พิมพ์หน้านี้ - My Almond Crush....

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: วิฬาร์ ที่ 11-10-2013 15:24:22

หัวข้อ: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 11-10-2013 15:24:22
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

................................

My Almond Crush

บทนำ

สิ่งสำคัญยิ่งสิ่งหนึ่งของนักเรียนสังคมวิทยาอย่างผมก็คือความสามารถที่จะมองให้ออกและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของบุคคลคนหนึ่งต่อบุคคลอื่น และต่อสังคม แต่ในตีสองของวันอันเศร้าหมองสิ่งที่ทำให้ผมสมเพชตัวเองเป็นที่สุดก็คือ การที่ผมนั่งครุ่นคิดถึงรุ่นน้องผู้ชายคนหนึ่ง และไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมว่ารูปแบบความสัมพันธ์ของเราควรจะเป็นอย่างไรต่อไป เรื่องของเรื่องก็คือผมดันแอบชอบรุ่นน้องต่างคณะที่อยู่ในหอพักเดียวกัน และไอ้เจ้าเด็กโง่คนนี้ก็ไม่ได้ตระหนักเลยสักนิดว่าการที่มันคอยมาคุย กินข้าว ดูหนัง ชวนไปเที่ยว ช่วยทำการบ้าน หรือการที่มันมาเอาอกเอาใจผมต่างๆ นานานั้นก็เหมือนกับเนื้อที่ลืมว่าตัวของมันกำลังเดินเข้าปากเสือ แต่ปัญหาทั้งหมดนั้นกลับเป็นปัญหาสามัญที่ชวนให้โลกแตกเป็นที่สุดเมื่อผมต้องเผชิญความจริงที่ว่า เราต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน และในตอนเช้ามืดผมก็ล้มตัวลงนอนพร้อมกับตำหนิตัวเองที่โกงเอาเวลาอ่านหนังสือเรื่องแม็คเบ็ธมานอนก่ายหน้าผากคิดถึงคนที่นอนอยู่อีกห้องถัดไป แต่อย่างน้อยเชคเสปียร์ก็พยามบอกคนอ่านผ่านเลดี้แม็คเบ็ธว่า “สิ่งที่ทำไปแล้วไม่อาจย้อนกลับไปไม่ทำได้” ซึ่งมีค่าเท่ากับ “คนที่มีรักแล้วไม่อาจกลับไปไม่มีรักได้”
หากเป็นไปได้ผมอยากจะคุยกับเชคสเปียร์สักครั้งเพื่อค้นหาว่าเหตุผลหรือต้นตอ (ตามสันดานของนักสังคมวิทยา) ใดที่ทำให้เขาได้รจนาบทประพันธ์ที่ตรงกับความรักได้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ เขาจะเคยถูกคนที่รักทิ้งไปแบบผมหรือเปล่าเลยรู้ว่า ความรักที่มากล้นนั้นเมื่อพบกับความผิดหวังมันจะบูดเบี้ยวกลายเป็นความเกลียดที่รุนแรง แต่ความเกลียดและความรักก็กลับเป็นเหมือนฝาแฝดที่อยู่ด้วยกันเสมอ เพราะผมก็ยังรู้สึกได้ว่ายิ่งเราเกลียดคนรักเก่ามากเท่าไรก็หมายความว่าเรายังรักเขามากเท่านั้น เรื่องของเรื่องก็คือคนที่ผมรักนั้นดันเป็นอดีตรูมเมทของผมเอง รูมเมทและเพื่อนที่แสนดีที่ทิ้งผมไปทันทีที่ผมบอกรักมัน ทิ้งผมให้อยู่ในห้องที่เคยเป็นของเราห้องที่มันเคยตั้งชื่อให้เท่ห์ๆ ว่า “ห้องแห่งความลับ” ตามหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์ และผมต้องเจอการนินทาอย่างเมามันของคนในคณะและคนที่หอเรื่อง “วิฬะกับห้องแห่งความลับ” ต่อมาอีกเป็นปี ตั้งแต่นั้นมาผมจึงตั้งกฎเหล็กให้กับตัวเอง
ข้อแรก ห้ามตกหลุมรักรูมเมทไม่ว่าจะในกรณีใดๆ
ข้อสอง ห้ามมีสัมพันธ์ทางกายกับคนในหอเด็ดขาด
ข้อสาม อย่าพูดคุย ทำกิจกรรมใดๆ หรือไปไหนมาไหนกับผู้ชายสองต่อสอง
ผ่านมาแล้วหนึ่งปีเต็มๆ หลังจากที่ผมเทียวเข้าเทียวออกออฟฟิศของจิตแพทย์อยู่สองสามครั้ง ผมก็คิดได้ว่าผมควรจะเริ่มต้นใหม่เสียที กรรมของกรรมก็คือลูกพี่ลูกน้องของผมที่สอบติดคณะวิศวะฯ มาขอแชร์ห้องอยู่กับผมด้วย ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของผมหรอกนะ แต่เพื่อนๆ ของมันต่างหากที่เปรียบได้กับผู้เสพความตายพร้อมกับคำสาปพิฆาต โทษผิดสถานเดียวอีกเป็นชุด แม้ตอนนี้ตรามารจะเด่นชัดบนฟากฟ้าแต่แผลเป็นที่กลับมาแสบราวกับโดนไหม้ของผมไม่ได้อยู่บนหน้าผากแต่หากว่ามันอยู่ที่หัวใจของผม หัวใจที่ถูกทิ้งให้ตาย หัวใจที่หยุดเต้น

..........................................................

ในตอนที่ผมกำลังดาว์นโหลดหนังฟรีจากเว็บไซต์ประจำอยู่ในห้อง ผมก็ออกมาที่ระเบียงนั่งคุยเรื่อยเปื่อยบนกรอบหน้าต่างไม้ขนาดใหญ่ใหญ่ของหอพัก เพื่อคุยโทรศัพท์กับปลา แฟนที่อยู่คนละมหาลัยกับผม ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมคุยโทรศัพท์กับปลามาตั้งแต่ตอนไหนแต่การคุยกับแฟนของตัวเองไปเรื่อยๆมันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรสักหน่อย ส่วนมากเราคุยกันด้วยเรื่องของเพื่อนในโรงเรียนเก่าที่เราเคยเรียนอยู่ด้วยกันว่า เพื่อนๆ ของเราแต่ละคนตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำอะไร มีนัดไปเที่ยวด้วยกันอีกเมื่อไหร่ ราวกับว่าพวกเรากำลังช่วยกันเหนี่ยวรั้งเวลาของชั้นมัธยมปลายที่มันจบไปแล้วให้อยู่ตลอดไปตราบนานเท่าที่เราทำได้ เมื่อผมวางสายจากแฟนกลับเข้าห้องมาดูความคืบหน้าของการดาว์นโหลดเพื่อนๆ ของผม รูมเมทของผมก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว นาฬิกาดิจิตอลในคอมพ์บอกเวลาสองนาฬิกาของวันใหม่และผมก็เริ่มหิวอีกแล้วแต่ที่พลาดก็คือเมื่อคืนผมได้ได้ซื้อขนมมาตุนเอาไว้ ผมคิดว่าพรุ่งนี้เช้าจะกินอะไรดีและจะไปกินกับใครดีถ้าเพื่อนยังไม่ตื่น ความจริงแล้วผมไปกินคนเดียวก็ได้หรอก แต่ว่าในฐานะเด็กปีหนึ่งคณะเทคโนฯ ที่เพิ่งผ่านการรับน้องมาหยกๆ ผมสารภาพว่าผมยังกลัวกลัวพวกรุ่นพี่อยู่เลยนั่นพลอยทำให้ผมไม่อยากไปไหนมาไหนคนเดียว โดยเฉพาะในโรงอาหารสถานที่ชุมนุมของนักศึกษาทุกชั้นปี
เพื่อนของผมที่เรียนสาขาวิชาเอกเดียวกันที่อยู่ในหอเดียวกับผมมีสามคน ไอ้ทรี ไอ้เอ็ม ไอ้วิตซ์ ว่าไปแล้วคนที่มีความเป็นไปได้ที่จะหนหิวไม่ไหวแล้วออกมากินข้าวตอนเช้าพร้อมๆ กับผมก็คงจะไปไอ้ทรีนี่แหละ ห้องที่ไอ้ทรีอยู่นั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องผมถัดไปอีกสองห้อง ไอ้ทรีมันบอกว่ามันอยู่กับพี่มัน เห็นว่าพี่มันเรียนอยู่ปีสี่คณะอักษรฯ เขาคงจะไม่ค่อยมายุ่งกับผมมากนักหรอกนะ อย่างนั้นพรุ่งนี้ถ้าไอ้สองตัวที่อยู่ห้องเดียวกับผมมันไม่ยอมตื่นผมจะไปชวนไอ้ทรีก็แล้วกัน แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำ แปรงฟันแล้วหรือยังผมก็จำไม่ได้
เป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้ในตอนเช้ามีแต่ไอ้ทรีที่จะลงไปกินข้าวกับผมแต่ที่ผมก็ไม่ได้คาดไว้ก็คือไอ้ทรีมันเสือกชวนพี่มันไปด้วยนี่สิ
“เออ รอแป๊บได้มะ” เสียงหนึ่งที่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนดังมาจากเตียงด้านในที่ถูกบังไว้ด้วยโต๊ะอ่านหนังสือตัวใหญ่ที่หันหน้าเข้าหาเตียง แถมบนโต๊ะยังมีหนังสือเป็นสิบเล่มกองเป็นตั้งๆ ให้ดูสูงขึ้นไปอีก มันทำให้ผมมองไม่เห็นคนที่อยู่ด้านหลัง แต่แค่น้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดผมก็ไม่อยากจะเห็นหน้าแล้ว

หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 11-10-2013 15:32:32
1 เปิดเทอมใหม่หัวใจเฟรชชี่ (ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น)
   หลังจากกลับมาจากภาคสนามในดินแดนอันไกลโพ้นเป็นเวลาสิบวันสิบคืน ผมก็ได้กลับมาที่มหาลัยซึ่งปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายของชีวิตนักศึกษาของผมแล้ว 1324 ห้องของผมที่ใช้มาตลอดสามปีอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยฝุ่นเพราะไม่มีคนอยู่คอยทำความสะอาดในช่วงปิดเทอม เมื่อขนข้าวของขึ้นมาบนห้องเรียบร้อยผมก็เริ่มทำความสะอาดและจัดของใช้ต่างๆ เข้าที่ ผมต้องยกเตียงสำรองออกมาไว้อีกมุมหนึ่งของห้องและเช็ดรอยเลือดที่เคยใช้มันปิดไว้แม้เดิมทีผมไม่มีความตั้งใจจะเช็ดรอยเลือดนี้ เหมือนอะไรบางอย่างบอกผมว่าให้ลืมเลือนเรื่องไม่ดีเก่าและเริ่มต้นใหม่จริงๆ เสียที และเหตุผลที่ผมต้องยกเตียงต้องห้ามที่ไม่ได้ใช้มาหนึ่งปีออกมาก็เพราะว่าปีนี้ลูกพี่ลูกน้องของผมชื่อ “ทรี” มาขอแชร์ห้องอยู่ด้วย ทางบ้านผมก็สนับสนุนเต็มที่ว่าพี่น้องควรจะอยู่ด้วยกันจะได้ช่วยเหลือกัน โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าผมแอบลำบากใจในตอนแรกเพราะผมเคยคุยกับไอ้ทรี แล้วมันก็เล่าว่ามันไม่ชอบกะเทยเพราะว่าตอนเล่นสงกรานต์เมื่อปีที่แล้วมันกับเพื่อนถูกกะเทยกลุ่มประมาณสิบกว่าคนวิ่งไล่ตามปะแป้งกว่าสามร้อยเมตร แล้วคนที่ไม่ชอบกะเทยต้องมาอยู่กับคนรักร่วมเพศแบบผมก็คงลำบากใจกันทั้งสองฝ่ายถึงแม้ผมจะมีบุคลิกหลายๆ อย่างที่ไม่เหมือนกะเทยก็เถอะ แต่เอาเถอะก็นี่มันเป็นเวลาที่เราจะเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เหรอ
   “เตียงนั้นให้ทรีนอน เตียงนี้เป็นของพี่ แล้วตู้เสื้อผ้าเราก็แบ่งกันใช้ของพี่แถบขวาของทรีแถบซ้าย แล้วตู้เก็บของที่ว่างอยู่ทรีก็ใช้ได้นะ” ผมบอกทรีเมื่อช่วยมันขนของขึ้นมาบนห้องจนครบ สองวันจากที่ผมมาถึง แล้วผมก็กลับมานั่งที่เตียงเล่นเกม”Age Of Mythology” ต่อจนง่วง ไม่รู้ว่าผมหลับไปเมื่อไหร่แต่เมื่อผมตื่นขึ้นมาก็บ่ายสามโมงครึ่งแล้ว เห็นว่าทรีมันจัดของเสร็จแล้ว และตอนนี้มันก็หลับอยู่บนเตียงหลังนั้นด้านซ้ายมือของห้อง ผมซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรทำก็ล้มตัวลงนอนต่อพลางวางแผนว่าตอนห้าโมงเย็นผมจะชวนทรีมันขี่จักรยานไปซื้อราวตากผ้าอันใหม่ที่ห้างโลตัส
“พอดีเลยพี่วิ ทรีกำลังอยากจะได้ราวตากผ้าเหมือนกัน” ไอ้ทรีตอบรับทันทีหลังจากที่ผมชวน และระหว่างที่ผมกำลังซื้อของในโลตัสก็ไม่ลืมที่จะหยิบน้ำอัดลมขวดลิตรติดมือมาครึ่งโหลเพื่อเลี้ยงต้อนรับไอ้ทรี
   ความจริงมันก็ไม่ใช่การเลี้ยงฉลองอะไรหรอกก็แค่การที่ทางบ้านของพวกเราทำกับข้าวมาหลายอย่างเพราะรู้ว่าผมเบื่ออาหารตามสั่ง และรู้ว่าไอ้ทรีมันชอบกินข้าว (กินจนอ้วน) ผมไม่ได้กินข้าวกับคนในครอบครัวหรือญาติมานานมากแล้วเนื่องจากสองปีสุดท้ายของการเรียนผมออกไปฝึกงานและออกภาคสนามทั้งสองปี แถมผมยังไม่ชอบกลับบ้านสักเท่าไร ผมกำลังนั่งกินข้าวกับทรี แม้จะเป็นญาติแต่ก็ไม่ใช่พี่น้องในสายเลือดทั้งมันยังออกปากเองว่าเกลียดกะเทยผมจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะวันนี้ผมฝืนกฎเหล็กของตัวเองโดยการกระทำกิจกรรมใดๆ กับผู้ชายสองต่อสองไปแล้วทั้งไปซื้อของในห้างและนั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน
“ทรีถ้าทรีอยู่ที่นี่แล้วมีอะไรไม่สบายใจก็บอกพี่นะ หรือถ้าต่อไปอยากจะออกไปอยู่กับเพื่อนพี่ก็ไม่ว่า บอกพี่แล้วพี่จะไปบอกแม่ทรีกับคนที่บ้านให้” ผมรวบรวมความกล้าและบอกกับทรีตรงๆ ในระหว่างที่เรากินข้าว เมื่อได้ฟังทรีก็ทำหน้าสงสัยระคนตกใจเล็กๆ ผมจึงรีบพูดต่อว่า
“ไม่ใช่พี่ไล่ทรีหรอกนะแต่พี่กลัวทรีอยู่กับพี่แล้วไม่สบายใจ พี่รู้ว่าทรีไม่ชอบกะเทย...พี่ก็อยากบอกให้รู้ว่าพี่ชอบผู้ชาย บางทีทรีอาจจะรังเกลียด บางทีทรีอาจจะอายเพื่อน...” ผมเริ่มจิตตกนิดๆ เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา
ทรียิ้มแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกพี่ทรีไม่คิดอะไร อีกอย่างเป็นพี่น้องกันด้วย”
“อือ มีอะไรก็บอกแล้วกัน” ผมย้ำ และเราก็กินข้าวต่อจนเกลี้ยงผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมทรีถึงอ้วนและผมเองก็เคยอ้วนตอนช่วงมัธยมต้น
   หลายวันต่อมา ในตอนเช้า (มากๆ) ผมถูกปลุกขึ้นมาโดยไอ้ทรี มันคงจะไม่รูว่าถ้าผมนอนไม่เต็มอิ่มแล้วถูกปลุกขึ้นมาผมจะอารมณ์เสีย ถึงจะหงุดหงิดเล็กๆ แต่ผมก็ต้องรักษามารยาท
“พี่ พี่วิ ไปกินข้าวกัน” ไอ้ทรีชวนหลังจากผมตื่นขึ้นมา มันคงหิว ผมคิด
“เออ รอแป๊บได้มะ” ผมตอบไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสียงฟังดูหงุดหงิดแล้วผมก็กระโดดออกจากเตียงนอน ใช้นิ้วเท้ากดปิดพัดลมโดยไม่มอง คว้าตะกร้าเครื่องอาบน้ำและวิ่งออกไปที่ห้องน้ำรวม เพราะยังไม่ได้ใส่คอนแทคฯ ผมจึงไม่เห็นว่ามีคนใส่เสื้อสีดำยืนรออยู่อีกด้านของประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ โครม เมื่อผมชนคนกระเด็นไปสองก้าว
“พี่เป็นไรเปล่า” ทรีร้องถาม
แต่ผมกลับรีบขอโทษคนที่ผมชนโดยไม่สนใจเสียงไอ้ทรี “เอ่อ...เป็นไรเปล่าน้อง โทษทีนะ พี่ไม่ทันมอง”
“ไม่เป็นไรครับ” เด็กคนนั้นตอบกลับมาเมื่อยืนขึ้นเด็กนี่ตัวสูงกว่าผมตั้งสองช่วงหัว ตัวโตแบบนี้คงไม่เจ็บมากหรอกมั้ง
“ไม่เจ็บใช่มั้ย” ผมย้ำ
“ครับ” คือคำตอบ แล้วผมก็วิ่งต่อไปยังห้องน้ำเพราะกลัวทรีมันจะรอนาน โครม เมื่อผมชนกับขอบอ่างล้างหน้าสีขาว ผมไม่แปลกใจตอนตื่นใหม่ๆ ผมมักจะประสาทช้า สายตาก็มองไม่เห็นเพราะสั้น แต่เพราะประสาทการรับรู้และตอบสนองช้าลงนี่แหละผมถึงไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างไร แต่ทรีกับเด็กคนนั้นต่างก็ชะโงกหน้ามาดูพร้อมกัน
เมื่อผมแปรงฟันล้างหน้าเสร็จความสดชื่นทำให้อารมณ์ของผมกลับมาเป็นปกติ ผมรีบกับมาที่ห้องเห็นเด็กคนนั้นนั่งคุยอยู่บนเตียงของทรี เมื่อรู้ว่าเป็นเพื่อนทรีผมจึงเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไร เปิดตู้ส่องกระจกแล้วล้วงเอาคอนแทคฯ ออกมายัดใส่ลูกตา และเปลี่ยนชุดอย่างรีบๆ เพราะความอายคนแปลกหน้า
“พี่วิ นี่เพื่อนทรี อยู่เอกเดียวกันชื่อ “โย๊ป” ทรีแนะนำตัวเพื่อนใหม่ของมัน
“อื้อ “ ผมตอบรับสั้นๆ
“สวัสดีครับ” เด็กคนนั้นยกมือไหว้พร้อมกับทักทาย แม้จะรู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมของมหาลัย แต่ผมก็อดกระดากไม่ได้เมื่อถูกไหว้
“อือฮึ” ผมตอบรับสั้นๆ อีกครั้งและเราก็ลงไปกินข้าวกัน
   หัวข้อของการรับน้องใหม่และการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่เกมในปีนี้คือ “เปิดเทอมใหม่หัวใจเฟรชชี่” ซึ่งผมคิดว่ามันห่วยมากๆ กับการตามกระแสหนังวัยรุ่นแนวที่ผมไม่เคยคิดอยากจะดู และก็เข้าทางพอดีกับการที่อาจารย์คนหนึ่งในภาควิชาสังคมวิทยาให้พวกเรานักศึกษาปีสี่ทั้งสิบเจ็ดคนไปจัดนิทรรศการชุมชนที่หมู่บ้านสามชุกเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน ซึ่งต้องจัดตรงกับคืนเฟรชชี่เกมทั้งสามวันพอดี ก็ไม่ได้เสียดายอะไรหรอกนะ เพราะผมเองเคยปฏิญาณไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมรับน้องของคณะอีกเด็ดขาด เพราะหลังจากที่เรื่องราวของผมกับรูมเมทคนเก่ารั่วไหลออกไปสู่สาธารณะชนคณะอักษรศาสตร์ มันก็ถูกใส่สีตีไข่เสียจนผมทนไม่ได้ เมื่อหมดศรัทธาต่อตัวเพื่อนร่วมคณะที่ครั้งหนึ่งเราเคยเล่นหัวกันมา ที่ครั้งหนึ่งเราทำงานกลุ่มร่วมกัน ที่ครั้งหนึ่งเราเคยไปเที่ยวด้วยกัน ผมจึงแปลกแยกตัวเองออกจากสังคมตามแนวคิดของมาร์กซิสต์ นั่นทำให้นอกจากเพื่อนในเอกสังคมวิทยาสิบหกคน เพื่อนสนิทบางคน กับรุ่นน้องที่รู้จักอีกประมาณสามสิบกว่าคนผมไม่มีคนคบเลยในมหาลัยที่มีคนมาอาศัย ร่ำเรียนกว่าหมื่นชีวิต
คืนหนึ่งในตอนที่ผมกำลังออกจากห้องไปร้านเช่าหนัง ผมก็ได้พบกับเด็กปีหนึ่งที่น่าตาน่ารักมาก (ไหนว่าจะไม่ชอบใครอีกแล้วไงเรา) กำลังยืนเกาหัวแกรกๆ อยู่หน้าห้องของน้องโย๊ปที่อยู่ถัดจากห้องผมไปสามห้อง ให้ตายเถอะผมไม่เคยเจอกับใครที่น่าตาน่ารังแก น่าแกล้งเท่านี้มาก่อน หลังจากนั้นบางครั้งผมก็แอบหวังเล็กๆ ว่าผมจะได้เห็นหน้าน้องเขาบางครั้งตอนที่ออกจากห้องและผมก็ได้เห็นน้องเขาจริงๆ และที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือ น้องมักไปไหนมาไหนกับทรี โย๊ป และเพื่อนมันอีกสองคนที่ตอนนี้ผมรู้จักแล้วว่าชื่อ วิตซ์ และ เอ็ม ผมจึงคิดว่าเขาคงเป็นเด็กเทคโนฯ แต่ไม่ได้อยู่เอกเครื่องกลเหมือนพวกไอ้ทรี และถ้าเป็นเพื่อนของทรีสักวันผมก็คงได้คุยกับน้องเขาอย่างแน่นอน
เปิดเทอมมาได้เดือนครึ่งก็เริ่มเข้าสู่ช่วงระยะเวลาของเทศกาลสอบกลางภาค มันดูน่าตลกมากเลยในความคิดของผมที่ไอ้พวกเด็กๆ ปีหนึ่งพากันออกมาจากห้องของตัวเองแล้วนั่งอ่านหนังสือหน้าตาเคร่งเครียดด้วยกันจนเช้ามืดที่ห้องคอมมอน พึมพำต่างๆ นานาถึงความยากความโหดของอาจารย์และบทเรียนที่จะออกสอบ แต่หลังจากหัวเราะเยาะเด็กได้ไม่นานกรรมก็ตามสนองเมื่ออาจารย์พิมพ์ที่สอนวิชา “บทละครคัดสรร (ภาษาอังกฤษ)” ให้ผมเขียนเรียงความจากบทละครเรื่อง “สวนสัตว์แก้วผลึก (The Glass Menagerie)” และเพราะการเขียนเรียงความวิชาการนั้นต้องอาศัยการอ้างอิงที่ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นในการเขียนเรียงความในแต่ละครั้งผมจึงต้องกางหนังสือที่ต้องใช้อ้างอิงไว้ด้วยกว่าสิบเล่ม นั่นทำให้ผมต้องออกมานั่งเขียนที่ห้องคอมมอนเนื่องจากโต๊ะเขียนหนังสือในห้องของผมเองนั้นใหญ่ไม่พอ และคืนหนึ่งเขาก็เดินมานั่งอ่านหนังสือด้านตรงข้ามของผมบนโต๊ะตัวเดียวกัน น้องปีหนึ่งคนนั้น “น้องคอร์ท” ผมสังเกตเห็นว่าน้องเขาหยุดอ่านหนังสือและหันมาฟังผมอธิบายเรื่องจิตวิทยาว่าด้วยความรักเพื่อนที่เอกภาษาอังกฤษฟังอย่างตั้งใจ (สนใจพี่ล่ะสิ คิดว่าพี่ฉลาดล่ะสิ่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า) อย่างกับคนในห้วงรักที่กำลังค้นหาคำอธิบายให้กับหัวใจตัวเอง
“อ้าว น้องคอร์ทจะสอบวิชาอะไรจ๊ะ” ลิตเติ้ล เพื่อนของผมถาม
“เค็ม (เคมี) ครับ” น้องตอบอย่างสุภาพ หลังจากได้คำตอบแล้วลิตเติ้ลก็หันมาคุยกับผมอีกสักพักแล้วเดินกลับเข้าห้องไป เมื่อลิตเติ้ลไปแล้วน้องคอร์ทก็เริ่มแกะห่อขนมหวานที่ซื้อมากินซึ่งส่วนใหญ่เป็นช็อกโกแล็ตบาร์ น้องเขาก็คงจะมีมารยาทล่ะมั้งเลยชวนผมกิน 
“กินมั้ยครับพี่” น้องเขาชวนพร้อมกับยื่นช็อกโกแล็ตมาให้
“อือ ขอบคุณนะ” ผมตอบพร้อมกับหักช็อกโกแล็ตมาเสี้ยวหนึ่ง
“พี่วิ พี่เรียนอยู่คณะอักษรฯ เหรอครับ” น้องคอร์ทถาม
“อืม ช่าย” ผมตอบ ยิ้มอาบจนหน้าบานเป็นกะละมัง
“พี่เรียนเอกภาษาอังกฤษเหมือนพี่ลิตเติ้ลเหรอครับ” น้องเขาถามต่อ
“เปล่าพี่เรียนเอกสังคม แต่เรียนภาษาอังกฤษเป็นสาขาวิชาโทน่ะ”
“เหรอครับ เห็นพี่เขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็ อ่านแต่หนังสือภาษาอังกฤษ”
“ก็นี่มันเป็นงานของวิชาภาษาอังกฤษนี่นา”
“และก็มิน่าล่ะพี่ถึงพูดเรื่องความสัมพันธ์ของคนแบบลึกๆ ซึ้งๆ บางทีก็ฟังดูแปลกๆ เหมือนกับเป็นตัวของตัวเองไม่ยอมตามความคิดของใครง่ายๆ แต่ก็ยอมรับฟังความคิดของคนอื่นเหมือนกัน” น้องเขาพูดต่อ
“เฮ้ย พี่เพี้ยนขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ที่พี่พูดเมื่อกี้นี้มันทฤษฎีล้วนๆ เลยนา” ผมอายจนหน้าดำๆ แอบแดง
“เปล่าครับ ไม่ได้หมายความว่าเพี้ยน”
“กินอีกก็ได้นะครับพี่” น้องเขาพูดพร้อมกับเลื่อนกองขนมที่เหลือมาอยู่ตรงกลางระหว่างผมกับเขา แล้วเราก็คุยกันเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ กินขนมบ้าง อ่านหนังสือเขียนเรียงความของเรากันต่อไป ผมเขินเลยกินขนมจนคอแห้ง เมื่อดูเวลาแล้วว่าหอจะปิดผมจึงตัดสินใจจะไปซื้อน้ำกับขนมที่เซเว่นฯ
“พี่จะไปเซเว่นนะ จะฝากซื้ออะไรรึเปล่า” ผมถาม จริงๆ แล้วอยากให้น้องเขามาด้วยกัน
“ไม่ล่ะครับ...น้ำเปล่าขวดหนึ่งละกันครับ”
“อื้อ” ผมรับคำแล้วเดินจากมา
   และเหตุการณ์นั้นคือ รักครั้งใหม่หรืออะไรก็ไม่รู้สิ แต่ผมก็ตัดสินใจตั้งแต่วันนั้นว่าผมจะทำความรู้จักกับน้องเขาไปเรื่อยๆ แล้วดูสิว่าหัวใจที่ยัดไว้ด้วยฝุ่นทรายของผมนั้นมันจะยอมเต้นไปกับจังหวะของการตกหลุมรักแบบแรกกพบครั้งนี้หรือเปล่า น้องคอร์ท ช็อกโกแล็ตบาร์ของผม
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 11-10-2013 15:46:08
2 ห้องแห่งความลับ

   เดือนครึ่งแล้วกับการที่ผมได้เข้ามาใช้ชีวิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย หลังจากช่วงแรกที่ผมค่อนข้างจะหวาดผวากับการรับน้องที่ค่อนข้างรุนแรง (ว๊าก) ตอนหลังเมื่อผ่านมาแล้วผมก็เริ่มคุ้นเคยกับมัน ชีวิตนักศึกษานั้นเป็นชีวิตที่มีอิสรเสรีอย่างแทบจะไร้ขอบเขต ผมกินเมื่อผมหิว ผมนอนเมื่อผมง่วง ผมเที่ยวดึกเท่าที่ผมต้องการ ผมคุยโทรศัพท์กับแฟนครั้งละหลายๆ ชั่วโมงโดยไม่ต้องห่วงว่าจะโดนแม่กับน้องสาวตัวดีแซว แต่ว่าตอนผมอยู่มัธยมพ่อมักจะพาผมไปดูหนังแทบทุกวันเพราะว่าโรงหนังอยู่ใกล้บ้าน การไปดูหนังกับพ่อคงเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งในช่วงมัธยมที่ผมคิดถึงล่ะมั้ง แต่จะว่าไปแล้วที่หอนี่ก็มีโรงหนังเหมือนกัน ฉายที่ห้องห้อง 1324 ห้องของไอ้ทรีกับพี่มัน (ผมประชดที่เขาดูหนังทุกวัน) ห้องนั่นก็ประหลาดมีสติ๊กเกอร์แปะไว้ว่า “The Chamber of Secret (ห้องแห่งความลับ)” ตามหนังสือแฮรี่ พอตเตอร์หนังสือเล่มโปรดของผม (จริงๆ แล้วเป็นนิยายเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ผมอ่าน) นอกจากตัวอักษรแล้วยังมีกระดาษตัดเป็นกิ่งไม้แห้งกับใบเมเปิ้ลร่วงติดประดับอยู่ด้วย ตอนแรกผมก็งงแต่หลายๆ ครั้งที่ได้เข้าไปในห้องของไอ้ทรี ไปเล่นคอมพ์ ไปนั่งคุย ผมก็เห็นว่าเตียงของพี่มันที่อยู่หลังโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือเป็นตั้งๆ นั้นมีผ้าปูเตียง หมอน หมอนข้าง และผ้าห่มเป็นสีและลวดลายของฤดูใบไม้ร่วง เหนือเตียงและพนังของห้องก็มีใบเมเปิ้ลกระดาษติดอยู่เต็มไปหมด รวมทั้งโปสเตอร์หลังเรื่อง “สงครามโค่นพันธุ์อสูร ภาพวาดของแวน โก๊ะ (Vincent Van Gogh) และภาพลายเส้นของการ์ตูนเรื่อง “เทพมรณะ (Bleach)” กับ “นารูโตะ นินจาคาถา” อีกหลายภาพติดอยู่ ผมไม่เคยเห็นใครบ้างานศิลปะและสิ่งสร้างสรรค์ของมนุษย์อยู่ ทั้งยังเอาของเหล่านั้นมาอยู่ในการใช้ชีวิตมากเท่าพี่วิ พี่ของไอ้ทรีมาก่อนเลย ทั้งวรรณกรรม บทความวิทยาศาสตร์ สารคดี ภาพยนตร์ ภาพวาด หนังสือประวัติศาสตร์ ทฤษฏีทางสังคม การ์ตูน และพี่วิพี่ของไอ้ทรีนี่เองที่ติดหนังเข้าเส้นเลือดพี่เขาต้องดูหนังทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งเรื่องจากการสังเกตของผม เสียงที่ดังลอดออกมานั้นทำให้ผมอยากจะเข้าไปขอดูกับเขาเลยด้วยซ้ำ แต่พี่วิบางทีก็ดูหน้ากลัวโคตร ทั้งสายตาที่ว่างเปล่าแต่มองทะลุความคิดเหมือนกับว่าผมไม่สามารถมองเห็นว่าพี่เขาคิดหรือรู้สึกอย่างไรแต่พี่เขากลับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของผม ไม่พูดไม่จา ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ทั้งหน้าก็คมจนดูหน้าดุ ขนาดผ่านการรับน้องมาแล้วผมยังไม่กล้าแหยมเลย แต่บางทีพี่เขาก็ดูใจดี น่ารัก (มั้ง) แบบแปลกๆ หัวเราะง่ายๆ ยิ้มจนหน้าบาน และก็มีนิสัยเป็นเด็กๆ ชอบเรื่องตลก ชอบแกล้ง มองพวกผมที่ทำเรื่องโง่ๆ แล้วก็หันหน้าไปหัวเราะทางอื่น
   คืนวันอาทิตย์ไอ้ทรีเพิ่งกลับมาจากบ้านพร้อมกับกับข้าวมากมายมีซี่หมูทอด แกงส้ม (พี่วิสั่งมา) พะโล้ ดังนั้นไอ้ทรีกับพี่เขาก็เลยชวนพวกผมไปกินข้าวเย็นที่ห้องเขา ดังนั้นตอนหนึ่งทุ่มผมจึงไปที่ห้องของพี่วิ เพื่อรอรูมเมทผมที่ออกไปข้างนอกเพื่อซื้อน้ำแข็งกับน้ำอัดลม กับข้าวเยอะมากและโต๊ะในห้องของพี่วิก็ไม่มีเก้าอี้พอ
“หรือเราจะไปกินที่ห้องคอมมอนกันดีพี่” ไอ้ทรีถามพี่มัน
“อืมม” พี่วิทำท่าคิด
“โต๊ะญี่ปุ่นของทรีคงใหญ่พอ เรากินกันในห้องนี่แหละ” พี่วิพูด และแล้วด้วยความเคลื่อนไหวที่ผ่านตัวผมไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ พี่วิกระโดดลงจากเตียงผ่านหน้าผมไปดึงโต๊ะญี่ปุ่นที่เขาบอกว่าเป็นของไอ้ทรีออกมาจากซอกตู้ หมุนตัวกลับด้วยความเร็วท่าน่าทึ่งเหมือนเดิมยื่นมือไปใต้เตียงดึงลังกระดาษที่พับอยู่ออกมา เสียงคว้ากของกระดาษที่ถูกฉีกขาดดังขึ้นก่อนที่ผมจะเข้าใจว่าพี่เขาจะใช้ลังกระดาษรองพื้นกับโต๊ะ และก่อนที่ผมจะเอ่ยปากช่วยพี่วิก็วิ่งถลาออกนอกห้องไปโดยมีเสียงประตูปิดตามหลังดังโครม ทิ้งให้ผมกับไอ้ทรียืนอึ้งอยู่ด้วยกันสองคนในห้อง
“นี่แหละพี่กู” ไอ้ทรีบอก
“แล้วมึงจะตกใจ”
สามนาทีต่อจากนั้นผมกำลังเล่น HI5 ด้วยคอมพ์ของไอ้ทรีอยู่ เสียงตึงเพราะอะไรบางอย่างมากระแทกกับผนังที่เป็นทำจากฝ้าก็ดังขึ้น และประตูก็เปิดขึ้น เบาะเตียงนอนก็ค่อยๆ ลอยเลื่อนเข้ามาในห้อง ผมตกใจแทบช็อกนึกว่าโดนผีหลอก หลังจากนั้นผมจึงรู้ว่าพี่วิไปลากเบาะเตียงจากห้องเก็บของมาสองตัวเพื่อเอามานั่งล้อมโต๊ะญี่ปุ่น
“แรงเยอะโคตรพี่กู” ไอ้ทรีกระซิบ ทั้งๆ ที่พี่เขาตัวนิดเดียว เตี้ยกว่าผมตั้งสิบกว่าเซนต์ (ผมสูง 188 เซนต์) ตัวก็ดูบางผิดสัดส่วน แต่ไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน ทั้งเร็วทั้งแรงเยอะผมยิ่งกลัวพี่เขาขึ้นไปอีก
“เอ่อ พี่ชอบกินข้าวบนเตียงน่ะ” พี่เขาแก้ตัวเขินๆ คงเพราะเห็นสีหน้าที่กำลังงงโคตรของผม และแล้วผมจึงมีโอกาสช่วยพี่เขาโดยการลากเบาะเตียงอีกตัวมาปูอีกด้านหนึ่งของโต๊ะญี่ปุ่น
“พี่ไปเอาเตียงมาจากไหนเนี่ยครับ” ผมถามเพราะอึ้งในความคิดบรรเจิดและการลงมือทำที่ฉับไวของพี่เขา
“พี่ไปขโมยมาจากห้องเก็บของน่ะ” พี่วิตอบด้วยรอยยิ้มภูมิใจของเด็กผู้ชายชั้นประถมฯที่เพิ่งเล่นเกมเขี่ยไพ่ชนะเพื่อนทั้งห้อง
“โหพี่ แล้วไม่มีใครว่าเหรอ” ผมถามอึ้งในความกล้าบ้าระห่ำของพี่เขาอีกแล้ว ทั้งผมยังห่วงว่าพี่เขาจะโดนพวกกรรมการหอพักเล่นงาน
“ทำไมล่ะ ก็มันไม่มีคนใช้นี่นา อีกอย่างไม่เห็นต้องกลัวใครว่าเลยเราไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย” พี่เขาตอบด้วยสีหน้าของเด็กผู้ชายที่ถูกจับได้ว่าเตะก้นเพื่อนร่วมชั้นอีกแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกเบาใจว่าคงไม่มีเรื่องยุ่งยากอะไร ทั้งคิดว่าการจะทำอะไรที่ดูหมิ่นเหม่ต่อกฎเกณฑ์งี่เง่าต่างๆ โดยไม่ผิดศีลธรรมหรือทำให้ใครต้องเดือดร้อนนั้นเป็นการสร้างสีสันให้กับชีวิต เหมือนกับว่าเมื่ออยู่ข้างๆ พี่เขาผมจะมีความกล้าที่จะทำทุกอย่าง นี่ถ้าผมมีพี่ชายแบบนี้ชีวิตที่ผ่านมาสิบแปดปีของผมคงจะเป็นเรื่องที่สนุกน่าดู น่าเสียดายที่ผมเป็นพี่ชายคนโตแถมน้องยังเป็นผู้หญิงอีก
ตอนนี้ไอ้ทรีกำลังเทกับข้างใส่จานและพวกรูมเมทของผมก็มาถึงกันพอดี เรากินไปคุยไปด้วยความสนุกมาก จนกินเสร็จล้างถ้วยล้างจานแล้ว เราก็กลับเข้ามาในห้องฟังพี่วิเล่าเรื่องผีในหอให้ฟัง
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 11-10-2013 16:41:40
3 ผัดไท กับ การใส่ใจ

   หลายสัปดาห์หลังจากที่ผมได้รู้จักกับน้องคอร์ทผ่านไป ผมก็เริ่มทำตัวสนิทกับรุ่นน้องเทคโนฯ พวกนี้มากขึ้นเหตุผลก็เพราะว่าผมอยากได้รู้จักและก็ได้เจอกับน้องเขามากขึ้นนั่นแหละ (ก็มันช่วยไม่ได้นี่นาที่น้องเขาน่ารักขนาดนั้น) ทั้งช่วงนี้ผมยังยอมลดตัวออกจากเตียงอันแสนอบอุ่นแล้วฝืนสังขารมาอ่านหนังสือที่ห้องคอมมอนเหมือนกับคนอื่นๆ และก็เป็นไปตามที่ผมคาดไว้จริงๆ เมื่อผมกับน้องคอร์ทได้เจอกันมากขึ้นได้รู้จักกันมากขึ้น
“ทรี คอร์ทมันเป็นคนยังไงเหรอ” ผมแอบถามทรีตอนที่มันไม่ระวังตัวเท่าไร มันจะได้ไม่สงสัยว่าผมแอบชอบคอร์ท
“มันก็เป็นคนเงียบๆ ขี้อายน่ะพี่” ทำไมเหรอ” ทรีเงยหน้าขึ้นตอบจากคอมพ์ของมัน
“ก็เห็นคอร์ทมันไม่ค่อยจะเฮฮาเหมือนพวกเราเท่าไรเลยน่ะ”  ผมแอบตอบ
“แถมมันยังโดนแกล้งอยู่ตลอดเลย” ผมพูดต่อ นึกถึงตอนที่น้องคอร์ทเผลอหลับในห้องดูทีวีโดยที่ยังกำรีโมตเอาไว้และโย๊ปก็ดึงเอารีโมตออกมาแถมยังเอากระป๋องกาแฟยัดใส่มือของคอร์ทอีกต่างหาก พอตื่นขึ้นก็กดกระป๋องอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อจะเปลี่ยนช่องโดยไม่รู้ตัว เรื่องกลั่นแกล้งนี้ถูกปันทึกเป็นภาพถ่ายและการบอกเล่าที่เมื่อไอ้โย๊ปเอามาให้ผมดูผมถึงกับหัวเราะท้องแข็งเลย
“ก็นั่นแหละพี่ ก็มันติ๋มๆ เอง” ทรีหัวเราะ มันคงคิดถึงเรื่องโจ๊กนั้นขึ้นมา
ที่จริงผมก็สงสารน้องคอร์ทอยู่หรอกนะที่คอยจะโดนแกล้ง แต่ผมที่เป็นคนขี้แกล้งอยู่แล้วก็คิดว่ามันน่าสนุกเกินกว่าจะหยุดได้ และท่าทางน้องเขาก็ชวนให้ถูกแกล้งสุดๆเลย
   คืนหนึ่งที่ผมกำลังอ่านบทละครเรื่อง “เชาวน์ชีวิต (Wit)” ตามที่อาจารย์พิมพ์บอกมาอยู่นั้นน้องคอร์ทก็หอบของพะรุงพะรังมานั่งที่ตรงข้ามกับผมอีกเหมือนเคย น้องเขายิ้มและทักทายผมตามปกติ และเราต่างก็ทำงานของแต่ละคนไปน้องเขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนถึงเรียงความเรื่อง “การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรของคณะเภสัชศาสตร์” ว่าอาจารย์สั่งให้เขียนในด้านใดบ้าง
“ทำไมถึงเขียนเรียงความของคณะเภสัชฯ ล่ะ” ผมถามด้วยความสงสัยเมื่อคอร์ทเลิกคุยโทรศัพท์กับเพื่อน
“ก็ผมอยู่คณะเภสัชนี่ครับพี่” น้องเขาตอบเหมือนรู้ทันว่าผมไม่เคยสนใจว่าเขาอยู่คณะไหน
“เหรอ พี่นึกว่าคอร์ทอยู่เทคโนฯ มาตลอดเลยนะนี่ เห็นเข้าๆ ออกๆ อยู่ห้องโย๊ปมัน” ผมชวนน้องเขาคุยต่อ
“ก็ผมกับโย๊ปเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนเดียวกันนี่ครับ”
“แล้วอย่าบอกนะว่ายอมให้โย๊ปมันแกล้งอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ม.ปลายแล้ว” ผมแซว คราวนี้น้องเขาไม่ตอบแต่หน้าแดงเพราะอายเรื่องที่ตัวเองถูกแกล้ง แล้วผมก็ปล่อยให้น้องเขาเขียนเรียงความต่อไป ส่วนผมก็กลับมาคิดถึงบทละครต่อว่าทำไมคนเรามักทำเรื่องที่ง่ายดายให้เป็นเรื่องยาก ทำไมคนเราถึงกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้จัก เหมือนกับวิเวียนตัวละครเอกของเรื่องที่กลัวความตาย แม้ความตายจะเป็นอีกส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์อย่างเรา ทำไมผมจึงกลัวว่าตัวเองจะรักคนอื่นมากเกินกว่ารักตัวเองอีกครั้ง ทำไมผมจึงกลัวว่าถ้าทำความรู้จักกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของผมมากเกินไปผมอาจจะพาตัวเองเดินไปหาเรื่องที่น่าอับอายเหมือนที่เคยเป็นมาก็ได้
   เที่ยงคืนแล้วที่ผมกำลังทำความเข้าใจว่าชีวิตกับความตายนั้นอยู่ห่างกันเพียงแค่ช่วงลมหายใจที่กั้นเอาไว้ เพราะเมื่อเราหยุดหายใจเราก็จะตายอย่างเงียบงัน น้องคอร์ทโทรไปหาเพื่อนของน้องเขาอีกครั้งท่าทางจะงงกับงานที่กำลังทำอยู่มาก
“พี่ขอดูเรียงความคอร์ทได้มั้ย” ผมเสนอหน้าเข้าไปช่วยในตอนที่ผมคิดว่าน้องเขากำลังแย่
“ครับ” แล้วน้องเขาก็ส่งเรียงความที่เพิ่งเขียนมาให้ หลังจากอ่านจบรอบหนึ่งผมก็ต้องต่อสู้กับความต้องการที่จะเอาดินสอขีดข้อความที่อ่านไม่รู้เรื่องนี้ทิ้งไปเสีย เนื่องจากการเรียนในเอกสังคมวิทยาของผมทำให้ผมคุ้นเคยกับการประมวลความคิดเสียก่อนแล้วจึงเขียนออกมา ทั้งหลักการเขียนย่อหน้าก็ขาดใจความสำคัญ
“แย่เหรอครับ” น้องคอร์ทถามด้วยหน้าตาที่ยอมรับว่าตนเองเพิ่งได้ทำเรื่องเลวร้ายมา
“นั่นสินะ” แล้วผมก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งฝั่งเดียวกับน้องเขา นั่งข้างๆ น้องเขา และผมกับน้องเขาก็เริ่มคุยกันว่าจะแก้ไขงานนี้อย่างไร กลิ่นที่ลอยออกมาจากตัวของคอร์ทช่างหอมหวานยั่วยวนผมเสียงจนผมอดที่จะแอบเหลียวไปมองน้องเขาบ่อยๆ ไม่ได้ และเมื่อนั้นผมจึงคิดว่าน้องเขาหล่ออยู่ไม่น้อยเลย
“พี่ว่า เขียนใหม่เลยเถอะ” ผมเสนออย่างอ่อนใจในตัวเองที่ชอบจะยุ่งเรื่องของคนที่ผมสนใจ และผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าอยู่ๆ คอร์ทจะลุกขึ้นยืนแล้วชกหน้าผม
คอร์ทไม่ว่าอะไรแต่เริ่มเขียนเรียงความใหม่ตั้งแต่ต้นทันที จากที่ผมคำนวณแล้วน้องเขาคงต้องใช้เวลาสามถึงสี่ชั่วโมงกว่าจะเขียนเรียงความใหม่เสร็จ นั่นก็หมายความว่ากว่าน้องเขาจะได้นอนก็คือตอนตีสามหรือไม่ก็ตีสี่ และเนื่องจากผมได้ทำลายงานชิ้นเก่าและความมั่นใจในตัวเองของคอร์ทลงจนยับเยินผมจึงคิดว่าผมควรอยู่ตรงนี้จนกว่าน้องเขาจะเขียนงานเสร็จเช่นกัน
“พี่ไปนอนเถอะครับ” คอร์ทบอกผมตอนตีสองกว่าๆ
“แต่คอร์ทยังเขียนไม่เสร็จเลยนี่น่า และตามเวลามาตรฐานหอพักเรา ตีสองก็ยังไม่ถือว่าดึกจัด” ผมบอกในใจแอบเสียดายที่คิดว่าน้องเขาจะไปนอนแล้ว
“งานต้องส่งพรุ่งนี้เช้าไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ ผมจะลงไปดูบอลที่ห้องทีวีครับ” น้องคอร์ทสารภาพอย่างอายๆ
“แมนยูฯ แข่งกับ ลิเวอร์พูล”
นั่นทำให้ผมรู้ว่านอกจากน้องเขาเรียนอยู่คณะเภสัชฯ แล้ว น้องเขายังชอบฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ
“ไปเถอะ” ผมบอกยิ้มๆ แทบจะหัวเราะออกมา
“บอลจบแล้วผมจะมาเขียนต่อให้เสร็จ คืนนี้ผมจะไม่นอน” น้องคอร์ทยืนยันด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนกับเด็กที่พ่ออนุญาตให้ออกไปเล่นฟุตบอลได้ก่อนที่จะทำการบ้านเสร็จ แล้วน้องคอร์ทก็วิ่งลงไปผมกลับเข้าห้องนอนซึ่งตอนนี้ทรีหลับไปแล้ว พลางคิดว่าผมจะตื่นตอนหกโมงเช้าเพื่อไปอ่านเรียงความให้คอร์ทอีกครั้งก่อนที่จะส่ง
หกโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ผมล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็วแล้วออกไปที่ห้องคอมมอน คอร์ทนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ยาวหมอนเก่าๆ ใบหนึ่งหนุนหัวอยู่ อีกใบหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของน้องเขา แผ่นกระดาษรายงานวางเลื่อนอยู่บนโต๊ะ แสงจางๆ ที่ส่องมาจากหน้าต่างทำให้น้องเขาหน้ารักมากขึ้นไปอีก ปากที่เผยออยู่น้อยๆ น่าจูบเป็นที่สุด แก้มขาวที่ตอนนี้มีหนวดขึ้นอยู่หร็อมแหร็มเพราะยังไม่ได้โกนก็น่าลูบมากมาย ตัวเล็กที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงบอลก็น่าจับอุ้มกับไปนอนบนเตียงอุ่นๆ ผมเดินมาที่หน้าของน้องคอร์ทยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่เคยคิดว่าเวลาคนเรานอนหลับน่าตาท่าทางจะมีความสุขเช่นนี้ ผมเอานิ้วมือจิ้มที่น่าผากแกล้งน้องเขา แล้วจึงขยี้ผมน้องเขา คอร์ทไม่ตื่น ผมจึงหยิบเรียงความที่อุตส่าห์เขียนจนเสร็จแล้วไปนั่งอ่านบนกรอบหน้าต่างเพื่อบังแสงในคอร์ทแม้จะแค่ช่วงสั้นๆ งานออกมาเป็นที่น่าพอใจ ผมวางเรียงความกลับที่เดิม มองคอร์ทที่กำลังหลับอยู่รอยยิ้มก็โผล่ขึ้นมาโดยที่ผมไม่รู้สึกตัวอีกครั้ง ผมถอนใจแล้วกลับไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเข้าเรียน
ผมคงจะเป็นพวกซาดิสต์หรือไม่ก็มาโซคิสต์อย่างที่เพื่อนผมว่าจริงๆ เพราะแม้ผมจะเก็บวิชาบังคับเลือกครบแล้วแต่ผมก็ยังอุตสาห์ลงเรียนวิชา “ความรู้กับอำนาจ” ที่ตอนนี้อำนาจของมันบังคับผมที่นอนไม่พอให้ต้องมานั่งฟังอาจารย์บรรยายเรื่อง “ถ้ำของเพลโต (The Cave of Plato)” เป็นเวลาสามชั่วโมงตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงเที่ยง หลังจากกินข้าวกลางวันกับเพื่อนๆ ในเอกเสร็จแล้วผมก็รีบตรงกลับหอ (ง่วงนอนมาก) เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสามที่ผมอยู่ ผมก็เห็นน้องคอร์ทอยู่ที่นั่น พิงกรอบหน้าต่างที่ผมอ่านเรียงความของน้องเขาเมื่อตอนเช้า ตอนนี้น้องคอร์ทแต่งชุดนักศึกษา (ที่ผมไม่ชอบแต่งไปเรียน) ดูเรียบร้อยดีพิกล หนวดก็โกนแล้วหน้าใสกิ๊กเลย
“งาย” ผมทักเมื่อน้องคอร์ทมองเห็นผมเดินขึ้นมา และผมก็ได้รอยยิ้มของน้องเขากลับมา
“ผมส่งเรียงความไปแล้วนะครับพี่” น้องคอร์ทบอกเพราะไม่รู้ว่าเมื่อเช้าผมมาอ่านทวนเรียงความให้แล้ว
“อืม...ก็เขียนดีนี่” ผมยิ้มให้กำลังใจหลังจากสร้างความวิบัติให้แก่ความมั่นใจในตัวเองของน้องเขาเมื่อคืน
“หา...” คอร์ททำหน้างง
“พี่อ่านแล้วล่ะเมื่อเช้า” ผมสารภาพ ขบขันกับท่าทางประหลาดใจ
“ตอนไหน” คอร์ทยังตกใจไม่เลิก
“ก็ตอนที่คอร์ทละเมอพูดว่า อย่าทิ้งผมไปเลยนะครับไง” ผมล้อน้องเขาตามสันดานคนขึ้แกล้ง
“แถมคอร์ทยังกอดหมอนไว้ซะแน่นเชียว น้องหนมอนเขาจะทิ้งคอร์ทไปไหน” ตอนนี้คอร์ทพูดอะไรไม่ออกแล้วหน้าใสๆ แดงเป็นเย็นตาโฟร้านยายป้าปากหมาที่โรงอาหาร
“ฮ่าๆๆๆ...ล้อเล่น อย่าบอกนะว่าเชื่อ” ผมเลิกแกล้งน้องเขา
“พี่วิน่ะ...” แล้งน้องเขาก็นิ่งไป อายหน้าแดงอีกครั้ง ก็น่ารักอย่างนี้ไงล่ะ ถึงเชิญชวนให้ผมชอบแกล้ง
“ผมอุตส่าห์ไม่นอนทั้งคืนเขียนเรียงความใหม่ ถ้าไม่ได้ A นะอาจารย์ได้เห็นดีกันแน่” น้องคอร์ทรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แหม...เกรดมันก็แค่ตัวเลข มันใช้วัดความสามารถจริงๆ ของคอร์ทไม่ได้หรอกนะ ทำดีที่สุดก็พอแล้ว” ผมให้กำลังใจพร้อมๆ กับติเรื่องทัศนคติต่อการศึกษาของน้องเขา
“แหม...พี่มันก็มีบ้าง” คอร์ทแก้ตัว
“อือ...รู้แล้วแหละ”
“พี่วิเย็นนี้ไปกินข้าวร้านผัดไทกันมั้ยครับ” คอร์ทชวน
“ผมกับพวกไอ้ทรีจะไปกินกันเย็นนี้”
“ร้านผัดไทข้างม.เหรอ” ผมถามเพราะไม่ค่อยอยากไปร้านนี้เท่าไร
“ครับพี่วิเคยไปกินรึยัง” คอร์ทถามต่อ ท่าทีกระตือรือร้น
“ไม่...พี่ไม่เคยไปร้านผัดไท” ผมสารภาพ น้ำเสียงเริ่มห่อเหี่ยว
“งั้นดีเลย ร้านนี้นะทำผัดไทอร่อยมาก อาหารตามสั่งก็มีนะครับ...” แล้วน้องคอร์ทก็บรรยายถึงร้านผัดไทต้องคำสาปนั่นไปกว่าห้านาที
“คอร์ทชอบกินผัดไทล่ะลิ ไปกินข้าวด้วยกันก็หลายครั้ง เห็นสั่งผัดไทแทบทุกครั้ง” ผมถาม
“ครับ ชอบครับ พี่วิไปนะเดี๋ยวผมเลี้ยงขอบคุณ” คอร์ทยังชวนต่อด้วยท่าทางของเด็กอนุบาลที่กำลังจะโน้มน้าวให้พี่ชายพาไปร้านขายของเล่น
“เฮ้ย...ไปน่ะไปแต่ไม่ต้องเลี้ยง แค่นี้เอง” ผมตัดสินใจไปร้านผัดไทในที่สุด
“แล้วเจอกันนะ ตอนเย็น” แล้วผมก็เดินกลับเข้าห้องนอนด้วยจังหวะที่ถูกกระตุ้นโดยสารแห่งความสุขที่หลั่งมาจากที่ไหนสักแห่งในหัวของผม กะโดดลงบนเตียงสีฤดูใบไม้ร่วงแล้วหลับตา
   อาหารตามของร้านผัดไทไม่ได้อร่อยอย่างคำล่ำลือที่มีมาอย่างยาวนาน อีกทั้งร้านผัดไทยยังเป็นร้านที่รูมเมทคนเก่ากับเพื่อนเอกภูมิศาสตร์ของมันชอบมากิน ผมจึงค่อยๆ เขี่ยเส้นผัดไทยกับกุ้งเข้าปากอย่างเสียมิได้ และที่สำคัญตอนนี้ผมนั่งตรงข้ามกับน้องคอร์ทที่หน้าตาดีอย่างไม่น่าเชื่อคนที่กำลังกินและก็มองชำเลืองมองผมในบางโอกาสเช่นกัน ในเวลานี้เหมือนกับว่าพวกไอ้ทรี โย๊ป และก็คนอื่นๆ ไม่ได้นั่งอยู่ข้างๆ ผมกับคอร์ท เหมือนกับว่าเย็นนี้เรามากินข้าวกันแค่สองคน เป็นความสุขที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน
“พี่วิกินเหมือนผู้หญิงเลยนะ” น้องคอร์ทพูดขึ้นมา ทำให้ผมอึ้งไปหลายนาที ไอ้ทรีและเพื่อนๆ มันต่างก็หันมาจ้องเราสองคน ตอนนั้นผมอยากจะมุดดินหนีด้วยความอายเป็นที่สุด
“ก็พี่ค่อยๆ กิน น่ะ เขี่ยไปทางนู้นที ทางนี้ที เลือกกินบ้าง ผู้หญิงชัดๆ” น้องคอร์ทยังไม่หยุดเหมือนเพื่อนๆ มันไม่ได้มีตัวตน ไอ้ทรีทำหน้าเหวอ เหมือนกลัวว่าผมจะลุกขึ้นแล้วเอาเก้าอี้ฟาดหัวน้องคอร์ท ผมเลยตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า
“เอ่อ....พี่....ว่าผัดไทยมันไม่อร่อยอ่ะ พี่เลยเขี่ยๆ”
“จริงอ่ะ หรือพี่วิไม่ชอบผัดไทย ร้านนี้ออกจะอร่อย” ยังน้องคอร์ทยังไม่เลิก ย้ำผมจังไอ้นี่
“ความจริงถ้าพี่ไม่ชอบผัดไทยบอกผมก็ได้” สรุปกูผิด ผมคิดในใจ เริ่มอายด้วยเหมือนมากินข้าวกับแฟนแล้วทะเลาะกัน เพื่อนๆ มันและน้องผมก็เงียบเชียว
“พี่กินได้หมดและ แต่จานนี้มันเลี่ยนๆ เหมือนแม่ค้าใส่น้ำมันเยอะไปมั้ง” ผมแก้ตัวไป แต่จานนี้ไม่อร่อยจริง แม่ค้ากับลูกสาวที่คอยเสริ์ฟอาหารมองผมเหมือนอยากจะเอากระทะฟาดหน้า
“ครับๆ ” น้องคอร์ทยอม
“งั้นคราวหน้าให้พี่วิเลือกร้านละกัน” กูเป็นอะไรกับเมิง ต้องไปกินข้าวด้วยกัน
“อือฮึ” ผมตอบรับมันสั้นๆ แล้วกินต่อ
สักพักเมื่อเรากินเสร็จ คอร์ทก็ชวนผมกับเพื่อนๆ ข้ามถนนเพื่อไปซื้อนมร้อนฝั่งตรงข้าม เสร็จแล้วพวกเราก็ขี่จักรยานกลับหอกัน และในฐานะนักเรียนสังคมวิทยาผมก็ทำพลาดโดยการลืมสังเกตถึงพฤติกรรมเล็กๆ น้อย ของน้องคอร์ทไป
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 12-10-2013 21:26:05
4 4 แพร่ง ทางแยกของหัวใจ

หลังจากอยู่ในรั้วมหาลัยได้พักใหญ่ผมก็ชอบชีวิตใหม่มากขึ้น ผมมีเพื่อนใหม่ ผมมีสังคมใหม่ ไม่ใช่ว่าเพื่อนเก่าหรือสังคมเก่าที่ผมจากมานั้นไม่ดี แต่ชีวิตอย่างไรก็ต้องเดินหน้าต่อไปเสมอ ผมมองดูโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นราวกับว่ามันเป็นระเบิดเวลาที่กำลังจะทำงาน ปลาโทรมาหาผมอีกแล้ว ครั้งที่ห้าของวันนี้ เราคุยกันไปสักพัก เมื่อวางลงผมก็คิดต่อไปว่าปลากำลังคิดว่าอยู่กับเธอเหมือนเดิมหรือเปล่า ลืมไปว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว จริงอยู่ที่ว่าตอนอยู่มัธยมเราจะได้เจอหน้ากันทุกวัน ได้พูดคุยหรือทำอะไรร่วมกันอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ผมยอมรับความเปลี่ยนแปลง และพร้อมๆ กันผมก็กลัวกับความเปลี่ยนแปลง ผมไม่แน่ในว่าผมจะรับมือกับมันอย่างไร และปลาเองจะรับมือกับมันได้มั้ย
“โย๊ป เปิดประตูห้องให้กูที............................” เสียงร้องไอ้ทรีปลุกผมขึ้นมาจากภวังค์ เสียงผีเท้ามันไม่ได้มีความเกรงใจคนในหอเลย ไอ้เวร
“เร็ว.........” ยังเสือกเร่งกูอีกแน่ะ เสียงฝีเท้ามันมาหยุดที่ประตูพร้อมๆ กับที่ผมเปิดประตูให้มัน
“ตายยยยยย.......” เงาสีดำวูบผ่านหลังไอ้ทรี ผัวะ.....เสียงวัตถุบางอย่างฟาดหลังไอ้ทรีอย่างเต็มแรง มันรีบกระโดดเข้าห้องผม แล้วล็อกประตู
“กูรอดแล้ว” ไอ้ทรีพึมพำ แต่ผมยังตกใจกับเงาดำที่ทำร้ายไอ้ทรี
“เป็นไรวะมึง” ผมถาม
“5555 มันหัวเราะ กูโดนพี่ไล่ตีว่ะ” มันพูดแล้วก็ขำอีก ไอ้เงาดำที่วิ่งผ่านไอ้ทรีคือพี่วินั่นเอง แถมยังเร็วขนาดฟาดซัลโวส่งท้ายมันได้อีก
“55555” ผมหัวเราะไปด้วย แล้วค่อยๆ แอบแง้มประตูออกไปดู ไม่มีคนบนทางเดิน พี่วิกลับเข้าห้องไปแล้ว เสียงฝีเท้าไม่มีเลย คนอะไรเร็วเหมือนผี
“ทะเลาะอะไรกับพี่มึงมาล่ะ” ผมถามเริ่มอยากรู้
“ตอนกลางวันกูไปดูสี่แพร่งที่หอเจ็มมาว่ะ แม่งโคตรหลอน แล้วห้องน้ำมันมืดกูเลยขอพี่วิไปเยี่ยวพร้อมกัน พี่วิไม่ไป กูเลยแซวว่า....ของเขาเล็กกว่าของกู พี่กูเลยของขึ้น”
“5555 ไอ้สัตว์ ว่าแต่กูยังไม่ได้ดูเหมือนกัน คืนนี้ไปดูกันดิ ห้องมึง”
“เออ”
ในห้องที่กว้างเพราะมีเพราะมีผู้อยู่อาศัยแค่สองคนของพี่วิกับไอ้ทรีกลายเป็นที่สิงสถิตของพวกผมที่จะมาเล่นคอมพ์ของไอ้ทรี หรือนอนคุยกันบนพื้นห้องที่ปูเบาะเตียงทั้งสองตัวที่พี่วิขโมยมาใช้ต่างพรมที่หนาโคตร และที่สำคัญตอนนี้ห้องของพี่วิยังโรงหนังให้พวกผมได้ดูหนังผีด้วยกัน พี่วิพูดคุยกับพวกผมเป็นปกติทุกอย่าง คงหายเม้งไอ้ทรีแล้ว และก็คงไม่รู้ว่าไอ้ทรีปูดเรื่องขนาดของไอ้นั่นให้ผมฟัง คืนนี้พวกผมทุกคนรวมทั้งพี่วิเตรียมพร้อมมาก พร็อบคือเสื้อคลุม ผ้าห่ม หมอนกอด และหมอนข้าง แล้วไอ้ทรีก็เอาแผ่นสี่แพร่งที่เช่ามา ใส่เข้าไปในเครื่องเล่น
“ขนาดกูดูแล้วกูยังหลอนเลย...เหี้ยเอ้ย” ไอ้ทรีตัวสั่น แม่งมันกลัวผีจริงครับ
“หนังยังไม่เริ่มเลยไอ้อ้วน” พี่วิด่าน้องให้เงียบครับ แล้วเราก็เริ่มดูกันไป
“ลูกผู้ชายตัวจริงห้ามปิดตา ห้ามหลบนะโว้ย” ไอ้เอ็มท้าเพื่อนครับ ทั้งที่มันก็เอาเสื้อคลุมครอบหัวไว้
ผมเองชอบตอนแรกมากที่สุดครับ ที่เป็นโทรศัพท์ผีน่ะ แต่ชื่อตอนจริงๆ เรียกว่าอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว ฉากที่นางเอกก้มไปเก็บโทรศัพท์จากใต้เตียงแล้วผีก็พุ่งออกมา พวกเราผู้ชายตัวโตๆ สี่คนหันไปกอดกันกลมเหมือนคนเล่นรักบี้ลืมคำท้าไอ้เอ็ม ส่วนพี่วิหายตัวไป สรุปแล้วเขากระโดดถอยหลังกลับไปที่เตียงตัวเอง ตาจ้องจอค้างเลบครับ เป็นคนเดียวที่รักษาคำท้า ฮ่าๆๆ เราดูกันต่อไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่ชื่อว่าคนกลาง แล้วโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมา ปลาครับ ปลาโทรมา ผมหยิบโทรศัพท์แล้วลุกขึ้น สังเกตเห็นพี่วิมองมาด้วยหางตา ผมเลยออกจากห้องไปคุยโทรศัพท์กับปลาครับ
   กลับมาอีกทีหนังสี่แพร่งก็จบแล้ว เพื่อนๆ ก็เริ่มแยกย้ายไปนอนครับ ผมก็เข้ามาเก็บสัมภาระตัวเอง ผ้าห่มกับหมอนครับ ออกมาก็เจอกับพี่วิครับ เกือบชนกับผมอีกแล้ว พี่เขาไปถอดคอนแท็กเลนส์มา พี่เขามามองหน้าผมแล้วก็ยิ้มให้แปลกๆ ครับ เหมือนยิ้มแบบหยิ่งๆ ขำๆ งงครับ ผมก็ปล่อยไปครับ เพิ่งเที่ยงคืนเอง ผมจะนอนเลย หรือจะเล่นคอมพ์ต่อดี คืนนี้ยังอีกยาวไกล ชีวิตนักศึกษามหาลัย
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 12-10-2013 23:02:45
5 ความผิดพลาดของนักสังคมวิทยา

วันนี้ผมตื่นเช้าครับ มีเรียนวิชาความรู้กับอำนาจ ที่ช่างทรมานหัวใจเหลือเกิน ไม่รู้จะลงเรียนทำไมในเมื่อผมเก็บหน่วยกิตครบแล้ว ตอนกำลังจะเดินออกจากหอ (เพราะจักรยานผมพังเพราะเอาไปออกภาคสนาม) ผมก็เจอกับพี่ด้าย พี่ได้เรียนคณะศึกษาศาสตร์ปี 5 ครับ ปีนี้พี่เขาต้องไปฝึกสอนจริงที่โรงเรียนแถวๆ องค์พระ พี่เขาสนิทกับผมมากเพราะเป็นเกย์เหมือนกัน แถมห้องเรายังอยู่ชั้นเดียวกันด้วย ห้องพี่เขาเป็นห้องริมครับ ห้องใหญ่ อยู่กับเกย์ร่างยักษ์อีกคน
“วิ....” พี่ด้ายทัก
“อะไร ยังไง พี่ด้าย” ผมทักกลับด้วยภาษาปากของคนในมหาลัย
“ดูเหนื่อยๆ นะ ต้องสอนเช้าทุกวันหรอ”
“อืม...ไอ้ด้อมชอบพาน้องๆ มาเล่นที่ห้องด้วยอ่ะ พี่เลยนอนไม่หลับ”
“พวกไอ้ทรีป่าวพี่” ผมถาม
“อืม นั่นแหละ ไอ้ด้อมมันชอบกินเด็กใหม่” พี่ด้ายประชด
“โอเค เดี่ยววิจะเตือนน้องให้” ผมคงเตือนแค่ไอ้ทรีคนเดียวแหละ ผมคิดในใจ แล้วเราก็แยกย้ายกันไป เรียน
คาบนี้อาจารย์ผมเชิญอาจารย์พิเศษจากที่อื่นมาบรรยาย ซึ่งผมคิดว่าเขาบรรยายแล้วเข้าใจยาก ผมฟังไม่รู้เรื่องเลย หรือจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจฟังเต็มที่ด้วย หลังจากเรียนเสร็จ ผมเลยเดินมากินข้าวที่โรงอาหารคนเดียว เพราะเพื่อนผมที่ลงเรียนด้วยกันต้องไปเรียนภาษาเกาหลีต่อ โชคดีที่ผมเรียน 8.30 เลยเลิกก่อนเที่ยง คนในโรงอาหารยังไม่แน่นเท่าไร ไม่อย่างนั้นผมคงต้องสั่งใส่กล่องเอาขึ้นไปกินบนห้องแบบที่ต้องทำบ่อยๆ (ไม่มีคนคบ ไม่มีเพื่อนกินข้าวด้วย ฮ่าๆ) ผมสั่งเนื้อทอดกระเทียมกรอบๆ ราดข้าว แล้วซื้อน้ำมะนาวโหลใหญ่ (ที่มหาลัยผมร้านชายน้ำจะใช้โหลกาแฟแทนแก้วน้ำ ราคา 10-20 บาท ถูกมาก) ผมกำลังนั่งกินได้ไม่กี่คำ ก็มีคนเดินมาเซอร์ไพร้ส์ครับ
“พี่วิ...” น้องคอร์ทเดินยิ้มหน้าบานมาทักผม
“ผมนั่งกินข้าวด้วยคนสิ”
“เอาดิ” ผมยิ้มตอบ บังคับไม่ให้ตัวเองยิ้มจนฉีกถึงหู
สักพักน้องคอร์ทก็เดินถือชามราดหน้ามาวาง กับขวดน้ำเปล่า แล้วก็เริ่มกินไปพร้อมกับผม ผมแอบคิดว่าวันนี้ทำไมเจอน้องมันคนเดียว อยู่คณะมันไม่มีเพื่อนเหรอ
“นี่ผมมีอะไรจะอวดให้ดู” มันหยุดกินกลางคันแล้ว ก็ยกแขน หมุนมือ ทำท่าแปลกๆ ให้ผมดูไปสัก 3-4 นาที
“เป็นไงพี่”
“เหมือนลีดเลยอ่ะ 555” ผมทักเพราะท่าทางที่เห็นเป็นท่ามือลีดชายชัดๆ
“อืมใช่สิ นี่ผมฝึกท่านี้มาทั้งคืนเลยนะ” มันบอกต่อ
“อ้าว ไปฝึกมาทำไมล่ะ” ผมถาม
“อ้าว พี่ ก็ผมเป็นลีดนิ” น้องตอบ ดูผิดหวังเล็กน้อย
“จริงอ่ะ พี่ไม่รู้เลย” ผมสารภาพ
“ใช่ๆ พี่ไม่เห็นผมเต้นลีดวันเฟรชชี่เหรอ” คอร์ทถามต่อ
“พี่ออกไปจัดงานของภาคที่ต่างจังหวัดน่ะ” ผมตอบ คิดถึงสิ่งที่ผมได้พลาดไป
“จริงดิ  โถ่เสียดายอ่ะ ผมกำลังจะถามพี่อยู่พอดีเลยว่าชอบที่ผมเต้นมั้ย” น้องยิ่งทำหน้าผิดหวังหนัก
“เอ่อ โทษทีนะ แต่ที่เต้นเมื่อกี๊ก็โอเคนะ” ผมแก้ตัวไป แล้วเราก็กินกันต่อจนเสร็จ
“พี่ครับผมไปก่อนนะ มีเรียนต่อแล้ว” น้องคอร์ทบอกลา ไม่ยิ้มแล้ว
“อืม สู้ๆ” ผมตอบรู้สึกผิด และรู้สึกขัดแย้งในใจตัวเองอย่างหนัก ผมเคยปฏิญานแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับพวกเด็กกิจกรรมอีกเด็ดขาดเนื่องจากเหตุการณ์ฉาวของตัวเองเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา และนั่นทำให้ผมไม่ไว้ใจไม่ว่าจะเป็นเด็กกิจกรรมประเภทไหน ทั้งพี่เชียร์ พี่ว๊าก รวมถึงลีดเดอร์ด้วย (ยกเว้นน้องรหัสของผมเธอสวยจนเป็นหลีดมือของคณะ) ผมเดินกลับหอด้วยความหงุดหงิดในใจ กลับหอไปก็หงุดหงิดจนอ่าน อะ มิด ซัมเมอร์ ไนท์ ดรีม ของเซคสเปียร์ ไม่รู้เรื่อง ผมพลาดมากจริงๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมรู้น้องคอร์ทมักจะหายไปตอนกลางคืน  เวลาไม่ค่อยตรงกับเพื่อน บางทีก็หายไปเฉยๆ แต่ผมไม่เคยเก็บรายละเอียดของพฤติกรรมเหล่านี้มาคิด และนั่นถือว่าผมสอบตกในฐานะนักสังคมวิทยา เพราะผมนึกว่าน้องเป็นเด็กเรียน (เป็นเด็กเรียนจริงๆ) และรีบเข้านอนเพื่อมีเวลาอ่านหนังสือทุกคืน แถมยังเป็นนักบอลคณะเภสัชศาสตร์อีก ผมถูกมายาคติในใจตัวเองหลอกเอา เพราะไม่ชอบเด็กกิจกรรม เลยพยายามจะไม่คิดว่าน้องคอร์ทที่ผมแอบตกหลุมรักจะกลายเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงมาตั้งแต่ต้น ผมผิดหวังเมื่อรู้ความจริง และผมรู้สึกผิดกับน้องเขาที่ไม่เคยรับรู้ตัวตนทั้งหมดของน้องเขาเลย และผมก็ยังคงพลาดต่อไป
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 13-10-2013 09:02:21
6 โจทย์รัก

   ช่วงนี้พวกเราว่างๆ กันครับ ก็กิน เที่ยว เล่น ไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตนักศึกษามหาลัย คนที่หายไปจากกลุ่มเพื่อนเราบ่อยๆ ก็ สองคนครับ ไอ้คอร์ท กับไอ้ทรี คนแรกมันเรียนหนักและก็เป็นลีด แต่ไอ้คนหลังนี่สิครับ แม่งเข้ามาไม่นานตอนนี้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วครับ อ้วนก็อ้วนแบบที่พี่มันด่านั่นแหละ ไม่รู้ทำไมผู้หญิงชอบมัน แต่วันนี้แปลกครับพวกเราอยู่กันครบหน้าเลย พอกินข้าวกลางวันเสร็จบ่ายไม่มีเรียนก็มานอนอืดกันอยู่ที่ห้องผม ประมาณบ่ายสี่โมงแดดร่มลมตก ไอ้คอร์ทก็ชวนพวกผมไปนั่งเล่นกีตาร์ที่สระแก้วกัน
“เออๆ” ไอ้เอ็มเอาด้วยครับ
“แวะไปกินข้าวก่อนค่อยไปละกัน แต่เอากีตาร์ไปเลย” ไอ้ทรีเสนอ
“ไปกินหน้าคณะอักษรฯ นะ ใกล้ดี” ไอ้คอร์ทบอก
“ทรี ไม่ชวนพี่วิเหรอ” ไอ้คอร์ทถามตอนเราเดินผ่านห้องไอ้ทรีไปที่บันได
“วันนี้พี่กูเรียนเลิกดึกว่ะ” ไอ้ทรีตอบ
“....เชคสเปรียร์ วันพุธเย็น” ไอ้คอร์ทพึมพำ แต่พวกผมไม่ได้ใส่ใจ
   หลังจากกินข้าวเสร็จพวกผมก็ปั่นจักรยานมาที่ศาลาขาวริมสระแก้ว จัดแจงนั่งริมน้ำ แล้วก็เอาสมุดคอร์ดกีตาร์มากางครับ ฮ่าๆๆ ไม่อยากจะสารภาพว่าพวกผมมีหน้าที่เลือกเพลง กับร้องเพลงเท่านั้นครับ เพราะมีไอ้คอร์ทคนเดียวที่เล่นกีตาร์เป็น เก่งจริงครับมัน ผมยอมรับ เรียนเก่งมาก เล่นบอลเก่ง เป็นลีดคณะ เล่นกีตาร์ได้ ร้องเพลงได้ หน้าตาดีด้วย ครบอ่ะครับ เสียแต่บ่อยครั้งมันชอบเอ๋อ เหมือนเด็กเนริ์ด เพราะตอนมัธยมพ่อแม่มันบังคับให้เรียนหนักอย่างเดียว เราร้องกันไปจนฟ้ามืดครับ
“เพลงนี้ ขอ 2 รอบนะ กำลังอิน” ไอ้คอร์ทพูดขึ้นมา ไม่มีใครขัดมันได้หรอกครับมันเป็นคนเล่นนิ มันเริ่มเล่นแล้วก็ร้องเพลง โจทย์รัก ของเล้าโลม ครับ
 “...........ความรักที่แตกสลาย   ก่อขึ้นใหม่อีกครั้ง ชีวิตที่เคยสิ้นหวังเริ่มจะสดใส
แต่แล้วในวันนี้ เธอคนเดิมที่เคยจากฉันไป กลับมาขอคืนวันเก่าๆ ให้เราเป็นเหมือนเดิม....
หนึ่งคนทิ้งเราให้ตาย อีกคนให้ลมหายใจ หนึ่งทางคือรักจริง อีกทางก็รักฝังใจ
ไม่อยากเสียใครสักคน แต่วันนี้ต้องตัดสินใจ โจทย์ความรักจะจบเช่นไร ก็ยังไม่รู้หัวใจตัวเอง”
ไม่รู้มันอินอะไรนักหนาครับ แต่พวกผมก็ร้องตามมันไปทั้งสองรอบนั่นแหละ ฮ่าๆ  เราร้องกันอยู่นานครับ ดูนาฬิกาที่โทรศัพท์ ก็สองทุ่มเศษๆ แล้วครับ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นมีอะไรบางอย่างตกลงในสระข้างๆ พวกผมครับ จนน้ำกระเด็นเลย หันไปมองครับเป็นลูกมะพร้าว แต่แวบหนึ่งผมเห็นเป็นหน้าคนครับ ไอ้ทรีแม่งกรี๊ดเลย ไอ้เชี่ยนี่หลอนหนัก ไม่พูดพล่ามทำเพลงครับ พวกเรารีบเก็บข้าวของแล้วเผ่นขึ้นจักรยานกลับหอทันทีครับ
“เชี่ยแม่ง กูยังไม่ได้ซื้อน้ำขึ้นมาเลยหว่ะ” ผมพูด ไม่กล้าออกไปเซเว่นแล้วเพราะต้องขี่จักรยานผ่านสระแก้ว
“เออ กูด้วย” ไอ้เอ็มบอก
“เดี๋ยวกรูโทรบอกให้พี่วิแวะซื้อเข้ามาให้ พวกมึงจะเอาอะไรกันมั่ง” ไอ้ทรีถาม พวกผมก็สั่งกันไปน่ะครับ พี่วิคงหนักตายแน่
“คอร์ท เอาอะไรมั่งป่าววะ” ไอ้ทรีถาม
“ไม่เอาอ่ะ” ไอ้คอร์ทปฏิเสธ แล้วมันก็ขอตัวกลับห้องไปอาบน้ำนอนครับ ซึมๆ ไป สงสัยหลอนเงียบ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 13-10-2013 10:14:52
7 สมา (SMA) กับประชาธิปไตย

สมา มาจากชื่ออักษรย่อภาษาอังกฤษตัว เอส เอ็ม เอ ครับ เด็กอักษรฯ เลยเรียกมันสั้นๆ ว่า สมา สมาเป็นงานประกวดการร้องดนตรีของมหาลัยผมครับ จัดครั้งละประมาณ 2-3 วัน ปีละครั้ง ที่สนุกคืองานนี้นอกจะเป็นการประกวดร้องเพลงแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นการจัดคอนเสริ์ตในนักศึกษาออกมาโชว์ลีลาของร่างกายกันครับ
“วิ....ไปสมากับเค้ามั้ยจ๊ะ” ลิตเติ้ลเพื่อนสาวผมชวนครับ
“ไปสิจ๊ะ ที่รัก” ผมตอบอย่างไม่ค่อยลังเล แม้จะไม่ชอบงาน แต่ผมสนิทกับลิตเติ้ลมากครับ เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่หวันไหวกับข่าวฉาวของผม เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเสมอมา แล้วพอเราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเราสองคนก็ค่อยๆ เดินไปงานด้วยกันครับ
   งานคืนนี้ครึกครื้นดีครับ เด็กๆ แน่นเลย ช่วงประกวดร้องเพลงกำลังจะจบลงไปแล้วครับ เพราะอาจารย์กรรมการกำลังจะกลับ ช่วงคอนเสริ์ตอยู่ไม่ไกลแล้วครับ
“เดินไปที่แสตน์คณะกันเถอะ” ลิตเติ้ลชวน
“อืม” ไปก็ไป ถึงแม้ในใจผมกลัวว่าจะไปเจอหน้าบรรดาคนที่ผมไม่อยากเจอ ที่แสตนคณะอักษรฯ กำลังเต้นกันนัวๆ เลยครับ โยกย้ายไปมาช้าๆ จังหวะเดียวกับเพลงแนวสการ์ที่เล่นมาได้สักพัก ผมกับลิตเติ้ลก็โยกตามนิดหน่อย
“วิๆ ดูสิ นั่นไงเดือนคณะ ปีหนึ่ง” ลิตเติ้ลชี้ให้ผมดูครับ แต่ผมมองไปก็ไม่รู้ใครมันปนๆ กันไปหมด
“ไหนอ่ะ คนไหน” ผมถามอีกครับ เริ่มอยากรู้ขึ้นมาเหมือนกัน ผมก็พยายามมองหาแต่ก็ไม่เจอครับ
“ไหนอ่ะ ยังหาไม่เจอ” ผมแพ้ต่อความอยากรู้ครับ ถามไปอีกจนได้ ลิตเติ้ลกำลังจะบอกอีกรอบ ไม่รู้ว่ารำคาญผมหรือเปล่า แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อน้องผู้ชายคนหนึ่งสูงกว่าผมสักช่วงหัวหนึ่ง ใส่เสื้อยืดสีฟ้า เดินออกมาจากกลุ่มเพื่อนเขาครับ
“ผมเองแหละครับพี่” น้องเขาเดินออกมาพูดใส่หน้าผม ผมอึ้งครับ ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเดือนคณะ หน้าก็ไม่ได้หล่อเทพ สูงกว่าผมแค่นิดเดียว กล้ามเยอะไปนิด
“หน้าผมไม่เหมาะจะเป็นเดือนขนาดนั้นเลยหรอครับ” เขาพูดต่อ น้ำเสียงปนความหงุดหงิด เหยียดๆ แล้วก็กวนตีน ประมาณว่ากูหน้าตาดีกว่ามึงแล้วกัน
“ไม่รู้สิ” ผมตอบ กวนตีนกลับเหมือนกัน
“แต่ก็นั่นแหละ กี่ปีกี่ปีก็เหมือนกันหมดแหละ ดูที่หน้าตาเอาประมาณตามกระแสนิยม ความสามารถก็อีกเรื่องหนึ่ง” ผมกวนตีนล้ำเส้นครับ คิดว่ามันกำลังจะชกผม ผมไม่กลัวหรอกครับ
“ตูน คะ” เสียงน้องผู้หญิงปีหนึ่ง ข้างหลังดังมาเป็นระฆังห้ามมวยครับ
“มาเต้นด้วยกันสิคะ”
“ครับๆ” มันตอบแล้วเหลือบมามองผมอย่างฆาตโทษ แล้วก็เดินกลับไปเต้นกลับกลุ่มน้องผู้หญิงครับ  ไปตายไหนก็ไปเถอะไอ้คนเกือบหล่อ
“กรี๊ดดด...เกือบโดนผู้ชายตีเลยค่ะ” ลิตเติ้ลระบายลมหายใจ คงลุ้น ฮ่าๆ
“บ้า...ไม่หรอก” ผมบอกให้เพื่อนสบายใจ
เราเต้นกันต่อไปสักชั่วโมงครับ ทักทายเพื่อนๆ ที่เต้นผ่านมา พอถึงเวลาแล้วเราก็เดินกลับครับขากลับแวะซื้อน้ำที่เซเว่น แล้วผมก็ส่งที่รักกลับห้องส่วนตัวเองก็กลับห้องนอนครับ ไอ้ทรีกับเพื่อนยังไม่ได้กลับมา ส่วนน้องคอร์ทผมไม่ได้คิดถึงเลยครับ คืนนั้น
   สามสี่วันหลังจากงานสกา ผมมีกิจกรรมพิเศษครับ เนื่องจากช่วงนี้เกิดเหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง ส่งผลให้ประชาคมนักศึกษาและอาจารย์ในมหาลัยมีการเคลื่อนไหวครับ อาจารย์ผมสองคนกำลังผลัดกันแถลงเหตุการณ์ที่ผ่านมา และวิจารณ์การกระทำของรัฐบาล หลังจากนั้นอาจารย์ก็แบ่งกลุ่มย่อยครับให้นักศึกษาจำนวน 60 กว่าคนได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันครับ ผมได้รับการมอบหมายให้เป็นผู้นำการสนทนากลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งครับ ซึ่งแลกเปลี่ยนประเด็นกันอย่างเผ็ดร้อนมาก
“ผมไม่ชอบ และไม่เห็นด้วยเลยที่คนไทยสองกลุ่มที่ความเห็นทางการเมืองต่างกันต้องมาทำร้ายกัน แบบนี้ มันไม่มีอารยะเลย แย่มากๆ” น้องเมฆ ภาควิชาปรัชญาพูดขึ้นแสดงความอึดอัดครับ น้องค่อนข้างใช้อารณ์
“มองในอีกแง่มุมหนึ่งนะ” ผมเสนอ ในฐานะที่เป็นผู้นำการสนทนาจะเงียบอยู่ไม่ได้ครับ
“ความรุนแรงที่เกิดจากคนสองกลุ่มปะทะกันจะไม่เกิดขึ้นเลย หากมีการควบคุมฝูงชนที่ดี เราต้องยอมรับว่ากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล และรัฐบาลเองก็มีอำนาจในการสั่งการฝูงชนได้ หากรัฐบาลไม่นำมวลชนที่สนับสนุนตัวเองมาท้าทายอีกลุ่มหนึ่งในระยะประชิดแบบนี้ จะเกิดความรุนแรงขึ้นมั้ย” ทุกคนตั้งใจฟังครับ ผมเลยพูดต่อ
“เมฆ อาจจะติดใจกับผลลัพธ์ที่เป็นความรุนแรง แต่สาเหตุและกลไกที่ก่อให้เกิดการปะทะล่ะ เราควรจะคำนึงถึงจุดนั้นด้วย”
น้องเมฆ และเด็กคนอื่นๆ ก็แลกเปลี่ยนประเด็นกันครับ เราคุยกันไปเรื่อยๆ เกือบชั่วโมง จนกลุ่มนักศึกษาเริ่มแยกย้าย ผมก็ขอตัวกลับครับ หิวข้าว อยากไปดูหนังที่ห้องด้วย
“พี่ครับ” ผมถูกดึงแขนจากข้างหลังครับ แต่น้ำเสียงและแรงบีบค่อนข้างสุภาพครับ เลยหันไปมอง เป็นน้องผู้ชายหน้าคุ้นๆ
“พี่ชื่อ วิ ป่าวครับ” น้องถาม ผมกำลังพยามยามนึกชื่อน้อง เหมือนน้องเขาจะอยู่ในกลุ่มสนทนาด้วย แต่นั่งฟังอย่างเดียวครับ
“ผมตูน ไงครับ” ที่เราเจอกันที่สกา วันนี้ผมก็มานั่งฟังกลุ่มพี่ ผมนึกออกละครับ น้องเดือนคณะนี่เอง
“พี่อยู่ ปีสี่เหรอครับ ตอนแรกผมนึกว่าปีสอง ไม่ก็ปีสาม” น้องยังถามต่อ
“อือฮึ” ผมไม่รู้จะตอบยังไง แต่ดูเหมือนน้องมันจะไม่ต้องการคำตอบครับ
“พี่ใช้หลักตรรกะได้ดีนะครับ ผมนั่งฟังอยู่ ผมเก็บวิชาภาษาจีน ประวัติศาสตร์ แล้วก็ปรัชญาน่ะครับ เลยมาฟัง”
“เหรอ” ผมตอบสั้นๆ ไม่รู้มันต้องการจะสื่ออะไร
“พี่ผมขอเบอร์โทรศัพท์พี่หน่อย เพื่อนัดกันตอนชุมนุมครั้งต่อไป”
“อืม เบอร์พี่ 08 4xxx xxxx” ผมให้เบอร์น้องมันไปอย่างเสียมิได้ครับ
“ขอบคุณครับ แล้วไว้ผมโทรไปครับ ผมไปเรียนก่อนนะครับ” แล้วน้องเขาก็วิ่งไปโบกมือ มาให้แบบนักร้องบอยแบนด์ ผมไม่รออยู่ดูต่อจากนั้นหรอกครับ คนเยอะ ผมอึดอัด ผมเลยเดินกลับข้ามสะพานสระแก้วกลับไปที่หอครับ สั่งข้าวขึ้นมากินเพราะติดเที่ยงแล้วก็เปิดหนังดูไปด้วย สักพักผมก็นอนหลับครับ เหนื่อยมากช่วงนี้
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: hotoil ที่ 13-10-2013 10:54:38
ติดตามค่ะ เป็นอะไรที่ยาวมากๆ
อ่านตอนแรกเรางงมากๆเลยทำไม แต่ละตอนคนบรรยายไม่เหมือนกัน
อ่านไปอ่านมาเริ่มเข้าใจแล้วค่ะ ว่ามีการเปลี่ยนคนบรรยาย
วินี่ใช่นายเอกไหมน้าาา(วิบัติเพื่อเสียง)
คอร์ทนิสัยเหมือนเด็กแต่ตัวสูง(รึป่าว) พระเอกแน่ๆ(สาธุๆ)
วิก็เหมือนกันนิสัยเหมือนผู้ใหญอันนี้ไม่ขัด แต่อ่านแล้วมันขัดเหมือนวิจะเป็นพระเอกไม่ได้นะ ไม่ยอม!
รอติดตามต่อไปค่ะ อย่าเลิกเขียนนะค่ะ รออ่านอยู่ ช่วงแรกๆคนอ่านจะน้อย แต่อย่าจากเราไปนะ ชอบอ่านเรื่งนี้จริงๆ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 13-10-2013 14:02:14
ขอบคุณ Hotoil มากครับ คอมเมนท์ให้กำลังใจผมมากครับ ผมคงจะพยายามเรียบเรียงเรื่องราวแล้วเขียนลงไปจนจบครับ แค่คนอ่านเข้าใจผมก็ดีใจแล้วครับ (นักสังคมวิทยามักจะพูดภาษาที่ชาวบ้านไม่เข้าใจ) เพราะผมในฐานะที่พูดแทน วิฬะ ต้องการให้เรื่องนี้เป็นของขวัญกับพระเอกของเรื่องครับ ถ้าผมหายไปนานช่วยตามด้วยนะครับ
ปล. ผมไม่ค่อยเข้าใจคำว่า พระเอกนายเอก เคะ เมะ หรอกครับ ผมเลยเสริ์จกูเกิ้ลเอา ครับ ถ้าผมเข้าใจผิดรบกวนช่วยบอกด้วยนะครับ อย่าให้ผมหน้าแตกนาน 55

"วิ"


8 อุบัติเหตุ

   รู้สึกผิดมากครับที่ต้องเล่าเหตุการณ์นี้ให้ฟัง ผมสะเทือนใจมากครับ และผมคิดว่าทุกคนในมหาลัยก็คงจะต้องสะเทือนใจไม่แพ้กัน เหตุการณ์ก็คือว่า มีเพื่อนรุ่นเดียว คณะเดียวกับผมคนหนึ่ง จัดงานวันเกิดตัวเองด้วยการแอบเอาเหล้ามากินข้างสระแก้วเพื่อฉลองวันเกิดครับ เมื่อเมาแล้วเพื่อนๆ เลยท้ากันให้ว่ายน้ำในสระแก้วครับ สรุปเจ้าของวันเกิดจมน้ำตายครับ ไอ้ทรีกับพวกผมหลอนไปหลายวันครับ เดือดร้อนพี่วิ ที่ต้องคอยส่งน้องครับ พวกเราหลายคนแทบจะนอนห้องพี่วิเลยครับ พี่เค้ารำคาญรึเปล่าก็ไม่รู้
“เฮ้ย โย๊ป ทำไรวะมึง โหลดหนังโป๊หรอ” ไปบู้เพื่อนคณะผม มันเพิ่งขอย้ายมาอยู่หอเดียวกับพวกผมครับ
“เชี่ย กูคุยโทรศัพท์กับแฟนอยู่” ผมด่ามันครับ เชี่ยไม่รู้จักกาละเทศะ  ผมกลับไปคุยกับปลาต่อ ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วครับพวกผมกำลังทำรายงานกลุ่มที่ห้องพี่วิครับ
“เออ ปลา เราไปทำรายงานกับพวกไอ้เอ็มก่อนนะ” ผมบอกปลา เธอพูดต่อสักพักแล้วเราก็วางโทรศัพท์ครับ ผมยกโน๊ตบุ๊คแล้วเดินกลับเข้าห้องพี่วิครับ ในห้องตอนนี้มีผม ไอ้เอ็ม ไอ้ทรี แล้วก็ไอ้วิตซ์ ครับ พี่วิไม่อยู่สงสัยไปห้องพี่ลิตเติ้ลครับ พวกเราทำรายงานต่อสักพักก็มีเสียงเคาะห้องครับ เป็นไอ้คอร์ทเปิดประตูเข้ามา
“ทำอะไรกันอยู่อ่ะ” มันถาม
“ทำรายงานว่ะ” ไอ้ทรีตอบ
“ทำไมวันนี้มึงนอนดึกวะ” ผมถามเด็กเรียนครับ แอบแปลกใจ
“ทำเรียงความภาษาอังกฤษว่ะ” มันตอบ
“แล้วพี่วิไม่อยู่เหรอ” มันถามอีก
“อยู่ห้องพี่ลิตเติ้ลมั้ง มึงจะให้พี่กูช่วยตรวจเหรอ” ไอ้ทรีตอบ
“เออๆ งั้นไปละ” มันบอกแล้วก็ออกจากห้องไปเฉยๆ เลยครับ แต่พวกเรายุ่งๆ ก็ไม่ได้สงสัยอะไร
ประมาณตีหนึ่งพี่วิก็กลับมาครับ
“ทำไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ” พี่เขาบอก แล้วก็ขึ้นไปนอนบนเตียงครับ แต่จากนั้นอีกไม่นานพวกผมก็แยกย้ายกันไปนอนครับง่วงเกิน

   จากนั้นมาไม่นานครับเหมือนว่าเราจะไม่ได้รับบทเรียนจากเพื่อนที่เพิ่งจมน้ำเสียชีวิตไป พี่ด้อมครับปีสี่คณะศึกษาฯ เขาเลี้ยงเหล้าครับ แอบเอาเหล้าขึ้นมากินในหอครับเป็นลังเลย พี่เขาทำได้ครับเพราะเขาเป็นกรรมการหอ พวกเราซื้อข้าวแล้วก็กับแกล้มมากินที่ห้องคอมมอนชั้น 3 ครับ กินกันทุกคนครับพวกผม 5 คน ไอ้คอร์ทก็โดนชวนมากินด้วย อุบัติเหตุของพวกผมก็คือ ไอ้เอ็มแพ้เหล้าครับ ไอ้อ็มแพ้มากครับ ห้าทุ่มกว่าๆ แล้วด้วย พวกผมเริ่มเมาๆ ครับเลยทำอะไรไม่ถูก เลยช่วยกันแบกมันไปนอนบนม้านั่งอ่านหนังสือไอ้ทรีเลยไปตามพี่วิมาครับ
“เอ็ม เป็นอะไร” พี่วินั่งลงถามไอ้เอ็ม แต่ไม่รอคำตอบครับ พี่วิก้มหน้าแนบแก้มกับจมูกไอ้เอ็มเลยครับ
“อ้าปากสิ” พี่วิสั่งอีก พี่วิก้มหน้าจนเกือบจะชนปากไอ้เอ็มครับ พวกเราทุกคนมองตาค้างเลย
“ไหวมั้ยเอ็ม” พี่วิถามอีก ไอ้เอ็มตอบไห้แค่พยักหน้าครับ
“โย๊ปไปแต่งตัว แล้วเดี๋ยวมากับพี่ วิตซ์ไปเอากระเป๋าตังไอ้เอ็มมา...ด้อมแกลงไปเปิดประตูหอ เดี๋ยวนี้เลย” ทุกคนทำตามคำสั่งครับ แม้แต่พี่ด้อมที่อยู่ปีเดียวกับพี่วิ ผมไปแต่งตัวครับออกมาก็เห็นพี่วิเอาเยาเม็ดสีขาวๆ เล็กให้ไอ้เอ็มกิน ให้มันกินน้ำ แล้วพี่เขาก็แบกไอ้เอ็มเลยครับ แรงควายมาก ไอ้เอ็มตัวสูงกว่าพี่เขาอีก
“โย๊ปมาไปรอหน้าบันได” ผมเพิ่งเก็ทว่า พี่วิจะพาไอ้เอ็มไปโรงพยาบาลครับ ให้ผมไปช่วยแบกไอ้เอ็มเพราะผมตัวโตที่สุดในกลุ่ม
“คอยเปิดประตูให้ด้วยนะด้อม แล้วแกก็ไปเก็บเหล้าซะ” พี่วิสั่งกึ่งด่าครับ
“ไอ้ทรี กลับมาอย่าให้กูเห็นมึงเมานะ คราวนี้มึงแดกตีนกูแน่”
“ไม่มีใครมีรถเลย โย๊ปช่วยพี่แบกมันไปหน้ามอไหวมั้ย” พี่วิถามเสียงอ่อนลงแล้ว
“ไหวครับ” ผมตอบ
“ผมไปด้วยคน” ไอ้คอร์ทครับ เดินมาบอกจะไปด้วยแบบอารมณ์เสียมาครับ หน้ามันแดงๆ คงเมาเหมือนกัน พี่วิมองมันหัวจรดเท้าเลยครับ
“อือ มาสิ” พี่วิบอก
เรามาถึงหน้ามหาลัย แล้วก็เรียกแท็กซี่ครับ ไปโรงพยาบาลสนามจันทร์ พี่วิสั่งคนขับ เมื่อเรามาถึงพี่วิก็แบกไอ้เอ็มติดต่อแผนกฉุกเฉิน เอาบัตรประชาชนจากกระเป๋าตังค์ไอ้เอ็มยื่นให้ครับ สรุปไอ้เอ็มแพ้เหล้าครับ หมอฉีดยาแก้แพ้ แล้วก็ยาฆ่าเชื้อให้ครับ พี่วิเล่าให้ฟัง ตอนนี้หมอให้ไอ้เอ็มนอนพักในห้องดูอาการ 3 ชั่วโมงครับ พวกเราก็ไปนั่งรอที่นั่งหน้าหวอดครับ ไอ้คอร์ทนั่งข้างพี่วิ ผมนั่งฝั่งตรงข้ามเผื่อจะคุยกัน แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีใคร คุยกันครับ เที่ยงคืนจะตีหนึ่งละครับ ง่วง เมาด้วย ผมสลึมสลือครับ เห็นไอ้คอร์ทนั่งหลับเอาหัวซบไหล่พี่วิครับ พี่วิตื่นอยู่ แต่นั่งเฉย มองไปที่ไอ้คอร์ทบ่อยๆ สงสัยพี่เขาเมื่อย แต่ไม่อยากบ่น แล้วผมก็หลับไปครับ
   ผมตื่นขึ้นมาตอนตี 3 ครับ พี่วิปลุก ไอ้เอ็มออกมาแล้วครับ ได้ยามาชุดหนึ่งด้วย แล้วเราสี่คนก็นั่งแท็กซี่กลับครับ
“โย๊ปโทรหาไอ้ด้อมให้มันลงมาเปิดประตูสิ” พี่วิสั่งอารมณ์เสียอีกแล้วครับ พี่ด้อมรับครับแต่เสียงง่วงๆ แล้วจู่พี่วิก็แย่งโทรศัพท์ผมไปครับ พูดเสียงดังจนผมกลัว
“ลงมาเปิดประตู....เดี๋ยวนี้ ลงมา” เสียงแสบแก้วหูผมมากครับ
พี่วิทิปแท็กซี่ แล้วขอโทษเพราะทำเสียงดังครับ เราเข้าหอช่วยประคองไอ้เอ็มไปชั้น 3 พามันไปห้องนอน แล้วเราก็แยกย้ายกันครับ
“พี่วิ” เสียงไอ้คอร์ทครับ ผมเลยหันไปดู
“หืมม...”
“ผมนอนห้องพี่นะ ผมง่วง ขี้เกียจกลับไปห้อง” ห้องไอ้คอร์ทมันอยู่คนละชั้นกับพวกเราครับ พี่วิมองไอ้คอร์ทจากหัวจรดเท้าแบบเดิมอีก ครับ
“อืม......” แล้วสองคนนั้นก็หายไปในห้องพี่วิ
“ขอบคุณนะโย๊บ” เสียงพี่วิลอยมา
“ค้าบบบผม” จริงๆ พวกผมต้องขอบคุณพี่ต่างหากครับ ช่วยพวกเราไว้ ไม่งั้นคงสลด
ผมรู้สึกดีมากๆ ครับ ที่พี่วิให้ผมไปช่วย เหมือนผมได้ช่วยเพื่อน เหมือนเราผูกพันกันมากขั้น เหมือนผมได้ทำประโยชน์ เหมือนตัวเองมีความสามารถทำสิ่งที่ดีได้ ผมรู้สึกดีครับ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 13-10-2013 15:20:51
เพิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่านค่ะ ไม่ผิดหวังเลยค่ะ
เราอ่านไปลุ้นไปหนุกดี

เราว่าวิคู่กับโย๊บแน่เลยตอนแรกมีบอก
ประมาณว่ารู้สึกดีกับคนที่อยู่ห้องตรงข้าม
ช่ายป่าวหว่า^_^

ติดตามเป็นกำลังใจให้น๊า สู้ๆ อิอิ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 13-10-2013 15:36:31
9 หนุ่มอักษรฯ

   เตียงผมเล็กครับ มาตรฐานของหอพักเราให้นักศึกษาใช้เตียงกว้าง 3 ฟุตครับ หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล ผมก็เห็นไอ้ทรีหลับเป็นตายครับ คงเมาหลับ ผมบอกคอร์ทเลือกเอาจะนอนไหน เพราะผมเอาฟูกอีกสองหลังวางไว้บนพื้นห้องครับ แล้วผมก็ไปล้างมือมาถอดคอนแทกเลนส์ครับ
“ผมติดผ้าห่มครับ” คอร์ทบอก ตอนนี้น้องเขานั่งอยู่ปลายเตียงผม
“งั้น นอนกับพี่ได้ป่าวล่ะ” ผมก็เป็นคนติดผ้าห่มครับ
“ครับๆ” น้องคอร์ทตอบ
เรานอนตะแคงครับ เพราะเตียง 3 ฟุตค่อนข้างแคบเกินไปสำหรับผู้ชาย 2 คน น้องนอนตะแคงหันหน้าออกจากผมครับ นั่นหมายความว่าน้องหันหลังมาหาผมครับ ผมอยากกอดน้องเขานะครับ แต่วูบหนึ่งภาพในอดีตย้อนกลับมาหาผม ภาพที่รูมเมทคนเก่าของผมเมาเหล้ามาแล้วลวนลามผมที่กำลังหลับ ผมถึงกับเวียนหัว หูอื้อเลยครับเมื่อคิดถึงภาพตอนนั้นผมเลยไม่กอดน้องเขา ไม่นานผมก็หลับครับ เพราะผมเหนื่อยมากแบกผู้ชายหนักกว่าแบกร๊อตไวเลอร์ที่บ้านผมอีก ผมไม่ได้สังเกตหรอกครับว่าคอร์ทหลับไปแล้วรึยัง

   ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าครับ น้องคอร์ทยังหลับอยู่ ผมเองวันนี้ก็ไม่มีเรียน (วันศุกร์) เลยเอามือขยี้ผมน้องเขาครับน้องเขาน่ารักมาก เผยอปากน้อยๆ ตอนนอน มีหนวดขึ้นหรอมแหรมเพราะไม่ได้โกน ต่างจากตอนที่ต้องแต่งหน้าเข้ม ใส่ชุดแฟนซีแล้วเต้นลีด ตอนนี้เขาดูบริสุทธิ์ ได้เดียงสา และเป็นสุขครับ ผมขยี้ผมน้องอีกแล้วดมกลิ่นของน้องจากไรผมครับ (กลิ่นของผู้ชายคลายความเครียดครับ ลองดมกลิ่นจากไรผมของพวกเขาดู) ผมหลับไปอีกตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกที่เที่ยงแล้วครับ น้องคอร์ทหายไปแล้ว  ไอ้ทรีก็หายไป มีโน๊ตจากไอ้ทรีว่าผมกลับบ้านนะครับพี่ พี่อยากกินอะไรโทรมาสั่งผม
ผมเลยลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวครับ พอแต่งตัวเสร็จโทรศัพท์ผมก็ดังครับ เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักโทรเข้ามา
“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมตอบ
“ผมเองครับ พี่” ปลายสายทักมา ร่าเริงจังนะกูเพิ่งตื่น
“ผมตูนไง ครับพี่”
“อ่อ หรอ ทำไมล่ะ” ผมตอบกำลังจะออกจากห้องครับ
“วันนี้พี่ไม่มีเรียนใช่มั้ยครับ” ไอ้ตูนถาม รู้ได้ไง
“งั้นเย็นนี้พี่ไปกินข้าวกับผมนะครับ ผมเลิกเรียนจีนตอน 4 โมง” มันชวนผมไปกินข้าวครับ เดือนคณะชวนผมไปกินข้าวครับ
“ทำไมไม่ไปกับเพื่อนล่ะ” ผมพยายามปฏิเสธครับ ไม่อยากคบค้าสมาคมกับพวกเซเลปของคณะครับ บอกตรงๆ
“พอดีอยากกินไปถามไปอ่ะพี่ ผมเก็บภาษาจีน ประวัติฯ ปรัชญาอ่ะ....พี่เรียนเก็บประวัติฯ ปรัชญา ภาษาอังกฤษ และก็สังคมฯ ใช่มั้ยครับ มาแนะนำผมหน่อยเถอะ” มันมาเป็นชุดเลยครับ เสือกรู้อีก
“อืมๆ” ผมรับปากมันครับ ผมคงเนริ์ดเกินไปมั้ง เวลาใครมาพูดกับผมเรื่องเรียนนี่ผมเออออไปหมดเลย ครับ ก็หน้าตาหมาไม่แดกอ่ะครับ พอมีแต่หัวสมองที่พอเอาออกไปวัดไปวาได้ ผมลงไปกินข้าวเล็กน้อยๆ ครับ คนเยอะมาก แล้วก็กลับมานอนต่อที่ห้อง ว่างจริงไม่รู้จะทำอะไร เปิดรูปดูในโทรศัพท์ครับ ผมชอบรูปน้องคอร์ทนอนหลับในห้องทีวี น้องโดนแกล้งเอากระป๋องกาแฟมาใส่มือแทนรีโมทที่กำไว้  ผมยิ้มครับสักพักก็มีคนมาเคาะประตูครับ
“เมื่อคืนขอบคุณมากนะครับพี่” ไอ้เอ็มเข้ามาในชุดนักศึกษาครับ ผมพยายามไม่ทำหน้าผิดหวัง
“เออๆ ไม่เป็นไร ว่าแต่สบายดีแล้วนะ” ผมถามไม่อยากดุครับ ผมรู้ว่านอกจากน้องคอร์ท แล้วเอ็มเป็นอีกคนหนึ่งที่เรียบร้อยมาก
“ครับๆ” เอ็มตอบหน้าดำๆ เริ่มแดง
“ไอ้ทรีไปไหนอ่ะพี่” เอ็มถามอีก
“มันกลับบ้านอ่ะ” ผมตอบ
“ครับๆ งั้นผมไม่กวนพี่ละ” แล้วมันก็เดินกลับไปครับ หลังจากนั้นผมก็หลับครับ

ผมตื่นมาเกือบ 4 โมงเย็นครับ กำลังจะส่งเมสเสจไปบอกไอ้ตูนว่าผมจะไปเจอมันที่ตึก 50ปี แต่มันดันชิงโทรมาก่อนครับ
“4 โมง 15 พี่ลงมารอที่หน้าหอพี่นะครับ เดี๋ยวผมไปเจอ” ไอ้ตูนบอก รู้อีกว่ากูอยู่หอไหน
“ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปเจอที่ตึก 50” ผมบอก
“ผมออกจากตึก 50 มาละครับ...อีก 15 นาทีลงมารอนะครับ” แล้วมันก็วางไป
อีกเกือบๆ 15 นาทีครับผมก็หยิบหนังสือหลักสูตรคณะ แล้วก็ปากกาดินสอ (กะไปคุยกับมันเรื่องวิชาเลือกจริงๆ) แล้วก็เดินลงไปรอหน้าหอ ครับ ผมยกนาฬิกาดู 4.15 แล้วครับ มันยังไม่มาอีก (ผมค่อนข้างเป็นคนตรงเวลาครับ ส่วนใหญ่ผมชอบไปถึงก่อนเวลานัด) แล้วจู่ก็มีรถเก๋งสีขาวแล่นมาจอดหน้าผม ประตูของมันเปิดออกครับ
“พี่ขึ้นมาสิครับ” ไอ้ตูนชะโงกหน้าออกมาพูดครับ ผมไม่อยากขึ้นครับ
“เฮ้ย...จะไปกินที่ไหนอ่ะ เอารถไปทำไม” ผมถามอยากลับขึ้นห้องละครับ
“เอ้า ไปบิ๊กซีนะพี่ เอารถไปนี่แหละ....น่าพี่ขึ้นมาเร็วๆ รถคันหลังเขาด่าแล้วครับ” เสือกเร่งอีก ผมเลยกระโดดขึ้นรถไปครับ
“ไม่กิน เคเอฟซี ไม่กินแม็ค ไม่กินเอ็มเค” ผมบอกตั้งแต่เราก้าวเข้าประตูห้างเลยครับ
“เรื่องมากขนาดนี้กินที่ ฟู๊ด คอร์ท เลยมั้ยครับ” มันประชด
“ก็ดีอยากกินหอยหอด” ผมบอกครับไม่ได้ประชด มันจับแขนผมเบาๆ แล้วดึงผมมาร้านพิซซ่าครับ
“กินอะไรดีครับ พิซซ่าพัพ” ผมบอก
“พี่พิซซ่าพัพมันสั่งคู่กับหน้าอื่นไม่ได้นะ” มันท้วงเสียดัง ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษา เห็นแนวกล้าม กับ ขนหน้าอก พอดีกับที่พนักงานสาวเดินมา
“จะกินอ่ะ มันไม่เลี่ยน” ผมยืนยันเสียงแข็งครับ
“งั้นเอาพิซซ่าพัพที่หนึ่ง สปาเก็ตตีพัดขี้เมา ปีกไก่ทอด ขนมปังกระเทียม แล้วก็โค๊กสองที่ครับ” มันสั่งพนักงานที่ยิ้มเล็กยิ้มน้อย
“กินหมดไง” ผมตะลึง มันสั่งเยอะมาก
“โธ่พี่ ร่างกายผมต้องการโปรตีนนะ” แล้วมันก็ถกแขนเสื้อเบ่งกล้ามให้ผมดู ขาวดีนะครับผิวข้างในมัน ตัดกับขนสีดำ เอิ่มมมมม
สักพักเมื่ออาหารมาเสริ์ฟ เราก็กินกันไปติวกันไปอย่างที่มันพูดจริงๆ ครับ มันตั้งใจฟังที่ผมพูดนะส่วนใหญ่ มองมาที่ผมตลอด สักพักเมื่อเราอิ่ม ติวก็เสร็จแล้ว มันก็พาผมมาส่งหน้าหอครับ
“บาย....ครับพี่” มันบอกตอนผมกำลังปลดเข็มขัดนิรภัย
“อืมๆ ไม่เป็นไรผมตอบ” แล้วมันก็เอามามาจับผมของผมที่ยาวประบ่ารั้งไปไว้หลังท้ายทอย
“ผมว่าพี่นะจะตัดผมสั้นนะครับ ใส่เชริ์ตแทนเสื้อยืด แล้วก็ใส่กางเกงขาเดฟ” ผมอึ้งตั้งแต่มันกล้าจับปอยผมของผมแล้วครับ
“เพื่ออะไร” ผมบอกปัดทำเป็นไม่สนใจ
“พี่นิสัยน่ารักดีนะครับ ตอนแรกคิดว่าพี่เป็นพวกชอบกวนตีน หาเรื่องรุ่นน้อง” มันเพ้อต่อ
“พี่เม็มเบอร์ผมด้วยนะครับ แล้วผมจะโทรมาหา” มันบอกตอนผมกำลังจะปิดประตูรถครับ
ผมใช้ตรรกะแล้วสรุปได้ง่ายๆ ครับว่ามันบ้า คนกว่าทั้งคณะพยายามจะอยู่ห่างจากปลาทูเน่าอย่างผม   แต่มันเดือนคณะเสือกมาวอแวด้วย มันคงบ้าแน่ครับ ก็แค่นั้น
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 13-10-2013 19:36:33
Palmpalm ขอบคุณมากนะครับ

"วิ"

10 โรคระบาด และยารักษา

   เหตุอาเพศน่าจะยังไม่พ้นไปจากพวกผมครับ มันเริ่มจากไอ้บู้ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ด้วยครับ ไอ้เชี่ยนี่มันเอาโรคอีสุกอีใสมาฝากด้วยครับ อีสุกอีใสโรคที่ดูไม่น่ากลัวเท่าไร แต่ให้มาเป็นตอนหนุ่มเนี่ยนะครับ ถ้าจะไม่เวริ์ค ตอนนี้ไอ้วิตซ์ครับ ติดโรคไอ้บู้ไปด้วยอีกคน ผมกลัวครับ
“พี่วิครับ ผมกับไอ้เอ็มมานอนห้องพี่สักพักได้มั้ยครับ” ผมถาม พี่เค้าคงด่าในใจว่าไอ้เวรปกติพวกมึงก็เข้าออกห้องกูเป็นว่าเล่นอยู่
แล้ว
“ไอ้บู้เอาอีสุกอีใสมาปล่อยครับ ตอนนี้ไอ้วิตซ์ก็ติดแล้ว” ผมเล่าต่อ รักเพื่อนมาก ณ จุดนี้
“เฮ้ยจริงอ่ะ กูก็ไม่เคยเป็น” ไอ้ทรีร่วมวงด้วย
“เอาดิ มานอนได้ไม่เห็นเป็นไรเลย” พี่วิตอบ
“ขอบคุณมากพี่”
“เออๆ” แล้วพี่วิก็กลับไปอ่าน หนังสือของเขาต่อ หลังจากนั้นผมก็ชวนไอ้เอ็มขนย้ายหมอน ผ้าปู  ผ้าห่มมาห้องพี่วิครับ ตามเดิมเราสองคนได้นอนพื้น
“พี่วิเคยเป็นอีสุกอีกใสป่าวครับ” ผมถามตอนนี้พวกเราใกล้จะนอนแล้ว
“ไม่เคย....”
“เวรละพี่ พวกเราจะซวยกันมั้ย” ผมเครียดครับ
“คิดมาก ไม่เป็นไรหรอก”
   ถึงพี่วิจะบอกอย่างนั้น ถึงพวกผมจะแยกห้องนอนกับไอ้วิตซ์ ไอ้บู้ แต่เราก็ยังต้องไปเรียนด้วยกันอยู่ดี ท้ายที่สุดผ่านไปได้แค่ 4 วัน ไอ้ทรีติดอีสุกอีใสครับ แต่มันเป็นไม่หนัก คราวนี้พี่วิก็ต้องดูแลน้องเขาเต็มที่ละครับ คราวนี้ไอ้ทรีเลยอ้อนที่บ้านว่าอยากกลับไปแอดมิทที่โรงพยาบาลแถวบ้าน วันศุกร์พ่อ (ลุงพี่วิ) มันเลยมารับกลับครับ ไอ้เอ็มก็กลับบ้านด้วยครับ แม่งป๊อดทิ้งผม เหลือผมกับพี่วิครับ เย็นนี้เราเลยได้ไปกินข้าวกันสองคน แต่ก่อนออกไปกินข้าวเย็นผมอาบน้ำแล้วรู้สึกว่าตัวร้อนแปลกๆ เหมือนเป็นไข้ ท่าทางผมจะไม่รอดละครับ 
“พี่ผมว่า ผมกลับไปนอนห้องผมดีกว่า ผมเกรงใจ ผมน่าจะเป็นอีสุกอีใสครับ ผมไม่อยากให้พี่ติด” ผมบอกตอนเรากำลังกินก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ร้านดัง
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ทำไมล่ะ ไม่สบายเหรอไง” พี่เขาบอกเหมือนผมเป็นไอ้ทรีเลยครับ
“ครับผมตัวร้อนนิดหน่อย”
“แล้วแต่นะ แต่พี่ไม่เป็นไรหรอก พี่มียาแก้ไขอยู่ที่ห้อง ขากลับมากินด้วยแล้วกัน” พี่วิยังทำเฉยๆ ครับ
สุดท้ายแล้วผมเห็นสภาพไอ้สองคนในห้องผมผมก็ทนไม่ไหวครับ เลยขอพี่วินอนด้วย พี่เค้าก็ไม่ว่าอะไร แถมชวนผมดูหนังอีกเรื่อง Day of The Dead ครับ หนังซอมบี้ เหมือนจะน่ากลัวแต่ก็ขำครับเพราะพระเอกเป็นคนกินมังสวิรัติติดเชื้อซอมบี้แล้วกลายร่างครับ แต่ก็ยังรักนางเอกครับ พอหนังจบพวกเราก็นอน แต่ผมยังไม่ง่วงครับเพราะปกตินอนดึก
“พี่วิถามอะไรหน่อยสิครับ” ผมชวนคุย พี่เขาน่าจะยังไม่หลับ
“หืม....ว่าไงล่ะ” ยังไม่หลับจริงๆ ครับ
“พี่กับไอ้ทรีหน้าไม่เหมือนกันเลยครับ เป็นพี่น้องกันจรองเหรอ” ผมถามสิ่งที่สงสัยมานานครับ เพราะไอ้ทรีอ้วนขาว ดูยังไงก็จีน ส่วนพี่วิผิวสีน้ำตาล ผมหยักศก หน้าคม
“อืม ปู่พี่กับย่าของไอ้ทรีเป็นพี่น้องกัน.....พ่อของไอ้ทรีแต่งงานกับคนเชื้อจีน มันเลยกลายเป็นลูกครึ่ง” พี่วิเริ่มเล่าครับ
“ปู่พี่แต่งงานกับย่าที่เป็นคนจีน พ่อพี่เลยเป็นลูกครึ่ง แล้วพ่อก็มาแต่งงานกับแม่ที่มีเชื้อไทย พี่เลยมีเลือดจีนแค่เสี้ยวเดียว....แต่น้องสาวพี่ขาวนะ ตัวขาวเหมือนไอ้ทรีเลย”
จู่ๆ โทรศัพท์ผมก็ดังครับ ตอนแรกผมคิดว่าปลาโทรมา แต่กลายเป็นไอ้ทรีครับ
“ว่าไวมึง” ผมทัก
“ไอ้ทรีพี่” หันไปบอกพี่วิ แม่งตายตายฉิบไอ้นี่
“กูจะบอกว่า พี่วิเคยเป็นอีสุกอีใสแล้ว ตอน 2 ขวบ ย่าพี่วิบอกกู ตอนนั้นเขายังเด็กเลยจำไม่ได้ แต่เป็นแล้ว 55” อ่อ หลังจากนั้นผมกับพี่วิก็สลับกันด่าไอ้ทรีคนละคำสองคำครับว่าไม่สบายแต่เสือกไม่นอน แล้วค่อยวางครับ เราหัวเราะกันที่แกล้งไอ้ที แต่ผมคึกยิ่งว่านั้นครับ
“พี่วิ” ผมเรียก
“อะไร” พี่วิลุกขึ้นมาตอบครับ ผมได้ทีเลยเอาหมอนกับผ้าห่มปาใส่พี่วิครับ แล้วเขย่าๆ ฮ่าๆๆ
“พี่ไม่กลัวใช่มั้ยครับ ถ้าพี่ติดไอ้ด้วยผมได้ไม่ต้องเกรงใจแล้ว 5555” ผมขำ
“ไอ้คxxxย” พี่วิไม่ด่าเปล่าครับ แถมลูกถีบมาที่ท้องน้อยผม หงายหลังเลยครับ จุกแต่ยังขำ
“มือหนัก ตีนหนัก เหมือนที่ไอ้ทรีว่าเลย”
“มึงบ้าป่ะไอ้นี่ อยู่ๆ ก็หาเรื่องโดนถีบ”
“โดนตีนพี่ผมหายเลยอ่ะ ยาวิเศษ” ผมล้อหลังจากนั้นเราก็นอนครับ
สุดท้ายแล้วผมก็เป็นแค่ไข้หวัดตามฤดูกาลครับ รอด พี่วิแน่นอนว่าปลอดภัย ส่วนไอ้ทรีกลับมาแล้ว ไอ้วิตซ์กับไอ้บู้ก็เริ่มหายดี แต่ผมได้ข่าวครับว่าไอ้คอร์ดไม่สบายมากครับเป็นไข้หวัดเหมือนกัน มันเลยไปนอนห้องพี่ด้อม พี่ด้อมเขาช่วยดูแลครับมันบอก แล้วผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะผมเห็นมันเมื่อวาน มันดีขึ้นมากเหมือนกันครับ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 13-10-2013 21:59:25
11 อะไรเดิมๆ อีกนานไหม และคำสัญญา

   พอผมจะเริ่มคิดถึงน้องคอร์ท ผมก็ได้เจอน้องเขาเช้าวันพฤหัสฯ อีกสัปดาห์ถัดมาครับ จะว่าไปมันก็ไม่เช้าหรอกครับ สายละ 11 โมงเกือบเที่ยงละ ผมเพิ่งเรียนวิชาการเมืองภาคประชาสังคมเสร็จครับ น้องเขาอยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศ นั่งจับกีตาร์อยู่ที่ห้องคอมมอนชั้น 3
“ไง คอร์ท” ผมทัก ยิ้มครับดีใจ แอบชอบลีดเดอร์ก็แบบนี้ละครับ เซเลปหาตัวยาก
“ครับ....” น้องยิ้มรับ เหมือนจะดีใจวูบหนึ่ง แต่ผมคงตาฟาดครับ หล่อเทพอย่างน้องคงไม่มีวันชอบผมหรอก
“เล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอ” ผมปลื้มมากครับ เพราะแฟนเก่าผมก็เล่นกีตาร์ครับ เขาชอบเล่นกีตาร์ให้ผมร้องเพลง แล้วก็นอนตักเขาไปด้วย โรแมนติกสุดครับ
“พี่เพิ่งรู้อีกแล้วเหรอครับ.....” น้องตอบน้ำเสียงเศร้าๆ
“เอ่อ....โทษที” ผมหน้าแตกครับ
“งั้นพี่ลองฟังดูครับ เพลงนี้ผมจะฝึกเล่นไปประกวดที่คณะฯ” น้องบอกครับ แล้วน้องเขาก็ค่อยจับคอร์ด นิ้วเรียวของเขา ดีดปัดสาย เพราะรู้สึกว่ามันเพราะที่สุดครับเพลง อีกนานไหม  ศิลปิน Mild ครับ

“อะไร ๆ เดิม ๆ ที่มีอยู่    อะไร ๆ เดิม ๆ ที่คุ้นตา
อะไร ๆ ที่เราเคยเสาะหา    อะไร ๆ ที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนไป
อะไร ๆ เดิม ๆ ที่เคยมี    อะไร ๆ เดิม ๆ ที่เข้าใจ
อะไร ๆ เดิม ๆ จากไปไหน    อะไร ที่ทำให้เราไม่รักกัน

 อย่าบอกฉันว่ามันหายไป   อย่าบอกว่าใจ เปลี่ยนไปไม่รักกัน
ไม่อยากรู้เรื่องเธอและฉันที่เคยมีกัน   วันนั้นแค่ฝันไป. . .

 และฉันจะทำอย่างไรต่อจากนี้    วันเวลาดีดี ที่มีหมดความหมาย
 และฉันจะทนได้นานสักแค่ไหน    กับช่วงเวลาที่มันเดียวดายไม่มีเธอ
และฉันต้องรออีกนานสักเพียงไหน    ใจที่มันละลายจนเริ่มชินกับความเหงา
และฉันต้องทน ต้องทรมานกับความปวดร้าว    กับเรื่องของเราอีกนานเท่าไร. . .

พรุ่งนี้จะเป็นยังไงถ้าพบเธอ   พรุ่งนี้จะเป็นยังไงถ้าคุยกัน 
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไงเมื่อเรานั้น   ไม่มีซึ่งกันและกันเหมือนเคยๆ
พรุ่งนี้จะเป็นยังไงถ้าเราจบ   พรุ่งนี้จะเป็นยังไงเมื่อชิดใกล้
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรเธอไปไหน   และเธอจะไปกับใครที่ไม่ใช่ฉัน

เพราะว่าชั้นยังต้องการเธอ   และตัวชั้นยังไม่แน่ใจ ว่าตัวชั้นจะทำได้
ถ้าลืมเธอไปเรื่องของเรา....โว้ว”

ผมซึ้งมากครับ แต่ไม่คิดเข้าข้างตัวเองครับว่า เพลงนี้น้องจะร้องให้ผม ความหมายเหมือนเป็นอดีตมากเลยครับ แล้วน้องเขาก็ร้องอีกรอบผมก็ตั้งใจฟังเหมือนเดิมครับ แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ตอนน้องคอร์ทร้องท่อน “พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรถ้าพบเจอ พรุ่งนี้จะเป็นยังไงถ้าคุยกัน  พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไงเมื่อเรานั้น ไม่มีซึ่งกันและกันเหมือนเคยๆ” น้ำตาของน้องเขาค่อยๆ ไหลออกมาจากหางตาข้างขวาครับ ผมตกใจมากครับแต่ไม่กล้าทำอะไร น้องยังไม่หยุดร้องเพลงด้วย อะไรจะอินขนาดนั้นผมคิด แต่ผมหวั่นไหวกับน้ำตาของน้องเขามาก และเหมือนน้องเขาจะรู้ครับ เขาเล่นจนจบเพลงแล้วเอามือปาดน้ำตาตัวเองแบบไม่ใส่ใจ
“เป็นไงบ้างครับพี่...”
“.............” ผมพูดไม่ออกครับ
“ดีมากครับ เพราะมาก” ผมหาคำพูดตัวเองเจอในที่สุด
“งั้นพี่จะไปดูผมเล่นป่าครับ ที่คณะผม ตึกดาว” น้องถาม
“อืม....พี่ไป” ผมตอบทันที
“พี่ไปแน่นะครับ” น้องถามอีก
“โอเค พี่สัญญา พี่ต้องไปให้กำลังใจคอร์ทอยู่แล้ว”ผมตอบ
“ครับผม ขอบคุณมากครับ”
“พี่วิครับผมไปเรียนก่อนนะครับ ผมมีเรียนบ่าย” แล้วน้องคอร์ทก็ลุกเดินออกไปอย่างสุภาพ ไม่หันหลังกลับมา แสงสว่างจากหน้าต่างที่ไหล่หลังน้องไปนั้นทำให้น้องดูเศร้า และเท่ห์อย่างบรรยายไม่ถูก ผมอยากจะถามว่าน้องกินข้าวรึยัง แต่ก็ไม่ได้ถามครับ เพราะผมกำลังตกอยู่ในภวังค์ของความหล่อ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: tegomon ที่ 13-10-2013 22:03:12
จิ้ม จิ้ม ไว้ก่อน

แปะ แปะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 13-10-2013 22:05:12
12 All Hell Breaks Loose when the Truth comes out (นรกแตกเมื่อความจริงปรากฏ)
ยืมคำพี่วิมาครับ


เรื่องมีอยู่ว่า ไอ้คอร์ทหายตัวไปครับ หายไปเลย 2 สัปดาห์ พวกผมติดต่อไม่ได้เลยครับ ห้องพี่ด้อม ห้องพี่วิ ห้องมันเองไม่อยู่เลยครับ โทรไปก็ไม่รับสายครับ แต่ผมก็ไม่ค่อยเป็นห่วงครับ คอร์ทมันเป็นเด็กดีครับ ดีกว่าผมมาก มันคงหนักทั้งกิจกรรม หนักทั้งเรียนครับช่วงนี้ จนกระทั่งเย็นวันพุธผมขี่จักรยานเหล่สาวแถวคณะอักษรฯ ครับ ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่ง จากด้านข้างนึกว่าเป็นไอ้คอร์ทครับ แต่คนนี้มันดูไม่ใช่ครับ ท่าทางมันเพลย์บอยสุดๆ ระเบิดหู เดินจูงมือมากับผู้หญิงที่สวยสุดๆ ครับ เห็นอย่างนั้นผมก็คิดว่าคงไม่ใช่ ปกติไอ้คอร์ทต้องติ๋มๆ ผมเลยขี่จักรยานกลับหอครับ จะไปกินข้าวกับพวกไอ้เอ็ม

สองวันหลังจากนั้นผมก็รู้ว่าผมไม่ได้จำคนผิดครับไอ้คอร์ทกลับมาที่หอ มันเปลี่ยนไปมากครับไม่เหลือคราบเด็กเรียนนิสัยที่ที่ผมรู้จักมาตั้งแต่สมัยมัธยมเลยครับ มันระเบิดหูทั้งสองข้าง เจาะหางคิ้ว ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่มันจะช็อกรึเปล่า
“เฮ้ย....คอร์ท มึงไปทำไรมาวะ” ผมทักมันที่ชั้นล่างครับ
“กูแต่งตัวตามกระแสหน่อย น่ะ” กู ไอ้คอร์ทไม่เคยใช้คำเรียกแทนตัวเองว่า กู ไม่ถูกละครับอย่างนี้
“เฮ้ย มึงเป็นอะไรป่าววะ” ผมถามเริ่มเป็นห่วง มันปัดมือแบบไม่ค่อยสนใจ
“มึงมายืนทำอะไร อยู่ข้างล่างนี่วะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง
“กูกำลังจะย้ายหอ ไปอยู่หอนอก” มันบอก ผมอึ้งครับ อยู่ๆ ก็ย้าย แต่ผมก็ไม่ซักไซร้ครับ
“กูช่วยขนของป่าว” ผมเสนอตัว
“ไม่ต้องหรอกว่ะ กูมีของไม่กี่อย่าง” มันตอบแบบไม่ใส่ใจอีกแล้วครับ
“เออๆ งั้นเดี๋ยวกูไปตามพวกไอ้เอ็มลงมากินข้าวก่อน” ผมบอกมันว่าจะไปตามไอ้เอ็มแต่จริงผมเอาข่าวที่มันจะย้ายหอไปบอกเพื่อนทุกคนครับ ไปบอกไอ้ทรีกับพี่วิด้วย พี่วิหน้าซีดเลยครับ
“คอร์ท บอกรึเปล่าว่ามันจะย้ายทำไม” พี่วิเป็นคนถามครับ
“ป่าวพี่ มันไม่ได้บอก”
“ลงไปเจอมันมั้ยล่ะ มันกำลังไปขนของออกจากห้อง”
“เอ่อ...ไม่รู้สิ” พี่วิลังเล แต่ลุกขึ้นยืนแล้ว
“เอ่อ แต่พี่จะไปกินข้าวกับพวกผมป่าว” ผมชวน ถึงรู้ว่าไอ้ทรีคงชวนแล้ว
“อืม....”
แล้วพวกเราสี่คนก็ลงมาข้างล่างพร้อมกันครับ มีผม พี่วิ ไอ้ทรี ไอ้เอ็ม ไอ้ห่าวิตซ์ไปติวครับ เซคชั่นมันจะมีควิสวันพรุ่งนี้ พอลงมาบันไดชั้น 2 ครับ พี่วิที่เดินนำหน้าก็หยุด อึ้งครับ ไอ้ของเดินผ่านหน้าพี่เขาไป มองหน้าครับ แต่ไม่ทักเลย ไอ้ทรีโมโหครับบอกไอ้คอร์ทไม่ให้เกียรติพี่มัน แต่พี่วิปรามน้องชายไว้ครับ
พอลงมาถึงชั้นล่างครับ พี่วิให้พวกผมขี่จักรยานไปก่อนเลยครับ บอกมีธุระ แล้วจะตามไปไอ้ทรีไม่ยอมจนพี่วิต้องขึ้นเสียงว่า กูโตแล้วไอ้สัตxx กูจัดการปัญหาตัวเองได้ พวกผมเลยขี่จักรยานออกมาครับ แต่ผมสกิดพวกมันให้จอดแล้วแอบดูตรงมุมตึกครับ
   6 โมงกว่าแล้วครับฟ้าเริ่มมืด ผมเห็นพี่วิยืนกอดอกคุยกับไปคอร์ทอยู่ตรงลานจอดจักรยานฝั่งริมครับ มืดแล้วคนก็น้อย แต่พวกผมอยู่ไกลครับเลยไม่ค่อยได้ยินว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันครับ จนกระทั่งพี่วิเริ่มเสียงดังครับ
“....มันไม่ได้เป็นแบบที่คอร์ทคิดเสมอไปหรอกนะ.....” ไม่ได้ตะโกนแต่พี่วิเพิ่มเสียงครับ เหมือนโมโห
“.....เหมือน...ทุกคนแหละ......โอกาส” ผมได้ยินไม่ชัดครับ
“....สัตว์แม่งวิปริศ” คำนี้ผมได้ยินชัดครับ จับไม่อยู่แล้วครับไอ้ทรีวิ่งเข้าไปแล้วครับ พวกผมจับไอ้ทรีทัน พอหันไปมองก็เห็นพี่ด้าย รูมเมทพี่ด้อม มาห้ามมวยพี่วิกับไอ้คอร์ทครับ
“เหี้xxx คอร์ท มึงด่าไรพี่กู” ไอ้ทรีตะโกนเลยครับ ไอ้คอร์ทเดินกลับไปที่รถขนของแล้วรถก็แล่นออกไป พี่ด้ายยืนกอดพี่วิไว้ครับ ยืนกอดกันนิ่งอยู่ที่เดิมเลย พวกผมเลยค่อยๆ เดินเข้าไปหาครับ พอมองใกล้   ๆ พี่วิตัวสั่นไม่หยุดเลยครับ สั่นเหมือนคนจะยืนไม่ได้ พี่ด้ายน้ำตาไหลเลยครับ
“พี่มันทำไรพี่” ไอ้ทรีถาม
“กูบอกให้มึงไปกินข้าวไง” พี่วิหันมาตวาดเสียงสั่น
“ไปดิ”
“เอ็มพาเพื่อนไปกินข้าวไป ไปเถอะพี่ขอร้อง” พี่ด้ายพูดครับ ร้องไห้แล้ว
“เดี๋ยวพี่พาวินั่งมอร์เตอร์ไซด์ไปกินข้าวเอง” พี่ด้ายบอกต่อ ยังร้องไห้ไม่หยุด พวกผมไม่รู้จะทำอย่างไรเลยลากไอ้ทรีไปกินข้าวครับ แต่พอถึงมุมตึก ผมบอกมันสองคนว่าผมจะแอบตามพี่เขาไป จะแอบฟังว่าเกิดอะไรขึ้นครับ ผมก็อยากรู้มาก

   พอไอ้ทรีกับไอ้เอ็มไปผมก็กลับขึ้นหอครับในห้องพี่วิเปิดไฟ มีเสียงสะอื้นสองคนครับ พี่วิร้องไห้แล้ว กำลังคุยกับพี่ด้าย สิ่งที่ผมได้ยินทำให้ผมช็อกที่สุดครับ เพราะผมก็มีส่วนผิดด้วย เรื่องก้คือว่าช่วงที่ผมไม่สบายไปนอนห้องพี่วิ ไอ้คอร์ทก็ไม่สบายหนักแต่ไปนอนห้องพี่ด้อมเพราะเกรงใจห้องพี่วิเต็ม พี่ด้ายเป็นรูมเมทพี่ด้อมครับ จึงรู้เรื่องทุกอย่าง ตอนคอร์ทมันไม่สบายหนักพอกินยาเยอะเลยถูพี่ด้อมลวนลามครับ เห็นว่าถึงขั้นนั้นเลย ผมโกรธแทนเพื่อนมากครับ ดทษตัวเองด้วยที่ไม่ดูแลเพื่อน สองคนในห้องคุยกันไปสักพักพี่วิหยุดสะอื้นครับ แล้วบอกให้พี่ได้ไปพักเพราะพี่ได้ต้องตื่นเช้าไปสอนเด็ก
“ไม่ต้องคิดมากนะวิ” พี่ด้ายพูดแล้วเปิดประตูออกมา ผมรีบวิ่งไปแอบในห้องน้ำครับ พอเสียงเท้าพี่ได้หายไปแล้วพี่วิก็เปิดประตูออกมากครับ พี่วิวิ่งเลยครับ ผมตามไปครับ พี่วิไปนั่งตัวแข็งเป็นหินบนม้าหินหน้าหอครับ นิ่งเป็นหินจริงๆ สักพักพี่ด้อมตัวต้นเหตุก็มากลับเดินกลับเข้าหอมากับเพื่อน 3 คน ผมเก็ททันทีครับ พี่วิมาดักหาเรื่องไอ้พี่ด้อม ผมจะห้ามก็ไม่ทันครับ พี่วิวิ่งไปกระชากคอเสื้อคนที่ตัวสูงกว่าสองช่วงหัว ตัวใหญ่หว่าประมาณสองเท่า ไม่กลัวเลยครับ เพื่อนพี่ด้อมหันมามองตกใจครับ แต่พอเห็นสายตาพี่วิ ทุกคนก็เดินหนีหลบไปครับ สายตานั้นไร้ความรู้สึก เย็นชาเหมือนสายตาคนตายครับ
“มึงมาคุยกับกูหลังหอ ด้อม” พี่วิสั่ง ไอ้พี่ด้อมปัดคอเสื้อเหมือนไม่ใส่ใจครับ สมควรครับมวยคนละรุ่นกันเลยสองคนนั้น
“หรือมึงอยากให้เรื่องเหี้ยๆ ของมึงหลุดไปเข้าหูน้องๆ กู” ทีนี้ครับ ไอ้พี่ด้อมหน้าซีดเลยครับ แล้วยอมเดินตามไปแต่โดยดี

พอถึงหลังหอพี่วิหันมาคุยกับไอ้พี่ด้อมครับ
“มึงลวนลามน้องคอร์ทใช่มั้ย” ไอ้พี่ด้อมยิ้มครับ
“กูถามว่ามึงลวนลามไอ้คอร์ทใช่มั้ย” พี่วิขึ้นเสียงดังมากครับ ผมว่าคนทั้งหอคนได้ยิน อันที่จริงคนในรัศมี 500 เมตรคงได้ยินหมด พี่ด้อมหน้าซีดครับ คงกล้วคนรู้
“กูรู้ว่ามึงก็อยากได้ไอ้คอร์ทเป็นผัวจนตัวสั่นเหมือนกัน....” ไอ้พี่ด้อมสวนครับ ผมก็ตกใจที่ได้รู้ครับว่าพี่วิก็ชอบไอ้คอร์ท
“แต่มึงไม่มีปัญญาแบบกู สัตxx มึงไม่ต้องมาปากดี อีตุ๊ดเหี้xx”
“รูมเมทมึงคนก่อน มึงก็แอบดูดควxx เขาใช่มั้ยล่ะ เขาถึงย้ายหอไปคนเขารู้กันทั้งมหาลัย” ยิ่งสวนยิ่งแรงครับ ไอ้เหี้xx นี่โคตรเลว
“หึหึ...” พี่วิร้องไห้แล้วหัวเราะเหมือนคนบ้าครับ วูบเดียวเท่านั้นครับ โครม กว่าผมจะรู้ว่าที่มาของเสียงคืออะไรผมก็เห็นร่างใหญ่นอนหงายหลังอยู่บนพื้นครับ พี่วิยืนอยู่ข้างๆ หัวไอ้พี่ด้อมเท้าข้างหนึ่งกดคอหอยไอ้พี่ด้อมไว้กับพื้น คำพูดต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของพี่วิที่ผมรู้จักครับ
“หึหึ...มึงไม่รู้หรอกไอ้ด้อม ว่ากูเป็นใคร” เสียงเหมือนเสียงผีครับ เสียงต่ำมาก เย็นมาก
“มึงไม่เคยรู้หรอกไอ้ด้อม ว่ากูเคยฆ่าใครมาบ้าง มึงจะเอาอะไร ไอ้เหี้xx ลูกปืน มีด รถคว่ำ....กูจัดให้มึงได้หมดแหละ” ผมสยองมากครับกับประโยคนี้
“รึกูจะปล่อยให้มึงอยู่ แต่ไปบอกให้ทั้งโลกรู้ว่ามึงเคยทำเหี้xx อะไร” พี่วิยิ้มน่ากลัวมากครับ
“หึหึ...มึงลองคิดดูนะ มึงเรียนครู จบไปต้องเป็นครูได้อย่างเดียว ไม่มีโรงเรียนไหนที่รับคนจับเด็กเย็xx ไปเป็นครูสอนหนังสือหรอก มึงเลือกเอาละกันนะ...รูปร่างอย่างมึงถ้าไม่ได้เป็นครู ก็คงติดคุก หรือไม่ก็เป็นจับกังไปชั่วชีวิตนั่นแหละ” พี่วิขู่จนไอ้พี่ด้อมเงียบเลยครับ
“มึงฟังกูให้ดีๆ นะ กูห้ามมึงเข้าใกล้ไอ้คอร์ทอีก ห้ามให้ไอ้คอร์ทเห็นหน้ามึงอีก ถ้ามึงเห็นมันเดินมามึงก็ต้องเดินหนีไป มึงเข้าใจกูมั้ย” พี่วิคงเหยียบคอไอ้พี่ด้อมหนักขึ้นครับ มันส่งเสียงอู้อี้ใหญ่
“กูถามว่ามึงเข้าใจมั้ย....หะ”
“อือ..อือ” ไอ้พี่ด้อมตอบเสียงอู้อี้ครับคงหายใจไม่ออก
“ดี....แล้วมึงอย่าคิดจะไม่รักษาสัญญานะ มึงอย่าคิดว่ามึงจะพ้นตากูไปได้ น้องกูอยู่คณะมึงหลายคนนะ” แล้วพี่วิก็ปล่อยไอ้พี่ด้อมครับ พี่ด้อมค่อยคลานลุกขึ้น
“มึงจำกูไว้ให้ดีดีนะ...” พี่วิพูดเสียงเย็นส่งท้ายแล้วเดินเหยียบบนมือของไอ้พี่ด้อมครับ ผมตกใจมาก
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก” เสียงเหมือนควายถูกเชือดครับ คนละแวกนี้คงตื่นหมด พี่วิเดินกลับมาโดนไม่เหลียวหลังครับ เหมือนเสือที่เพิ่งขย้ำวัวมา ผมรีบหนีเลยครับ ไม่รู้ว่าคนที่กำลังเดินมานั้นเป็นใครอีกต่อไป และมันได้ผลครับพี่ด้อมเหมือนหายไปจากชีวิตพวกผมเลย จะเห็นมันบ้างก็นานๆ ที
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 15-10-2013 15:53:23
13 (1)  Win-Win Situation (การสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย) ตอนที่ 13 ขอแบ่งเป็น 2 ตอนนะครับ เพราะยาวเกินไป

   ผมนอนเฉยๆ มาหลายวัน ไม่อยากลุกไปไหน เวียนหัวจะอ้วก ทุกครั้งเวลามีเรื่องกับคนที่ผมรักผมจะเวียนหัวแล้วอ้วกครับ  ครั้งก่อนตอนเกิดเรื่องกับรูมเมทก็เป็น ไม่ชอบเลย วันนี้ผมลุกขึ้นมาตอนสายๆ เพราะวันพุธเย็นผมมีเรียนวรรณกรรมเอกเชคสเปียร์ของอาจารย์ภัคร อาจารย์ดีมากครับ เอาใจใส่ ทุ่มเทสอนจนดึกครับทั้งที่อาจารย์อายุมากแล้วแถมร่างกายก็ไม่แข็งแรง ผมรักเคารพอาจารย์มาก เวลาเห็นอาจารย์เดินผมจะอาสาพาอาจารย์ขึ้นจักรยานไปส่ง (ตอนจักรยานยังไม่พัง) กลัวอาจารย์โดนหมาที่ยามในมหาลัยเลี้ยงไว้กัดครับ คืนนี้เราเลิกกันสองทุ่มเลยครับสนุกมาก เรื่อง อะ มิด ซัมเมอร์ ไนท์ ดรีม ของ เชคสเปียร์ มีผู้หญิงคนหนึ่งได้ชายที่ตนรักมาครอง (แบบชั่วคราว จริงๆ แล้วผู้ชายรักคนอื่น) เพราะใช้คุณไสยเวทมนตร์ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเสียใจและเปรียบเทียบว่า เหมือนตนเองเก็บเพชรขึ้นมาได้ เพชรเป็นของเธอ แต่ก็ไม่ใช่ของเธอ....เพราะจริงๆ และเพชรไม่ใช่ของเธอไงครับ ถึงเธอเก็บได้แต่ก็ไม่กล้าใส่ไปอวดใคร เพราะกล้วว่าวันหนึ่งเจ้าของตัวจริงจะมาเจอ แล้วตัวเองจะเสียทุกอย่างไป ผมกลับห้องกับลิตเติ้ลครับ เรียนด้วยกัน ผมส่งเพื่อนเข้าห้องแล้วก็กลับมานอนเลย ไม่หิวเลยครับ
“พี่กินไรยัง” ทรีถาม
“กินแล้ว” ผมโกหก
“ครับๆ” มันตอบเหมือนพยายามเชื่อ ช่วงนี้มันไม่กล้าแหย่ผมครับ คงดูออกว่าผมยังเฮริ์ทอยู่ เพื่อนๆ มันก็ไม่ค่อยแวะมาครับ ดีแล้วความเงียบคือสิ่งที่ผมต้องการตอนนี้ ผมอาบน้ำแล้วแอบกินยานอนหลับครับ
“อ่านหนังสือไปเหอะทรี ไม่ต้องปิดไฟก็ได้” ผมบอกน้องก่อนที่จะเข้าสู่ภวังค์ต่อครับ คิดๆ ดู อาจารย์ภัครน่าจะสอนยันเช้าเลย จะได้ไม่ต้องมานอนฟุ้งซ่าน

วันพฤหัสผมตื่นตอนบ่ายครับ มีเรียนวิชาการเมืองภาคประชาสังคมตอนเช้าแต่ผมไม่ตื่นครับ ผมว่าจะไปเช่าหนังมาดู กำลังจะไปอาบน้ำ แต่ก็มีโทรศัพท์เข้ามา ไอ้ตูนครับ
“ว่าไง” ผมรับ
“พี่ไม่เห็นโทรหาผมเลยครับไม่เจอกันตั้งนานละ” ร่าเริงจังนะมึง น่าถีบ
“ไม่มีอะไรจะคุย” ผมตอบตรงๆ ครับ
“555 แบบนี้ผมชอบนะ” มันหัวเราะชอบใจ ไอ้นี่คงบ้า
“.....................”
“พรุ่งนี้เย็นไปกินข้าวกันนะพี่” มันชวน
“อืม” เซ็งๆ เลยรับปากมัน
“4 โมงตรงนะ” มันบอกเวลา
“เลิกเรียน 4 โมงนิ” ผมทักจำเวลาเรียนวันศุกร์มันได้
“ผมจะแอบออกมาก่อน” มันบอก
“ไม่ต้องเลย...........”
“แค่นี้นะครับ” แล้วมันก็ว่าง ช่างแม่งมัน สอบตกก็เรื่องของมัน

วันต่อมาผมตื่นเช้า ไม่ได้กินยานอนหลับ ไม่อยากมึนตอนไปเที่ยว ไอ้ทรีขอกลับบ้านครับ แม่งกลับทุกสัปดาห์แหละลูกติดแม่
“พี่วิอยู่ได้นะ กลับด้วยกันป่าว” มันถามกลายเป็นพี่ผมละ
“เออ อยู่ได้” ผมตอบ
“กินแกงส้มมะรุมมั้ย ของชอบพี่นิ”
“อืมจุดธูปแล้วเรียกชื่อพี่แล้วกัน” ผมประชด
“เฮ้ย.....พี่เป็นลางว่ะ ถ้าวันอื่นผมจะขำ” แล้ววันนี้วันโลกแตกไงวะ
“กูล้อเล่น เอามาฝากด้วยละกัน” ต้องขึ้นมึงขึ้นกูน้องถึงจะฟัง
“ครับๆ” แล้วมันก็ไป ผมดูหนังเล่น อ่าน เบรคกิ้ง ดอว์น (Breaking Dawn) ของ Mayer ไปเรื่อยเปื่อย
พอเที่ยงอยากจะไปเช่าหนังแต่อะไรไม่รู้ดลใจ ผมเลยเดินต่อไปจนถึงตลาดเวลครับ แล้วไปที่ร้านตัดผมชื่อ ภาพ เพราะเจ้าของชื่อพี่ภาพ ผมหลงมาตัดโดยบ้งเอิญตอนปี 2 ครับ หลังจากนั้นมาผมก็เป็นลูกค้าประจำร้านพี่เขา
“น้องเอาออกเยอะนะ...ไม่เสียดายเหรอ” ช่างถามผมครับ
“....ไม่หรอกมั้งพี่” ผมไม่รู้จะตอบอะไร
“ตัดไปเหอะพี่ ผมเชื่อมือพี่อยู่แล้ว”
จากผมดัดที่ยาวประบ่าตามต้นฉบับเด็กอาร์ตของมหาลัย ตอนนี้ไม่เหลือแล้วครับสั้นไปประมาณ 10 cm ตรงปลายยังหยิกอยู่ แต่โคนผมเริ่มตรงแล้วครับ ช่างเซ็ตทรงออกมาแล้วเหมือนคบไฟเลย ฮ่าๆ ผมออกมาแล้วเดินไปตลาดนัดเวลที่อยู่ติดกับร้านครับแล้วซื้อกางเกงขาเดฟเอว 29 มาตัวหนึ่ง

ประมาณบ่าย 2 ไอ้ตูนเมสเสจมาบอกครับว่าให้ผมไปเจอหน้าศูนย์หนังสือใต้ตึก 50 ปีครับ คราวนี้มาแปลกนึกว่าจะป๋า เอาเก๋งมารับกู แต่ผมไม่ใส่ใจ
“อืม” ผมส่งเมสเสจไปบอกมัน จากนั้นผมอาบน้ำอีกรอบครับ ล้างเศษผมที่ติดตามตัว แล้วแต่งตัวใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟครั้งแรกในชีวิตเพราะผมคิดว่าตัวเองก้นใหญ่ ไม่มั่นใจครับ ใส่เสื้อเชริ์ตนักศึกษาที่เพื่อนบริจาคมาให้ผมใส่ถือพานงานไหว้ครู (เสื้อนักศึกษาตัวเองผมทิ้งหมดแล้ว เพราะแต่งชุดไปเวทเรียน) ปลดกระทุมเม็ดบนอย่างที่เห็นไอ้ตูนทำ ใส่รองเท้าหนังทรงสูงสีน้ำตาล แล้วก่อนออกก็ไม่ลืมหยิบแว่นตากันแดดเพลย์บอยใส่ไป

บ่าย 3 .55 ผมเริ่มก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วครับ มองซ้ายมองขวาหาไอ้ตูนครับ ผมไม่ชอบอยู่ในที่โล่งของคณะนานๆ กลัวอดีตเพื่อนแทงข้างหลัง ฮ่าๆ
“พี่......” เสียงโคตรดัง ไอ้ห่า
“พี่จริงป่ะ” เล่นไม่เลิก
“ไม่ใช่มั้ง” ผมสวนครับ
“ใส่แว่นดำมาทำไมครับ เดทกับผมแล้วอายคนหรอ” คนน้อยหรอกมึงวันนี้ถึงได้กล้าพูด
“ไม่อาย แต่กลัวตูนอาย” ผมถอดแว่นดำมาเสียบที่หน้าอกเลยครับ
“วันนี้ไม่มีเรียน แต่งชุดนักศึกษาทำไม เอาใจผมเหรอ” เสือกถามกูอีก อย่ามารู้ทัน
“พี่ไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเรื่องงานวิจัยมา” ผมเนียนทำเสียงเคร่งครับ
“อ่อๆ อกเนียนดีนะ” สัตxx แซวกูอีก
“ไปๆ พี่เดี๋ยวช้า” แล้วมันก็จับแขนผมไปลานจอดรถหน้าคณะครับ
“เฮ้ย จะไปกินไหนวะ....” ผมโวยวาย ไอ้เชี่ยตูนขับออกถนนใหญ่มานครชัยศรีแล้วครับ
“เอ่าน่า ว่างนิ บ่นจัง” เรื่องของมึง อย่างไรกูไม่เซอร์ไพรส์หรอก สัตxx

สรุปมันพาผมมาเซ็นต์ปิ่นครับ (เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า) ไอ้ห่านิพ่อมึงเป็นเจ้าของปตท. รึไง ผลาญน้ำมันเล่นซะ
“จะกินไรครับ” มันถาม
“ไม่เคเอฟซี ไม่แม็ค ไม่เอ็มเค” ผมตอบเหมือนเดิม
“งั้น ฟูจิ ละกัน” จากนั้นเราก็เข้าไปที่ร้านฟูจิกันครับ ผมสั่งข้าวหน้าปลาดิบ มันสั่งข้าวหน้าปลาไหล แดกแต่ของแพง
“ทำไมพี่ไม่โทรหาผม” มันถามตอนผมกับลังซดมิโซะ แต่น้ำเสียงมันฟังดูจริงจังกว่าทางโทรศัพท์
“โทรไป ก็ไม่รู้จะคุยอะไร” ผมเลยตอบแบบเป็นทางการ แล้วยัดปลาแซลมอนเข้าปาก
“...................”
“ไม่หวงผมเหรอ ผมหายไปตั้ง 2 อาทิตย์” มันถามอีก
“หวงทำไม เป็นอะไรกัน” ผมตอบครับคราวนี้ไม่สนใจจะถนอมน้ำใจแล้วครับ แม่งมันจะไล่ให้ผมขึ้นรถตู้กลับเองมั้ยวะนี่
“เหรอ.....” แล้วมันก็เงียบครับ
“ตามผมหน่อยก็ดีนะ” ยังหยอดอีก
“โตละ...ตามทำไม” ผมก็ปากดีครับ เดี๋ยวคงได้นั่งรถตู้กลับหอเอง
“55555 ดีนะ แบบนี้ผมชอบ” เสือกหัวเราะ แม่งบ้า
“ผู้หญิงชอบโทรตามผมน่ะ บางทีก็น่ารำคาญ แต่พี่ไม่โทรเลยผมชอบตรงนี้แหละ” วันหลังกูแดกขี้มึงก็คงบอกว่าชอบตรงนี้แหละ
“อืม...................” แล้วเราก็กินต่อจนเสร็จ ตอนแรกมันจะเลี้ยงป๋าตลอดอ่ะ แต่ผมไม่ยอมครับ ไม่ชอบเป็นบุญคุณ ให้ใครมาทวงทีหลัง
“ขอแวะซื้อขอแป๊บนึงได้ป่าว ไหนๆ มาแล้ว” ผมทำเสียงอ่อนบอกไอ้ตูน
“เอาสิครับ” แล้วมันก็ผายมือสองข้างออก ประมาณว่าตามสบาย โธ่ โอเว่อร์ แอคติ้ง
“รอหน้าร้าน 3 นาที”แล้วผมก็เดินเข้าร้านเสื้อผ้า ZEN กับ UFO ครับ ซื้อเสื้อเชริ์ตขาวสามตัวครับ แต่ละตัวตรงชายเสื้อจะมีลายเก๋ๆ ครับ ตัวหนึ่งเป็นลายเลื่อมคล้ายเกล็ดงู อีกตัวเป็นลายเมฆ ส่วนตัวสุดท้ายขาวล้วนแต่ตรงกลางหลังมีสกรีนรูปสัญลักษณ์หยินหยางของลัทธิเต๋าครับ ผมว่าผมจะเปลี่ยนมาเป็นแนวนี้ และไม่ลืมซื้อกางเกงยีนส์ขาเดฟเพิ่มอีก 2 ตัว รูดบัตรเดบิตปรื๊ดๆ ครับ ถ้าท่านแม่รู้คงสั่งเก็บ ฮ่าๆๆ
“ไป....” แล้วเราก็กลับนครปฐมครับ

   8.39 เลยจากตลาดนัดเวลออกไปทางถนนใหญ่ อพาร์ตเมนท์สูงสีขาว มีสระน้ำในตัว พ่อไอ้ตูนเช่าห้องให้มันอยู่ ว่าแต่พากูมาห้องมึงทำไม
“ห้องน่าอยู่มั้ย” มันถาม อวดห้องครับ
“อืม กว้างดีนะ ดูสะอาดด้วย” ผมบอก
“ขอบใจนะอุตส่าห์พาไปเซนต์ปิ่นมา คราวหน้าพี่เลี้ยงข้าว เป็นค่าน้ำมันแล้วกัน” ผมบอก อยากกลับไปเช่าหนังดูละครับ อยู่กับผู้ชายสองต่อสองนานๆ แล้วครั่นเนื้อครั่นตัว
“อ่ะนะ...แสดงว่าต้องมีครั้งหน้าของเราแน่เลย 555 แต่พี่ไม่ต้องเลี้ยงหรอกผมพอใจ” มันพูดหยอด
“ไม่ได้ ไม่เอา ต้อง win-win situation ไง สมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ จะลองเก็บขาสังคมวิทยาไม่ใช่เหรอ จำคอนเซ็ปนี้ไว้ด้วย” ผมแกล้งเนริ์ดครับ
“งั้นพี่ช่วยสมประโยชน์ให้ผมวันนี้ไม่ได้หรอครับ” มันลุกมายืนมองหน้าผม เอามือจับไหล่ผม ใกล้กันเกินงามละ
“จะให้พี่ติวอะไรล่ะครับ” ผมถาม ไฟผมติดละครับ สัตxx เอ้ยยั่วกู
“นั่นสิ....หึหึ” เราจูบกันแล้วครับ เรียกว่าดูดเลยจะดีกว่า พยามยามแย่งน้ำลายของอีกฝ่ายหนึ่ง ฮ่าๆ ผมปลดกระดุมเสื้อมัน แล้วถอดออก ผิวขาวจริงครับ กล้ามเป็นกล้าม มีขนหน้าอกสีดำ สาหร่าย แหวะ มันก็ถอดเสื้อผมเหมือนกันครับ
“สีผิวเหมือนน้ำผึ้งเลย เนียนดีนะ” ผมเกลียดเวลาผู้ชายพูดกับผมแบบนี้ครับ ไม่ชอบถูกชมแบบตัวเองเป็นผู้หญิง แต่ผมยุ่งอยู่กับกล้ามหน้าห้องของมันอยู่จนลืมที่จะเถียงครับ มันเองก็คงเครื่องติด ถอดกางเกงออกเองเลยครับ ไอ้นั้นมันตุงจนมองผ่านกางเกงในสีขาวได้เลย มันเห็นผมนิ่งมั้งครับเลยได้ทีไซร้คอ ลงมาจนถึงหัวนมครับ ผมสะท้านไปทั้งตัวเลย โดนลิ้นมันไปไม่นานก็เข่าอ่อนครับ เอนตัวเหมือนจะล้ม มันเลยปล่อยผมล้มบนเตียง ผมหอบเลยครับตอนหลุดออกมาจากมันได้ มันไม่หยุดครับ มันถอดกางเกงผม กางเกงใน ผมอายมากครับที่ต้องแก้ผ้าให้มันดู ไอ้นั่นผมแข็งมันก็เห็น แล้วมันก็ถอดกางเกงในมันออก ของมันใหญ่กว่าของผมอีก
“ผมโชคดีจัง มีเด็กเทพมาติวให้ถึงบนเตียง”
“หึหึ....” ผมหัวเราะครับ ไอ้ห่ายังมีหน้ามาแซวกู มันคร่อมผมละครับ แล้วดูดนมผมเหมือนเดิม แรงขึ้นกว่าเดิม ผมครางเลยครับ กลั้นไม่อยู่แล้ว
“ผมทำนะครับ” เอาเหอะ ล่อกูซะเคลิ้มขนาดนี้แล้ว มันหยิบถุงยางจากลิ้นชักหัวนอนมาสวมครับ เร็วมาก บีบเจลมาทาที่ก้นผม ยัดนิ้วเข้ามา
“อ่ะ...” ผมคราง
“หึหึ...” ทีนี้ตามันหัวเราะบ้างแล้วครับ มันค่อยๆ ยัดของมันเข้ามา ผมเจ็บๆ ไม่ได้มีอะไรกับใครมาเป็นปีแล้ว โดนเดือดคณะปัดฝุ่นเลย
มันใส่เสร็จก็เริ่มขยับครับ มันดูดนมให้ผมไปด้วยจงผมแข็งอีกครับ แล้วผมก็ชักไปด้วย ครั้งแรกไม่ผาดโผนอะไรครับ มันเองก็คงอั้นมานาน ผมแตกไปพร้อมกับมันครับ น้ำผมพุ่งไปเปื้อนแก้มมันเลยครับ ผมเลยเอื้อมหยิบทิชชู่มาเช็ดให้มัน มันยังไม่ยอมเอาออกจากตัวผมครับ
“ควxx เล็กแต่พุ่งแรงจังนะครับ” มันไม่ยั้งคำพูดกับผมแล้วครับ ผมอายครับไม่รู้จะตอบมันยังไง
“จะไปล้างป่ะ” ผมถามมันเสียงอ่อนๆ
“ไม่ล่ะครับ ผมชอบตอนวิสกปรก” สัตxx ไม่เรียกกูพี่แล้วหรอ อยู่ๆ มันก็ชักของมันออกมาครับยังไม่หดเลย มันเหี้xxมากครับมันถอดถุง ยางแล้วเทน้ำเชื้อมันบนตัวผม แล้วละเลงครับ
“แบบนี้ไง” มันบอกยิ้มชั่วร้าย แต่โทรศัพท์ผมดังก่อนผมเลยรับครับ
“ว่า” ไอ้ทรีโทรมาครับ
“พี่อยู่ไหนไอ้โย๊ปบอกว่าห้องล็อกปิดไฟ” สัตxx กูเป็นนักโทษ
“พี่มาห้องเพื่อน”
“ห้องพี่ลิตเติ้ลไม่อยู่ พี่ด้ายก็ไม่เห็น” เชี่ยโย๊ปทำหน้าที่ดีเกินไปป่ะ
“กูอยู่หอนอก มาทำวิจัยกับเพื่อน แค่นี้นะ” ผมวางเลยครับ หันไปไอ้ตูนนั่งรอผม อยู่ครับยิ้มแบบชั่วร้าย ควxx มันยังไม่หดเลยครับ
“หอพี่ปิด 5 ทุ่มนะ” ผมบอกมัน แล้วหันมองนาฬิกา
“วิก็ไม่ต้องกลับสิครับ” มันยิ้ม
“จะให้ผมอยู่ทำไมครับ” ผมเล่นด้วย เลยไม่เรียกตัวเองว่าพี่
“น่านสินะ.......วิอมควxx ให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ” ผมไม่ตอบแต่แสยะยิ้มเข้าไปหามันครับ ใช่ว่าผมจะไม่เคย ของแบบนี้ หึหึ
“ผมอาจทำไม่เก่งนะครับ” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายจากปากผม
คืนนั้นผมเสร็จไปหกรอยครับ หมดแรงมาก น้ำแห้งเลย ไอ้ตูนสงเสร็จประมาณห้าน้ำครับ เตียงมัน      ผ้าห่ม ผ้าปู หมอน มีแต่คราบน้ำ คราบเจล แล้วก็คราบเลือดผม สกปรกสมใจมันเลยครับ หน้ามันหน้าผมมีแต่คราบน้ำ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเมื่อคืนผมทำอะไรลงไป เมื่อคืนกว่าจะนอนก็ตีห้าสี่ครับ มันคงไม่ตื่นง่ายๆ แต่กลิ่นตัวมันเริ่มมาติดบนตัวผมแล้วครับ ผมเลยล้างหน้าแต่งตัวด้วยชุดเมื่อวานแล้วกลับหอครับ ก่อนออกไปผมเขียนโน๊ตทิ้งไว้บนเตียงว่า ขอบคุณสำหรับคืนที่ผ่านมาครับ คุณเดือนอักษรฯ ผมรู้แล้วทำไมถึงมีสาวๆ โทรหาคุณทุกวัน


   พี่รหัสผมเคยบอกผมไว้ว่า ใบไม้ใบเดียวร่วงหล่น ณ ลานทรงพล มันดังกึกก้องไปทั่วคณะอักษรศาสตร์ เรื่องจริงครับ สองสามสัปดาห์ต่อจากนั้น ผมก็ไปมีอะไรกับไอ้ตูนอีกหลายครั้งครับ จนคนในคณะเริ่มลือ ข่าวเร็วมากกก แต่ผมเลยจุดที่จะสนใจขี้ปากคนมานานมากละ วันพุธนี้ผมเรียนวิชาความรู้บกัอำนาจเสร็จตอน 11 โมงครับ แต่นัดเพื่อนในกลุ่มอีก 4 คนหญิงล้วนครับมากินข้าวกันที่โรงอาหาร จะคุยเรื่องงานวิจัยกันด้วย พอเจอเพื่อนแล้วตอนผมกำลังไปซื้อข้าวก็ดันเจอไอ้ตูนจนได้  เสือกเรียนคณะเดียวกันอีก มันยักคิ้วแล้วผิวปากใส่ผมครับ ผมกลอกตาไปมาทำหน้าเด็กเนริ์ดใส่มันกลับ แล้วมันก็โบกมือเดินไปพร้อมๆ กับกลุ่มเพื่อนมัน ไอ้นี่
“ไอ้วิ มึงตัดผมแล้วแต่งตัวลุคนี้ดูเข้ากับมึงมากเลยว่ะ ไม่เหมือนลุคเซอร์มึง” ไอ้อินบอกผมเมื่อเจอครับ
“สัตxx เป็นเพื่อนกูมากว่าสามปี เพิ่งมาบอกกูวันนี้” ผมเลยย้อนครับ
“อีราหู” ไอ้จิตรครับ เพื่อนสนิทผมอีกคน พอนั่งปุ๊บต้องด่ากูปั๊บ
“หอย มึงมาเรียกกูราหูทำไม กูรู้กูดำ”
“ไม่ได้ราหูเพราะดำ แต่ราหูอมจันทร์” ผมเข้าใจความหมายทันที มันกำลังบอกว่าผมอมเดือนคณะครับ
“สัตxx กูไม่ได้อมทั้งต้วโวย กูอมแค่บางส่วน” ผมไม่ยอมครับ
“ส่วนไหน.......” เพื่อนๆ ผมเริ่มกรี๊ดกร๊าดกันละ
“กูอมอวัยวะของผู้ชาย ขึ้นต้นด้วย ค.ควาย ลงท้ายด้วย ย.ยักษ์ ตรงกลางมีขน” ผมของขึ้นครับ เล่นไม่อายโต๊ะอื่นแล้วครับ เพื่อนๆ ผมกรี๊ดเลย
“อะไร อะไร คืออวัยวะอะไร” ผมขำครับแต่ไม่บอกไป เราคุยงานกันเสร็จประมาณเที่ยงเศษก็แยกย้ายกันกลับครับ วันนี้วันพุธด้วยผมจะเดินตลาดนัดสักหน่อย

ผมกำลังเลือกรองเท้า อยากได้รองเท้าใหม่ พอดีมีทรงที่ถูกใจเลยเข้ามาลองใส่ดู ที่ร้านนี้ประมาณ 5 นาทีแล้ว ระหว่างกำลังเลือกรองเท้าก็มีเรื่องไม่คาดฝันครับ
“พี่มีเบอร์รึเปล่าครับ” เด็กม.ปลายโรงเรียนสาธิตครับ ตัวสูงๆ สูงกว่าผมอีก หัวปิงปอง หน้าผากมีสิวนิดหน่อยเดินมาถามครับ ผมอึ้งเลยครับ หน้ากูเหมือนคนขายรองเท้าขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“ไม่มีครับ” ผมบอก น้องเขาเลยเดินไปครับ ผมกำลังจะจ่ายตังแล้วครับน้องเขาก็เดินเข้ามาใหม่
“พี่ครับ ผมขอเบอร์โทรศัพท์พี่นะครับ” มาตรงครับคราวนี้ หน้าไอ้หัวปิงปองแดงมากครับคราวนี้
“มานี่ก่อน ขวางหน้าร้านเขา” ผมบอกแล้วพาน้องมาตรงที่โล่งครับ
“อ่ะเบอร์พี่ 08 4xxx xxxx” น้องเขาก็เม็มเบอร์ครับ
“แล้วคราวหลังอย่าขอเบอร์ผู้ชายในร้านขายรองเท้าล่ะ....เดี๋ยวจะได้เบอร์ 41” ผมจับไหล่น้องเตือนครับ ไอ้หัวปิงปองหน้าแดงอีกครับ เดี๋ยวเลือดก็เข้าไปคลั่งในหัวสิวหรอก ผมเลยตบเกรียนมันแบบเอ็นดูเบาๆ ต้องเขย่งเท้าเพราะแม่งตัวสูงกว่าผมเด็กมัธยมเดี๋ยวนี้ตัวควายจริง
“ผมไปก่อนนะครับ” มันยิ้มแล้วก็โบกมือ ผมเดินกลับหอต่อครับ หางตาเห็นมันวิ่งไปหาเพื่อนผู้หญิงสามคน ผู้ชายสองคน
“เขาให้กูละ....เย่” เด็กนะเด็ก


   เย็นวันศุกร์ผมนัดไอ้ตูนที่อพาร์ตเมนท์มันตอนสองทุ่มครึ่งครับ มันติดงานกลุ่มแต่ประมาณ 4 โมงเย็นผมก็อาบน้ำแล้วครับ กำลังแต่งตัวก็มีเบอร์ไม่รู้จักโทรเข้ามาครับ
“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมรับสาย
“พี่ครับ ผมท็อบนะครับ พี่จำผมได้มั้ยอ่ะ ผมขอเบอร์พี่จากตลาดนัดในมอวันพุธไง”
“อ่อๆ จำได้ ชื่อท็อบใช่ป่าว” ผมนึกได้ครับไอ้หัวปิงปอง
“ครับๆ พี่ชื่ออะไรอ่ะครับ วันนั้นผมก็ไม่ได้ถาม” มันทำเสียงอ้อนครับ
“วิ ครับ” ผมตอบ
“พี่วิเหรอ” มันย้ำ เราคุยรายละเอียดส่วนตัวกันสักพัก ไอ้ท็อบมันเรียนม.5 โรงเรียนสาธิตมหาลัยผมครับ ภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนครปฐม แต่คนละอำเภอครับ
“พี่อีก 15 นาทีพี่ว่างมั้ย 5 โมงเศษๆ ก็ได้” มันเริ่มเข้าประเด็น
“พี่มาที่สนามบาสโรงเรียนผมหน่อยสิ”
“ไม่ไปไม่ชอบเล่นกีฬา” ผมบอกตัด
“โธ่ ไม่ได้มาเล่น ให้มาเชียรืผม ผมกำลังจะแข่งบาส” มันบอก
“แข่งบาสเหรอ งั้นไม่ไปอ่ะคนเยอะ เสียงดัง” ผมบอกเหมือนเดิมครับ
“...ไรวะพี่ เอ้างั้นแข่งเสร็จผมพาพี่ไปเลี้ยงน้ำแข็งใสที่อาร์ต อเวนิวเลย” มันงัดไม้ตายครับ
“เออๆ ไปๆ สักพักแล้วกัน” ผมไม่ได้เห็นแก่กินนะแต่กลัวมันร้องไห้
“เย่” แล้วมันก็วางสาย
   ผมไปประมาณ 5.20 ครับขี้เกียจอยู่นาน สนามบาสมันเดินห่างจากหอผมไปนิดเดียวครับ คนมุงเยอะครับข้างสนามส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน ชุดกระโปรงน้ำเงิน กางเกงน้ำเงิน นักบาสในสนามใส่เสื้อแขนกุดกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินขาวครับ ผมไม่เห็นไอ้ท็อบหรอกครับ ไปยืนหลบมุมตรงท้ายๆ สนาม
“พี่.....” ไอ้ท็อบโบกมือวิ่งเข้ามาครับ พาดผ้าขนหนูผืนเล็กกับไหล่อีกข้าง มันสูงผอมนะครับ แต่ไม่ล่ำ นักบาสคนอื่นสูงเหมือนกันแต่กล้ามเนื้อจะเยอะกว่า แต่ผมชอบแขนไอ้ท็อบครับ แขนเรียวๆ มีกล้ามเล็ก ดูดีครับ ต่ำลงมาเจอขนจักกะแร้มันดำปี๋ครับ เสือกโบกมือ สาหร่าย แหวะ 
“อ้าว ไม่เล่นไง” ผมถาม
“เบรคกันอยู่พี่ ไม่ดูเลยไง” เวร ย้อนผมอีก
“อือๆ” ผมตอบ ขี้เกียจเถียง
“พี่รอจนผมแข่งเสร็จนะ อีกครึ่งเกม” มันบอก
“เออๆ” ไหนๆ ก็มาแล้ว
ผมรอมันจนเล่นเสร็จครับ มันคงไม่ป๊อบมากมั้งครับไม่มีกองเชียร์ตามออกมา มันเดินมาหาผมที่ตอนนี้นั่งหลบมุมอยู่ริมอัฒจันทร์
“พี่....มารอผมล้างตัวก่อนแป๊บหนึ่ง” แล้วมันก็พาผมไปนั่งหน้าตึกเรียน มันเดินไปห้องน้ำสัก 3 นาทีได้ ล้างตัวก่อนออกมาจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ มันออกมาพร้อมกับเป้สะพายบ่า ยังใส่เสื้อแขนกุดเล่นบาสเหมือนเดิม
“เร็วมาก....สาบานว่าล้างตัวแล้ว” ผมแกล้งแขวะมันครับ แต่กลิ่นตัวมันเป็นกลิ่นเหงื่อจางๆ ผสมกับกลิ่นน้ำหอมครับ ยังอยู่ในระดับที่รับได้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร
“มาครับ” มันยื่นมือมาจะดึงผมลุกจากม้านั่ง มือมันเรียวสวยรับกับแขวเรียวของมันมากคร ผมไม่กล้าจับมือมัน กลัวหลงมัน ฮ่าๆๆ
“เฮ่ย....อาร์ตฯ อยู่แค่นี้เอง” มันแก้เก้อด้วยการเอามือไปเกาหัวเกรียน โชว์จักกะแร้ กับสาหร่ายอีก แหวะ ผมกับมันเดินออกไปนิดเดียว ข้ามถนนก็เป็นอาร์ต อเวนิวแล้วครับ

   อาร์ต อเวนิว หรือที่ผมเรียกประชดว่า อาร์ต อเวจี เป็นเวิ้งหลังตึกแถวเล็กๆ มีร้านอาหารประมาณ 10 ร้าน ร้านการ์ตูนลุง เพราะเจ้าของเป็นคนแก่อัธยาศัยดี คนเลยเรียกว่า ลุง ผมมาใช้บริการประจำ ด้านหน้ามีร้านชุดนักศึกษามุมทอง ร้านเครื่องเขียน ร้านก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ แล้วก็ห้องซ้อมดนตรีครับ
“พี่อยากกินอะไรครับ” รู้สึกว่าคำนี้จะมีคนถามผมเยอะเกินไปละ
“ยาคูลท์โป้ปั่น” ผมบอกหนึ่งในสองเมนูเด็ดประจำตัวผม อีกหนึ่งเมนูคือ โกโก้ภูเขาไฟระเบิด แต่ละชื่อ
“อ่าว...น้ำแข็งไสอ่ะ ผมจะเลี้ยงไง” มันทวง
“ไม่ต้องเลี้ยง ตอนนี้เกิดอยากกินยาคูลท์โป้อ่ะ” ผมบอก
“ครับๆ” น่าหนักใจเนอะ ผมนั่งดูดยาคูลท์โป้ ไปมองดูมันกินน้ำแข็งไสไป มันกินหมดเร็วมาก
“พี่ครับ ผมหิวข้าวอ่ะ พี่กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย” มันชวนแต่ผมไม่อยากกิน เพราะต้องไปต่อที่ห้องของไอ้ตูนอีก กลัวจุกครับเวลาโดนกระแทก
“พี่กินลูกชิ้นปิ้งนะ เพิ่งกินข้าวเย็นก่อนไปสนามบาส” ผมโกหก รู้สึกตัวว่าโกหกเก่งขึ้นทุกวัน
“ครับๆ” แล้วมันก็ซื้อผัดกระเพรามากิน ผมก็นั่งมองดูไปเรื่อยๆ รู้สึกเพลินมาก ชอบมองมิ้วมือ กับแขนมันเคลื่อนไหว
“มองไรครับ” ผมสะดุ้งครับ อยู่ๆ ก็ถาม
“เปล๊า” เสียงสูงเลยครับ โดนจับได้ว่าแอบมอง
“จะมองก็มองครับ ผมไม่ว่าอะไรหรอก ผมน่ารักใช่มั้ยล่ะ 555” มันพูดแล้วก็แซวผม
“ถุ๊ยยย” ขอแสดงสันดานกุ๊ยครับ ฮ่าๆๆ มันอ้าปากค้างเลย
“555555” คราวนี้เป็นตาผมขำบ้างแล้ว มันเลยกลับไปกินข้าวต่อจนหมด
“กลับหอไปอาบน้ำได้แล้วไป เริ่มเน่าละ” ผมบอกมัน มันมองหน้าหาเรื่องเลยครับ
“ไม่เหม็น” มันเถียงแล้วทำจมูกฟุดฟิด
“ไม่เชื่อพี่ลองชะโงกหน้ามาใกล้ๆ สิ” ผมหลงเชื่อมันจนได้ แล้วจู่ๆ เร็วมากครับมันชูแขนสองข้างขึ้นเหนือหัว
“อี๋ สัตxx” ขนจักกะแร้ สาหร่าย แทบจะทิ่มตาผมเลย แหวะ
“55555” มันขำทับตกเก้าอี้เลย ผมเลยตบเกรียนมันคืนครับ
“โอ๊ย ตีแรงจัง” มันร้อง
“สม”
“พี่ไปส่งผมขึ้นรถสองแถวที่ถนนสนามจันทร์ทีนะ” ทีนี้เสือกอ้อน
“อืมๆ” ผมเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว ผมรอจนมันขึ้นรถครับ
“บายครับพี่วิ เลิฟๆ” โถกูนึกว่าพระเอกหนังค่าย GTH ผมกรอกตาใส่มัน พอเห็นรถมันวิ่งลับสายตาแล้วผมก็ข้ามถนนเดินไปตลาดเวล ไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมกำลังไปหาไอ้ตูน

   
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 15-10-2013 16:02:57
13 (2)  Win-Win Situation (การสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย)   ตอนที่ 13 ต้องขอโทษมากๆ นะครับ คงต้องแบ่งเป็น 3 ตอนครับ แบ่งครึ่งแล้วก็ยังยาวเกินไป ชีวิตมีปัญหา

ผมปฏิเสธที่จะรับกุญแจห้องจากไอ้ตูนครับ เลยต้องมาเต็ดเตร่รอมันอยู่แถวอพาร์ตเมนท์ แต่ไม่นานมันก็มาครับ
“วิรอผมนานป่ะครับ” ผมถาม เลิกเรียกผมว่าพี่เวลาอยู่นอกคณะมาสักพักใหญ่แล้ว ปีนเกลียวจริง
“ไม่นานอ่ะ” ผมยังกระดากปากที่ต้องเปลี่ยนคำพูดกับมันครับ
“วิกินไรยังครับ” มันถามตอนเดินขึ้นห้องกัน
“กินแล้ว”
“อ้าว....ไม่รอผมเลย” มันท้วง
“อ้าว ตูนยังไม่ได้กินเหรอ” ผมถามมันกลับครับ เริ่มห่วง
“กิน แล้วครับ แหะๆ” สัตxx หลอกต้มกู
“....ตีน” ผมพึมพำ
“ผมได้ยินนะครับ พูดไม่เพราะเลย” แต่ผมไม่สนใจมันละ เรานอนเล่นกันในห้องพักใหญ่มันเปิดช่องหนังดูครับ หนังตลกไร้สาระผมเลยไม่ค่อยใส่ใจดู
“วิ เราลงไปว่ายน้ำกันมั้ย” ตูนชวน
“สระไม่ปิดแล้วหรอ” ผมถาม
“ไม่มีใครสนใจหรอกครับ”
“อืม แต่ไม่ได้เอากางเกงว่ายน้ำมานะ” ผมบอก
“ใส่แค่กางเกงในก็ได้ครับ”
“จริงอ่ะ” ผมหันไปมองหน้ามัน
“ควxx วิเล็กไม่มีใครเห็นหรอก 555” ขำเดี๋ยวมึงได้เดี้ยงเอาหรอก
“ล้อเล่นนครับ ป่านนี้ไม่มีคนหรอก” มันพูดจริงครับคราวนี้
“อืมแต่ถ้ามีคนเล่นอยู่วิยังไม่ลงนะ อาย”
“ครับๆ” แล้วมันก็ถอดเสื้อผ้าถอดเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำต่อหน้าผมเลย ถึงเคยเห็นมันแก้ผ้ามาหลายครั้งแต่ก็ไม่ชินสักที ฮ่าๆ
   ที่สระว่ายน้ำตอนนี้ไม่มีคนเลย มีแสงสีส้มสลัวๆ จากโคมไฟรอบสระ มีเตียงอาบแดด และที่สำคัญคืนนี้มีพระจันทร์บนฟ้า  แต่ผมก็มีพระจันทร์ส่วนแล้วครับ ฮ่าๆ กำลังล้างตัวอยู่ข้างๆ เลย เซ็กซี่เหมือนกันอันนี้ต้องยอมรับ ผิวมันขาวแบบพระจันทร์อายอ่ะ ผมยืดแขนขาก่อนลงสระกันไม่ให้เป็นตระคริว หรือกล้ามเนื้อยึดครับ มันก็ทำแต่คนละแบบผมยืดแบบคนที่เรียนโยคะ ส่วนมันยืดแบบคนที่เข้าฟิตเนส ผมกระโดดลงก่อนมันเลย น้ำเย็นมากจริงๆ เลยต้องว่ายไปมาสักพักเพื่อให้ร่างกายคุ้นกับความเย็น มันกระโดดตามลงมาแล้วครับ
“วิว่ายน้ำเก่งจัง” มันบอก
“บ้านเกิดวิอยู่ติดแม่น้ำอ่ะ ตอนเด็กๆ ว่ายบ่อย” ผมบอกมัน สนุกมาก ผมไม่ได้ว่ายน้ำมาหลายปีแล้ว เพราะตัวเองเป็นคนกลัวจระเข้ พอน้ำท่วมฟาร์มจระเข้แล้วจระเข้หลุดมา ตั้งแต่นั้นผมไม่เคยลงแม่น้ำท่าจีนเลยครับ ว่ายกันเกือบชั่วโมงครับ คุยกันไปมาด้วย
“วิมาตรงนี้สิครับ” ผมว่ายไปหาครับ จะดูว่ามันเรียกทำไม พอไปถึงมันจับมือผมไปวางบนหน้าอกมัน อี๋ให้ผมจับสาหร่ายทำไมก็ไม่รู้ ผมมองหน้ามันสงสัย มันยิ้ม แล้วจูบผมเลยครับ ในสระว่ายน้ำนั่นล่ะ ลิ้นมันมาแบบจัดเต็มมาก เคลิ้มไปเลยผมตอนนั้น เอามือไปจับอกมันไว้สองข้างตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ และมันกอดผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ รู้อีกทีมันกำลังขยำก้นผมอยู่ครับ แต่อารมณ์นี้มันเคลิ้มแล้วอ่ะเลยไม่ฝืน
“นุ่มมือจัง” ถอนจูบแล้วต้องพูดเชียวไอ้เวร เสียบรรยากาศ มันดึงผมไปชิดตัวมัน ไอ้นั้นของมันแข็งตัวอยู่บนท้องน้อยผม อุ่นดีจัง ฮ่าๆ มันเองก็คงรู้สึกถึงของผมที่ต้นขามัน มันยิ้มโปรยเสน่ห์อีกละ
“ในน้ำมั้ยครับ” มันถามสุภาพเชียว
“นั่นสิ ทำไมเราไม่ลองดูล่ะครับ” ผมไม่พูดเปล่าแต่เอาแขนคล้องคอมัน เขาก็เกี่ยวเอวมันครับ
“ผมว่าวิชอบลิงอุ้มแตงนะ” มันล้อ
“ในน้ำตูนจะได้ไม่หนักไงครับ” ผมก็ล้อมันกลับ
เราไม่ได้ได้เสียกันในน้ำหรอกครับ เสียงกระแทกคงดังพอจะปลุกคนทั้งอพาร์ตเมนท์มาดูฉากอัศจรรย์กลางแสงจันทร์และสายน้ำของเรา แต่เราสองคนก็อดใจให้กลับไปถึงห้องไม่ไหวครับ ในห้องอาบน้ำและแต่งตัว ผมกอดผมจากข้างหลัง ตอนนี้เราเปลือยอยู่กลางห้องอาบน้ำครับ มันจับนมผม กอดผม และพยายามสอดเข้ามา
“โอ๊ย...” ไม่เข้าหรอกครับ ฝืดซะขนาดนี้
“....เข้ายากจัง” มันบ่น ไม่ได้เป็นคนเจ็บแต่เสือกบ่น แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเถียงกับมันหลอกครับ ของแบบนี้ประสบการณ์มันสอนให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผมปิดฟักบัวแล้วหัวไปใช้ปากให้มัน ใช้น้ำลายผมเองนี่แหละเป็นตัวหล่อลื่น
“วิรู้ใจผมตลอดเลย” อ่ะนะไม่ต้องมาหวาน สักพักมันก็จับผมหันหลังกลับแล้วสอดเข้ามาใหม่ มันก็ยังเจ็บอยู่นะ แต่ผมพยายามทน มันก็ใจดีด้วยการกระแทกไป ชักให้ผมไปด้วย ไม่นานผมก็แตกใส่พื้นห้องอาบน้ำ แล้วมันก็แตกในตัวผม แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอมันลากผมไม่ยอมเอาไอ้นั่นออกจากตัวผม ไปที่ห้องแต่งตัว ครั้งที่สองของคืนนี้ก็เกิดขึ้นที่นั่น ตอนที่เราจูงมือกันแล้วค่อยๆ เดินกลับขึ้นห้องของตูนผมก็คิด ได้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ม้นไม่ได้ใช้ถุงยางกับผม แต่จะให้ทำยังไงมันเผลอตัวไปแล้ว หลังจากนั้นมันไม่เคยใช้ถุงยางกับผมอีกเลย แม้ว่าผมจะเตือนมัน

   เที่ยงวันอาทิตย์ผมกับไอ้ตูนมากินข้าวที่อาร์ต อเวจีครับ แถมบังคับให้ผมแต่งตัวแบบที่มันชอบ สไตล์เกย์กรุงเทพฯ เดฟกับเสื้อเชริ์ตแบะอก แต่ที่ขัดใจก็คือ ผมไม่เข้าใจทำไมต้องเป็นที่อาร์ต อเวจี กลัวคนรู้จักไอ้ตูนเห็นน่ะครับ คนรู้จักมันน้อยซะที่ไหน ผมเลยยืมแว่นดำมันมาด้วย ตอนมานั่งกินข้าวตรงข้ามมันในอาร์ต อเวจี ผมใส่แว่นดำเลยครับ กลัวจริง และพอกินไปได้ครึ่งจาน คุยโน่นนี่นั่นกับไอ้ตูนไปเพลินๆ ด้วย ผมก็เห็นไอ้โย๊ปครับ แม่งมาครบเลย ไอ้เอ็ม ไอ้วิตซ์ ขาดแต่ไอ้ทรี (มันกลับบ้าน) มากินข้าวกลางวัน เวรเอ้ยอเวจีสมชื่อจริงๆ กูไม่มีตัวตน กูไม่มีตัวตน กูไม่มีตัวตน
“วิ...วิเหม่อไรอ่ะ” ไอ้ตูนเรียก
“ป่าวๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” กินยาคูลท์โป้ไม่อร่อยแล้วกู
“กินเสร็จแล้วไปไหนกันต่อดีอ่ะวิ” มันถามครับ
“ไปส่งวิกลับเหอะ หรือให้วิเดินกลับเองก็ได้หอวิอยู่แค่นี้เอง” ผมตอบได้คำเดียวครับ อยากกลับห้องมาก
“อ้าวๆ รีบจังยังไม่บ่ายเลย” ยังอุตส่าห์ขัดกูอีก
“ตูนให้วิกลับไปทำการบ้านบ้างเหอะ” ผมบอกลุกไปเก็บจาน
“ทำการบ้านที่ห้องผมตั้งสองคืนละ ยังไม่พออีกหรอ 55” มันตามมาล้อตรงที่เก็บจาน ไอ้เวรนี่ท่าทางจะอายุสั้น ถึงใส่แว่นดำใช่ว่าคนจะจำมึงไม่ได้นะ เด่นซะขนาดนี้
ขณะกำลังเดินออกจากอาร์ต อเวจี ก็เกิดเหตุจนได้ครับ อาถรรพ์ที่มันแรง
“พี่วิ...พี่วิ” ไอ้โย๊ปเรียก ผมถอนใจครับ แต่ด้วยมารยาทผมก็จำเป็นต้องถอดแว่นดำออก
“อ๊าว...มากินข้าวเหรอ” ผมทักครับ แกล้งทำเป็นว่าเพิ่งเห็นมันเหมือนกัน ไอ้ตูนครับก็ถอดแว่นดำออกแล้วมายืนข้างๆ ผม เวรละกู
“พี่เปลี่ยนไปเยอะนะ......เหมือนคนละคน” มันบอก ผมหน้าเสียเลย
“พี่ตัดผมมาสองสามสัปดาห์แล้วนะ” ผมบอกแก้เก้อ แกล้งยิ้มด้วย
“นั่นสิ....พวกผมไม่ค่อยเห็นพี่เลย” อย่าเข้าประเด็น พลีสสส
“............................”
“น้องวิ ที่อยู่ด้วยกันเหรอครับ” ไอ้ตูนแทรกขึ้นมา เสือกจริง
“อืม....เพื่อนน้องน่ะ เด็กเทคโนฯ ปี 1” ผมบอกลอยๆ
“นี่ตูน รุ่นน้องที่คณะพี่” ผมแนะนำตัวมันให้ไอ้สามคน พวกมันพยักหน้า
“งั้นค่อยเจอกันที่หอนะ....กินข้าวไปเถอะ” ผมตัดบทแล้วเดินกลับออกมาเลย
“วิ ไปผมไปส่ง” ตอนเดินออกมาไอ้ตูนมันเอามือดันหลังผมครับ แต่เป็นตำแหน่งที่เหนือปั้นท้ายมานิดเดียว ถ้าไม่ใช่คนเป็นแฟนไม่มีใครกล้าสัมผัสจุดนั้นคนอื่นหรอกครับ คนเขาจำหน้ามึงได้นะไอ้ตูน เวรเหอะ

   ตอนเย็นไอ้ทรีกลับมาครับ เอากับข้าวฝีมือแม่มันมาด้วยหลายอย่าง ผมชวนลิตเติ้ลมากินด้วยกันที่ห้องผมครับ เป็นกันชน ฮ่าๆ เรากินก็เฮฮาดีนะ ลิตเติ้ลเป็นคนมีอารมณ์ขันมาก แต่ผมยังไม่กล้าคุยกับพวกไอ้โย๊ปมาก กลัวมันเอาเรื่องเมื่อกลางวันมาถามต่อ สักพักน้องท็อบโทรเข้ามาครับ
“ว่าไงท็อบ” ผมรับสายแล้วลุกจากวงกินข้าว เดินออกไปนอกห้อง ไอ้โย๊ปมันมองผมแบบที่ผมมองมันตอนมันรับโทรศัพท์แล้วออกไปคุยกับแฟน เพียงแต่มันไม่ยิ้มครับ แต่ผมไม่สนใจ
“กลับมาแล้วพี่ พรุ่งนี้เที่ยงผมไปหาที่คณะพี่นะ” มันมาเลยครับ กรรม
“มาทำไม พี่เรียนบ่ายโมง” ผมเรียนวิชาทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ตอนวันจันทร์บ่ายครับ
“เออ...ไหนกินข้าวอีกเดี๋ยวเข้าเรียนช้า” ไม่ต้องมาหรอก ความจริงผมขี้เกียจจะฉาว
“............................”
“แล้วเย็นซ้อมบาสป่าว เดี๋ยวพี่ไปหา....อยากมีเพื่อนไปเดินเล่นที่สนามจันทร์” ผมเปลี่ยนประเด็น กลัวมันเสียใจด้วย
 “หกโมงอ่ะ พี่” มันบอก
“ว่างไปกับพี่ป่าวล่ะ” ผมถามอีก
“ไปสิครับ”
“อืมๆ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ” ผมบอก
“ค้าบผม” แล้วผมก็วางสายครับ กลับเข้าห้องไปคุยกับลิตเติ้ลดีกว่า สบายใจ


   ผมเรียนวิชาทักษะการฟังภาษาอังกฤษกับลิตเติ้ลครับ พอเรียนเสร็จลิตเติ้ลขอตัวไปคุยงานกลุ่มกับเพื่อนในเอกภาษาอังกฤษต่อ ส่วนผมเดินออกจากคณะ ผ่านบ้านพักอาจารย์เพื่อไปโรงเรียนสาธิตของไอ้ท็อบ เดินๆ ไปก็แทบช็อค ตัวเหี้ย (ต้องใช้คำพูดนี้ครับเพราะเป็นคนละสายพันธุ์กับตัวเงินตัวทอง) หรือที่คนในมหาลัยเรียกแบบติดปากว่า ตุ๊ดตู่ (ซึ่งเป็นคำเรียกที่ผิดครับเพราะเป็นคนละสายพันธุ์) ตัวใหญ่มากเดินขวางถนน กลัวมาจากจริง แต่พวกมันไม่กลัวคนเลย ลากสังขารมาถึงสาธิตก็นั่งพักมันแถวนั้นละครับหยิบเบรคกิ้ง ดอว์นมาอ่านเล่นอีกไปสักพัก ไม่นานน้องท็อบก็มาหาผมครับ
“ผมซ้อมบาสชั่วโมงเดียวนะพี่” มันบอก
“พี่มารอผมนานแล้วสิ.....เกรงใจจัง” โถ
“งั้นพี่เอาของไปเก็บที่หอก่อนละกัน ประมาณ 6 โมงมาเจอนะ”
“ครับๆ เจอกันครับ” ผมเลยเอาของไปเก็บครับ

ตอนผมเอาของไปเก็บไอ้ทรีกับไอ้โย๊ปอยู่ที่ห้องครับ มันกำลังเล่นเกมฟุตบอลอ่ะ แต่เล่นอย่างไรผมไม่รู้หรอกเพราะไม่เคยเล่น
“พี่ไปกินข้าวกับพวกผมป่ะ” ไอ้ทรีถามไม่เงยหน้าจากจอครับ
“เนี่ยจบเกมก็ไปละ”
“พอดีพี่นัดเพื่อนน่ะ ไปกินกันเลยเดี๋ยวพี่ออกไปหาอะไรกินเอง” ผมบอกแล้วก็รอจนใกล้หกโมงครับ สรุปคือ ผมกับพวกไอ้ทรีลงไปพร้อมๆ กัน
“พี่ไปเจอเพื่อนที่ไหน...ผมขี่ไปส่ง” ไอ้ทรีอาสา
“พี่ไปแค่สาธิตเอง” ผมบอก
“พอดีเลย ผมจะไปกินอาร์ต”
“อืมๆ” ผมเลยซ้อนท้ายมันไปครับ
   ผมลงหน้าสาธิตน้องท็อบก็มานั่งรอผมแล้วครับ ชุดเล่นบาสแขนกุดเหมือนเดิมแต่ตัวนี้สีดำ
“มากับใครอ่ะพี่วิ” มันถามครับ
“น้องพี่เองแหละ...น้องพี่เรียนเทคโนฯ เลยมาอยู่ห้องเดียวกัน” ผมบอก
“อ่อๆ...ไป ไปเดินกันได้ละพี่ฟ้าจะมืดแล้ว” แล้วเราก็ลงชื่อผ่านเข้าวังครับ ผมไม่ค่อยสนใจตัววังหรอก แต่ชอบบรยยากาศรอบๆ ตรงกลางสวนมีเทวาลัยพระคเณศครับ เด็กมหาลัยผมมักจะบนพระคเณศให้ตัวเองสอบผ่าน โดยจะแก้บนโดยการวิ่งรอบพระคเณศครับ แบ่งเป็นรอบเล็กคือ วิ่งรอบเทวาลัย และรอบใหญ่คือ วิ่งรอบวัง ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วครับ 6 โมงกว่าๆ แล้ว ผมเห็นคนเยอะเหมือนกันมาออกกำลังกาย มาเดินเล่น ฯลฯ แล้วจู่ไอ้ท็อบก็เอามือมาจูงมือผมครับ ชอบนะไม่ฝืนเลยเพราะผมชอบมือมัน มือมันสวยมากถึงแม้ผิวจะด้านๆ ก็เหอะ
“จูงทำไม ไม่อายคนเหรอ” ผมถามไม่ตรงกับใจ
“ไม่อาย” มันบอกสั้นๆ ผมก็ปล่อยเลยตามเลย เราเดินผ่านสระน้ำที่มีศาลาอยู่ ที่ศาลานี้ผมเคยมาให้อาหารปลากับน้องรหัสผมครับ แต่ตอนนี้มีคนนั่งอยู่ เราสองคนเลยเดินต่อไป จนถึงลานเครื่องออกกำลังกาย จำพวกแบ้นโหน ราวเดิน บริเวณนี้ค่อนข้างเปลี่ยวครับ ไฟส่องทางน้อย ผมปล่อยมือท็อบแล้วกระโดดไปเดินบนราวทรงตัว ชอบเล่นมาก ไอ้ท็อบกระโดดขึ้นมาเดินด้วยครับ แต่มันแบกเป้เลยเซไปเซมา ตลกมากครับตัวมันเก้งก้างสุดๆ บนราวทรงตัว ไม่เหมือนในสนามบาส
“โอ๊ยๆๆ ร่วง” ผมเลยรีบหันไปคว้ามันครับ พอจับมันไว้แล้วก็แกล้งปล่อย มันร่วงก้นกระแทกเลย
“5555” ขำครับ สะใจได้แกล้งคน
“ใจร้ายว่ะ คนเรา” มันบ่น แต่ผมเดินต่อไปจนสุดราว แล้วก็ไปนั่งม้านั่งริมน้ำที่ผมชอบมานั่งอ่านหนังสืตอนเช้าๆ สมัยอยู่ปี 2 ท็อบก็ตามมานั่งด้วย
“หิวป่าว” ผมถามมัน
“ยังอ่ะ...พี่อ่ะ”
“เฉยๆ....นั่งเล่นสักพักมั้ย เดี๋ยวพี่พาไปกินบัวลอยแต้จิ๋วที่องค์พระ” ผมบอก
“ดีๆ ครับ” แล้วเราก็คุยกันมากมายเรื่องเรียนบ้าง เรื่องเพื่อนบ้าง แล้วมันก็เอาหลังเอนไปกับม้านั่งยกแขนพาดไว้บนขอบ ถ้าผมขยับเข้าไปใกล้ๆ ก็จะเหมือนว่าผมเข้าไปให้มันกอดไหล่ ผมไม่เอาหรอกครับ ขนจักกะแร้ สาหร่าย แหวะ แต่ผมก็ละสายตาจากแขนมันไม่ได้ครับ ที่สุดเลยเอามือไล่ลูบแขนมันเริ่มตั้งแต่ปลายนิ้ว ไล่ไปช้าๆ จนถึงหัวไหล่
“พี่มือนุ่มจัง ผมไม่เคยจับมือผู้ชายนุ่มขนาดนี้เลย” ผมไม่ชอบครับ แต่ผมรู้เพราะมีคนบอกผมหลายคนว่ามือผมนุ่มมาก บางคนบอกต่อหน้าแม่ผมเลย แม่ผมมักพูดว่า แม่ไม่เคยปล่อยให้ผมทำงานบ้านครับ มือผมเลยนุ่มมาก ผมชักมือกลับ แต่มันคว้าไว้ เอาไปแนบแก้มมันครับ ผมใจเต้น ตกใจ กลัวสิวมันแตก ฮ่าๆๆ ท็อบมันน่ารักจริงๆ ครับ ถึงจะมีกลิ่นเหงื่อนิดๆ ผมเลยห้ามใจไม่ไหวโน้มตัวไปจูบปากมัน จะโดนมันด่ารึเปล่าไม่รู้ แต่มันจูบตอบครับ มันจูบใช้ได้นะสำหรับเด็กมัธยม มันเอาแขนยาวนั้นโอบไหล่ผมจริงๆ ด้วย สาหร่ายแปะอยู่บนบ่าผมเลย แหวะ ผมต้องการแสดง skill ที่เหนือกว่าครับ เลยเริ่มไซร้แก้มมัน มือก็เลิกชายเสื้อมันขึ้นแล้วลูบท้อง ไล่ไปจนถึงหัวมนมัน แต่มันไม่ยอมแพ้ครับ มันใช้ไม้ตายโดยการปลดเข็มขัดผมแล้วจับเอาไอ้นั่นผมออกมาชักข้างนอกเลย ผมแอบตกใจ แม่งไม่ดูก่อนเลยว่ามีคนป่าว แต่ก็เลยตามเลยครับ มันจูบผมแรงขึ้น ชักให้ผมแรงขึ้นเป็นจังหวะ
“อะ อะ....พอ ท็อบ พอ” มันกลั้นไม่อยู่แล้วครับ มองเห็นมือเรียวสวยกำลังชักว่าวให้ผม แต่ท็อบไม่หยุด
“อ๊ะ.....อ่ะ” ผมครางเลยครับ จนกระทั่งผมแตกแล้วมันก็ยังไม่หยุด น้ำผมเลยพุ่งเปื้อนเต็มไปหมด เสื้อผม กางเกงผม เสื้อท็อบ เป้ท็อบ ผมหมดแรง เข่าอ่อน แต่มันยังไม่ยอมหยุดให้ ผมฟุบลงไปบนอกมันเลย แล้วหอบครับ ใบหูกับแก้มสัมผัสกับขนจักกะแร้มันแต่ไม่รังเกียจแล้วครับ กลิ่นเหงื่อมันเร้าใจสุดๆ มันหยุดแล้วเอาผ้าเช็ดเหงื่อมันทำความสะอาดเราครับ เช็ดแม้กระทั่งไอ้นั่นผมที่เริ่มออ่อนแล้วอายสุดๆ แต่ที่คิดไม่ถึงคือ ท็อบมันเลียน้ำเชื้อผมที่เบื้อนมือมันเข้าปาก แล้วโน้มมาจูบผมต่อ ผมไม่ปฏิเสธครับ รสชาดน้ำรักในปากเราทั้งขมและหวานแปลกๆ
“ทำให้ผมบ้างนะครับ” มันบอกเสียงหวานแล้วเอามือผมไปจับไอ้นั่นมันที่แข็งรออยู่แล้ว ใหญ่เกินเด็กครับ ผมเลยเอามันออกมาข้างนอกมันยาวมากครับ ยาวกว่าผมอีก หมอxx มันก็เยอะครับ ผมเหมือนเดิมคือต้องการโชว์ skill ที่เหนือกว่ารวมถึงใช้มือไม่ถนัด เพราะมันนั่งอยู่ด้านซ้ายมือผม แตผมเป็นคนถนัดขวา ผมเลยก้มไปโม๊คให้มันเลยครับ มีกลิ่นเหงื่ออับๆ เพราะมันเล่นกีฬามา แต่อารมณ์ผมกระเจิดแล้วครับ กลิ่นเหงื่อไอ้ท็อบเซ็กซี่สุดๆ อยากจะแก้ผ้าแล้วเอากับให้ตรงนี้ไปเลย ผมโม๊คมันจนผมแข็งอีก แต่ไม่ได้บอกมัน
“อือ...อ่า.....” มันเริ่มครางครับ แล้วเอามือมาจับหัวผม ค้างไว้แล้วยกก้นมันเด้าเองครับ มันเย็xxปากผมรึนี่
“อ่า....เสียว ดูดแรงๆ” มันทั้งสบถ ทั้งสั่ง ไม่เห็นหัวหัวผมแล้วครับ
“โอ๊ย...อ่า..... กินน้ำผัวด้วยนะ” ใครบอกจะกิน แล้วใครเป็นผัว แต่ผมปากไม่ว่างเถียงมันหรอกครับ แล้วมันก็พุ่งเข้าคอผมเต็มๆ แม้จะขยาดปากแต่ด้วยทิฐิต้องการเอาคืน ผมเลียหัวควxxมันต่อไม่ยอมหยุดครับ จนน้ำมันเริ่มเย้มทะลักออกจากปากผม ควxxมันในปากผมกระตุกเป็นบ้าเลย
“โอ๊วววว......” มันปล่อยเสียงครางเหมือนวัวถูกเชือดเลยครับ ยาวมากและดังมาก ไม่กลัวคนได้ยิน ผมเงยหน้าแล้วครับทำให้มันนานแล้วเวียนหัว น้ำมันในปากผมอยากจะคายมาก มันคงเห็นผมทำหน้าพะอืดพะอมมันเลยจับหน้าผมไปจูบปาก เราแบ่งกันกินน้ำเชื้อของมันในปากผมครับ
หลังจากนั้นเรารีบแต่ตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมาอีกฟากของวังครับ ที่ติดกับวงเวียนน้ำพุ ถนนต้นสน เราไม่รีบร้อนจูงมือกันเดินผ่านถนนต้นสนไปที่องค์พระ ชอบมือของมันจริงๆ

หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 15-10-2013 16:07:24
13 (3) Win-Win Situation (การสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย)

เรามาถึงในองค์พระ (วัดพระปฐมเจดีย์) กำลังเดินเข้าส่วนที่ขายของกินครับ ที่นี้ขึ้นชื่อเยอะมาก ไอติมลอยฟ้าก็ขายที่นี่ ผมชอบบัวลอยแต้จิ๋วสุดครับ
“พี่ขึ้นไปไหว้พระกับผมนะ...ไหนๆ ก็มาด้วยกันแล้ว” ไอ้ท็อบทำเสียงอ้อน ผมอึ้งครับ
“เอ่อๆ....พี่ไม่นับถือศาสนา ไม่ไหวพระ”
“อ้าวพี่ไม่ได้เป็นพุทธหรอ แต่พี่ไม่ได้ขลิบนะ” มันถามลามไปยันเรื่องใต้กางเกง ผมเลยต้องอธิบายมันว่าผมเริ่มจาการนับถือพุทธในสายขององค์ดาไล ลามะ ซึ่งพระองค์ต้องการให้ทุกคนเมื่อตระหนักในธรรมแล้ว ก้าวข้ามพ้นศาสนาแห่งพิธีกรรม ไปสู่จริยธรรมและความเมตตากรุณาในจิตใจ อธิบายจนมันเข้าใจครับ
“อ่อๆ แต่ไปเป็นเพื่อนผมได้ใช่มั้ย” มันตื้อ
“ไปได้สิไม่เห็นเป็นอะไรเลย” ผมยิ้มหวานตอบ หลังจากขึ้นไปไหว้พระเสร็จ ผมกับมันก็เดินลงกลับไปที่ร้านขายของกินครับ
“รู้มั้ยผมขอพรอะไร” ผมส่ายหัวบอกมันว่าไม่รู้และไม่ต้องบอกให้เดา
“ผมขอให้เมียผมรักผม หลงผมมากๆ” นั่นมึงต้องไหว้พระขุนแผนแล้ว อีกอย่างใครเป็นเมียมึง เรากินผัดไท หอยทอดกันก่อนครับ แล้วก็พามันไปกินบัวลอยแต๋จิ๋ว บัวลอยแต่จิ๋วคล้ายๆ กับเต๋าทึงเย็นครับ แต่ใส่แผ่นแป้งแบนๆ เคี้ยวกรึบๆ ไม่ใช่กลมๆ เละๆ เหมือนบัวลอยบ้านเรา ใส่ในน้ำลำไย แล้วก็เครื่องพวกถั่วแดง วุ้น ฯลฯ แล้วโปะด้วยน้ำแข็งที่ใสจนบางเป็นเกร็ด ไอ้ท็อบเปิ้ล 4 ถ้วยครับ ผมกินแค่ 2 ก็พอ มันคงเพิ่งเสียเหงื่อ แล้วก็เสียน้ำมาจึงต้องการพลังงานทดแทน ผมคิดแล้วก็ขำ
“พี่ไปนอนห้องผมมั้ย” มันถามตอนใกล้กินเสร็จ
“ไม่อ่ะ ไม่มีชุดเปลี่ยน ไหนจะต้องถอดคอนแท็กเลนส์อีก” ผมปฏิเสธครับ
“โหพี่อ่ะ.....” มันประท้วง ผมเลยลุกไปจ่ายเงินครับ สักพักผมก็เดินจูงมือมันไปส่งที่ท่ารถสองแถว กะว่าจะเรียกมอเตอร์ไซด์รับจ้าง (ที่นครปฐมเรียกว่า เมล์เครื่อง) กลับหอ พอดีไอ้ทรีโทรเข้ามา
“สามทุ่มจะสี่ทุ่มแล้วนะพี่” มันบอก น่าเบื่อ
“พี่นอนหอเพื่อนนะคืนนี้ไม่กลับเข้าไปแล้ว” ด้วยความที่ผมเซ็งมันเลยบอกไปอย่างนั้น แล้ววางสาย
“จริงนะ” ที่ไหนได้ไอ้ท็อบแอบฟังอยู่ครับ เวร
“..............................”
“ได้มั้ยล่ะครับ ท็อบให้ผมไปค้างด้วยได้มั้ย” มันยิ้มเลยครับ แล้วเราก็พากันขึ้นรถสองแถวไปหอมัน
   หอไอ้ท็อบอยู่เลยตลาดขายของสดของนครปฐมออกไปทางถนนใหญ่ครับ นั่งรถสองแถวมาแป๊บเดียว ท็อบมันขอแวะซื้อน้ำที่เซเว่นข้างล่าง ผมก็เลยยื่นแบงก์ให้มันแล้วบอกว่าฝากซื้อด้วย สักพักเราก็เดินขึ้นหอมันครับ
“ผมขออาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวมากๆ” มันบอกเพื่อเราเข้าห้องมาครับ แล้วมันก็แก้ผ้าโยนใส่ตระกร้าเลย อายกูบ้าง ผมนั้งลงบนเตียงมันครับ ห้องมันโล่งๆ ดี
“พี่มาอาบน้ำพร้อมผมนะ” อยู่ๆ มันก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาเรียกผม ไม่อายเลย ไอ้นั่นมันครับแข็งอยู่ ดูเต็มๆ ตา แล้วยาวมาก แข็งมาก เด็กสมัยนี้ทำไมมันใหญ่ไปหมด
“มาเร็ว” ไม่ต้องเร่งกู ผมถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นครับอายๆ จนกระทั่งเหลือแต่กางเกงในผมถอดหน้าห้องน้ำครับ มันก็คงเห็นว่าไอ้นั่นผมก็แข็งมากเหมือนกัน
“โห...” มันบอกทำเสียงกวนตีน แต่ตอนนี้ผมได้แต่หน้าแดง ความอายทำให้พูดอะไรไม่ออก
“เห็นของผัวแล้วมีอารมณ์เหรอครับ” ผัวอีกละ
“อืมม......” แต่เราไม่ได้มีอะไรกันในห้องน้ำนะครับ ผมไม่อยากลืมตากลัวน้ำเข้าคอนแทกเลนส์ ไม่มีที่เปลี่ยนจริงๆ คืนนี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาค้าง พออาบน้ำเสร็จผมไล่มันไปทำการบ้านครับ แล้วก็นอนเปลือยรอมัน เพราะใช้ผ้าเช็ดตัวที่มีแต่กลิ่นของไอ้ท็อบทำให้ผมมีอารมณ์มากครับ ผมเลยไม่ใส่เสื้อผ้า นอนบนเตียงมันแบบเปลือยๆ แล้วเอาผ้าห่มคลุมครับ ประมาณ 30 นาทีมันก็ทำการบ้านเสร็จ ทีนี้มันจะมาทำการบ้านกับผมละครับ
“วิ....” มันเรียกเดินเปลือยมาหาผมเหมือนกัน ผมชอบรูปร่างมันมากจริง นอกจากแขนของมันแล้ว ขา อก ไหล่ สะโพก ทุกส่วน ผมเริ่มเลยครับพอมันเดินเข้ามาใกล้ ผมโม๊คมันครับ แป๊บเดียวมันก็แข็งเต็มที่ ท็อบผลักผมนอนแล้วขึ้นคร่อมจูบไซร้ผมสักพัก แล้วมันก็ทำท่า 69 กับผมครับ ผมฟินมาก มันรู้สึกดีจริงๆ มันร้อน อุ่น นุ่ม แล้วก็ชื้นๆ สัมผัสจากช่องปากคน
“ผมไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครเลยนะ วิเป็นคนแรกจริงๆ” น้ำเสียงมันจริงใจมากครับ แล้วมันก็ทำสิ่งที่ผมไม่คาดฝันครับ มันยกหัวขึ้นมา เอามือแยกก้นผมออกแล้วใช้ลิ้นเลียตูดผมครับ ผมช็อกพร้อมๆ กับที่รู้สึกดีครับ มันทะนุถนอมผมดีจัง มันทำให้ผมไม่กี่นาทีหรอก แต่ผมก็ซึ้งใจที่มันไม่รังเกียจเลย
“วิ เป็นเมียผมนะ” มันจู่โจมใจผมตอนซึ้งครับ
“........................”
“.....ครับ” ผมตอบเบาๆ ตัดใจ สิ้นเสียงผมมันเอานิ้วแทงเข้าไปเลยครับ แรกๆ รู้สึกฝืนๆ กลัวด้วยกลัวว่าจะแถมทองให้มัน จากนิ้วเดียว เป็นสอง แล้วเป็นสาม ผมเสียวจนลืมอายแล้วครับ ตัวสั่นเป้นเจ้าเข้าเลย
“ท็อบ....ท็อบครับ” ผมเรียกชื่อมันครับ อยากให้มันทำตอนนี้เลย มันก็รู้งานครับลุกขึ้นมาใส่ถุงยางแป๊บนึงแล้วก็สอดเข้ามา มันไม่ยากเท่าไรเพราะท็อบมันใช้นิ้วช่วยผมไว้ก่อนแล้ว มันดันทีเดียวช้าๆ จนมิดครับ แล้วก็เริ่มกระแทก ผมรีบชักตามเลยครับ ไม่นานก็เสร็จน้ำพุ่งเต็มหน้าอกท็อบเลย มันไม่เช็ดครับ ไม่สนใจแล้วเอามือข้างหนึ่งที่ใช้ยกขาผมไว้ปาดน้ำเชื้อผมขึ้นไปกินครับ แล้วก็ก้มลงมาแบ่งให้ผมกินผ่านปาก ไม่นานผมก็แข็งอีกรอบ แต่คราวนี้ผมอยากทำอะไรให้มันบ้าง ผมเลยพลิกตัวมาอยู่ด้านบน แล้วนั่งเทียนให้มันครับ เสียวจริงๆ ของมันเข้ามาลึกมาก มันเอามือที่ว่างแล้วตอนนี้ชักว่าวให้มือ มือสวยๆ ของมัน อีกข้างหนึ่งลูบไล้ไปทั่วตัวผม มือที่ผมรัก ผมมีความสุขจากเซ็กส์ครั้งนี้มากจริงๆ มันเองก็คงเหมือนกัน หน้าเด็กๆ ใส ตอนนี้แดงมีเหงื่อไหล บิดเบี้ยว
“....เมียจ๋า...เมียจ๋า” มันพึมพำ ผมไม่ว่าอะไรมันแล้วครับ เพราะสติผมหลุดหมดแล้ว ผมแตกอีกครั้งใส่หน้าไอ้ท็อบ มันไม่ว่าอะไร แต่มันยังทำต่อ
“จะเสร็จ ยังท็อบ” ผมไม่ไหวแล้วครับทั้งเหนื่อยทั้งเสียวเหมือนจะขาดใจ มันเลยจับผมยืนหันหลังกระแทกมาจากด้านหลัง เดินไปที่ระเบียงแล้วมันก็เปิดปรตูกระจกออก ผมไม่ขัดอะไรมันทั้งนั้นครับตอนนั้นไม่มีสติเลย ใครจะเห็นก็ช่างเขา
“เรียกผัวสิครับ...ชอบควxxผัวมั้ย” มันกระซิบข้างหูแล้วดูดหลังผม
“.....ผัว....ผัวครับ.... อ่าเย็xxผมแรงๆ เอาควxxผัวเย็xxผมแรงๆ” มันเลยสนองใหญ่ ใช่ว่าผมจะไม่เคยเรียกผู้ชายคนไหนว่าผัวมาก่อนนะครับ แต่เอาเข้าจริงผู้ชายที่ไหนอยากมาเป็นผัวผม อีกอย่างกระดากปากเลยไม่เรียกครับ
“อ่า.....อ๊า.......ผัว” ผมครางไม่เป็นภาษามนุษย์แล้วครับ
“เมียชักควxxไปด้วยสิครับ...เสร็จพร้อมกัน” ผมชักเร็วครับ กำลังจะแตกเป็นรอบที่ 4 ของวันนี้ แต่อยู่ๆ มันก็ถอดควxxมันออกจากตูดผม ผมรู้สึกเคว้งคว้างอึ้งครับ แต่แล้วมันก็เสียบเข้ามาใหม่แรงมาก แรงมากจริงๆ
“ชักไปให้แตกเลย” เสียงมันออกคำสั่งมากครับ แต่ผมก็ยอม
“เมียจ๋าแตกพร้อมกันนะ.....อ่ะ อ้า”
“โอ๊ะ.....ผัวครับ โอ๊ย.....” ผมครางแล้วน้ำก็พุ่งออกนอกระเบียงไปเลย ส่วนที่เหลือก็ราดเปื้อนอยู่บนพื้นห้อง ความรู้สึกอย่างอื่นของผมเริ่มกลับมาเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรอุ่นไหลตามต้นขา ผมเหลียวหลังไปดูแต่โดนมันจูบปากแทน และในที่สุดผมก็รู้ว่า มันถอนควxxออกไปเพื่อถอดถุงยางแล้วมาเย็xxสด ปล่อยมันครับ
น้ำเชื้อมันเยอะมากไหลออกมาจากตัวผม ไปตามขาผม ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้ต้องทำอะไรต่อ ทั้งๆ ที่ผมคิดจะโชว์ skill แต่ผมหมดปัญญาครับ ท็อบมันเก่งแถมแข็งแรงอีกต่างหาก ผมพยายามจะถอนตัวออกด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ แต่มันยังกอดผมไว้แน่นตามจูบผมไปทั่วทั้ง ปาก คอ หลัง ผมวูบไปเลยครับเหมือนจะหลับคาอ้อมกอดมันนั่นแหละ รู้สึกลึกๆ ว่ารักแขนคู่นี้ที่กอดไว้ แล้วก็รู้สึกว่าอาจจะรักมัน ระหว่างที่ผมสลึมสลือ มันก็ยังทำผมต่อ แต่ผมแค่นอนเฉยๆ มันคงอุ้มผมมาที่เตียง ผมก็ปล่อยไปครับ ปล่อยตัวปล่อยใจ รู้สึกว่าตัวเองร้องไห้ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง คืนนี้ผมไม่น่ามาเลย แล้วผมก็หลับไปครับ

ผมตื่นมาเช้ามืดไม่รู้ว่ากี่โมงแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ท็อบนอนกอดผมจากข้างหลัง แขนข้างขวาของมันโอบผมไว้ ผมเลยหยิบมือขวามันมาวางที่อกด้านซ้ายผม ตรงนั้นมีหัวใจผมที่เต้นอยู่ ตอนนี้เราเปลือยเปล่า ส่วนนั้นของมันนุ่มนิ่มแนบกับก้นผม กลิ่นเหงื่อมันกระจายไปทั่วห้อง ติดอยู่ที่ตัวผมด้วย แต่ตอนนี้ผมชอบครับ ผมหลับต่อ ผมชอบท็อบมาก

ผมตื่นเพราะท็อบปลุกตอน 6.30 มันอาบน้ำแต่งชุดนักเรียนกางเกงน้ำเงินแล้วครับ มันดูเด็กจัง
“ไหวมั้ยครับ” มันถามเห็นผมนั่งเบลอ ผมพยักหน้ารู้สึกเจ็บตามากขึ้นเรื่อยๆ ลืมตาเหมือนจะไม่ขึ้น แล้วท็อบมันก็นั่งลงข้างผมบนเตียงครับ ผมอายที่ต้องเปลือยทั้งที่มันแต่งตัวครบแล้ว
“วิตาแดงมากเลยนะ เหมือนคนเมาเหล้า” เอาล่ะครับ ผมรู้เลยว่าทำไมถึงเจ็บตา ผมลืมถอดคอนแทกเลนส์ครับ มันเลยพาผมไปถอดที่ห้องน้ำ สรุปก็คือทิ้งเลย ดีนะที่ซื้อสำรองเก็บไว้ที่ห้อง แต่ผมบอดแล้วครับ มองอะไรเกินรัศมี 2 เมตรไม่ชัดเลย ผมล้างหน้าบ้วนปาก แต่งตัวชุดเดิมที่มาเมื่อคืน ปวดก้นจี๊ดๆ แล้วออกมานั่งรถสองแถวมาพร้อมกับมัน รถจอดฝั่งตรงข้ามมหาลัยครับ มันเลยพาผมข้ามถนน พาผมกลับหอ หอผมต้องผ่านโรงเรียนมัน ผมกลัวมันอายเลยปล่อยมือครับ แต่มันก็ไม่ปล่อยจับมือผมจนได้ ผมรักมือมันจริงๆ ด่านสองต่อจากโรงเรียนมันต้องเดินผ่านโรงอาหารหน้าหอผมครับ (โรงอาหารคณะศึกษาฯ) ตอนเช้าคนเยอะครับ เด็กศึกษาฯ ต้องตื่นเช้า ใครเห็นผมในสภาพนี้ก็คงรู้ละครับว่าไปทำอะไรกับมันมา เสื้อกางเกงเปื้อนคราบน้ำเมื่อคืน ทรงผมยับ ไม่รู้ว่าบนหน้ามีคราบหรือขนอะไรติดบ้าง ตาก็เจ็บผมปวดหัวครับ เวียนหัวจะอ้วกเริ่มเดินเซ ท็อบเลยต้องเดินช้าลง จับมือผมแน่นขึ้น คนมองจริงๆ ครับ แต่ผมปวดหัวมากครับ ไม่ไหวแล้ว ดีที่หอผมอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงอาหาร ผมขอบคุณมันที่มาส่งให้มันรีบไปเข้าแถว ผมรูดบัตรเข้าหอเดินขึ้นไปอ้วกในส้วมซึ่งไม่มีอะไรในท้องให้อ้วกออกมา บ้วนปากแล้วกลับเข้าห้อง ด่านสามคือไอ้ทรีครับ เข้าห้องไปมันกำลังผูกเนคไทอยู่
“พี่.........” มันเสียงดังมาก ผมกลัวห้องข้างๆ ตื่น ผมเดินไปนั่งบนเตียง
“พี่เป็นไร ไปทำไรมา ใครทำไรพี่” มันถามน้ำเสียงร้อนรนละ ผมรู้ครับว่าน้องชายห่วงผม เรามีสายเลือด เรามีเนื้อร่วมกัน ผมมันเหี้xx เองที่หาเรื่องให้ตัวเองเสียใจตลอด หงุดหงิดมาก็ด่าก็ตีน้อง
“เป็นไรป่าวพี่....” เสียงมันไม่ดีแล้ว ผมร้องไห้ครับ ร้องไห้เลย อ่อนแอมากตอนนี้ ชอบใครทีไร รักใครทีไรร่างกายอ่อนแอทุกที ไอ้ทรีอึ้งทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะปลอบผมยังไง สักพักเพื่อนมันก็มาตามไปเรียน ผมเลยไล่มันไปเรียนกับเพื่อน มันบอกว่าตอนเที่ยงจะมาดูผม ผมก็เออๆ ให้มันไป แล้วนอนต่อ

เห็นมั้ยครับว่าชีวิตของคนนั้นมันเหมือนกับหนังสือเรียนอย่างไร ตามเรื่องของ อะ มิดซัมเมอร์ ไนท์ ดรีม ผมเชื่อเสมอครับว่าพระจันทร์ของผมที่ใครๆ ก็จ้องมอง ไม่ใช่ของผม ทำให้ผมไม่เคยคิดจะไปถึงขั้นนั้นด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่โทรหา หรือสานสัมพันธ์รักเลย แค่รู้สึกดีต่อกัน เอิ่ม....แล้วก็มีบางเวลาที่ทั้งสองเราจะสมประโยชน์กันบ้าง ส่วนเรื่องของท็อบค่อนข้างซับซ้อนนิดหนึ่ง สมผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายมั้ยก็คงใช่ ผิดที่ว่าในใจลึกๆ ผมเริ่มชอบมันไม่รู้เป็นอะไร แค่เด็กคนหนึ่ง แต่ผมมีความต้องการครอบครองครับ จะดีจะร้ายอีกไม่นานผมก็ต้องทำให้น้องเสียใจอยู่ดี จะรักกับคนอย่างผมไม่ใส่เรื่องง่ายหรอกครับ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 15-10-2013 17:43:29
อัพพวดพลาดจนตามอ่านแทบไม่ทัน
อ่านจนตาแฉะ ยาวมากชอบจัง อิอิ

วิดูแปลกๆ เป็นคนหลายบุคลิกมากมายอ่ะ
แล้วจะหยุดอยู่ที่ใครกันแน่น๊า ใครจะรักและ
เข้าใจวิจริงลุ้นมากมายค่า^_^

ถึงยังไงเดี๋ยวเชียร์โย๊ปอยู่ดี อิอิ

สู้นะค่าคนเขียนเรายังเป็นกำลังใจให้เหมือนเดิม^^
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 15-10-2013 19:53:23
ทำไมมีอะไรง่ายจัง
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: SanDiego ที่ 15-10-2013 19:58:11
ลงพรึดเดียว ตามอ่านไม่ทันละคร้าบ บอกเลย
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: hotoil ที่ 16-10-2013 07:58:27
วิจะเลือกใคร...ต้องติดตามกันต่อไป
เรื่องนี้เป็นอะไรที่เราอ่านแล้วหยุดไม่อยู่
ลงมาทีเดียวอย่างยาว อย่างจุใจ เป็นอะไรที่โดน ฮ่าๆ
ปล. ขอถามหน่อยนะคะ ว่าเรื่องมันคือ  เรื่องแต่งขึ้นบนพื้นฐานเรื่องจริง หรือคะ?
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 16-10-2013 10:21:15
ถึงคนอ่านทุกคนครับ
ขอบคุณที่กรุณาอ่านเรื่องไม่เป็นเรื่องนะครับ เมื่อวานหลังจากลงตอนที่ 13 ทั้ง 3 part ลงไปแล้วแอบไม่สบายใจหลายชั่วโมง คิดว่าตัวเองควรจะเซ็นเซอร์ให้มากกว่านี้ เพราะเนื้อหาค่อนข้างรุนแรงมากกก (ช่วยแนะนำได้นะครับ)


ถึงคุณ hotoil ครับ ถ้าให้พูดตามจริงเรื่องนี้เป็น "เรื่องแต่ง" ที่ based on true story ครับ ตัวละครแทบทุกตัวมีอยู่จริง แต่เปลี่ยนชื่อ หรือเปลี่ยนสถานภาพครับ ยกเว้นตัวละครที่ไม่มีส่วนได้เสียก็จะใช้ชื่อจริง เช่น ลุงร้านเช่าหนังสือ สำหรับเหตุการณ์กว่าร้อยละ 80 เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงในสถานที่จริงครับ แต่ผ่านเวลามาหลายปีแล้ว การนำมันมาเขียนใหม่จากความทรงจำทำให้ลำดับเวลาหลายอย่างผิดเพี้ยนไป และโดยเฉพาะการที่ผมใช้ โย๊ป เป็นคนเล่าเรื่องคู่ขนานไปกับ วิ เหตุการณ์อาจจะเป็นเรื่องจริง แต่ความรู้สึก กับความคิดทั้งหลายของโย๊ปนั้นมาจากการสังเกต การคาดเดา และแต่งเติมครับ 

ขอบคุณทุกคนครับ
"วิ"
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 16-10-2013 16:41:23
บทที่ 14 ใบไม้ใบเดียว/The Cinderella Racing/ The Journey to the Afterlife

   ใบไม้ใบเดียวร่วงหล่น ณ ลานทรงพล มันดังกึกก้องไปทั่วคณะอักษรศาสคร์ เป็นสุภาษิตของพี่วิครับ หมายความว่า เรื่องราวใดก็ตามไม่ว่าจะเล็กจะน้อยแค่ไหนในมหาลัยแห่งนี้ ไม่มีทางหลบพ้นหูพ้นตาผผู้อื่นไปได้ ข่าวลือนั้นเป็นสิ่งที่ทรงพลังและความลับนั้นไม่มีอยู่ครับ ตัวอย่างที่ใกล้ตัวผมน่ะหรอครับ ก็ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกลหรอก ตัวพี่วิเองนั่นแหละ อาจจะรวมไอ้คอร์ทด้วยอีกคน หลังจากที่สองคนนี้มีเรื่องกัน ไม่รู้จะมีเรื่องกันทำไมในเมื่อต้นเหตุก็เป็นคนอื่น แต่มันก็เป็นไปแล้วครับ ไอ้คอร์ทเพื่อนผมตั้งแต่สมัยมัธยม เด็กเรียนดี เรียบร้อย กลายเป็นเพลย์บอยขี้อวด แถมช่วงนี้ยังมีข่าวลือด้วยครับว่ามันเป็นไบ เพราะมันย้ายไปแชร์ห้องกับรุ่นพี่คณะมันแต่พี่คนนั้นเขาเป็นเกย์ครับ ส่วนพี่วิไม่ต้องพูดถึงจากเด็กเรียนดี ลุคเซอร์ๆ และเป็นกันเอง ตอนนี้ก็กลายเป็นเพลย์บอย และคนไม่เอาใจใส่ไม่รับผิดชอบครับ ไอ้ทรีบอกผมว่ามันห่วงพี่มัน ที่บ้านก็เป็นห่วงด้วย พี่วิไม่เคยกลับบ้านเลยครับเสาร์อาทิตย์ไปนอนห้องผู้ชาย บางทีก็หายไปกลับผู้ชายกลางคืนแล้วกลับมาตอนเช้า ยกตัวอย่างในเรื่องที่ไม่ดีเท่าไรนะครับ แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเข้าไปทำอะไรได้ครับ ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง

   ทุกปีมหาลัยของผมจะจัดงานหนังกลางแปลง ระยะเวลาจัดประมาณ 1-2 คืน แล้วแต่ปี ในปีนี้ก็เช่นกันครับ ชื่องานว่า คืนหนึ่งหนังไทย ถ้าจำไม่ผิดเขาจะเอาหนังเรื่องปอบ เรื่องแฟนฉัน หนังไทยเกือบเก่าประมาณนี้ครับ ในคืนที่จัดงานหอพักพวกผมก็จะเลื่อนเวลาปิดให้ครับ จากห้าทุ่มเป็นเที่ยงคืน
ตอนแรกคิดว่าจะชวนเพื่อนๆ ไปดูเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือ คะแนนสอบกลางภาคออกมาครบทุกวิชาแล้วครับ ปวดใจมาก พวกเราเลยชวนกันไปทำกิจกรรมเพื่อปลอบประโลมใจครับ
“พี่วิ เย็นวันศุกร์ไปร้องคาราโอเกะกับพวกผมมั้ย” ไอ้ทรีชวนพี่มัน (สัปดาห์นี้มันไม่กลับบ้านครับ) ตลอดแหละครับ ไม่เคยรู้หรอกว่าพี่วิเขาไปนอนห้องผู้ชายทุกสุดสัปดาห์
“.........................”
“อืม ไปดิวันศุกร์เหรอ กี่โมงอ่ะ” มาแปลกครับ
“6.30 พี่”
“เออๆ”

เย็นวันศุกร์พวกเราเอาจักรยานปั่นไปครับ แวะกินข้าวกันสักพักที่ตลาดนัดเวล ผมว่าเราโคตรเปิ่นเลยครับที่ขี่จักรยานมาเพราะว่าร้านคาราโอเกะร้านนี้ เป็นร้านแบบผู้ใหญ่ครับ คือ คนที่มาเที่ยวสามารถซื้อชั่วโมงสาวๆ เข้าไปนั่งในห้องได้ด้วย แถมพวกเราทุกคนยังแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษา ยกเว้นพี่วิที่ใส่เสื้อคลุมกันหนาวสีฟ้ามีฮู๊ด กับเดฟครับ
“มากันกี่ท่านคะ” พนักงานสาวถามพี่วิครับ คงดูจากการแต่งตัว
“5 คนครับ” พี่วิตอบ
“ค่ะ ต้องการเด็กเปิดขวดรึเปล่าคะ” พนักงานเสนอโปรโมชั่นครับ ซึ่งความจริงคือการถามว่าพวกผมจะจ้างพวกเธอไปนั่งเล่นด้วยมั้ย
“ไม่ดีกว่าครับ” พี่วิตอบสุภาพครับ แล้วยิ้มให้พนักงาน ยิ้มเจ้าเล่ห์ ยิ้มเจ้าชู้มากครับ พฤติกรรมรวมกับลุคใหม่ของพี่วิทำให้ผมคิดว่า คนๆ นี้เปลี่ยนไปมากครับ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก
“เชิญด้านนี้เลยค่ะ” แล้วพนักงงานก็เดินคู่กับพี่วิ นำพวกเราเข้าไปห้องคาราโอเกะขนาด 5-10 คน ที่อยู่ด้านใน
“สักพักจะมีพนักงานมารับออเดอร์นะคะ” แล้วเธอก็เดินออกไป
“ร้านคิดราคาเป็นชั่วโมงอ่ะ” ผมบอกเพื่อนๆ แล้วเราก็เริ่มเลือกของกินเล่นกับเครื่องดื่มครับ จนพนักงานนุ่งน้อยห่มน้อยเดินเข้ามาครับ แล้วเรื่องตลกมากๆ ก็เกินขึ้นเพราะเธอเป็นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน พวกเราทุกคนสั่งหมดแล้ว
“เอ่อน้อง....พี่เอาสไปร้ท์ด้วยนะ 4 ขวด” พี่วิสั่ง เพราะเราสั่งเบียร์กันเป็นส่วนใหญ่ครับ
“สปร้ายทท ไหนคะ” เธอพูดไม่ค่อยชัด
“สไปร้ท์ขวดสีเขียวน่ะ” พี่วิบอก
“สปร้ายย สีเขียวที่นี่ไม่มีค่ะ มีแต่สปร้ายยยแดง” พนักงงานบอก พวกเรางงมากครับ สไปร้ท์ที่พม่าทำขวดสีแดงหรอ
“อืมๆ เอามาเหอะ” พี่วิตัดบท เสียงหงุดหงิดครับ สังเกตุมานานละครับว่าเวลาพี่เขาสั่งคนน้ำเสียงเขาจะออกมาแบบนี้ ทำนองเอาแต่ใจ จะเอาให้ได้
   ของเริ่มมาเสริ์ฟ แล้วเราก็เริ่มร้องเพลงกันครับ ร้องกันเยอะมากเลยครับ ช่วงแรกก็เพลงที่กำลังฮิต พอเบียร์เข้าปากไปสักพัก ก็เริ่มเป็นเพลงเร็ว แล้วก็ลุกขึ้นเต้นครับ สักพักผมสังเกตว่าพี่วิกับไอ้วิตซ์เดินออกไปนอกห้องครับ ผมคิดว่าคงไปเข้าห้องน้ำ สักพักพี่วิกลับเข้ามาก่อนครับ หน้านิ่วมาเชียว แล้วอีกไม่นานไอ้วิตซ์ก็กลับมาครับมาพร้อมกับสาวเปิดขวด ขาวนมโต นุ่งกระโปรงสั้น หน้าตาโอเค ไอ้ห่าวิตซ์เอาแล้วไงครับ แต่ไม่มีใครว่ามันหรอก กำลังติดลม สาวเสริ์ฟเธอเต้นเก่งดีครับ ส่วนพี่วิกระดก สปายครับ กระดกเอาๆ
“เฮ่ยพี่....เอาสปายมาจากไหน ไม่ได้สั่งนิ” ผมถามเห็นพี่เขาดูหงุดหงิดเลยชวนคุย
“ตั้งแต่แรกแล้ว สปร้ายยยสีแดงไง” พี่วิทำเสียงล้อ
“55555555” ผมขำแตกเลยครับ พนักงานจากประเทศเพื่อนบ้านฟังสไปร้ท์เป็นสปาย
“เปิดขวดมาเรียบร้อยเลย เวร” แล้วก็กระดกต่อครับ คงคอแห้ง
ประมาณหนึ่งชั่วโมงผ่านไปพวกเราก็สั่งของกินกับเครื่องดื่มเพิ่มครับ ดื่มเบียร์กันเป็นว่าเล่น หมดไวมาก ตอนนี้ส่วนใหญ่ไอ้เอ็มจะเป็นคนร้องเพลงครับ เพราะมันดื่มได้แต่น้ำเปล่าแพ้แอลกอฮอล์ แล้วก็ไอ้วิตซ์ครับเพราะมีเด็กเชียร์ ไอ้ทรีนั่งนิ่งมากครับ ส่วนพี่วิก็นั่งตัวเอนเลยตั้งแต่สปายหมดไปสองขวด
“เฮ้ย.....ใครเลือกเพลงนี้ใส่คิววะ” ไอ้ทรีโวยวายขึ้นมา ผมเลยหันไปมองจอว่าเพลงอะไร
“พี่เลือกเอง.....” พี่วิโงหัวขึ้นมาครับ เพลงโจทย์รัก ของเล้าโลม เพลงโปรดที่ไอ้คอร์ทร้อง ต่อมาผมถึงได้รู้หลังจากนั้นว่าไอ้ทรีเคยบอกพี่วิว่าไอ้คอร์ทชอบเพลงนี้
“....................” ไอ้ทรีดูโมโหพี่มันครับ
“มาโย๊ปร้องกับพี่” พี่วิลุกมากอดคอผมครับ พยามยามทำเป็นไม่สนใจไอ้ทรี ท่าทางพี่เขาคงมึนเลยต้องเอาแขนคล้องคอผมไว้ แล้วเราก็ร้องเพลงกันครับ พี่วิร้องได้อารมณ์มาก คงอินเหมือนกัน

“ หนึ่งคนทิ้งเราให้ตาย อีกคนให้ลมหายใจ หนึ่งทางคือรักจริง อีกทางก็รักฝังใจ
ไม่อยากเสียใครสักคน แต่วันนี้ต้องตัดสินใจ โจทย์ความรักจะจบเช่นไร ก็ยังไม่รู้หัวใจตัวเอง........”


   ผมดูนาฬิกาอีกทีก็ 11.09 แล้วครับ อีกไม่ถึงชั่วโมงหอเราจะปิดแล้ว แต่ตอนนี้ไอ้ทรีเมาหลับแล้วครับ พี่วิก็ซบไหล่ผมอยู่ พี่เขาจัดสปร้ายยยไป 4 ขวด ล้มไปเลยครับ ไอ้เอ็มคงร้องหมดแรงเลยนั่งกินกับแกล้มเล่น ไอ้วิตซ์นั่งร้องเพลงมึนๆ ครับ สาวเปิดขวดก็กลับไปแล้ว ผมเลยบอกเอ็มให้ดูเวลาครับ แล้วผมก็สะกิดปลุกพี่วิ เพิ่งเคยเห็นหน้าพี่วิตอนหลับครับ เพราะในห้องพี่เขาเอาโต๊ะทำงานบังเตียงไว้ พี่วิตอนหลับก็ยังขมวดคิ้วครับ ดูจริงจัง มันทำให้หน้าพี่เขาดูคมเข้มขึ้นนะผมว่า ทรงผมใหม่ก็ทำให้ดูดีขึ้นด้วย กว่าไอ้ทรีจะคืนชีพ ผมเลยพยุงพี่วิไปห้องน้ำครับ
“ไหวป่ะพี่” ผมถามพี่วิทำหน้าจะอ้วก ตาแดงมาก
“อืม...........” แล้วพี่เขาก็ล้างหน้า บ้วนปาก
“อืมๆ ไปครับ กลับกัน” แล้วผมก็พยุงเขาออกมา
   ตอนกลับหอกันนี่แหละครับ เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตมหาลัยของผมเลยครับ ตอนหลังพี่วิตั้งชื่อเรียกมันให้ผมอย่างไพเราะว่า The Cinderella Racing มาจากเกมที่ผมชอบเล่น Chokobo Racing (คล้ายๆ เกมรถแข่ง) กับชื่อ ซินเดอเรลล่า ที่ต้องกลับจากงานเต้นรำตอนเที่ยงคืนก่อนที่มนตร์วิเศษจะหายไป พวกเราต้องปั่นทำเวลามากครับเพราะต้องกลับหอก่อนเที่ยงคืน ตอนนี้ 11.45 แล้วครับ ไอ้ทรีพอประคองตัวได้เลยให้ซ้อนไอ้เอ็มครับ ส่วนพี่วิซบหน้าอยู่กับหลังผมนี่แหละครับซ้อนผมกับ กลัวพี่เขาร่วงมากครับ
“พี่เกาะเอวผมไว้นะ” ผมบอกจับมือพี่เขาคล้องเอวผมครับ
“อืมม...”
พอเราเร่งสปีดเลยตลาดเวลมาสักระยะ จากการรีบกลับหอมันก็กลายเป็นการแข่งขันละครับ แต่ละคนขาดสติกันมาก
“เอาป่าวพวกมึง ใครถึงก่อน” ตะโกนท้ากันครับ
“ไม่เคยกลัวอ่ะ ไอ้สัตxx” แล้วพวกเราก็ปั่นแข่งกันเอง แทนที่จะปั่นแข่งกับเวลา
“เฮ๊ย...โย๊ปอย่าแพ้นะ” พี่วิฟื้นมาแล้วครับ แต่กอดเอวผมอยู่
“555 ครับ” ตอนแรกผมนึกว่าพี่จะด่าที่พวกเราแข่งรถกันบนถนนใหญ่ครับ
“เห้ย....เอ็ม วิตซ์ แน่ป่าววะ” ยังมีอารมณ์ไปท้าคนอื่นด้วย ผมนี่เมื่อยตีนจะตายแล้ว
สุดท้ายแล้วคู่ผมชนะครับ และผมก็รู้นิสัยพี่วิว่าเป็นคนชอบเอาชนะมาก เรามาถึงห้องก่อนเที่ยงคืนไม่มากครับ พี่วิไปถอดคอนแทกเลนส์ แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันเข้านอน ผมฝันถึงตอนแข่งจักรยานต่อจากนั้นอีกหลายคืนครับ ฮ่าๆ (เตือนว่ามันเกิดจากความคึกตะนองประสาวัยรุ่นล้วนๆ แข่งจักรยานกลางถนนสายหลักอาจประสบอุบัติเหตุถึงตายได้ครับ)

 แล้วก็อีกเหตุการณ์ที่เป็นความทรงจำดีๆ ครับ จะไม่พูดถึงก็คงไม่ดีนัก เรื่องที่เราจะทำต่อไปนี้พี่วิตั้งชื่อให้มันอีกแล้วว่า The Journey to the Afterlife การเดินทางสู่ชีวิตหลังความตายครับ เช่นเดียวกับโรงเรียน โรงพยาบาล หรือวัด มหาลัยเป็นพื้นที่อีกประเภทหนึ่งที่ดำรงอยู่กับเสี้ยวของความเชื่อ ความศรัทธา และสิ่งเหนือธรรมชาติ แม้ว่าชื่อมหาวิทยาลัยจะแปลตรงตามตัวอักษรว่า สถานที่อาศัยที่ยิ่งใหญ่แห่งปัญญา หรือสถานที่อาศัยแห่งปัญญาที่ยิ่งใหญ่ (พี่วิ เด็กอักษรฯ บอกมา) ดูขัดแย้งกันรึเปล่าครับ เหตุผลหนึ่งเพราะมนุษย์มีความเชื่อ มีความอ่อนแอ ความกลัวต่อสิ่งที่ตนเองไม่รู้และไม่เข้าใจ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ชื่อไอ้ทรีครับ ไอ้เชี่ยนี่ยิ่งกลัวหนัก มันเริ่มต้นจากการอยากทำอะไรที่ท้าทายครับหลังจากที่พวกเราดูหนังผีมาเยอะ มันก็คงต้องถึงเวลาที่เราต้องลองของจริง
มหาลัยผมสร้างขึ้นทับซ้อนกับพื้นที่ของวังเดิมครับ สิ่งก่อสร้าง หรือสถานที่จำนวนหนึ่งซึ่งเดิมเคยเป็นของราชสำนัก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังปรากฏอยู่ให้เห็นบ้าง แต่ส่วนมากแล้วก็จะปล่อยให้ร้าง ไม่ได้ใช้ประโยชน์ครับ และเมื่อสถานที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ไม่ได้มีการรู้จักหรือเข้าใจโดยบรรดานักศึกษาที่มาร่ำเรียนอยู่ ก็เป็นกฎธรรมดาที่มันจะค่อยๆ ถูกเข้ามาครอบครองโดยความเชื่อที่เหนือความเข้าใจ
“มหาลัยเราน่ากลัวเนอะ...วันก่อนก็มีข่าวลือว่าที่คณะผมมีคนโดดตึกลงมา แต่ไม่เจอศพ” ผมเล่าให้พี่วิที่อยู่คนละคณะกับผมฟัง
“ธรรมดา” พี่วิบอก ทำท่าว่ารับรู้แต่ไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องนี้มากเท่าไร
“เมื่อ 2 ปีก่อนที่คณะพี่ก็มีข่าวลือว่าแม่บ้านมาผูกคอตายในห้องเรียน คืนวันศุกร์ แล้วมาเจอศพวันจันทร์ แต่มันก็เป็นแค่ข่าวลือนะ มีอิทธิพลต่อคนจำนวนมาก แต่เราก็ไม่เคยสืบสาวต้นตอของมันว่าจริง รึเปล่า” พี่วิเล่า
“พี่มาอยู่ที่นี่เคยเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเองบ้างป่าวครับ” ผมถาม
“โดนผีหลอกน่ะเหรอ เคยสิ ที่ห้องนี้แหละ” พี่วิบอกยิ้มๆ ครับ
“เฮ้ย....จริงอ่ะพี่” ไอ้ทรีครับ ไอ้มนุษย์ที่กลัวผีขึ้นสมอง
“....หึหึ ทำไมเหรอ” พี่วิต่อครับ
“เล่าให้ผมฟังหน่อยดิพี่” ผมบอกพี่เขา อยากรู้ว่าพี่วิเคยเจอผีที่ห้องนี้แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
“อืมๆ..” พอพี่วิรัยคำไอ้ทรีก็วิ่งออกไปนอกห้องเลยครับ แต่แป๊บเดียวมันก็พาไอ้เอ็มมาเป็นเพื่อนฟังด้วย ไอ้เวรนี่กลัวแต่ก็อยากรู้ครับ ผมเลยเดินไปปิดไฟเพื่อสร้างบรรยากาศครับ
“ก่อนอื่นมันอาจเกิดจากเหตุผลบางอย่างที่พี่ไม่รู้ไม่เข้าใจนะ แต่การที่มาเล่าเป็นเรื่องผี แปลว่าพี่กำลังอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยแนวคิดความเชื่อในโลกหลังความตายนะ” เด็กเรียนครับ จะเล่าเรื่องผียังต้องให้คนฟังคำนึงถึงเหตุผล
“พวกเราเห็นที่ว่างตรงหน้าต่างนั้นมั้ย” พี่วิพูดแล้วชี้มือไปที่ว่างระหว่างตู้เสื้อผ้ากับหน้าต่างห้องครับ
“เมื่อก่อนโต๊ะคอมพ์ที่ทรีใช้เคยตั้งอยู่ตรงนั้น เป็นของรูมเมทคนเก่าพี่.....เพื่อนๆ ในคณะหลายคนชอบมานั่งเล่นนอนเล่นคุยกันที่ห้องนี้ บางคนก็ขอมาใช้คอมพ์.....วันเสาร์วันหนึ่งรูมเมทพี่กลับบ้าน แต่มีเพื่อนที่คณะมาขอใช้คอมพ์ ประมาณเที่ยงคืนมั้งเพื่อนใช้คอมพ์เสร็จก็กลับไปพี่เดินไปล็อกห้องแล้วกลับมานอนที่เตียงนี่คนเดียว” เตียงพี่วิหันปลายเตียงเข้าที่ว่างนั่นเลยครับ แสดงว่าเมื่อก่อนหน้าจอคอมต้องหันหน้าเข้าหาพี่วิ
“....พี่หลับไปสักพักใหญ่ๆ ก็รู้สึกว่าแสงสีฟ้าจากจอคอมพ์มันแยงตา ได้ยินเสียงคนพิมพ์คีย์บอร์ดเสียงดังต๊อกแต๊กไม่หยุด.....พี่คิดว่าเพื่อนเข้ามาใช้ แต่ก็นึกได้ว่าตัวเองล็อกห้องแล้ว จำได้ว่าล็อกห้องแล้วด้วยความรำคาญพี่เลยจะลุกขึ้นมาลืมตาดูว่าใคร......แต่พี่ลุกไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้เลย ลืมตาก็ไม่ได้ แสงก็ยังมีอยู่ เสียงพิมพ์ก็ยังดังอยู่ พี่ดิ้นรนอยู่สักพัก ก็ลืมตาลุกนั่งได้ แต่พอมองดูไม่มีใครเลยคอมพ์ก็ปิด เดินไปดูประตูห้องก็ล็อก....พี่กลัวมากตอนนั้นวิ่งไปห้องลิตเติ้ลเลย แต่มันดึกมาแล้วพี่เลยเกรงใจ อีกอย่างตอนนั้นพี่คิดว่าพี่เพิ่งอยู่ปีหนึ่ง ต้องอยู่ห้องนี้อีก 4 ปี ถ้าพี่หนีครั้งนี้ พี่จะต้องหนีไปอีกกี่ครั้ง พี่เลยเดินกลับเข้ามานอน คิดว่านี่เป็นที่ของเรา ตั้งแต่นั้นมาพี่ไม่เคยเจออีกเลย” พี่วิหยุดพัก
“แต่เรื่องที่ไม่เกิดกับพี่อีก ดันไปเกิดกับเพื่อนพี่แทน เพื่อนพี่ที่อยู่ห้องข้างๆ วันนั้นเขาอยู่หอคนเดียว พี่กับรูมเมทพี่ก็กลับบ้าน....ดึกมากๆ แล้ว เพื่อนพี่เห็นแสงสีฟ้าของคอมพ์สะท้อนออกมาจากทางหน้าต่าง เพราะหน้าต่างห้องเราติดกัน....เพื่อนพี่ด้วยความสงสัยเพราะรู้ว่าเพื่อนกลับบ้านหมด เลยปีนดู พอชะโงกหน้ามาไฟสีฟ้าก็หายไป เพื่อนพี่เลยรีบวิ่งมาหน้าห้องเลยเห็นว่าห้องพี่คล้องแม่กุญแจอยู่ เขาหลอนมากเลยนะตอนนั้น....” แล้วพี่วิก็จบเรื่องครับ
“พี่วิฮาร์ดคอร์สุดๆ อ่ะ ขนาดผียังกลัว” ไอ้เอ็มครับ
“ไอ้บ้า...ก็แค่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ในตอนนั้น” พี่วิบอก ผมนิ่งสักพักแล้วเสนอออกไปครับ
“พี่วิวันศุกร์นี้เรามาเล่นอะไรสนุกๆ กันดีกว่าครับ” ผมชวนแม้รู้ว่าพี่เขาอาจจะไปค้างห้องแฟนเขาเปล่าไม่รู้ ผู้ชายที่สูงไล่ๆ กับผม ขาว หน้าตาดี แต่ดูหยิ่งๆ คนที่ผมเจอที่อารต์ อเวนิว
“ไอ้ทรีวันศุกร์นี้มึงก็ห้ามกลับบ้านนะ มาอยู่เล่นด้วยกัน” ผมสั่งเพื่อนครับ กลัวคนน้อยจะไม่สนุก
“อะไรวะมึง” ไอ้ทรีประท้วงแต่สุดท้ายก็ยอมครับ สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดัง
“ไง...ท็อบ” พี่วิรับโทรศัพท์เสียงหวาน แบบที่ผมได้ยินแล้วตกใจครับ คนแบบพี่วิใช้น้ำเสียงแบบนี้กับคนอื่นเป็นด้วย ขนาดไอ้ทรีที่โตด้วยกันมายังพูดจาภาษาพ่อขุนเลยครับ
“ไม่อ่ะ.....วันศุกร์ไม่ว่างนะ” ทำเสียงอ้อนด้วยครับ
“น้องชวนไปเที่ยวอ่า.......” แล้วพี่เขาก็เดินออกไปคุยต่อข้างนอกห้องครับ พวกผมเลยมองหน้ากัน ทั้งตูนทั้งท็อบเลยพี่


เย็นวันศุกร์พวกผมไปกินข้าวกันที่เต็นท์เขียวครับ เต๊นท์เขียวเป็นลานดินกว้างขนาใหญ่อยู่ตรงข้ามกับหน้ามหาลัย มีร้านขายอาหารประมาณ 20-30 ร้าน ตั้งแต่อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน อาหารเหนือ หอยทอด ผัดไท ผลไม้ ตลอดจนขนมหวาน เย็นนี้เรากินก๋วยเตี๋ยวกันครับ ก๋วยเตี๋ยวน้ำตกร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยเหมือนกัน แต่ที่ขึ้นชื่อกว่าความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวคงจะเป็นความหล่อของลูกชายเจ้าของร้านน่ะครับ ต้องยอมรับครับว่าน้องเขาเป็นเด็กกตัญญูที่มาช่วยมาขายก๋วยเตี๋ยวดดยไม่อายเพื่อน และด้วยความหน้าตาดี บวกกับอัธยาศัยดีนี่เอง สาวแท้ สาวเทียมจึงมาติดตรึมครับ
“เส้นหมีเนื้อเปื่อยไม่งอกค้าบบบ” น้องเขาเอาก๋วยเตี่ยวที่พี่วิสั่งมาส่งให้ถึงมือ พี่วิก็ยื่นมอไปรับครับ น้องเขายิ้มเล็กยิ่มน้อย
“ขอบคุณครับ” พี่วิตอบสุภาพแต่ส่งสายตากับรอยยิ้มเจ้าชู้อีกแล้ว มือก็ยังไม่ยอมปล่อยครับ
“....พี่” ไอ้ทรีทำเสียงเตือนครับ ฮ่าๆๆ พี่วิหันมามองแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำหน้าแบบอินโนเซนต์มาก แล้วก็เริ่มกินก๋วยเตี่ยวครับ
“สรุป....ไอ้โย๊ป คืนนี้มึงจะทำอะไรวะ” ไอ้ทรีถามครับ แต่กิจกรรมในคืนนี้มีแต่ผมกับพี่วิสองคนที่รู้ล่วงหน้า เดี่ยวไม่ตื่นเต้นครับ
“เดี๋ยวมึงก็รู้...รีบไปทำไม” ผมด่ามันครับ
พอกินเสร็จเราก็ไปแวะร้านเช่าหนัง กับร้านขายของชำหน้าอารต์ อเวนิวครับ ผมไปซื้อเทียนไขกับไฟแช็ค แล้วมุ่งหน้ากลับหอครับ

สี่ทุ่มแล้วพวกเรามาพร้อมกันหน้าหอครับ กิจกรรมก็คือเราจะเดินเป็นวงกลมจากหอพัก ข้ามสระแก้ว เกาะนก (เกาะที่อยู่กลางสระแก้ว) ผ่านบ้านจักรยาน (บ้านเก่าสมัยร.6) หอพักหญิง ไปสนามบอล คณะเทคโนฯ ของผม จากนั้นก็คณะเภสัชฯ จนที่สุดท้ายคือคณะอักษรฯ แล้วค่อยเดินกลับหอครับ โดยแต่ละที่ที่เราเดินผ่านพี่วิจะเป็นคนเล่าเรื่องผีที่เคยมีคนพบเจอ ณ ที่นั้นให้พวกเราฟังในฐานะที่เรียนประวัติศาสตร์ แล้วก็อยู่ที่นี่มานานที่สุด ส่วนพวกเราจะเป็นถือเทียนไขแล้วก็ฟังครับ ก่อนออกมาไอ้เชี่ยทรีหลอนมาก จะไม่ยอมมาด้วย จนผมต้องบอกว่ามึงต้องอยู่คนเดียวนะโว้ย จำเรื่องผีในห้องที่พี่วิเล่าให้ฟังได้ป่าว มันถึงยอมมาด้วยกัน
สระแก้ว เกาะนกคือจุดหมายแรกครับ ไม่นานที่ผ่านมาเพื่อนเราคนหนึ่งเพิ่งจมน้ำตายไป แต่ในสมัยที่มหาลัยยังเป็นวังสนมที่คบชู้จะถูกจับใส่โซ่ตรวนแล้วมาถ่วงน้ำที่นี่ครับ
“ที่เกาะนก รุ่นพี่ของพี่เคยเล่าให้ฟังว่าปีหนึ่งเธอกับเพื่อนสองคนมาปีนต้นพิกุลตอนประมาณสองสามทุ่มเพื่อจะได้เอาไปประดับพานไหว้ครูในวันรุ่งขึ้น ขณะที่พี่คนหนึ่งปีนขึ้นไปเก็บดอกพิกุลแล้วส่งลงมาให้เพื่อน เธอก็พูดว่าเรากลับกันเถอะ แต่เพื่อนท้วงว่าเพิ่งเก็บได้นิดเดียวเอง พี่คนนั้นไม่สนใจรีบปีนลงมาแล้วเล่าให้เพื่อนฟังว่า มีมือหยิบดอกพิกุลยื่นมาให้จากข้างบน” เรื่องแรกผีต้นพิกุลบนเกาะนกพวกเราก็ขนลุกแล้วครับ
ถนนผ่านบ้านจักรยานกับคณะวิทยาศาสตร์ มีต้นจามจุรีสูงขนาบสองข้างทางครับ พี่วิเล่าว่ามีเด็กคณะวิทยาฯ ขับรถจักรยานหลังจากรับน้องมาตอนกลางคืนมองเห็นต้นไม้ทั้งสองข้างเป็นขาที่ยาวมากๆ พอเงยหน้าดูเลยเห็นผีเปรตก้มหน้ามองอยู่ เรื่องนี้พวกผมก็เสียวครับ เลยไปหอหญิงมีผีโซ่ตรวนหัวขาดเดินเข้าห้อง มีผีบนดาดฟ้า ผมว่าธรรมดาครับ แต่จากหอหญิงไปคณะผมมีถนนเส้นเล็กที่เรียกว่า บลู โร๊ด เนื่องจากปูด้วยอิฐสีน้ำเงินครับ
“เพื่อนคณะเทคโนฯ เคยเล่าให้ฟังว่ามีคนเคยขี่จักรยานผ่านบูล โร๊ด คนเดียวตอนกลางคืน ปรากฏว่าขี่ยังไงก็ข้ามไม่ถึงอีกฝั่งสักที” พี่วิเล่าครับ ต่อไปก็เรื่องที่คณะเภสัชฯ เรื่องเล่าไม่น่ากลัวแต่ทางเดินของคณะน่ากลัวมากครับ แต่ไคลแม็กซ์ของเราคือที่สุดท้ายครับ คณะแรกที่ก่อตั้งในวิทยาเขต คณะอักษรฯ ครับ พี่วิเล่าว่า บนลานที่เด็กอักษรใช้รับน้องเรียกว่าลานทรงพล เคลเป็นลานประหารครับ หากเข้าห้องน้ำชั้นล่างจากตึกเรียนแล้วมองออกมาก็จะเห็นลาน
“พี่เด็กคนหนึ่งซ้อมเชียร์จนดึก แต่เกิดปวดท้องเลยเข้าห้องน้ำ พอตอนจะออกจากห้องน้ำมองออกไปที่ลานแล้วเห็นนางรำหัวขาดกำลังรำอยู่ เลยกลัวแล้วหนีกลับเข้าไปอยู่ที่ห้องน้ำ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชฎาลอยอยู่โดยที่พื้นไม่มีเท้าคน” พวกผมขนลุกอีกแล้วครับ
ที่ต่อไปคณะอักษรเหมือนกันครับ พี่วิพาพวกเรามาที่ภาคสังคมวิทยาของพี่วิครับ หน้าภาคมีลานสี่เหลี่ยมเรียกว่าลานพิกุล ลานนี้ก็มีประวัติศาสตร์สมัน 14 ตุลาฯ ครับ คือเป็นที่ใช้เผาหนังสือตำราที่ถูกบอกว่าเป็นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์  การเผาหนังสือ แหล่งความรู้ที่ยิ่งใหญ่ในมหาวิทยาลัยเป้นการกระทำบาปร้ายแรงครับ เพราะเป้นการทำลายวิญญาณความรู้ในสถานที่อาศัยของความรู้
“ที่ชั้นสอง ภาควิชาพี่ตอนนั้นมีเด็กต้องการจะแกล้งเพื่อนโดยแอบขึ้นไปข้างบนแล้วค่อยๆ โปรดใบไม้ลงมาหวังจะให้เพื่อนกลัว แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือมีอีกสิ่งหนึ่งกำลังช่วยเขาโปรดใบไม้ลงไปเหมือนกัน เป็นผู้หญิงนุ่งสไบนังบนราวทางเดิน พอเด็กคนนั้นหันไปดู ผู้หญิงนุ่งสไบ ก็หันมายิ้มให้แต่หน้าไม่ใช่คน ที่ซวยที่สุดคือทางเดียวที่จะลง คือต้องวิ่งผ่านผู้หญิงมาที่บันไดตรงนี้” พี่วิจัดเต็มเลยครับทัวร์สู่รอบหลังความตายคืนนี้
ระหว่างที่เราเดินข้ามสะพานสระแก้วกลับหอก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อยครับ แต่ไม่ใช้เรื่องผีแล้ว
“เรื่องแบบนี้กูพอแล้วนะ ไม่เอาแล้ว” อาจจะยกเว้นไอ้ทรี
“พี่วิถามหน่อยสิ พอดีผ่านลานทรงพลเลยนึกได้” ผมฉีกออกนอกเรื่องครับ
“อืม อะไรล่ะ”
“ตอนเด็กอักษรฯ รับน้องจะมีฉายาใช่มั้ยครับ” เด็กผู้ชายอักษรฯ จะมีชื่อที่รุ่นพี่ตั้งให้เพื่อใช้ในการสร้างความบันเทิงและความวุ่นวายครับ
“อืมใช่......” พี่วิตอบ ดูเหมือนไม่อยากพูด อต่ผมอยากรู้
“พี่วิมีชื่อมั้ย” ผมรบเร้า
“มีสิ.....”
“ชื่ออะไรครับ”
“...............................”
“วิภพ ยบแล้วเลิกเค็ด......มันเป็นการเล่นผวนเสียงของคำพูดน่ะ เมื่อก่อนรุ่นพี่มันไม่รู้ว่าพี่ชื่อวิฬะ มันเลยเรียกเป็นวิภพ วิภพ ยบแล้วเลิกเค็ด” พี่วิอายมากแล้วครับตอนนี้แสงไฟจากถนนส่องลงมาหน้าแดงเลย พอไอ้ทรีได้ยินมันก็หัวเราะลั่นเลยครับ ผมอึ้งครับ
“ชื่อเชี่ย.....แม่งแช่งกันสุดๆ” ไอ้ทรีพูดไปขำไป
“ชื่อโคตรเพลย์บอยเลยพี่” ไอ้เอ็มก็หันมาบอกครับ หน้าแดงเหมือนกัน 

ช่วงสองสัปดาห์นี้ชีวิตมหาลัยผมสนุกมากครับ แม้บางครังจะเกินของเขตไปบ้างแบบแข่งจักรยานบนถนนสายหลัก แต่การเดินทางสู่ชีวิตหลังความตายทำให้ผมรู้เรื่องความเชื่อในมหาลัยเพิ่มขึ้น ผูกพันกับมหาลัยเพิ่มขึ้น และผมยังได้รู้จักกับตัวตนอีกคนของพี่วิ วิภพ ยบแล้วเลิกเค็ด
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: minminmin ที่ 16-10-2013 17:01:28
ใจจริงๆยังเชียร์คอร์ทอยู่เลยนะ  แต่เค้าหายไปเลยอ่าาาาาาา

แล้วตูนนี่ยังไงกันแน่? ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ว่าแค่เล่นๆหรือจีบ555+

ท็อปก็น่ารักดี ท่าทางจะจริงจัง(?) แต่คอร์ทคนเก่าน่ารักกว่า

สรุปคนไหน ยังไงกันแน่เนี่ย :katai1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: SanDiego ที่ 16-10-2013 23:16:54
เข้ามาตามเก็บต่อ อย่าเพิ่งรีบลงดิครับ อ่านไม่ทัน บอกเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: SanDiego ที่ 16-10-2013 23:29:23
ลืมบอกไปว่า ไม่ต้องเซนเซอร์นะครับ แบบนี้กำลังดีแล้ว อิๆๆ  :hao6:
แล้วก็....ชอบการเขียนนะครับ บอกเลย  :katai3:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 17-10-2013 02:33:40
คุณเจ้แนะนำนะคะ  ว่าเรื่องใหม่ๆ ควรจะลงเยอะๆ เข้าไว้  เพราะคนอ่านจะได้ติดใจ และเรื่องจะได้ไม่ตกไปหน้าหลังๆ

สู้ๆ

ปล.  เคาะย่อหน้า  จัดหน้า  ให้มันน่าอ่านหน่อย

แน่นมากไป  ก็ไม่ดีนะค่ะ

อิเจ้
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 17-10-2013 22:49:41
ขอบคุณทุกคำ แนะนำนะครับ เรื่องความเยอะ (หนักด้วยหรือเปล่า) ของเนื้อหาอาจทำให้คนอ่านมีปัญหาครับ แต่ผมดันเลือกใช้การเล่าเรื่องจากมุมมองของตัวละคร 2 คน  (วิเล่าบทเลขคี่ โย๊ปเล่าบทเลขคู่) ทำให้การตัดทอนเรื่องราวแล้วเพิ่มจำนวนบทเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม้ได้ครับ (กลัวว่าโครงสร้างลำดับเหตุการณ์จะพัง) เลยจะลองทำตามบทที่ 13 คือ แบ่งออกเป็นตอนสั้นๆ แต่คนเล่ายังเป็นคนเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น
15(1)
15(2)
15(3) ซึ่งวิเป็นคนเล่าทั้งหมดครับ

ขอบคุณครับ
"วิ"
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 17-10-2013 22:58:03
15 (1) But Only love Can Say

      ทุกครั้งที่มีกิจกรรมของคณะ หรือกิจกรรมของมหาลัยที่เดือนและดาวคณะต้องไปปรากฏตัว ผมจะหลีกเลี่ยงการพบเจอกับไอ้ตูนครับ ปากมักบอกไม่สนแต่จริงๆ แล้วแคร์เรื่องนี้มากครับ เพราะตอนนั้นผมเชื่อโดยสนิทใจว่าไม่มีผู้ชายที่ไหนคบผู้ชายด้วยกันแล้วต้องการจะเปิดเผย เป็นความลับก็ดีครับ นานๆ เจอกันทีก็ดีนะ ดูน่าค้นหา ตื่นเต้นครับ และผมยังคงยึดหลักการเดิมครับไม่มีการโทรคุยกับเซเลป ส่วนเรื่องไอ้ท็อบก็คุยกับมันบ่อยมากขึ้น จนรู้สึกว่านานวันไอ้นี่แม่งน่ากลัว ดูมันเชี่ยวมากครับ มันสารภาพกับผมว่า มันเคยได้เพื่อนกระเทยในโรงเรียน ผมไม่ใช่คนแรกของมัน ครั้งแรกของมันเกิดที่ห้องน้ำโรงเรียน ถึงอย่างไรผมชอบไอ้ท็อบนะ ผมว่ามันเซ็กซี่ขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะเวลามันอยู่ในชุดเล่นบาสแล้วเปียกเหงื่อ แหวะแต่ชอบครับ แล้วผมก็ชอบให้มันจับมือ แต่สิ่งที่ไม่ชอบเลยคือ บางทีมันก็ชอบพูดผัวๆ เมียๆ นั่นโน่นนี่ตอนอยู่ข้างนอก ไม่ค่อยเรียกผมว่าพี่อีก จะเอาอย่างไอ้ตูนอีกคน กังวลแทนมันครับต้องยอมรับมันยังมีอนาคตอีกไกล มันเหลือเวลาที่ต้องเรียนที่นี่อีกหลายปี หากเกิดเป็นเรื่องฉาวชีวิตมันจะลำบาก ผมน่ะชินแล้วกับการก้มหน้าก้มตารีบเดินไม่ต้องมองสายตาจากคนรอบข้าง คอยปิดหูให้ตัวเองไม่ต้องได้ยินผู้คนนินทา แต่ผมไม่ต้องการให้คนที่ผมชอบ คนที่ผมรู้สึกดีด้วย ต้องมาตกอยู่ในชะตากรรมแบบเดียวกับผม

     ตอนนี้ใกล้จะปิดเทอมแรกแล้วครับ เวลาผ่านไปไวมากเหมือนกัน ใจหายครับเพราะมหาลัยเป็นบ้านของผม โดยส่วนตัวผมไม่รู้สึกว่าบ้านที่อยู่กับแม่หรือญาตืคนไหนให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านครับ ที่นี่คือบ้านของผม และผมไม่อยากจากไป ก่อนจะปิดเทอมเด็กเอกสังคมฯ อย่างพวกผมต้องส่งโครงร่างงานวิจัย และสอบป้องกันโครงร่างงานวิจัยให้ได้ผลผ่านครับ เพื่อที่จะได้นำโครงร่างนี้ไปทำต่อจนสมบูรณ์ในเทอมสอง ผมเลยมีเวลาให้สองคนนั้นน้อยลง ไอ้ท็อบนี่ยิ่งร้ายมาก มันมาเฝ้าผมเลยครับ ผมเลยต้องนัดกับเพื่อนทำงานที่ลานหน้าห้องสมุดแทนที่จะนัดทำกันที่คณะ เพราะคนที่มาเห็นผมกับไอ้ท็อบจะได้เป็นคนที่ไม่รู้จักเรา
“กลับห้องไปนอนได้แล้วครับ ซ้อมบาสมาเหนื่อยๆ” ผมปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนมาบอกท็อบให้กลับหอครับ ทุ่มกว่าแล้ว มันยังต้องขึ้นรถสองแถวกลับอีก เป็นห่วงมันมากครับ มันเพิ่งอายุ 17 เอง
“โถ่ เมียผมอ่ะ ผมต้องมารอดิ” มันทำเสียงล้อผมอีก
“อย่าให้พี่หนักใจสิ...พี่ต้องทำงานนะ” ผมบ่น
“ครับๆ” มันบอกประชด
“อย่าน้อยใจน่า...คนดี” ผมหอมแก้มมันครับ มันน่ารักนะเวลางอน มันดึงผมไปจูบเลย เล่นทีเผลออ่ะ
“เฮ้ย คนเห็นนะ” ผมบอกมัน
“ช่างเขาดิ” ไอ้นี่กวนตีนอีก
“กลับไปก่อนนะคนดี”
“ครับๆ” พอตัวปัญหาเดินกลับไปจนลับสายตาแล้วผมก็กลับไปทำงานวิจัยกับเพื่อนๆ ต่อครับ เราวางโครงร่างเรื่องการจัดการธุรกิจครอบครัวของเกษตรกรโคนม เพราะหมู่บ้านภาคสนามที่พวกเราไปศึกษานั้น เป็นหมู่บ้านเกษตรกรโคนมครับ ผมนั่งทำงานกับเพื่อนๆ จนถึงสาม

ทุ่มครึ่งแล้ว ผมเลยเริ่มไล่เพื่อนๆ กลับ เพราะหอหญิงจะปิดก่อนหอชาย 1 ชั่วโมง ตอนพวกเรากำลังเก็บของกันผมก็เหลือบเห็นโปสเตอร์ประกาศที่แปะไว้บนเสา เป็นโปสเตอร์งานประกวดดนตรีคณะเภสัชฯ ผมเห็นปุ๊บก็จิตตกครับนึกถึงคอร์ท ใจเต้นแรงไม่รู้เป็นอะไรอีก เหมือนคนบ้า

     อีกครึ่งชั่วโมงผมก็มาอยู่หน้ามหาลัยแล้วครับ ไปส่งเพื่อนๆ มา ผมเรียกเมล์เครื่อง (ขอใช้ภาษาถิ่น) รู้สึกว่าตัวเองรีบร้อนหนีอะไรมาสักอย่าง เหมือนความมืดไล่ตามมาข้างหลัง
“ไปตลาดสดนครปฐมครับพี่” ผมบอกคนครับ ประมาณ 10 นาที จ่ายตังไป 50 บาท ผมก็มายืนอยู่หน้าหอของท็อบแล้ว รู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องมารบกวนมันรบกวนเวลาส่วนตัวมัน แต่คืนนี้อยากมีคนกอดครับ ตอนนี้เลยสับสนกับตัวเองมาก ผมโทรหาท็อบครับโทรศัพท์ดัง สักพัก แล้วมันก็รับสาย
“คร้าบบบวิ” พอได้ยินเสียงมันเท่านั้นแหละ ผมร้องไห้เลย
“เฮ้ย....วิเป็นไรครับ”มันถาม
“มารับหน่อยนะ อยู่ข้างล่างหอแล้ว” ผมบอกมันครับ
“ไม่เอานะไม่ร้องไห้....” มันบอก มันไม่วางโทรศัพท์เลยครับตั้งแต่ออกจากห้องจนมาเจอผม มันใส่บ็อกเซอร์กับเสื้อบาสลงมา พอเจอมันผมก็กอดมันเลยครับ
"ขอโทษนะที่ไล่ท็อบกลับห้องมา"
“เป็นไรไปครับ” มันกอดผมตอบ
“คิดถึงอ่ะ” ผมบอกมัน หยุดร้องไห้แล้วครับ หายจิตตก แล้วมันก็พาขึ้นห้อง ไม่ทันที่ผมจะได้อาบน้ำ มันก็ผลักผมลงบนเตียง
“ทำไมคืนนี้น่ารักจังครับ” ผมอธิบายไม่ถูกเลยไม่ตอบมันครับ
“.....................................” แต่มันคงไม่ต้องการคำอธิบายแล้วเพราะมันจูบผม เราจูบกันนานมาก เสื้อผ้ามันหลุดไปหมดแล้วครับ ดันอยู่ในชุดที่ถอดง่าย
“ยกแขนครับ” มันสั่ง พอผมทำตามมันก็ดึงเสื้อยืดผมออกทางหัวทันที มันเริ่งจัดการร่างกายผมแล้ว เคลิ้มมากเลย สัมผัสจากมือของมัน และสัมผัสจากลิ้นของมันรู้สึกดีมากจริงๆ สักพักมันจะใช้ปากกับตรงนั้นให้ผมครับ แต่ผมห้ามไว้เพราะผมยังไม่ได้อาบน้ำครับ
“เดี๋ยวเมียทำให้เองครับ” ดูเหมือนมันจะอึ้งนิดๆ แล้วผมก็โม๊คให้มันที่แข็งรอผมอยู่นานแล้วครับ ระหว่างที่มือมันว่างมันก็ถอดกางเกงกับกางเกงในผมออกไป สักพักมันเริ่มส่วยเอวครับ แทบทะลุคอหอยผมจะอ้วกมันเลยหยุดให้
“ผัวทำเลยนะครับ” มันบอกแล้วป้ายเจลที่ก้นผม ยอมมันหมดละครับจะเจ็บก็ช่างมัน คราวนี้เหมือนไม่เจ็บมากครับไม่นานมันก็ใส่เข้ามาจนหมด
“กว่าผมจะเข้าไปขอเบอร์วิ รู้มั้ยผมตามมองวิตั้งสองสัปดาห์” ผัวครับ มาสารภาพเอาอะไรตอนกำลังเอาผมอยู่ละครับ เสียบรรยากาศ
“เจอวันแรกที่โรงอาหารคณะอักษรฯ แล้วก็ไม่เจออีกตั้งหลายวัน ผมแทบไปเฝ้าที่นั่นเลยนะ” ซึ้ง แต่ผมทำได้แค่ครางครับ นาทีนี้ ผมเริ่มชักให้ตัวเองไปด้วยแล้วครับ ร่างกายและจิตใจรู้สึกดีมาก
“อ่ะ....อ่า ท็อบ ผัวครับ” ผมใกล้แล้วครับ ความรู้สึกมันเอ่อล้นมาก
“แตกพร้อมกันครับ” มันกระซิบบอกผม เราทั้งคู่เร่งเครื่องครับ ผมโน้มหัวมันลงมาจูบปาก แล้วก็แตกเลยครับ มันก็แตกในตัวผม เรานอนกอดกันแบบนั้นสักพัก มันก็พาผมไปล้างตัว ผมอาบน้ำตัดใจถอดคอนแท็กเลนซ์ทิ้งเลยครับ เดี๋ยวเจ็บตา ระหว่างที่เราล้างตัวให้กันต่างคนต่างก็แข็งขึ้นมาอีกครับ แต่ผมไม่ยอมทำอะไรกับมันในห้องน้ำ เพราะมันเคยได้กับคนอื่นที่ห้องน้ำโรงเรียน ผมหึงครับ ไม่ชอบถ้ามันคิดถึงคนอื่น ผมพามันออกมาที่ระเบียง เราเปลือยเปล่าทั้งคู่ครับ และคืนนี้เป็นอะไรที่ท็อบต้องจดจำ

     ในคืนที่มืดมิด เมื่อปิดไฟแล้วผมแทบมองอะไรไม่เห็นเลย ในขณะที่แขนเรียวยาวนั้นกอดผมไว้กับอกอุ่นๆ ของคนอีกคน ผมก็นึกถึงชั้นเรียนจิตวิทยาสังคม สมัยปี 3 เทอม 1 สอนโดย อาจารย์เรือนทอง  วันหนึ่งเราเรียนเรื่องอิทธิพลประสาทสัมผัสต่อจิตใจครับ อาจารย์ให้เราครึ่งห้องปิดตาไว้ด้วยผ้า แล้วให้เพื่อนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งพาเดินไปทำนู่นทำนี่รอบๆ คณะ แต่ละคนที่ถูกปิดตากลับมาบรรยายความรู้สึกว่า หวาดกล้ว หวาดระแวง ต่างๆ มากมาย อาจารย์เลยถามว่าถ้าวันหนึ่งพวกเธอมองไม่เห็นขึ้นมาพวกเธอจะเป็นอย่างไร ไม่มีเราคนไหนตอบได้ครับ แล้วอาจารย์ก็บอกว่า ครูก็เคยอยากรู้ ครูเลยเอาผ้าผูกตาแล้วใช้ชีวิตโดยไม่ใช้การมองเห็นเลย 3 เดือน ครูอยู่ได้ ครูยังมีความสุขได้ ตอนนั้นผมไม่ได้ถามหรอกครับว่าอาจารย์จะมีความสุขได้อย่างไร แต่ตอนนี้ผมรับรู้ความสุขนั้นได้ครับ ผมทิ้งคอนแทกเลนส์รู้ว่าแม้มองไม่เห็นแต่ก็ยังมีใครสักคนที่อยู่ข้างๆ ไม่ทิ้งกัน แม้จะมองไม่เห็นแต่มีมือคู่นี้ที่คอยจูงกัน ในโลกของความมืดนี้ยังมีใครสักคนที่กอดเราไว้
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: hotoil ที่ 19-10-2013 09:44:47
พี่วิได้รับฉายาอันน่ากลัว?...รึป่าว
พี่วิจะเลือกใครนะ เราว่าตูนหวังฟันแล้วทิ้ง
ส่วนท๊อปรักจริงหวังแต่ง? คอร์ทนายหายไปไหน?
โย๊ปบุคคลนี้ยังเป็นที่น่าสงสัยต่อไป...
รออ่านตอนต่อไปค่ะ ...^ ^
.............................................................
กลับมาเม้นอีกรอบค่ะ ลืมอ่านหน้าสอง แหะๆ= =;;
พี่วิยังรัก หรือ ชอบคอร์ทอยู่ซินะ
แล้วเวลาอยู่กับท๊อปก็รู้สึกดี ถ้าเป็นแบบนี้
หนูขอ 3P หรือ ..P<<(ยังไม่รู้ว่าพี่วิจะชอบอีกไหม) ได้ไหม? ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 19-10-2013 15:14:38
15(2) But Only Love Can Say (เรื่องของเวลา และอายุ)

     เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นเพราะไอ้ท็อบปลุก มันแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยอีกแล้ว ทิ้งให้ผมนอนแก้ผ้าอยู่คนเดียวตลอดเลย
“ใส่เสื้อผ้าไวจังนะครับ” ผมแซว
“เวลาถอดก็ไวครับ” มันเล่นด้วย ฮ่าๆๆ
“วิว่ายน้ำเป็นป่ะ....” ท็อบถามผมหลังที่ผมออกมาจากห้องน้ำครับ
“เป็นดิ มัยอ่ะ”
“เย็นนี้ไปว่ายน้ำเล่นที่สระสาธิตกันป่าว”
“แล้วไม่ซ้อมบาสเหรอ” ผมย้อนถาม
“ผมไม่ได้เป็นนักกีฬาตัวจริง ไม่ได้ซ้อมหนักขนาดนั้นหรอก”
“โอเค....รีบไปเหอะเดี๋ยวท็อบสาย” แล้วมันก็มาส่งผมที่หน้าหอเหมือนเดิมครับ

        วันนี้ตอนเที่ยงผมกินข้าวกับเพื่อนครับที่โรงอาหารคณะ และไม่พ้นที่พวกเธอจะต้องมาวิจารณ์ข่าวสัมพันธ์สวาทของผมให้ฟังอีก
“ได้ข่าวว่าคบเด็กสาธิตนะมึง ระวังตัวเหอะ” ไอ้จิตรแซว แซวแรงตลอด และก็รู้ทุกเรื่องฉาวของผมตลอด
“เออ....กูไม่กลัว กูเป็นอมตะ” ผมไม่ยอมครับ
“นอกจากข้าวผัดกับโอเลี้ยงแล้ว อยากได้อะไรเพิ่มมั้ย” ไอ้บีเพื่อนอีกคนช่วยกันซ้ำเติมผม
“จันทร์ช่วยเราด้วยสิ เราโดนรุม” ผมหันไปหาเพื่อนอีกคนที่คบแฟนอ่อนกว่าครับ
“เสียใจจร๊ะ แฟนฉันมันเลย 20 ละ” ทิ้งเพื่อนตลอด ตอนนี้เพื่อนๆ ชอบหาว่าผมกินเด็กอ่ะครับ แต่ก็จริงของพวกมันนะแต่ละคนนี่อายุน้อยกว่าทั้งนั้นเลย อีกอย่างไม่ชอบคนแก่กว่าด้วย ฮ่าๆๆๆ
        ประเด็นที่เป็นปัญหาเรื่องอายุของเราจริงๆ มันเกิดตอนที่ผมไปเจอท็อบตอน 4 โมงเย็นที่สระน้ำโรงเรียนสาธิตครับ ผมจ่ายเงินค่าสมาชิกประมาณ 50 บาทมั้ง (จำไม่ได้) ได้รับส่วนลดเพราะเป็นนักศึกษามหาลัย เปลี่ยนชุดเป็นกางเกงว่ายน้ำ อายพุงมากครับเพราะเวลากินข้าวเยอะๆ แล้วมันดูบวมออกมานิดหนึ่ง สระว่ายน้ำโรงเรียนสาธิตตอนนี้มีคนประปรายครับ เป็นเด็กผู้ชายกับผู้ผญิงที่ว่ายน้ำอยู่กับครูฝึก ซึ่งก็คือเด็กวิทย์กีฬาฯ ของมหาลัยผม
“ผิววิตอนอยู่กลางแดดแล้วใสมากเลยนะ เหมือนน้ำผึ้งอ่ะ หลังเนียนสุด” ท็อบบอก
“เพิ่งสังเกตเหรอครับว่าหลังเนียนน่ะ” ผมเลยประชดมัน ว่าแล้วผมก็ยืดกล้ามเนื้อ
“ยืดกล้ามเนื้อก่อนว่ายน้ำด้วย....เป็นนักกีฬาป่ะเนี่ย เมียผม” มันแซว
“....หึหึ ให้ทาย” แล้วผมก็กระโดดน้ำ แป๊บเดียวท็อบก็กระโดดตามมาด้วย ว่ายเล่นกันสักพักสันดานผู้ชายก็กำเริบครับ โรคชอบแข่งขัน
“วิ ว่ายน้ำแข่งกันมั้ย ไปกลับ”
“เอาดิ” ผมรับคำท้า ไม่เคยกลัวอ่ะ
“ถ้าผมชนะ วิให้ไร” มันถามอีก
“ให้จนหมดตูดละ จะเอาอะไรอีกละครับ”
“วิต้องบอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกัน” มันเล่นแรงแล้วครับ ผมเริ่มใจสั่นไม่อยากจะแข่งแล้ว แต่สายไปละครับ แข่งว่ายน้ำไปกลับเรื่องง่ายๆ สำหรับผม แต่วันนี้ผมใส่ท่าฟรีสไตล์เต็มที่เพราะไม่อยากแพ้ แต่แขนขาผมสั้นกว่าท็อบมันครับ ในที่สุดมันก็แตะขอบสระก่อนผมนิดเดียว ผมละอยากจะจมน้ำตายมันตอนนั้นเลย
ผมว่ายน้ำเล่นต่ออีกไม่นานก็ขึ้นจากสระครับ 5 โมงเศษแล้ว เราแต่งตัวกันแล้วก็ออกมานั่งกินขนมพัพแอนด์พายหน้าโรงเรียนสาธิต ผมเลี้ยงแอบเปิ้ลพายมันครับ เพราะผมชอบกิน
“ท็อบ......” เสียงเด็กผู้หญิงดังมา เด็กผู้หญิงกระโปรงสีน้ำเงินกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหามันครับ ผมเลยแกล้งกินไปเฉยๆ ทำท่าไม่รู้จักไอ้ท็อบครับ
“ทำไรแก ไม่ซ้อมบาส” น้องคนหนึ่งถาม
“เพิ่งไปว่ายน้ำเล่นกับแฟนมา” เอาละกู อย่านะไอ้ท็อบ พลีสสส
“จริงอ่ะ ที่บอกว่าเรียนอักษรฯ น่ะเหรอ”
“อืม....”
“พามาโชว์ตัวมั่งสิ อยากรู้จัก” กรรมของกู
“นี่ไง อยากรู้จักอะไรพี่เขาล่ะ” มันบอกน้องผู้หญิงแล้วก็พยักเพยิดหน้ามาทางผม
“อ้าว.....จริงอ่ะ” น้องมันดูอึ้งมากครับ เพื่อนๆ มันด้วย ฉาวแล้วกู ผมคิด
“พี่เป็นแฟนท็อบจริงป่าวคะ” โถ่  น้องจ๋า
“วิอย่าลืมสัญญานะ” ท็อบมันกระซิบให้ผมได้ยิน
“เอ่อ........ครับ............เป็นแค่วันนี้แหละ” ประโยคหลังผมพึมพำ
“ตอนแรกหนูนึกว่าท็อบมันชอบผู้หญิงซะอีก” น้องพูดทำหน้าเสียดาย
“อืมครับ...พี่ก็ไม่นึกว่ามันจะชอบกินถั่วดำ” ผมได้ทีเลยเอามั่งครับ ทุกคนหัวเราะลั่นเลย ไอ้ท็อบหน้า เหวอเลย สมเสือกหาเรื่องเอง
“555.....แล้วพี่เรียนปีอะไร แล้วคะ” น้องถามต่อ
“......ปี 4 ครับ” ผมตอบ
“โห.......หนูคิดว่าปี  1 ปี 2 ซะอีก” สรุปกูแก่
“เราชอบของสูง........อายุน่ะ” ไอ้ท็อบได้ที่ล้อผมกลับ ไอ้สัตxx
“เทอมหน้าพี่ก็เรียนจบแล้วสิคะทีนี้” น้องถามต่อ
“อืม...ใช่”
“ถ้าพี่ไปแล้วคราวนี้ ท็อบมันเหงาตายแน่เลยค่ะ” แม้จะรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา แต่พอได้ยินจากปากคนอื่นแล้วมันใจหายครับ ถึงเราจะเป็นแฟนกัน ถึงจะรักกัน ไม่ช้าไม่เร็วผมต้องเดินจากท็อบมันไปสักวัน ผมเริ่มปวดหัวครับ ผมเป็นอนาคตสำหรับมันจริงหรือเปล่าก็ยังถามตัวเองอยู่
“พวกน้องกำลังจะกลับบ้านเหรอ” ผมเห็นพวกน้องอีกหลายคนยืนรอ จริงๆ ต้องการจะไล่น้องๆ เขาทางอ้อมด้วย
“ค่ะ”
“รีบกลับเถอะ เดี๋ยวมืดนะ”
“ค่ะ....เอ่อ หนูชื่อมีนนะคะ พี่น่ารักมากค่ะ ดูเป็นคนตลกดี ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“พี่ชื่อวินะ” ผมบอก
“อย่ามาแบ๊วใส่แฟนเรานะ” ไอ้ท็อบร้องไล่น้องมีนอีกคน
“ไปท็อบกลับกันเถอะครับ พี่ไปส่งขึ้นรถ” แล้วเราก็จูงมือกันเดินไปที่ถนนสนามจันทร์ ไม่กลัวว่าใครจะมาเห็นเลยครับ
     
        การที่ผมได้คุยกับเพื่อนของท็อบในวันนี้ ทำให้ผมนึกถึงการเรียนวรรณคดีของผมครับ เพราะมันสอนให้ผมรู้ถึงความแตกต่างระหว่างระหว่างความรักที่คนๆ หนึ่งจะมีให้เพื่อนหรือแฟน ที่จริงก็คือมันไม่มีความแตกต่างกันหรอกครับความรักระหว่างเพื่อนกับแฟน มันแตกต่างกันแค่ว่าเมื่อเวลาสิ้นสุดวันมาถึงเพื่อนต้องบอกลาแล้วแยกย้ายกันไป ส่วนแฟนหรือคนรักจะเป็นคนที่อยู่กับเราต่อจนถึงวันใหม่ ดังนั้นแฟนจึงมีความหมายของการอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เพื่อคอยดูแลกันในเวลาที่อีกคนอ่อนแอ ไม่สบาย และผมเองที่ปราศจากคุณสมบัติข้อนั้นอย่างสิ้นเชิง ผมจะเป็นแฟนที่ดีให้ท็อบมันได้อย่างไร ผมส่งมันขึ้นรถสองแถวแล้วเดินกลับหอคนเดียวเงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ คงจะช่วยไม่ให้ผมต้องอายน้ำตาตัวเอง
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 19-10-2013 15:30:46
15(3) But Only Love Can Say (จะลองเริ่มใหม่อีกครั้ง หรือจะเดินหนีไป)  

      อาจารย์ภัครสอนผมและเพื่อนเสมอว่า จงพยามยามรักษาศักดิ์ศรีและค่าของตัวเองเอาไว้ให้ดี อย่าเอามันไปแลกกับสิ่งต่างๆ หรือแลกกับใครโดยไม่คิดให้ดี ไม่อย่างนั้นเราจะเสียใจภายหลัง และจะไม่มีความสุขกับตัวเอง เพราะเราสูญเสียคุณค่าในการมีชีวิตอยู่ไป มันเป็นเรื่องจริงครับ ผมนึกย้อนไปถึงวันที่รูมเมทผมมันลวนลามผม แต่ผมกลับโง่ที่คิดว่ามันมีใจให้ สุดท้ายเมื่อมันจะไปผมถึงกับร้องไห้ กอดขามันให้อยู่ ทิ้งศักดิ์ศรีที่มีไปหมด และผลคือทุกวันนี้ผมสูญเสียศรัทธาที่มีต่อตัวเองไปครับ

     วันนี้ก็เช่นกัน ผมไม่ได้พยายามหลอกตัวเองว่าวันนี้จะไม่มาถึง แต่ผมจินตนาการถึงวันนี้ไว้หลายแบบครับ พูดให้ถูกก็คือ จินตนาการการเผชิญหน้ากับคอร์ทไว้หลายๆ แบบครับ เพราะครั้งที่แล้วเราจบไม่ค่อยสวยเท่าไร คงจะมีผมและพี่ด้ายเท่านั้นที่รู้ว่าคอร์ทมันเกลียดผมเพราะมันเริ่มรู้ความจริงว่าผมแอบรักมัน  และโดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดมันผมคงโทษคอร์ทมันไม่ได้หรอกครับถ้ามันจะเกลียดผมมากยิ่งขึ้นไปอีก คำถามก็คือแล้วผมจะต้องไปเจอหน้ามันทำไมอีกในเมื่อมันทำกับผมให้เสียใจถึงขนาดนั้น
“วันนี้เราจะไปดูประกวดดนตรีของคณะเภสัชฯ นะ มีใครจะไปดูเป็นเพื่อนเรารึเปล่า” ผมถามเพื่อนในกลุ่มตอนสายๆ ในขณะที่กำลังทำโครงร่างการวิจัยอยู่ เพราะพวกไอ้ทรีบอยคอทไอ้คอร์ทครับ ผมเลยต้องมาชวนคนอื่นไป
“จะไปดูผู้ชายล่ะสิ” ไอ้บีด่า
“เออ” ผมยอมรับครับ  และผมขอบคุณเพื่อนผมมาก ชีวิตนี้ผมมีเพื่อนที่ดีจริงๆ แนนนี่ครับ เมื่อก่อนเราสองคนไว้ผมทรงเดียวกัน ทรงหยิกเซอร์ครับตามแบบฉบับเด็กมหาลัยผม จนคนเรียกว่าอัสลัน (สิงโตจากเรื่องนาร์เนีย) แนนนี่อาสาจะไปงานประกวดดนตรีของคอร์ทเป็นเพื่อนผม

     ตกเย็นไอ้ทรีแทบจะไม่ยอมให้ผมมาด้วยซ้ำ นี่ผมก็โกหกมันว่ามาทำวิจัยกับเพื่อน อีกอย่างวันนี้ผมไม่มันใจเลยทั้งวัน ตอนกลางวันผมต้องไปเซ็ทผมร้านพี่ภาพ ไม่แบกหนังสือมาเรียนให้ตัวเองดูไม่รุ่มร่าม แล้วเวลาก็มาถึงครับทุ่มครึ่งผมกับแนนนี่สองคนก็เดินกันไปที่ตึกดาวของคณะเภสัชฯ งานประกวดนี้จัดในห้องประชุม ผมรู้สึกว่าหัวใจตัวเองต้นแรงมากครับ เหมือนมันจะกระเด็นออกมาจากปาก และผมก็เริ่มเวียนหัวอยากอ้วกมากครับ แต่ผมก็กลั้นเอาไว้ แกล้งทำสีหน้าเป็นปกติครับ ผมเดินขึ้นไปบนห้องประชุมวันนี้ใส่เสื้อเชริ์ตขาวเหลือบเกล็ดงูตัวเก่ง กับเดฟน้ำเงินเฉดดำ อยากให้ตัวเองดูดีต่อหน้าคอร์ทด้วย แถมแนนนี่ยังมีพร็อบเพิ่มให้ด้วยตั่งหูหินแม่เหล็กทรงกลม เอามาติดหูข้างซ้ายให้ผม เพราะผมไม่ได้เจาะหู เพื่อนบอกว่าดูดีมาก เชื่อเพื่อนครับ ฮ่าๆๆ

   คอร์ทขึ้นมาเล่นเป็นคิวที่แปดครับ ใสชุดนักศึกษาผูกไทสีเขียวเวอริเดียน ดูเหมือนจะมาเรียนมากกว่ามาเล่นกีต้าร์ แต่คงเป็นเพราะมีอาจารย์เป็นกรรมการ ก่อนจะเล่นมันก็สังเกตเห็นผมครับ เพราะเรานั่งใกล้เวที คอร์ทเมื่อเห็นผมก็จ้องผมนานมากครับ จนผมรู้สึกอึดอัด ไม่น่ามาเลย

“อะไร ๆ เดิม ๆ ที่มีอยู่    อะไร ๆ เดิม ๆ ที่คุ้นตา
อะไร ๆ ที่เราเคยเสาะหา    อะไร ๆ ที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนไป
อะไร ๆ เดิม ๆ ที่เคยมี    อะไร ๆ เดิม ๆ ที่เข้าใจ
อะไร ๆ เดิม ๆ จากไปไหน    อะไร ที่ทำให้เราไม่รักกัน

 อย่าบอกฉันว่ามันหายไป   อย่าบอกว่าใจ เปลี่ยนไปไม่รักกัน
ไม่อยากรู้เรื่องเธอและฉันที่เคยมีกัน   วันนั้นแค่ฝันไป......”


มันเล่นค่อนข้างเพี้ยนครับ สงสัยเห็นผมแล้วมือสั่นอยากเอากีตาร์ลุกขึ้นมาฟาดหัว พอมันเล่นเสร็จลงจากเวทีไปก็สามทุ่มเศษๆ แล้วครับ ผมเลยเดินออกไปส่งแนนนี่ แล้วขณะที่ผมกำลังอยู่ที่เซเว่นก็มีเมสเสจเข้ามาว่า อีกสิบนาทีเดินขึ้นมาหาที่ชั้นบน ส่งมาจากคอร์ทครับ ผมถอนใจแล้วเดินกลับเข้าไปที่ตึกดาว

อีกสิบนาทีผมก็เดินขึ้นบันได้จากชั้นห้องประชุมไปอีกชั้น ตอนนี้ค่อนข้างเงียบครับ โดยเฉพาะชั้นบนนี่ คงเพราะงานใกล้จะเลิกแล้ว
“ไง ยังกล้ามาด้วยเหรอ” เสียงนี้แหละครับที่คุ้นเคย แต่มันฟังแล้วชวนให้หงุดหงิดพิกล
“ก็รู้นิสัยพี่ไม่ใช่เหรอ สัญญาแล้วก็ต้องมาสิ.....” ผมไม่เคยผิดคำพูดครับ หันไปมองหน้ามัน มันถอด เนคไทแล้วครับ เอาชายเสื้อออกนอกกางเกงด้วย เปิดกระดมเม็ดบนตามสากลนิยม
“............เปลี่ยนไปนะ” เราสองคนพูดคำนี้แทบจะพร้อมกัน
“หึหึ....ตัดผม ทรงนี้แต่งตัวแบบนี้แล้วดูดีขึ้นเยอะเลยนะ แต่งตัวแบบเดิมมันหากินไม่ได้แล้วรึไง” มันทำเสียงล้อเดินเข้ามาใกล้แล้วครับ
“..............................” ผมอยากอ้วกครับ ใจเต้นแรง มือสั่น โมโหมันด้วย
“วันนี้เล่นกีตาร์เสียงเพี้ยนนิ ตื่นเวทีเหรอ หรือเพราะเห็นหน้าพี่” ผมพยายามพูดอะไรออกมาบ้าง มันดูหงุดหงิดเลยครับ
“.............................................”
“งั้นพี่กลับก่อนละกัน” อาการเวียนหัวแรงขึ้น เมื่อเผชิญหน้ากับคอร์ทนานๆ
“รีบจนไม่มีเวลาให้ผมแล้วเหรอ” มันทำเสียงประชดมาก
“............................................”
รู้ตัวอีกทีผมก็กำลังวิ่งครับ แต่ไม่ได้วิ่งลง ผมวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วอ้วกครับ แน่นอนว่าไม่มีอะไรออกมา เพราะตั้งแต่เตรียมตัวจะมาเจอคอร์ทผมประหม่าจนกินอะไรไม่ลงครับ เมื่อออกมามันรออยู่ที่อ่างล้างมือครับ มันพลักผมเข้าห้องน้ำ ปลดกระดุมเสื้อออก ปลดเข็มขัดแล้วดึงกางเกงลงมา ผมมึนมากครับตอนนี้ เหมือนสมองไม่ทำงานเลย
“ทำสิ ที่มาหาผมนี่ก็เพราะยังอยากทำไม่ใช่เหรอ” แล้วผมก็ใช้ปากโม๊คให้มันครับ ผมทำสักพักมันส่ายเอวกระแทกแรงขึ้นจนผมสำลัก ผมพยายามบอกตัวเองในใจเป็นสิบเป็นร้อยครั้งว่า นี่ไม่ใช่เหรอสิ่งที่เราต้องการ...นี่ไม่ใช่เหรอสิ่งที่เราต้องการ...นี่ไม่ใช่เหรอสิ่งที่เราต้องการ แต่บางอย่างทำให้ผมรู้สึกว่ามันเหมือนจะไม่ใช่ครับ เพราะบางอย่างที่สำคัญที่สุดมันขาดหายไป
 “โอ๊ยยยย.....คอร์ทพอเถอะ” ผมสะอื้นครับ เมื่อคายของมันออกมา
“เจ็บเหรอ หึหึ” มันขำ
 “ให้ช่วยป่ะ” มันกระซิบถาม
“....................” แล้วผมก็พยักหน้าครับ มันช่วยผมด้วยการดูดคอผมแรงๆ บีบนมผมแรงๆ ซึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็นการช่วยผมตรงไหนเลย ไม่นานมันก็กดหัวผมลงไปที่ส่วนนั้นของมันต่อ ผมคงต้องทำให้มันจนเสร็จมั้งถึงจะออกไปจากตึกนี้ได้ ด้านล่างของมันคอร์ทมีขนตรงนั้นเยอะมาก และที่ผมคิดว่าเซ็กซี่ที่สุดคือขนของมันไร่เรียงกันขึ้นไปจนถึงสะดือ สวยมากครับเหมือนพีระมิดเลย ผมทนให้มันกระแทกปากผมต่อไปแรงมาก จนรู้สึกเจ็บที่ริมฝีปาก
 “อ่า........” คอร์ทครางออกมาครับ แล้วมันก็ปล่อยน้ำเชื้อเข้ามาในปากผมโดยไม่เอาของมันออก ผมไม่มีทางเลือกครับนอกจากจะต้องกลืนมันลงไป พอผมกลืนจนหมดมันก็เอาของมันออกไป แล้วจู่ๆ มันจับผมดึงหน้ามาจูบปากครับ จูบนั้นหวานมากสิ่งที่หายไปชั่ววูบหนึ่งปรากฏอยู่ในจูบนี้ ความอ่อนโยนที่หายไป
“รีบแต่งตัว เดี๋ยวตึกปิด หิวแล้วด้วย”

     บนโต๊ะเหล็กพับสีน้ำเงินที่ตั้งอยู่บนฟุตบาทของร้านผัดไท ผมกับคอร์ทหันหน้าเข้าหากัน จานผัดไทสองจานวางอยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคน ผมเกร็งมาก เราต่างก็เกร็งเพราะไม่รู้ว่าจานผัดไทจะพุ่งใส่หน้าของอีกฝ่ายเมื่อไร
“ทีนี้รู้แล้วสินะว่าเกลียดเป็นยังไง” ไอ้คอร์ทพูดออกมาลอยๆ แต่คนที่จะฟังมันก็มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น
“เกลียดพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมพูดแล้วน้ำตาไหลครับ เวียนหัวมาก แล้วโทรศัพท์ผมก็ดังครับ
“จะห้าทุ่มแล้วพี่ ทำอะไรอยู่กลับรึยัง” ไอ้ทรี ซึ่งตอนนี้กลายร่างเป็นพี่ผมโทรมาตาม
“.................อืม” ผมไม่รู้จะตอบอะไรมันครับ
“.......ไปหาไอ้คอร์ทมาใช่มั้ย บอกแล้วไงว่าอย่าไป อยู่ไหนผมไปรับ” มันซักผมเหมือนแอบติดเครื่องบอกพิกัดไว้
“อืมม............ไม่ต้องมาหรอก พี่นอนหอเพื่อนได้” ผมตอบ เห็นไอ้คอร์ทมองนาฬิกาเหมือนกัน
“เฮ้ยพี่ไม่ขำนะ อยู่ไหน” ผมวางสายโทรศัพท์เลยครับ ไอ้ทรีโทรเข้ามาอีกแต่ผมปิดเครื่อง  แล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
“จะนอนไหนล่ะ” ไอ้คอร์ทถามบ้าง
“หน้าภาค” ผมตอบเริ่มโมโห ไม่ได้คิดจะไปนอนที่ห้องมันอยู่แล้ว สภาพนี้ไปนอนห้องไอ้ท็อบก็ไม่ได้
“ลานพิกุลน่ะนะ”
“อือ.............”  ทำไมจะไม่กล้านอนล่ะครับ ต่อให้ลือกันว่าผีดุแต่ภาคผมเดินเข้าออกจนชินแล้วครับ นอนแม่งมันที่นั่นแหละ เซ็ง
แล้วผมก็เดินไปจ่ายตังแม่ค้าครับ ไม่กินแม่งมันแล้วผัดไท กูบอกเป็นร้อยครั้งว่าร้านนี้แม่งไม่อร่อยก็ยังจะมา แล้วที่สำคัญพามาเพื่ออะไร
“.................................”
“ไปนอนห้องผม” ไอ้คอร์ทบอก มันคงพูดแบบเสียไม่ได้
“ไม่” ผมเดินกลับมหาลัยแล้วครับ แอบไกลอยู่
“อย่าทำเป็นเรื่องมากได้มั้ยวะ” มันขึ้นเสียงครับ แล้วผมก็แพ้มัน ทำไมไม่รู้ ทั้งที่อยากจะปล่อยหมัดขวาตรงเข้าที่ชายโครงมันสักครั้ง  ผมซ้อนท้ายเวสป้ามันไป แบกกีตาร์ไว้ให้มัน หอมันอยู่เลยเต๊นท์เขียวหน้ามหาลัยเข้ามาครับ ผมเคยมาบ่อยเพราะมาช่วยติวรุ่นน้อง

ห้องมันอยู่ชั้น 7 ครับ เราต้องขึ้นลิฟต์กันมา ในห้องมีตู้เย็น ทีวี คอมพ์ ผิดกับหอผมครับไม่อนุญาตให้นักศึกษาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพราะค่าไฟฟรี
“ไปอาบน้ำไป” มันไล่
“ไม่....ไม่มีชุดเปลี่ยน” ผมเถียง
“อย่าให้อารมณ์เสีย...ไป” พูดยังกับมันจะทำอะไรผมได้
“ไม่อาบก็นอนพื้น” ผมเลยไปอาบน้ำครับ อาบไปก็ต้องปิดตาไป ไม่ให้น้ำเข้าคอนแท็กเลนส์ ไม่นานไอ้คอร์ทก็เปิดประตูห้องน้ำเข้ามา
“เฮ๊ย....” ผมตกใจครับ ผมโป๊ด้วย มันเลยโยนผ้าขนหนูมาให้ แล้วก็ปิดประตูครับ ผมรีบเช็ดตัวแล้วเดินออกไปมันให้ผมใส่บ็อกเซอร์ของมัน แล้วมันก็ไปอาบน้ำบ้าง

ระหว่างที่มันอาบน้ำ ผมนั่งบนโต๊ะครับไม่อยากสัมผัสเตียงมัน สักพักคอร์ทก็ออกมาใส่เสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์ ทีกูไม่มีเสื้อให้ใส่ ส่วนเสื้อเชริ์ตผมก็เปื้อนครับเพราะใส่มาทั้งวันแล้ว พอมันออกมาบรรยกาศในห้องก็กระอักกระอ่วนอีก
“ไม่ง่วงเหรอ” มันถามเสียงแข็งๆ
“เฉยๆ จะนอนแล้วเหรอ” ผมเลยถามมันกลับ มันเดินตรงเข้ามาหาผมครับ จะมาต่อยกูเหรอ แล้วมันก็หยุดตรงหน้าผมแล้วเอื้อมไปหยิบแผ่นกระดาษมากมายที่วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะครับ หยิบไปวางบนเตียง
“ถ้ายังไม่ง่วงก็มานี่” แล้วมันก็แกะเอากีตาร์ออกมาจากถุง ผมเห็นแล้วครับว่ากระดาษพวกนั้นเป็นคอร์ดกีตาร์ที่มันแกะเอง
“อ่ะ เพลงนี้นะ ร้องเป็นมั้ย” มันถามยื่นกระดาษมาให้ผมแผ่นหนึ่ง เพลง Only Love ของ Trademark เพลงเก่าแล้วครับ (ลองหาฟังใน youtube แล้วกันครับ) แล้วเราก็เริ่มร้อง

“......2 am and the rain is falling  Here we are at the crossroads once again
You're telling me you're so confused  You can't make up your mind
Is this meant to be  You're asking me…………

But only love can say  Try again or walk away
But I believe for you and me  The sun will shine one day

So I just play my part  Pray you'll have a change of heart
But I can't make you see it through  That's something only love can do

In your arms as the dawn is breaking  Face to face and a thousand miles apart
I've tried my best to make you see  There's hope beyond the pain
If we give enough  If we learn to trust

But only love can say  Try again or walk away
But I believe for you and me  The sun will shine one day

So I just play my part  Pray you'll have a change of heart
But I can't make you see it through  That's something only love can do

I know if I could find the words To touch you deep inside
You'll give my dreams just one more chance To let this be our last goodbye…..”


เนื้อเพลงนี้เล่าถึงคนรักสองคนที่กำลังอยู่บนทางแยกของชีวิตครับ แล้วเขาสองคนต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเดินต่อไปทางไหน ทางที่ต่างคนต่างเดิน หรือทางที่คนสองคนจะเดินด้วยกันเหมือนเดิม แม้ว่าสุดท้ายเขาจะอยากหาคำพูดที่กินใจกัน เพื่อขอโอกาสครั้งที่สอง แต่ก็มีเพียงแค่รักที่จะให้คำตอบได้ครับ
มีเพียงแค่รักเท่านั่นจะบอกเราได้ได้  จะเริ่มใหม่หรือเดินจากไป
แต่ฉันเชื่อว่าแสงตะวันจะส่องลงมาอีกครั้ง  ให้เราสองคนเมื่อวันนั้นมาถึง

ร้องเพลงกันได้สักพักผมก็คุ้ยๆ คอร์ดเพลงไปเรื่อยๆ จนสะดุดตาเข้ากับกระดาษแผ่นหนึ่ง มันเขียนคอร์ดเพลง อีกนานไหม แผ่นเดียวกับที่ผมเห็นในวันสุดท้ายที่เรารู้สึกดีๆ ต่อกัน ผมหยิบมันขึ้นมาดูครับ
“คอร์ท...กระดาษแผ่นนี้พี่ขอนะ” ผมบอกมัน ไม่ปล่อยกระดาษจากมือ
“อือ........” คอร์ทตอบเมื่อหันมาดู เหมือนมันไม่ค่อยสนใจกระดาษแผ่นนี้เท่าไร แต่กระดาษแผ่นนั้นผมยังเก็บไว้อยู่กับตัวมาจนทุกวันนี้
“พรุ่งนี้เรียนกี่โมง” ผมถามมันครับ
“9.30”
“งั้นคอร์ทนอนได้แล้วมั้ง นี่ก็ตี 1 แล้ว” ผมบอกมัน
“อืมๆ...” มันเก็บกีตาร์กับกระดาษ
“จะให้พี่นอนไหน”
“นอนกับผมได้มั้ยล่ะ” มันย้อนคำถามของผมในคืนนั้นที่มันไปนอนบนเตียงผม
ผมล้มตัวนอนลงริมเตียงครับแล้วดึงผ้าห่มด้านที่มันแบ่งให้มาปิดหน้าอก คอร์ทเอื้อมมือไปปิดไฟหัวเตียง แล้วล้มตัวนอนผมได้ยินเสียงคอร์ทถอนใจยาว
“........................”
“ผมถามจริงนะ...ทำไมพี่มาชอบผม....ตั้งแต่แรกพี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเรียนคณะเภสัช ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นลีด” มันถามผมในความมืดครับ เสียงมันอ่อนลงแล้ว
“.....หึหึ ไม่รู้สิ แค่รู้ว่าชอบ” มีหลายเหตุผลครับที่จะบอกว่าทำไมผมถึงแอบรักมัน แต่อ้างอิงตามหนังสือ ทิ้วเดยส์ วิท มอรรี่ (Tuesdays with Morrie) ที่อาจารย์ภัครเคยให้ผมอ่าน บอกว่า Love is only rational act….รักเป็นการกระทำเดียวเท่านั้นที่เป็นเหตุเป็นผล หรือรักมันมีเหตุผลในตัวมันเอง
“แล้วคอร์ทล่ะ...เกลียดพี่มั้ย” ผมถาม
“....................................”
“ผมแค่.........โกรธ” มันบอก  เหมือนพยายามจะอธิบายแต่ไม่รู้จะพูดยังไง ผมยิ้มครับ
“....พี่ขอโทษนะ” แล้วผมก็บอกเรื่องราวที่ค้างอยู่ในใจผมตลอดเวลาไป
“ทั้งๆ ที่คอร์ทเป็นคนที่พี่สนใจที่สุดแต่พี่ไม่เคยสงสัยเลย พี่ไม่เคยคิดว่าคอร์ทจะเรียนเภสัชฯ ตอนเจอกันครั้งแรก....พี่ไม่คิดเลยว่าคอร์ทจะไปซ้อมลีด เวลาที่หายไปตอนกลางคืน...พี่ไม่คิดว่าคอร์ทจะเล่นกีตาร์ ทั้งๆ ที่ไปร้องเพลงกับเพื่อนมา....และพี่ไม่เคยถามถึงคอร์ทเลยเวลาที่คอร์ทไม่สบาย”
“..................................”
“ทำไมพี่ไม่เคยกอดผม เราเคยนอนเตียงเดียวกันตั้งหลายครั้ง”
“พี่ไม่อยากทำ พี่กลัวคอร์ทไม่ได้ชอบพี่...” ผมตอบ
“....หึหึ ผมเลยเสร็จไอ้เหี้xxด้อมก่อนเลย” มันประชดชีวิต
“....................................”
“พี่กอดผมได้มั้ย ผมไม่...เหมือนเดิม แล้วรังเกียจผมมั้ย”
“....รังเกียจพี่มั้ยถ้าพี่จะบอกว่า พี่เคยโดนแบบเดียวกับคอร์ททุกอย่าง” แล้วผมก็หันไปกอดมันครับ เกร็งๆ นะครั้งแรกที่ได้กอดมัน คอร์ทตัวร้อนจัง แล้วผมก็ทำสิ่งที่คุ้นเคยคือ เอาจมูกไปหอมที่ไรผมตรงหน้าผากมันครับ มันก็เฉยๆ สงสัยอึ้ง
“นั่นใช่มั้ยที่ทำให้พี่เป็นข่าวลือจนไม่มีใครคบ” มันถาม
“อืม.....” ผมดมกลิ่นจากไรผมมันเพื่อบรรเทาความเครียด

“เฮ้ย พี่มีอารมณ์ป่าวเนี่ย” สงสัยของผมคงไปโดนขามันมั้งครับ ก็กางเกงในไม่มีใส่นิ
“ก็นิดหนึ่ง กอดคนที่ตัวเองชอบไม่ให้มีอารมณ์ได้ไง” ผมตอบ แต่ต่อให้มีมากก็เท่านั้นละครับ ไปทำอะไรคอร์ทมันได้
“มีอารมณ์ก็ไปชักว่าวไป” ไล่กูไปทำเรื่องบัดสีอีกไอ้นี่
“ไม่เอาอาย.....เดี๋ยวก็หลับแล้ว” ผมเขยิบออกห่างจากมันครับ แต่แขนข้างซ้ายยังพาดตัวมันไว้อยู่
“อายทำไม ผมเคยเห็นพี่ชักว่าวด้วย 555” มันบอกล้อผม
“เฮ้ย.....เห็นตอนไหน” ผมสะดุ้งเลย
“วันนั้นผมไปหาพวกไอ้ทรี เลยเปิดประตูเข้าห้องพี่ พี่ไม่ล็อกเองนะ ใส่หูฟัง ดูหนังโป๊ แก้ผ้าชักว่าว” มันบอกรายละเอียดครบเลย
“......ไม่จริง” ขอกลั้นใจตาย แล้วเราก็คุยอะไรกันอีกไม่นานหรอกครับ แล้วก็หลับไป แต่คืนนี้ผมกอดคอร์ทนอนครับ คนที่ผมคิดว่ารักมากที่สุดคนหนึ่ง ผมไม่เว้นที่ว่างเหมือนที่เคยผ่านมาแล้ว

     ชีวิตของคนเป็นชุดของความสัมพันธ์ระหว่างแรงดึงสองด้านครับ เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า tension of opposite ครับ เพราะเราทุกคนถูกดึงอยู่ระหว่างสิ่งที่เราอยากทำ กับ สิ่งที่เราต้องทำ (what we want against what we have to) คำถามก็คือแล้วระหว่างสิ่งที่เราอยากทำกับสิ่งที่เราต้องทำฝ่ายไหนจะชนะ ในหนังสือ ทิ้วเดยส์ วิท มอรี่ บอกไว้ครับว่า Love wins, love always win…..คือความรักอยู่ข้างไหนข้างนั้นก็จะชนะเสมอครับ เพราะรักชนะเสมอ ระหว่างการอยู่ที่นี่กับคอร์ทในตอนนี้ทั้งๆ ที่ผ่านมามันทำให้ผมตกต่ำลงไปแค่ไหน แต่ผมก็ยังมาอยู่ที่นี่กับมันครับ เพราะมันมีความรักของผม และมันชนะเสมอ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 19-10-2013 15:44:57
ในตอนที่ 15(3) อยากลงรูปประกอบเพื่อเพิ่มอรรถรสนะครับ แต่จนปัญญา ลอง attached file แต่ไม่สำเร็จครับ ผู้อ่านท่านใดรู้วิธีกรุณาช่วยสงเคราะห์ด้วยครับ 555

"วิ"
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 19-10-2013 17:29:50
ลงเยอะมาก อ่านจุใจ แต่ขอเวลาอ่านนิดนึงนะ เอา + ไปก่อนจ้า  :hao7:

ในตอนที่ 15(3) อยากลงรูปประกอบเพื่อเพิ่มอรรถรสนะครับ แต่จนปัญญา ลอง attached file แต่ไม่สำเร็จครับ ผู้อ่านท่านใดรู้วิธีกรุณาช่วยสงเคราะห์ด้วยครับ 555

"วิ"


แนะนำให้ฝากรูป กับเวปฝากรูปแล้วเอาลิงค์มาลงค่ะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 20-10-2013 09:39:35
ขอบคุณมากครับ คุณ Poes
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: SanDiego ที่ 20-10-2013 10:14:51
มาอ่านต่อ กำลังสนุกเลย
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 20-10-2013 11:27:52
15(4) But Only Love Can Say (คนพิเศษ.....)

     ผมกลับขึ้นห้องตอนเช้าหลังจากคอร์ทมันพาผมแวะไปกินโจ๊กแถวทางรถไฟ แล้วพามาส่งที่หน้าหอครับ รู้สึกเจ็บๆ ที่ปาก เหมือนโดนคนต่อยมา ก่อนขึ้นห้องก็แวะไปล้างปากที่ห้องน้ำครับ เจอลิตเติ้ลออกมาเข้าห้องน้ำ
“กรี๊ด.......สาวน้อยของฉัน ไปโดนใครตีปากมาคะ” ลิตเติ้ลถามครับ
“ถามว่าเขาเอาอะไรตีดีว่าจ๊ะที่รัก” ผมตอบเพื่อน
“ไหวป่าวอ่ะ” จริงๆ ก็ผมก็เจ็บนิดหนึ่งนะครับ ตอนกินโจ๊กร้อนๆ นี่แสบแปล๊บๆ เลย สงสัยริมฝีปากผมกระแทกกับฟันเยอะไป มันเลยดูช้ำๆ บวมๆ
“จร้า.....แล้วเจอกันคาบอาจารย์ภัครเย็นนี้นะคะ” ผมบอกลิตเติ้ล เพื่อนจะได้กลับไปแต่งตัว
“Goodค่ะ....ไปกินข้าวก่อนเข้าเรียนกันด้วย” แล้วเธอก็เดินไปห้องครับ ปัญหาจริงๆ ของผมไม่ได้อยู่ที่ลิตเติ้ลหรอกครับ ชีวิตมันน่าเอน็จอนาจกว่าที่คิดเยอะ
“ทรี.....พี่ขอโทษนะ” ผมเดินกลับเข้าห้อง ไอ้ทรีกำลังแต่งตัวอยู่
“อืมๆ.......” เหมือนมันยังโกรธผมครับ
“จะไปเรียนแล้วเหรอ”
“ครับๆ” ทีนี้ละถามคำตอบคำ ไม่ต้องมางอนกูหรอก พี่น้องกันกูรู้อีกไม่นานมึงก็หายงอน ผมเลยเดินผ่านมันที่ยืนอยู่หน้ากระจกมาที่เตียงครับ
“.................................”
“ไปโดนไอ้คอร์ทต่อยมารึไง” มันถามแล้วมองหน้าผม
“ป่าว มันไม่ได้ทำ” ผมรีบตอบ
“แล้วปากไปโดนไรมา”
“....................คอร์ท” โถ ไอ้อ้วนกูไม่บอกมึงหรอกว่ากูโม๊คมันจนปากแตกน่ะ
“ทายาป่าว”
“ไม่อ่ะ.....รอพี่หน่อยได้ป่าว พี่อาบน้ำก่อนได้ลงไปกินข้าวกัน” ผมชวนมันกินข้าวครับ เผื่อมันจะหายโกรธ
“อืม” แล้วผมก็ถอดคอนแท็กเลนส์ ถอดเสื้อกางเกงพันผ้าเช็ดตัว สังเกตว่าไอ้ทรีมันมองผมแปลกๆ ครับ แต่ผมไม่ติดใจอะไรก็เลยเอาตระกร้าสบู่แชมพูออกไปห้องอาบน้ำครับ เปลือยท่อนบนอยู่หน้ากระจกห้องอาบน้ำรวมเพื่อแปลงฟัน ทำให้ผมรู้ว่าไอ้ทรีมันมองผมเพราะอะไร ไอ้คอร์ทมันทิ้งรอยจูบไว้ที่คอผมครับ หลายรอยเลย เมื่อวานผมก็เคลิ้มไม่ได้สังเกต แต่ที่ซวยที่สุดคือไอ้เอ็มมันเดินมาที่อ่างล้างหน้าติดกับผมเพื่อแปรงฟันเหมือนกัน เอ็มมองเงาสะท้อนผมในกระจกตาโตเลยครับ ผมอายมาก เลยหยิบตระกร้าเข้าห้องอาบน้ำ เสร็จแล้วผมก็แต่งตัวครับ พยายามปกปิดรอยช้ำที่เกิดจากการแตกของเส้นเลือดฝอยในชั้นผิวหน้งของลำคอด้วยพลาสเตอร์แปะแผล ส่วนรอยไหนอยู่ลึก ก็ช่างมันครับ

        เช้าวันพุธผมเรียนวิชาความรู้กับอำนาจโดยครั้งนี้อาจารย์เชน พูดถึงเรื่องการช่วงชิงความเป็นเจ้าของความรู้หรือเรียกภาษาอังกฤษว่า hegemony ครับ เช่นความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์สถาปนาตนเองและช่วงชิงความเป็นเจ้าเหนือความรู้ไสยศาสตร์ และความเชื่อเรื่องวิญญาณ ฉะนั้นความรู้ที่สังคมยึดถืออยู่ไม่ใช่เรื่องของความจริงหรือความถูกต้อง แต่เป็นเรื่องของอำนาจ การต่อสู้ช่วงชิง และการปิดทับความเป็นอื่น สามชั่วโมงผ่านไปพวกเราก็นั่งเงียบด้วยความรู้ใหม่ที่เอ่อล้นขึ้นในสมอง
“วิ.....วันนี้กับพรุ่งนี้แกว่างป่าว” เบอรี่ เพื่อนผมจากภาควิชาปรัชญาทักผมตอนกำลังเดินไปโรงอาหาร
“ทำไมอ่ะ...รี่” ผมเรียกชื่อมันด้วยพยางค์หลังครับ
“ภาคฉันกับภาคละครจะจัดกิจกรรมเสวนาประเด็นหนังเรื่องรักแห่งสยามอ่ะ” มันบอก
“แล้วแกก็เรียนวิจารณ์วรรณคดี กับสังคมวิทยาด้วย....มาช่วยฉันหน่อยนะ มาๆ แกฉันเลี้ยงข้าวเลย” แล้วมันก็พาผมไปโรงอาหารคณะ ระหว่างกินข้าวมันก็เล่าคอนเซ็ปของงานคร่าวๆ ครับ ผมเชื่อว่าทุกคนคงรู้จักหนังเรื่องรักแห่งสยาม ที่โด่งดังมากเมื่อ 7- 8 ปีที่แล้ว ผมเคยดูรอบหนึ่งครับ เพื่อนผมคนหนึ่งมันคลั่งมาก โดยตรงกันข้าม ผมเมื่อวิจารณ์ด้วยหลักทางสังคมแล้วคิดว่าหนังห่วยมากครับ
“ตกลงนะแก งั้นพอกินเสร็จแกไปเจอทีมงานกับฉัน” มัดมือชกกูมาเลยไอ้รี่
“อืมๆ”
   ที่ภาคปรัชาญาเปิดห้องประชุมเพื่อให้พวกเราเข้ามาเตรียมกิจกรรมครับ โดยเราวางแผนว่าจะจัดกิจกรรมคู่ขนานคืออภิปรายหนัง และแสดงละครล้อ โดยแน่นอนว่าผมอยู่ฝ่ายอภิปรายครับ
“ลองมองดูนะประเด็นแรกคือหนังเรื่องนี้ใช้ความรักแต่ละประเภทมาสร้างทางเลือกที่จำกัดมากของตัวละคร พระเอกจะเลือกใคร แฟนที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน หรือแม่และครอบครัวที่กำลังแตกสลาย” ผมเริ่มเลยครับระหว่างที่สมาชิกคนอื่นๆ เริ่มทยอยเข้ามา
“สืบเนื่องกันทำให้ตอนสุดท้ายแฟนของพระเอกถูกทิ้ง ปากเขาอาจจะบอกขอบคุณ แต่ผลของสถานการณ์ที่ปรากฏคือมีฝ่ายหนึ่งต้องเสียใจ ไม่มีทั้งครอบครัวเพราะอาม่าที่อยู่ด้วยเสียแล้ว และเสียแฟนด้วย ไม่ได้เป็น win-win situation หรือการสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแน่นอน” ตอนนี้คนที่ทยอยมาก็เริ่มฟังผมกับเพื่อนมากขึ้น
“สามนะ ทำไมคนแต่งถึงเลือกใช้ศาสนาคริสต์ที่ต่อต้านการรักร่วมเพศในสังคมกรุงเทพที่ค่อนข้างเปิดโอกาสให้คนรักร่วมเพศ ดูจากครอบครัวของพระเอก และเทศกาลในท้องเรื่องทั้งคริสต์มาส และงานฉลองปีใหม่......ให้เสวนากัน ชั่วโมงหนึ่ง ประมาณนี้พอมั้ย”
“ดีเลย แล้วฉันจะพูดด้านปรัชญา ส่วนไอ้โน๊ตเอกละครจะพูดเรื่ององค์ประกอบและการวางโครงเรื่องของหนัง” ไอ้รี่บอก
“แล้วน้องๆ ปีหนึ่งของภาคปรัชาญากับละครจะช่วยแสดงล้อ” ไอ้โสเพื่อนที่ผมเคยสนิทด้วย บอกการจัดงานโดยคร่าวๆ ต่อครับ สักพักพวกเรากก็แบ่งกลุ่มกันตามหน้าที่ครับ แต่พวกผมกับไอ้รี่หมดธุระแล้ว เลยเดินไปมาให้กำลังใจเพื่อนๆ กับน้องๆ แล้วก็มีคนมาจับข้อมือผม ผมเลยหันไปดูครับ
“มาข้างนอกกับผมหน่อย” ไอ้ตูนครับ มันมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มันจับข้อมือผมแน่นแล้วดึงมาตรงลานจอดรถตรงหลังอาคารภาควิชาปรัญชา
“มาทำงานนี้ด้วยเหรอ” ผมยิ้มถามมัน แต่มันเฉยครับ พอเรามาถึงจุดที่ไม่มีคนผ่านไปมาแล้วมันก็จับที่คอเสื้อผม คว๊าก เสียงมันจะชากพลาสเตอร์แปะแผลบนคอผม ผมรู้ละครับทำไมมันแปลกๆ
“..................................”
เราเงียบกันไปพักหนึ่ง ผมไม่มีอะไรจะพูดกับมันในเรื่องนี้หรอกครับ ผมรู้ว่าผมมันเลวที่นอนกับผู้ชายเป็นว่าเล่นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
“ดูสภาพตัวเองมั่งป่ะ เละแค่ไหน แล้วนี่คิดว่าปิดมิดเหรอ ผมดูแป๊บเดียวก็เห็นแล้วว่าเป็นรอยจูบ เหมือนไปเอากับกุ๊ยข้างถนนมา” มันโปกพลาสเตอร์ผ่านหน้าผมครับ แล้วก็โยนลงกับพื้นครับ
“วิมีคนอื่นด้วยใช่มั้ย” ถามเพื่ออะไร หลักฐานมันชัดขนาดนี้
“อืม...ใช่” มันดูอึ้งครับ
“ทำไม....” มันถามคำหาคำตอบที่ผมคิดว่ามันยากมากจริงๆ
“วิ....ไม่รู้” ผมเบือนหน้าหนีมันครับ
“ผมรู้เราไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ผมชอบวินะ ผมคิดว่าวิก็ชอบผม.....ทำไม” มันดูเริ่มโมโหมากขึ้น
“ตูนยิ่งยุ่งกับวิน่ะ มันจะมีแต่ฉุดตูนลงต่ำนะ....” สุดท้ายผมก็บอกสิ่งที่ผมคิดกับมันไป
“ตูนเป็นเดือนนะ ตูนเป็นคนพิเศษ....ต่างจากวิมากเลย” ผมบอก
“วิ....วิคิดว่าวิธรรมดาเหรอ วิเคยรู้ตัวมั้ยเวลาวิพูดมีคนกี่คนที่หยุดฟังแล้วหันมามองวิ” มันตอบด้วยสิ่งที่ทำให้ผมตกใจครับ
“วิบอกว่าวิหน้าตาไม่ดี วิรู้มั้ยมีคนกี่คนที่แอบมองวิ กี่คนที่อิจฉาความสามารถของวิ อีกอย่างเมื่อก่อนตอนเราเจอกันครั้งแรกผมไม่เห็นวิจะใส่ใจเลยว่าใครหน้าตาดีไม่ดี วิด่าผมด้วยซ้ำ สำหรับผมนะวินั่นแหละเป็นคนพิเศษมากๆ”
“ไม่....ไม่ใช่อย่างนั้น” ผมตะกุกตะกัก คำพูดเพราะเริ่มเวียนหัว ตูนเริ่มทำให้ผมเวียนหัว
“ไม่....ไม่ได้พิเศษอย่างนั้น วิไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนตูน ตูนไม่ต้องพยายามอะไรก็มีคนรัก คนชื่นชม ตูนเคยรู้มั้ยว่าวิเหนื่อยแค่ไหนตูนบอกว่าวิพิเศษแต่วิไม่ได้พิเศษอะไรแบบนั้นเลย ความพิเศษทุกอย่างของวิที่ตูนว่ามามันเกิดขึ้นเพราะความพยายามทั้งนั้น บางทีวิก็อยากอยู่เฉยๆ แล้วมีคนมาชื่นชมแบบตูนบ้าง บางทีวิก็อยากพิเศษแบบคนทั่วไปบ้าง” ผมเถียงเพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“เวลาอยู่กับผมวิรู้สึกพิเศษบ้างไหม” มันถามดูท่าเหนื่อยๆ
“แต่ตูนแค่ตูนดีกับวิ ตูนชอบวิ แค่นั้นวิก็รู้สึกพิเศษแล้ว” ผมบอกเริ่มมีน้ำตาครับ
“แล้วตูนล่ะ....เวลาอยู่กับวิ วิเคยทำให้ตูนรู้สึกพิเศษมั้ย” ผมถามมันด้วยคำถามเดียวกันครับ รู้คำตอบว่ามันคงไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรมากขึ้นเพราะมันเป็นคนที่พิเศษอยู่แล้ว
“ไม่ได้รู้สึกใช่มั้ยล่ะ” ผมย้ำมันให้รู้ความแตกต่างของเราสองคน
“ใช่ วิทำให้ผมรู้สึกแย่ แย่ที่ตัวเองเคยหลงไหลแต่หน้าตาจอมปลอม แต่ที่ต้องคอยวางตัวเป็นสุภาพบุรุษ เป็นเพลย์บอยไปวันๆ ผมรู้สึกแย่ที่ผมไม่ได้เก่ง ไม่ได้ฉลาดเหมือนวิ ไม่ได้มุ่งมั่นแบบวิ” คำตอบมันทำให้ผมสะอื้นครับ ยอมรับว่าซึ้งใจมันมาก
“วิไม่ได้ทำให้ผมพิเศษ แต่วิให้เป้าหมายชีวิตกับผม วิทำให้ผมอยากเปลี่ยนแปลง ผมอยากจะพิเศษด้วยความสามารถที่ผมมีอยู่ข้างในบ้าง” ผมยิ้มให้กับคำตอบนั้น แล้วผมก็กอดมันครับ เพราะอย่างที่บอกมันไป ตูนทำให้ผมรู้สึกพิเศษมากๆ ครับ ไม่รู้ว่ามันจะรังเกียจผมหรือเปล่าตอนนี้ มันด่าผมว่าไปเอากับกุ๊ยข้างถนนมา แต่ผมต้องเถียงครับเพราะไอ้คอร์ทไม่ใช่กุ๊ยแน่นอน
“ถ้าวิสบายใจแล้ว หรือวิอยากคุยค่อยโทรหาผมแล้วกัน” แล้วเราก็เดินมาที่ภาคปรัชญาครับ ตูนเดินเข้าไปหาเพื่อนมันคงต้องนัดซ้อมละครกัน ส่วนผมเดินเลยไปที่ภาคสังคมวิทยา ของตัวเอง เข้าห้องน้ำอาจารย์แล้วอ้วกเอาความเสียใจที่ผมมีต่อไอ้ตูนออกมา
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: hotoil ที่ 20-10-2013 12:33:20
เอ๋ อ่านแล้วงงกับความรู้สึกของวิ...
เราว่าวิจะรู้สึกพิเศษกับคนหลายคนจัง หรือจะเป็นแบบหลายP (ดูเหมือนเราหลายใจ)
วิจะเลือกใครกันนะ ท๊อป คอร์ท ตูน โย๊ป(เกี่ยว?) ฮ่าๆ
ไม่ว่าจะเลือกใครมันจะต้องมีทางออกสักทาง รออ่านต่อไปค่ะ ^ ^
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 20-10-2013 12:59:09
15(5) But Only Love Can Say (ของกันและกัน)

     ในตอนเย็นผมเรียนวรรณกรรมเอกเชคสเปียร์กับอาจารย์ภัครจนถึงสองทุ่มครึ่ง เมื่อหมดแรงออกมาจากห้องเรียนพร้อมกับลิตเติ้ลเราก็ลงไปกินข้าวที่หน้าคณะพร้อมกันครับ ผมกินซูชิครับเพราะเพิ่งกินข้าวขาหมูเมื่อก่อนเข้าเรียน ระว่างที่ผมกำลังทาวาซาบิลงบนกระดูกไก่ทอดของลิตเติ้ลแล้วโยนให้หมาที่ชอบมาขอของกิน โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น
“เรียนเสร็จรึยัง แล้วอยู่ไหน” ไอ้คอร์ทถาม
“เสร็จแล้ว กินข้าวอยู่กับลิตเติ้ลหน้าคณะ ทำไม” ผมถามกลับ ผมใช้น้ำเสียงเฉยๆ ทั้งที่จริงแล้ว แอบดีใจมากๆ ที่มันโทรมา
“รอตรงนั้นนะ เดี๋ยวผมไปกินด้วย” แล้วมันก็วาง
สักพักคอร์ทมันก็เอาเวสป้ามาจอดหน้าคณะผมแล้วเดินมาที่ร้านขายอาหารที่ผมอยู่ มันเดินไปสั่งผัดไท แล้วเอามากินกับพวกผม
“สวัสดีครับพี่ลิตเติ้ล” มันทักเพื่อนผม
“สวัสดีค่ะ มาได้ยังไงเนี่ย น้องคอร์ทสุดหล่อ” สาธุ อย่านะไอ้คอร์ท นี่หน้าคณะกูเดี๋ยวกูฉาว
“มาหาพี่วิอ่ะครับ จะให้ช่วยทำการบ้าน” มันบอกยิ้มน่ารักให้ลิตเติ้ลเหมือนเดิม
“Goodค่ะ เป็นเด็กขยัน” Noค่ะ ลิตเติ้ล เธออย่าไปตกหลุมพลางมัน แล้วลิตเติ้ลก็หันมามองผม ซึ่งไม่รู้ตอนนั้นผมทำหน้าอย่างไร แล้วหันไปคุยกับคอร์ท
“Are you the one who put hikkies on Vi’s neck ka?” หนูเป็นคนฝากรอบจูบไว้บนคอของวิใช่มั้ยคะ ให้ตายสิลิตเติ้ลก็รู้ ต้องโทษไอ้ตูนที่แกะพลาสเตอร์ผมทิ้ง คอร์ทเองก็หน้าแดงมากครับ
“ดูแลสาวน้อยของพี่ดีๆ นะคะ วิเขาชอบน้องคอร์ทมากนะ” ลิตเติ้ลจ๋า เธอรู้ตั้งแต่เมื่อไรว่าฉันชอบมัน
“จริงอ่ะพี่..ยังไงอ่ะ” ไอ้คอร์ทถาม ทั้งๆ ที่มันน่าจะจบประเด็นได้แล้ว
“ค่ะ...สามปีพี่ไม่เคยเห็นเพื่อนพี่ออกมาอ่านหนังสือนอกห้องเกิน 3 วันเลยค่ะ เธอเป็นนางต้นห้องมาก พอมาอ่านหนังสือกับคอร์ทเธอก็มาร่อนเร่แถวห้องคอมมอนทุกคืนค่ะ” ในที่สุดเพื่อนผมก็ขายผมให้ไอ้คอร์ท ผมอายมากเพราะผมก็เพิ่งรู้พฤติกรรมตัวเองจากปากเพื่อนสนิทเหมือนกัน
“5555 ผมไม่ยักรู้เลย”
“เพื่อนพี่อ่านง่ายยิ่งกว่าหนังสือของเชคสเปียร์อีกค่ะ”
แล้วเราก็กินกันต่อจนเสร็จครับ ผมต้องเดินไปส่งลิตเติ้ลที่หออยู่แล้ว ผมไม่ยอมให้เพื่อนผมเดินกลับหอตอนกลางคืนคนเดียวหรอกครับ
“คอร์ท พี่ต้องไปส่งลิตเติ้ลที่หอนะ” ผมบอกคอร์ทไม่ว่ามันจะมีเรื่องอะไรกับผมมันก็ต้องรอก่อน
“ไปกันเถอะค่ะ เดี๊ยนกลับเองได้ค่ะ I’m a big girl now!” ลิตเติ้ลบอก
“พี่ลิตเติ้ลซ้อนท้ายผมได้มั้ยครับ เดี๋ยวผมไปส่งได้กลับมารับวิ” ไม่เรียกกูพี่อีกคนแล้ว
“อืมให้น้องมันไปส่งเถอะ” ผมบอกเพื่อน
“โอเคค่ะ ผู้ชายหล่อๆ ขับมอเตอร์ไซด์ไปส่งเดี๊ยนที่หอทั้งที”
 “รอนี่แหละ เดี๋ยวมารับ” มันหันมาสั่งผม ทีนี้แหละสั่งเชียว ผมมองเวสป้าของมันหายไปในความมืดของถนนในมหาลัยแล้วก็นั่งรอที่หน้าร้านขายน้ำปั่นครับ ห้านาทีก็แล้ว คอร์ทก็ยังไม่มา ผมเลยหยิบเอา อะ มิดซัมเมอร์ ไนท์ ดรีม ออกมาอ่านต่อฆ่าเวลาครับ สักพักไอ้คอร์ทก็ขับเวสป้ามา
“ช้าจัง ยุงกัด” ผมบ่น
“อืม....” ผมกระโดดขึ้นซ้อนท้ายมันครับ
“เป็นไรป่ะนิ” ผมถามเห็นมันเงียบๆ คอร์ทไม่ตอบอะไรแต่ขับรถไปเงียบๆ จนถึงหอมันครับ

     พอเราเดินเข้าหอไอ้คอร์ทมาแสงไฟที่ทางเดินก็ทำให้ผมเห็นว่าคอร์ทมันปากแตกครับ แต่แผลดูไม่เป็นไรมาก
“ไอ้ทรีทำเหรอ” ผมถามมัน เพราะคำนวณดูแล้วคนที่มีความต้องการจะตะบันปากไอ้คอร์ทมากที่สุดก็คงเป็นไอ้ทรีนั่นแหละ
“.......อืม”
“เจ็บมากมั้ย” ผมถามเมื่อเราเข้ามาในห้องแล้ว
“เฉยๆ พี่ลิตเติ๊ลกับไอ้โย๊ปมากันไว้” มันบอกดูเหมือนไม่ใส่ใจ
“อืม....”
“พี่ไปอาบน้ำเถอะ” มันบอก ผมเลยเดินเข้าไปอาบน้ำ แล้วมันก็เปิดเข้ามาประตูเข้ามาตอนที่ผมกำลังโป๊อยู่ เอาผ้าขนหนูมาให้
“เฮ๊ย.....ทำไมชอบเข้ามาตอนโป๊” ผมว่ามันครับตกใจ
“5555 แอบดูไง” มันขำครับ
“อยากเห็นใกล้ๆ มั้ยล่ะครับ” ผมแซวมัน คอร์ทหน้าแดงเลยครับ
“พี่หื่นว่ะ” เข้ามาแอบดูคนอื่นแล้วเสือกเขินเองไอ้นี่ พอมันทำหน้าเขินแล้วผมก็อดใจไม่ไหวที่ต้องแกล้งมันครับ ผมปิดน้ำและวิ่งเข้าไปหามัน
“เฮ๊ย....พี่” มันอึ้งครับ ผมเลยจับมันไซร้คอเลย
“เฮ๊ย.....ไอ้หื่น” มันด่า
“เอาคืน เมื่อวาน” ผมบอกมัน
“เฮ๊ย....อย่าทำรอยนะ” ผมเลยเลียตั้งแต่กระดูกไหปลาร้ามันไล่ไปจนถึงกระเดือกและปลายคางมันครับ ท้ายที่สุดพอไอ้คอร์ทมันเงียบแล้ว เราก็จูบกันคร้บ ผมรักริมฝีปากของมันมาก ผมแกะกระดุมเสื้อของมันออกแล้วมองไรขนของมันที่ไล่ขึ้นมาถึงสะดือ ผมกัดนมมันเล่น
“อ่า.......” คอร์ทครางออกมาครับ ตอนนี้ตัวมันอ่อนไปทั้งตัวเลยครับ ผมเลยทนไม่ไหวเลยจับหัวมันขึ้นมาแล้วเอาของผมใส่เข้าปากมัน ตอนแรกมันขืนเอาไว้ครับ แต่ผมมองมันด้วยสายตาอ้อนวอนมันเลยอ้าปากให้ของผมเข้าไป แล้วคราวนี้ก็เป็นคราวที่ผมจะเป็นฝ่ายครางบ้าง
“อ้า......คอร์ท” ผมมีความสุขมากครับ รู้สึกถึงความอ่อนนุ่ม และความชื้นแฉะในปากมัน ผมมีความสุขจนขาดสติแล้วครับ ผมจับหัวมันแล้วกระแทกเอวเข้าไป
“อ่า....อ่า” แล้วผมก็ปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปในปากมัน ผมเอาออกมาแล้วผมหน้าคนที่ผมรักครับ คอร์ทน้ำตาปริ่มเลยคงเจ็บครับ ผมเลยก้มลงไปเช็ดน้ำตาให้
“พี่ขอโทษนะ....คายออกมา” ผมบอกคอร์ทให้คายน้ำเชื้อผมออกมาแล้วเอามือรองที่ปากมัน ไม่อยากฝืนใจให้มันกลืนเข้าไป
“พี่เอาคืนผมใช่มั้ยครับ” มันถามยิ้มๆ แต่ตายังชื้นๆ
“ขอโทษนะ” ผมละอายตัวเองมากครับ กับสิ่งที่ผมเพิ่งทำกับมันไป เพื่อปลอบใจมันผมเลยใช้ลิ้นเลียมันทั้งตัวเลย ทั้งตัวตามตัวอักษรจริงๆ ผมจูบและเลียฝ่าเท้ามัน ขาที่มีขนหน้าแข้ง ท้องที่มีไรขนไต่ไปจนถึงสะดือ อก แขน มือ แม้แต่จักกะแร้ที่มีสาหร่ายของมัน ผมก็ไม่รังเกียจครับ แล้วผมก็อมส่วนนั้นของมันที่แข็งและเปียกเยิ้มรอผมอยู่แล้ว ผมรักทุกอย่างของมันแหละครับ
“อ่า....พี่.......พี่” มันครางไปด้วย เรียกชื่อผมไปด้วยนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหว มีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้งครับ
“คอร์ท....พี่ขอนะครับ พี่รักคอร์ทมากนะ” ผมบอกแล้วมองหน้ามัน มันเฉยๆ ครับตาแดงๆ ผมค่อยๆ เอามือข้างหนึ่งที่ตอนนี้เปียกอยู่เพราะน้ำเชื้อของผมเองแทงเข้าไปในก้นคอร์ท มันร้อนและบีบรัดนิ้วผมมาก ผมทำจนคิดว่ามันพร้อมแล้วค่อยจับของผมจ่อเข้าไป ภายในตัวคอร์ทร้อนและให้ความรู้สึกดีมากครับ ผมแทบอดใจไม่ได้รับดันเข้าไปจนสุด
“โอ๊ย.....พี่” คอร์ทร้องเสียงดัง แต่แขนสองข้างเกี่ยวหลังผมไว้ครับ
“เจ็บหรือครับ......อืม” ผมแช่ควxxค้างไว้ มันรู้สึกดีมากจริงๆ ครับ
“พี่....วิ.....อ่า....” เสียงคอร์ทหวานมาก ผมเลยเริ่มขยับ มันรู้สึกดีจนผมอยากจะรีบทำให้แตกตอนนั้นเ
“อ่า....” ผมครางด้วยครับ สัมผัสของมือคอร์ทที่จับหลังผม ข่วนหลังผมเวลาที่มันเสียวหรือเจ็บก็ทำให้ผมรู้สึกดีครับ
“คอร์ทชักว่าวไปด้วยสิครับ” ผมบอกแต่มันส่ายหน้า ผมเริ่มกระแทกแรงแล้วเสียวมากรู้สึกดีมาก
“อ๊า.....พี่วิ” เล็บมันแทบจะจิกทะลุเนื้อผมเลย ผมก้มลงกอดมันแน่นและจูบปากมันไว้ในนาทีสุดท้ายก่อนผมจะแตกครับ แล้วจุดนั้นก็มาถึง
“คอร์ท.....อ๊า......” ผมระเบิดน้ำเชื้อครั้งที่สองเข้าไปในตัวมันครับ แล้วแช่ทิ้งไว้อย่างนั้น แรงยึดจากมือของมันบนแผ่นหลังผมเริ่มคลายแล้วครับ เปลี่ยนเป็นการลูบไล้แผ่นหลังผมแทน ผมมีความสุขจังครับ
พอของผมเริ่มอ่อนผมก็ดึงออกมาจากตัวคอร์ท จูบปากคอร์ทอีกครั้ง คอร์ทจูบกลับแรงมากครับแล้วก็ผลักอกผมออก ตอนนี้มันขึ้นมาคร่อมผมแล้วครับ
“ทีนี้ตาผมบ้างละ เป็นของผมนะครับ” มันบอกสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอีกคน แล้วมันก็ก้มลงไปไซร้แล้วดูดคอผมอย่างที่มันทำเมื่อวาน ผมก็ยอมครับ ถึงจะรู้ว่าคอจะเป็นจ้ำเหมือนเดิมอีก แต่ถ้าใครเคยโดนดูดจะรู้ว่ามันไม่เจ็บหรอกครับ มันรู้สึกดีมาก ผมเลยไม่แคร์ที่จะปล่อยให้คอร์ททำต่อไป แล้วมันก็ก้มลงมากัดที่หัวนมผมครับ
“อ่า.....คอร์ท” ผมคราง รู้สึกดี
“พี่เก่งนะ ยังงี้ผมต้องเรียนรู้เร็วแล้วสิ” มันล้อผมครับ
“ปล่อยลูกมาใส่ผมเต็มตัวเลย”
“อ่า....คอร์ท” ตอนนี้ผมเถียงอะไรมันไม่ได้หรอกครับ ได้แต่นอนครางรอความสุขที่มันจะมอบให้ผมกลับคืน แล้วมันก็ทำให้ผมช็อกเมื่อมันเอานิ้วชี้และนิ้วกลางยัดเข้ามาในริมฝีปากผม ผมเข้าใจว่าสิ่งที่มันต้องการก็คือน้ำลายผมเพื่อที่จะใช้เป็นตัวหล่อลื่น รูมเมทผมในคืนที่มันได้ผมมันก็ทำแบบนี้ครับ ผมเหมือนถูกตีหัวด้วยของแข็งเลย
“ทนหน่อยนะครับ ผมคนใจร้อน” ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่มันเอานิ้วเปื้อนน้ำลายมาทาที่ก้นผมแล้วพยายามดันของมันเข้ามา
“อ่า....โอ๊ย” มันดันเข้ามาแรงแบบที่มันบอกจริงๆ ครับ
“คอร์ท...โอ๊ยย” มันช่วยผมด้วยการบีบนมผม และก้มลงมาดูดคอผมเพิ่ม
“อ่า......” ผมรู้สึกแสบเล็กๆ
“ผมเริ่มแล้วนะพี่” แล้วมันก็กระแทกครับ แป๊บเดียวผมก็รู้สึกดี มีอารมณ์ร่วมไปกับมัน ผมเอามือลูบแผ่นหลังมัน แล้วจิกเนื้อมันไว้แบบที่มันเคยทำ นั้นทำมันยิ่งกระแทกแรงขึ้น
“อ๊า.............คอร์ท” ผมกรี๊ดเลยครับ ผมทนต่อไปไม่ไหวเลยต้องยกหัวขึ้นไปกัดบ่ามันไว้
“เอาเลยคอร์ท เย็xx มาเลย พี่ทนไม่ไหวแล้ว” ผมกระซิบข้างหูมัน หลังจากนั้นก็เป็นการใช้พละกำลังของผู้ชายสองคน ที่กระแทกและผลัก ดึงและดัน แล้วมันกระปล่อยน้ำเชื้อเข้ามาในตัวผม ควxx,มันยังไม่ยอมอ่อนลงเลยครับ
“ผมขออีกรอบนะพี่” มันบอกผม เสียงหอบ แล้วมันก็จับผมยืนขึ้นแทงเข้ามาจากข้างหลัง แล้วครั้งที่สองของมันกับครั้งที่สามของผมก็เริ่มต้นขึ้น

       ตีสามบนเตียงของคอร์ท ผมให้น้องมันหนุนแขนผมนอนแทนหมอน จะเมื่อยก็ช่างมันแต่คอร์ทมันเป็นของผมครับ ผมอยากทะนุถนอมดูแลมัน ตาผมจ้องที่บ่าข้างซ้ายของมันที่มีรอยฟันของผมเป็นรูปครึ่งวงกลมสีแดง มืออีกข้างของผมตอนนี้กำลังลูบไรขนบนหัวหน่าวของมันอย่างซุกซน คอร์ทนอนเหมือนเดิมครับ เผยอปากน้อยๆ ดูผ่อนคลายและมีความสุข เหมือนตอนที่เราเพิ่งเริ่มรู้จักกัน แต่ตอนนี้ท่ามกลางความมืดและเสียงหัวใจของเราสองคน ผมเป็นของมันเท่าๆ กับที่มันเป็นของผม และเมื่อความง่วงเริ่มคลืบคลานเข้ามา ผมก็หยุดลูบขนที่หน้าท้องคอร์ท แล้วเปลี่ยนเป็นกอดมันไว้แน่น ผมรักคอร์ทมากครับ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: SanDiego ที่ 20-10-2013 13:28:36
 พลังหนุ่ม ครั้งเดียวไม่เคยพอ ฮ่าๆๆ :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 20-10-2013 15:28:51
วิ ดูแล้วเป็นคนน่าสงสารมากเลย  :mew6: รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: iiดาวพระสุขლii ที่ 20-10-2013 15:56:50
ไม่ได้อ่านนิยาย วาย มานานมากกกกก

แต่พออ่านเรื่องนี้ต้องเมนท์เลย   เราชอบตัวหนังสือของคุณวิมากเลย
ชอบการบรรยาย เล่าเรื่อง เล่าความรู้สึก  มันทำให้ตัวละครมีมิติ และเข้าถึงอารมณ์ได้ดีเลยค่ะ

สำหรับเราแล้ววิเป็นคนอยากมีความรัก  ไขว่คว้า  แต่ทว่ากลับหวาดระแวง และขาดความเชื่อมั่นในตัวคนอื่น  แบบว่าไม่เชื่อใจ  อยากที่จะเชื่อใจ แต่บางส่วนของความรู้สึกมันขัดแย้งทำให้ทำไม่ได้
คนอย่างวิถ้าเจ็บปวด จะไม่แสดงให้ใครเห็น ทำตัวเฉยชาไม่มีความรู้สึก   ความรักก้อเหมือนกัน ถ้าชอบใครก้อจะไม่แสดงออกมา แต่จะใช้ภาษากาย ในที่นี้คงเป็น sex ในการแสดง ปลอดปล่อยความรัก  เรารู้สึกว่าทุกครั้งที่มีsex ดูวิจะผ่อนคลาย เหมือนได้ระบายอารมณ์ที่มันอัดแน่นของตัวเองออกมา

ตอนนี้เราคิดว่า "วิ" อาจจะมีใครซักคนที่ทำให้วิรู้สึกว่าใช่  และมั่นคง พอที่จะสามารถก้าวต่อไป จนทำให้มองย้อนกลับให้ทุกอย่างมันเป็นอดีตได้


นี่เป็นเพียงความเห็นของเราคนเดียวนะคะ  ถ้าไม่ถูกใจต้องขออภัยด้วยค่ะ อินค่ะ 
มาลงบ่อยๆนะคะ จะติดตามอ่านค่ะ

ส่วนฉากแรงๆ นั้น ด้านมืดของเราชอบค่ะ   อิอิ

หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 21-10-2013 18:17:21
15(6) But Only Love Can Say (สวนสัตว์แก้วผลึก)


     เช้าวันพฤหัสฯ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส โลกทั้งใบมันดูเป็นสีชมพูจริงๆ เรื่องเดียวที่ยังงงๆ อยู่ก็คือ สรุปแล้วคอร์ทที่นอนหลับอยู่ในอ้อมกอดผมตอนนี้ เป็นผัวหรือเป็นเมียผมกันแน่ ฮ่าๆๆ ก็อย่างนี้แหละครับ ช่วงแรกๆ มันก็ยังมีอาการสับสนอยู่บ้างเล็กน้อย วันนี้ผมมีเรียนการเมืองภาคประชาสังคมตอนเช้าครับ เริ่มเคืองตามากๆ แล้วด้วยเพราะเมื่อคืนหลับทั้งคอนแทกเลนส์ (อย่าเอาอย่างนะครับ)
“คอร์ท....ลุกได้ยัง มีเรียนป่าว” ผมปลุกคอร์ทขึ้นมา
“อืมมม.....” มันงัวเงียลืมตาขึ้นมามองผม ผมเลยอดใจไม่ได้ต้องก้มลงไปจูบมันสักหน่อย
“อือ........พี่....อย่า....” มันลากเสียงง่วงๆ แต่ผมไม่หยุดครับ เอามือล้วงไปที่ท้องมันแล้วไล่ต่ำลงไป
“เฮ๊ย......ไอ้หื่น” มันโวยวาย
“คนหื่นคือคนที่ไอ้นั่นแข็งต่างหาก” ผมล้อมัน เพราะรู้ว่าตอนเช้าไอ้นั่นของเราก็แข็งเหมือนกันทุกคนแหละครับ
“พี่อ่ะ....หื่น” มันตีอกผมอายๆ แล้วผมก็พามันไปอาบน้ำครับ เรียนเช้าทั้งคู่เดียวจะพากันสายเอา
“คราวหลังเบาๆ พี่หน่อยก็ได้นะ” ผมบอกมันตอนส่งกระจก คอร์ทอาบน้ำอยู่
“คอพี่ไม่มีที่ว่างเหลือแล้ว 55” ผมล้อมัน
“ดี คนได้รู้ว่าเมียผม” มันกล้าเล่นมุกนี้ด้วย
“ใครเมียใครครับ” ผมเลยเล่นกลับ
“คราวหลังอย่าลืมเอาคอนแทกเลนส์ กับแปรงสีฟันมาล่ะ” มันเปลี่ยนเรื่อง
“อือฮึ”

     พอคอร์ทแต่งตัวเสร็จเราขี่เวสป้าออกไปกินโจ๊กแถวๆ รางรถไฟเหมือนเดิมครับ ตอนเช้าที่นครปฐมอากาศดีนะครับ ตลาดก็ครึกครื้น ผมเลยซื้อน้ำเต้าหู้อีกถุงหนึ่งมากินด้วย พร้อมกับที่พยายามจะไม่สนใจสายตาของพ่อค้าแม่ค้าและคนที่เดินผ่านไปมา เพราะหลายคนจ้องมาที่คอของผมครับ แล้วจ้องลึกลงเหมือนอยากจะวิ่งมากระชากเสื้อผมออก เพื่อดูว่ามีรอยอะไรอยู่ข้างในบ้าง
“ยังเจ็บที่โดนไอ้ทรีต่อยอยู่มั้ย” ผมถามคอร์ท
“ไม่อ่ะ โดนนิดเดียว พี่วิไม่ต้องตามไปตีมันล่ะ สงสาร” มันบอก
“พี่อ่ะไอ้โหด ตีน้องเหมือนจะฆ่า” มันว่าผมต่อ
“อ่ะนะ.......”
     ผมกลับมาที่ห้องเจอไอ้ทรีกำลังแต่งตัวอยู่เหมือนเดิมครับ วันนี้มันก็ยังโกรธผมอยู่ มองหน้าผมเหมือนอยากจะต่อยหน้าผมสักที
“พี่ขอโทษนะทรี” ผมบอกน้องเหมือนเดิมครับ
“ดูสภาพตัวเองมั่งเหอะพี่...” มันด่าผมเลยครับ
“ดูคอดิ” มันดึงผมมาหน้ากระจก แล้วชี้ให้ผมดูคอตัวเอง แดงมากจริงๆ ครับ รอยเก่าๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำๆ
“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวพี่เอาพลาสเตอร์แปะ” ผมบอกมันครับ อยากให้มันสบายใจ
“ยิ่งแปะคนยิ่งสงสัย แล้วคิดว่าจะแปะยังไงมิด” มันด่าต่อเลย
“...............................”
“ทรี.....”
“คราวหลังอย่าไปตีไอ้คอร์ทมันอีกนะ....” ผมบอกถึงตอนนี้ก็เหมือนจะร้องไห้
“.....พี่รักมันมาก” ทรีมันหันมาเหมือนจะด่าผมครับ แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วประตูห้องก็เปิดครับ ไอ้โย๊ปมาตามไอ้ทรีไปเรียน โย๊ปมันก็คงเห็นสภาพผมเหมือนกันครับ
“........พี่” มันทักแบบอึ้งมาก ผมเลยพยักหน้าตอบ
“ไปไอ้โย๊ป” ทรีเรียกเพื่อนมันแล้วก็ปิดประตูใส่ผมครับ ผมเลยถอดคอนแทกเลนส์แล้วหยิบตระกร้าอาบน้ำ พยายามหาจังหวะที่ไม่มีคนเพื่อไม่ต้องให้ใครเห็นรอยจูบบนตัวผมครับ แต่ก็พลาด
“....อ้าวพี่ด้าย” พี่ด้ายเดินเข้ามาเตรียมอาบน้ำเหมือนกันครับ มองผมและเขาก็อึ้ง
“วิ” เสียงสูงเชียวพี่ เดี๋ยวคนก็มามุง หรอก
“รอพี่ตรงนี้นะ” แล้วพี่ด้ายก็เดินออกจากห้องน้ำ สักพักหนึ่งก็กลับเข้ามา
“มานี่ มาอาบน้ำพร้อมกัน เดี๋ยวพี่สอนลบรอยให้” นี่สิผู้มีประสบการณ์
ผมเข้ามาอยู่ในห้องอาบน้ำกับพี่ด้ายสองคนครับ พี่เขาก็ตัวขาวๆ สูงๆ ผอมๆ ดูดีแบบเกย์ที่เป็นผู้ใหญ่ พี่เขาวางตระกร้าของเขาลงบนชั้นติดกับของผม ถอดผ้าเช็ดตัวแขวนไว้กับตะขอ พี่เขาใส่กางเกงในสีขาวอยู่ แล้วก็หันมาคุยครับ
“เอ้าถอดผ้าสิ จะอาบน้ำยังไงล่ะ” พี่ด้ายบอก
“พี่....วิไม่มีกางเกงในนะ” ผมท้วง จริงๆ ก็ไม่ได้อายเขาหรอกครับ
“ถอดเถอะพี่ไม่ทำอะไรหรอก” พี่ด้ายหน้าแดง
“วิไม่กลัวพี่ทำหรอก แต่พี่ถอดด้วยดิ ให้วิโป๊คนเดียวได้ไง” สุดท้ายพี่เขาก็ถอดกางเกงใน โป๊เป็นเพื่อนผมครับ เพราะรู้ว่าไม่ได้คิดอะไรกันแบบนั้น ผมรักพี่ด้ายมากนะแบบเดียวกับที่รักลิตเติ้ล ผมเคยกอด เคยหอมแก้มพี่ด้ายด้วย ฮ่าๆ แต่พี่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรครับเขารู้ว่าเราเป็นรับเหมือนกัน แต่สิ่งที่พี่ด้ายไม่รู้คือเมื่อคืนผมทำผิดผีโดยที่เอาไอ้คอร์ทมาทำเมีย
เราเปิดน้ำให้ไหลรดตัวเราไปเรื่อยๆ พี่ด้ายก็หยิบเหรียญบาทมาจากตระกร้าอาบน้ำ จับคอผมให้เงยหน้า แล้วค่อยๆ เอาเหรียญขูดคอผมครับ ผมเข้าใจว่าพี่เขาจะช่วยไล่เลือดที่คลั่งอยู่ในเนื้อเยื่ออ่อนของผมออกไป
“อ้ายย.....” ผมจักกะจี้มาครับ
“พี่ด้ายเบา จักกะจี้” ผมพูดไปหัวเราะไป
“โอ๊ยย...พี่ นี่แนะ”
“กรี๊ดดดด....วิ แกมาดึงจู๋ฉันทำไม” พี่ด้ายกรี๊ดเลย ฮ่าๆ
“ก็บอกให้พี่เบาแล้วพี่ไม่เบานิ”
“เอ้าไอ้นี่ คนอุตส่าห์ช่วย”
“นะนะ......น้องขอโทษ 55” พอเราอาบน้ำเสร็จผมก็ออกมาส่องกระจกที่อ่างล้างหน้าครับ รอยต่างๆ ทั้งสีแดงและสีม่วงตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีส้มเข้ากับสีผิวผมมากครับ แทบจะมองไม่ออกเลย
ผมเลยหอมแก้มพี่ด้ายขอบคุณครับ
“รักพี่ด้ายสุด”
“พอเลยวิฉันเกลียดแกแล้ว แกแกล้งฉัน....เย็นนี้ไปกินข้าวองค์พระเป็นเพื่อนฉันด้วยนะ”

        เนื่องจากปฏิบัติการลบรอยจูบ ผมเลยเข้าชั้นเรียนสายไป 5 นาที ซึ่งอาจารย์คัมภีร์ อาจารย์คนสอนก็ยังไม่มาที่ห้องครับ เพราะอาจารย์ต้องเดินทางมาจากกรุงเทพ เลยมาถึงช้าเป็นประจำ เมื่ออาจารย์มาสอนก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มากหรอกครับ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการวิเคราะห์เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น เพราะช่วงนั้นประเทศเรามีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ค่อนข้างเข้มข้นโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ แต่งานมอบมหายที่ทำให้เราประหลาดใจก็คือ วันหยุดเสาร์ อาทิตย์นี้ อาจารย์คัมภีร์สั่งให้เราลงไปสังเกตการชุมชุนในสถานที่จริงครับ และเก็บรายละเอียดต่างๆ มาเขียนเป็นรายงาน เมื่อเลิกเรียนแล้วผมก็นัดกันกับเพื่อนๆ ในเอกสังคมวิทยา ถึงเรื่องการเดินทางไปสะพานมัฆวานฯ เพราะช่วงนั้นกลุ่มคนขับรถแท็กซี่เข้าข้างฝ่ายเสื้อแดงและจะไม่ขับรถมาส่งผู้โดยสารที่สะพานมัฆวานฯ ครับ หลังจากนั้นเราก็เดินลงจากตึก 50 ปี ไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะกัน

        ผมรีบกินข้าวแล้วมาซ้อมงานกิจกรรมรักแห่งสยามกับไอ้รี่ที่ภาคปรัชญา พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนแบบนี้ทีไรผมมักจะปฏิเสธคนไม่ได้ครับ ทั้งที่จริงๆ กลัวไปเจอตูนมาก แล้วผมก็เจอมันจริงๆ ครับ นั่งคุยอยู่กับเพื่อนผู้หญิงประมาณ 4-5 คน พอมันมองเห็นผมมันก็เฉยๆ เป็นปกติครับเรื่องแบบนี้เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมซ้อมเก็บรายละเอียดการอภิปรายกับไอ้รี่ ไอ้โน๊ต ประมาณ 10 กว่านาทีก็เสร็จ ร็สึกว่าไอ้ตูนเดินเข้ามาใกล้ ผมเกร็งมาก ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับมัน
“เสาร์ อาทิตย์นี้ วิว่างป่าว” มันถามครับ ไอ้ตูนมึงกลัวเพื่อนๆ พี่ๆ มึงจับได้มั่งเถอะว่าเดือนคณะได้เกย์เป็นเมีย
“อือ............ไม่ว่างอ่ะ” ผมบอก ลำบากใจมาก
“วิต้องไปอยู่กับคนๆ นั้นของวิเหรอครับ” อย่ามาเซ้าซี้ได้มั้ย เดียวเพื่อนมึงรู้นะ
“ป่าว...จะไปม็อบพันธมิตร” ผมบอก มันอึ้ง อ้าปากค้างเลยครับ
“เอาจริงดิ”
“อือ......จะล้อเล่นทำไม” แล้วมันก็ขำครับ ไม่รู้มันขำอะไร ผมเริ่มเวียนหัวแล้ว เลยขอตัวเพื่อนๆ ไปเรียนวิชาต่อไป

        เนื้อเรื่องหรือแนวคิดว่าด้วยการละทิ้ง ภาษาอังกฤษเรียกว่า theme of abandonment เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในนิยาย และชีวิตจริงทั่วไปครับ ระหว่างที่อาจารย์พิมพ์กำลังสอนผมและเพื่อนร่วมชั้นด้วยบทละครเรื่อง อะ เดด ออฟ เซลแมน (A Dead of Saleman) ซึ่งเล่าถึงลูกชายสองคนละทิ้งพ่อของตนที่เป็นเซลล์แมน เพื่อมีชีวิตของตัวเอง และทำตามความฝันของตัวเอง ทำให้ผมสะเทือนใจมากครับ เพราะผมละทิ้งครอบครัวตัวเองเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถรับสิ่งที่พวกเขาเรียกผมว่า ตุ๊ด ลักเพศ เสียชาติเกิด ฯลฯ ในท้องเรื่องลูกชายจะต้องมีอายุยืนยาวต่อไป เป็นชีวิตของเขาเอง พ่อที่ไม่สมหวังในการที่จะบังคับลูกให้เป็นอย่างที่ตัวเองต้องการได้จึงฆ่าตัวตายเพื่อเอาเงินประกันเป็นมรดก และของขวัญก้อนสุดท้ายให้ลูก

       4.30 ผมเดินออกจากคณะกลับไปที่หออย่างล่องลอยครับ ผมไม่เหลือครอบครัว ตอนนี้คนที่รักผมมีใครบ้างผมก็ยังไม่รู้ ผมคงต้องแวะไปเช่าหนังมาดูสัก 2-3 เรื่องในคืนนี้และวันพรุ่งนี้เพื่อให้ตัวเองลืมละครน้ำเน่าที่เพิ่งเรียนไปเมื่อไม่นาน แต่โชคร้ายของคนที่คนอื่นเรียกว่า ฉลาด หรือ อัจฉริยะ ครับ ผมไม่มีวันลืม แม้ความทรงจำมันจะทำให้ผมเจ็บปวดแค่ไหน  พอคิดว่าจะเช่าหนังผมก็ต้องเดินผ่านโรงเรียนสาธิต ผมเลยโทรเรียกท็อบออกมา ท็อบขอพักซ้อมเพื่อแอบมาหาผมครับ
“ท็อบซ้อมเสร็จกี่โมงอ่ะ” ผมถาม
“5.30 มั้งครับ” มันบอก
“วิอยากไปเดินสวนสัตว์อ่ะ” ผมชวนมัน
“แหวะ สวนสัตว์นี้ไม่มีอะไรน่าดูเลย” มันบ่นผมเลยต้องใช้สายตาอ้อนวอนครับ
“ครับๆ...เมียผมทั้งคนต้องตามใจกันหน่อย” ผมเลยยิ้มให้มัน
“แล้วเดี๋ยว 5.30 วิมารอนะ”
“ครับๆ” แล้วท็อบก็วิ่งกลับเข้าไปในสนามบาส  พอท็อบพ้นสายตาไปผมก็รู้สึกเหมือนหัวใจมันว่างเปล่าขึ้นมาอีก ผมเลยโทรหาคอร์ทครับ ไม่รู้มันเรียนอยู่หรือเปล่า อายมากที่โทรหามัน
“คอร์ท เรียนอยู่รึเปล่า” ผมถามเมื่อคอร์ทรับโทรศัพท์
“เลิกแล้ว.....พี่อ่ะ”
“กำลังไปเช่าหนัง”
“อ่ะนะ.........พี่วันนี้เพื่อนชวนผมเล่นบอล” คอร์ทบอก
“อืมไปสิ วันนี้พี่ด้ายจะพาพี่ไปกินข้าวที่องค์พระเหมือนกัน” ผมบอกคอร์ทครับ
“ครับๆ”
“อืม งั้นแค่นี้นะ” ผมบอก ไม่รู้จะเอาเรื่องอะไรคุยกับมันแล้ว
“ครับๆ” แล้วผมก็วางหู

        5.30 ผมมานั่งรอท็อบที่หน้าร้านพัพ แอนด์ พาย โรงเรียนสาธิต มองเด็กนักเรียนผู้ชายหน้าตาดีเดินจูงมือเด็กนักเรียนผู้หญิงหน้าตาดี คู่แล้วคู่เล่า แล้วโทรศัพท์ผมก็ดังครับ พี่ด้ายโทรเข้ามา
“วิ.........พี่ไปสายนิดนะ ประมาณ 7.30 พอดีเด็กจะสอบ เลยขอให้พี่อยู่ติวน่ะ” พี่ด้ายโทรมาขอโทษล่วงหน้า
“ไม่เป็นไรพี่....งั้นวิไปเจอพี่ที่องค์พระเลยนะ พี่ได้ไม่ต้องวนรถหลายรอบ” ผมบอกพี่ด้าย
“อ้าว ไมอ่ะ พี่ไปรับได้” พี่ได้คงเกรงใจ
“วิมีนัดพอดีอ่ะพี่ ไม่เป็นไรหรอก แล้วเจอกัน”
“อ่อๆ” แล้วเราก็วางสาย
   แป๊บเดียวท็อบก็เดินเข้ามาครับ เสื้อซ้อมบาสสีน้ำเงินขาวแขนกุดดูเปียกเหงื่อ ผมเปียกเหมือน ท็อบเพิ่งเอาหัวไปจุ่มน้ำมา พาดผ้าซับเหงื่อไว้รอบคอ แล้วสะพายเป้ไว้ที่บ่าข้างซ้าย ผมจำได้ว่าผมเคยด่าท็อบเรื่องกลิ่นเหงื่ออย่างไร แต่ตอนนี้กลิ่นเหงื่อของท็อบเป็นสิ่งที่คุ้นเคย และทำให้ผมวาบหวามใจ เหมือนกลิ่นจากไรผมของคอร์ทครับ
“เหม่อ...อะไรอยู่ครับ” มันยิ้มแล้วถามผม รอยยิ้มมันน่ารักแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“มองท็อบน่ะ....ท็อบหล่อมากกรู้มั้ย” ผมบอกมันเขินตัวเองเหมือนกันเวลาที่ต้องบอกความคิดตัวเอง
“ในที่สุดวิก็ตกหลุมรักผมใช่มั้ยครับ” มันสรุป ผมได้แต่คิดในใจว่า ผมรู้ตัวว่ารักมันในวันที่สายเกินไป และพบมันในวันที่สายเกินไป
“ไป ไปกัน” แล้วผมก็จับมือเรียว กับแขนยาวๆ ที่มีกล้ามน้อยๆ เดินผ่านเข้าไปในวัง เพื่อเดินเลยไปที่สวนสัตว์สนามจันทร์

        สวนสัตว์สนามจันทร์เป็นสวนสัตว์เล็กๆ ที่สกปรกและไม่ถูกสุขลักษณะ ไม่ว่าจะสำหรับคนหรือสัตว์ ผมไม่เข้าใจทำไมทางราชการไม่ปิดสวนสัตว์นี้ไปเสียที ในสวนสัตว์มีพวกนก ไก่ป่า จระเข้ กวาง สัตว์เล็กๆ และมีดาวเด่นคือ หมีหมา 1 ตัวครับ ผมจูงมือท็อบไปที่หน้ากรงหมีหมา จับขอบราวแล้วมองลงไปที่หมีหมาตัวหนึ่ง ในกรงพื้นปูน แคบๆ ที่มีร่องน้ำกั้นไว้กับกำแพง อุจาระของมันกองเกลื่อนพื้น   
ท็อบมองลงไปเหมือนกันครับ คงอยากรู้ว่าผมจ้องมองอะไร ผมซึ้งใจมากครับ เลยเอนหัวซบอกมันไว้ ขอบคุณสวรรค์ที่มันตัวสูงกว่าผม ผมสูดกลิ่นเหงื่อของท็อบเข้ามาเต็มปอด ไม่สนใจว่าจะมีกลิ่นเต่ามันติดมาด้วยรึเปล่า แล้วโอบรอบเอวของท็อบไว้ ท็อบเองพอรู้สึกถึงสัมผัสผมก็เอาแขนมาโอบแนบตัวผม ผมไม่คิดว่าตอนนี้จะมีอะไรจะมาแยกอ้อมกอดของเราสองคนได้ แล้วน้ำตาผมก็ไหลครับ
“วิ ร้องไห้ทำไมครับ” ท็อบถาม เช็ดน้ำตาให้ผม และจูบผมที่หน้าผม
“วิสงสารหมีน่ะ มันอยู่ตัวเดียวในกรง ไม่มีใครเป็นเพื่อนเลย” น้ำตาผมไหลมากว่าเดิม ท็อบทำหน้าเหมือนเข้าใจแล้วลูบหลังปลอบผม
“....ผมรู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นวิแล้ว วิเป็นคนอ่อนโยนจริงๆ” แล้วมันก็จูบผมครับ
“เวลาวิร้องไห้ให้ใคร วิน่ารักมากเลยรู้ป่าว”
“อืม........” แล้วมันก็จูบผมต่อ มือของมันอยู่ไม่สุขครับ ลูบไปตั้งแต่แก้มผมจนกระทั้งไปวางไว้ที่ปั้นท้าย ตอนนี้ผมคิดว่าบรรดาเสือ สิง กระทิง แรด นก ไก่ หมี เก้ง กวาง คงจะอยากคำรามใส่ฟีโรโมนที่ผมและท็อบช่วยกันปล่อยออกมา
“เรามีอะไรกันครั้งแรกในสนามจันทร์นี่แหละ ใช่มั้ยวิ” ไอ้ท็อบล้อผม แต่ส่วนนั้นของมันที่แข็งอยู่ข้างล่างไม่ได้ล้อเล่นแน่ครับ ทิ่มผมไม่หยุด
“เฮ๊ยย...บ้า” ผมบอกแล้วทุบอกมัน หนักมือไปหน่อย
“โอ๊ยเบา เดี๋ยวผัวช้ำในตาย” ตอนนี้ 6 โมงกว่าฟ้าเริ่มมืด ผมก็คิดว่าหากผมกับมันยังยืนแลกจูบกันอยู่ตรงนี้ต่อไป น้องหมีคงได้เห็นฉากอัศจรรย์เป็นแน่ครับ
“ไปให้อาหารกวางกันเถอะ” ผมบอก ท็อบจูบผมต่ออีกหลายนาทีก่อนจะจูงมือผมไปซื้อผักบุ้งมาป้อนน้องกวาง

        เพื่อรอพี่ด้ายผมเลยพาท็อบเดินซื้อเสื้อที่ตลาดองค์พระ ผมซื้อเสื้อแขนกุดสีส้มกับสีขาวพิมพ์ลายกราฟฟิตี้ ให้ท็อบสองตัว
“ทำไม แขนกุดทั้งคู่เลยอ่ะ” มันเอาเสื้อออกมาดู แล้วถามผม ผมเลยบอกมันไปว่าผมชอบแขนยาวของมัน กับมือของมันอย่างไร
“โธ่ นึกว่าอยากแอบดูขนจักกะแร้ผม” มันล้อ ผมเลยตีหัวมันให้ครับ
“มือหนักจัง” มันบ่น
“ผมอยากซื้อเสื้อให้วิเหมือนกันนะ แต่ผมชอบวิตอนไม่ใส่เสื้อผ้ามากกว่า” มันยังปากดีเลยได้มือผมตีหัวไปอีกครั้ง ฮ่าๆๆ
   พี่ด้ายมาถึงก่อน 7.30 แล้วจอดรถไว้หน้า ตลาดองค์พระแล้วเดินเข้ามาหาพวกผม เนื่องจากไอ้ท็อบตื้อขออยู่ด้วย ไม่ยอมกลับหอ
“พี่ด้าย....นี่ท็อบ” ผมแนะนำครับ
“ท็อบนี่พี่ด้ายเป็นรุ่นพี่พี่ปี 1”
“สวัสดีครับครูด้าย” ไอ้ท็อบยกมือไหว้พี่ด้าย
“อ้าว...สวัสดีครับน้องท็อบ” ทักกันเสียงหวานเชียวเธอ รู้จักมันมาก่อนรึไง
“น้องท็อบ โตขึ้นมากเลย สูงมาก เล่นบาสโรงเรียนอยู่ใช่มั้ย” สองคนนี้รู้จักกันมาก่อน กูว่าละ โลกกลมเกินเหตุ
“ตอนพี่เป็นครูฝึกสอนที่โรงเรียนสาธิต พี่สอนสังคมน้องท็อบ ตอนนั้นอยู่ม.3 ใช่มั้ย”
“ครับๆ” แล้วเราก็ไปนั่งกินข้าวกัน
“น้องท็อบรู้จักวิได้ไง” คุณด้ายครับ จะถามมันเพื่ออะไร ค่อยไปถามน้องตอนอยู่กันสองคนสิ
“วิ แฟนผมครับ” กูว่าละมันไม่อายหรอก พี่ด้ายตาโตครับ แต่เขาก็คงเดาๆ ออกแต่แรกแล้ว
“อืม.....” ผมพยักหน้าตอบเมื่อพี่ด้ายหันมามองผม
“.....มันซับซ้อนน่ะ” ผมพึมพำ
“พี่นึกว่าน้องท็อบมีแฟนเป็นผู้หญิงซะอีก” พี่ด้ายบอก
“เคยมีอ่ะครับครู” ท็อบมันตอบขำ
“ทำไมมาคบกับวิมันได้ล่ะ” อย่าเข้าประเด็นเลยคุณพี่ พลีสสสส
“วิน่ารักมั้งครับ...ผมชอบตั้งแต่แรกเจอเลย” ถุย ตอบแบบนี้ใครก็ตอบได้ พอเหอะเลิกคุย
“แล้ววิก็ตลกอยู่ด้วยแล้วสบายใจ อ่อนโยนด้วยครับ ขี้แยด้วยผมเลยอยากคอยดูแล” โถ เด็กน้อยใครดูแลใคร แล้วเราก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนกินข้าวเสร็จ แถมต่อท้ายด้วยบัวลอยแต้จิ๋วเจ้าประจำอีก
“ท็อบกลับได้แล้วดึกมากแล้ว วิไปส่งขึ้นรถ” ผมบอกมันที่กำลังทำสายตาอ้อนวอนว่าทำไมผมไม่ไปค้างห้องมัน แต่มันคงไม่กล้าพูดครับ พี่ด้ายอยู่ด้วย
“สวัสดีครับครูด้าย”
“ครับ เจอกัน” แล้วท็อบก็ยกมือไว้พี่ด้ายแล้วจูงมือผม
“พี่ด้ายรอวิแป๊บนะ วิไปส่งน้องขึ้นรถก่อน” ผมหันหลังมาบอก
“อืมๆ”
ผมส่งท็อบขึ้นรถสองแถว ก่อนขึ้นมันโน้มตัวลงมาจูบผม ไม่สนสายตาใคร ผมจูบมันตอบแล้วน้ำตาก็ไหล
“รักวินะครับ” “รักนะ” เราพูดคำรักออกมาพร้อมกัน ผมเวียนหัวมาก เมื่อท็อบขึ้นรถไปแล้วผมรู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงกลับด้าน หัวผมหนักอึ้งเหมือนจะล้มลง ผมร้องไห้ประคองตัวไปจนถึงรถมอเตอรไซด์ของพี่ด้ายที่จอดไว้ แล้วโบกมือเรียกพี่ด้าย

        วันนี้ผมโกหกท็อบครึ่งหนึ่งครับ จริงๆ แล้วผมสงสารหมีตัวนั้นมาก และหมีตัวนั้นทำให้ผมนึกถึงท็อบในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ถูกทิ้งไว้ในกรงที่เรียกว่ารัก โดยไม่มีผม เหี่ยวเฉา เหงา และหมดความหวัง ผมจะขังท็อบไว้ได้อย่างไรล่ะครับ ทบทวนบทเรียนที่ผมเรียนมาวันนี้ แนวคิดเรื่องการละทิ้งคือทางออกครับ จุดจบจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เราทั้งคู่ แต่ผมจะปล่อยท็อบไปอย่างไร ผมรักมันมากขนาดนี้ ผมจะทำลายความรักของเราได้อย่างไรมันสวยงามมากขนาดนี้ ผมจะทำร้ายท็อบได้อย่างไรมันบริสุทธิ์ขนาดนี้ เหมือนสัตว์ป่าที่ไม่ได้มีพิษภัยกับใครแต่ต้องมาถูกจับใส่กรง ความรักของคนเราเป็นกรงใสๆ เหมือนกระจกครับ มันร้าวได้มันแตกได้ ผมคงต้องทุบมันแล้วปล่อยท็อบออกมาแม้เศษแก้วแตกจะกรีดทำร้ายใจผมเองเพียงใด แล้วผมก็อ้วกเอาความเสียใจทุกอย่างออกมาใต้ต้นไม้ตรงนั้นแหละครับ พี่ด้ายเดินมาใกล้ๆ มาลูบหลัง
“วิ เป็นอะไร” พี่ด้ายถาม
“พี่ด้าย วิเสียใจ วิอยากตาย” ผมบอกพี่ด้าย
“คนที่ทำรอยจูบไม่ใช่ท็อบใช่มั้ย”
“อืม”
“.............................................................”
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 22-10-2013 01:51:22
  :katai1: วิทั่วถึงมากค่ะ  ชักพูดไม่ออก
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-10-2013 02:02:59
จริงสิ  บางครั้ง  การละทิ้งคือทางออก  แม้มันจะดุใจดำและเลือดเย็นเป็นที่สุด


ปล. เขียนสนุกมาก

แต่จะดีกว่านี้  ถ้า ๑. มีรูปในท้องเรื่องตามแต่ละฉากมาลงประกอบด้วย
                      ๒. เวลาเปลี่ยนคนเล่าเรื่อง  ให้แยกกันด้วยสีตัวอักษรดีไหมคะ  จะได้ไม่งง
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 22-10-2013 17:47:46
อ่านเรื่องนี้แล้วขนลุก เพราะมันทำให้นึกถึงสมัยช่วงอ่านเรื่องชายรักชายใหม่ๆ และองค์ประกอบหลายอย่างก็ทำให้ดิฉันนึกถึงอดีต ภาษาสวย ตรง และจริงใจ สื่อออกมาอย่างที่รู้สึก กระแทกหัวใจมากๆ ตอนนี้เพิ่งอ่านจบตอน ๑๓ แต่ขอพักสายตาก่อน ไม่ไหว แก่แล้วอ่านมากปวดตา  :hao7:

ขอบคุณมากค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: minibusez ที่ 22-10-2013 18:19:34
เราชอบตัวตนของวิในบทแรกๆ
เหมือนจะมีทางออกสำหรับตัวเองในแบบที่เราคาดไม่ถึง
ยังไม่ได้อ่านบทที่ 15 เยยฮะ เม้มก่อนๆ  :กอด1: เป็นกำลังใจให้ครับผม - 3 -
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 22-10-2013 19:55:01
อ่านเรื่องนี้แล้วเพลินมาก ตามมาจากที่เจ้สองแนะนำไว้ ฮุๆ
เห็นภาพเลยในทุกสถานที่เพราะเป็นสาวนครปฐม! อ๊าก โลเกชั่นในเรื่องนี่มัน... ม.* ใช่ป่ะ สมัยก่อนๆ เขาว่าตัวเหี้ยเยอะมากกก รร. เราก็มีเพ่นพ่านบ้างนะ โดยเฉพาะคลองเจดีย์บูชา ฮ่าๆ บัวลอยแต้จิ๋วก็เคยกินตอนเล็กๆ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามันชื่อนี้

ส่วนเนื้อเรื่อง บ่งบอกถึงความสับสน ไม่ชัดเจน และความแก่ตัวของ ผช. แต่ละคน (หรือเฉพาะวิ) อยากจะพูดให้ดูดีกว่านี้แต่ทำไม่ได้น่ะ มุมมองเราแย่นะ แต่เคารพในการเลือกของวิ ในเรื่อง sex ก็เหมือนแค่สนองความต้องการทั้งสองฝ่าย แต่เราชอบที่วิแคร์ความรู้สึกคนอื่น และร้องไห้เมื่อทำคนอื่นเสียใจ

แอบคิดว่าเรื่อง sex นี่หลายคนจนกลัวจะเป็นเหมือนจุดจบของลำยองจังเลย หวังว่าวิจะเลิกนะ...
รอนะคะ ตอนต่อไป ติดแล้วละ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-10-2013 23:48:43
สนุกครับ เพิ่งอ่านไปแค่แรกๆ ก็ชอบเลย ชอบภาษา ชอบการเล่า ชอบการเปรียบเปรย ชอบทุกอย่าง ติดนิดเดียวอ่านยากไปหน่อย แต่เห็นพี่ๆ เค้าแนะนำแล้ว ให้กำลังใจนะครับ ผมไม่ค่อยได้อ่านเรื่องของใครซะด้วย เจอถูกใจยาก แต่เรื่องนี้ได้เลยอะ เดี๋ยวช่วยโปรโมท เอิ๊กๆๆ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: บ๊ายบายโพ ที่ 23-10-2013 01:38:19
งงการกระทำพี่วิอ่ะ เหมือนรู้ว่าไม่ควรทำแต่พอเอาเข้าจริงก็ตามใจตัวเองทุกครั้งเลย เดาไม่ถูกจริงๆว่าสุดท้ายจะลงเอยกับใคร :ling2:
แต่ก็ชอบนะ คือเราอ่านไปเหมือนได้มุมมองมอเมื่อสมัยก่อนด้วย :กอด1: ตอนนี้โรงอาหารศึกษาก็ไม่มีละ5555
แต่ตอนที่พี่วิเล่าเรื่องผีนี่เรื่องจริงป่าวอ่ะ พยายามอ่านข้ามๆเรื่องตำนานผีไปเพราะกลัวมาก5555 แต่เห็นด้วยนะว่าเด็กสาธิตอ่ะน่ารักกรุบกริบ :L2:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 23-10-2013 09:17:43
ถึงผู้อ่านทุกท่านครับ
     ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณมากครับที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ เพราะผมคิดว่าการเล่าเรื่องของตัวเองค่อนข้างสับสน (บางครั้ง) และขอบคุณกับการวิพากษ์วิจารณ์ครับ ในฐานะคนเรียนอักษรศาสตร์ การวิพากษ์วิจารณ์งานของผมในฐานะวรรณกรรมเป็นเรื่องที่ดีครับ โดยเฉพาะวิ (ตัวละครที่ผมยกชื่อ (ฉายา) ของผมให้ใช้) ที่มีคนสงสาร และตอนนี้เริ่มมีคนเกลียดแล้ว  ผมเขียนเรื่องนี้โดยระวังตลอดเวลาที่จะไม่ให้มันกลายเป็นเรื่องดราม่า หรือน่าเบื่อ หรือกลายเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จนมองไม่เห็นโลกที่ดำรงอยู่รอบตัวละคร นอกจากนี้ผมจะพยายามศึกษาวิธีการลงรูปผ่านลิ้งค์ตามที่คุณ Poes แนะนำ เพราะผมค่อนข้าง low tech มากครับ และผมขอเปลี่ยนสีเนื้อเรื่องตามคนเล่าตามคำแนะนำของคุณ oaw_eang ครับ
ตอนที่วิเล่า     จะใช้ตัวหนังสือ สีม่วง
ตอนที่โย๊ปเล่า จะใช้ตัวหนังสือ สีเลือดนก

ปล. ขอบคุณทุกคำชมที่เป็นกำลังใจนะครับ และแอบดีใจที่มีชาวนครปฐม และรุ่นน้องเข้ามาเม้นท์ ได้บรรยากาศของฉากในท้องเรื่องมากเลยครับ

หวังว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จะเพิ่มความสะดวก และอรรถรสแก่ผู้อ่านทุกคนครับ
ขอบคุณครับ
"วิ"
..............................................................................


15(7) But Only Love Can Say (เปิดโอกาส...เปิดใจ)
   
       เช้าวันศุกร์ผมตื่นเช้าทั้งๆ ที่คิดว่าอยากจะตื่นสาย รู้สึกดีนิดๆ ที่ได้มานอนบนเตียงของตัวเองบ้าง ฮ่าๆ
“พี่ไปกินข้าวกันป่าว เดียวทรีจะกลับบ้าน” ทรีชวนผมตอนที่มันกลับมาจากห้องอาบน้ำ ผมบอกแล้วแป๊บเดียวมันก็หายโกรธผม
“อืม ไปๆ” ผมตอบแล้วรีบวิ่งไปเข้าห้องอาบน้ำ และไม่นานผม ไอ้ทรี แน่นอนเพื่อนมันอีก 3 คนด้วย ก็มานั่งกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหารคณะศึกษาฯ
“พรุ่งนี้ดูแลตัวเองด้วยล่ะพี่” ไอ้ทรีสั่งเพราะรู้ว่าพรุ่งนี้ผมต้องไปม็อบพันธมิตร
“อืม กูไม่ตายหรอก” ผมว่ามัน
“ครับๆ” สักพักพอกินเสร็จไอ้ทรีก็ปั่นจักรยานไปขึ้นรถกลับบ้านที่หน้ามหาลัยครับ ผมไม่รู้จะทำอะไรเลยกลับขึ้นไปดูหนังที่เช่ามาเมื่อวานบนห้องครับ เรื่อง เดอะ โร๊ค (จระเข้อะไรสักอย่าง จำชื่อภาษาไทยไม่ได้ครับ) โดยมีไอ้โย๊ปมานั่งดูด้วย
“พี่คืนดีกับไอ้คอร์ทแล้วเหรอ” อยู่ๆ มันก็ถามขึ้นมา
“อืม....” ผมไม่รู้จะตอบมันอย่างไร กลัวมันถามต่อ
“ดูพี่รักมันมากเลยนะ” มันถามต่อจริงๆ
“อืม...”  แล้วโทรศัพท์ผมดังขึ้น คอร์ทโทรเข้ามา
“ว่าไง” ผมตอบแล้วก็ยิ้ม
“พี่ทำไรอยู่” มันถาม
“ดูหนังที่ห้อง วันนี้ไม่มีเรียน”
“อ่อๆ เดี๋ยวเที่ยงผมไปหา แล้วค่อยออกไปกินข้าวกัน” มันบอก
“โอเค” แล้วเราก็วางสาย ไอ้โย๊ปมองผมแบบ สงสัยอะไรสักอย่าง
“อะไร” ผมเลยถามมัน
“เปล่าครับ”

     เราดูหนังกันต่อไปจนเกือบเที่ยง แล้วคอร์ทก็มาหาผมที่ห้องครับ แปลกใจเหมือนกัน อยู่ๆ มันก็มาที่ห้องผม แต่ก็ดีใจครับ
“อ้าว...ดูหนังกันเหรอ” คอร์ททักผมกับไอ้โย๊ป
“เออ” ไอ้โย๊ปตอบเพื่อนมัน
“หายไปเลยนะมึงอ่ะ...ถ้าไม่ได้พี่เขามึงคงไม่กลับมาหาเพื่อนใช่มั้ย” มันล้อจนไอ้คอร์ทหน้าแดง แต่ผมไวกว่า ตีหัวมันครับ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง
“โอ๊ยย....555”
“พี่อยู่กับไอ้คอร์ท 2 คนแล้วกัน ผมไปอาบน้ำละ” แล้วโย๊ปมันก็เดินออกไป เหลือเราแค่ 2 คนแล้ว ผมมองหน้าคอร์ทที่อยู่ในชุดนักศึกษาและเนคไทสีเขียวเวอริเดียน มันหล่อมากครับ ผมเลยถอดเสื้อยืดตัวเอง เดินเข้าไปหาแล้วซุกหน้าไปที่ซอกคอของมัน แล้วเราก็จูบกันครับ
“พี่.....เสื้อยับ” มันบอกทันทีที่ปากว่างครับ
“จะถอดมั้ยล่ะครับ” ผมล้อมัน แต่เอาจริง
“......อืม” ผมรู้คำตอบอยู่แล้วครับ เพราะส่วนนั้นของมันแข็งดันกับของผมมาสักพักแล้ว ผมช่วยคอร์ทถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วใช้ปากให้กับมันครับ เลียมันทั้งตัวเหมือนเดิม คอร์ทน่ารักมาก ผมเลยพลักมันหันหลังเข้ากับโต๊ะทำงานผมแล้ว ก้มลงไปเลียก้นมันแบบเดียวกับที่ท็อบเคยทำให้ผม อยากรู้เหมือนกันว่าเวลาคนเป็นรุกเขาทำแล้วรู้สึกอย่างไร
“อ่า.........พี่ อย่า” คอร์ทครางเลยครับ แต่มันไม่ได้ขัดขืนอะไร ผมเลยทำจนพอใจ แล้วลุกขึ้นยืน ถอดกางเกงตัวเอง กอดมันจากข้างหลัง
“คอร์ท พี่ทำนะครับ” ผมบอกมันที่ตอนนี้หน้าแดงมาก แล้วกำลังพยักหน้าตอบรับคำขอของผม ผมเลยจับส่วนนั้นของผม ใส่เข้าไปในตัวมัน มีความสุขจริงๆ ครับ เวลาที่ส่วนนั้นของผมอยู่ในตัวมัน
“อ่า.......” คอร์ทเริ่มครางดัง ผมเลยจับหน้ามันหันมาจูบปากไว้ เราจูบกันไป พร้อมๆ กับที่ผมกระแทกเอวใส่มันไปด้วยครับ ความสุขตอนนี้ทำให้ผมขาดสติ ผมเอามือปัดหนังสือบนโต๊ะจนหล่นกระจายเต็มพื้นห้อง อุ้มคอร์ทไปไว้บนโต๊ะไม้ ยกขาสองข้างมันพาดป่า แล้วเราก็ทำกันต่อบนโต๊ะไม้ซึ่งส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด สอดรับกับเสียงเนื้อเราสองคนกระแทกกัน คราวนี้คอร์ททนไม่ไหวครับ มันชักว่าวไปด้วย
“อ่า....พี่ อ่า” มันครางชื่อผมพร้อมๆ กับเพิ่มแรงมือที่ยึดแผ่นหลังผมไว้  ผมเลยเร่งแรงกระแทกครับ
“อ๊ากก....” คอร์ทกรี๊ดแล้วระเบิดน้ำเชื้อสีขาวขุ่นเต็มหน้าท้องและอีกผม มันพุ่งไหลออกมาเป็นสาย อุ่นและร้อน ผมเลยเอามือป้ายน้ำเชื้อเหล่านั้นขึ้นมากิน ต้องการทุกอย่างของมัน ผมกระแทกอีกแป๊บเดียวก็แตกใส่ตัวมันไป แต่ไม่ยอมเอาควxx ออกมา
   ฝรั่งมีมีคำพูดไว้ครับว่า เซ็กส์กับหนังสือนั้นเหมือนกัน ตรงที่มันทำให้คนเราหลุดลอยออกจากโลกที่เราอยู่ไปสู่ดินแดนจินตนาการแห่งความหฤหรรษ์ แม้เพียงชั่วขณะ และผมก็รู้สึกล่องลอยจริงๆ  เหมือนอยู่บนปุยเมฆ เหมือนอยู่กลางเกลียวคลื่น เหมือนกลิ้งอยู่บนทุ่งหญ้า แต่ผมอยู่บนตัวคอร์ทครับ
“ผมเสร็จพี่อีกแล้ว” คอร์ทประท้วงแล้วจูบผม ผมจูบตอบไม่ได้ว่าอะไร
“งั้นขอพี่อีกรอบนะครับ เมียพี่” คอร์ทหน้าแดง ไม่เถียงอะไร ผมจัดน้องต่อนานมากครับจนรู้สึกว่าคอร์ทหมดแรง กล้ามเนื้อหูรูดคลายตัวออกมาก ผมเลยช่วยมันด้วยการจับควxxมันชักว่าว มันแตกอีกครั้งบนที่นอนผม แล้วผมก็ตามมันไปสู่ดินแดนจินตนาการ เรากอดกันบนเตียงแคบๆ ขนาด 3 ฟุตของผม เหมือนเดิม มันหันหลังให้ผมโดยที่ผมไม่ยอมถอนออกมา ใส่ไว้อย่างนั้นรอให้มันหลุดเองแล้วเราก็นอนหลับโดยที่เปลือยเปล่าครับ

       ผมหลับได้ไม่นอนคอร์ทก็ปลุกผมขึ้นมาครับ เพราะมันต้องมีเรียนบ่ายต่อ แถมบ่นอีก
“เฮ๊ย....ผมสายแล้วพี่ เข้าเรียนบ่ายครึ่ง ข้าวยังไม่ได้กินเลย” มันดูวุ่นวายมากครับ
“คอร์ทรีบแต่งตัว เดี๋ยวพี่ลงไปซื้อนมกับขนมข้างล่างให้”
“ครับๆ” แล้วผมก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปซื้อของรองท้องให้คอร์ท ไม่นานคอร์ทก็ลงตามมาที่หน้าหอ
“โห่ พี่อ่ะทำเยอะ เย็นนี้ผมต้องเล่นบอลด้วยนะ” มันบ่นไปกินนมไป
“อืม” ผมบอกมัน
“พี่กลับวันอาทิตย์เย็นใช่มั้ย” มันถามผมเรื่องไปม็อบพันธมิตร
“อืม.....ทำไมเหรอ”
“ป่าวครับ กลับมาแล้วโทรหาผมด้วยแล้วกัน....ผมไปเรียนแล้วนะ”
“โอเค” แล้วคอร์ทก็ขี่เวสป้าไปทางเกาะนกครับ 
ผมเดินกลับขึ้นห้องเพื่อจะจัดของไปหรุ่งนี้ ผมแชร์ค่าโรงแรมกับเพื่อนอีก 4 คนไว้แล้ว พรุ่งนี้เราคงเข้าไปที่ม็อบช่วงบ่าย ส่วนก่อนหน้านั้นเพื่อนๆ ผมอยากไปเที่ยวแพลตตินัมครับ และระหว่างที่ผมกำลังจัดของตูนก็โทรเข้ามา ผมละอยากให้เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาคอร์ทมันเป็นฝ่ายทำผมจังเลยครับ เพราะคอร์ทชอบทิ้งรอยจูบเวลามันทำ มันแอบมีอารมณ์รุนแรง ตัวผมจะได้มีรอยจูบให้ไอ้ตูนรังเกียจเล่น
“อืม...ว่าไง” ผมรับโทรศัพท์ไอ้ตูน
“วิเย็นนี้ผมรับวิไปกรุงเทพนะ” มันมาตรงประเด็นมากครับ
“มารับทำไมเย็นนี้ ไปพรุ่งนี้” ผมท้วงมัน
“อ้าวก็วิจะไปม็อบพันธมิตรฯ พรุ่งนี้นิ มาค้างที่กรุงเทพจะได้ไม่ลำบากเดินทาง” มันบอกเหตุผลไว้แล้ว
“วินัดเพื่อนไว้แล้ว” ผมพยายามปฏิเสธ
“น่าวิ...ผมว่าจะไปม็อบด้วย ถ้าวิไม่ไปพร้อมผม ผมคงเดินตามทาวิทั้งวันแน่” มึงเดินไปเหอะเพื่อนกูชวนไปแพลตตินัมตอนเช้าเว้ย
“....วิ” แล้วผมก็สงสารมันครับ จะปล่อยมันไปเดินคนเดียวในม็อบ ไม่รู้จักใครเลยก็กะไรอยู่ แต่ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ปิดบัญชีกับตูนซะเลยตอนที่เรามีเวลาคุยกัน
“อืม....จะมารับกี่โมงอ่ะ” ผมถามมัน
“6.00 นะ ผมขอเคลียร์งานกับเพื่อนก่อน”
“อืม” แล้วผมก็วางสาย พร้อมกับโทรไปบอกเพื่อนว่าขอเดินทางไปเอง แล้วค่อยเจอกันที่หน้าสำนักงานสหประชาชาติ (UN) ตอนบ่าย 2 ครึ่ง

   ผมแต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์เพื่อให้สะดวกกับการเดินทาง แล้วลงมารอไอ้ตูนตอน 5.55 ที่หน้าหอ ดีครับที่ตูนมันค่อนข้างเป็นคนตรงเวลา เมื่อ 6.00 ฟ้าเริ่มมืด รถเก๋งสีขาวก้มาจอดอยู่หน้าผม ด้วยความคุ้นเคย ผมเปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วกระโดดเข้าไป
“.......................”
“เหมือนนานเลยนะที่เราไม่ได้นั่งรถด้วยกันสองคนแบบนี้” ตูนพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
“.......อืม” ผมไม่รู้จะตอบมันว่าอย่างไรดี
“หึหึ......ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น” มันบอกผมแล้วเอามือซ้ายเอื้อมมากุมมือผม
“จับพวงมาลัย 2 มือเถอะ ตาก็ดูถนนด้วย” ผมประชดมัน
“5555...วินี่เหมือนเดิมจริงๆ ” เฮ้อ....ตูนมันก็ยังเหมือนเดิมจริงๆ ครับ
“คิดยังไงจะไปม็อบพันธมิตร” ผมถามมันครับ สงสัยในใจว่าที่จริงแล้วมันน่าจะมีจุดหมายอื่น หากคิดเข้าข้างตัวเองอีกนิด จุดหมายอื่นนั้นคงไม่พ้นเรื่องผม
“ผมเก็บวิชาปรัชญาการเมืองนะครับ...เทอมหน้าก็จะลงวิชาสังคมวิทยาแล้ว” หึหึ คิดว่ากูเชื่อเหรอ แต่ผมไม่ได้เถียงมันหรอกครับ แล้วตูนก็เปิดเพลงฟัง

ตูนขับรถมาจนถึงแถวตลิ่งชันแล้วครับ แต่มันกลับจับตรงไปแทนที่จะเลี้ยวขวาเข้าทางสะพานปิ่นเกล้า เพื่อข้ามไปฝั่งมัฆวาน แต่ผมรู้ว่าเราไม่ได้ไปที่ม็อบกันวันนี้เลยไม่ได้เอะใจ
“แล้วจะพักที่ไหนล่ะ” ผมถามมันเมื่อตอนนี้เราข้ามสะพานซังฮี้มาแล้ว
“บ้านผม....อยากให้วิไปเห็นว่าผมอยู่ยังไง” มันตอบแบบนี้ทำผมใจไม่ดี ไม่ชอบยุ่งเรื่องครอบครัวใคร เพราะเรื่องครอบครัวตัวเองก็ยังเอาไม่รอด
อีกประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากผ่ารถติดของกรุงเทพ ตูนเลี้ยวรถเข้าซอยลาดพร้าว 71 เป็นซอยกว้างมากๆ ครับ แล้วก็เลี้ยวเข้าหมู่บ้านจัดสรร บ้านกลางเมืองอะไรสักอย่าง เมื่อผ่านป้อมยามเข้ามา ตูน จอดรถหน้าประตูบ้านแล้วลงไปกดกริ่ง สักแป๊บเดียวก็มีผู้หญิงวัยกลางคืนรีบวิ่งมาเปิดประตูให้ครับ ลักษณะการกระทำที่ตอบรับกับการกดกริ่งของไอ้ตูน บวกกับเสื้อยืดเก่าๆ ที่สวมใส่นั้น ไม่ต้องเป็นนักสังคมวิทยาก็รู้ครับว่าเธอเป็นแม่บ้าน (พยายามจะหลีกเลี่ยงคำว่าคนรับใช้) ท่าทางบ้านไอ้ตูนจะรวยจริง
“น้องตูนทานอะไรรึยังคะ” แม่บ้านทักเมื่อเราลงจากรถ
“ยังครับ เรามีอะไรกินมั่งครับ” ไอ้ตูนถามกลับ
“รอหน่อยได้มั้ยคะเดี๋ยวพี่เข้าครัวไปทำให้”
“ครับๆ” มันตอบเหมือนไม่ใส่ใจอะไร
“นี่เพื่อนผมนะครับ ชื่อวิ ให้นอนกับผม พี่ไม่ต้องจัดห้องใหม่” แล้วมันก็พาผมมาที่ห้องนั่งเล่นบนโซฟาตัวใหญ่ แบบที่มักจะมีในละคร ส่วนพี่แม่บ้านแยกตัวออกไปทำกับข้าวให้เรากิน
“วิ ผมโทรศัพท์คุยกับพ่อก่อนนะ รอเดี๋ยว” แล้วมันก็เดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่ห้องอื่น ผมไม่รู้จะทำอะไรก็ได้แต่นั่งรอมันเฉยๆ อีกประมาณ 5 นาทีไอ้ตูนก็เดินกลับเข้ามาหน้าบาน
“วิรู้มัยพอผมบอกพ่อว่าจะไปม็อบพันธมิตรกับเพื่อน พ่อบอกจะโอนเงินมาให้ผมเพิ่มอีกตั้งหมื่นนึงแน่ะ บอกฝากไปบริจาคม็อบ 5 พันด้วย” ให้เอาไปทำอะไรตั้งหมื่นหนึ่งผมคิดในใจ
“แล้วพ่อไปไหนล่ะ” ผมถาม
“พ่อผมเป็นนักบินเอกชนน่ะ ไม่ค่อยได้อยู่ที่บ้านหรอก แม่ผมก็เสียมา 5 ปีแล้ว” มันบอกครบเลย
“อืม...พ่อวิก็ตายมาสิบกว่าปีแล้ว” ผมบอกมัน
“ครับ”
“...............................”
“วิหิวน้ำอ่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ตูนเลยพาผมเดินไปที่ครัวครับ แล้วหยิบน้ำออกมากินกัน พี่แม่บ้านกำลังยุ่งอยู่หลายอย่าง ผมเลยอดไม่ได้ที่จะถาม
“พี่ทำอะไรบ้างครับ”
“ไข่เจียวหมูสับ ต้มยำ แล้วก็ผัดผักค่ะ พอทานได้มั้ยคะ”
“ได้ครับ เกรงใจจัง”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ผมเองด้วยนิสัยของคนที่เรียนสังคมวิทยา เลยชวนพี่แม่บ้าน หรือพี่แหววคุยไปเรื่อยเปื่อยครับ พี่เขาเป็นคนสุรินทร์ ตอนแรกเข้ามาทำงานโรงงาน แต่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงสุดท้ายเลยสมัครเป็นแม่บ้าน ทำงานที่บ้านไอ้ตูนก่อนแม่ไอ้ตูนตายแค่ 2 ปี  นอกจากนั้นผมก็ถามเรื่องทัศนคติทั่วไปกับการที่พี่เขามาทำงานในกรุงเทพ คิดถึงบ้านมั้ย กลับบ้านบ่อยหรือเปล่า แล้วผมก็อดไม่ได้ครับที่จะเข้าไปยุ่งกับการทำกับข้าวของพี่แหวว
“ตูนมาทำไข่เจียวกัน” ผมชวนรูปปั้นหินที่นั่งมองผมกับพี่แหววคุยกันนานสองนาน
“เฮ๊ย....วิใส่อะไรลงไปในไข่เจียวมั้งอ่ะ เต็มไปหมดเลย” มันบอกตอนเจียวไข่ครับ
“เอาไว้เซอร์ไพร้ส์ตอนกัดโดนแล้วกัน” ผมบอกมัน ผมรอจนน้ำมันร้อนก็เทไข่ใส่ลงไปครับ พี่แหววก็ไปจัดการเตรียมจานข้าวและน้ำ ผมไม่ได้ทำกับข้าวเองนานมากแล้วครับตั้งแต่ออกจากบ้านมา ไข่เลยดำไปนิดหนึ่ง ฮ่าๆ
“พี่แหววกินข้าวรึยัง” ผมถามตอนพี่แหววขอตัวกลับไปห้อง
“พี่กินตั้งแต่หัวค่ำแล้วค่า...” ตอนนี้แกไม่สนจะซ่อนสำเนียงอีสานแล้วครับ
“พี่ไปนอนก่อนนะคะ เชิญตามสบายค่ะ” แล้วเขาก็ออกไป แล้วผมก็หันหน้ากลับมามองที่ตูนครับ เรานั่งบนโต๊ะกินข้ามฝั่งตรงข้าม และหันหน้าเข้าหากัน
“......................................................”
“อะไร” ผมถามเมื่อมันจ้องผมเคี้ยวนานไป
“เปล่าๆ...” มันรีบตอบ
“วิรู้มั้ยผมรู้จักพี่แหววมาตั้งหลายปี ผมไม่เคยรู้เรื่องที่บ้านพี่แหววเลยจนกระทั่งวันนี้” มันบอก
“อืม....ก็ไม่ถามเขานิ” ผมตอบมันไป
“เปิดโอกาสให้คนอื่นได้เล่าเรื่องตัวเขาออกมา ได้บอกว่าเขาคิดยังไง” ผมสอนทักษะการสัมภาษณ์ให้ไอ้ตูนครับ
“อ่ะนะ.......วิยังไม่เคยเปิดโอกาสให้หัวใจตัวเองได้พิสูจน์เลยว่าดีพอสำหรับทุกคน” มันมามุกนี้ผมก็อึ้งสิครับ เวียนหัว
“ไม่ใช่ว่าไม่มีใครชอบวินะ ผมว่าคนชอบวิอ่ะเยอะมากมาย วิแค่ไม่เคยลองเปิดใจ”
“.............................................” ผมเลยรีบกินต่อจนเสร็จครับ ไอ้ตูนบอกว่าไม่ต้องล้างจาน เดียวพี่แหววทำเอง ผมก็โอเคครับ ปกติก็ไม่ชอบล้างจานไม่ชอบทำงานบ้านอยู่แล้ว (เป็นนิสัยเสียสุดๆ)

        เราเดินขึ้นไปบนชั้นสองเข้าห้องนอนของตูนครับ คล้ายกับห้องที่มันเช่าอยู่นะ เป็นโทนสีขาว มีเฟอร์นิเจอร์แบบเข้าชุด มีทีวี มีเกม แต่ห้องไม่มีห้องน้ำในตัว ต้องออกไปเข้าตรงทางเดิน ผมวางของแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง เดินทางเหนื่อยเหมือนกัน
“ไปวิ...อาบน้ำกัน” ตูนชวน ผมอึ้งครับ ไม่ใช่ว่าไม่เคยอาบน้ำพร้อมมัน แต่หลังจากที่มันด่าผมว่าไปเอากับกุ๊ยมา ผมไม่คิดว่ามันจะมีความต้องการอะไรจากร่างกายผมอีก
“ไม่เอา” ผมปฏิเสธ มันเลยกึ่งจูงกึ่งลากผมไปที่ห้องน้ำ แล้วผมก็ต้องยอมตามมันไป ห้องน้ำมันใหญ่โตดีครับ แยกเป็นส่วนๆ ชักโครก ที่ล้างหน้า และอ่างอาบน้ำตอนนี้ตูนกำลังเปิดน้ำแล้วเทโฟมใส่ลงไป แล้วมันก็ถอดเสื้อโชว์ สาหร่าย แหวะ ผมไม่กล้าทอดเสื้อต่อหน้ามันเลยครับ กลัวมันเห็นรอยที่เหลืออยู่ และกลัวมันคิดด้วยว่าผมอยากจะมีอะไรกับมัน ผมคิดว่ามันคงไม่ว่าอะไรหรอกถ้าผมอยากจะมีอะไรกับมัน แต่ตอนนี้มันคงรังเกียจร่างกายผมมากครับ หรือผมอาจจะคิดมากไป
“ถอดเสื้อผ้าลงอ่างได้แล้ว” มันบอกผม ผมเลยรีบถอดรีบลงอ่าง โชคดีจังที่โฟมฟูลอยเป็นฟองเต็มไปหมด มันมองไม่เห็นตัวผมแน่ครับ แล้วมันก็ลงมาด้วยแบบที่ผมคิด เรานั่งหันหน้าเข้าหากัน นั่นหมายความว่า ขาของเราต้องวางได้ที่หว่างขอของอีกคนหนึ่ง ผมต้องตั้งสมาธิมากครับที่จะมองร่างกายของมันแล้วไม่มีอารมณ์ให้มันรู้ตัว
“......................”
“เฮ้อ...............” ตูนถอนหายใจยาว
“วิเกร็งมากนะ” มันบอก
“อืม.....” ผมยอมรับ
“วิคงรักคนนั้นใช่มั้ยครับ”
“อืม.......”
“หึหึ” ไม่รู้หัวเราะทำไม
“ถ้าผมไม่ได้เป็นเดือนคณะ วิคงให้โอกาสผมได้ใช่มั้ย วิคงรักผมได้ใช่มั้ยครับ” มันถามอะไรที่จี้ใจดำ
“อืม.........”
“วิเป็นคนที่บอกผมอย่ายึดติดกับเรื่องหน้าตา ชื่อเสียง แต่วิเองก็ยังไม่ยอมมองข้ามมัน” เข้าเรื่องอีกแล้ว
“ถ้ายังงั้น...ตูนกล้าบอกคนทั้งคณะมั้ยว่าเราเป็นแฟนกัน กล้ามั้ยที่ต้องจูงมือวิไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะ” ผมเริ่มบ้างครับ
“วิเป็นคนแสดงออกนะถ้ารักใคร วิไม่แคร์ด้วยว่าโลกจะมองเรายังไง ของๆ วิ คนของวิ....วิก็อยากให้คนอื่นได้รู้” ส่วนหนึ่งของรักคือการครอบครอง หรือการแสดงความเป็นเจ้าของ ตามหลักจิตวิทยาครับ
“................................ผมอาจต้องใช้เวลา” ตูนบอกออกมา ผมไม่ว่าอะไรมันหรอก
“ตูนมีเวลาเท่าที่ตูนต้องการนั่นแหละโอกาสของตูน...แต่ตูนไม่พร้อมหรอก แถมไม่มีความจำเป็นที่         ตูนต้องทำแบบนี้ด้วย ไม่ใช่วิที่ตูนต้องการหรอก เพื่อนๆ ต่างหาก...ปีหน้าวิก็จะหายไปจากชีวิตตูนแล้ว แต่เพื่อนๆ ยังต้องอยู่กับตูนต่อไปอีก อย่าเอานาคตตัวเองมาทิ้ง” ผมเริ่มละครับ
“อะไรที่ทำไปแล้วมันก็คือทำไปแล้ว ย้อนกลับไปเปลี่ยนอดีตไม่ได้หรอกนะ หยุดแค่ตรงนี้เหอะตูน แค่ที่ตูนทำให้มา แค่นี้วิก็รู้สึกดีแล้ว” และสิ่งที่ผมบอกไปคือสิ่งที่ผมต้องการจากมัน เป็นครั้งสุดท้ายครับ ให้เราจบกัน ส่วนตูนเมื่อฟังแล้วก็นิ่งไปไม่พูดอะไร

        ผมดึงสายฝักบัวมาล้างตัวเราสองคนพร้อมๆ กับน้ำสบู่ที่ค่อยๆ ถูกปล่อยให้ไหลออกไปจากอ่าง แล้วผมก็เริ่มร้องไห้
“.....วิรู้ที่ผ่านมา วิทำตัวแย่มาตลอด” ผมบอกมันขณะที่ล้างตัวให้มัน มือสัมผัสหน้าอกที่ผมเคยซุกตัวนอน สัมผัสแขนที่เคยกอดผม
“วิไม่เคยใส่ใจตูน เพราะคิดว่าคนแบบตูนมีคนเป็นร้อยที่คอยใส่ใจ มันกลับกันใช่มั้ยวันนี้ที่ตูนเป็นคนดีแค่ไหน แล้ววิเป็นคนเลวแค่ไหน” และตูนก็อ่อนโยนมากครับที่อุตส่าห์เอามือมาเช็ดน้ำตาแล้วประคองหน้าผมไว้แม้จะไม่มีคำพูดอะไรเลย

     ผมออกจากห้องน้ำตาแดงจากการร้องไห้ หลังจากนั้นก็รีบนอนลงบนเตียงของตูนเพราะผมรู้สึกเวียนหัวมาก มันมานอนข้างๆ ครับ เราอยู่ใต้ผ้าห่มเดียวกันเหมือนเดิม แต่นอนนี้เหมือนมีอะไรสักอย่างมากั้นเราไว้ สักพักตูนก็มากุมมือผมไว้ มือที่อุ่นและแข็งแรง และสักพักตูนก็กอดผมจากด้านหลัง กอดที่ผมคุ้นเคย คนๆ นี้ต้องการโอกาสครับ โอกาสที่จะลืมผม แล้วก้าวต่อไป ผมเชื่อว่าทุกสิ่งรอตูนอยู่แล้วข้างหน้า อนาคต การชื่นชม ชื่อเสียง ความสำเร็จ เหมือนพระจันทร์ที่มีผมเป็นแค่เงาดำจากโลกพาดทับเอาไว้
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-10-2013 10:37:32
เหยดดดดด ดะรามาม่ามากกก เคลียร์ไปแล้วหนึ่ง เหลืออีกสอง แต่ถ้าใช้ตรรกะเดียวกัน วิก็จะคบใครไม่ได้เลยนะเพราะจะจบแล้ว ต้องทิ้งทุกคนไว้กับอนาคตของพวกเขาเองทั้งนั้น แบบนี้คงต้องดูละว่า ใจวิแม่งรักใครที่สุด (แต่เหมือนจะรู้อยู่แล้วเลยแฮะ)

หน่วงๆ แน่นๆ กำลังดี ชอบ!

ปล. แนะนำให้เคาะเว้น enter มากขึ้นจะได้ไม่แน่นไปครับ เช่น enter ทุกย่อหน้า และ enter ทุกสิ้นบทพูด จะได้ไม่งง และอันไหนคนเดียวกันพูด ไม่ต้องแยกบรรทัดครับ อันไหนคนละคนก็แยกซะ เช่น
อ้างถึง
“วิ....ไม่รู้” ผมเบือนหน้าหนีมันครับ

“ผมรู้เราไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ผมชอบวินะ ผมคิดว่าวิก็ชอบผม.....ทำไม” มันดูเริ่มโมโหมากขึ้น

“ตูนยิ่งยุ่งกับวิน่ะ มันจะมีแต่ฉุดตูนลงต่ำนะ....” สุดท้ายผมก็บอกสิ่งที่ผมคิดกับมันไป

“ตูนเป็นเดือนนะ ตูนเป็นคนพิเศษ....ต่างจากวิมากเลย” ผมบอก

“วิ....วิคิดว่าวิธรรมดาเหรอ วิเคยรู้ตัวมั้ยเวลาวิพูดมีคนกี่คนที่หยุดฟังแล้วหันมามองวิ” มันตอบด้วยสิ่งที่ทำให้ผมตกใจครับ “วิบอกว่าวิหน้าตาไม่ดี วิรู้มั้ยมีคนกี่คนที่แอบมองวิ กี่คนที่อิจฉาความสามารถของวิ อีกอย่างเมื่อก่อนตอนเราเจอกันครั้งแรกผมไม่เห็นวิจะใส่ใจเลยว่าใครหน้าตาดีไม่ดี วิด่าผมด้วยซ้ำ สำหรับผมนะวินั่นแหละเป็นคนพิเศษมากๆ”

“ไม่....ไม่ใช่อย่างนั้น” ผมตะกุกตะกัก คำพูดเพราะเริ่มเวียนหัว ตูนเริ่มทำให้ผมเวียนหัว “ไม่....ไม่ได้พิเศษอย่างนั้น วิไม่ได้หน้าตาดี ไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนตูน ตูนไม่ต้องพยายามอะไรก็มีคนรัก คนชื่นชม ตูนเคยรู้มั้ยว่าวิเหนื่อยแค่ไหนตูนบอกว่าวิพิเศษแต่วิไม่ได้พิเศษอะไรแบบนั้นเลย ความพิเศษทุกอย่างของวิที่ตูนว่ามามันเกิดขึ้นเพราะความพยายามทั้งนั้น บางทีวิก็อยากอยู่เฉยๆ แล้วมีคนมาชื่นชมแบบตูนบ้าง บางทีวิก็อยากพิเศษแบบคนทั่วไปบ้าง” ผมเถียงเพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: josephine ที่ 23-10-2013 11:15:17
แนวการเขียนของคนแต่งมีหลากหลายจัง  บรรยายทั่ว ๆ ไป
ก็เหมือนกับวิชาการจ๋า  หนัก ๆ   แต่พอมาถึงบทอัศจรรย์ก็แบบว่า
เหมือนให้อีกคนมาแต่ง  อึ้ง 

เป็นความสัมพันธ์ที่น่าติดตามอ่านจัง   ลุ้น  และเข้าใจ
แต่เรื่องย่อหน้านี่ซิ   อ่านยากเนอะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: puppyluv ที่ 23-10-2013 12:22:17
ตามมาจากกระู้แนะนำ
ไม่ผิดหวังจริงๆ
บวกและเป็ดชอบบบบบ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 23-10-2013 12:58:03
เรื่องมันยุ่งๆอีรุงตุงนังยังไงไม่รุ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-10-2013 13:25:52
อ่อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

เศ้ราอะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-10-2013 14:23:49
 :hao5:  การบอกเลิกก็เศร้า การถูกบอกเลิกก็เศร้า

สงสารวิ นะตอนนี้ เพราะวิยังต้องบอกอีกหลายคน  :เฮ้อ:

--------------------------------------------------------------
วิธีการลงภาพ รีพลายที่ 5 นะคะ ได้ไม่ได้ยังงัย ถามได้ค่ะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63.0

หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 23-10-2013 14:34:40
ชื่นชมความคิดของวินะคะในเรื่องเกี่ยวกับตูน เพราะจะอย่างไร ตูนก็ต้องเดินตามเส้นทางอนาคตของเขา คิดว่าเขาคงไม่หยุดอยู่ที่วิเป็นแน่ และวิก็คงไม่ต้องการอย่างนั้น ดีใจที่เห็นวิเริ่มปล่อย

ตอนนี้คำถามที่อยู่ในใจก็คือ (ความจริงก็มีมาตั้งแต่เริ่มแรกอ่านแล้วละค่ะ) ตกลงโย๊ปมีบทบาทอะไรต่อเนื้อเรื่อง จริงๆ แล้วก็แอบเดาไปต่างๆ นานานะคะ แต่ไม่กล้าฟันธงลงไปว่า โย๊ปจะเป็นตัวจริงของวิ อยากให้เนื้อเรื่องบอกเองมากกว่า แต่จะสังเกตว่าหลังๆ มานี้ด้วยปัจจัยหลายประการ โย๊ปเริ่มสนใจในตัววิมากขึ้น แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตามที

เรื่องกำลังสนุกเลยค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-10-2013 17:36:59
เห้ย มีขนไรติดมาด้วยอะ  :laugh: ลองขยายดูนะ ไม่รู้ที่เครื่องสแกนหรือที่กระดาษ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-10-2013 18:27:04
เฮ้ยยย พี่หนึ่งแม่ง 5555555

จริงๆ นี่คิดนะว่า วิ แม่งตอนแรกดู determined มาก เรื่องจะระวังตัวเรื่องผู้ชาย แต่ไปๆ มาๆ แม่งงง แสรสสส ปัญหาเยอะเลย

(อ้าว กูอิน 55555)
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 23-10-2013 20:46:03
Oops.....อายจังครับ ขอลบทิ้งไปก่อนแล้วกันนะครับ น่าจะเป็นที่เครื่องแสกนไม่ได้เช็ดครับ 555
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-10-2013 21:17:05
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  ไหนขนค้า
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 23-10-2013 21:24:17
เรื่องน่าสนใจมาก เราชอบการบรรยาย การใช้ภาษา
วิ มีบุคลิกที่ดูมีหลายมิติมาก
ว่าแต่แก้ปัญกาเรื่องตูนไปแล้ว
อย่าบอกน่าว่าท็อปจะเป็นรายต่อไป
น่าสงสาร เด็กน้อยจริงๆ

แอบอยากให้วิสมหวังในชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นคอร์ท
หรือจะเป็นม้ามืด แอบอยากให้เป็นโย๊ป
+1 เป็นกำลังใจให้น่ะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 23-10-2013 22:50:21
ขออภัยทุกคนในความผิดพลาดของผมด้วยครับ ขนที่ติดอยู่บนสแกนเนอร์นั้นคงจะสยองพอๆ กับเรื่องผีในมหาลัยผมเลยทีเดียว 55555 อย่าเก็บไปฝันร้ายนะครับ

ปล. ด้านล่างของตอนนี้ผมแปะ url จาก youtube ของเพลงประกอบเนื้อเรื่องไว้นะครับ เผื่อยากจะลองฟังกัน แปะแฟลชแล้วขึ้นเป็นช่องว่าง เลยแปะ url ด้วย low tech จริงๆ ครับ 55
"วิ"
................................................................


15( 8 ) But Only Love Can Say (Lonely in the Crowd)


     9.00 ของเช้าวันรุ่งขึ้นอ้อมกอดของตูนกระชับร่างกายผมไว้แน่น ใบหน้าและลมหายใจที่ซอกคอปล่อยกระแสไฟฟ้าไหลไปทั่วร่างกายของผม มือที่ลูบไล้ทำให้ใจผมหวั่นไหว ผมจำเป็นต้องลุกออกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำเพื่อไม่ให้อารมณ์ส่วนนั้นเข้าครอบงำความคิดตัวเอง ขณะที่ส่องกระจกอยู่ในห้องน้ำหัวใจผมกลับรู้สึกว่างเปล่า ผิดกับเวลาที่ผมอยู่ในอ้อมกอดของตูนที่ผมรู้สึกเติมเต็ม คิดถึงแต่ผมกับมัน ทิ้งโลกไว้ข้างหลัง แต่อย่างไรผมคงไม่เดินย้อนกลับไป ผมอาบน้ำ ใส่คอนแท็กเลนส์ แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ให้ขัดใจไอ้ตูนเล่น แล้วปลุกมันมาอาบน้ำ

เรากินข้าวฝีมือพี่แหววตอนเช้าแล้วเตรียมตัวออกเดินทางไปเที่ยวกรุงเทพฯ ครับ จะไปไหนก็คงแล้วแต่ไอ้ตูนเพราะมันเป็นคนขับรถ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันยังจะอยากพาผมไปไหนมาไหนอยู่รึเปล่าหลังจากสิ่งที่ผมทำกับมันไว้เมื่อคืน

“ไป วิ” ตูนเรียกผมออกจากบ้าน หลังจากเรากินข้าวเช้าเสร็จสักพัก

“วินัดเพื่อนที่มัฆวานฯ ตอนบ่าย 2 นะ” ผมบอกมัน

“อืม ผมก็ว่าเราน่าจะไปเที่ยวที่อื่นกันก่อน”

“อืมๆ ” แล้วเราก็ขึ้นรถของมันขับออกไป

        ตูนพาผมมาที่เซ็นทรัลเวริ์ดครับ ผมมาที่นี่หลายครั้งเหมือนกันเวลาที่มาซื้อหนังสือในกรุงเทพฯ แต่ผมไม่เคยเดินจนทั่วหรอกครับ รีบมาเพื่อเป็นทางผ่านแล้วก็รีบกลับ แต่วันนี้มันคงพาผมเดินเล่นจนทั่วห้าง ผมขอให้มันพาแวะร้านหนังสือ คิโนะคุนิยะ ผมเลือกหนังสือนานมากกลัวมันบ่นเหมือนกันจนเกือบ 11.30 ผมเลยชวนมันไปหาข้าวกินครับ

“ตูนหิวยัง” ผมถามมัน

“อือ....เฉยๆ อ่ะ วิได้หนังสือแล้วเหรอ” มันถามกลับครับ ตามใจผมดีจริง ป๋าสุดๆ

“อืม.....ไป หาอะไรกินเล่นๆ ก็ได้” แล้วเราก็เดินไปชั้นโรงหนังที่มีฟู๊ดคอร์ทของห้างอยู่  เราแลกบัตรสำหรับซื้อของกินครับ ทั้งที่ตูนมันตั้งใจว่าจะหาแค่ของกินเล่น เราเดินวนกันสัก 2 รอบได้กว่าจะหาที่นั่งได้
“ตูนไปซื้อก่อนเถอะ เดี๋ยววิจองที่ให้” ผมปล่อยให้ตูนเดินไปซื้อของกินก่อน ตาก็มองดูบรรยากาศในฟู๊ดคอร์ท กับโซนช๊อปปิ้งของห้างที่อยู่ติดกันคนเยอะมากครับ เดินไหลเหมือนมดที่ออกมาจากรังเป็นร้อย เดินผ่านกันไปมา
   
        ในทางสังคมวิทยาเรามีแนวคิดเรื่อง ความโดดเดี่ยวในฝูงชน หรือที่เรียกภาษาอังกฤษว่า lonely in the crowd หรือ the lonely crowd ครับ หมายความว่าคนเราในยุคปัจจุบันไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเลยแม้จะมาอยู่รวมกันเป็นพันๆ คนในสถานที่เดียวกัน พวกเขาไม่รู้จักกัน ไม่สนใจกัน ทำให้เรารู้สึกอ้างว้างแม้จะอยู่ท่ามกลางคนนับพัน ผมคงจะเป็นหนึ่งในนั้นครับ แต่ตูนที่กำลังเดินกลับมาที่โต๊ะช่วยให้ผมไม่ต้องเป็นหนึ่งในนั้น และผมก็ไม่ลืมที่จะบอกเรื่องนี้ให้ตูนจำไว้ อีกไม่กี่ปีมันก็คงต้องเรียนเหมือนกัน

“บางเรื่องวิก็ไม่ยอมเปลี่ยนเลยนะ....” มันล้อผมหลังจากผมบังคับให้มันจำคอนเซ็ป โลนลี่ อิน เดอะ คราวด์

“.................................” บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร แล้วผมก็รู้สึกว่าตลอดเวลาที่เรากินข้าวมันมองผมแปลกๆ

        12.30 เราออกจากห้างเซ็นทรัลเวริ์ดเพื่อเดินทางไปสะพานมัฆวานฯ วันนี้รถไม่ค่อยติด แต่ตูนมันบอกว่าอาจจะหาที่จอดรถยาก เพราะถนนบางเส้นปิดครับ จนที่สุดแล้วตูนแอบเอารถไปจอดที่อาคารสกอ. เก่า แล้วเราก็เดินต่อกันไปอีกหน่อยจนถึงสะพานมัฆวานฯ หลังเวทีปราศัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ลักษณะของการชุมนุมค่อนข้างเหมือนงานวัดเลยครับ มีการจัดของขายทั้งของกินเล่นคลายหิว ส่วนของหนักจะมีเต๊นท์ที่ทำแจกฟรี มีน้ำหวานขาย มีเสื้อผ้า ผ้าโพกหัวสีเหลือง มือตบ ไปจนกระทั่งหนังสือนิยายที่เขียนล้อนักการเมือง 

“แนนนี่ เป็นไง มานานยัง” ผมเดินไปทักเพื่อนผมที่เริ่มทยอยมารอกันที่หน้าอาคารสหประชาชาติครับ โดยมีไอ้ตูนเดินตามมาข้างหลัง ทักทายเพื่อนผมบ้างตามประสา แนนนี่ถึงกับตาโต แต่เมื่อทุกคนมาครบเรากลับตัดสินใจเดินแยกกันครับ เพราะเราเป็นกลุ่ม 20 กว่าคน เพราะบางคนก็พาผู้ติดตามมาด้วยแบบผม ฮ่าๆๆ

“วิมานี่สิ” ตูนมันจูงมือผมไปร้านค้าข้างๆ แล้วซื้อผ้าโพกหัวสีเหลืองมา 2 ผืนครับ ผืนหนึ่งของผม ผืนหนึ่งของมัน มันเอาผ้ามารัดผมให้ผม แบบที่แม่บ้านฝรั่งชอบมัด ผมอายๆ อ่ะครับ
“ผ้าสีเหลือง ผมวิสีน้ำตาลส้ม เหมือนคบไฟเทวีเสรีภาพเลย 555” ตลกละครับ ใครจะเหมือนมันที่ใส่อะไรก็ดูดี ยอมรับครับขนาดเอาผ้าเหลืองโพกหัวไว้

“เดินไปดูที่อื่นเหอะ” ผมบอกมันเพราะสังเกตสายตาป้าเจ้าของร้านที่มองเราแบบว่า คนหนุ่มสมัยนี้ แต่ผมคิดผิดครับ เพราะมันจูงมือผมไปทุกที่ในม็อบพันธมิตรฯ

    เดินไปสักชั่วโมงกว่าๆ สำรวจทัศนภาพโดยรอบและการจัดการม็อบ พร้อมๆ กับบรรยายแนวคิดต่างๆ ให้ไอ้ตูนฟังไปด้วย แม้เหมือนว่ามันจะไม่ได้สนใจที่ผมพูดครับ เราเริ่มร้อนและเหนื่อยครับ ผมเลยชวนตูนไปซื้อน้ำหวาน ของกินเล่น แล้วเราก็ไปนั่งฟังปราศัยที่หน้าเวที ซึ่งตอนนี้มีการปราศัยสั้นๆ สลับกับการแสดงดนตรี และแม้ตอนที่ผมนั่งลง ก็ไม่วายที่ตูนมันจะกุมมือ ผมไว้ ผมอยากจะให้มันหยุดทำแบบนี้ แต่ผมไม่เข้มแข็งพอครับ รู้สึกว่าตัวเองเวียนหัวทุกครั้งที่คิดจะบอกให้มันหยุด เรานั่งฟังกันไปจนฟ้ามืด เพื่อนๆ ผมโทรมาบอกว่าจะกลับโรงแรมกันแล้ว แต่ผมบอกว่าจะอยู่ต่อให้เพื่อนๆ กลับกันไปก่อนได้เลย ตูนขยับเข้ามานั่งใกล้ผมมมากขึ้น โอบหลังผมไว้จนเหมือนเราจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน

“เพลงแนวนี้เพราะดีเหมือนกันนะ ผมไม่เคยฟังเลย” มันหันมาพูดเสียงหวานกับผมท่ามกลางคนเป็นพันที่ห้อมล้อมเราอยู่ในการชุมนุม เพลงชื่อว่า ดอกไผ่บาน ของคาราบาว กับปาน ธนพรครับ

“อืม........” แล้วผมก็เสียน้ำตาให้กับเนื้อเพลงนั้นครับ (ลองหาฟังในยูทูปแล้วกันนะครับ)

“ดอกไผ่บานพยานแห่งรัก บานเพื่อลาจาก เจ้าจงปล่อยวาง
ความเข้มแข็งจะคอยเข้าข้าง ความอ่อนแอจะต้องแพ้พ่าย
ดอกไผ่งามเบิกบานในใจ ยังเฝ้าเก็บไว้เพื่อใครคนนั้น
นานเท่าใดคงไม่สำคัญ จะคอยเติมฝันถึงวันที่ดอกไผ่บาน
…………………………………………..
นานเท่าใดคงไม่สำคัญ จะคอยเติมฝันถึงวันที่ดอกไผ่บาน”


       ตูนเอามือมาเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วดึงผมเข้าไปซบมันครับ และผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธมันอย่างไร เพราะอีกใจหนึ่งผมก็เรียกร้องใครสักคนในเวลาที่ผมอ่อนแอ แล้วมันก็จูบผม จูบที่นุ่มนวลมากเลยครับ จนผมทำตัวไม่ถูก ผู้ชุมนุมที่อยู่รายล้อมเราก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ ท่ามกลางฝูงคนนับพันเราสองคนเหมือนกับเป็น โลนลี่ อิน เดอะ คราวด์ ครับ พวกเขาไม่รู้จักเรา เราไม่รู้จักพวกเขา บางทีผมคิดว่าถ้าเราไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน ไม่ได้เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน ไม่มีสายตากับความคาดหวังของคนอื่นมองมาที่เรา  และถ้าผมไม่ได้พบกับคอร์ทก่อน หรืออาจจะรวมท็อบด้วยอีกคน คงอาจมีสักทาง และมีสถานที่สักแห่งที่เราจะรักกันได้เหมือนคนรักทั่วไปจริงๆ

“ตูนอยากได้โอกาสนะครับ” มันบอกผมเสียงหวาน ผมร้องไห้ไม่หยุด ซับน้ำตาไปบนอกมัน

“วิต้องการเวลาน่ะ” ผมบอกมัน

        ไม่นานเราก็กลับมาที่บ้านของตูน โดยที่พี่แหววเตรียมอาหารเย็น (ค่ำ) ไว้ให้เราแล้ว แต่ผมกินอะไรไม่ลงหรอกครับ ผมขออนุญาตตูนไปเข้าห้องน้ำเพื่ออ้วกเอาความอ่อนแอของตัวเองออกมา เราต่างคนต่างอาบน้ำ แล้วมานอนบนเตียงเดียวกัน ผมนอนในอ้อมกอดมันพร้อมกับน้ำตา ผมคิดมากครับว่ามันจะเสียใจเพราะผมบ้างหรือเปล่า ผมไม่เคยเห็นน้ำตาของมันเลยแม้แต่หยดเดียว ผมเห็นแต่รอยยิ้มของมัน ผมปล่อยให้มันจูบปลอบผม ผมจูบตอบมัน ในใจผมนับถอยหลังผมมีเวลาวันพรุ่งนี้เหลืออยู่กับมันแค่วันเดียว แค่วันเดียวเองกับคนที่รักผมมากขนาดนี้ กับคนที่ผมหลบไปหาและคอยเป็นที่พึ่งพิงให้ผมเวลาที่อ่อนแอ

http://www.youtube.com/v/aOXRNEQWxdQ?hl=nl_NL&amp;version=3
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: puppyluv ที่ 23-10-2013 22:55:39
ใช่ บางทีเจ็บมากเกินมันก็ด้านชาจนต้องยั้งคิดเสียบ้าง
ชอบวิ แต่ก็แอบสงสารตูน
เอาวะ หาใหม่ดีกว่ามั้ย 555
ล้อเล่น อยู่ที่วิตัดสินใจล่ะ
 :hao5:
ปล่อยเป็ดแทนคำขอบคุณ
กดบวกยังไม่ได้ รอ 24 ชม. แป๊บ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 23-10-2013 23:20:56
แล้วก็ยังเศร้าต่อเนื่อง  :hao5:

----------------------


แก้วีดีโอ ให้แล้วนะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 23-10-2013 23:38:07
คืนนี้แค่คิดอยากหาเรื่องสั้นๆอ่านก่อนนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า เลยเจอนิยายเรื่องนี้ที่อัพแค่สามหน้า กะว่าใช้เวลาไม่นานก็คงจบ
แต่กลายเป็นว่านั่งอ่านไม่ขยับตัวไปไหนเกือบค่อนคืน ทำใจอ่านไม่จบไม่ได้ค่ะ คุณวิเขียนได้น่าติดตามมากๆ o13
ส่วนตัวชอบตอนที่วิเล่าเรื่องมากกว่านะ อ่านแล้วอินกว่าตอนโย๊ปเล่า ก็มันเป็นเรื่องของวินี่เนอะ :katai3:
เคยไปมหาวิทยาลัยของวิอยู่ค่ะ ก็เลยนึกภาพตามได้ แต่ตอนเล่าเรื่องผีกัน นั่งเสียวหลังวาบๆเลยอ่ะ เราก็กลัวเหมือนทรีเลย  :hao5:
ปกติไม่ชอบคนเจ้าชู้นะ แต่เรารู้สึกว่าวิไม่ได้เจ้าชู้หลายใจหรอก แต่เรียกว่าอะไรบรรยายออกมาไม่ถูก รู้สึกเห็นใจว่าวิไม่สามารถวางใจไว้กับใครซักคนได้เลย มีความสุขกับสภาพนี้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าต้องอาเจียนทุกครั้งเวลารู้สึกรักหรือเศร้า สำหรับเราไม่น่าจะใช่ความสุขนะคะ ก็เดามั่วกันไป :hao6:
คุณวิว่าไม่อยากเขียนให้เป็นนิยายดราม่า แต่เราว่ามันใช่เต็มๆ เรื่องไหนที่ทำเราน้ำตาคลอได้เราว่าดราม่าหมดแหละ
กดบวกแทนคำขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆ (แม้จะเศร้าก็เหอะ :mew6:) รออ่านตอนต่อไปนะคะ :)
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 24-10-2013 00:32:26
ตาโหลไม่หลับไม่นอน ขอตามเก็บก่อน...
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Tomates ที่ 24-10-2013 02:53:46
วิคงต้องการเวลาเพื่อค้นหาคำตอบของตัวเองสินะคับ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: hotoil ที่ 24-10-2013 06:55:22
วิน่าสงสารอ่ะ บางครั้งทางออกถ้าใจไม่แข็งจริงก็ทำไม่ได้
เนื้อตอนนี้กำลังเข้มข้น ทั้งตูน คอร์ท ท๊อป
แต่วิรักคอร์ทมากเลยเปลี่ยนขั่วสินะ ฮ่าๆ สำหรับคอร์ทเลยเป็นแบบ 2in1 เลย
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 24-10-2013 08:06:24
 อย่าหักมุมว่าวิป่วยนะ อ้วกบ่อยเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 24-10-2013 10:27:44
อย่าหักมุมว่าวิป่วยนะ อ้วกบ่อยเหลือเกิน

คิดเหมือนกันเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 24-10-2013 12:56:30
แหม่... ติดซะแล้วนะครับเนี่ย!!!!
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 24-10-2013 13:37:11
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ มีคนแนะนำมาอีกที
แล้วก็ไม่ผิดหวัง ฮ่าๆ สนุกแบบหน่วงๆ
สงสาร"วิ" นะ บางทีก็เข้าใจ บางทีก็ไม่เข้าใจ"วิ"

แต่อ่านไปแล้วสงสารซะจริง

อาการที่อยากอ้วกเวลาเครียดหรือเจอเหตุการณ์อะไรแบบนั้น
เป็นโรคอะไรรึเปล่าอะ หรือเพราะเครียดเฉยๆ

รอติดตามตอนต่อไป
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 24-10-2013 17:45:02

ส่งตูนมาทางนี้คะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: t152_rakjai ที่ 24-10-2013 20:30:23
ตามทันแล้ว :katai2-1:

วิ เป็นตัวละครที่เราเดาความคิดไม่ออกเลย  ในบ่างเวลาที่เราคิดว่าวิจะต้องทำแบบนี้แน่เลย แต่กลับเป็นอีกแบบทีเราคิดไม่ถึง

เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มาก :mew3:

รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 25-10-2013 12:29:07
ผมรู้สึกกดดันมากครับตอนที่คิดว่าจะลงตอนนี้ กลัวมันจะดราม่า (ดราม่าไม่ใช่แนวผมครับ) ใจจริงอยากจะข้ามๆ ตอนนี้ไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่กลัวว่ามันจะทำให้เรื่องราวไม่สมบูรณ์ ในตอนท้ายๆ ของเรื่องมีเพลงเพราะ ความหมายดีของคณะผมอยู่ครับ คิดว่าหลายคนเคยฟัง หลายคนอาจไม่เคยฟัง คิดว่าจะร้องแล้วอัดไฟล์เสียงมาลงให้ แต่กลัวคนอ่านจะตายครับ เพราะเสียงผมเหมือนหมาโดนฟาดมาก

ปล. ขอบคุณทุกคอมเม้นกำลังใจมากนะครับ ขอบคุณจริงจริง ลองอ่านตอนนี้แล้ววิจารณ์กันต่อครับ
สำหรับคุณ Poes ขอบคุณเรื่อง วีดีโอมากครับ ถ้าอย่างไรแนะนำได้ครับคราวหน้าจะได้ไม่เป็นการรบกวน

ขอบคุณมากครับ
"วิ"
........................................................................


15(9) But Only Love Can Say (ความทรงจำ....รักอักษรา)

     วันอาทิตย์ วันสุดท้ายที่ผมจะอยู่กับไอ้ตูนมาถึง ผมตื่นเช้าไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว แล้วออกมานอนอ่านหนังสือเล่นบนเตียง ปล่อยตูนให้หลับต่อไปเรื่อยๆ จนเกือบ 8.00 ผมชักเริ่มอยู่ไม่สุขเลยมองหน้ามัน ตอนมันหลับหมดสภาพเหมือนกันครับ หน้าแบบว่ามองไม่รู้เลยว่าเป็นเดือนคณะ แต่หน้าแบบนี้แหละผมชอบ ดูเป็นธรรมชาติดี ผมดมกลิ่นจากไรผมมันเหมือนที่ทำกับคอร์ท กลิ่นต่างกันแต่ก็ใช้ได้ ใช้บรรเทาความเครียด แต่มันเมื่อยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ผมเลยเดินลงไปข้างล่างครับ ยังไม่ได้เดินเล่นรอบๆ บ้านมันเลยตั้งแต่ได้มาค้าง แต่สวนที่บ้านมันจัดไว้ห่วยมาก เหมือนคนไม่ใส่ใจปลูกต้นไม้ ยังดีที่ต้นไม้เขียวซึ่งคงเป็นเพราะวี่แหววคอยรดน้ำให้

“น้องวิ....หิวข้าวรึยังคะ” เสียงพี่แหววเรียกเมื่อผมเดินไปทางหลังบ้านที่อยู่ติดกับครัว

“นิดหนึ่งครับ” ผมตอบเพราะเมื่อคืนไม่ได้กินข้าวเย็น ตูนมันเลยพาลไม่กินเป็นเพื่อนผม ป่านนี้ถ้ามันตื่นมันคงหิวไส้ขาด

“น้องวิตื่นเช้าจัง เด็กสมัยนี้ส่วนใหญ่ตื่นสายนะ” พี่แหววถาม

“เพราะผมตื่นเช้าจนชินมั้งครับ”

“น้องตูน ยังไม่ตื่นใช่มั้ยคะ น้องวิจะมาทานข้าวก่อนก็ได้ค่ะ ตอนนี้เพิ่งทำเสร็จ กำลังร้อนๆ” พี่แหววเสนอ

“ครับๆ” แล้วผมก็คิดอะไรสนุกๆ ที่ไม่ควรคิดได้ ในชีวิตนี้ผมไม่เคยป้อนข้าวให้ผู้ชายบนเตียงเลย อย่างมากก็แค่เช็ดตัวให้เวลาไม่สบาย ผมเลยตักข้าวไปเผื่อตูนครับ ยกขึ้นไปกินบนห้องนอนกับมันเลยแล้วกัน

“ตูน....ลุกมากินข้าว” ผมเรียกมัน เอามือตีแก้มเบาๆ สังเกตว่าแก้มมันมีรอยป่องนิดๆ แบบเดียวกับรูปเด็กผู้ชายจ้ำม่ำที่ผมเห็น 2-3 รูปในบ้านมัน แล้วตูนมันก็ตื่นขึ้นมาแบบงงๆ ครับ อ่าๆ คงแปลกใจ

“สายแล้วเหรอ...จะไปแล้วหรอวิ” มันถามก่อนจะลืมตาซะอีก

“ป่าวเช้าอยู่เลย...ลุกมากินข้าว” ผมตักข้าวกับเนื้อให้มัน มันก็งงๆ อีกครับ ผมเลยตักใส่ปากตัวเองซะ
“จะกินมั้ย” ผมย้ำ แล้วตักให้มันใหม่

คราวนนี้มันอ้าปากแล้วงับช้อน มันกึ่งนั่งกึ่งนอน ค่อยๆ เคียวข้าวแล้วกลืน ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาที่มันเคี้ยวนั้นนานเหลือเกิน และมันไม่เคยละสายตาจากหน้าผมเลย จนผมเริ่มเวียนหัว

“วิทำแบบนี้กับผมทำไม” เสียงมันสั่นมาก แล้วผมก็เห็นน้ำตามัน วินาทีนั้นผมตกใจมากและคิดว่าตัวเองเพิ่งทำเรื่องที่โง่เง่าที่สุดลงไป ผมแค่อยากจะใช้วันสุดท้ายของเราให้น่าจดจำ แต่นั่นคงไม่ได้หยุดความจริงที่ว่าผมกำลังจะหายไปจากชีวิตมัน รู้สึกตัวอีกทีผมก็วิ่งออกมานอกห้องแล้วครับ ตูนตามมาทันผมที่บันได แล้วกอดผมไว้แน่นจากข้างหลัง

“อย่าเพิ่งทิ้งผมไปได้มั้ย...วิ” มันกอดผม ใบหน้าของมันที่แนบกับลำคอผมทำให้สัมผัสได้ถึงน้ำตา มันคงเสียใจมากเหมือนกัน ผมน่าจะรู้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ในช่วงเวลานั้นปล่อยให้ไอ้       ตูนกอดไว้ คิดไม่ออกว่าควรทำอะไรต่อไป

“............................................”

“อืม.....” ผมตอบ แล้วหันไปเผชิญหน้ากับตูน แล้วมันก็จูบผม ผมจูบตอบ ผมคิดถ้าเราดูหนัง หรือละครมากๆ คงคิดว่าจูบเป็นเรื่องของความสุข ความยินดี หรือการบังคับ (ในละครน้ำเน่า) แต่ผมรู้แล้วเหมือนกันว่าจูบที่มีแต่ความเศร้านั้นเป็นอย่างไร  ผมไม่รู้ต่อไปอีกแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับตูนนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเรียกว่าอะไร เหมือนต้นไม้ที่ไม่โดนแสงอาทิตย์ล่ะมั้ง แต่ก็ยังดันทุรังที่จะโตใบเหลืองซีด กิ่งก้านหงิกงอ กินพลังชีวิตของมันเองไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายก็ตายในความมืด อาจเป็นเพราะเราสองคนปฏิเสธกันตั้งแต่แรกพบว่า มีบางอย่างที่อาจจะเรียกว่าความรักเกิดขึ้นระหว่างเรา ความรักที่โตขึ้นโดยไม่เคยได้รับการใส่ใจ ตอนนี้มันกำลังจะตายจากไปแล้ว และผมก็ยืนอยู่บนทางแยกที่ไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ

“ผมรักวิ...ผมยังไม่พร้อม................” มันคร่ำครวญต่อ แต่ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้จะต้องปลอบมันอย่างไร

“อืม.....” แล้วความเงียบก็กลับมาครอบงำเราสองคน ทุกครั้งที่ผมเสียใจ ผมจะกลั้นน้ำตา และเมื่อผมเสียใจมากขึ้น ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวผมจะร้องไห้ แต่การที่เราสองคนกำลังกลั้นน้ำตาอยู่ตอนนี้ ในใจผม และอาจจะในใจของตูนด้วยกำลังกรีดร้องอย่างทรมาน เหมือนกับว่าความเงียบนั้นแผดเสียงดังยิ่งกว่า คำพูดของเรา

        ผมจูงมันกลับเข้าไปกินข้าวในห้องนอน บรรยากาศดูเศร้ามาก ผมรู้สึกเวียนหัวตลอดเวลา ผมเลยรีบไล่มันไปอาบน้ำหลังจากที่มันกินข้าวเสร็จ สักพักมันก็กลับมาแต่งตัวในห้อง

“วิจะไปมัฆวานฯ กี่โมง” ตูนถามผม ตอนที่มันกำลังใส่กางเกง

“ไม่ไปอ่ะ....ไม่อยากไป” ผมบอกมันว่าจะไม่ไปม็อบพันธมิตรฯ แล้ว วันนี้ เวลานี้ไม่มีอารมณ์ทำอะไรจริงๆ

“อะไรนะ...” ตูนมันดูตกใจ

“ก็โดดไง เบื่อ วันนี้ไม่มีอารมณ์ นอนอยู่บ้านนี่แหละ เย็นแล้วค่อยกลับมหาลัย” ผมบอก พร้อมๆ กับมองหน้ามัน ทำอย่างกับไม่เคยโดดเรียน

“ไม่น่าเชื่อเลย เด็กเรียนจะ...555” มันล้อ ท่าทางจะไม่รู้จักตัวจริงผม ผมน่ะนักหลับในห้องเลย ฮ่าๆๆ

“อยู่บ้านกันจะทำอะไรดีล่ะครับ” มันถามล้มตัวลงนอนข้างๆ ผม

“......นั่นสิ”  แล้วมันก็พลิกตัวมาคร่อมผมไว้แล้วจูบนุ่มนวลเหมือนเมื่อวาน แต่มือของมันลูบไล้ไปตามเนื้อตัวผม ผมไม่ขัดขืนมันหรอกครับ ถือว่าเป็นของของขวัญส่งท้ายแล้วกัน

“วิ.......” เมื่อมันเรียกชื่อผม

“อืม......”

     เรานอนกันอยู่ในห้องนั้นต่อไปทั้งวันไม่คิดจะทำอะไร คุยกันบ้าง หลับในอ้อมกอดของกันและกันบ้าง ผมเกิดมาเพิ่งเคยทิ้งผู้ชายครั้งนี้เป็นครังแรกครับ ผู้ชายที่ผมไม่เคยคิดว่าเป็นของผมเสียด้วยซ้ำ และผมเองก็มีนิสัยเสียมาตลอดคือการชอบกำหนดทางเดินให้คนอื่น ผมเลือกทางเดินให้มัน ทางเดินที่มันจะไม่มีผม ผมเคยอ่านนิยายกำลังภายในจีนครับ เรื่อง เอี้ยก่วยเจ้าอินทรี ซึ่งเป็นเรื่องที่พระเอกนางเอกมีความรักต้องห้ามระหว่างศิษย์และอาจารย์ ในตอนหนึ่งทั้งคู่บาดเจ็บสาหัสนางเอกถูกธาตุไฟเข้าแทรกขณะเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บจนหมดทางรักษา ส่วนพระเอกที่ถูกพิษแทรกซึมแต่ยังพอมียารักษาอยู่บ้าง ด้วยความที่พระเอกไม่อยากจะมีชีวิตต่อโดยลำพังจึงไม่ยอมกินยารักษา ดังนั้นเพื่อหาทางออกนางเอกจึงโกหกพระเอกด้วยการเขียนข้อความว่าอีก 16 ปีพบกันใหม่แล้วกระโดดหน้าผาตาย หวังว่าเวลา 16 ปีจะทำให้พระเอกหมดรักตนและไม่ฆ่าตัวตายตาม สุดท้ายแล้วเวลา 16 ปีผ่านไป พระเอกกลับมาตามคำสัญญาเมื่อไม่พบนางเอกจึงรู้ว่านางเอกโกหก และกระโดดหน้าผานั้นตายตาม (ลองหาอ่านกันนะครับ ไม่อยากเล่าให้ฟังทั้งหมด) เหมือนกับผมที่พยายามเลือกทางเดินให้คนอื่นโดยที่ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าผลสุดท้ายแล้วมันจะดีหรือจะร้ายอย่างไร

        ช่วง 4 โมงเย็นเราก็เก็บของแล้วบอกลาพี่แหววเพื่อเดินทางกลับมหาลัย ในบางส่วนของหัวใจผมก็คิดว่าผมยังไม่อยากกลับไปเลย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมคิดว่ายังไม่อยากกลับมหาลัย แปลกตัวเองจริงๆ ส่วนตูนก็ขับรถแบบไม่รีบร้อนครับ มีแวะปั๊มเข้าห้องน้ำบ้าง ซื้อกาแฟ กับขนมบ้าง ระหว่างที่เราคุยกันอยู่บนรถในเรื่องต่างๆ ที่เราไม่เคยได้เรียนรู้กัน เช่น เพื่อนมีกี่คน เป็นคนอย่างไรบ้าง เรียนอะไร หรือทำกิจกรรมอะไรบ้าง ผมกลับนึกถึงคำพูดของอาจารย์บุหงาขึ้นมาได้  อาจารย์บุหงาเป็นอาจารย์ภาคการละครครับ อาจารย์ไม่เคยได้สอนผม เราไม่ถูกกันด้วยซ้ำเพราะผมต่อต้านระบบ SOTUS ในขณะที่อาจารย์สนับสนุนระบบ SOTUS แต่คำพูดนี้ของแก ผมคิดว่าให้ข้อคิดดีมากครับ

“คณะอักษรฯ เรา มีสีประจำคณะคือสีฟ้า ดังนั้นเด็กอักษรฯ ทุกคนจึงอยู่บนฟ้า ทุกๆ คนเป็นดาวและเดือน ไม่มีใครเหนือหรือสูงส่งกว่าใครด้วยหน้าตา” ผมคิดว่าบางทีคนที่เข้าใจความหมายของมันมากที่สุดควรจะเป็นผมมากกว่าตูน เพราะผมไม่ควรมองตูนเป็นเดือนคณะ ควรจะมองมันเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ผมอาจจะรักได้

ประมาณ 19.30 เราขับรถกลับมาถึงมหาลัย อาจเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ผู้คนที่เดินผ่านไปมาจึงดูบางตา แต่ก็ดีครับ

“วิจะให้ผมไปส่งไหนครับ ไปหอมั้ย” ตูนถามเมื่อมันเลี้ยวรถเข้าประตูหน้ามหาลัย

“ไปจอดหน้าศาล (พระภูมิ) คณะเหอะ.....” ผมบอกตูน มันเลยขับตรงมาลานจอดรถที่ศาลคณะซึ่งว่างเปล่า ผิดกับช่วงเวลาราชการที่จะมีรถจอดอยู่เต็มไปหมด
“จะลงมาเดินเล่นกันแป๊บนึงมั้ย” ผมถามตอนที่มันดับเครื่องรถ แล้วผมก็หยิบกระเป๋า ออกมา

“อืม....”

        ผมจูงมือพาตูนเดินผ่านสวนหินเข้ามาที่ลานพิกุลหน้าภาคฯ ผม ลานพิกุลเป็นสถานที่พิเศษสำหรับผมมากๆ ครับ เพราะความรู้และตัวตนทั้งหมดของผมก่อเกิดขึ้นที่นี่ และตูนก็เป็นคนพี่เศษเหมือนกัน ผมจูงมือมันเดินต่อไปที่ลานทรงพล ลานปูนเก่าๆ ที่เด็กผู้ชายอักษรฯ ใช้เป็นที่รับน้อง ผมเสียใจนะครับที่ตอนตูนรับน้องผมไม่ได้มาใส่ใจเลย เพราะผมเอาแต่เก็บตัวเพื่อหลบข่าวฉาวระหว่างผมกับรูมเมท การที่ผมพามันเดินมาที่ลานทรงพลนี้ ผมอยากจะให้เรากลับไปเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเหมือนเก่าได้

“พาผมมาลานทรงพล จะรับน้องผมเหรอครับ...พี่วิภพ ยบแล้วเลิกเค็ด” แล้วมันก็เล่นจนได้ แถมไปหาชื่อฉายาผมมาได้ด้วย หามาจากไหนเนี่ย

“จะเอามั้ยล่ะครับ น้องตูน หัวคูนเท่าบอลลวย...เป่าให้แล้วพองได้ด้วย” ผมแซวมันกลับด้วยฉายามัน พร้อมกับประโยคสร้อย เพราะตูนมันเป็นคนดังฉายามันเลยเป็นที่รู้จักเยอะครับ

     จริงๆ แล้วที่ผมพามันมาเดินเล่นที่คณะเรา คงเป็นเพราะผมอยากมานั่งเล่นกับมันสองคนที่สะพานข้ามดาวครับ สะพานข้ามบ่อน้ำที่เชื่อมระหว่างภาควิชากับอาคาร 50 ปี และบนสะพานข้ามดาวนี้ในวันที่ผมรับปริญญาจะมีน้องๆ ปีหนึ่งมายืนเรียงแถวด้านซ้ายและขวาเป็นสัญลักษณ์การอำลาพี่บัณฑิตโดยน้องใหม่ ปีหน้าก็จะเป็นเวลาของผมแล้ว เมื่อเรานั่งลงพร้อมๆ กับที่ผมคิดว่าจุดจบของเรากำลังจะมาถึงผมก็นึกทบทวนถึงจุดเริ่มต้นครับ ตั้งแต่ผมเป็นเด็กมัธยมเดินทางมาสอบสัมภาษณ์ เป็นนักศึกษาปีหนึ่งมารับน้อง มาหาเพื่อน เป็นเด็กกิจกรรมการเรียน มาสัมมนา อภิปราย เป็นกลุ่มร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง และเช่นกันผมมาที่นี่และได้เจอกับความรัก ความเสียใจ ซึ่งคงเหลือไว้เพียงความทรงจำ คณะอักษรฯ เรามีเพลงที่ร้องกันเพลงหนึ่ง ที่ผมว่ามันไพเราะมาก และผมยังคงจำท่วงทำนอง และเนื้อร้องของมันได้มาจนทุกวันนี้ เพลงนี้ชื่อว่า ความทรงจำครับ

“แพรดาวพราวใดอันสวยเด่น.....จันทร์เพ็ญพริ้งพรายระย่อแสง
พ่ายรักอักษรามาแสดง....ล้วนรู้แจ้งชัดในดวงใจเรา
โอ้....ลานทรงพลความหลังรั้งดวงจิต.....ช่วงชีวิตผูกพันมั่นแนบเนาว์
ลมจางๆ พัดผ่านสะพานข้ามดาว....ทุกเรื่องราวที่ยังขลังในใจ
ที่สระแก้ว...เธอจะเห็นเส้นขอบฟ้า....ที่แววตาเธอคงเห็นเป็นฉันใช่มั้ย
เชื่อมโยงรักอักษราพาหัวใจ.....โบยบินไปเหนือฟากฟ้า......(ชื่อมหาลัยผม)......
บ้านสีฟ้า หลังคาสีเขียว.....ความกลมเกลียวเป็นหนึ่งทุกยาม
ยิ่งวันผ่าน เธอจะพบสิ่งสวยงาม....ซึ่งนี่คือนิยาม....ของความทรงจำ”

     ผมนั่งจับมือกับตูน พระจันทร์ของผมสักพัก กลางคืนที่มืดมิดตูนมันขาวเหมือนพระจันทร์มากจริงๆ ครับ ผมจูบหน้าผากมัน ลูบใบหน้าของมัน อยากจะมองหน้ามันแบบนี้เป็นครั้งสุดท้าย

“กลับเหอะตูน ไปพักผ่อนซะ ขับรถมาเหนื่อยแล้ว” ผมปล่อยมือแล้วบอกให้มันกลับ

“แล้ววิล่ะ” มันถาม

“เดี๋ยวนัดเพื่อนมารับน่ะ”

“ให้ผมไปส่งหอเถอะมืดแล้ว”

“ไม่เป็นไร....” ผมย้ำมันอีกที ด้วยน้ำเสียงปฏิเสธ

“ผมจะได้เจอวิอีกมั้ย” มันถามผมขณะที่มันลุกขึ้นยืน

“เจอสิงานรักแห่งสยามไง ในคณะก็คงเจอหน้ากันบ้าง” ผมบอกมันแล้วยิ้ม

“อืม......ผมไปก่อนนะ” มันก้มลงจูบปากผมเบาๆ แล้วค่อยๆ เดินลงไปจากสะพานข้ามดาว ผมมองตูนเดินลับไปด้วยดวงตาที่พร่ามัวเพราะน้ำตา ไปเถอะตูนใจของผมส่งเสียงร้อง ไปพร้อมกับความหวังดีทั้งหมดของผม

     ผมเวียนหัวจนเดินตรงๆ ไม่ค่อยได้ครับ ผมประคองร่างกายตัวเองมาที่โคนต้นไม้ตีนสะพานข้ามดาว อ้วกเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีผมให้ไอ้ตูนออกมาให้หมด แล้วก็น้ำตาที่ไม่หยุดไหล ผมสัญญาว่าวันนี้ ผมจะร้องไห้ให้ไอ้ตูนเป็นวันสุดท้าย
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-10-2013 12:40:34
เจ็บ แต่ จบ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 25-10-2013 13:59:14
wew...

เรื่องนี้อึ้งมากครับ
มันลึก  มันงาม  หน่วง  แล้วก็ซื่อสัตย์
แต่ละบทมีพลังมาก  แทบไม่มีส่วนไหนเกินความจำเป็นเลยครับ

ความรู้สึกที่เกิดกับผม  คือความเศร้า  และความอิจฉานะครับ  คืออิจฉาในชีวิตของวิ
คือรู้สึกว่าชีวิตของวิมีอะไรเยอะจัง  ถึงจะออกตัวว่าเป็นคนเก็บตัว
ผมไม่ค่อยไปไหน  ไม่ค่อยผูกพันกับผู้คนและสถานที่  ยกเว้นสถานที่ในจินตนาการจากวรรณกรรมน่ะครับ
เวลาอ่านเรื่องที่ดึงให้สัมผัสกับความเป็นจริงอย่างเหลือเชื่อแบบนี้  ผมเลยอิจฉาในประสบการณ์เหล่านั้น
และเศร้าเสียใจกับช่วงชีวิตที่ผ่านเลยมา

ตอนนี้ก็ยังปวด ๆ หน่วง ๆ ในท้องอยู่ครับ  เรื่องราวของวินี่มันแทงลึกจริง ๆ  ผมเจอความรู้สึกแบบนี้จากเรื่องเล่าแค่ไม่กี่เรื่อง  หนึ่งในนั้นคือ 100 Years of Solitude ผมยกตัวอย่างแตกต่างไปไหมครับ  แต่ผมรู้สึกว่าฟีลลิ่งที่ผมได้มันคล้าย ๆ กัน

ปล.  ผมคิดว่าที่วิอ้วกบ่อย  เพราะมีปัญหาเรื่องความเครียด  มีช่วงหนึ่งที่วิต้องให้จิตแพทย์ช่วยเหลือด้วยนี่ครับ

สุดท้าย  ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าที่น่าสนใจเรื่องนี้ครับ   :pig4:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 25-10-2013 21:46:05
เข้ามาอ่านเรื่องนี้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องใฟม่ที่เพิ่งเปิเรื่องได้3หน้า...ไม่คิดว่าเนื้อเรื่องจะข้นขนาดนี้ ดูจากชื่อเรื่องในตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องแนวใส ถๆแต่ไฉนฮาร์ดอย่างนี้ ถ้าให้เปรียบนิยายเรื่องนี้เหมือนการฟังเพลง เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังฟังเพลงแนวบัลลาร์ดร็อคที่เนื้อหาแน่นกับดนตรีที่หนักหน่วงจนทำให้คนฟังซึ้งไปกับมัน เราชอบแนวคิดวินะ ในบางมุมดูลึกซึ้งดี เรามีรุ่นพี่และเพื่อนที่เรียนปรัชญาเช่นกัน เราว่าบางครั้งพวกเขาก็คิดอะไรที่แตกต่าง แต่มีเสน่ห์อยู่ในที

เรื่องนี้เหมือนนำพาเราให้หวนนึกถึงวัยมหาลัยอีกครั้ง คิดถึงบรรยากาศในตอนนั้น ไม่รู้เราคิดไปเองหรือเปล่า เราว่าวิน่าจะเป็นอาร์ต'38แค่เดานะคะ

ไม่ว่าวิจะเลือกใคร ถ้านั่นเป็นทางที่เลือกแล้วมีความสุขก็ยินดีค่ะ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: nang_nang ที่ 25-10-2013 23:54:44
มันหน่วงมากค่ะ เป็นเรื่องที่ลุ่มลึกจริงๆค่ะแต่ละบทมีพลังมาก
ชอบที่แฝงปรัชญาและการตีความหนังสือแล้วนำมาผูกกับเรื่องได้ดีมาก
อธิบายไม่ค่อยถูกอ่ะค่ะ แต่เป็นการดำเนินเรื่องที่มีเสน่ห์มาก ชอบค่ะ
ยังไม่ใกล้จบใช่มั้ยคะ? อยากรู้ว่าน้องโย๊ปมีบทบาทสำคัญอย่างไร
เพราะเป็นตัวดำเนินเรื่องคู่ขนาน น่าจะสำคัญใช่เล่น แต่ผ่านมา 15 ตอน
ยังเดาไม่ออกว่าความสัมพันธ์ของน้องโย๊ปและพี่วิ จะพัฒนาไปมากกว่านี้รึป่่าว
แอบเชียร์โย๊ปนะ :)
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 26-10-2013 00:51:26
 :hao5: เค้าสงสารตูนอะ ตูนเป็นผู้ชายที่ดีคนนึง เท่าที่สัมผัสได้จากตัวหนังสือที่เล่ามา แต่อย่างที่พี่เบิร์ดบอก
เป็นคนดีแล้วมันไม่มีใคร  :ling1:

คนต่อไปที่วิจะเอ่ยลา น่าจะเป็นท๊อปป่าวนะ เสียดายเด็กออกจะน่าเจี๊ยะขนาดน้านนนน  :katai1:

-----------------------------------------------------------------------------

สำหรับเรื่องการลงวีดีโอ ไว้จะทำภาพวิธีทำให้นะ ขอเวลาเปป  :laugh:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: เมล่อนคอซอง ที่ 26-10-2013 04:26:43
ชอบภาสาเขียนนะคะ แต่น่าจะวรรคหน่อยอะ ขอเก็บไว้ละกันนะ ^ ^
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: hotoil ที่ 26-10-2013 07:38:09
ในที่สุดวิก็ทำไปแล้ว...ต่างคนต่างเจ็บ..แต่มันเป็นทางที่ดีที่สุด
ดีกว่าให้ความหวังไปนาน ทั้งที่ไม่ได้รัก(แบบจริงจัง หรือ มีรักให้กันทั้งสองฝ่าย)
ยังคงหน่วงต่อไป เมื่อปัญหายังไม่หมด...
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 26-10-2013 10:16:12
อ่านตอนนี้แล้วก็นึกถึงเพลงได้หลายๆเพลง ฉากบอกลากันเคยอ่านมาแล้วมากมาย แต่ครั้งนี้เศร้ามากจริงๆ :mew6:
บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ต้องคอยสะกดจิตตัวเองนะเนี่ยว่าเป็นนิยาย ไม่งั้นเราจะอินมากเลยอ่า :z3:
ถ้ามันอินมากแล้วจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ อย่างกับเป็นเรื่องของตัวเองงั้นแหละ ตลกมาก :katai1:
คนต่อไปคือน้องท็อปแหงเลย เพราะวิเองก็เลือกทางเดินให้น้องเขาแล้วเหมือนกันใช่ไหมนี่
วินี่เหมาะกับคำว่าหน้าตาดีเลือกได้นะคะ (ขำๆไม่อยกาเครียดเลย) :hao7:
รออ่านตอนต่อไปค่ะ อยากให้อัพตอนที่กับวันที่ให้ด้วยอ่ะค่ะ บางทีมีเวลานิดหน่อยเข้าเล้า ก็อยากเข้ามาอ่าน แล้วเราจะเป็นประเภทถ้าเรื่องไหนไม่อัพวันที่ เราจะยังไม่กดเข้ามาอ่านอ่ะค่ะ ไม่อยากพลาดซักตอน :impress2:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: บ๊ายบายโพ ที่ 26-10-2013 13:12:33
ฮือออออ เศร้าได้อีกมั้ย :hao5: :z3: เราว่าตูนก็ดูจริงใจดีนะ โดนซะแล้ว สงสารอ่ะ ตอนนี้แบบหน่วงมากเลย  :mew2: เวลาเราเดินผ่านตรงนั้นเราว่าฉากมันคงลอยมาเลยแหละ :katai1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....15(10) But Only Love Can Say (นักกีฬา...สินค้าชำรุด)
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 26-10-2013 17:25:22
ถึงผู้อ่านทุกคนครับ ขอบคุณที่ได้ติดตามงานเขียนของผมมาครับ แม้ตามความเห็นจำนวนมากที่บอกว่าเรื่อง My Almond Crush นำพามาซึ่งความเศร้าหมองที่หน่วงจิตใจคนอ่าน ผมหวังว่าเรื่องราวในตอนนี้คงจะพาทุกคนออกจากห้วงอารมณ์ที่พะอืดพะอมของตอนที่แล้วมาได้บ้าง

ขอบคุณ คุณ คีรี~มัญจาโร ครับ กลับคอมเม้นท์ สำหรับตัวละคร วิ มันดูแปลกและมีน้ำใจมากครับเมื่อคนอ่านรู้สึกอิจฉา และขอยอมรับครับว่าผมไม่เคยอ่านเรื่องราวของตระกูล  Buendía ในเมือง Macondo ของ 100 Years of Solitude แต่หากมีโอกาสคงได้หามาอ่านครับ

ปล. ผมจะพยายามปรับปรุงเทคนิคการจัดวางให้ดียิ่งขึ้นตามคำแนะนำของเพื่อนๆ นักอ่านครับ บางอย่างอาจติดขัดด้วยความ low tech ของผมเอง

หวังว่าทุกคนคงจะได้รับความบันเทิงครับ
"วิ"
......................................................................



   
15(10) But Only Love Can Say (นักกีฬา...สินค้าชำรุด)

     หลังจากบังคับให้ตัวเองหยุดร้องไห้ได้พักใหญ่ ผมก็เดินฝ่าความมืดไปเข้าห้องน้ำที่อาคาร 36 ปีของคณะเพื่อล้างหน้าล้างปาก แล้วโทรหาคอร์ทครับ คอร์ทบอกผมว่าอีกสักพักมันจะมารับผมไปนอนด้วย และผมไม่รู้ว่าทำไมแทนที่ผมจะบอกกับคอร์ทไปว่าอยากนอนพักที่ห้อง ผมกลับตกลงที่จะออกไปนอนหอมัน ทั้งๆ ที่คืนนี้ผมสมองล้ามาก เรื่องของตูนที่เพิ่งเดินจากผมไปในความมืดฉายภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวผม จนอาการเวียนหัวไม่ยอมหายไป

   เช้าวันจันทร์คอร์ทปลุกผมที่ตอนนี้ร่างกายไม่มีแรงขึ้นมาจากเตียง ส่วนมันแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว

“พี่ไหวป่าวเนี่ย” คอร์ทถามผม

“มึนๆ อ่ะ พาพี่ไปส่งหอทีสิ”

   

“พี่คืนนี้ผมกลับดึกนะ” คอร์ทบอกผมทำหน้าแดงๆ

“ผมจะไปกินข้าว แล้วดูบอลกับเพื่อนอ่ะ”

“อืมไปสิ” ผมบอกถ้ามันขออย่างไรผมก็ต้องให้ครับ

“พี่กลับมารอผมที่ห้องได้มั้ย” มันผมบอกผม หน้าแดงอีก

“ได้”

“งั้นผมให้กุญแจห้องกับพี่ไว้”

“อืม” แล้วผมก็รับกุญแจมาจากมัน แม้ใจจริงจะไม่อยากรับกุญแจห้องใครไว้สักเท่าไร แต่คอร์ทเป็นข้อยกเว้นสำหรับทุกกรณี

     เมื่อพูดถึงเรื่องกีฬา ผมเป็นคนไม่ชอบกีฬาทุกชนิดครับ และต่อต้านกีฬาต่างๆ เพราะเมื่อว่าด้วยแนวคิดสังคมวิทยา กีฬาเป็นเรื่องของการต่อสู้ ความรุนแรง และเลือกข้าง การแบ่งแยก กีดกัน ไม่ใช่เรื่องของการรู้แพ้รูชนะรู้อภัยตามที่ใครให้คำขวัญไว้ เชื่อสิว่าไม่มีใครอยากแข่งขันโดยที่คิดว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายแพ้  นอกจากนี้สถานที่ที่ต้องเสียไปกับการเล่นกีฬา เช่น สนามกอล์ฟ สนามบอล เป็นการแย่งชิงทรัพยากรที่ดิน ทรัพยากรน้ำจากชุมชนมาครับ และโดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบเอาชนะมากจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าสู่พิธีกรรมการแข่งขันที่เรียกว่ากีฬา ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่ามันดูขัดแย้งกันมากเลยครับเมื่อคอร์ทเป็นนักบอลคณะ และท็อบเป็นนักบาสโรงเรียน

   ผมนัดกินข้าวกับลิตเติ้ลตอนกลางวันก่อนที่จะเข้าเรียนวิชาทักษะการฟังภาษาอังกฤษช่วงบ่ายโมง และตอนนี้ผมก็ยังมึนๆ อยู่ด้วยฤทธิ์ของยานอนหลับครับที่แอบกินก่อนนอนเมื่อคืน

“How about you and Nong Court ka?” ลิตเติ้ลถามผมว่าระหว่างผมกับน้องคอร์ทเป็นอย่างไรบ้าง ระหว่างที่เรากำลังกินข้าวกันอยู่ที่โรงอาหารคณะ

“So far so good Jra.” ผมตอบไปว่าเท่าทีผ่านมาก็ดีครับ

“Wish you’re happy together ka.” ขอให้เธอสองคนมีความสุขนะจ๊ะ

“Thanks jra my BFF.” ขอบใจจร้าเพื่อนที่ดีที่สุดตลอดการของฉัน

     หลักจากเรียนเสร็จตอนเย็นผมก็เดินเรื่อยเปื่อยมาที่โรงเรียนสาธิตครับ ใจหนึ่งตอนนี้อยากเจอท็อบเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอกครับผมไม่ใช่คนประเภทไปนั่งเฝ้าแฟนตัวเองอยู่ขอบสนาม เลยแอบโทรหามัน

“วิ....ผมกำลังจะโทรหาวิอยู่เลย นี่วิอยู่ไหนอ่ะ” มันรับโทรศัพท์แล้วพูดออกมาเป็นชุดเลยครับ

“อยู่หน้าพัพ แอนด์ พาย” ไม่รู้ทำไมผมต้องยิ้มเล็กยิ้มน้อยเวลาที่ได้คุยกับมัน

“ผมจะซ้อมบาสแล้ว เลิก 6.00 วิมากินข้าวกับผมนะเย็นนี้”

“อืม.....” ผมเลยเอาของเข้าไปเก็บที่หอ และนอนพักเพื่อรอเวลาครับ โดยที่คิดไปด้วยว่าทำไมผมต้องรอผู้ชายที่ผมรักทั้งสองคนกลับมาจากสนามกีฬา

     6.00 ผมมาเจอกับท็อบที่หน้าโรงเรียนสาธิต แล้วเดินผ่านวังไปกินข้าวแถวถนนต้นสน พยายามหลีกเลี่ยง อารต์ อเวจี ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตอนเรากินข้าวอยู่ด้วยกันสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับว่าผมอยู่ในภวังค์ แค่จ้องมองเด็กนักเรียนผมสั้นๆ แขนยาวๆ มือเรียวๆ ตรงหน้า คนที่กำลังกินอย่างมีความสุข

“วิ...สัปดาห์นี้ผมจะปิดเทอมแล้วนะ” ท็อบเงยหน้าบอกผมจากจานสเต็ก บนโต๊ะเหล็กพับข้างถนนที่เรานั่งอยู่

“อืม...........”

“วิ....ผมต้องไปฝึก รด. ด้วยนะ” มันบอกเพิ่ม

“อืมมม.....”

“เราจะไม่เจอกันเป็นเดือนเลยนะวิ” ในที่สุดมันก็เข้าเรื่องสักที

“อืม......” หนึ่งเดือนที่ไม่พบเจอ หนึ่งเดือนที่ไม่ได้พูดคุยกัน ก็ดีเหมือนกัน

“จะไม่คิดถึงเหรอ” ท็อบตัดพ้อเมื่อเห็นท่าทีไม่ใส่ใจของผม

“วิก็ต้องออกภาคสนามลงหมู่บ้านเหมือนกัน ชายแดนเลยล่ะ” ทีนี้มันอ้าปากค้างเลยครับ

“เวร” ท็อบเริ่มดูหงุดหงิด เพราะเรื่องเวลา และระยะทางของเรา

“ปีหน้า...วิก็จบแล้วนะ วิอาจจะไม่ได้มามหาลัยอีก แล้วต่อไปเราจะได้เจอหน้ากันอีกมั้ยก็ยังไม่รู้” พูดแล้วผมก็อยากจะร้องไห้เองครับ เพราะรักไอ้ท็อบด้วยส่วนหนึ่ง และผมรักมหาลัยด้วยส่วนหนึ่งแม้ในชีวิตนี้ผมจะเดินทางมากมาย ผมไม่อยากจินตนาการถึงชีวิตนอกมหาลัยเลย

“วิ............” พอสิ้นเสียงของท็อบผมก็รู้สึกว่า เสต็กปลาทอดของผมมันไม่มีรสชาดแล้วครับ

“อย่าไปกังวลถึงวันพรุ่งนี้ ปล่อยให้วันพรุ่งนี้เป็นเรื่องของมันเอง” Therefore do not worry about tomorrow, for tomorrow will worry about itself. Each day has enough trouble of its own. ผมจับมือมันมั่นคงแล้วบอกคำปรัชญาชีวิตที่ทรงพลังที่สุดคำหนึ่งในเรื่องของเวลา จากวัจนะหนึ่งที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ล (มัธธิว 6:34) ออกไป เพราะอย่างไรมนุษย์เราก็มีเพียงแค่ปัจจุบัน

“.................................................”

“วันเสาร์นี้เราไปเที่ยวกันมั้ย....” ผมชวนมันอยากเปลี่ยนบรรยากาศที่เศร้าหมองในตอนนี้

“อืม....ไปที่ไหนดีล่ะครับ กรุงเทพฯ หรอ” มันถาม

“สวนสัตว์มั้ย สวนสัตว์ดุสิต” ผมเสนอเพราะผมชอบเที่ยวพวกสวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ หอสมุด อะไรทำนองนี้ครับ

“ครับๆ”

“ช่วงนี้ท็อบเป็นไงบ้าง สอบเหนื่อยมั้ย โทษทีนะวิเรียนสายศิลป์มาเลยช่วยอะไรไม่ได้เลย”

“ก็เหนื่อยนิดนึงอ่ะ คะแนนผมก็พอไปได้นะ อาศัยเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย” มันบอก

“ให้ความสำคัญกับการเรียนให้มากกว่าบาสนะ” ผมสั่งมัน เพราะผมอยู่มหาลัยจึงรู้ว่าหากจะใช้โควต้านักกีฬาเพื่อการศึกษาต่อ ผู้สมัครจะต้องเป็นนักกีฬาทีมชาติเท่านั้น
“รับปากสิ” ผมยังเสียงแข็ง

“ครับๆ แต่ผมไม่เลิกเล่นบาสหรอกนะ” มันบอกยิ้มๆ ผมก็พยักหน้าอนุญาตมัน

“อืม...เด็กดีของพี่ คนดีของพี่” ผมพึมพำแล้วกุมมือท็อบแน่นกว่าเดิม ตอนนี้ผมเริ่มเวียนหัวแล้วครับ ความคิดผมชอบล่วงหน้าไปไกลเสมอ ผมนึกภาพมันเอาไว้แล้ว วันเสาร์ที่จะถึงนี้ คงเป็นวันที่ผมบอกเลิกท็อบ เพื่อคืนหัวใจ และอิสระให้กับมันไป ครั้งนี้ผมมีเวลาเหลือแค่ 4 วัน

“.....และผมก็ไม่เลิกรักวิด้วย ผมเป็นนักกีฬานะ ผมไม่ยอมแพ้หรอก” ท็อบบอกผมที่กำลังเหม่อกับความคิดตัวเอง รอยยิ้มของผู้ชาย รอยยิ้มนักกีฬาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ทำให้ผมหวั่นไหวครับ ผมเลยจูงมือมันไปจ่ายเงิน แล้วเดินไปส่งมันขึ้นรถสองแถวที่องค์พระ

“รักไม่ใช่เกมหรอกนะ.....” ผมบอกมันแล้วส่งขึ้นรถ
“อ่านหนังสือสอบดีๆ นะ คนดี” แล้วเมื่อรถสองแถวคันนั้นแล่นหายลับตาไป ผมก็เรียกเมล์เครื่องเพื่อกลับไปห้องคอร์ท

        บนเตียงนอนในห้องคอร์ท ผมไม่ได้ถ่างตาตื่นเพื่อรอมันแบบนางเอกละครหรอกครับ ผมอ่านหนังสือสักพักแล้วก็นอนหลับ หลังจากนั้นผมก็ฝัน ผมฝันได้ดิบและเถื่อนมากครับ ผมฝันว่ารูมเมทของผมต้องการช่วยแฟนของมันที่กำลังจะตาย โดยที่มันต้องแข่งว่ายน้ำ ปีนเขา และวิ่ง กับผมเพื่อจะแย่งยารักษาไปให้แฟนมันให้ได้ ผมไม่ยอมแพ้ แม้ผมจะไม่ต้องการยานั้น ผมแย่งยานั้นมาได้แต่แทนที่ผมจะให้ยาไปกับรูมเมทเพื่อเอาไปช่วยชีวิตคน ผมกลับโยนยานั้นทิ้งไป ไม่สนใจว่าจะต้องมีคนตายเพราะนิสัยชอบเอาชนะชองผม เมื่อไม่มียาไปรักษาคนรักมันรูมเมทผมโกรธมากและเข้ามาทำร้ายผม เราสู้กันจนถึงตายครับ ผมสะใจกับความรุนแรงที่ผมใช้กับมัน ผมหัวเราะแห้งแล้งในทุกๆ หมัดที่ต่อยออกไป ผมเลียปลายนิ้วผมที่เปื้อนเลือดจากการข่วนตามัน ผมเปิดท้องมันออก ควักหัวใจมันออกมาโยนทิ้ง และผมเอาเลือดมันมาป้ายหน้า ทาตัว แล้วเต้นรำไปรอบๆ ศพของมัน

        ผมหลุดมาจากระบำเลือดในฝันของตัวเอง เพราะเสียงคอร์ทกลับเข้ามาครับ ตีสามกว่าแล้ว มันไม่เปิดไฟแต่เปลี่ยนเสื้อเงียบๆ แล้วเดินเข้ามานอนข้างผมบนเตียง กลิ่นเบียร์ที่ติดตัวมันโชยมาที่จมูกผม ความมืดและกลิ่นเบียร์ปลุกความทรงจำของผมในคืนที่ผมโดนรูมเมทลวนลามครับ ผมรู้สึกหวาดกลัวขณะเดียวกันกับที่รู้สึกถึงความโกรธ และอารมณ์รุนแรงที่วิ่งพล่านอยู่ในร่างกาย คอร์ทโน้มตัวมาเพื่อจูบปากผมกลิ่นลมหายใจที่มีแต่เบียร์ ผมใช้มือผลักอกคอร์ทออกไป มันแรงมากจนคอร์ทหงายท้องลงไปจากเตียง

“เฮ๊ย....โอ๊ย เป็นไรวะ” มันร้องทั้งตกใจทั้งเจ็บ แต่ผมรู้สึกกลัวจนพูดไม่ออก กลัวจนไม่ได้ลุกจากเตียงเพื่อช่วยคนที่ผมรักที่สุด  ไม่นานคอร์ทมันก็กลับขึ้นมาบนเตียงงงๆ ไม่พูดอะไร คืนนั้นเราต่างนอนกันคนละข้างของเตียงครับ

        เช้าวันรุ่งขึ้นคอร์ทแต่งตัวไปเรียน โดยที่มีผมล้างหน้า แปรงฟัน และใส่คอนแทกเลนส์อย่างเงียบๆ เราไม่พูดอะไรกันเลยครับ เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อคืน

“เมื่อคืนพี่แม่งเป็นเหี้xx อะไรวะ” คอร์ททำลายความเงียบ เพื่อบอกว่ามันโมโหอยู่ และมันโมโหมาก

“พี่ขอโทษนะครับคอร์ท....พี่ตกใจ พี่กลัว มันมืดนึกว่าเป็นคนอื่น” ผมแก้ตัว และรู้สึกเสียใจ

“แล้วใครมันจะเข้ามาได้วะ” คอร์ทมันยังว่าผมต่อ

“พี่ขอโทษนะคอร์ท พี่มันไม่ดีเอง” ผมพูด รู้สึกว่าตัวเองมีน้ำตา เพราะเหตุการณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงรอยแผลในใจที่ไม่มีวันหายไปของผม เพราะรูมเมทสารเลวของผมคนเดียวเรื่องมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ ผมเสียเพื่อน และผมกลายเป็นสินค้าชำรุด ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวผมจะมีค่าพอให้คอร์ทรักต่อไปได้หรือไม่

“อืม.......” คอร์ทมันพยักหน้าให้อภัย และผมก็รู้ว่าลึกลงไปในจิตใจของคอร์ทมีรอยแผลแบบเดียวกับผมอยู่เช่นกัน ไม่รู้ว่าผมจะไปเหยียบกับนั้นเมื่อไร แล้วคอร์ทจะระเบิดปมนั้นออกมาอย่างไร เพราะเราต่างก็เป็นสินค้าชำรุด
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: hotoil ที่ 26-10-2013 19:28:29
วิสู้ๆ ปัญหากำลังจะผ่านพ้นไป
คอร์ทแปลกๆทำไมต้องโกรธอ่ะ เห็นเป็นเครื่องสำเร็จความใคร่? (คิดไปเอง ฮ่าๆ)
ท็อปเส้นทางความรักยังอีกไกล นายต้องเจอคนดีๆแน่...
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 26-10-2013 19:36:35
ตอนนี้เหมือนน้องท๊อปจะมาวินกว่าเลย
น้องโย๊ปไปไหนแล้ว ไม่ค่อยมาแสดงตัวเลย(แอบเชียร์อยู่ อิอิ)
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 26-10-2013 22:14:51
ไม่มีใครเป็นสินค้าไม่มีตำหนิหรอก
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: greenoak ที่ 26-10-2013 22:35:34
มีคนบอกว่าเรื่องนี้เด็ด เลยเข้ามาดูครับ ปรากฏว่า......สุดๆ อ่ะ  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 27-10-2013 00:34:30
ไม่มีใครเป็นสินค้าไม่มีตำหนิหรอก

พูดได้เหมือนที่ใจฉันคิด
หัวข้อ: Re: My Almond Crush...15(11) But Only Love Can Say (เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี)
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 27-10-2013 01:35:53
ขอบคุณ คุณ uknowvry และคุณ oaw_eang มากครับ คอมเมนท์สั้นๆ แต่ทำให้ชีวิตคนๆ หนึ่งดูมีคุณค่ามากขึ้นเยอะเลยครับ ในชั้นเรียนจิตวิทยาสังคมคนเราบ่อยครั้งมักมองไม่เห็นข้อดีของตน จนกระทั่งมีคนอื่นมาบอก รู้สึกว่าจะคล้ายๆ กับโฆษณาของโด๊ฟที่ให้เพื่อนผู้หญิงผลัดกันชมเพื่อน

ถึงผู้อ่านทุกท่านนะครับ ในบทนี้ผมยกกลอนที่มีความหมายและมีอิทธิพลมากกับวิในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัย และช่วงที่เป็นวัยรุ่น กลอนนี้เป็นกลอนภาษาอังกฤษครับ โดยแถวด้านซ้ายจะเป็นต้นฉบับ ส่วนแถวด้านขวาผมแปลเป็นไทยให้เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

ขอบคุณครับ
"วิ"
..............................................................


15(11) But Only Love Can Say (เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี)

When I was one-and-twenty................................เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี
I heard a wise man say, ........................................มีผู้รู้มากล่าวไว้
'Give crowns and pounds and guineas..............   มอบไปเถิดสินทรัพย์นอกกายใด
But not your heart away;........................................แต่เก็บหัวใจไว้ให้จงดี
Give pearls away and rubies.................................มอบไปเถิดเพชรพลอยและแหวนแก้ว
But keep your fancy free.'......................................แต่เก็บจิตให้เป็นเสรี
But I was one-and-twenty,..................................แต่ตอนนั้นฉันอายุแค่ยี่สิบเอ็ดปี
No use to talk to me...............................................ฉันไม่ฟังหรอกคำที่เขาพูดมา

When I was one-and-twenty.............................เมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี
I heard him say again,.........................................ผู้รู้ท่านได้ย้ำไว้
'The heart out of the bosom..............................ดวงใจที่ยกให้ผู้อื่นออกจากอกไป
Was never given in vain;.....................................หาใช่เป็นสิ่งของที่ไร้ซึ่งราคา
'Tis paid with sighs a plenty...............................จะนำกลับมาต้องแลกด้วยเสียงถอนใจนับหมื่นแสน
And sold for endless rue.'..................................เอามันคืนมาพร้อมกับความแค้นเศร้าไม่สิ้นสุด

And I am two-and-twenty,.................................และวันนี้ฉันอายุยี่สิบสองปี
And oh, 'tis true, 'tis true...................................และ โอ้  มันเป็นไปดังที่ท่านพูดมา
(When I Was One-and-Twenty by A. E. Housman แปลเป็นไทยโดย วิฬะ คณะอักษรศาสตร์)

        กลอน When I Was One-and-Twenty หรือที่ผมแปลเป็นภาษาไทยว่าเมื่อคราฉันอายุยี่สิบเอ็ดปี เป็นกลอนภาษาอังกฤษที่ผมได้เรียนตอนอยู่ปี 3 เนื้อหาของกลอนนั้นกล่าวถึง เด็กอายุ 21 ปีคนหนึ่งซึ่งได้รับการตักเตือนจากผู้รู้ให้ระวังอย่ามอบหัวใจและจิตวิญญาณของตนไปให้กลับใครง่ายๆ เพราะเมื่อใจที่ออกจากอกไปแล้ว ถ้าต้องการกลับมาราคาของมันถือการถอนใจนับพันนับหมื่นครั้ง และความเศร้าที่ไม่มีวันสิ้นสุด ท้ายที่สุดเด็กคนนั้นก็ไม่ฟังเพราะเขายังเด็กอายุแค่ 21 ปี กระทั่งเขามอบหัวใจตัวเองให้กับคนอื่นไปแล้ว ผ่านความเจ็บช้ำ และโศกเศร้าจนอายุได้ 22 ปี และมองย้อนกลับไปมองตัวเองเมื่ออดีต จึงอุทานว่า มันเป็นจริงดังที่ผู้รู้เตือนไว้

        ผมอินกับกลอนนี้มากครับเพราะมันเหมือนกับชีวิตผมไม่มีผิด และโดยเฉพาะไอ้ท็อบ ผมคิดว่าในเร็ววันนี้ผมจะเขียนกลอนบทนี้ให้กับมัน ผมไม่อยากให้มันเสียใจเพราะฝากหัวใจไว้กับผม จนมันโตขึ้นเพื่อที่จะเรียนรู้ความโศกเศร้าและลงเอยแบบกลอนบทนี้


     วันนี้เป็นวันศุกร์ครับ โดยสี่วันที่ผ่านมาผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเข้าห้องเรียน ทำงานกลุ่ม และอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคในสัปดาห์หน้า ซึ่งน่าอายมากคือตอนนี้ผมแทบจะย้ายตัวเองมาอ่านหนังสือห้องคอร์ทแล้ว และก็นอนที่นั่นเลย  อย่างไรก็ตามวันศุกร็นี้ ไม่ได้เป็นวันศุกร์ธรรมดาครับแต่เป็นวันที่ผมต้องเข้าอภิปรายในงานรักแห่งสยาม งานนี้จัดไม่ใหญ่มาก จัดที่ห้องประชุมบนอาคารสำนักงานคณะที่จุผู้เข้าชมได้ไม่เกิน 100 คน และผมกำลังนั่งทบทวนความคิด เพื่อจะมีคำถามที่ต่อยอดจากการอภิปรายของพวกเราทั้ง 3 คน แต่ผมว่าไคลแมกซ์ของงานนี้มันไม่ได้อยู่ที่ผม ไอ้รี่ กับไอ้โน๊ตมาวิจารณ์สับแหลกหนังเรื่องรักแห่งสยามหรอกครับ คนคงอยากมาดูไอ้ตูนกับเพื่อนๆ ปี 1 ของมันแสดงละครล้อหนังมากกว่า

     หลังจากงานเริ่มเวลา 10.30 พวกผม 3 คนใช้เวลาในการอภิปรายตามบทที่ซักซ้อมกันมาประมาณ 30 นาที หรือประมาณคนละ 10 นาที โดยมีคำถามจากอาจารย์นิดหน่อย แต่คำถามที่ผมไม่คาดฝันนั้นมาจากเด็กปี 1 ที่ผมไม่รู้จักชื่อคนหนึ่งครับ

“พี่วิฬะครับ ต้องขอโทษก่อนนะครับ ในฐานะที่พี่ก็ชอบผู้ชาย ถ้าพี่เป็นแฟนของพระเอกซึ่งโดนแม่พระเอกมาขอให้เลิกยุ่งกับลูกชายเขา ทั้งๆ ที่ลูกชายเขากับพี่ก็รักกัน พี่จะเลือกทางออกไหนครับ จะเลิกคบ หรือจะฝืนคบต่อไป”

“ถ้าเป็นตัวพี่เองใช่มั้ย...” ผมย้ำคำถาม

“ครับ”

“ถ้าเป็นพี่...พี่จะเว้นช่องว่าง ให้เวลากับพระเอก หรือแฟนพี่สักพัก เพราะพี่ไม่อยากให้เขาลำบากใจ....” ผมเริ่ม
“พี่อยากจะอ้างคำพูดของฝรั่งคนหนึ่งว่า There is never a time or place for true love. It happens accidentally, in a heartbeat, in a single flashing, throbbing moment. เธอคนนี้ชื่อว่า Sarah Dessen พี่เชื่อเช่นเดียวกับเธอว่า ในโลกนี้ไม่มีสถานที่หรือเวลาใดที่รักแท้ดำรงอยู่อย่างถาวร เพราะความรักนั้นมักจะเกิดขึ้นในเวลาที่เราไม่ได้คาดหมาย และเร็วเกินกว่าที่เราจะรู้ตัว ความรักก็เกิดขึ้นแล้ว ในชั่ววูบที่หัวใจเราเต้น...มันรวดเร็ว งดงาม แต่ไม่เป็นนิรันดร์” และผมก็พักหายใจชั่วครู่เพราะรู้สึกมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมาที่ผมไม่ลดละเวลาที่ผมพูดเรื่องความรัก
“ฉะนั้นแม้เราจะไม่ได้รักกันวันนี้ ไม่ได้แปลว่าวันพรุ่งนี้เราจะไม่ได้รักกัน ไม่ได้แปลว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราจะรักกันไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นที่สยามตามท้องเรื่องเท่านั้นที่เราจะรักกันได้....วันนี้ต้องยอมรับว่าทั้งพระเอกและแฟนยังไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นของตนเองอย่างสมบูรณ์ หรือบรรลุนิติภาวะ วุฒิภาวะ เพราะว่ายังคงต้องพึ่งพาแม่อยู่ ปัจจัยนั่นมีอิทธิพลมากต่อความรัก และการตัดสินใจ ของคน2 คน....พี่เชื่อว่าถ้าเราเว้นระยะห่างกับเวลาไว้สักพักเราจะได้คำตอบ และทางออกของปัญหาที่มากกว่าฝืนคบกันต่อไป หรือว่าเลิกกัน” ผมมองหน้าน้องที่ถามคำถามนี้ แต่ไม่มีการตอบสนองว่ายังต้องการคำตอบอีก และเมื่อไม่มีใครตั้งคำถามอีก ไอ้รี่จึงกล่าวขอบคุณคนที่เข้ารับฟัง และให้พิธีกรของงานนำเข้าสู่ช่วงละครล้อ

“สำหรับผมนี่คือช่องว่างของระยะทางกับเวลาใช่มั้ย” ไอ้ตูนเดินสวนมากระซิบข้างหูผม ระหว่างที่สมาชิกคนอื่นช่วยกันเคลียร์เวทีให้เปลี่ยนเป็นลานแสดง

“บางทีนะ หรืออาจจะไม่ใช่ หรืออาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่” ผมตอบมันเบาๆ ด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจ รู้สึกมีความสุขที่ความมั่นใจซึ่งผมทำหล่นหายไปเป็นเดือนๆ นั้นกลับมาเหมือนเดิม 

        ผมไม่ได้อยู่ดูไอ้ตูนแสดงละครล้อหรอกครับ ผมยังคงไม่ไว้ใจตัวเองพอที่จะมองหน้า หรือสบตามันในตอนนี้ เพราะภาพที่มันเดินจากไปในความมืดทุกวันนี้ก็ยังติดตาผมอยู่ บวกกับความรู้สึกผิดที่ผมมีให้กับมันด้วย ตอนี้ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคณะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออกไปหาเด็กน้อยของผมด้วยรอยยิ้ม ทั้งหนักใจ และมีความสุข

“ไงครับ คนดี กินข้าวรึยัง” พักหลังผมสังเกตตัวเองว่าผมใช้สรรพนามแทนตัวท็อบว่า คนดี แปลกๆ นะ แต่มันคล่องปากมากเลย

“กำลังจะกินค้าบ” มันตอบเสียงหวานเชียว

“เป็นไงบ้างสอบวันสุดท้าย” ผมถามมัน

“เต็มที่เลยอ่ะครับ...อัดอั้น ไม่ได้นอนกับเมียมาเป็นอาทิตย์แล้ว เพราะสอบนี่แหละ” มันพูดอะไรตลกๆ ออกมาอีกแล้ว แต่ผมก็ขำครับ

“55555”

“พรุ่งนี้อย่าลืมนัดเรานะ” ผมเตือนมัน

“ไม่ลืมแน่ค้าบบบ....ผัวรอมานานแล้วค้าบบบบ” มันยังเล่นไม่เลิก

“ส้นตีxx เหอะครับ แค่นี้นะ กินข้าวด้วย” แล้วผมก็วางสายครับ

        ทันทีที่ผมวางสายจากมันใจผมมันก็เริ่มเลื่อนลอยอีกแล้วครับ ผมสงสารท็อบจริงๆ ที่มันยกหัวใจมาให้คนอย่างผมไว้ คนที่ไม่มีค่าพอจะดูแลหัวใจที่บริสุทธิ์ของมันเลยแม้แต่นิดเดียว จากนี้ไปมันคงเติบโตขึ้นพร้อมๆ กับแผลลึกในใจ ความเศร้า และเสียงถอนใจแบบที่ Housman แต่งกลอนบอกไว้

     รักเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายครับอยู่ๆ มันจะเกิดก็เกิดแค่สบตาแค่หัวใจเต้น แล้วมันก็อาจจะพาเราไปสู่ความสุข หรือความทุกข์ที่ไม่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 27-10-2013 02:46:40

มีข้ออยากแย้งฮะ  แต่เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมมากกว่า

คือ  บทกลอนที่เอามาลง  กินใจมากครับ  และผมรู้สึกเข้าถึงมันได้จากคำแปลที่คุณวิใส่ไว้ข้าง ๆ แล้ว  ผมเลยรู้สึกว่าการอธิบายซ้ำด้วยร้อยแก้วอีกครั้งตามมา  มันเกินความจำเป็นน่ะครับ  และทำให้รู้สึกสะดุด  เพราะมันไม่งามเท่ากับตอนเรียงร้อยกันอยู่  และตอนที่เรียงร้อยกันอยู่นั้นมันเปิดพื้นที่ให้กับคนอื่นในการให้ความหมาย  และเก็ตนัยอันชาญฉลาดของกลอนบทสุดท้าย  มากกว่าที่จะถูกบังคับเฉลยโดยผู้เขียนว่าบทสุดท้ายหมายความว่าอย่างไร

แต่นั่นเป็นความรู้สึกส่วนตัวด้านความงามนะครับ  แต่ในด้านเนื้อเรื่องผมก็เห็นความจำเป็นอยู่ว่าต้องอธิบายเพราะจะต้องโยงกลับไปว่าทำไมถึงอยากจะมอบกลอนนี้ให้ท๊อป


++++

ในส่วนความสัมพันธ์ของวิกับพระเอกทั้งสาม  ผมชอบตูนมากที่สุดแฮะ  ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตูนกับวิมีอะไรที่ลึกซึ้งต่อกัน  วิธีคิดที่ตูนคิดต่อวิ  มันน่าสนใจและน่าประทับใจมาก ๆ  แต่คิดว่าคอร์ทมาแรงเพราะว่าเป็นอะไรที่ฝังใจในช่วงที่เป๋กับชีวิต  คือวิได้ใช้เวลา 'เฝ้ามอง' คอร์ทอยู่นานน่าดู รวมทั้งมี sympathy ในบางเรื่องด้วยกัน   ขณะที่ตูนเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน  เหมือนรองเท้าแก้วหลุ่นใส่หัว  ความรู้สึกคลั่งมันจะน้อย  แต่จะเป็นความประหลาดใจ  พิศวงงงงวย  ซึ่งสุดท้ายไม่ใช่เรื่องที่ดี  เพราะมันทำให้วิเลือกที่จะไม่พยายามทำความเข้าใจตูน  เพราะคิดตัดใจแต่แรกว่าเขาเห็นวิเป็นแค่ของแก้เงี่ยน

ในด้านคนที่รู้สึกมีเคมีน้อยที่สุด  คือ ท๊อปน่ะครับ  ตอนที่วิคิดในใจว่ารักเด็กคนนี้มาก  ผมไม่ค่อยอินเท่าไหร่

สุดท้าย  อยากรู้มาก ๆ เลยครับว่าโย๊ปจะมีบทบาทอย่างไรต่อไป  foreshadow ไว้ได้อย่างเข้มข้นมาก 
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 27-10-2013 08:00:37
มีข้ออยากแย้งฮะ  แต่เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมมากกว่า

คือ  บทกลอนที่เอามาลง  กินใจมากครับ  และผมรู้สึกเข้าถึงมันได้จากคำแปลที่คุณวิใส่ไว้ข้าง ๆ แล้ว  ผมเลยรู้สึกว่าการอธิบายซ้ำด้วยร้อยแก้วอีกครั้งตามมา  มันเกินความจำเป็นน่ะครับ  และทำให้รู้สึกสะดุด  เพราะมันไม่งามเท่ากับตอนเรียงร้อยกันอยู่  และตอนที่เรียงร้อยกันอยู่นั้นมันเปิดพื้นที่ให้กับคนอื่นในการให้ความหมาย  และเก็ตนัยอันชาญฉลาดของกลอนบทสุดท้าย  มากกว่าที่จะถูกบังคับเฉลยโดยผู้เขียนว่าบทสุดท้ายหมายความว่าอย่างไร

แต่นั่นเป็นความรู้สึกส่วนตัวด้านความงามนะครับ  แต่ในด้านเนื้อเรื่องผมก็เห็นความจำเป็นอยู่ว่าต้องอธิบายเพราะจะต้องโยงกลับไปว่าทำไมถึงอยากจะมอบกลอนนี้ให้ท๊อป


++++

ในส่วนความสัมพันธ์ของวิกับพระเอกทั้งสาม  ผมชอบตูนมากที่สุดแฮะ  ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตูนกับวิมีอะไรที่ลึกซึ้งต่อกัน  วิธีคิดที่ตูนคิดต่อวิ  มันน่าสนใจและน่าประทับใจมาก ๆ  แต่คิดว่าคอร์ทมาแรงเพราะว่าเป็นอะไรที่ฝังใจในช่วงที่เป๋กับชีวิต  คือวิได้ใช้เวลา 'เฝ้ามอง' คอร์ทอยู่นานน่าดู รวมทั้งมี sympathy ในบางเรื่องด้วยกัน   ขณะที่ตูนเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน  เหมือนรองเท้าแก้วหลุ่นใส่หัว  ความรู้สึกคลั่งมันจะน้อย  แต่จะเป็นความประหลาดใจ  พิศวงงงงวย  ซึ่งสุดท้ายไม่ใช่เรื่องที่ดี  เพราะมันทำให้วิเลือกที่จะไม่พยายามทำความเข้าใจตูน  เพราะคิดตัดใจแต่แรกว่าเขาเห็นวิเป็นแค่ของแก้เงี่ยน

ในด้านคนที่รู้สึกมีเคมีน้อยที่สุด  คือ ท๊อปน่ะครับ  ตอนที่วิคิดในใจว่ารักเด็กคนนี้มาก  ผมไม่ค่อยอินเท่าไหร่

สุดท้าย  อยากรู้มาก ๆ เลยครับว่าโย๊ปจะมีบทบาทอย่างไรต่อไป  foreshadow ไว้ได้อย่างเข้มข้นมาก

ขอบคุณ คุณคีรี~มัญจาโร สำหรับคอมเมนท์นี้มากครับ ผมคิดว่าคอมเมนท์นี้มีประโยชน์ต่อผมที่เป็นคนเขียนมาก เพราะบ่อยครั้งพื้นที่ของการสื่อสารในนิยายของคนเขียน และของคนอ่านมักจะไม่เท่า หรือไม่เสมอกัน มากไปเท่ากับเป็นการปิดกั้นจินตนาการ หรือ cognitive feeling อื่นๆ ของผู้อ่าน แต่น้อยไปก็จะเป็น false communication ทำให้ผู้เขียนเข้าใจคลาดเคลื่อนไป ในกรณีนี้ผมไม่มั่นใจว่าฝีมือการแปลชั้นปลายแถวของผมนั้นจะเป็น source ที่เพียงพอสำหรับคนอ่านหรือไม่ จึงเพิ่มอีกย่อหน้าหนึ่งเพื่ออธิบายกลอนบทนี้อีกที ซึ่งทำให้เกิดความมากเหินจำเป็นของการพรรณา

สำหรับคอมเมนท์เรื่องความรักความสัมพันธุ์ระหว่างวิกับพระเอกอีก 3 คน คุณคีรี~มัญจาโร วิเคราะห์ความรู้สึกระหว่าง วิกับคอร์ท และวิกับตูนได้ดีมากครับ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างวิกับท็อบนั้นก็ใช่ส่วนหนึ่ง โดยในมุมของผมแล้ว....

ความรักระหว่าง วิกับคอร์ท นั้นมีมากมายที่สั่งสมมาตั้งแต่เริ่มแรก มันมากมายจนวิตัดสินใจเลือกคอร์ท แต่ความรักนั้นมันก็หยุดอยู่แค่นั้นครับ มีมากอย่างไร ไม่ลดลงอย่างไร แต่ไม่มีการเพิ่มเติม

ความรักระหว่าง วิกับตูน ทั้ง 2 คน ไม่เคยตระหนักว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความรักครับ ไม่ว่าจะผ่านเรื่องราวลึกซึ้ง หรือสิ่งดีๆ ที่มีต่อกันมากเท่าไร ความรักยังคงไม่ถูก recognized และไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆ จากความสัมพันธ์ของคน 2 คน ท้ายที่สุดจึงสายไปที่จะรักกัน

และสุดท้ายความรักระหว่าง วิกับท็อบ ถูกที่ว่ามันน้อยนิดเมื่อเริ่มต้น ผมคิดว่าความรักนี้กลับมีโอกาสในการที่จะเจริญเติบโต และผ่านเรื่องราวต่างๆ มันได้เติบโตขึ้นมา โดยส่วนตัวผมคิดว่าความรักไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่งมันมีพัฒนาการของมันเองไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบ ที่ผ่านมาผมจึงพยายามสร้างให้ท็อบเป็นตัวละครที่ adorable อย่างไรก็ตามอาจเป็นความรวบรัดของเนื้อเรื่องซึ่งเป็นความผิดพลาดในการเขียนของผมเองที่ไม่สามารถสื่อให้เห็นถึงความรักที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันระหว่างวิกับท็อบได้

อย่างไรก็ตามขอขอบคุณคอมเมนท์นี้จากใจจริงครับ
"วิ"
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 27-10-2013 08:26:37
 :mew6:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Takarajung_TK ที่ 27-10-2013 09:08:37
เข้ามาอ่านจากกระทู้แนะนำของ ong_eng

เลยอยากรู้ว่าจะแนะนำเรื่องแนวไหน

ไม่ผิดหวังเลย

ชอบวิธีการนำเสนอเรื่องราวของคุณวิ

การนำหลักวิชาการที่เรียนมาวิเคราะห์ผ่านมุมมองของวิ

ทำให้เราได้ย้อนมองตัวเรากับความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ด้วย

เราว่าคุณวิมีความเป็นนักวิชาการนะ รับฟังความเห็นผู้อ่านและนำไปปรับใช้

ไม่แน่ตอนนี้อาจเก็บข้อมูลคนอ่านแล้วนำไปวิเคราะห์ในเชิงสังคมวิทยาแน่เลย

สรุปว่าชอบเรื่องนี้  และเป็นกำลังใจให้นะคะ

 o13 :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-10-2013 21:51:32
ใช้เวลาตามอ่านสองวันเต็ม ๆ
ตอนแรกก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของวิ ที่มีอะไรกับใครไปทั่วอย่างนี้
แต่พอวิเริ่มตัดใครออกไปทีละคน ก็กลับเศร้า
ทั้งที่เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเก็บไว้ทั้ง3คน ต่อให้รักหรือสงสารแค่ไหนก็ตาม
ชอบสถานที่หรือฉากในเรื่องมันสื่ออารมณ์ได้ดีมาก
หัวข้อ: Re: My Almond Crush...15(12) But Only Love Can Say (คราสบังจันทร์ คราสบังใจ)
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 01-11-2013 21:40:51
15(12) But Only Love Can Say (คราสบังจันทร์...คราสบังใจ)


     4.30 ในเช้ามืดของวันเสาร์ผมนอนอยู่บนเตียงในห้องที่มืดสนิท ผมตื่นมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้แต่ผมกลับไม่สามารถข่มตาให้หลับอีกครั้งได้ ใจของนั้นผมสงบนิ่ง เช่นเดียวกับที่มันกำลังสับสนวุ่นวาย เหมือนกับหัวใจของผมไม่เป็นของตัวเองอีกต่อไปผมไม่มีความสามารถในการควบคุม ผมพยายามจะคิดว่าผมจะทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่กับท็อบ จะต้องเลือกทางออกแบบไหนให้ความรักสามเส้าแบบนี้มันจบลงไปเสียที และแม้ผมที่มีนิสัยมองโลกในแง่ร้ายจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะจบแบบไหน สุดท้ายมันจะเป็นเรื่องที่โหดร้าย และโศกเศร้า

       ผมอ่านหนังสือชุด ทไวไลท์ ซาก้า (Twilight Saga) ของเสตเฟนี เมเยอร์ (Stephenie Meyer) ซึ่งประกอบด้วยหนังสือ 4 เล่ม 1) Twilight แปลว่าช่วงโพล้เพล้ พลบค่ำ 2) New Moon แปลว่าพระจันทร์ดวงใหม่ 3) Eclipse แปลว่า จันทรคราส และ 4) Breaking Dawn แปลรุ่งอรุณ ซึ่งชื่อหนังสือทั้ง 4 เล่มแสดงถึงลำดับเวลาตั้งแต่พลบค่ำไปจนถึงย่ำรุ่งของอีกวัน แนวคิดเรื่องเวลาของกลางคืนนี้ Meyer ผู้เขียนหนังสือใช้มันอธิบายการมีความรักของมนุษย์คนหนึ่งตั้งแต่แรกพบ คือตุกหลุมรักจนไม่มีความสามารถในการแยกแยะถูกผิด ควรไม่ควร เหมือนคนเราอยู่ท่ามกลางแสงสว่างมาทั้งวันฉันพลันความรักแรกพบที่เปรียบเหมือนกับยามค่ำก็ลงมาปิดบังสายตาให้เราไม่รับรู้ความจริง รักทำให้ตาบอด พอมาถึงเล่มที่ 2 ผู้เขียนเรียกมันว่า พระจันทร์ดวงใหม่ เมื่อนางเอกถูกพระเอกทอดทิ้งให้เหมือนกับอยู่ลำพังในคืนที่มืดมิด แต่แล้วพระรองก็เข้ามาดูแลหัวใจจนนางเอกรัก ในที่สุดนางเอกก็ได้พบกับแสงสว่างของพระจันทร์อีกครั้ง ในที่สุดรักสามเส้าเดินทางมาถึงเล่มที่ 3 จันทรคาส เมื่อพระเอกกลับมาอีกครั้งนางเอกซึ่งยังรักปักใจจึงพบกับทางเลือกครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ว่าจะเลือกใคร ความคลุมเครือ ความหม่นหมอง ความสูญเสีย และความรู้สึกผิดเป็นเหมือนเงาของโลกที่บดบังความรักที่ส่องแสงกระจ่างราวดวงจันทร์ให้มืดดับ ในเล่มที่ 3 นี้ มีการเลือกรูปภาพหน้าปกหนังสือเป็นภาพริบบิ้นสีแดงที่ถูกตัดขาด แม้ถูกตัดขาดแต่เมื่อมองเข้าไปเราจะเห็นถึงเส้นใยที่ขาดวิ่นกระจุยกระจาย เส้นใยบางส่วนก็ยังพยายามยึดติดกันไว้ ความรักความสัมพันธ์ของคนเราก็เช่นกัน เมื่อถูกตัดขาดมันเป็นเรื่องของความบอบช้ำ ความห่วงหา ความเศร้า และความเครียดแค้น ตลอดเวลาที่ผมอ่านหนังสือชุดนี้จบไปรอบแล้วรอบเล่า ผมดูแคลนนางเอกของเรื่องที่ชื่อ Isabella Swan มาตลอดในความอ่อนแอของจิตใจเธอ ที่ทอดทิ้งรักใหม่ที่แสนดี กลับไปหารักครั้งเก่าที่ฝังใจ แม้พระเอกจะเป็นคนที่ทิ้งตัวเองไป เพราะพระเอกจะคิดว่านางเอกและตัวเขาไม่มีความสามารถพอที่จะรักกันต่อไปได้ ในวินาทีที่นางเองให้อภัยและกลับไปหาพระเอกเป็นวินาทีที่นางเอกทำลายศักดิ์ศรีของตนเองไป ผมดูแคลนคนอ่อนแอ และคนที่ทอดทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองมากที่สุด (รวมทั้งตัวผมเองด้วย) แต่ในวันนี้ที่ผมต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ผมอ่อนแอ ผมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อกลับไปหาความรักฝังใจ ผมก็ไม่ต่างจากนางเอก จากความดูแคลนกลายเป็นความเห็นใจ และความเข้าใจในชีวิต ความเข้าใจในความรักมากขึ้น

“My deepest and sincerest apology to you, Miss Swan.” ผมขอมอบคำขอโทษอันบริสุทธิ์จากก้นบึ้งของจิตใจผมแด่คุณ...คุณสวอน ผมพึมพำกับโปสเตอร์ภาพนางเอกที่ผมซื้อมาติดไว้บนผนังห้อง ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในคราส หรือที่ไอ้จิตรมันเรียกอย่างบ้านๆ ว่า ราหู ที่บดบังใจ ผมนอนลืมตาในความมืดและมีน้ำตาที่ไร้สุ้มเสียง

   สำหรับคนอย่างผมความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้ยเคย ความรู้สึกที่เกิดจากความไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี เพราะที่ผ่านมามีน้อยครั้งที่ผมจะล้มเหลวครับ แต่ในเวลานี้ผมไม่รู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่มีล้นเหลือในตัวเองเลยด้วยซ้ำ

       6.45 ผมอาบน้ำแต่งตัว แปลกใจตัวเองว่าทำไมผมต้องพยายามแต่งตัวให้ดูดีกว่าทุกวันด้วย ก็แค่วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของผมกับท็อบ ผมลงจากหอมาด้วยอาการเวียนหัวเล็กๆ จึงซื้อนมเย็นกินเล่นอทานการกินข้าวเช้า และเดินออกมาจากหอเพื่อไปที่ท่ารถตู้หน้ามหาลัย ผมมาถึงที่ท่ารถตู้ไม่นานท็อบก็มาถึง แต่งตัวด้วยเสื้อยืดแขนกุดสีส้มลายกราฟฟิตี้ที่ผมซื้อให้ตอนเราไปเดินตลาดนัดองค์พระฯ ด้วยกัน

“ใส่แว่นดำมาทำไม...อายคนเหรอที่มาเที่ยวกับผม” ท็อบแซว

“เปล่า...แค่เวลานั่งหลับจะได้ไม่มีใครรู้ 55” ผมบอกมัน วันนี้เราตื่นเช้าทั้งคู่ แถมผมยังนอนไม่หลับอีก ผมว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราคงจะนั่งหลับในรถ

    ผมเอื้อมมือไปกุมมือท็อบไว้มือที่มีนิ้วเรียวยาว มือที่เคยลูบไล้ โอบกอดร่างกายผม มือที่ผมรักหนักหนา ผมรู้สึกเวียนหัวสลับกับการสงบนิ่งอย่างประหลาด การได้อยู่ใกล้กับท็อบทำให้ผมรู้สึกมีความสุขและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน  ระหว่างที่ผมกำลังปล่อยตัวปล่อยใจให้ว่างเปล่า พยายามไม่ใส่ใจอนาคตอันโหดร้ายที่จะมาถึงในเวลาอีกไม่นาน

     เมื่อรถแล่นออกมาจากตัวเมืองสักพัก ขณะเดียวกับที่ความคิดผมกำลังล่องลอย ไอ้ท็อบก็ทำทะลึ่งครับ มันเอามือผมไปวางบนไอ้นั่นของมันที่แข็งรออยู่แล้ว และดึงตัวผมให้เอนไปซบไหล่มัน การซบไหล่ท็อบ การได้สูดกลิ่นตัวของท็อบเบาๆ ทำให้ผมสบายใจ แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะขยับได้ภายใต้อุ้งมือผม มันทำให้ผมไม่สามารถนั่งหลับได้ ผมลูบไล้มันขึ้นลงผ่านเนื้อผ้ากางเกงยีนส์อย่างเอ็นดู และนั่งหน้าแดงไปตลอดทาง ผมคงคิดไม่ผิดที่วันนี้ผมใส่แว่นดำมา

    การนั่งรถตู้จากหน้ามหาลัยมาที่เมเจอร์ปิ่นเกล้านั้นใช้เวลาประมาณ 40 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงครับ และก็ด้วยเวลาที่สั่นกว่าที่ผมคิดไว้ ผมกับท็อบก็มายืนรอรถเมล์อยู่ที่หน้าเมเจอร์ฯ เรากระโดดขึ้นรถเมล์สาย 542 ซึ่งวิ่งผ่านถนนจรัญสนิทวงศ์ (ถ้ามผมจำชื่อไม่ผิด) แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่สะพานซังฮี้ ผ่านมหาลัยราชภัฏ 2 ที่ ผ่านพระที่นั่วิมานเมฆ และถึงสวนสัตว์ดุสิตในที่สุด ผมซื้อตั๋วราคา 70 บาท 2 ใบสำหรับเราแล้วเดินเข้าไป

     โซนแรกสุดของการจัดแสดงในสวนสัตว์ดุสิตเป็นโซนแอฟริกาที่มีม้าลาย ยีราฟ นกกระจอกเทศ และตัวเมียร์แคทฝูงหนึ่งอยู่ด้วยกัน เลยมาก็เป็นกรงนกกระเรียนที่จับคู่ครั้งเดียวตชีวิตซึ่งทำให้ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจเมื่อต้องเดินมาดูพวกมันกับท็อบ เมื่อเดินย้อนกลับมาฝั่งตรงข้ามเป็นโซนของลิงสารพัดชนิดทั้งเล็กและใหญ่ และโซนถัดมาเป็นโซนประจำตัวของผมคือโซนแมวใหญ่ ที่มีเสือโคร่ง เสือขาว สิงโต เสือดาว เสือดำ เสือปลา เสือไฟ และแมวป่า ผมชื่นชมความทรงพลัง และอืสรภาพตามธรรมชาติ และสัญชาตญาณนักสู้ของมันมากครับ

“วิชอบเสือไง ดูนานเชียว” ท็อบมันถาม ระหว่างที่ผมอยู่หน้ากรงเสือไฟตัวยาวเพรียว หางยาว ขนสีแดงสนิมดูเหมือนเปลวไฟเมื่อโดนแสงแดงที่ส่องลอดต้นไม้ลงมา

“อืม....” ผมรับ

   ต่อไปเป็นโซนที่ผมไม่ชอบที่สุดแต่มันกระตุ้นอะดรีนาลีนในร่างกายผมได้มากที่สุด คือ โซนสัตว์เลื้อยคลาน จากนั้นเป็นบ่อฮิปโปโปเตมัส และเป็นโซนหมี 11.20 เรานั่งพักเหนื่อยกันที่ร้านเคเอฟซีตามใจไอ้ท็อบ ทั้งๆ ที่ผมปวารณาตัวไว้ว่าจะไม่บริโภคผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาผ่านรายการเลือกอ่านข่าวตอนเช้าของช่อง 3

“คิดไงชวนมาเที่ยวสวนสัตว์” ท็อบถาม ทั้งๆ ที่ปากของมันกำลังกัดวิ๊งแซ่บอยู่

“ท็อบเด็กไง เลยพามาเที่ยวสวนสัตว์” ผมแหย่มัน

“ไม่เด็กแล้วเหอะ...เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ 55” มันมีหน้ามาแซวตอนเรากำลังกินไก่

“เดี๋ยวไปปั่นจักรยานน้ำกันนะ”

“ไม่เอา” ผมปฏิเสธทันที

“ไมอ่ะ ว่ายน้ำเก่งนิ” มันถามทำหน้าตกใจ ไม่ใช่น้ำหรอกครับที่ผมกลัว ไอ้สิ่งมีชีวิตที่ยั้วเยี๊ยะอยู่ในบ่อน้ำนี้ต่างหากที่ผมกลัว

        แล้วในที่สุดท็อบมันก็ตามใจผมครับ เราเดินจูงมือกันข้ามสะพานไปที่เกาะกลางของสวนสัตว์ที่มีกรงนก และนกกระทุงคู่หนึ่งว่ายน้ำไปมา และว่ายหนีเตลิดไปเมื่อเราเดินผ่านมาใกล้ ผมนั่งลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ริมน้ำ หันหน้าไปมองหอเก่าๆ ที่ตั้งอยู่เหมือนบ้านร้างเก่าๆ บนอีกฝากของบ่อนน้ำใหญ่  ท็อบทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม วางมือของมันทับลงบนมือผม

“........................................”

“วันนี้ทำไมวิแปลกๆ จัง” มันตั้งข้อสังเกต
“วิเงียบๆ ไปนะ”

“...........อิม นั่นสิ”
“........................................” แล้วท็อบก็เอนหลังนอนลงบนพื้นหญ้าเอามือสองข้างขึ้นมาหนุนหัวไว้

“เอ้า....นี่” ผมบอกมันแล้วเอาเป้สะพายข้างที่ทำจากผ้าบุหนังนุ่มๆ ของผมรองให้หัว

“วิมีเครื่องเล่น MP3 มั้ย โทรศัพท์วิก็ได้” ไอ้ท็อบเกิดเรื่องมากอยากฟังเพลงขึ้นมาอีก ปกติแล้วผมค่อนข้างจะหวงเพลงในโทรศัพท์และเครื่องเล่นของตัวเอง เพราะผมมักจะเลือกเพลงที่สะท้อนสถาพความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้นไว้ฟัง และการปล่อยให้คนอื่นฟังเพลงในมือถือผมก็เหมือนเป็นการอนุญาตให้คนๆ นั้นรับรู้ความรู้สึกในใจผม

“โอ๊ะ.........มีแต่เพลงภาษาอังกฤษ ดันมีเมียเรียนอักษรฯ ” ไอ้ท็อบมันบ่น ทั้งที่ผมอุตส่าหห์ยอมให้มันเปิดเพลงฟัง

“จะฟังมั้ยล่ะ” ผมบ่นมันบ้าง

“ครับๆ”

“.........And if you have a minute, why don't we go
Talk about it somewhere only we know?
This could be the end of everything
So why don't we go somewhere only we know?
Somewhere only we know

Oh simple thing, where have you gone?
I'm getting old and I need something to rely on
So tell me when you're gonna let me in
I'm getting tired and I need somewhere to begin

And if you have a minute, why don't we go
Talk about it somewhere only we know?
This could be the end of everything
So why don't we go? So why don't we go?

Oh, this could be the end of everything
So why don't we go somewhere only we know?
Somewhere only we know
Somewhere only we know......”



     เพลง Somewhere Only We Know ของ Keane เพลงที่มีจังหวะร็อค แต่เนื้อหากลับหวานลึกซึ้ง ตามแนวโรแมนติค (romanticism) หลีกหนีความจริง ซึ่งเป็นการที่ชายหนุ่มที่รู้สึกเหนื่อยล้า และแก่ตัวลงจากการรอคอยได้ชวนคนรักของเขามาพูดคุยกันเพื่อจะหาสถานที่ๆ เขา 2 คนจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ ไม่ต้องสนใจสังคมภายนอก สถานที่ที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้จัก แล้วผมที่ตอนนี้ล้มตัวลงนอนอยู่ข้างๆ ตัวของท็อบก็ต้องแปลความหมายให้มันฟัง ผมแปลกใจว่าในอากาศอุ่นๆ เกือบจะร้อนของตอนกลางวัน แถมมีลมเย็นพัดโชยเป็นระยะ ทำไมเราไม่ง่วงนอนสักที

“พรุ่งนี้....อาจไม่มีฉัน  พรุ่งนี้....อาจไม่ไม่มีเรา” ผมปิดเพลงจากโทรศัพท์ แล้วร้องท่อนหนึ่งของเพลงจากนักร้องคนโปรดของผม เมื่อท็อบมันไม่มีทีท่าจะสนใจฟังเพลงภาษาอังกฤษต่อ

“................................................”

“ท็อบ ไม่คิดว่าเราจะรักกันตลอดไปใช่มั้ย” ผมถามคนที่นอนเงียบๆ อยู่ข้างๆ แต่ผมไม่ได้คำตอบจาก  ท็อบ

“................................................”

“เป็นไร หลับเหรอ” ผมถามมันเบาๆ ทั้งที่เห็นว่ามันกำลังลืมตาอยู่

“.......กำลังคิดอยู่” มันตอบสั้นๆ ผมคิดไปว่า มันคงกำลังคิดหาทางที่เราสองคนจะรักกันต่อไปซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็แอบหวังให้มันคิดมันจะต้องใช้ชีวิตของมันต่อไปโดยไม่มีผมสักที

“วิ เชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ย” อยู่ๆ มันก็ถามอะไรเพี้ยนๆ ออกมาไม่รู้

“ไม่เชื่อ ไม่มีใครมากำหนดชีวิตใครได้แม้แต่พระเจ้า” ผมบอกความคิดตนเองไป เพราะส่วนตัวผมคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคนๆ หนึ่งนั้นเป็นผลพวงจากสิ่งที่เขาเลือกทำหรือเลือกที่จะไม่ทำ

“...หึหึ แฟนผม” ท็อบมันหัวเราะ ซึ่งทำให้ผมแปลกใจ

“ผมก็ไม่เชื่อโชคชะตา....วิรู้ป่าว ตั้งแต่วันแรกที่ผมเห็นวิ ที่ผมชอบวิ ผมก็คิดแล้วก็พยายามทำทุกอย่างจนเรามีวันนี้” คำพูดของมันฟังดูเหมือนคำพูดของคนที่โตแล้วแทนที่จะเป็นเด็กมัธยม แสดงว่าที่ผ่านมาท็อบพยายามแค่ไหน ทั้งต้องคบกับคนอายุมากกว่าอย่างผม แถมต้องเผชิญหน้ากับสังคมของมันอีก และไม่ว่าจะทางไหนผมไม่เคยอยู่ข้างๆ เพื่อช่วยมันเลย มันต่างๆ ที่ช่วยผมเอาไว้ในเวลาที่ผมตกต่ำ ผมหันหน้าไปทางซ้ายมองดูคนที่นอนอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่เยาว์วัย มีสิวขึ้นเล็กน้อย มีไรหนวดบางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น แต่ความมุ่งมั่นแสดงความเป็นผู้ใหญ่ที่มากกว่าอายุจริง

“........................................”

        ตลอดเวลาที่เราสองคนอยู่ใต้ความเงียบของเรา เงาของต้นไม้ที่บังแดดของเมืองไทยเอาไว้ให้เราทำให้ผมนึกถึงคราสครับ เมื่อรักมาถึงทางตันความหม่นหมองก็เปรียบเสมือนเงามืดที่บังแสงสว่างจากพระจันท์ไว้ ทำให้เรามองไม่เห็นทางออกของปัญหาแม้ว่ามันจะอยู่ตรงหน้า ตอนนี้คราสนั้นก็บังใจผมอยู่เช่นกัน ผมมองหน้าคนข้างๆ อีกครั้ง พยายามรวบรวมความตั้งใจที่จะบอกกับท็อบว่าให้เราเลิกกัน แต่ผมก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไป

“วิไปกันเถอะ” ท็อบลุกขึ้นมาชวนผม
“ไปดูหนังกันมั้ย” มันถามอีก

“อืม....เอาสิ มัมมี่ 3 ก็น่าดูนะ” ผมบอกมัน

        ผมกับท็อบจูงมือกันเดินออกมาจากสวนสัตว์ดุสิต ซึ่งทำให้ผมไม่สบายใจ เมื่อตอนนี้คนที่ผมรักฝังใจกลับมาอ้างความเป็นเจ้าของจิตใจผม คนที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามาในชีวิตผมคนนี้จะเป็นอย่างไร Bella ในหนังสือชุด Twilight Saga ตัดสินใจเลือก Edward พระเอกที่เคยทิ้งตัวเองไปทันที ทำเหมือนว่าตัวเองไม่เคยมีความรักให้กับพระรองที่ชื่อ Jacob แต่ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับความรู้สึกของผมมันชัดเจนกว่านั้น และตอนนี้เรากำลังเดินออกจากสวนสัตว์ สถานที่ที่เป็นกรงขังเสมือนจริงซึ่งปิดกั้นอิสรภาพของสัตว์นับร้อยชีวิต และเมื่อตอนนี้ผมอ่อนแอเกินกว่าที่จะปล่อยท็อบไป ผมได้แต่เฝ้าหวังในใจว่า ผมและมันจะหลุดพ้นออกจากกรงที่มองไม่เห็นของเรา
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-11-2013 22:16:26
ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็เจ็บด้วยกันทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 01-11-2013 23:19:08
กดดันอ่ะ T^T
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: sine_saki ที่ 02-11-2013 06:43:09
ความรู้สึกของคนนี่มันพูดยากจังนะ
หากคิดในแนวจินตนาการหรือตามครรลองที่ควรจะเป็น เราควรรักและเลือกอยู่กับใครสักคนเพียงคนเดียว เพราะการมีมากกว่าสองคนมันหมายถึงความเจ็บปวดที่จะตามมา แต่พออ่านเรื่องนี้ผ่านมุมมองของวิแล้วรู้สึกว่า เออ นี่แหละความเป็นจริง มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนเราตัดสินใจลำบาก... ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่รวมถึงด้านอื่นๆในชีวิตคนเราด้วย
ปล.อยากรู้จริงๆนะเออ ว่าโย๊ปมีบทบาทอย่างไรในชีวิตวิ คงไม่ใช่คนเดินบทธรรมดาใช่ไหมค่ะ???
หัวข้อ: Re: My Almond Crush...15(13) But Only Love Can Say (ล้มเหลว)
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 02-11-2013 15:25:04
15(13) But Only Love Can Say (ล้มเหลว)


     ผมกับท็อบเลือกที่จะดูหนังบนฝั่งเซ็นต์ปิ่นครับ โรงของ EGV ซึ่งอยู่ที่ชั้นบนติดกับฟู๊ดคอร์ท ตอนนี้บ่าย 3 กว่าๆ แล้ว เราเลยนั่งกินข้าวกันก่อนที่จะดูมัมมี่ ตลอดเวลาที่ผมกินข้าว หรืออาจจะตลอดทั้งวันเลยก็ได้ครับ ผมรู้สึกไม่ดีมาตลอด แต่ไม่ใช่เพราะท็อบหรอกครับ เป็นเพราะตัวผมเอง เป็นเพราะผมรู้ตัวว่าผมกำลังล้มเหลว และความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคย

     หนังเรื่องมัมมี่ภาค 3 เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิ์องค์หนึ่งของจีนที่ใช้ไสยเวทย์เพื่อจะครอบครองโลกไปตลอดกาล ท้ายที่สุดด้วยการต่อต้านจากลูกน้องคนสนิท และผู้ใช้เวทมนตร์อีกคนหนึ่ง จักรพรรดิ์จึงล้มเหลว และกลายเป็นมัมมี่ จนเวลาผ่านไปนับพันปีมัมมี่ของจักรพรรดิ์ตื่นขึ้นมาอีกครั้งและเดินหน้าแผนการครองโลกต่อเช่นเดิม แต่แล้วก็ถูกขัดขวางอีกครั้งโดยผู้ใช้เวทมนตร์คนเดิม ที่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกพระเอก ก็เป็นหนังแอ็คชั่นที่ทำออกมาตามธรรมเนียมนิยม คือพระเอกและพวกก็จะชนะ และตัวร้ายก็จะพ่ายแพ้แม้จะวางแผนการไว้ยิ่งใหญ่

“มัมมี่กับจีนมันดูแปลกๆ นะ พอพูดถึงมัมมี่แล้วนึกถึงอียิปต์มากกว่า” ท็อบพูดขณะที่เราเดินออกจากโรงหนัง

“มัมมี่มาจากภาษาอียิปต์ คำว่า มัมมิอา แปลว่า ยาง ยางมะตอย ซึ่งเป็นกระบวนการกลายสภาพของร่างกาย เพราะฉันนั้นมัมมี่จึงกลายเป็นคำเรียกการกลายสภาพของเนื้อหนังมนุษย์เป็นยาง ไม่เน่าเปื่อย มัมมี่น่ะมีอยู่แทบจะในทุกวัฒนธรรมทั่วโลกนั่นแหละ บ้านเราก็มีพระที่ละสังขารแล้วยังไม่เน่าไง” ผมบรรยายให้เด็กน้อยฟัง

“ครับๆ” ผมรู้สึกเป็นธรรมชาติมากครับ เวลาที่ผมสอนอะไรให้ท็อบ แล้วมันตอบครับๆ รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ปกติมากสำหรับเราสองคน เหมือน Bella ตอนอยู่กับ Jacob สบายๆ มีชีวิตที่เรียบง่าย เป็นตัวของตัวเอง

     เราไม่ทันรถตู้รอบสุดท้ายครับ ผมเลยเรียกแท็กซี่เพื่อไปขึ้นรถทัวร์ที่สายใต้เก่า โชคที่ที่ตอนกลางคืนรถไม่ติด และคนก็น้อย รถทัวร์เลยขับไวมากครับ ไม่นานก็เข้าเขตนครปฐม ผมที่นั่งซบไหล่    ท็อบอยู่ก็คิดว่า เวลาหนึ่งวันของเรานั้นมันสั้นจริง ๆ

“เรียน รด. หนักมั้ย” ผมถามท็อบเบาๆ ใจหายเหมือนกันที่เราจะไม่ได้เจอกันอีกเป็นเดือน หรือยิ่งกว่านั้นเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกต่อไป

“หนักสิ....เหนื่อย ร้อน ถามไม วิไม่ได้เรียน รด. เหรอ”

“ไม่เคย” ผมตอบมัน

“ทำไมไม่เรียน...ไม่กลัวต้องเกณฑ์ทหารเหรอ” มันถามผม ติดน้ำเสียงเชิงต่อว่า

“ไม่กลัว....” ผมตอบตามความจริง เรื่องเกณฑ์ทหารไม่เคยเป็นเรื่องที่อยู่ในหัวผมเลย

“อ่ะนะ......” มันบ่นพึมพำ ตอนมันทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ผมก็ชอบนะครับ เพราะมันจะดูลุกลน ดูเป็นเด็กตลกๆ ผมเลยอดไม่ได้ที่จะต้องเงยหน้าไปหอมแก้มมัน นั่นทำให้มันก้มหน้ามาจูบผม เราจูบกันบ้าง กุมมือกันไว้จนกระทั่งรถทัวร์วิ่งผ่านทางองค์พระฯ

   ผมลงจากรถพร้อมกับท็อบ ในฐานะที่อายุมากกว่าผมต้องคอยส่งเด็กน้อยกลับห้องอย่างปลอดภัย

“วิ นอนห้องผมนะ.....พรุ่งนี้ผมต้องกลับบ้านแล้ว” ท็อบชวนผมด้วยการย้ำว่ามันต้องกลับบ้าน และไปเรียน รด. ในช่วงปิดเทอม

“......อืม” ผมตอบตกลงโดยไม่มีข้อแม้ในใจเลย ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมเกิดความสงสัย เพราะตอนนี้นอกจากคอร์ทแล้วพื้นที่ในใจผมแทบจะไม่ได้แบ่งให้กับใคร แต่ทำไมผมถึงตอบรับท็อบง่ายๆ แบบนี้

     11.00 เราสองคนยืนกอดกันให้ห้องอาบน้ำของท็อบ สายน้ำจากฝักบัวราดรดร่างกายที่เปลือยเปล่าของเราทั้งคู่ และในอ้อมกอดที่ไม่มีเสื้อผ้ามาปกปิดนี้ ผมก็ได้รู้ความจริงว่าท็อบมันยึดครองพื้นที่เล็กๆ ในใจผมตลอดมา และพื้นที่นั้นมันไม่ได้หดหายไป นอกจากใจของผมจะเป็นของมันเช่นกันแล้ว ร่างกายของผมก็ตอบรับสัมผัสจากมือ และริมฝีปากของมัน ร่างกายผมปรารถนามันมากจนเหมือนถูกแผดเผาด้วยไฟราคะ มันเองก็คงจะรู้สึกได้จากความต้องการของผมที่แข็งตัวแนบชิดอยู่บนร่างกายมัน เราแทบจะไม่ได้เช็ดตัวให้แห้งเลยด้วยซ้ำเมื่อผมล้มตัวลงบนเตียงของท็อบ ซึ่งตอนนี้กำลังคร่อมตัวผมลงมา มันเลียผมไปทั่ว มีความสุขจนผมแทบทนไม่ไหว

“อ่า.....ท็อบ ทำเหอะ” ผมทนความต้องการตัวเองไม่ไหวอีกต่อไปแล้วครับ

“เรียกผัวสิครับ” มันยังบังคับให้ผมทำเรื่องน่าอายแม้กระทั่งวินาทีที่มันเอาไอ้นั่นมาจ่อไว้ที่ก้นผม

“อืม....ผัวครับ.....xxxผมที” การมีเซ็กส์กับท็อบในครั้งนี้เป็นทั้งความสุขและความทรมานครับ มันจับผมอยู่ในท่าคุกเข่าแล้วกดตัวผมลงไปกับเตียงให้ก้นผมลอยขึ้นมา เพื่อมันที่เข้ามาจากด้านกลังจะสามารถกระแทกได้สุดแรง

“อ๊า.....ท็อบ” ผมกรีดร้องเพราะความจุกและความเสียวซ่าน ผมไม่รู้ว่ามันเข้าใจรึเปล่า แล้วมันก็จับแขนผมสองข้างมาไพล่ไว้ข้างหลัง นั่นทำให้ผมอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย จนกระทั่งมันปล่อยน้ำเชื้อเข้ามาในตัวผม และใช้มือช่วยชักว่าวให้ผม

        ผมนอนอยู่ในความมืดใต้อ้อมกอดของท็อบ เหมือนกับที่ส่วนนั้นของมันยังฝังอยู่ในตัวผม ผมล้มเหลว แต่ความล้มเหลวที่จะบอกเลิกท็อบกลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่อย่างที่คิด ผมหลับตาในความมืดสูดดมกลิ่นกายของคนที่คุ้นเคย แล้วพบว่าใจผมไม่สงบเช่นเคย ใจผมไม่สามารถรับความรู้สึกจากท็อบได้แบบที่เคย ยิ่งนานวันความรักสามเส้าที่มันบิดเบี่ยวของผม ยิ่งกัดกร่อนจิตใจผมลงไป และใจผมเริ่มด้านชา ผมกลัวว่าหากปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปสักวันหนึ่งผมคงไม่มีความรู้สึกเหลือที่จะรักใคร ไม่ว่าคอร์ท หรือ ท็อบ และผมก็ปล่อยโอกาสนี้ไป เดินข้ามทางออกที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า กลับเข้าไปสู่ความมืดมนของและเขาวงกตของความรักอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 02-11-2013 16:36:46
 :ling2: วิ จะเอางัยเนี่ย
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: gboykung ที่ 02-11-2013 18:51:09
 :katai1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 02-11-2013 19:48:52
วิกลัวไปล่วงหน้าเองอ่า  วิกลัวตัวเองจะตกต่ำ  กลัวตัวเองจะชินชาต่อความเลวของการโลเลหลายใจ

วิพยายามจะเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง  ในจินตนาการของวินะ 
เลยต้องไฟท์กับเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวตัวเองจะเปลี่ยนไป

วิสู้ ๆ  3P ต่อไป   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....16(1) ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (วางแผนลงใต้)
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 03-11-2013 09:01:21
16(1)  ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (วางแผนลงใต้)


        ปลายเดือนกันยาฯ ต้นเดือนตุลาฯ เป็นช่วงที่พวกเราสอบปลายภาคเรียนที่ 1 เสร็จครับ แล้วก็อย่าให้ผมต้องพูดถึงมันเลยครับว่าผมทำได้หรือไม่ได้ ลืมมันไปให้หมดใจแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่ในวันที่เกรดออก มหาลัยผมปิดเทอมแรกประมาณ 1 เดือน ซึ่งผมคงกลับไปอยู่บ้าน แต่ก่อนที่เราจะกลับบ้าน ผมกับเพื่อนๆ ก็ตกลงว่าจะไปกินเหล้าย้อมใจเรื่องข้อสอบที่ทะเลกัน แต่จะเป็นที่ไหนพวกผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจหรอกครับ

        เย็นวันศุกร์หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ผม ไอ้ทรี ไอ้เอ็ม ไอ้วิตซ์มานั่งกินข้าวพี่อาร์ต อเวนิว และบังเอิญจริงๆ ที่พี่วิกับไอ้คอร์ทก็มากินข้าวที่นี่เหมือนกัน สุดท้ายแล้วเราก็ต้องนั่งโต๊ะเดียวกันครับ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเราอึมครึมมาก เพราะไอ้ทรีมันยังโกรธที่ไอ้คอร์ทเคยหาเรื่องพี่วิ มึงไม่เคยรู้อะไรบ้างเลยไอ้ทรี สองคนนั้นเขากลับมาคืนดี จนร่วมหอลงโลงกันแล้ว
   
“พี่วิไปเที่ยวทะเลกันป่าวครับ” ไอ้เอ็มชวน ไอ้นี่ก็อีกคน ชวนพี่เขาต่อหน้าไอ้คอร์ทอีก

“ทะเลเหรอ” พี่วิทำหน้าแปลกใจ
“ไปป่ะคอร์ท” แล้วพี่วิก็หันหน้าไปถามสุดที่รักของเขา ไม่สนใจน้องชายตัวเองที่ตอนนี้กำลังโมโหจนหน้าแดง

“อืมม...ไปดิ” ไอ้คอร์ทตกลงครับ

     ปัญหาก็อยู่ที่ไอ้ทรีนี่แหละครับ เพราะผมกับไอ้คอร์ทก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม ส่วนไอ้เอ็มพี่วิว่าอย่างไร มันก็ว่าตามนั้น เพราะนอกจากมันจะคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณที่พี่วิพาไปโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้มันยังกลายเป็นสาวกของพี่วิไปด้วย เพราะไอ้เอ็มคลั่งนิยายเรื่อง Twilight มากครับ ตอนนี้มันอ่านไป 3 เล่มที่แปลเป็นภาษาไทย แต่พี่วิอ่านฉบับภาษาอังกฤษจนจบแล้ว แถมวิเคราะห์บท วิเคราะห์ตัวละครให้ไอ้เอ็มฟังยกใหญ่ ไอ้เอ็มก็อยากให้พี่วิเล่าตอนจบให้ฟังแต่พี่วิไม่ยอม เขาบอกว่าอยากให้ไอ้เอ็มได้อ่านเองก่อน

“เฮ้ย...ไงวะพวกมึง” เสียงผู้ชายดังมาจากข้างหลังพวกเราขณะที่ไอ้ทรีกำลังส่งสายตาอาฆาตไปที่ไอ้คอร์ทที่แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

“ไง....สัตว์บลีช” ไอ้บลีชเพื่อนที่คณะผมครับ มันโคตรเด็กเทพอ่ะ ตอบอาจารย์ได้ทุกคำถาม วันนี้ก็หน้าบานออกมาจากห้องสอบ มันก็นิสัยโอเคนะครับ เสียดายอย่างเดียวแม่งมันชอบอวดเก่งเป็นบางครั้ง

“....มึงทำข้อสอบคณิตศาสตร์ที่ให้คำนวณหาจำนวนรถในประเทศด้วยตัวอักษร 2 ตัว กับ เลขทะเบียน 4 หลักได้รึเปล่า” แล้วมันก็ร่ายยาวครับว่าคำนวณตัวเลขออกมาอย่างไร ผม ไอ้ทรี ไอ้เอ็ม และก็ไอ้วิตซ์ นั่งก้มหน้าเลยครับ มันจะซ้ำเติมอะไรพวกกูนักหนา กูรู้ว่ากูไม่เก่ง

“ไม่เชื่อ” พวกเราทุกคนอึ้งครับ รวมถึงไอ้บลีชด้วย มันหันไปมองพี่วิที่นั่งอยู่กับไอ้คอร์ท อย่างสงสัย และเอาเรื่องครับ พี่วิก็กระหนุงกระหนิงกับไอ้คอร์ทไม่ได้ใส่ใจไอ้บลีชที่ตัวเองเพิ่งหักหน้าเลย

“......................................”

“ชื่อบลีช ใช่มั้ยเรา คำนวณได้เท่าไร....งั้นลองคิดนี่ดู บลีชเคยเห็นป้ายทะเบียนรถที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพวกนี้มั้ย...ชน...จน...ตก...ตด...ตบ...จม...วก...วน...งง...รก...ฉก ฯลฯ คำอัปมงคลพวกนี้ล่ะ คำที่คนไม่ยอมเอามาใช้เป็นทะเบียนรถเพราะเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตแย่ลงล่ะ....จะคำนวณยังไง” ทีนี้ไม่ใช่แค่พวกพวกที่อึ้งครับ ไอ้บลีชก็อึ้ง เด็กเทพเจอเด็กเทพกว่าครับงานนี้ มวยลุ้นครับ

“ตัวเลขน่ะเรื่องง่าย มีสูตรคำนวณ แล้วก็มีเวลานิดหน่อยเดี๋ยวก็หาคำตอบได้ แต่ชีวิตคนทำให้โลกนี้มันซับซ้อนนะ ตัวเลขน่ะมันเอามาอธิบายคนไม่ได้หรอก” พี่วิร่ายต่อ ผมคิดว่าไอ้บลีชจะชกพี่วิที่หักหน้ามันในที่ธาระกำนัล แต่ที่ไหนได้นับแต่นั้นเป็นต้นมามันก็กลายเป็นสาวกของพี่วิไปอีกคน เพราะหลังจากนี้มันมาคุยกับพี่วิครั้งละนานๆ ให้พี่วิเล่าประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์ และฟิสิกซ์ให้ฟัง มันดูเหมือนคนที่เพิ่งได้เห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรกครับที่ได้รู้ว่าคณิตศาสตร์นั้นปรากฏอยู่ในทุกวัฒนธรรมบนโลกนี้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน

“คราวหลังอย่าหงอ” แล้วพี่วิก็หันมากระซิบข้างหูผม เมื่อเราพากันเดินออกมาจากอาร์ต อเวนิว พี่ช่างไม่รู้อะไรเลยนะครับว่า คนไม่เก่งมันไม่มีตัวเลือกอะไรมากนักหรอก ต่อหน้าคนแบบพี่ผมก็หงอ

“ตกลงไปกันวันจันทร์ใช่มั้ย วันธรรมดาคนน้อยดี” ไอ้เอ็มบอกตอนที่พวกเรากำลังแยกกัน พวกผมจะขี่จักรยานกลับหอ ส่วนพี่วิกระโดดซ้อนท้ายเวสป้าไอ้คอร์ท

“งั้นเจอกันหน้ามอ ตอน 6.00 นะ” พี่วิบอก

“ครับ เดี๋ยวผมเป็นคนจองตั๋วเอง” ไอ้เอ็มอาสา

“อืม.......”

     ถึงผมจะไม่ใช่สาวกพี่วิแบบไอ้เอ็ม หรือไอ้บลีช แต่ผมก็ได้มรดกหลายอย่างมาจากพี่เขาครับ หนึ่งในนั้นคือการที่ผมได้ยืมอ่านหนังสือเรื่อง กล่องไปรษณีย์สีแดง ของ อภิชาติ เพชรลีลา ซึ่งเป็นเรื่องราวของ ไข่ย้อย หนุ่มนักศึกษาคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ถูกปฏิเสธความรักโดยเพื่อนสนิทของตัวเองที่รู้จักกันมา 5 ปี เพราะทำใจไม่ได้เขาจึงนั่งรถไฟหนีไปใช้ชีวิตที่ชายทะเลในภาคใต้ และเมื่อมีโอกาสเขาก็จะเขียนจดหมายและไปรษณียบัตร ไปเล่าเรื่องราวของชีวิตที่แปลกใหม่ และความรักที่เขามีต่อเพื่อนสนิทซึ่งแม้แต่มวลน้ำเหลือคณาของทะเลก็ไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้ หนังสือเรื่องนี้สุดท้ายแล้วกลายมาเป็นภาพยนตร์ครับ โดยเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น เพื่อนสนิท (Dear Dakanda)

      และอีกแค่ 2 วันผมก็จะเดินทางลงไปทะเลเหมือนกับไข่ย้อยแล้วครับ สำหรับพวกเราที่เรียนในจังหวัดนครปฐม การไปเที่ยวทะเลอาจจะไม่ได้ดูเป็นเรื่องใหญ่ หรือน่าตื่นเต้นแบบคนที่เรียนในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนมหาลัยผมครับ บรรยากาศมันต่างกับตอนที่ผมไปเที่ยวกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมจริงๆ ผมเดินมานั่งริมหน้าต่างห้องคอมมอนรูมที่ประจำ แล้วโทรศัพท์หาปลา มันคงจะดีที่มีคนเดินจูงมือกันริมชายหาด แล้วให้คลื่นซัดปลายเท้าเราให้จมลงในพื้นทราย  ไข่นุ้ยจากล่องไปรษณีย์สีแดงบอกไว้ครับว่าน้ำทะเลไม่อาจลมความทรงจำและความรักของเขาที่มีให้ดากานดาได้ แต่สำหรับผมแล้วความรักของผมมันเริ่มลบเลือนด้วยระยะห่าง และกาลเวลา
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: บ๊ายบายโพ ที่ 03-11-2013 11:34:55
สงสัยมานานแล้วว่าทำไมโย๊ปถึงมีพาร์ทเล่า ตอนแรกคิดว่าเพราะคนเขียนอยากให้มีมุมมองแบบ2ด้านรึเปล่า
แต่ลองคิดอีกที หรือสุดท้ายโย๊ปจะเป็นอัลมอนด์บดของพี่วิ
ไม่ใช่ อะไรแอบเชียร์โย๊ปไง 555555  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 03-11-2013 12:32:28
ต่อได้เร็วเหลือเชื่อ

 :katai3:

รออ่านบทของโย๊ปต่อ  ถ้าเข้าใจม่ผิดเหมือนตอนนี้โย๊บยังมีแฟนผู้หญิงชื่อปลา  :katai5:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 04-11-2013 00:01:21
เขียนได้ดีมากเลย
บอกตรงๆว่าส่วนตัวแล้วไม่ชอบอ่านเรื่องที่แบบ รักคนนี้ แต่ก็ตัดใจจากคนนู้ไม่ได้ อะไรงี้
แต่คุณคนเขียน เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ ติดงอมแงมเลย จะรอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Also ที่ 04-11-2013 14:56:50
วางไม่ลงกันเลยทีเดียว ภาษาสวยมากค่ะ เจอคำผิดเล็กๆ แต่ก้อไม่ได้ทำให้การอ่านสะดุดเลย

เอาใจช่วยวิค่ะ ไม่ว่าสุดท้ายแล้ววิจะเลือกใครหรือมีใครผ่านเข้ามาในชีวิตอีก

เราเป็นอีกคนที่คิดว่าวิน่าอิจฉานะ จริงๆถ้าวิเปิดใจ น่าจะพบว่ามีคนอยากรักวิตั้งมากมาย

รอตอนต่อไปอยู่นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: puppyluv ที่ 04-11-2013 16:35:29
ลุ่มหลงรักวิด้วยคน
เหมือนภาพฝัน
แต่ถ้าจะไปก็ต้องยอมปล่อยมือ
บวกและเป็ดขอบคุณ
 :hao5:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 04-11-2013 16:40:07
โย๊ป จะได้ครองคู่กับวิ ในตอนจบมั้ยนิ  :laugh:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush...16(2) ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (อะไรเอ่ยไม่เข้าพวก)
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 06-11-2013 11:37:35
ถึงผู้อ่านทุกคนครับ ครั้งที่แล้วผมรีบร้อนลงจนลืมที่จะเขียนแนะนำบทของโย๊ป เพราะในบทที่ 16 (ช่วงปิดเทอม) เป็นตอนที่เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดกึ่งกลางพอดีครับ เพราะเรื่องราวนี้เป็นของวิที่มีระยะเวลา 1 ปีการศึกษา ก่อนที่จะเรียนจบไป ต้นแบบตัวละครโย๊ป เป็นคนที่มีบุคลิกอ่อนโยน และลึกซึ้ง เป็นคนสนุกด้วยครับ แต่บางทีก็ไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้ดวงตาอาตี๋ที่อยู่หลังแว่นสายตากลมๆ อันเบ้อเร่อ ฮ่าๆๆๆ ผุ้อ่านอาจจะรู้สึกว่าบางทีเรื่องมันเฉื่อยๆ แต่ปกติไอ้โย๊ปมันก็ชอบทำตัวเฉื่อยๆ แบบนี้แหละครับ

และตอนนี้ตัวผมเองรู้สึกตื่นเต้น เมื่อผู้อ่านทุกคนพยายามคาดเดาเรื่องราวนี้ว่ามันจะจบอย่างไร วิจะได้คู่กับใครกันแน่ อยากบอกนะครับ แต่คิดแล้วอุบไว้ดีกว่า

ขอบคุณ คุณ puppyluv ที่ชอบวิครับ ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนทำให้ วิ เป็นมนุษย์ประหลาดมาตั้งแต่ต้น
ขอบคุณ คุณ sine_saki คุณ Also คุณ Poes คุณ คีรี~มัญจาโร คุณ drasil คุณ บ๊ายบายโพ และผู้อ่านคนอื่นที่ไม่ได้เอ่ยถึงแต่ระลึกถึงอยู่เสมอ ขอบคุณที่คอยติดตามอ่าน เป็นกำลังใจในการเขียน และคอมเมนท์ที่มีให้แก่กันครับ

ขอบคุณมากครับ
"วิ"
...............................................................................................



16(2) ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (อะไรเอ่ยไม่เข้าพวก)


     เราตกลงกันได้ในเวลาต่อมาครับว่าจะไปเที่ยวทะเลที่ชะอำ ถึงความจริงพวกผมอยากจะไปไกลกว่านั้น แบบปราณบุรี แต่พี่วิหารีสอร์ทที่มีชายหาดส่วนตัวได้ครับ เราจะได้เฮฮาเต็มที่ไม่ต้องคอยระวังตัว แถมยังสะดวกเพราะที่รีสอร์ทมีบ้านพัก 3 ห้องนอน บวกกับราคาถูกมาก พวกเราเลยโอเคครับ ไปเที่ยวทะเลครั้งนี้พวกเราไปกันทั้งหมด 11 คนครับ เพราะทุกคน (ที่มีแฟน) ต่างก็เอาแฟนไปด้วยครับ คงยกเว้นแค่ผมที่แฟนเรียนอยู่คนละมหาลัย พวกเรามาเจอกัน 6.00 ตามที่นัดกันไว้ แล้วขึ้นรถสองแถวไปสถานีรถไฟหลังตลาดองค์พระ ซึ่งตอนนี้กำลังคับคั่งไปด้วยพี่ ป้า น้า อา ที่ออกมาจ่ายตลาด ดูวุ่นวายแต่ก็เป็นเสน่ห์ของนครปฐมมากครับ

        หลังจากไอ้เอ็มกับแฟนมันไปเอาตั๋วที่สถานีมากแจกพวกเรา พร้อมกับข่าวดีว่ารถไฟจะดีเลย์ 1 ชั่วโมง นี่แหละครับธรรมชาติของรถไฟไทยไม่ต้องแปลกใจว่าเป็นหน่วยงานรัฐที่มีหนี้จนแทบจะล้มละลาย เมื่อรู้ว่าต้องรอไปอีก 1 ชั่วโมงพวกเราก็เลยแยกย้ายกันไปหาข้าวกิน และไม่แปลกใจเลยที่จะแยกกันไปแบบคู่ใครคู่มัน ไอ้เอ็มไปกับแฟนมัน ไอ้ทรีไปกับแฟนมัน ไอ้วิตซ์ไปกับแฟนมัน พี่วิไปกับไอ้คอร์ท เหลือผม ไอ้หนิงเพื่อนไอ้เจ็มแฟนทรี กับไอ้บลีชที่เสือกตามมาด้วยจนได้ครับ เศร้านะครับเพราะผมไม่สนิทกับไอ้ 2 คนนี้เลย ไอ้หนิงยังพอพูดง่าย แต่ไอ้บลีชนี่สิครับนอกจากพี่วิแล้ว พวกเราคนอื่นเหมือนโดนมันกดหัวตลอดเวลาเลย

“พี่วิกินไร ผมไปกินด้วย” ในที่สุดครับไอ้บลีชสาวกคนเดียวของพี่วิที่ยังโสดอยู่ก็ขอตามศาสดามันไป ไอ้บลีชไม่รู้ครับว่าพี่วิคบกับไอ้คอร์ทอยู่ จริงๆ แล้วคนที่รู้ มีแค่ผม ไอ้ทรี ไอ้เอ็มครับ ผมกลัวก็แต่ไอ้คอร์ทเห็นมันนิ่งๆ แต่ไอ้นี่น่ากลัวครับ

“จะไปกินโจ๊กกับคอร์ท” พี่วิตอบครับ แล้วสุดท้ายผมกับหนิงที่ไม่ได้สนิทกันก็ตามพี่วิกับไอ้คอร์ทไปกินโจ๊กกันหมดเลยครับ ฮ่าๆ ขอโทษนะเพื่อนที่กูมาเป็นกขค.

        ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงพวกเรามายืนรอกันแน่นที่หน้าสถานีรถไฟ เพราะเราซื้อตั๋วชั้น 3 ครับ ต้องรีบขึ้นไปแย่งชิงที่นั่งกับคนอื่นๆ เราได้นั่งโบกี้ท้ายๆ ครับแต่ก็ยังต้องนั่งแยกกัน เพราะคนเยอะมาก ก็เหมือนเดิมแหละครับต้องแยกกันไปเป็นคู่ และโชคก็เข้าข้างผมเพราะพวกเรามากัน 11 คน ให้ทายว่าใครที่ไม่เข้าพวก ฮ่าๆ ผมไงครับ พอจะไปนั่งใกล้ๆ พวกไอ้เอ็มกับแฟนมัน ไอ้ทรีกลับพยักเพยิดให้ผมไปนั่งตรงข้ามพี่วิกับไอ้คอร์ท ให้ผมช่วยทำหน้าที่กขค. อีกแล้วครับ ไอ้เชี่ยนี่ก็ตั้งแง่มากคงหวงพี่ชายมัน แต่ไอ้คุณคอร์ทเป็นคนเดียวในทริปนี้ครับที่เล่นกีตาร์เป็น แถมพี่วิยังไม่ฟังน้องชาย จึงเป็นเงื่อนไขที่ไอ้ทรีทำอะไรไม่ได้ครับ แถมมันเองก็ยังมากับแฟนอีกเลยหมดสิทธิคุมพี่ชาย

        เมื่อรถไฟออกผมก็นั่งเล่นเกมอะไรเอ่ยไม่เข้าพวกอีกครับ เพราะผู้ชาย 2 คนที่นั่งบนเบาะฝั่งตรงข้ามผม ที่นั่งหันหน้าเข้ามาหาผม ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละมิติ ไอ้คอร์ทผิวขาวหน้าตาดีใส่เสื้อยืดแบรนด์เนม กางเกงยีนส์แบรนด์เนม สวมแว่นตาดำแบรนด์เนม พี่วิสวมเสื้อคอกว้างยืดสียีนส์ กางเกงยีนส์ขาเดฟ รัดผมหยักศกเซอร์ๆ ไว้ข้างหลัง ใส่แว่นตาดำ Playboy พอนั่งอยู่ด้วยกันแล้วเหมือนมีออร่ามาหุ้มไว้ แถมไอ้คอร์ทยังเป็นคนที่เรียนดี เล่นกีฬาดี และมีความสามารถพิเศษมากที่สุดคนหนึ่งที่ผมโตมาด้วยกัน ผมยอมรับครับว่าอิจฉามันในทุกเรื่องตั้งแต่อยู่มัธยม นั่นคงเป็นเหตุผลให้ผมชอบหาเรื่องแกล้งมัน ความสามารถของไอ้คอร์ทจับคู่กับความสามารถของพี่วิได้ลงตัวมากครับ พี่วิมีพลัง มีความมั่นใจ และเป็นตัวของตัวเองมาก เก่งแม้แต่กับเด็กเทพเทคโนฯ เมื่อ2 คนนี้จับคู่กันมาทำให้ผมเหมือนตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตก้นเหว ที่กำลังแหงนมองฟ้าครับ

        รถไฟจากนครปฐมไปชะอำใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ครับ ซึ่งระหว่างนั้น 2 คนตรงข้ามผมก็แบ่งหูฟังเครื่องเล่น MP3 กันคนละข้างแถมยังเอนหัวซอบกันอีก หวานไม่เกรงใจกขค. อย่างผมเลย เสียงคุยของพวกไอ้ทรีก็ดังมาจากเบาะที่อยู่ถัดออกไป ตอนนี้ผมเหมือนหมาหัวเน่าที่สุดครับ

สักพักหนึ่งก็มีคนขายของกินมาเดินขายน้ำ ขายขนม ข้าวหลาม ข้าวกล่องบนรถไฟ กันจนผู้โดยสารพากันคึกคักเมื่อได้ของกิน

“คอร์ท...พี่วิ” ผมเรียกคู่รัก 2 คนให้ตื่นมาเลือกซื้อของกิน เผื่อจะได้ลดความหวานลงมั่ง แล้วไอ้คอร์ทก็เงยหน้ามามองหาของกินครับ

“วิ....น้ำหวานป่าว” ผมอึ้งครับ แปลกหูนะเวลาไอ้คอร์ทมันเรียกชื่อพี่วิเฉยๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจครับว่าเขาเป็นแฟนกัน

“หรือจะเอาข้าวด้วย”

“เอาสไปร้ท์ เอาผัดหมี่ เอาขนม” พี่วิบอกเมื่อจ่ายตังคนขายเสร็จเราก็เริ่มลงมือกินครับ

“กินขนมด้วยกันก็ได้นะโย๊ป” พี่วิเรียก

“ครับๆ” ผมตอบรับไป แต่ในใจไม่คิดจะกินขนมกับ 2 คนนั้นหรอกครับ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งเป็นส่วนเกิน แล้วพอกินเสร็จ 2 คนนั้นก็นั่งคุยกันต่อครับ เรื่องปิดเทอม คอร์ทจะกลับบ้านแค่สัปดาห์เดียวเพราะมันต้องซ้อมลีดตอนปิดเทอมด้วย ส่วนพี่วิก็กลับบ้านสัปดาห์เดียวเหมือนกันครับ เพราะพี่เขาต้องออกภาคสนามที่ชายแดนพม่า 10 กว่าวัน

“มานอนห้องผมดิ” ไอ้คอร์ทชวน

“อ่ะนะ ยังไม่เบื่อเหรอ” พี่วิตอบ นอนก็หวาน ตื่นก็หวาน ผมเลยแกล้งหลับครับ และในที่สุดก็หลับไปจริงๆ

        ผมตื่นมาเมื่อรถไฟของเราจอดที่ชานชาลาอำเภอชะอำ สถานีรถไฟที่นี่ดูไม่ค่อยคึกคักเหมือนกับที่สถานีหัวหิน แต่ก็มีรถรับจ้างมากมายทั้งมอเตอร์ไซด์ และรถกระบะ เมื่อรวมพลกันครบพวกเราก็ตัดสินใจจ้างรถกระบะไปส่งที่รีสอร์ทครับ แถมไม่ลืมที่จะแวะซื้อเบียร์ 2 ลัง เหล้า 3 ขวด สปาย โซดา น้ำเปล่า ฯลฯ กะว่าจะจัดหนักเลยครับ

        11.50 หลังจากที่รถรับจ้างพาเราวกวนถนนสายเปลี่ยวมาสักพัก เราก็มาถึงที่หมาย ชะอำ คาบาน่า รีสอร์ท ซึ่งบ้านพักของเราที่จองไว้ก็โอเคมาก อยูติดทะเลหันหน้าเข้าหาชายหาด มี 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำตามที่ตกลงไว้ ปัญหาเล็กน้อยๆ ก็เหมือนเดิมแหละครับ คือ เราต้องเล่นเกมอะไรเอ่ยไม่เข้าพวก พวกเรา 11 คน ผู้หญิง 4 คน นอนห้องหนึ่ง พี่วิกับไอ้คอร์ทจองห้องหนึ่ง และพวกเราห้องหนึ่ง แต่ห้องพวกเรานอนได้แค่ 4 คนเหมือนกันครับ ฉะนั้นแล้วต้องมีคนหนึ่งที่ถูกถีบไปนอนห้องเดียวกับไอ้คอร์ทกับพี่วิ ไม่ต้องทายหรอกครับว่าใคร สุดท้ายก็ผมนี่แหละที่ต้องกลายเป็นกขค. แต่ก็ดีครับ เพราะห้องพี่วิกับไปอ้คอร์ทเป็นเตียงเล็ก 2 เตียง ผมจะได้ไม่ต้องนอนเบียด

        หลังจากเก็บของไม่นาน พวกเราก็ทนไม่ไหวครับที่ต้องเล่นน้ำทะเล เกลียวคลื่นสีเทาฟ้า หาดทรายสีเทาน้ำตาล มีกิ่งไม้ใหญ่วางอยู่เป็นจุด ล้อมด้วยทิวต้นสน ดูเชิญชวนพวกเราเหลือเกิน พวกเราถอดเสื้อออก ส่วนพวกผู้หญิงก็เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นลงเล่นน้ำกัน ผมเห็นพี่วิกับไอ้คอร์ทเล่นน้ำกันอยู่ห่างๆ จากพวกเรา พี่วิแทบจะตัวติดกับไอ้คอร์ทเลยครับ ผมเองเคยเห็นพี่วิถอดเสื้อมาหลายครั้งมาก เพราะหอเราใช้ห้องน้ำรวม แต่พอผมมาเห็นพี่วิถอดเสื้อยืนอยู่ใกล้ไอ้คอร์ทแล้วคิดว่าเขาเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูกครับ

“คอร์ทหล่อเนอะ” เอาละครับ ไอ้แก้ว (เพื่อนแฟนไอ้ทรี) เปรยกับผมเรื่องความหล่อของไอ้คอร์ท ถ้าพี่วิได้ยินทะเลนองเลือดแน่

“อืม....” ผมตอบไม่ใส่ใจ แล้วสักพักไอ้เอ็มก็ตามสองคนนั้นมาเล่นลิงชิงบอลในทะเลด้วยกันกับพวกเราครับ สนุกดีครับ

เล่นกันจนเหนื่อยเราก็ชวนกันขึ้นฝั่งครับ ไปนั่งอยู่แถวๆ ชานหน้าบ้านพักพวกเรา เอาขนมกับเบียร์มาเปิดกินกันไปเรื่อยๆ แล้วพี่วิกับไอ้คอร์ทก็หายตัวไป ผมนั่งกินสักพักก็ลุกไปอาบน้ำ แล้วกลับมาแต่งตัวในห้องที่เปิดแอร์ไว้จนเย็น ผมเห็น 2 คนนั้นนอนหลับกอดกันอยู่ ผมเลยรีบแต่งตัวแล้วออกไปนั่งเล่นที่หน้าชานบ้านเหมือนเดิม

“พี่กูล่ะ” ไอ้ทรีถามทันทีเมื่อผม เดินกลับไปนั่งที่เดิม

“นอนอยู่ในห้อง” ผมตอบมันพร้อมกับทำหน้าแบบว่ามึงอย่าถามต่อนะ อาจติดเรท

“2 คนนั้นเป็นแฟนกันเหรอ” ไอ้เจ็มแฟนไอ้ทรีถามมันครับ ดันถามในในเรื่องที่ไอ้ทรีมันหงุดหงิดอยู่ด้วย

“มั้ง” ไอ้ทรีตอบแบบสั้นๆ

“เสียดายอ่ะ คอร์ทหล่อมาก” ไอ้แก้วเสริม จะไม่หล่อได้ไงล่ะ ลีดคณะเภสัชเชียวนะครับ

     นั่งกินเบียร์เล่นกันมาสักพักผมก็เห็นว่าบ้านพักอีก 3 หลังที่อยู่ถัดจากหลังของเราไปมีกลุ่มวัยรุ่น น่าจะเป็นเด็กมหาลัย ประมาณ 50 คน เข้ามาเก็บของครับ แล้วพวกเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปที่ทะเล จากเสียงร้องที่ได้ยิน และเกมที่พวกเขาเล่นกัน มารับน้องแน่นอนครับ แบบนี้

“นึกว่าจะมีแค่พวกเราซะอีก” ไอ้บลีชมันบ่น

“ทำใจเหอะมึง อีก 4 วันแน่ะ” ไอ้วิตซ์บอกเพื่อนมัน

        เวลาเดินเร็วมากครับ เผลอนั่งเล่นกันแป๊บเดียวก็เย็นแล้ว พวกเราไม่ได้สั่งอาหารไว้กับทางรีสอร์ท เพราะคิดว่าจะทำกินกันเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้เราควรต้องออกไปซื้อกันได้แล้วก่อนที่ฟ้าจะมืด แล้วตลาดจะวาย แล้ว 2 คนในห้องก็ออกมาพอดีเหมือนกันครับ สรุปว่าพวกเราจะไปซื้อของกัน 6 คนผู้ชายหมดครับ เพราะจะเช่าจักรยานรีสอร์ทปั่นไปที่ตลาดกว่าจะกลับมาถึงก็คงมืด เลยให้พวกผู้หญิงกับไอ้ทรี ไอ้วิตซ์ อยู่ที่บ้านพัก

“อ้าว....เฮ้ยย วิ” เสียงทักดังมาจากหน้าห้องอาหารตอนที่เรากำลังเดินผ่านไปเช่าจักรยานที่โต๊ะรีเซฟชั่น แต่พี่วิไม่ได้สนใจ
“วิ....” แล้วเจ้าของเสียงก็วิ่งกระหืดกระหอบ มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราครับ เป็นผู้ชายตัวสูงกว่าพี่วินิดหนึ่ง ตัดผมสั้นเท่ห์ๆ ตาคมโต สีผิวแบบเดียวกับพี่วิ แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือเวลาที่เขายิ้มครับ ทุกครั้งผมจะเห็นประกายแสงสีเงินลอดออกมาจากริมฝีปากคู่นั้น เขาเจาะลิ้นและฝังหมุดเงินครับ
“จำไม่ได้เหรอ” คนมาใหม่ถาม พี่วิที่ทำหน้างง และแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร

“หึ....ไม่เคยเห็นหน้าเลย” พี่วิตอบครับ คงงงๆ อยู่ๆ มีคนไม่รู้จักมาทัก

“เอ็กซ์...ไง อักษรฯ จุฬาฯ ที่เราเข้างานอักษรฯ 3 มหาลัยด้วยกันตอนปี 1 ไง” คนที่ชื่อว่าพี่เอ็กซ์แนะนำตัว

“อักษรฯ จุฬาเหรอ รู้จักแต่พิน กับเอริ์ธ แค่ 2 คน” พี่วิตอบ

“แล้วมารู้จักวิได้ไง” พี่วิถามกลับ

“ก็เราแขวนป้ายชื่อกันไง” เขาตอบยิ้มแย้มเหมือนเดิม แต่อ้คอร์ทไม่ยิ้มแล้วครับ ระหว่างนี้พวกผมเลยเดินไปจูงจักรยานมา

“อืม....มารับน้องเหรอ”

“อืมรับน้องเอกน่ะ”

“อ่อ....ไปก่อนนะ จะไปตลาด” แล้วพี่วิก็ซ้อนท้ายไอ้คอร์ท และเราก็ปั่นจักรยานไปตลาดกันครับ

“แล้วเจอกันนะ” ไอ้พี่เอ็กซ์บอก แต่ผมเห็นพี่วิแอบกลอกตาแลบลิ้น ฮ่าๆๆ แถมกอดเอวไอ้คอร์ทแน่นอีก มันคงขี้หึงมั้งครับ

        เมื่อมาถึงตลาดพี่วิก็ให้เราแยกย้ายซื้อของตามที่ตกลงกันไว้ โดยต้องได้ราคาที่ถูกที่สุดครับ ง่ายๆ ก็คือให้พวกเราต่อราคาของกินให้เต็มที่ ส่วนใหญ่ที่ซื้อก็เป็นหมึกสด กุ้งสด ปู ข้าว ขนม กับแกล้ม

     ไม่นานเราก็กลับมาคืนจักรยาน แล้วมาชานหน้าบ้านพักครับ เดินออกไปอีกนิด บนหาดทราย พวกไอ้ทรีก่อกองไฟ กับเตาปิ้งย่างไว้รอแล้วครับ พวดเราเลยเริ่มลงมือทำอาหารกัน ส่วนใหญ่ก็ปิ้งย่าง ครับ น้ำจิ้มซีฟู๊ดก็ซื้อมาด้วยแล้วตอนไปตลาด ไม่นานก็เสร็จครับ แล้วเราก็นั่งล้อมวงกันกินหมึกย่าง กุ้งย่าง ปูย่าง ปลาย่าง แบบเป็นคู่ๆ นะครับ ให้ทายว่าอะไรไม่เข้าพวก ก็ผม ไอ้บลีช กับหนิงไงครับ ฮ่าๆๆ ไอ้ 2 คนนี้มันคงเริ่มรู้ว่าตัวเองคิดผิดที่มาด้วยแล้วมั้งครับ

     ถัดออกไปไกลๆ บนชายหาดมีกองไฟก่อขึ้นมา วัยรุ่นประมาณ 50 กำลังร้องเล่นเต้นรำ ผมได้ยินเสียงกลอง ได้ยินเสียงร้องเพลงเชียร์สูงบ้าง ต่ำบ้างลอยมา เราก็ไม่สนใจครับ พอกินไปสักพักเราก็เริ่มเปิดเหล้ากับเบียร์ (น่าสงสารไอ้เอ็มอดแดก) และไอ้คุณคอร์ทก็เล่นกีตาร์ครับ ตอนนี้ผมขำอยู่เรื่องหนึ่งครับ คือ ไอ้ทรีที่ดูเคืองๆ กับไอ้คอร์ทอยู่นั้นกลับเป็นคนเลือกเพลงแทบจะทั้งหมด ทั้งเพลงของ Tattoo Color วง Pancake วงเล้าโลม นอกจากนี้ก็มีเพลงที่พวกผู้หญิงขอครับ เราเล่นกีตาร์ ร้องเพลง กินเบียร์ กันไปเรื่อยๆ จนเกือบสามทุ่ม ไอ้คอร์ทก็เริ่มเมื่อยแล้วครับ และที่สำคัญต่อไปก็จะเป็นเวลาเล่นไพ่แล้วครับ

     ก่อนพวกเราจะเลิกวงเหล้าแล้วไปตั้งวงไพ่ ก็มีเงาของคน 2 คน เดินมาจากความมืดครับ พอใกล้เข้ามาผมจึงเห็นว่าเป็นพี่เอ็กซ์ กับผู้หญิงผมยาวหน้าหวานอีกคนหนึ่ง

“วิจริงด้วย” เสียงผู้หญิงดังขึ้นมา

“พิน....” พี่วิกระโดดลุกขึ้นรับคนที่ส่งเสียงเรียกทันที

“มาไงเนี่ย” ผู้หญิงที่ชื่อพินถาม แล้วเดินเข้ามาใกล้ แล้วก็จับแขนกับพี่วิ

“เรามาเที่ยวกับน้องๆ อ่ะ แล้วพินล่ะ”

“เรามารับน้องเอก 3 วัน”

“อ่อ”

“....เอ็กซ์นั่งกินเบียร์ด้วยได้ป่าว พอดีมารับน้องเลยเอามาไม่ได้อ่ะ” จู่ๆ ไอ้พี่เอ็กซ์ถามขึ้นมา

“เอ็กซ์....” พี่พินปราม

“ถามน้องๆ มันดูแล้วกัน เราไม่ได้กินเท่าไร” พี่วิบอก

“กินต่อครับ แต่เดี๋ยวจะยกวงเข้าบ้านไปเล่นไพ่” ผมบอกเมื่อพี่เขามองมา

“เออดีๆ พี่เล่นด้วย” ผมตกใจครับ ไม่คิดว่าพี่เขาจะตกลงเลย

“เอ็กซ์....” พี่พินปรามอีกครั้งครับ แต่ไอ้พี่เอ็กซ์ทำเหมือนไม่ได้ยิน

“ช่างเถอะ เดี๋ยววิเดินไปส่งพินเอง” พี่วิบอก
“คอร์ท เดินไปเป็นเพื่อนวิป่าว”

“อืม....” แล้วไอ้คอร์ทที่ทำหน้าเซ็งๆ ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกีตาร์ในมือ แล้วพี่วิ พี่พิน ไอ้คอร์ทก็เดินหายไปในความมืด พวกเราช่วยกันดับไฟ แล้วเก็บของกิน กับแกล้มย้ายเข้าไปในบ้านครับ แต่ก่อนที่ผมจะได้เล่นไพ่ โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นมา

“ว่าไงปลา...” ผมทักคนที่โทรเข้ามา

“โทรมาหาเฉยๆ ทำไรอยู่ล่ะ” ปลาถามครับ ผมเลยเดินออกไปคุยโทรศัพท์หน้าบ้านพัก

“กำลังจะเล่นไพ่อ่ะ”

“555 เหรอ ระวังหมดตัวนะ”

“อืม....สอบเป็นไงมั่ง”

“ก็เรื่อยๆ แหละ ได้บ้างไม่ได้บ้าง...เดี๋ยววันศุกร์ก็สอบเสร้จก็กลับบ้านแล้ว” ปลาพูดย้ำในเรื่องที่เรารู้กันอยู่แล้ว คือเรื่องวันสอบและเรื่องปิดเทอม แล้วเราก็คุยกันต่อประมาณ 10 นาทีครับ เรื่องทั่วไป กลับบ้านจะไปเที่ยวไหนกันดี จะนัดเจอกับเพื่อนคนไหนบ้าง จะแวะกลับไปหาอาจารย์ที่โรงเรียนเก่ามั้ย

“โย๊ปมีแฟนใหม่ป่าวนี่” อยู่ๆ ปลาก็ถามด้วยคำถามที่ทำให้ผมเงียบไป

“ป่าว ไม่มี....ทำไมอ่ะ ” ผมตอบแม้ว่าความจริงแล้วผมมองผู้หญิงอยู่หลายคนครับ แต่ก็มองเพราะว่าพวกเขาสวย หรือน่ารัก บ่อยครั้งผมไปเป็นเพื่อนไอ้เอ็มจีบผู้หญิง จนกระทั่งวันนี้ไอ้เอ็มมันมีแฟนไปเรียบร้อยแล้ว หวานจนคนเขารู้กันทั้งคณะ

“ป่าว....แค่รู้สึกว่าเราห่างๆ” ปลาบอก

“ก็เราอยู่ห่างกันนี่” ผมตอบ แล้วเราก็เปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องอื่นกันอีกสักพัก จนผมเห็นไอ้คอร์ทกับพี่วิเดินจูงมือกันกลับมา ผมเลยรีบบอกลาปลาแล้วก็วางสายโทรศัพท์ครับ

“อ้าว....ไม่ได้เล่นไพ่กับเขาเหรอ” พี่วิถาม

“ออกมาคุยโทรศัพท์กับแฟนอ่ะพี่ จะเข้าไปเล่นแล้วแหละ”

“คุยกับปลา เหรอ” ไอ้คอร์ทถาม

“เออ” แล้วเราก็กลับเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นพื้นกระเบื้องของบ้านพัก ที่ตอนนี้มีผ้าปูที่นอนมาปูไว้ทำเป็นวงไพ่ ขาไพ่มีทั้งชายหญิง และนอกจากเหล้า เบียร์ และกับแกล้ม ขาไพ่แต่ละคนก็เอาหมอน ผ้าห่ม ฯลฯ มาเป็นพร็อบครับ

“วิ...เล่นบ๊อกเด๊งป่าว” พี่เอ็กซ์เงยหน้ามาชวน

“ม่ายอ่ะ....เล่นไม่เป็น” พี่วิปฏิเสธ

“มึงจะเล่นป่าวคอร์ท” ผมกระซิบถามเพื่อน แต่จากหน้าเซ็งโลกของมันแล้ว ผมก็รู้คำตอบ

“เดี๋ยวกูเข้านอนแล้ว” แล้วมันก็ดึงแขนพี่วิเดินไปห้องนอนครับ

        1.00- 2.00- 3.00 เวลาเท่าไรแล้ว ตอนนี้ผมก็จำไม่ได้ครับ ดึกมากแล้ววงไพ่พวกเราก็เลิกแล้ว ผมก็กลับเข้ามานอน แต่กลายเป็นว่าผมไม่ได้มาคนเดียว เพราะไอ้พี่เอ็กซ์มันเมากลับไม่ไหว มันก็เลยมานอนที่เตียงผมด้วยครับ
 
        1.00- 2.00- 3.00 เวลาเท่าไรแล้ว ตอนนี้ผมก็จำไม่ได้ครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองหลับไปพักหนึ่ง แต่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงครางด้วยความพึงพอใจเบาๆ ผมนอนตะแคงหันหน้าไปทางเตียงของพี่วิ ภาพที่ผมเห็นคือ ไอ้คอร์ทที่นอนไม่ใส่เสื้อกำลังคร่อมตัวพี่วิที่ไม่ได้ใส่เสื้อเหมือนกัน คอร์ทกำลังก้มลงดูดคอพี่วิเหมือนแวมไพร์ในหนัง พี่วิเงยหน้าแอ่นคอให้แล้วครางครับ มือของเขาก็ลูบไล้บนหน้าอกไอ้คอร์ทที่ มีรอยกระดูกไหปลาร้าคมชัด

“จะทำรอยหรอ....อ่า” พี่วิกระซิบแต่ให้ห้องที่เงียบสนิทผมได้ยินเสียงนั้นชัดเจน

“มันจะได้รู้ไงว่าใครเป็นเจ้าของ” ไอ้คอร์ทตอบเบาๆ น้ำเสียงเจือความโกรธเอาไว้

“อ่า....คอร์ท” พี่วิครางหนักกว่าเดิม เพราะตอนนี้ 2 คนนั้นไม่ได้หยุดแค่การดูดคอกับลูบไล้แล้วครับ

“อ๊า......” พี่วิกรี๊ดออกมาแล้วรีบหยุดเสียงตัวเองไว้ เมื่อโดนไอ้คอร์ทกัดเข้าที่ฐานคอ บนหน้าอก มือของพี่วิกลายเป็นกรงเล็บที่จิกบนแผ่นหลังสีขาวของไอ้คอร์ท

“เดี๋ยวโย๊ปเห็น” พี่วิกระซิบหอบ ไอ้คอร์ทลุกขึ้นครับ แล้วดึงพี่วิขึ้นมาด้วย มันใส่บอกเซอร์ลายทางซึ่งตอนนี้มันถูกดันออกมาจากข้างในจนตุงเหมือนกระโจม และบ็อกเซอร์ที่พี่วิใส่ก็ไม่ได้แตกต่างกัน

“มาข้างนอก...” ไอ้คอร์ทกระซิบแล้วทั้ง 2 คนก็เดินผ่านเตียงของผมออกไปนอกประตู เหมือนวิญญาณที่ลอยไปอย่างไร้เสียง

   ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันอาจจะเป็นความอยากรู้ที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาแล้วแอบเดินตามออกไป 2 คนนั้นไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่น ผมเลยเดินออกจากประตูบ้านพัก แสงจันทร์สีขาวเทาทำให้ผมเห็น แผ่นหลังของทั้ง 2 คน สะท้อนอยู่บนชายหาดที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวเทา และพวกเขากำลังเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ ครับ เหมือนวิญญาณที่กำลังเดินทางตามแสงจันทร์ ผมเว้นระยะห่างแล้วตามไปพยายามไม่ให้เขารู้ตัว

        สองคนนั้นหยุดบนกิ่งสนขนาดใหญ่ที่ล้มพาดไว้กับพื้น ข้างๆ ทิวรั้วต้นสน พี่วิขึ้นคร่อมคอร์ทแล้วทั้ง 2 คนก็จูบกับ เป็นจูบที่เร่าร้อน เนิ่นนาน  และรุนแรง ขณะดียวกับที่มือของทั้ง 2 คนทำหน้าที่ในการปลดปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระจากเครื่องปกปิดชิ้นสุดท้ายของทั้งคู่ ส่วนนั้นของไอ้คอร์ทใหญ่เหมือนกันครับ ใหญ่กว่าที่ผมเคยเห็นมันตอนที่อาบน้ำพร้อมกันสมัยเรียนรด. มาก ขนสีดำตรงนั้นดูหนาขึ้นกว่าเดิมลามรกมาจนถึงสะดือ และตอนนี้ส่วนนั้นกำลังเสียดสีกับของพี่วิที่เล็กกว่าไอ้คอร์ทเล็กน้อย ขนสีดำนั่นเหมือนกับผมพี่วิครับ หยิกสั้น สักพักไอ้คอร์ทก็ทิ่มนิ้วมือไปในก้นของพี่วิ

“อ๊ะ...........” ผมได้ยินเสียงครางที่ลอยออกมาตามสายลม จากนิ้วเดียว เป็น 2 นิ้ว และ 3 นิ้ว แถมมันยังกระแทกนิ้วรัวเข้าไปในก้นของพี่วิไม่หยุด

“อ๊ะ......อ่า” พี่วิคราง ใบหน้าบิดเบี้ยว สะบัดไปมา

“.....คอร์ท” พี่วิใช้เสียงหวานเรียกชื่อไอ้คอร์ท และนั่นคงเป็นสัญญาณ ไอ้คอร์ทยืนขึ้นพร้อมกับกดบ่าพี่วิให้คุกเข่าลงไป พี่วิใช้ปากโม๊กให้ไอ้คอร์ท ทันที ดูไม่รังเกียจส่วนนั้นของไอ้คอร์ทที่มีน้ำใสปริ่มอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นผู้ชายทำ ออรัล เซ็กส์ให้กัน

“อ่า.....” คราวนี้เป็นเสียงครางของไอ้คอร์ทครับ เสียงมันฟังแล้วเหมือนสัตว์ที่กำลังเจ็บปวด ผมไม่เคยเห็น คน 2 คนที่ผมทั้งชื่นชม ทั้งอิจฉาในความสามารถ ในภาพแบบนี้มาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมากครับ ไม่นานเท่าไรไอ้คอร์ทก็ดึงพี่วิลุกขึ้น พลักให้หันหลัง และออกแรงกดหลังพี่วิให้ก้มโค้งลง ผมไม่รู้ว่าคนนิสัยแบบพี่วิจะยอมการใช้กำลังกับร่างกายตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร แต่ผมไม่ได้คิดหาคำตอบหรอกครับ

“อ๊า....” พี่วิกรีดร้องเมื่อไอ้คอร์ทยัดท่อนเนื้อของมันเข้าไปจนเกินครึ่ง ไอ้คอร์ทโน้มตัวลงไปกัด และดูดหลังคอของพี่วิ

“อ้า....อ่า....” พี่วิครางไม่หยุดแล้วครับ แล้วไอ้คอร์ทก็เปิดเกมกระแทกก้นพี่วิไม่ยั้ง เสียงเนื้อของทั้ง 2 คนที่กระทบกันดังชัดเจน
 
        ผมเฝ้ามองอย่างสนใจด้วยความสงสัย และอยากรู้ จนไม่รู้สึกตัวถึงความแข็งตัวของท่อนเนื้อผมที่อยู่ในกางเกงบ็อกเซอร์ มันแข็งและยืดยาวออกมาจากขากางเกง และสัมผัสกับลมเย็นของทะเล ผมเคยดูหนังดูแล้วชักว่าวให้ตัวเองไปจนน้ำเชื้อแตก แต่ครั้งนี้ผมกำลังดูหนังสด แถมนักแสดงนำยังเป็นชายกับชาย ท่ามกลางเสียงครางของพี่วิ และเสียงกระแทกเอวของไอ้คอร์ท อุณหภูมในร่างกายผมก็เพิ่มขึ้นไม่หยุด จนผมรู้สึกว่าลมเย็นที่พัดมาโดนใบหน้าผมนั้นเย็นจนบาดเนื้อ

   ผมไม่รู้ว่าทำไมต่อจากนั้นผมจึงจับเอาท่อนเนื้อของตัวเองที่แข็งจนปวดออกมาจากกางเกงแล้วชักว่าวตาม 2 คนนั้นไปด้วย อาจเป็นเพราะฟีโรโมนที่ 2 คนนั้นปล่อยออกมา แต่ผมรู้สึกตัวเองว่าตื่นเต้นกับการชักว่าวครั้งนี้มากกว่าทุกครั้งที่เคยทำในชีวิต

“อ๊า....คอร์ท วิไม่ไหวแล้ว” พี่วิคราง พร้อมกับชักว่าวให้ตัวเองแรงมาก

“แตกไปก่อนเลย” ไอ้คอร์ทตอบมาด้วยเสียงหอบ ใต้แสงจันทร์ผมเห็นน้ำเชื้อของพี่วิฉีดออกมาเป็นระลอก ระลอกแล้วระลอกเล่า รดลงบนพื้นทราย ผมเองก็เร่งมือตัวเองแล้วระเบิดน้ำเชื้อตัวเองลงบนพื้นทรายในเวลาที่ใกล้เคียงกับพี่วิ ถึงอย่างนั้นท่อนเนื้อของผมก็ยังไม่ยอมสงบลง ผมชักว่าวต่อเป็นครั้งที่สองตามจังหวะของไอ้คอร์ท ที่จับพี่วิยกขาข้างหนึ่งแล้วกระแทก ท่านี้ทำให้ผมเห็นท่อนเนื้อของไอ้คอร์ทเคลื่อนที่เข้าออกจาดชกก้นของพี่วิชัดเจน ไม่นานไอ้คอร์ทก็ดึงผมพี่วิขึ้นมาอย่างแรง ดึงไว้อย่างนั้น แล้วกัดคอพี่วิจน พี่วิร้องกรี๊ดออกมา ก้นของมันก็อัดแรงกระแทกพี่วิจนเสียงดัง

“อ่า.....” ไอ้คอร์ทส่งเสียงร้องแหบแห้ง พร้อมกับดันท่อนเนื้อมันเข้าไปในก้นพี่วิจนสุด ผมระเบิดน้ำเชื้อครั้งที่สองออกมาพร้อมๆ กับมัน

        ตอนนี้ 2 คนนั้นนั่งลงบนพื้นทราย พี่วิยังคงนั่งอยู่บนท่อนเนื้อไอ้คอร์ท แล้วหันไปจูบปากกัน พี่วิเอามือลูบไล้หน้าไอ้คอร์ท ไอ้คอร์ทก็กอดพี่วิไว้

“.....วิรักคอร์ทนะ” ผมแทบไม่เชื่อหูในสิ่งที่ได้เย็น แต่หลักฐานอื่นทำให้ผมเชื่อว่าคำรักนั้นเป็นจริงคือ น้ำตาสีที่สะท้อนแสงจันทร์เป็นสีเงินไหลมาจากหางตาพี่วิ พี่วิบอกรักไอ้คอร์ทและร้องไห้ออกมา
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 06-11-2013 14:21:30
โย๊ป แกถ้ำมอง  :hao6: สมต้องว่าวเอง นิสัยมะดี

 :เฮ้อ: ที่วิร้องให้เนี่ย หลังจากบอกรัก ดีใจหรือเสียใจอีกเนี่ย

หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Also ที่ 06-11-2013 14:34:38
วิร้องไห้อีกแล้ว แสดงว่ากำลังเสียใจ รึเปล่า
คาดเดาทิศทางของเรื่องไม่ถูก หุหุ รอคนเขียนมาเฉลยละกันค่ะ

อยากอ่านต่ออีกอ่ะ ^^
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 06-11-2013 17:32:24
แล้วไอ้เอ๊กซ์ล่ะ  จะเป็นถ้ำมองซ้อนถ้ำมองไหมนะ   :hao6:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-11-2013 22:08:59
ตอนนี้โย๊ปคงอยากได้บัตรคิวเป็นแฟนวิอีกคนแล้วสิ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush...16(3) ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (กีฬา เกม และลูกผู้ชาย)
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 07-11-2013 01:09:07
16(3) ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (กีฬา เกม และลูกผู้ชาย)


     ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง เพราะแสงสว่างที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามานั้นเริ่มเข้มขึ้นจนกลายเป็นสีเหลืองทองจนผมแสบตา บนที่นอนของผมมีไอ้พี่เอ็กซ์ที่ตอนนี้แม่งก็ยังกรนเบาๆ สภาพหนุ่มหล่อที่ผมเห็นเมื่อเย็นวานนั้นหายไปหมดเลยครับ เหมือนไอ้ขี้เหล้าคนหนึ่ง แต่ส่วนคู่รักทะเลเดือด 2 คนของผมนั้นหายไปจากห้องแล้วครับ

        ผมลุกจากที่นอนเพื่อออกมาแปรงฟันล้างหน้าที่ห้องน้ำหลังบ้านพัก ตอนนี้ในบ้านยังเงียบสนิทผมว่าพวกไอ้เอ็มคงยังไม่คืนชีพกันจากเมื่อคืนแน่ ส่วนพวกผู้หญิงก็ดื่มกันไปไม่น้อยเหมือนกัน ผมเดินกลับเข้าห้องและพบว่า ไอ้พี่เอ็กซ์มันตื่นขึ้นมาลุกนั่งบนเตียงผมแล้ว ตาบวมหัวและเพราะไม่ได้เซ็ทผม เสื้อยังเป็นตัวเมื่อวานเพราะไม่ได้อาบน้ำซกมกที่สุด แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรมันก็ชิงพูดมาก่อนครับ

“เฮ้ย.....โย๊ป มึงลักหลับกูป่าววะ” ดูแม่งมันถาม เมื่อวานกูอุตส่าห์ช่วยมึงถอดเดฟออก

“เฮ้ยย....ป่าวพี่เอาไรมาพูด” ผมตกใจ แอบโกรธนิดๆ แต่ต้องสุภาพกับรุ่นพี่หน่อยครับ

“มีงดูบ็อกเซอร์ตัวเองดิ” เขาชี้มา แล้วผมก็เห็นหลักฐานชิ้นสำคัญเมื่อคืนว่า นอกจาก 2 คนนั้นแล้วผมเองก็เสร็จสมอารมณ์หมายเหมือนกัน

“เฮ๊ยยยย.....ป่าวพี่” ผมตกใจ และร้อนรนครับ เริ่มอาย

“รึมึงฝันเปียก” ไอ้เชี่ยพี่เอ็กซ์ยังรุกผมไม่เลิก

“ป่าวพี่.....” แล้วในที่สุดคนที่ช่วยชีวิตผมก็เปิดประตูห้องเข้ามา พี่วิกับไอ้คอร์ทครับ 2 คนนั้นใส่เสื้อกล้ามสบายๆ กับบ็อกเซอร์ตัวเดิมจากเมื่อคืน

“มีอะไรกันโวยวาย” พี่วิถาม ผมกับไอ้พี่เอ็กซ์อึ้งกันไปพักหนึ่งครับ ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ ร่องรอยที่ไอ้คอร์ทมันทำไว้บนตัวพี่วิชัดมากครับ ทั้ง อก คอ หลัง เหมือนทาขี้ผึ้งแก้หวัดเลย เพียงแต่มันเป็นรอยจ้ำช้ำๆ ที่เกิดจากการจูบ การดูดแรงๆ บางที่เป็นรอยนิ้วที่บีบรัด ที่น่ากลัวที่สุดคงเป็นรอยฟันบนคอด้านซ้าย และก็ที่ฐานอกพี่วิครับ แต่สักพักพอไอ้พี่เอ็กซ์มันตั้งสติได้มันก็กลับมาเข้าประเด็นเดิมอีก

“วิดูเป้าไอ้โย๊ปดิ” แม่งเสือกชี้มาอีก ผมอายสายตาพี่วิกับไอ้คอร์ทจนรู้สึกว่าไอ้นั่นผมมันหดตัวเป็นหนอนไปเลยครับ

“แล้วไง” พี่วิถามหน้าตาเฉยไม่ได้สนใจ
“เอ็กซ์รีบไปเถอะ พินตามหาแล้ว” แล้วพี่วิก็ตัดบทด้วยการไล่ไอ้เชี่ยพี่เอ็กซ์กลับไปที่บ้านพักของมันครับ

“อ่อๆ ขอบใจ” แล้วไอ้พี่เอ็กซ์ก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้อายเลยว่าไอ้นั่นของมันก็แข็งโด่จนทิ่มบ็อกเซอร์เป็นกระโจม ผู้ชายมักแข็งตัวตอนเช้าทุกคน มันไม่สนใจครับแต่หยิบเดฟตัวเองแล้วโดนออกไปทางประตูห้อง

“เย็นนี้มากินเหล้าด้วยนะ” พี่เอ็กซ์หันหน้ามาบอก ผมเลยคิดในใจว่า มาเถอะกูจะให้พี่วิเก็บเงินค่าเหล้ามึง 2 เท่าเลย

“เชี่ยโย๊ปมึงปล้ำไอ้เอ็กซ์เหรอวะ” พี่วิจบแต่ไอ้เชี่ยคอร์ทไม่ยอมจบครับ

“สัตxx กูป่าวเว้ย....” ผมรีบปฏิเสธ

“เสียดายว่ะแม่ง...” ดูมันครับ มึงได้ประตูหลังคนเดียวก็พอละไอ้คอร์ท ปล่อยกูไปเถอะ

“เปลี่ยนกางเกงไปมึง อายชาวบ้านเขามั้ย” ไอ้คอร์ททับถมผมต่ออีก สัตxx กูแตกเพราะแอบดูพวกมึงน่ะแหละ แล้วมึงดูสภาพเมียมึงบ้างเหอะ ไอ้ทรีเห็นแม่งด่าเละแน่

“แต่งตัวดิโย๊ป ได้ไปกินข้าวเช้ากันที่ตลาด” พี่วิพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกแล้วครับ

“เออเร็วๆ กูหิวแล้ว” ไอ้คอร์ทเร่งผมอีก

        ขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า พี่วิก็เปลี่ยนเสื้อกล้ามเป็นเสื้อยืด แล้วสวมยีนส์ ส่วนไอ้คอร์ทนี่สวมยีนส์ทับไปอย่างเดียวเลย แล้วพวกเรา 3 คนก็เช่าจักรยานไปตลาดครับ 3 คน จักรยาน 2 คัน เรามาถึงตลาดแล้วจอดจักรยานที่ร้านโจ๊กและข้าวต้ม ขณะที่เรากินข้าวเช้ากันไป ก็มีแต่คนมองพี่วิครับ รอยบนตัวมันชัดซะขนาดนี้ คงช่วยไม่ได้ แต่พี่วิก็ไม่มีทีท่าจะสนใจ

         ขากลับพวกเราแวะเซเว่นระหว่างทาง เพราะผมซื้อขนมถุง ไอ้คอร์ทซื้อช็อกโกแลต พี่วิซื้อคาลพิโกโซดากับพลาสเตอร์แปะแผลกล่องใหญ่ แล้วเราก็ขี่จักรยานเล่นเรื่อยๆ จนสายแดดเริ่มร้อนจึงกลับรีสอร์ทกันครับ

         พอกลับมาถึงเราก็แยกย้ายครับ พี่วิเอานิยายออกมาอ่านบนแปลใต้ต้นสนใหญ่ข้างบ้านพัก ไอ้คอร์ทก็เล่นกีตาร์นั่งอยู่ข้างๆ กัน ผมสงสัยนะครับ 2 คนนี้มันเข้ากันได้ดีเกินไปมั้ย คนหนึ่งเล่นกีตาร์คนหนึ่งอ่านหนังสือ แล้วมันจะรู้เรื่องเหรอ แต่ผมไม่ได้ถามหรอกนะครับ เพราะสักพักผมก็ไปนอนเล่นใกล้ไอ้คอร์ทครับ ไปนอนฟังเพลงจนเคลิ้มหลับไป

         12.56 ผมตื่นมาอีกครั้งเพราะไอ้ทรีปลุกผมขึ้นมาครับ พวกมันสั่งอาหารจานเดียวจากห้องครัวของรีสอร์ทเพราะตื่นสาย เลยไม่ได้ไปตลาด พวกเราเลยได้กินอาหารตามสั่งกันทุกคนครับในมื้อกลางวัน พี่วิกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับคอที่มีปลาสเตอร์แปะแผลติดไว้เต็มไปหมด ไอ้คอร์ทก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ประหลาดทั้งคู่ พอกินเสร็จพักใหญ่พวกเราก็ชวนกันเล่นน้ำทะเลอีกแล้ว เว้นแต่คราวนี้พี่วิกับไอ้คอร์ทไม่ยอมลงมาเล่นด้วย พวกเราก็เล่นน้ำเหมือนเดิมจนบ่าย 3 กว่าๆ ครับ

        4.00 ไอ้เชี่ยพี่เอ็กซ์กลับมาพร้อมกับรุ่นน้องผู้ชายของมันอีก 4 คน มันมาชวนไอ้เอ็มคุยอะไรสักพักหนึ่ง แล้วไอ้เอ็มก็เสียงดังแบบดีใจ ครับ

“เฮ๊ย...มึงแข่งบอลกันป่าว ข้างละ 6 คนพอดี” แล้วไอ้เอ็มก็ประกาศครับ ไอ้คอร์ทลุกขึ้นทันที ไอ้นี่ก็นักบอลคณะครับ

        สุดท้ายแล้วพวกเราทุกคนก็ต้องแข่งครับ พวกผมรวมไอ้บลีชเป็น 5 คน พี่วิกับไอ้คอร์ท 2 คน และไอ้พี่เอ็กซ์รวมกับรุ่นน้องมัน 5 คน  คนเล่นเป็น 12 คน แบ่งได้ข้างละ 6 พอดี แล้วคราวนี้เราก็แบ่งข้างกันครับ

“คอร์ท...วิถอดเสื้อไม่ได้” พี่วิกระซิบเมื่อฝ่ายผมทุกคนกำลังถอดเสื้อออก ให้ไม่สับสนครับเพราะฝ่ายหนึ่งจะถอดเสื้อ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งสวมเสื้อ

“แลกข้างสิ” ดูไอ้คอร์ทตอบเมียมัน เหมือนไม่ใส่ใจ สายตามันมุ่งมันกับการเล่นมากครับ พี่วิเลยเดินไปคุยขอแลกตัวกับไอ้พี่เอ็กซ์ครับ พี่เอ็กซ์มันพยักหน้าแล้วยิ้ม ถอดเสื้อออกแล้วโยนออกไปนอกสนามต่อหน้าพี่วิเลย หลังจากนั้นก็เกินมาทางฝ่ายผมครับ พี่วิเลยไปเป็นไข่แดงท่ามกลางฝ่ายเด็กจากมหาลัยอื่น

        เราเริ่มเกมกันด้วยด้วยการเปิดลูกกลางสนามครับ ไอ้ทรีเป็นโกลประตูฝ่ายผม แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจที่สุดก็คือ พี่วิอยู่ในตำแหน่งศูนย์หน้าครับ ตอนนี้รอบๆ ชายหาดที่พวกเราใช้เป็นสนามบอลจำเป็นได้รับความสนใจจากพวกสาวๆ มากครับ ทั้งที่มากับพวกเรา แล้วก็สาวๆ จากมหาลัยพี่เอ็กซ์ แม้แต่พี่พินคนสวยก็ยังมานั่งดูด้วย ผมกลับมาสนใจในสนามต่อแล้วจึงพบว่า พี่วิเล่นแรงมากครับ พี่เขาเลี้ยงบอลเข้ามาในแดนผมแล้วค่อนข้างลึกด้วย เเคลื่อนไหวไวมาก หลบพ้นไอ้คอร์ท และไอ้เอ็มที่เป็นนักบอลคณะมาได้ ตอนนี้พี่เอ็กซ์เลยวิ่งเข้าไปสกัดครับ คู่นี้เล่นกันแรงมากครับพี่วิเตะแย่งบอลแรงจนพี่เอ็กซ์เสียหลัก สะใจครับไม่มีกรรมการ แต่แทนที่จะล้มพี่เอ็กซ์คว้าคอเสื้อพี่วิทัน นั่นทำให้ปลาสเตอร์แปะแผลของพี่วิหลุดออกมา แต่เผลอแค่แป๊บเดียวพี่วิก็สลัดหลุดแล้ว เลี้ยงลูกไปหน้าประตูไอ้ทรีดูประหม่าเมื่อเผชิญหน้ากับพี่ชายมันครับ และเร็วกว่าที่ใครจะคิดพี่วิก็ซัลโวบอลลูกแรกทำประตูให้กับทีม

         เสียงเชียร์ดังกระหึ่มนำความอึ้งมาให้พวกเรามากครับทั้งสาวต่างมหาลัย และก็เพื่อนผม พี่วิเองก็หัวเราะสะใจเหมือนคนบ้า แล้ววิ่งกลับไปที่แดนตัวเอง นอกจากผมที่อึ้งแล้ว คนที่อึ้งสุดก็มีไอ้คอร์ท กับไอ้พี่เอ็กซ์ครับ ไม่นานเกมรุกของฝ่ายผมก็เริ่มขึ้นเมื่อไอ้เอ็มส่งบอลต่อให้ไอ้คอร์ทวิ่งเข้าไปในแดนของฝ่ายพี่วิ ด้วยความเร็วมากครับพี่วิวิ่งออกห่างจากผมเข้าไปสกัดลูกที่เท้าไอ้คอร์ท คนรัก 2 คนแย่งลูกกันสักพัก ผมเห็นว่าไอ้คอร์ทคือข้อยกเว้นของพี่วิครับ พี่วิไม่ใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดแย่งบอลกับมัน ในที่สุดไอ้คอร์ทก็ได้บอลทิ้งให้พี่วิเสียหลักล้มลงบนพื้นทราย ทันทีที่พี่วิลุกขึ้นมาไอ้คอร์ทก็ถึงระยะทำประตู และยิงลูกบอลตีเสมอให้ฝ่ายเราได้ครับ

      เกมดำเนินไปแบบนี้อีกสักพักพี่วิมักจะเสียลูกให้ไอ้คอร์ทเสมอ แต่คราวนี้ไอ้คอร์ทกับทำลูกหลุดเมื่อโดนเด็กจุฬาฯ รูปร่างทะมัดทะแมงสกัด แต่โชคก็ยังช่วยผ่ายเรา เพราะไอ้พี่เอ็กซ์แย่งบอลคืนมาได้ แล้วยิงประตูที่ 2 ให้พวกเรามีคะแนนนำ 2 ต่อ 1 เกมนี้จบลงด้วยการที่ฝ่ายผมชนะไป 3 ต่อ 2 ลูก โดยมีไอ้คอร์ท พี่เอ็กซ์ และไอ้เอ็มทำประตูคนละลูก ส่วนฝ่ายพี่วินั้นมีพี่วิที่ยิงประตู และรุ่นน้องพี่เอ็กซ์อีกหนึ่งคน

“วิเล่นเก่งจัง เก่งกว่าเอ็กซ์อีก” พี่พินเข้ามาชมเพื่อนครับ

“555 เอ็กซ์มันอ่อน” พี่วิเกทับอีกครับ

“เบาๆ หน่อยพินเราได้ยิน” พี่เอ็กซ์ร้อนตัวครับ แล้วพวกเราก็ขอตัวไปอาบน้ำล้างเหงื่อครับ ส่วนไอ้พี่เอ็กซ์ก็พารุ่นน้องมันไปล้างตัวที่บ้านพัก

        พวกผมไปอาบน้ำรวมกันที่ห้องน้ำหลังบ้านพักครับ อาบแบบใส่กางเกงในไม่มีใครอายใคร ส่วนพี่วิขอแยกตัวไปอาบคนเดียวในห้องน้ำข้างในตัวบ้าน ตอนนี้เองที่ผมได้เห็นร่างกายไอ้คอร์ทใกล้ๆ ร่างกายที่สมบูรณ์แบบครับ ไม่เล็กไม่ใหญ่ไม่อ้วนไม่ผอม มีกล้ามเนื้อเล็กๆ ทำให้ดูแข็งแรง และสิ่งที่ต่างจากสมัยเราเรียนรด. ก็คือขนตรงนั้นของมันงอกมาคลุมช่วงหัวหน่าวทั้งหมดลามมาถึงสะดือเป็นทรงสามเหลี่ยม ของที่อยุ่ในกางเกงในก็ไม่ธรรมดาครับ ผมไม่แปลกใจเลยที่พี่วิหลงรักมัน หากยกเหตุผลแค่รูปร่างหน้าตา

“สัตxx บลีชกูไม่เชื่อว่ามึงใหญ่สุด” เอาละครับพวกผู้ชาย ท้ายที่สุดมันก็ต้องมาวัดขนาดเจ้าโลกกัน เนื่องจากพวกเรามองเห็นความตุงของเพื่อนทุกคนครับ แต่ไอ้บลีชมันเป็นคนใต้ มันเลยคุยว่ามันใหญ่สุด พวกเราทุกคนท้ากันไปมาครับ รู้สึกเหมือนเด็กมัธยม ในที่สุดทุกคนก็ถอดกางเกงในแล้วงัดออกมาวัดกันครับ

“แม่งไอ้บลีชมึงแพ้ว่ะ 555” ไอ้วิตซ์หัวเราะครับ แต่ผมคิดว่ามันไม่ควรหัวเราะ เพราะคนที่ใหญ่กว่าไอ้บลีชไม่ใช่ใคร แต่เป็นผมเอง ฮ่าๆๆ

“สัตว์ควxxม้า” ไอ้ทรีด่าผมครับ

      เราเรียงลำดับกันครับ มีไอ้ทรีเล็กสุดขาวแบบคนจีน ตามมาด้วยไอ้วิตซ์ซึ่งใหญ่กว่าแค่นิดเดียวดำคล้ำตามสีผิว จากนั้นก็เป็นไอ้เอ็ม กับไอ้คอร์ทที่ดูขนาดเท่าๆ กันครับ แต่ของไอ้เอ็มจะโค้งขึ้นเหมือนดาบส่วนของไอ้คอร์ทจะตรงๆ แถมอวบกว่านิดหนึ่งด้วยพวกเราเลยตัดสินให้ไอ้คอร์ทใหญ่กว่าไอ้เอ็มแบบฉิวเฉียด จากนั้นเป็นไอ้บลีชครับ มันใหญ่จริงคล้ำๆ ตามสีผิวของคนใต้ขนมันหยิกมากครับ สุดท้ายและใหญ่ยาวที่สุด ฮ่าๆๆ กลับเป็นผม เคยวัดของตัวเองเล่นๆ สมัยมัธยมครับ 8.1 นิ้วเอง จากนั้นไอ้เชี่ยวิตซ์ก็หาเรื่องอีกครับว่าให้เราชักว่าวแข่งกัน ซึ่งผมก็เคยครับแต่ตอนนี้มันรู้สึกแปลก ยิ่งผมเคยเห็นไอ้คอร์ทมีอะไรกับพี่วิด้วยแล้ว

“สัตxx กูไม่เล่นเว้ย จะไปแต่งตัวแล้ว” ไอ้คอร์ทปฏิเสธครับ

“เออมึงน่ะไปเลยยังไงมึงก็แพ้ เพิ่งได้กับเมียเมื่อคืนนิ 55” ไอ้เอ็มจัดหนักเลยครับ

“สัตxx” แล้วไอ้คอร์ทก็เดินหยิบผ้าเช็ดตัวพันเอวแล้วออกไปจากห้องน้ำครับ ส่วนผมที่ยังไม่มีคนรู้ความลับเรื่องเมื่อคืน ก็ต้องแข่งด้วยครับ

“มึงอย่าปากโป้งไปบอกพี่กูกับแฟนกูนะสัตxx” ไอ้ทรีตั้งเงื่อนไข

“เออ” ไอ้เอ็มย้ำ

“ใครแตกไกลที่สุดชนะ” ไอ้บลีชบอก แม่งเด็กเทพก็หื่นครับ ผมไม่บอกได้ไหมว่าสุดท้ายแล้วเกมนี้ใครชนะ ฮ่าๆๆๆ


         ตกเย็นเราก็ไปซื้อของทะเลแล้วล้อมกองไฟ กินเหล้ากินเบียร์กันไปโดยมีพี่เอกซ์กับรุ่นน้องผู้ชายมัน 4 คนมานั่งกินด้วย แต่คืนนี้ไอ้คอร์ทไม่เล่นกีตาร์นะครับ มันเซ็งไอ้พี่เอ็กซ์ครับเหมือนผมเลย แต่ตอนที่เรากำลังคิดว่าจะไปตั้งวงไพ่นั้น เกมสุดท้ายของวันนี้ก็เริ่มขึ้นครับ โดยความคิดของไอ้พี่เอ็กซ์จอมกวนตีนอีกแล้วครับ

“เฮ๊ย....เราเล่นเกม Truth or Dare (ตอบความจริงหรือรับคำท้า) กันมั้ย” คำถามสั้นๆ ที่พวกเราหลายคนตอบตกลงด้วยความขาดสติแทบทันที อาจจะด้วยความเมาก็ได้ครับ พี่วิทำท่าจะไม่เล่น สุดท้ายโดนน้องชายตื้อ ไอ้คอร์ทก็โดนตื้อ และพอไอ้คอร์ทยอมเล่น พี่วิก็ต้องเล่นด้วยครับ

         แล้วพวกเราผู้ชายทุกคนก็เดินออกไปบนชายหาดครับ ก่อไฟกองเล็กๆ ขึ้นมาแล้วนั่งล้อมวง ไอ้พี่เอ็กซ์ถือน้ำอัดลมขวด 1.5 ลิตรมา 2 ขวด นอกนั้นพวกเราก็ถือเบียร์กับกับแกล้มมาครับ

“กติกาง่ายๆ เวียนกันกินน้ำอัดลมคนละอึก กูจะเปิดเพลงแล้วหยุดครั้งละ 2 นาที ขวดอยู่ที่มือใครคนนั้นโดน” พวกเราพยักหน้าเข้าใจครับ คงเมากันหลายคน
“แต่จะให้คนที่โดนเลือกเองนะ ว่าจะเอา truth หรือ dare แต่ต้องตอบความจริงนะเว้ย” พี่เอ็กซ์เสริม

          แล้วเกมก็เริ่มครับ ไอ้พี่เอ็กซ์กดเปิดเพลงจากมือถือพร้อมๆ กับที่มันยกขวดลิตรขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกแล้วส่งต่อให้รุ่นน้องที่อยู่ข้างๆ ซึ่งรีบยกขวดดื่มแล้วรีบส่งต่อ เมื่อขวดวนไปประมาณรอบครึ่งเพลงก็หยุดลง ขวดอยู่ที่ไอ้ปิ้งรุ่นน้องไอ้พี่เอ็กซ์ ไอ้ปิ้งดูอึ้งๆ ครับ

“truth หรือ dare” ไอ้พี่เอ็กซ์ถามเสียงเย็น

“truth” ไอ้ปิ้งรีบตอบ

“ใครจะถาม” เพื่อนที่ผมจำชื่อไม่ได้พูดออกมา

“กูถามเอง” เพื่อนมันอีกคนพูด
“มึงเคยเย็xxกระเทยมั้ย” คำถามแรกก็เอาเลยครับ ไอ้ปิ้งมันก็หุ่นดี ขาว ล่ำ น่าจะสเป็คเกย์อยู่ครับ

“เคย ตอนกูเรียน รด.” ไอ้ปิ้งกลั้นใจตอบ

“เฮ้ยย...เหี้xx” พวกเพื่อนๆ มันอุทานด้วยความตกใจ บนประหลาดใจ ไอ้ปิ้งนั่งหน้าแดงเลยครับ

      และหลังจากนั้นไม่นานรอบสองก็เริ่มขึ้น แล้วโชคช่างเข้าข้างเหลือเกินที่ขวดมันมาหยุดอยู่ที่ผม ฮ่าๆๆ ซวยละกู
“truth” ผมรีบตอบลืมคิดไปเลยครับ

“กูถามเอง” ไอ้คอร์ทครับ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

“มึงได้เมียมึงแล้วหรือมึงยังไม่เคย” ไอ้คอร์ทที่หน้าเริ่มแดงเพราะกินเบียร์ เล่นผมแรงมาก

“กู....ไม่เคย กู........ยังเวอร์จิ้น” แล้วผมก็พูดความจริงที่น่าอายที่สุดในชีวิตออกไป

“แม่ง.....จริงอ่ะสัตxx” พวกไอ้เอ็มตกใจครับ เพราะผมดูเป็นคนมากประสบการณ์เรื่องนี้ที่สุดในกลุ่มครับ ขนาดตอนไอ้เอ็มจีบสาวผมก็เป็นคนพามันไป ผมไม่รู้หลอกครับหน้าผมจะแดงขนาดไหน แต่ผมรู้สึกว่าหน้าผมร้อนมาก

      รอบต่อไปขวดไปอยู่กับไอ้บลีช ซึ่งอึ้งแดกครับ
“....truth” มันบอกหลังจากลังเล มันโดนคำถามเดียวกับผมครับว่าเคยมีเซ็กซ์แล้วหรือยัง และด้วยความแปลกใจของผม
“กูยังไม่เคย” มันยังเวอร์จิ้นครับ

“สัตxx Kใหญ่ซะป่าวพวกมึง” ไอ้วิตซ์ล้อครับ รุ่นน้องไอ้พี่เอ็กซ์ก็หัวเราะด้วย

       รอบต่อไปขวดไปหยุดที่ไอ้พี่เอ็กซ์เองครับ แต่มันดูเฉยๆ เหมือนเคยผ่านเกมนี้มาบ่อย
“truth” มันตอบเสียงเรียบ

“ผมรู้ว่าพี่เป็นเกย์ ในวงนี้ถ้าเลือกได้พี่อยากมีเซ็กส์กับใครที่สุด แล้วพี่จะเล่นท่าไหน” รุ่นน้องมันเป็นคนถามครับ

“กูอยากได้วิ.....”

“สัตxx” ไอ้คอร์ทลุกขึ้นทำท่าจะพุ่งไปชกไอ้พี่เอ็กซ์ครับ แต่โดนพี่วิที่มือไวกว่าดึงแขนไว้ ทุกคนในวงตะลึงครับ แต่ไอ้พี่เอ็กซ์เสือกไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“กูจะจับมันเย็xxท่ายกล้อ”

“เหี้xx…” เสียงไอ้คอร์ทครับ ถึงไอ้คอร์ทจะโดนพี่วิดึงแขนไว้ ผมทันได้เห็นประกายสีทองวิ่งผ่านหน้าไปแวบเดียวก็มีเสียงป๊อก กระป๋องเบียร์เปล่าพุ่งเข้าหน้ามันจังๆ เลยครับ พี่วิปาออกมาเอง

“กูจะเลิกแล้ว” พี่วิพูด แต่โดนพวกเราห้ามไว้เพราะ 2 คนนั้นยังไม่โดนครับ ไม่อย่างนั้น 2 คนนั้นจะออกไปโดยที่รู้ความลับพวกผม โดยที่พวกผมจะไม่มีความลับเขามาเป็นตัวประกันเลย

         ขวดน้ำอัดลมวนไป 2-3 รอบโดนรุ่นน้องพี่เอ็กซ์กับ ไอ้วิตซ์ ซึ่งรายหลังนี้ยอมรับว่าเคยไปขึ้นครูตอนอยู่มัธยมครับ ท้ายที่สุดขวดนั้นมันก็ไปตกอยู่ที่ไอ้คอร์ท
“truth” ไอ้คอร์ทบอก และผมไม่พลาดโอกาสที่จะแก้แค้นครับ

“เมื่อคื่นมึงพาพี่วิไปเย็xxที่ไหน” อาจเป็นเพราะผมเริ่มเมา ผมเลยไม่ยั้งคำพูดแล้วครับ

“เหี้xx” “ควxx” พี่วิกับไอ้คอร์ทด่าผมพร้อมกันครับ คำถามนี้ตอบคนเดียวรู้ความลับของ 2 คนครับ กำไรมาก

“....เฮ้อ.....กูพาเมียกูไปเอาบนหาดทรายตรงนั้น” แล้วมันก็พยักเพยิดไปที่จุดเกิดเหตุเมื่อคืนครับ

“แม่งเหี้xx เจ๋งว่ะคอร์ท” ไอ้เอ็มหันไปยกนิ้วให้ไอ้คอร์ท ส่วนพี่วิหันหน้าออกไปนอกวงเลยครับ

   แล้วขวดก็วนไปเรื่อยๆ โดนไอ้ทรี ซึ่งมันยอมรับว่ามันเพิ่งได้เมียมันไปไม่นานนี้เอง และก็มาถึงไอ้เอ็มครับ ไอ้นี่โคตรเด็ด
“DARE….” มันบอกเสียงดัง

“มึงกล้ายืนชักว่าวให้แตกกลางวงป่าวไอ้เอ็ม” ไอ้บอลคนที่ยิงประตูคู่กับพี่วิท้าไอ้เอ็มที่เริ่มสนิทกันแล้ว เพราะแดกเหล้ากับพวกผม ไอ้เอ็มดูอึ้งไปสักพัก

“มึงกล้าป่าว” เอ็มโดนถามย้ำครับ

“สัตxx….” แล้วไอ้เชี่ยเอ็มก็ลุกขึ้นยืนครับ ถกกางเกงกับกางเกงในลงไปกองกับพื้น แล้วเริ่มชักว่าวครับ

“อ่า....” ไอ้เอ็มครางเบาๆ ทุกคนจ้องมองมันด้วยความอึ้งครับ ไอ้คอร์ทส่ายหน้า ส่วนไอ้ทรีกับพี่วิตาค้างไปเลยครับ เกือบสามนาทีผ่านไปไอ้เอ็มก็ปล่อยน้ำเชื้อมันลงกองไฟจนมีเสียงดังซู่ ไอ้สัตxxนี่โคตรพิเรนทร์ ส่วนน้ำที่เปื้อนนิ้วมัน มันก็สะบัดใส่ไอ้บอลคนท้าครับ แต่แทนที่ไอ้บอลจะด่ามันกลับก้มหน้าแดงไม่มองสบตาใครเลย

        รอบต่อไปขวดก็ไปตกที่พี่วิในที่สุดครับ พี่วิถอนหายใจทำท่าเหมือนจะเป็นลม พี่วิดูลังเลนิดหน่อยแล้วประกาศครับ
“dare” พี่วิพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าไอ้คอร์ทแบบสื่อความหมาย

“จูบปากผม” ไอ้คอร์ทท้าแฟนมันครับ เหมือนรู้กัน

“เฮ้ย....ไม่ได้” ไอ้เชี่ยพี่เอ็กซ์ท้วงครับ
“ไม่แฟร์ว่ะ.....วิจูบปากใครก็ได้ในวงนี้ นอกจากไอ้คอร์ท” เขาตั้งเงื่อนไข

“เหี้xx มึงจะเอาใช้มั้ย” “สัตxxพี่กู”คราวนี้ไอ้คอร์ทกับไอ้ทรีกระโดดขึ้นมาพร้อมกันเลยครับ จนพวกผมต้องคว้าตัวมันไว้

“จูบแบบเบาๆ ก็ได้พี่” ไอ้เอ็มช่วยคงสงสารพี่วิ แต่พี่วิน้ำตาไหลแล้วครับ จับมือไอ้คอร์ทไว้แน่น แต่ที่ผมลืมสังเกตก็คือ ไอ้บอลก็นั่งมองพี่วิกับไอ้คอร์ทน้ำตาไหลเหมือนกันครับ

“ผมจูบพี่วิเองครับ” ไอ้บอลลุกขึ้นมาอาสาทั้งน้ำตา

“ไม่ต้องโกรธหรอกคอร์ท กูเป็นรับเหมือนพี่วิ ถือว่าจูบปากแบบพี่น้อง” แล้วไอ้บอลตี๋หุ่นดีที่เพิ่งประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์รับก็จูบพี่วิเบาๆ ที่ริมฝีปากนานประมาณ 1 นาที แล้วมันก็กลับไปนั่งครับ

        พี่วิกับไอ้คอร์ทนั่งลง ไอ้คอร์ทรีบดึงพี่วิไปจูบปากทันทีแบบดูดดื่มมาก แต่ทุกคนแกล้งทำเป็นไม่เห็น จนขวดวนรอบสุดท้ายไปตกที่ไอ้บอล
“dare” มันบอก

“มึงมาจูบปากกู...บอล” แล้วไอ้บอลก็ขยับตัวช้าๆ ไปจูบปากไอ้พี่เอ็กซ์แบบเดียวกับที่จูบปากพี่วิ แต่ไอ้พี่เอ็กซ์กลับเอามือจับล็อกหัวไอ้บอลไว้ แล้วก็จูบไอ้บอลแลกลิ้นแบบเร่าร้อนมาก เหมือนจงใจจะจูบอวดไอ้คอร์ทกับพี่วิ

“อ่า......” ไอ้บอลครางลอดริมฝีปากออกมาครับ เหมือนช่วยตัวเองไม่ได้ ตัวมันอ่อนทรุดไปกับพื้นเลยครับ น้ำตาก็ไหลไม่หยุด

“เอ็กซ์พอแล้ว....” พี่วิลุกขึ้นครับ น้ำเสียงและสายตาของพี่วิทำให้ทุกคนนั่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับตัว ผมเองเคยเห็นสายตาแบบนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว

“วิมาแทนดิ” ไอ้เชี่ยพี่เอ็กซ์มันปล่อยไอ้บอลลงบนทรายแล้วเอื้อมมือหาพี่วิ ผมคิดว่าไอ้คอร์ทกับไอ้ทรีจะลุกขึ้นไปชกหน้าไอ้พี่เอ็กซ์ คราวนี้ผมจะห้ามมัน แต่ที่เร็วที่สุดคือพี่วิครับ วูบเดียวพี่วิกระชากคอหอยไอ้พี่เอ็กซ์ขึ้นจนตัวลอย หมุนแขนทิ้งให้ไอ้พี่เอ็กซ์ล้มหงายหลังบนพื้นทราย แต่มันไม่จบแค่นั้นครับ พี่วิล้มตัวทิ้งศอกลงอย่างแม่นยำลงไปที่ลิ้นปี่พี่เอ็กซ์ผู้หน้าสงสาร มันอ้วกแตกทันทีครับ

“ตาย........” เสียงพี่วิเปลี่ยนเป็นแหบพร่าแบบที่ทำให้ผมขนลุกจนผม บอล ไอ้คอร์ท ไอ้เอ็ม และไอ้บลีชต้องมาจับตัวพี่วิไว้ครับ ส่วนที่เหลือไปช่วยหิ้วปีกไอ้พี่เอ็กซ์ครับ

“55555....รุนแรงจัง” ไอ้พี่เอ็กซ์ยังขำออก แต่เสียงมันเบาๆ แล้วครับ

“มึงรีบกลับไปนอนบ้านมึงเลย” ไอ้คอร์ทไล่ แล้วไอ้บอลก็บอกลาพวกผม เดินกลับไปกับพวกมัน

         คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับครับ หมุนตัวไปมาบนเตียงที่ตอนนี้ได้นอนคนเดียวแล้ว และบนเตียงอีกหลังที่อยู่ข้างๆ ผม มีเสียงร้องไห้เบาๆ และเสียงปลอบของไอ้คอร์ทครับ ความลับของเกมนี้ลับคงถูกฝังไว้ในผืนทรายในกองไฟไปตราบนานเท่านานไม่มีวันหลุดไปจากปากพวกเรา แต่ผลกระทบมันที่ทำให้คนหลายคนต้องมีความทรงจำที่เลวร้ายติดตัวตลอดไปนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจว่าน้ำทั้งทะเลจะลบเลือนมันไปได้
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 07-11-2013 02:52:17
ทำไมวิขี้แยจังเลย ตอนนี้เหมือนจะเริ่มบทนางเอกช่องหลายสีแล้ว  :serius2:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 07-11-2013 10:07:48
เกมโหดสัสอ่ะ   :fire:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 07-11-2013 16:19:27
รอติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-11-2013 19:13:26
ชอบวิ เธอเป็นอะไรได้มากมายแบบคาดไม่ถึง
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: บ๊ายบายโพ ที่ 08-11-2013 00:37:17
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างความรู้สึกมันบอกว่าท้ายที่สุดแล้วโย๊ปนี่แหละพระเอก 55555555  :hao4:
เอ็กซ์ออกตัวแรงอ่ะ เกือบตายไม่รู้ตัวละ
คนเขียนน่าจะใส่วันที่ที่อัพด้วยน้า บางทีเราเข้ามางงๆไม่รู้ว่าอัพแล้ว  :L2:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush16(4) ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (คำถามกลับไปคิด) 16.11.2013
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 16-11-2013 17:28:48
16(4) ทะเล และกล่องไปรษณีย์สีแดง (คำถามกลับไปคิด)


     วันต่อมาผมตื่นมาตอนเช้าด้วยกิจวัตรเดิมๆ ครับ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว แล้วออกไปกินข้าวพร้อมกับพี่วิ ไอ้คอร์ท แถมวันนี้ไอ้ทรียังตามมากินด้วย แม่งคงหิว วันนี้พวกเราไม่รีบร้อนครับ เพราะเมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว พวกเราก็ขี่จักรยานเล่นตามความยาวของถนนเลียบชายหาดชะอำ แล้วก็ขี่ย้อนกลับไปที่รีสอร์ท ก่อนกลับพี่วิขอแวะร้านชะอำรำลึก ที่เป็นร้านขายของที่ระลึก พวกเราก็เข้าไปซื้อของเหมือนกัน ตั้งแต่ตื่นเช้ามาไม่มีพวกเราคนใดที่เอ่ยถึงเกมที่ผ่านมาเมื่อคืนเลยสักคนครับ ผมคิดว่ามันคงฝังลึกไปกับพื้นทรายของทะเลชะอำ อย่างที่มันควรจะเป็นตามเจตนารมณ์ของเกม แต่ผมยอมรับครับว่า สิ่งที่ผมได้เห็นเมื่อคืนเปลี่ยนมุมมองของผมต่อคนที่เล่นเกมด้วยกันอย่างสิ้นเชิง

      กว่า 7 ปีที่ผมรู้จักไอ้คอร์ท ผมคิดว่ามันเป็นคนเรียบร้อย อาจมีเจ้าชู้เพลย์บอยบ้าง แต่เมื่อคืนผมเห็นว่ามันเป็นคนอารมณ์ร้อน และยังรุนแรง พี่วิจากคนที่ผมมองว่าเป็นพวกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (ego-centric) ดูมั่นใจตัวเอง กลับทำอะไรไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้ำไอ้คอร์ท น่าตลกนะครับ ส่วนไอ้เอ็มคนแกล้งทำเป็นเรียบร้อยอีกคน กล้าชักว่าวต่อหน้าเกย์ที่ท้ามัน แถมเสือกปาน้ำเชื้อใส่ไอ้คนท้าแบบเชิญชวนอีก ทั้งๆ ที่แฟนมันก็นอนอยู่ในบ้านห่างออกไปแค่ร้อยเมตร คนพวกนี้ เพื่อนผม คนที่ผมรู้จัก ทุกคนมีอีกด้านหนึ่งของตัวเองในมุมที่คนอื่นไม่รู้ และเมื่อเปิดมันออกมา ก็ชวนให้ผมตกใจอยู่ไม่น้อย

     เรากลับมาถึงบ้านพักก็นั่งเล่น กินขนม แล้วไอ้คอร์ทก็เอากีตาร์มาเล่น แต่สักพักไอ้พี่เอ็กซ์ก็เดินหน้ายิ้มมาครับ ทุกคนนั่งตัวแข็ง พี่วิอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืนแล้วครับ ผมว่าอย่างน้อยไอ้พี่เอ็กซ์มันควรจะระวังตัว

“ดูนี่ดิ....สุดยอดอ่ะ” พี่เอ็กซ์เลิกชายเสื้อให้ดูตอนที่เดินมาใกล้พอ ผมเห็นรอยช้ำสีม่วงเข้มเหมือนโดนไม้ฟาด ฝีมือพี่วิเองครับ

“โดนเบาไปไงสัตxx” พี่วิด่า

“5555 ก็ว่าไป เย็นๆ มากินเหล้าด้วยนะ”

“มาแดกตีนกูสิ” ไอ้คอร์ทเสริมเมียมัน แต่ไอ้พี่เอ็กซ์เดินกลับไปแล้วครับ

        พอเที่ยงวันพวกเพื่อนๆ ที่เหลือก็ตื่นขึ้นมาครับ แล้วพวกมันก็พากันไปสั่งข้าวกินที่ห้องอาหารของรีสอร์ท ส่วนพวกเราที่เหลือกลับเข้าไปนอนเล่นในบ้านพักครับ เปิดแอร์เพราะวันนี้แดดแรงมาก และเราก็ได้ยินเสียงเคาะประตูครับ ผมเลยเดินไปเปิดให้ ผมค่อนข้างตกใจเล็กน้อยครับที่เป็นไอ้บอลตี๋หล่อเดินเข้ามา

“พี่วิอยู่ป่ะ” มันถาม

“ในห้องน่ะ” แล้วผมก็เดินนำมันไป

“พี่วิ...ผมขอคุยด้วยหน่อยดิ” มันบอกพี่วิ ไอ้คอร์ทกับผมก็มองหน้ามันสงสัยครับ ว่ามันจะมาคุยกับพี่วิทำไม นอกจากมันจะติดใจรสจูบพี่วิเมื่อคืน

“อืม.....” พี่วิจับบ่าไอ้คอร์ท แล้วเดินออกไปคุยนอกห้องกับไอ้บอล

     ผมระหว่างที่นอนเล่นบนเตียง ผมก็ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะถามไอ้คอร์ทให้หายข้องใจ

“มึงคิดยังไงกับพี่วิวะ...” ผมถามมันด้วยความสงสัย

“ถามทำไม” มันตอบ

“มึงแบบว่ารักเขาป่าว...เขาเป็นผู้ชาย และมึงมีอะไรกันแล้ว”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ...แต่กูชอบ ” มันตอบ 

“แล้วทำไมมึงถึงไปชอบพี่เขา” ผมยังสงสัย

“แล้วกูจะรู้มั้ย เวลาชอบใครแม่งต้องมีเหตุผลด้วยป่าว” เจอไอ้คอร์ทสวนมาแบบนี้ผมก็ต้องเงียบครับ

        สัก 10 นาที พี่วิก็เดินกลับเข้ามาในห้องครับ พวกเราเลยนอนตากแอร์กัน 3 คน

“ไปคุยอะไรกับไอ้บอลมา” คอร์ทถามพี่วิ

“55...หึงเหรอ” พี่วิล้อ แล้วพลิกตัวมาหอมแก้มไอ้คอร์ท

“อายโย๊ปมันมั่ง แม่งนอนอยู่ตรงนี้” ไอ้คอร์ทปรามเอามือดันอกพี่วิออกไป แต่มันคงไม่รู้ว่ามากกว่านี้ผมก็เคยเห็นมาแล้ว

“บอลมันชอบไอ้เอ็มน่ะ...” พี่วิบอก gx]ujpoginjv’

“เฮ๊ยยย...” ผมกับไอ้คอร์ทอุทานออกมาพร้อมกัน

“แต่บอกมันแล้วว่า เอ็มมันมีแฟนแล้ว” พี่วิเล่าต่อ

“แล้วมันว่าไง” ไอ้คอร์ทก็อยากรู้พอๆ กับผมครับ

“บอลมันติดใจน่ะว่า ถ้าเอ็มมีแฟนเป็นผู้หญิงแล้วทำไมถึงกล้าชักว่าวให้มันดู ทำไมถึงกล้าปาน้ำเชื้อใส่มัน”

“ไอ้เอ็มแม่งเหี้xx..555” ไอ้คอร์ทด่าแล้วขำ

“ไอ้เอ็มโดนไอ้บอลเล่นแน่” ผมเล่นด้วยครับ ในที่สุดก็มีเรื่องแกล้งเพื่อนอีกแล้ว

        2 วันผ่านไปพวกเราก็นอนเล่น นั่งเล่น กินเหล้า เล่นน้ำ เล่นไพ่ ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อยครับ เป็นวันหยุดที่สบายๆ โดยมีไอ้พี่เอ็กซ์และพวกมาปรากฏตัวในวงเหล้ากับวงไพ่เป็นครั้งคราว ผมชอบสังเกตไอ้บอลกับไอ้เอ็มครับ เริ่มละความสนใจจากไอ้คอร์ทกับพี่วิ กรณีของไอ้เอ็มซับซ้อนกว่านิดหนึ่งครับ เพราะแฟนมันก็อยู่ด้วย นอกจากจะแวะมาที่บ้านพักพวกเราบ่อยขึ้น ไอ้บอลมันก็ไม่ได้แสดงตัวแบบออกหน้าออกตาอะไรครับ มานั่งกินเหล้า เล่นไพ่ไปเงียบๆ จนผมเลิกสนใจพวกมันไป


      และในระหว่าง 2 วันนี้ พวกเราต่างคนต่างก็ใช้ชีวิตอิสระมากจนบางทีผมก็สงสัยว่าเรามาเที่ยวด้วยกันหรือเปล่า พี่วิกับไอ้คอร์ทมักจะขลุกอยู่ในห้อง รึไม่ก็นั่งเล่นกีตาร์บนเปลใต้ต้นไม้ ไอ้ทรี ไอ้วิตซ์ ไอ้เอ็มก็ตัวติดกับพวกแฟนมันครับ พวกผม 3 คนที่เป็นหมาหัวเน่าส่วนใหญ่จะอยู่ในห้องนั่งเล่น ดูหนังจากช่องเคเบิ้ลทีวี ย้อนนึกไปถึงเรื่องกล่องไปรษณีย์สีแดง ที่ไข่ย้อยบรรยายว่าความคิดคำนึงของเขานั้นไม่อาจลบเลือนด้วยน้ำทะเล สำหรับผมแล้วมันตรงกันข้ามเลยครับ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ผมไม่ได้คิดถึงอะไรเลย นอกจากเรื่องตัวเอง ใช้ชีวิตให้มันหมดไปวันๆ จนผมต้องเริ่มคิดครับว่าหลังจากกลับไปจากทริปนี้แล้ว ผมจะต้องทำอะไรต่อบ้าง แวะหอ กลับบ้าน เที่ยว ดูหนัง สรุปแล้วก็ไม่มีสาระอะไรเลย เวลามหาลัยปิดเทอม 

        คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเราที่ชะอำแล้ว พวกเราเลือกลำบากมากเลยครับว่าจะล้อมกองไฟแล้วร้องเพลงให้ไอ้คอร์ทเล่นกีตาร์ หรือจะเช่าห้องคาราโอเกะของรีสอร์ทดี สุดท้ายแล้วพวกเราก็เลือกคาราโอเกะเพราะไอ้คอร์ทคงไม่ยอมดีดกีตาร์ให้เราตลอดคืน แถมพอมีพวกพี่เอ็กซ์กับไอ้บอลมาร้องด้วยตัวหารค่าเช่าห้องคาราโอเกะก็เพิ่มขึ้นครับ

         ถึงแม้ผมจะคิดว่าการร้องคาราโอเกะกับเพื่อนๆ เป็นเรื่องที่น่าสนุก แต่ว่าครั้งนี้มันมีอะไรที่แปลกไป เพราะระหว่างที่เราร้องเพลงกันอยู่ในห้องคาราโอเกะพวกเราก็เริ่มหายไปจากห้องกันทีละคนสองคน เริ่มด้วยคู่รักทะเลเดือด พี่วิกับไอ้คอร์ทหายไป สักพักไอ้พี่เอ็กซ์ก็หายไป ไอ้บอลหายไป ไอ้ทรีกับเจ็มหายไป และไอ้เอ็มก็หายไป ตอนนี้ผมว่าผมก็อยากออกไปเดินเล่นตากลมทะเลเย็นๆ เหมือนกัน

        ผมเดินออกจากห้องโดยที่ไม่มีใครถามว่าจะไปไหน ผมเดินกลับไปที่บ้านพักและพบว่า พี่วิกับไอ้คอร์ทนั่งติดกัน คอร์ทเล่นกีตาร์ให้พี่วิร้องเพลง ดูเวลา 2 คนนี้อยู่ด้วยกันลำพัง 2 คนแล้วเป็นธรรมชาติมากครับ ผมเกิดคำถามขึ้นในใจเวลาที่เรารักใครชอบใครสักคนมันต้องเป็นแบบไหน สักพักผมเห็นสายตาของไอ้คอร์ทที่มองมา ผมเลยเปลี่ยนใจเดินออกไปลำพังบนชายหาดคนเดียวน่าแปลกใจว่าทำไมทะเลถึงทำให้คนๆ หนึ่งเหงาได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่คนบอกกันไว้ว่าทะเลเป็นที่ที่คนหนีรักเดินทางจะมาเพื่อรักษาความเหงา

        คืนนี้ในที่สุดก็หมดลงเสียทีครับ พวกเราออกจากห้องคาราโอเกะมาโดยมีผม พี่วิ ไอ้คอร์ท ไอ้ทรีก็ช่วยกันหามศพเพื่อนๆ

“โย๊ป ให้บอลมันนอนเตียงโย๊ปได้มั้ย” พี่วิถามแบกร่างไอ้บอลมา
“มันเมาหนัก ไอ้ห่าเอ็กซ์ก็ไม่รอเอาน้องมันกลับไปอีก” พี่วิบ่นต่อ

“ได้พี่” ผมตอบ

        ในตอนเช้ามืดที่ไม่รู้เวลา ผมสลึมสลือตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหนักตัว และผมก็พบคำตอบครับ ไอ้บอลมันพลิกตัวมากึ่งกอดกึ่งทับผม เวรกรรมจริงๆ ดูตัวมันไม่ใหญ่นะแต่หนักเอาเรื่องเหมือนกัน ผมพยายามจะดันมันออกแบบไม่ให้มันตื่นครับ แต่ตัวมันก็หนักเกิน จนผมเหนื่อยใจ ผมหันหน้าไปอีกฝากของเตียงแล้วมองคู่รักทะเลเดือดซึ่งตอนนี้ซึ่งตอนนี้นอนหลับในอ้อมกอดของอีกฝ่ายแบบเดียวกับที่ผมกำลังโดนกอดอยู่ ผู้ชายตัวควายๆ นอนกอดกันมันไม่หนักกันบ้างรึไงวะ นี่คือสิ่งที่ผมคิด ผมพยายามกระเถิบหนีออกมาจนตัวเองอยู่ติดขอบเตียง ในตอนที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับไปอีกรอบผมก็รู้สึกจักกะจี้ที่บริเวณต้นแขน ไอ้บอลครับ มันซุกหน้ามาที่ต้นแขนผมทั้งลมหายใจอุ่นๆ ทั้งไรหนวดทำให้ผมรู้สึกคันยุบยิบ จะกระเถิบหนีอีกครั้งก็ไม่มีที่เหลือแล้วครับ ไอ้บอลยิ่งนอนยิ่งดิ้นมาเบียดคนที่อยู่ข้างๆ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรก็ปล่อยเลยตามเลยครับ หลับไปอย่างนั้นแหละ

        ตอนเช้าผมได้ยินเสียงจึงลูกตื่นขึ้นมา เตียงของพี่วิว่างเปล่า 2 คนนั้นคงออกไปเดินเล่นริมทะเลเหมือนเดิม แต่ตัวซีกซ้ายของผมก็ยังมีไอ้บอลนอนก่ายอยู่ ถ้ามีคนเห็นนี่ชีวิตผมคงจบสิ้นครับ นอนกอดกับเกย์ที่เป็นกิ๊กเพื่อน ผมรีบลุกออกจากที่นอนแล้วไปล้างหน้าแปรงฟัน เหมือนเดิม เมื่อผมออกมาหน้าบ้านผมก็เห็นพี่วิกับไอ้คอร์ทเดินกลับมา เดินยิ้มกันมาทั้งคู่เลยครับ

“ไงมึง.....” ไอ้คอร์ททักผมครับ วันนี้มันมาแปลก
“เป็นผู้ชายเต็มตัวแล้วนะมึงวันนี้” มันว่าต่อแต่ผมงงครับ ส่วนพี่วิก็กลั้นหัวเราะ

“อะไรของมึง” ผมถามมัน

“เอ๊า....ไอ้บอลเป็นเมียมึงละนิ นอนกอดมึงซะแน่นเชียว” ไอ้คอร์ทเฉลยทำให้ผมหน้าแดง
“กูถ่ายรูปไว้ด้วยนะ เอาไว้ดูกัน” นั่นไอ้เชี่ยนี่เก็บหลักฐานไว้ด้วย

“บอลน่ารัก นิสัยดีนะ พี่ยืนยัน” พี่วิเล่นด้วยครับ อึ้งแดกเลยผม

“ไอ้สาสสสสส” ผมอุทานซึ่งก็โดนคู่รักนรกแตกนี่หัวเราะกลับมา

         สักพักพวกผมก็รีบปลุกเพื่อนๆ มากินข้าวเช้าแล้วเก็บของครับเพราะต้องเช็คเอ๊าท์ ที่หนักใจก็คือไอ้บอลนี่แหละครับ ไม่ใช่เพราะผมรังเกียจมันที่เป็นเกย์นะ แต่ไอ้คอร์ทกับพี่วิจับตาผมไว้เพื่อเก็บไปล้อ  2 คนนี่ทำให้ผมลังเล จนต้องระวังตัวไปทุกฝีก้าว

“เฮ๊ย...บอล” ผมเรียกมันแต่ไอ้บอลหลับลึกครับ ไม่ยอมตื่น
“บอล....” ผมเพิ่มเสียงดังขึ้น แล้วก้มตัวไปเขย่าแขนมัน ไม่ทันที่มันจะตื่น และไม่ทันที่ผมจะเงยตัวขึ้น พี่วิก็พลักผมจากข้างหลัง กลายเป็นว่าผมล้มลงไปทับไอ้บอลที่นอนหลับอยู่ โดยไอ้คอร์ทก็ไม่พลาดที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ ทำงานกันเป็นทีมดีจริงๆ

“เฮ๊ย....” ไม่ใช่ผมที่อุทาน คนเดียวครับ แต่มีไอ้บอลที่ตกใจตื่นอุทานออกมาด้วย มันคงหนักเพราะผมล้มทับ

“5555555” ไอ้ 2 คนนั้นหัวเราะกันเป็นบ้าเป็นหลัง

“โย๊ปพาแฟนมึงไปส่งบ้านมันไป จะได้เก็บของ” ไอ้คอร์ทเล่นต่อเลย ไอ้เชี่ยนี่

“ไอ้เชี่ย...” ผมด่ามัน

“กอดโย๊ปอุ่นป่าวเมื่อคืน” พี่วิหันไปถามไอ้บอล ไอ้บอลที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งแล้วหน้าแดง หันมามองหน้าผม

“พี่.....” ไอ้บอลโวยใส่พี่วิ แต่พี่วิยิ้มตอบ กวนตีนที่สุด

“อุ่นป่ะ นุ่มป่ะ แข็งป่ะ” พี่วิไม่เลิก

“จำไม่ได้เว้ยยเมา.....กลับแล้วพี่อะไรก็ไม่รู้” ไอ้บอลโวยวายแล้วรีบลุกเดินหนี

“นั่งนิ่งอีก ไม่ไปส่งมันเล่า” ไอ้คอร์ทครับ

“ควxxxx เหอะ” ผมตอบมันไป แต่ผมก็ลุกเดินตามหลังไอ้บอลออกมา

“แฮ๊งเปล่าวะมึง” ผมถามมันตอนกำลังจะเดินออกจากบ้าน

“เออ ไหว” มันตอบสั้นๆ ผมทำตัวไม่ถูกครับ ไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปส่งมัน หรือจะต้องทำอะไร ผมเลยเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับมัน

“พี่วิเขาแกล้งมึงเล่น...ไม่ต้องเครียด” ไอ้บอลบอก

“เออ” แล้วผมก็นั่งอยู่ที่ชานหน้าบ้านพัก มองไอ้บอลเดินกลับไปที่บ้านพักของมัน

        11.00 พวกผมก็มากองกันอยู่ที่สถานีรถไฟ ซึ่งตอนนี้ดูแน่นเพราะพวกไอ้บอลกับไอ้พี่เอ็กซ์ก็มาด้วย กลับเที่ยวพร้อมกันครับ ระหว่างที่รอพี่วิก็ไปคุยกับพี่พิน แล้วก็ไอ้บอล โดยมีไอ้พี่เอ็กซ์หันมาพูดคุยด้วยเป็นระยะ แต่ไม่กล้าคุยนาน ไอ้คอร์ทก็นั่งรอเฉยๆ ผมเลยไปนั่งกับมัน เบื่อๆ ครับ พยายามจะหาอะไรทำ อย่างแรกคือพยายามแย่งกล้องมาจากมันเพื่อลบภาพผม แต่ไอ้คอร์ทมันเสือกรู้ทัน ผมเลยแห้ว

“ไว้เจอกันนะพิน...เอาเบอร์พินมา” พี่วิพูดเมื่อรถไฟแล่นเข้ามาเทียบชานชาลา
“บอลด้วย....”

“ไม่เอาเบอร์เอ็กซ์เหรอ” พี่พินถาม แต่พี่วิส่ายหน้า

“บายนะ”

“เป็นเด็กดีนะบอล ไอ้เอ็กซ์แกล้งมาบอกพี่...” แล้วพี่วิกับไอ้บอลก็กอดกันแบบไม่อายคนครับ

        แล้วพวกเราก็ขึ้นไปนั่งบนโบกี๊ที่มีที่นั่งว่างให้เรามากพอ แม้ตอนนี้ไอ้ทรีจะหายเคืองไอ้คอร์ทแล้ว แต่คนเรามักจะติดนิสัยความเคยชินครับ เหมือนโต๊ะเรียนเราเคยนั่งตรงไหนเราก็จะนั่งตรงนั้นตลอดไป บนรถไฟก็เหมือนกัน ผมเคยนั่งตรงข้ามคู่รักนรกแตกตอนขามา ขากลับผมก็นั่งตรงข้าม 2 คนนี้เหมือนเดิม แม้จะต้องนั่งมองเขาหวานกันตลอดทาง การเดินทางครั้งนี้กำลังจบลงแล้วครับ แต่ผมก็ได้คำถามใหม่กลับไปคิดในใจ 2 คำถาม คำถามหนึ่งคือเรื่องความรัก และอีกคำถามหนึ่งคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย 
หัวข้อ: Re: My Almond Crush... ตอนพิเศษ (ปิดเทอม) 16.11.2013
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 16-11-2013 17:45:45
ขอเพิ่มตอนพิเศษนิดหนึ่งนะครับ มันอาจจะดูห่างจากเนื้อเรื่องมากเลย แถมยังแทรกตรงกลางเรื่องอีกต่างหาก แต่ตระนาวศรี (ฉากของตอนนี้) เป็นที่พิเศษครับ และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตมหาลัย เลยอยากจะแบ่งปันกับเพื่อนๆ คนอ่าน เผื่อได้ยินแล้วอยากจะไปเที่ยวที่นั่นกันบ้าง

ปล. ต้องขอโทษคนอ่านทุกคนนะครับ ช่วงนี้มาอัพช้า แถมภาษาเขียนอาจไม่ละเอียดเท่าที่ควร รู้สึกอับอาย และรู้สึกผิดครับ ช่วงนี้ชีวิตติดม็อบ และติดเรียนมากก 555

ขอบคุณครับ
"วิ"
.................................................................



ตอนพิเศษ (ปิดเทอม)


     กลางเดือนตุลาฯ ที่ฟ้าครึ้มเมฆฝน ผมเดินผ่านโรงเรียนสาธิตเพื่อที่จะไปให้อาหารปลาที่พระราชวังสนามจันทร์ ตลอดเส้นทางที่ผมเดินผ่านมาตลอด 4 ปี เหมือนมีดอกไม้บาน และผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต

“ไงมาถึงนานยัง” คอร์ทที่จอดเวสป้าลงมาถามผม

“เพิ่งถึงไม่นาน...แวะซื้อขนมปังด้วยน่ะ” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม

“ไป...” แล้วเราก็เดินเข้าไปในพระราชวังฯ ตรงไปที่ศาลาใหญ่ริมสระน้ำ ในตอนที่มหาลัยผมปิดเทอม ทำให้คนที่มาเดินเล่ที่พระราชวังฯ ดูบางตามาก ซึ่งนั่นก็ดี คอร์ทเดินข้างๆ ผม ห่างแค่ระยะเอื้อมมือ และผมมีความสุขมาก จนลืมว่าอะไรบางอย่างมันหายไป

   ผมแบ่งขนมปังคนละครึ่งกับคอร์ท แล้วก็ฉีกขนมปังของตัวเองเป็นชิ้นๆ ค่อยๆ โยนลงไปในสระน้ำทีละชิ้น เฝ้ามองฝูงปลาที่ว่ายแข่งกันเข้ามาเพื่อรุมทึ้งขนมปังชิ้นน้อยๆ

“จอดจักรยานไว้ไหนอ่ะวิ” คอร์ทถามผม

“เอาไปจอดไว้หลังภาค....พรุ่งนี้ได้ยกขึ้นรถไปเลย” ผมยิ้มให้กับคนตรงหน้าอีกแล้ว หน้าบึ้งๆ ของผมรู้สึกว่ามันจะฉีกยิ้มจนบ่อยเกินความจำเป็น

“อืม....แล้วเตรียมของเรียบร้อยยัง”

“อืม....ไม่อยากไปเลยอ่ะ” ไม่น่าเชื่อ แต่ผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ้อนมันอยู่

“งั้นจะจบมั้ยล่ะ” มันย้อนถาม

“คงไม่ 555” ผมตอบยักไหล่

   
        หลังจากนั้นคอร์ทพาผมซ้อนท้ายไปกินข้าวกันที่องค์พระ ซึ่งก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผมต้องแวะกินบัวลอยแต้จิ๋วเป็นของหวาน และเราก็ขับรถตรงกับหอทั้งๆ ที่เวลาเพิ่งพ้นไปไม่นาน แต่คืนนี้คงอีกยาวไกล

        ผมอาบน้ำพร้อมกับคอร์ท ร่างกายเปลือยเปล่าของมันกระตุ้นอารมณ์ปรารถนาของผมได้ตลอดเวลา ผิวสีขาวตัดกับขนสีดำสนิท ผมหันหน้ามองคอร์ทแล้วเอามาลูบไล้บนใบหน้านั้น ผมเคยรักใครเท่านี้มาก่อนมั้ย ผมจำไม่ได้แล้ว

“อยากเหรอ....” คอร์ทไม่พูดปล่าวแต่เอามือมาคว้าหลักฐานที่แข็งตัวอยู่ที่หว่างขาผม

“อื้อ.............” ผมรู้สึกว่าหน้าดำๆ ของตัวเองมันเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ

 “แต่วิ...เป็นเมียนะ” คอร์ทย้ำ

“อืม.....” ผมไม่ได้เป็นฝ่ายทำไอ้คอร์ทมานานมากแล้วครับ แต่ก็นั่นแหละคนเราเป็นได้ทุกอย่างที่คนที่เรารักอยากให้เป็น ถ้ามันไม่อยากเป็นฝ่ายถูกทำ ผมก็ไม่ว่าอะไรที่จะปล่อยให้มันป็นฝ่ายทำ ผมเอาแขน 2 ข้างคล้องคอคอร์ทไว้แล้วจูบที่ริมฝีปากนั้นเนิ่นนาน ริมฝีปากของผม จูบที่เป็นของผม

        บนเตียงนอนผมเลียและกัดทุกตารางนิ้วบนร่างกายของคอร์ท การกัด การกิน การสัมผัสด้วยปากเป็นการแสดงออกทางจิตวิทยาครับ มันเป็นการแสดงความรักเท่าๆ กับที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น เรากัดขนมที่เราไม่ต้องการแบ่งในตอนเด็กๆ หรือแม้แต่การเลียไปติมทั้งแท่ง เพราะไม่ต้องการแบ่งเพื่อน ผมแปลกใจที่ตัวเองอยากเป็นเจ้าของมันขนาดนี้ มีความต้องการที่อยากครอบครองมันไว้คนเดียว แต่แล้วคอร์ทก็ออกแรงดึงผมลงมาอยู่ด้านล่าง แล้วทำสิ่งที่มันชอบทำที่สุดคือ ดูดคอผมจนมันเป็นรอย  แต่ผมก็ชอบ ในตอนนี้คอร์ทมันเก่งขึ้นมาก ผมแทบไม่รู้ตัวเลยว่ามันบีบเจลตอนไหนจนกระทั่งมันเอาเจลมาป้ายที่ก้นผม แล้วเริ่มใส่ของมันเข้ามา

“อ่า........คอร์ท” ผมพึงพอใจกับสิ่งที่เข้ามาอยู่ในตัวผมมาก

“................รักคอร์ทนะ” ผมยกตัวขึ้นไปกระซิบข้างหูมัน ซึ่งคงเป็นสัญญาณให้มันเริ่มขยับตัว คืนนั้นผมเสร็จไป 3 ครั้งได้ ส่วนคอร์ทเสร็จกี่ครั้งก็ไม่รู้ แต่ผมหลับอย่างมีความสุขในอ้อมกอดของคอร์ทที่เป็นของผม ไม่ว่าจะเป็นผัวผม หรือ เมียผม

   5.30 ผมตื่นขึ้นมามองหน้าคนที่กำลังกอดผมไว้ แล้วสูดกลิ่นหอมจากไรผมของคอร์ทเข้ามาเต็มปอด ผมไม่อยากลุกจากเตียงไปไหนเลย ผมนอนลืมตาแล้วมองมันอยู่อย่างนั้น

“ตื่นได้แล้ว...ไปอาบน้ำ” คอร์ทบอกแล้วยกมือมาตีแก้มผมเบาๆ ผมอยากประท้วงการกระทำของมันมาก มันไม่น่าคลายอ้อมกอดผมเลย

        ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมก็สะพายกระเป๋าใบโตแล้วซ้อนท้ายเวสป้าของคอร์ทที่กำลังจะพาผมไปกินโจ๊กเจ้าประจำของเรา และหลังจากนั้นมันก็ขับมาส่งผมที่ศาลคณะ รถบัสคันใหญ่ของมหาลัยจอดรอเราไว้แล้ว ผมมาถึงเป็นคนแรกๆ ของเอกเลย

“กลับไปนอนเหอะ...” ผมหันไปบอกคอร์ทที่นั่งมองผมอยู่บนเวสป้า เอามือลูบแก้มมัน แล้วจูบลงบนหน้าผากมัน

“.......อืม” ผมเฝ้ามองมันหายลับตาไปท่ามกลางแดดอ่อนยามเช้า และกลิ่นดอกไม้ที่อบอวล ผมเดินเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่รถบัส ทักทายเพื่อนๆ และไม่เกินครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเราก็มากันจนครบแล้วช่วยกันยกรถจักรยานขึ้นไปไว้บนหลังรถบัส แล้วผมก็ออกเดินทาง


         ในหุบเขาในอ้อมกอดของเทือกเขาตระนาวศรี อากาศในฤดูฝนหนาวเย็นมากเหลือเกิน 7 วันแล้วครับที่ผมมาฝังตัวอยู่ในบ้านป่าเด็ง เพื่อทำวิจัยเรื่องการจัดการธุรกิจครอบครัวของเกษตรกรวัวนม และวันนี้ผมตื่นมาตอนเช้าดูวัวนมเป็นสิบๆ ตัว ผลัดกันเดินเข้าคอกรีดนม โฮสต์ของผมและคนงานเสียบเครื่องรีดนมเข้ากับวัวแต่ละตัว ผมเดินออกมาจากบ้านแล้วคว้าจักรยานเพื่อปั่นไปรับเพื่อนผม สายลมเย็น ทิวต้นไม้และภูเขา ผมอยากให้คอร์ทอยู่ที่นี่ด้วย ผมอยากให้คอร์ท และเพื่อนๆ ของผมอยู่ที่นี่กับผมตลอดไป

“I know a place that we've forgotten
A place where we won't get caught in
They won't know who we are

I know a place where we can hide out
And turn our hearts inside out
They won't know who we are
Let me take you there

I know a place we'll be together
And stay this young forever
They won't know who we are…….”


       ผมอารมณ์ดีจนร้องเป็นเพลงระหว่างที่ผมเองกำลังปั่นจักรยานไปรับเพื่อนอีก 2 คนที่บ้านอีกหลัง ซึ่งอยู่ห่างกันไปอีก 2 เนินเขา แนนนี่กับไอ้อินพักอยู่ด้วยกันครับ ผมมาถึงขณะที่ไอ้อินกำลังนุ่งกระโจมอกสีแดงออกมาจากห้องน้ำพอดี

“รอกูแป๊บนะ...แต่งตัวก่อน” ไอ้อินบอก ขณะที่มันกำลังเดินหลบวัวหนุ่มเขายาวที่ถูกล่ามไว้ใกล้ๆ ห้องน้ำ

“วิ....มากินข้าวด้วยกันกับเราสิ” แนนนี่เรียกผมไปกินข้าวครับ

“อืม.....” ผมจอดรถแล้วลงไปกินข้าวกับแนนนี่ ซึ่งไม่นานไอ้อินก็ตามมาสมทบ

     ก่อนออกจากบ้านพวกเราก็เอาเศษอาหารไปเทให้ลูกหมูที่เล้าหลังสวน ผมก้มเก็บเสาวรสป่าที่ตกบนบนพื้นมา 2-3 ลูก แล้วบิออกมากิน ความเปรี้ยวและความหวานของเนื้อเสาวรสทำให้ผมขนลุก มันเป็นธรรมชาติมาก ชีวิตที่นี่เรียบง่ายจริงๆ อากาศเย็น มีภูเขา มีน้ำตก มีหมอก กลิ่นดิน และกลิ่นหญ้าและฟาง กลิ่นสาบวัว ควาย   

“แวะซื้อขนมก่อนน้า....” แนนนี่บอก เมื่อเราปั่นจักรยานพ้นถนนหินแดง มาที่ถนนลาดยาง วันนี้เป็นวันพิเศษครับ เพราะโฮสต์ของไอ้จิตรจะเอารถกระบะ 3 คัน พาพวกเราไปเที่ยวน้ำตกป่าละอู กับหุบเขาผีเสื้อ

     10.00 ผมและเพื่อนอีก 10 กว่าคนก็มาถึงน้ำตกป่าละอู รวมทั้งโฮสต์ของไอ้จิตร และลูกชาย 2 คน ของเขาด้วย พวกเราเดินเข้าไปสักระยะจนถึงบริเวณที่คนน้อย จึงช่วยกันปูเสื่อยกของกินเล่นออกมา แล้วพวกเราหลายคนรวมถึงผมด้วยก็ลงเล่นน้ำตกที่ใสและเย็นมากครับ

เราเล่นน้ำกันมาประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อนๆ หลายคนก็ขึ้นฝั่งเพื่อพักบ้าง แล้วก็ลงมาเล่นสลับกัน

“พี่วิ....มานี่  ผมมีอะไรให้ดู” น้องไทร ลูกชายคนเด็กของโฮสต์ไอ้จิตร เรียนอยู่มัธยมต้น ชวนผมให้เดินขึ้นทางเหนือน้ำ ซึ่งจะพูดว่าเดินไปก็คงไม่ถูกนัก เพราะเราต้องปีนป่าย และกระโดดข้ามโขดหินใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าสวนกระแสน้ำเชี่ยวเบื้องล่างไปเรื่อยๆ

        เราเดินมาจนเหมือนจะรู้สึกว่าสุดทาง เพราะเบื้องหน้าคือหน้าผาหินสูงที่ปกคลุมด้วยพุ่มไม้หนามรกครึ้ม ที่งอกเงยปกคลุมไปทั่วหน้าผาที่ชื้นเพราะละอองน้ำตก และตะไคร่เขียว ต่ำลงไปเบื้องล่างเป็นแอ่งน้ำกว้างเกือบ 7 ตารางเมตร มีวัยรุ่นผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมถอดเสื้อผ้าเล่นน้ำอยู่ข้างล่าง

“นี่ไง...ทางนี้” ไทรบอกผมให้เดินเข้าไปหลังพุ่มไม้ที่มันเอามาแหวกแล้วจับไว้ ทันทีที่เดินเข้าไปผมก็รู้ครับว่ามันพาผมมาที่นี่ทำไม cliff driving กระโดดผาน้ำตกซึ่งสูงกว่า 6 เมตร ผมขาสั่นเพราะความสูง และถ้าคิดว่าความสูงเท่านั้นที่ทำให้ผมหวาดเสียวก็ผิดครับ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือใต้หน้าผาหินนี้มีแผ่นหินแบนๆ ยื่นออกมากว่าเมตร ถ้าผมกระโดดพลาดแม้แต่นิดเดียว ผมจะร่วงลงไปกระแทกกับแผ่นหินนั้นตายแทนที่จะตกลงไปในแอ่งน้ำตกที่ใสเย็นนั้น

“กระโดดสิ” ไทรสั่งผม แต่ผมยังไม่หายสั่นครับ

“ไทรกระโดดให้พี่ดูก่อนสิ” สิ้นคำพูดผมไทรก็วิ่งกระโดดร่วงลงไป ร่างของเด็กน้อยที่ตัวยาวเพราะกินนมวัวทุกวันตกลงไปสู่แอ่งน้ำใสเบื้องล่างจนฟองน้ำแตกกระจายเป็นสีขาว ผ่านไปเกือบนาทีไทรก็ลอยขึ้นมาพร้อมโปกมือยิ้มให้ผม แต่ความกลัวผมยังไม่หมดไป อย่างที่บอกครับถ้าผมก้าวเท้าพลาดในจังหวะสุดท้าย ผมจะไม่มีชีวิตกลับไป

“ไงครับ....กระโดดพร้อมกันมั้ยครับ” ชายหนุ่มหน้าตาดีอายุไล่เลี่ยกับผม ทั้งตัวใส่แต่กางเกงในเก่าๆ ย้วยๆ ตัวเดียวซึ่งแทบจะปิดอะไรไม่มิดเมื่อมันเปียกน้ำ เดินเข้ามาหาผมที่หลังพุ่มไม้ ผมอายสายตาเขาจึงเอาแขนขึ้นมากอดอกที่เปลือยเปล่าของตัวเอง

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบด้วยความสุภาพ รู้สึกว่าตัวเองเสียงสั่น

“ครั้งแรกเหรอครับ” เขาถามเดินเข้ามาใกล้ ผมจึงพยักหน้าตอบรับ

“ต่อ....” เสียงเพื่อนของชายหนุ่มที่กำลังคุยกับผม ตะโกนขึ้นมาจากเบื้องล่าง ตอนนี้ทั้งไทร และทั้งเพื่อนของเขาต่างก็จ้องมองมาที่เรา  ต่อยื่นมือมาให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มเอื้อเฟื้อ ผมยิ้มตอบเขาคลายมือที่กอดอกตัวเอง มองสายตาทุกคู่ที่กำลังจ้องมา ผมไม่ได้จับมือของต่อแต่เหวี่ยงแขนตัวเองแล้วออกวิ่งมาที่ริมหน้าผา ในก้าวสุดท้ายผมออกแรงถีบชะง่อนผาส่งตัวเองให้ลอยสูงขึ้นไปในอากาศ

        ด้วยนิสัยบางอย่างของผม ผมปฏิเสธน้ำใจจากชายแปลกหน้าแล้วกระโดดลงไปจากผาน้ำตกคนเดียว มันสูงมาก มันเร็วมาก มันน่ากลัวมากจนเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ผมไม่กล้าลืมตามมองครับว่าผมกระโดดมาพ้นแผ่นหินเบื้องล่างมั้ย

      ในโลกนี้มีคำพูดที่แสนจะดาษดื่นว่าเมื่อเรากำลังจะตาย เวลาจะหยุดเดิน วินาทีจะยาวนานเป็นชั่วโมง อดีตทั้งหลายที่หายสาบสูญไปจะกลายมาเป็นปัจจุบัน น่าตลกเพราะในวินาทีที่หยุดนิ่งนั้นเองความทรงจำ เรื่องราว และคำถามหลายๆ อย่างที่อยู่ในใจผม คำถามบางอย่างที่ผมไม่เคยหาคำตอบให้มันก็พากันปรากฏเด่นชัด มันทั้งเศร้าสร้อยและมีความสุข เหมือนการจากลา

     ผมรักใครที่สุด คำตอบมันเป็นใบหน้าของคอร์ทคนที่ผมจะรักคนเดียว เมื่อเรื่องที่ผมเสียใจที่สุดมาถึงใบหน้าของรูมเมทคนเก่าของผมก็ลอยขึ้นมา ผมเห็นทะเล ภูเขาเขียว ทะเลทรายเมื่อคิดถึงอนาคต ผมเห็นแม่น้ำท่าจีนบ้านเกิดผมเมื่อนึกถึงความตาย แล้วชั่วอึดใจนั้นก็สิ้นสุดลงเมื่อร่างกายผมกระแทกจมลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบ ผมไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมองอะไรทั้งสิ้น และปล่อยให้สัญชาตญาณทำหน้าที่ ผมค่อยๆ หยุดดำดิ่งลงเบื้องล่างแล้วลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ และทันทีที่ผมขึ้นจากน้ำ ผมก็หัวเราะเหมือนคนบ้ากับเรื่องบ้าๆ ที่ผมทำลงไป

     หลังจากที่ผมขึ้นเหนือผิวน้ำไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงต่อที่ตกลงมากระแทกผิวน้ำเหมือนกัน ผมว่ายน้ำไปหาไทรที่โขดหินซึ่งอยู่ห่างจากเพื่อนของต่ออีก 3 คนไปไม่กี่เมตร

“ไม่ชอบให้ใครท้าเหรอครับ...หึหึ” ต่อว่ายน้ำมาทางผมกับไทรแทนที่จะกลับไปหากลุ่มเพื่อนมัน

“ทำนองนั้น” ผมหัวเราะตอบเขาไป

“กระโดดอีกรอบมั้ย....พวกมึงไปกินข้าวรอกูเลยก็ได้นะ” เขาชวนผม แล้วหันหน้าไปบอกเพื่อนตัวเอง

“อืม....ไปไทร” ผมชวนน้องไทรไปกระโดดผาน้ำตกอีกรอบด้วยครับ

“คราวนี้กระโดดพร้อมกัน 3 คนมั้ย” ไอ้คุณต่อหันมาถามผมกับไทร กระโดด 3 คน ยิ่งเสี่ยงกว่า 1 คน เพราะถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งพลาด เราอาจพากันตายทุกคน แต่ผมเห็นไอ้ไทรกับไอ้คุณต่อทำเป็นเรื่องปกติมากครับ คนแถวนี้เขาคงกระโดดกันจนชิน ผมรู้สึกว่าตัวเองมีนิสัยประหลาดครับเพราะแม้เหตุผลของผมบอกว่ามันเป็นเรื่องไม่ควร แต่ผมก็จับมือไทรด้วยมือข้างซ้าย จับมือต่อด้วยมือข้างขวา

“หนึ่งง...สองง....สาม” สิ้นเสียงต่อเราออกวิ่งครับ สนุกดี เวลาที่มีคนร่วงลงผาน้ำตกด้วยกัน เราปล่อยมือหลุดจากกันเมื่อเราต่างตกกระทบผิวน้ำแล้วจมดิ่งลงไป เราว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำแทบจะพร้อมกันในทันที และหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน การเสี่ยงตายโง่ๆ คงทำให้ผู้ชายรู้สึกสนุกมั้งครับ

“ไปกินข้าวกับพวกผมต่อมั้ย” ต่อถามตอนที่เรากำลังปีนโขดหินกลับ

“เรากับน้องต้องกลับแล้วล่ะ” ผมบอกเมื่อเห็นเพื่อนๆ ผมกำลังนั่งเปิบส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่างกันอยู่ไกลๆ ต่อทำหน้าเฉยๆ

“พี่วิเป็นเกย์เหรอ” อยู่ๆ ไอ้ไทรก็ถาม

“รู้จักพี่ตั้งนานแล้ว ไทรไม่รู้เหรอ” ผมบอกมัน คนเขารู้ทั้งกันทั่วแล้วครับว่าผมเป็นเกย์ ไอ้ไทรที่สนิทกันมันน่าจะรู้ และผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่กล้าจะยอมรับกับทุกคนว่าผมเป็นเกย์

“เท่ห์ว่ะ แม่ง” มันชม

“....5555555” ผมขำครับ ไทรมันคงแปลกใจ เพราะตลอดมามันชอบชวนผมเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ แบบที่ผู้ชายเล่นกัน

“ไว้เจอกันนะ...” ผมบอกลาคนที่เพิ่งได้รู้จักกันแล้วกลับไปหาเพื่อน

“หายไปไหนกับน้องมา 2 คน มึง” ไอ้จิตรถามทันทีที่ผมไปถึง คงคิดว่าผมชวนน้องไปทำอนาจาร

“ไทรชวนไปกระโดดผาน้ำตกน่ะ” ผมบอก

“พ่อก็ว่าแล้วว่าไอ้ไทรมันต้องไป” โฮสต์ของไอ้จิตรเสริม เหมือนรู้คำตอบอยู่แล้ว ผมเลยรอดจากคดีพรากผู้เยาว์ครับ
“คิดไงมึงถึงชวนพี่เขาไป” พ่อน้องไทรถามต่อ

“ก็คงมีพี่วิคนเดียวที่กล้ากระโดด 555” ดูมันตอบ มันคงมองว่าผมเป็นพวกบ้าบิ่นมั้ง และผมก็หัวเราะไปกับมัน เรื่องบ้าๆ แบบนี้


        สถานที่ต่อมาของทริปคือหุบเขาผีเสื้อที่อยู่ไม่ห่างจากน้ำตกป่าละอูครับ หุบเขาผีเสื้อเป็นหุบเขาธรรมดาที่มีธารน้ำไหลผ่าน ซึ่งก็มีต้นน้ำจากเขาตระนาวศรีเช่นเดียวกับน้ำตกป่าละอู เราช่วยกันปูเสื่อแล้วยกอาหารกลางวันออกมา กินกันอย่างอร่อยเพราะเหนื่อยจากการเล่นน้ำที่ผ่านมา กินไปผมก็เล่นปากกรวดกระทบน้ำครับ ให้มันกระเด็นข้ามไปอีกฝั่ง พอกินเสร็จผมก็เดินไปดูผีเสื้อ ที่เรียกว่าหุบเขาผีเสื้ออาจเป็นเพราะว่าผีเสื้อมันไม่ได้เกาะตามต้นไม้ใบหญ้า แต่รวมตัวกันเกาะอยู่บนพื้นดินและโขดหินเป็นฝูงใหญ่ หมื่นตัว แสนตัว ผมก็ไม่ได้นับครับ แค่สนุกกับการเดินไปใกล้แล้วให้ผีเสื้อที่ตกใจกลัวนับร้อยบินหนีผ่านตัวเราไป

        เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว วลีพื้นฐานในภาษาไทยของทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (the butterfly effect) ไม่ว่าการกระทำจะเล็กน้อยแค่ไหน ผลกระทบของมันก็อาจจะยิ่งใหญ่เกินหยั่งรู้ แม้แต่การกระทำเล็กๆ บางอย่างที่เกิดขึ้นโดยเราไม่ได้ตั้งใจก็อาจจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของเราและคนรอบข้างได้ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ต่อกับหูฟังแล้วโทรออกหาคอร์ท

“งายยย” ผมทักไปก่อนเมื่อคอร์ทรับสาย

“อืม....มีไร”

“คิดถึงน่ะ” ผมบอกแล้วยิ้มไป ยิ้มให้ผีเสื้ออีกสิบๆ ที่บินผ่านหน้า

“บ้า.....” ดูคอร์ทมันว่าผม

“ทำไรอยู่เหรอ”

“ซ้อมลีดอ่ะ”

“อีก 2 วันกลับแล้ว....คิดถึงป่าว” ผมถามแล้วหน้าแดงเอง

“อือ มาถึงแล้วบอกด้วย”

        เราคุยกันไม่นานหรอกครับ ปกติผมเป็นคนคุยโทรศัพท์ไม่เก่งอยู่แล้ว ผมเดินเล่นแหย่ผีเสื้อไปเรื่อยเปื่อย ตอนนี้เพื่อนๆ บางคนก็พากันนอนกลางวันกันแล้ว สิ่งที่ผมทำก็คือเอากล้องถ่ายรูปพวกมันตอนที่หลับแล้วทำท่าน่าเกลียดๆ เอาไว้ เพื่อเก็บไปล้อมันต่อตอนที่เรากลับมหาลัยแล้ว

         เดือนตุลาคมเดือนเดียวเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมทำอะไรเล็กน้อยๆ เยอะแยะไปหมด ทั้งไปเที่ยว ทั้งทำวิจัย ทำเรื่องไร้สาระที่ไม่เคยทำ และผมไม่เคยคิดด้วยว่า สิ่งที่ผมทำไปอาจจะเปลี่ยนอนาคตของตัวเองอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจก็ได้ วันเปิดเทอมใกล้เข้ามาแล้ว ผมรักมหาลัย ผมรักวันเปิดเทอม แม้จะมีเรื่องยุ่งยากมากมายรออยู่ แต่ครั้งนี้เป็นเทอมสุดท้ายของผมแล้วครับ ผมแทบจะรอไม่ไหว ผมสูดอากาศบริสุทธิ์จากเทือกเขาตระนาวศรี เมื่อกลับไปแล้วไม่รู้อีกนานเท่าไร ผมจึงจะได้กลับมา
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-11-2013 18:21:16
อ่านพาร์ทบน เหมือนโย๊ปก็เริ่มคิดและอาจมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ส่วนพาร์ทล่าง วิก็ยังบ้าพลังและมีกิจกรรมให้ทำมากมายเช่นเดิม ส่วนคอร์ทเหมือนจะห้วนไปนะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 16-11-2013 18:35:28
คอร์ทเหนื่อย หรือกำลังจะเปลี่ยนไปอะ แล้วโย๊ปจะมีคู่กะเค้ามั้ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Kirimanjaro ที่ 17-11-2013 00:41:00
ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก  รอดูต่อไป
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 17-11-2013 02:01:15
รอติดตาม
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: shikyu3211 ที่ 17-11-2013 16:42:06
ทำไมวิถึงรักคอร์ทมากจัง ทั้งๆที่ดูแล้วคอร์ทไม่น่ารู้สึกกับวิมากมายนักแถมยังมีแววจะเป็นคนบอกเลิกวิเร็วๆนี้แน่  :katai1:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 18-11-2013 11:51:39
 :hao7: :hao7: o13 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Also ที่ 19-11-2013 00:38:14
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ จะรอตอนต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: My Almond Crush...ตอนที่ 17 เปิดเทอม เรียนกันหนักๆ รักกันเบาๆ 21.11.2013
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 21-11-2013 17:29:47
ตอนที่ 17 เปิดเทอม เรียนกันหนักๆ รักกันเบาๆ

         ต้นเดือนพฤศจิกายน กับเทอมสุดท้ายในชีวิตมหาลัยของผม ซึ่งก็เน้นเรียนหนักๆ รักเบาๆ เช่นเคยครับ เทอมนี้ผมลงเรียนวิชา ท่องเที่ยวประเทศโลกที่สาม วรรณกรรมเอกเชคสเปรียร์ (2) การแปลภาษาอังกฤษเป็นไทยขั้นสูง การจัดการโครงการเพื่อการพัฒนา วิชาการเขียนภาษาอังกฤษในงานวิชาการ และวิชาวิจัย รวม 6 วิชา 18 หน่วยกิต ทั้งๆ ที่ผมเก็บหน่วยกิตครบไปแล้ว

         เปิดเทอมนี้เป็นการเริ่มต้นใหม่ครับ และผมต้องเริ่มต้นทำในสิ่งที่ถูกต้องเสียที คงต้องเลิกที่จะเดินหนีปัญหาเพราะการเดินหนีมันไม่ใช่นิสัยผม

“ไง...วิ” ผมรับสายน้องท็อบ แทบจะทันทีที่เปิดเทอม มันก็โทรมาหาผมเลยครับ ให้ตาย

“อืม.....ว่าไง” ผมถามมัน

“เย็นนี้มาหาผมที่สนามบาสนะ จะรอ...คิดถึง”

“อืม....” ผมตอบรับทันทีที่ได้ยินเสียงของมัน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
“ให้ไปกี่โมงอ่ะ”

“6 โมง” ต่อจากนั้นเราก็คุยกันเล็กน้อยแล้ววางสายไป

         13.00 ผมนั่งอยู่ในชั้นเรียนกับอาจารย์คนโปรดของผม อาจารย์ทรงศักดิ์ที่ผมทั้งหัวของอาจารย์เป็นสีขาวอมเทา ความสนใจในงานวิชาการ และ life style ของอาจารย์เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตผมเลยทีเดียว ชั้นเรียนวิชากรท่องเที่ยวประเทศโลกที่สามในปีนี้แปลกมากครับ เพราะมันมีนักศึกษาจากภาควิชาอื่นๆ มาลงทะเบียนเรียนด้วยจนล้น แต่ผมก็จองที่นั่ง VIP แถวหน้าสุดได้เสมอ

“วิชานี้....เราต้องจัดทริปด้วยนะครับ....” อาจารย์ทรงศักดิ์พูดหลังจากที่ทำการแนะนำวิชาในคาบแรกเสร็จแล้ว ผมกับเพื่อนๆ ก็เฉยๆ ครับเพราะเด็กภาคสังคมวิทยาเราเดินทางกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว

“เราจะไปที่ไหนกันดี....มีใครสนใจจะเสนอมั้ยครับ...” อาจารย์ถามด้วยความสุภาพ
“ลองคิดกันดู แล้วมาบอกผมทีหลังก็ได้ครับ”

         หลังจากที่ผมอิ่มเอมของประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวที่เริ่มต้นขึ้นในประเทศอุตสาหกรรมแถบยุโรป หรืออังกฤษ ที่สมัยก่อนเรียกว่า Grand Tour ซึ่งเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม และพัฒนาการของอุตสาหกรรมเวลาว่าง เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ฯลฯ ผมก็ปั่นจักรยานคันใหม่กลับมาที่หอ แล้วอ่าน Macbeth รอเวลาให้ถึง 6 โมง

         มันเป็นภาพที่คุ้นตามากครับ ในเวลา 18.10 ที่ท้องฟ้าเริ่มหมดแสง ผมเดินมาหาท็อบที่เดินตัวเปียกเหงื่อมาหาผมในเสื้อเล่นบาสแขนกุด แค่ตอนนี้ท็อบมีสิวที่หน้าเยอะขึ้น แล้วผิวก็คล้ำแดดขึ้นด้วย

“ตัวสูงขึ้นอีกรึเปล่านี่....” ผมบอก ในขณะที่เงยหน้ามองเมื่อมันเดินเข้ามาใกล้

“จริงอ่ะ” มันยิ้มแล้วทำท่ายกแขนขึ้นไปวัดส่วนสูงตัวเอง

“ไม่จริง 555” ผมแกล้งมันที่ตอนนี้ทำหน้าเหมือนลิงโดนเตะไข่

“ไรวะ....” มันประท้วง แล้วเราก็เดินออกมาจากโรงเรียนสาธิตด้วยกัน ตอนนี้ความรู้สึกที่ผมมีให้ท็อบนั้นดูสับสนปนเปกันไปหมดครับ ทั้งผูกพัน ทั้งชอบ ทั้งคุ้นเคย ทั้งห่างเหิน ทั้งตัดใจ ทั้งรู้สึกผิด แต่ปัญหาทั้งหมดมีต้นเหตุอยู่ที่ผม ดังนั้นคนที่ควรจะยุติมันไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไรก็คือผมเอง

“จะไปไหนกันดี” ผมถามมัน

“หาไรกิน ถนนต้นสนมั้ย” ถ้าไปถนนต้นสนก็หมายความว่าเราต้องเดินผ่านพระราชวัง ที่แห่งความหลังของผมกับมัน

         เราเข้ามาในพระราชวังเมื่อตอนนที่ฟ้ามืดลงแล้ว เดินผ่านพระที่นั่งชาลีมงคลอาสน์ เดินผ่านเทวาลัยพระเคณศ และทิบมันก็ทำในสิ่งที่มันคุ้นเคย มือเรียวที่ผมรักหนักหนานั้นเอื้อมมาที่มือผม ไม่ได้ได้ปฏิเสธที่มันกุมมือผม แต่ผมรู้สึกว่าใจสั่น และมือสั่น ผมไม่กล้าแม้แต่จะรัดนิ้วรอบฝ่ามือของมัน

“เกรงๆ นะ เป็นอะไร” มันถาม มันเองก็คงรู้สึกได้

“............................” ผมมีคำตอบครับ แต่ผมไม่มีความกล้าพอที่จะบอกมันว่าทำไม และท็อบมันก็สุภาพพอที่จะไม่เซ้าซี้เอาคำตอบจากผมให้ได้ เราเดินมาจนถึงม้านั่งที่เราเคยจูบกัน เคยมีอะไรกัน ผมใช้หางตาชำเลืองมองม้านั่งแล้วก็รู้สึกปวดที่หัวใจ

         ไอ้ท็อบมันมีญาณทิพย์หรือเปล่าผมก็ไม่รู้ แต่เหมือนมันจับความรู้สึกของผมได้ มือที่มันใช้จูงผมอยู่ก็ลากผมไปที่ม้านั่งตัวนั้น ผมไม่ได้ว่าอะไรมันหรอกครับ

“ขอโทษนะ....” ผมบอกมันหลังจากที่เรานั่งลงไม่นาน

“........อืม” ผมแปลกใจที่มันตอบกลับมา แต่ผมไม่รู้ว่า “อืม” ของมันหมายถึงอะไร

“ปิดเทอมเป็นไงบ้าง” มันถามผมก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรออกมา

“ก็มีทั้งเรื่องดี เรื่องที่ไม่ดี...ปนๆ กันไป เดินทางไปโน่นมานี่ นั่งรถกระบะหนีช้างป่า” ผมก็เล่าไปเรื่อย

“555....” ในที่สุด ผมก็เรียกเสียงหัวเราะของมันได้

“เข้าค่ายรด. ล่ะ เป็นไงบ้าง” ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า 1 เดือนที่เราไม่ได้เจอกันนั้นท็อบไปทำอะไรมาบ้าง มันจะสบายดีมัย มันจะคิดถึงผมมากไปรึเปล่า ไม่ใช่ว่าผมจะสำคัญตัวเองแต่ในเวลาที่ผมอยู่ห่างมัน ความคิดถึงที่ผมมีให้มันลดน้อยลงทุกเวลาโดยเฉพาะเมื่อผมมีคอร์ทอยู่ใกล้ๆ และผมคิดว่ามันคงจะยุติธรรมดีถ้าท็อบมันจะคิดถึงผมให้น้อยลง

“เหนื่อยมาก น่าเบื่อ ร้อน แต่บางทีก็สนุก...พอกลับบ้านมาแล้วก็ไข้ขึ้น นอนซมกว่าจะฟื้น โทรไปหาก็โทรไม่ค่อยติด...” มันบอกแบบไม่ใส่ใจ แต่ดวงตามันเหม่อลอยเหมือนพยายามนึกภาพสิ่งที่เกิดขึ้น และประโยคหลังนี้ทำให้ผมรู้สึกสงสารมันจริงๆ มันคู่ควรกับคนที่ดีกว่าผมจริงๆ

“หมู่บ้านที่วิไปอยู่ชายแดนพม่าน่ะ” ผมบอกมันในสิ่งที่ผมเคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้

“อืม.........” ยิ่งผมพูดคุยกับมันมากเท่าไร ผมก็รู้สึกถึงความร้อนชื้นที่เอ่อขึ้นมาในดวงตาของตัวเอง

“ท็อบไปกินข้าวกันเถอะ...” ผมชวนมันเพราะเห็นมันดูล้าแล้ว มันไม่ได้มีคำตอบให้ผมแต่มันหันมามองหน้าผม ใกล้ ใกล้เกินความจำเป็น

      ผมยกมือขึ้นไปแตะแก้มมันที่ตอนนี้มีสิวหัวแดงๆ แห่กันขึ้นมาจากไหนไม่รู้ เมื่อผมลูบนิ้วผ่านแก้มมันมันก็ยิ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมรู้ว่ามันต้องการอะไรเพราะผมก็มีต้องการแบบเดียวกัน แล้วเราก็จูบกันจูบที่ผมลืมไปนาน ท็อบจูบได้เหมือนเด็กมาก เร่าร้อนแต่รีบร้อนเพราะพยายามปกปิดความประหม่าของตัวเองไว้ แล้วจูบของมันก็ยังนุ่มนวลชวนฝันแบบเด็กๆ ตอนนี้เราใกล้กันจนผมได้กลิ่นตัวมันเต็มจมูก ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนเกลียดกลิ่นเหงื่อ แต่กับมันผมคิดว่าเป็นข้อยกเว้น นี่สินะครับโจทย์รัก

หนึ่งคนทิ้งเราให้ตาย อีกคนให้ลมหายใจ.....หนึ่งทางคือรักจริง อีกทางก็รักฝังใจ

และผมโง่ที่ผมเลือกคำตอบเป็นรักฝังใจ

         ในคืนนั้นผมพามันไปกินข้าวจนได้ในที่สุด และส่งมันขึ้นรถสองแถวกลับหอไป ความจริงแล้วท็อบถามผมว่าจะไปค้างกับมันมั้ย แต่ผมปฏิเสธไปแล้วก็แปลกใจว่าทำไมท็อบมันถึงไม่ได้ตื้อแบบเดิม นั่นทำให้ผมรู้สึกผิดเข้าไปอีก แต่ตอนนี้ผมไปห้องของมันไม่ได้อีกแล้วครับ เพราะผมไม่รู้ว่าคอร์ทจะโทรมาตอนไหน แต่ผมรู้อย่างหนึ่งว่าหากเรื่องนี้มันแดงขึ้นมา ผมจะไม่โกหกใคร ทุกคนสมควรได้รับความจริงจากปากผม แม้สุดท้ายแล้วมันจะทำให้ผมไม่เหลือใครก็ตาม
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 21-11-2013 17:53:11
รีบเลือกสักทางไม่ดีกว่าหรอ ก่อนจะไม่เหลือใคร วิทำตัวเองนิ จะเจ็บก็ต้องทนให้ได้ในเมื่อเลือกเอง  :ling2:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-11-2013 20:25:33
ตอนนี้ท็อปก็ดูเหมือนไม่ตื๊อไม่อ้อนวิมากเหมือนก่อน
หรือว่าเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านไป อะไร ๆ ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
หรือจะมีแค่วิที่ยังคิดถึงใจใครต่อใครและเจ็บอยู่คนเดียว
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: t152_rakjai ที่ 21-11-2013 21:18:37
เราชอบความคิดของวิในหลายเรื่องน่ะ o13 o13

ถึงบางเรื่องเราจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

เราชอบวิมากเลยเป็นตัวละครที่เราไม่สามารถที่จะเดาทางได้มันน่าค้นหาดี :hao3: :hao3: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 14-12-2013 19:58:58
วิดูหนักแน่นมากอ่ะ แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่ลงทั้งคู่
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 22-12-2013 11:46:00
อยากอ่านต่อแล้วน้า
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 06-01-2014 23:29:37
หายไปเลยอ่า
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 04-02-2014 10:21:20
ยู้ฮู คนเขียนอยู่ไหนเอ่ย
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 04-02-2014 18:05:08
มารอนะคะติดใจเรื่องนี้ค่ะ
อ่านแล้วอยากอ่านต่ออีกดังนั้นมาต่อเถอะค่ะ :ling1:

เราอย่กให้วิคู่กับคอท เพราะเป็นอะไรที่เคมีเข้ากันดีสุดแล้วค่ะ
ยิ่งอ่านพาทของโย๊ปก็ยิ่งกรี๊ดคู่นี้  โปรดอย่าใจร้ายให้เลิกกันเลยนะคะ

ส่วนโย๊ปที่มีพาทของตัวเองนี้เพราะเป็นพระเอก
 หรือเป็นแค่ตัวที่บอกเล่าความสัมพันธ์ของคู่นี้ผ่านตัวละครหนึ่งกันแน่
ส่วนตัวอยากให้เป็นแค่ตัวละครหนึ่งที่จะมีคู่ของตัวเองที่ไม่ใช่วิ


รอเสมอนะคะ :)

หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 26-02-2014 22:51:12
ยังรออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush.......ตอนที่ 18 เส้นคั่น ระหว่างอดีต และปัจจุบัน 09.03.2014
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 09-03-2014 02:40:22
ถึงผู้อ่านทุกท่านครับ

ก่อนอื่นกราบเรียนทุกท่านครับ ขอโทษมากที่หายหัวไปนาน เหมือนอยู่ๆก็โดนรถชนตาย ทั้งที่ความจริงตั้งใจจะลงบทที่  18 19 20 ให้ทันกับวันลอยกระทงปีที่แล้ว แต่ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ต้องสอบปลายภาคครับต้องอ่านหนังสือจำนวนมาก แถมยังมีรายงานเล่มใหญ่อีกค่อนข้างซับซ้อน  แถมจากนั้นไม่นานก็โดนทาบทามให้ไปสอนเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นการเริ่มงานสอนครั้งแรกครับ ต้องเตรียมตัวสอนแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ เด็กนักศึกษาทุกวันนี้ให้บรรยากาศที่แตกต่างกับตอนที่ผมเป็นนักศึกษาป.ตรี มาก (สมัยผมเรียนเรายังไม่มีสมาร์ทโฟนด้วยซ้ำไป 5555) ทั้งๆ ที่เวลาห่างกันแค่ 7-8 ปีเอง ตอนนี้ก็เพิ่งปิดคอร์สไปได้ไม่นาน  แล้วอาจารย์สมัยเรียนป.โท ก็ยังให้ช่วยไปเป็นคนคุมวิทยานิพนธ์ให้รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย คือทุกเสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปขลุกตัวอยู่ในมหาวิทยาลัยกับรุ่นน้องทั้งวัน   ตอนนี้ตัวผมก็เข้าเทอมใหม่อีกซึ่งเทอมนี้ก็มีงานมหาศาล ทั้งพอเรียนด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ก็เลี่ยงไม่พ้นที่ตัวเองต้องติดตามปรากฏการณ์การเมืองปัจจุบันอย่างเข้มข้น จนตัวเองแทบจะไม่มีเวลาว่าง 5555 ทั้งหลายแหล่ แก้ตัวไปเรื่อย วันนี้ก็ขอเอาบทที่ 18 ของโย๊ป และบทที่ 19 ของวิมาแปะไว้ครับ ก่อนที่จะต้องเข้านอนสักที

คนที่เพิ่งเข้ามาอ่านก็จะได้เปรียบเพราะไม่ไต้องรอ ส่วนคนที่อ่านมาตั้วแต่แรกต้องขอโทษครับเพราะว่าอารมณ์จะขาดตอน แถมพอไม่ได้พิมพ์นานลีลาการใช้ถ้อยคำอาจจะไม่พริ้วไหวเหมือนเดิม เวรกรรม

ปล. ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตามครับ

"วิ"
...

ตอนที่ 18 เส้นคั่น ระหว่างอดีต และปัจจุบัน

   ผมเดินทางกลับบ้านหลังจากพวกเรามาถึงมหาลัยเมื่อจบทริปชะอำ บ้านผมเป็นอู่รถยนต์ครับ โดยที่พ่อผมเป็นนายช่างและเจ้าของอู่ เท่าที่จำความได้อู่รถเป็นสมบัติที่สืบทอดมาจากต้นตระกูลครับ ซึ่งก็เป็นคนจีนที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทย ผมเดินกลับเข้าบ้านที่เป็นทั้งบ้านและอู่รถ ทักทายแม่กับพ่อที่ตัวเล็กกว่าผมมาก แล้วนึกย้อนถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“พ่อแม่โย๊ปตัวเล็กจัง โย๊ปทำไมตัวสูง” พี่วิถามลอยๆ ด้วยความสงสัย นั่นสิครับผมก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกันว่าทำไม

“โย๊ปมันแย่งกินนมแม่หมด....” ไอ้สัตxx บู้ครับ ไอ้ตัวปากหมา

“ไอ้เหี้xx พอเลยนะเมิง พาลดึงพ่อแม่กูลงต่ำด้วย” ผมด่าเพื่อนก่อนที่ความจัญไรของพวกเราจะดึงบุพการีให้มัวหมองด้วย ส่วนพี่วิไม่ได้สนใจคำตอบแล้วครับ แต่รับโทรศัพท์แล้วออกไปคุยข้างนอก

   แล้วแม่ผมก็ไล่ให้เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องนอนก่อนจะลงมากินข้าว ที่แม่ พ่อ และน้องสาวผมเหลือไว้ กรรม ผมเดินขึ้นไปบนชั้น 4 ซึ่งเป็นห้องนอนของผม โยนกระเป๋าไว้ที่มุมห้องแบบไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร และล้มตัวนอนลงบนเตียง ผมถนใจและในที่สุดก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรไปหาปลา

“ฮัลโหล ว่าไงโย๊ป...” ปลาทักเมื่อเมื่อรับสายผม

“อืม...โย๊ปมาถึงบ้านแล้ว” ผมบอกปลา เรามีแพลนที่จะมีตติ้งเพื่อนร่วมรุ่นกัน

“อ่อ...แล้วทำอะไรอยู่”

   เราคุยโทรศัพท์กันต่อสักประมาณ 1 ชั่วโมงได้ เรื่องทั่วไปแหละครับเมื่อเราไตร่ถามสารทุกข์สุกดิบตามประสาที่คนเป็นแฟนเขาทำกันแล้ว เราก็พูดถึงเรื่องเพื่อน เรื่องการกลับไปโรงเรียนเก่า การนัดเจอกัน แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ครับว่าเรื่องเพื่อนเก่าของเรานี่ ผมกับปลาคิดกันขึ้นมาเองหรือเปล่า เวลาผ่านมากว่าครึ่งปีแล้วครับ ผมติดต่อกับเพื่อนคนอื่นน้อยมาก จนผมไม่รู้ว่าพวกมันจะสนใจ  มีตติ้งรึเปล่า สนใจจัดงานรวมรุ่นกันหรือเปล่า ผมเห็นว่ามีแต่ปลาที่พูดถึงเรื่องนี้ และสักพักผมก็หิวครับเลยลงไปกินข้าวข้างล่างก่อนที่จะกลับขึ้นมานอน


2 วันต่อมาผมก็ได้เจอกับปลา ปลาดูเปลี่ยนไปแต่ไม่มาก ผมเองก็คงเปลี่ยนไปเหมือนกัน วันเวลาในมหาลัยทำให้เราเติบโตขึ้นจริงๆ ครับ

“เป็นไง...” ผมทักแล้วเข้าไปจับแขนปลาในฐานะคนที่เป็นแฟนกัน

“โย๊ปมานานยัง แล้วมีใครมาบ้างแล้ว” ปลาถามผม

“สักพัก....ยังไม่มีใครมาเลย”

“อืม...รอแป๊บเดี๋ยวก็คงตามกันมา”

   ในที่สุดแล้วก็มีเพื่อนที่เบี้ยวนัดเราเกือบครึ่งครับ จากนัดกันไว้เกือบ 20 คน เหลือมาวันนี้แค่ 10 คน แน่นอนที่สุดสถานที่ที่พวกเราเลือกไปก็คือ โรงเรียนครับ โรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนคริสต์ ในตัวเมืองของจังหวัด

“คอร์ท ไม่ได้กลับมาด้วยหรอ” เพื่อนผู้หญิงในห้องของผมถามขึ้นมา

“ไม่อ่ะ มันอยู่มหาลัย” ผมตอบเหมือนกับตัวเองไม่ได้สนใจ แต่ผมกำลังนึกภาพมันกับพี่วิที่มหาลัย  ผมเห็นภาพมันเจาะหูทำผมตั้ง ผมคิดว่าจะมีเพื่อนสมัยมัธยมคนไหนจำมันได้บ้างหากไปเจอกันที่อื่น

   วันนี้ทั้งวันเราหมดเวลาไปกับการเยี่ยมอาจารย์เก่า สมัยมัธยมครับทักทายรุ่นน้องที่รู้จักกันบ้าง จะกระทั่งเย็นเราลงเอยกันที่ร้านหมูกระทะแห่งหนึ่งใกล้แม่น้ำบางปะกง  เราเอาดต๊ะสองตัวมาต่อกัน ปิ้งย่าง กินกันไปเรื่อย จนผมเริ่มอิ่ม

“โย๊ปแกกับปลาเป็นไงบ้าง” เพื่อนเราถามคำถามที่ผมคิดว่ามันตอบยากมากสำหรับผม

“ก็ดี.....เหมือนเดิม” ผมตอบสั้นๆ

“อืมม...” ปลาส่งส่งยืนยันเมื่อสายตาของเพื่อนหันไปมอง

“รักกันนานดีเนอะ” ไม่รู้มันจะพูดทำไม ผมเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าทำไมผมถึงไม่อยากพูดถึงมัน เราสองคนไม่ได้หวานกันขนาดนั้นครับ

ผมไปส่งปลาที่บ้าน เราล่ำลากันสักพัก แล้วผมก็กลับบ้านครับ ค่ำมากแล้ว และวันนี้ก็ค่อนข้างน่าเบื่อ มันไม่เหมือนเดิมตอนที่ผมอยู่ม.6 ระยะเวลาแค่ปีเดียว ระยะห่างแค่ไม่กี่ร้อยกิโลฯ มันเปลี่ยนคนได้จริงๆ เพราะตอนนี้ผมกำลังเฝ้ารอให้ถึงวันที่มหาลัยของผมจะเปิดเทอม
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....ตอนที่ 19 งานลอยกระทงครั้งสุดท้าย 09.03.2014
เริ่มหัวข้อโดย: วิฬาร์ ที่ 09-03-2014 02:48:20
ตอนที่ 19 งานลอยกระทงครั้งสุดท้าย

        ที่มหาลัยผมจะจัดการลอยกระทงทุกปี ซึ่งผมคิดว่าที่อื่นก็คงเหมือนกัน ประเพณีลอยกระทงอ้างว่าย้อนไปในประวัติศาสตร์นานถึงสมัยสุโขทัย โดยผู้หญิงคนหนึ่งที่ประดิษฐิ์วัสดุคล้ายพานพุ่ม แล้วลอยออกไปในน้ำ เพื่อเป็นการแสดงความนับถือ และการขอขมาต่อเทพีน้ำ หรือพระแม่คงคา ส่วนตัวผมเองก็ลอยกระทงอยู่เป็นประจำ เป็นกระทงราคาถูกๆ หน้าตาช้ำๆ เป็นกระทงไม่สวยตัวสุดท้ายที่มักจะถูกทิ้งเพราะไม่มีคนซื้อ และผมมักจะแอบไปลอยตอนงานใกล้เลิก เพราะลอยคนเดียวครับ แถมยังขี้เกียจที่จะต้องจะเบียดเสียดกับผู้คนอีกพันกว่าคนที่จะพากันมาลอยกระทงกันในสระแก้วเล็กๆ

         แต่งานลอยกระทงปีนี้ ผมกำลังเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางมนุษย์นับพันคน รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่มีใครที่จะหยุดคุยกัน ผมซื้อน้ำสตอร์เบอรรี่ปั่นแล้ว หามุมยืนหลบคนที่หน้าอาคารอธิการบดี เหตุผลเดียวที่ผม เป็นผู้ที่เดียวดายท่ามกลางฝูงชนอย่างแท้จริง แต่เหตุผลเดียวที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้ คือ เด็กผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง คนที่เปลี่ยนแปลงไปมากจากวันแรกที่เราพบกัน คนที่ทำลายกฎทุกอย่างของผมลง และเด็กผู้ชายคนนี้คือเหตุผลที่ผลไม่รู้สึกเดียวดายท่ามกลางฝูงคน

   นิสัยเสียของผมคือการมาก่อนเวลานัด และผมต้องรออีกประมาณ 10 นาที กว่าที่คอร์ทจะมาถึง แต่ผมรอได้เสมอ และบางทีปีนี้อาจจะเป็นปีแรกที่ผมไม่ต้องลอยกระทงตอนงานเลิกคนเดียว และไม่นานโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมกดรับมันด้วยรอยยิ้มทันที

“ถึงงานยังวิ” เสียงที่ผมรักหนักหนา ได้ยินอย่างแผ่วเบาเพราะเสียงมหรสพที่ดังกระหึ่ม

“อยู่ที่หน้าตึกอธิการฯ เพิ่งเลิกเรียนหรอ”

“อืมๆ อีกแป๊บเดียวก็ไปถึง”

“โอเค” ผมรอไม่นาน คนตัวสูงบาง หล่อเหลาคนหนึ่งก็ปรากฏตัวท่ามกลางฝูงคนนับพัน ผมเห็นคอร์ททันที ผมยิ้มแล้วโบกมือ เมื่อคอร์ทเข้ามาใกล้

“กินอะไรรึยัง” คอร์ทถามผม พร้อมกับมองน้ำปั่นที่ผมถืออยู่ในมือ

“ยัง แค่กินน้ำปั่น” ผมตอบด้วยรอยยิ้ม ต่อหน้าคนๆ นี้ ผมมีรอยยิ้มเสมอ ไม่รู้เขามีเวทมนตร์หรือไง

“หาอะไรกินเล่นกัน มั้ยล่ะ” ผมเสนอ แล้วเราก็เดินลงไปในฝูงคนเพื่อซื้อของกิน ผมคิดว่าถ้าได้ของกินเล่นแล้วผมจะพาคอร์ทไปดูการแสดงประกวดดาวเทียม และยังไม่ทันที่ผมจะคิดถึงเรื่องการลอยกระทงกับคนรักของผมเป็นครั้งแรกในชีวิต คอร์ทก็ชวนผมไปกินข้าวข้างนอกมหาลัย

“วิ ไปกอนข้าวข้างนอกเถอะ ในนี้คนแน่น”

“อืมมม...” ผมเคยปฏิเสธมันได้ที่ไหน

      แล้วเราสองคนก็ฝ่าคลื่นนักศึกษามหาศาลออกไปขึ้นเวสป้าของคอร์ทที่จอดไว้แถวๆ สนามเปตอง เราไมได้ไปไหนไกลหรอกครับ ก็อาร์ตอเวจี ที่ผมเบื่อมันแทบตาย ระหว่างที่เรากินสปาเก็ตตี้ไก่เทอริยากิ ผมก็เขี่ยๆ เส้นด้วยความเลี่ยนของมัน คอร์ทมองมาจนผมนึกถึงเหตุการณ์ที่ร้านผัดไทของเรา นั่นทำให้ผมกินไม่ลงเพราะนึกถึงความน่าอายของตัวเองในอดีตที่ผ่านมา ผ่านไปสักพักคอร์ทก็พูดขึ้นว่า

“.....เอ่อ วิ.......คืนนี้คอร์ทไปร้านเหล้าปั่นกับเพื่อนลีดนะ มันนัดกันกินวันนี้น่ะ”
“แล้วคอร์ทไปส่งที่ห้องก่อน....” คอร์ทพูดต่อก่อนที่ผมจะหาคำพูดอื่นไปตอบมัน

“แล้วจะไปเลยหรอ” ผมถาม

“อืม...กลับดึกนะ รอหน่อยแล้วกัน” ตอนที่เรากำลังกลับออกจากอาร์ตอเวจี

“คืนนี้วิไปนอนหอวิดีกว่า ไม่ได้ไปนอนกับไอ้ทรีนานแล้ว เดี๋ยวมันเอาไปฟ้องที่บ้าน” คอร์ทหันมามองผมอยู่นาน ก่อนที่จะตอบตกลง

“เดียววิเดินกลับหอเอง” คอร์ทที่ทำท่าว่าจะไปส่งผมที่หอ
“ขับรถดีๆ แล้วกัน อย่าเมามาก”

       ผมเดินกลับเข้ามหาลัยในความมืดของทางเดินหน้าโรงเรียนสาธิต แล้วนั่งลงบนม้าหินหน้าสนามบาสโรงเรียนสาธิต ในคืนที่มืดมิดก็ยังอุตส่าห์มีแสงสีเหลืองของเปลวเทียน ทั่วไปหมด ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี อาจจะกลับหอไปอ่าน แมคเบธ ต่อให้จบ  มันเป็นเรื่องปกติหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะยิ่งเวลาที่เรารักใครคนหนึ่งมากเท่าไร เราก็จะเริ่มคาดหวังจากเขาคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกร้องเอาอะไรจากเขาคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และบางทีเราก็ต้องผิดหวังอยู่เรื่อยๆ

“พี่วิคะ....” เสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้น พร้อมกับเด็กผู้หญิงในชุดลำลองดูน่ารักกลุ่มหนึ่ง เพื่อนของงท็อบแน่เลย ผมเริ่มคุ้นหน้าเด็กคนหนึ่ง แต่น้องเขาชื่ออะไรผมกลับนึกไม่ออก

“....มีนเองค่ะ เพื่อนท็อบ” น้องบอกก่อนที่ผมจะทักทายกลับไปเสียอีก

“อืมม จำได้ ว่าไงล่ะ”

“มาลอยกระทงกับเพื่อนค่ะ พี่นัดกับท็อบไว้เหรอคะ” ในที่สุดน้องมันก็ถามมาจนได้ และคำถามนี้ทำให้ผมปั้นหน้าไม่ถูก

“ไม่รู้สิ ปกติพี่ชอบแอบลอยกระทงคนเดียว” ผมตอบไป

“พี่ตลกจริงนะคะ ลอยกระทงทำไมต้องแอบด้วย”

“พี่กลัวว่า คนข้างๆ เขาจะเดารู้น่ะว่าเรากำลังอธิษฐานขออะไร ฮ่าๆๆ”

“ฮ่าๆ ค่ะ ไปก่อนนะคะ หนูเห็นท็อบกำลังเดินมาแล้วค่ะ” คำพูดสุดท้ายนี้ทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะ ผมอาจต้องรีบหายตัวไป รู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้

ผมรีบเปลี่ยนทางเดิน ตัดข้ามโรงอาหารคณะศึกษาฯ กลับหอตัวเองทั้นที ที่หน้าหอของผม ผมเห็นไอ้โย๊ปกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ มันวางลงแล้วเมื่อผมเดินไปถึงตัวมัน

“อ้าว.....พี่” มันรีบทักแล้วยกมือไหว้เมื่อเห็นผม

“ไง” ผมรับไหว้มัน

“ทำไมอยู่คนเดียวล่ะ”

“ไอ้คอร์ทไปไหนล่ะครับ” เราถามคำถามนี้พร้อมๆ กัน จนผมทำตัวไม่ถูก

“คอร์ทมันมีเลี้ยงกับพวกลีดคณะฯ อ่ะ” ผมตอบ

“พวกไอ้เอ็ม ไอ้ทรีก็เพิ่งไปกับเมียมันพี่ คืนนี้คงดีกอ่ะ”

“ไม่แปลก” ผมบอก

“พี่ไปเดินงานลอยกระทงกับผมมั้ย” ผมแปลกใจที่โย๊ปมันชวนผมไปงานลอยกระทง เดิมผมเองก็อยากไปดูงานประกวดดาวเทียมอยู่แล้ว แล้วผมก็คิดได้ว่าปีนี้เป็นงานลอยกระทงปีสุดท้ายในมหาลัยของผม และเป็นปีแรกของมัน

“พี่ทำหน้าเหงาๆ นะ” มันทักตอนที่เราสองคนเดินผ่านหน้าหอไปสู่ฝูงคนที่มางานข้างหน้า

“เหรอ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนเพราะมันมีหลายความรู้สึกจริงๆ ในใจผมตอนนี้

“ไปดูประกวดดาวเทียมกันนะ” ผมบอกมันตอนที่เราซื้อขนมกับน้ำหวานกันแล้ว

“ครับๆ”

      ทุกปีที่มหาลัยของเราจัดงานลอยกระทงจะต้องมีเวทีประกวดดาวเทียมซึ่งถือเป็นเวทีดูดคนเพราะมันมีแต่เรื่องตลกล้อเลียน แต่ผมว่าบางครั้งมันก็สร้างสรรค์ดีนะ ที่มหาลัยของผมเราเปรียบผู้ชายเป็นพระจันทร์ หรือเดือน เราเปรียบผู้หญิงเป็นดาว ฉะนั้นการประกวดดาวเทียมก็คือ การประกวดกระเทย หรือสาวประเภทสองนั่นเอง เหตุผลที่เวทีนี้เป็นเวทีที่สนุกสนาก็เพราะว่าหลายๆ คณะฯ จะส่งตัวโจ๊กของคณะฯ ของตัวเองเขาไปป่วนงานประกวด ด้วยการคนให้พวกนี้แต่งตัวตลกๆ ตอบคำถามแบบเพี้ยนๆ และโชว์การแสดงที่ดูทุเรศจนออกนอกหน้า

      ปีนี้เวทีดาวเทียมไม่ใหญ่มากครับตั้งอยู่ข้างๆ อาคารโรงละครของ คณะอักษรฯ ที่เราเรียกว่าอาคาร A4 เราไปถึงที่เวทีเมื่องานประกวดเริ่มไปได้สักพักใหญ่แล้ว ธีมของการประกวดดาวเทียมปีนี้คือ การประกวดนางงาม ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงที่สองก็คือการตอบคำถามเฉพาะหน้า ผมก็ฟังผ่านๆ หัวเราะบ้างด้วยความตลก จนกระทั่งถึงคิวตัวป่วนจากคณะมัณฑณศิลป์ ตัวป่วนคนนี้เขาเป็นผู้ชายรูปร่างหน้าตาดีครับ ชุดแต่งกายคือการเปลือยท่อนบนแล้วใส่สร้อยยาว เพ้นท์สีนับไม่ถ้วนบนร่างกายของเขา จนมันดูเหมือนสีของน้ำคำในท่อระบายนะ ไม่เว้นแม้แต่บนใบหน้าของเขา ถึงอย่างนั้นก็ยังปิดความหล่อเหลาของเขาไม่มิดเพราะแม้แต่ผมก็ยังเกิดความต้องการทางเพศเมื่อเห็นใบหน้าและแผ่นอกที่เปลือยเปล่าของเขา  แต่เห็นได้ว่าเขาคงไม่ใช่ตัวตลกที่มีฝีมือนักเพราะ เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือนั้นค่อนข้างเบาเมื่อเทียบกับผู้ประกวดคนก่อนหน้า แล้วกรรมการก็ล้วงโพยคำถามในกระป๋องออกมา

“เอ่อ...สำหรับคุณแล้ว คุณคิดว่าสีไหนเป็นสีที่สวยที่สุด เพราะอะไรครับ” กรรมการประกาศออกไมค์ หนุ่มเด็ค (ที่มหาลัยผมเราเรียกเด็กคณะมัณฑณศิลป์ว่า เด็กเด็ค มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Faculty of Decorative Arts) เดินมาหน้าเวทีแล้วพ้อยท์เท้าเล็กน้อย ก่อนจะดัดเสียงที่ปิดปังความเป็นผู้ชายของตัวเองไม่มิดว่า

“ดิฉันคิดว่า....สีที่สวยงามที่สุดคือสีรุ้งค่ะ” ทุกคนกรี๊ดเพราะสีรุ้ง และสีม่วงคือตัวแทนของสาวประเภทสอง และชายที่รักร่วมเพศ ซึ่งไม่มีอะไรทำให้ผมแปลกใจ แต่ประโยคต่อมาต่างหากที่ทำให้ผมกรี๊ด

“เพราะสีรุ้งเกิดจากการรวมตัวกันของสีทั้ง 7 ค่ะ สีทั้งเจ็ดเมื่อรวมกันคือแสงสว่างคือความเป็นหนึ่งเดียว แต่เมื่อมันผ่านปริซึ่ม หรือผ่านน้ำ สีทั้งเจ็ดก็จะกระจายออกจากกันอีกครั้ง เป็นความหลากหลายของชีวิตและธรรมชาติที่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว” ผมคิดว่าคำตอบที่ผมได้ยินเป็นคำตอบคำถามเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งที่ผมเคยได้ยินมา ผมแหกปากเชียร์เขาทั้งกระโดดชูมือ จนโย๊ปมันพยายามดันให้ผมเอาดอกไม้ไปให้หนุ่มคนนั้น

ผมจะเอาดอกไม้จากไหนน่ะหรอ ง่ายๆ ครับ ที่มหาลัยเรามีธรรมเนียมอย่างนึ่งคือการแกล้งคนบนเวทีด้วยการยกต้นไม้ทั้งกระถางขึ้นไปให้ผู้ประกวด เพราะมันจะหนักจนเขาถือไม่ไหว แล้วมันก็จะเกะกะเต็มเวทีไปหมดจนเขาแสดงอะไรไม่ได้ แล้วระหว่างที่หน้าม้าของคณะมัณฑณศิลป์กำลังเอากระถางต้นไม้ไปให้เขา ผมเองก็ทนแรงยุจากไอ้โย๊ปไม่ไหว

       แล้วผมก็ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อที่สุด ผมวิ่งไปหากระถางต้นไม้ซึ่งเหลือแต่กระถางที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะกระถางเล็กหมดแล้ว ผมอุ้มกระถางต้นไปให้เขาก่อนที่เสียงกรี๊ดจะเริ่มซาลง หนุ่มเด็คคนนั้นก้มตัวลงมารับกระถางต้นไม้จากผมที่ชูมันขึ้นไป  แล้วผมก็แทบจะไม่เชื่อตัวเองเลยว่าในขณะที่เขาก้มตัวลงมาผมจะเขย่งปลายเท้าของตัวเอง แล้วยื่นเอาปลายจมูกของผมไปแตะแก้มที่เลอะไปด้วยสีของเขา ผมแน่ใจว่าไอ้โย๊ปที่อยู่ข้างหลังไป 4-5 เมตร โห่ให้ผมจนสุดเสียงของมัน เช่นเดียวกับอีกหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ แต่หนุ่มเด็คก็เฉยๆ เขาคงคิดว่าผมเป็นหน้าม้าที่คณะฯ เขาเตรียมมาเท่านั้น

“โย๊ปกลับหอเหอะ...ไปดูหนังกัน” ผมสะกิดบอกโย๊ปเมื่อผู้ประกวดอีกคนเดินเข้ามาตอบคำถาม เมื่อคนบางคนเริ่มมองมาที่ผม และเมื่อสำนึกความอายของผมเองมันเริ่มกลับมา 

   เราซื้อขนมกับน้ำอัดลมมาเพิ่มเมื่อเรากลับมาที่ห้องผม ไอ้ทรียังไม่กลับมา เราก็เลยนั่งดูหนังสยองเรื่อง House of Wax กันบนที่นอนบนพื้นห้อง House of Wax เป็นหนังที่วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งหลงเข้าไปในหมู่บ้านที่ 2 พี่น้องโรคจิตจับคนเป็นๆ มาทำเป็นหุ่นขี้ผึ้ง แล้วพวกเขาก็ต้องหนีให้รอด ระหว่างที่เรากำลังดูหนัง ไอ้โย๊ปก็ถามผมว่า

“พี่วิ...ผมถามอะไรหน่อยสิ” เสียงมันค่อนข้าง

“อืม....”

“ทำไมพี่ถึงเป็นเกย์” ผมก็งงครับ ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไรจากคำถามนี้

“ก็ไม่รู้สิ ผมตอบ ก็มันรู้สึกว่าชอบผู้ชาย”

“พี่เคยชอบผู้หญิงแบบนั้นมั้ย” มันถามผมต่อ

“เคย พี่เคยชอบผู้หญิงก่อนที่จะมาชอบผู้ชาย” ผมได้แต่ตอบมันตามความจริง

“อ้าว.........พี่เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”

“อยากรู้ทำไม” ผมถามมัน โย๊ปมันก็มีท่าทีลังเลที่จะตอบ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเล่าให้มันฟัง

“พี่เริ่มชอบคนอื่นแบบนั้น ตอนที่อยู่ป.1 เพื่อนผู้หญิงที่ย้ายโรงเรียนมาใหม่ ทุกคน ผู้ชายแทบทุกคนชอบเด็กใหม่คนนี้ ผมเขาสวยมากพี่จำได้....จนขึ้นชั้นป.6 พี่เจอเพื่อนผู้ชายคนใหม่ชื่อตองที่ครูประจำชั้นให้มานั่งโต๊ะเดียวกับพี่ พี่รู้สึกเกลียดมัน จำได้ว่ามันทำลิคขวิดเปื้อนพี่ พี่จำไม่ได้แล้วว่าพี่ไปชอบมันตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ชอบมัน จากนั้นมาพี่ก็เคยชอบผู้ชายคนอื่นบ้าง แต่ไม่เคยกลับไปชอบผู้หญิงอีกเลย”

“........................................” แล้วความเงียบก็กลับเข้ามาเหมือนเดิม ผมหันกลับมาสนใจหนังสยองของเราสองคนต่อไป

“แล้วเป็นผู้ชายกับเป็นเกย์มันต่างกันยังไง” น้ำเสียงของมันทำให้ผมรู้สึกว่าคำถามนี้เป็นคำถามสุดท้ายแล้ว ผมเลยต้องสวมบทของเด็กเนริ์ดตอบมันไป

“ในทางสังคมวิทยาแล้วสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ไม่มีเพศหรอกนะ คน สัตว์ ต้นไม้ เรามีแค่ชีวกลไกในการสืบพันธุ์ที่ต่างกัน ถ้าโย๊ปเคยดูสารคดี จะเห็นว่าสัตว์ที่เราเรียกว่าตัวผู้บางครั้งก็ผสมพันธุ์กับตัวผู้ ธรรมชาติไม่มีเพศหรอก เป็นคนเรากำหนดขึ้นมาทั้งนั้น” โย๊ปพยักหน้าตาม

“ผมเคยเห็นมาตัวผู้สองตัวเอากัน” มันพูดแทรกให้ผมฟัง

“อืม.....ผู้ชายกับเกย์แตกต่างกันแค่จินตนาการเท่านั้น เหมือนเส้นตรงที่โย๊ปวาดขึ้นมาเพื่อขีดแบ่งมันออกจากกัน โย๊ปต้องขีดมันซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกวันว่าโย๊ปเป็นผู้ชาย หากวันไหนโย๊ปลืมที่จะขีดย้ำมัน หรือเดินก้าวข้ามเส้นนั้นไป โย๊ปก็จะไม่เป็นผู้ชาย เป็นแค่โย๊ป เป็นธรรมชาติจะรักใครชอบใครก็ได้ ไม่มีเพศ” มันพยักหน้าให้ผมรู้ว่ามันเข้าใจ

ผมก็อยากให้มันเข้าใจ อยากให้ผู้ชายทุกคนเข้าใจ ส่วนเรื่องในคืนนี้ผมคิดว่าไอ้โย๊ปมันคงจะอินกับการประกวดดาวเทียมมากเกินไป
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-03-2014 08:07:54
โย๊ปกับวิขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดแล้ว ไม่มีใครที่ไม่เปลี่ยน
ในวันพิเศษที่คู่รักควรจะได้อยู่ด้วยกันกลับไม่เป็นเช่นนั้น หรือว่าคอร์ทก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 09-03-2014 14:52:01
อืม เราก็ว่าคอร์ทใจร้ายนะ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: Angel_K ที่ 29-03-2014 23:46:20
อ่านไปถึงตอนที่ห้าก็ต้องรีบมาคอมเม้นก่อนเพราะสะดุดกับประโยคนี้

(ที่มหาลัยผมร้านชายน้ำจะใช้โหลกาแฟแทนแก้วน้ำ ราคา 10-20 บาท ถูกมาก)

อ่านตอนแรกก็พอจะเดาได้อยู่ว่าสถานที่เป็นที่ไหน อ่านไปก็คิดถึงช่วงสมัยเรียนไป
ยังไงก็แล้วจะคอยติดตามเรื่องนี้นะคะ เป็นกำลังใจให้
 :L2:
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: xeruoh ที่ 23-12-2014 03:03:45
เคยอ่านเรื่องนี้เมื่อนานมากแล้ว
นึกถึง เลยกะจะกลับมาอ่านต่อ
คิดว่าคงแต่งจบไปแล้ว
แต่ค้นพบว่า เป็นนิยายที่ไม่มาต่อจนจบ
ไม่กล้าใหม่เลย กลัวค้าง
แต่ก็พอจำเนื้อเรื่องที่เคยอ่านไปบ้างตอนแรกๆได้ละนะ
อยากจะขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ ถึงได้มีถึงตอนจบ
แต่ที่เราอ่านๆไปเมื่อนานมาแล้ว จำได้ว่าเรื่องนี้เปลี่ยนมุมมองของเรา
ต่ออะไรไปหลายอย่างเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าจะกลับเข้ามาอ่านโพสรึเปล่า
เราแค่อยากจะขอบคุณ
หัวข้อ: Re: My Almond Crush....
เริ่มหัวข้อโดย: buzeative ที่ 05-03-2015 10:08:54
วิ ร่าน ใช่ไหม