ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Sorry,โทษทีครับผมรักเพื่อนใหม่
มีการแก้ชื่อเรื่อง(25/4/60) จาก error! วุ่นนักรักขัดใจ เป็นชื่อนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าจู่ๆผู้แต่งก็คิดชื่อเรื่องใหม่ได้หลังจากลงไปแล้วหลายบท(น่าตบตัวเองให้ตาย) และชื่อใหม่ดันเข้ากับเนื้อหามากกว่าชื่อเก่ามากๆ เลยขออนุญาตเปลี่ยนนะครับ // ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง
--------------------------------------------
Contents
Intro (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3620365;topicseen#msg3620365)
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3621118;topicseen#msg3621118)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3621695;topicseen#msg3621695)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3623064;topicseen#msg3623064)
บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3624439;topicseen#msg3624439)
บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3625531#msg3625531)
บทที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3626969#msg3626969)
บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3628137#msg3628137)
บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3629791#msg3629791)
บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3631764#msg3631764)
บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3633647#msg3633647)
บทที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3635566#msg3635566)
บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3637670#msg3637670)
บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3640248#msg3640248)
บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59550.msg3642920#msg3642920)
--------------------------------------------
ถ้ามีตรงไหนผิดพลาดสามารถแนะนำได้เสมอเลยนะครับ ผมจะนำคำติของทุกๆท่านไปพิจารณาและแก้ไข
ขอฝากนิยายเรื่องแรกเอาไว้ด้วยนะครับ :o8:
หมายเหตุ : เรื่องราวนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น อาจจะมีการดึงสถานที่จริงมาใช้บ้างเล็กน้อย
หมายเหตุ2 : Extra ในแต่ละบทเป็นสิ่งที่ผมคิดขึ้นมา เป็นบทคุยสั้นๆที่จะไม่มีทางรู้แน่นอนในบทหลัก เพราะผมหาทางใส่
ลงไปไม่ถูก ก็เลยแยกออกมาเลย เพราะฉะนั้นบางบทก็จะไม่มีนะครับ(ขึ้นอยู่กับมุกของผู้เขียน มุกหมดก็คือจะไม่มี)
Intro
จุดเริ่มของความผิดพลาด : Start to ERROR!
“ลาเต้ปั่นได้แล้วครับ”
“เอ้า ถึงเวลาเปลี่ยนกะแล้วน้องเต้ ตั้งใจดีมาก อ่ะนี่ค่าจ้างของวันนี้ ผู้จัดการฝากมาให้”
“เย้! ขอบคุณครับพี่เซฟ...โอ้ย ผมเจ็บนะ อย่าลูบหัวแรงดิ”
ขอแนะนำให้รู้จักนะครับ คนที่ลูบหัวผมไปหัวเราะไปอยู่นี่คือรุ่นพี่ที่ทำงานของผม พี่เค้าชื่อพี่เซฟ เค้าเป็นคนดูแลผมตอนที่ผมเข้ามาทำงานใหม่ๆ ทำให้เราค่อนข้างสนิทกัน
“เออใช่ รีบกลับบ้านไปพักผ่อนเลย พรุ่งนี้มีนัดรวมนิสิตใหม่ไม่ใช่หรอ”
“หืม พี่รู้ได้ยังไงเนี่ย แอบดูตารางของผมใช่มะ แต่ขอบคุณครับที่เตือน”
“เปล่าๆ พี่รู้จากผู้จัดการน่ะ แล้วพรุ่งนี้มาทำงานเปล่าฝากพี่บอกผู้จัดการไหม”
“ทำครับทำ มันเลิกประมาณเที่ยง ผมเข้ากะบ่ายโมง ถ้าจะสายก็คงไม่เกินสิบนาทีอ่ะครับ ขอบคุณครับที่ห่วง”
ก็อย่างที่เห็นแหละครับ ผมรักและเคารพรุ่นพี่คนนี้มาก พี่เค้าเป็นคนดีมากๆ เอาใจใส่ผม แม้บางครั้งจะชอบแกล้งผมก็เถอะ แต่บางครั้งการเอาใจใส่ของพี่ทำให้ผมรู้สึกถึงรังสีริษยาที่มาจากกลุ่มผู้หญิงบ้างเป็นบางครั้ง (บางครั้งก็แอบช็อกนิดหน่อย เพราะว่าก็มีมาจากผู้ชายบ้าง...) เพราะงั้นบางทีผมก็ต้องพูดให้พี่เค้ารู้ตัวว่าตัวเองอ่ะหล่อมาก สูงมาก แล้วก็หุ่นดีมาก (เอ๊ะ ทำไมพูดแล้วอยากร้องไห้) ดังนั้นการรักษาภาพพจน์ก็เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เพราะจากการสังเกตลูกค้า ที่มากันส่วนมากก็เพื่อส่องคุณพี่นี่แหละ
“โอเคกลับบ้านปลอดภัยนะ”
“เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่ได้ไปหาเจ้าข้าวเลย”
“อ๋อ นั่นไงวิ่งมาแล้วนั่น” ผมหันมองไปทางที่พี่เซฟชี้
“ไงจ้ะ เจ้าข้าว คิดถึงพี่มั้ย หืมม มาม่ะ จูบที”
“น้องเต้ อายลูกค้าหน่อยครับ” พี่เซฟพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ไอพี่บ้า เอาอีกแล้ว จะพูดทำไมให้คนมามองผมเนี่ย!
'ข้าว' หมาพันธุ์ไซบีเรียนตาสองสี มันเป็นหมาประจำคาเฟ่แห่งนี้และเป็นหมาที่ทำให้ผมได้เข้ามาทำงานในคาเฟ่นี้ด้วย ถ้าจะถามว่าได้ยังไงก็ต้องย้อนความกันนิดหน่อย ตอนนั้นมันเป็นช่วงที่ผมพึ่งย้ายมาอยู่ตัวคนเดียวใหม่ๆ แล้วกำลังหาที่ทำงานพาร์ทไทม์ บังเอิญเห็นเจ้าข้าวมันวิ่งเล่นออกมาที่ถนน แล้วพี่เซฟก็วิ่งตามมา
“น้องช่วยจับมันที!”
“เอ๊ะ..?”
แล้วเจ้าข้าวมันก็กระโดดเข้าหาผม แต่ไซบีเรียนมันใช่หมาพันธุ์เล็กๆเสียเมื่อไหร่กัน ทันทีที่เจ้าข้าวกระโดดเข้าใส่ ด้วยน้ำหนักตัวของเจ้าหมา หงายหลังสิครับงานนี้
“อูย...เจ็บๆ” กระดูกเชิงกรานหักไหมเนี่ย...รู้สึกร้าวไปทั้งหลังเลย
“นี่เจ้าหนูก็โดดใส่คนอื่นมันไม่ดีนะ วิ่งหนีเจ้าของก็ไม่ดีนะรู้มั้ย!...” ผมดุเจ้าหมาพันธุ์ไซบีเรียน แต่ในทันทีที่ดุเสร็จ ผมก็โกรธมันต่อไม่ลง ดูสิครับ รู้ตัวด้วยว่าโดนว่า หูตกเชียว
แต่ผมต้องใส่ชุดนี้ไปหางานต่อเนี่ยสิ...เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ไว้หาต่อพรุ่งนี้แล้วกัน
“เอ่อ ขอโทษครับๆ เป็นอะไรมากมั้ย” พี่เซฟเดินเข้ามาถามผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง
หลังจากนั้นผมก็ได้รู้จักพี่เซฟกับเจ้าข้าวเนี่ยแหละ จากนั้นก็คุยกันไปคุยกันมาก็รู้ว่าพี่เซฟเค้าทำงานอยู่ที่คาเฟ่นี้ ก็เลยแนะนำให้ผมเข้ามาทำงานด้วย ซึ่งผมก็ตกลงไปแบบไม่คิดอะไรมาก เพราะกำลังหาอยู่พอดี แถมผมก็ชอบกลิ่นกาแฟด้วย การทำงานที่คาเฟ่จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับผม
อืม ตั้งแต่ตอนนั้นก็อาทิตย์นึงแล้วสินะ...เป็นความทรงจำที่ดีล่ะมั้ง
“นี่น้องลาเต้ นั่งเหม่ออะไรอยู่ ไม่กลับบ้านกลับช่องเหรอ” เสียงของพี่เซฟทักผมขึ้นมา
“อ้าวจะหกโมงแล้วนี่ พี่กลับก่อนนะเจ้าหมาน้อย มาๆจุ๊บก่อนกลับ”
“เลิกงานห้าโมง กลับหกโมง ตลกดีนะ”
“กลับก็ได้ๆ ชิ ไล่กันอะไรขนาดนี้”
“โอ๋ๆไม่งอนๆมาๆกอดที”
“...พี่ครับ ผมว่ามันคงไม่ดีมั้ง”
ผมคิดว่ากลับบ้านแล้วก็ควรค้นหาวิธีแก้คำสาปแช่งเป็นความรู้ติดตัวไว้บ้าง อยู่กับคนๆนี้ไม่วันใดวันนึงมันก็ต้องโดนพวกแฟนคลับพี่ขยี้บ้างแหละ...
“ไม่ดีตรงไหนอ่ะ เป็นมารยาทนะ ตอนพี่อยู่เมืองนอกก็ทำ”
“แต่นี่ประเทศไทย...”
“ก็พี่ยังไม่ชินไหว้หนิ ทำให้พี่ไม่ได้หรอ นะๆ”
อึก...พี่ครับหยุดใช้ความหล่อของพี่ กับน้ำเสียงอ้อนๆเถอะ มันทำให้ผมใจอ่อนก็จริง แต่ผมยังไม่อยากถูกแช่งชักหักกระดูกนะ...ต้องเด็ดขาดบ้างแล้ว!
“ไม่ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“เดี๋ยวนี้หัวแข็งขึ้นนะเราอ่ะ ตอนรู้จักกันใหม่ๆยังน่ารักกว่านี้เลยนะ ขออะไรก็ให้”
“ไอ้พี่บ้า อายเค้ามั่งมั้ยเนี่ย ไปแล้วนะ หวัดดีครับ!” ทันทีที่ผมพูดจบผมก็รีบเดินแจ้นออกจากร้านในทันที
“เฮ้อ...” มีวันไหนออกมาจากร้านโดยไม่อายมั่งมั้ยเนี่ย
อ่อ จริงสิมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะงงเรื่องสถานะของผมนิดหน่อย งั้นขอให้ผมได้อธิบายตรงนี้นิดหน่อยแล้วกันนะครับ ผมชื่อเล่นว่า ลาเต้ เรียกสั้นๆว่าเต้ก็ได้ครับ ชื่อจริงคือ นายทิวา รุ่งเรืองสวัสดิ์ ย้ายมาอยู่คนเดียวได้ประมาณอาทิตย์กว่าๆแล้วครับ สาเหตุก็มาจากบ้านไกลมหาลัยนี่แหละ
สถานะปัจจุบันก็คือ เป็นนิสิตใหม่ของมหาลัย Q ครับ คณะที่ผมสอบติดก็คือสัตวแพทย์ ตอนนี้พักอาศัยอยู่ที่หอในของทางมหาลัย ส่วนเรื่องการทำงานพิเศษ ตอนนี้อย่างที่รู้ๆกันว่าผมทำงานอยู่ที่คาเฟ่ใกล้ๆมหาลัย สาเหตุก็คือ ผมอยากพึ่งพาตัวเองดูน่ะครับ จะพึ่งพ่อแม่ก็แค่ค่าเทอมเท่านั้นแหละ ผมไม่อยากเพิ่มภาระทางด้านค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็เลยตัดสินใจทำงานเองเลย
นี่ครับเดินมาประมาณสิบนาทีจากร้านคาเฟ่ ก็ถึงหอในแล้ว
หอพักมหาลัยนี้ ผมพูดเลยว่าทุกอย่างโอเค มีแอร์ มีห้องน้ำในตัวด้วย เสียอย่างเดียวไม่มีลิฟท์ ของแบบนี้มันควรจะมีไม่ใช่หรอ! คนห้องพักอยู่ชั้นบนสุดอย่างผมนี่ เหนื่อยทุกวันเลยให้ตายสิ...
ห้อง 609 ถึงซักที
โอ๊ะ...รูมเมทยังไม่มาเลยแฮะ...อืม ก็ดีเหมือนกันนะ(นิสัยไม่ดี) ปกติห้องพักห้องนึงจะมี 2 คนครับ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด ผมอยู่คนเดียวมาตลอด พอลองถามผู้คุมหอดู ก็เห็นบอกว่าเดี๋ยวจะมาเร็วๆนี้แหละ เห็นทางฝั่งนั้นยังไม่ได้เคลียกับทางบ้านอะไรซักอย่าง
อ้าวจะสองทุ่มแล้วหรอเนี่ย รีบอาบน้ำนอนดีกว่า นอนเร็ววันนึงก็ดีนะ (ปกตินอนดึกเพราะอ่านการ์ตูนบ้าง นิยายบ้าง ส่องเพจสัตว์โลกน่ารักเฟซบุ๊คบ้าง รู้ตัวอีกทีก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว)
เออใช่! พรุ่งนี้มีงานรวมนิสิตใหม่สินะ ชีวิตในมหาลัยกำลังเริ่มแล้วสิ
พรุ่งนี้จะเจอเรื่องอะไรบ้างนะ ตื่นเต้นจัง...
Extra
ตอนที่เจอกับพี่เซฟครั้งแรก
เซฟ : “น้องจะทำงานหรอ ไม่ได้ๆ ยังไม่บรรลุนิติภาวะยังทำงานไม่ได้นะ อย่างน้อยๆก็ต้องอายุ 18”
ลาเต้ : “ผมอยู่ปี 1 แล้ว!”
เซฟ : “...โกหกไม่ดีนะหนู“
ลาเต้ : (@Xy#$)
ความทุกข์ใจเล็กๆของผู้ชายสูง 165
ไอหมอนี่ทำไมนิสัยไม่เหมือนหน้าตาเลย
[พาร์ทนิล]
ผมตื่นขึ้นมาก่อนที่นาฬิกาจะปลุก สาเหตุก็ธรรมดาทั่วๆไปนั่นแหละ ‘ตื่นเต้น’ มันก็คงช่วยไม่ได้หรอก คนทั่วๆไปเวลาจะเจอเรื่องราวที่ไม่คุ้นชิน ก็ย่อมตื่นเต้น หรือตื่นกลัวเป็นธรรมดา
อืม แต่นี่มันพึ่งจะเจ็ดโมงครึ่ง ผมคิดว่าผมน่าจะใส่ชุดวิ่ง แล้วออกไปวิ่งในมหาลัยให้มันคุ้นกับสถานที่หน่อยแล้วกัน ถ้าจำไม่ผิดในแผนที่ของมหาลัยที่ตึกหลักมีห้องอาบน้ำอยู่ เอาชุดนักศึกษาไปด้วยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องเดินกลับมาเปลี่ยน
เท่าที่ผมลองเดินดูเมื่อวาน แถวๆหอประชุมน่าจะเหมาะกับการวิ่งที่สุด ต้นไม้เยอะ บรรยากาศดีด้วย...
หลังจากที่ผมหาตำแหน่งเหมาะสมและพร้อมที่จะเริ่มวิ่ง ผมก็เอาสายหูฟังเสียบเข้ากับมือถือ ผมเป็นคนชอบฟังเพลงไปวิ่งไปน่ะครับ ไม่งั้นวิ่งได้แค่นิดเดียวผมก็เบื่อแล้ว
อืม...จะแปดโมงแล้ว โอเคเดี๋ยววิ่งวนตรงนี้เสร็จก็พอ
โอ๊ะ เพลงเร็ว..งัดแรงเฮือกสุดท้ายออกมาวิ่งให้เต็มที่เลยแล้วกัน ผมเป็นนักวิ่งเก่า เพราะงั้นเวลาผมวิ่งด้วยแรงเต็มที่มันจะเร็วมากๆ ผมทำลายสถิติจังหวัดได้เลยนะ แต่พักหลังมานี่ก็ไม่ค่อยได้ฝึกเลย...เดี๋ยวมหาลัยมีงานกีฬาเฟรชชี่ด้วย ถือเป็นการปัดฝุ่นแล้วกัน
เฮ้ย?! นั่นคนหนิ ทำไมตะกี้ไม่เห็น ฉิบหายแล้ว...เบรกไม่ทันแน่ๆ
“หลบไปๆ!!!”
“ว้อท...?” อย่ามัวแต่หันมามองสิว้อย บอกให้หลบก็หลบเซ่!
‘โครม’
นั่น..จนได้
“โอ้ย เจ็บๆ...เป็นอะไรมั้ย ขอโทษที ตะกี้วิ่งเร็วไปหน่อย” โอ้ย เจอเรื่องแต่เช้าเลย อีกชั่วโมงกิจกรรมจะเริ่มแล้วด้วย ขอให้ไม่เป็นอะไรเถอะ
“...”
ทำไมนิ่งไปเนี่ย ตายมั้ยนั่น แค่วิ่งชนเองเนี่ยนะ
“เฮ้ย...ตื่นๆ เป็นไรมั้ย”
เขย่าตัวก็ยังไม่ตื่น ต้องทำ CPR ไหมเนี่ย แต่หัวใจก็ยังเต้น ยังมีลมหายใจอยู่ด้วย ทำเนียนไม่รู้ไม่เห็นดีมั้ย...
เฮ้อ...อยากจะหนีๆปัญหาอยู่หรอก แต่ปล่อยทิ้งไว้ก็น่าจะดูระยำเกินไป เอ้า...ฮึ้บ...ผมลองพยายามอุ้มเจ้าคนที่สลบไป
‘ตัวเบามาก?!...’ นี่ถ้าไม่เห็นว่าใส่ชุดนักศึกษาคงเด็กว่าเป็นเด็กมอต้นนะเนี่ย ตัวเล็กอีกต่างหาก
พาไปห้องพยาบาลก่อนแล้วกัน เอ๊ะ นั่นพี่คนนั้นใส่เสื้อสตาฟนี่หว่า ตอนนี้แปดโมงครึ่งอืม...ไปบอกพี่เค้าไว้หน่อยแล้วกันเผื่อว่าอาจจะไปช้า
แต่จะให้อุ้มเจ้านี่ไปด้วย ก็คงดูไม่ดีสินะ ตรงนั้นมีต้นไม้อยู่ เอาไปไว้ตรงนั้นก่อนแล้วกัน
“รอแปปนึงนะ...”
หลังจากผมวางเจ้าตัวเล็กให้นั่งพิงต้นไม้ ผมก็รีบวิ่งไปหาพี่ผู้หญิงที่ผมเห็น
“เอ่อ พี่ครับ”
“อุ้ยตาย น้องสุดหล่อมีอะไรคะ ถ้าจะขอเบอร์เดี๋ยวไว้พี่ทำงานเสร็จก่อนน้า อิอิ”
“ไม่ใช่ครับ...ผมจะมาบอกว่า เดี๋ยวผมพาคนนั้นไปห้องพยาบาลหน่อยนะครับ เหมือนเขาจะสลบไป เพราะงั้นผมอาจจะเข้ามาร่วมกิจกรรมช้าหน่อย จะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมชี้ให้พี่เค้าเห็นเจ้าตัวเล็กนั่น เหมือนพี่เค้าก็ทำหน้าเข้าใจ ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่ได้อยากบอกคนไปทั่วว่าทำคนสลบไป
“อ๋อ โอเคจ้ะ แล้วน้องอยู่คณะอะไรปีอะไรเอ่ย พี่จะได้ไปบอกพี่ทางคณะเค้าให้ว่าน้องจะไปช้า น้องคนนั้นด้วย”
“ผมอยู่ปีหนึ่งคณะสัตวแพทย์ครับ ส่วนคนนั้นผมไม่รู้ แต่สีเนคไทเป็นของปีหนึ่งครับ”
“อ๋อ โอเคๆไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปแจ้งกับทางสตาฟ ให้ส่งคนไปดูแลน้องคนนั้นที่ห้องพยาบาลทีหลังแล้วกัน”
“ได้ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับพี่” อืม รุ่นพี่สตาฟที่นี่ทำงานกันดีจังนะ มีส่งคนมาด้วย
“จ้า พี่ชื่อแพรวอยู่คณะทันตะฯน้า อยู่ปี 3 มาหาพี่บ้างก็ได้น้า โชคดีจ้ะน้อง” จากนั้นรุ่นพี่คนนี้ก็วิ่งกรี๊ดกร๊าด ไปหากลุ่มเพื่อนที่อยู่ห่างออกไป
ช่างเถอะ รีบพาเจ้าตัวเล็กไปห้องพยาบาลดีกว่า...
ณ ห้องพยาบาลในมหาลัย
“ขอโทษครับ เพื่อนสลบไปครับ”
“ไปทำอีท่าไหนมาล่ะนั่น ไหนดูสิ อืม...ไม่เป็นไรมากหรอก ให้นอนพักซักหน่อยเดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว”
สรุปจะให้ตอบมั้ยเนี่ยว่าไปทำอะไรมา
“โอเคครับ...งั้นเดี๋ยวผมขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ” งั้นก็รีบๆหนีดีกว่า
“เดี๋ยวก่อน ไปทำอะไรมา ยังไม่ได้ตอบอาจารย์เลยนะ” ก็อาจารย์ไม่เปิดช่องให้ผมตอบเลยนี่ครับ
“เอ่อ ผมวิ่งไปชนเค้าอ่ะครับ แต่อาจจะแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง...ห้องอาบน้ำไปทางไหนครับ”
ต้องเปลี่ยนเรื่องก่อน...ผมสังหรณ์ใจว่า ’จารย์เจ๊คนนี้จะถามอะไรเพิ่มเยอะแน่ๆ
“ออกไปแล้วเลี้ยวซ้ายเลยค่ะ ตรงไปห้องริมสุด อ่อใช่ อย่าไปอาบน้ำแล้วหายไปเลยนะ กลับมาด้วย”
“ขอบคุณมากๆครับ...” ดักไว้แล้วจะทำไงล่ะทีนี้ ก็ต้องกลับมาใช่มั้ย เฮ้อ...
จากนั้นผมก็รีบเดินออกมาจากห้องพยาบาลตรงดิ่งไปที่ห้องอาบน้ำ
รีบอาบน้ำดีกว่า...ผมเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำของทางมหาลัย ห้องอาบน้ำอย่างกับในโรงแรมแหนะ...งบเหลือหรอ
จะว่าไปหมอนั่นหน้าตาตอนนอนก็น่ารักอยู่...ถ้าเป็นเพื่อนกันได้ก็ดีสิ เราเองก็ยังไม่มีเพื่อนในมหาลัยเลย ไว้เดี๋ยวลองคุยดูหน่อยแล้วกัน
หืม ทำไมแสบๆที่ขา...แผลนี่หว่า สงสัยได้มาตอนวิ่งชน แน่ๆเลย ถ้าไม่ลืมเดี๋ยวไปห้องพยาบาลให้ ’จารย์ทำแผลให้แล้วกัน
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ผมก็เดินกลับไปที่ห้องพยาบาล ตามคำสั่งของอาจารย์พยาบาล
“เอ้ามาแล้วหรอ มาเซ็นชื่อเข้าใช้เร็ว รู้จักกันใช่ไหม กับเด็กที่นอนอยู่น่ะ” อ๋อ นี่คือสาเหตุที่ให้กลับมาสินะ เฮ้อ นึกว่ามีอะไรซะอีก
“เอ่อ...ไม่รู้จักครับ ผมแค่บังเอิญวิ่งไปชนกันเฉยๆ”
“งั้นก็ไปดูที่บัตรนักศึกษาแล้วกัน น่าจะอยู่ในตัวของเด็กคนนั้นนั่นแหละ ไปดูมา แล้วมาเซ็นชื่อแทนซะนะ เพราะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะหลับไปอีกนานแค่ไหน ช่วงบ่ายอาจารย์ไม่อยู่ เดี๋ยวจะไม่ได้เซ็นเอา”
จากนั้นผมก็เดินไปที่ตัวของเจ้าตัวเล็ก เพื่อจะหาบัตรนักศึกษา อืม น่าจะอยู่ในกระเป๋าเสื้อนะ..นี่ไง
“ทิวา รุ่งเรืองสวัสดิ์...ทิวา ชื่อเหมือนผู้หญิงจัง แต่ชื่อเราก็ไม่ได้ต่างกันหรอกมั้ง” ผมหัวเราะในใจ จากนั้นผมก็เดินกลับไปเซ็นชื่อให้ ‘ทิวา’
“เสร็จแล้วก็ไปรวมก็ได้นะ เดี๋ยวนักศึกษาคนนี้ตื่นเมื่อไหร่ เดี๋ยวอาจารย์บอกให้เค้าตามไปเอง”
อืม...มันก็ไม่ใช่ธุระที่ต้องมาเฝ้าหรอกนะ แต่...ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน มีลางสังหรณ์บอกให้อยู่เฝ้าเจ้านี่ไว้น่ะสิ
“ผมเป็นคนวิ่งชนเค้าน่ะครับ ผมว่าผมควรจะไปพร้อมกับเค้า”
“อืม ก็เอาเถอะ อย่าส่งเสียงดังรบกวนแล้วกัน”
จากนั้นผมก็ไปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียงที่ ทิวานอนอยู่ ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ทิวาก็รู้สึกตัว
“อึก...อือ”
รู้สึกตัวแล้วหรอ...เอ๊ะ เราควรจะพูดอะไรก่อนดี ลองพูดแบบธรรมดาก่อนแล้วกัน
“มึง...เป็นอะไรมั้ย?”
“อ่ะเฮือก?!”
อะไรอ่ะ ท่าตกใจ เหมือนลูกแมวเลย...
จากนั้นผมก็ลองคุยกับทิวาดู แต่เหมือนว่านิสัยเค้าจะไม่ได้น่ารักเหมือนหน้าตาเลย...ผมพยายามแสดงความเป็นมิตรแล้วนะ อย่างประโยคที่ว่า
‘สุภาพจัง...ทำเอาจึ๊กกะดึ๊ยนะเนี่ย ความจริงมึงจะพูดคำหยาบกับกูก็ได้นะกูไม่ถือ’
ผมหมายถึงให้เค้าทำตัวสบายๆ คำว่า จึ๊กกะดึ๊ย นี่ผมเห็นตอนสมัยมัธยม เพื่อนผมก็พูดกันบ่อยๆ เพื่อนเก่าผมมันบอกว่า เป็นคำที่ใช้แสดงความรู้สึกแปลกๆแบบสุภาพ...ผมทำอะไรผิดหรือไง
อย่างประโยคนี้อีก ‘...ใช้คำว่า เรา มันดูตุ้ดอ่ะ ไม่ใช้ไม่ได้หรอ คือกูไม่ชิน’
ผมอยากให้เค้าไม่ต้องรักษาระยะห่างกับผมแท้ๆเลยนะ ทำไมเจ้านี่มันถึงต้องโกรธด้วยล่ะ...หรือจริงๆคนๆนี้นิสัยไม่ดีอยู่แล้ว คนเรามันมองจากภายนอกไม่ได้สินะ
“ตอบคำถามเรามาเหอะ เราอยากจะใช้อะไรก็เรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องมาใส่ใจนะ รู้ใช่มั้ยว่าภาษาชาวบ้านเรียกคนแบบนี้ว่าอะไร?”
ทำไมต้องพูดแบบนี้ด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจเลย ไม่พอใจอะไรก็พูดมาดิ อยากด่าอะไรก็ด่ามาเลย จะได้รู้ว่าทำอะไรผิด เกลียดชะมัดๆพวกชอบแซะ สมัยเรียนก็มีพวกแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นโรงเรียนชายล้วนแท้ๆ เฮ้อ...
สรุปคือเจ้านี่มันด่าผมว่า ‘เสือก’ สินะ
“..มึงด่ากู?”
“ไม่ใช่มั้ง”
อ้าว..กวนตีนอีก
“กวนตีนนะมึงอ่ะ ตัวเท่าลูกหมาแค่นี้ทำปากดี”
“รู้สึกบางคนมันจะเริ่มก่อนนะ”
ผมเคยเป็นพวกชอบก่อปัญหาตอนสมัยเรียน แต่พอโตขึ้นก็เลยรู้ว่าที่ทำไป ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย ทำให้ตัวเองเจ็บตัวฟรีๆอีก ก็เลยเลิกไป แต่เหมือนเจ้านี่จะทำให้ผมต้องก่อปัญหาอีกสินะ
เริ่มจะหงุดหงิดแล้ว...จากนั้นเสียงของ อาจารย์ห้องพยาบาลก็ดังขึ้น
“พอค่ะนักศึกษา! อยากมีเรื่องเชิญข้างนอกค่ะ เจ้าหนูนั่นชื่อทิวาใช่มั้ย ไอคนที่นั่งข้างๆหนูนั่นแหละเป็นคนวิ่งชนหนูแล้วก็พามาส่งที่นี่ โอเคนะลูก จบพอ ไปร่วมกิจกรรมต่อซะ เชิญค่ะ”
ผมรู้สึกขอบคุณอาจารย์เล็กๆ ที่ช่วยขัดจังหวะ ไม่งั้นคงมีเรื่องมีราวใหญ่โตอีก เอาเป็นว่าแค่ให้เจ้านี่ขอบคุณก็พอ เสร็จแล้วก็ทางใครทางมัน
“ไม่ขอบคุณกูหน่อยรึไง อุตส่าพามาห้องพยาบาล”
นี่ผมไม่เคยใจดีกับใครเท่านี้มาก่อนเลยนะ พูดนำให้ก่อนด้วย
“โอ้โห กระผมต้องขอขอบพระคุณคุณมากๆเลยนะครับ ที่พากระผมคนนี้มา!”
ไอเตี้ยนี่...กวนตีนจริงๆใช่มั้ย
“เห้ย จับเสื้อกูไมว่ะ ก็ขอบคุณไปแล้วไง!”
“อย่างงั้นเรียกขอบคุณหรอ หึ...อยากจะขำ ชื่อเหมือนผู้หญิงก็อย่าทำตัวเหมือนผู้หญิงดิวะ ” ผมอาจจะปากไวไปหน่อย เลยยั้งไม่ทัน แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรแล้ว ถ้าเจ้าเตี้ยนี่ไม่จบ ผมก็ไม่จบอ่ะ เอาดิ
“ไม่ทราบว่าไม่มีคนสอนหรอครับว่าอย่าวิจารณ์ชื่อคนอื่น แล้วเรื่องทำตัวยังไงก็ไม่เห็นจะใช่เรื่องที่ต้องมายุ่งนะ!”
“ไอเตี้ยนี่พูดมากว่ะ”
“…”
เงียบทำไมวะ ไม่พูดต่อแล้วล่ะ ถ้าพูดดีๆตั้งแต่แรกก็จบแล้ว...เฮ้อ เหนื่อยใจจริง ลางสังหรณ์ของเรานี่เชื่อไม่ได้เล้ย พอๆ ไปดีกว่--
จู่ๆผมก็รู้สึกถึงแรงปะทะบางอย่าง ทันทีทันใดที่แรงส่งกระทบมา เข่าผมก็ทรุดในทันที พร้อมกับความจุกที่แล่นเข้ามา
“อึก....อุก...อูย ไอเตี้ยมึง!”
ไม่จบใช่มั้ยห๊ะ...อูย..อย่าหนีดิวะ!
“นี่นักศึกษาเสียงดังมาก! ยังไม่ไปกันอีกเหรอคะ! อ้าว...?”
“ขอโทษ...ครับ...อาจารย์.....ผมว่าผม...ขอพักซักหน่อย...แล้วกันครับ...”
“อะ...ค่ะ พักเสร็จก็มาเซ็นชื่อด้วยล่ะ...”
[จบพาร์ทนิล]
Extra
ตอนนิลอุ้มลาเต้มาส่ง
อาจารย์พยาบาล : (อืมมม..เคมีเข้ากั๊นเข้ากัน ได้พลอตใหม่ละทีนี้)
นิล : (‘จารย์จ้องเราไมวะ...)
ก็แค่เข้าใจผิด มันจะมีอะไรมากกว่านั้นอีกล่ะ
ตอนนี้ผม นายทิวา รุ่งเรืองสวัสดิ์ กำลังจะโดนฆ่าตายอยู่ในห้องของตัวเองครับ โดยไอคนที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ที่กำลังจ้องผมเขม็งอยู่นั่นอ่ะครับ โดยสาเหตุมันมาจากเมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้ว...
“เชี่ยนิล!” มันมาอยู่ในห้องของเราได้ยังไงวะ!
แต่ตอนนี้ผมต้องทำตามสัญชาตญาณของผมก่อน มันมีบางอย่างแล่นเข้ามาให้หัวผมว่า ‘ถ้าไม่หนีตอนนี้มึงตายแน่นอน’
เอาล่ะ โกยแน่บ!!
“ไอเตี้ยหยุด!” นิลพยายามเอื้อมมือมาคว้าคอเสื้อผม แต่โชคดีที่ผมเตี้ย(...) เพราะงั้นก็เลยพลาดไป
พอรู้ว่าเจ้านั่นพลาดผมก็รีบหันหน้าพร้อมที่จะหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก แต่ทว่า...คนบทมันจะซวยก็คือซวย ทำอะไรไม่ได้หรอก
ในจังหวะที่ผมกำลังจะออกตัววิ่งนั้น อาจจะเพราะรีบ ผมก็เลยสะดุดนิดหน่อย ถ้าแค่สะดุดเฉยๆมันก็คงไม่เป็นไรหรอก เผอิญว่า ด้านหน้าผมมีประตูที่เปิดไว้เนี่ยสิ
‘ปัง!’
สรุปง่ายๆตามภาพที่เห็น หน้าผมอัดเข้ากับประตูเต็มๆ
หลังจากนั้น ผมก็โดนไอนิลจับโยนเข้ามาในห้อง แล้วก็กลายเป็นแบบปัจจุบันนี่แหละครับ...
“…”
“…”
เอาแล้ว บรรยากาศชวนอึดอัด...ผมว่าผมคงต้องลองใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“เอ่อ...มึงมาอยู่ในห้องกูได้ไงหรอ” ผมพูดพร้อมกับมองมันตาใส ราวกับว่าเราไม่เคยมีอะไรระหว่างกันมาก่อน
มันจ้องผมเขม็ง จนทำให้ผมสะดุ้ง
“ก็นี่ห้องของกู ทำไมจะเข้ามาไม่ได้”
“ห๊ะ...” เดี๋ยวงั้นก็หมายความว่ารูมเมตเราคือ ไอนี่เนี่ยนะ...อืม ห้องของข้าวยังว่างอยู่สินะ
“มึงไม่ต้องหาวิธีหนีเลย กูไม่ยอมให้มึงไปไหนแน่ๆ จนกว่ามึงจะแสดงความรับผิดชอบที่มึงทำร้ายกู”
เบื่อพวกรู้ทันจริ๊ง...แต่ตอนนี้ผมกดดันซะจนอยากจะร้องไห้แล้วเนี่ย...ผมพยายามมองตามันให้มันเห็นใจแต่เหมือนว่าจะไม่ได้ผล..
หืม..ที่ขานั่น แผลหรอ
“มึงเป็นแผลหนิ แผลใหญ่ด้วย ไม่ไปทำแผลล่ะ”
ไม่ใช่ว่าผมเป็นห่วงอะไรหรอกนะ แต่ผมไม่ชอบเวลาเห็นแผลน่ะ ไม่รู้สิ ผมอาจจะโรคจิตก็ได้นะ เวลาผมเห็นใครมีแผลทีไร ผมก็ชอบเสนอตัวเข้าไปทำแผลให้ตลอดเลย เพราะงั้นผมก็เลยเลือกเรียนคณะสัตวแพทย์นี่แหละ ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปเรียนหมอ เป็นหมอคนมันต้องเรียนอนาโตมี่มนุษย์ใช่มั้ย ผมไม่ชอบอ่ะ ร่างกายมนุษย์ดูน่ากลัวกว่าร่างกายสัตว์อีก ผมก็เลยเรียนหมอสัตว์แทน
“ไม่ต้องยุ่ง กูไม่เป็นไร” โอ้ย เบื่อพวกงี้จังว่ะ มีแผลก็ไปทำแผลสิ ไม่ได้ถามเลยว่าเจ็บไหม
“ไม่ต้องเก๊ก ไปนั่งที่เตียง ปิดส่วนล่างดีๆด้วย กูไม่อยากเงยหน้าขึ้นมาเห็นอะไรแปลกๆหรอกนะ เดี๋ยวทำแผลให้ก่อนแล้วค่อยคุยกัน ได้มาจากตอนชนกูใช่มั้ย” ผมรู้เพราะว่าลักษณะมันเป็นแผลไถลน่ะ ผมค่อนข้างเชี่ยวชาญกับลักษณะแผลอ่ะนะไม่อยากจะคุย(นี่คือไม่อยากคุย)
ซึ่งมันไม่ยอมพูดอะไรตอบมา แต่ก็ยอมไปนั่งดีๆ ผมก็เดินไปหายาทำแผลที่ผมเก็บเอาไว้
หลังจากที่ผมหายาเจอแล้ว ผมก็เดินไปนั่งที่พื้น ก่อนจะเริ่มเอาแอลกอฮอล์มาเช็ดแผลของมัน
ในขณะที่ผมเช็ดแผล เหมือนว่านิลจะแสบแผล แต่ก็เก็บอาการไว้ สังเกตจากการกระตุกขาในทุกๆครั้งที่ผมเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์ไปโดน
หืม...น่าสนุก
“ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาก็ได้นะ” ผมพูดพร้อมกับทำสีหน้าเจ้าเล่ห์
“พูดเชี่ยอะไร แค่นี้ไม่เจ็บหรอก”
“อ๋อหรอ งั้นเจอนี่หน่อย” ทันทีที่ผมพูดจบ ผมก็เอาสำลีขยี้ไปที่แผลของมัน สงสารไหมสงสารครับ ผมไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมากเสียหน่อย แค่สะใจเท่านั้นเอง
“โอ้ย ไอสัดทำดีๆดิวะ มึงอยากมีเรื่องกับกูเพิ่มใช่มั้ยห๊ะ”
โถ คำหยาบคายนี่รับไม่ไหวจริงๆเลยนะครับเนี่ย พอดูๆไป เจ้านี่เหมือนนักเลงก็จริงอยู่ แต่เวลาจะพูดจะทำอะไรก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเท่าไหร่นะ แค่ใบหน้าตายซากของมันเลยทำให้ดูโหดแค่นั้นเอง รับมือไม่น่ายาก
“อ้ะๆ ทำดีๆก็ได้”
จากนั้นผมก็ทำแผลให้มันเงียบๆ ก็พอเช็ดแอลกอฮอล์เสร็จ ก็ลงเบตาดีน แล้วก็ใช้ผ้าพันแผลพันเป็นอันเสร็จ
ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ตอนผมทำแผลมันจ้องผมใหญ่เลย...ผมก็พยายามพูดบอกมันเป็นระยะๆแล้วว่าจะไม่แกล้งอีก มันก็ไม่เลิกจ้องเสียที ดูเหมือนจะเดาใจยากกว่าที่คิดนิดหน่อยนะเนี่ย
“เอ้าเสร็จแล้ว ไปใส่เสื้อผ้าไป” ผมไล่มัน
“ขอบคุณ…” หืม ขอบคุณหรอ พูดดีๆก็เป็นนี่
“อื้ม ไม่เป็นไรหรอก เต็มใจทำ” ผมยิ้มให้มันด้วยความยินดีปรีดา
ใช่เต็มใจมากๆ อย่างน้อยๆก็มั่นใจได้แล้วว่าผมจะไม่ถูกมันฆ่าหั่นศพในห้องนี้แน่ๆ
จากนั้นมันก็ใส่เสื้อผ้า แล้วก็มานั่งบนเตียงที่อยู่ตรงข้ามกับผม สภาพห้องที่มีรูมเมต...ความกว้างหายไปครึ่งนึง ฮือ...
ตอนนี้ความเงียบกลับมาอีกครั้ง และมันก็นั่งจ้องผมอยู่เงียบๆตามเดิม เหมือนรอให้ผมพูดอะไรซักอย่าง จากตอนแรกที่ผมว่าจะไปอาบน้ำ แล้วรีบมาอ่านการ์ตูนกับนิยาย ตอนนี้ผมไม่กล้ากระดิกตัวไปไหนเลย
มันกำลังวางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า หรือมันกำลังจ้องให้ผมกดดันมากๆจนเผลอกัดลิ้นตัวเองตาย ร้ายกาจ..ร้ายกาจจริงๆ
แต่ตอนนี้ถ้าผมยังไม่พูดอะไรผมต้องบ้าตายแน่ๆ
“เอ่อคือ...ชื่อนิลใช่ไหม กูได้ยินมาจากพี่สตาฟว่ามึงไปแจ้งว่ากูสลบไป ขอบคุณมากเลยนะ...แล้วก็ขอโทษเรื่องเมื่อเช้าด้วย กูไม่ได้ตั้งใจ...” ผมไม่สามารถมองหน้ามันตรงๆได้ในขณะนี้ ทั้งๆที่ห้องเปิดแอร์แต่เหงื่อกลับไม่หยุดไหล ทั้งๆที่เหงื่อไม่หยุดไหลๆ แต่ร่างกายกลับเย็นเฉียบ...
อยากจะตบปากตัวเองว่าทำไมไม่ชวนคุยเรื่องอื่น
“เฮ้อ...” มันถอนหายใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ตอนนี้สภาพมันอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้น ผมที่เคยเซ็ตเอาไว้ก็ปล่อยลงมาปรกหน้า ส่วนเรื่องสายตาที่มองมาหาผม ไม่รู้ ผมจะถือว่าผมมองไม่เห็นที่มองมาด้วยความเย็นชาแล้วกัน
แล้วมันก็ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมาย คือมันเดินมาใกล้ๆผม พร้อมกับ...
สั่งว่าให้ผมยืนขึ้น!
“ยืนขึ้น”
“เอ๋..?”
“บอกให้ยืนก็ยืนเหอะน่า”
อ่ะๆ ยืนก็ยืน
“แล้ว...?”
จากนั้นมันก็ลูบหัวผม ก่อนจะพูดว่า
“ตอนนั้นมึงด่ากูทำไม ไม่พอใจอะไรกู คราวหลังก็พูดกันดีๆ กูไม่ใช่คนชอบมีปัญหากับใครหรอก”
แต่หน้าตาดูเป็นคนชอบหาเรื่องมากเลยอ่ะ(แค่ก)...เดี๋ยวถ้าจะพูดแค่นี้แล้วให้ยืนเพื่อ..? ก่อนที่ผมจะได้ถามมันว่าให้ยืนทำไม มันก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
“อ่ะ มาพูดกันแบบลูกผู้ชายมึงไม่พอใจอะไรกู ว่ามา”
ผมแอบตกใจนิดหน่อยที่จริงๆแล้วมันเป็นคนใช้หลักเหตุและผลเข้าคุยกันมากกว่าที่ผมคิดเสียอีก ผมก็ไม่ได้เกลียดคนประเภทนี้ซะด้วยสิ งั้นทำไม เมื่อเช้าเราถึงทะเลาะกันได้นะ...
นั่นสิ ทำไมนะ เราแค่ไม่ชอบให้คนพูดคำหยาบใส่เหรอ ไม่สิตอนนี้ข้าวก็พูดแบบเดียวกับที่มันพูดกับเราตอนนี้ แถมตอนนี้เราเองก็ใช้คำหยาบด้วย
สรุปแล้ว สาเหตุมาจากคำหยาบเหรอ หรือว่ายังไงกัน ผมเริ่มงงๆกับอารมณ์ชั่ววูบในตอนนั้น มันสมเหตุสมผลตรงไหนกัน
“กูก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรมึงนี่...”
“แล้วเมื่อเช้า..มึงทำท่าเหมือนโกรธกูนะ”
“ก็ใช่...แต่ตอนนี้กูก็ไม่ได้โกรธอะไรมึงแล้ว”
มันทำหน้างงๆ ใช่ผมเองก็งงกับตัวผมเองเหมือนกัน จากนั้นผมก็ใช้ความคิดสักพักก่อนจะเอ่ยสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
“บางทีเราอาจจะแค่เข้าใจผิดกันเฉยๆนะ” ผมพูดพลางหัวเราะ
สีหน้าของนิลยังดูเคลือบแคลงใจอยู่เล็กน้อย ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยังต้องสงสัยอีก
“นิล กูว่านะ ในเมื่อตอนนี้ก็ไม่มีใครโกรธกัน เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ เนอะ”
ผมเสนอแนวทางที่ง่ายที่สุดออกมา จากนั้นมันก็หลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย เอ๊ะ ยิ้มก็เป็นนี่ หล่อด้วย ถ้ายิ้มเก่งๆหน่อย ผมว่าเจ้าหมอนี่คงฮอตไม่ใช่เล่นเลยแหละ
“ทำไมมึงถึงไม่ยิ้มบ่อยๆล่ะ หน้าตาก็ออกจะดี มัวแต่ทำหน้าบึ้ง ตอนกูเห็นครั้งแรกเลยเข้าใจผิดว่าเป็นนักเลงเลยนะรู้ไหม” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ
จากนั้นมันก็ตอบมาว่า
“กูไม่ใช่คนยิ้มเก่งหรอก แต่ถ้ามึงว่างั้น จะลองดูก็ได้”
พูดจาแบบนี้ ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงหลงมันแน่ๆ คนอะไรก็ไม่รู้ พูดจาหว่านเสน่ห์แต่ไม่รู้ว่าเผลอพูดเนี่ย
จากนั้นผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“จะว่าไป ให้กูยืนทำไมอ่ะ”
“ก็กูกะจะลูบหัวมึงนั่นแหละ แต่ตอนที่ล้ม เหมือนหลังจะยอกนิดหน่อย กูขี้เกียจก้มมาก เลยให้มึงยืนเอา อย่างน้อยก็ไม่ต้องก้มเยอะ”
จากประโยคที่มันพูดมา ผมจะพยายามไม่คิดเยอะแล้วกันนะ ฮึ่มมม
จากนั้นผมก็ไปอาบน้ำ...แต่ผมลืมไปอย่างว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวดังนั้น การใช้ชีวิตจะลำบากขึ้นมาประมาณเท่าตัว
อย่างตอนอยู่คนเดียว ผมก็เดินเข้าไปอาบน้ำ จากนั้นก็เดินโตงเตงออกมาแต่งตัวข้างนอกได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วไง...เพราะงั้นการอาบน้ำครั้งแรกก็เลย
“นิลกูลืมผ้าเช็ดตัวอ่าาา”
สักพัก
“นิลกูลืมเสื้อผ้าอ่ะ”
สามวิหลังจากนิลส่งเสื้อผ้าให้
“กะ...กางเกงใน”
และในที่สุดผมก็สามารถออกจากห้องน้ำมาได้อย่างสงบ(นี่สงบแล้วเหรอ)
“ใช้กูซะเป็นเบ๊เชียวนะ” นิลบ่นอุบหลังจากที่ผมออกมาจากห้องน้ำ
“ก็มึงผิดเองหนิ อยากมาอยู่หอช้า กูเลยไม่ชินเลยนี่ไง”
“กูก็มีธุระ ของกูไหมล่ะ”
ชิ..ไม่เถียงด้วยแล้ว
“เออใช่..วันนี้เขาพูดอะไรบ้าง หมายถึงที่เรียกมารวมวันนี้น่ะ”
“อ้าว ไม่ได้ไปฟังหรอ”
“ก็พอดีมันมีคนเตะผ่าหมากกูเนี่ยดิ เลยต้องนั่งพักอยู่ที่ห้องพยาบาล กว่าจะหายก็แยกกันไปหมดแล้ว”
ฉึก...เจ็บปวดเล็กๆ
“ขอโทษ...”
จากนั้นผมก็พูดเรื่องที่ต้องประกวดดาวเดือน กับค่ายแล้วก็เรื่องการเปิดภาคเรียนให้นิลฟัง พอพูดเสร็จผมก็ขอตัวมานั่งอ่านการ์ตูนกับนิยาย รู้ตัวอีกทีก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ผมก็เลยจะปิดไฟนอน แต่ก่อนจะปิดไฟ ผมก็พึ่งเห็นว่าไอนิลเนี่ยมันหลับอยู่ ซึ่งมันหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ไอนี่แม่งนอนเร็วจัง แต่ขอบตาคล้ำยังกับแพนด้า...ผมนั่งลังเลอยู่นานว่าควรจะเอา eye cream ไปทาให้มันดีไหม เพราะยังไงไอนี่ต่อให้มันไม่เสนอตัว มันก็คงโดนเลือกเข้าประกวดเดือนคณะแน่นอน
เฮ้อ...ทาให้ก็ได้วะ ยังไงก็เป็นเพื่อน จะให้ไปลงประกวดทั้งๆที่หน้าก็ออกจะหล่อ สูงก็สูง หุ่นก็ดี แต่มีตำหนิที่ตามันก็แลดูจะน่าสงสารเกินไป
เมื่อตัดสินใจได้แล้วผมก็เลย หยิบ eye cream ไปทาให้มัน ผมพึมพำนิดหน่อยหวังว่าให้มันได้ยินได้ฝันเป็นความอิจฉาเล็กๆน้อยๆของผมนั่นแหละ
“กูอิจฉาความสูง กับใบหน้าหล่อๆของมึงจริงๆ กูเนี่ยนะเกิดมาตอนมัธยมก็หน้าสิว มีแต่คนไม่ชอบ พอโตขึ้นดูแลผิวพรรณตัวเองก็กลายเป็นหน้าหวานซะงั้น แถมเตี้ยอีก เป็นผู้ชายที่เสียชาติเกิดจริงๆ”
หลังจากผมพูดจบ พร้อมๆกันกับที่ทาครีมใต้ตาให้มันเสร็จ ไอนิลมันก็จับข้อมือผมแล้วกระชากผมลงไปกอดที่เตียงมัน
“ไอนิลมึงปล่อยดิ๊ กูอึดอัด มึงแกล้งละเมอใช่ไหมเนี่ย!”
“...”
ไม่ตอบ.. เอาจริงๆก็พึ่งจะคุยรู้เรื่องเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ มันจะกล้าดึงเราไปกอดก็ออกจะเกินไปหน่อย เว้นแต่ว่ามันจะปิ๊งเราเท่านั้นแหละ สงสัยจะละเมอจริงๆ
เฮ้อ..ต้องนอนทั้งๆแบบนี้ใช่มั้ยเนี่ย หลังจากที่ผมปลงได้ ผมก็เอื้อมมือไปปิดโคมไฟที่อยู่เหนือเตียงนิล
บ้าจริง เขินอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ไม่ตลกเลยนะเนี่ย...
“ฝันดีเพื่อนใหม่”
ผมพูดก่อนที่จะหลับตาลง แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราไป
[พาร์ทนิล]
เหมือนว่าเจ้าตัวเล็กที่ผมนอนกอดอยู่นี่ จะไม่รู้ตัวว่าผมยังตื่นอยู่ ตอนแรกๆผมก็กะจะแค่แกล้งเล่นๆ ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า เจ้าตัวจะไม่ได้ดิ้นอะไรมาก แล้วก็ยอมนอนดีๆ
คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ทำตัวเหมือนจะเหินห่าง แต่ก็กลับดูแลเอาใจใส่ อย่างตอนทาอะไรสักอย่างให้ผมเนี่ย ผมนี่แทบบ้า แล้วตอนพูดประโยคนั่นอีก จะอิจฉาผมทำไมกัน สูงหล่อไปแล้วยังไง ในเมื่อคนรอบๆตัวก็มองมาด้วยสายตาแบบเดียวกัน
ผมรู้ตัวว่าตัวเองชอบไอหมอนี่ก็ตอนที่มันทำแผลให้ผมเนี่ยแหละ แล้วมันยิ่งทำให้ผมหลงในทุกๆครั้งที่มันยิ้มให้ คนบ้าอะไรยิ้มน่ารักฉิบหาย
เหมือนผมจะชอบคนๆนี้จริงๆ(พูดในฐานะลูกผู้ชายเลย)
มันจะรู้ตัวไหมนะ ว่าผมหลงมันเข้าแล้ว
เฮ้อ แล้วไอแบบนี้ผมจะนอนหลับมั้ยเนี่ย
ผมพยายามข่มตา และข่มใจที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ในตอนนี้
‘ฝันดีครับตัวเล็ก’ ผมยิ้มพร้อมกล่าวในใจ
[จบพาร์ทนิล]
ออกเดินทาง
‘ที่คุยที่คาเฟ่ แอปเปิ้ลมันบอกว่ารู้ว่ากูชอบมึง ก็เลยแกล้งมึงให้หึงเล่น เพราะอยากรู้ว่ามึงชอบกูเหมือนกันไหม’
‘แอปเปิ้ลมันบอกว่ารู้ว่ากูชอบมึง’
‘กูชอบมึง’
ตั้งแต่ตอนนั้นที่มันพูดให้ผมฟัง ผมก็ไม่ได้คุยกับมันอีกเลย ไม่รู้ว่าผมเขินหรืออะไรกันแน่
เพราะหลังจากที่มันพูดเสร็จ ผมกับมันก็อ้ำๆอึ้งๆกันอยู่นานสองนาน ผมเลยตัดสินใจรีบแจ้นออกไปซื้อครีม พอกลับมาถึงห้อง ไอนิลก็เข้านอนไปแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจอาบน้ำนอนเลยเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะยังนอนไม่หลับก็ตามเถอะ เพราะมันพึ่งจะสองทุ่มเอง!!
ผมมาลองวิเคราะห์สิ่งที่มันพูดอีกที เหมือนว่าแอปเปิ้ลจะลองใจผมมาตลอด แล้วคือที่คุยกันที่คาเฟ่จนผมคิดไปมากมายมหาศาลขนาดนั้น คือคุยเรื่องของผม ที่แอปเปิ้ลชวนนิลไปซื้อของก็แค่แกล้งผมเหมือนกันงั้นหรอ
ไม่อยากจะเชื่อเลย! นอกจากเรื่องของแอปเปิ้ล ก็มีเรื่องที่มันบอกชอบผมซึ่งๆหน้าเนี่ยแหละ! แถมยังบอกหน้าตายอีก แล้วใครจะเชื่อลงฟะ! ถึงผมไม่คิดว่ามันจะเอาเรื่องพวกนี้มาล้อเล่นก็เถอะ แต่ก็เชื่อยากอยู่ดี
แต่เรื่องที่ผมไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่า
‘ตัวผมก็ชอบไอนิลเหมือนกัน’ นั่นเป็นสิ่งที่บอกเป็นนัยจากที่แอปเปิ้ลฝากนิลบอกผม เพราะถ้าแอปเปิ้ลจะทดสอบให้ผมหึงจริงๆล่ะก็ ผมก็หึงมันไปแล้ว หึงไปเต็มๆด้วย
แล้วทั้งๆที่ทุกอย่างเป็นใจขนาดนี้ ทำไมผมถึงไม่รับรักมันเหรอ เหตุผลน่ะมันมี แต่ถ้าพูดง่ายๆก็ ‘กลัว’
ผมกลัวจะเจ็บปวด ผมไม่อยากจะเชื่อในอำนาจของรักแรกพบ ผมไม่คิดว่าการชอบกันทั้งๆที่รู้จักกันยังไม่นานมันจะทำให้อยู่ได้นานอย่างมีความสุข
เพราะงั้นผมก็เลยเลือกที่พยายามจะไม่สนใจในคำพูดแบบที่มองก็รู้ว่าจีบมาตลอด
แต่ทั้งๆแบบนั้นมันก็ยังไม่ยอมลดละที่จะแสดงความรู้สึกของมัน
ใครจะบ้าเท่ามันอีก...
“นอนดึกเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นไม่ไหวหรอก”
เฮือกกก!!!
เสียงพูดเนิบๆดังมาจากข้างๆผม มันยังไม่หลับเหรอเนี่ย แล้วมันรู้ได้ไงว่าผมยังไม่ได้หลับ!
“มึงไม่ต้องคิดมากหรอก กูไม่สนใจหรอกว่าจริงๆมึงจะคิดยังไงกับกู มึงเป็นแบบที่มึงเป็นไปเถอะ กูพอใจในสถานะตอนนี้อยู่แล้ว”
จากนั้นมันก็เงียบไป หวังว่าคราวนี้มันจะหลับจริงๆแล้วนะ ไม่งั้นมันก็คงคิดว่าผมหลับไปแล้วมากกว่า แต่มันพูดมาแบบนั้น...
เพราะงี้ไงกูถึงได้ทั้งชอบทั้งเกลียดมึงไปพร้อมๆกัน พูดแบบนี้จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงล่ะ
ช่วยทำตัวเลวๆหน่อยไม่ได้หรือไง อย่างงี้ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีอ่ะสิ
จากนั้นก็ถึงเวลาไปค่าย
ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกก็คือผมยังไม่ได้นอนเลยมากกว่า เจอเรื่องแบบนั้นไปเล่นเอาคิดมากทั้งคืน
เฮ้อ...เดี๋ยวไปหลับบนรถแล้วกัน
รถออกหกโมงครึ่ง อยากรู้จริงๆว่าจะไปไหน ให้ตื่นแต่เช้าเลยเนี่ย!
ขณะตอนขนกระเป๋าไปที่นัดรวม บรรยากาศตอนเช้าตรู่ปกติผมก็ไม่ชอบอยู่แล้ว ยิ่งเจอความอึดอัดระหว่างผมกับนิลอีก...อยากชวนคุยแต่พูดไม่ออก
ผมควรจะพูดอะไรดีไหมนะ หรือว่าควรจะปล่อยเลยตามเลย
“มือสั่นแล้ว ถือไหวไหม” ไอนิลหันมามองผม
ก็สั่นเพราะมึงนั่นแหละ! กดดันกันเกินไปแล้วนะเว้ย!! แล้วทำไมมึงถึงพูดราวกับเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยวะ!
จากนั้นเมื่อมันเห็นผมที่กำลังทำหน้าเลิกลั่กเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามมันไปไงดี มันก็คว้ากระเป๋าผมไปถือเลย
คนดีอีกแล้ว...หน้าตาแบดบอย นิสัยโครตเทพบุตร คนอะไรวะหาจุดด่าไม่ได้เลย
อ่อ ยังมีเรื่องหน้าตายนี่หว่า
“ขอบใจนะ” ผมเงยหน้ายิ้มไปให้มัน
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองไหมนะ แต่เหมือนนิลจะหน้าแดงหน่อยๆ มันเขินผมเหรอ...?
ไม่อ่ะ ไม่มีทางหรอก
แล้วก็ได้เวลาขึ้นรถทัวร์
“เอาค่อยๆขึ้นนะคะน้องๆ อย่าแย่งกัน ใครที่จำไม่ได้ว่าตัวเองขึ้นคันไหนให้มาดูรายชื่อกับพี่เลยนะคะ”
ผมขึ้นคันที่สอง ซึ่งมันช่างบังเอิญว่าไอนิล ไอข้าว ก็ดันมาอยู่คันเดียวกับผม แถมด้วยพี่ประจำรถที่คอยดูแลก็มีพี่เซฟเป็นหนึ่งในนั้น
บางทีผมก็แอบสงสัยว่าช่วงนี้ทำไมผมเจอแต่เรื่องบังเอิญนะ
เพราะไม่ใช่แค่กลุ่มเพื่อนที่ผมรู้จัก แอปเปิ้ล กับทราย ก็อยู่ในรถคันที่สองด้วย!
เมื่อผมเอาสัมภาระไปเก็บไว้ที่ช่องเก็บสัมภาระของรถแล้ว ผมก็รีบขึ้นรถ เพื่อไปจองที่นั่งที่ดีที่สุดสำหรับผม รถทัวร์คันนี้เป็นรถทัวร์แบบสองชั้น เพราะฉะนั้นที่ๆไม่ต้องเสวนากับใครคนอื่นมากนัก ก็คือชั้นสองด้านหน้าสุดริมหน้าต่าง
“กูนั่งด้วย” ไอนิลที่เดินขึ้นรถตามหลังผมมา ก็นั่งข้างผมทันทีที่พูดเสร็จ
อืม...เอาเถอะ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่ตอนนี้เป้าหมายของผมคือ ‘การนอน’
ผมล้าจะตายอยู่แล้ว โครตง่วง แถมตอนนี้ผมค่อนข้างสบายใจกว่าเมื่อคืนเยอะ เพราะนิลยังคงทำตัวปกติ เพราะงั้นตอนนี้ผมขอนอนก่อนแล้วกัน
ผมเอาหัวพิงกระจก ก่อนจะค่อยๆเริ่มหลับตาลง แต่ว่าคนข้างๆก็เอามือสะกิดผมรัวๆ
“ว่า...?” ผมพูดเสียงเนือยๆเพราะความง่วง
สิ่งที่ผมเห็นก็คือนิลเอามือแตะๆที่ไหล่ของมัน
...? ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอก แต่เพราะนึกๆสักพักผมก็รู้สิ่งที่มันจะสื่อ
“พ่องสิ”
ใครจะเอาหัวไปพิงไหล่มันวะ ไอบ้า!
จากนั้นรถทัวร์ก็ค่อยๆออก บนรถทัวร์ที่สั่นเบาๆ มันทำให้ผมรู้สึกนอนอยู่บนเปลที่กำลังไกว ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะหลับไป
[พาร์ทนิล]
ตอนนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกันแน่ เพราะเมื่อวานผมได้ทำสิ่งที่คล้ายๆการสารภาพรัก
ผมอาจจะแค่ชอบมันข้างเดียวก็ได้ เพราะดูเจ้านั่นจะกระอั่กกระอ่วนมากหลังจากที่ผมพูดออกไป ผมเลยเกือบจะตัดใจไปแล้ว
แต่ผมก็ลองเสี่ยงชวนมันคุยแบบปกติ เจ้าทิวามันก็คุยกับผมแบบปกติเหมือนกัน ทั้งยังดูดีใจเสียอีก
เพราะงั้นผมก็เลยมีความหวังนิดหน่อย ว่าผมสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้
ผมน่ะชอบมันจริงๆ ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็มั่นใจขึ้นเรื่อยๆว่าไม่ใช่แค่ชอบ แต่เป็นรักผมรักในตัวของเจ้านี่จริงๆ มันอาจจะรวดเร็วเกินกว่าจะยืนยัน แต่ผมเชื่อมาเสมอว่ารักไม่ต้องการเหตุผล คนมันจะรักมันก็รักเองนั่นแหละ เพราะงั้นผมถึงไม่อายที่จะแสดงความรู้สึกให้มันรู้
ผมอยากรู้จริงๆว่ามันคิดยังไงกับผมกันแน่ เพราะสิ่งที่เจ้านี่ทำกับผมมันยากที่จะบอกว่ามันคิดยังไงกับผม เพราะแต่ละการกระทำมันทำให้ผมคิดไปเองเสมอเลยว่ามันก็ชอบผมเช่นกัน จนผมเริ่มสับสนว่าเนื้อแท้ของทิวาอาจจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า
แต่อย่างไรก็ตามถ้ามีโอกาส ผมก็จะลองยืนยันความรู้สึกของมันดู และจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าครั้งนี้ผลยังเป็นความอึดอัดอีก ผมก็จะตัดใจ แล้วอยู่แบบนี้ต่อไป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีความรัก เพราะงั้นผมก็จะไม่โวยวายถ้าสุดท้ายมันจะจบแบบนั้น
ผมหันไปมองคนตัวเล็กที่นอนหลับโดยเอาหัวพิงกระจกเอาไว้อยู่ ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะนี่มันก็เช้ามาก ทำให้คนส่วนใหญ่บนรถเลือกที่จะนอนพักผ่อนเอาแรงกัน
มีแต่ผมที่เมื่อวานหลับไปตั้งแต่ประมาณสามทุ่ม ทำให้เช้านี้ผมไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย
จะว่าไปแล้วสิ่งที่แอปเปิ้ลพูดกับผมก่อนขึ้นห้องมันก็ทำให้ผมค่อนข้างมีความหวังมากเลยทีเดียว
‘ทิวามันหึงแกอ่ะ ดูดิแค่ฉันไปคุยเล่นกะแกหน่อยเดียว ก็เดินหนีขึ้นห้องไปแล้ว’
ผมที่ได้ยินแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงดีใจทั้งนั้นแหละครับ คนที่เราชอบหึงเราเนี่ย แต่ผมก็พยายามเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี
จากนั้นผมก็นั่งเหม่อมองวิวทิวทัศน์ข้างทางไปสักพัก ไอทิวาก็เอียงคอมาพิงไหล่ผม
ตอนแรกผมตกใจมาก กะว่าจะปลุกแล้วด้วยซ้ำ แต่คิดไปคิดมาผมก็...รู้สึกดีไม่ใช่น้อย
ลมหายใจของมันรดมาที่เนินไหล่ของผม แม้จะมีเสื้อกั้นไว้อยู่ แต่ผมก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆอยู่ดี
ผมค่อยๆเหลือบตามองคนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังนอนพิงไหล่ผมด้วยท่าทางสบายสุดขีด
หน้าตามันช่างน่ารักเสียจนผมอยากจะอุ้มขึ้นมานั่งบนตัก แต่ผมก็ต้องอดทนเอาไว้ก่อน ผมค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าของคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ
ผมค่อยๆลูบใบหน้าไล้ลงมาจนถึงริมฝีปาก ปากของเจ้าตัวเล็กมันนุ่มและสีชมพูจางๆ
‘อยากจูบ’ ความคิดแปลกๆก็ค่อยๆพรั่งพรูเข้ามาในหัว
ไม่ไหว ผมอดทนไม่ไหวแล้ว
ผมค่อยๆก้มหน้าไปหาคนตัวเล็กๆช้าๆ เพราะกลัวคนข้างๆจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรไปก็มีเสียงคนขัดขึ้นมา
“ทำแบบนี้บนรถมันไม่ดีนา”
ผมหันกลับไปมองทางต้นเสียงในทันที
คนพูดคือคนที่เป็นเดือนมหา’ลัย คนๆนี้นั่งอยู่เบาะด้านหลังผม และนั่งอยู่ข้างๆเชี่ยข้าวที่กำลังหลับอยู่เหมือนกัน
เขากำลังยืดตัวขึ้นมามองผมและทิวา ดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายแสดงถึงความสนุกอย่างชัดเจน
ถ้าผมจำไม่ผิดคนนี้คือคนที่เชี่ยข้าวชอบใช่ไหมนะ...
“อย่ามองด้วยสีหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิ พี่ก็แค่เตือนเฉยๆ”
ผมเงียบ ผมไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรกับเขา
“น้องชอบเต้มันใช่ม่ะ”
!!!
“จะใช่ไม่ใช่ก็ช่างเถอะ ไปดูแลคนข้างๆดีกว่ามั้ง” ผมพยายามเบี่ยงประเด็น ผมไม่สนใจหรอกว่าเขารู้ได้ไง แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกเขาเช่นกันว่าใช่ไม่ใช่
ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ทำสีหน้าประหลาดใจนิดหน่อยแล้วก็กลับไปนั่งเหมือนเดิม
สุดท้ายต่อจากนั้นผมก็ไม่ได้ทำอะไรทิวามันอีก ได้แค่มองมันจนมาถึงจุดพักรถ เพราะมันก็จริงที่ว่าถ้าผมทำอะไรมันไป เกิดมันรู้ขึ้นมามันอาจจะโกรธ หรือถ้ามีคนเห็นเข้าทิวาจะเดือดร้อนเพราะข่าวลือ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ผมก็ได้อยู่ใกล้วิวที่งดงามที่สุดแล้ว
[จบพาร์ทนิล]
“ทิวา”
“ทิวา”
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆตามเสียงเรียก ผมส่งเสียงอืออาในคอเบาๆ แล้วค่อยๆยืดตัวช้าๆ
กระจกรถคันนี้นอนสบายดีจัง กลิ่นก็หอมอ่อนๆด้วย ใช้น้ำยาอะไรเช็ดกระจกนะ
เดี๋ยวนะ กระจกมันสัมผัสแบบนี้เหรอ?! ผมนั่งตัวตรงคอตรงในทันทีเมื่อพบความผิดปกติ ก่อนจะค่อยๆหันไปมองคนด้านข้างอย่างช้าๆ
อ๊า...ฉิบหายแล้ววว ผมนอนพิงไหล่มันไปจริงๆเหรอเนี่ย!! แถมมีคราบน้ำลายตูอีก!!
“ถึงจุดพักรถแล้ว จะลงไปซื้ออะไรกินไหม หรือจะไปเข้าห้องน้ำ”
เหมือนว่ามันจะยังไม่เห็นคราบน้ำลายใช่ไหม งั้นเนียนๆไปก่อนแล้วกัน
“กูอยากกินกาแฟ เดี๋ยวลงไปซื้อก่อนนะ” ผมทำท่าจะรีบวิ่งแจ้นลงไปจากรถ แต่มันก็ทักผมขึ้นมาก่อน
“เออนี่ มีทิชชู่ไหม จะเช็ดน้ำลายที่เสื้อน่ะ”
“...”
ตอนนี้ผมอยู่ที่คอฟฟี่ชอปแห่งหนึ่งที่จุดพักรถครับ
ผมเดินมากับข้าว แล้วก็นิล ในร้านตอนนี้เต็มไปด้วยเหล่านักศึกษาของคณะผม ผมสูดกลิ่นกาแฟที่ผมชอบเข้าไปจนเต็มปอด
“มึงไม่ต้องคิดมากเรื่องน้ำลายนะ กูไม่เป็นไร”
“อย่าขยี้ได้ไหม!!!” ผมหันไปด่าไอนิลขณะที่กำลังต่อแถวซื้อกาแฟ อุตส่าเกือบจะลืมแล้วเชียว ความอับอายนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน
“มึงเนี่ยนะ ไปหลับที่ไหล่เขา แล้วก็ยังจะทิ้งร่องรอยไว้อีก กลัวคนมานอนต่อหรือไง”
“เงียบไปเลยไอเชี่ยข้าว” ผมด่าไอข้าวที่ต่อแถวอยู่หน้าผมก่อนจะพูดต่อ
“ใจจริงมึงก็อยากพิงไหล่พี่เซฟเหมือนกันนั่นแหละ แค่มึงไม่กล้า อย่าคิดว่ากูไม่รู้” ผมส่งเสียงหึ ใส่มัน
“เบาๆดิ! เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก” มันหันมาทำหน้าโกรธใส่ผม ซึ่งผมก็ทำทีท่าเมินเฉยตอบกลับไป
“ถึงคิวมึงแล้ว ซื้อดิ” ผมสะกิดไอข้าว
“อ่าขอ ลาเต้ปั่นสองแก้วครับ”
“ซื้อไปทำไรสองแก้ว”
“ให้รุ่นพี่”
“โหย ใส่ใจกันสุดเลยอ่า” ผมแซวมันพร้อมกับหัวเราะเบาๆ มันก็ตบกระโหลกผมไปทีนึงก่อนจะถือลาเต้สองแก้วออกจากร้านไปพร้อมกับหน้าแดงๆ
“ขอมอคค่าปั่นสองแก้วครับ” ผมสั่งพนักงาน
“เอาไปทำไรสองแก้ว” คราวนี้คนข้างหลังเป็นฝ่ายถามผม ไอนิลนั่นเอง
“ซื้อให้มึงนั่นแหละ”
จากนั้นเมื่อผมได้มอคค่าปั่นมา ผมก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมกับบอกให้มันตามมา
“ที่กูนอนพิงมึง” ผมยื่นให้มันแก้วนึง พร้อมกับเก็บอาการเขินเอาไว้
“แต่--”
“เออ ไม่ต้องคิดมากหรอก กูไม่อยากติดหนี้ใครแค่นั้น” ผมพูดขัดมัน มันอาจจะดูไร้เยื่อใยก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเกรงใจล่ะนะ ยังไงก็ถือเป็นคำขอบคุณ (และขอโทษเรื่องน้ำลาย) แต่จะพูดออกไปตรงๆก็กระดากปาก เลยซื้อของให้ดีกว่า
จากนั้นผมก็เดินดูดมอคค่าปั่นมาถึงรถ แต่ก่อนผมจะขึ้นรถ ผมเห็นไอข้าวกับพี่เซฟกำลังยืนคุยกับคนที่น่าจะเป็นคนขับรถ
ผมก็เลยเดินไปหามันพร้อมกับนิล
“มาทำไรอ่ะ” ผมถามไอข้าว
“รุ่นพี่คุยกับคนขับเรื่องเส้นทางอยู่”
จากนั้นประมาณอีกครึ่งนาทีให้หลัง ก็คุยเสร็จ ผมก็เลยสบโอกาสแซวไอข้าวไปเลย
“พี่เซฟลาเต้ปั่นแก้วนั้นอ่ะ กินดีๆนะมีคนซื้อมาให้ด้วยใจแสนบริสุทธิ์” จากนั้นผมก็ไปมองไอข้าวที่เหมือนกำลังทำความเข้าใจกับคำพูดผมอยู่
แต่เมื่อมันเข้าใจแล้วมันก็เลยมาตบกะโหลกผมอีกทีนึง
“โอ้ย ไอห่า กูเจ็บนะ” ผมหันไปมองค้อนใส่ไอข้าวทีนึง ซึ่งมันก็ส่งสายตามาบอกว่ามึงทำตัวเองก่อน ผมก็เลยยิ้มเยาะให้มันไปทีนึง ก่อนจะหันไปคุยกับพี่เซฟที่กำลังหัวเราะให้ข้าวอยู่
“แล้วนี่ถึงไหนแล้ว บอกผมได้ยังว่าจะไปไหน”
“มาได้ครึ่งทางละ ส่วนที่ที่จะไปก็ใบ้ให้ว่าเป็นประตูของภาคใต้”
ประตูของภาคใต้เหรอ...
“ชุมพร?!”
“ปิ๊งป่องงง เก่งมาก ได้เวลาขึ้นรถแล้วเดี๋ยวค่อยคุยกันต่อ พี่ไปเคลียร์กับรุ่นพี่คนอื่นแป๊ปนึง”
จากนั้นพี่เซฟก็เดินไปคุยกับรุ่นพี่คนอื่นๆ ไอข้าวก็ทำท่าลังเลว่าจะตามไปดีไหมอยู่นาน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ตามไป ผมล่ะกลุ้มใจแทนเพื่อนผมจริงๆ มันจะสมหวังไหมวะเนี่ย
จากนั้นผมก็ขึ้นมานั่งคิดบนรถ ไปชุมพรเลยเหรอ ไกลมากเลยนะเนี่ย...แต่จะว่าไป จังหวัดมีเยอะแยะ ทำไมต้องชุมพร เดี๋ยวถ้าไม่ลืมค่อยถามพี่เซฟแล้วกัน
ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ดื่มมอคค่าปั่นไปจนกระทั่งพี่เซฟขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับสัญญาณออกรถ
“เออ พี่เซฟ ทำไมต้องมาชุมพรอ่ะ” ผมหันไปถามคนข้างหลัง
“ก็จับสลากเอาอ่ะ จับได้จังหวัดชุมพรก็เลยมา”
เป็นคำตอบที่...อืม ไม่รู้จะด่าดีไหม สุดท้ายผมก็ขี้เกียจซักไซ้ต่อเลยไม่สนใจแล้วว่าจะมาทำไม เขาให้มาก็มาแค่นั้นก็พอ
จากนั้นผมก็เลยนั่งมองวิวข้างทางอย่างสงบๆ จากนั้นสักพักผมก็สังเกตได้ว่าไอนิลมันนั่งนิ่งๆมาระยะนึงแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
จนกระทั่ง
ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆมารดต้นคอใกล้ๆ ผมก็เลยหันหน้าไปดู ไอนิลนั่นเอง...มันเอาหน้ามาใกล้ผมเสียจนใกล้จะโดนปากกันอยู่แล้ว จากนั้นมันก็เอาหน้ามาซุกข้างๆคอผม
เห้ย...เล่นอะไรเกินไปไหมเนี่ย คนเยอะแยะ
ทันทีที่ผมกำลังจะด่ามัน ผมก็สังเกตบางอย่างแปลกๆได้
เมื่อกี้ตามันดูลอยๆเหม่อๆกว่าปกตินิดหน่อย...
“มึงเป็นอะไรเปล่า” ผมจับไหล่มัน เพื่อที่จะยกหน้ามันขึ้นมาดูอีกครั้ง
มันยังไม่ทันได้ตอบ ก็มีเสียงเจือยแจ้วของผู้หญิงดังมา
“ว้าย ตายแล้วทิวาจะทำอะไรนิลคะเนี่ย?!” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ยัยแอ๊ปเดินมาด้านหน้ารถ พร้อมกับมีคนเดินตามหลังมา ถ้าจำไม่ผิดดาวคณะคนใหม่นี่...ชื่อทรายใช่ไหมนะ
“นี่ใช้ตาตุ่มดูหรือไงห๊ะ เห็นๆอยู่ว่าไอนิลมันเป็นคนทำ” ผมหันไปทำตาขวางใส่ยัยแอ๊บ ซึ่งดูหล่อนท่าทางสนุกมาก เห็นแล้วหงุดหงิด
จากนั้นหล่อนก็กวาดสายตามองตัวผมก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยทีท่าจริงจังขึ้น
“นั่นกาแฟใครเหรอ” เธอชี้ไปทางแก้วกาแฟที่อยู่ใกล้ๆไอนิล
“ของไอนิลไง” แอปเปิ้ลหน้าถอดสีเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
"เมื้อกี้นิลได้ทำอะไรแปลกๆกับนายไปหรือเปล่า"
อะไรแปลกๆเหรอ...ก็ที่เอาหน้าซุกคอผมอยู่ตอนนี้นี่ไง
เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ผมว่าผมจับสังเกตอะไรแปลกๆได้แล้ว
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองยัยแอ๊บอีกครั้ง ซึ่งเหมือนเธอกำลังจะบอกว่าสิ่งที่ผมคิดน่ะถูกต้องแล้ว
“ไอนิลเมากาแฟเหรอ...”
----------------------------------------------------------------------------
*อาการเมากาแฟ เกิดจากคาเฟอีนไปกระตุ้นประสาท ซึ่งแต่ละบุคคลทนต่อพิษคาเฟอีนได้ต่างกัน หากผู้ที่ทนได้น้อยก็จะมีอาการกระสับกระส่าย ความคิดและคำพูดสับสน คลื่นไส้ หรือใจสั่นเป็นต้น (หากข้อมูลผิดพลาดสามารถแย้งได้นะครับเพราะตัวผู้เขียนไม่ได้มีความรู้ด้านนี้โดยตรง หาข้อมูลจากในเน็ตเนี่ยแหละครับ แล้วเอามาสรุปเอา)
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นที่ผ่านๆมานะครับ คือคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้คอมเม้นขนาดนี้(พูดเหมือนเยอะ)
ผมไม่ได้น้อยใจอะไรหรอก ตกใจด้วยซ้ำที่มีคนมาเม้น(ตลกตัวเองมาก) สารภาพว่าตอนแรกคิดไว้เลยว่านี่แหละจะเป็นตำนาน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเม้นเลย(ฮา)
ขอบคุณทุกกำลังใจจริงๆครับ ‘w’ แล้วก็ขอบคุณที่อ่านกันด้วยครับ *w*