-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
**************************************************
สารบัญ
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2411339#msg2411339), 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2412684#msg2412684), 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2414115#msg2414115), 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2416763#msg2416763), 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2419259#msg2419259), 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2421067#msg2421067), 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2422712#msg2422712), 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2424595#msg2424595), 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2426193#msg2426193), 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2427973#msg2427973), 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2431397#msg2431397), 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2433555#msg2433555), 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2436374#msg2436374), 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2437774#msg2437774), 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2439502#msg2439502), 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2441348#msg2441348), 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2442785#msg2442785), 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2445228#msg2445228), 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2446940#msg2446940), บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.msg2448309#msg2448309)
เรื่องนี้เป็นแนวหวานแหววใสกิ๊กสบายๆไม่เครียดนะคะ ^ ^
-------------------------------
-
Naughty Cupid หัวใจไร้สี
บทนำ
ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพนั้น คือช่วงที่ผมต้องเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง ตรงหน้าผมคืออาคารเรียนหลังใหญ่ที่มีห้องเรียงราย เพื่อนรอบตัวต่างตื่นเต้นและหวาดหวั่นกับสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญเมื่อก้าวเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า สนามสอบ ความจริงแล้วผมเองก็ควรจะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แต่ช่วงเวลาที่ผมได้เห็นมันโดยบังเอิญผ่านกระจกสำหรับแสดงผลงานของนักเรียนที่ตั้งอยู่ในห้องพักครูท่านหนึ่งของโรงเรียนนั้น ใจของผมก็กลับสงบเงียบอย่างน่าประหลาด ทุกสิ่งในสมองพลันหยุดนิ่งและมีแต่ภาพนั้นที่อยู่ในโลกของผม
เป็นภาพที่สวยงามและมีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ภาพวาดสีน้ำที่มีท้องฟ้า ทะเลสงบเงียบ และหาดทรายขาว มันควรจะเป็นวิวทิวทัศน์ที่วาดกันได้ทั่วไป แต่มีเพียงภาพนี้ที่แตกต่าง ยามเมื่อผมจ้องมองเข้าไป ผมรู้สึกได้ถึงสายลมโชยอ่อนและเสียงคลื่น
บางสิ่งที่อยู่ในใจของผมเริ่มขยับตัวจนรู้สึกยุกยิกในอก
จะว่าไป สมัยก่อนผมก็เคยวาดรูปอยู่เหมือนกัน วาดทุก ๆ อย่างที่อยากวาด แม้มันจะไม่สวยงามสมส่วนหรือดูน่าสนใจ แต่ผมก็ภาคภูมิใจกับพวกมัน ตอนแรกพ่อกับแม่ของผมก็ชอบ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มแสดงความต้องการที่จะให้ผมเล่าเรียนอย่างจริงจังและมองว่างานอดิเรกของผมนั้นไร้สาระเกินกว่าจะสร้างอนาคตได้ นับแต่นั้น..ผมก็ไม่ได้จับดินสอวาดภาพอีกเลย...
อาจจะยกเว้นในวิชาศิลปะซึ่งทางโรงเรียนบังคับให้เรียน ผมได้วาดวงจรสี และภาพง่าย ๆ ตามแบบที่ครูหามาให้ บางครั้งครูก็สั่งให้วาดภาพอิสระ และเนื่องจากช่วงนั้นงานศิลปะเริ่มใช้นิยมคอมพิวเตอร์ช่วยมากขึ้น ครูจึงอนุญาตให้ทำด้วยคอมพิวเตอร์ได้ แต่รู้ไหมว่าอะไรที่ตลก เพื่อนของผมที่รีทัชภาพจากอินเทอร์เน็ตมาส่งได้คะแนนเต็มและได้ขึ้นบอร์ด ในขณะที่ของผมที่ตั้งใจทำด้วยตัวเองกลับได้ตัว B มาประดับแผ่นกระดาษ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมเบื่อหน่ายและผิดหวัง ความภาคภูมิใจของผมไม่มีค่าอะไรในสายตาคนอื่น ผมจึงเลิกสนใจเรื่องพวกนี้และตั้งอกตั้งใจเรียนตามที่พ่อแม่ต้องการ ผมประสบความสำเร็จ ผมเป็นที่หนึ่งในชั้นเสมอ เล่นกีฬาเก่ง และเป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียน มีเพื่อนมากมายรุมล้อมชื่นชม แต่...ผมกลับรู้สึกว่าทุกอย่างช่างว่างเปล่า
และจนถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่หัวใจของผมเต้นแรงเมื่อเห็นภาพวาด ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะเก็บภาพนั้นไว้ ผมจึงยกมือถือตัวเองขึ้นมาถ่าย ภาพที่ปรากฏบนจอไม่ได้สวยสดงดงามเหมือนภาพต้นฉบับและอยู่ไกลเกินกว่าจะเก็บรายละเอียดได้ เมื่อรวมกับแสงสะท้อนของกระจกมันจึงเหมือนภาพถ่ายสถานที่ทั่ว ๆ ไป ไม่ได้ช่วยให้ผมสามารถเก็บภาพนั้นไว้เป็นของส่วนตัวได้เลย
เสียงของเพื่อนตะโกนเรียกผมเพราะใกล้ถึงเวลาเข้าสอบ ผมจำต้องกดปิดโทรศัพท์มือถือและวิ่งตามเพื่อนไปโดยทิ้งให้ภาพนั้นติดตรึงอยู่แต่ในความทรงจำ
หลังจากนั้น ถึงแม้ว่าผมจะสอบเข้าคณะวิศวะได้ แต่ผมก็พบว่าที่จริงมันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเลย ผมอยากจะทำในสิ่งที่เป็นอิสระ ปลดปล่อยตัวเองเพื่อสร้างจินตนาการให้มีตัวตนขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ของผมคาดหวัง ถึงอย่างนั้นภาพวาดที่อยู่แสนไกลในจอโทรศัพท์ก็ผลักดันให้ผมหวนกลับมาวาดภาพอีกครั้งท่ามกลางความแปลกใจของเพื่อน ๆ ที่คิดว่าผมเกลียดศิลปะ
เมื่อมีเวลาว่าง ผมมักจะกลับไปที่โรงเรียนแห่งนั้น เพื่อมองดูภาพในตู้กระจกซึ่งผมไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักกระทั่งผู้สร้างสรรค์ แต่ทุกครั้งที่ผมมองมัน ผมจะรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ผมอยากจะจำ ผมอยาก...จะสามารถทำให้สิ่งที่ผมสร้างขึ้นมีอารมณ์และพลังอย่างนั้น
และล่วงถึงปีที่สามในชีวิตมหาวิทยาลัย เวลาเลือกเส้นทางได้มาถึงอีกครั้ง ผมเดินตามเส้นทางของพ่อแม่มาทั้งชีวิต ซึ่งหลังจากนี้ผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรแตกต่างจากเดิม พวกเขามีความสุขเมื่อเห็นผมกำลังก้าวเดินไปบนเส้นทางที่มั่นคง มีอนาคตสดใสที่มองเห็นได้ แต่ข้างในตัวผมกำลังเรียกร้อง...มันอยากจะก้าวเดินบนเส้นทางที่แตกต่าง เส้นทางที่มืดมิดและคดเคี้ยว ไม่มีความแน่นอน
ผมควรจะทำยังไง?
ทำตามกลไกที่ถูกวาง หรือเดินตามความฝันของตัวเอง?
----------------------->
ในชีวิตของผมต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบนี้มากี่ครั้งแล้วนะ...
ความรู้สึกที่อยากจะอยู่ในที่มืดมิดและโดดเดี่ยว ไม่อยากพบปะผู้คน ไม่อยากได้ยินเสียงของใคร แค่อยากจะอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง
ใช่...ผมกำลังรู้สึกผิดหวัง ผิดหวังกับทุก ๆ อย่างรอบตัว ทั้งสิ่งที่ทำมาตลอด และคิดจะทำต่อไป ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันไร้ความหมาย
บนโต๊ะทำงานมีกระดาษวางอยู่หลายแผ่น ถาดสี กล่องใส่สี และอุปกรณ์วาดเขียนมีราคาทั้งหลาย ผมเบือนหน้าหนีมันเพราะมันกำลังทิ่มแทงผมอย่างเงียบงัน แต่เมื่อมองไปอีกทาง จอคอมพิวเตอร์ก็กำลังสะท้อนเงาที่น่าสมเพชของผมอยู่เช่นกัน
ผมไม่ได้แตะต้องพวกมันมานานกว่าเดือนแล้ว อีเมลของผมคงเต็มไปด้วยจดหมายเรื่องงาน แม้แต่โทรศัพท์ของผมก็เต็มแน่นไปด้วยข้อความที่ผมปล่อยให้มันดังเตือนโดยไม่ได้เปิดดูหรือลบทิ้ง
ทั้งที่ผม...เคยมีความสุขที่ได้ทำมันแท้ ๆ
ตั้งแต่เด็ก ผมไม่เคยคาดหวังเลยว่าตัวเองจะต้องวาดรูปได้เก่งกว่าใคร ๆ ผมก็แค่มีความสุขตอนที่ได้ขีดเขียนไปบนกระดาษ แต่โดยไม่รู้ตัว วันหนึ่งผมก็กลายเป็นที่ชื่นชมในฐานะเด็กคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ด้านการวาดเขียน แน่นอนว่างานของผมไม่ได้สวยงามอะไรมากมายเมื่อเทียบกับมืออาชีพ แต่ด้วยวัยขนาดนั้น พวกเขาคิดว่าผมได้ค้นพบเส้นทางของตัวเองแล้วจึงมีแต่คนส่งเสริมให้ทำ และผมก็มีความสุขที่ได้ทำเหมือนกัน เพราะยังไงคนที่บ้านก็ไม่แคร์อยู่แล้วว่าผมจะทำอะไร อย่างน้อยผมก็อยากจะมีค่าในสายตาของคนอื่นบ้าง
ตอนที่ได้รับคำชม ผมรู้สึกดี...แต่จนถึงวันหนึ่ง มันได้กลายเป็นคำสาป
ความคาดหวังกดทับตัวผมจนแทบกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ กว่าผมจะเรียนรู้ที่จะฝ่าฟันสิ่งเหล่านั้นได้ ผมก็ต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป
นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ที่ผมลุกขึ้นยืนและล้มลงอย่างทันที หลังจากนั้นผมก็อยู่กับการเดินสะดุดไปตามทางอยู่เสมอ แต่ในช่วงที่คิดว่าทุกอย่างคงราบรื่นเสียที ผมก็ต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปอีก เป็นอีกครั้งที่ผมล้มลงและรู้สึก...เหนื่อยเหลือเกิน
และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมตกอยู่ในสภาพนี้
ความเงียบคือสิ่งที่ช่วยเยียวยาได้ดี ผมคิดอย่างนั้นจนกระทั่งสิ่งหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า...
สิ่งนั้น...อยู่ที่นี่
ผมมองไปที่เตียงนอน สิ่งนั้นนั่งอยู่และกำลังมองมาให้ รอยยิ้มสดใสของเจ้านั่นคงจะเป็นสิ่งเดียวที่ตัดกับบรรยากาศมืดมนที่รายล้อม
ผมไม่รู้เหตุผลว่าทำไมสิ่งนั้นถึงปรากฏตัวขึ้น ผมไม่รู้ว่ามันเป็นแค่ภาพหลอนที่เกิดจากความเครียดหรือเป็นแค่ความฝัน ผมรู้แต่ว่าสิ่งนั้นไม่น่าจะมีอยู่จริงตรงหน้าผมได้
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ...ว่าเจ้านั่นต้องการอะไร...
TBC
-
เรื่องราวน่าสนใจมากกกกก. มาต่อเหอะชอบอ่ะ ติสมากเราชอบ
-
เปิดเรื่องได้น่าสนใจ :mew1:
-
รอติดตามจ้า เปิดเรื่องได้น่าสนใจดี
-
อยากอ่านต่อ :ling1:
-
:hao4: :hao4: :hao4: :hao4:ติดตามมมมมมมมมมมมมม
-
จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
-
ชอบค่ะ บทนำ ชวนให้ติดตามดีจัง คน 2 คนที่มีความสามารถทางศิลปะ แต่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันสินะ คนนึงถูกกดดันและคาดหวังจากคนรอบข้างทำให้ไม่สามารทำสิ่งที่รักได้ ขณะที่อีกคนทำได้และมีพรสวรรค์ จนกลายเป็นความกดดัน แต่ไม่ได้รักในสิ่งทีทำ เพียงแค่ต้องการการยอมรับจากรอบข้าง รึเปล่า อ่านแล้วพยายามทำความเข้าใจ แต่ได้แค่นี้อ่ะ แหะ ๆ แล้วตอนท้ายนี่ อีกคนเห็นอะไรนะ ภาพหลอน ? ยังไม่รู้ชื่อทั้งคู่เลยด้วย ถ้าคนเขียนไม่บอกไว้ว่าเรื่องนี้หวานแหวว สบาย ๆ ไม่เครียด เราคิดว่าจะดราม่าซะแล้วนะเนี่ย แหะ ๆ :heaven
รอติดตามตอนต่อไปจ้า :L2: :3123:
-
-1-
ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังมองสิ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะด้วยใบหน้าคร่ำเครียด ที่ตรงนั้น ชายหนุ่มในวัยมหาวิทยาลัยก็กำลังมองตอบกลับมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเช่นกัน ในตอนแรกเขาคิดว่าผลคะแนนที่ออกมาในเทอมนี้และที่ผ่าน ๆ มาจะช่วยลดดีกรีความร้อนรุ่มลงได้ แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ เพราะพ่อกับแม่ก็ยังคงขึงสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่พึงพอใจไว้ที่ตัวเขาอยู่ดี
ความจริงแล้วสิ่งที่เป็นหัวข้อสนทนาในวันนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยในความคิดของชายหญิงผู้เป็นพ่อและแม่ พวกเขาเพียงต้องการคุยกับลูกชายเรื่องอนาคตว่าให้เข้าทำงานในบริษัทของพ่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่วางแผนเอาไว้นานแล้วและผู้เป็นลูกก็ไม่เคยคัดค้าน ซ้ำซัมเมอร์นี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องเลือกที่ฝึกงานซึ่งแน่นอนว่าไม่พ้นบริษัทของพ่อเช่นกัน แต่อยู่ ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาว่าตอนเรียนจบเขายังไม่อยากจะทำงานกับพ่อ นับเป็นการคัดค้านการตัดสินใจของพ่อแม่ครั้งแรกในชีวิตของเจ้าตัวเลยก็ว่าได้ และอาการต่อต้านนั้นทำให้บุพการีทั้งสองต่างแปลกใจ ประหลาดใจ และรู้สึกเหมือนถูกกำแพงที่มองไม่เห็นขวางอยู่ระหว่างตนและลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“ไหนแกลองพูดอีกทีซิรัณ แกอยากจะทำอะไรนะ?” ภูวิชผู้เป็นพ่อเอ่ยถามลูกพลางนวดขมับประหนึ่งว่าสิ่งที่สนทนากันเมื่อครู่นี้ได้ตรงเข้าทำลายเซลล์สมองของเขาไปหลายส่วน
“ผมอยาก...เป็นนักวาดครับ...” รัณ หรือ ภรัณยูตอบกลับอ้อมแอ้ม
“มาพูดอะไรเอาตอนนี้ เราก็เรียนจนจะจบวิศวะอยู่แล้ว เรียนจบเสียสูงกลับจะไปเป็นจิตรกรไส้แห้ง คิดอะไรอยู่กันแน่?” หญิงสาวผู้เป็นแม่พูดบ้าง เธออุตส่าห์วางแผนชีวิตให้ลูกอย่างดิบดี เพื่อที่โตขึ้นจะได้มีการมีงานและมีหน้าตา ไม่ต้องลำบากให้ใครเขาดูถูกดูแคลนว่าไร้ความสามารถ แต่แล้วลูกชายสุดที่รักที่ไม่เคยมีปากเสียงกลับไม่เห็นด้วยความแนวคิดนี้ในตอนที่มันควรจะดำเนินไปด้วยดี
“ผมก็แค่อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการบ้าง ผมไม่ได้บอกว่าจะไม่ทำงานกับพ่อไปตลอดชีวิต แต่อยากจะมีเวลาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบจริง ๆ สักครั้งหนึ่งก็ยังดี อาจจะสัก...3 ปี หรือ 5 ปี เพราะผมก็ต้องการเวลาที่จะฝึกฝนมันอย่างจริงจังด้วย”
“อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ รัณ!” อยู่ ๆ แม่ก็กรีดเสียงขึ้นตามระดับอารมณ์ “3 ปี 5 ปีที่ว่าน่ะ รู้ไหมว่าคนอายุเท่าลูกจะก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้แค่ไหน ถ้าเข้าทำงานช้ากว่าคนอื่น ก็จะก้าวหน้าช้ากว่าเขา คนอื่นจะคิดยังไงที่ลูกย่ำต๊อกอยู่กับที่ตอนอายุจะ 30 อยู่ร่อมร่อน่ะ!”
“พอก่อนเถอะ พิณ” เมื่อเห็นว่าภรรยาเริ่มจะใช้อารมณ์ ภูวิชก็รีบเอ่ยปราม เพราะดูแล้วลูกชายของพวกเขาคงจะตั้งใจแน่วแน่ เพราะก่อนนี้ไม่เคยสักครั้งที่จะออกความคิดเห็นของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ผิดกับน้องสาวที่ทำตามใจตัวเองจนพ่อแม่ตามจับไม่ทัน คงเพราะอย่างนั้นกระมัง พิณเพลงจึงคาดหวังกับลูกชายเอาไว้มาก ทั้งเพราะเป็นลูกชายคนโตและคนเดียว มีน้องสาวที่ยากจะควบคุม ซ้ำยังต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวในอนาคต เมื่อกอปรกับนิสัยอ่อนโยนและยอมคนง่ายของภรัณยู ทำให้พิณเพลงยิ่งมั่นใจว่าลูกชายคนนี้จะไม่ทำให้เธอผิดหวัง เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง...ก็ยังคาดหวังกับลูกชายคนนี้ไว้มากเหมือนกัน
หญิงสาวเจ้าของนามพิณเพลงทำท่าฮึดฮัดก่อนจะหันหลังพยายามสงบสติอารมณ์ แน่นอนว่าเธอเองก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์รุนแรงมากแค่ไหน แต่จะไม่ให้โมโหได้ยังไง ในเมื่อลูกชายเกิดไม่รักดีขึ้นมาอย่างนี้ คิดว่าความฝันเป็นสิ่งที่ไล่ตามได้ง่ายนักหรือยังไงกัน
“แล้วแกมีแผนอะไรยังไงบ้างล่ะ? อย่าลืมนะว่าแกไม่ได้วาดรูปจริงจังเลยในชีวิต ถึงตอนเด็ก ๆ จะชอบวาดแต่ก็เป็นการวาดเล่นเท่านั้น คงรู้ดีว่ามันไม่ได้ดีพอจะประกอบสัมมาชีพได้” เมื่อเทียบกับภรรยาแล้ว ภูริชค่อนข้างจะใจเย็นและมีเหตุผลมากกว่าจึงมักรับอาสาเป็นคนคุยกับลูกสาวทุกครั้ง และตอนนี้เขาก็ต้องคุยกับลูกชายด้วย “นักวาดเก่ง ๆ ต้องใช้เวลาฝึกแทบทั้งชีวิต อย่างเก่งก็ต้อง 5 หรือ 10 ปีจากพื้นฐาน แกจะเอาอะไรไปสู้เขาได้? แล้วตอนนี้แกก็กำลังจะจบอยู่แล้ว มีงานที่มั่นคงรออยู่ข้างหน้าโดยที่ไม่ต้องดิ้นรนให้ลำบากเหมือนคนอื่น ๆ เลย รู้หรือเปล่าว่าตัวเองน่าอิจฉาแค่ไหนที่มีโอกาสอย่างนี้?”
ภรัณยูหลุบตาลงก่อนถอนหายใจออกมา
แผนการอะไรที่พ่อว่ามา เขายังไม่ได้คิดถึงเลยสักนิด เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ต้องถูกคัดค้านอยู่แล้วจึงพยายามไม่ให้ความหวังตัวเองมากเกินไป
แต่...มันเป็นสิ่งที่เขาอยากจะทำจริง ๆ
ตลอดเวลาสามปีที่เริ่มฝึกฝนใหม่จากพื้นฐานมันทำให้เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่ใช่สิ่งที่คำนวณได้ด้วยสูตรคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่ต้องอยู่ในกรอบระเบียบแบบแผนที่ถูกวางเอาไว้ มันคือสิ่งใหม่ที่น่าทึ่งทุกครั้งที่ได้ค้นพบ ประสบการณ์อันแสนอัศจรรย์ราวกับได้ท่องเที่ยวไปในโลกของจินตนาการไร้ขอบเขต ไม่สำคัญเลยว่าสมองของเขาจะบรรจุข้อมูลได้มากเท่าไหร่ แต่มันสำคัญที่สมองของเขาจะสามารถสร้างภาพที่แตกต่างจากคนอื่นได้มากแค่ไหน สิ่งที่ไม่เคยพบเห็น สิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็น แม้กระทั่งสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังสามารถทำให้สวยงามน่าสนใจขึ้นได้เพียงการเปลี่ยนมุมมองแค่เล็กน้อย
ตอนที่เขาพูดเรื่องพวกนี้กับเพื่อน...เขาถูกหัวเราะเยาะเสมือนคนที่ได้แต่ฝัน และภาพวาดของเขาก็เป็นแค่ภาพสเกตซ์ธรรมดาที่น้ำหนักแสงเงายังแทบไม่ถูกต้อง ขืนพูดกับพ่อแม่แบบนี้มีหวังได้โดนด่าเละปะไร เพราะอย่างนั้นภรัณยูจึงคิดว่าตนเองควรเงียบไว้จะดีกว่า
ฝ่ายภูริชเอง เมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ได้ต่อปากต่อคำ ก็คิดว่าตนเองคงพูดพอให้อีกฝ่ายเข้าใจได้แล้ว ตอนนี้เจ้าตัวคงหันกลับมามองความจริงได้เสียที
“เอาล่ะ...นี่มันก็ค่อนข้างจะเย็นแล้ว พวกเราไปกินข้าวปลากันเถอะ” ผู้เป็นพ่อตัดจบการสนทนาที่แสนอึดอัดลงเพียงแค่นั้น แล้วพวกเขาก็โยกย้ายกันไปสู่ห้องอาหารที่ซึ่งพิณเพลงทำอาหารรอท่าไว้เรียบร้อยนานแล้ว แต่เพราะคุยกันยืดยาวมันจึงเย็นไปเสียเกือบหมด
“เดี๋ยวแม่อุ่นให้ใหม่ก็แล้วกัน” พอเห็นท่าลูกชายดูหดหู่ พิณเพลงก็อดสงสารไม่ได้ เธอลูบบ่าภรัณยูก่อนจะหยิบจานแกงไปที่เตา ส่วนจานผัดและทอด ภูริชก็นำไปเข้าเตาไมโครเวฟเพื่อความรวดเร็วและไม่ต้องเก็บล้างหลายรอบ ระหว่างที่ภรัณยูกำลังคดข้าวใส่จานให้คนในบ้านนั้นเอง เสียงเจื้อยแจ้วก็ดังมาจากทางห้องนั่งเล่นแล่นเข้ามาสู่ห้องครัวตามเส้นทางการเคลื่อนตัวของผู้มาใหม่
“หิวจังเลย มีอะไรกินบ้างคะ” เด็กสาววัยมัธยมปลายโผล่หน้าเข้ามาในห้องครัวพร้อมกระโดดกระเด้งพยายามสลัดถุงเท้าออกไป ซึ่งเป็นกิริยาที่ไม่ค่อยดีนักในสายตาพ่อและแม่ แต่พวกเขาก็คร้านจะต่อว่าตักเตือนเพราะไม่เห็นว่าพูดไปแล้วจะแก้ไขอะไรได้
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนเถอะไป๊” พิณเพลงโบกมือไล่ลูกสาวด้วยท่าทางเหนื่อยอกเหนื่อยใจ
“ค่า แม่นี่ล่ะก็...” เธอบ่นแค่นั้นก่อนจะเผ่นแผล็วหายไปทางบันไดขึ้นชั้นสอง
“ดูซิ ดูน้องสาวเรา” ฝ่ายแม่กลอกตาขณะยกแกงลงจากเตาแล้วเทลงชามเหมือนเดิม แต่เมื่อเห็นว่าภรัณยูจัดของบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วเธอก็อารมณ์ดีขึ้นจึงไม่ได้พร่ำบ่นอะไรให้คนไม่เกี่ยวข้องหูชาอีก
ไม่นานเด็กสาวก็ลงมาร่วมโต๊ะด้วยพร้อมกับเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นแบบใส่สบาย ๆ
“ลูกสอบวันสุดท้ายแล้วใช่ไหมแม่พิณเล็ก” ภูริชถามขึ้นโดยหันไปทางลูกสาว
เนื่องจากชื่อจริงของเธอคือ พิณาลัย ซึ่งหากเรียกย่อ ๆ จะเหมือนชื่อแม่ ทุกคนจึงล้อชื่อเธอว่าพิณเล็กมาตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นชื่อเรียกที่ติดปากคนในบ้านและญาติ ๆ จนถึงเดี๋ยวนี้
“ใช่แล้วค่ะ หนูล่ะเหนื่อยทั้งร่างกายทั้งจิตใจ แต่ก็พยายามทำเต็มที่แล้วนะคะ” พิณาลัยทำท่าเหนื่อยจนโอเวอร์พร้อมกับทำบ่นกระปอดกระแปด “น่าอิจฉาพี่รัณ เรียนก็เรียนแค่เทอมละไม่กี่วิชา สอบก็สอบวันละวิชา บางวันก็ได้หยุดฟรี ๆ ด้วย”
“ทำพูดดีไป เราอ่านหนังสือการ์ตูนกับเล่นเกมจนถึงเมื่อวาน มีอะไรให้เหนื่อยอีก หืม? ยัยพิณเล็ก” เสียงดุมาจากทางแม่ที่รู้เห็นการกระทำของลูกสาวในช่วงสอบมาทุกปี นอกจากจะไม่ค่อยยอมอ่านทบทวนแล้วยังเอาแต่ทำเรื่องไร้สาระไปวัน ๆ ไม่รู้จะเอาอะไรมาเหนื่อยได้
“แต่หนูก็ได้คะแนนดีนะคะแม่” เด็กสาวหัวเราะคิก มันอาจจะเป็นพันธุกรรมก็เป็นได้ที่ทำให้เธอเข้าใจบทเรียนได้ค่อนข้างเร็วจึงแทบจะไม่ต้องทบทวนอะไรอีกในช่วงสอบ
“ขึ้นมหาลัยจะลำบากเอานะ” ภรัณยูเอ่ยเตือน “เนื้อหาก็ยากขึ้น ซับซ้อนขึ้น ถ้าไม่ทบทวนแต่เนิ่น ๆ ตอนสอบมีหวังตาเหลือก”
“เดี๋ยวพี่ก็ช่วยติวให้หนูเองแหละ” พิณาลัยแลบลิ้นท่าทะเล้น “ว่าแต่พี่เถอะ บอกกับพ่อแม่หรือยังเรื่องที่อยากทำงานวาดรูปแบบจริงจัง?” พอพูดจบประโยค เจ้าของประโยคก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่กดทับลงมาอย่างกะทันหัน เหมือนกับว่าอาหารที่แสนอร่อยกลับรสกร่อยลงจนต้องปั้นหน้าปุเลี่ยน เห็นปฏิกิริยาตอบรับของทุกคนชัดเจนขนาดนี้คงไม่ต้องถามซ้ำแล้วกระมัง...
พี่ก็คงแพ้พ่อกับแม่เหมือนเดิมนั่นแหละ
พิณาลัยถอนหายใจด้วยความรู้สึกสงสารพี่ชายตัวเอง ถึงจะรู้ว่าส่วนหนึ่งที่พี่ชายถูกกดดันนั้นมาจากความเอาแต่ใจตัวของเธอก็ตาม แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากถูกล้อมกรอบแบบพี่ชายเหมือนกัน
และเพราะการพูดออกไปโดยไม่ได้เตี๊ยมของพิณาลัย ทำให้บรรยากาศมื้อเย็นวันนั้นจืดชืดจนกู่ไม่กลับ
----------------------------------->
วันสอบวันสุดท้ายของภรัณยู ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายจนต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังออกจากห้องสอบ เพื่อน ๆ ของเขาต่างมองมาด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายทำข้อสอบได้แย่มากหรือ ถึงได้ถอนหายใจอย่างหนักอกถึงขนาดนั้น
“เลิกคิดมากได้แล้วน่ารัณ มันผ่านไปแล้ว” ชลชาติ เพื่อนที่สนิทที่สุดเดินเข้ามาตบบ่าปลอบใจ “ยังไงวิชาอื่นนายก็ทำได้ดีนี่ วิชานี้นายคงไม่ย่ำแย่นักหรอก”
ภรัณยูเหลือบตามองเพื่อนสนิทของตนพลางถอนหายใจอีกคำรบแทนคำตอบ ทำเอาชลชาติถึงกับไปไม่ถูก หันไปถามเพื่อนอีกคนว่ามันอกหักหรือเปล่า?
“แกจะบ้าหรือเปล่า ไอ้รัณมันเลิกกับวริยาไปตั้งสองเดือนแล้ว ตอนนั้นมันก็ไม่ได้เสียอกเสียใจอะไรขนาดนั้น มันจะมาอกหักดีเลย์อะไรตอนนี้” วิชชุกรกระซิบตอบแล้วชี้ไปที่หญิงสาวเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งซึ่งเคยคบหากับภรัณยูอยู่ได้ 1 ปี ก่อนที่ต่างคนต่างก็รู้ว่าไปกันไม่ได้จึงเลิกรากันไปด้วยมิตรจิตมิตรใจ นับว่าเป็นคู่ที่เลิกกันได้อย่างสงบเสงี่ยมที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นกันมาก็ว่าได้
“งั้นท่านผู้ชาญฉลาดช่วยบอกข้าน้อยหน่อยเถอะขอรับ ว่าไอ้คุณรัณมันเป็นอะไรของมันถึงได้ซึมกะทือเป็นศพเดินได้แบบนั้น”
“แล้วตูข้าจะไปรู้ได้ไงล่ะวะครับ ไอ้คุณชล”
“งั้นไปถามมันตรง ๆ เลยดีไหม?” ในเมื่อต่างคนต่างก็เดากันไม่ออก ชลชาติจึงเสนอวิธีที่ง่ายที่สุดออกมา “หรือทำให้มันอารมณ์ดีก่อนแล้วค่อยตะล่อมถามทีละนิด”
“วิธีหลังก็แล้วกัน ถามตรง ๆ มันคงไม่บอกหรอกเจ้านี่น่ะ” ว่าจบ วิชชุกรก็สาวเท้ายาว ๆ ตามหลังภรัณยูไปก่อนคล้องแขนคว้าที่คอของอีกฝ่ายซึ่งมีความสูงพอ ๆ กันแล้วดึงมาใกล้ ๆ “เฮ้ย รัณ สอบเสร็จหมดแล้วไปก๊งเหล้ากันเถอะ ชลมันอยากพักสมอง”
“อย่ามาโบ้ยให้กันงี้สิเว้ย!” ชลชาติที่เดินตามมาทันได้ยินพอดีรีบประท้วงเสียงดัง แต่ก็เข้าไปคล้องคอภรัณยูอีกคน “วิชมันอยากไปเหล่สาว ถือว่าไปเป็นเพื่อนมันหน่อยแล้วกัน”
“กลับไปนอนพักไม่ดีกว่าหรือไง? พวกแกอดหลับอดนอนอ่านหนังสือจนตาดำแบบนี้สาวที่ไหนจะมาให้เหล่” ภรัณยูตอบกลับไปเพราะตัวเขาก็อยากกลับไปนอนพักเหมือนกัน การอ่านหนังสือโต้รุ่งไม่เคยให้ผลดีอะไรเลยนอกจากเพลียจนไม่มีเรี่ยวแรง แต่ความกังวลว่าจะทำข้อสอบไม่ได้ก็ยังผลักดันให้เขาและคนอื่น ๆ ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหมือนเดิมทุก ๆ ปี
“ไม่อาว~” ทั้งสองคนลากเสียงปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียง
“อีกสองอาทิตย์ก็จะฝึกงานแล้ว ขอเที่ยวตุนไว้หน่อยก็ยังดี” ชลชาติทำหน้าตาละห้อยอ้อนวอนจนน่าสงสารปนน่าถีบ
“รู้ไหมว่าตอนฝึกงานพวกเราจะแทบไม่มีเวลาไปไหนด้วยกันเลยนะ” วิชชุกรตื้ออีกเสียงพร้อมกับลากภรัณยูออกไปทางหลังมหาวิทยาลัยโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ
“เฮ้อ ก็ได้ ๆ” ในที่สุดชายหนุ่มก็ต้องยอมให้ลูกตื้อยกกำลังสอง “แต่ฉันต้องโทรบอกที่บ้านแล้วก็ต้องแวะไปที่หนึ่งก่อนนะ”
ทั้งสองรีบคำอย่างทันที โดยคิดว่าสถานที่ที่ภรัณยูจะไปอาจเป็นวัดที่บนบานไว้ หรือไม่ก็นัดเจอสาวสักคนหลังสอบเสร็จ แต่ทั้งหมดที่ว่ามาไม่ได้ตรงกับความเป็นจริงเลยแม้สักนิด เพราะสถานที่ที่เจ้าตัวไปนั่นคือโรงเรียนมัธยมของรัฐบาลแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยไม่มากนัก
“โรงเรียนเก่าของแกเหรอรัณ?” วิชชุกรสงสัยจนอดถามออกมาไม่ได้ เพราะภรัณยูดูรู้จักที่ทางดี แต่เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายมาจากโรงเรียนเอกชนนี่?
“ไม่ใช่หรอก เป็นโรงเรียนที่ฉันมาสอบแอดมิชชั่นน่ะ”
หา?
วิชชุกรกับชลชาติมองหน้ากัน พวกเขาต่างแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองไปสอบแอดมิชชั่นที่โรงเรียนไหน เพราะมันก็เป็นแค่สนามสอบกลางเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความหมายเป็นที่น่าจดจำถึงขนาดนั้นเสียหน่อย แต่ดูเหมือนที่นี่จะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ภรัณยูคิดถึงอยู่
พวกเขาตัดสินใจจะไม่ถามเพราะเดินตามไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็คงรู้คำตอบเอง
และในที่สุด ทั้งสามก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักครูศิลปะ สายตาของภรัณยูมองเข้าไปในห้องโดยไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน
ที่นี่น่ะนะ?
วิชชุกรและชลชาติมองหน้ากันอีกครั้ง
“ดูเหมือนเจ้าของห้องจะไม่อยู่นะ” ชลชาติชะเง้อคอมองกวาดภายในจนทั่ว มันเงียบสงบจนเหมือนไม่มีใครอยู่ แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะก้าวเข้าห้องนั่นเอง ก็มีเสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ทั้งสามสะดุ้งเฮือก
“นั่นมันห้องพักครู เข้าไปโดยพละการไม่ได้นะ”
พวกเขาหันกลับไปมองต้นเสียง พบชายวัยกลางคนท่าทางใจดียืนอยู่โดยไม่มีใครอื่นรอบข้าง
“นี่มันก็เย็นแล้ว ด้อม ๆ มอง ๆ อย่างนี้เดี๋ยวก็มีคนคิดว่าเป็นขโมยหรอก ถึงในห้องนี้จะไม่มีของมีค่าให้ขโมยก็เถอะ” ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นครูเดินผ่านทั้งสามมาทางประตูหน้าห้อง แต่แล้วสายตาก็สะดุดที่ภรัณยู “อ้อ...เธอนี่เอง ที่ชอบมายืนมองตรงนี้บ่อย ๆ ใช่ไหม?”
-
“ครับ? เอ่อ...ใช่ครับ...” ภรัณยูเกาท้ายทอยพลางเลื่อนสายตาไปทางอื่น เขามักจะจงใจมาในตอนเย็นเพื่อไม่ให้ใครเห็น แต่ก็มีคนเห็นเข้าจนได้
“ฉันเห็นเธอมาทีไรก็เอาแต่ยืนนิ่งตรงนี้ตั้งนานสองนาน ฉันก็ไม่อยากรบกวนและเธอก็ไม่ได้ทำอันตรายใครฉันก็เลยไม่ได้เข้ามาทัก” ว่าแล้วชายคนนั้นก็หัวเราะ “เข้ามาข้างในก่อนสิ ดูเหมือนเธอจะสนใจผลงานนักเรียนของฉันใช่ไหม? ชอบชิ้นไหนล่ะ?”
“...ถ้าอย่างนั้น ขออนุญาตนะครับ” เพราะไม่คิดว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน ทั้งภรัณยูและผู้ติดตามทั้งสองจึงทำตัวเก้ ๆ กัง ๆ กันจนดูแปลกตา “นี่เป็นผลงานของนักเรียนหมดเลยหรือครับ เอ่อ...ครูฉัตรพล” เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายหลังมองไปที่โต๊ะตัวใกล้ ๆ และเห็นป้ายชื่อติดอยู่ข้างหน้า
“ใช่แล้ว ฉันสอนศิลปะพวกเขาและคอยผลักดันคนที่ดูมีพรสวรรค์ด้วย ถึงส่วนใหญ่จะไม่ได้สนใจสายอาชีพทางนี้จริงจัง แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ฉันก็อยากให้พวกเขาได้ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีกว่าคนอื่น ๆ” ฉัตรพลทอดสายตาไปยังตู้เก็บผลงานซึ่งเขามักจะมองดูอย่างชื่นชมอยู่เสมอ มีบางครั้งเหมือนกันที่นักเรียนของเขามาที่นี่เพื่อหวนกลับไปมองอดีตของตนเองและทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างภาคภูมิ หลายชิ้นก็ถูกส่งคืนตามความต้องการของเจ้าของ แต่บางชิ้นเจ้าของก็ยินดีที่จะประดับไว้ที่นี่ “แต่พวกเธอ...ดูเหมือนจะไม่ใช่ศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้สินะ? ทำไมถึงมายืนดูพวกมันล่ะ?”
นั่นสิ ทำไมกันล่ะ?
ชลชาติและวิชชุกรมองไปยังภรัณยูผู้พาพวกเขามาถึงที่นี่เพื่อดูผลงานของเด็กมัธยม
“ตอนที่ผมมาที่นี่ครั้งแรก เป็นวันที่สอบแอดมิชชั่นเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ผมบังเอิญเดินผ่านห้องของครูและเห็นภาพนั้นเข้าน่ะครับ” ภรัณยูตอบพร้อมชี้ไปที่ภาพวาดสีน้ำรูปทะเลและท้องฟ้าที่ดูเรียบง่าย แต่ทุกครั้งที่เขามอง ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังที่แอบแฝงในภาพนั้น
“อ้อ...เป็นภาพที่ดีนะว่าไหม?” ฉัตรพลว่าพลางถอนใจ “เด็กคนนั้นไม่เคยกลับมามองดูภาพของตัวเองเลย เหมือนกับว่าไม่อยากจะเห็นมันอีก”
“เขาคงจะมีชื่อเสียงจนไม่อยากเห็นภาพสมัยตัวเองเป็นมือสมัครเล่นล่ะมั้งครับ” ชลชาติสันนิษฐาน เพราะก็มีคนที่ประสบความสำเร็จอยู่หลายคนที่พยายามลบภาพตัวตนสมัยตัวเองฝึกฝนออกไปเพื่อความสมบูรณ์แบบในความเป็นมืออาชีพของตัวเอง
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้หรอกนะ เพราะพอจบออกไปก็ไม่มีการติดต่ออีกเลย”
“แล้ว...จะเป็นไปได้ไหมครับถ้าผมจะอยากรู้ชื่อของเขา?” อย่างน้อยภรัณยูก็อยากจะรู้จักคน ๆ นี้ ในฐานะคนที่ทำให้เขานึกขึ้นได้ถึงความต้องการของตัวเอง ถึงแม่ตอนนี้มันจะทำให้ชีวิตของเขาค่อนข้างมีปัญหาอยู่ก็ตาม และบางที คน ๆ นั้นคงช่วยเขาได้...
“ชื่อติดอยู่ใต้ภาพนั่นแหละ แต่ฉันไม่แน่ใจนะว่าเขายังใช้ชื่อเดิมอยู่ไหม แถมดูเหมือนเบอร์ติดต่อที่เคยให้ไว้ก็น่าจะใช้ไม่ได้แล้วด้วยสิ”
อย่างนั้นหรือ...
ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่...ได้รู้ชื่อก็ยังดี
เด็กชายนภทีป์ วรธนาวัลย์
ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 การประกวดวาดภาพระดับมัธยมต้น
ข้อความพิมพ์ตัวหวัดจากคอมพิวเตอร์ข้างใต้ภาพเขียนไว้อย่างนั้น ตามด้วยปีที่ชนะ ถ้าลองคำนวณแล้วดูเหมือนอีกฝ่ายจะอายุมากกว่าเขาประมาณ 2-5 ปี
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ภรัณยูก็ไม่อยากจะรบกวนเจ้าของห้องต่อ เพราะหากเขาอยู่นานแปลว่าครูผู้แก่ชราจะได้กลับบ้านช้าลง
“ถ้าเธออยากดูภาพอีกจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้นะ ปกติฉันก็อยู่ค่ำมืดอย่างนี้ทุกทีแหละ” ฉัตรพลบอกลาชายหนุ่มทั้งสามด้วยรอยยิ้มเบิกบานใจ เพียงนาน ๆ ครั้งเท่านั้นที่เขาจะมีโอกาสได้ต้อนรับลูกศิษย์เก่าของตนเองเพราะส่วนใหญ่เมื่อจบออกไปก็จะกลับมาเพียงแรก ๆ และห่างหายไปเลย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสต้อนรับเด็กที่ไม่ใช่ลูกศิษย์แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยประหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของตนเองเพราะเจ้าหนุ่มคนนั้นมาเยือนที่นี่บ่อยเสียจนเขาจดจำหน้าตาท่าทางได้ชัดเจน ทำให้จิตใจของชายสูงวัยแช่มชื่นอย่างยินดี
ภรัณยู วิชชุกร และชลชาติต่างกล่าวขอบคุณฉัตรพลที่ให้โอกาสพวกเขาชื่นชมผลงานเหล่านั้นก่อนเรียกแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าที่ไปกันบ่อย ๆ ตลอดทาง ภรัณยูเอาแต่ท่องชื่อที่ตนเองเพิ่งเคยได้ยินอยู่ในใจ บางทีอินเทอร์เน็ตน่าจะมีส่วนช่วยเขาได้บ้างกระมัง
ตอนที่ไปถึงร้านเหล้า ภรัณยูแทบจะไม่แสดงท่าทีมีความสุขเลยสักนิด สีหน้าเจ้าตัวดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่ตลอดและบางครั้งก็ฉายแววอมทุกข์ออกมา
“ร่าเริงหน่อยสิ อุตส่าห์ได้เจอชื่อของคนที่ตามหามานานเสียที” วิชชุกรเข้ามาชนแก้วแล้วชวนคุยให้ร่าเริงขึ้น ซึ่งก็ทำให้ภรัณยูยิ้มออกมานิดหน่อย
“เฮ้ สาว ๆ โต๊ะโน้นอยากให้เราไปร่วมด้วยแหน่ะ!” ชลชาติที่เดินไปสั่งเหล้ากลับมาพร้อมกับข่าวที่เจ้าตัวดูยินดีที่จะตอบรับ แต่จะคนเดียวก็กลัวเพื่อนด่าเลยต้องมาชวนให้ไปด้วยกัน วิชชุกรเห็นว่าเป็นโอกาสดีจึงฉุดให้ภรัณยูลุกขึ้นโดยไม่รอความคิดเห็นใด ๆ
พอมาร่วมโต๊ะกับพวกผู้หญิง เสียงเอะอะก็ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถคิดเรื่องของตนเองได้ มีหญิงสาวบางคนที่พยายามเข้ามาพูดคุยกับเขา ซึ่งพวกเธอก็ตื้อให้ดื่มเหล้าไปด้วยทำให้แต่ละแก้วพร่องไปอย่างรวดเร็วกว่าปกติที่ดื่มเฉพาะกับเพื่อน ๆ
ยิ่งดึกก็ยิ่งคึก เหล้าถูกซดฮวบ ๆ เหมือนเทน้ำ แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักด้วยเสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋า ภรัณยูหยิบขึ้นมารับสายด้วยเสียงอ้อแอ้แทบไม่เป็นภาษาคน เมื่อกอปรกับเสียงที่ดังเอ็ดตะโรภายในร้านทำให้ยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่อง ชายหนุ่มที่พอเหลือสติอยู่บ้างจึงลุกเดินออกไปข้างนอก ลมเย็นเยือกในตอนกลางคืนช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อย
“พี่อยู่ที่ไหนเนี่ย!” เสียงแหลมแสบแก้วหูทะลุทะลวงจากโทรศัพท์เมื่อเขายกขึ้นแนบหูอีกครั้ง
“...อือ...ร้านเหล้า ช่วยลดเสียงลงหน่อยได้ไหม พี่หูจะแตกแล้ว...” ภรัณยูยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง ภาพข้างหน้าเอนไปมาจนรู้สึกได้ว่าตัวเองเมาจนเป๋ “เรามีอะไรล่ะพิณเล็ก...”
“จะมีอะไรซะอีก นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว! แม่จะอาละวาดอยู่แล้วนะ!”
กี่โมง?
ภรัณยูยกนาฬิกาข้อมือขึ้นเพ่งดู เข็มสั้นชี้อยู่ใกล้เลข 12 ในขณะที่เข็มยาวอยู่ที่เลข 9
จะเที่ยงคืนแล้ว!
เขาไม่เคยกลับบ้านดึกกว่า 4 ทุ่มสักครั้งเว้นแต่จะไปทำงานบ้านเพื่อนแล้วนอนค้างที่นั่นเลย ไม่แปลกถ้าแม่ของเขากำลังสติแตกเพราะกลับบ้านไม่ตรงเวลา
“พี่จะรีบกลับ” ถึงจะตอบแบบนั้นแต่สภาพของภรัณยูก็ไม่ได้เอื้อสักเท่าไหร่ เขาเดินตุ้มปัดตุ้มเป๋กลับเข้าไปในร้านแล้วบอกเพื่อนตัวดีทั้งสองว่าตนต้องกลับบ้านแล้ว วิชชุกรและชลชาติจำต้องผละจากสาว ๆ มาอย่างช่วยไม่ได้เพื่ออาศัยแท็กซี่กลับด้วยกันจะได้แชร์ค่าเดินทาง
-------------------------->
ภรัณยูเดินเข้าบ้านอย่างโงนเงนไม่เป็นทาง พิณาลัยรีบออกมารับพี่ชายเข้าบ้านเพราะเกรงจะล้มนอนอยู่ตรงประตูรั้ว
“เพิ่งรู้จักกลับบ้านสินะ” พอเข้ามาถึง แม่ก็ตั้งป้อมบ่นทันที เสียงของแม่สะเทือนสมองเสียยิ่งกว่าเสียงของพิณาลัยเสียอีก
“ผมขอพักก่อนเถอะครับ” ภรัณยูขอสงบศึกชั่วคราว เพราะสภาพของเขาในตอนนี้เห็นทีจะรับอารมณ์ของแม่ไม่ไหว แม้แต่พ่อยังไม่กล้าห้ามแม่เลย...
“ไม่ได้! เราต้องคุยกันเดี๋ยวนี้!” พิณเพลงดึงลูกชายไปที่โซฟา“เดี๋ยวนี้เราเป็นอะไรไปน่ะ รัณ เริ่มจากเถียงพ่อแม่ ขัดขืนสิ่งที่พ่อแม่หยิบยื่นให้ด้วยความหวังดี แล้วก็มาดื้อแพ่งไม่กลับบ้านกลับช่องเหรอ!”
“อย่าเพิ่งดุตอนนี้เลยพิณ ลูกเมาขนาดนี้แล้ว” ภูวิชเข้ามาปรามพลางดึงพิณเพลงให้ออกห่างจากภรัณยู
“ไม่ได้ค่ะ! คุณน่ะดีแต่ตามใจ พิณเล็กถึงได้เป็นแบบนี้ พูดอะไรก็ไม่เชื่อฟัง แล้วตอนนี้รัณก็เป็นไปอีกคน คุณจะให้ฉันปล่อยไปเฉย ๆ เหรอคะ!”
“แล้วหนูไปเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย” พิณาลัยบ่นอุบอิบ แต่ไม่วายเข้าหูของแม่เธอจนได้
“เงียบไปเลยนะแม่ตัวดี! เราคงจะเป็นต้นคิดล่ะสิ ที่บอกให้พี่คิดอยากจะเป็นจิตรกรขึ้นมา ความคิดนอกคอกแบบนี้จะมีใครที่ไหนอีก ห๊ะ!”
“พอได้แล้ว!” เสียงกร้าวของภรัณยูดังขึ้นทำให้ทุกคนในบ้านชะงักงัน เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ภรัณยูเป็นเด็กชายที่เรียบร้อยไม่เคยแม้แต่จะตวาดใส่เพื่อน จนกระทั่งเป็นหนุ่มก็ไม่เคยมีสักครั้งที่แสดงกิริยาหยาบคาย ทำให้เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ได้ยินเสียงอย่างนี้ออกมาจากปากคนอย่างภรัณยู
“น...นี่เรากล้าตวาดแม่เหรอ!” พิณเพลงกรีดเสียงสูง
“ใช่! ผมกล้าตวาดแม่!” ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นยืนทั้งที่ไม่มั่นคงซ้ำยังก้าวออกมาข้างหน้า ทำให้พิณาลัยต้องรีบเอาตัวเข้าขวางระหว่างพี่ชายกับแม่พร้อมทั้งกอดเอวพี่ไว้แน่น จริงอยู่ว่าภรัณยูไม่เคยลงไม้ลงมือกับใคร แต่ตอนนี้ถึงขนาดตวาดแม่ได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
“พิณเล็ก พาพี่ไปนอนไป” เพราะไม่อยากให้ครอบครัวแตกร้าว ภูวิชจึงต้องพยายามตัดจบสถานการณ์ตึงเครียดให้ได้เร็วที่สุด อย่างไรภรัณยูก็ตกอยู่ในฤทธิ์แอลกอฮอล์ ตัวเขาที่เป็นผู้ชายด้วยกันจึงเข้าใจดีว่าไม่อาจควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
“ไม่! ไม่ต้องพาไปไหนทั้งนั้น อยากพูดอะไรก็พูดออกมาเลย! ถ้าคิดว่าตัวเองคิดดีแล้วก็พูดออกมาสิ!”
“ได้! งั้นผมจะพูด!” ภรัณยูตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้แม้ดวงตาจะแสดงออกถึงอาการของคนไม่มีสติ มันขึงขวางจ้องมองไปยังแม่ตัวเองทั้งที่มีเลือดคั่งจนแดงก่ำ “แม่น่ะ...ไม่เคยฟังผมเลย แม่เอาแต่คิดไปเอง คิดไปเองทั้งนั้นว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี แม่เคยถามบ้างไหมว่าผมต้องการอะไร!”
“พอเถอะน่าพี่ แม่ก็โมโหไปงั้นเอง เดี๋ยวตอนเช้าก็อารมณ์ดีแล้วพี่ก็รู้” พิณาลัยใช้กำลังเท่าที่มีฉุดพี่ชายไม่ให้เดินไปใกล้แม่มากกว่านี้ แต่ด้วยรูปร่างสูงใหญ่แบบนักกีฬาทำให้เรี่ยวแรงของเด็กสาววัยมัธยมปลายช่วยได้ไม่มากนัก ภูริชจึงต้องดึงภรรยาตนเองให้ถอยตามไปด้วย แต่พิณเพลงก็ดื้อแพ่งไม่แพ้ลูก เธอกลับเดินเข้าไปหาอย่างไม่เกรงกลัวทั้งด้วยโทสะและรู้ว่าอย่างไรลูกก็ไม่กล้าทำร้ายเธอ
“งั้นบอกมาสิว่าอะไรที่แม่คิดผิดบ้าง! อุตส่าห์ส่งเสียให้เรียนดี ๆ ให้เรียนพิเศษมาก ๆ จะได้ฉลาดรู้เท่าทันคนอื่นเขา ไม่ใช่โง่ดักดานให้คนเขาเป่าหูจนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว อุตส่าห์ส่งให้เรียนสูง ๆ จะได้จบมามีการงานดี ๆ ไม่ต้องเดือดร้อน รู้ไหมว่ากว่าพ่อแม่จะสร้างตัวมาจนถึงวันนี้ต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้าง! อยากจะดิ้นรนแบบนั้นใช่ไหม ห๊ะ! หรือคิดว่าเงินทองของพ่อแม่เลี้ยงแกไปได้ทั้งชีวิต!”
“ผมไม่เคย...ไม่เคยคิดว่าจะเอาเงินทองของพ่อแม่ไปผลาญเลยสักครั้ง พ่อแม่จะไม่ให้อะไรเลยผมก็ไม่ว่า! แต่ผมไม่ใช่หุ่นเชิดของแม่เข้าใจไหม!” ภรัณยูหอบหายใจแรง ใบหน้าของเขาแดงก่ำและเริ่มมองภาพข้างหน้าพร่ามัว การใช้ออกซิเจนไปจำนวนมากในขณะที่แอลกอฮอล์ไหลเวียนในกระแสเลือดไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย แต่ภายในใจของเขากำลังปะทุเดือดพล่านและไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ “ทำไมแม่ถึงไม่เคยฟังผม ทำไมแม่ถึงเอาแต่สั่งให้ผมทำนั่นทำนี่ แม่เคยภูมิใจในสิ่งที่ผมทำได้ด้วยตัวเองบ้างไหม! ผมทำทุกอย่างก็เพื่อให้แม่ภูมิใจแม่เคยรู้บ้างหรือเปล่า! แม่ไม่เคยพอใจ...ไม่เคยพอใจอะไรเลย! ผมไม่ใช่ตุ๊กตานะ ชีวิตนี้เป็นของของผม และผมจะเลือกด้วยตัวเอง ถ้าแม่ไม่ชอบแม่ก็ไปหาตุ๊กตามาเลี้ยงแทนก็แล้วกัน!”
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าก้องสะท้อนไปทั่วห้อง และเสียงเอ็ดตะโรที่ดังจนถึงเมื่อครู่ก็เงียบสงัดลงพร้อมกับทุก ๆ อย่างที่หยุดนิ่งเสมือนกาลเวลาไม่ยอมเดินต่อ
พิณเพลงเม้มปากนิ่งไม่ยอมพูดอะไรต่อ แต่ดวงตาของเธอเอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำ หญิงสาวสะบัดตัวออกจากแขนของสามีแล้วเดินกระแทกเท้าขึ้นห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลยแม้แต่คำเดียว
ภรัณยูรู้สึกมึนงงเหมือนสมองถูกกระแทกอย่างแรงจนแทบกลายเป็นวุ้นข้น ๆ และหลังจากยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่นาน ชายหนุ่มก็ทิ้งร่างอันไร้เรี่ยวแรงลงบนโซฟา ลมหายใจยังคงฟืดฟาดรุนแรงและแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดทางสีหน้า แต่เมื่อผ่านไปไม่นานเขาก็หลับสนิททั้งที่ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วยซ้ำ
พิณาลัยและภูวิชมองหน้ากันก่อนต่างก็ถอนหายใจออกมาแล้วแยกย้ายกันขึ้นนอนด้วยความหวังว่าเรื่องในคืนนี้จะจบลงเพียงแค่นี้...
TBC
-
-2-
อา...ตายแน่ ๆ
ภรัณยูโอดครวญกับตนเองขณะโขกกระหม่อมกับฝาผนัง ที่จริงแล้วเขาก็พอจำได้ลาง ๆ ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คล้ายจะเป็นความฝันมากกว่า กอปรกับอาการปวดหัวเพราะแฮงค์ในตอนเช้าทำให้ชายหนุ่มไม่อยากคิดถึงอะไรทั้งสิ้นและพาตัวเองขึ้นมาบนห้องนอน อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าจนรู้สึกดีขึ้น แต่แล้วพิณาลัยก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเล่าเรื่องเมื่อคืนนี้ให้ฟังเป็นฉาก ๆ ราวกับกำลังท่องบทละคร เมื่อน้องสาวเล่าจบ ภรัณยูก็รู้ได้ทันทีว่าวันตายของตนได้มาเยี่ยมเยือนแล้ว...
นั่นแม่เชียวนะ!
คิดแบบนั้นชายหนุ่มก็โขกผนังอีกคำรบ
“วันนี้แม่ทำหน้าน่ากลัวตั้งแต่เช้าแล้ว หนูล่ะกลัวระเบิดนำวิถีก็เลยขึ้นมาอาศัยห้องพี่นี่แหละ ยังไงตอนนี้แม่ก็โกรธพี่อยู่ดังนั้นคงไม่ขึ้นมาหาบนห้องแน่ ๆ” การเอาตัวรอดของพิณาลัยไม่ได้ช่วยให้พี่ชายของเธอรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย กลับกันมันยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่ลงเสียมากกว่า
“แม่โกรธมากแค่ไหน...” เขาลองเสี่ยงถาม
“ก็ถึงขนาดที่อาหารเช้ามีแต่ขนมปิ้งคนละแผ่นนั่นแหละ”
มันคงจะดูน่าแปลกที่เอาประเภทอาหารเช้ามาตัดสินรูปแบบอารมณ์ แต่พิณเพลงเป็นคนอย่างนั้น เธอรักการทำอาหารและมักจะทำอย่างพิถีพิถันเสมอเมื่อมีเวลา อาหารทุกมื้อของที่บ้านจะผ่านการปรุงแต่งด้วยฝีมือของหญิงสาว แม้ในยามที่ไม่มีเวลาเธอก็ยังใส่ใจกับรสชาติและความหลากหลายของมื้ออาหารก่อนจะใส่ใจสิ่งอื่นเพราะถือว่าเป็นปากท้องของคนในครอบครัว แต่เมื่อใดก็ตามที่พิณเพลงอารมณ์ไม่ดี อาหารที่เธอทำจะมีรสชาติที่แย่ลงและมีความพิถีพิถันน้อยลง ถ้าถึงขนาดที่เหลือแค่ขนมปังปิ้งคนละแผ่น นั่นแปลว่าระดับโทสะของเธอมีมากพอจะทำให้โลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้เลยทีเดียว
“พี่ตายแน่...” ชายหนุ่มครวญแล้วเริ่มถูไถหัวตัวเองกับผนังเหมือนพยายามมุดเข้าไปในกำแพง
“แม่ไม่ฆ่าพี่หรอกน่า อย่างน้อยก็ไม่ใช่ด้วยขนมปังปิ้ง” พิณาลัยโบกไม้โบกมือ เด็กสาวมีประสบการณ์การปะทะกับแม่ของตัวเองบ่อยครั้งในอดีตเมื่อเธอเริ่มเป็นสาวและต้องการมีอิสระของตัวเอง ทำให้คุ้นชินกับอาการโกรธของแม่ดี ถามว่าดูน่ากลัวไหมก็น่ากลัวไม่ใช่น้อย แต่อย่างไรผู้เป็นแม่ก็ไม่กล้าลงไม้ลงมือทำร้ายลูกในไส้ อย่างดีก็แค่ถูกจิกกัดด้วยคำพูดเท่านั้น
แม้น้องสาวจะพูดปลอบใจซึ่งดูไม่เหมือนการปลอบเท่าไหร่ แต่ภรัณยูก็ยังทำใจลงไปพบแม่ไม่ได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ทำเรื่องแบบนั้นลงไป สถานการณ์ของเขากับพิณาลัยคงแตกต่างกันมากโข รู้แบบนี้ไม่ยอมไปดื่มเสียก็ดีหรอก...
แต่ก็...คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้...
อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน จะหนีกันพ้นได้ยังไง ซ้ำการกระทำของเขาก็แย่อย่างไม่น่าให้อภัย อย่างไรลูกก็ไม่มีสิทธิไปตะคอกใส่แม่อย่างนั้น และเขาก็ต้องยอมก้มหน้ารับผิดในสิ่งที่ตนทำไว้
ภรัณยูยอมผละจากผนังในที่สุดและเดินไปที่ประตู
“จะลงไปตอนนี้เลยเหรอคะ?” พิณาลัยเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ ในตอนแรกพี่ชายของเธอยังกลัวที่จะลงไปหาแม่อยู่แท้ ๆ
“เพื่อพิทักษ์อาหารเย็นไง...” ชายหนุ่มตอบทีเล่นทีจริง
“ถ้าอย่างนั้นหนูสนับสนุนเต็มที่เลยค่ะ” พิณาลัยวิ่งเข้ามากอดแขนพี่ชาย “เดี๋ยวหนูไปเป็นเพื่อนเอง พี่จะได้ไม่สั่นเป็นลูกนกอยู่คนเดียวไง” ว่าแล้วเด็กสาวก็ยักคิ้วแผล็บ ภรัณยูจึงประเคนมะเหงกให้น้องสาวไปหนึ่งลูกงาม ๆ แต่การหยอกล้อของเธอก็ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
สองพี่น้องพากันลงมาถึงข้างล่างที่ซึ่งแม่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการปัดฝุ่นบนตู้วางหนังสือ สีหน้าของเธอคลายความโกรธลงมากแล้วแต่ก็ยังน่าหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
“...แม่ครับ...” เสียงของภรัณยูค่อนข้างเบา แต่ก็แล่นไปกระทบโสตประสาทของผู้ฟังได้อย่างพอดิบพอดี หญิงสาวหันมองลูกชายด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ข้าวเที่ยงอยู่ในครัว ไปกินให้เรียบร้อยซะไป” หางเสียงของพิณเพลงกระชากนิด ๆ แสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ภรัณยูถอนหายใจแล้วผละจากพิณาลัยเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ก่อนจะกอดเอวเธอหลวม ๆ เขาซบหน้าอยู่บนบ่าเล็กของหญิงสาวเหมือนเด็กที่กำลังอ้อนขอความรัก
“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้แม่เสียใจ”
...
พิณเพลงตอบกลับด้วยความเงียบเพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่ออีก
“ผมแค่...อยากให้แม่เข้าใจว่าผมเองก็มีความฝันเหมือนกัน ถึงมันจะดูลม ๆ แล้ง ๆ และไม่น่าจะไปได้ดีเหมือนที่ฝันไว้ แต่ผมก็อยากจะลองทำด้วยตัวเองและอยากจะให้พ่อกับแม่เชื่อมั่นในตัวผม” ภรัณยูโยกตัวน้อย ๆ พลางพูดต่อ “ผมทำอย่างที่แม่ต้องการมาตลอด ปูทางให้ผม ชี้เส้นทางที่ดีกว่าให้ ดังนั้นขอแค่สักครั้งในชีวิตที่ผมจะลองเริ่มต้นด้วยตัวเอง บางทีความผิดพลาดก็ไม่ได้แย่ไม่ใช่เหรอครับ? บางทีถ้าผมเจอกับความล้มเหลวเสียบ้าง มันอาจจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับผมก็ได้”
...
ผู้ฟังยังคงเงียบทำให้ภรัณยูเริ่มใจเสีย แต่แล้วก็กลับปรากฏเสียงถอนหายใจหนักออกมาก่อนพิณเพลงจะพูดขึ้นโดยไม่หันมอง
“เรานี่ยิ่งโตก็ยิ่งดื้อ แม่ล่ะเหนื่อยใจจริง ๆ” แล้วความเงียบก็ทิ้งตัวลงมาอีกครู่หนึ่งก่อนหญิงสาวจะว่าต่อ “แต่ในเมื่อพูดถึงขนาดนั้นแม่จะยอมให้สักครั้งก็ได้”
ภรัณยูใจเต้นตึกตัก
“จริงเหรอครับ?”
“แต่แม่มีข้อแม้” พิณเพลงหมุนตัวกลับมาหาลูกชายด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง “ในเมื่อเราตั้งใจจะทำเป็นอาชีพก็ต้องมีลูกค้า ถ้าภายในระยะเวลาก่อนรับปริญญาเราสามารถหาลูกค้าหรือผู้ว่าจ้างได้สักคน แค่เพียงคนเดียว แม่จะให้เวลาทำงานนั้นเท่าที่รัณต้องการ จะ 3 ปี หรือ 5 ปีก็ตามใจ แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องจบมาทำงานกับพ่อเหมือนที่เคยตกลงกันไว้ โอเคไหม?”
ภรัณยูรู้สึกเหมือนว่าอยู่ ๆ เส้นทางที่มืดมิดก็สว่างไสวพร่างพราย เขายิ้มกว้างแล้วกอดรัดตัวแม่แน่นเท่าที่จะแน่นได้
“ขอบคุณครับ ผมจะทำให้ดีที่สุด จะไม่ให้แม่ผิดหวังเลย”
“เอาล่ะ ๆ เดี๋ยวแม่จะกระดูกหัก ไปกินข้าวกินปลาได้แล้วไป” พิณเพลงตบ ๆ บนหลังลูกชายแล้วไล่ให้ไปที่ห้องครัวเสียที และเมื่อภรัณยูคล้อยหลังไปหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกหนึ่งก่อนยกนิ้วขึ้นปาดหางตาเบา ๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกลั้นน้ำตาต่อหน้าลูก แต่การกระทำทั้งหมดนั้นทำให้เธอรู้สึกสะเทือนใจ พิณเพลงเพิ่งสังเกตเมื่อไม่นานมานี้เองว่าลูกชายของเธอสูงใหญ่แค่ไหนแล้ว เป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดอ่านของตนเอง แต่เพราะความเป็นแม่ทำให้เธออดเป็นห่วงไม่ได้และคอยเจ้ากี้เจ้าการอยู่เสมอ แม้จะรู้ว่าการทำเช่นนั้นคือการผูกมัดภรัณยูให้เดินไปตามที่พ่อแม่กำหนด หญิงสาวก็ไม่กล้าปล่อยลูกให้เผชิญโลกเพียงลำพัง
เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ภรัณยูเกรี้ยวกราดถึงขนาดนั้น และทำให้เธอได้คิดถึงสิ่งที่ผ่านมา
ทิชชูปึกหนึ่งถูกยื่นมาให้ตรงหน้า
“แม่นี่ซึนเดเระจริง ๆ เลย” พิณาลัยหยอก
“ซึนเซินอะไรของเราน่ะ” พิณเพลงรับทิชชู่มาซับน้ำตาแล้วทำเสียงแข็งใส่ลูกสาวเพื่อปกปิดความอ่อนไหวของตนเอง
“ก็ความจริงหายโกรธพี่เขาตั้งนานแล้ว จะกอดพี่แล้วพูดหวาน ๆ หน่อยก็ได้นี่คะ” เด็กสาวหัวเราะเพราะเธอเองก็นึกภาพแม่แบบนั้นไม่ออกเหมือนกัน ในสายตาลูก ๆ แล้ว พิณเพลงเป็นผู้หญิงที่แข็งกระด้าง จะคาดหวังให้กอดโอ๋ลูกแบบแม่คนอื่น ๆ คงไม่ไหว แต่ถึงอย่างไรภายในของเธอก็เป็นแม่ที่วิเศษสำหรับพวกเขา อารมณ์รุนแรงของเธอล้วนมาจากความรักความห่วงใยที่ไม่สามารถแสดงออกอย่างอ่อนโยนเหมือนคนอื่นได้ ซึ่งลูก ๆ ก็เข้าใจดีอีกทั้งพิณเพลงก็พยายามปรับปรุงตัวเองให้เป็นคนมีความอดทนมากขึ้นอยู่เสมอ ในระยะหลัง ๆ จึงมีเพียงนาน ๆ ครั้งที่หญิงสาวจะอาละวาดออกมา และเมื่อคืนนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เธอตีลูกตัวเอง
พิณเพลงมองลูกสาวอย่างหมั่นไส้ที่ทำเป็นรู้ดีก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา
“เราเองเถอะ อย่าไปมีประสบการณ์กินเหล้าเมาหัวราน้ำจนกลับมาอาละวาดที่บ้านแบบนั้นก็แล้วกัน”
“หูย ไม่เอาหรอกค่ะ เหล้าขมจะตายไป ใครจะอยากกิน” พิณาลัยโบกไม่โบกมือทำหน้ายี้ จนถึงเดี๋ยวนี้เด็กสาวยังไม่เข้าใจเลยว่าของมึนเมาเหล่านั้นเอร็ดอร่อยตรงไหน ถึงได้ชอบดื่มกันนักหนา พวกเพื่อน ๆ ของเธอก็อยากลองกันเหลือเกิน “ว่าแต่ แม่ยอมให้พี่รัณเป็นนักวาดจริง ๆ เหรอคะ?”
“เอ้า! พูดแบบนี้แสดงว่าไม่เห็นด้วยหรือไง?”
“หนูไม่ได้บอกแบบนั้นเสียหน่อย แต่เห็นแม่แอนตี้งานฟรีแลนซ์จะตาย แบบนี้ถ้าหนูลองเมาอาละวาดบ้างแม่จะตามใจหนูเหมือนกันใช่ไหมคะ?” พิณาลัยทำหน้าทะเล้นใส่แม่ก่อนจะโดนมะเหงกงาม ๆ ไปอีกลูกหนึ่งจนต้องคลำหัวป้อย ๆ
“ฝันไปเถอะ ยัยตัวดี”
---------------------------->
จอมอนิตอร์สว่างวาบเมื่อปุ่มสตาร์ทถูกกดให้เริ่มทำงาน ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของไล่สายตามองดูสิ่งที่ปรากฏเมื่ออินเตอร์เน็ตเชื่อมต่อเรียบร้อย อีเมลนับสิบ ๆ ฉบับต่อแถวยาวเหยียดในกล่องรับข้อความ มาจากที่เดียวกันบ้าง ต่างที่บ้าง ซึ่งทั้งหมดนั้นเริ่มต้นจากเมื่อเดือนก่อนจนถึงเมื่อวานนี้และตอนที่เขากำลังจะกดเข้าไปในข้อความเก่าสุด ก็มีตัวเลขเตือนข้อความใหม่เข้ามา
อะไรกันนักหนา...
ชายหนุ่มพึมพำอยู่ในใจก่อนจะกดเข้าไปดูในข้อความแรกและไล่ตอบปฏิเสธงานไปทีละที่ซึ่งรวม ๆ แล้วก็มีเพียง 5 ที่จากทั้งหมด 13 ฉบับ เพราะบางที่ก็ส่งอีเมลมาซ้ำ ๆ
พอจัดการอีเมลเรียบร้อยก็ไปถึงข้อความในโทรศัพท์มือถือ เขาพิมพ์ตอบกลับไปเหมือนกับในอีเมลคือ ในช่วงนี้ยังไม่มีเวลาว่าง จึงขอเลื่อนการรับงานออกไปอีกสักระยะ
“โกหกแบบนั้นจะดีเหรอ?” เสียงเล็ก ๆ ดังมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปมองและพบกับสิ่งนั้นที่เข้ามาอยู่ในห้องของเขาได้ราว ๆ เดือนหนึ่งแล้ว เจ้าของเสียงผู้มีร่างกายเหมือนเด็กชายวัยอนุบาลแต่มีขนาดตัวที่เล็กพอ ๆ กับเด็กทารกบินเข้ามาใกล้เจ้าของห้อง ใช่...สิ่งนั้นบินได้...ด้วยปีกสีขาวเล็ก ๆ บนแผ่นหลังซึ่งดูจะไม่สัมพันธ์กับขนาดตัวเอาเสียเลย
“มันเรื่องของฉัน” เจ้าของห้องตวัดสายตากลับไปที่มือถือและส่งข้อความสุดท้ายก่อนโยนมันทิ้งไปทางเตียงนอนอย่างไม่นึกใยดี
เด็กน้อยผู้มีปีกทำท่าเท้าคางอยู่กลางอากาศคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
“ฉันอยากออกไปข้างนอกบ้างจัง ทำไมนายถึงเอาแต่อยู่ในห้องแบบนี้ล่ะ?” พร้อมกับคำถาม เจ้าตัวก็กระพือปีกเล็ก ๆ บินขึ้นลงอย่างเบื่อหน่าย
เจ้าของห้องมองดูเจ้าสิ่งที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นอะไรด้วยสายตารำคาญใจ ทั้งที่เขาต้องการความสงบยิ่งกว่าสิ่งใดในเวลานี้ แต่เจ้า...เด็กมีปีกนี่กลับปรากฏตัวขึ้นและทำให้ความสงบของเขาสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง ทุก ๆ วันเจ้านั่นเอาแต่เรียกร้องอยากออกไปข้างนอกบ้าง อยากอ่านนั่นอ่านนี่ในอินเตอร์เน็ตบ้าง หรือไม่ก็บ่นเขาเรื่องที่เอาแต่กินมาม่าและอุดอู้อยู่ในห้องเหมือนหนูในรูไม่ยอมออกไปหาอะไรดี ๆ กินข้างนอก
ชายหนุ่มละสายตาจากสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมไปยังคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปกดปิดมันเพื่อตัดเสียงหึ่ง ๆ ที่ดังออกมาเพราะการทำงานของมัน
ในที่สุดห้องก็กลับสู่ความเงียบ เหลือแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศเครื่องเล็กที่แทบจะไม่ได้หยุดทำงานเลยตลอดช่วงที่เขาไม่ได้ออกไปไหน
เสียงกระเพาะร้องโครกเมื่อถึงเวลาอาหาร ชายหนุ่มลุกเดินไปที่ห้องครัวเล็ก ๆ และทำสิ่งที่ทำมาหลายวันคือต้มมาม่าและโยนเนื้อกับผักที่มีในตู้เย็นลงไปในหม้อ อย่างน้อยเขาก็ยังเดินไปซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ เพื่อซื้อของเหล่านี้อาทิตย์ละครั้ง และนั่นคือหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ทำให้เขายอมออกไปข้างนอกในช่วงเวลาแบบนี้
“บิลค่าเน็ตมาแล้วนะ” เสียงของเด็กดังมาจากทางประตูบ้านก่อนจะเข้ามาในครัวพร้อมซองจดหมายซึ่งมีสัญลักษณ์ของบริษัทด้านโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง
“วางไว้บนโต๊ะสิ” เขาตอบกลับไปโดยไม่ได้หันมอง สิ่งที่ถูกนำมาให้เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องยอมออกไปข้างนอก บิลค่าใช้บริการต่าง ๆ ซึ่งเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิต แต่ช่วงนี้...ปล่อยอินเตอร์เน็ตตัดไปเสียดีไหมนะ ยังไงก็ไม่ค่อยจะได้ใช้อยู่แล้ว ซ้ำอินเตอร์เน็ตยังทำให้เขาต้องพะวักพะวงอยู่แต่กับสิ่งที่ถูกส่งมาจากโลกภายนอกซึ่งตอนนี้เขาไม่ต้องการ
มาม่าที่ถูกต้มจนเกือบเปื่อยไหลลงไปในชามเซรามิกพร้อมกับน้ำซุปร้อน ๆ และเครื่องอีกไม่กี่อย่าง ก่อนยกไปที่โต๊ะเตี้ย ๆ และทิ้งมันไว้อย่างนั้นโดยไม่กินทันที
“กินของแบบนี้อีกแล้ว” เด็กน้อยติดปีกมองมาม่าแล้วลงไปนอนกลิ้งบนพื้น
“เมื่อไหร่นายจะเลิกมายุ่งกับฉันเสียที”
“ฉันก็บอกนายไปตั้งหลายครั้งแล้วนะ ว่าฉันน่ะมาอยู่ที่นี่ก็เพราะนายนั่นแหละ ดังนั้นฉันถึงไปจากนายไม่ได้และไม่มีใครเห็นฉันนอกจากนาย” ผู้พูดพลิกตัวนอนคว่ำพลางเท้าคางแล้วตีขาสลับไปมา “ถ้านายไม่ต้องการฉันแล้วฉันถึงจะไปได้”
“ฉันไม่เคยพูดว่าต้องการนาย แล้วฉันก็กำลังไล่อยู่นี่ไง” ชายหนุ่มกลอกตาแล้วหยิบบิลขึ้นมาดู
นาย นภทีป์ วรธนาวัลย์
ชื่อที่จ่าหน้าบนซองคือชื่อของเขาเอง ซึ่งเมื่อมั่นใจว่าส่งถูกห้องชายหนุ่มก็วางมันไว้บนโต๊ะในจุดที่มองเห็นได้ง่ายเพื่อจะไม่ลืมว่านำไปวางไว้ที่ไหน
“ความต้องการน่ะไม่ได้เกี่ยวกับว่านายอยากได้หรือไม่อยากได้ แต่เป็นความจำเป็นที่ต้องมีฉันอยู่ต่างหาก” เด็กน้อยที่มีคำพูดคำจาอย่างผู้ใหญ่กล่าวแล้วบินไปนั่งบนโต๊ะ “จริง ๆ แล้วนายไม่ใช่ว่าไม่ต้องการฉัน แต่เพราะรูปลักษณ์ของฉันใช่ไหมที่ทำให้นายรู้สึกไม่ดี”
นภทีป์หันมองผู้พูดก่อนจะหันกลับไปที่ชามมาม่าโดยไม่พูดอะไร
“เพราะว่าฉันเหมือนกับ...รติ”
...
“จริง ๆ ฉันก็คือเขา นายไม่เชื่อเหรอ?”
ชายหนุ่มหันมองสิ่งที่ยืนยันว่าตนเองคือใครบางคนที่เคยอยู่ในความทรงจำของเขา ใบหน้านั้น วิธีการพูด และน้ำเสียง...ทั้งหมดไม่แตกต่างจากที่เขาเคยจำได้ เว้นแต่ว่า...คน ๆ นั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว และครั้งสุดท้ายที่พบกัน รติไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้
“นายก็เป็นแค่จินตนาการ”
“เจ้าคนหัวแข็ง” เด็กประหลาดที่ว่าตนเองชื่อรติว่าพลางกอดอกหน้ามุ่ย ดูเหมือนเรื่องนี้เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
---------------------------------------->
-
ภรัณยูดึงเก้าอี้เลื่อนออกมาจากโต๊ะและทิ้งตัวลงไป ข้างหน้าของเขาคือจอมอนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์ประจำตัวซึ่งมีอยู่ในห้องนอน ชายหนุ่มเปิดเบราว์เซอร์ตัวหนึ่งขึ้นมาก่อนพิมพ์ค้นหาชื่อของบุคคลหนึ่งในโปรแกรมเสิร์ชเอนจิ้นที่คุ้นเคย ผลการค้นหาที่ได้ค่อนข้างจะน่าผิดหวัง เพราะชื่อของบุคคลนี้ไม่ได้ปรากฏภาพวาดใด ๆ ขึ้นมาเลยนอกจากข้อมูลทั่ว ๆ ไปของบุคคลหนึ่งที่สามารถเปิดเผยได้ และส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่มีนามสกุลเดียวกันกับที่ตามหา ดูเหมือนว่าคน ๆ นี้จะไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับศิลปะอีกเลย หรือไม่ก็อาจเปลี่ยนชื่อไปแล้ว
ชายหนุ่มลองดูอีกครั้งโดยพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษที่ไม่แน่ใจว่าตนเองพิมพ์ถูกหรือไม่ และมันได้ปรากฏลิงค์เว็บไซต์หนึ่งมาหลายเว็บ ซึ่งทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับภาพวาดและงานศิลปะหลายแขนง ภรัณยูยิ้มกว้างอย่างยินดี เขาได้เข้าใกล้ความจริงอีกนิดแล้วเพราะหนึ่งในเว็บไซต์เหล่านั้น เจ้าของได้ลงอีเมลที่ติดต่อได้เอาไว้ด้วย ถึงแม้เขาจะมันแน่ใจว่าใช้คนที่ตามหาหรือเปล่า เนื่องจากเขาไม่รู้จักนามแฝงอีกฝ่าย
แต่บางทีมันอาจจะเวิร์คก็ได้...
ภรัณยูกลืนน้ำลายก่อนตัดสินใจลองเสี่ยงดู ถ้าไม่ใช่ทางนั้นคงจะให้คำตอบกลับมาเอง
แต่ว่า...ถ้าไม่ใช่จะทำยังไงต่อล่ะ?
นอกจากสิ่งที่ได้พบในตอนนี้แล้ว ภรัณยูก็นึกไม่ออกเลยว่าตนเองมีอะไรสำรองอีก เพราะปกติข้อมูลส่วนบุคคลจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ดังนั้นเป็นการยากที่จะค้นเจอได้ในเสิร์ชเอนจิ้น เว้นแต่ว่าเจ้าของจะนำมาโพสต์ไว้ที่ไหสักแห่งซึ่งยินยอมให้โปรแกรมเหล่านี้เข้าถึงได้ ด้วยเหตุนั้นนอกจากอีเมลนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ไม่มีอะไรอื่นอีกเลยแม้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์บ้านของฝ่ายนั้น
หรือเขาควรจะลองเสิร์ชเฉพาะนามสกุล? บางทีอาจจะเจอครอบครัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีเฉพาะพ่อแม่พี่น้องของเจ้าตัวที่ใช้นามสกุลนี้ บางทีอาจจะไปเจอเอาญาติห่าง ๆ ซึ่งไม่รู้จักมักจี่เลยก็เป็นได้ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นอาจจะทำให้เขากลายเป็นเหมือนสตอล์กเกอร์
ระหว่างที่เขากำลังคิดหาทางอื่น มือก็พิมพ์จดหมายแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อย เขากดส่งไปหาเจ้าของอีเมลพร้อมจุดประสงค์ของเขาที่ต้องการติดต่อกับเจ้าตัวด้วยความคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบรับ ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วยกแขนรองท้ายทอยตนเอง
“ข้าวเย็นเสร็จแล้วค่า~”
“หวา!”
โครม!
พิณาลัยหลับตาปี๋ในวินาทีที่เห็นพี่ชายตัวเองสะดุ้งลนลานจนเสียหลักทำเก้าอี้ล้ม ล้อเก้าอี้หมุนติ้วอยู่สักพักก่อนหยุดนิ่งโดยเจ้าของลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นด้วยท่าที่ไม่สวยงามนัก เด็กสาวถอนหายใจแล้วมองไปที่จอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างอยู่ มันปรากฏวินโดว์ของเว็บไซต์จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งส่งไปหาใครบางคนเรียบร้อยแล้ว ก็ดูไม่น่าแปลกหรือต้องปิดบังอะไร ทำไมพี่ชายของเธอถึงต้องตกอกตกใจถึงขนาดนั้นตอนถูกเรียกกะทันหัน
“พี่กำลังส่งหนังอย่างว่าให้เพื่อนเหรอคะ?” พิณาลัยถามพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“จะบ้าหรือไง! พี่ไม่มีของแบบนั้นอยู่ในคอมพ์เสียหน่อย” ภรัณยูพลิกตัวขึ้นมานั่งแล้วลูบหลังป้อย ๆ ทั้งหลังทั้งสะโพกกระแทกเข้าไปเสียเต็มรักพาให้จุกไปทั้งตัว
“แล้วทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ หนูแค่มาบอกว่าไปกินข้าวได้แล้วเท่านั้นเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็เคาะประตูก่อนสิ ถ้าเปิดเข้ามาพี่กำลังโป๊อยู่เดี๋ยวก็ตากุ้งยิงพอดีกัน” ว่าไปชายหนุ่มก็ลุกขึ้นแล้วยกเก้าอี้ขึ้นตั้งเหมือนเดิม อีเมลถูกส่งไปเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่มีการตอบกลับ ภรัณยูจึงกดปิดเบราว์เซอร์ไปก่อนและคิดว่าบางทีเขาอาจจะต้องใช้เวลารอสักระยะ กระนั้นในใจของชายหนุ่มก็แสนจะร้อนรน หากเป็นไปได้เขาอยากจะมุดลงไปตามสัญญาณเน็ตเพื่อไปโผล่ในอีกสถานที่ซึ่งจุดหมายปลายทางของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับนั้นกำลังมุ่งหน้าไป แต่น่าเสียดายที่มันเกินศักยภาพของมนุษย์ไปไกลโข
“ไปกินข้าวเถอะค่ะ เดี๋ยวแม่บ่นเอาหรอก” พิณาลัยดึงมือพี่ชายออกไปจากห้องหลังจากเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางเหมือนกำลังอาลัยอาวรณ์บางอย่างที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ ถ้านี่เป็นโลกแฟนตาซีเธอคงคิดว่าพี่ชายของตัวเองกำลังโดนสาวไซเบอร์ดูดวิญญาณไปแล้ว
ในที่สุดทั้งสองก็ลงมาถึงห้องอาหาร เมื่อภรัณยูตักข้าวคำแรกเข้าปากเขาก็รู้ได้ทันทีว่าแม่อารมณ์ดีขึ้นแล้วและทุกคนก็ดูมีความสุขกับอาหารเย็นมื้อนั้น
“รัณ มาทางนี้หน่อยสิ” หลังจากทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อน ภูริชก็เรียกภรัณยูให้ตามเข้าไปในห้องทำงาน แม้ผู้เป็นลูกจะสงสัยแต่ก็เดินตามเข้าไปโดยไม่ได้ถามอะไร นาน ๆ ครั้งภรัณยูจึงมีโอกาสเข้ามาในห้องทำงานของพ่อ เพราะส่วนใหญ่แม่จะเป็นคนเข้ามาทำความสะอาดและเขาก็ไม่ได้มีธุระอะไรในห้องนี้เป็นพิเศษ อีกทั้งพ่อก็ให้เวลากับครอบครัวมากพออยู่แล้ว
ภูริชหยิบแฟ้มขนาดใหญ่ขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปให้ลูกชาย
ภรัณยูมองอย่างกังขาก่อนเดินไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทำงานและลองเปิดออกดูโดยเจ้าของแฟ้มเองก็คล้ายจะตื่นเต้นอยู่นิด ๆ เมื่อปกถูกเปิดออก
กระดาษสีขาวขนาด a4 ถูกสอดเก็บไว้ในซองพลาสติก บนกระดาษแผ่นนั้นคือเส้นดินสอที่ค่อนข้างสะเปะสะปะไม่ค่อยเป็นรูปทรงแต่พอมองออกว่าเจ้าของตั้งใจจะวาดเป็นรูปคน บ้าน และดวงอาทิตย์
นี่มัน...
สายตาของภรัณยูเลื่อนลงไปตรงมุมภาพ มีรอยปากกาสีดำเขียนไว้เล็ก ๆ เป็นวันเดือนปีที่ภาพนี้ถูกวาดขึ้น ซึ่งมันก็มากกว่า 20 ปีมาแล้ว
ชายหนุ่มเปิดต่อไป ยังคงเป็นภาพวาดเหมือนเดิมและไม่ได้ต่างจากภาพแรกนัก วันที่วาดขยับขึ้นมาอีกเพียงไม่กี่วัน และเมื่อเปิดไปเรื่อย ๆ ภาพก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป วิวต่าง ๆ ที่มีส่วนประกอบง่าย ๆ เพียงต้นไม้ บ้าน ดวงอาทิตย์ และคนไม่กี่คน ซ้ำไปซ้ำมาแต่เห็นการเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ภรัณยูอมยิ้มกับตัวเองขณะที่ภาพต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในสายตา แน่นอนว่าตัวเขาเองจดจำสิ่งเหล่านี้แทบไม่ได้แล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่ทั้งหมดนี้...เป็นภาพที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของเขา...
ในวัยเด็ก คนส่วนใหญ่จะเหมือน ๆ กันคือตื่นเต้นกับการได้วาดเขียนอะไรบางอย่าง แต่เมื่อวาดเสร็จแล้วก็มักทิ้งสิ่งที่เพิ่งทำเสร็จไปอย่างทันทีและเริ่มทำสิ่งใหม่ จะมีบางชิ้นเท่านั้นที่ตั้งอกตั้งใจทำเป็นพิเศษและวิ่งมาอวดพ่อแม่เพื่อให้ได้รับคำชม
แต่นี่...เรียกได้ว่าเป็นผลงานเกือบทุกชิ้นก็ว่าได้ ทั้งที่วาดเล่นอย่างไม่จริงจังและที่ตั้งใจทำเพื่อให้ใครสักคนได้มองเห็น
พ่อคงจะเก็บรวบรวมไว้ เพราะลายมือที่เขียนวันที่เป็นของพ่อไม่ผิดแน่
ภรัณยูเงยหน้ามองภูริชซึ่งกำลังมองตรงมาที่เขาเช่นกัน
“ตอนแกเด็ก ๆ แกชอบวาดเขียนมาก มากเสียกว่าการออกไปวิ่งเล่นกับเด็ก ๆ ด้วยกัน ความจริงพ่อก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าโตขึ้นแกจะอยากเป็นศิลปินเพราะเด็กทุกคนก็ชอบหาเรื่องใหม่ ๆ ทำไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นพ่อก็ทิ้งของพวกนี้ไม่ลงเพราะในเวลานั้น แกมีความสุขกับมันมาก แม้แต่ตอนที่คุณอาเขาซื้อสีเทียนมาให้ แกก็ระบายเล่นจนแทบจะกุดหมดทุกสี” ภูริชประสานมือบนโต๊ะแล้วยิ้มบาง “จริง ๆ แล้วพ่อก็แปลกใจนะที่แกเลิกวาดรูปไปเพราะพ่อแม่บอกให้แกใส่ใจกับการเรียนให้มากขึ้น จริง ๆ แล้วพ่อก็โล่งใจเพราะแกเป็นเด็กเรียนดี คงจะมีอนาคตไกลและประสบความสำเร็จ แต่แกก็ดูไม่มีความสุขเท่าไหร่”
“เพราะผมยังเด็กและไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร ผมแค่รู้สึกว่าถ้าทำให้พ่อแม่มีความสุขได้ผมก็จะทำ และผมก็รู้ว่าพ่อกับแม่หวังดีต่อผมเสมอ” ภรัณยูยังคงเปิดแฟ้มต่อไปเรื่อย ๆ มันมีมากมายจนไม่อาจดูได้หมดในระยะเวลาสั้น ๆ หากจำไม่ผิด เขาเลิกวาดรูปอย่างจริงจังไปตอนขึ้นมัธยมต้นที่พ่อแม่ของเขาเริ่มชี้ให้เห็นว่าการวาดภาพเป็นสิ่งที่ไร้สาระและเป็นแค่งานอดิเรก และเลิกอย่างถาวรตอนอยู่มัธยมปลายเนื่องจากสายวิชาของเขาให้เรียนศิลปะเพียงตัวเดียวจากเวลาทั้งหมด 3 ปี
“แต่ตอนนี้แกคงรู้แล้วสินะว่าอยากทำอะไร” ผู้เป็นพ่อถอนหายใจ ใจจริงของเขายังไม่เห็นด้วยนักกับการเลือกทางเดินของลูก แต่หากบีบคั้นภรัณยูมากไปกว่านี้รังแต่จะทำให้ชายหนุ่มไม่มีความกล้าที่จะเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเอง จริงอยู่ว่าพ่อแม่เลือกทางเดินให้ลูกด้วยความรัก แต่ไม่อาจใช้ความรักเป็นข้ออ้างกักขังอิสรภาพของลูกได้ ดังนั้นถึงแม้จะไม่เห็นด้วย แต่เขาก็จำต้องปล่อยมือและเป็นภาวนาให้ทางเดินที่ลูกเลือกเป็นทางเดินที่ถูกต้อง แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะพบกับความล้มเหลวก็มีหน้าที่เป็นกำลังใจให้ลุกขึ้นเดินต่อไป
หน้าที่ของพ่อแม่นั้นช่างยากลำบากจนถึงวาระสุดท้ายจริง ๆ ...
“เอาเถอะ อย่างน้อยแกก็รู้ว่าอยากทำการทำงานอะไร ดูพิณเล็กสิ จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าอนาคตอยากทำอาชีพอะไร เอาแต่เที่ยวเล่นตามเพื่อนไปวัน ๆ”
ภรัณยูหัวเราะ
“ตอนผมอายุเท่าพิณเล็กก็ยังไม่รู้เหมือนกันนะครับ แต่พอโตขึ้นพิณเล็กคงรู้เองว่าอยากทำอะไร ดูผมสิ กว่าจะรู้ตัวก็เรียนจะจบอยู่แล้ว เกินเวลาที่จะกลับตัวแล้วด้วย” ชายหนุ่มเปิดไปจนเกือบถึงหน้าสุดท้ายแล้วเขาก็ถอนหายใจ “พอผมได้ทำสิ่งที่ต้องการจนถึงที่สุดแล้วผมจะกลับมาทำงานกับพ่อแน่ครับ ผมสัญญา”
คำสัญญาของลูกชายทำให้ภูริชเบาใจขึ้นมาก และสามารถมั่นใจได้ว่าภรัณยูจะไม่ยึดฟรีแลนซ์เป็นอาชีพอย่างจริงจังไปชั่วชีวิต ตัวเขาเองไม่ได้ซีเรียสกับความก้าวหน้าทัดเทียมคนวัยเดียวกันเหมือนภรรยา แค่ขอให้ลูกทำงานหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวในอนาคตได้เขาก็พอใจแล้ว
“แฟ้มนั่นจะเอาไปด้วยก็ได้ เผื่อไว้เป็นกำลังใจ ถึงแกจะไม่ได้จับดินสอมานานแต่ยังไงแกก็มีพรสวรรค์ในตัวเอง เดี๋ยวแกก็ทำได้ดีเองนั่นแหละ”
“พ่อเก็บไว้เถอะครับ ทั้งหมดนี้ผมวาดให้พ่อกับแม่ ดังนั้นให้อยู่กับพ่อคงดีที่สุด แค่รู้ว่าพ่อเก็บเอาไว้ผมก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว” ภรัณยูหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ บังเอิญว่าผมทำอะไรค้างไว้อยู่ตอนพิณเล็กไปเรียก ฝันดีนะครับพ่อ” ชายหนุ่มบอกลาพ่อของตนก่อนผละขึ้นห้องทั้งที่ไม่ได้มีอะไรค้างคาอย่างที่พูด แต่จิตใจของเขากำลังเต็มปรี่ไปด้วยความตื้นตัน เส้นทางของเขากำลังเปิดกว้างและรอต้อนรับให้ก้าวขาเข้าไป ตอนนี้มีเพียงอุปสรรคเดียวคือคนที่จะช่วยเขาได้ หรือไม่เขาก็คงต้องทำมันเพียงลำพัง
ตอนที่ขึ้นไปถึงห้องยังคงไม่มีอีเมลตอบกลับมา ภรัณยูผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็เดินไปหยิบหนังสือมานอนอ่านและพยายามไม่มองเวลาให้บ่อยเกินไป
เสียงเข็มวินาทีกระทบโสตประสาทเป็นช่วง ๆ เหมือนกับชวนให้นับเวลาไปด้วยกันทั้งที่เจ้าตัวพยายามไม่คิดถึงมัน
เมื่อหนังสือจบเล่นไปแบบลวก ๆ หน้าจออีเมลก็ยังไม่ได้บอกเตือนถึงข้อความใหม่ ภรัณยูถอนหายใจแล้วเดินกลับไปที่เตียงก่อนทิ้งตัวลงนอน
อย่าใจร้อนไป...
ภรัณยูเตือนตนเองก่อนหลับตาลง
-------------------------->
“ที มีอีเมลมาใหม่น่ะ” รติตัวน้อย ๆ บินมาสะกิดชายหนุ่มที่กำลังปล่อยอารมณ์อยู่เงียบ ๆ เจ้าตัวพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบเพียงสั้น ๆ
“ก็กดลบไปสิ นายทำได้แล้วนี่” ทุกครั้งที่เขาใช้คอมพิวเตอร์ เจ้าสิ่งที่อ้างว่าตนเองคือรติ เพื่อนสมัยเด็กของเขามักจะมาด้อม ๆ มอง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเสมอ จนถึงตอนนี้เจ้าตัวสามารถเปิดคอมพิวเตอร์และดูคลิปวีดีโอเองได้แล้วด้วยซ้ำ กับอีแค่อีเมลมีหรือที่จะตอบหรือกดลบไม่เป็น
“แล้วถ้าเป็นเรื่องงานล่ะ?”
“นายก็รู้ว่าฉันจะตอบอะไร” นภทีป์ตอบเพียงแค่นั้นก่อนหันไปทางอื่นไม่นึกสนใจอีก
รติกลอกตาแล้วกอดอกขณะบินตรงไปยังโต๊ะคอมพิวเตอร์ ใช้มือเล็ก ๆ เปิดดูอีเมลด้วยความยากลำบากอยู่เล็ก ๆ แต่ก็เริ่มชินกับมันบ้างแล้ว เจ้าของร่างกายขนาดเล็กผิดมนุษย์มนามองหัวข้ออีเมลที่ถูกส่งมาด้วยสายตาแปลกใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มนิด ๆ แล้วเหลือบมองนภทีป์
ความคิดบางอย่างปรากฏวาบขึ้นในสมอง เป็นแผนการที่น่าจะช่วยให้อีกฝ่ายหลุดจากสภาพปัจจุบันได้ แต่ก็ต้องขึ้นกับความร่วมมือของฝ่ายนั้นด้วย
คิดแล้ว เด็กน้อยที่มีปีกก็เปิดอีเมลอ่านข้อความอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าคนที่ส่งมาจะเป็นผู้ชาย เป็นเรื่องน่าเสียดายนิดหน่อยเพราะเขาคิดว่าเป็นผู้หญิงคงเวิร์คกว่า แต่เอาเถอะ ผู้ชายอาจจะเข้าหาง่ายกว่าก็ได้ ถ้าฝ่ายนั้นไม่หนีกระเจิงเพราะอาการตัดขาดสังคมของเจ้าคนข้างหลังนี่เสียก่อน
รติจัดการพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความเร็วเท่าที่มือเล็ก ๆ และแขนสั้น ๆ จะทำได้ ไม่นานก็กดส่งได้สำเร็จ
เอาล่ะ...ทีนี้ก็เหลือแต่รอแล้วล่ะนะ
เจ้าของร่างกายเล็กจิ๋วบินกลับมาที่ของตัวเองซึ่งก็คือเตียงเล็ก ๆ ของนภทีป์ พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแผนการหลากหลาย อาการของเจ้าตัวเป็นอาการที่เรียกว่าซึมเศร้าไม่ผิดแน่ แต่ไป ๆ มาๆ มันคล้ายจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าฮิคิโคโมริเสียมากกว่า ความจริงแล้วการแก้ไขเบื้องต้นคือการทำให้เจ้าตัวรู้สึกอยากกลับสู่สังคมอีกครั้ง แต่มันเป็นเรื่องยากเสียจริงเพราะเขาก็พยายามมานานแล้วแต่ไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งคงเพราะตัวเขาไม่ใช่มนุษย์...เพราะอย่างนั้นจึงไม่สามารถเยี่ยวยาหัวใจของมนุษย์ได้
แต่เขาก็เกิดมาในตัวตนนี้เพื่อช่วยเหลือนภทีป์...มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องยืมมือคนอื่นบ้าง
ฉันอยากให้นายมีความสุข...จริง ๆ นะ ที...
TBC
-
เนื้อเรื่องน่าสนใจ ใครเป็นเมะใครเป็นเคะเนี่ย เดาไม่ถูกเลย
รอตอนต่อไป
-
-3-
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์นอนนิ่งอยู่ในกล่องข้อความของผู้รับซึ่งเพิ่งจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมท่าทางงัวเงียตามปกติ ภรัณยูมองไปที่คอมพิวเตอร์ของตนเองที่เมื่อวานนี้ลืมปิดมัน แต่เพราะห้องของเขามีเครื่องปรับอากาศ ถึงจะเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ข้ามคืนก็ไม่ต้องห่วงเรื่องโอเวอร์ฮีทแต่อย่างใด กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่อยากให้มันต้องฝืนตัวเองมากเกินไปนักจึงตั้งใจจะเดินไปปิด แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดมาดลใจให้นึกยากลองเปิดเช็คอีเมลของตนเองดูอีกสักทีโดยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบใด ๆ กลับมา
ทว่า...
นั่นมันอะไรกัน...
จดหมายตอบกลับขึ้นเป็นตัวอักษรสีเข้มเหมือนเชิญชวนให้เปิดเข้าไปดูข้างใน และมันถูกส่งมา...จากอีเมลปลายทางซึ่งเขาติดต่อไปเมื่อวานนี้
หัวใจชายหนุ่มเต้นเป็นรัวกลองเพราะสิ่งนี้เหนือความคาดหมายอย่างมาก แต่ไม่นานนักเขาก็สามารถสงบใจได้เมื่อเตือนตนเองว่ามันเป็นเพียงการติดต่อเบื้องต้นเท่านั้นและอาจจะส่งไปผิดตัวก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรตื่นเต้นตกใจไปก่อน ไว้อ่านจบค่อยตื่นเต้นก็ยังไม่สาย
ภรัณยูคลิกเข้าไปในหัวข้อที่ว่า ก่อนจะมุ่นคิ้ว
‘ผมคือ นภทีป์ ที่คุณกำลังตามหา และถ้าคุณสนใจจะให้ผมแนะแนวทางเกี่ยวกับอาชีพอาร์ตติส ขอให้คุณมาพบผมได้ตามที่อยู่นี้’
หลังข้อความนั้นก็เป็นที่อยู่ของเจ้าตัวก่อนจะจบไปท้ายว่า ‘ผมหวังว่าจะได้พบคุณในเร็ว ๆ นี้’
ภรัณยูอ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำไปมาอยู่ประมาณ 3 รอบ เขาไม่แน่ใจนักว่าตนเองกำลังรู้สึกอย่างไรกับข้อความเหล่านี้จึงพยายามอ่านย้ำ จะว่าตื่นเต้น...ก็คงใช่ แต่เหนือกว่านั้นคือความรู้สึกเหมือนว่าทุก ๆ อย่างง่ายเกินไปจนน่าประหลาดใจ ทำไมอีกฝ่ายจึงไม่ถามอะไรเขากลับมาเลยเพราะข้อมูลส่วนตัวที่เขาส่งไปให้ก็มีเพียงคร่าว ๆ เท่านั้น เรียกว่าไม่อาจตรวจเช็คได้ด้วยซ้ำว่าเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ แล้วฝ่ายนั้นไว้ใจเขาทันทีถึงขนาดส่งที่อยู่มาให้ง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ? มันแปลกเกินไปแล้ว
แต่...เขาจะปฏิเสธหรือ?
นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้พบกับเจ้าของภาพซึ่งทำให้เขาติดอกติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้น ซ้ำคน ๆ นั้นยังคงทำงานในวงการนี้อยู่ และดูเหมือนจะยินดีชี้แนะแนวทางให้เขาอย่างเต็มใจ บางทีอาจจะช่วยพลิกฟื้นวิชาให้เขาได้ด้วย ดังนั้น...คงจะต้องลองเสี่ยงสักครั้ง
หากผิดพลาดก็แค่กลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่และลองพยายามด้วยตัวเองจากจุดศูนย์ อย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงจึงไม่ต้องกังวลอันตรายมากนัก อีกทั้งรูปร่างแบบนักกีฬาของเขาก็ยังข่มขวัญคนอื่นได้แม้ตัวเขาจะไม่เคยใช้กำลังชกต่อยเลยก็ตาม
ภรัณยูปิดอีเมลหลังจากจดที่อยู่ลงกระดาษเป็นที่เรียบร้อย
และในวันต่อมา...ชายหนุ่มก็ออกจากบ้านพร้อมกระดาษแผ่นนั้น เพราะที่อยู่ของอีกฝ่ายอยู่ในจังหวัดเดียวกันและเป็นเขตที่เรียกว่าใกล้กันคงจะได้ หากจำไม่ผิดมีรถประจำทางที่สามารถนั่งจากบ้านเขาไปถึงที่นั่นได้ด้วย ภรัณยูจึงออกจากบ้านตั้งแต่ตอนสายโดยกะเวลาว่าจะไม่ไปรบกวนฝ่ายนั้นเช้าเกินไป ป้ายรถประจำทางที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขาเป็นป้ายขนาดเล็กที่คนใช้ไม่มากนัก แต่ก็มักจะรับผู้โดยสารมาจากป้ายใหญ่ก่อนหน้าจนแทบจะเต็มคัน แน่นอนว่าสายรถประจำทางที่ต้องโดยสารไปในวันนี้ก็เช่นกัน เมื่อมันมาหยุดนิ่งที่ป้ายที่นั่งที่มีอยู่ก็เต็มหมดแล้วและหลายคนต้องยืนห้อยโหน ภรัณยูเดินขึ้นไปก่อนจับราวที่อยู่เหนือศีรษะไม่มากนักเพื่อพยุงร่างกายขณะรถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากจุดจอดของมัน
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มใช้รถประจำทางสายนี้เดินทางเพราะสวนใหญ่เขาจะเดินทางแค่บ้านกับมหาวิทยาลัย นอกจากนั้นก็จะไปกับเพื่อนหรือกับครอบครัว ทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อยว่าตนเองจะลงรถถูกป้ายหรือไม่ สายตาของเขาจึงเพ่งออกไปด้านนอกเหมือนคนที่เพิ่งเข้ากรุงเป็นครั้งแรกไม่มีผิด แต่ความจริงแม้เป็นคนกรุงแต่กำเนิดก็ยากที่จะชำนาญถนนทุกเส้นได้
เป็นโชคดีของภรัณยูที่พนักงานเก็บค่าโดยสารตะโกนบอกสถานที่เป็นระยะ เมื่อถึงป้ายที่ต้องการเขาจึงลงจากรถและถามคนแถวนั้นถึงสถานที่ที่ตนต้องการไป
คนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างชี้เข้าไปในซอยใกล้ ๆ นั้น
“พอเข้าไปสัก 100 เมตรก็เจอแล้วล่ะ”
ก็ไม่ไกลเท่าไหร่นี่นะ...
ชายหนุ่มคิดในใจแล้วเอ่ยขอบคุณผู้บอกทาง และเมื่อเดินเข้าไปในซอยได้ไม่นาน เขาก็พบทางเข้าของคอนโดมิเนียมที่มีชื่อเดียวกับที่อยู่ที่จดไว้ในกระดาษ ภรัณยูมองไปยังตัวอาคารสูงหลายชั้นด้วยความกังขา เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าคอนโดมิเนียมก็มักจะตกแต่งอย่างหรูหราฟู่ฟ่า ทำให้คิดถึงภาพอาคารสีขาวและกระจกหน้าต่างบานใหญ่สะท้อนแสงแวววับ แต่ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลจากคำว่าหรูหราไปโขและบริเวณไม่กว้างขวางอย่างที่คิด มองขึ้นไปเห็นระเบียงเล็ก ๆ ของแต่ละห้องซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังมองหอพักมากกว่า กระนั้น อย่างน้อยที่นี่ก็มีสระว่ายน้ำซึ่งทำให้สมภาพคอนโดมิเนียมมากขึ้น
บางที...เขาคงจะติดตากับพวกคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองมากเกินไป
ภรัณยูเดินเข้าไปในอาคารพลางมองซ้ายขวาและพบลิฟต์ในที่สุด ชั้นที่เจ้าตัวอยู่ค่อนข้างสูง จะเดินขึ้นไปคงไม่ไหวถึงเขาจะมั่นใจในศักยภาพร่างกายของตนก็ตาม
ตัวเลขห้องติดอยู่ข้างประตู ชายหนุ่มเดินไล่ไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ลิฟต์จนเกือบถึงสุดทางก็พบหมายเลขห้องซึ่งตรงกับในกระดาษที่เริ่มยับยู่ยี่จากการพับ ๆ กาง ๆ หลายครั้ง ชายหนุ่มยัดมันกลับลงกระเป๋าก่อนสูดลมหายใจลึกหลายครั้งและยกมือขึ้นกดออด
----------------------------->
วันนี้นภทีป์ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างประหลาด หากเป็นคนทั่วไปคนเริ่มคิดว่าวันนี้จะต้องมีอะไรที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น แต่ชายหนุ่มเป็นคนไม่เชื่อถือโชคลางดังนั้นจึงคิดแค่ว่าตนเองคงจะป่วยหรือส่งสัญญาณว่ากำลังจะป่วย เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับอาการประหลาดนั้นมากนักและเดินไปอาบน้ำ แต่งตัว กดน้ำร้อนใส่ซุปสาหร่ายสำเร็จรูปแล้วเอามานั่งกินแทนอาหารเช้า...เกือบเที่ยง
ทุก ๆ วันในระยะนี้ผ่านไปอย่างเงียบเหงาเกินบรรยาย แต่เจ้าของห้องกลับพอใจที่เป็นเช่นนั้น ไม่มีข้อความในโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอีเมลรบกวนใจ นอกจากเสียงแจ้ว ๆ ของสิ่งที่เรียกตนเองว่ารติแล้ว ก็ถือว่าทุกอย่างสงบเงียบพอสมควร
แต่แล้วความสงบของเขาก็ถูกกระแทกให้กระเจิงหายไปด้วยเสียงออดยาว
นภทีป์มองไปยังประตูด้วยความสงสัยระคนไม่พอใจว่าใครกันที่มารบกวนในเวลานี้ เขาวางชามใส่ซุปสาหร่ายที่ยังกินไม่หมดลงบนโต๊ะก่อนเดินไปทางต้นเสียงและมองผ่านตาแมวบนบานประตู
ใครน่ะ?
ผู้ชายที่ปรากฏตัวอยู่หลังบานประตูไม่ใช่คนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตาเลยสักนิด ไม่แม้แต่นิดเดียว ดังนั้นจึงไม่ใช่คนที่เขารู้จักอย่างแน่นอนถึงแม้ความจริงแล้วเขาจะเป็นคนที่ความจำสั้นเรื่องเอกลักษณ์บุคคลก็ตาม บางทีอาจจะมากดผิดห้อง ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นจึงไม่ได้เปิดออกรับแล้วหมุนตัวเดินกลับมาอย่างเงียบ ๆ ทว่าเสียงออดครั้งที่สองก็ดังขึ้นยาวกว่าเดิมพร้อมกับรติที่อยู่ ๆ ก็บินสวนทางเขาไปทางประตู
“เดี๋ยว นั่นนายจะ...!” พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าเด็กตัวเล็กที่มีปีกเหมือนเทวดาก็เปิดประตูห้องเองโดยพละการเป็นจังหวะเดียวกับที่นภทีป์เอื้อมมือไปเพื่อห้าม ทำให้มองเผิน ๆ จากภายนอกแล้วเหมือนตัวเขาเป็นคนเปิดประตูเองอย่างไรอย่างนั้น
“ส...สวัสดีครับ” ผู้มาเยือนกล่าวทักทายด้วยความประหม่าก่อนยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขิน “ผมภรัณยูที่ติดต่อมาเมื่อวานซืน”
เมื่อวานซืน?
นภทีป์มุ่นคิ้วเพราะเจ้าตัวจำไม่ได้เลยว่าเคยไปนัดใครตั้งแต่เมื่อไหร่ จะเป็นเมื่อวาน เมื่อวานซืน หรืออาทิตย์ที่แล้วก็ไม่น่าจะมีได้
“นายมาผิดห้องแล้วล่ะ ขอโทษทีนะ” เพื่อตัดบทอย่างรวดเร็ว นภทีป์จึงบอกปฏิเสธและบอกลาไปในตัวก่อนดันประตูปิด
“เดี๋ยวก่อนสิ คุณใช่นภทีป์หรือเปล่า?”
...?
“ใช่...” ทำไมคน ๆ นี้จึงรู้จักชื่อตน นภทีป์ไม่อาจหาคำตอบได้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเจาะจงมีธุระกับเขาโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามชื่อออกมาอย่างนี้
“คือ...เมื่อวานซืน ผมส่งอีเมลมาให้คุณตอนค่ำ แล้วคุณก็ตอบกลับมาว่าอยากพบผมและให้ที่อยู่มาด้วย จำได้หรือเปล่าครับ?”
จำไม่ได้
นภทีป์อยากจะตอบออกไปแบบนั้น แต่เพียงอ้าปากก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“...บางทีคงจะเป็นใครสักคนเล่นตลกกับคอมพิวเตอร์ของฉัน เพราะฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยอ่านอีเมลฉบับนั้นหรือแม้แต่ตอบมัน” แต่เขาก็เดาได้ว่าใครเป็นคนเล่นตลก ชายหนุ่มมองเข้าไปในห้องของตนเพื่อคาดโทษเจ้าตัวป่วน แต่กลับพบว่าฝ่ายนั้นไม่ได้อยู่ข้างใน
“งั้นเหรอครับ...” ภรัณยูผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็คิดอยู่แล้วว่ามันง่ายเกินไป “ถ้าอย่างนั้นผมขอคุยกับคุณหน่อยได้ไหม?”
“ตอนนี้ฉันไม่ว่าง ถ้านายมีธุระก็ส่งอีเมลมาแล้วกัน ถ้าฉันมีเวลาเมื่อไหร่จะเปิดดูเอง”
“เข้าใจแล้วครับ” ชายหนุ่มร่างใหญ่ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้น..."
โครม!
เสียงของชิ้นใหญ่ตกกระทบพื้นทำให้คนทั้งสองสะดุ้งเฮือกไปตาม ๆ กัน นภทีป์หันกลับเข้าไปในห้องและพบว่ากล่องใส่อุปกรณ์ของเขาตกลงมาจากชั้นวางหนังสือ โดยมีรตินั่งแกว่งขาหัวเราะร่าอยู่แทนที่ ฝากล่องหลุดตอนกระแทกหรือไม่ก็คงเปิดไว้ก่อนตกแล้วทำให้สีโคปิกที่ใส่อยู่ข้างในกลิ้งกระจายไปทั่วบริเวณ มีหลายแท่งที่กลิ้งมาทางประตูและเมื่อเจ้าของกำลังจะก้มลงเก็บ มันก็ถูกหยิบขึ้นมาก่อนด้วยมือกร้านใหญ่ของชายหนุ่มที่เจ้าตัวลืมไปครู่หนึ่งว่ามีตัวตนอยู่ตรงนี้ด้วย
“คือ...นี่...” ภรัณยูส่งมันให้กับเจ้าของแต่ไม่ทันจะถึงมือก็มีอีกกล่องล้มลงมาอย่างไม่มีสาเหตุ คราวนี้กระดาษที่อยู่ข้างในไหลพรูจนทั่วพื้น
ถึงจะรู้ว่าค่อนข้างเสียมารยาท แต่ภรัณยูก็ก้าวเข้าไปในห้องเพื่อช่วยเก็บโดยไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้นโดยนภทีป์ได้แต่มองอึ้งทำอะไรไม่ถูก สิ่งแรกที่เขาอยากทำไม่ใช่การเก็บของแต่เป็นการโยนเจ้าตัวการออกไปจากห้อง กระนั้นกลับไม่สามารถทำได้เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่น
ระหว่างเก็บ สายตาภรัณยูก็กวาดมองภาพเหล่านั้น
มีบางอย่างแปลก ๆ ...
ภาพเหล่านี้มีหลายภาพที่ให้ความรู้สึกอย่างนั้น โดยเฉพาะภาพที่ไหลมาไกลที่สุด มันเป็นภาพยุ่งเหยิงที่มองแล้วเหมือนภาพร่าง แต่เป็นภาพร่างที่ไม่มีจุดหมายชัดเจน แค่เพียงตวัดดินสอไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาพอะไรบางอย่างที่จะว่าคนก็ไม่เชิง
แต่ที่แปลกไม่ใช่ตัวภาพแต่เป็นความรู้สึกจากภาพ พวกมันให้ความรู้สึกมืดมนและว่างเปล่าราวกับว่าผู้วาดมีความยุ่งเหยิงอยู่ในใจไม่ต่างกับลายเส้น
ไม่มีพลังอย่างที่เขารู้สึกจากภาพนั้นเลย...
ภรัณยูรวบรวมภาพที่เก็บได้ไปวางไว้กับอีกกองที่นภทีป์รวมไว้แล้ว ก่อนที่จะวางทับลงไปชายหนุ่มก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อสะดุดกับความรู้สึกแปลกบางอย่าง
ตรงนี้กับตรงนั้น...
ภาพในมือเขากับกองที่วางไว้ก่อนไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นภาพของเส้นร่างแต่มันกลับสะอาดมีระเบียบและให้ความรู้สึกสว่างไสว
“คือว่า...ภาพพวกนี้...”
“ก็แค่ภาพร่าง แต่มันชักจะเยอะเกินไปแล้ว” นภทีป์มองลังกระดาษที่ตนใช้เก็บพวกภาพร่าง บางทีคงถึงเวลาเอาไปชั่งกิโลขายแล้วกระมัง?
“ที่นี่มีอุปกรณ์วาดเขียนเต็มไปหมดเลยนะครับ” ภรัณยูรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยกับท่าทางการแสดงออกที่เย็นชาของอีกฝ่ายจึงชวนคุยเพื่อคลายบรรยากาศ “คุณคงทำงานนี้มานานแล้ว ผม...รู้สึกชื่นชมคุณมากเลยนะ ที่สามารถทำงานที่ตัวเองชอบได้แบบนี้”
“ฉันเลิกแล้ว”
“เอ๋?”
เจ้าของร่างสูงใหญ่หันมองอีกคนหนึ่งซึ่งพูดออกมาด้วยประโยคสั้น ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
“ทำไมล่ะครับ? คุณออกจะมีฝีมือ...”
“เพราะฉันทำไม่ได้อีกแล้ว มันก็แค่นั้น”
ใช่...ทำไม่ได้เลย ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ทุกวิธีที่มีคนบอกให้ลองทำเพื่อกำจัดอาการเหล่านี้ พวกมันไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง กระดาษหลายแผ่นถูกทิ้งขว้างเมื่อละเลงจนมีแต่เส้นสีดำแต่เส้นเหล่านั้นไร้ซึ่งรูปร่างและเป้าหมาย ไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึก ในสมองของเขาไม่สามารถจินตนาการภาพได้ด้วยซ้ำไป หรือบางครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ลาง ๆ พอลงมือจับดินสอทั้งร่างก็พลันอ่อนล้าและภาพก็เริ่มบิดเบี้ยวไร้รูปทรง กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ก่อนที่มันจะจางหายไปโดยที่เขาได้แต่มองกระดาษสีขาวตรงหน้า
ภรัณยูนึกสงสัยว่า ‘ทำไม่ได้’ หมายถึงอะไร จึงก้มลงมองมือของนภทีป์ที่กำลังรวบรวมแท่งโคปิกลงกล่อง มันก็ไม่ได้ดูผิดแปลกอะไร ไม่เหมือนคนที่ประสบอุบัติเหตุจนมือใช้งานเหมือนเดิมไม่ได้อีกแม้แต่น้อย กลับกัน มันยังดูคล่องแคล่วและหยิบจับทุกอย่างได้อย่างสะดวกสบาย
ชายหนุ่มกวาดสายตาไปทางหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นโต๊ะทำงาน สิ่งที่วางอยู่บนนั้นคือกระดาษแผ่นหนึ่งที่ยังไม่ได้วาดอะไรลงไปเลย
“ผมอาจจะพูดอะไรที่เสียมารยาทสักหน่อย...แต่...ถ้าคุณมีปัญหาอะไรที่อยากพูดกับใครสักคน...” เขารู้ว่ามันแปลกที่พูดแบบนี้กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะรู้จักกันแค่ชื่อกับหน้าตา แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ภรัณยูจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
นภทีป์หันมองแขกของตนด้วยสายตาเหมือนมองสิ่งที่ประหลาดที่สุดในโลก และสายตานั้นทำให้ผู้ถูกมองเกิดประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง
“คือ...หรืออย่างน้อยคุณก็น่าจะกลับไปที่โรงเรียนเก่า...”
...?
สายตาของนภทีป์ฉายความสงสัยออกมาแวบหนึ่ง
“ไม่รู้ว่าคุณจำได้ไหม แต่ว่าที่นั่น...มีรูปที่คุณเคยวาดเอาไว้อยู่รูปหนึ่ง เป็นภาพของทะเลกับท้องฟ้า ครูศิลปะของคุณยังเก็บเอาไว้และเขาก็บอกผมมาว่า เด็กหลายคนกลับไปที่นั่นเพื่อให้กำลังใจตัวเองและก้าวต่อไปข้างหน้า บางทีมันอาจจะช่วยคุณได้ก็ได้” ภรัณยูพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม แต่กลับพบว่านภทีป์กำลังหลบตามองไปทางอื่นด้วยสีหน้าอึดอัดใจระคนเจ็บปวด
“นายกลับไปได้แล้ว ฉันจะจัดการที่เหลือเอง”
“แต่ว่า...”
“บอกให้ไปก็ไปสิ! ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกยามมาลากนายออกไป!”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของนภทีป์ทำให้ภรัณยูทำอะไรไม่ถูก
“ขอโทษครับ...” เพราะคิดว่าตนเองคงพูดอะไรผิด ชายหนุ่มจึงรีบขอโทษไว้ก่อนแล้วจึงลุกขึ้น “ถ้าอย่างนั้น...เอาไว้ผมจะติดต่อมาอีกครั้ง” เจ้าตัวว่าเช่นนั้นแล้วจึงเดินออกไป
เมื่อเหลือนภทีป์เพียงลำพัง รติก็ปรากฏตัวออกมาแล้วกอดอกถอนหายใจพรืด
“นายน่าจะรับเขาไว้นะ”
“ไม่ต้องมาพูดดี นายเป็นคนเรียกเขามาที่นี่ล่ะสิ” นภทีป์ว่าก่อนโยนก้อนยางลบใกล้มือใส่อีกฝ่าย แต่เจ้าตัวก็หลบอย่างง่ายดายทำให้เจ้าของห้องไม่พอใจมากยิ่งขึ้น “ถ้านายถูกใจเขาก็ไปตามติดเขาแทนฉันสิ”
“เจ้านั่นน่ะ เหมือนนายสมัยก่อนเลยนะ” รติบินมาหยิบจับของที่ตนเองจงใจทำตกใส่กล่อง “ตอนที่นายสนุกกับการวาดเขียนและอยากจะทำให้ดียิ่งขึ้น อยากจะให้ทุกคนภูมิใจในตัวนาย แต่พอนายมาถึงจุดที่คาดหวังแล้วก็กลับตั้งใจจะทิ้งมันไป แต่เจ้าคนนั้นน่ะเพิ่งจะเริ่มต้นก้าวเดินในเส้นทางเดียวกับที่นายผ่านมาแล้ว แค่ช่วยเขานิดหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไรไปนี่นา?”
นภทีป์ไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาจัดเรียงสีโคปิกลงกล่องทีละแท่งโดยเรียงตามโทนของมันอย่างบรรจง ทั้งที่พูดออกมาเองว่าจะเลิกวาด แต่อุปกรณ์เหล่านี้เขาก็ยังไม่อาจทำใจทิ้งขว้างมันได้ ราวกับความภายในส่วนลึกของจิตใจก็ยังคงโหยหาอิสรภาพที่ได้รับเมื่อครั้งสร้างสรรค์ผลงานด้วยมือคู่นี้ แต่ในเมื่อไม่อาจทำได้อีกแล้วเขาก็ควรจะเริ่มหางานอื่นทำเสียที ไม่อย่างนั้นเวลาในชีวิตก็คงผ่านไปอย่างสูญเปล่า ซ้ำสายอาชีพนี้ก็ไม่ได้รับเงินเป็นเดือน ๆ แต่ได้ตามจำนวนงาน ซึ่งจะว่าไปก็ไม่มั่นคงนักเพราะสมัยนี้นักวาดเก่ง ๆ ก็ผุดกันเป็นดอกเห็ด พบกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง หากอยู่อย่างนี้ต่อไปคงอดตายแน่ ๆ
พอคิดแบบนี้ทีไร เขาก็มักจะหดหู่มากกว่าเดิมทุกที
ไม่อยากทำอะไรเลย...
“ฟังฉันอยู่หรือเปล่าน่ะ?”
“ไม่ได้ฟัง” นภทีป์ตอบกลับทันทีเมื่อรู้สึกตัวและตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง “แล้วก็ขี้เกียจฟังด้วย ต่อไปนี้ห้ามยุ่งกับอีเมลของฉันอีก เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับนายท่าน” รติทำท่าตะเบ๊ะด้วยมือเล็ก ๆ ป้อม ๆ ของตนเองก่อนแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว เพราะตอนนี้ถึงไม่ต้องใช้อีเมล เขาก็ได้ทำอะไรบางอย่างไปเรียบร้อยแล้ว
------------------------------>
-
พิณาลัยมองพี่ชายที่กลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าหดหู่หม่นหมองทั้งที่ตอนออกไปดูตื่นเต้นเสียจนแทบจะกระโดดด้วยปลายเท้าได้
“โดนสาวหักอกเหรอคะ?” บางครั้งการคาดเดาของพิณาลัยก็ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอึ้งได้ ภรัณยูเริ่มสงสัยว่าท่าทางของตัวเองเหมือนคนอกหักถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
“แก่แดดนักนะเรา” ชายหนุ่มถอนหายใจ “แล้วแม่ไปไหนล่ะ? ทำไมวันนี้อยู่บ้านคนเดียว?”
“แม่ออกไปซื้อของน่ะค่ะ เห็นบอกว่ามีหลายอย่างในบ้านหมดแล้วก็เลยจะไปชอปปิ้งสักหน่อย ออกไปก่อนพี่กลับมาสักพักนี่เอง” พิณาลัยว่าแล้วเข้าไปในครัว “ไม่รู้ว่าพี่จะกลับเร็วแม่ก็เลยเก็บโต๊ะแล้ว แต่กับข้าวยังอยู่ในตู้เย็นนะ ถ้าพี่หิว” ว่าแล้วเด็กสาวก็เปิดตู้เย็นให้พี่ชายดูของข้างในซึ่งเป็นกับข้าวที่เหลืออยู่อย่างละนิดละหน่อย เพียง 2-3 อย่างตามปกติ
“เดี๋ยวพี่จัดการเอง พิณเล็กไปดูทีวีต่อเถอะ” ท้องของภรัณยูร้องเตือนให้เจ้าของรู้ว่าถึงเวลาอาหารแล้ว เขาหยิบจานออกมาทีละอย่างแล้วเอาเข้าไมโครเวฟก่อนเดินไปดูข้าวในหม้อที่แม่หุงเอาไว้ ข้าวหอมมะลิเม็ดนุ่มขาวเรียกให้น้ำย่อยยิ่งเร่งทำงานกว่าเดิม
ชายหนุ่มจัดการมื้ออาหารของตนเองอย่างวดเร็ว และเก็บล้างจานชามทั้งหมด เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่กลับมาจากข้างนอกพอดี
“อ้าว แม่ว่าซื้อของกลับมาแล้วค่อยล้าง โดนแย่งทำไปซะแล้ว” พิณเพลงวางของลงบนโต๊ะแล้วค่อย ๆ หยิบจับไปจัดวางในที่ที่เหมาะสม
“ผมทำเสร็จแล้วล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอขึ้นห้องก่อนนะ” ภรัณยูเดินไปเช็ดมือที่ผ้าใกล้ ๆ เตาก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นห้องไป แต่ตอนที่กำลังจะโยนกระเป๋าไปไว้ที่โต๊ะนั้นก็นึกถึงมาได้ว่าอาจจะมีคนโทรหาระหว่างเดินทางและไม่ได้รับสายจึงหยิบขึ้นมาดูเสียหน่อย ทว่าเมื่อเปิดกระเป๋าเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าข้างในมีกระดาษขนาด a4 สองแผ่นพับยัดอยู่ข้างในอย่างลวก ๆ ทั้งที่เขาไม่ได้เอาไปด้วย ที่มีก็เพียงกระดาษจดที่อยู่ของนภทีป์ซึ่งยัดไว้ในกระเป๋ากางเกง ไม่ใช่กระเป๋าสะพาย
แล้วมันมาได้ยังไง?
ภรัณยูหยิบพวกมันออกมากาง และพบว่าเป็นกระดาษภาพร่างที่ตนเองช่วยนภทีป์เก็บรวบรวมนั่นเอง น่าแปลกมาก...เขาจำได้ว่าตนเองไม่ได้หยิบออกมาด้วยไม่ใช่หรือ?
แย่จริง...
ยังไงก็คงต้องเอาไปคืนสินะ...
ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อนึกถึงท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออก นภทีป์ทำให้เขาคิดถึงตัวเองในบางแง่มุม คนที่ไม่มีทางออกจนต้องยอมละทิ้งสิ่งที่ตนเองรักที่จะทำไป จะว่าคุ้นเคยก็คงใช่ เพราะตัวเขาเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาก่อน ช่วงเวลาที่ถูกบังคับให้สนใจการเรียนอย่างจริงจังและผิดหวังกับการเป็นที่ยอมรับในฐานะอื่น ทำให้มุ่งสู่สายการเรียนจนไม่ได้สนใจจับงานวาดอย่างจริงจังอีกเลย
แต่ปัญหาของเขากับนภทีป์คงต่างกัน...
ฝ่ายนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้วและมีปัญหาที่ซับซ้อนมากกว่า ซึ่งเขาไม่อาจเข้าใจได้ ทำได้เพียงรู้สึก...จากการมองลายเส้นเหล่านี้ กระดาษสองแผ่นที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกันบ่งบอกเขาถึงอารมณ์ในสองช่วงเวลาที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แผ่นที่ยุ่งเหยิงและวุ่นวายบ่งบอกถึงสภาพจิตใจซึ่งหมายถึงความคิดที่หาทางออกให้กับตนเองไม่ได้ ทำไม่ได้แม้แต่จะคิดว่าตนเองควรวาดเขียนอะไรต่อไปจึงออกมาเป็นเส้นร่างไร้รูปทรงที่ปล่อยให้มือเคลื่อนไหวไปอย่างอิสระ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจค้นพบประตูที่ถูกต้อง
ถึงจะเป็นคนไม่รู้จักกัน แต่ภรัณยูกลับคิดว่าตนเองเข้าใจอีกฝ่าย
กระนั้นการถูกไล่ตะเพิดก็ทำให้ชายหนุ่มหวั่นใจอยู่หลายส่วน หากไปอีกครั้งจะโดนยามหามออกมาหรือเปล่า มันก็เป็นปัญหาที่คิดไม่ตกเหมือนกัน
จะว่าไป...
อยู่ ๆ ก็คล้ายจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ภรัณยูเดินไปที่คอมพิวเตอร์แล้วกดปุ่มให้มันทำงาน และทันทีที่ทุกอย่างนิ่งสงบชายหนุ่มก็พาตนเองเข้าสู่โลกไซเบอร์ผ่านทางเบราว์เซอร์ตัวหนึ่งซึ่งใช้อยู่เป็นประจำ เว็บไซต์ซึ่งเขาใช้ค้นหาช่องทางนภทีป์ทั้งหลายถูกเปิดขึ้น ซึ่งหลาย ๆ เว็บไซต์เป็นเว็บรวบรวมผลงานศิลปะ เขานั่งมองผลงานที่อยู่ภายใต้นามแฝงของนภทีป์อย่างพิจารณา
ผลงานแต่ละชิ้นให้ความรู้สึกมั่นใจในตัวเองและมีจุดมุ่งหมายชัดเจน เส้นที่คมชัดหนักแน่น การใช้สีที่ดูนุ่มแต่มีน้ำหนักที่ให้พลังด้านอารมณ์ ดูไม่เหมือนกับนภทีป์ที่เขาได้พบวันนี้เลยสักนิด
มันเกิดอะไรขึ้นนะ?
แต่ถึงอย่างนั้นภาพทั้งหมดนี้ก็ไม่อาจเทียบได้กับภาพวาดฝีมือเด็กมัธยมที่เขาเห็นจากโรงเรียนแห่งนั้น พวกมันให้ความรู้สึกเย็นชาอยู่ข้างใน ถึงแม้จะมีพลังดึงดูดสายตา แต่เมื่อพินิจมองนาน ๆ กลับรู้สึกคล้ายมองลงไปในหลุมลึกไร้ก้นบึ้งที่หนาวเย็น
ภรัณยูเท้าคางพลางมุ่นคิ้ว
จริงอยู่ว่าเขารู้สึกชื่นชมนภทีป์ แต่มันจะคุ้มค่ากับเวลาที่เขาเสียไปหรือเปล่า เพราะฝ่ายนั้นก็ไม่ได้อยากจะให้เขาเข้าไปยุ่งกับชีวิตตัวเองเหมือนกัน ถึงอย่างนั้น...ใครกันนะที่ส่งอีเมลฉบับนั้นมาให้ หากไม่ใช่เจ้าตัวก็ต้องเป็นเพื่อนอย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่นภทีป์ไม่ใช่คนที่ดูเหมือนมีเพื่อนเยอะพอจะเล่นอะไรแผลง ๆ อย่างนี้ได้เลย ซ้ำถึงกระทั่งให้ที่อยู่มาชัดเจนขนาดนี้ยังไงก็ต้องเป็นคนรู้จักใกล้ชิด หรือไม่ก็จงใจแกล้งให้เจ้าตัวเดือดร้อน ความจริงแล้วอาจจะเป็นตัวนภทีป์เองที่นึกสนุกก็ได้ไม่ใช่หรือ?
แต่ไม่ว่าคำตอบที่แท้จริงจะเป็นอะไร...นภทีป์ก็ยืนยันหนักแน่นว่าตนเองไม่เคยได้รับอีเมลของเขาและเป็นคนอื่นที่ยุ่งกับอีเมลนั้น
ถ้าอย่างนั้นหากเขาพูดให้นภทีป์เข้าใจจุดยืนของเขาได้ อีกฝ่ายอาจจะยอมช่วยก็ได้หรือเปล่า?
เพราะจริง ๆ แล้ว ภรัณยูก็ไม่ได้คาดหวังว่าฝ่ายนั้นจะยอมสอนเทคนิคต่าง ๆ ให้ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากรู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรเพื่อเข้าใกล้คำว่าอาชีพสำหรับงานแบบนี้ สำหรับคนธรรมดาแบบเขาที่คิดเหมือนคนทั่วไปมาตลอดว่าสายงานมีเพียงการเข้าทำงานกับบริษัทสักแห่งตามที่เรียนมาสมัยมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็เป็นหน่วยงานรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ งานฟรีแลนซ์เป็นเสมือนสิ่งที่อยู่ห่างไกลและยากจับต้อง เป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ และไม่มีความมั่นคงเสียจนไม่น่าจะมีอยู่จริงได้
เอาเถอะ...จะลองอีกสักครั้งก็แล้วกัน...
ถ้าครั้งนี้ไม่สำเร็จเขาคงจะต้องหาทางอื่น เพราะเขาเองก็มีเวลาที่เสียเปล่าไม่ได้เช่นกัน ซ้ำตัวเขาเองไม่ใช่นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ที่จะเข้าไปยุ่งกับจิตใจคนอื่นได้ด้วย
คิดดังนั้นแล้ว ภรัณยูก็ปล่อยให้เรื่องในวันนี้ผ่านไปโดยไม่เก็บมาคิดมากให้หนักสมองอีก และดำเนินชีวิตประจำวันของตนเองไปตามปกติ
------------------------->
ทางด้านนภทีป์ซึ่งจัดของที่รติทำตกเกลื่อนกลาดเสร็จแล้วไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าภาพที่ตนเองร่างไว้หายไป 2 ภาพ ซึ่งเป็นเพราะเจ้าตัววาดเอาไว้มากเกินกว่าจะจกจำได้หมดว่าตนเองเคยวาดอะไรไว้บ้าง โดยเฉพาะกระดาษร่างรูปซึ่งมักจะเก็บใส่กล่องทันทีที่ใช้เสร็จ จึงไม่ได้เอาออกมาพิจารณาซ้ำอีกเลยว่ามีภาพใดบ้าง ตอนที่มันล้มลงมาเขายังถามตัวเองหลายครั้งว่าตนเองเคยวาดอะไรแบบนี้ด้วยหรือ
ชายหนุ่มนั่งมองกล่องใส่อุปกรณ์ที่ตั้งเรียงกันบนชั้นวาง ถัดไปเป็นหนังสือเกี่ยวกับการวาดทั้งหลายซึ่งใช้ศึกษาด้วยตนเองสมัยแรก ๆ ที่เริ่มต้นวาดจริงจังและตั้งใจทำเป็นอาชีพ ข้าง ๆ ชั้นวางหนังสือคือลังกระดาษสำหรับเก็บกระดาษที่ใช้ในงานวาดต่าง ๆ ลังที่ใช้ใส่เฉพาะภาพร่างถูกอัดเต็มจนแน่น ส่วนลังที่ใส่ภาพวาดสำเร็จยังมีที่ว่างอยู่มาก อาจจะเป็นเพราะงานส่วนใหญ่ของเขาใช้คอมพิวเตอร์ทำกระมัง แต่เขาก็ยังชอบทำงานแฮนด์เมดมากกว่าอยู่ดี จึงมีอุปกรณ์วาดเขียนอยู่มากมายถึงขนาดนี้
มันนานแล้วสินะ...ตั้งแต่จับงานอย่างจริงจัง
กี่ปีมาแล้วที่ทุ่มเทกับมันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ในชีวิต และเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง...กลับพบว่าตนเองเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
ในวันที่พบว่ามือของเขาไม่อาจสร้างสรรค์อะไรได้อีกแล้ว...
โลกกว้างที่เคยโลดแล่นอย่างเสรีกลับคับแคบลงจนน่าอึดอัด ความรู้สึกแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้หนักหนาถึงขนาดนี้ ในตอนนั้นเขาใช้เวลาไปมากมายเพื่อให้ตนเองทำได้ดียิ่งขึ้น เพื่อจะได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองให้เร็วที่สุด แต่ครั้งนี้...มันเหนื่อยมากเหลือเกิน เมื่อมองย้อนกลับไปและได้พบว่าตนเองต้องแบกรับความคาดหวังที่มากขึ้นและมากขึ้นจนต้องเอื้อมสุดแขนเพื่อไขว่คว้า ต้องวิ่งและวิ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา พอสะดุดล้มลง...ก็ไม่มีกำลังพอที่จะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง
มันช่างไร้สาระและน่าสมเพช
เขารู้ตัวว่าตนเองกำลังทำสิ่งที่ไม่มีความหมาย การจมอยู่กับความทุกข์ของตนเอง สำหรับคนอื่นอาจจะคิดว่ามันอะไรกันนักหนา กับแค่ปัญหาเล็กน้อยก็กลับทำเหมือนโลกแตกสลาย เพราะรู้ว่าทุกคนจะมองเขาด้วยสายตาเช่นนั้นนภทีป์จึงไม่สามารถพูดเรื่องเหล่านี้กับใครได้
ใครจะมาเข้าใจ...กับการที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ไม่สามารถถ่ายทอดจินตนาการออกมาได้ มันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าโลกแตกสลาย เพราะเหมือนกับว่าพรที่สวรรค์มอบให้เขานั้น สวรรค์ได้รับคืนไปหมดแล้ว
ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำ...แต่ทำไม่ได้ต่างหาก...
นภทีป์ละสายตาจากอุปกรณ์ตรงหน้ามายังมือของตนเองที่เคยถ่ายทอดทุกจินตนาการให้กลายเป็นความจริง
เขาถอนหายใจกับตัวเองและคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อไม่อาจทำในสิ่งที่ชอบได้อีก
“ที โทรศัพท์” รติที่เข้าไปกลิ้งบนเตียงบินกลับมาพร้อมโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นโดยไร้เสียงเรียกหาเจ้าของ ตอนแรกนภทีป์ตั้งใจจะไม่ใส่ใจตามปกติ แต่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เขารีบคว้ามารับสายทันที
“สวัสดี ที”
“...กลับมาแล้วหรือครับ?”
“ใช่ เครื่องลงเมื่อเช้านี้เอง ก็ส่งข้อความไปให้แล้วนี่นา ไม่ได้รับหรอกหรือ? ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงไม่มารับที่สนามบิน ไม่สบายหรือเปล่า?”
ข้อความ...ข้อความ?
นภทีป์กลอกตาไปมาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวันก่อนตัวเองกดลบข้อความในมือถือเสียเกลี้ยงโดยไม่ได้เปิดอ่านเลยสักฉบับนอกจากที่จั่วหัวเกี่ยวกับงาน
“ขอโทษครับ ระยะนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดี” เขาแก้ตัวโดยรู้ว่ามันคงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากปลายสาย
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปเยี่ยมนะ ตอนนี้ขอนอนพักก่อนล่ะ แล้วเจอกัน ที”
พรุ่งนี้...เขาจะมา...
นภทีป์ไม่รู้ว่าตนเองควรจะดีใจหรือเสียใจ แต่ภายในส่วนลึกนั้นต้องการพบอีกฝ่ายเหลือเกินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ซึ่งต้องการใครบางคนซึ่งเข้าใจเขามากที่สุด
TBC
-
-4-
รติรู้สึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่นภทีป์ตื่นเช้าว่าปกติซ้ำยังลงทุนออกไปซื้อซองกาแฟแบบทรีอินวันด้วยทั้งที่ปกติเจ้าตัวไม่ชอบดื่มกาแฟเอาเสียเลย ดูท่าทางแล้ววันนี้คงจะมีเรื่องพิเศษ คาดว่าน่าจะเกี่ยวกับคนที่กำลังจะมาหาในวันนี้ เพราะหลังจากวาลสายไป นภทีป์ก็แสดงสีหน้าเหมือนอยากจะพบเจ้าตัวแต่ก็ไม่อยากพบ คน ๆ นั้นเป็นใครกันนะ? ตัวรติเองก็ไม่ได้ดูชื่อในโทรศัพท์เสียด้วย แค่ตอนนั้นไปนอนกลิ้งบนเตียงแล้วบังเอิญโทรศัพท์มือถือสั่นขึ้นมาก็เลยยกไปให้เจ้าของดูเท่านั้นเอง
แต่จนกระทั่งสายก็ยังไม่มีวี่แววคนที่ว่า...
ก็แหงล่ะ เจ้าตัวไม่ได้บอกเวลาว่าจะมาเมื่อไหร่ เป็นนภทีป์เองที่ตื่นเต้นจนเด้งลุกจากเตียงแต่เช้าและทำเหมือนว่าอีกไม่กี่นาทีฝ่ายนั้นจะมาถึง
พอถึง 11 โมง เสียงออดก็ดังขึ้น นภทีป์ซึ่งกำลังอ่านหนังสือแก้เบื่ออยู่พลันสะดุ้งสุดตัวและลุกพรวดขึ้นพาให้รติตกอกตกใจไปด้วยกับท่าทางกะตือรือร้นจนผิดแปลก
เจ้าของห้องสาวเท้าเร็ว ๆ ไปยังประตูโดยไม่พูดไม่จา และเปิดออกอย่างรวดเร็ว
ทว่า...
“อ่า...ขอโทษที่มารบกวนอีกครั้งนะครับ”
คนที่ยืนหน้าประตูกลับไม่ใช่คนที่รอคอย นภทีป์มุ่นคิ้วพลางมองเจ้าของใบหน้าเปื้อนยิ้มจืดเจื่อนซึ่งเพิ่งจะถูกไล่ตะเพิดไปเมื่อวานนี้ ทำไมถึงกลับมาอีก? นั่นคือคำถามที่อยู่ในใจของเจ้าของห้องซึ่งตอนนี้กำลังคิดอยากปิดประตูมากกว่าถามออกไป
“คือว่า...อันนี้มันติดกระเป๋าผมมา” ภรัณยูกล่าวพลางยื่นกระดาษสองแผ่นคืนให้
นภทีป์มองกระดาษขนาด a4 80 แกรมในมืออีกฝ่ายด้วยดวงตาเฉยเมยไร้ความรู้สึก พวกมันเป็นเพียงกระดาษร่างภาพซึ่งเจ้าตัวหมกไว้ในลังกระดาษจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นถึงมันจะหายไปก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ความจริง เจ้าตัวไม่รู้ว่ามันหายไปเสียด้วยซ้ำจนกระทั่งตอนนี้
“ถ้านายชอบจะเอาไปเลยก็ได้”
ยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว...นภทีป์คิดเช่นนั้น แต่ภรัณยูกลับตีความหมายของคำพูดต่างออกไป และคิดว่าอีกฝ่ายอาจคิดว่าตนเป็นขโมย
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะหยิบมานะครับ แต่ว่ามันเข้ามาอยู่ในกระเป๋าผมได้ยังไงก็ไม่รู้ ผมก็เลยตั้งใจจะเอามา...” คำพูดของชายหนุ่มหยุดชะงักเมื่อคนตรงหน้ายกมือขึ้นปราม แน่นอนว่านภทีป์รู้คำตอบว่าเหตุใดภาพพวกนั้นจึงเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของภรัณยูได้ แต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกออกไป เพราะถึงพูดไปเจ้าตัวคงจะไม่เชื่อเขาอยู่แล้ว ขนาดเขาเองยังไม่เชื่อเลยว่าสิ่งนั้นมีตัวตนอยู่จริงจนกระทั่งตอนนี้
“เอาเป็นว่าฉันไม่ได้คิดว่านายขโมยอะไร แต่ภาพพวกนั้นฉันไม่ได้เอาไปทำอะไรอยู่แล้วดังนั้นถ้านายชอบฉันจะยกให้”
“อ...เอ๋...ครับ...” เป็นคำตอบที่อยู่เหนือความคาดหมายของผู้ฟัง แต่ภรัณยูก็นึกได้ในวิทนาทีต่อมาว่านั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของตน “เอ่อ...ผมไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้นอย่างเดียวนะครับ แต่ผมอยากจะให้คุณฟังผมสักครู่หนึ่ง หลังจากฟังจบแล้วถ้าคุณยังตั้งใจที่จะไล่ผมกลับผมจะไม่มารบกวนอีกเลย” ชายหนุ่มพูดเช่นนั้นพลางจับกระดาษในมืออย่างประหม่าเพราะสายตาของนภทีป์ไม่ได้ให้ความมั่นใจเขาเลยสักนิด
“โทษทีนะ ฉันไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น” นภทีป์ตัดสินใจปฏิเสธและหมุนตัวกลับเข้าห้อง แต่แล้วแขนของเขาก็ถูกคว้าไว้ด้วยมือกร้านใหญ่จากนอกประตู
“แค่ 10 นาทีก็ยังดี! 5 นาทีก็ได้ ช่วยฟังผมหน่อยเถอะ!” ในเมื่อเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ภรัณยูจึงตื้อจนถึงที่สุดเพื่อที่ตนเองจะไม่ค้างคาใจในภายหลังว่าตนเองน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ นภทีป์เห็นความมั่งมั่นตั้งใจของอีกฝ่ายถึงขนาดนั้นก็ไม่กล้าสะบัดแขนออกแต่ก็ยังไม่ยอมตอบรับ ทั้งสองต่างยืนมองตากันอยู่ระหว่างบานประตูเหมือนยืนยันความคิดของตนเองซึ่งค้านกับความต้องการของฝ่ายตรงข้าม
“ฟังเขาหน่อยก็ได้นี่นา ไหน ๆ ก็มุ่นมั่นถึงขนาดนี้แล้ว”
เสียงที่เข้าขัดการประทะสายตาคือเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมายืนอยู่ข้างตัวภรัณยูตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ เขาถอดแว่นดำออกแล้วเสยผมตนเองขณะมองคนทั้งสองซึ่งกำลังขวางทางของตนเองด้วยรอยยิ้ม
“ประเทศไทยนี่ร้อนจริง ๆ เลยนะ” เจ้าตัวหัวเราะทำให้บรรยากาศกดดันเมื่อครู่พังทลายไม่เหลือชิ้นดี “เข้าไปนั่งตากแอร์ในห้องกันเถอะ ยืนอยู่ตรงนี้เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะเข้าใจผิด”
ทั้งภรัณยูและนภทีป์ต่างหน้าแดงวาบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพวกตนกำลังทำท่าเหมือนคู่รักทะเลาะกันและกำลังง้อขอคืนดีไม่มีผิด
“...เข้ามาสิ” ในที่สุดนภทีป์ก็ต้องเป็นฝ่ายยินยอม ส่วนหนึ่งคงเพราะคน ๆ นั้นเป็นคนเอ่ยปาก...
ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างปริศนาขยิบตาให้ภรัณยูก่อนพยักพเยิดให้เข้าไปก่อนจะเดินตามหลังแล้วปิดประตูห้อง เขากวาดตามองรอบ ๆ ที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าปกติที่เคยจำได้ บริเวณโต๊ะทำงานของนภทีป์ที่มักเกลื่อนกลาดไปด้วยกระดาษและอุปกรณ์วาดเขียน ตอนนี้กลับไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากกระดาษเปล่าบนโต๊ะกับดินสอและยางลบ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกแปลกตาแปลกใจอยู่ไม่น้อย
ภรัณยูหาที่นั่งให้ตนเองอย่างประหม่า ไม่รู้ว่าควรวางตัวเองไว้ตรงไหนจึงเลือกมุมหนึ่งของห้องซึ่งดูไม่เกะกะทางเดินมากที่สุด
กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยแตะจมูก นภทีป์ที่หายตัวเข้าครัวไปตั้งแต่กลับเข้าห้องเดินเข้ามาพร้อมถ้วยกาแฟใบเล็กและยื่นให้แก่แขกที่ตนรอคอยก่อนหันไปทางแขกอีกคน
“จะเอาด้วยหรือเปล่า?” สุ้มเสียงที่ใช้ถามทำให้ภรัณยูรีบส่ายศีรษะ เพราะมันเหมือนกำลังจะบอกว่าเขาเป็นส่วนเกินของห้องนี้อย่างไรชอบกล
“อย่าดุเขาอย่างนั้นสิที ตัวหดหมดแล้ว” ชายหนุ่มผู้มาใหม่หัวเราะในคอก่อนหันไปหาภรัณยู “คุณคงเป็นเพื่อนของทีสินะ ผมอนุทิน เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาน่ะ”
“เอ่อ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมภรัณยู แต่ผมไม่ใช่เพื่อนของ...คุณนภทีป์หรอก” ภรัณยูยกมือขึ้นเกาท้ายทอยซึ่งเจ้าตัวติดเป็นนิสัยเมื่อทำตัวไม่ถูก “ความจริงแล้วผมไม่รู้จักเขาเลยจนกระทั่งเมื่อวันก่อนนี้ คงจะแปลกสินะครับที่มาขอให้คนไม่รู้จักมักจี่ช่วยเหลือ”
“ถ้าเป็นเรื่องอาร์ตติสก็ไม่แปลกเท่าไหร่หรอก จริงไหมที” อนุทินหันไปถามลูกพี่ลูกน้องตนเองที่ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน “ความจริงแต่ก่อนก็มีคนมาปรึกษาทีเยอะเหมือนกัน แต่เป็นทางเน็ตเสียหมด ไม่ค่อยเจอแบบมาปรึกษาตัวเป็น ๆ ตรงหน้าแบบนี้หรอก”
อย่างนั้นหรือ?
ภรัณยูเงยหน้ามองนภทีป์ที่ดูไม่ให้มาดนักปรึกษาเลยสักนิด ที่ให้คำปรึกษาเฉพาะทางอินเตอร์เน็ตเป็นเพราะเจ้าตัวพูดไม่เก่งด้วยหรือเปล่า? เขาเคยได้ยินมาว่าคนที่อยู่กับโลกไซเบอร์ ตัวจริงมักจะไม่ค่อยพูดหรือไม่มั่นใจที่จะพูด บางทีนภทีป์ก็อาจจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นก็เป็นได้
“เล่าเรื่องของนายมาได้แล้ว ฉันไม่มีเวลามากนักหรอกนะ” นภทีป์นั่งลงและบอกให้อีกฝ่ายพูดเรื่องที่ต้องการมาเสียที พอพูดจบแล้วจะได้กลับไปเสีย
เมื่อได้รับอนุญาต ภรัณยูก็ใช้เวลาเรียบเรียบทุกอย่างในสมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มเล่า โดยเขาพูดถึงปัญหาของตนเองก่อนนั่นคือการเลิกวาดรูปไปในสมัยเรียนเพราะเรื่องคับข้องใจต่าง ๆ จนกระทั่งได้พบกับรูปภาพที่โรงเรียนนั้นซึ่งจุดประกายให้แก่ตนเองอีกครั้ง ซึ่งหากสังเกตดี ๆ ตอนที่ภรัณยูพูดถึงรูปภาพรูปนั้น นภทีป์ก็มีสีหน้าอึดอัดใจขึ้นมาอย่างชัดเจนเพียงแต่เจ้าตัวเพียรที่จะเก็บซ่อนไว้แม้จะไม่อาจเก็บซ่อนได้หมดก็ตาม
จากนั้นชายหนุ่มก็เล่าถึงเหตุผลที่ตนต้องการคำแนะแนวจากนภทีป์ ทั้งคำสัญญากับพ่อและแม่ รวมถึงความคาดหวังของตนเองก่อนจะนำงานที่ตนเองทำไว้มาให้ทั้งสองดู
อนุทินมุ่นคิ้วขณะพิจารณาภาพของอีกฝ่าย
“จะว่ายังไงดีนะ...คุณเป็นคนที่เซนส์สีค่อนข้างดีเลยแต่เทคนิคยังน้อยซึ่งมันต้องใช้เวลาฝึกฝนยาวนาน ภายใน 1 ปีนี่คงยากเกินตัวไปหน่อย”
ภรัณยูรู้สึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่ผู้ชายคนนี้รู้เรื่องงานศิลปะด้วย เพราะเจ้าตัวมีมาดเหมือนพนักงานบริษัททั่ว ๆ ไปมากกว่าพวกวิจารณ์งานศิลป์ แต่ที่ฝ่ายนั้นว่ามาก็ตรงกับที่ตนเองเคยคิดไว้ เขารู้มาตลอดว่าเทคนิคการใช้สีและเส้นของตนเองยังอ่อนด้อยและต้องพัฒนาอีกมากหากจะเรียกตนเองว่ามืออาชีพได้ แต่เจ้าตัวก็ไม่กล้าออกปากขอให้นภทีป์ช่วยสอนเพราะแค่ขอคำแนะนำยังถูกไล่ตะเพิดเสียขนาดนั้น
“ที ทำไมไม่รับเขาเป็นนักเรียนของเธอล่ะ?”
“อะไรนะ!?” ทั้งนภทีป์และภรัณยูร้องขึ้นมาพร้อมกัน
“ไม่เห็นต้องตกอกตกใจขนาดนั้นเลยนี่ ในเมื่อเธอเองก็ชอบให้คำแนะนำคนอื่นเสมออยู่แล้ว แล้ว...” อนุทินชะงักไปเล็กน้อยก่อนหันมองภรัณยูพลางเลิกคิ้วเหมือนจะถามชื่อ
“ภรัณยูครับ...”
“...ภรัณยู เขาก็มีพรสวรรค์ในตัวอยู่บ้าง มันคงจะดีถ้าเธอปั้นเขาสำเร็จ”
นภทีป์เม้มปากเป็นเส้นตรงคล้ายอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่ใช่ต่อหน้าอนุทิน จริงอยู่ว่าสมัยก่อนเขาเคยเชื่อว่าตนเองผ่านอะไรมามากและสามารถให้คำปรึกษารวมทั้งสอนเทคนิคต่าง ๆ ให้ใคร ๆ ได้ ทว่าความมั่นใจเหล่านั้นได้ถูกทำลายจนย่อยยับไปแล้วหลังจากเขาได้เห็นความเป็นจริงว่าตนเองไม่ได้ดีเลิศอย่างที่คิด
และคนที่ทำให้เห็นความจริงในข้อนั้น...ก็เคยมาก้มหัวอ้อนวอนเขาอย่างนี้เหมือนกัน...
สีหน้าอึดอัดกระอักกระอ่วนของนภทีป์ทำให้บรรยากาศในห้องไม่น่าพิสมัยนัก แต่แล้วอยู่ ๆ แท่งดินสอจากโต๊ะทำงานก็กลิ้งตกลงบนพื้น ทำให้เกิดเสียงเบา ๆ เพียงชั่วขณะแต่ก็สามารถดึงทุกคนออกจากห้วงเวลาที่ชวนหายใจลำบากได้
อนุทินเบี่ยงสายตาไปมองจุดที่เกิดเสียงก่อนทำสีหน้าครุ่นคิด
“ช่วงนี้ไม่ได้รับงานหรอกหรือ?”
...
นภทีป์ดูเหมือนไม่อยากตอบแต่ก็จำใจพยักหน้า
“ผมแค่รู้สึกเหนื่อยเลยคิดว่าอยากจะพักสักหน่อย”
คำตอบของนภทีป์ทำให้อนุทินรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าตัวกำลังประสบปัญหาบางอย่างอยู่เช่นกัน แต่คนปากหนักอย่างนภทีป์คงไม่คิดจะเล่าให้ใครฟังง่าย ๆ ถ้าอย่างนั้นเหตุผลที่เจ้าตัวไม่ได้รับข้อความที่เขาส่งให้ก็คงจะด้วยเหตุผลเดียวกัน นั่นคือเจ้าตัวคิดจะตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงโดยคิดว่าเมื่อผ่านไปแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ใคร ๆ ก็รู้ดี...ว่าการเก็บตัวไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ อนุทินรู้ว่าตนเองจากที่นี่ไปนานเสียจนไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกพี่ลูกน้องของตน แต่...จะนิ่งดูดายก็คงไม่ได้
“นี่ที งานของเธอถ้าไม่ทำก็จะไม่ได้เงินนะ ถ้าขาดงานไปนาน ๆ จะทำยังไง ซ้ำยังเสียความน่าเชื่อถือด้วย” เขาชี้แจงความจริงให้อีกฝ่ายฟัง
“ผมกำลังคิดว่าจะไปทำงานกับคุณ”
อนุทินเลิกคิ้ว จะว่าไปสมัยที่นภทีป์เรียนจบใหม่ ๆ เขาก็เคยชวนเจ้าตัวมาทำงานด้วยอยู่แต่ดูเหมือนนภทีป์จะไม่ชอบทำงานที่มีข้อผูกมัดทั้งเวลาและรูปแบบงานถึงขนาดนั้นและเลือกจะเดินไปเส้นทางอาชีพอิสระ แต่อยู่ ๆ อกว่าจะมาทำงานด้วยแปลว่าจะเลิกงานนักวาดแล้วหรือ?
“ความจริงฉันก็ไม่ขัดข้องหรอก แต่...” ชายหนุ่มมองนภทีป์แล้วเหลือบไปมองภรัณยู ในสายตาเขา เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่น่าจับตาอยู่เหมือนกัน ซ้ำดูไม่ใช่คนเลวร้ายและมีความจริงจัง น่าจะไว้ใจได้อยู่พอสมควรว่าไม่ใช่พวกโจรขโมยมาทำเป็นอยากเล่าเรียน “เธอเคยบอกว่าไม่ชอบการใช้เส้นสาย ดังนั้น...คงจะต้องมีบททดสอบนิดหน่อยเพื่อที่จะดูว่าเธอมีความเหมาะสมที่จะเข้าบริษัทฉันไหม”
บททดสอบ?
“เอายังไงดีนะ” อนุทินทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “นี่เป็นยังไง ฉันอยากให้เธอสอนเรื่องต่าง ๆ ให้ภรัณยูอย่างที่เขาต้องการ หลังจากนี้ 1 ปี เราจะมาดูผลกัน แล้วถ้าทำได้เป็นที่น่าพอใจฉันจะรับเธอเข้าทำงานในตำแหน่งที่เธอต้องการอย่างไร้เงื่อนไข”
“แต่ว่า...” นภทีป์พยายามที่จะคัดค้านแต่หาเหตุผลที่สมควรไม่พบ “...ผมไม่สอนฟรี ๆ หรอกนะ คุณเป็นคนบอกเองว่าถ้าผมไม่มีงานก็ไม่มีเงิน ดังนั้นถ้าค่าจ้างสอนวิชาไม่พอค่าใช้จ่ายรายเดือนของผม ผมก็ทำให้ไม่ได้ และต้องจ่ายสม่ำเสมอตลอดปีด้วยไม่อย่างนั้นหากเขาเกิดอยากเลิกเรียนขึ้นมากลางคันผมจะเสียเวลารอไปเปล่า ๆ” พร้อมกับที่พูดก็มองไปยังภรัณยูที่ดูไม่ใช่คนมีเงินถุงเงินถังถึงขนาดมาผลาญกับเรื่องแบบนี้ได้ ซึ่งเป็นอย่างที่คิด เจ้าตัวกำลังทำสีหน้าลำบากใจเพราะเงินสะสมถึงจะมีอยู่บ้างแต่ก็คงไม่มากถึงขนาดจะจ่ายค่าเรียนได้ทั้งปี ครั้นจะขอพ่อแม่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจทำด้วยตัวเอง
“ขอโทษนะครับ แต่ผมคง...” สีหน้าของภรัณยูหม่นหมองลงทันตาหลังจากคิดว่าตนเองพอมีหวังอยู่บ้างเมื่ออนุทินคล้ายจะสนับสนุนเขา
“ถ้าคิดตามค่าครองชีพขั้นต่ำของคนกรุงหนึ่งหมื่นต่อเดือนน่าจะพอสินะ?” อนุทินคำนวณอย่างรวดเร็ว “เธออยู่ตัวคนเดียวคงไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมาก ห้องนี้ก็ไม่มีค่าเช่า และไม่ได้ออกไปไหนจึงไม่มีค่าเดินทาง แต่ค่าสาธารณูปโภคกับค่าส่วนกลางก็ยังต้องจ่าย รวมกับค่ากินในแต่ละวันแล้วน่าจะพอดีและมีเงินเก็บนิดหน่อย”
หมื่น!
ภรัณยูทำหน้าเหวอพร้อมคำนวณในใจและพบว่าถ้าต้องจ่ายให้นภทีป์ทั้งปีก็ตกที่แสนสองหมื่นบาท ซึ่งยังไม่รวมค่าเดินทางไปกลับของเขาทุกวันด้วยซ้ำ
-
“ไม่ไหวหรอกครับ อีกอย่าง อีกอาทิตย์หนึ่งผมก็เริ่มฝึกงานแล้ว หลังจากนั้นก็ต่อปี 4 ที่มีทั้งสัมมนาและธีสิสจบ ผมมีเวลาที่จะเรียนได้ไม่นานเท่านั้นเอง” แค่เสาร์อาทิตย์ช่วงฝึกงานยังพอไหว แต่ตอนเปิดเทอมคงเต็มกลืน ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเงินที่ต้องเสียไปเอาเสียเลย
“ดังนั้นผมถึงไม่อยากจะรับไว้ไงล่ะ” นภทีป์เห็นช่องให้ตนเองสบโอกาสปฏิเสธก็รีบคว้าไว้อย่างไม่ลังเล
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะถือเป็นช่วงทดลองงานของเธอก็แล้วกัน” อนุทินว่าพลางลูบคาง “เงินเดือนเดือนละแปดพัน แล้วภรัณยูก็จ่ายสองพันต่อเดือน น่าจะโอเคใช่ไหม?”
เดือนละสองพัน 1 ปีก็ สองหมื่นสี่พัน
ก็พอสู้ไหวอยู่...เพราะมันก็ประมาณเดียวกับค่าเทอมของเขา
“ถ้าอย่างนั้นผมตกลงครับ”
อะไรนะ!
นภทีป์หันควับมองผู้ที่หักหลังกันกลางอากาศ ทั้งที่เมื่อครู่ยังพร้อมใจกันปฏิเสธอยู่แท้ ๆ และยิ่งหงุดหงิดใจมากขึ้นเมื่อมองเลยไปทางชั้นวางของแล้วเห็นรติกำลังหัวร่องอหายอยู่ มันน่าตลกตรงไหนกัน!
“เหลือแต่เธอแล้วนะที” อนุทินมองลูกพี่ลูกน้องของตนด้วยรอยยิ้มแบบผู้เหนือกว่า “หรือว่าไม่อยากจะมาทำงานกับฉันแล้ว งานสมัยนี้มันก็หายากเสียด้วยสิ ถ้าไปสมัครเองเธออาจจะได้งานที่ไม่ตรงกับความต้องการก็ได้ แบบนั้นไม่อึดอัดแย่หรือ?”
เพราะอย่างนี้ไงถึงได้ไม่ค่อยอยากพบ...
นภทีป์คิดในใจ
อนุทินมักจะช่วยเหลือเขาในเวลาที่เขาต้องการเสมอ เป็นเหมือนพี่ชายที่คอยดูแลมาตลอดนับแต่เขาเสียพ่อแม่ไป ทำให้เขามักจะคิดถึงเจ้าตัวเมื่อพบเจอกับเรื่องยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นอนุทินก็มักจะหยิบยื่นเงื่อนไขบางประการมาด้วยเพราะไม่อยากให้เขาติดนิสัยรักสบายจนเกินไป เป็นพี่ชายที่ดีและเข้มงวดในเวลาเดียวกัน กระนั้นเงื่อนไขในครั้งนี้กลับตัดสินใจยากที่สุด
นภทีป์เหลือบมองภรัณยูอีกครั้งอย่างสำรวจ
ท่าทางเอาจริงของฝ่ายนั้นทำให้เขาคิดถึงตัวเองในอดีตอย่างที่รติว่าไว้ แต่พร้อมกันนั้นก็ทำให้เขาคิดถึงใครอีกคนซึ่งไม่อยากคิดถึงด้วย
อีกเรื่องที่สงสัยก็คือ...ภรัณยูจะเป็นคนที่ไว้ใจได้แน่หรือ?
เขาเป็นคนมองคนไม่เก่งนัก และมักจะถูกต่อว่าอย่างนั้นอยู่เสมอ กลับกัน...อนุทินกลับสามารถมองผู้อื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่งอย่างไม่น่าเชื่อและฟันธงได้อย่างทันทีว่าคน ๆ นี้เป็นคนแบบไหนหลังจากพูดคุยกันเพียงไม่นาน จะว่าน่ากลัวก็คงใช่ แต่ก็ทำให้คนรอบข้างสามารถอยู่ด้วยได้อย่างปลอดภัยเช่นกัน ครั้งเดียวที่เขาไม่เชื่ออนุทิน...กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เสียใจในวันนี้
ดังนั้น...ครั้งนี้คงต้องเชื่อกระมัง...ว่าภรัณยูเป็นคนที่ไว้วางใจได้ถึงขนาดที่อนุทินยอมรับ
ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อคิดไปคิดมาแล้วตนเองคงไม่มีทางเลือกมากนัก
“ก็ได้...ผมตกลง” เมื่อนภทีป์ว่าเช่นนั้น สีหน้าของภรัณยูก็แช่มชื่นขึ้นมาในทันที ก่อนจะเกร็งกว่าเดิมเมื่อฝ่ายนั้นตวัดสายตามอง “แต่บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ยอมให้นายขี้เกียจหรอกนะ ถ้านายไม่พอใจหรือปอดแหกก็รีบปฏิเสธเสียตอนนี้ดีกว่า”
คำขู่ส่งผลกับภรัณยูเพียงเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่าตนเองคงไม่มีโอกาสดี ๆ อย่างนี้อีกแล้ว
“ไม่ครับ ผมจะทำให้ดีที่สุด”
...
นภทีป์มองตอบสายตามุ่งมั่นนั้นเหมือนกำลังจะเค้นเอาความหวาดหวั่นของเจ้าตัวออกมาให้ได้ แต่มันก็ไม่เป็นผลเอาเสียเลย
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้” อนุทินปรบมือครั้งหนึ่งเมื่อให้ทั้งสองหันกลับมาสนใจตนเองอีกครั้ง “ฉันจะโอนเงินเข้าบัญชีเธอตอนสิ้นเดือน แล้ววันนี้ในปีหน้า เรามาดูผลงานของเธอกัน” ชายหนุ่มกล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้ทั้งสองอย่างเป็นมิตร
“จะกลับแล้วหรือครับ?”
“ใช่ พอดีอีกเดี๋ยวจะมีนัดอีกที่ แล้วคราวหน้าเราค่อยคุยกันก็แล้วกัน” เขาว่าแล้วกันมาทางภรัณยู “แล้วค่อยพบกันใหม่ หวังว่าคุณจะไม่โดนทีกัดจนพรุนไปทั้งตัวเสียก่อนนะ” เจ้าตัวว่าจบก็หัวเราะร่าก่อนเดินออกไปจากห้องเมื่อนภทีป์ไปส่งถึงประตู
และเมื่อส่งอนุทินออกไปเรียบร้อย ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
“เอ่อ...คือ...แล้วผม...” ภรัณยูขยับตัวอย่างอึดอัดอีกครั้งเมื่อต้องอยู่กับนภทีป์สองต่อสอง เพราะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของห้องไม่ต้อนรับเขาสักเท่าไหร่
“จะเริ่มพรุ่งนี้ กลับไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย” นภทีป์ตอบแค่นั้นแล้วเปิดประตูรอคล้ายเป็นการไล่อย่างสุภาพที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ ภรัณยูจึงรีบตอบขอบคุณอย่างเบิกบานอย่างที่ทำให้เจ้าของใบหน้าไม่รับแขกถึงกับชะงักว่าไปตื่นเต้นดีใจอะไรมาถึงขนาดนั้น ก่อนที่เจ้าของรอยยิ้มสว่างสดใสจะเดินออกจากห้องไปพร้อมท่าทางที่แสดงถึงความสุขสมหวังในอะไรบางอย่างจนออกนอกหน้า
หลังจากทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ นภทีป์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนสะดุ้งเมื่อเสียงเล็ก ๆ ทักขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“พี่ทินนี่รู้ใจฉันดีจริง ๆ” รติว่าขณะบินไปหยิบดินสอที่ตนเองตั้งใจทำตกขึ้นไปวางบนโต๊ะเหมือนเดิม
นภทีป์ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีตัวป่วนอยู่ในห้องอีกคน ซ้ำยังเป็นตัวป่วนที่เขาไม่สามารถกำจัดออกไปจากชีวิตได้อีกด้วย
“เรียกเสียสนิทสนมเชียวนะ” เสียงแสดงความหมั่นไส้ลอยกระทบหูทำให้รติหัวเราะออกมา
“ตอนเด็ก ๆ นายก็สนิทกับเขาออกนี่นา เคยเรียกเขาแบบนี้อยู่บ่อย ๆ ทำไมตอนหลังถึงเรียกกันอย่างห่างเหินเสียล่ะ?”
ชายหนุ่มกลอกตา
จริงอย่างที่รติว่า สมัยก่อนเขาเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่วิ่งตามหลังอนุทินแล้วเรียกพี่ทินอยู่เสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป...เขาก็ถูกตอกย้ำให้เข้าใจว่าตนเองและอีกฝ่ายแท้จริงแล้วไม่ได้ใกล้ชิดกันถึงขนาดนั้น พ่อและแม่ของอนุทินไม่ได้อยากจะรับอุปการะเขาสักเท่าไหร่ แต่ก็รับไว้อย่างเสียไม่ได้เพราะได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดกของพ่อเขาอย่างจำใจ ดูเหมือนตอนพ่อยังมีชีวิตอยู่จะไม่ค่อยถูกกับพี่ชายเท่าไหร่นัก ลุงจึงไม่เคยนึกเอ็นดูเขาไปด้วยและมักจะย้ำให้รู้อยู่เสมอว่าเขาเป็นคนนอกซึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราวจนกว่าจะดูแลตัวเองได้ตามกฎหมาย
เพราะอย่างนั้นกระมัง...เมื่อโตขึ้นเขาจึงเริ่มเรียกพี่ทินว่าคุณทินตามอย่างคนในบ้านหลังนั้นซึ่งค่อนข้างจะมีฐานะและเป็นผู้ดีจนน่าอึดอัด
พออายุ 20 เขาก็แยกตัวออกมาโดยอาศัยอยู่ในคอนโดที่พ่อกับแม่ซื้อไว้ให้ตอนยังมีชีวิตอยู่ทำให้ไม่ลำบากเรื่องค่าครองชีพมากเกินไปนัก
ตอนที่อนุทินชวนเขาไปทำงานด้วย...ลุงก็ทำท่าทางคัดค้านอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเขาจึงเลือกปฏิเสธและดูแลตัวเองเพียงลำพังโดยไม่พึ่งพิงใคร
หากลุงรู้ว่าพวกเขามีข้อตกลงกันอย่างนี้...คงได้ลุกขึ้นมาเต้นแน่...
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” นภทีป์บอกกับรติแล้วเดินไปเปิดกล่องอุปกรณ์ของตนเอง “เจ้านั่นเคยใช้ของพวกนี้ไหมนะ?” เขาพึมพำกับตนเองเมื่อมองข้าวของในกล่องซึ่งล้วนแต่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนและเจ้าตัวก็หวงพวกมันมากเสียด้วย ตัวภรัณยูเองก็ดูไร้ประสบการณ์คงไม่เคยหยิบจับของพวกนี้กระมัง หากทำพังขึ้นมาคงได้คุยกันยาวหลายกัณฑ์
“พอพี่ทินเป็นคนขอนายกลับยอมง่ายผิดคาด” รติบินมานั่งกอดเข่าบนฝากล่องด้วยร่างกายเล็กจิ๋วน่าเอ็นดูแต่คำพูดคำจากลับไม่น่าเอ็นดูเหมือนร่างกาย
“ทำอย่างกับเขามีทางให้ฉันเลือก” นภทีป์รู้ว่าตนเองไม่เคยปฏิเสธอีกฝ่ายสำเร็จหากฝ่ายนั้นตั้งใจจะให้เขาทำจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมอนุทินจึงอยากให้เขาช่วยสอนภรัณยู จากสายตาของเขา เจ้าคนนั้นไม่ได้ดูเป็นคนมีพรสวรรค์ตรงไหนเลย ฝีไม้ลายมือก็ยังไม่เข้าขั้น ไม่มีหลักการอะไรสักอย่าง ภายใน 1 ปีจะสามารถลากกันไปได้ถึงไหนกันนะ...
------------------------->
อนุทินที่ลงมาถึงข้างล่างแล้วก็เดินไปยังรถที่จอดติดเครื่องรออยู่ เขาเปิดประตูด้านหลังแล้วขึ้นไปนั่งพลางส่งยิ้มให้คนข้างตัวซึ่งเป็นชายวัยกลางคนท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง
“ขอบคุณนะครับพ่อ ที่มาส่ง” เขากล่าวขณะรถเคลื่อนตัวออกไปตามท้องถนน
ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจออกมาพลางมุ่นหัวคิ้ว
“แกเองก็คิดว่าฉันเป็นคนแก่อคติกับลูกกับหลานเหมือนกันล่ะสิ”
“ผมจะไปคิดแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ” อนุทินพูดกลั้วหัวเราะ “แต่พ่อก็ดุกับทีจริง ๆ ไม่แปลกถ้าเขาจะไม่อยากพบพ่อเท่าไหร่ พออายุ 20 แล้วก็เลยย้ายออกแล้วไม่ยอมกลับไปเยี่ยมบ้านอีกเลย เมื่อรวมกับเรื่องที่พ่อกับคุณอาเคยทะเลาะกันรุนแรงด้วยแล้วก็ไม่แปลกถ้าเขาจะคิดแบบนั้นกัน”
สายตาเฉียมคมเลื่อนมองกระจกรถและผ่านออกไปยังทิวทิศน์ด้านนอกขณะคิดถึงสิ่งที่ตนเองทำมาตลอดหลายปีกับหลานชายคนเดียวที่หน้าเหมือนน้องชายตนเองราวกับโขกพิมพ์ มีแต่จมูกรั้น ๆ กับรูปปากเล็กเท่านั้นที่ไปคล้ายฝั่งแม่มากกว่า แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาเกลียดหลายตนเอง
ไม่ใช่เลย...
“แกลองคิดดูสิ เด็กที่เสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็กจะคิดยังไงถ้าทุกคนเอาแต่รุมล้อมแสดงความเวทนาในชะตาชีวิต พอโตมานอกจากจะมีปมด้อยแล้วยังไม่มีความมั่นใจในตัวเอง หนำซ้ำจะยืนด้วยตัวเองไม่ได้ด้วย เพราะมีแต่คนล้อมหน้าหลังคอยเอาใจเพราะความสงสาร” วรายุทธ์พ่นลมหายใจออกมาอีกคำรบ “โลกนี้น่ะมันโหดร้าย ไม่มีสถานที่ให้กับคนอ่อนแอหรอก”
อนุทินมองพ่อของตนเองด้วยสายตาชื่นชมระคนละเหี่ยใจ ร่องรอยบนใบหน้าของชายสูงวัยบ่งบอกถึงประสบการณ์อันโชกโชนของชีวิตที่ยาวนาน ชีวิตที่ต้องฝ่าฟันสร้างสรรค์อะไรบางอย่างขึ้นมาจากที่ไม่มีอะไรเลยและครอบครัวไม่ให้การสนับสนุนเป็นเส้นทางที่ยากลำบากจนเจ้าตัวกลายเป็นคนที่มองโลกอย่างเย็นชา และด้วยแนวคิดเช่นนั้น ทั้งเขาและนภทีป์จึงถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด แต่ตัวเขาโชคดีกว่าที่มีแม่คอยอุ้มชูและปลอบโยน ในขณะที่นภทีป์ไม่มีใครเลย สุดท้าย เด็กคนนั้นจึงเติบโตขึ้นมาเหมือนคนที่ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่และกีดกันตนเองออกจากคนรอบข้าง
ความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้นภทีป์เริ่มปิดใจจากคนรอบตัวอาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนมัยมต้นก็เป็นได้...
การจากไปของเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียว...
ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อคิดถึงลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ด้วยการเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดของวรายุทธ์กอปรกับการสูญเสียสิ่งสำคัญได้ทำให้เกิดบาดแผลลึกบนจิตใจที่แสนบอบบางและง่ายดายต่อการถูกกระทบ แม้เขาจะทำดีด้วยมากแค่ไหนก็คล้ายจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น ซ้ำตัวเขาก็ยังติดนิสัยพ่อเรื่องการหยิบยื่นบางสิ่งให้ผู้อื่นมาด้วย มันมักจะตามมาด้วยเงื่อนไขบางอย่างจนเหมือนการบังคับใจกลาย ๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในครั้งนี้...ที่นภทีป์ไม่มีโอกาสเลือกด้วยตัวเองเลย
“อย่ามาทำตัวแก่เหมือนพ่อแกนะทิน” พอได้ยินเสียงถอนหายใจ วรายุทธ์ก็พูดขึ้นมา เขาเป็นคนเข้มงวดก็จริงแต่ไม่ได้ชอบมองดูความทุกข์ใจของคนอื่นแม้สักนิด
“ผมไม่ได้ถอนหายใจในแง่ไม่ดีนี่ครับ” อนุทินยิ้มเผล่ “อ๊ะ ๆ แต่พ่อห้ามถาม เพราะพอถึงเวลาผมจะบอกพ่อเอง ตกลงไหมครับ?”
แม้ชายสูงวัยผู้เป็นพ่อจะขัดใจอยู่เล็ก ๆ แต่ลูกของเขาก็โตแล้วและรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นเขาจึงทำตามที่เจ้าตัวขอ
“ถ้าแกมั่นใจว่าดี ก็ทำไปเถอะ”
อนุทินยิ้มรับก่อนเลื่อนสายตาออกไปด้านนอกพลางคิดถึงภรัณยูและนภทีป์ จริงอยู่ว่าภรัณยูมีพรสวรรค์ที่เขาเห็นได้ แต่มันไม่ใช่พรสวรรค์แบบเดียวกับนภทีป์ที่เกี่ยวกับการวาดเขียนโดยตรง เจ้าตัวมาถูกทางแล้วแต่ยังไม่ค้นพบความสามารถที่แท้จริงของตนเอง ซึ่งคงเป็นเพราะชีวิตและเป้าหมายที่แกว่งไกวตอนวัยรุ่น การทำให้ภรัณยูรู้ตัวว่าตนเองมีความพิเศษคือเป้าหมายที่เขาวางไว้ และอีกอย่าง...นภทีป์ต้องการใครบางคนซึ่งสามารถเข้าใจภาวะที่ตนเองเผชิญได้ คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์คล้าย ๆ กันมาก่อนและอาจต้องเผชิญในอนาคตน่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดีมากกว่าตัวเขาซึ่งค่อนข้างห่างเหินในช่วงหลัง ๆ
นภทีป์จะรู้หรือเปล่านะ...ว่าภรัณยูมีความพิเศษที่ตรงไหน...
แล้วจะสามารถทำให้เจ้าตัวแสดงความสามารถจริง ๆ ออกมาได้มากแค่ไหน...
ช่างเป็นการเจริญเติบโตที่น่าจับตามองเสียจริง
TBC
-
จะเกิดอะไรต่อน๊าา ลุ้นๆ
-
-5-
นภทีป์นั่งรอนักเรียนของตนเองพลางซดมาม่าเป็นมื้อเช้าตามเคย และเมื่อเส้นหมดชามเหลือแต่น้ำที่เต็มไปด้วยผงชูรส เสียงออดจากประตูก็ดังขึ้นเรียกให้เจ้าของห้องเดินไปเปิดรับ
รอยยิ้มสว่างสดใสของภรัณยูเป็นสิ่งแรกที่เขาเห็น
“ขอรบกวนด้วยนะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงตามแบบของนักกีฬาก้าวเข้ามาในห้องเล็ก ๆ พร้อมกระเป๋าเป้ที่ไม่ได้บรรจุอะไรมามากมายนอกจากสมุดสเกตซ์ของตนเองและอุปกรณ์วาดเขียนตามมีตามเกิดที่ใช้มาตลอดระยะเวลา 3 ปี เรียกว่าเครื่องเขียนน่าจะเข้ากว่าเสียด้วยซ้ำ
“จะนั่งตรงไหนก็ตามสบาย” นภทีป์ยกชามมาม่าขึ้นพลางเช็ดโต๊ะเล็กด้วยกระดาษทิชชู่
“นั่นอาหารเช้าหรือครับ?” ภรัณยูถามขึ้นเมื่อเห็นชามซึ่งมองก็รู้ได้ทันทีว่าเคยบรรจุอาหารเส้นกึ่งสำเร็จรูปยอดฮิตของประชากรไทย
“ใช่ ทำไมล่ะ?” อยู่ ๆ ก็ถูกถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เจ้าของชามอาหารเช้าจึงมุ่นคิ้วตอบด้วยความสงสัย ผู้ถามจึงเงียบไปสักครู่หนึ่ง
“เปล่าหรอกครับ ผมก็แค่ไม่เคยเห็นคนกินมาม่าเป็นอาหารเช้ามาก่อน” ปกติแล้วเพื่อน ๆ ของเขาจะซื้อขนมปังกับนมมากินกันกรณีที่กินอาหารเช้าไม่ทันเวลาเรียนคาบแรก ส่วนที่บ้าน แม่ก็ตื่นมาทำอาหารเช้าไว้ตลอดจึงไม่เคยขาดแคลนถึงขั้นต้องหยิบมาม่าออกมาต้มกินเลย นอกจากว่าวันนั้นแม่จะนึกเมนูที่ต้องใช้เส้นมาม่าออกมาได้ มันก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง
“ฉันก็แค่ขี้เกียจเดินออกไปซื้ออะไรข้างนอก แล้วของพวกนี้ก็เก็บได้นาน” นภทีป์ไม่ได้สนใจภาพลักษณ์ตนเองสักเท่าไหร่อยู่แล้ว เขาจึงตอบตามความจริงโดยไม่คิดอะไรมากและถือชามเดินไปล้างในครัว อีกข้อหนึ่งที่เขาชอบมาม่าก็คือคราบล้างออกค่อนข้างง่ายกว่าอาหารประเภทอื่นและไม่มีกากให้ทิ้งมากเกินไปนี่แหละ แต่ขยะพลาสติกที่หีบห่อก็เป็นอีกเรื่องซึ่งเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกอินกับเรื่องโลกร้อนที่เป็นกระแสตอนนี้สักเท่าไหร่
“แล้วนายจะเริ่มสอนอะไรเขาก่อนล่ะ?” รติที่โผล่มาแบบไม่ให้สุ้มเสียงทักจากข้างอ่างล้างจาน
“เหมือนสอนเด็กอนุบาลล่ะมั้ง?” นภทีป์พึมพำตอบไม่ให้เสียงดังออกไปถึงข้างนอก “รูปทรง แสงเงา อะไรแบบนั้น เท่าที่ฉันรู้ แม้แต่คนโต ๆ แล้วก็ยังวางแสงเงาผิดกันบ่อย ๆ”
รติพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยเต็มที่ เพราะแสงเงานับเป็นพื้นฐานมิติของงานวาดเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้นหลาย ๆ คนก็ไม่สามารถจับทิศทางของแสงและเงาได้ถูกต้องจนทำให้มิติภาพออกมาแปลกตาจนถึงขั้นประหลาด แต่ถ้าภรัณยูเป็นหนึ่งในคนที่ไม่สามารถเข้าใจเรื่องแบบนั้นได้ล่ะ? คนบางคนที่ไม่มีเซนส์เรื่องเหล่านี้ถึงจะพูดออกมาแบบวิชาการก็ใช่จะเข้าใจได้ กระทั่งสาธิตให้ดูก็ยังทำไม่ได้เลยกระมัง แล้วถ้าจะให้เสียเวลาแต่เรื่องพื้นฐานแบบนี้ไปหลาย ๆ วัน การจะก้าวเข้าใกล้เป้าหมายที่อนุทินวางไว้ก็ยิ่งยากขึ้นน่ะสิ
ถึงอย่างนั้นนภทีป์ก็ดูไม่ได้สนใจประเด็นเรื่องเวลาสักเท่าไหร่ เพราะหากภรัณยูทำเรื่องง่าย ๆ อย่างนี้ไม่ได้เจ้าตัวก็มีข้ออ้างไปบอกกับอนุทินได้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมาะสม
ตอนที่นภทีป์เดินออกมาจากห้องครัวเขาก็เห็นภรัณยูกำลังจัดวางเครื่องเขียนของตนเองลงบนโต๊ะ ซึ่งมันก็มีแค่ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด และกล่องสีไม้และสีน้ำของเด็ก ๆ อีกอย่างละกล่อง
“เก็บอันนี้ไป วันนี้ฉันจะให้นายใช้ไอ้นี่อย่างเดียว” นับเป็นโชคดีที่ภรัณยูพกสีไม้มาด้วย ดังนั้นนภทีป์จึงคิดว่าจะให้ลงแสงเงาด้วยสีเลยก็แล้วกัน
แม้ภรัณยูจะไม่เข้าใจนักแต่เขาก็เก็บสีน้ำลงเป้ไปโดยดี
และหลังจากนั้นบทเรียนก็เริ่มขึ้นโดยที่ผู้เรียนนึกสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงให้เขาทำอะไรเหมือนเด็ก ๆ อย่างนั้น แต่ผลออกมาก็ปรากฏว่าเจ้าตัวทำได้ดีกว่าที่ผู้สอนคิดไว้ ทำให้นภทีป์ได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไร ครั้นจะชื่นชมก็เกินเหตุเกินผลไปหน่อย
สรุปแล้วก็จบวันไปโดยไม่มีอะไรมากนักนอกจากกระดาษและภาพรูปทรงง่าย ๆ หลากสีสัน
และเพราะนภทีป์ไม่รู้ว่าจะให้ทำอะไรต่อจึงให้ภรัณยูกลับไปก่อนทั้งที่เพิ่งจะบ่ายนิด ๆ และเพิ่งจบอาหารเที่ยงง่าย ๆ คือขนมปังจากร้านสะดวกซื้อที่ภรัณยูอาสาออกไปซื้อมาให้ด้วยตัวเอง
หลังจากภรัณยูจากไปแล้ว นภทีป์ก็นั่งมองภาพที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ด้วยสายตาครุ่นคิด เพราะดูเหมือนเขาจะประเมินเจ้าตัวต่ำเกินไปสักหน่อย เส้นของภรัณยูยังไม่ค่อยนิ่งนัก เป็นผลจากที่ไม่ได้ฝึกฝนอย่างจริงจังและแค่วาดไปเรื่อย ๆ ตามแต่อารมณ์โดยไม่ได้ตั้งเป้าหมายพัฒนาจุดใดเป็นพิเศษ ถึงอย่างนั้นการใช้สีสัน แม้จะเป็นสีไม้ แต่การรวมรูปทรงหลาย ๆ รูปและขนาดไว้ในภาพเดียวโดยถูกบังคับให้ใช้สีไม่ซ้ำกันก็เป็นโจทย์ที่ยากพอตัว กระนั้นภรัณยูกลับเลือกสีได้ดี เสียแต่มิติของภาพไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
ขณะที่นภทีป์กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ภรัณยูทำอะไรต่อหลังจากนี้ เสียงหัวเราะคิกคักเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างกังขาว่าเจ้าตัวเกิดนึกตลกอะไรขึ้นมา
“ฉันเพิ่งเคยเห็นนายทำหน้าตกใจถึงขนาดนั้นนี่นา แถมยังอึ้ง ๆ ทำอะไรไม่ถูกอีก” รติว่า “นอกจากพี่ทินแล้ว นายรัณคนนี้ก็เป็นคนแรกเลยนะที่ทำให้นายทำสีหน้าแบบนั้นได้”
“ฉันก็แค่ประเมินเขาต่ำไปหน่อย” นภทีป์แก้ตัว
แต่ก็จริงอย่างที่รติว่า แม้แต่คนที่แล้วที่เคยมาขอให้เขาสอนก็ยังทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่นั่นคงเพราะคนที่แล้วนั้นมีพื้นฐานงานศิลป์อยู่แล้วและแค่อยากจะเรียนเทคนิคที่ประยุกต์มากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ภรัณยูไม่มีพื้นฐานอะไรมาก่อนเลยนอกจากเรียนศิลปะแบบงู ๆ ปลา ๆ ในชั้นเรียนสมัยประถมกับมัธยม ภรัณยูอาจจะมีพรสวรรค์น่าขัดเกลาอย่างที่อนุทินว่าไว้จริง ๆ ก็ได้...
ลูกพี่ลูกน้องของเขาเคยมองอะไรพลาดบ้างนะ...
อยู่ ๆ นภทีป์ก็นึกสงสัยขึ้นมา
------------------------------->
ภรัณยูกลับถึงบ้านด้วยใบหน้าผ่องใสจนพิณาลัยอดออกปากถามไม่ได้ว่าพี่ชายของตนไปเจออะไรดี ๆ มา
“ดูเหมือนว่าทีเขาจะชอบสิ่งที่พี่ทำนะ” เขาว่าอย่างนั้นขณะวางเป้ลงบนเตียง “จริงสิ เดี๋ยวพี่ลงไปหาแม่แปบนึง พิณเล็กอยากได้อะไรหรือเปล่า เดี๋ยวพี่จะหยิบติดมือขึ้นมาให้”
“ถ้างั้นฝากหยิบสาหร่ายในตู้มาให้หนูหน่อยก็แล้วกัน เอาน้ำส้มในตู้เย็นด้วยนะคะ” ไหน ๆ พี่ก็อาสาแล้ว พิณาลัยจึงออร์เดอร์ไปตามระเบียบเพราะตนเองก็คิดอยากกินขนมอยู่พอดีแต่ขี้เกียจจะเดินลงไปเอง
ชายหนุ่มเดินมาลงข้างล่างและเห็นแม่กำลังรีดผ้าอยู่จึงเดินเข้าไปโอบเอวจากด้านหลังอย่างออดอ้อน เป็นที่รู้กันว่าเจ้าตัวคงมีเรื่องอยากขอแน่ ๆ
“มีอะไรก็ว่ามาเร็ว ๆ เลย”
“พรุ่งนี้ผมอยากจะพกข้าวไปด้วยได้ไหมครับ?”
“หืม? อะไรกัน ที่นั่นไม่มีข้าวเที่ยงให้กินเลยหรือยังไง?” พิณเพลงมุ่นคิ้ว นึกสงสัยว่าเจ้าตัวไปเรียนพิเศษถึงไหนถึงได้หาข้าวหาปลากินไม่ได้
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ภรัณยูหัวเราะ “แต่ว่าทีเขาอยู่คนเดียวเลยทำอะไรเองไม่ค่อยสะดวก ผมก็ไปรบกวนเขาด้วยเลยอยากจะมีอะไรตอบแทนเสียหน่อย” พอพูดจบเจ้าตัวก็โดนมะเหงกไปหนึ่งลูก
“อยากตอบแทนเขาแต่มาให้แม่ทำให้เนี่ยนะ ดีจริง ๆ เลยลูกคนนี้” ผู้เป็นแม่ทำท่าจะไม่ยอม “ในตู้มีทัพเพอร์แวร์เก็บอยู่ ไปล้างให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”
ภรัณยูยิ้มกว้าง
“ขอบคุณครับ”
“ยังไงอาหารทุกมื้อก็เหลือนิด ๆ หน่อย ๆ อยู่แล้วนี่” หญิงสาวไหวไหล่แล้วหันกลับไปรีดผ้าต่อ ภรัณยูจึงรีบไปดูชุดทัพเพอร์แวร์ที่แม่ว่าและพบว่ายังถูกเก็บไว้อย่างดีแทบไม่มีฝุ่นจับ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็หยิบออกมาล้างและวางคว่ำไว้บนที่วางจานก่อนจะนำสาหร่ายและน้ำส้มไปให้น้องสาวซึ่งรออยู่บนห้อง ในใจของเขากำลังคิดว่านภทีป์จะแสดงสีหน้าแบบไหนเมื่อเขานำข้าวกล่องยามเช้าไปให้ถึงห้อง
------------------------------->
“อาหารเช้ามาส่งแล้วครับ”
ภรัณยูทำตามที่วางแผนไว้ในวันต่อมา เขามาถึงห้องของนภทีป์ในเวลา 9 โมงเช้าและกดออดเรียก แม้จะทิ้งช่วงนานกว่าเจ้าของห้องจะเดินมาเปิดประตูแต่เจ้าตัวก็ยิ้มร่าเอาไว้ก่อนแล้ว และเมื่อเห็นประตูแง้มออกชายหนุ่มก็พูดประโยคข้างต้นออกมาพร้อมส่งทัพเพอร์แวร์ในมือให้แก่ผู้ที่เยี่ยมหน้าออกมา
นภทีป์มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตามึนงง
เขาเพิ่งจะถูกปลุกให้ตื่นเช้ากว่าปกติด้วยเสียงออด และเมื่อเดินสะโหลสะเหลออกมาเปิดประตูได้สำเร็จ ก็เกือบถูกกระแทกหน้าด้วยกล่องอาหารจากผู้มาเยือน
ดวงตาสีดำที่ยังไม่ตื่นดีนักเลื่อนขึ้นมามองเจ้าของกล่องก่อนจะสะดุดกับรอยยิ้มกว้างและใบหน้าคุ้นตาจนน่าหงุดหงิด
“นายมาทำอะไรแต่เช้า...”
“ข้าวกล่องครับ” ภรัณยูตอบแล้วแทรกตัวผ่านเข้าไปในห้อง “ผมเห็นว่าคุณกินแต่มาม่าก็เลยเอาอาหารจากที่บ้านมาให้ บ้านผม แม่ขยันทำอาหารทุกวันผมก็เลยขอให้แม่ทำเผื่อทีด้วย ยังไงอาหารเช้าก็สำคัญกับร่างกายและสมองนะครับ”
นภทีป์ยืนฟังด้วยสีหน้าเหมือนกำลังฟังกัณฑ์เทศน์ ก่อนจะหลับตาแล้วตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งเพราะสมองของเขายังมึนงงจากการตื่นก่อนเวลา
“ความจริงนายไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ ยังไงฉันก็ต้องสอนนายอย่างเต็มที่อยู่แล้ว” เขาว่าพลางยกปลายนิ้วขยี้หัวตา
“ผมไม่ได้ทำเพราะอยากติดสินบนเสียหน่อย” ภรัณยูกล่าวก่อนสาวเท้าไปที่โต๊ะแล้วกวาดเอาของที่ไม่เกี่ยวข้องลงไปวางบนพื้นก่อนวางกล่องลงแทนที่และจัดสำรับอาหารอันประกอบด้วยข้าวสวยหุงสุก กับอาหารผัดกับทอดอย่างละถาด นอกจากนี้ยังมีน้ำส้มคั้นในกระติกแบบเก็บความเย็นมาด้วย พอทุกอย่างพร้อมสรรพแล้วเจ้าตัวก็เรียกนภทีป์ให้มากินข้าวเหมือนผู้ปกครองดูแลเด็กเล็ก ๆ
แม้นภทีป์จะไม่เต็มใจนักกแต่ก็เดินไปหยิบช้อนอย่างเสียไม่ได้
ยังไงก็ทำมาแล้ว...ถ้าไม่กินก็เสียของเปล่า
“น่าอร่อยจังเลย” รติมองอาหารพลางทำตาเป็นประกาย
“นายกินไม่ได้ไม่ใช่หรือไง?”
“อะไรนะครับ?” นภทีป์เผลอออกปากตอบโต้กับรติตามความเคยชิน เมื่อถูกภรัณยูทักจึงชะงักและรู้สึกตัวว่าพลาดแล้ว
“ฉันบอกว่า...นายไม่รู้ไม่ใช่หรือไงว่าฉันกินอะไรได้หรือไม่ได้” เขาพยายามแก้คำให้ดูใกล้เคียงที่สุด แม้มันจะดูประหลาดที่พูดออกมาในสถานการณ์อย่างนี้ก็ตาม
“นั่นสิ จะว่าไปผมไม่รู้เลยว่าคุณแพ้อะไรบ้างหรือเปล่า แล้วทีมีของที่แพ้ไหม ผมจะได้บอกแม่ไว้ก่อน”
“เดี๋ยวสิ นายเรียกฉันว่าอะไรนะ?”
ภรัณยูเลิกคิ้วก่อนจะย้ำ
“ก็ ที ไงครับ ไม่ใช่เหรอ?”
“ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ฉันก็อายุมากกว่านายนะ” นภทีป์ชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยช้อนสั้นก่อนตักข้าวกินต่อ
“ถ้าอย่างนั้น พี่ที?” ภรัณยูลงเรียกตามวัยวุฒิ แต่ทั้งสองกลับพบว่ามันช่างฟังดูแปลกหูดีแท้ ยิ่งเมื่อคิดภาพพวกเขาเรียกกันในที่สาธารณะ ผู้ชายตัวโต ๆ เรียกคนตัวเล็กกว่าแถมหน้าอ่อนกว่าว่า พี่ที มันคงเป็นภาพที่ดูขัดบรรยากาศน่าดูเหมือนกัน
“สนิทสนมไป” นภทีป์ว่าเมื่อรับภาพที่ตนเองจินตนาการไม่ได้
“อาจารย์ที” รติเสนอขึ้นมาตามด้วยเสียงหัวเราะที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวล้อเล่นไปอย่างนั้น แต่นภทีป์กลับนึกอยากขว้างช้อนใส่ถ้าไม่ติดว่าภรัณยูอยู่ในห้องด้วย
“คุณที?” ชายหนุ่มเปลี่ยนให้สุภาพขึ้นแต่กลับรู้สึกว่าเป็นทางการมากเกินไปชอบกล กระนั้นดูเหมือนนภทีป์จะพึงพอใจกับมัน
“เอาอย่างนั้นก็ได้” หลังจากตกลงเรื่องชื่อได้ นภทีป์ก็ปิดกล่องข้าวทั้งที่กินไปได้แค่ครึ่งเดียว
“ไม่อร่อยหรือครับ?”
“เปล่านี่ ก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ฉันอิ่มแล้ว” เขาว่าพลางเก็บสำรับรวบไว้ด้วยกันแล้วแยกแค่ช้อนของตนเองไว้ ถึงจะกินไปได้แค่ครึ่งเดียวแต่ท้องของเขากลับแข็งปั๋งไปด้วยอาหารทรงคุณค่าที่กระเพาะต้องทำการย่อย ดูเหมือนภรัณยูจะเข้าใจผิดว่าเขาต้องกินเท่ากับเจ้าตัวจึงได้อัดข้าวมาเสียเต็มแน่นกล่องอย่างนี้ กับคนที่กินแต่อาหารกึ่งสำเร็จรูปมานานจะเทียบอะไรได้กับคนที่กินข้าวอย่างถูกสุขลักษณะมาตลอด
นภทีป์เอาทัพเพอร์แวร์เหล่านั้นไปวางไว้บนโต๊ะทำงานเพื่อให้โต๊ะเล็กว่างก่อนเอาช้อนไปล้าง ซึ่งระหว่างนั้นภรัณยูก็นั่งรออย่างเรียบร้อยโดยไม่รู้ตัวเลยว่ารติกำลังบินสำรวจอยู่ใกล้ ๆ
ดูท่าจะจริงที่เขาเป็นคนเดียวที่เห็นรติ...
แบบนี้เขาก็ตัดสินไม่ได้น่ะสิว่าเจ้าตัวเป็นภาพลวงตาหรืออะไรกันแน่
นภทีป์ถอนหายใจพร้อมเดินออกมาจากห้องครัว
“เอ่อ...วันนี้จะให้ผมทำอะไรหรือครับ?” ภรัณยูเอ่ยถาม เพราะหลังจากเสร็จบทเรียนเมื่อวาน นภทีป์ก็บอกเขาว่าไม่ต้องเอาข้าวของอะไรมา ให้มาใช้ของที่นี่เลย ทำให้ภรัณยูเกิดอาการหยิบจับอะไรไม่ถูกเนื่องจากเป็นของใช้ของคนอื่นซ้ำดูมีราคาทุกชิ้น
“วันนี้ฉันจะให้นายฝึกเส้น”
“เส้น?”
“ใช่ นายน่ะไม่รู้ตัวเลยสินะว่าเส้นตัวเองเป๋ขนาดไหน ถือมือไม่นิ่งจะวาดอะไรก็ลำบาก ทำได้แค่เป็นเส้นร่างแล้วลงสีทับเท่านั้นแหละ ซึ่งบางงานจำเป็นต้องมีเส้นประกอบด้วย ถ้านายไม่ฝึกไว้ ต่อไปนายจะลำบากเอาทีหลัง” นภทีป์พูดจากประสบการณ์ เพราะเขาก็มือไม่นิ่งเหมือนกันในช่วงแรก ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและต้องหยิบจับงานอย่างจริงจังมากขึ้น เขาก็ต้องกลับมาฝึกฝนมือตัวเองเหมือนเด็กเริ่มหัดวาดไม่มีผิด
แต่ด้วยประสบการณ์ของภรัณยู จะให้เริ่มต้นด้วยพู่กันหรือจีเพนก็คงยังไม่เหมาะ สุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องใช้ดินสอฝึกฝนไปก่อน
------------------------------->
-
เมื่อสัปดาห์แรกของการฝึกฝนผ่านไป ภรัณยูก็เข้าสู่ช่วงเวลาของการฝึกงาน โดยเขาจะต้องไปทำงานที่บริษัทของพ่อสัปดาห์ละ 5 วัน จันทร์-ศุกร์ เสาร์และอาทิตย์เป็นวันพักผ่อนแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้พักเหมือนอย่างคนอื่น ๆ เพราะต้องไปที่ห้องของนภทีป์ ซึ่งกำชับเอาไว้ว่าการฝึกฝนเหล่านี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะเขาเรียนรู้ได้ช้ามากในเรื่องการวางเส้นและโครง
“อย่าทำหน้าอิดโรยแบบนั้นตั้งแต่วันแรกของการฝึกงานสิวะ” ชลชาติทักขณะที่พวกเขาถูกพามาถึงโต๊ะที่จัดไว้สำหรับนักศึกษาฝึกงานทั้งสามคน ได้แก่ ภรัณยู ชลชาติ และวิชชุกร ที่ตามกันมาเป็นหมู่คณะ
“ฉันไม่ได้ทำหน้าอิดโรย ฉันแค่ง่วง” ภรัณยูว่าแล้วหาวหวอด นิสัยที่นอนไม่หลับทุกครั้งที่จะมีเรื่องอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากชีวิตประจำวันย้อนกลับมาเล่นงานเขาเมื่อคืนนี้ทั้งที่ไม่ได้พบกันมันมา 2 ปีแล้วหลังจากที่วิชาเรียนเริ่มหนักและเวลานอนน้อยลงเรื่อย ๆ
นอกจากนี้...มันยังเป็นเพราะเมื่อคืนเขากำลังหาภาพต้นแบบอยู่
พอเขาบอกนภทีป์ว่าต้องเริ่มฝึกงาน นภทีป์ก็ให้การบ้านทันทีโดยให้หาภาพต้นแบบที่ถูกใจสักภาพแล้วให้สเกตซ์ด้วยดินสอมาให้ดูภายในวันเสาร์หน้า แต่การจะหาภาพที่ถูกใจนั้นเป็นเรื่องไม่ยากเท่ากับการหาภาพที่ตัวเองมีความสามารถพอจะสเกตซ์ได้ ไป ๆ มา ๆ นอกจากจะนอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นเรื่องงานแล้ว ยังเพราะคิดไม่ตกเรื่องภาพต้นแบบด้วย
“เอาล่ะ พี่จะมาแนะนำเรื่องเกี่ยวกับภายในบริษัทก่อนนะคะ แล้วต่อด้วยขอบเขตของแผนกเรา จากนั้นเราจะมาคุยกันว่าน้อง ๆ จะต้องทำอะไรบ้างระหว่างที่ฝึกงานอยู่ที่นี่” หญิงสาวอายุประมาณ 30 ต้น ๆ เดินเข้ามาหาทั้งสามแล้วเกริ่นนำเพียงสั้น ๆ ก่อนนั่งลงแล้วแนะนำตัวพลางเปิดโน้ตบุ๊กที่ตนพกมาด้วย แผนผังหน้าที่การงานในบริษัทปรากฏขึ้นมาเป็นอันดับแรกและเธอก็เริ่มแนะนำทีละคนที่เด่น ๆ และเกี่ยวข้องกับแผนกที่พวกเขาสังกัดอยู่ซึ่งก็คือวิศวกรของบริษัทนี้นั่นเอง
แน่นอนว่าพ่อของภรัณยูไม่ได้อยู่ที่แผนกนี้ จึงไม่ได้ถูกเอ่ยถึงแต่อย่างใด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีแล้วเพราะเจ้าตัวไม่อยากถูกคนอื่น ๆ มองว่านามสกุลเดียวกับคนมีตำแหน่ง
กว่าจะแนะนำเรื่องเบื้องต้นเกี่ยวกับบริษัทและแผนกเสร็จก็ผ่านไปแล้วครึ่งวัน
“ไปหาข้าวกินกันเถอะ” วิชชุกรบิดขี้เกียจเมื่อพนักงานรุ่นพี่ผละจากไป พวกเขานั่งเกร็งมาครึ่งวันแทบไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวพลาดจุดสำคัญไปทำให้ตอนนี้รู้สึกเมื่อยขบอยากยืดเส้นยืดสายเป็นอย่างมาก
“ลองไปเยี่ยมชมโรงอาหารในบริษัทดูกันก่อนไหมล่ะ?” ภรัณยูแนะนำ
“เอาสิ ช่วงอาทิตย์แรกของการฝึกงานพวกเราจะกินไม่ซ้ำที่เลย เริ่มที่โรงอาหารนี่ล่ะ!” ชลชาติเห็นด้วยกับความคิดของภรัณยูแต่ความคิดของเจ้าตัวไปไกลกว่านั้น “พอสำรวจทั่วทุกร้านแล้วจะได้รู้ไงว่าที่ไหนอร่อยที่สุด จะได้อาศัยฝากปากท้องได้จนกว่าจะจบฝึกงาน”
“แต่เฉพาะในโรงอาหารก็มีหลายร้านแล้วนะ นายต้องกินกี่วันกว่าจะชิมได้ครบหมด”
“ไม่มีปัญหา” ชลชาติยิ้มกว้าง “พวกเราก็ไปสั่งข้าวคนละร้านไง แล้วก็มาแบ่งกันชิม สัก 3 วันก็ครบทุกร้านแล้วมั้ง”
และเนื่องจากไม่มีใครคิดจะแย้งความคิดนั้นจึงตกลงปลงใจทำตาม
พวกเขามาถึงโรงอาหารมันก็เริ่มเนืองแน่นไปด้วยพนักงานที่ขี้เกียจเดินออกไปร้านข้างนอก แผนการเริ่มต้นขึ้นโดยวิชชุกรเลือกร้านแรก ภรัณยูร้านถัดมา และชลชาติร้านที่สาม
เมื่อกลับมาถึงที่โต๊ะ วิชชุกรก็ได้ผัดไส้กรอกกับแกงจืดสาหร่าย ภรัณยูเป็นผัดกะเพราไข่ดาว และชลชาติเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำใส
“จะว่าไป ได้ยินว่าแกไปเรียนวาดรูปด้วยนี่” วิชชุกรเอ่ยถามขณะนั่งคลุกข้าวตัวเองกับน้ำซุปให้ชุ่มเพราะข้าวร้านนี้ค่อนข้างแข็งกระด้าง
“ไปได้ยินมาจากไหนกันน่ะ?” คนถูกถามมุ่นคิ้วเพราะเขาไม่ได้บอกใครเลยว่าตัวเองไปทำอะไรที่ไหนในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนที่จะเริ่มฝึกงาน
“พอดีฉันโทรไปที่บ้านแกเมื่อไม่กี่วันก่อนเพราะจะถามเรื่องกำหนดการฝึกงานนี่แหละ แต่น้องสาวแกรับแล้วบอกว่าแกไปเรียนวาดรูปอยู่”
พิณเล็กนี่เอง...
ภรัณยูกลอกตา เพราะไม่เห็นเคยได้ยินพิณาลัยพูดเลยว่ามีคนโทรหา เจ้าตัวคงจะทำนั่นทำนี่จนลืมเหมือนทุกครั้งนั่นแหละ
“ก็ใช่ ฉันไปเรียนวาดรูป แล้วก็คงจะเรียนอยู่สักปีหนึ่งน่ะ”
“คนสอนสวยไหมวะ?” ชลชาติยื่นหน้ามาถามพร้อมกับดึงถาดกระปุกเครื่องปรุงจากข้างตัวภรัณยูไปหาชามตัวเอง
“เสียใจด้วยนะ คนสอนเป็นผู้ชาย”
คำตอบของภรัณยูทำให้ชลชาติเลิกให้ความสนใจกับครูสอนศิลปะคนนั้นทันที แต่ไม่ใช่สำหรับวิชชุกรที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเพศของผู้สอนมาแต่ต้น
“แล้วแกจะไหวเหรอ? ปี 4 มีโปรเจคอีกนะ สัมมนาด้วย ช่วงฝึกงานก็ใช่ว่าจะว่าง” หลังพูดจบวิชชุกรก็จิบน้ำก่อนว่าต่อ “เรียนวาดรูปมันต้องใช้เวลาฝึกด้วยนี่”
“ก็ใช่...” ภรัณยูถอนหายใจออกมา เขาเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สัญญากับแม่ว่า...
เอ๋...
อยู่ๆ ภรัณยูก็ชะงักไปเมื่อคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
เขาสัญญากับแม่ว่าก่อนรับปริญญาจะต้องหาคนจ้างงานให้ได้ แล้วถ้าใช้เวลาเรียน 1 ปี ก็จะเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนเพื่อที่จะทำให้งานติดตาและมีคนสนใจ ซึ่งจนถึงตอนนี้เขายังไม่มีหนทางที่จะโปรโมทผลงานตัวเองเลย จะว่าไปนภทีป์ก็ไม่ได้แสดงออกเลยว่าเขามีโอกาสที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้หรือเปล่าเพราะเจ้าตัวก็สอนเขาแค่เพียงเพราะคนที่ชื่ออนุทินหยิบยื่นเงื่อนไขให้เท่านั้น
ชายหนุ่มเกิดร้อนอกร้อนใจขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องเวลา เขากำลังทิ้งมันให้ผ่านเลยไปอย่างไร้ความหมายหรือเปล่า แล้วช่วงเวลาที่มีเหลืออยู่เขาจะสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้เต็มที่หรือเปล่า เพราะอย่างไรตัวเขาก็ไม่อาจทอดทิ้งการเรียนไปได้
และเพราะความกังวลที่อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นนั้นเอง ทำให้ภรัณยูไม่เข้าใจเนื้อหาที่คนในแผนกผลัดกันมาบอกเล่าในช่วงบ่ายเลยสักนิดเดียว และวันแรกก็ผ่านไปทั้งอย่างนั้น
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภรัณยูก็เปิดดูสมุดที่ใช้จดสิ่งที่ทำในแต่ละวันช่วงฝึกงานเพราะต้องมาทำรายงานส่ง แต่นอกจาก 2 หน้าแรกแล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลยเพราะเขาแทบรวบรวมสมาธิไม่ได้
คงต้องขอยืมของวิชชุกรกับชลชาติไปซีร็อกซ์เสียกระมัง
“เฮ้อ...”
“มีรอยย่นแล้วค่า”
“พิณเล็ก? ข้าวเย็นเสร็จแล้วเหรอ?” ภรัณยูหันไปตามเสียงที่ทักขึ้นหลังการถอนหายใจของตนเอง พิณาลัยยิ้มเผล่อยู่หน้าประตูพร้อมกับน้ำหวานสองแก้วและขนมขบเคี้ยว
“ยังค่ะ แม่ก็เลยบอกว่าให้เอาของว่างมากินกันก่อน แต่มาเจอพี่กำลังบั่นทอนความหนุ่มแน่นของตัวเองด้วยเสียงถอนหายใจเสียนี่” พิณาลัยเดินเข้ามาในห้องแล้ววางของว่างลงบนพื้น เธอนั่งขัดสมาธิบนไม้กระดานก่อนหยิบขนมโยนเข้าปากแล้วเงยหน้าขึ้นมาถาม “ระยะนี้พี่รัณถอนหายใจบ่อยขึ้นหรือเปล่า? ถึงสมัยก่อนพี่จะทำแบบนั้นบ่อย ๆ ก็เถอะ แต่ก็ไม่ถี่ขนาดนี้นะ”
“พี่กำลังคิดว่าจะทำรายงานฝึกงานยังไงดีน่ะสิ เพราะคนแนะนำที่แผนกพูดกันเร็วจนจดไม่ทัน แถมไฟล์ที่เอามาพรีเซนต์ก็ขอเอามาประกอบรายงานไม่ได้ด้วย” ภรัณยูนั่งบนพื้นกับน้องสาวพร้อมหยิบกระดาษมาปูรองใต้ชามขนม “อย่ากินให้หล่นลงพื้นสิ”
“นี่พี่รัณ จำที่สัญญากับแม่ได้หรือเปล่า?”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
“พี่ว่าถ้าหนูเอางานของพี่ไปให้เพื่อนดู จะมีคนสนใจหรือเปล่า?”
หืม?
ภรัณยูเลิกคิ้วก่อนจะขมวดมันเข้าหากัน
“ฝีมือพี่ยังไม่ดีถึงขั้นนั้นหรอก” เขาโบกไม้โบกมือ แม้แต่ตัวเขามองผลงานตัวเองก็ยังรู้สึกเลยว่ามันขาดอะไรไปหลาย ๆ อย่าง และคงจะเป็นอย่างที่นภทีป์เคยพูดไว้ว่าเขาฝึกฝนน้อยเกินไปและไม่ถูกหลัก เหมือนแค่วาดตามที่อยากวาดโดยไม่มีหลักการอะไรเลย
“แต่แม่แค่พูดว่า ถ้ามีใครสักคนจ้าง งั้นก็แปลว่าใครก็ได้ เท่าไหร่ก็ได้ไม่ใช่เหรอคะ?” พิณาลัยพูดพลางเอียงคอมองคู่สนทนา “เพื่อนหนูคงยอมช่วยอยู่นะถ้าราคาไม่แพงมาก”
“แบบนั้นก็เหมือนพี่ขี้โกงน่ะสิ พิณเล็กรู้หรือเปล่าว่าที่แม่พูดแบบนั้นหมายถึงอะไร” เด็กสาวฟังที่พี่ชายตนเองพูดก่อนจะส่ายหน้าหลังหยุดคิดไปชั่วครู่ ภรัณยูจึงว่าต่อ “แม่น่ะอยากจะให้พี่มีคนที่ต้องการผลงานของพี่จริง ๆ ทำนองว่าคอยติดตามผลงานและสนับสนุนนั่นแหละ ดังนั้นถ้าให้คนรู้จักช่วยมันก็ไม่มีความหมาย แบบนั้นมันก็เหมือนพี่ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นเลย”
ฟังจบ เด็กสาวก็มุ่นหัวคิ้ว
“พวกผู้ใหญ่นี่คิดมากกันจัง”
“เราก็อายุ 16 แล้วนะ จะถึงวัยผู้ใหญ่แล้ว” ภรัณยูอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้ผมน้องสาวอย่างหมั่นเขี้ยวกับท่าทางและคำพูดแก่แดดแก่ลม
“โอ๊ย พี่รัณ หัวหนูยุ่งหมดแล้ว” พิณาลัยปัดป้งมือพี่ชายออกไปก่อนจัดผมตนเองหน้ามุ่ย “อีกอย่างนะ วิธีของหนูไม่ได้เรียกว่าขี้โกง มันเรียกว่าการหาช่องว่างต่างหากล่ะคะ”
“ไปหัดหาข้ออ้างแบบนี้มาจากไหนกันเนี่ย” ชายหนุ่มหัวเราะร่วน
“พวกนักการเมืองใช้กันออกบ่อยนี่คะ เวลาที่พูดว่า เขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เขาทำในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้ห้ามต่างหาก”
ภรัณยูส่ายศีรษะเมื่อได้ฟังประโยคที่น้องสาวยกมา
“ต้องดูทีวีให้น้อยลงแล้วนะเราน่ะ”
“แหม...พี่นี่ชอบทำเหมือนหนูเป็นเด็กอยู่เรื่อย” ใบหน้าเง้างอนของเด็กสาวทำให้พี่ชายได้แต่ยิ้มขำด้วยความรู้สึกเอ็นดู
“เอาน่า คุณทีที่สอนศิลปะให้พี่ตอนนี้น่ะเขามีประสบการณ์ในวงการเยอะมากเลยนะ ถ้าเขาช่วยแนะนำให้บางทีพี่อาจจะก้าวหน้าเร็วกว่าที่ใคร ๆ คิดไว้ก็ได้ แล้วเขาเองก็มีฝีมือดีจริง ๆ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก” ภรัณยูรู้ว่าตนเองกำลังพูดถึงนภทีป์ด้วยแง่มุมที่ดีโดยทำเป็นลืมด้านที่ไม่เต็มใจของเจ้าตัวไปชั่วขณะ ถึงอย่างนั้นเขาก็คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยเขาได้จริง ๆ
เพราะฝ่ายนั้นเองก็มีเวลาที่จะทำให้การสอนสัมฤทธิ์ผลแค่ 1 ปีเหมือนกัน...
เหมือนกับว่าพวกเขาลงเรือลำเดียวกันจึงต้องช่วยกันถ่อช่วยกันพายไปจนถึงฝั่งให้ได้นั่นแหละ...
“ในเมื่อพี่ว่าแบบนั้นหนูจะทำเป็นเชื่อหน่อยก็ได้” พิณาลัยหยิบขนมกินต่อแล้วยกแก้วน้ำหวานขึ้นจิบหลายอึก “แต่ว่าถ้าพี่ทำไม่ได้พี่ต้องยอมใช้วิธีของหนูนะ”
“เรื่องนั้นคงต้องคุยกับแม่ก่อนล่ะนะว่าทำได้หรือเปล่า”
“แล้วจะบอกแม่ทำไมกันล่ะคะ” เด็กสาวทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจกับความซื่อตรงเป็นไม้บรรทัดของพี่ชายตนเอง ถ้าหัดรู้จักเลี้ยวลดเหมือนคนอื่นเสียบ้างคงจะไม่ลำบากแบบนี้หรอก “งั้นก็ตกลงตามนี้แหละ พี่ห้ามบอกแผนการของหนูกับแม่นะ แล้วก็ ถ้าครูทีอะไรนั่นทำให้พี่หาคนจ้างงานไม่ได้ก่อนรับปริญญาล่ะก็ หนูจะจัดการให้เอง พี่เชื่อใจได้เลย” เธอว่าแล้วขยิบตาซุกซน
“ครับผม” ภรัณยูรับคำด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก และเขาได้แต่หวังไว้ในใจว่าแผนการของพิณาลัยจะไม่ถูกนำมาใช้ในท้ายที่สุด
TBC
-
มาจิ้มไว้ก่อนนะคะคุณเซีย
แล้วจะมาอ่านค่าาาา
-
รัณจะไหวไหมคะเนี่ย ทั้งฝึกงานทั้งฝึกกับที
ปล อ่านตอนนี้แล้วเห็นภาพทีชัดเจนเลยคะ
-
โอ้โห มาอีกที ปาไป 5 ตอนเลย ขอเม้นท์รวมทีเดียวเลยนะจ้ะ
เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่นะ ที่ต้องการให้ลูกมีอนาคตมั่นคง ลูกที่เคยเชื่อฟังมาตลอดเกิดมาไม่เชื่อฟังเอาตอนใกล้จบ
พ่อแม่ที่คาดหวังกับลูกไว้เยอะย่อมช็อคเป็นธรรมดา แต่ก็น่าสงสารรัณที่ทำตามพ่อแม่มาทั้งชีวิต
เพียงแค่ขอได้ทำตามความต้องการของตัวเองบ้างในระยะเวลาสั้น ๆ น่าจะได้สมหวังนะ
แม้ไม่ใช่สิ่งที่สมควร แต่พอกินเหล้าแล้วทำให้รัณใจกล้าที่จะพูดสิ่งที่อัดอั้นตันใจตัวเองมาเนิ่นนานอย่างนี้ก็ดีนะ
เพราะถ้าเป็นตอนปรกติ ก็ไม่แคล้วต้องทำตามคำสั่งไปเรื่อย ๆ แม้ไม่ต้องการอยู่ต่อไปแน่ ๆ
ถึงจะไม่ดีที่ไปตะคอกใส่แม่อย่างนั้นก็เถอะ สุดท้ายคนเป็นแม่ ยังไงก็ต้องอยากเห็นลูกมีความสุขล่ะนะ
ข้อแม้ที่ให้มา ดูแล้วก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไร ลูกค้าแค่หนึ่งคน กับเวลาที่จะได้ทำตามความต้องการถึงห้าปี คุณแม่ก็ยังใจดีอยู่นะเนี่ย
แถมคุณพ่อ ก็เหมือนเข้าใจในความต้องการของลูกอยู่แล้ว ถึงกับเก็บผลงานของรัณตั้งแต่เริ่มหัดวาดรูปไว้ทั้งหมด
น่าซาบซึ้งใจจริง ๆ ดูแล้วถ้ารันทำใจกล้าพูดสิ่งที่ต้องการออกมาตั้งแต่แรก อาจได้ทำสิ่งที่รักไปเร็วกว่านี้แล้วก็ได้นะ
รติ เด็กบินได้ คืออะไร ภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นจากความนึกคิดของ ที เหรอ แต่ทำอะไร ๆ ได้เหมือนคนเลยอ่ะ
แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้จะได้เป็นคิวปิคให้รัณกับที โดยไม่รู้ตัวซะแล้ว พิมพ์ข้อความตอบกลับให้เองเฉยเลย
จนในที่สุด รัณ ก็ได้พบคนที่ตามหาซะที แต่กลับพบ ที ที่ไม่สามารถวาดภาพได้อีกต่อไป
มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ ทำให้ขาดความมั่นใจ เลยทำให้ขาดจินตนาการ และแรงบันดาลใจ ไปด้วยรึเปล่า
พี่อนุทิน ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีจังเลย แถมทียังให้ความเคารพอยู่มาก
โชคดีของรัณ ที่มาเจอตอนที่พี่อนุทินมาพอดี ไม่งั้นก็คงไม่ได้พูดสิ่งที่ต้องการแน่ ๆ
เพราะความช่วยเหลือของพี่อนุทิน ทำให้รัณได้เรียนกับทีจนได้ แถมช่วยออกเงินค่าเรียนให้บางส่วนด้วย ใจดีจัง
เรื่องการตายของรติตอนม.ต้น เกี่ยวข้องอะไรกับรูปวาดของ ที รึเปล่านะ ทำให้ทีปิดกั้นใจตัวเอง
และ" คนที่แล้ว " ที่มาเรียนศิลปะกับ ที คงจะมามีบทบาทในภายหลังแน่ ๆ แล้วคือคนที่มีส่วนทำให้ที มาอยู่ในสภาพนี้สินะ
แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ดี ที่ที ตั้งอกตั้งใจสอน อย่างจริงจัง และเชื่อว่าความสว่างสดใสของรัณ คงทำให้ทีเปิดใจให้ได้ในอีกไม่นานนี้
ตอนนี้ที่เหลือของรัณ คือต้องสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อหาคนมาจ้างให้ได้ภายในกำหนดเวลาของแม่สินะ
ตอนแรก คิดเหมือนน้องพิณเล็กเหมือนกันนะเนี่ย แต่มันก็เหมือนขี้โกงอย่างที่รัณว่าจริง ๆ
ดังนั้น เพื่อให้แม่ยอมรับทางเลือกของรัณด้วยความเต็มใจ ก็ต้องหาคนที่จ้างเพราะชื่นชอบผลงานของรัณจริง ๆ ให้ได้เท่านั้น
ต้องรอลุ้นต่อไป ว่าทีจะช่วยให้รัณสร้างผลงานที่ดีอย่างนั้นได้เมื่อไหร่นะเนี่ย
ขอโทษที่มาเม้นท์ซะยาวเลยนะจ้ะ ขอบคุณและเป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ :L2:
-
-6-
สีหน้าละเหี่ยใจที่ปรากฏขึ้นเมื่อเจ้าของใบหน้านั้นกำลังจ้องมองภาพสเกตซ์ด้วยดินสอซึ่งถูกทำขึ้นอย่างเร่งรีบของเขาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกตัดสินโทษจากเบื้องสูงด้วยความเงียบงัน เป็นเวลาหลายนาทีแล้วที่ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองไปทั่วรูปภาพ ทั้งบนลงล่างและซ้ายไปขวา ราวกับทุกอณูผงแกรไฟต์กำลังบอกเล่าอะไรบางอย่างให้เจ้าตัวรู้ อย่างเช่น...ภาพนี้เพิ่งถูกสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อสองวันก่อนและเสร็จเอาเมื่อคืนที่ผ่านมาเนื่องจากตัวผู้วาดหาภาพได้ช้าและพบว่าตัวเองแทบไม่มีเวลาแล้ว
นภทีป์เลื่อนสายตาขึ้นมองข้ามแผ่นกระดาษไปยังเจ้าของผลงาน สีหน้าอิดโรยของเจ้าตัวกำลังบ่งบอกว่าเพิ่งเร่งปั่นเอาเมื่อคืนนี้สด ๆ ร้อน ๆ ซึ่งหากวลีนี้เป็นมากกว่าคำเปรียบเปรย มือของเขาอาจจะพุพองเพราะจับกระดาษแผ่นนี้แล้วก็เป็นได้
“ฝึกงานสัปดาห์แรกเป็นยังไงบ้าง?”
ภรัณยูเกาท้ายทอยพลางตอบอ้อมแอ้ม
“ก็...มีอะไรหลาย ๆ อย่างน่ะครับ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษแต่ก็ต้องศึกษางานเบื้องต้นในแผนกเพื่อจะได้ไปประกอบในรายงาน”
“ดูก็ไม่ได้หนักหนาเท่าไหร่นี่”
“มันก็...” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามซึ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนสอบสวน “ความจริงเป็นเพราะผมตกลงใจเรื่องภาพไม่ได้ แล้วก็คิดเรื่องอื่นจนเหนื่อยเสียก่อนน่ะครับ...” เขาตัดสินใจบอกความจริงแล้วถอนหายใจออกมา
“นายน่ะอยากจะทำเรื่องนี้จริงหรือเปล่า? บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่มีความอดทนกับคนที่คิดจะเล่นสนุกไปวัน ๆ” นภทีป์เท้าคางพลางโบกกระดาษในมือ
“อยากสิครับ! แต่ว่า...ผมจะทำได้จริง ๆ หรือ? อยู่ ๆ ผมก็คิดแบบนั้นขึ้นมา เพราะแม้แต่คุณเองก็คงต้องฝึกฝนเป็นเวลานานหลายปีกว่าจะมาถึงขั้นนี้ แต่ผมสัญญากับแม่ไว้แค่ก่อนรับปริญญา ถ้าเกิดว่าถึงตอนนั้นฝีมือของผมยังไปไม่ถึงขั้นเดียวกับคุณ ผมคง...โอ๊ย!” หลังปล่อยให้ภรัณยูบ่นงึมงำยืดยาวอยู่สักพักหนึ่ง นภทีป์ก็ออกแรงถีบจากใต้โต๊ะทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งร้องออกมาทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร
“จะขึ้นมาเทียบชั้นกับฉันน่ะ ฝึกไปอีก 100 ปีเถอะไป”
ภรัณยูรู้สึกเหมือนโดนมีดเสียบอกก็ไม่ปาน สีหน้าของเขาเจื่อนลงทันที
“นั่นสินะครับ...”
“ถ้าสัญญากับแม่ไว้อย่างนั้น ก็ให้เพื่อนนายจ้างซะสิ ยังไงแม่ของนายก็ไม่ได้กำหนดนี่ว่าต้องเป็นคนจากสายงานไหนหรือมีฐานะอะไร”
“ไม่ได้หรอกครับ!” เสียงตะโกนของชายหนุ่มพร้อมกับท่าทางเอาจริงเอาจังจนผุดลุกขึ้นมาคร่อมอยู่เหนือโต๊ะทำเอานภทีป์ผงะถอยหลัง แม้แต่รติที่ดูสถานการณ์อยู่ใกล้ ๆ ยังสะดุ้งโหยงไปด้วย “ถ้าทำแบบนั้นก็กลายเป็นการดูถูกตัวเองไปน่ะสิ ดูถูกว่าผมทำไม่ได้ถึงต้องใช้วิธีขี้ขลาดแบบนั้นน่ะ ผมทำไม่ได้หรอก!” อาจเพราะพิณาลัยเพิ่งจะแนะนำวิธีแบบนี้ไปและทำให้เจ้าตัวคิดมากอยู่หลายวัน เมื่อได้ยินมันอีกครั้งจึงแสดงอารมณ์ออกมาอย่างนี้
นภทีป์เผลอค้างอยู่ในท่าใช้มือเท้าพยุงตัวไว้ด้านหลังครู่หนึ่งจึงตั้งสติได้และกลับมานั่งขัดสมาธิในท่าปกติเช่นเดิม
ที่ภรัณยูว่ามาก็ถูก หากใช้วิธีเช่นนั้นจะไม่มีวันรู้ได้เลยว่าฝีมือตนเองเข้าขั้นหรือไม่ แต่ก็เพราะท่าทางคร่ำครวญจนน่ารำคาญนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องพูดแบบนั้น และด้วยความเถรตรงของเจ้าตัวที่เขาสัมผัสได้หลังจากอยู่ด้วยกันมาหนึ่งอาทิตย์ นภทีป์ก็ต้องถอนหายใจกับตัวเอง
“นายนี้...ความคิดเป็นเส้นตรงดีนะ”
“เอ๋?”
“เรียกว่าซื่อบื้อน่าจะเข้ากว่าล่ะมั้ง” รติออกความเห็นจากบนกล่องเก็บกระดาษ และแน่นอนว่ามีเพียงนภทีป์ที่ได้ยิน ส่วนเจ้าตัวที่ถูกพูดถึงนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
“ช่างมันเถอะ” นภทีป์ว่าโดยพูดกับทั้งภรัณยูและรติไปพร้อม ๆ กัน “ถ้านายเลือกจะทำแบบนั้นฉันจะไปว่าอะไรได้ ยังไงมันก็ชีวิตของนายนี่”
“...ครับ...” น้ำเสียงของภรัณยูแสดงความผิดหวังออกมานิดหน่อย คงเพราะกำลังคาดหวังอยู่ว่านภทีป์จะให้คำตอบที่ดีกว่านี้ ซึ่งรติที่อ่านความคิดนั้นออกเพราะสีหน้าเจ้าตัวได้แต่กลอกตาอย่างละเหี่ยใจ เพราะเรื่องการคิดแทนคนอื่นเพราะเป็นห่วงเป็นใยน่ะ มันไม่ใช่นิสัยของคนอย่างนภทีป์หรอก ยิ่งในช่วงที่อารมณ์ฝ่ายนั้นไม่ได้อยู่ในภาวะปกติอย่างนี้ การมานั่งฟังคนอื่นคร่ำครวญเรื่องชีวิตตัวเองก็ถือว่าใจดีมากแล้ว
เจ้าของร่างสูงรับภาพคืนมาจากนภทีป์และเก็บมันลงกระเป๋าโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะนั่งรอฟังว่าผู้เป็นครูจะสอนอะไรต่อไป
กระนั้นนภทีป์กลับนิ่งเงียบอยู่นานและกลอกตาคล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่
“นายอาจจะไม่ต้องกังวลเรื่องแบบนั้นก็ได้” อยู่ ๆ นภทีป์ก็พูดขึ้นมา “จำ...อนุทินได้หรือเปล่า?”
“ครับ...”
“ดูเขาจะถูกใจนายอยู่พอควร ถ้านายทำได้ดีตอนที่เขามาประเมินความสามารถ บางทีเขาอาจจะเป็นผู้ว่าจ้างคนแรกของนายก็ได้”
คุณอนุทินเนี่ยนะ?
ภรัณยูมุ่นคิ้ว เพราะท่าทางฝ่ายนั้นไม่เหมือนคนที่ชอบสะสมงานศิลป์เอาเสียเลย ดู ๆ ไปก็เหมือนพวกคนพนักงานบริษัทที่นั่งตำแหน่งใหญ่โตหน่อยเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?
“เขา...อยู่บริษัทที่เกี่ยวกับนักวาดหรือครับ?”
“เปล่า”
...
ความเงียบทิ้งตัวลงมาอย่างกะทันหันหลังจากคำปฏิเสธอย่างชัดเจนถูกส่งออกมาจากปากของผู้ที่มอบประกายของความหวังอันริบหรี่ให้
“แล้วเขาทำงานอะไรกัน?”
คำถามนั้นทำให้นภทีป์กลอกตารอบหนึ่งขณะพยายามคิดคำอธิบายที่ใกล้เคียงที่สุด
“ที่จริงแล้วมันเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ แต่ก็ไม่ใช่งานออกแบบภาพวาดสองมิติ และเป็นธุรกิจของพ่อเขาไม่ใช่ของคุณทินโดยตรงหรอก” หลังพูดจบ ผู้พูดก็ยกมือขึ้นกอดอก “ฉันคงอธิบายอะไรไม่ได้มากเพราะฉันไม่เคยสนใจงานของลุงมาก่อน ถึงคุณทินจะเคยชวนฉันไปทำงานด้วยก็จริงแต่ก็ไม่ได้บอกว่าในตำแหน่งอะไร เขาทำงานอยู่แผนกอะไรฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”
พูดไปพูดมา นภทีป์ก็เหมือนจะมีแต่คำว่าไม่รู้อยู่เต็มไปหมด เป็นคำตอบที่ไม่น่าเป็นคำตอบได้ และความหวังที่เพิ่งถูกจุดประกายขึ้นมาก็วูบไหวคล้ายใกล้จะดับวูบไปอีกครั้ง
“คุณ...ทิน ก็บอกว่าเป็นเงื่อนไขสำหรับให้คุณเข้าทำงานเท่านั้นนี่ครับ มันไม่น่าจะเกี่ยวกับผมมาตั้งแต่แรกแล้วถ้าผมไม่ออกปากขอร้อง” ภรัณยูว่าก่อนหัวเราะแหะ ๆ “แต่ไม่เป็นไรหรอก ถึงผมจะทำได้ไม่ดีแต่ยังไงก็ทำจนถึงที่สุดแล้ว เท่านี้ผมก็พอใจแล้วล่ะครับ”
นั่นมันการให้กำลังใจตัวเองประเภทไหนกัน...
รติและนภทีป์คิดขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายและต่างก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเหมือนตัวเอง
“นายเพิ่งจะออกเดินก้าวแรก คิดไกลถึงปลายทางเสียก่อนไฟจะหมดเร็วนะ” เหมือนจะเป็นคำแนะนำแต่นภทีป์ก็มักพูดกับตนเองอย่างนั้นบ่อย ๆ เพราะเขามักจะมีอาการเหมือนสมาธิสั้นเป็นบางครั้ง เมื่อต้องทำงานที่ใช้ความละเอียดและความอดทนสูง เขามักจะทนไม่ไหวกับการต้องเก็บรายละเอียดทีละเล็กละน้อยในขณะที่หัวสมองก็คิดภาพที่เสร็จสมบูรณ์แล้วอยู่ตลอด และทำให้เขาเห็นว่าตนเองต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนในการเก็บไปทีละจุดอย่างใจเย็น และความรู้สึกแบบนั้นมักทำให้เขาโยนงานทิ้งตั้งแต่เริ่มแรก
ภรัณยูไม่ได้ตอบโต้อะไร แค่เพียงหัวเราะเฝื่อน ๆ แล้วนั่งรอนภทีป์หยิบอุปกรณ์
“วันนี้ฉันจะให้นายสเกตซ์ภาพใหม่ วันนี้กับพรุ่งนี้ยังไงนายก็มีเวลาทั้งวัน และฉันจะเป็นคนเลือกภาพให้นายเอง” ว่าจบนภทีป์ก็วางดินสอ ยางลบ และกระดาษลงตรงหน้าอีกฝ่ายก่อนเดินไปหยิบหนังสือภาพวิวทิวทัศน์จากบนชั้นของตนเองออกมาหนึ่งเล่ม เขาเปิดภาพถ่ายวิวสถานที่แห่งหนึ่งกางออกและวางลงตรงหน้าภรัณยูซึ่งอ้าปากค้างแทบจะทันทีที่เห็นมัน
“เอาจริงหรือครับ....” เขาเงยหน้ามองนภทีป์ซึ่งไม่แสดงสีหน้าใด ๆ กับคำถาม
“ฉันไม่ทำอะไรเล่น ๆ เหมือนนายหรอก”
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายมองภาพถ่ายตลาดน้ำตรงหน้าตนเองและรู้สึกคล้ายอีกฝ่ายจงใจแกล้งชอบกล ทั้งเรือแออัดยัดเยียด ข้าวของภายในเรือที่หลากหลาย และยังผู้คนสัญจรอีก
“ภาพภูเขาโล่ง ๆ ของนายน่ะมันเด็ก ๆ ถ้าเทียบกับสิ่งที่มืออาชีพต้องเจอ ถ้าเรื่องแค่นี้นายทำไม่ได้ นายก็เตรียมใจได้เลยว่า 1 ปีหลังจากนี้นายจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ แน่”
นี่มันหลักสูตรเร่งรัดสินะ...
ภรัณยูพยายามให้กำลังใจตนเองอย่างนั้นและลงมือวาดโดยไม่รู้เลยว่าภายในห้องมีอีกบุคคลหนึ่งกำลังหัวเราะกลิ้งจนท้องคัดท้องแข็งอยู่ใกล้ ๆ ตัว
------------------->
“ทำไมแกทำหน้าเหมือนท้องผูกแบบนั้นล่ะรัณ?” วันจันทร์ เมื่อไปทำงานเขาก็ถูกทักโดยชลชาติที่มักจะทักทายด้วยอะไรแปลก ๆ เหมือนทุกที
“ฉันไปเที่ยวตลาดน้ำมา”
...?
ทั้งวิชชุกรและชลชาติมองหน้ากันงง ๆ เพราะเจ้าตัวบอกเองว่าเสาร์อาทิตย์จะต้องไปเรียนวาดรูป แล้วเอาเวลาที่ไหนไปเที่ยวตลาดน้ำมาได้
“ตลาดน้ำไหนน่ะ?” วิชชุกรลองถาม
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน เห็นแต่เรือขายของกับคลองแล้วก็คน” ภรัณยูนวดหัวตา เขายังล้าไม่หายจากการคร่ำเคร่งเก็บส่วนเล็ก ๆ ภายในภาพ ทั้งบ่าทั้งลูกตามันเมื่อยไปหมดจนเหมือนเพิ่งไปเที่ยวตลาดน้ำมาจริง ๆ เพียงแต่เมื่อยส่วนอื่นแทนขาเท่านั้นเอง กระทั่งเมื่อคืนนี้เขายังฝันว่าตนเองกำลังวาดภาพตลาดน้ำอยู่เลย
“แล้วแกได้ถ่ายรูปมาหรือเปล่า?”
“จะถ่ายมาทำไมในเมื่อมันเป็นภาพถ่ายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มตอบสวนกลับไปทันที ทำให้เพื่อนทั้งสองเข้าใจสถานการณ์ได้โดยไม่ต้องสอบถามเพิ่งเติมอีก และพากันหัวเราะงอหายโดยไม่นึกอายคนหน้าบริษัทซึ่งกำลังจะเดินเข้าอาคาร
“โถ่เอ๊ย ไอ้รัณ! ชีวิตแกนี่มันน่าสงสารจริง ๆ เลย” ชลชาติพยายามกลั้นขำเพราะรปภ.กำลังมองมาในเชิงตำหนิ รวมถึงคนที่เดินอยู่รอบตัวพวกเขาด้วย
“แล้วเป็นยังไงบ้าง ตลาดน้ำภรัณยูได้ดาวจากคุณครูมากี่ดวง?” วิชชุกรอดหยอกเย้าไม่ได้แม้เพื่อนของตนจะกำลังถลึงตามองอย่างไม่พอใจอยู่ก็ตาม
“ดาวบ้าบออะไรล่ะ แค่ไม่โดนมองด้วยสายตาทิ่มแทงก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ที่จริง...นภทีป์ทำสีหน้าประหลาดใจออกมาแทนการมองอย่างเหนื่อยหน่ายเหมือนครั้งก่อน ๆ เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นการชื่นชมหรือการตำหนิ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยนอกจากบอกว่า พอแล้ว และ กลับบ้านไปพักไป
“ดุขนาดนั้นเลย!?” ชลชาติทำท่าสยองพองขน
จะว่าดุได้หรือเปล่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน...
ภรัณยูกลอกตาพลางคิดถึงหน้าของนภทีป์ซึ่งมักจะไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรนอกจากเบื่อหน่าย ไม่พอใจ และรำคาญ จนถึงตอนนี้เขายังไม่เห็นเจ้าตัวยิ้มเลยสักครั้ง และครั้งเดียวที่เขาเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าอื่นก็คือตอนที่พูดถึงรูปวาดสมัยมัธยม นภทีป์คล้ายรู้สึกเจ็บปวดและไม่อยากพูดถึงมัน
ทำไมกันนะ?
จนถึงตอนนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ และไม่รู้ว่าควรจะหาคำตอบหรือไม่ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของนภทีป์เองที่ดูเหมือนจะไม่อยากให้ใครเข้าไปก้าวก่าย
ภรัณยูเผลอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและจับมือถือของตนเองซึ่งยังคงบันทึกภาพนั้นที่ถ่ายจากมุมไกล ๆ อยู่ มันทำให้เขามีกำลังใจทุกครั้งที่จ้องมองแม้ไม่ใช่ภาพที่ชัดเจนและแทบไม่เห็นรายละเอียด อยู่ ๆ ชายหนุ่มก็นึกเสียดายที่วันนั้นมีโอกาสเข้าไปถ่ายถึงหน้าตู้แต่กลับไม่ได้ยกมือถือขึ้นมาถ่ายเก็บไว้ เขาเอาแต่คิดเรื่องเจ้าของภาพจนลืมที่จะบันทึกมันอย่างใกล้ชิดเสียสนิท
จริงสิ...หาเวลากลับไปดูอีกครั้งดีกว่า จะได้ขอถ่ายรูปไว้ด้วยเลย...
เขาคิดเช่นนั้นและรีบสาวเท้าเข้าอาคารตามเพื่อน ๆ ไปเพราะใกล้เดทไลน์ตอกบัตรเข้างานเข้าไปทุกที
-------------------------------->
-
นภทีป์รู้สึกว่างขึ้นมาหลังจากที่ภรัณยูต้องฝึกงาน มันก็น่าแปลกที่เขาปรับตัวเข้ากับการมีอยู่ของคนอื่นได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเจ้าเด็กคนนั้นก็ไม่ได้น่ารำคาญสักเท่าไหร่ พอสั่งให้เงียบก็เงียบ สั่งให้นิ่งก็นิ่ง เมื่อเทียบกับ...รติแล้ว เจ้านี่กลับมีความพยายามที่จะรบกวนเขามากกว่าหลายเท่า
“ทำไมอยู่ ๆ ถึงลุกขึ้นมาจัดห้องได้ล่ะเนี่ย ปกตินายขี้เกียจจัดจะตายไป” รติทักอย่างแปลกใจที่เห็นนภทีป์กำลังรื้อของออกมาจัดให้เป็นที่ทาง ของที่วางกอง ๆ ไว้ก็ถูกจัดวางให้เป็นระเบียบมากขึ้น และได้ขยะออกมาเป็นกองจากซอกมุมที่ถูกยัดไว้อย่างไม่ใส่ใจ
“เพราะอยู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่าห้องมันอึดอัดคับแคบน่ะสิ” นภทีป์ไม่ได้บอกเหตุผลหลักออกไปว่าตนเองรู้สึกว่างขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ แต่ที่พูดก็เป็นเหตุผลรองที่เขาคิดมาสักระยะแล้วว่าการที่มีคนเข้ามาเพิ่มในห้องอีกคนทำให้อะไร ๆ มันคับแคบอึดอัดไปเสียหมด ซึ่งคงเพราะนิสัยชอบวางของไว้ในสถานที่ที่หยิบจับง่ายด้วยกระมัง จุดที่นั่งทำงานจึงมีแต่ข้าวของวางกองจนล้น
เมื่อจัดการทุกอย่างจนอยู่ในที่ที่เหมาะสมแล้ว ชายหนุ่มก็หันมองกองกระดาษมากมายซึ่งไม่รู้ว่ามันไปยัดอยู่ข้างในจนแทบเป็นเศษซากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
โชคยังดีที่ถุงดำพอมีเหลืออยู่บ้าง เขาจึงจัดการโกยพวกมันเข้าไปในถุงและโยนรวมไว้กับลังใส่กระดาษร่างซึ่งคิดจะนำไปชั่งกิโลขายแต่ติดที่ขี้เกียจออกจากบ้านจึงกองอยู่อย่างนั้น แต่ระหว่างที่กำลังโกยกระดาษอยู่ สายตาของเขาก็บังเอิญไปสะดุดภาพร่างภาพหนึ่งซึ่งไม่รู้เลยว่าตนเองเคยเก็บมันเอาไว้
บนแผ่นกระดาษเก่ายับย่นมีเส้นดินสอจาง ๆ ปาดไปมาแทบมาเป็นรูปทรง กระนั้นเจ้าของภาพก็จำได้ทันทีว่ามันคือภาพอะไร
ทะเลกับท้องฟ้าสีคราม...
ในเวลานั้นที่เขายังคงได้ยินเสียงของคลื่นลมที่พัดเข้าสู่หาดทรายขาว ปุยเมฆหนาเคลื่อนคล้อยอย่างอ้อยอิ่งบนท้องฟ้า และแสงอาทิตย์สะท้อนเป็นประกายบนผืนน้ำ
รติเองก็จำได้เหมือนกัน
“ภาพนั่นมัน...”
แควก!
“นั่นนายทำอะไรน่ะ!” รติร้องขึ้นเมื่ออยู่ๆนภทีป์ก็ฉีกกระดาษโดยไม่พูดไม่จา เจ้าตัวกระชากมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนโยนเข้าไปในถุงดำ เจ้าของร่างเล็กมองการกระทำเหล่านั้นอยู่ชั่วครู่หนึ่งจนกระทั่งท่าทีของอีกฝ่ายสงบลงจึงบินไปดูที่ปากถุงและพบเศษกระดาษแผ่นนั้นที่แทบไม่เหลือเค้าลางเลยว่ามันเคยเป็นต้นแบบของผลงานชิ้นใดมาก่อน รติเหลือบสายตามองนภทีป์ก่อนถอนหายใจ
ก็ไม่แปลกหรอกมั้ง...
เขาคิดในใจ
เพราะว่าสิ่งนั้นคือสัญลักษณ์ที่ทำให้อีกฝ่ายคิดถึงการสูญเสียครั้งแรกที่เจ้าตัวจดจำได้ คงจะเป็นความบังเอิญกระมังที่มันยังอยู่ที่นี่จนถึงวันนี้ เพราะเจ้าตัวคงโยนมันทิ้งทันทีที่เรื่องนั้นเกิดขึ้น
มันทำใจยากสินะ...กับความพยายามที่จะทำอะไรบางอย่างแล้วกลับไม่ได้รับสิ่งที่ดีและคุ้มค่าต่อความพยายามกลับคืนมาเลย...
เพราะแบบนั้นหรือเปล่า...นายถึงได้เลือกที่จะอยู่เพียงลำพังแบบนี้
รติหันไปมองนภทีป์ซึ่งลงมือจัดของด้วยท่าทีเงียบขรึมกว่าเดิม ราวกับว่าอารมณ์ที่ดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อครู่นี้กลายเป็นเพียงภาพลวงตาที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว ความจริงแล้วในตอนนี้หากมีใครสักคนอยู่ด้วยคงจะช่วยได้บ้าง เสียแต่คนที่อยู่ด้วยกลับเป็นเขาที่ตอกย้ำให้อีกฝ่ายนึกถึงเรื่องแย่ ๆ อยู่ตลอด ครั้นจะพูดให้ลืมมันไปเสียก็พูดไม่เต็มปาก เพราะในเมื่อเขายังอยู่ที่นี่ก็คงยากที่จะลืม
“จะว่าไป คิดถึงข้าวฝีมือแม่ของรัณจังเลยนะ” รติเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อไปเสีย และบินไปนอนกลิ้งบนโต๊ะเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ
“นายกินไม่ได้เสียหน่อย จะไปคิดถึงทำไม” พอพูดถึงเรื่องนี้ นภทีป์ก็คล้ายจะไม่ได้ติดใจกับเรื่องที่ทำให้ขุ่นเคืองเมื่อครู่และยอมคล้อยตามหัวข้ออย่างง่ายดาย
“ถึงกินไม่ได้แต่ฉันก็รู้สึกได้ อย่าลืมสิว่าฉันมาอยู่ตรงนี้เพราะนาย ดังนั้นเราก็เหมือนมีบางอย่างเชื่อมติดกันอยู่ และไม่ว่านายจะรู้สึกอะไรฉันก็จะรู้สึกไปด้วยไงล่ะ” รติใช้ร่างกายเล็ก ๆ ทำท่าอธิบายประหนึ่งศาสตราจารย์ซึ่งทำให้เจ้าตัวดูน่าเอ็นดูระคนตลกขบขัน แม้มันจะไม่อาจเรียกรอยยิ้มจากนภทีป์ได้ แต่ก็มากพอที่จะทำให้เจ้าตัวแสดงสีหน้าอื่นออกมานอกจากความเหนื่อยหน่ายที่เห็นเป็นประจำ
“น่าขยะแขยงจริง” เจ้าตัวกล่าวพลางเบ้หน้า
“เสียมารยาทน่า นายพูดกับเทวดาที่มาช่วยชีวิตนายแบบนี้ได้ยังไง”
“นายไม่เห็นเคยบอกเลยว่าเป็นเทวดา” นภทีป์กลอกตา เขายังคงปักใจเชื่อว่ารติเป็นแค่ภาพลวงตาของตัวเองเท่านั้น และตอนนี้เขากำลังพูดคุยกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่ น่าสงสัยจริง ๆ ว่าเมื่อไหร่เจ้าตัวนี้จะหายไปจากชีวิตเขาเสียที คงไมได้คิดจะอยู่ตลอดไปหรอกนะ
“อะไรกัน นายดูดี ๆ สิ รูปร่างเล็ก ๆ น่ารักน่าเอ็นดู สวมชุดโคร่ง ๆ สีขาว แล้วก็มีปีกที่หลังด้วยเห็นไหม” รติชี้ปีกตัวเองให้อีกฝ่ายดูด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าสิ่งที่เป็นแบบฉันไม่ใช่เทวดาแล้วจะเป็นอะไรได้อีก”
จินตนาการมั้ง...
นภทีป์ตอบในใจ
“อ๊ะ ไม่สิ เป็นได้อีกอย่างนี่นา” อยู่ ๆ รติก็พูดเองเออเองโดยไม่รอฟังคำตอบของคู่สนทนา “ไอ้นั่นไง เอ...ที่เรียกว่า...คิวปิด!”
เรียวคิ้วสีเข้มของนภทีป์ขมวดเข้าหากันทันที พลางมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างพิจารณาและเขากำลังรู้สึกว่าหากสิ่งนี้เกิดจากสมองที่ผิดปกติของเขาจริง ๆ ท่าทางมันจะเต็มไปด้วยเรื่องพิลึกพิลั่นและเพ้อฝันแน่ ๆ เจ้าสิ่งที่เรียกตัวเองว่ารติจึงพูดว่าตัวเองเป็นตัวตนในนิทานแบบนั้น
“ถ้าเป็นคิวปิดก็ต้องมีคันธนูกับลูกศรด้วยสิ”
“นายนี่โบราณจริง ๆ เลย”
พอโดนว่าแบบนั้นนภทีป์ก็อึ้งไปชั่วขณะ
“คันธนูกับลูกศรน่ะมันเป็นแค่เรื่องเปรียบเทียบ นายเชื่อด้วยหรือว่าคิวปิดต้องถือของแบบนั้นบินไปบินมาเพื่อไล่แทงหัวใจคนจริง ๆ”
...
“ตัวคิวปิดเองก็เป็นเรื่องเปรียบเทียบเหมือนกันนั่นแหละ”
คราวนี้รติชะงักไปบ้างก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ
“มันก็จริงแฮะ” แต่ถึงแม้จะถูกย้อนตอบกลับมาจนเถียงไม่ขึ้น แต่รติก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวนภทีป์ เพราะตั้งแต่เขาปรากฏตัวขึ้น อีกฝ่ายแทบจะไม่พูดกับเขาดี ๆ เลย มีก็เพียงการตอบห้วน ๆ และตัดบทเหมือนรำคาญ เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เจ้าตัวพูดคุยเหมือนเป็นเรื่องปกติอย่างนี้ บางทีการที่เขาเรียกเจ้าหนุ่มภรัณยูคนนั้นมาหานภทีป์คงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องจริง ๆ ไม่รู้ว่าเพราะการได้เห็นคนที่มีความมุ่งมั่นเหมือนตนเองในอดีต หรือภรัณยูมีแรงดึงดูดอะไรเป็นพิเศษกันแน่ แต่ผลของการที่คน ๆ นั้นปรากฏตัวขึ้นก็กำลังทำให้ทุก ๆ อย่างดำเนินไปในทางที่ดีกว่าที่คิดไว้ ซึ่งคงต้องขอบคุณอนุทินด้วยส่วนหนึ่ง กระนั้นมันก็ต้องดูผลกันในระยะยาว
เพราะไม่แน่...มันอาจจะเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นก็ได้...
------------------------->
สองวันต่อมาหลังจากวางแผน เพราะเลิกงานเร็วกว่าปกติเนื่องจากวิชชุกรและชลชาติไม่ได้ชวนอู้คุยอยู่หลังเลิกงาน ภรัณยูจึงจับรถประจำทางเดินทางไปยังโรงเรียนมัธยมปลายที่ตนเองคิดไว้ว่าอยากจะไปเยือนอีกครั้ง เขาไม่ได้เสียเวลาคิดนานนักกับการเดินทางครั้งนี้แม้บริษัทจะค่อนข้างไกลจากโรงเรียนมากก็ตา แต่อย่างน้อยก็ต่อรถเพียงสองต่อก็ถือว่าสะดวกในระดับหนึ่ง
เสียแต่ชายหนุ่มไม่ได้กะเวลารถติดเอาไว้ด้วย ทำให้มาถึงโรงเรียนก็โพล้เพล้เสียแล้ว
ภรัณยูยกมือถือขึ้นมองเวลาพลางถอนหายใจ ไม่รู้ว่าตอนนี้ครูฉัตรพลจะยังอยู่ที่ห้องไหม หรือว่าจะเจอครูคนอื่นแทนนะ...
ยามหน้าโรงเรียนยิ้มทักทายให้ชายหนุ่มอย่างเป็นมิตร เพราะเห็นหน้าค่าตากันเป็นประจำจนเหมือนเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนและครูฉัตรพลก็บอกมาแล้วว่าให้เข้าออกได้ตามต้องการ เขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ตั้งแง่กับเด็กหนุ่มคนนี้ที่แค่อยากจะมาเยี่ยมชมโรงเรียนในบางครั้งคราวเหมือนกับนักเรียนเก่าคนอื่น ๆ
ชายหนุ่มเดินเข้าไปถึงอาคารและห้องพักครูศิลปะโดยมองหาฉัตรพลไปด้วย แต่เมื่อมาถึงห้องกลับพบว่าเจ้าตัวกำลังเก็บของเตรียมจะกลับบ้าน ฝ่ายฉัตรพลเองก็ดูแปลกใจที่พบว่าภรัณยูมาหาตอนเย็นย่ำอย่างนี้ แต่เขาก็วางมือจากข้าวของของตนและเปิดประตูรับด้วยรอยยิ้ม
“ยังไม่ปิดเทอมอีกหรือ? มหาลัยนี่เรียนหนักกันจังนะ” ฉัตรพลทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังสวมชุดนิสิตอยู่ทั้งที่อยู่ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน
“ผมฝึกงานน่ะครับ แล้วครู... ปิดเทอมแล้วก็ยังต้องมาโรงเรียนทุกวันอยู่หรือครับ?”
ฉัตรพลหัวเราะน้อย ๆ
“อาชีพครูก็อย่างนี้แหละ ไม่สบายเหมือนนักเรียนหรอก นี่อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเรียนซัมเมอร์แล้วก็ต้องมาเตรียมบทเรียนกับอะไรหลาย ๆ อย่าง”
“ผมมารบกวนหรือเปล่าครับ?” ภรัณยูเอ่ยถามขณะก้าวเข้าไปในห้องแล้วเดินไปยังตู้โชว์ผลงาน ภาพของนภทีป์ยังคงอยู่ที่เดิมพร้อมกับชื่อเจ้าของ
“ไม่หรอก ฉันกำลังจะกลับบ้านพอดี” ฉัตรพลตอบแล้วเดินไปยืนข้าง ๆ “แล้วเราน่ะเจอตัวคนที่อยากเจอหรือเปล่า? เด็กคนนั้นยังอยู่สุขสบายดีไหม?”
ภรัณยูยิ้มออกมาน้อย ๆ พลางมองเงาสะท้อนของคู่สนทนาผ่านทางกระจก
“ผมได้เจอแล้วครับ แต่...เขาไม่เหมือนกับที่ผมคิดเอาไว้”
“ผิดหวังงั้นหรือ?”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ
“ที่จริงผมแค่รู้สึกแปลกใจ เพราะตอนที่ผมมองภาพวาดภาพนี้ คล้ายว่าเขามีบางอย่างคล้าย ๆ ผม ดูมุ่นมั่น มีพลังที่เปี่ยมล้น และไม่ย่อท้อต่อสิ่งใด ความรู้สึกของเขาที่ฝังอยู่ที่นี่ทำให้ผมมีกำลังใจอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มองดูผมจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้หลงทาง เพียงแต่กำลังเดินไปบนเส้นทางที่ไม่เหมือนใคร ๆ เท่านั้น” ภรัณยูว่าแล้วถอนหายใจ “แต่ว่าตอนที่ผมพบเขา ผมกลับรู้สึกเหมือนพบคนอื่น ไม่รู้สินะครับ ผมอาจจะมองผิดไปก็ได้ แล้วรูปภาพก็เป็นแค่รูปภาพ ที่ผมรู้สึกอะไรมากมายก็อาจจะเป็นแค่การให้กำลังใจตัวเอง” เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างเคยชินพลางหัวเราะเบา ๆ กับตนเอง มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดหวัง แต่เหมือนกับกำลังเสียความมั่นใจไปมากกว่า เพราะสิ่งที่เขาใช้ยึดมั่นแทนเป้าหมายมาตลอดกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวัง
ฉัตรพลมองชายหนุ่มข้างตัวก่อนเลื่อนสายตาไปมองรูปภาพของเด็กคนนั้น ซึ่ง...หากเจ้าตัวเปลี่ยนไป ไม่เหมือนกับตอนที่วาดภาพนี้เขาจะไม่นึกแปลกใจเลย...
“ชีวิตคนเรามันก็มีอะไรมากมาย ทุก ๆ คนต่างก็ต้องเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ทั้งพึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ บนเส้นทางที่เดินไปมันก็ย่อมมีก้อนหิน หน้าผา และขวากหนามที่ทำให้ก้าวเดินอย่างยากลำบากจนต้องเบี่ยงเส้นทางของตัวเอง ส่วนที่คนฝ่าฟันบนเส้นทางที่คาดหวังก็ต้องพบกับบาดแผลที่ฝากร่องรอยติดตรึงบนร่างกาย” ชายสูงวัยว่าจบก็ยิ้มกว้างอย่างอารี “คนเหล่านั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปหรอก เขาเพียงต้องแบกรับบาดแผลจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้เท่านั้นเอง”
...
ภรัณยูจนคำพูดไปชั่วขณะเพราะรู้สึกถึงบางสิ่งที่ล้นปรี่อยู่ในอก
“ผมรู้สึกอิจฉานักเรียนของครูจังเลยครับ”
“เพิ่งเคยมีเรานี่แหละที่พูดแบบนี้” ฉัตรพลหัวเราะร่า “ว่าแต่ เด็กคนนั้นทำงานทำการอะไรอยู่ล่ะตอนนี้? คงจะมีชีวิตที่ดีใช่ไหม?”
“ดูเหมือนว่าจะทำงานเป็นนักวาดน่ะครับ” ภรัณยูตอบอย่างไม่แน่ใจ เพราะเจ้าตัวบอกว่าเลิกแล้วจึงไม่รู้ว่าพูดอย่างนี้จะถูกหรือเปล่า
“อย่างนั้นหรือ?” แม้ตัวฉัตรพลเองจะรู้สึกแปลกใจที่เด็กคนนั้นเลือกวาดภาพต่อไปแม้ต้องพบเจอกับเรื่องที่เจ็บปวด แต่มันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้เพราะเขาเองก็กลัวเหมือนกัน...ว่าเด็กคนนั้นจะละทิ้งความฝันไปพร้อมกับการสูญเสียคนสำคัญ
ภรัณยูมองสายตาที่ฉัตรพลจับจ้องบนภาพวาดก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้นภทีป์เกลียดชังความภาคภูมิใจครั้งแรกของตนเองถึงขนาดนี้ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ถามออกไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าของเรื่องราว หากเจ้าตัวอยากจะพูดออกมาเมื่อไหร่ เขาก็คงจะรู้เอง
“ครูครับ”
“หืม?”
“ผม...ขอถ่ายภาพเก็บไว้ได้ไหมครับ ที่จริงแล้วผมเคยถ่ายมันไว้ครั้งหนึ่งแต่มันก็ไกลมากเลยมองไม่ค่อยชัด ครั้งนี้ผมเลยอยากจะถ่ายไว้ชัด ๆ น่ะครับ”
“ได้สิ ตามสบายเลย”
นอกจากจะอนุญาตอย่างเต็มใจแล้ว ฉัตรพลยังเปิดตู้ยกภาพวาดออกมาให้เจ้าตัวถ่ายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแสงสะท้อนบนบานกระจกอีกด้วย ภรัณยูกล่าวขอบคุณและอำลาคุณครูผู้ใจดีหลังจากเสร็จธุระและเดินคุยกันมาจนถึงหน้าโรงเรียน
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” ภรัณยูกล่าวเมื่อกำลังจะปลีกตัวจากไป
“แล้วกลับมาเยี่ยมอีกล่ะ ถ้ามีโอกาส จะพาเด็กคนนั้นมาด้วยก็ได้”
ชายหนุ่มทำได้เพียงยิ้มรับประโยคสุดท้ายนั้น เพราะเขาไม่รู้ว่านภทีป์จะเต็มใจมาด้วยกันหรือไม่ จากปากคำของฉัตรพลก่อนหน้านี้บ่งบอกได้ว่านภทีป์ไม่อยากจะเห็นภาพนั้นอีกไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ราวกับว่ามันคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดบาดแผลลึกในใจ
ภรัณยูไม่อาจรู้ได้เลยว่าอะไรที่ทำให้นภทีป์เป็นคนอย่างในวันนี้ แต่เท่าที่ฉัตรพลว่ามา แต่ก่อนนภทีป์ไม่น่าจะเป็นคนอมทุกข์และเย็นชาอย่างในปัจจุบัน แต่เหมือนกับว่ากาลเวลาและสิ่งที่พบเจอทำให้เจ้าตัวค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย
เมื่อรถประจำทางที่รออยู่มาถึงป้าย ภรัณยูก็เดินขึ้นไปหาที่นั่งก่อนเปิดมือถือของตนเอง
ภาพวาดขนาดย่อส่วนปรากฏขึ้นบนหน้าจอ มันมีสีสันสดใสด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลและยังคงแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เขาเคยรู้สึกเมื่อครั้งมองเห็นมันครั้งแรก
ความมุ่งมั่นตั้งใจและมั่นใจในตัวเองไม่ใช่แค่เรื่องหลอกลวง มันยืนยันตัวตนอยู่ในภาพวาดภาพนี้ และยังคงทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจเมื่อมองดูแม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายก็ตาม
แล้วอะไรกันนะที่ทำให้นภทีป์เป็นอย่างนี้ได้
ภาพวาดนี้ไม่น่าจะเป็นสาเหตุของทั้งหมด เพราะมันถูกวาดไว้นานหลายปีแล้ว และหลังจากนั้นนภทีป์ก็ยังคงวาดรูปต่อมาจนกระทั่งถึงช่วงเวลาหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้...เขาคิดเช่นนั้นเพราะดูจากกระดาษเก็บภาพร่างมากมายที่ยังใหม่อยู่ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ยังอยู่ในสภาพดี ไม่ได้เก่าเก็บถึงขนาดนั้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างกระทบลงไปบนบาดแผลเก่าจนทำให้เจ้าตัวไม่อยากจะดิ้นรนต่อไป
ภรัณยูคิดก่อนจะส่ายศีรษะ
ทำไมเขาถึงต้องมานั่งกลุ้มแทนอีกฝ่ายด้วยนะ แต่ก็คงไม่แปลกกระมัง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มักจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนคนอื่นเสมออยู่แล้ว
แต่ว่าตอนนี้เขาควรจะคิดเรื่องของตัวเองก่อนหรือเปล่านะ?
TBC
/สารภาพว่าอ่านคอมเมนท์ของคุณ TIKA_n เพลินมากค่ะ เกือบลืมอัพ 555
-
ที ถึงจะปากไม่ค่อยดี แต่ก็ถือว่ามีน้ำใจนะ อุตส่าห์พยายามช่วยคิดเรื่องหาคนจ้างงานรัณตามเงื่อนไขคุณแม่
ที่จริงก็คิดพี่อนุทินไว้เหมือนทีเลย แต่คนอย่างพี่อนุทินดูแล้ว จะยอมจ้างก็ต้องด้วยผลงานที่ดีจริง ๆของรัณเท่านั้นแหละ
ภาพวาดฝีมือ ที ที่รัณชอบ คงมีความหลังอะไรกับการที่รติเสียชีวิตแน่ ๆ ถึงขนาด ทนเห็นภาพร่างยังไม่ได้เลย น่าสงสาร
คุณครูฉัตรพลใจดีจังเลย ให้คำแนะนำที่ดีมาก ๆ แล้วคุณครูก็รู้สาเหตุที่ทำให้ที กลายเป็นแบบนี้ด้วย
อ่านแล้วรู้สึกอยากให้ ที ได้กลับมาพบอาจารย์อีกครั้งนึงจังเลย คำแนะนำของอาจารย์น่าจะช่วยทีได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะ
ขอบคุณคนเขียนค่ะ :กอด1: :L2:
-
-7-
“อาหารเช้ามาส่งแล้วครับ” ประโยคนี้กลายเป็นประโยคทักทายยามเช้าในวันเสาร์อาทิตย์ที่นภทีป์ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อรับลูกศิษย์คนเดียวของตนเอง ภรัณยูยิ้มกว้างอยู่หน้าประตูอย่างเคย และคงเพราะต้องปฏิบัติอย่างนี้เป็นกิจวัตรมาเกือบเดือนแล้วทำให้เจ้าตัวค่อนข้างชินจนกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ ตัวนภทีป์เองก็เช่นกัน
“วันนี้นายมาช้ากว่าปกตินะ” เจ้าของห้องกล่าวก่อนที่เสียงท้องร้องโครกจะดังขึ้นมาในชั่วอึดใจ กระนั้นมันกลับทำให้เกิดช่องว่างของความเงียบเป็นเวลานานพร้อมกับใบหน้าของต้นเสียงที่แดงขึ้นเรื่อย ๆ “...ย...ยืนเฉยทำไมกันล่ะ รีบเข้ามาเสียทีสิ!”
“ค...ครับ ๆ เข้าแล้วครับ” ภรัณยูต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่หัวเราะออกมาและรีบสาวเท้าตามเข้าไปในห้อง เมื่อมองนาฬิกาแล้วเขาพบว่าตนเองมาสายกว่าปกติประมาณครึ่งชั่วโมง มิน่าเล่านภทีป์ถึงได้หิวจนท้องร้องแบบนั้น
ใบหน้าของนภทีป์ยังคงแดงเรื่อแม้ในตอนที่นั่งกินข้าว เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขาได้เห็นอีกฝ่ายในลักษณะท่าทางแบบนี้
“ว่าแต่...นั่นกำลังจะต้มมาม่าหรือเปล่าครับ?” ภรัณยูเหลือบไปเห็นหม้อใบหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ และรู้สึกว่ามันดูแปลกที่ถูกวางไว้ตรงนี้ ดังนั้นมันน่าจะเพิ่งถูกนำมาวางเพราะเจ้าของเดินออกมาจากห้องครัวและตรงดิ่งไปยังประตูห้องเสียมากกว่า
“เพราะใครกันล่ะที่ทำให้ฉันเคยชินกับอาหารที่ตรงเวลาปกติชนน่ะ”
“ทำไมถึงโทษผมแบบนั้นล่ะ” พออีกฝ่ายพูดเหมือนเป็นความผิดของตน ภรัณยูก็รีบประท้วงขึ้นมาทันที ซึ่งหากเป็นช่วงแรก ๆ ที่พบกันเขาคงไม่กล้าพูดตอบโต้แบบนี้ด้วยเกรงว่าจะถูกไล่แห่ออกไปเหมือนตอนนั้น แต่เมื่ออยู่ใกล้ชิดนานเข้าเขาก็พบว่านภทีป์ไม่ได้นิสัยเลวร้ายอะไรนัก และที่ชอบทำท่าทางเย็นชาก็เป็นแค่การป้องกันตัวธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่...เคยตกอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว...
“ถึงเสาร์อาทิตย์จะได้กินอาหารดี ๆ แต่วันที่นายไปทำงาน ทีก็ต้องกินมาม่าอยู่ดีแหละน่า” รติพูดขึ้นพร้อมกับพาตนเองไปนั่งบนไหล่ของภรัณยู แต่ก็แน่นอนว่าเจ้าของบ่าไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย นภทีป์เองก็ตระหนักถึงข้อนี้ดีจึงไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาเป็นพิเศษนอกจากพยายามหลบตาไม่มองไปตรงนั้นเพราะเกรงว่าจะดูผิดสังเกตเกินไป
“จะว่าไป...อาทิตย์หน้าก็สงกรานต์แล้ว ผมจะได้หยุดตั้ง 3 วันแน่ะ” ภรัณยูชูนิ้วแล้วหัวเราะร่า “คุณทีเคยออกไปเล่นสงกรานต์หรือเปล่าครับ?”
“จะออกไปเล่นทำไม ก็แค่สาดน้ำใส่กันจนเปียกโชก” นภทีป์เบ้หน้า
“แต่ตอนนายเล่น นายก็ดูสนุกจะตายไป” รติเตือนให้เจ้าตัวจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ก็เคยออกไปเล่นสงกรานต์เหมือนกัน ซึ่งมันก็นานแสนนานมาแล้ว
“ก็ตอนนี้ฉันไม่สนุกแล้ว” ชายหนุ่มกระซิบตอบรติก่อนเหลือบตาไปทางภรัณยูที่มองกลับมาเหมือนสงสัยว่าเขากำลังพึมพำอะไรอยู่ นภทีป์กระแอมครั้งหนึ่ง “ถึงนายจะได้หยุดงานแต่การเรียนของนายก็ไม่หยุดไปด้วยหรอกนะ ดังนั้นนายจะต้องมาที่นี่แทนที่จะนอนอุตุที่บ้าน”
“ใจร้ายจังนะครับ” ถึงจะเหมือนการต่อว่า แต่สีหน้าภรัณยูกลับเริงร่าจนน่าแปลกใจ
“แต่วันนี้ฉันจะให้นายพักแทน”
...?
“หมายถึงจะให้ผมนอนที่นี่หรือครับ?” ภรัณยูทำหน้างงงวย “ผมว่าไม่ดีกว่า คือ...จนถึงตอนนี้ดูเหมือนผมจะยังพัฒนาได้ไม่เท่าไหร่ อย่างน้อยผมเลยอยากจะฝึกฝนเท่าที่เวลาจะมีให้”
“เจ้าบ้า”
พอโดนด่าเข้าตรง ๆ อย่างนี้ ผู้ถูกหาว่าเป็นเจ้าบ้าก็ผงะไป
“งานพวกนี้น่ะมันต้องอาศัยอารมณ์ร่วมด้วย ถ้านายอุดอู้อยู่แต่ในห้องมันจะมีไอเดียได้ยังไงกันล่ะ” นภทีป์พูดจบก็ปิดกล่องข้าวลง แม้สิ่งที่พูดออกไปจะเหมือนการต่อว่าตนเองอยู่กลาย ๆ แต่เจ้าตัวก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเขาทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่จริง ๆ “เพราะฉะนั้น วันนี้พวกเราจะออกไปข้างนอกกัน บังเอิญว่าฉันจะไปจ่ายค่าเน็ตด้วย ก็ถือว่าไปเดินเที่ยวในตัวเลยก็แล้วกัน”
ภรัณยูตกตะลึงไปเล็กน้อย
นภทีป์นี่หรือที่จะออกไปข้างนอกห้อง? ตั้งแต่ได้พบเจอกันมา เขายังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายก้าวเท้าออกไปนอกธรณีประตูเลยสักครั้งจนเริ่มสงสัยว่าอีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ยังไง ซื้อหาอะไรกิน แถมสีผิวซีดเซียวเหมือนคนอมโรคนั่นอีก บ่งบอกได้ดีเลยว่าเจ้าตัวไม่ได้โดนแดดมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แล้วทำไมอยู่ ๆ นภทีป์ถึงชวนเขาออกไปเดินข้างนอกกันนะ? แค่เพราะจะจ่ายค่าเน็ตเท่านั้นจริง ๆ หรือ?
ท่ามกลางคำถามมากมาย ภรัณยูไม่รู้เลยว่านอกจากตัวเขาแล้วยังมีอีกบุคคลหนึ่งซึ่งตะลึงยิ่งกว่าอยู่ นั่นก็คือรติที่เฝ้ามองนภทีป์มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
เจ้าของร่างเล็กแย้มยิ้มก่อนกอดอกอย่างพึงพอใจ การปรากฏตัวของภรัณยูกำลังทำให้ทุก ๆ อย่างดีขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากที่นภทีป์ยอมรับใครสักคนมาอยู่ใกล้ตัวแม้จะไม่เต็มใจนัก จนถึงตอนนี้ที่จะออกไปเผชิญโลกภายนอกอีกครั้งหลังจากกักขังตนเองมานาน
“เลิกมองได้แล้ว” นภทีป์ใช้น้ำเสียงคล้ายหงุดหงิดที่ตกเป็นเป้าสายตาแล้วยื่นกล่องอาหารให้ภรัณยูนำไปล้างเหมือนทุกครั้ง
ในตอนนั้นเองที่มีเสียงออดดังจากหน้าประตู
“ใครน่ะมาเอาตอนนี้?” รติเอ่ยถามพลางบินไปที่ประตูก่อนเจ้าของห้องเสียอีก เพราะภรัณยูก็มาถึงแล้ว อนุทินก็ไม่ได้บอกว่าจะมาหา คนอื่น ๆ นอกจากนี้แม้แต่ตัวเขาเองยังนึกไม่ออก ด้วยเหตุนั้นรติจึงส่องผ่านตาแมว และคนที่ปรากฏตัวที่นั่นทำให้เจ้าตัวเบิกตากว้าง
“ใครน่ะ?” นภทีป์มุ่นคิ้วเมื่อเห็นท่าทีรติแปลกไป และเพราะเจ้าตัวบังตาแมวอยู่เขาจึงปลดล็อกโซ่คล้องบานประตูเพื่อเปิดออกไปดูด้วยตัวเอง
“ห้ามเปิดนะ!” รติร้องห้ามเสียงดัง ทำให้สิ่งที่หลุดออกมีเพียงโซ่แต่ไม่ได้ปลดล็อกลูกบิด
ทว่า...
แกร๊ก
เสียงกลอนถูกปลดจากภายนอก ทำให้ทั้งสองจ้องมองไปยังบานประตูด้วยสีหน้าแตกต่างกัน รติแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนในขณะที่ในดวงตาของนภทีป์กำลังมีความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ภายหลังความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่หลังประตูบานนั้น ส่งยิ้มกว้างเป็นมิตรแต่ให้ความรู้สึกไม่น่าวางใจอย่างน่าแปลก
“โทษทีนะ พอดีผมรอนานแล้วแต่ทีไม่เปิดเสียที ผมก็เลยเปิดเข้ามาเอง” เจ้าตัวว่าพลางโชว์กุญแจห้องให้อีกฝ่ายดู
“กลับมาอีกทำไม...” นภทีป์เอ่ยถามเสียงแห้ง เขารู้สึกคล้ายมีก้อนแข็งแล่นมาจุกในลำคอจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้
“อย่าพูดแบบนั้นสิที” อีกฝ่ายหัวเราะในคอ “ผมยังเคารพคุณอยู่เสมอนะ เพราะคุณเป็นคนสอนหลาย ๆ อย่างให้ผม...” ปลายนิ้วเรียวยื่นมาสัมผัสใบหน้า ทำให้นภทีป์ก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ
ในเวลานั้น ภรัณยูยังคงล้างกล่องข้าวอยู่ในครัวโดยไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหน้าประตู เพราะรู้แค่ว่ามีแขกมาหานภทีป์และไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ตนเองควรสอดจึงไม่ได้เยี่ยมหน้าออกไป แต่แล้วอยู่ ๆ กล่องทัพเพอร์แวร์ที่กำลังล้างก็โดดดีดออกจากมืออย่างไม่มีสาเหตุ ภรัณยูรู้สึกคล้ายมีแรงกระแทกขึ้นมาจากใต้มือตนเองทำให้กล่องพลาสติกกระเด็นตกลงพื้น
เกิดอะไรขึ้นน่ะ?
มันอาจจะเป็นแค่การอุปทานหรือเส้นประสาทกระตุกเพราะใช้งานมือมากเกินไปกระมัง ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรกับมันมากนักและก้มลงเก็บ แต่แล้วกล่องก็กลับกลิ้งหนีมือเขาไป!
อ...อะไร ยังไงเนี่ย!
ภรัณยูเริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากเกินไปหรือมันผิดปกติจริง ๆ แต่ที่แน่ ๆ กล่องเจ้ากรรมนั่นมันกลิ้งออกไปนอกห้องครัวและล้มวางอยู่ตรงนั้น เขาจึงพยายามจะไม่คิดมากและเดินออกไปเก็บ ทำให้เห็นภาพของนภทีป์กับแขกผู้มาเยือน
ผู้ชายที่อยู่ตรงประตูทำให้เขารู้สึกไม่ดีขึ้นมาตั้งแต่แรกเห็น ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่อาจไว้ใจได้เลยและไม่ควรคบหาด้วยอย่างยิ่ง แต่...ดูเหมือนคน ๆ นั้นจะรู้จักนภทีป์หรือเปล่า?
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณที?” เพราะเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ภรัณยูจึงก้มเก็บกล่องข้าวและเดินไปยืนข้าง ๆ เจ้าของห้องเพื่อกันท่าแขกไม่พึงประสงค์ ผู้ชายคนนั้นมองเขากับนภทีป์สลับกันก่อนจะแย้มรอยยิ้มคล้ายรู้ทันแต่ภรัณยูกลับรู้สึกถึงความเย้ยหยันในรอยยิ้มนั้น
“ไม่เจอกันแค่ 2 เดือน หาคนใหม่ได้เร็วจังเลยนะที”
ด้วยคำพูดนั้นที่ภรัณยูไม่เข้าใจนัก แต่เขารู้สึกได้ถึงความไม่พอใจที่อบอวลจากคนข้างตัว นภทีป์กำลังขึงตามองฝ่ายนั้นอย่างแข็งกร้าว
“เอ่อ...คือ...คุณที วันนี้เราจะออกไปเที่ยวกันไม่ใช่หรือครับ? ถ้าออกช้ากว่านี้แดดจะร้อนมากเลยนะว่าจะถึงห้างน่ะ” ภรัณยูจับบ่านภทีป์ก่อนจะพูดเพื่อเบี่ยงหัวข้อ
“กำลังจะออกไปข้างนอก งั้นผมก็มาผิดจังหวะน่ะสิ?” ผู้ชายคนนั้นทำหน้าครุ่นคิดไม่ค่อยจริงจังนักอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นผมมาใหม่คราวหน้าก็ได้ ยังไงผมก็จะอยู่ที่นี่อีกสักระยะ” หลังจากพูดจบ เจ้าตัวก็ไหวไหล่ก่อนจะเดินถอยออกไปจากห้องโดยไม่ทู่ซี้
“เดี๋ยว” นภทีป์ที่เงียบไปนานพูดขึ้นมาก่อนยื่นมือไปด้านหน้า “กุญแจห้องผม เอาคืนมาด้วย”
“เอาไว้จะคืนให้คราวหน้าแล้วกันนะ” ฝ่ายนั้นขยิบตาแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศรอบข้างเองก็คลายลงเช่นกัน รติมองสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ ด้วยความอึดอัดใจที่ตนเองทำอะไรไม่ได้มากนอกจากไปเรียกภรัณยูออกมาจากในครัว แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เรื่องราวจบลงเร็วกว่าที่คิดไว้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นเพียงการประวิงเวลาออกไปสักเล็กน้อยเท่านั้น
นภทีป์ปิดประตูลงโดยไม่พูดอะไร
“คุณที?”
“วันนี้นายออกไปคนเดียวแล้วกัน” อยู่ ๆ นภทีป์ที่อารมณ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ มาหลายวันก็กลับไปแย่ลงเหมือนเดิม สีหน้าเจ้าตัวบ่งบอกว่าอยากกลับสู่ภาวะเก็บตัวอีกครั้ง และเมื่อพูดจบ ผู้พูดก็เดินสวนกลับเข้าไปในห้องโดยมีเป้าหมายเป็นห้องนอน รติขัดอกขัดใจเอามากที่เห็นภรัณยูเอาแต่ยืนมองเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเสียที จึงจัดการออกแรงผลักให้เจ้าตัวคะมำไปด้านหน้าและเซถลาไปชนนภทีป์เข้าเต็มรักและล้มไปบนพื้นด้วยกัน
“หวา! ข...ขอโทษครับ!” ภรัณยูรีบร้องเมื่อพวกเขาต่างตั้งหลักได้และผุดลุกขึ้นพร้อมพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาด้วย กระนั้นเขากลับรู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะนภทีป์ไม่ได้มองเขาด้วยสายตารำคาญหรือกำลังขึงสายตาต่อว่า แต่กำลังมองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากจะรับรู้ตัวตนของเขาในห้องนี้
นภทีป์ลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ และผละเข้าไปในห้องนอน ทำให้ภรัณยูรู้สึกว่าตนเองต้องทำอะไรสักอย่าง เขาผลักประตูไม่ให้อีกฝ่ายปิด และดึงเจ้าตัวออกมาจากห้อง
“เอ่อ...คุณทีต้องออกไปจ่ายค่าเน็ตไม่ใช่หรือครับ?”
“ฉันไม่ไปแล้ว นายอยากไปก็ไปเองแล้วกัน”
ถึงจะถูกปฏิเสธแต่ภรัณยูก็ยังใช้ลูกตื้อต่อไป
“ผมไม่รู้จักที่ทางแถวนี้เลยนะ คุณก็ต้องช่วยนำทางผมสิ” เขาว่าแล้วยิ้มกว้างพลางดึงให้นภทีป์ออกมาจากห้องนอนในที่สุด “ไปเที่ยวกันเถอะนะคุณที คุณบอกเองนี่ว่าอุดอู้อยู่แต่ในห้องจะไม่มีไอเดีย ถ้าคุณไม่มีไอเดียแล้วจะสอนผมได้ยังไงกัน?”
...
ไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์ที่ตกลงมากหรือเหตุผลของภรัณยูดีเกินไป นภทีป์จึงไม่สามารถพูดคำปฏิเสธออกไปได้เต็มปาก
“แล้วก็...ถ้าจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ ผมยินดีที่จะรับฟังนะครับ” ด้วยคำพูดแบบนี้มักทำให้ผู้ฟังรู้สึกได้ว่าตนเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ถึงอย่างนั้นหลาย ๆ คนก็มักจะพูดไม่ออก นภทีป์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมากกว่าที่ไม่มีใครพูดอะไรเลย สีหน้าของนภทีป์ดีขึ้นเล็กน้อยและเหมือนจะปนความประหม่าอยู่นิดหน่อยก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจยาวและยอมเลิกขืนตัว
“ถ้าออกไปช้าแดดจะร้อนสินะ”
--------------------------------->
-
ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้กับคอนโดมิเนียมมากที่สุดอยู่ถัดออกไปเพียงรั้วกั้น ถึงอย่างนั้นแล้วนภทีป์ก็ยังไม่ชอบที่จะมาเดินที่นี่นักเพราะจำนวนคนที่มากมายตามจำนวนผู้อยู่อาศัยแวดล้อม แต่นภทีป์ก็ได้พบว่าการที่มีคนมาด้วยก็ลดความประหม่าไปได้มาก คงต้องขอบคุณภรัณยูกระมัง เพราะแม้เจ้าตัวจะตัวสูงและท่าทางเป็นคนเดินเร็ว ก็ยังคอยชะลออยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ
หลังจากจ่ายค่าอินเตอร์เน็ตเรียบร้อยแล้ว นภทีป์ก็เตรียมจะเดินกลับทันที
“เดี๋ยวสิครับ จะไม่ไปดูอะไรอย่างอื่นก่อนหรือ?” ภรัณยูดึงมือแล้วเอ่ยถาม สายตาเจ้าตัวมองไปยังร้านรวงบริเวณทางเดินและบันไดเลื่อนขึ้นไปที่ด้านบน
“นายจะดูของอะไร ที่นี่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่มีโรงหนังหรือคาราโอเกะหรอกนะ”
“ก็ขึ้นไปซื้อของกินของใช้น่ะสิครับ ที่ห้องไม่มีของสดอยู่เลยจะทำอะไรก็คงลำบาก แล้วก็น้ำยาล้างจานจะหมดแล้วด้วย”
บางครั้งภรัณยูก็มีความละเอียดที่น่าแปลกใจ นภทีป์มองอีกฝ่ายเสมือนกำลังมองคนที่เข้ามาซอกแซกในบ้านของตนเองจนคนถูกมองชักจะรู้สึกเขินขึ้นมา
“ก็วันนี้ผมล้างทัพเพอร์แวร์นี่ครับ” เขาแก้ตัวอ้อมแอ้มแล้วดึงมืออีกคนไปทางบันไดเลื่อน “เอาน่า ไปเดินซื้อชองสักหน่อยแล้วค่อยกลับ ไหน ๆ ก็อุตส่าห์ออกมาแล้วนี่นา”
ในเมื่อเจ้าตัวว่าอย่างนั้น เจ้าของห้องก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วต้องยอมตามไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะหากน้ำยาล้างจานกำลังจะหมดจริง ๆ เขาก็ต้องเดินออกมาซื้อในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอยู่ดี นอกจากนี้ยังต้องซื้อสบู่ ยาสีฟัน แชมพูด้วยสินะ ผงซักฟอกล่ะกำลังจะหมดหรือยัง? นภทีป์เริ่มทบทวนเครื่องอุปโภคอยู่ในใจซึ่งแต่ละอย่างก็ล้วนแต่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันทั้งสิ้น และเพราะเขาไม่ได้ออกมาข้างนอกเลยตลอดเวลา 1 เดือน ทำให้สิ่งเหล่านี้ร่อยหรอลงเรื่อย ๆ รวมถึง...บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเขาด้วย
เมื่อขึ้นไปถึงทางเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ภรัณยูก็เดินไปหยิบตะกร้าแบบลากได้ที่อยู่ติดกับทางเข้าอย่างชำนาญด้วยท่าทางราวกับเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนก่อนจะเดินไปที่มุมอาหารสด
ท่วงท่าการหยิบจับและเลือกของของชายหนุ่มที่ขัดกับรูปกายภายนอกทำให้ทั้งนภทีป์และรติต่างประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เพราะมันดูเป็นธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ
“สงสัยจะซื้อของไปทำอาหารบ่อยนะ” รติว่าขณะหย่อนตัวนั่งลงไหล่ของคู่สนทนาเพียงคนเดียวที่ตนมี
“แล้วยังไง?”
“นายก็โชคดีไง เหมือนได้พ่อบ้านฟรี ๆ เลย รู้ตัวหรือเปล่า”
นภทีป์ละสายตาจากรติไปมองร่างสูงค่อนข้างล่ำแบบนักกีฬา ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูไม่เหมือนพ่อบ้านเลยสักนิดเดียว
“นายจะซื้ออะไรเยอะแยะน่ะ?” เขาตัดสินใจชะโงกหน้าเข้าไปดูในตะกร้าระหว่างที่ภรัณยูกำลังพิจารณาลูกชิ้นเนื้อหมูในมือ ข้างในตะกร้าตอนนี้มีโคนปีกไก่อยู่จำนวนหนึ่งซึ่งห่อไว้ในถุงพลาสติกขุ่น และพวกไส้กรอกกับบาโลน่าอีกอย่างละห่อ แค่มุมเนื้อก็ได้มาขนาดนี้แล้ว และดูเหมือนเจ้าตัวจะเล็งของไว้อีกหลายอย่าง ในที่สุดภรัณยูก็โยนลูกชิ้นลงไปในตะกร้าด้วยและหันมายิ้มให้
“ของที่ทำให้คุณทีไม่ต้องพึ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อย ๆ ไงครับ”
“แต่ว่าฉันทำอาหารไม่เป็น...”
“ผมก็ทำไม่เป็นเหมือนกัน”
...
ดูเหมือนว่าความสามารถของพวกเขาทั้งสองจะไม่สามารถจัดการอาหารสดได้ แต่ถึงอย่างนั้นทำไมภรัณยูจึงยืนยันจะซื้อมันอีกนะ ถึงแม้ไส้กรอกและลูกชิ้นจะสามารถกินได้เลยทันที แต่ท่าทางของผู้เลือกซื้อไม่เหมือนคิดจะเอามันไปเพื่อกินโดยไม่แปรรูปซ้ำสักนิด
“จะไหวไหมเนี่ย” รติกุมขมับ แต่สีหน้าของภรัณยูกลับไม่แสดงความทุกข์ร้อนออกมาและเริ่มเดินไปโซนอาหารทะเล เจ้าตัวเลือกปลาสดมาตัวหนึ่งซึ่งขนาดดูกำลังดีและส่งให้พนักงานช่วยนึ่งให้
“เดี๋ยวนี้ห้างสะดวกขึ้นเยอะเลยนะครับ” หลังรับหมายเลขรับสินค้าและรับทราบเวลารอจากพนักงานแล้ว ภรัณยูก็หันมาจูงมือนภทีป์ให้เดินต่อ ชายหนุ่มทั้งสองพากันไปยังโซนขนมปังซึ่งภรัณยูก็เลือกมา 2-3 อย่างให้นภทีป์กินเป็นอาหารเช้าในวันที่ตนไม่ได้มาหา และจากนั้นก็วนไปที่ชั้นผัก ผักสีเขียวสดเรียงกันอยู่บนชั้นซึ่งมีไอเย็นพุ่งออกมาเพื่อรักษาสภาพของมันให้สวยงามน่ารับประทานที่สุด ตรงจุดนี้ภรัณยูยืนค้างอยู่นานพอสมควรและหันมาถามนภทีป์หลังจากนิ่งอยู่หลายนาที “ไม่ชอบกินผักอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ก็...พวกหอมล่ะมั้ง?”
“อืม...พวกผักที่รสเผ็ด ๆ ?”
“คิดว่า...” นภทีป์เองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าตนเองไม่ชอบอะไร เขารู้แต่ว่าไม่ชอบรสชาติของพวกหอมเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นหอมใหญ่ หอมแดง หรือต้นหอม ถ้าหากว่ามีใส่มาในอาหารเขาก็มักจะเขี่ยทิ้งโดยไม่แตะต้องแม้แต่น้อยเพราะรสชาติและกลิ่นของพวกมันที่เคยสัมผัสในวัยเด็กไม่ให้ความรู้สึกดีที่นัก เขากวาดตามองไปบนชั้นพลางคิดว่าตนเองน่าจะกินอะไรได้บ้าง “ผักกาดก็ดี แล้วก็พวกผักชี คึ่นไช่”
“เอาอันนี้ไปด้วยแล้วกัน” ภรัณยูหยิบกระเทียมโยนลงไปในตะกร้าหลังจากเลือกผักได้เท่าที่ต้องการแล้ว “ไปหาไข่กับพวกเครื่องเทศกันเถอะ ที่ห้องของคุณแทบจะไม่มีเครื่องเทศเลยนี่?”
ก็จริง...ไข่ถูกใส่ไปกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหมดแล้วและยังไม่ได้ซื้อเพิ่ม ส่วนเครื่องเทศ...เพราะไม่ได้ทำอาหารเองก็เลยไม่ได้สนใจซื้อไว้ ส่วนใหญ่จึงเก็บ ๆ จากที่แถมมากับอาหารเท่านั้น
หลังจากได้ไข่กับเครื่องเทศมาพร้อมแล้ว ตะกร้าก็ดูจะเต็มไปด้วยของที่เกี่ยวกับอาหาร แต่อยู่ ๆ ภรัณยูก็นึกอะไรขึ้นมาได้แล้วบอกให้นภทีป์ถือตะกร้ารออยู่ตรงนี้ก่อน แล้วเจ้าตัวก็เดินหายไปเฉย ๆ
“ดูเหมือนเขาจะห่วงนายน่าดูเลยนะ” รติออกความเห็นขณะมองลงไปในตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยอาหารสดอันทรงคุณค่าทางโภชนาการ ซ้ำเครื่องเทศก็ไม่มีผงชูรสหรือผงปรุงอาหารแบบสำเร็จรูปเลยสักห่อเดียว ที่ดูใกล้เคียงกับคำว่าสำเร็จรูปที่สุดคงเป็นปลาทูน่ากระป๋องแช่น้ำเกลือ ไส้กรอก และลูกชิ้น นอกจากนั้นก็เป็นเนื้อกับผักใบเขียว เสียแต่...สองคนนี้จะทำยังไงกับของสดพวกนี้ล่ะ? ซื้อมาแต่ทำได้แค่แช่ทิ้งในตู้เย็นก็ไม่ไหวเหมือนกัน มีแต่ทิ้งเสียไปซะเปล่า ๆ หรือว่าจะเอากลับไปให้แม่ทำให้?
“ฉันว่าเจ้านั่นยุ่งไม่เข้าเรื่อง...”
“หืม?”
“เปล่า ไม่มีอะไร...” นภทีป์ไม่ได้ให้คำตอบต่อสีหน้าแสดงความสงสัยของรติ เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่ารู้สึกถูกต้องหรือไม่...ที่ภรัณยูจะเป็นห่วงเขาแม้จะไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรเลย แต่เพราะเห็นว่าเขารู้สึกไม่ดีจึงได้คะยั้นคะยอให้ออกมาข้างนอกด้วยกันโดยไม่ถามอะไรสักคำเกี่ยวกับเรื่องนั้น ซ้ำยังชวนเขาดูของจบแทบจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนไปเสียสนิทใจ
และเพราะนภทีป์ไม่นำพาต่อการพูดคุย รติจึงเงียบไปด้วยกันและมองไปรอบตัว ระหว่างนั้นหูก็แว่วเสียงรถเข็นกำลังเข้ามาใกล้และเมื่อเขาหันไปมองก็พบภรัณยูกำลังยิ้มร่าพร้อมกับรถเข็นในมือ
“รู้สึกว่าจะกะปริมาณของพลาดไปหน่อย ใช้อันนี้น่าจะดีกว่า” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ย้ายของในตะกร้าไปใส่รถเข็นก่อนนำตะกร้าไปวางไว้แคชเชียร์
“แต่เมื่อกี้ก็ยังไม่เต็มนี่ นายจะซื้ออะไรอีกมากมายกัน?” นภทีป์เริ่มมุ่นคิ้วและสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังช่วยเขาซื้อของเข้าห้องหรือกำลังจับจ่ายของตัวเองอยู่กันแน่ เพราะเขาไม่ได้มีความต้องการเครื่องอุปโภคบริโภคมากมายถึงขนาดต้องใช้รถเข็นเลย แล้วอีกอย่าง... “ถ้าซื้อเยอะเกินไปพวกเราจะขนกลับไปไม่ไหวเอานะ”
“ไม่ต้องห่วง ผมแข็งแรงอยู่แล้ว” ภรัณยูว่าก่อนจะเดินดิ่งไปที่จุดขายข้าวสาร เขายกถุงข้าวหอมมะลิถุงหนึ่งใส่ลงไปในรถเข็นและออกเดินต่อ
ของที่ว่าไม่พอ...คือข้าวสารเองหรือ?
แต่...
“ฉันไม่มีหม้อหุงข้าว...”
“ถ้าอย่างนั้นพอแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้ากันต่อแล้วกันครับ หม้อใบเล็ก ๆ แบบหุงกินคนเดียวราคาก็ไม่เท่าไหร่” ภรัณยูพูดราวกับว่าเป็นเรื่องของตนเอง
“นายถามกระเป๋าเงินฉันบ้างไหมน่ะ”
พอนภทีป์พูดเรื่องเงินขึ้นมาก็ทำให้อีกฝ่ายชะงักไปได้ครู่หนึ่งก่อนทำหน้าครุ่นคิด
“ถ้าหากว่าวันนี้คุณเอาเงินมาไม่พอ ผมจะช่วยออกให้ก็ได้ แล้วก็หักกับค่าเรียนผมเป็นไงครับ?” ข้อเสนอของภรัณยูค่อนข้างน่าสนใจ เพียงแต่ประเด็นของอีกคนหนึ่งนั้นเป็นคนละเรื่องกัน นภทีป์เพียงต้องการบอกว่าของเหล่านี้เกินความต้องการของเขาและไม่เห็นว่าจำเป็นต้องซื้อหา “คุณทีรู้หรือเปล่าว่าถ้ามีหม้อหุงข้าวแล้วก็ซื้อข้าวสารไปหุงเองจะคุ้มกว่าซื้อข้าวหุงสำเร็จจากตลาดหลายเท่า ถือว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตไงล่ะครับ แล้วเวลาหิวจะได้ไม่ต้องเดินออกมาซื้อข้าวข้างนอกด้วย”
ข้อสุดท้ายนั่นก็ดูจะเป็นเหตุผลที่ดี...
นภทีป์มองภรัณยูอยู่ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะนึกถึงเรื่องสมัยที่เขาย้ายมาอยู่คอนโดมีเนียมคนเดียวแรก ๆ อนุทินก็บอกให้เขาซื้อหม้อหุงข้าวไว้เหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็เพียงซื้อหม้อกับกระทะใบเล็กไว้เท่านั้น ส่วนไมโครเวฟอนุทินก็เป็นคนหามาให้โดยอ้างว่าเป็นของขวัญวันเกิด
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ถ้าราคาไม่น่าเกลียดแล้วคุณภาพไม่แย่เกินไปฉันจะลองพิจารณาดูก็แล้วกัน”
พอได้ยินคำตอบรับ ภรัณยูก็ยิ้มกว้างแล้วรีบพาเดินไปซื้อของที่เหลือก่อนจบลงที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของซุปเปอร์มาร์เก็ต
ในระหว่างการเลือกซื้อ พนักงานก็เดินดิ่งเข้ามาถามความต้องการพร้อมทั้งนำเสนอขายอย่างเป็นกันเองและเหมือนพยายามคะยั้นคะยอให้ซื้ออยู่กลาย ๆ ยิ่งทำให้นภทีป์รู้สึกอึดอัด
พนักงานขายของที่บริการดีเกินไปทำให้เขารู้สึกแย่จนไม่อยากเดินซื้อของแบบนี้ เพราะการถูกใครบางคนเข้ามาชวนพูดคุยและแนะนำสินค้าโดยเอาแต่จับจ้องไม่ยอมวางตาทำให้รู้สึกเหมือนถูกผลักดันให้หยิบของสักชิ้นขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว ถึงแม้มันจะเป็นมาตรฐานการบริการทั่ว ๆ ไป แต่เขาก็ทำใจให้รู้สึกดีกับมันไม่ได้เสียที แต่อย่างน้อยตอนนี้ภรัณยูก็ช่วยทำตัวเป็นผู้ต้องการสินค้าแทนตัวเขา ทำให้พนักงานไปคะนั้นคะยอเจ้าตัวแทน และเพราะเขาไม่มีความรู้เรื่องการเลือกสินค้าเหล่านี้ ก็เลยปล่อยให้ภรัณยูจัดการ
สุดท้าย พวกเขาก็เลือกได้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดและรูปร่างดูน่ารักมาเครื่องหนึ่ง จากปากคำพนักงานแล้ว หม้อหุงข้าวไฟฟ้ารุ่นนี้ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีสำหรับคนที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวและมีกำลังซื้อปานกลาง เป็นคนที่มีคุณภาพและมีใบรับประกัน อีกทั้งยี่ห้อก็คุ้นหูคนทั่วไปในฐานะบริษัทที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนส่งขายไปทั่วโลก จึงสามารถการันตีตัวมันเองได้เป็นอย่างดี
แต่ก่อนที่จะออกไปจ่ายเงิน นภทีป์ก็พบว่าตนเองไม่ได้พกเงินสดมามากพอ
ก็ไม่แปลก...ปกติเขาไม่ได้เก็บเงินสดไว้กับตัวเลย ส่วนใหญ่จะอยู่ในธนาคารและเบิกออกมาแค่ที่ต้องการใช้เท่านั้น
ระหว่างที่ภรัณยูกำลังต่อคิวเพื่อชำระสินค้า นภทีป์ก็ออกไปกดเงินที่ตู้atm ซึ่งตอนนั้นรติไม่ได้บินตามไปด้วยและนั่งรออยู่บริเวณคานจับของรถเข็น สายตาของเจ้าตัวกวาดมองข้าวของที่ถูกวางไว้ข้างแคชเชียร์ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหมากฝรั่ง อมยิ้ม ที่โกนหนวด และตู้ไอศกรีม
ช่วงที่กำลังจะถึงคิว ภรัณยูก็หันไปเลือกไอศกรีมทำให้ไม่ทันได้เห็นของสิ่งหนึ่งที่ถูกนำไปวางบนรางปะปนกับสินค้าชิ้นอื่นที่รอคิดเงินอยู่โดยฝีมือของรติ
เมื่อนภทีป์กลับมาก็กำลังคิดเงินอยู่พอดี ภรัณยูจึงยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มืออีกฝ่ายไว้ก่อน
“นี่อะไรน่ะ?”
“คือ ผมคิดว่าอากาศมันร้อนก็เลยซื้อไอศกรีมมาด้วยน่ะครับ”
เงินที่ยัดมาในมือเป็นค่าไอศกรีมนี่เอง...
นภทีป์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะคืนมันกลับไปให้เจ้าของ
“แค่ไม่กี่บาท ฉันออกให้ก็ได้” คำตอบที่ได้รับทำให้ภรัณยูเลิกคิ้วสูงด้วยไม่คิดว่าจะได้ยิน นภทีป์แม้จะไม่ใช่คนขี้งกอะไรไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนเอื้อเฟื้อสักเท่าไหร่ ถึงจะเป็นแค่ค่าไอศกรีมแท่งละไม่กี่บาทก็ตาม
“คุณทีนี่ใจดีเหมือนกันนะครับ”
พอถูกชมแบบนั้นนภทีป์ก็เบี่ยงหน้าไปอีกทางหนึ่งเพราะรู้สึกเขินขึ้นมา แต่ก่อนที่จะได้อ้าปากตอบโต้อะไร สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นสินค้าในมือพนักงานซึ่งกำลังจะนำไปคิดราคา ซึ่งพนักงานก็กำลังเหลือบสายตามามองพวกเขาอย่างมีความหมายเช่นกัน
“ด...เดี๋ยวก่อน! นั่นมันไม่ใช่ของผมนะ” นภทีป์รีบยกมือห้ามปากคอสั่นและใบหน้าแดงซ่าน
“เอ๋ แต่ว่ามันอยู่ใน...” พนักงานสาวทำหน้าตกใจที่ถูกห้ามคิดราคาสินค้าที่ถูกลำเลียงมาโดยลูกค้าเอง ทำให้นภทีป์หันขวับไปมองภรัณยูซึ่งมีหน้าที่เฝ้าของและลำเลียงของบนสายพาน แต่สีหน้าของภรัณยูก็กำลังมองของสิ่งนั้นอย่างงงงวยเช่นกัน หากว่ามันเป็นลูกอมหรือหมากฝรั่ง เขายังพอคิดได้ว่าตนเองคงเผลอเกี่ยวตกลงมา แต่ว่าของชิ้นนั้น...เขาจำไม่ได้เลยว่าไปสัมผัสถูกมันเข้า เพราะมันคือ...
ถุงยางอนามัย...
“ผมไม่ได้หยิบมานะ” ชายหนุ่มรีบหันไปแก้ตัว แต่นภทีป์กลับมองเขาตาเขียวปั๊ดเหมือนคาดโ?ษลงไปเรียบร้อยแล้วและไม่อาจแก้ตัวได้เลย เขาจึงรีบหันไปทางแคชเชียร์ “ขอโทษนะครับแต่ว่าคงมีการเข้าใจผิด หรือผมคงซุ่มซ่ามเอง ช่วยเอาของนั่นออกไปเถอะครับ”
แคชเชียร์สาวทำท่าอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็นำมันกลับไปวางบนชั้นตามที่ลูกค้าต้องการก่อนจะคิดเงินต่อ ซึ่งตอนนั้นเองที่นภทีป์สังเกตเห็นว่ารติกำลังทำตัวคุดคู้สั่นเทาอยู่ในรถเข็น ซึ่งหากมองดี ๆ จะรู้ได้ว่าเจ้าตัวกำลังกลั้นขำจนร่างเล็ก ๆ สั่นระริก
“นาย...”
เสียงของนภทีป์มีแต่ความไม่พอใจระบายอยู่ เมื่อรวมกับใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดฝาดที่ไม่รู้ว่าเพราะความโมโหหรือความอาย ทำให้ภรัณยูเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธตนเองเพราะมองไม่เห็นตัวตนเหตุอย่างที่นภทีป์เห็น แต่ครั้นจะให้อธิบายอะไรตอนนี้จะยิ่งทำให้พวกเขาต่างมองหน้ากันยากกว่าเดิมเพราะอยู่ในที่สาธารณะและคนรอบข้างต่างมองมาที่พวกเขาด้วยความสงสัยอยู่
เมื่อคิดเงินเสร็จ ภรัณยูก็เดินตามนภทีป์กลับห้องต้อย ๆ โดยไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้นภทีป์คงกำลังคิดว่าเขาเป็นพวกวิปริตบ้ากามแน่ ๆ
เพราะคิดอย่างนั้นชายหนุ่มจึงกอดถุงข้าวด้วยท่าทางหดหู่จนกระทั่งกลับมาถึงห้องและจัดของเสร็จเรียบร้อย ตลอดเวลานั้นนภทีป์ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
“เอ่อ...คือผม...”
“ไม่ต้องพูดอะไรตอนนี้...” เสียงของนภทีป์สั่นอยู่เล็กน้อย ภรัณยูจึงเงยหน้ามองอย่างสนเท่ห์เมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงหน้าแดงและหลบตาเขาราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ส่งผลต่ออารมณ์เจ้าตัวเป็นอย่างมาก “นายกลับไปก่อนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
“แต่...”
“ฉันจะไม่พูดซ้ำแล้วนะ”
“...ครับ...” เพราะภรัณยูกลัวว่าจะถูกไล่อีกจึงรีบรับคำแม้จะไม่เต็มใจเพราะอยากอธิบายทุกอย่างให้เรียบร้อยและไม่อยากเป็นคนน่ารังเกียจในสายตาอีกฝ่าย แต่ในเมื่อยังไม่พร้อมจะฟัง เขาก็ต้องจำยอมล่าถอยกลับไปทั้งที่ยังค้างคาใจว่าทำไมของอย่างนั้นถึงลงมาอยู่กับของซื้อได้
และเมื่อภรัณยูจากไปแล้ว นภทีป์ก็ขึงตามองไปยังตัวตนเหตุซึ่งจนถึงตอนนี้ยังหัวร่องอหายเหมือนว่านั่นคือเรื่องตลกที่สุดในชีวิต แต่เขาไม่ตลกด้วยสักนิด!
“นายทำบ้าอะไรน่ะ!”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันก็แค่สงสัยว่ามันคืออะไรก็เลยลองหยิบมาเท่านั้นเอง” รติไหวไหล่ “ฉันไม่นึกว่าจะทำให้นายทำสีหน้าแบบนั้นออกมาได้ ว่าแต่มันคืออะไรกันแน่?” เจ้าตัวจงใจทำสีหน้างงงวยแม้ใจจะรู้ได้เลา ๆ จากท่าทางของนภทีป์และภรัณยูเมื่อครู่แล้วก็ตาม
นภทีป์เองก็ไม่สามารถจะตอบออกมาได้อย่างเต็มปาก เพราะสำหรับเขาแล้วมันค่อนข้างเป็นเรื่องน่าอายแม้ผู้ฟังจะเป้นผู้ชายด้วยกันก็ตาม
“มันจะเป็นอะไรก็ช่าง นายอย่าไปแตะมันอีกก็แล้วกัน!” ในที่สุดก็ต้องตัดบทไปอย่างนั้นแล้วนภทีป์ก็กระแทกเท้าปึงปังเข้าห้องนอนไป
รติกลอกตาพลางหัวเราะนิด ๆ
“ถ้านายไม่หวั่นไหวก็ไม่เห็นต้องอายเลยแท้ ๆ น้า~ ที”
TBC
-
สุดยอดยาวมากๆ อ่านจนจุใจกันเลยทีเดียว เรื่องสนุกมาก
-
-8-
เป็นโชคดีของพวกเขาทั้งสองที่ไม่มีใครคิดจะพูดถึงเรื่องนั้นอีก ต่างคนก็ต่างทำเหมือนว่าลืมมันไปแล้ว หรือไม่ มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงและปล่อยให้สัปดาห์นั้นเวียนหมุนไปอีกครั้ง และเมื่อถึงวันเสาร์ ภรัณยูก็ชวนนภทีป์ให้ออกไปซื้อของด้วยกันอีก เพราะปกติแล้วของสดต้องซื้ออย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง ภรัณยูคงตั้งใจจะให้อีกฝ่ายคุ้นชินกับชีวิตสามัญชนคนธรรมดากระมัง นั่นคือสิ่งที่รติคิดเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวคะยั้นคะยอให้นภทีป์ออกไปข้างนอกด้วยกันจนสำเร็จแม้ฝ่ายคนถูกชวนจะไม่ได้อยากไปเลยก็ตาม
ของสดที่ภรัณยูซื้อมาคราวก่อนทำให้เจ้าของห้องต้องไปเปิดหาเมนูพื้น ๆ ในอินเตอร์เน็ตและลองลงมือทำด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้พวกมันเน่าเสีย กว่าจะหมดตู้ได้ก็ได้เผชิญกับการลองผิดลองถูกกับรสชาติอาหารที่เดี๋ยวก็เค็มไปเดี๋ยวก็หวานไป แถมห้องครัวยังเละเทะด้วยคราบส่วนประกอบอาหารไปหลายรอบ ทำเอานภทีป์ไม่สามารถหาเวลามานั่งกอดเข่าซึมเซาอย่างที่เคยทำได้เลย
“แต่ว่า เราจะได้เจอกันหลายวันแบบนี้ ผมลองถามสูตรอาหารจากแม่มาเยอะ ๆ ดีไหมนะ” ภรัณยูลูบคางขณะทบทวนวันที่ เพราะตั้งแต่วันจันทร์เขาจะได้หยุด 3 วันเพราะเทศกาลสงกรานต์ ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องมาที่ห้องของนภทีป์ทุกวัน ระหว่างนั้นก็ควรจะทำตัวเป็นประโยชน์เสียบ้าง
“ถ้านายจะทำความสะอาดครัวให้ฉันด้วย อยากจะทำอะไรก็ทำไปสิ” นภทีป์ตอบพลางกลอกตา เจ้าผู้ชายคนนี้คงไม่รู้เลยสินะว่าคราบน้ำมันบนพื้นกระเบื้องมันนรกแตกขนาดไหน กว่าจะเช็คจนหมดคราบได้ เรียกว่าล้างครัวเลยน่าจะง่ายกว่า
“เรื่องทำความสะอาดผมไม่ยั่นหรอก” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะขณะยื่นมือไปรับของจากนภทีป์ซึ่งกำลังควานหากุญแจห้องในกระเป๋า ทว่าเมื่อจับลูกบิดกลับพบว่ามันไม่ได้ล็อคอยู่ เจ้าของห้องมุ่นคิ้วเพราะมั่นใจว่าตนเองล็อคห้องเรียบร้อยแล้ว และรติยังเช็คก่อนไปอีกด้วย และนั่นทำให้เขาเกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา มวนในท้องก่อตัวขึ้นเพราะความกังวลว่ามีสิ่งใดอยู่หลังประตูบานนี้กันแน่
เขาตัดสินใจเปิดมันออกเพราะภรัณยูเริ่มมองมาด้วยความสงสัย
“สวัสดีที ผมมารออยู่นานแล้วนะ” เสียงทักทายที่คล้ายจะเป็นมิตรแต่กลับให้ความรู้สึกคลื่นเหียนเอ่ยต้อนรับคนทั้งสองเมื่อเดินเข้าไปในห้อง นภทีป์หยุดกึกที่หน้าประตูทันทีเมื่อมองเข้าไปและพบว่าผู้มาเยือนกำลังยุ่มย่ามกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขา “แต่ทีก็รอบคอบขึ้นเยอะเลยนะ ใส่รหัสเอาไว้ด้วย” เจ้าตัวชี้ไปที่หน้าจอlcdซึ่งมีช่องให้กรอกรหัสประดับอยู่กลางจอ
นภทีป์ไม่พูดอะไรและเดินเข้าไปกดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนรีบเดินเข้าห้องครัวไปอย่างเงียบ ๆ และสีหน้าไม่ต้อนรับแขก
หลังจากปิดประตูแล้ว ภรัณยูก็เลิกคิ้วมองคนที่เหลืออยู่ในห้องซึ่งเป็นคนเดียวกับที่มาเยือนเมื่ออาทิตย์ที่แล้วและทำให้นภทีป์เกิดอาการประหลาดขึ้นมา
“คุณ...”
“หืม? อ้อ นายเมื่อคราวก่อน” ฝ่ายนั้นก็จำเขาได้เช่นกัน “เป็นเพื่อนของทีหรือ? เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเขามีเพื่อนเป็นเด็กมหาลัยด้วย ทำให้คิดถึงอดีตเลยนะ” ว่าแล้วชายหนุ่มแปลกหน้าก็หัวเราะซึ่งภรัณยูก็แค่ยิ้มไปด้วยตามมารยาทเพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าอีกคนหนึ่งกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ และเสียงอันดังที่เจ้าตัวตั้งใจทำนั้นก็คล้ายกำลังพูดกับนภทีป์มากกว่าเขา
รติแอบมองสถานการณ์ด้านนอกแล้วบินมาเกาะที่ไหล่นภทีป์ซึ่งกำลังจัดของเข้าตู้เย็นอย่างเอื่อยเฉื่อยเหมือนถ่วงเวลาตัวเอง
“ทำไมนายไม่ไล่เจ้านั่นออกไปซะเลย”
“คิดว่าเขาจะไปหรือไง” เสียงตอบของนภทีป์คล้ายจะไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้และตั้งใจจะทำเหมือนอีกคนไม่มีตัวตนจนกว่าฝ่ายนั้นจะถอดใจกลับไปเอง แต่สิ่งที่นภทีป์รู้ก็ถ่ายทอดมาถึงรติด้วย นั่นคือ...คน ๆ นั้นจะไม่มีทางกลับไปด้วยตนเองจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ เพียงแต่...คน ๆ นั้นต้องการอะไรกันล่ะ? ในเมื่อเขาได้ทุกอย่างไปหมดแล้ว หมดเสียจนตัวนภทีป์เองรู้สึกเหมือนตนเองไม่เหลืออะไรอยู่เลยแม้สักอย่างเดียว ตัวเขายังมีอะไรให้ฝ่ายนั้นยื้อแย่งไปอีก ทั้งที่คิดว่า...จะไม่ต้องเจอกันอีกแล้ว...
“ฉันชื่อตฤณ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เสียงแนะนำตัวของตฤณเดินทางกระทบใบหู รติเบ้หน้าพลางคิดว่าตนเองคงต้องทำอะไรสักอย่างอีกแล้ว แต่จะทำอะไรดีล่ะ?
“ว่าแต่...มีธุระกับคุณทีหรือครับ?” ภรัณยูว่าพลางเอาของเดินเข้ามาให้ถึงในครัวและเห็นนภทีป์กำลังนั่งบนพื้นพลางจัดของด้วยท่าทางเหมือนหุ่นหมดลาน ชายหนุ่มหันกลับไปมองผู้ชายที่แนะนำว่าตนเองชื่อตฤณอีกครั้งและเริ่มสงสัยว่าสองคนนี้มีอดีตกันอย่างไรกันแน่ เพราะดูเหมือนมันจะส่งอิทธิพลกับนภทีป์ได้พอ ๆ กับภาพวาดรูปทะเลที่เคยวาดสมัยมัธยม
“อะไรกัน ทียังจัดของไม่เสร็จอีกหรือ? ยังเฉื่อยชาเหมือนเดิมเลย” ตฤณยื่นหน้าเข้ามาพลางหัวเราะเสมือนว่าตนเองมีส่วนร่วมในกิจกรรมด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ ซ้ำถ้อยคำที่ใช้ก็ดูเหมือนเจ้าตัวรู้จักกันนภทีป์เป็นอย่างดีมาระยะหนึ่งแล้ว
ถึงอย่างนั้นนภทีป์ก็ไม่นำพาต่อการสนทนา เขาเบือนหน้าหนีและลุกเดินออกไปข้างนอก แต่ในจังหวะที่ผ่านประตูก็กลับถูกโอบเอวรั้งไว้
“เดี๋ยวสิ จะโกรธผมอีกนานเท่าไหร่กัน?” ตฤณยิ้มพลางถามโดยไม่ได้แสดงอาการว่าสำนึกผิดเลย ช่างเป็นพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับคำถามเสียจริง...
“ถ้าคุณรู้ว่าผมโกรธ ทำไมยังกล้าโผล่หน้ามาอีก” หากนภทีป์ถลึงตามองด้วยคงจะทำให้อีกฝ่ายยอมล่าถอยได้อยู่ แต่เจ้าตัวกลับหลบตาและพูดประโยคนั้นอย่างแผ่วเบา มันแสดงถึงสภาวะที่ยังเอาชนะไม่ได้และต้องการหลีกหนี ซึ่งสำหรับตฤณแล้ว อีกฝ่ายก็เหมือนกระต่ายตัวน้อยที่ทำเป็นขนตัวนิ่งไม่รู้ร้อนหนาวแต่ที่จริงแล้วกำลังหวาดกลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนไม่กล้าขยับ
“ก็ผมอยากเจอทีนี่นา...” เสียงกระซิบกระซาบที่จงใจให้บุคคลที่สามได้ยินสะกิดใจภรัณยูอย่างน่าประหลาด ทั้งความสนิทสนมที่มากจนผิดปกติ และท่าทางขัดขืนอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของนภทีป์ มองไปแล้ว...มันไม่ต่างกับ...คนรักกำลังง้องอนกันเลยสักนิด...
เขากระแอมขึ้นขัดจังหวะอย่างจงใจและมองปฏิกิริยาของตฤณที่ดูจะไม่ได้กระอักกระอ่วนกับการกระทำของตนแม้แต่น้อย กลับกัน เจ้าตัวยังหันมายิ้มให้โดยแฝงแววเย้ยหยันอยู่เล็กน้อย
หรือผู้ชายคนนี้จะคิดว่าเขาเป็นคนรักใหม่ของนภทีป์?
ที่จริงมันดูจะไม่ใช่ธุระของเขาเลยสักนิด แต่เมื่อเหตุการณ์มาเกิดตรงหน้าอย่างนี้ ไม่สอดเสียหน่อยก็คงไม่ได้กระมัง
เมื่อคิดอย่างนั้น ภรัณยูก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปดึงนภทีป์ออกห่างมาอย่างสุภาพ
“คือว่า...เดี๋ยวพวกเราจะต้องเริ่มเรียนกันแล้วนะครับ” ภรัณยูทำเป็นกระซิบโดยจงใจให้ตฤณได้ยินบ้าง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าพวกเขายังไม่พร้อมจะต้อนรับขับสู้ในตอนนี้ นภทีป์เองก็อึ้งไปชั่วขณะก่อนจะรีบพยักหน้าเออออไปกับภรัณยูเมื่อได้ยินเสียงรติกระตุ้น
“ตอนนี้ฉันมีงานต้องทำ” เขาว่าเรียบ ๆ
“อืม...อย่างนั้นหรือ?” ตฤณว่าพลางมองภรัณยูและนภทีป์สลับกันไปมาสักพักก็ยิ้มกว้าง “แต่ว่านะที ผมมีเรื่องอยากจะพูดด้วยจริง ๆ นะ ถ้าเป็นไปได้ เรานัดพบกันตามลำพังสักครั้งได้ไหม?” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น ตฤณก็จับมือนภทีป์ไว้หลวม ๆ และก็น่าแปลกที่อยู่ ๆ ถ้วยพลาสติกที่วางไว้บนชั้นใกล้ ๆ ก็ตกใส่เท้าตฤณอย่างพอดิบพอดี แม้มันจะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้แต่ก็ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งตกใจได้
นภทีป์เหลือบสายตาไปมองรติที่นั่งกอดอกทำหน้าขุ่นใจบนชั้นวางของ
“ไล่กลับไปซะทีสิ!” เจ้าของร่างกายเล็กพอ ๆ กับเด็กทารกทำเสียงขัดใจใส่เขา
“เรื่องนั้น...” ถึงอย่างนั้น...เขารู้สึกแปลกใจตัวเองอยู่นิดหน่อย ทำไม...ถึงไม่กล้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาดกันนะ ควรจะปฏิเสธสิ ควรจะบอกให้ชัดเจนไปเลยว่าไม่อยากจะเห็นหน้าอีกแล้ว... “...ผมต้องการกุญแจห้องคืนก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
ตฤณทำเสียงจี๊จ๊ะในคอก่อนจะกลอกตาแล้วเดินถอยออกไป
“ผมขอเก็บไว้เป็นตัวประกันจนกว่าเราจะได้คุยกันตามลำพังก็แล้วกัน” ชายหนุ่มว่าแล้วยิ้มมีเลศนัยให้ภรัณยูก่อนจะผละจากไปโดยมีรติตามไปปิดประตูถึงที่
นภทีป์รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเมื่อฝ่ายนั้นจากไปแล้ว ถึงอย่างนั้นการที่เขาไม่กล้าพูดปัดอย่างตรงไปตรงมาคงเพราะเขายังมีเยื่อใยอยู่หรือเปล่า? ซ้ำท่าทีของตฤณนั้น...ก็เหมือนว่าต้องการจะคืนดีจากใจจริง เพราะอย่างนั้นด้วยกระมัง...เขาถึงได้ลังเล แต่พร้อม ๆ กับความอึดอัดใจที่ต้องเผชิญหน้ากับตฤณ นภทีป์กลับพบว่าตนเองโล่งใจอยู่นิดหน่อยที่มีภรัณยูอยู่ด้วย
...
ภรัณยู...
เมื่อทวนชื่อเจ้าตัวอีกครั้ง นภทีป์ก็รู้สึกได้ทันทีว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าวเพราะเจ้าของชื่อนั้นกอดเขาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ดึงตัวเขาคืนมาจากตฤณได้สำเร็จ
“...ปล่อยได้แล้ว...”
“เอ๋ อ...ขอโทษครับ” ภรัณยูปล่อยมือทันทีพลางเกาท้ายทอยเก้อ ๆ เพราะเพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่ากำลังกอดอีกฝ่ายอยู่จนถึงเมื่อครู่ “เอ่อ...ผู้ชายคนเมื่อกี้...”
นภทีป์หันมองคู่สนทนาครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ เอาเถอะ...บอกไปก็คงไม่เป็นไร
“เขา...ก็เหมือนนายนั่นแหละ ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนที่มาขอให้ฉันสอนเทคนิควาดรูปให้”
คล้ายว่าหลาย ๆ อย่างต่อกันได้อย่างพอดี ทำให้ภรัณยูกระจ่างขึ้นมาถึงปฏิกิริยาการกัดกันในช่วงแรกของนภทีป์ เพราะตฤณเคยอยู่ในสถานะเดียวกับเขา เคยใกล้ชิด และเรียกเจ้าตัวด้วยชื่อเล่นอย่างสนิทสนม ดูจากรูปร่างแล้วก็ใกล้เคียงกัน วิธีการพูดก็คล้ายกันนิดหน่อย ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของทั้งสองในปัจจุบันจึงเหมือนเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แต่... นภทีป์คงไม่อยากจะรับเขาไว้เพราะทำให้คิดถึงคน ๆ นั้นกระมัง ทว่ากลับต้องกัดฟันรับเอาไว้เพราะอนุทินเป็นคนพูดให้
ถึงตอนนี้...นภทีป์อาจจะกำลังมองดูเขาด้วยสายตาแบบนั้นก็ได้ สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงว่าจะเหมือนอีกคนหนึ่ง
“ขอโทษ...”
“นายจะขอโทษฉันทำไมอีก?”
ภรัณยูใช้เวลาครู่หนึ่งในการมองนภทีป์ที่หมุนตัวกลับมาหาตนเอง ไม่รู้ว่าอะไรดลใจแต่เขาก็ยื่นมืออกไปสัมผัสใบหน้าอีกฝ่ายและก็รู้สึกเบาใจขึ้นที่ไม่เห็นท่าทีของการลังเลและอยากผลักไสแบบที่เจ้าตัวแสดงออกเมื่อตฤณสัมผัส นภทีป์เพียงมุ่นคิ้วมองเขาคล้ายกำลังไม่เข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่เท่านั้น
“วันสงกรานต์พวกเราออกไปเที่ยวกันสักวันเถอะนะ”
“หา...?” การเปลี่ยนอารมณ์และหัวข้ออย่างกะทันหันของภรัณยูทำให้ผู้ฟังชะงักไปชั่วขณะ
“ก็ข้างนอกเขาเล่นน้ำกัน ออกไปเดินเล่นสักรอบให้ตัวเปียกก็น่าสนุกดีนี่ ดูเหมือนคุณเองก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนอยู่แล้ว คงจะไม่ได้เล่นสงกรานต์มานานหลายปีแล้วล่ะสิ” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะร่าเสมือนว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นเลย และเมื่อพูดจบ เขาก็จับมือนภทีป์ก่อนจูงให้เดินเข้าไปในห้องทำงานด้วยกัน “แต่ตอนนี้คงจะต้องเรียนก่อนสินะ”
เจ้านี่...จงใจหรือไง...
นภทีป์มองอีกฝ่ายที่กำลังทำตัวร่าเริงเกินเหตุแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่แล้วเขาก็ลอบยิ้มออกมานิด ๆ
ที่จริงแล้ว...มันก็ไม่เลวนักหรอกนะ...
เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเองหลังจากภรัณยูปรากฏตัวขึ้น จริงอยู่ว่ามันไม่ได้ชัดเจนนัก แต่คน ๆ นี้ทำให้เขารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ จากที่ตั้งกำแพงไว้สูงลิ่ว เจ้าตัวก็ยิ้มร่าแล้วฝ่ากำแพงเข้ามาอย่างง่ายดาย แม้ตอนแรกจะเป็นอนุทินที่ช่วยต่อบันไดไว้ให้ก็ตาม
กระทั่งเมื่อครู่...ต่อหน้าคนที่ไม่อยากจะพบเจอมากที่สุดเพราะข้างในตัวเขายังคงหวั่นไหวไปกับท่าทางสุภาพและรุกเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัว แต่ภรัณยูก็สามารถดึงเขากลับมาได้และปัดความรู้สึกอึดอัดที่อบอวลอยู่ให้มลายหายไปอย่างรวดเร็ว
เป็นความสามารถพิเศษของเจ้าตัวหรือยังไงกันนะ?
ท่าทางของนภทีป์ที่เริ่มเอนเอียงมีหรือจะรอดพ้นสายตาของรติไปได้ เจ้าตัวบินวนอยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ได้พาตัวเข้าไปขัดขวางการสนทนาอันเรียบง่ายนั้นแต่อย่างใด และเมื่อเห็นการโอนอ่อนผ่อนตามที่นภทีป์ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นนอกจากอนุทินแล้ว รติก็ยิ้มกว้างออกมา
---------------------------->
-
เมื่อวันสงกรานต์ดำเนินมาถึง นภทีป์ก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเอ็ดตะโรจากด้านนอกซึ่งเป็นประจำอย่างนี้ทุกปีจนกว่าจะหมดช่วงเทศกาล ความจริงแล้วเขามักจะสงสัยอยู่เสมอว่าทำไมทุกคนจึงต้องตื่นเช้ามาเพื่อเล่นน้ำและนอนเช้าเพราะก๊งเหล้าโต้รุ่ง แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ได้พบว่าตนเองก็ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมแปลกประหลาดเหล่านั้นเช่นกัน
สิ่งที่ต้อนรับเขาอยู่หน้าประตูหลังเสียงออดไม่ใช่กล่องข้าวเหมือนวันอื่น ๆ แต่เป็นปืดฉีดน้ำขนาดเล็กจิ๋วเหมือนของเด็กเล่นและสายน้ำสั้น ๆ ที่ถูกยิงออกมาเปียกเสื้อยืดเป็นวงสีเข้ม
“สวัสดีปีใหม่ไทย” ภรัณยูยิ้มเริงร่าราวกับแสงอาทิตย์เจิดจ้าในยามเที่ยงวันกลางฤดูร้อน “ดูสิ ผมไปขอสูตรอาหารของแม่มาแล้ว ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะมาทำอาหารที่ห้องคุณแทนนะ” พร้อมกับประโยคนั้น ชายหนุ่มก็ชูกระดาษสีขาวแกว่งไปมาตรงหน้า กระดาษแผ่นนั้นอยู่ในซองพลาสติกที่เปียกน้ำเป็นหย่อม ๆ เช่นเดียวกับเสื้อผ้าของเจ้าตัวที่ทั้งเปียกและเปื้อนไปด้วยสีขาวของแป้ง ดูเหมือนระหว่างการเดินทางมาที่นี่จะต้องผ่านสมรภูมิอย่างโชกโชน ทำให้ตอนนี้พื้นหน้าห้องมีแต่หยดน้ำที่ไหลจากเสื้อยืดและกางเกงยีนส์
“ก่อนที่นายจะทำอาหาร ฉันว่านายควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะดีกว่า” นภทีป์ทำหน้าละเหี่ยใจก่อนจะถูกสะกิดจากด้านหลังและพบว่ารติเอาผ้าขนหนูมายื่นให้ถึงมือ เขารับมันแล้วยื่นให้กับคนด้านนอกห้องทันที “เช็ดให้หมาด ๆ แล้วค่อยเข้ามาล่ะ”
“อ...ครับ ๆ” แม้จะรู้สึกแปลกใจว่านภทีป์เตรียมพร้อมผ้าจนหนูให้เขาเพราะรู้ล่วงหน้าหรือเปล่า แต่ภรัณยูก็เก็บความสงสัยนั้นไว้แล้วบิดน้ำออกจากเสื้อก่อนจะรีบผ้าขนหนูมาซับผมและร่างกายท่อนบนโดยยื่นปืนฉีดน้ำสองกระบอกให้เจ้าของห้องถือแทน เมื่อเห็นว่าน้ำหยดน้อยลงแล้วเขาก็ก้าวเข้าไปในห้องและถอดรองเท้ากับถุงเท้าออกก่อนสลัดเสื้อยืดออกไปด้วย
นภทีป์เบือนหน้าไปทางอื่นและทำเป็นเดินไปวางปืนฉีดน้ำ
“เห...หุ่นดีแฮะ” แต่รติกลับไม่ให้ความร่วมมือในการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับร่างกายของอีกฝ่าย เจ้าตัวพิจารณาอย่างเปิดเผยพลางวิจารณ์ให้บุคคลเดียวที่ได้ยินเสียงของตนฟังไปด้วย
ที่จริงแล้วนภทีป์ก็รู้ว่าตนเองไม่น่าจะตื่นเต้นไปกับร่างกายอีกฝ่าย เพราะผู้ชายเปลือยบนเดินไปเดินมานั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทว่า...กับภรัณยูเขากลับรู้สึกเขินแปลก ๆ ชอบกล กับตฤณเขายังไม่เคยรู้สึกอะไรตอนอีกฝ่ายถอดเสื้อเลยด้วยซ้ำ นั่นคงเพราะตฤณไม่ได้ร่างกายกำยำอะไรมากมายกระมัง เพียงแต่สูงโปร่งและดูดีสายตาคนทั่วไป ส่วนภรัณยูมีรูปร่างแบบนักกีฬาที่ออกกำลังเป็นประจำก็เลย...ดูแตกต่าง...กระมัง?
เขาส่ายหัวกับตนเองที่พยายามหาคำอธิบายความรู้สึกอย่างไร้ประโยชน์ มันช่างไร้สาระเสียจริงที่มาจริงจังกับเรื่องทำนองนี้
“เปลี่ยนกางเกงด้วยสิ นายกำลังทำห้องฉันแฉะไปด้วยน้ำแล้วนะ” ชายหนุ่มร่างเล็กตัดสินใจเลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องและเดินไปหยิบผ้ามาเช็ดถูพื้น
“ที มองขึ้นมาหน่อยสิ”
หืม?
เพราะได้ยินเสียงเรียกของรติจากเหนือศีรษะจึงเงยตามเสียงขึ้นไปดูว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ภรัณยูกำลังถอดกางเกงยีนส์ออกราวกับจงใจ
...!!!
“น...นายมาถอดตรงนี้ทำไม!” นภทีป์หน้าแดงวาบแล้วร้องออกไปโดยลืมไปเสียสนิทว่าการที่ผู้ชายจะเปลี่ยนกางเกงต่อหน้ากันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“หวา! ขอโทษครับ!” ภรัณยูเองก็ตกใจเช่นกันที่นภทีป์ดูจะตกอกตกใจกับเรื่องสามัญอย่างนี้ แต่บางทีเจ้าตัวอาจจะถือก็เป็นได้จึงรีบตะโกนขอโทษแล้วกระโดดเหยง ๆ ทั้งที่ติดขากางเกงยีนส์เข้าห้องนอนไปพร้อมกระเป๋าใส่เสื้อผ้า และปิดประตูทันทีอีกฝ่ายจะได้ไม่เขินอายไปมากกว่านี้
รติหัวเราะงอหายจนแทบจะร่วงลงมาจากกลางอากาศ เรียกสายตาจากผู้เสียหายให้ตวัดมองอย่างไม่พอใจระคนเขินอายจนแทบพูดไม่ออก
“นายอย่างกับสาวน้อยอินโนเซนส์แน่ะ” ปีกเล็ก ๆ พยุงร่างกายให้ตั้งตรงกลางอากาศขณะรติพูดประโยคนั้นปละหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“หุบปากไปเลย มันแผนการของนายใช่ไหม” นภทีป์กัดฟันพูดแล้วก้มลงเช็ดน้ำต่อ
“แผนการอะไรกัน เรื่องบังเอิญเท่านั้นเองน่า” รติโบกไม้โบกมือ “แต่ความจริงนายก็คิดอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ว่าภรัณยูเป็นคนที่ดูดีจนน่าจะเนื้อหอม?”
ผู้ฟังเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
ใช่สิ...บางทีเขาก็เผลอคิดแบบนั้นเหมือนกัน ภรัณยูดูไม่เหมือนคนที่มีแฟนเลยสักนิด เพราะนอกจากวันทำงานก็จะมาหมกตัวอยู่ที่นี่ โทรศัพท์ก็ไม่เคยมีมาหา ทำให้เขานึกสงสัยว่าผู้ชายที่ภายนอกดูดี นิสัยก็ไม่ได้แย่อะไร ซ้ำยังเทคแคร์เก่ง ทำไมจึงยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน จะว่าเพราะแฟนไม่ติดต่อไม่เรียกร้องก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะภรัณยูเป็นคนประเภทที่น่าจะถูกชอบได้ง่าย คนเป็นแฟนต้องมีหึงหวงบ้างเป็นธรรมดา อย่างน้อยก็ต้องโทรมาเช็คแหละว่าครูสอนเป็นผู้ชายจริง ๆ หรือเปล่า...
ไม่มีแฟน...จริง ๆ น่ะหรือ?
“นั่นแน่ เริ่มคิดมากล่ะสิ” เสียงทักพร้อมสายตารู้ทันของรติทำให้นภทีป์หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง
“หยุดพูดไปเลย!” พร้อมกับที่ตะโกนออกไป ก็ขว้างผ้าในมือใส่เจ้าตัวปากมากไปด้วย ทว่า...
แปะ...
...
ความเงียบครอบคลุมชั่วขณะหลังจากเสียงเปิดประตูและเสียงผ้าแฉะกระทบใบหน้า และจนกระทั่งผ้าผืนนั้นค่อย ๆ ไหลลงไปตามแรงดดึงดูดของโลก ก็ปรากฏสีหน้าตกใจระคนแปลกใจจากเบื้องหลังผืนผ้า จนกระทั่งเสียงของผ้าเปียกตกกระทบพื้นจึงมีการขยับตัวอีกครั้ง โดยภรัณยูก้มลงไปเก็บผ้าขึ้นมาแล้วนำมายื่นให้เจ้าของทั้งที่ใบหน้ายังแสดงความสงสัยอยู่ไม่คลายว่าทำไมตนเองจึงถูกผ้าโยนใส่ทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยได้
“...ทำไมไม่สวมเสื้อ?” แทนที่จะพูดถึงเรื่องผ้าเช็ดพื้น นภทีป์กลับเลี่ยงไปพูดถึงเรื่องการแต่งกายของอีกฝ่ายที่เป็นกางเกงขาสั้นเท่าเข่าและไม่สวมเสื้อแทนเพราะไม่อยากจะมานั่งอธิบายว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จริง...ภรัณยูอาจจะได้ยินเสียงเขาเหมือนกำลังทะเลาะกับตัวเองด้วยซ้ำ
“ก็เดี๋ยวจะไปทำอาหาร เดี๋ยวมันจะเปื้อนน้ำมันน่ะครับ”
“ถ้านายไม่สวมเสื้อ ที่โดนน้ำมันก็จะเป็นเนื้อนายเองนั่นแหละ”
พอถูกเตือนเช่นนั้น แทนที่ภรัณยูจะเดินไปหาเสื้อใส่ เจ้าตัวกลับยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้เจ้าของคำเตือนและยิ้มจนตาหยี
“ถึงคุณจะชอบทำหน้าดุแต่พอพูดแบบเป็นห่วงด้วยหน้าแบบนั้นก็น่ารักไปอีกแบบนะครับ” พร้อมกับที่พูด ภรัณยูก็ยื่นมือมาประคองใบหน้าและใช้ปลายนิ้วโป้งขยี้ตรงปมหัวคิ้ว แต่เขาเองก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อนภทีป์ไม่ได้ปัดมือเขาออก แต่กลับมองกลับมาด้วยสีหน้าตกตะลึง “...อ่า...ผมไปสวมเสื้อดีกว่า จะได้ไม่โดนน้ำมันลวกเอา กินเสร็จแล้วก็ออกไปเล่นน้ำด้วยกันนะ” พอถูกจ้องกลับมาแบบนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเขิน ๆ ขึ้นมาบ้างจึงผละตัวออกและรีบเดินกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วเอาเสื้อยืดออกมาสวมก่อนพาตัวเองเข้าครัวไป
ฝ่ายนภทีป์ยังคงนั่งอยู่กับที่เหมือนมึนงงไปชั่วขณะกับการกระทำที่เหนือความคาดหมายไปไกล เขายกมือขึ้นแตะหัวคิ้วตนเองและพบว่าตอนนี้มันไม่ได้ขมวดเข้าหากันแล้ว
“ที นายหน้าแดงไปถึงหูแล้วนะ” รติมากระซิบที่หูทำให้สติของนภทีป์กลับมาสู่ร่างตนเองอีกครั้ง ทำให้ครั้งนี้ผ้าเช็ดพื้นถูกโยนใส่ได้ถูกคนอย่างแม่นยำ
---------------------->
ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้นภทีป์อารมณ์บูดกว่าเดิม แต่หลังจากที่เขาเข้าครัวไปทำอาหารจนกระทั่งถึงตอนนี้ที่ลากอีกฝ่ายออกมาเล่นน้ำด้วยกันได้สำเร็จ นภทีป์ก็เอาแต่ทำหน้าเหมือนไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลา หรือว่าอาหารที่เขาทำมันจะรสชาติแย่มาก ที่จริงแล้ว...เขาก็แค่คลุมไม่ทั่วก็เลยจืดไปหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนอาหารผัดก็เผลอใส่น้ำตาลมากไปนิดหน่อย แต่รวม ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้นไม่ใช่หรือ?
ภรัณยูเหลือบสายตามองคนข้างตัวซึ่งกุมปืนฉีดน้ำกระบอกเล็กไว้ในมือและจับจ้องไปข้างหน้านิ่งเสียจนไม่มีใครกล้าสาดน้ำใส่
“คุณที...อย่าทำหน้าถมึงทึงแบบนั้นสิครับ” เขากระซิบเบา ๆ แล้วหันไปยิ้มรับเมื่อถูกป้ายแป้งบนแก้ม ตอนนี้สภาพของเขากับอีกฝ่ายผิดกันอย่างลิบลับ เพราะตัวภรัณยูเปียกปอนไปด้วยน้ำจนเปียกแฉะตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมถึงรอยแป้งที่ป้ายทั้งผม หน้า และเสื้อผ้าทั้งจากมือหญิง ชาย และเด็ก ๆ ที่มีแป้งในมือ แต่นภทีป์มีน้ำเปียกแค่เป็นจุด ๆ จะมากก็เฉพาะบนผมและไหล่ และไม่มีแป้งเลยแม้แต่จุดเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะเมื่อมีคนเข้ามาหาเพื่อจะสาดน้ำหรือปะแป้ง เจ้าตัวก็จะหันมองด้วยใบหน้าขุ่นใจอย่างไม่ปิดบังจนล่าถอนกันไปหมด
นภทีป์ปรายสายตามองภรัณยูครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ
เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำหน้าแบบนั้นเสียหน่อย แต่หลังจากถูกปฏิบัติในแบบที่ไม่กล้าสบตาอีกคนตรง ๆ เขาจะทำหน้าแบบไหนได้อีกล่ะ?
น้ำหยดเล็กกระทบใบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้นภทีป์หันมองต้นทางของสายน้ำเล็ก ๆ นั้นและพบว่ามันคือปากกระบอกปืนฉีดน้ำของภรัณยูนั่นเอง
“ออกไปข้างนอกทั้งที สนุกกับมันดีกว่านะ” ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มกว้าง “เรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ดีก็โยนมันทิ้งไป แล้วพอกลับถึงห้องผมจะฟังคุณบ่นเต็มที่เลย”
“ฉันรู้สึกว่าพวกเรากำลังเสียเวลาเปล่า” นภทีป์เปิดปากพูดอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่เมื่อถูกง้อถึงขนาดนี้ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิดก็อดจะสงสารไม่ได้ จึงเลือกหัวข้อสนทนาที่เป็นเรื่องของพวกเขาสองคน “ฉันบอกให้นายมาหาที่ห้องเพื่อฝึกฝนต่อไม่ได้ให้มาเล่นเสียหน่อย นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าตลอด 1 เดือนมานี้นายยังไม่ได้ใช้อุปกรณ์อะไรเลยนอกจากดินสอกับยางลบ”
“...นั่นมันก็...” ภรัณยูเกาท้ายทอยตามความเคยชินก่อนหัวเราะแหะ ๆ “ก็จริงนะ...ผมเองก็ไม่ได้มีเวลาเถลไถลมากขนาดนั้นด้วยสิ” เพราะที่จริงแล้วแม้จะจบฝึกงานแต่เขาก็ยังต้องมุมานะกับการเรียนอันเข้มข้นของปีสุดท้ายซึ่งต้องเผชิญหน้ากับโปรเจคยักษ์ใหญ่ที่เป็นเสมือนประตูขวางกั้นระหว่างภายในรั้วมหาวิทยาลัยกับโลกภายนอก ดังนั้นเวลา 1 ปีที่ได้รับมา ที่จริงมันอาจจะมีไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำไป
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราน่าจะกลับห้องแล้วก็...”
“แต่ว่า ผมอยากเห็นคุณยิ้มบ้างนี่นา”
...?
นภทีป์เงยหน้ามองคนข้างตัวพลางมุ่นคิ้ว นี่เขาหน้าเหมือนเสือขนาดนั้นเลยหรือไง?
เมื่อถูกมอง ภรัณยูก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพูดเรื่องน่าอายออกไปเสียแล้ว เขาเบือนหลบตาไปทางอื่นพลางยิ้มเขิน ๆ และกลอกตาคิดคำพูดอื่นที่เหมาะสมกว่า
“ผมไม่รู้ว่าคุณทีเจอกับเรื่องอะไรมาแล้วก็ไม่คิดจะถามด้วยถ้าคุณไม่อยากเล่า แต่คุณดู...ไม่ค่อยมีความสุข ดังนั้นผมก็เลย...”
“...นายนี่มันเด็กจริง ๆ เลยนะ” เสียงถอนหายใจตามมาหลังประโยคนั้นก่อนผู้พูดจะว่าต่อ “คนเราพอโตขึ้นมันก็ต้องมีเรื่องในใจกันเป็นธรรมดา ไม่ใช่จะหัวเราะเริงร่าเป็นเด็ก ๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ตลอดเวลาเสียหน่อย การที่นายเอาแต่ยิ้มร่าเป็นคนบ้าตลอดเวลาแบบนั้นต่างหากที่ประหลาด”
เผิน ๆ แล้วมันเหมือนคำเสียดสี แต่ดูจากท่าทางการเบือนหน้าหนีพร้อมกับแก้มเจือสีแดงจาง ๆ นั้นก็อนุมานได้ทันทีว่าเจ้าตัวกำลังเขินจึงได้พูดออกมาแบบนั้น
“ความจริง...คงเพราะผมพ้นช่วงที่รู้สึกเป็นทุกข์ใจมาแล้วล่ะมั้งครับ” ภรัณยูยิ้มบางพลางดึงนภทีป์ให้หลบมอเตอร์ไซค์ที่ตามหลังมาก่อนพูดต่อ “อย่างที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังในตอนนั้น ที่พ่อกับแม่คาดหวังให้ผมเรียนจบวิศวะและทำงานในสายงานวิศวะในบริษัทที่พ่อทำงานอยู่ ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำเลย ผมคิดมาตลอดว่าไม่มีใครเข้าใจความต้องการของผม และหากผมเชื่อฟังคำของพ่อแม่ ทุก ๆ อย่างก็จะไปได้ด้วยดีเสมอ มันคงจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว...ถ้าผมทำตามความต้องการของคนที่หวังดีกับผม”
นภทีป์ฟังพลางหลุบตาลงต่ำ ทำไมเขาถึงรู้สึกอิจฉาขึ้นมานะ...
คงเพราะว่าเขาไม่เคยมีชีวิตอย่างนั้นก็เป็นได้ ชีวิตที่มีคนหวังดีถึงขนาดพยายามปูทางให้ มันอาจจะน่าอึดอัดแต่สำหรับเขาแล้ว...มันแสดงว่าตนเองมีคนที่รักอยู่ไม่ใช่หรือ?
มือของเขาถูกบีบเบา ๆ ระหว่างที่ภรัณยูเงียบไป
“ผม...ดูเหมือนว่าจะคิดผิด ผมทำเรื่องเลวร้ายลงไปเพราะคิดว่าไม่มีใครเข้าใจและไม่มีใครอยากให้ผมทำในสิ่งที่ตัวเองรักและอยากจะทำ ผมคิดว่าตัวเองถูกผูกมัดด้วยโซ่ตรวนของความรัก”
โซ่ตรวนของความรักคือโซ่ที่แสนหนักอึ้ง แม้มันจะเต็มไปด้วยความหวังดีและความปรารถนาดีอย่างเหลือประมาณ แต่ด้วยข้ออ้างเหล่านั้น ผู้คนจึงสามารถบังคับควบคุมคนที่ตนเองมอบความรักให้ได้อย่างใจต้องการ ลูกกับพ่อแม่ สามีกับภรรยา คนรัก เพื่อน ศิษย์และครู ล้วนแต่ถูกผูกโยงไว้ด้วยโซ่ตรวนที่เรียกว่าความรักที่แต่ละข้อถักสานขึ้นด้วยความคาดหวัง
ทั้งน่าสังเวชและน่าอิจฉาไปในเวลาเดียวกัน...
“แล้วไม่จริงหรอกหรือ?”
“ก็คงจะจริงล่ะมั้งครับ” ภรัณยูหัวเราะ “เพราะรักถึงได้อยากให้ผมได้ดี เรื่องนั้นผมเข้าใจ แต่ผมก็รักตัวเองเหมือนกัน เพราะแบบนั้นถึงได้เป็นเรื่องขึ้นมา แม่โกรธผมเอาเรื่องเลย แต่ในที่สุดดูเหมือนพ่อกับแม่ก็เข้าใจความต้องการของผม”
ดูเหมือน...มันจะไม่ได้ทำให้ภรัณยูมีความสุขเท่าไหร่ นภทีป์รู้สึกเช่นนั้นแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ ว่ารู้สึกเช่นไร
“ถ้าหากตกลงกันด้วยดีได้ มันคงจะทำให้ผมมีความสุขมากกว่านี้ ตอนแรกผมเป็นทุกข์กับมันมากทีเดียว ทั้งเรื่องที่ไม่รู้จะเดินหน้าต่อไปยังไงและที่ทำไม่ดีลงไปเพราะความเห็นแก่ตัว”
“ก็ไม่ถึงขั้นเห็นแก่ตัวเสียหน่อย นายก็แค่พยายามให้พ่อแม่เข้าใจสิ่งที่นายอยากจะพูดจริง ๆ ไม่ใช่หรือไง และเท่าที่เห็นตอนนี้พวกเขาก็สนับสนุนนายดีนี่”
ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำอาหารมาเผื่อแถมจดสูตรและวิธีทำอาหารแบบละเอียดมาให้ขนาดนี้หรอก...
“ก็คงแบบนั้นแหละครับ ตอนนี้พวกเขาก็ดูเหมือนจะไม่บีบคั้นผมอีกแล้ว ก็แค่พยายามพิสูจน์ให้พ่อกับแม่เห็นว่าผมทำได้ภายในระยะเวลา 1 ปีนี้เท่านั้นเอง นั่นคือเรื่องเดียวที่ผมกังวลแต่ว่าก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์ ดังนั้นผมถึงยิ้มได้อย่างสบายใจไง” ภรัณยูพูดจบก็หัวเราะออกมา
นภทีป์เองก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามโดยไม่ได้หันมองหน้า
“นายอยากรู้อะไรล่ะ?”
“ครับ?”
“ก็ที่นายเล่าเรื่องของตัวเองออกมา ไม่ใช่เพราะอยากให้ฉันเล่าบ้างหรือไง ไหน ๆ นายก็พยายามถึงขนาดนั้นฉันจะพูดเท่าที่ฉันพูดได้สักเรื่องก็แล้วกัน” เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา เพราะมันคือการเปิดเผยตัวตนให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ชิดซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหลีกเลี่ยงมานานไม่ว่ากับใคร กระทั่งกับอนุทินซึ่งเคยสนิทกันเขาก็ไม่เคยพูดแบบนี้ให้ได้ยิน
ภรัณยูกลอกตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอ้อมแอ้มพูดอย่างไม่แน่ใจ
“คนที่...ชื่อตฤณ...”
ก็ไม่ได้เกินเลยกว่าที่คิดไว้
นภทีป์ไหวไหล่ก่อนจะเล่าเท่าที่ตนเองพอพูดได้อย่างเต็มปาก
“เขาเคยมาก้มหัวขอให้ฉันสอนงานให้เหมือนนายนั่นแหละ แต่ตฤณน่ะต่างจากนายเพราะเขามีพรสวรรค์ล้นเหลืออยู่แล้ว แค่ไม่คุ้นชินกับพื้นฐานศิลปะก็เลยพลิกแพลงไม่ได้มาก แต่ก็...เรียนรู้ได้เร็วจนน่าตกใจ แต่อย่างเข้าใจผิดล่ะ ฉันไม่ได้คิดว่านายกับเขาเหมือนหรือต่างกันตรงไหนหรอก ฉันก็แค่ยอมรับนายไว้เพราะคุณทินเป็นคนขอเท่านั้นเอง” พอนภทีป์พูดออกมาแบบนั้น ผู้ฟังก็หัวเราะแหะ ๆ ซึ่งแสดงว่าเจ้าตัวกำลังคิดแบบนั้นอยู่จริง ๆ “แต่ก็นั่นแหละ...เพราะเรียนรู้เร็วแล้วก็มีฝีมือ ไม่นานก็ได้รับการทาบทามจากบริษัทที่มีชื่อพอตัว เขาก็เลยแยกตัวจากฉันไปตั้งแต่เมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว”
ภรัณยูพยักหน้ารับ แต่นั่นไม่ได้รวมถึงความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยระหว่างทั้งสองที่เขาเห็นก่อนหน้านี้...
“ดูเหมือนจะสนิทกันมาก คงจะทำให้คุณใจหายสินะครับ?”
ชั่ววินาทีหนึ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าเห็นสายตาแสดงความเจ็บปวดลึก ๆ จากอีกฝ่าย แต่ไม่นานก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ก...” ก่อนที่นภทีป์จะได้พูดอะไรต่อ เสียงริงโทนของเจ้าตัวก็ดังขึ้น ชายหนุ่มร่างเล็กหยิบซองพลาสติกที่ใส่โทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาดูและพบว่าเบอร์โทรไม่คุ้นตาจึงหยิบออกมากดรับด้วยความสงสัยว่าเป็นใคร ทว่าเสียงจากต้นสายก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ
“ที อาทิตย์หน้าเรามาเจอกันหน่อยนะ ผมจะไปรับที่ห้อง”
โซ่ตรวนของความรักมันช่างแสนหนักอึ้ง...
TBC
-
-9-
กลิ่นชาหอมกรุ่นช่างเข้ากับยามเช้าอันแสนสงบ ตฤณนั่งทอดหุ่ยอยู่ในร้านกาแฟเล็ก ๆ ใกล้ที่พักของนภทีป์ซึ่งสมัยก่อนพวกเขาเคยมาด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ในสมัยที่...ทั้งเขาและนภทีป์ยังคงเป็นคนพิเศษของกันและกัน พอคิดถึงตอนนั้นทีไรก็อดขำไม่ได้ นภทีป์ที่แสนเย็นชาและขี้หงุดหงิดกลับขี้อายและประหม่าอย่างไม่น่าเชื่อซ้ำยังเชื่อคนง่ายอีกด้วย...เพราะอย่างนั้นจึงถูกปั่นหัวเอาง่าย ๆ เช่นกัน
อย่างเช่นเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาโทรไปนัดอีกฝ่ายและบอกว่าจะไปรับที่ห้อง ทันทีที่บอกอย่างนั้นเจ้าตัวก็รีบปฏิเสธและบอกว่าจะออกมาหาด้วยตัวเอง
มันก็คงเพราะไม่อยากให้เขาเข้าไปในอาณาเขตส่วนตัวอีกกระมัง?
ตฤณหัวเราะในลำคอก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งเหนือประตู นภทีป์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามโดยบอกปัดบริกรที่เข้ามาบริการด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นจนฝ่ายนั้นรีบล่าถอยออกไปเพราะเข้าใจว่าลูกค้าอารมณ์ไม่ดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ท่าทางเช่นนี้ของนภทีป์เป็นการแสดงออกเพื่อป้องกันตัว และมีเพียงคนสนิทกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจ
แล้วเจ้าคนนั้นจะเข้าใจหรือเปล่านะ?
ชายหนุ่มคิดถึงคนที่ตนเองเจอในห้องของนภทีป์ขึ้นมา ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็ก ๆ
“ยังชอบทำหน้าแบบนั้นไม่เปลี่ยนเลยนะ” ตฤณหันเหความสนใจตนเองจากคนแปลกหน้าในความคิดมายังคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะ
“...คุณต้องการอะไร”
“อย่าใช้คำถามเย็นชาแบบนั้นสิ ผมนัดทีออกมาเจอกันตัวต่อตัวแบบนี้ ทียังไม่เข้าใจอีกหรือ?” หลังคำถาม ตฤณก็ส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยดวงตาเป็นประกายทำให้ผู้มองถึงกับเผลอกลั้นหายใจกับสิ่งที่ตนเองคาดเดา นภทีป์ใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อทบทวนความตั้งใจของตนเองว่าจะไม่ใจอ่อนกับผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ยังอดมีความหวังขึ้นมาไม่ได้ กระนั้นความหวังก็ไม่อาจทำให้เขายินยอมโกหกตนเองว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย อดีตนั้นคือบทเรียนสำคัญที่ครั้งเดียวก็เพียงพอ
“เลิกพิรี้พิไรได้แล้ว ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรสำคัญและตั้งใจจะก่อกวนผม ก็คืนกุญแจห้องผมมาแล้วเราจะได้แยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเองกันเสียที” นภทีป์พูดจบก็เบือนสายตาออกไปด้านนอก
ตฤณแสร้งถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแสดงการจำนน
“เอาล่ะ ผมจะไม่ทำให้คุณขุ่นใจแล้ว ทีจริงที่ผมกลับมากรุงเทพก็เพราะบริษัทที่ผมทำงานด้วยส่งผมกลับมาให้อยู่ที่สำนักงานใหญ่ ดังนั้นถ้าช่วง 2 เดือนนี้การทำงานของผมไปได้ด้วยดีผมก็จะได้อยู่ที่นี่เป็นการถาวร”
“บอกเรื่องนั้นกับผมทำไม?” แม้คำพูดของตฤณจะไม่ได้มีสิ่งใดน่าขุ่นเคือง ทว่าสำหรับนภทีป์ที่มีกรณีกันอยู่นั้นไม่ว่าอะไรก็ขุ่นเคืองขึ้นมาได้ โดยเฉพาะ...เรื่องของบริษัทแห่งนั้น ชายหนุ่มเม้มปากจนเป็นเส้นตรงหลังจบคำถามของตนเองและขึงสายตามองอีกฝ่ายเสมือนว่าตนกำลังถูกเยาะเย้ยถากถาง ทำให้ตฤณรีบยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณยอมแพ้และรีบพูดแก้ตัว
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณไม่พอใจนะ แต่นั่นคือเหตุผลของผมจริง ๆ ที คุณน่าจะเลิกโกรธผมเรื่องนั้น...”
ปึง!
“คุณขโมยมันไปจากผม! ยังกล้าพูดแบบนี้ออกมาอีกหรือ!” เสียงตะโกนของนภทีป์ประสานกับเสียงฝ่ามือที่กระแทกลงบนโต๊ะ แก้วชาของตฤณสั่นไหวเล็กน้อยก่อนสงบเงียบเช่นเดิม เป็นโชคดีที่ตอนเช้าในวันธรรมดาอย่างนี้ไม่มีลูกค้าคนอื่นนอกจากพวกเขา การกระทำเหล่านี้จึงไม่ตกเป็นเป้าสายตาของใครนอกจากบริกรไม่กี่คน “ผมต้องการกุญแจห้องของผมคืน และคุณก็ควรหายไปจากชีวิตผมอย่างถาวรด้วย!”
กริ๊ง...
กุญแจห้องดอกเล็กสีเงินถูกชูขึ้นตรงหน้าเจ้าของ นภทีป์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนเอื้อมมือออกไปคว้าด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเกิดเปลี่ยนใจหรือคิดล้อเล่นอะไรอีก
“แล้วก็นี่...” หลังคืนกุญแจห้องไปแล้ว ตฤณก็ยื่นของอีกสิ่งหนึ่งให้ มันคือทรัมป์ไดรฟ์สีดำซึ่งดูไม่ต่างจากทรัมป์ไดรฟ์อันอื่น ๆ แต่สิ่งที่บรรจุอยู่ภายในคือสิ่งที่มีความหมายต่อพวกเขาทั้งสองเท่า ๆ กัน “ผมคืนให้ ถ้าคุณยังต้องการมันอยู่ แล้วถือว่าเราหายกันได้ไหม?”
นภทีป์มองสิ่งนั้นด้วยสายตากังขาต่อจุดประสงค์ของเจ้าของ สิ่งที่อยู่ในนั้นคือสิ่งที่ตฤณนำติดตัวไปหลังแยกจากเขาอย่างแน่นอน ทว่า...ทำไมถึงมาคืนให้เอาตอนนี้ เพราะใช้ประโยชน์จากมันจนพอใจแล้ว หรือเพราะอยากคืนดีจริง ๆ และอยากจะให้เขายกโทษให้...
“ที คุณเคยบอกบ่อย ๆ ว่าผมมีความคิดเหมือนเด็ก ๆ ที่ใจร้อนเอาแต่ได้ ผมมีอิสระมาตลอดไม่ว่าต้องการอะไรก็ได้มาอย่างง่ายดายผมจึงไม่เห็นความสำคัญของสิ่งที่มี ใช่...ผมเป็นแบบนั้น ผมรู้แล้วและอยากได้โอกาสแก้ตัว” ตฤณวางทรัมป์ไดรฟ์ลงในมือนภทีป์ก่อนจะบีบมือข้างนั้นเบา ๆ “ให้โอกาสผมได้ไหม?”
...
สีหน้าและสายตาของตฤณดูจริงใจจนแทบไม่เหลือวี่แว่วของนิสัยหยิบโหย่งอย่างที่เจ้าตัวเป็นอยู่เสมอ
นภทีป์นิ่งคิดอยู่นานทั้งที่ยังถูกจับมืออย่างนั้น แต่แล้วกลับรู้สึกถึงแรงดึงเบา ๆ ที่ชายเสื้อ และเมื่อเขาก้มลงมองก็พบว่ารติกำลังดึงชายเสื้อด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก อาจเป็นครั้งแรกก็เป็นได้ที่เห็นสีหน้าอย่างนี้จากรติ ทั้งที่เจ้าตัวมักจะทำหน้าระรื่นและหาเรื่องคุยหยอกเขาอยู่เสมอ กระนั้นการเตือนของรติก็ทำให้เขาได้สติกลับคืนมาและรีบดึงมือออกจากการเกาะกุมของตฤณ
“ผมต้องกลับห้องแล้ว ลาก่อนตฤณ”
“เพราะภรัณยูหรือเปล่า?”
...?
นภทีป์ชะงักเท้าก่อนหันกลับมามองผู้พูด
“เขาดูเหมือนผมอยู่นะ แล้วก็คงจะมาขอให้คุณสอนงานให้เหมือนกันใช่ไหม?” ตฤณรู้ว่าตนเองเดาถูกอย่างไม่ต้องสงสัย “แล้วเมื่อจบบทเรียนแล้วจะเป็นยังไงล่ะ? เขาก็จะไปจากคุณ ที...ไม่มีใครแทนที่ผมได้หรอกจริงไหม? และผมก็ไม่ชอบด้วยที่เห็นเขาอยู่ใกล้คุณ และ...เพราะแบบนั้นผมถึงเผลอพูดหยาบคายแบบนั้นไป...” ชายหนุ่มเคาะปลายนิ้วบนโต๊ะพลางเสสายตาไปทางอื่นเหมือนแสดงความประหม่าออกมาด้วยท่าทาง ซึ่งเจ้าตัวไม่เห็นและไม่ได้ยินรติซึ่งบินขึ้นมาขวางหน้านภทีป์และตะโกนตื้อให้กลับห้องได้แล้ว
แต่แม้จะมีรติคอยเตือนสติ ท่าทางของตฤณก็ทำให้นภทีป์รู้สึกหนักใจขึ้นมา เพราะว่ายังมีเยือใยอยู่กระมัง...ที่จริงแล้วเรื่องมันก็เพิ่งผ่านมาไม่นาน และตลอดเวลาหลังจากนั้นเขาก็ได้แต่หมกตัวในห้องและคิดทบทวนเรื่องเก่า ๆ เพราะอย่างนั้นจึงยังตัดใจไม่ได้...
แม้จะถูกหักหลังแต่การรักและไว้ใจใครสักคนก็ทรงอิทธิพลยิ่งกว่าความโกรธเคือง
“ที ผมต้องการคุณ”
นภทีป์กำหมัดแน่นเพื่อไม่ให้ตนเองโอนอ่อนผ่อนตามคำพูดอันอ่อนโยนเหล่านั้น
“...ขอโทษ...” ถึงจะรู้ว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด แต่นภทีป์ก็ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรเพื่อตัดจบบทสนทนาเหล่านี้ เขารีบหันหลังและเดินออกไปจากร้านโดยไม่สนใจสายตาบริกรที่มองมาเลย
------------------------>
“เจ้านั่นต้องคิดอะไรอยู่แน่ ๆ คนอย่างนั้นไว้ใจไม่ได้หรอก” รติบ่นอุบอิบหลังจากออกมาจากร้านแล้วบินไปเกาะบนไหล่นภทีป์ซึ่งอาแต่เงียบอยู่ตลอดทาง “นายคงไม่ได้กำลังใจอ่อนอยู่หรอกนะ ลืมแล้วหรือยังไงว่าเจ้านั่นทำอะไรเอาไว้ เจ้านั่นเอาสิ่งที่ควรจะเป็นของนายไป แล้วแถมยังทิ้ง...”
“นายก็ทิ้งฉันไปเหมือนกัน”
รติชะงักก่อนจะเถียงทันที
“มันเหมือนกันซะที่ไหน! ฉันเลือกไม่ได้นะ!”
“แต่สุดท้ายทั้งนายทั้งตฤณก็ไม่ต่างกัน ไม่จริงหรือไง ให้ความหวังฉันแล้วก็จากไปดื้อ ๆ สุดท้ายเจ้านั่นก็คงเหมือนกัน...”
ใช่...ภรัณยูก็คงจะเหมือนกัน ฝ่ายนั้นมาหาเขาเพียงเพื่อจะทำตามความฝันของตัวเอง และตัวเขาก็เป็นเพียงสะพาน...เหมือนทุกที อนุทินเองก็ดูถูกใจภรัณยูมาก เรียกได้ว่าอนาคตของเจ้าตัวค่อนข้างสดใสหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด แล้วจากนั้นเขาจะเป็นยังไงต่อไป?
นภทีป์ไม่ได้พูดตอบโต้รติอีกแม้อีกฝ่ายจะพร่ำบ่นไม่หยุดเหมือนคนแก่ตรงข้ามกับรูปร่างหน้าตาในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งพวกเขากลับมาถึงห้อง นภทีป์ก็พบว่าตนเองมีแขกยืนรออยู่หน้าประตู
“คุณทิน?”
“ที? ไปไหนมาน่ะ ฉันโทรมาหาตั้งหลายครั้งตั้งแต่เมื่อคืน”
เมื่อคืน?
“ขอโทษครับ คือว่า...” นภทีป์พยายามนึกทบทวนว่าทำไมเขาจึงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ เดี๋ยวสิ เมื่อเช้าเขาก็ตั้งใจจะหยิบมันออกมาด้วยแต่ก็ตัดสินใจวางทิ้งไว้ในห้องเพราะ... “มือถือผมแบตหมดแล้วบังเอิญว่าผมมีนัดก็เลยไม่ได้ชาร์ตไว้และทิ้งไว้ในห้อง”
อนุทินเลิกคิ้วกับท่าทางสำนึกผิดจนเกินพอดีของลูกพี่ลูกน้อง ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้นสินะ?
“เข้าห้องกันก่อนเถอะ มีอะไรค่อยว่ากันทีหลัง” เมื่อเจ้าตัวว่าอย่างนั้น นภทีป์จึงเปิดประตูแล้วพาอนุทินเข้าไปข้างใน พวกเขานั่งลงที่โต๊ะตัวเตี้ยกลางห้องโดยไม่มีเครื่องดื่มต้อนรับใด ๆ และอนุทินก็ไม่ได้เรียกร้องถึงมัน แค่เพียงยกถุงกระดาษที่ถือติดมือมาวางลงบนโต๊ะแล้วลุกเดินเข้าครัวด้วยตัวเอง “ขนมที่แม่ซื้อติดมือกลับมาน่ะ ตอนสงกรานต์ไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดก็เลยเอาของฝากกลับมาเยอะแยะจนคนในบ้านกินกันไม่หวาดไม่ไหว” ชายหนุ่มว่าขณะเดินผ่านประตูเข้าไปในครัวและเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม แต่เขาก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็น
ของสดหลายอย่างถูกยัดไว้ในตู้เย็นอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก แต่ก็มีร่องรอยของการถูกใช้สอยไปบ้างอย่างละนิดละหน่อย นอกจากนั้นยังมีนมและน้ำผลไม้ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นนภทีป์จะสนใจตุนไว้ในตู้เย็นเลยสักครั้ง และตอนที่มาคราวก่อนก็ดูเหมือนจะเป็นโรคเก็บตัว ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่น่าจะยินยอมออกไปซื้อของเหล่านี้ด้วยความสมัครใจได้ด้วยซ้ำ
“หัดทำอาหารหรือ?” เขาตะโกนถามออกมาขณะรินน้ำผลไม้ลงแก้วสองใบ
“นั่น...ที่จริงแล้วภรัณยูทำน่ะครับ”
ภรัณยู?
อนุทินรู้สึกแปลกใจอยู่เล็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อและยกน้ำออกมา
“เจ้าเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ? ฝีมือก้าวหน้าขึ้นบ้างไหม ดูมีแววหรือเปล่า?” เขาเปลี่ยนหัวข้อไปหาพัฒนาการของภรัณยูแทน นภทีป์จึงนิ่งคิดไปนิดหน่อยแล้วหันไปหยิบกระดาษออกมาปึกหนึ่ง เขายื่นมันให้อนุทินอย่างเงียบ ๆ ให้เจ้าตัวพิจารณาเอาเอง “อืม...ใช้ได้นี่ ฉันไม่เก่งเรื่องลายเส้นอะไรแบบนี้เหมือนเธอหรอกนะ แต่อย่างที่ฉันเคยบอก เขามีดีอยู่ในตัวซึ่งเธอเองก็รู้จริงไหม?”
นภทีป์พยักหน้า สิ่งที่อนุทินมองไว้ไม่เคยผิดพลาดสักครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้จะใช้เวลาเพียงเดือนเดียวและฝึกฝนอย่างจริงจังต่อเนื่องเพียง 2 สัปดาห์แรก แต่ภรัณยูก็ก้าวหน้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าตัวอาจจะไม่ได้มีเส้นที่พลิ้วไหวสวยงามเหมือนพวกนักวาดมืออาชีพที่ฝึกฝนเป็นสิบปี แต่แสงสีที่ตกแต่งบนภาพสเก็ตซ์ทำให้รู้ได้ว่าภรัณยูมีเซนส์ทางด้านนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“จริงสิ แล้วคนนั้นล่ะ...อืม...ที่เคยมาเรียนกับเธอก่อนที่ฉันจะไปต่างประเทศ ชื่ออะไรกันนะ? ตฤณ...ใช่ไหม?” เมื่อเอ่ยชื่อนั้นขึ้น อนุทินก็เห็นว่าท่าทีของนภทีป์แปลกไปอย่างเห็นได้ชัด “เขาเลิกไปแล้วหรือ? หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ชายหนุ่มหรี่ตาลง
หลังจากนภทีป์รับสอนผู้ชายที่ชื่อตฤณเพียงไม่กี่เดือน เขาก็ต้องไปต่างประเทศและเพิ่งได้กลับมาทำให้ไม่รู้ถึงความเป็นไปของทางนี้เลยนอกจากที่พ่อแม่ของเขาเล่าให้ฟัง ที่จริงแล้ว เขาก็สงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะแม้นภทีป์จะชอบเก็บตัวและไม่สุงสิงกับใครนัก แต่ก็ไม่เคยออกอาการต่อต้านคนอื่นอย่างที่แสดงออกกับภรัณยูเลยสักครั้ง
“ตฤณ...ได้งานทำแล้วก็เลยไม่มีเวลามาเรียนอีกน่ะครับ” นภทีป์เลือกจะพูดเพียงเศษเสี้ยวเดียวของความจริงทั้งหมดแม้จะถูกรติสะกิดข้างตัวเหมือนอยากจะให้เล่าให้อนุทินฟังก็ตาม
แต่เขาจะกล้าพูดออกไปได้ยังไง...ในเมื่อเป็นเขาเองที่ไม่ฟังคำของอีกฝ่าย...
ครั้งแรกที่อนุทินพบกับตฤณ ชายหนุ่มก็บอกกับเขาว่าผู้ชายคนนี้กลิ้งกลอกและไว้ใจไม่ได้ ให้ระวังตัวเอาไว้ แต่เพราะเขาเห็นว่าตฤณมีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงจึงเมินเฉยต่อคำเตือน จนกระทั่งตัวเขาถลำลึกลงไปในความมุ่งมาดที่ไม่สิ้นสุดนั้น และเมื่อตื่นขึ้นจึงได้รู้ว่าตนเองช่างโง่เขลาอย่างไม่น่าให้อภัย
เพราะอย่างนั้น...ถึงพูดออกไปไม่ได้...
“อ้อ...” อนุทินรับคำอย่างเรียบง่ายแล้วกวาดสายตาไปบนกระดาษในมืออีกครั้ง “ในเมื่อเขาได้งานทำแล้วก็แสดงว่าฝีมือการสอนสั่งของเธอได้ผล ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไว้วางใจเรื่องภรัณยูได้”
“เอ่อ...ทำไมถึงอยากจะได้ภรัณยูขนาดนั้นล่ะครับ? บริษัทของคุณแค่เปิดรับสมัครงานก็มีคนมาให้เลือกแล้ว ไม่ต้องลำบากมานั่งรอเด็กที่จะจบมิจบแหล่แบบนี้เลย”
“มันก็จริง แต่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยไม่ใช่หรือ?” ชายหนุ่มยิ้มบาง “คนเก่งน่ะหาได้ทั่วไป อย่างที่เธอว่า แค่เปิดรับสมัครก็มีคนมีฝีมือมากมายเข้ามาให้เลือก ทุกบริษัทก็ต้องการคนแบบนั้นเพราะมันสะดวกที่ได้คนเก่งมาทำงานให้โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลยนอกจากจ่ายเงินเดือนและป้อนงานให้เรื่อย ๆ แต่ว่านะ ที พรสวรรค์น่ะไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นได้ในแวบแรกเสมอไป คนบางคนที่เติบโตช้ากว่าคนอื่น ๆ จะมีโอกาสขันแข่งได้น้อยลง มันก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาหรอกที่เป็นแบบนั้น แต่องค์กรต่าง ๆ ก็ไม่ต้องการพวกเขาเช่นกัน เพราะพรสวรรค์ที่ได้รับการขัดเกลาจนเปล่งประกายแล้วเท่านั้นจึงจะมีมูลค่า เธอไม่คิดหรือว่าหินที่ยังไม่ถูกขัดเกลาก็อยากได้โอกาสที่จะกลายเป็นเพชรเหมือนกัน ถ้าหากภรัณยูเป็นคนที่เอาแต่ฝันแล้วนั่งเฉย ๆ ให้โอกาสมาหา ฉันก็คงไม่นึกสนใจหรอก แต่กลับกัน เขาเป็นคนที่มุ่งมั่นและพยายามดิ้นรนจนได้พบกับเธอ ดังนั้นฉันจึงคิดว่าเขาคู่ควรจะได้รับโอกาสอันแสนล้ำค่านี้ ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะท้อถอยก่อนถึงเส้นชัยหรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไป”
ที่อนุทินพูดมาทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลเพียงไม่กี่ส่วนของทั้งหมด เพราะตัวเขาก็ไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาถึงขนาดอุ้มชูคนทุกคนที่อยากพบโอกาสได้ เรื่องของภรัณยูอาจจะพูดได้อีกอย่างว่าเป็นเรื่องของดวง เพราะภรัณยูมาขอความช่วยเหลือจากนภทีป์ และเขาได้เห็นโอกาสสำหรับตัวนภทีป์ด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลาที่นภทีป์เข้าใจว่าตัวเองสิ้นหวังและไม่ต้องการสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ คือช่วงเวลาที่เจ้าตัวต้องการใครบางคนมากที่สุด ใครสักคนที่จะทำให้ชีวิตนี้ได้มีโอกาสพบพานกับแสงสว่างของการเป็นที่ต้องการอีกครั้ง คนเราไม่อาจอยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้ได้ หากคนสองคนที่หวังจะได้รับโอกาสของชีวิตมาพบกัน พวกเขาจะนำพากันไปได้ไกลสักเพียงใดนะ...
“ภรัณยูเป็นคนโชคดีจังนะครับที่มีคนใจบุญแบบคุณบนโลกนี้ด้วย” นภทีป์ประชดนิด ๆ เพราะรู้สึกอิจฉาภรัณยูขึ้นมา เหมือนกับว่าใคร ๆ ก็อยากจะผลักดันเจ้าตัว ดูแค่ภายนอกก็รู้ได้เลยว่าฝ่ายนั้นเป็นคนที่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากคนรอบข้างอยู่เสมอ ช่างตรงข้ามกับเขาราวฟ้ากับเหว
“คนเราจะโชคดีก็ต่อเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดีนั่นแหละ” อนุทินหัวเราะเบา ๆ “ทีเองก็ไม่ใช่คนโชคร้ายเสียหน่อย”
...
นภทีป์อ้าปากคล้ายจะตอบอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
ชั่วขณะหนึ่งที่เขาเผลอคิดเปรียบเทียบภรัณยูกับตฤณ ผู้ชายคนนั้น...ก็เป็นคนที่ได้รับความรักความเอาใจใส่เหมือนกัน ตฤณจะคิดว่าตัวเองโชคดีด้วยหรือเปล่าที่มาพบกับเขา และเป็นโชคร้ายของเขาหรือเปล่าที่พบกับอีกฝ่าย เขาเป็นคนที่...ไม่โชคร้ายจริง ๆ น่ะหรือ?
“คิดว่า...คนทุกคนควรได้รับโอกาสอีกครั้งหรือเปล่าครับ?” อยู่ ๆ นภทีป์ก็ยิงคำถามที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาออกมา
“ก็ไม่เสมอไป อยู่ที่ว่าคน ๆ นั้นพยายามไขว่คว้าหาโอกาสมากแค่ไหน” อนุทินตอบไปตามเนื้อผ้าโดยไม่ได้ไถ่ถามเหตุผล
“งั้นหรือครับ...”
“อืม...อ้อ ฉันต้องกลับแล้วล่ะนะ วันนี้โดดงานมาได้แค่แปบเดียว” เขาว่าพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง “กินขนมให้อร่อยล่ะ แบ่งให้ภรัณยูด้วยก็ได้ถ้าเธอไม่ติดใจจนกินมันหมดเสียก่อน” ว่าจบก็หัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าบอกไม่ถูกบอกนภทีป์คล้ายกำลังตอบกลับมาว่าตนเองไม่ได้ตะกละตะกรามถึงขนาดนั้น
หลังอนุทินกลับไปและนภทีป์กำลังจะเอาขนมไปเก็บ รติก็โผล่ขึ้นมาขวางหน้าพลางกอดอกและทำหน้าบูดบึ้งบอกบุญไม่รับ
“มีอะไรอีกล่ะ? อยากกินขนมหรือไง?” นภทีป์มุ่นคิ้วเมื่อเห็นท่าทางประหลาดของอีกฝ่าย
“นั่นน่ะ นายพูดถึงตฤณอยู่ใช่หรือเปล่า?”
...
“นายคิดจะให้โอกาสคนพรรค์นั้นจริง ๆ หรือ?” รติยังคงจี้ถามต่อไปโดยที่นภทีป์ทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ยอมตอบคำถามแม้สักคำถามเดียว
เขาตั้งใจจะทำตามคำแนะนำของอนุทิน...
คนที่ต้องการโอกาส ก็ต้องแสดงออกว่าตนเองพยายามไขว่คว้าโอกาสมากแค่ไหน หากว่าตฤณทำให้เขาเห็นว่าเจ้าตัวพยายามจริง ๆ บางที...เขาก็อาจจะ...
ความคิดของนภทีป์ แม้รติจะไม่สามารถหยั่งรู้แต่ก็คาดเดาได้ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจแม้สักนิด กลับยิ่งวิตกกังวลมากกว่าเดิมเสียอีก
-------------------------->
-
“เอ้า! ครั้งนี้ผมพยายามทำให้พลาดน้อยที่สุดเลยนะ!” ภรัณยูที่มาเรียนเช่นเดิมในวันเสาร์อาสาทำอาหารกลางวันเหมือนที่เคยทำเมื่อช่วงสงกรานต์และเอาของสดในตู้เย็นออกมาจัดแจงสับ ๆ หั่น ๆ ด้วยท่าทางที่เรียกได้ว่าเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนคนจับมีดไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ หน้าตาของเนื้อและผักที่ถูกหั่นและเด็ดดูเละ ๆ อยู่เล็กน้อย แต่สีสันหลังปรุงสุกก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ เพียงแต่...
“เนื้อไก่นี่คงไม่ได้สุกนอกดิบในเหมือนคราวก่อนอีกนะ?” นภทีป์ทำหน้าระอาใจเมื่อคิดถึงคราวก่อนที่ไม่ว่าจะผัดหรือทอด ภรัณยูก็ทำให้มันข้างนอกสุกหอมแต่ข้างในยังเป็นเนื้อดิบแดง ๆ ได้ทั้งนั้น จะว่าเป็นพรสวรรค์อีกข้อหรือว่าเจ้าตัวไม่มีเซนส์เรื่องอาหารเลยดีนะ?
“แม่ผมจดมาให้กระทั่งความแรงของไฟและช่วงเวลาขนาดนี้น่าจะไม่มีปัญหานะครับ” เจ้าตัวมองโน้ตที่ละเอียกยิ่งกว่าครั้งก่อน คงเพราะไปเล่าให้แม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกระมัง แต่นภทีป์ก็ยังรู้สึกว่าตนเองควรจะหายาแก้ท้องเสียหรือยาถ่ายพยาธิมาเตรียมเอาไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด
เขาตักกับข้าวใส่จานก่อนจะชิมรสชาติ
...
และหันไปดื่มน้ำตามทันที
“นี่นายโยนกระปุกเกลือลงไปในกระทะหรือไง!”
“เอ๋! แต่ว่าผมใส่น้อยลงแล้วนะ...” ภรัณยูรีบตักชิมดูก่อนจะสำลักแค่ก ๆ “แบบนี้ผมเอาไปใส่น้ำเพิ่มดีกว่า น่าจะช่วยได้บ้าง”
“ช่างมันเถอะ ตักข้าวเยอะ ๆ ก็พอแล้ว” นภทีป์กลอกตาแล้วดึงให้ภรัณยูนั่งลง “แค่นายทำกับข้าวก็เสียเวลาจะแย่ เดี๋ยวต้องทำความสะอาดครัวอีก นายชะล่าใจเรื่องความฝันของตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า จนป่านนี้นายยังใช้แต่ดินสออยู่เลยนะ”
“จริงด้วยสิ...แต่ช่วงนี้คุณทีดูมีเนื้อมีหนังขึ้นหน่อย เพราะอาหารของแม่ผมอร่อยถูกปากสินะ?” รอยยิ้มสดใสจริงใจของภรัณยูดูจะมั่นใจมากว่าสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของตนเอง ซึ่งเจ้าตัวก็เข้าใจไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกนัก เพราะที่จริงแล้วนภทีป์เริ่มมีอะไรกินมากกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนกว่าเดิม และสภาพจิตใจก็ดีกว่าเมื่อเดือนก่อนนี้ร่างกายจึงไม่ทรุดโทรมอิดโรยอย่างที่พบกันครั้งแรก
“แต่นอกจากเรื่องทำอาหารก็ดูเหมือนจะทำได้ทุกอย่างเลยนี่ ทั้งเรียนเก่ง เล่นกีฬาก็ดี เรื่องศิลปะก็พอใช้ได้” พูดไปแล้วก็น่าอิจฉาอยู่ไม่น้อย
“ผมดูเหมือนแบบนั้นหรือครับ?” ภรัณยูเลิกคิ้วก่อนจะเกาท้ายทอยแล้วหัวเราะเก้อ ๆ “ที่จริงแล้วตอนเด็ก ๆ น่ะผมเรียนภาษาอังกฤษแย่มากเลยล่ะ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังแย่อยู่ดีแค่พอกล้อมแกล้มได้เท่านั้นเอง พวกเลขกับคณิตก็เข้าใจยากอยู่ในช่วงแรก ๆ ผมก็เลยต้องพยายามทำแบบฝึกหัดบ่อย ๆ ก็เลยจับจุดได้บ้างน่ะครับ เรื่องกีฬาก็ไม่เชิงว่าเก่งแต่ตอนผมอยู่ม.ต้นผมเป็นเด็กตัวผอม ๆ แห้ง ๆ ไม่มีเรี่ยวมีแรง เลยโดนเพื่อนจับไปเล่นบาสบ้างบอลบ้างด้วยกันทุกเย็น ไป ๆ มา ๆ ผมก็ตัวสูงใหญ่ขึ้นมาได้ขนาดนี้น่ะ คงเพราะญาติฝ่ายแม่ผมรูปร่างใหญ่กันด้วยล่ะมั้งครับ”
“เท่าที่ฟังแล้ว...ดูเหมือนนายจะไม่เก่งอะไรมาแต่เกิดเลยสักอย่างนะ...” นภทีป์ไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำสีหน้ายังไงดีหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด จะว่าน่าสมเพชก็ไม่ใช่ เพราะภรัณยูก็ทำทุกสิ่งที่ตัวเองเหมือนไม่ถนัดได้ดีเทียบเท่ากับคนทั่ว ๆ ไป แต่คิดอีกแง่...เจ้าตัวอาจจะทำได้ดีแต่ไม่รู้ตัวหรือถ่อมตนก็ได้
“ผมถึงอิจฉาคุณไง”
...?
“อิจฉาฉัน? ฉันไม่ใช่พวกหัวดีหรือเล่นกีฬาเก่งหรอกนะ”
“แต่ว่า คุณทีก็มีสิ่งที่ทำได้ดีกว่าคนอื่น ๆ อยู่นี่นา เทียบกับผมที่ทำได้หลายอย่างแต่ทำได้แบบธรรมดา ๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรแล้ว มันน่าอิจฉาออกไม่ใช่หรือ?”
พูดอะไรน่ะ...
นภทีป์มองอีกฝ่ายพลางมุ่นคิ้ว เพราะเมื่อคิดแล้วเขาก็ยังคงรู้สึกว่าเจ้าตัวน่าอิจฉามากกว่า เพราะถึงเขาจะมีสิ่งที่โดดเด่นอยู่กับตัวแต่ก็แทบจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ซ้ำยังมีคนที่ทำได้เหมือนกันอยู่มากมาย การต้องขันแข่งกับคนอื่นโดยที่ไม่มีใครสนับสนุนแทบจะผลาญพลังใจของเขาไปหมดสิ้น เพราะอย่างนั้นเขาจึงเหนื่อยและท้อถอยง่ายในหลาย ๆ ครั้ง แต่ภรัณยูนั้นต่างกัน แม้จะต้องเผชิญกับความกดดันมาตลอดชีวิตแต่ก็พยายามที่จะวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ความจริงแล้ว...เจ้าตัวคงจะเหนื่อยอยู่เหมือนกับเขา เพียงแต่ไม่แสดงออกและไม่ยอมล้มอยู่เฉย ๆ
เป็นคนที่เปล่งประกายด้วยความหวังอยู่เสมอ...เพราะอย่างนั้นจึงได้น่าอิจฉายังไงล่ะ...
“ไปทำความสะอาดครัวกันเถอะ” นภทีป์ตัดบทสนทนาแล้วหยิบจานเปล่าลุกขึ้นหลังเห็นว่าภรัณยูเองกินอิ่มแล้วเช่นกัน
“อ...เอ๋ ครับ” ชายหนุ่มร่างสูงรีบลุกขึ้นและยกจานกับข้าวไปเข้าตู้เย็นด้วย
นภทีป์ประจำอยู่ที่อ่างล้างจาน ซึ่งจานชามที่ต้องล้างไม่ได้มีมากนัก ที่หนักเห็นจะเป็นกระทะกับหม้อที่ใช้ทำอาหารซึ่งเต็มไปด้วยคราบมันของอาหาร
“ใกล้หมดแล้วสิ” เจ้าตัวว่าหลังจากยกขวดน้ำยาล้างจานขึ้นมาและรู้สึกถึงน้ำหนักอันเบาหวิว
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะซื้อมาให้ตอนขามาก็แล้วกัน” ภรัณยูอาสาขณะกำลังก้มลงเช็ดคราบน้ำมัน เนื้อและผักที่กระเด็นลงพื้น ทำอาหารทีไร ครัวก็เลอะเทอะทุกครั้งไป เพราะเขามือหนักเกินไปหรือไม่มีความสามารถเรื่องทำอาหารจริง ๆ กันนะ? ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้แต่ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บเศษของสดที่ตกเกลื่อนพื้นใส่ถุงขยะเหมือนทุกครั้ง หลังจากพื้นสะอาดดีแล้วนภทีป์ก็เก็บล้างเสร็จพอดี
ต้องขอบคุณวิทยาการของเครื่องครัวที่พัฒนาขึ้นทำให้การเก็บล้างหลังทำอาหารเป็นเรื่องง่ายดายกว่าสมัยก่อนหลายเท่า
เป็นประโยคยอดฮิตของแม่ทีเดียว
“แต่ว่า คุณทีก็เหมาะกับผ้ากันเปื้อนเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มเอ่ยชมโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ผู้ฟังกลับขัดเขินขึ้นมาจึงลดมือลงเช็ดกับผ้ากันเปื้อนสีอ่อนโดยไม่ได้ตอบอะไร แต่เมื่อนภทีป์หมุนตัวกลับมาหลังเก็บภาชนะเข้าที่หมดแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งดึงขาทำให้เกิดเสียหลักอย่างกะทันหัน นภทีป์เบิกตากว้างเมื่อพบว่าตนเองกำลังจะล้มลงบนพื้น และไม่ทันจะมีเวลาคิดว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ
เสียงรติหัวเราะคิกคักแว่วอยู่ข้างหูเมื่อร่างกายของเขาล้มลงจนถึงจุดที่น่าจะกระแทก แต่กลับไม่ได้รู้สึกเจ็บสักเท่าไหร่
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ภรัณยูที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากพื้นไถลตัวเข้ามารองไว้ได้พอดี แม้จะไม่สามารถรับไว้ได้ทั้งหมดแต่อย่างน้อยนภทีป์ก็เจ็บแค่ส่วนหัวเข่ากับฝ่ามือที่ลงพื้นไปเต็ม ๆ และเมื่อนภทีป์เงยหน้าขึ้นก็พบว่าสีหน้าแสดงความเป็นห่วงของอีกฝ่ายอยู่ใกล้กว่าที่คิดไว้มาก
...!!!
“ฉ...ฉันไม่เป็นไร ออกไปได้แล้ว!” นภทีป์ตกใจลนลานเสียจนละล่ำละลักตะโกนแล้วผลักภรัณยูออกไป แต่เดี๋ยวสิ...ทำไมเขาต้องตกใจขนาดนี้ด้วยล่ะ?
“ดูเหมือนพื้นแถวนั้นจะยังลื่นอยู่สินะ? เดี๋ยวผมจะเช็ดให้ใหม่ก็แล้วกัน ขอดูหน่อยสิว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ภรัณยูเข้าหาด้วยความห่วงใยแต่การกระทำนั้นกลับทำให้นภทีป์เผลอถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ในเวลาต่อมาก็เหมือนจะตั้งสติได้จึงรีบส่ายศีรษะ
“ฉันไม่ได้เจ็บอะไรตรงไหน นายรีบไปเช็ดพื้นต่อดีกว่า” หลังพูดจบ เขาก็รีบผุดลุกขึ้นโดยไม่สนใจตัวต้นเหตุที่บินวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ รติยังคงหัวเราะร่าอย่างสมใจที่ทำให้เขาล้มได้สำเร็จ แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรแต่นภทีป์ไม่ชอบใจเอาเสียเลย เขาพยุงตัวลุกขึ้นแต่หัวเข่าที่กระแทกพื้นก็ทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก อีกทั้งฝ่ามือก็แดงเถือกทำให้เท้ากับเคาท์เตอร์ไม่ถนัด
ภรัณยูเข้ามาช้อนใต้แขนช่วยพยุงขึ้น
“ไม่เห็นต้องทำเป็นไม่เจ็บเลยนี่ครับ ผมยินดีบริการอยู่แล้ว” ชายหนุ่มทำพูดทีเล่นทีจริงแล้วยิ้มกว้างขณะช่วยพานภทีป์เข้าไปนั่งในห้องก่อนจะถือวิสาสะพับกางเกงอีกฝ่ายขึ้นเพื่อดูรอยช้ำ และพบว่าที่หัวเข่ามีรอยสีแดงม่วงประดับอยู่ “ผมจะไปเอาผ้ากับน้ำแข็งมาให้” ว่าจบเจ้าตัวก็เดินเข้าครัวไปก่อนกลับมาพร้อมผ้ากับห่อน้ำแข็งในไม่กี่นาทีต่อมาเพื่อให้นภทีป์ประคบรอยช้ำด้วยตัวเอง
“แหม ๆ เป็นห่วงเป็นใยมากเลยนะเนี่ย” รติทำท่าล้อเลียนหลังจากภรัณยูกลับเข้าครัวไปเพื่อทำความสะอาดในจุดที่นภทีป์ล้มลง
“ก็เป็นนิสัยประจำตัวอยู่แล้วนี่” นภทีป์ตอบกลับโดยพยายามไม่คิดอะไรมาก
“ตฤณยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย”
“อย่าเอาไปเทียบกันนะ!”
“เทียบอะไรหรือครับ?” ไม่รู้ว่าทำไม แต่ภรัณยูมักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะทุกที นภทีป์จึงอ้าปากค้างจากประโยคเมื่อครู่ก่อนจะกระแอมครั้งหนึ่งแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “น่าแปลกจังนะ ตรงนั้นไม่มีรอยเปื้อนเลยแท้ ๆ หรือว่าคุณทีจะล้มเพราะเพลีย?”
“ก็...อาจจะ...” คนบาดเจ็บตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง เขาจะบอกได้ยังไงว่าเป็นฝีมือของคนที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียง ดูเหมือนรติก็จะรู้ความลำบากใจของเขาจึงได้หัวเราะเยาะอยู่ไม่ไกลให้รำคาญแต่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
“ถ้าอย่างนั้นผมจะออกไปซื้อยาแก้ฟกช้ำมาให้ก่อน แล้ววันนี้ผมจะรีบกลับให้คุณได้มีเวลาพักมาก ๆ หน่อย แล้วผมจะลองถามแม่ว่าให้คุณกินอะไรถึงจะดี” ความกระตือรือร้นของภรัณยูน่าปลื้มปิติจนบอกไม่ถูก นั่นคือสิ่งที่รติแสดงท่าทางให้เห็นจนโอเว่อร์ “นั่งรอเฉย ๆ แปบเดียว เดี๋ยวผมกลับมานะ” เจ้าของร่างสูงคว้ากระเป๋าเป้แล้วเดินลิ่ว ๆ ออกไปจากห้องหลังจบประโยคทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
คำพูดของรติหวนกลับมาในความคิดคำนึงอีกครั้ง
จริงสิ...ตฤณไม่เคยสนใจจะทำอะไรแบบนี้เลย ที่จริงแล้วตั้งแต่ตฤณเข้ามาในชีวิตของเขาจนกระทั่งคบกันและเลิกราจากกันไป เขาแทบจะเป็นฝ่ายดูแลทุกอย่างเสียด้วยซ้ำ คงเพราะว่าดูแลตัวเองมาตลอดกระมัง...จึงไม่รู้สึกแปลกอะไรที่จะต้องดูแลคนอื่นด้วย ทำให้ไม่คุ้นชินเมื่อเป็นฝ่ายถูกดูแล การเอาใจใส่ของภรัณยูทำให้รำคาญในช่วงแรก ๆ ก่อนจะเริ่มลำบากใจเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบรับความหวังดีอย่างไร มันน่าอึดอัดเสียยิ่งกว่าการอยู่กับคนที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างตฤณเสียอีก แต่พร้อม ๆ กับความอึดอัด...เขากลับรู้สึกยินดีอยู่ลึก ๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีเหตุผลอะไร
บางทีเขาคงจะเริ่มคิดกระมังว่า...การถูกดูแลก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่...
สายตาของนภทีป์ยังคงจับจ้องอย่างเหม่อลอยไปยังบานประตูราวกับกำลังเฝ้ารออีกคนหนึ่งกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ
นั่นเป็นท่าทีที่ทำให้รติพึงพอใจอย่างมาก ตอนนี้เจ้าตัวมั่นใจแล้วว่าภรัณยูนี่ล่ะที่จะทำให้นภทีป์ตัดขาดจากตฤณได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแต่...เขายังไม่แน่ใจนักว่าภรัณยูจะยินยอมให้ความร่วมมือด้วยหรือไม่ เจ้าตัวไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ และความห่วงใยของฝ่ายนั้นก็คล้ายจะเป็นนิสัยประจำตัวอย่างที่นภทีป์ว่าจริง ๆ ถ้าหากเจ้านั่นมีความรู้สึกพิเศษให้นภทีป์สักนิดล่ะก็ เขาจะไม่ยอมละทิ้งโอกาสงาม ๆ นี้แน่นอน
TBC
-
ไม่เอาตฤน :serius2: อย่าใจอ่อนนะที
ดูไว้ใจไม่ได้ o18 เกลียดคนประเภทนี้
-
เม้นท์สามตอนเลย
ทั้งรัณและที เหมือนค่อย ๆ เริ่มพยายามปรับตัวเข้าหากันได้ทีละนิด ๆ แล้วนะ
โดยเฉพาะรัณ ที่เริ่มคุ้นชินนิสัยของที ทำให้รับมือกับอารมณ์แปรปรวนของทีได้มากขึ้น
นายตฤณ คนที่แล้วที่ทีเคยสอน ที่แท้ เป็นคนรักเก่าของทีนี่เอง มิน่า ทีถึงหมดอาลัยตายอยากขนาดนั้น
ดูแล้วเป็นคนที่ไม่น่าคบเอาซะเลย ไม่มีความจริงใจ เล่ห์เพทุบายเยอะ ทำตัวเหมือนตัวเองอยู่เหนือคนอื่น
เคยขโมยผลงานของทีไปด้วยรึเปล่า แต่กลับมาหาทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีทีท่าสำนึกผิดสักนิด ด้านจริง ๆ
แต่ที่ทำให้รู้สึกอึดอัด และไม่เข้าใจยิ่งกว่า คือ การแสดงออกของทีเนี่ยแหละ
ตอนแรกทีต่อต้านรัณ เพราะทำให้นึกย้อนถึงนายตฤณ ที่เคยทำให้เจ็บเอาไว้ เลยเข็ดขยาด ไม่อยากเจ็บอีก
แต่พอนายตฤณ คนที่ทำร้ายตัวเองจริง ๆ โผล่มา พร้อมงอนง้อ ขอคืนดี ทีกลับจะโอนอ่อนตามง่าย ๆ
ทั้งที่ย้ำเตือนตัวเองว่าเคยได้รับบทเรียนเลวร้ายจากอีกฝ่ายมาแล้ว ทั้งรติที่คอยตามเตือนตลอดเวลา
ที่สำคัญ พี่ทิน ที่เตือนตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว แล้วสุดท้าย ทีก็ต้องเจ็บอย่างที่พี่ทินเตือนจริง ๆ
แต่ทำไมครั้งนี้ทีก็ยังจะใจอ่อน ยอมเชื่อง่าย ๆ คิดว่าเค้ามีความจริงใจขอโอกาส แค่หมอนั่นเล่นละครหลอกตาก็เชื่อ
แล้วจะให้โอกาสนายตฤณพิสูจน์ตัวเองเนี่ยนะ ถ้าเค้ารักทีจริง เค้าจะทำร้ายทีตั้งแต่ครั้งแรกเหรอ
ทีเหมือนไม่ใช่แค่รักนายตฤณนะเนี่ย เหมือนหลงซะด้วยซ้ำ แพ้ทางนายตฤณ โดนปั่นหัวตลอดเลย
หวังว่ารัณและรติ จะช่วยให้ทีไม่หลงเชื่อนายตฤณง่าย ๆ และสามารถตัดใจจากนายตฤณได้จริง ๆ ทีเถอะนะ
ขอบคุณค่ะ :3123: :L1:
-
ยิ่งอยากยิ่งอยากรู้ว่าตฤณเคยทำอะไรทีไว้บ้างคะเนี่ย
บางทีก็เหมือนทำทีเจ็บช้ำมากมาย แต่ทีก็ยังไปเจอตฤณ
แล้วไม่เหมือนจะโกรธเท่าไหร่ แหมอยากรู้ๆอะ
ตอนนี้พระเอกเราเท่อะ แทคแครดีมากมาย
คุณทีใจอ่อนบ้างแล้วด้วยจะมีลุ้นๆเร็วๆนี้ใช่ไหมคะ ^^
-
-10-
“เหนื่อยหรือเปล่าคะคุณพี่ที่น่ารัก” พิณาลัยวิ่งเข้ามาต้อนรับเมื่อพี่ชายกลับมาจากทำงาน ซึ่งเป็นอย่างนี้ประจำทุก ๆ วันหลังจากผู้พี่ทำงานครบ 1 เดือนเป็นต้นมาจนคล้ายเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกน่าประหลาดแต่อย่างใด แต่เหตุผลนั้นเป็นเพราะทุกครั้งที่ภรัณยูกลับมาจากที่ทำงานมักจะมีของกินจุบจิบจากละแวกที่ทำงานกลับมาฝากเสมอ และพิณาลัยก็มีความสุขกับของฝากเหล่านี้เสียด้วย
“เดี๋ยวก็อ้วนหรอกเราน่ะ แก้มเลยย้วยแล้วนะ” ภรัณยูแกล้งดึงแก้มน้องสาวก่อนยื่นถุงขนมให้ “วันนี้พี่เจอร้านไหมอยู่ในซอยน่ะ เพราะหาขนมให้เราเนี่ยทำให้พี่ช่ำชองเส้นทางรอบบริษัทหมดแล้วรู้หรือเปล่า”
“แหม ก็พ่อไม่ยอมซื้อให้นี่ บอกแต่ว่ามีร้านขนมอร่อยเยอะ พี่รัณนี่แหละใจดีที่สุดแล้ว” ว่าจบ เด็กสาวก็เขย่งขึ้นหอมแก้มพี่ชายครั้งหนึ่งเป็นรางวัลซึ่งทำให้ฝ่ายพี่เลิกบ่นในทันที
“อย่าไปทำแบบนี้กับหนุ่มอื่นล่ะ” เขาว่าพลางหัวเราะ
“หนูรู้หรอกน่า” พิณาลัยหัวเราะคิกคักแล้วพาตัวเองไปยังโซฟาพร้อมกับวุ้นกรอบที่พี่ชายนำมาฝาก “พรุ่งนี้พี่ต้องไปเรียนอีกแล้วสินะ ทำงานสลับกับเรียนศิลปะทุกวันแบบนี้จะดีเหรอคะ? หนูน่ะแค่ช่วงกิจกรมกีฬาสีที่แทบจะไม่ได้มีวันพักหนูยังแทบแย่แหน่ะ แถมครูของพี่ก็เข้มงวดเกินไปด้วย ให้การบ้านพี่กลับมาทำทั้งที่ต้องทำงานทุกวันแท้ ๆ แต่จะว่าไป ช่วงหลัง ๆ หนูไม่เห็นพี่ทำการบ้านเลยนี่นา?”
ก็จริงแฮะ...
ระยะหลังไม่เห็นว่านภทีป์จะยัดการบ้านให้ทำเลยสักชิ้น มีแค่ช่วงเดือนแรกเท่านั้นที่โดนบังคับให้ทำแต่หลังจากนั้นก็แค่ฝึกฝนในช่วงเวลาเสาร์อาทิตย์
แบบนี้จะดีหรือเปล่านะ...เพราะตอนแรกนภทีป์เป็นคนบอกเองว่าเขาต้องฝึกฝนตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ฝีมือคงที่ให้เร็วที่สุด แต่การกระทำของเจ้าตัวกลับค่อย ๆ ผ่อนคลายความเข้มงวดลงเรื่อย ๆ เหมือนกับว่ากำลังสนใจสิ่งอื่นนอกจากเรื่องนี้อยู่อย่างไรอย่างนั้น
เป็นเรื่องของผู้ชายที่ชื่อตฤณหรือเปล่า?
ตั้งแต่คน ๆ นั้นปรากฏตัวขึ้น ท่าทีของนภทีป์ก็ดูแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด กระสับกระส่าย กังวล และเหม่อลอยอยู่บ่อย ๆ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนเคยมีความสัมพันธ์กันแบบไหนมาก่อน แต่ที่แน่ ๆ ตฤณมีอิทธิพลกับนภทีป์มากทีเดียว อาจจะมากกว่าภาพวาดซึ่งนำพาเขามาพบกับอีกฝ่ายก็ได้...พอคิดแบบนั้นภรัณยูก็พบว่าตนเองไม่พอใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะเขาต้องใช้เวลาและความอดทนไปมากมายเพื่อที่จะทำให้นภทีป์หันกลับมาทำดีด้วย และดูเหมือนตฤณจะเห็นต้นเหตุของความยากลำบากในช่วงแรก ๆ นั้นเอง
ซ้ำหลังจากช่วงสงกรานต์เป็นต้นมา เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่ตฤณคล้ายจงใจมาเยี่ยมเยียนนภทีป์เอาเวลาที่เขาไปเรียนอยู่เสมอ
อย่างเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตฤณปรากฏตัวขึ้นในช่วงกลางวันที่เขากำลังทำอาหารและนภทีป์กำลังตรวจงาน เจ้าตัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห้องราวกับเป็นเรื่องธรรมชาติและใช้สายตาแปลก ๆ มองมาที่เขา หากจะให้บรรยาย ภรัณยูคิดว่ามันใกล้เคียงกับสายตาที่แสดงความเหนือกว่าทางด้านสถานะ แต่เป็นสถานะไหนกันล่ะ?
--------------------------->
และในวันถัดมาก็เป็นไปดังที่เคยเป็น เพียงแต่ตฤณมาเสียตั้งแต่เช้าราวกับว่าไม่มีการมีงานทำเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา นภทีป์ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่บางครั้งก็แสดงสีหน้าลำบากใจออกมาเมื่อตฤณเริ่มทำตัวใกล้ชิด
“ผมก็แค่บอกว่าจะให้โอกาส อย่าทำตัวเหมือนผมอภัยให้ทั้งหมดแล้วนะ”
ภรัณยูได้ยินเสียงนภทีป์กระซิบเช่นนั้นกับตฤณตอนที่กำลังก้มลงปาดหมึกสีดำจากปลายพู่กันลงบนภาพที่ลงเส้นเรียบร้อยแล้ว
“แค่นั้นก็ดีแล้ว ผมแค่อยากจะอยู่ใกล้ ๆ ทีเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้นเอง”
เมื่อชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมอง เขาก็เห็นนภทีป์กำลังเบือนหน้าไปอีกทางพร้อมทั้งเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง สีหน้าคล้ายกำลังขัดแย้งในตัวเองอยู่ไม่รู้ว่าควรจะคล้อยตามหรือขัดขืน แต่เมื่อนภทีป์เลื่อนสายตามายังเขา ภรัณยูก็หลุบตาลงทำงานของตัวเองต่อไปราวกับไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง แต่ดูเหมือนตฤณจะรู้ว่าเขากำลังฟังอยู่จึงพูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
“แต่รู้สึกแปลกดีนะที่มีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย”
“ถ้ารู้ตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยก็เลิกทำตัวเหมือนเด็กเพิ่งหย่านมเสียที” นภทีป์ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์แทน ซึ่งน่าจะปลอดภัยจากการเซ้าซี้มากกว่าการนั่งพื้น ตฤณจึงหันกลับมาที่ภรัณยูที่อยู่ถัดไปอีกมุมหนึ่งของโต๊ะตัวเตี้ยและจ้องมองภาพที่เจ้าตัวกำลังปาดพู่กันอย่างคนไม่เคยชิน ภาพที่ถูกปาดไปแล้วดูเละเทะอยู่นิดหน่อยจากปลายพู่กันที่สะบัดเกินจากขอบที่กำหนดไว้
“นึกถึงสมัยที่เริ่มหัดวาดแรก ๆ เลยแฮะ” ตฤณทำเป็นพูดเสียงระรื่นให้เจ้าของผลงานได้ยิน
“คุณเริ่มหัดกับคุณทีเหมือนกันหรือครับ?” ภรัณยูคร้านจะแสร้งไม่สนใจต่อจึงเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาจากภาพวาด ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ถนัดที่จะทำตัวเป็นศัตรูกับใครสักเท่าไหร่ การที่ต้องมาตั้งธงว่าจะไม่ญาติดีกับใครสักคนโดยเฉพาะจึงเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจเป็นอย่างยิ่ง
“เปล่าหรอก ฉันวาดมานานพอสมควรแล้วล่ะ ตั้งแต่ประถมได้ล่ะมั้ง” ชายหนุ่มผู้ไม่ได้เป็นทั้งศิษย์และครูกล่าวพลางเอนตัวไปด้านหลังและใช้มือยันพื้นไว้ “แต่ฉันไม่เคยใช้พู่กันแบบเป็นจริงเป็นจังหรอกนะ เหมือนว่าพอโตขึ้นก็หัด cg เลย ทียังชอบติอยู่บ่อย ๆ ว่าฉันใช้ทางลัดจนเป็นนิสัย”
ก็เข้ากับบุคลิกอยู่...
ภรัณยูคิดในใจ เพราะจากสายตาของเขา ตฤณเป็นผู้ชายที่ให้ความรู้สึกไม่เหมือนคนที่ทำตามขั้นตอนและตามแบบแผนของใคร หากมีเส้นทางให้ลัดก็ลัดให้เลาะก็เลาะ คาดเดาได้ยากว่าคิดจะทำอะไร อาจจะเป็นเพราะอย่างนั้นก็ได้ที่ตฤณดูไม่ใช่คนน่าไว้วางใจสักเท่าไหร่
“ขุดทางลัดจนเป็นนิสัยด้วย” นภทีป์แทรกขึ้นมาเบา ๆ จากมุมหนึ่งและเสสายตาไปยังคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งเปิดขึ้นมาเมื่อครู่
ภรัณยูมั่นใจว่านั่นเป็นถ้อยคำต่อว่ามากกว่าประโยคบอกเล่าทั่วไป เพราะน้ำเสียงและท่าทางของผู้พูดมีร่องรอยของความไม่สบอารมณ์อยู่หลายส่วน
ทั้งที่ไม่ชอบใจตฤณมากขนาดนั้น แต่ทำไมถึงยังต้อนรับให้อยู่ใกล้ตัว เขาไม่เข้าใจฝ่ายนั้นเลยสักนิด
“แล้ว...เอ่อ...” เพราะบทสนทนาขาดช่วงทำให้สถานการณ์เริ่มน่าอึดอัด ชายหนุ่มจึงต้องหาหัวข้อที่จะพูดต่อไป “ทำไมถึงมาเรียนกับคุณทีล่ะครับ?” ดูเหมือนนภทีป์จะเคยบอกเขาว่าตฤณเป็นคนที่มีพรสวรรค์และเรียนรู้ได้เร็ว แต่กลับไม่มีพื้นฐานที่แน่นพอ นั่นเป็นสาเหตุที่นภทีป์มองเห็นหรือที่เจ้าตัวคิดกันแน่?
“เอาจริง ๆ เลยนะ” ตฤณทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ฉันมันพวกเด็กสปอยล์ ใคร ๆ ก็อยากเอาใจ จะวาดจะเขียนอะไรก็มีแต่เสียงชื่นชม แต่ก็น่าแปลกใช่ไหมล่ะ ทั้งที่มีคนชื่นชมขนาดนั้นแต่กลับไม่สามารถเทียบเคียงกับพวกมืออาชีพได้เลย คนรอบตัวฉันไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างเต็มปาก นั่นแหละปัญหาของฉัน” เขาว่าจบก็ไหวไหล่ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ภรัณยูรู้สึกอย่างอีกฝ่ายพูดออกมาด้วยความคิดจริง ๆ ของตนเอง ไม่ได้ให้ความรู้สึกเสแสร้งแกล้งทำเหมือนกับบทสนทนาอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อฟังจบแล้ว เขาก็พบว่าตฤณแตกต่างกับตนเองในทุก ๆ ด้านกระทั่งการสนับสนุนจากคนรอบตัว ตฤณมีคนมากมายพร้อมจะหยิบยื่นทุกอย่างที่ต้องการให้อย่างไร้เงื่อนไข ทำให้มองเห็นความเป็นจริงของโลกได้ช้าและได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมจึงไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ในขณะที่เขาถูกกีดกันในสิ่งที่อยากทำ ทำให้ความจริงของโลกสำหรับเขาไม่ได้สว่างสดใสสักเท่าไหร่และไม่มีอะไรไปดังใจหวัง
แล้วนภทีป์ล่ะ?
เจ้าตัวไม่ค่อยจะพูดเรื่องเกี่ยวกับตัวเองสักเท่าไหร่ ทำให้ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเคยเจอกับอะไรมาบ้าง สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับนภทีป์มีอยู่น้อยนิดทั้งที่รู้จักกันมาเกือบสองเดือนแล้ว
อนุทิน...เป็นคนที่น่าจะรู้เกี่ยวกับชีวิตของนภทีป์มากที่สุด แต่ก็ไม่ได้พบกันอีกเลยหลังจากครั้งแรก ส่วนตฤณ...จะรู้มากแค่ไหนกันนะ? และเขาควรจะถามหรือเปล่า?
“ฉันหิวแล้ว นายพักไปทำกับข้าวก่อนก็แล้วกัน” ในที่สุดเสียงระฆังก็เคาะเป๊งตอนเที่ยงวันพอดิบพอดี นภทีป์ปิดหน้าอีเมลของตนเองแล้วหันมาบอกให้ภรัณยูวางมือไปทำอาหารมาให้กิน ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งพ่อครัวจำเป็นก็ยินดีตอบรับเป็นอย่างยิ่งเพราะนั่งหลังขดหลังแข็งไม่กล้าขยับตัวเสียหลายชั่วโมง ภรัณยูจึงวางพู่กันอย่างรวดเร็วและพาตนเองเข้าครัวโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว
“มีพ่อครัวประจำตัวแล้วดูสะดวกสบายขึ้นเยอะเลยนะ”
“ถ้าพ่อครัวจะมีเซนส์เรื่องรสชาติสักหน่อย” นภทีป์ตอบก่อนลุกตามเข้าไปในครัว หลังจากให้ภรัณยูปู้ยี่ปู้ยำกระเพาะอยู่ระยะหนึ่ง เจ้าตัวก็คิดได้ว่าหากตนเข้าไปควบคุมกระบวนการทำอาหารด้วยน่าจะทำให้อีกฝ่ายเลิกมือลื่นทำเครื่องปรุงหกใส่จานกับข้าวเสียที “คุณรออยู่ที่นี่แหละ” เขาพูดเช่นนั้นเมื่อเห็นการขยับตัวของตฤณจากหางตา และเมื่อพูดจบ รติก็ทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่สำทับแม้ตฤณจะไม่เห็นการกระทำนั้นก็ตาม
ภรัณยูหยิบเนื้อและผักออกมาจากตู้เย็นก่อนวางลงบนโต๊ะเตรียมอาหาร ท่าทางการหยิบจับอุปกรณ์ไม่ได้ดูทะมัดทะแมงขึ้นกว่าเดิมเลยสักนิด แม้แต่การประคองมีดก็ยังน่าหวาดเสียวเช่นเคยจนนภทีป์อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปจัดการเองแม้จะไม่ได้ชำนาญกว่าสักเท่าไหร่
“นายอึดอัดหรือเปล่า?” อยู่ ๆ คำถามก็ถูกส่งมาโดยที่ผู้ฟังไม่ทันตั้งตัว แต่ก็สามารถอนุมานได้ว่าอีกฝ่ายถามเกี่ยวกับอะไร
“ก็...ไม่หรอกครับ ที่จริงคุณทีน่าจะอึดอัดมากกว่า”
นภทีป์มุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนภรัณยูจะพูดต่อ
“ผมอาจจะซอกแซกมากเกินไปก็ได้ แต่คุณทีดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบเขาสักเท่าไหร่ ถ้าหากว่าอึดอัดใจ...พูดออกมาตรง ๆ ไม่ดีกว่าหรือครับ?”
“นั่นมันปัญหาของฉัน นายไม่ต้องมากังวลแทนหรอก”
“ผมต้องกังวลแทนสิ”
ถูกเถียงกลับมาแบบนี้ นภทีป์ก็ชะงักไปชั่วขณะ และเพราะอาการชะงักนั้นทำให้ภรัณยูเพิ่งจะรู้ตัวเช่นกันว่าตนเองพูดอะไรที่ดูไม่เหมาะสมออกไปเสียแล้ว
“ผมหมายถึง...พวกเราก็รู้จักกันมาระยะหนึ่งแล้ว การที่ผมจะเดือดร้อนแทนคุณบ้างก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือ?” ขณะที่พูด ภรัณยูก็เสตาไปทางอื่นคล้ายขัดเขินอยู่นิด ๆ “แต่ว่า ถ้าหากคุณไม่อยากพูด เอาไว้เราอยู่กันตามลำพังผมจะฟังคุณระบายออกมาแทนดีไหม?” ชายหนุ่มยิ้มกว้างหลังจบประโยค
“นายฟังคนอื่นระบายใส่ตลอดเวลาไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือไง? ระวังคนอื่นเขาเข้าใจผิดล่ะ” นภทีป์ถอนหายใจ ความใจดีของภรัณยูยังคงน่าปลื้มใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าตัวแสดงออกกับทุก ๆ คนเป็นปกติวิสัย ซึ่งเขาจะไม่แปลกใจเลยหากเจ้าตัวจะทำให้พวกผู้หญิงคิดมากโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้านี่หักอกคนโดยไม่เจตนามากี่ครั้งแล้วนะ?
“ผมไม่ใช่เครื่องระบายแบบหยอดเหรียญนะครับ” ภรัณยูตอบกลับพลางทำหน้าปุเลี่ยน “แล้วผมก็ไม่ได้พูดแบบนี้พร่ำเพรื่อกับทุกคนเสียหน่อย ก็...กับคนที่ผมสนิทใจเป็นพิเศษ...” ประโยคหลังเจ้าตัวพูดอุบอิบและเบาลงเรื่อย ๆ กระนั้นรติก็ได้ยินอย่างชัดเจนทีเดียว
อะหือ...
ท่าทางจะมีใจเหมือนกันแฮะ
“สนิทใจเป็นพิเศษ ฟังน่ารักกรุบกริบเชียวนะ”
รติทวนคำพลางหัวเราะจากบนชั้นวางจาน ทำให้นภทีป์ซึ่งตอนแรกได้ยินไม่ชัดนักตอนนี้ได้ยินทุกคำพูดที่ถูกรีเพลย์ได้อย่างแจ่มแจ้งเสียจนรู้สึกแปลก ๆ ในอกขึ้นมาวูบหนึ่ง
“...นายจัดการที่เหลือก็แล้วกัน” ว่าแล้วชายหนุ่มร่างเล็กก็ผลักเขียงพร้อมเนื้อที่หั่นเสร็จแล้วไปหาภรัณยูที่กำลังตั้งกระทะใบเล็กก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องทันที
“เอ๋ อ...ได้ครับ” อีกคนหนึ่งได้แต่ทำหน้าเหวอและตอบรับไปโดยที่ไม่เข้าใจว่าตนเองพูดอะไรผิดหูอีกฝ่าย กระนั้นในวินาทีต่อมาเจ้าตัวก็ถอนหายใจและคิดว่าตนเองคงไม่เป็นที่ต้อนรับเสียยิ่งกว่าตฤณอีกกระมัง สถานะของเขาก็เป็นเพียงเด็กนักเรียนฝีมือห่วย ๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้เต็มใจจะสอนตั้งแต่แรก ไม่น่าแปลกเลยที่จะถูกตฤณมองด้วยสายตาที่เหนือกว่าแบบนั้น
ท่าทีของนภทีป์และภรัณยูที่เหมือนจะเข้าใจกันไปคนละทางทำให้รติอยากเอาหัวโขกเต้าหู้ให้ตายคาผนัง สองคนนี้ดูเป็นตัวเลือกที่ลำบากลำบนจริง ๆ ให้ตายสิ!
ใครที่ไหนเป็นคนกำหนดว่ากามเทพสามารถผูกสมัครรักใครได้ง่ายดายด้วยศรรักปักอก เขาจะได้ลากไปเป็นพยานช่วยประท้วงสรวงสวรรค์ได้อย่างเต็มปากว่าขอเพิ่มออพชั่นเป็นคันธนูกับลูกศรด้วย แต่เมื่อคิดถึงสถานะของตนเองแล้วเขาก็ไม่ใช่กามเทพจริง ๆ เสียหน่อย เฮ้อ...แบบนี้ก็ต้องใช้ความพยายามจากร่างกายที่ไม่มีใครมองเห็นและไม่มีใครได้ยินเสียงเอาเองล่ะมั้ง...
------------------------>
-
ตฤณมองตามนภทีป์ที่เดินออกมาจากครัวด้วยสีหน้าที่แปลกไปจากเดิม ไม่ใช่ไม่พอใจแต่คล้ายกำลังสับสนเขาก็รู้ได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับความรู้สึกของอีกฝ่ายซึ่งมันก่อร่างสร้างตัวมาสักระยะหนึ่งแล้วอย่างที่เขาเคยคาดเดาเอาไว้ ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด
เจ้าเด็กคนนั้นคิดจะมาแทนที่เขาจริง ๆ หรือ?
เขาหยักรอยยิ้มที่มุมปากก่อนลุกขึ้นและเดินไปหาเจ้าของห้อง
“ผมคงต้องกลับก่อนนะที เพราะถ้าผมอยู่ต่อนักเรียนของคุณอาจจะเรียนไม่รู้เรื่องก็ได้” ชายหนุ่มว่าพลางหัวเราะในคออย่างมีเลศนัย สายตาเหลือบมองผ่านวงกบประตูเข้าไปในครัวซึ่งภรัณยูกำลังทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์และขันแข็ง
“ในเมื่อรู้ตัวก็ดีแล้ว ทีหลังถ้าจะมาก็มาวันธรรมดาดีกว่า” นภทีป์เองก็เห็นด้วย เพราะเมื่อตฤณมาก็มักจะชวนเขาคุยหลาย ๆ เรื่อง และถ้าเขาทำเป็นไม่ใส่ใจก็จะหันไปคุยกับภรัณยู ซึ่งทำให้เจ้าตัวไม่มีสมาธิทำในสิ่งที่ต้องทำและวอกแวกอยู่ตลอดเวลา
“ที่ผมมาวันเสาร์อาทิตย์นี่เพราะเห็นแก่คุณหรอกนะ เพราะเราเคยผิดใจกันมาก่อนการอยู่กับผมตามลำพังคงทำให้คุณกระอักกระอ่วนไม่ใช่น้อย แต่ในเมื่อคุณออกปากอนุญาตเองแบบนั้นผมคงคาดหวังได้ใช่ไหม?” หลังจากพูดเช่นนั้น ตฤณก็โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ทว่าทันใดนั้นเองที่ฝาหม้อสแตนเลสใบเล็กตกลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังกังวานไปทั่วห้อง ทั้งตฤณและนภทีป์ต่างชะงักเพราะเสียงนั้น รวมถึงภรัณยูที่กำลังทำอาหารอยู่ก็สะดุ้งหันมามองด้วยความประหลาดใจ
รตินั่งไขว้ห้างอยู่บนชั้นวางพลางยิ้มเยาะคนที่เสียโอกาสงาม ๆ
ภรัณยูดูจะตกใจอยู่เล็ก ๆ ที่หันมาเจอเข้ากับภาพของตฤณและนภทีป์ที่ใกล้ชิดกันเสียจนพาให้คิดไปไกล และยิ่งตกใจมากขึ้นที่ตฤณดูจะไม่ได้ใส่ใจสายตาของเขาสักนิด เพราะอาการชะงักคงอยู่เพียงไม่กี่วินาที และเมื่อเวลาเริ่มเดินต่อ เจ้าตัวก็ไม่รอช้าที่จะออกแรงดึงตัวนภทีป์เข้าประชิดก่อนแนบริมฝีปากจูบอย่างรวดเร็ว
คนอื่น ๆ ทั้งนภทีป์ ภรัณยู และรติต่างตกตะลึงพรึงเพริดกับการกระทำอันอุกอาจไม่เกรงกลัวต่อสายตาประชาชี จนกระทั่งตฤณปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ บรรยากาศของห้องก็ยังตกอยู่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง
“ค...”
“แล้วผมจะมาเยี่ยมอีก ถึงผมจะติดงานวันธรรมดาก็เถอะ” ชายหนุ่มหยุดคำพูดของนภทีป์ด้วยปลายนิ้วที่เกลี่ยบนริมฝีปากที่ยังเผยอค้าง “สอนให้สนุกนะครับ ที...” และแถมรอยจูบอีกรอยบนแก้มหลังคำลาก่อนจากไปพร้อมกับเสียงประตูที่ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
ทั้งภรัณยูและนภทีป์ไม่มีใครกล้าขยับตัวหรือเปล่งเสียงใด ๆ มีเพียงรติเท่านั้นที่พะงาบ ๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่พูดไม่ออก
“...อ...อาหาร...เสร็จแล้วนะครับ” คนที่ทำลายความเงียบก่อนคือภรัณยู ชายหนุ่มพูดเช่นนั้นก่อนจะรีบหมุนตัวกลับไปยังกระทะและช้อนใส่จานด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ
สุดท้ายนอกจากประโยคนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอื่นเลยจนกระทั่งต่างคนต่างจัดการมื้ออาหารของตนจนเสร็จเรียบร้อย กระทั่งรติยังนั่งเงียบไม่ไหวติงเหมือนยังช็อคไม่หาย ถึงอย่างนั้นการที่นภทีป์กินได้น้อยกว่าปกติก็ทำให้ภรัณยูอดทักขึ้นมาไม่ได้
“ไม่หิวหรือครับ?”
“...ก็ประมาณนั้น”
“...คุณที ผมถามอะไรได้ไหม?” เมื่อเห็นว่านภทีป์ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธเขาจึงพูดต่อ “คือ...ผมก็ไม่ได้รังเกียจเรื่อง...แบบนั้น หมายถึง...ถ้าคุณกับเขาเป็นอะไรที่...มากกว่าที่ผมคิดไว้ผมก็จะไม่มองคุณต่างไปจากเดิม ดังนั้นผมอยากจะให้คุณตอบผมตามตรง เพราะผมรู้สึกเป็นห่วง ทั้งเรื่องที่คุณมีท่าทีแปลก ๆ แล้วก็หลาย ๆ อย่าง และถ้าผมก้าวก่ายมากเกินไปผมก็ขอโทษด้วย”
นภทีป์ชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่รติจะสะกิดแล้วพยักหน้า
“ถ้าฉันตอบได้จะตอบก็แล้วกัน”
ภรัณยูถอนหายใจเบา ๆ เพราะเมื่อครู่นึกกลัวอยู่ในใจว่าจะถูกปฏิเสธและถูกกีดกันอีก เขายังคงจำช่วงแรก ๆ ได้ที่ไม่ว่าจะพูดอะไรก็เหมือนจะทำให้อีกฝ่ายโมโหอยู่เสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนภทีป์ก็อ่อนข้อให้มากขึ้น กระนั้นตฤณก็ทำให้เจ้าตัวตกอยู่ในสภาพคล้ายกับเมื่อราว ๆ สองเดือนก่อน ทำให้เขานึกหวั่นใจอยู่ไม่น้อยกับปฏิกิริยาตอบรับที่แปรปรวนเหมือนพายุ
“คุณกับตฤณ...เอ่อ...”
“ใช่” อาจจะเป็นเพราะอาการอ้ำอึ้งของคนถาม นภทีป์จึงตอบให้อย่างรวดเร็วเพราะไม่รู้ว่าถึงขั้นนี้แล้วจะปิดบังต่อไปทำไม “และไม่ใช่”
...?
ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้วหลังได้รับคำตอบที่คล้ายจะชัดเจนแต่ก็คลุมเครือ
“หรือว่า...จะเกี่ยวกับรูปภาพรูปนั้น?” เป็นคำถามที่เมื่อภรัณยูพูดออกไปเจ้าตัวก็รู้สึกทันทีว่าตนเองได้ทำสิ่งที่โง่มาก เพราะสีหน้าของนภทีป์เปลี่ยนจากกระแกกระอ่วนกลายเป็นเศร้าหมองก่อนเจ้าตัวจะทำเสมือนกำลังกล้ำกลืนก้อนความรู้สึกบางอย่างลงคอไปและเปลี่ยนสีหน้ากลับเป็นเหมือนเดิม
“ไม่ใช่...เขาไม่รู้จักภาพนั้นด้วยซ้ำไป ที่จริงแล้ว นายเป็นคนแรกที่พูดถึงมันกับฉัน”
ภรัณยูนึกว่าเขกหัวตัวเองขึ้นมาตงิด ๆ
มันก็ไม่น่าจะใช่อยู่แล้วเพราะภาพนั้นนภทีป์วาดขึ้นสมัยมัธยมต้น ตอนนั้นเจ้าตัวไม่น่าจะรู้จักกับตฤณ เพราะจากปากคำของตฤณที่พูดถึงเหตุผลที่มาเรียนกับนภทีป์ นั่นเป็นเพราะอยากจะพัฒนาฝีมือตัวเองให้สามารถอยู่ในวงการมืออาชีพได้ แสดงว่าทั้งสองต้องอายุมากพอจะคิดเรื่องเหล่านี้แล้วจึงได้มาพบกันโดยที่ภรัณยูยังไม่รู้ว่าไปพบกันได้ยังไงและเมื่อไหร่
“พวกเราคบกันอยู่ระยะหนึ่ง...ไม่ได้ยาวนักหรอก ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องหลังจากที่เขามาเรียนกับฉัน และ...ฉันก็โอนอ่อนไปตามความเอาแต่ใจของเขา”
ดูเหมือนว่า...ก่อนเขาจะพบกับนภทีป์ เจ้าตัวเคยเป็นคนขี้ใจอ่อนเอาเรื่อง เพราะตฤณมีบุคลิกที่เอาใจตัวเองเป็นหลัก การอยู่กับคนแบบนั้นได้ต้องใจเย็นพอสมควร หรือไม่ก็ปล่อยให้อีกคนทำตามใจไปโดยพยายามไม่เอามาเป็นอารมณ์มากนัก สำหรับนภทีป์คงเป็นกรณีหลัง คือปล่อยอีกคนทำตามใจอยาก ส่วนตัวเองก็แค่ปล่อยทุกอย่างเลยตามเลย แต่...จากประโยคนั้นมันหมายถึงว่าทั้งสองคนเลิกรากันไปแล้วหรือ?
ทำไมกันล่ะ?
หรือว่านภทีป์จะเกิดหมดความอดทนขึ้นมา? เพราะท่าทางของตฤณไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเจ้าตัวเป็นฝ่ายบอกเลิก ดังนั้นคงจะเป็นนภทีป์ที่ขอเลิก
“แล้วพวกคุณสองคน...”
“เอาเป็นว่าตอนนี้ไม่ใช่ก็แล้วกัน” เจ้าตัวตัดบทเอาดื้อ ๆ เพราะคร้านจะยืดเยื้อกับประเด็นนี้ ที่จริงแล้ว นภทีป์กำลังเริ่มสงสัยตัวเองว่าทำไมในชีวิตเขาถึงมีแต่เรื่องที่พูดถึงแล้วไม่มีความสุข และหลาย ๆ ครั้งก็ไม่อยากจะพูดถึงอดีตสักเท่าไหร่ ทั้งที่คนอื่น ๆ รู้สึกดีทุกครั้งที่เล่าถึงประสบการณ์ในวันวานของตนกันทั้งนั้น
“เขาคงจะยังชอบคุณมากนะครับ” เพราะหากไม่ได้รักชอบ ก็คงจบกันแล้วจบกันไป เหมือนกับเขาและวริยา...ที่คบกันได้เพียงไม่นานต่างคนต่างก็เข้าใจว่าพวกเขาไม่อาจไปกันได้เลย ไม่ใช่ว่านิสัยเข้ากันไม่ได้แต่เหมือนใจเป็นได้แค่เพื่อน ดังนั้นการที่ตฤณยังกลับมาหาและตั้งตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกทั้งพยายามจะคืนดีอย่างนี้ ไม่น่าจะตีความเป็นอื่นไปได้...
นภทีป์เงียบไปนานก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่งสั้น ๆ
“ถ้านายคิดแบบนั้นก็ตามใจ แต่สำหรับฉันอาจจะต้องดูต่อไปอีกหน่อย”
ดูต่อไปอีกหน่อย?
แปลว่าตั้งใจจะคืนดีด้วยเพียงแต่ต้องการความมั่นใจหรือ?
ภรัณยูเริ่มสงสัยขึ้นมารำไรว่าทั้งสองคนเลิกรากันไปด้วยเหตุใด เพราะเรื่องการนอกใจหรือว่าความห่างเหิน...เพราะดูเหมือนตฤณเองก็เพิ่งกลับมากรุงเทพ แปลว่าก่อนหน้านี้ไปอยู่ต่างจังหวัดมาหรือไม่ก็อาจจะต่างประเทศ เขาเองก็เคยได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่าระยะทางเป็นสาเหตุได้เหมือนกัน
กระนั้นการที่ได้ยินว่านภทีป์ยังคงมีเยื่อใยให้ตฤณอยู่หลายส่วนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกขุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ครึ่งหนึ่งอาจจะเพราะเขาไม่ค่อยชื่นชอบตฤณนัก แต่อีกเหตุผล...เขายังคงไม่มีคำตอบ ได้แต่บอกกับตนเองว่ามันคือความสนใจในตัวนภทีป์เหมือนกับตอนที่หลงใหลในภาพวาดภาพนั้น และยังรวมกับความห่วงใยที่มีต่อคนรู้จัก มันน่าจะมากพอที่จะทำให้รู้สึกเช่นนั้นขึ้นมาได้บ้าง
“นายจะไม่ถามหรือว่าทำไมถึงเลิกกัน?”
คำถามที่ภรัณยูหลีกเลี่ยง นภทีป์กลับพูดขึ้นมาด้วยตัวเอง และเมื่อถูกมองกลับด้วยสายตาแสดงความสนเท่ห์ ชายหนุ่มร่างเล็กก็เกิดหน้าแดงวูบและบอกปัดทันที
“ช่างมันเถอะ ฉันก็แค่สงสัย”
“ถ้าคุณอยากจะตอบ ผมก็อยากถามนะ” ภรัณยูยิ้มบาง
“ฉันไม่อยากตอบ เก็บของได้แล้วจะได้ฝึกต่อ” หลุดปากไปแล้วแต่พอถูกถามความมั่นใจนภทีป์ก็กลับถอยฉากอย่างรวดเร็ว ผู้ถามจึงจำต้องยินยอมทำตามคำสั่งโดยไม่ติดใจเอาความเพราะเขาเองก็ไม่ได้คิดจะไล่ต้อนให้จนมุมแต่แรก รติที่เฝ้ามองอยู่รู้สึกสนุกขึ้นมานิดหน่อยกับปฏิกิริยาที่ดูจะสปาร์คกันติดบ้างไม่ติดบ้างแต่ก็ยังมีประกายไฟให้เห็นอยู่นิด ๆ พอคาดหวังได้
แต่สายตาเป็นประกายวิบวับของรติไม่ได้ทำให้นภทีป์รู้สึกดีด้วยสักนิด
------------------------------------->
เสียงฝนตกดังเข้ามาเมื่อเจ้าของห้องเงยหน้ามองนาฬิกาและพบว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว การที่เสียงฝนดังเข้ามาถึงด้านในได้แปลว่าคงตกหนักมากทีเดียว นภทีป์มุ่นคิ้วและชะเง้อมองออกไปด้านนอกผ่านระเบียงเล็ก ๆ ที่มีผ้าม่านบดบังทัศนียภาพไปบางส่วน สายฝนที่ตกลงมาค่อนข้างถี่แต่ไม่มีวี่แววว่าจะหนักกว่านี้ ชั่วขณะที่คิดเช่นนั้นมันก็กลับเพิ่มความรุนแรงในทันทีราวกับกลั่นแกล้ง
“นี่มันยังไม่หมดหน้าร้อนเลยไม่ใช่หรือไงกัน?” เขาเปรยลอย ๆ กับตัวเอง
“พายุเข้าน่ะครับ เมื่อวานผมได้ยินข่าวพยากรณ์อากาศอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะเข้ามาถึงที่นี่เร็วขนาดนี้” ภรัณยูมองออกไปด้านนอกด้วยสายตาแสดงความกังวล เพราะตอนนี้ใกล้จะถึงเวลากลับบ้านแล้ว แต่ถ้าฝนตกหนักเขาคงจะกลับตามเวลาไม่ได้เพราะไม่ได้ติดร่มมาด้วย
“แล้วนายจะกลับบ้านยังไงกันล่ะ? บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ให้ค้างหรอกนะ” นภทีป์รีบกันท่าไว้ก่อน เพราะเขารู้สึกเหมือนรติกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่จากท่าทางระริกระรี้ที่ผิดปกติ และเมื่อพูดออกไปอย่างนั้น รติก็ทำแก้มป่องและมุ่นคิ้วอย่างขัดอกขัดใจ
ภรัณยูหัวเราะ
“แต่พรุ่งนี้ผมก็ต้องมาที่นี่ตอนเช้าอยู่ดี ถ้าวันนี้ต้องกลับดึกเพราะติดฝนแล้วมาเช้าพรุ่งนี้ผมจะขาดทุนเอาน่ะสิ” เขาเริ่มเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ไม่ได้จริงจัง
“นายไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยน แปรงสีฟัน ผ้าขนหนูอีก” ทันทีที่นภทีป์อ้างเช่นนั้น ใบปลิวใบหนึ่งก็ตกลงมาจากลังที่กระดาษใช้แล้วกองทับกันอยู่ในลักษณะหมิ่นเหม่ ใบปลิวที่ทำจากกระดาษอย่างดีพิมพ์สีสวยงามเลื่อนตัวไปบนพื้นอีกเล็กน้อยก่อนจะสงบนิ่ง แต่ภรัณยูก็เห็นการเคลื่อนไหวของมันและขยับไปหยิบขึ้นมาก่อนยิ้มกว้างเพราะมันคือใบปลิวของห้างสรรพสินค้าข้าง ๆ นี้เอง แม้สิ่งที่นภทีป์ว่ามาจะไม่ใช่รายการลดราคาและไม่ปรากฏในใบปลิว แต่ก็สามารถหาซื้อได้ทั้งหมดจากที่นั่น
เจ้าของห้องอ้าปากค้างเพราะชะงักจากการหาข้ออ้าง ก่อนจะถลึงตามองเจ้าเพื่อนในจินตนาการตัวดีที่นอนเท้าคางอยู่บนกองกระดาษ
“ฉันให้นายยืมร่มก็ได้!”
“แบบนั้นผมก็มีสิทธิที่จะป่วยเพราะละอองฝนอยู่ดี ผมจะโทรบอกที่บ้านว่าขอค้างที่นี่” ภรัณยูตัดสินใจโดยไม่ฟังเสียงเจ้าของห้องแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะของรติแว่วมากระทบโสตประสาทนภทีป์ที่ได้แต่มองตามนักเรียนของตนซึ่งกำลังเดินไปหาเป้เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ
“นายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!?” เขาหันไปถามรติแล้วรีบผลุนผลันลุกตามภรัณยู “เดี๋ยวก่อน! ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลยนะ!”
“ก็ผมไม่มีทางเลือกแล้วนี่ครับ ผมต้องไปทำงานทุกวันแล้วก็มาเรียนในวันหยุด ก็ต้องดูแลร่างกายตัวเองให้พร้อมมากกว่าปกติ คุณเองก็คงไม่อยากให้ผมป่วยจนมาไม่ไหวจริงไหมล่ะครับ?” เจ้าของร่างสูงใหญ่ส่งคำถามกลับมาด้วยสีหน้าจริงจังและซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะหลงลืมประเด็นบางอย่างไปที่ทำให้นภทีป์รู้สึกกระอักกระอ่วนจนถึงตอนนี้
“ฉันเคย...คบกับผู้ชายนะ...” เขาจำต้องเปิดประเด็นนี้ทั้งที่ไม่อยาก ทั้งนี้เพื่อเตือนให้ภรัณยูรู้ว่าพวกเขาไม่สมควรจะใกล้ชิดกันมากเกินควร
อีกฝ่ายเงียบไปหลังจากนภทีป์พูดประโยคนั้นออกมาก่อนจะกลอกตารอบหนึ่งและยกมือเกาท้ายทอยอย่างที่ทำอยู่ประจำ
“ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหายอะไร”
หา?
นภทีป์มุ่นคิ้วขณะที่ภรัณยูพูดต่อเสมือนว่าหัวข้อนี้เป็นเรื่องแสนปกติธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป
“ถึงคุณจะเคยคบกับใครมา ผมก็ไม่คิดว่าคุณน่ารังเกียจหรือเป็นคนประหลาดหรอก อีกอย่าง ผมว่ามันทำให้คุณดูเป็นคนธรรมดามากกว่าที่ผมคิดไว้”
“ม...หมายความว่ายังไง?” ไม่รู้ว่าทำไม แต่ประโยคหลังทำให้ผู้ฟังรู้สึกตงิด ๆ อยู่ในใจโดยไม่ทราบสาเหตุ เหมือนกำลังถูกเหน็บแนมชอบกล
“ก็คุณทีน่ะ ตอนแรกดูหดหู่และเหมือนตั้งกำแพงอยู่ตลอดเวลา มอง ๆ ไปคล้ายป้อมปราการที่พร้อมยิงจรวดนำวิถีใส่ข้าศึกทุกวินาที แต่ต่อมาพอเข้าไปในกำแพงได้ก็เจอเข้ากับค่ายกักกันเชลย ออกนอกลู่ทางทีไรเป็นต้องโดยดุเอาทุกที จะว่าเหมือนมีดาบปลายปืนจ่อจะทิ่มคอหอยก็ใกล้เคียงอยู่ ถ้าให้พูดรวม ๆ ก็เหมือนกับเมืองเล็ก ๆ ที่มีอาวุธครบมือและไม่ยอมให้ใครผ่านเข้ามาได้โดยง่ายนั่นแหละครับ” ภรัณยูเปรียบเทียบด้วยสีหน้าครุ่นคิดและกลอกตาไปมาเป็นบางครั้ง “แต่ว่า...ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะไม่มีหัวใจเหมือนคนปกติแน่ ๆ ดังนั้นการที่คุณทีสามารถมีความรักกับใครสักคนได้ก็แสดงว่าเนื้อแท้แล้วคุณเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
การเปรียบเทียบของภรัณยูทำให้ทั้งนภทีป์และรติอึ้งไปตาม ๆ กัน ก่อนที่รติจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจนสุดเสียงและไม่แคร์สายตาใครเพราะไม่มีใครได้ยินหรือเห็นตัวเองอยู่แล้ว มีแต่นภทีป์เพียงคนเดียวที่ทั้งฉุนทั้งอายจนแทบแทรกแผ่นดิน
“หุบปากไปเลยนะ!” เขาหลุดปากตวาดใส่รติ
“อ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะ...”
“นายก็ด้วย!” ภรัณยูถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อนภทีป์ตวาดขึ้นมาอีกคำรบหนึ่งแต่เหมือนกำลังดุคนสองคนในเวลาเดียวกันทั้งที่มีเขาเพียงคนเดียว กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจจะแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น กลับถลันเข้าไปแย่งยื้อโทรศัพท์มือถือของภรัณยูที่เจ้าของตั้งใจจะโทรกลับบ้าน “พอแล้ว! ถ้าคิดจะล้อเล่นกับฉันนายก็กลับไปเลยไป ฝนจะตกแดดจะออกฉันก็ไม่สนใจแล้ว!”
ทุกถ้อยคำของนภทีป์ดูเหมือนจะโกรธเคืองอย่างจริงจัง ซึ่งหากเป็นภรัณยูในตอนแรกที่พบกันคงจะรีบล่าถอยออกไปอย่างว่องไวเหมือนตอนที่ถูกตวาดเรื่องภาพวาดและถุงยางอนามัย ทว่าการใกล้ชิดเป็นเวลานานทำให้เขาสามารถแบ่งอาการตวาดของนภทีป์ได้เป็นสองแบบคือ ตวาดเพราะโกรธ และ ตวาดเพราะอาย ซึ่งแบบหลังนั้นมักจะแถมเอฟเฟคสีแดงของเลือดฝาดบนแก้มด้วยเหมือนอย่างในเวลานี้
คนตัวสูงกว่าอาศัยความได้เปรียบของร่างกายยืดแขนขึ้นจนสุดทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถยื้อแย่งของในมือได้ นภทีป์ยิ่งโมโหที่เจ้าเด็กเมื่อวานซืนกล้าดื้อแพ่งใส่แบบนี้จึงโถมตัวเข้าใส่จนเกือบจะเสียหลักไปทั้งคู่ ภรัณยูโอบแขนตัวเองรอบเอวบางเพื่อป้องกันอีกฝ่ายจะล้มใส่โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
“ผมรู้แล้ว ๆ ผมขอโทษ” เขาพูดเช่นนั้นพร้อมหัวเราะร่า เป็นครั้งแรกที่นภทีป์กับเขาตอบกันในลักษณะนี้และมันทำให้รู้สึกสนุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “เวลาคุณโกรธแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบแฮะ”
...
“...จ...!” นภทีป์หน้าแดงแทบจะใกล้เคียงลูกตำลึง และเมื่อเจ้าตัวเงื้อหมัดขึ้น รติก็รีบยกมือปิดตาทันที เขาไม่อยากเห็นฉากนี้เลยจริง ๆ ให้ตายสิโรบิน “เจ้าบ้า!” เสียงด่าสั้น ๆ ดังขึ้นพร้อมกับเสียกำปั้นกระทบใบหน้าอย่างจัง ตามด้วยเสียงโอดครวญของเจ้าของใบหน้าผู้โชคร้ายซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ในวินาทีนั้นเองว่าคำใดเป็นคำต้องห้ามสำหรับผู้ชายคนนี้
TBC
โอ้ คุณพระ มัวแต่นั่งทำพอร์ตสมัครงาน ลืมอัพนิยาย :'D
-
-11-
ผ้าชุบน้ำเย็นสัมผัสบนรอยช้ำเขียวพาให้ทั้งร่างสะดุ้งไหวด้วยความเจ็บที่แล่นปราดถึงก้านสมองก่อนจะกลั่นออกมาเป็นเสียงครางในคอที่ลอดไรฟันให้ได้ยินเพียงเล็กน้อย ครั้งสุดท้ายที่เขาเคยได้รอยช้ำแบบนี้มันเมื่อไหร่กันนะ อาจจะไม่เคยเลยก็ได้เพราะเท่าที่จำได้เขาไม่เคยมีเรื่องวิวาทกับใคร และพวกลูกบาสลูกบอลก็ไม่เคยอัดใส่เบ้าตาเขาอย่างจังขนาดนี้
ภรัณยูรู้สึกเวทนาตัวเองขึ้นมาเมื่อเปิดตาข้างที่เหลือมองคนที่กำลังประคบให้ตนเองด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เจ้าตัวเพิ่งจะอนุญาตให้เขาค้างที่นี่ได้โดยที่เหตุผลไม่ได้เกี่ยวกับสายฝนที่เพิ่งซาลงไป แต่เป็นเพราะรอยช้ำบนใบหน้าของเขาที่อาจจะทำให้ทางบ้านตกใจแม้มันจะไม่ได้ดูน่ากลัวมากนักก็ตาม
“ให้ตายสิ” นภทีป์สบถสั้น ๆ แล้วผละออกหลังจากให้ภรัณยูจับผ้าประคบด้วยตัวเอง
“ผมควรจะเป็นคนพูดคำนั้นมากกว่านะ” คนเจ็บร้องอุทธรณ์ “หวังว่าวันจันทร์มันจะจางลง ไม่อย่างนั้นผมต้องโดนเจ้าวิชกับชลถามซักไซ้แน่ แต่นั่นมันก็คงหลังจากที่พ่อแม่และน้องสาวซักไปแล้วคนละรอบล่ะนะครับ” ว่าจบภรัณยูก็หัวเราะให้ตัวเอง
“นายหาเรื่องเองนะ” นภทีป์กล่าวก่อนจะกอดอกแล้วเสมองรติที่ยังขำไม่หยุด เขานึกสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้าตัวแบบนี้จะขำจนขาดใจตายได้ไหม
“ถ้าหากมันเป็นแผนการของผมล่ะ? เพื่อที่จะได้ค้างกับคุณ”
หืม?
ชายหนุ่มเจ้าของห้องมุ่นคิ้วอย่างเคร่งเครียดขณะจ้องมองเจ้าของประโยค แต่แล้วในนาทีต่อมาเจ้าตัวก็ส่ายศีรษะ
“นายไม่เหมือนตฤณสักนิด อย่างนายน่ะคิดอะไรแบบนั้นออกมาไม่ได้หรอก”
“แปลว่าเขาเคย...หรือเปล่าครับ?”
“ก็ประมาณนั้น” พร้อมกับการตอบคำถาม นภทีป์ก็ลุกขึ้น “ฉันจะไปเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้ แต่พอดีห้องฉันไม่มีโซฟาแบบในการ์ตูนหรือนิยาย ดังนั้นนายนอนบนพื้นไปก็แล้วกัน”
ภรัณยูมองพื้นห้องที่ไม่ได้น่านอนเอาเสียเลย ซ้ำยังมีบริเวณให้ยืดตัวแค่ไม่มากเพราะเกรงจะไปถีบเอากองกระดาษเข้าและพวกมันอาจถล่มลงมาทับเขาตายก็ได้ ชายหนุ่มวางผ้าที่ใช้ประคบตาไว้บนตักเพราะความเย็นของผ้าหายไปหมดแล้วเพราะความอุ่นจากมือและเบ้าตาของเขา กระนั้นมันก็ช่วยได้ดีพอสมควร ตอนนี้เบ้าตาไม่รู้สึกปวดมากแล้วแต่เวลาเปิดเปลือกตาก็ยังรู้สึกขัด ๆ อยู่
เขาเดินไปห้องน้ำเพื่อดูว่าใบหน้าตนเองเป็นเช่นไร ตอนที่หลอดไฟสว่างขึ้น ภาพใบหน้าก็ปรากฏบนกระจก และมันดูไม่ได้แย่อย่างที่คิด คงต้องขอบคุณนภทีป์ที่ไม่ใช่คนเรี่ยวแรงเยอะและไม่เคยต่อยตีอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ทำให้มันแค่บวมช้ำเล็กน้อยและน่าจะหายในเวลาไม่นาน
ชุดแปรงฟันที่หน้ากระจกเตือนให้ชายหนุ่มนึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้ซื้อสิ่งที่ควรจะซื้อเลย...
“คุณที ผมจะออกไปห้างสักเดี๋ยวก่อนที่มันจะปิด” เขาตะโกนบอกแล้วเดินไปทางประตู
“เดี๋ยวสิ นายจะออกไปทั้งที่ตาบวมแบบนั้นน่ะนะ?” นภทีป์ซึ่งขนหมอนและผ้าห่มออกมาพอดีรีบเดินเข้ามารั้งไว้และมองพิจารณาใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความกังวลว่าคนข้างนอกจะเข้าใจผิดว่าตนเองชื่นชอบการทำร้ายร่างกายลูกศิษย์ลูกหา
“ผมแค่จะออกไปซื้อแปรงสีฟันกับเสื้อผ้าสักชุด อย่างน้อยก็...กางเกงใน...”
...
“...ก็ได้...นั่นมันของจำเป็นนี่นะ...” นภทีป์จำยอมด้วยเหตุผลและเดินออกไปสวมรองเท้า “ฉันจะไปด้วยก็แล้วกัน แต่แค่ไปเดินเป็นเพื่อนเท่านั้นนะ”
ภรัณยูยิ้มบางแล้วรับคำอย่างง่าย ๆ คืนนั้นหลังจากซื้อของเสร็จ พวกเขาก็คุยกันเรื่องพัฒนาการของตัวภรัณยูอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน ชายหนุ่มหันศีรษะไปทางโต๊ะคอมพิวเตอร์ของนภทีป์ ประตูที่เปิดสู่ห้องนอนของนภทีป์อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก เขาเห็นอีกฝ่ายนอนอ่านหนังสือโดยไม่ได้หลับไปในทันที แต่หลายครั้งที่แอบเหลือบมองมายังเขาเช่นกันแต่ทุกครั้งเขาก็จะทำเป็นนอนหลับไปแล้วและลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อฝ่ายนั้นหันกลับไปอ่านหนังสือเช่นเดิม กระทั่งตัวเจ้าของห้องปิดไฟเข้านอน ภรัณยูจึงได้หลับตาลงและหลับไปจริง ๆ
------------------------>
“แกไปเดินชนหมัดใครเข้าน่ะ?” ถ้อยคำทักทายแรกของวันช่างน่าประทับใจ ภรัณยูมองชลชาติพลางยิ้มแหยเพราะรู้ว่าตัวเองคงหนีคำถามไม่พ้น รอยช้ำที่ควรจะหายก่อนวันจันทร์กลับจางหายไปไม่มากอย่างที่คิด ภรัณยูจงใจหลบหน้าพ่อกับแม่ด้วยการกลับดึกในวันอาทิตย์ซึ่งโชคดีที่สามารถหลบสายตาของพิณาลัยได้ด้วย กระนั้นเขาก็ไม่สามารถหลบจากเพื่อน ๆ ของตนเองพ้น
“คงไม่ใช่ว่าไปลวนลามสาวเลยโดนชกเข้าให้หรอกนะ?” วิชชุกรว่าพลางดันแว่นที่เพิ่งตัดให้เข้าที่ ซึ่งมันกลายเป็นส่วนประกอบที่ทำให้คำพูดเจ้าตัวดูน่าหมั่นไส้ขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ภรัณยูได้แต่หัวเราะโดยไม่กล้าตอบความจริง เพราะหากบอกว่านภทีป์เป็นคนชก ต้องโดนถามแน่ ๆ ว่าไปทำอะไรเข้า ซึ่งคำตอบของเขาอาจจะทำให้เพื่อน ๆ มองกลับมาด้วยสายตาแปลกประหลาดได้ สองคนนี้คงไม่เข้าใจหรอกกระมัง...ความรู้สึกที่อยากแหย่ผู้ชายด้วยกันน่ะ...
เสียงเคาะคีย์บอร์ดดังเป็นจังหวะตลอดช่วงที่ภรัณยูเงียบไป ทำให้วิชชุกรและชลชาติละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังพิมพ์โปรเจควิจัยของช่วงฝึกงานขึ้นมามองหน้ากัน สายตาของพวกเขากำลังถามกันและกันว่าเพื่อนของพวกเขากำลังแอบมีความลับเรื่องชู้สาวหรือเปล่า โดยเฉพาะการอมยิ้มกับตัวเองแบบนั้นมันเหมือนท่าทางของผู้ชายที่มีปั๊ปปี้เลิฟเลยไม่ใช่หรือ?
“พวกแกมองหน้าฉันทำไมกัน?” ภรัณยูเงยหน้าขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบผิดปกติ
“อ...เอ้อ...เปล่า ๆ ฉันกำลังดูว่าไอ้วิชมันเขียนอะไรในรายงานบ้าง” ชลชาติรีบปฏิเสธ
“แล้วแกจะมาดูของฉันทำไมวะ ส่วนของแกมันคือโปรเจคแรกไม่ใช่หรือไง?” วิชชุกรผลักชลชาติให้กลับไปที่ของตัวเอง “อีกอาทิตย์เดียวก็ได้หยุดแล้วสินะ พอเปิดเรียนก็ต้องเตรียมเรื่องโปรเจคจบกับรายงานผลการฝึกงานอีก” เจ้าตัวยืดแขนขึ้นเพื่อคลายความเมื่อยขบ
“แล้วไม่ต้องออกภาคสนามแล้วหรือ?” ภรัณยูเลิกคิ้ว เพราะตอนรับโปรเจคมา วิชชุกรเป็นคนจัดตารางงานและระยะหลังเขาก็แค่เดินตามตารางของเพื่อนไปโดยไม่ได้ถามว่างานเสร็จสิ้นเมื่อไหร่
“ฉันกำลังทำบทสรุปแล้วเดี๋ยวจะไปคุยกับพี่หัวหน้าแผนกนี่แหละ ถ้ามันครบสมบูรณ์แล้วก็ไม่ต้องออก แต่ถ้ายังขาดเรื่องผลอยู่ก็ต้องออกอีกสักวันก็น่าจะครบพอดี” วิชชุกรดันแว่นตัวเองอีกครั้งพลางมุ่นคิ้วเพราะยังไม่เคยชิน “แล้วแกเขียนส่วนแรกของรายงานไปถึงไหนแล้ว?”
“ก็ใกล้เสร็จแล้วล่ะ มีข้อมูลอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง อย่างว่า ใครจะให้ข้อมูลเชิงลึกของบริษัทกับพวกเด็กฝึกงานกัน แค่โครงสร้างบริษัทยังมีแต่พนักงานในแผนกเลย” ชายหนุ่มไหวไหล่แล้วหันไปมองชลชาติซึ่งกำลังไล่นิ้วไปบนแผ่นกระดาษที่ใช้บันทึกผลของโปรเจคแรกไว้ “หลังจากจบฝึกงานแล้วพวกแกจะไปเที่ยวกันสินะ? ระวังเลยเวลาลงทะเบียนเรียนเทอมหน้าล่ะ”
“ก็แค่ 2-3 วันเท่านั้นแหละ ปฏิทินการศึกษามันออกมาแล้วนะ แกไม่ได้ดูหรือไง?”
“ออกแล้วหรือ?”
“ออกตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แกไปทำอะไรอยู่น่ะ?” วิชชุกรถามพลางเคาะปลายนิ้วบนปุ่มเอนเทอร์ ภรัณยูจึงนิ่งคิดไปสักพักหนึ่งและนึกได้ว่าช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาค่อนข้างจะให้ความสนใจกับเรื่องของนภทีป์มากกว่าเรื่องงานและการเรียน
ถ้าเขาพูดออกไปแบบนี้ต้องโดนด่าแหง ๆ ...
“ก็...เรื่องเดิม ๆ” เขาตอบอ้อมแอ้ม
“งานวาดรูปน่ะหรือ? แล้วไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
“เรื่องนั้น...”
“เอ้า ๆ ถ้ามีเวลาคุยกันขนาดนี้ท่าทางจะว่างกันนะ” พนักงานในแผนกซึ่งมีหน้าที่ดูแลเด็กฝึกงานเดินเข้ามาในห้องแล้วพูดเย้าแหย่ชายหนุ่มทั้งสาม “รายงานเป็นยังไงกันบ้าง หัวหน้าว่างแล้วนะแต่อีกเดี๋ยวจะมีประชุม ถ้าจะไปปรึกษาก็รีบหน่อยนะจ๊ะ”
“หัวหน้าอยู่ได้ถึงกี่โมงครับ?” วิชชุกรหันไปสนทนากับผู้ดูแล ภรัณยูจึงหลุดพ้นจากคำถามที่เขาไม่กล้าตอบสักเท่าไหร่ และชลชาติก็ไม่ได้คิดจะซักไซ้แบบนั้นด้วย สิ่งที่เจ้าตัวสงสัยยังคงเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระยิ่งกว่าเช่นเคย
“ผู้หญิงที่ชกแกน่ะ สวยหรือเปล่าวะ?”
--------------------------->
นภทีป์จ้องมองเสื้อยืดสีขาวที่กองอยู่ตรงมุมหนึ่งด้วยสายตาเหนื่อยใจ เสื้อตัวนี้เป็นไซส์ของผู้ชายตัวใหญ่ มันไม่มีทางเป็นของเขาได้อยู่แล้ว แน่นอนว่ามันเป็นของผู้ชายคนหนึ่งที่เคยมาค้างคืนและ...ลืมทิ้งเอาไว้ตอนที่เร่งรีบออกไปในตอนเย็นของวันอาทิตย์เมื่อมองออกไปและพบว่าฟ้ากำลังครึ้มลงจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน หากวันจันทร์ไม่ต้องไปทำงานเจ้าตัวคงไม่รีบถึงขนาดนั้น
เฮ้อ...
ก็ยังดีกว่าลืมกางเกงในแหละนะ...
“นายกำลังคิดอยากให้เจ้านั่นลืมกางเกงในไว้แทนหรือเปล่า?” รติเอ่ยถามก่อนจะโดนเสื้อยืดสีขาวที่ยังมีกลิ่นเจ้าของสะบัดตัวคลุมเพราะแรงเหวี่ยง
“ยิ่งวันยิ่งลามกนะนายน่ะ”
“อย่าเพิ่งฉุนสิ ที” รติมุดออกมาจากเสื้อแล้วหัวเราะ “แต่เจ้านั่นคงดีใจนะที่นายซักเสื้อให้”
“ใครบอกว่าฉันจะทำ?”
“หรือนายจะทิ้งไว้แบบนี้จนถึงวันเสาร์? ฉันว่ามันจะสกปรกเกินไปหน่อยล่ะมั้ง” เจ้าของร่างกายเล็กจิ๋วทำหน้าอี๋แล้วพาตัวเองออกจากเสื้อด้วยท่าทางขยะแขยงที่เห็นได้ชัดว่าเสแสร้งแกล้งทำให้เกินจริงไปอย่างนั้น “แถมมันจะทำให้คิดได้ว่า...นายเขินอายเกินกว่าจะซักเสื้อผ้าให้เขาด้วยนะ”
“แล้วทำไมฉันจะต้องเขินกับเรื่องซักเสื้อผ้าด้วย” นภทีป์เดินมาหยิบเสื้อขึ้นจากพื้นแล้วโยนลงไปในตะกร้าเตรียมซัก ซึ่งไม่ใช่เพราะประโยคหลังของรติ แต่เป็นเพราะเจ้าตัวทนไม่ได้ที่จะอยู่ในห้องซึ่งหมกเสื้อที่ยังไม่ซักไว้ตรงมุมหนึ่ง มันดูซกมกเกินไป...
“แล้วนั่นนายจะออกไปไหนน่ะ?” รติเลิกคิ้วเมื่อเห็นนภทีป์เดินไปสวมรองเท้า
“เดินดูอะไรนิดหน่อย”
“เอ๋!? นายจะออกไปคนเดียว?”
“มันแปลกหรือไง?” เจ้าของคำถามมุ่นคิ้ว ทำให้รติรีบส่ายหน้าพั่บ ๆ แล้วบินตามไปโดยไม่คิดจะทักอะไรอีก เพราะหากนภทีป์รู้ตัวว่านี่เป็นครั้งแรก...ที่เจ้าตัวออกจากห้องด้วยความเป้าหมายที่ไม่ได้สำคัญอะไร เจ้าตัวอาจจะหันหลังกลับเจ้าห้องทันทีก็ได้ ไม่ใช่จ่ายค่าอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่เพราะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหมดตู้ ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นปัจจัยสี่ขาดหายไปเลยแต่นภทีป์ยังคงยืนยันที่จะออกไปข้างนอก...เพียงลำพังโดยไม่ใช่เพราะภรัณยูตะล่อม...เพื่อที่จะเดินดูอะไรนิดหน่อย...
หากให้เขาตอบคำถามของนภทีป์ล่ะก็...ใช่ มันแปลกมาก!
ไอ้อาการฮิคิโคโมริมันหายไปเมื่อไหร่กัน!?
แน่นอนว่ารติทำได้เพียงเก็บความสงสัยไว้ในใจและปล่อยให้นภทีป์ทำตามความต้องการ ก้าวเท้าออกไปนอกประตูด้วยความตั้งใจของตัวเอง แค่ตัวคนเดียว...และไม่มีท่าทางหงุดหงิดใจเมื่อสัมผัสกับแสงแดดร้อนระอุและที่โล่งกว้างไร้หลังคากำบัง
แต่...สุดท้ายจุดหมายของนภทีป์ก็จบลงที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดี...
แม้จะน่าผิดหวังอยู่นิดหน่อยแต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย
นภทีป์เดินวนไปทีละแผนกอย่างใจเย็น ไม่ได้รีบร้อนหยิบของไปจ่ายเงินและกลับห้องอย่างเคย บางครั้งก็หยุดมองของบางอย่างเพื่อตัดสินใจก่อนโยนของบางชิ้นลงไปในตะกร้า รติร่อนลงไปนั่งด้านในตะกร้าและมองดูขนมขบเคี้ยวจำพวกเจลาติน ก่อนจะตามด้วยน้ำหวานเข้มข้นอีกขวดหนึ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็เดินวนไปหาแผนกอื่นเหมือนเดินเล่นอย่างไร้จุดหมาย
“จะจัดเลี้ยงหรือ?” เขาเอ่ยถามเพราะอดไม่ไหว
“เปล่า ก็แค่นึกอยากกินขึ้นมา” นภทีป์ตอบก่อนสูดจมูกฟืดและยกมือขึ้นขยี้เบา ๆ เหมือนรู้สึกคันยิบ ๆ อยู่ข้างในจนน่ารำคาญ คงเพราะเครื่องปรับอากาศของห้างสรรพสินค้าที่เย็นจัดกว่าในห้องทำให้เขาคัดจมูก ปกติเขาก็เป็นโรคแพ้อากาศอยู่แล้วจึงไม่น่าแปลกใจอะไร ชายหนุ่มเดินต่อไปและหยิบกระดาษทิชชู่ห่อใหญ่ยัดใส่ตะกร้าเพราะนึกได้ว่าที่ห้องเหลืออีกไม่กี่ม้วน
“ของมันชักจะเยอะแล้วนะ” รติขยับไปนั่งที่ขอบตะกร้าเมื่อห่อทิชชู่ถูกยัดใส่เข้ามาจนไม่มีที่ให้นั่ง “เฮ้ ๆ ! ช่วงนี้นายไม่มีงานเข้าเลยนะ เอาเงินที่ไหนมาซื้อพวกนี้ได้ล่ะเนี่ย!” เจ้าตัวโบกมือเล็ก ๆ ไปมาเมื่อเห็นนภทีป์กำลังจ้องมองไส้กรอกอย่างพิจารณา
“เมื่อต้นเดือนคุณทินโอนเงินเข้ามาให้แล้วน่ะ”
อ้อ...จริงสินะ เมื่อแรกรับปากจะสอนงานให้ภรัณยู อนุทินก็บอกว่าจะให้เงินรายเดือนเป็นค่าสอนส่วนหนึ่ง แต่ว่า...
“เงินมัน...นอนอยู่ในธนาคารนะ...”
คล้ายว่านภทีป์เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ จึงยืดตัวขึ้นจากตู้ใส่ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์และยืนนิ่งไปชั่วครู่จนกระทั่งพนักงานยื่นถุงไส้กรอกที่เพิ่งสั่งไปให้ ชายหนุ่มยื่นมือไปรับและหย่อนมันลงตะกร้า ระหว่างที่เดินออกมาจากบริเวณนั้นเจ้าตัวมองของในตะกร้าคล้ายตกในภวังค์
ตอนแรกเขาแค่คิดจะมาซื้ออะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ทำไมของมันถึงได้เยอะแบบนี้ได้นะ...
“นายเฝ้าของอยู่ตรงนี้แปบนึงแล้วกัน” อย่างไรหยิบมาแล้วก็คงต้องซื้อ นภทีป์จึงวางตะกร้าลงในมุมหนึ่งของห้างใกล้ ๆ กับแคชเชียร์และรีบเดินออกไปกดเงินที่ธนาคารซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
รติกอดอก มองพฤติกรรมแปลกประหลาดนั้นอย่างไม่อาจเข้าใจได้ ที่จริงแล้วมันไม่แปลกที่จะซื้อของเยอะ ๆ เพราะการเดินซื้อของโดยไม่กำหนดเป้าหมายมักจะจบลงแบบนี้เสมอ มันเป็นเรื่องปกติสามัญของการช็อปปิ้ง แต่ที่แปลกคือ...นภทีป์ไม่เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้มาก่อนเลย อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาที่เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับอีกฝ่าย คงเพราะแต่ไหนแต่ไรนภทีป์มักจะคิดมากก่อนที่จะลงมือทำ หลาย ๆ ครั้งจึงคิดจนไม่ได้ทำ กระทั่งการซื้อของก็คิดรายการไว้ในใจและซื้อเท่าที่คิดเท่านั้น
แบบนี้...มันเรียกว่าใจลอยหรือเปล่า?
เขาไม่ทันจะได้คำตอบให้คำถามของตัวเอง นภทีป์ก็กลับมาเสียแล้วพร้อมกับเงินที่เพียงพอกับค่าสินค้า เจ้าตัวรีบยกตะกร้าออกไปชำระเงินโดยไม่เดินดูอะไรต่ออีก เพราะเกรงว่าหากเดินต่อคงจะซื้อของมากขึ้นแน่ ๆ แม้แต่นภทีป์เองก็ยังสงสัยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ตอนที่หยิบแต่ละชิ้นขึ้นมา...
ขณะที่ฟังเสียงติ๊ด ๆ ของเครื่องสแกนบาร์โค้ด นภทีป์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังตู้ไอศกรีมและเห็นไอศกรีมแบบเดียวกับที่ภรัณยูซื้อประจำ
ซื้อไปสักอันให้เจ้านั่นแล้วกัน...
ขณะที่คิดเช่นนั้นและเอื้อมมือลงไปหยิบ นภทีป์ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาคิดอะไรตอนที่ซื้อของเหล่านั้น ใช่...เขาคิดว่า...บางทีภรัณยูอาจจะชอบก็ได้ เพราะมันคือของที่เขาชอบเช่นกัน...
นภทีป์หดมือกลับจากตู้ไอศกรีมและยกขึ้นปิดปากตนเอง พวงแก้มระบายด้วยสีแดงระเรื่อจนรติเองก็ยังสังเกตเห็นได้
“ทั้งหมด 568 บาทค่ะ”
เสียงเล็กใสของพนักงานสาวเรียกทำให้นภทีป์สะดุ้งจากห้วงความคิดของตน
“อ...ครับ?”
“ทั้งหมด 568 บาทค่ะ” หญิงสาวอายุน้อยทวนคำอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม นภทีป์ยื่นแบงค์ในมือให้อีกฝ่ายและรวบถุงมาถือไว้ เมื่อได้รับเงินทอนแล้วเขาก็ยัดเหรียญเศษและแบงค์ย่อยลงไปในกระเป๋าพร้อมกับใบเสร็จก่อนสาวเท้ากลับห้องตัวเองอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงสาวพนักงานได้เห็นท่าทางแปลก ๆ ของเขาเพราะเธอคล้ายจะยิ้มกึ่งหัวเราะอยู่ในที
มันช่าง...น่าอับอายจริง ๆ ...
--------------------------->
-
“ฮัดชิ้ว!”
ให้ตายสิ...ไม่น่าชะล่าใจเลย...
นภทีป์คิดกับตนเองหลังจากขยี้จมูกจนแดง จากวันนั้นเขาคัดจมูกมาสองวัน และอยู่ ๆ ก็เริ่มจามและอึดอัดเพราะหายใจไม่ออกยิ่งกว่าเดิม
ตฤณเท้าคางมองนภทีป์ที่จามออกมาด้วยนัยน์ตาขบขันก่อนจะกลิ้งม้วนทิชชู่ไปให้
“น่าตลกตรงไหนกัน?” ชายหนุ่มร่างเล็กถามแล้วดึงทิชชู่ออกมาซับจมูกตัวเอง “แล้ววันนี้คิดยังถึงมาซะค่ำ หรืองานของคุณมันมีเวลาว่างเยอะ”
“ผมอยากมาพบคุณต่างหาก” ตฤณตอบพลางยิ้ม “แต่คุณไปติดหวัดมาจากไหนได้ล่ะเนี่ย ทั้งที่ไม่ค่อยออกไปข้างนอกแท้ ๆ”
“คงเพราะละอองฝนเมื่อวันก่อนล่ะมั้ง” นภทีป์ขยี้ปลายจมูกอีกครั้ง “ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วที่ผมจะไม่สบายเอาง่าย ๆ แค่เพราะอากาศเปลี่ยนกะทันหันนิด ๆ หน่อย ๆ” ว่าจบเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ระเบียงซึ่งพาดแขวนผ้าให้ตากแดดตากลมจนแห้งสนิท นภทีป์รู้สึกโชคดีที่มรสุมผ่านไปแล้ว ไม่อย่างนั้นผ้าชุดนี้คงจะยังไม่แห้ง ระหว่างที่คิดเช่นนั้นก็ตลบผ้าลงมาจากราวจนหมดแล้วนะมากองไว้ในห้อง
การนั่งเฉยของตฤณทำให้รำคาญขึ้นมานิดหน่อย...
แน่นอนว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเกิดมาก็มีคนบริการจึงไม่เคยมีใจคิดบริการใคร มันเป็นนิสัยประจำตัวที่ทำให้ดูเป็นคนเห็นแก่ตัวได้ง่าย ๆ นภทีป์นึกสงสัยว่าแต่ก่อนเขาทนกับนิสัยแบบนั้นของตฤณได้อย่างไร แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันช่างขัดหูขัดตา
“ถ้าว่างนักก็ช่วยกันหน่อยสิ” เขาโยนผ้าส่วนหนึ่งไปให้คนว่างงาน
“ครับ ๆ คุณดุขึ้นหรือเปล่านะ” ชายหนุ่มหัวเราะแล้วรับผ้าไม่กี่ชิ้นที่ถูกปั้นโยนมาอย่างแม่นยำ เขาสะบัดมันให้คลี่ลงบนพื้นด้วยท่าทางของคนที่ไม่เคยหยิบจับงานบ้านมาก่อนเลยในชีวิต แม้กระทั่งการพับผ้าก็พับเป็นแต่ผ้าชิ้นสี่เหลี่ยมเท่านั้น
ตฤณจับเสื้อกางลงบนพื้นตามแบบที่นภทีป์ทำ และพับทีละส่วนตามที่ตาเห็น
ทว่า...
“ผมคงไม่มีพรสวรรค์เรื่องแบบนี้เท่าไหร่” เสื้อผ้าที่ผ่านมือของตฤณแม้จะถูกพับอย่างถูกวิธีก็ยังดูยับย่นแปลกตาตามประสาคนไม่เคยทำ
“ทำบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ชำนาญ ของแบบนี้ฝึกง่ายกว่าวาดรูปเยอะไม่ใช่หรือ?” เจ้าของห้องไม่นำพาต่อคำบ่นและจดจ่ออยู่กับการพับผ้าไปทีละชิ้น ในช่วงเวลานั้น ฝ่ายผู้ช่วยก็หยิบผ้าชิ้นต่อไปแต่เจ้าตัวกลับสังกตถึงความผิดปกติบางอย่าง นั่นคือเสื้อยืดสีขาวที่ไซส์ใหญ่กว่าขนาดร่างกายของนภทีป์อย่างเห็นได้ชัด ดูจากขนาดแล้วน่าจะใหญ่กว่าเขาเล็กน้อยด้วยซ้ำ
หรือว่า...
“ที เสื้อตัวนี้...?”
นภทีป์เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกก่อนจะมุ่นคิ้วแล้วถอนหายใจ
“ของภรัณยูน่ะ คุณคงจำได้สินะ เจ้าเด็กมหาลัยตัวใหญ่ ๆ ที่มาให้ผมสอน” การตอบของนภทีป์ดูเป็นธรรมชาติจนน่าแปลกสำหรับตฤณ กับผู้ชายที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกและสร้างโลกส่วนตัวอย่างแน่นหนา ทำไมจึงพูดถึงสิ่งของของคนอื่นที่อยู่ในบ้านตัวเองเหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแบบนั้นได้?
แล้วเสื้อตัวนี้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
ในไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ได้คำตอบ
“เมื่อคืนวันเสาร์ เขามาค้างที่นี่เพราะติดฝนกลับบ้านไม่ได้”
“ค้างคืน?”
“ใช่ มีอ...” เมื่อเงยหน้าขึ้นไป นภทีป์ก็ต้องชะงักเพราะตฤณขยับเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน เรียกว่าใกล้มากเกินไปเสียด้วยซ้ำ...
“แล้ว...เขานอนเตียงเดียวกับคุณหรือเปล่า?”
“เปล่า เขานอนบนพื้นตรงที่คุณนั่งเมื่อครู่...” สีหน้าของตฤณในสายตานภทีป์ดูขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อย แม้ประโยคหลังจะทำให้สีหน้าเช่นนั้นคลายลงบ้างแล้วก็ตาม
“ที ผมไม่ชอบเขา”
หา?
“ผมไม่ชอบที่เขามายุ่งกับคุณ คุณยัง...เป็นของผมอยู่นะ” ตฤณคว้าข้อมือนภทีป์แล้วดึงให้เข้ามาใกล้เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังถอยหลังหนี “ที...”
“...ไม่ใช่”
...
เสียงปฏิเสธแผ่วเบาทำให้ทุกอย่างสงบนิ่ง
“...พวกเราไม่ใช่อะไรของกันและกันทั้งนั้น...ผมยังไม่ได้ตกลงว่าจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม” ดวงตาของชายหนุ่มร่างเล็กหลุบต่ำ เขามักจะไม่กล้าจ้องตาคนตรง ๆ โดยเฉพาะเวลาที่พูดเรื่องทำนองนี้ แพขนตาปิดบังแววใสที่ไหวระริกในดวงตาของเขา
“แต่ว่าคุณก็อนุญาตให้ผมอยู่ใกล้ ๆ จริงไหม?” ปอยผมถูกเกลี่ยเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว “ผมรู้ว่าคุณยังคิดถึงผมมาตลอดนะที ตอนนี้ไม่เห็นต้องทำใจแข็งเลยนี่ ผมก็สัญญาแล้วว่าจะคืนให้หมดทุกอย่าง แล้วผมก็คืนให้แล้วจริงไหม? ดังนั้น...”
“ไม่” นภทีป์ยกมือขึ้นกันใบหน้าอีกฝ่ายเมื่อมันโน้มเข้ามาใกล้ “ยังไม่หมดทุกอย่าง มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่คุณคืนให้ผมไม่ได้ และคุณเองก็รู้ดี”
“...ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ผมทำยังไง?”
“ไม่ต้องทำอะไร...” นภทีป์พูดพลางหันไปคว้าทิชชู่เพิ่มก่อนสั่งน้ำมูกปืดใหญ่ เขารู้ว่าการทำอย่างนี้มันขัดมู้ดสิ้นดี แต่ทำอย่างไรได้ หวัดมันไม่เลือกเวลาเสียหน่อย “ก็แค่...อย่าพยายามเรียกร้องมากเกินไป เพราะคุณก็รู้ว่าเวลามันย้อนกลับไม่ได้และผมเองก็ต้องการ...เวลาตัดสินใจ...”
“ถ้าอย่างนั้น แค่ตอนนี้ก็ได้ ทำให้ผมมั่นใจหน่อยสิว่าทียังมีแค่ผมคนเดียว” ตฤณไม่ละความพยายามง่าย ๆ ครั้งนี้เขาผลักนภทีป์จนเสียหลักลงบนพื้นและใช้น้ำหนักตัวโถมเข้าใส่ แน่นอนว่านภทีป์ไม่สามารถใช้เรี่ยวแรงต่อกรได้ทั้งด้วยกำลังกายที่ลดถอยลงเพราะอาการหวัด รวมถึงความตกตะลึงในความมุมานะและเอาแต่ใจของตฤณซึ่งเขาไม่ได้เตรียมใจรับ แต่แล้ว...
โป๊ก!
เสียงของแข็งกระทบกะโหลกประหนึ่งระฆังช่วยชีวิต กล่องพลาสติกใสไม่หนักมากนักที่ถูกวางอย่างหมิ่นเหม่บนกองกระดาษเพื่อทับไม่ให้มันปลิวตอนเปิดประตูระเบียงกลับตกลงมาบนศีรษะของตฤณอย่างพอดิบพอดี ชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายถึงกับนั่งกุมหัวเพราะถึงน้ำนักจะไม่มากแต่มันก็เอาสันลงตรงส่วนหลังของกะโหลกที่บอบบางอย่างพอดิบพอดีราวกับจงใจ
นภทีป์มองขึ้นไปและเห็นรตินั่งอยู่ตรงนั้น
เป็นครั้งแรกก็ว่าได้...ที่เขานึกขอบคุณที่ตนเองไม่ได้อยู่เพียงลำพัง...
“นี่มันอะไรกันเนี่ย!” ตฤณร้องเมื่อตั้งสติได้อีกครั้งแล้วมองกล่องพลาสติกใบนั้นอย่างโกรธเคือง “คุณยังไม่เลิกนิสัยวางของระเกะระกะอีกหรือไงกัน”
“ถ้าคุณไม่ไปกระแทกถูกตั้งกระดาษมันคงไม่ตกลงมาหรอกนะ” นภทีป์ได้ทีก็ต่อว่ากลับไปบ้างแล้วทำเป็นหน้าบึ้งเดินไปหยิบกล่องวางเทินที่เดิม ทั้งที่ในใจกำลังโล่งอก...เขาไม่ชอบเลยตอนที่ตฤณเริ่มเป็นอย่างนี้ แม้แต่ตอนที่คบหากัน ตฤณมักจะเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ถามความสมัครใจของเขาสักนิด ในตอนนั้นมันก็ไม่ได้แย่อะไรมากมายแต่ตอนนี้...ที่พวกเขายังมีเรื่องค้างคากันอยู่ มันกลายเป็นสิ่งที่น่าอึดอัดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเอาแต่ใจตัวแบบเดิมอีกครั้ง
ตฤณต้องใช้เวลานวดศีรษะอยู่นานกว่าจะหายเจ็บตรงที่โดนกระแทก ซึ่งระหว่างนั้นนภทีป์ก็บอกให้เจ้าตัวไปหาผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบในขณะที่ตนพับผ้าที่เหลือ และเมื่อนาฬิกาบอกเวลา 2 ทุ่ม ตฤณก็ขอตัวลากลับไปเพราะตอนเช้าต้องไปทำงาน
รติบินลงมาจากตั้งกระดาษหลังตฤณจากไปแล้ว เจ้าตัวบ่นอุบอิบโดยที่ผู้ฟังจับใจความไม่ได้และไม่ได้สนใจจะฟังเสียด้วยซ้ำ
“นายน่ะปล่อยตัวเกินไปแล้วนะ!” แต่อยู่ ๆ เสียงบ่นงึมงำก็กลายเป็นการตะโกนด้วยเสียงเล็ก ๆ น่าเอ็นดูที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงพูดปกติของคนทั่วไป
“ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาจะกล้าทำแบบนั้น!” นภทีป์สวนก่อนจามอีกคำรบ “ให้ตายสิ พอเป็นหวัดแล้วสมองฉันมันแล่นช้าไปหมด” เขาไม่ถูกกับอาการหวัดเลยสักนิด เพราะพอเป็นขึ้นมาทีไรก็มักจะมึนเบลอและทำอะไรได้เชื่องช้ากว่าเก่า กระทั่งการวาดรูปก็ออกมาเป๋ ๆ ปัด ๆ เหมือนคนเมาไม่มีผิด
“ถ้าจามใส่หน้าไปเลยน่าจะสนุกนะ” คำแนะนำของรติทำให้ผู้ฟังบิดริมฝีปากด้วยความรู้สึกแหยงอยู่ลึก ๆ ให้ตายเขาก็ไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นหรอก
“สกปรก...” เขาว่าก่อนกุมศีรษะซึ่งดูเหมือนจะไม่มีไข้ ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกเพลียจนอยากนอนขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา นภทีป์ไม่รู้ว่าจะฝืนตัวเองต่อไปทำไมในสภาพนี้จึงเข้านอนไปทั้งอย่างนั้นพลางคิดในใจว่า หวัดนี่มันช่างเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตจริง ๆ
TBC
-
-12-
เสียงออดดังขึ้นหลังจากปลายนิ้วกร้านสัมผัสกับปุ่มบนผนัง ทว่ากลับไม่มีการตอบรับจากภายในแม้จะผ่านไปนานสองนานแล้ว แท้ว่านภทีป์จะคืบคลานมาเปิดประตูช้าเป็นปกติแต่ครั้งนี้เหมือนจะนานผิดปกติจนน่าแปลกใจ ภรัณยูตัดสินใจกดออกอีกครั้ง และคราวนี้เขาได้ยินเสียงคลิกเบา ๆ เป็นสัญญาณของการปลดล็อคประตู แต่...หลังจากปลดล็อคแล้วประตูก็ไม่ได้เปิดออก ชายหนุ่มมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันเพราะรู้สึกผิดสังเกต เขาเอื้อมมือไปยังลูกบิดประตูก่อนจะค่อย ๆ หมุนอย่างช้า ๆ เพื่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุด
แสงจากภายนอกลอดผ่านเข้าไปในห้องมืดสนิทพร้อมกับเงาของผู้มาเยือนที่ทอดยาวไปบนพื้น น่าแปลกที่หน้าประตูไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว และภายในห้องก็ไม่มีสิ่งใดดูผิดปกติ ประตูห้องนอนของนภทีป์เองก็หับปิดอยู่เช่นเดียวกับประตูครัวและห้องน้ำ
ภรัณยูชะเง้อคอมองลูกบิดที่อีกฝั่งประตู...ก็ไม่มีอะไร...
แล้วใครปลดล็อคประตูให้เขาล่ะ?
ประตูปิดลงช้า ๆ อย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มพยายามไม่นึกสงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นโดยคิดว่านภทีป์อาจจะลืมล็อคประตูและเขาอาจจะหูฝาดไปเอง หรือไม่ฝ่ายนั้นอาจจะเดินมาปลดล็อคแล้วกลับไปนอนต่อ อย่างไรนภทีป์ก็เป็นคนที่เข้าใจยากอยู่แล้ว พฤติกรรมเช่นนั้นจึงไม่น่าแปลกอะไรนัก
“คุณที?” เขาขานเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบรับ แต่มีเสียงบางอย่างดังขึ้นหลังประตูห้องนอน ภรัณยูจึงเดินไปที่หน้าประตูก่อนจะยืนชั่งในอยู่สักครู่หนึ่ง เพราะการอยู่ ๆ ก็เปิดเข้าไปในห้องนอนคนอื่นเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมากแม้จะไปมาหาสู่กันจนคุ้นเคยแล้วก็ตาม แต่ตอนที่ชายหนุ่มกำลังยืนมองบานประตูสีขาวครีมนั้นเขาก็พบว่ามันแง้มอยู่เล็กน้อยทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประตูและวงกบ ภรัณยูดันบานประตูช้า ๆ ทำให้เขาได้เห็นสภาพภายในห้องซึ่งยังคงเหมือนกับวันที่เขามานอนค้างที่นี่และมองผ่านประตูที่เปิดอ้า
นภทีป์นอนนิ่งอยู่บนเตียง หันหลังให้ประตู เปิดแอร์เย็นฉ่ำ และห่มผ้าจนเกือบปิดศีรษะ
“คุณที เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ?” ภรัณยูถือวิสาสะเดินเข้าไปถึงตัวและสะกิดปลุก เจ้าของห้องปรือตาขึ้นมาเล็กน้อยก่อนเหลือบมองผู้บุกรุกด้วยสายตาแสดงความรำคาญ กระนั้นก็ยังขยับลุกขึ้นและกุมศีรษะตัวเองด้วยท่าทางคล้ายมึนงงและต้องการเวลาลำดับความคิดตัวเอง
“นาย...เข้ามายังไง?”
“คือ...ประตูมันไม่ได้ล็อคน่ะครับ” เมื่อได้ยินคำตอบ นภทีป์ก็เลื่อนสายตามองไปทางด้านหลังภรัณยูและพบตัวการอยู่ที่นั่น รติคงจะเห็นว่าเขาไม่ตื่นเสียทีเลยไปปลดล็อคกระมัง...มันช่วยไม่ได้ที่เขารู้สึกเพลียจนไม่รู้สึกถึงเสียงออดเลย
“อ้อ...อืม...ฉันจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน...” ว่าแล้วชายหนุ่มร่างเล็กก็ขยับตัวลงจากเตียงในสภาพโงนเงนยืนไม่มั่นคงทำให้ภรัณยูต้องเข้าประคองก่อนจะรู้สึกแปลกที่ลมหายใจของอีกฝ่ายซึ่งเป่ารดบนอกของตนมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติเล็กน้อย ซ้ำปฏิกิริยาตอบรับก็ไม่รุนแรงเหมือนวันก่อน ๆ “นายจะเข้ามากอดฉันทำไม ออกไปห่าง ๆ ได้แล้ว” นภทีป์พูดเพียงแค่นั้นด้วยเสียงเนือย ๆ แล้วผละตัวออก
“เดี๋ยวก่อน” ภรัณยูรั้งอีกฝ่ายไว้ก่อนอังมือกันหน้าผากและแก้ม “เป็นไข้อยู่ไม่ใช่หรือครับ? ตอนนี้อย่าเพิ่งอาบน้ำดีกว่า เดี๋ยวผมจะเอาน้ำอุ่นกับผ้าเช็ดตัวมาให้” ว่าแล้ว เขาก็ดันนภทีป์กลับไปที่เตียงและกดให้นั่งลงโดยที่เจ้าตัวไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืน ตอนที่ภรัณยูหมุนตัวออกไป นภทีป์จึงคลำตัวเองดูบ้างและพบว่ามีไข้จริง ๆ มิน่าเล่าจึงได้รู้สึกเมื่อยเนื้อตัวไปหมดจนแทบไม่อยากลุก นี่มันเพราะประมาทเองแท้ ๆ ...ทั้งการออกไปตากละอองฝนที่เพิ่งหยุดตกเพื่อซื้อของเป็นเพื่อนภรัณยู รวมถึงการไม่ยอมกินยาทั้งที่เริ่มเป็นหวัดเพราะคิดว่าคงจะแค่หวัดธรรมดาและเดี๋ยวก็คงหายไปเอง การเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเป็นเวลานานและกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะทำให้ภูมิคุ้มกันของเขาลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด ผลจึงกลายเป็นอย่างนี้เข้าจนได้
เสียงภรัณยูเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกทำให้นภทีป์ระลึกได้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย เขาพยายามลุกขึ้นอีกครั้งแต่อีกฝ่ายก็เปิดประตูเข้ามาพอดีพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนูผืนใหญ่
“ผมหาผ้าเช็ดตัวที่เล็กกว่านี้ไม่ได้เลย คงต้องใช้แก้ขัดไปก่อน”
“ในลิ้นชักนั่นมีผืนเล็กกว่านี้อยู่” นภทีป์ชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าขนาดย่อม ทำให้ภรัณยูพบผ้าขนหนูที่ยาวประมาณหนึ่งช่วงแขนและค่อนข้างบาง
“ถอดเสื้อออกสิครับ”
หา?
ถึงจะยังมึนงงอยู่ แต่คำสั่งนั้นก็ทำให้นภทีป์ต้องหยุดคิด
“ผมจะเช็ดตัวให้” ภรัณยูพูดต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ จากนั้นจึงเดินไปปิดสวิตช์เครื่องปรับอากาศ
“...ไม่...ฉันจะจัดการเอง นายออกไปรอข้างนอก”
“แค่ถอดเสื้อให้ผมเช็ดตัวให้เท่านั้นเอง ผมไม่ทำอะไรมากกว่านั้นหรอก” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะให้กับความกังวลเล็ก ๆ ของคู่สนทนา กระนั้นนภทีป์กลับไม่ได้โล่งใจขึ้นแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่ได้คิดว่าภรัณยูจะทำอะไรกับเขาอยู่แล้ว เพียงแต่...มันน่าอายก็เท่านั้น...
“นายกำลังคิดลึกอยู่ล่ะสิ” รติเข้ามากระซิบ
“ไม่ใช่...” นภทีป์ตอบลอดไรฟันเพราะเกรงว่าภรัณยูจะได้ยิน
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นเป็นไร ผู้ชายถอดเสื้อให้กันเห็นเป็นเรื่องปกติจะตาย”
ถ้าแค่ถอดเสื้อผ้ามันก็เรื่องหนึ่ง...แต่เจ้านั่นจะเช็ดตัวให้ด้วย นี่สิที่ทำให้คิดหนัก การถูกสัมผัสร่างกายโดยบุคคลอื่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้คุ้นชินได้โดยง่าย กระนั้นรติก็คะยั้นคะยอข้างหูว่าหากเขาไม่ยินยอมก็เหมือนเป็นการประกาศทางอ้อมว่ากำลังคิดลึกกับภรัณยูอยู่ การถูกครหาเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากจะรับได้เหมือนกัน นภทีป์จึงจำใจยินยอมรับความหวังดีโดยถอดเสื้อของตัวเองออกและนั่งนิ่งอยู่บนเตียง
ภรัณยูยิ้มมุมปาก พยายามกลั้นขำกับความเขินอายที่แสดงออกผ่านใบหน้า
เขาขยับเข้าไปใกล้และชุบน้ำด้วยผ้าผืนเล็ก เมื่อบิดพอหมาด ๆ แล้วก็ค่อย ๆ สัมผัสลงบนผิวเนื้อซีดขาวเพราะไม่ค่อยได้พบเจอแสงแดด น้ำอุ่นที่ถูกชะโลมบนผิวกายค่อย ๆ กลายเป็นเย็นเมื่อผืนผ้าเลื่อนผ่านไปไม่นาน และมันได้พัดพาอุณหภูมิร้อนรุ่มของพิษไข้ไปด้วยเล็กน้อย
หลังจากเช็ดร่างกายด้านบนเสร็จแล้วภรัณยูก็เลื่อนมาที่ขา เพราะนภทีป์สวมกางเกงขาสั้นจึงไม่ต้องให้ถอดออก กระนั้นเมื่อชายหนุ่มเลื่อนผ้าเข้าไปใต้ขากางเกง เขาก็รู้สึกถึงอาการสะดุ้งเล็ก ๆ
“ที่เหลือฉันจัดการเองได้แล้ว หรือนายอยากจะเห็นผู้ชายเปลือย” นภทีป์ผลักมืออีกฝ่ายออกแล้วยึดผ้ามาถือเอง เขาคงไม่อาจใจกว้างถึงขนาดจะให้ภรัณยูเข้ามารุกล้ำที่ลับของตนได้
“ก็ไม่แน่นะครับ” แต่แล้วภรัณยูกลับทำให้สมองของนภทีป์มึงงไปชั่วขณะ ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะก่อนจะยิ้มจนตาหยี “คุณบอกว่าผมควรสเกตซ์ภาพให้มาก ๆ เพื่อเรียนรู้แสงเงาจากรูปทรงที่หลากหลาย แต่ว่า...ทั้งที่คุณทีอยู่ใกล้ตัวที่สุด ผมกลับยังไม่เคยสเกตซ์ภาพคุณเลย อืม...การสเกตซ์รูปร่างคนควรเริ่มจากภาพเปลือยก่อนใช่หรือเปล่า ดังนั้นการเห็นคุณเปลือยสักครั้งก็ไม่น่าเสียหาย”
ไม่รู้ว่าภรัณยูรู้หรือไม่ ว่าตอนที่นภทีป์มีไข้มักจะไม่สามารถทำความเข้าใจประโยคยาว ๆ ที่ต้องใช้ความเป็นเหตุเป็นผลมาตอบโต้ได้ ทำให้จำต้องยืนฟังอีกฝ่ายพูดจนจบประโยคโดยไม่สามารถจับใจความได้มากนักนอกจากเรื่องสเกตซ์ภาพเปลือย
“ผมล้อเล่น” พอเห็นปฏิกิริยาที่ค่อนไปทางมึนงงและสับสน ภรัณยูก็หลุดหัวเราะออกมาอีกคำรบและจำต้องหยุดพักการหยอกล้อแต่เพียงเท่านี้ เพราะสมองของนภทีป์คล้ายจะรับรู้ได้ช้ามากเสียจนน่าสงสาร พอคิดเปรียบเทียบกับเจ้าตัวตอนปกติที่มักจะขึงหน้าตึงใส่เขาและบางครั้งก็ตวาดใส่ราวกับเขาทำผิดร้ายแรงจนไม่น่าให้อภัย นภทีป์ในเวลานี้ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง
ถึงอย่างนั้นเขาก็ชอบในเวลาปกติมากกว่า...
ชายหนุ่มร่างสูงล่าถอยออกไปเพื่อให้เจ้าของห้องได้มีเวลาส่วนตัว ซึ่งช่วงเวลาที่ถูกทิ้งว่างไว้นั้น สมองของนภทีป์ก็เรียบเรียงประโยคที่ได้ยินก่อนหน้าอย่างช้า ๆ ลูกนัยน์ตากลอกไปมาเล็กน้อยก่อนจะหยุดนิ่งตามด้วยอาการเบิกตาโพลงพร้อมกับพวงแก้มที่แดงซ่านเกินกว่าผลของไข้หวัด นภทีป์อ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างตอบโต้กลับไปแต่มันก็เกินกว่าความสามารถของสมองในเวลานี้ รวมถึงผู้ฟังก็ไม่อยู่รอฟังคำต่อว่าแล้ว ทำให้เจ้าตัวได้แต่ฮึดฮัดอยู่คนเดียว
“นายในตอนนี้นี่ท่าทางจะสู้รบปรบมือกับใครเขาไม่ไหวซะล่ะมั้ง...” รติทอดสายตามองกึ่งอาดูรกึ่งสงสารแต่ก็ยังแฝงด้วยความขบขัน
“ไม่ต้องพูดมากเลย!” แม้จะกลับมาตวาดใส่คนอื่นได้อีกครั้ง แต่ผลของมันก็ทำให้เกิดอาการไอค่อกแค่กจนคันคอยิบ ๆ นภทีป์เลือกที่จะถนอมเสียงของตนเองไว้และหันไปจัดการกับสิ่งที่ตนเองควรทำในเวลานี้ นั่นคือทำความสะอาดร่างกายในที่ลับและเปลี่ยนเสื้อผ้า
--------------------------->
ตอนที่นภทีป์เดินออกมาจากห้องก็เดินไปยังห้องครัวทันทีเพราะแน่ใจว่าภรัณยูน่าจะกำลังทำอาหารเช้าให้ตนอยู่ เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มร่างสูงก็สะดุ้งนิดหน่อยแล้วหันมายิ้มแหย นภทีป์มุ่นคิ้วก่อนชะเง้อมองในหม้อด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรจึงได้แสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา และเขาก็พบว่าภายในหม้อมีน้ำที่กำลังเดือดปุด ๆ พร้อมกับดันเอาเม็ดข้าวสีขาวลอยฟ่องขึ้นมาและจมหายไป
“นาย...พยายามจะทำข้าวต้ม?”
“ก็ประมาณนั้นครับ...แต่ว่า...” ภรัณยูหันกลับไปมองหม้อที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนข้าวต้มเสียที ทั้งที่เขาคิดมาตลอดว่ามันเป็นเมนูที่ทำง่ายที่สุดแล้วแท้ ๆ
“นายใส่ข้าวสารลงไป?”
...
พ่อครัวจำเป็นพยักหน้าหงึกหงักแล้วยืนเหงื่อแตกซิกอยู่หน้าเตาไฟฟ้า ก่อนจะเหลือบมองคนป่วยที่ดูเหมือนเหนื่อยใจอยู่ในที
“เอาเถอะ ต้มสักชั่วโมงก็คงกินได้” นภทีป์คร้านจะอารมณ์ขุ่นกับเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณพิษไข้ที่ทำให้เจ้าตัวหงุดหงิดไม่ขึ้น อารมณ์ของเขาใกล้เคียงคำว่าเหนื่อยหน่ายเสียมากกว่า เพราะอย่างไรก็คาดหวังกับเซนส์การทำอาหารของภรัณยูได้ยาก ผิดกับเซนส์ด้านศิลปะอย่างลิบลับ คนเราเนี่ย...ไม่มีทางเก่งไปเสียทุกอย่างจริง ๆ สินะ?
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมออกไปซื้อโจ๊กแบบกึ่งสำเร็จรูปมาดีกว่า เดี๋ยวคุณหิวแย่” ภรัณยูว่าอย่างนั้นแล้วรีบหมุนตัวออกไป แต่ก็ถูกรั้งเอาไว้
“ไม่ต้องหรอก วันก่อนฉันไปห้างก็เลยซื้อของมาตุนไว้แล้ว” หลังพูดจบ นภทีป์ก็ปล่อยมืออีกฝ่ายแล้วเดินไปที่ตู้เก็บของแห้ง โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปซองหนึ่งถูกนำมาฉีกใส่ถ้วยเซรามิกใบย่อมในขณะที่คนทำกำลังสูดหายใจฟืดฟาดและขยี้ปลายจมูกด้วยความรำคาญ คนที่ได้แต่มองจนถึงเมื่อครู่ทนมองต่อเฉย ๆ ไม่ไหวจึงดึงมาทำเองก่อนที่เจ้าของโจ๊กจะทำน้ำมูกหยดลงไปแทนน้ำร้อน
ในที่สุดทั้งสองก็ตัดสินใจปล่อยให้ข้าวโดนต้มต่อไปจนกว่าจะได้ข้าวต้มอย่างที่ต้องการ และมานั่งกินโจ๊กอยู่ที่โต๊ะเตี้ยในห้อง
“จริงสิ ตั้งแต่ตอนนี้ไปอีกประมาณ 3 สัปดาห์ ผมจะได้หยุดยาวก่อนเปิดเรียนแล้วนะครับ”
“อืม...นายก็ต้องมาเรียนอยู่ดี หรือว่านายคิดจะขอหยุด?” นภทีป์ถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่อนุญาตแน่นอน แต่คิดอีกที...สภาพเขาเป็นอย่างนี้ควรจะหยุดสักสัปดาห์ดีไหมนะ ไม่อย่างนั้นคงได้ติดกันนัวเนีย
“ผมคงขอแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะเวลาของผมมีน้อย ถ้าเปิดเรียนผมก็ต้องยุ่งกับโปรเจค ดังนั้นผมเลยคิดว่าในเมื่ออยากจะฝึกให้เต็มที่ ผมน่าจะมาค้างที่นี่จนกว่าจะ...” ภรัณยูพูดได้แค่นั้นก็ต้องชะงักเพราะผู้ฟังเกิดสำลักไอขึ้นมาจนต้องรีบคว้าน้ำดื่มส่งให้ “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
นภทีป์ต้องใช้เวลาอยู่นานเพื่อสงบอาการของตนเองและสูดหายใจลึก
“ทำไมจะต้องมาค้างที่นี่ด้วย แล้วตั้งสามสัปดาห์ บ้านช่องไม่มีให้นอนหรือยังไง”
“ไม่ดีหรือ? ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปมา แล้วตอนนี้คุณก็ไม่ค่อยสบายด้วย มีคนอยู่ด้วยจะดีกว่าไม่ใช่หรือครับ?” ผู้พูดกล่าวด้วยใบหน้าและน้ำเสียงใสซื่อไร้เล่ห์กล ทั้งยังเลิกคิ้วสูงราวกับกำลังสงสัยว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดตรงไหน “อีกอย่าง ผมก็เคยค้างที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว ผมนอนบนพื้นเหมือนเดิมก็ได้ คิดเสียว่ามีคนช่วยเฝ้าบ้านตอนค่ำไงครับ”
มันก็จริง...ผู้ชายสองคนค้างด้วยกันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเริ่มจะ...
นภทีป์เม้มริมฝีปากพลางนึกเหตุผลที่จะนำมาคัดง้าง
“คราวก่อนผมลืมเสื้อไว้ด้วยนี่นา”
“ฉันซักให้ไปแล้ว” คำตอบสวนกลับมาอย่างรวดเร็วด้วยความปากไวโดยที่เจ้าตัวไม่ทันยั้งคิด เมื่อตอบจบประโยคก็ถึงกับกลั้นหายใจและละล่ำละลักพูดต่อ “...มันเห็นเหงื่อ! แล้วฉันก็ไม่ชอบให้อะไรมาหมกไว้ในบ้านฉันนาน ๆ ด้วย” แต่พอพูดส่วนที่เหลือออกไปนภทีป์ก็นึกเสียใจขึ้นมาเพราะการตะโกนทำให้คอของเขาเริ่มคันยิบ ๆ จนไอติดกันอีกหลายครั้งกว่าจะหยุดได้
“ผมเข้าใจแล้ว” ภรัณยูหัวเราะแล้วช่วยลูบหลังคนป่วย “เอาเป็นว่าไม่มีปัญหา งั้นผมจะกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อน เริ่มคืนนี้เลยก็แล้วกัน”
“เดี๋ยว...”
“จะว่าไป เพราะคุณทีป่วยอยู่หรือเปล่านะถึงได้ซื้อขนมมาเต็มตู้แบบนั้น” แต่แล้วอยู่ ๆ ภรัณยูก็เปลี่ยนหัวข้อเอาเสียดื้อ ๆ ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นหัวข้อที่ทำให้นภทีป์นึกอยากกลับไปนอนมุดผ้าห่มบนเตียงพอ ๆ กับหัวข้อแรก เพราะขนมพวกนั้นเขาก็ซื้อมาเพราะคิดถึงอีกฝ่ายเช่นกัน
“...ฉันจะกินอะไรมันหนักอวัยวะส่วนไหนของนายไม่ทราบ” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น นภทีป์ก็หลบตาเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมทั้งพวงแก้มที่มีสีเลือดระบายอยู่เรื่อ ๆ
“ครับ ๆ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แค่แปลกใจเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มยิ้มบางแล้วเก็บชามที่อีกฝ่ายกินเสร็จแล้วไปหลังบ้านพร้อมกับปิดเตาไฟฟ้าเมื่อเห็นว่าข้าวน่าจะใช้ได้แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ต้องทิ้งมันไว้จนกว่าจะถึงมื้อเที่ยง ถึงตอนนั้นคงจะต้องอุ่นอีกรอบ
นภทีป์ได้แต่ถอนหายใจกับตนเองเมื่อภรัณยูหันไปสาละวนกับเรื่องในครัว นับวัน เขาก็ยิ่งรู้สึกตัวว่าเข้าหน้าอีกฝ่ายยากขึ้นทุกที จนกระทั่งหลัง ๆ แทบไม่มีเรื่องใดเลยที่พวกเขาจะสามารถพูดคุยกันได้อย่างปกติและเป็นธรรมชาติ เพราะไม่ว่าประเด็นอะไร ก็ทำให้เขาอยากหลีกเลี่ยงไปเสียหมด บางทีเขาเองก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจมากเกินไปหรือเปล่า ทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของภรัณยูแม้แต่น้อยที่เกิดมาเป็นคนเอาใจใส่คนอื่น และมักจะอยากรู้อยากเห็นว่าอีกคนหนึ่งคิดอะไรอยู่ ถึงอย่างนั้นมันก็สวนทางกับนิสัยของเขาที่ไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในขอบเขตของตนเองมากจนเกินไป
เม็ดยาหลังอาหารหล่นลงบนโต๊ะก่อนที่รติจะนั่งลงข้างเม็ดยาเม็ดนั้นโดยไม่พูดอะไร แค่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวเหมือนกำลังสุขใจเล็ก ๆ
สีหน้าแบบนั้นทำให้ผู้มองคร้านจะถามหาคำตอบเพราะหน่ายที่จะโดนแซวเอาในเวลาอย่างนี้ นภทีป์จึงโยนเม็ดยาลงคอพร้อมกับดื่มน้ำตามโดยไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
แต่แล้วรติก็อดเงียบเฉยอยู่ไม่ได้
“ถึงกับขอค้างเลยนะเนี่ย”
“ก็แค่ขี้เกียจเดินทางเท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง” พอรติพูดขึ้นมา นภทีป์ก็นั่งเงียบไม่ไหวเช่นกันจึงได้สวนกลับทันทีด้วยเสียงแผ่วเบาและค่อนข้างแหบเล็กน้อยเพราะสภาพลำคอที่ไม่ปกติ
“คิดแง่ดีสิที เขาเป็นห่วงนายออกนะ”
“ถ้าฉันป่วยจนสอนเขาไม่ได้ เขาก็ต้องจบไปแบบตามใจพ่อแม่เหมือนเดิมน่ะสิ”
“ถ้าแค่นั้นคงไม่บริการขนาดนี้หรอก เขาพยายามฝึกทำอาหารด้วยนะ ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิตด้วยซ้ำ แล้วมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ชายแบบเขาด้วย”
“ผู้ชายทำอาหารแปลกตรงไหน เดี๋ยวนี้ผู้ชายส่วนใหญ่ทำอาหารพื้น ๆ ได้ไม่เห็นแปลก”
ว่ารติจะพูดอะไรออกมา นภทีป์ก็หาข้ออ้างอื่นมาค้านทุกครั้งจนต่างคนต่างจนคำพูด รติจึงถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อนหน่ายแล้วกอดอกพลางบ่นอุบอิบ
“นายนี่หัวดื้อชะมัดเลย แต่ก่อนนายออกจะน่ารักแท้ ๆ”
พอพูดถึงเรื่องอดีต พลันสายตาของนภทีป์ก็ขึงขวางขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้เห็นปฏิกิริยาเช่นนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนที่จะได้ถกเถียงกันต่อ ภรัณยูก็เดินออกมาจากห้องครัวเหมือนระฆังห้ามศึก
“ผมขอกลับไปเอาของที่บ้านก่อนนะครับ สัก...2 หรือ 3 ชั่วโมงน่าจะกลับมาถึง ถ้าผมมาช้าคุณทีจะอุ่นข้าวต้มกินไปก่อนก็ได้ แต่ถ้าผมมาทันข้าวเที่ยงผมจะเอากับข้าวที่บ้านมาฝากด้วย” ภรัณยูว่าขณะมองนาฬิกา และคิดถึงกับข้าววันนี้ว่าแม่ทำอะไรไว้บ้าง รู้สึกว่าจะมีของที่ไม่แสลงคอสำหรับคนป่วยอยู่ด้วยเพราะพ่อก็เริ่มมีอาการหวัดขึ้นมาเหมือนกัน ดังนั้นนภทีป์น่าจะกินกับข้าวต้มได้อย่างสบาย ๆ
ขณะที่คิดเรื่องเปื่อยอยู่นั้น ภรัณยูก็เดินออกไปสวมรองเท้าและสะพานเป้ขึ้นบ่าโดยไม่ได้สนใจเสียงประท้วงของเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย
นภทีป์ฮึดฮัดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนั่งปลง
เขาคิดไปเองหรือยิ่งวันภรัณยูก็ยิ่งแปลกไปกันนะ แรก ๆ เจ้าตัวกลัวเขาไปเสียทุกอิริยาบถ จะขยับ จะอ้าปาก จะเคลื่อนไหวก็เกรงกลัวว่าเขาจะดุอยู่เรื่อย ๆ แต่มาตอนนี้ ปฏิกิริยาของเขาคล้ายจะกลายเป็นของสนุกสำหรับอีกฝ่าย และบางครั้งภรัณยูก็ทำเหมือนว่าเลิกเกรงกลัวการต่อว่าของเขาไปแล้ว แม้จะตามใจเขาอยู่เหมือนเดิมแต่ก็มีบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสนิทชิดเชื้อมากขึ้น
แบบนั้น...ดูคล้ายตฤณขึ้นมานิดหน่อย...หรือเปล่า?
--------------------------->
-
ความกระตือรือร้นของภรัณยูสร้างความแปลกใจให้กับครอบครัวเป็นอันมาก แม้เจ้าตัวจะเป็นเด็กกิจกรรมมาแต่เดิม กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นชายหนุ่มเก็บของใส่กระเป๋าด้วยท่าทางที่มีความสุขถึงขนาดนี้มาก่อน ราวกับว่ากำลังจะไปทริปพิเศษซึ่งเฝ้ารอมานานแสนนาน ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่ไปเก็บตัวฝึกพิเศษสามสัปดาห์เท่านั้นเอง มันควรจะเป็นเรื่องน่าเบื่อด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ?
แต่...ตั้งสามสัปดาห์เชียว?
“ไม่คิดจะอยู่บ้านบ้างเลยหรือยังไงกัน นายรัณ แล้วบอกพ่อเขาหรือยังน่ะเรื่องนี้” เพลงพิณพับเสื้อให้ลูกชายพลางเอ่ยถาม ใจจริงเธอไม่เห็นด้วยเลยที่จะปล่อยลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปพักค้างคืนกับคนที่เธอไม่รู้จักมักจี่ ถึงจะรู้ว่าลูกชายปกป้องตัวเองได้แน่นอนก็ตามที “แล้วครูสอนพิเศษนี่ยังไงกันนะ รู้ว่าเราเพิ่งจะได้วันหยุด ก็เรียกไปอยู่ด้วยจนถึงเปิดเทอมเชียว”
“ผมเป็นคนขอเองแหละครับ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะไม่กลับบ้านหรอก คิดว่าจะขอกลับมาอยู่บ้านวันอาทิตย์แทน จะได้พร้อมหน้าทั้งครอบครัวบ้าง” ภรัณยูแก้ต่างให้นภทีป์พร้อมกับหาเหตุผลที่จะทำให้แม่ของตนอารมณ์ดีขึ้นไปในตัว ซึ่งเพลงพิณก็คล้ายจะคลายความขุ่นใจลงได้เล็กน้อย
“แหม เดี๋ยวนี้พี่ปากหวานน่าดูเลย ติดมาจากคุณทีคนนั้นหรือเปล่า คงมีเสน่ห์น่าดูเลยใช่ม้า~” พิณาลัยทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามประสาเด็กสาวเมื่อคิดถึงชายหนุ่มในฝัน
แต่เป็นที่น่าเสียดาย...เพราะนภทีป์ไม่ใช่คนประเภทเดียวกับที่พิณาลัยกำลังจินตนาการถึงเลยแม้แต่น้อย กระนั้น เพราะไม่อยากทำลายความฝันน้องสาว ภรัณยูจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
“อย่าไปติดนิสัยเสีย ๆ มาแล้วกัน พวกจิตรกรจะมีมุมมองประหลาด ๆ กันอยู่ด้วย” เพลงพิณยังไม่วายหาเรื่องบ่นขึ้นมาอีกจนได้
“คุณทีไม่ใช่คนไม่ดีหรอกครับ” ชายหนุ่มหัวเราะ “เอาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะพามาแนะนำให้รู้จักบ้าง แต่อาจจะยากหน่อยก็ได้”
“ทำไมกัน ไม่อยากมาบ้านเราขนาดนั้นเลยหรือยังไง?”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ” ภรัณยูรีบแก้ต่างให้เมื่อแม่เริ่มขึ้นเสียงไม่พอใจ “แต่คุณทีค่อนข้างจะชอบเก็บตัวทำงาน แม่ก็น่าจะรู้นี่ครับ พวกจิตรกรน่ะ” การแก้ต่างของเขาช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้มาก แม้ความจริงแล้วนภทีป์จะไม่ได้เก็บตัวทำงานอย่างที่กล่าวอ้างก็ตาม ที่จริงแล้วตัวภรัณยูก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่าสาเหตุจริง ๆ ที่ทำให้นภทีป์เป็นคนเก็บตัวนั้นคืออะไร แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัว แต่ส่วนที่เหลือน่าจะเป็นเรื่องอื่น เพราะดูเหมือนระยะหลังนภทีป์ก็ไม่ได้รู้สึกแย่มากนักกับการต้องออกไปข้างนอกเพียงลำพัง
นั่นมันหมายความว่า สิ่งที่กดทับอยู่ในใจได้บรรเทาเบาบางลงบ้างแล้วหรือเปล่า?
ภรัณยูอดคิดเข้าข้างตนเองขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้ ว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตัวเขาที่แทรกเข้าไปในชีวิตของอีกฝ่าย แม้ว่าจะเป็นการเข้าข้างตัวเองเพียงวูบเดียว ภรัณยูกลับชอบความคิดนั้นและแอบอมยิ้มอยู่เพียงลำพังกับสิ่งที่ไม่พูดออกไปให้ใครรับรู้
ภรัณยูใช้เวลาอยู่ที่บ้านนานกว่าที่คิดไว้ เพราะตอนแรกเขาคิดจะเอาไปกี่ชุดแล้วซักเวียนใส่ แต่เพลงพิณกลับไม่เห็นด้วยและบังคับให้เอาไปหลายชุดเผื่อไม่พอใช้ อีกทั้งยังออกไปซื้อสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน และผ้าขนหนูให้ใหม่หมด ราวกับว่าลูกชายของเธอกำลังจะไปเข้าค่ายเก็บตัวนักกีฬา ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่ไปค้างห้องคนอื่นซึ่งมีเครื่องอุปโภคพื้นฐานครบครัน
กว่าที่ทุกอย่างจะพร้อมสรรพตามความเห็นของเพลงพิณ เวลาก็บ่ายคล้อยเสียแล้ว
“ผมต้องรีบไปแล้วนะครับ” ภรัณยูว่าขณะที่เพลงพิณยังเอาแต่ตรวจตรากระเป๋าของเขา “ตอนนี้คุณทีไม่ค่อยสบาย ผมไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียวนาน”
“โห...พี่ห่วงคุณทีคนนี้จังเลยนะ แอบมีกุ๊กกิ๊กกันหรือเปล่าเนี่ย” พิณาลัยอดไม่ได้ที่จะแซวขึ้นมา
“แก่แดดไปแล้วนะเราน่ะ” ชายหนุ่มหยอกแก้มน้องสาวในเชิงหยอก “จริงสิ ผมเอาอาหารบางส่วนไปด้วยนะครับ เพราะกว่าจะไปถึงคงค่ำพอดี”
“จะเอาก็เอาไปสิ แต่ต้องไปอุ่นเอาเองนะ” เพลงพิณยังคงไม่มีปัญหากับเรื่องอาหารการกิน ในที่สุดเธอก็ผละจากกระเป๋าเสื้อผ้าไปจัดแจงเรื่องอาหารแทน ทำให้ภรัณยูสามารถปิดกระเป๋าได้ในที่สุด ส่วนพิณาลัยก็ช่วยผูกถุงใส่เครื่องอุปโภคชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แม่ไปซื้อมาให้ไว้กับหูกระเป๋า เมื่อเพลงพิณนำอาหารที่เหลือมาส่ง ภรัณยูก็รีบถือโอกาสร่ำลาครอบครัวแล้วออกเดินทางทันที
แต่ตอนที่เดินออกไป พ่อก็สวนกลับเข้ามา ดูเหมือนว่าพ่อจะลากลับเร็วกว่าปกติเพราะอาการป่วยดูไม่ค่อยดีกระมัง?
“จะไปไหนน่ะ? ทำไมแบกของเยอะแยะแบบนั้น?” ภูริชมองลูกชายพลางเลิกคิ้ว แม้จะรู้สึกเหนื่อยและเพลียจากการทำงานแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะซักไซ้การกระทำที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ไปค้างที่ห้องของคุณทีน่ะครับ พ่อจำได้ไหม คนที่เป็นครูสอนศิลปะผม”
“อ้อ อืม...จำเป็นต้องไปค้างเลยหรือ?” ชายวัยกลางคนมุ่นหัวคิ้วเข้าหากัน “แกเพิ่งจะจบฝึกงาน เรื่องรายงานเรียบร้อยแล้วหรือยัง ที่จริงพ่อก็ไม่ได้คัดค้านหรอกนะที่แกจะทำอะไรตามใจบ้าง แต่ก็อย่าลืมสิ่งที่สำคัญต่อตัวแกเองด้วยล่ะ”
“เรื่องรายงานส่วนของผม ผมทำเสร็จแล้วล่ะครับ ที่เหลือก็รอชลชาติกับวิชชุกรเอามารวมกัน ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ” ภรัณยูอธิบายให้พ่อของตนคลายใจ “อีกอย่าง ผมอยากจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากที่สุด นอกจากนี้คุณทีก็กำลังป่วยอยู่ด้วย เขาอยู่คนเดียวก็น่าสงสารนะครับ”
ภูริชพยักหน้ารับรู้ก่อนไอออกมานิดหน่อย
“รีบเข้ามากินข้าวปลาเถอะค่ะจะได้กินยาแล้วนอน ตัวคุณเองก็ป่วยอยู่ก็ยังจะฝืนไปทำงานอีก” เพลงพิณเดินออกมาลากตัวภูริชเข้าบ้านแล้วหันไปทางภรัณยู “เราก็เหมือนกัน ไปดูแลคนป่วยก็ดีอยู่แต่อย่าไปติดมาอีกคนเสียล่ะ นี่ก็ใกล้เปิดเทอมแล้ว ดูแลตัวเองดี ๆ หน่อย”
สุดท้ายเขาก็ไม่อาจหนีพ้นการบ่นว่าของแม่ได้ ชายหนุ่มแค่เพียงหัวเราะกลับไปแล้วบอกลาอีกครั้งก่อนเร่งรีบเดินทางอย่างที่ตั้งใจ
กระนั้นถนนในกรุงเทพมหานครก็ไม่ได้เป็นใจสักเท่าไหร่
กว่าเขาจะกลับถึงห้องของนภทีป์ก็ปาเข้าไปเสีย 1 ทุ่มกว่า และพบว่านภทีป์ไม่ได้ล็อคประตูห้องไว้ เจ้าของห้องนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะตัวเตี้ยสำหรับทำงาน แม้จะเปิดแอร์เย็นฉ่ำแต่ก็ยังมีเหงื่อออกเป็นเม็ดเล็ก ๆ ทั้งใบหน้า ถัดไปไม่ไกลมีชามใส่ข้าวต้มวางอยู่ แม้จะถูกกินจนหมดชามแต่จากรอยเปื้อนรอบ ๆ ก็เดาได้ว่าเจ้าตัวตักมาไม่มากนัก ภรัณยูถอนหายใจกับตัวเองและคิดขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในใจที่กลับมาช้ากว่าที่คาดไว้หลายชั่วโมง นภทีป์เองก็คงจะเอาแต่รอเขาจนถึงเมื่อครู่กระมัง
“คุณที เข้าไปนอนในห้องดีกว่านะครับ” ภรัณยูสะกิดอีกฝ่ายพลางคลำหน้าผาก ดูเหมือนว่าไข้จะไม่สูงแต่คงเพราะเพลียมากกว่าจึงได้หลับไป
นภทีป์ปรือตาขึ้นมองช้า ๆ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้ว
“ทำไมกลับมาช้า”
“พอดีผมไม่ได้บอกที่บ้านไว้ก่อนว่าจะมาค้าง เขาก็เลยซักไซ้กันใหญ่น่ะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะร่า “แต่พอผมบอกว่าจะกลับบ้านวันอาทิตย์ ที่บ้านก็เลยไม่ว่าอะไร จริงสิ ผมเอากับข้าวที่บ้านมาด้วย กินแต่ข้าวต้มจืด ๆ คงเบื่อ ถ้ามีกับด้วยน่าจะช่วยให้เจริญอาหารขึ้น”
“ไม่เอา...ฉันอิ่มแล้ว”
“ไม่ได้นะครับ กินน้อยแบบนั้นจะเอาพลังงานที่ไหนไปสู้กับเชื้อโรค”
“ฉันง่วง...” พูดจบนภทีป์ก็ลุกขึ้นเตรียมจะเข้าห้องนอน ทำให้ภรัณยูต้องรีบเดินเข้าไปคว้าตัวแล้วขืนให้กลับมานั่งที่เดิม
“แม่ผมอุตส่าห์ทำมาให้ทั้งที อีกอย่างคุณยังไม่ได้กินยาด้วยนี่? ผ่านนี้ข้าวต้มละลายไปหมดแล้ว” ภรัณยูพูดอย่างนั้นได้เต็มปากเพราะรอบตัวนภทีป์ไม่มีแก้วน้ำตั้งอยู่เลย จะกินยาได้อย่างไรถ้าไม่ได้ดื่มน้ำตาม นภทีป์ดูไม่ใช่คนที่จะอดทนต่อรสขมของเม็ดยาเสียด้วย
“นายเป็นพ่อของฉันหรือยังไงกัน”
“ผมเป็นนักเรียนของคุณต่างหาก ถ้าคุณป่วยหนักผมก็ลำบากน่ะสิ” ภรัณยูลองพูดแล้วแสร้งทำเสียงจริงจัง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของนภทีป์ที่คล้ายจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเขาก็หัวเราะออกมา “ล้อเล่นน่ะครับ จริงอยู่ว่าผมจะลำบากถ้าคุณป่วย แต่ผมเป็นห่วงตัวคุณมากกว่าเรื่องนั้นหลายเท่า” หลังพูดจบเจ้าตัวก็ผินหลังเข้าครัวไปโดยไม่ได้หันกลับมามองปฏิกิริยาตอบรับ ซึ่งนับเป็นโชคดีของนภทีป์ เพราะตอนนี้ใบหน้าของเขากำลังแดงซ่านไปด้วยเลือดฝาดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพิษไข้แม้แต่น้อย
“...ทำเป็นพูดดีไป...” เพราะอดที่จะกระดากอายอยู่คนเดียวไม่ไหว นภทีป์จึงงึมงำออกมาเบา ๆ เพื่อบรรเทาอาการหัวใจเต้นแปลก ๆ ของตนเอง
“นายก็เอาแต่พูดดีเหมือนกันนั่นแหละน่า” รติบินมานั่งบนศีรษะนภทีป์พร้อมกับพูดแจ้ว ๆ อย่างเป็นต่อ “เอาแต่บอกว่าเขาใจดีกับทุกคนบ้างล่ะ เป็นนิสัยติดตัวบ้างล่ะ แต่พูดจริง ๆ เลยน้า~ เห็นชัด ๆ ว่าเจ้านั่นห่วงนายมากกว่าคนอื่นหลายเท่า” เจ้าตัวจงใจเน้นประโยคหลังล้อเลียนคำพูดของภรัณยูเมื่อครู่นี้ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสมใจเสียจนนภทีป์นึกว่าสะบัดเจ้าตัวให้ตกแอ่กลงพื้นสักครั้ง เพียงแต่การขยับศีรษะตอนนี้มีแต่จะทำให้เวียนหัวมากขึ้นเท่านั้น และเขาก็ยังไม่มีเรี่ยวแรงจะไปต่อปากต่อคำ จึงจำต้องปล่อยให้รติได้ใจไปก่อน
เสียงติ๊งของไมโครเวฟดังขึ้นนาน ๆ ครั้ง ไม่รู้ว่าภรัณยูอุ่นอาหารไปกี่อย่าง แต่ทุกครั้งที่เสียงเตือนของไมโครเวฟดัง นภทีป์จะต้องมุ่นคิ้วและอดนับจำนวนไม่ได้
จนกระทั่งอาหารพร้อมเสิร์ฟ ภรัณยูก็ลำเลียงอย่างละนิดละหน่อยขึ้นมาบนโต๊ะ ทำให้วันนี้กับข้าวทั้งหมด 4 อย่าง ซึ่งเจ้าตัวไม่ลืมตักข้าวต้มพูนชามมาส่งให้นภทีป์ถึงมือ
“กินให้อร่อยนะครับ”
“มันจะไปอร่อยได้ยังไง...” เจ้าของชามข้าวต้มบ่นอุบอิบ ตอนป่วยอย่างนี่ไม่ว่ากินอะไรก็ชืดลิ้นไปเสียหมด ทำได้จริง ๆ ก็แค่กินกันตายเท่านั้นเอง
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ถ้ากินไม่หมดผมจะจับป้อนนะ”
“ฝันไปเถอะ!” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เพราะถูกขู่หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ นภทีป์จึงรีบกินเข้าไปอย่างรวดเร็วแทบจะลืมเคี้ยวสร้างความขบขันให้แก่ผู้เฝ้ามองเป็นอย่างมากแต่เจ้าตัวก็ได้แต่กลั้นหัวเราะเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายโมโหจนเลิกกินไปเสียดื้อ ๆ
ระหว่างมื้ออาหาร เพราะนภทีป์มัวแต่มุ่งมั่นกับการจัดการข้าวต้มลงท้องอย่างยากลำบากจะฝืนใจทน ทำให้ความเงียบปกคลุมพวกเขาทั้งสองจนกระทั่งภรัณยูถามคำถามขึ้นมาข้อหนึ่ง
“คุณทีรำคาญผมหรือเปล่า?” คำถามนั้นเรียกให้ผู้ฟังเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ผมก็เอาแต่ตื้อคุณไปทุกเรื่องแล้วก็ทำตัวเอาแต่ใจ พอมาคิดดู...ผมคงจะทำตัวให้คุณรำคาญมากแน่ ๆ”
“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่” พอตอบออกไปอย่างนั้น สีหน้าภรัณยูก็คล้ายจะลำบากขึ้นมา แม้ว่าเจ้าตัวจะทำเป็นยิ้มเก้อแล้วเกาท้ายทอยอย่างเคยก็ตาม ทำให้นภทีป์ต้องพยายามเค้นสมองอันพร่าเลือนของตนเองเพื่อหาคำตอบที่ดีกว่าออกมา “แรก ๆ มันก็...น่ารำคาญอยู่ แต่ฉันคิดว่าฉันทำตัวให้ชินกับมันได้ไม่ยาก อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ไม่ได้รำคาญใจสักเท่าไหร่แล้ว...” คำตอบของเขาทำให้ภรัณยูยิ้มกว้างขึ้นจนเจิดจ้าเหมือนกับครั้งแรก ๆ ที่อีกฝ่ายมายืนอยู่ที่หน้าบานประตูพร้อมเสียงอรุณสวัสดิ์ทักทายยามเช้า
เพียงแต่รอยยิ้มนั้นได้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปซึ่งเขาอธิบายไม่ถูก
“ถ้าคุณทีไม่รำคาญผมมาก ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่คืนนี้ผมจะไปนอนเป็นเพื่อนในห้องนะครับ”
“...อ...อะไร...ไม่ได้!” คำขอที่ถูกส่งมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้นภทีป์ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน “นายก็นอนตรงทางเดินไปเหมือนเดิมสิ”
“แต่นอนนอกห้องมันรู้สึกหวิว ๆ ยังไงอยู่นะครับ” ภรัณยูมองประตูที่เชื่อมกับระเบียงสำหรับตากผ้า “ถ้ามีตัวอะไรโผล่ออกมาตรงนี้ผมได้หัวใจวายกันพอดี” เขาพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง เพราะไม่ว่าใครก็คงเคยจินตนาการว่าจะมีผีหรือตัวประหลาดปรากฏตัวที่หน้าต่างหรือประตูระเบียงตอนกำลังนอนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ว่าภรัณยูจะอ้างอะไรออกมา นภทีป์ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธลูกเดียวแม้ว่าจะเริ่มคันคอยุบยิบจนไอแล้วก็ตาม แต่ไม่ว่าจะไม่ยินยอมอย่างไร ภรัณยูก็ยังพาตัวเองเข้าไปปูที่นอนบนพื้นข้างเตียงจนได้
TBC
ช่วงนี้ปั่นงานหลายอย่างพร้อมกันลืมอัพนิยายตลอดเลยค่ะ orz
-
กรี๊ดดด เพิ่งได้มีเวลามาอ่านแบบสิบสองตอนรวด
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ แต่แอบไม่ชอบใจนายตฤณเลยอะ
ไม่ชอบจริงๆ น่าหมันไส้มาก
ทีอย่าไปใจอ่อนเชียวนะ
รัณน่ารักขนาดนี้
รอมาต่อนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
:mew3:
-
เรื่องน่ารักจัง แต่ปมเยอะเชียว
-
ที เริ่มหวั่นไหวกับความดี ความจริงใจของรัณแล้ว แม้จะเพิ่งนิดหน่อยก็ยังดี
ชอบรัณแบบนี้จังแฮะ เหมือนที่ทีคิด แรก ๆ ดูรัณกลัวทีมากเกินไป
แต่เดี๋ยวนี้เหมือนจะรับมือกับนิสัยของทีได้มากขึ้น กล้าขัดใจ กล้าต่อปากต่อคำมากขึ้นด้วย
ว่านิสัยแบบที เหมาะกับรัณที่เป็นอย่างนี้ที่สุดนั่นแหละ
แต่ไม่อยากให้ที เอารัณไปเปรียบกับนายตฤณ เลยนะ
ยิ่งถ้าเริ่มรู้สึกกับรัณ เพราะมีส่วนคล้ายนายตฤณเนี่ย ไม่ดีเลย
อะไรจะดีขึ้นกว่านี้ ถ้านายตฤณเลิกมาวุ่นวายกับทั้งคู่ซะที เบื่อนายคนนี้จริง ๆ
ขอบคุณคนเขียนค่ะ :L2: :3123:
-
ขยับความสัมพันธมาอีกคั้นแล้วหรือป่าวคะเนี่ย
คุณทีดูจะอ่อนใหเยอะเลย นอนในห้องด้วย
จะดีมากเลยถ้าขยันมานอนบนเตียงด้วยกัน ฮ่าๆ
-
อย่างยาว.....ทีเริ่มออกสังคมแล้ว
-
อ้าวววว ดิ้นสิ ตอนต่อไปอยู่ไหน !!!
-
-13-
ในช่วงที่ภรัณยูเข้าค่ายอยู่กับนภทีป์ ก็มีปรากฏการณ์ที่บ่งบอกถึงความก้าวหน้า นั่นคือ...เป็นครั้งแรกที่นภทีป์พูดขึ้นมาว่า
“ฉันจะสอนนายใช้ของพวกนี้” จากนั้นชายหนุ่มร่างเล็กก็ชี้ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์และเมาส์ปากกาที่วางนิ่งอยู่ตรงนั้นมานานจนเหมือนเฟอร์นิเจอร์มากกว่าอุปกรณ์สำหรับทำงาน แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของภรัณยูไปไกล เขาคิดมาตลอดว่านภทีป์หวงของเหล่านั้นมากเกินกว่าจะให้เขาแตะต้องพวกมัน แม้ในความเป็นจริงอีกฝ่ายจะทำเหมือนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นแต่ก็มีท่าทีเหมือนไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ ดังนั้น การที่อยู่ ๆ นภทีป์ก็พูดแบบนั้นออกมาจึงกลายเป็นนิมิตรหมายที่ดีในหลาย ๆ ด้าน
“ดูเหมือนว่าฝีมือเธอจะคงที่แล้วสินะ อย่างนี้ค่อยน่าลุ้นหน่อย” อนุทินกล่าวพลางลูบคางตนเองอย่างพึงพอใจ วันนี้เป็นวันหยุดของเขาและไม่มีโปรแกรมอะไรจึงได้แวะมาดู และก็พบว่าไม่น่าผิดหวังเลยสักนิด ภรัณยูสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงพรสวรรค์ที่เขาต้องการให้อีกฝ่ายขัดเกลาด้วย จากการดูผลงานและพูดคุยกัน ภรัณยูมีความช่างสังเกตและเก็บรายละเอียดได้ดี เขาชอบพรสวรรค์ในข้อนั้นของเจ้าตัว ซึ่งคงต้องขอบคุณความอ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของภรัณยูซึ่งทำให้พรสวรรค์ข้อนี้เบ่งบานขึ้นเรื่อย ๆ
“ใครว่าคงที่กัน” ไม่ทันที่ภรัณยูจะแสดงความดีใจกับความสำเร็จขั้นแรก คำพูดของนภทีป์ก็ทำให้เขาหงอลงทันที “ฉันก็แค่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่นายจะรู้จักของพวกนี้เอาไว้ ยิ่งรู้จักเร็วก็ยิ่งมีเวลาฝึกฝนนาน อย่ามาทำเป็นได้ใจ เข้าใจหรือเปล่า?”
“...ครับผม...”
อนุทินขำขันกับการโต้ตอบของทั้งสองคน นานมาแล้วที่เขาไม่ได้เห็นลูกพี่ลูกน้องของตนเองมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใคร แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะนับตฤณ ผู้ชายที่เขาไม่ถูกชะตานับแต่แรกพบและเคยเตือนนภทีป์ไปแล้วก่อนที่เขาจะไปต่างประเทศ แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าผู้ชายคนนั้นได้ออกไปจากชีวิตนภทีป์เสียแล้ว ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องดีและเขาก็ไม่คิดจะถามหาต้นสายปลายเหตุ
ตอนนี้น้องชายของเขาได้พบเจอเพื่อนใหม่ที่ไว้ใจได้ มันคือเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
“ว่าแต่ เธอหายดีแล้วหรือ?” อนุทินเอ่ยถาม
“ตอนนี้คิดว่าหายดีแล้วครับ” นภทีป์ตอบพลางหันไปถลึงตาใส่ภรัณยูอย่างเงียบ ๆ เพราะปากเปราะไปบอกเรื่องที่เขาป่วยเพราะละอองฝนกับอนุทิน
“ยังไงก็เถอะ ต้องขอบคุณนะที่เธอมีคนดูแลที่ดี” ชายหนุ่มหัวเราะและหันไปมองภรัณยู “ถึงขนาดมานอนค้างด้วยแบบนี้ที่บ้านไม่ว่าอะไรหรือ?”
“ไม่หรอกครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็กลับบ้านวันหนึ่ง ตกลงกันไว้ว่าให้กลับวันอาทิตย์แทนน่ะครับ”
“ดูเหมือนเรื่องทางบ้านของเธอคงจะไปได้ดีแล้ว?”
“ก็เหมือนจะเป็นแบบนั้นน่ะครับ” ภรัณยูหัวเราะแล้วเกาท้ายทอยขณะรอเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ส่งเสียงครางออกมาเหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอนหลังจากหลับไปนาน และเมื่อหน้าจอเปิดพร้อมใช้งานนภทีป์ก็จัดการต่อสายเมาส์ปากกาเข้ากับตัวเครื่องแล้วให้ภรัณยูทำความคุ้นชินกับอุปกรณ์ชนิดใหม่
แต่การฝึกฝนความคุ้นเคยของภรัณยูก็ช่างเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายเกินจะบรรยาย เริ่มจากการบังคับเมาส์ปากกาที่แม้จะมีรูปร่างคล้ายปากกาจริง ๆ ที่ค่อนจะป้อมไปหน่อย แต่กลับบังคับได้ยากกว่ามากเพราะเขาต้องใช้มือบังคับในขณะที่ตามองจอ มันไม่ใช่เรื่องที่จะคุ้นเคยได้ง่าย ๆ เลย โปรแกรมวาดภาพที่นภทีป์ให้ใช้ฝึกเป็นโปรแกรมที่ค่อนข้างจะพื้นฐานและมีอุปกรณ์หลายแบบ ยิ่งทำให้เขารู้สึกมึนงงยิ่งกว่าตอนลากทดลองมือเฉย ๆ เสียอีก และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ...การมีสายตาสองคู่จ้องมองมาที่แผ่นหลัง ถึงแม่ในความเป็นจริงพวกเขากำลังมองหน้าจออยู่ก็ตาม แต่การทำบางอย่างทั้งที่มีคนมองดูอย่างเอาจริงเอาจังก็ทำให้เขาเกร็งไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรนอกจากขีด ๆ เขี่ย ๆ ไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย
“ลองใช้หลาย ๆ อย่างสิ” นภทีป์เริ่มสั่งเพราเห็นอีกฝ่ายเอาแต่ขีดเขี่ยไม่เป็นรูปทรง พอเหมือนจะวาดอะไรเป็นรูปร่างขึ้นมาก็กดลบไปหมดทันที
“เอ่อ...คือว่า...”
“นี่ไง ตรงนี้คือแถบอุปกรณ์” ปลายนิ้วของนภทีป์ชี้ไปยังด้านหนึ่งของจอซึ่งมีเครื่องมือมากมายหลายแบบปรากฏอยู่ ภรัณยูจำต้องทำตามแม้อยากจะทักท้วงบางอย่างขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สามารถวาดอะไรที่เป็นรูปร่างชัดเจนได้เลย
อุปกรณ์บนแผงถูกนำมาใช้ทีละอย่าง ๆ แต่แม้จะใช้ความพยายามมากแค่ไหน ชายหนุ่มผู้เป็นนักเรียนก็ไม่อาจตั้งสมาธิกับการประยุกต์ใช้ของเหล่านี้ได้
“นายใช้ผสมผสานกันบ้างสิ ใช้เป็นอย่าง ๆ แบบนี้ชาติไหนจะใช้เป็น” ผู้คุมยังคงกอดอกสอนฉอด ๆ อยู่ข้างตัวโดยไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายจึงดูเกร็ง ๆ ฝืน ๆ ชอบกล
จนกระทั่งบังเกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศกดดัน ทั้งนภทีป์และภรัณยูจึงหันไปมองต้นเสียงและพบว่าอนุทินกำลังขำขันอยู่คนเดียวโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ
“...น่าตลกตรงไหนกันครับ...” นภทีป์มุ่นคิ้วถาม
“อา...ขอโทษ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่อนุทินก็ยังหัวเราะต่อไปสักครู่หนึ่งแล้วจึงสงบลงและพูดต่อ “ที เธอไม่คิดหรือว่าภรัณยูเขากำลังเกร็งเพราะเธอจ้องเขาเขม็ง”
ที่จริงเพราะคุณทั้งสองคนนั่นแหละครับ...
ภรัณยูอยากตอบออกไปใจจะขาดแต่ก็เงียบเอาไว้เพราะเห็นว่าอย่างน้อยอนุทินก็เข้าใจความรู้สึกของเขา
“แต่ถ้าไม่จ้องแล้วเขาจะ...”
“ลองคิดดูสิว่าเธอชอบหรือเปล่าที่มีคนมามองเธอเวลาทำงานน่ะ?”
“...” นภทีป์จนคำพูดไปในบัดดล ครั้นจะอ้าปากคัดค้านก็ชะงักก่อนจะกัดริมฝีปากเพราะพูดไม่ออก คิด ๆ ไปแล้วก็จริงอย่างว่า เวลาตัวเขากำลังทำงานหรือกระทั่งช่วงที่กำลังหัดวาดก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะอดทนรวบรวมสมาธิให้เป็นปกติท่ามกลางสายตาของคนอื่น “แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะ?”
“ออกไปเดินเล่นข้างนอกกันหน่อยดีไหม? ไหน ๆ วันนี้ก็บอกที่บ้านแล้วว่าจะกลับค่ำ ๆ แล้วพวกเราก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนกันสองคนนานแล้วนี่”
คำชวนของอนุทินทำให้คนที่ถูกชวนลังเลอยู่นิดหน่อย เพราะเขาไม่ค่อยอยากจะออกไปสักเท่าไหร่ หากจะพูดจริง ๆ ก็คือ เขาไม่ค่อยชินที่จะอยู่กับอนุทินตามลำพังมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เพราะญาติผู้พี่คนนี้มักจะคาดเดาใจของเขาได้เสมอเสียจนบางครั้งก็น่าอึดอัดเพราะไม่อาจปกปิดอะไรไว้ได้เลย โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง สิ่งที่อยู่ในใจเขาก็ยิ่งถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แต่เมื่อหันไปมองหน้าภรัณยู ชายหนุ่มตัวโตเหมือนหมีกลับกำลังมองกลับมาเหมือนขอร้องให้เขาตอบรับคำชวนนั้น
...
“...ครับ...ก็ได้...” นภทีป์ตอบรับในที่สุด แต่ไม่ใช่เพราะสายตาขอร้องจากภรัณยู ทว่าเขารู้ดีว่าหากไม่ตอบรับ อนุทินก็ต้องหาวิธีพูดให้ยินยอมได้อยู่ดี
ทั้งสองพากันเดินออกมาจากห้องโดยทิ้งภรัณยูไว้เพียงลำพัง แน่นอนว่ารติก็ตามติดนภทีป์ไปด้วย ประโยคข้างต้นจึงไม่ได้ผิดไปจากความจริงแต่อย่างใด
อนุทินเดินนำไปจนถึงลิฟต์และรอให้นภทีป์เดินตามเข้ามา พวกยังคงตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่งถึงพื้นล่าง และความเงียบเหล่านั้นทำให้นภทีป์รู้สึกอึดอัดใจ และยิ่งน่าอึดอัดมากขึ้นที่รติก็พลอยเงียบไปด้วย เจ้าตัวนั่งบนไหล่ของเขาและเอาแต่จ้องมาจากด้านข้างราวกับจงใจกลั่นแกล้ง
“แถวนี้มีร้านกาแฟที่นั่งได้นาน ๆ ไหมนะ?”
คำถามที่ถูกส่งมาทำให้ผู้ฟังถึงกับสะดุ้งเพราะไม่ทันตั้งตัว ท่าทางเช่นนั้นยิ่งบ่งบอกว่ามีพิรุธเสียจนไม่อาจปิดบังได้
“...มีครับ เดินออกไปอีกหน่อยแล้วก็...เลี้ยวเข้าซอยข้าง ๆ” มันคือร้านที่ตฤณนัดเขาออกไปพบนั่นเอง ร้านนั้นเป็นร้านที่พวกเขาเคยไปด้วยกันนาน ๆ ครั้งสมัยที่ตฤณยังมาฝึกพิเศษอยู่กับเขา แต่ที่จริงแล้วมันก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่แห่งความทรงจำเพราะสิ่งเดียวที่นภทีป์ประทับใจในร้านนั้นก็คือบรรยากาศอันเงียบสงบกับบริกรที่ไม่วุ่นวายคอยถามไถ่ว่าจะรับอะไรเพิ่มหรือไม่ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง
“เดี๋ยวซื้ออะไรไปฝากภรัณยูเขาด้วยดีกว่า ทิ้งให้อยู่ห้องคนเดียวนาน ๆ ถ้าไม่มีอะไรติดมือกลับไปก็จะใจร้ายไปสักหน่อย”
“แต่คุณทินเป็นคนแนะนำว่าให้เขาอยู่ตามลำพังดีกว่านี่ครับ”
ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะแล้วจึงตอบ
“นั่นก็ถูก แต่ฉันก็อยากให้เขารู้สึกดี ๆ กับเธอนะ ที”
“...ทำไมกันล่ะครับ เดี๋ยวพอเรียนจบก็ทางใครทางมันแล้ว”
ใช่...มันจะเป็นแบบนั้น เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็จะกลายเป็นความทรงจำ พวกเขาก็จะกลายเป็นคนที่ห่างเหินกันไปและอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องมาพบกันอีก
“ฉันเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ว่าอยากจะได้เขาเข้าทำงานด้วย ถ้าเธอยังยืนยันจะทำงานกับฉัน คงจะไม่ทางใครทางมันง่าย ๆ หรอกมั้ง?” ข้อเท็จจริงที่นภทีป์เพิ่งนึกออกจากการเตือนของอนุทิน ทำให้เจ้าของร่างเล็กนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ คิดทบทวนและพบว่าอีกฝ่ายเคยพูดอย่างนั้นจริง ๆ เพียงแต่ในเวลานั้นเขาไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะกำลังอารมณ์เสียกับภาระที่ถูกโยนกองมาให้โดยไม่เต็มใจรับ
“แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวไม่ใช่หรือ ว่าเขาจะคิดยังไงกับผม” เสียงพูดแผ่วเบาคล้ายไม่มั่นใจของนภทีป์ทำให้อนุทินหรี่ตาลงด้วยความข้องใจ
ก่อนหน้านี้เขาคิดมาตลอดว่าญาติผู้น้องคนนี้คงจะโอนอ่อนผ่อนตามภรัณยูได้ไม่ยาก เพราะอุปนิสัยคนละขั้วของทั้งสองมันช่างเข้าล็อคกันอย่างพอดี กระนั้น ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายยามพูดถึงเจ้าหนุ่มคนนั้นคล้ายลังเลที่จะเชื่อมั่นในความคิดและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ
มันมีอะไรบางอย่างสินะ?
นั่นคือเสียงที่กระซิบในสมองของอนุทิน
ที่จริงก็ไม่น่าแปลกอะไร ภรัณยูมีบุคลิกภาพที่น่าคบหาและเข้าถึงได้ง่าย ผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ มักจะเปิดใจให้โดยไม่รู้ตัว แต่สำหรับนภทีป์ การเปิดใจให้คนอื่นยังคงเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนั้น...บางส่วนในใจของนภทีป์คงกำลังกลัวว่าตนเองกำลังจะถลำเข้าไปในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกว่าเดิม
“ที ภรัณยูเขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ครับ?” ชายหนุ่มร่างเล็กมุ่นคิ้วก่อนจะทบทวนคำถามในใจและตอบด้วยท่าทางที่ไม่มั่นใจนัก “ก็...ชอบจุ้นเรื่องคนอื่นมากเกินไป น่ารำคาญนิดหน่อย แต่ก็...ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
มุมปากอนุทินยกขึ้นเล็กน้อยด้วยความคิดที่บังเกิดขึ้นในหัว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
และจนกระทั่งถึงร้านกาแฟ ทั้งสองก็เลือกมุมสงบด้านในนั่งทอดหุ่ยอยู่ด้วยกัน อนุทินสั่งกาแฟแก้วหนึ่งส่วนนภทีป์ที่ไม่ชื่นชอบรสขมเลือกน้ำผลไม้ปั่นเพื่อดับกระหายและดับร้อน แม้รติจะอยากเรียกร้องเครื่องดื่มให้ตนเองบ้างแต่แน่นอนว่าไม่มีใครให้ความสนใจ
“อะไรกัน ทีกับภรัณยูนายยังซื้อขนมเผื่อจนเงินเกินงบ ทีกับฉันกลับงกเนี่ยนะ” รติประท้วงเมื่อเห็นว่านภทีป์ไม่ยอมทำตามใจตนเอง ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่รู้เหตุผล ดังนั้นการประท้วงก็เป็นเพียงการแซวให้อีกฝ่ายเขินอายเล่นในยามที่ตนเองว่างจนไม่รู้จะทำอะไร แต่แล้ว...การแซวของรติกลับได้ผลเกินคาดเมื่อใบหน้าของนภทีป์ค่อย ๆ แดงขึ้นหลังจบประโยค
อาการยุกยิกที่น่ารำคาญในอกเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยก่อนหน้านี้ ทว่าในเวลานี้มันกลับชัดเจนเกินกว่าคำว่าคิดไปเอง
มันอะไรกันนะ...
เป็นครั้งแรกที่นภทีป์นึกถามตัวเองขึ้นมา ก่อนจะรีบหยุดความคิดทั้งหมดเพราะกลัวว่าตนเองจะรู้คำตอบอยู่แล้ว และคำตอบนั้นเขาก็กลัวเกินกว่าจะยอมรับมัน
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” อนุทินถามขึ้น “หรือว่าไข้กลับเพราะตากแดด?”
“เปล่าครับ...ผมคิดว่าคงเพราะอากาศร้อนเฉย ๆ” นภทีป์ตอบปัดและชิงดีดรติออกจากไหล่ก่อนเจ้าตัวจะพูดอะไรขึ้นมาอีก
“โถ่เอ๊ย แค่นี้ทำเป็นเขินไปได้” แต่ปากของรติก็ไม่อาจจะถูกผนึกได้โดยง่าย เจ้าของร่างเล็กจิ๋วกระพือปีกที่หลังของตนแล้วบินขึ้นไปกลางอากาศก่อนที่ปลายนิ้วของนภทีป์จะทำร้ายร่างกายเล็ก ๆ ของตน “ที่จริงมันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นเสียหน่อย นายก็แค่กลัวไปเองแท้ ๆ”
นภทีป์ทำได้เพียงตอบโต้ด้วยสายตา เพราะอนุทินนั่งอยู่ตรงข้าม แม้จะอยากบอกให้รติเลิกพูดเรื่องนี้มากแค่ไหน แต่รติก็กลายเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่อาการถลึงตาและเสียงเอ็ดของเขาไม่อาจทำอะไรได้ ทำไมคนรอบตัวเขาถึงกลายเป็นแบบนั้นไปหมดนะ!
“อ้าว ขนมเค้กมาแล้ว ลองกินดูไหม?” อนุทินเห็นว่านภทีป์เริ่มทำสีหน้าแปลก ๆ จึงตั้งใจจะหาประเด็นเบา ๆ มาคั่นกลางระหว่างความเงียบ แม้เขาจะรู้ดีว่าญาติผู้น้องของตนไม่ได้พิสมัยของหวานเป็นพิเศษ แต่ไม่ว่าเขาจะชวนอีกฝ่ายกินอะไร เจ้าตัวก็ยอมกินตามทุกที ซึ่งมันใช้เปิดประเด็นใหม่เกี่ยวกับอาหารที่กินอยู่ได้ และหลังจากคำชวนไม่นาน นภทีป์ก็ยกช้อนขึ้นด้วยความเกรงใจก่อนจะตักชิมตามที่ถูกเชิญ สีหน้าของนภทีป์ดูปกติอีกครั้งและกลายเป็นการครุ่นคิดหาคำตอบว่าควรจะพูดเกี่ยวกับรสชาติอย่างไร
ความจริงแล้ว...มันก็เป็นมุมหนึ่งที่น่าเอ็นดูของอีกฝ่ายซึ่งเขามักจะใช้เวลาที่พวกเขาอยู่ตามลำพังและไม่มีอะไรพูดคุยกันมากนัก
“ก็...หวานดีนะครับ รสส้มมันปะแล่ม ๆ ...” ไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือไม่ แต่มันก็ช่วยให้บรรยากาศเมื่อครู่คลายลงไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างนั้นซื้อรสนี้ไปฝากภรัณยูก็แล้วกัน”
แล้วทันใดนั้น บรรยากาศแบบเดิมก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง...
รติขำขันอย่างออกหน้าออกตาโดยไม่พูดถึงเหตุผล กระนั้นในใจของเขาก็รู้ว่าทางด้านนภทีป์นี้ชัดเจนจนเกินพอ เหลือแต่ทางภรัณยู...ว่าเจ้าตัวจะคิดอย่างไร
-------------------------------------------->
-
ในที่สุดความพยายามของภรัณยูก็สัมฤทธิ์ผล เขาสามารถวาดเป็นเส้นร่างที่เบี้ยวไปกว่าที่คาดไว้นิดหน่อยแต่อย่างน้อยก็พอมองได้ว่ามันคือภาพของสุนัขตัวหนึ่ง แต่ในขณะที่คิดจะปรับปรุงให้หายเบี้ยว ก็มีเสียงออดเรียกจากหน้าประตู ภรัณยูต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงได้รู้สึกตัวว่านั่นคือออดของห้องนภทีป์แต่ก็ยังลังเลที่จะเดินไปเปิดรับ เพราะตอนนี้นภทีป์ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไร แต่เมื่อเสียงออดดังเป็นครั้งที่สาม ชายหนุ่มก็ตกลงใจที่จะเดินไปเปิดประตูเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงมีธุระสำคัญ และไม่อยากให้คนข้างห้องเดินออกมาด่า
“หืม? วันนี้นายมาที่นี่ด้วยหรือ?”
ตฤณนั่นเอง ฝ่ายนั้นยืนอยู่หน้าประตูพลางหุบยิ้มเมื่อพบว่าคนที่มาเปิดรับไม่ใช่คนที่คาดหวัง ทว่าในวิทนาทีต่อมาเจ้าตัวก็ปั้นยิ้มได้อีกครั้งแม้จะดูแปลกตาไปสักน่อยก็ตาม
“ช่วงนี้ผมอยู่ที่นี่ทุกวันน่ะครับ...ยกเว้นวันอาทิตย์”
“อ้อ...มาค้างนี่เอง” ตฤณแทรกตัวเข้ามาในห้องโดยไม่รอคำเชิญ “ดูเหมือนทีจะไม่อยู่ น่าเสียดายจริง ฉันว่าจะมาบอกข่าวดีแท้ ๆ”
“ข่าวดี...อะไรหรือครับ?” ภรัณยูมุ่นคิ้ว เขาไม่คิดว่านภทีป์จะยินดีนักกับข่าวของตฤณ ความสัมพันธ์ของทั้งสองดูไม่ดีสักเท่าไหร่แม้นภทีป์จะไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลยก็ตาม ถึงอย่างนั้นบางส่วนในใจของเขาก็กำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่ก่อตัวอยู่ลึก ๆ มันคือความไม่พึงพอใจเมื่อคิดว่าทั้งสองจะพบกันและหันกลับมาคืนดีและใกล้ชิดกันอย่างเดิม ข่าวดีของตฤณ...อาจจะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในอดีตก็เป็นได้
“บริษัทที่ฉันทำงานอยู่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มจำนวนพนักงานและให้มาประจำที่สำนักงานที่กรุงเทพ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ลงมาเซอร์เวย์ แน่นอนว่าจะมีการเปิดรับพนักงานใหม่หลายอัตราและในแผนกที่ฉันอยู่ก็ด้วย” ตฤณว่าพลางโคลงศีรษะ “ทีคงจะดีใจที่ได้ยิน”
หมายถึง...นภทีป์จะไปทำงานที่เดียวกับตฤณอย่างนั้นหรือ?
สิ่งที่ยุกยิกอยู่ข้างในอกค่อย ๆ ขยายตัว ภรัณยูรู้ว่าเขาและนภทีป์ไม่มีอะไรที่จะสานต่อความสัมพันธ์กันได้เลย เมื่อเขาจบคอร์สตามที่อนุทินต้องการ พวกเขาก็เหมือนไม่มีอะไรต่อกันอีก ต่างคนต่างก็มีเส้นทางของตนเอง ระยะหลังนี้เขาจึงเริ่มคิด...จะเป็นอย่างไรหากเขาเองก็ไปทำงานกับอนุทินเช่นกัน คน ๆ นั้นให้ความเอ็นดูกับเขาเป็นอย่างมากและหากแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ อนุทินก็คงยอมสนับสนุน ซึ่งมันจะทำให้ทั้งเขาและนภทีป์ยังคงสามารถใกล้ชิดกันได้ต่อไป
ทว่า...หากนภทีป์ไปกับตฤณแล้ว...พวกเขาก็คงจะจบลงที่เดิม...
“ผมคิดว่า...เขาอาจจะไม่อยากไปกับคุณแล้วก็ได้” ภรัณยูพลั้งปากพูดออกไปโดยไม่ทันคิด แต่ก็ทำให้ตฤณชะงักไปได้ชั่วขณะหนึ่งก่อนมุ่นคิ้วถาม
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
“คือ...ช่วงนี้ผมใกล้ชิดกับคุณที ก็อย่างที่คุณรู้...ผมก็เลยรู้อะไรหลายอย่าง ผมเห็นว่าคุณทีต้องการทำงานกับบริษัทของลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งและตอนนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงทดลองงานน่ะครับ” ไม่รู้ว่าการพูดออกไปแบบนี้จะดีหรือไม่ แต่ภรัณยูก็รู้สึกว่ามันช่วยให้อุ่นใจได้บ้าง และเมื่อตฤณได้ยินอย่างนี้แล้วก็คงจะยอมล่าถอยไป แต่เขาก็คิดผิดเมื่อคู่สนทนาหัวเราะออกมา
“นั่นมันเป็นหนทางเวลาทีจนตรอกเท่านั้นเอง คิดว่าเขาไม่เคยพูดให้ฉันฟังเรื่องนี้หรือ?”
เหมือนกับโดนตอกหน้า ภรัณยูหุบยิ้มโดยทันที
“นายรู้หรือเปล่า ว่านี่เป็นงานที่ทีอยากจะได้มาตลอดและไม่ใช่ว่าวาดรูปสวยนิด ๆ หน่อย ๆ จะเข้าทำงานได้ แต่มันคือตลาดมืออาชีพที่มีการแข่งขันสูง โอกาสที่พยายามจะไขว่คว้ามาเยือนตรงหน้าอีกครั้ง มีหรือที่ทีจะไม่ยอมรับไว้” คำพูดของตฤณก็มีเหตุผล ความใฝ่ฝันของคนเรานั้นมีหลากหลาย แต่หนึ่งในนั้นจะต้องมีคำว่าชื่อเสียงและความมั่นคงเป็นหลักอย่างแน่นอน และนภทีป์เองก็น่าจะเป็นเช่นนั้น...
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบโต้อะไรอีก ที่จริงแล้วเขาไม่มีอะไรจะตอบโต้กลับไปได้เลย ในใจของเขารู้ว่าตฤณมีอิทธิพลกับนภทีป์อย่างชัดเจน และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งซึ่งพยายามไล่ตามความฝันของตนเองเหมือนกับเด็กน้อยที่ไล่จับผีเสื้อ ถึงแม้ว่าจะไล่จับผีเสื้อได้ แต่เขาก็ไม่มีทางเป็นเจ้าของทุ่งดอกไม้ที่ผีเสื้ออาศัยอยู่ได้
สิ่งที่เขาต้องการในตอนแรกนั้น...เป็นเพียงความฝันเล็ก ๆ เท่านั้นเองไม่ใช่หรือ? ซึ่งในตอนนี้มันน่าจะเพียงพอแล้ว
“เอ่อ...แล้ว...จะเริ่มเมื่อไหร่หรือครับ?” คำถามของภรัณยูเรียกให้ตฤณเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เขาจึงรีบสำทับด้วยเหตุผลที่นึกขึ้นได้ “เผื่อว่าคุณทีจะถาม ผมจะได้ตอบได้”
“อ้อ” ผู้ฟังหัวเราะในคอ “ยังไม่มีกำหนดการณ์หรอก ตอนนี้มีการวางแผนหลาย ๆ อย่างแล้วฉันที่เป็นแค่พนักงานก็แค่ได้ข่าวมาอีกที แต่เป็นข่าวที่เชื่อถือได้ บอกทีให้เตรียมตัวไว้แล้วกัน แล้วเดี๋ยวฉันจะมาบอกข่าวเรื่อย ๆ นายเองก็ฝึกหนักเข้าล่ะ บางทีนายอาจจะมีโอกาสนิด ๆ ก็ได้ที่จะไปที่นั่น” ท้ายประโยคฟังแล้วไม่เหมือนการให้กำลังใจแม้สักนิด แต่ภรัณยูก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจเพราะเขารู้ว่าตฤณเองก็ไม่ได้ชอบหน้าเขานักเช่นกัน
“ผมจะบอกให้ แล้วมีอะไรอีกไหมครับ?”
“ที่จริงฉันคิดว่าจะรอบอกเองน่ะ” เจ้าตัวจงใจพูดเช่นนั้นเพื่อดูปฏิกิริยาของภรัณยูซึ่งเหมือนจะมีความไม่พอใจสะท้อนออกมานิด ๆ “แต่ก็เอาเถอะ ฉันเองก็มีงานมีการเหมือนกัน ฝากบอกทีเรื่องงานแล้วก็ฝากบอกด้วยว่าฉันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่แล้ว ถ้าจะติดต่อก็โทรมาเบอร์นี้ล่ะ” ว่าจบ ตฤณก็ยื่นนามบัตรให้แล้วโบกมือลาก่อนจากไปโดยไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ เป็นพิเศษอีก
ภรัณยูมองนามบัตรอย่างลังเลแล้ววางมันลงข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซึ่งนภทีป์จะเห็นได้ในทันทีที่กลับมาถึง เขารู้ว่าทำไมตฤณจึงต้องให้นามบัตรไว้ เพราะระยะนี้นภทีป์ไม่ค่อยยอมรับสายโทรศัพท์ของใครโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เบอร์ที่ตนเองไม่รู้จัก ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาขุ่นใจได้อยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เรื่องที่รู้อยู่แล้วว่านภทีป์จะต้องตอบรับคำเชิญชวนของตฤณอย่างแน่นอน...
------------------------------>
เพราะอยากจะให้เวลาภรัณยูปรับตัวกับอุปกรณ์ใหม่ได้สะดวกใจ อนุทินจึงรั้งนภทีป์ไว้เสียจนถึงช่วงเย็นและพามาส่งที่คอนโดมิเนียมก่อนที่ตนเองจะกลับ
ถึงอย่างนั้น ก่อนจะปลีกตัวกลับไป อนุทินก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องภรัณยูขึ้นมา
“มันคงจะดีถ้าเขายังมุ่งมั่นอยากจะทำงานนี้ต่อไป ทีเองก็เจอบ่อย ๆ นี่นะ คนที่อยากจะทำแต่พอถึงเวลาจริงกลับเลิกไปเสียดื้อ ๆ เพราะเบื่อบ้าง ขี้เกียจบ้าง นี่มันก็ร่วม 3 เดือนแล้วตั้งแต่เริ่มเรียน นับว่ามีความอดทนสูงใช้ได้ทีเดียว” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อให้นภทีป์เป็นคนสอน ประโยคเหล่านี้อนุทินจงใจละเว้นไว้แล้วนึกขำกับตนเอง “บางทีถ้าเขาเกิดท้อถอยหรือเบื่อหน่ายขึ้นมาก็น่าจะเป็นช่วงเวลานี้ล่ะมั้ง?”
“ก็ไม่แน่หรอกครับ บางคนก็ทำไปหลายปีแล้วก็เกิดเบื่อได้เหมือนกัน” อย่างเช่นเขาเป็นต้น นภทีป์ก็มีประโยคที่ละเว้นไม่ยอมพูดออกมาเช่นกัน แต่ถึงอยากพูดก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะสาเหตุที่เขาเหนื่อยหน่ายนั้นไม่ใช่เพราะเกลียดงานที่ทำ แต่เพราะช่วงอารมณ์ของตัวเขาเองต่างหาก
จะว่าไป...เขาไม่ได้วาดรูปอย่างจริงจังมาเกือบ 4 เดือนแล้วสินะ...
เป็นการเว้นช่วงที่นับว่าไม่ได้นานผิดปกติ หากเทียบกับเรื่องที่เคยเกิดในอดีตซึ่งทำให้เขาไม่สามารถวาดรูปได้เป็นปี ๆ แม้สุดท้ายจะกลับมาวาดได้เหมือนเดิมแต่เขาก็ไม่สามารถย้อนกลับไปมองภาพวาดที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวเหล่านั้นได้...ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งมันจะกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งผ่านทางผู้ชายคนหนึ่งซึ่งต้องการจะเดินทางสายเดียวกันและมีมันเป็นแรงบันดาลใจชิ้นสำคัญ
หลังจากอนุทินกลับไปแล้ว นภทีป์ก็กลับขึ้นห้องของตนเองและคิดว่าป่านนี้ภรัณยูจะกำลังทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าความคิดของเขาถูกรติเอ่ยทักตามเคย
“กำลังคิดถึงภรัณยูอยู่ล่ะสิ?”
“อย่าสู่รู้ให้มากนักได้ไหม ฉันชักจะรำคาญแล้วนะ” ถึงจะรู้แก่ใจดีว่าพูดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่บางครั้งเขาก็อยากให้รติรู้จักคำว่าเงียบเสียบ้าง
ให้ตายสิ...นิสัยเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด อย่างนี้เขาจะหลอกตัวเองว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่นของสมองตัวเองหรือภาพในจินตนาการได้อีกหรือ?
ตอนที่ทั้งสองกลับไปถึงห้อง พวกเขาก็เห็นภรัณยูกำลังจ้องหน้าจอเขม็งและเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูแม้แต่น้อย นภทีป์เดินไปยืนมองจากด้านหลังโดยไม่ส่งเสียงรบกวนและพบว่าเจ้าตัวกำลังพยายามดราฟภาพถ่ายของสุนัขและแมวซึ่งเล่นกันอย่างน่ารักน่าชัง สงสัยว่าจะไปหามาจากอินเทอร์เน็ตกระมัง?
จากภาพบนจอมอนิเตอร์ สายตาของนภทีป์ก็เลื่อนไปมองข้าง ๆ และสะดุดเข้ากับนามบัตรของใครบางคนจึงเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู ตอนนั้นเองที่ภรัณยูรู้สึกตัวและหันมองตามมือเหมือนกำลังงงงวยก่อนจะหยุดที่ใบหน้าของเขาโดยไม่พูดอะไร
“ตฤณมาหรือ?” เจ้าของห้องเอ่ยถามพลางขยับมือที่ถือนามบัตรเล็กน้อย
“...ครับ คือ...เขาฝากให้คุณ”
“อ้อ...” แค่คำตอบรับสั้น ๆ ที่ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษ ในตอนนี้คล้ายว่าความรู้สึกยึดติดกับตฤณได้บางเบาเจือจางลงไปบ้างแล้ว เป็นสิ่งที่นภทีป์ยังอดแปลกใจตนเองไม่ได้
“แล้วก็...เหมือนจะมีข่าวมาบอกด้วยครับ” ภรัณยูอ้อมแอ้มพูดคล้ายว่าไม่เต็มใจแต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนิ่งฟังจึงพูดต่อ “เขาบอกว่า...บริษัทของเขาจะมีการ เอ่อ...ขยายตำแหน่งงาน...สาขา...อะไรสักอย่าง บางทีคงจะเปิดรับสมัครพนักงานเพิ่ม”
เรียวคิ้วของผู้ฟังมุ่นเข้าหากันอย่างครุ่นคิดและคล้ายว่าจะมีความขุ่นใจปะปนอยู่หลายส่วน สีหน้าของนภทีป์ไม่ได้กำลังบ่งบอกว่าดีใจกับข่าวที่ได้ยินซึ่งมันทำให้ภรัณยูรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
“นายได้กินอะไรหรือยัง?” นภทีป์เปลี่ยนหัวข้อโดยไม่แสดงอาการสนใจเพิ่มเติม
“อ...คือ...” พอพูดขึ้นมาภรัณยูก็เพิ่งนึกได้ว่านอกจากอาหารเช้าแล้วเขาก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยเพราะมัวแต่คร่ำเคร่งกับการฝึกใช้เมาส์ปากกาให้คล่องมือ กระเพาะของเขาร้องโครกทันทีที่ชายหนุ่มเงยหน้ามองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ “ผมไม่รู้เลยว่าเวลาขนาดนี้แล้ว”
เจ้าของคำถามแรกฟังพลางเม้มปากนิด ๆ เพราะเกิดรู้สึกเขินขึ้นมาเมื่อคิดจะทำสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ นภทีป์ได้แต่พยายามทำให้ตนเองสงบใจลงเพื่อไม่ให้ภรัณยูรู้สึกผิดสังเกต
“แล้วคุณทีกินอะไรมากหรือยังครับ?” เพราะเห็นว่าคู่สนทนาเอาแต่เงียบ เขาจึงถามกลับบ้าง “ถ้ายังผมจะลองไปดูในตู้เย็นว่ายังเหลืออะไรอยู่บ้าง”
“ไม่ต้องหรอก ฉัน...ซื้อมาฝากแล้ว” ว่าจบ นภทีป์ก็ยื่นถุงในมือให้โดยเบนสายตาไปทางอื่น “แล้วก็ขนมเค้กด้วย ที่จริงเป็นความคิดของคุณทินน่ะ”
ภรัณยูเลิกคิ้วมองของฝากพลางยิ้มขันกับท่าทางของนภทีป์ที่บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกกระดาก อาจจะเพราะไม่ค่อยได้ซื้ออะไรให้ใครบ่อย ๆ กระมัง โดยเฉพาะเขาที่นภทีป์แทบไม่เคยทำดีด้วยเลย การที่อยู่ ๆ ก็ซื้อของให้จึงทำให้รู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อย
“ขอบคุณครับ แต่คุณทีเป็นคนเลือกใช่ไหม?” เขาลองถาม
“...ก็ประมาณนั้น คุณทินเขาบอกว่าไม่รู้ว่านายชอบกินอะไร ฉันอยู่กับนายมาสักพักแล้วน่าจะรู้ดีกว่า” นภทีป์ตอบแล้วเลื่อนสายตากลับมามองคู่สนทนาก่อนจะรีบพูดต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องหน้าตนพลางยิ้มกริ่มแปลกตา “รีบไปกินซะทีสิ!”
“ครับผม!” ภรัณยูทำท่าตะเบ๊ะล้อเลียนแล้วเดินไปหยิบจานจากในครัว
ระหว่างที่ภรัณยูจัดการกับมื้ออาหารของตนเองอย่างหิวโหย นภทีป์ไปนั่งดูงานที่ภรัณยูทดลองทำในวันนี้ไปพลาง ๆ
รตินั่งอยู่บนไหล่นภทีป์และหันมองภรัณยูเป็นระยะ เขาติดใจสงสัยจริง ๆ ว่าภรัณยูคิดยังไงกับนภทีป์กันแน่ เพราะฝ่ายนั้นคุ้นชินกับการตามอกตามใจคนอื่น จึงไม่ค่อยแสดงความต้องการที่แท้จริงออกมาอย่างชัดแจ้ง จึงนับว่าเป็นคนที่อ่านได้ยากคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่เดิมรติก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองมองคนอื่นได้เก่งอยู่แล้วด้วย บางที...หากเขาได้เซนส์สักครึ่งของอนุทินคงจะได้คำตอบไปนานแล้ว
“เฮ้อ...”
“ถอนหายใจอะไรของนาย” นภทีป์กระซิบถามพลางมุ่นคิ้ว
“เรื่องของฉันน่า ถึงจะกลายเป็นตัวอะไรแบบนี้ไปแล้วฉันก็ยังมีเรื่องอึดอัดใจได้เหมือนกันนะ” เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่รติพูดถึงความรู้สึกของตนเองออกมาตรง ๆ ทำให้ผู้ฟังนึกแปลกใจว่าอีกฝ่ายไปกินอะไรผิดสำแดงมา ไม่สิ...รติกินอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นมันเกิดอะไรที่ทำให้เจ้าตัวประหลาดนี่อึดอัดใจได้นะ?
“ไม่ต้องเล่าให้ฉันฟังก็ได้ ฉันไม่ว่าง”
“เจ้าคนใจร้าย เพราะมีเพื่อนอย่างนายน่ะสิฉันถึงได้กลุ้มอยู่นี่ นายเคยคิดไหมว่าอยากจะเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ด้วยตัวเองบ้างน่ะ”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายมาวุ่นวายกับเรื่องของฉันเลยนะ!”
“ถ้าอย่างนั้นนายกล้าบอกภรัณยูไหมล่ะว่านายรู้สึกยังไงอยู่น่ะ!”
คำถามที่ถูกสวนกลับมาทำให้นภทีป์ถึงกับอึกอักไปไม่ถูก มันเป็นเรื่องยากจนแทบจำเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนอย่างเขาพูดเรื่องแบบนั้นออกมา อีกอย่าง...ตัวนภทีป์เองก็ยังไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าตนเองจะคาดหวังได้สักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่า...การผิดหวังเสียแต่เนิ่น ๆ อาจจะดีกว่าก็ตามที...
“ให้ตายสิ ถ้าเจ้าเด็กนั่นเปิดเผยตัวเองมากกว่านี้ก็ดีหรอก” รติบ่นอุบอิบ
“ฉันไม่เห็นว่าคนอย่างภรัณยูจะปิดบังอะไรตรงไหนนี่”
“ผมทำไมหรือครับ?”
เสียงที่แทรกผ่านเข้ามาโดยไม่ทันคาดคิดทำให้ทั้งรติและนภทีป์ถึงกับสะดุ้งโหยง แต่ภรัณยูเห็ยเพียงนภทีป์คนเดียวที่เกร็งตัวเหมือนคนมีชนักติดหลัง
“ฉันแค่...” เจ้าของร่างเล็กกลอกตาคิดหาคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง “...บ่นอะไรอยู่คนเดียว ก็แค่นั้น”
“เกี่ยวกับคุณตฤณหรือครับ?” ภรัณยูพลั้งปากถามออกไปก่อนจะก้มหน้าและเกาท้ายทอยแก้เก้อเมื่อเห็นสีหน้านภทีป์คล้ายสงสัยในเจตนาของตน “ก็...ดูเหมือนคุณตฤณจะอยากให้คุณไปอยู่ด้วย หมายถึง...ทำงานด้วยกันน่ะครับ แล้วคุณก็เคยบอกว่าอยากจะให้โอกาส...”
“เปล่า...ฉันไม่ได้กำลังคิดเรื่องนั้น” นภทีป์รีบปฏิเสธก่อนภรัณยูจะเข้าใจผิดไปไกล “ฉันไม่คิดว่าตฤณจะเปลี่ยนตัวเองได้จริง ๆ หรอก เขาก็คงแค่ชอบเอาชนะแล้วการที่ฉันจะยอมอภัยให้ก็คงจะเป็นหนึ่งในสัญญาณว่าฉันยังคงแพ้ทางเขาอยู่เหมือนเดิม”
“ถ้าอย่างนั้นแปลว่าคุณจะไม่กลับไปคบหากับเขาหรือครับ?” แม้จะเป็นเรื่องน่าแปลกที่อยู่ ๆ ภรัณยูก็สงสัยเรื่องแบบนี้ขึ้นมา แต่นภทีป์ก็คิดว่าคงเพราะเจอกับตฤนและเจ้าตัวได้พูดอะไรบางอย่างกับภรัณยูกระมัง
“ก็ไม่แน่ใจ...” เขาไม่แน่ใจจริง ๆ เพราะแม้จะไม่รู้สึกยึดติดกับตฤณมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว กระนั้นก็ยังคงมีความหวังเล็ก ๆ ว่าตนเองจะไม่ต้องเผชิญกับความผิดหวังซ้ำซาก ในตอนนี้นภทีป์จึงไม่อาจแน่ใจกับอะไรได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เพราะไม่กล้าที่จะแน่ใจ
“แล้วถ้ามีคนอื่นชอบคุณล่ะ? คุณจะเลือกเขาหรือคุณตฤณมากกว่า”
วันนี้ภรัณยูดูแปลกมาก เพราะไม่เคยรุกถามเขาอย่างจริงจังขนาดนี้มาก่อน
“นายจะรู้ไปทำไม มันเรื่องไร้สาระ...” นภทีป์พูดไม่ทันจบประโยคดี ภรัณยูก็คว้าข้อมือเจ้าตัวไว้ก่อนที่จะลุกเดินหนีไปเหมือนทุกครั้งที่ไม่อยากตอบคำถาม พวกเขาหยุดนิ่งอยู่ท่านั้นชั่วขณะหนึ่งเหมือนต่างคนต่างก็กำลังทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นและจะเป็นอย่างไรต่อไป ก่อนที่ภรัณยูจะพูดประโยคหนึ่งออกมาซึ่งทำให้ทั้งนภทีป์และคนนอกอย่างรติตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน
“จะเป็นไปได้ไหม ถ้าเกิดว่าผม...จะชอบคุณ...”
TBC
-
อุ๊บบบบบ ตอนต่อปายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ให้ตายสิ ให้ตายสิ
รัณรุกแล้วเว้ยเฮ้ยยยยยยยยย
ลุ้นมากอะ
คุณเซียรีบมาต่อให้ด่วนเลยนะคะ
-
คนอย่างตฤนนี่น่ารังเกียจซะจริง
แล้วทีก็ยังไม่ยอมตัดให้ขาดอีก
-
ทีเริ่มรู้สึกอะไร ๆ กับพระเอกของเราแล้วใช่มั้ยเนี่ย :m3: แต่เบื่อนายตฤณ น่ารำคาญ มาวุ่นวายอยู่ได้
ดีที่ ที เริ่มจะตัดใจ ไม่ให้ความสนใจนายตฤณได้มากขึ้นแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย
แล้วยิ่งรัณของเราเอง ออกอาการหึงหวงทีอย่างไม่รู้ตัว มันเป็นการบ่งบอกว่าชอบทีเข้าให้แล้วชัด ๆ
เมื่อความรู้สึกเริ่มจะตรงกัน แต่ยังไม่มีใครเป็นฝ่ายยอมรับความรู้สึกนั้นก่อน ก็ไม่มีประโยชน์สินะ
เลยกลายเป็นรติ และ นายตฤณ เป็นตัวกระตุ้นอย่างดีของทั้งคู่เลย
โดยเฉพาะนายตฤณ เพราะที ที่แม้จะรู้อยู่แล้วว่าถ้าให้อภัยก็เท่ากับแพ้ทางนายตฤณต่อไป
แต่ทำไมถึงยังไม่แน่ใจ ว่าจะกลับไปหานายตฤณมั้ย ไม่เข้าใจทีเลยแฮะ
แต่ก็เพราะอย่างนั้นแหละเนอะ ทำให้รัณของเรา ยอมรับแล้วบอกความรู้สึกตัวเองกับที
เพราะไม่อยากเสียทีไปให้นายตฤณสินะ ขึ้นอยู่กับทีแล้ว ว่าจะตัดสินใจยังไง
ขอบคุณคนเขียนค่ะ :L2: :3123:
-
-14-
จะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะชอบคุณ...
ชอบคุณ...
ชอบคุณ...
เสียงสะท้องก้องของประโยคสั้น ๆ ยังคงติดตรึงอยู่ในสมอง ผู้ฟังพยายามที่จะคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น ทว่าสายตาและท่าทีของคนพูดกลับไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังพูดเล่นเลยสักนิด แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่ทันได้คาดคิดเช่นนี้ย่อมไม่มีทางที่นภทีป์จะตอบโต้กลับไปได้ในทันที ที่สุดแล้วบทสนทนาของพวกเขาจึงจบลงที่ตรงนั้นโดยไม่มีอะไรเพิ่มเติม...
หลังจากพูดสิ่งที่อยากพูดแล้ว ภรัณยูก็ยังคงทำตัวตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งทำกับข้าวรสชาติประหลาด ฝึกฝนใช้งานคอมพิวเตอร์ และช่วยล้างจาน ซักผ้า ไปตามเรื่องตามราว ผิดกับนภทีป์ที่ผิดแปลกไปอย่างชัดเจน เขาไม่อาจทำตัวปกติได้หลังจากได้ยินถ้อยคำที่ใกล้เคียงกับการสารภาพรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากคนใกล้ตัวซึ่งเขารู้ตัวว่ากำลังมีความรู้สึกพิเศษด้วย
นับจากวันนั้น นภทีป์ก็เริ่มรู้สึกเหมือนตนเองขาดอากาศหายใจอยู่บ่อย ๆ เมื่อภรัณยูเข้ามาใกล้ซ้ำยังไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย
เมื่อใดก็ตามที่ถูกเรียกชื่อ นภทีป์มักจะสะดุ้งและหัวใจเต้นระรัวจนหยุดไม่ได้
และเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ...เรื่องที่ภรัณยูยังคงยืนยันที่จะนอนในห้องเดียวกับเจ้าของห้อง และนภทีป์ไม่สามารถหาเหตุผลไล่เจ้าตัวออกไปได้ ทุก ๆ คืน ภรัณยูมักจะนอนหลับไปอย่างงรวดเร็วในเวลาเดิมเสมอ ส่วนนภทีป์เป็นคนที่นอนหลับยากเป็นทุน จึงได้แต่พลิกไปมาบนเตียงอย่างกระสับกระส่ายและเผลอเกร็งตัวเป็นระยะเมื่อได้ยินเสียงการขยับตัวของอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะเป็นบ้า เขานอนหลับไม่สนิทและว้าวุ่นใจอยู่ตลอดเวลา
สาเหตุสุดท้ายที่ทำให้นภทีป์รู้สึกคล้ายกำลังกลายเป็นระเบิดเวลาลูกย่อม ๆ นั่นคือตัวการใหญ่ รติ สิ่งที่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นอะไร ไม่ใช่ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต สิ่งที่ตั้งฐานะให้ตนเองว่าเป็นกามเทพผู้ไร้ศรรักคอยก่อกวนเขาอยู่ตลอดเวลาไม่ว่างเว้นราวกับถึงเวลาเอาคืนอย่างสาสมกับความผิดที่นภทีป์ไม่อาจรู้ได้ว่าตนเองไปทำอะไรให้อีกฝ่ายเก็บกดถึงขนาดนี้
รติแทบจะไม่เคยเงียบเลยเมื่อเขาเกิดปฏิกิริยาบางอย่างกับการกระทำของภรัณยู และเขาก็ไม่อาจตอบโต้กลับไปได้เมื่อมีคนอยู่ด้วยทำให้เจ้าตัวยิ่งได้ใจ และไม่รู้ว่าทำไม...เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามจะหันไปเอ็ดใส่รติ ภรัณยูก็มักจะมองมาที่เขาและยิ้มให้อย่างมีความหมาย
เขาอยากจะ...กลายเป็นระเบิดไปจริง ๆ ให้รู้แล้วรู้รอด...
อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาอันยากลำบากของนภทีป์กำลังจะผ่านไป เพราะในที่สุดก็มาถึงวันเสาร์สุดท้ายที่ภรัณยูจะค้างแรมที่นี่ จากนั้นเจ้าตัวก็จะมาเฉพาะเสาร์และอาทิตย์เช่นเดิม
ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุกำลังจัดของใส่กระเป๋าพลางฮัมเพลงในคอในขณะที่นภทีป์นั่งกินข้าวไปพลางก็ถลึงตาใส่รติไปพลาง
“น่าเสียดายแฮะ วันสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกันใกล้ชิดแล้วสินะ” รติทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางใช้ศอกกระทุ้งแก้มอีกคนเบา ๆ “นายนี่ใจร้ายจริง ๆ เขาอุตส่าห์เปิดเผยขนาดนี้อย่างที่นายต้องการแล้ว นายกลับไม่ยอมตอบรับหรือปฏิเสธให้ชัดเจนบ้าง”
“มันเป็นความต้องการของนายต่างหาก” นภทีป์ตอบลอดไรฟันให้เบาที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
“ถ้านายไม่ได้ต้องการทำไมนายถึงไม่ตอบปฏิเสธไปล่ะ? จะพูดว่า ฉันไม่ได้ชอบนาย หรือ ฉันไม่สนใจคนอย่างนายหรอก ก็ได้นี่นา?”
คำถามของรติทำให้คนตอบเกิดอึกอัก เพราะถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในหัวของเขาแม้แต่น้อย จนถึงตอนนี้ นถทีป์ก็ยังคงนึกไม่ออกว่าควรจะตอบภรัณยูอย่างไร เพราะเขาไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรกันแน่ สิ่งที่เขารู้สึกกับภรัณยูมันคือความรู้สึกใกล้ชิด สนิทใจ และสบายใจ คิดว่าการมีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่ได้แย่อะไรจึงไม่ได้คาดหวังไปมากกว่านั้น ไม่เคยจินตนาการกระทั่งว่า หากเขาทั้งสองคบหากันจะเป็นเช่นไร มันก็แค่...ความรู้สึกดีเพียงผิวเผิน เหมือนกับเด็กวัยรุ่นที่มีคนเอาอกเอาใจจึงได้ติดคนที่เอาใจตน
นภทีป์คอยนึกถามตัวเองเป็นบางครั้งในเวลาที่นอนไม่หลับว่าตนเองมีดีอะไรที่ตรงไหน ทำไมภรัณยู...ซึ่งน่าจะมีคนชื่นชอบมากมายจึงได้มาชอบคนอย่างเขาได้
เขาจะแน่ใจได้อย่างไร...ว่ามันไม่ใช่เพียงความคิดชั่ววูบหรือแค่อยากลองของไปอย่างนั้น...
“คุณที”
...!!
“...อ...อะไร” เมื่อได้ยินเสียงเรียกขาน เขาก็ยังคงสะดุ้งเอาง่าย ๆ อยู่ดี หัวใจของเขาเต้นตึกตักจนนึกกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
“ไม่สบายหรือเปล่าครับ?” ภรัณยูเลิกคิ้วพลางมองมาด้วยสายตาสงสัยระคนเป็นห่วง ทำให้นภทีป์เพิ่งรู้ว่าใบหน้าตนเองร้อนวูบวาบเหมือนถูกอังด้วยของร้อน
“เปล่า นายเก็บของเสร็จแล้วหรือไงถึงมีเวลามาห่วงคนอื่นเขาน่ะ”
“ยังหรอกครับ ผมจะถามพอดีว่าเห็นของของผมลืมไว้ตรงไหนหรือเปล่า ถ้าลืมเสื้อไว้อีกคุณทีคงบ่นผมอีกแน่ ๆ” ชายหนุ่มร่างสูงว่าเช่นนั้นพลางเกาท้ายทอยตนเองด้วยสีหน้ายิ้มเก้ออย่างเคยก่อนกระซิบอุบอิบกับตนเอง “หวังว่าจะไม่ลืมอะไรน่าอายไว้นะ...”
“ถ้าลืมไว้อีกสงสัยคราวนี้ฉันจะยึดเสื้อนายไว้ดมตอนนอนแหง ๆ” แน่นอนว่าประโยคนั้นไม่ได้ออกมาจากปากของนภทีป์แต่เป็นรติที่กำลังทำท่ากอดตัวเองอย่างโหยหาและจู๋ปากทำท่าจุ๊บ ๆ อย่างน่าหมั่นไส้ หรือหากให้พูดตรง ๆ คือเป็นวาจาและท่าทางที่ใกล้เคียงคำว่าโรคจิตจนแทบแยกไม่ออก
นภทีป์ต้องอาศัยความอดทนอย่างมากที่จะไม่หันไปโยนอะไรใส่อีกฝ่าย และควบคุมน้ำเสียงตนเองให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ถ้าฉันเจออะไรของนายจะเก็บเอาไว้ให้ก็แล้วกัน”
“แย่จังนะครับ วันสุดท้ายแท้ ๆ แต่ผมกลับเอาแต่จัดของของตัวเอง”
“ถ้านายไม่จัดของของนาย แล้วนายอยากจะทำอะไร?”
“ก็...ทำกิจกรรมอะไรร่วมกันล่ะมั้งครับ” ภรัณยูพูดออกไปโดยไม่ได้มีใจคิดอกุศล เขาคิดอย่างที่พูดคือพวกเขาทั้งสองน่าจะหาอะไรทำร่วมกันก่อนจากบ้าง เหมือนกับเพื่อนเวลาที่ไปเข้าค่ายค้างแรมด้วยกันทำนองนั้น ทว่าคำพูดที่ชวนให้คิดไปอีกแง่หนึ่งโดยไม่มีการแถลงไขให้กระจ่าง ได้กระตุ้นให้นภทีป์คิดไปในเส้นทางที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีรติเปิดประเด็นอยู่ข้างหู
“ก...กิจกรรมอะไรของนาย!” นภทีป์ทนเงียบต่อไปไม่ไหวจึงต้องตะโกนออกมา
“เอ๋ ผมพูดอะไรผิดหรือครับ?” แต่เมื่อได้ยินคำถามสวนกลับพร้อมสีหน้ากังขาชัดเจน เขาก็รู้ว่าตนเองพลาดไปเสียแล้ว และก่อนที่ภรัณยูจะเดาออกว่าเขาคิดอะไร นภทีป์ก็รีบละล่ำละลักแก้ตัวจนลิ้นแทบพันกัน
“ไม่...ไม่มีอะไร ฉันหมายถึง...นายคิดว่าพวกเราควรทำกิจกรรมอะไรกันในเวลาแบบนี้?”
ภรัณยูโคลงศีรษะเล็กน้อยพลางใช้ความคิด
“อย่างเช่น...ออกไปเดินซื้อของกันล่ะมั้งครับ ของสดในตู้ก็หมดแล้ว แถมขนมที่คุณทีซื้อมาก็ด้วย...” พอพูดถึงขนม ชายหนุ่มก็ยิ้มเกรงอกเกรงใจ “ขอโทษนะครับที่ผมกินเสียเยอะ คราวนี้ผมจะซื้อคืนก็แล้วกัน คุณทีชอบขนมพวกเยลลี่ใช่ไหมครับ?”
“ม...”
นภทีป์เกือบจะตอบออกไปแล้วว่าไม่ต้องซื้อมาคืน แต่ภรัณยูจะต้องถามแน่ ๆ ว่าเพราะอะไร
เขาจะตอบออกไปได้ยังไงว่าจงใจซื้อมาให้ตั้งเยอะแยะขนาดนั้น!
“...ไม่ต้องก็ได้...ฉันอยากกินเมื่อไหร่เดี๋ยวก็ไปซื้อมาเองนั่นแหละ”
“แต่ผมเกรงใจนะครับ มารบกวนตั้งนานแถมยังใช้เงินคุณทีซื้อของกินอีก ผมแทบจะไม่ได้ช่วยออกอะไรเลย” บางครั้งนิสัยของภรัณยูก็เหมือนการพยายามต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม ความหวังดีและความขี้เกรงใจกำลังบีบให้นภทีป์ต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยาก “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจัดกระเป๋าเสร็จแล้วเราออกไปด้วยกันนะครับ คุณทีอยากกินอะไรบอกมาได้เลยเดี๋ยวผมจะซื้อให้เอง”
และเพราะเหตุนั้น...ผนวกกับความปากแข็ง พวกเขาจึงต้องออกไปที่ห้างสรรพสินค้าด้วยกันในตอนบ่ายจนได้ และทันทีที่ไปถึง ภรัณยูก็พาเดินไปที่โซนขนมขบเคี้ยวโดยไม่สนใจโซนอื่นเลย
ชายหนุ่มแทบจะกวาดขนมจำพวกเจลาตินลงตะกร้าหมดทุกยี่ห้อ หลังจากนั้นยังหยิบพุดดิ้งและวุ้นคาราจีแนนผสมวุ้นมะพร้าวใส่ลงตะกร้าอีกด้วย
“พอแล้วน่า นายคิดจะให้ฉันเป็นเบาหวานตายหรือยังไง” นภทีป์รีบรั้งมืออีกฝ่ายไว้ก่อนที่จะเอื้อมไปหยิบของเพิ่มจากกอีกชั้นข้าง ๆ
“อ...ก็จริงนะครับ...ถ้าอย่างนั้นไปดูพวกเครื่องดื่มกัน” ว่าแล้วภรัณยูก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายคว้ามือของนภทีป์เดินตรงไปยังชั้นเครื่องดื่มซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านใน
“นายคิดยังไงน่ะ อยู่ ๆ ถึงมาซื้อข้าวของให้ฉันแบบนี้ คิดว่าตัวเองเป็นเสี่ยหรือยังไง?”
ภรัณยูหัวเราะเมื่อถูกเรียกว่า เสี่ย
“เบี้ยเลี้ยงตอนฝึกงานของผมเอง ที่จริงแล้วผมคิดว่าจะพาคุณไปเลี้ยงอาหารเพื่อตอบแทนที่คุณดูแลผมมาตลอด แต่ก็ไม่มีจังหวะเลยแถมผมก็ไม่รู้จักร้านอาหารดี ๆ เท่าไหร่ด้วย จะพาไปเลี้ยงอะไรแพง ๆ เบี้ยเลี้ยงผมก็อาจจะไม่พอ สุดท้ายผมก็เลยลังเลมาจนถึงตอนนี้น่ะครับ” ท่าทางการพูดของภรัณยูดูจริงจังกับสิ่งที่คิดเป็นอย่างมาก ทั้งที่ตัวนภทีป์เองไม่เคยคิดเลยว่าตนเองได้ดูแลอีกฝ่ายจนน่าประทับใจถึงขนาดนั้น
“ถ้านายอยากเลี้ยงฉันจริง พาไปกินบุฟเฟ่ต์นานาชาติก็พอแล้ว”
“อยากกินจริง ๆ หรือครับ?”
พอถูกถามกลับมา นภทีป์ก็เงยหน้าขึ้นมองคนข้างตัวด้วยสายตาเคลือบแคลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดคล้ายกับกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญ
“นายไม่ต้อง...”
“เอาไว้ผมทำงานเป็นหลักเป็นฐานก่อนได้ไหมครับ?”
หา?
นภทีป์กะพริบตาปริบ ๆ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเอาจริง
“ก็เงินเดือนเดือนแรกผมตั้งใจจะให้พ่อกับแม่ ดังนั้นเดือนที่สอง ผมจะเอามาเลี้ยงคุณทีก็แล้วกัน” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น ภรัณยูก็ยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ดังนั้นก่อนผมจะได้งาน คุณทีต้องขุนตัวเองให้อ้วนกว่านี้นะครับ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่คุ้มเอา”
อ...เอาจริงจริง ๆ หรือ?
“แต่ว่าฉัน...”
“สัญญาแล้วนะครับ”
อยู่ ๆ ก็โดนมัดมือชกเอาอย่างนี้ นภทีป์ก็ถึงกับมึนงงไปพักใหญ่ และระหว่างที่กำลังเรียบเรียงความคิดของตัวเองอยู่ ก็เป็นจังหวะให้ภรัณยูหยิบขวดน้ำหวานใส่ตะกร้าไปอีกขวด
“เอาล่ะ คราวนี้ก็ไปดูพวกของสดกันเถอะ ถึงผมจะเลี้ยงขนมคุณเป็นการตอบแทนก็จริงแต่คุณก็กินของไม่มีประโยชน์แบบนี้ทั้งวันไม่ได้หรอกนะครับ”
“รู้แล้วน่า! นายเป็นพ่อฉันหรือไง!”
ระยะหลังนี้นอกจากภรัณยูจะกล้าท้าทายเขามากขึ้นแล้ว เจ้าตัวยังเริ่มทำตัวเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขามากขึ้นด้วย แต่ถึงอย่างนั้น...นภทีป์กลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด ไม่เหมือนกับการที่มีคนคอยบงการให้ทำนั่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา เพราะภรัณยูมักจะทำเหมือนว่าทุก ๆ อย่างเป็นเรื่องสบาย ๆ เหมือนกับคนที่สนิทใกล้ชิดกันคอยดูแลกันเท่านั้นเอง
ถ้าอย่างนั้น พวกเขาสนิทกับในฐานะไหนล่ะ?
“น่าจะเป็นแฟนมากกว่าล่ะมั้ง” ราวกับได้ยินเสียงของความคิด รติตอบออกมาได้ตรงจังหวะเสียจนน่าหันไปบีบคอให้หยุดพูด เพราะคำพูดของรติได้กระตุ้นให้เขาเผลอคิดตามจนหน้าแดงขึ้นมาอีกคำรบ ความกระดากอายแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งนี้...เป็นเพราะเขาเองก็คิดขึ้นมาชั่วแวบหนึ่งว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเข้าใกล้คำนิยามนั้นเข้าไปทุกที
ในนาทีที่กำลังพยายามคิดแก้ต่างให้สมองตนเอง มือของนภทีป์ก็ถูกคว้าจับอีกครั้งโดยฝ่ามือใหญ่ที่ให้ความรู้สึกอุ่นวาบแม้จะอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่เปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นเฉียบ
“ไปทางนั้นกันเถอะครับ หรือว่าอยากจะซื้ออะไรอีก?” ภรัณยูถามพลางมองขึ้นไปบนชั้นที่เห็นอีกฝ่ายเหม่อมองอยู่ก่อนจะพบว่ามันเป็นชั้นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ “ผมไม่เห็นรู้เลยว่าคุณชอบดื่มเหล้าด้วย แต่ผมว่าพวกไวน์รสผลไม้ก็อร่อยดีนะครับ เคยดื่มเล่นกับเพื่อน ๆ อยู่”
“ฉันก็แค่เคยกินนิดหน่อย...” นภทีป์ตอบเสียงอุบอิบแล้วพยายามดึงมือกลับเพราะเห็นว่ามีพนักงานห้างบางคนกำลังมองมาและอมยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นจะซื้อไปสักขวดไหมครับ?”
“ไม่เป็นไร มันสิ้นเปลืองจะตาย แล้วนายก็ปล่อยมือฉันได้แล้ว ฉันไม่ใช่เด็กหลงทางนะ”
“ผมคิดว่าจับไว้ดีกว่า” ยิ่งพยายามดึงมือออก ภรัณยูก็กลับยิ่งจับแน่นขึ้นซ้ำยังยิ้มกริ่มเหมือนมีเลศนัยอยู่ในใจ และคำตอบก็เฉลยออกมาเมื่อชายหนุ่มก้มลงเพื่อกระซิบบอกเหตุผล “เวลาคุณทีหน้าแดงแบบนี้ ผมคิดว่าดูน่ารักดีน่ะครับ”
“เงียบไปเลยนะ!” นภทีป์ดันหน้าอีกฝ่ายออกแล้วเผลอตะโกนเสียงดังลั่นจนคนรอบข้างหันมามองพวกเขาเป็นจุดเดียว ในวินาทีนั้น นภทีป์แทบอยากจะมุดเข้าไปและกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับชั้นวางสินค้าให้รู้แล้วรู้รอด แต่สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการเดินตามแรงฉุดของภรัณยูซึ่งดูจะไม่สะทกสะท้านต่อสายตาคนรอบข้างแม้แต่น้อย จนกระทั่งพวกเขาออกมาพ้นระยะแล้ว มือที่กุมอยู่ก็คลายออกเล็กน้อย
นภทีป์เอาแต่ก้มหน้าเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ แม้กระทั่งตอนที่ภรัณยูถามว่าจะซื้อนมกับไข่ไปด้วยหรือไม่
“โกรธผมหรือเปล่า?”
เพราะไม่ได้รับคำตอบและไม่มีการตอบสนองกับคำถามใด ๆ ภรัณยูจึงเกรงว่าตนเองจะทำให้อีกฝ่ายโกรธขึ้นมาจริง ๆ
...
“คุณที...ถ้าคุณไม่ชอบผมจะไม่ทำอีก...”
...
ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยมือและเดินนำหน้าไปดูของต่อ
“นายทำให้เขาหงอแล้วนะดูสิ!” รติตะโกนใส่นภทีป์เหมือนคนถูกขัดใจอย่างร้ายแรง ซึ่งที่จริงแล้ว...เขาก็กำลังขัดใจอยู่ ขัดใจมากเสียด้วย ทั้งที่ภรัณยูแสดงออกชัดเจนถึงขนาดนี้ แต่กลับเป็นนภทีป์เสียเองที่ตั้งใจจะยื้อความไม่แน่นอนให้คงอยู่ต่อไป ถ้าเพียงแต่ตอบรับสักนิด ทอดสะพานสักหน่อย อะไร ๆ มันคงจะไปได้สวยแล้วแท้ ๆ เชียว หากเขาเป็นวิญญาณที่เข้าสิงคนได้ รติคงไม่ลังเลที่จะเข้าสิงนภทีป์และรวบรัดทุกสิ่งทุกอย่างให้เดินหน้าต่อไปไม่ค้างคาอยู่อย่างนี้แน่นอน
ถึงอย่างนั้นนภทีป์กลับไม่สามารถทำอย่างที่รติต้องการได้ เพราะมันไม่ใช่ความหวังของเขามาตั้งแต่แรกที่จะได้รับความรู้สึกพิเศษจากภรัณยู และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เหมือนกับว่าเป็นเพียงสถานการณ์และความใกล้ชิดที่นำพาไปเท่านั้น
ยังมีความลังเล ไม่มั่นใจ และกังวลไหลเวียนอบอวลอยู่ทั่วเสียจนกลายเป็นความหม่นหมองมากกว่าประกายสดใสสว่างจ้าอย่างที่คนมีความรักทั่วไปบรรยายเอาไว้
“โถ่เอ๊ย เข้าไปบอกว่ายังไม่โกรธก็ยังดีน่า!” เพราะเห็นนภทีป์ยังคงนิ่ง รติจึงรบเร้าและผลักอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปหาภรัณยูแล้วคุยให้รู้เรื่อง
ถึงแม้นภทีป์จะไม่อยากทำ แต่ก็จำยอมเพราะหากเงียบต่อไปแบบนี้มีแต่จะมองหน้ากันลำบากเสียเปล่า ๆ อย่างไร...ก็ต้องเจอกันอีกหลายเดือน
เขาสูดหายใจลึกเมื่อเดินเข้าไปเทียบข้างและกระแอมเบา ๆ จนภรัณยูหันมาหา
“เอ่อ...คือ...ผมไม่รู้ว่าคุณทีอยากกินอะไร ผมก็เลย...” แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่ภรัณยูมักจะเป็นฝ่ายพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาก่อนโดยทำเป็นว่าไม่ได้รู้สึกขัดเคืองใจกับการกระทำของเขาเลย ไม่ว่ามันจะดูไร้เหตุผลหรือไร้สาระมากแค่ไหนก็ตาม
แม้แต่ตอนที่เจอกันแรก ๆ เขามักจะใส่อารมณ์กับอีกฝ่ายราวกับว่าภรัณยูไม่มีหัวใจ แต่เจ้าตัวก็จะทำเพียงแค่ยิ้มรับและปล่อยให้เขาสงบลงก่อนเปลี่ยนเรื่องพูดไปเสียเฉย ๆ ไม่แม้แต่จะเรียกร้องคำขอโทษหรือพยายามยัดเยียดความคิดของตัวเองกลับมา
“ฉันกินอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ” และนภทีป์ก็มักจะฉวยโอกาสเช่นนั้นเพื่อจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ตนเองไม่อยากพูดเช่นกัน...เขากลืนคำพูดทั้งหมดที่คิดไว้เมื่อครู่ลงคอไปอย่างง่ายดาย และปล่อยให้ความปกติสุขดำเนินไปอีกครั้งโดยทำเป็นว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลย
แบบนี้เหมือนเขากำลังขี้โกงอยู่หรือเปล่า?
----------------------->
-
หลังจากซื้อของกันเสร็จ เวลาก็ผ่านไปจนบ่ายคล้อย ภรัณยูจึงรีบเก็บของที่เหลือเพื่อจะได้กลับถึงบ้านก่อนค่ำมืดซึ่งจะทำให้ทางบ้านเป็นห่วง
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ภรัณยูบอกลาเมื่อนภทีป์ออกมาส่งถึงหน้าคอนโดมิเนียม “คุณทีก็อย่ากินแต่ขนมนะครับ ถ้าไม่รู้จะกินอะไรผมจะส่งสูตรอาหารของแม่มาให้ทางอีเมล์ แล้วก็...พวกผักอย่างทิ้งไว้นานนะครับเดี๋ยวมันจะเหี่ยวหมด เนื้อถ้าเห็นสีเขียว ๆ ก็...”
“พอ ๆ นายกำลังจะกลับบ้านนะไม่ได้จะไปต่างประเทศ แล้วก่อนที่นายจะมาค้าง ฉันก็อยู่คนเดียวของฉันมาตลอด คิดว่าจะดูแลตัวเองไม่เป็นหรือไง?”
ชายหนุ่มร่างสูงหัวเราะแหะ ๆ พลางเกาท้ายทอยเมื่อถูกปางห้ามพูดเข้าไป
“แล้วเจอกัน...อาทิตย์หน้านะครับ” เขาเลือกที่จะทิ้งท้ายด้วยประโยคง่าย ๆ แล้วจึงเดินจากมา เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดตามหลัง ภรัณยูก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองก่อนถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มันเหมือนกับว่าเขาได้ทำบางอย่างผิดพลาดไปแต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นอะไร เพียงแต่ว่าสิ่งนั้นได้ทำให้เกิดกำแพงสูงใหญ่ขวางกั้นระหว่างตัวเขาและนภทีป์ให้ห่างไกลยิ่งกว่าเดิม
ระหว่างที่ลงลิฟต์ ก็รู้สึกเหมือนความมั่นใจตกฮวบลงไปด้วย
บางทีนภทีป์คงจะไม่ชอบกระมัง...ที่ถูกบอกว่าชอบทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คิดอะไรด้วยเลย บางที...มันคงจะน่ารำคาญที่เขาคอยตามตื้อและรบเร้า...
อา...นี่มันงี่เง่าจริง ๆ
ภรัณยูกลับบ้านโดยที่ยังคิดเรื่องนี้ไม่ตก เขาไม่ได้แสดงความลำบากใจต่อหน้านภทีป์เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายอึดอัด ที่จริงแล้ว เขาเพียงแต่คิดว่า หากบอกออกไปเสียและได้ฟังคำตอบ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบรับหรือปฏิเสธก็สามารถยอมรับได้ ทว่า...มันกลายเป็นสิ่งที่ค้างคาใจเพราะนภทีป์ไม่ยอมตอบเลยและทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกไปในวันนั้น
แต่อันที่จริงแล้ว ภรัณยูพอจะสัมผัสได้อยู่ว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปแม้นภทีป์จะไม่ยอมแสดงออกตรง ๆ คล้ายกับการตีตัวออกห่าง แต่เมื่อพิจารณาดู มันใกล้เคียงกับความลังเลจนทำอะไรไม่ถูกเสียมากกว่า มันทำให้เขารู้สึกว่า...การกระทำที่ไม่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนของตนได้ทำให้ไม่สามารถใกล้ชิดอีกฝ่ายอย่างบริสุทธิ์ใจได้อีกต่อไป
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดอกุศล แต่นภทีป์อาจจะคิดว่าเขาคิดก็เป็นได้...
----------------------------->
“ยินดีต้อนรับกลับสู่บ้านหลังเล็กที่แสนอบอุ่นค่า~” ทันทีที่ภรัณยูก้าวเข้าบ้าน พิณาลัยก็เดินออกมารับหน้าพร้อมโคนไอศกรีมยี่ห้อดังที่เพิ่งกินข้างในหมดไปหมาด ๆ และทำท่าเหมือนกำลังยิงพลุกระดาษสีในงานเลี้ยงด้วยโคนไอศกรีมอันนั้นเอง ก่อนที่เธอจะร้องกรี๊ดลั่นบ้านเพราะภรัณยูโน้มใบหน้าลงมาแล้วคาบโคนไอศกรีมที่เธออุตส่าห์บรรจงเก็บไว้กินท้ายสุดไปเสียดื้อ ๆ
“ยังชอบเก็บโคนไว้กินทีหลังเหมือนเดิมเลยนะ” ชายหนุ่มเคี้ยวโคนกร้วม ๆ แล้วเลียปลายนิ้วตบท้ายให้น้องสาวเจ็บใจเล่น “แล้วแม่ไปไนล่ะ? พ่อยังไม่กลับจากงานหรือ?”
“วันนี้พ่อโดนเพื่อนชวนออกไปกินข้าวด้วยกันแล้วก็ชวนแม่ไปด้วย ส่วนหนูขี้เกียจไปนั่งกลางวงผู้ใหญ่ก็เลยขออยู่เฝ้าบ้านดีกว่า” พิณาลัยตอบพลางทำหน้ายู่เพราะยังขุ่นเคืองเรื่องขนมของโปรด “แต่วันนี้พี่กลับมาเร็วนะคะ ปกติพี่น่าจะกลับค่ำกว่านี้นี่นา แถมเป็นวันสุดท้ายที่จะค้างที่นั่นแล้วด้วย”
“ก็เพราะว่าเป็นวันสุดท้ายน่ะสิก็เลยทำอะไรมากไม่ได้ แค่เก็บของกับไปช่วยซื้อของตุนที่ห้องก็แทบหมดเวลาแล้ว ก็เลยกลับมาเลย” ภรัณยูเดินขึ้นห้องนอนตัวเองโดยมีน้องสาวเดินตามหลัง
“แล้วคุณทีของพี่เป็นยังไงบ้าง? พี่โดนดุเยอะหรือเปล่า?”
“วันนี้ถามมากผิดปกตินะเราน่ะ”
“ก็แหม...ท่าทางพี่แปลก ๆ นี่นา ดูหมอง ๆ ยังไงไม่รู้ ถึงจะเป็นคุณทีที่พี่แสนเคารพรัก แต่ถ้ามาแกล้งพี่ชาย หนูก็ไม่ยอมหรอกนะ” เด็กสาวแสร้งทำสีหน้าจริงจังแล้วกอดอกเต๊ะท่าเลียนแบบหน้าปกการ์ตูนเรื่องหนึ่ง “แล้วตกลงว่า...มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“จะไปมีอะไรได้ยังไงล่ะ สงสัยพี่คงแค่เหนื่อย” บางครั้งภรัณยูก็รู้สึกว่าควรเชื่อคำที่เขาพูดกันมา ว่าผู้หญิงมีเซนส์ที่ดีเยี่ยม
“แล้วหลังจากนี้พี่ก็จะไปวันเสาร์กับอาทิตย์เหมือนเดิมเหรอคะ? แบบนี้ก็แทบไม่มีเวลาอยู่บ้านเลยน่ะสิ วันจันทร์ถึงศุกร์ก็ต้องไปมหาลัยด้วยนี่นา” ถึงแม้ว่าพอเปิดเทอม ทั้งเธอและพี่ชายต่างก็ต้องไปเรียนเหมือนกัน แต่กระทั่งวันหยุดยังไม่ได้หยุด พิณาลัยก็เกรงว่าพี่ชายของตนเองจะป่วยเอาได้ แม้ว่าช่วงปิดเทอม 3 เดือน ภรัณยูจะสามารถรอดพ้นจากเหล่าเชื้อโรคมาได้ก็ตาม
“ปีสุดท้ายไม่ต้องไปบ่อยขนาดนั้นหรอก หน่วยกิตพี่ก็เก็บเกือบครบหมดแล้ว เหลืออยู่แค่ไม่กี่ตัวแล้วก็ทำโปรเจคจบเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มลูบผมน้องสาวแล้วทิ้งตัวลงเตียงพลางยืดเส้นยืดสาย “วันนี้มีข่าวเย็นหรือเปล่า? ถ้าแม่ลืมทำไว้ให้เดี๋ยวพี่บรรเลงให้กินดีไหม?”
พิณาลัยเบะปากทันที
“ไม่เอา หนูไม่อยากท้องเสีย แม่ทำกับข้าวไว้เรียบร้อยแล้วด้วย ส่วนข้าวอีกสักพักก็สุกแล้ว”
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ขอกลิ้งสักพักจะลงไปกินด้วยนะ” คำพูดบอกเป็นนัย ๆ ว่าตอนนี้อยากพักคนเดียว เด็กสาวที่พอจะอนุมานได้จึงล่าถอยออกไปแล้วบอกว่าเมื่อข้าวสุกจะขึ้นมาเรียกอีกที และเมื่อน้องสาวออกไปจากห้องแล้ว ภรัณยูก็ถอนหายใจออกมา
อาทิตย์หน้า...นภทีป์จะทำหน้ายังไงนะ เมื่อเจอเขา...
---------------------------->
ในเวลานั้น ภรัณยูไม่ได้รู้เลยว่า อีกฝั่งหนึ่งก็มีความกังวลใจในแบบของตนเองอยู่เหมือนกัน
นภทีป์ได้แต่นั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะเตี้ย มีเพียงลูกนัยน์ตาที่กลอกไปมาเหมือนกำลังค้นหาบางสิ่งที่ติดอยู่ในสมองของตนเอง
“เลิกทำหน้าประหลาดแบบนั้นได้แล้วน่า ถ้านายไม่อยากจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีก็ตอบรับให้รู้แล้วรู้รอดไปสิ” รติโคลงหัวด้วยความเหนื่อยอกเหนื่อยใจ “นายก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้วนี่”
“นายว่ามันจะดีจริง ๆ หรือ?”
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ?”
ชายหนุ่มเม้มปากพลางสูดหายใจลึก
“นายจำไม่ได้หรือว่าทำไมภรัณยูถึงมาหาฉัน เขาก็แค่...ประทับใจภาพวาดและคิดว่าฉันจะช่วยให้เขาสามารถเดินทางสายเดียวกันได้ บางที...มันก็แค่ความประทับใจแบบเดียวกัน พอเขาพึงพอใจในสิ่งที่ได้แล้วก็จะไม่มีเหตุผลให้ต้องใกล้ชิดผูกสัมพันธ์กันอีก”
รติมุ่นคิ้วและคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนวดขมับตัวเองด้วยมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้าง
“ที่นายพูดถึงอยู่น่ะ คือตฤณหรือเปล่า? นี่นายคิดว่าภรัณยูเหมือนเจ้านั่น?”
“ก็มันจริงใช่ไหมล่ะ? นายเองก็ไม่มีอะไรรับประกันนี่ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่จบลงเหมือนเดิม แล้วตอนนี้ตฤณก็ยัง...” ผู้ชายคนนั้นเป็นอีกสาเหตุที่เขาลังเล แม้จะบอกกับภรัณยูไปว่าตฤณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่ใจจริงเขาก็ยังรู้สึกเกรงใจหากว่าตนเองด่วนตัดใจไปเสียก่อนในเมื่ออีกฝ่ายต้องการโอกาสแก้ตัว ถ้าหากว่าครั้งนี้ตฤณจริงจังล่ะ? จะกลายเป็นว่าเขาเป็นฝ่ายทำร้ายเจ้าตัวหรือเปล่า?
“ถ้าอย่างนั้น แปลว่านายจะปล่อยให้ค้างคาแบบนี้ต่อไป?”
“ฉันแค่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงเท่านั้นเอง โอ๊ย! นายทำอะไรเนี่ย!” นภทีป์ตวาดใส่รติเมื่อโดนปากกาด้ามหนึ่งโยนใส่ศีรษะ
“นายนี่มันไร้ความโรแมนติกสิ้นดี เคยอ่านพวกนิยายประโลมโลกบ้างไหม หรือละคร หรือ...บทกวี นายเข้าใจคำว่าความรักหรือเปล่าเนี่ย!” รติพรั่งพรูคำถามออกมาแล้วมองคู่สนทนาเสมือนกำลังมองสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกที่จะพบเห็นได้ “มันไม่ใช่ว่าเพราะเกรงใจ หรือเพราะถูกเรียกร้อง ถึงได้คบหากันในฐานะแฟนนะ นายก็แค่ขี้เกียจยุ่งยาก ไม่อยากคิดอะไรให้มากความ ถึงได้ถูกเจ้าตฤณจูงจมูกเอาง่าย ๆ ไม่ใช่หรือไง หัดคิดอะไรเองซะบ้างสิ ความกระตือรือร้นน่ะมีบ้างไหม?”
อยู่ ๆ รติก็วางท่าเหมือนพ่อกำลังสั่งสอนลูกชายหัวอ่อน ทำเอานภทีป์ผงะไปพักหนึ่งก่อนจะตั้งสติได้
“ก็เพราะแบบนั้นฉันถึงได้กำลังคิดอยู่นี่ไงล่ะว่าจะทำยังไงดี แทนที่นายจะมาหาเรื่องต่อว่าฉัน นายควรจะช่วยคิดบ้างสิ นายเป็นคนต้นคิดให้ภรัณยูมาอยู่ที่นี่นะ!”
“นั่นก็เพราะฉันอยากให้นายเลิกยึดติดกับอดีตซะที!”
“แล้วนายจะรับผิดชอบยังไงถ้ามันกลับไปเป็นเหมือนเดิม!”
รติอึกอักกับคำถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือก ใช่สิ...เขาจะเอาอะไรมาพิสูจน์ได้ว่าอนาคตจะไม่ซ้ำรอยเดิมกับอดีต มันเป็นแค่ความมั่นใจของเขาเท่านั้นเอง...แต่ความมั่นใจของสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงคงไม่มีความหมายอะไรกับอีกฝ่ายเลย
“ที่ฉันจะพูดก็คือ...นายน่าจะเชื่อในสิ่งที่ใจของนายรู้สึกบ้าง ก็แค่นั้น”
นภทีป์รับฟังรติเงียบ ๆ แต่ถึงจะรับฟัง เขาก็ยังคิดแย้งอยู่ในใจว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่พูดเลย...
TBC
-
แม้ว่าในตอนนี้จะไม่ได้โผล่ออกมา แต่ก็เกลียดตฤณอะ
ฮือออออ ไม่ชอบเลยคนแบบนี้
ทีก็นะ จะไปลังแลอะไรกับผู้ชายแบบนั้นกัน
-
-15-
การเปิดเทอมของปีสุดท้ายค่อนข้างจะแตกต่างกับการเปิดเทอมของปีอื่น ๆ อยู่สักเล็กน้อย เพราะในปีนี้พวกเขาจะต้องพบเจอกับศึกหนักนั่นคือโปรเจคที่จะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขาอย่างชัดเจน ภรัณยูคิดว่าตนเองคงจะผ่านจุดนี้ได้ไม่ยากเกินไปนัก แค่เพียงต้องขยันมากกว่าปกติหลายเท่าเท่านั้นเอง...
เมื่อชั่วโมงของการแจกแจงงานมาถึง เขาก็ต้องหนักใจเพราะโปรเจคจะให้จับกันเป็นคู่ทำกันสองคน ยกเว้นว่าจะเหลือคนสุดท้ายที่หาคู่ไม่ได้จริง ๆ จึงจะสามารถรวมกลุ่มสามคนได้ และปีของเขาก็มีครบจำนวนคู่เสียด้วย ทำให้ภรัณยูต้องโดนดีดออกมาโดดเดี่ยวเพราะชลชาติและวิชชุกรจับคู่กันเรียบร้อยตั้งแต่ตอนคุยก่อนจบฝึกงานแล้ว เพียงแต่...เขาจำไม่ได้เลยว่าคุยเรื่องนี้กันตอนไหน
“ก็แกมัวแต่นั่งเหม่อ พวกเราก็เลยคิดว่าแกไม่มีความเห็นน่ะสิ” วิชชุกรว่าตอนที่ภรัณยูมองทั้งสองด้วยสายตาเสมือนลูกหมาถูกทิ้ง
“พวกเราก็เลยจับคู่กันเพราะนึกว่าแกมีคู่อยู่แล้ว” ชลชาติเสริมก่อนจะพาดแขนบนบ่าเพื่อน “แต่ถ้าแกไม่มี เดี๋ยวพวกฉันช่วยหาเองน่า แกน่ะเรียนเก่ง นิสัยดี คุยง่าย แถมหัวอ่อน ใคร ๆ ก็คงอยากจับคู่ด้วยทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวฉันกับไอ้วิชจะช่วยสแกนให้เอง”
“พอเลย ๆ ไอ้หัวอ่อนนั่นมันหมายความว่ายังไง แล้วจะมาสแกนอะไร จับคู่ทำโปรเจคจบนะไม่ใช่หาคู่เดท ฉันว่าฉันหาเองน่าจะดีกว่า” ภรัณยูไม่ไว้ใจพวกเพื่อน ๆ ของตนชั่วขณะ เพราะถึงแม้เขาจะเข้ากับคนอื่นง่าย แต่ในหมู่เพื่อนร่วมชั้นปีก็มีคนที่เขาไม่อยากจะข้องแวะด้วยเหมือนกัน
“แต่ฉันว่าฉันรู้จักคนดีกว่าแกนะ” วิชชุกรยืนยันจะเป็นพ่อสื่อให้ได้ “ถึงจะเป็นแค่การจับคู่ทำงาน แต่ถ้าแกได้คู่ไม่ดีคะแนนก็พลอยแย่ไปด้วย เผลอ ๆ จะไม่ได้จบเอา...” ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังบ่นยืดยาวไปตามปกติวิสัย เสียงก็พลันชะงักเมื่อมองผ่านไปด้านหลังของคู่สนทนา ทำให้ภรัณยูและชลชาติต้องหันกลับไปมองด้วยความสงสัยว่าข้างหลังของพวกตนมีอะไรอยู่กันแน่
หญิงสาวหน้าตาแฉล้มคนหนึ่งกำลังมองมายังพวกเขาพลางแย้มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ
“ฉันมารบกวนหรือเปล่า?”
“เอ่อ...เปล่าหรอก พวกเรากำลังคุยเรื่องคู่ทำโปรเจคอยู่น่ะ” ภรัณยูตอบกลับไปตามตรงพลางมองอีกฝ่ายตอบด้วยสายตาสงสัย “ว่าแต่เธอมีอะไรหรือ วริยา?”
เท่าที่เขาจำได้ ตั้งแต่เลิกคบกันในฐานะแฟน พวกเขาก็แทบจะไม่ได้คุยกันตรง ๆ อีกเลยนอกจากเวลาที่ทำงานกลุ่มแล้วบังเอิญได้อยู่กลุ่มเดียวกันเท่านั้น แล้วทำไมวันนี้วริยาจึงเดินมาคุยกับพวกเขาเองโดยที่เพื่อนเอาแต่นั่งเชียร์อยู่ห่าง ๆ ด้วยสายตามีความหมายแบบนั้น?
“คือว่า...” หญิงสาวเกาแก้มเขิน ๆ ก่อนจะพูดเหมือนไม่แน่ใจนัก “ฉันเห็นว่าพวกเธอมีกัน 3 คน แล้ว...ฉันก็ยังไม่มีคู่ทำงาน ฉันเองก็แบบว่า...โดนทิ้งน่ะ”
อ้อ...
ทั้งสามตอบรับในใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“เจ้าสองคนนี่จับคู่กับเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน เหลือแต่ฉันนี่แหละถ้าเธอสะดวกใจนะ” ภรัณยูว่าก่อนที่เขาจะรู้สึกเหมือนแว่วเสียงผิวปากมาจากกลุ่มของวริยา ซึ่งหญิงสาวก็หันไปถลึงตาใส่เพื่อน ๆ ของตนเองแล้วจึงหันกลับมาหาชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งชื่อเธอไปแล้วกัน แล้ว...เธอยังเก็บเบอร์ฉันไว้ใช่ไหม ถ้ามีหัวข้อที่อยากทำก็โทรมาบอกได้นะ จนกว่าจะถึงอาทิตย์หน้าน่ะ”
“โอเค แล้วฉันจะโทรไป แล้วเธอมีหัวข้อที่คิดไว้หรือยัง?”
“มีแล้วนิดหน่อย แต่ฉันอยากลองเลือกดูก่อน ถ้างั้น...ฉันไปกินข้าวก่อนนะ” วริยาบอกลาไปด้วยประโยคง่าย ๆ ก่อนเดินตามเพื่อน ๆ ไปและทำท่าเหมือนขู่จะทุบตีเพื่อนของตนด้วยท่าทางที่ไม่จริงจัง ภรัณยูได้แต่ยืนงงงันกับภาพที่เห็น แต่เขาก็พอจะอนุมานได้ว่าหญิงสาวคงโดนเพื่อน ๆ แกล้งเอากระมัง
“ถ่านไฟเก่าคุเหรอวะ?” ชลชาติสะกิดถาม
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ” ชายหนุ่มผู้เป็นหัวข้อกลอกตา เขากับวริยาไม่มีทางไปกันได้อยู่แล้ว หลังจากคบกันระยะหนึ่งทุก ๆ สิ่งก็บ่งบอกได้ชัดเจนและพวกเขาก็เห็นตรงกันถึงได้เลิกรากันไปและกลายเป็นเพื่อนธรรมดาอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นคงเรียกว่าถ่านไฟเก่าไม่ได้ด้วยซ้ำ
“วริยาอาจจะไม่ได้คิดแบบแกก็ได้นี่” วิชชุกรลุกขึ้นแล้วสะพายเป้สีดำประจำตัว “ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าเนื้อหอมในหมู่สาว ๆ ขนาดนั้น วริยาอาจจะนึกเสียดายขึ้นมาก็ได้”
“พอเลย ๆ นอกจากเรื่องส่วนตัวของฉันแล้วพวกแกไม่มีเรื่องอื่นจะพูดแล้วหรือยังไง ไป ๆ ไปกินข้าวจะได้ไปเรียนต่อ” ภรัณยูจำต้องบอกปัดทุกข้อสงสัยแล้วเดินลิ่ว ๆ นำไปโรงอาหารของคณะเพราะเหนื่อยจะตอบคำถามซอกแซกของเพื่อนจอมว่างงานทั้งสองคนซึ่งดูจะเป็นห่วงเป็นใยกับชีวิตของเขาเหลือเกิน แต่แล้วอยู่ ๆ ภรัณยูก็เกิดสงสัย...หากเขาบอกทั้งสองไปว่าตนเองสารภาพรักกับผู้ชายจะเป็นยังไง? ทั้งวิชชุกรและชลชาติคงจะบีบคอเขาให้คายชื่อของคน ๆ นั้นออกมาแน่ ๆ ...
พอคิดถึงเรื่องนั้น ภรัณยูก็เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เมื่อคิดว่าวันเสาร์นี้ก็จะต้องไปเผชิญหน้ากับนภทีป์ ซึ่งไม่อาจรู้ได้เลยว่าเจ้าตัวจะพอใจหรือไม่กับสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไป
แต่การถอนหายใจของภรัณยูกลับให้ความคิดเห็นอีกแบบกับเพื่อนทั้งสองคน
วิชชุกรและชลชาติหันไปมองหน้ากันก่อนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งทั้งสองก็เห็นตรงกันโดยไม่มีข้อสงสัยอื่นเลยแม้แต่น้อย
“ถ่านไฟเก่าแหง ๆ เลยว่ะ”
-------------------------------->
เสียงออดหน้าประตูเรียกให้นภทีป์งัวเงียออกไปเปิดพลางนึกสงสัยว่าทำไมวันนี้ภรัณยูจึงมาเร็วนัก รติเองก็แซวไปตามเรื่องอย่างคะนองปากซึ่งหลังจากผ่านมาเกือบอาทิตย์ นภทีป์ก็เริ่มจะทำใจได้ว่าตนเองควรทำหูทวนลมไปเสียและเปิดประตูรับตามปกติ ทว่าเมื่อบานประตูเปิดออก เขาก็ถึงกับตาสว่างพร้อมกับเสียงของรติที่เงียบกริบไปอย่างกะทันหันเพราะเห็นผู้มาเยือน
“ทำหน้าเหมือนเห็นผีเลยนะ ที” ตฤณยิ้มกว้างแล้วพาตัวเองแทรกผ่านบานประตูเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหลีกทางเสียที “ได้นามบัตรของผมหรือยัง?”
“...ภรัณยูให้มาแล้ว คิดยังไงถึงมาแต่ไก่โห่” นภทีป์มุ่นคิ้วแล้วปิดประตู
“ก็อีกเดี๋ยวผมจะต้องไปทำงาน แบบว่า...ล่วงเวลาน่ะ แต่ผมก็สงสัยว่าทำไมทีถึงไม่โทรหาเสียที ก็เลยมาหาถึงที่ เผื่อว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะ...” ตฤณจงใจเว้นคำหลังจากนั้นแบบที่สามารถเข้าใจได้ตรงกันโดยไม่ต้องพูดให้มากความ ทำให้นภทีป์นึกหงุดหงิดขึ้นมา
“เขาไม่ใช่คนแบบนั้น ที่จริงควรจะบอกว่าเป็นคนซื่อตรงเหมือนไม้บรรทัดเสียมากกว่า” นั่นคือคำนิยามเดียวที่นภทีป์นึกออกเกี่ยวกับภรัณยูจริง ๆ ทั้งซื่อและตรงไปตรงมาจนไม่รู้ว่าควรสรรหาคำใดมาอธิบาย แต่เพิ่งมาระยะหลังนี้เองที่นภทีป์เริ่มรู้สึกว่าในความซื่อของภรัณยูก็มีบางอย่างแทรกอยู่ด้วย...
“อยู่ด้วยกันบ่อยจนเริ่มปกป้องกันได้เต็มปากแล้วสินะ?”
“คิดจะแขวะกันหรือยังไง?”
“เปล่า ๆ ผมไม่ได้เจตนาแบบนั้น” ตฤณยกมือทั้งสองขึ้นยอมแพ้ “แต่ผมก็มีสิทธิหึงจริงไหม?”
...
“นายมาที่นี่เพื่อกวนประสาทฉันหรือไง?” นภทีป์เลี่ยงสิ่งที่ไม่อยากพูดถึงไปอย่างง่ายดาย แต่แล้วเขาก็นึกออก “หรือว่าเรื่องบริษัทของนาย?”
“ใช่ คุณสนใจหรือเปล่า?”
คำถามของตฤณเป็นสิ่งที่นภทีป์ยังไม่ได้ตัดสินใจ เขายังคงลังเลว่าจะรับข้อเสนอดีหรือไม่ ถึงอยากจะรับแต่ก็ยังนึกตะขิดตะขวงใจเพราะคนที่ทำให้เขาพลาดจากการที่อยากได้ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้เอง ความขุ่นเคืองใจยังคงก่อตัวอย่างเงียบ ๆ แต่ก็เบาบางลงไปมากแล้ว นภทีป์จึงไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งมันทำให้ตฤณมีความคาดหวังขึ้นมาได้บ้าง
“เอาไว้ถึงเวลาค่อยมาถามอีกทีดีกว่า มันยังไม่แน่นอนไม่ใช่หรือไง?”
“ก็ค่อนข้างแน่นอนแล้วนะ ที คุณลังเลเพราะภรัณยูหรือเปล่า?” สายตาของตฤณคล้ายพยายามจะเจาะลึกเข้าไปในใจของบุคคลที่ตนสนทนาด้วย ซึ่งมันทำให้นภทีป์เริ่มอึดอัด
“ผมยังไม่ได้ตกลงคบกับคุณอีกครั้ง ดังนั้นคุณไม่มีสิทธิมาหึงหวงผมหรอกนะ ตฤณ” ชายหนุ่มร่างเล็กเบือนหน้าหนีจากการกดดันตรงหน้า แต่แล้วกลับถูกดึงรั้งให้หันกลับไปมองอีกครั้ง
“ไม่เอาน่า ผมเคยเป็นเจ้าของคุณนะ ที และผมก็ยังไม่ได้ตกลงใจยินยอมที่จะปล่อยคุณไปด้วย”
สถานการณ์เริ่มไม่น่าไว้วางใจ นภทีป์กลอกตามองหารติซึ่งเจ้าตัวก็บินวนไปวนมาอย่างร้อนรนเพราะครั้งนี้ตฤณจงใจยืนห่างจากทุก ๆ สิ่งที่จะบังเอิญตกใส่ศีรษะตนเอง หากมีอะไรถูกโยนข้ามห้องมามันจะกลายเป็นเรื่องผิดสังเกตไปได้ในทันที ทำให้รติไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
“คุณเป็นคนทำให้พวกเราต้องเลิกรากันเองนะ ลืมแล้วหรือยังไงว่าตัวเองทำอะไรเอาไว้” นภทีป์หยิบยกความผิดเก่ามาอ้างและพยายามขืนตัวออก
“แต่ผมก็คืนให้แล้วนี่จริงไหม? ภาพของคุณทั้งหมดที่ผมเอาไปด้วย...”
“แต่คุณก็ยังไม่ได้คืนสิ่งสำคัญที่สุด!”
เสียงตวาดของนภทีป์ทำให้ตฤณชะงักไปครู่หนึ่ง
“ผมยังพยายามไม่พออีกหรือที่จะทำให้คุณอภัยให้? ผมหาทางให้คุณได้สิ่งที่คุณต้องการ พยายามที่จะอยู่ใกล้ชิด คุณยังต้องการอะไรอีก?” น้ำเสียงของตฤณไม่ได้อ่อนโยนกระเง้ากระงอดเช่นคำพูดแม้แต่น้อย มันติดไปทางข่มขู่เสียมากกว่า ซึ่งมักจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเจ้าตัวเริ่มอารมณ์ไม่ดีเพราะถูกขัดใจ
“ผมบอกแล้วว่าต้องการเวลา ดังนั้น...”
“คุณที วันนี้คุณลืมล็อก...ประตู...”
เสียงที่แทรกผ่านเข้ามากลางวงอย่างกะทันหันเรียกให้คนทั้งสองที่อยู่ในห้องรวมถึงรติหันไปมองทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้เปลี่ยนท่าทางการกระทำ ทำให้ภรัณยูได้แต่ยืนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้นเพราะไม่รู้ว่าตนเองมาผิดเวลาหรือถูกจังหวะกันแน่
“ดูเหมือนนักเรียนของคุณจะมาแล้ว” เสียงของตฤณอ่อนลงเล็กน้อย “เรื่องของเราเอาไว้คุยกันทีหลังก็แล้วกัน” ว่าจบ เจ้าตัวก็กดรอยจูบลงบนริมฝีปากของบุคคลในอ้อมแขนและอีกรอยบนต้นคอก่อนจะผละออกแล้วเหยียดยิ้มให้กับผู้มาเยือน
กระทั่งตอนที่ตฤณจากไปแล้ว ทั้งภรัณยูและนภทีป์ก็ยังคงนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
“...ฉันจะไปอาบน้ำ นายจะทำอะไรก็ทำไปก่อนแล้วกัน” การถูกกระทำเสมือนถูกลวนลามทำให้นภทีป์รู้สึกเหมือนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ติด เขาเดินเลี่ยงผ่านไปทางห้องน้ำโดยไม่เงยหน้ามองภรัณยูเลยแม้แต่แวบเดียวกระนั้นกลับถูกรั้งแขนเอาไว้อย่างเงียบ ๆ
ชายหนุ่มเลื่อนสายตาจากมือที่จับแขนตนเองขึ้นไปยังใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะตกตะลึงในวินาทีต่อมาเมื่อได้ยินคำขอที่ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากผู้ชายคนนี้
“ผมขอจูบคุณได้ไหม?”
“...ฉ...ฉันยังไม่ได้แปรงฟันนะ” หลังจากหลุดปากพูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ทันคิด นภทีป์ก็แทบจะอยากบีบคอตัวเองที่ปล่อยข้ออ้างสิ้นคิดออกมาได้ และหากเขามองไม่ผิด ภรัณยูก็คล้ายกำลังกลั้นขำกับเหตุผลของเขาอยู่ด้วย ต่างกับรติที่ปล่อยก๊ากออกมาโดยไม่ไว้หน้ากันสักนิด “ก็ฉันเพิ่งจะตื่น! ดังนั้นนายปล่อยมือได้แล้วฉันจะได้ไปอาบน้ำเสียที!”
ภรัณยูยอมปล่อยโดยไม่ร้องอุทธรณ์ใด ๆ แม้จะเพิ่งถูกตะโกนใส่หน้าโดยที่ตนเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลย กระนั้นก็ยังมีคำถามที่ทำให้นภทีป์อยากจะแทรกตัวหายเข้าไปในกำแพงตามมาอีก 1 ประโยค
“แปลว่าคุณไม่ปฏิเสธสินะครับ?”
ให้ตายสิ...ให้ตายสิ!
แน่นอนว่านภทีป์ไม่ได้ตอบคำถามนั้นและถลาเข้าห้องน้ำก่อนอีกฝ่ายจะมีคำถามต่อ ทำให้ตอนนี้เขาเอาแต่นั่งหน้าแดงอยู่บนชักโครกและสบถกับตัวเองในใจ กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ถอด ฟันฟางก็ยังไม่ได้แปรง เพราะหัวใจเจ้ากรรมไม่ยอมหยุดเต้นระรัวเสียที เมื่อเงยหน้ามองกระจกที่อยู่ตรงข้ามโถชักโครก นภทีป์ก็นึกอยากตะโกนถามตนเองว่าที่เขาตกอยู่ในสภาวะอย่างนี้เพราะอะไรกันแน่ เพราะถูกตฤณจูบ หรือเพราะถูกจูบต่อหน้าภรัณยู หรือเพราะคำถามของภรัณยูที่เพิ่งถามออกมาเมื่อครู่
ทุก ๆ อย่างคล้ายจงใจเกิดขึ้นต่อเนื่องกันเสียจนเขาไม่อาจตัดสินได้ว่าใครที่มีอิทธิพลกับเขามากกว่ากัน
ฝ่ามือทั้งสองยกขึ้นกุมหน้า เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้ไปอีกรอบเสียให้ได้
“ยังไม่อาบน้ำอีกหรือ? นายนั่งอยู่แบบนี้มาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ” รติบินข้ามช่องว่างด้านบนประตูเข้ามาในห้องน้ำเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมออกมาเสียที
“ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าเข้ามาในนี้น่ะ!” นภทีป์ตะโกนออกไปอย่างลืมตัวก่อนรีบตะครุบปิดปากตนเองแล้วกระซิบต่อ “นี่มันบริเวณส่วนตัวนะ เข้าใจไหม!?”
“ก็ฉันนึกว่านายตกส้วมไปแล้วน่ะสิ รีบ ๆ อาบแล้วออกมาแล้วกัน” รติว่าก่อนจะหรี่ตาอย่างมีเลศนัย “เผื่อว่าจะมีหนังสดให้ดูน่ะนะ”
หนังสดบ้าบออะไรกันล่ะ!
นภทีป์นึกอยากจะตะโกนถามกลับไปให้รู้แล้วรู้รอด ติดแต่หากตะโกน ด้านนอกก็จะได้ยิน เขายังไม่อยากให้ภรัณยูมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ เพราะคำพูดพรรค์นั้น
แต่ปัญหาหนักใจตอนนี้ไม่ใช่เรื่องคำพูดเพียงอย่างเดียว นภทีป์ยังคงทำใจที่จะตอบคำถามของภรัณยูไม่ได้จึงได้ฆ่าเวลาอยู่ในห้องน้ำต่อไป ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจหนีปัญหาไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะอย่างไรก็ต้องอาบน้ำและออกไปจากห้องที่อุดอู้นี้เสียที
และไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาก็ต้องมานั่งเผชิญหน้ากันที่คนละฝั่งของโต๊ะทำงานตัวเตี้ยซึ่งเป็นโต๊ะฝึกงานของภรัณยูมาตลอดสามเดือน
“...เอ่อ...” เพราะภรัณยูเอาแต่เงียบและมองเขาโดยไม่ยอมพูดอะไร นภทีป์จึงจำต้องส่งเสียงขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ “วันนี้นายเงียบแปลก ๆ นะ ไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือยังไง?” ใช่...มันแปลกจริง ๆ ปกติภรัณยูควรจะชวนเขาคุยสิ!
ชายหนุ่มร่างสูงเกาท้ายทอยพลางเสสายตามองขึ้นไปบนเพดานและกลอกตาหาเหตุผลอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมไม่รู้ว่า...มันจะเหมาะสมหรือเปล่า ไม่รู้ว่าคุณจะ...รังเกียจผมไหมกับสิ่งที่ผมพูดออกไป ถ้าคุณไม่ได้ชอบผม ผมก็อยากจะให้บอกตรง ๆ ผมคิดว่าผมรับมันได้”
นภทีป์ไม่เคยเห็นภรัณยูแสดงความกังวลใจออกมาตรง ๆ อย่างนี้เลย มันเหมือนกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งเคยสารภาพรักกับคนที่ตัวเองชอบและรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อเลยไม่ใช่หรือ? สำหรับคำตอบของอีกฝ่าย มันทำให้หัวใจของนภทีป์เต้นตึกตักขึ้นมาอีกครั้ง
“...ฉันยังไม่ทันจะได้ตอบ...นายก็ขอจูบแล้วเนี่ยนะ...”
“เพราะว่าผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรม”
หา?
สายตาแสดงความกังขาจ้องตรงไปยังเจ้าของคำตอบคลุมเครือ คล้ายกำลังออกคำสั่งให้อีกฝ่ายขยายความคำตอบของตนให้ชัดเจนขึ้น
“ทั้งผมและคุณตฤณต่างก็เป็นคนที่เฝ้ารอการตัดสินใจของคุณ แต่ว่า...ทำไมถึงมีเขาคนเดียวที่มีสิทธิถึงเนื้อถึงตัวคุณล่ะ?”
การขยายความยิ่งทำให้ผู้ฟังตกตะลึงพรึงเพริด ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะคิดไปไกลถึงขนาดนี้กับเรื่องเล็กน้อยที่เขาไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเลย
“ถ้าอย่างนั้น นายจะบอกว่า ถ้าให้นายจูบด้วยถึงจะเท่าเทียม?” นภทีป์ถามย้ำเพื่อความมั่นใจเผื่อว่าตนเองจะแปลความผิดไป แต่ภรัณยูกลับพยักหน้า
“นอกเสียจากว่าคุณจะปฏิเสธผมอย่างชัดเจน ผมก็จะไม่รบเร้าอีก”
“จูบเลย จูบเลย จูบเลย~” เสียงใสอย่างอารมณ์ดีจนเกินพิกัดของรติดังแว่วเข้าหูในขณะที่นภทีป์พยายามประมวลผลคำพูดทุกคำอย่างตั้งอกตั้งใจ
แบบนี้มันเหมือนการบังคับเอาเลยไม่ใช่หรือ? เขามีทางเลือกแค่...ยอมให้จูบ หรือบอกปฏิเสธไปตรง ๆ แต่ว่า...การปฏิเสธมันไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลย...
นภทีป์กำขากางเกงของตนแน่น หากเป็นไปได้เขาอยากจะก้าวผ่านวินาทีนี้ไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนภรัณยูจะไม่ยอมให้ความร่วมมือ สายตาจริงจังของอีกฝ่ายทำให้เขาอึกอักพูดอะไรไม่ออกและไม่อาจหาข้ออ้างอื่นใดได้
“...เข้าใจแล้ว...จูบ...ก็ได้...” ถึงจะรู้สึกเสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่นภทีป์ก็ตัดสินใจตอบรับคำขอและพยายามเตือนตัวเองว่ามันก็แค่การแตะริมฝีปากกันเท่านั้นเอง
ถึงอย่างนั้นคำตอบของเขากลับทำให้รอยยิ้มกว้างสดใสปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคำขอที่ชวนให้ลำบากใจข้อนั้น
“ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาตนะครับ” ภรัณยูขยับเข้ามาใกล้ในทันทีทำให้นภทีป์รับปิดเปลือกตาลงและนั่งรอด้วยใจที่เต้นระส่ำ
ลมหายใจกรุ่นกลิ่นยาสีฟันและหมากฝรั่งขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้บนปลายจมูก หากว่าลืมตาขึ้นตอนนี้คงจะได้เห็นใบหน้าคมของชายหนุ่มอย่างใกล้ชิด ทำให้นภทีป์เกร็งเปลือกตาแน่นกว่าเดิมด้วยเกรงว่าตนเองจะเผลอมองผ่านออกไป
ไม่กี่วินาทีต่อมา ริมฝีปากของเขาก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นร้อนก่อนตามด้วยริมฝีปากที่แนบประกบลงมาอย่างช้า ๆ และเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ
ยิ่งบดเบียดแน่นขึ้น นภทีป์ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงการตอบรับของตนเองที่เป็นธรรมชาติอย่างน่าเหลือเชื่อ
ภรัณยูไม่ได้แทรกลิ้นเข้ามา เพียงแต่กดริมฝีปากแนบแน่นและเปลี่ยนเอียงมุมบ้าง ผละออกบ้างและแนบสนิทอีกครั้ง บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวไม่มีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาก่อนเลย ต่างกับตฤณที่ครั้งแรกก็จู่โจมเขาจนไม่มีโอกาสถอยเสียแล้ว
หลังจากผ่านไปนาทีกว่า ๆ ภรัณยูก็ขยับถอยออก ทำให้นภทีป์ยอมลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเพราะอีกฝ่ายตวัดแขนกอดตัวเขาเข้าไปและเม้มริมฝีปากลงบนคอโดยไม่ให้สัญญาณใด ๆ แม้แต่คำเดียว
นภทีป์เกือบอุทานไม่เป็นภาษา แต่เพราะอารามตกตะลึงทำให้เขาได้แต่เกร็งตัวนิ่งไม่กล้าขยับแม้แต่ปลายนิ้วจนกระทั่งเป็นอิสระ
“ผมคงจะไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ใช่ไหม?” ภรัณยูเกาท้ายทอยตนเองด้วยสีหน้าแหย ๆ ซึ่งขัดกับกับการกระทำเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน แต่คำถามนี้กลับทำให้นภทีป์ตอบอะไรไม่ออก ใบหน้าของเขาแดงขึ้นและแดงขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะสุกก่ำไปทั้งใบหน้า แม้แต่เจ้าตัวเองยังรู้ว่าเลือดฝาดทั้งร่างกายแทบจะขึ้นไปกองอยู่บนพวงแก้มและใบหูเสียหมด หากว่าตอนนี้มีเทอร์โมมิเตอร์ นภทีป์เชื่อว่าคงวัดอุณหภูมิบนหน้าเขาได้สูงกว่าปกติสัก 1-2 องศา
“...ถ...ถ้าพอใจแล้วก็ไปฝึกต่อได้แล้ว...” ตอนแรกเขาตั้งใจจะตวาด ทว่าเสียงที่ออกมากลับแผ่วหวิวเหมือนไม่ยอมออกมาพ้นลำคอ ทำให้เจ้าตัวรีบก้มหน้างุดเพื่อปิดซ่อนความอายที่แสดงออกกระทั่งทางน้ำเสียง
“แต่ว่าเรายังไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลยนะครับ” ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุบอกกล่าวเสียงซื่อแล้วชี้สำรับบนโต๊ะ “ผมขอกินก่อนได้ไหม?”
ตอนนี้...นภทีป์เริ่มสงสัยแล้วว่า ผู้ชายตรงหน้าเขาเป็นแค่คนซื่อตรงเกินไปจริง ๆ หรือว่าเสแสร้งแกล้งซื่อให้เขาหวั่นไหวเล่นกันแน่!
แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร ในเวลานี้ก็มีบุคคลหนึ่งที่ปลาบปลื้มใจกับสถานการณ์ปัจจุบันราวกับคุณแม่ที่ได้เห็นลูกสาวออกเรือน
รตินั่งกอดอกอยู่บนชั้นวางหนังสือ และหลังจากเห็นหนังสดเต็มสองลูกตาอย่างที่คาดหวัง แม้จะผิดจากที่คิดไปสักหน่อยแต่ก็หยวน ๆ ได้ในฐานะของขั้นเริ่มต้น ตอนนี้ภรัณยูรู้จักรุกเร้าเอาสิ่งที่ต้องการบ้างแล้ว เมื่อรวมกับความใกล้ชิดและการยินยอมเปิดใจ คงยากหากตฤณจะทำคะแนนได้ทัน ที่เหลือก็เพียงแต่...จะทำอย่างไรให้นภทีป์ยอมรับตนเองได้อย่างเต็มใจเสียที...
-------------------------------->
-
แต่ทั้งที่ดูเหมือนอะไร ๆ จะดีขึ้นและเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ก็กลับมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับภรัณยู เพราะในวันเสาร์ต่อมา...เจ้าตัวก็หายหน้าไปโดยไม่ได้บอกไม่ได้กล่าว นภทีป์ตื่นมาเฝ้ารอตั้งแต่ตอนสายด้วยความกระวนกระวายเพราะภรัณยูมาสายกว่าปกติ ทว่าจนถึงตอนเที่ยงก็ยังไม่มีวี่แววจนชายหนุ่มเริ่มโมโหขึ้นมา
“เจ้านั่นหายไปไหนกันนะ!” นภทีป์สบถแล้วเดินไปคล้ายโทรศัพท์มือถือ ทำท่าเหมือนพยายามโทรออก แต่เมื่อจ้องหน้าจออยู่ชั่วครู่หนึ่งเขาก็วางมันลง
เขาเพิ่งรู้ตัว...ว่าตนเองไม่มีเบอร์โทรของภรัณยู และอีกฝ่ายก็ไม่มีเบอร์ของเขาเหมือนกัน...
เพราะปกติแล้ว...ภรัณยูไม่เคยผิดนัด เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยเห็นความสำคัญของการติดต่อนอกเหนือจากการพบหน้ากันในวันหยุด
“หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี?” รติคาดเดาในทางร้าย เพราะนิสัยตรงต่อเวลานั้นเป็นปัจจัยที่ทำให้อดคิดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นทำไมจึงไม่ยอมมาเสียที
“อย่าพูดเรื่องแบบนั้นได้ไหม คนดวงแข็งอย่างภรัณยูคงไม่โดนอะไรเฉี่ยวชนเอาง่าย ๆ หรอก” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ใจของนภทีป์ก็เริ่มจะอยู่ไม่สุขเอาจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาไม่อาจหาทางติดต่ออีกฝ่ายได้ในเวลาอย่างนี้ คงไม่มีอะไรที่จะทำให้ใจของเขาสงบลงได้
นภทีป์ได้แต่หาอะไรทำอยู่ในห้องโดยพยายามไม่คิดถึงเรื่องเวลา แต่วันนี้เวลากลับผ่านไปช้าอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ละวินาทีที่ผ่านไปมันช่างน่าอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
จนกระทั่งตอนบ่าย ที่ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป ชายหนุ่มร่างเล้กจึงตัดสินใจออกไปข้างนอกและจุดม้ายปลายทางก็คือห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้คอนโดมิเนียมนั่นเอง ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าตนเองอยากจะซื้ออะไร แต่บางที...การอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ไม่รู้จักอาจจะสามารถกำจัดความรู้สึกอ้างว้างที่อยู่ลึก ๆ นี้ได้ทำให้ใจของเขาหยุดคิดเรื่องเหลวไหลเสียที
เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำของห้างสรรพสินค้ายังคงทำให้โพรงจมูกระคายเคืองเช่นเดิม แต่นภทีป์ก็พยายามไม่ใส่ใจและเดินดูของไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้หยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กระทั่งรติที่มักจะพูดมากอยู่เสมอ วันนี้ก็ยังเงียบจนผิดปกติ
และเมื่อล่วงเลยมาถึงช่วงเย็น นภทีป์ก็ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากนอนนิ่งอยู่บนเตียงและกางหนังสือการ์ตูนเก่าเก็บอ่านฆ่าเวลา
สุดท้ายแล้ว...วันนั้นก็หมดไปโดยไม่มีอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ราวกับวนเวียนในความฝันที่ไม่สิ้นสุดและไม่มีอยู่จริง กระนั้นในในก็ยังคาดหวังว่าในวันพรุ่งนี้จะได้เห็นใบหน้าและรอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งแรกของวัน ในเวลานี้ นภทีป์ไม่ได้นึกเอะใจเลยว่าตนเองกำลังคิดถึงภรัณยูมากกว่าที่เคย เพราะเป็นครั้งแรก...ครั้งแรกจริง ๆ ที่ไม่ได้พบกันนานกว่า 6 วัน ลึก ๆ ในใจของเขา...รู้สึกคล้ายว่าตนเองเป็นกระต่ายที่ถูกทิ้งไว้ในกรงอันเงียบเหงา ได้แต่นอนรอว่าจะมีใครสักคนหยิบยื่นน้ำและอาหารมาให้
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แล้วที่เวลาเดินไป แต่นภทีป์ก็นอนไม่หลับเลยตลอดคืนนั้น แม้ว่าจะมีบางช่วงเวลาที่สมองเคลิ้มไปกับบรรยากาศเงียบสงบ ทว่ากลับสะดุ้งตาสว่างทันทีที่ได้ยินเสียงขยับเพียงเล็กน้อยทั้งจากตัวเอง จากรติ และสิ่งอื่น ๆ ภายนอก
เพราะห้องนอนไม่มีหน้าต่าง นภทีป์จึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว และไม่ได้สนใจกระทั่งจะหันมองนาฬิกาเรือนเล็ก ๆ ที่ตั้งข้างเตียง เพราะถ่านของมันหมดไปนานแล้ว จึงไม่น่าจะบอกเวลาได้และกลายเป็นเพียงเครื่องประดับเท่านั้นเอง
ในระหว่างที่นภทีป์กำลังจะเคลิ้มไปอีกครั้งเพราะความอ่อนเพลียจากการอดนอนตลอดคืน ก็เกิดเสียงออดดังทำให้เขาสะดุ้งตัวโยนจนแทบจะเด้งผลุงขึ้นจากเตียง
“สงสัยจะมาแล้วล่ะมั้ง?” รติตั้งข้อสงสัยเพราะเจ้าตัวก็หมกอยู่ในห้องนอนเช่นเดียวกันจึงไม่ได้รับรู้บรรยากาศภายนอกแม้แต่น้อย
นภทีป์แทบจะไม่รอฟัง เขารีบเร่งเดินออกไปที่ประตูโดยลืมไปเสียสนิทว่าต้องวางมาดสุขุมเอาไว้
ทว่าเมื่อประตูเปิดออก ความผิดหวังก็ถาโถมเข้าใส่เสียจนเรี่ยวแรงที่รวบรวมได้เมื่อครู่ได้ระเหิดหายไปจนเกือบหมด
“เพิ่งตื่นหรือ? วันนี้สายกว่าปกติเยอะเลยนะ” ตฤณทักทายแล้วมองเข้ามาในห้อง “หรือว่าเพราะภรัณยูไม่มาก็เลยนอนเพลิน?”
“เจ้านั่นไม่มาตั้งแจ่เมื่อวานแล้ว คงจะท้อใจไปแล้วล่ะมั้ง?” นภทีป์ว่าแล้วเปิดทางให้ตฤณเข้ามาในห้องเพราะคร้านจะวางท่าต่อต้าน ตอนนี้เขาแทบไม่เหลือพลังงานจะทำอะไรกระทั่งจะหงุดหงิดใส่อีกฝ่าย
เพราะผิดหวังหรือ?
ทำไมถึงได้ผิดหวังกันล่ะ?
นภทีป์เม้มปากแล้วสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัว
“นี่มันกี่โมงแล้ว?” เขาเอ่ยถามขณะเดินเข้าห้องน้ำ
“เที่ยง ทำไมหรือ? อ้อ หิวล่ะสิ” ตฤณตอบพลางหัวเราะ แต่ผู้ฟังกลับไม่ได้รู้สึกขบขันไปด้วย เขากำลังคิดว่า...เวลาป่านนี้...วันนี้ภรัณยูก็คงจะไม่มาอีกกระมัง...
“แล้วคุณมีธุระอะไรกันล่ะ? ความจริงน่าจะติดต่อมาหลังจากเรื่องที่ว่าแน่นอนแล้วนะ มาบ่อย ๆ แบบนี้ไม่เปลืองเงินค่ารถหรือไง?”
ตฤณเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม
“ผมมีรถของตัวเองนานแล้วนะ อยากไปนั่งรถกินลมกันไหมล่ะ?”
หากเป็นเวลาปกติ นภทีป์คงปฏิเสธ ทว่า...
“ก็ได้...”
คำตอบที่ออกมาอย่างเลื่อนลอยสร้างความแปลกใจให้ทั้งตฤณและรติ และรวมถึงตัวนภทีป์เองด้วย ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกว่าไม่อยากจะเฝ้ารออยู่เฉย ๆ โดยไม่มีจุดหมาย ยังไงมันก็แค่...ออกไปนั่งรถเล่น ยังดีกว่าจะต้องหาเรื่องมาพูดคุยกับอีกฝ่ายเพื่อฆ่าเวลาทั้งที่เขากับเจ้าตัวไม่ได้มีความทรงจำที่ดีต่อกันให้นึกถึงมากสักเท่าไหร่ ที่จริงแล้ว...พอคิดถึงเรื่องเก่า ๆ เขาก็ต้องรู้สึกอยากจะสลัดมันทิ้งเสียทุกครั้งไป แต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะกลัวว่าตนเองจะไม่เหลืออะไรให้คิดถึงได้อีก เพราะอย่างนั้น...มันถึงได้ค้างคาอยู่แบบนี้...ทั้งตฤณและเขา...
นภทีป์เดินตามตฤณออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจเสียงของรติที่โวยวายง้องแง้งข้างหูแทบตลอดเวลา แต่เมื่อลงลิฟต์มาจนถึงชั้นล่าง ตฤณก็กลับชะงักเท้าทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองไปด้วย
ภรัณยูยืนอยู่ข้างหน้าลิฟต์...เหงื่อท่วมเต็มตัวและกำลังหอบเหมือนเพิ่งวิ่งมาเป็นระยะทางไกล
“วันนี้...จะออกไปข้างนอกหรือครับ?” ชายหนุ่มร่างสูงมองทั้งสองด้วยสายตาที่แสดงหลากหลายความรู้สึก
“ก็ไปนั่งรถเล่นน่ะ โทษทีนะ วันนี้นายคงมาเสียเที่ยวแล้ว” ตฤณแสดงความเหนือกว่าออกมาทางสายตาและรอยยิ้มโดยไม่ปิดบัง “รีบไปกันเถอะที เราจะได้ไปหาอะไรกินกันด้วย” ว่าจบ เจ้าตัวก็ดึงมือนภทีป์ให้เดินตามไป และนภทีป์ก็เอาแต่ก้มหน้าเดินตามไม่ขัดขืนสักนิด
“เดี๋ยวสิครับ” ภรัณยูดึงมือนภทีป์อีกข้างไว้ “วันนี้มันเป็นวันของผมไม่ใช่หรือ? เราตกลงกันไว้อย่างนั้นและมีคุณอนุทินเป็นพยานด้วย”
“เพราะอย่างนั้นนายเลยคิดจะมาก็มาหรือจะไม่มาก็ไม่มาใช่ไหมล่ะ!” อยู่ ๆ นภทีป์ก็รู้สึกจี๊ดขึ้นมาเพราะคำพูดนั้น จึงตอบโต้กลับไปโดยอัตโนมัติ เหมือนคำพูดเหล่านี้อัดอั้นอยู่ในอกมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ยังหาทางออกไม่ได้จนกระทั่งถึงตอนนี้
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะหายไปเฉย ๆ นะ แต่ว่าผมไม่มีเบอร์ติดต่อคุณเลย” เสียงของภรัณยูอ่อนลงเล็กน้อยเพราะรู้ว่าเป็นความผิดของตนเอง และไม่คิดว่านภทีป์จะโกรธถึงขนาดนี้
“จะหาข้ออ้างอะไรก็ตามใจ แต่วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์” เสียงตัดบทห้วน ๆ ของนภทีป์บ่งบอกได้ว่า ‘ไม่มีอารมณ์’ จริง ๆ เจ้าตัวสะบัดมือออกจากการเกาะกุมแล้วเดินไปทางตฤณ “ไปกันเถอะ ผมหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” แม้ว่ามันดูเหมือนการประชดเป็นเด็ก ๆ แต่นภทีป์ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้แสดงท่าทีเหล่านี้ออกมาได้เลย ในใจของเขาคุกรุ่นไปด้วยความโกรธเคืองที่ไร้สาเหตุ
ทำไมถึงโกรธขนาดนี้กันล่ะ?
คำถามนั้นทั้งนภทีป์และภรัณยูต่างก็ถามตนเองอยู่ในใจ
TBC
-
โอ๊ยย
มีลางสังหรณ์ว่า
เรื่องมันจะยุ่งเหยิงกว่าที่คิดเอาไว้ เง้ออ
เกลียดตฤตจริงๆ
-
คุณทีโกรธแบบนี้แล้วจะเป็นยังไงต่อนะ
-
-16-
กว่านภทีป์จะกลับมาถึงห้องก็บ่ายแก่เพราะโดนตฤณพาไปกินร้านอาหารที่อยู่ไกลจนแทบไม่เคยได้ยินชื่อ ถึงอย่างนั้นรสชาติและบรรยากาศก็ทำให้อารมณ์เขาดีขึ้นบ้าง และตฤณก็ไม่ได้ชวนคุนเรื่องขัดหูขัดใจทำให้การใช้เวลาเรื่อยเปื่อยดำเนินไปด้วยดี และหากไม่มีรติคอยบ่นอยู่ข้าง ๆ เขาคงจะลืมเรื่องภรัณยูไปสนิทใจ ซึ่งตอนนี้ชื่อนั้นทำให้เขารู้สึกโมโหน้อยลงแล้ว
หากคิดดี ๆ ภรัณยูก็คงจะมีธุระของตัวเองบ้างเหมือนกัน และไม่สามารถติดต่อได้เพราะเขาไม่เคยให้เบอร์มือถือเลย
แต่ตวาดใส่ไปอย่างนั้น...คงทำให้ภรัณยูไม่อยากจะมามากกว่าเดิม...
พอคิดว่าหลังจากนี้อีกฝ่ายจะไม่มาหาตนเองอีก นภทีป์ก็เกิดรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาในอก แต่ก็เตือนตนเองว่าคงจะไม่เกิดเรื่องอย่างนั้น เพราะภรัณยูยังต้องพึ่งพาอาศัยเขาอยู่ เรื่องงาน...เรื่องอาชีพอาร์ตติส...เป็นเพียงสองสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายต้องติดแหมะอยู่กับเขา หากมีแต่ตัวเขาโดยไม่มีเงื่อนไขอะไร...ภรัณยูจะยังมาอยู่หรือเปล่า ถึงแม้ปากจะพูดว่าชอบแต่เอาเข้าจริง ใครจะไปรู้ได้ถึงจิตใจ
ขณะที่เดินกลับห้อง นภทีป์ก็คิดเรื่องเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ก่อนที่ความคิดทั้งหมดจะหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นั่งขดเหมือนเด็กถูกทิ้งอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง
ทำไมถึงยังไม่กลับ?
หากเป็นเขา ถูกเมินใส่แบบนั้นคงกลับบ้านไปแล้ว แล้วทำไม...
“คุณที?” ในช่วงที่นภทีป์มัวแต่ยืนตะลึง ภรัณยูก็เงยหน้าขึ้นมามองก่อนยิ้มกว้าง “กลับมาแล้วหรือครับ?”
“...นายสติไม่ดีหรือยังไง...” นภทีป์เดินเข้าไปไขประตูห้องและโบกมือให้อีกฝ่ายถอยออกไปจากบานประตูก่อนจะพากันเข้าไปในห้อง
“เพราะผมเห็นว่าคุณทีโกรธที่รอผมแล้วไม่มา บางที...ถ้าผมรอคุณบ้างคงจะช่วยให้หายโกรธได้น่ะครับ” เป็นวิธีที่ดู...เด็กอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็จริง...มันทำให้เขาหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง “อีกอย่าง...ผมไม่อยากให้เวลาเสียเปล่า ก็เลยนั่งสเก็ตซ์ภาพอยู่หน้าห้องไปด้วย” ว่าแล้วภรัณยูก็ส่งกระดาษที่ยับย่นไปเล็กน้อยให้ดู ภาพสเก็ตซ์ทิวทัศน์ที่มองเห็นจากระเบียงดูรกไปด้วยหมู่ตึกและมีรายละเอียดไม่มากนัก เป็นแค่ภาพที่ใช้ฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ จึงมีบางจุดที่ดูไม่สมดุลกันแบบแปลก ๆ
“แล้ว...ทำไมเมื่อวานถึงไม่มา แล้ววันนี้ยังมาช้าอีก” นภทีป์ถือกระดาษแล้วทำเป็นพิจารณารูปวาดเพราะไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“คือ...เทอมนี้ผมต้องทำโปรเจคจบ แล้วปรากฏว่าหัวข้อที่ผมกับเพื่อนคิดด้วยกันส่งไปไม่ผ่าน ก็เลยต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมน่ะครับ ที่จริงผมก็คิดจะไปหาข้อมูลวันธรรมดา แต่วันพรุ่งนี้ต้องเสนอหัวข้อใหม่แล้วเพื่อนของผมก็เลยลากไปหอสมุดแล้วช่วยกันคิดหัวข้อมาหลาย ๆ อัน วันนี้ผมก็เลยตื่นสายแล้วก็ยังต้องโทรคุยตกลงกับเพื่อนให้เรียบร้อยถึงจะมาได้น่ะครับ” ภรัณยูบอกเหตุผลพลางเกาท้ายทอยตนเองแล้วหัวเราะแหะ ๆ “หลังจากนี้ผมอาจจะเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยขึ้น ดังนั้น...จะเป็นไปได้ไหมถ้าผมจะขอเบอร์โทรของคุณ”
“มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ถ้ามันจำเป็นขนาดนั้น” โดยที่นภทีป์ไม่ทันจะพูดอะไร รติก็จัดการตัดสินใจให้เสร็จสรรพซ้ำยังวางท่าจริงจังจนน่าหมั่นไส้
“แต่ถ้าคุณไม่สะดวก...ผมก็คงได้แต่บอกไว้ก่อนเพราะอาจจะหายไปกะทันหัน...”
“...ก็ได้...เอามือถือนายมาสิ” ถึงแม้จะยังอิด ๆ ออด ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการติดต่อกันไม่ได้ในเวลาฉุกเฉินมันทำให้รู้สึกแย่จริง ๆ
นภทีป์กดเบอร์ตัวเองใส่ลงไปแล้วยิงใส่โทรศัพท์มือถือด้วยเพื่อบันทึกเบอร์อีกฝ่ายไปในตัว จากนั้นจึงส่งคืนให้แก่เจ้าของ
“หลังจากนี้มีอะไรก็โทรมาบอกก่อนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ” ภรัณยูยิ้มกว้างขณะรับโทรศัพท์มือถือคืน “จริงสิ...วันนี้คุณออกไปข้างนอกกับคุณตฤณมาใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นวันว่าง ๆ ผมจะพาคุณออกไปบ้าง”
หา?
ความสงสัยแสดงออกมาทางสีหน้านภทีป์อย่างโจ่งแจ้ง ก่อนจะนึกออกว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนภรัณยูตั้งเงื่อนไขเอาแต่ใจอะไรไว้
มันหมายความว่า ไม่ว่าเขาจะตอบรับสิ่งใดที่ตฤณหยิบยื่นให้ ถึงจะยินยอมหรือไม่ เขาก็ต้องยอมให้ภรัณยูทำแบบเดียวกันทุกอย่างเลยหรือ!?
ทั้ง ๆ ที่นภทีป์ไม่ได้ถามออกไป และแค่คิดอยู่ในใจ แต่รอยยิ้มของภรัณยูก็เหมือนกำลังตอบคำถามที่ตนเองไม่ได้ยินได้อย่างดี
----------------------------->
แต่แล้ว ทุก ๆ อย่างก็เป็นไปอย่างที่ภรัณยูคาดไว้ นั่นคือ...เขาไม่อาจปลีกเวลามาหานภทีป์ในวันหยุดได้ ตอนเย็นวันศุกร์จึงโทรบอกนภทีป์ไว้ล่วงหน้าซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านภทีป์ต้องรู้สึกผิดหวังอยู่ลึก ๆ และไม่ยอมแสดงออก เพียงแต่บอกให้อีกฝ่ายขยันมาก ๆ และฝึกปรือฝีมือตลอดเวลาเท่านั้น
“พรุ่งนี้ภรัณยูไม่มาหรือ?” รติเห็นสีหน้าของนภทีป์ก็รู้ได้ทันที
“ใช่ วันอาทิตย์ด้วย” เจ้าตัวกดโยนโทรศัพท์มือถือไปบนเตียงแล้วเดินเข้าไปในครัว และหยิบเครื่องแกงจืดที่เพิ่งซื้อมาออกจากตู้เย็น
“งั้นสองวันนี้นายก็ต้องเหงาหงอยเปล่าเปลี่ยวหัวใจน่ะสิ”
“ทำไมฉันจะต้องเป็นแบบที่นายว่าด้วย วันปกติฉันก็อยู่คนเดียวก็ไม่เห็นจะเดือดเนื้อร้อนใจตรงไหน” ชายหนุ่มร่างเล็กมุ่นคิ้วขณะโยนเครื่องแกงจืดลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดได้ที่ แล้วหันไปหยิบเครื่องปรุงใส่ตามแบบไม่ได้กะปริมาณก่อนจะรู้ตัวในวินาทีต่อมาว่าใส่เกลือมากเกินไปหน่อย เขากลอกตากับตัวเองแล้วเติมน้ำเพิ่มลงไปทั้งที่น้ำที่ใส่ตอนแรกก็เผื่อไว้เยอะอยู่แล้ว
เมื่อครู่เขาเผลอใจลอยหรือยังไงนะ...
“แล้วถ้าตฤณมาล่ะ?” รติเลิกคิ้วถาม
...
นภทีป์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“ไม่รู้สิ แต่ฉันบอกไปแล้วว่าถ้าจะมาอีกครั้งก็เอาความคืบหน้ามาด้วย อย่ามาเปล่า ๆ เพราะมันเสียเวลา ดังนั้นตฤณคงจะไม่มาอีกสักระยะ” ที่จริงแล้ว...ระยะนี้เขารู้สึกไม่ค่อยอยากเจอหน้าตฤณสักเท่าไหร่ แม้จะเข้าหน้าได้มากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ยินดีจะพบกันอยู่ดี เพราะนอกจากคดีเก่าแล้ว ตอนนี้เจ้าตัวยังมาคะยั้นคะยอขอคำตอบจากเขาเรื่องงานอีก การพบกันรังแต่จะทำให้อึดอัดใจทั้งสองฝ่ายเปล่า ๆ
รติทำเสียงตอบรับในคอพลางมองนภทีป์เทแกงจืดลงชาม
ข้าวเก่าที่เหลือจากเมื่อวานถูกโยนเข้าไมโครเวฟไปอย่างง่าย ๆ และไม่กี่นาทีต่อมา อาหารเช้าเวลาเที่ยงก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟ
แต่สุดท้าย...เมื่อกินอาหารเสร็จ นภทีป์ก็เกิดรู้สึกเหงาขึ้นมาจริง ๆ ตามที่รติว่า มันเหมือนกับว่ากลายเป็นกิจวัตรไปแล้วที่วันเสาร์อาทิตย์จะต้องมีใครคนหนึ่งมาอยู่ด้วย เขาเกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า ช่วงเวลาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่คนเดียวนั้นเขาทำอะไรไปบ้าง ทำไมจึงอยู่เพียงลำพังได้เป็นวัน ๆ โดยไม่รู้สึกอะไรและไม่ต้องการใครให้มาอยู่ข้างกายแม้แต่คนเดียว แต่ในเวลานี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น...
นภทีป์เก็บล้างจานชามเพื่อฆ่าเวลาแต่มันก็ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที และในที่สุด...เมื่อไม่อาจหาอะไรทำเพื่อผ่านช่วงเวลาอันน่าเบื่อไปได้อีก เขาจึงได้ทำในสิ่งที่แม้แต่รติยังต้องตกตะลึง นั่นคือ...การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์และเปิดโปรแกรมวาดรูปพร้อมหยิบเมาส์ปากกาขึ้นมาถือไว้ในมือ
นั่น...คิดจะวาดรูปหรือ?
รติคิดในใจแต่ไม่กล้าออกปากถาม เพราะเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันและกลับไปนั่งจับเจ่าเหมือนเดิม
นภทีป์เปิดไฟล์เก่าขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร แต่ไฟล์ที่ถูกเปิดกลับไม่ใช่ไฟล์ของตัวเอง มันคือภาพสุนัขบิด ๆ เบี้ยว ๆ ที่ภรัณยูวาดขึ้นตอนที่พยายามทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ใหม่
กระทั่งเจ้าตัวยังสงสัยว่าทำไมตนเองจึงเปิดภาพนี้ขึ้นมา...
“นายจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ?” เขาหันไปถามรติซึ่งเงียบผิดปกติ ทั้งที่หากเป็นเวลาอื่น เจ้าสิ่งที่ระบุไม่ได้ว่ามีชีวิตหรือไม่คงล้อเลียนเขาเรื่องนี้ไปนานแล้ว “อย่างน้อยนายก็คงพูดว่า ‘แหม ถึงกับเปิดภาพขึ้นมาดูแทนตัวเลยเหรอ?’ อะไรประมาณนั้น”
“เดี๋ยวนี้นายอ่านใจฉันได้เลยเหรอ?” รติยิ้มแหย
“ก็นายทำแบบนั้นตลอดนี่ ระยะหลัง ๆ น่ะ” ว่าไป นภทีป์ก็เปิดเลเยอร์ใหม่ขึ้นมาและเริ่มร่างภาพสุนัขพันธุ์เดียวกันในคอมโพสเดียวกัน
“ที่จริง ฉันแปลกใจมากกว่าที่นายวาดรูปอีกครั้ง นายไม่ได้วาดมานาน...” รตินับนิ้วเล็ก ๆ ของตัวเอง “...4 เดือนแล้ว”
“การที่ฉันอยากทำอะไรบางอย่างมันน่าแปลกใจขนาดนั้นเชียว?” แม้จะพูดเช่นนั้น เจ้าตัวก็ยังคงร่างภาพต่อไป การเว้นวรรคมานานทำให้มือฝืดเสียจนการร่างภาพก็ยังไม่ได้ดั่งใจ ความจริง...เขาอาจจะควรกลับไปฝึกมือกับดินสอและกระดาษแทนภรัณยูเสียกระมัง แต่หากว่าเคยทำได้ครั้งหนึ่งแล้วมันก็จะฝังอยู่ในทุกอณู ด้วยเหตุนั้น เมื่อนภทีป์ทบทวนตัวเองไม่นานเขาก็สามารถใช้งานอุปกรณ์คู่อาชีพได้คล่องมากขึ้นจนเกือบจะเท่าสมัยที่ทำงานเป็นประจำ ซึ่งตอนนี้ก็ถึงขั้นตอนของการลงสีแล้ว
มันก็แปลกดี...ที่การวาดรูปสุนัขตัวนี้ เขาแอบคิดอยู่คนเดียวว่า มันช่างคล้ายภรัณยูอย่างบอกไม่ถูก คงเพราะท่าทางการอ้าปากแลบลิ้นอย่างอารมณ์ดีนั่นกระมัง
ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวกำลังทำอะไรอยู่ นภทีป์อดคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงอีกคนหนึ่งไม่ได้
ซึ่งนภทีป์คงจะไม่รู้ ว่าภรัณยูเองก็กำลังหาข้อมูลทำโปรเจคโดยคิดถึงตนอยู่เช่นกัน
ในเวลานั้น ภรัณยูนั่งอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ กลิ่นกระดาษอบอวล และแสงไฟสว่างจ้าเพียงพอต่อการเพ่งมองหนังสือแม้จะอยู่ในช่องระหว่างตู้ ตรงหน้าชายหนุ่มคือตั้งหนังสือเล่มหนากองใหญ่ มีทั้งหนังสือความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย รายงานการวิจัยของรุ่นพี่ รวมถึงวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง นั่นยังไม่นับรวมตัวอย่างรายงานการวิจัยที่ขอยืมมาจากคณะด้วย ทำให้เจ้าตัวเริ่มเมาตัวหนังสือหลังจากเปิดผ่านมาหลายเล่มและต้องอ่านอย่างรวบรัดรวดเร็วเพื่อนำไปซีร็อกส์และเอาไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณา
“อย่าทำหน้าง่วงแบบนั้นสิรัณ ฉันเห็นแล้วง่วงตามไปด้วยเลยนะ” ว่าแล้วหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็หาวหวอด การตื่นเช้ากลายเป็นเรื่องที่แสนยากลำบากของเด็กมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันหยุดที่เธอและเขาควรจะได้นอนหลับสบาย ตื่นสาย และดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ พอหัวข้อผ่านก็ต้องหาข้อมูลต่อทันที เมื่อคืนฉันก็เสิร์ชอินเตอร์เน็ตทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน” ภรัณยูนวดหัวตา เขาไม่เคยคิดเลยว่าการทำโปรเจคเพื่อจบมหาวิทยาลัยจะยากลำบากตั้งแต่เริ่มแบบนี้ แล้วเขาจะทำตามที่เคยตกลงกับนภทีป์และอนุทินได้ยังไงกันล่ะ
“เทอมนี้นอกจากวิจัยนายก็ลงเพิ่มอีกสองตัวเองนะ คนเก่งนี่น่าอิจฉาจัง ฉันยังต้องลงตั้งสี่ตัวแหน่ะ เทอมหน้าจะได้สบาย ๆ” วริยาโอดครวญ
“ก็เธอดรอปไปหลายตัวตอนเทอมแรก ๆ นี่นา ฉันบอกว่าจะติวให้ก็ไม่เอา”
“แหม ตอนนั้นฉันกับนายไม่ได้สนิทสนมกันเลยนะ แล้วนายก็ไม่จะติวให้ฉันคนเดียวเสียหน่อย แต่หมายถึงติวรวมทั้งห้องต่างหาก ถ้านายเป็นแฟนฉันตั้งแต่ตอนนั้นฉันคงให้ติวตัวต่อตัวไปนานแล้ว อีกอย่าง ฉันคิดว่าจะลงทันซัมเมอร์ด้วย บางตัวกลับไม่เปิดตอนซัมเมอร์ซะอย่างนั้น” หญิงสาวพองแก้มก่อนจะอมยิ้ม “เรื่องเก่า ๆ น่ะช่างมันเถอะ นายรู้หรือยังว่าฉันมีแฟนใหม่แล้วล่ะ เขาทำงานอยู่ที่เดียวกับพี่ของฉันก็เลยรู้จักกันมาสักพักแล้ว เพิ่งจะคบกันเมื่อไม่นานมานี้เอง ถ้านายจะหึงฉันตอนนี้ก็ไม่สายเกินไปหรอกนะ” เธอหยอกล้อกับภรัณยูพลางหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นชายหนุ่มปั้นสีหน้าไม่ถูก
“ตอนนี้ฉันก็...มีคนที่ชอบอยู่เหมือนกัน” พอพูดถึงเรื่องนี้ภรัณยูก็อดเปรยขึ้นมาไม่ได้ หากพูดให้วริยาฟังคงไม่เป็นไรกระมัง เพราะวริยาไม่ได้มีนิสัยช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นมากนัก ส่วนมากจะแค่รับฟังไว้เฉย ๆ แล้วไม่นานก็ลืมไปเอง
“รักข้างเดียวหรือ?” ผู้ฟังเอ่ยถาม เพราะน้ำเสียงของคนพูดฟังไม่เหมือนคนที่กำลังมีปั๊บปี้เลิฟแม้แต่น้อย คล้ายว่ากำลังเตรียมใจผิดหวังมากกว่า
“ไม่รู้สิ บางทีฉันก็แน่ใจนะว่าเขามีใจให้อยู่บ้าง แต่เขาก็แสดงออกแบบอึดอัดใจชอบกล” ชายหนุ่มไหวไหล่ “มันคงจะดีถ้าฉันอ่านใจคนได้เก่งกว่านี้”
“ถ้านายทำได้เก่งกว่านี้นายจะน่ากลัวเกินไปนะ” วริยาไม่เห็นด้วย เพราะตลอดเวลาที่คบกัน ภรัณยูแทบจะอ่านใจเธอได้ทะลุปรุโปร่งและเดาอารมณ์ได้ถูกไปเสียเกือบทุกเรื่อง จนแม้แต่เธอเองยังแอบคิดขึ้นมาเป็นบางครั้งว่า บางทีภรัณยูอาจจะมีความสามารถพิเศษเรื่องการอ่านใจด้วยพลังจิตก็เป็นได้ “อ๊ะ แต่ว่า นายอย่าไปบอกเรื่องที่นายมีคนอื่นที่กำลังชอบกับใครนะ ฉันก็ยังไม่ได้บอกเพื่อนเหมือนกันว่ามีแฟนแล้ว”
“ทำไมกันล่ะ?” ภรัณยูเลิกคิ้วงงงวย
“ก็...พวกในกลุ่มฉันน่ะนะ เหมือนจะพยายามเอาใจช่วยให้ฉันกับนายคืนดีกันน่ะสิ” วริยาเท้าคางพลางกลอกตา “พวกเขาบอกว่านายหน้าตาดี บ้านก็ฐานะไม่ได้ย่ำแย่ แถมนิสัยไม่เลวร้าย ฉันไม่ควรจะปล่อยให้นายไปเป็นของคนอื่นน่ะ กลายเป็นความผิดของฉันไปเสียอีก”
อ้อ...
เพราะอย่างนี้เองคนในกลุ่มจึงได้ผลักไสวริยาออกมาเพื่อให้มาจับคู่กับเขา สงสัยว่าจะวางแผนไว้กับชลชาติและวิชชุกรด้วยกระมัง สองคนนั้นถึงได้รีบจับคู่กันนัก
หรือจะเป็นเรื่องบังเอิญ? เพราะสองคนนั้นดูจะประหลาดใจที่วริยาโผล่มาพอสมควร บางทีเรื่องสองคนนั้นคงเป็นความผิดของเขาเองจริง ๆ ที่มัวแต่เหม่อตอนคุยงานกัน
“ฉันจะเซอร์ไพรซ์ตอนรับปริญญา ถึงตอนนั้นนายพาคนที่นายชอบมาด้วยสิ” วริยาทำตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น แต่ภรัณยูกลับรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะรับปากได้ เพราะนภทีป์คงไม่ยินดีสักเท่าไหร่...หากถูกพามาเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน ซ้ำตอนนี้เขายังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เขาอยู่ในฐานะที่เกินเลยกว่าปัจจุบันนี้หรือไม่ ดูจากนิสัยนภทีป์แล้ว บางทีมันอาจจะค้างคาอยู่อย่างนี้อย่างไม่มีกำหนดก็เป็นได้
---------------------------------->
-
นภทีป์ผ่านวันเสาร์และวันอาทิตย์ไปด้วยความรู้สึกอ้างว้างแปลก ๆ กระนั้นการได้ฆ่าเวลาด้วยสิ่งที่เขารักก็ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างดูไม่เลวร้ายอย่างที่คิด เขายังคงนึกแปลกใจที่ตนเองหันกลับมาวาดรูปอีกครั้งได้เร็วกว่าครั้งอื่น ๆ ที่ทอดทิ้งไปเป็นปี ๆ จนแทบจะลืมสิ่งที่เคยทำได้ไปหมดสิ้น ถึงกับต้องทบทวนวิชาขนานใหญ่กว่าจะเข้าที่เข้าทาง แต่เพราะครั้งนี้กลับมาทำได้เร็วจึงไม่ต้องทบทวนฝีมือมากนัก
แต่เมื่อเข้าสู่วันปกติธรรมดาที่เขาต้องอยู่คนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว ความรู้สึกแปลก ๆ ก็หวนกลับมาอีก แบบนี้เรียกว่านิสัยติดคนหรือเปล่านะ?
นี่เขาติดภรัณยูไปเสียแล้วหรือ?
นภทีป์คิดกับตนเองขณะมองดูหน้าจอซึ่งปรากฏภาพสุนัขซึ่งเขาบรรจงตกแต่งจนเกือบเหมือนของจริง มันรู้สึกเขินขึ้นมาชอบกลที่ตั้งชื่อไฟล์ภาพว่า Paranyu แต่นั่นเป็นเพราะเขาคิดว่าสุนัขตัวนี้ดูเหมือนอีกฝ่าย และเขาก็เอาภาพเก่าของเจ้าตัวมารีเมคต่างหาก นภทีป์แก้ตัวกับตนเองเช่นนั้นก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงออด
“ไม่ใช่ตฤณหรอกน่า” รติว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ากังวล
“ฉันยังไม่ได้ถามสักคำ”
“คิดว่าฉันไม่รู้ใจนายหรือไง” เจ้าตัวหัวเราะแล้วดันนภทีป์ไปทางประตู “ไป ๆ ไปเปิดรับแขกก่อนเขาจะคิดว่าไม่อยู่ห้อง”
นภทีป์มุ่นคิ้ว นึกสงสัยความกระตือรือร้นที่ผิดแปลกจากปกติ แต่ก็เดินไปเปิดประตูตามคำสั่งแต่โดยดีก่อนจะยืนค้างอยู่ตรงนั้นเมื่อได้เห็นผู้มาเยือนที่ไม่คาดฝัน
ภรัณยูเกาท้ายทอยพลางยิ้มขวยเขินเมื่อเห็นเจ้าของห้องปั้นสีหน้าไม่ถูกเมื่อพบตน
“คือว่า...วันนี้ผมมีเรียนแค่ครึ่งวันเช้าน่ะครับ ก็เลยคิดว่า ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ไม่มา ผมน่าจะมาวันธรรมดาได้” เจ้าตัวว่า “ผมขอเข้าไปได้หรือเปล่า?”
นภทีป์พยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบหลีกทางเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะมา ซ้ำการมาเยือนครั้งนี้ยังทำให้ใจของเขาพองโตเสียจนแทบจะคับอก
“แล้วงานโปรเจคของนายล่ะ?”
“ก็...คิดว่าน่าจะหาได้พอสมควรแล้ว ตอนนี้ก็เลยรอให้อาจารย์ลองพิจารณาข้อมูลดูก่อนน่ะครับ ถ้าหากว่าโอเคก็จะเริ่มทำได้เลย” ภรัณยูพูดไปก็วางเป้ลงบนโต๊ะแล้วเหลือบไปเห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์เปิดทิ้งไว้ บนหน้าจอมีภาพปรากฏอยู่ทำให้เจ้าตัวนึกอยากรู้อยากเห็นเพราะไม่เคยเห็นภาพ CG ของนภทีป์มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว และเมื่อเขาก้าวเข้าไปใกล้หน้าจอ นภทีป์ก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองเปิดอะไรทิ้งไว้
“เดี๋ยว!” เจ้าตัวตะโกนออกมาสั้น ๆ แล้วโผเข้าไปหมายจะปิดหน้าต่างโปรแกรมแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะภรัณยูเข้าไปถึงเสียก่อนและรับตัวนภทีป์ที่โผเข้ามาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะจนรติเผลอผิวปากหวือเพราะอดใจไม่ไหว
“อ๊ะ” เจ้าของร่างสูงส่งเสียงออกมาเพียงสั้น ๆ เมื่อเห็นภาพก่อนจะยิ้ม “แบบนี้ผมก็อายแย่เลยน่ะสิ พอเทียบกับคุณแล้วฝีมือผมไม่ติดฝุ่นเลย”
คนที่จะอายควรเป็นฉันมากกว่า!
นภทีป์คิดในใจทั้งที่ยังถูกกอดไว้อย่างนั้น
“ฉันก็แค่ว่าง เพราะนายไม่ยอมมานั่นแหละ” เขาว่าแล้วเอื้อมมือไปปิดหน้าต่างโปรแกรมทันที “แล้วนายจะมาทำอะไร...” พอถามออกไปนภทีป์ก็รู้สึกว่าตนเองโง่มาก เพราะมันชัดเจนอยู่แล้วว่าภรัณยูมาเพื่อจุดประสงค์เดิมนั่นคือการพัฒนาฝีมือทางด้านการวาด ซึ่งจนถึงตอนนี้ เจ้าตัวเพียงแค่ต้องการเวลาและตัวอย่างที่ดีพอเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ เขาแทบจะไม่ต้องสอนอีกแล้ว
“ผมมาหาคุณไง” แต่คำตอบที่ได้รับกลับยิ่งทำให้อึ้ง
นภทีป์อ้าปากพะงาบ ๆ ก่อนจะรีบตั้งสติ
“ถ้ามีเวลาพูดไร้สาระ ก็ไปฝึกมือต่อเดี๋ยวนี้เลย!” เขาตวาดเสียงลั่นแล้วรีบดึงตัวเองออกจากอ้อมแขนอีกฝ่ายเพราะรู้สึกว่าท่าทางที่เป็นอยู่กับสถานการณ์ดูล่อแหลมเสียจนตนเองยังอกคิดลึกไม่ได้ ยิ่งหันไปเห็นหน้ารติที่ยิ้มจนตาหยีเขาก็ยิ่งอายจนอยากฝังตัวเองลงไปในพื้นห้อง
แต่ภรัณยูก็ยอมปล่อยมือง่าย ๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้พลางเปิดหน้าต่างโปรแกรมขึ้นมา และ...มันก็ยังมีภาพเดิมแปะอยู่ในนั้น
“นายจะ...” พอคิดจะต่อว่า นภทีป์ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นคนบอกให้อีกฝ่ายไปฝึกต่อเอง ดังนั้นการเปิดโปรแกรมมันจึงไม่ใช่ความผิดแต่อย่างใด “รีบปิดมันไปได้แล้ว มัวแต่ดูรูปงานจะเดินไหม!”
“แต่ผมอยากใช้เป็นแบบนี่ครับ”
“ก็หาภาพอื่นสิ ในเครื่องฉันมีตั้งเยอะตั้งแยะ”
“แปลว่าให้ผมค้นไฟล์ของคุณได้หรือครับ?”
เป็นอีกคำถามที่ทำให้เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์อึกอักพูดไม่ออก แต่แล้วก็มีข้ออ้างที่แวบเข้ามาในหัวซึ่งมันค่อนข้างเข้าท่า
“นายควรจะหาแนวทางลายเส้นของตัวเองสิ ถ้านายหัดจากการเดินตามฉัน งานของนายจะไม่มีเอกลักษณ์ของตัวเองแล้วจะพัฒนาได้ยากถ้าหากว่าต่อไปฉันกับนายไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนในตอนนี้แล้ว ฉันหมายถึง...ไม่มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์น่ะ...” นภทีป์รีบเปลี่ยนคำพูดท้ายประโยคเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของภรัณยูที่ทำหน้าเหมือนกำลังจะโดนทอดทิ้ง
“แล้ว...คุณว่าผมควรจะลองดูงานของใครดี?” ถึงแม้นภทีป์จะอยากให้เขามีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ภรัณยูก็ยังไม่มั่นใจถึงขนาดนั้น และคิดว่าหากมีแบบอย่างที่เข้ากับแนวทางของตนคงจะสามารถนำมาปรับปรุงเป็นแบบของตนเองได้ หรืออย่างน้อยก็เห็นอีกฝ่ายเป็นเป้าหมายที่จะไปให้ถึง
นภทีป์ได้ยินดังนั้นจึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และพยายามคิดถึงศิลปินทั้งในไทยและต่างประเทศที่ตนเคยเห็นผลงานหรือติดตามอยู่ ก่อนขยับเข้าไปครองเมาส์หนูข้างคีย์บอร์ด เปิดเบราว์เซอร์ขึ้นมาและเข้าไปในเว็บไซต์รวมผลงานนักวาดซึ่งตัวเขาเองก็มีผลงานลงอยู่ ในบล็อกของนภทีป์มีรายชื่อนักวาดชั้นแนวหน้าหลายคนรวมถึงผลงานของนักวาดที่ยังไม่มีชื่อมากนักแต่ผลงานเข้าตา หลังจากเลือกอยู่นาน นภทีป์ก็กดปิดที่ตนเองเห็นว่ายังไม่ค่อยเหมาะแล้วเหลือผลงานที่น่าจะใช้ได้จำนวนหนึ่ง
“นายลองเลือกเอาจากในนี้แล้วกัน” ว่าแล้ว นภทีป์ขยับถอย แต่กลับถูกดึงแขนไว้ทำให้เสียหลักเอนลงไปข้างหน้า และตอนที่จะหันไปต่อว่านั้นเอง ภรัณยูก็พูดสวนขึ้นมา
“คุณที...ไม่ได้รู้สึกไม่ดีใช่ไหมครับ ที่ผมมาหาแบบนี้”
เอ๋!?
“ทำไมฉันจะต้องรู้สึกไม่ดี?”
“ก็ตั้งแต่ตอนที่ผมบอกว่าชอบคุณ ดูเหมือนคุณจะไม่อยากเข้าใกล้ผมสักเท่าไหร่” ภรัณยูพูดพลางยิ้มแห้ง “ถ้าทำให้คุณลำบากใจ...”
“ฉันไม่ได้ลำบากใจ...สักหน่อย...” นภทีป์เบาเสียงลง
“จริงหรือครับ?”
...
“ฉันจะโกหกไปทำไม เรื่องที่นาย...ชอบฉัน...จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้แย่อะไรเสียหน่อย” ถึงแม้มันจะไม่ใช่การตอบรับแต่ก็ทำให้ภรัณยูยิ้มกว้างอย่างเบิกบานเสียจนผู้มองยังอดใจเต้นไม่ได้ “ดังนั้น...นายปล่อยมือฉันได้แล้ว ฉันจะไปหาอะไรกิน...!!!” พูดยังไม่ทันจบประโยค นภทีป์ก็ชะงักเพราะรู้สึกถึงริมฝีปากที่ฉกวูบลงมาบนผิวแก้มอย่างรวดเร็วและถอนออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ
“ผมจะออกไปซื้ออะไรมาให้ก็แล้วกัน ตอนเดินเข้ามาผมเจอร้านอาหารร้านใหม่ ดูน่าอร่อยอยู่” ภรัณยูลุกจากเก้าอี้แล้วดึงให้นภทีป์นั่งแทนก่อนหยิบกระเป๋าเงินใส่กระเป๋ากางเกงแล้วรีบเดินออกไปโดยที่นภทีป์ยังไม่หายอึ้งจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
...!!!!!!
หากว่าสามารถตะโกนร้องได้ นภทีป์คงทำอย่างไม่ลังเล แต่เพราะไม่สามารถทำได้ เขาจึงนั่งเงียบและกรีดร้องอยู่ในใจ
“น่าอิจฉาจังเลยนะ มีหอมแก้มกันด้วย”
“เงียบไปเลยนะ!” นภทีป์ตวัดเสียงใส่แบบคนพาล แต่รติกลับยิ่งหัวเราะมากขึ้นจนแทบจะกลิ้งไปมาบนชั้นวางของได้
“แล้วนายจะเอายังไงล่ะ? ภรัณยูจริงจังมากเลยนะ นายคิดว่าจะถ่วงเวลาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเขาหันไปหาคนอื่นเลยหรือยังไง?” รติพยายามกลั้นขำแล้วพูดเรื่องจริงจัง แต่พอเห็นใบหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกของอีกฝ่ายก็เผลอหัวเราะออกมาอีกจนได้
“เจ้านั่นจะชอบคนอื่นหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับฉันนี่” พูดเอง ใจก็สั่นไหวเอง ในตอนนี้ส่วนหนึ่งของนภทีป์รู้แล้วว่าตนเองไม่อาจทำใจผิดหวังได้ เพราะอย่างนั้นจึงไม่ยอมรับสิ่งที่ถูกหยิบยื่นให้ แต่ถึงอย่างนั้น อีกส่วนหนึ่งก็กลับยอมรับไปแล้วอย่างเงียบ ๆ
ถ้าหากว่า...ภรัณยูหันไปสนใจคนอื่นแทนเขา..เขาจะรู้สึกยังไง?
นภทีป์คิดกับตนเองและพยายามที่จะไม่คิดถึงมันในเวลาเดียวกัน
“เฮ้ ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ขึ้นมานายจะหัวเราะไม่ออกเอานะ” ความกังวลของนภทีป์ให้รติหวาดหวั่นไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ “ที่จริงนายก็น่าจะถามไปตรง ๆ เลยดีกว่า ว่าเจ้านั่นแน่ใจแล้วหรือยัง ตัวนายเองก็ชอบเจ้าหนูนั่นใช่ไหมล่ะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา”
“ภรัณยูคงจะแน่ใจอยู่แล้วล่ะมั้ง?”
เจ้าตัวเป็นคนที่โอนอ่อนตามคนอื่นจนกลายเป็นนิสัย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตรงไปตรงมากับความรู้สึกตราบใดที่ความรู้สึกนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ดังนั้นการแสดงออกของภรัณยูก็บอกให้รู้แล้วว่าเจ้าตัวแน่ใจขนาดไหน ถึงอย่างนั้น...คนที่ไม่แน่ใจกลับเป็นตัวเขาเอง
เพราะตฤณหรือเปล่า...
ก่อนหน้านี้อาจใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
สำหรับเขา ตอนนี้ตฤณเหมือนกับเป็นคนนอกที่มีความทรงจำร่วมกันในช่วงหนึ่งของชีวิต มันอาจจะฝังอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนานแต่ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดมากมายอีกต่อไป ตอนนี้การตัดสินใจเหลือแต่...เขากับภรัณยูเท่านั้น...
เหลือแต่ความหวาดกลัวของเขา...ที่ยังไม่กล้าก้าวออกไป
“แล้ว...?”
“แล้วอะไร?” นภทีป์หันไปมองรติพลางมุ่นคิ้ว
“แล้วจะเป็นยังไงต่อ...” ระหว่างที่รติกำลังพูด เสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดจังหวะ แต่มันไม่ใช่เสียงโทรศัพท์มือถือของนภทีป์ เพราะมันดังออกมาจากกระเป๋าเป้ที่เปิดแง้มอยู่ของภรัณยู ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความลังเลก่อนที่นภทีป์จะจำยอมเดินไปเปิดกระเป๋าเพราะริงโทนดับไปครั้งหนึ่งก่อนจะเริ่มต้นดังอีกครั้ง บางที...อีกฝั่งของสายคงจะมีธุระด่วนกระมัง
“สวัสดีครับ”
“เอ๋? นั่น...ใครคะ?”
เสียงผู้หญิง?
“เอ่อ...เพื่อนของภรัณยูครับ...” นภทีป์ไม่แน่ใจว่าตนเองควรวางตัวในฐานะไหนจึงแทนตัวด้วยคำที่ง่ายที่สุด “ตอนนี้เขาออกไปข้างนอก แต่อีกเดี๋ยวคงกลับเข้ามา”
“อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นฝากบอกให้รัณโทรกลับมาหาวริยาด้วยนะคะ” เสียงหวานใสที่ปลายสายว่าก่อนจะกดตัดไป นภทีป์จึงเลื่อนโทรศัพท์มือถือออกจากหู และก่อนที่หน้าจอจะดำมืด เขาก็เหลือบเห็นชื่อและภาพของหญิงสาวคนเมื่อครู่ ชื่อที่ใช้บันทึกดูสนิทสนม อีกทั้งภาพที่ใช้แทนตัวก็เป็นภาพถ่ายที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเองจนเกินปกติ นภทีป์รู้สึกเหมือนลมหายใจติดขัดขั่วขณะ และแม้หน้าจอจะดับไปแล้ว เขาก็ยังคงจ้องมองมันราวกับว่าอุปกรณ์สื่อสารในมือนี้จะสามารถตอบคำถามที่ประเดประดังในใจของเขาได้
TBC
-
นั่นไง
แล้วคราวนี้คุณทีของเราจะทำยังไงต่อไปกันนะ อิอิ
รอลุ้นนนนน แอร๊ยย
-
ที เริ่มหวั่นไหวกันรัณมากขึ้น ทุกวัน ๆ แล้วนะ แต่ไม่ยอมรับใจตัวเองซะที
แอบน่ารักนะเนี่ย มีการทำภาพ หมาน้อย Paranyu ซะด้วย ไม่เจอตัว แต่ใจคิดถึงตลอดสินะ
รัณ โผล่มาเซอร์ไพรส์ น่ารักจัง แหม มาขโมยจุ๊บ(แก้ม) ที แบบเนียน ๆ นะ ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย
ดีใจ ที่ ทีคิดได้แล้วว่า ตฤณ ไม่ใช่คนสำคัญที่ทำให้ไม่กล้ารับความรู้สึกของรัณ
เพียงแค่คนสองคน อยู่ที่ ที จะกล้าที่จะลองเสี่ยงกับรักครั้งใหม่รึเปล่าเท่านั้นแหละนะ มีรติ คอยพูดเป่าหูนี้ ดีจัง
ทั้งที่ ที ก็ ยังสับสนอยู่แท้ ๆ ทำมั้ย ทำไม แฟนเก่ารัณต้องโทรมาตอนนี้ด้วยเนี่ย
รู้สึกว่าเรื่องแฟนเก่าของรัณ ต้องมาทำให้ ที เข้าใจผิดแน่ ๆ ล่ะ ถึงจะมีแฟนใหม่แล้ว แต่ยังปิดบังอยู่ก็เป็นเรื่องสิ
รึถ้าทีกังวลที่รติพูด กลัวว่ารัณ จะไปชอบคนอื่น แล้วตอบรับรัณ ก็ดีสินะ
แต่ดูแล้ว นิสัยซึน ๆ อย่างที คงจะยาก มีหวังโมโห แล้วรีบผลักไสรัณให้ไปหาผู้หญิ่งแน่เลยอ่ะ :mew5:
ต้องติดตามตอนต่อไป ขอบคุณคนเขียนค่ะ :L2: :3123:
-
คุณทีหึงใช่ไหมคะเนี่ย
รัณรีบกลับมาตอบคำถามไวๆนะ
อยากจะรู้ว่าคุณทีจะแสดงอาการหึงยังไง
-
วู้ววๆ รับรักเลยสิคะคุณที รับเลยย
-
-17-
เสียงผู้หญิงคนนั้นยังคงชัดเจนในหัว และหลังจากภรัณยูกลับมา เขาก็บอกไปตามตรงว่ามีคนโทรมาหา จากนั้น...ภรัณยูก็คว้าโทรศัพท์ออกไปที่ระเบียงด้วยท่าทางรีบรนระคนคาดหวัง สีหน้าตอนที่คุยกับอีกฝั่งของสายดูสดใสชื่นมื่นอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นมัน...สีหน้าที่ใช้พูดคุยกับคนสนิทใกล้ชิดไม่ใช่หรือ? ซ้ำวิธีเรียกก็ยังไม่เหมือนคนในครอบครัวและคล้ายว่าจะเป็นมากกว่าเพื่อน
เพราะจนถึงวันนี้...เป็นครั้งแรกที่ภรัณยูมีคนโทรมาหาระหว่างอยู่กับเขา คงไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าตัวมีเพื่อนน้อยแน่ ๆ แต่น่าจะเพราะ...ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าภรัณยูออกมาทำอะไรในวันแบบนี้ สนิทกันถึงขนาดนั้นจะปกปิดเรื่องเรียนพิเศษเป็นความลับไปทำไม?
ตอนที่เขาถาม...ภรัณยูก็บอกว่าเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น...
แต่ท่าทาง...กลับบอกว่ามีมากกว่าที่เห็น...
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ นภทีป์ก็รู้สึกคล้ายมีก้อนหินจุกอยู่ในปอด มันทั้งหนักและอึดอัด เขาไม่อยากให้ภรัณยูคิดว่าตนเองเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกเรื่อง และพยายามบงการชีวิตอีกฝ่าย ทว่าความรู้สึกคล้ายอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของก็ผลักดันอยู่ลึก ๆ ให้อยากจะแสดงความหวงออกมาและบอกให้อีกคนหนึ่งรู้ว่าตนเองไม่พึงพอใจที่เจ้าตัวไปข้องแวะใกล้ชิดกับคนอื่น
“เลิกทำหน้าเหมือนท้องผูกซะทีเถอะ ฉันเห็นแล้วอยากจะท้องผูกตามไปด้วย” รติว่าทั้งที่ตัวเขาไม่มีทางจะท้องผูกได้อีกแล้ว
“แล้วนายจะมามองทำไมกันล่ะ” นภทีป์ตอบกลับขณะเก็บกองกระดาษที่เพิ่งล้มลงมาเมื่อครู่ขึ้นไปตั้งไว้บนกล่องเหมือนเดิม บางที...คงจะต้องเอาไปชั่งกิโลขายสักทีกระมัง เขาคิดอย่างนั้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ในรอบหลายเดือน เพราะเอาเข้าจริง นภทีป์ก็ยังเสียดายผลงานเก่า ๆ ของตนเอง เพียงแค่ยิ่งวันมันก็ยิ่งทบ เมื่อรวมกับส่วนของภรัณยูมันจึงยิ่งกองสูงเสียจนเริ่มจัดเก็บลำบาก
“ที ดูนี่สิ” ในขณะที่เขากำลังคดิว่าจะทำอย่างไรกับกระดาษที่หากล่องใส่ไม่ได้ รติก็เรียกให้หันไปมองอีกทางหนึ่งโดยไม่บอกเหตุผล
ปึกกระดาษปึกหนึ่งวางอยู่บนพื้นข้างตู้ ซึ่งหากไม่สังเกตคงไม่ทันได้เห็น ท่าทางของมันเหมือนถูกทิ้งเอาไว้อย่างลวก ๆ หรือไม่ก็คงตกลงมาจากชั้น นภทีป์เดินเข้าไปดูเพราะไม่คุ้นตากับสิ่งนี้เลย กระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรถูกเย็บติดกันด้วยแม็กซ์เป็นปึกหนา 20 กว่าแผ่น ร่องรอยบนแผ่นกระดาษบ่งบอกว่ามันผ่านการถ่ายเอกสารมา คล้ายว่า...จะเป็นข้อมูลสำหรับการศึกษาบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ
“นี่คงไม่ใช่แผนการของนายอีกนะ?” เขาหันไปถามรติ เพราะเจ้าตัวเคยมีคดีที่แอบเอากระดาษวาดรูปของเขาไปใส่กระเป๋าเป้ของภรัณยูโดยพลการ และครั้งนี้ รติก็อาจจะแอบเอาเอกสารออกมาจากกระเป๋าภรัณยูก็ได้ แต่รติกลับรีบปฏิเสธทันควัน
“ฉันจะไปทำแบบนั้นทำไมกันล่ะ นี่มันของสำคัญของเจ้านั่นนะ เอาออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ซะที่ไหน”
แม้จะได้ยินคำปฏิเสธ แต่นภทีป์ก็ยังเหลือบมองรติด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
“ถ้าอย่างนั้นคงตกลงมาจากกระเป๋าตอนเก็บของล่ะมั้ง...” ปกติแล้ว ภรัณยูจะเอากระเป๋าโยนไว้ตรงมุมนี้ และบางครั้งก็เปิดอ้าเพื่อหยิบของแล้วลืมปิด ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่ามันจะตกลงมาตอนที่เจ้าตัวไม่ทันได้ระวัง และกระดาษก็กระจายเต็มห้องแทบจะเป็นปกติจึงไม่ได้สังเกต
“เอาไปให้ดีไหม?” ถึงจะไม่ใช่ผลงานของตนเอง แต่รติก็ยินดีจะไหลไปตามน้ำ เขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะเห็นภาพนภทีป์ไปหาภรัณยูถึงมหาวิทยาลัย บางที มันคงจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนพัฒนาขึ้นกว่าเดิมบ้าง อย่างน้อยภรัณยูก็จะได้มั่นใจว่าอีกฝ่ายใส่ใจตนเองอยู่
“แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาเรียนที่ไหนนี่? แล้วเดี๋ยวอีกไม่กี่วันภรัณยูก็คงจะมาที่ห้องอีก ถึงตอนนั้นค่อยเอาให้ก็ได้” การเดินทางออกไปข้างนอกยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับนภทีป์ โดยเฉพาะการไปในสถานที่ที่ตนไม่รู้จัก ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และในสังคมที่ไม่คุ้นใจ เขาจึงได้พยายามหาข้ออ้างที่จะไม่ต้องทำเช่นนั้น เพราะอย่างไรภรัณยูก็ต้องมาหาเองในสักวันหนึ่งอยู่ดี
“ไม่คิดว่าเป็นของจำเป็นเลยหรือ? บางทีอาจจะเป็นของที่ต้องส่งให้อาจารย์ภายในวันนี้ก็ได้นะ หรือว่านายจะไม่รู้สึกผิดถ้าเจ้านั่นไม่ผ่านโปรเจค”
นภทีป์อึกอัก รู้สึกเหมือนกำลังถูกคำพูดทิ่มแทงใจว่าตนเองเป็นคนเย็นชาไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น และเขาก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาต่อกรกับข้อครหาได้
“...ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเขาเรียนที่ไหน ถ้าโทรไปถามแล้วภรัณยูเกิดกำลังนั่งอยู่ในห้องเลกเชอร์ ฉันก็จะกลายเป็นต้นเหตุให้โดนอาจารย์ดุเอาไม่ใช่หรือไง?”
รติกลอกตาไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบเห็นตราปั๊มบนกระดาษหน้าแรกที่ยภทีป์ถืออยู่
“ดูที่ใบปะหน้านั่นสิ นั่นมันตราปั๊มของมหาวิทยาลัยนี่” เมื่อได้ยินรติว่าเช่นนั้น นภทีป์ก็ก้มงมองและเห็นว่าใบปะหน้าซึ่งเป็นข้อมูลของหนังสือมีตราประทับของมหาวิทยาลัยประดับอยู่ มันค่อนข้างชัดเจนแม้จะผ่านการถ่ายเอกสารมาแล้ว ซ้ำยังเป็นชื่อมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจึงคาดเดาจากตัวอักษรได้ไม่ยากนัก ทำให้สุดท้ายแล้ว นภทีป์ก็ไม่อาจหาข้ออ้างใดให้ตนเองได้อีก เขาต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งในใจของเขาก็อยากจะไปพบภรัณยูเหมือนกัน อยากจะเห็น...สีหน้าดีใจของอีกฝ่าย...
ใบหน้าของนภทีป์แดงขึ้นเมื่อคิดถึงใบหน้าที่เกลื่อนด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวค่อยไปตอนกินข้าวเสร็จแล้วกัน” เขาว่าอย่างนั้นเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ก่อตัวในอกและเดินเข้าครัวไปหยิบกับข้าวในไมโครเวฟออกมา
---------------------------->
อีกด้านหนึ่ง...ภรัณยูกำลังค้นกระเป๋าตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทั้งที่จำได้ว่าเอาเอกสารใส่ไว้ในกระเป๋า แต่เอาเข้าจริงกลับหาไม่เจอ
มันหายไป!
ชายหนุ่มถึงกับกุมขมับและพยายามคิดว่าตนเองอาจจะไปทำตกหล่นไว้ที่ไหนบ้าง เย็นวันนี้อาจารย์ที่ปรึกษานัดเขากับวริยาให้ไปพบเพื่อดูข้อมูลโดยรวม เมื่อวานนี้วริยาอุตส่าห์โทรมาบอกว่าอาจารย์ว่างวันนี้พอดีและอาจจะไม่ว่างดูให้อีกเป็นอาทิตย์ ดังนั้น หากข้อมูลเบื้องต้นยังไม่เพียงพอในวันนี้ เขาจะต้องรอไปอีก 1 สัปดาห์และอาจจะทำงานได้ช้ากว่ากลุ่มอื่น ๆ ที่เสนอหัวข้อผ่านไปก่อนนานแล้ว
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะรีบทำให้เสร็จแล้วจะได้ว่างไปหานภทีป์บ่อย ๆ ...
“เป็นอะไรไปหรือรัณ?” วริยาสะกิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าซีดเหมือนไปกินอะไรผิดสำแดงมา “ชลชาติกับวิชชุกรออกไปนานแล้วนะ พวกเขาบอกว่าเธอเอาแต่หาของก็เลยไม่ยอมตามออกไปเสียที ทำอะไรหายหรือ? อยากให้ฉันช่วยหาไหม?”
“คือว่า...” ภรัณยูก้มหน้าอย่างสำนึกผิดก่อนสารภาพ “ฉันหาไม่เจอว่าเอางานที่ซีร็อกซ์มาไปไว้ที่ไหนชุดหนึ่ง แถมยังเป็นชุดสำคัญด้วย...”
“แบบนั้นก็ไม่มีไปให้อาจารย์ดูน่ะสิ” หญิงสาวใจหายวาบก่อนที่สมองจะทำงานอย่างรวดเร็ว “แต่จำได้ใช่ไหมว่าเอามาจากเล่มไหนบ้าง?”
“ก็พอจะจำได้อยู่...”
“ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ ตอนบ่ายเธอไม่มีเรียนสินะ ส่วนฉันมีเรียนวิชาหนึ่ง ฉันจะโดดเรียนไปช่วยรวบรวมส่วนที่ทำหายไป”
“โดดเรียน? แต่ว่า...”
“มันไม่ใช่วิชาสำคัญขนาดนั้นหรอก เป็นวิชาเสริมที่ฉันลงไว้ดึงเกรดเท่านั้นเอง” วริยายิ้มกว้างให้อีกฝ่ายสบายใจ “แล้วโปรเจคเราก็ต้องทำด้วยกันสองคนใช่ไหม? ดังนั้นถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ต้องช่วย ๆ กัน ฉันรู้ว่ารัณเป็นคนมีความรับผิดชอบ ไม่ได้ตั้งใจจะหาข้ออ้างอู้งานอยู่แล้ว จริงไหม?”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปที่หอสมุดก่อนตอนหลังเที่ยง แล้วพอเธอว่างก็ตามไปแล้วกัน” เมื่อตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะ ภรัณยูก็ใจชื้นขึ้น อย่างน้อยก็น่าจะมีงานไปให้อาจารย์เชยชมได้ทันเวลา
และเมื่อเขาจัดการกับอาหารเที่ยงเรียบร้อย ชายหนุ่มก็แยกตัวจากวิชชุกรและชลชาติซึ่งกำลังจะไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาของตนเองและมุ่งตรงไปยังหอสมุด เขาเริ่มจากการเสิร์ชหาชื่อหนังสือที่พอจะจำได้ด้วยคอมพิวเตอร์ภายในหอสมุดแห่งนั้นและจดรหัสอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าชื่อหนังสือที่จำได้ราง ๆ มีที่คล้ายกันอยู่หลายเล่ม และคราวก่อนเขาก็ต้องเปิดหาเอาจากเล่มที่คล้ายกันเหล่านี้จนกระทั่งได้สิ่งที่ต้องการ ถึงจะท้ออยู่บ้างที่ต้องมารวบรวมใหม่ แต่ก็ต้องขอบคุณความทรงจำของเขาที่ยังค่อนข้างชัดเจน หากเปิดผ่านก็น่าจะจำได้ทันทีว่าเอาส่วนไหนมาบ้าง แม้ว่าบางส่วนอาจจะต้องสุ่มเอาก็ตาม
วริยาตามมาหลังจากนั้นไม่นาน ตอนที่วริยามาถึง ภรัณยูก็กำลังขนกองหนังสือมาตั้งไว้บนโต๊ะพอดีทำให้หญิงสาวไม่ต้องเสียเวลาไปเดินขนหนังสือด้วย
แต่พอถึงเวลาค้นคว้าจริง ๆ สมาธิและจิตใจของวริยากลับไม่ได้อยู่กับหนังสือที่นำมาวางไว้ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าตัวเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์มือถือของตนด้วยท่าทางเหมือนกำลังเฝ้ารอใครบางคนหรืออะไรบางอย่างและภาวนาให้มันมาถึงโดยเร็วด้วยความกระวนกระวาย
“มีอะไรหรือเปล่า?” ภรัณยูเงยหน้าขึ้นถามเพราะเห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่าย
“...ก็นิดหน่อย...” วริยาเม้มปาก
“ถ้าหากว่าจะทำให้สบายใจขึ้น ฉันก็ยินดีรับฟังนะ” พอภรัณยูพูดอย่างนั้น สีหน้าของวริยาก็คล้ายจะคลายความเคร่งเครียดลงไปบ้าง และระบายด้วยความเขินอายแทน หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพูดด้วยเสียงแผ่วหวิวเพราะไม่อยากให้ใครอื่นได้ยิน
“จำคนที่ฉันเลยเล่าให้ฟังได้หรือเปล่า? แฟนที่ฉันคบด้วยตอนนี้ที่เป็นเพื่อนของพี่น่ะ” ภรัณยูพยักหน้ารับช้า ๆ แล้วฟังเสียงอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...ก่อนหน้านี้พวกเราโทรคุยกันบ่อย ๆ ไม่ฉันโทรไปก็เขาโทรมา เฉลี่ยก็ 2-3 วันต่อครั้ง หรือวันละครั้งก็แล้วแต่จะมีเวลา แต่ตั้งแต่อาทิตย์ก่อนเขาก็ไม่เคยโทรมาหาฉันอีกเลย วันที่ฉันเล่าเรื่องเขาให้เธอฟังนั่นเขาก็ไม่ได้โทรมา 2 วันแล้วแต่ฉันก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะมันก็ปกติ แต่หลังจากนั้น...ถึงฉันจะโทรไปเขาก็บ่ายเบี่ยงว่ายังไม่ว่างตลอด เสียงเหมือนไม่อยากจะคุยกับฉันเลย ตอนนี้ฉันก็เลยเริ่มคิดน่ะสิว่า...ฉันไปทำอะไรไม่ดีเข้าหรือเปล่า? นิสัยฉันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?”
ในมุมมองของภรัณยูที่เคยคบกับวริยามาก่อน เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เลวร้ายอะไร มีงอนบ้าง กระเง้ากระงอดบ้าง แต่จะไม่อาละวาดและไม่โมโหร้าย ส่วนใหญ่ก็แค่บ่นอุบอิบไปตามประสาหรือไม่ก็ไม่ยอมพูดด้วยเป็นวัน ๆ แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็จะอารมณ์ดีราวกับพลิกฝ่ามือ เขายังนึกไม่ออกเลยว่า อะไรในตัววริยาที่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจได้
“อาจจะแค่ติดงานจริง ๆ ก็ได้นี่”
“เขาอยู่แผนกเดียวกับพี่ของฉันนะ แล้วพี่ก็บอกว่าช่วงนี้ที่แผนกค่อนข้างว่างด้วยซ้ำไป” วริยาทำสีหน้าหมองเศร้า เธอรู้สึกว่าแฟนของตนเองกำลังห่างหายจากไป ซึ่งมันคงจะดีถ้าเขาเป็นคนตรงไปตรงมาเหมือนภรัณยู เพียงแต่ผู้ชายคนนี้มักจะชอบยิ้มเจื่อน ๆ และขี้อายเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาอย่างที่ใจคิด และการหลบเลี่ยงที่จะพูดคุยคงเป็นวิธีตีจากของคนประเภทนั้นกระมัง?
ภรัณยูไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไรต่อ เพราะดูจากสถานการณ์แล้ว คงคิดได้แต่ในแง่ลบเท่านั้น หวังแต่ว่าแฟนของวริยาจะติดต่อกลับมาในเร็ว ๆ นี้และขอให้เป็นข่าวดี
เสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในความเงียบ วริยาเป็นคนแรกที่สะดุ้งแต่เมื่อเธอมองไปยังโทรสัพท์มือถือของตนเองกลับพบว่ามันนอนนิ่งสงบ ซ้ำริงโทนยังไม่ใช่ของตน แต่เป็นของภรัณยู
ชายหนุ่มแปลกใจที่มีคนโทรมาหาในเวลานี้จึงกดรับและเดินเลี่ยงไปหามุมสงบโดยผ่านประตูออกไปยังทางเชื่อมด้านนอกซึ่งไม่ได้ไกลจากโต๊ะที่พวกเขานั่งกันนัก
“คุณที เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” ภรัณยูทั้งประหลาดใจและดีใจที่เห็นชื่อคนโทรเข้า เขาไม่คิดว่านภทีป์จะเป็นคนติดต่อมาก่อนในวันแบบนี้ที่ไม่น่ามีอะไรพิเศษ “เอ๋ งานของผม ตกอยู่ในห้องของคุณทีเองหรือครับ? แล้วตอนนี้อยู่หน้ามหาวิทยาลัย?”
สิ่งที่ได้ยินยิ่งทำให้ประหลาดใจ นภทีป์มาถึงหน้ามหาวิทยาลัยเพียงเพื่อจะนำงานมาส่งให้เขาอย่างนั้นหรือ?
ภรัณยูยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ ความลิงโลดบังเกิดขึ้นภายในใจเสียจนอยากกระโดดกอดอีกฝ่ายที่ปลายสายโทรศัพท์
“จะเข้ามาหรือครับ? ที่จริงผมออกไปหาก็ได้” เขาไม่อยากจะรบกวนนภทีป์มากเกินไป ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยืนยันว่าจะเข้ามาหาข้างในเอง “ถ้าอย่างนั้น...เอ่อ...คุณทีเรียกมอเตอร์ไซค์บอกว่าจะมาหอสมุด พอมาถึงแล้วก็ขึ้นมาที่ชั้น 3 ผมอยู่ตรงใกล้ ๆ ตู้หนังสือหมวด b น่ะครับ” ภรัณยูบอกทางอย่างรวบรัดเท่าที่จะทำได้ เพราะนภทีป์ไม่ชอบความยุ่งยาก เขาเกรงว่าเจ้าตัวจะเกิดรำคาญจนตัดบทเปลี่ยนใจเสียก่อน
หลังจากบอกเส้นทางเรียบร้อย ภรัณยูก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับริมฝีปากที่แย้มยิ้มไม่ยอมหุบจนวริยาอดทักไม่ได้
“คนที่แอบชอบข้างเดียวคนนั้นหรือเปล่า?” เธอกระซิบถาม
“ก็...ประมาณนั้น” เขาเกาท้ายทอยพลางยิ้มเขิน
“มีโทรหาแบบนี้ท่าทางว่าจะไปได้สวยนะ น่าอิจฉาจัง” วริยาเท้าคางพลางถอนหายใจกับเรื่องของตนเอง ตอนนี้เธอกำลังอิจฉาภรัณยูอยู่จริง ๆ
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที โทรศัพท์มือถือของวริยาก็ดังขึ้นบ้าง
ทั้งสองมองหน้ากันพลางอมยิ้มให้กัน
“ความอิจฉาของเธอน่ากลัวใช่เล่น” ภรัณยูหยอกเพื่อนสาวขณะที่เธอแลบลิ้นใส่แทนคำตอบแล้วรีบหยิบโทรศัพท์วิ่งออกไปในจุดเดียวกับที่ภรัณยูยืนคุยโทรศัพท์เมื่อครู่ จากจุดที่พวกเขานั่งอยู่จะสามารถมองออกไปที่ตรงนั้นได้อย่างชัดเจนเพราะมีเพียงกระจกใสกั้น
ในตอนแรก สีหน้าของวริยาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง ทว่าผ่านไปเพียงไม่นานใบหน้าของหญิงสาวก็กลับเต็มไปด้วยความกังวลและสงสัยคล้ายว่ากำลังมีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้น และเมื่อผ่านไปแค่ 10 นาที วริยาก็กดตัดสายแล้วเดินกลับมาเข้ามาด้านในด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ภรัณยูสังเกตเห็นตอนที่เธอเดินเข้ามาใกล้ว่ามือของเธอกำโทรศัพท์มือถือแน่นและสั่นน้อย ๆ และเมื่อวริยาเงยหน้าขึ้น เขาก็ได้เห็นดวงตาแดงก่ำและน้ำตาหยดใสรื้นล้นอยู่ หญิงสาวฝืนยิ้มด้วยริมฝีปากที่สั่นเทาและสูดหายใจลึก
“ช่วย...พาฉันไปที่ลับตาคนหน่อยได้ไหม...”
----------------------------->
-
นภทีป์ซ้อนมอเตอร์ไซค์จากหน้ามหาวิทยาลัยมาจนถึงหอสมุดโดยทีรติเกาะตามหลังมาเพราะบินตามมอเตอร์ไซค์ไม่ทัน และเมื่อมาถึง เขาก็ได้แต่เงยหน้ามองสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตกรุ่นกลิ่นอายความขลังของมหาวิทยาลัยชื่อดังและเก่าแก่ ภายในหอสมุดแห่งนี้คงอัดแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมากซึ่งนั่นรวมถึงสายตาที่จะส่งมายังคนแปลกหน้าซึ่งไม่ได้สวมเครื่องแบบด้วย
“เข้าไปได้แล้วน่า” รติคะยั้นคะยอ
“รู้แล้ว ไม่ต้องมาเร่งเลย” นภทีป์ว่าพลางมองรอบตัว ซึ่งมีนักศึกษาบางคนมองมายังเขา แม้ในดวงตาเหล่านั้นจะไม่ได้นึกแปลกใจเพราะคิดว่าเป็นนักศึกษาปริญญาโทก็ตาม
ชายหนุ่มร่างล็กตัดสินใจเดินเข้าไปในตัวอาคารและพบกับประตูแบบสแกนบัตรซึ่งตัวเขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเดินไปหาเคาท์เตอร์และจ่ายค่าผ่านประตูจึงสามารถผ่านเข้าไปได้โดยสะดวก
ทีนี้ก็ขึ้นชั้น 3 ...
นภทีป์ทวนแล้วเดินไปที่บันได พอถึงชั้น 3 ก็มองหาตู้หมวด b ซึ่งก็ไม่ยากนักเพราะตู้ตั้งเรียงตามอักษร และหมวดต้น ๆ ก็อยู่ใกล้กับบันได แต่เมื่อเขามองไปรอบด้าน กลับไม่พบภรัณยูอยู่ที่โต๊ะตัวไหนเลย มีแต่คนแปลกหน้าอยู่ทั้งนั้น...
“เจ้านั่นคงไม่ได้บอกชั้นผิดหรอกนะ” รติบินวนรอบหนึ่งแล้วกลับมาหาหลังจากที่ไม่เจอตัวภรัณยูเช่นกัน
นภทีป์ตัดสินใจโทรหาแม้ว่าจะอยู่ในหอสมุดก็ตาม และทันใดนั้น เสียงริงโทนคุ้นหูก็ดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไปเพราะเจ้าของไม่ยอมรับสาย หรือ...ไม่อยู่รับ เพราะเขาเดินตามเสียงและพบว่ามันมาจากโต๊ะที่มีของวางเกลื่อนแต่ไม่มีคนนั่ง ซ้ำเวลานี้ นักศึกษาคนอื่น ๆ ในหอสมุดก็กำลังส่งสายตามายังเขาด้วยความรำคาญ นภทีป์จึงต้องยอมกดตัดสายเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะรอสายต่อไป
เขากวาดตามองสิ่งของบนโต๊ะ มีกระเป๋าของภรัณยูวางอยู่กับกองหนังสือที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ และฝั่งตรงข้ามก็มีกระเป๋าเล็ก ๆ สีสันสดใสที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของหญิงสาว
หรือจะเป็นคนเดียวกับที่โทรมาวันนั้น?
อยู่ ๆ นภทีป์ก็ฉุนกึกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ในหัวสมองเริ่มสงสัยว่าทั้งสองคนหายไปไหนในเวลาเดียวกันอย่างนี้ ซ้ำยังทิ้งของมีค่าไว้ทั้งคู่ด้วย แปลว่ากิจกรรมที่จะทำด้วยกันไม่อยากจะให้มีอย่างอื่นเข้ามารบกวนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือหรือ?
ทั้งที่เขาโทรมาบอกว่าจะมาหาเนี่ยนะ!?
นภทีป์นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อสงบจิตสงบใจพยายามที่จะไม่คิดมาก เขาหยิบปึกกระดาษที่ภรัณยูลืมไว้ออกมาจากกระเป๋าและวางมันลงบนโต๊ะพลางคิดในใจว่าตนเองควรจะกลับเลยดีหรือไม่ แต่ถึงอย่างนั้น ความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า
เขาอยากจะรู้..ว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง และมีความสัมพันธ์แบบไหนกับภรัณยู ถึงแม้จะพยายามเตือนตนเองว่าเขาไม่ได้มีสิทธิจะไปหึงหวงเลยสักนิดก็ตาม
“อาจจะแค่ไปห้องน้ำก็ได้” รติตั้งข้อสินนิษฐานที่มองโลกในแง่ดีที่สุด ทว่ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นนักเพราะมันไม่มีเหตุผลที่จะไปห้องน้ำทั้งคู่และทิ้งของมีค่าไว้กลางแจ้งโดยไม่มีคนเฝ้า
นภทีป์ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ และนั่งกอดอกเงียบ ๆ เพราะเขารู้สึกได้ถึงก้อนเขม่าสีดำที่ลอยฟุ้งอยู่ภายในใจลึก ๆ และไม่ว่าเขาจะพยายามไม่สนใจมันสักเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น
นานถึง 15 นาที ที่นภทีป์นั่งนิ่งไม่ไหวติง จนกระทั่งได้ยินเสียง “อ๊ะ” เบา ๆ จากรติซึ่งมองผ่านไปด้านหลังของเขา นภทีป์จึงหันมองตามก่อนจะได้เห็นภาพที่ทำให้ก้อนเขม่าดำในใจเกาะกลายเป็นตะกอนหนักอึ้งทันที
ภรัณยูพยุงหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาด้วยกันด้วยท่าทางใกล้ชิด ที่จริงแล้ว...เรียกว่าทั้งสองกำลังกอดกันเดินน่าจะเข้ากับสถานการณ์เสียกว่า นภทีป์กำมือแน่นและขบริมฝีปากอย่างแรงโดยไม่ทันรู้ตัว จนกระทั่งภรัณยูเงยหน้าขึ้นมาเห็นและเบิดตากว้างด้วยท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งทันที
“เดี๋ยว! คุณที นี่มัน...”
เสียงของภรัณยูดังลั่นห้องสมุดเพราะลืมตัว แต่นภทีป์ไม่ได้สนใจหันกลับไปฟัง เขาเดินจ้ำจากไปโดยไม่สนใจกระทั่งสายตาจากคนรอบข้างที่มองมาเพราะเสียงตะโกน และไม่สนใจเสียงของภรัณยูที่กำลังเรียกตนเองจากข้างหลังหรือเสียงของรติที่ขอให้หยุดฟัง นภทีป์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองลงมาถึงข้างล่างตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเป้าหมายของเขาคือประตูหอสมุดที่เปิดออกสู่โลกกว้าง โชคดีที่วินมอเตอร์ไซค์มีเกาะกลุ่มอยู่ไม่ไกลจากหอสมุดนัก นภทีป์วิ่งข้ามถนนโดยแทบไม่ได้หันมองรถด้วยซ้ำเพียงเพื่อที่จะไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
และเมื่อออกมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย นภทีป์ก็ไม่ลังเลเลยที่จะเรียกรถแท็กซี่เพื่อกลับห้องของตนเอง สถานที่ซึ่งเปรียบเสมือนป้อมปราการของเขา
“ที นายน่าจะ...”
“หุบปาก” เขาส่งเสียงลอดไรฟันเพื่อให้รติเงียบเสีย
ในตอนนี้ เขาไม่พร้อมจะรับฟังอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่อบอวลอยู่รอบตัวเหลือแต่ความผิดหวังที่รุนแรง เหมือนกับที่รติเคยทิ้งเขาไป เหมือนที่ตฤณเคยหักหลังเขา สุดท้ายภรัณยูเองก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่น ๆ ที่เห็นเขาเป็นแค่เครื่องมือฆ่าเวลาเท่านั้น
เมื่อถึงคอนโดมิเนียม นภทีป์ก็ตรงดิ่งขึ้นไปถึงห้องของตนเอง ทว่า...กลับมีคนรอเขาอยู่ที่นั่น
ตฤณกำลังทำท่าเหมือนจะกลับเพราะมาไม่เจอเจ้าของห้อง แต่ก็บังเอิญพบกับเจ้าตัวที่เดินดิ่งมาทางตนอย่างพอดิบพอดี
“ออกไปไหนมาหรือ?” เขาเลิกคิ้วถามแต่กลับพบว่านภทีป์ไม่คิดจะตอบ ชายหนุ่มร่างเล็กเดินผ่านตฤณไปราวกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตนและไขประตูห้องด้วยความรีบเร่งจนผิดสังเกต ในตอนแรก นภทีป์คิดจะเข้าห้องคนเดียวแต่พอคิดจะปิดประตู ตฤณก็เข้าขวางและแทรกตัวตามเข้ามาเมื่อผนวกกับอารมณ์ของนภทีป์ที่ไม่คิดจะเล่นแง่อะไรในตอนนี้ ตฤณจึงเข้ามาอยู่ในห้องอย่างง่ายดาย
“อยากพูดอะไรก็รีบพูดมา แล้วก็รีบกลับไปด้วย” นภทีป์ยืนอยู่กลางห้องแล้วมองไปยังแขกของตนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“ก็แค่มาเยี่ยมเท่านั้นเอง ไม่ได้หรือ? ไปอารมณ์เสียอะไรมาน่ะ?” ผู้มาเยือนมุ่นคิ้ว เขาแทบจะนับนิ้วได้ว่ากี่ครั้งที่นภทีป์มีอาการแบบนี้ มันไม่ได้เกิดอยู่บ่อย ๆ และมักจะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าตัวผิดหวังรุนแรงและไม่สามารถหาทางระบายออกได้ “อย่าบอกนะว่า...เพราะเด็กที่ชื่อภรัณยู?”
ชื่อเสียงภรัณยูทำให้นภทีป์รู้สึกเหมือนเส้นประสาทในสมองกระตุก
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ ถ้าจะมาหาเรื่องก็กลับไปเดี๋ยวนี้เลย” ว่าจบ นภทีป์ก็หมุนตัวไปทางห้องนอน ป้อมปราการด่านสุดท้ายของตนแต่กลับถูกฉุดจากด้านหลังด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่อาจต้านทาน ตฤณล็อคเขาไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างและบังคับให้หันมาเผชิญหน้า
“ทำไมจะไม่ใช่เรื่องของผม ลืมไปแล้วหรือว่าใครกันที่เป็นเจ้าของคุณน่ะ”
“พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว คุณก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้ คุณเอาสิ่งที่ผมต้องการไป! ถึงจะพยายามแก้ตัวยังไงมันก็ทดแทนสิ่งที่ทำไม่ได้!” พอพูดถึงเรื่องอดีต นภทีป์ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นและเพิ่มระดับของเสียงไปตามระดับอารมณ์ “พอกันทีกับทุก ๆ อย่างที่คุณเสแสร้งว่าใส่ใจ! ทั้งคุณ ทั้งเจ้าบ้านั่น มันก็เหมือน ๆ กันหมด ก็แค่สนุกกับท่าทีของผมก็เท่านั้น ดังนั้นรีบไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”
“คุณคิดว่าผมกับเขาเหมือนกันหรือ?” โทนเสียงของตฤณเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนออกแรงบีบข้อมืออีกฝ่ายแรงขึ้นและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ทั้งที่นั่นมันอภิสิทธิ์ของผมไม่ใช่หรือ ที่จะเป็นคนทำให้คุณปั่นป่วนไปกับทุกการกระทำของผม รู้ไหมว่าทำไมผมถึงขโมยงานของคุณไป ทั้งผลงานและอาชีพ เพราะว่าคุณกำลังจะเดินล้ำหน้าผมไปยังไงล่ะ คุณกำลังจะก้าวเข้าไปในโลกที่ผมคว้าจับไม่ได้ คิดหรือว่าผมจะยินยอม ผมจะต้องเป็นคนที่อยู่ที่นั่นและทำให้คุณเจ็บปวด ดีใจ เสียใจ คุณจะไม่มีวันเดินล้ำผมไปได้และอยู่ใต้เงาของผมไปจนกว่าผมจะพอใจ นั่นมันก็เหมาะกับคนอย่างคุณอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ที? คนที่เอาแต่โทษโชคชะตาแบบคุณน่ะ”
“หุบปากนะ!” นภทีป์ตะโกนกร้าวด้วยเรี่ยวแรงที่มีเหลือ “ออกไป...ออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีก ทั้งนายทั้งภรัณยู ออกไปให้หมด!” เพราะรู้ว่าตฤณพูดความจริง ตลอดชีวิตของเขาเอาแต่โทษโชคชะตาที่ทำให้ตนเองต้องประสบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะมีพรสวรรค์ติดตัวมา แต่ก็ไม่อาจก้าวเดินไปอย่างที่ใจต้องการได้ สุดท้ายก็ได้แต่ย่ำอยู่กับที่เพราะความหวาดกลัว
และเพราะรู้...ถึงได้ทรมาณ...และปฏิเสธทุก ๆ คนที่เข้ามาหา
ไม่อยาก...จะเจอใครอีกแล้ว...
“ไม่เป็นไรหรอกที แค่ทำตัวสบาย ๆ และปล่อยให้ผมควบคุมทุกอย่างเหมือนเดิมก็พอ” ข้อเสนอของตฤณช่างหอมหวาน ไม่จำเป็นต้องคิดอะไร ไม่จำเป็นต้องเชื่ออะไร แค่ปล่อยให้แต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ความหมายเหมือนตุ๊กตาตั้งประดับตัวหนึ่ง
หูของเขาแว่วเสียงทุบประตูรัวจากด้านนอก แต่ตฤณก็ไม่ยอมให้เขามีโอกาสคิดถึงเสียงนั้นและโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ นภทีป์รู้สึกคล้ายตนเองกำลังจะถูกดูดกลืนเข้าไปในเงาอันมืดมิด สูงใหญ่ และเย็นเยียบ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่โดนตฤณกกกอด ผู้ชายคนนี้มีความปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของอย่างแรงกล้า เป็นอย่างนี้...มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว และไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
สำหรับตฤณ...เขาเป็นแค่สิ่งของอีกชิ้นหนึ่งเท่านั้น...
แล้วสำหรับภรัณยู เขาเป็นอะไรกันล่ะ?
“ปล่อยคุณทีเดี๋ยวนี้นะ!” ในห้วงความคิดอันสับสน เสียงกร้าวของชายหนุ่มร่างสูงก็ดังแทรกเข้ามาและกระชากเงามืดออกไปจากสายตา นภทีป์จึงได้เห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านประตูเข้ามา สติของเขากระซิบให้รู้ว่ารติเป็นคนเปิดประตูปล่อยภรัณยูเข้ามาในห้อง และตอนนี้ผู้ชายสองคนก็กำลังกระชากคอเสื้อจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ รอยยิ้มบนริมฝีปากของตฤณแสยะออกอย่างคนที่มีดีกรีเหนือกว่า ในขณะที่แววตาของภรัณยูเต็มไปด้วยความเดือดดาลราวกับเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ถูกแย่งของสำคัญ
เสียงตะโกนอื้ออึงดังผ่านหูไปมาก่อนที่ภรัณยูจะเงื้อหมัดขึ้นและชกหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ออมแรง นภทีป์ไม่เคยเห็นภรัณยูตอนใช้กำลังมาก่อนเลย และไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายแสนสุภาพและหัวอ่อนคนนั้นจะกลายเป็นแบบนี้เพียงเพราะสิ่งที่ตฤณกระทำ
“อย่าเข้ามาใกล้คุณทีอีก!” ภรัณยูประกาศเสียงลั่นตอนที่ตฤณวิ่งออกไปเพราะรู้ว่าแลกหมัดไม่คุ้มกับตัวเอง แต่ก็ยังไม่วายสบถทิ้งท้าย
รติปิดประตูไล่หลัง ทำให้ความสงบหวนกลับมาอีกครั้ง...
นภทีป์รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบรัดรอบตัวหลังจากความเงียบครอบคลุม
“ไม่เป็นอะไรนะครับ ไม่ได้ถูกทำอะไรรุนแรงใช่หรือเปล่า?” ภรัณยูกระซิบถามข้างหู ทว่ากลับไม่ได้รับคำตอบ นภทีป์เม้มปากจนเป็นเส้นตรงและรวบรวมกำลังออกแรงผลักอีกฝ่ายออกไปก่อนหันหลังเข้าห้องนอนและปิดประตูตามแทบจะในทันที
“กลับไปก่อนเถอะ” เขาส่งเสียงผ่านประตู
“เดี๋ยวสิคุณที ฟังผมอธิบายก่อน...”
“ฉันไม่อยากฟัง!” นภทีป์ตะโกนขัด “...ตอนนี้...ยังไม่อยากฟัง...” เขาพูดเช่นนั้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งกอดเข่าพิงประตูพลางซบหน้าผากลงกับท่อนแขนตนเอง
ในเวลานี้...เขาอยากจะอยู่คนเดียว ยังไม่อยากจะพบใครหรือฟังอะไรจากใครทั้งนั้น
“...ถ้าอย่างนั้น วันพรุ่งนี้ได้ไหมครับ?” ภรัณยูเอ่ยถามแต่อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบ “แล้วถ้าเป็นมะรืน...หรืออาทิตย์หน้าก็ได้ ผมจะมาหาจนกว่าคุณจะยอมให้พบ”
แม้จะได้ยินอย่างนั้น แต่นภทีป์ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขาเฝ้ารออยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งภรัณยูยอมล่าถอยกลับไปเอง และเมื่อผ่านไปราว ๆ ชั่วโมงหนึ่งจึงแง้มประตูออกดู ทำให้รติรีบแทรกตัวเข้ามาในห้องนอนก่อนที่นภทีป์จะหับประตูปิดเช่นเดิม
เจ้าของร่างกายเล็กจิ๋วและรูปกายคล้ายกามเทพลอยตัวอยู่กลางอากาศพลางมองคนที่ตนอยากจะช่วยเหลือซึ่งเอาแต่ก้มหน้าอยู่หน้าประตูโดยไม่ขยับเขยื้อน หากเขาเป็นกามเทพจริง ๆ มันคงจะดีกว่านี้และง่ายดายกว่านี้ แค่เพียงยิงศรปักอกก็ทำให้คนสองคนรักกันได้โดยไร้เงื่อนไข แต่ความจริง...เรื่องของหัวใจนั้นแสนซับซ้อน มีเหตุผลมากมายที่จะทำให้คนรักกันได้และเกลียดชังกันได้ มีเหตุผลมากมายที่จะทำให้เจ็บปวด โกรธเกรี้ยว และผิดหวัง ซึ่งทั้งหมดนี้...ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของความรักเช่นกัน
ไม่มีทางใดจริง ๆ หรือ ที่จะสามารถรักได้โดยไม่ต้องมีน้ำตา...
TBC
-
โอยยย
ทีก็ฟังรัณเขาก่อนสิ
ด่วนสรุปเองแบบนี้ได้ยังไงงงงงง ฮืออออ
-
-18-
วริยานั่งมองใบหน้าด้านข้างของแฟนเก่าตนเองที่เอาแต่ถอนหายใจมาตั้งแต่ถึงมหาวิทยาลัย เธอไม่เคยเห็นภรัณยูเป็นแบบนี้มาก่อน แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่คบกัน เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะหลังจากวันนั้นที่อยู่ ๆ แฟนของเธอก็โทรมาขอบอกเลิกเพราะที่จริงเขาแอบชอบพี่สาวของเธอแต่ไม่กล้าที่จะสารภาพความในใจ มันก็ผ่านมาได้สามวันแล้วที่ภรัณยูดูหมองเศร้าและกลับบ้านเร็วทุกวัน
“ฉันเป็นต้นเหตุสินะ” หญิงสาวเปรยระหว่างที่กำลังคุยเรื่องงานกันแล้วสมาธิของภรัณยูกลับล่องลอยออกไปนอกหน้าต่าง
“อะไรหรือ?” ภรัณยูได้ยินเสียงวริยาเพียงแว่ว ๆ แต่เขาก็รีบหันกลับมาพลางเลิกคิ้วถาม
“เรื่องที่ทำให้เธอไม่สบายใจอยู่ตอนนี้ไง ทั้งที่ฉันควรจะเป็นคนอกหักคนเดียว แต่กลับทำให้รัณเดือดร้อนไปด้วย” วริยาปิดหนังสือตรงหน้าลง “พรุ่งนี้เป็นวันหยุด พวกเราพักเรื่องโปรเจคสักวันแล้วไปหาเขาด้วยกันไหม? ฉันจะอธิบายให้เขาเข้าใจเอง”
“ไม่ต้องหรอก...ความจริงมันเป็นความผิดชอบฉันเองที่ทำตัวไม่ชัดเจนมาแต่แรก เพราะแบบนั้นเลยทำให้เขาไม่มั่นใจ” ยิ่งพูดภรัณยูก็ยิ่งดูห่อเหี่ยว “แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันคิดว่าถ้าคราวนี้ทำให้เขามั่นใจได้ ทุกอย่างก็คงจะดีเหมือนเดิมเอง คุณทีก็แค่...ต้องการเวลาน่ะ”
สิ่งที่ภรัณยูพูดไปเหมือนกับการหาข้ออ้างให้ตนเองรู้สึกมีกำลังใจเท่านั้น เพราะเมื่อเขาแวะเวียนไปหาที่ห้องเมื่อมีเวลาว่าง ก็มักจะพบประตูห้องที่ปิดสนิทเพราะเจ้าของไม่ต้องการต้อนรับแขกคนใด ซึ่งการเข้าไม่ถึงตัวอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มท้อแท้ไปบ้างเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นภรัณยูก็ยังพยายามที่จะสลัดความท้อแท้ของตนเองออกไปและไปหานภทีป์ทีห้องเหมือนวันที่ผ่าน ๆ มา และในวันนี้...เขาก็ยังคงต้องผิดหวังกลับไปเช่นเดิม เพราะประตูห้องของนภทีป์ปิดสนิทและลงกลอนแน่นหนา ให้ความรู้สึกเย็นชาและอ้างว้างจนน่าเศร้า...
---------------------------->
ทางด้านนภทีป์เองก็หดหู่ไม่แพ้กัน เขาเอาแต่ขังตนเองอยู่ในห้องและใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่แตกต่างจากที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย
ทำไมมันถึงกลับมาที่จุดเดิมอีกนะ...
“ที...นายจะทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” รติเอ่ยถามเมื่อล่วงเข้าวันที่สี่ภรัณยูเทียวไปเทียวมาได้สามวันแล้ว และทุก ๆ วันก็ได้แต่ยืนมองประตู พยายามพูดเกลี้ยกล่อมทั้งที่รู้แก่ใจดีว่านภทีป์ไม่ได้ยินเสียงของตน ทำเช่นนั้นอยู่หลายชั่วโมงก่อนจะกลับไป ดูไปแล้วก็ทั้งน่าสงสารและน่าสังเวช แต่คนที่เป็นต้นเหตุกลับฝังตัวเองในความมืดและหลบหลังประตูห้องนอน
รติถอนหายใจแล้วร่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ ในท่ากอดเข่าแบบเดียวกัน
“นายจำได้หรือเปล่า...สมัยที่ฉันยังไม่ใช่แค่เพื่อนในจินตนาการของนาย เป็นคนจริง ๆ ที่ได้ไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน ตอนนั้นนายยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ร่าเริงแจ่มใส ถึงจะดูหม่นหมองกว่าเด็กวัยเดียวกันหลายคนก็ตาม แต่นายก็ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ไม่ใช่หรือ?”
“...” นภทีป์ยังคงเงียบกริบ ไม่ยอมพูดอะไรและเป็นผู้ฟังอยู่ฝ่ายเดียว
“บางทีคงเป็นความผิดของฉันเองก็ได้ ที่ทำให้นายกลายเป็นแบบนี้”
คราวนี้นภทีป์หันมองสิ่งที่อยู่ข้างตัวพลางมุ่นคิ้วเล็กน้อยคล้ายกำลังส่งคำถามที่ไร้เสียง
“นายคิดว่าตัวเองคือคนที่ถูกทิ้งไว้เสมอใช่ไหมล่ะ เพราะทุก ๆ คนต่างก็ทอดทิ้งนายไปหมด และนอกจากพ่อกับแม่ของนาย ฉันก็คือคนแรก...ที่ทิ้งนายไป”
ดวงตาสีดำหลุบลงภายใต้แพขนตา นภทีป์เม้มปากแล้วซุกหน้าลงกับท่อนแขนเหมือนกำลังบอกว่าตนเองไม่ได้รู้สึกขัดแย้งกับความเห็นของอีกฝ่ายเลย เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ รู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกทอดทิ้ง เป็นฝ่ายที่ต้องเฝ้ารอและดิ้นรนอยู่เสมอ เพราะอย่างนั้นจึงได้รู้สึกเหนื่อย...จนอยากอยู่เฉย ๆ และไม่ต้องคิดอะไรอีก แค่ปล่อยให้เวลาผ่านไปก็เพียงพอ
“ขอโทษนะที...ที่ฉันไม่เคยบอกนายเลย ทั้งที่ฉันรู้มาตลอดว่าตัวเองเป็นอะไรและก้าวเข้าใกล้ความตายไปทุกขณะ ตอนที่ฉันอยู่โรงพยาบาลและได้แต่เฝ้ารอช่วงเวลาสุดท้าย นอกจากพ่อกับแม่ของฉันแล้วก็มีแต่นายที่แวะเวียนมาเยี่ยม คอยให้กำลังใจ และให้ความหวังว่าฉันจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เหมือนที่ผ่านมา” รติเงยหน้าขึ้นมองเพดานที่ว่างเปล่า “ฉันยังเด็ก ยังใช้ชีวิตได้ไม่นานพอ มันทำให้ฉันกลัวที่จะต้องตายและได้แต่หลอกตัวเองว่าจะไม่เป็นอะไร เพราะอย่างนั้นฉันจึงไม่เคยพูดถึงมัน”
“นายบอกฉันตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา” เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่นภทีป์ยอมปริปาก แต่เสียงที่ล่วงผ่านลำคอก็เบาหวิวเสียจนแทบไม่เป็นคำ
“เพราะเรื่องนั้นนายถึงได้เกลียดฉันใช่หรือเปล่า? และเกลียดสิ่งที่ฉันทิ้งไว้ด้วย” ดวงตาของนภทีป์ไหวระริกเมื่อรติพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา “อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันก็ได้ที่ตอนนั้นสนับสนุนให้นายวาดภาพนั้น และบอกว่าถ้านายชนะเลิศมันจะเป็นกำลังให้ฉันหายดีได้เหมือนกัน”
ภาพในหัวของนภทีป์เริ่มหมุนกลับไปในวัยเด็ก พวกเขาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นที่น่าจะมีอนาคตสดใส คนหนึ่งมีพรสวรรค์ที่ชัดเจน ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นเด็กที่ทุกคนรักใคร่ แต่แล้ววันหนึ่งภาพที่วาดไว้ก็เริ่มปริร้าว เมื่ออาการป่วยซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิดของรติกำเริบหนักและต้องเข้าโรงพยาบาลแต่ยิ่งวันอาการก็ยิ่งแย่ลงเพราะเจ้าตัวอยากจะใช้ชีวิตแบบคนปกติจึงไม่ยอมรักษาอย่างต่อเนื่อง
นภทีป์ในเวลานั้นเองก็ยังไร้เดียงสา...อยากให้เพื่อนหายดีจึงได้ยอมทำทุกอย่างกระทั่งการประกวดวาดภาพซึ่งตอนแรกไม่ได้นึกสนใจนัก เพียงเพราะเชื่อคำพูดที่ว่า หากตนชนะเลิศ รติก็คงมีกำลังใจต่อสู้และหายดีในไม่ช้า เขาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดจะสูญเปล่า
ในวันที่ได้รับรางวัล นภทีป์ไม่ได้วิ่งไปกอดพ่อแม่เพราะเขาไม่มี เขาไม่ได้วิ่งกลับบ้านเพราะที่นั่นคงไม่มีใครยินดีกับเขา แต่กลับตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาล เพื่อที่จะนำรางวัลไปมอบให้เพื่อนรักเพียงคนเดียวของตนด้วยความเชื่อว่ามันจะเป็นยารักษาและทำให้เพื่อนคนนี้กลับมาวิ่งเล่นกับตนเองได้อีกครั้ง ทว่า...ภาพวาดที่ปริร้าวได้แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อเขาพบกับเตียงอันว่างเปล่าและคำบอกเล่าทั้งน้ำตาจากพ่อและแม่ของรติว่าเขาเพิ่งจะลาจากโลกนี้ไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เอง
ตั้งแต่นั้นมา...นภทีป์ก็ไม่เคยมองภาพวาดภาพนั้นของตนเองอีกเลย...
มันได้กลายเป็นบาดแผลที่กรีดลึก คอยตอกย้ำเขาอยู่เสมอว่าโลกนี้โหดร้ายเพียงใด แม้ว่าจะคาดหวังอย่างสุดจิตสุดใจ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“ความจริงแล้ว...ฉันก็แค่อยากให้มันเป็นตัวแทนของฉัน เหมือนกับว่าฉันยังคงมีชีวิตอยู่ตราบใดที่นายยังคงมองดูมันด้วยความภาคภูมิใจ” รติคลี่ยิ้มบางดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์ในเวลานี้แม้แต่น้อย แต่เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับที่เขายิ้มให้กับนภทีป์ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต “น่าเสียดายนะ...ที่มันกลับกลายเป็นสิ่งที่นายรังเกียจที่สุดในโลกนี้ แต่ฉันก็ยังดีใจที่มันได้นำคนที่ดีมาหานาย”
นภทีป์รู้ว่ารติกำลังพูดถึงภรัณยูจึงเงียบไปอีกครั้ง
“ทำไมนายถึงไม่ยอมฟังเขาล่ะ?” แต่ครั้งนี้ รติกลับถามคำถามที่ต้องการคำตอบ
...
คนที่ควรตอบเงียบอยู่นานราวกับกำลังรวบรวมคำพูดอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะสามารถอธิบายในสิ่งที่ตนเองคิดออกมาได้อย่างครบถ้วน
“เพราะฉันพอจะเข้าใจ...ล่ะมั้ง...” นภทีป์เลือกคำตอบสั้น ๆ “ถึงจะไม่ใช่ภรัณยูก็เถอะ...ใครจะไปทำเรื่องน่าเกลียดกันสองต่อสองแล้วทิ้งของเกลื่อนกลาดแบบนั้น แถมยังกลับมาพร้อมพยุงอีกคนมาด้วย มองก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมา ดังนั้น...”
...มันก็แค่การเข้าใจผิดชั่ววูบ
นภทีป์กลืนคำหลังลงคอไป แต่รติก็สามารถเดาได้ไม่ยาก
“แต่นายก็ยังขังตัวเองแล้วผลักภาระไปให้ภรัณยูเป็นคนสำนึกผิดแทนหรือ?”
นภทีป์รู้ว่าการกระทำของตนเองไร้สาระขนาดไหน และเหมือนกับการหนีความจริง เอาแต่อยู่กับตัวเองและทำเหมือนว่าเป็นความผิดของคนอื่น ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องทุกข์ใจเพราะคิดว่าตนเองเป็นคนที่ทำผิดและสมควรได้รับการลงโทษ
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรนอกจากนี้
นภทีป์ยกมือทั้งสองขึ้นกุมหน้าแล้วขมริมฝีปาก
“...ฉันก็เป็นคนแบบที่ตฤณว่าจริง ๆ ไม่ใช่หรือ? เอาแต่โทษคนอื่น เอาแต่โทษโชคชะตา ได้แต่โกรธในสิ่งที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ ทั้งเรื่องของพ่อแม่ ฉันโกรธพวกเขาที่ทิ้งฉันไป ทำให้ฉันต้องไปอยู่กับลุงที่ไม่ดูดำดูดีฉันสักนิด ฉันโกรธนายที่ตายไปทั้งที่ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น โกรธภาพวาดที่เป็นตัวแทนของนายที่ทำให้ฉันคิดถึงเรื่องนายอยู่ตลอด โกรธตฤณที่แย่งงานของฉันไปทั้งที่...ถ้าฉันกระตือรือร้นกว่านี้ ไม่ปล่อยให้ตฤณจัดการตามใจไปเสียทุกอย่างมันคงจะไม่เกิดขึ้น ทั้งคุณทินที่ไม่อยู่ข้างฉันในเวลาที่ต้องการ แค่เพราะเขาเองก็มีชีวิตของตัวเองเช่นกัน แล้วก็ยังภรัณยู...ฉันโกรธเขาเพียงแค่เพราะเขาเอาใจใส่คนอื่นแบบเดียวกับฉัน”
ถ้อยคำที่นภทีป์พูดออกมาทั้งหมด เหมือนกับการระบายความในใจที่สั่งสมไว้เป็นเวลานานจนกลายเป็นตะกอนสีดำที่อัดแน่น แม้จะเทน้ำลงไปสักเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมละลายหายไป และรอเวลาที่จะขยายตัวมากขึ้นและมากขึ้นจากตะกอนที่เกิดใหม่ในแต่ละวัน
“ฉันเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และได้แต่กลัวว่าสักวันหนึ่งภรัณยูจะเกลียดฉันและสุดท้ายก็ทิ้งฉันไปเหมือนกับคนอื่น ๆ”
“นายจะผลักไสทุกคนที่เข้าหาเพียงเพราะความกลัวของนายเองไม่ได้หรอกนะ” รติบินขึ้นไปบนบ่าแล้วลูบศีราะอีกฝ่าย “เพราะสุดท้ายก็จะเหลือนายเพียงลำพัง นายจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอด มันไม่ได้แตกต่างจากการถูกทิ้งเลยไม่ใช่หรือ? ก็แค่คราวนี้นายเป็นฝ่ายทิ้งคนอื่นเท่านั้นเอง”
“ก็มีนายอยู่ไม่ใช่หรือไง...”
รติหัวเราะขื่นในคอเมื่อได้ยินคำนั้น
“ฉันเองก็ไม่ได้อยู่กับนายตลอดไปหรอก ที่จริง...ฉันอาจจะหายไปในเร็ว ๆ นี้ก็ได้ ตอนนั้นนายจะคิดว่าฉันทอดทิ้งนายอีกหรือเปล่า?”
นภทีป์เหลือบมองอีกฝ่ายและส่งสายตาถามถึงเหตุผล รติจึงถอนหายใจเฮือก
“มันมีเหตุผลนะที่ฉันซึ่งควรจะตายไปแล้วมาปรากฏตัวต่อหน้านายในช่วงเวลาที่นายโดดเดี่ยว ฉันมีตัวตนขึ้นมาเพราะความอ้างว้าง ความเหงา และความปรารถนาที่จะมีใครสักคนเคียงข้าง มีแต่ฉันที่ช่วยนายได้ เพราะอย่างนั้นฉันจึงได้มาที่นี่ เพราะว่านายต้องการฉันแม้ว่าจะไม่ได้อยากพบฉันเลยสักนิดก็ตาม แต่ว่า...นายจะไม่ต้องการฉันอีกต่อไปเมื่อนายไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้”
“แต่ว่าฉัน...”
“นายชอบภรัณยูใช่ไหมล่ะ เพราะว่าชอบมากถึงได้โกรธที่รู้สึกว่าตนไม่ได้สำคัญไปมากกว่าคนอื่น ๆ และกับคนอื่น ๆ ที่นายโกรธ นั่นก็เพราะว่านายรักพวกเขา เพราะว่ารักถึงได้โกรธที่ไม่สามารถรักในแบบที่คาดหวังต่อไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนบางคนที่อยากอยู่ข้างนายนะ แล้วนายก็รู้ดี ตอนนี้นายถึงได้ไม่รู้สึกว่ามีตัวเองเพียงลำพัง นายก็แค่พยายามที่จะทำเหมือนว่าเป็นแบบนั้นเพราะว่ากลัว”
หลังจากรติพูดจบ ร่างกายนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป จากรูปกายคล้ายเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ขยายออกกลายเป็นเด็กผู้ชายในวัยมัธยมต้นในแบบที่นภทีป์จดจำได้ รติในร่างกายเดิมของตนทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เพื่อนในวัยเด็กและมองออกไปที่บานประตู
“ภรัณยูมาถึงแล้วนะ นายจะไม่ออกไปหาหน่อยหรือ?”
พร้อมกับประโยคคำถาม เสียงออดก็ดังขึ้น โดยปกติแล้วนภทีป์จะนั่งฟังเสียงออดจากประตูบานนั้นและซุกตัวอยู่ในห้องนอนโดยไม่ได้ออกไปเปิดรับ เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยรู้เลยว่าภรัณยูพูดอะไรบ้างตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา เขาได้แต่ภาวนาอยู่ในใจขอให้เสียงออดนั้นยังคงดังอยู่ทุกวัน มันเหมือนกับคำปลอบใจเดียวที่เขามีในเวลาอย่างนี้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เสียงออดเงียบหายไป เมื่อนั้น...ภรัณยูก็คงจะจากไปอย่างไม่หวนคืน
รติวางมือลงบนบ่าแล้วบีบเบา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก ครั้งนี้ฉันสัญญา”
นภทีป์ไม่รู้ว่าตนเองจะเชื่อมั่นกับคำสัญญานั้นได้แค่ไหน แต่หากคิดดี ๆ แล้ว...เขาไม่อยากจะให้ภรัณยูจากไปเฉย ๆ แบบนี้ และคิดแต่ว่าตนเองเป็นคนที่ทำผิดทั้งที่ความจริงแล้วคนผิดคือเขา
เขามองไปทางรติ และเมื่อเห็นท่าทางการพยักหน้าอย่างมั่นใจจึงลุกขึ้นและเปิดประตูห้องนอนออกไป
ตอนแรก เสียงของภรัณยูไม่ได้ผ่านเข้ามาถึงหูของนภทีป์เลย แต่เมื่อไปยืนตรงหน้าประตู เสียงของอีกฝ่ายก็ชัดเจนขึ้น
“...ผมขอโทษ คุณที เปิดประตูหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากจะอธิบายให้เข้าใจ...”
ภรัณยูเอาแต่เรียกชื่อของเขา และพูดซ้ำไปมาว่าขอโทษ ตลอดสามวันมานี้ ภรัณยูพูดแบบนี้อยู่เป็นชั่วโมง ๆ เลยหรือ?
ตอนที่นภทีป์แนบใบหน้ากับประตูเพื่อมองคนที่อยู่ด้านนอกผ่านตาแมว เขาก็เห็นชายหนุ่มคนเดิมที่เคยมาหาเขาและอ้อนวอนอย่างนี้ ภรัณยูยังคงเป็นคนที่มีความพยายามโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำตัวแย่แค่ไหนเหมือนเดิม ทั้งที่ตอนเจอกันครั้งแรก...เขาก็ไม่ใช่คนที่ให้ภาพลักษณ์ว่าเป็นคนดีสักเท่าไหร่เลย
“คุณที ผม...”
“พอแล้ว...”
ในที่สุด นภทีป์ก็เปล่งเสียงให้พ้นลำคอออกไปได้หลังจากยืนทำใจอยู่นานเกือบชั่วโมง และเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ภรัณยูได้ยินเสียงของคนที่ตนอยากจะพบ
ชายหนุ่มร่างเล็กเอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตู แต่ก็ยังไม่วายหันกลับไปมองด้านหลังและเห็นว่ารติยังคงยืนอยู่ที่ประตูห้องนอนพลางส่งยิ้มให้ ทำให้นภทีป์ใจชื้นพอมากที่จะปลดกลอน บิดลูกบิดอย่างช้า ๆ และเปิดออกไปสู่โลกภายนอกซึ่งมีคนคนหนึ่งเฝ้ารออยู่
ภรัณยูนิ่งค้างไปนานก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง
“คือว่าผม...”
“ก็บอกว่าพอแล้วไง...ฉันเข้าใจแล้ว...” นภทีป์มุ่นคิ้วแล้วเดินหลีกทางให้ แม้ต้องใช้เวลาพิจารณาอยู่สักพักเพราะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ภรัณยูก็ไม่ลังเลที่จะตอบรับคำเชิญที่ไม่คิดว่าจะได้
แบบนี้ดีแล้วใช่ไหม?
นภทีป์ถามตัวเองแล้วหันหลังกลับเข้ามาในห้องโดยที่ภรัณยูเดินตามหลังมาติด ๆ ท่าทางของเจ้าตัวบ่งบอกว่ายังไม่มั่นใจเต็มร้อย ว่านภทีป์จะเข้าใจสิ่งที่ตัวเองอยากสื่อจริง ๆ จึงอยากจะหาโอกาสอธิบาย แต่นภทีป์ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกแล้ว สำหรับเขา...การที่ภรัณยูมาที่นี่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะนั่นแสดงถึงความเอาใส่ใจที่อีกฝ่ายมีให้ตน ซึ่งนั่นมันก็น่าจะเพียงพอแล้ว...ใช่ไหม...
พร้อมกับคำถามในใจ นภทีป์ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังประตูห้องนอน ที่ซึ่งรติยืนอยู่ ทว่า...มันกลับว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่นั่น...
ไม่มีเลย...
‘แต่ว่า...นายจะไม่ต้องการฉันอีกต่อไปเมื่อนายไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้’
มันหมายถึงอย่างนี้เองหรือ...
เมื่อใจของเขาเปิดรับใครบางคนอีกครั้ง เมื่อนั้นรติจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
“คุณที?”
เขาได้ยินเสียงภรัณยูเรียกจึงหันไปมองทั้งที่สมองยังเลื่อนลอย และรู้สึกคล้ายตื่นจากความฝันที่ดำมืดยาวนาน ทว่าสีหน้าของภรัณยูกลับไม่ได้แสดงถึงความยินดีแม้แต่น้อย มันระคนไปด้วยความประหลาดใจและคำถามมากมายที่แสดงออกทางดวงตา
“คุณที...ร้องไห้ทำไมหรือครับ?”
เอ๋?
นภทีป์ขยับมือขึ้นแตะใบหน้าตนเอง และพบว่ามันเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำ
“ผมขอโทษ คุณที ผมขอโทษ อย่าร้องไห้แบบนี้สิ” ภรัณยูดึงตัวเขาเข้าไปกอดจนแน่นเหมือนกับว่าอยากจะดูดกลืนเอาร่างกายของเขาเข้าไปพร้อมกับความเศร้าทั้งหมดที่อบอวลอยู่ตอนนี้
อุ่น...เหลือเกิน...
--------------------------------->
-
นภทีป์ตัดสินใจเล่าเรื่องของรติให้ภรัณยูฟัง แน่นอนว่าเป็นเรื่องในอดีต ไม่ใช่เรื่องราวในปัจจุบันที่เขาเห็นรติในแบบที่ไม่ใช่มนุษย์จนถึงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน และถึงแม้ภรัณยูจะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเรื่องของรติเกี่ยวข้องกับที่นภทีป์ร้องไห้ยังไง เขาก็ยังตั้งอกตั้งใจฟังโดยไม่ขัดจังหวะ และจนถึงจุดจบของเรื่องราว ภรัณยูจึงได้รู้ว่าคนที่นภทีป์พูดถึงไม่ได้อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุของน้ำตาก็เป็นได้
“ภาพวาดนั่นคงจะหมายถึง...”
“ภาพที่นายเห็นที่โรงเรียนนั่นแหละ” ชายหนุ่มร่างเล็กว่าพลางเอนพิงแผ่นอกอีกคนหนึ่ง ตอนนี้เขานั่งอยู่บนตักของภรัณยูซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าทำไมมาจบลงที่ท่าแบบนี้ได้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะพยายามโอ๋เขาเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ จึงได้จับนั่งตักและกอดโอ๋จนกระทั่งหยุดร้องไห้ไปเอง เป็นวิธีปลอบใจที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้น...นภทีป์กลับชอบมันมากกว่าคำพูดปลอบใจอื่น ๆ ที่เคยได้ยินมา
“ผมขอโทษ” ภรัณยูก้มหน้าด้วยท่าทางสำนึกผิด
“ทำไมนายจะต้องขอโทษด้วย?”
“เพราะว่าผมเอาเรื่องภาพวาดมารบกวนคุณที ถึงได้ทำให้นึกถึงเรื่องแบบนั้นขึ้นมาอีก ผมทำให้คุณทีรู้สึกไม่ดีหลายเรื่องขนาดนี้...ก็เลยรู้สึกแย่น่ะครับ”
“ก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่...” นภทีป์ตอบพลางหลุบตาลง “ที่จริงแล้ว...ฉันดีใจที่นายมา...” ถึงจะรู้สึกเขินอยู่เล็ก ๆ แต่ก็ทำใจพูดออกไปได้ในที่สุด
“จริงหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ นายมันพวกช่างตื้อ ทำเอาฉันไม่มีเวลาคิดเรื่องแย่ ๆ เสียตั้งนาน”
“แล้วคุณทีอยากฟังเรื่องของผมบ้างหรือเปล่า?” ภรัณยูถามด้วยรอยยิ้มสดใส “อย่าง...เรื่องครอบครัว หรือ...วริยา เพราะผมรู้สึกว่าผมรู้หลาย ๆ เรื่องของคุณแล้ว แต่คุณกลับไม่เคยถามเรื่องของผมบ้างเลย บางทีผมก็อยากให้ถามนะครับ”
“นายอยากจะเล่าอะไรก็เล่ามาสิ” ถ้าจะให้เป็นคนเริ่มถาม นภทีป์ก็ไม่ถนัดสักเท่าไหร่ เพราะมันทำให้เขาดูเหมือนคนชอบซอกแซกเรื่องชาวบ้านและมันทำให้เขารู้สึกรำคาญตัวเองไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องวริยาก็แล้วกัน คุณทีจะได้ไม่เข้าใจผิด”
พอภรัณยูพูดถึงเรื่องเก่า นภทีป์หน้าบูดทันตา
“ก็บอกแล้วไงว่าเข้าใจแล้ว จะหาเรื่องกันหรือไง”
“แต่ผมอยากพูดนี่ครับ คุณทีเป็นคนบอกเองว่าอยากเล่าอะไรก็เล่า” นภทีป์โดนย้อนคำก็อึกอักไปชั่วครู่แล้วจึงนิ่งไป
“ก็ตามใจ”
ภรัณยูอมยิ้มนิด ๆ แล้วกระชับแขนโอบเอวอีกฝ่ายแน่นขึ้นเล็กน้อย
“ผมกับวริยาเคยคบกันมาก่อน แต่ผมไม่ได้โกหกคุณทีหรอกนะที่ว่ายังไม่มีแฟน เพราะตอนที่ผมเจอคุณที ผมกับวริยาก็เลิกกันไปแล้ว พวกเราเหมือนกับคู่ในอุดมคติจนทำเพื่อน ๆ อิจฉา ถึงวริยาจะไม่ได้เก่งเรื่องเรียนมากมายแต่ก็เป็นคนที่หน้าตาดี นิสัยดี ใครเห็นก็รักใคร่เอ็นดู เพราะแบบนั้นล่ะมั้งผมถึงได้ตกลงกับด้วยตอนที่วริยาบอกว่าสนใจผม ก็แปลกดีนะครับเพราะเรื่องมันเกิดขึ้นปุบปับมาก ก่อนหน้านั้นพวกเราแทบจะไม่ได้คุยกันเลยแท้ ๆ” พอพูดถึงเรื่องเก่า ๆ สีหน้าของภรัณยูก็ดูผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก นภทีป์จึงนึกอิจฉาขึ้นมาเพราะเขาไม่เคยคิดถึงอดีตของตนเองด้วยสีหน้าแบบนั้นเลย
“แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะ?”
“อยากรู้แล้วสินะครับ”
นภทีป์รู้สึกว่าตนเองพลั้งปากครั้งร้ายแรง มันเป็นความอยากรู้ที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยและแค่คิดในใจเท่านั้น ไม่ได้คิดเลยว่าจะเผลอพูดออกมาจริง ๆ
ภรัณยูหัวเราะขำขันเมื่อเห็นคนในอ้อมแขนตนเองก้มหน้าลงอีกครั้งเพราะความเขินอายจนพูดอะไรไม่ออก ที่จริง...นภทีป์อาจจะกำลังอยากตะคอกใส่เขาอยู่ก็ได้ แต่ไม่กล้าทำเพราะเพิ่งผ่านช่วงที่ไม่ดีมากระมัง เจ้าตัวจึงไม่อยากจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวโดยใช่เหตุ
“อืม...ที่จริงสาเหตุคงมาจากที่ตอนคบกัน พวกเราไปทริปแล้วก็ดื่มเหล้า ส่วนมากจะกรึม ๆ บางคนก็เมาเป๋ กลุ่มของผมกับวริยานั่งอยู่ใกล้ ๆ กัน แล้วเหมือนพวกวริยาจะคุยกันว่าแต่ละคนสนใจผู้ชายคนไหนอยู่ แล้ววริยาก็ตอบว่าสนใจผมเลยถูกเพื่อนยุเอาน่ะครับ คนกำลังเมาก็ยุขึ้นง่าย พวกเราก็เลยไปแฟนกันไปแบบงง ๆ เบลอ ๆ ทั้งสองฝ่าย แต่ตอนคบกันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร เป็นที่อิจฉาเสียด้วยซ้ำ เพราะนิสัยผมก็แบบนี้ นิสัยวริยาก็ไม่ได้ขี้หึงขี้วีน ถ้าแต่งงานกันคงเป็นสามีภรรยาตัวอย่างเลยก็ได้ แล้วเพื่อน ๆ ก็ล้อแบบนั้นบ่อย ๆ ด้วย” ภรัณยูเกาท้ายทอยเขิน ๆ “แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เหมือนว่า...มันมีบางอย่างไม่ใช่ล่ะมั้งครับ ต่างคนต่างก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น เพราะต่างก็ไม่ก้าวก่ายเรื่องของอีกคน ทำเหมือนกับว่าแค่คบกันอย่างผิวเผิน สุดท้าย พอผ่านไป 1 ปี ผมกับวริยาก็เลยคุยกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเรามันควรจะเป็นยังไงต่อไป”
ฟังดู...ประหลาดดี...
นภทีป์รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
เพราะเท่าที่ฟัง มันเหมือนกับว่าทั้งสองต่างก็เป็นคนที่คนอื่นอยากพบเจอในชีวิตคู่ แต่เมื่อโคจรมาพบกันเอง ก็กลับกลายเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกันไปเสียอย่างนั้น ทำให้ไม่อาจดึงดูดเข้าหากันได้และจบลงที่การเป็นเพื่อน คอยเฝ้าดูและช่วยเหลือกันและกัน
“ผมกับวริยาตัดสินใจเลิกกันเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนน่าจะดีกว่าน่ะครับ จะได้เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้พบกับคนที่ชอบจริง ๆ แล้วผมก็...มาพบกับคุณไง”
อยู่ ๆ ภรัณยูก็วนเข้าประเด็นหลักที่ทำให้นภทีป์เผลอหน้าแดงวาบ
“ล...แล้วทำไมวันนั้นนายถึงไปทำเขาร้องไห้ได้ล่ะ?” เขารีบเบี่ยงกลับประเด็นเดิม
“อันนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ คร่าว ๆ ก็บอกได้แค่...เจอกับผู้ชายที่ไม่เห็นค่า...ล่ะมั้งครับ”
อกหักนี่เอง...
นภทีป์แปลเป็นภาษาบ้าน ๆ ในใจ
“แล้วนายเสียดายหรือเปล่า?”
“ครับ?” ชายหนุ่มร่างสูงเลิกคิ้วขณะฟังคำถามที่ตนไม่เข้าใจชัดเจน
“ก็...ที่เลิกกับวริยา เธอเป็นผู้หญิงที่ดีไม่ใช่หรือ? นายรู้สึกเสียดายหรือเปล่าที่ไม่ได้คบกัน ทั้งที่...ถ้าคบกับวริยา นายคงจะไม่ต้องเจอกับคนแบบฉัน...”
“เจอคนแบบคุณก็ไม่ได้แย่นี่ครับ”
“แล้วยังไงต่อล่ะ?” นภทีป์เอยถามพลางลูดหายใจลึกเพราะสิ่งที่จะพูดต่อไปนั้นมันช่างยากเหลือเกินที่จะเค้นออกมาจากสมองและปล่อยให้มันออกจากปากได้ “ฉันรู้ว่าไม่มีสิทธิพูดแบบนี้ แต่ว่า...นายคิดจะทำให้ฉันดีใจไปวัน ๆ แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ ถ้านายไม่ได้คิดอะไรพิเศษกับฉัน นายก็ควรจะเลิกทำแบบนี้ได้แล้ว เพราะมันทำให้ฉัน...คิดเข้าข้างตัวเอง...นิดหน่อย...”
“แล้วคุณทีคิดอะไรกับผมหรือเปล่า?”
“ทำไมนา...”
“ผมเองก็คิดมากเหมือนกัน...เรื่องของคุณที ทั้งตอนที่คุณตฤณมาหา แล้วก็เวลาที่คุณชอบโมโหใส่ผมด้วย ผมไม่รู้เลยว่าคุณคิดยังกับผม เพราะคุณชอบทำเหมือนว่ากำลังรำคาญ และบางทีก็เหมือนว่ายังมีเยื่อใยกับคุณตฤณอยู่ ผมยิ่งใจฝ่อกว่าอีก”
“ม...” นภทีป์คิดจะเถียงว่าตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อคิดดูแล้ว...เขาก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ และรติก็ต่อว่าเอาบ่อย ๆ เสียด้วย “...แล้วตอนนี้มันชัดเจนไม่พอหรือไงกันล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ถ้าผมพูดแล้วคุณก็ต้องพูดเหมือนกัน ตกลงไหมครับ?” ข้อเสนอของภรัณยูค่อนข้างยุติธรรม แต่สำหรับคนที่ไม่ถนัดเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาแบบนภทีป์ มันก็กลายเป็นเรื่องยากที่ดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“แล้วทำไมฉันจะต้อง...”
“จะได้ชัดเจนทั้งคู่ไงครับ ไม่ดีหรือ?”
...
นภทีป์เถียงข้ออ้างนี้ไม่ออก เปิดโอกาสให้ภรัณยูได้เริ่มก่อน
“ผมชอบคุณ กรุณาคบกับผมนะครับ”
“อ...”
“ตาคุณแล้วนะ”
...
นภทีป์อึกอักเหมือนเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกอยู่หลายวินาที และสายตาของภรัณยูก็กำลังเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ซ้ำยังไม่สามารถลุกหนีได้ทำให้นภทีป์ตกอยู่ในสภานการณ์คล้ายคนร้ายที่กำลังถูกสอบสวนโดยล็อคติดอยู่กับเก้าอี้ที่แข็งแรงจนดิ้นไม่หลุด
“...ฉัน...ก็ชอบนาย...” เขาตอบอุบอิบพลางก้มหน้าลงต่ำ ถ้าหากหลุดจากแขนภรัณยูไปได้คงจะมุดลงไปในพื้นห้องแน่นอน
“แล้ว...?”
“ฉัน...” ชายหนุ่มร่างเล็กสูดหายใจอีกหลายเฮือกและกลอกตาไปมา ตอนนี้หน้าของเขาร้อนไปหมดจนเหมือนว่าแม้แต่สมองของเขาก็ถูกนึ่งจนสุก แต่นภทีป์ก็สามารถเค้นคำพูดที่ภรัณยูต้องการออกมาได้ในที่สุด “...ฉันตกลง...คบกับนาย...”
หลังจากจบประโยคนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ อีก ภรัณยูขยับตัวอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้าใกล้ และประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากที่สั่นเทา...ราวกับกำลังสาบานรักกระนั้น...
แบบนี้สินะ...คือสิ่งที่นายต้องการ...รติ
เพราะว่าฉัน...ไม่รู้สึกโกรธหรือเศร้าอีกแล้ว...
TBC
ตอนหน้าส่งท้ายแล้วค่า~
-
ว้าย ๆ ๆ :m3: :m3: ดีใจจังเลย คบกันแล้ว เป็นแฟนกันแล้ว เย้ ๆ
ชอบตอนนี้ที่สุด คุยกันเคลียร์ ๆ ให้เข้าใจกันไปเลย
ผู้ชายอย่างรัณยังมีอีกมั้ย อิจฉาคุณทีนะเนี่ย
แต่รติ จะหายไปเลยเหรอ คิดถึงนะ :mew6:
เรื่องนี้จริง ๆ ต้องยกความดีความชอบให้รติเลยนะเนี่ย
เราเป็นคุณทีคงร้องไห้โฮ ที่จะไม่ได้เจอเพื่อนที่แสนดีอีกแล้ว
แต่ได้คนรักที่แสนดีอย่างรัณมาอยู่เคียงข้าง คงไม่ต้องเหงาอีกแล้วเนอะ
ตอนหน้าส่งท้ายแล้ว คู่นี้จะมีฉากหวาน ๆ บ้างมั้ยน้า
รอตอนส่งท้ายนะค้า ขอบคุณคนเขียนค่า :กอด1: :L2:
-
โอ๊ยยยยย
น่ารักมากๆ กรี๊ดกร๊าดดดดดด
ชอบอะ ชอบ
ตอนหน้าจบแล้วเหรอ ว้าาาา
-
บทส่งท้าย
บรรยากาศตึงเครียดอบอวลอยู่ในห้อง และคล้ายกับมีม่านบาง ๆ กั้นขึงระหว่างคู่สนทนาสองฝั่งของโต๊ะ ฝ่ายหนึ่งมุ่งมั่นจริงจัง อีกฝ่ายเคร่งขรึมครุ่นคิด ทั้งสองฝ่ายต่างมีกองเชียร์ข้างตัวฝั่งละหนึ่งคน ส่วนที่เหลือก็เป็นคนกลางเฝ้ามองสถานการณ์
ภรัณยูคงจะไม่หนักใจมากนัก หากไม่ใช่ว่าฝั่งหนึ่งคือพ่อของเขา และอีกฝั่งคืออนุทิน
หลังจากเขาตกลงคบกับนภทีป์ มันก็ผ่านมาได้ 4 เดือนแล้วและตอนนี้เขาก็กำลังเริ่มต้นเทอม 2 ซึ่งจะต้องเริ่มมองหางานล่วงหน้าเพื่อที่เรียนจบก็จะมีงานทำพอดี จะเรียกว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตก็ว่าได้ เพราะแบบนั้นกระมัง อนุทินซึ่งได้พบกันเพียงนาน ๆ ครั้งจึงเปรยขึ้นมาในวันหนึ่งว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว จากนั้นก็บอกว่าจะมาคุยเรื่องงานของเขาที่บ้าน
แน่นอนว่าพ่อและแม่ของเขาค่อนข้างหนักใจ...เพราะในตอนแรกคิดว่าลูกชายตนเองไม่น่าจะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ได้เนื่องจากไม่ได้แสดงออกถึงพรสวรรค์ที่ชัดแจ้งแบบคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน ที่พวกเขาปล่อยให้ลูกชายทำตามที่ต้องการก็เพื่อที่จะให้เจ้าตัวได้มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากทำ ทว่า...มันกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง เมื่ออยู่ ๆ ก็มีคนมายืนตรงหน้าพวกเขาและบอกว่าต้องการภรัณยูไปร่วมงานด้วย
นามบัตรของอนุทินดูน่าเชื่อถือ ซ้ำคนที่มีด้วยกันก็ยังเป็นครูที่สอนงานอาร์ตติสให้ เพียงแต่ครั้งนี้นภทีป์วางตัวในฐานะผู้เฝ้ามองเหมือนกับพิณาลัย จึงไม่ต้องถามต่อไปว่าภรัณยูอยู่ฝ่ายไหน เจ้าตัวนั่งข้างอนุทิน และยืนยันความตั้งใจให้พ่อและแม่ได้รู้อย่างมาดมั่น
“แกอยากทำจริง ๆ หรือรัณ?” ภูริชหันไปถามลูกชาย
“ครับ ผมอยากจะทำในสิ่งที่ผมรักและสามารถเป็นประโยชน์กับคนรอบข้างได้ แต่ไม่ใช่ว่างานของพ่อไม่ดีหรอกนะครับ...”
พิณเพลงไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่เพราะเธอเป็นคนออกปากเองว่าหากมีใครสักคนที่ว่าจ้างภรัณยูจากความสามารถของเจ้าตัวจริง ๆ ก็จะยอมให้ทำในสิ่งที่ต้องการ ครั้นจะปฏิเสธในเวลาแบบนี้ก็เหมือนกลืนน้ำลายตัวเอง เธอจึงปิดปากเงียบและนั่งข้างสามีอยู่เฉย ๆ
เสียงถอนหายใจเหยียดยาวของภูริชเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามาถึงจุดสิ้นสุดของการต่อสู้ ชายวัยกลางคนขยี้หัวตาเล็กน้อย เขายังคงพิจารณาเรื่องงานของอนุทิน งานสายการพิมพ์และการออกแบบดูจะไม่ได้อยู่ในขอบเขตความรู้ของเขาทำให้หนักใจอยู่พอสมควร แต่สิ่งที่อนุทินหยิบยกมาพูดกลับไม่ได้เน้นเรื่องงานพิมพ์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของครอบครัวมากนัก แต่เน้นเรื่องงานออกแบบซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกิจมัลติมิเดียมากกว่า ซึ่งมันทำให้ภูริชยิ่งตัดสินใจยากเพราะมันอยู่ห่างไกลจากชีวิตของเขาจนแทบจินตนาการไม่ออก
อาชีพสมัยนี้มันเยอะขึ้นจนตามไม่ทันจริง ๆ ...
“ถ้าแกคิดว่าดีก็ตามใจแกแล้วกัน” ในที่สุด ภูริชก็ยกสิทธิให้กับลูกชายเพื่อตัดสินชีวิตตัวเอง “ยังไงก็ตาม มันเป็นธุรกิจประเภทใหม่ที่ยังไม่เป็นที่นิยมสำหรับคนไทย คิดว่าจะไปได้ดีจริง ๆ หรือ?”
“ในความเป็นจริงแล้วเราก็ยังต้องการการสนับสนุนจากหลาย ๆ ส่วน แต่ที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ที่จะให้โอกาสลูก ๆ ของตัวเองให้ได้ลองได้ทำในสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยทำมาก่อน” อนุทินคลี่ยิ้มบาง “ถึงอย่างนั้นในต่างประเทศ ธุรกิจประเภทนี้ได้รับความนิยมสูงมาก และผมเองก็ประสานงานกับบางบริษัทของต่างประเทศอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าสิ่งที่ผมลงทุนลงแรงไปจะไม่สูญเปล่าครับ”
“ในเมื่อคุณยืนยันแบบนั้นผมก็คงไม่เหลืออะไรจะคัดค้าน” บรรยากาศตึงเครียดคลายตัวลงอย่างรวดเร็วเมื่อภูริชปล่อยวางความกังวล
การเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งที่ต้องขอบคุณอนุทินที่เป็นคนออกหน้าให้ และพ่อแม่ของภรัณยูก็ไม่ใช่พวกคัดค้านหัวชนฝาโดยไม่ฟังเหตุฟังผล
เมื่อถึงเวลาลากลับ ภรัณยูก็ออกมาส่งอนุทินที่หน้าบ้านพร้อมการแต่งกายที่เหมือนกำลังจะออกไปข้างนอกเช่นกัน
“จะไปไหนหรือ ให้ฉันไปส่งไหม?” อนุทินเสนอตัวแล้วชี้ไปที่รถ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคิดว่าจะพาคุณทีไปแบบสบาย ๆ คงจะนั่งรถเมล์กันไปน่ะครับ” ชายหนุ่มว่าแล้วหันไปกุมมือนภทีป์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็สะดุ้งและชักมือกลับทันทีเพราะรู้สึกอายสายตาอนุทิน แม้ว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องนี้มาสักระยะแล้วก็ตาม “จริงสิ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“อะไรหรือ?” อนุทินเลิกคิ้วมอง
“ผมสงสัยมานานแล้ว...ผมมีอะไรที่ทำให้คุณสนอกสนใจหรือครับ? ทั้งที่ผมเองไม่รู้เลยว่าตัวเองมีดีอะไร แต่คุณก็ช่วยเหลือผมตั้งแต่เริ่มแรก”
ชายหนุ่มผู้ถูกถามคลี่รอยยิ้มขำ
“นั่นสินะ...พูดง่าย ๆ คือเธอมีพรสวรรค์คล้ายกับพวกนักวิจารณ์นั่นแหละ เพียงแต่ขาดความรู้พื้นฐานที่จะไปตัดสินคนอื่นเท่านั้นเอง” อนุทินหัวเราะหลังกล่าวจบ
“เพราะแบบนั้นถึงให้ผมเรียนกับคุณทีหรือครับ?” ภรัณยูรู้สึกแปลกนิดหน่อยที่ตนเองถูกเปรียบเทียบกับพวกนักวิจารณ์ เพราะเขารู้สึกว่าคนเหล่านี้ดูน่ากลัวชอบกล ที่สามารถตัดสินสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในผลงานออกมาได้เป็นฉาก ๆ ราวกับมองทะลุเข้าไปได้ถึงก้นบึ้ง
“แต่ว่าเธอก็ยังอยากจะทำงานด้านวาดเขียนใช่ไหม?”
“เอ่อ...ครับ...” เขาตอบรับแม้จะลังเลในวินาทีแรก เพราะอย่างไรมันก็คือสิ่งที่เขารักและอยากจะทำมาตั้งแต่แรก ไม่ได้นึกอยากจะเป็นคนวิจารณ์งานใครเลย
“ถ้าอย่างนั้นก็ขยันเข้าหน่อยล่ะ ช่วงที่หายไปทำโปรเจคฝีมือของเธอไม่พัฒนาขึ้นเลย บอกไว้ก่อนว่าในเวลางานฉันค่อนข้างเข้มงวดนะภรัณยู” ขณะที่พูดประโยคนั้น สีหน้าอนุทินก็ดูจริงจังขึ้นมาเสียจนภรัณยูเผลอขยับถอยหลังเพราะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำหน้าตาดุดันมาก่อน ตอนนี้ภรัณยูเดาไม่ยากแล้วว่าทำไมนภทีป์ถึงไม่ถูกกับลุงของตัวเอง ท่าทาง...พ่อของอนุทินคงจะทำหน้าแบบนั้นตลอดเวลาเลยกระมัง...
พอทำให้อีกคนใจฝ่อสำเร็จแล้วอนุทินก็หัวเราะร่าอีกครั้งก่อนลากลับ
“งั้น...เราจะไปกันหรือยังครับ?” ภรัณยูหันไปถามคนข้างตัว
“จะไปวันนี้จริง ๆ หรือ? รายงานสัมมนาของนายไปถึงไหนแล้ว?” นภทีป์มุ่นคิ้วถามเพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเจ้าตัวยังหัวปั่นกับการหาหัวข้ออยู่หยก ๆ
“แต่คุณสัญญาแล้วนะครับว่าจะไปที่นั่นด้วยกันถ้าผมได้ทำงานกับคุณอนุทินแน่นอนแล้ว แล้วหลังจากนี้ผมกลัวว่าจะไม่ว่างจนกว่าจะจบสัมมนาด้วย”
ชายหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”
เมื่อตัดสินใจได้ ทั้งสองก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์ด้วยกัน ภรัณยูยังคงจดจำสายรถเมล์ที่เดินทางไปได้อย่างแม่นยำเพราะแม้จะในช่วงทำโปรเจค เขาก็ยังคงไปที่นั่นอยู่บ่อย ๆ
ซึ่งที่นั่นคือ...
โรงเรียนเก่าของนภทีป์นั่นเอง...
-------------------------->
ภาพวาดภาพนั้นยังคงตั้งอยู่ที่เดิมที่เคยอยู่ สีสันสดสวยที่จืดจางไปเล็กน้อยเพราะแสงแดดไม่ได้บดบังความงดงามที่มันเคยมี ท้องฟ้าสีคราม ทะเลสะท้อนแสงแดด และหาดทรายขาวสะอาด ความรู้สึกฮึกเหิมและมุ่งมั่นที่เคยรู้สึกยังคงอยู่ที่ตรงนี้
รอยยิ้มปรากฏบนเรียวปากของนภทีป์อย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน
เขารู้สึกได้ถึงช่วงเวลานั้น ที่เขามีความหวังอันเจิดจ้า เป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยังไม่ต้องกังวลถึงเรื่องของอนาคต รู้เพียงแต่ว่าวันพรุ่งนี้จะสดใสเหมือนกับทุก ๆ วัน
นภทีป์เบือนหน้ามองคนข้างตัว ฝ่ายนั้นกุมมือเขาจนแน่นโดยไม่พูดอะไร แค่เพียงทอดสายตาไปข้างหน้า มองดูท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที้ถูกจำกัดไว้ในกรอบเล็ก ๆ เหมือนเวลาที่มองท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง แม้จะได้เห็นเพียงส่วนเดียวแต่ก็สามารถจินตนาการถึงสีครามที่ระบายอยู่ทั่วผืนฟ้าได้
เขาเกือบจะลืมไปแล้ว...ความรู้สึกในเวลาที่จับพู่กันที่ระบายสีลงบนแผ่นกระดาษ ราวกับได้รับสิทธิในการเป็นผู้สร้างสรรค์โลกใบเล็ก ๆ ซึ่งผู้คนมากมายจะได้สัมผัส และตอนนี้สีสันมากมายในหัวใจของเขาที่เคยเลือนหายจืดจางเหมือนภาพวาดเก่า ๆ ที่ผ่านแดดฝนมาหลายฤดูก็ค่อย ๆ ถูกแต่งแต้มจนสดสวยอีกครั้ง
“กลับกันเถอะ” นภทีป์เอ่ยปากชวนและภรัณยูก็ไม่ปฏิเสธ
“พอเห็นแล้วก็นึกอยากวาดขึ้นมาบ้างเลยนะครับ” นั่นคือความรู้สึกแรกที่ชายหนุ่มอยากจะทำในเวลานี้ และมันก็ไม่ต่างกับคนที่อยู่ข้างตัวสักเท่าไหร่
“นั่นสินะ...ฉันอาจจะลองวาดอีกครั้งก็ได้”
ภรัณยูเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างแปลกใจ
“ถ้าอย่างนั้นผมไปดูที่ห้องได้ไหม?”
“อยากจะไปเมื่อไหร่ก็ตามใจ” หลังจากที่นภทีป์พูดจบ ภรัณยูก็เห็นริ้วแดงบนแก้มอีกฝ่ายพร้อมกับรู้สึกถึงสัมผัสของโลหะชิ้นเล็ก ๆ ที่ถูกยัดเข้ามาในฝ่ามือ เมื่อเขาก้มลงมองก็พบว่ามันคือกุญแจดอกหนึ่ง เมื่อผนวกกับคำพูดก่อนหน้าภรัณยูจึงเดาได้ทันทีว่ามันคือกุญแจห้องของนภทีป์นั่นเอง ชายหนุ่มยิ้มกว้างของแก้มแทบปริ และเมื่อเห็ฯอีกฝ่ายรีบเดินจ้ำหนีไปเพราะความอายเขาก็สาวเท้าตามอย่างรวดเร็วและชะลอเทียบข้างโดยไม่พูดอะไร ในเวลานี้...เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ต้องการคำพูดอะไรระหว่างกันอีกแล้ว
ไม่จำเป็นต้องบอกเล่า ไม่จำเป็นต้องส่งเสียง
ไม่เป็นไร...เพราะจากนี้ไป ผมจะเฝ้ามองสีสันของคุณเอง และพวกมันจะบอกเล่าเรื่องราวของคุณอย่างเงียบงันและงดงาม
end
เฮ~ จบแล้วค่า~
นิยายเรื่องนี้มันช่างบ่งบอกว่าเซียร์ไม่ถนัดแนวรักกุ๊กกิ๊กเอาซะเลย :'D แต่ก็อยากจะเขียนแนวนี้บ้างนะคะ ดูกรุบกริบบ้างอะไรบ้าง 555 ดังนั้นคงจะพยายามเขียนแนวรักให้มากขึ้น(หน่อย) /ต้องกินน้ำตาลบ่อยๆไหมนะ 5555
สำหรับผู้ที่สนใจ เรื่องนี้จะเปิดจองอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 สิงหา จนถึง 20กันยา นะคะ ใครอยากเก็บไว้ลูบไล้ก็เตรียมตัวได้เลยค่า ^ ^ b
ปล. เรื่องที่ทีกับรัณคบกันทางครอบครัวยังไม่รู้นะคะ (คิดว่าคงจะใส่ไว้ใจตอนพิเศษเพราะมีคนรีเควสว่าอยากเห็นคุณแม่พิณเพลงกรี๊ดบ้านแตก :'D)
-
จบเร็วมากเลยง่าาาาา แต่ชอบๆๆ
เป็นความรักที่ดูอบอุ่นดี
อ่านแล้วอบอุ่นหัวจายย~ :-[ :hao5:
-
โอ้
จบแล้ววว ขอบคุณสำหรับเรื่อราวดีๆอีกหนึ่งเรื่องนะคะ
ตอนแรกก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคุณเซียร์จะเขียนอะไรแบบนี้
เพราะเรื่องที่ผ่านมาก็โหดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน 555555
รอผลงานเรื่องต่อไปนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
-
ID ห้องซื้อขาย TBL-623-969
ระยะเวลาการจอง 5สิงหาคม 2556 - 20 กันยายน 2556
Naughty Cupid หัวใจไร้สี
ภาพปก
(http://i.imgur.com/X9P0NRo.jpg)
สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38296.0")<<<
ข้อมูลหนังสือ
ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar (เช่นเดิม)
ราคา : 320บาท/เล่ม (รวมค่าส่งแบบลงทะเบียนแล้วค่ะ) สำหรับผู้ที่ต้องการใส่กล่อง เพิ่มอีก 10 บาทนะคะ
สำหรับนิยายเรื่องนี้ นอกจากจะนำไปวางที่ร้านหลังจากปิดจองแล้วยังมีกำหนดการณ์ออกบูธด้วยตัวเองในงาน ตลาดฟิค 14กันยายน และ คอมมิคอเวนิว 20 ตุลาคม 2556 ด้วยค่ะ
ถ้าหากว่าท่านใดสะดวกไปงานดังกล่าวจะรอไปซื้อที่งานก็ได้นะคะ ^ ^ จะมีส่วนลดสำหรับค่าส่งไปรษณีย์ให้ค่ะ
สามารถติิดตามข่าวสารอื่นๆได้ที่ https://www.facebook.com/ZiarNovel นะคะ
---------------------------------------
รายละเอียดการโอนเงิน
บัญชีออมทรัพย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยประชาสงเคราะห์ 30
ชื่อบัญชี นางสาว อลิสา เทพนะ
เลขบัญชี 102-234896-9
หลังจากโอนเงินแล้ว ขอให้ส่งรายละเอียดการจองมาที่ tsuki_himeแอทhotmail.com โดยระบุข้อมูลตามนี้นะคะ
หัวข้อ : [สั่งจอง] Naughty Cupid หัวใจไร้สี (จะพิมพ์เฉพาะชื่อไทยหรืออังกฤษก็ได้ค่ะ)
รายละเอียด
เรื่อง + จำนวนชุด(ถ้าสั่งมากกว่า 1 ชุด) :
ชื่อ-นามสกุล(ผู้สั่ง) :
ที่อยู่ :
หลักฐานการโอน : (สแกนมาจะดีที่สุดค่ะ หรือถ้าสแกนไม่ได้ก็ขอเลขที่สลิปค่ะ)
วัน+เวลาโอนตามสลิป :
------------------------------------------
สำคัญ! ผู้ที่แจ้งทางเมลล์แล้ว เซียร์จะมีการแจ้งตอบกลับไป ดังนั้นใครที่เซียร์ำไม่ตอบกลับภายใน 1 อาทิตย์อย่าชะล่าใจ เพราะมันหมายความว่าเซียร์ไม่ได้รับเมลล์ของท่านนะคะ
-
ชอบค่ะ แนวเรื่องน่าติดตามมากมาย ขอบคุณนักเขียนที่แบ่งปันนะคะ :กอด1:
-
หน้าปก ภรัณยูบึ้กมากกกกกก555
-
จบไวจังคะ นึกว่าภรัณยูจะโดนแกล้งอีกน่อย ฮ่าๆ
-
:katai2-1:
อบอุ่นมากค่ะ เรื่องนี้
-
สนุกมากเลยค่ะเรื่องนี้! เป็นเรื่องที่อบอุ่น เห็นถึงการพัฒนาของความรู้สึกตัวละครได้เรื่อยๆเลย
น่ารักมากๆเลยค่ะ จริงๆอยากอ่านฉากสวีทมากกว่านี้นะคะ แต่ถ้าไม่ได้ก็เก็บไว้จินตนาการเอาเองก็ล่ะกัน 555
ไว้จะไปหาผลงานเรื่องอื่นๆของคุณเซียร์ดูเพิ่มนะคะ เขียนได้ดีมากเลยค่ะ
-
ลุ้นเหมือนกันนะ รัณใจเย็นเกิ๊น
เรียบๆกันทั้งคู่เลย
อยากอ่านรัณกับทีให้คู่นี้เค้ากุ๊กกิ๊ก งุงิๆบ้างคะ :-[
ขอบคุณผู้เขียนคะ :pig4:
-
น่ารักมาก อ่านไปเขินไปเลยค่ะ
อุ่นหัวใจ :L2:
-
เขินตอนสุดท้ายยยย
มียงมียัดกุญแจ นึกว่าทีจะตายด้าน555
-
ชอบจังเลยค่ะ รู้สึกเหมือนเห็นอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นนิสัยและความคิดของตัวเองสะท้อนอยู่ในตัวที แต่ที่แย่คือเรายังก้าวผ่านไปไม่ได้แบบทีนี่แหละ ชอบภาษาและการบรรยายด้วยค่ะ เรียบง่ายแต่งดงาม ชอบอีกอย่างคือตอนแรกดูไม่ออกเลยใครเมะใครเคะ เพิ่งมาพอดูออกกลาง ๆ เรื่อง แอบสารภาพตอนเปิดเรื่องมาแรกๆ ตอนเจอกันใหม่ๆ นึกว่ารัณจะเคะ 555
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ
-
อ่านจบ ดีใจที่สมหวังกัน คาใจเรื่องรติเรื่องเดียวค่ะ ตอนแรกคิดว่าเป็นเหมือน imaginary friend มากกว่า แต่มีหลายตอนที่ทำให้คิดว่าอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อย่างเช่นตอนที่มีคนมาปลดล็อคประตูให้ตอนที่นอนป่วยอยู่
-
น่ารัก โดยเฉพาะรติ น่ารักที่สุดเลย แต่ถ้าไม่มีอนุทินสงสัยเรื่องนี้จะเดินต่อไม่ได้ ต้องยกนิ้วให้คนเจ้าวางแผนอย่างอนุทินด้วยสินะ
-
o13
-
น่ารักมาก ........ ขอบคุณครับ
-
:mc4:
-
:pig4: :pig4: