเอาแว่นตาเกะกะออก ก่อนจะประคองใบหน้าน่ารักเอาไว้ คนหลับดูเหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้างหลังจากถูกก่อกวนหนักมากขึ้น เปลือกตาบางหรี่ปรือแล้วก็เปิดเต็มที่เมื่อจมูกของเขาไต่จนถึงหน้าผากสวย

“พี่กรณ์!”

“ไง..คิดถึงฉันจนละเมอถึงเลยรึ”

ตากลมเบิกกว้าง ดนตร์ยกมือยันแผ่นอก แต่เขาก็เข้าประชิดร่างโปร่งเสียแล้ว แผ่นหลังบางเบียดไปกับลำต้นจำปี กลิ่นน้ำนมหอมละมุนปนมากับลมหายใจ เขาเห็นขวดนมและถุงขนมปังที่กินหมดแล้วอยู่แถวนั้น หมอนี่เพิ่งกินมื้อกลางวันไปได้ไม่นาน ถึงมันจะได้สารอาหารไม่ครบนักแต่นมก็เหมาะกับดนตร์จริงๆ

“พี่กรณ์...ผม..หายใจไม่ออก” มือเรียวผลักไสด้วยกำลังของคนเพิ่งตื่น

“มันมีวิธีหายใจนะ เดี๋ยวฉันช่วยสอน”

“ผม...อื้อ”

ถ้อยคำปฏิเสธหยุดเพียงแค่นั้น เขาประกบปากทับลงไปบนกลีบปากแดงฉ่ำ บีบนิ้วที่แก้มนุ่มบังคับให้อีกฝ่ายเผยอปากขึ้น กรณ์สอดลิ้นผ่านลอดเข้าไป ลิ้นเล็กยังเจือด้วยรสของนม กลิ่นหอมที่เขาหลงใหลคลุ้งอยู่ในโพรงปาก ดนตร์พยายามจะเม้มปากหนี ร่างโปร่งดิ้นรนเท่าที่กำลังจะอำนวยแต่ก็น้อยเหลือ มันจึงไม่ต่างจากลูกแมวตัวน้อยแสนเอาแต่ใจ 

กรณ์ละมือจากแก้มนุ่มแล้วสอดรัดเอวเล็ก ก่อนจะดึงร่างของเด็กหนุ่มมาไว้ในอ้อมแขน เขาใช้ความแข็งแรงที่มีมากกว่าพลิกร่างลงไปอยู่ด้านล่าง แล้วยกดนตร์ขึ้นมาไว้บนตักของตัวเอง โดยที่ริมฝีปากยังไม่ผละจากกันแม้แต่วินาทีเดียว ดนตร์ยังคงขัดขืน เขาเลื่อนฝ่ามือผ่านตัวเสื้อเข้าไปสัมผัสกับผิวกายเนียนนุ่ม ปลายนิ้วลากผ่านแนวสันหลังลงต่ำจนถึงร่องลึก ร่างบนตักสั่นสะท้าน อาการต่อต้านลดลงอย่างชัดเจน กรณ์เพิ่มน้ำหนักมือ กดแผ่นหลังเล็กให้ต่ำลงเพื่อจะได้จูบถนัดยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่เลิกผลักไสแต่ดนตร์ยังตอบโต้จูบกับเขาได้อย่างถึงใจอีกด้วย ลิ้นน้อยเกี่ยวกระหวัดกลับมา ดูดกลืนลิ้นของเขา ไม่ต่างจากที่เขาเพิ่งปฏิบัติไป กรณ์เกือบลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน อายุ 19 ปี คงผ่านการมีคนรักมาบ้าง...แต่ยังไม่ชำนาญเท่าเขา กรณ์ออกแรงดันฝ่ามือที่แผ่นหลังเนียนพร้อมกับยกสะโพกขึ้น จงใจเสียดสีส่วนที่ร้อนผ่าวกับต้นขาด้านใน เปิดเผยความต้องการให้คนบนตักได้รับรู้ ร่างโปร่งผ่อนปรนลงเอนกายพิงกับแผ่นอกของเขา มือบางวางบนหัวไหล่บีบเบาๆ ตามแรงอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้า

“เพลง...นาย อืม” ชายหนุ่มพึมพำอยู่กับกลีบปากนุ่มหยุ่น ที่ไม่ว่าจะจูบสักกี่ครั้งก็ไม่เคยพอ เขาตักตวงความหอมหวานจากโพรงปากครั้งแล้วครั้งเล่า ดูดกลืนรสของนมสดกลับมาบ้าง แผ่นอกบางสะท้านเร็วถี่ส่งสัญญาณบอกว่าเจ้าตัวกำลังหายใจไม่ทัน “ช้าๆ ชู่วๆ ไม่ต้องรีบ”

คนมากประสบการณ์บอก เขาผละจากปากสวย ให้เด็กหนุ่มได้โกยเอาอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ก่อนจะค่อยๆ บรรจงมอบจูบใหม่ให้อีกครั้งและคราวนี้เขาตั้งใจลดระดับความหนักหน่วงลงและเพิ่มความอ่อนโยนลงไป ทั้งคู่แบ่งปันรสหวานกำซ่านจากปลายลิ้นให้กันและกัน ด้วยความหัวไวทำให้ดนตร์เรียนรู้วีธีการผ่อนลมหายใจจากการจูบได้

หน้าขาของกรณ์ปวดตุบ ความต้องการทำงานอย่างรวดเร็ว ดนตร์ไม่ต่างจากยาปลุกเซ็กซ์แค่สัมผัสเพียงเล็กน้อย ไฟแห่งราคะของเขาก็ลุกฮือ แม้จะผ่านศึกรักบนเตียงมานักต่อนักแต่ไม่เคยมีใครที่จะปลุกเร้าเขาได้มากเท่ากับเด็กคนนี้ กรณ์ดึงแจ็คเก็ตสีดำออก ตามด้วยเสื้อยืดแขนยาวสีขาว เปิดเปลือยผิวขาวจัดให้ได้เห็นถนัดตา ยอดอกสีสดชูชันด้วยอากาศที่ค่อนข้างเย็น ร่างเล็กสั่นสะท้าน ผวากอดคอเขาแน่นไม่ต่างจากลูกลิง กรณ์อมยิ้มทั้งที่ริมฝีปากยังแนบชิดกัน...ดนตร์ตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นนี่เด็ดดีจริงๆ

ชายหนุ่มปล่อยกลีบปากที่เริ่มจะเห่อบวมให้เป็นอิสระ พลางพรมจูบไปบนผิวนุ่ม กดย้ำเพิ่มรอยช้ำในจุดที่ใกล้กับป้านฐานสีชา ขนอ่อนในกายลุกชันจนเขามองเห็นได้ ดนตร์หยัดกายขึ้นเล็กน้อยเปิดทางให้เขาได้ลิ้มรสหวานจากติ่งเนื้อได้ถนัดถนี่ กรณ์อ้าปากครอบครองมันเอาไว้ทั้งหมด ลิ้นกวาดตวัดรัวๆ กับจุดอ่อนไหว ดนตร์ครางกระเส่า บดเบียดสะโพกทับแก่นกายแข็งกร้าว

“ฮะ...อา พี่ครับ...ดีจัง”

แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเจ้าลูกแมวตัวน้อยนี่มีสติเต็มที่หรือยัง แต่มันเป็นผลดีสำหรับเขา ดนตร์ไม่ปฏิเสธ ผลักไส หรือหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าน่ารักเป็นสีชมพูระเรื่อด้วยเลือดที่สูบฉีด กรณ์เลื่อนมือไปที่หัวเข็มขัดแล้วจัดการรูดมันออกอย่างรวดเร็ว ตะขอกางเกงเปิดอ้า บางอย่างที่อยู่ด้านในขยับขยายไม่ต่างกันกับเขา ดนตร์ถูไถร่องสะโพกกับหน้าตักของเขาอย่างเร่าร้อน มือสอดผ่านเส้นผมดึงทึ้งเบาๆ ระบายความอึดอัดที่ก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ

กลิ่นดอกจำปีในยามบ่ายของฤดูหนาว เงามืดครึ้มของร่มไม้ที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เปรียบเสมือนยากล่อมประสาทชั้นดี สำนึกผิดชอบเตลิดไปไกลจนเกินกู่กลับ นานวันกรณ์ยิ่งเสพติดความหอมหวานจากเรือนร่างนี้ เขารู้ว่าการได้เป็นเจ้าของดนตร์เพียงครั้งเดียวมันไม่เคยพอ ความต้องการของเขาไม่มีที่สิ้นสุดและไม่สนใจศีลธรรมข้อใดๆ ทั้งสิ้น เขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่คนรักของตัวเอง
ชายหนุ่มผลักร่างเล็กกว่าลงไปนอนบนพื้นหญ้านุ่ม ดวงตากลมหรี่ปรืออยู่ในภวังค์ กึ่งหลับกึ่งตื่น เขาเชื่อว่าดนตร์คงถูกพิษของดอกจำปีเล่นงานถึงยังไม่รู้ว่ากำลังจะถูกเขาเอาเปรียบอยู่ แน่นอนว่าเขามีสติครบถ้วนดี รู้สึกตัว แต่ไม่อาจควบคุมความต้องการของตัวเองได้ หน้าขาปวดหนึบมากขึ้นเรื่อยๆ จวนเจียนจะทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ เขาทอดมองร่างโปร่งบางที่นอนอยู่บนผืนหญ้าสีเขียว ผิวขาวจัดตัดกับสีของหญ้าได้อย่างน่ามอง ขาเรียวตั้งชัน โดยที่กางเกงติดร่นอยู่แค่สะโพกมน เขาดึงมันออกอย่างไม่เร่งรีบนัก ไม่นานทั้งร่างก็เปล่าเปลือย

กรณ์รู้สึกว่าการมองเห็นของเขาบกพร่องลง ภาพที่เห็นพร่าเลือนด้วยไอร้อนที่เกิดขึ้นจากความต้องการ มือสากลากไปบนท่อนขาขาว ผิวกายใต้ฝ่ามือสั่นระริก ชายหนุ่มชะโงกตัวเหนือร่างโปร่งเปล่าเปลือย ก่อนจะพรมจูบไปบนแผ่นอกขาวใส สร้างรอยแดงช้ำอย่างที่ชอบทำ ดนตร์สั่นสะท้าน บิดร่างพลิ้วราวกับจะยั่วยวนกัน มือเรียวกลับมายึดที่หัวไหล่ไว้อีกครั้ง กรณ์เพิ่งรู้ตัวว่าเขายังสวมอาภรณ์ครบทุกชิ้น มิน่าส่วนกลางลำตัวถึงได้อึดอัดนัก เขายืดกายขึ้นสูงรีบดึงเข็มขัดและปลดตะขอกางเกงด้วยอาการร้อนรน ใบหน้าน่ารักของดนตร์ช่วยเพิ่มความกำหนัดได้ดีเหลือเกิน

ร่างสูงกลับลงมาอีกครั้ง กดริมฝีปากกับหัวเข่านุ่มไล่ต่ำไปจนถึงต้นขาด้านใน ขณะที่ฝ่ามือเข้ากอบกุมสัดส่วนด้านหน้าของคนตัวเล็กกว่า เขารูดเร้าเนิบนาบและเพิ่มความเร็วจนหยดน้ำใสไหลปริ่ม เสียงใสครางแผ่วเบา ดนตร์เกลือกศีรษะกับพื้นหญ้า ริมฝีปากเผยออ้าด้วยความเสียวที่ก่อตัวสูง ไม่นานสายธารอุ่นร้อนก็ไหลล้นจากการปรนเปรอของผู้มากประสบการณ์ จากนั้นทั้งร่างก็ถูกพลิกคว่ำด้วยมือแข็งแรง

ดนตร์วางหัวเข่าไปบนผืนหญ้า ใบหน้าแนบไปกับเสื้อของตัวเองที่ถูกปลดทิ้งมาพักใหญ่ สะโพกยกสูงลอยเด่นอวดความขาวกลมกลึง ช่องทางเล็กสีสดปิดสนิท คนอยู่ด้านหลังหายใจแรงเร็ว ใช้นิ้วมือที่ชุ่มด้วยหยาดน้ำรักกดไปบนรอยจีบเพื่อให้มันคลายตัวลง ก้านนิ้วแข็งแรงสอดเข้าไปด้านในทีละน้อย ความคับแน่นโอบรัดสิ่งแปลกปลอม กรณ์จูบไปบนเนื้อนวลกลมไล่ไปถึงแนวสันหลัง

“ผ่อนคลายหน่อย”

คนอ่อนประสบการณ์พยายามทำตามคำบอก แต่มันยากเย็นเหลือเกิน เด็กหนุ่มบิดสะโพกไปมาความจุกเสียดมีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันอีกความรู้สึกแทรกปะปนขึ้นมา กรณ์เพิ่มนิ้วและหมุนควานเปิดทางคับแคบให้กว้างพอสำหรับความใหญ่โตของตัวเอง

กระทั่งรู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วจึงถอนนิ้วกลับ ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงดึงเอาบางอย่างที่พกติดตัวเอาไว้ออกมา เขาเกลียดความตื่นเต้นและความต้องการที่มีมากเกินไปของตัวเอง มันทำให้มือไม้สั่นไปหมด เขาต้องใช้ฟันช่วยในการฉีกซอง ก่อนจะครอบมันลงไปในสัดส่วนร้อนจัดไม่ต่างจากเหล็กกล้าของตัวเอง แล้วจึงจับมันจดจ่อกับทางเล็กๆ สีสด เขาขบกรามแน่นเพราะถึงจะเบิกทางแล้วแต่มันยังคับแคบมากอยู่ดี ดนตร์ร้องประท้วงในความพองใหญ่ของเขา และหลังจากกัดฟันทนอยู่นานร่วมนาทีสุดท้ายเขาก็เข้าไปได้จนหมด ไออุ่นจากด้านในโอบล้อมเขาไว้ทุกทิศทุกทาง ชายหนุ่มครางในคอด้วยความพึงพอใจ

มือกร้านจับเอวเล็กเพื่อยึดเป็นหลัก พลางขยับกายเคลื่อนไหวเข้าออก มันเชื่องช้าในช่วงแรกแต่เมื่อความฝืดแน่นลดน้อยลง ทุกอย่างเลยไหลลื่นมากขึ้น กรณ์เงยหน้าขึ้น แต่ดวงตาปิดลง ปล่อยความซ่านกระสันวิ่งปราดไปทั่วร่าง พลาสติกเนื้อบางกลิ่นหอมช่วยทำให้การขยับกายง่ายขึ้น เขาพาตัวเองออกมาจนสุดและกลับเข้าไปใหม่ กดเน้นย้ำและหมุนหาจุดที่ซ่อนอยู่ ชั่วจังหวะหนึ่งที่เขาเสยสอด ดนตร์สะดุ้ง สูดปากครวญครางเสียงสูง ชายหนุ่มกระหยิ่มยิ้ม เขาแกล้งเน้นย้ำที่จุดนั้นซ้ำๆ พลางก้มหน้าติดกับแผ่นหลังเปลือย ลากลิ้นลิ้มชมผิวกายเย็นหอมกลิ่นนมเจือจาง

“อา...แน่นดีจริง” กรณ์กล่าวชม ละมือจากเอวคอดลูบเลยไปถึงแผ่นอก ปลายนิ้วสะกิดปุ่มเล็กๆ กระตุ้นให้อีกฝ่ายร้อนร่านยิ่งกว่าเดิม

“อื้อ..อ๊ะ”

เสียงใสครางเป็นระยะๆ มือเรียวกำเศษหญ้าแน่น ใบหน้าแดงระเรื่อแนบไปกับเสื้อของตัวเอง สองขาสั่นระริกเจียนจะล้มลงไปเสียหลายรอบ ดีที่เขาช่วยจับประคองเอาไว้

กรณ์เร่งการเข้าหา ดวงตาพร่าพรายด้วยความร้อนที่แผ่ขยายไปทั่ว เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังแทรกกับเสียงคราง เขารัวสะโพกเมื่อความอดทนใกล้สิ้นสุดเต็มที เช่นเดียวกับดนตร์ที่ตอดรัดเขาเร็วถี่ ความต้องการวิ่งมารวมที่จุดเดียว หน้าท้องของเขาเกร็งเขม็งแน่น เส้นเลือดครูดไปกับผนังเนื้อร้อน ส่วนปลายที่มีพลาสติกเนื้อบางห่อหุ้มชนกับจุดหฤหรรษ์ลึกลับ ดนตร์หวีดร้องก่อนจะปลดปล่อยเอาหยาดน้ำขุ่นหล่นลงสู่เบื้องล่าง กรณ์เร่งตัวเองจนสุดท้ายทุกอย่างก็ขาดผึง

มือกร้านดึงเอาความแข็งกร้าวของตัวเองออกมา เขารีบดึงเอาพลาสติกออกปลดปล่อยลาวาร้อนที่พุ่งทะลักกับก้อนเนื้อกลม กรณ์หลับตาแน่น นานร่วมนาทีหยาดหยดแห่งอารมณ์ถึงได้หมดลง ชายหนุ่มรั้งร่างน้อยขึ้นมากอดแนบอก ดนตร์ตัวอ่อนเปลี้ยเอนกายซบเขาอย่างไร้การขัดขืน เขากดริมฝีปากกับขมับหอมหนักๆ ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะหลับไปโดยที่แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Sell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 14-06-2017 21:38:00
ชายหนุ่มวางร่างของคนหลับลงบนเตียงนุ่ม เขาพาดนตร์กลับมาที่คอนโดส่วนตัวของตัวเอง
เขาเดินตามดนตร์ตั้งแต่เลิกเรียน นึกแปลกใจที่ดนตร์ไม่ได้ไปรับประทานมื้อกลางวันร่วมกันคนอื่นๆ แต่กลับเลือกมานั่งอยู่คนเดียวในสวนหลังคณะนิเทศน์ ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่มันเป็นสถานที่เดียวกับที่เขาชอบมานั่งปลดปล่อยความคิดและจินตนาการ เขาเฝ้ามองริมฝีปากแดงสดเคี้ยวอาหาร มองหยดน้ำนมสีขาวที่ไหลผ่านกลีบปากนุ่มด้วยความอดทนที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ กระทั่งอีกฝ่ายหลับไปเขาถึงได้ปรากฏตัว...คิดแล้วก็ขำ เขาเหมือนพวกโรคจิตเข้าไปทุกที

ดนตร์หลับไปทันทีที่เสร็จภารกิจรัก ใบหน้าน่ารักดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมเสียอีก เปลือกตาบางใสยังปิดสนิท ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผิวขาวมีอาภรณ์ที่เขาสวมทับให้ก่อนจะช้อนตัวอุ้มมาที่นี่ ถึงดนตร์จะไม่ได้ตัวบางเบาเหมือนปุยนุ่นแต่เขาก็แข็งแรงพอที่จะอุ้มมาได้ โดยใช้เส้นทางลัดจากสวนหลังคณะนิเทศน์นี้มาที่จอดรถได้ในระยะทางไม่กี่ร้อยเมตร

เขาปล่อยคนหลับให้หลับไปอย่างนั้น แล้วพาตัวเองหายเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูสะอาดเปียกน้ำพอหมาด กรณ์ดึงกางเกงจากท่อนขาเรียวอย่างเบามือ แล้วลงมือทำความสะอาดด้วยความตั้งใจ เขารู้ดีว่าบทรักครั้งแรกระหว่างตัวเองกับดนตร์ไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก แถมครั้งนี้เขายังใช้ความง่วงงุนหลอกล่อให้อีกฝ่ายเคลิ้มตามอีก มันยากจะคาดเดานักถ้าหากดนตร์ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าถูกเขาเอาเปรียบไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ตาคมมองรอยสีกุหลาบที่ประทับอยู่บนหน้าอกขาวใส ในอกพองฟูด้วยความรู้สึกแห่งความเป็นเจ้าของ เขาดึงกางเกงกลับที่เดิมเมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มกดริมฝีปากบนหน้าผากเนียน

“ไอ้กรณ์! นี่แก”

ใบหน้าเรียวสะบัดไปตามเสียงร้องเรียก ชนวีร์ยืนจังก้าอยู่หน้าห้อง ใบหน้าอิ่มอูมแดงจัดด้วยความโกรธ ร่างใหญ่หนาโถมใส่เขาแต่เพราะรูปร่างที่ได้เปรียบทำให้เขาเบี่ยงตัวหลบได้ทันท่วงที ชนวีร์เสียหลักแต่ไม่ยอมแพ้ เขาเองก็เช่นกัน กรณ์คว้าคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ได้ ยึดมันเต็มแรงเพื่อหยุดอาการบ้าคลั่ง

“ฟังก่อน!”

“ไม่ฟัง! มึงมันเลวไอ้กรณ์ กูไม่น่าเกิดมาเป็นญาติกับคนอย่างมึงเลย” ชนวีร์บริภาษรุนแรง น้อยครั้งนักที่หนุ่มตัวอ้วนอารมณ์ดีจะโกรธได้ขนาดนี้

“หุบปากแล้วฟังกู!” กรณ์ตะโกนกลับ

ดวงตาทั้งสองประสานกัน นานจนพายุอารมณ์ของชนวีร์สงบลง กรณ์ปล่อยมือจากคอเสื้อของลูกพี่ลูกน้อง แล้วเดินเลี่ยงออกจากห้องส่งสัญญาณให้ชนวีร์เดินตามออกมา

เจ้าของห้องพักนั่งลงบนโซฟาสีดำตัวใหญ่ ความเงียบอันน่าอึดอัดก่อตัวภายใต้บรรยากาศกดดัน ไม่เคยมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนระหว่างความเป็นพี่น้องของคนทั้งคู่

“มึงจะเอายังไง กูบอกให้มึงรับผิดชอบเพลง แล้วนี่เหรอคือสิ่งที่มึงเรียกว่ารับผิดชอบ” ชนวีร์ตวาด ความโกรธยังไม่ได้หายไปไหนแค่ทุเลาลงไปเท่านั้น

“ก็กำลังทำอยู่นี่ไงล่ะ” กรณ์ตอบ มือเรียวยกขึ้นเสยผม นึกหงุดหงิดกับปัญหาที่คาราคาซังหาจุดจบไม่ได้

“ทำอะไร มึงมีแต่ทำให้มันยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม” ชนวีร์บอก ร่างอวบหนานั่งลงบนพื้นที่ว่างของโซฟา “กูรักเด็กคนนี้มาก มันเป็นเด็กดี สิ่งเดียวที่มันทำผิดคือ...แอบรักคนอย่างมึง”

‘แอบรัก’

กรณ์ผินหน้ามองคนพูด ดวงตาคมกวาดไปทั่วใบหน้าอิ่มอูม คิ้วหนายกสูง...เขาคงหูฝาดไป

“มึงไม่ต้องทำหน้าเป็นหมาสงสัย กูรู้ว่ามึงก็รู้ว่าเพลงคิดกับมึงยังไง”

รู้เหรอ...ไม่รู้สิ เขาไม่แน่ใจ เขาไม่ใช่พวกที่คิดเข้าข้างตัวเอง มิหนำซ้ำที่ผ่านมาดนตร์ยังทำท่าเหมือนเกลียดเขาอีกด้วย...แต่บางครั้งก็แอบเห็นดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขา หัวใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล บางอย่างคล้ายลูกโป่งพองโตขึ้นในหน้าอก

“กูไม่ใช่เกย์” เขาบอก

“แต่มึงก็เอาน้องกู” ชนวีร์สวนกลับ “กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงจะทำอย่างนั้นกับเพลงเพราะความเมา”

จริงอย่างที่ชนวีร์พูด...ไม่ใช่แค่เหล้าหรอกที่ทำให้เขาขาดสติ แต่ยังมีบางอย่างที่แทรกซึมอยู่ด้วย หรือว่าลึกๆ แล้วเขาเองก็พึงพอใจในตัวของดนตร์เหมือนกัน

กรณ์ปรายตาไปที่ห้องนอน ประตูเปิดแง้มเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าคนที่อยู่ด้านในตื่นหรือยัง นึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ เท่าที่สังเกต ดนตร์ไม่ใช่เด็กที่สุขภาพดีเท่าไรนัก แล้วก่อนออกมาเขาห่มผ้าให้ดีหรือยัง ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วง

“มึงชอบเพลงใช่ไหม”

“หืม?...” เขาหันหน้ากลับมาที่คู่สนทนา

“มึงชอบเพลงใช่ไหม” ชนวีร์กัดฟันถาม แก้มแดงด้วยอารมณ์ที่ทำท่าจะปะทุขึ้นอีกครา

“กูเป็นผู้ชาย”

“กูถามเรื่องความชอบไม่ใช่เพศ มึงตอบมา ถ้าไม่ใช่กูจะเอาน้องกูกลับ” 

คนถูกถามนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาเป็นผู้ชาย เป็นเพศที่ถูกสร้างมาให้คู่กับผู้หญิง แล้วเขาก็มีคนรักเป็นหญิงสาวที่น่ารักเพียบพร้อม อาจจะเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็เหมาะสมกับเขาดี จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ปิดกั้นตัวเองเรื่องรสนิยมทางเพศและไม่ได้รังเกียจในเพศที่สามเพราะไอ้อ้วนญาติของเขาก็เป็นเช่นนั้น ชนวีร์กับอัคคีกำลังคบหากันในฐานะคนรัก เขาไม่ได้ต่อต้านหรือรู้สึกว่ามันน่าขยะแขยง เพียงแต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าความรู้สึกแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

...แล้วเขาคิดอย่างไรกับดนตร์...

รัก ชอบ หรือรังเกียจ...ก่อนหน้านี้เขามั่นใจว่าตัวเองแค่หมั่นไส้ในท่าทางของดนตร์ เขาไม่พอใจที่อีกฝ่ายชอบทำเป็นเมินเฉยใส่เขา แต่บางครั้งก็เห็นสายตาคล้ายกับจะตัดพ้อมองมา หงุดหงิดที่ใครๆ ก็เอาแต่พูดถึง และสุดท้ายเขาก็เก็บเอาเรื่องของดนตร์มาคิดอยู่เสมอ กรณ์ถอยหายใจเฮือกใหญ่ ปมเชือกที่ผูกไว้แน่นขึ้นทุกที มิหนำซ้ำเขายังไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นแก้ที่ไหนก่อน หรือแค่ความรู้สึกของตัวเองเขายังตัดสินใจให้แน่ชัดไม่ได้เลย

“ว่ายังไง มึงคิดยังไงกับน้องกู” ชนวีร์ถามซ้ำ ดวงตากลมไม่มีแววล้อเล่นเหมือนที่ผ่านมา

“กู...ไม่รู้ว่ะ”

ปึง!

เสียงกระแทกประตูหยุดการสนทนาของพี่น้อง ทั้งคู่หันไปมองที่มาของเสียง ร่างโปร่งยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าขาวจัดซีดเผือดแต่ดวงตาแข็งกร้าว มือเรียวกำเข้าหากัน

“เพ...ลง”

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มโน้มกายลง

“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน”

เป็นชนวีร์ที่ได้สติก่อน ร่างใหญ่หนาลุกจากโซฟาคว้าหัวไหล่เล็กไว้ได้ทันก่อนที่เจ้าตัวจะเดินผ่านไป ร่างเล็กสั่นเทาคล้ายกับกำลังระงับความรู้สึกบางอย่างเอาไว้

“นายจะไปไหน”

“ผมจะกลับไปมหา’ลัย” ดนตร์ตอบ

“มันจะสี่โมงแล้ว ฉันว่านายไปกับฉันดีกว่า” ชนวีร์เสนอ แต่เด็กหนุ่มสั่นหน้า “ผมมีซ้อมเชียร์ ไม่อยากขาดกิจกรรม”

“ฉันสั่งใครมันจะกล้ามีปัญหา”

ตากลมแดงช้ำช้อนมอง “ให้ผมไปเถอะครับ”

ชนวีร์แทบจะหยุดหายใจในตอนนั้น ดนตร์ดูน่าสงสารจับใจทั้งที่ไม่ได้ร้องไห้หรือร้องขอความเห็นใจจากใคร ดวงตากลมสะท้อนหลายสิ่งหลายอย่างจนเขาทนมองไม่ได้ มืออูมคว้าข้อมือเล็กมากุมไว้ บีบเบาๆ เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าถ้าหากอยู่กับเขาดนตร์จะปลอดภัย

“กลับกับฉัน”

“ไม่ได้!” กรณ์ลุกขึ้นจากโซฟา ยืนขวางทางทั้งคู่เอาไว้ ตาคมกวาดมองดวงหน้าของคนที่อุ้มมากับมือ ดนตร์ไม่ได้มองมาที่เขาแต่เสตามองลงพื้นแทน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเห็นร่องรอยแห่งความเสียใจแกมเกลียดชัง ชายหนุ่มเบนสายตามาที่ลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วน “มึงกลับไปก่อน เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“ไม่ กูจะเอาน้องกลับไปกับกู”

“บอกให้กลับไปก่อนไง!” กรณ์ขึ้นเสียง แผงอกหนาสะท้อนขึ้นลงหนักๆ ใบหน้าเคร่งเครียดขึงขัง

หนุ่มตัวอ้วนชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะยอมคลายมือจากดนตร์ ชนวีร์จ้องตาลูกผู้พี่เขม็ง “อย่าทำให้น้องกูเสียใจ ไม่อย่างนั้นมึงกับกูขาดกัน” ร่างสูงเซไปเล็กน้อยเมื่อถูกร่างใหญ่หนากระแทกใส่

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ดนตร์ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีถ้อยคำตัดพ้อหรือต่อว่า เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดและหงุดหงิดในคราเดียว กรณ์ยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก มืออีกข้างยกขึ้นเท้ากับเอวสอบ เขาถอยหายใจแรงๆ ส่งเสียงฮึดฮัดในคอ ท่าทางของดนตร์ทำให้เขารู้สึกผิด ยิ่งไม่พูด ยิ่งไม่เรียกร้อง มันยิ่งกดดัน

“ผมขอตัวนะครับ”

ในที่สุดดนตร์ก็พูดขึ้น แต่เป็นคำพูดที่เขาไม่อยากได้ยินสักนิด ร่างโปร่งที่มองดูก็รู้ว่าพยายามจะทรงตัวให้คงที่ ขยับเท้าก้าวไปด้านหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำนมกับ...กลิ่นดอกจำปีกระมัง โชยจากเรือนร่างน่าปรารถนา เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เสื้อยืดที่เขาสวมให้กับมือยับย่น กางเกงยังไม่ได้ติดตะขอ เขาเห็นขอบชั้นในสีขาวเกาะรอบสะโพก กรณ์ลอบกลืนน้ำลาย ดนตร์น่าปรารถนาไปทั้งเนื้อทั้งตัวจริงๆ ถึงตอนนี้เขากล้าพูดได้ว่า เขาไม่ได้รังเกียจแต่ยังพูดเต็มปากได้ว่าชอบหรือ...รัก

ร่างสูงเคลื่อนตัวเข้าขวางหน้า ตากลมยกช้อนมอง เพียงชั่วประเดี๋ยวก็หลุบต่ำ กรณ์ใช้นิ้วมือดันคางมนขึ้น บังคับให้อีกฝ่ายมองหน้ากัน “จะไปไหน”

“ผมมีซ้อมเชียร์กีฬา” ดนตร์ตอบคำถามแบบเดิม ริมฝีปากแดงฉ่ำยังบวมเห่อน้อยๆ จากแรงขยี้เมื่อครู่ใหญ่ๆ ของเขา

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ” ศีรษะทุยสั่นปฏิเสธ กรณ์ขมวดคิ้ว ตั้งแต่เจอหน้ากันดนตร์ไม่เคยยอมรับอะไรจากเขาง่ายๆ เลยสักครั้ง...เด็กดื้อ!

“ทำไม กลัวไอ้ธามกับไอ้รันรู้หรือไงว่านายมีผัวแล้ว”

“พี่ไม่ใช่ผัวผม!” ดนตร์ตวาด มือเล็กกำแน่นอยู่ข้างลำตัว

“จะต้องให้เตือนความจำกันอีกรอบหรือไง ว่าฉันกับนายเราเป็นอะไรกัน อยู่ที่นายต่างหากว่าจะรับอีกรอบไหวหรือเปล่า” ตาคมเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ฝาผนัง “ผ่านมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ลุกขึ้นเดินได้แบบนี้แสดงว่าพร้อมจะให้ฉันพิสูจน์สินะ”

“ไอ้!”

กำปั้นน้อยลอยหวือมาใกล้ใบหน้า กรณ์ใช้ความไวหลบได้ทันแล้วรีบคว้ามือเล็กเอาไว้ ก่อนจะดึงแขนรวบเอาร่างของเด็กดื้อไว้ในอ้อมกอด ดนตร์ดิ้นอึกอักแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของเขาได้

“เราตกลงกันแล้วนะเพลง ห้ามนายเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

*****************************


เรื่องนี้เลิฟซีนเยอะนิดนึงนะคะ เพราะคนแต่ง want เอง ก๊ากกกกกกก

หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 14-06-2017 22:20:32
พระเอกไทยในตำนานจริงๆ หล่ออย่างเดียวไม่ได้ต้องโง่ด้วย

ลูกเจี๊ยบต้องหัดเข้มแข็งบ้างนะ
ความอ่อนโยนมีก็ดี แต่ถ้ามากไปก็จะถูกเอาเปรียบแบบนี้เสมอ
โดยเฉพาะคนเห็นแก่ได้แบบกรณ์

ขอให้จู๋แกเล็กอิพี่กรณ์!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 14-06-2017 23:20:36
พระเอก จำเป็นต้องเลวมั้ย ตอบบบบบบบบบบบบบ  :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 14-06-2017 23:26:53
iร้ายกาจ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 15-06-2017 01:45:19
เพลงทำไมต้องไปยอมมันด้วยลูกก
พี่กรณ์ก็หลายใจ ปล่อยเพลงไปเถอะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 15-06-2017 02:00:10
หึหึ ทำไมไม่ปล่อยน้องไป ทั้งๆ ตัวเองก็บอกเองว่าไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกับน้อง

เพลงคงได้ยินแหละ เจ็บเนอะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 15-06-2017 08:08:43
อิกรณ์เห็นแก่ตัว :katai1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 15-06-2017 09:24:57
กรณ์เห็นแก่ตัวมาก ตัวเองก็ยังคิดว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงแล้วยังจะยุ่งกับเพลงอีกทำไมอะ มีแฟนแล้วก็ไปอยู่กับแฟนนู่นนน ไม่ให้เพลงเข้าใกล้เพื่อนตัวเองอีก หวงก้างเพื่อ???
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 15-06-2017 14:44:42
พระเอกละครไทยไง
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 17-06-2017 10:34:49
หืมมม พระเอกละครไทยมากๆข่าาา. ขุ่นขา ไอตอนทำผิดแล้วจะง้ออ่ะ จะสมน้ำหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-06-2017 13:46:49
เลววววว เกลียดแกจริงๆ กรณ์ ขอให้แกเจ็บเจียดตายไปเลยไอ้บ้า
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 7 Smell [14/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 18-06-2017 20:05:19
เรื่องนี้ไม่ใช่พระเอกหรอกที่โง่ นายเอกมากกว่า คือรุู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่รัก ทั้งคำพูดทั้งการกระทำที่กรณ์แสดงออก ก็ยังจะโง่รักอยู่อีก ไม่เข้าใจว่าจะยอมมีไรด้วยทำไม เพราะรัก หรือเพราะกลัว ถ้าเพราะรักก็โคตรโง่ กรณ์มีแฟนแล้ว ไม่คิดเลิกด้วย เพลงมีไรกะกรณ์ก็ชู้ดี ๆ นี่เอง ใครรู้คนเสียหายก็เพลงนั่นแหละ ยอมเป็นที่ระบายความใคร่เพื่อ... ถ้าเพราะกลัว ก็โคตรจะโง่อีก จะกลัวอะไร หลักฐานไม่มีซักอย่าง แถมคนปกป้องเยอะแยะ ทั้งธาม ชนวีร์

ตัดใจ จากคนเล๊วเลว ได้แล้ว จะโง่ไปจนจบไหมเนี่ยนายเอกฉัน โง่ อ่อนแอ เมื่อไหร่จะแกร่งเสียที ลุ้นจนเหนื่อย คนชอบเยอะแยะ จะแคร์ทำไม
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 8 ศึกชิงชาย นายดนตร์ [18/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 18-06-2017 22:08:00
Chapter 8 ศึกชิงชาย...นายดนตร์



    ดนตร์มาถึงสนามกีฬาตอนเกือบห้าโมงเย็น บนแสตนเชียร์มีคนนั่งอยู่เกือบเต็มแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มซ้อมเชียร์อย่างเป็นทางการ เสียงพูดคุยเซ็งแซ่สลับกับเสียงหัวเราะ เขาเห็นรุ่นพี่กำลังเตรียมพู่และกระดาษสำหรับใช้ร้องเพลงเชียร์ ด้านหลังแสตนมีกลุ่มเชียร์หลีดเดอร์ที่กำลังซ้อมท่าทางกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีลลิตาด้วย เธอหันมาเห็นเขาพอดี ริมฝีปากเล็กยิ้มกว้างแต่ก็ต้องหุบฉับลง ดวงตากลมโตฉายแววประหลาดใจ

    ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ลลิตาจะแสดงท่าทางอย่างนั้น เพราะเขาไม่ได้มาเพียงลำพัง ทว่าข้างกายมีผู้ชายตัวสูงใหญ่ และเป็นรุ่นพี่ต่างคณะอยู่ด้วย กรณ์ทำตามอย่างที่ว่าจริงๆ ผู้ชายร้ายกาจคนนั้นตามมาส่งเขาถึงสนามกีฬา แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะไปไหนทั้งที่เขามายืนอยู่หน้าแสตนเชียร์แล้ว

   การปรากฏตัวของหนุ่มที่ฮอตที่สุดในมหาวิทยาลัยสร้างความฮือฮาให้ไม่น้อย กรณ์ทำท่าไม่สบอารมณ์นักที่โดนจับจ้อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถอยห่างไปจากเขาอยู่ดี ดนตร์ถอนหายใจเบาๆ บางทีกรณ์อาจจะยังไม่รู้ว่าเขาถึงที่หมายแล้ว

    “ผมจะไปซ้อมแล้ว ขอบคุณพี่กรณ์มากที่มาส่ง”

    กรณ์เลิกคิ้ว “แล้วไง”

    ดนตร์พรูลมหายใจ ขยับตัวออกห่างจากร่างสูง ไม่ใช่กรณ์เท่านั้นที่อันตราย แต่ยังมีบรรดาแฟนคลับและแฟนจริงๆ ของเจ้าตัวเองอีกด้วย

   “ขอบคุณมากนะครับ” เขารีบโน้มกายลง ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ที่จริงเขาไม่อยากอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้อีกแม้แต่นาทีเดียว
 
    “เดี๋ยวก่อน” ต้นแขนเรียวถูกคว้าเอาไว แค่กระตุกทีเดียวดนตร์ก็เอนวูบชิดกับแผงอก ลมหายใจร้อนเป่ารดที่เรือนผมอ่อนนุ่ม “อย่าลืมที่ฉันบอก นี่ไม่ใช่แค่คำขู่”

     ดนตร์ไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับ เขารอให้กรณ์ปล่อยมือเองแล้วค่อยเดินห่างออกมา แผ่นหลังคล้ายกับจะรับรู้ได้ถึงสายตาของอีกคนที่ยังคงมองไม่เลิกรา พอๆ กับคนในสนามกีฬาที่มองมาด้วยความสนใจใคร่รู้

    สองขาที่พยายามบังคับให้มันเดินตรงทาง ก้าวไปด้านหน้าเรื่อยๆ เขาทำทีเป็นไม่สนใจสายตากระหายอยากรู้พวกนั้น แล้วเพ่งมองหาร่างของเพื่อนรักที่น่าจะแทรกปะปนอยู่กับเหล่านักศึกษานับร้อยคนบนแสตนเชียร์ กระทั่งเห็นมือที่ยกขึ้นโบกหยอยๆ ในอากาศ เมธัสนั่งอยู่เกือบชั้นบนสุด ดนตร์กัดฟันระงับความเจ็บขัดที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ก้าวขาเดิน เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่มันช้าเกินไป เขารู้ตัวหลังจากที่มันจบลงแล้ว

    เขาเกลียดกรณ์! หมอนั่นล่วงเกินเขาตอนที่เขาไม่ได้สติ กลับกันกับครั้งก่อน กรณ์ข่มขืนเขาเพราะขาดสติ แต่ครั้งนี้เขาถูกล่วงล้ำเพราะไร้สติ

    ดนตร์แทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจเมื่อมาถึงจุดที่เมธัสนั่งอยู่ เพื่อนรักตัวเล็กรีบกระถดกายเข้าไปชิดกับคนอื่นเพื่อเว้นที่ว่างให้เขา เด็กหนุ่มย่อกายลงปรับท่านั่งให้กระทบกระเทือนกับส่วนที่บาดเจ็บให้น้อยที่สุด ดีหน่อยที่ครั้งนี้กรณ์ไม่ได้ทำรุนแรงเหมือนครั้งแรก ด้านหลังของเขาเลยไม่มีแผลฉีกขาดแต่ก็ทำให้เดินติดขัดและระบมอยู่บ้าง

    “ทำไมถึงมากับพี่กรณ์ได้ล่ะ” เมธัสกระซิบถาม พลางส่งกระดาษเนื้อเพลงที่ใช้สำหรับเชียร์ให้กับเขา ดนตร์รับมาก่อนจะสั่นหน้าปฏิเสธ

   “ไม่มีอะไร แค่บังเอิญน่ะ”

    “โกหก” หนุ่มตาโตยู่ปาก “ท่าทางพี่กรณ์ไม่เหมือนบังเอิญ แต่มันเหมือนตั้งใจมากกว่า”

   “พูดมากน่า” ดนตร์ตัดบท แสร้งตีหน้ายุ่ง

   “เออๆ ไม่พูดถึงพี่กรณ์ก็ได้...แล้วพี่รันล่ะ”

    คิ้วสวยได้รูปยกสูง “ใครนะ?”

    “พี่รัน” เมธัสบอกอีกครั้ง “พี่เขามาหานายตั้งแต่ก่อนสี่โมงอีก แต่ไม่มีใครหานายเจอ เขาก็เลยมารอนายที่นี่”

   “ที่นี่? ตรงไหน?” ตากลมกวาดมองหาร่างของคนที่เมธัสกล่าวถึง

    “น่าจะอยู่หลังแสตนนะ นั่นไงๆ”

    ดนตร์หันมองตามนิ้วมือเรียวที่ชี้ต่ำลงไปเบื้องล่าง อริญชย์อยู่ตรงนั้นจริงๆ น่าแปลกใจที่เขากลับมองไม่เห็นในครั้งแรก คงเป็นเพราะมัวแต่กังวลเรื่องกรณ์เลยลืมที่จะสังเกตมองใคร

   ร่างสูงตระหง่านอุดมด้วยมัดกล้ามอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ยืนกอดอกและเงยหน้ามองมาที่เขาพอดี ดวงตาคมเรียวฉายแววบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่ก็ทำให้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ได้ ดนตร์ฝืนยิ้มทักทายให้ก่อน แล้วก็ต้องเสียหน้าเมื่ออีกฝ่ายไม่มีอาการตอบรับ ทำแค่เพียงมองเขานิ่งๆ เช่นเดิมเท่านั้น ดนตร์กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ปัญหาใหญ่อีกปมก่อตัวขึ้นอีกแล้ว

    กว่าจะซ้อมเชียร์เสร็จก็เล่นเอาคอแหบคอแห้ง ดนตร์ เมธัสและคนอื่นๆ ต้องตะโกนร้องเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงและหนักแน่น ลลิตาเป็นหนึ่งในเชียร์หลีดเดอร์ แม้จะยังไม่ได้แต่งหน้าทำผม แต่ความน่ารักของเธอก็ยังโดดเด่น แขนเล็กๆ ขยับไปตามท่วงท่าที่ซ้อมมา ดวงตากลมโตมีประกายมุ่งมั่ง เขาเชื่อเหลือเกินว่าในวันจริงลลิตาจะต้องเปล่งประกายเจิดจรัสมากกว่าใคร

   “พรุ่งนี้มาซ้อมใหม่ ก่อนหกโมงนะ เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้”

   เสียงรุ่นพี่ตะโกนบอกผ่านโทรโข่งตัวใหญ่ ดนตร์กับเมธัสแทบจะกระโดดกอดกัน ดนตร์ทั้งอ่อนล้า ทั้งเพลีย จนแทบจะหลับกลางอากาศไปหลายหน ดังนั้นเสียงประกาศจากรุ่นพี่มันเพราะยิ่งกว่าเสียงระฆังจากสวรรค์เสียอีก

   “ไปหาอะไรกินกันไหม ฉันหิว” ดนตร์ถามเพื่อนรักแต่อีกฝ่ายส่ายหน้าหวือพร้อมยิ้มแหยๆ ขอโทษ

   “โทษทีนะ พอดีฉันมีนัดแล้วอ่ะ”

   “งั้นเหรอ..ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปกับลินก็ได้”

    เมธัสขอโทษเขาอีกสองสามครั้งก่อนจะปลีกตัวออกไปเป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ของเจ้าตัวดังขึ้นพอดี ดนตร์ถอนหายใจ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายกับจะมีไข้ คงเป็นเพราะช่วงกลางวันเขาเผลอหลับไปในสวนต้นท้อ มิหนำซ้ำยังถูกคนบ้ากามลวนลามอีกด้วย ถ้าหากไม่กินยาไม่พักผ่อนเขาคงได้ป่วยอีกรอบแน่ ร่างโปร่งลุกจากที่นั่งเมื่อคนเริ่มน้อยลง เขาไม่อยากเดินปะปนไปกับกลุ่มฝูงชนเพราะเสี่ยงที่จะถูกชนจนด้านหลังได้รับการกระทบกระเทือนได้ เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินด้วยความระมัดระวังที่สุด และตั้งใจว่าถ้าหาอะไรลงท้องได้จะรีบไปหาซื้อยากินต่อทันที

    “ลินๆ ไปกินข้าวกัน ฉันหิวแล้ว”

   ริมฝีปากสวยยิ้มตอบรับ “เอาสิ ฉันก็หิวเหมือนกัน ไปกินร้านหน้ามหา’ลัย ก็แล้วกันนะ ใกล้ดี”

   “อืม” ดนตร์พยักหน้า

   แต่ความตั้งใจก็ถูกขัดอีกจนได้ แค่ขยับเท้าจะก้าวจากแสตนเชียร์ร่างสูงของอริญชย์ก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาดุดันยังคงแสดงอารมณ์ที่จับไม่ได้อีกเช่นเคย ทว่าดวงตากลับเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม ดนตร์ลอบกลืนน้ำลาย รู้สึกถึงความไม่พอใจที่ก่อตัวในอากาศ

   “พี่รัน...”

   ริมฝีปากหยักยกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าชื่นใจเท่าไรนัก “ยังจำกันไดนี่...นึกว่าจะจำได้แค่ไอ้กรณ์เสียอีก”

   ดนตร์ถอนหายใจ เขาไม่แปลกใจเลยทำไมคนพวกนี้ถึงคบกันได้ นิสัยใจคอแทบไม่ต่างกันเลย

    “เอ่อ...เรานึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระ เราไปก่อนนะ”

   ลลิตารีบพูดแล้วจากไปทันทีโดยไม่เหลือเวลาให้คัดค้านได้ ดนตร์อ้าปากค้าง ได้แต่มองแผ่นหลังบางที่ห่างออกไปทุกที เขาค่อยๆ หันกลับมายังผู้ชายตัวสูงอีกครั้ง ใบหน้าของอริญชย์ยังคงราบเรียบจนถึงบึ้งตึง เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆ กลับไป เขาคงหมดหนทางหนีแล้วจริงๆ

   “พี่รัน..มีอะไรหรือเปล่าครับ”

   “พี่บอกว่าจะรอเราไง” อริญชย์ตอบกลับ ก่อนจะฉวยข้อมือเขาไว้แล้วบีบแน่น

   “พะ..พี่ครับ! เดี๋ยวก่อน” ดนตร์แกะมือแข็งเท่าคีมเหล็กออก แต่มันไม่ได้ผล นึกเกลียดพันธุกรรมของตัวเองนัก เพราะเกิดมาตัวเล็กเลยไม่อาจต่อกรกับพวกตัวใหญ่แรงเยอะได้เลย ทั้งกรณ์ ธาวิน แล้วตอนนี้ก็มีอริญชย์อีกคน

   นอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานแล้ว อริญชย์ยังออกแรงรั้งให้เขาเดินตามไปอีกด้วย มีเสียงซุบซิบตามหลังมา เขาไม่ได้หันไปมองหรอกเพราะอีกไม่นานภาพที่อริญชย์จูงเขาในสนามกีฬาคงได้แพร่กระจายในเฟซบุ๊คแน่

    อริญชย์พาเขาออกจากสนามกีฬาไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก รถออดี้สีขาวถูกดัดแปลงจนดูคล้ายกับรถที่ใช้ในสนามแข่ง เขาเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าแก๊งของกรณ์ชอบแข่งรถ แถมรถแต่ละคันยังแพงหูฉี่ชนิดที่ซื้อบ้านได้เป็นหลังๆ อริญชย์ผลักเขาเข้าไปในรถและปิดประตูลงทันที ที่ด้านหลังเจ็บแปลบลามไปตามแนวสันหลัง เด็กหนุ่มเผลอสูดปาก หางตามีหยาดน้ำตาที่ฟ้องถึงอาการเจ็บปวด ยังไม่ทันได้ขยับท่านั่งให้ดี รถยนต์ก็เคลื่อนออกตัวด้วยความเร็วสูงเสียแล้ว ดนตร์รีบยกมือยันไว้กับแผงคอนโซลหน้าก่อนที่หัวจะคะมำจากการขับระดับนักแข่ง

    “พี่ครับ! ผมกลัว ช้าๆ หน่อยได้ไหม”

    ดนตร์ร้องบอกแต่ความเร็วของรถยังไม่ลดลงแม้แต่นิดเดียว รถออดี้แทรกไปกับรถคันอื่นในท้องถนน มันฉวัดเฉวียนไปมาอย่างน่าหวาดเสียว เด็กหนุ่มหลับตาแน่น ความกลัววิ่งจับขั้วหัวใจ มือที่ค้ำยันที่แผงคอนโซลรีบละลงมาควานหาสายเข็มขัดนิรภัยแล้วคาดทับร่างตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้หรอกว่าอริญชย์กำลังจะพาตนไปที่ไหน ได้แต่ภาวนาให้ที่หมายอยู่ใกล้ๆ เขายังไม่อยากหัวใจวายตายทั้งที่เพิ่งจะอายุ 19 ปี

   ปึก!

   หัวของดนตร์กระแทกกับกระจกข้างเต็มแรงเมื่อรถออดี้หมุนขวาโดยไม่มีการบอกกล่าว ก่อนที่มันจะหยุดลง เปลือกตาบางเปิดขึ้นพลางยกมือขึ้นคลำหัวป้อยๆ

   “ลงมา”

   น้ำเสียงสั้นและห้วนจัดบอก ดนตร์ทำเป็นดื้อไม่ยอมทำตามคำสั่งในคราแรก แต่เมื่อเห็นสายตาดุดันจากรุ่นพี่ตัวใหญ่เลยจำใจต้องปลดสายเข็มขัดออก สองขาสั่นเทาก้าวลงจากรถ ลมหนาวพัดใส่ร่างจนต้องยกมือขึ้นโอบตัวเอง แต่แล้วไออุ่นจากบางอย่างก็ตกตุบใส่ศีรษะ กลิ่นหอมคล้ายผลไม้สุกอวลจากสิ่งนั้น ดนตร์ดึงเสื้อโค้ทตัวหนาลงมาคลุมกาย ส่วนเจ้าของเดินนำหน้าห่างออกไปแล้ว

    ตากลมหลังเลนส์กวาดมองไปรอบๆ บริเวณ เขามองไม่ออกว่าเป็นที่ใดในกรุงเทพฯ คงเพราะเขาเพิ่งมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นานนักเลยไม่ค่อยรู้จักสถานที่มากนัก แต่ที่อริญชย์พามามันดูคล้ายกับสวน...ไม่ใช่สิ เหมือนสนามหน้าบ้านมากกว่า ดนตร์เอี้ยวมองกลับไปด้านหลังก็เห็นประตูรั้วที่อยู่ห่างออกไปร่วมร้อยเมตร ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนมีน้ำพุรูปเทพเจ้ากรีกโบราณ ไอเย็นมีมากกว่าปกติจากละอองน้ำ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ตากลมเบิกกว้างเมื่อพบกับอาคารทรงยุโรปสีขาวขุ่นตั้งทะมึนอยู่เบื้องหน้า

   “มาสิ หรืออยากให้ฝูงร็อตไวเลอร์ออกมาต้อนรับ”

   ดนตร์ตาโตรีบวิ่งตามร่างสูงไปติดๆ ถึงจะชอบเล่นกับหมา แต่ถ้าเป็นหมาพันธุ์ร็อตไวเลอร์เขาขออยู่ให้ห่างที่สุดจะดีกว่า

   อริญชย์เดินนำเข้ามาในตัวบ้าน ดนตร์ได้กลิ่นความเงียบเหงามากจนถึงวังเวงจากบ้านหลังใหญ่ มันดูเหมือนพิพิธภัณฑ์ของเก่ามากกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ด้วยเครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์ที่แม้แต่คนที่ไม่นิยมสะสมของเก่ายังดูออกว่าอายุของพวกมันไม่ต่ำกว่า 20 ปี แน่นอน เด็กหนุ่มหยุดมองแจกันทรงสูงลายดอกเหมย มันเหมือนกับที่อยู่ในหนังกำลังภายในที่เคยดูไม่มีผิด พอจะยกมือขึ้นจับเสียงห้าวก็ดังขึ้น

    “ชิ้นนั้นเป็นของเก่าแก่สมัยราชวงศ์ชิง พ่อฉันได้มาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ถ้านายทำมันแตกหรือแค่เป็นรอย พ่อฉันฆ่านายตายแน่”

   มือขาวจัดชักกลับ แล้วซ่อนมันลงในกระเป๋ากางเกงทันที อริญชย์หัวเราะในคอ มองดูร่างโปร่งที่เดินเบี่ยงตัวหนีสมบัติเก่าแก่ แล้วไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่ที่มุมห้อง

    “เตรียมอาหารเย็นด้วย วันนี้ผมมีแขก”

   เจ้าของบ้านร้องบอกกับใครสักคน แล้วก็มีชายชรา ผมสีดอกเลา สวมชุดสูทสีดำปรากฏตัวขึ้น ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร ทำแค่น้อมตัวลงเล็กน้อยและปรายตามองร่างของ ‘แขก’ ที่อริญชย์กล่าวถึง

    “นี่บ้านพี่เหรอ” อาคันตุกะหนุ่มถาม ยังยืนอยู่ที่เดิมเพราะกลัวจะทำข้าวของในบ้านพังและโดนฆ่าตาย

   อริญชย์กลั้นยิ้ม ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปใกล้ ดนตร์ในเสื้อคลุมตัวใหญ่ดูเหมือนเด็กจอมซนที่เอาเสื้อคนโตมาใส่ไม่ผิด ดวงหน้าขาวจัด แต่ปลายจมูกแดงเรื่อด้วยอากาศหนาว พวงแก้มใสตึงน่าดึงเล่นไม่หยอก ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดปลั่งเผยอขึ้นน้อยๆ ตอนที่กวาดตามองไปรอบๆ บ้านของเขา มือใหญ่ยื่นไปรั้งหัวไหล่เล็กเอาไว้ กลิ่นกายหอมประหลาดแทรกมากับกลิ่นน้ำหอมที่ติดในเสื้อคลุมของเขา อริญชย์เผลอสูดหายใจลึก....กลิ่นเหมือนนม

   “ใช่ ทำไม คิดไม่ถึงเหรอว่าคนอย่างฉันจะมีบ้านแบบนี้”

   “เปล่าครับ” ดนตร์สั่นศีรษะ “แค่คิดไม่ถึง”

   ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปาก “บ้านของพ่อน่ะ แต่เจ้าของบ้านไม่ค่อยกลับบ้านเท่าไร วันๆ เอาแต่ทำงาน กินนอนที่บริษัท”

   “พี่ไม่เหงาเหรอครับ” ดนตร์ถามด้วยดวงตาใส...และซื่อ

   “ไม่หรอก...ชินแล้ว”

   เด็กหนุ่มไม่ได้ถามอะไรต่อ ขืนตัวออกจากมือเขา แล้วปลดเสื้อโค้ทคืนให้ “แล้วพี่พาผมมาที่นี่ทำไม”

   “กินข้าว ฉันไม่ชอบกินข้าวนอกบ้าน ฝีมือแม่บ้านที่นี่อร่อยกว่าในภัตตาคารเสียอีก”

   ดนตร์ยกยิ้มแหยๆ สีหน้าคล้ายไม่เชื่อในคำพูดของเขาเท่าไร “ถ้ากินอิ่มแล้ว พี่ช่วยไปส่งผมที่มหา’ลัย ด้วยนะครับ พรุ่งนี้ผมมีเรียนแต่เช้า”

   “ไม่รับปาก”

    “ห๊า!”

    อริญชย์อมยิ้ม มองใบหน้าเหรอหราของหนุ่มรุ่นน้อง คิ้วหนาแต่สวยได้รูปขมวดมุ่น ดวงตาคู่ใสฉายแววกังวล ดนตร์ไม่รู้ตัวหรอกว่าท่าทางแบบนี้มันน่ารักแค่ไหน เขาแอบมองพฤติกรรมของดนตร์มาพักใหญ่แล้ว อากัปกิริยาที่เป็นไปตามธรรมชาติ สีหน้าและแววตาแสดงออกตามความรู้สึกมันซื่อตรง มันดึงดูดสายตาของเขาได้อย่างน่าประหลาด ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ถูกเสน่ห์ของดนตร์เล่นงาน แต่ยังมีธาวินและศัตรูอีกคนที่ซ่อนกายอยู่ในความมืด ทว่าวันนี้เขาได้เห็นมันปรากฏตัวอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก...กรณ์

    ที่ผ่านมาเขาพอจะรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่ากรณ์สนใจดนตร์ ทว่าเจ้าตัวมีคนรักแล้ว แถมยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย ถึงจะคบหากันมาพักใหญ่แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ากรณ์ต้องการอะไร

    อริญชย์มองดูเส้นผมยุ่งๆ ของเด็กตัวเล็ก ในความจริงดนตร์ไม่ได้ตัวเล็กถึงขนาดจะพาอุ้มไปไหนต่อไหนได้ แต่ถ้าเทียบกับคนที่สูงเกินหกฟุตอย่างเขาแล้วก็นับว่าตัวเล็กอยู่ดี ดวงหน้าเรียว มีแก้มกลมๆ ให้พอน่าดึง ริมฝีปากสดระเรื่อ ผิวขาวผ่องยิ่งกว่าผู้หญิง เขาเป็นพวกไม่สนใจเรื่องเพศ ขอแค่ถูกใจก็พอแล้ว และดนตร์ก็ถูกใจเขา ดนตร์มองมาที่เขา สีหน้าดูไม่แช่มชื่นเท่าไร

   “ทำไม ไม่อยากอยู่กับฉันเหรอ”

   “เปล่า” ศีรษะกลมสั่นไวๆ “ผมแค่ห่วงงาน ตอนบ่ายผมไม่ได้เข้าเรียนด้วย”

   “ไม่ได้เข้าเรียน” อริญชย์ยกคิ้วสูง สาวเท้าเข้าใกล้คนตัวเล็ก ทิ้งระยะห่างแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น เขาได้กลิ่นน้ำนมอ่อนๆ ปนมากลับกลิ่นคล้ายกับลูกท้อ “ไปกับกรณ์?”

    “ไม่ใช่ครับ” เด็กหนุ่มปฏิเสธทันที “ผมมีธุระอย่างอื่นน่ะ”

   ตากลมใสหลุบต่ำ ไม่สบประสานสายตา อริญชย์ยกยิ้ม ใช้จังหวะนั้นโอบแขนรอบหัวไหล่เล็ก ก่อนจะตวัดร่างโปร่งมาไว้ในอ้อมแขน ดนตร์ตกใจตาโต ยกมือดันอกเขาทันที

   “พี่จะทำอะไร! อื้อ!”

    จมูกโด่งประทับไปบนแก้มนุ่มเต็มที่ สูดเอากลิ่นหอมของผิวกายไว้ในปอด ขณะที่มืออีกข้างยกโทรศัพท์ขึ้นสูงกดถ่ายรูปช๊อทเด็ดเอาไว้ ดนตร์ดิ้นรนจนหลุดจากอ้อมกอดของเขาได้ มือเรียวยกขึ้นถูแก้มตัวเองแรงๆ จนผิวขาวขึ้นรอยแดง

    “ทำบ้าอะไร!” ดนตร์ตวาดลั่น ใบหน้าน่ารักง้ำงอ

    อริญชย์ไม่ตอบโต้ แค่ยักคิ้วตอบกลับไปเท่านั้น ชายหนุ่มจัดการอัพรูปที่ได้มาในเฟซบุ๊คทันทีพร้อมกับแคปชั่นสั้นๆ ว่า ‘แก้มนุ่มและหอมมาก’

    “พวกพี่แม่งโรคจิตเหมือนกันหมด” คนตัวเล็กกว่าว่า คิ้วขมวดมุ่น หน้ายุ่งแต่กลับน่ารักในสายตาของคนเห็น เขาไม่แน่ใจ...หรืออาจจะคิดไปเอง ดนตร์น่ารักขึ้น ไม่ใช่น่ารักในระดับธรรมดา แต่มีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น...มันคือเสน่ห์เย้ายวนที่เขาไม่อาจหาที่มาหรือคำอธิบายได้

    “ไม่งั้นจะคบกันได้เหรอ” อริญชย์สวนกลับ ฉวยข้อมือเล็กแล้วจูงกึ่งลากมาที่โต๊ะอาหารกลางห้องโถง

    แม่ครัวประจำบ้านทำงานได้รวดเร็วทันใจ ใช้เวลาต่อปากต่อคำกับดนตร์ไม่นานอาหารก็วางเต็มโต๊ะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของเขาทั้งสิ้น ดนตร์ทำหน้างุนงงระหว่างที่เขาพาไปนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่

(มีต่อ)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 8 ศึกชิงชาย นายดนตร์ [18/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 18-06-2017 22:15:18

        โต๊ะอาหารตัวยาววันนี้ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนเช่นทุกวัน เพราะเขามีเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นเด็กน้อยหน้ามุ่ย แต่ไม่นานคิ้วสวยก็คลายลง ตากลมเป็นประกายเมื่อเห็นอาหาร ดนตร์ลงมือกินทันทีโดยที่เขายังไม่ได้เอ่ยปากชวนด้วยซ้ำ

   อริญชย์มองดูอาคันตุกะพิเศษที่เพลิดเพลินอยู่กับอาหารตรงหน้าโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาสนทนากับเขาสักคำ ส่วนเขากินไปแค่ไม่กี่คำเท่านั้น ยอมรับว่าการที่ได้นั่งมองดนตร์กินมีความสุขกว่าเยอะ

    “อ่า...อิ่ม”

    มือเรียวยกขึ้นตบหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของตัวเองเบาๆ อาหารพร่องไปหลายอย่าง แต่ที่หมดเยอะที่สุดคือข้าวเปล่า ดนตร์กินข้าวเยอะมากจนเขายังแปลกใจ

    “อิ่มแล้วเหรอ เอาขนมหวานไหม”

   ศีรษะทุยสวยสั่นน้อยๆ “ผมไม่ชอบกินขนมหวาน แต่ถ้าเป็นนมจะดีมาก”

    อริญชย์หัวเราะเบาๆ ร้องสั่งนมวนิลาอุ่นๆ มาให้ตามที่ร้องขอ และไวน์แดงสำหรับตัวเอง ใช้เวลาไม่กี่นาทีดนตร์ก็จัดการนมสีขาวขุ่นในแก้วทรงสูงจนหมด ลิ้นสีชมพูตวัดเลียรอบริมฝีปากเป็นการปิดท้าย อริญชย์รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นผิดปกติ เขาคงบ้าไปแล้วที่คิดว่ากิริยาท่าทางแบบนั้นคือการ ยั่ว

    “พี่ครับ ผมอยากกลับหอแล้ว”

    “กินอิ่มก็จะกลับเลยเหรอ” เจ้าของบ้านถาม พลางหมุนแก้วในมือเล่น แอลกอฮอล์ดีกรีอ่อนไหลผ่านในกายช่วยทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีนัก “ให้เกียรติเจ้าบ้านด้วยการนั่งคุยกันสักพักสิ”

    “แต่...”

   “แค่สิบนาที...ได้ไหม”

   ดนตร์พรูหายใจ แต่ก็ยอมพยักหน้าตอบรับ “ก็ได้ครับ”

    แม้จะบอกว่าเป็นการพูดคุย แต่เขากลับไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ เพียงแต่ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่และดึงยื้อเวลาต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น ดนตร์ขยับตัวคล้ายกับจะอึดอัด หลายครั้งที่ริมฝีปากสวยนั่นอ้าหาว เจ้าตัวขยี้หน้าแรงๆ จนน่ากลัวว่าผิวขาวจะช้ำ...คงง่วงมากจริงๆ

   อริญชย์วางแก้วไวน์ลง แล้วลุกขึ้นไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณที่บิดาได้มาจากอังกฤษ ถึงอายุของมันจะมากกว่าอายุของเขาหลายสิบปี แต่ประสิทธิภาพของมันยังยอดเยี่ยม เขาใช้มันเปิดเพลงจากแผ่นเสียงเก่าๆ มาตั้งแต่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น มีไม่กี่คนหรอกที่จะรู้ว่าหู่อริญชย์คนนี้จะชอบฟังเพลงยุค 60-70 เขาเลือกเพลงของ John lennon วางลงบนเครื่องเล่น ไม่นานเสียงเพลงเก่าแต่เต็มไปด้วยมนต์ขลังก็กังวาน ความเงียบถูกทำลายด้วยท่วงทำนองเพลงที่ไพเราะ เขาชอบเครื่องดนตรีเล่นสดไม่ใช่ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อย่างในสมัยนี้
   
    ร่างสูงเดินไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม เลือกแก้วทรงกรองด์ครูซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เขาถืออยู่มาใบหนึ่ง จัดการเทไวน์แดงลงไปเกือบครึ่งแก้วแล้วหมุนตัวกลับไปหาคู่สนทนาที่นั่งตาปรือปรอยอยู่ที่เดิม

   ชายหนุ่มยื่นแก้วให้เด็กหนุ่มตัวเล็ก อีกฝ่ายทำหน้างงๆ “เอาสิ นี่ไวน์แดงจากชิลี พ่อฉันได้มาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ขวดนี้ราคาร่วมแสนเลยนะ”

   ดนตร์ตาโต ส่ายหน้าหวือ “ไม่เอาหรอกครับ ผมไม่กล้ากิน เดี๋ยวพ่อพี่ฆ่าผมตาย”

    อริญชย์หัวเราะ “ไวน์มีไว้กิน เรื่องไวน์พ่อฉันไม่หวงหรอก มีเป็นพันๆ ขวด”

   “เป็นพันเลยเหรอ”

   “ใช่ พ่อฉันชอบสะสมไวน์ แล้วก็พวกของเก่า” เขาบอกคร่าวๆ อันที่จริงตาแก่จอมงกนั่นยังชอบสะสมเงินอีกด้วย ชอบเสียจนละเลยลูกเมีย อริญชย์หลับตาลงปัดเรื่องรกสมองทิ้ง “ลองชิมดูสิ ฉันว่ารสชาติมันก็ไม่เลวนัก”

   ดนตร์มองแก้วไวน์ในมือ แค่วิธีการจับแก้วก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวเล็กนี่ไม่เคยกินไวน์มาก่อน น่าจะถนัดไปทางเหล้าหรือเบียร์มากกว่า ไม่นานหลังจากการชักชวน มือขาวก็ยกแก้วจรดริมฝีปาก แล้วกระดกรวดเดียวหมด ไม่ได้ละเมียดชิมรสหวานกำซ่านอย่างนักดื่มไวน์ทำกัน เด็กจอมตะกละไอโขลกหลังจากที่ไวน์ปริมาณไม่น้อยไหลลงคอ อริญชย์หัวเราะเบาๆ ด้วยนึกขำในความซื่อจนบื้อของดนตร์

    “ค่อยๆ จิบสิ ฉันไม่แย่งนายกินหรอกน่า” อริญชย์ดึงแก้วในมือขาวออก แล้วจ่อแก้วของตัวเองที่ริมฝีปากสวย “อ้าปากสิ เดี๋ยวจะสอนวิธีการดื่มไวน์ให้”

    ตาคู่ใสช้อนมอง แต่ก็เผยอกลีบปากกับขอบแก้ว “ค่อยๆ จิบ ปล่อยให้ลิ้นสัมผัสรสหวานของมันก่อน แล้วค่อยกลืน”

    ก้านนิ้วยาวกระดกแก้วสูงขึ้นเพื่อให้น้ำสีแดงเข้มไหลผ่านริมฝีปากของเด็กหนุ่ม ดนตร์ทำตามอย่างว่าง่าย เขาเห็นแก้มกลมขยับน้อยๆ เจ้าตัวคงใช้วิธีการกลั้วแทนการละเมียดชิมรส อริญชย์ดึงแก้วออก มองกลีบปากที่ขึ้นสีกว่าเดิมด้วยไวน์แดง...น่าจูบ

     “หวานไหม”

   “อืม...หวานแล้วก็ฝาดด้วย”

   “นั่นแหล่ะ รสของไวน์ คนถึงได้เมาไม่รู้ตัว”

   ดนตร์พยักหน้ารับรู้ ลิ้นสีสดแตะรอบกลีบปากโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่า กิริยานั่นเป็นการยั่วยวนชวนให้ตบะแตกนัก

    อริญชย์มอมเมาเด็กคอทองแดงด้วยไวน์แดงรสเลิศอีกหลายแก้ว แก้มใสสุกปลั่งด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ดนตร์ในยามที่สติไม่สมประดีกลายเป็นเด็กช่างพูด เขาฟังเสียงอ้อแอ้บอกเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ด้วยความเพลิดเพลิน บางเรื่องก็วกวนจนเกินกว่าจะจับใจความได้แต่ที่ทำให้เขาสนใจคือเจ้าตัวเล่าถึงครอบครัว ที่มีทั้งพ่อ แม่ พี่สาว พี่เขยและหลานชายตัวน้อย ซึ่งแม้จะเมาแต่ดนตร์ก็แสดงออกถึงความรักในตัวหลานชายออกมาให้เห็น

   “แม่บอกว่า หลานหน้าเหมือนผมเปี๊ยบเลย” ดนตร์พูดยิ้มๆ ดวงตากลมหรี่ปรือจวนเจียนจะปิดเต็มที

    ชายหนุ่มระบายยิ้มอ่อนโยน ซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็น มือใหญ่ยกขึ้นขยี้เส้นผมอ่อนนุ่มเบาๆ พอลูบซ้ำอีกสองสามทีคนเมาก็คอพับหลับมันเสียดื้อๆ


   “หลับแล้วเหรอ”
    ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เสียงลมหายใจเข้าออกในจังหวะสม่ำเสมอเท่านั้น ริมฝีปากหยักลึกเหยียดยิ้ม วางแก้วไวน์ที่ยังไม่หมดแก้วนับตั้งแต่เริ่มกินลง ก่อนจะช้อนร่างเล็กอ่อนปวกเปียกไว้ในอ้อมแขน...



    เสื้อยืดแขนยาวถูกเลิกขึ้นสูง ผ่านช่วงเอวคอดบาง จนถึงแผ่นตึง ผิวขาวใสเช่นเดียวกับทารกกระตุ้นให้เลือดในกายร้อนผ่าว ความต้องการอัดแน่นอยู่ที่ท้องน้อยและไหลลงไปสู่เบื้องล่าง กางเกงคับแน่นจากบางส่วนที่ขยับขยาย ปลายนิ้วสั่นเทากรีดลากไปบนเนื้อนุ่ม น่าแปลกที่เป็นผู้ชายแต่กลับมีผิวกายเนียนนุ่มยิ่งกว่าสตรี ดวงตาเขาพร่าเลือนตอนที่จ้องมองความขาวสะอาด แล้วนิ้วก็หยุดกึก เมื่อมองเห็นรอยบางอย่างที่ประทับบนผิวขาวเนียน...รอยจูบ

   ถึงเขาจะไม่ใช่พวกเจนจัดเรื่องบนเตียง แต่รอยพวกนี้เขาก็รู้จักมันเป็นอย่างดี มันไม่ใช่รอยจากเขี้ยวของแมลงที่ไหน หากแต่เป็นรอยที่เกิดจากฝีมือ ไม่สิ ต้องเรียกฝีปากจากมนุษย์มากกว่า ชายหนุ่มดึงนิ้วกลับ ความปรารถนาที่ลุกลามเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความโกรธขึงอย่างรวดเร็ว ไอ้สารเลวหน้าไหนที่บังอาจตีตราจองบนเรือนร่างนี้!

    มือหนากำเข้าหากันแน่น สันกรามขบสันเป็นนูน ศัตรูหัวใจของเขาประกาศศักดาด้วยการสร้างรอยแห่งความเป็นเจ้าของไว้แล้ว ไม่ใช่แค่ที่หน้าอก แต่เมื่อสังเกตดีๆ รอยแดงช้ำพวกนี้มันกระจายไปทั่วเรือนกาย ผิวของดนตร์ขาวจัดยิ่งทำให้รอยพวกนั้นเห็นชัดกว่าเดิม เขาพยายามเดาหาเจ้าของรอยพวกนี้ ที่จริงมันไม่ได้ยากเกินไปกว่าความสามารถเพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่ามันจะกล้าทำถึงเพียงนี้...กรณ์

    บางรอยที่เพิ่งเกิดใหม่บอกได้ดีว่าผู้กระทำคือคนที่อยู่กับดนตร์เป็นคนสุดท้าย แล้วก็เป็นกรณ์ เขามั่นใจว่าไม่ใช่ธาวิน เพราะไอ้หมอนั่นมันอยู่กับเขาจนเกือบสี่โมงเย็นก่อนจะแยกย้ายกันไป ขณะที่กรณ์หายตัวไปตั้งแต่ช่วงเที่ยง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ศัตรูในเงามืดน่ากลัวจริงๆ มันรุกหน้าแต่ทำเรื่องระยำ ถ้าหากว่ามันเป็นคนโสดเหมือนเขากับธาวินความเลวของมันจะไม่หนักหนาเท่านี้ แต่เพราะมันมีคนรักอยู่แล้ว หนำซ้ำยังทำท่าเหมือนเกลียดดนตร์

   คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ความวาบหวามหายไปสิ้น สำนักผิดชอบชั่วดีหวนกลับคืน มือแกร่งเลื่อนเสื้อยืดลงกลับที่เดิมก่อนจะตลบผ้าห่มคลุมร่างโปร่งไว้ ร่างสูงถอยห่างจากเตียงกว้าง ก้าวยาวๆ ออกมาที่ระเบียง พร้อมกับบุหรี่

    เขาสูดเอาควันสีขาวลงไปในปอดจนลึกที่สุดแล้วค่อยปล่อยบางส่วนออกทางลมหายใจและริมฝีปาก ความคิดดำดิ่งอยู่ที่ร่างของคนบนเตียงกับเพื่อนรักอีกสองคน นี่มันบ้าชะมัด นี่เขา ธาวิน และกรณ์กำลังจะแตกคอกันเพียงเพราะต้องการดนตร์มาเป็นของตัวเอง อริญชย์ปรายตามองไปยังร่างเล็กที่ยังหลับสนิทบนเตียง หรือบางทีเขาควรจะรักษามิตรภาพของเพื่อนไว้โดยการถอนตัวออกมา

    นิ้วเรียวดีดเศษบุหรี่ทิ้งบนอากาศปล่อยให้มันถูกสายลมพัดไป เรียวปากหยักกดยิ้มลึก แต่บางทีเกมการแย่งบชิงก็สนุกดีเหมือนกัน โลกสีเทาของเขาจะได้มีสีสันขึ้นมาบ้าง...




    ดนตร์ยกมือขึ้นกุมหัวใจที่เต้นเร็วจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมานอกอก เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายตามไรผม ริมฝีปากเผยออ้าเพื่อช่วยหายใจ สองขายังสั่นเทาจากกาออกแรงมากเกินไป เปลือกตาบางปิดลง นานจนกระทั่งจังหวะหัวใจค่อยๆ ลดระดับลงจึงเปิดตาขึ้น เฉียดฉิวจริงๆ ทุกอย่างเร่งรีบไปหมดไม่มีเวลาแม้แต่จะอาบน้ำหรือแม้แต่จะเปลี่ยนชุด...เขามาเรียนด้วยเสื้อผ้าชุดเมื่อวาน

   เขาเข้ามาในห้องเรียนก่อนหน้าอาจารย์เกลือเพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้น รู้กันว่าใครที่เข้าหลังอาจารย์สุดเฮี้ยบจะไม่ได้รับการเช็คชื่อแม้จะเข้าเรียนทั้งคาบก็ตาม มือเรียวดึงเอาชีทออกมาระหว่างที่อาจารย์กำลังเตรียมตัวสอน

   “นี่ๆ”

    ที่หัวไหล่ถูกสะกิดจากคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เมธัสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระยะประชิดจนเขาต้องดึงหน้าหนี ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยคำถามแกมอยากรู้อยากเห็น ดนตร์ขมวดคิ้ว นี่เขาต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ทุกวันเลยหรือไงกัน

    “อะไรอีก” เขากระซิบถามลอดไรฟัน พอจะรู้อยู่หรอกว่าเจ้าจอมยุ่งนี่อยากรู้อะไร ตากลมเหลือบไปมองผู้หญิงที่นั่งถัดจากเมธัส... ลลิตาก็มีอาการไม่ต่างจากเมธัส เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เริ่มหันมามองทางเขาด้วยความสนใจใคร่รู้

    “เมื่อวานเรื่องของนาย พี่กรณ์ แล้วก็พี่รันดังไปทั่วมหา’ลัยเลย นี่ได้เข้าไปเฟซบุ๊คบ้างหรือยัง”

    “ยัง” ดนตร์สั่นหัว แต่เรื่องของเขา กรณ์และอริญชย์มันไม่ได้อยู่เหนือจากที่คาดการณ์ไว้นัก แค่ไม่อยากจะเก็บมาใส่ใจ แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว

    “นายนี่แม่งโคตรเสน่ห์แรง อยากรู้จริงว่าเด็กเนิร์ดนี่เด็ดตรงไหน” ตาโตๆ ของเมธัสเป็นประกายจนน่าขนลุก ดนตร์เบี่ยงตัวหนี แต่ช้าเกินไป นิ้วเรียวเกี่ยวคอเสื้อให้เปิดกว้าง เมธัสชะโงกหน้ามาใกล้ลำคอ

    เขารีบยกมือกระชากคอเสื้อกลับ เอ็ดเพื่อนรักเสียงดุ “ทำบ้าอะไร!”

   เมธัสชักหน้ากลับ รอยยิ้มทะเล้นจางไปจากใบหน้า ริมฝีปากกำลังจะอ้าถามแต่เสียงของอาจารย์เกลือดังขึ้นเสียก่อน เป็นการยุติข้อสงสัยได้ทันท่วงที

    ดนตร์สั่งให้ตัวเองจดจ่อไปกับการสอนของอาจารย์ แต่หลายครั้งที่ความตั้งใจมันมักจะหลุดเข้าไปสู่ห้วงความคิดที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็สลัดไม่หลุดเสียที

    เมื่อเช้านี้เขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าสถานที่ที่กำลังนอนอยู่ไม่ใช่เตียงในหอพักของตัวเอง ทว่ามันกลายเป็นเตียงกว้างสีเทาสะอาดและอบอุ่น เขาเด้งตัวขึ้นราวกับติดสปริงไว้ที่หลัง พอตั้งสติได้ก็ระลึกถึงความทรงจำสุดท้าย และเขาก็ได้แค่รสหวานแกมฝาดของไวน์เท่านั้น ดนตร์ยกมือทึ้งผมตัวเอง เขาคงหลับไปเพราะตะกละกินไวน์ราคาแพงไปหลายแก้ว หลังจากด่าตัวไปร้อยรอบเขาก็มองหาเจ้าของห้อง แต่นอกจากเตียงกว้างๆ กับเฟอร์นิเจอร์หรูหราแล้วเขาก็ไม่พบใครอีก ตอนนั้นเขาอุปมาอุปไมยคิดไปเองว่า อริญชย์อาจจะตื่นไปเรียนแล้ว แต่เขาคิดผิด เพราะเมื่อก้าวลงบันไดจนถึงขั้นสุดท้ายเขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ในห้องโถง สีหน้าสดชื่นอยู่ในชุดที่พร้อมจะออกไปข้างนอก อริญชย์เลิกคิ้วน้อยๆ ตอนที่เห็นเขา พร้อมกับส่งรอยยิ้มทักทาย

    “เป็นยังไง หลับสบายไหม”

    “เอ่อ....สบายดีครับ ผมกลับก่อนนะครับ”

   เขารีบตัดบทสนทนา ทว่าเจ้าของบ้านไม่ยอม เพียงแต่ก้าวผ่านร่างหนา ท่อนแขนก็ถูกคว้าไว้ ทั้งร่างปลิวไปปะทะกับลำกายแกร่งอย่างง่ายดาย นาทีนี้เขาตกใจจนลืมขัดขืนได้แต่อ้าปากหวอมองหน้าอีกฝ่ายเท่านั้น

    “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

    “ผมปะ..ไปเองได้” สติเพิ่งฟื้นคืน เขาขืนตัวให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแรง โชคดีที่อริญชย์ไม่ได้เป็นงูเหลือมเลยคลายมือออกพอให้เขาดิ้นหลุดได้

   “จะไปยังไง นี่แปดโมงกว่าแล้วนะ มีเรียนตอน 9 โมงไม่ใช่เหรอ”

    เขายกนาฬิกาที่ได้รับจากพี่สาวในวันเกิดเมื่อปีที่แล้วขึ้นดู เหลืออีก 20 นาทีจะ 9 โมง ถ้าหากขึ้นรถเมล์หรือรถไฟคงเข้าเรียนไม่ทันแน่ เขาชั่งใจอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็ยอมตอบตกลง ดังนั้นเมื่อเช้านี้เขาเลยมีราชรถเป็นออดี้สีขาวมาส่งถึงหน้าคณะ

    “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ แล้วอย่าลืมคาบหน้าเอางานที่สั่งมาส่งด้วย ใครส่งช้าตัด 20 คะแนน”

   เสียงอาจารย์เกลือดังขึ้น หยุดความคิดที่หลุดไปในอดีตได้พอดี ดนตร์กะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าในช่วงที่เขาเข้าสู่ภวังค์ความคิดท่านอาจารย์จะมอบงานให้มาแล้ว มือเรียวทึ้งผมตัวเองอีกรอบ หงุดหงิดในความงี่เง่าของตัวเอง แต่คงเพราะความมึนงงแกมสับสนที่ปรากฏชัดบนใบหน้ามากเกินไป เมธัสที่แสนดีเลยช่วยบอกสิ่งที่เขาพลาดไปให้

    “อาจารย์เกลือให้ไปเก็บข้อมูลทดลองเขียนเป็นบทภาพยนตร์เกี่ยวกับงานศิลปะ ส่งคาบหน้า ส่งไม่ทันถูกตัด 20 คะแนน”

    “ศิลปะ? แล้วจะไปเอาจากที่ไหนล่ะ ห้องสมุดเหรอ”

   “ไอ้โง่!” เมธัสทำหน้าเหม็นเบื่อ “แกมีรุ่นพี่คณะสถาปัตย์ที่มะรุมมะตุ้มอยู่ตั้งสามคน จะไปหาในห้องสมุดให้เหนื่อยทำไมวะ”

    ดนตร์ย่นจมูกใส่เพื่อนรัก ถ้าต้องไปขอความช่วยเหลือจากสามคนนั่น เขายอมไปนั่งเปิดหนังสือจนหมดห้องสมุดจะยังดีเสียกว่า

    ...แต่สวรรค์มักไม่เข้าข้างคนอับโชค...




    หลังจากที่ปฏิเสธจนคอเป็นเอ็นสุดท้ายเขาก็แพ้ให้กับความดื้อดึงของเมธัสและลลิตา ทั้งคู่ลากเขามาถึงคณะสถาปัตย์จนได้ บรรยากาศค่อนข้างต่างจากคณะที่เขาเรียนอยู่พอสมควร มันค่อนข้างเงียบเมื่อเทียบกับคณะอื่นๆ แถมยังมีพวกแต่งตัวแปลกๆ เดินเต็มไปหมด บางคนไว้ผมยาว หอบหิ้วอุปกรณ์สำหรับงานตัวเอง บางคนก็แต่งตัวเหมือนหลุดมาจากนิตยสาร หลายคนส่งสายตามาที่พวกเขาแปลกๆ แต่อีกหลายๆ คนที่ทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน ดนตร์ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ภาวนาให้สิ่งที่เมธัสและลลิตาต้องการไม่เป็นผล หรืออย่างน้อยก็ขอให้ทั้งสามคนนั้นไม่อยู่ เพราะตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้น

    “ฉันว่าฉันไม่ไปดีกว่า พวกนายไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดเอง”

   “ไม่ได้” แฝดสยองตอบพร้อมกัน ก่อนพากันฉุดกระชากลากแขนของเขาให้ไปตามในทิศทางที่ตัวเองต้องการ

    เมธัสใช้ความสามารถในการสืบเสาะหาแหล่งกบดานของกรณ์และคนอื่นๆ ไม่นานข้อความจากบุคคลปริศนาก็ตอบกลับมาในโทรศัพท์มือถือ ริมฝีปากบางยกยิ้มแล้วพยักพเยิดให้ไปข้างหน้าอีกหน่อย

   พวกเขามาหยุดที่หน้าห้องๆ หนึ่ง ที่อยู่ท้ายสุดของทางเดิน บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบกว่าที่อื่น แต่ก็มีเสียงกุกกักลอดมาจากด้านในให้ได้ยิน เมธัสเขย่งปลายเท้าสอดส่องสายตาผ่านกระจกสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ ที่ติดอยู่บนประตู ก่อนจะกดโทรศัพท์มือถือหาใครสักคน จากนั้นไม่นานประตูบานใหญ่ก็เปิดออก กลิ่นสีและสารพัดกลิ่นโชยเข้าจมูกจนต้องเบ้หน้า

    “เข้ามาสิ” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยชวน เขาเพิ่งเห็นว่าผู้ที่มาเปิดประตูให้คือ นักรบ

    เพียงเสี้ยวนาทีที่เขาเห็นรุ่นพี่ตาดุหันมายิ้มให้เมธัสแล้วอีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับ พอจะอ้าปากถามแขนก็ถูกรั้งลากเข้าไปในห้องเสียแล้ว

    ภายในห้องค่อนข้างกว้าง และโล่ง มีเพียงโต๊ะยาวๆ ไม่กี่ตัวที่ตั้งระเกะระกะอยู่ เก้าอี้พลาสติกวางไม่เป็นที่ แต่ที่น่าสนใจคือผลงานหลายชิ้นที่วางอยู่รอบห้องมากกว่า แต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของผู้รังสรรค์ มีนักศึกษาหลายคนกำลังสร้างผลงานของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครหันมาสนใจการมาเยือนจากพวกเขา แต่ละคนเหมือนดำดิ่งอยู่ในโลกของตัวเองเท่านั้น

    ดนตร์หยุดมองภาพวาดสีน้ำมันด้วยความสนใจ มันเป็นภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็ก ที่ถูกรายล้อมด้วยลายเส้นและสีที่มองแล้วชวนหงอยเหงา

    “ภาพเด็กชายผู้โดดเดี่ยวน่ะ ได้รับรางวัลเมื่อปีที่แล้วนะ” นักรบบอกเรียบๆ

   ดนตร์ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่ออ่านชื่อของเจ้าของผลงานชิ้นดี ตากลมเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นลายมือหวัดๆ เขียนว่า ‘กรณ์’
    ที่จริงการที่ผลงานของกรณ์จะได้รับรางวัลไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเท่าไรนัก เพราะนอกจากรูปร่าง หน้าตา ที่โดดเด่นแล้ว ความสามารถของกรณ์ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เขาเคยได้ยินพวกสาวๆ พูดกันว่า กรณ์ได้รับใบตอบรับจากมหาวิทยาลัยดังๆ มากมายจากฝีมือทางด้านศิลปะ

    “อ้าว! เพลง ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่เนี่ย”

    เสียงร้องทักหยุดความสนใจจากภาพเด็กชายผู้โดดเดี่ยวเอาไว้ได้ ตากลมหันมองตามเสียงที่ได้ยิน ร่างสูงใหญ่คุ้นตายืนกอดอกยิ้มๆ มองมา ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาประชิดร่าง

    “พี่ธาม สวัสดีค่ะ”

    ลลิตาเอ่ยทักทายก่อน ธาวินยิ้มกลับอย่างอารมณ์ดีขณะที่มือหนาอยู่บนหัวไหล่ของเขาเรียบร้อยแล้ว “มาทำอะไรกัน อย่าบอกนะว่าคิดถึงพี่น่ะ”

    คำสรรพยอกจากธาวินยิ่งสร้างความกระอักกระอวนใจให้ดนตร์ แรงกระชับที่หัวไหล่มันแน่นกว่าปกติ เขาเหลือบตามองร่างสูง เสี้ยวนาทีที่ประสานสายตากันเขาเห็นแววขุ่นเคืองแทรกเข้ามา แต่แค่กะพริบตาทุกอย่างก็กลายเป็นปกติ ธาวินยังคงยิ้มสดใสเช่นเคย

   เมธัสอธิบายถึงจุดประสงค์ที่ต้องมาถึงที่นี่ รุ่นพี่ตัวสูงสองคนพยักหน้าหงึกหงัก “แล้วพวกนายอยากได้ข้อมูลด้านไหนล่ะ ปั้น วาด หรือออกแบบ”

    “ขอดูก่อนได้ไหมครับ” เมธัสบอก ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย

    นักรบกับธาวินเดินนำหน้าพารุ่นน้องทั้งสามเข้าไปด้านใน จากแสงสีเหลืองสว่างจ้ากลายเป็นแสงสีส้มนวลตา กลิ่นสีเหม็นฉุนขึ้นด้วยเช่นกัน ลลิตาทำหน้าเหมือนกำลังสูดเอาสารพิษเข้าปอด แต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่น กระทั่งถึงท้ายสุดของห้องพวกเขาก็ได้พบกับอริญชย์ กรณ์และผู้หญิงอีกคน...โยษิตา

    อริญชย์ยกยิ้มเมื่อเห็นรุ่นน้องทั้งสามและทิ้งสายตากับร่างโปร่งของเด็กหนุ่มสวมแว่น ผิวขาว ร่างสูงผุดลุกจากเก้าอี้พลาสติก วางดินสอในมือลง ก่อนจะก้าวเข้ามาทักทาย โดยทิ้งระยะไม่ถึงหนึ่งช่วงแขนด้วยซ้ำ

    “ว่าไงตัวเล็ก คิดถึงพี่เหรอ แต่ก็เพิ่งแยกกันเมื่อเช้านี้เองนี่นา...หรือว่าคิดถึงพี่จนทนไม่ไหว”

    ดนตร์ทำหน้าปั้นยาก แสงสีส้มจากดวงไฟคล้ายกับจะกลายเป็นสีเทาลงในพริบตา เขารู้สึกถึงไอเย็นประหลาดที่ลากผ่านแนวกระดูกสันหลัง ที่หัวไหล่รับรู้ถึงแรงบีบที่มากกว่าเดิม ขณะเดียวกันสายตาจากอีกคนก็คล้ายกับจะเผาเขาให้มอดไหม้เสียตรงนี้

    “ฉันว่าแกคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยว่ะ” ธาวินตอบแทนคนถูกถาม

    อริญชย์ยกยิ้ม ยกมือขึ้นแตะบนผิวแก้มอ่อนใสแผ่วเบา ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไล้บนผิวนุ่ม “รูปนั้นยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอวะ หรือจะต้องให้บอกว่าเมื่อคืนฉันกับน้องเพลงเรา...”

   ตึง!

    เก้าอี้พลาสติกล้มลงกระแทกพื้น ทุกคนหันไปมองต้นตอด้วยความตกใจ กรณ์ลุกขึ้นยืน ดวงตาคมขุ่นจัด ภาพร่างที่ยังไม่เสร็จถูกละทิ้ง เมื่อเจ้าของทิ้งดินสอลง หมดอารมณ์ที่จะทำต่อ มือหนาสอดลงกระเป๋ากางเกง ดวงตาดุดันจ้องมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนรักทั้งสอง

    ...คิดจะลองดีสินะ...

    “ยาหยี เมื่อกี้คุณบ่นว่าอยากได้คอเล็คชั่นใหม่ของจีวองชี่ใช่ไหม ผมว่างแล้วเราจะไปกันเลยไหม”

   “ว่างแล้วเหรอคะ ไหนว่าต้องรีบ...”

   “สำหรับคุณผมมีเวลาให้ตลอด รีบๆ หน่อยก็ดีผมได้กลิ่นคาว เหม็นจะอ้วก”

    โยษิตาทำหน้างงๆ เพราะไม่ได้กลิ่นคาวอย่างที่กรณ์พูด แต่ก็เพราะอารามดีใจเลยเลือกที่จะไม่ใส่ใจ ร่างบางโถมเข้าใส่คนรัก เอียงใบหน้าซบกับท่อนแขนกำยำ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มสากเป็นการขอบคุณในความรู้ใจ

    กรณ์อมยิ้ม ทว่าดวงตาไม่ได้ละจากดวงหน้าขาว ดวงตากลมช้อนขึ้นมาประสานสายตา เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนที่มันจะเสมองไปทางอื่น ชายหนุ่มสอดมือรั้งเอวคอดเล็กของคนรักเอาไว้ ก่อนจะกดริมฝีปากบนกลุ่มผมสีน้ำตาลทองของเธอเบาๆ ทุกพฤติกรรมเขาจงใจทำให้มันเชื่องช้าอ้อยอิ่งเพราะต้องการให้คนตรงหน้าเห็นชัดๆ ริมฝีปากหยักหนากำลังจะคลี่ยิ้มเหยียดด้วยคิดว่าตัวเองกำลังจะมีชัย แต่แล้วรอยยิ้มก็จางหายลงอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง

    ดนตร์ยกมือขึ้นสอดรอบเอวสอบของคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะแนบใบหน้าลงไปบนอกแกร่ง กลิ่นเมนทอลเจือด้วยกลิ่นคล้ายผลไม้สุกโอบล้อมรอบตัว ดวงตากลมช้อนมองเจ้าของแผงอกกว้าง ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอ่ยคำน่ารักชวนให้คนฟังใจเต้นสั่นไหว

     “พี่รันฮะ บ้านพี่สวยจังเลย ไว้คืนนี้พี่พาผมไปอีกนะฮะ”


**************************************

อีพี่กรณ์นี่พระเอกนิยายไทยจริงๆ ค่ะ เอิ๊กกกกกก
ส่วนหนูเพลง พย๊ายามพยายามจะเข็นให้แมนกว่านี้ แต่มันทำย๊ากยาก เพราะส่วนตัวชอบเสพนิยายโบาณ ตัวละครเลยออกมาโบราณเหมือนละครหลังข่าวไปหน่อย

เอาไว้แก้ตัวเรื่องหน้าเนาะ :laugh:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 8 ศึกชิงชาย นายดนตร์ [18/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 18-06-2017 23:03:40
ลูกเจี๊ยบบบบบบ
ร้ายไม่ใช่เล่นนะเรา
เอาอีกลูก เอาอีกกกก
แหกอกอิพี่กรณ์ไปเลยลูก
อนุญาตให้นายเอกเรื่องนี้แรดได้ค่ะ

เชียร์พี่รันได้ไหม ดูแบดแบบผู้ดีอ่ะ 55555
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 8 ศึกชิงชาย นายดนตร์ [18/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 18-06-2017 23:33:54
ทำดีมากน้องเพลง ชอบที่นายเอกสเน่ห์แรงเอาให้พระเอกหายโง่ไปเลย
เพลงก็อย่าไปยอมเค้ามากนะลูกก มาต่อไวๆน้าาา ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 8 ศึกชิงชาย นายดนตร์ [18/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 19-06-2017 01:44:01
ตอนนี้เชียร์ทุกคนยกเว้นกรณ์ คนอื่นยังมีความเป็นพระเอกมากกว่า อิตากรณ์คือทำอะไรสวนความคิดหมด ทำร้ายจิตใจเพลงตลอด แล้วที่แย่ที่สุดคือขืนใจ(?)เพลงด้วย เอาจริงมันไม่แฟร์กับเพลงแล้วก็ ธาม รันที่ตั้งใจจีบเพลงจริงๆ เพราะเป็นพระเอกเลยจะทำไงก็ได้หรอ  :z6: :katai1: เอ หรือกรณ์ไม่พระเอก
เลยเชียร์ 3Pไปเลย ธามรันเพลง
เพลงก็มีคนมาชอบตั้งเยอะ ลองเปิดใจให้สักคน ไม่ก็เลือกทั้งหมด(เอาจริงๆใน3คนนี้ก็มีมุมร้ายๆกันทั้งนั้น สงสารเพลงต้องมาอยู่ในสนามอารมณ์)
แต่อย่างว่าแหละมันพูดง่ายแต่ทำยากละนะ
แต่ถ้าสุดท้ายพลิกล็อคมา4Pนะ  :hao7: :z1:
รอตอนต่อไปค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 8 ศึกชิงชาย นายดนตร์ [18/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 23-06-2017 22:53:54
 ฉันจะรอดูนังกรรรรณ์   จะรอดูวันที่แกเจ็บปวดดด
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 8 ศึกชิงชาย นายดนตร์ [18/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 23-06-2017 23:44:39
พี่กรณ์เงิบละสิ เจอน้องตอกกลับแบบนี้
รู้สึกหึงไหมละ 555+
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 9 เดิมพัน [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 25-06-2017 20:16:42
Chapter 9 เดิมพัน


    “พี่รันฮะ บ้านพี่สวยจังเลย ไว้คืนนี้พี่พาผมไปอีกนะฮะ”
    กรณ์ขบกรามเข้าหากัน เขาบดฟันจนรู้สึกถึงความปวดที่แล่นแนวขากรรไกร มือแกร่งกำแน่นจนเส้นเลือดหลังมือปูดโปน ดวงตาคมดุแข็งกร้าว แก้วตาสีดำราวกับจะมีเปลวไฟเล็กๆ ปะทุในนั้น เสียงลมหวีดหวิวในช่องหู ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธจัด...ดนตร์กำลังเติมเชื้อเพลิงให้โหมลุกยิ่งกว่าเดิม!

    ก่อนหน้าที่ดนตร์จะเข้ามาในห้องนี้ไม่กี่ชั่วโมง ทั้งเขา อริญชย์และธาวิน สาดสงครามเย็นใส่กัน เพราะทุกคนต้องการครอบครองดนตร์เหมือนกัน แต่ว่าที่จริงแล้วพวกเขาเริ่มทำสงครามมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วต่างหาก เมื่ออริญชย์โพสต์ภาพที่ตัวเองกำลังหอมแก้มดนตร์ลงในเฟซบุ๊ค ทั้งเขากับธาวินต่างก็รู้ดีว่า อริญชย์กำลังท้าทายพวกเขาอยู่ ตอนนั้นเขาไม่แน่ใจนักหรอกว่าดนตร์เต็มใจหรือโดนฉวยโอกาสกันแน่ ทว่าตอนนี้เขามั่นใจว่า ดนตร์เองก็ ‘ร่าน’ เหมือนกัน

   คำพูดและท่าทางที่แสดงให้เห็นบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ดี อริญชย์ส่งยิ้มพึงพอใจให้กับร่างโปร่งในอ้อมแขน และส่งสายตาดูแคลนไปที่ธาวินรวมถึงเขาด้วย อริญชย์โอบรอบเอวคอดเล็ก ขณะที่ร่างกายของทั้งสองห่างไม่ถึงคืบดีด้วยซ้ำ กรณ์เหลือบมองศัตรูอีกคน ธาวินเองก็มีทีท่าไม่ต่างกันกับเขา

    ทั้งสามกำลังห้ำหั่นกันผ่านสายตา

    “อ้าว! แล้วอย่างนี้เพื่อนพี่อีกคนไม่น้อยใจแย่เหรอน้องเพลง”

    นักรบเอ่ยแซว ริมฝีปากบางระบายยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย ท่าทางอารมณ์ดีผิดกับคนอื่นๆ ส่วนเมธัสที่อยู่ข้างๆ กันกลับทำตาโตลุ้นระทึกราวกับกำลังดูละครชิงรักหักสวาท

   คนที่ถูกกล่าวถึงไม่ปล่อยโอกาสให้อริญชย์ได้ใจนานนัก มือใหญ่ดึงหัวไหล่เล็กก่อนจะกระชากร่างของดนตร์เข้ามาในอ้อมแขนของตัวเองบ้าง กดน้ำหนักมือเพื่อบังคับให้เด็กหนุ่มอยู่กับตัวเอง

    “อย่าเล่นแบบนี้สิลูกเจี๊ยบ เราตกลงคบกันแล้วนี่นา”

    “เท่าที่จำได้ เพลงยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะคบกับนายน่ะ” อริญชย์แย้ง ใบหน้าหล่อดุดันยกสูง ปรายตามองคนคิดเข้าข้างตัวเอง
    ธาวินยิ้มเหยียด “แกอย่าคิดว่าการที่ลูกเจี๊ยบไปค้างบ้านแกแล้วจะได้เครดิตดีกว่าคนอื่น คงใช้แผนโง่ๆ เหมือนเดิมสินะ ไว้วันไหนมีโอกาสเหมาะๆ ฉันจะไปเผาห้องเก็บไวน์พ่อนาย จะได้ไม่มีไวน์ไว้มอมใครอีก”

    ดนตร์ตาโต มองหน้าอริญชย์สลับธาวิน คิ้วสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ “นี่พี่...มอม..”

   “เปล่า...นายคิดว่าพี่จะมีนิสัยเลวๆ อย่างนั้นเหรอ” อริญชย์บอก ดวงตากลมดุหันมองใครบางคน

    “โอ๊ย! คุยอะไรกันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย จะเปิดศึกชิงเกย์ก็ตามสบายเลยนะ ฉันกับกรณ์ขอตัวก่อน”

    โยษิตาแทรกขึ้น มือเรียวออกแรงดึงท่อนแขนกำยำของคนรักก่อนจะเดินนวยนาดออกไป โดยไม่ลืมทิ้งสายตาหมั่นไส้ไว้ที่ร่างของเด็กหนุ่มที่ใครๆ ก็พากันสนใจ

    ลลิตาเหลือบมองเพื่อนรัก ดนตร์มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ผิวที่ขาวจัดอยู่แล้วเผือดลงกว่าเดิม ดวงตากลมหลังกรอบแว่นทอดมองตามร่างสูงของผู้ชายที่เพิ่งออกไปกับคนรัก ถึงเธอจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแน่ชัด แต่ก็พอจะมองออกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างดนตร์กับกรณ์ ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แต่เชื่อว่าคนอื่นๆ ก็รู้สึกเหมือนกัน คงมีแค่โยษิตากระมังที่ไม่สนใจสิ่งใดนอกจากตัวเอง

    “เข้าเรื่องกันซะที น้องๆ มันอยากได้ข้อมูลเอาไปเขียนบทหนัง พวกนายช่วยให้รายละเอียดหน่อยก็แล้วกัน” นักรบตัดบท เป็นคนเดียวที่ยังไม่ลืมเรื่องที่รุ่นน้องทั้งสามคนมาหา มือหนาใช้โอกาสที่ทุกคนกำลังสนใจดนตร์สอดเข้าโอบเอวบางของเด็กหนุ่มตาโตข้างกาย เจ้าเด็กตัวแสบตวัดขึ้นมอง ริมฝีปากบางยู่น้อยๆ แต่ไม่ได้บิดตัวหนี

   คนที่เหลือไม่ได้สนใจคนที่จากไป อริญชย์ ธาวินและนักรบทำหน้าที่รุ่นพี่ที่ดีอธิบายและให้ข้อมูลที่น้องๆ ต้องการ แม้ว่าบางจังหวะสถานการณ์อาจจะอึดอัดไปบ้าง แต่สุดท้าย ดนตร์ เมธัสและลลิตาก็ได้ข้อมูลพอที่จะทำงานส่งอาจารย์เกลือได้...



    เจ็บใจ!
     ในอกของกรณ์เจ็บจี๊ดราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงไปบนเนื้อหัวใจ มือกำเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า หลายครั้งที่เผลอกัดริมฝีปากเพื่อระบายความรู้สึกห่วยๆ นี่ ทว่ากลับไม่มีอะไรช่วยให้มันบรรเทาเจือจางได้เลย

    ...ดนตร์กำลังลองดีกับเขา!...

    ไม่เพียงแต่ไม่สนใจคำขู่ แต่ดนตร์ยังท้าทายเขาอีกด้วย เสื้อผ้าชุดเดิม ผมยุ่งๆ นั่น บอกได้ดีว่าเมื่อคืนดนตร์ไปนอนค้างที่บ้านของอริญชย์มาจริงๆ ชายหนุ่มขบฟันแน่น รอบขมับปวดตุบด้วยความเครียดที่ก่อตัวขึ้นกะทันหัน จินตนาการของเขามันกำลังสร้างภาพเด็กหนุ่มตัวขาว ดิ้นเร่าใต้ร่างหนาใหญ่ของอริญชย์

   ระยำ! เขาจะไม่มีวันให้มันเป็นจริง!

    “กรณ์คะ เดี๋ยวฉันมานะคะ ฉันปวดท้อง”

   ตาคมช้อนจากแก้วกาแฟที่เย็นไปแล้วพักใหญ่โดยที่เขาเพิ่งจิบมันได้แค่นิดเดียว ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ เขารอจนกลิ่นน้ำหอมของคนรักผ่านร่างไปแล้วปล่อยให้ตัวเองจมจ่ออยู่กับความคิดบ้าๆ นั่นอีกครั้ง ไม่ใช่สิ! อันที่จริงเขาไม่เคยหยุดคิดถึงดนตร์ได้เลย...อย่างที่มีคนเคยกล่าวไว้ ความคิดมันห้ามกันไม่ได้จริงๆ

    โยษิตาคงจะไปห้องน้ำอย่างที่เธอว่าจริงๆ เพราะกระเป๋าใบใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อให้ยังวางอยู่บนเก้าอี้ตัวที่เธอเพิ่งลุกไป หลังจากได้กระเป๋าสมใจเธอก็ชวนเขามานั่งดื่มกาแฟ กลิ่นเมล็ดกาแฟคั่วช่วยให้เขาผ่อนคลายอารมณ์ได้ในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาทีเขาก็ถูกความเครียดเข้าครอบงำอีกครั้ง โดยมีชนวนเหตุมาจากเด็กหนุ่มที่ชื่อดนตร์ น่าแปลกใจเหลือเกินที่เจ้าเด็กแว่นนี่สามารถทำให้เขาหงุดหงิดได้ตลอดเวลา แต่วันนี้มันร้ายแรงกว่าที่ผ่านมา เพราะท่าทางยั่วยวนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ใครจะไปคิดล่ะว่าเด็กแว่นสุดเชยนั่นจะกล้าทำแบบนั้น ในอกของเขาร้อนไปหมดเหมือนมีไฟสุมอยู่ในนั้น พยายามคิดหาทางเอาคืน แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะเขามีคนรักอยู่แล้ว และไม่อาจทิ้งเธอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังรักเธออยู่...ใช่ยังรัก

    เขากับโยษิตาคบกันตั้งแต่เข้าเรียนในชั้นปีที่ 1 เธอเป็นผู้หญิงน่ารักและช่างเอาใจ แม้หลังๆ จะงี่เง่าเอาแต่ใจตัวเองบ้าง แต่มันคือนิสัยของผู้หญิง และไม่เคยทำให้เขาลำบากใจเวลาที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ของเขา

    กรณ์ถอนหายใจหนักๆ จนถึงตอนนี้เขายังแก้ไม่ตก รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องมันจะยุ่งเหยิงไปกันใหญ่แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะทำ เพียงเพราะคำว่า ‘พอใจ’ คำเดียวเท่านั้น

    เขาพอใจที่จะทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ พอใจที่จะเก็บโยษิตาไว้ที่เดิม และดึงเอาดนตร์มาไว้อีกคน เขามันเลว แต่เขาก็ไม่เคยบอกกับใครว่าเป็นคนดี

    โยษิตากลับมาหลังจากนั้นราวๆ 30 นาที ซึ่งมันนานจนเขาเกือบลืมไปแล้วว่ากำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟ สีหน้าเธอราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติทั้งที่หายไปนานจนผิดปกติ เขาเลือกที่จะไม่ถามเซ้าซี้ บางทีผู้หญิงก็อยากมีช่วงเวลาส่วนตัวบ้าง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยทำอย่างนั้นเลยก็ตาม

   “อิ่มหรือยังคะ”

   กรณ์พยักหน้า ที่จริงเขาไม่ได้อยากเข้ามานั่งกินกาแฟรสชาติแย่ยิ่งกว่าน้ำล้างจานแต่ราคาแพงบรมนี่สักเท่าไรนัก แต่ไม่อยากขัดใจเธอ โยษิตาเรียกบริกรมาคิดเงิน โดยเธอได้เค้กติดมือกลับไปอีกกล่อง

   “คุณจะกลับเลยไหม เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ให้ พอดีผมจะไปคุยธุระกับไอ้วินต่อ”

   โยษิตาไม่ได้งี่เง่างอแงเหมือนที่ผ่านมา โดยปกติแล้วเธอมักจะไม่พอใจถ้าหากเขาให้เธอกลับเองหรือจะไปที่อื่นต่อกับเพื่อน แต่วันนี้กลับปล่อยให้เขาไปหาชนวีร์โดยไร้คำถาม ทำแค่เพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น

    กรณ์ส่งคนรักขึ้นแท็กซี่ เขารอจนรถยนต์แล่นหายไปจากสายตาแล้วถึงล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า กดเบอร์โทรศัพท์หาลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วน

   “ไอ้อ้วน นัดไอ้รัน กับไอ้ธามให้หน่อย คืนนี้ฉันจะท้าพวกมันแข่งรถ...อ้อ พาน้องชายสุดที่รักของแกมาด้วยล่ะ”



    ดนตร์เกาหัวแกรกเมื่อจู่ๆ ก็ถูกชนวีร์เรียกตัวมากะทันหัน แต่มาถึงชมรมได้ไม่นานก็ถูกลากขึ้นรถสีดำไป โดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน รุ่นพี่ตัวอ้วนไม่พูดอะไรสักคำทั้งที่ดึงเขามาจากการซ้อมเชียร์กีฬา ไม่มีใครคัดค้านตอนที่ชื่อของเขาถูกประกาศกลางแสตนเชียร์ เพราะนั่นคือชนวีร์บุคคลที่น่าเกรงขามอีกคนในคณะนิเทศน์ รถยนต์สมรรถนะดีแล่นไปด้วยความเร็วในระดับปกติ แต่ความเงียบของผู้ขับทำให้เขาไม่สบายใจเท่าไรนัก

    ที่จริงแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคราวก่อน เขากับชนวีร์ยังไม่มีโอกาสได้สนทนากันอย่างจริงจังนัก และเป็นฝ่ายเขาเองที่หลบหน้าหลบตา เขายังไม่พร้อมที่จะสู้หน้ากับอีกฝ่ายและไม่พร้อมจะตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น ดนตร์ลอบถอนหายใจ พลางเหลือบมองเสี้ยวหน้าของรุ่นพี่ตัวอ้วน ใบหน้าของชนวีร์เรียบเฉยเสียจนน่าหวั่นใจ ทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และไม่คุ้นตา แม้จะไม่หายสงสัยแต่ความง่วงก็ไม่เคยเลือกช่วงเวลา เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วความเงียบกับความอ่อนเพลียพ่วงด้วยความสงสัยก็ขับกล่อมให้ดนตร์เข้าสู่ความฝันได้อย่างไม่ยากเย็น

   กระทั่งการหยุดตัวของรถยนต์อย่างไม่นุ่มนวลเท่าไรนักก็ปลุกให้คนหลับปรือตาขึ้น ความมืดมิดเป็นสิ่งแรกที่ได้เห็น ดนตร์ขยี้ตาซ้ำเพราะยังไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นดีแล้วหรือยัง นานร่วมนาทีสายตาถึงปรับสภาพได้ เขามองเห็นแสงไฟที่อยู่ห่างไม่เกิน 100 เมตร และเริ่มเห็นโครงสร้างของสถาปัตย์บางอย่างที่มองดูคล้ายกับสนามกีฬา เมื่อไม่มีเสียงจากพาหนะที่นั่งมา เขาจึงได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไกลๆ แต่ถ้าหากตั้งใจฟังดีๆ เสียงเครื่องยนต์พวกนั้นมันครางกระหึ่มและดังก้องเลยทีเดียว

    ที่นี่คือ...สนามแข่งรถ

    “พี่วินที่นี่...”

    “อย่าเพิ่งถามอะไร” ชนวีร์ตัดบท ก่อนจะพยักพเยิดให้เขาเดินตามเข้าไป

    ยิ่งระยะทางสั้นลง เสียงเครื่องยนต์ก็ยิ่งดังขึ้น เสียงของมันกระตุ้นจังหวะหัวใจได้อย่างประหลาด แสงไฟสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นแสงจ้า เขาเพิ่งรู้ว่าแสงที่เห็นนั่นคือดวงไฟขนาดใหญ่จากสปอร์ตไลท์ที่มีรอบตัวสนาม ภายในสว่างไม่ต่างจากตอนกลางวัน ดนตร์แหงนคอมองแสตนที่นั่ง มันว่างเปล่าไร้ผู้คนแต่มีรถยนต์จอดเรียงกันอยู่ 4 คัน แต่ละคันกำลังประลองสมรรถนะกันด้วยการเร่งเครื่องยนต์ เขาไม่เห็นผู้ที่อยู่ด้านในเพราะทุกคันติดฟิล์มสีดำ แต่รถออดี้สีขาวที่อยู่ด้านในสุดนั่นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ด้านในคือใคร

    ไอเสียจากท่อรถยนต์ลอยในอากาศ ความง่วงงุนหายไปตั้งแต่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ดนตร์หันมองรอบตัว เขาเคยเห็นสนามแข่งรถแค่ในทีวีเท่านั้นแต่ไม่เคยมาเยือนด้วยตัวเอง แม้จะไม่มีการแข่งขันที่มีผู้คนเต็มสนามแต่การที่ได้เห็นรถยนต์ที่จอดเรียงกันก็ทำให้อดตื่นเต้นไม่ได้

    เขาเงยหน้ามองพี่วินที่วางมือบนหัวไหล่ รุ่นพี่ตัวอ้วนยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เช่นเดียวกับที่ยังไม่ได้บอกเขาถึงจุดประสงค์ที่พาเขามาที่นี่ ดนตร์ขมวดคิ้วน้อยๆ อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่า เจ้ารถยนต์ราคาแพงพวกนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ชนวีร์พาเขามาที่นี่แน่นอน

    ระหว่างที่กำลังมึนงงอยู่ ประตูรถสีเขียวนำเข้าจากญี่ปุ่นก็เปิดออก ร่างสูงใหญ่ของพี่ชายอีกคนเดินเข้ามาหาช้าๆ ส่งรอยยิ้มอบอุ่นและเป็นมิตรมาให้

   “ไงมาถึงแล้วเหรอ ตื่นเต้นหน่อยนะวันนี้ แต่ฉันคงไม่เข้าร่วมด้วยหรอก แค่อยากเอารถมาลองเครื่องเฉยๆ”

   “เข้าร่วม? อะไรเหรอครับ” ดนตร์ถาม เขารู้สึกตัวเองเป็นคนโง่ในห้องสอบ หัวสมองไร้คำตอบแต่กลับเต็มไปด้วยคำถาม

    รุ่นพี่ใจดียังไม่หยุดยิ้ม ดวงตาสีสนิมมองมาทางเขานิดหน่อยก่อนจะเบนไปยังร่างอวบจนอ้วนของรุ่นพี่อีกคน “นี่นายยังไม่ได้บอกลูกเจี๊ยบเหรอ”

   “ก็กำลังจะบอกอยู่นี่ไงล่ะ” ชนวีร์บอก หนุ่มตัวอ้วนถอนหายใจเสียงดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ “คืนนี้จะมีการแข่งรอบพิเศษ โดยมีนายเป็นของเดิมพัน”

   “ห๊ะ!!”

    อัคคีส่ายหน้าเบาๆ แต่ยังอารมณ์ดีเช่นเดิม ราวกับการแข่งขันครั้งนี้เป็นแค่เกมเพลย์สเตชั่นของเด็กวัยประถม “ไม่ต้องตกใจไป ไอ้พวกนี้มันก็ชอบตัดสินด้วยวิธีนี้แหละ ใครแพ้ก็ชวดของเดิมพันไป แค่เกมสนุกๆ น่า”

   “แต่ผมไม่ใช่สิ่งของ!” ดนตร์สวนกลับ “ผมไม่สนุกไปกับพวกพี่ด้วยหรอกนะ!”

    “นายไม่ใช่สิ่งของ” ชนวีร์บีบหัวไหล่แน่น “ฉันจะไม่มีวันให้นายเป็นแค่นั้นหรอก แต่นี่คือการตัดสินที่ดีที่สุด นายอาจจะยังไม่รู้ตัว แต่ไอ้สามคนนั่นมันชอบนาย”

    “สามคน” คิ้วหนาสวยยกสูง “ใคร?”

    “ก็คนที่อยู่ในรถไง” อัคคีชิงตอบคำถามแทน “รอลุ้นกันดีกว่าว่ารถสีอะไรจะเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง...วินนี่รีบบอกลูกเจี๊ยบสิ”

    เจ้าของชื่อถอนหายใจเหยียดยาว สีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด มืออูมยังคงโอบรอบหัวไหล่รุ่นน้องตัวเล็กเอาไว้ แต่ชั่วอึดใจก็เลื่อนมากุมที่ฝ่ามือเรียวก่อนจะออกแรงรั้งร่างโปร่งให้เดินไปตามพื้นสนามยางมะตอยสีเทาเข้ม
 
    ดนตร์เอี้ยวตัวกลับไปด้านหลัง เขาเห็นผู้ชายสวมหมวกกันน็อคสีดำนั่งอยู่ในรถ เขามั่นใจว่าผู้ที่อยู่ในรถออดี้สีขาวคืออริญชย์แม้จะสวมเครื่องป้องกันและชุดสำหรับนักแข่งโดยเฉพาะก็ตาม อีกคันที่จอดอยู่ข้างกันเป็นรถปอร์เช่สีแดง ถึงจะไม่เก่งเรื่องการดูชื่อรุ่นแต่เชื่อเหลือเกินว่ามันเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมและความเร็วที่มากพอๆ กับเสือดาว ตากลมเหลือบมองไปที่รถยนต์คันสุดท้าย มันคือเฟอร์รารี่สีดำเงาปลาบตลอดคัน แม้แต่ตัวกระจกก็ยังติดฟิล์มมืด คงเหลือแค่พื้นที่เล็กน้อยสำหรับให้ผู้ขับใช้มอง และถึงแม้จะมีช่องว่างที่เห็นเพียงแค่สายตาเท่านั้น แต่เขาก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณและความคุ้นเคย คนๆ นั้นคือ...กรณ์

    ดวงตาคมยังคงดุดันเสมอแม้จะมีกระจกกั้นถึงสองชั้นก็ตาม ไอเย็นไร้ที่มาไล่วาบไปตลอดแนวสันหลัง ดนตร์รีบหันหน้าหนี ขาสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ก้าวตามชนวีร์ไป

    รุ่นพี่ตัวอ้วนพาเขามาหยุดตรงจุดกึ่งกลางของสนาม มันดูเวิ้งว้างทั้งที่ไม่ได้เป็นที่โล่งกว้างมากนัก ดนตร์หันมองผู้สูงวัยกว่าอย่างต้องการคำตอบ

   “นายยืนตรงนี้ ถือผ้านี่ไว้ด้วย” ผ้าสีแดงขนาดเท่ากับธงถูกจับยัดใส่มือทั้งสองข้าง “กางมันออกแล้วสะบัดผ้าลงในทุกครั้งที่มีรถวิ่งผ่าน พวกนั้นจะขับวนสามรอบ แต่นายไม่ต้องกลัว จะไม่มีรถคันไหนชนนาย พี่สัญญาว่านายจะปลอดภัยทุกส่วนแม้แต่เส้นผม”

    “นี่มันอะไร ผม...”

   “เชื่อพี่เถอะ หลังจากคืนนี้ไป จะไม่มีเรื่องบ้าๆ แบบนี้อีก”

   แม้จะไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม แต่แววตาชนวีร์บอกให้เขาเชื่อมั่นในคำพูดนั้น ดนตร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่จนไม่แน่ใจว่ายังเหลืออากาศในปอดอีกหรือเปล่า ขาสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลัวว่าจะทรุดลงไปเสียก่อนที่รถคันใดคนหนึ่งจะแล่นผ่าน และถึงแม้จะไม่เคยเห็นการแข่งรถแบบชิดติดขอบสนาม แต่แค่ผ่านหน้าจอทีวีมันก็ทั้งตื่นเต้นและน่ากลัว รวมไปถึงความปลอดภัยที่มีน้อยจนน่าใจหาย ดนตร์เรียกกำลังใจให้ตัวเอง พร้อมกับพยายามตั้งสติ เขาไม่มีเวลาตัดสินใจอะไรทั้งนั้น เพราะเพียงแค่ชนวีร์เดินหลุดจากสนามไป เสียงปังก็ดังขึ้น จากนั้นเสียงเครื่องยนต์ก็กรีดร้องดังก้องไปทั่วบริเวณ แก้วหูของเขาปวดหนึบ สูญเสียการได้ยินไปชั่วคราว แต่ดวงตายังทำงานได้ดีเยี่ยม เขามองรถยนต์ทั้งสามคันแล่นด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ดนตร์เบิกตาโพลง มือกำผ้าสีแดงแน่นจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไร

    ดนตร์หลับตาแน่นเมื่อเห็นว่ารถยนต์สีแดงวิ่งเข้ามาใกล้ในระยะห่างไม่เกิน 50 เมตร หัวสมองเขาว่างเปล่า โลกใต้เปลือกตามีแต่สีดำ หัวใจเต้นรัวจนหน้าอกปวดร้าวไปหมด หูได้ยินแค่เสียงเครื่องยนต์ที่คำรามก้องกัมปนาท เสียงลมที่กรีดไปกับตัวรถหวีดสูงมันน่ากลัวไม่ต่างจากคมมีดที่ลู่ไปบนผิวหนัง ลมเย็นวาบผ่านร่างไปในชั่ววินาที เขาขืนร่างเอาไว้ไม่ให้เสียการทรงตัวจากแรงเหวี่ยงของอากาศจำนวนมหาศาล

    ลมก้อนใหญ่สามครั้งผ่านร่างของเขาไปอย่างรวดเร็ว ห่างกันเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ดนตร์เปิดตาขึ้นทันทีแล้วรีบเอี้ยวตัวมองตามรถทั้งสามคันนั่นไป มือเปียกชุ่มยังกำผ้าสีแดงเอาไว้ โดยที่มันไม่ได้สะบัดตามที่ได้รับคำสั่งมาสักครั้ง

    “ยกผ้าด้วย!”

    ชนวีร์ตะโกนบอก เขาหมุนตัวกลับมาที่เดิม เฝ้ามองรถยนต์ที่แข่งความเร็วเบียดเสียดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ดูด้วยสายตาเขาไม่อาจเดาได้ว่าจะเป็นรถสีอะไรที่มาหาเขาก่อน แค่ชั่วอึดใจรถทั้งสามคันก็เบียดกันเข้ามาใกล้เขาอีกครั้ง ดนตร์สูดเอาอากาศที่เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งเข้าปอด เก็บมันให้ลึกที่สุด กางแขนทั้งสองข้างออก เฝ้ารอช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดด้วยใจระทึก และเป็นอีกครั้งที่รถสีแดงผ่านร่างของเขาไปก่อน ดนตร์สะบัดผ้าในมือ ประกาศชัยชนะในรอบแรก จากนั้นในรอบที่สองก็เป็นรถออดี้สีขาว และในรอบที่สาม...

    รถเฟอร์รารี่สีดำเร่งความเร็วมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด มันแซงหน้าคันอื่นในทุกโค้งอย่างน่ากลัว ล้อรถเสียดไปกับพื้นถนนจนเกิดประกายไฟ เสียงเบรกและเสียงเครื่องยนต์ดังก้องจนปวดแก้วหู แต่เขาก็ค้นพบว่าในความหวาดกลัวมันมีความตื่นเต้นท้าทายซ่อนอยู่ด้วย

    ไม่รู้อะไรดลใจทำให้เขาเชียร์รถเฟอร์รารี่สีดำ คงเป็นเพราะในสองรอบแรกนั้นมันเป็นคันที่อยู่รั้งท้ายตลอด แต่ในรอบนี้มันกลับแซงคันอื่นขึ้นมาได้อย่างน่าลุ้นระทึก เขาเผลอจับจ้องการเคลื่อนที่รวดเร็วยิ่งกว่าลมพัด ลมหายใจของเขาแทบจะหยุดลง เมื่อคิดว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้ารถคันนั้นจะพุ่งตรงมาที่เขาและอาจจะเป็นคันที่คว้าชัยในรอบนี้ รถเฟอร์รารี่สีดำทิ้งระยะห่างจากคันอื่นเกินช่วงโค้งแล้ว...แต่ทว่า

   ปัง!!

    เอี๊ยด!!

    เสียงเบรคของล้อรถยนต์ครูดไปกับพื้นถนน ประกายไฟดวงใหญ่สว่างวาบ ก่อนจะถึงตัวเขาเพียงแค่อีก 100 เมตรเท่านั้น ตัวรถเสียหลัก หมุนลอยกลางอากาศก่อนจะพลิกกลิ้งหมุนวนหลายตลบ และไปหยุดที่ราวกัน ฝุ่นสีส้มขุ่นลอยฟุ้งในอากาศแทบไม่เห็นสิ่งใด กระทั่งเม็ดฝุ่นเจือจางลงเขาถึงได้เห็นสภาพของรถยนต์ราคาแพง

    “กรณ์!!”

    อัคคีรีบวิ่งเข้าไปในวงล้อมของฝุ่นทันที โดยมีชนวีร์ตามไปติดๆ ขณะที่ดนตร์ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คงมีแค่สายตาเท่านั้นที่เก็บเอาภาพเหตุการณ์ทุกอย่างเอาไว้ แต่สมองกลับไม่สามารถทำงานตามปกติได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเหนือความคาดหมาย ดังนั้นเขาจึงไม่เหลือสติพอที่จะรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้าได้

   อัคคีกับชนวีร์ช่วยกันดึงร่างคนเจ็บออกจากตัวรถ สภาพของเฟอร์รารี่สีดำเสียหายไม่น้อย แต่ด้วยราคาที่มาพร้อมกับคุณภาพทำให้มันไม่ได้กลายเป็นแค่เศษเหล็กในทันที แอร์แบ็คทำงานได้ดีเยี่ยม จากภายนอกกรณ์ไม่มีบาดแผลตรงไหนให้ตกใจยิ่งกว่าเดิม แต่เมื่อถอดหมวกกันน็อกออก ถึงได้เห็นหยดเลือดที่ไหลซึมจากเส้นผมที่เริ่มเปียกและจับเป็นก้อนจากปริมาณของเลือดที่มากขึ้นเรื่อยๆ

    ร่างของกรณ์ถูกวางลงบนพื้นหญ้าแห้งๆ ดวงตาคมปิดสนิท แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงแต่ช้าเนิบนาบ อัคคีช่วยปลดชุดให้ เพื่อคลายความอึดอัด ก่อนจะตะโกนสั่งให้ชนวีร์โทรตามรถพยาบาล รถทั้งสองคันจอดลง อริญชย์และธาวินวิ่งตามลงมาสมทบ ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกไม่ต่างกัน

    ...คงมีแต่ดนตร์เท่านั้นที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ด้วยใบหน้าไร้สีเลือด...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 8 ศึกชิงชาย นายดนตร์ [18/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 25-06-2017 20:20:14
        ประตูห้องฉุกเฉินปิดลงทันทีที่เตียงผู้ได้รับบาดเจ็บหายเข็นหายเข้าไปด้านใน ทั้ง 4 คนยืนอออยู่หน้าประตู โดยมีเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยที่สุดยืนรั้งท้าย แก้วตาใสกลายเป็นสีดำราวกับมีหลุมลึกอยู่ในนั้น ร่างกายคล้ายกับถูกสาปให้หยุดนิ่งตั้งแต่วินาทีที่เห็นรถพลิกตลบตรงหน้า จนถึงตอนนี้ประสาทสั่งการยังไม่ทำงานตามปกติ คงมีแค่สายตากับหัวใจเท่านั้นที่ยังทำงานได้

   “แอร์แบ็คทำงานนะ คิดว่าช่วงหน้าอกไม่น่าจะกระแทกแรงมาก” อัคคีออกความเห็น ก่อนจะพยักพเยิดให้คนอื่นๆ หาที่นั่ง

    “แล้วทำไมจู่ๆ รถมันถึงคว่ำได้”

   ทั้งสามหันมองหนุ่มตัวอ้วน ใบหน้าเครียดจัด ชนวีร์เพิ่งแจ้งเรื่องอุบัติเหตุให้กับบิดาของกรณ์ทราบ แต่คงจะเป็นพรุ่งนี้กว่าท่านจะเดินทางมาถึงเพราะอยู่ต่างจังหวัดและไม่สามารถหาตั๋วได้ทันในคืนนี้

    “รถมันยางแตก คงเพราะมันเร่งความเร็วมากเกินไป” ธาวินตอบ ตามที่เห็นเพราะเขาขับตามหลังกรณ์ ถึงจะทิ้งระยะห่างอยู่พอสมควรแต่ก็เห็นในจังหวะที่ยางเส้นหลังด้านขวาระเบิดพอดี ดีที่เขาหักรถหลบทันไม่อย่างนั้นคงได้ชนปะทะแน่

    “บ้าเอ๊ย! ไอ้กรณ์มันบ้าดีเดือด” ชนวีร์สบถเสียงดัง มืออูมเสยเส้นผมระบายความเครียดแต่มันช่วยไม่ได้เท่าไรนัก

    “เอาน่า เชื่อสิ กรณ์ไม่เป็นอะไรหรอก” อัคคีวางมือบนหัวไหล่หนาพลางบีบเบาๆ ปลอบใจคนรัก เขารู้ดีว่าเจ้าอ้วนกับกรณ์สนิทกันแค่ไหน ถึงจะชอบทะเลาะกันแต่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่รักกันไม่แพ้พี่น้องคลานตามกันมา

    ชนวีร์มองหน้ารุ่นพี่และคนรักของตัวเองนานร่วมครึ่งนาทีก่อนจะพยักหน้ายอมรับในคำปลอบประโลม ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ความบ้าดีเดือดของกรณ์จะนำเอาความเดือดร้อนมาให้ แต่ครั้งนี้มันอันตรายที่สุดเพราะมันมีชีวิตของกรณ์เป็นเดิมพัน

    อริญชย์ผละจากคนอื่นๆ เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงเลย คงเป็นเพราะทุกคนวุ่นวายอยู่กับกรณ์และเป็นห่วงอาการบาดเจ็บจนลืมว่าดนตร์ก็อยู่ด้วย

    เมื่อตอนเย็นเขาได้รับโทรศัพท์จากชนวีร์ ปลายสายไม่พูดอะไรมากไปกว่ากรณ์ต้องการแข่งรถโดยมีดนตร์เป็นเดิมพัน ธาวินเองก็ได้รับข้อความแบบเดียวกัน ดังนั้นตอนหนึ่งทุ่มตรงเขาจึงได้พาเจ้าออดี้สีขาวมาอยู่ที่สนามแข่ง ที่จริงแล้วเขา ธาวินและกรณ์มักจะประลองความเร็วด้วยการแข่งรถอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีเดิมพันเป็นคน อย่างมากที่สุดก็เงินก้อนโต โดยส่วนใหญ่กรณ์จะเป็นผู้คว้ารางวัลไปครอง ทว่าคราวนี้เขายอมไม่ได้เพราะสิ่งเดิมพันคือเด็กผู้ชายที่มาเปิดหัวใจด้านชาของเขาให้กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

    ในครั้งแรกที่ได้ยินเขาอยากจะด่ากรณ์ให้ในความบ้าบิ่นของมันที่คิดเอาดนตร์มาเป็นของเดิมพัน แต่พอมาชั่งใจบวกกับความรักการแข่งขันทำให้เขายินดีตอบรับคำท้าทาย แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เขามองเด็กหนุ่มร่างเล็ก ดนตร์ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทางเดินพอดี ใบหน้าขาวจัดซีดเผือดไม่ต่างจากหน้ากระดาษ ดวงตากลมเลื่อนลอยจนน่าเป็นห่วง อริญชย์สาวเท้าเข้าไปใกล้ แต่จุดโฟกัสในดวงตาของดนตร์ก็ยังไม่ได้เคลื่อนมาทางเขา

    “เพลง...โอเคไหม?”

    “............”

    “เพลง นายโอเคหรือเปล่า” อริญชย์ถามซ้ำทว่าดนตร์ยังนิ่งงันเช่นเดิม เขายกมือขึ้นแล้วโบกตรงหน้าแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดนตร์ไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ

    มือหนาจับที่หัวไหล่มนแล้วออกแรงเขย่า จนศีรษะทุยสั่นคลอน “เพลง ได้ยินพี่หรือเปล่า? เพลง! ลูกเจี๊ยบ!”

    นานจนรู้สึกว่าใจคอไม่ค่อยดี ดนตร์จึงมีปฏิกิริยา เปลือกตาบางกะพริบเร็วๆ นัยน์ตาสีดำด้านเริ่มมีประกายและเกิดเป็นแววในดวงตา ริมฝีปากซีดเซียวค่อยๆ ขยับเป็นคำ

    “พะ...พี่กรณ์”

   “เพลง”

    อริญชย์กระชากร่างเล็กมาไว้ในอ้อมแขน เขากอดดนตร์แน่นเพราะอยากสัมผัสถึงหัวใจที่ยังเต้นอยู่ของอีกฝ่าย ร่างโปร่งยังอุ่นซ่านบ่งบอกถึงการมีชีวิต มือหนากดศีรษะลงกับหน้าอก สูดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ จากแชมพูไว้ในปอด เขาอาจจะเป็นห่วงและกังวลมากเกินไป แต่อาการของดนตร์ดูน่าเป็นห่วง อาจจะแย่กว่ากรณ์ด้วยซ้ำ

    “ลูกเจี๊ยบเป็นอะไร”

    “น่าจะช็อค” อริญชย์บอก ยังไม่ปล่อยร่างของดนตร์ออกจากอ้อมกอด จังหวะหัวใจที่เต้นชิดกับสีข้างช่วยให้อุ่นใจขึ้นเล็กน้อย

    ชนวีร์กระชากลมหายใจด้วยความหัวเสีย เพราะมัวแต่ห่วงกรณ์จนลืมดนตร์ไปเสียสนิท ร่างโปร่งอยู่ในอ้อมแขนของอริญชย์ดูบอบบางและอ่อนแอ ดนตร์ต้องได้รับบาดเจ็บทางอารมณ์แน่นอน น้อยคนนักจะรับมือกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้ แม้แต่เขาหรืออัคคีเองที่พบเจอกับเรื่องพวกนี้อยู่บ่อยครั้งเพราะกิจกรรมยามว่างของคนรักคือการแข่งรถ หากแต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับกรณ์เลยทำให้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปเหมือนกัน

   “ส่งดนตร์มา เดี๋ยวฉันดูแลเอง”

    อริญชย์เหลือบตามองเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยร่างของดนตร์ ก่อนจะผละไปนั่งสมทบกับธาวินที่มองมาพอดี ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรแต่ต่างฝ่ายต่างก็ภาวนาให้เพื่อนรักปลอดภัย ถึงจะเป็นคู่แข่งกันเรื่องหัวใจแต่มิตรภาพยังคงแน่นแฟ้นเช่นเดิม

    ดนตร์ถูกพามานั่งบนเก้าอี้พลาสติกสีน้ำตาลหน้าห้องโดยมีร่างอวบหนาของชนวีร์ดูแลไม่ห่าง อัคคีเองก็ดูห่วงรุ่นน้องตัวเล็กไม่น้อย คงต้องบำบัดสภาพจิตใจของดนตร์ไปพร้อมกับคุณหมอที่กำลังรักษาอาการของกรณ์ ร่างสูงใหญ่คุกเข่าลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม พลางจับมือเล็กมากุมไว้ ถ่ายทอดไออุ่นให้โดยไม่เจตนาจะลวนลาม

   “กรณ์ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันว่านายน่าเป็นห่วงกว่าอีก”

   ตากลมช้อนมอง หยาดน้ำใสคลอเคล้าที่หน่วยตาอย่างน่าสงสาร ริมฝีปากสั่นระริกจนต้องขบเม้มเอาไว้ แล้วหยดน้ำก็ไหลผ่านสองแก้ม

    “พี่กรณ์จะตายไหมครับ”

   อัคคียิ้มอ่อนโยน “ไม่ตายหรอกครับ อย่างมากสุดก็แค่ซี่โครงหัก เชื่อพี่สิ เรื่องแบบนี้พี่ผ่านมาแล้ว”

   “ผ่านมาแล้ว..?”

   “ใช่” คนโตกว่ายิ้มอีกครั้ง “พี่ชอบแข่งรถ ชอบกว่ากรณ์ด้วยซ้ำ รถคว่ำเกือบตายมาตั้งหลายหนไม่เชื่อถามเจ้าอ้วนดูสิ กรณีของกรณ์ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับพี่นะ”

    อัคคีใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาบนแก้มใส “ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก พี่ว่านายดูน่าเป็นห่วงกว่าอีก ดูซิ หน้าซีดเป็นกระดาษแล้ว”

    “อะแฮ่ม” ชนวีร์กระแอม ส่งสายตามปรามไปยังคนรักที่ทำหน้าที่ล้ำเส้นไปหน่อย “ช่วยจองโรงแรมให้ลุงกริชด้วยนะไฟ”

    อัคคียักไหล่พลางผุดลุกขึ้น ร่างสูงใหญ่ถอยห่างออกไปเพื่อจัดการตามที่ชนวีร์บอก

    ดนตร์ไม่ได้ถามอะไรอีก สีหน้าดีขึ้นกว่าเดิมบ้างแต่ยังไม่สู้ดีนัก ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงบานประตูก็เปิดออก เตียงคนไข้ถูกเข็นออกมา ทุกคนที่รอคอยลุกพรวดพราดเข้าไปหา กรณ์ยังหลับสนิท รอบศีรษะมีผ้าพันแผลพันไว้ ใบหน้าซีดเซียวมีหน้ากากออกซิเจนช่วยระบบหายใจ แผ่นอกกว้างเขียวช้ำจากการกระแทก แต่ก็สะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กลิ่นแอลกอฮอล์รวมถึงกลิ่นยาโชยคลุ้งจนต้องเบ้หน้า  ดนตร์เม้มปากแน่น ดวงตาไหวระริก สงสารคนบนเตียงจับใจ

    “คนไข้ไม่เป็นอะไรมากแล้วนะครับ แค่หัวแตกแล้วก็หน้าอกกระแทก ไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก แต่ต้องรอจนกว่าคนไข้จะฟื้นเพื่อรอดูว่ามีการเวียนหัวหรืออาเจียนหรือเปล่า แต่ถ้าญาติไม่สบายใจไว้คนไข้ฟื้นแล้วค่อยเอ็กซ์เรย์ก็ได้ครับ ยังไงคืนนี้ขอให้คนไข้ได้พักก่อนนะครับ พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมอีกที” คุณหมอผู้ทำการรักษาอธิบายคร่าวๆ “ผมขอตัวก่อนนะครับ” ก่อนจะพยักหน้าให้บุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีกรณ์อยู่บนนั้นไปพักยังห้องพักพิเศษ

    ดนตร์มองเตียงผู้ป่วยที่ถูกเข็นห่างออกไปเรื่อยๆ จนมันลับสายตา ภาพของรถยนต์ที่หมุนกลางอากาศและร่างของกรณ์ที่สลบไม่ได้สติยังติดอยู่ใต้เปลือกตา มันน่ากลัวเกินกว่าจะรับมือได้ทัน ถ้าหากอัคคีและคนอื่นไม่ได้อยู่ตรงนั้นเขาคงปล่อยให้กรณ์อยู่กับความเจ็บปวดโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย เขามันทั้งโง่และไร้ประโยชน์

    “ไม่ต้องร้องไห้ ไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมกันอีกที” ชนวีร์ปลอบประโลม แต่มันไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย...



    ดนตร์ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ตลอดทั้งคืน เขาเป็นห่วงคนเจ็บจับใจ กังวลไปสารพัดและทันทีที่พระอาทิตย์จับขอบฟ้าเขาก็รีบอาบน้ำแต่งตัวและออกจากหอพักไปทันที เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเมธัสและลลิตา แต่คิดว่านักรบคงบอกกับเมธัสแล้ว

   เขาตั้งใจจะไปเยี่ยมกรณ์เพราะเป็นห่วง โดยไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายจะประทับใจ ดนตร์แวะซื้อของเยี่ยม เขาเลือกซื้อดอกลิลลี่สีชมพูจากร้านขายดอกไม้เล็กๆ ข้างทาง แม้จะไม่ได้จัดเป็นช่อสวยงามและมีเพียงแค่ดอกเดียวแต่เขาตั้งใจจะใช้มันเป็นตัวแทน บอกความรู้สึกผ่านดอกไม้ และถึงแม้กรณ์จะไม่เห็นหรือถูกสิ่งอื่นบดบังเขาก็ยินดี ดนตร์เสียบดอกลิลลี่ลงในกระเป๋าเป้แล้ววิ่งไปยังสถานีรถไฟ

    ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็ถึงโรงพยาบาล พวกพี่วินคงยังมาไม่ถึงเพราะเพิ่งจะ 7 โมงนิดๆ เท่านั้นเอง ถ้ากรณ์ยังไม่ตื่นเขาก็จะรอที่หน้าห้องจนกว่าตาดุๆ นั่นจะลืมขึ้น ร่างโปร่งกระชับเสื้อแจ็คเก็ตเข้าหาตัว เขาไม่ค่อยถูกกับฤดูหนาวเท่าไรนัก ถึงแม้ฤดูหนาวที่กรุงเทพฯ จะไม่หนาวเท่ากับที่เชียงใหม่ก็ตาม แต่อาการป่วยมันมักจะมาพร้อมกับลมหนาว ดนตร์สูดเอาอากาศที่ยังบริสุทธิ์อยู่ไว้ในปอด ก่อนที่ออกซิเจนสะอาดจะถูกแทนที่ด้วยควันเสียของท่อรถยนต์ เช้าๆ อย่างนี้รถยังไม่เยอะเท่าไร

    สองขาก้าวเข้าสู่ด้านหลังของตัวอาคาร เขาเลือกใช้ลิฟต์ตัวที่อยู่ในลานจอดรถเพราะไม่ชอบกลิ่นยาในโรงพยาบาลเท่าไรนัก อันที่จริงรวมไปถึงตัวโรงพยาบาลด้วย ถึงจะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการรักษาคนป่วย แต่อีกด้านหนึ่งมันคือศูนย์รวมของคนเจ็บป่วย เป็นสถานที่ที่ไม่น่ามาเยือน หากไม่จำเป็น เขาหยุดรอลิฟต์ตัวที่สอง ตัวเลขค่อยๆ ไล่ระดับลงมาเรื่อยๆ จากชั้นที่ 39 ดนตร์รอคอยอย่างใจเย็น มือบางเคลื่อนไปจับดอกไม้ที่ยังอยู่ดีในกระเป๋าเล็กๆ ที่อยู่กับตัวเป้สีดำใบโปรด

    “ฉันบอกว่าไม่ต้องมาไง ทำไมถึงงี่เง่าแบบนี้ แล้วถ้ามีคนเห็นจะทำยังไง”

   เสียงผู้หญิงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกลนัก เขาเหลียวมองโดยอัตโนมัติ ดนตร์เห็นหญิงสาวร่างบางอรชร เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนค่อนข้างโดดเด่นเมื่อถูกแสงแดดยามเช้าจับจ้อง ใบหน้าด้านข้างดูน่ารักน่ามองแม้จะเห็นจากในระยะร่วมสิบเมตร คิ้วหนาแต่เรียงสวยขมวดน้อยๆ เพราะไม่ใช่แค่น้ำเสียงแต่ยังรวมไปถึงอีกหลายๆ อย่างทำให้เขารู้สึกคุ้นตาอย่างน่าประหลาด

    “ไหนบอกว่าจะเลิกแล้วไง จะให้ผมรอไปถึงเมื่อไร คุณไม่รู้หรือไงว่าผมเจ็บแค่ไหนที่เห็นคุณยังอยู่กับมัน”

   “ฉันก็พยายามอยู่นี่ยังไงล่ะ” ผู้หญิงคนนั้นแผดเสียง

    ดนตร์หันกลับมามองตัวเลขสีแดงที่เลื่อนมาถึง 20 เขาไม่อยากเป็นคนเสียมารยาท และไม่อยากให้ชายหญิงคู่นั้นรู้ว่ามีเขาร่วมอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ด้วย แต่ไม่มีอะไรง่ายดายสำหรับดนตร์

    เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นซีเมนต์ดังเข้ามาใกล้ ดนตร์ขยับเข้าใกล้กับประตูลิฟต์โดยอัตโนมัติ หากเป็นไปได้เขาจะแทรกกายเข้าไปในเนื้อโลหะนั่นเสียให้ได้

   “ผมไม่ให้คุณไปเยี่ยมมัน! แค่รถคว่ำ ยังไม่ได้ตายสักหน่อย”

   “เลิกบ้าได้แล้วซัน! กรณ์เจ็บอยู่นะ แล้วฉันก็ยังเป็นแฟนเขาอยู่”

   กรณ์...แฟน?

    หัวใจของเขากระตุกวาบ...นึกอยากจะหันไปมองเสียให้เต็มสองตาว่าผู้หญิงคนนั้นใช่คนที่เขากำลังคิดอยู่หรือเปล่า แต่เขาขี้ขลาดเกินไป ได้แต่ใช้ผนังปูนที่ยื่นออกมาเป็นที่กำบังกาย

   “ก็ได้! แต่ผมให้เวลาคุณอีกแค่สองอาทิตย์ คุณจะต้องบอกเลิกมัน ไม่อย่างนั้นผมจะเป็นคนไปบอกกับมันเอง”

   “อย่านะ! ฉันจะพูดกับกรณ์เอง” เสียงรองเท้าส้นสูงดังอีกครั้ง แต่จังหวะมันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่ใช้พูดในประโยคถัดมา “รออีกนิดนะคะ แหวนของคุณไม่มีทางเป็นหมันแน่นอน”

   แล้วสรรพเสียงก็เงียบหายไป ดนตร์กลั้นใจชะโงกหน้าออกมาจากผนังเย็น ตากลมเบิกกว้างจนเกือบเท่าไข่ห่าน จ้องมองภาพชายหญิงที่มอบจุมพิตให้กันอย่างดูดดื่ม ไม่เพียงแค่นั้น มือของฝ่ายชายยังเลื่อนหายเข้าไปในชายเสื้อตัวสั้นของโยษิตา...ใช่ ผู้หญิงคนนั้นคือโยษิตา คนรักของกรณ์

    ดนตร์รีบชักหน้ากลับ เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟต์ส่งเสียงร้องเตือนพอดี เขารีบวิ่งเข้าไปด้านในแล้วกระหน่ำกดปิดอย่างยอมเสียมารยาท ใจเต้นระห่ำหวาดหวั่นว่าใครคนใดคนหนึ่งจะรู้ว่าเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด...โยษิตานอกใจกรณ์ ที่ร้ายกว่านั้นเขากำลังเจ็บทางกาย แล้วถ้าหากต้องเจ็บทางใจด้วยกรณ์จะรับมือไหวหรือเปล่า…


    ตากลมจับจ้องอยู่ที่เนื้อประตูสีขาว เขาอ่านประวัติคร่าวๆ ของผู้ป่วยบนกระดาษที่สอดใส่พลาสติกเล็กๆ แปะที่หน้าประตูมาเป็นสิบรอบแล้ว สลับกับคนป่วยที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ชุดคนไข้สีเขียวอ่อนไม่เข้ากับกรณ์เลยสักนิด เขามองริมฝีปากซีดขาวอ้าออกน้อยๆ ขณะที่รับข้าวจากปลายช้อน สีหน้าไม่ได้แย่อย่างที่หวั่นใจแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นจนวางใจได้ ที่ศีรษะยังมีผ้าพันแผลอันเดิมพันอยู่ เขาเห็นรอยแดงจางๆ ซึมออกมาให้เห็น รอยฟกช้ำที่หน้าอกคงจะเห็นชัดกว่าเดิมแต่เพราะเจ้าตัวสวมเสื้อทับไว้เขาเลยไม่รู้ว่ามันช้ำมากน้อยแค่ไหน

    ดนตร์ถอนหายใจทิ้งไปเฮือกใหญ่ กรณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ตื่นฟื้นได้สติ แถมยังมีคนปรนนิบัติพัดวีดีอีกด้วย เขายกยิ้มเย้ยหยันในความเพ้อเจ้อของตัวเอง หลงคิดไปว่าความห่วงของตัวเองจะส่งไปถึงอีกคนได้ เขาลืมไปได้อย่างไรว่ากรณ์มีคนรักแล้ว แม้ว่าเธอกำลังคิดนอกใจอยู่ก็ตาม

    เด็กหนุ่มเดินห่างจากบานประตูแล้วทรุดกายลงบนที่นั่งเย็นๆ แถวนั้น ดอกลิลลี่ยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ถูกนำไปให้อย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะความขลาดทำให้เขาไม่กล้าผลักบานประตูเข้าไป ได้แต่ยืนเป็นคนโง่อยู่ตรงนั้น กระทั่งได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงคู่เดิม เขาก็เลือกใช้วิธีเดิมคือซ่อนกายและให้เจ้าของรองเท้าเข้าไปด้านใน จากนั้นก็เฝ้ามองการดูแลของคู่รักผ่านช่องกระจกใสเล็กๆ หน้าห้อง

    โยษิตาน่ารัก เธอนำโจ๊ก ผลไม้ นม และสารพัดสิ่งที่เหมาะแก่ผู้ป่วยมาเยี่ยมกรณ์ ขณะที่เขามีแค่ดอกลิลลี่เพียงแค่ดอกเดียวเท่านั้น ดนตร์ยกขาขึ้นวางบนที่นั่ง ก่อนจะยกมือขึ้นกอดรอบหัวเข่าพลางซบหน้าลงไป ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหนาวนัก ราวกับไอเย็นมันไหลซึมเข้าสู่เนื้อหัวใจ ไม่มีน้ำตา ไม่มีคำปลอบโยน มีแต่คำสมน้ำหน้าในความโง่เง่าของตัวเองเท่านั้น...


    “เพลง มาทำอะไรตรงนี้ ไม่หนาวหรือไง”

    เสียงร้องทักดังขึ้นเหนือศีรษะ ดวงตากลมหรี่มอง ภาพใบหน้าของคนคุ้นเคยชัดขึ้น ริมฝีปากสีสดยกยิ้มก่อนจะเอ่ยทักทายกลับ

   “พี่ธาม มาเยี่ยมพี่กรณ์หรือครับ”

    “อืม กำลังจะเข้าไป แล้วเราล่ะ มาเยี่ยมมันเหมือนกันเหรอ” ตาคมทอดมอง ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กัน ไออุ่นจากเรือนกายกำยำแผ่ซึมมาถึง ช่วยทำให้ความหนาวเย็นเบาบางลงได้เล็กน้อย

    ศีรษะเล็กสั่นเบาๆ แล้วก็ผงกขึ้นลง จากนั้นก็สั่นเหมือนเดิมอีก เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนโตกว่า มือใหญ่วางบนเส้นผมนุ่ม “ไม่กล้าเข้าไปล่ะสิ ไปพร้อมพี่ก็ได้นะ หรือจะรอให้คนอื่นๆ มาแล้วค่อยเข้าไปพร้อมกัน”

   “พี่เข้าไปเลยครับ ผมจะกลับแล้ว”

    คิ้วหนาเลิกสูง “ทำไมล่ะ เป็นห่วงมันไม่ใช่หรือไง”

    ดนตร์ยิ้ม “เขามีคนดูแลแล้ว ผมกลับก่อนนะครับ”

    ร่างโปร่งกระโดดลงจากที่นั่งเย็นเยียบเหมือนช่องแช่แข็งแต่ยังอุ่นกว่าในหัวใจ มือเล็กกระชับกระเป๋าเป้ แล้วละมันไว้ข้างลำตัว เด็กหนุ่มโค้งกายต่ำเป็นการอำลา ดนตร์หมุนตัวแล้วเดินไปตามทางยาวที่ทอดไปสู่ทางออก โดยที่ยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมคนป่วย ทิ้งไว้แค่กลิ่นหอมเหมือนน้ำนมสดและดอกลิลลี่ที่เผลอปัดทำตกไว้...

********************************

ขออภัยในความลังเลโลเลของพระเอก ก๊ากกกกกกก
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 9 เดิมพัน [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 25-06-2017 21:06:01
กรณ์เห็นแก่ตัวยังไงก็ยังเป็นแบบนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นแบบนี้ต่อไปจะยุ่งยากก็ยังจับปลาสองมือ แล้วยังไงล่ะ โดนสวมเขาไม่รู้ตัว สมน้ำหน้า
ถึงกรณ์จะเจ็บตัวอยู่เราก็ไม่เห็นใจหรอกนะ  :m16:
ทำไมอยู่ๆก็มีความรู้สึกเชียร์รันล่ะ ตอนที่กอดเพลงหน้าห้องฉุกเฉิน รู้สึกอบอุ่นมากๆเลย   :o8: :-[

เพลงสงสารกรณ์ได้นะ แต่ควรรักตัวเองให้มากๆด้วย ตัดใจไปเลย
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 9 เดิมพัน [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 25-06-2017 21:45:41
กรณ์จะว่าลูกเจี๊ยบร่านไม่ได้นะ
เพราะตอนที่ตัวเองมีอารมณ์ก็ข่มเหงลูกเจี๊ยบตลอด
ตอนนี้ทุกอย่างยิ่งยุ่งยากมากขึ้น
กรณ์เหมือนไม่เห็นค่าลูกเจี๊ยบเลย
เอาลูกเจี๊ยบมาเป็นเครื่องพนันขันต่อ
นิสัยเลว

รู้สึกดีใจที่เชียร์พี่รันมาตั้งแต่ตอนที่แล้ว
ตอนนี้ที่ชอบมากเลยคือพี่ไฟ
คนอะไรดีไปเสียหมด Perfect!!!!

แต่เราว่าแล้วว่ายาหยีนางต้องมีอะไร

อยากจะตีพี่กวางนัก มาต่อช้าเสียเหลือเกิน
ใจคนอ่านแทบจะขาดรอนๆ  :ling1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 9 เดิมพัน [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 25-06-2017 22:00:53
กรณ์เอ้ย เจ็บตัวไม่พอ ยังโดนผู้หญิงสวมเขาอีก เห้อ
เพลงจะบอกไหมนี่
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 9 เดิมพัน [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 25-06-2017 23:32:24
ไม่ได้สงสารหรือเห็นใจกรณ์แม้แต่น้อย มาขนาดนี้แล้วยังไม่สำนึกแล้วยังโลเลอีก
เชียร์พี่รันหรือพี่ธามดีกว่า เพลงก็ควรจะตัดใจได้แล้วแต่คงทำไม่ได้อีกเพราะเห็นโยมีคนอื่น  :เฮ้อ:
ขอบคุณมากนะคะะ สนุกๆๆ มาต่อไวๆน้าาา  :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 9 เดิมพัน [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 27-06-2017 12:41:02
อ่า.....
เชียร์ทุกคน ยกเว้นกรณ์ เหอๆ ลูกเจี๊ยบควรทำอะไรๆให้มันชัดเจนหน่อย คือถ้าจะชอบกรณ์ก็ปฏิเสธคนอื่นให้ชัดไปเลย ไม่ใช่สร้างความหวังให้คนอื่นแบบนี้ ในเรื่องคนที่น่าสงสารที่สุดคือธาม กับ รัน เพราะพยายามแทบตายก็ไม่ชนะคนที่ร้ายอย่างกรณ์
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 28-06-2017 21:17:52
Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก

   
     ดอกลิลลี่สีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงผู้ป่วยเริ่มเหี่ยวเฉาไปตามเวลา 5 วันแล้วที่กรณ์นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แม้จะมีการจ้างพยาบาลพิเศษคอยดูแลตลอดเวลาแต่โยษิตาก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน ตลอดสามวันเธอเฝ้าถามไถ่อาการบาดเจ็บที่นอกจากศีรษะแล้วก็ยังมีบริเวณอื่นที่ฟกช้ำ โดยเฉพาะที่หน้าอก เพราะเป็นส่วนที่ได้รับแรงกระแทกมากที่สุด แต่เมื่อเข้าเครื่องเอ็กซเรย์แล้วพบว่าอวัยวะภายในไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกไม่กี่วันอาการเจ็บเสียดก็จะหาย

    โยษิตามาเยี่ยมคนรักทุกวัน และเป็นเวลา คือก่อน 8 โมงเช้า และหลังจาก 6 โมงเย็นไปแล้ว ไม่เพียงแต่คอยช่วยป้อนข้าวป้อนยา แต่เธอยังเป็นเพื่อนคุยที่ดี แถมยังช่วยคนป่วยเช็ดตัวอีกด้วย ไม่ว่าใครที่เข้ามาเห็นก็อดชื่นชมไม่ได้ โดยเฉพาะกริช บิดาของกรณ์ที่ถึงกับเอ่ยปากชม ทุกคนคิดอย่างนั้นแต่ไม่ใช่กับชนวีร์

    หนุ่มตัวอ้วนไม่ค่อยชอบโยษิตาเท่าไรนัก ถึงเธอจะเป็นคนรักของพี่ชาย และเวลาเกือบสองปีเธอก็ไม่เคยทำอะไรให้กรณ์เสียใจ แต่เขากลับไม่ชอบหน้าเธอ มันฟังดูไร้เหตุผลแต่เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ คงเป็นเพราะบางอย่างในสายตาของโยษิตากระมัง มันคล้ายกับคนไม่จริงใจ

   หากเขาเอาเรื่องนี้ไปคุยกับใครสักคน เขาจะกลายเป็นนางร้ายในละครหลังข่าวทันที เพราะโยษิตาที่ทุกคนเห็นคือเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ช่างเอาใจ วาทศิลป์ในการตอบโต้ก็ยอดเยี่ยม แทบจะไม่มีตรงไหนเลยที่บกพร่อง เขาเองต่างหากที่คิดอคติไปเอง
    ชนวีร์มองดูสตรีร่างเล็กที่กำลังปอกเปลือกแอปเปิ้ลอย่างตั้งใจให้กับคนป่วยที่นอนดูทีวีอยู่ อาการของกรณ์ไม่ได้หนักอย่างที่อัคคีเคยบอกไว้จริงๆ แค่หัวแตกเย็บ 20 เข็ม กับจุกเสียดหน้าอก และมีแผลฟกช้ำตามร่างกาย ที่น่าเป็นห่วงคือสภาพของเฟอร์รารี่มากกว่า งวดนี้ลุงกริชสั่งห้ามไม่ให้กรณ์เอารถราคาแพงออกมาขับเล่นอีก คงเหลือแค่รถญี่ปุ่นให้ใช้เป็นยานพาหนะเท่านั้น เจ้าตัวโอดครวญตามประสาแต่เมื่อบิดาสั่งเด็ดขาดเลยจำใจต้องยอมรับ เขาเห็นด้วยกับลุงกริชเพราะกรณ์ควรเลิกขับรถแข่งไปพักใหญ่จริงๆ

    “คุณหมอกบอกหรือยังคะว่าจะได้กลับบ้านวันไหน”

    เสียงใสถามคนรัก ระหว่างที่ยื่นแอปเปิ้ลเนื้อขาวให้คนป่วย กรณ์รับมันใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ ไม่กี่ทีก็หมด แล้วค่อยตอบคำถาม “อีก 2-3 วันมั้ง ใช่ไหม...วิน”

   หนุ่มตัวอ้วนเบนสายตาจากโยษิตาไปยังกรณ์ เขาพยักหน้าเออออไปกับคำถาม แม้จะไม่มั่นใจนักว่าพี่ชายจะได้ออกจากโรงพยาบาลวันที่เท่าไร ใจจริงเขายังไม่อยากให้คุณหมออนุญาตให้กรณ์กลับบ้านเร็วนัก เพราะยังอยากเห็นว่าโยษิตาผู้แสนดี จะดีจริง...หรือเปล่า

    หลังจากปล่อยให้เขาทนอยู่กับความหวานซึ้งของคู่รักไม่นาน อริญชย์ ธาวินและนักรบก็มา รายหลังนี่เพิ่งจะมาเยี่ยมกรณ์เป็นครั้งที่สอง ส่วนคนอื่นๆ มาทุกวันเท่าที่จะปลีกเวลาได้ สามหนุ่มทักทายคนป่วย แต่ไม่มีของเยี่ยมที่เหมาะกับผู้ที่กำลังพักฟื้นร่างกายสักนิด มีแต่เหล้า เบียร์ กับแกล้ม ราวกับจะมาสังสรรค์มากกว่าเยี่ยมคนป่วย

    อริญชย์โยนเบียร์กระป๋องให้กรณ์ อีกฝ่ายรับได้อย่างแม่นยำ ริมฝีปากคลี่ยิ้มด้วยความยินดี ก่อนจะเปิดฝากระป๋องแล้วกระดกดื่มโดยไม่ฟังคำทัดทานจากโยษิตา

    “ไม่ได้นะคะ คุณเพิ่งหายห้ามกินเหล้ากินเบียร์ หมอก็บอก” โยษิตาเอ็ด พยายามแย่งเบียร์จากมือคนรักแต่ไม่เป็นผล คนป่วยขมวดคิ้วไม่พอใจ

   “ผมอยากกิน” กรณ์บอกสั้นๆ แล้วดื่มเบียร์ต่อ โดยได้ขนมขบเคี้ยวที่ธาวินโยนให้เป็นกับแกล้ม ลืมแอปเปิ้ลไปเสียสนิท
    ชนวีร์ได้แต่สั่นหน้าในความดื้อรั้นของพี่ชาย แต่ไหนแต่ไรแล้วที่กรณ์ไม่เคยสนใจสิ่งใด ทำทุกอย่างที่ใจต้องการ แม้แต่สาเหตุที่ทำให้ต้องมานอนโรงพยาบาลนี่ด้วย ทุกคนในห้องรู้ดี เว้นแค่โยษิตา ที่คิดว่าคนรักของตนแค่อยากจะประลองความเร็วเท่านั้น

    พูดถึงการแข่งขัน ผลแพ้ชนะยังไม่เด็ดขาดเพราะถ้าหากไม่เกิดอุบัติเหตุเสียก่อน ในรอบที่สามกรณ์ต้องเป็นฝ่ายชนะแน่นอน ดังนั้นในตอนนี้การตัดสินยังไม่เด็ดขาด ดนตร์ยังคงไม่ได้ตกเป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วคนที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างคือกรณ์ เขาจะไม่มีวันยอมให้ดนตร์โดนเอาเปรียบแน่นๆ พอในความคิดมีดนตร์ผุดขึ้นมาเขาก็คิดขึ้นมาได้อีก ตั้งแต่เกิดเรื่องเขายังไม่เจอเจ้าแว่นเลย ติดต่อก็ไม่ได้ เขาเองก็ยุ่งเรื่องเรียน ไหนจะต้องมาเยี่ยมคนเจ็บ แล้วก็ลุงกริชอีก รายหลังเขาให้อัคคีหาโรงแรมระดับ 5 ดาวให้ อยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลเท่าไร ลุงกริชมาเยี่ยมกรณ์ไม่กี่ครั้ง เพราะมีธุระให้ต้องจัดการในช่วงนี้พอดี กรณ์เองก็ไม่ได้ยี่หระอะไร คงเพราะเคยชินกับความบ้างานของผู้เป็นพ่อของตนเสียแล้ว

    “มีใครเจอเพลงบ้างไหม” ชนวีร์ถามขึ้น ทั้งสามหันมามองเขา รวมทั้งคนที่อยู่บนเตียงด้วย คงมีแค่โยษิตาที่วุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์ของตัวเอง

    “เจออยู่นะ ก็ไปเรียนตามปกติ” นักรบบอก

    “แกไปรู้ได้ยังไงว่าเพลงไปเรียน นี่อย่าบอกนะว่า...” ธาวินหรี่ตามอง

   นักรบยักไหล่แล้วยิ้มกว้าง “ฉันไม่ได้คิดจะแย่งน้องเพลงกับพวกแกหรอก ฉันมีเป้าหมายอื่น”

   “มันไปเฝ้าน้องยีนส์” อริญชย์ช่วยขยายความ ทุกคนถึงได้เข้าใจ

   ไม่มีใครถามอะไรอีก แต่ทุกคนยังติดค้างอยู่กับดนตร์ หากแต่ที่ไม่พูดถึงคงเพราะเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมา ผลแพ้ชนะยังไม่ได้รับการตัดสิน คิดว่าหลังจากนี้คงต้องมีการแข่งขันเพื่อชิงดนตร์อีกครั้ง...



    ฮัดชิ้ว!
    เสียงจามดังมาจากหลังตู้โชว์ขนม มือเรียวยกขึ้นขยี้ปลายจมูกเพราะอาการคันจนมันแดงเหมือนกวางเรนเดียร์ พอหายคันจมูกก็ติดป้ายราคาที่หน้าเค้ก กลิ่นหอมของขนมเพิ่งทำเสร็จกระตุ้นให้น้ำลายเกือบสออยู่หลายครั้ง แต่พอนึกถึงหลังเวลาเลิกงานแล้วจะได้ชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่ขายไม่ได้กลับไปเขาก็อดใจได้

    5 วันแล้วที่เขาได้มาเป็นพนักงานของที่นี่ แม้จะเป็นแค่พาร์ทไทม์ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม รายได้ไม่เยอะนักแต่มันก็เพียงพอสำหรับนักศึกษาที่ยังไม่ต้องการปัจจัยในชีวิตมากนักอย่างเขา ร้านนี้เป็นร้านญาติของลลิตา เขาวานทั้งเมธัสและลลิตาช่วยหางานพิเศษให้ เพื่อนรักแฝดสยองลิสต์ชื่อร้านที่ต้องการพนักงานแบบพาร์ทไทม์มาให้ยาวเหยียด แล้วเขาก็เลือกร้านกาแฟใกล้กับมหาวิทยาลัย เพราะมันสะดวกในการเดินทาง ค่าตอบแทนคุ้มกับแรงงานที่แลกไป ที่สำคัญเจ้าของร้านยังใจดีอีกด้วย

    ร้านตกแต่งเรียบง่ายแต่น่ารัก ขนาดไม่ใหญ่นักพอรองรับลูกค้าได้ราว 10 – 15 คน สีที่ใช้เน้นไปทางสีขาวและสีน้ำตาล มีรูปสวยๆ ประดับอยู่ตามมุมต่างๆ ใช้เสียงเพลงเบาๆ เปิดขับกล่อม โดยมีกลิ่นหอมๆ ของเมล็ดกาแฟคั่วสดช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย ถึงเขาไม่ใช่คอกาแฟแต่แค่ได้กลิ่นก็รู้เลยว่าทุกๆ แก้วมันต้องอร่อยมากแน่นอน รวมไปถึงเค้กที่เจ้าของร้านลงมือทำเอง คิดสูตร คิดเมนูเอง แถมยังอร่อยจนเขาต้องแอบขอกลับไปทุกวัน

    การทำงานในวันแรกติดขัดนิดหน่อยเพราะเขาเป็นพวกสมองทึบ จดรายการสับสน ต้องใช้เวลาท่องอยู่อีกหนึ่งวันเต็มๆ ถึงจะจำได้ แต่เพราะความใจดีของพี่พาย เลยทำให้เขาไม่ได้โดนดุ กับพนักงานคนอื่นๆ ที่มีทั้งประจำและพาร์ทไทม์เหมือนกันก็เข้ากันได้ดี เพราะวัยไล่เลี่ยกัน โดยมีพี่กายเป็นอาใหญ่สุด และเป็นคนที่สอนงานให้เขา

    ดนตร์ยืดตัวตรงเมื่อติดป้ายราคาเสร็จ เขาแอบสำรวจความเรียบร้อยผ่านกระจกของตู้โชว์ขนม เงาสะท้อนที่เห็นคือภาพของเด็กหนุ่มหน้าตาจืดชืดสวมแว่น ผมยุ่ง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวมีโบเล็กๆ สีดำที่คอ ที่อกเสื้อมีป้ายชื่อติดอยู่ กางเกงแสล็คพอดีตัวสีดำ โดยมีผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอ่อนพิมพ์โลโก้และชื่อร้านคาดทับที่เอวอีกที เมื่อไม่เห็นว่ามีรอยเปื้อน หรือป้ายชื่อบิดเบี้ยวเขาจึงก้าวออกไปด้านหน้าเพื่อทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟต่อ

    ตอนช่วงหัวค่ำร้านจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะเป็นเวลาเลิกงานหรือหมดคาบเรียน ด้วยความที่ตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยเขาเลยได้เห็นเพื่อนร่วมสถาบันหลายคนเป็นลูกค้าของที่นี่ รวมถึงเมธัสและลลิตาที่กลายมาเป็นลูกค้าประจำโดยปริยาย

    นึกถึงแฝดสยองได้ไม่ทันไรเขาก็เห็นคู่ซี้เดินเคียงข้างกันมา ลลิตายิ้มกว้างเป็นการทักทายส่วนเมธัสเอาแต่ก้มอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ทั้งคู่เลือกนั่งในมุมประจำ ลลิตาพยักหน้าส่งสัญญาณถึงเมนูที่สั่งทุกวัน เขายิ้มรับและเกือบจะได้หมุนกลับเข้าไปด้านในถ้าหากไม่มีเสียงเรียกจากลูกค้าขึ้นเสียก่อน

    “น้องครับ”

   “ครับ” ดนตร์ขานรับ ก่อนจะตรงไปยังลูกค้าหนุ่มที่เดินตามลลิตาและเมธัสมาโดยเลือกนั่งอยู่ฝั่งที่ใกล้กับประตูทางเข้าฝั่งขวามือ เป็นจุดที่จะเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ชัดเจน

    ลูกค้าคนนี้ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด เขาไม่อยากเพ่งพินิจนานนักเพราะเกรงว่าจะเสียมารยาทแต่ทั้งน้ำเสียงและรูปร่างมันติดค้างในความรู้สึก ดนตร์มั่นใจว่าเขาต้องเคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อนแน่ๆ แต่กลับจำไม่ได้ว่าที่ไหนและเมื่อไร

    “ลูกค้าจะรับอะไรดีครับ” เขาน้อมตัวลงพลางเอ่ยถามอย่างสุภาพ ลูกค้าหนุ่มเงยหน้าขึ้น ตาคมมองมาที่เขาชั่ววินาทีก่อนจะถามกลับ

   “มีอะไรแนะนำบ้าง”

    ดนตร์ยิ้มบาง “ถ้าเป็นกาแฟอร่อยทุกแก้วครับ แล้วแต่คุณลูกค้าจะชอบแบบเข้มข้นมากน้อยแค่ไหน ส่วนขนม ทางร้านของเราทำเอง สดใหม่และอร่อยทุกชิ้นครับ ผมยืนยัน”

    “แสดงว่านายแอบกิน?”

   “ก็ต้องยอมรับว่าจริงครับ” ดนตร์หัวเราะเบาๆ “แต่ถ้าผมไม่ชิมจะรู้ได้ยังไงว่าอร่อยจริงหรือเปล่า”

    ลูกค้าหนุ่มหัวเราะตาม “งั้นเอาเอสเปรสโซ่ร้อนกับเค้กที่นายคิดว่าอร่อยที่สุดมาสักชิ้นก็แล้วกัน”

   ดนตร์รีบจดออเดอร์ลงในสมุดเล่มเล็ก น้อมตัวลงอีกครั้งและบอกให้ลูกค้ารออีกไม่เกิน 5 นาที

    เขานำเมนูที่สั่งมาเสิร์ฟในเวลาไม่ถึงห้านาทีตามที่บอกไว้จริงๆ กลิ่นหอมของกาแฟที่เข้มข้นที่สุดจากฝีมือการชงของพี่กายเรียกรอยยิ้มจากลูกค้าได้เล็กน้อย เมื่อทำหน้าที่เสร็จเขาก็ทำท่าจะผละจากไปแต่ก็ถูกเรียกเอาไว้

   “นี่เค้กอะไร”

    “banana chocolate cake ครับ”

   “นายชอบกินเจ้านี่เหรอ”

   “ครับ” ดนตร์รับคำ จริงๆ แล้วเขาชอบทุกเมนูที่ดาวทำ เพราะมันอร่อยทุกอย่างแต่ที่ชอบเจ้า banana chocolate cake ที่สุดเพราะเพิ่งค้นพบตัวเองว่าชอบกิน chocolate ยิ่งกินคู่กับนมอุ่นๆ เขากินลืมอ้วนเลยทีเดียว

    “งั้นเอาใส่กล่องให้ฉันเพิ่มอีกชิ้นนะ”

    “ครับ”

   ดนตร์กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง โดยไม่ลืมบอกให้เพื่อนพนักงานหยิบ banana chocolate cake ใส่กล่องไว้รอให้คุณลูกค้าที่นั่งอยู่หน้าประตู ก่อนจะนำเมนูประจำไปให้เพื่อนรักทั้งสอง

    ตลอดช่วงหัวค่ำ คือตั้งแต่ ทุ่มตรงจนถึงสามทุ่ม ลูกค้าทยอยมาไม่ขาดสาย เขาเดินรับออเดอร์พร้อมเสิร์ฟจนแทบไม่มีเวลาได้เข้าไปคุยกับเพื่อนรักทั้งสอง แว่วว่ารุ่นพี่ที่คุมซ้อมเชียร์ฝากเมธัสมาด่าเขาข้อหาที่หนีซ้อมเพราะแอบมารับจ๊อบพิเศษหลังเลิกเรียน แต่เมธัสให้กำลังใจว่าไม่มีใครโกรธจริงจังเพราะรู้ดีว่าเงินสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด

    เขาไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองนัก แต่การที่ได้ใช้เวลาว่างไปพร้อมๆ กับได้เงินในกระเป๋ามาเพิ่มมันดีกว่าเอาเวลาไปคิดถึงเรื่องบั่นทอนสุขภาพจิต ยอมรับว่า 5 วันที่ผ่านมา สภาพจิตใจของเขาดีขึ้น งานที่พรากเอาพลังงานไปเกือบหมด พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายมันทำให้เขาไม่มีเวลาคิดถึงอะไร หรือคิดถึงใครได้

   ลูกค้าที่นั่งติดกับประตูฝั่งขวายังไม่ได้ไปไหนทั้งที่กาแฟและเค้กหมดไปนานแล้ว เหมือนรอคอยใครสักคน เขาสังเกตจากการที่อีกฝ่ายยื่นคอเป็นระยะๆ สำรวจโทรศัพท์ แต่ก็มีหลายครั้งที่ส่งสายตามาทางเขา ทางร้านไม่มีนโยบายไล่ลูกค้าแม้ว่าจะสั่งแค่กาแฟแก้วเดียวแต่ก็สามารถนั่งได้จนร้านปิด ดังนั้นจึงมีนักศึกษาหลายคนเลือกใช้ที่นี่เป็นที่ติวหนังสือหรือไม่ก็ทำการบ้าน ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนรักทั้งสองของเขาที่ขะมักเขม้นอยู่กับการทำรายงานส่งอาจารย์เกลือ ในหัวข้อบทภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับงานศิลปะ เขาลงมือทำไปบ้างแล้วและใกล้จะเสร็จเหลือแค่ปรับบทอีกนิดหน่อย ตั้งใจว่าวันเสาร์จะทำให้เสร็จเพื่อให้ทันส่งในวันจันทร์หน้า

   เสียงกระดิ่งดังกรุ้งกริ้งเมื่อมีคนผลักประตูเข้ามา น่าแปลกที่มีทั้งเสียงเพลง เสียงพูดคุย หัวเราะ ปะปนกัน แต่เขากลับได้ยินเสียงรองเท้ากระทบกับพื้นได้อย่างชัดเจน ดนตร์งเงยหน้าขึ้นมอง ตกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าลูกค้าที่ผลักประตูเข้ามาคือ..โยษิตา

    เธออยู่ในชุดทันสมัยเช่นทุกครั้ง สีหน้าราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เธอหันมองซ้ายขวาราวกับจะหาใครสักคน ก่อนจะชะงักลงแล้วหมุนร่างไปยังด้านหน้าประตูฝั่งขวา มือเรียวสวยเลื่อนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้ชายคนนั้น วินาทีนั้นเองเขาถึงได้นึกออกว่าเขาเคยเห็นลูกค้าคนนี้ที่ไหน

    ที่โรงพยาบาลผู้ชายคนนี้เป็นคนเดียวกับที่กอดจูบโยษิตา ถึงจะเห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็มั่นใจว่าจำไม่ผิดแน่

    ดนตร์อาศัยหลังพี่กายเป็นที่ซ่อนกาย แม้จะรู้สึกสมเพชตัวเองไม่น้อย แต่ก็ดีกว่าไปปรากฏตัวในตอนนี้ โชคดีที่เมธัสกับลลิตานั่งอยู่ห่างออกไปและมีโต๊ะอื่นๆ บัง เลยทำให้โยษิตาไม่สังเกตเห็น

   น่าเสียดายจากจุดนี้เขาไม่อาจได้ยินว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน แม้จะพยายามใช้ความหูดีของตัวเองให้เป็นประโยชน์แล้วก็ตาม แต่ที่เขาได้ยินคือเสียงพูดคุยจากหนุ่มๆ ที่อยู่โต๊ะติดกันแทน

    “น้องครับ น้อง น้องคนนั้นน่ะ”

    “..........”

    “น้องครับ น้องคนที่ใส่แว่น มาหาพี่หน่อยสิ”

   “เพลง โต๊ะนั้นเรียกหานายน่ะ”

   ดนตร์แทบจะกลอกตามองเพดาน เขาสู้อุตส่าห์ทำเป็นหูทวนลม แกล้งไม่ได้ยินเสียงเรียกจากโต๊ะตัวที่อยู่ติดกับโยษิตากับผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ พี่กายเลยยอมละมือจากแก้วกาแฟแล้วเอี้ยวตัวมาบอกกับเขา ดนตร์ถอนหายใจจนไหล่ลู่จำใจยอมออกไปตามที่ลูกค้าเรียก

    “ครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าอยากได้อะไรเพิ่มหรือครับ” เขาถามด้วยเสียงที่สุภาพและพยายามกดระดับน้ำเสียงให้เบากว่าปกติ พร้อมกับภาวนาไม่ให้โยษิตารับรู้ว่ามีเขาอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย

   “ชื่อเพลงเหรอ ชื่อน่ารักดีนี่” หนึ่งในสี่คนบนโต๊ะพูดขึ้น ส่งสายตาวับวาวมาให้อย่างน่าขนลุก เด็กในโต๊ะนี้คะเนจากสายตาน่าจะอายุน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่กลับเรียกเขาว่าน้อง

   “เอ่อ...ครับ”

   “งั้นพี่ขออะไรจากน้องเพลงสักอย่างได้ไหมครับ” ผู้ชายคนเดิมถาม ขณะที่คนอื่นๆ หัวเราะเบาๆ

   “อะไรเหรอครับ”

   “ขอเบอร์โทรได้ไหม เผื่อวันไหนพี่อยากจะสั่งเค้ก”

   “ใช้เบอร์ของร้านก็ได้ครับ เบอร์ส่วนตัวคงไม่สะดวกเท่าไร ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ระหว่างทำงาน” เขาปฏิเสธอย่างสุภาพ ทั้งที่หน้าเริ่มร้อนผ่าวด้วยความโกรธผสมอาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกลูกค้าถามไถ่เรื่องส่วนตัว แต่ 5 วันที่ผ่านมาเขาเจอคำถามแนวนี้มาร่วม 10 ครั้ง ทั้งจากผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายเสียมากกว่า น่าแปลกที่คนพวกนั้นมาให้ความสนใจคนหน้าตาจืดชืดน่าเบื่ออย่างเขาได้

    “ทำไมล่ะ ขอแค่นี้ไม่ได้ หรือว่าแฟนหวง”

   ดนตร์ปั้นยิ้ม “ผมยังไม่มีแฟนครับ ตกลงลูกค้าจะรับอะไรเพิ่มไหมครับ”

   “เบอร์น้องเพลงไง โอเค พี่ล้อเล่น งั้นเอาเค้กช็อคโกแลตให้พี่กล่องนึง แต่น้องต้องเป็นคนเอามาให้พี่นะ”

    ดนตร์รับออเดอร์แล้วรีบเดินกลับมาที่เดิม จัดแจงหยิบเค้กที่สั่งมาใส่กล่อง พลางเหลือบมองไปยังโต๊ะของโยษิตา โชคดีที่เธอไม่ได้สนใจสิ่งอื่นนอกจากการพูดคุย แต่ผู้ชายคนนั้นกลับส่งสายตามาที่เขา จนเขาต้องแกล้งมองไปทางอื่น

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 9 เดิมพัน [25/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 28-06-2017 21:21:23
         ดนตร์กลับไปที่โต๊ะของสี่หนุ่มอีกครั้ง เพื่อนำเค้กไปให้พร้อมกับคิดเงินไปด้วย แต่ก็ยังไม่ได้รับความร่วมมืออยู่ดี ผู้ชายคนเดิมยกยิ้มให้ทำท่าจะส่งเครดิตการ์ด ทว่าพอยื่นมือไปอีกฝ่ายกลับชักมือหนี เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง จนเขาเริ่มหงุดหงิด และในจังหวะที่เขาเอื้อมมือไปหมายจะกระชากการ์ดเจ้าปัญหา ช่วงแขนยาวก็ตวัดรอบเอวดึงทั้งร่างนั่งลงบนตักเสียก่อน

   “ปล่อยผมนะ!” ดนตร์ตวาดลั่นอย่างลืมตัว ส่งผลให้ลูกค้ารวมถึงคนอื่นๆ หันมามอง หน้าของเขาร้อนผ่าวพยายามดิ้นรนสุดกำลังเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนที่น่ารังเกียจ ท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในโต๊ะนั้น

    “เพลง!...”

    เมธัสและลลิตารีบวิ่งเข้ามาช่วย แต่กลับโดนผู้ชายสามคนห้ามเอาไว้ ด้วยรูปร่างที่เล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัดทำให้ทั้งสองคนไม่อาจให้ความช่วยเหลือได้ ส่วนพนักงานคนอื่นๆ มองหน้ากันไปมาเพื่อหาวิธีช่วยดนตร์อย่างสุภาพที่สุด

   “ปล่อยเพื่อนฉันนะ ไอ้ทุเรศ!”

    เมธัสตะโกนต่อว่า ขณะที่ดนตร์ดิ้นขลุกขลักอยู่บนตักของลูกค้าจอมฉวยโอกาส แม้จะเป็นผู้ชายแต่กิริยาเช่นนี้นับว่าน่ารังเกียจไม่น้อย มือเรียวดันหัวไหล่หนาให้ออกห่าง เบี่ยงใบหน้าหนีปลายจมูกที่ฉกฉวยลงมาหลายครั้ง และเฉียดจะโดนผิวแก้มเสียทุกรอบ ดนตร์ขนลุกไปทั้งตัว รังเกียจสัมผัสนี้จนไม่อาจหาคำบรรยายได้

    “ปล่อยเขาซะ”

    เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ทรงอำนาจอย่างน่าประหลาด ทุกคนหันไปมองที่มาของเสียง ร่างสูงใหญ่ของผู้ชายที่นั่งอยู่หน้าประตูทางเข้าฝั่งขวา ก้าวขาช้าๆ เข้ามา ด้วยความสูงเกินหกฟุตทำให้เขาดูโดดเด่น บวกกับความกำยำของร่างกายยิ่งทำให้ลูกค้าหนุ่มรายนี้น่าเกรงขามไปโดยปริยาย เด็กหนุ่มสามคนที่ขวางกันไม่ให้เมธัสกับลลิตาเข้าไปช่วยดนตร์ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ทั้งสามเคลื่อนตัวโดยอัตโนมัติ

    “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ผมจะคุยกับน้องเพลง” คนที่กำลังโอบกอดดนตร์ยังคงทำเป็นอวดดี ทั้งที่เพื่อนร่วมกินแต่ไม่ใช่เพื่อนร่วมตายเริ่มจะมองหาทางหนีทีไล่แล้ว

    “ปล่อยเขา ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน”

    ดวงตาคมดุไม่มีวี่แววของการล้อเล่น เด็กหนุ่มอายุ 17 ปีที่อุปโลกน์ว่าตนเป็นอาใหญ่และชอบทำกร่าง เผลอหยุดหายใจ มองผู้ชายตัวสูงใหญ่ ลักษณะท่าทางดูคุ้นตา รวมไปถึงน้ำเสียงก้องกังวานนั่นอีกด้วย กระทั่งผ่านไปชั่วอึดใจถึงได้นึกออก มือที่โอบรอบเอวคนบนตักคลายออกในทันที มองเห็นรางมรณะที่กำลังมาเยือน

    “อ...อาจารย์อคิราห์”

   “ขอบคุณที่จำผมได้” อคิราห์ กระตุกยิ้ม รับร่างของดนตร์ไว้เพราะถูกเจ้าเด็กนั่นผลักออกเต็มแรงจนถลามาถึง

    เด็กจอมอวดดีวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ เร่งให้พนักงานคิดเงิน รีบร้อนจนลนลาน ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที เหตุการณ์ไม่สงบก็จบลง

   “ขอบคุณครับ” ดนตร์กล่าวขอบคุณผู้ให้ความช่วยเหลือ อาจารย์อคิราห์ที่เด็กพวกนั้นเรียกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะตัวเดิมที่มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่

    โยษิตาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนแรกไม่ได้สังเกตว่าพนักงานที่โดนลวนลามเป็นใคร แต่พอได้ยินชื่อก็ต้องเพ่งมอง แล้วก็เป็นดนตร์ผู้โด่งดังจริงๆ เธอนึกอยากจะถ่ายวีดีโอแล้วเอาให้ไปกรณ์กับเพื่อนๆ ของเขาดู ทว่าอคิราห์ กลับทำเรื่องที่เธอไม่คาดฝันมาก่อน เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปช่วยดนตร์ เด็กพวกนั้นเรียกอคิราห์ ว่าอาจารย์ คนก่อเรื่องคงเป็นเด็กที่มาจากโรงเรียนที่อคิราห์ไปเป็นอาจารย์ฝึกสอน แต่นั่นไม่ทำให้เธอหงุดหงิดเท่ากับการที่ อคิราห์ เข้าไปช่วยเหลือดนตร์ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองสักนิด หากแต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือเป็นเพลง! ทำไมชีวิตนี้เธอถึงหนีไอ้นี่ไม่พ้นเสียที

    “ทำไมต้องไปยุ่งด้วย ไม่เกี่ยวกับคุณเสียหน่อย” เธอถามทันทีที่ อคิราห์ กลับมาถึงที่โต๊ะ ความไม่พอใจฉายชัดที่ใบหน้า

   “เด็กพวกนั้นอยู่โรงเรียน ผมไม่อยากมีเรื่อง” เขาบอกสั้นๆ “มาคุยเรื่องของเราต่อดีกว่า ไอ้กรณ์กำลังจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมให้เวลาคุณอีกแค่สามวันเท่านั้น ถ้าคุณยังไม่บอกเรื่องนี้กับมัน ผมจะเป็นคนเข้าไปบอกมันเอง”

   “ฉันก็กำลังจะหาทางบอกอยู่ แต่ไม่มีจังหวะสักที ไอ้เจ้าอ้วนนั่นไม่ปล่อยให้ฉันอยู่ตามลำพังเลย” โยษิตาบอก เกือบอาทิตย์ที่ไปเฝ้าอาการป่วยของคนรัก เธอแทบไม่ค่อยได้อยู่กับกรณ์ตามลำพังนัก เพราะชนวีร์มักจะโผล่หน้ามาแทรกเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนรักทั้งสามของกรณ์ยังแห่กันมาสร้างปาร์ตี้เล็กๆ ในห้องพักอยู่เรื่อย เธอจึงหาโอกาสที่จะบอกเรื่องสำคัญกับกรณ์ไม่ได้สักที

    ใจจริงแล้วเธอยังไม่อยากเลิกกับเขาเท่าไรนัก แต่เพราะอคิราห์เร่งเร้าเหลือเกิน มิหนำซ้ำยังขู่ว่าจะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับกรณ์เอง เธอไม่อยากทำร้ายจิตใจเขามากไปกว่านี้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเลือกอคิราห์ มันง่ายมาก เพราะฝ่ายหลังเป็นคนที่บิดาหาให้ แถมยังเป็นผู้ใหญ่กว่า รวยกว่า และเอาใจเธอมากกว่าอีกด้วย ระยะหลังนี่กรณ์เริ่มเย็นชากับเธอมากขึ้น ทำทีเป็นใส่ใจแต่แท้ที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยสนใจเธอเท่าไรนัก แรกๆ ก็พอจะเข้าใจ เขาอาจจะยุ่งกับเรื่องเรียน อยากจะมีเวลาส่วนตัวแบบพวกผู้ชายบ้าง แต่พอนานวันเข้าเธอก็เบื่อหน่าย บวกกับความรักที่หวานชื่นก็เริ่มจืดจางตามกาลเวลา เธอไม่เคยเรียกร้องขอให้เขากลับมาเป็นกรณ์ที่แสนดีอย่างวันเก่าเพราะมันผิดวิสัยสาวทรงเสน่ห์ไปเสียหน่อย ประจวบเหมาะกับที่บิดาพาอคิราห์มาให้รู้จักพอดี เธอกับอคิราห์เลยสานสัมพันธ์กันมาเรื่อยๆ นับนิ้วดูได้ราวหกเดือนพอดี

    เวลาหกเดือนมันมากพอจะทำให้เธอตัดสินใจได้ว่าควรเลือกใคร...บางทีแค่รักอย่างเดียวมันไม่พอ

    “ผมรักคุณนะ ยาหยี” อคิราห์ บอก แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ชายอ่อนหวานโรแมนติค ออกจะดิบๆ ห่ามๆ เสียด้วยซ้ำ ทว่ามันกลับสร้างความประทับใจให้กับเธอนัก เพราะคำรักที่ออกมาจากปากผู้ชายที่ไม่ค่อยจะโรแมนติคไพเราะเสียเหลือเกิน

    โยษิตายิ้มให้คนรักคนใหม่ พลางคิดหาทางที่จะบอกเลิกกับกรณ์ หางตากลมด้วยอายไลน์เนอร์สีดำสนิทเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มของร้านเดินเข้ามาใกล้ เธอกระแทกลมหายใจ เพราะไม่ชอบหน้าหมอนี่เท่าไรนัก

   ดนตร์มาหยุดที่ข้างโต๊ะพร้อมกับถุงกล่องเค้ก ดนตร์ในมาดพนักงานเสิร์ฟวางถุงอย่างสุภาพ ค้อมตัวลงเล็กน้อย

    “ใครสั่ง!”

   “ผมสั่งเอง แล้วผมก็เป็นคนเรียกให้เขามาคิดเงินด้วย” อคิราห์อธิบาย

    โยษิตาตวัดมองดนตร์อีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงไม่ค่อยชอบหน้าเด็กคนนี้เท่าไรนัก คงเป็นเพราะท่าทางซื่อๆ โง่ๆ ของมันกระมังที่เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดเสียทุกที โยษิตานั่งกอดอก ยกขาขึ้นไขว้ ยกหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วหันหนีไปทางอื่น

   “ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตคิดเงินเลยครับ ทั้งหมด 500บาทพอดีครับ แล้วนี่ banana chocolate cake ที่สั่งไว้ครับ”

    “นายไม่เป็นอะไรนะ” อคิราห์ ไม่ได้ส่งเงินให้ในทันทีแต่กลับถามไถ่อาการ ดนตร์สั่นหน้าเบาๆ ตอบว่าไม่เป็นไร “นี่ไม่ต้องทอน ส่วนเค้กนายเอาไปกิน ฉันเลี้ยง”

    “ห๊ะ!”

    “พี่ซัน!”

     ทั้งเธอและดนตร์อุทานพร้อมกัน ก่อนที่เธอจะส่งสายตาไม่พอใจไปยังอคิราห์ แต่เขากลับทำเมินเฉย แถมยังยัดถุงเค้กใส่มือดนตร์อีกด้วย

    “กลับกันได้แล้ว”

    อคิราห์ตัดบทแล้วคว้ามือโยษิตาออกไปโดยไม่ปล่อยโอกาสให้เธอจะได้ทันโต้แย้งอะไร แต่ก่อนจะหลุดไปนอกร้านเธอไม่ลืมส่งสายตาเกลียดชังมาที่ผู้ชายใส่แว่น พร้อมสาปส่งไปในตัว ขอให้ชาตินี้อย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย

     ดนตร์พรูลมหายใจเหยียดยาว ละสายตาจากเรือนร่างอรชรของโยษิตาแล้วก้มมองถุงเค้กในมือ รู้สึกหนักอึ้งไปหมด ความตะกละหายไปสิ้นหลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เขายังไม่ทันได้ขอบคุณเป็นเรื่องเป็นราว อคิราห์ก็จากไปเสียแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นยังให้เค้กเขาอีกด้วย ทั้งที่ไม่รู้จัก ทั้งที่เป็นคนที่ร่วมมือกับโยษิตาทำร้ายกรณ์ แต่เขากลับเกลียดอคิราห์ไม่ลง อาจเป็นเพราะเนื้อแท้แล้วอคิราห์ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแค่รักโยษิตาเท่านั้นเอง อาการปวดหัวเพราะคิดมากเกินไปกลับมาเล่นงานอีกครั้ง จนต้องใช้นิ้วคลึงรอบขมับ

    “เสน่ห์แรงไม่เปลี่ยนเลยนะ”

    ดนตร์ผ่อนหัวไหล่ลง พลางหันมองคนเอ่ยแซว เมธัสกอดอกอมยิ้มโดยมีลลิตายืนทำหน้าไม่ต่างกัน

    “แล้วยัยยาหยีกับผู้ชายคนนั้นรู้จักกันได้ยังไง นี่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นแฟนกับพี่กรณ์ฉันต้องคิดว่าสองคนนั่นกำลังเดทกันแน่ๆ” ลลิตาถาม ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากความเป็นจริงนัก

   แต่ก็ไม่มีใครตอบคำถาม ได้แต่ทิ้งความสงสัยเอาไว้ ดนตร์ถอนหายใจอีกครั้ง ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เอาเสียเลย
   เขาสงสารกรณ์ทั้งที่คนที่น่าสงสารที่สุดน่าจะเป็นเขาเองมากกว่า

    ร่างโปร่งบางหันกลับไปทำหน้าที่ตามเดิม ส่วนเพื่อนรักทั้งสองก็นั่งเป็นเพื่อนเฝ้าร้านและรอกลับพร้อมกัน โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรถสีดำคันใหญ่ที่ค่อยๆ เลื่อนห่างจากร้าน และหายไปในความมืด...



     ข้อความสั้นๆ ที่ได้รับจากชนวีร์มันสร้างความยินดีให้กับเขาไม่น้อย ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงคนอื่นๆ
ที่อยู่ในชมรมการแสดงด้วย หนังเรื่องล่าสุดที่ส่งเข้าประกวดได้รับคำชมมากมาย และที่น่ายินดีที่สุดคือมันสามารถคว้ารางวัลใหญ่มาได้ คือรางวัลหนังสั้นยอดเยี่ยมประเภทนักศึกษา ชนวีร์บอกให้เขาไปเจอที่ร้านใกล้ๆ กับโรงพยาบาลที่กรณ์รักษาตัวเพื่อร่วมฉลองให้กับความสำเร็จ เขาเลยจำเป็นต้องลางานหนึ่งวัน

   มือเรียวกระชับเสื้อแจ็คเก็ตให้ไออุ่นมากกว่าเดิม อากาศในเดือนธันวาคมค่อนข้างเย็น แต่ยังไม่หนาวถึงขนาดต้องพึ่งเสื้อกันหนาว ถึงจะไม่ชอบอากาศหนาวนักแต่เขาก็ชอบความคึกคักและสีสันแห่งความสุขในวันใกล้สิ้นปี เขายืนรออยู่หน้าคณะตามที่ชนวีร์นัดหมายไว้ ไม่นานรถยนต์คันใหญ่สีดำก็มาจอดเทียบเท้า ชนิดที่ถ้าไม่ชักเท้าหนีมีหวังโดนล้อทับแน่นอน

   ประตูด้านหน้าฝั่งผู้นั่งเปิดออกจากฝีมือคนที่อยู่ด้านใน ชนวีร์พยักหน้าส่งสัญญาณให้เขารีบเข้าไปด้านในก่อนที่ลมหนาวจะพัดเข้ามาในรถมากกว่านี้

    ดนตร์แทรกตัวลงนั่งและปิดประตูอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังช้ากว่าชนวีร์อยู่ดี ประตูยังไม่ปิดสนิทด้วยซ้ำตอนที่รถเคลื่อนตัว เขาเหลือบมองใบหน้าของรุ่นพี่ตัวอ้วน น่าแปลกใจที่แม้จะมีเรื่องยินดีแต่เจ้าตัวกลับไม่ได้แสดงความดีใจออกมาให้เห็น ในรถอึดอัดขึ้นมาทันที

   “ดีใจด้วยนะครับ ฝีมือพี่ยอดไปเลย” เขาเอ่ยก่อนเพื่อทำลายความเงียบ เวลาที่ห่างกันไปหลายวันทำให้เขาวางตัวไม่ถูกไปเหมือนกัน

    ชนวีร์ทำแค่หันมามองเล็กน้อยแล้วพยักหน้ารับรู้ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก

    ดนตร์ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อเห็นว่าทิวทัศน์ด้านนอกคุ้นตาชอบกล กระทั่งผ่านร้านขายดอกไม้เล็กๆ ที่แม้ตอนนี้จะไม่มีแม่ค้าแต่ยังมีดอกไม้เฉาๆ ตกอยู่ เขาถึงแน่ใจว่าชนวีร์กำลังจะพาเขาไปที่ใด

    “พี่ครับ นี่เราจะไปโรง...”

   “นั่งไปเงียบๆ เถอะน่า”

    พอโดนดุก็จำเป็นต้องหุบปาก ความสงสัยแกมหวั่นใจสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ระยะทางกำลังสั้นลง ถึงตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่าโดนหลอก แต่ไม่รู้ว่าโดนหลอกตั้งแต่เรื่องรางวัลด้วยหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ชนวีร์กำลังจะพาเขาไปพบกับกรณ์…คนที่เขาไม่อยากเจอพอๆ กับที่คิดถึง

    ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่ตอนที่หยุดหน้าบานประตูสีขาว ดนตร์ไม่กล้าแม้แต่จะชะเง้อมองช่องกระจกเล็กเพื่อมองคนด้านใน ในหัวของเขายังสับสน ไม่รู้ว่าจะปั้นหน้าอย่างไร เรื่องราวของโยษิตาที่รับรู้มาโดยบังเอิญลอยเข้าในความคิด และถึงแม้จะชอบกรณ์มากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับใคร อย่างไรเสียมันคือเรื่องส่วนตัวระหว่างคนสองคน เขาคือคนนอกและไม่ควรยื่นมือเข้าไปสอด ดนตร์สูดลมหายใจและเผลอพ่นออกมาเสียงดัง จนคนที่อยู่ข้างๆ กันต้องหันมอง ชนวีร์ใช้มือแตะที่บั้นเอวส่งสัญญาณให้เขาเข้าไปในด้าน

   เมื่อบานประตูเปิดออก ผู้ที่อยู่บนเตียงก็หันมามอง ดวงตากลมคมดุหยุดที่ร่างเล็กของเด็กหนุ่มผิวขาวจัดก่อน แก้วตาสีดำไม่ได้สะท้อนความรู้สึกพิเศษ ราบเรียบจนเกือบจะเฉยชา ก่อนจะเอ่ยปากทักทายลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วน

   “ไง ในที่สุดก็เอามาจนได้สินะ”

    “เคลียร์มันตรงนี้ให้จบๆ ไปซะที ไอ้แข่งรถบ้าๆ ของแกมันไม่ได้ผล แถมยังได้แผล ถามจริงๆ หัวเอาไว้แค่กั้นหูหรือไง” หนุ่มตัวอ้วนบ่นเสียงดัง พลางกระแทกตัวลงบนโซฟาหนังสีดำอย่างไม่กลัวมันจะพัง แขนอวบยกขึ้นกอดอก ปรายตามองคนป่วยที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ชุดผู้ป่วยดูไม่เข้ากับเจ้าพ่อแฟชั่นเสียเท่าไร แถมหมู่นี้หนวดเคราขึ้นจนคางเขียว ผมยุ่งไม่เป็นทรงคงเพราะเจ้าตัวเพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน

    คนถูกบ่นทำแค่ยักไหล่ เพราะถูกบิดาด่ายับพอๆ กับสภาพเฟอร์รารี่ไปแล้ว แถมยังคาดโทษอีกว่าถ้าหากเขาขับรถคันไหนมาแข่งอีกจะถูกยึดรถทุกคัน กรณ์เผลอกลอกตาเมื่อนึกถึงความงกของตาแก่กริช ที่อุตส่าห์บินจากภูเก็ตมาถึงที่นี่สาเหตุหลักไม่ใช่เพราะเขาประสบอุบัติเหตุแต่มีธุระทางธุรกิจให้จัดการพอดี โรคบ้างานนี่รักษาไม่หายถึงขนาดแม่หนีไปก็ยังไม่ดีขึ้น

    ดนตร์ยืนตัวลีบอยู่กลางห้อง ไม่รู้ว่าควรจะพูด หรืออะไรที่ดีกว่านั้น เขารู้ตัวดีว่ากำลังทำเสียมารยาท ตั้งแต่มาถึงเขายังไม่กล่าวทักทายหรือถามไถ่อาการป่วยของกรณ์เลย เขาสับสนและจับเรียงความคิดไม่ได้ เลยได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มันคงดูทั้งโง่และน่าขัน

    “นี่ดอกไม้ของนาย...ใช่ไหม”

    ดนตร์ยอมเงยหน้าจากพื้นห้องเพื่อมองคนพูด เขาเห็นดอกไม้เหี่ยวๆ ในมือของกรณ์ สีชมพูของมันเข้มจนเกือบจะกลายเป็นสีน้ำตาล ความงดงามโรยราไปตามเวลา หัวใจเขาเต้นรัว ตอนนั้นเขาเสียใจและรีบจนลืมไปว่าซื้อดอกไม้มาเยี่ยม จนกลับถึงหอถึงได้รู้ว่าเจ้าลิลลี่สีชมพูมันหายไปแล้ว เขาคิดว่ามันอาจจะตกหล่นระหว่างทางแต่ไม่คิดว่ามันจะมาอยู่ในมือของกรณ์ได้ แต่จะด้วยสาเหตุใดก็ยากเกินคาดเดา

    “ว่าไง”

   กรณ์ถามซ้ำ แต่ก็ยังไร้คำตอบให้อยู่ดี เขาได้แต่ยืนนิ่งจนดูโง่ยิ่งกว่าเดิม แม้จะยินดีที่ลิลลี่ดอกนี้ยังมีค่า แต่ก็ขี้ขลาดจนเกินกว่าจะยอมรับว่าเป็นเจ้าของ

    “ไอ้ธามเป็นคนเก็บมา บอกว่าเป็นของนาย” ชนวีร์พูดลอยๆ ก่อนจะรื้อของเยี่ยมไข้กินแทนคนป่วย

    ดนตร์ยังคงเงียบ จมอยู่กับความคิดสารพัดที่ประเดประดังเข้ามา จนไม่รู้ตัวว่าบัดนี้คนบนเตียงมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ชั่วจังหวะที่คิดหาคำตอบได้ เขาก็เหลือบเห็นปลายเท้าเปลือยเข้า และทันทีที่เงยหน้าขึ้นทั้งร่างก็ถูกวงแขนแข็งแรงรวบกอดไว้เสียแล้ว

    “พะ..พี่กรณ์ ปล่อยครับ” เขาพูดตะกุกตะกัก เบี่ยงหน้าและโก่งตัวหนีอัตโนมัติ แต่ไม่ว่าจะเมื่อใดดนตร์ก็ไม่เคยหลุดพ้นจากอ้อมแขนนี้ได้เลย...ถ้าหากเจ้าของไม่เต็มใจ

   “นายมาเยี่ยมฉันด้วยเหรอ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นใกล้ๆ ขมับ กรณ์แข็งแรงอย่างน่าแปลกใจทั้งที่กำลังเจ็บ เขาหลุบตามองท่อนแขนที่กำลังโอบรอบร่างตัวเองอยู่ รอยฟกช้ำมันจางลงไปมากทีเดียว แต่ที่น่าเป็นห่วงคือศีรษะมากกว่า ได้ยินมาว่าต้องเย็บหลายสิบเข็ม

    ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าปะทะกับผิวแก้ม แม้ไม่ต้องมองเขาก็รู้ว่าใบหน้าของกรณ์อยู่ใกล้แค่ไหน ใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมาข้างนอก แล้วก็สำเหนียกได้ว่าในห้องนี้เขาไม่ได้อยู่ตามลำพังกับกรณ์แต่ยังมีชนวีร์อีกคน ดนตร์เผลอผลักอกกรณ์เต็มแรง

   “โอ๊ย! เจ็บ!”

   กรณ์ร้องครวญ ปล่อยมือจากร่างโปร่ง ยกมือขึ้นคลำหน้าอกตัวเอง อาการเจ็บเสียดยังไม่หายดีนัก ถ้าหากได้รับการกระแทกหรือมีสิ่งใดมากระทบมันก็จะสำแดงความเจ็บปวดออกมา ชายหนุ่มน้อมตัวต่ำลงพร้อมกับสีหน้าที่แสดงอาการออกมาเต็มที่

   “พี่กรณ์! ผมขอโทษ ผมลืมไป”

   พอตั้งสติได้ดนตร์ก็รีบเข้าไปโอบพยุงคนป่วยเอาไว้ ด้วยความสำนึกผิดและเป็นห่วง มีเสียงหัวเราะหึหึมาจากโซฟาหนัง พอหันไปมองเจ้าของเสียงหัวเราะก็ทำเป็นเมินแล้วกินของเยี่ยมต่อ ดนตร์หน้าซีดจับตัวกรณ์ให้ยืดขึ้น มือคลำไปบริเวณแผ่นอกกว้าง แล้วก็ใจหายวูบ กรณ์ผอมลงจนเขารู้สึกได้ โยษิตาดูแลไม่ดีหรืออย่างไร

    “พี่เจ็บมากไหม ผมขอโทษนะ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ดนตร์เอ่ยขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งเห็นว่ากรณ์ยังมีสีหน้าไม่ดีขึ้น เขายิ่งใจหาย มือเรียวสอดรอบเอวสอบพลางออกแรงรั้งร่างของคนป่วยให้กลับไปที่เตียง ตอนนั้นเองเขาถึงได้สังเกตเห็นว่ารอบศีรษะของกรณ์ไม่มีผ้าพันแล้ว เขาได้กลิ่นยาจากกรณ์ พอถึงเตียงก็รีบจัดแจงท่านอนให้ แต่คนป่วยกลับไม่ยอมล้มลงนอนง่ายๆ กรณ์ขืนตัวไว้และนั่งห้อยขาบนเตียงแทน

   “เจ็บที่หน้าอกซ้าย” กรณ์บอก มือคลำป้อยๆ บริเวณนั้น “หมอบอกว่าถ้าแอร์แบ็คไม่ทำงานปอดฉันอาจฉีกได้”

   “ตอแหล!”

    มีเสียงตะโกนแทรกดังมาจากท้ายห้อง ดนตร์หันไปมองหนุ่มตัวอ้วน ที่พอพูดจบก็บิดปากคล้ายหมั่นไส้แล้วหันไปสนใจขนมต่อ

    “แล้วแผลที่หัว”

   “ไม่เป็นไรมากหรอก เย็บแค่ 20 เข็มเอง”

    “20 เข็ม! ผมขอดูหน่อยได้ไหม” แม้จะพอรู้มาบ้างแล้วแต่พอได้ยินจากเจ้าตัวก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดี เขาสงสารกรณ์จับใจ นึกเกลียดเจ้ารถเฟอร์รารี่คันนั้นจับใจที่ไม่อาจคุ้มกันผู้ขับขี่ได้

   กรณ์ไม่ได้ห้ามปรามตอนที่มือขาวเปิดผมที่ปรกลงมาถึงคิ้วขึ้น รอยแผลพาดยาวตั้งแต่ช่วงขมับไปจนถึงโคนผม และหายเข้าไปในกลุ่มผมอีกไม่น้อย ด้ายสีดำขยุ้มติดกับผิวหนังมันไม่น่ามองเอาเสียแล้ว ดนตร์ใช้ปลายนิ้วแตะมันแผ่วเบาแต่พอเจ้าตัวสะดุ้งก็รีบหดมือหนี

   “เจ็บไหมครับ”

   “เจ็บสิ ตอนตื่นขึ้นมาฉันปวดไปหมดทั้งตัว”

    ดนตร์หน้าสลด แผลที่หน้าผากกับรอยฟกช้ำตามตัวบอกได้ดีว่ากรณ์เจ็บหนักแค่ไหน ถึงจะไม่มีอวัยวะส่วนไหนหายไป แต่มันก็ยังหนักหนาสำหรับเขาอยู่ดี ถึงกรณ์จะร้ายกาจกับเขา ทว่าเขาไม่เคยอยากให้กรณ์ต้องมาเจ็บแบบนี้

    “แล้วตกลงว่าดอกไม้นี่ เป็นของนายใช่ไหม”

    ดอกลิลลี่ที่ถูกลืมไปชั่วประเดี๋ยวถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง ตากลมมองดอกไม้สีน้ำตาลที่เหี่ยวเฉาจนแทบไม่เหลือเค้าความสวยงาม ย้อนกลับไปในตอนนั้นเขาตั้งใจเอามาให้กรณ์จริงๆ เพราะคิดว่ามันคือตัวแทนความห่วงใยจากเขา ทว่าพอได้เห็นภาพหวานชื่นของคู่รักก็ต้องเลิกล้มความตั้งใจ ถึงโยษิตาจะมีคนอื่นและกำลังจะเป็นคนทำให้กรณ์เสียใจ แต่เขาก็ไม่ควรใช้โอกาสนี้สร้างความหวังให้ตัวเอง

    “ว่าไง...นายเอามาให้ฉันใช่ไหม”

    “เปล่าครับ...ผมแค่ทำตกไว้”

    “ทำตก? นายบอกว่า...แค่ทำตกไว้อย่างนั้นเหรอ”

    ดนตร์ชะงัก น้ำเสียงของกรณ์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกับสีหน้า อาการเจ็บปวดเมื่อครู่กลายเป็นบึ้งตึงไม่พอใจ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ตาคมดุจ้องมาที่เขา และก่อนจะได้ถอยหนี หัวไหล่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้เสียแล้ว

    กรณ์ใช้กำลังที่มากกว่ารั้งร่างโปร่งจนขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะเอนตัวลงนอนโดยมีดนตร์เกยก่ายอยู่ด้านบน ดวงหน้าขาวนวลระเรื่อขึ้นด้วยเลือดฝาด ดวงตากลมน่ารักมองเขาด้วยความตื่นตระหนก กลิ่นน้ำนมอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวช่วยกลบกลิ่นยาที่น่าคลื่นเหียนได้ แก้วตาใสสีน้ำตาลเข้มคล้ายกับมีอะไรซ่อนอยู่ ทั้งความลับและไม่ลับ

    “รู้อะไรไหมเพลง...นายนี่เป็นนักแสดงที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย”


**********************************


อย่าว่านุ้งเพลง นุ้งเพลงยอมเพราะนุ้งรักเค้าาาาาา
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 28-06-2017 22:08:19
เราไม่ชอนิสัยของดนตร์เลย. มันน่ารำคาญและน่าหงุดหงิดจริงๆ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 28-06-2017 23:20:33
อืม พอกรณ์ถูกบอกเลิกปุ๊บ ก้คงมาวอแวเพลงแน่ๆ เหอออ แล้วงี้จะรุ้ได้ไงว่าเพราะรักแล้วจริงๆหรือแค่อยากลืม ยังไงก็เชียร์คนอื่น5555555 เพลงควรสู้คนหน่อยนะ โดนลวนลามบ่อยจริงๆ ติดตามต่อไป ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: o4u0n7 ที่ 28-06-2017 23:23:37
ดนตร์ ดันทุรังจัง น่าอึดอัดแทน แอบรัก หลงรักอ่ะเข้าใจแต่มันเหมือนแย่งเขามาเลยนะ  รู้ทั้งรู้ว่าเขามีแฟน(ไม่นับเหตุการณ์ล่าสุดที่แฟนกรณ์เตรียมจะชิ่งนะ) 

ส่วนรุ่นพี่รู้ว่าญาติตัวเองนิสัยไม่ดีก็ดันจั๊ง พยายามผลักไสให้กันตลอด เหมือนเป็นฝ่ายสนับสนุนให้น้องทำไม่ดีไปด้วย แล้วก็มาทำตัวเหมือนรักน้องซะเต็มประดา ..ไม่เข้าใจ

หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 28-06-2017 23:37:00
เห้อ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 28-06-2017 23:47:05
เพลงน่ารัก
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 28-06-2017 23:52:53
ทำไมรู้สึกชอบพี่ซัน 5555+
ดูนิ่งๆ แต่ดาเมจแรงมาก 
นี่ถ้าเพลงไม่มีคนในใจจะแอบเชียร์ละนะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 29-06-2017 00:31:49
เพลงใจอ่อนกับกรณ์อีกแล้ว ไม่เคยใจแข็งได้นานเลย
ส่งพี่รันมาจีบเพลงด่วนๆ ชอบพี่รัน แล้วพี่ซันนี่จริงๆเค้าต้องการอะไรรึเปล่า
มาบ่อยๆน้า ขอบคุณค่า :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 29-06-2017 09:58:21
น้องดนตร์ เข็มแข็งไว้
อย่าใจอ่อนกะพี่แกง่ายๆ
คนอกหักมันจะหาหลักเกาะ
ต้องสตรองนะครับ
เค้าจะได้เห็นค่า
 :mew1:
แอบรักได้แต่ต้องงามในหน้านะฮ้า
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 29-06-2017 12:46:28
ไม่จริงงงงงงงงงง
เดือนธันวาฯ ไม่หนาวววววว

พี่รันไปไหน ฮือออ อยากเจอพี่รัน
พี่วินเหมือนจะแอบเข้าข้างลูกเจี๊ยบเลย
อ่านตอนนี้แล้วตัน คิดความเห็นไม่ออก

ขอบคุณที่มาต่อจิ้วววว
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 29-06-2017 13:03:10
ทำไมเหมือนซันสนใจเพลง มีแต่ผู้ชายมารุมจีบ เสน่ห์แรงจริงเลยนะ เพลงใจแข็งหน่อยสิ เจ็บซ้ำๆ วนอยู่อย่างนี้ก็ไม่ไหว  :katai1:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 11 ง้อ [03/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 03-07-2017 18:54:35
Chapter 11 ง้อ?


    “รู้อะไรไหมเพลง...นายนี่เป็นนักแสดงที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
   
   กรณ์มองเปลือกตาบางกะพริบรัวถี่ ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นแดงจัดอย่างรวดเร็ว เขารั้งร่างโปร่งไว้บนกายตัวเองด้วยท่อนแขนเพียงข้างเดียว ใช้ร่างกายเป็นเบาะให้อีกฝ่ายอย่างไม่กลัวว่าอาการบาดเจ็บจะกำเริบ แต่จะว่าไปแล้วไอ้ความเจ็บปวดทั้งหลายมันดีขึ้นมาพักใหญ่แล้ว มีเป็นบางครั้งที่เขาเผลอเคลื่อนไหวแรงช่วงหน้าอกจะเจ็บเสียดขึ้นมาบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกไม่เกินวัน สองวัน เขาก็จะได้กลับบ้าน

    เขาสูดเอากลิ่นหอมที่แสนคิดถึงไว้ในปอด เนื้อตัวนุ่มแต่แน่นให้ความอบอุ่นในอุณหภูมิที่พอเหมาะ กรณ์มองก้างขวางคอชิ้นใหญ่ที่ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ที่มุมห้อง ชนวีร์ทำเป็นสนใจของกินแต่เขาก็รู้ว่ามันคอยชำเลืองดนตร์เป็นระยะ คงเป็นห่วงว่าเขาจะ ‘กิน’ เจ้าเด็กปากแข็งนี่ไปจริงๆ

    คำว่าเด็กปากแข็งเหมาะกับดนตร์นัก ทั้งที่เป็นเจ้าของดอกลิลลี่แท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับบอกว่าแค่ทำตกไว้ เขาน้อยใจแทนดอกไม้นักที่คุณค่าของมันกลายเป็นแค่ของทำตก ทำหล่น กรณ์กระชับอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม ไม่สนใจเสียงกระแอมที่ดังมาจากมุมห้อง...คนกำลังเสียใจ ดังนั้นหาคนปลอบใจจึงไม่ใช่เรื่องผิด

    เขาเสียใจ...นี่คือเรื่องจริง ข้อความที่เลวร้ายถูกส่งมาถึงเขาเมื่อวันก่อนนี่เอง ไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างกรณ์จะถูกสวมเขา มานานถึง 6 เดือน และเขาก็เชื่อว่าสิ่งที่ชนวีร์พูดไม่ใช่เรื่องโกหก

    ‘ฉันไม่ได้คิดจะใส่ร้ายแฟนแกหรอกนะ แต่แค่สองวันที่ฉันตามสืบก็ได้ข้อมูลมาหมด ยาหยีแอบคบกับผู้ชายที่ชื่ออคิราห์หรือซัน เป็นคนที่ทางครอบครัวหาไว้ให้มาได้ 6 เดือนแล้ว ซันเป็นครูฝึกสอนอยู่ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง พ่อเป็นคนใหญ่โตในกระทรวงศึกษา แม่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนที่เจ้าตัวสอนอยู่นั่นแหละ เมื่อคืนฉันแอบตามยาหยีไป แล้วก็เจอสองคนนั่นอยู่ที่ร้านกาแฟที่เพลงทำงานอยู่’

    นาทีนั้นคำพูดของชนวีร์ไม่ต่างจากเข็มนับพันเล่มที่พากันทิ่มแทงลงบนเนื้อหัวใจ เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้โยษิตาปันใจไปจากเขา คิดหาเหตุผลจนแผลที่หน้าผากเริ่มปวด เลยต้องหยุดคิดไปและให้ความเห็นกับตัวเองว่า คงเป็นเพราะเขาเอง...เขาที่เปลี่ยนไปและไม่มั่นคง

    เขาไม่คิดโทษเรื่องที่โยษิตาคบซ้อน เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนรักที่ซื่อสัตย์นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลัง หัวใจและความรู้สึกมันเริ่มคลอนแคลนไปหมด ทั้งที่ควรจะรักแค่โยษิตา แต่เขากลับคอยคิดถึงแต่ใครอีกคน...คนที่เขาตั้งใจจะผูกมัดไว้ด้วยร่างกายโดยใช้คำขู่เป็นเครื่องพันธนาการ ทว่ายิ่งนานวันความรู้สึกที่เขามีให้มันยิ่งทวีตัวรุนแรง เขาทั้งหึงและหวง ไม่อยากให้ใครได้เข้าใกล้ แต่มันยากเหลือเกินที่จะแสดงออกเพราะเขามีโยษิตา ขณะเดียวกันเสน่ห์ของอีกฝ่ายนับวันยิ่งหอมหวน ไม่ว่าใครที่ได้อยู่ใกล้มีอันต้องหลงกลติดกับกันแทบทุกคน

    ‘ซันไปช่วยเพลงจากแขกในร้าน’

    ชนวีร์ทำหน้าที่นักสืบได้ดีเยี่ยมจนน่าตบรางวัลให้ ไอ้เจ้าอ้วนรายงานหมดแทบจะครบทุกเหตุการณ์ นั่นหมายความว่าดนตร์ก็ต้องรู้ว่าโยษิตากับอคิราห์นัดพบกัน ตอนที่ได้รับฟัง คิ้วเขากระตุกน้อยๆ ความเสียใจที่ถูกคนรักสวมเขาค่อยๆ ทุเลาลง ในทางตรงกันข้าม ความกระหายอยากในบางสิ่งก็ดันตัวสูงขึ้นมา

    เขาต้องการดนตร์!

    มันคือความเห็นแก่ตัว...เขารู้ดี แต่ไม่ว่าจะมนุษย์คนไหนในโลกล้วนแล้วแต่ต้องคิดถึงตัวเองก่อนเสมอ เขาไม่ใช่คนประหลาดที่จะเที่ยวยกของชอบให้กับคนอื่น ถ้าหากรู้แน่ชัดแล้วว่าต้องการอะไรหรือชอบอะไรก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าเอาไว้ แล้วตอนนี้เขาก็สามารถแย่งชิงได้เต็มที่แล้วด้วย

   ในความเสียใจเขากลับรู้สึกขอบคุณที่อคิราห์เข้ามาแทรกกลางได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เขาแค่เสียใจแต่ไม่โกรธ เพราะทั้งเขาและโยษิตาต่างก็ทำผิดด้วยกันทั้งคู่

    กรณ์ดึงตัวเองกลับมายังปัจจุบันอีกครั้ง ดนตร์มาอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้ว เจ้าเด็กปากแข็งที่มาเยี่ยมเขาตั้งแต่วันแรก แต่กลับไม่ยอมแสดงตัว นี่ถ้าหากไม่เผลอทำดอกลิลลี่ตกไว้เขาคิดว่าถูกเมินอย่างสิ้นเชิงแล้ว ยอมรับว่าเกือบจะถอดใจล้มเลิกการแย่งชิงดนตร์มาเป็นของตัวเองหลังจากชะเง้อจนคอแทบจะยาวกว่าเดิมแต่ก็ยังไม่เห็นหน้าขาวๆ โผล่มา กระทั่งธาวินเอาดอกลิลลี่มาให้แล้วบอกว่าเป็นของดนตร์

   ‘เพลงทำตกไว้น่ะ เขามานั่งหน้าห้องนานแล้วแต่ไม่ยอมเข้ามา’

    ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมธาวินถึงได้บอกเรื่องนี้กับเขา ทั้งที่พวกเขาเป็นคู่แข่งในการแย่งชิงดนตร์ บางทีถ้าปล่อยให้ดอกลิลลี่เป็นแค่ดอกไม้ที่ทำตกไว้ อะไรๆ มันก็จะดูง่ายไปเสียหน่อย เขารู้ใจเพื่อนรักดี เล่นแบบแฟร์ๆ มันยุติธรรมดี

    เขาจ้องมองดวงหน้าเนียน ดนตร์ซูบลงไปนิดหน่อย แต่ความน่ารักไม่ได้ถูกบั่นทอนลงไปด้วย เค้าโครงหน้าเด่นชัดขึ้น แก้วตากลมใสภายใต้เปลือกตาบาง คิ้วเข้มทอดยาวไปจนถึงหางตา จมูกโด่งจนเป็นสัน ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอน้อยๆ ยามเจ้าตัวเผลอ และพวงแก้มอิ่มที่น่าดึงเสียให้หายมั่นเขี้ยว ผิวขาวเนียนละเอียด แถมกลิ่นก็ยังเหมือนนมอีกด้วย เรือนผมสีเข้มยิ่งส่งให้ผิวขาวผ่องกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า หมู่นี้ดนตร์ดูน่ารักขึ้น แม้แต่แว่นทรงเห่ยบรมก็ยังไม่อาจปิดกั้นเอาไว้ได้

    ดวงตากลมจ้องมองเขากลับมาเช่นกัน นัยน์ตาสะท้อนความรู้สึกหลากหลายจนไม่อาจแยกแยะได้ เพียงชั่ววินาทีที่เจ้าตัวกะพริบตา มันก็กลับกลายเป็นความเย็นชา ร่างโปร่งด้านบนยันกายขึ้น และทำท่าจะลุกหนีไปได้ถ้าหากเขาไม่รวบเอวคอด แล้วกดแนบอกไว้เสียก่อน แม้ว่าแรงกดทับจะกระเทือนถึงความบอบช้ำด้านใน แต่มันก็คุ้มค่า

    “ปล่อยผมลง” ดนตร์กดเสียงต่ำ นัยน์ตาตรงนิ่งไม่หลุกหลิกหรือแม้แต่จะหลบหนีเหมือนที่ผ่านมา

    กรณ์ทำเพียงแค่อมยิ้ม แกล้งกดเน้นมือให้ร่างแนบชิดกันมากกว่าเดิม เขาได้ยินเสียงเจ้าอ้วนกระแอมเตือนเป็นหนที่สอง...แต่ใครจะแคร์

    “นายรู้เรื่องยาหยีใช่ไหม”

    “ห๊ะ!” ตากลมเบิกขึ้นเล็กน้อย แก้วตาสีน้ำตาลไหววูบแต่เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาเป็นปกติ “เรื่องอะไรครับ”

    ดนตร์ยังคงไม่รู้ตัวว่าทักษะด้านการแสดงที่ร่ำเรียนมาเกือบหนึ่งปีมันไม่ได้พัฒนาเอาเสียเลย อุตส่าห์แกล้งตีหน้านิ่งแต่หัวใจเต้นรัวจนหน้าท้องของเขาสะเทือน ชายหนุ่มยิ้มเหยียดมองดูโหนกแก้มใสที่แดงขึ้นเรื่อยๆ

   “นายทำงานที่ร้านกาแฟนั่น แล้วเมื่อวานนี้ยาหยีกับซันก็ไปที่นั่น ซันช่วยนายไว้จากการโดนลวนลาม”

    “ผมไม่รู้จักซันอะไรนั่น!” ดนตร์ปฏิเสธเสียงแข็ง มือที่วางอยู่ข้างลำตัวเขาสั่นน้อยๆ

    “แต่นายรู้จักยาหยีนี่” เขาเติมเชื้ออีกนิด รอดูฝีมือของนักแสดงหน้าใหม่ต่อ

   “เธอเป็นลูกค้าที่ร้านครับ”

   “แค่นั้น?”

    “ครับ...แค่นั้น”

   กรณ์แค่นยิ้ม “วินนี่!”

    “โอ๊ย! น่ารำคาญจริง”

    หนุ่มตัวอ้วนลุกจากโซฟา หลังจากถูกเรียกชื่อ ของเยี่ยมหายไปอยู่ในท้องเกือบครึ่ง ลิ้นสีชมพูกวาดเก็บเศษขนมที่ติดมุมปาก ร่างใหญ่หนาเหมือนหมีขั้วโลก ดูน่ารักพอๆ กับน่ากลัว

    “หมอนี่มันรู้เรื่องยาหยีสวมเขาให้แกแล้ว จริงๆ ทั้งแกทั้งยาหยีก็มีเขาอยู่บนหัวเหมือนกันนั่นแหละ” ชนวีร์ทำนิ้วประกอบลักษณะของ ‘เขา’ มันน่าขัน แต่กลับไม่มีใครขำ โดยเฉพาะผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่

    ตุบ

    ช่อดอกไม้หล่นดังตุบ กุหลาบสีแดงหลุดจากขั้ว กลีบช้ำอย่างน่าสงสาร

    เจ้าของช่อดอกไม้ตะลึงงันมองภาพที่เห็น ร่างกายชาวาบก่อนที่อุณหภูมิในร่างกายจะสูงขึ้นกระตุ้นให้สมองสั่งการ หัวใจบีบตัวแรง ไออุ่นด้วยความโกรธพุ่งพล่านจนหน้าแดงจัด ได้ยินเสียงลมร้องหวีดหวิวในแก้วหู หายใจแรงจนเจ็บเสียดสีข้าง มือที่
เผลอทำช่อดอกไม้หล่นกำเข้าหากันและบีบแน่น เล็บยาวจิกลงไปในเนื้อมือตัวเอง แต่มันกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยเมื่อเทียบกับที่หัวใจ

    “สารเลว!” โยษิตาบริภาษก้อง ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เกือบจะถลนออกนอกเบ้า ร่างระหงในอาภรณ์สวยงามก้าวฉับๆ ไม่กี่ครั้งก็ถึงเตียงผู้ป่วย มือเรียวกระชากเสื้อของคนที่นอนอยู่ด้านบนออกด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลจนน่าแปลกใจ

   ดนตร์แทบจะหงายหลังตกเตียง ดีที่ทรงตัวได้ แต่ยังไม่ทันได้ตั้งหลัก เสี้ยวหน้าก็เจ็บแปลบ ฟันกระทบกับกระพุ้งแก้ม ลิ้นได้รสเค็มปร่าของเลือด เพียงเสี้ยวนาทีใบหน้าก็ชาทั้งแถบ เขาเพิ่งรู้รสชาติของการโดนตบ มันเจ็บพอๆ กับโดนต่อยเลยทีเดียว

    “ทำบ้าอะไร!”

    ระหว่างที่นับดาวใต้เปลือกตาเขาได้ยินเสียงจากชนวีร์ และเสียงฝีเท้าที่แยกไม่ออกว่าเป็นของใคร แล้วทั้งร่างก็ถูกดึงไปที่ไหนสักแห่ง พอลืมตาขึ้นเขาก็เห็นแผ่นหลังกว้างหนาและเป็นสีดำ มืออูมกำข้อมือเขาแน่นโดยใช้ร่างกายที่ใหญ่โตเป็นโล่ป้องกันให้

   “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแกนะไอ้อ้วน! ปล่อยมันมาให้ฉัน ฉันจะตบมัน ข้อหาที่กล้ามายุ่งกับแฟนฉัน!” โยษิตายังคงด่ากราด ใบหน้าที่เคยน่ารักในยามเกรี้ยวกราดน่ากลัวไม่ต่างกับนางยักษ์

    มือเรียวพยายามจะไล่คว้าร่างของดนตร์ที่อยู่ด้านหลังของชนวีร์ แม้ตัวเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่ในยามโกรธ โยษิตาน่ากลัวไม่ต่างจากนางเสือ เล็บยาวครูดไปกับท่อนแขนอวบหลายครั้ง แถมยังเลยไปถึงคนที่อยู่ด้านหลังด้วย เลือดไหลซึมจากบาดแผลที่แม้จะไม่ได้ลึกแต่ก็เจ็บและน่าหงุดหงิด

   “เลิกบ้าซะที!” ชนวีร์ตวาดอีกครั้ง

    แต่คนที่ถูกเพลิงโทสะครอบมีหรือจะสนใจ โยษิตาวิ่งเข้าใส่ดนตร์อย่างไม่เกรงกลัว หมายจะทำร้ายอีกฝ่ายให้เจ็บเพื่อระบายความแค้น

   “โอ๊ย!”

   ชั่วจังหวะหนึ่งที่ชนวีร์เสียหลักเพราะถูกเตะขา โยษิตาคว้าผมของดนตร์เอาไว้ได้ เธอใช้พลังทั้งหมดขยุ้มและดึงทึ้งเต็มแรง ดนตร์เจ็บจนน้ำตาไหล แต่ไม่อาจทำร้ายหรือตอบโต้ได้เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง

    “หยุดได้แล้ว!”

    ปอยผมกระจุกหนึ่งของดนตร์หลุดติดมือโยษิตาไป พร้อมกับร่างที่ลอยหวือขึ้นในอากาศ ถึงกระนั้นเธอก็ยังปาดป่ายมือและเท้าไปมาอย่างบ้าคลั่ง

   “ปล่อยฉันนะ! ฉันจะฆ่ามัน กล้าดียังไงมายุ่งกับคนรักของฉัน! แค่รันกับธามไม่พอหรือไง ไอ้สำส่อน!” มือบางแต่เล็บยาวจิกไปบนหลังมือที่กำลังโอบรอบเอว โดยลืมไปว่าเจ้าของมือเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นาน

    “ใครกันแน่ที่สำส่อน!”

    “แกพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงไอ้อ้วน! อ๋อ เพราะมันเป็นน้องสุดที่รักของแกสินะ เลยคิดจะยัดเยียดมันให้กับกรณ์ แกอยากจะให้กรณ์เป็นอย่างแกอีกคนหรือไง! เสียใจด้วยนะ แฟนฉันแมนร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่นิยมกินถั่วดำ!”

    “แน่ใจแล้วเหรอที่พูดออกมาน่ะ” ชนวีร์แค่นยิ้ม ก่อนจะคว้ามือของดนตร์ไว้ “จัดการซะให้จบ ไม่อย่างนั้นฉันจะยกเพลงให้คนอื่น!”

    ภายในห้องกลับมาเงียบอีกครั้งหลังการวิวาท มีแค่เสียงลมหายใจของคนที่ยังอยู่ในโทสะ โยษิตาปลดมือคนรักออกจากเอว แล้วหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้า ดวงตาของเธอวาวโรจน์ด้วยความโกรธที่ไม่ยอมลดลงง่ายๆ แต่ถึงจะโกรธจนขาดสติแค่ไหนเธอก็ยังจับใจความจากคำพูดของชนวีร์ได้

    “ที่ไอ้อ้วนนั่นพูดหมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าคุณกับมัน!”

    “ใช่ ผมกับเพลงเรามีอะไรกันแล้ว” กรณ์รับสารภาพง่ายดาย แต่ที่ทำให้อารมณ์เธอเดือดพล่านยิ่งกว่าเดิมคือท่าทางที่ไม่ได้สะทกสะท้านหรือแม้แต่รู้สึกผิดของเขา ใบหน้าหล่อเหลายังคงเมินเฉยราวกับกำลังเล่าชีวิตประจำวันให้เธอฟัง

   โยษิตาได้ยินเสียงเปรี้ยะในหู เธอกระโจนเข้าใส่คนรัก ระดมกำปั้นทุบตีไปบนร่างกายเขาอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาไหลพรูทั้งเสียใจและเจ็บใจ “ไอ้คนเลว! คุณกล้าทำแบบนั้นได้ยังไง คุณนอกใจฉัน แถมยังนอนกับผู้ชาย น่าขยะแขยงที่สุด!”

    กรณ์ไม่ตอบโต้ปล่อยให้เธอระบายความโกรธแค้นให้เต็มที่ โยษิตาไม่ถนอมแรงเลย หลายครั้งที่กำปั้นของเธอกระแทกลงบนหน้าอกที่ยังไม่หายดี มันทั้งเจ็บทั้งจุก แต่เขาก็ยังปล่อยให้เธอทำ เขาทำเพียงแค่รอ...รอให้เธอสาแก่ใจ

    “คนเลว! คุณมีหัวใจหรือเปล่า ทำไมทำกับฉันแบบนี้ คุณทำให้ฉันเจ็บไปหมด ฉันรักคุณ รักหมดหัวใจ แต่คุณก็ยังทำแบบนี้กับฉันได้ ฮึก ฮือ” โยษิตาพูดไปร้องไห้ไป แรงที่ทุบตีน้อยลง ร่างบางไถลลงไปบนพื้น จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเป็นร่ำไห้และพร่ำต่อว่าเพียงอย่างเดียว ยาวนานจนเสียงของเธอแหบแห้ง กระทั่งเหลือแค่เสียงสะอื้น

    “พอใจแล้วใช่ไหม” กรณ์ถาม เขาถอยห่างออกมา ไม่ได้ลงไปโอบประคองเธอขึ้น ดวงตาคมทอดมองอย่างเย็นชา โยษิตายังคงนั่งอยู่กับพื้น มือเธอกำแน่น ดวงตาบอบช้ำจากการร้องไห้ช้อนมอง แม้มันจะแดงก่ำแต่ก็สะท้อนความเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน

    ชั่ววินาทีที่เขารู้สึกผิด เขาทำให้ผู้หญิงคนนี้ต้องเสียใจ ทำให้เธอต้องกลายร่างเป็นนางร้ายทั้งที่เคยเป็นเจ้าหญิงที่น่ารักมาโดยตลอด ทว่าพอย้อนกลับไปในสิ่งที่เธอกับเขาและดนตร์ ความผิดที่ก่อตัวก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว เธอพร่ำเพ้อว่ารักเขา แต่เธอกลับนอกใจเขา ก่อนหน้าที่เขากับดนตร์จะมีความสัมพันธ์กันเสียอีก ภาพที่เธออาละวาดทำร้ายดนตร์ยังติดตา ถ้าหากเธอไม่ใช่ผู้หญิงเขาคงกระชากเธอโยนทิ้งไปแล้ว

    กรณ์ถอนหายใจยาว ดวงตายังเหมือนเดิม ถึงเวลาที่เขาต้องเลือกแล้ว

    “ผมผิดเอง ผมนอกใจคุณ คุณจะด่าผมยังไงก็ได้แต่อย่าทำร้ายเพลงอีก เพราะมันอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณจะได้ทำ”

    “นะ...นี่ คุณ! คุณปกป้องมันเรอะ!” โยษิตาแผดเสียงลั่น ร่างบางลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว ถลาเข้าหาเขา มือจับลงบนท่อนแขนของเขา เล็บยาวจิกลงมาจนมันฝังลงกับผิวเนื้อ

    กรณ์กัดฟันระงับความเจ็บที่ทวีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจะยอมทุกอย่าง ยอมเจ็บ ยอมโดนต่อว่า ยอมโดนตราหน้าว่าเป็นคนนอกใจ ยอมแม้แต่ตกเป็นขี้ปากที่นอนกับผู้ชาย เขาไม่แคร์ว่าใครว่าเขาเป็นพวกวิปริตผิดเพศ  ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว

    “ใช่ เรื่องนี้เพลงไม่ผิด ผมเป็นคนขืนใจเขาเอง”

    “ระยำ! คุณมันน่ารังเกียจ” ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ริมฝีปากบิดเบี้ยว ถอยร่างห่างจากเขาไปหลายก้าว นิ้วเรียวชี้มาที่เขา “ไอ้คนวิปริต!” เธอก่นด่า เสียงดังก้องห้อง หันมองซ้ายขวาจนได้เจอกับแจกันสีขาวขุ่น เธอคว้ามันไว้แล้วขว้างไปตรงหน้าสุดแรงเกิด

   กระเบื้องเคลือบทรงยาวรีกระแทกกับศีรษะด้านที่เป็นแผลเต็มแรง แจกันสวยตกหล่นพื้นแตกกระจายไร้รูปทรง น้ำที่เหลืออยู่นองพื้น กรณ์กัดฟันกรอด ความเจ็บพุ่งจี๊ด เขารับรู้ถึงเลือดอุ่นๆ ที่ไหลจากแผลเดิม เพราะปากแผลเพิ่งปิดได้ไม่นานและยังไม่สนิท พอโดนของแข็งกระทบใส่แผลเลยปริแตก แถมยังกว้างกว่าเดิมอีกด้วย

   “ถ้าอยากได้มันมากก็เชิญเลย ฉันเองก็ทนอยู่กับคนผิดเพศไม่ได้เหมือนกัน!”

    โยษิตาไม่แม้จะสนใจรอยเลือดที่ไหลจนผ่านใบหน้าของเขาด้วยซ้ำ เธอยกใบหน้าขึ้นสูง กระแทกเท้าย่ำไปบนพื้นแรงๆ ทั้งห้องคล้ายกับจะสั่นน้อยๆ จากการปิดประตูของเธอ

    โยษิตาจากไปแล้ว คงเหลือแค่ไอโกรธของเธอที่ยังคุกรุ่นอยู่ในห้อง กรณ์สูดหายใจเฮือกใหญ่จนอกพอง เลือดไหลมากกว่าเดิม บางส่วนไหลมาถึงคิ้วและหยดลงที่เปลือกตา เขาใช้มือเช็ดมันลวกๆ ถึงจะเจ็บแต่กลับรู้สึกดี

    ริมฝีปากหยักยิ้มเหยียด ถึงเวลาที่เขาจะเอาจริงสักที...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 10 แค่ดอกไม้ที่ทำตก [28/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 03-07-2017 18:58:13
        “ซี๊ด”

    คนเจ็บสูดเสียงคราง เมื่อสำลีก้อนกลมทิ่มมาที่รอยแตกน้อยๆ ที่มุมปาก ด้วยน้ำหนักมือที่ไม่เบานักของว่าที่คุณหมอ ดนตร์เหลือบตามองเจ้าของมือขาว ก้านนิ้วยาวสวยสมกับสาขาที่เรียนมา ใบหน้าขาวจัดนิ่งเฉยราวกับหุ่นปั้นจนไม่อาจเดาได้ว่าเจ้าตัวยินดีที่จะทำแผลให้เขาตอนเกือบสองทุ่มหรือเปล่า

   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จันทร์ทิวาถูกรบกวนหลังเวลาเรียน ครั้งแรกตอนหนีมาจากร้านเหล้าหลังจากที่ล้มที่สนามบาส และนี่เป็นอีกครั้งที่ดนตร์ต้องพึ่งพาจันทร์ทิวา โดยที่ยังไม่ได้ตอบแทนน้ำใจเลยสักครั้ง พอจะอ้าปากขอบคุณสำลีชุบแอลกอฮอล์ก้อนที่สองก็วางแหมะบนหัวเสียอีก

    “โอ๊ย แสบ!”

    “ป๊อด”

    ว่าที่คุณหมอพูดลอยๆ ด้วยใบหน้าเฉยชาตามเคย เขาเองก็อยากจะตอบโต้แต่มันทั้งเจ็บทั้งแสบจนไม่อาจทำอย่างอื่นได้นอกจากร้องโอดครวญเบาๆ ระหว่างที่จันทร์ทิวาทำแผลให้ ซึ่งมันเจ็บกว่าตอนถูกโยษิตาทำร้ายเสียอีก

    ย้อนกลับไปเมื่อราวชั่วโมงที่แล้ว โยษิตาทำร้ายเขาเหมือนคนสติแตก ทั้งด่าทอต่อว่า ทำร้ายเขาด้วยทุกท่าเท่าที่จะทำได้ ตอนนั้นเธอน่ากลัวยิ่งกว่าตัวร้ายในละครหลังข่าว ดวงตาที่เบิกกว้างแทบจะถลนออกนอกเบ้า เล็บคมครูดไปกับผิวหนังของเขาหลายจุดจนเลือดซิบ ไหนจะแรงตบมหาศาลที่หนักพอๆ กับกำปั้นของเด็กผู้ชาย นี่ไม่นับรวมเส้นผมของเขาที่หลุดไปหลายกระจุกตอนที่เธอออกแรงดึง เป็นการวิวาทที่พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ

    ไม่เพียงแต่เขาที่เท่านั้นที่ถูกโยษิตาทำร้าย ชนวีร์ก็ด้วยอีกคน รายนั้นโดนข่วนไปหลายแผลเหมือนกัน เลือดไหลซิบ ผิวเริ่มบวมแดง เช่นเดียวกับเขา กว่าที่จันทร์ทิวาจะทำแผลให้เขากับชนวีร์เสร็จก็ต้องทนฟังเสียงครางไปนานหลายนาที

    “อ่ะ เรียบร้อย”

   ว่าที่คุณหมอแปะพลาสเตอร์คาดทับสำลีลงบนรอยแผลบนศีรษะให้ มันยังแสบไม่หาย นี่เขายังไม่เห็นว่าผมบริเวณนั้นแหว่งไปเยอะหรือเปล่า ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลก...แต่มันเป็นตลกร้ายที่เขาภาวนาขออย่าให้มันเกิดขึ้นอีก

    “ขอบคุณครับ”

    “จะบอกได้หรือยังว่าพวกนายไปฟัดกับหมาตัวไหนมา”

    ดนตร์กะพริบตาปริบๆ ถึงจะไม่ได้ตอบโต้โยษิตาไปแม้แต่ปลายก้อย ทว่าเขาก็ไม่กล้าพูดว่าแผลพวกนี้ได้รับมาจากเธอ เขาหลุบตามองพื้นห้องแทนการให้คำตอบ และหลบสายตาเย็นชาแต่คาดคั้นของจันทร์ทิวาด้วย

    “หมาตัวเมียไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่แถวๆ นี้แหละ แต่อีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นหมาหัวเน่าแล้ว” ชนวีร์บอก ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้สีขาว พลางยื่นมือไปสะกิดหัวไหล่เล็กให้ลุกขึ้นตาม “ขอบใจนายมากนะทิว อีกสองวันไปที่บ้านฉันนะ มีปาร์ตี้ฉลองหนังได้รางวัลกับฉลองต้อนรับคนกลับมาโสด”

   “หนังนายได้รางวัลเหรอ” ดวงตาเรียบเฉยของจันทร์ทิวา ดูเหมือนจะมีแววแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่เพียงแค่กะพริบตาก็กลับมาเป็นปกติ รอให้ชนวีร์พยักหน้ารับแล้วค่อยถามต่อ “แล้วต้อนรับคนกลับมาโสดนี่คืออะไร”

    หนุ่มตัวอ้วนยักไหล่ ไม่ตอบคำถามแต่ทิ้งทวนไว้ให้ได้คิดแทน “ถ้านายไป นายจะได้คำตอบ เผลอๆ อาจจะได้ ‘ใคร’ กลับมาด้วยก็ได้นะ”

    ชนวีร์มาส่งถึงที่หน้าห้อง ดวงตากลมทอแสงอบอุ่น มือหนายกขยี้ที่เส้นผมเบาๆ เลี่ยงในจุดที่เป็นแผล พอมองหน้าใกล้ๆ แล้วถึงได้เห็นว่าที่ข้างแก้มด้านซ้ายก็มีรอยเล็บของโยษิตาอยู่ด้วย รุ่นพี่ตัวอ้วนยิ้มให้เขา มันทั้งเอ็นดูระคนขอโทษ อันที่จริงแล้วชนวีร์ไม่จำเป็นต้องขอโทษเขาเลย เพราะหากจะย้อนหาคนผิด มันก็เป็นเขาเอง ถ้าเขาเพียงแต่จะยับยั้งชั่งใจไม่เอาตัวเข้าไปพัวพันกับกรณ์ เรื่องบ้าๆ พวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น จากนี้ไปเขาควรจะกลับมาอยู่ในที่ของตัวเอง พาตัวออกห่างกรณ์ให้ได้มากที่สุด ทุกอย่างจะได้จบลงเสียที

   “ขอบคุณมากนะครับพี่ แล้วเจอกัน” เขาเป็นฝ่ายเอ่ยลา แต่แทนที่จะรับรู้ ชนวีร์กลับดึงร่างเขาเข้าไปกอด วงแขนอวบใหญ่รัดรอบลำตัว ไม่ได้แน่นหนาจนหายใจไม่ออกแต่ก็อุ่นเหมือนได้กอดกับตุ๊กตา

   “ขอโทษนะลูกเจี๊ยบ พี่ช่วยอะไรนายไม่ได้เลย ปล่อยให้นายถูกกรณ์เอาเปรียบไม่พอ ยังถูกนังบ้านั่นทำร้ายอีก”

    เสียงของชนวีร์สั่นเครือ ดนตร์ส่ายหน้ากับอกหนาๆ นั่นเบาๆ เขาไม่เคยคิดโกรธใครนอกจากตัวเอง “ผมไม่เป็นไรครับ”

    “พี่ขอโทษ” ชนวีร์พูดประโยคเดิมอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยเขาออกจากอ้อมแขน แก้มใหญ่กลมแดงพอๆ กับที่ปลายจมูก

     ดนตร์อมยิ้ม “พี่ไปนอนเถอะครับ เดี๋ยวไปเรียนสายนะ”

    รุ่นพี่ตัวอ้วนพยักหน้า ใช้หลังมือถูจมูกแรงๆ ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินเร็วๆ ไปตามทางเดิน เขารอจนไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล้วจึงค่อยกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง ทักทายมิ่งขวัญที่กำลังจะเตรียมตัวเข้านอนเล็กน้อย ดีที่อีกฝ่ายเปิดไฟไว้แค่อ่านหนังสือเลยไม่ทันได้เห็นร่องรอยแห่งการวิวาทตามเนื้อตัวของเขา

    เขาใช้บาดแผลมาเป็นข้ออ้างในการไม่อาบน้ำ แล้วเข้านอนเลย ทันทีที่โคมไฟดับลง เขาก็นึกย้อนไปเมื่อชั่วโมงก่อน ระหว่างทางก่อนที่จะมาหาจันทร์ทิวา ชนวีร์ขอคำตอบเรื่องโยษิตากับอคิราห์ เขาเงียบอยู่นานเพราะตั้งใจจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ทว่าชนวีร์กลับบอกทุกอย่างแถมข้อมูลยังแน่นยิ่งกว่าเขาเสียอีก

    ‘แม่นั่นน่ะรู้จักกับซันมา 6 เดือนแล้ว ครอบครัวของทั้งคู่ต้องการให้แต่งงานกัน แถมพ่อแม่ของซันยังมีทั้งอำนาจและบารมี ไอ้กรณ์ที่เป็นแค่ลูกเศรษฐีบ้านนอกเลยโดนสวมเขา’

    เขาได้แต่อ้าปากค้าง ไม่กล้าถามหรือค้านอะไร นอกจากรับรู้ไว้เท่านั้น ชนวีร์รบเร้าอีกครั้ง คราวนี้เขาถึงยอมเล่าถึงเหตุการณ์หน้าลิฟต์ในวันที่ทำดอกลิลลี่ตก

    ‘นายมันโง่ชะมัด นี่ถ้าบอกไอ้กรณ์มันเสียตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ต้องโดนตบแบบนี้หรอก’

   ‘ถ้าผมบอกตอนนั้น ยาหยีคงตามไปตบผมถึงห้องเรียน’ เขาพูดติดตลก

   ดนตร์ปิดตาลง บอกให้ตัวเองหยุดความคิดแต่เพียงเท่านี้ มันป่วยการที่จะหวนคิดถึงอะไรอีก เขาตัดสินใจแล้ว...ความรักกับผู้ชายมันมีแต่จะเสียใจ เขาควรเลือกทางที่ถูกต้อง

   มือเลื่อนลงไปที่กระเป๋ากางเกง มันไม่ได้ราบเรียบแต่มีรอยนูนขึ้นมาเล็กน้อย ในนั้นมีแผ่นกระดาษที่ได้มาจากพี่กายเมื่อวันก่อน ในนั้นมีข้อความสั้นๆ ที่เขียนด้วยลายมือน่ารักๆ บอกว่า ‘ฉันชอบพี่นะคะ ต้องตา’

    แต่ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลง กลิ่นหอมคล้ายเค้กก็โชยเข้ามาในปอด เจ้า banana chocolate cake ยังคงอยู่ที่ในกล่องเป็นอย่างดีโดยที่ยังไม่ได้แตะต้อง เขาวางมันไว้บนโต๊ะที่ใช้ทำการบ้านติดกับเตียงที่กำลังนอนอยู่ ดนตร์พลิกตัวกลับ ใช้สายตาพร่าเลือนเพราะขาดแว่นเพ่งมอง อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจไม่บอกเรื่องโยษิตากับกรณ์เพราะคนที่ซื้อ banana chocolate cake ให้เขาเป็นคนที่ช่วยเหลือเขาไว้ แต่การที่กรณ์รู้เรื่องนี้จากชนวีร์มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ

   ดนตร์ปิดตาลงอีกครั้ง โดยมีกลิ่นหอมของเค้กและความร้าวระบมจากบาดแผลช่วยเร่งให้หลับง่ายกว่าเดิม...



    ร้านกาแฟคึกคักตั้งแต่ช่วงเย็น ยิ่งเข้าช่วงฤดูหนาว ผู้คนต่างต้องการหาความอบอุ่นให้ร่างกายมากกว่าปกติ กาแฟร้อนๆ เค้กสักก้อนและร้านอุ่นๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ดนตร์รีบเข้าไปเปลี่ยนชุด วันนี้เขาไปเรียนแต่เช้า โดยเลี่ยงการถูกสอบสวนจากเพื่อนรักด้วยการใส่แมส ทำทีเป็นป้องกันฝุ่นละอองในอากาศ ดีที่แผลจากการถูกกระชากผมไม่ได้ใหญ่มาก แค่คืนเดียวก็ดีขึ้นแล้ว แถมผมก็ไม่ได้แหว่งไปเยอะ แทบจะมองไม่เห็นถึงความผิดปกติด้วยซ้ำ ส่วนแผลในส่วนอื่นๆ เสื้อผ้าป้องกันลมหนาวก็ช่วยอำพรางได้อีกชั้น

    ดนตร์เดินไปมา ทั้งรับออร์เดอร์ นำกาแฟและเค้กมาเสิร์ฟ รวมทั้งคิดเงิน การใส่แมสทำงานไม่ได้สร้างความแปลกประหลาด แต่หลายคนก็ถามไถ่เพราะคิดว่าเขาป่วย ดังนั้นคำตอบเดิมที่ใช้กับลลิตาและเมธัสจึงถูกนำมาใช้ ตลอดเวลาที่ทำงาน เขารู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง และเขารู้ว่ามันมาจากที่ไหน หลายครั้งที่หันไปเจอ สายตาคู่นั้นก็จะทำทีเป็นเสมองไปทางอื่น ดนตร์อมยิ้มรู้สึกได้ย้อนกลับไปในวัยมัธยมอีกครั้ง

    จวบจนกระทั่งแขกในร้านเริ่มลดลง งานของเขาก็ซาลงไปด้วย เขาถึงได้มีเวลาพัก แต่ระหว่างนั้นสายตาคู่เดิมก็ยังมองมาเนืองๆ ดนตร์ส่งเงินให้กับพี่กายเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนก่อนจะตรงไปยังโต๊ะตัวที่เจ้าของสายตานั้นนั่งอยู่ ทันทีที่เห็นเขาในระยะประชิด เจ้าตัวก็เบิกตาโพลง พวงแก้มใสระเรื่อจนแดงจัด ใบหน้าน่ารักก้มงุด มือไม้อยู่ไม่เป็นสุข ยกจับปอยผมทัดหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น

    “กาแฟเย็นหมดแล้ว เอาอีกแก้วไหม พี่เลี้ยงเอง”

    เจ้าของดวงตากลมโต เงยหน้าขึ้น หน้าตื่นๆ ของเธอน่ารักดีเหมือนกัน “พะ...พี่เพลง”

    เด็กสาวคนนี้ชื่อต้องตาเป็นเจ้าของโน้ตสั้นๆ ที่พี่กายนำมาให้เมื่อวันก่อน เขาเห็นเธอตั้งแต่วันแรกๆ ที่เข้ามาทำงาน เธอจะมีที่นั่งประจำและสั่งแต่เมนูเดิมๆ แค่ลาเต้หวานๆ หนึ่งแก้วกับเค้กวนิลา กินหมดก็กลับไปโดยไม่เคยนัดแนะหรือมากับใคร เครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายทำให้เธอดูเด็กและไร้เดียงสา ผมสั้นแค่คอยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตาแก่ ทั้งที่ความจริงอายุห่างกันแค่ 1- 2 ปี

    ดนตร์เลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเธอ แล้วแทรกตัวลงไปนั่ง มองใบหน้าที่แดงราวกับมะเขือเทศสุกด้วยความเอ็นดู หลายปีแล้วที่เขาไม่ได้มีแฟน นับตั้งแต่เลิกกับแฟนคนล่าสุดเมื่อหลายปีก่อนด้วยเหตุผลงี่เง่าที่เธอบอกว่าเขาดีเกินไป จากนั้นเขาก็เลยหยุดความรักไว้แค่นั้น จนกระทั่งได้พบกับใครบางคนที่ทำให้เขากลับมาหวั่นไหวอีกครั้ง น่าแปลกที่คราวนี้มันดันเกิดกับเพศเดียวกัน ดนตร์หยุดความคิดไว้เพียงแค่นั้น เพราะเขาตั้งใจแล้วว่าจะเก็บความรักนั้นไว้ให้ลึกสุดใจแล้วกลับมาเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่มีคนรักเป็นผู้หญิง

    ต้องตาน่ารักแบบเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป อาจจะไม่ได้ฉูดฉาดอย่างโยษิตา หรือดึงดูดสายตาเท่าลลิตา แต่ก็สดใสและเป็นธรรมชาติ เส้นผมของเธอเป็นสีน้ำตาล สั้นแค่คอ ดวงตากลมโต ใบหน้าเนียนใสไร้การตกแต่งจากเครื่องสำอาง ริมฝีปากเธอสีสดแต่ค่อนข้างแห้งคงเพราะเจ้าตัวชอบเม้มปาก อย่างตอนนี้ก็ยังทำอยู่ เขาหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู 

    “เอาเป็นนมสตรอเบอร์รี่ดีกว่าเนอะ มืดแล้วกินกาแฟสองแก้วเดี๋ยวนอนไม่กลับกันพอดี” เขาถามอีกครั้ง เจ้าตัวมองกลับมาด้วยดวงตาไหวระริก แต่ก็ยอมพยักหน้ารับ ใบหน้าแดงซ่านลามไปถึงใบหู...น่ารักดี

    นมสตรอเบอร์รี่ที่สั่งไปถูกพี่กายมาเสิร์ฟด้วยตัวเอง พี่ชายยักคิ้วให้ก่อนจะกลับไปยืนหล่อหน้าเคาน์เตอร์คิดเงินตามเดิม เขามองต้องตากินนมอุ่นๆ กลิ่นหอมๆ อย่างที่เด็กสาวชอบ ต้องตามีอาการเขินอายอย่างเห็นได้ชัด แก้มของเธอแดงตลอดเวลา มือจับปอยผมทัดหลังใบหูบ้าง ถูกับกระโปรงนักเรียนบ้าง

   ดนตร์ระบายยิ้ม นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มองผู้หญิงแบบนี้ เขาเกือบลืมไปแล้วว่าความรู้สึกแบบที่ผู้ชายมีต่อผู้หญิงเป็นอย่างไร ต้องขอบคุณพี่กายที่ทำให้เขากลับมาเป็นผู้ชายเต็มตัวอีกครั้ง

   “พี่เพลงเอ่อ...ป่วยเหรอคะ” เสียงใสเอ่ยถาม เขามองพวงแก้มซับสีเลือดของเด็กสาว ก่อนจะพยักหน้ารับ ดวงตากลมโตมีแววคล้ายจะเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ซึ่งเขาก็พอใจที่มันเป็นเช่นนั้น

    กระทั่งนมเกือบหมดแก้วต้องตาก็สะดุ้งน้อยๆ คล้ายกับเพิ่งนึกอะไรได้ จากนั้นเจ้าตัวก็ดึงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วรีบส่งให้เขาด้วยอาการลนลาน

   มันเป็นการ์ดสีชมพูมีกลิ่นหอมลวดลายน่ารักที่มองดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของเจ้าตัว เขาเปิดมันออก ภายในมีรูปของเขาที่กำลังยิ้มกว้างให้กับลูกค้าสักคน ด้านล่างมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือว่า ‘รอยยิ้มของพี่เพลงที่น่าหลงใหล’

    “รอยยิ้มของพี่เพลง...หึ ปัญญาอ่อนชะมัด”

    ดนตร์หันขวับ มองหาต้นตอของน้ำเสียงถากถางนั่น แล้วก็ต้องผงะเมื่อพบกับร่างใหญ่หนา แค่เสื้อผ้าที่สวมใส่และกลิ่นคล้ายเมนทอลเขาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร...กรณ์

     เจ้าของร่างสูงเกินหกฟุตยืดกายขึ้น สอดมือล้วงลงในกระเป๋ากางเกง วางท่าสบายพอๆ กับกวนโทสะ มุมปากยกยิ้มแบบที่เห็นแล้วชวนให้หงุดหงิด

    “เธอรู้หรือเปล่าว่าส่วนอื่นๆ ของเพลงมันน่าหลงใหลกว่าอีก ทั้งใบหู” ปลายนิ้วยาวแต่แข็งเกลี่ยไล้ที่ปลายติ่งหู เนื่องจากอยู่สูงกว่า กรณ์ยืนค้ำเก้าอี้ที่ดนตร์นั่งอยู่ เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อขณะที่เด็กสาวฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าเหมือนเห็นผี “เธอรู้หรือเปล่าที่ปลายติ่งหูของเพลงมีขี้แมลงเล็กๆ ด้วยนะ เซ็กซี่อย่าบอกใครเชียวล่ะ” กรณ์หยุดพูดชั่วประเดี๋ยว แต่นิ้วมือยังเคลื่อนไหวไม่หยุด มันเลื่อนไปถึงช่วงคอขอผ่านรอยทับของสาบเสื้อ “หน้าอกก็สวยนะ น่าจะสวยกว่าของเธอด้วย เอวคอด คงสัก 27-28 ล่ะมั้ง ขาสวยยิ่งกว่าผู้หญิง แต่ที่ฉันชอบที่สุดก็คือ...” เขาหยุดพูดอีกครั้ง ก่อนจะใช้จมูกสูดเอากลิ่นหอมจากผิวกายที่หลังคอขาว “กลิ่นน้ำนมบนผิวของเขา”

     ตึง!

    เก้าอี้ตัวที่ดนตร์เคยนั่งล้มลงด้วยปลายเท้าของกรณ์ ชายหนุ่มโน้มตัวไปด้านหน้าบังคับให้อีกคนต้องอยู่ในท่าเดียวกัน ทิ้งระยะห่างจากเด็กสาวไม่กินหนึ่งไม้บรรทัด “เธออยากจะได้เมียฉันอย่างนั้นเหรอ”

    “....เมีย”

   “ใช่ จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ลีลาเพลงน่ะ เด็ดดวงอย่างบอกใครเลยล่ะ โดยเฉพาะตอนที่ฉัน..”

   “พ๊อ!” ต้องตายกมือขึ้นปิดหู ใบหน้าของเด็กสาวแดงจัด ร่างเล็กผุดลุกขึ้นรวดเร็วจนเก้าอี้ล้มลงก่อนคว้ากระเป๋ามากอดแนบอก ดวงตาจ้องมองผู้ชายสองคนและหนึ่งในนั้นคือคนเธอที่ตกหลุมรักทันทีในแรกเห็น เด็กสาวเม้มปากแน่น พี่เพลงของเธอเป็นเมียคนอื่นไปเสียแล้ว! แม้จะเสียดายแค่ไหนแต่มันยากจะทำใจยอมรับได้ เธอทิ้งสายตาที่ทั้งเสียใจและผิดหวังไปที่ดนตร์ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดวิ่งหนีไป

    “ต้องตา! เดี๋ยวก่อน!”

    ดนตร์ร้องเรียก แต่ไม่ทันเสียแล้ว ต้องตาหายลับไปจากสายตาในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที ความหวังที่จะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนผู้ชายปกติทั่วไปหมดลงในเวลาไม่กี่นาที ต้องตาอุตส่าห์สนใจผู้ชายธรรมดาอย่างเขา แต่กรณ์กลับทำลายความภูมิใจเล็กๆ ของเขาลงอย่างรวดเร็ว ดนตร์จับแขนใหญ่ออกจากหัวไหล่แล้วพลิกตัวออกอ้อมแขน จ้องเขม็งไปยังตัวการที่ทำให้ทุกอย่างล้มไม่เป็นท่า

    “เป็นบ้าอะไร!”

    “ฉันต่างหากที่ต้องถามนายว่าทำบ้าอะไร” กรณ์ถามกลับ “นายคิดเหรอว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก”

   “ผมจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของผม พี่ไม่เกี่ยว!”

    กรณ์แสยะยิ้ม ฉวยต้นแขนเขาเอาไว้ แต่เขาสะบัดหนีแล้วถอยห่างไปหลายก้าวจนสะโพกติดกับโต๊ะที่ลูกค้ากำลังนั่งอยู่ ถึงตอนนี้ถึงได้สำเหนียกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในที่รโหฐาน แต่อยู่ในร้านกาแฟที่มีลูกค้าแน่นร้าน พอหันมองรอบๆ ยิ่งอยากจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขากับกรณ์ หน้าของเขาร้อนผ่าว อายระคนโกรธ รีบหันหลังเดินกลับเข้าไปในร้าน แต่อีกฝ่ายก็ยังตามราวีไม่เลิกรา

    “คิดจะหนีไปถึงเมื่อไร เพลง! หยุดเดิน พี่บอกให้หยุดเดินไง! โธ่เอ๊ย ทำไมดื้อนักวะ!”

    ดนตร์เร่งฝีเท้าจนแทบจะเป็นวิ่ง ทว่าช่วงขาที่สั้นเกินไป มันทำให้เขาไม่อาจหนีคนที่ตัวสูงเกินหกฟุตได้ แค่ชั่วอึดใจกรณ์ก็สามารถมายืนขวางหน้าได้สำเร็จ แผ่นอกกว้างสะท้อนขึ้นลงเร็วๆ เขาได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ ที่เจ้าตัวปล่อยออกมา เสี้ยววินาทีที่เงยหน้าขึ้น เขาเห็นแผลที่น่าจะหายแล้วบนหน้าผาก แต่มันกลับเป็นสีชมพูสดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน แถมมันยังขยายขนาดมากกว่าเดิมเสียอีก ทว่าขณะที่กำลังกังวลกับบาดแผลของอีกคน ทั้งตัวของเขาก็ลอยหวือขึ้นอากาศ กว่าจะรู้หน้าท้องของเขาก็พาดอยู่บนหัวไหล่หนาเสียแล้ว ด้วยท่าชวนอาเจียน

   โลกทั้งใบกลับตาลปัตร กรณ์พาดร่างของเขาไว้บนหัวไหล่ รวบขาด้วยมือสองข้าง ที่เขามองเห็นคือแผ่นหลังและพื้น

   “ปล่อยนะ! ปล่อยผมลง!”

    เขาพยายามทุบตีแผ่นหลังกว้างและหนา แต่มันไม่เป็นผล ซ้ำกรณ์ยังแกล้งลงส้นเท้าหนักๆ จนเขาทั้งเจ็บและจุกไปหมด ที่สุดเรี่ยวแรงก็ถดถอย เขายอมให้อีกฝ่ายอุ้มพาดบ่าไปทั้งอย่างนั้น โดยเปลี่ยนจากพยายามดิ้นรนมาเป็นพยายามกลั้นอาเจียนแทน

    กรณ์ยัดร่างเล็กเข้าไปในรถญี่ปุ่นคันใหญ่ที่บิดายอมให้ใช้แทนเฟอร์รารี่ที่ส่งเข้าซ่อมอย่างไม่มีกำหนด เขาไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในร้านหรือเสียงร้องเรียกจากเพื่อนร่วมงานของดนตร์ เขากำลังโมโหหึง ไอ้เด็กบ้านี่ริจะกลับไปมีแฟนเป็นผู้หญิง ทั้งที่เป็นเมียของเขา

    อาการปวดตุบๆ ที่หน้าผากไม่ได้ทำให้กำลังลดลง เขาแค่เหนื่อยเพราะไม่ได้ออกกำลังกายมาพักใหญ่หลังจากที่นอนพักฟื้นอยู่หลายวัน เขาอ้อนวอนขอคุณหมอยอมให้เขากลับบ้านตามกำหนด เพราะแผลที่โยษิตาสร้างให้ใหม่ทำให้คุณหมอจะไม่ยอมให้เขากลับบ้าน แต่เขายืนยันหนักแน่นว่านอกจากรอยแผลที่กว้างและยาวกว่าเดิมส่วนอื่นๆ ของร่างกายแข็งแรงดีแล้วคุณหมอถึงได้ยอม จากนั้นก็รีบตามหาดนตร์แต่เขากลับต้องผิดหวังเพราะไม่เจอเจ้าตัวที่มหาวิทยาลัยถามจากลลิตาหรือเมธัสก็ไม่ได้ความอะไร สองคนนั่นทำเหมือนป้อมปราการไร้คำพูด ไม่เพียงแต่ไม่พูดกับเขาแต่ยังทำเป็นเมินใส่อีกด้วย ดังนั้นเขาเลยต้องไปขอความช่วยเหลือจากชนวีร์โดยต้องทนให้ไอ้เจ้าอ้วนด่าเขาร่วมชั่วโมงถึงจะยอมบอกว่าดนตร์ทำงานอยู่ที่นี่ ซึ่งมันอยู่ใต้จมูกเขานิดเดียวเท่านั้น คำพูดสุดท้ายของชนวีร์ยังติดอยู่ในหู

    ‘ถ้าแกยอมให้อีผีบ้านั่นทำร้ายเพลงอีก รับรองว่าเพลงจะได้ผัวใหม่แน่นอน’

     เขารู้ว่านั่นไม่ใช่แค่คำขู่ ชนวีร์พูดจริงและทำจริงแน่ๆ เขาไม่ได้รับปากหรือสัญญาอะไร เพราะแค่คำพูดมันเชื่อถืออะไรไม่ได้ เขาขอแค่เวลาเท่านั้น

    แต่ชนวีร์ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ขู่เอาไว้มันเกือบจะเป็นจริงอยู่แล้ว เพียงแต่เจ้าตัวดีไม่ได้จะมีผัวใหม่ แต่กลับจะมีเมียต่างหาก เขาจำดวงตาที่ดนตร์ใช้มองยัยเด็กนั่นได้ติดตา แก้วตาใสเป็นประกายระยิบระยับราวกับเห็นของเล่นถูกใจ ปากคงจะกว้างจนเกือบถึงรูหู ถึงจะมีแมสปิดไว้ก็ตาม เขาโกรธจนได้ยินเสียงลมในหูตัวเอง เพิ่งรู้ว่าลมเพชรหึงมันเป็นเช่นไร ดนตร์ต่อว่าเขาว่าเป็นบ้า โดยไม่รู้หรอกว่าเขาบ้าได้มากกว่านั้นอีก

    รถทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วพอๆ กับอยู่ในสนามแข่ง เขาเหลือบมองตุ๊กตาหน้ารถอีกครั้ง แมสปิดหน้าหลุดไปแล้ว คงจากตอนที่เขาอุ้มเจ้าตัวพาดบ่า เสี้ยววินาทีที่กำลังจะเบือนหน้ากลับเขาเห็นรอยเขียวช้ำที่มุมปาก

   …ฝีมือโยษิตา...

    ดนตร์ยังคงนั่งเงียบ แต่มีเสียงลมหายใจฟืดฟาดบอกถึงอารมณ์ที่ไม่ปกตินัก เจ้าตัวกระถดตัวไปจนติดกับประตู มือเกาะสายเข็มขัดนิรภัยแน่น ภายในรถคุกรุ่นด้วยความโกรธที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยออกมา กรณ์เหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วจนมันเกือบสุด เขาหักพวงมาลัยหลบรถคันอื่นด้วยความชำนาญและน่าเสียวไส้ อุบัติเหตุครั้งก่อนไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวตายขึ้นมาสักนิด     
   “อยากตายมากหรือไง! ถ้าอยากตายก็ปล่อยผมลงก่อนแล้วเชิญไปตายให้สมใจ!”

    “คนอย่างฉันจะตายแค่บนอกนายเท่านั้น!”

    “ไอ้พี่กรณ์!!”

    ความเร็วของรถไม่ได้ลดน้อยลง ดนตร์เผลอหวีดร้องในจังหวะที่สารถีตีนผีเข้าโค้งแล้วแซงรถคันหน้า ปาดซ้ายแซงขวา มีเสียงบีบแตรตามหลังมาเป็นระยะ

    “จอดรถเลยผมจะลง ผมไม่อยากตาย!”

    “ไม่! นายจะต้องไปกับฉัน จะนรกหรือสวรรค์ก็ต้องไป”

    “ไอ้!”

   “ถ้านายยังเรียกฉันว่าไอ้อีก ฉันจะเอาของฉันให้นายอม!”

    ไม่มีเสียงก่นด่าอีก มีแต่เสียงลมหายใจหนักๆ ออกมาแทน ในรถกลับมาเงียบอีกครั้งแต่บรรยากาศกลับมาคุยิ่งกว่าเดิม...
*****************************

 :hao7:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 11 ง้อ [03/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 03-07-2017 20:31:10
กรณ์ยังร้ายเสมอต้นเสมอปลายเลยนะ น่าจะใจดีกับเพลงขึ้นนิดนึง คิดจะพิชิตใจเค้าแต่บังคับอยู่นั่นแหละ ยาหยีน่าจะเอาให้เจ็บหนักกว่านี้ หมั่นไส้
เพลงอย่าเพิ่งใจอ่อนนะลูก แต่เพลงเริ่มกล้าด่ากรณ์แล้ว  :laugh:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 11 ง้อ [03/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 03-07-2017 21:38:18
ฮึ้ยยยย หัวล้อนนนนนน
ขออนุญาตวิบัติเพื่อความสะใจ

อะไรของแกวะะะะ อิพี่กรณ์
ไปไกลๆ จะหาเมียใหม่ให้ลูกเจี๊ยบ!

สงสารต้องตา
นางน่าสนใจอ่ะ
ถ้าได้นางเป็นเมียลูกเจี๊ยบน้องโอเคนะ
ต้องตาจ๋า กลับมาก๊อนนนน

นังยาหยี นังบ้า โว้ยยยยยยยย
หมึดดดด ใจ๋ขึ้นนนนนน
นังผีบ้า นังตอแหลลล โอ้ยยยย

รีบๆ มาต่อเลย ให้ไว โมโหหัวร้อนแล้ววว
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 11 ง้อ [03/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 04-07-2017 00:05:52
โอ้ยย อีพี่กรณ์ เพลงกำลังหาเมียใหม่อยู่แล้วเชียว ดันมาถูกจังหวะอีก
สงสารน้องเพลงให้น้องได้มีโอกาสตัดใจบ้างงง  :sad4:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 11 ง้อ [03/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: llmaumill ที่ 04-07-2017 00:10:55
อยากอ่านต่อแล้ว สนุกมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 11 ง้อ [03/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 06-07-2017 14:40:23
กรณ์นี่เลวข่มขืนเพลง ส่วนคนที่เหลือคือผิดเหมือนกันเมาจนเกินลิมิต   เป็นนิยายที่น่ารำคาญดี  ทั้งเพลงทั้งกรณ์ เพลงก็โง่แสนโง่รักคนแบบกรณ์  กรณ์ก็เลวแสนจะเลว  อ่านมา11ตอน  อืมอ่านแล้วหงุดหงิดจริงๆ
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 12 May I in love? [07/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 07-07-2017 23:32:34
Chapter 12 May I in love?


    “ถ้านายยังเรียกฉันว่าไอ้อีก ฉันจะเอาของฉันให้นายอม!”

    ดนตร์กลืนน้ำลายลงคอ ไม่เพียงแต่รักตัวกลัวตายแต่คำขู่เมื่อครู่มันน่าขนลุกน้อยเสียที่ไหน เขาผินหน้าหนีแล้วหลับตาลงปิดกั้นการมองเห็น ถ้าไม่เห็นก็ไม่ต้องรู้ว่าเบื้องหน้ามันน่ากลัวแค่ไหน นานจนเริ่มปวดกระบอกตา เสียงเครื่องยนต์ก็หยุดลง ดนตร์เปิดตาขึ้นอีกครั้ง แต่เขายังไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด กรณ์เป็นฝ่ายเปิดประตูออกไปก่อนโดยไม่ได้บอกว่าที่นี่คือที่ไหน

    “ออกมา”

    อีกฝ่ายแทบจะตะคอกบอก แต่เขายังทำเฉย รู้ดีว่าการดื้อแพ่ง ต่อต้าน มันไม่ใช่ผลดี ทว่าทิฐิมันก็มีพอๆ กับความหวาดเกรง

   “ฉันบอกให้ออกมาไง!”

    ดนตร์ยังทำเป็นหูทวนลม เบียดตัวกับเบาะแน่นกว่าเดิม มือยึดสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่นราวกับจะใช้มันเป็นปราการป้องกัน

   “เพลง!”

    สิ้นชื่อของเขา หัวไหล่ก็ถูกกระชากอย่างไม่เบาแรงนักจนตัวเลื่อนหลุดจากเบาะที่นั่ง ก่อนทั้งร่างจะลอยหวือเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง แล้วเพียงชั่ววินาทีโลกที่มองเห็นก็กลับพลิกลงด้านล่างอีกครั้ง

   “โอ๊ย! ไอ้พี่กรณ์ ผมเจ็บนะ”

    กรณ์แบกร่างของเขาไว้บนหัวไหล่อีกครั้ง มันเป็นวิธีที่หยุดการเคลื่อนไหวของเขาได้ดีนัก การมองเห็นในมุมมองที่ผิดปกติทำให้อยากจะขย้อนเอาของเก่าออกมา ไหนจะแรงกระแทกจากกระดูกหัวไหล่ที่ทิ่มมาแถวหน้าท้องนั่นอีก แม้อยากจะขัดขืนหรือตอบโต้แทบขาดใจแต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ปิดตาแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายแบกไปอยู่อย่างนั้น

   เขาไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน แต่คิดว่าคงอยู่ในกรุงเทพฯ แค่มันเงียบและค่อนข้างสันโดษ สังเกตจากเสียงแตรรถที่ไม่มีให้ได้ยิน ดนตร์พยายามกลั้นความอยากอาเจียนเอาไว้เต็มกำลังและหักเหความสนใจด้วยการนับหนึ่งถึงสิบ แต่ได้แค่เจ็ดร่างของเขาก็หล่นตุบลงบนเบาะนุ่มเสียก่อน

    ตากลมเบิกโพลง หันมองรอบๆ บริเวณพบว่ามันเป็นห้องขนาดกลาง แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ นอกจากเตียง เขาได้กลิ่นคล้ายกับสีปะปนอยู่ในอากาศด้วย ขณะที่กำลังจะชันกายขึ้น ร่างหนาใหญ่ก็ทิ้งตัวตามลงมา ช่วงแขนยาวกางกักเขาไว้ ลำตัวแนบชิดจนแทบไม่มีส่วนไหนที่ไม่สัมผัสกัน ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบดี มันใกล้เสียจนเขาเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในแก้วตาสีดำ แต่ที่เขาสนใจคือแผลที่หน้าผาก ทำไมมันถึงยังไม่หายและทำไมถึงได้เป็นเยอะกว่าเดิม

    “พะ..พี่กรณ์”

   ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อ กรณ์ทำเป็นไม่ได้ยินเขา และยังคงจ้องมองอยู่เช่นเดิม สีหน้าราบเรียบจนติดดุดัน เขารับรู้ได้ถึงความไม่พอใจที่เจ้าตัวปล่อยออกมา จะว่าไปแล้วกรณ์ไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง...ที่เกี่ยวกับเขา กระแสสายตารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับความอึดอัด จนเขาทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายหันหนีก่อน

   “ทำไม...ไม่อยากมองหน้ากันเลยหรือไง”

    หน้าแบบนั้นใครจะไปกล้ามอง..ดนตร์ค่อนขอด แล้วก็ต้องตกใจเมื่อปลายคางถูกคว้าไว้ ตาคมดุอยู่ใกล้กว่าเดิมเสียอีก

    “อยากจะมีเมียนักหรือไง!” กรณ์ถามลอดไรฟัน ปลายนิ้วกดไปที่ข้างแก้มจนริมฝีปากเผยอออก

    “ก็ผมเป็นผู้ชาย!” ดนตร์สวนกลับ ยึดข้อมือใหญ่เอาไว้

   “แน่ใจ? ลองถามร่างกายตัวเองอีกรอบนะว่ามันเหมาะจะเป็นรุก...หรือเป็นรับ”

   “ผมเป็นผู้ชาย!” ดนตร์ยังยืนยัน เขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตัวเองยังสามารถทำหน้าที่ลูกผู้ชายได้ แค่บางเสี้ยวของความรู้สึกเท่านั้นที่ผิดเพี้ยนไป

   “ผู้ชายก็ผู้ชาย...แต่เป็นผู้ชายที่มีผัวนะ”

    “ไอ้! ปล่อยซิโว๊ย! อย่ามาทับกันแบบนี้ มันอึดอัดไม่รู้หรือไง” คนตัวเล็กกว่าพยศ ทั้งโกรธทั้งเขินจนหน้าแดงเถือกลงไปถึงลำคอ

   กรณ์แสยะยิ้ม กวาดตามองไปทั่วใบหน้าแดงซ่าน สะดุดกับรอยช้ำที่มุมปาก เขารู้ว่านั่นเป็นบาดแผลที่โยษิตาสร้างไว้ น่าจะมีที่ศีรษะอีก เขาเห็นเธอทึ้งผมดนตร์ราวกับจะซักผ้า ตอนนั้นเขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าอยากจะเข้าไปกระชากตัวโยษิตาออก แต่เพราะไม่อยากให้ทุกอย่างมันแย่กว่าเดิมเลยต้องยอมทนเห็นดนตร์ถูกทำร้าย ไม่ใช่ไม่อยากปกป้องเพราะเขารู้ว่าดนตร์เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว นอกจากจะไม่ตอบโต้แล้วยังทนเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวอีกด้วย

    เขาชอบที่ดนตร์เคารพเพศแม่...แต่เขาชอบแบบนี้มากกว่า

    “แค่ฉันไปนอนโรงพยาบาลไม่กี่วัน นายก็แสดงฤทธิ์เดชแล้วเหรอ หรือเพราะมีไอ้เจ้าอ้วนให้ท้ายเลยได้ใจขนาดนี้”

    “ไม่เกี่ยวกับพี่วิน! ปล่อยสักที ผมไม่ชอบ แล้วก็ออกไปจากชีวิตผมได้แล้ว จากนี้ผมกับพี่เราเป็นแค่คนที่เคยรู้จักกันเท่านั้น”

    “ที่ถูก?...ที่ควร?” กรณ์พูดช้า พลางคิดถึงสิ่งที่ดนตร์ต้องการจะสื่อ “อะไรคือถูกและอะไรคือสมควร”

   คนใต้ร่างถอนหายใจยาว ตากลมเรียวหลังแว่นมองเขาตรงๆ “พี่มีพี่ยาหยีอยู่แล้ว พี่ก็ควรเลือกคนที่ถูกต้องและเหมาะสม ส่วนผม...” ดนตร์เว้นวรรค สูดลมหายใจเข้าปอด “ก็ควรกลับไปเป็นเหมือนเดิม”

    “มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วเพลง”

    กรณ์ถอนหายใจหนักๆ ทุกอย่างมันเริ่มคลอนแคลนตั้งแต่วันที่ได้พบกันที่สนามบาส ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเขาถึงไม่อาจหยุดคิดถึงสายตาตัดพ้อจากเด็กผู้ชายตัวขาวๆ นั่นได้สักที ยิ่งนานวันมันก็เหมือนปรสิตกัดกินพื้นที่ความคิดและความรู้สึก จนแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ที่สุดเขาก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้อีก เขาปล่อยให้เชื้อปรสิตที่ชื่อดนตร์ทำงานเต็มที่โดยไม่คิดจะป้องกันหรือรักษา

   ...มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วจริงๆ...

    มือใหญ่คลายจากแก้มนุ่ม ทิ้งรอยแดงไว้จางๆ ผิวของดนตร์ขาวและใสเสียจนมองเห็นเส้นเลือดฝาดบางๆ ใต้ผิวหนัง ถึงรูปร่างจะไม่ได้อรชรอ้อนแอ้น หรือมีสัดส่วนยวนตาเหมือนผู้หญิงแต่เขากลับรู้สึกว่าดนตร์น่าปรารถนาไปทั้งเนื้อทั้งตัว กลิ่นกายหอมคล้ายน้ำนม ที่เขาเคยบอกว่าดนตร์เป็นนักแสดงที่ไม่ได้เรื่องเพราะดวงตาคู่นี้มันฟ้องหมดทุกอย่าง แม้ปากจะบอกว่าเกลียดเขาแต่ตามันไม่ใช่

    ...ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ...

    เด็กคนนั้น...ต้องตา คงไม่ต่างจากเขา ธาวินหรืออริญชย์ ทุกคนหลงติดกับความใสซื่อและความเป็นกันเอง แล้วถ้าหากลองได้ใกล้ชิด ไม่มีใครไม่หลงเสน่ห์ของดนตร์ รวมถึงตัวเขาด้วย

    “...ไม่มีอะไรเหมือนเดิม”

    กรณ์เปิดเผยทุกความรู้สึกผ่านดวงตา มองลึกลงไปในดวงตาอีกคู่ นานจนไม่อาจบอกเวลาได้ ดนตร์ก็เป็นฝ่ายหันหน้าหนี จุดสีแดงเล็กๆ กระจายจากโหนกแก้มแล้วแผ่เป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ลามลงไปถึงลำคอ
 
   ชายหนุ่มผ่อนตัวลง โดยมีเรือนกายแน่นและนุ่มรองรับอยู่ด้านล่าง กรณ์อมยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มที่แก้ม เพิ่งรู้ว่าคำว่าน่ารักมันก็ใช้ได้กับผู้ชายเหมือนกัน...โดยเฉพาะกับผู้ชายที่ชื่อดนตร์

    “อายเหรอ...เมื่อกี้ยังปากดีอยู่เลย”

   “ไม่ได้อาย! ผม...ผมแค่อึดอัด แล้วก็ปล่อยผม....!!!”

    กรณ์หยุดคำพูดด้วยริมฝีปากของตัวเอง เขาทาบปากลงไปบนกลีบปากนุ่มใช้ฟันขบกัดเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะใช้ลิ้นแตะไปบนรอยแผลที่มุมปากแล้วสอดเข้าไปหยอกล้อกับอีกลิ้น ดนตร์ดิ้นอึกอักแต่ไม่นานนัก เขาใช้ความชำนาญหลอกล่อให้อีกฝ่ายเคลิ้มตามได้ไม่ยาก ดนตร์ตอบโต้กลับมาแม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญเท่าแต่ก็ทำได้ดีจนเขาเผลอหลุดคราง เลื่อนมือดึงแว่นน่ารำคาญออก

    เขาแบ่งปันรสฝาดเฝื่อนของบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปผ่านปลายลิ้น แล้วดูดเอาความหวานคล้ายขนมเค้กจากอีกฝ่ายกลับมา เป็นการแบ่งปันที่ลงตัวที่สุด

    จูบจนรู้สึกว่าปากสีสดนั่นมันเห่อบวมขึ้นมาถึงได้ยอมผละออก น้ำเหนียวใสไหลซึมที่มุมปาก กรณ์ดูดกลืนมันจนหมดด้วยความเสียดาย เขายันกายขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหน้าอีกคน ผิวขาวใสบัดนี้แดงเรื่อไปหมด ดวงตากลมปรือปรอย หวานเยิ้ม และเย้ายวน กรณ์เผลอยิ้มในความคิดของตัวเอง ผู้ชายที่ไหนกันจะเย้ายวนได้ แต่ที่เห็นอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่อาจให้คำนิยามได้ ดนตร์อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์จริงๆ

    เขาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไปบนรอยช้ำที่มุมปาก ผิวของดนตร์บางและใสมาก แค่ลงน้ำหนักมือนิดเดียวก็เป็นรอยเสียแล้ว นี่โดนตบมันเลยยิ่งเห็นชัด คงอีกหลายวันกว่าจะหาย เขาโกรธโยษิตาที่ทำให้ดนตร์เจ็บ แต่ก็ชื่นชมที่ดนตร์ไม่ทำร้ายผู้หญิง กรณ์ก้มลงจูบเบาๆ ที่รอยแผลอีกครั้ง เจ้าตัวสะดุ้งยกมือจะผลักเขาออก แต่เขาก็รวบมือเรียวไว้ได้ทัน

    ฝ่ามือที่ไม่ได้นุ่มนิ่มแบบผู้หญิงแต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้าง นิ้วของดนตร์เรียวและสวย เล็บสั้นสะอาดเป็นสีชมพู บอกถึงสุขภาพของเจ้าตัว เขามองลึกลงไปในดวงตากลมน่ารัก ขณะที่ริมฝีปากไล่จูบดูดเม้มที่ปลายนิ้วเรียว ใช้ลิ้นกวาดไล้ลากลงไปถึงส่วนโคนแล้ววกกลับ ทำราวกับมันเป็นตัวแทนของบางอย่าง จากนิ้วชี้ ไปที่นิ้วกลาง นาง และก้อย แล้วลากเลยไปถึงกลางฝ่ามือ โดยที่ตลอดเวลาสายตาไม่ได้คลาดเคลื่อนไปที่อื่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว

    ดนตร์รู้สึกว่าผิวแก้มจะระเบิดเสียให้ได้ เมื่อลิ้นอุ่นซ่าน เปียกชื้น ดูดกลืนนิ้วของเขา...อย่างเร่าร้อน ไอสัมผัสไหลลึกไปถึงส่วนล่างของลำตัว หน้าท้องเขาขมวดแน่น เลือดในกายร้อนจนรู้สึกได้ บางส่วนตื่นขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องด้วยซ้ำ ดวงตาคมที่มองมามันร้อนแรงจนเขาแทบจะละลาย กรณ์จูบไล่ทีละนิ้ว จนถึงกลางฝ่ามือ แล้วยกขึ้นแนบกับใบหน้าหล่อเหลาได้รูป

   หัวใจของเขาเต้นแรงยิ่งกว่ากลองชุด ความตื่นเต้นมีมากพอกับความต้องการที่ปะทุอย่างรวดเร็ว เขาโทษความเชี่ยวชาญของอีกฝ่ายที่ปั่นป่วนก่อกวนจนไม่อาจควบคุมได้...แต่ไม่โทษความโหยหาลึกๆ ที่กำลังเอ่อล้นขึ้นเรื่อยๆ

    บางส่วนด้านหน้ามันโป่งพองดุนดันอยู่แถวหน้าท้อง กรณ์เปิดเผยความปรารถนาอันแรงกล้า ทั้งสายตาและส่วนนั้น เขาอยากจะหันหน้าหนีแต่ความอยากรู้อยากลองมันเรียกร้องให้เขาสบประสานสายตาอยู่อย่างนั้น ไฟร้อนลามเลียไปทั่วร่าง ความต้องการที่ซ่อนไว้เปิดเผยออกมาเรื่อยๆ แท้ที่จริงแล้วเขาเองก็ต้องการกรณ์ไม่แพ้กัน เพียงแต่เขาคิดว่าสามารถควบคุมมันได้

   ..แต่มันก็เป็นได้แค่ความคิด เพราะตอนนี้กรณ์กำลังจะทำให้ตบะของเขาแตก...

   ที่ผ่านมาอีกฝ่ายเร่งเร้าเอาแต่ใจ และไม่เคยใช้สายตาอ่อนเชื่อมแบบนี้หลอกล่อเขา กรณ์ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นสาวน้อยในวัยแรกรุ่น ทั้งขวยเขินแต่ในขณะเดียวกันก็อยากจะริลองรัก กรณ์อมยิ้มแล้วหันหน้าเข้าหาฝ่ามือของเขา ก่อนจะกดจูบลงไปเบาๆ

   “นาย...น่ารักมาก”

   ตัวของเขาร้อนเหมือนโดนไฟเผากับคำชมนั้น ดวงตาคมหวานหยดแต่ก็แฝงด้วยความต้องการ เขาหายใจแรงไม่แพ้อีกคน คำพูดและอาการต่อต้านมันหายไปเหมือนโดนลบเพียงแค่สายตาของกรณ์ที่มองมา เขารู้ว่ากรณ์มีเสน่ห์และหล่อมากแค่ไหน แต่คืนนี้มันมีมากกว่านั้นเป็นเท่าตัว แผลที่หน้าผากไม่ได้ทำให้ความดูดีลดลงเลยแม้แต่น้อย แก้มที่ซูบตอบไป ไรหนวดเขียวเหนือริมฝีปาก ทำให้ดูดิบเถื่อนขึ้น

   “มองแบบนี้อยากโดนดีหรือไง” ริมฝีปากหนาแต่สวยได้รูปขยับถาม เขาไม่รู้หรอกว่าเผลอใช้สายตาแบบไหนมองตอบกลับไป แต่ในหัวของเขาตอนนี้มันมีแต่กรณ์

    “อืม”

   ลิ้นอุ่นดูดปลายนิ้วของเขาอีกรอบ เขาหลับตาลงปล่อยให้เรียวลิ้นหลอกล้อกับนิ้วมือ พอใจกับไอเย็นและสัมผัสอ่อนนุ่ม โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่ากระดุมเสื้อเชิ้ตมันถูกปลดจนหมดแถวแล้ว

    ไอเย็นชื้นที่คุ้นเคยเปลี่ยนจากนิ้วมาที่ลำคอแทน ลามมาถึงแถวหน้าอก ดนตร์ลืมตาขึ้นก็เห็นเส้นผมสีดำขยับอยู่ กายสะท้านเยือกด้วยความเสียวเสียดที่ก่อตัวอยู่ที่หน้าท้อง กรณ์กลืนกินหน้าอกของเขาราวกับเป็นทารกน้อย ดนตร์ยกมือขึ้นขยุ้มเส้นผมสีดำ ดึงทึ้งมันเบาๆ ระบายความกำหนัดที่ล้นปรี่ออก แต่มันไม่ได้ผลนัก ส่วนกลางลำตัวขยายตัวฟ้องความน่าอายให้อีกฝ่ายเห็น

    กรณ์เลื่อนศีรษะต่ำลงไปจนถึงแอ่งสะดือ โดยไม่ลืมทำหน้าที่นักชิม ลิ้นอุ่นแหย่เย้า พลางใช้ริมฝีปากดูดเม้มผิวขาวจนเป็นรอยช้ำ นิ้วมือขยับคล่องแคล่วอยู่แถวขอบกางเกง ไม่กี่อึดใจมันก็หลุดลงไปอยู่ที่ปลายเตียงตามด้วยชั้นในสีขาวสะอาด

   “อือ...”

   สะโพกมนยกสูงขึ้นเล็กน้อย ยามที่ฝ่ามืออุ่นร้อนกอบกุม เพียงแต่แตะต้องมันก็ขยายตัว กรณ์อมยิ้มก่อนจะอ้าปากรับมันไว้และทำเหมือนที่เคยทำกับนิ้วมือ

    “อา..”

    ดนตร์ครางกระเส่า สะโพกยกส่ายวน มือทั้งดึงทั้งผลักไสหัวไหล่หนา หน้าท้องบิดเกร็งจนก่อเป็นกล้ามเนื้อน้อยๆ ผิวขาวเริ่มแดง กระทั่งไม่อาจทนไหว น้ำสีขาวก็ล้นทะลึกเข้าสู่โพรงปากของอีกคน..คนที่ตั้งใจปรนเปรอกลืนกินมันทุกหยาดหยดอย่างไม่นึกรังเกียจ รสมันไม่หวานออกจะติดขมด้วยซ้ำแต่ถ้าเป็นของดนตร์ก็ยินดี

    ร่างหนาถอยห่าง แต่ไม่ได้ไปไหน เขาแค่ต้องการจำกัดเสื้อผ้าเกะกะออกจากร่างเท่านั้น ดวงตาคมจ้องมองร่างโปร่งที่นอนระทดระทวยบนเตียงสีอ่อน ใบหน้าน่ารักแดงจัด ตาหรี่ปรือ ผิวขาวยังเหลืออาภรณ์อีกชิ้น เสื้อเชิ้ตสีขาวเปิดอ้า คลอเคลียช่วงแขน ท่อนขาขาวยกขึ้นขดเข้าหากันน้อยๆ ส่วนหน้าอ่อนตัวลงและเปียกชุ่ม

    กรณ์พลิกคนอ่อนแรงคว่ำลง กระซิบบอกให้ยกสะโพกขึ้น ดนตร์ทำตามอย่างว่าง่าย บั้นท้ายขาวเนียนกลมหนั่นแน่นลอยตรงหน้า คนอายุมากกว่าหายใจแรง ก่อนจะลากมือผ่านรอยแยกของก้อนเนื้อ และใช้นิ้วทักทายรอยจีบที่ยังปิดแน่น เขาถ่มน้ำลายที่เจือด้วยน้ำสีขาวลงไปช่วยทำให้มันอ่อนตัวลง ไม่นานนิ้วแรกก็ลอดผ่านเข้าไปได้ ก่อนที่อีกนิ้วจะตามไป ชายหนุ่มกวาดนิ้ววนในนั้น สะโพกกลมสั่นระริก

    เส้นความอดทนใกล้ขาดลงทุกที กรณ์โน้มตัวไปด้านหน้าเอื้อมมืออีกข้างค้นหาบางอย่างแถวหัวเตียงแล้วก็ได้มา เขาใช้ฟันช่วยฉีกซองแล้วรีบครอบมันลงไปในความใหญ่โตที่กำลังขยายขนาดเต็มที่

   มือหนากดลงไปบนแผ่นหลังบาง มือช้อนหน้าท้องสวยยกก้นกลมให้สูงกว่าเดิม ดนตร์แยกขาออกเปิดช่องทางให้กว้างขึ้น กรณ์กัดฟันกรอด มือสั่นไปหมดตอนที่ประคองกายร้อนผ่านทางรักเข้าไป มันขลุกขลักในช่วงแรกแต่ด้วยเครื่องป้องกันที่สวมไว้มันช่วยให้ไหลลื่นได้ดี ชายหนุ่มพ่นลมหายใจหนักๆ เมื่อถูกความอ่อนนุ่มดูดกลืนไปจนหมด

   สะโพกสอบเคลื่อนไหวเข้าออก โดยใช้มือยึดเอวคอดเอาไว้ ตัวของดนตร์โยกไปตามจังหวะที่เขาควบคุม เสียงใสครวญครางขาดห้วง กระท่อนกระแท่น มือขาวกำผ้าปูเตียงแน่น ใบหน้าแนบไปกับหมอนนุ่ม ความต้องการอัดแน่นจวนเจียนจะระเบิด หน้าท้องเกร็งจนเห็นเส้นเลือดโปนไปตามแนวร่างกาย เขามองส่วนหน้าที่หายเข้าไปในร่องสะโพกกลม หน้าอกกระเพื่อมหนักหน่วงอีกไม่นานก็จะถึงขีดสุด...แต่เขายังไม่พอ

    กรณ์ดึงกายจนหลุดจากทางหวาน ดนตร์เอี้ยวตัวหันกลับมามอง นัยน์ตาสีน้ำตาลฉ่ำเยิ้มสะท้อนความสงสัย เขาไม่ตอบอะไรแต่เกี่ยวร่างเล็กกว่าขึ้น รั้งไปถึงปลายเตียงพลันพลิกร่างอีกคน เขายกขาขาวพาดบนหัวไหล่ก่อนจะแทรกกายลงไปอีกครั้ง มือวางบนเตียงโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ขยับสะโพกรัวเร็วจนดนตร์สั่นคลอนไปทั้งตัว ใบหน้าน่ารักเหยเกตามอารมณ์ เส้นผมสีเข้มตัดกับผ้าปูเตียงสีขาวได้อย่างน่ามอง เขาก้มลงจูบบนหน้าผากเนียนชื้นเหงื่อ โดยที่ความเร็วยังคงเท่าเดิม ดนตร์หอบหายใจแรง ส่วนหน้าตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง มือน้อยรูดรั้งของตัวเองไปพร้อมกับการเคลื่อนไหว ไม่นานร่างเล็กก็สั่นเทา ส่วนยอดแดงฉ่ำปล่อยหยาดน้ำไหลผ่านมือขาว กรณ์เม้มปาก กัดฟันโหมสะโพกรัวถี่ กายร้อนเสียดสีเข้าออกรุนแรง จนมาถึงเส้นขอบแห่งความอดทน รีบชักส่วนนั้นออก ดึงพลาสติกเนื้อลื่นออกก่อนปล่อยธารอุ่นร้อนหลั่งรดไปบนหน้าท้องขาว

    เสียงลมหายใจหนักๆ ประสานกัน ตากลมเปิดขึ้น ริมฝีปากแดงฉ่ำเผยอน้อยๆ เนื้อตัวมีรอยรักที่เขาฝากไว้หลายแห่ง แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเร็วๆ ไม่ต่างกับเขา มือขาวยังวางอยู่ที่หน้าท้องของตัวเอง มันเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำทั้งของตัวเองและของเขา กรณ์ยิ้มบางๆ พลางก้มลงไปจูบบนกลีบปากแดง แล้วล้มตัวลงทาบทับอีกร่าง

    “อีกรอบได้ไหม”

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 11 ง้อ [03/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 07-07-2017 23:35:53
          ดนตร์มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ แทบจะทั่วทั้งตัวมีรอยน่าอายกระจายอยู่เต็มไปหมด จะเยอะหน่อยก็แถวลำคอ จากบทรักอันร้อนแรงและยาวนาน ทำให้พอรู้ว่ากรณ์เป็นพวกชอบแสดงความเป็นเจ้าของ เมื่อคืนนี้กรณ์ตีตราจองเขาหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่ตอนที่หลับไปแล้วเขาก็ยังรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ ความวาบหวามมันลามเลียเข้ามาถึงในฝัน พอจะมีสติหน่อยลืมตาขึ้นดู เขาก็ยังเห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวอยู่บนตัว จนไม่รู้ว่ามันจบลงที่ตรงไหน แต่เมื่อลืมตาตื่นแสงแดดก็สาดใส่หน้าแล้ว ร่างกายปวดร้าวไปหมดโดยเฉพาะส่วนล่าง เศษซากถุงยางที่ใช้แล้ว เกลื่อนพื้น ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่คั่งค้างอยู่ภายในอีก

   เขาต้องใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการพาสังขารเข้ามาในห้องน้ำ กว่าจะกวาดกวักเอาน้ำไม่พึงประสงค์ออกได้ก็เล่นเอาน้ำตาแทบไหล พอเห็นสภาพตัวเองในกระจกเลยยิ่งอยากร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ เขาเหมือนทหารในสนามรบมากกว่าคนที่เพิ่งลงมาจากเตียง เขาวักน้ำล้างหน้าอีกครั้ง แล้วออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูพันสะโพกไว้ลวกๆ

    “จะยั่วกันแต่เช้าหรือไง”

   น้ำเสียงงัวเงียทักทาย หน้าของเขาร้อนวูบวาบ นึกอยากจะหาอะไรปาใส่หน้า ดนตร์หันหลังให้ทำเป็นไม่สนใจสายตาลามเลีย ที่แสดงออกโต้งๆ ว่าคิดอะไร แต่ถึงจะหันหลังหนีแล้วเขาก็ยังรับรู้ถึงแรงปรารถนาที่แผดเผา เขาก้มลงเก็บเสื้อผ้าตัวเองที่วางปะปนกับถุงยางอนามัย คราบคาวสีขาวตกค้างในถุงสร้างความอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี กรณ์เหมือนคนอดอยากปากแห้งไม่ได้นอนกับใครมาหลายปี ทั้งที่ครั้งล่าสุดที่นอนกับเขาก็เมื่อไม่นานมานี้เอง

    เขาคว้าชั้นในได้รีบสะบัดให้มันคลายตัวแต่ยังไม่ทันใส่ เอวก็ถูกรวบจากด้านหลัง ผิวกายอุ่นซ่านแนบชิดลงมา ปากและจมูกร้อนๆ กดที่ข้างแก้มแล้วไล่ต่ำมาลำคอ ดนตร์หดคอหนี อีกฝ่ายเลยเปลี่ยนไปที่ท้ายทอยแทน

    “อื้อ...พอซะที นี่มันเช้าแล้วนะ”

    คนด้านหลังชะงักไปเล็กน้อย “ใครว่าเช้า นี่มันเที่ยงแล้วต่างหาก”

    ยิ่งพูดก็ยิ่งแย่ เมื่อคืนนี้พวกเขาร่วมรักกันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนเข้าวันใหม่ คงเพลียหนักถึงได้ตื่นเอาเกือบเที่ยง กรณ์ยังไม่เลิกรุกราน ไรหนวดเคราที่ยาวกว่าเดิมครูดไปบนผิวขาวจัดสร้างรอยแดงปนแสบนิดๆ ให้ จมูกโด่งไต่สูงมาที่กกหู แล้วใช้ปากงับที่ติ่งหูนิ่มเบาๆ แต่เพียงแค่นั้นร่างกายของดนตร์ก็ทนไม่ไหว สองขาอ่อนแรงจนต้องเอนกายกับอกแกร่ง

   คนโตกว่ายิ้มพอใจ ไล่จูบไปทั่วแผ่นหลังเปียกชื้น กลิ่นหอมของสบู่คล้ายกับกลิ่นกายหอมน้ำนมกระตุ้นความต้องการที่ปลดปล่อยไปแล้วหลายต่อหลายครั้งให้ตื่นขึ้น กายร้อนตั้งชันเพียงแค่เห็นผิวขาวผ่องแต่งแต้มรอยรักที่เขาฝากไว้ กรณ์กดแผ่นหลังเนียนให้ต่ำลง มือลากไปถึงร่องสะโพก ขาเพรียวแยกจากกันเล็กน้อย พอมองเห็นรอยจีบที่แดงช้ำจากการใช้งานหนัก เขาก้มลงจูบไปบนก้อนเนื้อกลมก่อนจะใช้ลิ้นช่วยทำให้มันอ่อนลง ดนตร์ครางอืออา ค้อมร่างต่ำลง มือยันกำแพงเพื่อช่วยพยุงกาย กรณ์ประคองกายแข็งชำแรกผ่านความนุ่มนวล

   ชายหนุ่มเคลื่อนไหวสะโพกเชื่องช้า มือยึดก้นกลมพลางก้มลงสูดดมกลิ่นหอม ลากลิ้นชิมรสผิวหนังขาวสะอาด ร่างกายตื่นตัวอย่างเร็ว ความต้องการไม่เคยลดน้อยลง มีแต่จะมากขึ้นทุกนาที กรณ์เพิ่มจังหวะเร็วขึ้น มองดูส่วนนั้นของตัวเองถูกดนตร์กลืนกิน ใจเต้นรัวในอก หน้าท้องเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อัดแน่น การสอดใส่โดยไร้การป้องกันคงทำให้ดนตร์เจ็บไม่น้อย เขาได้ยินเสียงสูดปากแทรกมากับเสียงลมหายใจหนักๆ  กรณ์เร่งสะโพกจนอีกคนตัวคลอน บางจังหวะเสยสอดลึกกระทบกับจุดด้านใน คนตัวเล็กกว่าหวีดร้องลั่น ริมฝีปากหยักหนายิ้มเหยียดพอใจ แกล้งกดซ้ำๆ ลงไปในจุดนั้นอีกหลายที ดนตร์ตัวสั่นและกระตุกรุนแรง ลาวาร้อนสีขาวขุ่นไหลพุ่งโดยที่ไม่ได้แตะต้องด้วยซ้ำ    

   มือใหญ่รวบเอวคอด ยกร่างโปร่งขึ้นจนแผ่นหลังแนบกับหน้าอกตัวเอง แล้วรัวสะโพกใส่แบบจับจังหวะไม่ได้ ดนตร์ครางไม่หยุดด้วยความเสียวกระสันที่ถูกเติมอย่างต่อเนื่อง เด็กหนุ่มเอียงหน้าเข้าหา ริมฝีปากอ้าเผยอเพื่อช่วยระบายลมหายใจ กรณ์ไม่อาจทนต่อกลีบปากแดงฉ่ำนั้นได้ เขาดูดกลืนมัน สอดลิ้นเกี่ยวพันเพิ่มความหฤหรรษ์ ไม่นานสิ่งที่กักเก็บมาหลายชั่วโมงก็พังทะลัก ตัวของเขาสั่นไปหมดตอนที่ปล่อยหยาดน้ำข้นหลั่งรินในกาย บางส่วนไหลย้อนออกมาเปื้อนช่วงขาขาวจัด

   ดนตร์หอบหายใจแรง มือคว้าต้นคอเขาแน่น ส่วนหน้าปล่อยออกมาอีกครั้ง

   กรณ์ช้อนร่างเล็กกว่าไว้ในอ้อมแขนแล้วกลับเข้าไปในห้องน้ำ เริ่มบรรเลงบทรักภายใต้สายน้ำ บทแล้วบทเล่า...


    “เออ รู้แล้วน่า เดี๋ยวพาไป! พูดมากจริงไอ้อ้วน! กำลังจะกิน แค่นี้นะ”
    ดนตร์เหลือบมองร่างสูงที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์จากชนวีร์ ฟังจากบทสนทนาเมื่อครู่รุ่นพี่ตัวอ้วนคงถามถึงเขา ถ้ามีแรงมากกว่านี้เขาคงโทรกลับไปรายงานเองแล้ว แต่ตอนนี้แค่จิ้มสเต็กตรงหน้ามากินยังทำได้ยากเลย ร่างกายอ่อนเปลี้ยไปหมด ที่มานั่งบนโต๊ะกินข้าวได้เพราะมีคนอุ้มมา

    หน้าของเขาเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้กลายเป็นคนไร้เรี่ยวแรง กรณ์ยิ่งกว่าคนตายอดตายอยาก ตระกุมตระกรามกับร่างกายของเขาราวกับอาหารจานโปรดก็ไม่ปาน หลังจากจบศึกบนเตียงรอบสุดท้ายเขาก็หลับเป็นตาย ตื่นมาอีกทีตอนที่ท้องร้องขออาหาร แต่ก็ปวดเมื่อยจนแทบขยับตัวไม่ได้ รู้สึกถึงอุณหภูมิในร่างกายมันสูงกว่าปกติ ปากแห้ง โชคดีหน่อยที่ส่วนนั้นถูกทำความสะอาดแล้ว

    ดูเหมือนว่าตัวต้นเรื่องจะรู้ ทันทีที่รู้ว่าเขาตื่นแล้วก็รีบกุลีกุจอเข้ามาถามไถ่อาการ แต่เขาไม่เหลือกำลังจะตอบคำถามใดๆ ได้แต่ส่ายหน้าไปมา กรณ์หาเสื้อผ้าให้เขาสวม ซึ่งก็เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวเก่าๆ ของตัวเอง แต่หลวมและยาวไปหน่อยด้วยขนาดรูปร่างที่ต่าง เขาปล่อยให้กรณ์พับแขนเสื้อให้ แล้วถามเขาว่าหิวไหม คราวนี้เขาพยักหน้ารับ

    เขาขัดขืนเล็กน้อยตอนที่ถูกช้อนตัวอุ้มเข้ามาในห้องครัว โต๊ะเล็กๆ สีขาวไร้การประดับตกแต่งใดๆ เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ ที่เห็นผ่านตา กรณ์บอกให้เขานั่งรอขณะที่ตัวเองหันกลับไปทำอะไรบางอย่างที่หน้าเตาทำอาหาร ไม่นานก็ได้สเต็กเนื้อแกะหอมๆ มาวางบนโต๊ะสองจาน นม น้ำส้ม ไวน์ขาว และขนมปังปิ้งอีกสี่แผ่นพร้อมเนย ทุกอย่างดูน่ากินไปหมดแต่ยังไม่ทันได้กินกรณ์ก็ลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์เสียก่อน

    “กินเองได้ไหม” เมื่อเสร็จจากการสนทนาอีกฝ่ายก็เอ่ยถาม เขาอยากจะพยักหน้าแต่แรงยกแขนมันไม่มีจริงๆ เลยต้องสั่นหน้าเบาๆ ตอบกลับไป

    กรณ์ไม่ได้แสดงความหงุดหงิดใดๆ แถมยังช่วยหั่นเนื้อแกะให้พอดีคำแล้วส่งให้ เขารับมันไว้ด้วยความยินดียิ่ง รสหวาน เนื้อสุกกำลังดี กระตุ้นความหิวให้มากกว่าเดิม เคี้ยวไม่กี่ทีก็หมด อ้าปากขอใหม่เหมือนลูกนกรออาหารจากแม่นก ใช้เวลาไม่นานทั้งสเต็กเนื้อแกะ ขนมปัง นม น้ำส้มก็หมดลง กรณ์กินในส่วนของตัวเองไปเล็กน้อยแล้วยกที่เหลือให้เขา ไวน์ขาวไม่ได้แตะต้องเพราะกรณ์ไม่อนุญาต พออาหารตกถึงท้องก็เริ่มมีแรงแต่ยังปวดเมื่อยตามเนื้อตัวโดยเฉพาะส่วนล่าง มันร้าวระบมเพราะผ่านศึกหนักมา

   “กินยานะ”

   ดนตร์เบ้หน้า ไม่ชอบรสขมๆ ของยานัก ทว่าปฏิเสธไม่ได้ ถ้าไม่กินยาก็จะไม่หาย เขาไม่อยากขาดเรียนอีกแล้ว...พูดถึงเรื่องเรียนก็นึกขึ้นมาได้ วันนี้มีนัดส่งรายงานของอาจารย์เกลือเรื่องบทภาพยนตร์เกี่ยวกับงานศิลปะ เขาทำท่าจะลงจากเก้าอี้แต่แค่ขยับขาก็ต้องซี๊ดปาก ด้านหลังมันเจ็บร้าวยาวขึ้นมาถึงกระดูกสันหลัง

    “จะทำอะไร เดี๋ยวก็อักเสบหรอก”

   กรณ์ดุ แล้วรีบเข้ามาประคอง “ผม..มีรายงาน”

   “ส่งให้แล้ว”

   “ห๊ะ...”

   “ของอาจารย์เกลือใช่ไหม ส่งให้ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว”

   “ได้..ยังไง”

   คนโตกว่าถอนหายใจ “ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับนายแล้วฉันไม่รู้หรอกนะ ส่วนที่เหลือก็ทำให้แล้ว อาจจะไม่ดีเท่าไรแต่ก็ดีกว่าไม่มีส่ง ฉันให้ยีนส์มาเอาไปส่งให้ แล้วก็ลาหยุดให้นายแล้วเรียบร้อย”

    เขามองผู้ชายตรงหน้า ดวงตาคมมีแววตำหนิบ้างแต่ก็เจือไปด้วยความห่วงใย เขาไม่รู้หรอกว่ากรณ์ตามสืบเรื่องจุกจิกเล็กน้อยพวกนี้ได้อย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ก็ตื้นตันที่ได้ยิน เขาก้มหน้าลงไม่อยากเปิดเผยความยินดีให้อีกฝ่ายเห็น

    “เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปงานปาร์ตี้ฉลองหนังของไอ้อ้วนกัน หนังมันรับรางวัลรู้แล้วใช่ไหม”

    ดนตร์พยักหน้า จำได้ว่าชนวีร์ชวนพี่ทิวไปร่วมงานเลี้ยงฉลองด้วยกัน ได้แต่หวังว่าอาการหลังผ่านสงครามบนเตียงจะดีขึ้น เขาไม่อยากตกเป็นขี้ปากใคร

    ไม่นานหลังจากจบมื้อแรกของวันตอนสี่โมงเย็น เมธัสก็ส่งข้อความห่วงใยมาให้ แล้วยืนยันในสิ่งที่กรณ์พูดด้วยการถ่ายรูปปกรายงานบทภาพยนตร์มาให้ แถมยังบอกอีกว่าข้อมูลด้านศิลปะของเขาดีมากอีกด้วย แน่นอนว่ามันเป็นส่วนที่กรณ์เพิ่มเติมลงไปให้

    กรณ์ทิ้งเขาไว้ในห้องโล่งๆ ที่ไม่มีอะไรสักอย่างแม้แต่ทีวีสักเครื่อง มีแค่ขวดน้ำตั้งอยู่กลางห้องกับโซฟาเก่าๆ ที่เขานั่งอยู่ เขาเพิ่งสังเกตว่าสถานที่ที่กรณ์พาเขามามันเป็นบ้านสองชั้นขนาดกลาง และไม่มีการตกแต่ง มีแค่โต๊ะไม้  และเตียงในห้องนอน มีกลิ่นสีเจือมาในอากาศเป็นระยะๆ แต่ที่น่าสนใจคือภาพวาดที่แขวนรอบบ้าน แต่ไม่ค่อยจะเป็นระเบียบนัก ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าเป็นฝีมือของใคร เขาจำสายเส้นได้...มันเป็นภาพที่วาดโดยกรณ์ทั้งหมด

    เขาส่งข้อความไปหาพี่พายเพื่อขอลางานอีกวัน หวั่นใจว่าอาจจะโดนไล่ออกในเร็ววันนี้ เพราะเพิ่งทำงานได้ไม่กี่วันก็ลางานเป็นว่าเล่น แต่สภาพเขาในตอนนี้มันทำอะไรไม่ได้จริงๆ ได้แต่นั่งเฉยๆ เท่านั้น แม้จะไม่มีไข้อย่างที่นึกกลัวแต่ก็ระบมชนิดที่แค่เดินยังขาสั่น

    กรณ์กลับมาพร้อมกับหอบอุปกรณ์วาดรูปมาด้วย เขานั่งมองหนุ่มคณะสถาปัตย์ที่กำลังกางสมุดเล่มใหญ่ ในนั้นมีรูปที่ร่างด้วยดินสอ บนโต๊ะเตี้ยๆ ที่อยู่ไม่ห่างจากเขานัก ชะเง้อมองอยู่หลายรอบก็เดาไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร แต่การที่ได้เห็นนิ้วมือสวยๆ เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วบนแผ่นกระดาษมันก็เพลินดีไม่น้อย

   ถึงจะแอบมองมาเกือบปี แต่ก็ไม่เคยเห็นกรณ์ในโหมดนี้มาก่อน เขารู้แค่ว่ากรณ์มีฝีมือวาดรูประดับรางวัล ได้เห็นผลงานบ้าง แม้จะไม่มีความรู้ด้านศิลปะแต่รูปที่กรณ์วาดก็สวยงามและมีเอกลักษณ์ มันอ่อนช้อยแต่ก็แฝงไปด้วยความหนักแน่น กรณ์ก้มหน้าจนเกือบจะติดกับแผ่นกระดาษ ดินสอขยับอยู่ตลอดเวลา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิด เขาเพิ่งสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า วันนี้กรณ์ไม่ได้แต่งตัวหล่อเนี๊ยบเป็นเจ้าพ่อแฟชั่นอย่างที่เคยเห็น

    กรณ์สวมเสื้อยืดสีขาวเก่าๆ คอย้วยจนถึงหัวไหล่ กับกางเกงวอร์มสีดำ ผมที่ไม่ได้เซ็ทมีคาดผมสีดำคาดทับไว้ เขาเห็นแผลที่ยังไม่หายดีพาดยาวจากตีนผมถัดจากคิ้วซ้ายลงมาหนึ่งนิ้ว ลากยาวไปถึงหน้าเกือบกลางหน้าผาก เนื้อสดย่นไปตามรอยเย็บของไหม แผลเป็นสีชมพูแม้จะไม่มีเลือดไหลออกมาแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้ เจ้าตัวเผลอหลุดเสียงจิ๊ปากออกมาหลายครั้ง ทำท่าจะใช้นิ้วจิ้มแผลอยู่ก็หลายที คงจะเจ็บแผลหรือไม่ก็อักเสบ เขามัวแต่ห่วงอาการของตัวเองจนลืมไปเลยว่ากรณ์เองก็มีแผลที่น่าเป็นห่วงด้วยเหมือนกัน...อาจจะมากกว่าเขาด้วยซ้ำ

    “พี่...กินยาหรือยัง”

    ตาคมช้อนขึ้นจากหน้ากระดาษ แก้วตาสีดำฉายแววสงสัย เขาเลยทำท่าชี้ไปที่หน้าผาก เจ้าตัวส่ายหน้าแต่คิ้วยังขมวดเป็นปม เขาเดาว่าน่าจะเจ็บแผลมากกว่าห่วงงาน กรณ์กลับไปทำงานต่อ คงเพราะหยุดเรียนไปหลายวัน เลยต้องเร่งทำงานส่ง ไหนจะมาทำให้เขาอีก

    ดนตร์มองรอบๆ ห้องอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นถุงพลาสติกสีขาวที่วางปะปนอยู่กับกองอุปกรณ์วาดรูปที่กรณ์หอบมา ตัวอักษรสีเขียวพิมพ์ชื่อโรงพยาบาลที่กรณ์ไปนอนรักษาตัว เขาสูดหายใจระงับความเจ็บปวดที่ช่วงล่าง ค่อยๆ เดินไปที่ถุงยา แล้วย่อตัวนั่งพยายามให้กระทบกระเทือนน้อยที่สุด กรณ์เลิกคิ้วมองด้วยความสงสัยแต่เขาทำเฉย ในถุงมียาอยู่เกือบ สิบห่อ รวมไปถึงอุปกรณ์ทำแผลที่เจ้าตัวน่าจะซื้อมาเองมากกว่า เขาเดาว่ากรณ์คงไม่อยากกลับไปโรงพยาบาลอีกรอบเลยเลือกที่จะทำแผลเอง ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่น่าดีนัก

    เขาเลือกยาที่กินหลังอาหารมาวางใส่ฝ่ามือ นับได้เจ็ดเม็ดพอดี ดนตร์ยื่นมือไปจ่อที่ปากของคนเจ็บ กรณ์หยุดมือลง แล้วเหลือบตามองเขา

   “อะไร”

   “กินยาไง แผลพี่ยังอักเสบอยู่ไม่ใช่เหรอ”

   “ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” กรณ์ย้อนกลับ แล้วค่อยอ้าปาก

    ดนตร์ขมวดคิ้วน้อยๆ เขาแค่ส่งยาให้ ไม่ได้คิดจะป้อนให้เสียหน่อย แต่ก็ป่วยการจะเถียงเลยจับยาในฝ่ามือใส่ปากคนตัวโต ก่อนที่ยาเม็ดสุดท้ายจะวางลงในลิ้นข้อมือของเขาก็โดนยึดเอาไว้ ลิ้นอุ่นเปียกตวัดเลียที่นิ้วมือ เขารีบชักมือหนี หน้าร้อนผ่าวกะทันหัน

    “หวาน” นัยน์ตาคนพูดระยิบระยับจนอยากควักทิ้งนัก

    “ยาบ้าอะไรหวาน” เขาแสร้งแหวใส่ แล้วหันไปคว้าขวดน้ำส่งให้

    กรณ์กลืนก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ พอมาอยู่ตรงนี้เขาถึงได้เห็นว่าที่กรณ์กำลังวาดเป็นภาพคล้ายกับฉากของบางอย่าง แต่ออกจะอยู่เหนือจินตนาการคนไร้ความสามารถด้านศิลปะอย่างเขาไปเสียหน่อย ที่ดินสอกำลังก่อร่างมันเหมือนปลาวาฬ แต่เป็นปลาวาฬที่ลอยอยู่ในอากาศ ไอเดียของกรณ์มันยากแท้จะหยั่งถึงจริงๆ

    แผลที่เพิ่งเย็บได้ไม่นานเป็นสีสดและค่อนข้างน่ากลัว เขาเผลอยกมือขึ้นแตะไปบนรอยช้ำ กรณ์ผงะหนีท่าทางจะเจ็บไม่น้อย

   “ทำไมยังไม่หายล่ะ แถมยังยาวกว่าเดิม”

    กรณ์ส่ายหน้ายังคงไม่ยอมตอบคำถามเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขาไม่ยอม ใช้มือล็อคหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ ไรเคราที่ยังไม่ได้รับการกำจัดมันทิ่มฝ่ามือชวนจักกี้เล็กน้อย

   “บอกมา ไม่อย่างนั้นผมจะเอานิ้วจิ้ม” เขาขู่

   “อยากรู้?”

    “อืม”

    “เพราะฉันคิดถึงนายมาก จนต้องเอาหัวโหม่งกำแพง”

   “โกหก” ดนตร์ย่นจมูก

   คนตัวโตถอนหายใจเสียงดัง “ฉันทำมันเองจริงๆ เลิกจับหน้าฉันสักทีเดี๋ยวส่งงานไม่ทัน”

   “ขอ 5 นาที”

   “ทำไม”

    เขาตีมึนไม่ตอบคำถามบ้าง แต่หันไปคว้าอุปกรณ์ทำแผลในถุงขึ้นมาวางบนตัก จัดการเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์แล้วกดไปรอบแผลอย่างเบามือ กรณ์สะดุ้งสุดตัวหันหน้าหนี สูดปากร้องเสียงดังจนเขาหลุดขำ พอเห็นก็ทำตาดุใส่ แล้วก็กัดฟันทนกับความเจ็บแสบจนเขาทำความสะอาดเสร็จ จากนั้นก็ใช้ยาแต้มไปบนรอยเย็บ ภาวนาให้แผลหายในเร็ววันและไม่กลายเป็นแผลเป็น

    “น่ารัก”

   คิ้วหนาสวยเลิกสูง เมื่อจู่ๆ คนตรงหน้าก็พูดขึ้น ตาคมพราวระยับ เขาทำทีเป็นเก็บยาลงในถุง แต่พอหันกลับมากรณ์ก็ยังใช้สายตาแบบเดิม

   “ไหนว่าจะส่งงานไม่ทันไง” เขาเบี่ยงประเด็นความสนใจ กรณ์ไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่หัวเราะในคอเท่านั้น

    เวลาผ่านไปเรื่อยๆ กรณ์ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานของตัวเอง ส่วนเขาก็นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ พอเบื่อก็ล้มตัวลงนอน เพราะขี้เกียจหาที่นอนใหม่ จากนั้นไม่นานความอ่อนเพลียก็พรากเอาสติหลุดลอยออกไป รู้สึกตัวตื่นอีกทีตอนที่ได้ยินเสียงของใครบางคนดังอยู่ใกล้ๆ หู

   “หลับไปแล้ว อืม สบายดี นี่ก็เพิ่งทำแผลให้ฉัน เปล่า ไม่ได้ร้องไห้ ตกลงแกเป็นรุ่นพี่หรือพ่อมันวะ ห่วงหนักขนาดนี้ เออๆ รู้แล้ว พรุ่งนี้ก็ไปเรียนได้แล้ว แค่นี้นะ ฉันจะพามันไปนอน”

    ดนตร์ลืมตาแป๋วตอนที่ใครคนนั้นวางโทรศัพท์ลงกับพื้น จากนั้นก็ค้นพบที่ที่นอนอยู่ไม่ใช่บนพื้นแต่เป็นตัก กรณ์ก้มหน้าลงมาพอดี จมูกเกือบจะชนกับหน้าผากอยู่รอมร่อ พอเห็นว่าเขาไม่ได้หลับอยู่ก็รีบเงยหน้าขึ้น

    “ไง ตื่นแล้วเหรอ”

    ไอร้อนเผาที่สองแก้ม เขารีบเอาศีรษะออกจากตักแข็งๆ ไม่รู้ว่าเผลอเอาหัวไปหนุนนอนตั้งแต่เมื่อไร แต่เพราะขยับตัวเร็วเกินไป ด้านล่างเลยเจ็บแปล๊บ

   “โอ๊ย!”

    “เป็นอะไร!”

    ดนตร์ส่ายหน้าเบาๆ  จะไปกล้าบอกได้อย่างไรล่ะว่าเจ็บช่วงล่าง แค่นี้ก็อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว ได้แต่ดึงชายเสื้อให้คลุมต้นขา

   กรณ์ถอนหายใจหนักๆ มองเด็กปากแข็งที่นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าขาวซีดลงไม่บอกก็รู้ว่ากำลังเจ็บ เขารู้ว่าดนตร์เจ็บที่ส่วนไหนเพราะก่อนจะลุกขึ้นมาเตรียมสเต็กเขาก็ทำความสะอาดตรงนั้นให้ เลยเห็นมันบวมแดงแค่ไหน ได้แต่โทษตัวเองที่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ แต่สาบานได้ว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกกับใครรุนแรงเท่านี้มาก่อน จำไม่ได้ว่าเขาร่วมรักกับดนตร์ไปกี่รอบ เปลี่ยนท่าไม่รู้กี่ที เด็กนี่ก็เหลือใจให้ทำอะไรก็ไม่ขัด ตอบสนองเขาอย่างน่ารัก แล้วอย่างนี้ใครจะไปทนไหว

   หลังจากจบรอบแรก เขาตื่นก่อนเลยเห็นอีเมลล์ที่นักรบส่งมาให้เรื่องรายงานของดนตร์ที่ต้องส่งในวันนี้ พร้อมกับไฟล์งานที่ยังทำค้างอยู่ เดาว่าเจ้าเด็กตาโตที่ชื่อเมธัสคงไปดึงมาจากโน้ตบุ๊กของดนตร์ เขาอ่านมันแบบลวกๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นบทภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับงานศิลปะ ดนตร์ทำได้ไม่เลวนักแต่ยังไม่เสร็จ เขาเลยใช้ความรู้ที่มีอยู่ในหัวช่วยเติมลงไปจนมันสมบูรณ์ ไม่รู้หรอกว่าคะแนนจะเป็นอย่างไร แต่ดนตร์ก็มีรายงานไปส่งอาจารย์เกลือได้ทันเวลา แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ไปส่งด้วยตัวเองก็ตาม เพราะเขาให้เมธัสจัดการปริ้นท์และเย็บเล่มส่งให้ โดยมีค่าตอบแทนเป็นอาหารสุดหรูในโรงแรมกลางกรุงเทพฯ ที่พ่อเขาถือหุ้นอยู่

    พอเสร็จก็กลับลงมานอนอีกรอบ แล้วดนตร์ก็ตื่น เขาเองก็พลอยตื่นไปด้วยเพราะได้ยินเสียงน้ำไหลในห้องน้ำ แล้วก็ต้องตื่นเต็มตาเมื่อเห็นร่างโปร่งบางเกือบเปลือยเนื้อตัวพราวด้วยหยดน้ำ ความต้องการหลั่งไหลพรั่งพรูจนเกินควบคุม แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาโทษดนตร์ที่ยั่วกันมากเกินไป

    และเพราะความต้องการที่อัดล้นเลยทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บตัว ดีที่เขามียาแก้อักเสบติดไว้ ดนตร์เลยไม่ได้ป่วยหนักเหมือนอย่างที่นึกกังวล แต่ด้านหลังคงต้องหยุดพักไปอีกสักระยะ ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนไหวหรือเปล่า เพราะดนตร์เซ็กซี่เหลือเกิน...แม้แต่ในตอนนี้

   เรือนกายโปร่ง มีแค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวใช้เป็นอาภรณ์ ส่วนของเจ้าตัวเขาเอาลงไปซักให้แล้ว ผ้าเนื้อบางแทบปกปิดอะไรไม่ได้นัก แสงไฟส่องผ่านร่างจนมองเห็นยอดอกรำไร ช่วงเอวคอดเล็ก สะโพกตึง บั้นท้ายกลมแน่น ช่วงขาเรียวขาว ดนตร์เป็นผู้ชาย แต่กลับไม่มีขนหน้าแข้งให้รำคาญสายตา ผิดกับเขาที่มีขนยุบยับเหมือนลิง

   เจ้าตัวนั่งพับเพียบเรียบร้อย ชายเสื้อเลยสะโพกลงมาเล็กน้อยปิดส่วนหน้าได้พอดี แต่แค่ยกมือนิดเดียวมันก็หลุดรอดออกมาให้เห็นแน่ ตอนที่ดนตร์หลับเขาก็ยกช้อนศีรษะทุยมาไว้บนตัก ไม่ได้รู้สึกรำคาญเลยสักนิด กลับเพลินด้วยซ้ำที่ได้ทำงานไปหอมแก้มคนบนตักไป ระหว่างนั้นไอ้เจ้าอ้วนก็โทรมารอบที่สอง เขาไม่เข้าใจว่าชนวีร์จะหวงอะไรดนตร์นักหนา ก็แค่พาตัวมาไว้บ้านหลังเก่าเท่านั้นเอง

    บ้านหลังเก่า...บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่เขาเคยอยู่กับพ่อและแม่ก่อนที่พวกท่านจะเลิกกัน พ่อไม่ได้ขายมันทิ้ง ยังเก็บไว้เป็นสถานที่ในความทรงจำ เพียงแต่ข้าวของทุกอย่างถูกขนย้ายไปที่อื่น ที่มีอยู่เขาเป็นคนซื้อมาไว้เอง แล้วมักจะมาอยู่ที่นี่ในยามที่คิดถึงความหลัง และใช้มันเป็นที่เก็บผลงานต่างๆ ที่เคยทำไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นชิ้นที่ไม่ได้รางวัล แต่สำหรับเขาทุกชิ้นคือความตั้งใจ เขารักมัน รวมถึงบ้านหลังนี้ด้วย บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ

    “รอหน่อยนะ จะเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะพาไปซื้อยา”

   “ยาอะไร!” เจ้าตัวดีย้อนกลับ แก้มใสระเรื่อขึ้น ปากยู่จนเกือบถึงจมูก “ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

   “มันบวมนี่ ฉันเห็นตอนที่ทำความสะอาดให้”

    “ไอ้พี่กรณ์! ไอ้ลามก!”

    ดนตร์หน้าแดงจัด หันมองซ้ายขวาคงจะหาอะไรสักอย่างทำร้ายเขา แต่พอไม่เจอก็ได้แต่ทำหน้างอเป็นม้าหมากรุกแทน

   “น่ารักว่ะ”
.........................
:sad4: ด่าได้แต่อย่างแรงเพราะแต่งแล้ว
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 12 May I in love? [07/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 08-07-2017 04:10:18
คู่นี้ไม่เคยได้คุยกันดีๆเลย ต้องมีอะไรกันก่อนตลอด เพลงก็ไม่เคยเข็ดเลยย
แต่ฉากนั้นสมจริงมาก อ่านแล้วเขินแทนเพลง  :o8:
หวังว่าจะได้คุยได้เคลียร์ความรู้สึกกันสักทีนะ ขอบคุณนะคะ สนุกๆ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 12 May I in love? [07/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 08-07-2017 05:55:36
โดนอีกจนได้ สุดท้ายกรณ์ก็ชนะไป คนที่เหลือคนอ่านจะขอไว้แทนแล้วกัน5555555555
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 12 May I in love? [07/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-07-2017 08:52:31
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 12 May I in love? [07/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 08-07-2017 12:31:40
ไม่ทันจะปรับความเข้าใจกัน ได้กันอีกแล้ว  :hao3:
กรณ์เหมือนจะอ่อนโยนขึ้นนิดนึง ส่วนเพลงก็ใจอ่อนเหมือนเดิม  :katai1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 12 May I in love? [07/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 10-07-2017 12:05:12
โมโหลูกเจี๊ย
ไม่อยู่ทีมลูกเจี๊ยบแล้ว!
ทำไมใจง่ายจังลูกกกกกก

อิพี่กรณ์
อิหื่น อิลามก อิ...โว้ยยยยยยย
หัวร้อนนนนนนนนนน

พี่วินอย่ายกให้ลูกพี่ลูกน้องแกง่ายๆ สิโว้ย
เรื่องนี้ต้องมีสั่งสอนกรณ์บ้าง

ทุกคนดูง่ายหมดเลย
อิพี่กรณ์ทำบุญด้วยอะไร
ทำไมอยากได้อะไรก็ได้
ไม่ลำบากเลย

ฮึ้ยยยยยย ตอนต่อไปรีบมา
หัวร้อนนนนนนนนนนนนนนนน :katai1:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 13 Lucky man [13/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 13-07-2017 20:00:06
Chapter 13 Lucky man

                  ดนตร์ตื่นเช้าตามปกติแม้จะอยู่ผิดที่ผิดทางก็ตาม เมื่อคืนนี้เขานอนอยู่ในบ้านประหลาดของกรณ์ บ้านประหลาดที่มีเฟอร์นิเจอร์นับชิ้นได้กับภาพวาดของเจ้าตัว แต่เขากลับชอบในความโล่งของมัน คงเพราะหอพักนักศึกษามันแคบและเต็มไปด้วยข้าวของ เขาเลยชอบบ้านโล่งๆ ที่แทบไม่มีอะไรแบบนี้มากกว่า

                 เมื่อคืนเขาหลับเป็นตาย หลับจนไม่ฝันถึงอะไรเลย แถมหลับไปตอนไหนก็จำไม่ได้ด้วย แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่บนเตียงแล้ว กลิ่นสียังคลุ้งในอากาศแต่ก็เจือด้วยกลิ่นเย็นของเมนทอลที่คุ้นเคย พอหันมองข้างๆ ก็เห็นอีกคนนอนอยู่ จะมีสักกี่คนกันที่ได้เห็นกรณ์ตอนหลับ

                 ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ผิวขาว ที่สันกรามและเหนือริมฝีปากมีรอยเขียวครึ้มของหนวดเครา เส้นผมสีดำปรกหน้าผากยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ความอ่อนเพลียมีให้เห็น แม้แต่ในยามหลับใหล มีเสียงกรนเบาๆ คงเพราะเจ้าตัวเหนื่อยมากเกินไป ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า กรณ์ไม่สวมเสื้อนอน แม้อุณหภูมิจะลดลงมาจนเหลือแค่หลักสิบปลายๆ ผ้าห่มสีขาวคลุมอยู่แถวหน้าอกกว้าง แต่ถึงอย่างนั้นไออุ่นก็ยังแผ่มาถึงตัวเขา

                 ถึงจะหลับลึกแค่ไหนแต่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เพราะตลอดทั้งคืนกรณ์นอนกอดเขาไว้ มือใหญ่โอบรอบเอวจากด้านหลัง ใช้แขนแทนหมอนให้เขาหนุนนอน โชคดีที่เขาตื่นก่อน ไม่อย่างนั้นคงอายจนทำอะไรไม่ถูกแน่

                 เขาอาศัยช่วงที่กรณ์ยังไม่ตื่นหนีออกมาก่อน โดยที่ไม่ได้กล่าวลาเจ้าของบ้าน ไม่มีข้อความ ไม่มีคำพูด แต่กรณ์ก็รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน
 
                อากาศตอนเช้าค่อนข้างเย็น เสื้อยืดแขนยาวสีน้ำตาลที่จิ๊กมาจากตู้ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไรนัก แต่ก็ดีกว่าชุดยูนิฟอร์มร้านกาแฟที่ทั้งบางและไม่มีกระดุม ทว่ามันขาดเพราะถูกคนบ้ากระชากขาดไปแล้ว เขามาถึงหอพักตอนเกือบเจ็ดโมงเช้า มิ่งขวัญยังนอนคลุมโปงอยู่ พอเห็นว่าเขามาก็ลุกขึ้นมาทำหน้าง่วงใส่ แล้วล้มตัวนอนต่อ ดนตร์ส่ายหัวเบาๆ ให้กับความขี้เซาของรูมเมท เขาถอดเสื้อของกรณ์ออก ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง แล้วก็ได้กลิ่นคล้ายนมบูดมาจากที่ไหนสักแห่ง

                 “ขนมของแกมันน่าจะเสียแล้วนะ เอาไปทิ้งสักทีสิ!” มิ่งขวัญบอกเสียงอู้อี้ใต้ผ้าห่มผืนหนา

                 ‘ขนม’ จริงสิ เมื่อหลายวันก่อนมีคนซื้อเค้กให้เขา อคิราห์...ผู้ชายคนใหม่ของโยษิตา เขาลืมมันเสียสนิท

                 ดนตร์ก้มหน้าชิดกับกล่องสวยที่มีเจ้า Banana Chocolate Cake บรรจุอยู่ มันส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์เพราะหมดอายุแล้ว และยังคงอยู่ที่เดิมโดยที่เขายังไม่ได้กินมันสักคำ ตากลมมองเค้กสีเข้ม อดนึกเสียดายไม่ได้

                 เขา ถือติดมือมาตอนที่จะเข้าเรียนเพราะอยากจะทิ้งให้ไกลจากห้องพักสักหน่อย เดิมทีตั้งใจจะทิ้งที่ถังขยะหน้าหอพัก แต่ดันลืมเลยถือมาถึงคณะ

                 “เพลง!”

                 เสียงร้องทักดังลั่นเรียกความสนใจของคนที่อยู่แถวนั้น ทุกคนมองมาที่เขาเป็นตาเดียวก่อนจะหันไปมองคนเรียก

                 ร่างสูงในชุดหล่อล้ำนำแฟชั่นอย่างไม่แค่กฎระเบียบของมหาวิทยาลัยเดินยิ้มแฉ่งเข้ามาหา ดวงตากลมคมหรี่ลงด้วยรอยยิ้มที่กว้างจนเห็นฟันแทบจะครบสามสิบสองซี่ ใช้เวลาไม่ถึงนาที ขายาวๆ ก็ก้าวเข้ามาถึงตัวเสียแล้ว วงแขนยาววาดออกแล้วโอบรอบหัวไหล่เขาไว้อย่างสนิทสนม แถมยังเขย่าเบาๆ อีกด้วย

                 “ไง ไม่เจอกันหลายวัน น้องเพลงของพี่ สวยขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”

                 ดนตร์เลิกลั่ก หน้าเห่อร้อนเพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำชมแบบนี้ เขาเป็นผู้ชายย่อมชอบคำชมว่าหล่อว่าเท่ห์มากกว่าสวยหรืออะไรเทือกๆ นั้น

                 “บ้าหรือพี่ อย่างผมต้องหล่อต้องเท่ห์สิ สวยมันใช้กับผู้หญิง”

                 “แต่พี่ไม่เคยเห็นเราหล่อเลยนะ มีแต่น่ารักกับสวย” คนโตกว่ายังไม่เลิกเย้า

                 “ถ้าพี่ยังล้อผมอีก ผมจะไม่คุยกับพี่แล้วนะ”

                 “โอเคๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้” อีกฝ่ายยอมแพ้ แต่ยังไม่คลายมือที่โอบรอบหัวไหล่ ธาวินก็แบบนี้ชอบเอ็นดูเขาแรงๆ “คืนนี้ไปงานไอ้อ้วนปะ”

                 “ไปครับ”

                 “ดีเลยงั้นไปกับพี่” ธาวินตอบรับเองเสร็จสรรพ “วันนี้ไม่มีซ้อมเชียร์กีฬาใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหกโมงเย็นพี่มารับ จะให้มารับที่คณะหรือว่าหอพัก”

                 “เอ่อ...พี่ครับ ผม”

                 ดนตร์อึกอัก เขารู้ว่าธาวินมีน้ำใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รุ่นพี่ต่างคณะคนนี้หยิบยื่นน้ำใจให้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันด้วยซ้ำ เขาได้แผล ก็พาเขามาหาพี่ทิว เขาป่วยก็ขึ้นไปดูแล โดยที่เขาก็รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ทำดีกับเขา ไม่ใช่แค่ธาวินแต่อริญชย์ด้วย รุ่นพี่สองคนแสดงออกชัดเจนว่าจะ ‘จีบ’ เขา

                 หากเป็นอิสตรีคงจะน่าภูมิใจไม่น้อยที่มีผู้ชายรูปหล่อแถมยังเป็นหนุ่มฮอต ของมหาวิทยาลัยมาสนใจ แต่เขาเป็นผู้ชาย ย่อมรู้สึกกระดากมากกว่าจะยินดี เขารู้สึกดีกับรุ่นพี่ทั้งสองแต่อยากเป็นแค่น้องชาย เพราะมิตรภาพแบบนี้มันยั่งยืนกว่า ส่วนกรณ์เป็นเรื่องที่เขายังคิดหนัก ได้แต่ปัดๆ มันไว้ข้างๆ สมอง เอาไว้อีกฝ่ายชัดเจนกว่านี้ค่อยคิดกันยาวๆ อีกที

                 ดนตร์ผ่อนลมหายใจคิดหาคำปฏิเสธที่สุภาพและจะไม่หักหาญน้ำใจ แต่ก็ช้าเกินไป

                 “นี่อะไร น่ากินดีอ่ะ”

                 “เอ่อ... Banana Chocolate Cake ครับ เป็นของร้านที่ผมทำงานอยู่”

                 “น่าอร่อยดี ขอกินคำนึงได้ปะ”

                 ธาวินก้มหน้าจนเกือบชิดกับเค้กในมือ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเจ้าตัวถึงไม่ได้กลิ่นเหม็นบูด แต่จะว่าไปแล้วกลิ่นมันก็ไม่แรงเท่าไรนัก ถ้าไม่ดมแบบระยะใกล้ๆ แทบจะไม่ได้กลิ่นด้วยซ้ำ ดนตร์ทำท่าจะชักมือหนี แต่ไม่ทัน ธาวินยึดข้อมือไว้ ส่งสายตาอ้อนวอน

                 “ขอกินคำนึง แค่คำเดียว”

                 “คือ มัน..เสีย...!!!”

                 ยังไม่ทันได้บอกอะไร Banana Chocolate Cake ก็ไปอยู่ในมือของธาวินเสียแล้ว เจ้าตัวเปิดกล่องแล้วเอาช้อนที่แถมมาตักกินโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เมื่อคำแรกผ่านเข้าปากก็ทำหน้าปุเลี่ยนๆ แต่แทนที่จะหยุด กลับกินไปอีกหลายคำ ดนตร์กระพริบตาปริบๆ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ฝืนยิ้มให้รุ่นพี่ไป ได้แต่ภาวนาให้ภูมิต้านทานของธาวินแข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคในขนม ได้

                 กว่าจะหลุดจากธาวินได้ก็เกือบได้เวลาเข้าเรียนพอดี เมธัสและลลิตายิ้มหน้าแป้นรอรับ เขาต้องทนกับสารพัดคำหยอกล้อ ตั้งแต่เรื่องที่โดนอุ้มในร้านกาแฟ ที่เมธัสให้ข้อมูลเพิ่มว่ามันกลายเป็นท็อปปิกของร้านไปแล้ว ทุกคนพูดถึงหนุ่มหล่อตัวสูง มีแผลที่หน้าผาก แล้วยังเรื่องรายงานอีก ลลิตาชมกรณ์ว่ามีฝีมือด้านวรรณกรรมไม่น้อย เพราะอาจารย์เกลือถึงกับเอ่ยปากว่าผลงานของเขาใช้สำนวนดีกว่าที่ผ่านมา ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เขาภูมิใจสักนิด

                 ตลอดทั้งวันเขาไม่ได้รับการติดต่อจากใครเลย ไม่ว่าจะเป็นชนวีร์ อริญชย์ ธาวิน หรือแม้แต่กรณ์ รายหลังนี่เขาแอบคิดว่าจะโผล่เข้ามาหาเรื่องเขากลางห้องเรียนหรือไม่ก็โทร มารบกวน ทว่ากลับไม่มีสายเรียกเข้าหรือแม้แต่ข้อความใดๆ

                 ...เขาคงคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป เขาไม่ได้สำคัญกับกรณ์มากขนาดนั้นเสียหน่อย...

                 จนหกโมงเย็น เขาก็ไม่เห็นเงาของใครสักคน ทั้งธาวินและกรณ์ ดนตร์วางสายจากพี่พาย หลังจากที่โทรไปขอลางานอีกวัน ดีที่พี่พายใจดี ยอมให้เขาหยุดงาน แต่หลังจากนี้ต้องทำงานติดกันสองอาทิตย์เพื่อชดเชยที่หยุดงานไป มือเรียวกระชับแจ็คเก็ตตัวเก่ง คืนนี้อากาศหนาว คืนนี้อากาศเย็นกว่าเมื่อวานเสียอีก ไอเย็นทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้าคงเพราะใกล้จะสิ้นปีแล้วกระมัง อากาศเลยเย็นขึ้นทุกวัน

             ดนตร์ส่งข้อความไปหาชนวีร์เพื่อถามถึงสถานที่จัดเลี้ยงโดยหลีกเลี่ยงที่จะ เปิดอ่านข้อความจากคนไม่รู้จัก เพราะรู้ดีว่ามันเป็นข้อความโจมตีเขา ตั้งแต่มีเรื่องกับโยษิตาเขาก็ได้รับข้อความแบบนี้หรือคอมเมนต์ในทำนองเดียวกัน คือต่อว่า ด่าทอ และหาว่าเขาคือเกย์ แย่งผู้ชาย มันค่อนข้างจะหนักหนาทีเดียว แต่ก็แค่ระยะแรกเท่านั้น ถ้าไม่เปิดอ่านเขาก็ไม่รู้ไม่เห็น และคิดว่าอีกไม่นานกระแสก็ซาไปเอง ทุกอย่างมันมีจุดอิ่มตัวของมัน

                 เขารออยู่เกือบห้านาที รุ่นพี่ตัวอ้วนถึงได้ตอบกลับมาเป็นโลเคชั่นพร้อมกับสถานที่ตั้ง มันเป็นบ้านของชนวีร์เอง เขาตัดสินใจจะไปบ้านของชนวีร์เองหลังจากแน่ใจว่าจะต้องคอยเก้ออย่างแน่นอน ดนตร์เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง เดินฝ่าลมหนาวไปหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อรอใช้บริการรถประจำทาง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเสียงแตรรถก็ดังขึ้น

                 รถยนต์สีดำเงาปลาบจอดแทบจะชิดกับต้นขา กระจกที่ติดฟิล์มกรองแสงจนเป็นสีดำสนิทเลื่อนลง จนเห็นเจ้าของรถ

                 “ว่าไง”

                จันทร์ทิวานั่นเอง...ดนตร์ยิ้มกว้างจนตายิบหยี “สวัสดีครับพี่ทิว ผมกำลังจะไปบ้านพี่วิน แล้วพี่ล่ะครับ จะกลับบ้านเหรอครับ”

                 “ลืมไปแล้วหรือไง ไอ้เจ้าอ้วนมันก็ชวนฉันเหมือนกัน”

                 เป็นอันว่าดนตร์ได้มากับคนที่คิดไม่ถึง เมื่อวันก่อน วันที่ดนตร์ถูกโยษิตาทำร้าย ชนวีร์ออกปากชวนจันทร์ทิวาให้ไปงานเลี้ยงฉลองด้วยกัน ทั้งที่อยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่ดนตร์กลับลืมเสียสนิท คงเป็นเพราะสองสามวันมานี่เขาไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองนัก

                 จันทร์ทิวาเลี้ยวรถผ่านรั้วอัลลอยด์สูงสามเมตร เข้าสู่อาณาเขตบ้านของชนวีร์ บ้านชั้นเดียวขนาดกลาง ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบสองไร่ มีสนามหญ้าและสระว่ายน้ำ ไม่มีสวนสวยหรือน้ำพุ เรียบง่ายแต่ก็น่าอยู่ไม่น้อย ชนวีร์เลือกที่จะจัดงานที่ริมสระว่ายน้ำ สังเกตว่าแถวนั้นค่อนข้างจะสว่างกว่าบริเวณอื่น เสียงเพลงดังกระหึ่มจังหวะเร้าใจขัดกับอากาศเย็น เจ้าของรถพยักหน้าส่งสัญญาณให้เขาเดินไปพร้อมกันเมื่อรถจอดสนิท

                 แขกที่ชนวีร์เชิญไว้ทยอยมากันบ้างแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นคนในชมรมที่ดนตร์รู้จักเป็นอย่างดี แต่ก็มีบ้างที่ไม่รู้จักและท่าทางจะแก่กว่าพวกเขาหลายปีด้วย คงเป็นคนที่ชนวีร์รู้จัก รุ่นพี่ตัวอ้วนของเขากว้างขวางกว่าที่คิดไว้ คนพวกนั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์ราคาแพง ที่แม้แต่คนไม่เก่งด้านแฟชั่นอย่างเขายังดูออก แม้แต่สมาชิกในชมรมก็แต่งกายดีกว่าปกติ กระทั่งจันทร์ทิวาที่เขาเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายสวมชุดกึ่งสูท กางเกงขายาวสีน้ำตาลกระชับท่อนขายาวกับเสื้อสูทเสื้อดีสีอ่อนกว่า ขณะที่เขายังอยู่ในชุดนักศึกษากับเสื้อแจ็คเก็ตสีดำคู่ใจช่วยให้ความอบอุ่นเท่านั้น อย่างนี้มันเหมือนกาในฝูงหงส์ชัดๆพอสำนึกได้ก็อยากจะกลับทันที

                 “เป็นอะไรไป เข้าไปสิ”

                 จันทร์ทิวาใช้มือแตะที่หลังเบาๆ เขาเลยจำใจต้องเดินต่อ

                 “อ้าวเพลง ทิวมาแล้วเหรอ”

                 เจ้าของงานกวักมือเรียกหยอยๆ ทำเอากลุ่มที่ชนวีร์กำลังสนทนาอยู่ด้วยหันมามอง จันทร์ทิวายิ้มให้อย่างสุภาพตามประสาคุณหมอ ร่างสูงโปร่งก้าวเข้าไปสมทบอย่างมั่นใจ แต่ดนตร์กลับหยุดเท้าไว้ตรงนั้น...ไม่กล้าเข้าไป

                 กรณ์อยู่ตรงนั้นด้วย เรือนร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดกึ่งสูทไม่ต่างจากคนอื่นๆ แต่กลับดูดีและโดดเด่นมากกว่าใคร เสื้อสูทสีดำตัดเย็บจากขนสัตว์ราคาแพงสะท้อนกับแสงไฟจนเป็นเงา ผิวขาวตัดกับชุดที่สวมใส่ หนวดเคราไม่มีให้เห็นแล้ว ดวงตาคมเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆ ยิ่งเพิ่มความน่ามอง ในมือมีแก้วไวน์สีเข้ม ท่าทางในการจับบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงผ่านงานสังคมมาไม่น้อย ข้างๆ กันคือลลิตา เพื่อนสาวคนสวยของเขา ลลิตาทั้งสวยทั้งน่ารักเหมือนตุ๊กตาด้วยชุดเดรสสีชมพูสั้นแค่หัวเข่าและมีผ้าแพรพันรอบหัวไหล่

                 ในกลุ่มคนแปลกหน้ามีผู้หญิงที่เขารู้สึกว่าคุ้นหน้าอยู่ด้วย ความสวยของเธอเปล่งประกายแม้จะอยู่ในระยะไกล ร่างโปร่งบางอรชร สูงกว่าลลิตาเล็กน้อย เรือนผมสีดำสนิททิ้งตัวจรดบั้นเอว ใบหน้าเรียวเล็กไม่เกินฝ่ามือ ดวงตากลมยาว จมูกโด่ง รับกับริมฝีปากบางสีชมพูหวาน ชุดสีส้มอ่อนยิ่งทำให้เธอน่าทะนุถนอม ท่าทางการสนทนาเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มที่ราวกับเทพธิดาตัวน้อย เมื่อยืนเคียงข้างกับกรณ์ ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันเหมือนเจ้าชายกับเจ้าหญิง

                 จันทร์ทิวาหายเข้าไปในกลุ่มสนทนาแล้ว เหลือแต่เขาเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ดนตร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถอยหลังห่างออกมา

                 ...ที่นี่มันไม่เหมาะกับเขา...

                 ดนตร์เลือกนั่งใกล้ๆ ต้นยี่โถที่กำลังผลิดอกอวดโฉม เขาย่อกายนั่งลงไปบนผืนหญ้าโดยไม่สนใจว่ามันทำให้ตัวเองดูแย่กว่าเดิม ดึงโทรศัพท์ออกมาเล่นอย่างเหงาๆ ส่งข้อความไปหาพี่สาว ถามถึงหลานชายตัวอ้วน พ่อและแม่ ทุกคนสบายดีและอยากให้เขากลับไปบ้านในปีใหม่ ซึ่งเขาก็ตอบตกลง

                 เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับความหนาวเย็นที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ท้องเขาร้องขออาหารเพราะตั้งแต่บ่ายเขายังไม่ได้กินอะไรเลย ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะย่องไปหาอะไรกิน น่องไก่ทอดก็ถูกจ่อตรงหน้าเสียแล้ว

                 “หิวล่ะสิ”

                 คนพูดส่งยิ้มให้อย่างรู้ใจ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะย่อกายลงมานั่งข้างกัน ไม่ใช่แค่น่องไก่แต่ยังมีอาหารประเภทค็อกเทลอีกหลายอย่าง ราวกับรู้ว่าเขากำลังหิวหนัก ไม่เพียงแค่นั้นคนใจดียังมีน้ำส้มมาให้อีกด้วย

                 “ขอบคุณครับ” เขาทำท่าจะรับจานจากอีกฝ่ายแต่จานกลับถูกยึดเอาไว้

                 “ฉันเอามากินเอง”

                 “โธ่” ดนตร์ทำหน้าละห้อย

                 “ล้อเล่น เอาไปสิ หิวไม่ใช่เหรอ”

                 คนหิวยิ้มกว้างรับจานไว้ด้วยความยินดีอย่างเหลือล้น

                 อริญชย์มองดูเจ้าเด็กตัวเล็กที่กำลังยัดน่องไก่เข้าปาก ริมฝีปากแดงเป็นมันจนวาว ท่าทางดนตร์คงหิวมากจริงๆ ดีที่เขาสังเกตเห็นเลยมีของกินติดมือมาฝาก

                 เขาเห็นดนตร์ตั้งแต่เดินมากับจันทร์ทิวาแล้ว แต่มีแค่ว่าที่คุณหมอเท่านั้นที่เข้ามาร่วมสนทนา แต่ดนตร์กลับถอยห่างไป แล้วก็มานั่งเป็นหมาหงอยอยู่ที่นี่ เขานั่งมองดนตร์จัดการอาหารในจานไปเงียบๆ มีส่งน้ำส้มแก้ติดคอให้บ้าง ภายในเวลาไม่กี่นาทีทุกอย่างก็หมดเรียบชนิดที่แทบจะเลียจานเลยทีเดียว

                 “นี่หิวหรือตะกละเนี่ย” อริญชย์พูดติดตลก เจ้าเด็กกินเก่งยิ้มแฉ่ง

                 “ทั้งสองอย่างครับ”

                 “แล้วกินยังไง เลอะไปถึงแก้มเนี่ย” คนโตกว่าส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหยิบเอาเศษไก่ที่ติดบนแก้มใสใส่ปากตัวเอง นึกขำที่เห็นดนตร์ทำตาโตเท่าไข่ห่าน “แล้วมานั่งตรงนี้ทำไม ไม่หนาวหรือไง”

                “...มันไม่ค่อยเหมาะกับผมเท่าไร”

                 อริญชย์เลิกคิ้วสูง “ยังไง?”

                “ก็ผมแต่งตัว...ไม่ดี”

                อริญชย์มองคนที่บอกว่าแต่งตัวไม่ดีอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ดนตร์ยังอยู่ในชุดนักศึกษาและเสื้อแจ็คเก็ตสีดำ แต่ไม่เห็นว่าจะดูไม่ดีอย่างที่เจ้าตัวพูด

                “ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน แต่ฉันว่ามันไม่น่าจะอุ่นเท่าไร”

                สำหรับเขาแล้ว เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์มันไม่มีผลอะไรเลย แต่เขาเป็นห่วงเจ้าตัวเล็กนี่มากกว่า อากาศคืนนี้ค่อนข้างเย็น แถมยังมีลมพัดมาเป็นระยะๆ อีกด้วย เสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียวไม่น่าจะอุ่นเท่าไร ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทสีเข้มออกก่อนจะใช้มันคลุมลงบนหัวไหล่ของอีกคน

                “พะ..พี่”

                “เฉยเถอะน่า หนาวไม่ใช่หรือไง”

                “ขะ...ขอบคุณครับ”

                ดนตร์กล่าวขอบคุณพลางดึงเสื้อสูทแสนอุ่นคลุมกายให้มากกว่าเดิม อริญชย์ยิ้มบางๆ นั่งตรงนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีใครมาแย่งกันคุยให้ปวดหู เขาเดินหนีออกมาเพราะรำคาญเสียงพูดคุยกับเสียงหัวเราะที่มากเกินไป คงเป็นเพราะแต่ละคนได้เหล้าเข้าไปหลายแก้ว ความสนุกเลยมีมากกว่าปกติ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ไม่มีทางที่หนุ่มเจ้าสำราญอย่างเขาจะหลุดออกมานอกวง แน่ ทว่าตอนนี้มันอิ่มตัวแล้ว เขาผ่านมาทั้งเหล้ายาปาร์ตี้ ลองมาหมดทั้งดีและเลว เช่นเดียวกับกรณ์ ไอ้หมอนี่ใช้ชีวิตโชกโชนไม่ต่างกับเขา อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ดูจากความกล้าบ้าบิ่นของมัน

                ...คนที่เหมือนกันเลยมักจะชอบอะไรที่เหมือนกัน...

                “แล้วนี่ไม่คิดจะเข้าไปหาไอ้เจ้าอ้วนหน่อยหรือไง ตอนฉันออกมามันโวยวายใหญ่ที่ไม่เห็นนาย”

                “ไม่ดีกว่าครับ ผมว่าจะกลับแล้ว”

                “ทำไมล่ะ”

                “ผมกับพี่วินยังเจอกันอีกนาน เอาไว้แสดงความยินดีวันหลังก็ได้”

                เขาพยักหน้าเข้าใจ สำหรับดนตร์แล้วคิดว่าการแต่งกายแบบนี้ดูแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่สำหรับเขาแล้ว ดนตร์ก็คือดนตร์จะสวมเสื้อผ้าแบบไหนก็ยังเป็นดนตร์คนที่เขาชอบอยู่ดี

                “จะกลับตอนไหนก็บอกนะ เดี๋ยวไปส่ง”


                “ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองดีกว่า พี่เข้าไปสนุกกับคนอื่นๆ เถอะ”

                “ถ้าฉันอยากสนุกฉันจะมาอยู่ตรงนี้กับนายทำไม” เขาบอก “ไอ้ปาร์ตี้พวกนี้มันน่าเบื่อจะตาย เปิดเพลง คุยกันเรื่องด้วยไร้สาระ กินเหล้า แล้วก็มีเซ็กซ์”

                คนฟังตาโต แก้มใสแดงจัด “เซ็กซ์ด้วยเหรอครับ”

                “อืม ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ฉันคงลากสาวสักคนไปแล้วล่ะ”

                “แล้วตอนนี้ล่ะครับ”

                อริญชย์ยักไหล่ “ก็มาหานายไง”   
   
                คนพูดหัวเราะในคอ ขณะที่คนฟังแก้มเป็นสีชมพูจัด

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 12 May I in love? [07/07/60]
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 13-07-2017 20:03:22
                แล้วก็ทั้งคู่ก็เงียบไป ต่างฝ่ายต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง สำหรับอริญชย์แล้ว เขาพอจะเดาเหตุการณ์หลังจากที่รู้รู้ว่าโยษิตามีปัญหากับกรณ์ แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่เคยปริปากบอกกับใครถึงเรื่องนี้ แต่ที่เขาและคนอื่นๆ รู้ เพราะโยษิตาระบายทุกอย่างผ่านเฟซบุ๊ค บอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรวมไปถึงสาเหตุที่ทำให้คู่รักที่น่าอิจฉามีปาก เสียงจนถึงขั้นเลิกกัน และดนตร์คือคนที่โยษิตากล่าวถึง

                เขาไม่ได้ไล่อ่านคอมเมนต์ที่เพื่อนๆ และแฟนคลับของสาวสวยระดับมหาวิทยาลัยที่พากันประณามดนตร์ เพราะมันไร้สาระสิ้นดี ที่สำคัญเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร และยังรู้ด้วยว่าโยษิตาเองก็เล่นไม่ซื่อกับกรณ์เช่นกัน...โยษิตาคงลืมไปว่า ความลับไม่มีในโลก

                เรื่องที่โยษิตามีคนอื่นนอกจากกรณ์เขารู้มาระยะนึงแล้ว เพราะเจ้าเด็กเมธัสมันบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ฮีโร่กลางร้านกาแฟพอดี เจ้าเด็กตาโตบอกเล่าทุกอย่างให้กับนักรบฟัง พร้อมกับแสดงความคิดอย่างออกรสว่า ความสัมพันธ์ระหว่างโยษิตากับผู้ชายที่ชื่ออคิราห์ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาแค่สืบประวัติอคิราห์คร่าวๆ ก็รู้ว่าหมอนี่เป็นใครและสนิทกับใครบ้าง

                ครอบครัวของอคิราห์และโยษิตาสนิทกัน ดังนั้นจึงเดาได้ไม่ยากว่าสองคนนี้จะสานสัมพันธ์กันไปในทางใด บิดาของอคิราห์มีตำแหน่งใหญ่โตในกระทรวงการศึกษา มารดาก็เป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนระดับประเทศ มีหรือที่โยษิตาจะปล่อยให้หลุดมือไป ถ้าหากกรณ์จะถูกทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก ถึงมีเงิน มีฐานะ แต่อำนาจบารมีมันสูงกว่า เขาแน่ใจว่ากรณ์คงเลิกกับโยษิตาเด็ดขาด ไอ้เพื่อนคนนี้ลองได้ตัดสินใจแล้วมันจะไม่มีวันย้อนกลับไปทางเดิมอีก เรื่องของดนตร์ก็เช่นกัน เขารู้ดีว่ามันเดินหน้าเต็มที่เพื่อให้ได้ดนตร์ไปครอบครอง...แต่เขาจะไม่ ยอมแพ้ง่ายๆ

                อริญชย์เหลือบมองเด็กหนุ่มข้างๆ สองสามวันที่ดนตร์หายตัวไป เขาพยายามไม่เก็บเอาไปคิดว่าเจ้าตัวหายไปกับใคร แต่ก็ประจวบเหมาะเหลือเกินเพราะมันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กรณ์ออกจากโรง พยาบาล โดยที่ไม่ได้ติดต่อมาหาเขาหรือเพื่อนๆ คนไหน...อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

                ดนตร์เปิดปากหาว พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนทันใจ อริญชย์ระบายยิ้มยกมือขยี้เส้นผมอ่อนนุ่มเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

                “ง่วงแล้วเหรอเรา จะกลับเลยไหม”

                “ครับ หนาวด้วย”

                เจ้าตัวรับง่ายดาย ดวงตากลมปรือปรอย ปากจิ้มลิ้มอ้ากว้าง “โทรบอกทิวสิว่าฉันจะไปส่ง”   

                ดนตร์พยักหน้า พลางล้วงเอาโทรศัพท์ออกมากดหาจันทร์ทิวา รออยู่นานอีกฝั่งก็ไม่ตอบรับ จนสัญญาณตัดไป เจ้าตัวเล็กขมวดคิ้วยุ่งทั้งที่ตาใกล้ปิด ดนตร์โทรหาจันทร์ทิวาอยู่หลายทีแต่ก็เป็นเหมือนเดิม

                “ส่งข้อความไปในไลน์สิ คงกำลังติดลมอยู่” เขาแนะนำ ดนตร์ไม่ได้คัดค้านอะไร ใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็ส่งข้อความให้จันทร์ทิวาสำเร็จ

                อริญชย์เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อน รู้สึกหนาวผิดปกติคงเป็นเพราะน้ำค้างที่มาพร้อมกับไอเย็นมันทำให้เสื้อผ้าชื้นขึ้น พอเหลือบมองอีกคนที่อยู่ข้างๆ กันก็อดสงสารไม่ได้ ถึงจะมีเสื้อสูทเนื้อหนาที่เขายกให้แล้ว แต่จมูกก็ยังแดง ริมฝีปากสั่นน้อยๆ

                “หนาวเหรอ”

                “ครับ”

                “รีบไปเถอะ คืนนี้มันหนาวจริงๆ”

                อริญชย์ฉวยมือเล็กมากุมไว้ มือของดนตร์เย็นเฉียบ เขาบีบมือแน่นแบ่งปันไออุ่นในกายให้อีกฝ่าย ดนตร์ขืนตัวเล็กน้อย แต่ด้วยกำลังที่น้อยกว่าเลยจำต้องยอมให้เขาเดินกุมมือไปทั้งแบบนั้น...



                กรณ์ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด คลาดสายตาแค่แป๊บเดียว ร่างโปร่งในชุดนักศึกษาก็หายไปเสียแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าดนตร์จะเดินมาพร้อมกับจันทร์ทิวา แต่แค่เขาหันไปสนทนากับคุณอลงกต ตัวแทนจากค่ายหนังที่ชนวีร์เชิญมาร่วมงาน เขาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าไอ้เจ้าอ้วนมันกว้างขวางไม่น้อย รู้จักคนใหญ่คนโตในวงการหนัง เขาเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่หนังสั้นของมันได้รางวัล คงเป็นเพราะได้รับคำแนะนำจากคนพวกนี้ด้วย

                แล้วความพยายามในการค้นหาดนตร์ของเขาก็ถูกขัดจังหวะ เมื่อรดาว่าที่นางเอกค่ายหนังของอลงกตผูกมัดการสนทนากับเขาแทบทั้งหมด จะปฏิเสธก็เกรงว่าเสียมารยาท รดาเป็นนางแบบให้กับนิตยสารหลายเล่ม มีโฆษณาออนไลน์และทีวีอยู่หลายชิ้น และเป็นเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียงพอสมควร แต่ทั้งหมดนี้เป็นการแนะนำของอลงกต ส่วนตัวแล้วเขาไม่รู้จักหล่อน แค่คิดว่าหน้าตาน่ารักสมกับเป็นคนมีชื่อเสียงเท่านั้น กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ เขาก็หาดนตร์ไม่เจอเสียแล้ว

                เขาต้องร่วมเปิดแชมเปญฉลองความสำเร็จกับชนวีร์ รับแก้วเหล้าไร้สีจากรดาอย่างเสียไม่ได้ เธอชวนเขาชนแก้ว ชวนคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระ และตบท้ายด้วยเรื่องส่วนตัว

                “เห็นวินว่าคุณเพิ่งเลิกกับแฟน จริงหรือเปล่าคะ” รดาถาม ดวงตาคู่สวยหวานหยดมองมาที่เขาอย่างรอคำตอบ   

                “ครับ เพิ่งเลิกได้ไม่นาน”

                “ผู้หญิงคนนั้นคิดอะไรอยู่ ถึงได้กล้าทิ้งผู้ชายหล่อเพียบพร้อมอย่างคุณ”

                กรณ์หัวเราะในคอ ถ้าหากรดารู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง เธอคงมีก่นด่าเขาเหมือนที่โยษิตาทำ

                “แล้วคุณคิดจะเริ่มใหม่กับใครหรือยังล่ะคะ”

                ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ก่อนจะส่ายหน้า “ยังครับ กับผู้หญิงผมคงเว้นวรรคไปพักใหญ่ๆ”

                “กับผู้หญิง? คำตอบกำกวมจังนะคะ” รดายิ้มหวาน ยื่นแก้วมาชนกับแก้วของเขาอีกครั้ง “คืนนี้คุณจะไปที่ไหนต่อหรือเปล่าคะ”

                “ก็คงจะกลับ...โอ๊ะ!”

                 มือที่ถือแก้วแชมเปญถูกกระแทกจากที่ไหนสักแห่ง น้ำไร้สีกระฉอกไปถึงผู้หญิงที่กำลังสนทนาอยู่กับเขา ชุดสวยเปื้อนเป็นทางยาว ตั้งแต่หน้าอกจนถึงช่วงเอว เขาหันไปหาต้นเหตุแต่ก็ไม่เห็นใคร กรณ์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเบนหน้ากลับมายังสตรีผู้โชคร้าย

                “ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

                “ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ” รดาบอก หัวคิ้วเรียวขมวดน้อยๆ พลางก้มมองชุดตัวสวยของตัวเอง “คงต้องไปล้างออกแล้วล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นคงเป็นคราบน่าเกลียด”

                “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมพาไปเอง”

                แม้จะห่วงที่ยังหาตัวดนตร์ไม่พบ แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้รดาไปจัดการล้างคราบแชมเปญตามลำพังได้ เลยจำใจต้องเลือกอย่างหลัง

                เขาพารดาเดินเลี่ยงกลุ่มคนที่กำลังออกสเต็ปตามจังหวะเพลงที่เร้าใจขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเจ้าภาพของงาน คืนนี้ไอ้เจ้าอ้วนมันสนุกจนลืมน้องชายสุดที่รักของตัวเองไปเสียแล้ว กรณ์พรูลมหายใจเบาๆ ถ้าจัดการเรื่องชุดของรดาเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะรีบชิ่งไปตามหาเจ้าตัวแสบทันที...เด็กบ้าทำให้เขาเป็นห่วงได้ตลอดเวลา จริงๆ

                วันนี้ทั้งวันเขาไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงเด็กดื้อ ไม่ใช่แค่ดื้อแต่ยังอวดดีอีกด้วย ดนตร์หนีออกมาตั้งแต่เช้าโดยขโมยเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำตาลของเขาไปด้วย ทั้งที่ยังไม่หายดี แถมตรงนั้นน่าจะยังอักเสบอยู่แต่ดนตร์ก็ยังไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากเขา ส่วนเขาเองก็วุ่นวายตั้งแต่ลืมตาตื่น ธาวินส่งข้อความมาเตือนว่าเขาต้องส่งงานวันนี้เพราะหยุดเรียนไปหลายวัน ไหนจะงานเลี้ยงฉลองของชนวีร์อีก เขาเองก็เป็นหนึ่งในตัวเอกของงานเพราะเป็นพระเอกของเรื่อง พอหมดปัญหาเรื่องเรียน ไอ้เจ้าอ้วนก็ลากเขากับลลิตาไปหาชุด เนื่องจากวันนี้มีแขกพิเศษจากค่ายหนังมาด้วย ดีไม่ดีเขาหรือคนอื่นๆ อาจจะเตะตาค่ายหนัง มีโอกาสได้ร่วมงานกับโปรดักชั่นระดับประเทศก็เป็นได้

                ถึงไม่คิดจะเอาดีด้านการแสดง แต่ถ้าหากมีโอกาสก็ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไป

                เพราะ ไอ้เจ้าชนวีร์คนเดียวที่พาเขาไปลองชุดโน้นชุดนี้ จนหาเวลาติดต่อดนตร์ไม่ได้เลย สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ไปรับ ปล่อยให้ดนตร์มากับจันทร์ทิวา ซึ่งเขาก็ยังเดาไม่ออกว่าสองคนนี้ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร เอาไว้วันหลังค่อยไปเค้นความจริงอีกที

                “กรณ์คะ ฉันหนาวจังค่ะ”

                รดาห่อไหล่ ปลายนิ้วขาวสั่นน้อยๆ ตอนที่กระชับผ้าคลุมไหล่ ถ้ารดาจะหนาวก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะชุดที่เธอสวมใส่เขาไม่เห็นว่ามันจะให้ความอบอุ่นได้ตรงไหน เดรสสีส้ม เน้นช่วงเอวให้คอดเล็ก ตรงสะโพกระบายเป็นชั้น ยาวเหนือเข่า สวมคู่กับรองเท้าส้นสูงสีขาว มีแค่ผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากขนมิงค์สีขาวให้ความอบอุ่นอีกที แถมยังถูกแชมเปญเพิ่มความเย็นไปอีกแก้ว ถ้าไม่หนาวสิแปลก

                เขาแตะหลังบางดันให้เธอก้าวไปด้านหน้า เขามาบ้านไอ้เจ้าอ้วนนี่หลายครั้ง เลยรู้ว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน แต่ยังไม่ทันผ่านประตูบ้าน รองเท้าส้นสูงของรดาก็ติดกับพรมสีเข้มที่ปูหน้าประตู รดาเสียหลักเกือบจะล้มหน้าคะมำ ดีที่เขารับร่างของเธอไว้ได้ทัน มือบางเกาะท่อนแขนของเขาเอาไว้แน่น ใบหน้าน่ารักซบลงที่อกพอดี รดาส่งเสียงหวีดร้องเบาๆ คงจะตกใจกับอุบัติเหตุเล็กๆ ที่คาดไม่ถึง ชั่วอึดใจเธอก็เปิดตาขึ้น ตากลมโตช้อนมอง เขาเห็นแววตระหนกในแก้วตาสีน้ำตาล

                “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” กรณ์ถามด้วยความเป็นห่วง

                “มะ..ไม่เป็นไรค่ะ แค่...ตกใจนิดหน่อย”

                “ข้อเท้าไม่ได้พลิกใช่ไหม”

                รดาก้มมองเท้าตัวเอง พลางทำท่าขยับไปมา ก่อนจะเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง สีหน้าของเธอดูแย่กว่าเดิมเสียอีก “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่มันขยับไม่ได้”

                กรณ์ถอนหายใจ นอกจากจะยังไม่ได้พาไปล้างคราบแชมเปญ รดายังได้รับบาดเจ็บอีก ให้ตายเถอะ! วันนี้มันไม่ใช่วันของเขากับดนตร์หรืออย่างไรกัน

                “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมพาคุณเข้าไปในบ้านก่อน แล้วจะบอกให้คนที่มากับคุณให้”

                “แต่ฉัน...เดินไม่ไหว”

                กรณ์สบถในคอ แล้วตัดสินใจช้อนร่างของรดาไว้ในอ้อมแขน เธอวาดแขนโอบรอบลำคอของเขาไว้กันตก รดาตัวเบาไม่ได้เป็นปัญหาต่อการช่วยเหลือ เขากระชับแขนอีกรอบและขยับขา แต่เพียงแค่ขยับขา แสงไฟคล้ายแฟลชก็สว่างวาบ จนต้องหยีตา พอลืมตาขึ้นเขาเห็นเด็กในชมรมการแสดงหลายคนกำลังยกโทรศัพท์มาทางเขา

                “ขอโทษครับพี่”

                ไอ้เจ้าเด็กพวกนั้นวิ่งหายไปกับความมืดในเวลารวดเร็ว ก่อนที่เขาจะอ้าปากด้วยซ้ำ กรณ์ส่ายหน้าเบาๆ พรุ่งนี้เขาคงโดนบรรดาเพื่อนๆ ของโยษิตาเล่นงานอีกแน่ เหมือนเมื่อหลายวันที่ผ่านมา เหล่าคนรักโยษิตาต่างก็รุมประณามในความสำส่อนของเขา รวมไปถึงเรื่องที่เขาชอบผู้ชายด้วย แน่นอนว่ามันไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเขา แต่ก็สร้างความหงุดหงิดให้ไม่น้อย พวกหล่อนส่งข้อความมาเป็นร้อยๆ จนเขาต้องลบมันทิ้งไปโดยไม่ได้เปิดอ่าน กรณ์เลิกสนใจเด็กบ้าพวกนั้น เขาอุ้มรดาไว้ในอ้อมแขนและจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าในตัวบ้าน หางตาก็เห็นใครบางคนที่เขาตามหามาทั้งคืน

                ...ดนตร์...

                “เพลง!”

                เจ้า ของชื่อสะดุ้งน้อยๆ แต่ไม่ได้วิ่งหนีหายไปไหน ไม่เพียงแค่ดนตร์เท่านั้น แต่อริญชย์ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ทั้งคู่ยืนกุมมือกัน ดนตร์ยังอยู่ในชุดเดิมแต่มีสูทสีเข้มสวมทับเพิ่มขึ้นมา และเขาก็จำมันได้ดีว่าเป็นเสื้อของใคร กรณ์เผลอขบกรามเข้าหากัน ความหึงหวงพุ่งพล่านอย่างไร้เหตุผล

                “เป็นอะไรไปเหรอคะ” รดาถาม เธอมองไปตามสายตาของเขา “เพื่อนเหรอคะ”

                “ครับ” กรณ์รับคำสั้นๆ

                เขาทิ้งสายตาไว้ที่คนทั้งคู่อีกครึ่งนาที แล้วจึงอุ้มร่างของรดาเข้าไปในห้องรับแขก อากาศภายในอบอุ่นกว่าด้านนอกเล็กน้อย กรณ์วางร่างบอบบางลงบนโซฟานุ่มด้วยความระมัดระวัง

                “คุณรออยู่ในนี้นะ เดี๋ยวผมจะไปบอกเพื่อนให้”

                “แต่ เอ่อ ฉัน..”

                กรณ์ยิ้มละมุน ย่อกายทรงตัวหลังส้นเท้าตัวเอง ใช้มือจับไปรอบข้อเท้าเล็กอย่างเบามือ แล้วจึงช่วยเธอถอดรองเท้าเจ้าปัญหาให้

                “ข้อเท้าของคุณยังไม่บวม ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ถ้าคุณไม่สบายใจให้ใครพาไปหาหมอก็ได้นะ”

                “ใครที่ว่า...เป็นคุณไม่ได้เหรอคะ” เธอถาม ดวงตาอ่อนเชื่อม

                “บังเอิญว่าตอนนี้ผมไม่ว่างเสียด้วยสิ” เขาปฏิเสธ “ยังไงก็ขอตัวก่อนนะครับ มีธุระสำคัญมากจริงๆ”

                กรณ์ตัดรอนสิ่งที่รดาเสนอให้อย่างไม่คิดเสียดาย เขาไม่ใช่หนุ่มน้อยไร้เดียงสาที่จะมองไม่ออกว่ารดาคิดอย่างไรกับตนเอง สาบานได้เลยถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนี้เขาคงคว้าเธอไปเสวยสุขบนห้องชนวีร์ แล้ว แต่ตอนนี้ความต้องการใต้สะดือมันลดลง ไม่ใช่ว่าเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือว่าเบื่อเรื่องอย่างว่าแล้ว แต่เขากลับไม่โหยหาเรือนร่างของอิสตรีคนไหน เพราะมีใครบางคนที่เร้าใจกว่านั้น...ใครบางคนที่แค่โดนเขาจูบก็สั่นสะท้านไป หมด มือแตะต้องเขาอย่างเงอะงะ ผิวกายขาวผุดผาด ใบหน้าแดงซ่าน ดวงตาหวานฉ่ำด้วยอารมณ์ที่เขาปลุกเร้าให้ ร่างกายตอบสนองเขาอย่างน่ารัก แต่ก็เร่าร้อนอยู่ในที แค่คิดเลือดในกายก็อุ่นซ่านแล้ว เด็กนั่นทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้ เขาจะมีแก่ใจไปสนใจใครได้อีก

                 อาการแบบนี้คงเรียกว่าทั้งรัก...ทั้งหลงกระมัง

                ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ยิ้มให้ว่าที่นางเอกสาว แล้วหมุนตัวเดินห่างออกมา ในอกยังร้อนรุ่มด้วยความหึงหวงไม่หาย ป่านนี้ไอ้อริญชย์ตัวดีคงพาดนตร์ไปไหนต่อไหนแล้ว เขาต่อสายหาอัคคีเพราะรายนั้นดูท่าจะเมาน้อยกว่าไอ้เจ้าอ้วน แล้วก็อย่างที่คิดไม่กี่อึดใจหลังจากถือสายรออัคคีก็รับสาย

                “กิ๊กเก่าของนายอยู่ในบ้านน่ะ เข้าไปดูสิ”

                เขาทิ้งระเบิดไว้ด้วยการโกหกคำโต แต่เขารู้ดีว่าวิธีนี้มันจะได้ผลดีที่สุด ที่เหลือก็แค่ภาวนาไม่ให้รดาเป็นกิ๊กเก่าของอัคคีจริงๆ เท่านั้นเอง กรณ์เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วรีบก้าวยาวๆ ไปที่โรงจอดรถเพราะจำได้ว่าอริญชย์จอดรถไว้ที่นั่น...



                “หนาวเหรอ หน้าซีดเชียว”

                อริญชย์ถามเจ้าของมือเย็น เขากระชับมือให้แน่นกว่าเดิม แต่เขารู้ดีว่าสาเหตุที่แท้จริงมันคืออะไร อากาศเย็นแค่สิบกว่าองศามันคงไม่ทำให้ดนตร์มีอาการเหม่อลอยเช่นนี้หรอก

                ตั้งแต่ มื่อครู่นี้แล้ว ที่พวกเขาบังเอิญเห็นกรณ์อุ้มผู้หญิงที่เขาเพิ่งรู้จักหล่อนได้ไม่นานจาก การแนะนำของชนวีร์ หล่อนชื่อรดา เป็นเน็ตไอดอล มีผลงานทางทีวีและสื่อออนไลน์มาบ้างแล้ว รดาหน้าตาน่ารัก มีเสน่ห์ เรือนร่างโปร่งบางอรชรสมเป็นผู้หญิง ยิ่งไปอยู่ในอ้อมแขนของกรณ์หล่อนยิ่งบอบบางและน่าทะนุถนอม ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดแบบนั้น ดนตร์เองก็คงเห็นไม่ต่างกับเขา เพราะหลังจากนั้นดนตร์ก็เหม่อลอย เขาถามอะไรก็ไม่ตอบ ได้แต่เดินตามเขามาเงียบๆ เท่านั้น

                “เพลง...ไม่สบายหรือเปล่า”

                คำตอบที่ได้รับเป็นความเงียบอีกเช่นเคย อริญชย์ปล่อยมือจากพวงมาลัยรถยนต์ ก่อนจะคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ ดนตร์เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมมีแววงุนงง

                 “คิดมากเรื่องไอ้กรณ์ใช่ไหม”

                “ผม..เปล่า” เด็กปากแข็งปฏิเสธ ก้มหน้างุด

                “นาย นี่โกหกไม่เก่งเอาซะเลย” อริญชย์ดุแต่ไม่จริงจังนัก ก้านนิ้วแกร่งเชยคางมนขึ้นบังคับให้อีกฝ่ายมองหน้ากันอีกครั้ง “ไหนบอกมาซิว่านายกับกรณ์เป็นอะไรกัน”

                “ไม่ได้เป็น...”

                “โกหก แต่ฉันไม่ถือสาหรอกนะ” ชายหนุ่มอมยิ้มหางตาเห็นเงาของใครบางคนอยู่หลังพุ่มไม้ นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไปตามขอบปากสวย “ฉันพร้อมจะลงสนามแข่งกับกรณ์ ถึงนายกับมันจะมีอะไรกันแล้วฉันก็ไม่สนใจ”

                “ทำไม...”

                “เพราะว่าฉันชอบนายยังไงล่ะ”

                อริญชย์ยิ้มบาง ก่อนจะก้มลงประทับจูบลงบนกลีบปากสีสดรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้จูบกับดนตร์ต่อหน้ากรณ์....

**************************

ด่าได้แต่อย่างแรง เดี๋ยวเราเฟล  :hao7:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 13 Lucky man [13/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-07-2017 21:20:59
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 13 Lucky man [13/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 13-07-2017 21:35:31
เรารักพี่รันนนนนนน
พี่รันทำดี
ชอบพี่รัน แบดแบบผู้ดี

ตอนนี้หัวไม่ร้อน
ดีใจ 55555555555

เอาอีกพี่รัน
เอาให้กรณ์อกแตกตายไปเลย
พี่รันมีความเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์สูงมากๆ
ความทะเยอทะยานของพี่รันเราชอบ

#ทีมใครก็ไม่ได้ที่ไม่ใช่ทีมกรณ์
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 13 Lucky man [13/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 13-07-2017 23:01:57
เอาแล้วไงอีพี่กรณ์หึงอีกแแล้ว เพลงจะโดนอะไรมั้ยเนี่ยย
อยากให้เพลงหวั่นไหวกับพี่รันบ้างอ่า อยากสะใจ  :laugh:
ขอบคุณมากค่า  :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 13 Lucky man [13/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 14-07-2017 12:17:36
เรารักพี่รันนนนนนน
พี่รันทำดี
ชอบพี่รัน แบดแบบผู้ดี

ตอนนี้หัวไม่ร้อน
ดีใจ 55555555555

เอาอีกพี่รัน
เอาให้กรณ์อกแตกตายไปเลย
พี่รันมีความเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์สูงมากๆ
ความทะเยอทะยานของพี่รันเราชอบ

#ทีมใครก็ไม่ได้ที่ไม่ใช่ทีมกรณ์

ทีมพี่รันด้วยคนค่ะ ถึงจะร้ายแต่ไม่ได้ทำร้ายเพลงแบบกรณ์ ไม่รู้อะ ไบแอสไปแล้ว รันทำอะไรก็ดูละมุนไปหมด  :o8:

แอบขัดใจเพลงตอนที่วินกำลังจะกินเค้กมาก แค่บอกว่ามันเสียทำไมต้องอ้ำอึ้งอึกอัก คือเราคิดถึงถ้าเราจะบอกใครสักคนว่ามันเสีย เราจะไม่อ้ำอึ้งไง มันเสียว้อย แดกไม่ล่าย  :katai1: ขออภัยที่หยาบค่ะ
แล้ววินก็หายไปเลย สงสัยท้องเสียแหงๆ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 13 Lucky man [13/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 15-07-2017 12:57:32
พี่กรณ์หาเรื่องโดนด่าได้ทุกตอนจริงๆ :m16:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 14 ผู้มาเยือน... [21/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 21-07-2017 19:24:18
Chapter 14 ผู้มาเยือนยามวิกาล

    มือกร้านกำรอบพวงมาลัย บีบมันแน่นจนแทบจะแหลกคามือ กรณ์รู้สึกถึงไอร้อนที่ลามเลียขึ้นมาถึงใบหน้า เสียงลมหวีดหวิวกรีดร้องอยู่ในหู ภาพการมองเห็นพร่าเลือนด้วยความร้อนที่รอบกระบอกตา อากาศเย็นไม่สามารถทำให้ความร้อนรุ่มลดลงได้เลย ชายหนุ่มหลุดสบถคำหยาบคายออกมาเพราะไม่อาจระงับเอาไว้ได้

    เมื่อครู่นี้อริญชย์ส่งสาส์นท้ารบมาให้เขา ทั้งภาพ ทั้งเสียง ชัดเจนเต็มสองตา เขามั่นใจว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อคนนี้เห็นว่าเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ แต่ก็ยังกล้าที่จะจูบดนตร์ต่อหน้าเขา ถ้าเขาไม่เคาะกระจกหนักๆ ป่านนี้ไอ้บ้านั่นคงพาดนตร์ขึ้นรถไปแล้ว ต้องขอบคุณสติที่เตือนเขาไมให้เล่นไปตามเกมของอริญชย์ ไอ้เจ้านั่นมันจงใจปั่นหัวให้เขาทำตัวเป็นคนบ้าอาละวาด และนั่นจะทำให้ดนตร์เกลียดเขา

     ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะกระจก ดนตร์ก็ลนลานถอยห่างจากอริญชย์ ใบหน้าซีดเผือด ตากลมมองมาที่เขาอย่างตื่นตระหนก ไม่เพียงแค่นั้นยังใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากจนมันแดงเห่ออีกด้วย

    เขาไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ใช้สายตามอง..สายตาที่ทำให้ดนตร์รู้ตัวว่าผิด แล้วหันหลังเดินจากมาเงียบๆ แล้วมานั่งรออยู่ในรถ

   ...แค่นี้ก็ชนะแล้ว..

   เพราะตอนนี้คนที่รู้ตัวว่าผิดกำลังวิ่งมาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

   กรณ์ซ่อนรอยยิ้มพึงพอใจเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย เขานั่งตัวตรงอยู่หลังพวงมาลัย ทำทีเป็นไม่สนใจคนที่กำลังเคาะกระจกรถรัวๆ

   “พี่กรณ์ เปิดประตูให้ผมหน่อย พี่กรณ์ ได้ยินผมไหม”

   ได้ยินสิ ได้ยินชัดเลยล่ะ แต่เขายังคงแกล้งทำเป็นหูทวนลม มิหนำซ้ำยังบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์อีกด้วย ดนตร์หน้าเสียกว่าเดิม

   “พี่ครับ! เปิดประตูหน่อย ผมอธิบายได้”

    กำปั้นเล็กทุบกระจกรถเร็วและหนักกว่าเดิม เขากดปลายเท้าเหยียบคันเร่ง รถเคลื่อนตัวไปด้านหน้า ดนตร์ยิ่งร้อนรน แต่ยังไม่เลิกอ้อนวอนให้เขาเปิดประตูให้

    กรณ์กดยิ้มลึกที่มุมปาก เขาเพิ่มความเร็ว แต่อีกคนก็ไม่ลดละความพยายาม ดนตร์วิ่งตามร้องให้เขาหยุดรถและฟังสิ่งที่อยากจะพูดกับเขา

    รถยนต์หยุดกึก นิ้วมือกดปลดล็อคดังแกร็ก ประตูรถถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วก่อนที่ร่างของคนที่วิ่งตามจะแทรกเข้ามา

   หน้าของดนตร์ขาวซีด หายใจเสียงดัง ร่างโปร่งสะท้านขึ้นลงหนักๆ ควันสีขาวลอยออกมาพร้อมกับลมหายใจ ดวงตากลมมีแววกังวลและขอโทษอยู่ในที นานร่วมนาทีกว่าที่อาการเหนื่อยหอบจะลดลง กรณ์ยังไม่ได้เคลื่อนรถไปไหน มันห่างจากจุดที่เขาจอดแค่สิบเมตรเท่านั้นเอง ชายหนุ่มเหลือบมองคนทำผิด เสี้ยวหน้าด้านข้างยังสะท้อนถึงความเหนื่อยหอบให้เห็น เส้นผมสีเข้มชื้นเหงื่อเล็กน้อย เสื้อสูทสีเข้มไม่อยู่แล้ว เหลือแค่เสื้อแจ็คเก็ตที่เจ้าตัวชอบใส่

    “พี่ครับ...ทำไม...ไม่เปิดประตูให้ผม” เสียงของดนตร์ขาดห้วงเพราะจังหวะการหายใจยังไม่กลับมาเป็นปกติ เขายังคงทำเมินเหมือนไม่ได้ยิน “มือผมเจ็บไปหมดเลย เหนื่อยด้วย”

    เจ็บมือคงไม่เท่ากับที่เขาเจ็บใจหรอก ไม่มีไอ้บ้าที่ไหนทนเห็น ‘เมีย’ ตัวเองถูกคนอื่นจูบได้หรอก บุญแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ชกอริญชย์ให้เลือดกลบปาก

   กรณ์ทำเฉย มือกำพวงมาลัย เครื่องยนต์ยังติดอยู่ เขารอจนเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายเบาลง แล้วจึงค่อยเคลื่อนรถออกจากบ้านของชนวีร์ ทิ้งงานเลี้ยงเฉลิมฉลองไว้ด้านหลัง เขาหงุดหงิดเกินกว่าจะร่วมฉลองกับใครได้อีก มีแต่คนทำผิดนี่แหล่ะที่จะได้ร่วมสังสรรค์กับเขาจนเช้าแน่

   แต่เสี้ยววินาทีที่เขาหันไปมองใบหน้าเรียวได้รูปก็ใจหายวูบ หน้าของดนตร์ขาวซีดเหมือนกระดาษ ริมฝีปากสั่นน้อยๆ ปลายเท้ากดเดินหน้าเครื่องยนต์ พยายามห้ามไม่ให้มือไปดึงร่างน้อยมาให้ไออุ่น ดนตร์ไม่พูดอะไร เขาชำเลืองมองผู้ร่วมโดยสารเรื่อยๆ เจ้าตัวหันหน้าไปด้านข้าง สอดมือเข้าไปในเสื้อแจ็คเก็ต ท่านั่งเกร็งผิดธรรมชาติ กรณ์ตัดสินใจหักรถลงข้างทางและหยุดเครื่องยนต์ ก่อนจะดึงร่างของอีกคนขึ้นมาเกยบนตัก

    “เฮ้ย!” ดนตร์ตกใจตาโต มือขาวซีดดันแผงอกเขาโดยอัตโนมัติ แต่เขารัดรอบเอวเล็กไว้ก่อนแล้ว “พี่ทำบ้าอะไรวะ!”

    “เฉยเถอะน่า”

    เขาสั่ง ดนตร์มองนิ่งด้วยอารามตกใจ เขาใช้จังหวะนั้นให้ไออุ่นโดยการ...จูบ

    ริมฝีปากนุ่มหยุ่นแต่เย็นจัดถูกบดเคล้าอย่างเอาแต่ใจ กรณ์จูบช้อน ดูดกลืนกลีบปากล่างอิ่มตึง มือสอดหายเข้าไปในเสื้อนักศึกษาเนื้อบาง ผิวกายภายในอุ่นกว่าภายนอกเล็กน้อย ทันทีที่แตะโดนยอดอกมันก็ขมวดตัวแข็ง เขาใช้ปลายนิ้วหมุนคลึง ขณะที่อีกมือประคองต้นคอเล็กเอาไว้ ลิ้นสอดกวาดไล่ต้อนอย่างผู้มากประสบการณ์ ดนตร์ตัวสั่นมากกว่าเดิม ลมหายใจกระชั้นถี่ พอมือขาวเริ่มขยับอีกครั้งเขาก็ผละจูบออก มองใบหน้ากลับมามีสีอยู่ชั่ววินาทีแล้วกลับไปใหม่

    พวกเขาจูบกันอยู่อย่างนั้น อาการขัดขืนในตอนแรกไม่เหลือแล้ว ดนตร์ตัวอ่อนระทวยซวนซบอยู่กับหน้าอกของกรณ์ ใบหน้าขาวเงยรับจุมพิตหวานแกมร้อนแรง เลือดในกายอุ่นขึ้นหลายองศา ผิวแก้มระเรื่อขึ้นด้วยเลือดที่สูบฉีด แผ่นอก บั้นเอว รวมไปถึงเนินสะโพกด้านหลังถูกมืออุ่นกระตุ้น ทั้งบีบ ทั้งขยำ หนักเบาสลับกัน ขณะที่กำลังงงงวยอยู่กับรสจูบ ไออุ่นจากบางอย่างก็ตกลงมาคลุมที่หัวไหล่ แต่ริมฝีปากที่ถูกรุกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับลิ้นอุ่นที่หลอกล่อให้คล้อยตาม ทำให้ไม่เหลือสติพอจะเดาว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร

   “อืม...”

   เสียงใครอีกคนร้องครางในคอด้วยความพึงพอใจ กรณ์เคล้นมือกับเนินบั้นท้ายตึงแน่น ความอดทนก็ยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเจ้าตัวเบียดเนื้อตัวเข้าหา กลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยกระตุ้นอีกทาง จูบทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเส้นความอดทนที่ขึงตึงขาดสะบั้นลง เสื้อคลุมที่คว้ามาจากเบาะหลังหล่นจากหัวไหล่เนียน

    ...บางทีการให้ไออุ่นด้วยร่างกายน่าจะดีกว่า…

    ปลายนิ้วอุ่นหมุนวนยอดอกนุ่ม ผิวกายอุ่นซ่านขึ้นมาทีละน้อย ดนตร์ตอบโต้จูบอย่างไม่ยอมแพ้ ลิ้นเกี่ยวกระหวัดรัดรึง บางครั้งก็ถอยหนี แต่บางทีก็รุกไล่ ร่างเล็กกว่าปีนขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวอย่างสมบูรณ์ พื้นที่คับแคบกับสถานที่ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้น แสงไฟจากรถยนต์คันอื่นสาดผ่านมาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยครั้งนัก มือเล็กละจากหัวไหล่เลื่อนลงมาที่หัวเข็มขัด มันเงอะงะงุ่มง่ามน่ารำคาญ จนเขาต้องให้ความช่วยเหลือ ขณะที่ริมฝีปากยังไม่ได้ผละจากกันแม้แต่เสี้ยววินาที ดนตร์เก่งพอที่จะรู้จักวิธีผ่อนลมหายใจบ้างแล้ว แถมยังจะทำให้เขาหายใจติดขัดได้อีกด้วย

   ทันทีที่ซิปกางเกงรูดลง นิ้วเรียวก็กอบกุมรอบลำกายอุ่น ดนตร์ขยับมือช้าๆ มันขยายขนาดอย่างรวดเร็ว กรณ์เผลอส่งเสียงครางในคอด้วยความพอใจ และยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่เมื่อคนบนตักเบียดส่วนนั้นเข้าหา เขาช่วยอีกฝ่ายปลดกางเกงออกบ้าง นึกขอบคุณที่เจ้าตัวเลือกใส่กางเกงตัวใหญ่ อะไรๆ มันก็เลยง่ายขึ้น

    กรณ์ดึงกางเกงออกพร้อมกับชั้นในสีขาว ใช้เวลาไม่กี่อึดใจดนตร์ก็ตัวเปล่า ร่างขาวโพลนเด่นชัดในความมืด ดนตร์ขยับก้นขึ้นลงราวกับจะยั่วให้เขาเป็นบ้า กายร้อนผ่าวเสียดสีแนบชิดกัน ดนตร์รวบทั้งสองไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วรูดมือไปตามแนวยาว ขนาดที่ต่างกันไม่ใช่ปัญหาเพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าอีกสักพักมันก็จะไปอยู่ในที่เหมาะที่ควร กรณ์ส่งเสียงครางอืออาในคอ ความเสียวกระสันพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกรงว่ามันจะได้เข้าไปในที่อุ่นกว่านี้ เขาปัดมือนุ่มออก ก่อนจะจับเอวอีกฝ่ายแล้วยกสูง ดนตร์เองก็รู้หน้าที่เปิดทางเพื่อให้เขาผ่านเข้าไปได้สะดวกมากขึ้น

    พื้นที่จำกัดบนรถไม่ได้เป็นอุปสรรคในการร่วมรักครั้งนี้ ดนตร์รับเขาไว้ในคราวเดียวจนหมด ไออุ่นโอบรัดพร้อมๆ กับการดูดกลืน กรณ์ขบริมฝีปากล่างเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว เขาแช่กายไว้อย่างนั้นนานชั่วนาทีก่อนจะบีบบั้นเอวเล็กกระตุ้นให้คนด้านบนเคลื่อนไหว
 
   ร่างเล็กกว่าโยกเอวไปด้านหน้าแล้วหมุนวนสะโพกเป็นวงกลม บางจังหวะก็ยกก้นขึ้นแล้วกระแทกกลับลงมา กรณ์สวนสะโพกกลับส่งตัวตนเข้าไปล้ำลึก ดนตร์ยกมือเหนี่ยวลำคอแน่น พวกเขาผละจูบออกเมื่อความร้อนในร่างกายทวีสูงจนต้องพึ่งอากาศ กรณ์เลื่อนมือไปทั่วร่างกายเปลือยเปล่า ผิวขาวผ่องโดดเด่นแม้อยู่ในที่มืด เขาพรมจูบไปบนลำคอหอมกรุ่น ไล่ริมฝีปากไปจนถึงลาดไหล่ แล้ววกกลับมาที่เนินอกแน่น ดนตร์แหงนหน้าไปด้านหลังเมื่อเขาครอบครองยอดอกนุ่ม ลากลิ้นกระหวัดเอาเม็ดทับทิมสีสดเอาไว้ มืออีกข้างโอบเอวด้านหลังเพื่อคอยกำกับจังหวะ

    ทักษะของดนตร์ก้าวหน้าไปมากทีเดียว เด็กหนุ่มรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้การร่วมรักสุขสมที่สุด เอวบางหมุนวน บางครั้งก็เสยไปด้านหน้า มีจังหวะหนึ่งที่ดนตร์กดสะโพกลงแล้วเขาสวนสะโพกกลับไป ปลายยอดแตะกับจุดอ่อนไหวด้านใน ดนตร์หวีดร้องเสียงดังผวากอดเขาแน่น ด้านหน้าตั้งชันตีกับหน้าท้องของเจ้าตัว
 
   ลีลารักร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมออมมือ แม้เมื่อคืนพวกเขาจะมอบบทรักให้กันและกันแล้วก็ตาม ทว่ารสรักมันหวานนัก ไม่ว่าจะเมื่อใดก็กินได้ไม่รู้จักอิ่ม ดนตร์ร้องครวญครางเมื่อใกล้จุดสูงสุด ร่างเล็กกว่าโหมสะโพกขย่มเขย่าอย่างลืมเจ็บลืมอาย ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นธารร้อนก็พุ่งทะลักจากส่วนยอด ดนตร์ตัวสั่นเทาผวากอดร่างใหญ่กว่าแน่นราวกับจะฝากฝังเนื้อตัว กรณ์เองก็ทนไม่ไหวเมื่อผนังร้อนบีบรัดตัวรุนแรง ชายหนุ่มคำรามลั่นไม่ต่างจากสัตว์ป่าก่อนจะปลดปล่อยทุกอย่างหลั่งรดในกายอุ่น ปริมาณมากมายจนไหลเปื้อนมาถึงหน้าขา กลิ่นคาวคลุ้งทั่วรถ

   ดนตร์เอนกายซบลงกับอกกว้าง วางศีรษะไว้บนหัวไหล่ ลมหายใจกระชั้นถี่ เนื้อตัวอุ่นซ่านด้วยอารมณ์รัก ส่วนนั้นยังเชื่อมต่อกันอยู่ กรณ์ลองขยับสะโพกเบาๆ ดนตร์ก็สั่นสะท้าน ความต้องการก่อตัวขึ้นอย่างง่ายดาย เขาสวนสะโพกเข้าหาในจังหวะสั้นๆ แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นอีกครั้ง...


    พวกเขามาถึงคอนโดของกรณ์หลังจากอีกเกือบชั่วโมง ดนตร์อ่อนเปลี้ยจนแทบเดินไม่ไหวแต่ก็ปฏิเสธที่จะให้อุ้ม เจ้าตัวฝืนใจเดินเองทั้งที่ขาสั่น เสื้อผ้าถอดทิ้งถูกกลับมาใส่ใหม่แบบลวกๆ ทั้งเสื้อนักศึกษา แจ็คเก็ตสีดำและเสื้อคลุมของเขา ใส่ปะปนกันมั่วไปหมด กรณ์ประคองร่างเล็กกว่าไว้ด้วยความเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ โดนหนักขนาดนั้นแต่ก็ยังทำเป็นเก่ง นิสัยอวดเก่งนี่รักษาไม่หายจริงๆ

   เขารั้งร่างของดนตร์ไว้แนบลำตัวตอนที่ต้องเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับคนอื่นๆ ผู้หญิงสองคนเหลือบมองมาทางพวกเขาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เขาไม่สนใจมิหนำซ้ำยังจับศีรษะทุยของอีกคนซุกกับอกตัวเองอีกด้วย จนกระทั่งถึงห้องดนตร์ก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น

   “ทำเป็นเก่ง ถ้าให้อุ้มมาตั้งแต่แรกก็หมดปัญหาแล้ว”

   “ไม่เอา!” ตากลมตวัดมอง “ผมเป็นผู้ชาย”

   กรณ์อมยิ้ม ย่อกายให้อยู่ในระดับเดียวกัน “และมีผัวแล้วด้วย”

    “อะ..ไอ้!”

   เขายกนิ้วขึ้นชี้ “ถ้าหลุดเรียกฉันไอ้อีกละก็ รับรองนายได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่ ถึงจะรีดน้ำฉันไปหมดแล้ว แต่ไอ้เจ้านี่มันพร้อมรบเสมอนะ”

    พวงแก้มอิ่มระเรื่อขึ้นทันที เจ้าตัวเม้มปากแน่นคงอยากด่าเขาใจจะขาดแต่ก็กลัวว่าจะได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มจริงๆ เลยทำได้แค่ใช้สายตาอาฆาตเท่านั้น

    กรณ์เดินเข้าไปในห้องพัก แล้วกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมอาบน้ำและผ้าขนหนูสะอาดผืนใหญ่ ดนตร์ยังนั่งสงบอยู่ที่เดิม เผลอทำหน้าเบ้ตอนที่พยายามจะยันกายขึ้นจากพื้น กรณ์ส่ายหน้าให้กับความหัวรั้นของเจ้าสี่ตา...พูดถึงสี่ตา ดูเหมือนว่าแว่นทรงเห่ยๆ นั่นจะหายไประหว่างที่พวกเขากำลังขึ้นสวรรค์กัน แล้วก็ไม่มีใครตามหา ตอนนี้ใบหน้าของดนตร์เลยไร้สิ่งบดบัง ความน่ารักทบทวี ดวงตากลม จมูกโด่ง ริมฝีปากอิ่มที่บวมเห่อน้อยๆ จากการบดขยี้ แก้มเป็นพวงเหมือนเด็ก ถ้าไม่รู้ประวัติเขาต้องคิดว่าเด็กนี่ยังอยู่ชั้นมัธยมแน่ๆ

    “ไปอาบน้ำ ทิ้งเอาไว้เดี๋ยวป่วยไม่รู้หรือไง”

   “รู้แล้วน่า!” เจ้าตัวสวนกลับ หน้ามุ่ยเหมือนเด็กโดนขัดใจ กรณ์หัวเราะหึ มองดูความพยายามที่ไม่ยอมหมดเสียทีของดนตร์ คนตัวเล็กกว่ายักแย่ยักยันอย่างทุลักทุเล เขาทนดูได้ไม่นานก็ช้อนร่างของเด็กหัวดื้อไว้ในอ้อมแขน โดยไม่สนใจคำทัดทาน ก้าวยาวๆ ไปในห้องน้ำ วางดนตร์ไว้บนอ่างล้างหน้าแล้วหันไปจัดการเปิดน้ำลงในอ่างอาบน้ำ ปรับระดับน้ำให้อุ่นสบาย พร้อมกับใส่ผงอาบน้ำกลิ่นหอมตีจนฟองสีขาวลอยเหนือผิวน้ำ

   เขาพับแขนเสื้อพันขากางเกงขึ้น ก่อนจะหันกลับไปอุ้มร่างของดนตร์ลงอ่างอาบน้ำ ทั้งที่เจ้าเด็กนี่ไม่ได้เบานักแต่กลับไม่รู้สึกว่าหนัก เนื้อตัวเปล่าเปลือยจมหายไปในน้ำอุ่น ฟองสีขาวห่อหุ้มร่างไว้เหลือแค่ช่วงศีรษะ กรณ์นั่งลงที่ขอบอ่าง จับหัวทุยสวยวางบนต้นขา นิ้วมือแทรกไปในเส้นผมนุ่มนวดคลึงหนังศีรษะเพื่อช่วยผ่อนคลาย ดนตร์หยุดขัดขืนปล่อยให้เขาปรนนิบัติ จะมีบ้างก็ตอนที่เขาสอดนิ้วเข้าไปช่วยทำความสะอาดให้ เจ้าตัวดิ้นน้อยๆ ปิดตาแน่น คิ้วขมวดมุ่น ผิวแก้มสุกปลั่ง สูดปากครวญ ภายในเผลอตอดรัดนิ้วโดยอัตโนมัติ กว่าจะกวาดกวักเอาหยาดน้ำที่เขาหลั่งรินทิ้งไว้หมดก็เล่นเอาคนตัวเล็กกว่าแทบหมดแรง แม้แต่ตอนที่เขาจับเช็ดตัว สวมเสื้อคลุมให้ ดนตร์ก็ยังตัวอ่อนระทวย

   กรณ์จับดนตร์เป่าผม เพราะไม่อยากให้หลับไปทั้งที่ผมยังเปียก เด็กดื้อนั่งคอพับคออ่อนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ ชายหนุ่มฉวยโอกาสหอมแก้มนุ่มไปหลายหนด้วยอดมันเขี้ยวไม่ได้ ผิวขาวหอมกรุ่นด้วยกลิ่นครีมอาบน้ำ น่าแปลกที่เป็นกลิ่นที่เขาใช้อยู่ประจำแต่เมื่อมันมาอยู่บนตัวของดนตร์กลับหอมเย้ายวนกว่าเป็นเท่าตัว

   ดนตร์หลับไปทันทีที่เป่าผมเสร็จ คืนนี้เขาไม่ได้เปิดแอร์เพราะอากาศค่อนข้างเย็น เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มผืนใหญ่แสนอุ่นคลุมร่าง กรณ์ทอดสายตามองคนหลับอีกพักใหญ่พร้อมกับปรามไม่ให้ตัวเองฉวยโอกาสกับคนหลับ จนรู้สึกหนาวขึ้นมาหน่อยๆ ถึงได้สำเหนียกได้ว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่มันเปียกชื้น แต่ระหว่างที่กำลังปลดเสื้อผ้าออกจากกายเสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ดังขึ้น คิ้วหนาเลิกสูง อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่มาเยือนในยามวิกาล ปกติแล้วคนที่ไร้มารยาทเช่นนี้มีแค่ไอ้อ้วนชนวีร์เท่านั้น แต่ตอนนี้มันน่าจะระเริงรื่นอยู่ในปาร์ตี้มากกว่า ที่สำคัญมันไม่เคยกดกริ่งเตือนหรอก มันพรวดพราดเข้ามาเลยเพราะถือคีย์การ์ดไว้

    กรณ์ลอดมองผ่านตาแมว ที่เห็นเป็นเพียงแผ่นหลังของผู้ชาย รู้สึกคุ้นตาพิกล เขาตัดสินใจเปิดประตูต้อนรับแขกยามวิกาล ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้ว่าเจ้าของแผ่นหลังนั่นคือใคร

    “พ่อ!”

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 13 Lucky man [13/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 21-07-2017 19:28:41
       กรณ์ผ่อนลมหายใจหนักๆ เหยียดขาเต็มความยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายอย่างไม่คิดจะปิดบัง แม้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นบิดาของตนก็ตาม ดวงตาสีสนิมที่ผ่านโลกมามากกว่าห้าสิบปีทอดมองมา มันนิ่งเฉยไม่ต่างจากที่ผ่านมา ริ้วรอยแห่งวัยปรากฏชัด จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เจอกัน ที่ข้างแก้มยังไม่มีรอยลึกเยอะเท่านี้ ตอนที่นอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลก็เจอหน้ากันแค่สองครั้ง แถมครั้งหนึ่งไม่เคยเกินสิบนาที ถามไถ่อาการพอรู้ว่าเขาปลอดภัยดีก็ไปทำงานต่อ ไม่มีเวลาให้เขาสำรวจได้เท่ากับตอนนี้

    ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิดาไม่ค่อยจะราบรื่นนัก นับตั้งแต่มารดาขอแยกทางและไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกา ท่านไม่ได้มีคนรักใหม่แค่อยากหนีให้ห่างจากผู้ชายที่ห่วงงานมากกว่าครอบครัวเท่านั้นเอง พ่อของเขาบ้างานยิ่งกว่าสิ่งใด เชื้อพ่อค้าฝังอยู่ในสายเลือด ทุกอย่างคือเงิน การแต่งงานกับแม่ของเขาก็เพื่อผลพลอยได้ของธุรกิจ พ่อกับแม่แต่งงานกันโดยปราศจากความรัก ทว่าผู้หญิงมักจะใจอ่อนเสมอ หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันไม่นานท่านก็ตกหลุมรักผู้ชายที่ถูกเลือกให้มาเป็นคู่ชีวิต ทว่าบิดาของเขากลับไม่ได้สนใจท่านเลย เอาแต่ทำงานเพื่อดันกิจการให้ยิ่งใหญ่ตามความคาดหวังจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เขาสงสารมารดาจับใจ ท่านทนจนเขาอายุได้สิบปี ก็ขอแยกทาง ไปใช้ชีวิตสาวโสดกับป้าที่อเมริกา โดยเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นั่น ทุกวันนี้ท่านมีความสุขดีไม่เรียกร้องหาความรักจากใครอีก ผิดกับเขาทันทีที่ท่านจากไป ชีวิตเขาก็เหมือนลูกข่าง หมุนคว้างและไร้จุดหมาย

   เดิมทีมารดาจะเอาเขาไปอยู่ด้วยแต่บิดาไม่ยอม ฟ้องร้องกันอยู่ร่วมปีสุดท้ายมารดาก็ต้องยอมปล่อยมือจากเขา ในวันที่ต้องจากกันท่านกอดเขาแน่นร้องไห้จนเสื้อเขาเปียกไปหมด โดยให้สัญญาว่าจะกลับมาหาเขาทุกปี ตอนนั้นเขาไม่ร้องไห้สักแอะ ไม่มีน้ำตาสักหยดเพราะมันไหลย้อนกลับไปด้านในหมดแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขารู้จักคำว่าน้ำตาตกใน เขาไม่พูดกับใครเลยอยู่หลายเดือน จากเด็กร่าเริงกลายเป็นเด็กเก็บตัว เพื่อนไม่กล้าเข้าใกล้ ผลการเรียนต่ำลง โดนบิดาทั้งดุด่าและทุบตี แต่เขาไม่รู้สึกเจ็บสักนิด พี่เลี้ยงโทรไปรายงานให้มารดาทราบว่าเขาถูกบิดาทำร้าย ท่านโทรกลับมาเพื่อจะปลอบประโลมเขาทว่าบิดากลับแย่งไปแล้วด่าทอท่านอย่างรุนแรง ต่อว่าสารพัดแถมยังโยนความผิดทั้งหมดให้ท่าน

   เขาได้ยินเสียงร่ำไห้ของมารดา พยายามจะอ้อนวอนเพื่อที่จะได้คุยกับเขา แต่บิดาไม่ยอมดึงสายโทรศัพท์จนขาด และห้ามไม่ให้ใครติดต่อกับท่านอีก เขาถูกสั่งสอนอย่างเข้มงวด แต่เขาก็ต่อต้านทุกช่องทาง จนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิม เขาก่อเรื่องมากมาย ทั้งเรื่องเรียนที่เกือบจะไม่รอดและทะเลาะต่อยตีกับนักเลง ไม่พอยังก่อตั้งแก๊งอันธพาลหาเรื่องเกะกะระราน ผลาญเงินบิดาไปกับเรื่องเที่ยว กิน ผู้หญิงและยา

    ด้วยช่วงวัยที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทำให้เขาเลือกที่จะต่อต้านทุกคน ทุกคำสอนคือสิ่งน่ารำคาญแม้แต่ความเป็นห่วงและปรารถนาดีจากมารดา เขาไม่ยอมไปพบท่านในวันที่ท่านมาหา และกล่าวโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดของผู้ใหญ่ จนกระทั่งมัธยมปีที่สาม เขาก่อเรื่องหนักถึงกับทำให้อาจารย์สอนวิชาศิลปะต้องแขนหัก เขาถูกบิดาดุด่าอย่างหนักและเกือบจะถูกจับไว้สถานพินิจแล้ว ถ้าหากว่าอาจารย์คนนั้นไม่ขอเอาไว้ ท่านไม่เอาเรื่องเขาแถมยังให้อภัยอีกด้วย โดยมีข้อแม้ว่าระหว่างที่ท่านพักรักษาตัว เขาต้องมาช่วยงานที่ห้องศิลปะทุกวัน

   ด้วยกลัวว่าจะต้องไปอยู่ในสถานพินิจเขาเลยต้องไปอยู่ในห้องศิลปะทุกเย็น และนั่นเองที่ทำให้เขารู้ตัวเองว่ามีความสามารถด้านศิลปะ เขากลายเป็นคนชอบวาดรูปและระบายทุกสิ่งที่อัดอยู่ในอกผ่านรูปวาด มันไม่ได้ดีนักในตอนเริ่มต้นแต่เพราะอาจารย์ดิน ทำให้เขารู้เทคนิคและพัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งผลงานของเขาก็ถูกติดบนบอร์ดโรงเรียน โดยมีข้อความ ‘ชนะเลิศอันดับ 1’ อยู่ด้านล่าง ไม่เพียงแค่รางวัล อีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้มาจากการวาดรูปคือสภาพจิตใจ

   เขากลายเป็นคนใจเย็นขึ้นภายในเวลาไม่นาน เลิกติดต่อกับเพื่อนกลุ่มเดิม และมีเพื่อนสนิทที่ชอบในการวาดรูปเพียงไม่กี่คน เขาเป็นเด็กชายกรณ์ผู้มีความสามารถด้านศิลปะ เป็นคนใหม่ที่ได้รับการยอมรับ ผลการเรียนดีขึ้น เลิกต่อต้านบิดาไปโดยปริยายและเลือกที่จะเพิกเฉยกับสิ่งที่ท่านทำแทน เขาได้เรียนรู้ว่าการปล่อยวางมันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น แต่ก็มีปากเสียงกันอีกครั้งในช่วงที่เขาจะต้องเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เขาค้นพบว่าตัวเองชอบงานศิลปะมากและอยากจะเลือกเดินในเส้นทางนี้ไปจนถึงที่สุดและสาขาที่อยากเรียนก็ท้าทายความสามารถไม่น้อย ทว่าบิดาไม่เห็นด้วยและบังคับให้เขาเรียนบริหาร ตอนนั้นเขากลับไปทำตัวเกกมะเหรกเกเร ผลาญเงินเป็นว่าเล่น เมาทุกวันแถมยังควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า จนในที่สุดท่านก็ยอมให้เขาได้เลือกเรียนในสิ่งที่ฝัน

   แต่ทุกวันนี้เขากับบิดาก็ยังไม่สนิทกันนัก พูดคุยกันบ้างตามโอกาส ยิ่งเขามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ยิ่งทำให้การพบเจอยากกว่าเดิม เขาไม่ค่อยกลับบ้านในช่วงเทศกาลหรือวันหยุด แต่ก็ไม่ได้โหยหาไออุ่นจากบิดาเท่าไร เคยชินกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว ส่วนมารดายังติดต่อกันเรื่อยๆ ด้วยอายุที่มากขึ้นบวกกับสภาวะจิตใจที่ดีขึ้นทำให้เขาเข้าใจมารดามากขึ้น เขามักจะแอบบินไปหาท่านที่อเมริกาอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมารดาดีกว่าบิดาเสียอีก

    แต่ตอนนี้คนที่เขาคิดว่ากลับภูเก็ตไปแล้วกลับมานั่งอยู่ตรงหน้า ทว่าในดวงตาสีสนิมคู่นั้นกลับไม่ได้มองมาที่เขา แต่มันกลับไปจ้องอยู่ที่ใครอีกคนที่อยู่ในครัวแทน

    ดนตร์ตื่นมาได้พักใหญ่แล้ว เจ้าตัวดีดตัวลุกขึ้นตอนเกือบจะหกโมงเช้า เล่นเอาเขาที่นอนอยู่ข้างๆ ต้องพลอยตื่นไปด้วย เขารอจนอีกฝ่ายตั้งสติได้ถึงบอกว่าเมื่อคืนมีแขกคนสำคัญมาเยือน

   เขากับบิดาไม่ได้พูดจากันในทันที ดูเหมือนว่าท่านจะรู้ระแคะระคายเรื่องของเขากับดนตร์ ท่านเงียบเฉยแล้วถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนของเขาเข้าไป ท่านมองดนตร์ที่กำลังหลับสนิทอยู่พักใหญ่ แล้วถอยออกมาโดยบอกแค่ว่าจะคุยเรื่องนี้กันในตอนเช้าพร้อมกันทีเดียวสามคน ก่อนจะหายเข้าไปในอีกห้องที่อยู่ติดกัน

   ดนตร์ตาลีตาลานตั้งท่าจะหนี แต่พอเห็นว่าบิดาของเขาออกมาคอยท่าอยู่ที่โถงกว้างหน้าห้องแล้ว เลยจำใจต้องอยู่ร่วมเผชิญชะตากรรม โชคร้ายที่ดนตร์ไม่มีเสื้อผ้าติดมาเลย จึงจำเป็นต้องสวมชุดของเขาไปก่อน สภาพเลยเหมือนเด็กขโมยเสื้อพ่อมาใส่เล่น เจ้าตัวนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บนพื้นพรม โดยให้บิดาของเขานั่งอยู่บนโซฟาที่เหนือกว่า มองเผินๆ เหมือนคนใช้กับคุณชายไม่มีผิด เขาสั่งให้ลุกขึ้นก็ไม่ยอม เอาแต่นั่งก้มหน้าเหมือนกำลังรอโทษอยู่ก็ไม่ปาน กระทั่งบิดาเอ่ยปากว่าหิวนั่นแหล่ะถึงได้รีบลุกวิ่งหายไปอยู่ในครัว

    บิดาของเขาเลื่อนสายตาจากดนตร์แล้วกลับมาที่เขา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

    “รู้จักกันมานานแค่ไหน”

   “ใคร?...อ๋อ ก็เกือบๆ ปี”

   “เกือบๆ ปี...ก็ไม่นานเท่าไร” ท่านพึมพำแต่พอจะได้ยิน “คิดยังไงเอาผู้ชาย”

   “ก็ไม่คิดยังไง...แค่ชอบ”

    เขาตอบไปตามความจริง สำหรับดนตร์มันไม่มีเหตุผลแต่จะให้ท้าวความก็อาจจะนานสักหน่อย คิดว่าคนที่เห็นเวลากับเงินสำคัญกว่าสิ่งใดคงไม่อยากฟังเท่าไรนัก

    “ชื่ออะไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร แล้ว...เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อนหรือเปล่า”

   กรณ์เกือบจะหลุดหัวเราะเยาะในคำถาม เขาเชื่อว่าที่ท่านถามมาเป็นสิ่งที่ได้คำตอบมาแล้ว คนอย่างกริช วรเกียรติ์สกุลน่ะหรือจะไม่ยอมสืบเสาะหาข้อมูลก่อน

   “ผมว่าพ่อรู้อยู่แล้วนะ”

   “อย่ามายอกย้อน” น้ำเสียงเย็นชาเริ่มห้วนลง “แกไม่คิดบ้างหรือไงว่าการคบกับผู้ชายมันจะทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสียน่ะ”

   “ไม่คิด” เขาตอบกลับทันที “หัวใจของผมใครก็ห้ามไม่ได้”

    “ไอ้กรณ์!”

    เคร้ง!

    เสียงโลหะหล่นกระทบพื้นฉุดความสนใจของสองพ่อลูก ทั้งคู่หันไปมองต้นเสียง เห็นทัพพีวางคว่ำอยู่บนพื้น คนที่ทำมันหล่นรีบเก็บขึ้นแล้วหันหลังให้ทันที กรณ์พรูลมหายใจเบาๆ ท่าทางดนตร์จะกลัวบิดาของเขาอยู่ไม่น้อย ก็แหงล่ะ เล่นทำหน้าเหมือนยักษ์ใครล่ะจะไม่กลัว...นอกจากเขา

    “พ่อครับ ถ้าจะมาที่นี่เพื่อมาห้ามไม่ให้ผมคบกับดนตร์ ผมว่าพ่อกลับไปดีกว่า มันไม่ได้ผลหรอก” เขาเข้าประเด็น พอจะเดาได้ว่าบิดาต้องการอะไร สำหรับกริช วรเกียรติ์สกุลแล้ว ชื่อเสียง เงินทอง มาก่อนความรู้สึกเสมอ

    กรณ์ประสานสายตากับบิดาอย่างไม่กริ่งเกรง เพื่อสิ่งที่ต้องการแล้วเขาพร้อมจะสู้ และเขาก็แน่ใจว่าบิดารู้นิสัยเขาดี แล้วก็เป็นฝ่ายบิดาที่เบือนสายตาก่อน

     “ข้าวเช้ายังไม่เสร็จอีกรึ”

    สิ้นเสียง พ่อครัวจำเป็นก็รีบเดินออกมาพร้อมกับจานสปาเก็ตตี้ผัดซอสมะเขือเทศสองจาน สีสันและหน้าตาน่ากินไม่น้อย ดนตร์วางจานสปาเก็ตตี้ลงตรงหน้าผู้สูงวัยที่สุดก่อนแล้วค่อยวางให้เขา เมื่อหมดหน้าที่ก็ถอยไปยืนประสานมืออยู่ด้านหลัง โดยไม่ได้เข้ามาร่วมกินด้วย

   “ทำไมไม่มากิน หรือว่ารังเกียจ?” ผู้สูงวัยถาม ดนตร์ส่ายหน้าหวือ

   “เปล่าครับ ผมแค่...คิดว่ามันไม่ควร”

   “ไม่ควร? คนอย่างฉันไม่คู่ควรให้เธอนั่งร่วมโต๊ะด้วยอย่างนั้นรึ”

    “ไม่ใช่ครับ” ดนตร์ลนลานปฏิเสธ แล้วรีบกลับไปที่ห้องครัว ไม่ถึงครึ่งนาทีพาตัวมานั่งที่เก้าอี้ข้างกับกรณ์พร้อมกับสปาเก็ตตี้ของตัวเอง แต่ก็ยังก้มหน้างุดไม่กล้าประสานสายตากับบิดาของกรณ์

    ดนตร์รู้ว่าผู้ชายสูงวัยคนนี้คือกริช วรเกียรติ์สกุล เป็นบิดาของกรณ์ แม้จะไม่กล้ามองตรงๆ แต่พอที่จะสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันของสองพ่อลูก รูปร่างสูงใหญ่และสง่างาม ดวงตาคมดุ แววตาเย็นชา และเย่อหยิ่ง ส่วนใบหน้าส่วนอื่นๆ กรณ์น่าจะคล้ายฝ่ายมารดามากกว่า โดยเฉพาะลักยิ้มที่ข้างแก้ม เขาค่อนข้างมั่นใจว่ากริชคงไม่มี หรือเป็นเพราะท่านแทบจะไม่ขยับริมฝีปาก เขาเลยไม่มีโอกาสได้เห็น

    “เธอชื่ออะไร” กริชถาม นั่นทำให้ดนตร์รู้ตัวว่าเสียมารยาทแค่ไหนที่ไม่ได้แนะนำตัวเองต่อหน้าผู้ใหญ่

    “...เพลง เอ่อ ดนตร์ครับ” ดนตร์ยกมือทำความเคารพผู้สูงวัยกว่า คะเนว่าคุณกริชคงมีอายุไล่เลี่ยกับพ่อแม่ของเขา อาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ แต่คงเป็นเพราะอีกฝ่ายยังไม่มีผมขาวสักเส้น เลยทำให้เดาอายุจริงได้ยาก

    “อายุเท่าไร บ้านเกิดอยู่ที่ไหน เรียนคณะอะไร พ่อแม่ทำงานอะไร มีพี่น้องหรือเปล่า”

   ดนตร์กะพริบตาปริบๆ สมองมึนงงกับคำถามที่มาเป็นชุดอยู่พักใหญ่ เขายกมือขึ้นหมายจะดันแว่นตามความคุ้นชิน แต่ก็พบกับความว่างเปล่า เมื่อคืนมันคงตกอยู่ที่ไหนสักที่ มิน่าล่ะเมื่อครู่ตอนที่กำลังหั่นผักมีดถึงได้เฉียดปลายนิ้วเขาไปหน่อยพอได้เลือด เพราะการมองเห็นที่ผิดปกติไปนั่นเอง แต่น่าแปลกที่เขากลับเห็นหน้าบิดาของกรณ์ชัด...ชัดขนาดที่รู้ว่าท่านมีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

    “นี่ของเธอหรือเปล่า”

    “ครับ?”

    แว่นตากรอบสี่เหลี่ยมสีดำเลื่อนมาตรงหน้า ดนตร์ตกใจตาโตเขาคิดไม่ออกเลยว่าคุณกริชเก็บมันได้จากที่ไหน เขารีบคว้ามันขึ้นมาสวม หน้าร้อนวูบวาบไปหมด ภาวนาให้ท่านเก็บมันได้จากแถวนี้

   “ฉันเจอมันอยู่ในรถ หลังเบาะคนขับ”

    เจ้าของแว่นแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี แววตาติติงของกริชยิ่งตอกย้ำถึงความสะเพร่าเผอเรอ...เมื่อคืนพวกเขาร่วมรักกันจนลืมแว่น

    “พ่อเข้าไปในรถผมได้ยังไง” กรณ์เอ่ยแทรก ใบหน้าบึ้งตึง

   “รถแกเหรอ” คนเป็นพ่อหัวเราะในคอ “รถทุกคันที่แกขับ ฉันเป็นคนซื้อ ฉันมีกุญแจสำรองทุกคัน รวมถึงรถที่แกเอาไปขับจนพังด้วย”

    กรณ์สบถในคอ ทิ้งช้อนกับส้อมกระแทกใส่จาน ยกมือขึ้นกอดอกแน่นท่าทางไม่พอใจ

    “จะตอบคำถามได้หรือยัง” คุณกริชไม่สนใจมารยาทแย่ๆ ของบุตรชาย พลางเบือนสายตากลับมาที่เขาอีกครั้ง

    “เอ่อคือ...ผมเรียนนิเทศน์ครับ ครอบครัวของผมอยู่เชียงใหม่ครับ มีพี่สาว...”

   “พอ!” กรณ์ตบโต๊ะเสียงดัง “พ่อรู้อยู่แล้วจะถามทำไมอีก ถ้าคิดจะขัดขวางเรื่องของผมกับเพลงล่ะก็ ผมว่าพ่อกลับไปทำงานที่พ่อรักจะดีกว่า”

   “พี่กรณ์” ดนตร์ปราม ยกมือขึ้นแตะท่อนแขนแข็งแรง ลูบมันเบาๆ เพื่อหวังให้อารมณ์ของอีกฝ่ายลดลง เวลาพ่อกับแม่เถียงกันเขาชอบทำแบบนี้ แล้วมันก็ได้ผลทุกครั้ง เพราะพวกท่านจะระลึกเสมอว่ายังมีเขากับพี่สาวอยู่ด้วย “ผมกับพี่กรณ์เราไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกครับ คุณลุงสบายใจได้”

   “เธอคิดว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง” ท่านถามกลับ แววตาเรียบเฉย แต่คนมองกลับรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขาม

   “เปล่าครับ” ดนตร์ส่ายหน้า “แต่ผมกับพี่กรณ์เราไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ เราก็แค่...”

    “นอนด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน หรือจะเรียกง่ายๆ ก็ผัวเมียกัน” ขณะที่ดนตร์กำลังอ้ำอึ้งกับคำตอบ กรณ์ก็แทรกขึ้นอีก เท่านั้นไม่พอยังยกมือโอบรอบหัวไหล่ กระชากร่างเล็กกว่าเข้ามาชิดแสดงความสนิทสนม “พ่อมาก็ดีเหมือนกัน เรื่องทุกอย่างมันจะได้ชัดเจนขึ้น ผมกับเพลงเรากำลังคบกัน”

   “เฮ้ย!” ดนตร์ตาโต ยกมือผลักอกกว้างออก แต่กลับถูกดึงกลับมาที่เดิม “มะ..ไม่ใช่นะครับ เราไม่ได้..!!”

    คำปฏิเสธกลืนหายลงไปในคอ เมื่อกลีบปากถูกประกบปิด ลิ้นอุ่นสอดเข้ามากวาดต้อน รุกไล่ สมองมึนงงไปหมดเพราะตั้งรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน นานจนรู้สึกถึงอากาศในปอดที่ลดลง แรงกดทับถึงได้ห่างออกไป ดนตร์หายใจจนตัวโยน สติกลับมาในตอนนั้น สำนึกได้ว่าเมื่อครู่นี้กรณ์จูบเขาต่อหน้าบิดา แถมยังเป็นจูบที่ร้อนแรง น้ำลายยังติดที่มุมปากจนต้องใช้หลังมือเช็ด
   “ชัดเจนนะครับ” กรณ์ผู้ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ยักคิ้วเร็วๆ ให้บิดา ดวงตาเย็นชาคล้ายกับจะมีประกายไฟขึ้นมาบ้างแต่ก็เลือนหายไปแค่ชั่วพริบตา แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้รู้ว่าบิดาของเขาเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้ว “เพลงเป็นเมี..!!”

    ผั๊วะ!

    ใบหน้าด้านซ้ายชาวูบ รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าถูกทำร้ายจากหมัดของใครสักคน

    “ทำบ้าอะไรวะ!” ดนตร์ปัดมือบนหัวไหล่ทิ้ง แล้วรีบลุกขึ้นก่อนจะโค้งตัวจนศีรษะแทบจะติดกับหัวเข่า “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ พวกผมไม่มีเจตนาจะทำกิริยาไม่ดีต่อหน้าคุณลุง โปรดยกโทษให้ผมด้วย”

    “ทำอะไรน่ะ ไม่เห็นต้องขอโทษเลย” กรณ์เอ็ด พลางรั้งร่างเล็กกว่าให้กลับมายืนตามปกติ แต่ดนตร์ขืนตัวเองและยังอยู่ในท่าเดิม

    “ได้โปรดยกโทษให้ผมกับพี่กรณ์ด้วยเถอะนะครับ”

    กริชมองเด็กหนุ่มที่โค้งกายต่ำเพื่อขอโทษในการกระทำที่ไม่สมควร ทั้งที่คนทำผิดคือกรณ์บุตรชายเพียงคนเดียวของตน ดวงตาสีสนิมที่ผ่านโลกมาเกือบจะมามากกว่าห้าสิบปี ยังคงจ้องมองของเด็กหนุ่ม แม้ส่วนสูงจะอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่เมื่อเทียบกับกรณ์ ดนตร์ยิ่งดูตัวเล็กไปถนัดตา ดนตร์เป็นเด็กหนุ่มผิวขาวจัด ใบหน้าจิ้มลิ้ม ใส่แว่น มองเผินๆ ก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป ไม่มีอะไรโดดเด่นแทบจะกลืนหายไปกับฝูงชนด้วยซ้ำ ที่น่าสนใจคงจะเป็นพวงแก้มกระมังที่ทำให้เจ้าตัวเหมือนเด็กวัยมัธยมมากกว่านักศึกษามหาวิทยาลัย

   จริงอย่างที่กรณ์พูด ประวัติของดนตร์คนนี้ถูกเขาขุดคุ้ยจนแทบหมดลามไปถึงครอบครัว เขารู้ว่ามันผิดแต่ในฐานะของคนเป็นพ่อ เขาจึงจำเป็นต้องทำ ครอบครัวของดนตร์อยู่ที่เชียงใหม่ มีเพียงแค่ลูกชายคนเดียวของครองครัวที่มาเรียนที่กรุงเทพฯ ดนตร์มีพี่สาวหนึ่งคน พ่อกับแม่เป็นพนักงานบริษัท ฐานะปานกลาง เป็นครอบครัวที่เรียบง่ายและ...รักกันดี

   แม้จะเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตกริชก็รู้ว่าดนตร์เป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดี กิริยามารยาทรวมถึงการวางตัวค่อนข้างเหมาะสมแม้ว่าสถานการณ์ที่ทำให้ต้องพบกันจะไม่น่าประทับใจสักเท่าไรนัก เขาพบแว่นตาทรงสี่เหลี่ยมซึ่งตรงกับที่เคยเห็นในรูปถ่ายของดนตร์ บวกกับกลิ่นคาวแปลกๆ ในรถ ทำให้พอจะเดาได้ว่าสาเหตุที่แว่นอันนั้นตกอยู่ในรถมันคืออะไร
 
   ยอมรับว่าตกใจไม่น้อยเมื่อได้รู้ว่าลูกชายของเขากำลังสานสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน กรณ์เป็นเด็กหัวดื้อ ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนใจใคร ถึงระยะหลังจะดีขึ้นบ้างแต่นิสัยดื้อรั้นก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ แถมยังมีอารมณ์ศิลปินสูง เป็นตัวของตัวเองและมีความคิดที่ผิดแผกไปจากคนอื่น แต่นิสัยทั้งหมดนี่มันได้รับการบ่มเพาะจากคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่ไม่สมบูรณ์

    เขากับ ‘ภาวินี’ มารดาของกรณ์ เลิกรากันไปร่วมสิบปีได้แล้วกระมัง ไม่เคยติดต่อกันอีกเลยนับตั้งแต่วันที่เธอโทรมาอ้อนวอนขอให้ได้คุยกับกรณ์ และเขาปฏิเสธ แต่ก็พอจะรู้ข่าวมาบ้างว่า เธอใช้ชีวิตสุขสบายดีกับพี่สาวที่อเมริกา ส่วนเขาก็อยู่กับงานและลูกชาย กรณ์ไม่เคยเรียกร้องถามหาความรักจากเขา ขณะเดียวกันเขาเองก็ไม่เคยทำหน้าที่พ่อ ทุกวันมานะทำงานเพื่อสานต่อสิ่งที่บิดาสร้างไว้ ไม่อยากให้ทุกอย่างพังเพราะน้ำมือตัวเอง ดังนั้นเขาถึงต้องสละบางสิ่งไป

   กริชปัดเรื่องในอดีตทิ้งไป แล้วกลับมาที่ดนตร์อีกครั้ง ศีรษะทุยยังคงก้มต่ำจนน่าปวดหลังแทน เขาส่งเสียงกระแอมเบาๆ เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพอเห็นว่ากำลังถูกมองก็ก้มลงไปตามเดิม

   “เงยหน้าขึ้นเถอะ ไม่เวียนหัวหรือไง”

   เขาได้ยินเสียงถอนหายใจจากใครสักคน ร่างโปร่งติดบางค่อยๆ ยืดเต็มความสูง หน้าของดนตร์แดงไปหมดจนน่าสงสาร ผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงยิ่งกว่าเดิม แต่ดวงตากลมยังคงเต็มไปด้วยความสำนึกผิด ริมฝีปากสีสดขยับคำเดิม

       “ขอโทษครับ”

    “ทำไมต้องขอโทษ...เธอทำอะไรผิด”

    “ผม...” ดนตร์อึกอัก “...ผมกับพี่กรณ์จูบกันต่อหน้าคุณลุง”

   “หึ...แค่นั้นเองรึ”

   “พ่อ! พอสักทีเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเพลง ผมเป็นคนไปยุ่งกับเขาเอง” กรณ์กางปีกปกป้อง นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ได้เห็นคนอย่างกรณ์เป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง

    “พี่กรณ์ พูดดีๆ กับพ่อสิครับ”

    “อยู่เฉยๆ เถอะน่า! เดี๋ยวหมดเรื่องนี้เมื่อไรได้เคลียร์กันยาวแน่”

    รอยช้ำที่เกิดจากหมัดของดนตร์เริ่มเห็นชัดขึ้น ตอนที่เห็นเด็กหนุ่มตัวเล็กชกหน้าบุตรชายก็น่าตกใจไม่น้อย แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการที่ดนตร์ยังอยู่ดี ไม่ได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล เพราะถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนี้ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายกรณ์มักจะพบจุดจบไม่ดีนัก ช่วงที่กรณ์เข้ามัธยมต้นเขาต้องวิ่งขึ้นโรงพักเป็นว่าเล่นเพื่อเคลียร์คดีทะเลาะวิวาทให้ แต่ในเทอมสุดท้ายของมัธยมปีที่สาม กรณ์ก็ดีขึ้นแม้ว่าจะยังคงหมางเมินใส่ ทว่าไม่ได้ก่อเรื่องให้ปวดหัวอีก แถมยังแสดงความสามารถด้านการวาดรูปออกมาให้เห็นอีกด้วย มันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจไม่น้อย แต่เขาอยากให้กรณ์เป็นนักธุรกิจมากกว่านักออกแบบหรืออะไรก็ตามที่เจ้าตัวอยากจะเป็น

    ดนตร์ไม่สนใจดวงตาอาฆาตมาดร้ายของกรณ์ เด็กหนุ่มผิวขาวใส่แว่นยังคงยืนก้มหน้าราวกับจะรอรับการลงโทษด้วยท่าทางอ่อนน้อม ผิดกับกรณ์ที่แข็งกระด้างเหมือนก้อนหิน เขามองเห็นข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน เด็กที่มาจากครอบครัวฐานะปานกลางแต่กลับได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ขณะที่เด็กอีกคนที่มีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมอยากได้อะไรก็ไม่เคยขัดใจ กลับก้าวร้าวและไร้มารยาท แต่จะโทษใครได้ นอกจากตัวเอง ถ้าหากในตอนนั้นเขาลดทิฐิลงสักนิด กรณ์คงจะน่าเอ็นดูเหมือนดนตร์

    สำหรับในสายตาของผู้ใหญ่แล้ว ดนตร์เป็นเด็กที่น่าเอ็นดูไม่น้อย ทั้งกิริยา มารยาท มีสัมมาคารวะ ถ้าหากไม่คิดว่าเป็นผู้ชาย เขาคงยินดีที่จะรับเด็กคนนี้ไว้เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ ทว่าความจริงเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ นอกเสียจากจะต้องทำใจยอมรับมันหรือไม่ก็ต่อต้านให้สุดกำลัง…ซึ่งวิธีหลังคงไม่ได้ผลนักกับกรณ์

                                                                       
****************************

 :try2: ขออภัยนักอ่านทุกท่าน ช่วงนี้งานราษงานหลวงรัดตัวมากจนลืมอัพนิยาย
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 14 ผู้มาเยือน... [21/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-07-2017 20:12:44
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 14 ผู้มาเยือน... [21/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 22-07-2017 00:24:54
ลูกเจี๊ยบบบบ
ต่อยอีกสักทีสองทีได้มั้ยลูก?

ว้า แย่จัง
แผนพี่รันไม่สำเร็จแฮะ

กรณ์ก็แผนสูงเหมือนกันนะ
ไม่อาละวาด ไม่โวยวาย
แต่เดินหนี
ทีนี้คนที่เดือดเนื้อร้อนใจก็เป็นลูกเจี๊ยบแทน

ถึงเราจะเชียร์ใครให้ลูกเจี๊ยบก็คงไม่สำเร็จ
ใจลูกเจี๊ยบไม่เอา
เขารัก เขาชอบกรณ์ของเขามานานนี่นะ

คุณพ่อกริช จะยังแซ่บอยู่ไหมนะ

ฉากบนรถนี่ทำให้นึกถึงกรงรักจำจองใจจริงๆ

ตอนนี้ไม่หัวร้อน
แต่รำคาญลูกเจี๊ยบแทน
ไปวิ่งตามอิพี่กรณ์ทำไมลู๊กกกกกก
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 14 ผู้มาเยือน... [21/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 22-07-2017 02:12:04
เพลงก็ยังคงเป็นเพลง หลงกรณ์ตลอด ยอมตลอด
พี่กรณ์ก็คุยกับเพลงให้ชัดเจนไปเลยว่าจะเป็นอะไรกัน
ขอบคุณมากนะคะ มาต่อบ่อยๆน้ารออยู่ค่าา  :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 14 ผู้มาเยือน... [21/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-07-2017 09:20:52
สนุก  ติดตามนะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 14 ผู้มาเยือน... [21/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 23-07-2017 17:16:56
เพลงวิ่งตามกรณ์เพื่ออธิบายความจริงที่รันจูบ แล้วยังไงไม่รู้ได้กันเฉยเลย ฉากปี๊บๆก็ดีอะ  :hao6: แต่มันขัดใจมาก รู้ตัวไหมว่าโดนกรณ์หลอก  :katai1:
เพลงบอกกับกริชว่าไม่ได้เป็นอะไรกับกรณ์ แล้วก่อนหน้านี้จะวิ่งตามมาอธิบายทำไมจ๊ะ ยอมเค้าด้วย ร้อนแรงสุดๆ :hao3: :ruready
เชียร์เพลงกับคนอื่นก็ไม่ขึ้น งั้นเพลงเอากรณ์ไป เดี๋ยวเราดูแลรันเอง
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 15 คำขอร้อง... [25/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 25-07-2017 18:54:59
Chapter 15 คำขอร้องของกรณ์


    กรณ์สบถผ่านลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย สามวันที่บิดามาอาศัยอยู่ในห้องชุดเดียวกับเขา มันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพ่อลูกทั่วไปแต่ไม่ใช่กับเขา ตั้งแต่มารดาแยกตัวออกไปอยู่ที่อเมริกาความสัมพันธ์ของเขากับบิดาก็ไม่เคยราบรื่นอีกเลย เพิ่งจะช่วงเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละ ที่อะไรๆ มันพอจะเข้าที่ขึ้นมาบ้าง คงเพราะเขาเองก็เหนื่อยที่จะดื้อ และท่านเองก็เหนื่อยที่จะคอยขัดใจเขาแล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังเซ็งถึงขั้นสุด

    เพราะไม่เคยได้มีชีวิตอย่างพ่อลูกคู่อื่นๆ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ เขาไม่เคยถามไถ่อะไร เช่นเดียวกับบิดาก็ไม่เคยหยิบยื่นความห่วงใยให้ อย่างแผลที่หน้าผากที่ถึงแม้ตอนนี้มันจะดีขึ้นมาเหลือแค่รอยแดง แต่ท่านก็ไม่เคยถามว่าใครทำแผลให้ กินยาหรือยัง หรือไปหาหมอบ้างหรือเปล่า แต่ถ้าหากท่านถามขึ้นมาจริงๆ มันคงน่าขนลุกพิลึก แต่คนที่ถามคำถามพวกนี้ เป็นไอ้เจ้าสี่ตา ไม่ใช่แค่ถามแต่ยังเป็นคนทำแผลให้เขาอีกด้วย

   เขาไปส่งดนตร์กลับหอพักนักศึกษาหลังจากต่อยปากเขาไปหนึ่งหมัด ดีที่ไม่แรงมากแต่ก็เล่นเอาต้องเบ้หน้าตอนอ้าปากไปหลายวัน เขาเลยทำโทษเจ้าเด็กอวดดีด้วยการจูบต่อเนื่องนานเกือบสิบนาทีก่อนจะยอมปล่อยให้กลับขึ้นหอไป เขาหัวเราะชอบใจตอนที่ได้เห็นปากอิ่มบวมเห่อเป็นครุฑ เจ้าตัวทำท่าจะด่าเขา แต่แค่ทำท่าจะคว้าคอก็วิ่งแนบหายไปอย่างรวดเร็ว 

    คุณท่านกริชไม่ได้ถามเรื่องของดนตร์อีก เพราะเขาเชื่อว่าข้อมูลทุกอย่างของดนตร์อยู่ในมือท่านเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงคนอื่นๆ ในบ้านด้วย ผิดกับเขาที่รู้แค่ว่าดนตร์เป็นคนเชียงใหม่ มีพี่สาวหนึ่งคน ก่อนหน้านั้นเขาคิดเสมอว่าการที่จะรักหรือชอบพอกับใครสักคน องค์ประกอบอื่นไม่มีความหมาย ขอแค่คนๆ นั้นถูกใจเขาก็พอแล้ว ทว่าตอนนี้เขากลับเริ่มสนใจดนตร์อย่างจริงจัง อยากจะรู้จักคนในครอบครัว อยากรู้เรื่องราวในอดีต อยากรู้ว่าดนตร์ชอบหรือไม่ชอบอะไร อยากรู้เรื่องในชีวิตประจำวัน อยากรู้ว่าเคยมีแฟนมาแล้วกี่คนและอยากรู้ว่าดนตร์... ชอบเขาจริงหรือเปล่า

    อันที่จริงเขาสงสัยเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้ว แต่เพราะในตอนแรกไม่คิดจะสนใจ แล้วการที่มีเพศเดียวกันมาสนใจมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรสำหรับเขา เคยมีเด็กหนุ่มมาสารภาพรักด้วยซ้ำไป ตอนนั้นเขาไล่ตะเพิดไปแบบไม่รักษาน้ำใจด้วยซ้ำ ตอนนั้นเขาขนลุกไปหมดแค่คิดว่าต้องกอดจูบกับผู้ชายตัวสูงใหญ่ มีกล้ามเป็นมัดๆ กลิ่นสาบเหงื่อ เขาเลยปฏิเสธเด็ดขาด แต่ก็ไม่ได้คิดรังเกียจ แค่คิดว่าการมีแฟนเป็นผู้หญิงน่าจะดีกว่า... แต่เขาคิดผิดเมื่อมาเจอกับดนตร์

   ดนตร์เป็นผู้ชาย ไม่ได้มีส่วนเว้าส่วนโค้งยวนตา หรือหน้าอกแบบเต็มไม้เต็มมือ และมีทุกอย่างเหมือนกับเขา แต่น่าแปลกใจเหลือเกินที่เมื่อได้เห็น ได้สัมผัส ความต้องการก็ตื่นตัวอย่างรวดเร็ว ดนตร์ไม่ได้มีกลิ่นสาบเหมือนอย่างที่เคยคิด เขาแทบควบคุมไม่ได้ตอนที่พรมจูบไปบนผิวกายหอมกรุ่นเจือกลิ่นนม ผิวขาวเนียนสะอาด ไม่มีส่วนไหนเลยที่สกปรก หรือแม้แต่เส้นขนให้ระคายตา ใบหน้าที่ไม่ได้จิ้มลิ้มเหมือนผู้หญิง แต่ก็น่ารักและมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเฉพาะกับดนตร์แค่คนเดียว

    กรณ์ดึงความคิดกลับมาปัจจุบันอีกครั้ง ช่วงนี้เขามีงานที่ต้องส่งหลายชิ้น และถ้าหากผลงานได้คะแนนดีมันจะมีผลต่อการฝึกงานในปีหน้าของเขาด้วย ไม่เพียงเท่านั้นเพราะฝีมือที่ฝากไว้ในหนังสั้นทำให้มีโมเดลลิ่งติดต่อเข้ามาเพื่อให้เขาไปแคสเป็นนายแบบ ที่จริงมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่คงต้องรอให้หมดช่วงนี้ไปแล้วค่อยตัดสินใจอีกที ส่วนดนตร์ก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย สามวันที่ห่างกันเขาแทบไม่เห็นหน้าเลย ได้ข่าวว่าเด็กปีหนึ่งต้องขึ้นแสตนเชียร์เตรียมพร้อมสำหรับงานกีฬา งานนี้เขาไม่ได้ลงแข่งกีฬาประเภทไหน แต่อริญชย์ ธาวินและนักรบลงเล่นบาสเก็ตบอล อันที่จริงเขาเองก็โดนจีบให้ลงด้วยเหมือนกันแต่ก็ปฏิเสธไปเพราะเพิ่งประสบอุบัติเหตุมา

   และอีกคนที่ทำเหมือนจะหายไปจากชีวิตของเขาคือโยษิตา หล่อนไม่มาให้เขาเห็นอีกหลังจากเกิดเรื่องที่โรงพยาบาล เขาไม่ได้เข้าไปเช็คข่าวคราวของเธอในเฟซบุ๊ค แต่ธาวินบอกว่าเจ้าหล่อนพิมพ์ข้อความตัดพ้อต่อว่าเขาลงในบล็อคส่วนตัวโดยพาดพิงไปถึงดนตร์ด้วย เขาไม่ได้แก้ตัวอะไรเพราะอยากให้เรื่องนี้จบลงเสียที และรู้นิสัยของอดีตคนรักเก่าดี  ยิ่งตอบโต้หล่อนยิ่งได้ใจ สู้นิ่งเฉยไปเสียดีกว่า แล้วเขาก็ดีใจที่ดนตร์เองก็มีความคิดเช่นเดียวกัน

    กรณ์ถอนหายใจหนักๆ อาจารย์สั่งงานเพิ่มอีกแล้ว งานเก่าเขาเพิ่งเคลียร์ไปเมื่อเช้านี้เอง เวลานอนแทบไม่มีไหนจะต้องมาอึดอัดกับบิดาที่มาอาศัยอยู่ด้วยแบบไร้เหตุผล ที่สำคัญที่สุดเขาไม่ได้เจอหน้าดนตร์เลย

   ...โคตรคิดถึง!...

   ไม่ใช่แค่ขึ้นซ้อมเชียร์ แต่ดนตร์ยังทำงานพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟอีกด้วย นั่นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิด เพราะงานที่ต้องเร่งทำส่ง เลยไม่มีเวลาตามไปเฝ้า แถมแว่วว่าเจ้าสี่ตามันมีเสน่ห์น้อยที่ไหน ลูกค้าสาวๆ ก็ติดหลงใหลในรอยยิ้ม ส่วนลูกค้าผู้ชายก็ติดใจในการบริการ เขาวานให้เมธัสตามไปเฝ้าทำหน้าที่ไม้กันหมาไปในตัวแต่ไอ้เจ้านักรบมันไม่ยอม ตอนแรกก็สงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับเพื่อนรักผิวเข้มตาคมคนนี้ แต่พอมันบอกว่า ‘เด็กคนนี้ของกู’ เลยเป็นอันเข้าใจ

    กรณ์จดรายละเอียดของงานที่อาจารย์สั่งลวกๆ เอาแค่พอเข้าใจ มันไม่ใช่งานยากแต่กำหนดการกระชั้นชิด กาเรียนสถาปัตย์แม้จะไม่ต้องทำรายงานเป็นเล่มๆ เหมือนคณะอื่น แต่การรังสรรค์ผลงานให้เป็นที่ถูกใจรวมไปถึงการพรีเซนต์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนพูดไม่เก่งอย่างเขา

    “เลิกเรียนแล้วไปไหนหรือเปล่าวะ จะชวนไปดูซ้อมบาส”

   ธาวินกระซิบถาม ใบหน้าที่เคยซีดเผือดเมื่อสามวันก่อนดีขึ้นมาก เขาเพิ่งรู้ว่าสาเหตุที่ไม่เห็นหน้ามันในงานเลี้ยงฉลองหนังของไอ้อ้วนชนวีร์เพราะมันอาหารเป็นพิษนั่นเอง

   “ไม่ล่ะ วันนี้จะไปเฝ้าเมีย”

   คิ้วหนาๆ ของธาวินกระตุก ไอ้หมอนี่ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจเรื่องดนตร์เช่นเดียวกับอริญชย์ เขามั่นใจว่าทั้งสองรู้ถึงความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาของเขากับดนตร์ แต่อย่างว่าลองมันชอบไปแล้วก็ยากที่จะถอดใจ โดยเฉพาะกับคนที่มีรสนิยมหรือความชอบที่เหมือนกัน คิดแล้วก็น่าขำ 3 ใน 4 ของกลุ่มแก๊งที่มีอิทธิพลที่สุดในมหาวิทยาลัยดันมาชอบเพศเดียวกันแถมยังเป็นคนเดียวกันอีก

    “เรื่องเพลง ฉันยังไม่ถอดใจหรอกนะ แค่ถอยออกมาตั้งหลัก” ธาวินบอก มันทำหน้าอาฆาตก่อนจะกลับไปจดงานที่อาจารย์สั่งต่อ

    กรณ์เอนกายพิงพนักเก้าอี้ เพ่งสายตาไปยังแผ่นหลังของเพื่อนรักอีกคน อริญชย์ไม่ได้นั่งข้างๆ เขาเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับเลือกที่จะห่างออกไป สองสามที่นั่ง ตั้งแต่วันที่ดนตร์ทิ้งมันแล้ววิ่งตามเขามา มันก็ไม่พูดกับเขาอีกเลย เขายังไม่ลืมหรอกว่ามันบังอาจประทับจูบบนปากสวยๆ ของดนตร์ ทั้งที่รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น อริญชย์จงใจท้าทายเขา แต่เขาไม่ได้ถือสาเพราะคนต้นเรื่องถูกทำโทษเรียบร้อยแล้ว เล่นเอาเดินแบบปกติไม่ได้ไปหลายวันทีเดียวเลยล่ะ

    หลังจากสั่งงานเสร็จอาจารย์ก็เริ่มบรรยายต่อ เขาปล่อยความคิดไหลไปกับการสอนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก่อนจะถูกความเบื่อหน่ายเข้าปกคลุม ที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องดึงโทรศัพท์ออกมานั่งกดเล่น แล้วอะไรบางอย่างก็ดลใจให้เขาเข้าไปในเฟซบุ๊คของดนตร์ นิ้วกดเลื่อนดูการโพสต์ของเจ้าตัว ไล่ตั้งแต่ปัจจุบันย้อนไปในอดีต รูปที่ลงก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นนัก ข้อความก็ธรรมดา แต่บางรูปก็น่ารักจนเขาต้องแอบเซฟลงโทรศัพท์ อย่างเช่นรูปที่เจ้าตัวไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งกับเพื่อน เลื่อนลงมาเรื่อยๆ เขาก็เห็นรูปผู้หญิงผมสั้นแค่คอคนหนึ่ง วูบแรกเขารู้สึกไม่พอใจแต่เมื่อสังเกตดีๆ ถึงได้เห็นถึงบางอย่าง...ทั้งสองหน้าเหมือนกัน แม้จะไม่เหมือนทุกกระเบียดนิ้วแต่ก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน เธอคงเป็นพี่สาวของดนตร์

    กรณ์เผลออมยิ้มไม่รู้ตัว หลายรูปที่ดนตร์กับพี่สาวแสดงความสนิทสนม อย่างรูปที่ใส่ชุดหมีพูห์ด้วยกัน มันน่ารักน่าหยิกไม่หยอก เขาคิดภาพดนตร์ควงกับผู้หญิงไม่ออกเลย แต่ก็มั่นใจว่าก่อนหน้านี้ดนตร์เองก็คงเคยคบหาดูใจกับผู้หญิงมาเหมือนกัน เพราะดูจากลีลาจีบสาวเมื่อคราวก่อนนับว่าเก่งไม่หยอก

    เขาไล่ดูรูปที่ดนตร์ลงไว้เรื่อยๆ จนหมดคาบเรียน นี่เป็นวิชาสุดท้ายของวัน เพราะไม่ต้องไปซ้อมกีฬาหรือซ้อมเชียร์ เขาเลยมีเวลาว่างไปทำงานที่อาจารย์สั่งได้ เด็กคณะสถาปัตย์ไม่ค่อยจะตื่นเต้นกับงานกีฬาสักเท่าไร เพราะแค่งานของตัวเองก็แทบจะไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแล้ว ไม่เหมือนเด็กคณะนิเทศน์ ที่มีงานทีไร คณะนี้มีการแสดงอลังการเรียกเสียงฮือฮาได้ทุกครั้ง กรณ์ตั้งใจว่าจะไปเฝ้าดนตร์ที่ร้านกาแฟ และรอรับไปส่งถึงหอพัก สามวันที่ไม่ได้เจอกันเขาทั้งคิดถึงและเป็นห่วง รวมไปถึงหวงด้วย ยิ่งรู้ว่ามีลูกค้าทั้งชายและหญิงมาขายขนมจีบยิ่งทนไม่ไหว

    ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากห้องเรียน หัวไหล่ของเขาก็ถูกโอบเอาไว้ นักรบนั่นเอง ไอ้เจ้าตาคมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะถาม

   “ไปเฝ้าเมียเหรอวะ ไปด้วยกันสิ ยีนส์มีซ้อมเชียร์วันนี้”

   “เกี่ยวอะไรกับยีนส์” เขาถามกลับ

   “อ้าว ไอ้โง่! ถ้ายีนส์ขึ้นซ้อมเชียร์ เพลงก็ต้องซ้อมด้วย นี่เพิ่งจะสี่โมง น้องมันทำงานตอนหกโมงเย็น”

   กรณ์พยักหน้ารับรู้ เขาเหลือบมองเพื่อนรักอีกสองคน ที่เดินนำหน้าไปก่อนและคิดว่าจุดหมายมันคงเป็นที่เดียวกับที่นักรบชวนเขาไปแน่ๆ

    สิ่งที่คาดการณ์ไว้เป็นจริงตามที่คิด แต่ไม่ทั้งหมดเพราะเขาเห็นแค่อริญชย์คนเดียวเท่านั้น ส่วนธาวินเขาไม่เห็นมันตั้งแต่ช่วงที่เดินหลุดจากคณะแล้ว นักรบพาเขามานั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจนัก พอเห็นเด็กปีหนึ่งเดินชักแถวขึ้นไปนั่งบนแสตนก็อดสงสารไม่ได้ อากาศเย็นๆ แบบนี้แทนที่จะได้กลับไปนอน กินข้าวกับแฟน กลับต้องมานั่งปรบมือตะโกนร้องเพลงเชียร์

   ดนตร์นั่งติดกับเมธัสในชั้นบนสุด วันนี้เจ้าเด็กดื้อของเขาสวมแจ็คเก็ตสีเทาแบบมีฮู้ดทับชุดนักศึกษา พวงแก้มใสแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยด้วยอากาศที่เย็นลง พอไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ ดนตร์แทบจะไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตาเลย แต่เขากลับละสายตาจากเด็กหนุ่มเสื้อสีเทาไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว จนนักรบต้องเอ่ยแซว

    “น้อยๆ หน่อย ตาแกเหมือนจะกลืนน้องลงท้องเลย”

   กรณ์อมยิ้ม “ก็คนมันชอบ”

    “เพิ่งรู้ว่าแกชอบผู้ชาย” นักรบแซว “แต่ยุคนี้สมัยนี้เรื่องเพศไม่สำคัญ อยู่กับใครแล้วมีความสุขก็พอแล้ว เออแล้วไปชอบน้องเพลงตอนไหนวะ ตอนแรกเห็นทำท่าเหมือนจะขย้ำคอ”

    “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” กรณ์บอก พลางคิดหาที่มาที่ไปของจุดเริ่มต้นความรู้สึก แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไร รู้แค่ว่าความรู้สึกที่มีให้กับดนตร์มันเหมือนการนับเลข เริ่มจากหนึ่งแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเรียกว่ารักได้ไม่เต็มปากแต่มันมากกว่าคำว่าชอบไปแล้ว
 
   “ไอ้ปากแข็ง” นักรบยกหัวไหล่ขึ้น “หน้าแกวอนท์อยากได้น้องเพลงตั้งแต่วันนั้นที่โรงอาหารแล้ว”

   “เวอร์”

   “ไม่เวอร์ ทำเป็นตีขลุม แกแต่มองน้องตลอด ไม่รู้ตัวเลยหรือไง”

   “ไม่รู้” กรณ์ตอบตามความจริง แต่ก็อาจจะเป็นไปอย่างที่นักรบบอกก็ได้ เขามักจะมองหาเจ้าเด็กสี่ตา แรกๆ ก็รำคาญแต่หลังๆ มันกลายเป็นโหวงๆ ถ้าไม่เห็น แล้วจะพัฒนาเป็นหงุดหงิดทันทีที่เห็นว่ามีคนอื่นอยู่กับดนตร์

    “เออๆ ไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้วนี่เคลียร์กับยาหยีหรือยัง เดี๋ยวอดีตดาวคณะก็ตามไปแหกอกเพลงอีก”

   “คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง เงียบๆ ไปแล้วนี่”

   “เงียบเหรอ? เคยสนใจคนอื่นบ้างหรือเปล่านอกจากตัวเองน่ะ”

    หัวคิ้วกระตุกกึก กรณ์มองหาคนพูด เพราะน้ำเสียงที่ได้ยินไม่ใช่ของนักรบ แล้วก็หันไปเจอกับร่างสูงใหญ่ของหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิท...อริญชย์ นึกแปลกใจว่ามันมาโผล่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

   “หมายความว่ายังไง”

   อริญชย์ไม่ตอบแต่ยื่นโทรศัพท์ให้

    สิ่งที่เห็นในหน้าจอโทรศัพท์มือถือคือข้อความยาวเหยียดที่อยู่ในเพซบุ๊คของโยษิตา เธอบอกเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งแรกที่ได้พบกับเขาตรงระเบียงทางเดิน และพบกันอีกครั้งที่ห้องแทงบิลเลียด เหมือนเป็นไดอารี่เล่าเรื่องราวของความรัก แต่อ่านแล้วชวนเศร้าเพราะมันจบด้วยการเลิกรา โดยไม่ลืมทิ้งท้ายชวนให้คนอ่านสงสารผู้เขียน

    ‘...ฉันยังคงรอคอยจูบจากเขาอยู่เสมอ’

    “บ้าเอ๊ย!”

    กรณ์สบถในคอ หน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธ โยษิตากำลังเล่นสงครามประสาทกับเขา ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอทำให้เขาตายใจ เพราะโยษิตาไม่เคยส่งข้อความมาตัดพ้อต่อว่า แค่โพสต์ข้อความแรงๆ ไม่กี่ครั้งแล้วก็เงียบหายไป ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อมาด้วย และตอนนี้หล่อนกำลังจะเอาคืนเขา เพราะมั่นใจว่าข้อความน่าสงสารพวกนั้นไม่ใช่เพราะอาลัยรักในตัวเขา แต่ต้องการให้สังคมลงโทษเขาต่างหาก

   ค่อนข้างแน่ใจว่าโยษิตาไม่ได้อาลัยรักแหมือนอย่างที่เธอพรรณนาโวหารไว้ในเฟซบุ๊คหรอก เขาจำสีหน้าและแววตาของเธอในวันนั้นได้ดี มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แทบไม่เห็นความรักที่เธอมีให้เขาเลย

   กรณ์พ่นลมหายใจแรงๆ ก่อนจะปัดมือเพื่อนรักออก จากนี้เขาคงต้องตั้งรับกับคำส่อเสียดต่างๆนานา และไม่ใช่แค่เขาแต่ยังรวมไปถึงดนตร์ด้วย เจ้าตัวต้องพลอยฟ้าพลอยฝนโดนด่าว่าไปอีกคน ทั้งที่คนผิดคือเขาเพียงคนเดียว

    “จะเอายังไง ฉันไม่ยอมให้เพลงทำร้ายเพลงอีกแน่”

    อริญชย์บอก ซึ่งเขาเองก็ไม่มีทางยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเช่นกัน แต่จะให้ไปขู่บังคับผู้หญิงมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายควรทำ ถึงจะไม่ใช่คนดีแต่เขาก็ไม่เลวพอที่จะรังแกผู้หญิง

    “จะทำอะไรก็ทำให้เด็ดขาดนะ เพราะฉันเองก็จะเดินหน้าเต็มแล้วเหมือนกัน ไม่สนใจด้วยว่าเพลงจะผ่านอะไรมาบ้าง ขอแค่พอใจฉัน อย่างอื่นฉันก็ไม่สน” อริญชย์เน้นเจตนาของตัวเอง แววตาเด็ดเดี่ยวไม่มีความลังเลให้เห็นแม้แต่น้อย

    “ฉันเห็นด้วยกับรัน” นักรบสำทับอีกแรง ราวกับกลัวว่าเขาจะปล่อยให้ปัญหานี้คาราคาซังต่อไป

    กรณ์เหลือบมองเด็กหนุ่มผิวขาวแก้มแดงที่นั่งปะปนอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่น ดนตร์คือผู้ถูกกระทำอย่างแท้จริง และเป็นเพราะเขาเรื่องทุกอย่างมันถึงได้ยุ่งเหยิงแบบนี้ ถ้าแค่ทำใจแข็งสักหน่อย ไม่ไขว้เขว ไม่มีความคิดบ้าๆ ที่อยากจะเอาชนะ ดนตร์คงได้อยู่อย่างสุขสงบ...น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีความคิดพวกนี้เลย ไม่สนใจด้วยว่าดนตร์จะรู้สึกอย่างไร กลับชอบใจด้วยซ้ำที่ได้เห็นสีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่าย

    ...ทำไมความคิดมันย้อนแย้งไปหมดแบบนี้!...

     ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวจนผมเสียทรง แต่ก็แค่สางมือเสยๆ มันไปด้านหลัง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างโปร่งของดนตร์ เขาเลือกดนตร์อยู่แล้วแต่เขาจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้โยษิตาทำร้ายดนตร์ทั้งทางกายและทางใจ...บางทีเขาอาจจะต้องกลับไปสานสัมพันธ์กับพ่อดูสักครั้ง...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 14 ผู้มาเยือน... [21/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 25-07-2017 19:00:31
        กริชนั่งอยู่กลางร้านกาแฟในตอนหนึ่งทุ่มตรง มันน่าแปลกไม่น้อยที่เวลาหัวค่ำแบบนี้แต่กลับมานั่งจิบกาแฟ พร้อมกับเค้กหน้าตาน่ารักจนไม่กล้ากิน แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือคนที่ชวนเขามาคือกรณ์ลูกชายผู้ที่ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นพ่อ

    หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบต้นๆ นั่งกอดอกมองคู่สนทนา แม้จะเรียกว่าคู่สนทนา แต่ตลอด 20 นาทีที่ผ่านมายังไม่มีบทสนทนาเลยแม้แต่คำเดียว มีแต่เสียงขีดเขียนของดินสอบนหน้ากระดาษ อย่าว่าแต่คำพูดเลย แม้แต่ใบหน้าของบุตรชายเขาก็ยังเห็นไม่ชัด กรณ์เอาแต่ก้มหน้าก้มตาวาดรูป บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมาดูดกาแฟเย็นที่สั่งไป แต่เพิกเฉยกับเค้ก ถึงจะไม่สนิทกันแต่ก็รู้ว่ากรณ์ไม่พิสมัยของหวานเท่าไรนัก แต่ที่ไม่เข้าใจว่าไม่ชอบกินจะสั่งมาวางให้เกะกะทำไม

    กริชถอนลมหายใจเบาๆ ยกแก้วชาร้อนกลิ่นหอมอ่อนขึ้นจิบ ถึงเหตุการณ์จะแปลกประหลาดไปเสียหน่อยแต่นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกรณ์อยู่กับสิ่งที่รัก อันที่จริงเขาก็รู้อยู่แล้วว่ากรณ์มีความสามารถด้านศิลปะ และช่วยขับกล่อมให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนกลายเป็นหนุ่มรักอิสระ รางวัลที่มาจากการรังสรรค์ผลงานบางส่วนอยู่ในตู้โชว์ที่บ้าน สำหรับคนเป็นพ่อแล้วมันน่าภูมิใจไม่น้อย แต่เขากลับไม่เคยกล่าวชื่นชมให้กรณ์ดีใจ นี่เป็นหนึ่งในข้อเสียของเขา

    ...ปากหนัก...

   อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมาเป็นลูกค้าในร้านกาแฟคือพนักงานที่ชื่อดนตร์ เด็กหนุ่มใส่แว่น ผิวขาว และเป็นคนที่กรณ์ประกาศชัดเจนว่าเป็นคนรักทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นี่ ดนตร์ขยันขันแข็งใช้ได้เลยทีเดียว รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากใบหน้า ดวงตากลมจะหยีลงยามที่ต้อนรับลูกค้า แถมยังแคล่วคล่องว่องไว ด้วยวัยที่เกินห้าสิบปีแล้ว เขาพอจะมองออกว่าดนตร์มีเสน่ห์ไม่น้อย เพราะลูกค้าสาวๆ มักจะส่งสายตาอ้อยอิ่งไปให้ บางส่วนก็ส่งเผื่อมาถึงลูกชายของเขาด้วย นั่นไม่นับรวมลูกค้าผู้ชายบางคน

    กริชยกมือบีบขมับเบาๆ โลกมันเปลี่ยนไปจนเขาตามไม่ทัน หนุ่มใหญ่ลองตักเค้กหน้าตาน่ารักขึ้นมากิน พอใจกับรสหวานน้อยๆ แต่หอมนุ่มละมุนลิ้น ยิ่งกินคู่กับกาแฟความอร่อยยิ่งทบทวี เขาปลดปล่อยความคิดหนักหัวออกไป แล้วตั้งใจละเมียดชิมรสอร่อยๆ ของขนมแทน นานเหลือเกินที่ไม่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้ คงตั้งแต่เข้าเรียนมัธยมปลายกระมัง

    กรณ์เงยหน้าขึ้นหลังจากผ่านไปอีกสิบนาที งานที่ก้มหน้าก้มตาทำมาพักใหญ่คืบหน้าไปมากทีเดียว มองเห็นเป็นเค้าโครงของสถาปัตยกรรมบางอย่างที่มีส่วนผสมทั้งของไทยและยุโรป ผู้สูงวัยผ่อนลมหายใจเบาๆ อีกครา เขาจัดการเค้กหมดไปตั้งแต่ห้านาทีก่อนแล้ว กาแฟก็หมดจนไม่เหลือสักหยด ยอมรับว่าขนมและกาแฟร้านนี้รสชาติดีพอๆ กับร้านหรูเลยทีเดียว

    “มีเรื่องอะไร” กริชเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน

    “ก็...ไม่มีอะไร” กรณ์ตอบพลางยกกาแฟเย็นที่มีหยดน้ำเกาะพราวรอบแก้วขึ้นดูด “ขนมอร่อยไหม”

    กริชขมวดคิ้วน้อยๆ “ทำไม”

   “ก็พ่อกินหมด ปกติพ่อไม่กินของพวกนี้นี่”

   คิ้วหนาคลายตัวออกเปลี่ยนเป็นเลิกสูงแทน กรณ์สร้างความแปลกใจให้เขาเป็นครั้งที่สามของวัน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากรณ์จะรู้ว่าเขาชอบกินหรือไม่ชอบกินอะไร ใช่...เขาไม่ค่อยชอบพวกเบเกอรี่เท่าไรนัก แต่ถ้าเป็นพวกขนมโบราณจะโปรดปรานเป็นพิเศษ กริชกระแอมแก้เก้อ เค้กร้านนี้อร่อยจริงๆ นั่นแหละ หลักฐานคือจานที่ว่างเปล่า

    “จะเข้าเรื่องได้หรือยัง”

    “โอเค” กรณ์ยกมือทำท่ายอมแพ้ แล้วปิดหน้าสมุดที่วาดภาพค้างไว้ “พ่อรู้จักครอบครัวของยาหยีใช่ไหม”

   “ใช่...ทำไม”

   “ระหว่างเพลงกับยาหยี พ่อชอบใครมากกว่ากัน”

   “ยาหยี”

   กรณ์ขมวดคิ้วฉับ ใบหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที “ดูให้ดีอีกทีครับ ตัดเรื่องเพศทิ้งไป พ่อคิดว่าระหว่างคนที่มีครอบครัวร่ำรวยไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ไปตลอดชาติ กับคนที่มีฐานะปานกลาง พ่อแม่ทำงานบริษัท ดิ้นรนมาเรียนที่นี่ อยู่ตัวคนเดียว แถมยังต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อช่วยลดภาระครอบครัว พ่อว่าคนประเภทไหนที่น่ายกย่องกว่ากัน”

   “สำหรับนักธุรกิจอย่างฉัน ถ้าเพื่อผลประโยชน์ต้องเลือกคนที่มีเงินทองอยู่แล้ว” กริชตอบตามความจริง “แต่ในฐานะของคนทำงาน ฉันชื่นชมคนขยัน”

   “แล้วสรุปพ่อชอบแบบไหน” กรณ์ถามต่อ

   “ถ้าจะให้เลือกคนที่จะมาเป็นสะใภ้ ฉันก็ยังยืนยันว่าเป็นหนูยาหยี”

    กรณ์กระตุกยิ้มเหยียด “พ่อนี่ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ เงินมาก่อนหัวใจเสมอ”

   “แกต้องการอะไรกันแน่” กริชผ่อนลมหายใจหนักๆ นึกอยากจะได้กาแฟอีกสักแก้ว หางตาเหลือบเห็นเด็กหนุ่มผิวขาวกำลังสนทนาอยู่กับลูกค้าสาวสวย และไม่ใช่แค่เขาที่เห็น ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอตรงหน้าด้วยเช่นกัน กรณ์มองภาพนั้นตาไม่กะพริบ ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ จนอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะลุกขึ้นไปทำเรื่องบ้าๆ เพราะความหึงหวง

    ลูกชายคนเดียวของเขาพรูลมหายใจเบาๆ และไม่ได้ลุกขึ้นไปแสดงความหึงหวงอย่างที่คิดไว้ กรณ์แค่ทำหน้าเหมือนจะฆ่าใครเท่านั้นเอง

    “ผมเลิกกับยาหยีแล้ว ส่วนสาเหตุก็เพราะเพลง” ตาคมที่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมไปจากเขาปรายไปยังร่างโปร่งที่สาละวนอยู่กับการเสิร์ฟกาแฟ “เด็กนั่นไม่ได้มายั่วผม แต่ผมขืนใจเขา”

   ทันทีที่ได้ฟังคำสารภาพหัวของเขาก็ชาวาบ ถึงจะรู้ประวัติของดนตร์มาแบบละเอียดถี่ถ้วนแต่เรื่องที่กรณ์ขืนใจดนตร์เขาไม่เคยรู้มาก่อน กริชนิ่งงันไปร่วมนาทีก่อนจะปรับตั้งสติใหม่ รอฟังคำจากบุตรชายต่อ

    “ตอนแรกผมทำไปเพราะผมเมา แต่หลังจากนั้นมันไม่ใช่ ผมยอมรับว่าผมติดใจในร่างกายของเพลงแต่ผมไม่ได้เป็นเกย์ เพราะผมไม่เคยพิศวาสผู้ชายคนไหนอีก แต่หลังจากนั้นผมก็ชอบเพลง มันมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีผมก็เลิกมองเพลงไม่ได้แล้ว”

    “ทั้งที่ตอนนั้นแกยังคบกับยาหยีอยู่?”

   “ใช่ครับ” กรณ์ยอมรับ ใบหน้าขึงขังจริงจัง “ส่วนยาหยี ผมก็รู้สึกดีกับเธอนะครับ แต่ไม่รู้เรียกว่ารักได้เต็มปากหรือเปล่า เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความรักหน้าตาเป็นยังไง ตั้งแต่เกิดมาผมแทบจะสัมผัสกับมันไม่ได้ด้วยซ้ำ”

    “แกต้องการอะไรกันแน่”

    “ผมจะยอมทำงานให้พ่อ ผมขออย่างเดียว...” กรณ์หนาวเว้นวรรค “...ขอให้พ่อยอมรับเพลง”

    กริชนิ่งเงียบไป เขาไม่เคยได้ยินคำขอร้องของกรณ์มาก่อน ตั้งแต่ยังเยาว์วัยกรณ์ไม่เคยร้องขอหรืออ้อนเอาอะไรจากเขาเลยแม้แต่ความรัก

    “แล้วฉันจะเชื่อใจแกได้ยังไง”

    “เทอมหน้าผมต้องฝึกงานแล้ว ผมจะไปฝึกงานที่บริษัทพ่อ”

    ผู้สูงวัยไม่ได้กล่าวอะไร หากแต่ไตร่ตรองนึกย้อนถึงคำพูดที่สร้างความแปลกใจให้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พบว่าสิ่งที่ทำให้กรณ์เปลี่ยนไป จากคนก้าวร้าว ต่อต้าน เฉยเมินกับทุกสิ่งแม้แต่คนเป็นพ่ออย่างเขาคือดนตร์ ด้วยประสบการณ์ชีวิต เขาเชื่อเหลือเกินกว่าอีกไม่นานบุตรชายคงจะได้รู้จักกับว่า ‘รัก’ กริชลอบผ่อนลมหายใจ ก่อนจะปรายตามองไปยังร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดของกรณ์ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กคนนั้นจะมีอิทธิพลกับกรณ์ได้มากถึงเพียงนี้ แม้แต่เขาเองที่เป็นพ่อแท้ๆ ยังทำไม่ได้...แต่ก็ไม่อาจโทษใครได้ในเมื่อทุกอย่างมันเริ่มที่ตัวเขาเองทั้งสิ้น

    ดนตร์ยังง่วนอยู่กับการทำหน้าที่ของตัวเอง ใบหน้าขาวมีรอยยิ้มประดับตลอดเวลา ดนตร์ทำให้เขาหวนคิดไปเมื่อตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นเขาช่วยบิดาทำงานทุกอย่างเพื่อประคับประคองกิจการที่บรรพบุรุษสร้างเอาไว้ เขาเลยกลายเป็นคนเย็นชา เพิกเฉยกับสิ่งรอบข้าง แม้แต่สตรีที่มาเป็นคู่ชีวิต เขาก็ไม่ได้เป็นคนเลือก พวกผู้ใหญ่เลือกให้และคิดว่าแม่ของกรณ์คือคนที่เหมาะสมที่สุด เขาเองก็เห็นด้วย เธอสวย เพียบพร้อม ขาดแต่อย่างเดียวคือเขายังไม่ได้รักเธอ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปความใกล้ชิดก็ผลักดันให้คนแปลกหน้ายอมหันหน้าเข้าหากัน จนในที่สุดเขาก็มีกรณ์เป็นทายาทและตอนนั้นเองที่เขารู้จักคำว่าความรัก แต่เพราะเพิ่งรู้จักเลยไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร อีกทั้งยังแสดงออกไม่เป็น ภาวินีเลยไม่รู้ว่าเขารักเธอ ตอนที่เธอทำเรื่องขอหย่าและย้ายไปอยู่ที่อเมริกา การจากลาทั้งที่ยังรักมันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่ด้วยทิฐิและศักดิ์ศรีทำให้เขาต้องสูญเสียคนที่รักไปหนึ่งคน โชคยังดีที่เขายังเหลือกรณ์อยู่

    ...มันคงถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่พ่อจริงๆ เสียที...

   “ถ้าแกต้องการอย่างนั้นฉันก็ยินดี แต่ฉันจะไม่ให้แกไปฝึกงานในบริษัทของฉันหรอกนะ แกต้องไปฝึกงานที่บริษัทอื่นในตำแหน่งของพนักงาน ไม่อย่างนั้นเรื่องที่คุยกันวันนี้ถือว่าเป็นโมฆะ”

    กรณ์ยักไหล่ “ก็แล้วแต่พ่อ”



    ป้าย open เปลี่ยนเป็น closed หลังจากสี่ทุ่ม พนักงานทุกคนในร้านต่างถอนหายใจเสียงดังเมื่อหน้าที่อันหนักหน่วงหมดไปอีกวัน ช่วงนี้ลูกค้าเยอะเป็นพิเศษเพราะหลายคนหลบอากาศเย็นด้วยการมานั่งจิบชา กาแฟ อุ่นๆ ในร้าน ดนตร์นั่งเหยียดขาตามความยาวเพื่อคลายความเหนื่อยล้า วันนี้เขาเดินรับออร์เดอร์ไม่หยุด ไหนจะเมื่อยแก้มเพราะลูกค้าชอบให้เขายิ้ม สามวันมานี่พี่พายใช้งานเขาคุ้มกับที่ลางานไปหลายวัน

    แล้วจู่ๆ แผ่นหลังก็เกิดร้อนผ่าวขึ้นมา เขารู้สาเหตุดีว่าเป็นเพราะอะไร เพราะตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้วที่มีอาการร้อนวูบวาบแถวแผ่นหลัง คงเพราะสายตาของใครบางคนที่มักจะมองมาอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง

    การที่ได้เห็นกรณ์กับบิดามันเป็นเรื่อมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเห็นหมีแพนด้าบินได้เสียอีก นี่เป็นคำกล่าวของชนวีร์หลังจากที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทางโทรศัพท์ทันทีที่เห็นสองพ่อลูกเข้ามาในร้าน

    ‘เป็นบุญของแกแล้ว รู้ไหมสองพ่อลูกคู่นี้ไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันเลย เห็นหมีแพนด้าบินได้ยังไม่น่าตื่นเต้นเท่านี้’

    ดนตร์ค่อยๆ เบือนหน้าหันมองเจ้าของสายตาที่แผดเผาแผ่นหลัง พอเห็นแก้วตาสีนิลก็รีบหันหน้ากลับ กรณ์ยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น ถ้าจำไม่ผิดก็ร่วมยี่สิบนาทีแล้ว

   ...จะจ้องให้ท้องเลยหรือไง!...

    “พวกเราจะไปกินเหล้ากันต่อ นายสนใจไหม”

    พี่กายถาม ทางนั้นเปลี่ยนชุดแล้วเรียบร้อยขณะที่เขายังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่เลย ดนตร์อยากจะพยักหน้าตอบรับเพราะห่างหายไปจากวงเหล้าเสียนานชักจะเปรี้ยวปากขึ้นมาเหมือนกัน ทว่าเจ้าของดวงตาสีดำคู่นั้นคงฆ่าเขาตายแน่ถ้าหากทำตามใจตัวเอง

   “พวกพี่ไปกันเถอะครับ ผมกลับไปนอนดีกว่า”

    พี่กายยิ้มเผล่อย่างรู้ทัน “ไอ้หนุ่มรูปหล่อนั่นมาเฝ้าน่ะสิถึงไม่กล้าไป เอาเถอะๆ ไว้วันไหนผัวเผลอแล้วค่อยเจอกันก็ได้”
   แก้มเขาร้อนวูบกับคำแซวของรุ่นพี่ตัวสูง ให้ตายเถอะ! เขาไม่ได้มีทีท่าเหมือนพวกมี ‘สามี’ เสียหน่อย ทำไมคนพวกนี้ถึงคิดว่าเขาเป็น ‘เมีย’ กันหมด!

    “จะไปไหนก็ไปเลย ผมไม่อยากคุยกับพี่แล้ว” ดนตร์ย่นจมูกใส่ ก่อนจะลุกหนีหายเข้าไปด้านหลังร้าน

     พนักงานคนอื่นๆ ทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว เหลือแค่เขากับพี่พาย  ที่ยังเคลียร์บัญชีอยู่หน้าร้าน ดนตร์เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพักพนักงาน ภายในมีตู้ล็อคเกอร์เล็กๆ ตั้งเรียงติดกันเกือบสิบตู้ อีกฟากของห้องมีกระจกบานยาวขนาด 1 x 1.20 เมตรไว้ให้เสริมหล่อเสริมสวย ดนตร์ดึงสายคาดเอวออก แล้วยกผ้ากันเปื้อนแบบเต็มตัวออกทางศีรษะ สะบัด สองสามทีแล้วพับเก็บเข้าตู้ มือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตนักศึกษาด้วยความเหนื่อยล้า พอหลุดครบทุกเม็ดก็จับมันใส่กระเป๋าเป้ เพราะต้องเอาไปซัก ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ไอเย็นเล่นเอาขนลุกชัน เขารีบคว้าเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลขึ้นมาสวมแทน เสื้อตัวนี้เป็นของกรณ์ที่เขาแอบขโมยมา แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้คืนสักที เขาค่อนข้างชอบเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่มของมัน รวมถึงขนาดที่ใหญ่เกินตัวเพราะมันทำให้สบายไม่อึดอัด แต่แค่ศีรษะผ่านลอดเข้าไปในตัวเสื้อ อะไรบางอย่างก็รวบเข้าที่เอว

    “เฮ้ย! อะไรวะ!”

    ดนตร์ร้องโวยวาย เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ยังไม่กลับแล้วเล่นพิเรนทร์หากแต่เมื่อดึงเสื้อลงจากศีรษะได้สำเร็จเขาถึงได้รู้ว่าคนนั้นๆ ไม่ใช่เพื่อน

   “พี่กรณ์!”

    เจ้าของชื่อเลิกคิ้วสูง ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างไปแค่คืบเดียวเท่านั้น ท่อนแขนแข็งแรงรวบรัดอยู่ที่รอบเอวเปลือยเปล่า ดวงตาสีนิลมีแววไม่พอใจเล็กๆ เจืออยู่ด้วย

    “ทำไมต้องตกใจ” น้ำเสียงเกือบห้วนถามขึ้น

    “ก็นี่มันห้องพักพนักงานจะไม่ให้ผมตกใจได้ยังไง” ดนตร์บอก “แล้วนี่พี่เข้ามาได้ยังไง”

   “ก็เดินเข้ามา” กรณ์ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ดวงตาดุดันคู่นั้นอ่อนแสงลงเล็กน้อย แต่ใบหน้าได้รูปกลับยื่นเข้ามาใกล้กว่าเดิม ดนตร์หันหน้าหนีโดยอัตโนมัติ ปลายจมูกโด่งเฉียดผิวแก้มไปแค่นิดเดียวเท่านั้น เขาขืนตัวไว้เต็มกำลัง ถึงจะเคยเห็นอะไรต่อมิอะไรมาหมดแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ชินกับความสนิทสนมแบบนี้สักที ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดลำคอจนขนอ่อนลุกฮือ ดนตร์เกือบจะเผลอครางสะท้านกับปฏิกิริยาตอบกลับของตัวเอง แล้วเสียงทุ้มๆ ต่ำๆ นั่นก็ดังขึ้นใกล้ใบหู

   “คิดถึง”

   คำพูดเดียวที่ทำให้เขาละลายกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ดนตร์ผินหน้ากลับมาหาคนตัวสูง ทำใจกล้ามองตาสีดำ มันอยู่ใกล้เสียจนมองเห็นภาพสะท้อนในเงาตาของอีกฝ่าย สามวันแล้วที่เขาไม่ได้เจอกับกรณ์ ลึกๆ แล้วเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่เขาไม่อาจแสดงออกหรือบอกได้ สถานะของพวกเขาไม่ชัดเจน ไม่ใช่คู่รักแต่ก็เกินพี่น้อง

    เขากลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เรียน ทำกิจกรรมและทำงานพิเศษ คุยกับพี่สาว พ่อแม่และหลานชายตัวอ้วน โดยซ่อนอีกความรู้สึกเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด แต่วันนี้กำแพงที่เคยตั้งไว้มันทลายลงเพราะเขาเองก็ ‘คิดถึง’ กรณ์เหมือนกัน

    อุ้งมือร้อนประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยรอบขอบริมฝีปาก กดคลึงเบาๆ ราวกับจะทดสอบความนุ่ม ดวงตาดุบัดนี้อ่อนเชื่อมจนคนมองใจหวามหวิว ดนตร์มองส่วนประกอบบนใบหน้า ทั้งคิ้วหนาดำที่เข้ากับดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหนา เส้นผมสีดำถูกหวีเสยไปด้านหลัง ด้านข้างไถเรียบ จอนไล่ยาวเป็นระเบียบจนเกือบถึงแนวขากรรไกรแข็งแรง กลิ่นกายหอมเย็นคล้ายมินต์ ไม่แปลกใจเลยที่กรณ์จะเป็นหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัย มิหนำซ้ำยังทำท่าจะได้เข้าไปในวงการบันเทิงอีกด้วย พี่วินบอกว่ามีโมเดลลิ่งติดต่อให้กรณ์ไปร่วมงานหลายแห่ง หลังจากที่หนังสั้นถูกปล่อยทางออนไลน์เพียงไม่กี่วัน เช่นเดียวกับลลิตา รายนั้นก็มีคนติดต่อให้ไปถ่ายแบบลงนิตยสารแล้วด้วย

    กรณ์กดประทับริมฝีปากลงมา กลีบปากถูกบดคลึงอย่างเอาใจ ไม่ได้จาบจ้วงหรือรุนแรง ดนตร์เผยอปากขึ้นเล็กน้อยต้อนรับลิ้นอุ่นที่สอดเข้ามาคลอเคลีย แบ่งปันจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึง เรียวลิ้นเกี่ยวพัน บางจังหวะถอยหนีให้เขารุกไล่ แต่พอได้จังหวะก็ดูดกลืนจนเสียการทรงตัว หน้าท้องของเขาเสียววูบความคิดถึงผสมตีเคล้ากับความต้องการที่ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว จากจูบที่หวานล้ำเปลี่ยนเป็นกำซ่านร้อนแรง

    คนตัวสูงก้าวตามประกบติด ทุกส่วนของอวัยวะด้านหน้าแนบชิดแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศได้ลอดผ่านไปได้ มือใหญ่เลื่อนจากเอวเล็กลงไปที่เนินสะโพกกลม กดมือพลางดันหน้าขาของตัวเองให้เสียดสี สัดส่วนกลางลำตัวร้อนผ่าว แม้จะมีผ้ากางกั้นอยู่หลายชั้นก็ยังรู้สึกได้ แข้งขาพาลอ่อนแรง ขาเริ่มสั่นจนต้องยกมือโอบรอบลำคอหนาเพื่อพยุงกายเอาไว้

     พวกเขาจูบกันอยู่นาน กรณ์กอดกระชับร่างเล็กกว่าแน่นพลางก้าวขาพาให้อีกคนต้องก้าวตามไปด้วย ก่อนจะมาหยุดที่หน้ากระจกบานยาว เขาเหลือบตามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก หน้าแดงขึ้นจากเลือดที่สูบฉีด ชายหนุ่มหลุบตามองอีกคน แก้มใสระเรื่อเหมือนลูกมะเขือเทศ ตากลมหรี่ปรืออยู่หลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยม กรณ์ดึงแว่นน่าเกะกะนั่นอก แล้ววกสายตากลับมาที่กลีบปากอิ่มแดงจัดอีกครั้ง ตอนนี้มันบวมเห่อน้อยๆ จากการถูกจูบซ้ำๆ ดนตร์หายใจไม่เป็นจังหวะ มือเกาะเกี่ยวเขาเอาไว้ ผิวกายใต้เนื้อผ้าร้อนผ่าวไม่ต่างกับเขา ราวกับรู้ว่ากำลังถูกจับจ้อง เปลือกตาบางเปิดขึ้น ตาใสมองเขาทั้งสงสัยและเว้าวอน ใบหน้าที่กึ่งไร้เดียงกึ่งเรียกร้องมันกระตุ้นเขายิ่งกว่ายาปลุกเซ็กซ์เสียอีก

    ความคิดดีๆ ผุดขึ้น เขาอยากให้ดนตร์เห็นหน้าตัวเองชัดๆ เหลือเกิน จะได้รู้ว่าทำไมเขาถึงได้หลงใหลนัก กรณ์จับร่างโปร่งพลิกกลับ แผ่นหลังชิดกับอกของเขา โดยที่ส่วนหน้าปรากฏอยู่ในกระจกทรงยาว ดนตร์หน้าแดงกว่าเดิม พยายามจะหันตัวหนีแต่เขาไม่ยอม เขายึดคางมนเอาไว้ ยื่นใบหน้าเข้าไปแนบชิด กดจมูกลงที่ข้างแก้มเนียนสูดเอากลิ่นน้ำนมไว้ในปอด ขณะที่มืออีกข้างสอดเข้าไปในชายเสื้อแขนยาวที่จำได้ว่าเป็นของตัวเองลูบไล้สีข้างแล้วลากเลยขึ้นมาแถวหน้าอก จงใจใช้ปลายนิ้วปัดผ่านปลายถันจนมันแข็งชัน

    ดนตร์ครางเบาๆ ผินหน้าหนีจากภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ปากพึมพำปรามคนตัวสูง “เดี๋ยวพี่พายเข้ามา”

   “แค่ห้านาที”

    กรณ์บอก ตอนนี้เขาทั้งคิดถึงทั้งต้องการ ถ้าหากไม่ทำอะไรคงต้องตายแน่ ส่วนหน้าร้อนและแข็งกร้าวจนปวดหนึบไปหมด มันดันตัวเสียดสีกับก้นกลม แม้จะรู้ว่าสถานที่ไม่อำนวยนักและเสี่ยงต่อการถูกเห็น แต่ความอดทนมันมีขีดจำกัด! เขาไม่รอให้ดนตร์ทักท้วงอีก มือทั้งสองเลื่อนลงสู่ขอบกางเกง จัดการรูดเข็มขัดปลดตะขออย่างรีบร้อน ใช้เวลาแค่อึดใจเดียวท่อนล่างก็เปล่าเปลือย ฝ่ามือกร้านขยำก้อนเนื้อกลม ใช้เข่าแทรกลงไปตรงกลางระหว่างเรียวขาขาว ดนตร์ย่อตัวลงอย่างรู้หน้าที่ เขามองก้นกลมขาวโพลน พลางกรีดนิ้วลากผ่านรอยแยก ก่อนจะกดนิ้วลงไปในช่องทางคับแคบ ผนังร้อนดูดรัดสิ่งแปลกปลอมทันที กรณ์กัดฟันกรอดเขาต้องคอยห้ามไม่ให้พาตัวเองแทรกเข้าไปแทนนิ้ว

    ดนตร์สูดปากคราง แต่พอนึกได้ว่าที่นี่คือห้องพักของพนักงานก็รีบยกมือขึ้นปิดปาก พอเหลือบไปเห็นหน้าของตัวเองในกระจก ก็ต้องหันหนี เพราะไม่อาจทนมองสีหน้าและอารมณ์ของตัวเองได้ กรณ์กดแผ่นหลังบางให้ต่ำลงอีกนิด จนระดับสะโพกพอดีกับตำแหน่ง ชายหนุ่มรีบร้อนรูดซิปลง ดึงเอาท่อนเนื้อร้อนออกมาแล้วประคองมันจดจ่อกับทางรักสีสด เขาค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะไม่มีทั้งเจลหล่อลื่นทั้งถุงยาง หากบุ่มบ่ามเอาแต่ใจดนตร์จะเจ็บหนัก ดนตร์คับแน่นเหลือเกินแค่ส่วนปลายยังผ่านเข้าไม่ได้ เขาต้องดึงตัวเองออกมาแล้วใช้นิ้วช่วยขยายทางอีกครั้ง

    “อื้อ พี่ครับ เร็วหน่อยเดี๋ยวมีคนเห็น”

   ดนตร์เร่งเร้า เขาจับกายร้อนผ่านทางรักสีสดอีกรอบ คราวนี้มันสามารถผ่านเข้าไปได้ กรณ์กลั้นใจตลอดเวลาที่ผ่านผนังร้อน จนมิดเม้น เขาแช่กายอยู่อย่างนั้น ผ่อนลมหายใจให้ช้าลง รอจนกระทั่งสามารถควบคุมตัวเองได้แล้วจึงค่อยๆ ถอยกายออกมาเกือบหมดและกลับเข้าไป จังหวะช้าเนิบนาบแต่หนักแน่น ระหว่างนั้นก็มองใบหน้าของอีกฝ่ายผ่านบานกระจกไปด้วย

    คนตัวเล็กกว่ายังยกมือปิดปากระงับเสียงคราง ซึ่งมันขัดใจเขาไม่น้อย เขาชอบฟังเสียงร้องครวญครางที่ทั้งสุขสมและทรมานของดนตร์มากที่สุด ใบหน้าขาวแดงระเรื่อมาจนถึงลำคอ ร่างกายท่อนบนยังมีเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำตาลปกปิดอยู่ เขาเลยเลิกเสื้อขึ้นจากด้านหลังเปิดเผยผิวผ่อง แล้วก้มลงพรมจูบลงไป ดนตร์ตัวสั่น ทำท่าจะทรุดลงไปกองหลายรอบ กรณ์เร่งสะโพกเร็วขึ้นเมื่อการเข้าออกคลายความคับแน่น เขามองท่อนเนื้อตัวเองผลุบหายเข้าไปในก้อนขาวด้วยหัวใจที่เต้นระทึก มือเลื่อนจากเอวเล็กเลยไปที่แผ่นอกบาง เคล้าคลึงยอดอกจนมันแข็งเป็นไต ที่สุดเมื่อไม่อาจทนต่อความกระสันซ่านที่เล่นงานอย่างหนัก ดนตร์ก็ต้องยอมละมือจากปากแล้วยันกำแพงเอาไว้ ใบหน้าน่ารักแหงนเงย ดวงตาหรี่ปรือและมองไปเบื้องหน้า

    ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาส แสดงความเย้ายวนออกมาเต็มที่ ริมฝีปากอิ่มเห่อบวมน้อยๆ เผยอเพื่อช่วยหายใจ บางครั้งก็แตะลิ้นที่กลีบปากราวกับจะยั่วกันให้ตบะแตก เส้นผมสีดำไหวน้อยๆ ตามแรงกระแทกจากด้านหลัง ดนตร์เอี้ยวตัวกลับมามอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจะแตะที่หน้าท้อง คล้ายกับจะปรามให้ช้าลง กรณ์คว้าข้อมือเล็กเอาไว้ใช้มันเป็นที่เหนี่ยวแล้วโหมสะโพกเต็มแรง

    ร่างเล็กกว่าสั่นคลอน เสียงร้องลมหายใจหนักๆ ปนกับเสียงเนื้อกระทบกัน ดังก้องทั่วห้อง อย่างไม่มีใครสนใจว่าจะมีใครเข้ามาเห็นฉากสำคัญหรือเปล่า กรณ์กระแทกกายหนักๆ ยกสะโพกเสยขึ้นหรือหมุนควานเป็นวงกลม จนส่วนปลายเสียดสีกับจุดด้านใน ดนตร์หลุดครางเสียงสูงเลยยิ่งแกล้ง เน้นย้ำในจุดนั้นอยู่ไม่นาน ด้านในก็ตอดรัดเขาถี่ยิบ ซ้ำยังดูดแน่น ดนตร์หวีดร้อง ก่อนจะปล่อยหยาดน้ำสีขาวออกมา มันพุ่งเปื้อนไปติดหน้ากระจก กรณ์เร่งสะโพกให้เร็วกว่าเดิมทั้งที่เนื้ออ่อนยังตอดรัดไม่หยุด ไม่นานทุกอย่างก็แตกพร่า หัวเขาขาวไปหมด ร่างกายเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการที่มองไม่เห็น สายธารร้อนขาวขุ่นหลั่งรินภายใน เขาเอนกายกอดดนตร์แน่น จูบไปบนท้ายทอยหอมหนักๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญและขอบคุณไปพร้อมกัน

    ถึงจะแค่ห้านาที แต่ก็ช่วยทำให้คลายความคิดถึงลงไปบ้าง...



    กรณ์มาส่งดนตร์ที่หน้าหอพักตอนเกือบตีหนึ่ง เพราะต้องไปส่งบิดาขึ้นเครื่องบินกลับภูเก็ตก่อน แล้วบิดาที่เคารพจองเที่ยวบินไว้ตอนเที่ยงคืน เขาหิ้วปีกดนตร์ติดมาด้วยเพราะอีกฝ่ายทำท่าจะล้มพับไปหลังจากที่ระบายความคิดถึงไปห้านาที

    ก่อนหน้าที่เขาจะตามดนตร์เข้าไปถึงห้องพักพนักงาน เขาขอให้บิดารอก่อนซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่หลังจากที่พากันออกมาท่านก็ใช้สายตาตำหนิคงจะรู้ว่าที่หายไปมากกว่าห้านาที บวกกับหน้าซีดๆ ของดนตร์ พวกเขาไปทำอะไรกันมา ดีตรงที่ท่านไม่กล่าวว่าให้ดนตร์ต้องอับอายกว่าเดิม ได้แต่บอกให้เขารีบหน่อยเดี๋ยวจะขึ้นเครื่องไม่ทัน

    ตลอดทางไม่มีการสนทนาใดๆ ดนตร์เองก็ฟุบหลับอยู่ที่เบาะหลัง จนถึงสนามบินเขาถึงได้ปลุกขึ้นมา เจ้าตัวตื่นมาหัวยุ่ง งัวเงียเล็กน้อยแต่พอรู้ว่าถึงแล้วก็กระวีกระวาดช่วยยกกระเป๋าให้ แต่คงจะลืมไปว่าก่อนหน้านี้เพิ่งรับศึกใหญ่มาเลยสูดปากร้องซี๊ด คุณท่านกริชหันมาทำตาขวางใส่เขา แต่ก็นั่นแหล่ะแค่มองมันทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

    ก่อนขึ้นเครื่องบิดาเรียกดนตร์ไปคุยส่วนตัว นานเกือบสิบนาที เขาไม่รู้หรอกว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่สีหน้าของดนตร์ไม่ผิดปกติอะไร นอกจากความอ่อนเพลียเขาก็เลยเลิกสงสัย ถึงตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าบิดายอมรับดนตร์ได้แล้ว ถึงจะไม่มีหลักฐานอะไรก็ตาม คงด้วยสัญชาตญาณกระมังที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น

    ดนตร์ขอบคุณเขาเบาๆ เมื่อรถจอดนิ่ง เขาคว้าคออีกฝ่ายเอาไว้แล้วกดจูบหนักๆ ไปที่หน้าผากนูน ดนตร์ทำหน้าเหวอจนน่าขำ พอตั้งหลักได้ก็รีบเปิดประตูแล้ววิ่งหนีหายเข้าไปในตัวตึก กรณ์อมยิ้มกับตัวเองรอจนเห็นไฟที่ห้อง 502 สว่างขึ้นแล้วค่อยเคลื่อนรถออกไป...


**********************************

 :hao7: อัพไวกว่าเดิมนิดส์นึงงงงงง
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 15 คำขอร้อง... [25/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-07-2017 21:28:22
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 15 คำขอร้อง... [25/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 25-07-2017 22:31:16
โอ้ยยยย ใจเต้น อิฉากในห้องพักนี่แบบ  อืมหืมมมม
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 15 คำขอร้อง... [25/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 26-07-2017 00:37:22
อื้อหือออ อีพี่กรณ์หื่นทุกที่ทุกเวลาเลย นอกสถานที่ตลอด  :laugh:
นี่ยังเชียร์พี่รันได้อยู่ไหมม สงสารพี่รัน
เย้ๆ มาอัพไวกว่าเดิมดีใจๆ ขอบคุณมากค่าา   :pig4:

“จะเอายังไง ฉันไม่ยอมให้เพลงทำร้ายเพลงอีกแน่”
ประโยคนี้น่าจะเป็นไม่ให้ยาหยีทำร้ายเพลงใช่ไหมคะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 15 คำขอร้อง... [25/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 26-07-2017 00:44:33
อยากตัดจู๋กรณ์ทิ้ง
ลูกเจี๊ยบก็ใจง่าย
ปล่อยเขาทำตามใจตัวเอง
ห้องพักพนักงานนะลูกกก

คุณพ่อก็แซ่บอยู่นะ
ห้าสิบกว่านี่ป๋าดีๆ เลย

อยากให้กรณ์จัดการเรื่องยาหยีสักที
สร้างแต่เรื่อง
ยาหยีคิดจะใช้สังคมประณามกรณ์
ให้กรณ์กลายเป็นคนผิด(ถึงแม้กรณ์จะผิดจริงก็เถอะ)
ตัวเองก็ใช่ย่อยนะยาหยี

พี่กวางนี่สายหื่นของจริง
กราบเจ้าแม่สายหื่น

ปล.พิมพ์ชื่อคนสับสนกตนอีกแล้วเน้อ
ประโยคของพี่รัน
เพลงทำร้ายเพลง อะไรประมาณนี้แหละ
เพลงไม่ทำร้ายตัวเองสิ ไม่เอาาาาา
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 16 คิดถึง... [04/08/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-08-2017 17:58:29
Chapter 16 คิดถึง


    การซ้อมเชียร์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันกีฬาภายในที่จะจัดในเดือนพฤษภาคมยังคงดำเนินต่อไป ดนตร์และเมธัส ปรบมือจนมือแทบด้าน ตะโกนร้องเพลงจนแสบคอ ขณะที่ลลิตาบ่นกระปอดกระแปดหลังจากต้องทำหน้าที่เชียร์ลีดเดอร์ของคณะ

    เด็กปีที่หนึ่งหน้าตาดี ทั้งชายและหญิงหลายคนจะถูกจับไปทำหน้าที่นี้ แน่นอนว่าสาวน้อยน่ารักอย่างลลิตาย่อมหนีไม่พ้นอยู่แล้ว ความน่ารักของลลิตาโดดเด่นจนถูกชนวีร์ดึงตัวไปเล่นหนังสั้น และถึงแม้จะเป็นการแสดงเรื่องแรกแต่เจ้าตัวก็ทำออกมาได้ดี เช่นเดียวกับกรณ์

    หลังจากหนังสั้นจากฝีมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยได้รับรางวัลมา ชื่อของกรณ์พระเอกของเรื่องได้รับความสนใจไม่น้อย แม้ว่าปกติแล้วกรณ์จะหล่อ ดูดี กว่าคนทั่วไปอยู่พอสมควร แต่เมื่ออยู่ในกล้องทุกอย่างมันจะทบทวี หรือที่เรียกว่าขึ้นกล้องนั่นเอง ดวงตาคมดุยิ่งชัดเจน ยามที่กล้องจับที่สายตาคู่นี้มันราวกับจะหลอมละลายผู้คนที่ได้มองแม้จะแค่ผ่านเลนส์กล้องก็ตาม จำนวนแฟนคลับของกรณ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนักศึกษาธรรมดากลายเป็นไอดอลไปแล้ว ไม่ใช่แค่กรณ์เท่านั้นที่ได้รับความสนใจมากขึ้น ยังรวมไปถึงเพื่อนสนิทอีกสามคนด้วยเนื่องจากคนอื่นก็หน้าตาดีไม่แพ้กัน

    พี่วินบอกว่ามีเอเจนซี่ติดต่อเข้ามาหลายงาน ทั้งโฆษณาและถ่ายแบบ ทว่ากรณ์ยังไม่ได้ตัดสินใจรับงานชิ้นไหน ที่จริงแล้วจุดที่กรณ์ยืนอยู่มันน่าอิจฉาไม่น้อยสำหรับคนที่เรียนสายการแสดงอย่างเขา แต่บุญวาสนาคนเราไม่เท่ากัน เพราะรูปร่างหน้าตาของกรณ์โดดเด่นกว่า คนธรรมดาอย่างเขาก็ยังคงเป็นแค่เงาต่อไป

    หมู่นี้พวกปีสามยุ่งเป็นพิเศษเพราะต้องหาที่ฝึกงาน กรณ์ก็เหมือนกัน ถึงแม้บิดาจะมีบริษัทใหญ่โตอยู่ที่ภูเก็ตและเป็นหุ้นส่วนในหลายบริษัทที่กรุงเทพฯ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เลือกว่าจะลงฝึกที่ไหน คนที่ถือตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางอย่างกรณ์คงไม่ทำเหมือนคนอื่นเป็นแน่ แล้วก็น่าเชื่อเหลือเกินว่าบริษัทที่กรณ์เลือกคงไม่มีเส้นสายของบิดาอยู่ ส่วนพี่วินคนเก่งถูกค่ายหนังใหญ่ทาบทามให้ลองไปฝึกงานดู ถ้าฝีมือดีเข้าตามีแววว่าจะได้ร่วมงานหลังจากเรียนจบ

    ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยระยะนี้ราบรื่นดี ติดขัดนิดหน่อยตรงที่มักจะมีสายตาจับจ้องมากขึ้น ไม่ใช่เพราะมีผลงานอะไร แต่เป็นเพราะชื่อของเขาไปปรากฏอยู่ในความสัมพันธ์ของกรณ์และโยษิตา

   พูดถึงโยษิตา ดูเหมือนเธอจะหายไปจากชีวิตของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาควรจะโดนเธอตามราวีหรือหาเรื่อง แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่เขายังอยู่สุขสบายดีในระดับหนึ่ง ทว่าก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี รู้สึกคล้ายกับท้องทะเลยามก่อนมีพายุใหญ่ มันเงียบสงบจนน่ากลัว….เชื่อเหลือเกินว่าโยษิตายังไม่ยอมลามือง่ายๆ เธอเพียงแค่กำลังรอเวลาเท่านั้นเอง

     ถึงตอนนี้เขาก็ยังจัดการปัญหานี้ไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างเขากับกรณ์เรียกว่าอะไร คนรัก? แฟน? หรือแค่คู่ขา? แต่น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะรู้ดีว่าพื้นที่ข้างๆ ของกรณ์ไม่เหมาะกับเขา

    ดนตร์ถอนหายใจเบาๆ กรมอุตุฯ ประกาศว่าอุณหภูมิจะลดลงอีกหนึ่งถึงสามองศา ที่กรุงเทพฯยังหนาวขนาดนี้เชียงใหม่บ้านเขาคงยิ่งกว่าหลายเท่า วันก่อนพี่สาวเพิ่งโทรมาบอกว่าต้องซื้อเสื้อกันหนาวตัวใหม่ให้น้ำเหนือ เจ้าหลานตัวอ้วนเพราะตัวเก่าคับจนใส่ไม่ได้แล้ว เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว ทว่าพอนึกถึงตัวเองก็อดสลดใจไม่ได้ เขาเป็นลูกชาย แต่กลับมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน เขาไม่กล้าหาญเท่ากรณ์ที่จะเปิดเผยทุกอย่างต่อหน้าบิดา เขาขลาดกลัว กลัวว่าจะทำให้พ่อแม่เสียใจ กลัวจะถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นพวกวิปริต ในรั้วมหาวิทยาลัยไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นสังคมใหญ่ เรื่องเพศที่สามยังไม่เป็นที่ยอมรับ

    ดวงตาสีอ่อนทอดมองก้อนเมฆสีเทาที่ลอยเอื่อยเลาะเรื่อยตามสายลมที่พัดไป ทิวไม้ลู่ไหวเล็กน้อย ไอเย็นสูดเข้าปอดครั้งแล้วครั้งเล่า บรรยากาศในฤดูหนาวมันชวนหดหู่จริงๆ ยิ่งช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน จิตใจยิ่งดำดิ่ง ดนตร์เอนตัวพิงกับลำต้นต้นท้อ ร่มเงาของมันยิ่งเพิ่มความหนาวเย็นในบริเวณนี้ให้มากกว่าเดิม

   สวนหลังคณะยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นทุกที โดยเฉพาะในตอนเย็น มองจากภายนอกมันดูวังเวงจนน่ากลัว แต่สำหรับเขาความเงียบของมันคือเสน่ห์อันล้ำลึก เขาชอบมาปลดปล่อยอารมณ์ที่นี่ในยามที่ต้องการความสงบ ครั้งล่าสุดที่มาเยือนคือเมื่อเดือนก่อน แม้ความทรงจำจะไม่ชัดเจนนัก มันเลือนรางเหมือนความฝัน สภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เพราะเมื่อลืมตาจากสวนมันกลับกลายเป็นห้องนอนของใครบางคนไปเสียแล้ว

    หน้าของเขาร้อนผ่าวเมื่อระลึกกลับไปในอดีต กรณ์ลักหลับเขาในวันนั้น เขาไม่รู้หรอกว่ากรณ์ตามมาเจอได้อย่างไร และไม่คิดจะถามด้วย รู้แค่ว่ากรณ์คือตัวอันตราย คนบ้านั่นสามารถ ‘ทำ’ เขาได้ในทุกที่และทุกเวลา เขาเคยหลับไประหว่างที่ร่วมรักกันอยู่ พอรู้สึกตัวขึ้นมาส่วนนั้นของกรณ์ก็ยังแทรกอยู่ในตัวเขา สาบานด้วยใจจริง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากรณ์จะมีอารมณ์ทางเพศมากขนาดนี้ แถมยังเก่งจนเขาหัวหมุนไปหมด แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าคนๆ นี้จะมีคนรักเป็นผู้หญิง และมีอะไรกับเขาซึ่งเป็นผู้ชายเป็นคนแรก

    เขาเองก็เพิ่งมีอะไรกับผู้ชายเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ทว่าความชำนาญต่างกันมากเหลือเกิน กรณ์สามารถจับจุดอ่อนไหวของเขาได้ รู้ว่าตรงไหนจะทำให้เขาระทวยอ่อนยวบได้ ไหนจะท่วงท่าลีลาและความอดทนนั่นอีก หลายต่อหลายครั้งที่เขาหวีดร้องด้วยความสุขสมเพียงแค่การสอดใส่โดยไม่มีการปรนเปรอส่วนหน้าด้วยซ้ำ

    ดนตร์สะบัดหัวแรงๆ ไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากสมอง เขาไม่ควรเอาความเก่งกาจแสนชำนาญของกรณ์มาคิด ที่ควรต้องจัดการคือความสัมพันธ์แบบรักสามเส้าเราสามคนนี่ต่างหาก

   เพราะเชื่อว่าอีกไม่นานนี้โยษิตาต้องกลับมาแน่ ถึงเธอจะมีคนรักใหม่เป็นหนุ่มหล่อไม่แพ้กรณ์ก็ตาม แต่อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าโยษิตาไม่ยอมปล่อยมือจากกรณ์ง่ายๆ คนคบกันมาตั้งสองปีสายสัมพันธ์แน่นหนาพอสมควร ถึงจะมีมือที่สามแต่ถ้าหากตกลงกันดีๆ ตัวแปรอย่างเขาหรืออคิราห์อาจจะสิ้นความหมายลงง่ายๆ เช่นกัน

    เปลือกตาบางปิดลง รอบขมับปวดเบาๆ จากความคิดที่ประเดประดังเข้าใส่ ไหนจะคิดถึงบ้าน ไหนจะเรื่องของกรณ์ แล้วไหนจะสอบอีก อีกไม่กี่สัปดาห์เขาก็สอบปลายภาคแล้ว อยากสอบได้คะแนนดีๆ พ่อกับแม่จะได้สบายใจ แต่กะจิตกะใจจะอ่านหนังสือไม่มีสักนิด ที่ถือติดมือมาตั้งแต่ช่วงเย็นวางแหมะอยู่ข้างๆ แค่เปิดอ่านไปสามสี่หน้าก็มีเรื่องรบกวนสมองเสียแล้ว

    “อื้อ เบาๆ สิ เดี๋ยวมีคนได้ยิน”

   “ใครจะมาอยู่แถวนี้…นอกจากพวกเรา”

    ดนตร์เปิดตาขึ้นเพราะได้ยินบทสนทนาปริศนา เขารีบมองหาที่มาแล้วเห็นสองร่างกอดรัดกันอยู่ใต้ต้นจำปีที่ออกดอกเยอะที่สุด อยู่ห่างจากจุดที่เขาอยู่ร่วมสิบเมตร ในระยะนี้เขาสามารถเห็นผู้ชายสองคนที่มีขนาดตัวต่างกันพอสมควรกอดจูบกันอย่างเร่าร้อน มือไม้ของแต่ละฝ่ายเลื้อยไปบนร่างกายของอีกคน ผิวหน้าของเขาร้อนวูบ ท่วงท่าพวกนั้นไม่ต่างกันกับของกรณ์กับเขาเลย

    เขาตั้งใจจะแอบหนีไปก่อนที่คนพวกนั้นจะรู้ตัวว่ามีคนเห็น แต่ในจังหวะที่เขาหันหน้า หางตากลับสะดุดกับใบหน้าของผู้ชายที่ตัวเล็กกว่า ดวงตาแบบนั้น จมูกแบบนั้นหรือแม้แต่ริมฝีปาก ดนตร์เบิกตาโพลงนั่นมันเมธัส! เพื่อนสนิทของเขา

    หัวใจเขาเต้นโครมคราม ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเมธัสจะมีรสนิยมแบบนี้ เพราะจากภายนอกเมธัสก็เหมือนผู้ชายปกติทั่วไป ออกจะดิบห่ามมากกว่าเขาด้วยซ้ำ ดนตร์เคลื่อนไหวตัวโดยระวังไม่ให้เกิดเสียงมากที่สุดและใช้ต้นไม้เป็นที่กำบังกาย เขาต้องการรู้ว่าผู้ชายอีกคนเป็นใคร จากมุมนี้เขาเห็นเพียงแค่แผ่นหลังที่ค่อนข้างกว้าง เส้นผมสีดำ และส่วนสูงที่น่าจะเกินหกฟุต ลักษณะโดยรวมดูคุ้นตาไม่น้อยแต่ก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร แล้วก็เหมือนสวรรค์เป็นใจ เมื่อฝ่ายนั้นพลิกตัวกอดรัดเมธัส เสี้ยวหน้าคมคาย ดวงตาดำใหญ่นั่น…นักรบ!!!

    ดนตร์กลั้นหายใจไปชั่วคราว ตาจับจ้องไปยังบทรักที่เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือของนักรบล้วงต่ำไปที่กลางลำตัวของเมธัส ขณะที่ใบหน้าคลุกเคล้าอยู่กับซอกคอ เมธัสเงยหน้าสูดปาก เสียงลมหายใจกระชั้นถี่ค่อนข้างชัดเจนด้วยความเงียบสงบของสวนต้นท้อ มือเหนี่ยวรั้งลำคอหนาของรุ่นพี่ตัวสูง สะโพกยกสูงเสียดสีกันอย่างเร่าร้อน ดนตร์หน้าชาตัวชา ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง กระทั่งเขาเห็นนักรบรูดซิปกางเกงลง ถึงได้ตบหน้าเรียกสติ เขาไม่ควรอยู่ตรงนี้

    สองเท้าขยับด้วยความเงียบเท่าเดิม พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่หันกลับไปมองบทรักของเพื่อนรักกับหนุ่มรุ่นพี่ตาคม เสียงลมหายใจกับเสียงครวญเบาๆ ยังมีอย่างต่อเนื่อง ภาพในหัวปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนเพราะรู้ดีว่าเมธัสจะต้องเจอกับอะไร แต่แล้วทั้งร่างก็ถูกรวบจากด้านหลัง เขาหลุดร้องเสียงอุทานด้วยความตกใจทว่าก็มีบางอย่างมาอุดที่ปากกับจมูกไว้พอดี เสียงร้องเลยดังอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น และก่อนที่จะตั้งหลักได้ทั้งร่างก็ถูกลากด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลที่โอบรอบลำตัวไว้

    เขารู้ในนาทีนั้นว่าสิ่งที่พันธนาการตัวเองอยู่คืออ้อมแขนของผู้ชาย ท่อนแขนกำยำและยาวโอบรอบลำตัวเขาได้พอดี หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติแนบติดกับแผ่นหลัง กลิ่นหอมคล้ายผลไม้สุกไม่ค่อยคุ้นจมูกนักแต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้กลิ่นมาก่อน กระทั่งร่างของทั้งคู่พ้นจากรัศมีที่มองเห็น สิ่งที่อุดปากกับจมูกอยู่ก็คลายลง ดนตร์รีบโกยอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด แล้วพลิกร่างเข้าหาอีกคนทันที

   “พี่ธา..!!”

    เจ้าของชื่อยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของเขาเอาไว้เป็นเชิงปราม ดนตร์ขมวดคิ้วน้อยๆ ทำท่าจะขยับปากพูดแต่ธาวินก็ส่งเสียงชู่วเตือนอีกครั้ง ก่อนจะดันเขาเข้าไปติดกับต้นท้อ ยกมือขึ้นวางกับลำต้นกักเขาไว้ในอ้อมแขนกลายๆ ทิ้งระยะห่างไม่ถึงหนึ่งช่วงแขนดี จากตรงนี้เขาสามารถมองเห็นไรหนวดจางๆ เหนือริมฝีปาก จมูกโด่งที่ส่วนปลายมีรอยกะเล็กน้อย แก้วตาสีน้ำตาลเข้ม หรือแม้แต่ขนตาที่กำลังดีเหมาะกับรูปตาค่อนข้างเรียว โดยรวมแล้วธาวินก็หล่อเหลาสูสีกับกรณ์ อริญชย์และอีกคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเพื่อนรักของเขา ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสี่คนจะเป็นหนุ่มฮ็อตของมหาวิทยาลัย

     แต่ที่น่าแปลกใจคงเป็นเรื่องที่ว่าทำไมสองในสี่ถึงได้มาอยู่ที่สวนนี้ต่างหาก...นั่นไม่นับรวมกรณ์ที่เคยมาแล้วก่อนหน้านี้

    ดวงตาที่มักจะติดแววขี้เล่นมองมาที่เขา สลับกับเหลือบไปด้านหลังเป็นระยะ คงระแวงว่าคนที่อยู่ห่างออกไปร่วมสิบเมตรจะรับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเขา ธาวินขยับขาเข้ามาอีกหนึ่งก้าว ระยะห่างจากหนึ่งช่วงแขนเลยเหลือเพียงแค่ครึ่งช่วงแขน ดนตร์กลั้นหายใจยืดตัวตรง เผลอเบียดแผ่นหลังเข้ากับลำต้นของต้นท้อ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของจำปีถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมเย็นจากธาวิน ผิวแก้มรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา

    ช่วงเวลาอิหลักอิเหลื่อผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทั้งเข็มนาฬิกาก็ยังเดินตามปกติ เสียงร้องดังแผ่วๆ จากนักรบกับเมธัสยังมีให้ได้ยิน กระทั่งความร้อนจากในกายทำงานจนทำให้หายหนาว เสียงพวกนั้นก็หยุดไปพร้อมกับคำพูดคล้ายปลอบโยนแล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ แสงอาทิตย์แทบไม่เหลือแล้วมีเพียงแต่แสงไฟจากตัวอาคารที่มองเห็นเป็นดวงเล็กๆ ภายในนี้เหมือนเป็นอีกโลกที่ตัดขาดจากภายนอก มีแค่เขากับคนตรงหน้าเท่านั้น ทั้งสองยืนมองหน้ากันท่ามกลางความมืดที่เพิ่มมากขึ้น

    “พี่ธาม....”

   ทันทีที่เรียกชื่อไป หัวไหล่ตั้งตรงของอีกฝ่ายก็ลู่ลงพร้อมกับถอนหายใจเสียงดัง

    “ไอ้บ้ารบ! ไม่คิดว่ามันจะพาเด็กนั่นมาเอาถึงที่นี่ โคตรบ้าเลย โรงแรมก็มี คอนโดก็มี ในรถก็ได้ นี่อะไรมาเอากันในป่า”

    คำพูดของธาวินเล่นเอาหน้าคนฟังร้อนฉ่าเพราะแต่ละสถานที่ที่หลุดออกมาแทบทั้งหมดต่างเคยถูกใช้มาแล้วทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่โรงแรมเพราะมันไกลไปสำหรับคนใจร้อนอย่างกรณ์ ดนตร์กระแอมแก้เก้อ ก้มหน้าซ่อนผิวแก้มที่น่าจะแดงของตัวเอง

    “เออ แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ...” ธาวินหลุบตามองพื้น เห็นหนังสือสองสามเล่มวางอยู่ “มาอ่านหนังสือสอบเหรอ เลือกที่ได้ดีชะมัด เงียบหยั่งกับป่าช้า มิน่าเจ้าพวกนั้นถึงมาสร้างแลนด์มาร์ก”

    ดนตร์กลืนน้ำลายลงคอ แลนด์มาร์กที่ว่าเขากับกรณ์เคยทำไว้แล้ว ถึงเขาจะรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้างก็ตาม เขาทำทีเป็นหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อนแล้วค่อยตอบคำถาม

    “ครับ…ผมมานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ แล้วพี่ล่ะครับมาทำอะไร”

   “ตามไอ้รบมาไง มันชอบทำตัวแปลกๆ แยกไปจากกลุ่ม ติดโทรศัพท์ ที่จริงก็ระแคะระคายมาสักพักแล้วล่ะ แต่ไม่คิดว่ามันจะใจกล้าขนาดนี้”

    “เหอ เหอ ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน”   

    “ไอ้เจ้าเด็กตาโตนั่นเพื่อนนายไม่ใช่เหรอ มันไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยเหรอ”

   “เอ่อ…พวกเราไม่ค่อยคุยเรื่องส่วนตัวกันเท่าไร ผมเองก็ทำพาร์ทไทม์ด้วยเลยไม่ค่อยมีเวลา”

   ธาวินพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตาสีเข้มเป็นประกายในความมืดที่ปกคลุมเต็มพื้นที่ ถึงตอนนี้ดนตร์ถึงสำเหนียกได้ว่ารอบตัวมืดมากขนาดไหน

    “เราไปกันดีกว่าครับ ผมหนาวแล้ว”

   “เออ ในนี้ทั้งมืดทั้งหนาว แล้วนี่กินอะไรหรือยัง พี่กำลังจะไปกินข้าวกับไอ้ทิว ไปด้วยกันไหม”

    “พี่ทิว…ดีเลย กำลังคิดถึงพอดี ตั้งแต่วันงานพี่วินก็ไม่เจอกันเลย”

    ดนตร์ก้มลงเก็บหนังสือที่เพิ่งอ่านไปได้ไม่กี่หน้าแล้วรีบก้าวตามร่างสูงไป ทิ้งความทรงจำอันน่าอายไว้ใต้ต้นจำปี…



    ธาวินพาดนตร์มาพบกับจันทร์ทิวาที่ร้านอาหารแถวย่านคนเดิน ที่คร่าคร่ำไปด้วยเหล่านักกินนักช้อปยามตะวันตกดิน คนเยอะเสียจนเดินเบี่ยงตัวหนีไม่ได้ หลายครั้งต้องพึ่งแผ่นหลังกว้างๆ ของธาวินช่วย ต้องขอบคุณส่วนสูงที่ไม่มากของเขาที่ทำให้ธาวินช่วยบดบังทั้งคนเบียดและอากาศหนาวระดับติดลบได้พอดี

    แต่พอหลุดจากกลุ่มคน โผล่เข้ามาในร้านได้มันเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว ภายในร้านอาหารอัดแน่นไปด้วยลูกค้าก็จริง ทว่ามันอบอุ่นและไม่ต้องเดินเบียดกับใคร พี่ทิวนั่งอยู่ด้านในสุดของร้าน มีขวดเหล้าตั้งอยู่ตรงหน้า พร่องไปแล้วเกินครึ่ง แก้มขาวๆ เลยแดงขึ้นมานิดหน่อย พอเห็นพวกเขาก็ยกมือทักทาย

    ดนตร์ยกมือทำความเคารพหนุ่มรุ่นพี่ จันทร์ทิวายิ้มอย่างมีไมตรีพลางเรียกบริกรนำแก้วมาเพิ่ม ธาวินนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับจันทร์ทิวา ส่วนดนตร์นั่งถัดมา จันทร์ทิวาเลื่อนเมนูอาหารให้ แล้วสั่งในส่วนของตัวเองกับธาวินโดยที่ไม่ต้องพึ่งเมนู ไม่นานทั้งเหล้าทั้งอาหารก็พร้อม จันทร์ทิวากับธาวินลงมือกินโดยที่ยังไม่พูดอะไร ดนตร์มองรุ่นพี่สองคนสลับกัน รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง โดยปกติแล้วธาวินไม่ใช่คนพูดน้อย แต่ตอนนี้กลับเงียบกริบมีแค่เสียงกินอาหารเบาๆ เท่านั้น ส่วนรุ่นพี่จากคณะแพทย์ยิ่งแล้วใหญ่ จากที่เย็นชาเหมือนเจ้าชายน้ำแข็งอยู่แล้วตอนนี้กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งเลยก็ว่าได้

    เขาไม่มีเซ้นส์เรื่องจับผิดความรู้สึกของใครหรอกแต่กับสองคนนี้เขาสัมผัสได้จริงๆ

   ...มันคือความเงียบที่น่าอึดอัด...

    ดนตร์แกล้งกระแอมก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม รสขมฝาดแกมหวานและดีกรีอ่อนๆ ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ที่สำคัญมันเพิ่มความกล้าให้กับเขาด้วย

    “พี่ทิวเป็นยังไงบ้างครับ ไม่เจอกันหลายวันเลย”

    จันทร์ทิวาเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว ดวงตาเหลือบมองไปฝั่งตรงข้ามก่อนแล้วค่อยหันมาทางเขา

   “สบายดี...เรื่องคืนนั้นพี่ต้องขอโทษด้วยนะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ...” จันทร์ทิวาหยุดพูด ลำคอขยับเล็กน้อยคล้ายกับกลืนน้ำลาย “แล้วไอ้รันมันไปส่งถึงหอหรือเปล่า”

    “ก็ถึงครับ...” ดนตร์ยิ้มแหย ตอนแรกก็ตั้งใจจะกลับกับอริญชย์หรอกทว่าคดีพลิกเขาวิ่งตามรถของกรณ์หนาเสียจนลืมเหนื่อย “เออ จะว่าไป ผมไม่เห็นพี่ธามเลย คืนนั้นพี่ธามไปไหนล่ะครับ”

     “ท้องเสียน่ะ….ดันกินเค้กเสียเข้าไปน่ะซิ” จันทร์ทิวาตอบแทน

    แค่ก แค่ก แค่ก

   เหล้าที่เพิ่งเข้าปากไปทำท่าพุ่งออกมาพร้อมกับอาการไอ เพิ่งนึกออกว่าเค้กที่ธาวินขอไปเมื่อหลายวันก่อนมันตกไปอยู่ในท้องของคนขอแล้ว ตอนนั้นเขาก็ปากหนักห้ามไม่ทัน ดังนั้นเจ้าเค้กหมดอายุเลยสำแดงฤทธิ์ มันทั้งน่าขำและสงสารแกมสำนึกผิดไปพร้อมกัน ดนตร์ทำหน้ากระอักกระอ่วน พึมพำขอโทษ

    “ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก...ต้องโทษความตะกละต่างหาก”

    “พูดมากน่า!” ธาวินสั่ง หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย

    จันทร์ทิวาทำปากขมุบขมิบแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป แล้วความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้ง ดนตร์คอยชำเลืองรุ่นพี่เป็นระยะๆ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะแอบมองกันและกันด้วย ถึงจะเพิ่งสัมผัสกับเรื่องแบบนี้ได้แต่ก็ภูมิใจเล็กๆ ที่เซ้นส์เขามันไม่พลาด

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 15 คำขอร้อง... [25/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-08-2017 18:03:31
         ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับอาหารและเหล้า รวมไปถึงการแอบสังเกตความผิดปกติของธาวินและจันทร์ทิวา สัมผัสที่หกของดนตร์ก็ทำงานอีกครั้ง แผ่นหลังร้อนราวกับถูกเปลวไฟเผา เขาเอี้ยวตัวกลับไปด้านหลัง แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ครั้งนี้เซ้นส์ของเขาทำงานดีเกินไปจริงๆ เพราะที่เห็นคือร่างสูงใหญ่ของผู้ชายที่รู้จักเป็นอย่างดี...กรณ์!

    เขาเกือบจะสะบัดหน้าหนีเพราะวูบแรกในหัวมันคิดว่ากรณ์มาตามหาตัวเอง ทว่าสตรีที่ก้าวตามมาทำให้ต้องเปลี่ยนความคิด กรณ์ไม่ได้มาตามหาเขาแต่มากับรดา ดาราและเน็ตไอดอลชื่อดัง ดนตร์หยุดสายตาที่ทั้งสอง จ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวที่เดินตามกันเงียบๆ เพื่อหามุมนั่ง แล้วก็ได้โต๊ะว่างซึ่งติดอยู่กับกำแพงห้องอีกฟากของร้าน ตรงข้ามกับจุดที่เขานั่ง แต่ต้องหันหน้าไปมองเกิน สี่สิบห้าองศาถึงจะมองได้ถนัด

    กรณ์ช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้รดา ทำหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดี รดาสมเป็นดารา ความสวยของเธอเปล่งประกายแม้จะอยู่ในร้านอาหารธรรมดาและอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไม่ได้สนใจว่ามีดารามาอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าของเธอเล็กเท่าหนึ่งฝ่ามือ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนถูกจัดแต่งเป็นทรงสวยรับกับรูปหน้า ดวงตากลมค่อนข้างยาว จมูกโด่งแหลม ริมฝีปากบางรูปกระจับ ผิวขาวผ่องยิ่งกว่าน้ำนม เธอยิ้มหวานให้กับบริกรที่เข้ามารับออเดอร์ ส่วนกรณ์ก็หล่อเหลาในชุดลำลองแต่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า อาภรณ์ที่อยู่บนร่างล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์ดัง ราคาแพงยับชนิดที่จ่ายค่าเทอมเขาได้เลยทีเดียว

    ดนตร์เผลอมองทั้งคู่อยู่นาน เฝ้ามองทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยที่มีพอประมาณ อาการยิ้มคล้ายเขินอายของรดาหรือรอยยิ้มของกรณ์ หัวใจของเขาปวดหนึบขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับมีมีดปักลงไปทีละน้อยๆ

    “พี่เพลง! พี่เพลงจริงๆ ด้วย”

    แล้วเสียงร้องทักก็หยุดความเจ็บปวดให้หยุดลง ดนตร์เบนสายตาจากสองหนุ่มสาว แล้ววกหาที่มาของเสียง แล้วก็สะดุดกับร่างเล็กของเด็กสาว ใบหน้าน่ารักเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ดวงตากลมโตสุกใส ที่สำคัญเธอยังอยู่ในชุดนักเรียน

    “ต้องตา!”

    “พี่เพลงจำต้องตาได้ด้วย” เด็กสาวยิ้มกว้างจนแก้มขาวใสเต่ง ตากลมยิบหยีลง มือเล็กจับสายสะพายของกระเป๋าเป้เอาไว้

    ต้องตาซอยเท้าเข้ามาหาเขา เธอกวาดสายตามองทุกคนก่อนจะทำความเคารพ “สวัสดีค่ะ หนูชื่อต้องตา”

   “เอ่อ...สวัสดีครับพี่ชื่อทิว ส่วนนี่ธาม”

   “พวกพี่เป็นเพื่อนกับพี่เพลงเหรอคะ” ต้องตาถาม เธอเอียงคอมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความสนใจ

   “รุ่นพี่ที่มหา’ลัยน่ะ แล้วนี่เรามากับใครล่ะ” ดนตร์ถาม

    “มาคนเดียวค่ะ เอ่อ หนูเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ค่ะ”

   ดนตร์หันหน้ากลับมาที่เด็กสาวอีกครั้ง เขายังปั้นหน้าไม่ถูกนักเพราะครั้งแรกที่พบกันมันไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนัก เดิมทีเขาตั้งใจจะจีบเธอในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง แต่ก็ถูกกรณ์ทำลายจนย่อยยับ ที่จริงเขาอดเสียดายเธอไม่ได้ ต้องตาจัดเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง เธอทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปในวัยมัธยมอีกครั้ง

   “นั่งด้วยกันก่อนไหม” จันทร์ทิวาเอ่ยปากชวนเมื่อเห็นต้องตายืนยิ้มกว้างโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เด็กสาวพยักหน้ารัวดวงตาเป็นประกาย ว่าที่คุณหมอเลื่อนกายไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ติดกับกำแพง สละที่นั่งของตัวเองให้ ต้องตาหย่อนสะโพกลงนั่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ แก้มใสระเรื่อขึ้นเล็กน้อย

    จันทร์ทิวากับธาวินต่างก็พากันมองมาที่ดนตร์เพื่อขอคำตอบ ดนตร์ยิ้มแห้งๆ ให้รุ่นพี่ทั้งสองแล้วแนะนำต้องตาให้ทั้งสองรู้จักอีกที

    “คือ…ต้องตาเป็นลูกค้าร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่”

    ธาวินผงกหัวรับรู้ ขณะที่จันทร์ทิวาไม่ได้ถามอะไรต่อแต่ตะโกนเรียกบริกรมารับออเดอร์เพิ่ม สั่งเครื่องดื่มที่มีนมเป็นส่วนผสมหลักให้เธอ ต้องตาขอบคุณเบาๆ แก้มแดงมากกว่าเดิม ทว่าดวงตากลับสดใส หลายครั้งที่เหลือบมองมาทางดนตร์เธอจะรีบหลบตา ก้มหน้า ใช้มือจับปอยผมทัดไปที่ด้านหลัง เป็นกิริยาน่ารักที่ผู้ชายทั้งสามคนนึกเอ็นดูในความขี้อายของเธอ

    “แล้วนี่มาทำอะไรกันเหรอ” ดนตร์ชวนคุย ต้องตาเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากยังฉีกยิ้มอยู่

    …ทั้งเขินทั้งดีใจ…

    “มากินข้าวกับเพื่อนน่ะค่ะ…” เด็กสาวตอบ แล้วถามกลับ “พี่เพลงล่ะคะเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่วันนั้นหนูก็ยุ่งๆ อยู่กับเรื่องเรียนไม่ได้ไปที่ร้านเลย”

    “เอ่อ…” ดนตร์อึกอัก จะให้เล่าทั้งหมดก็คงไม่ได้ วันนั้นหลังจากถูกกรณ์แบกใส่บ่าพาไปบ้านหลังเก่าเขาก็ลุกไปไหนไม่ได้ ถูกทำรักซ้ำไปซ้ำมาจนอ่อนเปลี้ยไปหมด ไม่ป่วยจนต้องหามเข้าโรงพยาบาลก็ดีแค่ไหนแล้ว กรณ์เหมือนสัตว์ป่าในฤดูผสมพันธุ์ ความต้องการมีมากเหลือล้นและมีตลอดเวลาอีกด้วย พอคิดถึงกรณ์เขาก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ที่ร้านนี้ ดนตร์แอบเอี้ยวตัวชำเลืองมองคนที่อยู่ในความคิด กรณ์นั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่ แม้จะเป็นระยะประมาณนี้เขาก็ยังรู้สึกว่ากรณ์มีเสน่ห์ดึงดูดเหลือเกิน ดนตร์ผินหน้ากลับ เผลอถอนหายใจเสียงดัง จนอีกสามคนต้องหันมามอง

    “พี่เพลงมองใครเหรอคะ” ต้องตาถาม พลางหันมองไปรอบๆ ตัว แต่คงเพราะไม่ได้สนใจใครไปมากกว่ารุ่นพี่หนุ่มหน้าตาน่ารักเลยไม่ได้โฟกัสไปที่ใครเป็นพิเศษ

    “เปล่าหรอก” ดนตร์ปฏิเสธ “พี่เองก็ยุ่งๆ เหมือนกัน ทั้งเรียนทั้งกิจกรรม”

   “เหรอคะ” ต้องตาพึมพำในคอ หลุบตาต่ำไม่กล้ามองชายหนุ่มทั้งสาม

    ดนตร์พรูลมหายใจเบาๆ ในสายตาของเขาแล้วต้องตายังเป็นเด็กสาวน่ารัก และเหมาะสมกับเขา แต่คงต้องพักความคิดที่จะจีบเธอเอาไว้ก่อน แค่เรื่องเรียน กับกรณ์เขาก็จัดระเบียบความคิดไม่ลงล็อคแล้ว

    รอไม่นานเมนูนมของต้องตาก็ถูกวางตรงหน้า เด็กสาวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ดูดเครื่องดื่มอย่างสุภาพ กิริยาท่าทางของเธอเต็มไปด้วยความเขินอายและประหม่า ทว่ากลับน่าเอ็นดูในสายตาของคนมองนัก ธาวินหันมายิ้มให้เขา คงพอมองออกว่าต้องตาคิดอะไรกับเขาอยู่

     ดนตร์ชวนต้องตาคุย พยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย โชคดีที่ธาวินมีนิสัยขี้เล่น ใช้เวลาเพียงไม่นานการพูดคุยก็ไหลลื่นขึ้น ต้องตาหลุดขำกับมุขงี่เง่าของธาวินหลายครั้ง แต่ที่น่าขำมากกว่าคือคำพูดปาดหน้าของจันทร์ทิวาต่างหาก สั้นๆ แต่เจ็บปวด หักมุขธาวินได้อย่างเฉียบขาดที่สุด

    เหล้าถูกเสิร์ฟเป็นระยะ จากหนึ่ง เป็นสอง สาม สี่และห้า ดนตร์รู้สึกหนักๆ ที่ท้องน้อย เหล้าที่กินเข้าไปชักจะทำพิษ เขาขอตัวออกมาทำธุระ โดยฝากให้จันทร์ทิวาและธาวินดูแลต้องตา

    ห้องน้ำของร้านอยู่ด้านหลัง ค่อนข้างเงียบแต่ก็มีเสียงพ่อครัวทำอาหารให้ได้ยิน ดนตร์รู้สึกมึนงงเล็กน้อย จังหวะการเดินเสียไปบ้างแต่ก็ตั้งหลักได้ ภาพการมองเห็นพร่าเลือน หลังจากเสร็จกิจก็เดินออกมาล้างมือที่หน้าห้องน้ำ ถอดแว่นออกแล้วกวักน้ำขึ้นล้างหน้าเพื่อลดอาการเมา แต่แล้วก็ต้องตกใจจนตัวชาเมื่อกระจกบานเล็กสะท้อนภาพของใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา ใครคนนั้นยืนอยู่ด้านหลัง ทิ้งระยะห่างไม่เกินสามเมตรดี แต่ด้วยบริเวณนั้นค่อนข้างอับแสงทำให้เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้า ส่วนอีกเสี้ยวจมหายในความมืด แม้จะไม่มีแว่นช่วยในการมองเห็นแต่เขาก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่รายล้อมตัวคนๆ นั้น

    เขาเผลอกลั้นลมหายใจไม่กล้าละสายตาไปจากกระจกพอๆ กับไม่กล้าเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ สองสายตาประสานกันในเงากระจก นานจนขนในกายลุกทุกเส้น ประสาทในกายตื่นตัว การได้ยินจับไปที่อีกฝ่ายและเสียงหัวใจของตัวเองเท่านั้น ดนตร์กระพริบตาสองสามครั้งเป็นจังหวะเดียวกับคนในเงามืดปรากฏตัว

    กรณ์ก้าวยาวๆ แค่สามก้าวก็ประชิดตัวคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกเสียแล้ว ตลอดการเคลื่อนไหวเขาไม่ได้ละสายตาจากร่างโปร่งบางเลยแม้แต่วินาทีเดียว ที่จริงต้องบอกว่าตั้งแต่อยู่ในร้านแล้วต่างหาก มันเหมือนตลกร้าย ร้านอาหารที่กรุงเทพฯมีนับพันนับหมื่น แต่เขากลับเลือกร้านนี้และได้พบกับคนที่ไม่ได้เจอกันมานานร่วมสัปดาห์

    แม้ไม่ใช่การหนีหน้าแต่ด้วยภารกิจที่ไม่อาจปลีกตัวได้ทำให้เขาไม่ได้พบกับคนๆ นี้เลยตั้งแต่วันที่ไปส่งบิดาขึ้นเครื่องบิน ไม่ใช่ไม่คิดถึง แต่คิดถึงแทบขาดใจต่างหาก ทว่าทั้งงานราษฎร์งานหลวงรุมเร้าไม่ขาดสาย มีเอเจนซี่มาติดต่อให้เขาไปร่วมงานด้วยหลายที่ รวมไปถึงค่ายหนังของรดาด้วย ชนวีร์แนะนำให้เขาเลือกข้อเสนอของค่ายนี้เพราะเป็นงานไม่ยาก แค่ถ่ายแบบเซ็ตคู่รักคู่กับรดา และถ้าเขาได้ดีก็อาจจะมีงานโฆษณาด้วย เดิมทีเขาไม่ค่อยสนใจงานด้านวงการบันเทิงเท่าไรนัก แต่ชนวีร์ยุไม่หยุด พูดถึงรายได้และผลประโยชน์ที่จะตามมา เขารำคาญเสียงหงุงหงิงเหมือนหมูหิวของมันเลยจำใจต้องตอบรับไป

    เรื่องเรียนก็หนักหนาไม่แพ้กัน งานที่อาจารย์สั่งเพิ่มและเร่งวันส่ง เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการขอฝึกงาน เขาเองลั่นวาจาไว้กับบิดาแล้วว่าจะทำตามที่ท่านต้องการ ขอเพียงแค่ยอมรับดนตร์และกันโยษิตาให้เท่านั้น ที่จริงเขาเคยเลือกไว้แล้วว่าจะไปฝึกงานที่ไหน ทว่าเพราะดนตร์ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมางานรุมเร้าเสียจนปลีกเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ได้เลย
 
    แต่ถึงแม้จะไม่ได้เจอหน้า เขาก็ให้เมธัสส่งข่าวดนตร์ให้แทบทุกวัน ดนตร์เองก็วุ่นวายไม่แพ้เขา เพราะต้องไปซ้อมเชียร์ทุกวัน น่าเสียดายที่ความสามารถด้านกีฬาของดนตร์ไม่มีใครพูดถึงเท่าไรนัก เจ้าตัวเลยพลาดเป็นหนึ่งในทีมบาสของคณะ ที่จริงแล้วดนตร์เล่นบาสฯ เก่งไม่หยอก ถึงจะไม่สูงมากแต่คล่องแคล่ว แถมกระโดดสูงราวกับติดสปริง แต่อย่างว่าทีมบาสของคณะนิเทศน์สูงเกินร้อยแปดสิบกันทุกคน ส่วนสูงที่แตะแค่ร้อยเจ็ดสิบห้าเลยไร้ประโยชน์

    วันนี้ทีมงานของนิตยสารที่ต้องการให้เขากับรดาไปขึ้นปกได้ติดต่อมาเพื่อคุยเรื่องคอนเซ็ปต์ของงานรวมไปถึงข้อตกลงต่างๆ หลังจากคุยกันพักใหญ่ก็ได้ข้อสรุป มันไม่ใช่งานยาก ถ้าเทียบกับหนังใบ้ของชนวีร์ ขากลับรดาขอติดรถกลับมาด้วยเพราะรถของเธอเข้าอู่ เขาเลยพาเธอมาแวะกินข้าวเย็นที่ร้านประจำ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับดนตร์ที่นี่...ไม่ใช่แค่ดนตร์ แต่เขายังเป็นธาวิน จันทร์ทิวาและเด็กผู้หญิงคนนั้น

    ลืมไปได้อย่างไรว่าร้านประจำของเขา ก็เป็นร้านประจำของเพื่อนสนิทเหมือนกัน

    เขาเห็นดนตร์กับคนอื่นๆ ในจังหวะที่จันทร์ทิวาตะโกนเรียกบริกรพอดี ความโกรธทำงานอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเด็กที่ชื่อต้องตา ยัยนั่นนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับดนตร์ ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย มือคอยจับผมทัดหูเป็นระยะ สำหรับผู้ชายคนอื่นแล้วคงน่ารักน่ามอง แต่เขาคิดว่ามันน่ารำคาญมากกว่า

    ...เขินเมียคนอื่นมันใช่เรื่องเสียที่ไหน!...

    กรณ์อาศัยจังหวะที่ดนตร์ปลีกตัวมาจากคนพวกนั้น ก้าวตามมาห่างๆ ดีหน่อยที่รดาไม่ได้ซักถามอะไรตอนที่เขาบอกว่าจะไปห้องน้ำ ท่าทางเด็กดื้อของเขาจะดื่มไปไม่น้อย สังเกตได้จากการเดินที่ไม่ค่อยคงที่เท่าไรนัก เขารออยู่หน้าห้องน้ำจนดนตร์ทำธุระเสร็จ โดยเลือกที่จะซ่อนกายอยู่ในความมืดของเงาอาคาร การที่ห้องน้ำสร้างแยกออกมานับว่าเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้บริเวณนี้แยกออกมา เงียบ และไม่มีใคร

    เขาหงุดหงิดที่ยัยเด็กบ้านั่นไม่ยอมเลิกรากับดนตร์ซักที ทั้งที่วันนั้นเขาประกาศชัดเจนแล้วว่าดนตร์เป็น ‘เมีย’ แต่ยัยเด็กต้องตายังกล้าที่จะให้ความหวังตัวเอง เขาอยากจะเข้าไปถามเหลือเกินว่าดนตร์ยังเหลือตรงไหนให้ทำแฟนได้อีก ยิ่งคิดก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง อารมณ์อยากอาหารหายไปสิ้น เขาพาลหงุดหงิดไปหมด ยิ่งได้เห็นดนตร์ชวนเด็กนั่นคุยเขายิ่งโมโห เขาอุตส่าห์คิดถึงแทบขาดใจแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มระรื่นให้ผู้หญิงอื่น

    แต่ถึงแม้คิดถึงแค่ไหนเขาก็ไม่เคยส่งข้อความหวานๆ ไปหาเลยสักครั้ง เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่หมู่นี้ไม่ค่อยจะอัพเดทอะไรในเฟซบุ๊คเลย เขาเคยไล่ดู ครั้งล่าสุดที่ดนตร์อัพก็เมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว เป็นช่วงที่เขาประสบอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาลพอดี แล้วก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวอีก คงเป็นเพราะเขาที่ทำให้ดนตร์ต้องอยู่ห่างจากโลกโซเชียล ดังนั้นคำหวานๆ เช่นคิดถึงหรืออยากเจอไม่มีทางหลุดจากดนตร์มาถึงเขาแน่

    ...นี่ดนตร์ชอบเขาจริงๆ หรือเปล่า…

   ความคิดนี้เขาไม่ได้มโนไปเองแต่ไอ้เจ้าอ้วนมันมาบอกเขาต่างหาก มันไม่ได้บอกตรงๆ แต่อ้อมโลกเสียจนต้องนอนคิดอยู่หลายคืน

    ‘ถ้าลูกเจี๊ยบมันไม่คิดอะไรกับแก มันจะยอมแกขนาดนี้เหรอ หัดเอาหัวใจมองแทนลูกตาซะบ้าง’

    มันก็จริงอย่างที่ชนวีร์พูด แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำตัวให้เหมาะแก่การแอบชอบเลย ทั้งแกล้ง รังแก เอาเปรียบ ไม่เคยทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ผิดกับเพื่อนรักศัตรูหัวใจทั้งสองราย ที่ผลัดกันทำตัวเป็นพระเอกปล่อยให้เขาเป็นตัวร้ายอยู่คนเดียว มันช่วยไม่ได้จริงๆ เขามันพวกไร้ความรู้สึก แม้แต่คำว่า ‘รัก’ ยังไม่แน่ใจเลยว่ารู้จักมันหรือเปล่า

    กรณ์ดึงตัวเองออกจากภวังค์ความคิด เขาคลี่ยิ้มมุมปากมองดูใบหน้าขาวซีดของดนตร์อย่างใจเย็น นี่นับว่าปราณีมากแล้วที่เขาไม่กระชากอีกฝ่ายมาบดจูบลงโทษข้อหาที่ไปอ่อยเหยื่อ มีผัวอยู่แล้วทั้งคนยังไปให้ความหวังเด็กนั่นอีก

    “พะ...พี่กรณ์”

    ดนตร์เบิกตากว้างเท่าที่ตากลมๆ นั้นจะอำนวย เจ้าตัวหมุนร่างรวดเร็วหันมาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้ายามไร้แว่นน่ารักขึ้นเป็นกอง ริมฝีปากอิ่มเผยอน้อยๆ แก้วตาสีอ่อนมีแววตื่นตระหนก ดนตร์ถอยหลังโดยอัตโนมัติจนสะโพกชนกับขอบอ่างล้างหน้า หยดน้ำเกาะพราวบนใบหน้า บางส่วนเปียกไปถึงปอยผม เขาเพิ่งสังเกตว่าผมของดนตร์ยาวแล้ว จำได้ว่าเจอกันครั้งแรกผมของหมอนี่ยังสั้นกุดอยู่เลย

    กรณ์ไม่ได้พูดอะไร แต่ก้าวขาเข้าไปใกล้กว่าเดิม ตั้งใจคุกคามเพื่อให้อีกฝ่ายหวาดเกรงเผื่อจะได้รู้ตัวว่ากำลังทำผิด ดนตร์เบี่ยงตัวหนีแต่เขายกแขนกักไว้เสียก่อน มือวางบนบานกระจก กักร่างน้อยไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบดีด้วยซ้ำ เขาได้ยินเสียงลมหายใจถี่ๆ ของดนตร์ กรณ์เอื้อมมือไปยังแว่นตาแล้วบีบมันเต็มแรง แว่นตาทรงเห่ยหักคามือ ดนตร์หน้าเหวอหันมองเครื่องช่วยมองที่สิ้นสภาพอยู่ในมือของเขา

    “พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย! นั่นมันแว่นของผมนะ”

    คนตัวสูงยังไม่พูดอะไรเช่นเคย สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอีกคนเท่านั้น ดนตร์หันรีหันขวาง ทำตัวไม่ถูก คงทั้งอยากจะหนีและอยากจะต่อว่าพร้อมกัน

    ก้านนิ้วยาวจับคางเชยขึ้น พิจารณาเครื่องหน้า ทั้งคิ้ว ตา จมูก และริมฝีปาก จริงอยู่ที่ดนตร์ไม่ได้มีอะไรสะดุดตา แต่ยิ่งมอง ยิ่งพิศ ก็ยิ่งดึงดูด ส่วนประกอบทุกอย่างมันเข้ากันอย่างลงตัว โดยเฉพาะริมฝีปาก ไม่ต้องพึ่งลิปสติกยี่ห้อแพงๆ ก็แดงฉ่ำน่าจูบ ถ้าไม่ติดว่ากำลังโกรธเรื่องที่เจ้าตัวไปหว่านเสน่ห์ใส่เด็กนั่น เขาคงหลุดคำชมไปแล้ว

    ดังนั้นก่อนจะชมเขาต้องลงโทษก่อน!

    วินาทีที่ดนตร์ยังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็ประทับริมฝีปากลงไปเสียแล้ว กรณ์บดคลึงกลีบปากนุ่มหยุ่นด้วยความหมั่นเขี้ยวแกมหงุดหงิด แค่คิดว่าปากสวยๆ นี้ใช้พูดจากับคนอื่น หัวเราะกับคนอื่นเขาก็ทนไม่ได้ ชายหนุ่มเพิ่มน้ำหนักการรุกเร้า ใช้ฟันงับกลีบปากล่างอิ่มฉ่ำหนักๆ เป็นการลงโทษ ดนตร์ดิ้นอึกอักยกมือขึ้นยันหน้าอกเขาเอาไว้ เกร็งร่างไม่ให้ถูกรวบกอด กรณ์ผละห่างออกมาแต่เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็กลับลงไปใหม่ คราวนี้เขาสอดลิ้นเข้าไปด้วย

    อาการขัดขืนลดลงทีละน้อย ด้วยความสามารถและความชำนาญที่ต่างกัน ไม่นานร่างโปร่งก็อ่อนระทวย ซวนซบกับอก ดนตร์เงยหน้ารับจูบปรับหน้าให้ได้องศาที่เหมาะสม ลิ้นน้อยขยับตอบโต้กลับมา มือที่ยันเปลี่ยนเป็นโน้มเหนี่ยวต้นคอไว้ เพลิงอารมณ์ถูกจุดอย่างรวดเร็ว จูบลงโทษเลยกลายเป็นการถ่ายทอดอารมณ์แทน เสียงการเสียดสีของผ้าเหมือนเป็นเครื่องมือกระตุ้นอารมณ์ให้มากกว่าเดิม ดนตร์เผลอเบียดกายแนบชิด กรณ์ละมือจากกระจกมาวางลงที่บั้นเอวเล็กแทน นิ้วมือบีบนวดผิวเนื้อเนียนอย่างเพลินมือ

    นานจนอากาศลดน้อยลง กรณ์ถึงได้ปล่อยกลีบปากนุ่มให้เป็นอิสระ ดนตร์หอบหายใจจนหน้าแดง ริมฝีปากอิ่มบวมเห่อน้อยๆ ดวงตากลมฉ่ำปรือคล้ายกับจะยั่วกันให้ตบะแตก กรณ์นับหนึ่งถึงสิบอย่างอดกลั้น เขาไม่อยากร่วมรักกับดนตร์ที่หน้าห้องน้ำนี้ แม้ว่าส่วนกลางลำตัวจะปวดหนึบแค่ไหนก็ตาม

    “พี่...”

   “อย่าเพิ่งพูด” กรณ์ห้าม

   ดนตร์เองก็ทำตามอย่างว่าง่าย ทำแค่ซุกหน้าอยู่กับอกอุ่นเท่านั้น ความน้อยใจที่เห็นกรณ์กับรดามันหายไปตั้งแต่โดนปล้นจูบ เขาเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง ไม่ว่าจะเมื่อไรเขาก็ต่อต้านกรณ์ไม่ได้สักที...

*************************************

ขออภัยที่ล่าช้า เพราะคุณแม่เข้าโรงพยาบาลค่ะ
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 17 Be my baby [25/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-08-2017 18:06:53
Chapter 17 Be my baby


    ภายในรถ Toyota 86 สีแดงเพลิงที่บรรทุกผู้โดยสารไว้สามคน หนึ่งคือกรณ์ ผู้เป็นเจ้าของรถและทำหน้าที่สารถี ผู้โดยสารคนที่สองเป็นสตรีสาวสวยดีกรีระดับว่าที่นางเอก หล่อนนั่งเคียงข้างกับคนขับ และสามคือเด็กหนุ่มธรรมดาที่ถือครองที่นั่งเบาะหลังแต่เพียงผู้เดียว ทว่าด้านในรถมันไม่ได้กว้างขวางเหมือนรถยนต์เอนกประสงค์ เพราะรถยนต์รุ่นนี้เน้นสมรรถนะด้านความเร็วเสียมากกว่า ด้วยรูปทรงสปอร์ตที่เหมาะแก่การประชันความเร็วในสนามแข่งมากกว่าจะเป็นยานพาหนะทั่วไปบนท้องถนน

    ดนตร์ขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่เพียงแค่ห้องโดยสารที่คับแคบแต่ยังรวมไปถึงผู้ร่วมเดินทางสองคนที่ทำให้เขากลายเป็นคนนอกไปโดยปริยาย

    รดาตัวจริง ยิ่งในระยะห่างแค่หนึ่งช่วงแขนน่ารักเสียจนแทบลืมหายใจ เรือนร่างโปร่งบางเสียจนน่ากลัวว่าอาจจะถูกลมพัดปลิวไปได้ เส้นผมสีอ่อนหอมกลิ่นดอกไม้ยามที่เจ้าตัวสะบัดเคลื่อนไหว ชุดที่สวมใส่ก็หรูหราราคาแพง นั่นยังไม่รวมถึงกระเป๋า รองเท้าและเครื่องประดับอีกหลายชิ้น เรียกได้ว่าทุกอย่างบนตัวถ้าหากนับเป็นมูลค่าน่าจะพอๆ กับค่าเทอมของเขาเลยทีเดียว...แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาอยากจะกระโดดลงจากรถ

    หากแต่เป็นการสนทนาอย่างสนิทสนมและเป็นกันเองมากกว่า เสียงรดาเจื้อยแจ้วเหมือนนกตัวน้อยๆ เธอพูดคุยตอบโต้ได้อย่างน่าฟัง เช่นเดียวกับอีกคนที่ใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มลึก แม้ประโยคที่พูดจะไม่ได้ยาวนักแต่ก็กระชับได้ใจความ ไหนจะเสียงหัวเราะที่มีให้ได้ยินเรื่อยๆ นั่นอีก ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงทำให้เขาจับใจความถึงเรื่องที่ทั้งคู่พูดคุยกันได้ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับงานที่กำลังจะได้ทำร่วมกัน นิสัยใจคอของผู้ร่วมงาน โดยมีมุขตลกน่ารักๆ ของรดาแทรกมาให้หลุดขำได้เป็นระยะ

    ทว่าดนตร์กลับยิ้มไม่ออก ราวกับว่าปากของเขาถูกเย็บติดกันไปแล้ว

    ย้อนกลับไปเมื่อ สามสิบนาทีก่อน เขาถูกกรณ์พาออกมาจากห้องน้ำ แล้วบังคับให้กล่าวลาธาวิน จันทร์ทิวาและต้องตา ก่อนจะสั่งให้เขาไปรอที่รถ Toyota 86 สีแดงโดยไม่ลืมบอกหมายเลขทะเบียนรถมาด้วยพร้อมกับกุญแจ เป็นการบัญชาอย่างผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง ตอนนั้นพี่ธามพยายามจะคัดค้าน แต่กรณ์ไม่ฟังเสียง ผลักไหล่ให้เขาไปรอที่รถ คนอื่นๆ เลยได้แต่ส่งสายตาเห็นใจให้เท่านั้น

    จากนั้นไม่ถึงห้านาที เจ้าตัวก็ตามมาพร้อมกับรดา หล่อนดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเขายืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อรออยู่ แต่กรณ์คงอธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับตัวเขาไปบ้างแล้ว เลยไม่มีคำถามใดๆ เกี่ยวกับตัวเขาหลุดมาให้ได้ยินเลย

    ทั้งคู่เปลี่ยนเรื่องคุยขณะที่รถกำลังแล่นเข้าสู่ย่านกลางเมืองที่คึกคักที่สุด บริเวณนี้มีทั้งแหล่งชอปปิ้งที่ใหญ่ที่สุด สิ่งปลูกสร้างน่าตื่นตาตื่นใจ และมีที่พักที่มีราคาแพงที่สุดด้วยเช่นกัน รดาถามเกี่ยวกับการเรียนของกรณ์ เพราะเธอก็กำลังเรียนอยู่ชั้นปีเดียวกันแต่คนละคณะและต่างมหาวิทยาลัย แม้จะไม่อยากได้ยินบทสนทนาพวกนั้น แต่มันเลี่ยงไม่ได้เพราะนอกจากเพลงสากลที่เบาเสียยิ่งกว่าเสียงยุง ก็มีแต่เสียงของทั้งสองคนนี้เท่านั้น แถมสภาวะจิตของเขาก็แข็งจนเกินกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้

    แล้วช่วงเวลาที่น่าอึดอัดก็หยุดลงเมื่อรถยนต์จอดนิ่งที่หน้าคอนโดหรูหรา ภายนอกมันดูโอ่อ่าและใหญ่โต แถมสูงเสียดฟ้า รดากล่าวขอบคุณกรณ์ที่มาส่ง พร้อมกับชวนขึ้นไปดื่มชาที่ได้มาจากญาติผู้ใหญ่ทางตอนเหนือ และไม่ลืมปันน้ำใจมาถึงเขาด้วย

    ดนตร์ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็ภาวนาให้กรณ์ตอบรับไป เขาจะได้ใช้โอกาสนี้ขึ้นรถประจำทางกลับหอพัก ทว่าคำขอของชายผู้อับโชคไม่เคยเป็นจริง กรณ์ปฏิเสธคำชวนนั้นด้วยเช่นกัน รดาทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร หล่อนโบกมือลา อวยพรให้กรณ์โชคดี ก่อนที่รถจะเคลื่อนห่างออกมา

    เขายังนั่งอยู่ที่เดิม เพราะไม่มีคำสั่งจากเจ้าของรถ ซึ่งเขาก็เห็นดีด้วย การนั่งตรงนี้มันดีกว่าต้องไปนั่งทับที่ใคร!

    กรณ์ขับรถวกกลับไปยังเส้นทางเดิมเนื่องจากมหาวิทยาลัยของเขาอยู่ใกล้กว่าที่พักของรดา เจ้าของรถไม่ยอมคุยกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว ราวกับว่าไม่พอใจที่มีเขาอยู่ในรถด้วย ทั้งที่เขาไม่ได้อยากมาด้วยสักนิด ถ้าเลือกได้ขอนั่งรถไฟฟ้ากลับพร้อมกับต้องตาจะดีกว่า

   รถวิ่งไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ดนตร์แอบมองหน้าปัดแล้วก็อดตกใจไม่ได้ เข็มไมล์แตะเลย 140 กม./ ชม. ไปแล้ว ตั้งแต่คราวอริญชย์จนถึงเหตุการณ์แข่งรถทำให้เขากลัวความเร็วยิ่งกว่าเดิม เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดแถวข้างขมับทั้งที่อากาศเย็นเยียบ ร่างกายแข็งทื่อ มือหาที่ยึดโดยอัตโนมัติ ภาพในหัวย้อนไปในวันที่รถยนต์ของกรณ์หมุนคว้างกลางอากาศ สวดมนต์ภาวนาอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกเลย เขาไม่กล้าหันมองทิวทัศน์เหมือนตอนที่มีรดานั่งมาด้วย มันไหลผ่านไปเร็วเสียจนต้องหลับตาหนี พยายามห้ามจินตนาการไม่ให้เตลิดไปสู่ความน่ากลัว

    ชั่วอึดใจที่เขาทำใจกล้าลืมตาขึ้นมอง ความเร็วของรถยังไม่ลดลง เส้นทางการจราจรก็เป็นใจเสียเหลือเกิน ถนนโล่ง มีรถวิ่งสวนแต่ก็ไม่ได้ติดแหง็กเหมือนทุกที แถมต้นไม้ก็เยอะมากกว่าอาคารบ้านเรือน ร้านรวงต่างๆ หัวคิ้วกระตุกหงึก รู้สึกว่าแถวนี้ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ดนตร์เหลียวหน้าเหลียวหลังหันซ้ายมองขวาสลับกัน ใจหายหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นี่ไม่ใช่ทางไปมหาวิทยาลัย!

    “พี่จะไปไหนเหรอ ผมอยากกลับไปนอนแล้ว”

    “กลับบ้าน”

   “บ้านใคร นี่ไม่ใช่ทางไปมหา’ ลัยนี่นา” เขาแย้ง

    “บ้านฉัน”

   “ไปส่งผมก่อนได้ไหม หรือไม่ก็จอดให้ผมลงตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวผมหารถกลับเอง” ดนตร์บอก เดาไม่ออกว่า ‘บ้าน’ ที่กรณ์ว่าคือบ้านหลังนั้นที่เคยไปอยู่ด้วยกันหรือคอนโด แต่จากเส้นทางที่ไม่ชินตาเขาเดาว่าน่าจะเป็นข้อสันนิษฐานแรกมากกว่า

    กรณ์ไม่มีทีท่าจะทำตามอย่างที่เขาขอเลยสักนิด ความเร็วลดระดับลงเล็กน้อยเมื่อเข้าสู่แหล่งชุมชน บ้านหลังเก่าของกรณ์ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจุดที่ตั้งของมหาวิทยาลัย เขาจำได้เพราะคราวก่อนต้องนั่งรถหลายต่อกว่าจะถึงมหาวิทยาลัย

    เมื่อคำคัดค้านไม่เป็นผลเขาเลยจำใจต้องยอมสงบปากสงบคำ ความจริงการที่ต้องมานอนบ้านเก่าของกรณ์ก็ไม่เลวร้ายเท่าไรนัก ดีกว่าไปนอนบนเตียงแคบๆ ที่หอเสียอีก ดนตร์ผ่อนร่างลงกับเบาะพิงหลังจากนั่งเกร็งอยู่นานหลายสิบนาที กระทั่งรู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่คลายตัวลง รถ Toyota 86 ก็หยุดลง

    กรณ์เปิดประตูออกไปก่อน แล้วยืนรออยู่ตรงนั้น เขามุดตัวออกมาจากด้านหลังด้วยความทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะไอ้เจ้ารถสปอร์ตคันนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อผู้โดยสารคนที่สามหรือสี่ ขนาดคนที่สูงร้อยเจ็ดสิบห้าอย่างเขา หัวยังชนขอบประตูได้เลย นั่นหมายความว่ารถคันนี้มีขนาดเล็กมากจริงๆ และไม่เหมาะแก่การเอาเขาพ่วงติดมาด้วย แค่เจ้าของกับตุ๊กตาหน้ารถก็พอแล้ว!

    ดนตร์เหลือบมองร่างสูงในชุดสูทดูดี ก่อนจะกระชับเสื้อคลุมไหมพรมของตัวเอง พอเห็นสีหน้าที่ทำเหมือนแวมไพร์ไร้ความรู้สึกกับดวงตาสีดำสงบนิ่งของอีกฝ่ายก็อดเบ้ปากไม่ได้ ทำเป็นไม่แยแสเขาทั้งที่เป็นฝ่ายบังคับเขามาแท้ๆ ดนตร์ยักไหล่ เดินไปหยุดที่หน้าประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม

   คราวก่อนไม่ทันได้สังเกตว่ามันสีอะไร แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสีหลุดลอกไปเกือบหมดแล้ว ดีหน่อยที่เนื้อไม้ดีมันเลยยังทำหน้าที่ป้องกันได้อย่างดีเยี่ยม เขาปรับสายตาจนชินกับความมืดเลยพอเห็นหญ้าแห้งๆ กับต้นไม้ตายซากข้างบ้าน เพ่งสายตาอีกนิดก็เป็นแนวสันดินที่นูนขึ้นมา เดาว่าก่อนหน้านี้มันคงเคยเป็นแปลงดอกไม้มาก่อน แล้วถ้าสังเกตดีๆ มีสระเลี้ยงปลาเก่าๆ พังๆ อยู่ด้วย เมื่อหลายปีก่อนบ้านหลังนี้คงน่าอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายที่ถูกปล่อยให้กาลเวลาทำลายลงไป แล้วก็นึกแปลกใจตัวเองที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ในราตรีได้ทั้งที่ไม่มีแว่นตา แม้ภาพจะพร่าเลือนไปสักหน่อยแต่ก็มองออกว่ามันมีรูปร่างเป็นอย่างไร

    “หลบหน่อย”

   ดนตร์ย่นจมูกให้กับคนที่กำลังไขกุญแจ ไม่นึกเห็นใจสักนิดที่เจ้าตัวต้องต่อสู้กับความมืดเพื่อหารูไข ไม่คิดแม้แต่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาช่วยให้แสงสว่างด้วย เขายกมุมปากน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงสบถไม่พอใจจากคนตัวสูง หลังจากทนฟังเสียงก๊องแก๊งอยู่นานเกือบห้านาที บวกกับสายตาที่ชินกับความมืดแบบที่ไม่ต้องเปิดไฟก็เดินไม่ชนกับอะไรได้ ที่สุดประตูไม้ก็เปิดออก กรณ์พ่นคำหยาบคายออกมาสองสามคำก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน

    กรณ์สามารถหาสวิตช์ไฟได้อย่างแม่นยำเพราะสายตาปรับเข้ากับความมืดได้ดีเท่าๆ กับสัตว์กลางคืนไปแล้ว แต่เมื่อโคมระย้าเก่าแก่บนเพดานทำงานก็ทำให้การมองเห็นแย่ลงในทันที ดนตร์รีบหลับตาหลบแสงจ้า ใต้เปลือกตาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนมีใครมาจุดพลุเล่น เขาใช้นิ้วขยี้หัวตาเพื่อช่วยเร่งให้อาการดีขึ้น ทว่าข้อมือกลับถูกยึดเอาไว้

    “เดี๋ยวตาก็ช้ำหมดพอดี”

   เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นใกล้ๆ ดนตร์เปิดตาขึ้น ภาพที่เห็นครั้งแรกพร่าเลือนไม่เป็นรูปร่าง จากนั้นมันก็ค่อยๆ ประกอบเข้าด้วยกัน เขาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของกรณ์เต็มสองตา ชนิดที่ไม่เหลือพื้นที่ใดๆ เป็นพื้นหลังเลย ใกล้เสียจนปลายจมูกชิดกัน กระทั่งเห็นหน้าของตัวเองในแก้วตาสีนิล ดนตร์ผงะไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ

    “เป็นบ้าอะไร นอนกันมาตั้งกี่รอบแล้วยังจะทำเป็นสาวน้อยขี้กลัวอยู่อีก”

    “ปากหมา!” ดนตร์หลุดปากตอบกลับไป แล้วก็ต้องรีบยกมืออุดปากตัวเอง เขากำลังหาเรื่องให้หัวหลุดจากบ่า

    หัวคิ้วของกรณ์ขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ ส่งสัญญาณไม่ปลอดภัยออกมา ดนตร์มองหาทางรอด ข้อมือถูกยึดไว้ก็จริงแต่ไม่แน่นนัก ถ้าออกแรงบิดหน่อยก็น่าจะหลุดแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำอะไรอ้อมแขนแข็งแรงก็ตวัดรัดร่างไว้เสียแล้ว

    “หมู่นี้ชักจะปากดีใหญ่แล้วนะเพลง หรือคิดว่าได้เป็น ‘คนของฉัน’ แล้วมันเลยทำให้นายได้ใจ”

    “ใครเป็นคนของพี่วะ! มั่ว!”

    กรณ์ทำเสียงขึ้นจมูก กระชับท่อนแขนให้แน่นกว่าเดิม สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากลูกหนูตัวน้อยที่กำลังจะตกเป็นเหงื่อของงูเหลือมยักษ์ ระยะห่างของใบหน้าสั้นลงเรื่อยๆ ลมหายใจอุ่นๆ ลอยอ้อล้ออยู่ที่ผิวแก้ม ดนตร์พลิกหน้าหนีไปทางซ้าย ลมอุ่นที่มีกลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ ก็ตามมา หันไปขวาก็ยังตามมาอีก แถมซ้ำร้ายลมนั่นมันกำลังไล้เลียอยู่ที่ซอกคออีก   “ทำไมถึงไปกับไอ้ธาม บอกแล้วไงว่าไม่ให้ไปไหนมาไหนกับมัน เป็นปลาทองหรือไงความจำถึงได้สั้นนัก” เสียงเอ็ดดังอยู่แถวกกหู ดนตร์ย่นคอหนี ขนอ่อนในกายลุกฮือ ไขสันหลังเสียววาบพาลให้แข้งขาอ่อนแรง...ใบหูเป็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของเขา!

    ขณะที่กำลังจะอ้าปากอธิบาย ไอเย็นจากบางอย่างก็แตะลงที่ปลายติ่งหู เท่านั้นทั้งความคิดและคำพูดทุกอย่างก็เลือนหาย เขาตัวอ่อนยวบ ยอมให้คนตัวใหญ่กว่ากอดไว้โดยไร้การขัดขืน

    เขาเกลียดความชำนาญกรณ์...แต่ที่เกลียดยิ่งกว่าคือความอ่อนไหวของตัวเอง!

    “ฉันถามทำไมไม่ตอบล่ะ”

    “ปล่อยก่อนได้ไหมล่ะ กอดแบบนี้ผมหายใจไม่ออก”

   คิ้วหนายกสูงแต่อ้อมแขนยังไม่มีทีท่าว่าจะคลายออกแม้แต่น้อย ลมหายใจอุ่นอ้อยอิ่งอยู่ที่ต้นคอไล่มาถึงใบหู บางจังหวะเขาก็รู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นปนชื้นที่แตะลงมา จังหวะหัวใจเขาเต้นระห่ำขณะที่การหายใจเริ่มมีปัญหา ดนตร์ค่อยๆ รวบรวมสติ ทวนคำถามแล้วค่อยเค้นคำตอบออกไป

    “เขาชวน...มีพี่ทิวไปด้วย ผมเลย...ไม่ปฏิเสธ” คำพูดของเขาขาดห้วง ระหว่างที่ลำคอถูกรุกรานอย่างหนัก ลิ้นเปียกเย็นลากแผ่วๆ จากรอยต่อของหัวไหล่ขึ้นไปจนถึงใบหู ขนในกายลุกชันซ้ำแล้วซ้ำเล่าโลกใต้เท้าโคลงเคลง จนเผลอยกมือยึดเสื้อเนื้อหนาแต่นุ่มไว้

    “แล้วยัยเด็กต้องตานั่นหละ...ชักจะหว่านเสน่ห์เกินไปแล้วนะ ไอ้ตัวยุ่ง” เสียงทุ้มเพราะๆ ดังใกล้เหลือเกินราวกับมันเป็นอากาศที่ดูดเข้ามาในตัวเขา

    “บังเอิญ..” เขาตอบ รู้สึกถึงเสียงที่เบาหวิว

    “ความบังเอิญไม่มีในโลกหรอก รู้ไหม”

     สมองสั่งการได้ช้าลง แต่ร่างกายกลับรู้สึกไวขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว โชคดีที่กรณ์ไม่ได้ถามอะไรอีกคงรู้ว่าเขาไม่มีกะจิตกะใจจะตอบคำถามอีกได้

    กรณ์ดันร่างเขาไปชิดกับขอบหน้าต่าง ลมหายใจเป่ารดรินใส่กันละกัน สองสายตามองสบประสาน ต่างเป็นภาพของตัวเองในกระจกตาของอีกฝ่าย คำพูดกลืนหายไปอยู่ในคอ กรณ์กดริมฝีปากทาบลงบนกลีบปาก ดูดกลืนความนุ่มหยุ่นจนหนำใจ แล้วค่อยสอดลิ้นเข้าไปควานล้อหยอกเย้า คนอ่อนประสบการณ์ตัวอ่อนราวกับเป็นร่างไร้กระดูก ทอดกายในอ้อมแขน แถมยังปรับศีรษะตอบรับจูบหวานกำซ่านแต่ก็เรียกร้องอยู่ในที เรียวลิ้นทั้งสองเกี่ยวพันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนเมื่อรู้สึกถึงอากาศในปอดที่ลดน้อยลง กรณ์ถึงได้ยอมเป็นฝ่ายล่าถอยไป ไม่ใช่เพราะยอมแพ้แต่ไม่อยากให้เด็กแถวนี้ขาดใจเสียก่อน

    ทั้งสองต่างรู้ดีว่าต้องการอะไร เสื้อผ้าถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเท่ากัน ดนตร์ห่อตัวหันหน้าหนี เมื่อไม่อาจทนต่อสายตาลามเลียของกรณ์ได้ ขาเรียวยกขึ้นไขว้กันเพื่อปกปิดสัดส่วนน่ารัก กรณ์ไม่รอให้เสียเวลา ร่างสูงใหญ่เข้ารวบร่างโปร่งเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะระดมจูบไปทั่วทุกที่ที่ทำได้ มือหนาเลื่อนลงเบื้องล่าง รูดเร้าด้านหน้าปลุกเร้าเจ้าของอีกทาง ดนตร์ตัวอ่อนไปหมดไม่ว่าจะจับพลิกไปทางไหนเจ้าตัวก็ไม่ขัดขืน กรณ์งับที่ปลายติ่งหูเบาๆ ด้วยอดมันเขี้ยวไม่ได้ เจ้าตัวยุ่งครางผะแผ่ว ยกมือขึ้นเหนี่ยวต้นคอหนาไว้แน่น

    หลังจากปรนเปรอส่วนหน้าให้แล้ว มือหนาก็เลื่อนเลยไปด้านหลัง ก้านนิ้วยาวจุ่มจ้วงลงสู่ความคับแน่นร้อนจัด ดนตร์ขยับตัวอย่างอึดอัด พลางแยกขาเล็กน้อย จากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง กรณ์หมุนควานนิ้วในโพรงร้อนอย่างชำนาญ กระทั่งความฝืดเคืองลดน้อยลงถึงได้จับข่งน้อยของตัวเองจดจ่อกับปากทางสีสด ขณะที่มืออีกข้างยกขาขาวเกี่ยวเอวของตัวเองเอาไว้

    ดนตร์เบ้หน้าเพราะส่วนปลายแข็งและร้อนจัดกำลังจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น ด้วยความใหญ่โตบวกกับด้านหลังของเขาที่แคบเกินไปทำให้กรณ์ไม่อาจผ่านเข้ามาได้ง่ายๆ

   “เจ็บเหรอ” กรณ์เงยหน้าขึ้นถาม ดวงตาคมมีแววตื่นตกใจเล็กน้อย ก่อนจะใช้ริมฝีปากจูบเบาๆ ที่หางตา ถึงตอนนี้ดนตร์เพิ่งรู้ว่ามันเจ็บจนน้ำตาไหล

    ท่วงท่านี้คงไม่เหมาะสมนัก กรณ์เลยใช้กำลังที่มากกว่า โอบเอวเล็กแล้วออกแรงยกร่างของดนตร์วางบนขอบหน้าต่าง ก้นกลมทับบนขอบวงกบได้พอดี ชายหนุ่มช้อนข้อพับของเขาทั้งสองข้างแล้วยกสูง จนสะโพกมนลอยเด่น แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างสาดกระทบกับผิวขาวเนียนยิ่งดูผ่องลออตาไปหมด กรณ์จำไม่ได้ว่าเคยชมผิวของดนตร์ไปกี่ครั้ง แต่ไม่ว่าจะครั้งไหนก็ยังหลงใหลคลั่งไคล้ได้เสมอ ดนตร์เป็นคนที่มีผิวสวยมากจริงๆ เนียนใสไร้ตำหนิ คงมีแค่ที่ผิวแก้มเท่านั้นที่เห็นรอยกะจางๆ แต่ก็น้อยเสียจนแทบจะกลืนหายไปกับผิว ต้องเพ่งใกล้ๆ

    ยิ่งกว่าผิวขาวเขายังรักในรสหวานอ่อนๆ และกลิ่นนมที่หาที่มาไม่ได้ เขามั่นใจว่าเจ้าตัวไม่ได้ปะพรมน้ำหอมยี่ห้อดังที่ไหน ใช้แค่โรลออนธรรมดาเท่านั้น กรณ์จับเนื้อร้อนของตัวเองประชิดที่ปากทางสีสดอีกครั้ง ด้วยท่วงท่านี้ทำให้เขาสามารถดันส่วนปลายเข้าไปได้ดีกว่าเมื่อครู่ ดนตร์ผวากอดรัดรอบคอเขาเอาไว้เหมือนลูกลิง ท่อนขาขาวเกี่ยวกระหวัดรอบเอว ผนังร้อนดูดกลืนตัวตนเขาไปเรื่อยๆ จนมิดเม้น ดนตร์ตัวสั่นกอดเขาไว้แน่นกว่าเดิม เสียงครางกับเสียงลมหายใจกระชั้นยิ่งกระตุ้นให้เขาตื่นเร้า

    กรณ์ข่มความต้องการที่ปะทุถึงขีดสุดของตัวเองเอาไว้ เขาต้องห้ามไม่ให้กระชากกายเข้าออกในความคับแน่นนั้น หน้าท้องปวดหนึบระหว่างที่รอให้ภายในปรับสภาพได้ จากนั้นก็ถอยออกมาจนเกือบสุดเหลือแค่ส่วนปลายไว้ จากนั้นก็ดันสะโพกกลับเข้าไปใหม่ ระหว่างพวกเขาน้อยครั้งนักจะใช้เครื่องป้องกันเพราะมันไม่ทันใจและเพราะมั่นใจว่าดนตร์เป็นของเขาแค่คนเดียว ส่วนเขาระยะนี้ก็เสพติดร่างกายของอีกฝ่ายจนไม่อาจทำกับใครได้

    สะโพกแกร่งขยับเคลื่อนไหวเข้าออกเป็นจังหวะอย่างเชื่องช้าในนาทีแรก ก่อนที่ความเร็วจะเพิ่มขึ้นในนาทีต่อมา ดนตร์ครางกระเส่า เผลอสวนสะโพกกลับมาหลายครั้ง ก้นกลมขาวผ่องลอยเหนือวงกบหน้าต่าง รู้สึกเจ็บนิดๆ เมื่อต้องกดทับ จนต้องใช้ขาเกี่ยวเอวสอบเอาไว้ มือทั้งสองเหนี่ยวรัดลำคอแข็งแรง เรียกว่าฝากทั้งร่างให้กรณ์ดูแล

    คนตัวสูงกว่า ใหญ่กว่า หนากว่าและแข็งแรงกว่า ช้อนใต้หัวเข่าประคองร่างโปร่งเอาไว้ ด้วยท่านี้ทำให้ส่วนนั้นตอกล้ำลึกกว่าที่ผ่านมา ดนตร์ร้องครวญครางไม่หยุด ความเจ็บเสียดแกมเสียวกระสันไล่ไปตามแนวกระดูกสันหลัง หน้าท้องปวดหน่วง เป็นท่าร่วมรักที่เขาเพิ่งริลอง มันเร่าร้อนเสียจนควบคุมตัวเองไม่ได้ กรณ์ก้าวเดินทั้งที่ยังสอดใส่และอุ้มประคองดนตร์อยู่อย่างนั้น และวางอีกฝ่ายลงเมื่อถึงโต๊ะสูงแค่เอวที่มีผ้าสีขาวคลุมอยู่ ชายหนุ่มยกขาเรียวขึ้นพาดกับหัวไหล่ตัวเองแล้วโหมสะโพกใส่อย่างไม่ถนอมแรง ดนตร์ผ่อนร่างลงปล่อยให้เขารุกรานรุนแรงอย่างไร้การทัดทาน มือใหญ่กร้านเคล้นบนแผ่นอกแน่น ด้านหน้าน่ารักของดนตร์แข็งชูชันอวดขนาดและสีที่น่ารักเหมือนเจ้าของ กรณ์กุมมือกับส่วนนั้นแล้วรูดรั้งตามจังหวะการเข้าออกของสะโพก ไม่กี่อึดใจน้ำขุ่นก็พุ่งทะลักไหลเต็มฝ่ามือ

    กรณ์ก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มแดงหนักๆ สอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดเพื่อลดความเสียวที่หน้าขาลง เสียงลมหายใจประสานกับการเคลื่อนไหวของส่วนล่างเป็นท่วงทำนองเร้าใจ ชายหนุ่มขยับสะโพกเร็วๆ หนักๆ อีกไม่กี่ครั้ง ก็คำรามลั่น ความเสียวสุดใจทำให้เผลอกัดริมฝีปากล่างของคนใต้ร่างระหว่างที่ปลดปล่อยภายใน

    ทั้งคู่ประสานสายตากัน มีแววเหนื่อยอ่อนให้เห็นขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็ชัดเจนขึ้น กรณ์กอดร่างเล็กไว้แน่น พรมจูบเส้นผมหอม ความผูกพันทางร่ายกายมันเชื่อมโยงไปถึงหัวใจ ระหว่างเขากับดนตร์ไม่ใช่คู่ขาแต่มันคือคู่รัก

    ...เขารักดนตร์เข้าเสียแล้ว...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 15 คำขอร้อง... [25/07/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-08-2017 18:10:49
          เจ้าของกระเป๋าใบใหญ่ทั้งสามใบ ทำหน้าย่นมู่ทู่เหมือนโดนบังคับให้กินยา ดวงตากลมไร้แว่นเพราะถูกคนบ้าอำนาจหักไปเมื่อหลายวันก่อนเฝ้ามองกระเป๋าพวกนั้นลำเลียงเข้าสู่ตัวบ้าน แม้จะคัดค้าน ต่อต้าน อ้อนวอน ขอร้อง อ้างเหตุผล หรือจะชักแม่น้ำทั้งห้า แต่สุดท้ายของที่อยู่ในหอพักนักศึกษาก็ลงไปอยู่ในกระเป๋าทั้งสามใบอยู่ดี

    กรณ์บังคับให้เขามาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้หลังจากคืนนั้นสำเร็จโทษเขาไปหลายยก ตั้งแต่ห้องโถงขึ้นไปห้องน้ำและจบลงที่เตียง พอลืมตาก็เข้าสู่วันใหม่แล้วจากนั้นเขาก็ได้ยินคำสั่งสายฟ้าฟาด

    “ไปเก็บของแล้วมาอยู่ด้วยกันที่นี่”

    เขาปฏิเสธในทันทีที่ได้ยิน แต่มันไม่เคยได้ผลเพราะกรณ์มีความเอาแต่ใจและเผด็จการพร้อมบ้าอำนาจอยู่เต็มเปี่ยม เขาเลยต่อรองขอมาอยู่แค่ช่วงวันหยุด ทว่ากรณ์ก็ยังไม่ยอม หนักเข้าก็ขู่ถึงขนาดจะโทรไปหาพี่สาวของเขาเพื่อบอกว่าเขากับกรณ์เป็นอะไรกัน เมื่อมีครอบครัวมาเป็นเงื่อนไขเขาเลยจำใจต้องขนข้าวของมาอยู่ที่บ้านของกรณ์ ซึ่งก็ไม่ใช่หลังไหน ก็บ้านหลังเดิมที่เคยมาเยือนแล้วสองครั้ง

    กรณ์ให้เวลาเขาจัดการกับข้าวของส่วนตัวอยู่สองวัน โดยระหว่างนั้นเจ้าตัวก็บูรณะบ้านหลังเก่าให้มีสภาพพร้อมอาศัยได้ในระดับหนึ่ง พงหญ้าแห้งๆ ถูกแพ้วถางจนเตียน และมีดอกไม้ที่พร้อมจะลงปลูกกองอยู่หลายต้น ต้นไม้ตายซากก็ไม่มีเหลือแม้แต่ตอให้เห็น ตัวบ้านด้านนอกยังมีความทรุดโทรมอยู่ แต่ด้านในได้รับการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ใหม่หลายชิ้นรวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างจะครบครัน ทว่าที่ทำให้เขาพอจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างก็คงจะเป็นห้องครัว กรณ์ซื้ออุปกรณ์ทำครัวมาแทบจะครบทุกอย่าง มีแม้กระทั่งเตาอบขนมเค้ก

    “ฉันชอบกินแบบโฮมเมดน่ะ”

    เจ้าตัวบอกแบบนั้นตอนที่เขาทำตาโตแล้ววิ่งไปลูบๆ คลำๆ เตาอบ ก่อนที่จะถูกบังคับให้เลิกทำพาร์ทไทม์ เขาได้สูตรเค้กเจ๋งๆ มาจากพี่พาย แถมวิธีการชงกาแฟสดอีกต่างหาก เรียกได้ว่าถ้าอยู่ทำงานอีกสักสองสามเดือนบวกกับอาศัยครูพักลักจำสักหน่อยเขาก็สามารถเปิดร้านกาแฟได้เลยทีเดียว แต่ก็อย่างว่ามันเป็นได้แค่ฝัน จะเอาทุนรอนมาจากไหน

    กระเป๋าสามใบ ถูกลำเลียงขึ้นไปด้านบนด้วยน้ำแรงจากเจ้าของบ้านสองใบ และจากเขาเองหนึ่งใบ ห้องนอนที่เคยมีแค่เตียงกว้างๆ บัดนี้มีทั้งโคมไฟ ลิ้นชัก ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง กระจกบานใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์และโต๊ะสำหรับทำงานของกรณ์ด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นห้องที่พร้อมใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะเตียงขนาดคิงไซส์ที่มีการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเป็นสีแดงดำ มันเร่าร้อนเสียจนไม่กล้าลงไปนอน จู่ๆ หน้าเขาก็อุ่นซ่านขึ้นมาเมื่อคิดว่าต้องนอนร่วมเตียงกับกรณ์ ที่ผ่านมาพวกเขานอนด้วยกันแค่ข้ามคืน แต่จากนี้ไปจะต้องนอนด้วยกันทุกคืน ที่ร้ายที่สุดคือกรณ์ไม่ได้แค่นอนอย่างเดียวแน่

    “ทำไม เห็นแล้วอยากลงไปนอนเหรอ” ดนตร์หันไปย่นจมูกใส่คนพูด เจ้าตัวกอดอกยิ้มกวนๆ มาให้ “เสื้อผ้านายไม่เยอะ แขวนรวมกันได้ แต่ถ้ามันเพิ่มขึ้นค่อยซื้อใหม่”

    “พับใส่ตะกร้าเอาก็ได้” เขาบอก แล้วก็จริงอย่างที่กรณ์พูด เสื้อผ้าของเขามีไม่กี่ตัว เขาไม่ใช่เจ้าพ่อแฟชั่นจ๋าเหมือนกรณ์ที่จะมีสะสมครบทุกคอลเลกชันแถมแต่ละตัวยังเป็นแบรนด์ระดับโลก แค่เสื้อยืดธรรมดายังตัวละหลายพัน ราคาพอๆ กับค่ากินทั้งเดือนของเขาเลยทีเดียว

    “แขวนๆ ไปเถอะน่า แบ่งที่ไว้ให้แล้ว” เจ้าของบ้านผู้แสนใจดีสั่ง เขาเลยจำใจต้องดึงเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าแล้วลงมือจัดเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ ไปเงียบๆ

   ระหว่างที่จัดของกรณ์ก็หายไป แต่ก็ไม่ได้น่าตกใจนักเพราะหนุ่มนักออกแบบไปขลุกตัวอยู่ในห้องติดกัน เขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของอุปกรณ์เบาๆ คิดว่ากรณ์คงเร่งทำงานส่งอาจารย์เพราะใกล้สอบเข้ามาทุกที ไม่ใช่แค่รุ่นพี่ปีสามแต่น้องปีหนึ่งอย่างเขาด้วย หนังสือที่พยายามอ่าน เข้าหัวมาได้แค่ 30% เท่านั้น แถมยังโดนรบกวนจากสารพัดเรื่องที่เข้ามาอีก

    พอจัดโน่นนี่ลงตัวก็ต้องแผ่ตึงบนพื้นพรมนุ่มๆ รู้สึกล้าที่ตากลมน้อยเพราะยังไม่ชินกับการใส่คอนแทคเลนส์ กรณ์แสดงความรับผิดชอบที่เป็นคนหักแว่นเขาทิ้งด้วยการพาเข้าร้านแว่น บังคับให้วัดค่าสายตา เลือกสีคอนแทคเลนส์ พนักงานสอนวิธีการใส่และถอดให้ วันแรกที่ใส่เขาต้องพึ่งน้ำตาเทียมอยู่หลายครั้งเพราะไม่ชิน วันนี้ดีขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ยังต้องหลับตาอยู่หลายครั้ง
 
    จ๊อก~

   ดนตร์สูดปากครวญ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เกือบจะเที่ยงแล้วแต่เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้าเพราะโดนลากออกมาจากหอตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมง เขายันตัวขึ้นลงไปที่ห้องครัว จำได้ว่าในตู้เย็นใบใหม่เอี่ยมมีของสดของแห้งบรรจุไว้เต็มเปี่ยม

    มื้อเที่ยงถูกปรุงง่ายๆ เป็นเมนูเกี๊ยวหมู เขาได้สูตรหมักหมูมาจากพี่สาว แค่เอาหมูบดผสมกับซอสปรุงรส กระเทียมสับละเอียด พริกไทย และแป้งข้าวโพดนิดหน่อย ขย้ำๆ ให้เข้ากัน ทิ้งไว้สักพัก ระหว่างนั้นก็ทำน้ำซุป โชคดีที่กรณ์รอบคอบซื้อผงน้ำซุปแบบสำเร็จรูปเอาไว้หลายรส เขาเลือกใช้รสหมู ใช้ไฟอ่อนๆ ต้มน้ำ พอหมูได้ที่ก็ปั้นใส่แผ่นเกี๊ยว มีผักกวางตุ้ง แครอทหั่นเป็นรูปดาว ช่วยเพิ่มสีสัน ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงและอดทนกับเสียงร้องของท้อง ก็ได้เกี๊ยวหมูสีเหลืองสำหรับสองที่ ส่วนเจ้าของบ้านก็จมูกดียิ่งกว่าบลัดฮาวน์หมาแกะรอยเสียอีก เพราะทันทีที่เกี๊ยวสุก กรณ์ก็ลงมารอที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว

    ท่าทางกรณ์จะหิวกว่าเขาหลายเท่า แค่เอาถ้วยเกี๊ยวมาวางตรงหน้าก็สวาปามโดยไม่รอให้เย็นลง ไม่เติมเครื่องปรุงด้วยซ้ำ กินไปก็บ่นว่าร้อนบ้าง ลิ้นพองบ้าง เขาได้แต่ส่ายหัวและคอยหลบไม่ให้ตะเกียบจากฝั่งตรงข้ามทิ่มลงมาในถ้วยของตัวเอง ไม่ถึงสิบนาทีดี เกี๊ยวก็หมดเรียบ เขามีนมเป็นของหวานตบท้ายให้ตัวเองและกาแฟดำให้กรณ์ ไม่ได้รู้หรอกว่าคนตัวสูงชอบกินกาแฟดำ แต่เป็นคำสั่งที่ได้รับมาเมื่อเขาเดินมาเทนม

    “ฉันมีถ่ายแบบตอนบ่ายสอง”

   ถ่ายแบบ? เขาพยักหน้าหงึกหงัก คงเป็นงานที่ทำร่วมกับรดา คืนนั้นที่ทั้งคู่คุยกันถึงคอนเซ็ปต์แบบคร่าวๆ กับสถานที่ ซึ่งก็เป็นสตูดิโอแถวลาดพร้าว ไกลจากที่นี่พอสมควร

    “ไม่ได้ยิน?”

    เขาเหลือบมองคนพูด “ได้ยิน”

   “ได้ยินแล้วทำไมไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

   “เปลี่ยนเสื้อผ้า...ทำไม?”

    “ก็ไปด้วยกัน ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง ไม่อยากให้อยู่คนเดียว” กรณ์บอก จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตว่าเสื้อตัวเดิมที่ใส่เมื่อเช้าถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีดำยี่ห้อดัง กางเกงวอร์มเนื้อดี เขาเห็นเสื้อฮู้ดสีเดียวกันพาดอยู่ที่พนักพิงเก้าอี้ด้วย กรณ์คงพร้อมไปทำงานแล้ว...ซึ่งก็ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกับเขาตรงไหน

   “ผมอยู่ได้ อยากอ่านหนังสือด้วย”

    “เอาไปอ่านที่โน่น ให้เวลาสิบห้านาที ถ้าช้าจะขึ้นไปช่วยเปลี่ยน”

   เมื่อไม่เคยทัดทาน คัดค้าน หรือโต้แย้งอะไรได้ สุดท้ายเขาก็ต้องมากับกรณ์จนได้ สถานที่ที่รถ Toyota 86 มาหยุดคือสตูดิโอขนาดใหญ่กลางเมือง มีการแบ่งสัดส่วนการใช้งานอย่างชัดเจน ห้องที่กรณ์ทำงานอยู่ส่วนท้ายๆ มีทีมงานมาเตรียมสถานที่ จัดฉาก ยกของ เดินวุ่นไปหมด ดนตร์เดินตามว่าที่นายแบบไปอย่างงงๆ แต่ขณะเดียวกันก็อยากรู้อยากเห็นไปด้วย เพราะเรียนในสายนิเทศน์ดังนั้นงานพวกนี้มันน่าสนใจสำหรับเขาไม่น้อย บางอย่างมันหาไม่ได้จากหน้ากระดาษแต่ต้องลงมือทำเองต่างหาก

    กรณ์เข้าไปในฉากที่กั้นไว้สำหรับแต่งหน้าและทำผม เขาถูกห้ามไม่ให้ตามเข้าไป กรณ์ทำท่าจะขอให้เขาเข้ามา แต่เขายินดีที่จะรอด้านนอก จะได้ใช้โอกาสนี้สำรวจและศึกษาวิธีการทำงานไปด้วยในตัว

   ดนตร์ผงกหัวเบาๆ ตามจังหวะเพลงสากลที่เปิดเพื่อช่วยเพิ่มสีสันในการทำงาน เขาไปด้อมๆ มองๆ อยู่แถวที่ตั้งกล้อง มันมีสายต่อที่เชื่อมเข้ากับโน้ตบุ๊กเพื่อให้เห็นภาพถ่ายที่ชัดเจน ของประกอบส่วนใหญ่เป็นดอกไม้โทนสีน้ำตาลและชมพู แสดงถึงความรักของหนุ่มสาว เขาเห็นรดาเดินผ่านและหายเข้าไปในห้องฉากกั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุย ทักทายอย่างเป็นกันเอง ดนตร์ถอนหายใจหนักๆ รู้สึกปวดหน่วงในหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามไม่คิดมาก...แต่มันยากจริงๆ เขาไม่อาจหักห้ามความคิดของตัวเองได้ ไม่อาจหยุดภาพการหยอกล้อของคนทั้งคู่ได้

    “อ้าว! เพลงทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

   ความคิดดำดิ่งสะดุดกึก ดนตร์มองหาเสียงทักทาย แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของคนรู้จัก

    “พี่รัน!”

    อริญชย์อยู่ในชุดลำลองแต่เป็นแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งแว่นตาสีดำที่เกี่ยวอยู่ที่คอเสื้อยืดสีเดียวกันยี่ห้อดัง กางเกงยีนส์ขาดอย่างมีสไตล์ รองเท้าหนังสีน้ำตาล รุ่นพี่หนุ่มตัวสูงฉีกยิ้มให้เขา ดวงตาเรียวแต่คมดุมีแววประหลาดใจแกมดีใจ ขณะมาหยุดอยู่ตรงหน้า

    “นายมาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่าหลงมา” ดนตร์ส่ายหน้า สายตาเหลือบไปยังฉากกั้นที่ยังมีเสียงพูดคุยปนหัวเราะให้แสลงใจ อริญชย์มองตาม คิ้วหนาขมวดน้อยๆ “มองอะไร ตรงนั้นมีอะไรเหรอ”

    “ผมมากับพี่กรณ์ครับ” อริญชย์หลุดร้องอ๋อ พยักหน้าเข้าใจโดยไม่ถามอะไรต่อ ราวกับไร้ข้อสงสัยใดๆ อีก “แล้วพี่รันล่ะครับ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”

    อริญชย์ยิ้มมุมปาก ปรายตายังที่ตั้งกล้อง “มาฝึกงานน่ะ”

    “ฝึกงาน?”

   “ใช่...มาดูนี่สิ”

    อริญชย์ใช้มือโอบรอบหัวไหล่ของเขาอย่างสนิทสนม พาเดินมาที่กล้อง เขาเพิ่งเห็นว่าตอนนี้มีผู้ชายไว้หนวดเครารุงรังอยู่ด้วย ชายคนนั้นเหลือบมาทางพวกเขาเล็กน้อย ดวงตาสีสนิมติดเคร่งเครียดขณะเดียวกันก็มีแววอ่อนโยนอยู่ในที

    “นี่อาใหญ่ เป็นช่างภาพอันดับต้นๆ ของไทยเชียวนะ นายเคยได้ยินชื่อของพี่เขาหรือเปล่า”

    ดนตร์ส่ายหน้าอีกรอบ เขาไม่ได้คร่ำหวอดในวงการภาพถ่าย ถ่ายรูปก็ไม่เป็น เซลฟี่ตัวเองก็ยังแย่แล้วจะไปรู้จักอาใหญ่คนนี้ได้อย่างไร

    อริญชย์เลยอธิบายว่าอาใหญ่เป็นช่างภาพที่รับถ่ายภาพนิ่ง ผลงานของอาใหญ่ปรากฏอยู่ในนิตยสารชื่อดังหลายเล่ม เป็นหนึ่งในช่างภาพที่มีค่าตัวแพงที่สุดคนหนึ่ง แต่ผลงานที่ได้คุ้มยิ่งกว่า ดารานักร้องหลายคนมีชื่อเสียงมากขึ้นถ้าหากอาใหญ่เป็นคนถ่ายภาพให้ นิตยสารต่างพากันแย่งตัว แถมคิวยังยาวไปถึงกลางปีหน้าอีกด้วย อริญชย์เล่าขณะที่อาใหญ่ยุ่งอยู่กับการเช็คกล้อง

    “แล้วพี่รันรู้จักกับเขาได้ยังไงล่ะครับ”

    “ก็เพราะว่ามันเป็นหลานของฉันน่ะสิ” อาใหญ่ตอบโดยไม่ได้หันมามองพวกเขาเลย

    “อาใหญ่ มีศักดิ์เป็นอาของฉันเอง” อริญชย์ขยายความ “แต่คนละแม่กัน คุณปู่เจ้าชู้มากมีเมียรอบเอวได้เลยมั้ง”

    รุ่นพี่หนุ่มพูดติดตลก ไม่คิดว่าการที่ปู่ของตัวเองมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องน่าอายหรือเศร้าอะไร ส่วนที่บอกว่ามาฝึกงานเพราะจู่ๆ เจ้าตัวก็เกิดสนใจงานถ่ายภาพขึ้นมา เลยขอติดตามผู้เป็นอามาด้วย อริญชย์แนะนำถึงวิธีการถ่ายภาพให้ออกมาสวยคร่าวๆ เทคนิคการจัดแสง จุดโฟกัสและธีมที่ใช้ในการถ่าย ซึ่งวันนี้เป็นความรักของวัยหนุ่มสาว ที่ทั้งอ่อนหวาน โรแมนติกและเซ็กซี่น้อยๆ เห็นได้จากการใช้สีแดงเป็นตัวเสริม

    ดนตร์นั่งฟังเพลิน สอบถามบ้างเมื่อมีข้อสงสัย แถมยังได้ความรู้เรื่องการทำงานในวงการนิตยสารจากอาใหญ่อีกด้วย การได้พูดคุยกับสองอาหลานทำให้ลืมเรื่องปวดหน่วงในอกไปได้ ทว่าเมื่อกรณ์ออกมาจากฉากกั้นความคิดของเขาก็ดำดิ่งลง

    กรณ์ดูดีเหมือนคุณชาย เสื้อสูทพอดีตัวสีเข้ม กับกางเกงสีขาวเน้นช่วงขายาว เส้นผมสีดำถูกเซ็ตตัวยกสูง เปิดให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลา ดวงตาคมเข้มขึ้นด้วยฝีมือของช่างเมคอัพ จากนั้นรดาก็ก้าวตามมา ไอดอลสาวสวยสง่าราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย เรือนร่างโปร่งบางในชุดเดรสสีสวยและแบบใกล้เคียงกับกรณ์ ผมสีสวยถูกดัดเป็นคลื่น มีกิ๊บที่ทำจากมุกติดไว้ที่ด้านซ้าย รองเท้าและเครื่องประดับเข้าชุดกันไปหมด ทั้งคู่เหมาะสมกันจนเขาสะท้อนใจ

    “เฮ้อ”

    “เป็นอะไร? ทนเห็นภาพบาดตาไม่ได้หรือไง”

    เสียงกระเซ้าดังมาจากอริญชย์ เขาสั่นหัวปฏิเสธแม้ในอกจะบีบรัดจนหายใจไม่ค่อยออกก็ตาม

    “ฉันก็เพิ่งรู้ว่าไอ้กรณ์เป็นนายแบบตอนที่มาถึงสตูดิโอนี่แหละ”

    “พี่รู้? แล้วหลอกถามผมทำไม”

    อริญชย์มองดนตร์ที่ทำหน้าเง้าต่อว่า มันน่ารักน่าชังเสียจนต้องยกมือขึ้นดึงปากสีสวยที่ยู่ขึ้นจนเกือบจะชนกับโคนจมูก วันนี้ดนตร์ไม่ได้สวมแว่นอย่างที่เคยเห็น ใบหน้ายามไร้สิ่งบดบังน่ารักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ดวงตากลมที่มีแก้วตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายและมักจะฉายความรู้สึกออกมาเสมอ จมูกโด่งได้รูปสวย แต่ที่เขาชอบมากที่สุดคือริมฝีปากอิ่มสดปลั่งที่ลอยยั่วเย้าอยู่ตรงหน้า

    ...เสียดายที่เจอช้า...เสียดายที่พลาดโอกาส...

    “งื้อ ทำอะไรน่ะ! ผมเจ็บนะ”

    อดีตเด็กแว่นโวยวาย ปัดมือเขาทิ้ง ทำเสียงฮึดฮัดในจมูกแล้วก็หันไปชวนอาใหญ่คุย แต่เหมือนเป็นการพูดคนเดียวมากกว่า เพราะอาของเขาไม่ใช่พวกชอบพูดนัก แต่ดนตร์ก็ไม่ลดละยังคงถามโน่นถามนี่เป็นเจ้าหนูจำไมในการ์ตูนอิคคิวซัง อริญชย์เผลอผ่อนลมหายใจ ยิ่งเห็นก็ยิ่งเสียดาย...แต่ถ้าจะถอยตอนนี้ก็ดูจะไม่ใช่อริญชย์ที่สะกดคำว่าถอยไม่เป็น

    “กินไหม” อริญชย์ยื่นแท่งช็อกโกแลตที่พกติดตัวมาให้กับดนตร์ ดวงตาใสแจ๋วจ้องขนมสลับกับมองหน้ารุ่นพี่ตัวสูง คล้ายกับไม่ไว้วางใจ จนอริญชย์ต้องเน้นย้ำว่าไม่ได้ใส่ยาพิษลงไปแน่นอน สังเกตได้จากห่อที่ยังพันแน่น ไม่มีร่องรอยการแกะ “ตะกละอย่างนายไม่น่าห่วงเรื่องนี้นะ”

    สิ้นคำพูดช็อกโกแลตก็ถูกคว้าไป อริญชย์หัวเราะหึๆ ในคอ มองดูเจ้าจอมตะกละแกะห่อช็อกโกแลตแล้วกัดกิน สายตาเขาเปลี่ยนมาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโน้ตบุ๊กที่มีภาพของกรณ์และรดาอยู่ ทั้งคู่กำลังฟังอาใหญ่อธิบายท่าทางที่ต้องแสดงออกมา แม้จะไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ต้องยอมรับว่ากรณ์หล่อและขึ้นกล้องมากทีเดียว ส่วนรดาเธอทำงานในวงการนี้อยู่แล้วเรื่องความดูดีทั้งในและนอกกล้องมีมากกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่เขาแปลกใจคือคนอารมณ์ศิลปินอย่างกรณ์กลับเลือกรับงานถ่ายแบบ เพราะที่ผ่านมาเขาเห็นเพื่อนปฏิเสธหมดไม่ว่าจะเป็นการประกวดเดือนคณะ เป็นตัวแทนถือป้าย หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการใช้หน้าตา

    “ทำไมจู่ๆ กรณ์ถึงรับงานถ่ายแบบล่ะ”

    ดนตร์เงยหน้าขึ้น แก้วตาสีสวยดูมีมิติมากกว่าเดิมด้วยคอนแทคเลนส์ เด็กหนุ่มหยุดคิดประมาณหนึ่งอึดใจแล้วจึงให้คำตอบ “ไม่รู้ครับ เขาไม่ได้บอกผม”

    อริญชย์หัวเราะในคออีกครั้ง เจ้าเด็กนี่ตอบได้ยียวนดี แต่สายตาก็ยังจับจ้องนายแบบและนางแบบอยู่อย่างนั้น ดนตร์คงรู้สึกไม่ดีนักหรอกที่เห็นกรณ์แสดงท่าทางโอบประคองรดาอย่างทะนุถนอม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมกรณ์ต้องพาดนตร์มาด้วย ทั้งที่ตัวเองมาทำงานกับผู้หญิงแถมยังมีภาพบาดตาบาดใจให้เห็น

    เขามีเวลาเป็นห่วงดนตร์ได้ไม่มากนัก เพราะหลังจากอธิบายเสร็จอาใหญ่ก็สั่งให้ลงมือทำงานทันที เขามีหน้าที่ช่วยจัดแสง ถึงมาเรียนรู้การถ่ายภาพแต่การจัดแสงและองค์ประกอบอื่นก็สำคัญไม่น้อย กรณ์ส่งสายตาประหลาดใจมาให้เมื่อเห็นเขาไปช่วยทีมงานจับไฟทังสเตน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะอาใหญ่ของเขาร้องสั่งให้นายแบบทำท่าตามที่บอกไว้

    การทำงานดำเนินไปอย่างราบรื่นในระดับหนึ่ง กรณ์มีทำผิดพลาดบ้างเพราะยังเป็นมือใหม่ในวงการนี้ อาใหญ่เผลอสบถเสียงดังครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงบ่นด้วยความหงุดหงิดออกมาอีก ไม่ใช่เพราะกรณ์ทำดีจนถูกใจแต่เป็นเพราะเจ้าเด็กผิวขาวที่ยืนประกบไม่ห่างต่างหาก กระทั่งเซ็ตแรกสิ้นสุดลงทุกคนต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน กรณ์และรดาถูกต้อนให้กลับเข้าไปแต่งหน้า ทำผมใหม่ ส่วนทีมงานที่เหลือก็ช่วยกันเปลี่ยนฉาก เขาเองก็เกร็งแขนถือไฟทังสเตนขนาดน้องๆ ถังน้ำอยู่นาน เขาเดินกลับไปหาผู้เป็นอากับดนตร์ที่สุมหัวกันอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

    “เด็กนี่กวนอาหรือเปล่าครับ”

    “ไม่นี่” อาใหญ่ตอบ ก่อนจะเช็คกล้องสำหรับการถ่ายในเซ็ตต่อไป

    ดนตร์ยิ้มกว้าง อวดฟันกระต่ายน่ารักๆ ผมที่ยาวปรกหัวคิ้วทำให้ดวงหน้าดูอ่อนหวานขึ้น ดวงตากลมยิบหยีจนเป็นเส้นเดียว ข้างแก้มขวามีรอยบุ๋มของลักยิ้ม ดวงหน้าขาวเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา

    “เพลง”

    “ครับ!”

    จังหวะที่ดนตร์ขานรับการเรียกจากอาใหญ่เสียงแชะก็ดังขึ้น คิ้วยาวเรียงตัวพอดีกับตากลมขมวดน้อยๆ ขณะที่ผู้เป็นอาของรุ่นพี่เงยหน้าขึ้นจากกล้องคู่ใจ ก่อนจะเอ่ยถาม

    “สนใจจะเป็นนายแบบไหม”
**************************

ชดเชยด้วยการอัพสองตอนไปเลย! :hao5:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 16-17 [04/08/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-08-2017 23:06:53
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 16-17 [04/08/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 05-08-2017 10:01:41
โหยยย น้องจะเป็นนายแบบ   แต่แอยไม่อยากให้ทำ  แค่นี้ก็น่ารักจนวุ่นวายแล้ว
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 16-17 [04/08/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 05-08-2017 19:36:15
ลุ๊คเชี้ยบบบบบบบบ
เอาเลยฮ่ะ
รับไปเลยลูกกกก

รักพี่รันนนน พี่รันจ๋าาา มาจุ้บโหน่ยย

ขอให้คุณแม่หายไวๆ เน้อเจ้าา
พี่กวางสู้ๆ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 16-17 [04/08/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 07-08-2017 01:36:38
กว่าพี่กรณ์จะยอมรับว่ารักเพลงได้ยังไม่ทำให้ชัดเจนอีกก
ขอให้เพลงเป็นนายแบบดังๆเปรี้ยงๆไปเลยลูก คิดถึงพี่รันมากในที่สุดนางก็มา
ขอบคุณมากค่าา  :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 16-17 [04/08/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 08-08-2017 00:21:56
งื้อออออ อยากได้พี่รัน  :hao5:

เพลง เอาเลยลูก เป็นนายแบบเลย เอาให้อิพี่กรณ์มันคลั่งตายไปเลย จนป่านนี้ก็ยังไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจน้อง!!  :z6:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 16-17 [04/08/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-08-2017 22:25:41
อ่านมาก็ไม่รุ้ว่าจะรุ้สึกยังไงกับกรและเพลงดี
กรไม่ใช่คนดีอันนี้ยอมรับ ชอบเค้าแต่ใล้วิธีดิบเถื่อนไปหน่อย ถึงตอนหลังๆจะดีขึ้นมาแต่ว่าก็ไม่จำกัดความให้ชัดเจน ยิ่งเวลาหึงนี่หน้ามืดตามัวไปอีก
ส่วนเพลงนี่คิดว่าใจง่ายไปหน่อย แอบรักมานานอันนี้เข้าใจ แต่เค้าเลวร้ายใส่เท่าไหร่ทำไมยอมง่ายเหลือเกิน
ก็นะต้องดูกันต่อไปรักกันแล้วนี่จะทำไงได้
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 16-17 [04/08/60] หน้าที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: Sutharat ที่ 12-08-2017 12:05:37
มีคนเห็นความน่ารักของเพลงแล้วตอบรับเลยค่ะจะได้ไม่คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับการณ์อีก
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 18 Family [16/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 16-08-2017 20:21:44
Chapter 18 Family


     “สนใจอยากเป็นนายแบบไหม”

   คำถามเดิมซ้ำๆ ดังวนไปวนมาอยู่ในหูและลามไปถึงสมอง หากแต่ยังคิดหาคำตอบไม่ได้

    ตลอดทั้งช่วงบ่ายเขาอาศัยอยู่ในสตูดิโอถ่ายภาพ เฝ้ามองการทำงานของกรณ์ในฐานะนายแบบ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ถนัดแต่กรณ์ก็ทำได้ดี หลังจากโดนอาใหญ่ติงไปอยู่สองสามครั้ง และแต่ละครั้งเขาจะเป็นฝ่ายขอให้ท่านใจเย็นลงโดยให้เหตุผลว่ากรณ์ยังเป็นมือใหม่ แล้วก็ใส่มุขตลกลงไปเพื่อให้ท่านผ่อนคลายลง หลังจากได้คลุกคลีอยู่กับอาใหญ่ก็พบว่าท่านเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ถ้าวาจาหลุดออกจากปากเมื่อไร ผู้ฟังก็สะอึกได้ ทว่าลึกๆ แล้ว อาใหญ่ผู้นี้ใจดีเหมือนกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

    กรณ์แสดงท่าทางตามที่อาใหญ่บอก การแสดงสีหน้าและแววตาก็สื่ออารมณ์ออกมาได้ดี รดาก็เช่นกัน ทั้งคู่ทำงานเข้าขากันได้ดี หลายเสียงชื่นชมว่าเป็นคู่ที่เหมาะสม เขาเองก็รู้สึกเช่นนั้น กรณ์กับรดาเหมาะสมกันมากจริงๆ แม้แต่โยษิตาก็ยังเทียบไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาหากแต่รดายังมีกิริยามารยาทน่ารัก จริตกำลังดีอย่างที่ผู้หญิงพึงมี... ส่วนเขาไม่มีอะไรเหมาะสมกับกรณ์สักอย่าง แค่เป็นเพศเดียวกันก็ถูกต่อต้านแล้ว

    งานสิ้นสุดลงเกือบห้าทุ่ม กรณ์และรดาถูกจับเปลี่ยนชุดไปมาอยู่เกือบสิบครั้ง เขาเห็นความอ่อนล้าในใบหน้าของกรณ์แต่เจ้าตัวก็ไม่ปริปากบ่น มิหนำซ้ำยังตั้งใจทำงานมากกว่าเดิม กระทั่งมีเสียงประกาศจากอาใหญ่ ทุกคนก็ร้องเฮด้วยความยินดี ทีมงานชวนกันไปเลี้ยงฉลอง แต่กรณ์ปฏิเสธ รดาก็เช่นกัน ส่วนอาใหญ่กับอริญชย์หันมาชวนเขาแทน ซึ่งแน่นอนว่ากรณ์ไม่ยอมให้เขาตอบรับ ทันทีที่ออกมาจากห้องแต่งตัวก็ดึงคอเสื้อเขาออกไป ไม่ยอมทักทายพี่รันเลยสักคำ

    พอขึ้นรถก็ไม่พูดไม่จา แต่อ้าปากหาวเป็นระยะ หมู่นี้กรณ์ไม่ค่อยได้พักผ่อน ทั้งเรื่องเรียน เตรียมตัวฝึกงานและงานใหม่ที่เพิ่งได้รับมา แว่วๆ ว่ากรณ์อาจจะได้ถ่ายโฆษณาด้วย มันน่าอิจฉาพอๆ กับอนาถตัวเขาเอง ทั้งที่เรียนสายนี้แท้ๆ แต่ไม่เคยมีผลงานอะไรให้ได้แสดงฝีมือบ้างเลย นี่ถ้าไม่ได้เป็นเบ๊ของพี่วินเขาคงเป็นแค่นักศึกษาที่ไร้ตัวตนเท่านั้น

    ดนตร์นั่งมองท้องฟ้าสีส้ม พระอาทิตย์กำลังจะจับขอบฟ้าในอีกไม่กี่นาที เขาตื่นตั้งแต่ก่อนไก่โห่เสียอีก เพราะคำชักชวนของอาใหญ่ ตอนนั้นเขาไม่ได้ตอบคำถามของท่านเพราะไม่แน่ใจว่าท่านพูดเล่นหรือเปล่า แต่คนในวัยนั้นไม่น่าจะมีอารมณ์ขันมาล้อเขาเล่น และก่อนที่จะโดนกรณ์ลากตัวออกมาท่านก็ยัดนามบัตรใส่มือเขามา

    เขาดึงกระดาษแผ่นเล็กที่ค่อนข้างยับออกจากกระเป๋าเงิน คลี่มันออกแล้วอ่านตัวอักษรเล็กๆ ในนั้น มันระบุชื่อที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของอาใหญ่ไว้ครบ ใจเต้นแรงขึ้นมาหนึ่งจังหวะเมื่อคิดว่าตัวเองจะได้เข้าไปอยู่ในหน้านิตยสาร แต่เมื่อคิดพิจารณารูปร่างหน้าตาของตัวเองก็ต้องถอนหายใจ หน้าตาเขามันธรรมดา จืดชืด ไร้ความน่าสนใจ แล้วจะไปเป็นนายแบบได้อย่างไร

    “ทำอะไร”

    ดนตร์สะดุ้งโหยงรีบกำนามบัตรไว้ เขายังไม่ได้บอกเรื่องที่ถูกทาบทามให้ไปเป็นนายแบบ เพราะกลัวจะโดนล้อ อีกอย่างเขาไม่คิดว่ากรณ์จะอนุญาตง่ายๆ ด้วย

    ...แล้วทำไมเขาต้องขออนุญาต ในเมื่อกรณ์ไม่ได้เป็นผู้ปกครองของเขาเสียหน่อย...

    “ถามทำไมไม่ตอบ”

    ช่วงเอวถูกวงแขนยาวแข็งแรงลากรั้งจนแทบจะขึ้นไปนั่งเกยบนตักของคนตัวใหญ่กว่า คางมนได้รูปวางลงบนหัวไหล่ ผมยุ่งๆ มีกลิ่นเจลจัดแต่งทรงผมติดอยู่ทิ่มอยู่แถวข้างแก้มเขา เมื่อคืนกรณ์อาบน้ำแบบขอไปที ผมไม่ได้หวีด้วยซ้ำ เขาเหลือบตามอง กรณ์ทำตาปรือปรอยคล้ายคนไม่อยากตื่น แต่ก็ยังไม่วายใช้มือเอาเปรียบเขาด้วยการสอดเข้ามาในตัวเสื้อ เขารีบตะครุบจับมันไว้ก่อนที่จะไล่มาถึงเนินอก

    “ไม่เอานะครับ มันเช้าแล้ว” เขาปราม ร่างกายตื่นตัวอย่างรวดเร็ว คิดแล้วก็แค้นใจเพราะกรณ์แท้ๆ ที่ทำให้เขากลายเป็นพวกไวไฟไปเสียแล้ว

    “ก็ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย”

    คนเจ้าเล่ห์บอก แล้วก็หยุดมือไว้ที่แค่ช่วงเอว กอดกระชับแน่นขึ้นโดยที่ยังวางศีรษะไว้กับหัวไหล่ของเขา นานจนได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ กรณ์หลับไปทั้งท่านั้น เขาเองก็ไม่คิดจะปลุก ปล่อยให้คนง่วงได้นอนต่อ

    ในชีวิตของผู้ชายหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง เคยมีแฟนเป็นผู้หญิง ทำกิจกรรมโลดโผนแบบเด็กผู้ชายคนอื่น คุยเรื่องทะลึ่งตึงตัน แอบดูหนังโป๊ ดำเนินชีวิตไม่ได้ต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ ทั่วไป แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งจะมาตกหลุมรักเพศเดียวกัน แม้จะเคยสั่งให้ตัวเองหยุดยั้งความรู้สึกแบบนั้นเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจละสายตาจากคนๆ นั้นได้ อย่างที่หลายๆ คนบอก เรื่องความรู้สึกมันห้ามหรือบังคับไม่ได้จริงๆ แม้จะรู้ว่าผิดก็ตาม

    เกือบหนึ่งปีที่ดนตร์แอบมองรุ่นพี่ปีสามที่ชื่อกรณ์ นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน เขาก็ไม่อาจละสายตาจากกรณ์ได้เลย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรสายตาของเขาก็เผลอจับจ้อง หากไม่เห็นก็จะมองหา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ากรณ์ไม่มีทางจะหันมามองตัวเอง ที่ร้ายไปกว่านั้นกรณ์มีคนรักแล้ว และเป็นผู้หญิง แต่แล้วเพราะโชคชะตาหรืออะไรบางอย่างก็ทำให้เขากับกรณ์มีช่วงเวลาแบบนี้ร่วมกันได้ และถึงจะได้อยู่ด้วยกัน ทว่าเขากลับไม่เคยถามอีกฝ่ายเลยว่าคิดอย่างไรกับเขา ไม่ได้คาดหวังถึงคำว่า ‘รัก’ แต่ก็อยากได้ยินจากปากและอยากให้มันเป็นออกมาจากใจด้วยเช่นกัน

    ...อย่าว่าแต่กรณ์เลย เขาเองก็ไม่เคยบอกรักให้ได้ยิน ทั้งที่รักผู้ชายคนนี้เต็มหัวใจ รักจนไม่สนใจเงื่อนไขใดๆ ของสังคม…

    หลังจากปล่อยให้กรณ์ได้นอนต่อบนหัวไหล่ตัวเองอีกร่วมสิบนาที เขาก็ปลุกแล้วดันคนตัวใหญ่ให้ไปล้างหน้าอาบน้ำเพราะวันนี้กรณ์มีเรียนตอนเช้า เขาเองก็ด้วย ระหว่างที่ขับรถเขาป้อนแซนด์วิชที่ทำเองแบบปัจจุบันทันด่วนให้กรณ์ เพราะตั้งแต่เมื่อคืนกรณ์กับเขายังไม่ได้กินอะไรเลย การที่ได้อยู่ร่วมกันแม้จะเป็นระยะเวลาไม่กี่วัน ทำให้รู้ว่ากรณ์ไม่ใช่คนเรื่องมากในการกิน ทั้งคู่มาถึงมหาวิทยาลัยตอนเกือบเก้าโมง ก่อนจะลงจากรถก็โดนหอมแก้มไปฟอดใหญ่ แล้วจึงแยกย้ายกันไปเรียน

    ตกเย็นเขาต้องกลับไปที่พักเอง เพราะกรณ์มีคุยงานกับชนวีร์ เขาไม่ได้งี่เง่าอยากรู้อะไรเพิ่มเติม แค่อีกฝ่ายส่งข้อความมาบอกก็รับรู้ ระหว่างที่รอรถเมล์โทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนที่โทรเข้ามาคืออริญชย์

    “ครับพี่...”

    “เย็นนี้ว่างไหม...ต้องว่างสิ ไอ้กรณ์มันไปกับไอ้อ้วน ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่ไปรับ อาใหญ่อยากคุยกับนายน่ะ”

    “ครับ? เอ่อ...” ดนตร์ลังเล ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเขาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอด พอเข้าเรียนก็ลืมไปเลย “...ผมอยู่หน้ามหา’ลัยนี่เองครับ”

    หลังจากบอกพิกัดที่อยู่ไป ไม่ถึงห้านาที รถออดี้สีดำก็มาจอดตรงหน้า เจ้าของรถกดกระจกลงอวดใบหน้าหล่อเหลา อริญชย์สวมแว่นกันแดดสีดำยิ่งส่งให้เจ้าตัวเท่กว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะตัดผมมาใหม่ด้วย

    “พี่รันตัดผมใหม่เหรอครับ” ดนตร์ทักทาย รุ่นพี่หนุ่มยิ้มกว้างพยักหน้าเล็กน้อย

    “ขึ้นรถเร็ว อาใหญ่รอนายอยู่”

    รถออดี้ยังคงวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้นั่ง ทั้งอริญชย์ ธาวินและกรณ์ต่างก็เป็นพวกบ้าความเร็ว ถึงขนาดเคยประลองฝีมือกันมาแล้ว โดยมีเขาร่วมอยู่ในเหตุการณ์ มันเป็นครั้งแรกที่ได้ไปเหยียบสนามแข่งรถ โดยตัวเองไปยืนอยู่กลางสนามและเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอุบัติเหตุร้ายแรงต่อหน้าต่อตา เขาเผลอจิกมือลงกับเบาะหนังชั้นดี เหลือบมองเบื้องหน้าบ้างเป็นระยะ แต่หลักๆ จะหลับตาเสียมากกว่า

    กระทั่งรถหยุดลง เขาถึงได้ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ได้เห็นคือรอยยิ้มกว้างของอริญชย์ หน้าเขาคงตลกมากอีกฝ่ายถึงได้ระเบิดหัวเราะเสียงดัง

    “หน้าซีดเป็นกระดาษเลยนะ”

   ดนตร์ไม่ตอบโต้ ได้แต่ย่นจมูกใส่

    สถานที่ที่อริญชย์พามาเป็นเกสต์เฮาส์สองชั้นสไตล์คอนเทมโพรารี่ สีขาว ดูทันสมัยและเข้ากับอาใหญ่ ตัวบ้านมีอาณาบริเวณแม้พื้นที่จะไม่ได้กว้างมากแต่ก็เป็นส่วนตัว ไฟสีเหลืองนวลติดอยู่ตามมุมรั้ว ช่วยเพิ่มความละมุนให้กับยามเย็นที่หนาวเหน็บ ไม่มีต้นไม้สักต้นมีแต่กระถางดอกไม้เล็กๆ วางเรียงแบบไม่เป็นระเบียบอยู่บนชายปูน บางต้นก็ตายแล้วแต่บางต้นก็มีดอกให้เห็น แต่ก็เล็กแกร็นเสียจนน่าสงสาร เจ้าของบ้านคงยุ่งมากจนไม่มีเวลาดูแล

    อริญชย์เดินนำเข้าไปในตัวบ้าน ที่เป็นสีขาวเช่นเดียวกับด้านนอก การตกแต่งหรูหราและมีสไตล์ เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นนำเข้าจากต่างประเทศ เขาเห็นแผ่นไม้แกะสลักเป็นรูปช้างด้วย เดาว่าคงมาจากประเทศไทย

   “นั่งตรงนี้ เดี๋ยวไปตามอาใหญ่ก่อน”

    เขาถูกสั่งให้นั่งรออยู่ในห้องโถงโอ่อ่า บ้านของอาใหญ่เหมือนกับฉากในหนังฝรั่งที่เคยดู เผลอยกมือลูบโซฟาหนังนุ่มๆ ไปหลายหน ไม่ใช่ว่าไม่เคยนั่งเพราะที่คอนโดของกรณ์ก็มีเหมือนกัน แต่พอย้ายไปอยู่บ้านหลังเก่าโมดิฟายใหม่ อะไรๆ ก็ยังไม่เข้าที่ เขาไม่ได้ติดสบายแค่อยากทดลองเป็นเศรษฐีบ้างก็เท่านั้นเอง นั่งเล่นอยู่ไม่ถึงห้านาที เจ้าของบ้านก็ลงมา เขาลุกขึ้นโค้งตัวลงเพื่อทำการทักทายผู้สูงวัย อาใหญ่ยิ้มกลับ สีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

    “ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นหรอก” อาใหญ่โบกมือในอากาศ ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน แล้วเริ่มเข้าเรื่องทันที “คืออย่างนี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งให้งานฉันมา เขาไม่อยากได้นายแบบหน้าเดิมๆ อยากได้เด็กใหม่ๆ ยิ่งไม่เคยผ่านงานไหนมาเลยยิ่งดี แล้วฉันก็คิดว่านายพอใช้ได้”

    “ผมเนี่ยนะ” ดนตร์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง อาใหญ่พยักหน้า “แต่ผมไม่หล่อ....”

    “นายแบบไม่จำเป็นต้องหล่อ แค่ให้เหมาะกับงานก็พอ”

    จากนั้นอาใหญ่ก็อธิบายถึงธีมงานคร่าวๆ ด้วยความรู้เรื่องถ่ายภาพที่มีแค่หางอึ่งทำให้จับใจความได้แค่ว่า งานชิ้นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสื้อผ้าแต่เป็นการเน้นเทคนิคการถ่ายของช่างภาพมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมต้องเป็นเขา

   “แล้วทำไมถึงต้องเป็นผมล่ะครับ หน้าตาผมไม่ได้น่าสนใจตรงไหนเลย”

    “ถ้าฉันทำให้คนไม่น่าสนใจกลายเป็นน่าสนใจขึ้นมา มันก็น่าสนุกดีไม่ใช่เหรอ” อาใหญ่บอก ดวงตาเป็นประกายราวกับกำลังทำเรื่องท้าทาย

    “ไม่ต้องเครียดไปหรอก แค่ถ่ายภาพเล่นๆ คิดซะว่าถ่ายรูปเล่นไง” อริญชย์สำทับอีกแรง

    แม้จะเป็นการเกลี่ยกล่อม แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเลย ตรงกันข้ามกันกลับรู้สึกถึงแรงกระตุ้นจากภายใน มันคือโอกาส และเขาก็ไม่ควรปล่อยให้มันหลุดมือไป

    “ตกลงครับ ฝากตัวด้วยนะครับ...อาใหญ่”

    “ทำไมถึงไม่มาปรึกษาฉันก่อน จะรู้ได้ไงว่าไอ้สองอาหลานนั่นไม่ได้หลอกนาย ถ้ามันรวมหัวกันมอมยานายแล้วทำเรื่องอย่างว่าจะทำยังไง”

    เสียงบ่นดังยาวต่อเนื่องจากคนที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดเพราะไม่เห็นด้วยกับการตอบรับเป็นนายแบบของดนตร์ หลังจากที่ได้ยินว่าอาใหญ่ ช่างภาพจอมกวนโมโหแถมยังมีศักดิ์เป็นอาของอริญชย์ ชักชวนให้คนของตัวเองไปเป็นนายแบบ แน่นอนว่าถ้าหากเป็นเอเจนซี่รายอื่นเขาคงสนับสนุนหรืออย่างน้อยก็ช่วยคัดกรองให้ แต่สองอาหลานนี่มันไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็นหลาน ที่จ้องจะงาบดนตร์อยู่แล้ว

    “ไม่มีใครเขาคิดอคติเหมือนพี่หรอก” ดนตร์ค่อนแคะเบาๆ แต่ก็ดังพอที่จะกระตุ้นต่อมโมโหให้โตกว่าเดิม

    “เพลง!!”

    “พี่ครับ~” ดนตร์ทอดเสียงอ่อน ใช้แววตาออดอ้อน ยอมรับว่าวินาทีแรกที่ได้เห็นมันเล่นเอาใจสั่นเลยทีเดียว “แค่ถ่ายแบบเอง นะ นะ นะ...นะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน หรือว่าพี่...ไม่ไว้ใจผม”

    กรณ์บอกให้ตัวเองใจแข็ง แม้ว่าดวงตากลมแต่แก้วตากลมใสนั่นจะชวนให้กระโจนเข้าหาก็ตาม ตั้งแต่หลอกล่อให้มาเป็นคนของกรณ์ ดนตร์ไม่เคยทำหน้าตาน่าฟัดแบบนี้ให้เห็นเลยสักครั้งเดียว ไอ้เจ้าเด็กนี่ไม่รู้หรอกว่า หน้าตาตอนอ้อนมันน่ารักพอๆ กับน่าลากขึ้นเตียง ริมฝีปากอิ่มแดงจัดเผยอน้อยๆ พอเห็นฟันกระต่าย ที่ร้ายคือสายตา!

    ...ลูกอ้อนของดนตร์ช่างร้ายกาจนัก!...

    ชายหนุ่มกระแอมดังๆ สองสามที เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะปั้นหน้าดุ ที่จริงแล้วเรื่องการเป็นนายแบบของดนตร์ก็ไม่ได้ร้ายแรงนัก แค่ติดตรงที่คนชวนดันเป็นอาของอริญชย์เท่านั้นเอง ถ้าหากยอมปล่อยไปโดยไม่มีคนคุม เชื่อได้เลยว่าอริญชย์ต้องรุกหนักบุกทำแต้มแน่นอน ซึ่งเขาไม่มีวันยอม!

    “ถ่ายที่ไหน เมื่อไร ยังไง แล้วได้ค่าตัวเท่าไร”

    ดนตร์ยิ้มหวานจนตาหยีเป็นเส้นเดียว หัวใจเขากระตุกวูบอีกครั้งเมื่อเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม

    ...น่ารักเกินไปแล้ว...

    “ถ่ายที่เชียงใหม่ครับ บ้านเกิดผมเอง ที่นั่นมีที่สวยๆ เยอะ แต่เป็นแบบอันซีนไทยแลนด์ อาใหญ่ท่านไปรีเสิร์ชข้อมูลมาดีมากเลยครับ รู้จักสถานที่ดีกว่าผมอีก แล้วก็จะได้ใช้โอกาสนี้กลับบ้านด้วย...” ดนตร์หยุดไป น้ำเสียงอ่อนลง “...ผมคิดถึงบ้าน”

    คำว่า ‘คิดถึง’ หยุดความคิดงี่เง่าของเขาได้ชะงักงัน เขาลืมไปเลยว่าดนตร์ยังไม่ได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่เลยตั้งแต่ขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพฯ สำหรับคนที่ไม่ค่อยผูกพันกับคำว่าครอบครัวอย่างเขาไม่เคยยี่หระเท่าไรนัก แต่คนที่มีครอบครัวอบอุ่นอย่างดนตร์ การห่างบ้านมาเป็นเวลานานๆ คงทั้งคิดถึงและโหยหาความอบอุ่นที่เคยได้รับ ส่วนเขามันอ้างว้างจนชินไปเสียแล้ว

    “ก็ได้...แต่ต้องให้ฉันไปด้วย”

    “ห๊ะ! แต่ว่า...”

   “ไม่มีแต่ ไม่อย่างนั้นเรื่องถ่ายแบบก็เลิกหวังไปได้เลย แล้วอีกอย่าง....” กรณ์ใช้สายตาเจ้าเล่ห์ ไล่มองลูกแกะตัวขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า “คืนนี้เราต้องทำข้อตกลงกัน...ทั้งคืน”


(มีต่อ)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 18 Family [16/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 16-08-2017 20:27:31
          หลังจากสอบเทสต์ย่อยเสร็จอาใหญ่ก็พาทีมงานถ่ายแบบย่อมๆ เดินทางไปเชียงใหม่ทันที มีเวลาแค่สามวันเท่านั้นคือศุกร์ เสาร์และอาทิตย์  แน่นอนว่ากรณ์ก็ต้องไปด้วย เพราะถ้าหากปฏิเสธเขาจะพลาดโอกาสนี้ไป แม้ว่าจะต้องแลกด้วยการปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจตั้งแต่เย็นจนพระอาทิตย์สางก็ตาม

    การเดินทางครั้งนี้ใช้เครื่องบินเป็นพาหนะ โดยอาใหญ่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทีมงานของอาใหญ่มีด้วยกัน สามคน คือตัวอาใหญ่เอง ช่างแต่งหน้าพร้อมทำผมในตัว และพี่รัน ที่ยังไม่มีตำแหน่งตายตัว

   ที่นั่งของเขาติดกับอริญชย์เพราะอาใหญ่เป็นคนจองตั๋วเครื่องบิน อาใหญ่กับลูกน้องนั่งในแถวถัดมา จากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่ใช้เวลาการเดินทางไม่นานนัก นอนหลับเต็มอิ่มเครื่องก็ลงจอดแล้ว ดนตร์ยังไม่ได้โทรบอกที่บ้านว่าเขาจะกลับมาบ้าน เดิมทีตั้งใจว่าจะกลับก่อนปีใหม่สักวันสองวัน แต่กำหนดการเลื่อนขึ้นมาเร็วกว่าเดิมเล็กน้อยเพราะมีงานเข้ามาเกี่ยว อาใหญ่เพิ่งรู้ว่ารู้ว่าเชียงใหม่เป็นบ้านเกิดของเขาจากคำบอกเล่าของอริษญย์ มันอาจดูเหมือนเป็นการจงใจ แต่อาใหญ่ยืนยันว่าที่เลือกเชียงใหม่เป็นเพราะหลงรักในธรรมชาติจริงๆ

    ดนตร์ดึงโทรศัพท์ออกมากดนิ้วไปบนแป้นหน้าจอ ใส่โลเคชั่นที่อยู่ พร้อมกับข้อความสั้นว่า ‘@เชียงใหม่ ถึงบ้านแล้ว’ จากนั้นก็กดโพสต์ในเฟซบุ๊คของตัวเองตอนเกือบเที่ยง

    “ผมขอกลับบ้านก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้จะรีบไปหาที่โรงแรมแต่เช้าเลย” ดนตร์บอกกับอาใหญ่ระหว่างที่ยืนรอรถแท็กซี่ ซึ่งท่านก็ไม่ได้คัดค้านอะไรได้แต่พยักหน้าอนุญาต

    “ฉันไปบ้านนายด้วยได้ไหม” อริญชย์กระซิบถาม

   “ได้ซิครับ แต่บ้านผมเล็กนะ ไม่ใหญ่เหมือนวังของพี่”

    “ใหญ่แต่อยู่คนเดียวก็เหงานะ” ดวงตาคมดูหงอยเหงาเมื่อพูดถึงบ้านหลังใหญ่ของตัวเอง

   ดนตร์รู้สึกผิดที่พูดไม่ทันคิด รีบยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างเป็นเชิงขอโทษ “งั้นปีนี้ผมอนุญาติให้พี่รันเป็นแขกพิเศษ”

    “แขกพิเศษอะไร”

    “ก็อีกสองวันจะเป็นวันเกิดของน้ำเหนือ หลานชายผมเอง” ดนตร์ยักคิ้วไว พอพูดถึงน้ำเหนือก็คิดถึง อยากจะกลับไปดึงแก้มนิ่มใจจะขาด

    “หลานชาย? ฉันไปได้เหรอ”

    “ได้สิครับ ฉลองกันหลายๆ คนสนุกดี”

    อริญชย์ยิ้มกว้าง แสงสีเทาในดวงตาถูกแทนที่ด้วยประกายสดใส ดนตร์อมยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม บ้านหลังเล็กของเขายินดีต้อนรับพี่ชายที่แสนดีเสมอ…



    บ้านของดนตร์เป็นบ้านปูนสองชั้นปลูกตามสมัยนิยมแต่ยังมีกลิ่นไอสไตล์ล้านนาให้เห็นอยู่บ้าง ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณร่วมหนึ่งไร่ มีต้นไม้น้อยใหญ่ที่ถูกปลูกอย่างเป็นระเบียบ สวนดอกไม้น่ารัก แถมยังมีแปลงผักเล็กๆ มีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้คุ้มค่าเลยทีเดียว เมื่อกริ่งที่รั้วอัลลอยด์ดังขึ้นก็มีเสียงเห่าของสุนัขดังขึ้นทันที ก่อนที่จะมีเสียงเอ็ดของผู้หญิงตามมา ไม่นานรั้วก็เปิดออก เจ้าหมาตัวโตพันธุ์โกลเด้นลีทรีฟเวอร์ก็วิ่งออกมาต้อนรับด้วยลิ้นยาวๆ เปียกๆ และสองขาที่ยกขึ้นกระโจนใส่ผู้มาเยือน

    “อั่งเปาหยุดนะ! หยุดสิ! เจ้าหมาตัวนี้เอ็ดไม่เคยฟังเลย ขอโทษด้วยนะคะคุณ....เพลง!!” เจ้าของบ้านอุทานเสียงดัง
ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ และเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็เปลี่ยนเป็นปีติยินดี “จะมาทำไมไม่บอก ไหนว่าจะกลับก่อนปีใหม่ไง”

    “พูดมากเหมือนเดิมเลยนะพี่”

    “ไอ้เจ้าเด็กบ้า!”

    ดนตร์ยิ้มกว้างแล้วทั้งร่างก็เซไปด้านหลังด้วยแรงโถมจากพี่สาว เขายกมือขึ้นโอบร่างเล็กกว่าเอาไว้ วางใบหน้าลงกับหัวไหล่บางของพี่สาว ความคิดถึงท่วมท้นหัวใจจนต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้

    “คิดถึงพี่นะครับ” คนเป็นน้องกระซิบบอก พี่สาวของเขาผอมลงกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ตัวเล็กนิดเดียวไม่น่าเชื่อเลยว่าจะสามารถอุ้มท้องเจ้าหลานชายตัวอ้วนกลมเป็นลูกขนุนได้

    “คิดถึงเหมือนกัน” พี่สาวกระซิบกลับ ก่อนจะคลายอ้อมแขนแล้วผละห่างออกมาเล็กน้อย ดวงตากลมที่เหมือนกันกับของเขาเปี๊ยบกวาดไล่มองตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้า “ผอมลงไปหรือเปล่า ดูสิแก้มตอบเลย” มืออ่อนนุ่มทาบที่ผิวแก้ม

    “อาหารที่กรุงเทพฯ ไม่อร่อย สู้ฝีมือแม่ไม่ได้เลย”

   โฮ่ง โฮ่ง

    “เฮ้ย! อย่าเลียสิ ฉันไม่ชอบหมา”

    เสียงชายหนุ่มที่ทั้งทุ้มและต่ำกว่าดนตร์ดังขึ้น สองพี่น้องหันมองต้นตอ หนุ่มหล่อตัวสูงเกินหกฟุตกำลังยกขาซ้ายสลับขวาเบี่ยงตัวหนีเจ้าอั่งเปาอย่างน่าขัน แถมยังโบกมือไล่ราวกับมันเป็นสัตว์น่ารังเกียจไม่ใช่สุนัขพันธุ์ขี้เล่นและใจดี

    ถึงตอนนี้ดนตร์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้กลับบ้านมาเพียงลำพัง แต่ยังมีรุ่นพี่คนสนิทมาด้วย อริญชย์กระโดดโหยงเหยงหลบเจ้าอั่งเป่าที่พยายามจะสร้างสัมพันธไมตรีด้วย แต่อริญชย์ไม่มีวี่แววว่าจะตอบรับสักนิด ดนตร์เกือบหลุดขำถ้าไม่เห็นคำถามจากสายตาของพี่สาวเข้าเสียก่อน

    “เอ่อ...นี่พี่รันครับ รุ่นพี่ที่มหา’ลัย”

    เขาอธิบายสั้น พี่นับดาวยังไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมแต่เชื่อเหลือเกินว่าไม่เกินคืนนี้ทุกข้อสงสัยที่เกี่ยวกับอริญชย์จะต้องถูกซักจนขาวแน่

    เจ้าอั่งเปาตัวยุ่งถูกพี่นับดาวจับดึงจนยอมถอยจากอริญชย์ อาคันตุกะหนุ่มถอนหายใจเสียงดังสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด “ต้องขอโทษด้วยนะคะ เจ้าอั่งเปามันขี้เล่นไปหน่อย”

    “ไม่เป็นไรครับ…ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ พอดีไม่ค่อยถูกกับหมาเท่าไรน่ะครับ ถ้าเป็นแมวพอไหว”

    “ชอบแมวเหรอคะ” นับดาวตาวาว “ชอบเหมือนกันเลยค่ะ แต่รายนี้” ตากลมเหลือบไปทางดนตร์ “ดันแพ้ขนแมว เลยห้ามเลี้ยง แต่กับขนหมากลับไม่เป็นอะไรนะคะ เจอขนแมวทีไรจามเป็นวันๆ”

    “เพลงเนี่ยเหรอครับ แพ้ขนแมว”

    “ใช่ค่ะ จามไม่หยุดเลย ตาหูแดงไปหมดจนฉันต้องเอาแมวไปให้เพื่อนเลี้ยงแทน”

   “พอเลยๆ ทำไมต้องมาเผาผมต่อหน้าคนอื่นด้วยล่ะ” คนถูกพาดพิงทำปากคว่ำ เมื่ออดีตถูกระลึก

    “คนอื่นที่ไหน ก็นายบอกว่ารันเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ ลัย เออตายจริง! ลืมไปเลย ฉันชื่อนับดาวนะคะ เป็นพี่สาวของเพลง” นับดาวแนะนำตัวอีกครั้ง ก่อนจะผายมือต้อนรับแขกของน้องชาย “เข้ามาก่อนสิคะ…บ้านเรายินดีต้อนรับค่ะ”

    ครอบครัวของดนตร์ประกอบไปด้วยนที ผู้เป็นบิดา มารดาชื่อดาริน นับดาวพี่สาว และดนตร์น้องคนเล็กของบ้าน แต่ตอนนี้มีสมาชิกใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งราย นั่นคือน้ำเหนือ ลูกชายของนับดาว เด็กทารกวัยสิบสองเดือนตัวอ้วนท้วนจ้ำม่ำน่าฟัด แก้มเป็นพวงใส ดวงตากลมดำ ชอบส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เป็นสมาชิกใหม่ที่สร้างความสุขให้กับครอบครัว ส่วนสามีของนับดาว ทำงานอยู่เชียงราย วันหยุดถึงกลับมา

    อริญชย์ถูกแนะนำตัวอีกครั้งต่อหน้าทุกคน บิดาของดนตร์เป็นชายวัยใกล้หกสิบปี ดวงตาสีสนิมอยู่หลังแว่นกรอบสีทองทรงกลม ท่าทางใจดีและเป็นกันเอง ส่วนมารดาเป็นสตรีรูปร่างผอมบาง ใบหน้าสวยงามตามวัยแต่เชื่อเหลือเกินเมื่อครั้งยังสาวท่านมีความสวยระดับนางงามบนเวทีแน่นอน ทั้งสองให้การต้อนรับอริญชย์ดีไม่ต่างจากญาติของตัวเอง มีน้ำ ขนมมารับรอง ชวนพูดคุยช่วยทำให้ผ่อนคลายเหมือนได้คุยกับญาติผู้ใหญ่มากกว่าจะเป็นคนแปลกหน้า

    “กินข้าวต้มหัวหงอกนี่สิ ป้าเขาทำเองเลยนะ กล้วยเก็บมาจากหลังบ้าน เจ้าน้ำเหนือกินทีเป็นลูกๆ เลย เด็กอะไรไม่รู้กินเก่งเหมือนยัดหมอน”

    ข้าวต้มหัวหงอกที่เจ้าบ้านบอก ก็คือข้าวต้มมัดของภาคกลาง แต่เวลากินจะหั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้วนำเอามะพร้าวอ่อนขูดมาวางด้านบน เลยเรียกว่าข้าวต้มหัวหงอก อริญชย์มองไปยังร่างเด็กชายตัวกลมที่กำลังนั่งขย่มบนตัวดนตร์ น้ำเหนือหน้าเหมือนนับดาวผู้เป็นเลยแม่ไม่น้อย เลยทำให้บางมุมมีส่วนคล้ายดนตร์อยู่ไม่น้อย โดยปกติอริญชย์เป็นพวกไม่ค่อยถูกกับเด็กนัก ยิ่งเด็กเล็กยิ่งถอยห่าง เพราะไม่ชอบเสียงกรีดร้องเท่าไรนัก แต่น้ำเหนือผิดกับเด็กคนอื่นที่เคยเจอมา ทารกน้อยอารมณ์ดีหัวเราะตลอดเวลา แถมบางครั้งยังส่งเสียงอ้อแอ้คล้ายกับจะสนทนากับผู้ใหญ่ได้อีกด้วย

    “เลี้ยงยากไหมครับ” อริญชย์เอ่ยถาม ระหว่างนั้นก็ตักขนมเข้าปาก ที่จริงแล้วชายหนุ่มไม่นิยมกินขนมนัก แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ด้วยเกรงจะเสียมารยาท ทว่าทันทีที่ปลายลิ้นรับรสหวานกำลังดี ฟันได้เคี้ยวกับข้าวเหนียวเนื้อนุ่มหวานกำลังดี เขาก็ห้ามมือตัวเองไม่ได้อีก นทียังไม่ทันได้ตอบคำถามขนมก็เกือบจะหมดจานแล้ว

    “อร่อยล่ะสิ” นทียิ้มบางๆ “เลี้ยงง่ายมาก ดูจากตัวสิ กินหมดทุกอย่าง ไม่ค่อยงอแงยกเว้นตอนหิวกับปวดท้อง”

     “น่ารักดีครับ หน้าเหมือนเพลงเลย”

    “ใช่ ตอนเห็นทีแรกนึกว่าแฝดเจ้าเพลง”

    อริญชย์หัวเราะเบาๆ มองสองน้าหลานที่เล่นกันง่วน น้ำเหนือทั้งขี้อ้อน ทั้งน่ารัก ตัวอ้วนพีน่าฟัด เขากินไปนั่งมองเด็กอ้วนไป รู้ตัวอีกทีขนมก็หมดเกลี้ยง เจ้าบ้านส่งน้ำชาอุ่นๆ ให้ เขาขอบคุณท่านแล้วค่อยๆ จิบน้ำชากลิ่นหอมรสฝาดนิดๆ ลดอาการฝืดคอ แล้วก็ค้นพบอีกอย่างว่าข้าวต้มมัดกับน้ำชามันเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

    ดนตร์ส่งตัวหลานชายตัวอ้วนให้พี่สาวหลังจากระบายความคิดถึงไปชุดใหญ่ ก่อนจะเดินมาสมทบกับบิดาและอริญชย์แล้วหยิบขนมเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

    “มาถึงก็กินกับกิน ไม่คิดจะเล่าเรื่องที่กรุงเทพฯ ให้ฟังหน่อยหรือไง” นทีบ่นแต่ไม่จริงจังนักแถมยังใจดีส่งถ้วยน้ำชาให้ลูกชายเสียอีก

    “ก็ผมหิวนี่”

    อาคันตุกะของบ้านมองภาพครอบครัวแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ครอบครัวของดนตร์ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีก็จริงทว่ากลับมีความรักเต็มเปี่ยมจนคนนอกอย่างเขายังสัมผัสได้ ไม่แปลกใจเลยที่ดนตร์จะเป็นเด็กดีเพราะถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่ดีนี่เอง พวกเขานั่งพูดคุยกันอีกพักใหญ่ คุณดารินก็มาถามให้ไปทานข้าวในครัวเพราะได้เวลามื้อเย็นพอดี ดนตร์ชวนเขาเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องรับรองแขกก่อน

    “มันเคยเป็นห้องเก่าของพี่นับดาวครับ พอมีน้ำเหนือเลยต้องทำห้องเพิ่ม”

    ห้องที่ดนตร์พามาเป็นห้องขนาดกลาง ร่องรอยของเจ้าของเก่ายังมีให้เห็นสังเกตได้จากโปสเตอร์นักร้องดัง และผนังบางส่วนที่ยังเป็นสีชมพู ส่วนอื่นๆ ก็ไม่ได้แย่นัก เตียงสามฟุตครึ่ง ซึ่งคาดว่าขาของเขาน่าจะเลยมาเล็กน้อย ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ โคมไฟ และโต๊ะตัวเล็กๆ อีกตัวที่มุมห้อง อริญชย์เอากระเป๋าไปวางบนเตียง ย่อตัวลงนั่งทดสอบความแข็งแกร่ง

    “นี่ผ้าห่มครับ เชียงใหม่หนาวกว่าที่กรุงเทพฯ เยอะเลย” ผ้าห่มสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับกลิ่นจมอยู่ในอ้อมแขนเล็ก ดนตร์โยนมันใส่ตัวเขา “ห้องน้ำมีในตัวนะครับ ไม่รู้ว่าเครื่องทำน้ำอุ่นยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า แต่ถ้ามันเสียพี่ไปอาบห้องผมได้นะ อยู่ติดๆ กันนี่แหละ อ้อ! ห้องฝั่งซ้ายนะ ถ้าฝั่งขวาเป็นห้องน้ำเหนือ”

    ห้องนี้เล็กกว่าห้องของเขาหลายเท่าตัว ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ และถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าไปสำรวจในห้องน้ำก็เดาได้ว่าคงไม่มีอ่างน้ำวนไว้บริการเป็นแน่ ไฟก็แค่หลอดนีออนธรรมดาไม่ใช่โคมระย้า และไม่มีเครื่องเครื่องปรับอากาศ มีแค่พัดลม ทว่ามันกลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นไม่ใช่แค่ร่างกายแต่ยังไปถึงหัวใจด้วย เขารู้ดีว่าองค์ประกอบภายนอกมันไม่สำคัญหากแต่เป็นเพราะครอบครัวต่างหาก

   ...เขาทั้งมีความสุขและอิจฉาไปพร้อมกัน...

   “เพลง”

    “ครับ?”

    “...ขอบคุณนะ”

    คิ้วสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะคลายลงพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ”


    ตาคมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่เดินอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่ละนาทีผ่านไปเชื่องช้าเสียจนน่าหงุดหงิด ชายหนุ่มเผลอถอนหายใจเสียงดังจนคนข้างๆ ได้ยิน

    “เป็นอะไร”

    “ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่ในอกร้อนรุ่มเหมือนมีไฟมาสุม ให้ตายเถอะ! ทำไมพ่อต้องนัดให้เขามาคุยกับบริษัทที่จะต้องฝึกงานวันนี้ด้วย!

    วันนี้เป็นวันมหาโลกาวินาศสำหรับเขาอย่างแท้จริง สู้อุตส่าห์วางแผนจะไปตามประกบว่าที่ดนตร์เพื่อป้องกันไม่ให้นกหนูที่ไหนมาก่อกวนได้ แต่ทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่าเพราะบริษัทที่บิดาหาไว้ให้เขาเพื่อเข้าฝึกงานเรียกคุยรายละเอียดในวันนี้ เขาพยายามเกลี่ยกล่อมบิดาอยู่นานเพื่อหาทางเลื่อนวันออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะเป็นบริษัทค่อนข้างใหญ่ กฎระเบียบเข้มงวด และถ้าหากเขาผิดนัดตั้งแต่วันแรกมันจะกระทบกับชื่อเสียงของบิดาด้วย ดังนั้นเขาถึงต้องยอมให้ดนตร์เดินทางไปก่อนแล้วเขาจะบินตามไปทันทีที่เสร็จธุระ

    เขาถูกนัดตอนเก้าโมงที่โรงแรมหรูกลางเมืองกรุงเทพฯ หลังจากส่งดนตร์ขึ้นเครื่องแล้วก็ต้องรีบบึ่งรถมาที่นี่ทันที เขามาถึงก่อนเวลานัดสิบห้านาที แต่ก็ยังช้ากว่าบิดาที่บินตรงมาจากภูเก็ต และเข้าพักที่นี่เพื่อเข้าร่วมการพูดคุยในครั้งนี้ด้วย

    ท่านไม่ได้ถามถึงดนตร์ ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพราะไม่อย่างนั้นท่านจะรู้ว่าเขากำลังจะบินตามคนรักไปเชียงใหม่ในวันนี้!

    เขาถูกเชิญให้เข้าไปพบกับคุณเพชร เจ้าของบริษัทรับออกแบบบ้านและสิ่งปลูกสร้าง คุณเพชรเป็นชายวัยใกล้เคียงกับ
บิดา ผมสีดอกเลา ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัย ผู้ใหญ่ทั้งคู่ทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่บิดาจะแนะนำตัวเขาอย่างเป็นทางการ

    รายละเอียดของงานไม่ได้ยุ่งยากนัก แผนกที่เขาต้องทำเกี่ยวข้องกับที่เรียนมาด้วย ผลงานของเขาถูกเอามาเป็นหนึ่งในตัวช่วยตัดสินใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้แสดงฝีมือ เพราะเขาคือนักศึกษาฝึกงานซึ่งเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดของบริษัท และแน่นอนว่าตำแหน่งลูกชายเพื่อนเจ้าของบริษัทไม่ได้มีความหมายเลย

    ...ตามข้อตกลงที่ทำกันไว้...

    กว่าจะทำความเข้าใจกันเสร็จก็กินเวลาไปถึงครึ่งวัน คุณเพชรที่มีทีท่าเป็นกันเองมากขึ้นชวนเขากับบิดาไปทานมื้อเที่ยงที่ห้องอาหารของโรงแรม ระหว่างนั้นเขาก็ฟังการรื้อฟื้นความหลังของเพื่อนรักทั้งสองตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนถึงวัยทำงาน จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง นานทีปีหนถึงจะได้กลับมาพบปะกันบ้าง เขาได้รู้อีกอย่างหนึ่งว่าคุณเพชรเองก็หย่าร้างกับภรรยาเหมือนกันและมีลูกหนึ่งคน เป็นผู้ชายอายุมากกว่าเขา สองสามปีและตอนนี้เรียนอยู่ที่อเมริกา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคุณเพชรจะมีลูกชายเป็นด็อกเตอร์ในเร็ววันนี้แน่นอน

    เวลาล่วงไปจนถึงบ่ายจัด จากแค่กินข้าวพูดคุยกลายเป็นมีไวน์ชั้นยอดเข้ามาร่วม ผู้ใหญ่สองคนคุยกันออกรสมากกว่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขา มีบ้างที่ถามไถ่ถึงการเรียน ชีวิตส่วนตัว เขาก็ตอบไปแบบสงวนคำ ความกังวลมีมากขึ้นทุกนาที ดนตร์โพสต์ในเฟซบุ๊คเมื่อหลายชั่วโมงก่อนว่าถึงเชียงใหม่แล้ว ไม่รู้ว่าอริญชย์มันจะทำคะแนนใส่ดนตร์ไปกี่กระบุงแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ทั้งหึงทั้งหวง ทั้งเป็นห่วงตีกันวุ่นไปหมด

    “เป็นอะไร”

   “ไม่มีอะไร” เขาตอบคำถามบิดา รู้สึกปวดที่หัวคิ้วคงเพราะขมวดมันนานเกินไป

    “ขึ้นเครื่องกี่โมง”

    “ครับ?”

    “จะไปเชียงใหม่ไม่ใช่หรือไง จองตั๋วไว้กี่โมงล่ะ” บิดาถามต่อ กรณ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ท่านระบายยิ้มบางที่มุมปาก “ฉันเป็นพ่อแกนะกรณ์ เรื่องของแกทำไมฉันจะไม่รู้”

    กรณ์ขยับปากพึมพำต่อว่าบิดา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องตามดนตร์ไปเชียงใหม่แต่กลับยื้อเวลาราวกับจงใจแกล้ง

    “ผมยังไม่ได้จองตั๋ว จะซื้อแล้วไปเลย”

    “แล้วรออะไร ทำไมยังไม่ไปสักที”

    “ก็!!...” กรณ์หยุดปากตัวเองไว้ได้ทัน ไม่ได้โกรธแค่หน้าชาเพราะรู้สึกเหมือนเด็กโดนผู้ใหญ่แกล้ง

    “อ้าว กรณ์มีธุระเหรอ ไปสิ เดี๋ยวลุงกับกริชจะอยู่คุยกันอีกพัก ติดลมแล้วล่ะ” คุณเพชรบอก แก้มเริ่มแดงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ราคาแพง

    เขาเลื่อนกายออกจากเก้าอี้ทรงสูง โค้งตัวลงต่ำก่อนจะกล่าวอำลาผู้ใหญ่ทั้งสอง แต่ก่อนจะเดินจากไปเสียงของบิดาก็ดังขึ้น

    “ฉันไม่ได้รู้เรื่องแกดีขนาดนั้นหรอก ฉันแค่กดติตามเพลงในเฟซบุ๊คไว้น่ะ”

                                                              ………………………….

ขอโทษนะคะที่อัพช้า  อย่างที่เคยบอกไปว่าแม่ป่วยต้องดูแลแม่ เหนื่อยมากเลย

ขอกำลังใจหน่อยเด้อค่า

ป.ล. มีนิยายมาให้ช่วยอุดหนุน สนุกๆ เรื่องราวของรักธรรมเด็กชั้นมัธยม ที่ต้องใช้หนี้แทนพ่อแม่ด้วยการดูแลลูกชายเจ้าหนี้ ดราม่า ซาบซ่าส์ถึงใจ

  The Chain โซ่ร้ายพันธนาการรัก  (http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=61769)



หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 18 Family [16/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 17-08-2017 08:07:13
คุณพ่อพี่กรรรรณ์
มีความป๋าแบบที่น้องชอบบบ
งื้อออออ

รักๆ พี่กวางนะคะ
ขอบคุณสำหรับตอนนี้

กรณ์หัวปั่นบ้างก็ดี

น้ำเหนือออ
เด็กอ้วนนน
อยากฟัดดดดดดด
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 18 Family [16/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 19-08-2017 01:53:22
เพลงจะเป็นนายแบบแล้ว เย้ๆ จะมีคนเข้าหาอีกไหมน้ออ
ขอบคุณมากนะคะะ ขอให้คุณแม่หายป่วยไวๆนะคะ สู้ๆๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 18 Family [16/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-08-2017 15:58:45
พี่กรณ์นี่หลงเพลงมากๆๆๆเลยนะคะ โดนพ่อแกล้งอีก55
ถึงเชียงใหม่ระเบิดจะลงมั้ยเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 18 Family [16/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 20-08-2017 21:35:51
สู้ๆนะคะ :hao5:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 19 Wellcome to.. [31/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 31-08-2017 18:43:55
Chapter 19 Welcome to My Home


    อากาศที่เชียงใหม่หนาวกว่ากรุงเทพฯ หลายเท่า เพราะเป็นจังหวัดที่รายล้อมด้วภูเขาเลยทำให้อุณหภูมิต่ำกว่าที่เคยสัมผัส มือหนากระชับเสื้อแขนยาวแน่นกว่าเดิม เพราะไม่ได้เช็คสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง ชุดที่สวมใส่มาเลยไม่พอให้ไออุ่น แต่ใครมันจะใจเย็นได้ขนาดนั้น มากกว่าสิบสองชั่วโมงแล้วที่ปล่อยให้ดนตร์อยู่กับอริญชย์ ใจเขาร้อนยิ่งกว่าไฟแค่คิดว่าไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดมันจะฉอเลาะออดอ้อนดนตร์ เจ้าเด็กนั่นก็ซื่อก็เหลือใจ ไม่เคยตามลูกไม้ใครทัน!

    แท็กซี่จอดหน้าบ้านที่มีเลขที่ระบุไว้ตามกระดาษที่เขาส่งให้ตั้งแต่ก้าวขึ้นรถมา ถ้าหากชนวีร์ไม่ได้หลอกกัน บ้านสองชั้นท่าทางน่าอยู่หลังนี้คือบ้านของดนตร์ เขาจ่ายเงินให้คุณลุงคนขับและให้ส่วนที่เหลือเป็นค่าเหนื่อยในการขับวนหา พอก้าวลงจากรถลมเย็นก็พัดใส่ หน้าชาจนเหมือนเอาน้ำแข็งมาถูเล่น

   ตัวบ้านไม่ได้ใหญ่โตอะไร เทียบไม่ได้กับบ้านของเขาที่ภูเก็ตด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น ความสุขหรือแม้แต่เสียงหัวเราะ ทั้งที่ไม่มีสรรพเสียงใดๆ หลุดมาให้ได้ยินนอกจากเสียงลมเย็นวาบที่กรีดผ่านผิวกายเท่านั้น หลังช่องหน้าต่างมีแสงสีส้มอ่อน เงาของต้นไม้ไม่ได้ดูน่ากลัวแต่ชวนร่มรื่นเสียมากกว่า เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับดอกไม้อีกด้วย

   โฮ่ง โฮ่ง!

    เสียงเห่าของสุนัขทำให้เขาเผลอยกขาหนีโดยอัตโนมัติก่อนที่ทันจะได้เห็นตัวด้วยซ้ำ พอหายตกใจก็หันมองไปรอบๆ เพ่งสายตาฝ่าความมืดโดยมีแค่แสงจากเสาไฟห่างๆ คอยช่วย แล้วก็พบกับเจ้าตูบตัวใหญ่ขนสีทอง มันยืนเห่าอยู่ในรั้วบ้าน กรณ์ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

   “ไง รูปหล่อ เจ้าของเราอยู่หรือเปล่า”

    โฮ่ง!

   เจ้ารูปหล่อที่เขาเรียกเห่ารับอีกครั้ง มันกระดิกหางต้อนรับอย่างเป็นมิตร มองไปมองมาก็ดูคล้ายเจ้าของไม่น้อย ยิ่งมองก็ยิ่งเอ็นดู เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ มันก็ยื่นหน้าผ่านซี่รั้วอัลลอยด์ออกมา ลิ้นยาวห้อยลงมา น้ำลายไหลยืดยาว เจ้าโกลเด้นรีทีฟเวอร์ตัวนี้น่ารักเหมือนดนตร์เปี๊ยบ!

    โฮ่ง!

    “อั่งเปา เห่าอะไรน่ะ! มันดึกแล้วนะ เดี๋ยวข้างบ้านก็ออกมาด่าหรอก...อั่งเปา เข้ามานี่...อั่ง....”

    ดวงหน้าขาวค่อยๆ ปรากฏผ่านเงามืด ระยะห่างแคบลงเรื่อยๆ กระทั่งร่างโปร่งบางในชุดลำลองสบายๆ แต่อบอุ่นมาหยุดหลังประตูรั้ว กรอบหน้าไร้แว่นตาที่คอยบดบังความน่ารัก ดวงตากลมแต่มีแก้วตากลมใสมองตรงมา ริมฝีปากสดปลั่งเผยอขึ้นน้อยๆ นัยน์ตามีแววตระหนก

   “พี่...พี่กรณ์!” เจ้าของบ้านร้องเรียกชื่อเขาด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี ดนตร์ผวามาที่ประตูรั้ว มือควานหาไปทั่วตัวราวกับจะหาอะไรบางอย่าง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ แล้วก็มีเสียงฮึดฮัดตามมา “รอแป๊บนะครับ เดี๋ยวผมไปเอากุญแจ...”

    มือขวาที่เย็นจนปลายนิ้วเริ่มชายกขึ้นคว้าต้นคอขาวของคนที่อยู่อีกฝั่งเอาไว้ ออกแรงรั้งให้ใบหน้าน่ารักโน้มต่ำเข้ามาใกล้ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มที่แสนโหยหา เวลาแค่สิบสองชั่วโมง สำหรับเขามันยาวนานพอๆ กับสิบสองปี ดนตร์ชะงักค้างไปชั่วอึดใจ พอตั้งหลักได้ก็ปล่อยตัวไปตามธรรมชาติ ร่างโปร่งขยับเข้าใกล้รั้วอัลลอยด์มากขึ้น กรณ์สอดมือรัดช่วงเอวบาง กระชากจนส่วนล่างของพวกเขาแนบชิดกันมีเพียงแค่ซี่รั้วเหล็กกั้นเอาไว้เท่านั้น ดนตร์ขยับหน้าปรับองศารับจูบเร่าร้อนเอาแต่ใจในช่วงแรก จากนั้นไม่นานก็หวานฉ่ำกำซ่านไปถึงหัวใจ คนตัวเล็กกว่าตัวสั่นด้วยฤทธิ์จูบ สมองชาวาบ ความคิดถดถอย ขณะที่ร่างกายอ่อนเปลี้ยไปหมดคล้ายคนไม่มีกระดูก จนต้องยกมือเกาะหัวไหล่หนาเอาไว้เพื่อช่วยพยุงกาย

    โฮ่ง โฮ่ง!

    เจ้าของบ้านสะดุ้งเฮือกหลังจากตกอยู่ในภวังค์นานหลายนาที แต่กว่าจะผละริมฝีปากออกมาได้มันก็บวมเห่อ แดงจัดไปหมด ดวงตากลมปรือปรอยแต่มีแววตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย กลีบปากอิ่มฉ่ำวาวเป็นเงา ร่างโปร่งหายใจเร็วจนหัวไหล่สะท้าน มือทั้งสองยังเกาะที่หัวไหล่ของอาคันตุกะพิเศษที่มาเยือน

    “เพลง!”

    ดนตร์อ้าปากหวอ หันหน้าขวับไปตามเสียงเรียก กรณ์เองก็เช่นกัน ตาคมเหลือบมองไปทางต้นเสียง เขาเห็นเงาของผู้หญิงผมสั้น รูปร่างค่อนข้างเล็ก อยู่ในชุดนอน เจ้ารูปหล่อหรือที่ดนตร์เรียกว่าอั่งเปาเห่าอีกรอบแล้ววิ่งกระดิกหางเข้าหา ไม่นานเมื่อพ้นจากเงาร่มของต้นไม้ใหญ่ กรณ์ก็ได้เห็นหน้าของสตรีผู้นั้นชัดเจนขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา ผู้หญิงคนนี้คือ นับดาว พี่สาวของดนตร์นั่นเอง

    ยิ่งได้เห็นในระยะนี้ สองพี่น้องมีความคล้ายคลึงกันมากทีเดียว เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าเด็กอ้วนน้ำเหนือถึงได้มีส่วนคล้ายดนตร์นัก

    “ใคร?” นับดาวถาม ส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้แขกในยามดึก...ราวกับว่าเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่สมควร

    “เอ่อ...รุ่นพี่ที่มหา’ลัย ครับ ชื่อกรณ์...พี่กรณ์ นี่พี่นับดาว พี่สาวผมเอง”

    กรณ์ปรับสีหน้าให้จริงจังมากขึ้น ก่อนจะทำความเคารพพี่สาวของดนตร์ ถ้าเดาไม่ผิดเธอน่าจะมีอายุมากกว่าเขาด้วยเช่นกัน
 
    นับดาวทำแค่พยักหน้ารับแล้วส่งกุญแจให้ดนตร์เพื่อประตูรั้วให้รุ่นพี่อีกคนที่มาเยือนใหม่ได้เข้ามาด้านใน ลมพัดแรงขึ้นกว่าเดิม จนคนแปลกถิ่นเผลอสูดปากครวญ ดนตร์อมยิ้มน้อยๆ ระหว่างที่รอให้คนตัวสูงเดินผ่านหน้าไป ก่อนจะลงกุญแจล็อคตามเดิม เมื่อทั้งหมดผ่านเข้าสู่ตัวบ้านฮวงทั้งหมดแล้ว เจ้าอั่งเปาเห่ารับอีกสองครั้ง ทำท่าจะต้อนรับแขกด้วยสองขาหน้า แต่โดนนับดาวดุเสียงเข้มเลยครางหงิงๆ วิ่งหางลู่กลับไปที่ของตัวเอง

    ระยะทางจากประตูรั้วไปที่ตัวบ้านราวๆ สิบเมตร สองข้างทางมีกระถางต้นไม้น่ารักๆ วางเรียงราย เขาเห็นของเล่นเด็กหลายชิ้นวางเกลื่อนอยู่บนสนาม บางชิ้นมีรอยขาดวิ่นคล้ายกับรอยฟัน เจ้าอั่งเปาคงช่วยน้ำเหนือเล่นของพวกนี้

   เมื่อประตูบ้านเปิดเขาก็ต้องหรี่ตาลงด้วยยังไม่ชินกับแสงสว่าง ไออุ่นจากด้านในทำให้หายใจได้คล่องขึ้น เขาเป็นพวกไม่ถูกกับอากาศหนาวเท่าไรนัก ยิ่งมาแปลกถิ่น อาการคัดจมูกยิ่งกำเริบ

   “เข้ามาก่อนสิ ว่าแต่กินอะไรมาหรือยัง เพลงเข้าไปดูซิว่าเหลืออะไรบ้าง”

    นับดาวบอก ถึงจะตัวเล็กแต่น้ำเสียงของเธอก็ก้องกังวาน ใบหน้าที่คล้ายกับดนตร์พยักพเยิดเป็นเชิงอนุญาตให้เขาหาที่ว่างๆ นั่ง

    กรณ์หย่อนสะโพกลงนั่งบนโซฟาสีอ่อนกลางห้องโถงอบอุ่น ไฟสีส้มช่วยทำให้ผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายนมลอยคลุ้งในอากาศ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะที่นี่มีเด็กอ่อน เขาเหลือบมองรูปถ่ายสมาชิกของครอบครัว จากอาวุโสจนถึงวัยเยาว์ เด็กชายตัวอ้วนพีนั่งบนโซฟาหัวเราะโชว์ฟันไม่กี่ซี่คือสมาชิกคนล่าสุด นอกจากนั้นเขายังได้เห็นดนตร์วัยเด็กที่อยู่ในกรอบรูปเล็กๆ แก้มยุ้ยเป็นพวงแดงระเรื่อ ถึงตอนนี้แก้มจะหายไปเยอะแต่ก็ยังมีให้เห็น

    “คุณเป็นอะไรกับเพลงเหรอ” นับดาวนั่งลงบนโซฟาอีกตัวที่อยู่ติดกัน สีหน้าของเธอเคร่งเครียด เปิดฉากการต้อนรับอย่างจริงจัง

    “คุณเห็นอะไร...บ้าง?”

    เธอถอนหายใจ คิ้วที่ค่อนข้างเข้มขมวดน้อยๆ ผิวหน้าระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฉันเห็นคุณจูบน้องชายฉัน”

    เสียงพูดแทบจะลอดผ่านไรฟันออกมา เธอหายใจแรงอยู่สองสามครั้งแล้วรีบปรับให้กลับมาเป็นปกติ... แต่นั่นไม่ได้ทำให้กรณ์รู้สึกหวาดหวั่นเลยสักนิด เพราะเขาไม่คิดจะปิดบังสถานะ ทุกครั้งที่คบหาดูใจกับใครสักคน เขาก็พร้อมที่เปิดเผยออกหน้าออกตา แม้ว่าครั้งนี้คนรักของเขาจะเป็นเพศเดียวกันแต่ก็ไม่อายที่จะบอกกับใคร ติดก็แต่อีกฝ่ายเท่านั้น ที่เขาค่อนข้างมั่นใจว่ายังไม่ได้บอกกับใครว่าตอนนี้กำลังคบอยู่กับเขา

    แม้ว่านี่จะเป็นสถานการณ์ ‘กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’ แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงความท้าทาย กรณ์ยิ้มมุมปาก ‘อย่างนี้สิน่าสนุก’

    “อย่างนั้นก็ไม่ต้องอารัมภบทให้มากความ ผมกับเพลง เราคบกัน”

    กรณ์จงใจเน้นคำว่า ‘คบกัน’ ไม่ได้อยากจะกระตุ้นต่อมโมโหให้ทำงานหนักกว่าเดิม ทว่าเขาอยากจะเน้นย้ำว่าเขาเป็นคนสำคัญของดนตร์

    “แต่คุณเป็นผู้ชาย เพลงก็ด้วย!”

   “แล้วยังไง คุณรังเกียจน้องชายตัวเองเหรอ” เขาถามกลับ นับดาวชะงักไปราวครึ่งวินาที ก่อนจะส่ายหน้า

   “ฉันไม่เคยรังเกียจสายเลือดตัวเอง แต่...”

    “เขาจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย ยังไงเขาก็ยังเป็นน้องคุณอยู่ดี คุณไม่ต้องยอมรับเรื่องของเราก็ได้ แค่รับรู้ไว้ก็พอว่าผมรักน้องชายของคุณจริงๆ”

    นับดาวไม่ตอบ เธอเอาแต่จ้องหน้าเขานิ่ง ดวงตากลมมีแววสับสน นานจนสุดช่วงลมหายใจสามครั้ง เธอถึงได้เปลี่ยนสีหน้า ความมึนตึงที่ก่อตัวในคราวแรกละลายหายไปแต่ยังไม่ทั้งหมด เธอยังรักษาทีท่าของความเป็นพี่สาวเอาไว้

   “ฉันรักเพลง อะไรที่เพลงเลือกฉันก็ยินดีที่จะยอมรับ แต่พ่อกับแม่ ฉันว่าคุณคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้วล่ะ”

    ไม่กี่อึดใจหลังจากนับดาวบอก ดนตร์ก็กลับออกมาจากห้องครัวพร้อมกับข้าวต้มร้อนๆ หอมกรุ่น กระเพาะที่ขาดอาหารมาหลายชั่วโมงติดต่อกันส่งเสียงโครกคราก ควันสีขาวลอยเหนือถ้วยกระเบื้องเคลือบ ดนตร์ไม่ได้มีแค่ข้าวต้มแต่ยังมีน้ำชาอุ่นๆ แถมมาด้วย ในเมื่อเจ้าของบ้านต้อนรับด้วยอาหารเขาก็ยินดีที่จะรับไว้ ทันทีที่ถ้วยข้าวต้มวางลงตรงหน้าเขาก็จัดการทันทีโดยไม่ต้องรอให้เตือน

    ระหว่างที่กำลังจัดการกับข้าวต้ม นับดาวก็ขอตัวขึ้นไปดูน้ำเหนือ ทิ้งให้เขาอยู่ด้านล่างกับดนตร์ตามลำพัง ภายในบ้านค่อนข้างเงียบแม้ว่าเพิ่งจะหัวค่ำ แต่ด้วยฤดูหนาวทำให้ความมืดปกคลุมตั้งแต่ช่วงเย็น ลมด้านนอกพัดดังตึงๆ เป็นระยะๆ แทรกกับเสียงทีวีที่น่าจะดังมาจากห้องใครสักคน แต่ที่ห้องโถงจอสี่สิบนิ้ว เป็นสีดำสนิท เขาเหลือบมองเจ้าของบ้านสลับกับกินข้าวต้มรสหวานกำลังดี ตัวข้าวเม็ดสีขาวนุ่มลิ้น ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือเพราะฝีมือกันแน่ที่ทำให้รู้สึกว่าข้าวต้มถ้วยนี้รสชาติดียิ่งกว่าที่อยู่ในโรงแรมเสียอีก

    “คืนนี้ฉันนอนห้องนายนะ”

    “ห๊ะ! อะไรนะครับ”

   “หูตึงหรือไง ฉันบอกว่าฉันจะนอนห้องนาย”

    “ไม่ได้..คือ...พี่รันก็....อยู่”

    “อะไรนะ!”

    ช้อนข้าวถูกทิ้งลงในถ้วย โชคดีที่ข้าวต้มพร่องลงไปเยอะเลยไม่ได้กระเด็นออกมานอกถ้วย คิ้วหนาเข้มของกรณ์ขมวดแน่น อารมณ์ดีๆ ที่กำลังก่อตัวสลายไปอย่างรวดเร็ว มือเรียวยาวคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วดึงเข้าหา ดนตร์หน้าเหวอ ขืนตัวสุดกำลัง

    “ใจเย็นๆ สิครับ พี่เขาแค่อยากจะมาเที่ยวเฉยๆ”

    “จะให้ใจเย็นได้ยังไง นายก็รู้ว่าไอ้หมอนั่นมันคิดไม่ซื่อ อย่าทำตัวเป็นพวกโลกสวยไปหน่อยเลย”

    “พี่ครับ เบาๆ ผมหายใจไม่ออก” กรณ์คลายมือออกแต่ยังไม่ปล่อยเสียทีเดียว “ผมให้พี่รันนอนอีกห้อง”

   “จะห้องไหน มันก็มาบ้านนายก่อนฉัน!”

    “พี่รันมาในฐานะเพื่อน แต่พี่...ไม่ใช่” ปลายเสียงอ่อยลง คงหมายจะใช้ลูกอ้อนกับเขา

   “แล้วฉันมาในฐานะอะไร เมื่อกี้นายบอกกับพี่นับดาวไม่ใช่เหรอว่าฉันเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย”

    ดนตร์ยกมือขึ้นประคองมือที่ขยุ้มคอเสื้อไว้ บีบเบาๆ ราวกับจะให้เขาผ่อนคลายลง ดวงตากลมอ่อนแสง ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ร่างกายที่ขืนเอาไว้ผ่อนลงจนเอนเข้าหาเอง นี่ถ้าหากไม่ติดโต๊ะตัวกลางที่กั้นไว้ เจ้าตัวคงได้ขึ้นมานั่งเกยบนตักไปแล้ว ใบหน้าที่นับวันก็ยิ่งน่ารักขยับเข้ามาใกล้ ทิ้งระยะห่างแค่ปลายจมูกเท่านั้น ใกล้เสียจนเห็นเงาตัวเองในแก้วตาสีสวย

    “ขอเวลาหน่อยนะครับ ผมยังไม่กล้าบอกกับใคร ถ้าผมได้ความกล้ามาจากพี่สักนิดหนึ่งก็คงดี”

    แม้ว่าจะพยายามบอกกับตัวเองว่าลูกอ้อนของดนตร์จะไม่ได้ผลในตอนที่โกรธจนลมออกหู ทว่ามันผิดพลาดไปหมดเพียงแค่ได้เห็นสีหน้าและแววตาน่ารักๆ นั่น ใจเขาก็อ่อนยวบเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายจะอ้อนเป็น จนมาเจอกับตัว แต่ถ้าหากเป็นคนอื่นมันคงไม่น่า ‘จับกด’ เท่านี้หรอก

    “อีกนานแค่ไหน” เขาถามกลับ มือไม่ได้ขยุ้มคอเสื้อแล้ว แค่เกี่ยวๆ ไว้เท่านั้น แต่ที่ไม่ปล่อยเพราะมุมนี้มันก็ดีไม่น้อย เนื่องจากชุดนอนของดนตร์ไม่ได้มิดชิดนัก เสื้อเชิ้ตติดกระดุมตัวใหญ่โคร่งยามที่ก้มลงแม้จะแค่นิดเดียวก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน โดยเฉพาะเม็ดทับทิมสีหวานนั่น เมื่อต้องกับอากาศหนาวมันชูชันน่ามองใช่หยอก

    “ก็....จนกว่าผมจะกล้าพอ”

   “แล้วเมื่อไรจะกล้า” กรณ์ถามต่อ สายตามองลอดเสื้อเข้าไปจนถึงหน้าท้องสวย กล้ามเนื้อน้อยๆ มีร่องรอยการออกกำลังกายให้ได้เห็นบ้าง เขาจำได้ว่าดนตร์ชอบเต้น แต่ไม่เคยเห็นจะวาดลีลาให้เห็นแบบจังๆ สักที

    “โธ่ ให้เวลาผมหน่อยสิครับ เราเพิ่ง...คบกัน ไม่ใช่หรือไง” ปลายเสียงแผ่วลง แต่แก้มขึ้นสีสุกปลั่งไม่ต่างจากลูกมะเขือเทศ

    กรณ์ใช้จังหวะนั้นหอมไปที่แก้มนวลฟอดใหญ่ ดนตร์สะดุ้งผละมือออกแล้วไปกุมแก้มตัวเอง พอเห็นสายตาของเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่มันไม่ได้ปกป้องเนื้อตัวเอาเสียเลย แถมเสื้อกันหนาวแบบแจ็คเก็ตก็แค่สวมคลุมไว้ไม่ได้รูปซิปปิดซึ่งไม่ได้ช่วยอะไร

    “มาถึงเร็วดีนี่ หวงก้างชะมัด”

   เสียงทักที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนักดังจากบันไดทางขึ้นชั้นสอง อริญชย์อยู่ตรงนั้นในชุดพร้อมเข้านอน ร่างสูงใหญ่ยืนอิงสะโพกกับราวบันไดขั้นสุดท้าย ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย ไม่แสดงความยินดียินร้าย แต่ปล่อยสัญญาณอันตรายกระจายไว้รอบตัว

    กรณ์ลุกขึ้นจากที่นั่ง พลางสอดมือรั้งเอวบางเข้ามาประชิดลำตัว แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่ “ก็แถวนี้มันมีหมาจ้องจะคาบไปกิน ก็ต้องหวงเป็นธรรมดา”

   “ไอ้!”

    “พอครับ!” ดนตร์ห้ามทัพ ก่อนจะแกะมือปลาหมึกออกจากเอวตัวเอง “คืนนี้พี่สองคนนอนด้วยกันก็แล้วกัน ผมจะไปเอาผ้าห่มกับหมอนมาเพิ่ม อ้อ! พี่กรณ์มากับผมก่อน พ่อกับแม่ยังไม่ได้เจอพี่เลย”

    “ไม่! พี่จะนอนกับนาย” กรณ์แย้ง เขาไม่มีทางนอนร่วมห้องกับอริญชย์ แค่คิดขนก็ลุกแล้ว!

    “ไม่ได้ครับ! ถ้าพี่นอนห้องเดียวกับผม พ่อกับแม่ผมจะว่ายังไง”

   “ก็ช่างสิ ฉันไม่สน”

    “แต่ผมสน!” ดนตร์เสียงดัง “ผมขอนะครับ อย่าเพิ่งให้พวกท่านต้องมารับรู้เรื่องแบบนี้เลย”

    “เพลงขอขนาดนี้แล้ว ยังทำไม่ได้อีก ก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่าคนรักหรอกนะ” เสียงแขวะดังมาจากบันได ก่อนที่คนพูดจะหันหลังให้ แล้วเดินขึ้นบันไดหายไป

    กรณ์กัดฟันกรอด ตอนที่จะมาที่นี่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องนอนแยกห้องกับดนตร์ แต่ที่แย่เสียยิ่งกว่าแย่คือต้องนอนร่วมห้องกับอริญชย์ ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันมาร่วม 3 ปี กอดคอกินเหล้า นอนข้างถนนด้วยกันยังทำมาแล้ว แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะต้องนอนร่วมเตียงเดียวกัน หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่คิดหนักเท่านี้ แต่ตอนนี้ เวลานี้ เขากับอริญชย์คือศัตรูหัวใจ คิดสภาพไม่ออกเลยว่าถ้าต้องนอนเตียงเดียวกันจริงๆ จะมีสภาพเป็นอย่างไร

    “พี่กรณ์ ไปหาพ่อกับแม่กันครับ” แรงกระตุกที่ชายเสื้อทำให้เขาต้องเดินตาม ทั้งที่ยังขนลุกกับความคิดจับยักษ์สองตัวนอนเตียงเดียวกันของดนตร์

    ประตูไม้สักอย่างดีเปิดออกหลังจากถูกเคาะไปสามครั้ง ผู้ที่เปิดประตูให้เป็นสตรีสูงวัย แต่ยังคงความสวยงามในวัยสาวเอาไว้ให้เห็น เธอส่งสายตาแปลกใจมายังเขาก่อนจะวกกลับไปที่บุตรชายของตัวเอง ดนตร์ใช้ศอกกระทุ้งที่หน้าท้องเขาเบาๆ เป็นการกระตุ้น อาคันตุกะยามวิกาลทำความเคารพโดยอัตโนมัติ

   “แม่ครับนี่พี่กรณ์ เพื่อนพี่รัน พี่เขาเอ่อ...อยากมาเที่ยวบ้านเราเหมือนกัน”

    “อ้อจ้ะ หน้าตาหล่อเชียว ตามสบายนะจ๊ะ บ้านเล็กไปหน่อย คงไม่ว่ากันนะ” มารดาของดนตร์ต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม คงเป็นเพราะการแนะนำตัวแบบไม่มีอะไรพิเศษเลยทำให้ท่านเอ็นดูเขาเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง คะเนด้วยสายตาท่านคงมีอายุไล่เลี่ยกับมารดาของเขา แต่เรื่องรสนิยมและความทันสมัยห่างจากมารดาของเขาหลายขุมนั้น รายนั้นแต่งตัวทีเหมือนหลุดมาจากนิตยสารก็ไม่ปาน

    “มีอะไรหรือคุณ”

    ผู้ชายวัยใกล้กันเดินมาสมทบ ที่บานประตู ท่านมองมาที่เขาด้วยแววตาแบบเดียวกับที่มารดาของดนตร์มองในตอนแรก แล้วก็เหมือนเปิดเทปม้วนเดิม เขาถูกแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนของอริญชย์และอยากจะมาพักผ่อน แต่คราวนี้ดนตร์แนะนำชื่อพ่อแม่ให้ฟังด้วย มารดาของดนตร์ชื่อดาริน ส่วนบิดาชื่อนที เขาทำความเคารพพวกท่านอีกรอบ ก่อนท่านทั้งสองจะไล่ให้เขาไปพักผ่อนโดยไม่ลืมให้ดนตร์ดูแลเขาอย่างดี

(มีต่อ)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 19 Wellcome to.. [31/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 31-08-2017 18:48:24
         จากนั้นดนตร์ก็พาเขามาห้องพักซึ่งอยู่อีกทิศกับห้องพักของผู้ใหญ่ บ้านหลังนี้มีการแบ่งสัดส่วนและใช้อรรถประโยชน์อย่างเต็มที่ เจ้าของบ้านหอบหมอนกับผ้าห่มมาให้จนเต็มอ้อมแขน

   “นี่นายจะให้ฉันนอนกับไอ้รันจริงๆ ใช่ไหม”

    “ครับ” ดนตร์พยักหน้าหงึก “มันจะดีกว่าให้พี่ไปพักห้องเดียวกับผม”

    “แต่ฉันเป็นผัวนาย” คำพูดขวานผ่าซากของเขาเล่นเอาคนฟังหน้าแดงไปถึงใบหู “ใจคอนายจะให้ผัวตัวเองไปนอนกับคนอื่นได้จริงๆ น่ะเหรอ”

    “ถ้าไม่ใช่กับผู้หญิง ผมโอเค!”

    พูดจบเจ้าตัวก็เม้มปากแน่น ก้มหน้างุด น่ารักเสียจนเขาต้องทิ้งสัมภาระแล้วรวบตัวมากอดไว้ ผ้าห่มกับหมอนก็หล่นตามไปด้วยโดยปริยาย กรณ์กดจมูกบนกลุ่มผมนุ่มหนักๆ ก่อนจะจับศีรษะทุยสวยแนบไปกับหัวไหล่ตัวเอง ตั้งแต่ออกตัวว่าจะคบหากัน ไม่เคยเลยสักครั้งที่ดนตร์จะแสดงความหึงหวง แม้แต่ตอนที่เขาถ่ายแบบกับรดา ดนตร์ก็ไม่เคยต่อว่าหรือมีปฏิกิริยา จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยได้ยินคำเรียกร้องจากเจ้าตัวด้วยซ้ำ ไม่เคยขอให้ซื้อของราคาแพงให้ ไม่เคยให้มารับไปกินข้าวกลางวัน หรือไปเดินช้อปปิ้งด้วยกัน มีแต่เขาเท่านั้นที่ไล่ต้อนให้จนมุม

    “สัญญามาก่อนว่าจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องตัวนาย นอกจากฉันเท่านั้น”

    ศีรษะสวยผงกเบาๆ มือเล็กค่อนข้างบางยกขึ้นเกาะที่ข้างเอว กรณ์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พยายามระงับความต้องการที่พุ่งพรวดขึ้นมา ทั้งกลิ่นกาย ผิวเนื้อนุ่ม ขนาดรูปร่างที่กำลังดี ดนตร์ก็ไม่ต่างจากเชื้อเพลิง ที่แค่ประกายไฟเล็กน้อยก็พร้อมจะโหมไหม้ได้ทุกเมื่อ กรณ์ก้มหน้าลงจนปลายจมูกชิดกับต้นคอขาว ใช้ริมฝีปากงับผิวละเอียด ดูดเม้มไม่หนักไม่เบาแต่ก็สามารถสร้างเครื่องหมายแห่งการเป็นเจ้าของไว้ได้ ดนตร์ดันอกเขาออกห่าง คิ้วเข้มแต่เรียงตัวสวยขมวดมุ่น ขยับปากพึมพำว่าเป็นรอย

    “ก็ดี มันจะได้รู้ว่าฉันเป็นเจ้าของนาย”

    ดนตร์ยกเท้าเตะหน้าแข้งเขาไปที แล้วรีบวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง กรณ์จิ๊ปากคาดโทษเจ้าเด็กตัวแสบ แต่พอไม่มีดนตร์ เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจแต่เพียงลำพัง ไม่ได้นึกกลัวแค่ไม่อยากอยู่ร่วมห้องด้วย!

    เขาบิดกลอนประตูเปิดเข้าไปโดยไม่ขออนุญาตจากผู้ที่อยู่ด้านใน ห้องขนาดกลางจนถึงเล็กไร้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง มีแค่เตียงเล็กๆ กับตู้เสื้อผ้าง่ายๆ และโต๊ะตัวเล็กๆ อีกตัว ดูก็รู้ว่ามันเป็นห้องพักสำหรับแขกชั่วคราว อริญชย์นอนกระดิกเท้าอยู่บนเตียง จับจองพื้นที่ที่สบายที่สุดไปแล้ว สอดมือรองใต้ศีรษะ ผิวปากตามเพลงที่กำลังฟังผ่านหูฟังสีขาว มันเหลือบหันมามองเขานิดหน่อย ก่อนจะผินหน้ากลับไปมองเพดานตามเดิม แม้จะอยากเตะมันให้ตกเตียงแค่ไหน แต่ก็ต้องระงับเอาไว้เพราะเขายังทำตัวเป็นว่าที่ลูกเขยที่ดีของบ้านตระกูลฮวงอยู่

    กรณ์ทิ้งตัวลงบนพื้นไม้ขัดเงา ความเย็นของมันผ่านเนื้อผ้าเข้ามาจนต้องสะดุ้ง เขาคว้าผ้าห่มที่ดนตร์ขนมาให้ปูรองอย่างลวกๆ พอให้ไอเย็นทุเลาลงไปบ้าง จากนั้นก็หาที่วางสัมภาระ รื้อของที่ต้องใช้ออกมา ตั้งใจว่าจะไม่อาบน้ำเพราะอากาศที่ค่อนข้างเย็นจัดทำให้ไม่มีเหงื่อออก กลิ่นตัวก็ไม่มี แค่เอาน้ำลูบหน้าสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว แต่จะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะขืนนอนครบองค์แบบนี้ได้อึดอัดตายแน่ เขาหอบเสื้อผ้าที่จะใช้ผลัดเปลี่ยนหายเข้าไปในห้องน้ำ ดีหน่อยที่ห้องนี้มีห้องน้ำในตัวเลยไม่ต้องเดินไกล

    หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ กรณ์ก็กลับออกมาด้วยชุดพร้อมเข้านอน กางเกงวอร์มเนื้อหนาอบอุ่นกับเสื้อไหมพรมแขนยาว อากาศที่นี่หนาวกว่ากรุงเทพฯ ไม่เล็ก เขาเองก็รีบเสียจนไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าอุ่นๆ มามากนัก คืนนี้ผ้าห่มของดนตร์จำเป็นสำหรับเขามากทีเดียว กรณ์เลือกทำเลนอน ซึ่งก็ได้มุมตรงข้ามกับเตียงที่อริญชย์จับจองไปก่อน เขาใช้ปลายเท้าเขี่ยกระเป๋าของมันไว้อีกทาง ก่อนจะล้มตัวลงนอน รู้สึกรักหมอนกับผ้าห่มที่ดนตร์ขนมาให้ เพราะรู้สึกว่ามันจะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเจ้าตัวติดมาด้วย ก่อนจะหลับไปเขาได้รับข้อความจากเฟซบุ๊ค ตัวอักษรไม่กี่คำและแสนจะธรรมดาแต่ก็ทำให้ต้องอมยิ้มจนปวดแก้ม

    ‘ฝันดีนะครับ…เพลง’

    พ่วงท้ายด้วยไอค่อนรูปหมาสีเหลือง

    แฟนใครวะน่ารักชะมัด!

    เปลือกตาหนากำลังจะทบปิด การเดินทางจากกรุงเทพฯมาถึงเชียงใหม่พรากเอาพลังงานไปไม่น้อย แต่ก่อนที่สติจะตัดขาด ก็มีเสียงดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง

    “ฉันยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ ตราบใดที่เพลงยังไม่ได้บอกกับพ่อแม่ว่านายเป็นอะไร ฉันก็ยังมีหวัง”

    กรณ์กระตุกยิ้มในความมืด “อย่าหวังลมๆ แล้งๆ เลย เพลงน่ะรักเดียวใจเดียว”



    กองถ่ายขนาดเล็กออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า และเพราะไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าวเช้า คุณดาริน มารดาของดนตร์ใจดีทำแซนด์วิชง่ายๆ แต่ปริมาณไม่น้อยใส่กล่องมาให้ แถมนมสดและน้ำผลไม้กล่องใหญ่ กรณ์เปิดปากหาวอย่างไม่คิดจะรักษาภาพพจน์ เมื่อคืนเขาหลับไม่สนิทนักคงเพราะแปลกที่ แถมตอนเที่ยงคืนมีเสียงเด็กร้องให้ต้องตื่นตามอีก เขาตื่นอีกทีตอนที่อริญชย์มันจงใจเดินเหยียบขา เรียกได้ว่าส่งสาส์นรบตั้งแต่ลืมตาตื่นเลยทีเดียว

    แต่ด้วยวันนี้กรณ์ไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบสักเท่าไร แซนด์วิชของคุณดารินอร่อยมากก็จริงแต่ก็ไม่ได้ทำให้มีแรงขึ้นมาได้ อีกทั้งการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้กรณ์หลับสัปหงกไปตลอดทาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่อาใหญ่เลือกอยู่ส่วนไหนของเชียงใหม่ กระทั่งรถตู้สีขาวกลางเก่ากลางใหม่ที่อาใหญ่เช่ามาเพื่อใช้ในการเดินทางหยุดลง กรณ์ถึงได้ลืมตาตื่น แดดในยามสายแยงตาจนต้องขยับเปลือกตาเปิดปิดอยู่หลายรอบ กว่าจะตั้งหลักได้คนอื่นๆ ก็ลงจากรถไปกันหมดแล้ว

    กรณ์เดินลงจากรถอย่างเกียจคร้าน มองอาใหญ่อธิบายถึงรายละเอียดงานคร่าวๆ ให้กับทีมงานฟัง เห็นแล้วก็อดสังเวชใจไม่ได้ งานชิ้นแรกของดนตร์ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย แม้แต่ฉากหรูๆ สวยๆ ก็ไม่มี ไม่ต้องพูดถึงนางแบบที่จะมาร่วมงานด้วย ที่เห็นก็มีแค่ดนตร์คนเดียวเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าก็ยี่ห้อธรรมดา ช่างแต่งหน้าทำผมอยู่ในคนๆ เดียวเสร็จสรรพ เขาไม่คาดหวังหรอกว่ามันจะออกมาดี ในเมื่อโปรดักชั่นต่ำต้อยเช่นนี้

    “ถ้าพี่หิว พี่กินไปก่อนเลยนะครับ กินนมเยอะๆ จะได้อยู่ท้อง เดี๋ยวผมไปเตรียมตัวก่อน”

    ดนตร์ยัดกล่องที่ยังมีแซนด์วิชอยู่หลายชิ้นกับนมสดให้ ส่วนน้ำผลไม้ถูกพวกอาใหญ่จัดการหมดไปแล้ว ทุกคนท่าทางกระปี้กระเป่าผิดกับเขาลิบลับ แม้แต่อริญชย์ที่เคยคิดว่าเป็นพวกจับจดทำอะไรไม่เป็นยังขมีขมันช่วยอาใหญ่ยกขาตั้งกล้องโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ ส่วนดนตร์วิ่งตามช่างแต่งหน้าไปบนรถตู้

    ...ตอนนี้เขาได้กลายเป็นส่วนเกินอย่างแท้จริง...

    งานของอาใหญ่เริ่มตอนเก้าโมงตรง แสงอาทิตย์สาดผ่านก้อนเมฆหนาลงมาเป็นลำแสงจ้า กระทบกับยอดหญ้าแห้งที่ชะอุ่มด้วยหยาดน้ำค้าง ดนตร์อยู่ในชุดเสื้อผ้าง่ายๆ แต่ดูอบอุ่นดีด้วยสีเอิร์ธโทน เพิ่มความโรแมนติกด้วยผ้าพันคอสีขาวกับหมวกไหมพรมเข้าชุด ใบหน้าผ่องขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมคมชัดกว่าเดิม พวงแก้มและปลายจมูกแดงระเรื่อคล้ายมีเลือดฝาด ริมฝีปากสดสีหวาน รวมๆ แล้วเหมือนหนุ่มน้อยวัยมัธยม สดใส ไร้เดียงสา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่โหนกแก้มกับปลายจมูกมีจุดสีน้ำตาลเล็กๆ กระจายอยู่ คงเป็นฝีมือของช่างแต่งหน้าที่จงใจทำให้ดนตร์ดูเด็กลงด้วยรอยกะปลอมๆ

    สถานที่ที่อาใหญ่เลือกนับว่าไม่เลวนัก มันเป็นรางรถไฟที่สร้างกลางทุ่งหญ้าโล่ง ห่างออกไปมีภูเขาน้อยใหญ่ซ้อนเรียงราย เพราะอากาศที่ค่อนข้างแห้งทำให้ทุกอย่างเป็นสีน้ำตาล อาใหญ่ให้ดนตร์ไปเดินบนรางรถไฟด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติที่สุด แน่นอนว่าคนที่ไม่เคยผ่านงานด้านนี้มาก่อนย่อมเกิดอาการประหม่า ในครั้งแรกดนตร์เดินตัวแข็งยิ่งกว่าหุ่นยนต์เสียอีก แต่พออริญชย์วิ่งไปกระซิบอะไรบางอย่าง นายแบบหน้าใหม่ก็ผ่อนคลายขึ้น สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไป ท่วงท่าการเดินก็เช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าดนตร์สามารถทำได้ตามที่อาใหญ่ต้องการในครั้งที่สองเท่านั้น ขณะที่เขาโดนเอ็ดจนหน้าชาไปหลายรอบกว่าจะได้ภาพที่อาใหญ่พอใจ

    “เด็กคนนี้น่ารักดีนะ ยิ่งตอนยิ้มยิ่งน่ารัก อาใหญ่ตาถึงจริงๆ”

   ช่างแต่งหน้าชมไม่ขาดปาก ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังร่างโปร่งบางที่กำลังเดินไปหัวเราะไปบนก้อนกรวดของรางรถไฟ ด้วยความเป็นมืออาชีพอาใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้คนจัดฉากหรือไฟสักคน แสงธรรมชาติกับมุมที่ใช้ในการถ่ายก็ทำให้ภาพออกมาสวยสมใจได้

    เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่มองนายแบบหน้าใหม่แสดงฝีมือไปเงียบๆ โดยไม่ลืมมองอริญชย์ไปด้วย รายนั้นก็มองดนตร์ไม่วางตาเช่นกัน บางครั้งถึงกับเอากล้องที่พกติดมาถ่ายภาพไปด้วย ส่วนเขาได้แต่มองและข่มความไม่พอใจเอาไว้ เพราะดนตร์ไม่เคยก้าวก่ายงานของเขา เขาเองก็ควรจะให้เกียรติดนตร์ด้วยเช่นกัน

    ดนตร์ถูกพาตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกชุด คราวนี้เป็นแนววินเทจ กางเกงขาสั้นพับขาขึ้นมาเล็กน้อยกับเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้สีขาวพื้นน้ำเงิน โดยมีเสื้อสูทคลุมทับหัวไหล่อีกที สวมเข้าคู่กับรองเท้าหนังส้นเตี้ย ที่แม้จะดูขัดแย้งกับอากาศแต่รอยยิ้มสดใส บวกกับท่ากระโดดโลดเต้นมันก็ชวนให้หายหนาวดีเหมือนกัน การถ่ายทำดำเนินต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งแดดเริ่มแรงขึ้น อาใหญ่สั่งเลิกกอง โดยพรุ่งนี้จะเปลี่ยนโลเกชั่นใหม่ โดยจุดหมายอยู่ที่ริมแม่น้ำปิง

    “ขึ้นกล้องใช้ได้เลยล่ะ เก่งเหมือนกันนะเรา”

    อริญชย์เอ่ยปากชมเมื่องานวันนี้จบลง ดนตร์ยิ้มเผล่ห่อเสื้อคลุมเข้าหาตัวเพื่อให้ไออุ่น เพราะชุดที่ใช้ถ่ายมันไม่อุ่นเลยสักนิด ลมพัดมาทีขนหน้าแข้งก็พากันลุกไปหมด อริญชย์หัวเราะในคอทำท่าจะสละเสื้อของตัวเองให้ แต่ช้ากว่าอีกคน

   เสื้อแจ็คเก็ตตัวใหญ่มีกลิ่นเมนทอลหล่นใส่หัวไหล่พอดี ขนาดความใหญ่และยาวของมันให้ความอบอุ่นได้มากทีเดียว และก่อนที่จะกล่าวขอบคุณทั้งร่างก็ถูกอ้อมแขนปริศนารวบกอดไว้เสียแล้ว

   “อย่ามาใช้มุกเดิม” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือศีรษะ ดนตร์พรูลมหายใจเบาๆ รู้ดีว่าคนที่ชอบทำอะไรพลการอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน กรณ์เจ้าเดิมนี่เอง

    อริญชย์บิดปาก พลางยักไหล่ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มลงมาที่ต้นคอขาว เล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้ง “นี่ก็มุกเดิม”

    กรณ์กัดฟันกรอด มองตามร่างของเพื่อนรักไปจนอีกฝ่ายหายเข้าไปในรถตู้ “ต้องให้เอาโชว์หรือไงวะถึงจะเลิกบ้าสักที”

   “อย่าแม้แต่จะคิด แค่นี้ผมก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”

   คิ้วหนากระตุกหงึก “ปวดหัวเรื่องอะไร เรื่องที่เป็นแฟนฉัน?”

    “เปล่า...” ดนตร์ทอดเสียงอ่อน เอนกายเข้าหาคล้ายกับจะเอาใจ “แค่ไม่อยากมีเรื่องก่อนที่ผมจะบอกกับพ่อแม่”

    แม้จะหงุดหงิดที่ถูกอริญชย์ก่อกวน แต่เพราะเหตุผลของดนตร์มันมีน้ำหนักต้องยอมกัดฟันอดทนจนกว่างานจะเสร็จ

   ขบวนกองถ่ายขนาดเล็กเคลื่อนจากรางรถไฟไปที่ร้านอาหารเล็กๆ แถวนั้น และเป็นร้านที่ดนตร์แนะนำว่ารสชาติดีไม่แพ้ในภัตตาคารหรู อาใหญ่สั่งอาหารเผื่อกรณ์ด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของทีมงานก็ตาม ไม่นานอาหารพื้นเมืองหน้าตาน่ากินกฌทยอยมาเสิร์ฟ ท่าทางร้านนี้จะอร่อยสมกับที่เจ้าถิ่นแนะนำจริงๆ แค่กลิ่นก็เรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานได้แล้ว

    อาหารมื้อแรกของวันไม่นับรวมแซนด์วิชถูกจัดการไปในเวลาอันรวดเร็ว ทุกคนหิวโซไม่ต่างกันแม้แต่คนเรื่องมากในการกินอย่างกรณ์ก็ยังกินโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองใคร เพิ่งรู้ว่าอาหารง่ายๆ ในร้านเล็กๆ นี่ก็อร่อยถูกลิ้นไม่น้อย เขาคงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วว่าอาหารอร่อยต้องอยู่ในโรงแรมหรือภัตตาคาระดับห้าดาวเท่านั้น

    “พรุ่งนี้เราจะไปถ่ายแถวริมแม่น้ำปิงกันนะ อารู้จักกับเจ้าของรีสอร์ทที่หนึ่ง วิวสวยใช้ได้”

    “หนาวคูนสองเลยทีนี้” ดนตร์ทำท่าหนาวก่อนจะยกน้ำชาขึ้นจิบ

    เมื่อจบมื้อเที่ยง อาใหญ่ก็พามาส่งถึงบ้านของดนตร์ แน่นอนว่าทั้งกรณ์และอริญชย์ยังปักหลักพักที่เดิม โดยไม่คิดจะเกรงใจเจ้าของบ้าน ทั้งหมดล่ำลากันพอประมาณ รอจนรถตู้ที่เช่ามาลับตาไปถึงได้เดินเข้าสู่รั้วบ้าน

   สวนหน้าบ้านในตอนกลางวันน่าสนใจไม่น้อย ต้นไม้ที่ยังพอเหลือใบอยู่บ้างตั้งต้นเด่นตระหง่านอยู่ชิดริมรั้ว มีม้าโยกสีเหลืองขนาดเล็กสำหรับเด็กทารกตั้งอยู่ด้วย ข้างๆ กันนั้นก็มีเครื่องเล่นเด็กหลายชิ้น อาจจะดูประหลาดไปบ้างแต่เพราะมีดอกไม้น่ารักๆ ที่ออกดอกเฉพาะในฤดูหนาวปลูกไว้ด้วย เลยทำให้มองดูคล้ายสนามเด็กเล่นกลายๆ กว่าน้ำเหนือจะโตจนเมินของเล่นพวกนี้คงเต็มสวนพอดี

    อากาศในตอนบ่ายไม่หนาวมากนัก กรณ์ยกเสื้อให้ดนตร์ไปตั้งแต่ขึ้นรถกลับ เพราะไม่อยากให้คนของตัวเองใช้ของคนอื่น
    ประตูบ้านถูกเปิดออกก่อนที่พวกเขาจะทันได้เคาะเรียกด้วยซ้ำคงเพราะเจ้าอั่งเปาเห่ารับตั้งแต่รั้วบ้านแล้วกระมัง คนด้านในเลยออกมาเปิดประตูต้อนรับ นับดาวทำหน้าฉงนตอนที่เปิดออกมาเจอผู้ชายสามคน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าน้องชายตัวเองพาผู้ชายมาเยี่ยมบ้านถึงสองคน เจ้าบ้านเบี่ยงตัวให้กับบุรุษตัวใหญ่ทั้งสอง ใช้สายตาจับจ้องตลอดเวลาไม่ต่างจากเครื่องเลเซอร์จับความร้อน

   ในบ้านอบอุ่นเหมือนเคย ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นหอมคล้ายกับพวกนมเนย ดนตร์ยิ้มหน้าบานวิ่งเข้าไปในครัวก่อนใคร ร่างโปร่งสวมกอดมารดาจากด้านหลัง ก่อนจะหอมแก้มอีกฟอดใหญ่ ใช้เสียงออดอ้อมเต็มที่

   “แม่ทำเค้กใช่ไหม งื้อ อยากกินๆๆๆๆ”

    “ก็จะทำไว้ให้กินกันในงานวันเกิดน้ำเหนือไง แต่ไม่ได้ทำนานแล้ววันนี้เลยจะทดสอบฝีมือก่อนสักหน่อย”

    ดนตร์ยิ้มกว้าง เด็กจอมตะกละใช้มือจ้วงลงไปในแป้งเค้กที่เพิ่งอบเสร็จดึงบางส่วนใส่ปาก เลยโดนมารดาตีไปเพี้ยะใหญ่
 
    “อร่อยจังเลยครับ แป้งนุ้มนุ่ม เหมือนแก้มแม่เลย”

   “เจ้าเด็กปากหวาน สาวๆ ได้ฟังมีหวังติดกับเป็นแถวแน่” ผู้เป็นมารดาเอ่ยปากแซว โดยไม่รู้เลยว่าบุรุษตัวใหญ่สองคนที่ยืนอออยู่หน้าประตูเข้าครัวกำลังอมยิ้ม

   ...อย่างดนตร์น่ะ มีแต่ผู้ชายมาติดทั้งนั้น...

    ส่วนตัวเองก็หุบยิ้มไปชั่วขณะ แม้จะเคยมีสาวๆ มาติดกับบ้างก็จริงแต่ก็โดนกำจัดไปอย่างง่ายดาย นี่ถ้าหากมารดารู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองมีเสน่ห์ทั้งกับเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามคงได้ลมจับจริงๆ แน่

   “เออ พรุ่งนี้ก็วันเกิดน้ำเหนือแล้ว เดี๋ยวลูกออกไปซื้อของหน่อยนะ แม่จดรายการให้แล้ว”

   “ได้ครับ แล้วแม่จะเอาตอนไหน”

   “วันนี้เลย พรุ่งนี้เราก็จะต้องไปทำงานกับพวกพี่ๆ อีกไม่ใช่เหรอ”

   ดนตร์พยักหน้ารับ ของจะต้องถูกเตรียมภายในวันนี้หรืออย่างช้าที่สุดก็ตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้ มือเรียวรับกระดาษที่มารดาส่งให้ รายการส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ใช้ในงานเลี้ยงทั่วไป แต่จะมีขนมที่เด็กวัยหนึ่งขวบกินได้อยู่ด้วย

    “หาคนไปช่วยถือสักคนสิ กรณ์เป็นไง ท่าทางแข็งแรงดี”

    หน้าที่ถูกโยนใส่โดยไม่รู้ตัว กรณ์ทำหน้างงๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

    “ให้ผมไปดีกว่าครับ กรณ์เขาไม่เก่งเรื่องพวกนี้เท่าไร” อริญชย์ออกตัวอีกคน แต่คุณดารินปฏิเสธ

   “เราน่ะมาอยู่ช่วยน้าตำน้ำพริกแกงดีกว่า หน่วยก้านดีน่าจะตำเก่งได้”

    กรณ์ยิ้มเย้ยหยันใส่เพื่อนรักแต่เป็นศัตรูหัวใจ เขารับอาสาขันแข็งแถมรับปากว่าจะช่วยดนตร์ซื้อของตามรายการได้ครบอย่างแน่นอน 

   “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” อริญชย์พูดลอดไรฟัน ก่อนจะเดินสวนกับดนตร์ที่เดินออกมาจากห้องครัว โดยทิ้งหน้าที่หนุ่มนวดแป้งเอาไว้ให้

    เสียงรถยนต์เคลื่อนห่างออกไปแล้ว อริญชย์ละสายตาจากท้ายรถญี่ปุ่นสีดำแล้วกลับมาสนใจครกหินตรงหน้าต่อ คุณดารินทำหน้าที่นำเครื่องแกงลงครก หน้าที่ของเขาแค่ตำให้ พริกแห้ง กระเทียม หอมแดง และสมุนไพรรสร้อนอีกสี่ห้าอย่างให้เข้ากัน มันไม่ใช่งานยากก็จริงแต่ก็ต้องใช้พลังงานไม่น้อย สมควรแล้วที่งานแบบนี้จะตกเป็นของเขาถ้าให้สตรีสูงวัยผู้นี้ทำเขาคงเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวที่สุดในโลก

    “ปกติแล้วนับดาวจะเป็นคนทำน่ะ แต่พอมีน้ำเหนืองานพวกนี้เลยไม่มีใครทำ น้าเองก็ตำไม่ค่อยจะไหว ส่วนพ่อของเพลงไม่ต้องพูดถึง รายนั้นกินเป็นอย่างเดียว”

    “แล้วทำไหมไม่ซื้อล่ะครับ” อริญชย์ถาม พลางพยายามหันหน้าหนีจากครกให้ได้มากที่สุด

   “เจ้าเพลงมันไม่ชอบน่ะสิ ถ้าน้าไม่ทำเองเพลงจะไม่ยอมกิน แต่ก็ไม่เคยมาช่วยตำสักที เรียกใช้ทีไรต้องมีข้ออ้างตลอด ปวดท้องบ้างล่ะ การบ้านเยอะบ้างล่ะ หรือไม่ก็แอบปั่นจักรยานหนีไปบ้านเพื่อน กลับมาอีกทีก็กินเลย”

   เขาหัวเราะตามคำพูดของคุณดาริน จินตนาการถึงดนตร์ในวัยเด็กที่คอยหลบเลี่ยงงานในครัว ครอบครัวนี้อบอุ่นไม่น้อย ถึงจะมีฐานะปานกลาง แต่ความรักที่มีให้กันกลับเปี่ยมล้น แม้จะอิจฉาที่กรณ์ได้ออกไปกับดนตร์สองต่อสอง แต่การช่วยคุณดารินนวดแป้งตำเครื่องแกงก็เหนื่อยไม่ยอก ขนาดอากาศเย็นสบายยังทำให้เหงื่อแตกได้ พอเครื่องแกงเริ่มจะเข้ากัน เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ไม่นานก็ได้ยินเสียงสนทนาของคุณดารินกับเด็กผู้ชายดังแว่วเข้ามาในครัว

    “แม่บอกว่าให้เอาไชเท้ามาให้ครับ ปีนี้ได้หัวสวยเชียว เอาไว้ใส่น้ำซุปน่าจะหวานมากเลย”

    “ขอบใจมากพระนาย ไม่ได้ไปไหนใช่ไหม มาช่วยป้าทำข้าวซอยหน่อยสิ คืนนี้ป้ามีแขกหลายคนทำคนเดียวไม่ไหว”

   “ได้ครับ ผมว่างตลอดทั้งเย็นเลย”

   อริญชย์มองตามต้นเสียง ที่เห็นคือคุณดารินกำลังถือตะกร้าที่มีหัวไชเท้า สีขาวน่ากิน แล้วที่เดินตามมานั้นคือ เด็กหนุ่มตัวไม่สูงมาก น่าจะเตี้ยกว่าดนตร์ด้วยซ้ำ เดาจากความอ่อนเยาว์ของใบหน้าคงไม่เกินสิบแปดปี ดวงตากลมใส เส้นผมสีดำสนิท จมูกโด่งรับกับริมฝีปากรูปกระจับ ผิวขาวเหมือนหัวไชเท้าที่เจ้าตัวนำมาฝาก ทันทีที่เห็นเขาเจ้าตัวก็ชะงักงัน ดวงตาเหมือนลูกกวางมีแววประหลาดใจ

   “นี่อริญชย์เพื่อนพี่เพลง รู้จักเขาไว้สิ...อริญชย์ นี่พระนาย ลูกชายเพื่อนน้าเอง”

....................................

 :monkeysad:ขออภัยนะคะที่อัพช้า คุณแม่เสียแล้วค่ะ ยุ่งวุ่นวายมาก เพิ่งจะมีเวลาว่างนี่เอง หลังจากนี้จะอัพบ่อยๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 19 Wellcome to.. [31/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 31-08-2017 21:25:22
เสียใจเรื่องคุณแม่ด้วยนะคะ  สู้ๆ  เข้มแข็งนะคะ
ขอบคุณที่มาลงเรื่องให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 19 Wellcome to.. [31/08/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 01-09-2017 00:09:16
ใจแข็งแรงไวๆ นะคะพี่

พระนายเอาพี่รันไปโล้ดดดด
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 20 Big Hero [04/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-09-2017 20:02:40
Chapter 20 Big Hero


    พระนายเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบแปดปี เรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด ส่วนสูงไล่เลี่ยกับดนตร์ ผอมกว่านิดหน่อย เส้นผมสีดำ เช่นเดียวกับดวงตา ท่าทางว่านอนสอนง่าย สังเกตได้จากการพยักหน้าหงึกหงักตอนที่ผู้ใหญ่พูด อริญชย์มองมือเรียวค่อนข้างเล็กจับมีดซอยผักกาดดองคล่องแคล่ว ซึ่งทั้งหมดผู้ชายที่ไม่เคยผ่านการทำอาหารมาก่อนอย่างอริญชย์ไม่สามารถทำได้ จึงทำได้แค่มองเท่านั้น

    ไม่นานข้าวซอยไก่ก็เสร็จด้วยฝีมือของพระนายและคุณดาริน ส่วนอริญชย์หมดหน้าที่ตั้งแต่ตำเครื่องแกงเสร็จ แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ในครัว ยอมรับว่าการมองทั้งสองคนทำอาหารก็เพลินดีไม่น้อย หลายครั้งที่คุณดารินหันมาถามเรื่องชีวิตในรั้ว
มหาวิทยาลัยบ้าง หรือชีวิตส่วนตัวรวมถึงเรื่องคนรู้ใจ แม้จะคันปากยิบๆ แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าตนเองปรารถนาจะได้คนรู้ใจที่ชื่อดนตร์

    “ว่าแต่เราเถอะ มีแฟนกับเขาหรือยัง จะจบ ม. 6 แล้วไม่ใช่เหรอ”

   พระนายทำหน้าเหรอหราเมื่อจู่ๆ ก็ถูกพาดพิง เจ้าตัวเหลือบมามองทางเขาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังครับ คนอย่างผมใครจะมามอง”

   “ทำไมล่ะ เราน่ะหน้าตาน่ารักจะตาย ไม่เชื่อก็ถามพี่เขาดูสิ”
 
    อรัญชย์ยิ้มรับน้อยๆ อันที่จริงที่คุณดารินพูดก็ไม่ได้เกินจริงนัก พระนายเป็นหนุ่มน้อยที่กระเดียดไปทางน่ารักมากกว่าจะหล่อ คงด้วยรูปร่างและดวงตาที่กลมโตนั่นกระมัง เขาไม่แน่ใจนักว่าเด็กวัยนี้เจริญเติบโตเต็มที่แล้วหรือยังเพราะจำได้ว่าตอนที่เรียนอยู่ม. ปลายปีสุดท้ายเขายังไม่หยุดสูงเลย จนเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละที่ความสูงหยุดลงแต่ก็เกิน ร้อยแปดสิบเซนไปแล้ว ส่วนพระนายต่อให้สูงขึ้นอีกก็คงไม่เกินห้าเซนติเมตร

    พระนายมองมาทางเขาอีกรอบ แต่เมื่อประสานสายตาอีกฝ่ายก็เสหลบไป ใบหน้าเรียวก้มต่ำกว่าปกติเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเห็นว่าที่โหนกแก้มของเด็กหนุ่มมันระเรื่อขึ้นเล็กน้อย...



    ห้างสรรพสินค้าที่เชียงใหม่ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่ากว้างขวางเท่ากับที่กรุงเทพฯ แต่ก็มีของให้ซื้อหาตามที่ต้องการในชีวิตประจำวันได้ รายการอาหารรวมไปถึงสิ่งของที่คุณดารินจดมาให้ ดนตร์บอกว่าสามารถหาได้จากที่นี่ กรณ์ผู้ที่นานทีปีหนจะออกมาซื้อของด้วยตัวเองถึงกับตาลายกับรายการที่ยาวเหยียดเป็นหางว่าว คงเพราะอยู่คนเดียวเสียจนเคยชิน การซื้อของใช้หรือของกินเลยมีแค่นิดเดียว ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับที่คุณดารินให้มา

   “ตกลงแม่นายจะจัดงานวันเกิดหรือเลี้ยงทั้งหมู่บ้าน ทำไมถึงได้ซื้อเยอะขนาดนี้”

    กรณ์บ่นเป็นหมีกินผึ้งระหว่างที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า โดยมีดนตร์ทำหน้าที่เข็นรถตาม

   “ก็มีของสด ขนมของเด็ก น้ำอัดลม ส่วนผสมของเค้ก แล้วก็ของกินอีกสองสามอย่าง ไม่มีอะไรแปลกนี่ครับ อ้อ! ต้องซื้อของขวัญด้วย”

   ‘ไม่มีอะไรแปลก’

    จริงสิมันไม่แปลกสักนิด เพราะดนตร์เติบโตมาในครอบครัวที่มีครบทั้งพ่อ แม่ แถมยังมีพี่สาวอีกด้วย การได้กิน พูดคุย เฉลิมฉลองแบบพร้อมหน้าพร้อมตาในวันพิเศษ มันเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคนที่แทบจะไม่รู้จักคำว่า ‘ครอบครัว’ อย่างเขา มันคือสิ่งแปลกใหม่และก็โหยหาที่จะสัมผัสกับมันมาโดยตลอด คิดแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ ครอบครัวไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมายก็จริง แต่กลับมีความรักล้นเหลือ

    กรณ์ชะลอฝีเท้าลง และปล่อยให้ดนตร์เข็นรถขึ้นนำ หลังจากไล่ดูรายการในลิสต์ที่คุณดารินจดให้เจ้าตัวก็หยิบจับของหลายชิ้นลงในรถ แต่ก่อนจะเลือกหยิบลงก็มีการเทียบเคียงราคา คุณภาพและขนาด พลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบถึงจะตัดสินใจเลือกมัน ถ้าเป็นเขาขอแค่เป็นสิ่งที่ต้องการก็หยิบโยนใส่รถเลย

   “ทำไมต้องอ่านละเอียดขนาดนั้นด้วย” กรณ์ถาม ขณะที่ดนตร์กำลังอ่านส่วนประกอบของแป้งอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้จัก

    “แม่ให้ซื้อแป้งสาลีสำหรับทำเค้ก แต่แป้งสาลีมันมีทั้งแบบทำเค้ก แบบเอนกประสงค์แล้วก็แบบที่ใช้ทำขนมมปัง”

   กรณ์แทบจะกรอกตามองเพดานห้าง แค่ประเภทแป้งเขาก็งงเสียแล้ว ดังนั้นหน้าที่ซื้อของเขายกให้ดนตร์แต่เพียงผู้เดียว ส่วนเขาจะเป็นคนเข็นรถเอง มือขยับดังใจคิด เมื่อรู้หน้าที่แน่ชัดเขาก็แย่งเอารถเข็นมาครองไว้เสียเอง ดนตร์ทำหน้างง แต่พอเขาทำเฉยก็เลยไม่ถามอะไร แล้วเดินหาของที่ต้องซื้อต่อไป

    เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการช้อปปิ้งมันจะทั้งเหนื่อยและสนุกขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปเดินเลือกซื้อของ แต่ไปบ่อยจนเบื่อเลยต่างหาก เพราะแต่ละครั้งเขาจะทำแค่รอกับรอเท่านั้น โยษิตามักจะมีความสุขอยู่กับกระเป๋า เสื้อผ้าหรือรองเท้าที่เธอหลงใหล ทิ้งให้เขากลายเป็นส่วนเกินในร้านไปโดยปริยาย และจะกลับมามีตัวตนอีกครั้งตอนที่ต้องจ่ายเงิน ทว่าวันนี้มันกลับกัน เขาต้องเข็นรถตามคุณพ่อบ้าน ได้ฟังการบรรยายเกี่ยวกับของที่ซื้อคร่าวๆ ดนตร์มีความรู้เรื่องอาหารการกินมากพอดู โดยเฉพาะเรื่องขนม

   “ต้องใส่นมสดเค้กถึงจะอร่อย หอมด้วย กลิ่นวนิลาก็ช่วยได้นะ แต่ต้องใส่ในปริมาณพอดีไม่อย่างนั้นมันจะหอมเลี่ยนเกินไป”

    เขาเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ดนตร์มีความรู้เรื่องขนมมาจากการได้ทำงานในร้านกาแฟนั่น แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม
 
   “แล้วชอบกินอะไรล่ะ หมายถึงชอบกินเค้กรสอะไร” เขาถามเรื่อยๆ ขณะที่มองมือเรียวหยิบจับของลงรถเข็น

   “อืม ก็ไม่มีที่ชอบเป็นพิเศษหรอกครับ แต่ถ้าเลือกได้ก็ชอบที่มีพวกเบอร์รี่ ผมชอบที่มีรสเปรี้ยวนิดหน่อย”

    กรณ์พยักหน้าทำทีเป็นไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ ทว่าลึกๆ แล้วกลับเก็บข้อมูลพวกนี้ไว้ เพราะเขารู้อะไรเกี่ยวกับดนตร์น้อยเหลือเกิน แม้กระทั่งงานอดิเรกเขายังไม่รู้เลย เขาเป็นคนรักที่ห่วยจนถึงขั้นแย่ เรื่องพื้นฐานยังไม่รู้ แต่จะให้ถามตรงๆ ก็ดูจะเสียชื่อกรณ์เกินไปหน่อย

    “ต้องซื้ออันนี้ด้วยเหรอ” กรณ์ถามเมื่อดนตร์หยิบห่อแพมเพิร์สเด็กทารกขนาด XL ออกมาแล้วโยนใส่รถเข็น คงเพราะมีชื่อยี่ห้อและไซส์ที่ชัดเจน คุณพ่อบ้านเลยไม่ต้องมาเทียบราคากับคุณภาพอีก

   “ครับ มันอยู่ในรายการที่แม่จดมา”

   เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าในแผนกนี้มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาแผนกนี้มาก่อน รอบๆ ตัวมีแต่ของใช้สำหรับเด็กอ่อน ทั้งผ้าอ้อมสำเร็จรูป นมผง ขวดนม อุปกรณ์ทำความสะอาดและของใช้จิปาถะอีกหลายอย่างที่เขาไม่รู้จัก ดนตร์เลือกแพมเพิร์สอย่างคล่องแคล่วและไม่เขินอาย ตอนที่เจ้าตัวเอานิ้วไล่ไปตามชื่อยี่ห้อ มองดูคล้ายกับคุณแม่ลูกอ่อนจริงๆ

    “สองคนนี้น่ารักจัง มีน้องเล็กเหรอคะ”

    “ห๊ะ...เอ่อ ครับ”

    กรณ์เผลอขยับศีรษะตอบรับไปโดยอัตโนมัติ เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าในแผนกนอกจากเขากับดนตร์แล้วก็ไม่มีใครที่เป็นผู้ชายอีก ทั้งหมดเป็นผู้หญิงไล่ตั้งแต่วัยรุ่นไปถึงวัยกลางคน

    “นมยี่ห้อนี้ดีนะคะ ใกล้เคียงกับนมแม่ เออ แล้วนี่น้องกินนมแม่หรือกินนมผงล่ะจ๊ะ” ผู้หญิงคนเดิมถามต่อ ท่าทางเธอสนใจพวกเขาไม่น้อย และพอเธอหันไปชี้ยี่ห้อนมที่แนะนำเขาถึงได้เห็นว่าที่ด้านหลังของเธอมีเด็กทารกตัวกลมอยู่ด้วย เด็กนั่นหัวเราะเอิ๊กอ๊ากใส่ทั้งที่ไม่มีอะไรน่าขำสักนิด แต่พอเห็นตากลมๆ กับเหงือกแดงๆ ก็อดอมยิ้มตามไม่ได้ ดนตร์ทิ้งจากชั้นแพมเพิร์สเข้าไปเล่นกับเด็กทันที

    “ชื่ออะไรเหรอครับ ตัวอ้วนเชียว”

   “ทำอย่างกับหลานตัวเองตัวเล็กนักนี่” กรณ์อดเหน็บไม่ได้ เจ้าน้ำเหนือตัวใหญ่กว่านี้เสียอีก ดนตร์หันมาย่นจมูกใส่ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ให้มือเล็กๆ กุมไว้

   “ชื่อลิลลี่จ้ะ เห็นตัวอ้วนอย่างนี้นี่เด็กผู้หญิงนะจ๊ะ คุณพ่อเขาอยากให้ชื่ออินเตอร์หน่อย ยังไม่ครบขวบเลย ตัวหนักจนพี่ปวดหลังแล้ว” ผู้เป็นแม่ยิ้มกว้าง เอี้ยวตัวหันไปหัวเราะกับลูกสาววัยยังไม่ถึงขวบดีของตัวเอง “แล้วน้องคนเล็กของน้องสองคนกี่ขวบแล้ว ดูจากแพมเพิร์สท่าทางจะตัวใหญ่ไม่เบาเลย”

    “ตัวใหญ่มากครับ ใหญ่กว่าลิลลี่อีก” กรณ์ตอบแทน ซึ่งก็ไม่ได้เกินจริง น้ำเหนือตัวอ้วนกลม แขนขาเป็นปล้องๆ แก้มใหญ่กว่าซาลาเปาเสียอีก

   “เด็กผู้หญิงหรือผู้ชายจ๊ะ”เธอถามต่อ

    “ผู้ชายครับ พรุ่งนี้ก็ขวบหนึ่งแล้ว” คราวนี้ดนตร์เป็นคนตอบเอง ระหว่างนั้นก็หันไปเออออกับลิลลี่ราวกับคุยกันรู้เรื่อง

    กรณ์มองภาพนั้นราวกับถูกสะกดไว้ ใบหน้าของดนตร์ดูอ่อนโยน รอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์จริงใจไร้การปั้นแต่ง ปลายนิ้วเรียวที่อยู่ในอุ้งมือเล็กๆ ทั้งนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความรู้สึก ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นด้านนี้ของใครมาก่อนแม้แต่ผู้ให้กำเนิด เพราะช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันมันแทบหาบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้เลย

    “น้องคนนี้น่ารักดีนะคะ นี่ถ้ามีลูกต้องเป็นคุณพ่อที่ดีแน่ๆ เลย”

   “คุณพ่อเหรอ....แม่ต่างหาก”

    แม่ของลิลลี่ทำหน้าสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้แก้ต่างอะไรแค่อมยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น

   ...ฟังไม่ผิดหรอก ดนตร์เป็นแม่น่ะถูกแล้ว...



    “เฮ้อ อิ่มจัง”
    มือบางตบที่พุงน้อยๆ ของตัวเอง หลังจากที่จัดการข้าวซอยไก่ร่อยไปสองถ้วยเต็มๆ ตามด้วยขนมเค้กรสยอดเยี่ยมของคุณแม่สุดที่รัก ตั้งแต่ไปใช้ชีวิตนักศึกษาที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยได้กินอิ่มนัก ดีหน่อยก็ข้าวที่โรงอาหาร แต่หลักๆ มักจะฝากท้องที่ร้านสะดวกซื้อเสียมากกว่า คนอย่างดนตร์ไม่เลือกกินอยู่แล้ว แต่ที่รักที่สุดคือฝีมือของแม่ ไม่ว่าจะเมนูไหนก็อร่อยทั้งนั้น

   คำเยินยอนั้นไม่ได้เกินจริงสักนิด เพราะไม่ใช่แค่ดนตร์เท่านั้นที่กินข้าวซอยเกินหนึ่งถ้วย ทั้งกรณ์และอริญชย์ก็ไม่ต่างกัน สองหนุ่มกินแบบไม่เงยหน้าจากถ้วยด้วยซ้ำ แม้แต่เค้กก็ไม่เหลือ ขนาดคนที่บอกว่าไม่ชอบของหวานยังฟาดเรียบไม่ต่างกัน

    แน่นอนว่าคนที่ยิ้มจนแก้มปริไม่ใช่ใครที่ไหนคุณนายดารินนั่นเอง เธอไม่เคยปลาบปลื้มดีใจเท่านี้มาก่อน เพราะทุกคนในบ้านคุ้นชินกับฝีมือแม่บ้านคนเก่งดีเลยไม่มีคำชมออกมาให้ได้ยิน คราวนี้ก็เช่นกันแม้จะไม่มีเสียงชื่นชมแต่ทั้งข้าวซอยและเค้กที่แทบไม่เหลือให้เห็นก็เป็นการพิสูจน์ได้ว่าฝีมือของตนไม่เคยตกจริงๆ

   “อิ่มไหมกรณ์ รัน อ้อ พระนายด้วย”

   ทั้งสามที่ถูกกล่าวถึงพยักหน้าหงึก โดยเฉพาะอริญชย์ที่ถึงกับเอนตัวพิงกับเก้าอี้ เพราะปริมาณอาหารที่มีมากเกินไปจนไม่อาจนั่งตัวตรงได้ ส่วนกรณ์ที่นั่งติดกับดนตร์ตาเริ่มปรอยอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่คนที่เด็กที่สุดอย่างพระนายได้แต่อมยิ้มตาประสาเด็กขี้อาย

    “ท่าทางกรณ์จะง่วงนะ น้าว่าเราไปอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะทำข้าวต้มไว้ให้ ตื่นกันเร็วๆ นะหนุ่มๆ”

    ดนตร์เหลือบมองคนที่ทำท่าจะหลับคาโต๊ะกินข้าว กรณ์เผลออ้าปากหาวโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คนอื่นๆ ในโต๊ะพากันแอบขำ แม้แต่คุณนทีที่นานทีปีหนจะมีรอยยิ้มยังหลุดยิ้ม

    กรณ์ลุกเดินกลับขึ้นไปยังห้องพักโดยไม่ท้วงติงเพราะรู้สึกง่วงจริงๆ ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนตื่นเช้านักแต่วันนี้ต้องตื่นให้ทันคนอื่น ไหนจะต้องคอยตามเฝ้าดนตร์ทุกระยะเพราะกลัวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อจะฉวยโอกาสกับคนรัก ตบท้ายด้วยการไปซื้อของตามรายการยาวเหยียดที่คุณดารินจดให้ กลับมาก็หิวซก พอเจอของอร่อยก็ตั้งหน้าตั้งตากิน หลังจากนั้นก็เข้าตำรา ‘หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน’ ทันที แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือคุณดารินไม่ธรรมดาจริงๆ

   ระหว่างเดินขึ้นไปชั้นสองเขาเดินสวนกับนับดาวพี่สาวของดนตร์ เธอหอบเสื้อผ้าเด็กไว้เต็มอ้อมแขน จะว่าไปแล้วเขาไม่เห็นเธอที่โต๊ะอาหาร คงต้องพาน้ำเหนือเข้านอน ถึงเขาจะไม่ใช่พวกละเอียดอ่อนนักแต่ก็รู้ว่าคนเป็นแม่เหนื่อยไม่น้อย ไม่มีเวลากิน ไม่มีเวลานอน เธอชะงักเท้าและหยุดลง ใบหน้าที่มีส่วนคล้ายกับดนตร์เงยขึ้น ดวงตากลมมองมาที่เขา แก้วตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววคลางแคลง ลังเล ผ่านไปครึ่งนาทีเธอถึงได้ยอมเคลื่อนไหว

    “คือ...นายกับเพลงคบกันจริงๆ ใช่ไหม”

    “...ครับ”

    “แล้วทางบ้านนาย...เขาไม่ว่าเหรอ” เธอถามต่อ ท่าทางคงเก็บงำความสงสัยมาพักใหญ่

    “ไม่ครับ ผมตกลงเรื่องนี้กับพ่อแล้ว”

   “พ่อ…แล้วแม่นายล่ะ”

   “แม่...พ่อแม่ผมแยกทางกันแล้วครับ แม่ผมอยู่อเมริกา ท่านไม่ค่อยมายุ่งกับชีวิตผม....นานแล้ว”

    นับดาวดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อย แววตาทอแสงอ่อนลง เธอกระชับเสื้อผ้าในอ้อมแขนแล้วใช้มือข้างขวาโอบมันไว้ ก่อนจะเอื้อมมือซ้ายมาแตะที่หัวไหล่เขาเบาๆ

   “ฉันไม่ได้คิดจะขัดขวางนะ แค่ไม่อยากให้มีปัญหาทั้งจากฝั่งของนายและของเรา แต่ถ้านายเคลียร์กับพ่อแม่ได้แล้ว ฉันก็เบาใจ...สู้ๆ นะ”

    เธอยิ้มให้เขา มันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและจริงใจที่สุด กรณ์ยิ้มกลับ ต้นกล้าเล็กๆ ผุดขึ้นจากหัวใจที่แห้งแล้ง พร้อมกับความชุ่มชื่นที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อย...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 20 Big Hero [04/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 04-09-2017 20:07:11
   อากาศตอนกลางคืนที่เชียงใหม่หนาวเย็นจนถึงกระดูก ไหนจะลมที่พัดเป็นระยะๆ ยิ่งทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงอีก มือหนากระชับเสื้อกันหนาวตัวใหญ่เพียงตัวเดียวที่หิ้วมาจากกรุงเทพฯ แต่ก็ยังไม่พอสำหรับอุณหภูมิที่ต่ำจนเหลือเลขตัวเดียว ตาคมใหญ่มองไปยังร่างเล็กของพระนาย ใช้คำว่าเล็กก็ไม่เกินจริงนัก คะเนจากที่เห็นพระนายคงสูงไม่เกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร ผมสีดำล้อมกรอบหน้าเรียว ดวงตากลม แก้วตาเป็นสีดำ จมูกโด่งเล็กรับกันดีกับริมฝีปากจิ้มลิ้ม หัวไหล่แคบแต่ตั้งตรง ช่างขาเรียวแต่ขาวได้รูป ผิวขาวเนียนแต่คล้ำกว่าดนตร์ รายนั้นยิ่งกว่ามีไฟนีออนในผิวเสียอีก พระนายสวมเสื้อและกางเกงขายาวเนื้อหนาเท่านั้น คงเพราะคุ้นชินกับอากาศหนาวเย็นของเชียงใหม่มาตั้งแต่เกิด

    ที่โต๊ะอาหารพระนายเอ่ยปากขอตามไปดูดนตร์ถ่ายแบบในวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็ไม่มีใครคัดค้าน ท่าทางเด็กคนนี้กับดนตร์จะสนิทกันไม่น้อย อริญชย์แอบฟังสองคนสนทนากันด้วยเรื่องเมื่อครั้นที่ทั้งคู่ยังเด็ก สร้างวีรกรรมทะโมนโลดโผนไว้ไม่น้อย ลองพิจารณาดีๆ พระนายก็มีส่วนคล้ายดนตร์อยู่ไม่น้อย ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาแต่เป็นนิสัยและความขี้อาย

    สองเท้าก้าวไปบนผืนหญ้าแห้งๆ ระยะห่างจากอีกฝ่ายราวสองช่วงตัว คุณน้าดารินบอกว่าบ้านของพระนายอยู่ข้างๆ กันนี่เอง แต่อาณาบริเวณของบ้านทั้งสองหลังกว้างพอสมควร การเดินไปส่งลูกชายเพื่อนบ้านเลยไกลกว่าที่คิด

   ที่จริงพระนายปฏิเสธความเป็นห่วงของคุณดารินที่ต้องการเดินไปส่ง เจ้าตัวยืนยันหนักแน่นว่าสามารถเดินกลับเองได้ คุณดารินก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี เขาเลยตัดบทรับหน้าที่ไปส่งให้เอง ไม่ใช่เพราะอยากแสดงความเป็นสุภาพบุรุษแต่เขาไม่อยากล้างจานกองพะเนินต่างหาก ส่วนหน้าที่นั้นก็ต้องตกเป็นของลูกชายเจ้าของบ้านไปโดยปริยาย แต่คนที่สบายที่สุดคือกรณ์ ไอ้เพื่อนรักตัวดีมันหนีไปนอนหลังจากกินอิ่มทันที

    ทั้งคู่เดินกันไปเงียบๆ เช่นเดียวกับบรรยากาศรอบตัว มีเพียงแต่เสียงลมกรีดผ่านใบไม้ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ ไม่นานก็เดินผ่านเสาไฟฟ้าที่ให้แสงสีส้มสว่างตา ลำแสงส่องกระทบกับเส้นผมสีดำของพระนายสะท้อนเป็นเงา ตอนนั้นเองผีเสื้อกลางคืนตัวใหญ่ก็บินมาเกาะบนกลุ่มผมสีดำ พระนายสะดุ้งสุดตัว

    “ว๊าก!!! แมลงๆ เอาออกไปที ผมเกลียดแมลงๆ ช่วยทีๆ”

    มือเล็กๆ ปัดอยู่แถวศีรษะตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ผีเสื้อตัวใหญ่สักนิด เจ้าผีเสื้อนั่นก็เหลือใจไม่ยอมขยับไปไหน พระนายกระโดดโหยงเหยง กระทืบเท้าจนร่างสั่นแต่กระนั้นผีเสื้อก็ยังเกาะอยู่ที่เดิมราวกับมีกาวอยู่ที่ปลายขา เขาเกือบหลุดหัวเราะ แต่ก็กลั้นไว้ได้ทัน ทั้งขำทั้งสงสาร

   “อยู่เฉยๆ กระโดดเป็นกบแบบนี้ฉันจะจับผีเสื้อออกให้ได้ยังไง”

    พระนายที่กระโดดมาทางเขาพอดี หยุดขาลงเหมือนถูกกดรีโมท ดวงตากลมใสวาววับมองตรงมา เขาเห็นแววตื่นตระหนกด้านใน ชั่วจังหวะหนึ่งเขามองกิริยานั้นด้วยความเผลอไผล พระนายสั่นไปทั้งตัว แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเร็วๆ ลมหายใจกระชั้นถี่ ริมฝีปากแดงสดนั่นเผลอขึ้น ปล่อยลมอุ่นออกมาไม่เป็นจังหวะ อริญชย์ไม่อาจหยุดจินตนาการของตัวเองได้ เมื่อภาพในหัวมันเปลี่ยนฉากหลัง จากเสาไฟฟ้าเป็นเตียงนอนสีขาว

    “พี่ครับ...ช่วยผมหน่อย”

    เสียงขาดห้วงดังขึ้น ตาคู่สวยเหมือนลูกกวางตัวน้อยวิงวอนขอความช่วยเหลือ อริญชย์กลั้นหายใจตอนที่เอื้อมมือไปปัดผีเสื้อกลางคืนตัวใหญ่ ปีกของมันสยายกว้าง แล้วกระพือขึ้นลงเร็วๆ ก่อนจะบินจากไป พระนายถอนหายใจเสียงดัง เปลือกตาบางปิดลง อริญชย์ละปลายนิ้วไปบนหน้าผากนูน ไล่เลื่อนลงมาถึงปลายจมูกโด่งเล็ก จนเกือบจะถึงกลีบปากสวย เจ้าตัวก็ลืมตาขึ้นพอดี

   “มีอะไรติดหน้าผมอีกเหรอฮะ”

    ถึงตอนนี้สติเพิ่งกลับคืน อริญชย์ส่ายหน้าเรียกสติโดยไว รีบดึงมือกลับ ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตัวไหนเข้าสิงเขาถึงได้หลุดเข้าไปอยู่ในห้วงความคิดลามกแบบนั้นได้ พระนายขอบคุณเขาเบาๆ ชั่วจังหวะหนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนตัวกลับ เขาเห็นโหนกแก้มของเด็กตัวเล็กระเรื่อขึ้น

   อริญชย์ลอบถอนหายใจ ปล่อยให้พระนายเดินนำหน้าไปหลายก้าวแล้วค่อยเดินตาม ระหว่างนั้นก็ทบทวนความคิดของตัวเองเมื่อครู่ไปด้วย

    ...หรือว่าเขาจะกลายเป็นพวกโชตะค่อนไปแล้ว...


    การทำงานในฐานะนายแบบของดนตร์ในวันที่สองตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะอาใหญ่กลัวว่าจะไม่ได้เห็นแม่คะนิ้ง หลังจากจัดการกาแฟและโอวัลตินที่คุณดารินสู้อุตส่าห์ตื่นมาเตรียม ทั้งหมดก็ขึ้นรถตู้ของอาใหญ่ที่มาจอดรับตามเวลาที่นัดหมายพอดี เช้านี้กรณ์ไม่มีอาการงี่เง่าให้เห็น ซ้ำสีหน้ายังสดชื่นมากกว่าใคร ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะติดเย็นชากลับมีรอยยิ้มน้อยๆ ให้เห็น หลายครั้งที่ดนตร์หันไปมองก็ต้องรีบหันหน้าหนี เพราะจะพบกับสายตาอ่อนเชื่อมผิดปกติมองกลับมาทุกครั้ง

    เหมือนคนติดยา

   แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะกลัวว่ากรณ์จะอารมณ์เสีย ให้มีสภาพเหมือนคนติดยาแบบนี้ดีกว่าเหวี่ยง วีน พาล เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมีหวังกองถ่ายได้พังพินาศแน่

    พระนายขอตามมาด้วย เขาอยากดูการทำงานของพี่ชายในฐานะนายแบบ ที่จริงพระนายพูดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว และเมื่อไม่มีใครคัดค้าน พระนายมายืนรอที่หน้าบ้านของดนตร์ตั้งแต่ตีห้าครึ่ง

    รีสอร์ทที่อาใหญ่บอกอยู่ห่างจากบ้านพักของดนตร์ไม่น้อย ต้องนั่งรถเกือบชั่วโมงกว่าจะถึง เพราะช่างภาพชื่อดังอยากได้หมอกที่ลอยอ้อยอิ่งเหนือผืนน้ำในยามเช้าตรู่ พร้อมกับแสงแรกของวัน พอมาถึงรีสอร์ทเพื่อนของอาใหญ่พระอาทิตย์ก็กำลังจะพ้นขอบฟ้าพอดี เจ้าของให้การต้อนรับอย่างดี มีน้ำชา กาแฟ ปาท่องโก๋บริการเสร็จสรรถ หลังจากทักทายนิดหน่อย ทุกคนกระวีกระวาดรีบทำหน้าที่ของตัวเอง พระนายเองก็ช่วยหยิบจับเท่าที่จะทำได้ คงมีแค่คนเดียวที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน

    กรณ์มองดนตร์ที่ถูกผู้ช่วยต้อนเข้าไปในห้องน้ำของรีสอร์ทเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากไม่ถึงสิบนาที ดนตร์ก็กลับมาด้วยเสื้อผ้าที่ไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก เปลี่ยนลูกเล่นนิดหน่อย แต่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม

   ดนตร์มีความสามารถด้านการแสดงสมกับสาขาที่กำลังร่ำเรียน สีหน้าและแววตาเป็นไปตามที่อาใหญ่ต้องการ ช่างภาพและผู้ช่วยอย่างอริญชย์เข้าขากันดีกว่าเดิม อริญชย์เปลี่ยนจากคุณชายที่แสนเอาแต่ใจกลายเป็นเด็กฝึกงานขยันขันแข็ง ไม่ปริปากบ่นตอนที่อาใหญ่ตะโกนร้องเอาโน่นนี่

    กรณ์ได้ที่นั่งไม่ห่างจากจุดที่ดนตร์อยู่นัก พลางเท้าคางมองนายแบบหน้าใหม่ที่กำลังเดินเอาขาไขว้กันพร้อมกางแขนอยู่ริมแม่น้ำ อากาศหนาวมากจนแม้แต่ผู้ชายตัวใหญ่ๆ อย่างเขายังต้องพึ่งเสื้อถึงสามชั้น แต่ดนตร์กลับสวมแค่เสื้อผ้าที่ใช้ถ่ายแบบ ดังนั้นเขาเลยได้เห็นปลายจมูกโด่งแดงจัดเหมือนลูกกวาง

    “พี่เพลงน่ารักจังเลย เท่ห์ด้วย หล่อด้วย”

    พระนายพูดชมไม่ขาดปาก เด็กหนุ่มน้องชายข้างบ้านของดนตร์ขอตามมาด้วย เขาไม่ได้สนใจเด็กนี่เท่าไรนัก รู้แค่ว่าเป็นลูกชายเพื่อนบ้านของดนตร์ พูดน้อย ขี้อายและตัวเล็ก พระนายนั่งอยู่ข้างๆ เขา นอกจากจะชมด้วยปากแล้วดวงตาคู่นั้นยังแสดงถึงความชื่นชม

    “นายกับเพลงสนิทกันไหม”

   “ครับ?”

   “ฉันถามว่า...สนิทกับเพลงใช่ไหม” กรณ์ถามย้ำ

    “อ่า..ครับ” พระนายผงกหัว จมูกโด่งแดงด้วยความหนาวเย็นไม่ต่างจากพี่ชายข้างบ้าน “ก็สนิทกัน เพราะแถวนี้ก็มีแค่ผมกับพี่เพลงที่รุ่นเดียวกันแล้วก็เป็นเด็กผู้ชาย ที่เหลือก็แก็งค์พี่นับดาวหมด”

    “แก็งค์? นับดาวน่ะเหรอ”
 
    “ใช่ครับ” พระนายพยักหน้า “ตอนช่วงมัธยมพี่นับดาวห้าวมากเลยครับ ยกพวกไปตีกับเด็กผู้ชายที่มาแกล้งพี่เพลง กลับมาโดนป้ารินตีซ้ำ พี่เพลงก็โดนด้วยเพราะไม่ยอมห้ามพี่” พระนายพูดไปยิ้มไป คงเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจไม่น้อย “แต่พี่นับดาวไม่ร้องสักแอะ แถมยังกอดน้องไว้อีก พี่นับดาวรักพี่เพลงมาก ผมอยากมีพี่สาวหรือพี่ชายบ้างจัง”

    “เป็นลูกคนเดียวเหรอ”

    “ครับ...พี่เพลงใจดีกับผมมาก ผมอยากจะไปเรียนกรุงเทพฯ เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่า” พระนายหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

    “ไม่ลองก็ไม่รู้ พยายามเข้าๆ แต่ถ้ากลัวเหงา ยังไงที่กรุงเทพฯ ก็มีเพลงเป็นเพื่อนทั้งคน” ชายหนุ่มให้กำลังใจ เชื่อเหลือเกินว่าปีหน้าที่มหาวิทยาลัยจะมีหนุ่มน้อยจากเมืองเชียงใหม่ไปเพิ่มอีกคน

    คนที่พระนายทั้งรัก ทั้งเคารพ ทั้งชื่นชม กำลังตั้งใจทำงานชิ้นแรกอย่างตั้งใจ หลังจากที่ได้ภาพตามที่อาใหญ่ต้องการ เจ้าตัวก็รีบวิ่งกลับมาเพื่อขอเช็คภาพที่ได้ เขาได้เห็นอิริยาบถต่างๆ ของดนตร์มากกว่าที่เคยเห็น ทั้งดีใจ ยิ้ม หัวเราะ หรือแม้แต่พูดจาเล่นหัวกับอริญชย์ ใช่! คนที่ดนตร์กำลังหัวเราะด้วยตอนนี้คืออริญชย์!

    นี่มันลำเอียงชัดๆ แม้แต่เขาที่พร้อมเปิดเผยสถานะตลอดเวลาว่าเป็นคนรัก แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่ดนตร์จะหัวเราะกับเขาได้อย่างจริงใจแบบนี้ อย่างมากก็แค่ยิ้ม เขาพยายามบอกกับตัวเองว่าไม่อิจฉา แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้! เขาอิจฉาอริญชย์! สองคนนี้คุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อมีการหยอกเอิน ชกต่อยกันแบบเบาๆ แล้วในจังหวะที่อริญชย์สวนหมัดกลับ ดนตร์เบี่ยงตัวหลบ ทว่าขาก้าวไปด้านหลังมากเกินไป เท้าที่วางบนตลิ่งอย่างหมิ่นเหม่ เลยลื่นไถลไปด้านล่าง

    ตูม!

    “พี่เพลง!”

    “เพลง!”

    ช่วงแขนเรียวหลุดจากนิ้วมือไปอย่างน่าใจหาย ทั้งร่างของดนตร์ลอยลงสู่ผืนน้ำ โดยที่อริญชย์คว้าตัวเอาไว้ไม่ทัน อริญชย์ตกใจจนแทบสิ้นสติ ตัวชาวาบมองดูร่างโปร่งจมหายไปในน้ำต่อหน้าต่อตา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งสติไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวว่าควรจะทำอะไร ดนตร์ลงไปลึกเกินคว้าไว้ได้เสียแล้ว แต่ในช่วงที่สติยังไม่กลับคืนเขาก็เห็นอีกร่างทะยานลงไปในสายน้ำ กรณ์พุ่งตัวดำดิ่งลงใต้ผืนน้ำโดยไม่สนใจสิ่งใด

     คนที่เหลือมีสภาพไม่ต่างกันกับเขา ทุกคนวิ่งมาออที่ริมตลิ่งบริเวณที่ดนตร์ตกลงไป ใจร้อนรนด้วยความเป็นห่วงเพราะนอกจากน้ำที่กระเพื่อมเป็นวงกลมและแผ่เป็นวงกว้าง ก็ไม่เห็นสิ่งใดอีก ผืนน้ำสีเข้มมองไม่เห็นใต้ล่างราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด อากาศหนาวเย็นยิ่งเพิ่มความน่ากังวลเป็นเท่าตัว อริญชย์กำมือแน่น ใจเต้นแรงจนปวดหน้าอกไปหมด ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขากลัวเสียเพื่อนมากขนาดนี้ แม้แต่คราวก่อนที่ประสบอุบัติเหตุเขายังไม่ห่วงกรณ์มากเท่านี้ นั่นเป็นเพราะ กรณ์ว่ายน้ำไม่เป็น!

    “ผมจะลงไป กรณ์ว่ายน้ำไม่เป็น”

   “อะไรนะ!” อาใหญ่อุทานเสียงดัง ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ

   “แต่พี่เพลงพอว่ายได้นะครับ” พระนายบอก

   คำบอกของพระนายไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้นสักนิด เพราะถึงดนตร์จะว่ายน้ำเป็นทว่ากระแสน้ำที่ไม่ได้นิ่งสงบเหมือนอย่างที่เห็น บวกกับอุณหภูมิที่เหลือแค่ไม่กี่องศาอาจทำให้เป็นตะคริวก่อนที่จะตั้งหลักได้ แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะพุ่งตัวลงไปตาม ศีรษะของใครบางคนก็โผล่ขึ้นผิวน้ำ

    “พี่เพลง!”

    พระนายอุทานสุดเสียง อริญชย์ไม่รีรออีก กระโดดลงไปแล้วรีบใช้มือล็อคคอของดนตร์เอาไว้ แม้ว่าในวินาทีที่ร่างกายสัมผัสกับความเย็นจัดของน้ำจะทำให้ทุกส่วนของร่างกายแทบจะหยุดเคลื่อนไหวในทันทีก็ตาม อริญชย์ใช้ทักษะการว่ายน้ำที่มีติดตัวลากเอาอีกคนเข้าฝั่งได้อย่างไม่ยากนัก แล้วทุกคนก็ช่วยกันนำร่างอ่อนปวกเปียกของดนตร์ขึ้นมาอยู่บนฝั่ง ส่วนตัวเขายังอยู่ในน้ำ กัดฟันสู้กับสายน้ำเย็นที่ไม่ต่างจากคมมีดกรีดร่าง แต่เขายังไม่อาจเอาตัวรอดได้ถ้าหากกรณ์ยังอยู่ในน้ำ!

    “กรณ์ล่ะ กรณ์อยู่ไหน”

    เขาตะโกนถาม ทว่ากลับไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ทุกคนมีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน ถึงดนตร์จะปลอดภัยแต่ยังเหลือกรณ์อีกคน อริญชย์กลั้นใจพาตัวลงสู่ผืนน้ำอย่างแท้จริง เขาไม่สนว่ามันจะทรมานไปถึงกระดูกหรือเปล่าขอแค่เจอตัวกรณ์เท่านั้น

    อริญชย์พยายามเพ่งสายตาสู้กับความดำทะมึนของผืนน้ำ กระแสน้ำด้านล่างไม่ได้นิ่งสงบเหมือนอย่างที่คิดไว้จริง แต่สำหรับผู้ที่ว่ายน้ำเป็นมันก็ไม่ยากนักถ้าหากจะเอาตัวรอด ทว่าสำหรับคนที่ไม่รู้แม้แต่วิธีการหายใจในน้ำอย่างกรณ์โอกาสรอดมีน้อยนัก เขากวาดมือไปรอบๆ หวังสุดหัวใจว่าจะคว้าเสื้อหรือส่วนไหนก็ตามของกรณ์ได้ ทว่ามันว่างเปล่า ดำดิ่งลงไปลึกมากกว่าเดิมก็ไม่เจอ น้ำเย็นเริ่มกัดกินผิวกายจนปวดร้าวไปหมด อากาศในปอดลดน้อยลงทุกขณะ แต่ยังกัดฟันหาต่อ หลายครั้งที่ต้องทะลึ่งตัวขึ้นไปบนผิวน้ำเพื่อโกยอากาศหายใจและกลับลงมาอีกครั้ง โดยห่างจากจุดเดิมไปเรื่อยๆ

    ร่างกายเริ่มอ่อนล้า แต่สองแขนก็ยังจ้วงหาร่างของเพื่อนรักไม่หยุด กระบอกตาแสบน้ำตาไหลออกมาปะปนกับสายน้ำเย็นเยียบ ขณะที่กำลังทรงตัวลอยอยู่ในน้ำปลายเท้าก็รู้สึกถึงบางอย่าง หัวใจลิงโลดด้วยความหวัง เขากลับลงไปใต้น้ำอีกครั้ง พยายามพุ่งตัวไปในจุดที่ปลายเท้าสัมผัสอยู่ ในความดำมืดเขาเห็นเงาลางเลือนมองดูคล้ายกับร่างของมนุษย์ อริญชย์ใช้มือเกี่ยวดึงเอาสิ่งนั้นขึ้นมาแล้วก็พบว่ามันคือแขนของกรณ์ เขาทุ่มพลังทั้งหมดดึงร่างของเพื่อนรักขึ้น ขณะที่อีกมือพลุ้ยแหวกน้ำ ยันกายขึ้นสู่ด้านบน

    “พี่รัน!”

    พระนายร้องสุดเสียง เด็กหนุ่มกวักมือไปด้านหน้า ความหวาดกลัวเมื่อครู่ทลายไปสิ้นเมื่อเห็นร่างของอริญชย์ทะลึ่งขึ้นมา อริญชย์ใช้มือเพียงข้างเดียวในการว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง โดยที่อีกมือรัดรอบคอของกรณ์เอาไว้ ตอนนี้ยังไม่อาจเดาได้ว่ากรณ์ปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า แต่แค่ทั้งคู่ไม่ได้จมสู่ก้นน้ำเขาก็ดีใจจนน้ำตาไหลแล้ว

    อาใหญ่และผู้ช่วยช่วยกันรับร่างของกรณ์ขึ้นมา ก่อนที่จะช่วยอริญชย์อีกคน ฮีโร่หนุ่มนอนแผ่หราเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหนาว พระนายรีบถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองห่อร่างอริญชย์เอาไว้ ถูมือจนอุ่นแล้วประคองไปที่แก้มเย็นจัด ทำซ้ำอยู่อย่างนั้นจนใบหน้าขาวซีดเริ่มมีสีเลือดขึ้นมา

    “กรณ์...ล่ะ”

    พระนายขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะมัวแต่เป็นห่วงอริญชย์เลยทิ้งหน้าที่ปฐมพยาบาลให้กับอาใหญ่และทีมงาน

    อริญชย์เหลือบมองไปที่ร่างของเพื่อนรัก กรณ์นอนนิ่งอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก หน้าซีดเซียวจนดูขาวโพลนไปหมด ริมฝีปากม่วงคล้ำ เช่นเดียวกับปลายนิ้ว การที่อยู่ในน้ำที่เย็นจัดแบบนั้น ถึงจะแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถคร่าชีวิตได้ อาใหญ่กดมือไปที่หน้าอกของกรณ์อยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว หัวใจเขาเต้นถี่แรงไม่ใช่เพราะเหนื่อยอ่อนแต่เขากำลังกลัว

    “กรณ์...”

   “พี่กรณ์! ไอ้บ้า ลืมตาเดี๋ยวนี้นะ!”

    เสียงตะโกนคล้ายกับจะโกรธดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ร่างโปร่งที่เปียกปอนไปทั้งตัวโถมเข้าใส่กรณ์ สองมือระดมทุบไปบนร่างของคนที่ยังนอนนิ่ง ดนตร์ปัดมืออาใหญ่ออกแล้วทำหน้าที่นั้นเสียเอง มือเรียวขาวซีดกดไปบนหน้าอกเป็นจังหวะ ทำซ้ำอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกกรณ์แล้วใช้มืออีกข้างบีบแก้มจนริมฝีปากเปิดออก ก่อนที่ดนตร์จะเป่าลมเข้าไป มองเผินๆ คล้ายกับทั้งคู่กำลังจูบกัน ทว่าแท้จริงแล้วดนตร์พยายามจะช่วยชีวิตกรณ์ไว้ต่างหาก

    ตอนที่ดำลงไปในน้ำเพื่อหาตัวกรณ์เขาลืมไปด้วยซ้ำว่าดนตร์จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ตอนนั้นเขาห่วงกรณ์มากกว่า

    “พี่กรณ์ ตื่นสิ! ตื่น”

    ดนตร์พร่ำเรียกชื่ออีกคนอยู่อย่างนั้นขณะที่มือก็กดทับไปยังตำแหน่งของหัวใจสลับกับการผายปอด ดวงตาแสบร้อนไปหมดด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม ยิ่งเห็นแผ่นอกหนายังราบเรียบไม่มีการขยับเขยื้อนก็ยิ่งใจเสีย ปากพร่ำเรียกชื่อไม่ขาด หวังให้คนที่หลับได้ยินเสียงแล้วตื่นลืมตาขึ้น

    เมื่อรู้ว่าตัวเองตกลงไปในน้ำก็ตกใจจนแทบลืมวิธีว่ายน้ำ ต้องตั้งสติอยู่พักใหญ่กว่าจะทรงตัวในน้ำได้ แต่ก่อนที่จะว่ายกลับเข้าฝั่ง ร่างของอีกคนก็พุ่งตามลงมา มันเร็วมากจนเขาไม่อาจบอกได้ว่าเป็นใคร แต่พอร่างนั้นพยายามตะกุยตะกายเข้ามาใกล้ก็รู้ว่าคือกรณ์ เพราะความมืดและความหนาแน่นของมวลน้ำทำให้เขาหาอีกฝ่ายไม่เจอ พยายามป้ายมือไปด้านหน้า จนสุดท้ายก็สามารถคว้าเอาปลายนิ้วของกรณ์เอาไว้ได้ เขาเลื่อนตัวจนกุมมือกันได้สำเร็จ แต่จังหวะนั้นขาซ้ายกลับชาดิก ความปวดไล่จากปลายเท้าแล่นขึ้นมาถึงต้นขาอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจขยับตัวได้ เมื่อเสียกำลังขาที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากหางเสือของเรือ การว่ายน้ำจึงมีปัญหา ร่างกายพาลดำดิ่งลงสู่เบื้องล่าง แล้วก็เป็นกรณ์ที่เหนี่ยวร่างของเขาขึ้นก่อนจะดันจนโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้สำเร็จ และตอนนั้นเองที่อริญชย์เข้ามาช่วยไว้ เป็นกรณ์เสียเองที่หายไป 
   “พี่ครับ ตื่น! ตื่นขึ้นมา อย่าเป็นอะไรนะ ห้ามมาปอดแหกตอนนี้นะ ผมสัญญาว่าถ้าพี่ลืมตาขึ้นมาผมจะไปบอกพ่อกับแม่ว่าพี่กับผมเป็นอะไรกัน ฟื้นขึ้นมา ฟื้นเดี๋ยวนี้! ไอ้คนบ้า ผมรักพี่นะ!”

    ดนตร์ทุ่มตัวลงไปกอดร่างหนาเอาไว้ ใบหน้าแนบกับแผ่นอกกว้างที่เคยอบอุ่น ทว่าบัดนี้มันเย็นเยียบไม่ต่างจากก้อนน้ำแข็ง ผิวกายที่อุ่นที่เคยโอบกอดก็เย็นไม่ต่างกัน กรณ์กำลังทำให้เขาหวาดกลัว...กลัวการจากลาที่เร็วเกินไปเกินกว่าจะรับมือได้ทัน หยาดน้ำตามากมายไหลแทรกซึมไปกับเสื้อผ้าเปียกชื้น ความหนาวเย็นของอากาศและน้ำที่กัดกรีดผิวเทียบไม่ได้เลยกับหัวใจที่กำลังจะสลาย

    ...พระเจ้าได้โปรดอย่าเพิ่งพรากคนที่เขารักไป เพราะแม้แต่คำว่า ‘รัก’ เขาก็ยังไม่เคยบอกกับอีกฝ่ายให้ได้ยิน...

    “ผมรักพี่” ดนตร์พูดประโยคที่อยากพูดมาตลอดเกือบหนึ่งปีที่เฝ้ามองรุ่นพี่คนนี้ ทั้งก่อนหน้านี้ที่ไม่มีโอกาส และตอนที่มีโอกาสเขาก็ยังไม่เคยพูดให้กรณ์ฟัง ทั้งที่รักสุดหัวใจ...รักแล้วทำไมถึงจะยอมแพ้...เขาจะไม่ยอมให้กรณ์เป็นอะไรไป!!

    ศีรษะทุยยกขึ้นจากอก ปาดน้ำตาทิ้งเช่นเดียวกับความอ่อนแอ สองมือวางประสานที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ออกแรงกดหนักๆ ทำตามที่เคยเรียนมา สลับกับผายปอดให้ ปากก็ร้องเรียกชื่อกรณ์ไปด้วย แม้จะกระทำเหมือนเดิมแต่คราวนี้ไม่มีน้ำตามีแต่กำลังใจเท่านั้น กระทั่งฝ่ามือรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของบางอย่างและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างของกรณ์ยกสูงก่อนจะไอเสียงดังพร้อมกับน้ำที่กลืนเข้าไป

    “แค่ก แค่ก”

    “พี่กรณ์!”

    ดนตร์ยิ้มกว้างด้วยความยินดี ร่างกายเบาหวิว ก้อนแห่งความหวาดกลัวที่กดทับไว้หลุดทิ้งไปในทันที อาใหญ่กับคนอื่นๆ กรูเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ทั้งบีบนวดเนื้อตัว หาเสื้อผ้าอุ่นๆ มาคลุมไว้ให้ กรณ์มีสีหน้าอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาแดงจัดจนเป็นสีเลือด ริมฝีปากเขียวคล้ำ แต่แผ่นอกขยับตามจังหวะการหายใจแล้ว ถึงจะยังไม่เป็นปกติแต่อย่างน้อยกรณ์ก็ตื่นขึ้นมามองหน้ากัน

    “พี่ก็รักนาย”

................................................

มาอัพแล้วค่า ตอนนี้เข้มแข็งแล้วประมาณนึง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 20 Big Hero [04/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 05-09-2017 04:29:06
 :mew6: :mew2: :mew3:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 20 Big Hero [04/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-09-2017 10:08:22
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 20 Big Hero [04/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 06-09-2017 09:25:39
กอดๆ นะคะ  :กอด1:

เขาบอกรักกันแล้ว
กว่าจะบอกกันได้
ไม่มีสถานการณ์กดดันก็คงไม่ได้บอก

ลูกเจี๊ยบบบบบบ
หลวมตัวไปลึกมากเลย
เรายังไม่ลืมว่ากรณ์เคยทำอะไรไว้
ทำไมลูกเจี๊ยบลืมมมมม

พี่รันจ๋า
เปลี่ยนเป้าหมายใหม่แล้วหรอ

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 20 Big Hero [04/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 06-09-2017 23:18:33
เลิกปากแล้วกันแล้วว แล้วพระนายนี่คู่กับพี่รันใช่ป่าว?
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 21 Promise [08/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 08-09-2017 19:12:17
Chapter 21 Promise


    ภายในห้องผู้พักฟื้นมีคนป่วยนอนเรียงกันอยู่สามคน หนึ่งคนคือผู้ที่ประสบเหตุตกลงไปเพราะอุบัติเหตุ อีกหนึ่งคือคนที่
กระโดดลงไปช่วย และคนสุดท้ายคือวีรบุรุษอย่างแท้จริง

    หลังจากผ่านเหตุชุลมุน อาใหญ่ก็รีบพาทุกคนมาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด กรณ์มีอาการแย่มากกว่าใครเพราะจมอยู่ในน้ำที่มีเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง ระหว่างทางต้องช่วยกันให้ไออุ่น ดนตร์แสดงความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง สองมือโอบกอดร่างของกรณ์เอาไว้แบ่งปันไออุ่นจากกายให้อีกฝ่าย กระทั่งถึงโรงพยาบาลเจ้าตัวก็ยังจะไม่ยอมเข้าห้องตรวจเพราะยังไม่คลายความกังวลทั้งที่ก็จมน้ำไปนานอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วทั้งสามก็ปลอดภัยเพียงแต่ต้องพักดูอาการกันอีกสักระยะ

    พ่อแม่ พี่สาวรวมไปถึงหลานชายตัวอ้วนของดนตร์เดินทางมาถึงหลังจากทั้งสามหนุ่มหลับไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พระนายเป็นคนโทรบอก เมื่อได้รับคำอนุญาตจากอาใหญ่แล้ว สาเหตุที่ต้องบอกให้รู้ทีหลังเพราะไม่อยากให้รีบเดินทางมากนักเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก รอจนแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้วค่อยติดต่อไปแจ้งข่าวคราว

    คุณดารินมารดาของดนตร์ดูตระหนกมากกว่าใคร ใบหน้าของท่านขาวซีด ผวาไปที่เตียงของดนตร์เฝ้ามองบุตรชายที่เพิ่งหลับไปด้วยฤทธิ์ยาของคุณหมอ มือแตะเบาๆ บนหน้าผากลูบเลยไปด้านหลัง ดวงตากลมแต่หวานมีน้ำคลอหน่วยตา ส่วนคุณนทีและนับดาวก็ยืนประกบไม่ห่าง ด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างกันนัก คงมีแต่เจ้าหนูน้อยน้ำเหนือที่หัวเราะร่าเอียงคอมองน้าชายในอ้อมอกของมารดาด้วยความอ่อนเดียงสา

    “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเพลงถึงตกน้ำได้”

    เสียงของคุณดารินแหบพร่า ทั้งที่ได้ฟังถึงสาเหตุมาแล้วก่อนหน้านี้ผ่านทางโทรศัพท์ทว่าหัวอกของผู้เป็นแม่นั้นอะไรที่เกี่ยวข้องกับลูกก็ยินดีจะฟังซ้ำๆ

    “คือ...มันเป็นอุบัติเหตุครับคุณป้า” พระนายตอบ คิ้วขมวดมุ่นระหว่างที่มองไปยังผู้ป่วยที่นอนเรียงรายกันอยู่สามเตียงติด แต่สายตากลับเลือกที่จะมองคนที่ติดผนัง จำวินาทีที่เจ้าตัวพุ่งลงน้ำได้ดี ท่วงท่าสวยงามไม่ต่างจากนักกีฬาว่ายน้ำ ช่วงแขนยาวแข็งแรงจ้วงลงไปในสายน้ำเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง แล้วเพียงไม่กี่อึดใจก็เกี่ยวเอาร่างของพี่ชายข้างบ้านขึ้นมาได้ พอดนตร์ปลอดภัย วีรบุรุษก็กลับดำดิ่งลงไปในผืนน้ำอีกครั้งเพื่อควานหาตัวพี่ชายหน้าหล่ออีกคน แต่คราวนี้มันนานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เวลานั้นเขาใจเสีย นั่งกอดดนตร์ที่ตัวสั่นด้วยความหนาวแน่น ภาวนาให้ทั้งคู่ปลอดภัย แล้วก็สำเร็จ อริญชย์สามารถหาตัวกรณ์ได้จริงๆ แต่ใบหน้าขาวซีดและริมฝีปากเขียวคล้ำนั่นก็ยังไม่อาจวางใจได้ ตอนที่เห็นกรณ์ ดนตร์แทบจะกระโจนน้ำลงไปอีกรอบดีที่เขาคว้าตัวไว้ ก่อนที่จะช่วยกันลากร่างหนาหนักขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ

    ดนตร์พุ่งตัวเข้าไปหากรณ์ทันที ขณะที่เขาเลือกที่จะช่วยอริญชย์ บิ๊กฮีโร่ตัวจริงของวันนี้ แม้จะตัวใหญ่พอๆ กับพวกฝรั่ง ทว่าเมื่อต้องออกแรงในน้ำที่ทั้งเย็นทั้งเชี่ยวเป็นเวลานานก็ทำหมดแรงได้ง่ายๆ เนื้อตัวของอริญชย์เย็นจัดไปหมด ปากสั่นซีด ตาแดงก่ำ ปลายนิ้วเป็นสีคล้ำ เขารีบกุมมืออีกฝ่ายไว้ ทั้งบีบทั้งขยำแบ่งปันไออุ่นในร่างกายให้ จนรู้สึกว่านิ้วยาวนั่นมันอุ่นขึ้นถึงได้เบาใจ ชั่ววินาทีหนึ่งที่อริญชย์ลืมตาขึ้นแล้วมองมาคล้ายกับจะขอบคุณ หัวใจของเขาเต้นรัว ไม่ใช่แค่ดีใจ แต่ความรู้สึกบางอย่างมันเกิดขึ้นกะทันหัน คล้ายกับตอนที่เห็นรุ่นพี่คนสวยเดินผ่าน ตื่นเต้นระคนเขินอาย

    หลังจากเหตุการณ์ชุลนุนพระนายได้รู้ความจริงอีกข้อว่า ทั้งกรณ์ อาใหญ่และผู้ช่วย ไม่มีใครว่ายน้ำเป็นเลย รวมไปถึงตัวเขาด้วย และกว่าที่พนักงานในรีสอร์ทจะมาทั้งกรณ์ ดนตร์และอริญชย์ก็ขึ้นมาอยู่บนฝั่งแล้ว จากนั้นเพื่อนของอาใหญ่ก็ช่วยกันพาทุกคนมาส่งที่โรงพยาบาล

    “เพลงก้าวพลาดน่ะครับ ดินตรงนั้นมันอ่อนตัวพอดี เลยหงายหลังตกลงไป” อาใหญ่อธิบายเพิ่มเติม โดยมีผู้ช่วยคอยบีบนวดที่หัวไหล่ให้อยู่เนืองๆ

    “แล้ว...แล้วจมน้ำได้ยังไง ก็เพลงว่ายน้ำเป็น” คุณดารินถามต่อ ซึ่งคำถามนี้ทุกคนก็จนปัญญา เพราะเมื่อกรณ์ขึ้นมาบนฝั่งได้ดนตร์ก็ไม่เหลือสติเอาไว้ตอบคำถามใครได้ เจ้าตัวเทความสนใจไปที่กรณ์เท่านั้น

    “เรื่องนั้นพวกเราไม่ทราบหรอกครับ แต่ตอนนี้เขาปลอดภัยดีแล้ว” อาใหญ่กล่าวเสริม ซึ่งทั้งสามก็ไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม...แม้แต่ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ

    “พี่...กรณ์..ช่วยผม”

    ทุกสายตาในห้องพุ่งไปที่จุดเดียว ริมฝีปากซีดเซียวขยับเล็กน้อย เช่นเดียวกับปลายนิ้ว นานจนเกือบลืมลมหายใจเปลือกตาบางถึงได้ค่อยๆ เปิดขึ้น

   “เพลง!” ผู้เป็นมารดาใช้สองมือประคองใบหน้าของบุตรชาย ก่อนจะเลื่อนไปสำรวจส่วนอื่นๆ ทั้งหัวไหล่ แขน ลำตัว “เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหม หายใจสะดวกหรือเปล่า”

    ศีรษะสวยสั่นเบาๆ “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”

    ดนตร์ค่อยๆ กระถดกายขึ้น โดยมีมารดาคอยให้ความช่วยเหลือ หมอนใบใหญ่ที่ใช้หนุนนอนกลายมาเป็นเบาะพิงหลังชั่วคราว

    คุณดารินหันไปรินยาต้มที่นำมาจากบ้านใส่แก้วให้ เป็นยาสูตรพิเศษที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ สมัยก่อนนี้เชียงใหม่หนาวกว่านี้มาก เลยจำเป็นต้องมียาบำรุงเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น ไอร้อนลอยโชยเหนือปากแก้วแค่ได้กลิ่นก็ต้องเบ้หน้าหนี แต่เพราะเป็นความรักความห่วงใยของมารดาเลยปฏิเสธไม่ได้ ดนตร์กลั้นใจระหว่างที่รับยาสมุนไพรเข้าปาก ตอนที่กลืนลิ้นแทบจะไม่อยากสัมผัสรับรสชาติด้วยซ้ำถึงกระนั้นกลิ่นเหมือนหญ้าไหม้ก็ยังอวลในปากอยู่ดี

    พอท่านทำท่าจะช่วยป้อนให้อีกอึกก็รีบสั่นหน้าปฏิเสธ “ผมไม่หนาวแล้วครับแม่”

   เพราะไม่อยากคะยั้นคะยอคนป่วย คุณดารินถึงได้ยอมรามือ ฝ่ายสามีจัดการเก้าอี้ตัวเล็กๆ มารองรับภรรยาด้วยความรู้ใจ ท่านหย่อนสะโพกลงนั่งพอดี โดยที่ไม่ยอมปล่อยมือจากบุตรชายเลยแม้แต่วินาทีเดียว

   “ทำไมถึงจมได้ล่ะ เราว่ายน้ำเป็นไม่ใช่หรือไง”

     “ครับ...ขาผมเป็นตะคริวน้ำเย็นมาก ผมพยายามว่ายแล้วแต่พอเป็นตะคริวผมก็ยิ่งจม”

    “แล้วใครไปช่วยเหลือ เขา...” คุณดารินเหลือบมองไปยังร่างที่นอนติดผนังสุด แต่ดนตร์สั่นหัว

   “พี่กรณ์ครับ” น้ำเสียงติดแหบตอบกลับมา “เขาไปช่วยผมทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น เขาห่วงผมมากกว่าตัวเอง แม่ครับ” ดนตร์จับมือมารดาเอาไว้ “ผมเคยชอบพี่กรณ์ครับ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นรักแล้ว”

    “ห๊ะ! เพลงนี่แกตกน้ำจนพูดเพ้อเจ้อไปแล้วอย่างนั้นเหรอ”

    “เปล่าครับ ผมมีสติดี แต่ตอนที่เห็นพี่กรณ์กำลังจะตาย ผมเกือบจะเป็นคนเสียสติไปแล้วจริงๆ” ตากลมมองไปที่เตียงที่ติดกัน กรณ์ยังนอนนิ่ง ตั้งแต่ออกจากห้องฉุกเฉิน กรณ์ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย ถึงคุณหมอจะรับรองความปลอดภัยแต่เขาก็ยังวางใจไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ผมลังเลที่จะบอกเรื่องนี้ ผมกลัวว่าทุกคนจะเกลียดผม แต่ตอนที่เห็นพี่กรณ์อยู่ในน้ำผมก็รู้ว่าสิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือต้องเสียเขาไป ผมรักเขาครับ ถึงพ่อกับแม่จะโกรธ จะเกลียด จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ผมจะไม่มีวันเลิกรักเขา”

   “เพลง!” นับดาวปราม ทำเอาหนูน้อยในอ้อมแขนตกใจเบะปากแต่ยังไม่แผดเสียงร้อง

    “พี่นับดาว” ดนตร์ยิ้ม “ขอบคุณที่รักผม...แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังครับ”

    “ไอ้น้องบ้า! คิดหรือไงว่าฉันจะรังเกียจน้องตัวเอง” ผู้เป็นพี่น้ำตาคลอ “กรณ์บอกเรื่องนี้กับพี่แล้ว”

   “บอกแล้ว?”

    “ใช่!” นับดาวพยักหน้า “ตั้งแต่วันแรกเลย พี่เห็นนายกับกรณ์เอ่อ...ช่างมันเถอะ แต่เขาก็บอกเรื่องนี้กับพี่ เขากล้าหาญไม่ปิดบัง แล้วก็ให้เกียรตินาย แถมวันนี้เขายังช่วยชีวิตนายเอาไว้อีก...” น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลผ่านแก้มขาว “พ่อขาแม่ขา ได้โปรดเถอะนะคะ อย่าเกลียดน้องกับกรณ์เลย เขาแค่รักกัน...แค่รักกัน”

    “แง๊!”

    เมื่อเห็นว่ามารดาร้องไห้ น้ำเหนือเองก็พลอยขวัญเสียไปด้วย ทารกตัวอ้วนร้องไห้จ้า นับดาวรีบปลอบประโลมยกใหญ่ คุณดารินเองก็ด้วย

    “เพลง”

    คุณนทีเรียกชื่อบุตรชาย ไม่กี่ครั้งหรอกที่ท่านจะเรียกชื่อจริง แต่รู้ว่าในแต่ละครั้งที่เรียกย่อมมีนัยยะสำคัญ ร่างสูงใหญ่ที่ยังคงสง่างาม ผมที่ยังดกหนาและมีสีดำหวีเรียบไปด้านหลัง บิดาของดนตร์ไม่ใช่หนุ่มรูปงาม แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ดวงตากลมแก้วตาสีสนิมผ่านโลกมาเกือบหกสิบปี ท่านเป็นคนใจเย็น ใช้เหตุผลตัดสินปัญหา ใบหน้าที่มีริ้วรอยแห่งวัยตามปรากฏที่หน้าผาก หางตา มุมปาก แว่นทรงกลมสีทองทำให้ท่านดูสุขุมมากกว่าเดิม

    เพี้ยะ!

    “เพลง!”

    เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังแล่นเข้าไปในประสาทหู ใบหน้าซีกซ้ายชาวาบราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็น ดนตร์หลับตาในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ใต้เปลือกตาเป็นประกายวิบวับ กระพุ้งแก้มรับรู้ถึงรสฝาดของเลือด กลิ่นสนิมคลุ้งทั่วปาก ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกตบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกบิดาตบ ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ท่านไม่เคยตีหรือทำร้ายเขาเลย อย่างมากที่สุดก็ตำหนิ รอจนอาการชากลายเป็นเจ็บแสบเขาถึงได้เปิดตาขึ้น

    “คุณตบเพลงทำไม” คุณดารินโผเข้ากอดบุตรชาย ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนในห้อง โชคดีที่ห้องพักฟื้นมีคนไข้แค่สามรายเท่านั้น

   “แกเป็นผู้ชายทำไมถึงได้ขี้ขลาดแบบนี้!” คุณนทีพูดเสียงดัง “ทั้งที่กรณ์กล้าที่บอกกับคนอื่นๆ ว่าเป็นอะไรกับแก แต่แกกลับเลือกที่จะปิดบังพ่อกับแม่ พ่อสอนให้แกกล้าหาญและเข้มแข็งมาเสมอ แล้วทำไมถึงได้กลัวกับเรื่องแค่นี้”

    “ผม...ผม”

    “พ่อผิดหวังในตัวแกจริงๆ”

    “พ่อครับ ผม...ผมขอโทษ”

    “ไม่ต้องมาขอโทษพ่อ โน่นต่างหากที่แกต้องไปขอโทษ” นิ้วของคุณพ่อชี้ไปยังร่างของคนป่วยที่นอนบนเตียงถัดไป “เขากล้าหาญถึงขนาดยอมลงไปช่วยแก ทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น ไปขอโทษและขอบคุณเขาซะ แล้วก็....ถ้าพร้อมเมื่อไรก็พาเขามา เราจะพูดคุยกันอย่างเป็นทางการอีกที”

    “พ่อ...”

    เสียงของดนตร์สั่นเครือ ความเจ็บปวดที่ใบหน้าซีกซ้ายหายวับไปในนาทีนั้น ภาพใบหน้าของบิดาพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตาที่เข้ามาบดบัง การถูกทำร้ายครั้งแรกมันคือการลงโทษที่เขาขี้ขลาดไม่สมเป็นลูกผู้ชาย หากแต่ไม่ใช่เพราะมีหัวใจให้กับเพศเดียวกัน ดนตร์ยิ้มทั้งน้ำตาขอบคุณบิดาในใจ

    ...สาบานว่าจากนี้ไปเขาจะต้องกล้าหาญให้เท่ากับกรณ์ให้ได้…

(มีต่อ)

หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 21 Promise [08/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 08-09-2017 19:16:24
        พระนายยังไม่กลับ เขารับหน้าที่เฝ้าคนป่วยให้ ขณะที่คนอื่นๆ กลับกันไปหมดแล้ว ป้ารินไม่โกรธพี่เพลงสักนิดที่บอกว่าตนเองรักพี่กรณ์ เอาแต่กอดปลอบประโลม คงห่วงในชีวิตของผู้เป็นลูกมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง แถมยังป้อนยาบำรุงให้พี่เพลงอยู่หลายอึก กระทั่งน้ำเหนือเริ่มงอแงเพราะได้เวลานอน ทั้งหมดก็กลับไป พี่เพลงนอนหลับไปอีกรอบเมื่อห้องกลับมาสงบอีกครั้ง อาใหญ่กับผู้ช่วยขอตัวกลับไปพักผ่อน นับว่าเป็นโชคช่วยเพราะก่อนที่พี่เพลงจะตกน้ำไป การถ่ายแบบสิ้นสุดลงพอดี

    พระนายเดินผ่านสองเตียงไปสู่เตียงสุดท้าย พี่รันยังหลับสนิท ใบหน้าในตอนหลับดูอ่อนโยนกว่าปกติ ความกระด้างของดวงตาถูกเปลือกตาปิดทับไว้ ริมฝีปากหนาแต่รับกับใบหน้าส่วนอื่นๆ ปิดสนิท เรือนกายกำยำมีมัดกล้ามพอประมาณจากการออกกำลังกายเป็นประจำพอเหมาะพอดี ไม่ได้ใหญ่หนาจนน่ากลัวเกินไป เส้นผมสีดำกับคิ้วหนาสีเดียวกันยิ่งเสริมให้เจ้าตัวทั้งคมและเข้ม ปฏิเสธไม่ได้ว่าอริญชย์หน้าตาดีอย่างหาตัวจับได้ยากคนหนึ่งเลยทีเดียว พี่กรณ์เองก็หล่อเหลาแต่แววตาเย็นชานั่นทำให้เขากลัวมากกว่า

    เด็กหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุด วางข้อศอกกับเตียงคนป่วยแล้วใช้หลังมือรองรับคางตัวเองอีกที ตั้งแต่คืนก่อนแล้วที่เขารับรู้ถึงความผิดปกติของหัวใจตัวเอง มันเต้นไม่เป็นส่ำตอนที่พี่ชายตัวใหญ่ไล่ผีเสื้อให้ แม้จะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน แถมยังเคยคบกับผู้หญิงมาแล้ว ทว่าไอ้อาการใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หายใจติดๆ ขัดๆ ที่เป็นอยู่นี่มันเรียกว่าอะไร

    “เฮ้ย!”

    ฉับพลันเปลือกตาหนาก็เปิดขึ้น พระนายลุกจากเก้าอี้ถอยกรูรวดเดียวไปอยู่ท้ายห้อง ดวงตาเบิกกว้างขณะที่มองคนป่วยยันกายขึ้นจากเตียง อริญชย์ยังคงงัวเงียอยู่ไม่น้อย ใบหน้าคมหันมองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่เขา

    “นาย...กรณ์ฟื้นหรือยัง” พระนายส่ายหน้า ถึงตอนนี้คงมีแค่กรณ์เท่านั้นที่ยังไม่ตื่น “แค่กๆ”

    พอตั้งสติได้พระนายก็ค่อยๆ สาวเท้ากลับมาที่เดิม สีหน้าของพี่รันดีขึ้นกว่าเดิม เลือดกลับมาสูบฉีดแล้ว ปลายนิ้วไม่ได้คล้ำ แต่ยังเหลือความอิดโรยไว้ให้เห็นอยู่บ้าง

    “พี่...เป็นอะไรเหรอครับ ให้ผมตามหมอให้ไหม”

    มือหนาโบกไปมาในอากาศ ก่อนจะชี้ไปที่เหยือกน้ำ พระนายรีบรินน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้ อริญชย์กระดกน้ำทีเดียวหมดก้าวแล้วคืนแก้วให้

    “เพลงล่ะ ฟื้นหรือยัง”

    “ฟื้นแล้วครับ เพิ่งหลับไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ นี่เอง...ส่วนอาใหญ่กับคนอื่นๆ ก็เพิ่งกลับไปเหมือนกันครับ”

    “คนอื่นๆ?” คิ้วหน้าขมวดน้อยๆ ด้วยความสงสัย

   “ครอบครัวพี่เพลงก็มาครับ กลับไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ นี้เอง แล้วพ่อแม่พี่รันล่ะครับจะมาไหม ครอบครัวพี่กรณ์อีก ตายๆ ผมลืมขอเบอร์อาใหญ่ไว้ด้วย ทำยังไงดี พี่รันจะให้ผมติดต่อใครให้ไหม เดี๋ยวผมจัดการให้”

    “พอๆ” อริญชย์ยกมือขึ้น “ฉันอยากดูดบุหรี่”

    “ครับ?” พระนายทำหน้างง ก่อนจะตามทัน “แต่ผมไม่มีบุหรี่นะครับ”

    “อยู่ในกระเป๋ากางเกง ดูมาให้หน่อยสิ”

    พระนายพยักหน้า จำได้ว่าเสื้อผ้าเปียกๆ พวกนั้นอาใหญ่ส่งไปซักให้แล้ว ส่วนข้าวของติดตัวใส่ถุงรวมกันไว้ เด็กหนุ่มเดินไปที่โต๊ะตัวเล็กกลางห้อง ค้นจนเจอซองบุหรี่กับไฟแช็ก

    “นี่ครับ...” พระนายยื่นให้เจ้าของ แต่อริญชย์ไม่ยอมรับ

    “ถือมาให้ที”

    แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม เขาปล่อยให้คนป่วยลุกขึ้นจากเตียงและลากเสาน้ำเกลือเอง ถึงอยากจะช่วยสักแค่ไหนแต่ท่าทางของอริญชย์คงไม่อยากให้เขาไปยุ่งเท่าไร

    อริญชย์ออกจากห้องพักฟื้น เดินไปเรื่อยตามทางเดินที่ยาวสุดลูกหูลูกตา มือข้างที่มีเข็มน้ำเกลือทิ่มจับเสาน้ำเกลือลากไปด้วย ส่วนมืออีกข้างต้องคอยจับปมกางเกงเอาไว้ แม้จะไม่ได้ดูสง่างามอย่างเคยแต่ความดูดีก็ไม่ได้ลดลงเช่นกัน ใบหน้าซีดเซียวยังคงเคร่งขรึมและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อริญชย์เดินเลี้ยวซ้ายเพื่อออกสู่ระเบียง พระนายห่อตัวเข้าหากันด้วยอากาศหนาวที่เริ่มแผ่เข้ามา เขาได้ยินเสียงลมพัด คงเพราะนี่คือชั้นห้าของโรงพยาบาล

    แต่คนป่วยกลับไม่มีทีท่าจะหนาวสักนิด อริญชย์เลือกมุมที่เห็นทิวทัศน์บริเวณด้านล่างได้ ก่อนจะให้เขาดึงบุหรี่ออกจากซองให้เท่านั้นไม่พอเจ้าตัวยังขอให้เขาจุดไฟให้อีก ทั้งที่มีบุหรี่คาบอยู่ในปาก แม้จะอายจนมือสั่นเพราะไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครมาก่อนแต่สุดท้ายเปลวไฟก็เผาไหม้เกิดเป็นไฟสีแดงวาบ

   ควันสีขาวลอยในอากาศ กลิ่นนิโคตินไม่ได้ทำให้รำคาญเท่าไรนัก คนสูบมองเลื่อนลอยไปยังเบื้องหน้า จนควันที่สองถูกปล่อยออกมา อริญชย์ถึงได้พูดขึ้น

    “ฉันชอบเพลงเขาน่ารัก ซื่อบื้อ แล้วก็ตรงดี ฉันพยายามจะจีบเขา แต่ไม่เคยสำเร็จ เพราะกรณ์ ที่จริงฉันกับไอ้กรณ์เราเป็นเพื่อนรักกัน แต่ตอนนี้ไอ้กรณ์คงเกลียดฉันเข้ากระดูกดำไปแล้ว”

    “ทำไม...ล่ะครับ” พระนายถาม พยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่จู่ๆ ก็วิ่งขึ้นมาจุกที่คอหอย พร้อมกับอาการหวิวโหวงในอก...พี่รันชอบพี่เพลง

    “เพราะมันก็ชอบเพลงเหมือนกัน” อริญชย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปล่อยควันบุหรี่ออกมาอีกครั้ง “แต่ฉันจะตัดใจแล้วล่ะ...เพื่อนสำคัญที่สุด”

    พระนายไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ เขาปล่อยให้อริญชย์อยู่กับบุหรี่ไปเรื่อยๆ จนหมดมวน...

                                               

    เปลือกตาที่ปิดนานไปกว่าหกชั่วโมงค่อยๆ ขยับเปิดอย่างเชื่องช้า ทันทีที่มีแสงตกกระทบเข้ามาในม่านตาก็ต้องรีบหลับตาลงอีกรอบ รอจนแสงระยิบระยับใต้เปลือกตาลดน้อยลงแล้วจึงลืมตาขึ้น คราวนี้ใช้เวลาอีกพักใหญ่สายตาถึงปรับสภาพได้ แสงไฟบนเพดานเป็นสิ่งแรกที่ได้เห็น จากนั้นก็เป็นผนังสีขาวขุ่นๆ ผ้าม่าน บานหน้าต่างเก่าๆ และเตียงนอน กลิ่นยาโชยเข้ามาในปอดจนต้องเบ้หน้า เขาไม่ถูกกับกลิ่นสารเคมีที่ใช้รักษาร่างกายเท่าไรนัก ครั้งสุดท้ายที่ได้กลิ่นเขาต้องทนดมมันนานเป็นสัปดาห์ เพราะมันติดอยู่ตรงขมับนี่เอง พูดถึงแผลก็อดยกมือขึ้นแตะไม่ได้ แผลที่ได้มาจากการสารภาพบาป แม้จะไม่ได้ยาวจนน่าเกลียดแต่รอยนูนของมันก็เป็นสิ่งที่มีไว้ย้ำเตือนความทรงจำได้ดี

    ชายหนุ่มพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกว่าร่างกายอ่อนล้าไปหมด แขนขาหนักเหมือนมีตุ้มเหล็กถ่วงไว้ เท่านั้นไม่พอศีรษะยังหนักอึ้ง ความคิดลอยคว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกโป่งไม่มีผิด เขายันกายขึ้นจากเตียงเล็ก ขนาดที่จะพลิกตัวแล้วไม่ระวังมีหวังได้ตกลงไปนอนบนพื้นเป็นแน่ กระทั่งเอาศีรษะพิงกับผนังห้องเย็นๆ ได้ เจ็บหน่วงๆ ที่หลังมือเพราะเข็มน้ำเกลือ แล้วหลุบตามองชุดที่ตัวสวมใส่อยู่ มันเป็นชุดผู้ป่วยจริงๆ กรณ์แค่นยิ้ม ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาเข้าโรงพยาบาลมาสองครั้งแล้ว ครั้งนี้แย่ที่สุด รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น กรณ์ผู้แข็งแกร่งต้องมานอนหยอดน้ำข้าวต้มเพราะว่ายน้ำไม่เป็น

    ถึงจะหลับไปนาน แต่ก็จำได้ว่าสาเหตุที่ทำให้ต้องมานอนบนเตียงเล็กๆ แคบๆ นี้เป็นเพราะอะไร ยอมรับว่าวินาทีที่เห็นดนตร์ตกน้ำ เขาแทบสิ้นสติลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น รู้แค่ว่าดนตร์จะต้องปลอดภัย แต่น้ำมันเย็นเหลือเกิน ความเย็นของมันเหมือนมีดคมกรีดไปบนผิวกาย มวลน้ำหนาแน่นโอบรัดรอบตัวจนแทบจะขยับแขนขาไม่ได้ แต่ในนาทีที่กำลังดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดเขาก็เห็นดนตร์พอดี เขาตัดสินใจดันร่างเล็กด้วยพละกำลังที่มีโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะตายหรือจะรอด แล้วน้ำก็พากันไหลเข้าไปในปาก จมูก อัดแน่นอยู่ในตัวเขาจนหายใจไม่ออก ร่างกายเริ่มชาและไร้ความรู้สึก ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไป...แล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย กระทั่งได้ยินเสียงบางอย่าง มันคล้ายกับเสียงร่ำไห้สลับกับร้องเรียก ตอนนั้นหัวใจเขาอุ่นซ่านขึ้นอย่างน่าประหลาด เรี่ยวแรงที่หายไปกลับคืนมาอีกครั้ง ไออุ่นจากใครบางคนมันผ่านเข้ามาในผิวกาย ถ้อยคำเลือนรางชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถจับเป็นประโยคได้

    ‘ผมรักพี่’

   คำบอกรักที่ไม่เคยได้ยิน ราวกับแรงส่งมหาศาลมันดึงให้เขาหลุดจากหลุมสีดำ และเมื่อเปิดตาขึ้นสิ่งแรกที่ได้เห็นคือใบหน้าของคนที่เขารัก

    กรณ์หันมองรอบกายอีกครั้ง ดนตร์ยังอยู่ข้างๆ เขาแม้แต่ในตอนที่อยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้เช่นนี้ ใบหน้าขาวซีดกว่าที่เคยเห็น ริมฝีปากแห้งผาก เปลือกตาบางปิดทับดวงตากลม ถึงจะไม่พิสมัยชุดคนไข้เท่าไรนัก แต่เขากลับรู้สึกว่ามันเข้ากับดนตร์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผ้าฝ้ายไม่หนาไม่บาง คอกว้าง ตัวหลวมโพรกกับกางเกงหูผูกใส่สบายๆ ที่หลังมือของดนตร์มีเข็มน้ำเกลือปักอยู่เช่นเดียวกับเขา แม้จะห่วงสุดหัวใจแต่ก็เบาใจที่อย่างน้อยก็ได้กลับมานอนข้างกัน

    นี่ไม่ใช่รักแรก...รักครั้งแรกของเขาเกิดตอนมัธยมต้นปีสุดท้าย เขาพบกับเธอที่ห้องชมรมศิลปะ เธอเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของอาจารย์ดิน ผิวของเธอขาว ดวงตากลมโตเหมือนกวาง ผมยาวถึงกลางแผ่นหลัง และมีรอยยิ้มอ่อนหวาน รักครั้งแรกหวานชื่นดีตามประสารักในวัยเยาว์ กระทั่งวันที่สำเร็จการศึกษา เขาก็ได้พบกับข่าวร้าย เธอต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ทั้งที่สัญญาว่าจะไม่ลืมกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมแพ้ให้กับระยะทาง การจากลาทั้งที่ยังรักย่อมเจ็บปวดมากกว่าหมดรัก เขาใช้เวลาเยียวยาหัวใจอยู่นานกว่าที่แผลรักจะตกสะเก็ด จากนั้นเขาก็ไม่เคยคิดจะรักใครจริงๆ สักที แม้แต่กับโยษิตา คู่รักที่คบกันยาวนานที่สุด

    ทว่ากับดนตร์ ระยะเวลาสั้นๆ ที่ได้เรียนรู้กันอย่างจริงจัง กลับทำให้เขารู้ซึ้งถึงคำว่ารักอีกครั้ง มันเหมือนตลกร้าย ดนตร์เป็นผู้ชาย หน้าตาธรรมดา ไม่มีอะไรดึงดูด นอกเสียจากนิสัยอวดดี แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามเขาก็เอาตัวเข้าไปพัวพันจนได้ แล้วสุดท้ายก็แกะไม่ออก แถมยิ่งนานวันความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจน...เขารักดนตร์จริงๆ

    กรณ์ลงจากเตียง ใช้มืออีกข้างที่ไม่มีเข็มปักอยู่ช่วยเลื่อนเสาน้ำเกลือไปด้วย แล้วมาหยุดที่เตียงที่ติดกัน ดนตร์หลับสนิท ลมหายใจผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แผ่นอกสะท้อนตามจังหวะการหายใจ ริมฝีปากเผยอน้อยๆ จนเห็นไรฟันขาวสะอาด ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก ละมือจากเสาน้ำเกลือมาที่ขอบริมฝีปาก เกลี่ยไล้มันเบาๆ แล้วเลื่อนเลยไปตามสันจมูกโด่ง คิ้วคม เค้าโครงใบหน้าค่อนข้างสมบูรณ์ อาใหญ่ตาถึงจริงๆ ที่เลือกดนตร์มาเป็นนายแบบ ไม่ได้หล่อผุดผาดสะดุดตา หากยิ่งพิศก็ยิ่งน่าหลงใหล

    “ขี้เซาจังนะ ไอ้เด็กดื้อ” กรณ์พูดเบาๆ พลางก้มหน้าลงไปใกล้กับพวงแก้มนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับน้ำนมชวนให้กดจมูกลงไป...แล้วเขาก็ทำจริงๆ กลิ่นยาบาดจมูกยังพ่ายให้กับกลิ่นเนื้ออ่อนของดนตร์

    เปลือกตาบางขยับขยุกขยิก ทำท่าเหมือนจะเปิดแต่ก็ไม่เปิด ผ่านไปชั่วอึดใจก็กลับไปนิ่งสงบเช่นเดิม กรณ์อมยิ้มด้วยความเอ็นดู จิตใจฝ่ายดีอยากจะให้ดนตร์ได้พักผ่อนเต็มที่ ทว่าอีกฝั่งกลับสั่งให้เขา ‘หาเศษหาเลย’ ต่ออีกนิด...คนอย่างกรณ์ก็เลือกทำตามใจอยู่แล้ว

    เขาไล่จมูกไปตามโครงหน้าสวย ทั้งคาง แก้ม สันจมูก คิ้ว หน้าผาก เปลือกตาและริมฝีปาก กรณ์พรมจูบเบาๆ อยู่ที่มุมปากแล้วเลื่อนเลยไปบนกลีบปากนุ่มเย็นชืด กดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นหลายที ยิ่งเห็นคนหลับไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาคัดค้านก็ยิ่งย่ามใจ มือข้างที่ไม่มีเข็มน้ำเกลือวางไปบนหัวไหล่บางลูบเลยมาถึงช่วงลำคอที่อยู่เหนือผ้าห่มสีตุ่นๆ ปลายนิ้วยาวสอดเข้าไปในตัวเสื้อ ผิวกายอุ่นซ่านเต็มไปด้วยความรู้สึก ราวกับจะเชิญชวนให้ตักตวง

    “อะแฮ่ม! นี่มันโรงพยาบาลนะ ทำอะไรก็หัดเกรงใจกล้องวงจรปิดบ้าง”

    กรณ์กระชากลมหายใจพร้อมกับสบถหยาบคายในคอ ใบหน้าหล่อเหลาหันมองต้นเสียง อริญชย์ยืนพิงกรอบประตูห้อง ข้างๆ กันนั้นมีเด็กหนุ่มที่กำลังทำหน้าเหมือนเห็นผีอยู่ด้วย เขาจิ๊ปากเพราะถูกขัดจังหวะอีกรอบ แล้วถอยกลับไปที่เตียงตัวเอง

    อริญชย์เดินลากเสาน้ำเกลือเดินผ่านไป โดยมีพระนายตามติด มีครั้งหนึ่งที่พระนายหันมามอง พอเห็นว่าเขาเองก็จ้องมองอยู่ก็รีบหลบตาวูบก้มหน้างุดๆ เดินหนีไป

    กรณ์ใช้เวลาพักใหญ่เพื่อปรับอารมณ์ให้เข้าที่ ระหว่างนั้นก็มองหากล้องวงจรปิดที่อริญชย์พูดถึงไปด้วย มันมีอยู่จริงๆ กล้องตัวเล็กติดอยู่ตรงมุมบนสุดของห้องทางขวามือ หันทิศทางมาทางพวกเขาเสียด้วย กรณ์ถอนหายใจอีกรอบ นี่ถ้าอริญชย์ไม่เข้ามาเขากับดนตร์คงได้แสดงหนังสดให้เจ้าหน้าที่ดูไปแล้ว...พูดถึงอริญชย์ เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะที่เห็นอริญชย์อยู่ในสภาพคนป่วยเช่นเดียวกันกับเขา...เพราะอะไร

    “ทำไมแกมาอยู่ที่นี่ได้วะ”

   “ช่วยลูกหมาตกน้ำมา” อริญชย์ตอบ น้ำเสียงยานคางยียวน

    “ลูกหมาที่ไหน”

    “ลูกหมาสองตัวที่นอนอยู่บนเตียงนี่ไง” อริญชย์ใช้นิ้วมือชี้มาทางเขาและดนตร์

    “นี่แก...”

    อริญชย์ไม่พูดอะไรอีก แต่ล้มตัวลงนอนหันหลังให้แทน กรณ์มองไปที่พระนายอย่างเค้นคำตอบ เจ้าตัวสะดุ้งน้อยๆ แต่ก็ยอมเดินมาที่เตียง ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แทบจะเหมือนเด็กมัธยมต้นมีแววประหม่า พระนายเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะพูดกับเขาด้วยระดับน้ำเสียงที่เรียกว่ากระซิบ

   “ตอนที่พี่กระโดดลงไปช่วยพี่เพลง พี่รันก็กระโดดตามลงไปครับ เขาเป็นคนช่วยพี่ขึ้นมา”

    “ช่วยฉัน...มันเนี่ยนะ”

    “ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า พลางปรายตาไปที่เตียงตัวติดผนัง “เขาเป็นห่วงพี่มากนะครับ ถามหาพี่ก่อนใคร”
   กรณ์นิ่งไปชั่วอึดใจ เขาเชื่อว่าพระนายไม่ได้พูดเกินจริง และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปั้นเรื่องด้วย ทว่าเป็นเขาเองต่างหากที่มีอคติมากเกินไป ทั้งที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าอริญชย์รักเพื่อนพ้องมากแค่ไหนแต่กลับเอาเรื่องอื่นมาบดบังมิตรภาพ ชายหนุ่มตบที่บ่าพระนายเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ เด็กหนุ่มยิ้มกว้างแล้วหมุนตัวกลับไปนั่งบนโซฟาตัวยาวท้ายห้อง

    ออกจากโรงพยาบาลคราวนี้ เขามีเรื่องรอให้สะสางหลายเรื่องเลยทีเดียว...



    ภายในห้องโถงบัดนี้เต็มไปด้วยแขกผู้มาเยือนและเจ้าของบ้านที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แม้แต่สามีของนับดาวก็อยู่ด้วยเช่นกัน เจ้าของบ้านทั้งห้าประกอบด้วย คุณนทีผู้เป็นประมุขของบ้าน คุณดาริน นับดาว และชเนศ สามีของนับดาว โดยมีทารกน้ำเหนือนั่งตัวกลมอยู่ในอ้อมแขนของบิดา ขณะที่ผู้เป็นแขกคือกรณ์และบุตรชายคนเล็กของบ้านนั่งบนพื้นพรมต่อหน้าของทั้งห้าคนพอดี

    คุณนทีมีใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะโดยปกติแล้วผู้นำตระกูลฮวงคนนี้มักไม่ค่อยแสดงความรู้สึกมากนัก ส่วนคุณดารินผู้เป็นภรรยาแสดงความอึดอัดผ่านแววตาหากทว่าถ้าจ้องมองดีๆ จะเห็นความอ่อนโยนอยู่ในนั้นด้วย และสองสามีภรรยากำลังหยอกล้ออยู่กับลูกน้อย ราวกับว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ

    กรณ์นั่งทับท่อนขาตัวเองโดยปลายเท้าทั้งสองหันไปด้านหลัง ดนตร์เองก็นั่งในท่าเดียวกัน ทั้งที่ในห้องมีเสียงพูดคุยของสามพ่อแม่ลูก แต่ประสาทการได้ยินกลับได้ยินแค่เสียงลมหายใจของตัวเองเท่านั้น มือที่กุมอยู่บนหน้าขาเริ่มชื้นเหงื่อ แม้จะไม่มีคำพูดแต่กลับรู้สึกถึงความกดดันจนจังหวะการหายใจไม่คงที่ ดนตร์เหลือบมองคนข้างๆ เป็นระยะๆ ทั้งเป็นห่วง ทั้งกังวล

    เมื่อเช้าหลังจากตื่นขึ้นเขาก็พบกับกรณ์ที่อยู่ในชุดพร้อมกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาดูคมเข้มขึ้นเล็กน้อยด้วยหนวดเคราที่ยังไม่ได้รับการกำจัด ดวงตาคมกริบจ้องมองมาตลอดเวลาที่เขาเคลื่อนไหว ก่อนที่จะบอกว่าคุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว เขาถามหาถึงพี่รัน เจ้าตัวตอบเสียงห้วนๆ ว่าอาใหญ่มารับกลับไปแล้ว รวมไปถึงพระนายด้วย ดังนั้นทั้งห้องจึงเหลือแค่เขากับกรณ์แค่สองคนเท่านั้น

    ‘ผมพร้อมที่จะบอกพ่อกับแม่แล้ว’

    นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาพูด กรณ์ไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น     

    “ผมขอโทษครับ” กรณ์โน้มตัวลง จนหน้าผากติดกับพื้น มือทั้งสองข้างวางข้างศีรษะ “ผมขอโทษที่ทำผิดประเพณี ขอโทษที่ทำให้ครอบครัวของคุณเสี่อมเสีย แต่ผมรักเพลงจริงๆ ครับ”

    “พี่กรณ์!” ดนตร์ร้องเสียงดัง พยายามรั้งหัวไหล่หนาขึ้นแต่ไม่เป็นผล “พี่ไม่ต้องทำแบบนี้ ผมเองต่างหากที่ต้องทำ”

   ชั่วจังหวะหนึ่งกรณ์เอียงหน้าขึ้นแต่หน้าผากยังติดกับพื้น ดวงตาคมมีแววตำหนิ “ฉันจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง”

    “ไม่! เราต้องรับผิดชอบด้วยกัน ผมจะไม่ยอมให้พี่เท่ห์คนเดียวหรอก!”

    ในเมื่อไม่มีใครยอมใคร ดนตร์เลยโน้มตัวทำท่าเดียวกัน

   “จะก้มให้เลือดลงหัวแล้วป่วยอีกรอบหรือไงกัน” เสียงใหญ่กังวานแต่ทรงอำนาจดังขึ้น ทั้งสองเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น “เงยหน้าขึ้นแล้วมาคุยกันให้รู้เรื่องสักทีดีกว่า”

    ดนตร์ยกศีรษะขึ้นตามคำบอกของบิดา รู้สึกมึนงงเล็กน้อยคงเป็นผลกระทบจากการจมน้ำเมื่อวาน พอหันมองคนข้างๆ ก็เกือบหลุดขำ เพราะที่หน้าผากของกรณ์มันเป็นรอยแดงกว้าง

   “เธอคงไม่รู้ว่าฉันคุยเรื่องนี้กับเพลงแล้วเมื่อวาน เธอกล้าหาญมากที่ช่วยเหลือลูกชายของฉันทั้งที่ตัวเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น ขอบใจมากนะ” มือกร้านยกขึ้นแตะที่หัวไหล่หนาและบีบเบาๆ “เพลงเองก็รักเธอเหมือนกัน เมื่อวานเขาบอกกับฉันว่า เขากับเธอรักกัน สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นมันเป็นเรื่องที่ยากแก่การยอมรับ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้ ฉันเองก็แก่แล้ว สิ่งที่หวังไม่ใช่แค่ให้ลูกให้หลานประสบความสำเร็จ มีเงินมีทองใช้ แต่ฉันอยากเห็นลูกมีความสุข เธอจะรับปากได้ไหมว่าจะทำให้เพลงมีความสุข”

    “เพลงพูดกับคุณอาแล้วหรือครับ”

   “ใช่...แล้วฉันก็ทำโทษเพลงไปแล้วด้วย” คุณนทีบอก

    “ทำโทษ! คุณอาทำอะไรเพลงครับ คุณอาตีเขาหรือเปล่า เขาเพิ่งตกน้ำมา ทำไมคุณถึงใจร้ายแบบนี้ ถ้าคุณอาไม่พอใจคุณอาก็ทำผมสิ แต่อย่าทำร้ายเพลง” กรณ์โวยวาย ก่อนจะหันมาสำรวจเนื้อตัวของดนตร์

   “พี่ครับ พ่อไม่ได้ตีผม เขาแค่...”

    “ตบ...ที่ปาก หรือว่าต่อย!” กรณ์พูดแทรกทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นรอยช้ำที่มุมปากของดนตร์ ให้ตายสิ! เขามันมีตาแต่ไม่มีแวว ทั้งที่เมื่อคืนมีโอกาสได้สำรวจแบบใกล้ๆ แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นรอยช้ำนี่เลย กระทั่งตอนที่ตื่นนอนจนมาถึงที่นี่ก็ยังไม่สังเกตเห็น เพิ่งมาเห็นตอนที่คุณนที บอกว่าทำโทษดนตร์ไปแล้วนี่เอง “ไหนคุณบอกว่าอยากเห็นเขามีความสุขไง แล้วทำไมถึงต้องทำร้ายเขาด้วย”

    “พี่กรณ์ ฟังก่อน พ่อเขาแค่...”

    “ไม่ฟัง! ถ้าอยากให้เรารักกันก็ไม่เป็นไร นายไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว ไปอยู่กับฉัน ฉันจะดูแลนายเอง” กรณ์ลุกขึ้นเต็มความสูง รั้งต้นแขนดนตร์ขึ้นมาด้วย

    “กล้าหาญดี เสียแต่ใจร้อนไปหน่อย นั่งลงก่อนกรณ์ ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย เธอก็ชิงตัดบทเสียก่อน” คุณนทีพูดอย่างใจเย็น

    “ก็คุณอาบอกว่าคุณอาทำโทษเพลง รอยช้ำที่ปากนี่ด้วย”

    ผู้อาวุโสระบายยิ้มอ่อนโยนผิดกับอารมณ์ของอีกฝ่าย “แต่ฉันยังไม่ได้บอกเธอนี่ว่าฉันทำโทษเพลงทำไม”

    “ก็เพราะเพลงมารักกับผม คุณอารับไม่ได้ก็เลยทำร้ายเขา”

    “ไม่ใช่ นั่งลงก่อน ยืนแบบนี้ฉันปวดคอ”

    ดนตร์ที่อยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นลูบแขนคล้ายกับจะปลอบกัน เขาหันมองใบหน้าของคนรัก ดวงตากลมมีแววอ้อนวอน กรณ์ถอนหายใจหนักๆ แต่ก็ยอมกลับลงไปนั่งตามเดิมด้วยท่าขัดสมาธิไม่ใช่คุกเข่าอย่างในตอนแรก

    “ฟังพ่อหน่อยนะ รับรองนายจะต้องอารมณ์ดีอย่างแน่นอน” นับดาวพูด

    น่าแปลก..ในขณะที่เขากำลังโกรธจนควันออกหูแต่คนในครอบครัวของดนตร์กลับไม่มีใครเป็นเดือดเป็นร้อนสักคน มิหนำซ้ำยังอารมณ์ดีผิดปกติ แม้แต่คุณดารินที่น่าจะทั้งรักทั้งห่วงดนตร์มากกว่าใคร ก็ยังทำนิ่งเฉย

    “ฉันทำโทษเพลงเพราะเขาเป็นคนขี้ขลาด เราเป็นชาย ต้องกล้าหาญ อดทน มีความรับผิดชอบ ฉันไม่เคยสอนให้ลูกเป็นคนขี้ขลาด แต่เขากลับไม่กล้าบอกฉันเรื่องที่คบอยู่กับเธอ” กรณ์รับฟังด้วยท่าทางสงบ แต่ดวงตากลับไม่คลาดเคลื่อนไปจากผู้สูงอายุเลย “แต่ฉันไม่ได้โกรธหรือเกลียดเพลงที่คบกับเธอ เข้าใจแล้วใช่ไหม”

    “ไม่ได้โกรธ....หมายความว่าคุณอา...”

    “มันก็ไม่ถึงขนาดยอมรับได้หรอกนะ เรื่องพรรค์นี้ต้องใช้เวลา ขนาดนับดาวกับชเนศ ฉันยังให้ดูใจกันตั้งสามปีถึงจะยอมให้แต่งงานกันได้ เธอกับเพลงก็ต้องใช้ความพยายามให้มากกว่านั้นอีกเท่าตัว หรือก็จนกว่าเธอจะพิสูจน์ได้ว่าสามารถทำให้เพลงมีความสุขได้จริงๆ”

    “..............”

    “ว่ายังไงล่ะ เธอจะรับปากกับฉันได้ไหมว่าจะทำให้เพลงมีความสุข” คุณนทีถามซ้ำ แต่กรณ์ยังคงนิ่งงัน “กรณ์...กรณ์! ได้ยินที่ฉันพูดไหม”

    “ครับ! ผมสัญญา! ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณ”

    เหมือนภูเขาลูกใหญ่มันได้หลุดออกไปจากอก คำขอร้องง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแต่มันคือคำสัญญาที่เขาจะต้องทำให้ได้ กรณ์ผุดลุกขึ้นอีกครั้งก่อนจะโค้งคำนับขอบคุณครอบครัวสามครั้ง ดอกไม้เล็กๆ ในหัวใจมันกำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ แต่แข็งแรงและมั่นคง...


   น้ำเหนือหัวเราะเอิ๊กอ๊ากท่ามกลางกล่องของขวัญที่ผู้เป็นแม่และน้าชายลงมือห่อให้ ในนั้นมีทั้งขนมและของเล่นสำหรับเด็กทารกอยู่ด้วย ริมฝีปากแดงเล็กๆ คอยอ้าปากรับขนมที่มารดาป้อนให้ น้ำเหนือสามารถกินได้ตลอดเวลาพิสูจน์ได้จากขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเด็กทั่วไปเป็นเท่าตัว

   “กินแบบนี้ไม่กลัวอ้วนเหรอครับ” กรณ์ถาม

   “ไม่อ้วนหรอก ตอนเพลงเล็กๆ ก็ตัวเท่านี้แหละ” นับดาวบอกเมื่อเขาท้วงกลัวว่าน้ำเหนือจะอ้วนไปถึงตอนโต

    เพื่อยืนยันคำพูด นับดาวลงทุนไปรื้ออัลบั้มรูปของดนตร์ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบันมาให้ดู ดนตร์ในวัยทารกตัวอ้วนจ้ำม่ำแก้มแดงจัดเป็นพวงเหมือนน้ำเหนือไม่มีผิด
    
    ที่จริงเขามีของขวัญให้น้ำเหนือด้วย เป็นขนมนำเข้ามาจากต่างประเทศ แล้วเด็กอ้วนก็กินหมดไปแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนของขวัญของดนตร์เป็นนิทานภาษาอังกฤษแบบมีเสียง แต่น้ำเหนือดูจะสนใจของกินมากกว่า

    แขกพิเศษในงานวันเกิดของน้ำเหนือไม่ได้มีแค่กรณ์ แต่ยังมีอริญชย์กับพระนายด้วย รายแรกมาถึงตอนหกโมงเย็น เพราะต้องไปช่วยอาใหญ่ทำงานก่อนถึงจะมาร่วมสังสรรค์ได้ ส่วนพระนายมาช้ากว่านั้นเล็กน้อยโดยมีไก่ทอดสีเหลืองทองน่ากินติดมือมาด้วย

    กรณ์ปล่อยให้คนอื่นๆ แย่งกันร้องคาราโอเกะ แล้วปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับโลกในอดีตของดนตร์แทน เขาพลิกอัลบั้มรูปที่นับดาวเอามาให้ พินิจพิจารณาดนตร์แบบละเอียดถี่ถ้วน ได้เห็นพัฒนาการของดนตร์ตั้งแต่ยังเป็นทารกจนถึงปัจจุบัน เค้าโครงหน้าเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ที่ยังมีให้เห็นคือพวงแก้มนุ่มนิ่ม ที่แม้จะอายุเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่แก้มกลมนั่นก็ยังมีให้เห็น ดนตร์เริ่มสวมแว่นตั้งแต่ช่วงมัธยมต้น ในรูปถ่ายเจ้าตัวมักจะยืนตรงกลางมีเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลัง ผิดกับเขาที่นอกจากจะหารูปถ่ายได้ยากแล้ว เพื่อนก็ยังน้อยอีกด้วย เพื่อนสนิทชนิดที่ตายแทนกันได้ก็มีแต่ชนวีร์เท่านั้น ซึ่งนั่นเขายกให้เป็นทั้งญาติทั้งพี่น้องเลยทีเดียว

    เขากับดนตร์แตกต่างกันแทบจะทุกอย่าง สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตดนตร์เข้ามาเติมเต็มให้ แม้ระยะเวลาจะสั้นแต่มันกลับมีค่าและเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย ใครจะไปคิดล่ะว่าเด็กผู้ชายเชยหลุดโลกจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ ทั้งความคิด การกระทำและความรู้สึก เขายอมกลับไปหาพ่อเพื่อดนตร์ ขณะที่ดนตร์ก็ทำให้เขารู้จักคำว่าครอบครัวอย่างแท้จริง

    กรณ์เงยหน้าจากอัลบั้มรูปเมื่อภาพถ่ายใบสุดท้ายผ่านสายตาไปแล้ว เจ้าของอัลบั้มกำลังนั่งตบมือตามจังหวะเพลงให้กับชเนศผู้เป็นพี่เขย เสียงร้องเพลงที่จัดว่าแย่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศสนุกสนานลดลงเลย คุณนที คุณดารินหัวเราะชอบใจในเสียงร้องเพี้ยนๆ ของชเนศ น้ำเหนือนั่งกินขนมที่มารดาป้อนให้จนแก้มเปื้อน ส่วนอริญชย์นั่งทำหน้าหล่ออยู่มุมห้องฝั่งตรงข้ามกับเขา และถึงจะไม่ได้แสดงออกว่าสนุกแค่ไหนแต่แววตาเป็นประกายมันสะท้อนความรู้สึกออกมาได้ดี เขาคิดว่าอริญชย์เองก็คงไม่ต่างกันกับเขา ความอบอุ่นจากครอบครัวส่งผ่านไปถึงทุกคนจริงๆ

    กรณ์ลุกจากที่นั่ง ปัญหาเรื่องรักระหว่างเขากับดนตร์ลงเอยด้วยดีแล้ว แต่ยังมีอีกเรื่องที่ต้องจัดการ...เพื่อนรักและศัตรูหัวใจ...อริญชย์

    “ออกมาคุยกันหน่อยสิ” 

                                                                  ...............................

ไม่รู้ว่าอีพี่กรณ์มันกล้าหาญจริงหรือเปล่า ก๊ากกกกก เอาเท่าที่เอาได้เนาะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 21 Promise [08/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 08-09-2017 23:37:08
เรื่องครอบครัวก็ผ่านไปแล้วเนอะ สองหนุ่มก็จะเคลียร์กันแล้ว
เอาใจช่วยทั้งคู่น้าา ขอบคุณค่าา
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 21 Promise [08/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-09-2017 11:41:52
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 21 Promise [08/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-09-2017 21:33:08
พ่อแม่ไม่ขัดขวาง ความรัดท่าทางจะราบรื่น เสียอย่างเดียวกรณ์ใจร้อนมากไปหน่อย ไหนจะหึงหวงเว่ออีก จะมีปัญหาตามมาทีหลังแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 21 Promise [08/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 09-09-2017 23:41:18
รำคาญกรณ์!!!!!!!!!!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 21 Promise [08/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 10-09-2017 15:56:23
 :katai1:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 22 Fear [11/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 11-09-2017 19:12:17
Chapter 22 Fear!

“ออกมาคุยกันหน่อยสิ”


คำชวนถูกตอบรับด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ดวงตาของอีกฝ่ายจ้องมามองคล้ายกับจะแปลกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไร เขาเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อน โดยเลือกห้องที่ใช้พักเป็นสถานที่ในการนัดหมาย

กรณ์ยืนติดริมหน้าต่าง เห็นเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกแผ่นหนาสีเข้ม ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแม้จะเบากริบแต่ก็จำได้ว่าเป็นของใคร อริญชย์หยุดยืนกลางห้อง

ชายหนุ่มเอี้ยวตัวกลับ พิงหัวไหล่กับกำแพงเย็นขณะที่อีกฝ่ายยืนกอดอกสะโพกติดกับขอบหน้าต่าง ภายในห้องเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง กรณ์สบตากับอีกฝ่ายนานร่วมนาทีก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“แกชอบเพลง?”

คิ้วหนาของอริญชย์เลิกสูง ก่อนที่มุมปากจะยกตาม “ถามโง่ๆ”

หากเป็นเมื่อก่อนถ้าถูกสบประมาทขนาดนี้เขาคงได้ประเคนหมัดใส่ปากฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว ทว่าเวลานี้ไม่ใช่ “แต่ฉันไม่ยกให้หรอกนะ ถึงฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งฉันก็ไม่ยกเพลงให้ใครเด็ดขาด”

“หึ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกนิยายน้ำเน่าหรือไง” อริญชย์ทำเสียงขึ้นจมูก “เกิดอะไรขึ้นกับกรณ์ผู้ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ทำไมถึงได้กลายเป็นคนรักจริงหวังแต่งขึ้นมาได้”

“รักไง” เขาตอบ “ถ้าแกรักใครจริงๆ สักคน ก็คงเป็นเหมือนกัน” อริญชย์เงียบไป เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกดีกับเพลงไม่น้อยและเกือบจะได้รู้จักคำว่ารักแล้ว หากแต่เพลงเลือกที่จะสอนคำนี้ให้กับเขา กรณ์ถอนหายใจเบาๆ ถึงเวลาที่เขาต้องยุติเกมบ้าๆ นี่เสียที “ที่ฉันอยากจะบอกกับนายก็คือ จะไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการท้าทายใดๆ อีกแล้ว แต่ฉันจะไม่มีวันยอมให้ใครได้เพลงไปเด็ดขาด”

“ที่พูดมานี่ แน่ใจแล้วใช่ไหม” อริญชย์หรี่ตาลง “...ว่าเพลงไม่ได้เกลียดนาย”

“ฉันว่านายรู้คำตอบข้อนี้ดี”

อริญชย์เงียบไปนานร่วมนาที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันจะไม่แย่งเพลงจากนาย...แต่ถ้าวันไหนเพลงร้องไห้เพราะนาย วันนั้นจะเป็นวันยุติความเป็นเพื่อนของเรา”

คราวนี้เป็นกรณ์ที่เงียบไป เขามองหน้าเพื่อนรักนิ่งนาน ดวงตาสองคู่สบประสาน ระหว่างผู้ชายไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ แค่ประโยคสั้นๆ ก็สื่อความหมายได้ทั้งหมด คำว่าเพื่อนสำหรับพวกเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแต่เขาก็ไม่อาจเสียดนตร์ไปได้เช่นกัน “ขอบใจนะ”

“ไม่ต้องมาขอบใจ ฉันทำเพื่อเพลง”

“ไม่ใช่เรื่องนี้...เรื่องที่นายช่วยฉันไว้”

อริญชย์ยิ้มมุมปาก “ใครจะทนเห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตาได้วะ”

แม้คำตอบจะยียวนกวนโทสะแค่ไหน แต่เขากลับรู้สึกดี

ทั้งดนตร์และอริญชย์ทำให้เขารู้ว่า รักแท้กับเพื่อนแท้นั้นมีอยู่จริง...

…………………………..



ที่กรุงเทพฯ ยังคงวุ่นวายเหมือนเดิม เวลามีค่าพอๆ กับเงินทอง ทุกคนต่างเร่งรีบช่วงชิง ท้องถนนคราคร่ำไปด้วยผู้คนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี พ่อค้าแม่ค้าออกมาตั้งแผงขายของอุปโภคบริโภค ร้องเรียกหาลูกค้ากันเซ็งแซ่ ชีวิตอันแสนสงบที่เชียงใหม่หมดไปเมื่อสามวันก่อน คิดแล้วก็อดเสียดายไม่ได้

แม้ว่าจะเกือบแปดโมงเช้าแล้ว แต่กรณ์ก็ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาคมมองไปทางปลายเตียงอันเป็นตำแหน่งที่ตั้งของตู้เสื้อผ้า ใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้สักนิดว่ากำลังถูกจับจ้อง ร่างโปร่งที่มีเพียงแค่ผ้าขนหนูสีขาวพันสะโพกไว้อย่างหมิ่นเหม่กำลังยืนเลือกเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ เพราะวันนี้ที่คณะนิเทศน์มีงานสังสรรค์ปีใหม่ นักศึกษาต้องไปช่วยกันจัดเตรียมงาน และหนึ่งในนั้นก็คือดนตร์

สามวันแล้วที่เขากับดนตร์กลับมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ แม้ว่าบ้านที่พวกเขาอยู่จะไม่ได้อยู่ในย่านวุ่นวาย แต่เขาก็ยังรักบรรยากาศที่เชียงใหม่มากกว่า อันที่จริงภูเก็ตบ้านเกิดของเขาก็สวยไม่แพ้เชียงใหม่ แต่มันไม่สงบเงียบแบบนั้น คงเพราะเป็นจังหวัดแห่งการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะมุมไหนก็มีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด

กรณ์มองคนที่กำลังจะปลดผ้าออกจากสะโพกด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอีกจังหวะ ดนตร์ไม่รู้หรอกว่าอารมณ์มึนๆ งงๆ จากการเพิ่งตื่นนอนของชายหนุ่มมันถูกกระตุ้นจากเรือนร่างเกือบจะเปลือยของตัวเอง เส้นผมสีดำเปียกชื้น ผิวกายขาวผ่องเนียนละเอียดราวกับไข่มุกมีหยาดน้ำเกาะอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มไล่สายตาไปตามแผ่นหลังเปลือย ต่ำลงมาถึงช่วงเอวคอดเล็ก จนถึงเนินบั้นท้ายกลมกลึงที่ยังซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าขนหนูสีขาว

ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบฝีเท้าเบาไม่ต่างจากแมวย่อง ไม่ถึงนาทีก็ยืนประชิดกับร่างโปร่ง ไล้ลมหายใจไปบนหัวไหล่ขาว แม้ว่ามันจะไม่ได้มนกลมกลึงเหมือนอิสตรี มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยอย่างคนเคยออกกำลังกาย แต่มันเย้ายวนเขาได้มากมายนัก ดนตร์สะดุ้งน้อยๆ หันกายกลับอัตโนมัติ ด้วยใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบเลยทำให้ดนตร์หอมแก้มเขาไปเต็มรัก

“แต๊ะอั๋งกันเหรอ”

“ผมไม่ได้โรคจิตเหมือนพี่นะ” ดนตร์ขมวดคิ้วใส่ และก่อนที่จะได้ผละห่างออกไปเขาก็ใช้แขนรัดรอบเอวบางไว้เสียก่อน ผิวกายเย็นเยียบจากไอน้ำช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นอีกหนึ่งระดับ กลิ่นครีมอาบน้ำดูเหมือนจะหอมยิ่งกว่าตอนเจ้าตัวใช้เอง ทั้งที่กลิ่นเดียวกันแต่เขาไม่เคยรู้สึกว่ามันหอมจนเมื่อดนตร์มาใช้

“ปล่อยผมก่อน เดี๋ยวพี่วินฆ่าตาย”

“มันไม่กล้ากับนายหรอก เพราะมันรู้ว่านายมีแบ็คดี”

“พี่ครับ ดะ..เดี๋ยวสาย”

เสียงของดนตร์ขาดห้วง เมื่อเขากดจมูกลงที่หลังกกหู กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำเคล้ากับผิวกาย มันหอมละมุนไปหมด ดนตร์ไม่ต่างจากขนมชิ้นโปรดได้กินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม แถมช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาต่างคนต่างก็วุ่นเสียจนแทบหาเวลาทำ ‘รัก’ ไม่ได้เลย อุตส่าห์ได้ไปเมืองอบอุ่นอย่างเชียงใหม่ทั้งทีก็เอาแต่ทำงาน แถมยังเกิดเรื่องวุ่นวาย เสียเวลานอนโรงพยาบาลอีก คืนที่ฉลองคริสต์มาสก็ไม่ได้นอนด้วยกัน หลังจากผ่านเที่ยงคืนเขาก็หลับเป็นตาย รู้ตัวอีกทีก็ต้องกลับกรุงเทพฯ เสียแล้ว พอมาถึงกรุงเทพฯ ก็ไม่มีเวลาให้สวีทหวาน ชนวีร์ลากเขาไปคุยงานที่อยากจะให้เขารับอีก แต่เขาปฏิเสธ เพราะอีกไม่กี่เดือนเขาต้องเข้าฝึกงานแล้ว ถึงงานในวงการบันเทิงจะน่าสนใจไม่น้อย แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขารักจริงๆ

เท่านั้นยังไม่พอ เขายังต้องทำงานส่งอีกหลายชิ้น ทุกอย่างมีผลกับการฝึกงานทั้งสิ้น ถึงจะเป็นบริษัทของเพื่อนบิดา แต่ก็ไม่อยากได้ชื่อว่าใช้เส้นสายอย่างเดียว เขาอยากจะใช้ความสามารถพิสูจน์ด้วยเช่นกัน ส่วนดนตร์ก็ยุ่งอยู่กับรายงานและต้องช่วยรุ่นพี่เตรียมงานละครเวที ทุกปีคณะนิเทศน์จะต้องมีละครเวทีให้ได้ชมกัน ดนตร์เพิ่งอยู่ปีหนึ่งเลยต้องอยู่เบื้องหลัง เช่นเดียวกับลลิตาและเมธัส

...และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามีความต้องการมากกว่าปกติ! ...

“เดี๋ยวฉันไปส่ง...นะ ไม่ได้กอดกันตั้งหลายวันแล้วนายไม่ ‘อยาก’ บ้างหรือไง”

“ไอ้คนลามก! ปล่อยเลย”

แทนที่จะปล่อยมือ กรณ์กลับขยับมือรัดแน่นกว่าเดิม ดนตร์ดิ้นอึกอัก แกะมือไม้ของกรณ์ออกเป็นพัลวันแต่สุดท้ายที่หลุดไปคือผ้าขนหนู! เจ้าตัวตกใจตาโต ทั้งร่างเปลือยเปล่าสมใจกรณ์

“ขาวชะมัด”

กรณ์พึมพำ กดริมฝีปากกับต้นคอขาวผ่อง ใช้ฟันขบเม้มด้วยอดมันเขี้ยวไม่ได้ ผิวเนื้อบริเวณนั้นแดงช้ำทันตาเห็น ชายหนุ่มเคลื่อนริมฝีปากไปตามอำเภอใจ จนถึงใบหูเล็ก สัมผัสเพียงแผ่วเบาก็ทำเอาคนในอ้อมแขนตัวอ่อนลงได้ กรณ์อมยิ้ม นี่เป็นจุดที่ไวต่อความรู้สึกของดนตร์ แค่ลมหายใจไล้ผ่านเจ้าตัวก็แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว เขาใช้จังหวะที่ดนตร์อ่อนแรงเลื่อนมือไปบนแผ่นอก นิ้วหัวแม่มือปัดป่ายไปบนปลายถันเล็ก เพียงไม่กี่ครั้งที่ถูกสัมผัสผ่านมันก็หดเกร็ง เขาใช้ปลายเล็บสั้นกรีดลงในส่วนบนสุด ดนตร์เผลอหวีดร้อง แอ่นหน้าอกขึ้นแล้วทิ้งศีรษะพิงที่หัวไหล่ของเขาไว้

อาการต่อต้านน้อยลงยิ่งทำให้ได้ใจ มือทั้งสองกอบกุมหน้าอกแน่น นิ้วมือทำหน้าที่เท่าเทียมกัน ยอดถันแข็งชันจากการกรีดย้ำซ้ำๆ ป้านฐานมีตุ่มเล็กๆ ผุดพราย กรณ์ก้มลงพรมจูบที่หัวไหล่ลาดเอียงไล่เรื่อยไปถึงต้นคอ ท้ายทอย เลยไปถึงหัวไหล่อีกฝั่ง ขณะที่นิ้วมือยังปรนนิบัติอย่างซื่อตรง ดนตร์ส่งเสียงครางในคอ ลมหายใจกระเส่าแทรกปนออกมา มือแกร่งละจากอกด้านซ้ายเคลื่อนลงมาที่หน้าท้องแบนราบ และหยุดที่กึ่งกลางลำตัว แกล้งลากนิ้วผ่านวนเวียนอยู่แถวนั้น กายร้อนลุกชันทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องด้วยซ้ำ เขากดจูบหนักๆ ที่หลังกกหูอีกครั้งก่อนจะรูดรั้งส่วนนั้นให้อย่างเอาใจ

“อื้อ...พี่กรณ์ ระ...เร็วหน่อย”

ทั้งที่เพิ่งปฏิเสธไปได้ไม่ถึงห้านาทีดีด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ดนตร์กลับเร่งเร้าให้เขาช่วยปลดปล่อยเสียแล้ว แผ่นหลังโค้งงอ สะโพกกลมขยับขึ้นลงเสียดสีกับส่วนหน้าของเขาราวกับจะเชิญชวนกัน เขากดจมูกที่แก้มนวลหนักๆ สูดเอากลิ่นหอมที่แสนรักไว้ในปอดพร้อมกับข่มความต้องการที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัวไปด้วย เขายังอยากจะแกล้งคนปากแข็งต่ออีกสักพัก หรือไม่ก็จนกว่าเจ้าตัวจะเอ่ยปากขอเองนั่นแหละ

มืออุ่นขยับเชื่องช้า รูดรั้งไปตามความยาวจนสุดแล้วเลื่อนกลับไปที่ส่วนโคน ก้านนิ้วยาวเลยลงไปถึงพวงเนื้อนุ่มทั้งสอง เกลี่ยขยำเบาๆ แค่นั้นดนตร์ก็สะท้านไปทั้งตัว ยอดอกสีสดแข็งกว่าเดิม เสียงครางหวานสูงหลุดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ ร่างโปร่งเปลือยเปล่าโน้มตัวลงต่ำเมื่อถูกความเสียวเสียดที่หน้าท้องเล่นงานหนักขึ้นจนไม่อาจหยัดกายให้ตรงได้ บั้นท้ายหนั่นแน่นโยกย้ายอยู่ที่หน้าขาของกรณ์จนแก่นกายปวดหนึบ

“จะยั่วกันหรือไง” เสียงทุ้มติดแหบกระซิบถามชิดกับใบหูเล็ก ลิ้นร้อนแทรกเข้าไปในรูหูเลียลิ้มชิมรสหวาน ไม่ว่าจะส่วนไหนๆ ของร่างกายก็หวานติดลิ้นไปหมด

ดนตร์ตัวสั่นอย่างเกินควบคุมส่วนหน้าลุกชันและแข็งกร้าว หยาดน้ำหลั่งไหลชโลมเงาวับ ยิ่งช่วยให้การขยับมือง่ายดายกว่าเดิม เสียงชื้นแฉะแข่งกับเสียงครวญ ฟังดูลามกและน่าอาย ทว่าก็ไม่มีใครห้ามปราม

แล้วจู่ๆ กรณ์ก็หยุดมือ เขาปล่อยมันเสียดื้อๆ เล่นเอาอีกคนร้องขัดใจอยู่ในคอ ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก มือกดแผ่นหลังเนียนให้ต่ำลงจนขนานกับพื้นโลก ใช้หัวเข่าแยกขาเรียวขาวให้ออกกว้าง ช่องทางเล็กๆ สีสดยังปิดสนิท รอยยับรูปวงกลมขยับขมิบน้อยๆ

“ยังแข็งอยู่เลย ทำให้อ่อนลงหน่อยดีกว่า” กรณ์พูดกับตัวเองแต่ก็จงใจให้ดนตร์ได้ยิน

มือขาววางแนบอยู่กับประตูตู้เสื้อผ้า ใบหน้าก้มต่ำลงมองเห็นเนื้อร้อนของตัวเองที่ตั้งชันแล้วก็ต้องหลับตาหนี มันน่าอาย ทว่าความต้องการมันมีมากเสียจนยากจะปฏิเสธ ขาที่แยกกว้างทำให้ต้องเปิดส่วนน่าอายให้อีกฝ่ายได้เห็น หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเตรียมพร้อมสำหรับการรุกรานที่หนักหน่วง ดนตร์กัดปากแน่นเมื่อนิ้วร้อนลากผ่านต้นขาด้านใน เฉียดพวงนุ่มไปมาหลายรอบแล้ววนสูงใกล้กับด้านหลัง แต่มันกลับไม่เข้าไปมากกว่านั้น ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม บางครั้งก็ทำเป็นแตะเบาๆ แล้วก็ผละออกไป ดนตร์ยกสะโพกสูง กางขากว้างกว่าเดิมเพราะคิดไปเองว่ากรณ์อาจจะเห็นส่วนนั้นไม่ถนัด

ชายหนุ่มแตะลิ้นที่มุมปาก ดนตร์กำลังยั่วเขาอยู่จริงๆ ท่วงท่าที่เปิดเผยนั้นมันบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวมีความต้องการมากขนาดไหน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมทำตามใจอีกฝ่ายง่ายๆ นิ้วเฉียดผ่านเข้าใกล้แต่ก็ยังไม่ยอมทำให้รอยจีบนุ่มลงอย่างที่พูดเอาไว้ ระหว่างนั้นก็เลื่อนกางเกงนอนของตัวเองลง ขยับมือรูดรั้งตัวเอง เพียงไม่กี่ครั้งมันก็ขยายใหญ่ กรณ์โน้มตัวลงต่ำ ลากลิ้นไปบนแผ่นหลังหลังเนียนนุ่มจนถึงกลางแอ่งเอว ดนตร์ยกสะโพกสูงเด่น ปลายเท้าจิกไปบนพื้นพรมสีเข้ม

“พะ..พี่กรณ์ อื้อ จะทำอะไร...ก็ทำ”

“แล้วจะให้ทำอะไร” เขาเล่นลิ้น ใช้ส่วนหน้าของตัวเองถูไถกับพวงนุ่มทั้งสอง

ดนตร์ตัวสั่นหนักกว่าเดิม ใบหน้าน่ารักเอี้ยวหันกลับมา ดวงตาหวานหรี่ปรือ พวงแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น บางจังหวะก็ผ่อนออก มือเรียวเอื้อมมาแตะที่ข้อมือ

“พี่ ไม่เอา...เข้ามาสักที”

“เอาอะไรเข้า” กรณ์ยังไม่เลิกแกล้ง สะโพกสอบสวนเข้าไปในร่องว่างระหว่างช่องขา มือขยำเนื้อนวลด้วยความมันเขี้ยว

(มีต่อ)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 22 Fear [11/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 11-09-2017 19:13:30
อื้อ!” ดนตร์ทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความขัดใจ ก้นกลมยกสูงขึ้น

“ถ้าไม่พูด ฉันจะรู้ได้ยังไง...ถ้าอยากก็บอก อยู่กันแค่สองคนไม่เห็นต้องอายใคร” เขาบอก น้ำเสียงยั่วเย้าเช่นเดียวกับการกระทำ คนตัวเล็กกว่าหายใจกระเส่า แผ่นหลังบิดโค้งไปมา ดูก็รู้ว่ามีความต้องการมากขนาดไหน ส่วนหน้าแข็งขืนและบวมเป่งแต่ก็ยังดื้อดึง ทว่าคนอย่างกรณ์สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น เขาเลื่อนมือไปตามแนวลำตัวแล้ววกไปด้านหน้า ส่งปลายนิ้วสะกิดกับยอดอกอีกครา ดนตร์ส่งเสียงอืออา โค้งตัวลงต่ำดันสะโพกใส่หน้าขาของเขา “หัวนมนายแข็งแล้ว” พูดไปก็ใช้เล็บจิกไปบนเนื้ออ่อน เขาเห็นตุ่มเล็กๆ ผุดขึ้นทั่วร่าง “อยากมากใช่ไหม”

เส้นความอดทนขาดสะบั้นลงเมื่อได้ยินถ้อยคำหยาบโลน ความต้องการเพิ่มสูงเป็นเท่าตัว สมองตื้อตันไปหมด ถูกเมฆหมอกแห่งราคะเข้าครอบงำเสียจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ด้านหน้าปวดหนึบไปหมด มันถูกปลุกเร้ามาได้สักพักแล้วทว่ายังไม่ได้ปลดปล่อย หน้าท้องเกร็งแน่น หากไม่ได้รับการบำบัดคงต้องตายเพราะความปรารถนาที่มีมากเกินไปแน่ๆ

“อ๊ะ...เข้ามา! จะนิ้วหรืออะไรก็ได้ เข้ามาสักที ผมทรมาน”

คำพูดของดนตร์ราวกับระฆังส่งสัญญาณ กรณ์ปล่อยมือจากแผ่นอกเนียนกลับมาที่ช่องทางด้านหลัง มือแหวกเนื้อกลมออกจากกัน ขณะที่ใบหน้าก้มต่ำลงเรื่อยๆ กระทั่งลิ้นสัมผัสกับรอยจีบ ดนตร์สะดุ้งขาสั่น ร้องปรามทั้งที่เป็นคนสั่งให้เขาทำ

“ไม่ได้นะครับ! มันสกปรก คะ...แค่นิ้วก็พอ”

“ไม่มีคำว่าสกปรกสำหรับคนที่ฉันรัก” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่ม ไม่มีส่วนไหนของดนตร์ที่สกปรก มันสะอาด หอมเหมือนนมไปทุกที่ ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในระยะตื้น กระทั่งแน่ใจว่ามันอ่อนลงถึงได้ถอนใบหน้าออกมา จากนั้นก็ใช้นิ้วสอดเข้าไป ความคับแน่นรัดรึงรอบข้อนิ้วพร้อมกับเยื่อเมือกอ่อนบาง มันช่วยทำให้เคลื่อนไหวง่ายขึ้น กรณ์สอดนิ้วเพิ่มเข้าไป จากหนึ่งเป็นสองและสาม นิ้วทั้งสามหมุนวนอยู่ด้านใน จังหวะที่มันสอดลึกปลายนิ้วกลางสะกิดจุดเชื่อมต่อ ดนตร์สะท้านเฮือกเข่าอ่อนจนแทบลงไปกองกับพื้นดีที่เขาจับเอวไว้ได้ทัน “จะเข้าไปแล้วนะ”

คำกระซิบเป็นการบอกให้อีกฝ่ายเตรียมตัว ดนตร์สูดหายใจหนักๆ ขากางกว้าง ใบหน้าและฝ่ามือแนบกับประตูตู้เสื้อผ้าเพื่อรอคอยสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วทั้งสาม

ท่อนเนื้อร้อนพร้อมรบตั้งผงาด กรณ์จับมันจดจ่ออยู่กับปากทางเข้า แม้จะเบิกทางไปบ้างแล้วแต่ก็ต้องใช้ความใจเย็นอยู่ไม่น้อย แม้ความต้องการจะมีสูงจนแน่นอกก็ตาม กรณ์ขบกรามแน่นด้วยความอดทน กระทั่งดนตร์ดูดกลืนตัวตนของเขาเข้าไปจนหมด

“อา...”

ช่องทางคับแน่นที่เจือด้วยเยื่อเมือกอ่อนโอบล้อมและรัดแน่น เขาแช่แก่นกายอยู่ในนั้นจนกล้ามเนื้อด้านในผ่อนคลายลง มือแกร่งยึดสะโพกมนเอาไว้แล้วค่อยๆ ถอนตัวออกมาจนเกือบสุด เมื่อส่วนปลายจวนเจียนจะหลุดพ้นก็ดันกายกลับเข้าไปใหม่ ความฝืดแน่นทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเชื่องช้าทว่าหนักแน่นนัก น้ำหล่อลื่นจากภายในช่วยทำให้ดีขึ้นบ้าง กรณ์สูดปากด้วยความเสียวกระสัน ดนตร์ยังคับแน่น ยิ่งห่างหายไปหลายวันมันยิ่งแน่นนัก บางครั้งก็ตอดรัดเสียจนเขาแทบขยับตัวไม่ได้ แต่บางจังหวะก็ผ่อนลงทำให้เลื่อนไถลเข้าไปลึกสุด มันทั้งสุขสมทั้งทรมานในคราวเดียว เหงื่อกาฬผุดพรายทั้งที่อากาศค่อนข้างเย็น เขาจับสะโพกบางแน่นกว่าเดิมขณะที่ขยับสะโพกสอดใส่ไวขึ้น

ร่างบางโคลงเคลงคลอนแคลน เสียงครวญหวานดังสูงต่ำสลับกันแทรกด้วยเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังก้องห้องนอน ดนตร์เริ่มพยุงกายไม่อยู่ หลายครั้งที่หัวเข่าเกือบจะแตะพื้น เขาต้องช่วยดึงรั้งเอาไว้ จังหวะรักเร็วและหนักกว่าเดิม เขาเลื่อนมือไปด้านหน้าช่วยรูดรั้งให้อีกฝ่าย กายร้อนขยายพองเต็มฝ่ามือน้ำใสหลั่งรินไม่ขาดสาย

“อื้อ...ไม่ไหว...พี่ครับ ระ...เร็วหน่อย”

คนผู้น้องร้องส่งเสียงสั่นเครือตามจังหวะการถูกกระทั้นกระแทก ร่างเล็กกว่าทำท่าจะทรุดลงไปอีกรอบ เขาใช้กำลังที่มากกว่ายกช้อนทั้งร่างบางไปนั่งหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่สนใจข้าวของที่จะล้มระเนระนาด ส่วนนั้นยังคงสอดประสานแนบแน่น ยกท่อนขาเรียวขึ้นพาดที่หัวไหล่ก่อนจะกดริมฝีปากกับเนื้ออ่อนด้านในสร้างรอยรักเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ พอตั้งหลักได้ดนตร์ก็วางข้อศอกกับพื้นไม้เนื้อเย็น สะโพกลอยเด่น หน้าขาแทบจะติดกับหน้าอก ยอดอกสีสดเปล่งปลั่ง ตุ่มเล็กๆ ผุดรอบป้านฐาน ใบหน้าน่ารักเทียบเท่ากับนายแบบเหยเก ริมฝีปากแดงเห่อถูกฟันขาวขบเม้มเอาไว้ ดวงตากลมปิดแน่นแต่บางครั้งก็คลายออกพอให้เห็นนัยน์ตาหวานหยด

กรณ์โหมสะโพกไม่ยั้ง ใบหน้าโน้มต่ำจนปลายจมูกสัมผัสกัน ดนตร์เผยอริมฝีปากเปิดเผยความต้องการ ชายหนุ่มยกยิ้มพอใจแล้วค่อยสอดลิ้นเข้าหา เรียวลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัด รุกไล่แลกเปลี่ยนกันอย่างไม่ยอมกัน ดนตร์ตอบโต้อย่างถึงใจทั้งที่ด้านหลังถูกรุกรานอย่างหนัก รอยจีบบวมแดงจากการถูกเสียดสี กายร้อนระอุไม่ต่างจากเหล็กอังไฟเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน บ้างก็สอดลึก บ้างก็หมุนวน จงใจสร้างความปั่นป่วนให้อีกคนทรมานเล่น กรณ์ดูดลิ้นหนักๆ ตามจังหวะการขับเคลื่อนของตัวเอง

“พะ..พี่ ผม จะไม่ไหว...เร็ว.. อ๊ะ!”

ดนตร์หวีดร้องเสียงสูง ตัวกระตุกและสั่นไหวรุนแรง น้ำนมข้นพุ่งจากส่วนปลายและตกลงที่เนินหน้าท้อง ตาคู่หวานคลอเคล้าด้วยหยาดน้ำตาที่มาจากความเสียวเสียดที่มีมากเกินไป

เมื่อส่งให้ดนตร์ไปถึงจุดสุดยอดได้แล้ว เขาก็ไม่ประวิงเวลาอีก กรณ์เดินหน้าเต็มกำลัง แรงกระแทกมีมากเสียจนดนตร์ต้องนอนราบไปกับพื้นโต๊ะ มือแกร่งดันต้นขาให้ยกสูง เปิดทางรักให้รับเขาได้เต็มที่ ความกระสันรัญจวนโจมตีเป็นลูกคลื่น หน้าท้องเกร็งแน่นจนมองเห็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือดพองนูนขึ้นตั้งแนวกระดูกเชิงกรานจนถึงเอ็นร้อนที่ผลุบเข้าออก ท้ายที่สุดในหูของเขาก็ได้ยินเสียงปริแตกจากบางอย่าง หัวสมองขาวโพลน บางอย่างทะยานออกจากตัว ตัวสั่นเกร็ง ขนในกายลุกชัน รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคำรามคล้ายสัตว์ป่า ซึ่งก็ไม่ใช่สัตว์ตัวใดหากแต่เป็นเสียงของเขาเอง

กรณ์หลั่งรินหยาดน้ำรักในกายดนตร์ ปริมาณของมันมากจนบางส่วนไหลย้อนออกมาด้านนอกคงมาจากผลพวงที่ไม่ได้ปลดปล่อยมานานหลายวัน ชายหนุ่มกดจมูกกับหน้าผากนูนหนักๆ ก่อนจะเคลื่อนมาถึงปลายจมูกโด่งชื้นเหงื่อและหยุดที่ริมฝีปากเนิ่นนานโดยที่ส่วนนั้นยังคั่งค้างอยู่ภายใน

“เพิ่งจะแปดโมงยี่สิบเอง ขออีกรอบก็แล้วกันนะ”

.................................



“เป็นอะไร? ทำไมเดินแบบนั้นล่ะ”

ดนตร์แทบจะเอาหน้าซุกลงไปในดิน เมื่อประธานชมรมภาพยนตร์ตะโกนถามทันทีที่เขาปรากฏตัว ดนตร์รีบยืดกายตั้งตรง แม้ว่าแผ่นหลังจะร้าวระบมลามลงมาถึงช่วงล่าง เรี่ยวแรงแทบจะไม่เหลือไว้ให้เดินแต่เพราะไม่อยากถูกติติงเลยจำใจต้องฝืนสังขารมาที่คณะ เมื่อสองชั่วโมงก่อนเขาถูกเอาเปรียบอย่างหนัก บทรักที่ไม่เคยจบในรอบเดียวกินเวลาไปนับชั่วโมง เขาต้องกลับไปอาบน้ำใหม่อีกรอบ กว่าจะหลุดจากอ้อมแขนก็เกือบสิบโมงเข้าไปแล้ว แต่กรณ์ก็ใช่ว่าจะใจร้ายเสียทีเดียว หลังจากหลอกล่อเขาด้วยลีลารักร้อนแรงและแสนช่ำชอง เจ้าตัวก็อาสามาส่งถึงคณะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ขอร้องก็ตาม

จนถึงคณะก็ยังไม่ยอมไปไหนกลับเดินตามมา ทั้งที่คณะนิเทศน์กับคณะสถาปัตย์อยู่คนละฝากของมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ จากคนที่ไม่เคยมีค่าในสายตาใคร ตอนนี้เขากลายเป็นคนดังของคณะไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะได้เป็นคนรักใหม่ของกรณ์ผู้โด่งดัง แต่ยังเป็นเพศเดียวกันอีกด้วย

“ปวดหลัง มีอะไรไหมไอ้อ้วน”

แน่นอนว่าคนที่ตอบคำถามชวนให้มีเรื่องนั่นไม่ใช่เขาแน่นอน ดนตร์ถอนหายใจหนักๆ เขาคงต้องตกเป็นเป้าสายตาอีกนานเลยทีเดียว

“แล้วแกมาทำไม นี่มันคณะนิเทศน์ หลงคณะหรือไง” ลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วนไม่ยอมแพ้ สวนกลับอย่างไม่ห่วงความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือด

“ไม่ได้หลงคณะ แต่หลงคนในคณะ” กรณ์ตอบสวนกลับทันควัน โดยไม่สนใจว่าหน้าของคนที่อยู่ข้างๆ จะเห่อร้อนแค่ไหน

“เสี่ยวแดก” ชนวีร์บิดปาก “มาแล้วห้ามกวน ห้ามโวยวาย เพราะที่นี่เพลงคือเด็กในคอนโทรลของฉัน เข้าใจไหม”

“ก็แล้วแต่” กรณ์ยักไหล่ “แต่ห้ามยกของหนัก เพราะช่วงนี้เอวกับหลังไม่ค่อยดี”

“แกเป็นหมอส่วนตัวของเพลงหรือไง”

“เปล่า” หนุ่มคณะสถาปัตย์ปฏิเสธ “แค่เป็นผัว”

“โอ๊ย! พอที” ยิ่งฟังก็ยิ่งเข้าตัว สองพี่น้องต่างไซส์นี่ไม่รู้หรอกว่าคนที่ตกเป็นเป้าสายตามันมีเขาอยู่ในนั้นด้วย “พี่กลับไปทำงานต่อเถอะครับ เดี๋ยวถ้าเสร็จงานแล้วผมไปหา”

กรณ์หรี่ตาลงทำท่าเหมือนจะคัดค้าน แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้า “ห้ามเกินหกโมง ฉันจะรอที่คณะ ห้ามยกของหนักแล้วก็ห้ามเดินเยอะ”

“รู้แล้วน่า!” ความห่วงใยของกรณ์มันยิ่งทำให้หน้าใกล้ระเบิดเต็มที กิจกรรมล่าสุดที่ได้ทำร่วมกันมันชัดเจนยิ่งกว่าดูหนังสามมิติ ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง บนเตียงและในห้องน้ำ

ก่อนไปกรณ์คว้าคอเขาเอาไว้แล้วจุ๊บเร็วๆ ที่กลางกระหม่อม กว่าจะตั้งตัวได้อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้ว

“ออกนอกหน้านอกตาขนาดนี้แล้วเหรอยะ ทีเมื่อก่อนแค่มองหน้ายังไม่มีเลย” ลลิตาเดินตรงปรี่เข้ามา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ในมือมีถุงขนมห่อใหญ่อยู่ด้วย

เขาอมยิ้ม รู้สึกเขินหน่อยๆ ยอมรับว่ายังไม่คุ้นเคยกับสถานะ ‘แฟน’ เท่าไรนัก “แล้วยีนส์ล่ะ ยังไม่มาเหรอ”

“มาแล้ว กำลังช่วยพี่ไฟทำเวทีอยู่ นายก็มาด้วยกันสิ ยังทำฉากไม่เสร็จเลย”

วันนั้นทั้งวันดนตร์เลยต้องกลายเป็นกรรมกรเต็มตัว สารพัดงานที่โยนมาให้เขาต้องทำให้เสร็จโดยห้ามปริปากบ่น แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะลำบากและติดขัดไปบ้าง เพราะช่วงล่างยังระบมอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะหยิบจับอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่ต้องทนคือคำแซวของเพื่อนบ้าง รุ่นพี่บ้างเท่านั้นเอง

รู้ตัวอีกทีก็เกือบหกโมงครึ่งแล้ว ฉากที่ต้องทำเสร็จไปแล้วบางส่วน แต่ยังเหลืออีกหลายฉาก ดนตร์ยืนมองแผ่นโฟมที่เขาเป็นคนตัดมันด้วยตัวเองด้วยความภูมิใจ เม็ดโฟมเล็กๆ ติดตามตัวจนดูเหมือนไปวิ่งตากหิมะมาไม่ผิด ไม่ใช่แค่เขา แต่ทั้งลลิตา เมธัสและคนอื่นๆ ในคณะก็มีสภาพไม่ต่างกัน แต่คนที่ดูเหนื่อยกว่าใครคงจะเป็นชนวีร์ เพราะไม่ใช่แค่ทำหน้าที่กำกับการแสดง แต่ยังต้องควบคุมระบบไฟ แสงสีเสียง และฉากต่างๆ เรียกได้ว่าถึงไม่ได้ลงมือทำด้วยตัวเองแต่ก็ต้องลงมาดูแลด้วยตัวเองทั้งหมด

“หกโมงกว่าแล้ว ยังไม่รีบไปหาสุดที่รักอีกเดี๋ยวมันก็ตามมาฉีกอกฉันหรอก”

“ห๊ะ! ครับ?”

“ยังจะมาทำหน้าเป็นหมางง ไอ้กรณ์มันให้ไปหาที่คณะตอนหกโมงไม่ใช่หรือไง”

เหมือนเครื่องเตือนความจำร้องเตือน ดนตร์ทำตาโต ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู อีกไม่ถึงห้านาทีก็จะหกโมงครึ่งแล้ว เขาไม่เคยผิดนัด แต่ก็ไม่อยากผิดนัด โดยเฉพาะกับคนที่เดาอารมณ์ไม่ได้อย่างกรณ์ เขารีบขอบคุณชนวีร์ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้แล้ววิ่งไปอีกคณะทันที

คณะสถาปัตย์เงียบเชียบผิดปกติ คนในคณะแทบไม่มีให้เห็น แต่ถึงจะเดินสวนกันอีกฝ่ายก็ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่ดี ดนตร์หอบหายใจเบาๆ ทบทวนเส้นทางในตัวคณะหลังจากที่เคยมาเยี่ยมเยียนเพียงแค่หนเดียวเท่านั้น แถมกรณ์ก็ไม่ได้บอกว่าอยู่ส่วนไหนของคณะอีกต่างหาก ที่ร้ายที่สุดคือเขาไม่สามารถติดต่อกับกรณ์ได้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะปิดโทรศัพท์ไปแล้ว

เขาเดินขึ้นบันได ใช้ความจำที่หลงเหลืออยู่เดาทิศทางห้องที่เคยเจอกรณ์ แต่ระหว่างทางเดินมืดๆ นั้นหูก็ไปได้ยินเสียงบางอย่างแทรกปะปนมากับเสียงลมหวีดหวิวที่ลอดผ่านประตูหน้าต่างเข้ามา ขนในกายลุกชัน แม้จะถูกสอนมาให้ไม่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นแต่เสียงร้องของคนที่กำลังได้รับความเจ็บปวดมันทำให้อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้

“อือ….เจ็บ!”

ราวกับหัวใจจะหยุดเต้นเสียให้ได้ รอบด้านก็ไร้ผู้คน แสงจากดวงไฟสีส้มก็มีน้อยเสียเหลือเกิน ความมืดบวกกับความกลัวก่อให้เกิดจินตนาการน่าสะพรึง ยิ่งขยับขา เสียงที่ได้ยินก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ

“เจ็บ….พอ…ธาม…พอก่อน”

จินตนาการตามหนังสยองขวัญที่เคยดูหยุดลงกะทันหัน เมื่อได้ยินชื่อของคนรู้จักดังแทรกในเสียงร้อง ดนตร์ขมวดคิ้ว ลืมเรื่องผีสางหรือสิ่งที่มองไม่เห็นไปชั่วขณะ จังหวะการก้าวเดินช้ากว่าเดิมเช่นเดียวกับน้ำหนักเท้าที่เบาลง เขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน แล้วก็รู้ว่ามันลอดมาจากห้องสุดท้ายของตัวอาคาร ที่มีป้ายติดเอาไว้ว่า ‘ห้องเก็บของ’

ประตูไม้สีเข้มปิดสนิท แต่เป็นแบบลงกลอนจากด้านใน ดนตร์รวบรวมความกล้าอีกรอบแล้วค่อยๆ แนบหูลงกับไม้เนื้อแข็ง เขาแทบจะกลั้นใจเพราะไม่อยากให้เสียงลมหายใจรบกวนการได้ยินของตัวเอง

“เบาๆ อื้อ! มันเจ็บ บอกให้เบาๆ ไง ไอ้ธาม!”

ตากลมเบิกโพลง เสียงร้องคล้ายเสียงเจ็บปวดเมื่อครู่ มันไม่ใช่เสียงของคนที่ได้รับบาดเจ็บ คิดแล้วก็โมโหตัวเองนัก ที่จริงน่าจะคุ้นชินกับเสียงแบบนี้ดี แต่อย่างว่าถึงเวลาเขาก็ไม่เคยมีสติเหลือพอให้ฟังเสียงตัวเอง ทว่าชื่อของธาวินมันน่าสนใจกว่านั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนเดจาวู ราวกับเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อเดือนก่อนที่สวนต้นท้อ เขาก็เคยพบกับเหตุการณ์คล้ายกัน แต่ตอนนั้นเป็นนักรบกับเพื่อนรักของเขา แต่วันนี้เป็นธาวินกับ...

“อา...เรียกชื่อฉันหน่อยสิ ทิว เรียกชื่อฉัน”

คราวนี้ตาเขาแทบจะถลนออกนอกเบ้า เมื่อได้ยินชื่ออีกคน ก่อนหน้านี้ก็เคยตะขิดตะขวงใจในความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทคู่นี้ จนกระทั่งวันนี้ ทุกอย่างชัดเจนและค่อนข้างแน่นอน มิน่าเล่าหมู่นี้ธาวินไม่ค่อยมาตอแย ผิดกับเมื่อก่อนที่ไม่ว่าจะเวลาไหนเขาก็มักจะเห็นธาวินเสมอ

...หรือเพราะเขาเอาตัวไปติดกับกรณ์มากเกินไป...

ใบหน้าพลันร้อนผ่าว หัวใจเต้นระรัว ไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์เลยว่าสองคนนั้นทำอะไรกันอยู่ในห้องเก็บของ จะติดก็ตรงสถานที่เป็นถึงหนุ่มฮอต รูปหล่อพ่อรวยทั้งที แต่เลือกที่ทำรักได้แย่ชะมัด แถมอีกฝ่ายก็เป็นคุณหมอไม่ห่วงเรื่องความสะอาดบ้างหรือไง

ดนตร์ตบแก้มตัวเองเบาๆ เรียกสติให้เข้าที่ นี่มันยิ่งกว่าบ้า เขาล่วงรู้อีกหนึ่งความสัมพันธ์เข้าให้แล้ว เขาถอยห่างจากประตูไม้โอ๊ค นึกตำหนิในความเสียมารยาทของตัวเอง แต่จะโทษเขาทั้งหมดก็ไม่ถูกนักถ้าหากจันทร์ทิวาไม่ร้องเสียงดังเขาก็คงไม่เดินตามเสียงมาหรอก ดนตร์ถอนหายใจหนักๆ เพราะเสียงบ้านั่นทำให้เกือบลืมไปว่ามาที่นี่ทำไม เปลือกตาบางหลับลงแล้วทบทวนแผนที่คณะนี้อีกหน

“มาทำอะไรตรงนี้!”

………………………



คิ้วหนาขมวดมุ่น ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ตามเข็มนาฬิกาที่หมุนวน ร่วมชั่วโมงแล้วที่ดนตร์ผิดนัด ทั้งที่กำชับไว้แล้วแท้ๆ ว่าต้องมาหาเขาที่คณะตอนหกโมงเย็น แต่นี่เกือบจะทุ่มตรงแล้วดนตร์ก็ยังไม่มา จะโทรไปโทรศัพท์เจ้ากรรมก็แบตหมดตั้งแต่ก่อนสี่โมงเย็น เพราะไอ้เพื่อนรักบัดซบดันยึดโทรศัพท์ไปเล่นเกม ขณะที่เขาต้องสเกตช์รูปมือเป็นระวิง

“งานยังไม่เสร็จน่ะสิ แล้วนี่โทรไปถามไอ้อ้วนหรือยัง” คนที่เอาโทรศัพท์ไปเล่นจนแบตหมดเอ่ยถาม คล้ายกับจะหวังดี แต่แววตาของมันเป็นประกายระยิบคล้ายกับจะสะใจ

“แบตมันหมด จะให้ส่งโทรจิตไปหรือไง”

“เหรอ…ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ไอ้รัน!”

แต่เจ้าตัวกลับแค่ยักคิ้วให้ แล้วกลับไปนั่งเล่นโทรศัพท์ของตัวเองต่อหลังจากที่จัดการกับโทรศัพท์ของเขาจนแบตหมดเกลี้ยง

กรณ์ถอนหายใจหนักอีกครั้ง ไอ้งานบ้านี่ก็เยอะเหลือใจ ยิ่งใกล้วันฝึกงานเท่าไร งานก็ยิ่งสูงเป็นเท่าตัว เพราะชิ้นงานพวกนี้มีผลต่อบริษัทที่เข้าฝึกงาน ถ้าหากดูฝีมือก็อาจจะไม่ใช่แค่นักศึกษาฝึกงาน รุ่นพี่หลายคนได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ระดับประเทศ ส่วนตัวเขาเองแม้จะมีสถานที่ฝึกงานแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ เพราะเขาจะไปในฐานะกรณ์เด็กฝึกงานธรรมดา ไม่ใช่กรณ์ลูกชายเพื่อนเจ้าของบริษัท

ส่วนงานด้านวงการบันเทิง อีกไม่กี่วันนิตยสารที่ถ่ายคู่กับรดาก็จะวางแผงแล้ว ชนวีร์เคยมาคุยเรื่องงานอื่นคร่าวๆ บ้างแล้ว แต่เขายังไม่ตอบรับ เพราะแค่นี้ก็หาเวลานอนแทบไม่ได้ ถึงมันจะเป็นโอกาสทองหากแต่นั่นไม่ใช่ความฝันที่แท้จริงของเขา เขายังอยากสร้างสรรค์ผลงานต่อไปเรื่อยๆ เท่าที่มือและจินตนาการยังทำงานได้อยู่

กรณ์ข่มความหงุดหงิดแกมเป็นห่วงเล็กๆ เอาไว้ บางทีอาจจะเป็นอย่างที่อริญชย์บอกก็ได้ การเตรียมความพร้อมสำหรับงานละครเวทีไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเคยเข้าไปช่วยชนวีร์อยู่สองครั้ง มันเหนื่อยเอาการ ทั้งการทำฉาก จัดไฟ เครื่องเสียง หรือแม้แต่เสื้อผ้านักแสดง เป็นงานหนักและต้องอาศัยความร่วมมือจากคนอื่นๆ เขามันเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย ที่คิดจะให้ดนตร์กลับก่อนใคร พอคิดได้อย่างนั้นก็ดึงสมาธิให้กลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้าอีกครั้ง

ทว่าเกือบจะสองทุ่มแล้ว ดนตร์ก็ยังไม่มา หากจะสายหรือจะเลทแค่ชั่วโมงครึ่งชั่วโมงก็ยังพอเข้าใจได้ แต่มันสองชั่วโมงเข้าไปแล้ว เส้นความอดทนขาดลงอีกรอบ เขาคว้าโทรศัพท์จากมืออริญชย์ต่อสายหาชนวีร์ทันที

“ไอ้อ้วน! ทำไมป่านนี้ยังไม่เลิกงานกันอีก บอกแล้วไงว่าเพลงทำงานหนักไม่ได้”

“พูดบ้าอะไร เพลงออกไปตั้งแต่หกโมงครึ่งแล้ว นี่อย่าบอกนะว่าแกยังไม่เจอเพลงน่ะ”

“หมายความว่าอะไร? ดนตร์ออกมาตั้งแต่หกโมงครึ่ง แล้วทำไมป่านนี้ยังมาไม่ถึงอีกล่ะ!” ใจกระตุกวูบความโกรธเปลี่ยนเป็นกังวลทันที “แค่นี้นะ ฉันจะโทรหาเพลง”

มือเร็วเท่าความคิด เขากดเบอร์โทรศัพท์ของดนตร์ได้อย่างแม่นยำ แต่พอกดสายโทรออกมันก็ขึ้นชื่อ ‘ลูกเจี๊ยบ’ อริญชย์มันก็มีเบอร์ของดนตร์เหมือนกัน

มีเสียงสัญญาณตอบรับแต่กลับไม่มีใครรับสาย โทรซ้ำอีกหลายรอบก็เป็นเหมือนเดิม จนในที่สุดสัญญาณก็ขาดหายไป กรณ์กำมือแน่น ในอกไหววูบ บางอย่างบอกกับเขาว่าดนตร์กำลังไม่ปลอดภัย...นี่มันไม่ปกติ ถ้าหากมีธุระดนตร์ต้องพยายามติดต่อมาหาเขาหรืออย่างน้อยก็ใครสักคนที่จะบอกกับเขาได้ แต่นี่กลับหายไป ความหวาดกลัวอาบรดทั่วร่าง หวังว่าลางสังหรณ์ของเขาจะผิดพลาด...

.............................

ถึงคนอ่านจะน้อย แต่ก็น่ารัก เราก็จะขยันอัพเป็นการตอบแทนเนาะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 22 Fear [11/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 11-09-2017 23:18:15
อ้าวใครรรร
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 23 50% [14/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 14-09-2017 19:37:02
Chapter 23 ครั้งสุดท้าย 50%

“เฮ้อ!”


ลมหายใจเย็นเยียบถูกปล่อยออกมาเป็นรอบที่สิบพอดี จำไม่ได้แล้วว่าถูกขังอยู่ในนี้นานเท่าไรแล้ว อาจจะชั่วโมง สองชั่วโมง หรือมากกว่านั้น อากาศในห้องลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับอุณหภูมิ ถึงจะไม่ได้หนาวเสียดไปถึงกระดูกเหมือนคราวที่ตกน้ำ แต่ก็มันก็เย็นเกินไปอยู่ดีสำหรับเขาที่อยู่ในชุดนักศึกษาธรรมดา

ความอ่อนเพลียทำให้เปลือกตาหนักขึ้นทุกที หากแต่สติยังเหลือที่จะระลึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ทำให้ต้องมาอยู่ในห้องนี้

หลังจากที่ถอยห่างจากประตูห้องเก็บของ สถานที่เก็บความลับของธาวินและจันทร์ทิวา เขาก็พบกับคนๆ หนึ่ง ที่หายไปจากความทรงจำแล้วพักใหญ่ เขาสะเพร่าเสียจนลืมไปว่าที่นี่คือคณะสถาปัตย์นอกจากจะมีกรณ์ ธาวิน อริญชย์ นักรบ เรียนอยู่แล้ว ยังมีโยษิตาอีกคน

หล่อนยืนกอดอก ใบหน้าน่ารักเหมือนตุ๊กตาเชิดสูง สายตามีแต่ความเกลียดชัง ริมฝีปากบิดยก ข้างๆ กันนั้นมีเพื่อนผู้หญิงและผู้ชายอยู่ด้วย รวมกันสี่ถึงห้าคน ตอนนั้นเขาแปลกใจมากกว่าตกใจ เพราะเขาลืมไปแล้วว่าโยษิตาคือคนรักเก่าของกรณ์และเขาคือคนที่มาแทรกกลาง

“มาอ่อยผู้ชายถึงคณะฉันเลยเหรอ แค่กรณ์คนเดียวคงไม่สาแก่ใจแกสินะ ร่าน!”

ยอมรับว่านาทีนั้นหน้าเขาชาเป็นแถบ ทั้งอายทั้งโกรธ แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเขาจึงไม่ตอบโต้และพยายามจะเดินหนี ทว่าแค่ขยับเท้าโยษิตาก็ก้าวขึ้นมาดักหน้า

“พูดความจริงเข้าหน่อย ก็ทำเป็นรับไม่ได้? หึ” หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก “พวกแกดูหน้ามันเอาไว้นะ มันนี่แหล่ะที่แย่งกรณ์ไปจากฉัน ถึงขนาดยอมเอาตัวแลก แย่ยิ่งกว่าเด็กไซต์ไลน์ซะอีก พวกนั้นนอนกับผู้ชายยังได้เงิน แต่นี่แม้แต่สตางค์แดงเดียวก็ไม่ได้”

ความชาเปลี่ยนเป็นเห่อร้อน ทุกคำพูดของโยษิตาดูถูกเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีชายชาติมังกรยิ่งนัก ถึงเขากับกรณ์จะคบกันในฐานะคนรัก แต่นั่นมันคือความชอบ มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับทุกคน แม้จะผิดจารีตประเพณีหากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เว้นเสียแต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี่เท่านั้น มือทั้งสองข้างกำเข้าหากัน สันกรามขบกัดจนปวดร้าว เพื่อระงับไม่ให้ตัวเองโต้ตอบถึงจะโกรธแค่ไหนแต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิง

“อึ้งเลยล่ะสิ ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ” โยษิตาบิดปากโค้ง ตากลมกวาดไล่มองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้ววกกลับมาที่หน้าของเขา “สารรูปยังย่ำแย่เหมือนเดิม ท่าทางแกคงจะไม่ถูกใจเขาล่ะสิ เขาถึงไม่ซื้อเสื้อผ้ากับรองเท้าดีๆ ให้ แกดูนี่” หล่อนยื่นกระเป๋าสีดำประทับยี่ห้อดังจากอิตาลี “เขาซื้อให้ฉันตอนที่ครบรอบหนึ่งปี ก่อนหน้านั้นก็มีทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า สร้อย ต่างหู แหวน โอ๊ย เยอะแยะจนตู้ไม่พอใส่ต้องสั่งทำเพิ่ม แต่นี่...แกยังเหมือนขอทานเหมือนเดิม”

“ผมไม่เคยขออะไรจากเขา” ดนตร์พูดรอดไรฟัน โกรธจนหน้าร้อนเหมือนโดนไฟนาบ “เราคบกันด้วยหัวใจไม่ใช่สิ่งของ แล้วถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ผมขอตัว!”

เขาเน้นเสียงก่อนจะหันหลังให้ โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายทำร้ายตัวเองได้ เพียงเสี้ยวนาทีที่เขาก้าวเดิน ช่วงท้ายทอยก็ถูกของบางอย่างฟาดเข้ามาเต็มแรง แล้วหลังจากนั้นเขาก็มาอยู่ในห้องๆ นี้ ห้องแคบๆ ที่คล้ายกับห้องเก็บของ กลิ่นฝุ่นคลุ้งในอากาศ ไม่มีหน้าต่างหรือแม้แต่ช่องระบายอากาศ ไฟเสีย เพราะตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเขาพยายามคลำไปตามกำแพงพบกับสวิตซ์ไฟแต่มันไม่ทำงาน สายตาเพ่งมองผ่านความมืดพอจะเห็นรูปร่างของโต๊ะและเก้าอี้ที่ใช้งานไม่ได้แล้วเกือบสิบตัว ส่วนโทรศัพท์ไม่เหลือแบตแม้แต่ขีดเดียว แค่เปิดใช้งานยังทำไม่ได้

ไม่น่าแปลกใจหรอกที่โยษิตาจะจงเกลียดจงชังเขาขนาดนี้ เพราะหล่อนเสียคนรักที่เพียบพร้อมแทบทุกด้านให้กับคนอย่างเขา ที่ร้ายไปกว่านั้นเขาเป็นผู้ชาย แต่ก็อีกนั่นแหละเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกรณ์ถึงได้เกิดสนอกสนใจเขาขึ้นมาและจริงจังถึงขนาดกล้าเปิดเผยสถานะทั้งต่อสาธารณชนและต่อหน้าผู้ปกครอง กรณ์กล้าหาญสมเป็นลูกผู้ชายเลือดมังกรขณะที่เขาต้องรอให้จวนตัวความกล้าจึงบังเกิด พอคิดได้ก็นึกละอายใจ ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มชอบกรณ์ก่อนแท้ๆ

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี เขาได้พบกับกรณ์ในฐานะกรรมการคัดเลือกนักศึกษา ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่สะดุดตา ดวงตาคม ใบหน้าที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ติดเย่อหยิ่งและเย็นชา ท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนักแต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดได้อย่างน่าประหลาด เขาเผลอจ้องรุ่นพี่คนนี้อยู่นานกว่าจะรู้ตัวก็ซึมซับเรื่องราวของกรณ์มากพอตัว จากนั้นก็มานั่งทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกที จึงได้มติเป็นเอกฉันท์ว่าเขาตกหลุมรักผุ้ชายที่ชื่อกรณ์เสียแล้ว ตอนนั้นเขาได้แต่คิดว่ามันไม่มีหวังเอาซะเลย กรณ์ไม่มีทางสนใจคนอย่างเขา และไม่มีทางที่จะมีรสนิยมชอบเพศเดียวกันแน่ๆ ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก วันนั้นที่สนามกีฬา...มันเป็นวันเริ่มต้นความสัมพันธ์ อาจจะไม่ราบรื่นสวยงาม แต่สุดท้ายกรณ์ก็พูดคำว่า ‘รัก’ กับเขาจนได้

ถึงตอนนี้ถ้าหากไม่มีโอกาสได้หลุดออกไปจากห้องนี้ เขาก็ยังดีใจที่ได้รักกรณ์ ผู้ชายไร้ความโรแมนติก ไม่เคยพูดจาชวนฝัน แต่กลับสร้างเรื่องประทับใจให้มากมาย ดนตร์ขดตัวเข้าหากันแน่นขึ้น เอียงหน้าซบลงบนหัวเข่า สูดเอาฝุ่นมาไว้ในปอด ขณะที่อากาศแทบจะไม่เหลือ

สมองเริ่มไล่เรียงเหตุการณ์จากวันที่พบกันจนถึงบทสนทนาก่อนที่เจ้าตัวจะปล่อยเขาไว้ที่คณะ ทุกคำพูด ทุกรอยยิ้มเริ่มเลือนรางราวกับภาพในความฝัน ขณะเดียวกันเปลือกตาก็หนักอึ้งไม่ต่างจากแผ่นเหล็ก ลมหายใจแผ่วบางลงเรื่อยๆ ถึงกระนั้นภาพใบหน้าและรอยยิ้มของกรณ์ก็ยังอยู่ ดนตร์ยิ้มให้กับตัวเองราวกับจะตอบรับรอยยิ้มที่วาดขึ้นในจินตนาการ แล้วริมฝีปากก็ตกลงเรื่อยๆ พร้อมกับลมหายใจที่ขาดหายไป...

…………………………..



“ให้มันอยู่ในนั้นนั่นแหละ สมน้ำหน้า เล่นกับใครไม่เล่น ดันมาเล่นกับโยษิตา ไอ้ตุ๊ดหน้าจืดเอ๊ย!”

หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงดังลอดเข้ามา เขาหยุดมือที่กำลังทำความสะอาดส่วนล่างไปโดยปริยายแล้วเงี่ยหูฟังอีกครั้ง หวังว่าจะได้ยินอะไรเพิ่มขึ้นอีก แล้วก็สมใจ

“ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ล่ะจะทำยังไง ตรงทางเดินมีกล้องด้วยนะ ถ้ามันติดภาพพวกเราไม่แย่กันหมดหรอกเหรอ”

“ช่างมันประไร! เดี๋ยวฉันให้พ่อของพี่ซันวิ่งเต้นให้เอง”

“แกจะเอาตัวรอดคนเดียวอย่างนั้นสิ! นี่แกยังเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ไหม”

“โอ๊ย! อย่าปัญญาอ่อนได้ไหม! มันไม่ตายหรอกน่า เดี๋ยวยามก็ขึ้นไปดูเองแหละ! ถ้ามันรักตัวกลัวตายก็น่าจะแหกปากร้องหาคนช่วย”

ผู้หญิงที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นโยษิตาพูด จู่ๆ หัวใจก็พลันเต้นรัว บางอย่างบอกกับเขาว่าคนที่โยษิตาพูดถึงอาจจะเป็นดนตร์ และมีความเป็นไปได้สูงเสียด้วย โยษิตากับดนตร์มีเรื่องบาดหมางกัน ซึ่งทั่วทั้งมหาวิทยาลัยก็รู้กันทั้งนั้น เขาแทบจะกลั้นใจแม้ว่าจะอยู่ในห้องน้ำและพวกหล่อนก็ไม่มีทางเข้ามาแน่ ทว่าปฏิกิริยาพวกนั้นมันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

เขารอให้โยษิตาและเพื่อนผ่านห้องน้ำไป โดยระหว่างนั้นก็ยังได้ยินบทสนทนาต่ออีกนิดหน่อย ดูเหมือนว่าเพื่อนของโยษิตาจะยังหวาดกลัวอยู่แม้ว่าโยษิตาจะยืนกรานว่าจะไม่มีใครเอาเรื่องได้ก็ตาม...กระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้นไม่หลงเหลือให้ได้ยินแล้วเขาจึงรีบเร่งมือทำความสะอาดสิ่งที่ ‘ตกค้าง’ ในร่างกายออกให้หมด จากนั้นก็ใช้กระดาษชำระเช็ดลวกๆ แล้วรีบออกจากห้องน้ำตามกลุ่มของโยษิตาไปเงียบๆ โดยเดินตามเสียงรองเท้าของพวกหล่อนที่ทิ้งค้างเอาไว้

“ถ้าไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจ ก็บอกฉันมาว่าเพลงอยู่ที่ไหน”

ดวงตากลมภายใต้อายไลเนอร์ดำเฉียบเบิกโพลง ร่างเล็กตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปไปชั่วขณะ นั่นยิ่งเปิดโอกาสให้คนที่เดินตามมาพักใหญ่รวบอ้อมแขนแน่นขึ้น

“กะ...แก พะ..พูดเรื่องอะไร ฉัน!”

“ตอบคำถามมา ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจว่าเธอกับยาหยีร่วมมือกันกักขังหน่วงเหนี่ยวเพลง”

“ไอ้บ้า! พูดจาไม่รู้เรื่อง ฉันไม่รู้...!”

“พูดมา!” บางอย่างในมือจี้ไปที่เอว ขณะที่มืออีกข้างรัดรอบลำคอเล็กเอาไว้ กลิ่นยาที่ติดตัวมายิ่งทำให้อีกฝ่ายลนลานด้วยความหวาดกลัว “หรือเธออยากจะกลายเป็นศพอำพราง รู้ใช่ไหมว่าที่เอวนี่อะไร” เพิ่มน้ำหนักมืออีกนิด ปลายเล็กของสิ่งนั้นแทงทะลุผ่านเนื้อผ้าจนถึงผิวกายด้านใน เจ้าหล่อนสะดุ้งเฮือกพยายามขืนตัวหนี ทว่ายิ่งดิ้นรนความแหลมคมก็ยิ่งครูดรูดผิว “แค่สลิงเดียวเธอก็จะได้ไปเฝ้ายมบาล”

“ห้องเก็บของ! บนดาดฟ้า” หล่อนละล่ำละลักบอก “ยะ..อย่าแจ้งตำรวจเลยนะ ไม่สิ! อย่าฆ่าฉันเลยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ยาหยี! แกต้องไปเล่นงานยาหยีสิ ฉันไม่ได้ทำ มันต่างหากที่เป็นคนทำ”

“หึ...ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเธอโดนทุกคนแน่” เสียงทุ้มดังใกล้ใบหู ลมหายใจไม่อุ่นไม่เย็นที่เป่ารดลงมาเพิ่มความน่าขนลุกให้อีกเท่าตัว ท่อนแขนยาวกระชับขึ้นอีกนิด รั้งร่างเล็กของสตรีให้แนบชิดกว่าเดิม “พาฉันไป!”

“ไม่! ฉันบอกแกแล้วนี่”

“ฉันไม่ได้โง่หรอกนะ รีบเดินนำไป ถ้าไม่อยากตายด้วยArsenic [1] ”

สิ่งที่น่ากลัวแท้จริงไม่ใช่ความแหลมคมหากแต่เป็นของเหลวที่อยู่ถัดไปต่างหาก เจ้าหล่อนเบิกตาโพลงจนแทบจะถลนออกนอกเบ้า รีบเดินนำไปโดยมีช่วงแขนยาวรัดรอบลำคอ แข้งขาสั่นจวนเจียนจะล้มไปหลายรอบ

...หวังว่าผู้ที่อยู่อีกฟากของสายโทรศัพท์จะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่...

ย้อนไปเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว เขาเร้นกายในความมืด โชคดีที่โยษิตาและพวกไม่สังเกตเห็นว่ามีคนแอบตามมา คงเพราะระยะห่างที่มากพอประมาณและความมืดของตัวอาคารทำให้พวกหล่อนไม่เอะใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังแอบจับพฤติกรรมของบางคนได้ ต้องขอบคุณสาขาที่เรียนมาทำให้สามารถจับความรู้สึกหรือพฤติกรรมของคนได้ไม่ยาก หนึ่งในพรรคพวกของโยษิตาท่าทางกังวลใจมากกว่าใคร ขณะที่คนอื่นๆ แสดงความหวาดหวั่นออกมาพอประมาณ แต่ก็เลือกที่จะเชื่อเส้นสายบิดาของโยษิตา เมื่อทั้งหมดหลุดจากตัวอาคารก็แยกย้ายกันไป ส่วนเขาก็เลือกที่จะตามผู้หญิงตัวเล็ก ผมยาวจรดบั้นเอว สวมรองเท้าส้นสูงสีดำ เขาไม่รู้จักชื่อหล่อนแต่เคยเห็นหน้าคร่าตาบ้าง ทว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่หล่อนจะกลายเป็นพยานคนสำคัญ

เขาเคลื่อนไหวรวดเร็ว เพียงแค่พริบตาเดียวก็เข้าประชิดตัว ใช้เงามืดของต้นไม้บดบังใบหน้า จากเดิมที่หวาดกลัวอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี ดังนั้นจึงไม่ยากต่อการข่มขู่ แต่ก่อนที่เข้าหา เขาจัดการติดต่อหาใครบางคนไว้แล้ว หวังว่าเจ้าสมอลล์ทอล์คจะทำหน้าที่ได้ทรงประสิทธิภาพเท่ากับยี่ห้อและราคาของมัน

กว่าที่สองขาเก้ๆ กังๆ พาลจะล้มพับเพราะความกลัวที่มีมากเกินไปจะพามาถึงห้องเก็บของที่ว่าก็เล่นเอาปวดแขน เพราะต้องรักษาระยะห่างของปลายเข็ม ถึงจะไม่ชอบพฤติกรรมน่ารังเกียจของพวกหล่อนนัก แต่เขาก็ไม่โหดร้ายพอที่จะฆ่าคนด้วยสารหนูได้ และอันที่จริงของเหลวที่อยู่ในหลอดก็เป็นแค่ยาชาธรรมดาที่บังเอิญติดกระเป๋าเสื้อกาวน์มาเท่านั้น ก็ตอนที่ถูกคนบ้าลากมาจากห้อง เขากำลังจัดยาอยู่พอดี หลังจากนั้นกิจกรรมของคนบ้าก็เกิดในห้องเก็บของ ไม่รู้ว่าจะบ้าไปถึงไหน ห้องหับตัวเองก็มีแต่เลือกที่จะทำในห้องเก็บวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการรังสรรค์ผลงานศิลปะ แต่ที่บ้ามากกว่าคือเขาเองที่ไม่อาจต้านทานความต้องการของอีกคนได้เลย

สุดท้ายหลังจากที่ทั้งบังคับและประคับประคองกันมา ทั้งเขาและผู้หญิงคนนี้ก็มาหยุดอยู่หน้าห้องที่หล่อนว่า กระแสลมที่ค่อนข้างแรงพัดใส่ ต่างคนซวนเซทำท่าจะล้มไปหลายครั้ง เขาขมวดคิ้วพลางเพ่งสายตามองหาคนที่ติดต่อด้วย ถ้าหากได้ยินสิ่งที่เขากับผู้หญิงคนนี้พูดก็น่าจะมาถึงที่นี่ได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน

“ยืนทำบื้ออะไร! รีบมาดูสิ เป็นหมอไม่ใช่หรือไง!”

ว่าที่คุณหมอสะดุ้งสุดตัว ละสายตาจากจุดโฟกัสแล้วกวาดหาต้นตอของเสียง ด้วยความมืดและลมทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ห่างจากจุดที่ยืนไปราว สี่ถึงห้าเมตร ใกล้กับแท็งค์น้ำ เขาเห็นเงาตะคุ่มๆ ของบางอย่าง ลักษณะคล้ายคนแต่ท่วงท่ามันผิดปกติไปเล็กน้อย หลังจากฝืนจนตาเริ่มเจ็บถึงได้มองออกว่าที่เห็นนั่นเป็นเงาของคนสองคนที่กำลังโอบกอดกัน

ผู้หญิงคนนั้นดิ้นจนหลุดไปจากอ้อมแขน ดูเหมือนว่าปลายเข็มจะเฉียดผิวเนื้อแถวเอวไปหลายที แต่เพราะเขาไม่ได้กดปลายกระบอกเข็มเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่มีสารเคมีใดๆ ติดตัวเธอแน่นอน นอกจากบาดแผลเท่ารอยเข็มเท่านั้น เจ้าหล่อนวิ่งหนีหายไปในความมืด เขาได้ยินเสียงกรีดร้องคล้ายตกใจมาจากแถวบันไดทางขึ้น คงจะเจอใครระหว่างที่กำลังหลบหนี แต่ก็ช่าง เพราะอย่างไรเสียเขาก็เจอตัวดนตร์แล้ว

จันทร์ทิวาเดินตรงเข้าไปใกล้กลุ่มเงานั่น พอระยะห่างเหลือไม่มากถึงได้เห็นเค้าหน้าชัดเจน ว่าที่คุณหมอแสยะยิ้ม ไอ้หมอนี่มันเร็วอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ

“ยิ้มบ้าอะไร! เพลงยังไม่รู้สึกตัวเลย หลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ตัวเริ่มเย็นแล้ว”

จันทร์ทิวากรอกตามองฟ้า ก่อนจะย่อกายลง ทรงตัวด้วยปลายเท้า ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาสมทบ สมกับเป็นเพื่อนสนิทไม่กี่อึดใจก็ตามมาสมทบกันจนครบแก็งค์

มือเรียวยื่นไปสัมผัสเด็กหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนของกรณ์ เนื้อตัวของดนตร์เย็นเยียบ จันทร์ทิวาเลื่อนนิ้วไปยังตำแหน่งชีพจร มันยังเต้นอยู่แม้จะอ่อนและช้ามากก็ตาม

“พาไปที่อื่นก่อน ถ้าอยู่ตรงนี้นานมีหวังได้ตายจริงๆ แน่”

เพียงเท่านั้น ทั้งร่างของดนตร์ก็ถูกช้อนขึ้น ใบหน้าขาวซีดซบอยู่กับอกกว้างของกรณ์...

...................................


[1] Arsenic (สารหนู)

อาการรับพิษจากสารหนู

1. แบบเฉียบพลัน (จากการกิน) ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารลำไส้คลื่นไส้อาเจียนและท้องร่วงในคนไข้ที่มีอาการรุนแรงอุจจาระอาจมีเลือดปนคนไข้จะอ่อนเพลียอาจช็อกและตายได้
2. แบบเรื้อรัง (จากการกินหรือหายใจ) จะมีอาการอ่อนเพลียเบื่ออาหารคลื่นไส้ระบบทางเดินอาหารผิดปกติตับอาจถูกทำลายนอกจากนี้อาจมีอาการทางผิวหนังทำให้เกิดการเปลี่ยนสีของผิวหนังทำให้หนังด้านอาการนูนบวมแข็งอาจจะเป็นสาเหตุของมะเร็งที่ผิวหนังได้นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความผิดปกติของระบบขับเหงื่อและทำให้เกิดเนื้อตายบริเวณนิ้ว

.....................................

อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์กับ Hermit นะคะ รับรองเอาลงจบแน่นอน แต่ในเล่มจะมีตอนพิเศษของแต่ละคู่นะคะ

ฝากนิยายอีกเรื่องด้วยนะคะ ในรูปแบบอีบุ๊คค่ะ เรื่องราวของ 'เจ้านาย' กับ 'คนใช้' แซ่บ ดุ เด็ด เผ็ด มันส์แน่นอน   The Chain  (https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=61769)
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 23 ครั้งสุดท้าย [21/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 21-09-2017 20:07:41
ตอนที่ 23 (ต่อ)

ไม่รู้จะขอบคุณความบังเอิญ หรือเพราะดวงที่ยังไม่ถึงฆาตของดนตร์ดีที่ทำให้เจ้าตัวยังมีชีวิตรอดมาได้ ตาคมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของคนป่วยที่ยังหลับใหลบนเตียงสะอาดสีขาว เกือบสองชั่วโมงแล้วที่ดนตร์หลับไป แต่เนื้อตัวที่อุ่นขึ้นจนเกือบเป็นปกติก็ทำให้คลายความกังวลลงไปได้เยอะทีเดียว กรณ์กระชับมือที่กุมไว้มานานเท่ากับช่วงเวลาที่เจ้าตัวหลับไป อยากจะแบ่งปันไออุ่นในตัวไปให้อีกทอด แม้ว่าตอนนี้แทบจะทั้งตัวของดนตร์จะจมอยู่ในอ้อมอกของตัวเขาเองแล้วก็ตาม

ดนตร์ไม่รู้หรอกว่าตอนที่เขากระแทกบานประตูเข้าไปแล้วเห็นร่างน้อยนอนคุดคู้อยู่มุมห้อง หัวใจเขามันหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม กลัวจนมือสั่น กลัวว่าจะมาช้าเกินไป กลัวว่าจะไม่ได้โอบกอดกันอีก เขารีบคว้าร่างของดนตร์เข้ามาสวมกอดไว้ ตัวของดนตร์เริ่มเย็น วินาทีนั้นเขากลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยและอาจจะไม่โชคดีอีก คว้าช้อนอุ้มร่างของคนรักขึ้นมาแนบอก แล้วพาออกมาด้านนอกก่อนที่จันทร์ทิวามาถึงไม่กี่นาที

พูดถึงจันทร์ทิวา ถ้าไม่ใช่เพราะหมอนี่เขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าดนตร์ถูกขังไว้ในห้องเก็บของพังๆ บนดาดฟ้าของคณะ เขาเพิ่งได้รู้จากปากของว่าที่คุณหมอเมี่อครู่ใหญ่นี่เองว่า ที่รู้ว่าดนตร์ถูกขังไว้เพราะบังเอิญได้ยินโยษิตากับเพื่อนคุยกันระหว่างที่พวกหล่อนเดินผ่านห้องน้ำชาย เขาไม่ได้ถามหรอกว่าทำไมไอ้คุณหมอหน้าขาวมันถึงมาอยู่ที่คณะได้ แต่เพราะมันทำให้เขาเจอตัวดนตร์ และรู้ว่าโยษิตายังเล่นไม่เลิก

เป็นเพราะเขาประมาทไปเองที่หลงคิดว่าโยษิตาจะยอมลามือ เลยไม่คิดจะทำอะไร ถึงจะให้บิดาช่วยจัดการให้ทว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครเตรียมการได้ทัน โยษิตาใช้จังหวะที่ดนตร์อยู่ตามลำพัง หมอบอกว่าที่ท้ายทอยของดนตร์มีรอยฟกช้ำคล้ายถูกกระแทกด้วยของแข็ง ซึ่งเขาเดาว่าอาจจะเป็นกระเป๋าหรืออะไรเทือกๆ นั้น แต่น้ำหนักมือไม่น่าจะใช่ของผู้หญิง และกลุ่มเพื่อนๆ ของโยษิตาก็มีผู้ชายอยู่ด้วย ถ้าหากจะตามหาคนทำคงไม่ยากนัก

กรณ์กัดฟันกรอด เขากล่าวโทษตัวเองนับร้อยนับพันรอบ ถ้าสละเวลายอมเป็นฝ่ายไปหาเสียเอง ดนตร์คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ เขามันไม่ได้เรื่อง รับปากคุณนที ได้ไม่เท่าไรก็ต้องผิดคำพูดเสียแล้ว ดนตร์ต้องมาเจ็บตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งมันก็เป็นผลพวงมาจากการทำอะไรไม่เด็ดขาดของเขานั่นเอง

...บางทีคำว่าเพราะเป็น ‘ผู้หญิง’ ก็ใช้ไม่ได้ผลกับทุกกรณี โดยเฉพาะครั้งนี้...

ร่างโปร่งบางที่อยู่ในอาภรณ์ชุดใหม่อุ่นสบายขยับเบียดเข้าหา เบาใจเหลือเกินที่ได้เห็นพวงแก้มนุ่มกลับมาระเรื่ออีกครั้ง คุณหมอที่ให้การรักษาบอกว่าถ้าหากอยู่ในห้องนั้นนานถึงข้ามคืนดนตร์อาจจะขาดอากาศหายใจได้ เพราะห้องนั้นทั้งเล็กทั้งแคบ เต็มไปด้วยฝุ่นละออง และหนาวเย็น กรณ์ก้มลงกดจมูกบนหน้าผากนูนแล้วเลาะไล่ลงมาถึงกลีบปากอิ่ม ตอนที่เห็นริมฝีปากสีสวยนี่ซีดจนไม่ต่างจากหน้ากระดาษใจเขาหล่นไปอยู่ตาตุ่ม จนถึงมือหมอและได้รับคำยืนยันว่าดนตร์ไม่เป็นอะไรแล้วเขาถึงได้เบาใจ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ร่างน้อยห่างจากอ้อมแขนแม้แต่วินาทีเดียว

กรณ์กระชับมือ การที่มีศีรษะทุยหนุนนอนบนท่อนแขนไม่ได้ทำให้รู้สึกปวดชาเลยแม้แต่น้อย เปลือกตาบางปิดไปหลายชั่วโมงแล้ว แม้จะพรมจูบซ้ำๆ ไปหลายรอบก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดขึ้น เขาไม่ได้ตั้งใจรบกวนคนนอนแค่อยากจะสัมผัสคนรักให้ได้มากที่สุด หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาครั้งแล้วครั้งเล่า ประสบการณ์เหล่านั้นสอนให้เขารู้ว่า ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยที่ยังไม่ทำอะไร

“อือ” ดนตร์ครางเบาๆ คงรู้ตัวว่าการพักผ่อนถูกรบกวน แต่แค่ส่งเสียงในคอจากนั้นก็เงียบสนิทเช่นเดิม

ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ ในความโกรธยังมีความเอ็นดูแทรกปะปน ในยามหลับดนตร์ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมเสียอีก พวงแก้มใสจนมองเห็นเส้นเลือดฝาด ขากรรไกรจนถึงลูกคางไม่มีไรหนวดเคราแบบที่คนหนุ่มพึงมี คิ้วเข้มทอดยาวจรดหางตา จมูกโด่งเป็นสันรับกันดีกับริมฝีปากอิ่มสีสด เสียงครางบวกกับการขดตัวเบาๆ เมื่อครู่ทำให้ดนตร์ช่างคล้ายกับลูกแมวขี้อ้อน ซึ่งภาพแบบนี้หาดูไม่ง่ายนักเพราะเจ้าตัวอ้อนไม่เก่ง แต่ถ้าทำทีใจก็อ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน

เด็กบ้านี่ชักจะน่ารักเกินไปแล้ว!

พรึ่บ!

ฉับพลันเปลือกตาที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้น แก้วตาใสจ้องมองมา มันมีแววมึนงงแต่หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจก็เปลี่ยนเป็นยินดี “พี่ยิ้มให้ผม” กรณ์เลิกคิ้วสูง เจ้าเด็กนี่คงคิดว่าตัวเองยังฝันอยู่กระมัง “ยิ้มอีกสิ”

“อะไรของนาย ตื่นมาก็เพี้ยนเลยหรือไง” เขาเย้า แต่ริมฝีปากกลับฉีกยิ้มกว้าง

“ยิ้มเยอะๆ แต่พี่ต้องยิ้มให้ผมคนเดียวนะ”

“หืม...ทำไมล่ะ” เขาลองถาม ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวดีนี่ตื่นเต็มตาแล้ว หรือว่ายังหลงติดอยู่ในภวังค์ความฝันกันแน่

“ผมอยากจะเก็บไว้คนเดียว เก็บไว้เยอะๆ เผื่อว่าจะไม่มีโอกาสได้...!!”

ก่อนที่ถ้อยคำชวนใจหายจะดังต่อ เขาก็จัดการหยุดมันไว้ด้วยริมฝีปากของตัวเอง กลีบปากนุ่มที่กลับมาอุ่นซ่านอีกครั้งถูกกดย้ำแน่นๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นบดเคล้า ดนตร์เผยอปากน้อยๆ อย่างรู้หน้าที่ เปิดช่องทางให้สอดลิ้นเข้าไปกวาดต้อน คนเด็กกว่าไม่ได้หดหนีแต่กลับตอบรับ ลิ้นเล็กขยับเคลื่อนไหว บางครั้งก็รุกล้ำเข้ามาเสียเอง เสียงชื้นแฉะจากของเหลวดังก้องในโสตประสาท ประสานกับเสียงเต้นของหัวใจที่รัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ...

..................................



“งี่เง่าปัญญาอ่อน!”


อคิราห์เลิกคิ้วมองเมื่อจู่ๆ คนรักสาวก็สบถหยาบคายขึ้น “มีอะไร?”

“ไม่มี!” เธอกระแทกเสียงใส่ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ก่อนที่จะโยนโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจว่ามันจะพังหรือเสียหาย

เกือบสาม เดือนแล้วที่เขากับโยษิตาคบหากันอย่างเป็นทางการ อันที่จริงความสัมพันธ์ของเขากับเธอมันเริ่มมาก่อนหน้านั้นพักใหญ่แล้ว ทว่าตอนนั้นเธอยังคบกับผู้ชายอีกคน ผู้ชายที่สุดท้ายก็ยอมล่าถอยไปเปิดทางให้เขา ทว่าเหตุผลที่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ใช่เพราะสู้เขาไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะอีกฝ่ายได้พบคนที่ถูกใจกว่าต่างหาก

เด็กคนนั้นชื่อ ‘ดนตร์’

เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจด ผิวพรรณผุดผาด แม้จะใส่แว่นทรงเห่ยๆ แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นความน่าสนใจเอาไว้ได้ เดิมทีเขาเองก็ไม่คิดจะใส่ใจนักเพราะการที่กรณ์ยอมเป็นฝ่ายถอยไปย่อมเป็นผลดีกับตัวเขา แต่เมื่อได้ยินโยษิตาพูดถึงชื่อนี้บ่อยๆ กอปรกับที่ได้เจอโดยบังเอิญ หลายครั้งความคิดของเขาเลยมาหยุดที่ดนตร์อย่างช่วยไม่ได้ ที่จริงแล้วดนตร์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่โยษิตาว่าสักนิด ออกจะซื่อๆ ด้วยซ้ำ ท่าทางไม่มีพิษไม่มีภัย อยู่ด้วยแล้วคงจะสบายใจไม่น้อย เขาพอจะเดาเหตุผลได้ว่าทำไมกรณ์ถึงได้เลือกไปหารักครั้งใหม่แทนที่ยึดคนรักเก่าเอาไว้

“ไม่มีก็กินข้าว ผมมีสอนตอนบ่าย”

“มีสอน? ไหนว่าหมดแค่ตอนเที่ยงไง แล้วใครจะพาฉันไปดูกระเป๋าล่ะ” โยษิตาโวยวาย ส่วนเขาได้แต่ถอนหายใจ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอแสดงท่าทางอย่างนี้ออกมา เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็จะใช้คำพูดไม่ดีหรือบางครั้งก็เรียกร้องเอาสิ่งอื่นเพื่อทดแทนสิ่งที่ตัวเองพลาดไป ยอมรับว่าภาพพจน์ที่เขาวาดไว้กับตัวตนของเธอมันต่างกันลิบลับ เมื่อคราแรกที่พบกันเธออ่อนหวานน่ารัก ช่างเอาใจ เหมือนลูกสาวคนเล็กที่ใครๆ ก็หลงรัก ทว่าเมื่อความสนิทสนมมีมากขึ้น นิสัยที่แท้จริงก็เปิดเผยออกมาทีละน้อย

“ไปกับเพื่อนก่อน เอาบัตรผมรูดก็ได้ อยากได้อะไรก็ตามใจคุณ”

“แล้วใครจะช่วยฉันถือของ!” เธอแหวใส่ ใบหน้าหวานบึ้งตึงไม่พอใจ “คุณบอกฉันเองนะว่าเลิกสอนตอนเที่ยง ฉันถึงได้นัดคุณมากินข้าวที่นี่เพราะจะได้ไปช้อปปิ้งต่อ”

“ผมไม่ได้บอก” เขาปฏิเสธ จำได้ว่าที่เลือกที่นี่เพราะมันใกล้กับมหาวิทยาลัยของเธอ ถึงแม้จะอยู่ห่างจากโรงเรียนที่เขาเป็นครูสอนอยู่ก็ตาม

“บอก!”

อคิราห์ส่ายหน้าเบาๆ แล้วก้มลงไปกินอาหารต่อ เขาเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียง โดยไม่รู้ว่านั่นยิ่งเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับโทสะที่คุกรุ่น

“ยกเลิกสอนไปเลย! ฉันอยากได้กระเป๋า แล้วคุณก็ต้องไปช่วยฉันถือด้วย”

มือใหญ่วางช้อนลง ก่อนจะเงยหน้ามองสตรีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พอเห็นว่าเขาไม่ตอบโต้ดูเหมือนว่าเธอจะยิ่งได้ใจ เขาไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้กรณ์ปฏิบัติหรือเอาใจเธออย่างไร แต่เมื่ออยู่กับเขา ผู้ที่มาอายุและวุฒิภาวะมากกว่าอย่างน้อยเธอก็ควรให้เกียรติเขาบ้าง

“ผมมีสอน” เขาพูดเรียบๆ ข่มลมหายใจให้เป็นปกติ

“แต่ฉันอยากได้กระเป๋า!” โยษิตายืนกราน แก้มเห่อแดงทั้งสองข้าง ทุบกำปั้นลงกับโต๊ะเสียงดัง

“ผมจะพูดครั้งสุดท้าย วันนี้ผมมีสอน ถ้าอยากจะไปช้อปปิ้งต่อก็เชิญตามสบายแต่ผมจะไม่ไปกับคุณ อ้อ! แล้วก็อย่าทำกิริยาแบบนี้ใส่ผมอีก ผมไม่ชอบ!” แม้ทุกคำพูดจะไม่แสดงถึงความเกรี้ยวกราด ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยพลังอำนาจ โยษิตาดูเหมือนจะชะงักลง แต่ด้วยความถือดีทำให้ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“แต่...!”

โครม!!

อคิราห์เบิกตากว้าง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความรวดเร็ว เพราะจู่ๆ รองเท้านับสิบคู่รวมทั้งกระเป๋าร่วมสิบใบก็ถูกโยนโครมมาที่กลางโต๊ะกินข้าว จานอาหารตกแตกเกลื่อนพื้น โยษิตาอุทานเสียงดัง อาหารบางส่วนกระเด็นเปื้อนชุดสวยที่สวมใส่ ส่วนเขาไหวตัวทันนอกจากตกใจก็ไม่มีส่วนไหนหรืออะไรเสียหาย

“ชอบนักก็เอาไปสิ ฉันให้เธอหมดเลย คอลเล็คชั่นต้อนรับฤดูหนาวเลยนะ กระเป๋านั่นก็ด้วย”

อาจารย์หนุ่มหันมองต้นตอของเสียงและน่าเป็นคนเดียวกับที่โยนบรรดารองเท้าและกระเป๋าใส่โต๊ะด้วย ความตกใจบวกเพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อเห็นหน้าคร่าตาชัดเจน

“กรณ์”

“ขอบคุณที่ยังจำกันได้” อีกฝ่ายค้อมตัวลงอย่างสุภาพ ก่อนที่ใบหน้าเย่อหยิ่งถือดีจะกลับมาตั้งตรง “แฟนเก่าผม เอ่อ ในที่นี้หมายถึงแฟนคุณ ชอบรองเท้า กระเป๋าหรือเครื่องประดับ คอลเล็คชั่นไหนออกใหม่จะต้องซื้อให้ได้”

กรณ์บอก ระหว่างนั้นสายตาก็จับจ้องไปที่โยษิตา มันไม่มีความพิศวาสหรือห่วงหาอาทรให้เห็น แต่มันเหมือน ‘รังเกียจ’

“ทำบ้าอะไร! หรือว่าพอไปคบกับไอ้เกย์นั่นแล้วนิสัยเลยพาลต่ำทรามไปด้วย”

“ถามตัวเองดีกว่าไหม ว่านิสัยใคร ต่ำ กว่ากัน” กรณ์เน้นย้ำคำ ชวนให้คนฟังได้คิด

“นายว่าใคร!”

“ก็ใครที่ทำร้ายเพลง ฉันก็ด่าคนนั้นนั่นแหละ” กรณ์สวนกลับ ร่างสูงใหญ่ขยับเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม ไม่ใช่ใกล้เขาหากแต่เป็นโยษิตา

โยษิตาเผลอถอยหลังหนีโดยอัตโนมัติ สะโพกชนเก้าอี้จนล้มแต่อีกฝ่ายยังเดินหน้าเข้ามาเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผู้คนรอบข้างต่างหันมองด้วยความสนใจหากแต่ไม่มีใครคิดยื่นมือมาช่วย ดวงตาคมดุจ้องเขม็งถ้าหากเป็นมีดมันคงกรีดไปบนผิวหนังจนได้เลือดไปแล้ว กลิ่นอายแห่งอันตรายแผ่มาจากอดีตคนรัก ขนอ่อนที่ต้นคอลุกชัน ไม่เคยเห็นกรณ์น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน

“พะ...พี่ซัน ช่วยด้วย” เธอเอ่ยขอความช่วยเหลือจากคนรักใหม่ แต่เพราะตรงหน้าคือผู้ชายตัวสูงเกินหกฟุตบดบังการมองเห็นแทบจะทั้งหมด ปากสั่นจนเริ่มจะควบคุมไม่อยู่ ไม่ใช่แค่ปากแต่ยังลามลงมาถึงปลายนิ้วอีกด้วย ไม่คิดเลยว่ากรณ์จะตามมาถึงที่นี่หลังจากที่เพิ่งรับโทรศัพท์จากเพื่อนได้ไม่ถึง ห้านาทีด้วยซ้ำ

ภาพของกรณ์พร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยระยะห่างที่ลดน้อยลง กระทั่งใบหน้าหล่อเหลาที่เคยหลงใหลโน้มต่ำลงจนลมหายใจอุ่นจัดเป่ารดลงมาที่ผิวแก้ม หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงยินดี เพราะทั้งกลิ่นกายและไออุ่นจากกรณ์มันกระตุ้นความต้องการได้ดีนัก ทว่าตอนนี้เวลานี้มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แก้วตาสีดำราวกับหลุมลึกที่ไม่อาจหาจุดสิ้นสุดได้ ภาพใบหน้าตื่นตระหนกของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกตายิ่งสร้างความหวาดหวั่นมากกว่าเดิม รอบตัวกรณ์ราวกับมีน้ำแข็งฉาบเอาไว้ ทั้งเยือกเย็นและอันตราย

“เธอทำร้ายเพลง ครั้งแล้วครั้งเล่า” เสียงต่ำกระซิบบอก ขณะที่กรณ์พูดหัวใจเธอเต้นรัวยิ่งกว่ากลองชุดเหงื่อกาฬไหลเต็มแผ่นหลัง

“พะ..พี่ซัน...!”

“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเตือนเธอ” กรณ์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกมา ขยับอยู่แถวหน้าจออยู่ชั่วประเดี๋ยวแล้วยื่นจ่อกับลูกตา ที่เห็นคือภาพเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่กำลังลากหรือดึงร่างของใครสักคน ภาพนั้นไม่ปะติดปะต่อก็จริงแต่ได้จากหลายมุม หากแต่สังเกตดีๆ จะเห็นว่ากลุ่มคนพวกนั้นคือกลุ่มเดียวกันและทำพฤติกรรมเหมือนเดิม แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นมีเธออยู่ด้วย ทั้งรูปร่างหน้าตาเสื้อผ้าทรงผม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ระบุว่าเป็นเธอทั้งสิ้น “ฉันได้มันมาจากกล้องวงจรปิดทุกตัวที่เธอเดินผ่าน รู้ใช่ไหมว่าถ้ามันไปถึงมือตำรวจ จะเป็นยังไง ถึงพ่อของแฟนเธอจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการก็ช่วยไม่ได้หรอก โลกโซเชียลน่ะ มันน่ากลัวกว่าที่เธอรู้อีกนะยาหยี”

“พะ..พี่ซัน...”

“อยากให้หมอนั่นรู้อีกคนหรือไงว่าพฤติกรรมเธอมันน่ารังเกียจแค่ไหน” กรณ์กระซิบ เสียงเบากว่าเดิมแต่กลับชัดเจนจนแก้วหูปวดร้าว ความกลัวเกาะกุมไปทั้งร่าง ไม่ใช่แค่ภาพจากกล้องวงจรปิด หากแต่ยังดวงตาสีดำคู่นี้ด้วย “ฉันขอห้ามไม่ให้เธอเข้าใกล้เพลง และจะต้องไม่มีเรื่องระยำแบบนี้เกิดขึ้นอีก แต่ถ้าหากเธออยากจะท้าทายก็ได้นะ ฉันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ฉันรักเหมือนกัน”

กรณ์ถอยห่างออกไปแล้ว แต่ดวงตายังจ้องนิ่งอยู่ที่เดิม กระทั่งภาพแผ่นหลังของใครสักคนเข้ามาแทนที่ เข่าทั้งสองข้างก็ทรุดลงไปกองบนพื้นเสียแล้ว

“นายทำอะไรยาหยี”

“ทำตามหน้าที่”

“หน้าที่อะไร” อคิราห์ถามกลับ เพราะอยู่ด้านหลังทำให้เธอไม่เห็นสีหน้าของทั้งคู่ แต่แค่น้ำเสียงของกรณ์ก็ทำให้เธอสั่นได้

“ถ้าวันหนึ่งคนที่นายรักถูกทำร้าย นายก็จะรู้คำตอบ” กรณ์พูดเพียงแค่นั้น แล้วเดินจากไป

เหลือไว้แค่อันตรายที่ยังอยู่ในลมหายใจ...

อคิราห์หันหลังกลับไปหาคนรัก โยษิตานั่งอยู่บนพื้น เนื้อตัวสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด คิ้วหนาขมวดมุ่นแม้จะไม่รู้ว่ากรณ์พูดอะไรกับโยษิตาถึงทำให้เธอตกอยู่ในสภาพเหมือนคนขวัญเสียได้ขนาดนี้ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

“กลับกันเถอะ ผมกับคุณ เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยล่ะ”

................................



อริญชย์เหลือบตามองเพื่อนรักสองคนที่ข้างๆ ตัวมี ‘ผู้ชาย’ นั่งขนาบข้าง คนหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยคณะนิเทศน์ ดวงตากลมโต ตัวเล็ก แต่วาจาเฉียบคมยิ่งกว่าใบมีดโกน ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มเป็นนักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ ใบหน้าเรียวขาวสะอาด ดวงตาเฉี่ยว จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ตัวสูง คะเนจากสายตาคงเกือบจะแตะหกฟุต แต่ผอมบางและมักจะสวมเสื้อกาวน์สีขาวเสมอ ทั้งสี่ ไม่สิ ทั้งสองคู่นั่งอยู่ใกล้กันจนแทบจะเกยขึ้นมาบนตัก โดยเฉพาะหนุ่มน้อยจากคณะนิเทศน์ที่นักรบถึงกับเอาหน้าวางบนหัวไหล่เล็ก แสดงถึงความสนิทสนมที่มีมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องอย่างไม่ปิดบัง คู่นี้ไม่เท่าไร แต่อีกคู่นี่สิ

ก็พอรู้อยู่บ้างว่าธาวินกับจันทร์ทิวาเป็นเพื่อนสนิทต่างคณะกัน แต่ที่เห็นและสัมผัสได้ในตอนนี้มันไม่ใช่ ‘เพื่อนธรรมดา’ แต่น่าจะเป็น  ‘เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ’ เสียมากกว่า

ส่วนกรณ์หนุ่มฮอตของคณะก็หายหัวไปตั้งแต่ส่งงานเสร็จ ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าไอ้หมอนั่นไปไหน ถ้าไม่ใช่คณะนิเทศน์ก็ชมรมภาพยนตร์หรือที่ที่มีดนตร์อยู่ รายนี้อาการหนักสุด หายใจเข้าออกเป็นดนตร์ ยิ่งหลังจากที่ดนตร์โดนจับไปขังไว้ในห้องบนดาดฟ้านานหลายชั่วโมง กรณ์ยิ่งแทบไม่ปล่อยให้ห่างตัว อย่างมากที่สุดก็ให้ไปเรียน เลิกเรียนก็ไปรับถึงคณะ

พูดถึงวันที่ดนตร์หายตัวไป ตอนนั้นกรณ์เหมือนหมาบ้า กระหน่ำโทรหาทุกคนที่รู้จักให้ช่วยกันออกตามหา แล้วก็เหมือนมีปาฏิหาริย์ เพราะในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายจันทร์ทิวาก็โทรเข้ามาที่โทรศัพท์ของเขา บอกเล่าถึงสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นมา จากนั้นกรณ์ก็วิ่งออกไปทันทีโดยไม่บอกเขาสักคำว่าจะไปที่ไหน กว่าที่เขาจะตามไปถึงดนตร์ก็อยู่ในอ้อมแขนของกรณ์เสียแล้ว

กรณ์แทบเป็นบ้ากอดดนตร์ไม่ห่าง แม้แต่ตอนที่ต้องเอาตัวดนตร์เข้าไปรักษามันก็ทำท่าจะตามเข้าไปด้วย พวกเขาต้องห้ามเอาไว้ พอตั้งสติได้มันก็โทรหาคุณนที เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง มันถึงกับคุกเข่าขอโทษแม้จะไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่านก็ตาม

...กรณ์รักดนตร์มากจริงๆ มากเสียจนเขาต้องยอมถอยออกมา...

อริญชย์ถอนหายใจหนักๆ คิดแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ทำไมพรรคพวกของเขาถึงได้มี ‘ผู้ชาย’ ข้างกายเสียได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเพลย์บอยตัวพ่อ ควงสาวๆ ไม่ซ้ำหน้า มีแค่กรณ์กระมังที่คบหาดูใจกับโยษิตาอย่างเป็นตัวเป็นตน ที่เหลือก็ ‘One night stand’ น้ำแตกแล้วแยกทาง! เขาเองก็ใช่ว่าจะผิดแผกแตกต่างไปจากคนอื่นเพราะดันเกิดไปถูกชะตาหนุ่มน้อยคณะนิเทศน์ด้วยเหมือนกัน แถมยังเป็นคนเดียวกับกรณ์ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมล่าถอยเพราะไม่อาจเข้าไปแทรกกลางได้จริงๆ

คิดถึงดนตร์ ดนตร์ก็มาจริงๆ เจ้าอดีตเด็กแว่นสุดเนิร์ดตอนนี้กลายเป็นหนุ่มน้อยน่ารักไปเสียแล้ว แค่ไม่มีแว่นตาความน่ารักก็ฉายชัดขึ้น ยิ่งระยะหลังเสน่ห์ยิ่งเพิ่มพูน ไม่แปลกใจเลยที่กรณ์จะทำตัวเป็นจงอางหวงไข่ นี่ขนาดนิตยสารที่ดนตร์ไปเป็นนายแบบให้ยังไม่วางจำหน่าย ยอดติดตามในเฟซบุ๊คก็เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ที่น่าขำก็คือเพศที่มากดติดตามส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย

“จะไปไหนกัน”

เขาถาม เหมือนคนโง่ๆ คนหนึ่งที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด กรณ์ทำหน้าเบื่อหน่ายพลางยกแขนวางพาดหัวไหล่เล็กของคนรักเอาไว้ เขาเบะปากด้วยอดหมั่นไส้ไม่ได้

“พระนายมากรุงเทพฯ ครับ กำลังจะไปรับที่สนามบิน พี่รันจะไปด้วยไหม”

“ไป!”

....................................

ใกล้จะจบแล้วค่า
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 23 ครั้งสุดท้าย [21/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 22-09-2017 12:36:52
พระนายมาแล้ว พี่รันรีบไปหาคู่เลยค่าา
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 23 ครั้งสุดท้าย [21/09/60] หน้าที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-09-2017 14:57:17
ชะนีโยน่าจะโดนอะไรมากกว่านี้นะ ดนตร์เกือบตายเลยนะถ้าไปช่วยไม่ทันน่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 24 Jealous 50% [01/10/60] หน้าที่ 56
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 01-10-2017 18:47:04
Chapter 24 Jealous

สยามแสควร์เต็มไปด้วยหนุ่มสาววัยรุ่นเลยไปถึงวัยทำงานเดินกันให้ขวักไขว่ เกือบชั่วโมงแล้วที่ดนตร์เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้หลัง
จากกลับเลิกเรียน ช่วงนี้ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง การเรียนก็ราบรื่น รายงานทำส่งได้ตามกำหนด เพื่อนฝูงก็เป็นปกติ จะผิดแปลกไปเสียหน่อยที่เขาไม่ได้พักอยู่ที่หอพักนักศึกษาแล้ว

เพราะโดนบังคับให้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างไปอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง...บ้านขนาดกลาง ตั้งอยู่ย่านชานเมือง ห่างจากมหาวิทยาลัยพอประมาณ ใช้เวลาเดินทางร่วมชั่วโมง แม้จะลำบากกว่าเดิมแต่เพื่อความสบายใจของใครบางคนเขาเลยยอม

ที่จริงแล้วบ้านหลังนั้นเป็นบ้านเก่า ที่มองครั้งแรกเหมือนบ้านร้างไม่มีผิด แต่จะเรียกว่าบ้านร้างก็ไม่ผิดอีกเช่นกัน ภายนอกที่ค่อนข้างทรุดโทรม ภายในแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งใดๆ ฝุ่นจับตามพื้น ต้องบูรณะกันชุดใหญ่ถึงจะมีสภาพให้พร้อมรับรองผู้อาศัย ทว่าเจ้าของบ้านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ทั้งรูปแบบและสีสัน ส่วนด้านในก็ดัดแปลงบ้างตามการใช้งานโดยเฉพาะห้องครัวที่กรณ์ตกแต่งเพื่อเขาเป็นพิเศษ

หลังจากใช้เวลาเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ สุดท้ายก็ได้กาแฟจากร้านดังมาหนึ่งแก้ว ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้ออะไรกลับไปทำเป็นมื้อเย็นดี สายตาก็สะดุดกับแผงหนังสือข้างทางเข้าเสียก่อน แมกกาซีนรายเดือนหน้าปกดาราวัยรุ่นและไอดอลหน้าใหม่ในคอนเซ็ปต์คู่รักดึงดูดสายตา ข้างๆ กันนั้นเป็นหนังสือแนะนำการท่องเที่ยว ภาพลำธารสีขาวเลาะเลียบทิวเขาสูง แม้ว่ารูปแบบการนำเสนอจะแตกต่างกันแต่ก็น่าสนใจพอกัน เขาหยิบมันมาทั้งสองเล่มแล้วส่งให้คนขายคิดเงิน

หลังจากจ่ายเงินค่าแมกกาซีนและหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวแล้ว เขาก็หาที่ว่างใกล้ๆ กันนั้นดูดกาแฟเย็นและอ่านแมกกาซีน ที่เลือกแมกกาซีนก่อนเพราะคนที่อยู่บนหน้าปกมันน่าสนใจมากกว่า

นี่เป็นผลงานชิ้นแรกที่เป็นรูปเป็นร่างของกรณ์แต่กลับส่องประกายโดดเด่น โครงหน้าเรียวได้รูป ดวงตาคมใหญ่ติดดุดัน คิ้วหนาพาดยาวจรดหางตา จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากหยักหนา ทุกอย่างบนใบหน้ารับกันได้อย่างเหมาะเจาะ ยิ่งได้โครงร่างสูงใหญ่ยิ่งส่งให้เจ้าตัวมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก ไม่แปลกใจหรอกที่สาวน้อยสาวใหญ่ที่ไหนเมื่อได้เห็นก็ต้องมองเหลียวหลัง แม้แต่เขาที่เป็นผู้ชายยังเผลอจ้องมองอยู่พักใหญ่และกว่าจะรู้ตัวเขาก็เลิกมองไม่ได้แล้ว

กรณ์วางท่าได้สมเป็นคู่รักของนางแบบจริงๆ ท่วงท่าการจับประคองหรือโอบกอด สีหน้าที่แสดงออกล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติ รอยยิ้มติดมุมปากนับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่บนร่างกายสมส่วนทำให้ดูน่าสนใจมากกว่าอยู่ในหุ่นลองเสื้อ กรณ์มีแววจะรุ่งในวงการบันเทิงหากแต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะรับงานชิ้นอื่นอีก เพราะต้องเข้าฝึกงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ตากลมไล่มองไปตามนิ้วมือที่โอบเอวบางคอดกิ่วของนางแบบสาวที่เข้าคู่กัน รดาสวยจนตาพร่าเลยทีเดียว คำนิยามนี้ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใดเพราะเขาเคยเห็นตัวจริงของเธอมาแล้วถึงสามครั้งสามครา หลายเสียงบอกว่าเธอเหมาะกับกรณ์ ถ้าหากมีโอกาสได้ร่วมงานกันอีกคงจับมือกันดังเป็นพลุแตกแน่นอน มือขาวไล่เปิดไปทีละหน้า เพ่งพิศพิเคราะห์พิจารณาอย่างตั้งใจ ไม่เพียงแต่ชื่นชมกับรูปมากมายเขายังอ่านข้อความเล็กๆ ที่ท้ายหน้ากระดาษอีกด้วย เรียกได้ว่าเก็บทุกรายละเอียดให้คุ้มกับเงินหลายหยวนที่เสียไปเลยทีเดียว

กาแฟเกือบหมดแก้วถึงได้อ่านแมกกาซีนจบ จากนั้นถึงได้หยิบหนังสือท่องเที่ยวขึ้นมาดูบ้าง ที่หน้าปกไม่มีรูปนายแบบหรือนางแบบ หากแต่เป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ตอนที่เห็นด้วยตาเปล่าก็คิดว่ามันธรรมดาแต่เมื่อมันถูกถ่ายออกมาเป็นภาพด้วยช่างภาพระดับประเทศมันทั้งสวยและสง่างาม สำหรับเขาแล้วเนื้อหาด้านในน่าสนใจกว่าแมกกาซีนเมื่อครู่ เพราะมันบรรยายถึงเมืองที่อยู่บนหน้าปกได้ดีเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าเวลาไม่ถึงสัปดาห์อาใหญ่จะถ่ายทอดเมืองเชียงใหม่ออกมาได้ดีขนาดนี้ แม้แต่ตัวเขาที่เป็นประชากรของเมืองนั้นยังไม่ใส่ใจรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้เลย แถมแต่ละภาพที่ถ่ายมานั้นก็สวยเสียจนอดอมยิ้มไม่ได้

ไล่เปิดไปเรื่อยๆ ก็ต้องสะดุดกับภาพของเด็กหนุ่มในชุดสไตล์วินเทจ สีอ่อนของเสื้อผ้า เล่นลวดลายนิดหน่อยสวมอยู่บนร่างกายสมส่วน แต่อาจจะเล็กไปหน่อยสำหรับผู้ชาย คนในภาพยิ้มให้กล้องอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้ตัวเลยว่ายิ้มแบบนี้ไปเมื่อไร แถมบางรูปก็ทำหน้าตลกดูพิลึกพิลั่นมากกว่าจะหล่อเหลาเหมือนอีกคน

ดนตร์ปิดหนังสือท่องเที่ยวลงหลังจากอ่านครบทุกตัวอักษร เขาอ่านเล่มนี้คุ้มเสียยิ่งกว่าแมกกาซีนเล่มแรกเสียอีก เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาด้านในมันเหมาะกับเขามากกว่า กาแฟหมดแก้วพอดี เหลือเงินในกระเป๋าอยู่อีกนิดหน่อยน่าจะพอสำหรับมื้อเย็น เมื่อครู่คนที่เป็นนายแบบบนหน้าปกแมกกาซีนส่งข้อความมาบอกว่าอยากกินสเต็กเนื้อ เท่าที่จำได้ในตู้เย็นไม่เหลือของสดแล้ว เมนูนี้ต้องกินคู่กับมันบดหรือไม่ก็สลัดเสียด้วยสิ และแน่นอนว่าใครคนนั้นย่อมไม่กินแค่สเต็กแน่ดีไม่ดีอาจจะพ่วงขนมปังปิ้งทาเนยอีกสองแผ่น น้ำผลไม้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นไวน์อีกแก้ว

ตะวันทำท่าจะลาลับขอบฟ้าแล้ว ฤดูหนาวพระอาทิตย์ตกดินเร็วทุกวัน แสงแดดอบอุ่นถูกแทนที่ด้วยอากาศหนาวเย็น มือเรียวกระชับเสื้อแจ็คเก็ตสีเข้ม จับหนังสือทั้งสองเล่มลงถุงก่อนจะลุกเอาแก้วกาแฟไปทิ้ง กาแฟร้านดังรสชาติดีสมคำล่ำลือแม้น้ำแข็งจะละลายแต่ความกลมกล่อมก็ยังไม่จางไปด้วย นี่ถ้าหากพี่พายรู้ว่ารสชาติร้านคู่แข่งดีขนาดนี้มีหวังให้ปรับปรุงสูตรกันยกใหญ่ ว่าแล้วก็คิดถึง นานแล้วที่ไม่ได้กลับไปที่ร้าน ไม่เคยลืมว่าทุกคนในร้านมีพระคุณกับตัวเองแค่ไหน ให้ความรู้ในการชงกาแฟ ทำขนมแถมยังให้ขนมติดมือกลับมากินอีกด้วย ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไรคงต้องหาโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียนสักครั้ง

จมูกชักจะคัดขึ้นมานิดหน่อยคงเพราะกินกาแฟเย็นในฤดูหนาวอุณหภูมิในร่างกายมันเลยต่ำกว่าปกติ ถึงจะรู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพแต่เขาชอบกินแบบเย็นมากกว่าแบบร้อนนี่นา

ห้างสรรพสินค้าที่มีทุกอย่างให้เลือกสรรอยู่ห่างจากจุดที่นั่งดูดกาแฟอ่านหนังสือไปไม่กี่เมตร เขาอยู่ศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ที่มีทุกสิ่งไว้อำนวยความสะดวก เรียกได้ว่าเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว แต่ความสะดวกสบายที่มากเกินไปก็นำพามาซึ่งความขี้เกียจ เขาเองก็ชักจะติดนิสัยแบบนั้นแล้วเหมือนกัน ดังนั้นวันนี้เลยเลือกที่จะมาที่นี่ด้วยรถโดยสารและปฏิเสธออดี้สีขาวไปอย่างสิ้นเชิง

เจ้าของรถออดี้สีขาวทำหน้ายุ่งจนถึงบู้บี้ ก็แหงล่ะจะมีสักกี่คนที่ปฏิเสธรถยนต์ที่สมรรถภาพดีเยี่ยมแถมยังมีสารถีเป็นหนุ่มรูปหล่อประจำมหาวิทยาลัย คงมีแต่คนโง่อย่างดนตร์นี่แหละที่ยอมเสียเงินนั่งรถโดยสารเบียดกับคนอื่นแทนการนั่งสบายบนเบาะหนังนุ่ม

‘ไม่เอาหรอกครับ คนละทางกันเลย พี่ไปเถอะ ผมไปเองได้’

‘คนละทางแล้วไง ขึ้นมาเถอะน่าเดี๋ยวไปส่ง’

‘ไม่เอาครับ ผมอยากนั่งรถไปเองมากกว่า’

‘อย่าดื้อ รีบขึ้นมา’

‘ไม่เอา ผมจะไปเอง’

เขาตัดบทเพียงแค่นั้นไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ก็เลยโดนรวบตัวไปจูบชุดใหญ่เป็นการลงโทษก่อนที่คนบ้าอำนาจจะปล่อยให้นั่งรถโดยสารมาเอง

สาเหตุที่ไม่อยากนั่งออดี้สีขาว เพราะวันนี้เจ้าของรถต้องไปรายงานตัวที่บริษัทในฐานะนักศึกษาฝึกงาน เขาไม่อยากให้อีกคนต้องเสียเวลาวนรถวกกลับไปกลับมา ระยะทางจากบ้านพักมาที่นี่ก็ไม่ได้ลำบากนัก เขาต้องหัดพึ่งพาตัวเองบ้างเพราะอีกหน่อยหากเจ้าของรถออดี้สีขาวต้องไปฝึกงานอีกหลายเดือน เขาก็จะต้องนั่งรถโดยสารมาเรียนด้วยตัวเอง

ดูเหมือนว่าการรายงานตัวพร้อมกับสัมภาษณ์ประวัติในคราวเดียวจะผ่านพ้นไปด้วยดี แม้จะไม่มีข้อความใดๆ มายืนยันความรู้สึกแต่แค่ตัวหนังสือที่บอกว่า ‘อยากกินสเต็กเนื้อ’ แค่นั้นก็เดาได้ว่าไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง

ภายในแผนกขายของสดมีเนื้อให้เลือกมากมายจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอีกคนชอบกินเนื้อแบบนุ่มๆ เขาคงต้องซื้อส่วนที่ได้มาจากหลังของวัวหรือที่เรียกว่า Rib eye [1] มีเวลาอีกราวสองถึงสามชั่วโมงกว่าคนอยากกินจะกลับมาถึง แบ่งสัดส่วนแล้วเขาต้องรีบซื้อของทั้งหมดภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วใช้ สองชั่วโมงในการหมักและย่างเนื้อ ระหว่างที่รอเนื้อหมักก็จะทำสลัดผักและมันบดรอ แน่นอนว่าเขาทำอาหารฝรั่งนี้ไม่เป็นแต่โชคดีที่มีแม่เก่ง อาหารคาวหวานจะเมนูไทยหรือสากลทำได้หมด เขาเลยได้สูตรมาแบบไม่ต้องเสียเงิน ส่วนของน้ำสเต็กต้องมีเห็ดด้วยแต่ต้องตัดทิ้งเพราะเจ้าตัวเขาไม่กินเห็ด

เลือกวัตถุดิบลงรถเข็นจนเกือบครบ คราวนี้ก็เหลือขนมปังและน้ำผลไม้ ส่วนไวน์ไม่ต้องหาเพราะที่บ้านมีบาร์เหล้าเป็นของตัวเอง คุณกริชนำของพวกนี้มาบำรุงบำเรอให้ เพราะเห็นว่ารสนิยมของลูกชายกับตนเองตรงกัน

ร่างโปร่งเข็นรถเข้าไปในแผนกเบเกอรี่ กลิ่นขนมปังเพิ่งอบใหม่ๆ หอมกรุ่นไปทั่ว กลิ่นละมุนชวนหลงใหลพวกนี้มันทำให้สมาธิแตกกระเจิงได้ทุกที เห็นทีวันนี้คงไม่ได้แค่ขนมปังเสียแล้ว บางทีอาจจะมีครัวซองต์หรือเค้กหอมๆ อีกชิ้นไปเสริมทัพ ดันรถไปเรื่อยๆ ได้ขนมปังอบใหม่มาสองชิ้น แต่ระหว่างที่กำลังคีบครัวซองต์สีเหลืองทองน่ากินลงถุง ก็รู้สึกว่าที่หัวไหล่มีบางอย่างมาสะกิด พอเอี้ยวตัวไปดูก็ต้องเงยหน้าขึ้นอีก เพราะที่ระดับสายตาไปปะทะเป็นที่แรกเป็นแผ่นอกของมนุษย์ คิ้วเรียวกระตุกน้อยๆ ตอนที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย

“คุณ....ซัน”

“ดีจังที่ยังจำกันได้” ชายหนุ่มตัวสูงยิ้มละไมกลับมา “มาซื้อของเหรอ”

ช่างเป็นคำถามที่ฟังแล้วงี่เง่าสิ้นดี ทั้งสถานที่และของที่อยู่ในรถเข็นมันก็บอกอยู่แล้ว หากแต่จะบอกไปว่ามา ‘ล้างจาน’ ก็เกรงว่าจะเสียมารยาทกับผู้สูงวัยกว่า “ครับ แล้วคุณล่ะ”

“ซื้อของเหมือนกัน แต่...ไม่รู้จะซื้ออะไรดี”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะครับ” เขาถามกลับ พลางชะโงกหน้าไปมองในรถเข็น ดูเหมือนว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะไม่ได้โกหกเพราะนอกจากน้ำแร่หนึ่งขวดก็ไม่มีอะไรในรถเข็นอีก

“ฉันไม่ถนัดเรื่องซื้อของเท่าไรน่ะ”

“แล้วปกติใครซื้อให้ล่ะครับ”

“ไม่มี อาศัยฝากท้องกับร้านทุกวัน” อคิราห์บอก ถ้าตาไม่ได้ฝาดไปดูเหมือนว่าที่โหนกแก้มจะระเรื่อขึ้นเล็กน้อย

ที่จริงเรื่องไม่เคยเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตของผู้ชายนั้นไม่น่าแปลกสักเท่าไร เพราะถ้าหากเป็นหนุ่มโสดก็จะฝากท้องไว้ตามร้านอาหารอย่างอคิราห์หรือไม่ก็อาหารฟาสต์ฟู้ดง่ายๆ ดูอย่างใครบางคนที่เพิ่งอยู่ด้วยกัน รายนั้นก็ซื้อไม่เป็นแต่ถ้าได้ซื้อก็หยิบใส่ๆ แบบไม่เสียเวลาอ่านส่วนผสมหรือเทียบราคา เรียกว่า ‘สักแต่ว่าซื้อ’ จริงๆ

“แล้วคุณอยากได้อะไรล่ะครับ เผื่อผมพอจะช่วยได้”

อคิราห์ยกมือขึ้นเกาหัว คิ้วหนาขมวดน้อยๆ “คือฉันอยากจะลองทำอาหารดูเองบ้าง รู้สึกเบื่อร้านอาหารเต็มที แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากอะไรดี”

“ลองเป็นพวกอาหารสำเร็จรูปดูไหมล่ะครับ แล้วก็ซื้อของสดไปเพิ่มตอนปรุงอีกนิดหน่อย”

“อย่างนั้นเหรอ....” อคิราห์ลังเล แต่ก็ยอมพยักหน้า “เอาสิ สงสัยเธอคงต้องช่วยฉันเยอะเลยล่ะ”

ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้ม เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมากถ้าเทียบกับอีกคนที่อยากกินสเต็กเนื้อ “ด้วยความยินดีครับ”

……………………………



การจราจรในช่วงเย็นจนเกือบหัวค่ำแน่นขนัดเป็นอาจิณ แม้จะพบเจอแทบทุกวันแต่ก็ยังอดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้ว่าป่านนี้ดนตร์กลับถึงบ้านแล้วหรือยัง เมนูมื้อเย็นที่บอกไปจะพร้อมรับประทานเลยหรือเปล่า แล้วจะมีของหวานอะไรไว้ให้ล้างปาก คิดถึงตรงนี้ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพิศวาสขนมหวานสักนิด ทว่าหลังกลับมาจากบ้านของดนตร์ เขาก็กลายเป็นคนกินขนมไปเสียแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะกินมันหมดทุกอย่าง ต้องขึ้นอยู่กับคนเลือกด้วย พ่อครัวส่วนตัวรู้ดีว่าเขาชอบกินอะไรคู่กับอะไร ไม่ใช่แค่ฝีมือแต่ยังรู้ใจกันอีกด้วย

พอคิดถึงใครคนนั้นขึ้นมาก็อดรู้สึกตะหงิดๆ ในใจไม่ได้ ไม่ใช่แค่คิดถึง แต่เหมือนมีบางอย่างสะกิดใจ บางทีอาจจะแค่คิดไปเองแต่ในความคิดไปเองนั้นมันบอกว่าพ่อครัวตัวขาวไม่ได้ทำอาหารอยู่ที่บ้านแน่ๆ

เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาไล่หาชื่อที่บันทึกไว้ว่า ‘ลูกเจี๊ยบ’ แล้วกดโทรออก แต่หลังจากฟังเสียงสัญญาณพักใหญ่ก็ไม่มีการตอบรับ ลองทำซ้ำก็เป็นเหมือนเดิม หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นปกติ เพราะก่อนหน้านี้ที่ติดต่อกับอีกฝ่ายไม่ได้ก็เกิดเรื่องร้ายขึ้น เจ็บหนักถึงกับต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ดีที่ไม่เป็นอะไรมากแค่ร่างกายอ่อนเพลียเพราะอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศไม่เพียงพอนานเกินไป

คิ้วหนาเข้มขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปลายสายยังไม่มีทีท่าว่าจะรับสาย เลยเลิกโทรเปลี่ยนเป็นส่งข้อความผ่าน เฟซบุ๊คไปแทน แต่อีกคนก็ยังไม่ยอมอ่านอยู่ดี ยิ่งไม่มีการตอบรับก็ยิ่งหงุดหงิด แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าคงไม่มีเหตุร้ายแรงอะไรกับอีกฝ่ายอีกเพราะเขาจัดการสะสางตัวปัญหาให้แล้ว แต่ทำไมใจมันยังเต้นแปลกๆ ไม่เชิงเป็นห่วงแต่คล้ายกับมีเสี้ยนแทงเสียมากกว่า

ตาคมหันมองทิวทัศน์คุ้นตาข้างทาง เพราะเบื่อที่จะจ้องทะเบียนรถยนต์แล้ว เกือบยี่สิบนาทีที่รถยังไม่ได้ขยับไปไหน ใจก็ร้อนกระหวัดไปถึงอีกคนทุกวินาที แล้วหางตาก็เหลือบเห็นเงาร่างของใครสักคน เด็กผู้หญิงในชุดมัธยมปลาย เขารอให้เด็กคนนั้นเดินเข้ามาในระยะสายตาแล้วเพ่งมองอย่างละเอียด นี่กระมังสาเหตุที่ทำให้หัวใจไม่เป็นปกติ

ต้องตา...

เด็กสาวในเครื่องแบบมัธยมปลายที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นโรงเรียนสตรีล้วน เจ้าหล่อนเดินไปเล่นโทรศัพท์ไป บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองทาง แล้วก็หยุดเท้าตรงหน้าทางเข้าห้างสรรพสินค้าดัง ใจของเขาไม่ดีอีกแล้ว ราวกับว่าเสี้ยนหัวใจไม่ได้มีแค่ต้องตาเท่านั้น

แล้วก็จริงดังคาด เมื่อเห็นร่างโปร่งของคนคุ้นเคยเดินเคียงข้างมากับผู้ชายตัวสูงในชุดกึ่งสูท ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นกว่าใคร ในมือของทั้งคู่มีถุงน้อยใหญ่เต็มไปหมด ทั้งสามหยุดชะงักเมื่อพบกันแล้วก็เป็นต้องตาที่กล่าวทักทายก่อน

กรณ์หรี่ตาลง แต่มือกลับบีบพวงมาลัยแน่น ไอ้เจ้าเด็กตัวดีนั่นมันกำลังยิ้มกว้างให้เด็กสาวแถมข้างๆ กันนั้นยังเป็นผู้ชายคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่มันดันมาอยู่กับคนรักของเขา

อย่างกับรถไฟชนกัน คนพาลเย้ยหยันในใจ

รถเคลื่อนตัวได้แล้วเล็กน้อย เขาตัดสินใจหักพวงมาลัยเข้าไปในทางเข้าห้างแทน อยากรู้เหมือนกันว่าถ้ารถไฟสามขบวนชนกัน ขบวนไหนจะชนะ!

…………………………….


[1] Rib eye: ตรงนี้จะเป็นเนื้อล้วนๆ ไม่มีซี่โครงติดมาด้วย ซึ่งได้รับความนิยมมากๆ ซึ่งมักนำไปใช้ทำ สเต็ก, ย่างหรือทอด เนื้อจะมีมันแทรกนิดหน่อยพอประมาณ

...........................
อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว... :hao7:

อวดหน้าปกกันหน่อย

(https://www.readawrite.com/web/frontend//assets/ckfinder/core/connector/php/connector.php?command=ImagePreview&lang=en&type=Images&currentFolder=%2F&hash=53d72e4ee57eac57&fileName=%E0%B8%9B%E0%B8%811.png&size=950x665&date=20171001185839)

หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 24 Jealous 50% [01/10/60] หน้าที่ 56
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 04-10-2017 01:44:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 24 Jealous 50% [01/10/60] หน้าที่ 56
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 07-10-2017 23:47:28
ใครจะชนะ เอาใจช่วยกรณ์
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 24 Jealous 50% [01/10/60] หน้าที่ 56
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 08-10-2017 19:13:27
 :mew1:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 24 Jealous 100% [09/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 09-10-2017 18:02:23
ตอนที่ 24 100%

ไม่คิดว่าจากแค่จะซื้อวัตถุดิบในการทำสเต็กเป็นมื้อเย็นให้ใครบางคน กลายเป็นว่าตอนนี้เขามีของกินของใช้เต็มไม้เต็มมือไปหมด แน่นอนว่าเงินที่มีติดตัวมันไม่พอซื้อ แต่ที่ได้เพิ่มเข้ามาเป็นสินน้ำใจจากคนที่เขาให้คำแนะนำไป อาจารย์อคิราห์ตอบแทนน้ำใจของเขาด้วยขนมถุงใหญ่และอุปกรณ์ทำเค้กอีกชุด เพราะหลุดปากบอกไปว่าอยากจะหัดทำเค้ก

“ถือไหวไหม ส่งมาสิเดี๋ยวช่วยถือ”

อคิราห์แสดงน้ำใจแต่เขาปฏิเสธ “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง”

“แค่นี้เหรอ” คิ้วหนายกสูง “นิ้วเกร็งจนเขียวแล้ว ส่งมาเถอะน่า”

“ไม่เป็นไรครับ” เขายังยืนกราน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้ พยายามจะช่วยเขาถือเสียให้ได้ ทั้งที่ของตัวเองก็เต็มมือไปหมดเช่นกัน

“พี่เพลง!”

ระหว่างที่กำลังแย่งถือของอยู่นั้นเสียงทักก็ดังขึ้น เสียงใสคุ้นหูชอบกล พอหันกลับไปมองก็เห็นร่างแน่งน้อยของเด็กสาววัยมัธยม ต้องตานั่นเอง ดวงหน้าอ่อนใสกับผมหน้าม้าเข้ากันได้ดี ริมฝีปากรูปกระจับฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ

“พวกพี่มาซื้อของกันหรือคะ”

คำถามที่แสนงี่เง่าดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง แต่เขาไม่ถือสา ฉีกยิ้มตอบกลับไป “ใช่ แล้วเธอล่ะมาทำอะไร”

“กำลังจะกลับบ้านค่ะ นี่ไม่ใช่พี่รูปหล่อคนนั้นนี่คะ” คิ้วเรียวสวยขมวดน้อยๆ เพ่งมองไปยังร่างสูงของชายหนุ่ม “พี่คนนั้นหน้าดุกว่านี้ แต่ก็หล่อสมกับพี่เพลงดี”

“อะแฮ่ม!” เขากระแอมแก้เขิน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเจ้าชู้ควงผู้ชายไม่ซ้ำวัน

“ผมชื่ออคิราห์ เรียกว่าพี่ซันก็ได้ครับ เป็นเพื่อนกับเพลง แล้วก็น่าเป็นคนละคนกับที่คุณเคยเห็น” อคิราห์แนะนำตัวเองเสร็จสรรพพร้อมกับไขข้อสงสัยให้อีกด้วย “แล้วคุณล่ะครับชื่ออะไร นี่เรียนอยู่โรงเรียนXXใช่ไหม”

“พี่เก่งจังเลยค่ะ” ต้องตายิ้มกว้าง ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับ...ประหลาด ชวนให้คนมองรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกำลังคิดเรื่อง ‘ไม่ดี’ อยู่ “หนูว่าพี่เพลงกับพี่ซันก็เหมาะกันดีนะคะ พี่ซันดูใจดี อบอุ่น เป็นกันเองแต่พี่คนนั้นดูดิบๆ ห่ามๆ ยังไงไม่รู้ หนูว่าพี่เพลงเหมาะกับพี่ซันมากกว่าอีก”

“เอ่อคือ พวกพี่ไม่ใช่...”

“ไหนเธอว่าใครเหมาะกับใครมากกว่านะ”

ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่รอบตัวบวกกับเสียงการจราจรที่แน่นขนัด กลับมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา แม้จะไม่ได้ดังจนเหมือนตะโกนแต่กลับชัดเจนเหมือนพูดตรงๆ ใส่หู ขนอ่อนในกายลุกชันอย่างไม่มีสาเหตุ แค่กระแสน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์แบบใด

บ้าน่า เขาอาจจะแค่หูฝาดไปเองก็ได้ มันไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก!

แต่ขนก็ยังลุกอยู่อย่างนั้น

กระทั่งไออุ่นและกลิ่นกายที่คุ้นเคยโชยเข้ามาถึงได้แน่ใจว่า หูไม่ได้ฝาดไปและความบังเอิญอันแสนเลวร้ายมันเกิดขึ้นได้จริงๆ

หัวไหล่เอียงไปข้างหนึ่งเมื่อท่อนแขนใหญ่วาดทับลงมา ไม่เพียงแค่นั้นยังเหนี่ยวรั้งกอดกระชับแสดงความเป็นเจ้าของอีกด้วย ดนตร์ปิดตาลงพร้อมพรูลมหายใจแผ่วๆ เรือนกายอุ่นไม่ได้ทำให้ผ่อนคลายเลยสักนิดกลับทำให้ร่างกายตึงเครียดกว่าเดิมเสียอีก

“สวัสดีครับ คุณอคิราห์ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก” คนมาที่หลังเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน น้ำเสียงไม่เป็นมิตรสักเท่าไร

“ครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะเจอคุณเหมือนกัน” อีกฝ่ายสวนกลับ ตากลมสบประสานอย่างไม่หวาดเกรง

“ต้องเจอสิครับ” เจ้าของมือที่หัวไหล่ยิ้มเย้ยหยัน “เพลงอยู่ที่ไหน ผมก็ต้องอยู่ด้วย นกหนูแถวนี้มันเยอะ ต้องคอยไล่ตีให้พ้นหูพ้นตา”

“หึ” อคิราห์หัวเราะขึ้นจมูก “เนื้อหอมก็อย่างนี้แหละครับ ทั้งนกทั้งหนูอยากลิ้มลองทั้งนั้น”

“เพราะอย่างนี้ผมถึงได้ต้องคอยตามประกบ”

คนกลางยืนกะพริบตาปริบๆ สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเดจาวู คลับคล้ายคลับคลาว่ามันเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ใช่แค่ครั้งแรกแต่ยังหลายครั้งซะนี่ อันที่จริงมันบ่อยเสียจนจำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไรบ้าง

คนขี้หึง!

ต้องตายืนกะพริบตาปริบๆ มองคนนั้นทีคนนี้ที ตากลมช้อนมองพี่ชายตัวสูงสองคนที่ยืนประกบดนตร์ทั้งสองฝั่ง แต่พี่ชายที่เพิ่งมาใหม่แสดงออกชัดเจนว่าตัวเองมีเครดิตดีกว่า มือใหญ่โอบรอบหัวไหล่ค่อนข้างเล็กปลายนิ้วบีบกระชับ แผงอกหนาเบียดชิดกับแผ่นหลังของดนตร์ ใบหน้าหล่อเหลาแต่ติดดุอย่างที่เคยตำหนิไว้มองตรงมาแม้แค่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวแต่ก็เสียวไปทั้งสันหลัง ต้องตารู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง พลังงานบางอย่างแผ่มาจากพี่ชายคนนั้น...พลังงานที่น่ากลัวและอันตราย คล้ายๆ เสือหวงเหยื่อ หมาป่าหวงลูกแกะ หรืออะไรเทือกๆ นั้น

ถึงแม้จะอยากเชียร์พี่ซันแทบขาดใจ แต่จากรูปการณ์แล้วพี่ชายหน้าดุน่าจะมีชัยมากกว่า ต้องตาหลบตาคมดุ ก้มหน้างุด ไม่ได้เขินอายแต่ชอบใจมากกว่า!

ย้อนไปเมื่อราวๆ สองถึงสามเดือนที่แล้ว ในร้านกาแฟข้างมหาวิทยาลัยชื่อดัง เธอได้พบกับพนักงานหน้าใส ใส่แว่น สวมเครื่องแบบประจำร้าน มองเผินๆ อาจไม่มีอะไรสะดุดตา แต่ถ้าหากว่าเผลอจ้องเมื่อไรหัวใจจะมีปฏิกิริยาทันที พนักงานคนนั้นชื่อดนตร์หรือเพลง เธอไม่ใช่เด็กสาวใจกล้าถึงขนาดเอ่ยถามชื่อกับเจ้าตัวเอง แต่อ่านจากป้ายชื่อที่ติดบนหน้าอกต่างหาก

พี่เพลงเป็นผู้ชายผิวขาว...ขาวมาก ดวงตากลม ขนตายาวพอประมาณ คิ้วเป็นสีดำตัดกับสีผิว จมูกโด่งสวย ริมฝีปากสีแดง รูปร่างและส่วนสูงกำลังพอดี ออกจะติดผอมไปนิดด้วยซ้ำ แว่นทรงกลมดูเชยไปนิดแต่ก็เข้ากับเจ้าตัวได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เครื่องแบบร้านกาแฟที่มีผ้าคาดเอวยิ่งเน้นให้ช่วงเอวดูเล็ก ตอนนั้นหัวใจที่เคยเต้นเป็นปกติกลับเพิ่มจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มสดใสและลักยิ้มที่ข้างแก้มขวา ยิ่งทำให้ใจสั่น ความน่ารักของพี่เพลงทำให้เธอต้องแอบมาที่ร้านกาแฟเป็นประจำเพื่อแอบมอง กระทั่งวันหนึ่งโอกาสก็มาถึงโดยมีพนักงานในร้านให้ความร่วมมือ เขาคงเห็นว่าเธอแอบมองพี่เพลงมาพักใหญ่แล้วกระมัง

แต่ใครเลยจะรู้ว่าโอกาสที่ได้รับมานั้นจะสั้นเหลือเกิน พี่เพลงที่น่ารักของเธอมีเจ้าของแล้ว ถึงไม่มีใครยืนยันว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่หลังจากที่ผู้ชายหน้าดุคนนั้นแบกพี่เพลงใส่บ่า เธอก็ไม่เจอพี่เพลงที่ร้านกาแฟอีกเลย ล่าสุดที่เจอกันคือในร้านอาหาร แน่นอนว่าในร้านนั้นก็มีผู้ชายหน้าดุอยู่ด้วย

แม้จะผิดหวังแต่กลับไม่เสียใจ พอตั้งสติได้ก็มาทบทวนไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอีกที คนน่ารักอย่างพี่เพลงจะมีแฟนเป็นผู้หญิงได้อย่างไร ในเมื่อรัศมีความน่ารักของตัวเองมันกลบผู้หญิงเสียหมด คนน่ารักก็ต้องคู่กับคนหล่อ พี่หน้าดุคนนั้นก็หล่อดี ถึงจะดูแตกต่างแต่ก็ลงตัวแบบแปลกๆ สรุปง่ายๆ สุดท้ายเธอก็ผันตัวจากที่อยากได้เป็นแฟนมาเป็นแฟนคลับแทน

“เธอ...”

ต้องตาสะดุ้งน้อยๆ มองหน้าคนเรียก ตาคมดุมองตรงมา เป็นผู้ชายที่ไม่น่ารักเอาซะเลย! “คะ?”

“ฉันถามไปทำไมไม่ตอบ”

“ถาม? อะไรเหรอคะ” เธอถามกลับ จำไม่ได้ว่าพี่หน้าดุคนนี้ถามอะไร และตั้งแต่เมื่อไร

ผู้ชายหน้าดุของต้องตากลอกตาขึ้นฟ้า ทำหน้าเบื่อหน่าย ทิ้งน้ำหนักแขนไปที่บ่าเล็กมากกว่าเดิมพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้...ใกล้ชนิดที่ลมหายใจประชิดผิวแก้ว “ฉันถามว่าใครเหมาะกับใคร”

“อ่อ...” ต้องตาพยักหน้าช้าๆ “คือ...พี่เพลง...จะอยู่กับใครก็เหมาะหมดแหละค่ะ แต่หนูเชียร์พี่ซันนะ แบร้!”

ทันทีที่ลิ้นสีชมพูผ่านพ้นกลีบปากสีเดียวกัน เจ้าของร่างน้อยในเครื่องแบบชุดนักเรียนก็เผ่นแน่บ เหลือไว้แค่เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นซีเมนต์เท่านั้น

กรณ์กัดฟันกรอด ยัยเด็กนี่วอนหาที่ตายซะแล้ว ออกตัวแรงเชียร์ไอ้อคิราห์หน้าจืดไม่พอยังกล้าแลบลิ้นล้อเลียนเขาอีก!

“ต้องตานี่น่ารักดีนะครับ” อคิราห์เอ่ยชม ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องที่กล้าล้อเลียนกรณ์หรือเรื่องที่ยกธงเชียร์ตัวเองกันแน่

“เด็กเปรต!” แต่อีกคนไม่เห็นด้วย

อาจารย์หนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ถึงตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมกรณ์ถึงเลือกดนตร์ คนที่มองโลกในแง่ดี พูดจาพาซื่อ และจริงใจ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก หากแต่ลึกลงไปถึงจิตใจเลยต่างหาก เห็นแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ น่าเสียดายที่เขาตาไม่ถึงแถมยังมาช้า...หลายก้าวเสียด้วย

“ผมกลับก่อนนะครับ แล้วก็ขอบคุณมาก” อคิราห์ยกถุงในมือให้สูงขึ้น ของพวกนี้ดนตร์เป็นคนเลือกให้ทั้งหมด เห็นทีจะต้องจดเอาไว้เสียแล้วเพราะมั่นใจดนตร์คงไม่ได้กลับมาแนะนำให้อีก พอเหลือบไปมองคนข้างๆ อีกฝ่ายก็จ้องตาไม่กะพริบ ท่าทางเหมือนหมาหวงก้างไม่มีผิด ชักอยากจะเอาไม้เคาะหัวหมาเสียจริง!

“ยินดีครับ” ดนตร์น้อมตัวลงเล็กน้อย และก็ทำได้แค่นั้นเพราะมือที่ยึดตรงหัวไหล่บังคับเอาไว้

“รีบๆ ไปได้แล้ว เดี๋ยวแฟนก็รอนานหรอก” กรณ์เอ่ยปากไล่อย่างไม่เกรงใจ

“ไม่มีแล้ว...เลิกกันแล้ว วันเดียวกับที่คุณเอารองเท้ากับกระเป๋าไปโยนใส่นั่นแหละ”

“รองเท้า? กระเป๋า?” คราวนี้คนสงสัยคือดนตร์ ใบหน้าน่ารักผินมองคนข้างๆ “พี่ไปทำอะไรพวกเขาเหรอครับ”

“เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างนายไม่เกี่ยว” กรณ์ตอบ ยังคงความกวนเอาไว้เต็มอัตรา

“ไม่เกี่ยวได้ยังไง เดี๋ยวเรื่องก็ไม่จบกันพอดี” ดนตร์เริ่มหน้าบึ้ง เสียงแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“จบแล้วล่ะครับ เทอมหน้ายาหยีก็ไปเรียนที่อเมริกาแล้ว”

“อเมริกา? ทำไมล่ะครับ”

อคิราห์ผ่อนลมหายใจช้าๆ เกินเดือนกระมังแล้วที่เขากับโยษิตาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย วันที่กรณ์บุกเอารองเท้ากับกระเป๋าแบรนด์เนมไปเทใส่บนโต๊ะอาหาร เป็นวันที่เขาสะสางปัญหาทุกอย่าง โยษิตาไม่ยอมเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพร้อมกับความสงสัยในหัว แต่มันเหมือนช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด สีหน้าติดกังวลของเธอทำให้เส้นความอดทนของเขาขาดผึงลง หลังจากคาดคั้นอยู่นั้นเลยได้คำตอบสั้นๆ ห้วนๆ ว่า

‘เพราะมัน! ไอ้ตุ๊ดนั่น ไอ้เพลง!’

แค่ชื่อของดนตร์มันก็มากพอแล้ว เขาไปสืบข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนสนิทของโยษิตา แรกเริ่มนั้นไม่มีใครบอกกับเขาสักคนแต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ เด็กพวกนั้นก็นิสัยไม่ต่างจากโยษิตาหลงใหลในสิ่งของนอกกาย เขายอมเสียเงินแสนเพื่อซื้อ Hermès แลกกับสิ่งที่โยษิตาทำไว้

โยษิตารักแรงและแค้นแรงมากกว่าที่คิดไว้นัก ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายได้ขนาดนั้น แม้ไม่มีภาพแต่เขาก็จินตนาการได้ว่าดนตร์จะทรมานแค่ไหน และเขาก็ไม่อาจให้คนจิตใจโหดร้ายมาเป็นแม่ของลูกได้ เขาขอยกเลิกการหมั้นหมายโดยไม่ได้บอกเหตุผลใดๆ กับใคร ยอมถูกบิดาดุด่าอยู่หลายวัน ส่วนครอบครัวของโยษิตาก็ต่อว่าต่อขานเขาไม่หยุด ขู่อาฆาตจะฟ้องร้องเพราะทำให้ลูกสาวเสียหาย แต่เขาไม่ยี่หระ ถึงจะไม่มีนามสกุลค้ำหลังก็มั่นใจว่าอาชีพอาจารย์ของเขาก็สามารถเลี้ยงชีพได้ เขาแยกตัวมาอยู่คอนโดพร้อมกับตัดความสัมพันธ์กับโยษิตา โดยมีแค่ข้อความสั้นๆ ไปถึงเธอว่า

‘ผมให้คุณมาเป็นแม่ของลูกไม่ได้’

โยษิตาไม่ได้ตามมาอาละวาด แต่เธอลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน และจะไปเรียนต่อที่อเมริกาในเทอมหน้า แม้จะรู้สึกผิดแต่นี่มันดีที่สุด

“อนาคตน่ะ ดีกรีนักเรียนนอกมันดีกว่าไม่ใช่หรือ” เขาตอบยิ้มๆ ถึงจะเลิกรากันไป ถึงโยษิตาจะทำเรื่องไม่ดีแต่ครั้งหนึ่งเธอก็น่ารักเสียจนเขาต้องยอมเป็นมือที่สาม ไม่สิ อันที่จริงแล้วคนที่เป็นมือที่สามคือกรณ์ต่างหาก แต่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว เพราะเรื่องการหมั้นของเขากับโยษิตาเป็นแค่การตกลงกันระหว่างผู้ใหญ่ เขาเองเดิมทีก็ไม่เห็นด้วยแต่เมื่อได้พบโยษิตาเขาก็นึกพอใจ แม้จะรู้ว่าเธอมีคนรักแล้วแต่ก็ยังดึงดันเพราะคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แต่สุดท้ายเขาเองก็ทำเหมือนกรณ์ คือทิ้งเธอ...จากกันตอนที่ยังเหลือความรู้สึกดีๆ ก่อนที่มันจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ระลึกถึงอีกเลย

“อ่า...ครับ” ดนตร์รับคำ หน้าสลดลง คงคิดว่าเป็นเพราะตัวเองโยษิตาเลยต้องไปที่อื่น

“ถึงเวลาก็ต้องเลือก นายเองก็เหมือนกัน ฉันหวังว่าสิ่งที่นายเลือกมันจะไม่ทำให้นายเสียใจ”

อคิราห์ยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะน้อมศีรษะลงเป็นเชิงอำลา ดนตร์ฝืนยิ้มและก็รู้ว่าถึงเขาจะเดินลับสายตาไปแล้วดนตร์ยังคงมองอยู่ที่เดิม

เมื่อไม่มีรถไฟทั้งสองขบวนแล้วก็เหลือแค่ขบวนสุดท้ายอย่างกรณ์ มือหนายังบีบกระชับที่หัวไหล่ของคนรัก เรื่องราวของโยษิตาที่ได้ยินจากปากของอคิราห์สั้นๆ นั้น เขาเองก็พอรู้มาบ้าง แค่ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไรเท่านั้นเอง หลังจากก่อเรื่องโยษิตาก็ไม่เคยตามมาตอแยอะไรอีก ไม่รู้ว่ากลัวคำขู่หรือเพราะไม่กล้าสู้หน้ากันแน่ แม้แต่ในเฟซบุ๊คก็เงียบสงบ มันเหมือนพายุใหญ่พัดโหมใส่แต่พอหมดเม็ดฝน ฟ้าหลังฝนมันงดงามและเงียบสงบ และคราวนี้เขามั่นใจว่าพายุโยษิตาจะไม่มาถล่มเป็นครั้งที่สามแน่

ดนตร์นิ่งไปพักใหญ่ เพราะเขาไม่เคยบอกอะไรที่เกี่ยวกับโยษิตาให้ฟังอีกเลย แม้แต่ในวันที่ตามไปเอาเรื่องถึงร้านอาหารก็ด้วย เขาอยากให้ดนตร์สบายใจพร้อมๆ กับปลอดภัย ถึงจะเป็นคนรักของเขา แต่ก็เป็นผู้ชาย เขารู้ว่าดนตร์ไม่ทำร้ายผู้หญิงแน่ ถึงจะโดนกระทำหนักเจียนตายก็ตาม

“เพราะผมใช่ไหม พี่ยาหยนีเลยต้องไปอยู่ที่อื่น”

“นายเป็นเจ้าของมหา’ ลัย หรือไง”

“ครับ?” เด็กหน้าหงอยเงยหน้าขึ้น ไม่รู้ทำไมเรื่องมันถึงกลับตาลปัตรไปหมดแบบนี้ ต้องเป็นเขาไม่ใช่หรือไงที่ต้องถูกเอาใจ

“ก็ถ้านายไม่ได้เป็นเจ้าของ นายก็ไม่มีสิทธิ์จะไล่ใครออกได้”

“ไม่เห็นจะรู้สึกดีขึ้นสักนิด” ดนตร์ย่นจมูก พลางผลักแขนออกจากบ่า “แล้วมาที่นี่ได้ยังไงครับ”

มาที่นี่ได้อย่างไร? ...จริงสิ เขาเกือบลืมไปแล้วว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้หักเลี้ยวรถเข้ามาในห้างนี้ได้ ไอความโกรธที่จางลงไปเมื่อครู่กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง “พอดีจมูกดีน่ะ ได้กลิ่นเหม็นตุๆ แถวนี้”

เขาทำจมูกฟุดฟิดเหนือเส้นผมสีเข้ม มันไม่มีกลิ่นอย่างที่ว่าหรอกมีแต่กลิ่นแชมพูติดอยู่ต่างหาก หอมเสียจนต้องกดจมูกลงไปฝัง เสียงใครสักคนอุทานพอหันไปมองก็เห็นเด็กสาวสองคนที่เดินจูงมือกันมาทำหน้าตกใจ แต่เขาไม่แคร์แถมยังมองกลับไปด้วยสายตาท้าทายอีกต่างหาก แค่ผู้ชายรักกันไม่เห็นจะเสียหาย สำหรับเขาแล้วความรักไม่ได้จำกัดแค่ผู้หญิงกับผู้ชาย แต่ขึ้นอยู่กับว่าอยู่กับใครแล้วสบายใจมากกว่า

“ทำบ้าอะไร! คนมองกันใหญ่แล้ว” ข้อศอกแหลมกระทุ้งมาที่หน้าท้อง แม้ไม่หนักมากแต่ก็เล่นเอาเสียวท้องได้เหมือนกัน

“แล้วไง” กรณ์ยักไหล่ แต่ก็ยอมผละจากกลุ่มผมหอม เด็กบ้าอะไรใช้อะไรก็หอมไปหมด! “อย่ามาทำเฉไฉ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันอยู่นะ”

“เรื่องอะไร” คิ้วดำยกน้อยๆ เพิ่งสังเกตเห็นว่าข้อนิ้วขาวๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำแล้ว คงเพราะหิ้วของหนักนานเกินไป เขาฉวยถุงพวกนั้นเอามาถือไว้เอง อดหงุดหงิดไม่ได้เมื่อคิดว่าตอนที่ซื้อของพวกนี้ดนตร์อยู่กับใคร

“ก็แล้วไปทำอะไรกับใครมาล่ะ”

“อย่าอ้อมไปอ้อมมาได้ไหม” เสื้อถูกคว้าเอาไว้ พ่อครัวหัวป่าก์ขยับเท้ามาขวางหน้าเอาไว้ ปลายเท้าเขย่งเท้าเพิ่มความสูงให้ตัวเองอีกนิด แต่ศีรษะก็ยังไม่พ้นปลายจมูกของเขาอยู่ดี

“ก็ได้...แต่ต้องไปคุยกันในรถ”

ดนตร์ยังไม่ได้ตอบตกลงหรือตอบรับในคราแรก แต่กวาดตามองไปรอบๆ ตัวก่อน พอรู้สึกตัวว่าสถานที่ที่อยู่นั้นมันคือหน้าห้างสรรพสินค้ากลางกรุงเทพฯ ก็ยอมพยักหน้า แล้วเดินตามหลังมาเงียบๆ ระหว่างทางก็แอบสำรวจของที่ดนตร์ซื้อมาด้วย พอเห็นว่ามีเนื้อวัวส่วนที่เป็น Rib eye ก็พอจะหายหงุดหงิดไปได้บ้าง แถมยังมีเบเกอรี่ถุงใหญ่มาอีกด้วย

ที่บอกว่าคุยกันในรถแต่เอาเข้าจริงๆ ตลอดการเดินทางที่ต้องฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย ดนตร์น่าจะรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหัวเสีย อันที่จริงความหงุดหงิดก็ลดลงไปเยอะแล้ว แต่หันไปเห็นหน้าที่จ๋อยลงของเด็กดื้อเงียบก็เลยอยากจะเล่นละครต่ออีกสักหน่อย

...บทแฟนหนุ่มหึงโหดมันสนุกดีจะตาย...

รถจอดแล้วแต่ผู้โดยสารยังนั่งนิ่งไม่ขยับ ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือเหมือนจะหดเล็กลงจนเหลือเท่ากำปั้นได้ ตากลมที่บัดนี้ไม่มีแว่นตามาบดบังความน่ารักช้อนมอง แก้วตาน้ำตาลเข้มมีแววคล้ายกับสำนึกผิด ริมฝีปากอิ่มเม้มเป็นเส้นตรงแล้วคลายออกพร้อมกับลมหายใจที่พรูออกมาเฮือกใหญ่

“ขอโทษครับ” คำขอโทษหลุดออกมา เสียงที่พูดเบาหวิวไม่ต่างจากเสียงกระซิบ “ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบให้ผมอยู่กับคนอื่น แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่ซันจริงๆ นะ”

“ไปคุยกันในบ้าน” เขาบอก ดนตร์พยักหน้าหงึกหงัก เดินลอยๆ ไปที่หลังรถจะไปเอาของที่ซื้อมาแต่ถูกเขาชิงไปเสียก่อน

ดนตร์เดินตามต้อยๆ พอแกล้งหยุดเดินหน้าก็เลยทิ่มลงมาที่หลัง เจ้าตัวร้องโอย เอี้ยวตัวไปดูก็เห็นว่ากำลังคลำจมูกป้อยๆ

“ซุ่มซ่าม”

“ก็ใครใช้ให้หยุดเดินล่ะ”

“จะเปิดประตู ไม่ให้หยุดได้ยังไง”

คนตัวเล็กกว่าทำหน้ายู่ ยืนรอกระทั่งประตูเปิดออก

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำยาปรับอากาศที่ฉีดไว้ก่อนไปยังหลงเหลืออยู่ในอากาศ ตาพร่าไปเล็กน้อยตอนที่กรณ์เปิดไฟ แต่ก็ทำให้เห็นอะไรชัดขึ้นโดยเฉพาะหน้าซีดๆ ของเด็กดื้อเงียบ

“พี่กรณ์”

“อะไร” เขาแสร้งทำเสียงห้วน วางถุงที่ซื้อมาบนโต๊ะ กลิ่นหอมของเบเกอรี่เรียกน้ำย่อยได้ดีเหลือเกิน เขานี่นับวันยิ่งเสียนิสัย แต่ก่อนเคยกินขนมไร้สาระพวกนี้เสียที่ไหน พอได้คลุกคลีใกล้ชิดกับคนที่มีกลิ่นเหมือนนมเข้าหน่อยก็พลอยชอบกินขนมหวานๆ ไปด้วย เมื่อครู่ตอนที่เอาของออกจากท้ายรถเพิ่งเห็นว่าดนตร์ซื้ออุปกรณ์ทำครัวมาด้วย คล้ายกับที่เคยเห็นคุณดารินใช้ตอนทำขนมเค้ก สงสัยลูกชายคุณดารินคงอยากจะทำขึ้นมาบ้าง

“ผม...รู้ว่าพี่ไม่พอใจที่ผมอยู่กับพี่ซัน แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆ นะครับ”

ตากลมที่ปกติหางตาจะตวัดเฉี่ยวขึ้นนิดหน่อย บัดนี้มันตกลงมองดูคล้ายกับลูกหมาตัวน้อยๆ ที่กำลังอ้อนวอนให้เจ้านายยกโทษให้

“แล้วไปเจอกันได้ยังไง”

“บังเอิญครับ พี่ซันเขามาหาซื้อของพอดี ผมก็เลย...”

“ทำตัวเป็นคนดี เฮอะ!” เสียงขึ้นไปอยู่ที่จมูกให้สมกับที่กำลังแสดงความไม่พอใจอยู่ หน้าที่ดูเหมือนจะเหลือเท่ากำปั้น ตอนนี้ยิ่งหดเล็กลงไปอีก ทั้งน่าสงสารและน่าแกล้งไปพร้อมกัน “รู้อะไรไหม ความใจดีของนายมันจะนำพาหายนะมาให้ ไอ้คุณซันเป็นแฟนใหม่ของยาหยีนะ ขนาดฉันเป็นแฟนเก่ายังเล่นงานหนักขนาดนั้น แล้วนี่แฟนใหม่แถมยังเป็นคู่หมั้น ไม่กลัวโดนจับขังอีกหรือไง”

“ไม่กลัว” ดนตร์ส่ายหน้าหวือจนผมปลิว “ก็พี่ซันบอกว่าพี่ยาหยีจะไปเมืองนอกแล้ว เขาคงไม่อยากยุ่งกับผมแล้ว”

“จะแน่ใจได้ยังไง”

“ก็...ก็พี่ซันบอกอย่างนั้น” เสียงของดนตร์อ่อนลง คิ้วขมวดมุ่น ตาหลุบต่ำมองพื้น เจ้าตัวเองก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าโยษิตาจะตามมาราวีอีกไหม แต่เขามั่นใจเกินหนึ่งล้านเปอร์เซ็นต์ว่าโยษิตาจะไม่มีทางมายุ่งเกี่ยวกับเขาและดนตร์อีก

“นายมันซื่อเกินไป” เขาเตือน “ดูไม่ออกหรือไงว่าผู้ชายที่เข้ามาหาน่ะ เขาคิดยังไง”

“ผมเป็นผู้ชาย!”

“แต่เป็นผู้ชายที่มีผัวแล้ว” กรณ์เพิ่มคำนิยามให้ “ฉันขอเตือนนายเป็นครั้งสุดท้ายนะ นายมีผัวแล้ว ถึงคนอื่นไม่รู้ แต่ตัวนายเองก็รู้อยู่แก่ใจ ฉันทั้งขี้หึงแล้วก็ขี้หวง แต่นายก็ยังทำให้ฉันเป็นบ้า นายไม่รู้หรอกว่าสายตาที่ไอ้ซันมองมาน่ะมันเป็นยังไง หรือว่านายอยากจะให้ฉันบ้าจริงๆ รู้ไหมตอนที่เห็นนายอยู่กับไอ้หมอนั่นกับยัยเด็กต้องตา ฉันเจ็บไปทั้งใจ กลัวว่านายจะหวั่นไหว กลัวว่านายจะชอบคนอื่นมากกว่าฉัน กลัวว่า...!”

ปึก!

ร่างเล็กโผเข้าใส่เต็มแรง สองมือยึดที่อกเสื้อ ปลายเท้าเขย่งขึ้นเพิ่มความสูง ริมฝีปากกดทับลงมาแนบแน่น ลิ้นเล็กพยายามแทรกซอนเข้ามา แต่เขาเม้มปากไม่ยอมง่ายๆ อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน ดนตร์ไม่ลดละความตั้งใจ เจ้าเด็กดื้อปล่อยมือจากอกเสื้อแล้วเลื่อนมาประคองหน้าเขาเอาไว้แทน เบียดกายเข้ามาแนบชิด

“พะ..พี่กรณ์” ดนตร์หน้าแดงเป็นมะเขือเทศตอนที่ถอยใบหน้าห่างออกมา “ทำไม...ไม่เปิดปาก”

เขาแสร้งมองไปที่อื่น ร่างกายที่ยังชิดกันเล่นเอาเขวไปหลายรอบ เกือบจะยกมือโอบรอบเอวเล็กๆ นั่นแล้ว แต่เจ้าตัวดีดันผละปากออกไปเสียก่อน

“คิดว่าทำแบบนี้ฉันจะหายโกรธหรือไง”

“แล้ว...จะให้ทำยังไง”

กรณ์กระตุกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนหมาป่าหลอกล่อลูกแกะแสนซื่อ เขาขยับขาดันร่างเล็กกว่าไปติดกับบาร์เหล้า ดนตร์ผ่อนกายเอนไปด้านหลังโดยใช้ศอกพยุงตัวเอาไว้ หน้าตาเหรอหรานั่นยิ่งทำให้อยากแกล้งมากกว่าเดิม

“ทำกันบนนี้ จนกว่าฉันจะหายโกรธ”

“ไม่เอา” ดนตร์ส่ายหน้าดิก “สะ...สเต็ก! พี่อยากกินสเต็กไม่ใช่เหรอ เนื้อยังไม่ได้หมักเลย ต้องหมักก่อนเดี๋ยวจะไม่อร่อย”

“เนื้อสดน่าจะอร่อยกว่า” เขาว่า พลางใช้ลิ้นแตะไปที่มุมปากของอีกคน “ถ้ากินเนื้อสดอิ่มบางทีนายอาจจะไม่ต้องทำสเต็กก็ได้นะ”

“ตะ..แต่” ดนตร์ทำท่าจะแย้ง มือน้อยยันอกเอาไว้ “...รีบทำนะ ทำตรงนี้มันปวดหลัง”

“จะพยายาม”

แม้จะรับปากไปอย่างนั้นแต่สุดท้าย บนบาร์เหล้าก็กลายเป็นสมรภูมิรักขนาดย่อม กลิ่นน้ำยาปรับอากาศถูกกลิ่นคาวอ่อนๆ แทนที่ เนื้อสดที่กรณ์ได้ลิ้มลองรส มันอร่อยกว่าสเต็กเป็นไหนๆ ...

...............................
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 24 Jealous 100% [09/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-10-2017 22:53:24
กรณ์ถ้าจะหึงจะหวงแรงขนาดเน้ เตรียมทิชชุ่ไว้ให้ด้วย :haun4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 24 Jealous 100% [09/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 10-10-2017 23:07:04
ก็เพลงน่ารักใครๆก็พากันหลงรัก
พี่กรณ์นี่ตามหึงจนเหนื่อย 555555  :pig4:
หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 16-10-2017 18:35:40
Chapter 25 Journey

เวลาหนึ่งปี ผ่านไปไวกว่าที่รู้สึกนัก ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนี้เขาจะเป็นนักศึกษาปีสองของคณะนิเทศน์แล้ว ผ่านมาหนึ่งปี มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ในแต่ละวันมักจะมีความทรงจำใหม่ๆ ให้ได้เก็บเอาไว้เสมอ ทั้งดีและไม่ดี ประทับใจและอยากจะลืม แต่สิ่งที่เขาได้จากการเป็นนักศึกษาเต็มตัวภายในรั้วมหาวิทยาลัยก็คือมิตรภาพ เขามีเพื่อนที่แสนดีถึงสามคน คนที่หนึ่งคือมิ่งขวัญอดีตรูมเมท สองคือเมธัสเพื่อนรักปากร้ายแต่แสนจริงใจ และสามลลิตาดาวคณะที่ทั้งสวยและใจดี น่าแปลกใจอยู่นิดหน่อยทั้งที่สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปร่างหน้าตากลับไม่มีแฟน หรือแม้แต่คนมาจีบ เขาเคยถามเจ้าตัว เลยได้คำตอบมาว่า

‘เพราะฉันสวยเกินไป’

เป็นคำตอบที่ชวนหมั่นไส้นักแต่เขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น และรู้ดีว่าสาเหตุที่ลลิตายังเป็นโสดเพราะคุณแม่ที่ยังคอยตามรับตามส่ง แม้จะขึ้นปีสองแล้วก็ตาม

แต่คนที่ไม่น่าจะมีใครมาสนใจอย่างเขากลับมีคนรักก่อนใคร แถมยังเป็นผู้ชายที่มีดีกรีเป็นถึงหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัยอีกด้วย และตอนนี้ก็กลายเป็นเด็กฝึกงานอย่างเต็มตัวไปแล้ว

เมื่อปีที่แล้วกรณ์เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามของคณะสถาปัตย์ ผู้ชายปากร้าย เย็นชาจนถึงเย่อหยิ่ง ทว่าลึกๆ แล้วน้อยคนจะรู้ว่าผู้ชายที่ดูคล้ายจะเข้าถึงยากคนนี้ ใจดี และจริงใจแค่ไหน ถ้าหากไม่มีเรื่องราวนำพาให้มาเจอกัน เขาก็คงจะได้แค่แอบมองผู้ชายคนนี้ตลอดไป คงต้องขอบคุณรุ่นพี่ตัวอ้วนอย่างชนวีร์ที่ทำให้เขาได้ร่วมแข่งบาสจนได้แผล มีปากเสียง ไม่ชอบหน้า แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยคำว่า ‘คนรัก’

หลังจากผ่านเรื่องดีและเลวร้ายมา มือที่จับกันไว้มันแน่นขึ้นทุกวัน แม้ไม่มีคำบอกรักแต่แค่มองตาก็รู้ว่าความรักที่มีให้กันมันมากมายแค่ไหน บางทีความรักที่แท้จริงก็ไม่ต้องการเวลา แค่คนสองคนก็เพียงพอแล้ว

กรณ์เข้าฝึกงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่แค่เอ่ยชื่อคนค่อนประเทศก็รู้จัก เป็นบริษัทรับออกแบบบ้านและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งก็ตรงกับที่กรณ์เรียนพอดี ไม่เพียงแต่จะได้ประสบการณ์หากมีโอกาสกรณ์อาจจะได้แสดงฝีมือทางด้านศิลปะควบคู่กับการสร้างสรรค์ผลงานอีกด้วย และด้วยความจำเป็นนี้ทำให้เจ้าตัวต้องปฏิเสธงานในวงการบันเทิงไประยะหนึ่ง แต่ก็อาจจะกลับมาเล่นหนังสั้นให้กับญาติผู้น้องอย่างชนวีร์ก็ได้...หากมีโอกาส

ส่วนตัวเขาเองหลังจากนิตยสารท่องเที่ยวตีพิมพ์ไป ก็มีคนรู้จักเขามากขึ้นแต่ก็อยู่ในวงแคบๆ ถึงอย่างไรเสียก็ต้องขอบอาใหญ่ที่มอบโอกาสให้ ถึงจะไม่ได้โด่งดังเปรี้ยงปร้างแต่ก็เป็นอีกงานที่ท้าทายความสามารถด้วยเช่นกัน ในฐานะนักศึกษาคณะนิเทศน์ฯ งานทุกอย่างที่เกี่ยวกับวงการนี้มันคือโอกาสที่จะสร้างประสบการณ์และฝึกปรือความสามารถไปในตัว ทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

เรื่องการเรียน เกรดเฉลี่ยที่เกินสามมานิดหน่อยนับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่กว่าจะผ่านการสอบปลายภาคมาได้ก็ทำเอาเลือดตาแทบกระเด็น ดีที่ได้หัวกะทิอย่างกรณ์ที่บอกเคล็ดลับในการอ่านหนังสือมาให้ ตลอดสัปดาห์แห่งการสอบ สภาพของเขาและกรณ์ไม่ต่างจากซอมบี้ที่ทั้งหิวโหยและเหนื่อยล้า แต่พอพ้นช่วงเวลานั้นมาได้มันเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ไม่มีผิด กรณ์เลี้ยงฉลองการสอบเสร็จด้วยการพาเขาไปเที่ยวที่ภูเก็ต ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นการพาไปพักผ่อนหรืออะไรกันแน่ เพราะเมื่อไปถึงเขาก็ต้องพบครอบครัวของกรณ์ ที่ประกอบด้วยคุณกริช และคุณย่าแก้ว

เขาเคยพบกับคุณกริชมาแล้ว อุปนิสัยของกรณ์ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาอย่างแน่แท้ สองพ่อลูกมีอะไรคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งวิธีการพูด ความคิด แม้กระทั่งอารมณ์ เพียงแต่คุณกริช จะรู้จักควบคุมได้มากกว่าคงเพราะวุฒิภาวะนั่นเอง

บ้านของกรณ์ใหญ่สมกับเป็นผู้มีฐานะ อาณาเขตกว้างขวางกินพื้นที่ร่วมสองไร่ รอบบริเวณล้อมรอบด้วยกำแพงปูนสูงสามเมตร ด้านหน้าเป็นประตูรั้วอัลลอยด์และมีสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์เฝ้าไว้ ตอนที่เห็นมันครั้งแรกเขาตกใจกลัวจนเข่าทรุด ปากห้อยๆ และน้ำลายไหลยืดของมันชวนให้เสียวน่องดีเหลือเกิน แต่พอมันเห็นหน้าเจ้านาย หน้าดุๆ ของมันก็กลายเป็นน้องหมาแสนน่ารัก ดวงตาสดใสและเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ กรณ์สอนให้มันรู้จักเขาและสั่งไม่ให้ทำร้าย เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าร็อตไวเลอร์ที่ชื่อแบล็คนั่นมันจะเข้าใจหรือเปล่า แต่มันก็ไม่ได้ทำร้ายเขาเพียงแค่มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไร ซึ่งมองไปมองมาก็คล้ายกับเจ้าของมันอยู่เหมือนกัน

แต่ที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจและยิ้มได้คือคุณย่าแก้ว ท่านเป็นหญิงชรารูปร่างเล็กวัยใกล้เจ็ดสิบปี แต่ผมยังเป็นสีดำสนิท ไม่มีผมขาวสักเส้น ใบหน้าอิ่มเอิบดูอ่อนกว่าวัยเสียด้วยซ้ำ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่แม้จะไม่ได้หรูหราฟูฟ่าแต่ก็ดูดีและยังเป็นสไตล์วินเทจที่แม้จะโบราณแต่ก็ร่วมสมัย

กรณ์แนะนำว่าเขาคือคนรักอย่างไม่อ้อมค้อม นอกจากจะไม่แสดงอาการตกใจแล้วคุณย่าแก้ว ยังซักถามถึงเรื่องราวของเขาและกรณ์อย่างเป็นกันเองอีกด้วย บางครั้งก็แทรกวีรกรรมวัยเด็กของกรณ์ให้ฟังอีกต่างหาก แต่ที่ตลกที่สุดคือภาพในอดีตที่ท่านนำมาให้ดูตั้งแต่กรณ์ยังเป็นทารกวัยแบเบาะจนเข้ามัธยม ใบหน้าและอิริยาบถต่างๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมันเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้พร้อมกัน

เขาอยู่บ้านของกรณ์ได้สามวัน แต่เป็นสามวันที่มีความสุขจนไม่อาจหาคำบรรยายได้ ไร้สภาวะกดดัน ทั้งจากคุณกริช และคุณย่าแก้ว ต่างก็ให้การต้อนรับและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกหลาน ในวันที่ต้องกลับคุณย่าขอให้เขากลับมาเยี่ยมท่านอีกและเขาก็รับปาก

หลังจากกลับจากการพักผ่อนได้ไม่กี่วันกรณ์ก็ต้องเป็นนักศึกษาฝึกงานทันที เช่นเดียวกันกับชนวีร์ อริญชย์ ธาวิน และนักรบ ชนวีร์ได้ฝึกงานที่บริษัทผลิตหนังรายใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว ส่วนอริญชย์เลือกที่จะเป็นผู้ช่วยช่างภาพใหญ่อย่างอาใหญ่ที่เขาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าท่านมีบริษัทรับถ่ายภาพเล็กๆ อยู่ด้วย ขณะที่ธาวินเลือกไปเป็นเด็กฝึกงานของบริษัทของบิดาตัวเอง และนักรบรายนี้ได้ฝึกงานในบริษัทรับตกแต่ง โดยรวมแล้วคนที่น่าจะลำบากกว่าใครคงเป็นกรณ์ เพราะตำแหน่งที่ได้ทำคือเด็กรับใช้อย่างแท้จริง!

กรณ์ต้องทำทุกอย่างตามที่รุ่นพี่สั่ง ไม่ว่าจะถ่ายเอกสาร ซื้อมื้อเที่ยง ชงกาแฟ หรือแม้แต่บีบนวด ซึ่งกว่าจะได้แสดงฝีมือก็ต้องทนเป็นเบ๊คนอื่นอยู่ร่วมอาทิตย์เลยทีเดียว กระทั่งเข้าสัปดาห์ที่สองของการฝึกงาน กรณ์ถึงได้มีโอกาสจับดินสอช่วยรุ่นพี่ร่างโครงงาน แต่ก็ถูกสั่งให้แก้ใหม่อยู่หลายรอบ ทว่าคนอย่างกรณ์ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้

กรณ์เอางานที่ถูกสั่งให้แก้กลับมาทำที่บ้าน ขังตัวเองอยู่ในห้องที่กั้นไว้สำหรับทำงานอยู่สองคืนติด และสั่งห้ามไม่ให้เขารบกวนจนกว่างานจะเสร็จ สุดท้ายก็ยอมออกมาด้วยสภาพอิดโรย ขอบตาดำคล้ำ เปลือกตาบวมตุ่ย ริมฝีปากแห้งผาก โดยมีงานที่แก้แล้วติดมือมาด้วย

เมื่อเห็นคนรักจริงจังเขาเองก็ต้องปฏิวัติตัวเองด้วยเหมือนกัน ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าปีที่สองของการเป็นนักศึกษาจะต้องสร้างความภาคภูมิใจให้กับกรณ์และครอบครัวให้ได้ เกรดเฉลี่ยจะต้องดีกว่าเดิมขณะเดียวกันฝีมือทางการแสดงก็ต้องดีขึ้นตามไปด้วย เขาเลือกเรียนที่คณะนี้ด้วยรักในด้านนี้ หลังจากดูคะแนนสอบแล้วเขาก็ค้นพบว่าสิ่งที่เขาทำได้ดีคือการเขียนบท ดังนั้นเขาน่าจะเอาดีทางด้านนี้ และควรจะเริ่มต้นฝึกฝนเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าหากกรณ์ก้าวไปข้างหน้าในฐานะนักแสดงหรือนักออกแบบก็ดี เขาเองก็ควรจะมีบางสิ่งที่ทัดเทียมกัน

วันนี้ก็เหมือนกับตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณ์ตื่นไปฝึกงานแต่เช้า การเป็นนักศึกษาฝึกงานทำให้กรณ์ผู้ตื่นยากกลายเป็นคนตื่นเช้าไปโดยปริยาย แถมไม่อิดออดต่อรองขอนอนต่ออีกด้วย มีบ่นนิดหน่อยตอนกลับมาว่าเหนื่อยและอ้อนขอกินขนม ระยะหลังมานี่กรณ์เริ่มติดขนมแต่ต้องเป็นขนมฝีมือของเขาเท่านั้น อุปกรณ์ทำเค้กที่ไปซื้อกับอคิราห์เมื่อคราวก่อนได้ใช้งานจริงๆ

พอทำงานบ้านเสร็จเขาก็กลายเป็นคนว่างงาน เพราะเป็นช่วงปิดเทอมนักศึกษาพากันกลับบ้าน เขาเองก็อยากกลับไปอ้อนพ่ออ้อนแม่บ้างเหมือนกันแต่ก็ไม่อยากทิ้งกรณ์ไว้คนเดียว อดรู้สึกผิดนิดๆ ที่ไม่ได้กลับบ้านในช่วงวันหยุดปีใหม่ ทว่าไม่มีใครว่า เพราะปีใหม่ที่เชียงใหม่วุ่นวายมาก รถเยอะกลัวว่าจะเกิดอันตราย แต่กำชับว่าถ้ากรณ์ฝึกงานเสร็จเมื่อไรให้พามาเยี่ยมบ้าง โดยเฉพาะช่วงนี้ที่อีกฝ่ายเหนื่อยมากเป็นพิเศษเลยอยากจะอยู่เป็นกำลังใจหรือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ แค่งานบ้านหรือทำสวนถึงจะโดนบ่นบ้างแต่ก็ยินดีและเต็มใจ

สวนเก่าที่บูรณะขึ้นมาใหม่ดูดีขึ้นไม่น้อยเลย รอให้ผ่านฤดูหนาวไปอีกหน่อยต้นไม้และดอกไม้ที่ลงมือลงแรงไปคงจะเบ่งบานชูช่อออกมาให้ได้เห็นกันบ้าง

แดดในตอนบ่ายอ่อนๆ ละมุนและอบอุ่นกำลังดี แต่อีกไม่ถึงเดือนจะเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างแท้จริง ดนตร์ลุกขึ้นบิดไล่ความขี้เกียจ อีกหลายชั่วโมงกว่าจะได้เวลาทำมื้อเย็น วันนี้ไม่ต้องออกไปซื้อเพราะวันก่อนกรณ์พาไปเลือกซื้อจนหนำใจแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า

‘ไม่อยากให้เจอรถไฟขบวนอื่นอีก’

ปลายเท้าเปล่าเปลือยขาวสะอาดจรดแผ่วเบาไปบนพื้นไม้ขัดมัน ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องทำงานส่วนตัวของกรณ์ เขาไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่มย่ามสักเท่าไร เพราะเวลาทำงานกรณ์ไม่ชอบให้ใครกวนใจเว้นเสียแต่ว่าเจ้าตัวจะบอกเอง แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงอยากเข้าไปในห้องนี้นัก พอลองขยับลูกบิดดูก็พบว่าไม่ได้ล็อค แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอาจจะโดนบ่นจนหูชาแต่ความต้องการมันห้ามไม่ได้

ภายในห้องแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย มีแต่โต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ โคมไฟ โซฟาตัวยาว และกองสมุด ดินสอ ปากกา แบบร่างและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการวาดรูป ออกแบบ ดนตร์ส่ายหัวเบาๆ เมื่อเห็นเศษยางลบตกเกลื่อนบนพื้นโต๊ะทำงาน เลยใช้มือปัดมันทิ้งลงถังขยะ พอเหลือบมองไปที่ถังขยะก็เจอกับก้อนกระดาษกลมๆ มากมาย เขาหยิบมันขึ้นมาคลี่ดูจึงได้รู้ว่าทั้งหมดคือแบบร่างที่กรณ์ทำเสีย

เขาไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหนแต่ทุกอันล้วนแล้วแต่สวยงามและประณีต ลายเส้นโดดเด่นมีเอกลักษณ์ เขารีดกระดาษยับๆ พวกนั้นแล้ววางทับกันไว้ หากกรณ์ไม่ต้องการเขาก็จะเก็บมันไว้ ในสายตาคนอื่นมันเป็นแค่ขยะ แต่สำหรับเขาทุกลายเส้นที่เกิดจากฝีมือของกรณ์มันคือสิ่งของที่มีความหมาย

เขาลองนั่งบนเก้าอี้บุนวมหมุนได้ดู มันนิ่มและสบายพอสมควร รื้อดูโต๊ะทำงานอีกเล็กน้อยก็เจอกับสมุดเก่าๆ ลายการ์ตูนสมัยยังเป็นเด็กเล่มหนึ่ง หน้าแรกของเล่มมีชื่อเจ้าของเขียนติดอยู่ด้วย

‘ด.ช. กรณ์ อายุ 10 ปี ชั้น ป.4/1’

หน้าที่สอง

‘วันศุกร์ ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 วันนี้เป็นวันเกิดของผมแต่.....’

คิ้วเรียวเลิกสูงเพราะข้อความที่เขียนมันมีแค่นั้น พอลองเปิดไปหน้าอื่นๆ ก็ไม่พบกับอะไรอีก มีเพียงหน้ากระดาษสีน้ำตาลเท่านั้น

สมุดเล่มนี้คงจะเป็นไดอารี่ของกรณ์ แต่เจ้าตัวกลับไม่บันทึกอะไรลงไปอีกนอกจากบอกวันที่เป็นวันเกิดครบรอบ lสิบขวบของตัวเอง

จู่ๆ มือก็คว้าปากกาที่เสียบอยู่แถวนั้นขึ้นมา สมองพลันประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วมือก็ขยับตามที่สั่ง ข้อความจากลายมือของเขาปรากฏอยู่ในหน้าที่สองของไดอารี่

‘ผมเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความฝันไม่ต่างจากคนอื่น อยากเรียนจบมีงานทำ แต่งงานแล้วมีลูกสาวตัวเล็กๆ แล้วผมก็เลือกทำตามความฝันของตัวเอง ฝันของผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรแค่อยากจะเป็นนักแสดงหรืออะไรก็ได้เพื่อขจัดความขี้อายออกไป แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะเมื่อผมได้มาเป็นนักศึกษาที่นี่ผมก็ต้องเจอกับคนที่ทำให้ผมกลายเป็นคนขี้อาย เก็บตัวและหลบซ่อนมากกว่าเดิม และเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงความคิดและความรู้สึกของผมไปตลอดกาล

เขาเป็นรุ่นพี่ที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกสมาชิกเข้าชมรมและเป็นผู้ชาย ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าหัวใจตัวเองเป็นอะไร รู้แค่มันเต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อไหลซึม มือเย็นไปหมด เพียงแค่ได้สบตากับเขาเท่านั้น แล้วผมก็ไม่กล้ามองหน้าเขาอีก แต่ผมจำชื่อที่อยู่บนหน้าอกของเขาได้ เขาชื่อ ‘กรณ์’ เป็นรุ่นพี่ต่างคณะ และหลังจากนั้นผมก็กลายเป็นคนโรคจิต หลบอยู่ในเงาและแอบมองเขาพร้อมกับเก็บข้อมูลของเขาไปด้วย กระทั่งวันหนึ่งพรพรหมอลเวงก็พาให้เขามาพบกับผมที่สนามบาสในฐานะคู่แข่ง

ทีมของผมแพ้แถมผมก็ได้แผลเพราะมัวแต่เหม่อจนล้มอย่างแรง เขาหาว่าผมสำออยอ่อนแอ ตอนนั้นผมน้อยใจเขาจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่เลยเผลอทำปั้นปึ่งประชดประชันใส่ ผมเลยโดนเขาเกลียดขี้หน้าไปโดยปริยาย แต่จากวันนั้นผมกับเขาก็ได้เจอกันบ่อยขึ้น ทว่าสิ่งที่น่าตลกก็คือ เขาได้รับคัดเลือกให้เล่นเป็นพระเอกในหนังสั้นทั้งที่เรียนคณะสถาปัตย์ฯ ส่วนผมเรียนคณะนิเทศน์แท้ๆ แต่เป็นได้แค่เบ๊ของผู้กำกับ

ระหว่างการถ่ายทำผมถูกเขาแกล้งเพราะไม่ชอบหน้า แต่มีครั้งหนึ่งที่พี่อ้วนชนวีร์ให้โอกาสผมได้เป็นคู่ซ้อมให้เขาแทนลลิตา พระเจ้าครับ! หัวใจผมแทบหลุดจากขั้ว เขาหล่อเหลือเกิน หล่อจนน่าอิจฉา หล่อจนผมคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกถึงแม้จะน่าอายแต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ผมไม่เพียงแค่แอบชอบเขา แต่ผมตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว!

ทว่าสวรรค์ไม่เมตตาคนบาปอย่างผมนัก คนหล่อระดับมหาวิทยาลัยอย่างเขาต้องมีคนรักที่เหมาะสมกันอยู่แล้ว หล่อนเป็นผู้หญิงที่สวยเหมือนตุ๊กตา เป็นคู่รักที่ทั้งมหาวิทยาลัยอิจฉา ผมได้แต่เฝ้ามองพวกเขาและเจียมตัวอยู่อย่างนั้น พยายามไม่เอาหน้าไปให้เขาเห็น แต่ก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง ผมกับเขามีสัมพันธ์บางอย่างที่ผูกมัดกันไว้ด้วยด้ายที่มองไม่เห็น

จากนั้นความสัมพันธ์แบบงงๆ ก็เกิดขึ้น เขาตามตอแยผมมากขึ้น เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของผมมากขึ้น บางครั้งก็ทำเหมือนหึงหวง แต่บางครั้งก็ทำเหมือนรังเกียจ ผมเริ่มจะอ่อนไหวมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกบาปมากกว่าเดิมเพราะไม่ใช่แค่มีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับผู้ชาย แต่ผมกำลังจะทำร้ายผู้หญิงอีกด้วย ผมเลยตัดสินใจว่าควรจะหยุดเรื่องที่ผิดครรลองคลองธรรมนี้ซะ แต่แล้วก็เกิดอุบัติเหตุกับเขาโดยมีผมเป็นสาเหตุ รถของเขาพังยับเยินผมกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ผมกลัวว่าเขาจะตายทว่าผมก็ใจดำไม่ไปเยี่ยมเขาเลยสักวัน ไม่ใช่ไม่ห่วงแต่ผมอยากจะเดินออกมาจริงๆ

แล้วก็เหมือนสวรรค์แกล้งอีกจนได้ เขาเลิกกับคนรักแล้วเลือกที่จะมาราวีผมแทน ผมไม่รู้หรอกว่าหัวเขาได้รับการกระทบกระเทือนจากวันที่รถคว่ำหรือเปล่า แต่เขาทำเหมือนกับ ‘ชอบ’ ผมจริงๆ หัวใจของผมมันพองเหมือนลูกโป่ง ใครจะไม่ดีใจกันล่ะ! จู่ๆ คนที่แอบชอบแอบรักมาทำท่าทางเหมือนจะมีใจกลับมา แถมบางครั้งก็ประกาศโต้งๆ ว่าผมคือคนของเขา แม้จะเขินจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแต่ผมก็เลือกที่จะทำเป็นนิ่งเฉย ก็อย่างที่บอกผมมันคนขี้อาย

ผมกับเขามีช่วงเวลาที่ได้รู้จักกันมากขึ้น ได้เห็นมุมมองอีกด้านที่ไม่เคยเห็น ผมได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนใจดีมากแค่ไหน เขาช่วยผมทำรายงานในตอนที่ผมป่วย ถึงจะขี้เก๊กแต่ก็แอบตลก ผมชอบตอนเขาเพิ่งตื่นนอน ผมของเขาจะยุ่งเป็นรังนก แทบไม่เหลือมาดหนุ่มสุดเท่เลย แต่นั่นคือตัวตนจริงๆ ส่วนเขาเองจะชอบผมตรงไหนผมก็ไม่เคยได้ถาม ออกจะงงๆ สับสน ทว่ามันก็ดำเนินมาจนถึงตอนนี้

สิ่งที่เขาทำให้ผมประทับใจ มีมากจนนับนิ้วไม่ถูก เขาช่วยชีวิตผมถึงสองครั้งโดยไม่คำนึงถึงตัวเอง เขากล้าหาญ มั่นใจในสิ่งที่เลือก เขายอมทำตามใจบิดาเพื่อให้ได้รักกับผม โชคดีที่ครอบครัวของพวกเรายอมรับได้ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่อย่างน้อยเราก็รักกันได้โดยไม่ต้องปิดบังใคร

ความรักของเราเรียบง่าย เหมือนคู่รักทั่วไป แค่เราต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่เท่านั้นเอง จนถึงตอนนี้ผมก็ยังมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ชาย ไม่ได้เบี่ยงเบนอยากเปลี่ยนเพศแต่ก็ไม่คิดจะมีคนรักเป็นต่างเพศอีก เพราะผู้ชายที่ชื่อกรณ์ได้ตอบโจทย์คนรักที่ผมต้องการไว้หมดแล้ว…แค่มีเขา ต่อให้ไม่มีอากาศผมก็อยู่ได้’

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: libra82 ที่ 16-10-2017 18:38:52
“แค่มีเขา ต่อให้ไม่มีอากาศผมก็อยู่ได้” เสียงทุ้มดังที่เหนือศีรษะทำให้ต้องรีบปิดสมุดไดอารี่ แต่ดูเหมือนว่าจะช้าไปแล้วเพราะประโยคสุดท้ายที่เพิ่งเขียนเสร็จไปถูกคนด้านหลังอ่านไปแล้ว “ทำอะไร…นั่นมันสมุดไดอารี่ของฉันนี่”

“เปล่า” ผมปฏิเสธ ซึ่งมันช่างโง่เง่าสิ้นดี ในเมื่อสมุดกับปากกายังคามืออยู่

กรณ์ถอยกายห่างออกไปเล็กน้อย ร่างสูงยืนกอดอกเอียงคอมอง ใบหน้าหล่อซูบซีดลงเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ขอบตาคล้ำ ริมฝีปากแห้งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ดนตร์ลุกจากเก้าอี้ เพราะกรณ์นั่นเองเลยรู้ว่าเวลานี้มันเย็นมากแล้ว แสงแดดรำไรที่ส่องกระทบกับใบไม้สีอ่อน สวนนอกบ้านเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ดอกไม้ต้นน้อยที่ไปซื้อมาแล้วลงมือปลูกด้วยตัวเองกำลังตั้งต้นชูช่อมีใบเลี้ยงผลิออกมาให้เห็นบ้างแล้ว ยอดหญ้าเปลี่ยนสีจากสีน้ำตาลเป็นสีเขียวอ่อน แม้ว่าจะไม่ได้สวยเหมือนสวนในฝันแต่ก็มองแล้วสบายตา ถึงตอนปลูกจะถูกเอ็ดว่าไร้สาระทว่าตอนนี้ใครบางคนก็เปรยว่าอยากจะหาต้นไม้มาเพิ่มอีก

ทุกอย่างมันกำลังเดินไปข้างหน้า พัฒนาไปทีละก้าวไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไป มือที่จับไว้มันแน่นขึ้นทุกวัน เช่นเดียวกับสายใยของความรักที่ถักทอจากด้ายเส้นเล็กจนตอนนี้กลายเป็นเกลียวเชือกเส้นใหญ่

กรณ์เหนื่อย...เขารู้

มือเรียวอุ่นยกขึ้นประคองข้างแก้มสาก ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะละเลยการโกนหนวดมาหลายวัน ตอแข็งๆ เลยผุดจากสันกรามและลูกคางเป็นเคราเขียวครึ้ม แต่ถึงอย่างนั้นความดูดีไม่ได้ลดลงเลย กลับมีเสน่ห์ไปอีกแบบ สีหน้าดูเหนื่อยล้าก็จริงทว่าแววตาเป็นประกายสุกใส กรณ์เอียงแก้มรับ พร้อมกับจูบเบาๆ ที่กลางฝ่ามือ

“เหนื่อยไหมที่ต้องรักผม เหนื่อยไหมที่ต้องรักผู้ชาย เหนื่อยไหมที่ต้องอดทนต่อสายตาคนรอบข้าง เหนื่อยไหมที่ต้องพาผมไปรู้จักคนในครอบครัว เหนื่อยไหมที่ต้องปกป้องผม....แต่ถ้าวันไหนพี่เหนื่อย พี่บอกผมมานะครับ แล้วผมจะเป็นฝ่ายทำให้พี่บ้าง ผมจะปกป้องพี่ ทำเพื่อพี่ และจะรักพี่ไปจนกว่าจะไม่มีแรงหายใจ”

“เห็นฉันเป็นพวกอ่อนแออย่างนั้นเลยหรือไง”

“เปล่าครับ” ดนตร์สั่นศีรษะ “ผมแค่อยากจะบอกกับพี่ว่าผมรักพี่”

กรณ์อมยิ้ม รวบมือเอาไว้แล้วพรมจูบที่ปลายนิ้วทีละนิ้ว ขณะที่ดวงตาจับจ้องมองตรงมา ภาพของตัวเองที่สะท้อนในนั้นทำเอาหัวใจสั่นไหว แรกเริ่มเขาหลงรักผู้ชายคนนี้เพราะรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างจากคนอื่นๆ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ได้รู้จักนิสัยใจคอ ข้อเด่น ข้อด้อย นั่นกลับยิ่งทำให้เขายิ่งรักกรณ์มากกว่าเดิม ถึงตอนนี้ต่อให้กรณ์กลายเป็นคนที่ขี้เหร่ที่สุดในโลกเขาก็รัก

เขารักทุกอย่างที่หล่อหลอมเป็นกรณ์

“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงปากหวานขึ้นมาได้” ริมฝีปากอุ่นหยุดที่ปลายนิ้วก้อย ขยับเท้าเข้าใกล้จนระยะห่างระหว่างร่างเหลือไม่ถึงคืบ ลมหายใจเป่ารดใส่กัน กลิ่นกายที่คุ้นชิน ไออุ่นที่คุ้นเคย ตั้งแต่เมื่อไรกันที่รู้สึกว่าไม่อาจขาดสิ่งเหล่านี้ไปได้...รักเหลือเกิน

“ผมไม่อยากให้พี่เลิกรักผม พี่ห้ามเลิกรักผมเด็ดขาด เหนื่อยได้แต่ห้ามเลิกรัก สัญญานะ”

“แล้วใครบอกว่าเหนื่อย” กรณ์ยิ้มละมุน ปล่อยมือจากนิ้วเรียวแล้วเปลี่ยนเป็นรั้งต้นคอขาวเอาไว้แทน ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างแค่ลมหายใจกั้นเท่านั้น “สิ่งที่ฉันทำคือสิ่งที่ฉันรัก ไม่มีใครเหนื่อยหรอกถ้าได้ทำในสิ่งที่รัก”

“รวมถึงรักผมด้วยใช่ไหม”

“นั่นน่ะอันดับแรกเลย” จมูกโด่งกดลงบนหน้าผากเนียน ไล่เรื่อยจนถึงปลายจมูก แล้วจึงเคลื่อนไปที่ปรางแก้มใส “ฉันรักนาย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกถึงความรักจริงๆ รักโดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไขใดๆ รู้ไหมนายเป็นคนแรกเลยนะที่ฉันพาไปที่บ้าน แล้วก็เป็นคนแรกที่คุณย่าไม่บ่นฉันเรื่องแฟน”

“ทำไมล่ะครับ”

กรณ์คลี่ยิ้มหวานทั้งที่ยังหาเศษหาเลยอยู่กับแก้มนุ่ม “ย่ากลัวว่าจะเหมือนแม่ ท่านบอกว่าฉันนิสัยเหมือนพ่อ ท่านกลัวว่าผู้หญิงพวกนั้นจะเสียใจถ้าต้องมาเป็นแฟนกับคนอย่างฉัน แต่พอฉันเล่าเรื่องนายท่านถามฉันแค่ว่าฉันรักนายไหม พอฉันบอกว่ารัก ท่านก็ไม่ถามอะไรอีก แถมยังเร่งให้พานายไปหาด้วย ท่านชอบนายนะ”

“ผมก็รักท่านครับ” ดนตร์บอก คุณย่าแก้วทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พบคุณยายที่จากไป “เอ่อ...มีอีกคนที่ผมอยากรู้จัก ผมถามถึงท่านได้ไหม”

คิ้วหนาเลิกขึ้น “ใคร?”

“.......เอ่อ...คุณแม่ของพี่...ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผม...”

“ได้สิ”

มือหนาสอดรัดรอบเอวก่อนจะเกี่ยวกอดพากันไปที่โซฟากลางห้อง

ภายในบ้านเริ่มมืดจากแสงที่น้อยลง เงาสีดำของคนสองคนทาบกับผนังห้อง น่าแปลกที่ไม่มีใครสนใจที่จะเปิดไฟกลับชอบแสงสีส้มสลัวๆ จากธรรมชาติมากกว่า

กรณ์หย่อนสะโพกลงนั่งก่อนแล้วค่อยรั้งอีกร่างนั่งบนตักตัวเอง โดยให้อีกฝ่ายหันหน้าเข้าหา สองขากางคร่อมหน้าขา มือขาวยกคล้องไว้ที่ต้นคอ แม้ดนตร์จะไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยแต่น้ำหนักแค่นี้เขาก็สามารถรองรับได้อย่างสบายๆ อย่าว่าแต่นั่งตักเลยต่อให้อุ้มก็ทำได้

“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับแม่ฉันล่ะ ถามมาได้”

“คือ...” คนบนตักอึกอัก ขยับสะโพกกลมแน่นบนหน้าขาไปมา “ผมอยากรู้ว่าแม่ของพี่จะชอบผมไหม”

“หึ เด็กโง่” กรณ์ใช้นิ้วดีดไปที่หน้าผากหนึ่งเปาะ ช่วงนี้ผมของดนตร์ยาวลงมาปรกหน้าผากแล้ว เขาเอื้อมมือคว้าหนังยางแถวๆ นั้นมาแล้วรวบปอยผมไว้หนึ่งกระจุกก่อนจะใช้หนังยางมัดมันไว้ ดวงหน้าผ่องดูใสสว่างขึ้นมาบ้าง แถมทรงผมต๊องๆ ยังช่วยให้อ่อนเยาว์ลงไปอีกหลายปี เหมือนมีแฟนเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกไม่มีผิด “จะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร แค่ฉันชอบนายก็พอแล้ว แต่ถ้าไม่สบายใจจะบอกให้ก็ได้ว่าแม่น่ะรักฉันที่สุดในโลก ฉันรักใครแม่ก็จะรักด้วย เอาไว้ฝึกงานเสร็จฉันจะพานายไปหาท่าน”

“จริงหรือครับ” เด็กตาตี่ทำตาโตแล้วก็หรี่ลงเหลือเท่าเดิม “ว่าแต่แม่ของพี่อยู่ที่ไหนหรือครับ”

“อเมริกา”

“ห๊ะ!” คราวนี้ตาเบิกกว้างกว่าเดิม ทั้งตลกทั้งน่ารัก

“หูหนวกหรือไง” เขาดึงไปที่ติ่งหูเล็กๆ หนึ่งที “อเมริกา”

“ไกลจังเลย ให้แม่พี่มาที่นี่ไม่ได้หรือ”

“ทำไมถึงต้องให้คนแก่อายุห้าสิบกว่านั่งเครื่องนานๆ ด้วยล่ะ”

ดนตร์ขยับตัวอีกหน ท่อนขาเรียวยกสูงจนขากางเกงร่นไปถึงไหนต่อไหน วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นเด็กดื้อเงียบเลยแต่งตัวเปิดเผยเนื้อตัวมากกว่าปกติ เสื้อยืดตัวเก่าเป็นของทิ้งแล้วจากเขาและกางเกงบ๊อกเซอร์สีตุ่นๆ เสื้อดูจะหลวมเกินไปหน่อยเพราะคอมันเลื่อนต่ำลงมาถึงหัวไหล่ อวดผิวขาวโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนขานั้นไม่ต้องพูดถึง ดนตร์เป็นผู้ชายที่มีเรียวขาสวยยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก แถมยังไม่มีไรขนให้ขุ่นเคืองตาอีกด้วย

วันนี้ดนตร์ทำตัวน่ารักผิดปกติ จากเด็กไม่ค่อยพูดขี้อายกลายเป็นเด็กขี้อ้อนเสียอย่างนั้น แต่ก็น่ารักน่าฟัดอย่าบอกใคร เจ้าตัวไม่รู้หรอกว่าเขาแอบมองมือขาวๆ ตวัดปลายปากกาลงหน้ากระดาษมาพักใหญ่แล้ว และได้อ่านข้อความพวกนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ มันเหมือนเรียงความในอดีตเล่าถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจผ่านตัวหนังสือไม่กี่หน้า แต่ที่ทำให้หัวใจพองคับอกคือข้อความพวกนั้นมันเกี่ยวกับตัวเขาทั้งสิ้น ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้

แต่อีกอย่างที่ดนตร์ไม่รู้ก็คือความรู้สึกของเขาที่มีต่อเจ้าตัวในวันแรกที่ได้พบกัน ตอนนั้นเขาทำหน้าที่เป็นกรรมการคัดเลือกเด็กปีหนึ่งเข้าชรมภาพยนตร์แทนชนวีร์ ตอนนั้นมีเด็กปีหนึ่งมาสมัครหลายคน แต่เขากลับจำได้แค่เด็กใส่แว่นท่าทางเห่ยๆ คนหนึ่งเท่านั้น เด็กผู้ชายท่าทางซื่อๆ ที่มองสบตาเขาแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็หายไป เขาไม่รู้จักชื่อเด็กคนนั้น แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ชอบมองหากระทั่งวันหนึ่งชนวีร์ก็พาเด็กคนนั้นมาที่สนามบาสในฐานะทีมของคู่แข่ง

พวกเขาได้แข่งบาสด้วยกัน เด็กตัวสูงไม่มากสวมแว่นเล่นบาสเก่งไม่น้อย ถึงจะสูงสู้คนอื่นไม่ได้แต่กลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เขาจับจ้องเด็กคนนั้นในทุกๆ อิริยาบถแม้แต่ตอนที่ล้มจนได้แผลนั่นก็ด้วย แต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแถมนิสัยปากเสียยังทำให้โดนเกลียดขี้หน้าไปโดยปริยาย ถึงอย่างนั้นเขาก็คอยแต่มองหาเด็กคนนั้นอยู่ดี

ไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้นที่เกิดสนใจเด็กแว่นหนาจอมอวดดีแต่เพื่อนรักทั้งสองก็ด้วย อริญชย์และธาวินแสดงความต้องการออกมาอย่างไม่ปิดบัง แถมยังกล้าประกาศว่าชอบอย่างไม่ห่วงสายตาคนรอบข้าง ขณะที่เขาเองที่รู้สึกไม่ต่างกันกลับกล้าๆ กลัวๆ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าสังคมจะรับไม่ได้หากแต่ในตอนนั้นเขายังมีคนรักอยู่ และไม่อยากทำร้ายเธอโดยที่เธอไม่ได้มีความผิดอะไร ทว่าหัวใจมันเล่นตลกกับความรู้สึก ยิ่งนานวันเขายิ่งถอนสายตาจากเด็กคนนั้นไม่ได้ และในที่สุดก็เผลอทำเรื่องเลวร้ายลงไป แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธการรับผิดชอบ แถมยังคอยหนีหน้าด้วยซ้ำแต่เขาก็ไม่ยอมลดละความพยายาม แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่ต้องการรับผิดชอบทว่าเพราะความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจด้วย เขาชอบเด็กคนนั้นเข้าแล้วจริงๆ

เวลาผ่านไปความรู้สึกยิ่งชัดเจน ก่อนหน้านี้เขาเคยคบกับผู้หญิงมาบ้าง แต่มันไม่เคยเลยที่จะรู้สึกรุนแรงมากขนาดนี้ เขาทั้งต้องการ และหึงหวง มีสภาพไม่ต่างจากมดแดงแฝงพวงมะม่วง ทว่าก็ยังทำอะไรไม่ได้มากอยู่ดีเพราะเขายังไม่เลิกรากับคนรัก กระทั่งวันที่ประสบอุบัติเหตุ เขาถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาด เขาเลือกเด็กคนนั้นแทนคนรักเก่า เขาทำร้ายหัวใจของเธอและได้แผลเป็นที่ขมับมาเป็นผลตอบแทน แต่ก็นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า เขามีความกล้าที่จะทำตามหัวใจตัวเอง และไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร ในเมื่อมันคือเสียงของหัวใจก็ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงอื่นอีก

“รักฉันให้มากๆ นะ”

“ครับ?” คนบนตักเอียงคอมอง เปลือกตาบางกะพริบรัวๆ

“ก็ถ้านายรักฉันมากเท่าไร ฉันก็จะรักนายมากเท่านั้น”

“ไม่ครับ” เด็กดื้อเงียบส่ายหัว “เพราะผมจะรักพี่มากกว่านั้น”

กรณ์ยิ้มกว้าง กดจมูกไปบนแก้มนุ่มหนักๆ ทั้งสองข้าง “อ้อนขนาดนี้จะเลิกรักได้ยังไง”

ดนตร์หน้าแดง ซุกหน้าซบลงบนหัวไหล่ “ผมรักพี่ ตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้าเลย”

“อืม...รู้แล้ว”

ศีรษะเล็กผงกขึ้น “พี่รู้ได้ยังไง! แอบอ่านที่ผมเขียนใช่ไหม” ริมฝีปากสีแดงยู่ขึ้นจนเกือบชิดปลายจมูก

“ก็นะ..” เขายักไหล่ “ที่จริงมันก็ไม่แปลกหรอก ฉันมันหล่อใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น”

“เพิ่งรู้ว่ามีแฟนหลงตัวเอง”

“แล้วจริงไหมล่ะ”

“จริง!” ดนตร์กระแทกเสียงตอบ “แต่ตอนนี้ถึงพี่ไม่หล่อ หรือเป็นขอทานข้างถนนผมก็รักพี่”

กรณ์ไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้ริมฝีปากมันฉีกกว้างขนาดไหน ในอกอุ่นซ่านไปหมด สองมือโอบประคองร่างบนตักเอาไว้ เพิ่งได้รู้ว่าการที่ได้รักใครสักคนโดยได้ความรักตอบกลับมามันจะรู้สึกดีมากขนาดนี้นี่เอง

“ไอ้เด็กขี้อ้อนเอ๊ย”

“แล้วถ้าผมอยากทำให้พี่เหนื่อยล่ะ พี่จะทำยังไง” จู่ๆ เด็กขี้อ้อนบนตักก็เปลี่ยนประเด็น กรณ์เลิกคิ้วมอง

“จะทำอะไรล่ะ”

“ก็...ทำแบบนี้”

สะโพกอิ่มเคลื่อนสูงขึ้นจนบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกางเกงบ๊อกเซอร์สะกิดถูกเป้ากางเกง ไอ้เจ้าเด็กตัวดีนี่กำลังหาเรื่องเหนื่อยเองเสียมากกว่า สำหรับเขาต่อให้ ‘ทำ’ ข้ามวันข้ามคืนก็สะกดคำว่าเหนื่อยไม่เป็นหรอก ห่วงก็แต่อีกคนที่ทำเป็นปากดีแต่สุดท้ายเห็นนอนสลบเป็นตายทุกที

“ใครกันแน่ที่จะเหนื่อย” เขาหรี่ตามอง พลางสอดมือหายเข้าไปในชายเสื้อยืดตัวเก่า จำได้ว่าโยนมันทิ้งไปแล้วแต่เด็กนี่กลับเก็บมาใส่อีก แต่ก็ดีเหมือนกันผ้าบางๆ อยู่บนกายขาวๆ มันเข้ากันดีไม่ยอก ผิวกายอ่อนนุ่มตกอยู่ใต้ฝ่ามือ เขาลูบเลยขึ้นไปสูงถึงรอยต่อระหว่างหัวไหล่ แล้วเลื่อนต่ำลงมาที่เนินบั้นท้ายเนียน ดนตร์ขยับสะโพกสูงขึ้นราวกับจะเชิญชวนกัน

กรณ์กดยิ้มที่มุมปาก ความขี้อายของเจ้าเด็กดื้อกำลังหายไปทีละนิด แต่จะโทษใครได้ในเมื่อเขาเป็นคนสอนมาเองกับมือ การแสดงความรักกับคนที่รักไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ภาษากายบางครั้งก็สำคัญกว่าคำพูด เขาก้มลงจูบที่ซอกคอขาว กลิ่นหอมเฉพาะตัวยังคงเอกลักษณ์ไว้เหมือนเดิม กลิ่นน้ำนมอ่อนๆ ที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร เคล้าด้วยกลิ่นสบู่ที่เจือจางลงไปมากแล้วแต่ก็ยังหลงเหลือติดผิวอยู่บ้าง ริมฝีปากดูดเม้มฝากฝังร่องรอยแห่งการเป็นเจ้าของไว้แถวๆ นั้น ดนตร์ครางเบาๆ เอียงคอเปิดทางให้เขาอย่างน่ารัก

มือหนาขยำหนักๆ ลงไปบนบั้นท้ายกลม ส่วนหน้าของดนตร์มีปฏิกิริยามากกว่าเดิม มันเสียดสีถูไถกับของเขา ร่างเล็กกว่าบนตักหายใจไม่เป็นจังหวะ มือเหนี่ยวรั้งต้นคอแน่นขึ้นเรื่อยๆ แก้มขาวแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด ถึงตอนนี้ดนตร์ควรกลับคำ เพราะคนที่เหนื่อยไม่ใช่เขาแน่นอน

เสื้อตัวบางถูกถอดออกทางศีรษะ ปล่อยให้ร่างกายท่อนบนเปล่าเปลือยอวดผิวขาวผ่องละเอียด เม็ดทับทิมสีแดงสองเม็ดดูโดดเด่นบนผิวขาว ป้านฐานรอบๆ มีตุ่มเล็กๆ ผุดขึ้น กรณ์ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้บดขยี้ที่ปลายถันจนมันแข็งชันก่อนจะก้มลงลิ้มลองรสหวาน เขาดูดกลืนพร้อมกับตวัดปลายลิ้นหยอกล้อ ดนตร์ครางกระเส่า สะโพกขยับบดเบียดเย้ายวน กระทั่งมันบวมเป่งถึงได้ยืดตัวขึ้นแล้วป้อนจูบหวานให้แทน

เรียวลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดผลัดกันรุกไล่ เสียงชื้นแฉะดังขึ้นแทรกเสียงลมหายใจกระเส่า ดนตร์ช่วยเขาถอดเสื้อด้วยความเร่งร้อน ริมฝีปากผละออกจากกันแค่ตอนที่ต้องเอาเสื้อออกจากร่างกายเท่านั้น เด็กดื้อเบียดเนื้อตัวเข้ามาชิด มือเลื่อนจากต้นคอไล่ไปตามแขนและลำตัว แบ่งปันความเร่าร้อนผ่านการลูบไล้ ขณะที่บั้นท้ายขยับขึ้นลงไม่หยุด เขาพรมจูบไปทั่วผิวขาว สร้างรอยแดงสีกุหลาบไว้ทั่วทุกที่แต่เจ้าตัวก็ไม่เอ่ยปากห้าม กางเกงบ๊อกเซอร์ปลิวไปตกกองรวมกับเสื้อยืดตัวเก่าตามด้วยชั้นในสีขาว แค่ชั่วอึดใจดนตร์ก็เปลือยทั้งร่างแต่ท่านั่งยังคงเหมือนเดิม

“จะลงข้างล่างไหม” เขาถามด้วยห่วงว่าเจ้าเด็กจอมอวดดีจะเหนื่อยเสียก่อนจบบทแรก แต่ดนตร์ส่ายหัว

“ผมจะทำเอง”

“แน่ใจ?”

“อื้ม!” เจ้าตัวพยักหน้าหนักแน่น แล้วเคลื่อนมือไปมาที่หน้าตัก จัดการปลดตะขอกางเกงพร้อมรูดซิปลง กรณ์โหย่งสะโพกขึ้นเพื่ออำนวยให้อีกฝ่ายกำจัดอาภรณ์ได้สะดวกขึ้น ไม่นานส่วนหน้าก็หลุดจากพันธนาการ เขาเหลือบมองคนบนตักอีกหน คราวนี้หน้าของดนตร์แดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุกเสียอีก “ทำ...ทำไมถึงใหญ่นัก”

“ก็ตามตัว” เขาตอบให้ถึงจะรู้ว่านั่นเป็นแค่การพึมพำก็ตาม

ดนตร์เม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะใช้มือรูดรั้งให้ แค่ความอ่อนนุ่มของฝ่ามือเขาก็สะท้านไปทั้งตัว ยิ่งตอนมันรูดขึ้นไปตามแนวยาวเคล้นเคล้าเบาๆ ที่ส่วนปลาย เขาเสียวแทบขาดใจ ดนตร์ขยับมืออีกสองสามทีมันก็พร้อมออกรบเต็มที่

ร่างโปร่งยืดกายขึ้นเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือไปด้านหลังจุ่มจ้วงปลายนิ้วเปียกลื่นเข้าสู่ร่างกายของตัวเอง ความคับแน่นทำให้ใบหน้าน่ารักเหยเก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถอดใจพยายามจนความฝืดเคืองลดลงจนนิ้วเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น จากหนึ่งนิ้วไปเป็นสองนิ้วและสาม ตลอดเวลาที่นิ้วทั้งสามขยับอยู่ในกายตัวเองนั้น ดวงตาคมกริบของกรณ์ก็จับจ้องไม่ว่างเว้น ความเสียวเสียดทวีสูง เขาไม่เคยเห็นดนตร์มีท่าทางร้อนแรงขนาดนี้มาก่อน ทำทุกอย่างด้วยตัวเองแม้แต่ตอนเบิกทาง

“อื้อ...แน่น อ๊ะ เสียว”

กรณ์กัดฟันกรอด เสียงครางสลับกับคำบอกถึงอาการไม่ต่างจากเชื้อเพลิงชั้นดี ยิ่งสีหน้ากึ่งทรมานกึ่งสุขสมนั่นยิ่งกระตุ้นให้เส้นความอดทนขาดผึง

เขาไม่สนใจแล้วว่าช่องทางนั้นมันจะพร้อมแล้วหรือยัง กรณ์กระชากนิ้วทั้งสามนั้นออกแล้วดันสะโพกเข้าหา ความใหญ่โตทะลุผ่านเยื่อบุน้อยๆ ไปทีเดียวสุดทาง! ดนตร์สะดุ้งเฮือกพยายามจะดิ้นรนหนี แต่เขายึดเอวคอดเล็กไว้เสียก่อนแล้วจับมันกดลง ตอกเนื้อร้อนให้เข้าลึกกว่าเดิม แล้วกดแช่อยู่อย่างนั้น ไอร้อนแผ่ซ่านไปทั่วหน้า หูอื้อ ตาลายกับความต้องการที่มากล้นจนเกินควบคุม

“พี่กรณ์! อื้อ มันเจ็บนะ!”

“นายยั่วฉันเอง รับรองคืนนี้นายกับฉันได้เหนื่อยสมใจแน่”

กรณ์สวนสะโพกขึ้นแล้วผ่อนออก ช้าเนิบนาบในนาทีแรก จนเมื่อความคับแน่นคลายตัวลงจังหวะรักเลยเร็วขึ้น ดนตร์กลับมาตอบสนองได้อีกครั้ง กล้ามเนื้อตอดรัดอย่างบ้าคลั่ง เยื่อเมือกอ่อนห่อหุ้มช่วยทำให้การเคลื่อนไหวง่ายกว่าเดิม ส่วนหน้าของดนตร์ตั้งชันโดยไม่ต้องปลุกเร้า ก้นกลมตีกับหน้าขาเป็นเสียงดัง สองแขนเกาะเหนี่ยวหัวไหล่เอาไว้ ใบหน้าน่ารักแหงนเงยไปด้านหลัง เขาก้มลงดูดกลืนยอดอกตรงหน้าอีกครั้ง สลับกันทั้งสองข้าง ดนตร์หวีดร้องเสียงดังอย่างลืมอาย พลางขย่มสะโพกเข้าใส่อย่างลืมเจ็บด้วยเช่นกัน

ภายในบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งส่วนปลายก็เลื่อนไถลไปถูกจุดอ่อนไหว ดนตร์ยิ่งร้องดังกว่าเดิม ตัวสั่นไปหมด สิ้นเรี่ยวแรงเสียเดี๋ยวนั้น เดือดร้อนเขาที่ต้องเร่งเร้าจังหวะแต่เพียงผู้เดียว เด็กดื้อตัวอ่อนซวนซบลงมาที่หัวไหล่ ปล่อยให้เขากำกับลีลารักเอง แต่พอมีแรงก็ช่วยขย่มกลับ ดนตร์บิดกายไปมา เนื้อร้อนด้านหน้าแดงก่ำ เขาเลื่อนมือไปช่วยรูดรั้ง แต่ไม่กี่ทีสายธารสีขาวก็พวยพุ่ง เปรอะเปื้อนถึงคางมน กรณ์ใช้ลิ้นตวัดกลืนลงไปอย่างไม่คิดรังเกียจ ขณะเดียวกันก็รัวสะโพกใส่ไม่หยุด หน้าท้องปวดเกร็งไปด้วยความต้องการที่อัดแน่น จากนั้นไม่กี่อึดใจลาวาขุ่นก็หลั่งรดรินเนื้ออ่อน ดนตร์สะท้านครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ต่างกับเขา เสียงครางยังสะท้อนอยู่ในแก้วหู พวกเขาผวาเข้ากอดกันแน่น ต่างก็รู้ดีว่าบทรักยังไม่จบลงง่ายๆ …

ไม่ว่าเส้นทางแห่งรักนี้จะมีจุดสิ้นสุดเป็นอย่างไร แต่สองมือที่กุมกันไว้จะไม่มีวันปล่อยจากกันแน่นอน ต่อให้หนทางข้างหน้าจะยากลำบากกว่าที่เคยพบเจอก็จะไม่หวาดหวั่น แค่ขอให้เชื่อมั่นในกันและกัน ไม่เหนื่อยที่จะรัก แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว...

                                                           ..................The End………………

 :mew6: จบแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
สุดท้ายฝากแบบรูปเล่มด้วยนะคะ มีตอนพิเศษสำหรับอีกสามคู่ที่เหลือและตอนพิเศษของกรณ์และดนตร์ นะคะ
1.อริญช์+พระนาย
2.ธาวิน+จันทร์ทิวา
3.นักรบ+เมธัส
คิดว่าน่าจะวางขายในช่วงงานฟิคในเดือนพฤศจิกายนนะคะ



หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-10-2017 19:14:49
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 16-10-2017 21:22:26
 :pighaun:
จบได้หวานแต่เรียกเลือดมากๆๆๆ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 16-10-2017 22:09:34
งื้อออออ...ช่างเป็นตอนจบที่ร้อนแรงเว่อร์ 
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 17-10-2017 02:02:43
พี่กรณ์ก็หื่นยันตอนสุดท้าย 5555555555
ขอบคุณมากนะคะ สนุกๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 19-10-2017 23:28:28
สนุกมากกกกก
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 20-10-2017 03:06:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-10-2017 10:46:33
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-10-2017 22:40:26
 :pig4: :katai2-1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 22-10-2017 16:54:53
สนุกมากค่ะ กรณ์ตอนแรกๆร้ายกับเพลงมาก แต่พอรู้ตัวว่าชอบเพลงแล้วก็แสดงชัดไปหมดว่ารักว่าหวงว่าหึง และหลงหัวปักหัวปำไปเลย มันดีอ่ะ ชอบๆ

บวกๆจ้า^^
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 22-10-2017 20:51:21
อ่านช่วงแรก คุ้นมาก อ่านต่อไป เอ้ยก๊อปหรือเปล่า เตรียมจะไปฟ้องคนเขียนกันเลยทีเดียว จนมาอ่านคำชี้แจง โอเค คนเขียนบอกว่าแปลงมาจากฟิคเรื่องหนึ่ง ชัดเลย
แม้นจะรู้สึกประดักประเดิด(เขียนถูกไหมเนี้ย) จากดอกเหมยเป็นดอกจำปี ก็มองๆ ผ่านไป เอาจริงๆ ก็ไม่ได้อ่านละเอียดเพราะอ่านฉบับเดิมมาสัก2 รอบได้
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 25-10-2017 07:42:42
แซ่บกันจริงๆ  :hao6:
 :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 27-10-2017 15:23:06
 :-[
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-11-2017 17:46:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: elfeleves ที่ 05-11-2017 04:10:58
เกิดความสงสัยจนทนไม่ได้ต้อง เพลงรักกรณ์ที่ตรงไหน ... ไม่ได้มีความดีงามสักนิดเดียว ถ้าจำไม่ผิดตอนแรกๆ บอกว่าชอบเพราะหน้าตาดี ถ้าเหตุผลแค่นี้ มันทำให้เป็นรักฝังใจได้ด้วยเหรอ

ส่วนกรณ์ ไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าได้ บอกได้คำเดียว เลว (เกินบรรยาย)

ส่วนวีร์จะให้กรณ์รับผิดชอบ รับยังไง
ถ้าให้เป็นแฟน ไม่เห็นด้วย กรณีถ้ากรณ์ไม่ได้รักเพลง แค่ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว ต้องให้เพลงทุกข์ไปทั้งชีวิตเหรอ แล้วยาหยีเอาไปไว้ไหน (กรณีนี้ she ไม่ได้ผิดอะไรด้วยเลย แม้จะไม่ชอบ she เท่าไหร่)
เอาแค่คำขอโทษ แล้วทำตามที่เพลงต้องการ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

บรรยายความรู้สึก ณ.กำลังอ่านตอนที่ 6 และขอกลับไปอ่านต่อตอนต่อไปเลย อยากรู้
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 16-03-2018 02:36:13
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 18-03-2018 00:19:37
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: HPG ที่ 21-03-2018 18:13:37
 :กอด1: อ่านรวดเดียวเลย ทำไมถึงมาเจอเรื่องนี้ตอนที่จบแล้วนะ
อยากมีโอกาสให้กำลังใจคนเขียนระหว่างทางมากเลยค่ะ
นี่มาเจอกันตอนปลายทางแล้ว
งือ~เสียดาย  :o8:
เรื่องสนุกมากๆๆๆๆๆเลย
น้องเพลงน่ารักมากกกกก

แต่อยากกระซิบบอกว่า
พี่ซันนี่มาแรงแซงทางโค้งมากเลยค่ะ
บุคลิกแบบว่าอยากได้คนนี้เป็นพระเอกซักเรื่องเลย
นึกภาพผู้ชายตัวโตๆขรึมๆหัดทำอาหารสิคะ
กรี๊ดดดดดดด 55555+
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: AngPao1932 ที่ 31-03-2018 02:03:11
เพลงมีความเป็นคนดีในระดับที่สูงมาก มากจนมันทำให้เพลงเสียเปรียบหรือป่าว กร ไม่มีความดีจุดไหนมาดึงดูดได้เลยจริง ส่วนเรื่องยาหยี คือแบบกรทำไมทำแค่นี้ มองในอีกมุมถ้าเพลงตายล่ะ ไม่ตั้งใจแต่ก็คิดไตร่ตรองมาก่อนหรือป่าว ถ้าไม่สั่งสอนหนักๆมันก็จะไปทำกับคนอื่นอีก


ขอบคุณนักเขียนที่แต่งให้อ่านจ้า และขอเป็นกำลังใจให้ในทุกๆเรื่องจ้า :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: HunHan9407 ที่ 17-06-2019 02:35:47
รอก่อนนะเดี๋ยวไปอ่าน
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 27-07-2019 14:13:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: MezoSone9 ที่ 29-07-2019 16:35:33
สนุกมากๆๆๆ  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 01-08-2019 09:22:27
 :-[ :o8: :-[ :o8:

งื้ออออ จบแล้ว
ชอบมากๆๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะ  o13
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 03-08-2019 21:02:22
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 06-08-2019 11:59:59
ไม่ใช่รอบแรกที่อ่าน แต่อ่านแล้วก็แค้นฝังลึกกับผู้หญิงที่ชื่อ โยษิตา คือร้ายกาจขนาดนั้น ปั้นเรื่องตอแหลใส่ร้าย ทำร้ายคนอื่นมากมายขนาดนั้น คนโดนทำร้ายเกือบตายอีก ไหนจะอาละวาดด่ากราดว่าโดนนอกใจ ทั้งๆ ที่ตัวเองคบซ้อนนอกใจมาก่อนครึ่งปี 6 เดือนเลยนะไม่ใช่ 6 วัน แล้วดูสิไม่มีอะไรเกิดขึ้นหนีไปเรียนอเมริกาสวยๆ เลว ความคาดหวังในนิยาย เพราะว่ามันเป็นนิยายไง ถึงอยากเห็นผลของการกระทำบ้าง ใส่ร้ายคนอื่นผ่านโซเชียลก็ควรรับผลอะไรผ่านโซเชียลบ้าง นอกใจเขาก่อนแต่กลับแสดงเป็นผู้เสียหายเสียเต็มประดา แค่เพราะคำอ้างว่าเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิงแล้วเลวยังไงก็ได้ ในนิยายวายเหรอ ไม่เข้าใจ แต่ช่างมันเขาเขียนมาแบบนี้ ก็ต้องยอมรับตามคนเขียน แต่ขัดใจคนรอเผือก 5555  :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 10-11-2019 21:30:02
โอ่ยยยยย เลือดหมดตัวแล้วค่างานนี้
#เกรียมไม้เรียวมาตีน้องลูกเจี๊ยบ ขี้อ่อยมากกก ยั่วเกินไปล่ะค่ะลูก ส่วนอิพี่ก็เล่นน้องซะไม่ถนอมน้องเลยวุ้ยยย :o211:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 18-11-2019 23:19:53
โดยรวมสนุกดีครับ

แต่ขอ comment นิดนึง คือ
1. อ่านไปๆ ต้องคิดตลอดว่า นี่เรื่องเกิดใน กรุงเทพฯใช่มั้ย รู้สึกนายเอกขี้หนาวขนาดไหน ถึงจะรู้สึกหนาวที่กรุงเทพฯได้
2. มีอ่านตอนนึงท้ายๆ เกี่ยวกับ นายเอกบ่นเรื่องของแพง แต่แทนที่จะ คิดว่า "หลายบาท" กลับใช้คำว่า "หลายหยวน" เป็นหน่วยเงินจีน?
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: ปาลี ที่ 14-12-2019 15:54:53
ไม่ด่ากรณ์อ่ะเพราะมันเลวอยู่แล้ว ขอด่าเะลวแทนละกันอะไรจะมือเท้าอ่อนขนาดนั้นปกป้องตัวเองไม่ได้เลย อย่าอ้างว่ารักอันนั้นมันโง่ไป
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: ปาลี ที่ 14-12-2019 16:19:59
เพลงโลเล ใจง่าย มีเพื่อนก็พึ่งพาไม่ได้แถมนำพาซึ่งปัญหา รุ่นพี่ที่มีก็แย่ เห็นแก่ตัว คือเอาอะไรคิดเอาเพลงมาเป็นของรางวัลแข่งรถอ่ะ เพลงคงภูมิใจเน๊อะ
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: ปาลี ที่ 14-12-2019 19:22:27
อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ยังสัมผัสถึงความรักความห่วงใยที่กรณ์มีให้เธอลง ไม่ได้เลย มีแต่คำว่าเซ็กส์ กับความเห็นแก่ตัว เพลงเองก็ยังคงใจง่ายและอยู่ใค้เท้าของกรณ์ต่อไป
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 22-12-2019 12:49:14
จบแล้วววว
เนื้อเรื่องสนุกดีค่ะ
จบได้เรียกเลือกมาก
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 12-02-2020 11:47:54
 เป็นเรื่องที่น่ารำคาญดีค่ะ พยายามจะอ่านให้ได้มากที่สุด แต่ก็แพ้ให้ความน่ารำคาญหลายๆอย่าง ขอโทษที่อ่านไม่จบค่ะเพราะว่ามันน่ารำคาญจนหงุดหงิด :a5:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 12-02-2020 18:08:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 17-02-2020 07:40:54
 แหมจบไปแบบ......เฮ้อฟินๆกันไป :mew3:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: hardened-boy ที่ 04-03-2020 17:36:07
เพิ่งอ่านมาได้ 1 ตอนกว่าๆ  เนื้อเรื่องดูน่าสนใจครับ
แต่การที่คนเขียน เรียกชื่อเล่นและชื่อจริงของตัวละครสลับกันไปมา มันทำให้งงมาก ว่ากำลังพูดถึงใครอยู่กันแน่ 
เช่น ธาวิน ชื่อเล่น ธาม
ในขณะเดียวกัน ก็มีคนอื่นชื่อเล่นวิน
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 27-03-2020 17:32:39
อิจฉาเพลงจังอะไรจะมีเสน่ห์ยั่วยัวนเพศผู้ขนาดนั้น ผู้ชายหล่อทั้งแก๊งมารุมรัก โอ๊ย ๆๆๆ อิจ ๆๆๆ

 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 11-03-2024 13:57:12
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)