พิมพ์หน้านี้ - ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Magdaren ที่ 21-12-2016 18:08:26

หัวข้อ: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 21-12-2016 18:08:26
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


เป็นนักอ่านสิงบอร์ดมานาน คราวนี้เอานิยายเขียนเองมาลงบ้างค่ะ แนะนำติชมได้นะคะ

ฝากเพจด้วยค่า Magdaren/Nanami (https://www.facebook.com/magdaren.nanami)

✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿


แขกหนึ่งคน พบเพียงหนึ่งครั้ง


คือกำแพงสูงชันที่ อาคาเนะ สร้างเอาไว้รอบตัว เขาไม่เคยใส่ใจแม้แต่จะจำชื่อแขก เพราะเมื่อพบกันแล้ว จะไม่มีครั้งหน้าอีก


ยกเว้นเพียง... โทชิฮิโระ

 
ชายที่เอาตัวเข้ามาพัวพันกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยรอยยิ้มและความเจ้าเล่ห์อย่างที่อาคาเนะไม่เคยรู้จักมาก่อน ซ้ำยังทำลายกฎของเขาลงอย่างง่ายดายด้วยใบหน้าสุดระรื่น


“ไม่ยากหรอกก็แค่เรียกชื่อ ยิ่งเห็นเจ้าปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายข้ายิ่งอยากได้ยินรู้ไหม”


อาคาเนะแทบอยากเหวี่ยงขวดกระเบื้องสวยๆ ฟาดใส่กลับไปแทบใจจะขาด!




✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿

ใครว่าปีศาจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ เราขอเสนอพระเอกที่ร้ายกาจยิ่งกว่า แล้วทุกคนจะเห็นว่าจิ้งจอกจะน่ารักขึ้นมาทันใด


หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ 【Fantasy & Period】บทนำ 21/12/16
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 21-12-2016 18:15:16
--บทนำ--


ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์เว้าแหว่งเหลือเพียงเศษเสี้ยว สายลมต้นฤดูหนาวหอบเอาความเย็นผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้เข้ามาจนแสงของเปลวเทียนวูบไหว ทว่าคนในห้องกำลังต่อสู้กับความร้อนรุ่มจนเหงื่อไหลลงที่ข้างขมับ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนไหวระริกและพยายามปิดตาลงเพื่อไม่ให้รับรู้ถึงใครอีกคน


“ดื้อพอดูเลยนะเจ้า” น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเจ้าเล่ห์ทำให้คนที่กำลังอดทนต้องกอดตัวเองแน่นขึ้น แขนขาวขยำกิโมโนสีแดงสดของตนแน่น ขบฟันกลั้นความต้องการที่กำลังจะล้นทะลัก ลมหายใจหอบหนักจนน่ารำคาญ แว่วเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันจนเผลอลืมตาขึ้นมอง


“มานี่มาเด็กน้อยของข้า” น้ำเสียงนั้นราวกับเสียงล่อหลอกของปีศาจ แต่แผ่นอกตึงแน่นที่เจ้าตัวตั้งใจคลายสายคาดเอวออกแล้วรั้งกิโมโนของตนลงเพื่อเปิดเผยมันทำเอาคนมองต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก


“ไม่! บอกแล้วไงว่าไม่เอา!” สิ่งที่เพียรพยายามบังคับตัวเองมาตลอดก็เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเช่นวันนี้ แต่เพราะพลั้งเผลอไปนิดเดียวถึงต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัด


“อาคาเนะ” เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียก และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อมือใหญ่เชยคางของเขาให้แหงนเงยขึ้นสบกับดวงตาสีน้ำเงินลึกล้ำดุจมหาสมุทร ทั้งที่ปกติจะเห็นเป็นสีดำเหมือนดวงตาของ ‘มนุษย์’ แต่แสงจากเปลวเทียนทำให้สีที่แท้จริงเผยออกมา


การต่อสู้กับความอยากโดยสัญชาตญาณทำให้อาคาเนะรู้สึกทรมานจนตัวสั่น ดวงตาคู่โตวาววับด้วยน้ำตาที่ใกล้จะรินไหลเต็มทน


“กลัวการผูกพันขนาดนั้นเชียวหรือ” เห็นท่าทีดื้อรั้นอดทนกับความทรมานของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วเขาไม่เข้าใจ ในชีวิตของทุกคนย่อมต้องมีพบและแยกจากเป็นเรื่องปกติ แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับเลือกจะปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก ตั้งกฎไว้เพื่อกันไม่ให้ใครได้เข้าใกล้ พอเขาดึงดันจะฝืนเข้ามาอาคาเนะเลยมีสภาพเช่นนี้


ถึงใจหนึ่งจะสงสาร แต่การเห็นคนที่เคยหยิ่งผยองตัวสั่นเป็นลูกนกตกจากรังเช่นนี้ก็นับว่าไม่เลวเหมือนกัน


“ข้าไม่ทิ้งเจ้าไว้เหมือนคนอื่นหรอก เชื่อข้าสิ แค่เจ้ายอมเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า” ดวงตาคนฟังเบิกกว้าง น้ำตาที่เอ่อคลอมานานเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนมือเรียวจะตบเข้าที่ใบหน้าคนพูดด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่


“เจ้ามันปีศาจ!” อาคาเนะตวาดลั่น อยากจะหนีไปจากตรงนี้แต่เขาแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว


“เรียกโทชิฮิโระสิ” คนถูกตบไม่มีท่าทีโกรธเคืองตรงข้ามกลับดูพึงพอใจมากยิ่งขึ้น เห็นอาคาเนะมองเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อด้วยลมหายใจหอบถี่ดูแล้วช่างน่าเอ็นดู


“เรามันพวกเดียวกันไม่ใช่หรือ ทรมานจนหูกับหางโผล่แล้วนะ” ใบหน้าของอาคาเนะแดงวาบรีบยกสองมือตะครุบเหนือศีรษะของตนแต่ไม่พบอะไร คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอกเลยถลึงตาใส่


“ข้าล้อเล่น” โทชิฮิโระเอ่ยด้วยรอยยิ้มกริ่ม เขากำลังจับตาดูว่าหน้าขาวๆ แสนน่ารักนั้นจะแดงขึ้นได้อีกสักแค่ไหน


“ถ้าเจ้ายังไม่เลิกดื้อรับรองว่ามันได้โผล่ออกมาแน่ จะให้รอจนเจ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อนหรอกนะ ดีเสียอีกเจ้าอาจจะเชื่องกว่านี้” อาคาเนะกัดฟันกรอดก่อนกระโจนเข้าใส่คนตรงหน้า น้ำหนักที่โถมลงมาทำเอาโทชิฮิโระหงายลงไปนอนกับพื้นแต่สองมือยังไวพอจะรวบตัวอาคาเนะเอาไว้


“ทำไม...” ร่างข้างบนทิ้งน้ำหนักลงพร้อมกับก้มลงซุกหน้ากับบ่ากว้าง เลิกดิ้นรนขัดขืนแล้วปล่อยให้มือใหญ่คอยลูบหลังให้


“สนุกนักหรือที่ได้แกล้งข้า” ไม่มีคำตอบกลับมานอกจากเสียงหัวเราะในลำคอของโทชิฮิโระ อาคาเนะหยัดตัวขึ้นหรี่ตามองคนที่อยู่ๆ ก็พาตัวเข้ามาวุ่นวายในชีวิตอันราบเรียบของเขา ผู้ชายอวดดีที่คิดจะสยบเขาไว้แทบเท้า


“จิ้งจอกน่ะ ไม่เคยเชื่องหรอกนะ” ร่างของอาคาเนะลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงทว่ากลับไม่มีความร้อนใดๆ ส่งมาถึงโทชิฮิโระที่ยังคงกอดเอวของเด็กหนุ่มเอาไว้หลวมๆ เส้นผมสีน้ำตาลกลับกลายเป็นสีแดงเช่นเดียวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ เหนือศีรษะปรากฏหูแหลมสองข้างรูปร่างเหมือนหูของของจิ้งจอก พวงหางฟูนุ่มแกว่งเบาๆ เมื่อเปลวไฟทั้งหมดดับลง


อาคาเนะก้มตัวลงไปหาโทชิฮิโระ อ้าปากเผยเขี้ยวคมที่ถูกซ่อนเอาไว้เมื่ออยู่ในร่างมนุษย์ สายเลือดปีศาจครึ่งหนึ่งในตัวเขามีความต้องการเลือดเนื้อมนุษย์อยู่ มันเป็นความหิวกระหายไม่ต่างกับที่มนุษย์ต้องการอาหาร แต่หาได้ยากกว่ากันมาก อาคาเนะจึงได้ตั้งกฎไว้กับตัวเองว่าจะไม่ดื่มเลือดมนุษย์คนไหนซ้ำเป็นครั้งที่สอง ทั้งเพื่อความปลอดภัยของตัวเองจากการติดรสเลือดของใคร และเพื่อไม่ให้เผลอเข้าไปใกล้ชิดกับใครเกินความจำเป็นด้วย


แต่ชายคนนี้กำลังทำให้อาคาเนะต้องทำลายกฎนั้น


มือใหญ่ยกขึ้นปิดปากอาคาเนะก่อนที่จะได้ฝังเขี้ยวลงบนแผ่นอกตรงหน้าเพียงแค่คืบ คิ้วของอาคาเนะขมวดแน่นเหลือบตามองโทชิฮิโระด้วยสายตาขัดใจ ทั้งที่เขาอุตส่าห์ยอมอ่อนข้อให้แล้วแท้ๆ


“เมื่อครู่เจ้าตบข้า เด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษก่อน” จบคำร่างสูงใหญ่ก็จับคนด้านบนกอดไว้แนบอกแล้วพลิกตัวเองขึ้นไปเป็นฝ่ายคร่อมร่างของอาคาเนะเอาไว้แทน หูจิ้งจอกทั้งสองข้างพับลงแสดงถึงความตื่นกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มือทั้งสองข้างของเขาถูกโทชิฮิโระรวบขึ้นไปไว้เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียว


“จะทำอะไร” ดวงตาของคนถามหลุกหลิกด้วยความระแวง แต่เมื่อกลิ่นคาวเลือดโชยมาแตะจมูกร่างกายเขาจึงกลับมาตื่นตัวเพราะความกระหายอีกครั้ง อาคาเนะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเมื่อเห็นแล้วว่าต้นตอของกลิ่นเลือดแสนหอมหวนมาจากไหน


“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร อาคาเนะของข้า” โทชิฮิโระกระตุกยิ้มที่มุมปากที่มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาแล้วค่อยๆ โน้มหน้าลงไปหาเด็กหนุ่มที่มองเขาตาเยิ้ม ต่อให้ดื้อรั้นเพียงใดสัญชาตญาณก็ยังอยู่เหนือทุกสิ่ง อาคาเนะที่ห่างจากการดื่มเลือดมาหลายวันย่อมไม่มีทางปฏิเสธกลิ่นที่เชิญชวนนี้ได้


ระยะห่างแค่ฝ่ามือกั้นที่โทชิฮิโระจงใจเว้นไว้ทำให้ร่างข้างใต้ต้องยืดตัวขึ้นมาด้วยสายตาเคืองขุ่น แตะปากและไล้เลียริมฝีปากเขาของเบาๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตาของอาคาเนะทอประกายขึ้นเมื่อได้ดื่มเลือดอย่างที่ต้องการ ปริมาณน้อยนิดนั้นทำให้ความต้องการยิ่งเพิ่มพูนจนกลายเป็นฝ่ายรุกล้ำไล่จูบโทชิฮิโระราวกับคนขาดน้ำ เรียกเสียงพึงพอใจจากลำคอของคนด้านบน ลืมตัวแม้กระทั่งยามขบฟันคมลงบนปากของโทชิฮิโระสร้างบาดแผลเพิ่มเพื่อให้ได้รสเลือดมากกว่าเดิม


“เด็กดี” เสียงเอ่ยชมเรียกสติของอาคาเนะให้กลับคืนมา รับรู้ถึงมือที่กำลังไล้ข้างแก้มและสายตาทรงอำนาจจ้องมองมา กับร่างกายที่ก่ายกอดกันอยู่ พลันใบหน้าเกิดร้อนวูบขึ้นมาอีกครั้ง


เทพเจ้า... ทำไมท่านต้องส่งปีศาจร้ายตนนี้มาหาข้าด้วย




หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ 【Fantasy & Period】บทนำ 21/12/16
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-12-2016 18:25:25
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ 【Fantasy & Period】บทที่ 1 21/12/16
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 21-12-2016 19:42:27
--บทที่ 1--

การเริ่มต้น





ในโลกนี้สิ่งที่มนุษย์ต้องการพูดกันตามตรงคงมีอยู่สองสิ่ง หนึ่งคือเงินทองซึ่งเอาไว้ใช้ซื้อหาสิ่งจำเป็นรวมถึงของใช้สุรุ่ยสุร่ายตามแต่ใครจะชอบ และสองคือความสุข บางคนบอกว่าเงินไม่สามารถซื้อความสุขได้ จึงยังคงถูกแยกเอาไว้เป็นอีกข้อ แต่ในสายตาของอาคาเนะซึ่งอยู่ในฐานะ ‘สินค้า’ แล้ว เงินสามารถใช้ซื้อความสุขได้อย่างแน่นอน เงินจึงเป็นทุกอย่างสำหรับเขา


“ไม่ ท่านก็รู้ว่าค่าตัวข้ามากกว่านี้ตั้งสองเท่า” เด็กหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลยาวสลวยปฏิเสธเสียงแข็งก่อนหมุนตัวกลับเข้าห้อง แต่ก่อนที่เขาจะปิดประตูกลับมีมือของอีกคนสอดมาจับบานประตูเอาไว้เสียก่อน ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองคนเกะกะแล้วพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด


ตัวโตอย่างกับยักษ์แล้วยังมายืนขวางประตูห้องคนอื่นเขาอีก


“อาคาเนะ ยอมๆ ไปเถอะ ไหนๆ คืนนี้ก็ยังไม่มีใครจองตัวเจ้าอยู่แล้ว” เจ้าของชื่อเบ้ปากแสดงความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้งพร้อมยกสองมือขึ้นกอดอก


“โคคิ เผื่อท่านจะลืม ข้าไม่เคยรับแขกคนเดิมซ้ำสอง ถ้าท่านยอมขายข้าด้วยเงินเท่านี้ เกิดคนอื่นเอาไปทำตาม แล้ววันหนึ่งลูกค้าหมด ท่านเองจะเป็นฝ่ายเดือดร้อนนะ” ฟังคนตัวเล็กบ่นยาวเป็นชุดแล้วโคคิทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป ยอมรับเลยว่าเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าคนนี้เหมาะจะเป็นเจ้าของร้านมากกว่าเขาเสียอีก ถึงจะเป็นคนที่มีกฎแปลกๆ ไปหน่อยก็ตาม


อาคาเนะต่างจากคนอื่นเสมอตั้งแต่เข้าร้านมา ที่นี่คือร้านขายบริการคาเงมะ พูดง่ายๆ คือร้านที่ขายผู้ชายให้กับผู้ชายด้วยกัน อาจไม่ได้รับความนิยมเท่าร้านที่ขายผู้หญิงแต่ยังมีลูกค้าอยู่มากพอสมควร


อาคาเนะเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาในร้านด้วยตัวเอง ตอนนั้นอาคาเนะยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบหก อยู่ในวัยที่ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่บวกกับหน้าตาน่ารักคล้ายเด็กผู้หญิงจึงผ่านเกณฑ์การคัดเลือกคนเข้าร้านได้อย่างง่ายดาย เจ้าตัวบอกว่าต้องการเงินจำนวนหนึ่งอย่างเร่งด่วน มันเป็นเงินจำนวนมากเกินกว่าที่เด็กอายุสิบหกจะหาได้จากการทำงานทั่วไปเขาจึงเลือกขายตัวเองให้กับร้านนี้


สีหน้าไม่ยินดียินร้ายทำให้โคคิหวั่นใจว่าอาคาเนะจะสามารถรับแขกได้หรือไม่ แต่เวลาสามปีพิสูจน์แล้วว่าอาคาเนะมีความสามารถมากพอ เพราะนอกจากจะเรียกแขกมาได้มากกว่าคนอื่นแล้วยังสามารถเรียกค่าตัวได้สูงลิ่ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะกฎที่ว่าจะไม่รับแขกคนเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สองของเจ้าตัว


ของยิ่งหาซื้อยากราคายิ่งสูง การแย่งชิงกันคือสิ่งผลักดันให้อาคาเนะเป็นที่นิยมมากขึ้น ลูกค้าหลายคนพยายามกลับมาเพื่อทุ่มเงินซื้อโอกาสครั้งที่สองแต่อาคาเนะไม่เคยยอมอ่อนข้อ พอนานไปจึงมีบางช่วงที่ขาดลูกค้าไปเหมือนกัน


“โคคิ” ชายผอมสูงอีกคนก้าวเร็วๆ เข้ามาหา ช่วยหยุดการถกเถียงกันของสองหนุ่มลงได้ เขาคือคนทำบัญชีค่าใช้จ่ายภายในร้านและเป็นคนตรวจดูการจองรวมถึงการติดต่อลูกค้าไปในตัวด้วย


“เรายังคุยกันไม่จบ มีอะไรซาโตรุ” เจ้าของร้านชี้นิ้วใส่อาคาเนะ ทำให้เด็กหนุ่มจำต้องเอนตัวพิงผนังรอให้โคคิคุยกับซาโตรุให้เสร็จเสียก่อน โคคินั้นเป็นผู้ชายที่ให้อารมณ์หมีป่า ตัวทั้งใหญ่ทั้งหนาด้วยกล้ามเนื้อแล้วยังไว้หนวดไว้เครารกๆ อีก ออกไปเดินตามถนนรับรองว่าไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านคาเงมะ


ผิดกับซาโตรุที่ดูสะอาดสะอ้านและผอมบางกว่าเกือบครึ่ง แต่นับว่าเป็นคนสูงคนหนึ่งแพ้โคคิไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ได้ยินว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก พอโคคิสืบทอดกิจการของครอบครัวเลยชวนซาโตรุมาทำงานด้วย


ราวห้านาทีที่ทั้งสองคนคุยกัน อาคาเนะยืนแกว่งเท้าไปมา เขาไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว เรื่องปิดหูปิดตาตัวเองเป็นของถนัด บางครั้งแขกบางคนชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังแต่อาคาเนะไม่เคยใส่ใจจะจำ เพราะสุดท้ายก็เป็นเพียงคนที่พบหน้ากันคืนเดียวอยู่แล้ว


“ตกลงตามนั้น เดี๋ยวข้าตามไป” ซาโตรุหันมายิ้มให้อาคาเนะก่อนเดินจากไปเด็กหนุ่มจึงพยักหน้าตอบแล้วหันมาเลิกคิ้วมองหน้าเจ้านายของตัวเอง


“ว่าอย่างไรขอรับนายท่าน” เห็นคนเด็กกว่าเกือบสิบปีลอยหน้าลอยตาใส่แล้วโคคิอยากเคาะกะโหลกสักทีสองที แต่ร่างกายของอาคาเนะเป็นของมีราคาไปแตะสุ่มสี่สุ่มห้าคงไม่ได้


“มีลูกค้าอีกคนติดต่อเข้ามาแล้ว จ่ายตามปกติ รอดไปนะอาคาเนะ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างด้วยแววตาพราวระยับ คำว่าเงินฟังกี่ครั้งก็ยังลื่นหู เรื่องอะไรยอมเขาจะยอมรับแขกเพิ่มเป็นสองคนทั้งที่สามารถรีดเงินจำนวนเท่ากันได้จากแขกเพียงคนเดียว







เวลาทำงานของอาคาเนะเริ่มต้นหลังตะวันตกดินเสมอ กลางคืนคือช่วงเวลาที่มนุษย์แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ไม่ต้องใส่ใจสายตาจากคนรอบข้าง มองเพียงความสุขตรงหน้าเท่านั้น


“เจ้าช่างงดงามสมกับคำร่ำลือจริงๆ” แขกในวันนี้ค่อนข้างมีอายุกว่าแขกทั่วไป เส้นผมสีเทาบ่งบอกว่าเขาผ่านเลยวัยหนุ่มมานานพอควรแล้ว แต่จะแก่จะหนุ่มแค่ไหนแขกก็ยังคงเป็นแขกอยู่ดี อาคาเนะเบียดตัวเข้าไปนั่งใกล้ๆ คอยดูให้แน่ใจว่าจอกเหล้าของแขกจะไม่ว่างลงอย่างเด็ดขาด


“ลือในทางไม่ดีเปล่านายท่าน” อาคาเนะไม่เคยถามชื่อลูกข้าเพราะคร้านจะเสียเวลาจำ ขอแค่ทำเสียงอ้อนๆ นิดหน่อยแล้วเรียกว่า ‘นายท่าน’ ก็เพียงพอสำหรับทุกคน


“ดีสิดี เขาพูดกันว่าเป็นผู้ชายที่งามไม่แพ้ผู้หญิง ซ้ำยังเข้าหาได้ยากกว่าเจ้าหญิงในปราสาทเสียอีก” คนพูดหัวเราะลงคออย่างมีความสุขกับคำกระเซ้าของตัวเอง ฤทธิ์สุราทำให้เขาอารมณ์ดีกว่าปกติหลายเท่า


อาคาเนะยิ้มรับโดยไม่ปฏิเสธอะไร เขาเห็นหน้าตัวเองทุกวันย่อมรู้ดี คงเพราะปีศาจต้องคอยล่อลวงมนุษย์ สายเลือดครึ่งหนึ่งนั้นเลยทำให้เขามีรูปร่างหน้าตาที่ดึงดูดได้ทั้งชายและหญิงเช่นนี้ จะใส่ใจไปทำไมในเมื่อมันสะดวกต่องานของเขาดี


“ท่านคงเมาแล้ว เปลี่ยนมาดื่มชาสักถ้วยนะขอรับ” ขวดเหล้าสาเกถูกวางลง อาคาเนะหันไปหยิบกาน้ำชาขึ้นมาแทน นี่เป็นน้ำชาสูตรเฉพาะของเขาที่รับรองว่าทั่วทั้งแคว้นไม่มีใครเหมือน


“ระวังร้อนด้วยนายท่าน” ดวงตาสีน้ำตาลคอยมองจนแขกกระดกน้ำชาลงคอจนหมด เหลือบมองฟูกที่ปูไว้อีกฟากห้องก่อนทำเป็นชวนแขกไปนอนพักสักครู่ แน่นอนว่าไม่เคยมีใครปฏิเสธคำชวนนั้น พอเห็นอีกฝ่ายล้มตัวลงนอนรอยยิ้มก็เริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของอาคาเนะทันที


“สาม สอง หนึ่ง” เสียงนับถอยหลังจบลงพร้อมเสียงกรนเบาๆ ออกจากปากคนที่เพิ่งล้มตัวลงนอนไปเมื่อครู่ ด้วยส่วนผสมพิเศษที่เขาเติมลงในชา แขกของเขาจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และหลงไปกับความสุขจอมปลอมในความฝันของตัวเองไปตลอดคืน


อาคาเนะคลานเข้าไปหาแขกของตน คลายมนต์ที่ใช้สะกดร่างจิ้งจอกเอาไว้เผยให้เห็นใบหูที่ขยับเล็กน้อยเมื่อรับฟังเสียงรอบข้าง และพวงหางที่แกว่งไกวด้วยความพึงพอใจที่คืนนี้เป็นอีกคืนที่เขาหาได้ทั้งเงินและอาหารด้วย


“เห็นแก่อายุท่านข้าจะดื่มแค่นิดเดียวพอ” มือเรียวคว้ามือของคนหลับขึ้นมาจรดกับปากก่อนจะงับลงไปที่ข้อมือเบาๆ เลือดสีเข้มไหลย้อนขึ้นจากรอยแผลที่เขี้ยวของอาคาเนะฝังลงไป หากเป็นปีศาจทั่วไปอาจกินคนได้ทั้งตัว แต่อาคาเนะรู้สึกขยะแขยงเกินกว่าจะทำเช่นนั้น สำหรับเขาแค่เลือดถือว่าเพียงพอแล้ว เมื่อถึงยามเช้าบาดแผลจะจางหายไปเอง แม้จะไม่แน่ใจเรื่องเหตุผลแต่เป็นเช่นนี้เรื่อยมา


ดวงตาคู่หนึ่งลอบมองอาคาเนะจากบนหลังคาของร้านฝั่งตรงข้าม นกฮูกสีขาวจ้องร่างของครึ่งมนุษย์ครึ่งจิ้งจอกด้วยดวงตาสีเหลืองคู่โตก่อนจะสยายปีกแล้วโผบินจากไปในความมืด แว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบาลอยปะปนอยู่ในสายลม





...ต่อด้านล่างค่า...
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ 【Fantasy & Period】บทนำ 21/12/16
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 21-12-2016 19:43:51



แม้จะล่วงเข้าช่วงต้นของฤดูหนาวแต่ปีนี้อากาศยังคงอุ่นจนเกือบร้อนโดยเฉพาะเมื่อดวงอาทิตย์ยังคงแผดแสงอย่างแรงกล้า ไร้เมฆสักก้อนมาช่วยบดบัง อาคาเนะนั่งเอนตัวพาดไว้กับขอบของหน้าต่างห้อง ยืดแขนวางพาดออกไปด้านนอกเพื่อรับลมเอื่อยๆ ที่พัดผ่าน เหม่อมองผู้คนที่กำลังเดินสวนกันไปมาบนท้องถนน


“อาคาเนะ” ใครบางคนส่งเสียงเรียกจากหน้าประตู อาคาเนะลากเสียงในลำคอยาวๆ แทนการตอบรับ คนเรียกจึงเปิดประตูเข้ามา


“มีอะไรหรือพี่ซาโตรุ” ช่องว่างระหว่างวัยและความใจดีของอีกฝ่ายทำให้อาคาเนะเต็มใจจะเรียกซาโตรุว่าพี่ ผิดกับโคคิที่อายุไล่เลี่ยกับซาโตรุแต่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้ไม่เท่า อาคาเนะเลยไม่เคยเรียกโคคิว่าพี่สักครั้ง


“อยากคุยกับเจ้าเรื่องวันพรุ่งนี้หน่อย” คนฟังกะพริบตาปริบๆ กลอกตาขึ้นมองเพดานพลางนับนิ้วไปด้วย


“อ้อ วันหยุดข้า” ในหนึ่งปีจะมีเพียงหนึ่งวันที่อาคาเนะขออนุญาตโคคิเอาไว้ว่าจะไม่รับแขกคนใดเด็ดขาด และเป็นวันเดียวในรอบปีที่อาคาเนะจะออกจากร้านไปตามลำพังด้วย ตอนตกลงกันครั้งแรกโคคิดูไม่พอใจนักเพราะกลัวว่าอาคาเนะจะใช้โอกาสนั้นหนีหายไป ในปีแรกอาคาเนะจึงยอมให้โคคิออกไปกับตนด้วย ปีถัดมาเขาถึงได้รับอนุญาตให้ไปตามลำพัง


“มีอะไรหรือขอรับ”


“พรุ่งนี้มีคนติดต่อเข้ามา” ซาโตรุเว้นช่วงเมื่อเห็นคิ้วของคนฟังขมวดเข้าหากันแน่น แต่เมื่ออาคาเนะยังไม่โวยวายเขาเลยพูดต่อไป


“ข้ายังไม่ได้รับปากลูกค้า แต่โคคิอยากให้เจ้าตกลง” ชื่อของเจ้าของร้านทำให้อาคาเนะคิ้วกระตุก เมื่อวานเพิ่งบอกให้เขาลดค่าตัว วันนี้ยังมายุ่มย่ามกับวันหยุดของเขาอีก นี่คงรู้ตัวว่ารับมือเขาไม่ได้ถึงได้ส่งซาโตรุมารับหน้า


“ข้าไม่...“


“ลูกค้าจะจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่า” จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวทำให้อาคาเนะกลืนคำปฏิเสธกลับลงคอ คงต้องโทษชีวิตวัยเด็กอันแสนยากจนที่ทำให้เขาเป็นคนเห็นแก่เงินขนาดนี้


“ข้าไม่บังคับเจ้านะอาคาเนะ ถ้าอยากปฏิเสธข้าจะพูดกับโคคิให้เอง” ซาโตรุเอื้อมมือไปลูบหัวคนเด็กกว่าเบาๆ เขาเห็นอาคาเนะมาตั้งแต่วันแรกที่เข้าร้าน อาคาเนะเป็นคนประเภทพยายามยืนด้วยตัวเองอย่างสุดกำลังและไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร นั่นทำให้เขาค่อนข้างเอ็นดูและเป็นห่วงเด็กหนุ่มคนนี้มากพอสมควร


“เข้าใจแล้วขอรับ ท่านติดต่อลูกค้ากลับไปได้เลย ข้าจะกลับมาให้ทันเวลาเปิดร้าน”


“แน่ใจใช่ไหม”


“แน่ใจ ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอพบลูกค้าท่านนี้เลยขอรับ” ขนาดลูกค้าระดับเศรษฐีของเมืองยังไม่เคยมีใครให้ราคาค่าตัวของอาคาเนะมากเท่านี้มาก่อน มีหรือที่เขาจะไม่อยากพบหน้าบ่อเงินบ่อทองของตัวเอง





วันรุ่งขึ้นของอาคาเนะเริ่มต้นขึ้นเร็วกว่าวันอื่นๆ ปกติเด็กหนุ่มมักตื่นสายเพราะต้องทำงานช่วงกลางคืน แต่วันนี้เขาตื่นพร้อมพระอาทิตย์ขึ้น ท้องฟ้าที่ยังเป็นสีส้มแดงด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นภาพที่สวยงามไม่น้อย


อาคาเนะเหลือบมองแขกของเมื่อคืนที่ยังคงหลบสนิทบนฟูกก่อนลุกไปล้างหน้าล้างตาแต่งตัวเสียใหม่ วันนี้เขาเลือกกิโมโนสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงฮากามะสีเทามาสวมแทนเสื้อผ้ารุ่มร่ามตามปกติ รวบผมยาวของตนขึ้นแล้วผูกไว้เป็นหางม้า ช่วยเปลี่ยนเด็กหนุ่มหน้าสวยให้ดูสมชายขึ้นมาอีกนิด


ก่อนออกจากร้านอาคาเนะต้องแวะบอกโคคิให้ช่วยส่งแขกให้ด้วย เจ้าของร้านโผล่หน้าออกมาหาเขาในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น หัวกระเซิงจนอาคาเนะต้องถือวิสาสะเอื้อมมือไปปัดผมที่ปรกหน้าออกให้


“กลับมาให้ทันด้วยนะ”


“รู้แล้วๆ เดินกลับไปให้ถึงฟูกให้ถูกก่อนเถอะไป” โคคิพยักหน้าหงึกหงักแล้วเดินเอียงๆ กลับไปยังฟูกของตน ปล่อยให้อาคาเนะเป็นคนปิดประตูห้องนอนให้ เด็กหนุ่มหน้าส่ายหน้าเบาๆ ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเขากับโคคิใครดูแลใครกันแน่







ทางเดินดินแคบๆ ทอดตัวคดเคี้ยวเลาะเลี้ยวตามแนวรั้วไม้เตี้ยๆ ของบ้านแถบชานเมือง ร่มเงาจากต้นไม้สองข้างทางช่วยให้อากาศเย็นสบาย ต่างจากท้องถนนในเมืองใหญ่ ที่นี่ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวชอุ่มสบายตา
อาคาเนะหยุดเท้าเมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง มันเก่าและผุพังเกินกว่าจะมีคนมาอยู่อาศัย รั้วเก่าๆ ล้มเอียงจนอาคาเนะต้องยกขาก้าวข้ามมันเข้าไปแทนที่จะเปิดมัน เขาเดินผ่านตัวบ้านไปยังพื้นที่ว่างด้านหลัง ครั้งหนึ่งมันเคยถูกใช้เป็นแปลงผัก แต่ตอนนี้เป็นที่ฝังร่างของชายคนหนึ่ง


“ข้าเองขอรับ ท่านพ่อ” อาคาเนะคุกเข่าลงต่อหน้าแผ่นหินไร้ชื่อในสวนหลังบ้านของเขา บ้านที่เขาอยู่นับตั้งแต่จำความได้ มือเรียวค่อยๆ ปัดเศษฝุ่นและใบไม้ออกจากแผ่นหินด้วยรอยยิ้มจางๆ พ่อคือญาติเพียงคนเดียวที่เขามี เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่ตายจากไปด้วยโรคร้ายเมื่อสามปีก่อน เป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่เงินไม่สามารถซื้อคืนกลับมาได้


พ่อเลี้ยงเขามาตามลำพังในบ้านเก่าหลังนี้ ชีวิตมันยากเพราะตอนยังเด็กอาคาเนะยังควบคุมสายเลือดปีศาจตัวเองไม่ได้ แรกเริ่มเขาต้องใช้ชีวิตเหมือนคนถูกขัง ออกไปไหนไม่ได้เพราะยังไม่รู้วิธีซ่อนหูกับหางของตน มีแค่พ่อที่ต้องออกไปทำงานอย่างหนักทุกวัน กว่าจะเรียนรู้และปรับตัวได้พ่อก็เริ่มป่วย เงินที่มีเริ่มไม่พอกับการใช้จ่าย การรักษาเป็นเรื่องต้องใช้เงินค่อนข้างมากอาคาเนะจึงเลือกไปหาโคคิ เงินที่ได้มาช่วยยื้อชีวิตของพ่อได้แค่ครึ่งปีแต่อาคาเนะยังคงทำงานที่ร้านต่อมา เพราะเขารู้แล้วว่าชีวิตที่ไม่มีเงินลำบากเพียงใดและจะไม่คิดกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก


ทุกปีเมื่อถึงวันครบรอบวันตายของพ่อ อาคาเนะจะกลับมายังบ้านหลังนี้เพื่อบอกต่อหน้าหลุมศพของพ่อว่าเขายังสบายดี แล้วใช้เวลาที่เหลือไปกับการเดินขึ้นเขาไปสำรวจป่าที่เคยเป็นที่เล่นของตัวเอง อาคาเนะไม่เคยมีเพื่อนเพราะพ่อสอนเสมอว่ามนุษย์มักกลัวสิ่งที่แตกต่างจากตัวเอง และในบางครั้งความกลัวนั้นจะกลายเป็นอาวุธร้ายที่ทำให้พวกเขาทำร้ายคนอื่นอย่างง่ายดาย


เส้นทางเดินในป่าไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือโขดหินตรงมุมไหนอาคาเนะจำมันได้ทั้งหมด ต่อให้หลับตาเดินเขายังไม่มีทางหลงทางในป่านี้ด้วยซ้ำ แว่วเสียงฝีเท้าย่ำลงบนใบแห้ง ฤดูหนาวทำให้ต้นไม้พวกนี้ทิ้งใบลงจากต้น อาคาเนะรีบซ่อนตัวหลังต้นสนที่อยู่ใกล้ ลอบมองเจ้าของเสียงฝีเท้าที่เดินอยู่ข้างหน้าเขาไม่ไกล


ร่างกายสูงใหญ่ในชุดกิโมโนสีดำสนิทดูโดดเด่นอย่างน่าประหลาด คงเพราะเสี้ยวหน้าที่มองเห็นนั้นดูช่างประกอบกันได้อย่างเหมาะเจาะและสมบูรณ์แบบเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป ขนาดคนรวยๆ ที่อาคาเนะได้เจอบ่อยๆ ยังไม่หน้าตาดีเท่าชายคนนี้ บรรยากาศรอบตัวเขาดูสงบจนอาคาเนะเผลอก้าวขาออกจากที่ซ่อน


“เดี๋ยว! ทางนั้นมัน...” ร้องเตือนออกไปได้ยังไม่ทันจบร่างที่เห็นอยู่เมื่อครู่ก็ผลุบหายไปเสียแล้ว อาคาเนะยกมือขึ้นกุมขมับพึมพำต่อเสียงค่อย


“...ร่องน้ำเก่า” เด็กหนุ่มก้าวยาวๆ ไปหาชายที่เดินตกลงไปในร่องน้ำแห้งผาก พื้นดินตรงหน้าเป็นร่องลึกสูงเกือบเท่าตัวคน พอก้มลงไปก็ได้เห็นชายคนนั้นนั่งแปะอยู่กับพื้นเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาปริบๆ


“เป็นอะไรไหม” มองจากรอยดินไถลลงไปเป็นทางแล้วคิดว่าชายคนนี้คงไม่ได้กระแทกอะไรมากนัก คนถูกถามส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นปัดเศษดินกับเศษใบไม้ออกจากตัว


“ขอบคุณที่เตือน” ชายแปลกหน้าเอ่ยยิ้มๆ เป็นคำขอบคุณที่อาคาเนะไม่คิดว่าจะได้รับ เพราะเขาเตือนไม่ทันด้วยซ้ำ คนที่รับคำขอบคุณมาล่วงหน้าเลยจำต้องยื่นมือลงไปหา


“ยื่นมือมา ข้าจะช่วยดึงขึ้น” มือของอาคาเนะถูกจับเอาไว้โดยคนที่เพิ่งเคยพบหน้า อาคาเนะอยากรีบช่วยเขาขึ้นมาจะได้ต่างคนต่างแยกย้ายกันเสียที ทว่าในจังหวะที่อีกฝ่ายออกแรงดึงตัวขึ้นโดยใช้อาคาเนะเป็นหลักยึด มืออีกข้างที่อาคาเนะใช้ค้ำยันตัวเองเกิดลื่นขึ้นมากะทันหัน ผลคือคนตั้งใจช่วยถูกคนที่ตัวเองจะช่วยกระตุกแขนจนลื่นตกลงมาด้วยอีกคน เด็กหนุ่มร้องลั่นหลับตาแน่นก่อนที่ตัวเขาจะกระแทกกับอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างนุ่มและอุ่นกว่าพื้นดินอย่างชัดเจน


“เจ็บตรงไหนไหม” คำถามคล้ายๆ ที่ตัวเองเพิ่งเอ่ยออกไปเรียกให้อาคาเนะลืมตาขึ้นเพื่อพบว่าตัวเขากำลังนอนกองอยู่บนร่างของคนอื่น เด็กหนุ่มรีบพลิกตัวลงจากร่างนั้นราวต้องของร้อนและยิ่งทำตัวไม่ถูกเมื่อดวงตาสีดำคู่คมจ้องเขาไม่วางตา


“เราเดินไปหาทางอื่นขึ้นน่าจะดีกว่า” ชายแปลกหน้าเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนก่อนและคราวนี้เขาเป็นฝ่ายยื่นมือมาให้อาคาเนะจับแทน อาคาเนะมองมือนั้นด้วยความลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะคว้ามันแล้วดึงตัวลุกขึ้นตาม


“ข้าโทชิฮิโระ เรียกโทชิก็ได้”


“ขอโทษด้วยแต่ข้าไม่ชอบแนะนำตัว” อาคาเนะปฏิเสธการทำความรู้จักอย่างเรียบๆ เขาไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่นโดยไม่จำเป็น และการรู้จักชื่อกันก็ถูกรวมอยู่ในความไม่จำเป็นนั้นด้วย เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายออกเดินนำด้วยความเคยชินเขารู้ดีว่าต้องไปทางไหนถึงจะหาทางปีนกลับขึ้นไปได้


“เจ้าใจดีมากกว่าที่แสดงออกนะ” โทชิฮิโระที่เดินตามมาทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาลง อาคาเนะหันกลับไปมองคนพูดตาขวาง


“ท่านไม่ได้รู้จักข้าสักนิด” เขาเกลียดพวกชอบทำเหมือนสามารถมองทะลุจิตใจของคนอื่น ทั้งที่ความจริงไม่ได้รู้อะไรเลย ดูท่าชายคนนี้คงเป็นประเภทนั้น


“อย่างน้อยก็รู้ว่าเจ้าอยากช่วย แม้ว่าจะหงุดหงิดกับสิ่งที่ตัวเองทำก็ตาม” สีหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจมาตลอดทาง ทั้งอย่างนั้นก็ยังช่วยนำทางเขามาโดยไม่บ่นสักคำ ยังไม่นับรวมคำเตือนที่ช้าไปสักนิด กับมือที่ตั้งใจจะช่วยฉุดเขาขึ้นด้วย


“แค่ไม่อยากปล่อยใครให้หลงป่าตาย เพิ่งเคยเดินป่าหรือไงถึงเดินไปไหนมาไหนไม่มองทางแบบนี้” อาคาเนะบ่นกระปอดกระแปดให้คนข้างหลังได้ยิน คนปกติเวลาเดินป่าต้องก้มหน้ามองเท้าตลอดเวลา เพราะไม่รู้หรอกว่าจะก้าวพลาดหรือไปเหยียบอะไรเข้าตอนไหน แต่ชายคนนี้กลับเดินเหม่อจนไม่รู้ว่าขาที่ก้าวออกไปไม่ได้เหยียบลงบนพื้นด้วยซ้ำ


“เป็นห่วงคนอื่นอย่างนี้เสมอหรือ” อาคาเนะทำสีหน้าสยดสยองเมื่อได้ฟังคำถามนั้น ต้องเป็นคนมองโลกในแง่ดีระดับไหนกันถึงฟังสิ่งที่เขาพูดเป็นความเป็นห่วงไปได้


“ข้ากำลังว่าท่านอยู่ เอาอะไรมาคิดว่าเป็นห่วง”


“พ่อแม่ดุลูกเสมอเมื่อพวกเขาทำให้เป็นห่วง ถ้าไม่ได้ห่วงเจ้าคงเมินเฉยต่อข้าไปแล้ว”


“ตรงนี้ปีนขึ้นไปได้” แทนที่จะสนใจคนพูดไม่รู้เรื่องอาคาเนะแกล้งทำเป็นสนใจสิ่งอื่นแทน เขาชี้มือไปยังทางลาดที่น่าจะเกิดจากการเดินข้ามร่องน้ำนับครั้งไม่ถ้วนของสัตว์ป่า ทั้งสองคนปีนขึ้นมาได้ในเวลาไล่เลี่ยกันและอาคาเนะยินดีมากที่จะได้ไปให้พ้นจากชายคนนี้เสียที


“จากตรงนี้กรุณาเดินมองทางด้วย ลาก่อน”


“แล้วพบกันใหม่” โทชิฮิโระยิ้มบางๆ แม้จะถูกอาคาเนะมองค้อนใส่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว







อาคาเนะกลับมาถึงร้านก่อนตะวันจะตกดิน เด็กหนุ่มเดินหน้าบึ้งตรงขึ้นไปยังห้องพักส่วนตัวของตัวเองบนชั้นสองสวนทางกับซาโตรุที่เดินลงมาพอดี


“อาคาเนะ ทำไมมอมแมมอย่างนี้” หากเป็นโคคิคงเดินผ่านเขาไปโดยไม่ทันสังเกต แต่กับซาโตรุแล้วการทำบัญชีดูจะทำให้สายตาค่อนข้างเฉียบคมมากทีเดียว


“ลงไปคลุกฝุ่นเพราะคนบ้ามาขอรับ อย่าใส่ใจเลย” ซาโตรุมองสภาพคลุกฝุ่นของอาคาเนะตั้งแต่หัวจรดเท้า ฟังแล้วคำตอบดูใกล้เคียงกับความเป็นจริงเลยไม่ได้คาดคั้นอะไร แค่กำชับให้อาคาเนะไปล้างเนื้อล้างตัวและแต่งตัวเสียใหม่ก่อนแขกของวันนี้จะมาถึง


ภาพสะท้อนของตัวเองบนบานกระจกทำให้อาคาเนะยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปใหญ่ ผมของเขายุ่งเหยิงแล้วยังมีรอยเปื้อนดินเป็นด่างดวงบนเสื้อผ้า ยิ่งคิดยิ่งโมโหเจ้าคนอารมณ์ดีคนนั้นนัก ท่าทีไม่เดือดร้อนต่ออะไรของชายคนนั้นทำให้อาคาเนะคิดว่าไม่น่าเข้าไปช่วยเอาไว้เลย


“เป็นห่วงคนอื่นอย่างนี้เสมอหรือ”


ทำเป็นอวดดี อาคาเนะคนนี้ไม่มีใครให้เป็นห่วงมาหลายปีแล้ว สิ่งเดียวที่เขาห่วงมีแค่จำนวนเงินในกล่องสมบัติของตัวเองเท่านั้น







เมื่อฟ้ามืดลงร้านค้ายามค่ำคืนได้ทยอยนำโคมไฟขึ้นไปแขวนที่หน้าร้าน เป็นสัญญาณว่าวันนี้พวกเขาพร้อมต้อนรับลูกค้าทุกคนแล้ว โคคิออกมายืนคุมคนงานของเขาให้ปีนบันไดขึ้นไปแขวนโคมไฟเพื่อดูให้แน่ใจว่าจะไม่ตกลงมาแข้งขาหักไปเสียก่อน


“ร้านเปิดแล้วใช่ไหม” ใครบางคนเอ่ยถามจากข้างหลัง โคคิรีบตอบออกไปว่าเปิดแล้วก่อนจะหันกลับมามองคนถามเสียอีก แต่เมื่อเขาหมุนตัวกลับมาที่ตรงนั้นกลับไม่มีใครยืนอยู่อีกแล้ว


“อาคาเนะ” ซาโตรุเป็นคนขึ้นมาเรียกอาคาเนะด้วยตัวเอง แขกที่จองตัวเด็กหนุ่มเอาไว้มาถึงทันทีที่ร้านเปิด และเขาไม่แน่ใจนักว่าอาคาเนะจะเตรียมตัวเสร็จหรือยัง


“มาแล้วๆ” แว่วเสียงขานตอบมาจากด้านในพร้อมกับประตูที่ถูกเลื่อนเปิดออก อาคาเนะก้าวออกมาหาซาโตรุด้วยรอยยิ้ม หมุนตัวให้ดูหนึ่งรอบว่าเขาได้สลัดคราบสกปรกออกไปจากตัวจนหมดแล้ว


“ลูกค้ารออยู่” ซาโตรุยีหัวอาคาเนะเบาๆ แล้วออกเดินนำเด็กหนุ่มลงมายังห้องรับรองที่เตรียมไว้ อาคาเนะยังคงยกแขนกิโมโนของตัวเองขึ้นมาดมระหว่างทางเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีกลิ่นดินติดอยู่อีก จมูกของเขาดีกว่ามนุษย์ทั่วไปเลยไม่ชอบใช้พวกเครื่องหอมเพราะมันทำให้แสบจมูกเกินจะทนไหว


“อาคาเนะมาแล้วขอรับ” เสียงของซาโตรุเรียกสติอาคาเนะให้กลับมาอยู่ตรงหน้า เขาแอบยืดตัวมองข้ามไหล่ของซาโตรุเพื่อจะดูหน้าแขกที่ยอมเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อเวลาวันหยุดของเขา ถึงอาคาเนะจะไม่จำชื่อของแขก แต่การลอบสังเกตคนเหล่านั้นนับเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง แต่ครั้งนี้ดูจะต่างออกไป


“เจ้า!” อาคาเนะหลุดโพล่งออกไปเสียงดังจนต้องรีบตะครุบปากตัวเองไว้เมื่อถูกซาโตรุหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นยะเยือก
“อาคาเนะ ห้ามเสียมารยาทกับแขก” ถึงปากจะยิ้มแย้มตามประสาคนค้าขาย แต่สายตาของซาโตรุไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย เขาใช้สองมือดันหลังอาคาเนะเดินไปหาแขกที่กำลังนั่งเท้าคางและใช้หลังมือซ่อนรอยยิ้มอยู่


“ขอให้มีความสุขกับค่ำคืนนี้” ซาโตรุค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมแล้วค่อยๆ เดินถอยหลังกลับออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูให้ด้วย เมื่อแน่ใจว่าซาโตรุเดินห่างออกไปแล้วอาคาเนะถึงยอมเอามือที่ปิดปากตัวเองลง


“เจอกันอีกแล้วนะอาคาเนะ” คนบ้าที่พาอาคาเนะไปคลุกฝุ่นด้วยกำลังนั่งยิ้มร่าอยู่ต่อหน้าเขา อาคาเนะกำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่เขาดวงซวยได้ขนาดนี้


“นั่งสิ เจ้าคงไม่ยืนรับแขกใช่ไหม” อาคาเนะก่นด่าคนตรงหน้าอยู่ในใจ แต่จำต้องเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ตามหน้าที่ ใบหน้าของเด็กหนุ่มงอง้ำอย่างไม่ปกปิด


“คราวนี้จะจำชื่อข้าได้หรือยัง” โทชิฮิโระเอี้ยวตัวไปกระซิบข้างหูคนที่กำลังหยิบขวดเหล้าขึ้นมา ทำเอาอาคาเนะแทบอยากเหวี่ยงขวดกระเบื้องสวยๆ ฟาดใส่กลับไปแทบใจจะขาด


“กับลูกค้าข้าก็ไม่ถามชื่อเช่นกัน พวกเราจะพบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” อาคาเนะเชิดหน้าขึ้นขณะที่มือบรรจงรินเหล้าลงจอกใบเล็กแล้วยื่นให้ โทชิฮิโระรับมาแล้วเทมันลงคอรวดเดียวก่อนส่งคืนให้


“แต่ข้าพบเจ้าเป็นครั้งที่สองแล้วไม่ใช่หรือ” มือที่กำลังจะรับจอกเหล้าชะงักค้างกลางอากาศ อ้าปากอยากจะด่าแต่คำว่า ‘ลูกค้า’ มันค้ำคอเลยต้องปิดปากลงแล้วส่งสายตาขุ่นๆ ไปให้แทน


“ไม่ยากหรอกก็แค่เรียกชื่อ ยิ่งเห็นเจ้าปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายข้ายิ่งอยากได้ยินรู้ไหม” เด็กหนุ่มหน้าสวยที่กำลังนั่งหลังตรงเชิดหน้าอย่างดื้อรั้นอยู่ข้างกายเขาคนนี้ทำให้โทชิฮิโระนึกอยากจะเอาชนะให้ได้ขึ้นมา และเขาค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้ด้วย


 “ข้าคิดว่าท่านกำลังทำให้เงินที่เสียไปสูญไปเปล่าๆ กับเวลาที่ท่านใช้อยู่ตอนนี้” ที่ผ่านมาไม่มีแขกคนไหนเอาเวลาที่จ่ายเงินซื้อมาเพื่อมาใช้ยั่วโมโหอาคาเนะมาก่อน พวกเขามาเพื่อเชยชมและดื่มกินซึ่งอาคาเนะสนองความต้องการนั้นให้ด้วยน้ำชาสูตรพิเศษของเขาและคำพูดหวานๆ อย่างเต็มที่ทุกคน แต่กับโทชิฮิโระแล้วเขาอยากข้ามขั้นไปจับกรอกชาเข้าปากไปเลย


“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจอยู่แล้ว” โทชิฮิโระไหวไหล่เขาไม่ใช่ตาแก่ที่เพียงแค่อยากมาหาเด็กหนุ่มรูปงามเพราะหวังเรื่องตัณหา แต่มาเพราะสนใจในตัวเด็กหนุ่มที่ชื่ออาคาเนะคนนี้


“กฎคือกฎ ข้าไม่เปลี่ยนมันเพื่อใครทั้งนั้น” เรื่องอะไรเขาจะยอมทำตามที่โทชิฮิโระต้องการ แม้สมองจะดันจำชื่อได้ไปแล้ว แต่เขาจะไม่เรียกอย่างเด็ดขาด


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องตามใจข้าอย่างหนึ่ง คงไม่ปฏิเสธคำขอของลูกค้าใช่ไหม” อาคาเนะหลุบตาลงพลางใช้ความคิด ในขณะที่โทชิฮิโระเพียงเท้าคางมองเขาด้วยท่าทีสบายๆ


“ได้ นอกเหนือกฎของข้า ข้าจะตามใจท่าน” ต่อให้โทชิฮิโระจะนึกอยากได้ตัวเขาขึ้นมาจริงๆ อาคาเนะก็ยังมีวิธีอีกมากให้เอาตัวรอด ถึงจะยุ่งยากกว่าแขกคนอื่นบ้างแต่คงไม่ยากเกินจะรับมือไหว


“รับปากแล้วนะ” โทชิฮิโระถามย้ำ อาคาเนะเลยตอบรับอย่างหนักแน่นซ้ำอีกครั้งเช่นกัน และเมื่อเขาพูดจบโทชิฮิโระก็ลุกขึ้นยืนพร้อมคว้ามือของอาคาเนะออกแรงกระตุกจนร่างบางเซถลามาข้างหน้า ก่อนมือใหญ่จะคว้าเขาที่ต้นแขนของอาคาเนะทั้งสองข้างแล้วยกให้ต้องลุกยืนขึ้นตามมา


“ทำอะไรของท่าน” อาคาเนะบ่นเสียงขุ่น เมื่อครู่เขาเกือบหน้าคะมำลงไปกับพื้นอยู่แล้ว


“เราจะออกไปข้างนอกกัน” แววตาของโทชิฮิโระเปล่งประกายพราวระยับโดยเฉพาะเมื่อเห็นดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตกใจ


“หา?!”



หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ 【Fantasy & Period】บทที่ 1 21/12/16
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 21-12-2016 19:47:27
 :z13:
จิ้มค่ะจิ้ม เดี๋ยวมาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ 【Fantasy & Period】บทที่ 2 22/12/16
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 22-12-2016 07:29:51
บทที่ 2

จอมเจ้าเล่ห์






บนถนนใต้แสงจันทร์กลางย่านเริงรมย์ในยามนี้ยังมีผู้คนเดินผ่านให้เห็นอยู่บางตา โดยหนึ่งในนั้นกำลังคิดหาทางหนีจากคนข้างกายอย่างสุดชีวิต พอก้มมองมือตัวเองที่ถูกจับเอาไว้อยู่ยิ่งร้อนรนจนแทบบ้า


“ปล่อยมือข้าเสียที อายคนบ้างได้ไหม” อาคาเนะเอ่ยเสียงค่อย เขาเคยลองพยายามโวยวายและดิ้นรนมาแล้วแต่ผลคือพวกเขาตกเป็นเป้าสายตายิ่งกว่าเดิม แล้วโทชิฮิโระยังเปลี่ยนจากจับที่ข้อมือมาเป็นประสานนิ้วยึดเอาไว้ทั้งฝ่ามือแทนอีกด้วย


“อายทำไม เจ้าพูดเองว่าข้าเสียเงินไปตั้งมากเพื่อซื้อเวลาที่ได้อยู่กับเจ้า ข้าก็กำลังใช้มันให้คุ้มค่าอยู่นี่” นอกจากจะจำชื่อได้แล้วอาคาเนะยังจะขอจำเอาไว้อีกด้วยว่าโทชิฮิโระเป็นผู้ชายหน้าด้านหน้าทน กล้าเดินจูงมือผู้ชายด้วยกันไปตามถนนโดยไม่สนใจคนรอบข้าง


"อย่าสนใจสายตาคนอื่นอาคาเนะ มองแค่ข้า” มือใหญ่บีบเบาๆ บนมือข้างที่กุมเอาไว้อยู่ มืออีกข้างของอาคาเนะที่เป็นอิสระยกขึ้นมาแตะอกซ้ายของตัวเองเบาๆ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วที่หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นจนน่ารำคาญ


ก็แค่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่หรือ แค่ไม่คุ้นกับไออุ่นจากร่างกายของคนอื่นเช่นนี้


อาคาเนะได้แต่ปลอบตัวเองในใจ นึกถึงช่วงก่อนถูกลากออกจากร้านมาแล้วยังเคืองโคคิไม่หาย เจ้าของร้านตัวโตนอกจะไม่ห้ามแล้วยังยอมให้โทชิฮิโระพาเขาออกมาได้ตามใจอีก ช่างไม่ห่วงความปลอดภัยของสินค้าตัวเองเอาเสียเลย


“มาถึงแล้ว” คนที่เอาแต่ก้มหน้าเดินตามหลังมาเกือบจะชนกับแผ่นหลังของโทชิฮิโระเข้า เพราะคนนำทางเกิดจะหยุดเท้าขึ้นมาเฉยๆ อาคาเนะหันไปมองกำแพงหินและซุ้มประตูไม้สูงใหญ่ตรงหน้าก่อนหันกลับมามองโทชิฮิโระด้วยความงุนงง


“บ้านข้าเอง” คำเฉลยแสนสั้นและไร้ที่มาที่ไปทำเอาคนฟังเบิกตากว้าง


“เอ๊ะ?! เดี๋ยว!” เด็กหนุ่มขืนตัวสุดฤทธิ์เมื่อโทชิฮิโระทำท่าจะลากเขาก้าวผ่านประตูบานใหญ่นี่เข้าไป ถึงจะมองไม่เห็นแต่อาคาเนะมั่นใจเลยว่าหลังประตูบานนี้จะต้องมีคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่ และมันไม่ใช่ที่ที่คาเงมะอย่างเขาควรเข้าไปเลยสักนิด


“จะบ้ารึไง พาข้ามาบ้านทำไม” อาคาเนะพยายามแกะมือของโทชิฮิโระออกแต่มันยากเสียจนเขาอยากจะกางกรงเล็บออกมาข่วนมือข้างนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด


“ทำความรู้จักกันต้องรู้จักชื่อ รู้จักบ้านกันไว้ไม่ใช่หรือ ถึงเจ้าจะยังไม่เรียกชื่อข้าแต่คงจำได้แล้วนี่” เหตุผลสุดแสนเอาแต่ใจทำเอาอาคาเนะหาเส้นเสียงตัวเองไม่เจอได้แต่ส่ายหน้ายืนยันว่าจะไม่ยอมเข้าไปในคฤหาสน์หลังนี้เป็นแน่


“ไม่มีใครอยู่หรอก ไม่ต้องกลัว” โทชิฮิโระก้มลงฉวยจูบหน้าผากของเด็กหนุ่มเบาๆ หนึ่งครั้งเพื่อปลอบ แต่นั่นทำให้อาคาเนะตอบสนองด้วยการตวัดมือข้างที่ว่างขึ้นมาตบถูกหน้าโทชิฮิโระจนเป็นรอยแดง


“ขะ...ขอโทษ” แม้แต่อาคาเนะเองก็ไม่คิดว่าตัวเขาจะเผลอตบลูกค้าไปแบบนั้น ทั้งหมดแค่เพราะเขาไม่ชินกับการที่มีใครมาสัมผัสใกล้ชิด ถึงจะดูเหมือนผ่านมือใครต่อใครมามากมาย แต่ความจริงแล้วอาคาเนะแทบไม่เคยถูกใครแตะต้องด้วยซ้ำ และยิ่งไม่เคยถูกใครทำให้จิตใจปั่นป่วนได้มากขนาดนี้


โทชิฮิโระเลิกคิ้วพลางลูบปลายคางของตัวเองที่ถูกตบ ปฏิกิริยาตอบสนองของอาคาเนะรุนแรงกว่าที่เขาคาดไว้ มองแววตาสั่นไหวของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วต้องรีบซ่อนรอยยิ้ม


“ไม่เป็นไร ข้าคงบังคับเจ้ามากไป” เด็กหนุ่มคนนี้ต่อให้ทำตัวกร้าวแกร่งมากเท่าใด เมื่อถูกพาออกมาจากสถานที่อันคุ้นเคยย่อมต้องหวาดกลัวอยู่แล้ว นั่นคือสิ่งที่โทชิฮิโระต้องการ เขาต้องการเป็นมากกว่าแขกที่รู้จักกันเพียงคืนเดียวของอาคาเนะและจะทำให้ได้


“จะกลับไหม ถ้าอยากกลับข้าจะไปส่ง แต่เวลาอีกครึ่งคืนที่ขาดไปเจ้าต้องใช้คืนให้ข้าวันหลัง หรือจะยอมเข้าไปกับข้า” โทชิฮิโระต้อนอาคาเนะให้ต้องถอยหลังไปพิงกำแพงหินข้างประตู พลางก้มลงกระซิบข้างหูเพื่อยื่นข้อเสนอที่จะเปิดโอกาสให้เขาได้พบอาคาเนะอีกครั้ง


“...กลับ”


“ว่าอะไรนะ”


“ข้าจะกลับ!” อาคาเนะตอบเสียงห้วน ใจอยากผลักไสโทชิฮิโระออกไปให้ห่างแต่ร่างกายไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย


“เด็กดี อยู่กับข้าเป็นตัวของตัวเองเข้าไว้ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นให้มาก” โทชิฮิโระลูบหัวให้อาคาเนะเบาๆ โดยไม่กลัวว่าจะถูกตบซ้ำสอง เขาเห็นเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็กกว่าหลุบตาลงซ่อนความประหม่าเอาไว้







อาคาเนะสร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าของร้านและผู้ช่วยด้วยการบอกว่าอีกสองวันเขาจะรับแขกคนเดิมอีกครั้ง สายตาสองคู่หันมองแขกคนที่ว่าพร้อมกัน โทชิฮิโระพาอาคาเนะกลับมาส่งตามที่ตกลงและอยู่รอให้อาคาเนะรักษาคำพูดของตัวเองด้วย


“อีกสองวันเจอกันใหม่” โทชิฮิโระกล่าวลาสั้นๆ ทิ้งบรรยากาศหนักอึ้งเอาไว้ให้กับคนที่เหลืออยู่


“อาคาเนะ เขาทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า” ซาโตรุเดินเข้าไปโอบไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วหันกลับมาถลึงตาใส่โคคิเป็นสัญญาณบอกให้มาช่วยกัน


อาคาเนะไม่เคยทำผิดกฎของตัวเองมาก่อน แต่ภายในวันเดียวเขาทั้งต้องรับแขกในวันหยุดของตัวเอง แล้วยังต้องรับแขกคนนี้อีกครั้งด้วย ทุกอย่างดูไม่ปกติเอาเสียเลย


“เพราะท่าน!” อาคาเนะหันไปตวาดใส่หน้าโคคิที่เพิ่งเดินเข้ามาหา


“ข้า? ข้าเกี่ยวอะไรด้วย”


“เพราะเจ้าปล่อยให้แขกคนนั้นพาอาคาเนะออกไปไม่ใช่หรือโคคิ” กลับเป็นซาโตรุที่ตำหนิโคคิต่อแทน ตอนได้ยินว่าโคคิยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นเขาเองก็โกรธเหมือนกัน ใครจะรู้ว่าพอถูกพาออกไปแล้วอาคาเนะจะถูกทำอะไรบ้าง


“อย่ามารุมข้า เขาจ่ายเงินแล้ว เขามีสิทธิ์ในตัวอาคาเนะทุกอย่าง” คนที่ตกเป็นจำเลยแก้ตัวเสียงเข้ม ธุรกิจอย่างนี้การเอาใจลูกค้าสำคัญที่สุด


“ช่างเถอะพี่ซาโตรุ แค่เจอเขาอีกครั้งเดียวข้าทำได้” เห็นพี่ชายสองคนทำท่าจะทะเลาะกันเพราะตัวเขา ทำให้อาคาเนะเลือกจะยอมถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว


“คืนนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ขอไปนอนก่อน” อาคาเนะบีบลงบนมือที่โอบไหล่เขาอยู่ก่อนบิดตัวออกห่างจากซาโตรุ ก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อลาทั้งสองคนแล้วกลับขึ้นห้องไป


เมื่ออยู่เพียงลำพังอาคาเนะได้คลายอาคมสำหรับพรางร่างจิ้งจอกออกไป เขาถูมือซ้ำๆ อยู่หลายครั้งเพราะกลิ่นของโทชิฮิโระยังคงติดฝังแน่น ผู้ชายโง่ๆ ที่เดินไม่ดูทางคนนั้นดูเปลี่ยนเป็นคนละคนเมื่อเจอกันอีกครั้ง


ยิ่งคิดถึงสัมผัสจากมืออุ่นๆ ความคิดยิ่งสับสนฟุ้งซ่านจนเผลอกัดลงไปบนหลังมือของตัวเองด้วยความหงุดหงิด รสเลือดที่ปลายลิ้นทำให้อาคาเนะเพิ่งนึกได้ว่าคืนนี้นอกจากจะถูกแกล้งเสียมากมายเขายังไม่ได้ดื่มเลือดโทชิฮิโระอีกด้วย พวงหางฟูสะบัดฟาดลงกับพื้นห้องเสียงดังก่อนเด็กหนุ่มจะทิ้งตัวลงนอนแล้วคว้าหางตัวเองมากอดไว้


“โทชิฮิโระ...คราวหน้าจะกัดให้จมเขี้ยวเลยคอยดู”







คฤหาสน์หลังใหญ่ค่อนข้างเงียบมากในยามกลางดึก ไม่มีแสงสว่างจากเปลวไฟใดๆ ถูกจุดขึ้นแม้แต่เทียนสักเล่ม แว่วเสียงไม้ลั่นเบาๆ ตามจังหวะก้าวเท้าของใครบางคนที่เดินผ่านจนกระทั่งชายคนนั้นหยุดเท้าลงเมื่อสังเกตเห็นละอองเย็นชื้นสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอยู่กลางทางเดิน


“คาสุมิ บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าโปรยหิมะกลางทางเดินมันอันตราย” คำตำหนิอย่างไม่จริงจังนักเรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากอากาศที่ว่างเปล่า หิมะที่กำลังตกใต้ชายคาบ้านตกหนักขึ้นและหมุนวนราวกับพายุแล้วค่อยๆ รวมตัวกันเป็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง


“ไม่เอาน่าโทชิฮิโระ แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง” ดวงตาสีฟ้าพราวระยับด้วยความขี้เล่น เส้นผมสีดำยาวของนางพลิ้วไหวทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน ใบหน้างดงามทว่าซีดขาวกรีดยิ้มหวานระหว่างเดินเข้าไปใกล้ชายที่มองนางด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ


“ไหนบอกว่าคืนนี้จะพาจิ้งจอกน้อยมาหา ข้าไม่เห็นเขายอมก้าวเข้าประตูบ้านด้วยซ้ำ” ปีศาจหิมะแสร้งตัดพ้อต่อว่า ทั้งที่ดวงตาของนางดูสนุกเสียยิ่งกว่าอะไร นางคอยดูอยู่ตลอดเมื่อโทชิฮิโระพาลูกครึ่งจิ้งจอกมาได้ถึงหน้าบ้าน และเห็นกระทั่งตอนโทชิฮิโระถูกตบหน้าด้วยซ้ำ


“เพราะเจ้าทำให้เขาลื่นในป่าบนเขาไม่ใช่หรือ อาคาเนะถึงพยายามอยู่ให้ห่างข้า” คนถูกจับได้ทำตาโตเหมือนตกใจเสียเต็มประดา อุบัติเหตุเล็กที่ทำให้อาคาเนะลื่นหล่นลงสู่อ้อมอกโทชิฮิโระเกิดขึ้นจากความช่วยเหลือของหิมะฝีมือคาสุมิเพียงเล็กน้อย แน่นอนว่ามันละลายหายไปก่อนใครจะทันสังเกตเห็น เว้นแค่โทชิฮิโระที่เจอฤทธิ์ของคาสุมิมาจนชิน


“ความเชื่อใจมันต้องค่อยๆ สร้าง เกือบพังกันหมดเพราะความขี้เล่นของเจ้า” หลังจับตาดูอาคาเนะมาระยะหนึ่งทำให้โทชิฮิโระรู้ว่า เด็กหนุ่มคนนั้นค่อนข้างปิดกั้นตัวเองจากคนแปลกหน้า ทั้งตั้งกฎที่ทำให้ไม่ต้องคุ้นเคยกับลูกค้าคนไหน แล้วยังแทบไม่ออกไปข้างนอก


จะว่าไปก็เหมือนจิ้งจอกที่ไม่คุ้นกับมนุษย์ ถ้าโยนอาหารให้ก็จะกระโจนเข้ามาคว้า ยอมให้ได้แตะนิดจับหน่อยแล้วหนีหายกลับเข้าป่าไป เขาถึงต้องพยายามสร้างความคุ้นเคยให้กับอาคาเนะก่อนเป็นอย่างแรก


การพบกันในป่าโดยไม่ใช่การพบกันในฐานะคาเงมะกับแขกคือก้าวแรก และเมื่อพบกันอีกครั้งในฐานะลูกค้าเขาถึงสามารถสั่นคลอนกฎของอาคาเนะได้อย่างง่ายดาย บางคนไม่รู้หรอกว่าตัวเองได้ทำอะไรซ้ำเดิมจนเป็นความเคยชินจนเมื่อสิ่งนั้นแปรเปลี่ยนไป


เขาสร้างรอยแตกร้าวบนกำแพงที่อาคาเนะสร้างไว้ด้วยการเจอกันในช่วงค่ำเป็นครั้งที่สอง พาอาคาเนะออกจากร้านเพื่อให้หลุดออกจากเกราะที่เคยปกป้อง และนั่นทำให้เปลือกนอกที่อาคาเนะสวมอยู่ค่อยๆ หลุดออกไป


“ดูพออกพอใจเชียวนะ คงไม่หลงเสน่ห์จิ้งจอกใช่หรือเปล่า ได้ยินว่าพวกจิ้งจอกถนัดการล่อลวงมนุษย์อยู่แล้วด้วย”


“ข้าไม่อยากถูกผู้หญิงที่หลอกผู้ชายไปกินมาวิจารณ์หรอกนะคาสุมิ” คาสุมิเป็นปีศาจโดยกำเนิด เกิดมาพร้อมกับความคิดที่ว่ามนุษย์คืออาหาร


“หยาบคาย! กินอะไร เขาเรียกการแลกเปลี่ยน ข้ากินแค่วิญญาณด้วย ไม่ได้เขมือบเข้าไปทั้งตัวเสียหน่อย” สาวสวยทำแก้มพองลมอย่างขัดเคืองแล้วฟาดฝ่ามือใส่แขนของโทชิฮิโระ


“อย่าแกล้งอาคาเนะอีกแล้วกัน ถ้าเขาหนีเตลิดไปก่อน เจ้าคงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” คนถูกว่าเบ้ปากแต่ไม่เถียงอะไรก่อนจะหายตัวไปพร้อมสายลมเย็นยะเยือก โทชิฮิโระปัดเศษหิมะออกจากต้นแขนตัวเองตรงที่ถูกคาสุมิตีเมื่อครู่


นางเป็นปีศาจหิมะ ทุกสิ่งที่นางสัมผัสจึงกลายเป็นน้ำแข็งเสมอ บางครั้งคาสุมิก็ชอบเอาความสามารถนั้นมาแกล้งคนอื่นเพื่อความสนุกของตัวเอง


สัมผัสเย็นเฉียบช่างแตกต่างจากผิวเนื้อของจิ้งจอกตัวน้อย คิดถึงท่าทางสั่นกลัวแล้วนึกอยากเห็นอาคาเนะตกอยู่ในสภาพนั้นในร่างจิ้งจอกบ้างคงน่าเอ็นดูไม่น้อย



หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ 【Fantasy & Period】บทที่ 2 22/12/16
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-12-2016 08:06:29
สารภาพว่าเราใจร้อน แอบไปอ่านจากอีกที่หนึ่งจนจบแล้ว
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ 【Fantasy & Period】บทที่ 2 22/12/16
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 22-12-2016 12:59:48
สนุกมากค่ะ สู้ๆจิ้งจอกน้อย
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ 【Fantasy & Period】บทที่ 3 22/12/16
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 22-12-2016 18:22:16
บทที่ 3

คืนที่ 2






คืนนี้นับเป็นครั้งแรกที่อาคาเนะรู้สึกกระวนกระวายก่อนถึงเวลารับรองแขก เขาเดินวนไปรอบห้องกอดอกและแตะนิ้วกับปลายคางตัวเองแทบตลอดเวลา


เวลาสองวันที่เขาตกลงกับโทชิฮิโระเอาไว้มาถึงแล้ว คืนนี้เขาจะต้องพบชายคนนั้นเป็นครั้งที่สาม จำนวนที่มากกว่าแขกคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดทำให้อาคาเนะกังวล


ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองกาน้ำชาที่เตรียมไว้ด้วยความตั้งใจ คอยมองว่ามันจะไม่หายไปไหน ปกติอาคาเนะไม่ลงมารอแขกคนไหนในห้องก่อนแขกจะมา แต่กับโทชิฮิโระเขาไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด


ก่อนหน้านี้ซาโตรุถามเขาแล้วว่าอยากยกเลิกนัดคืนนี้ไหม แต่ถ้าทำพวกเขาจะต้องคืนเงินครึ่งหนึ่งให้โทชิฮิโระไป ซึ่งโคคิโวยวายทันที พอเห็นสองคนเริ่มแยกเขี้ยวใส่กันอีกอาคาเนะจึงรีบปฏิเสธ เขารู้ว่าซาโตรุเป็นห่วง แต่เมื่อเขาเป็นคนก่อปัญหานี้ขึ้นมาย่อมต้องแก้ด้วยเอง


“ห้องนี้ขอรับ” เสียงของซาโตรุที่ดังผ่านประตูเข้ามาบ่งบอกว่าโทชิฮิโระมาถึงแล้ว อาคาเนะสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ตบแก้มตัวเองเบาๆ แล้วพยายามฉีกยิ้ม


“ขอให้มีความสุขกับค่ำคืนนี้” ซาโตรุเอ่ยลาด้วยประโยคเดิมที่ใช้พูดกับแขกทุกคน สายตาเป็นห่วงทอดมองมายังเด็กหนุ่มในห้อง อาคาเนะขยับยิ้มและกดหน้าลงเล็กน้อยเพื่อบอกว่าเขาจะไม่เป็นไร ซาโตรุจึงเดินจากไปในที่สุด


“หืม วันนี้ลงมารอข้าหรือ” แค่ประโยคแรกของโทชิฮิโระก็ทำเอาอาคาเนะทำหน้าไม่ถูก วันก่อนเขาเป็นฝ่ายปล่อยให้โทชิฮิโระรอ แต่วันนี้กลับเอาตัวเองมานั่งรอก่อน มองจากสายตาคนนอกแล้วกลับกลายเป็นเช่นนั้นไปเสียได้


“แค่ไม่อยากเสียมารยาทกับท่านอีกก็เท่านั้น” สายตาที่มักมองมาด้วยรอยยิ้มจางๆ ทำให้อาคาเนะรู้สึกแปลกๆ ในอก โทชิฮิโระคือคนแรกในหลายเรื่องสำหรับเขา มากเสียจนยากที่จะรักษาความสงบเอาไว้ได้


“วันนี้ข้าจะตามใจเจ้าบ้าง ทำตัวเหมือนที่ทำกับแขกทุกคนสิ” คราวก่อนเขาดึงดันพาอาคาเนะออกไปข้างนอกจนอีกฝ่ายสติกระเจิดกระเจิงไปก่อน วันนี้เลยจะยอมอ่อนข้อให้สักนิด ให้อาคาเนะได้ทำในสิ่งที่คุ้นเคย


ประโยคนั้นทำให้อาคาเนะรู้สึกเบาใจขึ้น เขาเชิญโทชิฮิโระให้นั่งลงหน้าสำรับสุราอาหารที่ถูกเตรียมไว้ให้ แล้วนั่งลงข้างๆ กัน แต่ยังไม่ทันได้แตะขวดเหล้าเพื่อรินให้ มือใหญ่ก็คว้าเข้าที่เอวเสียก่อน


“วันนี้ก็จะไม่เรียกชื่อข้าหรือ” น้ำเสียงของคนถามทอดยาวฟังดูเหมือนกำลังอ้อนอยู่ในที แต่ไม่ได้ทำให้อาคาเนะยอมใจอ่อนให้ ชื่อของโทชิฮิโระไม่เคยหลุดออกจากปากของอาคาเนะแม้สักครั้ง ถ้าต้องการเรียกเด็กหนุ่มคนนี้จะเรียกเขาเพียง ‘นายท่าน’ เท่านั้น


“หลังคืนนี้เราคงไม่ต้องพบกันอีกแล้ว ท่านอย่าพยายามนักเลย” ไม่รู้ทำไมโทชิฮิโระถึงกัดเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย เรียกชื่อกันแล้วทำไม ไม่เรียกชื่อกันแล้วทำไม สุดท้ายเมื่อผ่านพ้นคืนนี้พวกเขาก็จะเป็นเพียงคนเคยพบกัน


“ใจร้ายจริง” ปากตัดพ้อแต่มือรวบเอวบางเข้ามาหามากขึ้นจนอาคาเนะแทบนั่งเกยขึ้นไปบนตัก ใบหน้าของเด็กหนุ่มขึ้นสีน้อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่าสร้างความพึงพอใจให้โทชิฮิโระได้เป็นอย่างดี


“ปล่อย มันอึดอัด” อาคาเนะพยายามบิดตัวออกจากวงแขนของโทชิฮิโระ แต่ทำอะไรไม่ได้มากเพราะโทชิฮิโระไม่ยอมลดมือลงเลยสักนิดเดียว


“ปกติไม่ทำอย่างนี้กับคนอื่นหรือ”


“ไม่”


“ดี ข้าชอบเป็นคนแรกของเจ้า ในหลายๆ ความหมาย” ดวงตาคนฟังเบิกกว้างขึ้น รู้สึกเห่อร้อนที่สองข้างแก้มจนต้องเบือนหน้าหนี ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าหน้าเขาต้องกำลังแดงอยู่แน่ๆ


“นั่งนิ่งๆ แล้วข้าจะกอดให้หลวมกว่านี้” โทชิฮิโระหันไปกระซิบข้างหูอาคาเนะ สัมผัสชิดใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่กำลังรินรดใบหน้าทำให้อาคาเนะยอมปิดปากและนั่งนิ่งตามคำสั่ง


“เด็กดี” คำชมตามมาด้วยมือที่ยอมผ่อนแรงลงช่วยให้อาคาเนะมีช่องว่างพอจะเอี้ยวตัวไปทำหน้างอใส่อีกคนได้


“ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย ถ้าเห็นข้าเป็นเด็กก็อย่ามารุ่มร่ามกับข้าสิ” ทุกครั้งที่ชมโทชิฮิโระมักชมเขาว่าเด็กดีเสมอ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่นักหรือ ทั้งขี้แกล้ง ทั้งเอาแต่ใจ หน้าตาก็ไม่เหมือนคนอายุมาก แว่วเสียงหัวเราะจากคนถูกต่อว่า อาคาเนะเลยกำหมัดชกใส่ต้นแขนโทชิฮิโระไปเบาๆ


“ตลกอะไร” อาคาเนะถามเสียงขุ่นนึกอยากจับโทชิฮิโระกรอกยาสลบเสียให้รู้แล้วรู้รอด


“คนที่โตแล้วเขาไม่โกรธกันเพราะเรื่องนี้หรอกอาคาเนะ” หงุดหงิดจนพาลใส่เพราะถูกหาว่าเป็นเด็กก็คงมีแต่เด็กเท่านั้นที่จะโกรธ โทชิฮิโระยักคิ้วใส่คนที่อ้าปากค้างเหมือนอยากจะสบถออกไปแต่จำต้องกลั้นเสียงของตัวเองไว้


สุดท้ายเลยหันไปทำเสียงฮึดฮัดอีกด้านแทน


“ท่านนี่มันบ้าของแท้” อาคาเนะบ่นในขณะที่มือคอยเติมเหล้าใส่จอกให้โทชิฮิโระไปด้วย แขกที่เอาแต่พูดจายียวนกวนประสาทเท่านี้ชาตินี้ไม่รู้จะมีมาอีกไหม แต่คิดว่าคงหาได้ยาก


“ข้าชอบเห็นเจ้าเป็นตัวของตัวเองมากกว่าสวมหน้ากากยิ้มแย้มรับแขกอย่างทุกวัน”


“พูดอย่างกับท่านเคยเห็น” อาคาเนะทำเสียงขึ้นจมูก น่าเจ็บใจที่โทชิฮิโระพูดถูก ที่ผ่านมาเขารับแขกทุกคนโดยการสวมหน้ากากเดิมทุกครั้ง


แขกแต่ละคนอาจมาจากสถานที่ต่างกัน แต่พวกเขาล้วนมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน มันจึงง่ายมากที่จะแสร้งทำเป็นรับฟังเรื่องที่พวกเขาอยากจะเล่า แล้วเพียงแค่ตอบรับโดยไม่ต้องใส่ใจฟัง คอยยิ้มให้กว้างและอย่าปล่อยให้จอกเหล้าว่างเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


“แค่ข้าได้เห็นเจ้าอย่างที่ทุกคนไม่เคยเห็นก็พอ” คำพูดอย่างตรงไปตรงมาทำให้เสี้ยวหนึ่งในใจอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด ถึงจะชอบพูดอะไรให้ขัดหู แต่การเข้าหาอย่างตรงไปตรงมาของโทชิฮิโระทำให้อาคาเนะเผลอแสดงตัวตนออกมามากทีเดียว


“ดื่มกับข้าสิอาคาเนะ ดื่มคนเดียวจะไปสนุกอะไร” จอกเหล้าที่เพิ่งส่งไปถูกดันกลับใส่มือของอาคาเนะอีกครั้งโดยมีสายตาของโทชิฮิโระคอยมองตามเหมือนเป็นการบังคับกลายๆ อาคาเนะถอนหายใจพลางวางจอกในมือลง แล้วลุกไปหยิบถ้วยชาใบหนึ่งมาถือแทน


“จอกของท่านข้าคืนให้ ข้าดื่มจากถ้วยนี้ได้” มือเรียวยกขวดเหล้ามารินลงถ้วยชาแล้วยกขึ้นเทลงคอรวดเดียวหมดก่อนหันมายักคิ้วให้โทชิฮิโระ


“คิดว่าข้าจะดื่มไม่เก่งหรือ ท่านคิดผิดแล้ว” ถึงจะไม่ชอบดื่มแต่ไม่ใช่ว่าดื่มไม่ได้ ถ้าวัดกันเรื่องใครคอแข็ง เขามั่นใจว่าชนะทุกคนในร้านด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะความได้เปรียบทางสภาพร่างกายด้วย


“เชิญเลยข้าเลี้ยงเอง” โทชิฮิโระยกจอกของตัวเองไปทางอาคาเนะเช่นเดียวกับที่เพื่อนดื่มเหล้ามักทำกัน หลังจากนั้นบรรยากาศระหว่างพวกเขาจึงเริ่มผ่อนคลายขึ้น


“เจ้าคารมขนาดท่านทำไมไม่ไปเกี้ยวพวกสาวงามเมือง หรือลูกขุนนางสักคน พวกนางต้องยอมสยบแทบเท้าท่านแน่ มายุ่งกับข้าทำไม” ถ้าหากโทชิฮิโระเอาถ้อยคำทั้งหมดที่พูดกับเขาไปพูดให้พวกผู้หญิงฟัง อาคาเนะมั่นใจเลยว่าพวกนางคงหลงชายคนนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น


“เพราะคนที่ข้าสนใจคือเจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือ” หลังผลัดกันดื่มเหล้าจนต้องสั่งเพิ่มมาสองครั้ง โทชิฮิโระยังคงดูมีสติครบถ้วนมีเพียงใบหน้าที่เริ่มแดงขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น


อาคาเนะไม่ได้ตั้งใจฟังนักเพราะกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้โทชิฮิโระยอมดื่มชาที่เตรียมไว้ดี ขืนยังดวลเหล้ากันอยู่อย่างนี้จนสว่างก็คงยังไม่หลับ


“อาคาเนะ” คนเรียกมองตามสายตาอาคาเนะไปแล้วลอบยิ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะซ่อนรอยยิ้มนั้นเมื่ออาคาเนะหันมามอง


“ข้าว่าเราดื่มมากไปแล้ว คืนนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อดื่มอย่างเดียว รินชามาให้ข้าที” โทชิฮิโระยกมือขึ้นนวดขมับเพื่อไม่ให้อาคาเนะเห็นว่าเขามองอยู่ แววตาของอาคาเนะเป็นประกายขึ้นมาแต่ยังคงเก็บสีหน้าเอาไว้ได้ระหว่างลุกไปยกกาน้ำชามาให้


“รินใส่จอกของท่านได้ไหม ข้าใช้ถ้วยชาไปแล้ว” จอกเหล้าถูกยื่นให้แทนคำตอบ อาคาเนะรินน้ำชาลงไปจนเต็มแล้วนั่งมองโทชิฮิโระดื่มมันลงไปจนหมด


“เติมอีกไหม” มันฟังดูเหมือนคำถามด้วยความหวังดี แต่อาคาเนะแค่อยากจะแน่ใจว่ายาของเขาจะได้ผล โทชิฮิโระไม่ได้ปฏิเสธเขาจึงรินชาใส่ลงไปเพิ่มจนแทบล้นถ้วย


“ข้าให้คนมายกสำรับออกไปนะขอรับ ท่านไปรอข้างในก่อนก็ได้” ห้องที่อาคาเนะเลือกใช้ในคืนนี้แบ่งออกไปสองห้องเล็กๆ กั้นด้วยฉากกั้นซึ่งวาดลวดลายดอกซาะกุระและกระแสน้ำเอาไว้ แยกส่วนที่ใช้นั่งดื่มกินและส่วนห้องนอนไว้อย่างชัดเจน


อาคาเนะยืนมองคนทำความสะอาดเข้ามายกสำรับออกไปตามหน้าที่ แต่พอหมุนตัวกลับมากลับพบกับร่างสูงใหญ่ที่เข้ามายืนใกล้เสียจนจมูกเขาแทบชนกับคางของโทชิฮิโระเข้า ยังไม่ทันออกปากบ่นร่างของอาคาเนะก็ถูกช้อนขึ้นเสียจนตัวลอย


“ทำอะไรของท่าน!” คนถูกอุ้มแหวเสียงเขียว แต่มือดันตวัดขึ้นโอบรอคอคนอุ้มตามสัญชาตญาณไปก่อนแล้ว


“ขี้เกียจรอเจ้าเดินไปหา ตัวเบากว่าที่คิดอีกนะ”


“โกหก แค่ชุดนี่ก็หนักจะแย่” กิโมโนราคาแพงพวกนี้ไม่รู้ว่าคิดราคาตามน้ำหนักไหม เพราะทั้งหนาแล้วก็หนักจนขยับตัวไม่สะดวก แล้วเขาเองก็เป็นผู้ชายย่อมไม่ทีทางตัวเบาเหมือนพวกผู้หญิงอยู่แล้ว


“พูดมากจริง เก็บปากเจ้าไว้ทำอย่างอื่นดีกว่าไหม” คนถูกว่าหุบปากฉับปล่อยให้โทชิฮิโระอุ้มไปวางลงบนฟูกที่ปูเตรียมไว้หลังฉากกั้นอย่างว่าง่าย แต่แทนที่วางลงแล้วจะถอยห่างออกไปโทชิฮิโระกลับเลื่อนตัวขึ้นมาคร่อมร่างของอาคาเนะเอาไว้แทน


มือใหญ่ลูบไล้ตั้งแต่ฐานคอเรียบเนียนผ่านไหล่จนมาถึงต้นแขน รับรู้ได้ว่าร่างของอาคาเนะกำลังสั่นน้อยๆ ยิ่งพอเหลือบสายตาขึ้นไปสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยิ่งเห็นว่ามันกำลังวูบไหวอย่างรุนแรง


“ยังไม่ชินกับสัมผัสของผู้ชายอีกหรือ” ไม่ชิน ไม่ชินเลยสักนิด อาคาเนะอยากตะโกนออกไปใจแทบขาดแต่ทำไม่ได้ มือของเขาเริ่มเย็นด้วยความกังวลที่ไม่เห็นโทชิฮิโระหมดสติไปเสียที


หรือว่ายาไม่ได้ผล?!


อาคาเนะแทบกลั้นหายใจเมื่อโทชิฮิโระแทรกเข่าเข้ามาระหว่างขาของเขาพร้อมทั้งโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาคมเข้มจ้องลึกเข้ามาในดวงตาเขาพร้อมกระซิบเสียงนุ่ม


“ข้าจะจูบ อย่าตบข้าอีกเข้าใจไหม” ใบหน้าคนฟังขึ้นสีวาบด้วยความอายที่พุ่งสูง ยังจำได้ดีถึงจูบครั้งก่อนที่ถึงจะจูบแค่หน้าผาก เขาก็ยังตกใจเสียจนเผลอตบหน้าโทชิฮิโระเข้า คราวนี้ยังมาบอกล่วงหน้าอย่างชัดเจน หัวใจในอกซ้ายเลยทรยศด้วยการเต้นแรงไม่ยอมหยุด


อาคาเนะหลับตาแน่นไม่กล้าสบตาโทชิฮิโระ ร่างกายอ่อนแรงจนลืมที่จะดิ้นรนออกจากใต้ร่างนี้ สัมผัสแรกแตะลงแผ่วเบาตรงกลางหน้าผากทำให้อาคาเนะเผลอลืมตาขึ้น แต่ก็ต้องรีบปิดตาลงอีกครั้งเมื่อเห็นริมฝีปากของโทชิฮิโระใกล้เข้ามา คราวนี้มันแตะลงบนเปลือกตาข้างซ้ายก่อนย้ายมายังเปลือกตาข้างขวา


สัมผัสอ่อนโยนและทะนุถนอมราวกับของมีค่าช่วยให้อาคาเนะรู้สึกผ่อนคลายลง เขาปรือตาขึ้นมองและได้เห็นว่าโทชิฮิโระกำลังยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่น


“เด็กดี อาคาเนะของข้า” คำชมที่เคยฟังขัดหูตอนนี้ฟังดูลื่นหูขึ้นกว่าเดิมสามเท่า อาคาเนะปิดตาลงอีกครั้งเมื่อรับรู้ถึงลมหายใจที่รินรดใบหน้า สัมผัสอุ่นนุ่มแนบลงกับริมฝีกปาก แตะผะแผ่วซ้ำๆ สลับกับแรงเม้มน้อยๆ ทำให้มือของอาคาเนะค่อยๆ เลื่อนไปคล้องรอบคอของโทชิฮิโระอย่างช้าๆ จูบแรกระหว่างพวกเขาไม่มีการรุกล้ำใดๆ จนเมื่ออาคาเนะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงมามากขึ้นบนร่างเขาจึงลืมตาขึ้น


“นายท่าน” ไม่มีเสียงตอบจากคนที่ซบหน้าลงกับบ่าของเขา อาคาเนะถอนหายใจยืดยาวเมื่อแน่ใจว่าคนที่นอนทับเขาอยู่ได้หลับด้วยฤทธิ์ยาไปแล้ว


สองมือค่อยๆ ดันตัวโทชิฮิโระให้พลิกลงไปนอนหงายที่ด้านข้าง อาคาเนะลุกขึ้นนั่งชันเข่า วางแขนพาดเข่าข้างนั้นแล้วเกยคางลงไป สายตาทอดมองไปยังคนหลับสนิท มองดูแผ่นอกนั้นขยับขึ้นลงด้วยสายตาว่างเปล่า


ร่างกายยังคงร้อนด้วยความอบอุ่นที่โทชิฮิโระมอบให้ อาคาเนะไม่เคยจูบกับใครมาก่อน เขาไม่รู้ว่าถ้าเป็นคนอื่นจะทำให้รู้สึกดีได้มากเท่านี้ไหม แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้น


“ข้าไม่น่ามาเจอท่านเลย” ความอบอุ่นเป็นสิ่งที่อาคาเนะลืมเลือนมันมาหลายปีแล้ว ถึงจะมีซาโตรุหรือโคคิคอยเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่เขาไม่เคยยอมให้สองคนนั้นได้เข้าใกล้เขามากเท่าที่โทชิฮิโระทำ อาคาเนะคิดว่าตัวเองเคยชินกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่โทชิฮิโระกำลังทำให้เขาไม่แน่ใจ


อาคาเนะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน คว้าผ้าห่มที่พับไว้ออกมาคลี่แล้วห่มให้กับโทชิฮิโระก่อนจะหมุนตัวกลับหลังเพื่อออกไปจากห้อง แต่ชะงักเท้าเพียงชั่วครู่


“ลาก่อน ท่านโทชิฮิโระ” คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่อาคาเนะจะไม่ได้ดื่มเลือดมนุษย์ เขาไม่ได้ดื่มมันเพื่ออยู่รอดแต่ใช้เพียงดับความกระหายของสายเลือดปีศาจเท่านั้น เพื่อไม่ให้ขาดสติจนออกไปทำร้ายใครเข้า ทำให้อาคาเนะพอจะอดมันได้ราวสามถึงสี่วัน เอาไว้เขาจะดื่มให้มากขึ้นจากแขกคนต่อไป แต่เขาจะไม่เข้าใกล้โทชิฮิโระมากกว่านี้อีกแล้ว


เมื่อรอจนเสียงฝีเท้าของอาคาเนะห่างออกไปแล้วโทชิฮิโระจึงลืมตาขึ้น รอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้า เขาแค่แกล้งหลับตามที่อาคาเนะต้องการเพื่อรอดูท่าที ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะยอมออกไปโดยไม่แตะเลือดเขาสักหยด ทั้งที่ออกจะอยากให้ชินกับรสเลือดของเขาแท้ๆ


“ครั้งหน้าข้าจะฟังเจ้าเรียกชื่อข้าต่อหน้าให้เอง”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


จริงๆ แล้วพระเอกเราเป็นเจ้าของไร่อ้อยค่ะ เรื่องอ่อยขอให้บอก กำลังพยายามก่อคดีล่อลวงเด็กอยู่  :laugh:

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน มาเม้นค่ะ ขอฝากจิ้งจอกตัวน้อยๆ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกท่านด้วย :pig4:


ขอตอบเม้นไว้ในนี้เลยนะคะ

สนุกมากค่ะ สู้ๆจิ้งจอกน้อย

ขอบคุณค่า จิ้งจอกน้อยโดนแกล้งบ่อยมากๆ ค่ะ แต่ไม่รักไม่แกล้งเนอะ  :hao3:



:z13:
จิ้มค่ะจิ้ม เดี๋ยวมาอ่านนะคะ

 :กอด1: คว้าคนจิ้มมากอด อ่านแล้วเป็นยังไงบอกได้นะคะ



สารภาพว่าเราใจร้อน แอบไปอ่านจากอีกที่หนึ่งจนจบแล้ว
ขอบคุณคนเขียนค่ะ


 :a5: คืนเดียวจบเลยหรอคะ คาราวะหนึ่งจอก สนุกมั้ยคะ ขอบคุณที่มาอ่านเช่นกันค่า  :L2:




จะมาลงให้เรื่อยๆ นะคะ เจอกันใหม่ตอนหน้าค่าทุกคน  :bye2:



หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 4 [23/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 23-12-2016 16:04:06
บทที่ 4

คิดถึง?






เช้าวันรุ่งขึ้นอาคาเนะไม่ได้โผล่หน้าไปส่งโทชิฮิโระตามมารยาท เขาขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่แม้แต่จะขานรับเสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงของซาโตรุ เมื่อคืนอาคาเนะนอนไม่หลับไม่ว่าจะพยายามข่มตาสักเท่าไร จูบของโทชิฮิโระยังคงหลงเหลือสัมผัสอยู่จนตอนนี้


“เข้าไปสิ!” แว่วเสียงของซาโตรุดุใครสักคนอยู่หน้าห้อง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนคนนั้นต้องเป็นโคคิแน่ๆ


ถึงเจ้าของร้านตามที่ทุกคนรู้จะเป็นโคคิ แต่บางครั้งอาคาเนะก็อดคิดไม่ได้ว่าซาโตรุต่างหากที่เป็นเจ้าของร้านตัวจริง เพราะนอกจากจะดูแลเรื่องการเงินของร้านแล้วยังต้องดูแลตัวเจ้าของร้านไปด้วย


“ถ้าอาคาเนะไม่พร้อมรับแขก เจ้าก็เดือดร้อนเองนะ”


“เออ รู้แล้วน่า” คราวนี้มีเสียงโคคิดังแทรกขึ้นมาบ้างพร้อมกับประตูที่เปิดออก อาคาเนะเหลียวมองชายสองคนที่เดินเข้ามาด้วยกัน เห็นซาโตรุกระทุ้งศอกใส่เอวโคคิไปเต็มแรงและนั่นน่าจะเจ็บ


“เรามาดูว่าเจ้าเป็นอะไรไหม ซาโตรุบอกว่าเจ้าไม่ได้กินข้าวเช้า”


“เมื่อคืนข้าดื่มเยอะไปหน่อยเลยยังไม่อยากกินอะไร” อาคาเนะแก้ตัวง่ายๆ แล้วยิ้มให้เป็นการเสริมคำพูด เมื่อคืนเขาเองก็ดื่มไปมากจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้เมาสักนิด


“เห็นไหมบอกแล้วว่าเจ้าหนูนี่ไม่เป็นอะไร” โคคิหันไปพูดใส่หน้าซาโตรุเลยโดนหยิกเอวเข้าให้อีกที ซาโตรุหยิกด้วยรอยยิ้มเลยด้วย


“มันเจ็บนะ!” โคคิเด้งตัวออกห่างจากเพื่อนสนิทพลางถูสีข้างตัวเองไปด้วย


“พวกท่านกัดกันอย่างกับคู่สามีภรรยา” อาคาเนะเอ่ยกลั้วหัวเราะ ถ้าเปรียบร้านนี้เป็นครอบครัว โคคิต้องเป็นพ่อที่ถูกแม่อย่างซาโตรุข่มอยู่ทุกวันเป็นแน่


ไม่ใช่สักหน่อย!” กลับกลายเป็นสองคนที่ยังกัดกัดอยู่เมื่อครู่หันมาประสานเสียงกันปฏิเสธจนอาคาเนะหัวเราะค้าง จนกระทั่งโคคิทำเป็นไอออกมา


“ถ้าหายแล้วเกิดหิวก็ไปที่ครัวนะอาคาเนะ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำ ซาโตรุคอยเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ ไม่เหมือนโคคิ รายนั้นออกแนวลูกผู้ชายสุดกู่ เอะอะโวยวายไร้ความอ่อนโยน แต่ถึงเวลาก็พึ่งพาได้ไม่แพ้กัน เพราะถึงอย่างไรคนแรกที่ยื่นมือมาช่วยเขาก็คือโคคิอยู่ดี


“เจ้าก็อย่าทำตัวเหมือนคนอกหักให้มาก พอซาโตรุเป็นห่วงแล้วมันเดือดร้อนมาถึงข้า” โคคิบ่นอย่างไม่จริงจังนักแต่มันสะกิดใจอาคาเนะจนต้องย้อนถาม


“อกหัก? ข้าหรือ”


“ยังจะถามอีก ทั้งเหม่อทั้งซึม ข้าวก็ไม่กินอีก ใครเขาก็คิดว่าอกหักกันทั้งนั้น โอ๊ย!” โคคิร้องลั่นเพราะถูกซาโตรุแทงศอกใส่เข้าให้อีกรอบ


“ข้า...แค่กำลังคิด” อาคาเนะรู้ตัวว่าเป็นตามที่โคคิพูด แต่เขาไม่รู้จักการอกหักเพราะไม่เคยหลงรักใครมาก่อน


“จะไปรู้หรือ เห็นเจ้ายอมเจอหน้าแขกคนเมื่อคืนตั้งสองครั้งนึกว่าถูกใจกัน ข้ายังสงสัยอยู่ว่าจะมีครั้งที่สามไหม”


“หุบปากเสียทีโคคิ ออกไปเลยไป” ซาโตรุออกปากไล่เสียงแข็งจนโคคิได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ชี้หน้าเหมือนจะต่อว่า แต่พอซาโตรุถลึงตาใส่ก็จำต้องย้ายตัวเองออกจากห้องไป


“อาคาเนะ ข้าถามเจ้าตรงๆ นะ กับแขกคนนั้นมีเรื่องอะไรไหม” ซาโตรุเดินมานั่งใกล้ๆ ถามเสียงอ่อน เขาเอ็นดูอาคาเนะมากกว่าคนอื่นในร้านเขายอมรับ เพราะอาคาเนะเป็นเด็กที่ไม่รู้จักร้องขอความรักจากใคร


คนอื่นๆ หากว่าเหงาหรือเศร้าก็มักเลือกจะออดอ้อนขอความเอาอกเอาใจจากแขกประจำของตน แต่อาคาเนะไม่มีคนแบบนั้น ไม่มีใครไว้เป็นที่พึ่งสักคน


“ข้า...” อาคาเนะลำบากใจที่จะเล่าเพราะเขาไม่สามารถบอกซาโตรุได้ว่าที่ผ่านมาเขาทำอะไรกับแขกคนอื่น


“เขาสำคัญมากกว่าแขกคนอื่นหรือเปล่า” คำถามต่อมาทำให้อาคาเนะยิ่งจนคำพูดมากกว่าเดิม เขารู้ว่าแค่ว่าโทชิฮิโระได้สอนให้เขารู้จักความอุ่นที่ไม่เหมือนใคร มันต่างจากความห่วงใยที่โคคิและซาโตรุมีให้


“ข้าจะไม่พบเขาอีกแล้ว”


“ทำไม เพราะกฎของเจ้าหรือ” เด็กหนุ่มเม้มปากก่อนจะพยักหน้า กฎของเขาไม่เคยมีข้อยกเว้น แค่เจอกันอีกครั้งก็มากเกินไปแล้ว


“อาคาเนะ มันไม่ผิดหรอกนะถ้าเจ้าจะสนิทสนมหรือชอบพอใครสักคน ไม่เห็นหรือว่าพวกพี่ๆ เจ้าต่างก็มีแขกประจำที่พบกันบ่อยๆ”


“แต่พวกเขาก็เพียงเจอกันแล้วจากกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น ข้าไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วพี่ซาโตรุ” อุณหภูมิร่างกายเย็นชืดของพ่อเขายังจำได้ดี เมื่อถึงวันหนึ่งสุดท้ายทุกคนก็ต้องจากกัน ความปวดร้าวทรมานอย่างนั้นเขาไม่อยากทนรับมันอีก


“แล้วตอนนี้เจ้าสบายดีหรือ” เป็นคำถามที่ให้อาคาเนะต้องยกมือขึ้นจับหน้าอกของตัวเอง ตอนนี้มันอึดอัดและรู้สึกหน่วงๆ แต่ไม่ได้ทรมานจนทนไม่ได้ อาคาเนะจึงส่ายหน้าตอบกลับไป คนโตกว่าเลยถอนหายใจออกมาเบาๆ


“ไม่เป็นอะไรก็ดี แต่ถ้ามีอะไรอยากปรึกษามาหาข้าได้รู้ไหม” ซาโตรุตบบ่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคล้ายปลอบใจก่อนลุกขึ้น อาคาเนะพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นเดินตามไปส่งซาโตรุที่หน้าประตู เมื่อประตูถูกปิดลงอาคาเนะได้เอนตัวพิงประตูแล้วค่อยๆ ทิ้งตัวลง


ตอนที่พ่ออาการทรุดลงเรื่อยๆ เขาเคยดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อจะรั้งชีวิตท่านเอาไว้ แต่แล้วความเป็นจริงก็สอนให้เขารู้ว่า ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด มนุษย์ก็ต้องตายอยู่ดี ช่องว่างระหว่างสายเลือดมนุษย์และปีศาจ คืออายุขัยที่ยากจะอยู่ร่วมกันได้ วันหนึ่งโคคิกับซาโตรุก็ต้องตายจากไป จะมีประโยชน์อะไรที่จะผูกพันกับมนุษย์เหล่านั้น


มือขวาเลื่อนขึ้นกุมแน่นบนอกข้างซ้าย ความปั่นป่วนที่กำลังอาละวาดในอกนี้เขาอยากจะกำจัดมันออกไปในเร็ววัน







...ทำไม่ได้...


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงด้วยความขุ่นมัวในใจ สามวันแล้วนับจากวันที่เจอโทชิฮิโระครั้งสุดท้าย เดิมทีอาคาเนะคิดว่าการกลับมาใช้ชีวิตตามรูปแบบปกติและการรับแขกคนอื่นจะทำให้เขาลืมสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับโทชิฮิโระได้


แต่มันไม่ใกล้เคียงเลย ยิ่งนานวันเขายิ่งคิดถึงมันมากขึ้นด้วยซ้ำ


เสียงพูดเจื้อยแจ้วของแขกที่กำลังเมาได้ที่ไม่ได้เข้าหูเขาสักนิด เมาขนาดนี้ต่อให้ไม่วางยาก็คงหลับเป็นตายในไม่ช้า ไม่นานนักอาคาเนะก็ได้ยินเสียงร่างที่ทั้งหนาและหนักล้มตึงไปนอนหลับสนิทพร้อมส่งเสียงกรนในลำคอ


เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางลุกขึ้น ตัดสินใจทิ้งแขกขี้เมาเอาไว้แล้วกลับขึ้นห้องของตัวเอง


กิโมโนชั้นนอกถูกปลดออกแล้วปล่อยให้ลงไปกองอยู่กับพื้น อาคาเนะเลือกหยิบกิโมโนสีดำที่บางและเบากว่าเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก นอกจากเบาตัวแล้วยังช่วยให้กลืนไปกับความมืดได้ด้วย


อาคมถูกคลายออกพร้อมร่างครึ่งจิ้งจอกที่เผยออกมา คืนนี้ถ้าไม่ออกไปรับลมข้างนอกบ้างอาคาเนะคงไม่สามรถสงบใจลงได้
เมื่ออยู่ในร่างนี้ร่างกายของอาคาเนะจะเบาขึ้นทำให้เขาสามารถกระโจนไปบนหลังคาได้โดยแทบไร้เสียง สายลมที่พัดผ่านไปช่วยให้ใจค่อยผ่อนคลาย คืนนี้อากาศไม่หนาวมาก เย็นสบายกำลังดี


อาคาเนะหยุดมองลงไปยังถนนด้านล่างเป็นระยะ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาเดินไปบนทางของตัวเอง เขาเองก็เคยเป็นแบบนั้นจนเมื่อมีใครบางคนก้าวเข้ามาในชีวิต


เส้นทางราบเรียบที่เคยขีดไว้เป็นเส้นตรงเกิดมีชายคนหนึ่งเข้ามายืนขวาง เดือนร้อนเขาต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหาทางที่จะเดินต่อไป นึกแล้วขัดใจที่ไม่ได้กัดให้จมเขี้ยวอย่างที่ตั้งใจไว้ อย่างน้อยได้ฝากรอยแผลไว้ให้โทชิฮิโระบ้างเขาอาจจะสบายใจมากกว่านี้


โดยไม่รู้ตัวอาคาเนะได้ออกห่างจากร้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดบนหลังคากระท่อมเล็กๆ แต่พอมองออกไปอีกด้านกลับพบกับคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แยกตัวออกห่างจากตัวเมืองชั้นใน เป็นคฤหาสน์ที่คุ้นตาเสียจนเผลอกำมือทั้งสองข้างแน่น


ทั้งที่ตั้งใจจะลืมแต่จิตใต้สำนึกกลับพาเขามาถึงที่นี่จนได้


คิดถึง?


อาคาเนะสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อสลัดความคิดชวนขนลุกให้ออกไปจากสมอง หันหลังให้กับคฤหาสน์ที่เขาเคยปฏิเสธจะเข้าไป ทว่าสายลมกลับหอบเอากลิ่นคาวเลือดลอยมาหาจากทิศทางที่คฤหาสน์ตั้งอยู่ กลิ่นนั้นทำให้อาคาเนะรีบกระโจนออกไปก่อนสมองจะทันคิด


รั้วล้อมรอบคฤหาสน์ไม่เป็นอุปสรรคต่ออาคาเนะสักนิด เขากระโดดข้ามมันไปได้อย่างสบายๆ แล้ววิ่งตรงไปยังต้นตอของกลิ่นคาวเลือดนั้น ภาพร่างของใครคนหนึ่งนอนฟุบอยู่ในสภาพเลือดนองพื้นทำให้ร่างกายของอาคาเนะเย็นวาบไปทั้งตัว

 
“โทชิ!” อาคาเนะรีบเข้าไปพลิกตัวโทชิฮิโระขึ้นมา ใจชื้นขึ้นเล็กน้อยที่ยังได้ยินเสียงลมหายใจของโทชิฮิโระอยู่ สีหน้าของอาคาเนะเหยเกเมื่อมองเห็นแผลถูกแทงที่ไหล่ซ้ายของคนเจ็บ เขาไม่เคยเห็นแผลสดกับเลือดมากขนาดนี้มาก่อน


อาคาเนะยกแขนข้างที่ไม่เจ็บของโทชิฮิโระขึ้นพาดบ่า ขอบคุณเลือดปีศาจที่ทำให้เขามีแรงมาพอจะพยุงผู้ชายตัวโตกว่าเขาเข้าไปในห้องที่ใกล้ที่สุดได้


ใจหนึ่งอาคาเนะอยากจะไปตามหมอ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยโทชิฮิโระไว้ตามลำพัง ไม่รู้ด้วยว่าคนร้ายอยู่ที่ไหนกลัวว่าถ้าออกไปแล้วมันจะย้อนกลับมา


“บ้าเอ๊ย!” เด็กหนุ่มสบถแล้วหันไปรื้อตู้เก็บของภายในห้องเพื่อหาผ้าสะอาด โยนทุกอย่างที่คิดว่าน่าจะใช้ได้ออกมา โชคดีที่มีฟูกกับผ้าห่มอัดรวมอยู่ด้วย


“น้ำ โอ๊ย! นี่น้ำอยู่ไหน” อาคาเนะยีหัวตัวเองจนยุ่ง กลิ่นเลือดตลบอบอวลจนสติเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลายวันนี้เขาดื่มเลือดบ้าง ไม่ได้ดื่มบ้างตามแต่อารมณ์ทำให้มีปฏิกิริยากับเลือดมากกว่าปกติ


“บ่อน้ำ” ถึงจะเห็นผ่านตาแค่แวบเดียวแต่อาคาเนะจำได้ว่าในคฤหาสน์หลังนี้มีบ่อน้ำอยู่ เขาวิ่งออกไปตักน้ำอย่างรวดเร็วโดยหิ้วกลับมาทั้งถังที่ตั้งอยู่ข้างบ่อเพราะขี้เกียจเสียเวลาไปหาภาชนะมาใส่น้ำเพิ่มอีก

 
มือสองข้างที่ใช้มันมาตลอดชีวิตดูจะเงอะงะเมื่อต้องมาใช้มันเพื่อทำแผล หูของอาคาเนะลู่ลงเพราะความกังวล สีหน้าของโทชิฮิโระเวลานี้ซีดจนแทบไร้สีเลือด มือเรียวค่อยๆ แหวกกิโมโนเปื้อนเลือดออกแต่ติดตรงสายคาดเอวที่ผูกเอาไว้


อาคาเนะส่งเสียงในลำคออย่างขัดใจแล้วหันไปใช้กรงเล็บตัดมันจนขาดออกจากกัน


“ไว้ท่านฟื้นแล้วข้าจะซื้อมาคืนให้” ผ้าสะอาดถูกจุ่มลงถังน้ำแล้วยกขึ้นมาบิด ใบหน้าคนมองบิดเบี้ยวยามจ้องมองแผลลึกน่ากลัวบนไหล่ของโทชิฮิโระ โชคดีที่เลือดยอมหยุดไหลแล้ว


อาคาเนะค่อยๆ ทำความสะอาดรอบๆ ปากแผล ทำไปก็ต้องปิดจมูกตัวเองไปเพราะกลิ่นเลือดกำลังกระตุ้นความกระหายของเขาให้ตื่นขึ้น พลันในสมองเกิดนึกไปถึงเรื่องตอนเขากัดแขกคนอื่นเพื่อดื่มเลือด เขี้ยวของเขาไม่ได้เล็กขนาดจะไม่ทิ้งรอยแผลเมื่อกัดลงไป แต่พอเช้าบาดแผลพวกนั้นกลับหายไปทุกครั้งราวกับว่ารักษาตัวเองได้


เพราะเรา?


ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงเสมองไปยังปากแผลของโทชิฮิโระ ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าควรจะลองทดสอบดูหรือไม่ ขณะที่ร่างกายค่อยๆ เลื่อนตัวไปนั่งอยู่ข้างไหล่ของโทชิฮิโระ


“มันคงไม่เจ็บมากไปกว่านี้แล้ว” อาคาเนะแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนตัดสินใจฝังเขี้ยวลงไปตรงปากแผลของคนเจ็บ รสเลือดแผ่ซ่านภายในปาก เป็นรสที่คุ้นลิ้นแต่แตกต่างอยู่นิดหน่อย


เลือดของมนุษย์แต่ละคนมีรสชาติต่างกันในบางรายละเอียด อาหารที่กินหรือแม้แต่รูปแบบการใช้ชีวิตล้วนส่งผลทั้งนั้น นอกจากกัดและลิ้มเลียเลือด อาคาเนะยังเลียไปตามรอยแผลด้วย ได้ยินว่าพวกสัตว์มักเลียแผลของตัวเองเวลาบาดเจ็บ หวังว่ามันคงจะได้ผล


อาคาเนะถอยออกมาเมื่อรู้สึกว่าเขาดื่มเลือดเข้าไปมากจนเกินพอ ลองแตะหลังมือลงข้างแก้มคนเจ็บก็พบว่ามันมีไอร้อนแผ่ออกมาจางๆ อย่างที่คิด ดูท่าคืนนี้เขาคงต้องอดนอนคอยเช็ดตัวให้โทชิฮิโระเสียแล้ว




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

รุ่นนี้ไม่ใช่ว่าปากไม่ตรงกับใจ แต่ใจตัวเองรู้สึกอะไรยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ ฝากทุกท่านดูแลจิ้งจอกน้อยด้วยนะคะ  :mew1:

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 4 [23/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 24-12-2016 08:53:11
 :hao6:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 5 คนเจ็บ [24/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 24-12-2016 23:37:17
บทที่ 5

คนเจ็บ







ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ฟ้าเริ่มสว่าง หรือเมื่อใดที่อาคาเนะได้หลับตาลง เขานั่งเฝ้าคอยเปลี่ยนผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ แล้ววางลงบนหน้าผากของคนเจ็บทุกครั้งที่เริ่มอุ่นขึ้น

กว่าจะได้วางมือแล้วล้มตัวลงนอนบ้างก็ตอนที่เสียงนกร้องเริ่มดังขึ้นแล้ว แต่ตอนนี้อาคาเนะกำลังรู้สึกรำคาญอะไรบางอย่างที่มาแตะโดนอยู่แถวใบหน้า


“อย่ายุ่ง” คนที่อยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นส่งเสียงประท้วงอู้อี้ มือไม้ปัดป่ายไปในอากาศหวังจะฟาดแมลงน่ารำคาญให้กระเด็นหายไป แต่กลับต้องสะดุ้งเพราะถูกใครบางคนคว้าข้อมือเอาไว้


“จะตบข้าอีกแล้วหรือ” เสียงทุ้มแฝงแววยั่วเย้าทำเอาอาคาเนะตื่นเต็มตาและพบว่าตัวเขากำลังถูกโทชิฮิโระกอดไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถูกจับไว้กลางอากาศ


“โทชิ!” อาคาเนะเรียกชื่อคนตรงหน้าออกไปด้วยความลืมตัว ในหัวเขามีเพียงความเป็นห่วงที่มีต่อชายคนนี้เท่านั้น โทชิฮิโระดึงมือที่กุมไว้มาจูบลงที่หลังมือเบาๆ ส่งเสียงขานรับในคอพร้อมส่งยิ้มให้


“ได้ยินแล้ว ในที่สุดก็ได้ยินชื่อของข้าจากปากเจ้าเสียที” ใบหน้าอาคาเนะแดงซ่านขึ้นทันตา เพิ่งจะสำนึกได้ว่าเขาได้แหกฎของตัวเองเพราะโทชิฮิโระอีกแล้ว


“ปล่อยได้แล้ว” อาคาเนะอยากออกไปจากที่นี่ เขาอยากหายตัวไปจากตรงนี้ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี สองมือพยายามดันตัวเองให้หลุดออกจากวงแขนกว้างจนโทชิฮิโระร้องออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว


“ขะ...ขอโทษ เจ็บหรือ ข้าขอโทษ” อาคาเนะชักมือของตัวเองกลับมาจนชิดอก กลัวว่าจะไปแตะโดนแผลของโทชิฮิโระเข้าอีก ใบหน้าน่ารักหมองลงด้วยความเสียใจจนโทชิฮิโระต้องรีบส่ายหน้า


“ไม่เจ็บแล้ว เพราะได้อาคาเนะช่วยไว้” คนที่นอนจมกองเลือดอยู่เมื่อคืนเช้านี้กลับดูหน้าตาสดใส โทชิฮิโระปล่อยมือจากอาคาเนะและขยับตัวลุกขึ้น กัดฟันนิดหน่อยเพราะความเจ็บที่แล่นมาจากไหล่ซ้าย


“โกหก” อาคาเนะทำปากยื่น ดูสีหน้าโทชิฮิโระตอนขยับตัวก็รู้แล้วว่าแผลยังเจ็บอยู่


“เดี๋ยวก็หายแล้ว มีคนดูแลขนาดนี้” มือใหญ่เอื้อมไปลูบหัวให้อาคาเนะอย่างอ่อนโยน เด็กหนุ่มไม่ได้สะบัดหนี เขายินยอมที่จะรับสัมผัสนั้น เมื่อคืนมือของโทชิฮิโระเย็นจนน่ากลัว กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ได้รับไออุ่นนี้อีกแล้ว


“ร้องไห้หรือ” โทชิฮิโระเอียงคอถามเพราะเห็นสังเกตเห็นว่าดวงตาของอาคาเนะดูแดงขึ้น


“เปล่า!” อาคาเนะรีบปัดมือของโทชิฮิโระออกจากหัวแล้วถลึงตาใส่ คนเขาเป็นห่วงอยู่แท้ๆ ยังจะมาคอยแกล้งกันอยู่อีก


“นี่ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ใครทำร้ายท่าน” การถูกทำร้ายถึงในบ้านเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะไม่รู้ว่าคนร้ายต้องการชีวิตไหม ถ้าเกิดมุ่งหมายเอาชีวิตกันก็หมายความว่าโทชิฮิโระจะต้องตกอยู่ในอันตรายอีก


“คงเป็นพวกโจรธรรมดาที่คิดว่าบ้านนี้จะมีของมีค่า เสียดายที่มันไม่มี” คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ไร้คนเฝ้ายามย่อมตกเป็นเป้าหมายของบรรดาโจรอยู่แล้ว แต่อาคาเนะเห็นคร่าวๆ จากการวิ่งวุ่นไปทั่วเมื่อคืนแล้วว่าที่นี่แทบไม่มีของมีค่าเหลืออยู่สักชิ้น


“นี่ท่านอยู่ที่นี่คนเดียวจริงๆ หรือ”


“ก็อย่างที่เห็น” สีหน้าโทชิฮิโระนิ่งเรียบเสียจนอาคาเนะไม่กล้าจะซักไซ้ต่อ อยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่กว้างจนเดินหากันยังแทบไม่เจอแบบนี้ไม่รู้ว่าจะทำให้ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวสักแค่ไหน

อาคาเนะเคยคิดว่าตัวเองค่อนข้างโดดเดี่ยวเพราะเขาไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับใคร แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีโคคิกับซาโตรุคอยดูแล และได้อยู่ในร้านที่มีผู้คนคึกคักอยู่เสมอ


“อย่าทำหน้าอย่างนั้น ข้าชอบมองเจ้ายิ้ม” นิ้วของโทชิฮิโระจิ้มเข้าที่มุมปากของอาคาเนะแล้วดันมันขึ้นจนดูเหมือนอาคาเนะกำลังยกยิ้มด้วยปากข้างเดียว


“สมองกระทบกระเทือนหรือ” อาคาเนะดันมือโทชิฮิโระออก สายตามองไปยังผ้าพันแผลหนาๆ ที่เขาเป็นคนพันเอาไว้


“ท่านต้องไปหาหมอ ข้าทำแผลไม่เป็นเดี๋ยวจะแย่เอา” ไม่รู้ว่าวิธีของเขาจะช่วยให้แผลของโทชิฮิโระหายเร็วขึ้นบ้างไหม เพราะหลังจากดื่มเลือดเสร็จอาคาเนะก็จัดการเอาผ้ามาพันแผลเสียจนมิด จนเช้านี้ยังไม่มีโอกาสเปิดดู


“ถ้าแผลนี้ทำให้ได้เจออาคาเนะอีก ข้าว่ามันคุ้มนะ” โทชิฮิโระเอ่ยยิ้มๆ กลับเป็นคนฟังที่นึกฉุนขึ้นมาแทน


“บ้า! ไม่เห็นจะคุ้มเลย ตายไปจะทำอย่างไร”


“ไม่อยากให้ข้าตายหรือ” คำถามที่ย้อนมาทำเอาอาคาเนะสะอึกรีบหลุบตาลงหลบสายตาของโทชิฮิโระ


“ถ้าอยากคงปล่อยท่านนอนจมกองเลือดตายไปแล้ว” อาคาเนะตอบเสียงค่อย มันเป็นความจริงที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้แล้วว่าโทชิฮิโระได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา ถ้าเป็นแขกคนอื่นที่เจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว อาคาเนะคงไม่ใส่ใจสักนิดหากใครคนนั้นตายจากไป


หัวใจของอาคาเนะกำลังสับสนเพราะเขาไม่เคยปล่อยให้การมีตัวตนของใครมามีอิทธิพลต่อความรู้สึกเขามากขนาดนี้ โทชิฮิโระเป็นคนประหลาด เข้าหาเขาด้วยวิธีที่แตกต่างจากคนอื่น และไม่ได้หวังแค่เพียงความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน


“แล้ว...ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะหาข้ออ้างอะไรเพื่อไปเจออาคาเนะอีก” ครั้งสุดท้ายที่เจอกันอาคาเนะหนีหน้าหายไปโดยไม่มีแม้แต่โอกาสจะให้เอ่ยคำลา ราวกับว่าตั้งใจจะตัดขาดกันเสียให้ได้

แต่แล้ววันนี้เด็กหนุ่มจอมหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนคนนั้นกลับมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา ฟุบหลับราวกับคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ปลอดภัยอย่างบ้านของตัวเอง


อาคาเนะเม้มปากแน่นกลอกตาหลุกหลิก จะให้บอกได้อย่างไรว่าเพราะหลายวันนี้เขาคิดแต่เรื่องโทชิฮิโระจนฟุ้งซ่านเลยต้องหนีออกจากร้านมาพักผ่อนสมอง แต่ก็ดันเหม่อจนมาถึงบ้านของโทชิฮิโระอีก ขืนบอกให้เจ้าตัวรับรู้อาคาเนะคงอายจนไม่กล้าสู้หน้าโทชิฮิโระอีก


“คิดถึงข้าใช่ไหม” คำถามสวนตรงกลางปล้องทำให้อาคาเนะหน้าร้อนจนแทบไหม้ รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน


“หลงตัวเอง! ทำไมข้าจะต้องคิดถึงท่านด้วย”


“ที่นี่อยู่เกือบนอกเมือง ไกลจากร้านของเจ้าด้วย เจ้าคงไม่มาไกลถึงแถวนี้ถ้าไม่มีเหตุผล”


“ข้า...ข้า...” อาคาเนะหาเหตุผลมาแก้ตัวไม่เจอ เขาไม่เคยมาแถวนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแถวนี้มีร้านค้าหรือสถานที่ท่องเที่ยวอะไรให้พอยกมาเป็นข้ออ้างได้บ้าง


“อาคาเนะ” พอถูกเรียกด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยนแบบนั้นแล้วอาคาเนะหมดแรงที่จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ปล่อยให้โทชิฮิโระคว้ามือไปวางไว้บนตัก


“ข้าไม่ได้เป็นแค่แขกคนหนึ่งสำหรับเจ้าแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ข้าไปหาเจ้าอีกได้ใช่หรือเปล่า”


“มันใช่เวลาจะถามไหม ไม่พิกลพิการไปก็ดีเท่าไรแล้ว” ใบหน้าของเด็กหนุ่มงอง้ำ คนเจ็บที่แผลยังไม่หายดียังจะมีอารมณ์มาเซ้าซี้ไล่ถามเขาอยู่ได้


“ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เป้าหมายข้ายังไม่สำเร็จ ข้าจะไม่ยอมเป็นอะไรไปเด็ดขาด” ราวกับมีประกายแสงลุกวาบในแววตาของโทชิฮิโระเมื่อเขาพูดมันออกมา นั่นคงเป็นความปรารถนาและเป้าหมายในชีวิตที่อาคาเนะไม่เคยมี อาคาเนะไม่เคยไขว่คว้าหาสิ่งอื่น เพียงแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบตลอดไปเท่านั้น


“ยังไม่ได้ตอบข้าเลย”


“ก็ได้ๆ ข้ายอมแพ้ท่านแล้ว อยากเจอข้าก็แวะไปที่ร้าน...“ อยู่ๆ อาคาเนะก็หยุดพูดแล้วทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้


“ร้าน! แย่แล้ว! ข้าแอบออกมา สายแล้วด้วย” ถึงการทิ้งแขกที่เมามายจนไม่ได้สติไว้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับอาคาเนะ แต่ถึงอย่างไรพอวันรุ่งขึ้นหลังออกไปช่วยส่งแขกให้แล้วซาโตรุก็มักจะขึ้นมาหาเขาอยู่ดี ยิ่งเมื่อวานซาโตรุกำลังเป็นห่วงอยู่ด้วย


“ใจเย็นอาคาเนะ”


“เย็นได้ที่ไหน ท่านไม่เคยเห็นพี่ซาโตรุโกรธไม่เข้าใจหรอก” คนอย่างซาโตรุปกติอาจเป็นพี่ชายแสนดี แต่ลองถ้าโกรธขึ้นมาแล้วต่อให้หมียักษ์อย่างโคคิก็ยังเอาไม่อยู่ แค่คิดก็สยองจนต้องรีบพรวดพราดวิ่งออกไป หลังอาคาเนะวิ่งออกไปสองสามนาทีโทชิฮิโระก็ได้เสียงฝีเท้าวิ่งตึงตังย้อนกลับมาใหม่


“ไปหาหมอด้วย ห้ามดื้อ!” หลังจากออกคำสั่งจบเด็กหนุ่มก็เผ่นแผล็วหนีหายไปอีกครั้ง ทิ้งให้คนถูกสั่งนั่งกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาจนตัวงอ


“สั่งข้าหรือ เจ้านี่มันร้ายเสียจริง” โทชิฮิโระหัวเราะจนแทบน้ำตาไหล ตลอดชีวิตของโทชิฮิโระคงไม่มีใครที่จะดูมีชีวิตชีวาได้มากเท่ากับอาคาเนะอีกแล้ว


อาคาเนะเปรียบเหมือนผืนผ้าสีขาวที่รอให้คนสักแต่งแต้มสีสันลงไป พอถูกยั่วก็โกรธเสียมากมาย พอถูกอ้อนใส่ก็อายจนหน้าแดงน่าเอ็นดู เขาอยากเฝ้าดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอาคาเนะให้มากขึ้นเรื่อยๆ







“ได้คนดูแลดีนี่อารมณ์ดีเชียวนะ” เสียงหวานดังขึ้นข้างหูพร้อมสองแขนเรียวที่เอื้อมมาโอบรอบคอจากด้านหลัง ไอเย็นแผ่ซ่านผ่านลมหายใจของสตรีที่เพิ่งปรากฏตัวทำให้รอยยิ้มของโทชิฮิโระหายวับไปทันที


มือใหญ่คว้าเข้าที่แขนของคาสุมิก่อนออกแรงกระชากให้ร่างบางเซถลาลงไปนอนกองกับพื้นพร้อมกับใช้มืออีกค้างบีบเข้าที่คอระหงจนเห็นข้อนิ้วซีดขาว


“อย่ามาทำเป็นพูดดี เจ้าเกือบจะฆ่าข้าไปแล้ว!” ดวงตาที่เคยเป็นสีดำสนิทวาวโรจน์ขึ้นด้วยโทสะจนดูราวกับแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มจากข้างใน


คำตวาดไม่ได้ทำให้สีหน้าของคาสุมิลดความรื่นรมย์ลงสักนิด นางยังคงเหยียดยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มคนที่กำลังบีบคอของนางอยู่


“แต่ก็ไม่ตายไม่ใช่หรือ ไม่ได้แทงโดนหัวใจสักหน่อย” คาสุมิลากมือจากแก้มผ่านลำคอเรื่อยมาจนถึงแผ่นอกแล้วหยุดตรงตำแหน่งหัวใจของโทชิฮิโระ ก้อนเนื้อข้างในยังคงเต้นจนนางรู้สึกได้


ไม่มีโจรหรือคนร้ายที่ไหน คนที่แทงโทชิฮิโระจนบาดเจ็บเกือบตายคือคาสุมิเอง และคนที่สั่งก็คือคนถูกแทงเองเสียด้วย ทั้งหมดเพื่อที่จะล่อจิ้งจอกน้อยให้เข้ามาติดกับ


“รู้ใช่ไหมว่าไอ้ร่างมนุษย์นี่มันตายง่าย ต่อให้ไม่แทงหัวใจก็ตายได้” โทชิฮิโระเค้นเสียงต่ำยังคงไม่ลดแรงบีบที่มือลง แว่วเสียงหัวเราะชอบใจจากปีศาจหิมะ


“ถ้าอาการไม่หนักจิ้งจอกน้อยของเจ้าจะยอมเปลืองตัวช่วยเจ้าหรือ แบกขึ้นหลังไปหาหมอก็จบแล้ว อย่ามาทำเป็นขี้ขลาดน่าโทชิฮิโระ เจ้าคงไม่อยากแทงตัวเองทุกครั้งที่อยากเจออาคาเนะหรอก”


ยอมเจ็บหนักสักครั้งเพื่อซื้อใจอาคาเนะให้ได้อย่างวันนี้จะช่วยให้อะไรๆ ง่ายขึ้นหลายเท่า เห็นท่าทางกระวนกระวายของจิ้งจอกน้อยเมื่อคืนก็รู้แล้วว่าเห็นโทชิฮิโระเป็นคนสำคัญ


“คราวหน้าถ้าทำเกินจำเป็นอีกข้าฆ่าเจ้าแน่” โทชิฮิโระเอ่ยเสียงเข้ม ระหว่างเขากับคาสุมิเป็นเพียงความสัมพันธ์ของผู้มีประโยชน์ร่วมกัน เขารู้ว่าปีศาจหิมะตนนี้ไว้ใจไม่ได้และพร้อมจะแทงหลังเขาเสมอ หากว่ามีโอกาส


“ไว้ให้งานสำเร็จก่อนข้าอาจจะลองคิดใหม่” คาสุมิพลิกตัวลุกขึ้นเมื่อโทชิฮิโระยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระ


“อย่าตกหลุมที่ตัวเป็นคนวางไว้เสียก่อนแล้วกัน” ริมฝีปากของปีศาจหิมะหยักยิ้มอย่างเป็นต่อ ในสนามรบอาจมีเพียงการเป็นฝ่ายฆ่าหรือถูกฆ่าเท่านั้น แต่กับสิ่งที่โทชิฮิโระกำลังทำ การเดิมพันกันด้วยความรู้สึก นอกจากแพ้และชนะแล้วยังมีจุดจบอื่นอีกมากมาย


คาสุมิจากไปแล้วพร้อมกับทิ้งละอองหิมะเอาไว้ให้ โทชิฮิโระมองดูเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้นค่อยๆ ละลายกลับเป็นน้ำพลางถามตัวเองในใจ จะมีวันไหนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะมีผลกับจิตใจเขาได้อย่างนั้นหรือ


ไม่มีทาง


ทั้งหมดมันก็แค่ความสนุกเท่านั้นเอง



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง จะหลอกเต๊าะจิ้งจอกต้องยอมเจ็บตัวเลยทีเดียว ผู้ชายแสนดีไม่มีอยู่จริง มันต้องร้ายนิดๆ ถึงจะแซ่บ  :impress2:


ตอนหน้ามาเติมน้ำตาลกันต่อนะคะ


:hao6:

 :กอด1: ขอบคุณที่เม้นให้ค่า


Merry christmas ค่าทุกคน ขอให้ได้ของขวัญที่อยากได้กันนะคะ  :L1:



หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 6 คนเจ็บ [25/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 25-12-2016 17:15:20
บทที่ 6

ของเยี่ยม





ถังไม้ถูกยกมาตั้งไว้บนทางเดินก่อนที่ผ้าสีเทาเก่าๆ ผืนหนึ่งจะถูกโยนลงไป สองมือช่วยกันจับผ้าแกว่งในน้ำแล้วขยำจากนั้นถึงยกขึ้นมาบิดไล่น้ำส่วนเกินออกไปแล้วจบลงด้วยการวางมันลงพื้นทางเดินที่ยาวจากหน้าร้านจนถึงหลังร้าน อาคาเนะพ่นลมหายใจเบาๆ แล้วเริ่มการไถ่โทษของตัวเอง


เมื่อเขากลับมาถึงก็พบซาโตรุยืนกอดอกหน้าตึงรออยู่ก่อนแล้ว ถึงจะพยายามส่งยิ้มไปให้แต่สิ่งที่ตอบกลับมายังคงมีเพียงแววตาเชือดเฉือนตามมาด้วยเสียงบ่นยาวเหยียดจากเจ้าของร้านอันดับสอง ส่วนโคคิเพียงแค่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ แล้วคอยพยักหน้าเวลาซาโตรุเหลือบตาไปมองเท่านั้น


อาคาเนะไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดออกไป เขาเพียงแค่บอกว่าเบื่อเลยหลบออกไปเดินเล่นตอนเช้าตรู่ก่อนทุกคนจะตื่น และเดินเพลินจนลืมเวลาทำให้กลับมาสายจนถูกจับได้


เขารู้ว่าซาโตรุตำหนิเพราะเป็นห่วง เคยมีเหมือนกันที่พวกหนุ่มๆ ในร้านออกไปเดินเตร็ดเตร่คนเดียวแล้วถูกดักทำร้ายเอา อาชีพแบบนี้ไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่าแขกคนไหนจะมีลูกมีเมียอยู่แล้วบ้าง หรืออาจเป็นตัวแขกเองที่ผิดใจกันขึ้นมา เรียกได้ว่ารายได้ดีแต่ต้องเสี่ยงชีวิตพอสมควร


หลังบ่นจนพอใจ ซาโตรุลงโทษอาคาเนะด้วยการให้ถูทางเดินทั้งหมดภายในร้าน แน่นอนว่าอาคาเนะไม่มีสิทธิ์โอดครวญ เขาเลยต้องมาเริ่มต้นวันโดยมีน้ำหนึ่งถังกับผ้าขี้ริ้วเป็นเพื่อน


เด็กหนุ่มถูไปหาวไป เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเพราะเฝ้าไข้โทชิฮิโระ แต่พอหลับก็หลับไปแบบไม่รู้ตัวเหมือนกัน ถูกรวบตัวไปกอดตั้งแต่ตอนไหนก็สุดจะรู้ได้


“น่าจับมาช่วยถูนัก” อาคาเนะบ่นพึมพำกับผ้าเก่าๆ ในมือ ถ้าไม่ใช่เพราะโทชิฮิโระเขาคงกลับมาถึงร้านโดยยังไม่มีใครทันสังเกตว่าเขาหายไปด้วยซ้ำ


มานึกๆ ดูแล้วตั้งแต่รู้จักโทชิฮิโระมาชีวิตเขามีแต่ความสับสนวุ่นวาย นี่ขนาดเพิ่งเจอกันสี่ครั้ง ขืนเจอมากกว่านี้ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง


“ข้าไม่ได้เป็นแค่แขกคนหนึ่งสำหรับเจ้าแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ข้าไปหาเจ้าอีกได้ใช่หรือเปล่า”


คิดถึงคำถามของโทชิฮิโระแล้วได้แต่ถอนหายใจ เพิ่งรอดตายมาได้ดันเอาแต่ถามเขาเรื่องไร้สาระ แล้วจะให้ปฏิเสธออกไปได้อย่างไร


เคยแต่เป็นฝ่ายใช้คำพูดอ้อนคนอื่น พอมาโดนเข้าเองแล้วถึงเข้าใจว่าอาการหัวใจเต้นแรงมันน่ากลัวเพียงใด ต่อต้านแทบไม่ได้สักนิด


“อาคาเนะ” เด็กหนุ่มขานรับโดยไม่ได้หันกลับมามองเพราะรู้ว่าคนเรียกคือโคคิ แต่เมื่อขานแล้วอีกฝ่ายยังเงียบอาคาเนะเลยโยนผ้าขี้ริ้วกลับลงถังแล้วเอี้ยวตัวหันกลับมา


“เขาบอกว่ามีธุระกับเจ้า” ด้านหลังของโคคิมีชายอีกคนยืนอยู่ เจ้าของรอยยิ้มและสายตาอ่อนโยนที่อาคาเนะเพิ่งบ่นถึงเมื่อครู่ได้มายืนอยู่ในสภาพมีผ้าผืนใหญ่คล้องแขนซ้ายเอาไว้


“มาทำไมเนี่ย” สีหน้าคนพูดบึ้งตึงขึ้นมาทันตา มองโทชิฮิโระตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถลึงตาใส่ คนเจ็บที่ไหนออกมาเดินเพ่นพ่านตั้งแต่วันแรกอย่างนี้


“ออกมาหาหมอตามคำสั่งเลยแวะมาดู” แขนข้างที่เจ็บถูกยกขึ้นให้ดูเป็นหลักฐาน โคคิมองสองหนุ่มสลับไปมาเริ่มนึกถึงคำพูดซาโตรุขึ้นมาบ้าง แขกคนนี้ฝ่ากำแพงของอาคาเนะเข้ามาได้แล้วจริงๆ


“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปพักสิ มาหาข้าไม่ได้ทำให้แผลท่านหายเร็วขึ้น”


“เชิญคุยกันตามสบายนะ” คนที่รู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินพยายามหาทางเอาตัวเองหลบออกไป แต่ฝ่ายแขกกลับเอาตัวมาขวางทางเขาเอาไว้ก่อน


“ข้าแวะมาดูอาคาเนะ แต่มีเรื่องจะพูดกับท่าน”


“ข้า?” โคคิชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความงุนงง เขาไม่เคยพูดคุยกับชายคนนี้ด้วยซ้ำไป คนที่คอยจัดการเรื่องแขกให้พวกเด็กในร้านคือซาโตรุทั้งนั้น


“ข้ามาขอโทษเรื่องที่อาคาเนะออกจากร้านไปโดยพลการ เมื่อคืนอาคาเนะอยู่กับข้าเอง” คนฟังสองคนมีท่าทีตื่นตกใจไม่แพ้กัน โคคิอ้าปากค้างส่วนอาคาเนะทำตาโตจนแทบถลนออกจากเบ้า


“เดี๋ยว ไหนเจ้าบอกว่าออกไปเดินเล่น” เจ้าของร้านผู้กำลังสับสนกับข้อมูลใหม่หันกลับมาถามคนของตัวเองเป็นอย่างแรก คนที่โกหกคำโตไปเมื่อเช้าทำได้แค่เม้มปากแน่น


“เขาออกไปเดินเล่น แต่เราเจอกันโดยบังเอิญ ข้าถูกคนทำร้ายโชคดีได้อาคาเนะช่วยไว้” โทชิฮิโระบอกความจริงผสมเรื่องแต่งพอให้ฟังดูสมเหตุสมผล แต่อาคาเนะยังคงลูบหน้าตัวเองด้วยความหนักใจอยู่ดี


“แล้ว?” สมองของโคคิหยุดทำงานไปแล้ว เขาไม่ใช้พวกชอบใช้ความคิดมากมายเหมือนอย่างซาโตรุ แต่ฟังดูเหมือนโทชิฮิโระจะอยากแก้ตัวให้อาคาเนะที่ไม่ยอมบอกอะไร


“เมื่อเช้าอาคาเนะรีบร้อนกลับมาเพราะกลัวท่านจะโกรธ” โทชิฮิโระไม่ได้เอ่ยชื่อซาโตรุออกไปเพราะถึงอย่างไรคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านก็คือโคคิ คนที่มีสิทธ์ขาดในการตัดสินก็คือโคคิเช่นกัน


“ข้าไม่คิดว่าท่านจะใช้เด็กๆ มาทำความสะอาดร้านเป็นเรื่องปกติ ถ้ามันคือการลงโทษ ข้ายินดีจะชดใช้ให้เอง จะเรียกเงินค่าเสียเวลาของอาคาเนะก็ไม่ว่า” สายตาของโทชิฮิโระมองตรงไปยังถังน้ำใกล้ๆ เท้าของเด็กหนุ่มก่อนหันกลับมามองโคคิด้วยรอยยิ้มจางๆ


“อ้อ ก็ใช่ แต่ข้าไม่ใช่คนสั่งหรอกนะ ซาโตรุนู่นต่างหาก” โคคิไหวไหล่ ถ้าคนที่อยู่ตรงนี้เป็นซาโตรุแทนเขา รับรองเลยว่านักบัญชีคนนั้นจะต้องเรียกเงินจากโทชิฮิโระอย่างคุ้มค่าทุกเม็ดทุกหน่วยเป็นแน่ แต่สำหรับโคคิแล้วเขาค่อนข้างนับถือน้ำใจคนที่ทำอะไรเปิดเผยเช่นนี้


“เอาเป็นว่าข้ารับคำขอโทษก็พอ อาคาเนะคราวหลังก็เล่าให้มันหมดๆ ช่วยคนเป็นเรื่องดีไม่เห็นจะต้องปิด เอาถังไปเก็บแล้วพอได้แล้ว”


คนที่อยู่ๆ ก็พ้นผิดแอบก่นด่าโทชิฮิโระอยู่ในใจ ที่อาคาเนะไม่เล่าเป็นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ แต่คู่กรณีดันโผล่หน้ามาถึงร้าน มาบอกเล่าความเท็จหน้าซื่อตาใสเห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้


“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัว” โทชิฮิโระเอ่ยลาสั้นๆ ทิ้งให้อีกสองหนุ่มยืนอยู่ด้วยกันท่ามกลางความเงียบที่ก่อตัวขึ้นกะทันหัน


“สงสัยซาโตรุจะมีขาประจำรายใหม่ให้ขูดรีดแล้ว” โคคิเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ทำเอาอาคาเนะสะดุ้ง ใบหน้าน่ารักแดงขึ้นเป็นแถบเพราะความหมายที่โคคิตั้งใจจะสื่อ


ขาประจำเป็นคำเรียกลูกค้าที่ทำตัวเสมือนเป็นคู่รักกับคาเงมะที่ตัวเองพอใจ พวกเขาคือแหล่งรายได้หลักเพราะแวะมาบ่อย และบางคนก็พร้อมจ่ายเงินแพงขึ้นถ้าต้องการแย่งชิงคู่ของตัวเองจากลูกค้าคนอื่น


“ไม่ใช่สักหน่อย!”


“หน้าแดงอยู่นะอาคาเนะ” คนถูกแซวรีบยกมือขึ้นจับแก้มทำตาโต


“ไม่คุยด้วยแล้ว!” เด็กหนุ่มหมุนตัวเดินจ้ำหนีให้ห่างจากโคคิทันที


“บอกให้เอาถังน้ำไปเก็บด้วย”


“ไว้ค่อยมาเก็บ!” นานๆ จะได้เห็นอาคาเนะเขินจนแทบม้วนเป็นก้อนกลมได้เสียทีมีหรือโคคิจะไม่อยากแกล้ง มองถังน้ำที่อาคาเนะทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าแล้วเผลอหลุดยิ้มออกมา เอาไปเล่าให้ซาโตรุฟังเสียหน่อยน่าจะดี







เย็นวันนั้นอาคาเนะถูกซาโตรุเรียกไปหาและถูกซักฟอกจนเกือบสะอาดเรื่องโทชิฮิโระ เขาต้องยอมรับออกไปว่าไปถึงบ้านของอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจและไปพบโทชิฮิโระกำลังบาดเจ็บเข้าพอดี สิ่งเดียวที่อาคาเนะยังคงปิดไว้คือสายเลือดครึ่งปีศาจของตัวเอง


ซาโตรุไม่ได้ตำหนิอะไรเรื่องที่อาคาเนะปกปิดความจริง เพียงแค่ถามว่าต่อจากนี้อาคาเนะจะพบโทชิฮิโระในฐานะแขกอีกไหม ต้องรวบรวมสติอยู่พักใหญ่กว่าอาคาเนะจะตัดสินใจพยักหน้า เขารับปากโทชิฮิโระไปแล้วแม้จะลำบากใจเป็นอย่างมากก็ตามและจะไม่ผิดคำพูด


จนเมื่อถึงวันถัดมาอาคาเนะถึงได้รับรู้ว่าเขาคิดผิดอย่างมหันต์ที่ตอบซาโตรุไปเช่นนั้น อาหารรสเลิศทั้งปลา หอย ปู และผักถูกจัดลงกล่องสองชั้นสีดำเรียบหรู ห่ออีกชั้นด้วยผ้าสีเขียวเข้มอย่างแน่นหน้าแล้วจับยัดใส่มืออาคาเนะในตอนที่เขาเพิ่งตื่นลงมา สมองที่ยังไม่ตื่นเต็มตากับน้ำหนักที่มากพอดูทำให้อาคาเนะแทบจะเซถอยหลังเมื่อต้องถือมันไว้


“อะไรหรือพี่ซาโตรุ”


“ของเยี่ยม ท่านโทชิฮิโระบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ อยู่คนเดียวด้วยคงทำอาหารลำบาก” ถึงจะฟังไม่ค่อยทันแต่อาคาเนะยังพอจับใจความได้ เขาก้มมองของในมือแล้วเงยขึ้นมองซาโตรุด้วยสีหน้างุนงง


“แล้วเอาให้ข้าทำไม”


“เพราะเจ้าต้องเป็นคนเอาไปให้ นี่ตื่นหรือยังอาคาเนะ” โคคิที่เดินมาจากด้านหลังผลักหัวอาคาเนะเข้าให้หนึ่งทีจนเจ้าตัวโวยวายหันไปจ้องโคคิตาขวาง


“อย่างที่โคคิว่า เจ้าต้องไปเยี่ยมท่านโทชิฮิโระ อยู่ดูแลเขาก็ได้ขอแค่กลับมาก่อนเปิดร้านเป็นพอ”


“เดี๋ยวสิ ท่านจะให้ข้าไปดูแลเขา...แบบไม่คิดค่าตัว?” ปกติซาโตรุเห็นเวลาของเด็กในร้านเป็นเงินเป็นทองจะตาย ไม่ว่าวันไหน เวลาไหน ถ้าแขกอยากพาใครออกไปก็ต้องจ่ายเงินให้ด้วย แล้วนี่อะไร ทั้งอาหารแล้วยังรวมตัวเขาส่งไปให้ง่ายๆ อีก


“อยู่ร้านมาสามปีเจ้ายังไม่รู้จักวิธีล่อหลอกลูกค้าของซาโตรุอีกหรือ” โคคิลอยหน้าลอยตาเดินไปยืนข้างซาโตรุแต่ยังไหวตัวหลบทันเมื่อคนข้างตัวขยับจะฟาดมือใส่


“ล่อหลอก?”


“มันเป็นการลงทุนเพื่อหวังกำไร เรียกว่าซื้อใจลูกค้า” เจ้าของร้านที่มักดูไม่ค่อยมีหัวการค้ามาวันนี้กลับทำเป็นพูดเจื้อยแจ้วจนซาโตรุเผลอชักสีหน้าใส่


“บอกไปเถอะน่า อาคาเนะมันบื้อเรื่องมัดใจแขกจะตาย” คนถูกพาดพิงเหยียดขาไปเตะหน้าแข้งคนพูดด้วยความหมั่นไส้โดยมีซาโตรุคอยพยักหน้าสนับสนุน


“เดี๋ยวเถอะพวกเจ้า!” โคคิชี้หน้าคนร้ายและผู้ร่วมมือเรียงตัว มือก็ลูบหน้าแข้งตัวเองไปด้วย


“สรุปว่าจงไปซื้อหัวใจโทชิฮิโระของเจ้ามา เอาให้ถึงขั้นหลงได้ยิ่งดี แล้วหลังจากนี้เดี๋ยวเราก็จะได้เงินคืนมามากกว่าค่าอาหารที่เสียไปทั้งหมดวันนี้เสียอีก”


อาคาเนะถูกรุนหลังให้ออกจากร้านทันทีที่โคคิกล่าวคำบัญชาของตนเสร็จ เขายังแอบเห็นว่าโคคิถูกซาโตรุดึงหูลากกลับเข้าข้างในพร้อมโอดครวญไปตามทาง







น้ำหนักของกล่องไม้ในมือทำให้อาคาเนะต้องถอนหายใจเสียยืดยาว ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องกลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นหลังจากเพิ่งกลับออกมาเมื่อวาน


“หลงหรือ” จนตอนนี้อาคาเนะเองก็ยังไม่แน่ใจว่าระหว่างเขากับโทชิฮิโระ คือความรู้สึกที่เรียกว่าอะไรกันแน่


ระหว่างทางเดินมาว่าทำใจยากแล้ว การจะก้าวเข้าไปมันทำใจยากยิ่งกว่า เมื่อคืนวานอาคาเนะกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปโดยไม่ได้คิดอะไรนอกจากคิดถึงความปลอดภัยของโทชิฮิโระ แต่เมื่อต้องมายืนอยู่หน้าประตูในตอนกลางวันเช่นนี้เขากลับลังเลจนไม่กล้าก้าวขาต่อไป


นอกจากนี้เขายังมีเหตุการณ์อันไม่น่าจดจำกับความทรงจำครั้งแรกของการมาที่นี่ด้วย


ตอนเห็นรอยแดงที่เกิดจากมือเขาบนหน้าโทชิฮิโระในใจมั่นสั่นไม่หยุดเพราะเขาไม่เคยถูกแขกคนไหนจูบมาก่อน ไม่ว่าจะบนส่วนไหนของร่างกายก็ตาม ยิ่งคิดถึงโทชิฮิโระยิ่งพบว่ามีแต่ความน่าอาย ไหนจะจูบครั้งถัดมาที่เขายอมปล่อยให้โทชิฮิโระทำตามใจเพราะคิดว่าจะเป็นการบอกลาครั้งสุดท้ายนั่นอีก


อาคาเนะกอดห่อผ้าในมือแน่นขึ้นแล้วหมุนตัวหันกลับหลัง เขายังไม่พร้อมจะพบโทชิฮิโระตอนนี้ และคงไม่พร้อมไปจนกว่าจะสามารถเรียกตัวเองก่อนจะเจอโทชิฮิโระกลับมาได้


แต่ว่าจะทำอย่างไร


“อาคาเนะ?” เสียงเรียกจากด้านหลังทำเอาคนที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองสะดุ้งเฮือก ผู้อาศัยเพียงคนเดียวของคฤหาสน์เปิดประตูออกมาแล้วเดินเข้าไปหาอาคาเนะช้าๆ


“มาหาข้าหรือ” รอยยิ้มของโทชิฮิโระทำให้อาคาเนะแทบอยากหายตัวไป ทั้งที่เขาแค่มาเพราะถูกซาโตรุใช้ให้มาแท้ๆ แต่พอถูกโทชิฮิโระถามกลับเขินราวกับว่าเป็นอย่างที่โทชิฮิโระพูด ไม่รู้ทำไมจนป่านนี้ถึงยังไม่ชินกับการรับมือกับผู้ชายคนนี้สักนิดเลย


“พี่ซาโตรุให้เอาของมาเยี่ยม” ยิ่งเห็นอาคาเนะหลบตา โทชิฮิโระยิ่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อยากจะแกล้งคนขี้อายให้จนตรอกดูเสียที ตอนคาสุมิบอกว่าอาคาเนะมายืนอยู่หน้าคฤหาสน์เขาไม่เชื่อนางด้วยซ้ำ


อาคาเนะหยิ่งเกินกว่าจะยอมบอกกับเขาว่าคิดถึงทั้งที่สีหน้าและจิตใต้สำนึกแสดงออกอย่างซื่อตรงยิ่งกว่า โทชิฮิโระเลยไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่อาคาเนะจะเดินมาหาเขาเหมือนคนทั่วไป


“เข้ามาสิ”


คฤหาสน์ของโทชิฮิโระยังคงดูกว้างจนรู้สึกเงียบเหงาเหมือนอย่างเคย หากเปรียบเทียบระหว่างที่ร้านกับคฤหาสน์หลังนี้อาจมีพื้นที่ใช้สอยต่างกันไม่มาก


แต่ที่ร้านมีแต่เสียงของความวุ่นวายอยู่เสมอ จึงไม่เคยทำให้อาคาเนะรู้สึกถึงความเหงาเลย ผิดกับเวลานี้ที่พอเขาเงียบ โทชิฮิโระเงียบ ทั่วทั้งคฤหาสน์ก็ดูวังเวงขึ้นมาทันที


“จะไม่กินหน่อยหรือ” สุดท้ายคนที่ทนความเงียบนั้นไม่ได้ก็คืออาคาเนะ หลังจากแกะห่อผ้าและเปิดดูของในกล่องที่เขาถือมา โทชิฮิโระเพียงแค่วางมันไว้ข้างๆ แล้วนั่งจ้องหน้าเขาเท่านั้น


“ตอนนี้ยังไม่หิว อยากทำอย่างอื่นมากกว่า”


“ทำสิ ข้ากลับก่อนก็ได้” อาคาเนะลุกหนีอย่างรวดเร็ว เขาไม่ชอบเสียงหัวใจตัวเองเวลาอยู่กับโทชิฮิโระสองต่อสอง มันดังจนหนวกหูและเขาไม่สามารถหยุดมันได้


แทนที่จะได้ก้าวออกไปเอวของอาคาเนะเกิดถูกมือดีคว้าเอาไว้เสียก่อน แม้จะใช้แขนได้เพียงข้างเดียวแต่โทชิฮิโระยังไวพอที่จะคว้าตัวจิ้งจอกขี้อายไว้ทันก่อนจะหนีไปได้


“อย่างอื่นที่ว่ามันหมายถึงเจ้า” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูทำเอาคนฟังหน้าแดงจนไม่กล้าหันกลับไปสบตาคนพูด


“ปล่อย แขนท่านเจ็บอยู่นะ” อาคาเนะประท้วงเสียงค่อย อยากจะบิดตัวออกแต่กลัวจะโดนแผลคนเจ็บ


“เจ็บที่ไหล่ แขนไม่ได้เป็นอะไร จะให้กอดเจ้าให้ดูไหม” นอกจากจะไม่ร่วมมือโทชิฮิโระยังขยับมืออีกข้างมาจับไว้ที่เอวของอาคาเนะด้วย


“ไม่ต้อง!” อาคาเนะปฏิเสธเสียงแข็ง จังหวะเดียวกับที่โทชิฮิโระเกยคางลงบนไหล่ของเขาพอดี


“ข้าดีใจที่เห็นเจ้ามา ถึงจะมาเพราะซาโตรุก็ตาม” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนหลับลงพร้อมความรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจ มันคล้ายจะเปี่ยมล้นด้วยความสุข แต่พอคิดว่าคำพูดเหล่านี้จะอาจจะจางหายไปเมื่อไรก็ได้หัวใจกลับรู้สึกหน่วงๆ ขึ้นมา


“เป็นอะไร ไม่สบายใจอะไรหรือ” บางครั้งอาคาเนะก็อดคิดไม่ได้ว่าโทชิฮิโระมีความสามารถในการอ่านใจคนหรือเปล่า ร่างของอาคาเนะถูกจับให้หมุนตัวกลับมาหาโดยมีมือใหญ่ช่วยเชยคางเขาให้เงยขึ้นสบตาของอีกฝ่าย


“อาคาเนะ”


“ทำไมถึงต้องเป็นข้า” มันไม่มีเหตุผล โทชิฮิโระอาจอยู่ตามลำพังแต่เขายังคงมีบ้านหลังใหญ่ มีเงินมากถึงขนาดเอาไว้โยนทิ้งกับร้านค้าบริการผู้ชาย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเลือกที่จะทำแบบนี้แทนที่จะมองหาผู้หญิงดีๆ แต่งงานสร้างครอบครัว


คาเงมะมักถูกทอดทิ้งเสมอ เวลาสามปีอาคาเนะได้เห็นรุ่นพี่ในร้านหลายคนหัวใจแหลกสลายเพราะถูกคนที่ไว้ใจทอดทิ้งไปในที่สุด อาคาเนะไม่อยากมีชีวิตแบบนั้นถึงไม่เคยยอมใกล้ชิดกับใครตลอดมา


“ไม่รู้สิ” คำตอบที่ได้ทำให้แววตาของอาคาเนะวูบไหว ไม่รู้อย่างนั้นหรือ เป็นคำตอบที่จะว่าชัดเจนก็ชัดเจนดี ดีกว่าโกหกกันด้วยคำหวานสวยหรูแต่จอมปลอม


“ขอโทษ ข้าไม่ควรถาม” อาคาเนะดันมือของโทชิฮิโระออกจากปลายคาง รู้สึกร้อนขึ้นมาที่หัวตาจนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ไม่สนใจแม้ว่าโทชิฮิโระจะพยายามคว้ามือของเขาเอาไว้


“เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ”


“ไว้เราค่อยคุยกันเถอะ ถ้าท่านจ่ายเงินข้าก็ต้องคุยกับท่านอยู่แล้ว พี่ซาโตรุรอต้อนรับท่านอยู่แล้วด้วย” น้ำเสียงอาคาเนะแฝงความเย้ยหยันอยู่ลึกๆ ตัวของเขา เวลาของเขา ซื้อได้ด้วยเงินอยู่แล้ว คงง่ายกว่าถ้าจะทำใจยอมรับว่าโทชิฮิโระก็ไม่ต่างจากแขกเหล่านั้น


“อย่าประชดกับข้า” โทชิฮิโระขึ้นเสียงดุ นั่นทำให้อาคาเนะยอมเลิกสะบัดมือออกจากมือของโทชิฮิโระเสียที


“ทำไมต้องถามหาเหตุผลกับข้า เจ้าคาดหวังคำตอบอะไรอยู่”


“เปล่า”


“โกหก คนเราถามคำถามด้วยเหตุผลสองอย่าง หนึ่งคือยากรู้ และสองคืออยากฟังสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยิน ถ้าเจ้าแค่อยากรู้ก็ควรพอใจในสิ่งที่ข้าตอบ แต่เจ้าไม่”


คำพูดของโทชิฮิโระตรงเสียจนอาคาเนะต้องสะบัดหน้าหนีด้วยความขุ่นเคือง


“อยากให้ข้าบอกว่าข้าหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น หลงใหลใฝ่ฝันอยากอยากได้เจ้ามาครอบครองหรือ”


“เปล่า!” อาคาเนะปฏิเสธเสียงดังกว่าเดิม คำพูดพวกนั้นฟังดูก็รู้ว่าโกหก เพราะเขาฟังมันมานับครั้งไม่ถ้วนจากแขกแทบทุกคนอยู่แล้ว


“เจ้าถามว่าทำไมต้องเป็นเจ้า ข้าไม่รู้อาคาเนะ ไม่รู้ว่าทำไมสายตาถึงคอยมองหาเจ้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบเวลาได้เห็นสีหน้าที่ไม่ใช่เพียงหน้ากากการค้าของเจ้า ไม่รู้ว่าทำไมถึงดีใจที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเจ้าได้”


ทุกคำพูดโทชิฮิโระเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และยืนยันด้วยสายตาที่จ้องตรงมา ความเคืองขุ่นในใจคนฟังจางหายราวกับหมอกยามต้องแสงตะวัน มีเพียงความเขินอายที่พุ่งขึ้นมาแทนที่


“เอาไว้เราค่อยหาเหตุผลกันได้ไหม...นะ” คำว่า ‘นะ’ ประกอบกับสายตาคล้ายจะอ้อน ทรงพลังยิ่งกว่าประโยคยืดยาวที่โทชิฮิโระพร่ำพูด อาคาเนะหลุบตาหนีสายตาเว้าวอนจากคนที่กำลังรวบตัวเขาเข้าสู่อ้อมกอดเป็นพัลวัน


“ถ้าจูบเจ้าตอนนี้ ข้าจะโดนตบหรือเปล่า” รอยยิ้มเจิดจ้าอยู่ห่างเท่าลมหายใจรินรดกัน อาคาเนะทุบไหล่กว้างไปสองสามครั้งเป็นการแก้เขิน ในขณะที่คนแกล้งหัวเราะร่วน


“เลิกล้อข้าเสียที เป็นบ้าอะไรของท่าน” ไม่รู้ว่าเขาจะต้องถูกโทชิฮิโระถามคำถามนี้ไปอีกนานแค่ไหน ทุกครั้งที่พวกเขาจูบกันหรือ มันน่าอายจะตายเวลาถูกถามก่อนที่จะทำ


“ได้ๆ ต่อไปจะไม่ถามแล้ว” ประโยคง่ายๆ อย่างคำว่า ต่อไป ทำให้หัวใจของอาคาเนะพองโต ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมองอนาคตข้างหน้าว่าจะต้องมีใครอยู่บ้าง แต่การพูดกับใครสักคนว่าต่อไปจะทำอะไรด้วยกัน นั่นคือการเริ่มต้นมองไปยังอนาคตใช่ไหม


มือของโทชิฮิโระค่อยๆ เลื่อนขึ้นจากเอวบางลากผ่านแผ่นหลังขึ้นมาถึงแนวสันคอ กดเบาๆ ที่ท้ายท้อยเพื่อให้อาคาเนะแหงนหน้าขึ้นมาหา พวกเขาสบตากันก่อนที่อาคาเนะจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ริมฝีปากทั้งสองค่อยๆ โน้มเข้าหากันก่อนที่เสียงจากอะไรบางอย่างจะทำให้บรรยากาศหวานๆ สะดุดลงกลางอากาศ


โทชิฮิโระหัวเราะออกมาดังลั่น ในขณะที่ต้นต้อของเสียงประหลาดหน้าแดงซ่านด้วยความอับอาย สองมือยกขึ้นกุมท้องตัวเองที่ดันส่งเสียงร้องประท้วงออกมาได้พอดิบพอดี


“เพราะท่านนั่นแหละ!” อาคาเนะโวยวาย ฟาดมือใส่โทชิฮิโระซ้ำๆ จนคนถูกทุบต้องพยายามกลั้นหัวเราะ


“ข้าหรือ ข้าทำอะไร” โทชิฮิโระทำตาโต คนเราจะหิวจะอิ่มใครจะไปห้ามได้นอกจากตัวเอง


“เพราะพี่ซาโตรุใช้ข้าให้มาหาท่าน ตื่นมายังไม่ทันกินอะไรสักคำ” ใบหน้าน่ารักงอง้ำ ทั้งโกรธทั้งอายจนปรับสีหน้าไม่ถูก ได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดตอนโทชิฮิโระลูบหัวให้


“ไปกินข้าวกัน เรามีอาหารแล้วนี่” โทชิฮิโระหงายมือส่งไปให้อาคาเนะ เด็กหนุ่มเบ้ปากแต่ก็ยอมวางมือของตัวเองลงบนมือนั้นแล้วเดินตามหลังโทชิฮิโระไปโดยพยายามจะไม่หลุดยิ้มออกมา




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


ไม่มีของขวัญอะไรจะเอามาให้ทุกท่าน นอกจากเอานิยายตอนต่อไปมาฝาก ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ คุยกันได้นะเราฉีดยาแล้ว  :hao7:

ว่าแต่ต่อไปเวลาจะจูบ ขอก่อนหรือไม่ต้องขอดีคะ  :-[



หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 7 วิธีง้อ [26/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 26-12-2016 19:00:12
บทที่ 7

วิธีง้อ






ยามเช้าของอาคาเนะมักเริ่มต้นขึ้นสายกว่าคนทั่วไป แน่นอนว่าเพราะเขาใช้ชีวิตในช่วงกลางคืนมากกว่าคนทั่วไปเช่นกัน ดังนั้นอาคาเนะได้สิทธิ์ที่จะนอนตื่นสายได้อย่างเต็มที่ ขอเพียงไม่ข้ามเที่ยงวันเป็นพอ


ทว่าช่วงระยะเวลาตลอดหนึ่งสัปดาห์มานี้ อาคาเนะถูกปลุกตั้งแต่แสงแดดยังไม่แผดแสงแรงกล้าแทบจะเรียกได้ว่าวันเว้นวัน ทำให้ขีดความอดทนของเด็กหนุ่มค่อยๆ ลดลง สวนทางกับความเหนื่อยล้าที่สะสมมากขึ้น เพียงเพราะคนเพียงคนเดียว


“ข้าต้องไปอีกแล้ว?!” มองดูห่อผ้าอันคุ้นตาแล้วอาคาเนะถึงกับหันไปกอดเสาข้างตัวและเคาะหน้าผากกับมันเบาๆ


เขาเกลียดห่อผ้าสีเขียวเข้มห่อนี้ เพราะรู้ดีว่าข้างในมีอะไร และต้องถูกนำไปส่งให้กับใครด้วย


“ข้าก็ขี้เกียจถือมาให้เจ้าแล้วเหมือนกัน เอ้า รับไปเสียที” เจ้าของร้านหน้าเข้มยื่นของที่เขารับฝากจากเพื่อนสนิทที่นานวันโคคิยิ่งไม่แน่ใจว่าเขาจ้างอีกฝ่ายมาเป็นคนทำบัญชี หรือมาเป็นเจ้านายเขากันแน่


“มันไม่บ่อยไปหน่อยหรือ เมื่อสองวันก่อนข้าก็เพิ่งไปมา พวกท่านจะเอาใจเขามากเกินไปแล้ว” นับตั้งแต่ถูกสั่งให้เอาของเยี่ยมไปให้โทชิฮิโระวันนั้น อาคาเนะยังคงถูกสั่งให้ทำอย่างเดิมเรื่อยๆ ทั้งที่โทชิฮิโระยังไม่เคยมาที่ร้านอีกเลย


เงินก็ไม่ได้ แล้วยังต้องลากสังขารตัวเองไปถึงบ้านลูกค้า ดูไม่สมกับเป็นความคิดของคนหัวการค้าอย่างซาโตรุสักนิด


“ถ้าไม่อยากไป เจ้าก็รีบอัญเชิญยอดรักของเจ้ามาที่ร้านเสียสิ ซาโตรุจะได้ไม่ต้องมาเปลืองเหยื่อล่ออยู่แบบนี้”


“โทชิไม่ใช่ยอดรักของข้า!” อาคาเนะรีบปฏิเสธทันควัน จำใจต้องละมือจากต้นเสา ไปคว้าห่อผ้ามากอดไว้พร้อมกับกระทืบเท้าลงไปหมายให้ถูกหลังเท้าเจ้านายตัวดี แต่โคคิรู้ตัวรีบชักเท้าหลบทัน


“เรียกชื่อกันติดปากแล้วนี่ คนอย่างเจ้า ปกติไม่จำชื่อแขกด้วยซ้ำ” โคคิยังไม่เลิกระรานสินค้าอันดับหนึ่งคนตน ช่วยไม่ได้ ปกติอาคาเนะไม่ใช่คนยั่วง่าย แต่พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับโทชิฮิโระกลับโวยวายทุกที เห็นแล้วน่าแกล้งนัก


“ถามจริงๆ นะอาคาเนะ เจ้าเข้าออกบ้านเขาขนาดนี้ เจ้าโทชิฮิโระนั่นยังไม่ทำอะไรเจ้าอีกหรือ”


“ทำอะไร” อาคาเนะถามกลับเสียงขุ่น นอกจากจะนอนไม่พอแล้ว ทำไมเขายังต้องมารับมือกับความกวนประสาทของโคคิอีก


“ทำเรื่องที่แขกคนอื่นเขาทำกัน”


“ใช่เรื่องที่ท่านต้องถามไหม”


“ต้องสิ เรื่องนั้นถ้าทำต้องจ่ายเงิน แต่ดูจากสภาพเจ้าตอนกลับมาแล้วข้าว่าไม่น่าได้ทำใช่ไหม” ถ้าต่อยปากเจ้าของร้านได้อาคาเนะคงเหวี่ยงหมัดออกไปแล้ว ถึงจะตัวโตกว่าแต่อาคาเนะค่อนข้างมั่นใจในกำลังของตัวเองพอดู เสียแต่ทำไม่ได้เลยได้แค่พ่นลมหายใจใส่


“เอาเรื่องลามกออกจากหัวท่านบ้างเถอะ นั่นคนบาดเจ็บนะ ไม่ใช่หมีป่าอย่างท่าน โอ๊ย!” นอกจากจะไม่ได้เป็นฝ่ายทำร้ายร่างกายโคคิแล้ว อาคาเนะยังถูกดีดหน้าผากเสียเองด้วย


“มันเจ็บนะ!”


“เหยื่อล่ออย่างเจ้าอย่าปากดีให้มาก ที่ให้ไปไม่ใช่แค่ไปเยี่ยมเขาเฉยๆ เสน่ห์ที่ยังมีใช้เสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเมื่อไรปลาจะกินเหยื่อ อยากเทียวไปเทียวมาไปจนกว่าเขาจะหายหรือ”


“เรื่องชั่วๆ นี่คิดไวจริง” เด็กหนุ่มเบ้ปากบ่นพึมพำกับตัวเอง


“ได้ยิน” สันมือฟาดลงกลางหน้าผากอาคาเนะเข้าอีกหน คราวนี้อาคาเนะหน้างอง้ำรีบเดินกอดห่อผ้าออกจากร้านไป ทิ้งให้โคคิถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“ขอให้มันคุ้มนะซาโตรุ”







คฤหาสน์หลังใหญ่เงียบสงบไร้ผู้คน จะว่าไปอาคาเนะก็ชอบบรรยากาศที่นี่อยู่ไม่น้อย รู้สึกได้มีพื้นที่เป็นส่วนตัวกว่าที่ร้าน ทั้งยังสบายหูเพราะมีเพียงเสียงลมและใบไม้ไหวแสนผ่อนคลาย


การมาที่นี่แต่ละครั้ง อาคาเนะมักต้องสอดส่ายสายตามองหาโทชิฮิโระอยู่เสมอ คฤหาสน์หลังนี้มีห้องอยู่มากมาย และแต่ละวันที่มาโทชิฮิโระมักเปลี่ยนห้องที่อยู่ไปเรื่อย เจ้าตัวบอกว่าไม่อยากจะทิ้งให้ห้องใดห้องหนึ่งต้องร้างไป


“นายท่าน” ถึงอาคาเนะจะเคยเรียกชื่อโทชิฮิโระไปแล้ว แต่เขายังคงชินปากกับการเรียกนายท่านมากกว่าอยู่ดี อาคาเนะทิ้งห่อผ้าไว้ที่ห้องโถงใหญ่สุดแล้วเริ่มเดินสำรวจไปทีละห้อง


โทชิฮิโระบอกว่าทุกสิบวัน เขาจะจ้างคนทำสวนและทำความสะอาดมาเพื่อทำความสะอาดและตกแต่งสวนเสียครั้งหนึ่ง การอยู่คนเดียวทำให้โทชิฮิโระคิดว่าการจ้างคนรับใช้ไว้ประจำเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไป และเขาสะดวกใจที่ไม่ต้องมีคนแปลกหน้าในบ้านมากกว่า


สำหรับอาคาเนะแล้ว ยังมีปริศนามากมายในตัวโทชิฮิโระที่เขายังไม่รู้ แต่ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองสมควรที่จะถามมัน


“นายท่าน”


“บอกให้เรียกโทชิไม่ใช่หรือ” ในที่สุดเจ้าของบ้านก็ปรากฏตัวขึ้นในสภาพผมเปียกปอน หยดน้ำหยดลงบนกิโมโนสีน้ำตาลเข้มเป็นด่างดวง คงเพิ่งอาบน้ำเสร็จไม่นาน ถึงวาจาจะคล้ายตำหนิ แต่บนหน้าของโทชิฮิโระกลับมีเพียงรอยยิ้มส่งมาให้เท่านั้น


“ข้าก็บอกแล้วว่าไม่ชิน อย่าบังคับข้าเลย”


“ยิ่งไม่ชินยิ่งต้องเรียกรู้ไหม ถ้าไม่ฝืนเสียบ้าง เจ้าคงเรียกข้าว่านายท่านไปตลอดชีวิต” คำว่า ‘ตลอดชีวิต’ มักออกจากปากโทชิฮิโระอย่างง่ายดายเสมอ บางครั้งอาคาเนะนึกอยากทวงถามว่าโทชิฮิโระว่ารู้บ้างไหมว่าพูดอะไรออกมา


ในชีวิตของพวกคาเงมะ คำว่าตลอดชีวิตจากปากแขกแทบไม่เคยเป็นจริง ไม่มีใครอยู่กับความสุขที่ซื้อหาด้วยเงินทองไปตลอดชีวิตได้


“ไม่ดีหรือ ฟังดูมีอำนาจดีออก” อาคาเนะเฉไฉไปเรื่องอื่น เอื้อมมือไปคว้าผ้าผืนเล็กออกจากมือโทชิฮิโระแล้วกดไหล่เขาให้นั่งลง โทชิฮิโระเหลือบตาขึ้นมองคนที่เพิ่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขา อาคาเนะไม่ได้นั่งลงเพียงแค่ยืนด้วยเข่าเท่านั้น


“อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่อยากให้นิ้วข้าทิ่มเข้าไปในลูกตาท่าน” ผ้าที่ถูกยึดไปถูกโยนลงมาคลุมหน้าแล้วลากขึ้นไปเช็ดไม่เบานักบนหัว โทชิฮิโระหัวเราะออกมาทั้งที่ถูกเช็ดผมจนหัวสั่นหัวคลอน


“ข้าควรจะกลัวเจ้าจะดึงผมข้าหลุดไปทั้งหัวก่อนไหม”


“จงดีใจเถอะ ข้าไม่เคยทำอย่างนี้ให้ใครนะ” คนที่กำลังเช็ดผมให้ทำเสียงขึ้นจมูก เขาไม่เคยใส่ใจดูแลใคร และสำหรับตอนนี้แค่คิดว่าปิดหน้าปิดตาโทชิฮิโระไว้เสียบ้างก็คงดี


ไม่มีคำทักท้วงใดออกจากปากเจ้าของคฤหาสน์อีก พวกเขาต่างฝ่ายต่างเงียบลงแม้ว่าอาคาเนะจะเลื่อนผ้าออกจากหัวของโทชิฮิโระแล้วขยับตัวไปด้านข้างหันไปใส่ใจกับการเช็ดปลายผมแทน


หลังพอใจในผลงานของตนอาคาเนะจึงยอมเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะได้รู้ตัวว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องเขาอยู่ จากที่ผ่อนคลายอยู่เมื่อครู่กลับรู้สึกเกร็งขึ้นมา แววตาคมกริบจ้องมองเขาโดยไร้แววหยอกล้ออย่างเคย จนเหมือนกำลังมองลึกลงไปกว่าที่เป็นอยู่


“อะ..เอาคืนไป ข้าใช้เสร็จแล้ว” ผ้าชื้นๆ ถูกยื่นใส่หน้า รอยยิ้มค่อยๆ ผุดขึ้นบนมุมปากของโทชิฮิโระ ถึงจะพยายามทำหน้านิ่งเพียงใด เขาก็ยังสังเกตเห็นรอยแดงที่ข้างแก้มอาคาเนะอยู่ดี


เด็กหนุ่มคนนี้บ้างครั้งชอบอวดเก่ง วางตัวอวดดี แต่บางเวลากลับแสดงความห่วงใยออกมาอย่างซื่อตรงโดยที่แม้แต่ตัวเองก็คงไม่รู้ตัว ซ้ำยังเขินอายเมื่อถูกจับจ้องง่ายๆ เสียด้วย


“ปกติต้องเสียเงินเท่าไร ถึงจะได้ความห่วงใยจากเจ้าเช่นนี้”


“แค่ไม่อยากเห็นท่านป่วยไปอีกเพราะมัวแต่เดินไปเดินมาในสภาพเปียกปอนก็เท่านั้น” คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเกินความจำเป็นรีบแก้ตัวอย่างร้อนรน ทว่ายิ่งแก้กลับยิ่งทำให้ปมขมวดแน่นขึ้น


“นั่นก็แปลว่าห่วงไม่ใช่หรือ”


“เปล่า!”


“หน้าเจ้าแดงหมดแล้ว”


“ถะ...ถ้าท่านป่วยอีก เมื่อใดจะได้ไปที่ร้าน”


“อยากให้ข้าเป็นฝ่ายไปหา?”


“ไม่ใช่! เอ๊ย! ใช่ ไม่...คือ...”


“ใจเย็นไว้”


“ท่านไม่เข้าใจ ถ้าท่านยังไม่หายดีก็ไม่ได้ไปทีร้าน แล้วข้าก็ต้องมาหาท่านอยู่เรื่อย!”


 “เจ้าเสียทั้งแรงและเวลาซ้ำยังไม่ได้เงินด้วยใช่ไหม”


“ใช่...!” เพราะความกดดันจากทั้งตัวเองและการกลั่นแกล้งของโทชิฮิโระ ทำให้อาคาเนะหลุดปากตอบรับออกมาโดยไม่ทันคิด ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างและรีบตะครุบปากตัวเองไว้ทันควัน แม้จะรู้ดีว่ามันออกจะช้าไปสักหน่อย


“ไม่เป็นไร มันคืองานของเจ้า ข้าเองก็ควรตอบแทนน้ำใจของซาโตรุด้วย” รอยยิ้มของโทชิฮิโระจางหายไปและมันให้อาคาเนะรู้สึกเสียใจกับนิสัยปากไม่ตรงกับใจของตน


จริงอยู่ว่าซาโตรุส่งเขามาเพราะหวังให้โทชิฮิโระกลับไปเป็นลูกค้า แต่สิ่งที่เขาทำไม่ได้ทำไปเพื่อเหตุผลพวกนั้น


คนตรงหน้าขยับตัวลุกขึ้นโดยไม่เอ่ยปากอะไร อาคาเนะจึงรีบลุกตาม เขาก้มหน้ามองเพียงเท้าของคนที่เดินนำ รู้สึกอึดอัดในอกทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วย


“แผลข้าใกล้หายสนิทแล้ว จากนี้เจ้าไม่ต้องมาแล้ว หายดีเมื่อไรข้าจะติดต่อไปทางซาโตรุเอง” น้ำเสียงเรียบนิ่งแตกต่างจากน้ำเสียงของโทชิฮิโระที่คุ้นเคย


จากประสบการณ์พบเจอผู้คนที่ผ่านมา อาคาเนะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธอยู่ แต่เขาไม่เคยง้อใคร ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร


“วันนี้ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า ดูสีหน้าเจ้าเหมือนนอนไม่ค่อยพอ กลับไปพักเสีย” พวกเขาเดินมาถึงห้องที่อาคาเนะทิ้งห่อผ้าเอาไว้ อีกไม่กี่ก้าวโทชิฮิโระก็จะหยิบมันขึ้นมาได้และคงส่งคืนให้


อาคาเนะกำมือแน่นก่อนตัดสินใจก้าวเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อคว้าด้านหลังของกิโมโนโทชิฮิโระเอาไว้


“โทชิ” ชื่อของเขาถูกเรียกออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว โทชิฮิโระยืนนิ่งปล่อยให้อาคาเนะขยำกิโมโนตรงข้างเอวเขา รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มซุกหน้าลงมากับแผ่นหลัง


“ขอโทษ”


“เรื่องอะไร”


“ที่พูดว่าใช่”


“ถ้ามันเป็นความจริง เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ” มือของอาคาเนะกำแน่นขึ้น เขาไม่ชอบน้ำเสียงนี้ของโทชิฮิโระเลย


“นั่นเป็นความคิดพี่ซาโตรุไม่ใช่ข้า ข้าแค่อยากให้ท่านหายดี แค่นั้นจริงๆ” มือใหญ่วางลงบนมือของอาคาเนะแล้วพยายามดึงออก ด้วยสัญชาตญาณอาคาเนะฝืนเอาไว้


เขากลัว กลัวการถูกโทชิฮิโระปฏิเสธ


“ปล่อยก่อนอาคาเนะ” น้ำเสียงของโทชิฮิโระอ่อนลง แต่ยังไม่สามารถลบความหม่นหมองในใจของอาคาเนะได้


“ไม่ จนกว่าท่านจะหายโกรธข้า”


“ถ้าอยากขอโทษก็จงมองหน้าข้า ไม่ใช่หลบอยู่ข้างหลัง” ไม่บ่อยนักที่โทชิฮิโระจะใช้โทนเสียงดุกับอาคาเนะ แต่มันได้ผลทุกครั้ง เด็กหนุ่มยอมปล่อยมือทิ้งลงไปกำแน่นไว้ข้างลำตัวพร้อมทั้งก้มหน้าลงในตอนที่โทชิฮิโระหมุนตัวกลับมา


“เงยหน้า” ไม่มีคำตอบหรือการเคลื่อนไหวใดจากคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา โทชิฮิโระถอนหายใจเบาๆ แล้วสอดมือไปใต้คางของอาคาเนะเพื่อดันให้เงยขึ้น ดวงตาที่เคยมองเขาอย่างดื้อดึงยามนี้สั่นไหวและเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบตา


...แกล้งมากกว่านี้คงไม่ดี


คนสูงกว่าโน้มตัวลง แนบริมฝีปากตัวเองกับปากที่เม้มแน่น เรียกให้ดวงตาที่เบือนหลบหันกลับมามองเขาพร้อมเบิกกว้างก่อนจะปิดลงเมื่อถูกรุกล้ำมากขึ้น ไม่นานมือที่กำแน่นก็เปลี่ยนมาเป็นพยายามยันตัวเขาออก แต่คงเพราะยังสำนึกผิดอยู่บ้างเลยเป็นเพียงแค่การทุบเบาๆ เพื่อประท้วงเท่านั้น


“คราวหลังถ้าอยากจะให้ข้าหายโกรธต้องทำเช่นนี้ เข้าใจไหม” แววตาพราวระยับและน้ำเสียงหยอกเย้าหวนกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่คนขอโทษนั้นหน้าร้อนจนแทบสุกได้แต่หุบปากสนิท และคงไม่กล้าเปิดปากไปอีกพักใหญ่




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


อยากมีคนมาง้อวิธีนี้บ้าง  :hao6:


หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 8 คำโกหก [27/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 27-12-2016 19:10:13
บทที่ 8

คำโกหก





คนเราเชื่อใจกันเพราะอะไร ไว้ใจกันเพราะสิ่งใด อาคาเนะไม่เคยตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเองมาก่อน เขารู้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มักโกหกกันอยู่เสมอ


โกหกทั้งที่ใบหน้ากำลังยิ้ม โกหกทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเชื่อจนหมดใจ และคนที่สอนให้เขารู้คือ ‘พ่อ’ ของเขาเอง


“ไม่เป็นไร แค่ไข้หวัดธรรมดา”


รอยยิ้มจากริมฝีปากแห้งผากนั่นหรือ ที่เรียกว่าไม่เป็นไร


“รู้แล้ว จะรีบหายไวๆ แล้วพาเจ้าออกไปเที่ยวอีกดีไหม”


มือที่ลูบคอยหัวให้กำลังซีดเซียวลงเรื่องๆ ร่างกายผ่ายผอมจนแม้แต่ยืนยังไม่ไหว แล้วยังบอกว่าจะออกไปข้างนอกได้อีก


อาคาเนะรู้ดีว่าพ่อกำลังโกหก แต่เหตุผลที่โกหกเขาก็รู้เช่นกันดังนั้นจึงต้องฝืนยิ้ม ทำตัวร่าเริงแม้ในวันที่พ่อหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีก


ตั้งแต่นั้นอาคาเนะจึงได้เริ่มสวมหน้ากาก หน้ากากของความสุขและการยิ้มแย้มอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ใครได้เข้าใกล้ตัวตนที่เก็บซ่อนเอาไว้อีก


แต่แล้วทำไม หน้ากากของเขากลับถูกถอดออกง่ายแสนง่าย ด้วยมือของชายที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ถูกแกล้ง ถูกหยอก ถูกทำให้หัวปั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วยังมาสอนเรื่องแปลกๆ ให้กับเขาอีก


“คราวหลังถ้าอยากจะให้ข้าหายโกรธต้องทำเช่นนี้ เข้าใจไหม”


หินก้อนเล็กในมือถูกบีบแน่นก่อนขว้างลงบ่อน้ำเล็กๆ ซึ่งเป็นเพียงเครื่องประดับสวน แต่เพียงแค่นั้นไม่อาจบรรเทาความขุ่นเคืองในใจของอาคาเนะได้ เขาก้มลงเก็บหินขึ้นมาอีกเต็มกำมือ แล้วขว้างมันลงบ่อน้ำตรงหน้าจนน้ำกระเซ็นไม่หยุดหย่อน


“ไอ้คนอวดดี!” หินสามก้อนสุดท้ายในมือถูกขว้างลงไปพร้อมกับถ้อยคำก่นด่าถึงตัวต้นเหตุ ห้าวันแล้วนับจากเกิดเรื่องนั้น และเป็นเวลาห้าวันแล้วเช่นกันที่เขาไม่ได้เจอโทชิฮิโระ เพราะฝ่ายนั้นออกปากว่าคราวหน้าจะเป็นฝ่ายมาหาเอง แต่กลับหายเงียบไปแบบนี้


ที่ผ่านมาอาคาเนะไม่เคยต้องตามใจแขกคนไหนมากเท่าโทชิฮิโระ คนอื่นต่างพยายามเอาอกเอาใจเขาทั้งนั้น เรื่องเล็กใหญ่แทบไม่เคยมีให้ขัดใจ ตรงข้ามกับโทชิฮิโระที่ทำอะไรเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง บางเวลาก็อ่อนโยนเสียจนวางตัวไม่ถูก บางเวลาก็ดุเขาราวกับเป็นเด็กน้อย แล้วยังมาหลอกให้รออีก


...!!


อาคาเนะสะดุ้งกับความคิดตัวเองจนต้องกุมขมับ นี่เขากำลังคาดหวังที่จะเจอโทชิฮิโระอยู่ใช่ไหม ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยใจ ทำตัวเป็นสาวน้อยไปได้


“อาคาเนะ” เสียงเรียกดังมาจากอีกด้านของสวน อาคาเนะหันไปตามต้นเสียงและเห็นซาโตรุกำลังกวักมือเรียกอยู่ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะฉีกยิ้มแล้วเดินไปหา


“มีอะไรกับข้าหรือพี่ซาโตรุ”


“เห็นเจ้าพยายามถมบ่อน้ำของร้านอยู่พักหนึ่งแล้ว เลยอยากคุยด้วย” อาคาเนะยิ้มค้างแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ เขาคงจมกับความคิดตัวเองมากไปหน่อย ถึงไม่รู้ตัวเลยว่าซาโตรุคอยมองอยู่ด้วย


“มีอะไรจะเล่าให้ฟังไหม” คนอายุมากกว่าถามเสียงนุ่ม เป็นเรื่องปกติที่ใครสักคนจะมีเรื่องกังวลใจ แต่น้อยครั้งที่คนคนนั้นจะเป็นอาคาเนะ


“ข้า...”


“ให้เดาคงเป็นท่านโทชิฮิโระ” ซาโตรุจะถือว่าการที่อาคาเนะหน้าแดงแปลว่าเขาเดาถูก มันเดาไม่ยากอะไรในเมื่อระยะนี้มีแขกเพียงคนเดียวที่ส่งผลต่ออารมณ์ของอาคาเนะได้ และการดูแลอาคาเนะให้พร้อมรับแขกถือเป็นหน้าที่ของเขาเช่นกัน


“ทำไม เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าท่านโทชิฮิโระอาการดีขึ้นแล้ว”


“ขอรับ” วัดเอาจากเรี่ยวแรงที่ใช้ ‘สอน’ วิธีทำให้หายโกรธแล้ว โทชิฮิโระคงไม่ใช่แค่หายดี แต่ยังแข็งแรงดีแล้วด้วย
“ไม่ได้ไปบ้านนั้นกี่วันแล้ว”


“ห้าวันขอรับ” อาคาเนะก้มหน้าตอบเสียงขุ่น แค่ห้าวันเขากลับหงุดหงิดจนเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้ เจอคราวหน้าจะเอาคืนให้ดู


“อยากเจอเขาหรือ ข้าจัดของเยี่ยมให้ไหม”


“ไม่ขอรับ ท่านโทชิฮิโระบอกเองว่าไม่ต้องไปเยี่ยมแล้ว ถ้าเขาอยากมาคงรู้จักมาเอง” อาคาเนะยกสองมือขึ้นกอดอกทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะยอมให้โทชิฮิโระมากเกินไป ถ้าโผล่หน้าไปคงไม่ต่างกับการตะโกนบอกโทชิฮิโระว่าอยากเจอเสียมากมาย


ซาโตรุแอบซ่อนรอยยิ้มขำ เด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังพยายามดื้อกับใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่พอเจอหน้าเมื่อไร เห็นโอนอ่อนตามคำพูดฝ่ายนั้นทุกครั้ง ถ้ามีโอกาสเขาคงต้องถามเอาจากโทชิฮิโระบ้างว่ามีวิธีจัดการกับอาคาเนะอย่างไร


“แล้วถ้าเขามาไม่ได้” ดวงตาคู่โตเหลือบขึ้นมองด้วยสีหน้าสงสัย


“เจ้าบอกว่าเขาอยู่คนเดียวใช่ไหม ร่างกายเพิ่งฟื้นด้วย อาจจะไม่สะดวกหลายๆ อย่าง” ซาโตรุคอยสังเกตสีหน้าของอาคาเนะอยู่ตลอดเวลา และมันกำลังลดความขุ่นเคืองลง


สุมไฟเข้าไปอีกหน่อยคงจะดี


“ข้าเองไม่ได้พบเขาอย่างเจ้า คงบอกไม่ได้ว่าเขาหายสนิทแล้วหรือไม่ เขาอาจทำเป็นดีขึ้นเพื่อให้เจ้าสบายใจ แต่ยังต้องการพักฟื้นอีกสักหน่อย อย่าได้โกรธเคืองไปเลย”


ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของอาคาเนะ เด็กหนุ่มดูนิ่งไปจนซาโตรุแปลกใจ เขาก้มตัวลงเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย และได้เห็นว่าดวงตาของอาคาเนะกำลังเบิกกว้างและสั่นไหว


“อาคาเนะ” ซาโตรุแตะไหล่เจ้าของชื่อเบาๆ แต่อาคาเนะกลับสะดุ้งเฮือก


“เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน” ใบหน้าของอาคาเนะซีดเผือด เด็กหนุ่มคว้าแขนของซาโตรุเอาไว้แล้วบีบแน่น


“ข้าขออนุญาตออกไปข้างนอก” บอกเพียงแค่นั้นอาคาเนะก็ผลุนผลันวิ่งออกไป แม้แต่ซาโตรุยังตั้งตัวไม่ทันได้แต่ร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง


“ข้าจะกลับมาก่อนค่ำ!” มีเพียงเสียงตะโกนตอบกลับมาจากคนที่วิ่งหายลับไปอย่างรวดเร็ว ซาโตรุส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ดูท่าเขาคงจะสุมไฟแรงเกินไปเสียแล้ว



ทั้งที่รู้ดี รู้ว่ามนุษย์นั้นชอบโกหก โทชิฮิโระอาจจะโกหกว่าจะมาหา อาจจะแค่ไม่อยากเสียเงิน หรืออาจจะแค่เบื่อจะเล่นด้วยแล้ว
แต่ถ้าหากสิ่งที่โทชิฮิโระโกหกคือการบอกว่าหายดีแล้วจะเป็นอย่างไร


“แผลข้าใกล้หายสนิทแล้ว”


อยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่กว้างใหญ่ ถ้าหากเจ็บป่วยขึ้นมาจะเรียกหาใครได้ แล้วถ้าหากมีคนร้ายบุกเข้าไปอีก...


ภาพร่างที่ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดของโทชิฮิโระปรากฏขึ้นในความทรงจำ แค่นึกถึงหัวใจก็เต้นแรงขึ้นทั้งที่รู้สึกเย็นตรงปลายมือ อาคาเนะก้าวขาให้เร็วขึ้น ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นเวลากลางวันที่คนเดินไปเดินมาเต็มถนน เขาคงกระโดดขึ้นหลังคาไปแล้ว


ความทรงจำเกี่ยวกับพ่อทับซ้อนขึ้นมา ทำไมเขาถึงถูกหลอกด้วยคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ อยู่เรื่อย


ตอนนี้จะถูกโทชิฮิโระมองอย่างไรก็ช่าง ถ้าไปถึงแล้วเห็นว่าสบายดี เขาจะชิงโวยวายใส่เอง โทษฐานที่หลอกให้เขารอเหมือนคนบ้า







ประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ทั้งที่ปกติโทชิฮิโระจะปิดสนิททุกครั้งทำให้อาคาเนะเริ่มหวั่นใจ เขาผลักมันเปิดออกแล้วก้าวเข้าไปโดยไม่กล้าส่งเสียงเรียก


กลัว...กลัวว่าจะไม่มีเสียงใครตอบกลับมา


อาคาเนะจดจำคฤหาสน์หลังนี้ได้แทบจะทุกซอกทุกมุม และห้องแรกที่เขามุ่งหน้าไปคือห้องนอนของโทชิฮิโระ การเดินทุกก้าวอาคาเนะคอยสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของคฤหาสน์ นึกอยากให้โทชิฮิโระโผล่ออกมาเรียกเขาเหมือนอย่างทุกครั้ง แต่จนสุดทางเดินก็ยังไม่เห็นใคร


อาคาเนะหยุดยืนอยู่หน้าประตูเลื่อน ยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้าแล้วค่อยๆ เอื้อมไปจับประตู เฝ้าพร่ำบอกตัวเองว่าเปิดไปคงได้เห็นโทชิฮิโระนอนหลับอยู่ ทว่าก่อนที่เขาจะได้เปิดมัน ประตูบานนั้นกลับเลื่อนเปิดจากด้านในเสียก่อน


“อ้าว หนุ่มน้อยน่ารักนี่ใครกัน” เจ้าของเสียงสดใสนั้นไม่ใช่คนที่อาคาเนะคิดว่าจะได้เจอ หญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีดำยาวสลวยตัดกับผิวขาวกระจ่างกำลังแย้มยิ้มให้เขาอยู่ แต่อาคาเนะไม่สามารถยิ้มตอบกลับไปได้


“อาคาเนะ” น้ำเสียงที่คุ้ยเคยช่วยให้อาคาเนะหาเสียงของตัวเองเจอ โทชิฮิโระเองก็อยู่ในห้องกับผู้หญิงคนนั้น ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ใกล้เคียงกับคำว่าคนป่วยแม้แต่น้อย


“ข้าคงมารบกวน ขอตัวก่อน” อาคาเนะหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว รู้สึกราวกับบางอย่างในอกกำลังแตกสลาย แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขารู้แค่ว่าต้องออกไปจากที่นี่


“หยุด!” คำสั่งเฉียบขาดมาจากเจ้าของคฤหาสน์ ขาของอาคาเนะหยุดก้าวและทำเพียงยืนนิ่ง น่าสมเพชที่ในเวลาแบบนี้ร่างกายก็ยังเชื่อฟังโทชิฮิโระอยู่ดี


“ออกไป” ถ้อยคำแข็งกระด้างทำให้อาคาเนะเผลอกลั้นหายใจ น้ำเสียงแบบนั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน จนเมื่อมีเสียงของอีกคนดังขึ้น


“ไม่ไล่ก็ไปอยู่แล้ว มารยาทแย่จริง” หญิงสาวที่อาคาเนะไม่เคยพบมาก่อนกำลังทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่โทชิฮิโระอยู่ นางเดินผ่านเขาไป แต่แล้วก็เดินย้อนกลับมาหา ยื่นหน้ามากระซิบเบาๆ ที่ข้างหู


“อย่าไปหลงเชื่อโทชิฮิโระให้มาก เขามันใจดำรู้ไหม”


“คาสุมิ!” โทชิฮิโระตวาดลั่น แต่คาสุมิไม่ได้หวั่นเกรง นางหันหลังเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างคนสองคน
อาคาเนะยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่แม้แต่จะหันมามองโทชิฮิโระ


ตอนมาเขามาด้วยความเป็นห่วง แต่พอได้มาเห็นโทชิฮิโระสบายดีและอยู่กับคนอื่นกลับเริ่มไม่อยากจะเห็นหน้า


แว่วเสียงถอนหายใจจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา ใกล้จนรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างกายของอีกคน


“มาหาข้าไม่ใช่หรือ ทำไมไม่หันกลับมา” ถึงจะไม่ได้คาดเอาไว้ว่าอาคาเนะจะมา แต่คาสุมิรู้ตัวแต่แรกแล้วว่าจิ้งจอกน้อยได้เข้ามาในคฤหาสน์ แล้วปีศาจหิมะนั่นก็เลือกที่จะปรากฏตัวต่อหน้าอาคาเนะแทนที่จะหายตัวไปอย่างที่ควรทำ


จงใจหาเรื่องมาให้เขาชัดๆ


“แค่เห็นท่านหายไป เลยมาดูว่าตายไปหรือยัง” คำว่า ‘ตาย’ ฟังดูใส่น้ำหนักมากกว่าคำอื่น ดูอาการคงจะโกรธมากพอดู เอาไว้คงต้องคิดบัญชีกับคาสุมิย้อนหลัง


“ปากเจ้านี่นะ”


“ข้าคงไม่ปากหวานเท่าสตรีอยู่แล้ว กลับได้หรือยัง”


“อย่าเอาคาสุมิมาเกี่ยว” ถ้อยคำคล้ายจะปกป้องนั้นทำให้อาคาเนะโกรธยิ่งขึ้น แต่แทนที่จะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ กลับรู้สึกอัดอั้นจนตีรวนอยู่ในอก และความรู้สึกเหล่านั้นกำลังกลั่นออกมาทีละน้อย

 
“ไปกันใหญ่แล้ว มานี่มา” ร่างของอาคาเนะถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น สัมผัสอ่อนโยนนั้นทำลายทำนบที่กั้นน้ำตาของอาคาเนะลงอย่างง่ายดาย


“ขอโทษ ครั้งนี้ข้าผิดเองที่ไม่ส่งข่าวไป แต่อย่าไปเก็บเรื่องผู้หญิงคนนั้นมาคิด นางไม่ได้สำคัญกับข้าสักนิด”


“โกหก” อาคาเนะหันกลับมากล่าวโทษโทชิฮิโระทั้งที่ดวงตายังวาววับด้วยหยาดน้ำตา วงแขนใหญ่คล้องรอบเอวของอาคาเนะเอาไว้หลวมๆ เพื่อกันไม่ให้จิ้งจอกขี้แยหลุดหนีไปไหน


“ข้าไม่มีอะไรให้พิสูจน์ได้ มีแค่คำพูดที่จะพูดให้เจ้าฟังจนกว่าจะพอใจ ว่าไม่มีใครสำคัญไปกว่าเจ้า”


“ไม่เห็นมีอะไรต้องพิสูจน์ ท่านจะมีใครอีกหรือไม่ ข้าไม่มีสิทธิ์ว่าท่านอยู่แล้ว” พวกเขาไม่ใช่คนรักกัน เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่ซื้อขายด้วยเงิน ย่อมไม่มีสิทธิ์คิดเป็นเจ้าของกันและกันอยู่แล้ว


“แค่เจ้าคนเดียวก็แย่แล้ว นี่ยังไม่รู้ว่ากว่าจะชนะใจเจ้าได้ จะยังมีเงินเหลือพอไถ่ตัวเจ้าหรือเปล่าเลย” ริมฝีปากอุ่นจูบลงกลางหน้าผากคนในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา แต่ก็จำต้องผละออกเพราะอาคาเนะพยายามขืนตัวออกห่าง


“ท่าน...ว่าอะไรนะ”


“ไม่ถูกหรือ ถ้าไม่อยากให้เจ้าไปรับแขกคนอื่นอีก ก็ต้องซื้อเจ้ามาเป็นของข้าเป็นคนเดียวให้ได้ เสียแต่ต้องให้เจ้าเห็นด้วยใช่ไหม”


อาคาเนะนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ คงเพราะอารมณ์แปรปรวนเกินไปหน่อย เขาถึงเข้าใจสิ่งที่โทชิฮิโระพูดได้ช้ากว่าปกติ และระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นริมฝีปากก็ยังมาถูกขโมยจูบไปจากคนที่กำลังกอดเอวเขาอยู่อีก


“นี่ท่าน!”


“หืม”


“ไม่ต้องมา ‘หืม’ อยู่ๆ ทำอะไรของท่าน!” คนกำลังสับสนอยู่แท้ๆ กลับมาขโมยจูบกันเสียได้ บ่นได้ไม่ทันขาดคำ คนร้ายกลับลงมือทำผิดซ้ำอีก คราวนี้อาคาเนะยกมือปิดปากตัวเองไว้แน่นแล้วถลึงตาใส่


“ข้าสอนแล้วนี่ว่าจะทำให้หายโกรธต้องทำอย่างไร แล้วเจ้าหายโกรธหรือยัง” เป็นเหตุผลที่อาคาเนะอยากมุดดินหนีไปเป็นที่สุด


คนอะไรหาเรื่องให้ตัวเองได้กำไรตลอดเวลา!




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

สาดน้ำตาลใส่ทีเป็นกระปุก สงสัยต้องซื้อตุนอีกสักหนึ่งคันรถ เอ...หรือหันไปซื้อมาม่าดีหนอ  o18


หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 8 คำโกหก [27/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 28-12-2016 09:15:58
เหยย น่ารักอ่ะ เราอ่านเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ถึงตอนล่าสุดละ รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 9 เทศกาล [28/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 28-12-2016 19:25:14
บทที่ 9

เทศกาล






สายลมเย็นสบายพัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาภายในห้องอันมืดสนิท ฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามาทำให้อากาศเย็นลงทีละน้อย แต่สำหรับคนที่ซุกตัวใต้ผ้าห่มพร้อมด้วยการมีแขนหนักๆ อีกข้างวางพาดอยู่บนอกกลับรู้สึกอุ่นจนเกินพอดีด้วยซ้ำ


เสียงจากร้านด้านล่างเงียบลงไปได้ครู่ใหญ่แล้ว แปลว่าเวลาได้ล่วงเลยเกินค่อนคืน และเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องการพักผ่อนเพื่อเตรียมเรี่ยวแรงไว้ต้อนรับวันใหม่ ยกเว้นเพียงอาคาเนะที่เพิ่งลืมตาขึ้น หลังรอจนแน่ใจแล้วว่าคนที่นอนร่วมฟูกด้วยกันได้หลับสนิทไปแล้ว


แขนของโทชิฮิโระถูกยกขึ้นระหว่างที่อาคาเนะค่อยๆ เลื่อนตัวออกห่าง แล้วค่อยๆ วางแขนของโทชิฮิโระลงที่เดิม


ความจริงแล้วอาคาเนะไม่จำเป็นต้องระวังขนาดนี้ เพราะถึงอย่างไรโทชิฮิโระก็คงหลับลึกด้วยฤทธิ์ของยาที่ผสมอยู่ในน้ำชาอยู่ดี แต่เพราะสำหรับอาคาเนะ โทชิฮิโระพิเศษกว่าคนอื่น เขาถึงได้รับการปฏิบัติต่างจากคนอื่นด้วย


เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเว้นระยะห่างจากคนที่ยังหลับใหล อาคมสะกดเลือดปีศาจถูกปลดออกไป เผยร่างจริงของอาคาเนะออกมา หูจิ้งจอกทั้งสองข้างพับลู่ไปด้านหลังยามเมื่ออาคาเนะย่อตัวลงคุกเข่าข้างโทชิฮิโระ ดวงตาสีเพลิงหรี่ลงจ้องมองไปยังแขนของโทชิฮิโระ


มันไม่ยากเลยแค่ก้มลงแล้วฝังเขี้ยวลงเช่นเดียวกับที่ทำกับแขกทุกคนเสมอมา แต่คืนนี้มันยากเพราะนี่คือคืนที่สามแล้วที่โทชิฮิโระซื้อตัวอาคาเนะติดต่อกัน คืนแรกอาคาเนะดื่มเลือดโทชิฮิโระอย่างไม่ลังเล และดื่มอีกในคืนที่สอง แม้จะลังเลนิดหน่อย แต่สำหรับคืนที่สามมันต่างกัน


“ถ้าไม่อยากให้เจ้าไปรับแขกคนอื่นอีก ก็ต้องซื้อเจ้ามาเป็นของข้าเป็นคนเดียวให้ได้”


อาจเป็นเพราะคำพูดนั้นที่ทำให้โทชิฮิโระยอมเสียเงินซื้อเวลาของอาคาเนะคืนแล้วคืนเล่า ถ้าเป็นคาเงมะคนอื่นคงยิ่งเทใจให้แขกเช่นนี้

แต่กับอาคาเนะ การต้องดื่มเลือดจากคนคนเดิมติดต่อกันไม่ใช่เรื่องดีเลย ถ้านับรวมเมื่อครั้งช่วยโทชิฮิโระเอาไว้ เท่ากับว่าอาคาเนะดื่มเลือดจากชายคนนี้มาสามครั้งแล้ว มันมากพอจนจำได้แม้กระทั่งกลิ่นเลือดของโทชิฮิโระด้วยซ้ำ


อีกสิ่งหนึ่งที่ต่างไปจากแขกคนอื่นคือโทชิฮิโระไม่ได้พยายามทำอะไรอาคาเนะมากไปกว่าการจูบ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่อาคาเนะวางยาแขกทุกคนคงไม่เป็นความลับอีกแล้ว ทุกคืนโทชิฮิโระเพียงมานั่งคุยและดื่มกินด้วยกัน แล้วจบลงด้วยการกอดอาคาเนะเอาไว้เท่านั้น


“ทำไมอยากให้ทำหรือ”


พอลองถามออกไปก็โดยสวนกลับมาด้วยคำถามที่เจ็บแสบยิ่งกว่า เลยได้แต่โบ้ยไปให้ท่านเจ้าของร้านว่าทางนั้นต่างหากที่เป็นฝ่ายสอดรู้สอดเห็น


ไม่ใช่ว่าอาคาเนะโกหก แค่โคคิถามเมื่อหลายวันก่อนเท่านั้นเอง


“ ‘เพราะถ้าทำลงไป เจ้าคงมองข้าไม่ต่างจากแขกทุกคน’ เข้าใจพูดเสียจริง” อาคาเนะเท้าศอกลงบนหน้าขาแล้วเกยคางไว้กับฝ่ามือของตัวเอง อย่างน้อยเขาคงต้องขอบคุณความคิดแปลกๆ ของโทชิฮิโระที่ทำให้ระหว่างพวกเขายังคงไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนไป


“อา...ช่างเถอะ คืนนี้ไม่ดื่มก็ได้ ลองดูว่าระหว่างความอดทนของข้ากับเงินของท่านอะไรจะหมดก่อนกัน” อาคาเนะถอนหายใจเบาๆ แล้วร่ายอาคมเปลี่ยนร่างกลับเป็นมนุษย์อีกครั้งก่อนจะจัดแจงพาตัวเองกลับเข้าไปนอนอยู่ใต้แขนหนักๆ ของโทชิฮิโระเช่นเดิม


แม้ใจหนึ่งจะกังวลเพราะรู้ว่าตัวเองไม่ใช่เพียงมนุษย์ทั่วไป แต่เป็นครึ่งปีศาจที่ต้องการดื่มเลือด อาคาเนะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตร่วมกับใครอย่างคนปกติได้ งานของเขา และกฎของเขาช่วยให้การหาเลือดเป็นเรื่องง่าย แต่หากตอบรับโทชิฮิโระออกไป อะไรๆ คงไม่ง่ายดายอย่างที่เคย


แต่ลึกๆ อีกด้านของหัวใจ อาคาเนะดีใจที่ได้ยินคำพูดนั้น ได้รับรู้ว่ายังมีใครอีกคนที่ต้องการเขา ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่เป็นการอยู่เคียงข้างกันอย่างแท้จริง


ก่อนจะหลับตาลงอาคาเนะตัดสินใจพลิกตัวไปอีกด้าน หันหน้าเข้าคนที่กำลังหลับพร้อมกับเลื่อนตัวเข้าไปใกล้โทชิฮิโระมากขึ้น เพื่อจะได้ซุกตัวอยู่ในวงแขนอันแสนอบอุ่นที่คืนนี้ เวลานี้มันเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว







ช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาของความคึกคักสำหรับเมืองนี้ เพราะเป็นช่วงที่ศาลเจ้าใหญ่ประจำเมืองจัดงานเทศกาลประจำปี ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ จนกลายเป็นว่างานเทศกาลและการออกร้านค้าต่างๆ จะกินเวลาถึงห้าวันติดต่อกัน มีเพียงการแสดงเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเท่านั้นที่จัดเฉพาะในวันสุดท้าย


เวลานี้คนส่วนใหญ่เลือกจะอยู่กับครอบครัวทำให้กิจการในย่านเริงรมย์เงียบเหงาลงพอสมควร หลายคนจึงได้ถือเอาช่วงนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนไปด้วย อาคาเนะก็เช่นกัน


วันนี้อาคาเนะไม่จำเป็นต้องสวมกิโมโนที่ทั้งหนาและหนักเพื่อเตรียมรับแขก จึงเพียงเลือกหยิบกิโมโนสีน้ำเงินเข้มเรียบๆ มาสวมแทน


“จะใส่ชุดนั้นออกไปกับท่านโทชิฮิโระจริงหรืออาคาเนะ” คนที่ยืนรออยู่หน้าประตูถามด้วยรอยยิ้ม ถึงวันนี้อาคาเนะจะไม่ได้รับงานแต่ใช่ว่าไม่มีนัด แขกประจำท่านนั้นยังคงไม่ยอมปล่อยให้อาคาเนะมีเวลาว่างไปพบคนอื่น


ตอนแรกโทชิฮิโระบอกว่ายินดีจะจ่ายเงินให้ตามปกติ แต่กลับถูกอาคาเนะอุดปากเอาเสียก่อน เจ้าตัวดียิ้มประจบและขอให้เขาช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น อ้างว่าแค่ต่างฝ่ายต่างออกไปสนุกกับงานเทศกาล ไม่ใช่การให้บริการกันอย่างทุกครั้ง


ซาโตรุเลยต้องเลือกระหว่างบทคนทำบัญชีจอมเข้มงวดกับพี่ชายสำหรับอาคาเนะ แน่นอนว่าเขาเลือกอย่างหลัง ให้อาคาเนะได้ออกไปสนุกอย่างเด็กหนุ่มทั่วไปบ้างถือเป็นรางวัลสำหรับการทำงานอย่างตั้งใจจากพี่ชายคนนี้


“ไม่อยากถูกใครมอง ยิ่งเรียบยิ่งดีขอรับ” อาคาเนะหันมาฉีกยิ้มให้ระหว่างกำลังรวบผมขึ้น แม้ความสวยงามจะลดลง แต่อาคาเนะในตอนนี้กลับดูสดใสยิ่งกว่าวันไหนๆ


“เอ้า เสร็จแล้วก็ลงไปเสียที มีคนเขารออยู่” แรกเริ่มซาโตรุมีความรู้สึกไม่ดีกับโทชิฮิโระอย่างไม่มีเหตุผล เหมือนกับรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นเก็บซ่อนบางอย่างเอาไว้อยู่ รอยยิ้มของโทชิฮิโระดูราวกับไม่ได้ส่งออกมาจากหัวใจ


แต่พอเวลาผ่านไปและได้เห็นแววตาที่โทชิฮิโระมองตามอาคาเนะ มันไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเมื่อก่อน และบางครั้งยังลอบยิ้มโดยที่อาคาเนะไม่เห็น ถึงจะยังห่วงอยู่บ้าง แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่ทำให้อาคาเนะยิ้มได้กว้างกว่าใคร







หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ทั่วทั้งเมืองก็เริ่มสว่างไสวด้วยโคมไฟซึ่งแขวนเรียงไว้เป็นแถวยาวตลอดทางเดินไปยังศาลเจ้า ร้านค้าชั่วคราวถูกตั้งขึ้นด้วยงานช่างไม้แบบง่ายๆ แต่แข็งแรง กลิ่นหอมหวนจากอาหารคาวหวานหลากหลายชนิดดึงดูดทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าไปหา รวมไปถึงอาคาเนะด้วย


“ยังไม่อิ่มอีกหรือเจ้าเด็กกินจุ” เสียงถามดังขึ้นหลังจากอาคาเนะเพิ่งรับดังโงะเสียบไม้ย่างอุ่นๆ มาถือไว้มือละไม้ ไม้หนึ่งถูกยื่นให้กับโทชิฮิโระที่รับไปอย่างว่าง่าย แล้วใช้อีกมือที่ว่างยีหัวอาคาเนะเบาๆ


“ยัง ท่านกินเป็นเพื่อนข้าไม่ไหวแล้วหรือ” อาคาเนะยักคิ้วใส่อย่างท้าทาย ตั้งแต่มาถึงเขาก็แวะร้านอาหารมาตลอดทางโดยไม่ต้องเสียเงินส่วนตัวเพราะมีคนหน้าใหญ่คอยจ่ายให้ ดังนั้นเวลาสั่งอะไรอาคาเนะจะสั่งเป็นสองที่เสมอ เพื่อแบ่งให้กับโทชิฮิโระด้วย


“ไหว แต่กินแทบทุกร้านที่เดินผ่านขนาดนี้กลับไปคงเป็นหมูพอดี”


“แค่นี้ไม่กระทบกระเทือนข้าหรอก” มือขวาตบหน้าอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ส่วนมือซ้ายส่งขนมเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย โทชิฮิโระไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ เท่านั้น


เด็กหนุ่มผู้เติบโตมาในโลกที่ต่างจากเด็กทั่วไป มาวันนี้กลับดูร่าเริงราวกับเด็กน้อยเพิ่งเคยออกเที่ยว ทั้งหมดอาจเป็นเพราะการมีคนอีกคนเดินอยู่ข้างๆ เสมอ


โทชิฮิโระไม่ได้จับมือถือแขนอาคาเนะเหมือนครั้งวันแรกที่เจอกัน เขาปล่อยให้อาคาเนะได้ก้าวเดินไปด้วยตัวเอง วิ่งหายไปในหมู่คนบ้าง แต่สุดท้ายก็จะเห็นแขนขาวๆ ยกขึ้นโบกจนสุดแขนเพื่อเรียกเขาไปหา ไม่ต้องกังวลว่าจิ้งจอกตัวน้อยจะแอบหนี นับเป็นคืนที่โทชิฮิโระได้ผ่อนคลายตัวเองลงเช่นกัน


นอกจากร้านขายของเล่นและร้านอาหารที่สามารถดึงดูดอาคาเนะได้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มดูจะสนใจ คือคณะแสดงละครที่เดินทางมาเปิดการแสดงเล็กๆ ในคืนนี้พอดี


ด้วยข้อจำกัดด้านสถานที่ เวทีการแสดงจึงไม่ใหญ่นัก เพียงแค่ยกพื้นให้สูงขึ้นเล็กน้อย แล้วขึงผ้าไว้เพื่อเป็นฉาก โดยหันหน้าออกสู่ถนน การแสดงคงดำเนินมาได้ระยะหนึ่งจึงมีผู้คนยืนมุงดูอยู่จำนวนมาก คนมาทีหลังอย่างอาคาเนะเลยต้องชะเง้อคอเพื่อจะได้มองเห็นนักแสดง


“เราไปที่อื่นกัน” หลังชะเง้อคอได้ไม่นานอาคาเนะก็ถอดใจ เขาไม่ได้ชอบการยืนอยู่ในหมู่ผู้คนจำนวนมากอยู่แล้วด้วย เด็กหนุ่มคว้ามือโทชิฮิโระแล้วลากให้เดินตามออกมาแต่กลับถูกคนตัวโตกว่าขืนแรงเอาไว้


“อยากดูไม่ใช่หรือ”


“ไม่เอา เมื่อยคอ เมื่อยขาด้วย” อาคาเนะกระตุกมืออีกครั้งแต่โทชิฮิโระยังคงขืนเอาไว้เช่นเดิม พออ้าปากจะบ่น ปรากฏว่าร่างสูงตรงหน้ากลับหมุนตัวหันหลังให้แล้วย่อตัวลงคว้าแขนอาคาเนะพาดบ่ามาด้านหน้าก่อนจะยืดตัวขึ้นจนคนข้างหลังตัวลอยตามขึ้นมา


อาคาเนะอ้าปากโวยวายโดยไร้เสียง และแสดงความตกใจด้วยการทุบลงไปบ่นบ่าของคนที่เขาถูกบังคับให้ขี่หลังสุดแรง


“ทำอะไรของท่าน วางข้าลง!” จะทำอะไรไม่บอกไม่กล่าว และถึงจะบอกอาคาเนะก็ไม่ได้อยากดูการแสดงถึงกับต้องขี่หลังใครดูด้วย


“ถ้าเสียงดัง เดี๋ยวคนก็หันมาดูเจ้าแทนหรอก”


“วางข้าลงสิ” อาคาเนะยอมลดเสียงลง แต่ยังเค้นเสียงดุ คนถูกสั่งไม่มีท่าทีจะทำตาม ซ้ำยังขยับท่าทางให้ถนัดขึ้นโดยจับขาของอาคาเนะเอาไว้มั่น ถ้าปล่อยมือตอนนี้อาคาเนะคิดว่าตัวคงได้หงายหลังลงไปฟาดพื้น เลยจำต้องเลื่อนมือไปกอดรอบคอของโทชิฮิโระเพื่อพยุงตัวเองไว้


“ท่านนี่บ้าจริงๆ”


“ดูไปเถอะ อีกไม่นานคงจบแล้ว” ต้องขอบคุณนักแสดงที่แสดงได้ดีจนดึงดูดสายตาผู้คนไปทางเวทีทั้งหมด จนไม่มีใครคิดจะหันกลับมามองด้านหลังสุด ไม่อย่างนั้นต่อให้ต้องดิ้นลงไปกองกับพื้นอาคาเนะก็คงไม่กล้าขี่หลังโทชิฮิโระไว้อย่างนี้


แผ่นหลังนี้ทั้งกว้างและอบอุ่น ถ้าหากวันหนึ่งโทชิฮิโระรู้ว่าเขาเป็นอะไร จะยังดีกับเขาเช่นนี้ไหม คำถามนั้นทำให้อาคาเนะเลือกที่จะกอดโทชิฮิโระเอาไว้ให้แน่นขึ้น







ศาลเจ้ายามค่ำคืน หากเป็นช่วงเวลาปกติคงเงียบสงัดและวังเวงน่ากลัว แต่สำหรับช่วงเทศกาลนี้ แม้แต่โดยรอบศาลเจ้าก็ถูกประดับไว้ด้วยโคมไฟจนสว่างไสวเช่นกัน


บันไดหินซึ่งทอดตัวยาวขึ้นมาจากส่วนร้านค้าด้านล่างเวลานี้ไม่มีใครนอกจากโทชิฮิโระและอาคาเนะที่หลบออกจากคนหมู่มากมาเพื่อนั่งพัก ทั้งคู่นั่งลงบนบันไดขั้นเดียวกันและทอดสายตามองไปยังร้านรวงด้านล่างที่ผู้คนเริ่มบางตาลงหลังผ่านมาเกือบครึ่งคืน


“เมื่อยหรือเปล่า” ถึงจะไม่นานมากแต่โทชิฮิโระก็แบกเขาอยู่นานพอสมควร ปากอาจจะไม่บ่น แต่อาคาเนะแอบเห็นว่าโทชิฮิโระจับแถวไหล่ของตัวเองหลังวางเขาลง


“ถ้าเมื่อยจะนวดให้ไหม” โทชิฮิโระเอียงคอถาม สิ่งที่ได้คือคำปฏิเสธทันควันจากอาคาเนะ


“ทำตัวเอง วันหลังจะได้ไม่ทำอีก” ให้พรุ่งนี้ปวดแขนไปเลยยิ่งดี จะได้ไม่ทำอะไรราวกับเขาเป็นเด็กอีก


“เริ่มคิดเรื่องวันข้างหน้ากับข้าเสียทีนะ” คราวนี้อาคาเนะหันขวับมาทำตาโตใส่ ก่อนจะค่อยๆ หน้าแดงขึ้นเมื่อคิดได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป


“ไม่คิดจะมาอยู่ด้วยกันจริงๆ หรืออาคาเนะ” แม้จะถามโดยไม่ได้หันมามองหน้า แต่มันเพียงพอแล้วที่จะทำให้อาคาเนะวางตัวไม่ถูก จะปฏิเสธก็กลัวว่าโทชิฮิโระจะโกรธ จะตอบรับก็ติดปัญหาที่ไม่สามารถอธิบายออกไปได้

 
โทชิฮิโระลอบมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของอาคาเนะด้วยหางตา เขารู้ว่าตัวเองมีความสำคัญกับอาคาเนะในระดับไหน รู้ด้วยว่าเพราะเหตุใดอาคาเนะถึงตอบรับไม่ได้ คงต้องหาทางเปิดเผยเรื่องเลือดปีศาจของอาคาเนะเสียก่อนถึงจะคุยเรื่องนี้กันได้


“ไม่เป็นไร ถือว่าข้าไม่ได้ถาม” ไหล่บางถูกรั้งไปโอบกอดเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง มือใหญ่ลูบต้นแขนให้อาคาเนะเบาๆ คล้ายจะปลอบใจ แต่มันทำให้อาคาเนะบีบมือของตัวเองแน่นขึ้น


“เป็นข้าจะดีหรือ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมากเบาเสียจนอาคาเนะคิดว่าโทชิฮิโระอาจจะไม่ได้ยิน แต่เขายังคงตอบกลับมา


“ข้าเลือกแล้วอาคาเนะ เลือกมาตั้งแต่ต้น”


“ท่านไม่ได้รู้จักข้าทั้งหมด” อาคาเนะเอียงตัวออกห่างจากโทชิฮิโระก่อนจะลุกขึ้น การบอกความจริงกับโทชิฮิโระไม่ใช่แค่ต้องเผื่อใจถ้าหากอีกฝ่ายจะรับไม่ได้ แต่ยังต้องคิดด้วยว่าหากโทชิฮิโระรับรู้แล้วไปบอกคนอื่นจะเป็นเช่นไร


ความลับที่ปิดไว้มาชั่วชีวิต อาจพังชีวิตเขาไม่ก็โทชิฮิโระคนใดคนหนึ่งได้


“ขอเวลาข้าอีกหน่อยได้ไหม แล้วข้าจะบอกท่านทุกอย่าง” สีหน้าและแววตาของอาคาเนะหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนก้าวลงบันไดไปหนึ่งขั้นแล้วเดินมายืนตรงหน้าโทชิฮิโระ


“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าบอกได้ตอนนี้ คือข้าดีใจที่ได้พบท่าน” แววตาหม่นเศร้ากับรอยยิ้มที่ราวกับจะร้องไห้ทำให้โทชิฮิโระพูดอะไรไม่ออกเป็นครั้งแรก แม้ในตอนที่อาคาเนะบอกลาและขอกลับไปเพียงลำพัง เขาก็ไม่อาจรั้งไว้


สัญญา...เพื่อการแลกเปลี่ยน


โลกใบนี้ โลกอันโหดร้ายนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะได้มา โดยไม่ต้องเสียสิ่งอื่นเพื่อตอบแทนไป เพื่อได้เข้าใกล้อาคาเนะ เขาเสียเงินทองไปมาก แต่แน่นอนว่าหากได้ตัวอาคาเนะมา เขาจะได้อีกสิ่งตอบแทนเช่นกัน มันควรจะเป็นเรื่องแค่นั้น...


“ลังเลอยู่หรือท่านโทชิฮิโระ” น้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมกับสัมผัสเย็นเฉียบของโลหะที่แตะโดนลำคอเรียกให้โทชิฮิโระเหลือบตามองเพียงชั่วครู่ก่อนจะเบือนสายตากลับไปทางเดิมอย่างไม่ใส่ใจ


“ทำไมไม่ใช้มันแทนที่จะเอามาทาบคอข้าไว้เฉยๆ” คมดาบวาววับในมือของคาสุมิไม่ได้สร้างความกลัวให้กับโทชิฮิโระสักนิด ปีศาจหิมะเบ้ปากแล้วเก็บดาบกับเข้าฝัก นางปรากฏตัวขึ้นบนบันไดขั้นถัดไปพร้อมกับดาบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


“แกล้งเจ้านี่ไม่สนุกเอาเสียเลย” คาสุมิโยนดาบให้กับโทชิฮิโระ เขารับมันไว้ตามสัญชาตญาณ แม้จะไม่เข้าใจว่านางมอบมันให้เพื่ออะไร


“ใช้ดาบเป็นหรือเปล่าโทชิฮิโระ” ปีศาจหิมะยิ้มเจ้าเล่ห์ ถึงจะทำให้โทชิฮิโระกลัวไม่ได้ แต่ได้เห็นสีหน้างุนงงของชายคนนี้ก็นับว่าไม่เลวนัก คาสุมิก้าวเข้าไปใกล้โทชิฮิโระพลางยกมือขวาขึ้นวางทาบลงกลางอกของคนตรงหน้า


“ข้าขอถาม ท่านผู้สูญสิ้นอำนาจที่เคยถือครอง ยามนี้หากต้องรับมือกับมนุษย์ ท่าน...จะต้องใช้สิ่งใด” ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้ดวงตาของโทชิฮิโระเบิกกว้าง มือที่ว่างกระชากคาสุมิเข้าหาตัวอย่างแรง


“เจ้าทำอะไร!” แม้จะถูกตะคอกใส่แต่คาสุมิยังคงเหยียดยิ้มและเชิดหน้าขึ้นท้าทาย


“ช่วยให้งานของเจ้าง่ายขึ้น จะอยู่เล่นกับข้าก็ได้ ข้าไม่รีบอยู่แล้ว แค่หวังว่าจิ้งจอกน้อยคงอดทนได้นานพอ” คาสุมิถูกผลักออกจนเกือบล้มหงายหลัง ขณะที่โทชิฮิโระสบถด่าออกมาก่อนจะวิ่งลงบันไดไปพร้อมกับดาบในมือ


รอยยิ้มของปีศาจหิมะค่อยๆ จางหายไป ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง สายลมปะปนด้วยละอองหิมะโปรยปรายรอบตัวนางอย่างเงียบเชียบ


“โซ่ตรวนที่มองไม่เห็น สายใยที่ตัดไม่ขาด เจ้าจะสร้างมันขึ้น ‘อีกครั้ง’ หรือไม่ ข้าจะรอดูอย่างตั้งใจ”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

หวานมากไปเดี๋ยวคนอ่านเลี่ยน ปรับอารมณ์กันสักหน่อยดีกว่าเนอะ  :hao3:



ตอบเม้นต์ๆ

เหยย น่ารักอ่ะ เราอ่านเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ถึงตอนล่าสุดละ รอนะคะ


ขอบคุณค่า อันนี้เป็นฉบับรีไรท์ จะมาลงให้เรื่อยๆ ทุกวันค่ะ

 


ปล. ตอนนี้ที่เพจมีกิจกรรมนะคะ ไปร่วมสนุกกันได้ Magdaren/Nanami (https://www.facebook.com/magdaren.nanami)  :katai5:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 9 เทศกาล [28/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 28-12-2016 19:41:52
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 10 เลือดปีศาจ [29/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 29-12-2016 19:54:08
บทที่ 10
 
เลือดปีศาจ






คืนนี้ท้องฟ้าใสกระจ่าง ทั้งดวงดาวและดวงจันทร์ต่างแย่งกันเปล่งแสง ต่อให้เป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นเริงเพียงใด เมื่อเวลาเดินไปจนถึงดึกดื่น บรรดาร้านค้าต่างก็ทยอยปิดตัวลง

 
ไกลออกมาจากถนนใหญ่และผู้คน อาคาเนะกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อตรงกลับไปยังร้าน ร่างกายนี้ไม่เคยเหน็บหนาวแม้ในวันที่หิมะตกหนัก ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกหนาวจากภายในจนอยากจะกลับไปให้ถึงห้องนอนของตัวเองเสียที


เส้นทางผ่านตรอกแคบๆ คือทางลัดที่สั้นที่สุดสู่ปลายทางนั้น อาคาเนะก้าวเข้าไปอย่างคุ้นชิน เวลาแอบออกมาเที่ยว เขาเคยใช้ทางนี้เป็นประจำ เป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนใช้นัก


ช่องทางคับแคบทำให้เสียงต่างๆ ดังสะท้อนก้องไปมา จึงไม่ยากเลยที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าจากคนอีกสองคนตามหลังมาไม่ไกล
เด็กหนุ่มก้าวขาเร็วขึ้น เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางลับอะไร มันไม่แปลกหากจะมีคนเลือกใช้ แต่ยิ่งอาคาเนะก้าวเร็วเท่าไร เสียงฝีเท้าที่ตามมาก็ยิ่งเร่งเร็วขึ้นด้วย


ทางออกมองเห็นอยู่ไม่ไกล อาคาเนะจึงเปลี่ยนเป็นออกวิ่งพลางเหลียวหลังกลับไปมอง ชายสองคนที่ไม่เคยเห็นหน้าแสยะยิ้มตอบกลับมาจากด้านหลัง อีกเพียงไม่ถึงสามก้าวก็จะผ่านออกสู่ถนนใหญ่ ตอนนั้นเองที่เงาดำบดบังภาพด้านหน้าชั่วขณะที่อาคาเนะหันกลับมาจนหมดสิ้น


มือหยาบกระด้างคว้าเข้าที่กรามของอาคาเนะพร้อมออกแรงบีบจนร้องไม่ออก ทั้งร่างถูกยกลอยขึ้นจากพื้นด้วยแรงจากชายร่างยักษ์ซึ่งโผล่มาดักทางออกเอาไว้ ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ เขาแทบจะถูกโยนใส่ให้กับชายอีกสองคนที่ไล่ตามมา


“ปล่อยข้า!” อาคาเนะดิ้นสุดแรงตอนที่แขนของเขากำลังถูกชายสองคนนั้นช่วยกันตรึงเอาไว้ แต่แล้วก็ถูกเจ้ายักษ์คนที่สามตามมาจับคางเอาไว้อีกครั้ง ใบหน้าถูกดึงให้แหงนเงยขึ้นสบตากับชายที่ดูราวกับพวกโจรป่า ทั้งหนวดเครารกครึ้มและลอยแผลเป็นบนใบหน้าน่ากลัว


“ได้ยินชื่อเสียงมานานว่าเมืองนี้มีหนุ่มน้อยรูปงามค่าตัวสูงนัก ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้เชยชม” ต่อให้วาจาจะนุ่มนวลสักเพียงใด แต่การกระทำกลับตรงข้าม อาคาเนะยกขาหมายจะถีบให้สุดแรง แต่โดนลูกน้องสองคนกระชากถอยหลังจนเซเกือบล้มลง


“ฤทธิ์มากจริง อยู่นิ่งๆ!” เสียงแหบแห้งดังมาจากคนที่ผอมที่สุดในกลุ่ม


“ต้องการอะไร” อาคาเนะถามเสียงเรียบ เลิกใส่ใจที่จะดิ้นให้หลุดจากคนพวกนี้ ต่อให้เขารวดเร็วเพียงใด แต่พวกมันมีมากถึงสามคน คงยากที่จะหลบพ้นมือพวกนั้นได้ทั้งหมด


ชายทั้งสามต่างพร้อมใจกันหัวเราะร่วนหลังได้ฟังคำถามจากเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ผู้กำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุม


“คาเงมะอย่างเจ้า ยังต้องถามอีกหรือ ว่าผู้ชายมาหาเพราะต้องการอะไร”


“อ้อ คงเป็นพวกมีกำลังแต่ไร้เงิน ถึงได้ต้องมาดักใช้กำลังเช่นนี้” เสียงหัวเราะเงียบลงไป พร้อมกับชายร่างยักษ์สาวเท้าเข้ามาหาอาคาเนะ


“ปากดีนัก ระวังหน้าสวยๆ นั่นจะได้แผล”


“แล้วจะทำอย่างไร อยากให้ข้าบริการให้ ได้ แต่แค่ทีละคนเท่านั้น” ท่าทีไม่หวั่นเกรงของอาคาเนะทำให้ชายทั้งสามรู้สึกประหลาดใจ พวกมันมองหน้ากันเหมือนจะถามว่าเอาอย่างไรดี


“เริ่มจากเจ้าก่อนไหม เป็นหัวหน้าใช่หรือเปล่า” คนแรกที่อาคาเนะเลือกคือชายร่างยักษ์ จะมนุษย์หรือสัตว์ก็ไม่ต่างกัน พวกที่ตัวใหญ่กว่ามักชอบวางอำนาจเหนือคนอื่นเสมอ


“บอกลูกน้องเจ้าให้ปล่อยข้าสิ” ชายคนนั้นเหลือบมองลูกน้องทั้งสองคน พวกนั้นยอมปล่อยแขนอาคาเนะแล้วถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว


“แล้วเจ้าจะทำอะไรต่อ” เมื่อเหยื่ออยากเล่นสนุกเขาก็จะเล่นด้วย จะรอดูว่าเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนนี้คิดจะเอาตัวรอดอย่างไร


“ก้มลงมาสิ ไม่ได้อยากสัมผัสข้าหรอกหรือ” ร่างกายสูงใหญ่นั้นทำให้อาคาเนะดูตัวเล็กลงไปถนัดตา ตัวอย่างกับป้อมขนาดนี้ ต่อให้เตะต่อยไปก็คงไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร มองหาจุดอื่นคงจะดีกว่า


“ว่าง่ายๆ แบบนี้ก็ดี” รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมปากของคนที่คิดว่าตนอยู่เหนือกว่า โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยสักนิดว่าหากอาคาเนะคิดสู้จริงจังขึ้นมา มนุษย์ธรรมดาคงยากจะรับมือได้ แต่เป็นเพียงเพราะอาคาเนะไม่อยากเปิดเผยร่างปีศาจออกไปแล้วต้องฆ่าใครปิดปาก ถึงได้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้


กลิ่นกายและลมหายใจของชายตรงหน้าช่างน่ารังเกียจนักสำหรับอาคาเนะ คนเดียวที่เขายอมจูบด้วยความเต็มใจมีเพียงโทชิฮิโระ ไม่นึกเลยว่าคืนนี้จะต้องมาจูบกับคนอื่นเพื่อเอาตัวรอด


เขาค่อยๆ ก้าวขาอย่างช้าๆ หลอกล่อให้ชายคนนั้นต้องเคลื่อนไหว ตำแหน่งที่ยืนถูกสลับกันทีละน้อย ระหว่างที่ปล่อยให้อีกฝ่ายรุกรานด้วยการจูบอย่างจาบจ้วง


หางตาอาคาเนะมองเห็นทางออกที่ตอนนี้ไม่มีใครขวางอีก เขาเปิดปากให้อีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามาก่อนจะกัดลงไปเต็มแรง รสเลือดคาวคลุ้งในโพรงปาก เสียงร้องโหยหวนดังสะท้อนในตรอกแคบๆ อาคาเนะถูกผลักออก ในขณะที่ชายร่างยักษ์กำลังปิดปากร้องออกมาด้วยความเจ็บ เลือดสีเข้มไหลทะลักผ่านร่องนิ้วที่พยายามปิดเอาไว้


อาคาเนะถ่มเลือดที่อยู่ในปากทิ้งไป มันน่าขยะแขยงเกินจะกลืนลงคอไปได้ สองขารีบออกวิ่งทว่าวิ่งไปได้เพียงสองก้าวก็ถูกใครบางคนกระชากผมจากด้านหลังจนหน้าหงาย


เด็กหนุ่มเสียหลักล้มลง พร้อมกับมีอีกร่างหนึ่งมาคร่อมทับ ใบหน้าถูกตบอย่างแรงจนชาไปซีกหนึ่ง แต่อาคาเนะยังคงไม่หยุดดิ้น ร่างใหญ่โตด้านบนคำรามออกมาด้วยความโกรธ ก่อนจะชักมีดสั้นที่พกไว้ออกมาแล้วเงื้อขึ้นจนสุดแขน


แสงจันทร์สะท้อนคมมีดคมกริบ แว่วเสียงลูกสมุนทั้งสองร้องห้าม แต่ไม่อาจหยุดโทสะหัวหน้าได้ มีดสั้นปักลงถากลำคออาคาเนะไปเพียงนิด แต่มันมากพอให้อาคาเนะรู้สึกแสบตรงข้างคอ รับรู้ได้ถึงเลือดอุ่นๆ ไหลซึมออกมาตามปากแผล


“ซวยแล้ว” ใครสักคนร้องขึ้นมา แต่อาคาเนะรู้สึกเหมือนหูของเขากำลังอื้อ คล้ายกับมีบางสิ่งกำลังกดสติรับรู้ให้หายไป ร่างกายอุ่นขึ้นจนร้อนไปทั่วร่าง ตอนนั้นเองที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทุกคนได้ถอยห่างออกจากตัวเขาไปแล้ว


“ปะ...ปีศาจ!” คำเรียกนั้นเรียกสติทั้งหมดของอาคาเนะกลับคืนมา เด็กหนุ่มยกมือของตัวเองขึ้นมามอง มันไม่เพียงเปื้อนเลือดของเขาแต่ยังประดับไว้ด้วยกรงเล็บแหลมคมของร่างปีศาจ ความรู้สึกของหูและหางยามเมื่อมันขยับบอกให้รู้ว่าอาคมถูกปลดออกเสียแล้ว


“หนีเร็ว!” ชายทั้งสามที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับปีศาจต่างมีสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ จากที่วางอำนาจกลับพยายามวิ่งหนีจนชนกันล้มลุกคลุกคลานไปตามถนน


ต้องหยุดไว้


สัญชาตญาณสั่งอาคาเนะจากภายใน เขาไม่สามารถปล่อยให้ใครที่ล่วงรู้ความลับหนีรอดไปได้ แต่ร่างกายยังคงสั่นเทาด้วยความกลัวเกินกว่าจะขยับ ทำได้เพียงนั่งอยู่กับพื้นแล้วมองทั้งสามคนวิ่งหนีไป


แต่ไม่นานนักเสียงร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง!


“ยะ...อย่า...!” เสียงร้องขออันสั่นเครือหยุดลงพร้อมกับที่ร่างนั้นทรุดลงบนพื้น เสียงคมดาบวาดผ่านอากาศแล้วฟันโดนเนื้อหนังดังชัดเจนนักสำหรับอาคาเนะ


เพราะคืนสภาพร่างจิ้งจอก ทั้งเสียงร้องระหว่างตะเกียกตะกายจนขาดใจ และกลิ่นคาวเลือดจำนานมากจากร่างที่นอนแน่นิ่งของชายสามคนจึงส่งผ่านมาถึงเขาด้วย


ที่ปลายทางออกเหลือเพียงชายคนเดียวที่ยังยืนอยู่ และกำลังเดินตรงเข้ามาหา ดวงตาของอาคาเนะจับจ้องไปยังดาบซึ่งยังคงมีเลือดไหลลงพื้น ก่อนจะไล่เรื่อยมายังกิโมโนที่คุ้นตา แม้ว่ายามนี้มันจะถูกย้อมเป็นสีแดงเข้มด้วยเลือด แต่เขาก็จำได้ว่าใครเป็นผู้สวมมัน


“อาคาเนะ” ร่างของเด็กหนุ่มสะท้านเฮือกเมื่อโทชิฮิโระเอื้อมมือมาแตะโดนแผลที่ลำคอ อาคาเนะช้อนตาขึ้นมองโทชิฮิโระด้วยความสับสน ภาพโทชิฮิโระที่ลงดาบใส่คนเหล่านั้นอย่างไม่ปราณีทำให้เลือดในกายอาคาเนะเย็นเฉียบ


“อย่าแตะข้า” มือที่สัมผัสอยู่ถูกปัดออก อาคาเนะยันตัวลุกขึ้นอย่างซวนเซ โทชิฮิโระทำท่าจะเข้ามาประคองแต่กลับถูกตวัดกรงเล็บใส่เพื่อข่มขู่


“ท่าน...เป็นใครกันแน่” ดวงตาอาคาเนะเบิกกว้างและสั่นระริก ชายคนนี้ไม่เพียงฆ่าคนอย่างเลือดเย็น แต่ยังไม่ตกใจสักนิดเมื่อได้เห็นร่างจริงของเขา ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะนิ่งสงบได้อย่างโทชิฮิโระ


“ให้ข้าดูแผลเจ้าหน่อย” โทชิฮิโระเลือกที่จะไม่ตอบ เขามาที่นี่เพียงเพราะเป็นห่วงอาคาเนะ โดยไม่ได้คิดเลยว่าอาคาเนะจะถูกทำร้ายจนเปิดเผยร่างปีศาจออกมา ทุกอย่างรวดเร็วเกินจะควบคุม สิ่งแรกที่ต้องทำคือกำจัดคนอื่นที่รู้เห็น


อาคาเนะถอยเท้าหนีห่างจากโทชิฮิโระด้วยความหวาดระแวง ทั้งที่ไม่นานก่อนหน้านี้ เขาทุกข์ใจแทบตายที่ต้องนึกว่าจะบอกความจริงกับโทชิฮิโระอย่างไรโดยไม่ต้องเสียผู้ชายคนนี้ไป แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าโทชิฮิโระน่าจะรู้ความลับนี้มาตลอด และคำถามที่ว่าโทชิฮิโระรู้ได้อย่างไร รู้อะไรบ้าง คือสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า


ทุกอย่างถาโถมเข้ามาเกินกว่าอาคาเนะรับมือได้ มือของโทชิฮิโระไม่น่าไว้ใจอีกต่อไปแล้ว อาคาเนะกระโจนขึ้นหลังคาแล้วหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้โทชิฮิโระยืนอยู่ลำพังกับศพสามศพ


ดาบในมือถูกเหวี่ยงทิ้งไปอย่างไม่ใยดี มันกระทบกำแพงก่อนจะตกลงพื้น ส่วนผู้ใช้มันเดินไปเอนหลังพิงกับผนังอันเย็นชืดแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ


สิ่งที่วางแผนมา เวลาที่เสียไป ทุกอย่างสูญหายไปในพริบตาเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเขาตัวเอง


แค่เพียงความรู้สึกว่า ‘ห่วง’ มันบังตาเท่านั้น


ทั้งที่คิดว่าหัวใจนี้ควรด้านชาไปนานแล้วจึงได้กล้ารับปากต่อคำสัญญานั่น ไม่นึกเลยว่าวันนี้เขาจะเสียแผนเพราะจิ้งจอกน้อยไร้เดียงสาตัวหนึ่ง จิ้งจอกผู้มีหัวใจที่ซื่อตรงจนไม่อยากให้ใครมาทำให้แปดเปื้อน


ช่างน่าขันนัก


“จะตามมาหัวเราะเยอะข้าหรือ” โทชิฮิโระส่งเสียงถามออกไปก่อนที่คาสุมิจะก้าวออกมาจากความมืด ข้างหลังนางยังมีปีศาจรูปร่างอ้วนกลมแต่มีปากขนาดใหญ่มากอีกสองตัวตามมา


“มาเก็บกวาด” คาสุมิหันไปพยักหน้าให้ปีศาจอีกสองตัว พวกมันเดินต้วมเตี้ยมไปยังซากศพที่นอนกองรวมกันอยู่และจัดการคว้าใส่เข้าปากของตัวเองกัดเคี้ยวจนได้ยินเสียงกระดูกแตกเล็ดรอดมา


“นึกว่าจะโกรธข้าเสียอีก” คาสุมิเดินไปหาโทชิฮิโระแล้วหันหลังพิงกำแพงใกล้ๆ กัน


“ถ้าโกรธเจ้าคงยิ่งดีใจ”


“โดนรู้ทันเสียแล้ว” ปีศาจหิมะคลี่ยิ้ม ไม่ว่าเวลาใดชายคนนี้มักรู้ทันนางเสมอ คงมีแต่อาคาเนะเท่านั้นที่จะใช้เล่นงานโทชิฮิโระได้


“แล้วจะทำอย่างไรต่อ” คาสุมิถามออกมาระหว่างเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวนับพันบนท้องฟ้า นานมากแล้วที่ไม่เคยแหงนมองจุดเล็กๆ เหล่านั้น


“เจ้าทำให้อาคาเนะไม่ไว้ใจข้า” แววตาของอาคาเนะก่อนจะหนีไปเต็มไปด้วยความหวาดระแวง คงต้องหาทางเปิดใจอาคาเนะใหม่อีกครั้ง


“ข้าทำเพื่อให้เจ้ารู้สึกตัวนะโทชิฮิโระ” ประโยคนั้นทำให้คนฟังกำมือแน่นขึ้นแต่ยังคงเงียบ คาสุมิจึงพูดต่อไป


“คงยังไม่ลืมว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไรใช่ไหม เจ้ามีสิ่งที่ต้องทำ หรือเจ้าลืมแล้วว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง”


“ข้าไม่ลืม” น้ำเสียงของโทชิฮิโระห้วนกระด้าง ต่อให้เขาอาจจะใจอ่อนให้อาคาเนะไปบ้าง แต่ไม่มีทางลืมเรื่องของตัวเองเด็ดขาด


“ไม่มีทางลืม จะลืมได้อย่างไรว่าทำไมตัวข้าถึงต้องมาติดอยู่ในร่างมนุษย์เช่นนี้” มือขวาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดถูกยกขึ้นมามอง ร่างกายนี้ไร้พลัง แม้แต่กับมนุษย์ธรรมดายังต้องพึ่งพาอาวุธเพื่อเอาชนะ ทั้งที่เขาเคยทรงพลังกว่านี้หลายร้อยเท่า


“ขอบคุณที่เป็นห่วง” คำขอบคุณแสนเรียบง่ายจากโทชิฮิโระทำให้คาสุมิทำหน้าสยดสยองใส่ นางยกมือขึ้นกอดอกแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น


“คำพูดหลงตัวเองแบบนั้น เก็บไว้ใช้กับอาคาเนะเถอะ” คาสุมิเบ้ปาก รู้สึกขนลุกแปลกๆ ด้วยซ้ำที่โทชิฮิโระพูดดีๆ ด้วย


“แค่ครั้งนี้เท่านั้น ต่อไปคงไม่มีอีก” บางทีเขาควรเลิกเล่นบทคนดีเสียที


ถึงเวลาต้องบีบอาคาเนะให้ยอมรับในตัวตนของเขาได้แล้ว



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


ต้มมาม่ากันเถอะที่รัก  :z2:





:L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

คว้าตัวมากอด  :กอด1:


เริ่มมีคนหยุดปีใหม่กันแล้ว ใครเดินทางขอให้เดินทางปลอดภัย หลุดพ้นจากมหกรรมรถติดนะคะ ส่วนมนุษย์หน้าคอมอย่างเราจะมาอัพนิยายต่อทุกวันค่า  :katai4:

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 10 เลือดปีศาจ [29/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 29-12-2016 20:04:19
เพิ่งอ่านไป2ตอน ชอบมาเลย เดียวจะรีบอ่านให้ทันน้า :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 10 เลือดปีศาจ [29/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 29-12-2016 21:04:01
กลัวใจจัง คงไม่ดราม่ามากใช่มั้ยคะ

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 11 สิ่งที่ต้องเผชิญ [30/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 30-12-2016 20:04:30
บทที่ 11

สิ่งที่ต้องเผชิญ






กลางดึกสงัด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วมาตามทางเดิน คนที่กำลังหลับขยับตัวลุกขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าเสียงนั้นกำลังเข้ามาใกล้ ซาโตรุควานมือไปหากล่องไม้ที่วางไว้บนหัวนอนเสมอ มีดสั้นถูกหยิบออกมาก่อนที่เขาจะลุกขึ้น


ร้านนี้มีคนแปลกหน้าเข้าออกทุกคืน ซาโตรุจึงมักระวังตัวด้วยการพกอาวุธเล็กๆ นี้ไว้ใกล้ตัวตอนนอนเสมอ แม้ไม่เคยต้องใช้มัน แต่คงดีกว่าหากเกิดเรื่องแล้วไม่มีให้ใช้


เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่อีกฟากประตู ซาโตรุกระชับมีดสั้นในมือแน่นก่อนจะส่งเสียงถามออกไปว่าใครกันที่มาเสียดึกดื่น


“ข้าเองพี่ซาโตรุ”


“อาคาเนะ?” เสียงนั้นเขารู้จักดี ซาโตรุจึงรีบวางมีดลงบนพื้นติดผนังห้องแล้วเปิดประตูออก แสงจันทร์สลัวทำให้เขามองอาคาเนะได้ไม่ชัดนัก แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม เด็กหนุ่มตรงหน้าก็โถมตัวเข้ามากอดเอวซาโตรุเอาไว้แน่น


“เกิดอะไรขึ้น” ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา นอกจากแรงสะท้านจากร่างคนที่กอดเขาอยู่ อาคาเนะกำลังร้องไห้ ร้องไห้โดยไร้เสียงแล้วกอดซาโตรุราวกับกำลังร้องเรียกหาที่พึ่ง







คืนนั้นมีอีกคนที่ถูกปลุกขึ้น แม้จะลุกมาอย่างหัวเสียแต่เพียงได้เห็นสภาพอาคาเนะ โดยเฉพาะแผลที่ข้างคอ โคคิก็รีบสั่งคนไปตามหมอมาทันที กว่าความวุ่นวายในร้านจะสงบลงได้เวลาก็ผ่านไปจนเกือบรุ่งสาง


“ส่งท่านหมอให้ถึงบ้าน” โคคิส่งเงินให้กับลูกน้องก่อนปิดประตูลงแล้วเดินกลับเข้ามาภายในห้อง เห็นอาคาเนะกำลังนั่งพิงไหล่ของซาโตรุในสภาพเหม่อลอย ผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบคอของเด็กหนุ่มทำให้โคคิขบกรามแน่น


“พวกชั่วนั่น กล้าแตะต้องคนของข้า!” เจ้าของร้านทิ้งตัวลงนั่งด้วยความโมโห กล้าดีอย่างไรมาทำให้สินค้าราคาแพงต้องมีรอยแผลเช่นนี้ อย่าคิดว่าจะรอดมือเขาไปได้


“อย่าเสียงดัง อาคาเนะตกใจอยู่นะ” ซาโตรุสั่งเสียงเรียบ โคคิเลยได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด นอกจากเรื่องที่ว่าอาคาเนะถูกคนดักทำร้ายระหว่างทาง พวกเขาก็ไม่ได้รู้เลยอะไรอีกเลย ทั้งพวกที่ทำร้ายนั่นเป็นใคร หรืออาคาเนะหนีมาได้อย่างไร แต่นับว่าโชคดีแล้วที่รอดมาได้


หมอบอกว่าถ้ามีดแทงขยับเข้าใกล้อีกเพียงนิด อาคาเนะคงไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกแล้ว โชคดีว่าเป็นเพียงแค่แผลถากๆ รักษาไม่นานก็จะหาย


“เจ้าโทชิฮิโระก็เหมือนกัน คิดบ้าอะไรถึงปล่อยอาคาเนะกลับมาคนเดียว” ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงทำให้อาคาเนะสะดุ้งจนซาโตรุรู้สึกได้ ภาพตอนโทชิฮิโระฆ่าคนเหล่านั้นยังติดแน่นในความทรงจำ สีหน้าแข็งกระด้างที่ราวกับมองคนเหล่านั้นเป็นสิ่งไร้ค่า นั่นเป็นโทชิฮิโระที่อาคาเนะไม่เคยรู้จัก


“พักผ่อนเถอะนะ เอาไว้ให้อาคาเนะดีขึ้น เราค่อยมาคุยกันดีไหม” ซาโตรุลูบแขนให้อาคาเนะเพื่อปลอบขวัญ ตั้งแต่กลับมาอาคาเนะพูดเพียงไม่กี่ประโยค เขาไม่เคยเห็นอาคาเนะดูหวาดกลัวมากขนาดนี้มาก่อน คงต้องให้เวลาสักพักกว่าจะคุยกันรู้เรื่องได้


“ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนไหมอาคาเนะ” หัวที่พิงอยู่กับไหล่ส่ายไปมาช้าๆ แทนคำปฏิเสธ ซาโตรุหันไปพยักพเยิดบอกโคคิให้ออกไปก่อน เมื่อเจ้าของร้านออกไปแล้วซาโตรุถึงค่อยๆ ดันตัวอาคาเนะให้นั่งด้วยตัวเอง


“หลับเสียอาคาเนะ ถ้ามีอะไรให้ไปเรียกข้าได้ทุกเวลาเข้าใจไหม” คนฟังพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ซาโตรุเลยได้แต่ลูบหัวอาคาเนะอีกครั้งก่อนจะลุกออกไปอีกคน


เมื่อไม่มีใครอยู่อาคาเนะจึงเลื่อนตัวลงนอนตะแคง ตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคอ แผลของเขาไม่เจ็บอีกแล้ว ร่างกายนี้ฟื้นตัวได้เร็วเสมอ แต่รอยแหว่งที่เกิดขึ้นในหัวใจราวกับบางสิ่งถูกดึงออกไปยังไม่จางหาย อาคาเนะไม่รู้แล้วว่าที่ผ่านมาคนที่เคยอยู่เคียงข้างคนนั้นแท้จริงคือใคร







ด้วยอาการบาดเจ็บของอาคาเนะทำให้ซาโตรุตัดสินใจยกเลิกนัดหมายกับแขกทั้งหมด พร้อมทั้งส่งของขวัญเล็กน้อยไปให้แทนคำขอโทษ หลังจากคืนนั้นอาคาเนะดูเซื่องซึมลงไปมาก แต่ละวันพูดจาแทบนับคำได้ แต่ยังคงส่งยิ้มกลับมาให้เมื่อซาโตรุแวะเวียนไปเยี่ยมเสมอ


อีกคนที่อารมณ์ขุ่นมัวแทบทุกวันคงเป็นโคคิ เพราะไม่ว่าจะสืบหาตัวคนร้ายเท่าไรก็ไม่พบเบาะแส ไม่นับรวมการที่แขกประจำของอาคาเนะเพียรพยายามมาขอพบอยู่ทุกวัน แต่ต้องกลับไปเพราะถูกหมีตัวโตแยกเขี้ยวขวางเอาไว้


“เจ้านั่นมันตื๊อเป็นบ้า มาอยู่ได้ทุกวัน” วันนี้ก็ไม่ต่างกัน โคคิเดินเข้ามาพร้อมบ่นเป็นหมีกินผึ้งถึงแขกประจำที่มารอพบอาคาเนะเป็นวันที่สามแล้ว


“อย่าไปเรียกแขกแบบนั้น นั่นแหล่งรายได้ของเจ้า”


“เออ ลองไม่ใช่สิ ข้าจะจับโยนออกไปตั้งแต่เห็นหน้า”


“โคคิ” ซาโตรุเรียกชื่อเพื่อนสนิทเพื่อปราม


“ถ้าเจ้านั่นไม่ปล่อยอาคาเนะกลับมาคนเดียว เด็กนั่นคงไม่เอาแต่นั่งซึมไร้วิญญาณอยู่แบบนี้”


“เขาไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่อง” ซาโตรุเอ่ยขัดอีกครั้ง เขารู้ว่าโคคิหัวเสีย ถึงจะชอบบ่น และพูดถึงแต่เรื่องรายได้ แต่โคคิก็ห่วงอาคาเนะไม่แพ้ใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำตัวเป็นหมีขี้หงุดหงิดอยู่แบบนี้


“ปกป้องมันทำไม!” โคคิขึ้นเสียงอย่างลืมตัว พอถูกมองด้วยสายตาดุๆ ก็จำต้องปิดปาก


“ขี้เกียจจะเถียงกับเจ้าแล้ว ไปดูอาคาเนะดีกว่า” หมีบ้าอย่าเสียเวลาไปสั่งสอน ซาโตรุยึดถือคตินี้มาตั้งแต่รู้จักกับโคคิ ปล่อยให้อาละวาดคนเดียวไปสักพักเดี๋ยวก็สงบลงเอง







นิ้วเรียวลากยาวตามข้างลำคอ ตรงที่เคยมีแผลเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้มันหายสนิท ไม่หลงเหลือร่องรอยให้เห็นสักนิด แต่เพราะมันเร็วเกินไปสำหรับคนธรรมดา อาคาเนะจึงค่อยๆ พันผ้าทับลงไปอีกครั้งเพื่อให้ทุกคนเชื่อว่าเขายังบาดเจ็บอยู่


ภาพเงาตัวเองที่สะท้อนในกระจกคือตัวตนในร่างมนุษย์ที่ใช้เพื่อหลอกสายตาคนอื่น ภาพสีหน้าตื่นกลัวของชายสามคนที่ได้เห็นร่างปีศาจของเขาปรากฏขึ้นหลังเปลือกตา นั่นคือสิ่งที่เขาจำต้องแบกรับเพราะสายเลือดที่ไหลเวียนในร่าง


“อาคาเนะ” ดวงตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ ลืมขึ้น ขยับมุมปากทั้งสองข้างให้ยกขึ้นก่อนจะขานรับตอบกลับไป หลายวันนี้เขาทำให้ทุกคนเป็นห่วงและเดือดร้อนกันไปทั่ว คงถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับความจริงเสียที


“ทำแผลเสร็จแล้วหรือ บอกแล้วข้าจะช่วย” นอกจากคืนแรกอาคาเนะก็ไม่ยอมให้ใครแตะต้องแผลที่คออีกแม้แต่ซาโตรุ บางทีบาดแผลนั้นอาจฝังลึกเกินกว่าที่สายตาจะมองเห็น


“เขามาอีกใช่ไหมขอรับ ข้าได้ยินเสียงโคคิโวยวาย” ถึงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่อาคาเนะรู้ว่าโทชิฮิโระมาขอพบเขาทุกวัน เพียงแค่เขายังไม่พร้อมที่จะเจอเท่านั้น


“ไม่ต้องกังวล เจ้าไม่จำเป็นต้องรับแขกคนไหนจนกว่าจะหาย”


“พรุ่งนี้ข้าจะพบเขา” ยื้อเวลาไปก็เท่านั้น เวลาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ สักวันเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับโทชิฮิโระอยู่ดี พบกันยิ่งเร็วอาจจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนกับความทรมานในอกอย่างตอนนี้


“แน่ใจนะ” ถึงปากจะยิ้ม แต่สายตาของอาคาเนะไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย ใจหนึ่งซาโตรุนึกห่วง คล้ายกับว่าสิ่งที่อาคาเนะกลัวไม่ได้มีแค่คนร้ายสามคนนั้น แต่อีกใจ โทชิฮิโระอาจเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเรียกความสุขของอาคาเนะกลับคืนมาได้


“พรุ่งนี้จะจัดการให้ แต่ถ้าไม่ไหวจะยกเลิกเมื่อไรก็ได้ตกลงไหม”


“ขอรับ”







กิโมโนสีแดงสดใส คือชุดที่อาคาเนะสวมมันยามเมื่อต้องการกำลังใจเสมอ มันคือความหมายของชื่อเขา สีแดงที่ไม่มีสิ่งใดทำให้มัวหมอง


ภายในห้องรับรองที่เตรียมไว้ ครั้งนี้ไม่มีสุราอาหารใดๆ เพราะอาคาเนะบอกกับซาโตรุว่าแค่อยากจะพูดคุยกับโทชิฮิโระเท่านั้น แขกที่นัดไว้มาถึงตรงตามเวลา อาคาเนะสูดหายใจเข้าก่อนก้มตัวลงคำนับเมื่อบานประตูถูกเปิดออก


“ถ้าท่านทำให้อาคาเนะไม่สบายใจ ข้าจะให้โคคิมาลากท่านออกไป” ซาโตรุไม่ได้อวยพรอย่างทุกครั้ง เขากระซิบบอกโทชิฮิโระเบาๆ พอให้ได้ยิน เมื่อซาโตรุออกไป ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ


“แผลเจ้าหายดีหรือยัง” คนที่เอ่ยปากออกมาก่อนคือโทชิฮิโระ ต่อให้อาคาเนะจะแต่งตัวมากมายเพียงใดก็ไม่อาจปกปิดผ้าพันแผลสีขาวบนลำคอได้


“หายดีแล้วขอรับ” ใบหน้าของอาคาเนะเรียบนิ่ง ราวกับย้อนไปยังวันแรกที่พบกัน วันที่อาคาเนะมองโทชิฮิโระเป็นเพียงแค่แขกคนหนึ่ง


“เจ้าเชิญข้ามาเพราะมีเรื่องจะถามไม่ใช่หรือ” โทชิฮิโระเดินมานั่งลงตรงหน้าอาคาเนะโดยเว้นระยะห่างไว้เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันอาคาเนะมากเกินไป ดวงตาของเด็กหนุ่มจ้องมองมายังเขาด้วยสายตาคลางแคลงอย่างไม่ปกปิด


“ข้าไม่มั่นใจว่าจะเชื่อคำตอบของท่านได้” ชายคนนี้โกหกหน้าตายมาตลอด เป็นคนที่อาคาเนะไม่สามารถแยกแยะได้อีกแล้วว่าสิ่งใดคือความจริง และสิ่งใดคือการโกหก


“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร เล่นบทแขกกับเจ้าต่อหรือ” โทชิฮิโระแค่นหัวเราะ ส่วนหัวใจคนฟังรู้สึกเจ็บแปลบยามได้ยินประโยคนั้น
“แสดงว่าที่ผ่านมาท่านเพียงหลอกข้า” ทั้งคำหวาน ทั้งสัมผัสอ่อนโยน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโกหก


“ทำไปทำไม ต้องการอะไรจากครึ่งปีศาจอย่างข้า” มือข้างหนึ่งทุบลงบนอกตัวเองอย่างอัดอั้น เขาเปิดใจให้ผู้ชายคนนี้ เชื่อจากใจจริงว่าโทชิฮิโระแตกต่างจากคนอื่น แต่มันคงแตกต่างในความหมายที่ต่างออกไปจากที่หวัง


“เพราะคนที่ข้าสนใจคือเจ้า บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ” โทชิฮิโระตอบเสียงเรียบ แต่มันกลับทำให้อาคาเนะโกรธยิ่งขึ้น


“เลิกเล่นละครเสียที!” อาคาเนะตวาดลั่น โชคดีที่ชั้นล่างกำลังสนุกสนานกับด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุยจึงไม่มีใครใส่ใจเสียงของอาคาเนะ


“ไม่มีมนุษย์คนไหนจะสนใจปีศาจอย่างข้า” ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่โดยการปิดบังตัวตนอีกด้าน ต้องคอยหวาดระแวงอยู่เสมอว่าความลับจะแตกเมื่อไร


“แล้วถ้าข้าไม่ใช่มนุษย์ เจ้า...จะสบายใจขึ้นไหม” ประโยคที่สวนกลับมาทำให้อาคาเนะนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหน้าออกมา
“โกหก ท่านเป็นมนุษย์แน่ๆ”


“อะไรทำให้เจ้ามั่นใจ เพราะเจ้าเคยดื่มเลือดข้าหรือ” ดวงตาของคนฟังเบิกกว้าง นอกจากจะรู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่งปีศาจ ยังรู้อีกด้วยว่าเขาแอบดื่มเลือด


“ท่านเคยพูดความจริงกับข้าบ้างไหม” หน้ากากที่ตั้งใจสวมเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้โทชิฮิโระรู้ว่าตัวเขากำลังอ่อนแอ ค่อยๆ แตกออกทีละน้อย อาคาเนะเหยียดยิ้มเศร้า แท้จริงแล้วเขาช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโทชิฮิโระเลยสักนิด


“สิ่งที่ข้าพูดกับเจ้าเป็นความจริงทุกอย่างอาคาเนะ เพียงแค่ข้าไม่เคยบอกเจ้าว่าข้าเป็นอะไร”


“ข้าแยกแยะมนุษย์กับปีศาจได้ เลือดของท่านบอกว่าท่านคือมนุษย์ไม่ผิดแน่” รสเลือดที่คุ้นลิ้น จนตอนนี้ก็ยังจำกลิ่นของมันได้ ไม่มีทางที่อาคาเนะจะไม่รู้หากว่าโทชิฮิโระเป็นปีศาจ


“แค่เพียงเปลือกนอก ข้าก็ไม่ได้ชอบใจนักที่ต้องติดอยู่ในร่างมนุษย์” แววตาของโทชิฮิโระวูบไหวเพียงชั่วครู่ก่อนเขาจะมองตรงไปยังอาคาเนะพร้อมกับหยิบมีดสั้นเล่มเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ


“จะทำอะไร!” อาคาเนะขยับตัวถอยหนี แต่โทชิฮิโระเพียงแค่ยิ้มพร้อมกับแหวกกิโมโนของตนออกเผยให้ผิวเนื้อของแผ่นอกที่อยู่ด้านใน


“ไม่ได้ดื่มเลือดมากี่วันแล้วอาคาเนะ เดาว่าคงตั้งแต่คืนนั้น อยากได้แค่ไหนข้าจะกรีดให้” ปลายมีดในมือโทชิฮิโระจรดลงบนอกของตัวเอง เพียงแค่ลากไปเพียงนิด เลือดสีสดก็เริ่มซึมออกมา


กลิ่นคาวเลือดช่างหอมหวนนักสำหรับอาคาเนะที่ไม่ได้ดื่มเลือดมาหลายวัน ด้วยความตื่นตกใจ อาคาเนะรีบกระโจนเข้าไปฉวยมีดแล้วรีบหนีห่างออกมา


“ไม่เป็นไร ข้าเต็มใจให้เจ้าดื่มมันอยู่แล้ว” ร่างกายอาคาเนะกำลังร้อนขึ้น หัวใจเต้นถี่เพราะกลิ่นเลือดที่คอยกระตุ้นความกระหาย หลายวันนี้เขามัวแต่จมอยู่กับตัวเองจนลืมเรื่องการดื่มเลือดไปเลยด้วยซ้ำ


“อย่าฝืนเลย มันจะช่วยให้เจ้าสบายขึ้น” ตัวของอาคาเนะสั่นราวกับลูกนกพลัดตกจากรัง แต่พอโทชิฮิโระขยับเข้าใกล้กลับถูกจิ้งจอกน้อยขู่ฟ่อใส่


“อย่าเข้ามาใกล้ข้า!”


“ข้ามีเวลารอเจ้าทั้งคืนอาคาเนะ พร้อมเมื่อใดเราค่อยมาคุยกันต่อ”


“จงใจให้ข้าเป็นเช่นนี้ใช่ไหม” แววตาของอาคาเนะเต็มไปด้วยการกล่าวโทษ โทชิฮิโระเข้าใกล้เขา สร้างความเคยชินกับการชิดใกล้ แม้แต่หลอกล่อให้ตัวเขาคุ้นชินกับกลิ่นและรสของเลือดจนแทบควบคุมสติไม่ได้


“ข้าไม่ได้อยากให้มันลงเอยอย่างนี้อาคาเนะ ตอนนี้ข้าอาจเสียหัวใจเจ้า แต่ร่างกายเจ้าเชื่อฟังข้าแล้ว” มองดูอาคาเนะพยายามกัดฟันข่มสัญชาตญาณตัวเองก็รู้แล้วว่าทำได้ยาก


“กลับมาหาข้าเสียเด็กดี อย่าทรมานตัวเองอีกเลย” โทชิฮิโระยื่นมือให้กับเด็กหนุ่มผู้กำลังกอดตัวเองแน่น ต่อให้ทุกอย่างจะคลาดเคลื่อนไปจากแผนที่วางไว้ แต่มันยังไม่จบลง


หากวันนี้เขาคว้าหัวใจอาคาเนะเอาไว้ไม่ได้ เขาก็จะยื้อร่างกายของจิ้งจอกตัวนี้เอาไว้ข้างกาย ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม


เพราะทุกอย่างมาไกลเกินกว่าจะหวนกลับคืนได้นานแล้ว



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

และนี่คือที่มาของบทนำค่ะ วนกลับมาถึงแล้ว  :katai2-1:

ตอนต่อไปจะเป็นเหตุการณ์ถัดจากบทนำเลยนะคะ  :L2:




เพิ่งอ่านไป2ตอน ชอบมาเลย เดียวจะรีบอ่านให้ทันน้า :katai5: :katai5:

วันนี้มาอัพเพิ่มให้อีกด้วยค่ะ แล้วพรุ่งนี้ก็จะมา มาต่อคิวรอไว้ให้เรื่อยๆ  :-[




กลัวใจจัง คงไม่ดราม่ามากใช่มั้ยคะ

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4:


ไม่มากค่า พอให้กระชุ่มกระชวย แล้วเดี๋ยวกลับมาเติมน้ำตาลให้ต่อนะคะ  :impress2:





พรุ่งนี้ก็จะวันสุดท้ายของปีแล้ว ใครไม่มีแพลนเที่ยวไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้เอานิยายมาลงให้ต่อนะคะ แอบกระซิบว่า ตอนหน้าความมุ้งมิ้งจะกลับมา เราจะไม่ปล่อยให้ทุกคนต้องดราม่ากันข้ามปีแน่นอน  :laugh:


หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ (... X จิ้งจอก) บทที่ 11 [30/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 31-12-2016 01:08:42
ใครเป็นคนทำให้โทชิฮิโระต้องติดอยู่ในร่างมนุษย์ ใช่อาคาเนะรึ
ป่าวคงต้องดูตอนต่อไป

สิ้นปีนี้ยังไม่แพลนไปไหนเลยค่ะ   :m15:

รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 12 คืนดี [31/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 31-12-2016 19:34:53
บทที่ 12

คืนดี






กำแพงที่เคยพังทลายลงแล้วครั้งหนึ่ง ยิ่งเร่งร้อนสร้างมันขึ้นใหม่เท่าไร มีแต่จะยิ่งถูกทำลายได้ง่ายกว่าครั้งก่อน และตอนนี้อาคาเนะกำลังรู้ซึ้งถึงสิ่งนั้น


ลมหายใจที่รินรดกัน รวมทั้งสัมผัสร้อนจากฝ่ามือที่ลูบไล้อยู่ข้างเอวคอยกระตุ้นอาคาเนะให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร หัวใจเขาสงบลงแต่ยังคงรู้สึกราวกับมีหนามแหลมคอยทิ่มแทงอยู่ เพราะไออุ่นจากคนที่ถูกเขาคร่อมไว้ คนที่เคยเชื่อว่าจะอยู่เคียงข้างกัน

 
รสจูบปนกลิ่นคาวเลือดยามนี้หวานล้ำกว่าครั้งไหน แต่ในเศษเสี้ยวของสติที่เหลืออยู่ มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม ค่อยๆ กำรอบคอของโทชิฮิโระไว้ และเมื่อการแลกจูบกันหยุดลง อาคาเนะก็บีบมันแน่นขึ้น


โทชิฮิโระไม่ได้ต่อต้าน เขาเพียงแค่ประคองตัวอาคาเนะเอาไว้ แล้วสบตากับเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มจางๆ


“ทำสิ ด้วยร่างกายนี้ข้าสู้กำลังเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว” โทชิฮิโระเหยียดยิ้มในขณะที่ใบหน้าของอาคาเนะบิดเบี้ยว หูทั้งสองข้างพับลู่ลง เช่นเดียวกับหางที่ห้อยลงลากพื้น แม้แต่มือสองข้างยังสั่นเทาจนไม่อาจลงมือได้


แค่ออกแรงอีกนิดเดียว


แค่...ออกแรงบีบให้สุดแรง


กระดูกคอในมือนี้คงแตก แล้วลมหายใจของชายคนนี้ก็จะหยุดลง


“ทำไม...” หยดน้ำใสค่อยๆ ล้นเอ่อจากดวงตาสีแดงสวยทีละหยด รู้ทั้งรู้ว่าควรมองโทชิฮิโระเป็นศัตรู เป็นคนที่ควรกำจัดทิ้ง แต่ก็ยังเสียใจเพราะชายคนนี้อยู่อีก


“คนอย่างท่าน...น่าจะฆ่าเสีย” เพื่อปลดปล่อยตัวเอง เพื่อรักษาความลับไว้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เขาก็ควรฆ่าโทชิฮิโระ ฆ่าจอมโกหกหลอกลวงคนนี้ เมื่อมีโอกาส แต่หัวใจกลับเจ็บปวดราวกับถูกมีดเฉือนทุกครั้งที่ขยับนิ้ว


“อย่าร้อง” มือที่จับอยู่บนเอวอาคาเนะเลื่อนขึ้นไปเช็ดน้ำตาให้ โทชิฮิโระถอนหายใจออกมาเบาๆ ยามเมื่อวางมือแนบแก้มของจิ้งจอกขี้แยเอาไว้


“จะโกรธแค่ไหน ข้ายอมให้เจ้าระบาย จะทุบ จะต่อย จะสร้างแผลเท่าไรก็ได้” มืออีกข้างของโทชิฮิโระเลื่อนไปกุมมือของอาคาเนะบนลำคอเขาเอาไว้แล้วบีบเบาๆ


“แต่อย่างร้องไห้ไปเลย อย่าเสียน้ำตาให้กับคนอย่างข้า มันไม่คุ้มสักนิด” ถ้อยคำราวกับดูถูกตัวเองนั้นทำให้อาคาเนะร้องไห้หนักกว่าเก่า สองมือค่อยๆ ละออกจากคอของโทชิฮิโระพลางถอยตัวกลับไปนั่งคุกเข่าอย่างไร้เรี่ยวแรง ปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบใบหน้า


ทำไม่ได้


ต่อให้คิดว่าถูกหลอก ก็ยังเกลียดชายคนนี้ไม่ลงอยู่ดี


ช่างโง่นัก


ร่างกายค่อยๆ ถูกดึงเข้าไปกอดช้าๆ โดยที่อาคาเนะไม่คิดจะขัดขืน วงแขนที่เคยมอบความอบอุ่น อ้อมกอดที่เคยพักพิง ยังเหมือนเดิมไม่ต่างจากในความทรงจำ แค่เพียงยอมปิดตา ทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น


อาคาเนะทิ้งน้ำหนัก ปล่อยตัวเองจมลงสู่อ้อมกอดของโทชิฮิโระโดยยังปิดตาเอาไว้ เขารู้ว่ามีมือข้างหนึ่งคอยลูบไหล่ให้ มีริมฝีปากแตะบนข้างขมับ และมีคางวางเกยลงมาบนหัวของตน


“เห็นเจ้าร้องไห้แล้วใจไม่ดี ตอนเจอกันออกจะหยิ่งแท้ๆ” แม้จะหลับตาแต่อาคาเนะยังฟาดฝ่ามือลงบนแขนโทชิฮิโระจนมือตัวเองยังเจ็บจนชา เดาว่าแขนข้างนั้นคงต้องแดงแน่ ตัวเขาในร่างจิ้งจอกยิ่งแรงเยอะอยู่ด้วย


“ข้าโง่มากใช่ไหม ที่ยังเชื่อฟังท่านอีก” จิ้งจอกแสนโง่เขลา แม้จะถูกหลอกแต่ยังคงลดการป้องกันตัวเองลง เพียงเพื่อให้ได้กลับมาอยู่ในอ้อมแขนนี้


“เจ้าแค่เป็นเด็กดีของข้า” โทชิฮิโระจูบเบาๆ บนใบหูที่อยู่ใกล้เขา มันพับหนีอย่างรวดเร็วระหว่างที่มีเสียงหัวเราะหลุดมาให้ได้ยินจากอาคาเนะ


“มันจั๊กจี้” คนถูกกอดบอกเสียงอู้อี้อยู่กับอก ทำเอาโทชิฮิโระหลุดหัวเราะออกมา


“ขำอะไรของท่าน!” จิ้งจอกน้อยพองขนขู่อีกครั้ง โทชิฮิโระจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น


“เดี๋ยวก็ร้องไห้เหมือนหัวใจสลาย เดี๋ยวก็หัวเราะออกมา น่ารักเสียจริง เด็กน้อยของข้า” ใบหน้าของอาคาเนะแดงซ่าน ดวงตาคู่โตเหลือบขึ้นจ้องมองโทฮิโระด้วยสายตาเคืองขุ่น คนถูกมองเลยก้มลงมอบจูบเบาๆ ให้อีกครั้ง


“ยังโกรธข้าอยู่หรือ ให้จูบอีกไหม” วิธีง้อที่เขาเป็นคนสอนให้กับอาคาเนะเอง เอามาใช้ตอนนี้คงจะได้ผล สายตาเจ้าเล่ห์ทำให้อาคาเนะนึกเข่นเขี้ยวจนต้องอ้าปากงับลงไปบนแขนคนพูดเบาๆ พอให้รู้สึกเจ็บ


“ดุเหลือเกินนะ” คนถูกกัดหันไปไล่งับหูอาคาเนะบ้าง ทำเอาเด็กหนุ่มทั้งโวยวายดิ้นหนี ทั้งหัวเราะไปด้วยจนเริ่มเหนื่อย สองมือกางออกโถมตัวสวมกอดโทชิฮิโระไว้แน่นเป็นสัญญาณพักยก


“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม” โทชิฮิโระลูบเบาๆ บนเส้นผมสีแดงสวย ตอนแรกเขาคิดว่าคงต้องทั้งง้อทั้งกำราบกันนานกว่าจะจบลงได้ แต่ดูท่าตอนนี้อาคาเนะคงจะยอมให้แล้ว


“ท่านมันขี้โกง รู้จักข้าไปหมด รู้ว่าข้าโกรธท่าน แต่ก็เกลียดท่านไม่ลงใช่ไหม” อาคาเนะเลิกกอดโทชิฮิโระแล้วถอยไปนั่งทำแก้มพองลมอยู่ใกล้ๆ พวงหางสะบัดฟาดพื้นเบาๆ แสดงออกถึงความขัดเคือง


“เพราะข้าดีกับเจ้ามากไม่ใช่หรือ”


“หลงตัวเอง เอาแต่ใจ ชอบเอาเปรียบ นั่นต่างหากที่ท่านเป็น” อาคาเนะทำเสียงขึ้นจมูก คนอะไรเวลาแบบนี้ยังมัวแต่หลงตัวเองอยู่ได้


“จะบอกข้าได้หรือยังว่าท่านเป็นใครกันแน่ แล้วต้องการอะไรจากข้า” ถึงจะยกโทษให้ แต่ใช่ว่าจะปล่อยผ่าน อะไรที่โทชิฮิโระปิดบังอยู่ อาคาเนะต้องรู้ให้ได้


“ร้องไห้จนหน้าย่นไปหมดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่าไม่ได้หรือ เจ้าควรนอนได้แล้ว หน้าตาเหมือนไม่ได้นอนมาหลายวัน” เด็กหนุ่มที่เคยสดใส วันนี้ดูซีดเซียวราวกับคนป่วยขี้โรค


“เพราะท่านคนเดียว! ดังนั้นอย่าเฉไฉ ข้าไม่ยอมให้ท่านหลอกง่ายๆ อีกแล้ว” อาคาเนะชี้หน้าคาดโทษเสียงแข็ง หากไม่ใช่เพราะมัวแต่คิดมากเรื่องโทชิฮิโระ มีหรือที่เขาจะโทรมลงขนาดนี้


“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว” สองมือจำเลยยกขึ้นเสมอไหล่เป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ แต่ยังไม่วายกวักมือเรียกอาคาเนะให้เข้ามาหาตัว
“อะไร” คิ้วของอาคาเนะขมวดยุ่งมองดูมือที่เรียกหาเขาสลับกับใบหน้าเจ้าของมือ


“ถ้าอยากฟังก็มาอยู่ใกล้ๆ ให้ข้ากอดเจ้าหน่อยคิดถึงจะแย่” โทชิฮิโระยังคงเป็นโทชิฮิโระอยู่วันยังค่ำ เรื่องทำให้สองแก้มของอาคาเนะร้อนผ่าวคืองานถนัด แม้สีหน้าจะไม่เต็มใจนักแค่อาคาเนะก็คลานเข้าไปหาโทชิฮิโระอย่างว่าง่าย มองคนที่อ้าแขนรอแล้วได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะมุดตัวเข้าไปให้ถูกโอบไว้อยู่ดี


“อยากให้เริ่มจากคำถามไหนก่อน” เพียงแหย่เล่น จิ้งจอกที่ว่าง่ายเมื่อครู่ก็ตวัดสายตาขึ้นมองเขาตาขวาง โทชิฮิโระเลยหัวเราะ พลางเอียงคอทิ้งน้ำหนักตัวเองลงใส่อาคาเนะ


“ข้าไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเทพ หรือไม่ก็ปีศาจ”


“อาจจะ?”


“โลกนี้ไม่ได้มีเพียงมนุษย์และปีศาจอาคาเนะ แต่ยังมีภูตผี และเทพด้วย ปีศาจบางตนถูกมนุษย์กราบไหว้บูชาและถูกเรียกขานว่าเป็นเทพ ข้าเป็นหนึ่งในนั้น”


พวกมนุษย์มีความเชื่อแปลกประหลาด บางครั้งมุ่งหมายกับการกำจัดปีศาจ แต่บางครั้งกลับยอมก้มหัวบูชาปีศาจเหล่านั้นไม่ต่างกับเทพเจ้า


“เคยมีมนุษย์ยอมสยบต่อข้า มอบบรรณาการมากมายเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองและชีวิตอันสงบสุข ข้าไม่ได้ใส่ใจอะไร พวกเราต่างคนต่างอยู่ พวกนั้นใช้ตัวตนข้าเพื่อข่มขวัญศัตรู ส่วนข้าเพียงแค่ดูแลอาณาเขตจากปีศาจอื่น ใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นนานหลายสิบปีจนวันหนึ่งพวกมันก็เปลี่ยนใจ”


การหวาดกลัวต่อสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจนับเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ บ้างหลีกหนี บ้างยอมศิโรราบ แต่พอนานวัน เมื่อสิ่งมีชีวิตที่ไร้กำลังรวมตัวกันมากขึ้น ความคิดที่จะกำจัดสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัวออกไปจึงเริ่มเกิดขึ้นมา


“พวกเขาทำอะไรท่าน” อาคาเนะถามออกมาเมื่อเห็นว่าโทชิฮิโระนิ่งไป ดวงตาที่มักแฝงความเจ้าเล่ห์อยู่เสมอ ยามนี้เรียบนิ่งราวกับกำลังจมลงสู่อดีต


“ไม่ใช่เรื่องชวนให้นึกถึงเท่าไร เอาเป็นว่าข้าพลาดท่า และต้องจ่ายค่าตอบแทนความโง่เขลานั้นด้วยการต้องมาใช้ชีวิตในร่างมนุษย์นี้ ไม่แปลกที่เจ้าจะแยกแยะไม่ออก”

แม้จะอยากรู้รายละเอียดให้มากขึ้น แต่อาคาเนะกลับถามไม่ออก คนเชื่อมั่นในตัวเองอย่างโทชิฮิโระ คงไม่อยากเอ่ยถึงข้อผิดพลาดของตนนัก


“ข้าชิงชังมนุษย์ แต่กลับต้องมาอยู่ในร่างมนุษย์เพื่อให้มีชีวิตรอด น่าขำนัก” ริมฝีปากโทชิฮิโระเหยียดยิ้ม แต่มันเป็นยิ้มที่ราวกับจะเยาะเย้ยตัวเองในอดีต


“แล้วร่างแท้จริงของท่านอยู่ไหน” หากร่างนี้เป็นเพียงภาชนะของวิญญาณ แปลว่าร่างจริงของโทชิฮิโระคงอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างนอกนั่น


“จมอยู่ก้นทะเลสาบกับพิษร้ายของปีศาจที่ไม่อาจชำระล้างออกไปได้” ราวกับทุกอย่างเงียบสงัดลงเมื่อจบประโยคนั้น ไม่ได้ยินแม้เสียงอึกทึกจากร้านด้านล่าง อาคาเนะใช้หางโอบรอบเอวโทชิฮิโระเอาไว้คล้ายอยากจะปลอบ


“ในตอนที่คิดว่าคงต้องตายไปทั้งอย่างนั้น เทพผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวต่อหน้าข้า”


“เทพ?” คนฟังกะพริบตาปริบๆ ไม่คิดว่าสิ่งที่เรียกว่าเทพนั้นจะมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ด้วย


“ตัวจริงหรือ”


“สำหรับข้าแล้วใช่” ในช่วงเวลาระหว่างความเป็นและความตาย โทชิฮิโระเชื่ออย่างสนิทใจ ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเทพเจ้าตามที่เจ้าตัวเอ่ยออกมา








“จะยอมตายไปทั้งอย่างนี้หรือ” เสียงนั้นก้องกังวานผ่านเข้ามาในสมองอันชาหนึบ ร่างกายร้อนราวกับถูกไฟแผดเผาไปทั่ว เขากำลังจะตาย ด้วยน้ำมือของมนุษย์ตัวเล็กจ้อย


“ไม่!” โทชิฮิโระเค้นเสียงตอบ ทุกการหายใจช่างเจ็บปวดดั่งมีหนามแหลมคอยทิ่มแทงอยู่ในปอด รสเลือดเค็มปร่าไหลย้อนออกมาจากลำคอจนสำลัก เขาถูกทรยศหักหลัง เรื่องอะไรจะมายอมตายในสภาพน่าทุเรศเช่นนี้


“ช่างน่าสงสาร ร่างกายนี้คงทนได้อีกไม่นานนัก” สายตาเริ่มพร่าเลือนลงทีละน้อย รับรู้เพียงว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าสวมกิโมโนสีดำสนิท และมีเส้นผมที่ดำมืดยิ่งกว่า


“ข้ารักษาชีวิตเจ้าไว้ให้ได้ แต่ต้องย้ายวิญญาณออกจากร่างนี้ไป จะยอมตกลงไหม” คำถามนั้นคือเชือกเพียงเส้นเดียวที่ถูกส่งมาให้เขาในตอนที่ลมหายใจกำลังจะหยุดลง ไม่มีทางเลือกใดนอกจากคว้ามันเอาไว้ ไม่ว่าอีกด้านของปลายเชือกเส้นนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม


“ถ้าเช่นนั้นจงรับปากข้าอีกข้อ แล้วข้าหาทางชำระล้างพิษออกจากกายเจ้า เมื่อสัญญาของเราสิ้นสุด” ในห้วงสติสุดท้ายที่เหลืออยู่ โทชิฮิโระรับปากออกไป







“พอลืมตาอีกครั้ง ข้าก็มาอยู่ในร่างนี้ ไร้พลังใดๆ ไม่ต่างจากมนุษย์คนหนึ่ง”


ระยะแรกเขาต้องทนอยู่กับความเกลียดชังต่อตัวเอง และต่อมนุษย์รอบกาย ด้วยสภาพร่างกายนี้โทชิฮิโระจึงจำต้องใช้ชีวิตในโลกของมนุษย์ตามไปด้วย แต่พอเวลาผ่านไปโทชิฮิโระได้บอกกับตัวเองว่าอย่าได้ใส่ใจ รอวันใดที่เขาได้พลังกลับคืนมา ค่อยแก้แค้นยังไม่สาย


“แล้วทำไมท่านถึงมาหาข้า” อดีตของโทชิฮิโระอาจจะเจ็บปวด แต่อาคาเนะยังคงมองไม่เห็นว่าตัวเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่ได้บังเอิญพบเจอกัน


“ข้าเลือกแล้วอาคาเนะ เลือกมาตั้งแต่ต้น”


โทชิฮิโระเป็นคนพูดไว้เอง และอาคาเนะเชื่อว่าคำพูดนั้นมีความนัยแฝงอยู่


“ท่านผู้นั้นเป็นคนบอกเรื่องเจ้ากับข้า”


“เทพที่ช่วยท่าน?” โทชิฮิโระพยักหน้าลงแทนคำตอบ แต่มันทำให้อาคาเนะสับสนยิ่งกว่าเดิม รู้อยู่แล้วว่าโทชิฮิโระเข้าหาเขาเพราะมีจุดประสงค์ แต่พอได้ฟังตรงๆ กลับรู้สึกราวกับคนขาดอากาศ


“ข้าไม่เข้าใจ ตัวข้ามีอะไร พวกท่านถึงต้องมาวุ่นวายด้วย” อาคาเนะพยายามขืนตัวออกห่าง แต่โทชิฮิโระยังคงเหนี่ยวรั้งตัวเขาเอาไว้


ทั้งที่จะผลักให้กระเด็นเลยก็ยังได้


ด้วยร่างปีศาจอาคาเนะย่อมมีกำลังมากกว่าโทชิฮิโระ น่าเสียดายที่เขาปล่อยให้ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลต่อตัวเองมากเกินไปจึงยอมโอนอ่อนต่อสัมผัสจากโทชิฮิโระอยู่เรื่อย


“ชู่ว ใจเย็นๆ ข้าไม่รู้ว่าเขาสนใจอะไร เขาอาจเป็นคนสั่งให้ข้ามา แต่คนที่ทำให้ข้าอยากจะทำดีด้วยคือเจ้า” โทชิฮิโระรั้งตัวอาคาเนะมากอดไว้แนบอก คืนนี้อาจเป็นคืนที่เขาพูดความจริงกับอาคาเนะมากที่สุดแล้วก็เป็นได้


ใช่ เขามาพบเด็กหนุ่มคนนี้เพราะคำพูดของคนอื่น แต่เพราะความทะนงในวันแรกที่เจอทำให้เขานึกอยากกำราบลงให้ได้ เพราะความซื่อตรงที่อาคาเนะแสดงออก ไม่ว่ายามหัวเราะหรือร้องไห้ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้โทชิฮิโระยอมรับผิดอยู่ต่อหน้าอาคาเนะในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะคำสั่งใดๆ เลย


“จริงนะ” จิ้งจอกน้อยเงยมองคนที่กอดตัวเองอยู่ตาใส หูแหลมตั้งตรงราวกับกำลังรอคอยคำตอบ อาคาเนะคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองในสภาพนี้น่ารักขนาดไหน


“ใครจะหลอกจิ้งจอกน้อยได้ลง น่ารักขนาดนี้”


“อย่าเรียกข้าแบบนั้นนะ!” มือของอาคาเนะทุบใส่อกโทชิฮิโระจนแทบจุก

 
“มือหนักนะเจ้า”


“สมน้ำหน้า ยังไม่ได้คิดบัญชีที่เรียกข้าว่าสัตว์เลี้ยงด้วย” อาคาเนะหน้าหงิก นึกแล้วยังเคืองไม่หาย มาหาว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงได้อย่างไร สุนัขจิ้งจอกใช่สัตว์เลี้ยงที่ไหนกัน


“แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอะไร ที่รักดีไหม”


“ท่าน!” เพียงเท่านั้นอาคาเนะก็กระโจนเข้าใส่โทชิฮิโระจนหงายหลังลงไปด้วยกัน เรียกเสียงหัวเราะร่วนจากคนที่ต้องคอยคว้าข้อมืออาคาเนะเอาไว้กันเล็บคมๆ มาตวัดโดนหน้า ยิ่งโทชิฮิโระหัวเราะ คนข้างบนยิ่งโวยวายด้วยใบหน้าแดงก่ำ


ให้ค่ำคืนนี้ได้จบลงด้วยเสียงหนวกหูของทั้งสอง แทนความเศร้าอันเงียบเชียบที่ปกคลุมอยู่หลายคืน




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


มาแล้วค่าาา คว่ำชามมาม่าชามที่หนึ่ง (หืมมม)

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่า เจอกันใหม่ปีหน้า

ว่าแต่...เรียก 'ที่รัก' ได้ไหม  :mew3:




ใครเป็นคนทำให้โทชิฮิโระต้องติดอยู่ในร่างมนุษย์ ใช่อาคาเนะรึ
ป่าวคงต้องดูตอนต่อไป

สิ้นปีนี้ยังไม่แพลนไปไหนเลยค่ะ   :m15:

รอตอนต่อไปนะคะ  :pig4: :pig4:

มาเสิร์ฟแล้วนะคะ จะว่าเฉลยแล้วก็ยังเฉลยไม่สุด แต่เค้าดีกันแล้วแหละ  :-[


หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 12 คืนดี [31/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 31-12-2016 22:31:02
อ้าววววว ดีกันเฉยเลย นึกว่า ดราม่า SM ซะอีกกกกก 5555555555

แต่ว่านะคะ "คนที่ไว้ใจร้ายที่สุดเลย" งื่อออออออออ

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 12 คืนดี [31/12/16]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 01-01-2017 07:22:26
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย สารภาพว่าอ่านจนจบแล้วเหมือนกัน 5555 นิยายน่ารักค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 13 สวัสดีปีใหม่ค่า [01/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 01-01-2017 08:26:33

บทที่ 13

ดอกไม้สีขาว






กลิ่นหอมละมุนของดอกสึซึรันมักจะห้อมล้อมอยู่รอบตัว ‘นาง’ เสมอ ดอกไม้ดอกเล็กๆ สีขาวบริสุทธิ์ดูแล้วบอบบางจนเขาไม่คิดอยากจะเข้าใกล้


เพราะหากแตะต้องแรงเกินไป อาจจะแตกสลายไปเสียก่อน


“ท่านหญิง! ช้าหน่อยเจ้าค่ะ ช้าลงหน่อย” เสียงอ้อนวอนโหยหวนขนาดนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน ปกติผู้หญิงคนนั้นออกจะเจียมเนื้อเจียมตัวและสงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีบางสิ่งแปลกไปจนเขาต้องออกมาดู


“โอ๊ย ลมจะใส่ ถ้าเกิดนายท่านรู้เข้า ต้องเป็นเรื่องแน่ๆ” สตรีร่วงท้วมกำลังยืนปาดเหงื่อด้วยท่าทางเหนื่อยหนักจนไม่รู้สึกตัวสักนิดว่ามีใครบางคนมายืนอยู่ด้านหลัง


“เอะอะอะไรกัน”


“ว้าย! นะ...นายท่าน” ด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ สองขาคนร้องทรุดลงนั่งคุกเข่าราวกับไม่มีกระดูก หมอบตัวคุดคู้อยู่กับพื้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้น


“ข้าถามว่ามีอะไร”


“คือ...คือ...ท่านหญิง...”


“จับได้แล้ว” ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ คนที่น่าจะเป็นตัวต้นเรื่องก็เดินย้อนกลับมาในสภาพเปื้อนฝุ่น หญิงสาวเบิกตากว้าง รีบกระหวัดแขนเสื้อขึ้นคลุมบางสิ่งในอ้อมแขนเมื่อเห็นว่านอกจากผู้ติดตามของนางแล้วยังมีชายอีกคนยืนอยู่ด้วย


“ท่านโทชิฮิโระ” ดวงตาของนางหลุบต่ำ เป็นสัญญาณของการทำผิด


“อะไรอยู่ในมือเจ้า” น้ำเสียงราบเรียบทำให้นางก้มหน้าลงมากขึ้น เช่นเดียวกับผู้ติดตามของนางอีกคนที่ทำท่าราวกับอยากจะมุดลงไปใต้พื้นเสียให้ได้


“สึซึรัน” น้อยครั้งนักที่เขาจะเอ่ยชื่อนี้ ด้วยตั้งใจไว้แล้วว่าจะต่างคนต่างอยู่ แต่ใช่ว่านางมีสิทธิ์จะทำทุกสิ่งได้ตามใจไปเสียหมด
เจ้าของชื่อเม้มปากด้วยความลังเล ก่อนจะค่อยๆ ยื่นสิ่งที่กอดเอาไว้ออกมาให้ดู


สิ่งมีชีวิตขนฟูสีขาวหม่นมอมแมมไปด้วยฝุ่นไม่ต่างจากคนที่อุ้มมัน ดวงตาสีเหลืองใสหรี่ลงจนเป็นเส้นเมื่อต้องแสง


“แมว” คิ้วของโทชิฮิโระขมวดยุ่ง ทั่วปราสาทของเขาอึกทึกวุ่นวาย เป็นเพราะแมวตัวหนึ่ง?


“ข้าคิดว่ามันคงหลงเข้ามา” หญิงสาวเอ่ยเสียงค่อย เสมองไปทางอื่นด้วยไม่กล้าสู้หน้าเจ้าของปราสาท


“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า” ถึงจะไม่ได้มีภูติรับใช้มากนัก แต่แค่จับแมวออกไปปล่อย ดูไม่ใช่สิ่งที่สึซึรันต้องทำสักนิด


“ข้า...แค่อยากจะเล่นด้วย” มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ เมื่ออ่อนแอจึงชอบที่จะอยู่รวมกันเป็นหมู่มาก นานแล้วที่นางแยกจากครอบครัว คงไม่แปลกหากนางจะอยากได้สัตว์เลี้ยงมาเป็นเพื่อน


“ถ้าอยากจะเลี้ยงมันก็ตามใจ อย่าให้มันมายุ่งกับข้าก็พอ” โทชิฮิโระตัดบท เขาไม่ชอบเข้าใกล้นาง ไม่อยากยุ่งให้มาก แต่เพียงเท่านั้นสีหน้าหม่นเศร้าก็กลับกลายเป็นยิ้มกว้างอย่างสดใส อารมณ์ของมนุษย์ช่างเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ถึงไม่ค่อยอยากจะยุ่งด้วย


“ดีจังเลยนะคุโระ”


“คุโระ? มันไม่ได้สีดำสักหน่อย” โทชิฮิโระลืมตัวถามออกไปก่อนที่เขาจะหันหลังกลับ สึซึรันมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ สักพักก็ยิ้มราวกับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเพิ่งเกิดขึ้น


“หางของมันเป็นสีดำเจ้าค่ะ” หางเรียวยาวของเจ้าแมวถูกดึงออกมาเพื่อยืนยันคำพูด มันสะบัดออกคล้ายไม่พอใจ แต่ยังยอมถูกอุ้มเอาไว้


“ข้าไม่อยากเรียกมันเหมือนกับที่ทุกๆ คนจะเรียก เมื่อเห็นมันด้วย” นิ้วเรียวเกาคางให้เจ้าแมวที่หลับตาพริ้มอย่างพึงพอใจ โทชิฮิโระไม่เอ่ยอะไร เขาเพียงหันหลังให้แล้วเดินจากมา







กริ๊ง...


เสียงกระพรวนกังวานใสดังแว่วท่ามกลางความเงียบ ช่วยปลุกคนที่กำลังหลับให้ตื่นขึ้นจากความฝัน ความฝันที่สะท้อนภาพจากอดีตอันห่างไกล


มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบผ่านใบหน้า กดย้ำเบาๆ บนดวงตาก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้น ทุกอย่างรอบกายยังอยู่ในความมืด แขนอีกข้างถูกใครบางคนยึดไว้อยู่ พอเอื้อมไปแตะแก้ม หูแหลมก็เริ่มกระดิกพร้อมกับดวงตาสีแดงใสที่หรี่ขึ้นมองเขาเพียงข้างเดียวในสภาพพร้อมจะหลับต่อ


“ไม่มีอะไร หลับไปเถอะ” เสียงทุ้มกระซิบบอก อาคาเนะทำตามอย่างว่าง่าย ในเมื่อไม่จำเป็นต้องเก็บความลับกับโทชิฮิโระอีกต่อไป เด็กหนุ่มเลยปล่อยตัวให้ได้หลับสบายในร่างจิ้งจอก


ผู้หญิงคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว


เป็นเพียงเศษซากความทรงจำที่ควรถูกกลบฝังไปกับกาลเวลา


โทชิฮิโระออกแรงดันตัวอาคาเนะให้เข้ามาใกล้มากขึ้น ด้วยความง่วงสะสมทำให้อาคาเนะยอมร่วมมือโดยไม่แม้แต่จะลืมตา คนที่ยังตื่นเป็นฝ่ายพลิกตัวเข้าหา โอบกอดคนหลับเอาไว้ด้วยสองแขน


หากความฝันคือตะกอนของความทรงจำ


คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะล้างตะกอนพวกนั้นออกไปเสียที







ยิ่งใกล้ฤดูหนาวมากเท่าไร เหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ต่างยิ่งพากันผลัดใบลงมามากเท่านั้น สวนที่เคยเขียวชอุ่มด้วยต้นหญ้าจึงถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้สีน้ำตาลแห้งเมื่อถึงตอนเช้าเสมอ


เสียงไม้กวาดลากผ่านใบไม้แห้งดังเคล้าไปเสียงฮัมทำนองเพลงในลำคอของคนตื่นแต่เช้า เป็นเพราะโทชิฮิโระบอกว่าจะกลับเร็ว อาคาเนะเลยต้องตื่นเช้าตามไปด้วย ถึงจะถูกบอกให้กลับไปนอนต่อ แต่เดาว่าเมื่อคืนเขาคงหลับสนิทจนอาการเพลียหายไป เลยไม่อยากกลับไปนอนต่ออีกแล้ว


“ถึงจะทำเป็นขยันไป ข้าก็ไม่จ่ายให้เจ้าเพิ่มหรอกนะ”เจ้าของร้านเดินโงนเงนมาหาพลางยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอด พอเห็นโคคิยืดแขนบิดขี้เกียจอยู่ใกล้ๆ อาคาเนะเลยแกล้งกวาดใบไม้ไปใส่ขา


 “เฮ้ยๆ ทำอะไรของเจ้า”


“อ้าว ขออภัยข้านึกว่าขยะ”


“อาคาเนะ” โคคิกดเสียงต่ำ ไม่รู้ทำไมเจ้าเด็กคนนี้ถึงชอบปากดีใส่เขาอยู่เรื่อย กับซาโตรุเห็นออกจะเชื่อฟัง เรียกพี่ไม่เคยขาดปาก


“ต่อล้อต่อเถียงได้นี่แสดงว่าหายซึมแล้วใช่ไหม”


“สายตาท่านดูไม่ออกหรือ” อาคาเนะยักคิ้วให้ ทำเอาโคคิแทบอยากยกขาเตะเข้าให้สักที


“เจ้านี่เลี้ยงง่ายดีนะ มีอะไรจับโยนให้โทชิฮิโระเป็นอันใช้ได้ โอ๊ย!” ด้ามไม้กวาดฟาดใส่หน้าแข้งโคคิจนเจ้าตัวร้องลั่น ข้อได้เปรียบของอาคาเนะคืออายุที่น้อยกว่าทำให้ไม่ต้องมัวมาห่วงว่าใครจะมองอย่างไร ถ้าเจ้านายทำตัวน่าตีก็แค่ตีไปเลย


“เจ้าเด็กนี่!”


“เสียงพวกเจ้านี่ปลุกคนได้ดีจริง” การมาถึงของซาโตรุช่วยให้หมีที่กำลังเริ่มแยกเขี้ยวยอมถอยห่างจากอาคาเนะ แต่ยังไม่วายชี้นิ้วคาดโทษเอาไว้ ส่วนอาคาเนะไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ ซ้ำยังแอบแลบลิ้นใส่โคคิระหว่างที่ซาโตรุมองไม่เห็นด้วย


“ท่านโทชิฮิโระกลับไปแล้วหรืออาคาเนะ”


“ขอรับ กลับไปแต่เช้าตรู่ เห็นว่าจะไปธุระสักสองสามวัน” ปกติเวลาโทชิฮิโระจะหายไป มักหายไปเงียบๆ ไม่บอกไม่กล่าว คราวนี้ยอมออกปากล่วงหน้าคงเป็นธุระที่สำคัญพอดู


“ข้าว่าเจ้าควรเริ่มคิดเรื่องค่าไถ่ตัวอาคาเนะได้แล้วโคคิ”


“พี่ซาโตรุ!” อาคาเนะร้องเสียงหลง ไม่คิดเลยว่าวันนี้พี่ชายแสนดีจะหันไปรวมหัวกันแหย่เขาร่วมกับโคคิ


“ถูกของเจ้า อาการหนักขนาดนี้ต้องรีบเรียกเงินก่อนคนของเราจะหนีตามเขาไปเอง” พอเห็นอาคาเนะเอาแต่อ้าปากพะงาบๆ พูดไม่ออก โคคิเลยยิ่งได้ใจทำเป็นตามน้ำไปกับซาโตรุ


“ข้าไม่หนีตามใครทั้งนั้น!”


“หืม แค่ตอนนี้หรือเปล่า ชอบเขาก็บอกเขาไป ผู้ใหญ่จะได้คุยกันเข้าใจไหมอาคาเนะ”


“เงียบไปเลยโคคิ!” อาคาเนะแทบจะขว้างไม้กวาดในมือใส่เจ้าของร้านผู้ลอยหน้าลอยตายั่วเย้าเขาอยู่หลังซาโตรุ ถ้าไม่กลัวว่าโคคิจะหลบทันรับรองว่าเขาขว้างไปแน่


ระหว่างที่จิ้งจอกและหมีกำลังกัดกันโดยมีซาโตรุยืนมอง ได้มีเสียงไม่คุ้นหูเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น ทุกคนต่างพร้อมใจกันเงียบลง แล้วก้มลงมองที่มาของเสียงนั้น


ไม่ไกลจากเท้าของอาคาเนะมีแมวตัวหนึ่งนั่งเอียงคอมองพวกเขาอยู่ มันอ้าปากร้องด้วยเสียงเดิมอีกครั้ง แทนการยืนยันว่าเจ้าของเสียงเมื่อครู่คือมันเอง เส้นขนบนลำตัวของมันแทบทั้งหมดเป็นสีขาวกระจ่าง ยกเว้นเพียงหางที่เป็นสีดำสนิท รอบคอมีเชือกคล้องกระพรวนผูกไว้อยู่


อาคาเนะชักเท้าหนี รู้สึกแปลกประหลาดกับแมวตัวนี้ มันแหงนคอขึ้นมองสบตาเขา ราวกับว่าดวงตาสีอำพันคู่นั้นสื่อสารบางอย่าง แต่พอทำท่าจะเอื้อมมือไปจับ มันกลับพองขนขู่ก่อนกระโจนขึ้นต้นไม้ แล้วกระโดดข้ามกำแพงหายไปอย่างรวดเร็ว


“แมวของใครกัน” เจ้าของร้านถามพลางเลิกคิ้ว


“ไม่รู้ ไม่เคยเห็น แต่คล้องกระพรวนคงมีใครสักคนเลี้ยงไว้”


“ข้าไม่ชอบแมว อ่านความคิดพวกมันไม่ออก” โคคิทำสีหน้าเบื่อหน่าย แมวแทบทุกตัวที่เขาเคยเจอมาล้วนเอาแต่ใจ เคยคิดว่ามนุษย์เป็นเจ้านายตัวเองบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้


“อาคาเนะ เป็นอะไรหรือเปล่า” พอเห็นว่ายังมีอีกคนเอาแต่ยืนเหม่อ ซาโตรุเลยเข้าไปแตะไหล่ อาคาเนะหันกลับมามองมือข้างนั้นก่อนส่ายหน้า


“เปล่าขอรับ ไม่ได้เป็นอะไร”


“เอาไว้ค่อยมากวาดต่อ ไปกินข้าวเช้าได้แล้ว เจ้าด้วยโคคิ” ซาโตรุฉวยไม้กวาดในมืออาคาเนะไปวางพิงไว้กับต้นไม้ พลางโบกมือไล่ให้ทั้งสองคนกลับเข้าข้างใน


อาคาเนะเพียงเหลือบตามองย้อนกลับไป บางสิ่งในตัวเขาบอกว่าแมวตัวนั้นมีอะไรสักอย่างต่างจากปกติ เพียงแต่ยังนึกไม่ออกว่าคืออะไร







เมื่อไม่เหลือใครอยู่ในสวน เสียงกระพรวนได้ดังขึ้นอีกครั้งเป็นจังหวะเดียวกับที่ใครบางคนกระโดดลงมาจากกำแพง เส้นผมสีขาวโพลนพลิ้วไหวยามต้องสายลมอ่อน นิ้วทั้งห้าที่มีเล็บยาวแหลบคมค่อยๆ เอื้อมไปหยิบไม้กวาดมาถือเอาไว้ ดวงตาสีเหลืองทองหรี่มองมันก่อนหันมองไปตามทางที่ทั้งสามคนเดินจากไป



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


Happy new year 2017 ค่ะ  :mc4: :mc4:

วันนี้วันเริ่มต้นปีใหม่ เลยมีรอบเช้าเพิ่มพิเศษ เพราะตั้งใจจะมาทักทายทุกคนก่อน เดี๋ยวค่ำๆ จะมาลงอีกตอนตามปกติค่า


ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและมาเม้นต์คุยกันนะคะ ขอฝากตัวต่อไปนะคะ  :L2: :L2: :L2:




อ้าววววว ดีกันเฉยเลย นึกว่า ดราม่า SM ซะอีกกกกก 5555555555

แต่ว่านะคะ "คนที่ไว้ใจร้ายที่สุดเลย" งื่อออออออออ

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:

S..M... ฝีมือยังไม่ถึงค่ะ ถึงพระเอกจะพอมีความ S บ้างก็ตาม  :z1:




อย่าว่าแต่คนอื่นเลย สารภาพว่าอ่านจนจบแล้วเหมือนกัน 5555 นิยายน่ารักค่ะ

 :pig4: ขอบคุณค่าาา มีคนชอบด้วย  :katai2-1: ขอภัยในความผิดพลาดด้วยค่ะ ถ้าอ่านฉบับจบแล้วก่อนแก้ คงมีจุดผิดเยอะมากกก
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 14 สวัสดีปีใหม่ค่า [01/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 01-01-2017 22:28:02
บทที่ 14

ความไว้ใจ






รสเลือดที่ไหลลงคอขมปร่ากว่าที่เคยรู้สึก ท่อนแขนที่คว้ามาเพื่อขอแบ่งเลือดถูกโยนลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจนัก อาคาเนะใช้หลังมือเช็ดมุมปากพลางขมวดคิ้ว


รสเลือดของมนุษย์คนอื่นแย่ลงสำหรับเขา ต้องโทษโทชิฮิโระที่สร้างความเคยชินแปลกๆ ให้ ไม่ต่างกับมนุษย์ที่พอชื่นชอบอาหารรสมือใครสักคนแล้วมักจะมองว่าคนอื่นทำไม่อร่อย มันหมายถึงเขากำลังติดรสเลือดของโทชิฮิโระ


แม้อีกฝ่ายจะบอกว่ายินดีมอบให้แต่อาคาเนะไม่ชอบใจ เขาไม่ต้องการผูกติดทุกสิ่งไว้กับโทชิฮิโระ หากต้องรอคนเพียงคนเดียวมาคอยให้อาหาร เขาคงต้องกลายเป็นแค่สัตว์เลี้ยงในสักวันแน่


ใครจะยอม


หูข้างหนึ่งของอาคาเนะกระดิกเพราะรับรู้ได้ถึงเสียงกังวานใสจากที่ไกลๆ เด็กหนุ่มพาตัวเองไปยังริมหน้าต่าง เพ่งสายตามองออกไป ขอบคุณแสงไฟจากย่านราตรีที่ช่วยให้ข้างนอกยังมีแสงสว่างเพียงพอให้มองรอบด้านได้


บนหลังคาซุ้มประตูหลังของร้านมีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมา แม้เพิ่งเห็นเพียงครั้งเดียวแต่อาคาเนะจำได้ นั่นคือแมวตัวที่เจอเมื่อกลางวัน มันเดินวนเป็นวงกลมโดยไม่ยอมละสายตาจากเขา ราวกับกำลังเรียกให้ไปหา


อาคาเนะเหลือบมองแขกของคืนนี้ที่กำลังนอนหลับสบายอุราอยู่บนฟูกก่อนหันไปมองแมวตัวนั้นอีกครั้ง เมื่ออยู่ในร่างนี้อาคาเนะรับรู้ได้กลิ่นว่าแมวที่กำลังจ้องมองเขาไม่ใช่เพียงสัตว์ตัวหนึ่ง คงดีกว่าหากมันจะไปให้ไกลจากร้านนี้


“แค่กลับก่อนตะวันขึ้นคงพอ” ยาของเขาจะทำให้แขกผู้นี้หลับฝันดีไปจนฟ้าสาง ระหว่างนี้ต้องรีบจัดการเรื่องยุ่งให้เสร็จ ก่อนที่จะมีใครรู้ว่าเขาหายไป


วูบหนึ่งในความคิด ภาพวันที่อาคาเนะไปเฝ้าอาการโทชิฮิโระจนกลับมาสายปรากฏขึ้นมา มันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่อาคาเนะแอบออกไปข้างนอกแล้วกลับมาไม่ทันตะวันขึ้น เด็กหนุ่มสะบัดหน้าเบาๆ เพื่อไล่ภาพเหล่านั้นออกไป คราวนี้ถ้าเขาถูกจับได้ คงไม่มีใครมาแก้ตัวให้อีก


ทันทีที่อาคาเนะก้าวขาขึ้นขอบหน้าต่าง เจ้าแมวขาวก็กระโดดลงจากหลังคา ทำให้อาคาเนะต้องรีบเร่งไล่ตามไป แม้จะตัวเล็กและกระโดดได้สั้นกว่าอาคาเนะ แต่นับว่ามันว่องไวมาก ไม่นานพวกเขาก็ออกห่างจากย่านราตรีสู่ถนนกว้างอันเงียบสงบ


ช่วงกลางวันถนนเส้นนี้คือทางสายตรงออกสู่นอกเมืองจึงมักมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ แต่กลางดึกเช่นนี้กลับเงียบสงัด เงียบจนได้ยินแม้เสียงลมพัดใบไม้ไหว


เจ้าแมวขาวหยุดลงตรงกลางถนน มันหันกลับมาหาอาคาเนะแล้วยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นโดยมีควันสีดำพวยพุ่งขึ้นจากพื้นดินรอบตัว ร่างของมันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป สองขาหลังกลายเป็นเท้า อุ้งเท้ากลายเป็นมือ และมีใบหน้าไม่ต่างจากสตรีชาวมนุษย์ ทั้งยังมีความงดงามทว่าเรียบนิ่ง เส้นผมสีขาวยาวเหยียดตรงโดดเด่นในความมืด


“มีธุระอะไรกับข้า” อาคาเนะลองถามเพื่อหยั่งเชิง เขารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่แมวธรรมดา และคงเรียกออกมาเพื่อพูดบางสิ่ง หญิงสาวกำลังเริ่มขยับปาก


ทว่าตอนนั้นเองที่มีแท่งน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่นางดุจคมหอกจนต้องกระโดดถอยหลังเพื่อหลบแล้วกลับคืนสู่ร่างแมวทันที


“ขออภัย พอดีมีคนไหว้วานข้าเอาไว้ว่าให้ช่วยดูแลเด็กคนนี้จนกว่าเขาจะกลับ” สายลมเย็นยะเยือกพัดมาจากด้านหลังจนอาคาเนะเผลอห่อไหล่ เมื่อหันกลับไปจึงได้เห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร


“ท่าน...” อาคาเนะนึกชื่อของนางไม่ออก จำได้เพียงว่านางคือผู้หญิงที่เคยเจอในห้องกับโทชิฮิโระมาก่อน


“ข้าชื่อคาสุมิ แต่เดี๋ยวเราค่อยคุยกันน่าจะดีกว่า” คาสุมิก้าวผ่านอาคาเนะไปด้านหน้า หรี่ตามองแมวตัวจ้อยที่กำลังตั้งท่าราวกับเสือที่พร้อมตะปบเหยื่อ


“จงไปเสีย ก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้า” คำว่า ‘ฆ่า’ ที่ออกจากปากคาสุมิช่างเย็นเยียบไม่ต่างจากบรรยากาศรอบตัวนาง ผู้หญิงคนนี้ดูต่างไปจากครั้งแรกที่อาคาเนะได้เจอราวกับคนละคน


ไอเย็นทำให้ผิวดินถูกน้ำแข็งเกาะกระจายเป็นวงกว้างขึ้นทีละน้อยและค่อยๆ ลามไปทางที่แมวสีขาวยืนอยู่ มันมองตรงไปยังอาคาเนะครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจถอยเท้าหนีแล้ววิ่งหายไปในความมืด


“หนาวหรืออาคาเนะ” คาสุมิถามด้วยรอยยิ้มเมื่อหันกลับมาเห็นว่าอาคาเนะกำลังถูมือกับต้นแขนของตัวเองอยู่


“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้”


“เราย้ายที่คุยกันไหม” ปีศาจหิมะปัดคำถามของอาคาเนะด้วยคำถามใหม่ เกิดมีใครมาเจอปีศาจสองตนยืนคุยกันกลางถนนคงไม่ดีนัก อาคาเนะหลุบตาลงแล้วจึงพยักหน้า







สถานที่ที่คาสุมิเชื้อเชิญมาคือคฤหาสน์ที่อาคาเนะรู้จักดี พอเห็นคาสุมิเปิดประตูเข้าไปราวกับเป็นเจ้าของแล้วชวนให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างน่าประหลาด โทชิฮิโระยังคงมีปริศนาอีกมากมายนัก รวมถึงเรื่องสหายคนนี้ด้วย


“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าถูกไหว้วานให้ดูแลเจ้า” เห็นจิ้งจอกน้อยระแวงทุกย่างก้าวที่นางขยับแล้วคาสุมิรู้สึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ช่างเป็นจิ้งจอกที่เชื่องกับเฉพาะบางคนเสียจริง


“โทชิฮิโระไหว้วานท่านหรือ”


“นอกจากเขาจะมีใคร อ้อ...” ปีศาจหิมะเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเดินเข้าไปหาอาคาเนะ ไล้ปลายนิ้วไปบนไหล่ของเด็กหนุ่มจากด้านซ้ายไปขวาพลางกระซิบ


“ยังหึงหวงโทชิฮิโระกับข้าอยู่หรือหนุ่มน้อย”


“เปล่า” อาคาเนะดึงมือของคาสุมิออกด้วยสีหน้าบึ้งตึง จะหึงหรือไม่มันเป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน ไม่เกี่ยวกับคาสุมิ ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเพียงคำยั่วยุ


“อย่าอารมณ์เสียไป ข้าอยู่ข้างพวกเจ้านะ” ถึงจะคบหาเพื่อผลประโยชน์ แต่ตราบเท่าที่มีประโยชน์ต่อกันย่อมนับว่าเป็นพวกเดียวกันได้ คาสุมิย่อตัวลงนั่งพลางตบมือลงบนพื้นเสื่อเพื่อเรียกให้อาคาเนะนั่งตาม แม้จะไม่เต็มใจแต่อาคาเนะก็นั่งลงโดยที่คิ้วยังขมวดแน่น


“พวกท่านตั้งใจทำอะไรกันแน่ แล้วแมวตัวนั้นใคร” ตั้งแต่โทชิฮิโระก้าวเข้ามาในชีวิต หลายสิ่งรอบตัวอาคาเนะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็น ไหนจะเทพผู้ติดอยู่ในร่างมนุษย์ ไหนจะปีศาจหิมะ แล้วยังปีศาจแมวอีก ดูท่าอาคาเนะคงเสียชีวิตอันสงบสุขไปแล้ว


“คำถามแรกข้าไม่ใช่คนที่ควรตอบ เพราะเป้าหมายของข้าและโทชิฮิโระแตกต่างกัน เราเพียงพึ่งพากันบ้าง ข้าว่าโทชิฮิโระไม่อยากจะนับข้าเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ”


คาสุมิไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ นางไม่สนใจอยู่แล้วว่าโทชิฮิโระและอาคาเนะจะมองนางอย่างไร ขอเพียงไม่ขัดขวางเส้นทางกันเป็นพอ


“แต่ปีศาจแมวตนนั้น จงอยู่ให้ห่างมันไว้”


“ทำไม”


“เวลาผู้ใหญ่เตือนเจ้าควรฟังนะอาคาเนะ” คาสุมิยังแย้มยิ้ม ทว่าดวงตาของนางกลับแข็งกร้าวขึ้น อาคาเนะจึงเม้มปากแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น


“โทชิฮิโระเล่าเรื่องที่ต้องย้ายวิญญาณให้ฟังแล้วใช่ไหม” หูของอาคาเนะตั้งตรงขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนั้น อดีตที่โทชิฮิโระแทบไม่อยากเอ่ยถึง คาสุมิกลับรู้เรื่องด้วย


“นายของข้าคือคนที่ช่วยชีวิตโทชิฮิโระเอาไว้ แน่นอนว่าข้าต้องรู้เรื่องด้วย” เมื่อถูกมองด้วยสายตารู้ทันอาคาเนะจึงแสร้งทำเป็นกระแอมกระไอ ท่องไว้ในใจว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างกับนิสัยคิดมากของตัวเอง โชคดีที่โทชิฮิโระไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงถูกล้อเลียนแน่


“เขาบอกว่าถูกมนุษย์ทรยศ...”


“บอกหรือเปล่าว่าโดยใคร” อาคาเนะยังไม่ทันได้พูดจบ คาสุมิก็ขัดขึ้นเสียก่อน คำถามนั้นก่อให้เกิดความเงียบอันหนักอึ้ง โทชิฮิโระไม่ได้บอก ซ้ำยังทำราวกับว่าเป็นอดีตที่ไม่อยากจะพูดถึง อาคาเนะจึงทำได้เพียงส่ายหน้า


“ในโลกนี้ ไม่ว่ากับเทพ มนุษย์ หรือปีศาจ อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดคือความเชื่อใจ ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ทรงอำนาจสักแค่ไหน หากเผลอไว้ใจคนผิด ย่อมต้องจ่ายค่าความผิดพลาดนั้นด้วยราคาแพงเสมอ”


ดวงตาของคาสุมิหรี่ลงยามนางเบือนหน้ามองออกไปด้านนอกพลางลูบข้อมือตัวเอง อาคาเนะคิดว่าเห็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่บนหลังมือนั้น รอยยิ้มของปีศาจหิมะจางหายไป ราวกับว่านางกำลังพูดเรื่องราวของตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย


“ข้ารู้” ความรู้สึกยามคิดว่าถูกคนที่ไว้ใจที่สุดทรยศ อาคาเนะเคยรับรู้มาแล้ว มันทั้งเจ็บปวดและขมขื่น จะโกรธก็ไม่สามารถโกรธจนถึงขั้นเกลียดกันได้ จะยกโทษก็เหมือนมีหนามแหลมคอยทิ่มแทงอยู่ในอก


“โทชิฮิโระ ชายผู้นั้นเคยเป็นถึงหนึ่งในปีศาจไม่กี่พวกที่ถูกยกให้เป็นเทพเจ้า สัตว์เทพที่บินไปบนฟ้าและควบคุมน้ำได้ดั่งใจ” คาสุมิแบมือขวาออกมาตรงหน้า


ละอองหิมะสีขาวหมุนวนเหนือฝ่ามือนางแล้วค่อยๆ จับตัวเป็นรูปร่างของมังกรขนาดจิ๋ว มังกรหิมะตัวยาวเคลื่อนตัวเลื้อยไปในห้วงอากาศสะกดสายตาอาคาเนะให้จับจ้องไปที่มัน


แม้จะรู้อยู่แล้วว่าโทชิฮิโระเคยมีคนเคารพมาก่อน แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นมังกร สัตว์เทพชั้นสูงเช่นนั้นไม่แปลกเลยที่จะรังเกียจตัวเองเมื่อต้องกลายเป็นมนุษย์


“แต่แล้ววันหนึ่ง เหล่ามนุษย์ก็ได้มอบบรรณนาการที่คาดไม่ถึงมาให้” มือซ้ายของคาสุมิสร้างรูปหิมะของสตรีผู้หนึ่งขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ นำทั้งสองมือเข้าใกล้กัน


“มนุษย์เชื่อว่าเทพจะพึงพอใจหากมีหญิงสาวบริสุทธิ์ไว้รับใช้ สตรีสูงศักดิ์อย่างบุตรสาวเจ้าเมืองจึงถูกส่งมา ทว่าเทพมังกรกลับไม่เคยใส่ใจนาง เพียงปล่อยให้อาศัยอยู่ใต้ชายคาปราสาทร่วมกันโดยไม่แตะต้อง แม้จะห่างเหินแต่แค่การยอมเก็บมนุษย์ไว้ใกล้ตัวก็นับว่ามากพอแล้ว และเมื่อถึงวันหนึ่ง ความไว้ใจนั้นก็มาก...จนเกินไป”


รูปปั้นหิมะของหญิงสาวแตกสลายไป เหลือเพียงมังกรหิมะที่กำลังดิ้นเร่า บิดลำตัวด้วยท่าทางสุดแสนทรมาน


“อาหารมื้อแรกที่เทพมังกรตัดสินใจยอมรับจากฝีมือของหญิงสาวผู้นั้น หลังเห็นนางอดทนเตรียมมันไว้ทุกวันนานหลายเดือน กลับกลายเป็นมื้อสุดท้าย แท้จริงแล้วนางอดทนรอเพื่อจะได้กำจัดผู้เดียวที่เป็นใหญ่เหนือบิดาของนางออกไป เราไม่รู้ว่านางหาพิษร้ายขนาดนั้นมาจากไหน แต่การเตรียมการไม่ใช่จะทำได้ในวันสองวัน กว่าจะรู้ว่าไว้ใจคนผิดก็ไม่มีทางให้แก้ไขเหลือแล้วสำหรับโทชิฮิโระ”

คาสุมิกำมือเข้าบีบร่างมังกรหิมะแตกกระจายร่วงหล่นลงบนพื้น


“ท่านบอกว่านางเป็นมนุษย์ แต่ผู้หญิงเมื่อครู่นางเป็นปีศาจ”


“เจ้าได้เห็นมังกรในร่างมนุษย์มาแล้ว ยังมีอะไรเป็นไปไม่ได้อีกหรือ” ปีศาจหิมะคลี่ยิ้มบาง อาคาเนะยังเด็กนักสำหรับโลกปีศาจ

 
“ไม่ว่านางจะใช่คนเดียวกับผู้หญิงคนนั้นหรือไม่ หรือเป็นเพียงปีศาจที่บังเอิญหน้าตาคล้ายกัน แต่เจ้าควรจะจำไว้ให้ดีอาคาเนะ จำไว้ว่านั่นคือใบหน้าของคนที่เกือบฆ่าโทชิฮิโระสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง”


อาคาเนะหลับตาลง ภาพคืนที่โทชิฮิโระนอนหายใจรวยรินท่ามกลางกองเลือดฉายชัดในความทรงจำ


“เข้าใจแล้ว ต่อไปข้าจะระวัง” ใช่ว่าอาคาเนะจะไร้เขี้ยวเล็บเสียเมื่อไหร่ หากอีกฝ่ายมาร้ายเขาย่อมพร้อมที่จะตอบโต้


“เจ้าคงต้องกลับแล้ว ฟ้าใกล้จะสางเต็มที” คาสุมิลุกขึ้นไปเลื่อนบานประตูให้เปิดออก ที่เส้นขอบฟ้าแสงเรืองรองเริ่มทอแสงออกมา อีกไม่นานท้องฟ้าอันดำมืดจะถูกขับไล่ และแทนที่ด้วยผืนฟ้าอันสดใส


“ขอบคุณที่เตือนขอรับ” อาคาเนะเดินมาก้มตัวลงคำนับให้กับคาสุมิ แม้นางจะดูเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่ก็ถือว่าได้ช่วยเหลือกันเอาไว้ ควรจะกล่าวคำขอบคุณ


“ถ้าโทชิฮิโระรู้จักขอบคุณข้าบ้างคงดี ไปเถิด” คาสุมิก้าวถอยหลังเพื่อเปิดทาง แล้วผายมือไปยังทางออก เฝ้ามองอาคาเนะกระโดดข้ามรั้วหายลับไปแล้วจึงถอนหายใจออกมา


“เด็กดีเช่นเจ้า ขออย่าได้ต้องลงเอยเช่นข้าเลย” สายลมอันหนาวเหน็บพัดวนรอบร่างของปีศาจหิมะ แต่ไม่อาจบดบังแววตาหม่นเศร้าได้ และเมื่อลมสงบลงร่างของคาสุมิก็หายไป เหลือไว้เพียงเกล็ดหิมะที่ค่อยๆ ละลายเป็นหยดน้ำ





•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


มาแล้วตามที่บอก วันนี้มารวดสองตอน เป็นของขวัญเล็กๆ สำหรับปีใหม่นะคะ ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ ค่า   :mew1:


หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 15 เทพมังกร [02/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 02-01-2017 18:46:37
บทที่ 15

เทพมังกร






เสียงฝีเท้าม้ายามควบเต็มกำลัง สั่นสะเทือนผืนดินจนเศษก้อนหินพากันกระเด็นกระดอน อาชาสีน้ำตาลแดงควบทะยานสุดแรงเท่าที่มันจะทำได้ ทางดินแห้งแล้งทอดยาวรายล้อมด้วยต้นสนเรียงเป็นแถว จนกระทั่งเมื่อลอดผ่านเสาไม้ที่ตั้งตระหง่านคร่อมถนน เจ้าม้าจึงได้ชะลอฝีเท้าลงตามแรงที่รั้งสายบังเหียนของมัน


เกือกม้าส่งเสียงกุบกับเป็นจังหวะเมื่อมันเหยาะย่าง ระหว่างที่ชายบนหลังม้ากวาดสายตาไปโดยรอบ บ้านเรือนหลายหลังบ้างผุพัง บ้างปิดตาย ราวกับเมืองร้างก็ไม่ปาน


แม้ฤดูหนาวจะทำให้หลายชีวิตแห่งเหี่ยว แต่ในความทรงจำ ต่อให้เป็นวันที่หิมะปกคลุมหนา เมืองแห่งนี้ก็ยังเคยมีชีวิตชีวากว่านี้หลายเท่านัก


โทชิฮิโระลงจากหลังม้าแล้วจูงมันเดินไปช้าๆ รับรู้ได้ว่ามีสายตาหลายคู่ลอบมองมาจากหลังกองไม้เก่า รวมทั้งหน้าต่างบ้านที่เปิดแง้มอยู่


“หลงทางมาหรือพ่อหนุ่ม” หญิงชราผู้หนึ่งส่งเสียงถามมาจากบนสะพานที่โทชิฮิโระกำลังเดินผ่าน เมื่อเห็นเขาหยุดเดินนางจึงเดินเข้ามาหาพลางแย้มยิ้ม


“ถ้าไม่รีบไปไหน ช่วยไปส่งคนแก่กลับบ้านหน่อยได้หรือเปล่า” โทชิฮิโระมองหญิงชราสลับกับม้าของตน วัดจากสายตาแล้วคิดว่านางคงขี่ม้าไม่ไหว ให้ขี่หลังเขาไปน่าจะเหมาะกว่า


“ข้าฝากท่านยายถือสายบังเหียนได้ไหม”







บ้านไม้หลังเล็กตั้งอยู่เกือบสุดขอบเมือง โทชิฮิโระประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่หญิงชราคนนี้สามารถเดินไปได้ไกลถึงกลางเมืองได้ นางขอบคุณด้วยรอยยิ้มและตอบแทนด้วยน้ำชาซึ่งเจือจางจนรสชาติแทบไม่ต่างจากน้ำเปล่า


“ท่านอยู่คนเดียวหรือ” บ้านนี้ค่อนข้างเล็กและแทบไม่มีอะไร แต่ยังดูสมบูรณ์กว่าบ้านใหญ่ๆ หลายหลังจากที่เห็นระหว่างทาง


“มีลูกชาย แต่ออกไปล่าสัตว์ตั้งแต่เมื่อวาน เย็นๆ คงกลับ” กาน้ำชาถูกยื่นให้ แต่โทชิฮิโระเพียงส่ายหน้าแล้วกล่าวขอบคุณเบาๆ


“แล้วคนเมืองอย่างเจ้ามาทำอะไรบ้านนอกคอกนาอย่างนี้” ไม่ว่าการแต่งตัว เสื้อผ้าสวมใส่ หรือแม้แต่ม้าที่ใช้ล้วนเป็นของมีราคา ดูอย่างไรก็ไม่เข้ากับเมืองเล็กๆ ที่กำลังจะตายแห่งนี้


“ข้าเคยมาเมืองนี้มาก่อน มีโอกาสผ่านมาเลยอยากแวะมาเยี่ยมเพื่อน ไม่คิดเลยว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้” โทชิฮิโระโกหกบางส่วน นี่คือเมืองที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาหลายสิบปี แม้ไม่รุ่งเรืองเช่นเมืองใหญ่ แต่ไม่ได้แร้นแค้นเช่นนี้ ทั้งที่เขาจากไปไม่ถึงสองปีดีด้วยซ้ำ


“งูที่ถูกตัดหัว ต่อให้ร่างกายยังบิดเร่า แต่ไม่นานมันก็ต้องตาย ไม่ต่างอะไรกับเมืองนี้ ถ้าโชคดีเพื่อนของเจ้าคงย้ายไปแล้ว” หญิงชรายิ้มเศร้า เมืองแห่งนี้กำลังตายลงอย่างช้าๆ อีกไม่นานคงไม่มีใครเหลืออยู่อีก


“ท่านหมายความว่าเกิดเรื่องกับเจ้าเมืองหรือ” โทชิฮิโระเพิ่งเอะใจว่าตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาเขายังไม่เห็นแม้เงาของทหารสักคน บรรดาชาวเมืองต่างก็เอาแต่หลบซ่อนด้วย


“กรรมสนอง สมควรแล้วกับเรื่องที่ทำ” น้ำเสียงของหญิงชราแฝงความเหยียดหยัน นางย่นจมูกพร้อมส่ายหน้าไปมา


“ท่านยาย เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ท่านเล่าให้ข้าฟังได้ไหม”


“แลกกับอยู่เป็นเพื่อนคนแก่คนนี้สักพักได้หรือเปล่า” มืออันเหี่ยวย่นตบลงบนหลังมือของโทชิฮิโระเบาๆ ไม่ยากเลยที่เขาจะตอบรับคำขอนั้น







เมืองเล็กๆ ท่ามกลางภูมิประเทศห้อมล้อมด้วยขุนเขา แทบถูกตัดขาดจากเมืองรอบข้าง แต่ด้วยปราการธรรมชาติเหล่านี้เองที่ทำให้เมืองสุขสงบเรื่อยมา แม้กระทั่งในยุคแห่งสงครามก็ยังไม่มีใครคิดว่าที่นี่ควรแค่แก่การเดินทัพมารุกราน


ปัญหาจากมนุษย์หมดไป แต่ปัญหาของเหล่าภูตผีปีศาจยังคงอยู่ ยิ่งห่างไกลความเจริญ ยิ่งถูกครอบงำจากความมืดได้ง่าย ทว่าสวรรค์ก็ยังเป็นใจ ประทานเทพพิทักษ์มาให้กับเมือง


เทพมังกรผู้ครอบครองขุนเขา ขับไล่เหล่าปีศาจออกจากดินแดนของตน การกระทำนั้นกลายเป็นการกำจัดภัยร้ายให้กับชาวเมืองไปในคราวเดียวกัน


ด้วยความตระหนักและซาบซึ้งในบุญคุณนั้น เหล่าผู้คนต่างกราบไว้บูชาเทพมังกร แม้กระทั่งเจ้าเมืองยังคอยถวายเครื่องบรรณาการอยู่เป็นนิจ สืบทอดรุ่นต่อรุ่นเรื่อยมาจนถึงเจ้าเมืองรุ่นสุดท้าย...


ผู้บังอาจคิดร้ายต่อเทพเจ้า


วันนั้นท้องฟ้าแปรปรวน พายุพัดโหมกระหน่ำ เสียงสายลมและเสียงฝนปะปนกับเสียงคำรามอันกึกก้อง ชาวบ้านต่างพากันหวาดกลัวด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนเมื่อทุกอย่างสงบลง ทางการจึงได้มีประกาศลงมา


คำกล่าวของเจ้าเมือง คือการกล่าวหาเทพมังกรว่าเป็นเพียงปีศาจตนหนึ่งที่วางอำนาจปกครองผู้คน เพื่อล้มล้างอำนาจและปลดปล่อยชาวเมืองจึงได้สังหารเทพจอมปลอมไปเสีย


เวลานั้นทุกคนต่างเสียขวัญ แต่ไม่อาจเปิดปากพูดสิ่งใดได้ จำต้องก้มหน้าก้มตาดำเนินชีวิตของตนกันต่อไป ทว่าสวรรค์ย่อมรู้ดีว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น เพียงไม่นานหลังจากสิ้นเทพมังกร ปราสาทของเจ้าเมืองได้ถูกปีศาจบุกทำลาย ทุกอย่างวอดวายในชั่วข้ามคืน


เหล่าทหาร ข้ารับใช้ต่างพากันหนีเอาตัวรอด บางคนถึงกับเสียสติร่ำร้องว่าปีศาจจะมาเอาชีวิตทุกคน เจ้าเมืองสิ้นชีพ การปกครองล่มสลาย คนที่มีกำลังพอเริ่มย้ายออกจากเมืองทีละน้อย พวกที่เหลืออยู่ต่างอยู่ด้วยความหวาดระแวง ซ้ำร้ายพอไร้กองทหารปกป้องเมือง พวกโจรป่าก็เริ่มเข้ามาบุกปล้น เวลานี้จึงเหลือเพียงชาวบ้านผู้แสนยากจนที่ต่อให้อยากหนีก็ไม่รู้จะหนีไปที่ใด







มือของคนฟังกำถ้วยชาในมือแน่นจนมันเริ่มสั่น หญิงชราเอื้อมมือไปแตะมันเบาๆ เพื่อเรียกสติของโทชิฮิโระกลับมา นางแกะมือเขาออกแล้วนำถ้วยชาวางลงพลางยิ้มให้


“บ้านข้าแทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว อย่าทำลายถ้วยชาของข้าเลย”


“ข้า...ขอโทษ” โทชิฮิโระเอ่ยเสียงค่อย นี่ไม่ใช่คำขอโทษต่อเรื่องถ้วยชา แต่เป็นคำขอโทษสำหรับการที่เขามัวแต่หน้ามืดตามัวอยู่กับความแค้นของตัวเองจนหลงลืมไปว่าเคยมีชีวิตอีกนับร้อยที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงาของเขา


เจ้าเมืองผู้นั้นตายไปเขาควรสะใจ แต่ชาวเมืองคนอื่นเล่า เหล่าผู้คนที่ไม่ได้ล่วงรู้สิ่งใดกับแผนการของเจ้าเมือง ควรแล้วหรือที่พวกเขาจะต้องมาชดใช้ด้วย


“ไม่ต้องขอโทษ เรื่องมันเศร้าข้ารู้ แต่ข้าก็ชินเสียแล้ว” รอยยิ้มของหญิงชรา ยิ่งทำให้โทชิฮิโระไม่กล้าสบตานาง เมื่อครั้งเขายังเป็นมังกร เขาไม่เคยก้มลงมองมาข้างล่าง ไม่เคยรู้ว่าชาวเมืองใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่อย่างน้อยเมืองที่เห็นจากหางตาก็ไม่ได้น่าหดหู่ถึงเพียงนี้


“ท่านยายไม่โกรธแค้นบ้างหรือ กับการที่ท่านต้องมาลำบากถึงเพียงนี้”


“แค้น? แล้วเจ้าจะให้ข้าไปแค้นใคร” คำถามนั้นโทชิฮิโระไม่สามารถตอบได้ เขาเพียงก้มหน้าลงแล้วเบือนสายตาไปทางอื่น


“ท่านเทพมังกร ท่านเจ้าเมืองล้วนตายไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะชดใช้ได้อีก หรือเจ้าอยากให้ข้าโทษฟ้าโทษสวรรค์ที่ทำลายเมืองนี้ลง”


เพราะเทพมังกรถูกสังหารปีศาจจึงบุกเข้ามาได้ เวลานั้นทุกคนคงนึกโทษการกระทำสิ้นคิดของเจ้าเมือง แต่ในคืนนั้นเจ้าเมืองเองก็สิ้นชีพลงเช่นกันจึงไม่มีใครสามารถกล่าวโทษต่อท่านได้ ต่อจากนั้นเป็นเพียงผลที่ตามมา ยากเกินกว่าใครจะควบคุมได้


“ข้าเชื่อว่าการกระทำของทุกคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเอง ผิดถูกคนนอกอาจตัดสิน แต่ในใจพวกเขา สิ่งที่ตัวเองเลือกทำย่อมถูกเสมอ ด้วยเหตุผลที่พวกเขาบอกกับตัวเองว่ามันถูกต้อง แต่เมื่อทำลงไปแล้วย่อมต้องกล้ายืดอกรับผลของมัน”


ในใจของเจ้าเมืองการฆ่าเทพมังกรไม่ใช่สิ่งผิด ทว่าผลของมันร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะรับไหว จึงต้องสูญเสียแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองไป


“ข้าเองเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ ทั้งที่จะกระเสือกกระสนหนีไปก็คงพอได้ แต่ข้าไม่อยากเสี่ยงกับโลกภายนอก สู้ใช้ชีวิตอย่างสงบต่อไปในเมืองนี้ดีกว่า”


“ถ้าหากมีโจรบุกมาอีก”


“บ้านข้าไม่เหลือของมีค่าใดอีกแล้ว เมืองนี้ก็เช่นกัน พวกมันคงไม่มาอีก” หินก้อนใหญ่ถ่วงหนักอยู่ในอก ด้วยสภาพตอนนี้โทชิฮิโระไร้อำนาจใดๆ ไม่อาจช่วยได้แม้แต่หญิงชราตรงหน้านี้ด้วยซ้ำ


“สายป่านนี้แล้วหรือ พ่อหนุ่ม ข้าว่าเจ้ารีบออกไปจากเมืองนี้จะดีกว่า อย่างน้อยจะได้ไปถึงเมืองอื่นก่อนค่ำ ที่นี่ไม่มีที่พักให้เจ้าหรอก” หญิงชราลุกขึ้นเดินไปคว้าแขนโทชิฮิโระแล้วพาเดินออกมาส่งด้านนอก


“ไหนท่านว่าจะให้ข้าอยู่เป็นเพื่อน”


“ได้คุยกับเจ้าเท่านี้ข้าก็พอใจมากแล้ว ได้เห็นคนนอกผ่านมาบ้าง สักวันเมืองอาจฟื้นตัวกลับมาได้” ขอเพียงยังไม่ถูกลบออกจากแผนที่ไป โอกาสที่เมืองนี้จะยังคงอยู่ถือว่ายังไม่ริบหรี่นัก


“ข้าขอถามอีกเรื่องได้ไหม” ระหว่างที่มือกำลังแก้เชือกผูกม้า โทชิฮิโระยังมีอีกเรื่องค้างคาอยู่ในใจ


“มีอะไร ถามมาได้เลย ข้าจะตอบให้ถ้าข้ารู้”


“เกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวท่านเจ้าเมือง ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่านางถูกมอบให้กับเทพมังกร” คำถามนั้นทำให้หญิงชราเบิกตากว้าง


“เจ้ารู้จักกับท่านหญิงหรือ”


“แค่เคยรู้จัก” นางเป็นคนที่เขาคิดว่า ‘เคย’ รู้จักดี แต่หลังจากคืนนั้น โทชิฮิโระกลับคิดว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้รู้จักนางเลยแม้แต่น้อย


“ท่านหญิงช่างน่าสงสารนัก ได้ยินว่าวันที่เทพมังกรถูกฆ่านางรอดมาได้ แต่ต้องพิการไม่สามารถเดินได้อีก สุดท้ายก็ต้องมาตายไปพร้อมกับบิดาของนางเมื่อวันที่ปีศาจบุกมา”


แววตาขอโทชิฮิโระวูบไหวแต่ไม่แสดงออกสิ่งใดผ่านสีหน้า เขาคือผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น หลังโดนพิษ สายตาเขามืดมัว โทสะพลุ่งพล่านจนอาละวาดทำลายทุกสิ่งรอบกาย และคิดว่าสึซึรันคงถูกกลบฝังไว้ใต้ซากปรักหักพังของปราสาทที่เขาทำลายลงไปด้วย ไม่นึกว่านางจะดวงแข็งรอดมาได้ จนต้องมาตายด้วยฝีมือปีศาจ


สาสมแล้วหรือไม่


กับการหลอกลวง กับสิ่งที่นางทำ เขาเดินทางมาครั้งนี้ก็เพียงเพื่อมาดูหลุมศพนางให้เห็นกับตา คิดว่าอย่างน้อยบิดาของนางคงช่วยฝังให้ แต่จากสิ่งที่ได้ฟัง แม้แต่หลุมฝังศพก็คงไม่มี


“ท่านยาย ขอบคุณที่ช่วยดูแลข้า” โทชิฮิโระเหวี่ยงตัวขึ้นม้าก่อนโค้งคำนับให้กับหญิงชราที่มอบไมตรีให้


“หากมีโอกาสข้าจะแวะมาเยี่ยมท่านอีก” เมื่อทุกอย่างจบลง เมื่อได้ร่างเดิมคืนมา โทชิฮิโระคิดว่าเขาอาจจะหวนกลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง ทั้งสองกล่าวลาต่อกันสั้นๆ ก่อนโทชิฮิโระจะควบม้าจากมา


หากเพียงโทชิฮิโระยังมีโอกาส คงถึงเวลาที่เขาจะหันกลับมาเหลียวแลเหล่าผู้คนที่เคยเคารพเทพมังกรอย่างแท้จริงบ้าง ส่วนความแค้นควรจบลงไปพร้อมกับความตายของผู้ที่ก่อมันขึ้นมา




•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

เป็นการเป็นงาน... ตอนหน้ากลับไปหาจิ้งจอกน้อยกันต่อดีกว่า  :hao3:

แล้วพบกันใหม่ค่า  :bye2:

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 16 เครื่องต่อรอง [03/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 03-01-2017 21:59:44
บทที่ 16

เครื่องต่อรอง





ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ อีกไม่นานช่วงกลางวันจะหมดไป และเป็นสัญญาณบอกว่าใกล้ได้เวลาเปิดร้านแล้วเช่นกัน บนถนนหน้าร้าน เสียงสั่งการโหวกเหวกของโคคิดังคับถนน


“กวาดเร็วๆ ถ้าเสร็จช้าสักนาทีไม่ต้องกินข้าว!” เหล่าคนงานต่างรีบขยับไม้กวาดในมือจนฝุ่นตลบ ทำเอาคนสั่งถึงกับต้องปิดปากปิดจมูกเดินหนีห่างออกมาจนเกือบจะชนกับอีกคนที่เดินผ่านมาเข้า


“ขออภัย” โคคิรีบเอ่ยปากขอโทษเมื่อตัวเขาหยุดอยู่ห่างหญิงสาวผู้หนึ่งไม่ถึงครึ่งก้าว นางยืนนิ่งไม่ขยับ ด้วยความสูงที่ผิดกันมากทำให้โคคิมองหน้านางไม่ถนัดนัก เขาเอียงคอลงเพื่อจะดูว่านางสบายดีหรือไม่


“เป็นอะไรไหม” แทนคำตอบ ร่างของหญิงก้าวขยับเข้ามาชิดใกล้ มือเรียวยกขึ้นทาบลงบนอกของโคคิอย่างช้าๆ ด้วยสัญชาตญาณโคคิชักเท้าหนีแต่ช้าเกินไป เมื่อได้สบตาเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่เรืองรองขึ้นจนคล้ายเป็นสีทองร่างของเขาก็ไม่อาจขยับได้อีกแล้ว


“ข้าอยากจะพบเด็กของท่านคนหนึ่ง ช่วยนำทางไปหน่อยจะได้ไหม” เสียงหวานเอ่ยขออย่างนุ่มนวล ทว่าหัวใจคนฟังกลับเย็นเฉียบด้วยความตื่นตระหนก ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ และนางกำลังควบคุมร่างกายของโคคิให้ทำตาม


จากสายตาคนอื่น เจ้าของร้านได้ตอบรับคำขอนั้นและเป็นผู้นำทางหญิงสาวแปลกหน้าเข้าร้านด้วยตัวเอง ดวงตาโคคิมองเห็นทุกสิ่ง หูยังได้ยินทุกอย่าง แต่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง แม้ในตอนที่เจอหน้าซาโตรุระหว่างทาง


“โคคิ นั่นเจ้าจะไปไหน” ซาโตรุถามพลางขมวดคิ้วยุ่ง แม้ว่าร้านนี้จะขายบริการผู้ชาย แต่ไม่เคยรับลูกค้าผู้หญิงมาก่อน


“ข้าเพียงมาขอพบคนรู้จัก ไม่นานก็จะไปเจ้าค่ะ” คนที่ตอบกลับมาคือหญิงสาวแปลกหน้า ในขณะที่โคคิไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำ ซาโตรุจึงทำท่าจะเดินตามไปคุย


“ไล่เขาไป ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเขา” เสียงกระซิบจากข้างกายทำให้โคคิสะท้านไปทั้งร่าง เพียงเสี้ยวนาทีที่ได้เป็นนายร่างกายของตัวเองอีกครั้งโคคิจึงรีบหันไปตะคอกใส่ซาโตรุเสียงดัง


“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้ ไปทำหน้าที่ของเจ้า!” ขาที่กำลังก้าวหยุดชะงัก ซาโตรุแทบอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหู เจ้าหมียักษ์กล้าขึ้นเสียงกับเขาด้วย


มองดูสีหน้าซาโตรุก็รู้ว่าโกรธ แต่ที่เงียบไปเพียงเพราะจำต้องรักษาหน้าเจ้าของร้านต่อหน้าแขก เพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทจึงเพียงแค่หมุนตัวกลับหลัง เดินลงส้นเท้าตึงตังจากไป


“เชื่อฟังข้า แล้วจะไม่มีใครต้องเจ็บตัว” เมื่อจบประโยคนั้น ขาของโคคิก็เริ่มก้าวโดยที่เจ้าของมันไม่ได้เต็มใจอีกครั้ง เวลานี้โคคิทำได้เพียงภาวนาในใจ


ขออย่าได้เกิดเรื่องร้ายใดๆ กับคนในร้านแห่งนี้







ภายในห้องพักส่วนตัว อาคาเนะกำลังแต่งตัวเพื่อรอรับแขก ระหว่างที่มือและสายตากำลังเลือกกิโมโน หัวใจกลับล่องลอยนึกถึงใครบางคนที่หายหน้าไปหลายวัน ฝ่ายนั้นบอกว่าจะไปทำธุระ แต่ไม่ยอมบอกวันกลับที่แน่นอนเอาไว้ คิดไปคิดมาชักเริ่มขุ่นเคืองในใจ ทำไมเขาต้องเป็นฝ่ายรอให้โทชิฮิโระมาหาทุกที


ประตูห้องถูกเปิดออกโดยไม่มีการส่งเสียงเรียกใดๆ อาคาเนะจึงหันไปด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ปากขยับจะบ่นเมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามาคือโคคิ แต่แล้วกลับต้องปิดปากลงเพราะเบื้องหลังโคคิยังมีใครอีกคนก้าวตามเข้ามา


“สึซึรัน...” น้ำเสียงอาคาเนะแข็งกระด้างกว่าครั้งไหนๆ แม้หญิงสาวตรงหน้าจะมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์สักเพียงใด แต่ใบหน้านั้นอาคาเนะจำได้ดี เช่นเดียวกับที่คาสุมิเคยเตือนเอาไว้ ใบหน้าของคนที่พยายามฆ่าโทชิฮิโระมาแล้วครั้งหนึ่ง


เจ้าของชื่อก้าวออกมายืนด้านหน้าโคคิ เส้นผมสีดำเปลี่ยนจากสีดำเป็นขาวจากโคนผมยาวจรดปลาย เหนือศีรษะมีหูแมวสีเดียวกันโผล่ออกมา ดวงตาสีทองเปล่งประกายขึ้นเมื่อนางแสยะยิ้ม


“ดูท่าเราคงไม่ต้องแนะนำตัวกันอีก” โคคิมองดูทั้งสองคนที่มีท่าทีราวกับรู้จักกันมาก่อนด้วยความสับสน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่เขาดูแลมา ส่วนอีกคนคือปีศาจ ทำไมอาคาเนะถึงได้รู้จักกับปีศาจ แล้วทำไมถึงได้ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวสักนิดด้วย


“เจ้าทำอะไรโคคิ” อาคาเนะลุกขึ้นยืนตรงเต็มความสูง เขาปิดเรื่องเลือดปีศาจมาตลอดก็จริง แต่ถ้าจำเป็นเขาก็พร้อมจะใช้มันเพื่อปกป้องโคคิ


“แค่ทำให้แน่ใจว่าจะได้คุยกับเจ้า” ท่าทีของสึซึรันทำให้อาคาเนะแทบอยากกระโจนเข้าใส่ แต่เขาไม่รู้ว่าโคคิเป็นอะไรถึงได้เอาแต่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นจึงไม่กล้าผลีผลาม เกรงว่าโคคิจะมีอันตรายไปด้วย


“ถ้าจะคุยก็ปล่อยเขาไป” อาคาเนะบอกเสียงเรียบ เรียกรอยยิ้มพึงพอใจจากสึซึรัน นางวาดมือไปทางโคคิเพื่อคลายมนต์สะกด เมื่อพ้นจากการถูกควบคุมได้ สิ่งแรกที่โคคิทำคือสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แต่ยังไม่ทันอ้าปากถามอะไรกลับถูกอาคาเนะไล่เสียก่อน


“ออกไปโคคิ แล้วอย่าให้ใครขึ้นมา” แม้จะพูดกับโคคิ แต่อาคาเนะยังไม่ยอมละสายตาจากสึซึรันไป ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นปีศาจไปแล้ว ฆ่าคนสักคนคงง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ


“เจ้า!” โคคิขึ้นเสียงเหมือนอยากจะค้าน


“ได้โปรด ถือว่าข้าขอร้อง” เพียงพริบตาที่อาคาเนะมองมาด้วยแววตาอ้อนวอนกลับทำให้โคคิไม่สามารถเปิดปากค้านอะไรได้อีก เขารู้ตัวว่าช่วยอะไรไม่ได้ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ต่อให้แข็งแรงเพียงใดก็ยังยากจะต่อกรกับปีศาจได้


“ห้ามทำอะไรเกินตัวเด็ดขาด เข้าใจไหม” โคคิเอ่ยเตือนเสียงเข้ม อาคาเนะจึงพยักหน้ารับแต่โดยดี รู้สึกอุ่นใจที่โคคิยังเป็นห่วง หลังรอจนโคคิออกจากห้องไปอาคาเนะจึงคลายอาคมสะกดพลังเพื่อกลับคืนสู่ร่างจิ้งจอก


หากต้องสู้ เขาจะสู้จนสุดกำลัง


“ช่างน่าซาบซึ้งเสียจริงที่ยังมีคนห่วงเจ้า แม้จะรู้ว่าเจ้าข้องเกี่ยวกับปีศาจ”


“พวกเขาไม่ใจแคบเช่นเจ้า” อาคาเนะตอกกลับเสียงเรียบ

 
“รู้สึกอย่างไรที่ตัวเองต้องกลายเป็นปีศาจบ้าง” เพราะมุมมองคับแคบของมนุษย์บางกลุ่ม ทำให้โทชิฮิโระถูกลอบวางยาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ใครจะคิดว่าวันหนึ่งผู้หญิงคนนี้จะต้องกลายมาเป็นปีศาจเสียเอง


“มันก็สะดวกดี โดยเฉพาะกับสิ่งที่ข้าตั้งใจจะทำ” สึซึรันยกมือของนางขึ้นมามอง กรงเล็บบนนิ้วทั้งห้าสามารถยืดยาวออกได้จนมีความยาวเกือบเท่าฝ่ามือของนาง


“จะทำอะไร” เห็นสีหน้าไร้ความรู้สึกของสึซึรันแล้วอาคาเนะเริ่มใจไม่ดี


“วางใจได้ เป้าหมายข้าไม่ใช่เจ้า” เมื่อสึซึรันสะบัดมือเบาๆ กรงเล็บของนางก็หดกลับจนเหลือความยาวเท่าเล็บมนุษย์ทั่วไป ไม่ต่างจากแมวเวลาเก็บซ่อนกรงเล็บ


“ข้าไม่ให้เจ้าทำร้ายโทชิฮิโระ” เปลวไฟลุกไหม้ในอุ้งมือของอาคาเนะ หากสึซึรันมาเพื่อสานต่อสิ่งที่นางทำค้างเอาไว้ เขาจะทำให้แน่ใจว่านางจะไม่มีวันได้เข้าใกล้โทชิฮิโระอีก


“คิดว่าเปลวไฟของเจ้าฆ่าข้าได้ในครั้งเดียวหรือเปล่า” ดวงตาสีทองหรี่มองอาคาเนะโดยไม่มีแสดงท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ


 “ครั้งเดียวแล้วทำไม สิบครั้งแล้วทำไม ไม่ว่ากี่ครั้งข้าจะหยุดเจ้าให้ได้” โทชิฮิโระสูญเสียพลังทั้งหมดไปแล้ว ย่อมไม่มีทางเอาชนะสึซึรันในสภาพปีศาจได้ มีแค่อาคาเนะเท่านั้นที่มีกำลังพอจะหยุดนาง


“ข้าไม่ชอบต่อสู้เสียด้วย ถ้าเจ้าลงมือครั้งเดียวไม่สำเร็จ แทนที่จะสู้กับเจ้า ข้าคงออกไปฆ่าคนในร้านแทน” มือของคนฟังสั่นกระตุก ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับที่เปลวไฟในมือมอดดับลง สึซึรันก้าวเข้าหาอาคาเนะอย่างช้าๆ แตะมือลงบนหลังมือของอาคาเนะพลางยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหู


“เจ้าจะพยายามฆ่าข้าก็ได้ แต่เจ้า...กล้าเดิมพันฝีมือตัวเองกับชีวิตทุกคนที่นี่หรือเปล่า” ดวงตาของอาคาเนะปิดลงเพื่อข่มกลั้นความรู้สึก


ที่แท้นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน สึซึรันก็ได้วางแผนจะใช้ชีวิตทุกคนเป็นเครื่องต่อรองอยู่แล้ว ต่อให้เขาอยากจะฆ่านางเพียงใด คงยากที่จะจัดการให้จบภายในครั้งเดียว


“นี่เป็นเรื่องระหว่างโทชิฮิโระกับข้า ขอเพียงเจ้าเชื่อฟังจะไม่มีใครต้องเจ็บตัว”


โกหก


นั่นเป็นเพียงคำโกหก เช่นเดียวกับที่นางเคยโกหกเทพมังกร


ขวดกระเบื้องใบเล็กถูกหยิบออกมาจากสายคาดเอวของสึซึรัน นางเปิดจุกออกแล้วเทมันลงบนฝ่ามือ ยาเม็ดกลมๆ ขนาดเล็กสีม่วงคล้ำกลิ้งตัวออกมา มันถูกยื่นให้กับอาคาเนะ


“ไม่ต้องกลัว พิษนี้ไม่รุนแรงถึงตาย แค่ทำให้อ่อนแรงลง แล้วเราจะได้ไปจากที่นี่” รู้ทั้งรู้ว่าเป็นยาพิษ แต่เพราะมีชีวิตทุกคนเป็นเดิมพันอาคาเนะจึงไม่มีทางเลือก อย่างน้อยขอเพียงได้ออกไป ยังมีโอกาสให้โต้กลับบ้าง


ยาเม็ดขมถูกกลืนลงคอ เพียงไม่นานความเจ็บปวดก็แล่นทั่วร่างจนต้องทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ทรมานจนต้องจิกเล็บลงบนพื้น ลมหายใจสะดุดเพราะความรู้สึกราวกับมีบางสิ่งบีบรัดในปอด ภาพทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของสึซึรันที่เพียงเหลือบตามองด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง







“อาคาเนะ!” ซาโตรุร้องเรียกทันทีเมื่อเห็นอาคาเนะเดินลงจากชั้นสองมาพร้อมสึซึรันด้วยใบหน้าซีดเซียว ทั้งสองต่างแปลงรูปลักษณ์ภายนอกให้เหมือนมนุษย์ก่อนจะลงมา ซาโตรุพยายามจะวิ่งเข้าไปหาอาคาเนะ แต่ถูกโคคิรั้งข้อศอกไว้พลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม


“ข้าไม่เป็นไรพี่ซาโตรุ” สีหน้าของอาคาเนะห่างไกลจากคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ไปไกล ยิ่งทำให้คนมองทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ซาโตรุช้อนตามองเพื่อนสนิทอย่างขอความช่วยเหลือ แม้โคคิจะบอกแล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างอาคาเนะเป็นปีศาจ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ซาโตรุเป็นห่วงอาคาเนะมากขึ้นไปอีก


โคคิกัดฟันเบือนหน้าหนีโดยใช้มือข้างหนึ่งเหนี่ยวรั้งเอวซาโตรุเอาไว้ อาคาเนะมองภาพนั้นแล้วยิ้มให้ โคคิทำถูกแล้วที่ยอมอดทนทำเป็นนิ่งเฉย เพราะถ้าหากทั้งสองคนเป็นอะไรเขาคงเกลียดตัวเองจนทนไม่ได้ที่นำปีศาจเข้ามาในร้าน


“ขอข้าลาพวกเขาหน่อย” สึซึรันเลิกคิ้วขึ้น มองดูอาคาเนะกับชายอีกสองคนก่อนจะยอมถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว คล้ายเป็นการอนุญาต อาคาเนะจึงเดินเข้าไปหาซาโตรุกับโคคิโดยเว้นระยะไว้ก่อนจะถึงตัว


“อาคาเนะ...” ซาโตรุบิดตัวออกจากมือของโคคิแล้วเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของอาคาเนะเอาไว้ ความเป็นห่วงแทบล้นทะลักจากอก แต่ซาโตรุไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใด กลับเป็นอาคาเนะเสียเองที่สวมกอดและซุกใบหน้าไว้กับไหล่ของซาโตรุ


“อย่าบอกอะไรกับโทชิฮิโระ” อาคาเนะกระซิบเสียงค่อย เขารู้ว่าซาโตรุได้ยินเพราะอีกฝ่ายเกร็งไปทั่วร่าง อาคาเนะจึงผละห่างออกมาพร้อมก้มลงคำนับแทนคำลาต่อพี่ชายทั้งสองคน


“ไปกันได้แล้ว” สึซึรันแตะศอกอาคาเนะเป็นการเร่ง เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวเดินตรงไปยังทางออก สองเท้าก้าวไปอย่างมั่นคงและไม่คิดเหลียวหลังกลับไปอีก


ก้าวออกจากร้านครั้งนี้ อาคาเนะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอีกไหม แต่อย่างน้อยได้จากกันทั้งที่ยังมีลมหายใจ คงดีที่สุดแล้วสำหรับเวลานี้



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.



พระเอกกำลังกลับมา แต่เที่ยวบินดีเลย์อยู่  :ruready

พรุ่งนี้วันทำงานเต็มรูปแบบวันแรกของปี สู้ๆ นะทุกคน  :katai4:


หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 17 พบกันอีกครั้ง [04/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 04-01-2017 20:16:31
บทที่ 17

พบกันอีกครั้ง






เวลาล่วงเลยจากเย็นไปสู่ค่ำ ในที่สุดโทชิฮิโระก็เดินทางกลับมาถึง ช้าจากเวลาที่กะเอาไว้พอสมควร ภาพเมืองที่มาอาศัยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ชวนให้คิดถึงอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะคิดได้ว่าคงมีใครบางคนนั่งบ่นถึงเขาอยู่เป็นแน่


โทชิฮิโระตัดสินใจขี่ม้าเข้าเมือง วันนี้เขาไม่ได้จองตัวอาคาเนะเอาไว้ก่อน จิ้งจอกน้อยคงมีแขกมาหา แต่ถ้าหากเขาโผล่หน้าไป อาคาเนะคงยอมลงมาเจอ


หน้าร้านที่เคยคึกคักด้วยบรรดาแขกเดินเข้าออกวันนี้กลับเงียบสงัด โคมไฟที่ควรถูกแขวนขึ้นยังวางทิ้งไว้ข้างประตูที่ปิดสนิท โทชิฮิโระขมวดคิ้ว ปกติเวลานี้ร้านน่าจะเปิดบริการแล้ว เขาลงจากหลังม้า ตบหลังคอมันเบาๆ เพื่อบอกให้มันรอก่อนเดินไปเคาะประตู


ชายคนหนึ่งแง้มประตูเปิดเพียงแค่พอยื่นหน้าออกมา เขาเอ่ยปากบอกว่าวันนี้ปิดร้านโดยยังไม่ทันมองแขกหน้าประตู แต่พอมองเห็นหน้าโทชิฮิโระชัดถนัดตาชายคนนั้นก็เบิกตากว้างก่อนจะผลุนผลันวิ่งกลับเข้าร้านไปโดยเปิดประตูทิ้งเอาไว้ ไม่กี่อึดใจทั้งโคคิและซาโตรุต่างรีบเร่งเดินมาหา


“เกิดอะไรขึ้น...!” โทชิฮิโระถามยังไม่ทันจบดีหมัดลุ่นๆ ก็พุ่งเข้ากระแทกเข้าที่กรามจนเซถอยหลัง รสเค็มของเลือดซึมผ่านปลายลิ้น เจ้าของหมัดยืนมองเขาด้วยสีหน้าถมึงทึงโดยมีซาโตรุยืนอยู่ข้างๆ


“เราต่างหากที่ควรถาม เจ้าพาอะไรมาหาพวกเรา!” โคคิตะคอกเสียงแข็ง ความรู้สึกเมื่อต้องยืนบนขอบเหวแห่งความตายคืออะไร เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งวันนี้


ปีศาจ...สิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ยากจะต่อกรได้


โคคิอดนึกภาพไม่ได้ว่าถ้าหากปีศาจตนนั้นเกิดอาละวาด เวลานี้ร้านของเขาจะเป็นเช่นไร จะถูกชโลมไปด้วยเลือดมากสักแค่ไหน


“โคคิ นี่ไม่ใช่เวลามาต่อว่า” ซาโตรุผลักอกโคคิให้ถอยห่างจากโทชิฮิโระแล้วพาตัวเองเข้ามายืนขวางกั้น

 
“ข้าจะไม่ถามอะไรท่านตอนนี้ มีเรื่องอื่นที่ข้าคิดว่าควรบอกท่านก่อน” ใบหน้าของซาโตรุไม่ได้ประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอย่างเช่นทุกวัน แววตาที่มองจ้องมามีคำถามมากมายซ่อนอยู่ แต่ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญเท่าความปลอดภัยของใครอีกคน


“อาคาเนะถูกพาตัวไป โดยปีศาจที่ชื่อว่าสึซึรัน” น้ำเสียงของซาโตรุเคร่งเครียด วูบหนึ่งเขาคิดว่ามองเห็นใบหน้าของโทชิฮิโระไร้สีเลือด


“เป็นไปไม่ได้” ความเจ็บจากหมัดเมื่อครู่จางหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกชาที่เริ่มแผ่ซ่านสู่ปลายนิ้ว ชื่อนั้น ผู้หญิงคนนั้น ควรตายไปแล้ว


“เด็กนั่นพยายามปกป้องเจ้า! ห้ามพวกเราไม่ให้พูดอะไร แต่เจ้าเป็นคนเดียวที่พาอาคาเนะกลับมาได้...ใช่ไหม” ท้ายเสียงของโคคิกวัดแกว่งด้วยความลังเล โทชิฮิโระเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เขามั่นใจ แต่ชายที่เลือดกบปากเพียงเพราะถูกเขาต่อย จะมีอะไรไปต่อสู้กับปีศาจได้


โทชิฮิโระขบกรามแน่น เขาหมุนตัวกลับรีบตรงไปขึ้นม้าแล้วควบทะยานออกไป แว่วเสียงร้องเรียกตามหลัง แต่โทชิฮิโระไม่ได้สนใจอีกแล้ว หากสึซึรันยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังกลายเป็นปีศาจ ย่อมไม่มีทางมาดีแน่ ผู้หญิงที่เคยกล้าทรยศหักหลังเขาเมื่อครั้งยังเป็นมังกร


ครั้งนี้เขาจะปลิดชีวิตนางด้วยตัวเอง!







ความเย็นเฉียบของโซ่ตรวนรอบข้อมือทั้งสองข้างคอยกระตุ้นเตือนให้อาคาเนะเอายังคงมีสติ เด็กหนุ่มนั่งเอนตัวพิงผนัง ภายในห้องแคบและเหม็นอับ แทบไม่มีแสงลอดเข้ามา แต่คะเนจากแสงจางๆ ที่เห็น นี่คงเป็นเวลากลางคืนแล้ว ทุกครั้งที่เขาขยับ โซ่จะกระทบกันสร้างเสียงเสียดแทงหูจนต้องหลับตาลง


อาคาเนะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด รู้เพียงว่าออกจากร้านมาได้ไม่กี่ก้าว ควันสีดำก็เข้าโอบล้อมทั้งตัวเขาและสึซึรันก่อนสติจะขาดหายไปช่วงหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่ ไม่เห็นแม้เงาของสึซึรัน


สภาพรอบตัวราวกับอยู่ในห้องเก็บของที่ถูกทิ้งร้าง ทั้งฝุ่นและหยากไย่มีอยู่ทั่ว แต่ห้องเก็บของประเภทใดถึงได้มีโซ่สำหรับล่ามคนเอาไว้ด้วย


พิษที่สึซึรันให้กินลงไปยังมีผลอยู่ อาคาเนะแทบไม่มีแรงยกแขนของตัวเองด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บปวดนับว่าทุเลาลงมาก ทางออกเดียวคือประตูไม้ซึ่งอยู่คนละฟากห้อง ถ้าไม่ตัดโซ่ทิ้งอาคาเนะคงไม่มีวันไปถึงได้


ไม่นานนักประตูที่เคยปิดสนิทได้เปิดออก อาคาเนะไม่ได้ยินเสียงโซ่คล้องหรือกลอนประตู นั่นแปลว่าประตูบานนั้นไม่ได้ป้องกันอะไรเอาไว้ มันคงง่ายขึ้นถ้าเขาหลุดจากโซ่เส้นนี้ไปได้


คนที่เปิดประตูเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น สึซึรันเดินเข้ามาพร้อมด้วยชามใบหนึ่งในมือ นางเดินมายืนเบื้องหน้าอาคาเนะแล้วก้มตัวลงยื่นชามส่งให้ ภายในมีเพียงน้ำใสๆ ที่ยังคงแกว่งจากแรงที่ส่งมา อาคาเนะเหลือบตาขึ้นมองสึซึรันนิ่ง


“แค่น้ำเปล่า บอกแล้วว่าเป้าหมายข้าไม่ใช่เจ้า เจ้ามันแค่เหยื่อที่ใช้ล่อโทชิฮิโระมาหา”


“เขาจะไม่มา”


“ทำไม เพราะเจ้าห้ามคนพวกนั้นไว้หรือ” สึซึรันเหยียดยิ้มก่อนนั่งคุกเข่าลงแล้ววางชามน้ำไว้ตรงหน้าอาคาเนะ เด็กหนุ่มที่กำลังจ้องนางราวกับอยากจะฉีกให้เป็นชิ้นๆ


“ยิ่งเจ้าเอ่ยชื่อโทชิฮิโระออกไป คนพวกนั้นยิ่งต้องพยายามบอกเขาให้ได้ มันเป็นนิสัยของมนุษย์” ทำไมสึซึรันจะไม่รู้ว่าอาคาเนะเข้าไปหาผู้ชายที่ร้านเพื่อจะบอกอะไร ยิ่งข่าวไปถึงตัวโทชิฮิโระเร็วเท่าไร ชายผู้นั้นจะยิ่งร้อนรนมากขึ้น


อาคาเนะสบถลั่นด้วยความโกรธ เปลวเพลิงลุกท่วมร่างของเด็กหนุ่มเมื่อเขาคลายมนต์สะกดเผยร่างจิ้งจอก อาคาเนะโถมตัวเข้าใส่สึซึรัน ทว่าทันทีที่สุดปลายโซ่ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั่วร่างเช่นกัน อาคาเนะไอโขลก รับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่ปะปนออกมากับลมหายใจ


“ถ้าไม่อยากตายจงกลับร่างมนุษย์เสียจะดีกว่า พิษที่เจ้ากินลงไปอันตรายกับปีศาจมากกว่ามนุษย์เสียอีก” สึซึรันหรี่ตามองลูกครึ่งจิ้งจอกที่พยายามดิ้นรนด้วยสีหน้าเย็นชา ความยาวโซ่ตรวนคือระยะมากที่สุดที่อาคาเนะจะเคลื่อนไหวได้ และนางจะไม่มีวันเข้าไปใกล้กว่านั้น


“ข้าไม่ให้เจ้าทำร้ายโทชิฮิโระอีก!” ชามใส่น้ำถูกปัดไปจนกระแทกผนังแตกออกเป็นเสี่ยง อาคาเนะรวบรวมกำลังข่มความเจ็บเพื่อสร้างเปลวไฟขึ้นอีกครั้ง แต่ความร้อนจากพิษที่กำลังแผดเผาอยู่ในร่างทำให้มันสลายไปก่อนจะได้แตะตัวสึซึรัน


“ข้าไม่ได้กลับมาจากปากทางปรโลกเพื่อมาตายด้วยมือเจ้า” หญิงสาวลุกขึ้น หันหลังให้กับอาคาเนะที่ทำได้เพียงร้องตะโกนออกมาอย่างสุดกลั้น







“คาสุมิ!” สถานที่ที่โทชิฮิโระมุ่งตรงมาคือคฤหาสน์ที่เขาอยู่อาศัย ก่อนไปเขาฝากฝังอาคาเนะไว้ให้คาสุมิดูแล แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นได้


“คาสุมิ! ออกมาหาข้า!” ทั่วทั้งคฤหาสน์เงียบกริบ ไม่มีเสียงใครนอกจากตัวโทชิฮิโระเอง กำปั้นเหวี่ยงฟาดเข้ากับผนังด้วยแรงโทสะที่ไม่อาจระบายออกไปได้ เขาไม่น่าหลงไว้ใจปีศาจหิมะเลย


โทชิฮิโระมุ่งตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง บานประตูถูกกระชากเปิดจนแทบจะหลุดออกจากกรอบ ดาบคาตานะเล่มที่คาสุมิเคยมอบให้เพื่อไปช่วยอาคาเนะเมื่อครั้งก่อนยังวางพิงอยู่ที่มุมห้อง โทชิฮิโระหยิบมันขึ้นมากำเอาไว้แน่น


ครั้งก่อนที่ใช้มันจิ้งจอกน้อยทั้งหวาดกลัวและระแวงเขาจนหนีไป ไม่นึกเลยว่าจะต้องหยิบมันขึ้นมาอีก ร่างมนุษย์อันไร้กำลังนี้ หากไม่พึ่งพาอาวุธไม่มีทางเลยที่จะสู้ปีศาจได้ ตอนนี้ที่สำคัญคือต้องรู้ให้ได้ว่าสึซึรันพาอาคาเนะไปที่ไหน


ถ้าเป้าหมายของสึซึรันคือเขา นางอาจเป็นฝ่ายมาหาเขาเอง แต่ใจของโทชิฮิโระร้อนรนเกินกว่าจะทนนั่งรออยู่เฉยๆ ได้ เขากระชับดาบในมือและเตรียมออกจากห้อง ต่อให้ต้องควบม้าไปทั่วเมืองทั้งคืนเขาก็จะทำ


สายลมยามราตรีพัดแรงขึ้นจนได้ยินเสียงต้นไม้เอนไหว ทว่าท่ามกลางสายลมนั้นกลับมีกลิ่นอันคุ้นเคยล่องลอยปะปนมาด้วย

 
...กลิ่นของดอกสึซึรัน


ที่ลานกว้างด้านในคฤหาสน์ ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ เส้นผมสีขาวโพลนปลิวสยายเมื่อสายลมพัดผ่าน นางเพียงแค่ยืนรอเงียบๆ รอจนกระทั่งโทชิฮิโระก้าวลงจากคฤหาสน์มาหา


“ไม่ได้พบกันเสียนาน ท่านโทชิฮิโระ” เสียงหวานอันแสนนุ่มนวลในความทรงจำ เวลานี้กลับบาดลึกจนหัวใจคนฟังจนรู้สึกเจ็บปวด


ทุกถ้อยคำที่สึซึรันเคยเอื้อนเอ่ย ในสายตาโทชิฮิโระเวลานี้มันล้วนเป็นเรื่องโกหก ทุกการกระทำล้วนเป็นการหลอกลวง ทุกสิ่งของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขารังเกียจ แต่การเห็นนางมายืนอยู่ตรงหน้ายังคงสร้างรอยแผลให้ อดีตที่อยากจะลืมกำลังกลับมาหลอกหลอนโทชิฮิโระอีกครั้ง







โซ่เส้นโตส่งเสียงไม่หยุดเมื่อแต่ละข้อของมันกระทบกัน อาคาเนะกำลังพยายามบิดข้อมือให้หลุดออก แม้ว่าตอนนี้ข้อมือทั้งสองข้างจะแดงช้ำและเริ่มเป็นแผลจากการถูกขอบคมๆ ของโซ่ตรวนบาดเอา


“โธ่!” เด็กหนุ่มสะบัดมืออย่างหัวเสีย ไม่ว่าจะทำอย่างไรโซ่บ้าๆ นี่ก็ไม่ยอมหลุดออกเสียที พอจะใช้พลังปีศาจก็โดนพิษเล่นงานจนแทบขยับตัวไม่ได้


กริ๊ง


เสียงกระพรวนที่ดังขึ้นทำเอาอาคาเนะสะดุ้งเฮือกรีบหันขวับไปทางประตู แต่มันยังคงปิดสนิทเช่นเดียวกับเมื่อตอนสึซึรันออกไปจนอาคาเนะคิดว่าตัวเองอาจหูฝาด


กริ๊ง


เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้อาคาเนะเพ่งสายตามองไปทางต้นเสียงและพบดวงตาสีเหลืองคู่หนึ่งมองตอบกลับมา ดวงตาของแมวตัวที่เขาเคยเห็นมาก่อน


“สึซึรัน...” แมวสีขาวหางดำตัวนี้เหมือนกับร่างแปลงของสึซึรัน แต่อาคาเนะกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างต่างออกไป มันค่อยๆ เดินเข้ามาหาอาคาเนะ และเมื่อมันเดินผ่านตรงที่แสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามา ร่างของมันดูเลือนรางลงจนแสงส่องผ่านได้


‘ท่านจิ้งจอก’


เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของอาคาเนะ ภายในห้องนี้ไม่มีใครอื่น นอกจากแมวที่โปร่งแสงตรงหน้า เด็กหนุ่มโน้มตัวลงเพื่อจะได้มองมันได้ถนัดขึ้น


“เจ้า...พูดกับข้าหรือ” แมวตัวนี้ไม่ใช่สึซึรัน ไม่ใช่ปีศาจ หรือสิ่งที่มีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่า ‘วิญญาณ’ เสียมากกว่า


‘ข้าจะช่วยท่านออกไป แต่ได้โปรดช่วยท่านหญิงของข้าด้วย’



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

งานโซ่ แส้ กุญแจมือก็มา  :hao7:

เริ่มต้นปีใหม่ พลังงานหมดแต่ต้นปีเลยค่ะ  :z3:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 18 หน้ากาก [05/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 05-01-2017 19:48:50
บทที่ 18

หน้ากาก






สายลมอันหนาวเหน็บยามเมื่อมันพัดหวนยิ่งพาให้เส้นผมสีขาวปลิวสยาย แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป แต่ใบหน้าของสึซึรันยังคงเดิม ยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มดั่งหน้ากากตลอดเวลา


“ผิดหวังไหมที่ข้ายังอยู่” หญิงสาวยังคงแย้มยิ้ม ไม่มีน้ำเสียงประชด หรือท่าทีเยาะเย้ยใดๆ สึซึรันรู้อยู่แก่ใจว่าครั้งนั้นโทชิฮิโระทำลายปราสาททั้งหลังเพื่อหมายชีวิตตัวนางด้วย


“อาคาเนะอยู่ที่ไหน” โทชิฮิโระถามเสียงเรียบ เวลานี้คนที่เขานึกถึงไม่ใช่ผู้หญิงตรงหน้า เลี่ยงการปะทะน่าจะดีที่สุด


“เด็กหนุ่มคนนั้นสำคัญกับท่านมากหรือ” สึซึรันเอียงคอถาม เพียงแค่ลักพาตัวมา ชายที่เคยเมินเฉยต่อทุกสิ่งรอบกายกลับดูร้อนรนถึงเพียงนี้ ต่างกับเทพมังกรที่นางรู้จักราวกับคนละคน


“อย่าถามสิ่งที่เจ้ารู้ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ไปยุ่งกับอาคาเนะ” ผู้หญิงคนนี้อาจจับตาดูเขามาระยะหนึ่ง นานพอที่จะรู้ว่าจะจับตัวอาคาเนะมาจากร้านได้อย่างไรด้วยซ้ำ คำตอบนั้นทำให้สึซึรันหัวเราะ


 “ท่านในสภาพนี้ช่างน่ารักนัก ต่างกับเทพมังกรผู้เย็นชาที่ข้าเคยได้อยู่ใกล้”


“เลิกพล่ามเสียที!” ดาบยาวถูกชักออกจากฝักตวัดชี้ตรงไปยังสึซึรัน โทชิฮิโระเกลียดการรื้อฟื้นอดีต เช่นเดียวกับที่เกลียดผู้หญิงจอมเสแสร้งคนนี้


“รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ข้าคือปีศาจ ส่วนท่านเป็นเพียงมนุษย์ คิดว่าจะสู้ข้าได้หรือ” สึซึรันเพียงใช้ปลายนิ้วทัดผมไว้หลังหู โดยไม่ใส่ใจปลายดาบที่ชี้ตรงมา


“ระหว่างเราต้องมีคนใดคนหนึ่งตายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ถึงจะสมใจเจ้า” ในเมื่อเคยคิดเอาชีวิตกันมาก่อน ต่อให้สถานะจะกลับกัน ความต้องการก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี


“ถูกของท่าน” เมื่อจบประโยคนั้น สึซึรันได้วาดมือไปข้างกาย เงาของนางบนพื้นเคลื่อนไหวก่อนจะยืดตัวขึ้นจากพื้นตรงขึ้นสู่ฝ่ามือดุจน้ำหมึกสีดำที่มีชีวิต สึซึรันกำปลายด้านใกล้มือแล้วจับมันสะบัด เมื่อหยดหมึกข้นกระเซ็นหลุดไป สิ่งที่เหลือไว้คือดาบสีเงินวาววับไม่ต่างจากดาบในมือโทชิฮิโระ


“อาวุธแบบเดียวกัน และข้าจะไม่ใช้พลังปีศาจตกลงไหม” ดาบในมือถูกแกว่งไปมาราวกับของเล่น ท่าทีสบายอกสบายใจของสึซึรันทำให้โทชิฮิโระยิ่งหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น


“จะไม่ถามถึงอาคาเนะแล้วหรือท่านโทชิฮิโระ”


“ไว้เจ้าตาย ข้าค่อยหาเขา” ถึงตอนนั้นต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินเขาก็จะหาอาคาเนะให้เจอ แต่ก่อนอื่นต้องกำจัดปีศาจร้ายตรงหน้าเสียก่อน


“รีบหน่อยก็ดี ก่อนที่เด็กดื้อของท่านจะตายเพราะพิษที่กินเข้าไป” คำพูดนั้นตัดทำลายความอดทนที่เหลืออยู่ของโทชิฮิโระจนหมดสิ้น เขาวิ่งตรงเข้าไปหาสึซึรันพร้อมทั้งฟาดฟันลงไปเต็มแรง ทว่าสึซึรันสามารถยกดาบขึ้นตั้งรับเอาไว้ได้ ดาบแล้วดาบเล่าปะทะกันอย่างสูสี


ทุกครั้งที่โทชิฮิโระโถมแรงเข้าใส่ สึซึรันจะเบี่ยงทางดาบแล้วปัดออก แม้ปากจะบอกไม่ใช้พลังปีศาจ แต่การเคลื่อนไหวของนางยังคงเร็วกว่ามนุษย์ จึงแทบไม่มีช่องว่างให้โทชิฮิโระได้เล่นงานเลย







เสาไม้ที่อยู่ห่างออกไปสามก้าวดูแสนห่างไกลสำหรับอาคาเนะ เมื่อแตะมันได้อาคาเนะถึงกับต้องกอดมันเอาไว้เพื่อพยุงไม่ให้ตัวเองทรุดลงไป พิษของสึซึรันไม่อันตรายถึงชีวิตแต่สูบเรี่ยวแรงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งคืนร่างปีศาจความเจ็บร้าวทั่วร่างยิ่งเพิ่มขึ้น


“อย่าให้ได้เอาคืน” อาคาเนะเค้นเสียงพลางหายใจหอบ ไม่น่าเชื่อว่าที่ที่เขาถูกขัง แท้จริงแล้วอยู่ภายในคฤหาสน์ของโทชิฮิโระ ขนาดเขามาที่นี่หลายต่อหลายครั้งยังไม่รู้ว่ามีห้องเก็บของห้องนั้นอยู่ แล้วยังโซ่ตรวนอีก สักวันจะต้องถามจากโทชิฮิโระให้ได้ว่าไปซื้อคฤหาสน์หลังนี้จากใครมา


เสียงโลหะกระทบกันดังแว่วมาเข้าหู กระตุ้นให้อาคาเนะต้องกัดฟันข่มความเจ็บแล้วรีบวิ่งไปตามที่มาของเสียง หักเลี้ยวอีกครั้งตรงมุมหลังห้องครัว อาคาเนะก็วิ่งมาถึงลานที่อีกสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่จนได้


“โทชิ!!” เด็กหนุ่มตะโกนจนสุดเสียง ทำให้คู่ต่อสู้ทั้งสองต่างถอยห่างออกจากกัน อาคาเนะเห็นว่าโทชิฮิโระมองมา แต่ระหว่างพวกเขามีสึซึรันยืนขวาง ชั่ววินาทีนั้นสึซึรันหมุนตัวกลับมาพร้อมวิ่งตรงมาหาอาคาเนะ


“อาคาเนะ! หนีไป!” ทันทีที่อาคาเนะปรากฏตัว เป้าหมายของสึซึรันก็เปลี่ยนไปทันที โทชิฮิโระที่มองออกก่อนรีบร้องเตือน ทว่าอาคาเนะกลับยืนนิ่ง


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อสึซึรันพุ่งเป้าไปยังอาคาเนะ นางจึงหันหลังให้กับโทชิฮิโระ และเพื่อช่วยอาคาเนะ โทชิฮิโระต้องรีบฉวยโอกาสนั้น แต่ขาของมนุษย์ยากจะตามปีศาจได้ทัน สึซึรันจึงเข้าถึงตัวอาคาเนะก่อน


“อาคาเนะ!” โทชิฮิโระตะโกนลั่นพร้อมเงื้อดาบจนสุดแขน หมายฟันสึซึรันให้ตายในดาบเดียว ในเสี้ยวนาทีนั้นร่างของหญิงสาวกลับถูกดึงให้พ้นจากทางดาบจนล้มลงไปพร้อมกับคนที่ช่วยนางเอาไว้ ในขณะที่ดาบของนางกระเด็นไปอีกทาง โดยไม่มีกระทั่งรอยเลือดสักหยด เมื่อมันห่างจากมือของสึซึรันก็สลายไปทันที


“หยุดนะ!” อาคาเนะร้องห้าม ซ้ำยังพลิกตัวมาบังสึซึรันเอาไว้เมื่อเห็นว่าโทชิฮิโระยังตามมาหมายลงดาบสังหาร


“ทำอะไร หลีกไปซะ!” โทชิฮิโระตวาดลั่น เมื่อครู่เขานึกว่าจะต้องเสียอาคาเนะไปแล้ว แต่คนที่เพิ่งรอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิดยังมาปกป้องคนที่คิดฆ่าตัวเองอีก


“วางดาบเถอะ คืนนี้จะไม่มีใครตายทั้งนั้น” อาคาเนะร้องขอเสียงอ่อนโดยยังไม่ยอมขยับตัวออกจากการปกป้องสึซึรันที่เอาแต่นั่งเงียบ


“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ” คิ้วของโทชิฮิโระขมวดแน่นแต่ยังไม่ยอมลดดาบลง หากสึซึรันขยับเพียงนิด ต่อให้อาคาเนะขอร้องเขาก็พร้อมจะฆ่านาง


“พวกท่านต่างหากที่บ้า” อาคาเนะสวนกลับเสียงแข็งพลางเหลือบตามองคนข้างหลัง ร่างกายของสึซึรันที่สัมผัสถูกกันกำลังสั่น จนกระทั่งเมื่อนางหัวเราะออกมา


“พวกเจ้ามันน่าขำ ช่วยข้าหรือ คิดจะเวทนาข้าหรือ น่าขำสิ้นดี” สึซึรันค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้น อาคาเนะเองก็เช่นกัน เด็กหนุ่มคว้าข้อมือโทชิฮิโระข้างที่ถือดาบเอาไว้เป็นการห้าม แม้ว่าสึซึรันยังคงพูดเสียดสีออกมา


“ดูท่านสิ เทพมังกรผู้ทะนงตัวหายไปไหน หรือลงเสน่ห์จิ้งจอกจนกลายเป็นคนอ่อนแอไปแล้ว!”


เพี้ยะ!


เสียงตบดังขึ้นทันทีเมื่อจบประโยคนั้น อาคาเนะเป็นฝ่ายตบสึซึรันจนหน้าหัน ส่วนคนที่ควรจะโกรธได้แต่ยืนมองอาคาเนะที่กำลังหอบจนไหล่สั่น


“เลิกพูดมากได้แล้ว! แค่พูดว่าขอโทษมันยากตรงไหน จะโกหกคนที่เจ้ารักไปถึงเมื่อไรกัน!” อาคาเนะขึ้นเสียงอย่างเหลืออด ร่างกายกำลังประท้วงด้วยความปวดร้าวถึงกระดูก เขาอยากจบเรื่องนี้เต็มทน


“อาคาเนะ” โทชิฮิโระคว้าต้นแขนของเด็กหนุ่ม แต่อาคาเนะบิดตัวออก


“มีเรื่องที่ท่านต้องฟัง มีเรื่องที่พวกท่านควรพูดกันเสียที”


“ข้าไม่อยากฟัง เจ้าต้องการหมอ” ใบหน้าของอาคาเนะซีดขาวใต้แสงจันทร์สลัว ผิวเนื้อร้อนผ่าว เหงื่อไหลโทรมกาย อาการดูแย่จนโทชิฮิโระอยากจับอุ้มหนีไปเสีย แต่พอแตะเจ้าตัวกลับขู่ฟ่อใส่


“ท่านเจ็บปวดที่เห็นนาง เพราะเชื่อมาตลอดว่าสึซึรันหักหลัง แต่นางไม่..”


“เงียบนะ!” สึซึรันตวาดออกมาพลางยกมือขึ้นทาบบนหน้าอกตัวเอง ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มเสมอเริ่มบิดเบี้ยวราวกับจะร้องไห้


“ใช่แล้วข้าทำ ข้าเข้าใกล้ท่านเพื่อหลอกใช้ความไว้ใจ หาช่องว่างเพื่อฆ่าท่าน” โทชิฮิโระก้าวเข้าหาสึซึรันแต่ถูกอาคาเนะดันตัวเอาไว้ เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนหันไปสบตาสึซึรัน


“เจ้าบอกว่าไม่ได้กลับมาจากปากทางปรโลกเพื่อตายด้วยมือข้า แล้วเจ้ากลับมาเพียงเพื่อตายด้วยมือเขาเท่านั้นหรือ เห็นชีวิตที่สละไปเพื่อขาของเจ้ามีค่าแค่นั้นใช่ไหม”


อาคาเนะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มันกลับทำให้หยดน้ำใสไหลเอ่อขึ้นรอบดวงตาสีทองของหญิงสาว มันเอ่อล้นจนไหลลงมาเป็นสายระหว่างที่ดวงตายังคงเบิกค้าง ก่อนที่ทั้งร่างจะทรุดลงนั่งคุกเข่าอย่างไร้เรี่ยวแรง


“คุโระไม่เคยไปไหน แต่เจ้าไม่เคยมองเห็นมัน เพราะดวงตาของเจ้ามันมืดบอดด้วยความรู้สึกผิดไปแล้ว” เพียงคำขอปากเปล่า อาคาเนะคงไม่มีวันยอมช่วยสึซึรันเพราะเขาเกลียดนางเหมือนที่โทชิฮิโระเกลียด แต่แมวตัวเล็กๆ ตัวนั้นพยายามอย่างมากที่จะเหลือเจ้านาย


เจ้านายที่ช่วงชิงชีวิตของมันไปเพื่อกลายเป็นปีศาจ และกลับมาเดินได้อีกครั้ง


“ข้า...ไม่รู้...ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนั้น” ปีศาจสาวที่วางท่าเยาะเย้ยโทชิฮิโระอยู่เมื่อครู่ กำลังสะอื้นหนักจนไหล่สั่น มือของนางฝังเล็บจิกแน่นลงบนเข่าทั้งสองข้างจนเลือดไหลซึมออกมาผ่านเนื้อผ้า


“นี่เจ้าพูดเรื่องอะไร” เมื่อเห็นว่าสึซึรันไม่ได้อยู่ในสภาพที่อยากจะฆ่าเขาอีกแล้ว โทชิฮิโระจึงเก็บดาบกลับเข้าฝัก สิ่งที่อาคาเนะพูดถึงรวมทั้งท่าทีของสึซึรัน คล้ายกำลังเติมช่องว่างในที่หายไปในอดีตอยู่


“นางไม่รู้อะไรเรื่องแผนสังหารท่าน เป็นแค่คนที่...ถูกหลอก...ใช้” ร่างของอาคาเนะซวนเซ เช่นเดียวกับดวงตาที่หรี่ปรือลง ทุกอย่างที่ทนฝืนไว้กำลังปลดปล่อยออกมาเมื่อเห็นแล้วว่าทั้งสองคนคงไม่พยายามฆ่ากันอีก โทชิฮิโระรีบคว้าร่างเด็กหนุ่มเอาไว้พร้อมช้อนขาเพื่ออุ้มขึ้น


“ยาจะสลายไปภายในหนึ่งวัน เขาจะไม่เป็นไร” สึซึรันบอกออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง หลับตาลงเพื่อปล่อยให้หยดน้ำตารินไหล หัวใจเจ็บเหมือนถูกฉีกไม่ต่างจากตอนที่รู้ว่าบิดาส่งนางไปหาเทพมังกรเพียงเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อ


“เจ้าต้องพัก เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน” โทชิฮิโระประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากคนในอ้อมกอด หากเป็นก่อนหน้านี้สักหนึ่งวัน โทชิฮิโระคงไม่มีวันยอมหันหลังให้สึซึรัน แต่ในเมื่ออาคาเนะยืนยันจะปกป้องนาง เขาก็ไม่จำเป็นต้องระวังอีกแล้ว


“ท่านมาช้า” คำต่อว่าเสียงแผ่วดังแว่วมาจากคนที่เอนหัวมาซบอกพร้อมด้วยดวงตาที่ปิดลง โทชิฮิโระผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก แม้จะบาดเจ็บ แต่อย่างน้อยในที่สุดเขาก็ได้ตัวจิ้งจอกน้อยกลับมาอยู่ในอ้อมแขนเสียที



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


คดีพลิก คืนความสุขให้ชาวประชา พาพ่อมังกรกลับมาหาจิ้งจอกแล้วนะ  :L2:

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 19 ชายผู้นั้น [06/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 06-01-2017 20:38:02
บทที่ 19

ชายผู้นั้น





ท่ามกลางความโกลาหลเมื่อเทพมังกรอาละวาด และปราสาททั้งหลังกำลังพังทลายลงมา สึซึรันทำได้เพียงเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรกับเทพที่นางเฝ้าเทิดทูน


“ท่านหญิง!” คนรับใช้คนสนิทวิ่งปราดเข้ามาหา พยายามฉุดรั้งพาตัวเจ้านายให้หนีไป



“ทำไม...ข้า...ไม่ได้ทำอะไร” น้ำตาหลั่งรินลงเป็นสายเมื่อนึกถึงชายที่นางเฝ้าปรนนิบัติด้วยความภักดี ขอเพียงได้อยู่ใกล้ ขอเพียงได้เฝ้ามอง เทพมังกรผู้สง่างาม ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมนุษย์ตัวเล็กๆ  ทั้งที่นางพอใจเพียงแค่นั้น


“บ่าวทำเอง! ตามคำสั่งของนายท่าน แต่เราต้องรีบหนีก่อน” คำตอบนั้นทำให้หัวใจสึซึรันแตกสลายด้วยความจริงที่ว่าตัวเองคือผู้ชักนำความตายมาสู่เทพมังกร


สิ่งเดียวที่ทำได้คือคว้าตัวฆาตกรเอาไว้ รั้งไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี แม้ว่าหญิงใจร้ายจะพยายามดิ้นรนจนต้องคลานหนี แต่สึซึรันไม่ยอมปล่อยนางไป จนกระทั่งเมื่อเพดานถล่มลงมา


ทว่าสวรรค์อาจคิดว่าสึซึรันยังชดใช้บาปนั้นได้ไม่พอ ไม่ยอมแม้แต่จะมอบความตายให้ นางยังคงลืมตาตื่น มองเห็นโลกอันหม่นหมอง โดยไร้ความรู้สึกจากช่วงเอวลงไป มีชีวิตเหมือนตายทั้งที่ยังหายใจอยู่ ใบหน้าบิดากลายเป็นใบหน้าของชายน่ารังเกียจผู้ไม่เคยมองเห็นลูกสาวคนนี้มีค่ามากไปกว่าเครื่องมือ


แต่ละวันยาวนานและทรมานขึ้นเรื่อยๆ เพราะปรารถนาความตาย สึซึรันจึงไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม ร่างกายผ่ายผอมลงทีละน้อย ทุกวันได้แต่นอนนิ่งอยู่บนฟูก กลอกตามองผู้คนที่ผ่านไปมา


จนถึงวันที่ยมทูตปรากฏตัว


“ได้โปรดพาข้า...ไปยังปรโลก” น้ำเสียงแหบแห้งจากลำคออันแห้งผาก พยายามร้องขอต่อชายที่ปรากฏตัวจากหมอกควันสีดำทะมึน ชายคนนั้นเดินเข้ามาคุกเข่าลงข้างฟูก ผิวกายเขาซีดขาวตัดกับเส้นผมและดวงตาที่ดำมืดยิ่งกว่าสีของรัตติกาลที่ไร้แสงจันทร์และแสงดาว


“เหตุใดจึงปรารถนาความตาย” ยมทูตเอ่ยถามพลางเอื้อมมือมาจับปลายนิ้วของสึซึรันเอาไว้


“เพราะข้าทำร้ายคนที่รักยิ่ง” น้ำตาที่คิดว่าแห้งเหือดไปพร้อมกับความตายของเทพมังกรกลับไหลรินออกมากครั้ง


“แล้วหากเขายังไม่ตาย เจ้ายังอยากตายหรือไม่” ดวงตาของคนฟังเบิกค้าง รีบตวัดมืออีกข้างมากุมมือของยมทูตเอาไว้ พร่ำถามซ้ำๆ ว่าเทพมังกรยังมีชีวิตอยู่จริงหรือ


“ให้ข้าพบเขา ขอเพียงครั้งเดียว” แม้รู้ว่าไม่มีวันได้รับการอภัย แต่หากได้ชดใช้ ได้ตายด้วยมือนั้น นางคงไม่มีอะไรติดค้างภายในใจอีก


“เพียงพบเท่านั้นหรือ” ยมทูตเอ่ยถามก่อนก้มลงกระซิบตรงข้างหู


“ขาที่สามารถก้าวเดิน พลังที่สังหารเหล่าคนชั่วที่คิดฆ่าเทพมังกรได้ เจ้า...ต้องการหรือไม่” ในเวลานั้นสึซึรันตระหนักแล้วว่าผู้ที่อยู่ข้างกายนางไม่ใช่ยมทูต แต่เป็นปีศาจ ปีศาจที่กำลังหยิบยื่นข้อเสนอให้


“ข้าต้องการ” เมื่อไม่อาจอยู่ข้างกายเทพเจ้าได้อีกต่อไป จะเสียหายตรงไหนหากจะตอบรับข้อเสนอจากปีศาจ


“ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด” ประโยคนั้นคล้ายกับการถามย้ำ


“ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด!” และสึซึรันไม่ลังเลที่จะตอบรับมัน ตอนนั้นเองที่มีบางสิ่งถูกฉีกกระชากอยู่เหนือร่าง ของเหลวอุ่นร้อนไหลหลั่งออกจากสิ่งนั้นลงสู่ใบหน้าของสึซึรัน รสเค็มขมและกลิ่นคาวบอกให้รู้ว่ามันคือเลือด เมื่อพยายามเบิกตามองผ่านดวงตาที่ถูกย้อมเป็นสีแดงจึงได้เห็น ว่าเลือดเหล่านั้นมาจากร่างของแมวขาวที่เคยโอบอุ้ม


“จงดื่มกิน เลือดเนื้อของสิ่งที่ภักดีต่อเจ้า กลืนกินชีวิตมันแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง!”


หลังจากนั้นทุกอย่างสับสนเกินกว่าจะจำได้ มีเพียงเศษเสี้ยวความรู้สึกจากหยาดเลือดที่ไหลชโลมร่าง และเสียงกรีดร้องของผู้คน ตราบจนรุ่งสาง เมื่อแสงตะวันปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า ปราสาทที่สึซึรันเกิดและเติบโตก็เหลือเพียงความเงียบงันและกองซากศพ







“ปีศาจที่สังหารเจ้าเมือง ที่แท้คือเจ้าเอง” บุตรสาวที่สูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยวของตน ได้ลงมือสังหารบิดาของตัวเอง ผลที่ตามมาสึซึรันคงไม่เคยนึกถึง โทชิฮิโระถอนหายใจ ความแค้นที่ฝังใจมาหลายปี ท้ายที่สุดแล้วเหมือนหยดน้ำที่ซึมลงกลางทรายอันแห้งผาก ไม่อาจโทษใครได้ คงถึงเวลาต้องสลายไปเสียที


มือหนึ่งยังคอยลูบผมให้คนที่นอนหนุนตัก อาคาเนะเพิ่งจะยอมหลับไปได้ไม่นานหลังถูกเขาพาเข้ามานอนพักในห้อง จิ้งจอกตัวร้ายยังพยายามตะเกียกตะกายเอาตัวเองมาเกยบนตักเพื่อป้องกันไม่ให้โทชิฮิโระลุกขึ้นไปคิดฆ่าสึซึรันอีก


“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ถ้าไม่มีข้า ท่านพ่อคงทำอะไรไม่ได้ ข้ายินดีตายด้วยมือท่าน” หญิงสาวจรดมือลงกับพื้นด้านหน้าพลางก้มหมอบลงเพื่อยอมรับความผิด การได้ตายด้วยมือโทชิฮิโระ คือความปรารถนาสุดท้ายในชีวิตของนาง


“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า สิ่งที่เจ้าทำถือว่าชำระแค้นให้ข้าจนหมดสิ้นแล้ว” โทชิฮิโระบอกปัดอย่างง่ายดาย ทั้งเขาและสึซึรันต่างเป็นเหยื่อของแผนการร้ายไม่ต่างกัน มองดูตัวเองตอนนี้แล้ว สึซึรันอาจต้องทุกข์ทรมานมามากกว่าเขาด้วยซ้ำไป


“แต่...”


“ได้ยินที่อาคาเนะพูดแล้วไม่ใช่หรือ ชีวิตเจ้าในตอนนี้ได้มาจากการสละอีกชีวิตหนึ่ง อย่าทิ้งมันไปอย่างไร้ค่า เจ้าต้องอยู่เพื่อคุโระด้วย”


ดวงตาโทชิฮิโระมืดบอดด้วยความแค้นมานาน จนไม่อาจมองเห็นความโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่ในตัวสึซึรัน ถ้าไม่มีอาคาเนะ เขาคงฆ่าสึซึรันอย่างไม่ลังเล ดูเหมือนเขาจะติดหนี้จิ้งจอกน้อยเข้าเสียแล้ว


“ขอโทษที่ทำร้ายเขา” แม้จะเพียงเพื่อยั่วยุโทสะของโทชิฮิโระ แต่ก็ทำให้เด็กหนุ่มซึ่งไม่เกี่ยวข้องมาบาดเจ็บไปด้วย ตอนแรกคิดว่าหากตายคงถือว่าชดใช้กันหมด มาตอนนี้สึซึรันจึงยิ่งรู้สึกผิดอย่างมาก ดวงตานางยิ่งหมองหม่นเมื่อได้เห็นโทชิฮิโระคอยลูบผมของอาคาเนะอยู่ตลอด


ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน สึซึรันไม่เคยถูกสัมผัสแม้แต่ปลายเส้นผม ดังนั้นส่วนลึกของหัวใจจึงยังมีความอิจฉา แต่เมื่อนึกถึงภาพอาคาเนะตอนพยายามช่วยนางเอาไว้ กลับเผลอยิ้มออกมา


“ข้าเทียบเขาไม่ได้เลย” ทั้งความซื่อตรง มั่นคง และแน่วแน่ ต่อให้เรื่องร้ายไม่เคยเกิดขึ้น ต่อให้นางยังสามารถอยู่เคียงข้างโทชิฮิโระเช่นเมื่อก่อน ก็คงไม่มีวันที่นางจะกล้าขึ้นเสียงใส่โทชิฮิโระเป็นแน่


“เจ้าเคยเป็นสหายที่ดี” โทชิฮิโระเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่มันมากพอให้หัวใจอันแห้งแล้งรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง สึซึรันก้มหน้าลงเอ่ยขอบคุณทั้งน้ำตา


“ท่านจะบอกรักกับเขาไหม” มือที่กำลังเคลื่อนไหวหยุดชะงักไปเพียงนิดเมื่อได้ยินคำถามนั้น


“อาคาเนะก็เคยถามข้าเช่นกัน สักวันข้าอาจหาคำตอบเจอ” การมีจิ้งจอกตัวนี้อยู่ใกล้คือความสุข เรื่องนั้นโทชิฮิโระไม่คิดปฏิเสธ เขามีชีวิตอยู่มานาน นานเกินกว่าจะปริปากบอกรักใครง่ายๆ เพราะหากตัดสินใจผูกใจรักใครสักคนแล้ว ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่คงสุดแสนทรมาน หากไม่สามารถโอบกอดคนรักเอาไว้ได้


“จากนี้เจ้าจะทำอย่างไรต่อ” เมื่อหมดสิ้นความแค้นต่อกัน ต่างฝ่ายต่างต้องเดินไปบนเส้นทางของตัวเองต่อ


“ข้าไม่เคยคิดถึงวันข้างหน้าเลย” หญิงสาวหลุบตาลง นางมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตายนับจากวันที่กลายปีศาจ จึงไม่อาจบอกได้ว่าต่อจากนี้จะไปอยู่ที่ไหน หรือมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร


“กลับไปยังบ้านของเจ้า” โทชิฮิโระเอ่ยปาก ตัวเขาตอนนี้ไม่มีอำนาจใดจะสั่งสึซึรัน แต่ถ้าเป็นสึซึรันที่เขาเคยคิดว่ารู้จักจะต้องทำตามแน่


“แต่ที่นั่นไม่มีใคร”


“ชาวเมืองของเจ้ายังต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตรอดอยู่” ยังคงมีคนที่ดิ้นรนต่อสู้ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคใดๆ พลังใจนั้นแม้แต่โทชิฮิโระยังนับถือ


“จะดีหรือ ปีศาจอย่างข้า” ปีศาจที่สังหารผู้คนไปมากมาย เหมาะสมแล้วหรือที่จะกลับไปอยู่ในสังคมของมนุษย์อีก


“แค่ทำสิ่งที่ข้าเคยทำก็พอ” แค่ปกป้องคนเหล่านั้นจากปีศาจและศัตรูที่มารุกราน ไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับมนุษย์ด้วยซ้ำ นั่นคือสิ่งที่โทชิฮิโระเคยทำมาตลอด


“ข้าจะทำให้สุดความสามารถ” สึซึรันรับปากอย่างหนักแน่น ความไว้วางใจที่ได้รับกลับมาอีกครั้ง นางจะไม่มีวันยอมสูญเสียมันไปอีก


“คงถึงเวลาบอกลากันเสียที” โทชิฮิโระวางมือลงบนไหล่ของอาคาเนะก่อนเหลือบตาขึ้นมองสึซึรัน ครั้งแรกที่เจอกันนางถูกแนะนำต่อเขาอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อจากกันกลับต้องแยกกันด้วยความเกลียดชัง วันนี้มีโอกาสได้พบกันอีก ถือโอกาสบอกลากันน่าจะดีกว่า


“ข้าจะได้พบท่านอีกไหม” สึซึรันถามออกมาโดยมีรอยยิ้มเศร้าๆ ประดับบนใบหน้า รู้ดีว่าพื้นที่ข้างกายโทชิฮิโระไม่มีที่ว่างเหลืออีกแล้ว แต่อย่างน้อยในฐานะคนเคยรู้จักกัน ได้พบปะกันบ้างก็ยังดี


“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ แต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มีคนที่ข้ารับปากว่าจะไปพบอีกสักครั้งที่เมืองนั้น” คำสัญญาที่ให้ไว้กับหญิงชราโทชิฮิโระยังจำได้ดี ตอนนี้เขาทำได้เพียงส่งสึซึรันกลับไปก่อน แต่วันใดที่ได้ร่างเดิมกลับคืนมา เขาจะพาจิ้งจอกน้อยไปเจอคุณยายแสนใจดี


สึซึรันพยักหน้าแทนการตอบรับ นางลุกขึ้นแล้วแปลงร่างเป็นแมวขาวที่โทชิฮิโระคุ้นตา ก้าวขาคล้ายจะจากไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหันหน้ากลับมาอีกครั้ง


“ข้ามีบางเรื่องอยากถาม” สึซึรันในร่างแมวเดินเข้ามาใกล้โทชิฮิโระมากขึ้น ยกหูทั้งสองข้างรับฟังเสียงพลางใช้จมูกดมกลิ่น เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอื่นอยู่ใกล้ๆ


“มีอะไร”


“ปีศาจหิมะที่ชื่อคาสุมิ ท่านรู้จักกับนางหรือ”


“ทำไม” คิ้วของโทชิฮิโระขมวดเข้าหากัน จะว่าไปเขายังโมโหคาสุมิอยู่ ทั้งที่ฝากให้ดูแลอาคาเนะแต่กลับมาหายตัวไปเสียได้ ช่างเป็นผู้หญิงที่ไว้ใจได้ยากเสียจริง


“นางเข้ามาปกป้องอาคาเนะจากข้า แต่ข้าคิดว่าข้าเคยเห็นนางมาก่อน”


“คาสุมิไปไหนมาไหนตามใจชอบ เจ้าอาจบังเอิญเจอนางเข้า” ปีศาจหิมะชอบเอาแต่ใจและชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น ไม่แปลกเลยหากคาสุมิจะไปโผล่ในที่แปลกๆ แล้วได้พบกับสึซึรันเข้า


“วันที่ข้าถูกเปลี่ยนเป็นปีศาจ ข้าคิดว่านางอยู่ที่นั่นด้วย” ประโยคที่สึซึรันตอบกลับมาทำให้โทชิฮิโระเงียบไปชั่วอึดใจ บางอย่างกำลังร้องเตือนเขาจากภายใน ว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอีกต่อไปแล้ว


“ถ้าหากนางคือคนที่ข้าคิด ท่านควรอยู่ให้ห่างนางเอาไว้”


“เหตุผล?” โทชิฮิโระเก็บซ่อนสีหน้าและถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ


“ระหว่างออกตามหาท่าน ข้าได้ยินเรื่องคนที่เปลี่ยนข้าเป็นปีศาจมา เขาเคยเป็นเทพแต่ถูกขับไล่จากสวรรค์ เป็นคนน่ากลัวที่แม้แต่ปีศาจก็ไม่อยากเข้าใกล้ เทพตกสวรรค์นาม...”


“มาซาโนริ” คำพูดของสึซึรันถูกต่อให้จบโดยโทชิฮิโระเอง สองมือกำแน่นจนเล็บแทบจิกฝังลงในเนื้อเพื่อสงบสติ เพราะมาซาโนริคือคนที่เขารู้จักดี ชายที่อยู่เบื้องหลังทุกสิ่ง


ผู้สร้างพันธสัญญาและส่งเขามาหาอาคาเนะ


•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

ช่วงนี้เนื้อเรื่องหม่นหมองอึมครึม เดี๋ยวตอนหน้าเอาความหวานกลับมาเสิร์ฟให้น้าาา

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 19 ชายผู้นั้น [06/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: tempo_oil ที่ 07-01-2017 17:23:55
มีตัวการที่แท้จริงนี่เอง ลุ้นต่อไปค่ะ

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 20 คำขอ [07/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 07-01-2017 23:35:45
บทที่ 20

คำขอ





เหล่านกตัวจ้อยส่งเสียงร้องแข่งกันระงมเมื่อเห็นแม่ของมันคาบอาหารกลับมาส่งถึงรัง เสียงเจื้อยแจ้วนั้นพาให้ใบหูของจิ้งจอกกระดิก ดวงตาที่ปิดสนิทเปิดปรือขึ้นช้าๆ กะพริบซ้ำเพราะแสงแดดอันสว่างจ้าเกินกว่าจะปรับตัวได้ แต่สัมผัสจากมืออันว่างเปล่าเรียกให้อาคาเนะต้องรีบลุกขึ้น


“โทชิ” คนที่โอบกอดเขาไว้ก่อนหลับตาลงหายไป แม้แต่ฟูกนอนยังเย็นเฉียบบ่งบอกว่าโทชิฮิโระลุกออกไปนานมากแล้ว พิษในตัวอาจสลายไปหมด แต่ความเมื่อยล้าจากผลของมันยังคงอยู่ อาคาเนะลุกขึ้น เดินโซเซไปยังประตู กางใบหูพร้อมทั้งใช้จมูกช่วยสูดกลิ่น ตอนนั้นเองที่บานประตูถูกเปิดออก


เจ้าของคฤหาสน์ยืนมองคนป่วยที่อยู่ตรงหน้า อ้าปากจะทักทายแต่ถูกอีกฝ่ายโผเข้ามากอดเอาไว้เสียก่อน มือข้างหนึ่งจึงยกขึ้นลูบหลัง ส่วนมืออีกข้างคล้องเอวบางเอาไว้


“เป็นอะไร ฝันร้ายหรืออาคาเนะ” น้ำเสียงอบอุ่น อ้อมกอดอันคุ้นเคย ช่วยให้หัวใจคนฟังอุ่นซ่าน


“หายไปไหนมา” คำถามที่ดังอยู่กับอก ฟังดูตัดพ้ออยู่ไม่น้อย แต่โทชิฮิโระแกล้งทำเฉไฉ ถือว่าอาคาเนะถามถึงเช้าวันนี้ ไม่ใช่เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เขาหายไป


“แค่ตื่นตามปกติ ไม่อยากปลุกคนเจ็บ” อาคาเนะเงยหน้าทำปากคว่ำ กำมือทุบลงกลางอกโทชิฮิโระ


“ทิ้งข้าไปตั้งหลายวัน ยังกล้าทิ้งข้าไว้คนเดียวอีก” ก่อนหน้านี้อาคาเนะคิดว่าไม่เป็นไร หากพวกเขาจะไม่ได้เจอหน้ากันเป็นบางครั้ง แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น มันทำให้อาคาเนะรู้สึกราวกับว่าโทชิฮิโระอาจหายตัวไปในสักวันหนึ่ง หายไปโดยที่อาคาเนะไม่สามารถตามหาได้


“ไม่ได้ทิ้ง ใครจะทิ้งเจ้าได้ลง” โทชิฮิโระก้มลงกดจมูกกับแก้มนุ่ม อาคาเนะไม่เคยงอแงอย่างนี้มาก่อน แต่ในสายตาเขา ได้เห็นคนถือตัวอย่างอาคาเนะงอแงเสียบ้างมันก็น่ารักดี


“อย่าเคืองกันเลย ข้าก็ตามมาช่วยแล้วไม่ใช่หรือ” เพราะรู้ว่าตัวเองผิดที่ทำให้อาคาเนะถูกจับตัว โทชิฮิโระถึงยอมเป็นฝ่ายง้อ


“ข้าต่างหากช่วยท่าน อย่ามาเอาดีเข้าตัวนะ” จิ้งจอกน้อยแยกเขี้ยวใส่ ถ้าไม่มีเขาเมื่อคืนคงมีใครสักคนตายไปแล้ว แต่พอช่วยอีกใจหนึ่งกลับเป็นห่วงขึ้นมา กลัวว่าเมื่อความเข้าใจผิดถูกแก้ไข โทชิฮิโระอาจอยากกลับไปมีใครอีกคนอยู่ข้างกาย


ดวงตาสีเพลิงที่เสมองไปทางอื่น ท่าทางนั้นบอกโทชิฮิโระว่าอาคาเนะมีบางอย่างให้ครุ่นคิด แม้ปากจะปิดเงียบ แต่การแสดงออกทางอื่นของอาคาเนะมักจะซื่อสัตย์ยิ่งกว่า


“อ้อ”


“อ้อ อะไร” อาคาเนะตวัดสายตากลับมามองโทชิฮิโระตาขวาง


“ที่โกรธเพราะตื่นมาแล้วข้าไม่อยู่ หรือเพราะกลัวข้าทิ้งเจ้าแล้วไปกับสึซึรันกันแน่” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นตรงมุมปาก ยิ่งได้เห็นอาคาเนะหน้าแดงวาบยิ่งมั่นใจ


“ก็...ก็แล้วจะทำไม! ปรับความเข้าใจกันแล้วนี่!” ความโกรธและเขินอายตีรวนจนอาคาเนะอยากจะดิ้นหนี แต่ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็ไม่สามารถหนีจากโทชิฮิโระได้เสียที ซ้ำยังโดยคนขี้แกล้งฉวยจูบเอาเสียอีก ริมฝีปากที่แนบชิดกันวันนี้นุ่มนวลกว่าครั้งก่อนๆ ไม่ได้เริ่มจากการรุกล้ำ เพียงแค่ไล้เลียคล้ายกำลังวอนขอให้อาคาเนะเป็นฝ่ายเปิดปากเอง


...มีหรือที่จะปฏิเสธได้


มือที่พยายามผลักไส กลับกลายเป็นโอบกอด หลับตาลงผ่อนลมหายใจ ปล่อยให้โทชิฮิโระเป็นฝ่ายชักนำ รับรู้ว่าอีกฝ่ายค่อยๆ พาพวกเขาเดินไปจนแผ่นหลังแนบผนัง มือข้างหนึ่งเชยคางให้ต้องแหงนหน้าขึ้นจนเผลอสบเข้ากับดวงตาคมกล้าที่จ้องมองมา


“ข้าจะทำอย่างนี้กับเจ้าแค่คนเดียว พอใจไหม” เสียงทุ้มกระซิบบอกกับใบหู ชวนให้อาคาเนะยิ้มกว้าง แต่เพราะไม่อยากให้โทชิฮิโระได้ใจเลยต้องยืดตัวขึ้นกอดคออีกฝ่ายไว้แล้วเกยคางลงบนไหล่ เรื่องอะไรจะยอมให้เห็นใบหน้าที่ยิ้มกว้างขนาดนี้


“อย่าหายไปอีกก็พอ” ในเวลานั้นไม่ได้มีเพียงอาคาเนะที่อยากหลบซ่อนใบหน้า แววตาของโทชิฮิโระที่หรี่ลงแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งก่อนที่สองแขนจะโอบกอดอาคาเนะไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี







“ถามจริงๆ ไม่มีที่มันเล็กกว่านี้แล้วใช่ไหม” คิ้วของคนถามขมวดแน่นระหว่างหมุนตัวมองดูสภาพตัวเองในชุดกิโมโนตัวโคร่ง ไหนจะแขนเสื้อที่ห้อยจนบังมือมิด แล้วยังชายล่างที่ยาวลงไปกองถึงพื้นอีก ถ้าไม่ใช่ว่าหลังอาบน้ำแล้วไม่มีชุดให้เปลี่ยน อาคาเนะคงไม่ยอมสวมมันเด็ดขาด


“ไม่ได้แกล้งข้าใช่ไหม” สายตาขุ่นๆ เหลือบมองไปทางเจ้าของชุดที่กำลังทำเป็นยืนกอดอก แต่แอบเอียงหน้าซ่อนรอยยิ้มอยู่ เห็นแล้วชวนหงุดหงิด แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อชุดเก่าของอาคาเนะสกปรกจนไม่กล้าหยิบมาใส่ กิโมโนชั้นในที่ใส่นอนมาทั้งคืนก็ไม่เหมาะจะใส่ออกไปเดินข้างนอก


“มานี่มา” เมื่อโทชิฮิโระกวักมือเรียก อาคาเนะเลยจำต้องยกชายผ้าขึ้นแล้วเดินมาหาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง


“ช่วงตัวยาวไปก็แค่จับพับทบขึ้นมา” นอกจากปากจะบอกแล้วมือของโทชิฮิโระยังจัดการจัดแต่งกิโมโนของเขาที่อาคาเนะยืมไปสวมให้เข้าที่ด้วย ผ้าคาดเอวที่ผูกไว้ถูกแก้ออกเพื่อขยับเนื้อผ้าเสียใหม่ ชวนให้คนที่กำลังถูกแต่งตัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้


ไม่ใช่ว่าไม่เคยใกล้ชิดกัน สัมผัสกันมากกว่านี้ก็เคยทำมาก่อน แต่อาจเป็นเพราะเมื่อวานเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมามันช่างบีบคั้นความรู้สึก รวมเข้ากับความคิดที่ว่าโทชิฮิโระไม่ได้อยู่ในที่ที่เอื้อมคว้าได้เสมอ ความรู้สึกที่คิดว่าอาจไม่ได้พบกันอีกยังติดค้างอยู่ ยิ่งทำให้หัวใจบีบรัดหนักเข้าเมื่อได้กลับมาอยู่ใกล้


“แกล้งผูกช้าๆ ดีไหม เผื่อคนกลั้นหายใจแถวนี้จะได้ลองขาดอากาศ” ดวงคาคู่โตแสดงชัดว่าประหม่าทำเอาอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่ ยิ่งเห็นสองแก้มอาคาเนะพองลม โทชิฮิโระยิ่งทำเป็นขยับเข้าใกล้มากขึ้น


“พอแล้วๆ ข้าผูกเอง” สุดท้ายอาคาเนะต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน เด็กหนุ่มหมุนตัวหันหลังให้คนขี้แกล้งแล้วผูกสายคาดเอวตัวเองอย่างรวดเร็ว


“ผู้ใหญ่นิสัยเสีย” อาคาเนะบ่นพึมพำกับตัวเอง คนอย่างโทชิฮิโระเผลอทีไรเป็นต้องคอยกลั่นแกล้งอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าการเห็นเขาวางตัวไม่ถูกมันน่าสนุกตรงไหน


“ทำไม กลัวข้าจับเจ้ากินหรือ” แขนหนึ่งคว้าเอวอาคาเนะเข้ามากอด กำลังจะเอียงหน้าไปฉวยหอมแก้ม แต่ถูกอาคาเนะยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกเอาไว้เสียก่อน


“ข้าสิจะกินท่าน อย่ามาเข้าใกล้นัก พอร่างกายแย่แล้วมันชอบมองมนุษย์เป็นอาหาร” ประหม่าเพราะรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังจะข้ามเส้นบางอย่างมันก็เรื่องหนึ่ง แต่ตื่นเต้นเพราะกลิ่นอันคุ้นเคยจากเลือดที่เคยดื่มกินมันก็อีกเรื่อง


ก่อนหน้านี้ร่างกายของอาคาเนะยังอ่อนล้าเพราะฤทธิ์ยาเกินกว่าจะสนใจเรื่องอาหาร แต่พอได้ผ่อนคลาย ได้อาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ประสาทรับรู้เหล่านั้นจึงเริ่มตื่นตัวขึ้น


“ดื่มเลือดหน่อยไหม” โทชิฮิโระถกแขนเสื้อยื่นแขนให้ มนุษย์อาจใช้ยาเพื่อรักษาอาการป่วย แต่สำหรับปีศาจนั้น เลือดเนื้อมนุษย์ถือเป็นยาที่ดีที่สุด


“ไม่เอา” แขนที่ยื่นมาถูกดันออก อาคาเนะเดินหนีจากคนข้างหลัง หันกลับไปพิงผนังอีกด้านเพื่อให้สามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้


“ข้าติดรสเลือดท่านมากไปแล้ว มันทำให้เลือดของคนอื่นรสแย่ไปหมด” ช่วงที่โทชิฮิโระไม่อยู่ อาคาเนะยังคงใช้วิธีเดิมเพื่อขโมยเลือดจากลูกค้า แต่รสของมันแตกต่างจากที่เคยดื่ม


“ตามใจ มาเถอะ จะไปส่งที่ร้าน” ถึงเรื่องเลือดจะถูกปฏิเสธ แต่โทชิฮิโระยังคงยื่นมือไปให้อาคาเนะอีกครั้ง เด็กหนุ่มมองมือนั้นก่อนหลุบตาลงต่ำ


“ให้ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ” คำถามแสนแผ่วเบาจบลงด้วยการที่คนพูดก้มหน้าเม้มปากแน่น ครั้งหนึ่งโทชิฮิโระเคยชวนอาคาเนะให้มาอยู่ด้วยกันมาก่อน แต่นั่นเป็นตอนที่ต่างฝ่ายต่างยังรู้จักกันไม่มากพอ อาคาเนะไม่รู้ว่าถึงวันนี้โทชิฮิโระจะยังคิดแบบเดิมอยู่ไหม


“ไม่ได้” คำตอบที่ได้มาทำให้หัวใจคนฟังเจ็บแปลบ แว่วเสียงถอนหายใจจากอีกคน ยิ่งทำให้อาคาเนะปวดใจยิ่งขึ้น แต่ก่อนจะได้ก้าวหนีร่างทั้งร่างกลับถูกรวบเข้าไปกอด ใบหน้าถูกจับกดลงกับแผ่นอกที่เคยยึดเอาไว้เป็นที่พักพิง เพียงเท่านั้นขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าวไปหมด


“อย่าขอแบบนั้นถ้ามันเป็นเพียงเพราะเจ้าไม่กล้ากลับไปเจอหน้าโคคิ กับซาโตรุ”


“ข้า...” อาคาเนะเถียงไม่ออก โทชิฮิโระมักอ่านความคิดเขาออกเสมอ เขาทำให้ทุกคนเดือดร้อน ทำให้พี่ชายทั้งสองคนต้องเจอกับปีศาจ และเขาไม่อยากปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีก


“พวกเขารักเจ้ามากรู้ใช่ไหม” หากไม่รักโคคิคงไม่ชกแขกอย่างโทชิฮิโระอย่างไม่ลังเล หากไม่รักซาโตรุคงไม่พยายามบอกเรื่องทั้งหมดกับเขาทั้งที่ทำหน้าราวกับจะร้องไห้


“แต่ถ้าข้ากลับไป สักวันพวกเขาคงต้องเจอเรื่องอันตรายอีก” สองแขนของอาคาเนะยกขึ้นกอดตอบ พลางซุกหน้าลงกับอกอุ่น แค่พื้นที่เล็กๆ ตรงนี้เท่านั้นที่เขาจะเผยความอ่อนแอออกมาได้


“แต่ถ้าเจ้าไม่กลับไป ข้าคงต้องโดนโคคิต่อยอีกหมัดแน่”


“โคคิต่อยท่าน?!” อาคาเนะเงยหน้าถามอย่างไม่เชื่อหู


“เพราะเป็นห่วงเจ้า” มือใหญ่ยีผมของคนตัวเล็กกว่าจนยุ่งเหยิงก่อนวางคางเกยลงไป จนอาคาเนะแทบเกร็งคอไว้ไม่ทัน


“ให้เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วข้าจะไปรับเจ้า จะไปรับอย่างเปิดเผย ให้ทุกคนรู้ว่าต่อไปเจ้าเป็นของข้าคนเดียว ดีไหม” ใบหน้าของคนฟังแดงซ่านขึ้นตาเห็น ขอบคุณโทชิฮิโระที่ไม่ได้พูดตรงหน้าเขา ไม่เช่นนั้นอาคาเนะคงอายจนสู้หน้าไม่ไหวแน่


“ไม่ใช่ว่าหลอกให้รอเก้อหรือ ท่านชอบทำอะไรไม่บอกข้า” อาคาเนะโขกหน้าผากกับอกที่ซุกตัวอยู่ ทั้งที่โทชิฮิโระรู้ทันเขาไปเสียหมด แต่เขากลับแทบไม่รู้ถึงความคิดในหัวโทชิฮิโระเลย วันหนึ่งมาคอยตามป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ พออีกวันกลับหายไป ไปที่ไหนยิ่งไม่เคยบอก


“อีกแค่เรื่องเดียวที่ข้าต้องสะสางให้เสร็จ”


“เรื่องร่างจริงของท่านใช่ไหม ท่านเคยพูดเรื่องสัญญา ท่านบอกว่าเขาส่งท่านมาหาข้า ต้องการให้ข้าทำอะไรหรือเปล่า” หากช่วยเหลือโทชิฮิโระได้ ไม่ว่าเรื่องใดอาคาเนะยินดีที่จะทำ


“โอ๊ย!” อาคาเนะร้องลั่นเพราะถูกฟันคมขบเข้าที่ปลายจมูก พอมองคนกัดตาขวางยังโดนฟาดเข้าให้ที่สะโพกจนสะดุ้งอีก


“เด็กอย่างเจ้าจะทำอะไรได้ ก่อนอื่นเลิกงอแงแล้วกลับบ้านได้แล้วไป ก่อนพ่อกับแม่เจ้าจะมาแหวกอกข้า”


“ข้าจะฟ้องพี่ซาโตรุว่าท่านเรียกเขาว่าแม่”


“รู้ว่าข้าหมายถึงใครแปลว่าเจ้าเองก็คิดเหมือนกับข้า”


“คิดได้แต่ห้ามพูด! ไอ้ผู้ใหญ่รังแกเด็ก! ไม่ยุ่งด้วยแล้ว!” คนถูกแกล้งเดินลงส้นเท้าปึงปังออกจากห้องไป ส่วนคนแกล้งยังคงอมยิ้มแต่แอบลอบถอนหายใจ


ไม่คิดว่าจะได้ยินอาคาเนะเอ่ยปากขออยู่ด้วยกัน ทำเอาความตั้งใจของเขาเกือบจะสั่นคลอน



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


เกือบมาไม่ทันก่อนหมดวัน  :katai5:


*อีดิทเพิ่ม มาตอบเม้นนะคะ เมื่อคืนว่าตอบแล้วแต่หายซะงั้น  :hao5:


มีตัวการที่แท้จริงนี่เอง ลุ้นต่อไปค่ะ

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณที่มาอ่านเช่นกันค่า  :pig4: เอาความหวานมาคั่นให้สักนิด เดี๋ยวเดินหน้าดราม่ากันต่อ  o13

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 21 ดนตรีบรรเลง [08/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 08-01-2017 19:36:40
บทที่ 22

ดนตรีบรรเลง






บรรยากาศที่คุ้นชิน สถานที่อันคุ้ยเคย วันนี้ไม่รู้ทำไมการจะก้าวเข้าไปมันถึงยากเย็นนัก อาคาเนะยืนตัวแข็ง ดวงตาจับจ้องกรอบประตูพลางกำมือแน่น


ร้านแห่งนี้คือบ้านสำหรับเขา เป็นที่หลบซ่อนจากสังคมภายนอก จากเหล่ามนุษย์ที่ยากจะเข้าใจ แต่เพราะครั้งก่อนเขาก้าวออกไปโดยการบังคับของปีศาจ ไม่รู้ว่าถ้าเข้าไปอีกครั้ง ทุกคนในร้านจะทำหน้าแบบไหน จะหวาดกลัวตัวเขาไปเลยหรือเปล่า


ความคิดทั้งหมดสะดุดลงเมื่อใครอีกคนสอดนิ้วเข้ามาในอุ้งมือเขา มันทำให้อาคาเนะเผลอคลายมือออก เปิดโอกาสให้มือใหญ่ได้กุมมือเขา


“ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ตรงนี้” คำปลอบโยนแสนธรรมดา กลับสามารถลบความกังวลในใจอาคาเนะได้จนหมด เด็กหนุ่มเหลือบตามองโทชิฮิโระที่กำลังส่งยิ้มให้ ทำปากยื่นใส่คนหลงตัวเองข้างๆ แต่ไม่คิดปฏิเสธมือที่จับอยู่


“นั่นอาคาเนะนี่!” ใครบางคนร้องขึ้นมาจนเจ้าของชื่อถึงกับสะดุ้ง ต่อจากนั้นยังหันไปร้องบอกคนอื่นในร้านว่าให้ไปตามเจ้าของร้านออกมาอีก ทำเอาอาคาเนะต้องก้าวไปหลบหลังโทชิฮิโระด้วยความตกใจ


ไม่นานนักคนที่ถูกเรียกหาก็วิ่งออกมาพร้อมเพื่อนสนิท โคคิทำหน้าเหมือนกับกำลังโกรธและหยุดยืนระหว่างทาง ส่วนซาโตรุเดินเข้ามาใกล้กว่า แต่ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้


“อาคาเนะ” น้ำเสียงของซาโตรุเบาหวิว เขายกมือขึ้นเหมือนอยากจะยื่นมาหาอาคาเนะ แต่แล้วก็ลดมือลงไปจับมืออีกข้างของตัวเองไว้ ท่าทีลังเลนั้นทำให้อาคาเนะยิ่งพยายามซุกตัวอยู่หลังโทชิฮิโระมากขึ้น


“น่ารำคาญเป็นบ้า!” คนที่โพล่งออกมาคือเจ้าของร้านที่อยู่ห่างออกไปมากที่สุด โคคิเดินจ้ำพรวดๆ เข้ามาหาอาคาเนะ แม้จะมีโทชิฮิโระยืนขวางอยู่ แต่โคคิไม่ได้สนใจ เขาคว้าแขนของอาคาเนะแล้วกระชากจนเซมาตามแรง ออกแรงลากเด็กหนุ่มย้อนกลับไปหาซาโตรุก่อนจะผลักหลังอาคาเนะจนเกือบล้มคว่ำ พอเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ว่าได้มายืนอยู่ต่อหน้าซาโตรุเสียแล้ว


อาคาเนะย่นคอหลับตาปี๋ เมื่อเห็นว่าซาโตรุเงื้อมือขึ้นมาจะตีเขา แต่ฝ่ามือนั้นกลับเพียงแค่แตะเบาๆ ตรงข้างแก้ม เรียกให้อาคาเนะลืมตามขึ้นมอง ตอนนั้นถึงได้เห็นสังเกตเห็นว่าซาโตรุกำลังยิ้มด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้


“อย่าทำให้เป็นห่วงจะได้ไหม เจ้าเด็กคนนี้” ซาโตรุใช้สองมือประคองใบหน้าอาคาเนะเอาไว้ ตอนอาคาเนะถูกเอาตัวไปเขากลัวไปหมด กลัวว่าจะไม่มีวันได้เห็นอาคาเนะอีก


“ขอโทษขอรับ” อาคาเนะคว้ามือซาโตรุเอาไว้พลางก้มหัวลง ทั้งเสียใจและโล่งใจที่ได้รู้ว่าพี่ชายคนนี้ยังคงเป็นห่วง ไม่ได้หวาดกลัว หรือรังเกียจ ทั้งที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับปีศาจ


“ไม่ต้องมาสำออยเลย ก่อนนี้ทำเก่งนัก” โคคิไม่เพียงว่ากล่าว แต่ยังตบหัวอาคาเนะจนเกือบเซไปชนซาโตรุเข้า ได้ยินเสียงซาโตรุตวาดใส่โคคิกลับไป แต่อาคาเนะไม่ได้โกรธ ตรงข้ามเขากลับหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ


“ผู้ใหญ่ดุต้องสลดสิ ยังจะหัวเราะอีก” โคคิยกมือหมายจะเคาะหัวอาคาเนะอีกสักครั้ง แต่โดนซาโตรุปัดมือออกเสียก่อน ซ้ำยังเอาตัวมาบังอาคาเนะไว้ด้วย


“พอได้แล้ว ตัวเองก็ดีใจที่อาคาเนะกลับมา อย่ามาทำโหด”


“ดีใจก็ส่วนดีใจ ทำโทษก็ส่วนทำโทษ มานี่เลยเจ้าตัวดี มานี่!” อาคาเนะกระโดดหลบอุ้งมือหมียักษ์โดยมีซาโตรุเป็นโล่ เสียงหัวเราะของอาคาเนะปะปนกับเสียงโวยวายของโคคิ เรียกรอยยิ้มจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี แม้สุดท้ายทุกคนจะต้องพร้อมใจกับหุบปากเมื่อซาโตรุตวาดออกมา


“ขออภัยที่พวกเราค่อนข้างเอะอะไปเสียหน่อย” คนที่ซาโตรุหันไปพูดด้วยคือโทชิฮิโระซึ่งยังมีฐานะเป็นแขกอยู่


“ไม่เป็นไร ข้าออกจะชอบ” ปากตอบซาโตรุ แต่สายตายแอบมองไปทางอาคาเนะ คนถูกมองเองก็รู้ตัวเลยแสร้งทำเป็นแหงนมองฟ้าไม่สนใจ


“ขอบคุณที่พาอาคาเนะกลับมา” ซาโตรุโน้มตัวลงคำนับ หากไม่ได้โทชิฮิโระไม่รู้ว่าป่านนี้อาคาเนะจะเป็นอย่างไรบ้าง


“ทั้งหมดเป็นความผิดข้า แค่พวกท่านไม่เอาความก็พอ” เรื่องร้ายในครั้งนี้ ต้นเหตุทั้งหมดล้วนเกิดจากตัวโทชิฮิโระเอง บางทีมันอาจเริ่มนับตั้งแต่เมื่อเขายอมให้สึซึรันมาอยู่ข้างกายด้วยซ้ำ


“มีเรื่องอยากจะขอคุยกับพวกท่านตามลำพัง...สักหน่อย” ซาโตรุและโคคิมองหน้ากันก่อนหันไปมองอาคาเนะ เพราะเข้าใจว่าคำว่า ‘ตามลำพัง’ นั้น หมายถึงต้องกันใครออกไป อาคาเนะกะพริบตาปริบๆ เอียงคอมองทุกคนด้วยความไม่เข้าใจ สุดท้ายโคคิจึงเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมา


“ขึ้นห้องไปก่อนไป ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน” โคคิโบกมือไล่อาคาเนะพลางเดินไปจับหมุนตัวให้หันกลับเข้าร้าน


“ทำไม”


“ไม่ต้องถาม ถ้ายังเรื่องมาก เดี๋ยวข้าจะยกเจ้าให้เขาแบบแถมเงินให้ด้วย” เวลาแขกขอคุยส่วนมากมักไม่พ้นเพื่อตกลงเรื่องราคาค่าไถ่ตัวคาเงมะที่ตัวเองต้องการ ระหว่างโทชิฮิโระกับอาคาเนะก็ดูจะผูกพันกันมาก โคคิเลยคิดไปทางนั้น


“เกี่ยวอะไรกัน!” ถึงปากจะโวยวายแต่อาคาเนะยังยอมเดินไปตามแรงของโคคิ มีแอบหันมาแลบลิ้นใส่ก่อนวิ่งหนีขึ้นบันไดไป


“ดูลูกรักเจ้าเถอะซาโตรุ กับข้านี่ไม่เคยจะเคารพ” กับซาโตรุยังพี่อย่างนั้น พี่อย่างนี้ กับแขกยิ่งสำรวม รู้จักออดอ้อนใส่ แตกต่างจากที่แสดงออกกับโคคิอย่างสิ้นเชิง


“เพราะเจ้าชอบแกล้งอาคาเนะต่างหาก สมควรแล้ว” ซาโตรุส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วหันมาเชื้อเชิญโทชิฮิโระเข้าไปด้านในเพื่อคุยกันเสียที







เสียงดนตรีบรรเลงจากเครื่องสายกังวานใสภายในห้อง อาหารรสเลิศ สุรารสดียิ่งพาให้บรรยากาศรื่นรมย์ขึ้น เรียวนิ้วที่กรีดลงมาสายแต่ละเส้นสร้างให้มันกลายเป็นบทเพลงแสนหวานขึ้นมา


“ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าเก่งโคโตะด้วย” นักดนตรีในค่ำคืนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เพราะอาคาเนะเพิ่งกลับมา และซาโตรุอยากตอบแทน โทชิฮิโระถึงได้มีโอกาสฟังดนตรีอันไพเราะนี้


“ทุกคนที่นี่ต้องเรียนดนตรีสักอย่างอยู่แล้ว เพียงแต่แขกของข้ามักไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องดนตรีนัก” อาคาเนะทาบฝ่ามือลงบนสายเพื่อหยุดเสียงพลางยืดอกยิ้มอย่างภูมิใจ เขาถูกบังคับให้เรียนตั้งแต่เข้ามาที่ร้านใหม่ๆ แต่แทบไม่เคยเล่นมันให้แขกคนไหนฟัง ดูท่าซาโตรุคงอยากตอบแทนโทชิฮิโระมากถึงเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมขนาดนี้


“ไม่เล่นต่อแล้วหรือ” คนฟังหยักยิ้มที่มุมปาก ท่าทางอาคาเนะตอนบรรเลงดนตรีทั้งแปลกตาและสวยงามชวนมอง


“ฟังมากไปเดี๋ยวจะเบื่อ ข้าเติมเหล้าให้นะ” เด็กหนุ่มลุกออกจากที่นั่ง ฉวยหยิบขวดสุราก่อนนั่งลงข้างๆ โทชิฮิโระ คนที่นั่งอยู่ก่อนส่งจอกให้พลางมองดูคนรินไปด้วย


“มองอะไร” ถึงจะไม่ได้สบตา แต่อาคาเนะรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกมองอยู่ จอกเหล้าถูกส่งคืน ส่วนขวดเปล่าในมือถูกตั้งไว้ข้างๆ


“กำลังคิดถึงวันแรกที่เจอเจ้าอยู่ ดื้อกว่านี้หลายเท่านัก” วันแรกที่เจอกัน อาคาเนะเอาแต่เขม่นใส่โทชิฮิโระ ขนาดรินเหล้ายังทำหน้าราวกับอย่างจะขว้างขวดเหล้าใส่เขาเสียให้ได้


“เพราะท่านมันทำตัวไม่น่าไว้ใจไม่ใช่หรือ วาจาเหมือนพวกเจ้าชู้ไม่มีผิด” อาคาเนะย่นจมูก โทชิฮิโระที่ได้พบวันแรกดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจเป็นที่สุด ไม่นึกว่าวันนี้จะมานั่งอยู่ข้างกันได้


“แล้วตอนนี้ยังคิดว่าข้าเจ้าชู้หรือเปล่า” สายตาคนถามไม่ได้มองมาที่อาคาเนะ แต่กำลังก้มมองลงไปในจอกเหล้าในมือ ก่อนกระดกน้ำในนั้นลงคอรวดเดียวหมด


“ตอนนี้ไม่ แต่วันหน้าใครจะรู้” อาคาเนะเบ้ปากพร้อมยักไหล่ เรื่องอะไรเขาจะยอมตอบเอาใจโทชิฮิโระเพียงอย่างเดียว


“ช่างพูด ดื่มกับข้าสิอาคาเนะ” โทชิฮิโระยื่นจอกเหล้าไปทางอาคาเนะอีกครั้ง นานแล้วเหมือนกันที่พวกเขาไม่ได้ดื่มเป็นเพื่อนกัน


“ขวดเก่าหมดแล้ว ข้าจะไปสั่งให้ใหม่” หน้าที่ดูแลแขกไม่ว่าเรื่องใดๆ ภายในห้องนี้ล้วนเป็นหน้าที่อาคาเนะ พอเก็บขวดเปล่าส่งคืนไป ไม่นานนักเหล้าขวดใหม่ก็ถูกส่งกลับมาพร้อมด้วยจอกเพิ่มมาอีกหนึ่ง


“คืนนี้คงไม่วางยาข้าใช่ไหม” โทชิฮิโระเอ่ยถามพลางเหลือบตาไปทางสำรับน้ำชาที่พวกเขาต่างรู้ดีว่าอาคาเนะมีมันไว้เพื่ออะไร

 
“อยากดื่มสักถ้วยไหม เผื่อจะหลับสบาย” อาคาเนะยิ้มเจ้าเล่ห์ระหว่างยกจอกเหล้าของตนขึ้นดื่ม รู้ว่าโทชิฮิโระแกล้งถาม เขาเลยแกล้งถามกลับ ทั้งที่ความจริงสำรับน้ำชานั้นไม่มีแม้แต่น้ำด้วยซ้ำ เพราะไว้ใจ และรู้จักกันมากพอจนไม่ต้องพึ่งยาสลบอีกแล้ว หากอาคาเนะเอ่ยปาก โทชิฮิโระคงแบ่งเลือดให้แต่โดยดี


“ดื่มอีกสิ ข้าดื่มไปเป็นขวดแล้ว” โทชิฮิโระคว่ำจอกของตัวเองลง เป็นสัญญาณว่าเขาจะไม่เติมมันอีกในเร็วๆ นี้ อาคาเนะพยักหน้ารับแบบไม่เกรงใจ ใช่ว่าเขาจะได้ทำตัวตามสบายบ่อยๆ มีหรือจะพลาดการผ่อนคลายด้วยสุราดีๆ เสียบ้าง


“ท่านคุยอะไรกับพวกโคคิหรือ” หลังดื่มติดต่อกันเป็นจอกที่สาม อาคาเนะคิดว่าควรจะชวนคุยเรื่องอื่นบ้าง ก่อนที่เขาจะเผลอกระดกคนเดียวหมดทั้งขวด


“เรื่อง...ของวันหน้า”


“วันหน้า?”


“เมื่อถึงวันนั้นเจ้าจะได้รู้”


“ทำอย่างกับเป็นความลับนักหนา” อาคาเนะโคลงหัวไปมาพลางกระดกเหล้าเข้าไปอีกจอก เขาเองไม่ได้อยากรู้สักเท่าไรเลยคร้านจะถามต่อ


“อาคาเนะ”


“ขอรับ” แม้ปากจะตอบ แต่อาคาเนะยังคงมีความสุขกับสุราในมือ อยู่กับโทชิฮิโระ เขาจะเป็นตัวของตัวเองสักเท่าไรก็ได้ นั่นคงเป็นหนึ่งในข้อดีของผู้ชายคนนี้


“ไม่มีอะไร” กลับเป็นคนเรียกที่เป็นฝ่ายล้มเลิกไปเสียก่อน ทำให้คิ้วของอาคาเนะขมวดยุ่ง


“ถ้าอยากจะถามก็ถามสิ ส่วนจะตอบหรือไม่มันสิทธิ์ของข้า” มาเรียกกันแล้วเงียบไปแบบนี้ ชวนให้รู้สึกสงสัยพิกล


“แล้วถ้าถามว่าเจ้ารักข้าไหม เจ้าจะตอบหรือเปล่า” คราวนี้คนถูกถามถึงกับสำลักออกมา ต้องทุบอกตัวเอง ไอโขลกอยู่พักใหญ่ถึงจะสงบลงได้


“คนอย่างท่านนี่มัน!” ใบหน้าอาคาเนะขึ้นสี แต่พอเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของโทชิฮิโระก็รีบหุบปากแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทางแทน เรื่องหน้าด้านหน้าทนคงหาคนเทียบโทชิฮิโระได้ยาก ไม่น่าหลงกลหลุมพรางเล็กๆ นั่นเลย


ทว่านาทีต่อมาจอกเหล้ากลับหลุดลงจากมือของอาคาเนะ โชคดีที่ตกลงไปไม่สูงมากเลยไม่ถึงกับแตก แต่มันทำให้อาคาเนะต้องก้มลงซบหน้ากับฝ่ามือตัวเอง


“อาคาเนะ” โทชิฮิโระเลื่อนตัวเข้าไปหาอาคาเนะ แล้วรั้งให้เด็กหนุ่มเอนตัวมาซบลงบนไหล่ แว่วเสียงครางเครือจากคนที่ยังคงกุมขมับตัวเองอยู่


“ข้ารู้สึกมึนๆ ปกติไม่เป็นอย่างนี้” อาคาเนะค่อนข้างมั่นใจในความคอแข็งของตัวเองมาตลอด แต่นี่เหล้ายังไม่ทันหมดขวดแรกด้วยซ้ำ อยู่ๆ กลับปวดหัว ตาลายขึ้นมา


“คิดอยู่เหมือนกันว่ากับเจ้ามันคงออกฤทธิ์ช้ากว่า” ประโยคที่โทชิฮิโระเอ่ยออกมานั้นทำให้ดวงตาคนฟังเบิกกว้าง พยายามขืนตัวออกห่าง แต่ถูกอีกฝ่ายใช้แรงยึดไหล่เอาไว้


“ท่านทำอะไรข้า!” สมองมึนชาขึ้นทุกที ภาพตรงหน้าเริ่มจะพร่ามัวไปหมด แต่ทำไม เพราะอะไรโทชิฮิโระถึงต้องวางยาเขาด้วย


“เพราะเราหมดธุระกันแล้ว เพราะเจ้าไม่มีประโยชน์ต่อข้าอีก” ร่างกายของอาคาเนะเกร็งขึ้น มือที่พยุงตัวโดยวางอยู่บนขาของโทชิฮิโระกำแน่นจนมันสั่น ก่อนเจ้าของคำพูดใจร้ายจะคว้ามือข้างนั้นมาจูบลงบนหลังมือแล้วบีบเอาไว้เบาๆ


“ถ้าข้าพูดแบบนั้นกับเจ้าได้ก็คงดี คงไม่ต้องใช้ยากับเจ้า” แม้จะเลือนราง แต่อาคาเนะยังคงมองเห็นสีหน้าของความเจ็บปวดบนใบหน้าโทชิฮิโระ


“ทำไม..” น้ำเสียงอาคาเนะขาดหาย สติของเขาใกล้หลุดลอยเต็มที เหล้าขวดนั้น เขาดื่มมันเพียงคนเดียว แต่ไม่ใช่โทฮิโระที่เป็นคนเตรียมเหล้านั้นเสียหน่อย


“ข้ามีที่ที่ต้องไปอาคาเนะ” โทชิฮิโระโอบกอดอาคาเนะเอาไว้ด้วยสองแขน เกยคางลงบนไหล่ และกอดให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้


“การบอกลาเจ้ามันยากเกินกว่าข้าจะทำได้” เส้นทางที่โทชิฮิโระจะก้าวไปต่อ เป็นเส้นทางที่ไม่สามารถพาอาคาเนะไปด้วยได้ ความจริงเขาควรทำให้อาคาเนะเกลียดแล้วจากไป จึงนับเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกับอาคาเนะมากที่สุด แต่เพราะเสียงร่ำไห้ราวจะขาดใจของอาคาเนะที่เคยได้ฟังมาครั้งหนึ่ง มันบาดลึกเกินจะรับไหว โทชิฮิโระถึงได้เลือกวิธีนี้


“อย่าตามหาข้า อย่ารอข้า ถึงลืมข้าก็ไม่เป็นไร แต่สัญญาที่ข้าให้ไว้จะไม่เปลี่ยน สักวันข้าจะกลับมา แล้วถ้าเจ้ายังต้องการข้า เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”


“ไม่เอา...อย่าไป” หยดน้ำอุ่นร้อนไหลล้นลงจากหัวตา แต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถกอดรั้งโทชิฮิโระเอาไว้ได้


“ขอโทษ ข้าผิดเองทุกอย่าง อย่าร้องไห้เลย” คำปลอบโยนที่ได้ยินค่อยๆ เบาลงทุกที แม้หัวใจจะปวดร้าวสักเพียงใด แต่ไม่สามารถฝืนร่างกายให้คงสติเอาไว้ได้


“โทชิ”


“ขอโทษนะอาคาเนะ”


“โทชิ...”


“ลาก่อน เด็กน้อยของข้า”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

 
:ling3: หลบอาวุธใดๆ ที่จะลอยมาหา เค้าไม่รู้เรื่องนะ เค้าไม่ได้ทำาา

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 21 ดนตรีบรรเลง [08/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 08-01-2017 23:55:06
สนุกมากกกก มาต่อนะ รักจิ้งจอกน้อยมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 21 ดนตรีบรรเลง [08/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 09-01-2017 00:27:30
น่าสนใจนะเรื่องนี้ แนวแฟนตาซี มาร์กไว้ก่อนค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 21 ดนตรีบรรเลง [08/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 09-01-2017 10:50:46
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 22 เมื่อหิมะโปรย [09/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 09-01-2017 22:57:45
บทที่ 22

เมื่อหิมะโปรย





เทือกเขาอันสูงชัน เป็นดั่งปราการธรรมชาติที่คอยตัดขาดหุบเขาแห่งนี้ออกจากโลกมนุษย์ บวกกับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ และหิมะที่ตกเกือบตลอดปี ยิ่งทำให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ไม่มีมนุษย์คนใดอยากย่างกรายเข้ามาใกล้


ทว่าท่ามกลางหิมะขาวโพลนและผาสูง มีคฤหาสน์หลังหนึ่งซุกซ่อนตัวอยู่ แม้หลังคาจะปกคลุมหนาด้วยหิมะ แต่ภายในยังคงมีเปลวไฟที่ไม่เคยมอดดับส่องสว่างอยู่


“ท่านมาซาโนริ” สตรีผู้สวมกิโมโนสีขาว ยืนนิ่งอยู่หน้าบานประตูที่ปิดสนิทบานหนึ่ง แววตาของนางหม่นเศร้าเพราะหลายวันแล้วที่ห้องนี้ปิดตายไม่ต้อนรับคนนอก และไม่มีเสียงตอบจากคนข้างใน แต่นางมั่นใจว่าคนที่เรียกหายังอยู่ข้างในนั้น


“ข้าเป็นห่วงท่าน ได้โปรด เปิดประตูได้ไหม” เพราะรู้ว่ามาซาโนริกำลังต่อสู้กับสิ่งใด คาสุมิจึงยอมทนเงียบมาตลอด เพราะสิ่งที่มาซาโนริกำลังต่อสู้อยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่นางจะช่วยเหลือได้ แต่มันนานเกินไปที่จะอยู่คนเดียว


“โทชิฮิโระกลับมาหรือยัง” ในที่สุดก็มีเสียงตอบกลับออกมา น้ำเสียงที่ถามกลับมานั้นแหบพร่าจนคนฟังเผลอกำมือแน่น


“ยัง” คำตอบสั้นๆ ก่อเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระแทกของบางสิ่ง รุนแรงจนพื้นไม้สะเทือน กองหิมะทับถมบนหลังคาต่างพากันไถลเลื่อนลงมา


“ไปเอาตัวมันมาให้ข้า! เวลา...เหลืออีกไม่มากแล้ว” น้ำเสียงของมาซาโนริทั้งเกรี้ยวกราดและสับสน คาสุมิทำได้เพียงเบือนหน้าหนีพร้อมหลับตาลง การเป็นเทพตกสวรรค์ คือยาพิษสำหรับเหล่าเทพ และตอนนี้พิษนั้นกำลังกัดกินมาซาโนริเข้าไปทุกที


โทษทัณฑ์จากสวรรค์ ไม่มีใครหนีรอดได้ มีแต่ต้องเลือกว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับมันอย่างไร


“ได้ตามประสงค์ นายท่าน”







ร่างที่หมดสติถูกอุ้มไปวางลงบนฟูกอย่างนุ่มนวล หางตาของคนหลับยังมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ โทชิฮิโระใช้นิ้วหัวแม่มือช่วยปาดมันออกไป มือข้างเดิมถูกใช้เพื่อลูบไล้ใบหน้าของอาคาเนะด้วยความทะนุถนอม ไม่รู้ว่าครั้งหน้าถ้าเจอกัน ใบหน้านี้จะยังคงยิ้มให้กับเขาไหม


เมื่อผู้ที่ช่วยชีวิตเขา และช่วยชีวิตสึซึรันเป็นคนคนเดียวกัน แต่กลับไม่คิดแก้ไขความเข้าใจผิด โทชิฮิโระจึงเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะเชื่อใจมาซาโนริได้สักแค่ไหน แต่เดิมคำสั่งที่เขาได้รับมาคือการเข้าใกล้ลูกครึ่งจิ้งจอก และสร้างความเชื่อใจให้ได้มากที่สุด มาซาโนริไม่เคยบอกถึงเหตุผล และตัวเขาในตอนนั้นก็ไม่คิดใส่ใจ


ต่างกับเวลานี้ หากความเชื่อใจนั้นจะถูกใช้เพื่อทำร้ายอาคาเนะ ถือเป็นความรับผิดชอบของโทชิฮิโระที่ต้องหยุดมัน ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด แม้ว่าจะต้องทำให้อาคาเนะเสียใจอีกก็ตาม


เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนที่มันจะถูกเปิดออก ชายสองคนก้าวมา และเป็นซาโตรุที่ถอนหายใจ สีหน้าทุกข์ใจของโทชิฮิโระไม่ใช่สิ่งคุ้นเคยนักสำหรับซาโตรุ


“ขอบคุณที่เตรียมยาให้” ถ้าไม่ใช่ด้วยความร่วมมือของเจ้าของร้านทั้งสอง มีหรือที่โทชิฮิโระจะสามารถวางยาอาคาเนะได้ ก่อนหน้านี้ที่ขอคุยกับซาโตรุกับโคคิตามลำพังก็เพื่อบอกเล่าเรื่องราวเท่าที่บอกได้


“ทำอย่างนี้ ดีแล้วจริงหรือ” โคคิถามเสียงขุ่น ตอนที่โทชิฮิโระบอกออกมาว่าจะต้องจากไปสักระยะ เขาคิดว่าคงแค่เป็นการเดินทางเพื่อธุระบางอย่าง แต่ถึงขั้นวางยากัน การเดินทางนี้คงอันตรายกว่าที่คิด


“จากนี้คงต้องรบกวนพวกท่าน” สิ่งที่โทชิฮิโระขอต่อโคคิและซาโตรุไม่ได้มีเพียงสุราผสมยานอนหลับอย่างแรงแค่ขวดเดียว แต่รวมถึงการฝากฝังอาคาเนะเอาไว้ด้วย


“เจ้านี่แปลกคน เสียเงินตั้งมากเป็นค่าไถ่ตัวอาคาเนะ แต่กลับไม่ยอมพาไป แล้วยังฝากไว้กับพวกเราอีก” โคคิเกาหัวแกรกๆ จะว่าไปเรื่องที่คุยกันก็ถือว่าเป็นไปตามคิดอยู่ โทชิฮิโระจ่ายเงินก้อนใหญ่เป็นค่าอิสระของอาคาเนะ แต่บอกเพียงว่าเมื่อถึงเวลาจะมีคนมาพาอาคาเนะไป


“ที่นี่คือบ้านสำหรับอาคาเนะ มีพวกท่านอยู่จะได้ไม่ต้องห่วง” ครั้งนี้เขาสร้างความเจ็บปวดให้อาคาเนะด้วยมือตัวเองอีกครั้ง การจะรักษาบาดแผลนั้น อาคาเนะจำเป็นต้องมีคนอยู่ด้วย ในโลกนี้คงมีแต่ซาโตรุกับโคคิเท่านั้นที่พอจะพึ่งพาได้


“ถ้าท่านลำบากเรื่องกำลังคน โคคิอาจช่วยท่านได้” คำแนะนำแฝงความเป็นห่วงของซาโตรุเรียกรอยยิ้มจากโทชิฮิโระ น่าเสียดายที่ความช่วยเหลือนั้นไม่เพียงพอจะรับมือกับปัญหาที่รออยู่


“ขอบคุณ แต่คงไม่ได้ ข้าต้องไปแล้ว” โทชิฮิโระลุกขึ้นยืน เหลียวมองคนที่หลับไปแล้วก่อนหันกลับมาหาอีกสองคนในห้อง


“แล้วพบกันใหม่” ทั้งสองฝ่ายต่างก้มหัวลงเพื่อบอกลากันและกัน เมื่อโทชิฮิโระออกไปแล้ว ซาโตรุถึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เรื่องเช่นนี้อาจเป็นคำสาปของการเป็นคาเงมะ ให้ความรักช่างเป็นสิ่งที่ได้มายากยิ่ง







สายลมเย็นยะเยือกพัดมากระทบผิว พร้อมกับละอองเย็นบางเบาที่ล่องลอยลงมาท่ามกลางความมืด โทชิฮิโระหงายมือขึ้นพลางแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า เช่นเดียวกับหลายคนที่ยังเดินอยู่บนท้องถนน


หิมะแรกได้เริ่มโปรยปรายลงมาแล้ว...


“โทชิฮิโระ” เสียงหนึ่งเรียกขานจากด้านหลัง โทชิฮิโระลดมือลงก่อนหันหลังกลับไป ปีศาจหิมะที่หายหน้าไปกลับมาอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว ช่างประจวบเหมาะเสียจริง


“หายไปไหนมา ข้าฝากเจ้าดูอาคาเนะไม่ใช่หรือ” ก่อนหน้านี้เขาฝากฝังอาคาเนะไว้กับคาสุมิ แต่ปีศาจหิมะกลับหายตัวไป ปล่อยให้อาคาเนะถูกจับ ไม่แน่ นั่นอาจเป็นความตั้งใจของนางก็เป็นได้


“นายท่านอาการแย่ลง” ใบหน้าของคาสุมิไม่ยิ้มแย้มเหมือนเคย นางใช้มือข้างหนึ่งบีบต้นแขนของตัวเองจนแน่น


“เจ้าก็รู้ว่าสำหรับข้า สิ่งใดสำคัญที่สุด” คาสุมิจงรักภักดีต่อมาซาโนริอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นสิ่งเดียวที่โทชิฮิโระคิดว่ามองคาสุมิได้ทะลุปรุโปร่ง บ่อยครั้งที่นางหายตัวไป ล้วนเพื่อกลับไปอยู่ข้างกายมาซาโนริทั้งนั้น


“นายท่านเรียกหาเจ้า”


“พาไปสิ” โทชิฮิโระยื่นมือให้ เขาเองก็ต้องการพบมาซาโนริอยู่แล้ว ถือเป็นโอกาสดี ไม่ต้องเดินทางฝ่าพายุหิมะอีกด้วย
ชั่วขณะหนึ่งที่แววตาของปีศาจหิมะวูบไหว


ก่อนนางจะคว้ามือโทชิฮิโระแล้วสร้างพายุหมุนขึ้นโอบล้อมพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้ แว่วเสียงผู้คนร้องอย่างตกใจ จนกระทั่งเมื่อเสียงของลมได้กลบทุกสิ่ง ตราบจนเมื่อพายุหิมะสลาย รอบกายพวกเขาก็ไม่ใช่กลางเมืองอีกต่อไป


“ตามข้ามา” โทชิฮิโระพยักหน้าพลางใช้มือปัดเศษหิมะออกจากตัวไปด้วย คฤหาสน์หลังนี้เขาเคยมาพักอยู่ระยะหนึ่ง ยังจำได้ดีว่าถ้าก้าวพ้นเขตตัวคฤหาสน์ออกไปจะต้องพบกับความหนาวเย็นจนสะท้านถึงกระดูก แต่ด้วยเขตอาคมของมาซาโนริ ทำให้ภายในอากาศค่อนข้างอุ่น จนแม้แต่เขาที่อยู่ในร่างมนุษย์ยังอาศัยอยู่ได้สบาย


“นายท่าน ข้าพาโทชิฮิโระมาแล้ว” ประตูบานเดิมที่คาสุมิทำได้เพียงยืนเฝ้ามาหลายวันค่อยๆ แง้มเปิดออกเมื่อคนที่ต้องการพบมาถึง ภายในห้องมืดสนิทจนมองอะไรแทบไม่เห็น ก่อนที่เปลวไฟบนเชิงเทียนที่ข้างผนังจะถูกจุดขึ้นโดยคาสุมิ


แสงสว่างสร้างเงาดำที่วูบไหวไปตามจังหวะของเปลวไฟ เพียงพอให้มองเห็นร่างของชายคนอีกที่หลบซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าสีดำสนิท


“ทำไมไม่พาจิ้งจอกกลับมาด้วย” น้ำเสียงของมาซาโนะเรียบนิ่งทว่าแฝงไว้ด้วยความกดดันอย่างน่าประหลาด คาสุมิถอยไปยืนชิดกำแพงห้อง ปล่อยให้โทชิฮิโระยืนอยู่ต่อหน้ามาซาโนริตามลำพัง


“ท่านยังไม่ได้บอกว่าให้ข้าใกล้ชิดกับจิ้งจอกตัวนั้นเพื่ออะไร” โทชิฮิโระตอบกลับโดยไม่แสดงออกถึงความหวั่นเกรงใดๆ สำหรับเขามาซาโนริไม่ใช่เทพตกสวรรค์ที่น่าหวาดกลัว เป็นเพียงชายคนหนึ่งที่ได้รู้จักโดยบังเอิญเท่านั้น


“วันนั้นเจ้าไม่ถาม เหตุใดถึงมาถามเอาป่านนี้ หากข้าตอบเหตุผลที่เจ้าไม่พอใจ จะยกเลิกสัญญาหรือ” มาซาโนริก้าวเข้ามาโทชิฮิโระช้าๆ ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้เงาผ้าคลุมดูคล้ายทอประกายขึ้นเล็กน้อย


“ข้ามีสิทธ์จะรู้ ตราบเท่าที่เรายังมีพันธสัญญาต่อกัน”


“ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าหลงรักจิ้งจอกเข้าแล้วหรือ” มือของมาซาโนริทาบลงบนอกซ้ายของโทชิฮิโระที่ยังคงปิดปากเงียบ


“น่าเศร้านักมังกรเอ๋ย พิษรักจากเด็กสาวชาวมนุษย์เคยเกือบฆ่าเจ้ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เจ้าก็ยังลุ่มหลงไปกับมันอีก” โทชิฮิโระขบกรามแน่น เขาคว้ามือของมาซาโนริแล้วปัดออก


“นั่นไม่ใช่ปัญหาของท่าน แค่ตอบคำถามข้า!”


“ชีวิตของจิ้งจอก หากข้าบอกเช่นนี้ เจ้าจะยอมแลกกับชีวิตตัวเองไหม” สัญญาที่ตกลงกัน คือการชำระล้างพิษปีศาจทั้งหมดออกจากร่างมังกรของโทชิฮิโระ หากยกเลิกสัญญานั่นเท่ากับเทพมังกรจะต้องกลับสู่ชะตากรรมเดิม และตายไปพร้อมร่างของตน


“ถ้าแค่ชีวิต คงไม่ต้องพึ่งข้า” ด้วยอำนาจมาซาโนริ การจะฆ่าอาคาเนะดูจะง่ายแสนง่าย หากมาซาโนริต้องการเพียงเลือดเนื้อ หรือวิญญาณ โทชิฮิโระคงไม่มีโอกาสได้เจออาคาเนะด้วยซ้ำ


“ประตูยมโลก เจ้าเคยเห็นมันหรือเปล่า” มาซาโนริเดินผ่านโทชิฮิโระไปหาคาสุมิ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินมาใกล้ คาสุมิจึงขยับไปยืนข้างๆ แล้วใช้มือแตะข้อศอกเอาไว้คล้ายจะช่วยพยุง


“เรื่องเล่าเก่าแก่ มีเพียงคนตายเท่านั้นที่ข้ามไปยังยมโลกได้” คิ้วของโทชิฮิโระขมวดยุ่ง คิดไม่ออกว่าเรื่องประตูยมโลกจะมีความเกี่ยวข้องกับอาคาเนะที่ตรงไหน


โลกและยมโลกเชื่อมถึงกันด้วยความเป็นและความตาย แต่อีกนัยหนึ่ง ทั้งสองโลกได้ถูกตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคนเป็นไม่สามารถไปยังแม่น้ำแห่งความตายได้


ดังนั้นในสมัยโบราณจึงเคยมีความเชื่อ เรื่องเล่าขานถึงประตูที่เชื่อมต่อระหว่างโลกของคนเป็นกับคนตาย ว่ากันว่าหากประตูบานนั้นเปิดออก โลกของความตายจะค่อยๆ กลืนกินคนเป็นทีละน้อย และเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นดินแดนของภูตผีปีศาจไปในที่สุด


“ข้าจะเปิดประตูนั่น และมีเพียงปีศาจที่กำเนิดจากยมโลกเท่านั้นที่เปิดมันได้” ต้นกำเนิดปีศาจมีมากมายหลายสาเหตุ ส่วนมากมักเกิดจากความแค้น ความเศร้า และความเกลียดชัง ทว่ายังมีปีศาจบางพวกที่ถือกำเนิดจากขุมนรกอยู่


ด้วยเขตแดนระหว่างภพทำให้มีเพียงปีศาจไม่กี่ตนที่สามารถหลุดรอดขึ้นมายังโลกเบื้องบนได้ การตามหาสายเลือดปีศาจเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งยากยิ่ง จนต้องยอมใช้แม้กระทั่งลูกครึ่งปีศาจ


“นี่ท่าน...!” เพียงขยับตัว ขาทั้งสองข้างของโทชิฮิโระกลับถูกตรึงไว้กับพื้นด้วยแท่งน้ำแข็งจนก้าวขาไม่ออก สายตาของโทชิฮิโระจึงตวัดมองไปยังปีศาจหิมะที่อยู่ไม่ไกล คาสุมิกำลังปกป้องนายของนางอยู่ ใบหน้านางไร้รอยยิ้ม และมองผ่านโทชิฮิโระราวกับเป็นเพียงอากาศ


“อาคาเนะจะไม่มีวันช่วยท่าน ยกเลิกพันธสัญญาที่มีต่อกัน” หากสัญญานั้นต้องแลกด้วยการให้อาคาเนะทำลายชีวิตนับร้อยนับพัน บ่าเล็กๆ นั่นไม่มีวันจะแบกรับมันไหว


“ยอมเลือกความตายให้ตัวเองหรือ” โทชิฮิโระไม่ยอมตอบคำถามของมาซาโนริ เขาเตรียมใจมาเพื่อยกเลิกสัญญาตั้งแต่ต้น หากอยากขัดประสงค์เทพตกสวรรค์คงมีแต่ต้องแลกด้วยชีวิตเท่านั้น


“เสียดายที่ข้าไม่ได้สนใจสัญญานั่นแต่แรก” ผ้าคลุมเหนือศีรษะค่อยๆ ถูกปลดออก เมื่อมันร่วงหล่นลงสู่พื้นจึงเผยให้เห็นเขาเล็กๆ ข้างหนึ่งที่งอกขึ้นบนหน้าผากด้านซ้ายของมาซาโนริ


“อีกไม่นานข้าจะถูกปีศาจเข้ายึดร่าง คิดว่าข้ามีเวลานั่งรอเจ้าพาจิ้งจอกมาหาหรือ” มันคือการลงโทษจากสวรรค์ เทพที่ถูกทอดทิ้งจะค่อยๆ ถูกความมืดเข้ากลืนกินทีละน้อย สุดท้ายจะสิ้นไร้พลัง กลายเป็นเพียงปีศาจที่เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ
ดวงตาของโทชิฮิโระเบิกกว้างขึ้นทีละน้อย แต่ละก้าวที่มาซาโนริเดินเข้ามาหา ช่วยย้ำเตือนให้รู้ว่าเขาเพิ่งทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่


“เข้าใจแล้วใช่ไหม ข้าส่งเจ้าไปเพื่อใช้ล่อจิ้งจอกให้มาหา ความรัก...คือยาพิษที่รุนแรงที่สุดบนโลกใบนี้!” สิ้นเสียงนั้น แท่งน้ำแข็งได้ขยายตัวขึ้นจนห่อหุ้มร่างกายของโทชิฮิโระเอาไว้ทั้งหมด ปีศาจหิมะค่อยๆ ลดมือที่ร่ายอาคมลง เบือนหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนรอยยิ้มอันขมขื่น


นางคือผู้ที่รับรู้ทุกเรื่องตั้งแต่ต้น นำพาทั้งสองให้มารู้จัก คอยกระตุ้นให้โทชิฮิโระเข้าใกล้อาคาเนะ สร้างความผูกพันขึ้นด้วยความห่วงใยและความเจ็บปวด หลอกใช้แม้กระทั่งหญิงสาวที่ไร้ความผิดอย่างสึซึรัน ทั้งหมดเพียงเพื่อให้มาซาโนริมีอำนาจที่จะใช้ชีวิตโทชิฮิโระเพื่อต่อรองกับอาคาเนะ  ให้เด็กหนุ่มคนนั้นต้องเลือกระหว่างคนที่รัก กับชีวิตของคนไม่รู้จัก


 “ไปพาจิ้งจอกมาหาข้า” คำสั่งราบเรียบไร้ความรู้สึก หากหัวใจไม่แปดเปื้อน มาซาโนริคงไม่ถูกขับไล่จากสวรรค์ เขามุ่งมั่นก้าวเดินสู่ปลายทางที่ตั้งใจ


ไม่ว่าต้องเหยียบย่ำสิ่งใดก็ตาม



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


คลานมาอัพในสภาพตาจะปิด เพื่อเปิดดาร์กโหมดอย่างเป็นทางการ  :hao7:



สนุกมากกกก มาต่อนะ รักจิ้งจอกน้อยมากๆเลย

มาต่อแล้วค่า รังแกจิ้งจอกน้อยจะเป็นไรมั้ยคะ  :-[


น่าสนใจนะเรื่องนี้ แนวแฟนตาซี มาร์กไว้ก่อนค่ะ

เป็นลูกผสมหลายสายค่ะเรื่องนี้ หวาน ดราม่า แฟนตาซี ตลก เราเหมาหมด  :laugh:



ขอบคุณมากค่ะ


ขอบคุณที่ติดตามเช่นกันค่า

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 22 เมื่อหิมะโปรย [09/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-01-2017 08:24:05
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 22 เมื่อหิมะโปรย [09/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 10-01-2017 12:28:09
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 23 เพียงแค่...รัก [10/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 10-01-2017 19:30:28
บทที่ 23

เพียงแค่...รัก





สายลมยามเช้าหลังหิมะเริ่มตกลงมาเมื่อคืนหนาวเย็นกว่าวันอื่นๆ คนที่หลับอยู่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ สมองหมุนคว้างจนต้องยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ทบทวนความทรงจำที่ดูจะขาดหายไปบางช่วง


“โทชิ!” อาคาเนะลุกพรวดขึ้นกวาดสายตาไปรอบตัว ทุกด้านมีเพียงห้องที่ว่างเปล่า ไร้เงาคนที่ควรจะอยู่ด้วยกัน ถ้อยคำบอกลายังคงฝังแน่นในความทรงจำที่เหลืออยู่ ผู้ชายจอมเอาแต่ใจ แม้กระทั่งเวลาจะจากไปยังบังคับกัน


“อย่ามาล้อเล่นนะ!” ความอัดอั้นถูกระบายออกมาผ่านน้ำเสียง ทั้งที่โทชิฮิโระเป็นฝ่ายเข้ามาวุ่นวายรอบตัวเขาเองแท้ๆ ทั้งที่พยายามผลักไสตั้งหลายครั้ง แต่ผู้ชายหน้าด้านหน้าทนคนนั้นก็ยังกลับมา คอยวนเวียนรอบกายไม่ยอมไปไหน แล้วทำไมถึงมาบอกลากันเอาป่านนี้


บอกลากันในวันที่เขาสูญเสียหัวใจตัวเองไปแล้ว


ดวงตาร้อนผ่าวแต่ไม่มีน้ำตาจะไหล อยากจะร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก ความเสียใจกำลังตีรวนกับความโกรธอยู่ในอก ชีวิตนี้อาคาเนะเคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่รักใครเด็ดขาด เพราะโลกที่ได้เห็น เพราะงานที่ได้ทำ ล้วนสอนเขาว่าความรักสร้างความทุกข์มากกว่าความสุขเสมอ แต่โทชิฮิโระทำให้เขาลืมความตั้งใจของตัวเอง จนต้องมาเผชิญความเจ็บปวดอย่างตอนนี้
ต้องตามหา


เรื่องอะไรจะต้องเป็นฝ่ายรออย่างไร้จุดหมาย หากต้องอยู่บนเรือที่ลอยคว้างกลางทะเล ไม่รู้ว่าชายฝั่งอยู่ทางไหน สู้ออกแรงพายไป พายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรงไม่ดีกว่าหรือ


“อาคาเนะ ตื่นหรือยัง” เสียงของซาโตรุดังมาจากด้านนอกห้อง อาคาเนะรีบใช้หลังมือเช็ดไปตามใบหน้าเพื่อปรับสีหน้าให้เข้าที่แล้วเดินไปเปิดตูให้


“ข้าเปล่าตื่นสายนะ” อาคาเนะยิ้มร่าเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนเอง ไม่อยากจะทำให้คนอื่นต้องมาเป็นห่วงไปด้วย แต่คนที่เข้ามากลับไม่คิดจะยิ้มด้วยสักนิด


“เป็นอะไรไปพี่ซาโตรุ ทำหน้าบึ้งตึง” ปกติถึงซาโตรุจะไม่ใช่พวกยิ้มเรี่ยราด แต่มักมองอาคาเนะด้วยสีหน้าอ่อนโยนเสมอ ไม่รู้ทำไมวันนี้ซาโตรุถึงกำลังทำหน้าเหมือนคนกินยาขมไปได้


“อย่าฝืนยิ้มได้ไหม เห็นแล้วข้าปวดใจแทน” มืออุ่นวางลงกลางกระหม่อมคนช่างถาม น้ำหนักของมือข้างนั้นทำให้อาคาเนะก้มหน้าลงจนคางแทบจะแตะอก


“ท่าน...รู้เรื่องหรือ” แค่เพียงได้ยินคำพูดของซาโตรุ อาคาเนะรู้สึกเหมือนถูกฉุดกลับไปสู่ความจริงอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง จากที่ไม่มีน้ำตา พอได้รับความอบอุ่น หยดน้ำเหล่านั้นก็เริ่มเอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้


“ท่านโทชิฮิโระไถ่ตัวเจ้าแล้วนะ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน แต่เขาขอให้เราช่วยดูแลเจ้าสักระยะ” น้ำตาหยดลงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ไถ่ตัว’ จากปากคนอื่น ทั้งที่เขาควรจะได้ยินมันจากโทชิฮิโระก่อนใคร


“ไม่คิดจะมาอยู่ด้วยกันจริงๆ หรืออาคาเนะ”


โทชิฮิโระเคยถามเขาแบบนั้น เคยบอกว่าจะรอจนกว่าเขาจะตัดสินใจ แล้วไหนเล่าที่บอกว่าจะอยู่ด้วยกัน ไถ่ตัวกันแล้วแต่ไม่ยอมอยู่เคียงข้าง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร


“ร้องออกมาเถอะอาคาเนะ ข้าจะอยู่กับเจ้าตรงนี้ ไม่บอกใครเด็ดขาด” ซาโตรุโอบกอดอาคาเนะเอาไว้หลวมๆ คอยลูบไหล่ที่กำลังสั่นไหว ไม่มีใครเข้มแข็งได้ตลอดไป แต่เขารู้ว่าอาคาเนะจะลุกขึ้นได้อีกในไม่ช้า


สายลมรุนแรงพัดกระแทกจนบานหน้าต่างสั่นกระทบกันทำให้อาคาเนะเงยหน้าขึ้น ดวงตาและปลายจมูกของเด็กหนุ่มแดงขึ้นจากการร้องไห้


“อากาศไม่ดีเลยวันนี้” ซาโตรุบ่นขึ้นลอยๆ ระหว่างที่มือยังปลอบโยนอาคาเนะอยู่ นับแต่หิมะตกลงมา อากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ แสงตะวันช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ได้แค่นิดหน่อย กลัวว่าเมื่อดวงตะวันลับไป พายุจะมาเยือน


เสียงกระพรวนดังขึ้นจากความว่างเปล่า ไม่นานนักก่อนการปรากฏตัวของใครคนหนึ่งจากกลุ่มควันสีดำที่พุ่งผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ซาโตรุรีบดึงอาคาเนะไปหลบข้างหลัง เขาจำผู้หญิงคนนี้ได้ นางคือปีศาจที่พาตัวอาคาเนะไป


“ไม่เป็นไร” อาคาเนะแตะแขนของพี่ชายแล้วก้าวออกมาด้านหน้า ตบลงบนหลังมือของซาโตรุที่คว้ามือเขาเอาไว้เพื่อห้ามพลางส่ายหน้า สึซึรันไม่ได้อันตรายสำหรับเขาอีกแล้ว


“นางกำลังมา เจ้าต้องไปกับข้าเดี๋ยวนี้” หญิงสาวโพล่งออกมาแล้วรีบคว้ามืออาคาเนะลากออกจากห้อง อาคาเนะก้าวขาตามทั้งที่ยังไม่เข้าใจนัก แต่สีหน้าของสึซึรันดูกังวลจนเขายอมตามมาก่อน


“ใครกำลังมา”


“หยุดนะ!” ซาโตรุวิ่งตามมาด้านหลังร้องห้าม เสียงตะโกนนั้นเรียกคนอื่นในร้านให้โผล่ออกมาดู สึซึรันไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้น นางมีหน้าที่ต้องทำ และจะต้องทำให้สำเร็จ


“สึซึรัน” อาคาเนะเรียกคนที่กำลังพยายามพาเขาออกนอกร้านอีกครั้งด้วยความลังเล คนหนึ่งคือผู้หญิงที่โทชิฮิโระนับเป็นสหาย อีกคนคือพี่ชายที่เขานับถือ ต่างคนต่างอยากพาเขาไปคนละทาง


“เป็นคำสั่งท่านโทชิฮิโระ” เพียงชื่อหนึ่งถูกเอ่ย เพียงพอแล้วที่จะทำให้อาคาเนะสะบัดข้อมือออกจากมือของสึซึรันทันที คนที่อยู่ๆ ก็จากไปมีสิทธิ์อะไรมาบงการชีวิตเขาอีก


“ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่นะ!” หญิงสาวตวาดเสียงเขียว ชายที่นางเคารพและรักที่สุด กำลังเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ และสิ่งเดียวที่โทชิฮิโระขอเอาไว้ คือการพาอาคาเนะหนีไปให้ไกลหากมีอะไรเกิดขึ้น


“ช่วย? ช่วยข้าจากอะไร”


“ข้าเอง” น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังสะท้อนตามทางเดินก่อนที่พายุหิมะจะพัดโหมจนทุกคนต้องยกมือขึ้นเพื่อบังใบหน้า ไม่นานนักเมื่อลมสงบลง ทั่วทางเดินได้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ


“คาสุมิ” ชื่อนั้นถูกเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาจากปากของอาคาเนะ หญิงสาวแสนสวยที่มาพร้อมกับความหนาวเหน็บ สร้างความพรั่นพรึงให้กับทุกคนจนไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับตัว


“อย่ายุ่งกับเขา” สึซึรันเผยร่างปีศาจพร้อมกางกรงเล็บขู่ แต่คาสุมิยังคงมองตรงไปยังอาคาเนะด้วยสีหน้าว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม


“ข้ามารับเจ้านะอาคาเนะ”


“อย่าไปฟัง! นางเป็นศัตรูของเจ้าแล้ว” สึซึรันเอ่ยเตือนเสียงเข้ม สมองอาคาเนะกำลังสับสน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ โทชิฮิโระหายไป สึซึรันกับคาสุมิโผล่มา เอาแต่พูดสิ่งที่ตัวเองเข้าใจกันเองทั้งนั้น


“เกะกะ” คาสุมิพึมพำเบาๆ ก่อนร่ายอาคม แท่งน้ำแข็งคมกริบได้ก่อตัวขึ้นจากพื้น มันพุ่งทะลวงหน้าอกของสึซึรันในเสี้ยววินาทีแล้วแตกสลายไปพร้อมกับร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบลง


เสียงหวีดร้องดังขึ้นจากรอบด้าน ซาโตรุที่อยู่ใกล้กว่าคนอื่นทรุดลงไปนั่งคุกเข่าด้วยความกลัว หยดเลือดสีแดงฉานค่อยๆ แผ่ออกเป็นวงจากใต้ร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ ดวงตาของอาคาเนะเบิกค้าง เลือดในกายเย็นเฉียบ


“ไปหาโทชิฮิโระกับข้าเถอะ” มือซีดขาวถูกยื่นออกมาหาอาคาเนะ คนที่ถูกเรียกกัดฟันขบกรามแน่น


“ทำอย่างนี้ทำไม!” ฆ่าคนได้อย่างง่ายดาย สมกับเป็นสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ ไม่นึกว่าครั้งหนึ่งเขาจะเคยมองคาสุมิเป็นเพื่อน


“นึกว่าสิ่งที่เจ้าอยากรู้ คือโทชิฮิโระอยู่ที่ไหนเสียอีก”


“เขาเป็นฝ่ายไปเอง!”


“เพื่อปกป้องเจ้า” ประโยคต่อมาของคาสุมิทำให้อาคาเนะสะดุ้ง


“ปกป้องข้า?” ปกป้องจากสิ่งใด ถ้าการหายไปคือการปกป้อง แล้วความปวดร้าวที่เขาเผชิญอยู่มันคืออะไร ชีวิตจะดีได้สักแค่ไหน หากต้องอยู่กับความทุกข์ใจไปตลอด


“เทพมังกรจะสละชีวิตตัวเองเพื่อเจ้า อยากให้เป็นแบบนั้นหรือ” ประโยคนั้นทำให้หัวใจคนฟังชาวาบ ราวกับไม่มีอากาศให้หายใจไปเสียดื้อๆ


“ทำไม หมายถึงอะไร” อาคาเนะรีบก้าวเข้าไปหาคาสุมิ ไม่ใส่ใจแล้วว่ารอบตัวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในใจมันร้อนรนเกินกว่าจะทนเฉย


“นายของข้ามีงานที่อยากให้เจ้าทำถึงได้ส่งโทชิฮิโระมาเพื่อเกลี้ยกล่อมเจ้า แต่โทชิฮิโระคัดค้าน เขาจะยกเลิกสัญญาเพื่อเจ้า ถ้าสัญญาจบลง เทพมังกรจะต้องกลับสู่ร่างเดิมและตายไป เข้าใจหรือเปล่า”


นั่นเป็นเรื่องที่อาคาเนะเคยได้ฟังมาก่อน มันคือสัญญาแลกเปลี่ยนเพื่อรักษาชีวิตของโทชิฮิโระเอาไว้ และเงื่อนไขสำคัญกลับเป็นเขาเอง


“เจ้าเท่านั้นเปลี่ยนใจเขาได้” คาสุมิยื่นมือออกไปหาอาคาเนะอีกครั้ง ดวงตาของเด็กหนุ่มเสมองไปทางอื่นเพื่อซ่อนความสับสน ถ้าหากเป็นสิ่งที่โทชิฮิโระตัดสินใจ ควรแล้วหรือที่จะเข้าไปห้าม


“แล้วถ้าถามว่าเจ้ารักข้าไหม เจ้าจะตอบหรือเปล่า”


คำตอบที่ติดค้างอยู่ในใจผลักดันให้อาคาเนะเลือกคว้ามือนั้น







โลหะเย็นเฉียบถูกตอกตรึงติดกับผนังโดยครอบทับข้อมือของนักโทษเอาไว้ แขนที่ถูกบังคับยกเหนือศีรษะเป็นเวลานานเริ่มชาจากปลายนิ้วทีละน้อย แต่สิ่งที่รู้สึกชายิ่งกว่า อาจเป็นก้อนเนื้อที่อยู่ในอก ทุกสิ่งคงดีกว่านี้หากเขายอมตายไปตั้งแต่แรก


“ต่อให้เจ้าตายตอนนี้ จิ้งจอกก็ยังมาหาข้าอยู่ดี เพราะเชื่อว่าเจ้ายังอยู่” มาซาโนริเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งเอนตัวเท้าคางมองเหยื่อล่อของตนอยู่ มันเป็นความสามารถส่วนหนึ่งของการเป็นเทพ การรับฟังคำอธิษฐานของผู้คน หากเขาปรารถนา ไม่ว่าความคิดของใครก็ล้วนอ่านได้


“จะเปิดประตูยมโลกไปเพื่ออะไร มีคนที่ท่านอยากพบอยู่ในยมโลกอย่างนั้นหรือ” โทชิฮิโระแค่นหัวเราะ หากตำนานมีอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เทพไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในยมโลกย่อมเป็นจริงด้วย แต่เพราะเหล่าเทพมักไม่ผูกพันกับใคร พวกเขาถึงได้ไม่แยแสยมโลกนัก


“ใช่แล้วข้ามี” มาซาโนริตอบกลับมาด้วยใบหน้าอันเรียบนิ่ง จนแม้แต่คนถามยังเลือกที่ปิดปากตัวเองลง


“รู้ไหมว่าเมื่อเทพตาย เราไม่ได้ลงไปสู่ยมโลก เพียงแค่สลายไปไม่อาจคงอยู่ จึงไม่มีคำว่าชาติหน้าสำหรับเทพ” มาโซโนริต่างกับโทชิฮิโระที่เป็นเทพด้วยการถูกมนุษย์ยกย่อง เขาเกิดมาด้วยความปรารถนาของผู้คน มีตัวตนแต่ก็เหมือนอยู่คนละโลกกับมนุษย์ ต่อให้ตายไปก็ไม่อาจไปพบคนที่ตายไปก่อนหน้าได้ แววตาของมาซาโนริหม่นหมองลง นี่คือการลงโทษสำหรับเขา


“แต่สิ่งที่ท่านทำจะฆ่าคนบริสุทธิ์อีกมาก”


“ข้าไม่สน! บริสุทธิ์แล้วทำไม เป็นคนดีแล้วทำไม เพียงเพราะสวรรค์ลิขิต ต่อให้ทำดีมากเพียงใดเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี!” มาซาโนริหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน โลกนี้มีคนดีที่ต้องทุกข์ทรมานและตายไปอยู่มากมาย โดยที่ไม่เคยมีใครคิดจะช่วย


ถ้อยคำเหล่านั้นราวกับกำลังเอ่ยถึงใครคนหนึ่ง อาจเป็นคนที่ทำให้เทพตกสวรรค์เลือกเดินบนเส้นทางนี้


“ดูเจ้าสิ ทำดีมาเท่าไร ปกป้องมนุษย์มาแล้วกี่คน เคยได้สิ่งตอบแทนที่มันคุ้มค่าบ้างไหม”


“ข้าไม่เคยร้องขอ” ทุกสิ่งที่ทำ นับตั้งแต่ถูกเรียกขานว่าเทพมังกร โทชิฮิโระไม่เคยคิดว่าจะต้องได้สิ่งใดกลับมา เขาเพียงแค่ทำในสิ่งที่อยากทำ และใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะใช้


“วันหนึ่งเมื่อเจ้าถูกพรากสิ่งสำคัญไป คงจะเข้าใจข้า” ดวงตาเหม่อลอยทอดมองอย่างไร้จุดหมาย ภายใต้ท่าทีแข็งกร้าวของมาซาโนริ มีความเจ็บปวดรวดร้าวหลบซ่อนอยู่ นานมาแล้วที่ส่วนหนึ่งของหัวใจถูกฉีกออกไปโดยพวกที่อ้างตัวว่าเป็นเทพ


รู้ดีว่าไม่มีวันทำให้ทุกสิ่งย้อนหวนกลับ ต่อให้ใช้อำนาจเทพทั้งหมดก็ไม่อาจได้พบกับใครคนนั้นอีกแล้ว โลกที่มีแต่การทรยศหักหลังใบนี้ ด้วยเปลวไฟสุดท้ายของชีวิตที่ยังเหลืออยู่ มาซาโนริได้ปฏิญาณต่อตัวเอง ว่าจะทำให้แผ่นดินนี้ต้องจมดิ่งลงสู่ความมืดไปด้วยกัน


“ดูเหมือนแขกของข้าจะมาถึงแล้ว” เพียงแค่มาซาโนริวาดมือไปด้านข้าง ประตูบานเลื่อนก็ค่อยๆ เปิดออก คาสุมิเดินเข้ามาก่อน นางเหลียวกลับไปมองข้างหลัง พยักหน้าลงเป็นสัญญาณเรียกแขกอีกคนให้ตามเข้ามา


วินาทีนั้นทุกอย่างเงียบกริบ อาคาเนะได้เห็นมาซาโนริเป็นครั้งแรกแต่กลับมองเลยผ่านจนได้สบตาเข้ากับคนที่กำลังมองมาจากอีกฟากห้อง เพียงเวลาชั่วข้ามคืน โทชิฮิโระดูโทรมลงไปถนัดตา


“เข้าไปสิ ข้าไม่ห้ามเจ้าหรอก” มาซาโนริผายมือไปทางโทชิฮิโระ เพื่อกระตุ้นให้อาคาเนะเริ่มก้าวขา


“อย่าเข้ามา!” กลับเป็นโทชิฮิโระเสียเองที่สั่งห้าม ขาที่กำลังก้าวชะงักลงแล้ววางลงที่เก่า แม้ในตอนนี้คำสั่งของโทชิฮิโระก็ยังส่งผลต่ออาคาเนะจนน่าหัวเราะ


“ถ้าเจ้ายังฟังข้า อย่ารับปากอะไรกับมาซาโนริเด็ดขาด ไปเสียอาคาเนะ” ทั้งที่ถูกพันธนาการแต่โทชิฮิโระยังคงวางท่าราวกับเป็นเจ้าของอาคาเนะอยู่ เด็กหนุ่มเม้มปากจนเป็นเส้นตรง เขาไม่ได้มาไกลถึงที่นี่เพื่อจะถูกไล่กลับไปง่ายๆ เสียหน่อย


“ทำไมถึงเอาแต่ตัดสินใจอะไรคนเดียวอยู่เรื่อย” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเครือจนคนฟังยังรู้สึก หากทำได้ก็อยากจะคว้าตัวมากอด อยากจะปลอบจนกว่าจะสงบลง แต่ตัวเขาไร้กำลังเกินจะทำได้


“อาคาเนะนี่ไม่ใช่เวลาที่ควรจะดื้อ” อย่างน้อยขอเพียงได้ปกป้องหัวใจซื่อตรงของอาคาเนะไว้ เขาจะไม่ยอมให้มันต้องแปดเปื้อนด้วยความตายของใครเป็นอันขาด


“ท่านต่างหากที่ดื้อ!” อาคาเนะตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ดวงตาแดงก่ำเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ แต่ก็กล้ำกลืนฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้


“คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่คือการปกป้องข้าหรือ ไหนจะทิ้งข้าไว้คนเดียว แล้วยังคิดจะทิ้งชีวิตตัวเองอีก!” โทชิฮิโระพูดไม่ออก เขารู้ว่าทำให้อาคาเนะเสียใจ แต่ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อไม่ให้อาคาเนะต้องมีตราบาปไปชั่วชีวิต


“คนหลงตัวเองอย่างท่าน เคยถามข้าบ้างหรือเปล่า ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ข้าเสียใจมากที่สุด” เพียงเพราะบอกกับตัวเองว่าทำเพราะหวังดีต่อกัน แล้วจะมีสิทธิ์ทำอะไรกับชีวิตคนอื่นก็ได้อย่างนั้นหรือ


ก่อนหน้านี้คาสุมิได้บอกเป้าหมายของมาซาโนริกับอาคาเนะแล้ว หากอยากช่วยโทชิฮิโระเขาจะต้องทำลายชีวิตอีกมาก เพราะอย่างนั้นโทชิฮิโระถึงจากมา และเป็นฝ่ายเลือกคำตอบให้กับอาคาเนะเอง


สองมืออาคาเนะยกขึ้นแนบข้างแก้มคนที่แสนห่วงหา พวกเขาต่างสบตาแต่ไม่อาจสื่อถึงกัน คนหนึ่งอยากปกป้องแม้จะต้องสละชีวิตตัวเอง ส่วนอีกคนเพียงแค่อยากรักษาสิ่งสำคัญของตนไว้


“ข้าไม่น่าพบกับเจ้าเลย” โทชิฮิโระเอียงหน้าแนบลงกับมือที่ประคองใบหน้าเขา เหยียดยิ้มให้ด้วยแววตาแสนเศร้า หากเขาไม่คิดฝืนชะตา ยอมรับความตายตั้งแต่หลายปีก่อน คงไม่ต้องทำร้ายอาคาเนะอย่างนี้


“ข้าเองก็ไม่น่าหลงรักท่าน” คำบอกรักอันแสนเจ็บปวดจบลงด้วยรสจูบอันขมขื่นยิ่งกว่า โชคชะตานำพวกพวกเขาให้มาเจอกัน แต่กลับบีบบังคับให้ต้องปวดร้าวถึงเพียงนี้ อาคาเนะเป็นฝ่ายถอยห่าง ผละจากคนที่รักเพื่อไปเผชิญหน้ากับเทพตกสวรรค์


“เรามาทำสัญญากัน แลกกับการที่ท่านจะต้องปล่อยโทชิฮิโระไป”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

เชื่อใครดีตอนนี้  :serius2: ดราม่ากันต่อไปทุกคน :heaven



:pig4: :pig4:

กอดแทน  :กอด1:


:hao5: :hao5:

ยังดราม่ากันต่อ อีกนิดนะอีกนิด  :ling1:



หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 24 ประตูยมโลก [12/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 11-01-2017 23:58:18
บทที่ 24

ประตูยมโลก






“ในเมื่อนายของเจ้าไม่เคยเห็นคุณงามความดี เมื่อใดเจ้าจะเลิกเอาชีวิตไปเสี่ยงในสนามรบเสียที”


“ข้าออกรบเพื่อปกป้องบ้านเกิดข้า ไม่ใช่เพื่อรางวัลเสียหน่อย”


“ระวังจะไม่ได้แก่ตาย”


“ไม่หรอกๆ ในเมื่อข้ามีท่านเทพคอยอวยพรขนาดนี้ ข้าจะต้องเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแน่”



หากการมีข้าอยู่จะทำให้เจ้าได้โชคดี เหตุใดเจ้าถึงต้องตายโดยไร้การกลบฝัง ไม่อาจหลับใต้แผ่นดินที่เสี่ยงชีวิตปกป้องเอาไว้ด้วยซ้ำ


แท้จริงแล้วข้าคือสิ่งใดสำหรับเจ้ากันแน่


คาสึกิ...







“เรามาทำสัญญากัน แลกกับการที่ท่านจะต้องปล่อยโทชิฮิโระไป” อาคาเนะเอ่ยออกมาด้วยท่าทางไม่หวั่นกลัวเกรง จุดรอยยิ้มบนมุมปากของมาซาโนริ


กุญแจดอกสุดท้ายที่จะใช้ไขเปิดประตูยมโลกได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขา ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์นัก แม้มีเลือดครึ่งหนึ่งเป็นปีศาจ แต่กลับมีจิตที่ใสสะอาดยิ่งกว่าอดีตเทพอย่างเขาเสียอีก


ก็แค่เด็กหนุ่มที่ยังอ่อนต่อโลกคนหนึ่ง


“คาสุมิ” ปีศาจหิมะขานรับแล้วขยับมายืนข้างๆ


“อยู่ที่นี่กับเทพมังกร ตะวันตกดินเมื่อใดปล่อยเขาไปเสีย ส่วนเจ้าไปกับข้า” ประโยคหลังมาซาโนริหันไปบอกกับอาคาเนะ แต่กลับถูกปฏิเสธทันควัน


“ไม่ ข้าไม่ไปไหนจนกว่าจะเห็นท่านปล่อยโทชิฮิโระไป...!” น้ำเสียงของอาคาเนะขาดหายเพราะลมหายใจถูกตัดขาด เหงื่อไหลซึมทั่วร่างทั้งที่อากาศหนาวเย็นจนน้ำแทบเป็นน้ำแข็ง ต่อให้พยายามหายใจสักเท่าไรก็ไม่มีอากาศผ่านเข้าปอด และยังไม่มีเสียงใดออกจากลำคอ อาคาเนะกำลังขาดอากาศจนถึงกับต้องทรุดลงนั่งทุบหน้าอกเพื่อรั้งสติเอาไว้


“มาซาโนริ! หยุดเดี๋ยวนี้!” โทชิฮิโระที่สังเกตเห็นความผิดปกติของอาคาเนะตะโกนห้ามอย่างเดือดดาล แต่ลำพังด้วยแรงเขา ไม่อาจดิ้นหลุดจากพันธนาการนี้ได้ ปีศาจกำลังกัดกินมาซาโนริอยู่ และมันดูจะไม่ชอบการถูกท้าทายอำนาจนัก


“นายท่าน” กลับเป็นปีศาจหิมะที่เอ่ยขัดขึ้นมา คาสุมิแตะเบาๆ บนหลังมือมาซาโนริ สัมผัสนั้นเบนสายตามาซาโนริไปจากอาคาเนะ ช่วยให้เด็กหนุ่มได้ลมหายใจกลับคืนมา และต้องรีบสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่


“เจ้าอาจยังไม่เข้าใจสถานะตัวเองเท่าไร ข้าคือผู้ตัดสินใจทุกอย่างที่นี่ แต่ไม่ต้องกลัวไป ข้ารักษาคำพูดของตัวเอง” มาซาโนริเหลือบมองอาคาเนะด้วยสายตาหยามเหยียด เขาอาจถูกขับไล่จากสวรรค์ แต่จนกว่าจะถูกยึดร่างอย่างสมบูรณ์ไม่มีปีศาจตนใดเอาชนะเขาได้ทั้งนั้น


“อย่าได้เปิดปากเถียงข้าอีก”







แม้ไม่มีหิมะโปรยลงมา แต่อากาศกลับยิ่งทวีความหนาวเย็นขึ้นมากกว่าเดิม ทุ่งราบสีขาวเวิ้งว้างกว้างไกลสุดตาคือสิ่งที่อยู่ต่อหน้าอาคาเนะ พายุหิมะที่เพิ่งสงบได้กลบฝังทุกสิ่งไว้ด้วยความเย็นอันเงียบสงัด แต่ละย่างก้าวจมลงไปบนหิมะเย็นเฉียบ ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตใดๆ ให้เห็น


ทางข้างหน้าพร่ามัวคล้ายมีหมอกปกคลุมอยู่ เมื่อมาซาโนริยังคงตามมาโดยไม่พูดอะไร อาคาเนะก็จำต้องก้าวขาต่อไปข้างหน้า อากาศแถวนี้หนาวเหน็บเกินกว่ามนุษย์จะทนไหว อาคาเนะจึงต้องเดินห่อไหล่ถูแขนเพื่อบรรเทาความหนาว


“คืนร่างปีศาจเสีย จะได้สบายขึ้น” คนเดินนำชะงักขา ไม่คาดคิดว่ามาซาโนริจะสนใจเขามากไปกว่าการใช้เป็นเครื่องมือ


“ข้าไม่ชอบคืนร่างต่อหน้าคนอื่น” ร่างปีศาจของอาคาเนะมีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็น ถ้าจะนับกันตามตรงก็มีเพียงบิดาเขา โทชิฮิโระ และสึซึรันเท่านั้น ถือเป็นเรื่องที่ต่อให้มีคนอื่นรับรู้แต่ใช่ว่าจะอยากเผยออกมาง่ายๆ


มาซาโนริไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขาเดินฝ่าทุ่งหิมะไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อด้านหน้ามีบางสิ่งปรากฏ สิ่งที่ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านไม่ได้มีเพียงสีขาวอีกต่อไป


ดอกไม้สีแดงสดชูดอกตัดกับก้านสีเขียวอยู่ท่ามกลางหิมะและสายหมอก ไม่ใช่เพียงหนึ่งดอก แต่กินพื้นที่กว้างจนเปลี่ยนพื้นที่ข้างหน้าให้เป็นท้องทุ่งสีแดงฉาน อาคาเนะค่อยๆ เดินเข้าใกล้เพื่อหวังจะสัมผัสมัน นึกไม่ออกเลยว่าดอกไม้เหล่านี้สามารถเติบโตอยู่ท่ามกลางหิมะได้อย่างไร


“ดอกพลับพลึงแดง ดอกไม้สีแดงแห่งความตาย เข้ากับนามของเจ้าไม่ใช่หรือ” มือที่กำลังจะแตะกลีบดอกไม้หยุดชะงักก่อนถูกชักกลับ หมอกรอบกายค่อยๆ จางลง เผยให้เห็นทุ่งดอกพลับพลึงแดงที่แข่งกันเบ่งบานนับร้อยดอก ยกเว้นเพียงดอกหนึ่งตรงกึ่งกลางที่มีกลีบสีขาวราวกับหิมะ


“มันเติบโตได้ดีแม้ในบรรยากาศของยมโลก เรามาถึงที่แล้ว” ไอพิษจากยมโลกที่รั่วซึมอยู่ในบริเวณนี้ทำให้ดอกพลับพลึงแดงเบ่งบาน และการไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเข้าใกล้ คือหลักฐานชั้นดี บอกให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เชื่อมต่อกับยมโลกอยู่


“จะให้ข้าทำอะไร” เสียงร้องแหลมสูงดังแหวกในอากาศขัดคำถามของอาคาเนะ นกฮูกตัวหนึ่งบินวนเหนือพวกเขา มันคือภูตบริวารของมาซาโนริ และเป็นภูตนำสาสน์ที่มาคอยเฝ้าสังเกต รอคอยที่จะส่งข่าวกลับไปหาคาสุมิอีกครา


“ไม่ต้องทำ แค่อย่าถูกลากลงนรกไปก็พอ” มาซาโนริคว้าข้อมืออาคาเนะหงายขึ้นมาตรงหน้า ค่อยๆ กรีดนิ้วชี้ลากผ่านข้อมือนั้น แต่มันกลับสร้างรอยกรีดลึกราวกับถูกคมมีดลากผ่าน เลือดสีเข้มไหลย้อนออกจากปากแผล และหยดลงบนกลีบดอกไม้สีสด


“กฎของยมโลกคือคนเป็นไม่สามารถล่วงล้ำ ส่วนคนตายไม่สามารถออกมา หากมีสิ่งใดหนีหลุดรอด ยมโลกจะไล่ตามและพร้อมที่จะนำสิ่งนั้นกลับไป โดยการกลืนกินทุกสิ่งรอบข้าง” หยาดเลือดที่รินไหล ถูกดูดซับหายไปโดยกลีบดอกไม้ที่เริ่มเปล่งแสงเรืองรองขึ้น จากดอกหนึ่งสู่ดอกหนึ่ง มันค่อยๆ แผ่ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ จนไปถึงดอกสีขาวที่อยู่ตรงกลาง


แต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


“นึกอยู่แล้วว่าเลือดเพียงครึ่งเดียวคงไม่พอ” มาซาโนริขมวดคิ้วพึมพำเสียงค่อย


“หมายความว่าอะไร” คิ้วของอาคาเนะขมวดเข้าหากัน และคำตอบของคำถามนั้นคือการถูกมือของมาซาโนริทะลวงผ่านอกเข้ามาด้วยแรงมหาศาล


อาคาเนะคว้ามือของมาซาโนริด้วยความตื่นตระหนก แต่ไม่มีเลือดสักหยดไหลออกจากอกเขา มีเพียงความร้อนที่กำลังระอุขึ้นจากภายในร่าง


“จะทำ...อะไร” ความรู้สึกราวกับมีเปลวไฟแผดเผาอยู่ในร่าง ทรมานจนไม่สามารถกลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ และยิ่งต้องตกใจมากขึ้นเมื่อร่างปีศาจกำลังถูกบังคับให้เผยออกมา


“หยุดนะ!”


“ไม่ต้องกลัว ข้าแค่จะทำให้เจ้าได้เป็นปีศาจเต็มตัว” มาซาโนริเหยียดยิ้มเย็น ในขณะที่อาคาเนะร้องลั่นไม่เป็นภาษาพร้อมกับมีเปลวไฟลุกท่วมร่าง ดวงตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสด เส้นผมดำขลับกลับกลายเป็นสีเพลิง ผิวเนื้อมีเส้นขนขึ้นปกคลุมทีละน้อย โครงสร้างร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนจากคนสู่จิ้งจอก และถูกครอบงำสตินึกคิดไปจนหมดสิ้น


ในที่สุดมาซาโนริก็ยอมถอนมือออก ร่างกายอาคาเนะเปลี่ยนไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้จะยังยืนได้ด้วยสองขา แต่ใบหน้า แขน และขา ได้กลายเป็นจิ้งจอกไปเสียแล้ว


“จงหลั่งเลือดเพื่อข้า จิ้งจอกเอ๋ย” คำกระซิบกลายเป็นคำบัญชาสำหรับอาคาเนะ มือข้างหนึ่งกางกรงเล็บตวัดลงบนท่อนแขนอีกข้าง เลือดสีเข้มไหลหลั่งและถูกดูดซึมเข้าไปด้วยกลีบดอกไม้อีกครั้ง คราวนี้ดอกไม้ทั้งมวลต่างพากันเรืองแสงดั่งหยาดเลือดสีสด ในขณะที่ดอกสีขาวกลับเหี่ยวเฉาและโรยราไปอย่างรวดเร็ว


“จงเปิดออกมา ประตูแห่งยมโลก!” สิ้นเสียงมาซาโนริ เหล่าดอกไม้ต่างกลายเป็นสีดำสนิท และเหี่ยวแห้งสลายเป็นเศษเถ้า เปลี่ยนพื้นบริเวณนั้นให้กลายเป็นพื้นสีดำวงใหญ่ ก่อนที่ผืนแผ่นดินจะทลายลงไป


หลุมมืดดำไร้ก้นถูกเปิดออก ไอพิษสีคล้ำพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ก่อเกิดลมหมุนแรงดึงมหาศาล ราวกับว่ามันกำลังพยายามดูดกลืนสิ่งรอบข้างให้จมลงสู่ความมืด







สายลมพัดหวีดหวิวส่งเสียงเล็ดลอดมาทางหน้าต่าง คนหนึ่งหลับตาฟังมัน ส่วนอีกคนลืมตาแต่เหม่อลอยไม่นำพากับสิ่งใด อาคาเนะกำลังเจอกับเรื่องร้าย แต่เขากลับติดอยู่กับผนัง ช่างเป็นคนที่ไร้ค่าสิ้นดี


“หากมือของอาคาเนะเปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์ เจ้าจะยังรักเขาหรือเปล่า” คาสุมิปิดปากเงียบนับตั้งแต่มาซาโนริออกไป แต่ตอนนี้นางกำลังถามคำถามโทชิฮิโระโดยไม่คิดจะหันกลับมามอง ดวงตาภูตนำสาสน์บอกนางให้รู้ว่าประตูยมโลกได้ถูกเปิดออกแล้ว


“เหมือนที่เจ้ารักมาซาโนริหรือ” คำตอบนั้นเรียกคาสุมิให้หันกลับมา ปีศาจหิมะเดินเข้าไปหาโทชิฮิโระด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ตรงข้ามกับโทชิฮิโระที่หัวเราะออกมา


“สิ่งที่เจ้าทำไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความลุ่มหลงมากกว่า ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ปล่อยให้เขาเดินบนเส้นทางนี้”


“อย่าพูดในสิ่งเจ้าไม่รู้โทชิฮิโระ” น้ำเสียงคาสุมิแข็งกระด้างขึ้น ไม่บ่อยนักที่นางจะเป็นฝ่ายถูกยั่วให้โกรธบ้าง


“ที่โกรธเพราะข้าพูดถูกใช่ไหม เจ้ารักมาซาโนริ แต่ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ นั่นเพราะในสายตามาซาโนริไม่เคยมีเจ้า ตาสว่างเสียที!” ปีศาจหิมะเป็นทางหนีทางเดียวที่โทชิฮิโระมีอยู่ คงดีหากเปลี่ยนใจนางได้ แม้จะรู้ว่ามันคงไม่ง่ายนัก


“ผิดแล้ว เพราะข้าต่างหาก ที่ทำให้ท่านมาซาโนริต้องกลายเป็นแบบนี้” ความโกรธจางหายไปจากแววตาของปีศาจหิมะ มีเพียงความรู้สึกผิดที่ยังคงอยู่ นางหลุบตาลงซ่อนความหวั่นไหว


“นี่เจ้า...”


“ประตูยมโลกได้ถูกเปิดแล้ว แต่เจ้ายังช่วยอาคาเนะได้” คาสุมิวางมือทาบลงบนตรวนเหล็ก ไอเย็นจากมือของนางเปลี่ยนมันให้กลายเป็นน้ำแข็ง และแตกออกเพียงแค่เคาะลงไปเบาๆ


“จงอยู่ข้างๆ อาคาเนะเมื่อเขาต้องการ อย่าได้ทอดทิ้งคนที่รักเจ้า อย่าคิดจากเขาไปด้วยความตายอีก”


“ทำไมถึงช่วยข้า” โทชิฮิโระถามไปตามตรงด้วยความไม่เข้าใจ หากคาสุมิภักดีต่อมาซาโนริทำไมถึงปล่อยเขา ทั้งที่รู้ว่าเขาจะต้องขัดขวางมาซาโนริ สิ่งที่ปีศาจหิมะต้องการคืออะไรกันแน่


“หากข้าบอกเหตุผล เจ้าจะยกโทษให้ข้าหรือ ยกโทษให้กับการหลอกลวงทั้งหมดที่ผ่านมา” ไม่มีคำตอบจากคนที่อยู่ตรงหน้า คาสุมิจึงเหยียดยิ้มแล้วหมุนตัวหันหลังให้


“เคียดแค้นไปเถิด ทั้งข้าและท่านมาซาโนริ พวกเราตั้งใจหลอกใช้เจ้า เพียงเพื่อให้ไปถึงสิ่งที่หวัง เพียงแต่ตอนนี้ความปรารถนาของข้านั้น ไม่จำเป็นต้องสังเวยชีวิตของใครอีก”


 แผ่นหลังของปีศาจหิมะดูเศร้าสร้อยผิดกับภาพลักษณ์ที่คุ้นเคยในสายตาโทชิฮิโระ หากหลับตาลงเขาอาจคิดว่าคาสุมิกำลังร้องไห้อยู่


“ตามมา ข้าจะคืนสิ่งที่ควรเป็นของเจ้า” หญิงสาวก้าวออกไปจากห้อง ทิ้งความลังเลไว้ให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง ว่าควรจะไว้ใจปีศาจหิมะอีกสักครั้งหรือไม่


น่าเสียดายที่คาสุมิยังคงเป็นทางเลือกเดียวที่โทชิฮิโระเหลืออยู่



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.


มาช้าแต่มาเบิ้ลนะคะ ตอนต่อไปต่อรีพลายล่างเลยยย  :impress2:

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 25 คำสัญญา [12/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 12-01-2017 00:06:00
บทที่ 25

คำสัญญา





ท้องฟ้ามัวหม่นแผ่ขยายกว้างไกลออกไปเรื่อยๆ ยิ่งประตูยมโลกเปิดนานเท่าใด ไอพิษจะยิ่งแพร่กระจายออกไปมากเท่านั้น และเมื่อใดที่มันไปถึงเมือง ผู้คนจะต้องล้มตายนับไม่ถ้วน


เสียงกู่ร้องคำรามดังสะท้อนออกมาจากประตูยมโลก ฝูงปีศาจพรั่งพรูกันหนีออกมา บางส่วนถูกลมหมุนดูดกลับ แต่บางส่วนหนีพ้นออกมาได้ พวกมันต่างรีบทะยานออกไปเพื่อหาอาหารจากโลกมนุษย์


ปีศาจหน้าตาประหลาดตนหนึ่งสะดุดตาเข้ากับสองคนที่อยู่ใกล้ แขนของมันคือปีก ส่วนลำตัวท่อนล่างยาวเรียวรวมเป็นหาง ลิ้นยาวไล้เลียบนคมเขี้ยวของตน หมายลิ้มลองเลือดเนื้อที่อยู่ตรงหน้า มันพุ่งตัวลงมาแต่กลับถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าก่อนจะได้แตะต้องเหยื่อเสียอีก


อาคาเนะลดมือลง ในขณะที่มาซาโนริแสยะยิ้ม จิ้งจอกมีพลังปีศาจสูงกว่าปีศาจทั่วไปเสมอ คิดถูกแล้วที่เลือกอาคาเนะมา ขอเพียงยังมีปีศาจอยู่ใกล้ ประตูยมโลกจะไม่มีวันปิด มาดูกันว่าสวรรค์จะยังคงเมินเฉยได้อีกนานสักแค่ไหน


เสียงร้องโหยหวนของเหล่าปีศาจเรียกให้มาซาโนริต้องแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า บางสิ่งที่ใหญ่โตกว่าพวกปีศาจกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ร่างของมังกรสีขาวโดดเด่นตัดกับผืนฟ้าสีคล้ำ ทั้งกรงเล็บและคมเขี้ยวของมังกร กำลังไล่สังหารฝูงปีศาจจากยมโลกอยู่


“โทชิฮิโระ” มาซาโนริเค้นเสียงต่ำด้วยโทสะคุกรุ่น ไม่คิดว่าเทพมังกรจะกลับคืนร่าง ไม่นานนักหิมะได้เริ่มโปรยลงมาอีกครั้ง ทำให้ทัศนวิสัยรอบด้านแย่ลงกว่าเก่า เช่นเดียวกับจิตใจของมาซาโนริที่ขุ่นมัวขึ้นทุกที


ดวงตาคู่โตของจิ้งจอกจ้องมองร่างสีขาวบนผืนฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า ร่างกายขยับไปเองทีละก้าว แม้สมองจะถูกสั่งการอยู่ แต่จิตใต้สำนึกกลับจำโทชิฮิโระได้ มือข้างหนึ่งยกขึ้นทั้งที่มันสั่น เพียงเพื่อจะเอื้อมหา เทพมังกรที่อยู่บนฟ้าไกล


“...โท...ชิ...” แสงสว่างเริ่มกลับมาสู่ดวงตาอาคาเนะทีละน้อย ภาพที่พร่ามัวค่อยๆ ชัดขึ้นในดวงตา ทว่ากลับเป็นตอนที่ความอดทนของมาซาโนริสิ้นสุดลงเช่นกัน


ศรแสงสามดอกปรากฏขึ้นเมื่อมาซาโนริวาดมือเหนือศีรษะ ประกายแสงนั้นดึงดูดสายตาอาคาเนะให้หันกลับมา และได้เห็นว่าเป้าหมายศรทั้งสามดอกคือเทพมังกรไม่ผิดแน่


“อย่า!!” อาคาะเนะตะโกนลั่นพร้อมกับที่มาซาโนริตวัดมือไปข้างหน้า ใกล้แค่เอื้อมคว้า แต่ไกลเกินกว่าจะขวางได้ ศรแสงพุ่งออกไป อาคาเนะทำได้เพียงหันตามไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง


ร่างของเทพมังกรหยุดชะงัก เพียงพริบตาก่อนที่ศรแสงจะพุ่งถึงร่างเทพมังกร กลับมีกำแพงน้ำแข็งปรากฏขึ้นเป็นโล่กันศรแสงให้กับโทชิฮิโระ แล้วยังมีอีกส่วนที่พุ่งขึ้นจากพื้นรอบขามาซาโนริเพื่อกักขังเขาไว้ภายใน


“อาคาเนะ!” แม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปสักแค่ไหน แต่โทชิฮิโระยังอดโล่งใจไม่ได้ที่เห็นอาคาเนะกำลังมองเขาอยู่ มังกรขาวร่อนลงสู่พื้นพร้อมจำแลงกายเป็นมนุษย์ แล้วรีบก้าวไปหาอาคาเนะ แต่ปีศาจจิ้งจอกกลับชักเท้าหนี ก้มมองมือตัวเองที่กลายเป็นมือของปีศาจ แล้วช้อนสายตามองโทชิฮิโระด้วยใบหูที่ตกลู่


“ขะ...ข้า...”


“มาหาข้าอาคาเนะ เราจะกลับบ้านกัน” โทชิฮิโระกางแขนของตนออกพลางกวักมือเรียก เขารู้ว่าอาคาเนะกำลังเสียขวัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการพาอาคาเนะออกไปจากที่นี่


“อย่าคิดจะหนีไปจากข้า!” มาซาโนริแผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมกับที่กำแพงน้ำแข็งทลายลง บนหน้าผากเทพตกสวรรค์มีเขางอกขึ้นเพิ่มอีกข้าง บ่งบอกให้รู้ว่าปีศาจใกล้จะเข้ายึดร่างมาซาโนริได้สำเร็จเต็มที


โทชิฮิโระไม่รอช้ารีบคว้าตัวอาคาเนะมากอดเอาไว้ เขาได้ร่างเดิมกลับคืนมาแล้ว ไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์ไร้กำลังอีก แม้ต้องต่อสู้กับเทพตกสวรรค์ เขาก็จะทำเพื่อปกป้องอาคาเนะ


“ข้ารับปากจะปล่อยพวกเจ้าไป ทำไมถึงยังขัดขวางข้า!”


“เพราะสิ่งที่ท่านทำ มีแต่การทำร้ายผู้อื่น ข้าจะไม่ยอมให้อาคาเนะต้องแปดเปื้อนไปกับท่าน” โทชิฮิโระดันอาคาเนะให้หลบไปข้างหลัง จิตใจของมาซาโนริได้ถูกความมืดกัดกินจนสายเกินจะเยียวยาได้แล้ว เหตุผลคงใช้กับเทพผู้นี้ไม่ได้อีก


“ถ้าอย่างนั้นจงตายเสีย ตายไปด้วยกันทั้งคู่!” ศรแสงนับสิบปรากฏเรียงกันรอบกายมาซาโนริ แววตาเขามีเพียงความเกลียดชังที่กำลังล้นทะลัก ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร หากคิดเป็นศัตรูกัน เขาก็จะทำลายมันให้สิ้น


มาซาโนริตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จนอาคาเนะต้องยกมือปิดหูของตนแล้วซุกหน้าเข้ากับแผ่นหลังโทชิฮิโระพลางหลับตาแน่น แต่ผ่านไปครู่หนึ่งยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาคาเนะจึงค่อยๆ ลืมตาและชะโงกหน้าออกไป


มาซาโนริยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่ศรแสงทั้งหมดได้สลายหายไปแล้ว มีเพียงโลหิตสีแดงคล้ำที่กำลังไหลทะลักออกจากปลายดาบที่แทงทะลุอกของมาซาโนริออกมาจากด้านหลัง ดวงตาของเทพตกสวรรค์เบิกค้าง ไอเย็นจากร่างกายคนแทงที่แนบอยู่ด้านหลังเขาจดจำมันได้ดี


“คา...สุมิ” ปีศาจหิมะกระชับดาบในมือให้แน่นขึ้น แล้วออกแรงแทงดาบให้ลึกลงไปอีก จนกระทั่งมาซาโนริไอเป็นเลือดออกมา
ทั้งโทชิฮิโระและอาคาเนะต่างมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา คาสุมิคือคนสุดท้ายบนโลกนี้ที่พวกเขาคิดว่าจะทรยศมาซาโนริได้


“พาอาคาเนะหนีไป เร็ว!” คาสุมิตะโกนสั่ง โทชิฮิโระจึงคืนร่างเป็นมังกรแล้วคว้าอาคาเนะทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยกรงเล็บของตน คนถูกช่วยตั้งสติไม่ทันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทุบลงบนอุ้งเล็บที่จับเขาเอาไว้


“เราทิ้งคาสุมิไว้ไม่ได้ นางจะถูกฆ่า!” ต่อให้ดาบนั้นแทงทะลุหัวใจ ก็ใช่ว่าจะฆ่ามาซาโนริได้ ขนาดอาคาเนะยังรู้เรื่องนี้ โทชิฮิโระกับคาสุมิก็ต้องรู้ด้วย แล้วจะให้ทิ้งปีศาจหิมะเอาไว้ได้อย่างไร


“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ตรงนั้น ประตูยมโลกจะไม่มีวันปิด เราช่วยอะไรไม่ได้แล้วอาคาเนะ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เจ้าทำได้”
“ไม่!” อาคาเนะตะโกนลั่น และพยายามดิ้นรนจนเกือบจะหล่นลงไปด้านล่าง


“ข้าไม่อยากทิ้งใครไว้อีก!” ภาพสึซึรันที่ล้มลงต่อหน้ายังคงติดตา อาคาเนะเลือกที่จะตามคาสุมิมาโดยไม่ได้เหลียวมองว่าสึซึรันจะตายหรือไม่ ถ้าหนีไปตอนนี้ก็เท่ากับเขาได้ทิ้งคาสุมิเอาไว้ข้างหลังอีกคน


เทพมังกรส่งเสียงคำรามในลำคออย่างขัดใจ แต่สุดท้ายก็จำต้องม้วนตัวหันกลับหลัง พาจิ้งจอกจอมดื้อกลับไปยังประตูยมโลกอีกครั้ง







ร่างของปีศาจหิมะถูกซัดด้วยคลื่นพลังจนกระเด็นไปยังขอบปากโพรงสู่ยมโลก มาซาโนริดึงดาบออกจากหลังของตนแล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ก่อนเดินเข้าไปหาคาสุมิ


“ทำไม...ถึงเป็นเจ้า” เลือดที่ไหลจากแผลบนอกมาซาโนริกลับกลายเป็นน้ำสีดำข้นเหนียว มันหยดลงตามจังหวะการก้าวเท้าของเจ้าของร่าง คาสุมิค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมา คลี่ยิ้มให้กับเทพที่กำลังกลายเป็นปีศาจเข้าไปทุกที


“ทั้งที่ข้า...ไว้ใจเจ้า!” มือใหญ่คว้าเข้าที่รอบคอของคาสุมิ ออกแรงบีบพร้อมทั้งยกขึ้นจนปลายเท้าปีศาจหิมะแทบไม่แตะพื้น ผิวเนื้อบนแขนของมาซาโนริเริ่มหลุดร่อนออก เผยให้เห็นผิวหนังสีน้ำตาลด้านหยาบอยู่ภายใน


“ก็สัญญากันไว้ไม่ใช่หรือ” ปีศาจหิมะวางมือกุมลงบนหลังมือที่กำลังบีบลำคอของตน แย้มยิ้มด้วยแววตาอันแสนเศร้า


“สัญญาว่าจะหยุดยั้งกัน หากใครคนหนึ่งพลาดพลั้งไป” น้ำตาอุ่นร้อนไหลออกจากดวงตาของปีศาจที่มีร่างกายเย็นเฉียบ มันไหลลงกระทบมือของมาซาโนริที่กำลังมองปีศาจในกำมือด้วยดวงตาเบิกกว้าง







“ดูสภาพเจ้าสิ รู้ไหมมารดาเจ้ามาร้องไห้คร่ำครวญกับข้าขนาดไหน รักตัวเองให้มากขึ้นหน่อยมันยากนักหรือ”


“อย่าต่อว่าอีกสิ นี่ข้าหลบออกมาเพราะโดนบ่นจนหูชาแล้วรู้ไหม โกรธหรือท่านมาซาโนริ”


“สมน้ำหน้าเสียมากกว่า”


“ใจร้ายจัง ถ้าอย่างนั้นเรามาสัญญากันดีไหม”


“มนุษย์เช่นเจ้า กล้าทำสัญญากับเทพอย่างข้าหรือ จะผิดสัญญาไม่ได้เด็ดขาดนะ”


“ข้าต้องรู้สิ ดังนั้นข้าจะให้สัญญา หากข้าดื้อดึงทำอะไรที่ไม่ดีลงไป ท่านจะว่ากล่าว หรือลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าหากท่านทำผิดบ้าง ท่านก็ต้องยอมฟังข้าบ้างเหมือนกัน”


“อวดดีนัก”


“แล้วสัญญาหรือเปล่า”


“ได้ ข้าสัญญา”








คำสัญญาที่ให้ไว้กับมนุษย์คนหนึ่ง ทำไมถึงได้ถูกทวงถามจากปากปีศาจหิมะไปได้ ความสงสัยถูกแทนด้วยความโกรธ แค่ความทรงจำของคาสึกิเท่านั้น ที่เขาจะไม่ยอมให้ใครได้แตะต้อง


“อย่าได้เอ่ยคำพวกนั้นออกมา! เจ้าไม่มีสิทธิ์เอ่ยถึงเขา!” มาซาโนริออกแรงบีบคอคาสุมิหนักขึ้นหวังให้มันหักคามือ แต่ร่างหญิงสาวกลับกลายเป็นเพียงก้อนหิมะและแตกออกเป็นผง ร่วงหล่นลงจากมือ รู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อแขนเรียวอันยะเยือกเอื้อมมากอดรอบคอเอาไว้จากด้านหลัง


“ไปยมโลกกับข้าเถิด ท่านมาซาโนริ” คาสุมิทาบมือลงบนอกซ้ายของมาซาโนริ พร้อมกับหลับตาลงร่ายอาคมสร้างแท่งน้ำแข็งเป็นปลายหอก ให้มันแทงทะลุทั้งร่างมาซาโนริ และร่างของตัวเองในคราวเดียวกัน


“คาสุมิ!” ใครบางคนร้องเรียกปีศาจหิมะจนสุดเสียง เสี้ยวนาทีที่ละความสนใจ มาซาโนริก็ได้ผลักคาสุมิจนกระเด็นออกห่าง ดวงตาแดงก่ำตวัดมองเจ้าของเสียงนั้น พยายามเดินเข้าไปหาแต่ร่างกายกลับซวนเซจนแทบทรงตัวไม่ได้ กลิ่นคาวเลือดที่ไหลอาบทั่วร่างชวนสะอิดสะเอียนยิ่งนัก


“ปล่อยวางได้แล้วมาซาโนริ ก่อนที่ตัวตนของท่านจะถูกกลืนหายไป” โทชิฮิโระกางแขนกันอาคาเนะให้ถอยไปด้านหลัง รู้ว่าอีกฝ่ายร้อนใจอยากเข้าไปดูคาสุมิ แต่มาซาโนริยังคงอันตรายเกินกว่าจะเข้าใกล้ ไอพิษโดยรอบยิ่งกระตุ้นให้ปีศาจครอบงำมาซาโนริได้เร็วขึ้น


“ปล่อยวาง? พวกเจ้ารู้หรือว่าข้าแบกรับอะไรอยู่” มาซาโนริแค่นหัวเราะ ในสายตาคนอื่นมันอาจเป็นเพียงแค่เพราะความตายของคนหนึ่งคน แต่เพราะหนึ่งชีวิตนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่เขาอยากจะปกป้อง ทั้งอย่างนั้น ทั้งที่เป็นถึงเทพมีพลังอยู่มากมาย แต่กลับรักษาเอาไว้ไม่ได้


“ได้ยินเรื่องบุตรชายท่านแม่ทัพหรือเปล่า”


“ที่เสียไปตอนออกไปปราบปีศาจบนเขาใช่ไหม น่าสงสารนะ”


“เขาว่า จริงๆ แล้วเป็นคำสั่งฆ่าจากท่านเจ้าเมืองต่างหาก เพราะนายน้อยท่านนั้นไปยุ่งเกี่ยวกับพวกปีศาจเข้า”


ทั้งที่ยอมเสี่ยงต่อทัณฑ์สวรรค์เพื่อช่วยคาสึกิกลับมา กลับกลายเป็นว่าทำให้อีกฝ่ายต้องถูกกล่าวหา ว่ารอดชีวิตมาได้เพราะร่วมมือกับปีศาจ แต่กว่าจะได้รู้ กว่าจะได้กลับมาหา คาสึกิก็ไม่อยู่อีกแล้ว ถูกพรากไปในที่ที่เทพอย่างเขาไม่วันเอื้อมถึง


“ข้าอาจไม่รู้ถึงสิ่งที่ท่านต้องเจอ แต่ข้ารู้ว่ามีสิ่งใดที่ท่านมองข้าม” สายตาโทชิฮิโระมองผ่านข้ามไหล่มาซาโนริไปยังปีศาจหิมะที่กำลังพยายามจะยืนขึ้น คาสุมิกัดฟันใช้มือกดแผลเอาไว้ แม้ว่ามันจะไม่สามารถห้ามเลือดได้เลยก็ตาม


“ท่านกล่าวโทษต่อสวรรค์ที่ไม่เหลียวแลคนดี ชิงชังตัวเองที่ทำให้คาสึกิต้องตายอย่างน่าเวทนา ขังตัวเองอยู่ความโกรธแค้น จนมองไม่เห็นเลยว่าคนที่ท่านคร่ำครวญหา อยู่ข้างกายท่านตลอดเวลาด้วยซ้ำ”


แววตามาซาโนริวูบไหวจนสั่นระริก เขาหันกลับไปมองคนข้างหลังอย่างช้าๆ บนกองเลือดที่ไหลนองมีของบางสิ่งตกอยู่ ถุงเครื่องรางเก่าๆ เปรอะเปื้อนคราบเลือดสีน้ำตาลคล้ำ แต่เป็นสิ่งที่มาซาโนริจดจำมันได้ไม่มีวันลืม


เครื่องรางจากศาลเจ้าที่เคยเป็นของมาซาโนริ


เครื่องรางที่คาสึกิพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา


“ไม่จริง...” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นช่างแสนเบาและเลื่อนลอย สมองปฏิเสธ แต่หัวใจกำลังกรีดร้องและร่ำไห้ คาสึกิที่เขารู้จัก แม้ไม่ใช่นักรบที่องอาจ แต่ก็เป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญ ตรงข้ามกับปีศาจหิมะที่อยู่ตรงหน้า ซ้ำยังเป็นเป็นผู้หญิง


“ขอโทษที่...โกหกท่าน เทพนำโชคของข้า” ปีศาจหิมะยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอันซีดเซียว เป็นครั้งแรกนับแต่กลายเป็นปีศาจ ที่ร่างกายรู้สึกถึงความเหน็บหนาวจากภายใน ไม่ต่างจากตอนก่อนตายเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์สักนิด


“คาสึกิ!” ชื่อนั้นถูกเรียก ตอนที่โลกของปีศาจหิมะเริ่มเอียงไหว ไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถจะยืนเองได้ โชคดีที่มีคนปราดเข้ามาช่วยคว้าตัวเอาไว้แล้วทรุดลงนั่งไปด้วยกัน


“ทำไม...ทำไมไม่บอกข้า” ไม่ใช่เพียงเสียงของมาซาโนริที่สั่น แต่ทั่วทั้งร่างกำลังสะท้านไหว แรงโอบกอดที่ราวกับกลัวว่าคนในอ้อมแขนจะหายไปทำให้ปีศาจหิมะอดยิ้มไม่ได้


“เพราะนี่ไม่ใช่ตัวข้า ไม่ใช่คาสึกิที่ท่านรู้จัก คาสึกิคนนั้นตายไปแล้ว ไม่มีหวนกลับมาได้อีก ท่านเข้าใจไหม” ที่คอยอยู่เคียงข้างโดยไม่เอ่ยปาก เพราะรู้ดีว่าชะตาได้ลิขิตไว้แต่แรกให้พวกเขาต้องแยกจาก คนหนึ่งตายส่วนอีกคนยังอยู่ คนหนึ่งคืนชีพ แต่อีกคนรอวันดับสลายไปเพราะปีศาจยึดร่าง ไม่ว่าทางใดล้วนต้องจากกัน ถึงได้ไม่อยากฝันถึงความสุขอีก


“โลกนี้ไม่มีที่สำหรับพวกเรา ข้า...ถึงอยากขอท่าน” มือเย็นเฉียบยกขึ้นแนบลงบนใบหน้าคนที่กำลังหลั่งน้ำตาให้ ทั้งที่เมื่อก่อนแค่จะสัมผัสก็ยังทำไม่ได้


“ไปยมโลกกับข้าได้ไหม ไปจากโลกที่โหดร้ายใบนี้กัน”



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

เป็นความโรแมนติกแบบดาร์กๆ ไปอยู่ด้วยกันในยมโลก  :n1:

ขอบคุณที่ติดตามค่า  :pig4:

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 25 คำสัญญา [12/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 12-01-2017 09:57:52
จากรบเลือดสาดกลายเป็นเศร้าน้ำตากระจาย
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 25 คำสัญญา [12/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-01-2017 12:46:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 26 กลับบ้าน [12/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 12-01-2017 20:21:00
บทที่ 26

กลับบ้าน





ละอองสีขาวโปรยปรายจากฟากฟ้า ช่างเป็นภาพที่สวยงามแต่เยียบเย็น หิมะเหล่านั้นทับถมกันทีละน้อย กลบร่องรอยการต่อสู้ไปเสียสิ้น เหลือไว้เพียงคนที่ยังนั่งหายใจรวยรินอยู่อีกคน


“เหนื่อยแล้วอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงอ่อนหวานกังวานไปในผืนป่า เรียกให้คนที่กำลังนั่งเอนหลังพิงต้นไม้ไร้ใบต้องเงยมองที่มาของเสียงนั้น สตรีผู้มีใบหน้าแสนงดงามและสวมกิมิโนสีขาวสะอาดกำลังจ้องมองเขาอยู่


“เหนื่อย...เหลือเกิน” ทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าคือ ‘ปีศาจ’ ที่ถูกสั่งให้มาสังหาร แต่คาสึกิกลับทำได้เพียงเหยียดยิ้มให้นางอย่างอ่อนแรง ร่างกายเริ่มไร้ความรู้สึก รับรู้เพียงว่ามีเลือดอุ่นๆ กำลังไหลชโลมแผ่นหลัง มือและเท้าเย็นเฉียบจนไม่สามรถขยับได้


ช่างเป็นจุดจบที่น่าสมเพชนัก เสี่ยงตายท่ามกลางสนามรบมาหลายปี กลับต้องมาตายด้วยมือของสหายร่วมรบ แค่เพียงเพราะความคลางแคลงใจของเจ้าเมือง จากการที่เขาเคยถูกภูตบริวารของมาซาโนริช่วยเอาไว้ในการรบครั้งก่อน


ปีศาจหิมะไม่ถามสิ่งใดอีก เขารู้ว่านางยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน จนกระทั่งเมื่อสติรับรู้ขาดหายไป ทุกสิ่งรอบกายมีเพียงความเงียบอันมืดดำไร้ที่สิ้นสุด เนิ่นนานจนเวลาผ่านไปเท่าใดไม่รู้ กว่าจะได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง


ผ่านดวงตาที่ไม่ใช่ของตนเอง


ร่างกายที่ถือกำเนิดจากหิมะและน้ำแข็ง นำพามาแต่ความเหน็บหนาวไม่จบสิ้น คาสึกิไม่รู้ว่าทำไมปีศาจหิมะถึงหายไป ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นเจ้าของร่างนี้ รู้เพียงว่าเขามีคนที่อยากกลับไปหา และนี่อาจเป็นโอกาสที่สวรรค์ได้ประทานให้


แต่ทุกอย่างสายเกินไป มาซาโนริไม่ใช่เทพองค์เดิมที่เขาเคยรู้จัก ตอนนั้นจึงได้รู้ว่าสวรรค์ไม่เพียงลงโทษมาซาโนริที่ฝ่าฝืนลิขิตช่วยชีวิตคน แต่ยังต้องการลงโทษมนุษย์อย่างเขาที่ทำให้เทพเจ้าต้องแปดเปื้อน ด้วยการสาปส่งมาซาโนริให้โกรธแค้นชิงชังทุกสิ่ง ถูกครอบงำด้วยความเกลียดและความเศร้า บีบให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากเลือกความตายให้กับพวกเขาทั้งสองคน







ร่างของปีศาจหิมะถูกรวบเข้าสู่อ้อมกอด ถูกประคองให้แนบใบหน้าลงกับอกคนที่โอบกอดอยู่ คาสุมิรู้สึกได้อย่างชัดเจนเมื่อมาซาโนริสูดหายใจลึกก่อนวางคางลงกลางกระหม่อม แล้วเอ่ยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ข้าจะไปกับเจ้า ไม่ว่าที่ใด” ในเมื่อยมโลกเป็นสถานที่เดียวที่พวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่มาซาโนริจะปฏิเสธ


“พวกเจ้าไปซะ” มาซาโนริเหลือบตามองอีกสองคนที่ยังยืนอยู่ อาคาเนะมีสีหน้าลังเล แต่โทชิฮิโระดูจะเข้าใจ การจะปิดประตูยมโลกต้องพาอาคาเนะออกไปให้ห่างจากที่นี่เป็นอันดับแรก


“มาเถอะ” โทชิฮิโระคว้าต้นแขนอาคาเนะ ออกแรงรั้งเพื่อให้อีกฝ่ายยอมทำตาม


“แต่...”


“ไปเสียจิ้งจอกน้อย รักษาสิ่งสำคัญเอาไว้ให้ดี ใช้ชีวิตแทนในส่วนของพวกเราด้วย” คำพูดนั้นมาจากปีศาจหิมะที่กำลังยิ้มให้จากในวงแขนของมาซาโนริ อาคาเนะเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าแล้วก้าวขาตามโทชิฮิโระไป เพียงสามก้าวเขาก็ถูกมังกรขาวคว้าตัวพาบินขึ้นฟ้าไปอีกครั้ง


พายุหมุนสีดำทะมึนค่อยๆ ไกลออกไปจากสายตา อาคาเนะจึงซุกหน้าเข้ากับนิ้วของเทพมังกร







เมื่อไม่มีสิ่งคอยกระตุ้น พายุหมุนจึงสลายไป หลุมลึกเริ่มถูกเติมเต็มอีกครั้ง พร้อมด้วยเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาเงียบๆ มาซาโนริลุกขึ้นโดยอุ้มปีศาจหิมะไว้ในอ้อมแขน เลือดสีแดงสดหยดลงบนพื้นหิมะสีขาวบริสุทธิ์ ทิ้งร่องรอยไว้ตามทางสู่ปากทางไปยังยมโลก และคงเป็นเครื่องหมายสุดท้ายที่ยืนยันได้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่


“อย่าปล่อยมือจากข้าเข้าใจไหม” มาซาโนริกำชับบอก ส่วนคนถูกสั่งตอบรับด้วยการยกแขนคล้องรอบคออีกฝ่ายให้แน่นขึ้น พวกเขาพบและแยกจากกันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นับจากนี้จะไม่มีสักนาทีที่พวกจะยอมแยกจากกันอีก


ร่างของทั้งสองจมหายไปในความว่างเปล่าอันแสนมืดมิด ไม่นานหลังจากนั้นประตูยมโลกได้ปิดลง ดอกไม้สีแดงสดงอกงามและเบ่งบานขึ้นเหนือพื้นดินที่เคยเป็นหลุมลึกอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงรอยคราบเลือดและเศษซากความทรงจำ ที่รอวันถูกกลบฝังไปตามกาลเวลา







ม่านแห่งรัตติกาลกำลังโรยตัวลงมา เปลี่ยนผืนฟ้าให้กลายเป็นสีดำสนิท ช่วยบดบังร่างมังกรขาวให้พ้นจากสายตาคนอื่น โทชิฮิโระร่อนลงต่ำหลังบินสูงเพื่อซ่อนตัวเหนือเมฆมายาวนาน จนสามารถมองเห็นแสงไฟเรืองรองจากเมืองที่อยู่ด้านล่างได้


ตลอดทางอาคาเนะเอาแต่นั่งปิดปากเงียบกริบ และเกาะโทชิฮิโระเอาไว้ราวกับเด็กน้อยต้องการที่พึ่ง สองสามวันที่ผ่านมาคงเป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสำหรับอาคาเนะ คงจะดีกว่าหากจะพาอาคาเนะกลับไปยังที่ที่คุ้นชิน


เทพมังกรมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ที่เคยอาศัย วางจิ้งจอกน้อยลงกลางลานกว้างแล้วจำแลงร่างเป็นมนุษย์ตามลงมา ดวงตาคู่โตมีแต่ความหม่นเศร้า ใบหูพับลู่ พวงหางตกลง ดูน่าสงสาร


“ไปล้างเนื้อล้างตัวไป เปื้อนเป็นลูกหมาคลุกฝุ่น” โทชิฮิโระลูบหัวอาคาเนะเบาๆ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวไหมว่ายังอยู่ในร่างจิ้งจอกเต็มตัวอยู่ การแสดงออกทางร่างกายเลยค่อนข้างเด่นชัดกว่าปกติ


อาคาเนะพยักหน้าและเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร ทิ้งให้คนข้างหลังลอบถอยหายใจมองตามไปด้วยความเป็นห่วง อาคาเนะอาจไม่ใช่คนที่เปิดใจให้กับใครง่ายนัก แต่เพราะเปิดใจยาก ถึงได้ให้ความสำคัญกับคนที่ตัวเองเชื่อใจมากกว่าคนอื่น การต้องยืนดูใครสักคนตายไปคงเจ็บปวดมากทีเดียว


คืนนี้เมฆเต็มฟ้าจนยากที่จะมองเห็นดวงจันทร์ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้หิมะอาจตกลงมาอีก ที่นี่ไม่หนาวเท่าคฤหาสน์ของมาซาโนริ แต่ยังต้องการฟูกที่หนากว่าปกติเพื่อให้ความอบอุ่นอยู่ดี


โทชิฮิโระกำลังจัดห้อง เตรียมปูฟูกนอนสำหรับสองคน หูได้ยินเสียงคนเปิดประตู แต่เพราะรู้ว่าเป็นใครเลยยังคงใส่ใจกับสิ่งที่ทำอยู่


ร่างสูงใหญ่ถูกพุ่งชนจากด้านหลัง ทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวเกือบหน้าทิ่ม ดีที่ยังทรงตัวเอาไว้ได้ สัมผัสจากข้างหลังเปียกชื้นจนซึมผ่านเนื้อผ้า บอกให้รู้ว่าคนถูกไล่ไปอาบน้ำยังไม่ยอมเช็ดตัวให้ดี แต่พอจะหันกลับไปดุกลับโดนคว้าเอวเอาไว้เสียแน่น


“เป็นอะไร จะอ้อนข้าหรือ” อาคาเนะไม่ตอบแต่เลือกจะกอดโทชิฮิโระให้แน่นขึ้น


“ขอโทษที่ทิ้งเจ้าไว้คนเดียว” เพราะไม่ตอบอะไร โทชิฮิโระเลยคิดว่าอาคาเนะอาจยังเคืองเขาอยู่ ถึงจิ้งจอกน้อยจะยอมตามไปช่วย แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่โกรธกัน


“ยกโทษให้ข้าได้ไหม” โทชิฮิโระถามเสียงอ่อน ยกมือขึ้นวางทาบบนมือของอาคาเนะไปด้วย


“ข้า...กลับร่างมนุษย์ไม่ได้” โทชิฮิโระก้มลงมาแขนของคนพูดเสียงเศร้า จะว่าไปเขาก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท อาคาเนะยังคงติดอยู่ในร่างจิ้งจอกที่ตอนนี้กำลังเปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำ


อาคาเนะกดหน้าแนบกับแผ่นหลังอันเป็นที่พึ่งพิง มาซาโนริได้เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นปีศาจจิ้งจอกเต็มตัว กลายเป็นสัตว์หน้าขนที่เพียงแค่พูดและเดินสองขาได้อย่างมนุษย์เท่านั้น


คนถูกกอดถอนหายใจ ก่อนดึงแขนของอาคาเนะออกพร้อมหมุนตัวกลับหลัง จิ้งจอกน้อยสะดุ้งจนหางตั้ง พยายามสะบัดมือออกแต่กลับสู้แรงโทชิฮิโระไม่ได้ ทำได้เพียงเบือนหน้าหลบ แม้จะรู้ว่าไม่มีทางซ่อนรูปลักษณ์ตัวเองได้


“ใครกันที่บอกว่าน่าเกลียด น่ารักออกนะ” คนถูกชมหันมาถลึงตาใส่ สมองโทชิฮิโระคงต้องมีอะไรผิดเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ถึงได้มองปีศาจอย่างเขาว่าน่ารัก แต่คนชมไม่ชมปากเปล่า ยังไล้มือไปตามลำคอที่มีขนสีขาวตัดกับขนสีแดงบนส่วนอื่นของร่างกาย ละเรื่อยไปจนถึงใบหูใหญ่จนเจ้าของถึงกับย่นคอหนี แล้วก้มลงเคาะหน้าผากตัวเองกับอาคาเนะ


“เจ้าคือจิ้งจอกน้อยของข้า น่ารักเสมอไม่ว่าอยู่ไหนร่างไหน แบบนี้ก็นุ่มมือดี กอดอุ่นด้วย” มือใหญ่คว้าเอวจิ้งจอกเข้ามากอด ไม่ใส่ใจว่าตัวเองจะเปียกปอนไปด้วย อาคาเนะพยายามดิ้นหนี ผลักหน้าคนที่ชอบเป่าลมเข้าหูกันอยู่เรื่อย พลางนึกบ่นตัวเองในใจ
ไม่รู้ทำไมความทุกข์ใจของเขาถึงถูกโทชิฮิโระปัดกระเด็นหายไปได้อย่างง่ายดายทุกครา


“อย่าทำเป็นเล่น ข้าใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้” มีใบหน้าเป็นจิ้งจอก ออกไปไหนคงมีแต่คนขวัญกระเจิง ยกเว้นเสียแต่จะไปหลบซ่อนอยู่ในป่า ไม่ต้องเจอหน้าใครเลยตลอดชีวิต


พอคนถูกแกล้งเริ่มเสียงแข็ง โทชิฮิโระถึงได้ยอมเลิกรา ปล่อยให้อาคาเนะได้เป็นอิสระ แม้ว่าจะถูกมองค้อนใส่ก็ไม่นำพา อย่างน้อยเขาก็ทำให้อาคาเนะหายหดหู่ได้


“ไม่เห็นต้องกลัวไป เจ้าในตอนนี้มีพลังปีศาจมากกว่าแต่ก่อน แค่แปลงร่างทำไมจะทำไม่ได้”


“ท่านไม่รู้หรอกว่ากว่าข้าจะเก็บซ่อนหูและหางได้ต้องใช้เวลาขนาดไหน แล้วนี่ทั้งตัว..”


“นานเท่าไรข้าก็จะอยู่กับเจ้า แค่นั้นไม่พอหรือ” คำพูดที่เหลือของอาคาเนะถูกกลืนหายกลับลงคอ รู้สึกร้อนวูบบนใบหน้า เป็นครั้งแรกที่อาคาเนะนึกดีใจที่มีขนช่วยปิดบังใบหน้าแดงๆ ของตนอยู่ ไม่คิดว่าโทชิฮิโระจะบอกออกมาแบบนี้ ยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่กังวลใจ เป็นเพราะกลัวจะถูกมองด้วยสายตารังเกียจ นี่ไม่รู้ว่าถูกโทชิฮิโระจับได้ หรืออีกฝ่ายแค่มั่นใจเกินไปกันแน่


“ไหนมาลองดู เอาแค่วิธีเดิมที่เคยใช้ก่อน” โทชิฮิโระดึงแขนอาคาเนะให้เดินเข้ามาหา ใช้ฝ่ามือช่วยปิดตาเพื่อให้อาคาเนะได้ตั้งสมาธิ อาคมพรางกายถูกร่ายจนจบ แต่อาคาเนะยังไม่กล้าเปิดตา ภายในใจหวาดกลัวว่าจะลืมตามาพบกับความผิดหวัง จนเมื่อมีบางสิ่งกดแนบลงกับริมฝีปาก อาคาเนะถึงได้สะดุ้งจนต้องลืมตาขึ้น


ดวงตาคู่คมจ้องมองตรงมาแฝงความเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากถูกขบเบาๆ จนเผลอถอยเท้าหนี แต่มือของโทชิฮิโระยังตามมาเกี่ยวรั้งเอวเอาไว้ พออ้าปากจะโวยวาย จอมเจ้าเล่ห์ก็สอดลิ้นเข้ามากวาดต้อน ลมหายใจถูกฉกฉวยจนแทบขาดอากาศ กว่าโทชิฮิโระจะยอมถอนจูบออกไปได้


“โทชิ!” อาคาเนะสบถ ทั้งอายทั้งโมโห จนต้องระบายด้วยการชกอกคนที่กำลังแอบหัวเราะเข้าให้อีกที ตอนนั้นเองถึงได้เห็นว่ามือเขาไม่มีขนปกคลุมอยู่อีกแล้ว แต่ที่หางตายังคงเห็นปลายหางแกว่งไกวอยู่ พอยกมือขึ้นจับเหนือหัว หูแหลมๆ ก็ยังคงอยู่เช่นกัน


“ไม่เป็นไร อย่างน้อยข้าก็จูบเจ้าได้แล้วเห็นไหม” ยิ่งเห็นโทชิฮิโระยิ้มกว้าง ใบหน้าอาคาเนะยิ่งบูดบึ้ง นึกอยากบีบคอคนอารมณ์ดีตรงหน้าขึ้นมาสุดใจ


“คนชอบเอาเปรียบ” อาคาเนะเอ่ยเสียงขุ่น คนกำลังกังวลใจอยู่แท้ๆ ยังมาคอยแทะเล็มกันอยู่ได้ ไม่รู้ว่าเขาเป็นพวกคิดมากไป หรือโทชิฮิโระคิดน้อยเกินไปกันแน่


“จะจูบคืนก็ได้ข้าไม่ว่า” คนสูงกว่าโน้มตัวลงมาหา แกล้งทำเป็นยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อาคาเนะเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจยกมือขึ้นจับใบหน้าโทชิฮิโระไว้ แล้วหลับหูหลับตายืดตัวขึ้นจูบกลับตามคำท้าทาย


“ไม่ใช่แค่ท่านที่จูบเป็นคนเดียวเสียหน่อย” ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำแต่อาคาเนะยังทำเป็นดุใส่ จนคนมองอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ พร้อมกับคว้าตัวอาคาเนะมากอดไว้


“ได้ๆ ข้ายอมแพ้เจ้าแล้ว แต่อย่าทำบ่อย จะถูกกินเอารู้ไหม” โทชิฮิโระงับใบหูอาคาเนะด้วยความมันเขี้ยว ทุกทีเห็นแกล้งนิดแกล้งหน่อยเป็นหน้าแดง ไม่นึกว่าจะกล้าต่อกรกับเขา


อาคาเนะก้มหน้ากลอกตาหลุกหลิก ในขณะที่มือขยุ้มกิโมโนของโทชิฮิโระจนมันยับย่น ก่อนจะเอ่ยประโยคแผ่วเบาประโยคหนึ่งออกมา


“ข้าไม่เคย...ห้าม...เสียหน่อย”


•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

และแล้วนิยายเรื่องนี้ก็มาถึงจุดที่ 'อ่อยมาอ่อยกลับไม่โกง'  :hao6: :hao6:




จากรบเลือดสาดกลายเป็นเศร้าน้ำตากระจาย

เราชอบเปลี่ยนอารมณ์คนอ่านค่ะ คาดว่าตอนนี้ก็น่าจะเปลี่ยนอีกหนึ่งรอบ  :z2:



:pig4: :pig4:


 :mew1: :mew1:



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ใกล้จะจบแล้วค่ะ อยู่ด้วยกันก่อนน้าาา

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 26 กลับบ้าน [12/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 13-01-2017 01:02:41
เย้ตามอ่านทันแล้ว  :pig4: กินสิกินเบย5555555 สนุกมากน่ารักมากๆๆๆค่ะ รอนะค้าาา  :hao6:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 27 จิ้งจอกจอมยั่ว [13/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 13-01-2017 12:32:23
บทที่ 27

จิ้งจอกจอมยั่ว





การมีความรักนั้นดีอย่างไร ทำไมใครต่อใครถึงคร่ำครวญหา ทั้งบิดาที่ไม่เคยลืมมารดาตราบจนสิ้นลมหายใจ หรือเหล่าพี่น้องร่วมร้านที่ยินดีรอคอยแขกสักคนไม่จบสิ้น


ในสายตาอาคาเนะ ทุกคนล้วนเจ็บปวดเพราะความรัก มากกว่าที่จะได้รับความสุข การปล่อยตัวเองให้ตกลงสู่ภวังค์แห่งรักจึงนับเป็นเรื่องสิ้นคิดที่สุด ทั้งที่คิดเอาไว้อย่างนั้น แต่วันนี้เขากลับเป็นฝ่ายเดินเข้าหากับดักนั้นเองจนได้


แล้วยังหาเรื่องใส่ตัวด้วยการยอมมอบร่างกายให้กับชายคนนั้นอีก


“โอ๊ย! อย่า...โอ๊ย!! นี่!!” จิ้งจอกน้อยตวาดลั่นพร้อมกับปัดมือที่กำลังดึงแก้มของตนออก เล่นทั้งหยิกทั้งดึงจนปวดหนึบทั้งสองแก้ม ส่วนคนทำกำลังหรี่ตามองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งเหมือนผู้ใหญ่มองเด็กเวลาทำผิด


“โกรธอะไรเล่า มังกรบ้า!” คนอุตส่าห์กลั้นใจข่มความประหม่า ทำไมถึงกลายเป็นว่าถูกโกรธไปได้


“ที่พูดออกมานั่น เข้าใจความหมายบ้างหรือเปล่า” ร่างสูงใหญ่ก้าวเดินด้วยท่าทีคุกคามเข้ามาหา แน่นอนว่าอาคาเนะเองก็ก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณด้วยเหมือนกัน ถอยไปเรื่อยๆ จนแผ่นหลังชนเข้ากับผนัง จนไม่มีทางให้หนีอีก


“ขะ...เข้าใจสิ” ถึงปากจะกล้าตอบ แต่พอถูกจ้องด้วยแววตาดุดัน ถูกใบหน้านั้นโฉบเข้ามาใกล้ อาคาเนะก็เผลอหลับตาลงโดยไม่ตั้งใจ แว่วเสียงถอนหายใจจากคนที่ใช้สองแขนกักตัวอาคาเนะเอาไว้อยู่


“เจ้าที่ตบข้าแค่เพราะโดนจูบที่หน้าผาก กล้าพูดจาเชิญชวนข้าหรือ” นับเป็นความทรงจำของจูบแรกที่ไม่น่าประทับใจ จนคนฟังถึงกับไม่กล้าสู้หน้า


“ถ้ายังไม่ได้เตรียมใจ ก็อย่าพูดออกมาง่ายๆ มันไม่ใช่อะไรที่เริ่มไปแล้วจะหยุดได้ เข้าใจไหม” โทชิฮิโระดุเสียงเข้ม เขาเองอาจเป็นฝ่ายคอยแหย่อาคาเนะอยู่ตลอด แต่เขารู้ขอบเขตของตัวเองดี คอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายยังเด็กนัก ทั้งซื่อตรง ทั้งอ่อนไหวง่าย สำหรับเขา อาคาเนะมีค่าเกินกว่าจะทำเรื่องที่เรียกคืนไม่ได้ลงไปโดยไม่คิด


โทชิฮิโระลดมือลงเมื่อเห็นว่าอาคาเนะยืนนิ่งไม่เถียงอะไรอีก เอื้อมมือไปโยกหัวจิ้งจอกน้อยที่ยังคงเอาแต่ก้มหน้า จนเมื่อร่างสูงหมุนตัวกลับหลัง อาคาเนะถึงได้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง


“ที่ท่านไม่ยอมมีอะไรกับข้า เพราะคิดว่าสักวันอาจต้องแยกจากกันไม่ใช่หรือ” ขาที่กำลังก้าวชะงักค้างก่อนวางลงที่เก่า ดวงตาสีครามเหลียวกลับมามองเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง


“เพราะรู้ว่าตัวเองเข้าหาข้าโดยไม่บริสุทธิ์ใจ ท่านถึงได้เว้นระยะห่างจากข้าไว้หนึ่งก้าวเสมอ พอถึงวันที่ท่านจะจากไป จะได้จากข้าไปง่ายๆ ใช่ไหม”


ไม่ใช่ว่าไม่เคยถามตัวเอง ว่าทำไมคนที่ยอมเสียเงินซื้อตัวเขาคืนแล้วคืนเล่าถึงได้ไม่เคยทำอะไรอย่างที่แขกทั่วไปอยากจะทำ พอได้รู้เรื่องสัญญาระหว่างโทชิฮิโระและมาซาโนริถึงได้รู้คำตอบ ว่าแท้จริงแล้วโทชิฮิโระพร้อมจะทิ้งเขาไปตลอดเวลามาตั้งแต่ต้น


“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้” ถึงจะคิดเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่พอได้ฟังกับหูแล้วมันยังคงปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ฝ่าฟันจนผ่านด่านความตายมาได้ หลงนึกว่าพวกเขาจะเข้าใจกันได้แล้วเสียอีก


“แต่นั่นมันก็แค่ก่อนที่เจ้าจะบอกรักข้า” สิ้นคำพูดนั้น อาคาเนะก็ถูกฉุดให้เดินตามหลัง ถูกดันให้นอนลงบนฟูกที่เตรียมไว้โดยมีโทชิฮิโระโน้มตัวลงมาคร่อมเอาไว้ ริมฝีปากถูกครอบครอง ระหว่างที่สายคาดเอวถูกแก้ออก ฝ่ามือร้อนสอดเข้าไปตามรอยผ้าที่แหวกออก เพื่อทาบลงเหนือตำแหน่งหัวใจของอาคาเนะที่กำลังเต้นแรงจนรู้สึกได้ผ่านมือนี้


“เพราะเจ้าสำคัญถึงไม่อยากสร้างรอยแผลที่ลึกจนไม่สามารถเยียวยาได้” เพื่อให้อาคาเนะยังสามารถยืนหยัดอยู่ด้วยตัวเองเมื่อเขาจากไป ถึงได้ไม่คิดจะสานสัมพันธ์ทางกายให้ลึกซึ้งเกินจะถอยกลับได้


“แล้วตอนนี้ท่านยังคิดจะจากข้าไปอีกหรือ” ดวงตาสีเพลิงช้อนมองและจับมือที่แนบอกไว้เพื่อรอฟังคำตอบ หากเมื่อก่อนคือความใจดีที่โทชิฮิโระพยายามมอบให้ แล้วตอนนี้จะอ้างถึงสิ่งใดสำหรับการไม่แตะต้องเขาอีก


“เจ้ากำลังหาเรื่องใส่ตัวอยู่รู้ไหม”


 “มีท่านอยู่ด้วย ข้ายังต้องกลัวอะไรด้วยหรือ” ใบหน้าอาคาเนะเชิดขึ้น เมื่อเอ่ยคำย้อนถาม เรียกรอยยิ้มจากโทชิฮิโระได้


“ไม่อีกแล้ว ทั้งจากนี้ และตลอดไป” โทชิฮิโระโน้มตัวลงมอบจูบให้กับคนที่รออยู่ เคยได้ยินอยู่หรอกว่าปีศาจจิ้งจอกขึ้นชื่อเรื่องสเน่ห์เย้ายวน แต่ไม่คิดว่าจะมาตกหลุมเอากับเด็กหนุ่มไร้ประสบการณ์ความรักอย่างนี้


หรืออาจต้องบอกว่าเขาแพ้ทางความตรงไปตรงมาของอาคาเนะ


สองแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบคออีกฝ่ายไว้ แอ่นกายขึ้นเพื่อรับสัมผัสจากฝ่ามือที่ลูบไล้ไปตามร่างกาย ทิ้งความร้อนผ่าวไว้ทุกที่ที่ถูกสัมผัส จุดความต้องการจากส่วนลึกให้คุกรุ่น จนไม่อยากให้ไออุ่นจากร่างกายที่ทาบทับอยู่จางหายไปแม้สักเสี้ยวนาที


รสรักอันวาบหวามกระตุ้นสัญชาตญาณของจิ้งจอก ดวงตาอาคาเนะปรือฉ่ำหวานยามโทชิฮิโระเลื่อนตัวลงจูบไล่จากแผ่นอก ละเรื่อยจนถึงหน้าท้อง แล้วครอบครองส่วนที่อ่อนไหว ทั้งร่างสะท้านเฮือกจนเผลอกลั้นหายใจ พอถูกคว้าหางเอาไว้ก็สะดุ้งจนร้องครางออกมา


ผิวกายของอาคาเนะแดงระเรื่อ ลมหายใจหอบกระชั้น หัวใจเต้นแรง ทั้งตื่นเต้นและประหม่า รับรู้ได้ถึงมืออุ่นที่ช่วยเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้า รวมถึงเสียงทุ้มที่กระซิบบอกอยู่ข้างหู เมื่อโทชิฮิโระเคลื่อนตัวกลับขึ้นมา


“ถ้าจะหยุดก็บอกเสียตอนนี้ เพราะหลังจากนี้ถึงจะห้าม ข้าก็ไม่ฟังแล้วเข้าใจไหม” คำตอบของอาคาเนะคือการยืดตัวขึ้นจูบเบาๆ บนปลายคางคนถาม ยิ่งเร่งเร้าให้โทชิฮิโระอยากครอบครองจิ้งจอกจอมยั่วมากยิ่งขึ้น


“ถ้าเจ็บก็กอดให้แน่นๆ” คำเตือนเหมือนสายลมที่ผ่านหู ประสาทรับรู้ทั้งหมดของอาคาเนะถูกหันเหไปยังบางสิ่งที่กำลังถูกสอดใส่เข้ามาในร่างกาย ทั้งอึดอัดและเจ็บแสบ แต่กลับเติมเต็มความอบอุ่นที่หัวใจปรารถนา


กรงเล็บแหลมจิกลงบนต้นแขนของโทชิฮิโระเพื่อระบายความเจ็บ อาคาเนะเคยถูกสอนมาแล้วว่าการร่วมรักระหว่างผู้ชายจะเป็นอย่างไร ต้องทำแบบไหนเพื่อจะเอาใจแขก แต่นาทีนี้ความรู้ทุกอย่างปลิวหายหมด มีเพียงความต้องการที่กำลังเอ่อล้นจนลืมกระทั่งความอายได้


“โทชิ...” เสียงหวานเอ่ยเรียก แต่แล้วก็เงียบลงเมื่อโทชิฮิโระเริ่มขยับ มีเพียงเสียงครางผะแผ่วที่เล็ดรอดออกมาทั้งที่เจ้าตัวพยายามกลั้น


“มีอะไรจิ้งจอกน้อย” โทชิฮิโระถามเสียงนุ่ม ที่ทำอยู่ไม่ได้อยากแกล้ง แต่อยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าอาคาเนะดูเหมือนจะกลั้นหายใจแทบทุกครั้งที่เขาสอดใส่เข้าไปจนสุด


“ข้าเป็น...ของท่าน” ประโยคสั้นๆ กลับทำให้หัวใจคนฟังถึงกับเต้นผิดจังหวะ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โทชิฮิโระคิดว่าตัวเองต้องกำลังหน้าแดงอยู่แน่


ได้ยินอาคาเนะเรียกหา ซ้ำยังออดอ้อนใส่ เห็นแล้วอดคิดถึงวันแรกที่เจอกันไม่ได้ เด็กหนุ่มแสนหยิ่งที่เมินใส่เขาหน้าตาเฉย แม้แต่ชื่อก็ไม่ยอมจำ ทั้งดื้อ ทั้งดุ ทั้งยังขี้ระแวงไม่ต่างจากจิ้งจอกป่า ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่อาคาเนะยอมออกปากเป็นของเขาด้วยตัวเองอย่างนี้


แล้วจะไม่ให้รัก ให้หลงได้อย่างไร


อาคาเนะร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆ เขาก็ถูกยกตัวให้ขึ้นมานั่งซ้อนบนตักของโทชิฮิโระโดยที่ร่างกายยังเชื่อมต่อกันอยู่ สติที่กำลังล่องลอยกลับมาแจ่มชัดอีกครั้งจนผวาคว้าคออีกฝ่ายไว้เพื่อทรงตัว


“อะ...อะไร ทำไม” หูและหางของอาคาเนะตั้งขึ้นด้วยความตื่นตกใจ เห็นโทชิฮิโระยิ้มกว้างแล้วรู้สึกสองแก้มร้อนขึ้นอย่างบอกไม่ถูก


“กลัวข้าหลงเจ้าไม่พอหรือ ถึงได้พูดอะไรน่ารักอย่างนั้น” คนถูกถามหน้าแดงซ่าน ทั้งเขิน ทั้งอายเกินกว่าจะตอบอะไรได้ โทชิฮิโระหัวเราะออกมาเบาๆ ใช้สองมือโอบเอวบางพลางแนบหน้าลงกับอกอาคาเนะเอาไว้


“ข้าก็เป็นของเจ้าผู้เดียว จิ้งจอกที่รักของข้า” คำกล่าวนั้นหนักแน่นดุจดังคำปฏิญาณ ชีวิตที่เหลือนับจากนี้ เขาจะใช้มันโดยมีอาคาเนะอยู่เคียงข้าง


ต่อจากนั้นไม่มีคำใดที่พวกเขาเอื้อนเอ่ยต่อกันอีก มีเพียงภาษากายที่ถ่ายทอดให้กันถึงความรักอันลึกซึ้ง ปล่อยร่างกายให้เคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ และความปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจ จนกระทั่งหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน



•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

 :z3: :z3: ไม่ถนัดบทรักอย่างรุนแรง  :ling2: เท่านี้ก็หมดพลังงานแล้วค่ะ ขออภัยจริงๆ เอาแค่ที่ผ่านมาได้มั้ย  :sad4:



เย้ตามอ่านทันแล้ว  :pig4: กินสิกินเบย5555555 สนุกมากน่ารักมากๆๆๆค่ะ รอนะค้าาา  :hao6:


ถึงจะกินก็ยังต้องโดนดุก่อนค่ะ พระเอกเราเป็นได้ทั้งสามีและพ่อในคนเดียว  :laugh:



หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทที่ 28 ความอบอุ่น [14/01/17]
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 14-01-2017 10:14:32
บทที่ 28

ความอบอุ่น





อากาศในฤดูหนาว ต่อให้หิมะไม่ตกมันก็ยังเย็นจนชวนให้ขดตัวอยู่บนฟูกอุ่นๆ แม้ว่าดวงตะวันจะแผดแสงแรงกล้าสักเท่าใด ขอเพียงอยู่ใต้ร่มเงา อาคาเนะก็มั่นใจว่าสามารถนอนได้ทั้งวันแน่


เมื่อเช้าจำได้ว่าตัวเองสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาตอนที่โทชิฮิโระลุกขึ้น อยากจะถามเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะไปไหน แต่ความง่วงงุน และรอยจูบแผ่วเบาข้างขมับ เอาชนะทุกสิ่ง อาคาเนะเลือกตัดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองทิ้ง ก่อนตัดสินใจหลับตาลง แล้วปล่อยให้ตัวเองจมลงสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง จนกระทั่งโทชิฮิโระกลับมา


เสียงเปิดประตูปลุกอาคาเนะให้รู้สึกตัว แต่ยังคงขี้เกียจเกินกว่าจะลืมตาขึ้น ต้องโทษโทชิฮิโระที่สูบเรี่ยวแรงเขาไปจนหมด ทำเอาล้าจนไม่อยากขยับตัว


“ตื่นได้แล้วขี้เซา” ใบหูข้างหนึ่งของอาคาเนะตั้งขึ้น แต่แล้วก็พับลงแสดงออกถึงความไม่สนใจ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนที่พยายามปลุก


“ไม่ตื่นจริงหรือ” เมื่อคำตอบยังคงเป็นความเงียบ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าโทชิฮิโระ เขานั่งลงข้างกายคนที่นอนอยู่ ดึงผ้าห่มขึ้นแล้วแทรกตัวเข้าไป อาคาเนะตกใจจนตัวแข็งตอนที่ถูกโทชิฮิโระคว้าตัวเข้ามากอด


“ใครให้เข้ามา” ดวงตาสีเพลิงเหลือบมองคนมี่กำลังกอดเขาจากด้านหลังพลางเอ่ยถามเสียงขุ่น ผิวกายโทชิฮิโระเย็นเฉียบจากการออกไปเดินตากลมด้านนอก ทำเอาความอบอุ่นที่เก็บสะสมมาลดลงอย่างรวดเร็ว


“ข้าต้องขออนุญาตจากคนที่นอนอุ่นอยู่คนเดียวด้วยหรือ ใจร้ายจริงนะเจ้า”


“ใครใช้ให้ออกไปไหนแต่เช้าเล่า เดี๋ยว! ทำอะไรเนี่ย!” อาคาเนะโวยลั่น เพราะโทชิฮิโระไม่เพียงแค่กอดอย่างทุกครั้ง แต่ยังสอดมืออันซุกซนเข้ามาในกิโมโนของเขาด้วย


“กำลังหาความอบอุ่นอยู่ อากาศข้างนอกมันเย็นรู้ไหม” เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูเจือไว้ด้วยเสียงหัวเราะอย่างไม่คิดจะปกปิด ประกอบกับมือเย็นๆ ที่จับไปทั่วบอกให้รู้ว่านิสัยขี้แกล้งของโทชิฮิโระได้กลับมาแล้ว


“อย่า...มันเย็น...” อาคาเนะพยายามบิดตัวหนี แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งดิ้นยิ่งกลายเป็นถูกสัมผัสมากขึ้น อุณหภูมิร่างกายจากอบอุ่นเริ่มกลายเป็นร้อนขึ้นอย่างช้าๆ


“โทชิ...”


“เดี๋ยวก็อุ่นแล้ว” เจ้าของอ้อมกอดกระซิบบอก พร้อมจูบลงตรงท้ายทอยของอาคาเนะ


อุ่นเกินไปแล้วต่างหาก ไอ้มังกรลามก!


น่าเศร้าที่อาคาเนะทำได้เพียงร้องประท้วงอยู่ในใจ เพราะดูเหมือนเขาจะพ่ายแพ้ให้กับชายคนนี้อย่างหมดรูป นับตั้งแต่วันที่พบกันในป่าเสียแล้ว


“ถ้าพวกท่านอยาก...ทำธุระกัน ให้ข้ามาใหม่วันหลังไหม” ใครคนหนึ่งเอ่ยถามจากหน้าประตูห้อง ทำเอาคนที่กำลังเคลิ้มถึงกับสะดุ้งเฮือกรีบตะเกียกตะกายถอยห่างจากโทชิฮิโระ และหันมองเงาบนบานประตูด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง


“ท่าน!” อาคาเนะอยากด่าแต่ด่าไม่ออก ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองดูโทชิฮิโระที่กำลังพยายามกลั้นขำจนไหล่สั่นอยู่อีกฟากห้อง


“เข้ามา” เจ้าของคฤหาสน์เอ่ยปากบอก ประตูห้องจึงถูกเปิดออก โดยมีหญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเข้ามา นางก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพต่อโทชิฮิโระ แต่พอจะหันมาทักอาคาเนะอีกคนกลับถูกเด็กหนุ่มพุ่งเข้ามากอดไว้เสียก่อน


“อาคาเนะ?” เพราะไม่คิดว่าจะถูกกอด สึซึรันเลยได้แต่ยืนนิ่ง ถ้าเป็นคนอื่นคงกางกรงเล็บใส่ แต่เพราะเป็นเด็กหนุ่มที่เคยออกตัวปกป้องนางมาก่อน สึซึรันถึงยอมถูกกอดเอาไว้เช่นนี้


“ขอโทษ” คำขอโทษแสนสั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่สื่อออกมาผ่านอ้อมกอด ความรู้สึกผิด ความห่วงใย ถูกส่งผ่านมาถึงสึซึรันอย่างชัดเจน


“เข้าใจแล้ว แต่ปล่อยก่อนได้ไหม รู้สึกเหมือนมีสายตาใครบางคนค่อยทิ่มแทงแล้วมันอึดอัดนะ” อาคาเนะยอมผละออก ก่อนเหลียวมองไปยังโทชิฮิโระที่ทำเป็นเสมองไปทางอื่นตอนสบตากันเข้า


“ข้าน่าจะอยู่ดูเจ้า” ทั้งที่เห็นสึซึรันถูกทำร้ายจนทรุดลงไปต่อหน้า แต่เขากลับเลือกโทชิฮิโระมากกว่า ราวกับไม่เห็นชีวิตนางมีค่า พอได้เห็นว่าสึซึรันปลอดภัย อาคาเนะถึงได้ดีใจมาก


“ไม่เป็นไร เป็นข้า ข้าก็จะไป เพราะมีคนที่สำคัญมากกำลังรออยู่” สึซึรันไม่ได้ถือโทษโกรธอาคาเนะเลยที่ตามคาสุมิไปในระหว่างที่นางบาดเจ็บ มีแต่เสียใจมากกว่าที่ไม่สามารถเป็นกำลังให้กับโทชิฮิโระมากกว่านี้ได้


“อีกอย่างถึงเจ้าไม่อยู่ ก็มีคนดูแลข้าอยู่แล้ว ดูแลดีมากเสียด้วย”


“ใครหรือ” 


“พวกคนที่ร้านสิจะมีใคร วันนี้พวกเขาก็มากับข้านะ” สึซึรันยังพูดไม่ทันขาดคำ เสียงฝีเท้าและกลิ่นอันคุ้นเคยก็ทำให้ใบหูของจิ้งจอกตั้งตรงขึ้น อาคาเนะหันซ้ายขวามองหาทางหนี ทำท่าจะกระโจนออกนอกหน้าต่าง แต่ถูกโทชิฮิโระใช้เสียงเข้มๆ ปรามเอาไว้


“อย่าหันหลังให้คนที่รักเจ้า เปิดใจได้แล้วอาคาเนะ” นานมาแล้วที่อาคาเนะรู้จักเพียงการหลบซ่อน และปิดบังสายเลือดในตัวเองครึ่งหนึ่ง ไม่ง่ายเลยที่จะทำใจบอกใครๆ ว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ แต่มีบางคนที่สมควรได้รับการยกเว้น


อาคาเนะยืนหันหลังให้ประตู ประสาทหูบอกเขาว่าคนที่โทชิฮิโระพูดถึงได้ก้าวเข้ามาในห้อง และคงได้เห็นร่างแท้จริงของเขาแล้ว ร่างที่หลอมรวมกันระหว่างสัตว์และมนุษย์


“อาคาเนะ” น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกยังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า ไม่มีวี่แววของความตกใจ หรือหวาดกลัวปะปนอยู่แม้แต่น้อย อาคาเนะจึงค่อยๆ หันกลับมาตามคำเรียก


“ไม่ต้องห่วง ข้าเล่าเรื่องเจ้าให้พวกเขาฟังหมดแล้ว” สึซึรันขยิบตาให้แล้วถอยออกไปยืนอยู่กับโทชิฮิโระ คนที่ช่วยรักษาบาดแผลให้นางก็คือคนที่นางเคยจับตัวเพื่อบังคับอาคาเนะในคราวก่อน เจ้าของร้านทั้งสองพยายามช่วยนางแม้ว่าจะไม่เข้าใจสถานการณ์นัก เพื่อตอบแทนพวกเขาสึซึรันจึงอธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงสาเหตุที่ทำให้อาคาเนะต้องพัวพันกับเรื่องอันตรายด้วย


ซาโตรุมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้าจากหัวจรดเท้า ทำเอาคนถูกมองต้องกลั้นใจเพราะทำอะไรไม่ถูก ส่วนโคคิเอาแต่จ้องไปยังใบหูของอาคาเนะที่ค่อยๆ ลู่ลงเรื่อยๆ


“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม” คำถามแรกจากซาโตรุสร้างความประหลาดใจให้อาคาเนะอยู่ไม่น้อย จนเอ่ยตอบออกมาได้ค่อนข้างตะกุกตะกัก


“มะ...ไม่ขอรับ” ซาโตรุถอนหายใจออกมาเบาๆ ส่วนโคคิก้าวยาวๆ เข้าไปหาอาคาเนะ สัญชาตญาณสั่งให้อาคาเนะชักเท้าหนี แต่ทำได้เพียงครึ่งก้าวก็เปลี่ยนใจ เขาปิดบังพี่ชายทั้งสองมาหลายปี หากโคคิจะโกรธก็ไม่แปลก ถ้าจะถูกตีบ้างก็ควรก้มหน้ายอมรับ


“...!” มือที่คิดว่าจะชกมาสักหมัดกลับคว้าหมับเข้าที่หาง ทำเอาอาคาเนะสะดุ้งจนพองขน ส่วนคนจับยังคงบีบแน่นเข้าไปอีก พร้อมมองดูด้วยสายตาใคร่รู้


“โคคิ! ทำบ้าอะไร!” ซาโตรุตวาดพร้อมกระชากแขนโคคิกลับ


“แค่อยากรู้ว่าของจริงไหม” เจ้าของร้านตอบกลับหน้าซื่อ จนสหายสนิทถึงกับกุมขมับ ไม่รู้ว่าระหว่างโคคิกับอาคาเนะ ใครเป็นเด็กใครเป็นผู้ใหญ่กันแน่


“แบบนี้เรียกแขกได้เยอะนะ” โคคิทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือตัวเองราวกับเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก แน่นอนว่ามันทำให้ผู้ชายโตแต่ตัวคนนี้ถูกตวาดซ้ำอีกรอบ


“ไปเอาหัวโขกเสาจนกว่าจะลืมความคิดบ้าๆ เสีย! ทำไมข้าถึงมีเพื่อนอย่างเจ้านะ”


“ก็บ้านใกล้กัน”


“นั่นไม่ใช่คำถาม!” ซาโตรุกำมือแน่นด้วยความโกรธ แต่ทุกอย่างยุติลงเมื่อมีเสียงใครบางคนหัวเราะขึ้นมา จนดวงตาทุกคู่ต่างพร้อมใจกันหันไปหาต้นเสียง


“ขอโทษ มัน...กลั้นไม่ไหว” อาคาเนะหัวเราะจนน้ำตาไหล พอความเครียดที่ขมวดเกลียวอยู่ภายในคลายออกก็ไม่สามารถหยุดหัวเราะได้


“พวกเราไม่ได้เกลียด หรือกลัวเจ้าเลยนะอาคาเนะ” ซาโตรุเอ่ยเสียงนุ่ม หากเป็นมนุษย์ทั่วไปคงจะกลัวจนตัวสั่นเมื่อได้เห็นปีศาจ แต่สำหรับเขาและโคคิ พอได้ฟังเรื่องราวจากสึซึรัน ได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วอาคาเนะเป็นอะไร กลับกลายเป็นเหมือนการไขปริศนาให้กระจ่าง ช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างพวกเขากับอาคาเนะ บอกให้รู้ว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้เพียรสร้างกำแพงรอบตัวนัก


“แล้วตัวเจ้า ยังกลัวพวกเราอยู่หรือเปล่า” เพราะกลัวการถูกมองด้วยสายตาหวาดกลัวจากผู้อื่น อาคาเนะถึงได้พยายามเก็บซ่อน ไม่ให้ใครเข้าใกล้ เพราะกลัวจะถูกล่วงรู้ถึงตัวตนที่ปิดบังไว้


“ข้าเป็นปีศาจนะขอรับ”


“เห็นแล้ว จับแล้วด้วย” โคคิโพล่งออกมาก่อน แต่จำต้องหุบปากเพราะถูกซาโตรุมองตาขวางใส่ จะเถียงก็ขี้เกียจเลยเดินหลบไปยืนอีกด้านของโทชิฮิโระ


“ถึงเจ้าจะไม่ได้บอกว่าเป็นอะไร แต่ข้าเชื่อว่านอกเหนือจากนั้น เราอยู่ร่วมกันด้วยความจริงใจ ไม่ใช่หรือ” ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันล้วนไม่ใช่เรื่องโกหก ทั้งยามสุขหรือยามเศร้า ไม่ว่าหัวเราะหรือร้องไห้ แล้วหากอาคาเนะจะเปลี่ยนไปเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก มันจะสำคัญตรงไหน


“ขอบคุณมากขอรับ ขอบคุณที่ยอมรับข้า” อาคาเนะเดินเข้าไปหาซาโตรุ เอียงคอให้เมื่อเห็นพี่ชายยกมือขึ้นหมายจะลูบหัว มือนี้มอบความอบอุ่นที่ต่างจากโทชิฮิโระ แต่อาคาเนะก็ชื่นชอบสัมผัสนี้อยู่ไม่น้อย


“คราวหลังถ้าทิ้งอาคาเนะไว้คนเดียวอีก อย่าหวังว่าข้าจะคืนให้ง่ายๆ” ถึงสายตาจะมองไปทางอื่นแต่โทชิฮิโระรู้ดีว่าโคคิกำลังพูดกับเขา ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยถูกมนุษย์ขู่เอาเป็นครั้งแรก ตอนไปที่ร้านเมื่อเช้าก็ถูกโคคิจ้องเอาราวกับจะฆ่าเสียให้ได้ ดูท่าเขาจะเจอกับพ่อหมีหวงลูกเข้าเสียแล้ว


“ไม่ต้องห่วง จะไม่ปล่อยให้ห่างมืออีกแล้ว”


“มังกรนี่รักษาสัญญาใช่ไหม”


“ด้วยชีวิต” โทชิฮิโระกดหน้าลงเพียงนิด แทนการให้เกียรติโคคิในฐานะผู้ปกครองของอาคาเนะคนหนึ่ง ถึงจะไม่ได้เห็นกับตา แต่โคคิก็ได้ฟังจากสึซึรันแล้วว่าโทชิฮิโระเป็นสัตว์เทพที่มีเกียรติในระดับนึง คำพูดคงจะพอเชื่อถือได้


“แม่ลูกตรงนั้น อ้อนกันเสร็จหรือยัง” ทำเคร่งเครียดได้ไม่เท่าไร โคคิก็หันไปสนใจซาโตรุและอาคาเนะอีกครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสบถด่ายืดยาวจากสหายคนสนิทของตัวเอง







ดวงตะวันคล้อยต่ำ ช่วงเวลากลางวันกำลังจะจบลงในไม่ช้า เป็นสัญญาณเตือนโคคิและซาโตรุว่าถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องกลับไปทำงานของตน


“ขอโทษด้วยที่มารวบกวนเสียนาน” ไม่ว่าเมื่อไรซาโตรุยังคงปฏิบัติตัวราวกับโทชิฮิโระเป็นแขกของร้านอยู่เสมอ พวกเขาบอกลากันตรงชานบ้าน เพราะเกรงว่าหากไปส่งถึงประตูหน้า อาจมีใครผ่านมาเห็นอาคาเนะเข้า


“ทางนี้ต่างหากที่รบกวนไว้ในหลายๆ เรื่อง” เจ้าของบ้านตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับตบบ่าของอาคาเนะที่ยืนอยู่ข้างกันไปด้วย


“หากมีเวลาก็แวะไปที่ร้าน เราจะต้อนรับเป็นอย่างดี” ถึงจะออกปากไปก่อน แต่ซาโตรุก็เหลือบมองโคคิเพื่อขออนุญาต เจ้าของร้านพยักหน้ารับคำ แล้วยังเอ่ยต่อหน้าระรื่น


“ค่าใช้จ่ายจะหักมาจากส่วนของค่าไถ่ตัวอาคาเนะ ไม่ต้องห่วง” พอโคคิพูดจบก็ถูกซาโตรุฟาดใส่กลางหลังเข้าให้ โคคิทำหน้าเหยเกก่อนจะแสร้งกระแอมไอกลบเกลื่อน


“คงต้องรอสักพักใหญ่ๆ” สายตาโทชิฮิโระมองตรงไปยังใบหูและพวงหางของอาคาเนะ ตราบใดที่ยังซ่อนร่างปีศาจไม่ได้ อาคาเนะคงไม่สามารถออกไปเดินในเมืองได้เป็นแน่


“นานเท่าใด ข้ากับซาโตรุก็ยังอยู่ที่เดิมเสมอ และประตูร้านเราจะเปิดรับพวกเจ้าเสมอเช่นกัน” ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินโคคิพูดเรื่องซาบซึ้งกับใคร และมันทำให้อาคาเนะรู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อๆ


ร้านแห่งนั้นจะไม่ใช่บ้านของเขาอีกแล้ว ความครึกครื้นของเสียงดนตรี และเสียงพูดคุยของผู้คน จะเป็นเพียงความทรงจำสำหรับเขา ถึงจะแทบไม่สนิทกับใคร แต่ยังอดใจหายไม่ได้เมื่อต้องจากมา


มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวถูกใครอีกคนค่อยๆ สอดนิ้วเข้ามาประสานไว้แล้วดึงไปซุกไว้ข้างหลัง เรียกให้คนที่กำลังเริ่มซึมเงยขึ้นมอง


“อย่าทำหน้าเศร้า หรืออยากให้ปลอบเจ้าตรงนี้” โทชิฮิโระก้มลงกระซิบข่มขู่ จนโดนอาคาเนะพ่นลมหายใจใส่แรงๆ ทั้งที่หน้าแดงระเรื่อ อาคาเนะออกแรงบีบมือที่ถูกคว้าไปให้คนขี้แกล้งได้เจ็บเล่น


“แล้วพบกันใหม่” ซาโตรุเลือกที่จะไม่เอ่ยคำว่า ‘ลาก่อน’ เพราะเชื่อว่าสักวันเขาจะได้กับน้องชายคนนี้อีก


“แล้วพบกัน พี่ซาโตรุ พี่...โคคิด้วย” คำเรียกขานตะกุกตะกักทำให้โคคิยกนิ้วขึ้นไชหูพลางกะพริบตาปริบๆ มองอาคาเนะที่กำลังทำหน้าเหมือนกินยาขม


“ข้าไม่ได้หูฝาดใช่ไหม เรียกข้าว่าอะไรนะ”


“อย่าให้พูดซ้ำได้ไหมมันกระดากปาก” อาคาเนะตอบกลับพร้อมทำปากยื่น ทำเอาคนถามแทบอยากเดินเข้าไปตบกะโหลกสักหนสองหน ถ้าไม่ใช่ว่าถูกซาโตรุคล้องแขนรั้งไว้เสียก่อน


“กลับกันได้แล้วคุณเจ้าของร้าน ใกล้ถึงเวลาเปิดแล้ว” เพื่อป้องกันการวิวาทระหว่างหมีกับจิ้งจอก ซาโตรุคิดว่าการลากโคคิออกไปน่าจะดีที่สุด เสียงเอะอะโวยวายของโคคิค่อยๆ ห่างออกไป เหล่าคนที่ยังอยู่ต่างพากันถอยหายใจออกมา


“ครอบครัวเจ้านี่ครึกครื้นดีนะ” โทชิฮิโระเอ่ยเย้าคนข้างกายและได้รับข้อศอกถองตอบกลับมา เป็นภาพที่คนมองอดไม่ได้ที่จะขำ


“พวกท่านก็ไม่แพ้พวกเขาหรอก” สึซึรันเอ่ยกลั้วหัวเราะ เทพมังกรที่แสนสง่างามพออยู่กับอาคาเนะแล้วกลับดูเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ผู้ชายที่มีคนรักที่รักมากอยู่ข้างๆ และพร้อมจะแกล้งเสมอเสียด้วย


“ไม่เข้าใจเลยว่านิสัยแบบนี้มีคนเคารพได้อย่างไร ถ้าบอกว่าเป็นพวกเจ้าสำราญยังพอว่า” อาคาเนะกอดอกเชิดหน้าใส่ ในสายตาเขาโทชิฮิโระดูไม่เห็นมีอะไรที่ใกล้เคียงกับการเป็นเทพเจ้าเลยสักนิด


“ถ้าอยากรู้ข้าทำให้ดูเอาไหม” โทชิฮิโระย้อนถามด้วยรอยยิ้มจางๆ ส่วนคนฟังทั้งสองต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน และเป็นสึซึรันที่เอ่ยถามขึ้นก่อน


“ท่านจะกลับไปหรือ”


“ถ้าหากอาคาเนะจะไปกับข้า” โทชิฮิโระยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ใช่ว่าเขาจะเป็นพวกยึดติดกับการถูกยกยอให้เป็นเทพ แต่หากสามารถกลับไปสู่ฐานะนั้น คงมีหลายสิ่งที่ดีต่ออาคาเนะด้วยเช่นกัน


“เกี่ยวอะไรกับข้า” คนถูกพาดพิงขมวดคิ้วถาม


“ถ้าอยากรู้ต้องลองไปดู” ดวงตาสีครามหรี่ลงเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ ใบหน้าโทชิฮิโระประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเป็นเชิงท้าทาย


“เว้นเสียแต่จิ้งจอกน้อยจะกลัวโลกภายนอก” ยิ่งได้ฟังคำยั่วยุ ใบหน้าอาคาเนะก็ยิ่งบึ้งตึง เขาอาจอ่อนประสบการณ์กว่าโทชิฮิโระทุกด้านเพราะวัยที่ต่างกัน แต่เรื่องอะไรจะยอมให้อีกฝ่ายพูดจาเหมือนเขาเป็นเด็กอยู่ได้


“ก็ไปสิ อยากรู้นักว่าท่านโทชิฮิโระยามเป็นเทพจะน่าเกรงขามสักแค่ไหน” ความทะนงของเด็กหนุ่มคือสเน่ห์ที่โทชิฮิโระชื่นชม แต่สักวันเขาอาจต้องสอนอาคาเนะว่าให้รู้จักมองกับดักก่อนจะก้าวขาลงไปเสียบ้าง







ท่ามกลางขุนเขาอากาศยิ่งทวีความหนาวเหน็บ ทิวทัศน์รอบด้านถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสีขาวโพลนด้วยหิมะที่เริ่มตกลงมาหลายวันก่อน สายลมที่ปะทะใบหน้าหนาวเย็นจนอาคาเนะคิดว่าใบหน้าของเขาชาหนึบ


“ทนไหวไหม อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว” คนที่ถามอย่างห่วงใยคือสึซึรันที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน อาคาเนะพยักหน้า พลางแหงนมองเจ้าของอุ้งเล็บที่เขาและสึซึรันนั่งอยู่ โทชิฮิโระในร่างมังกรกำลังบินไปบนฟ้า ฝ่าลมหนาวเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองที่เคยอาศัยอยู่


ครั้งก่อนเพราะกำลังขวัญเสียและอ่อนเพลียมาก อาคาเนะจึงแทบไม่ได้มองเลยว่าร่างมังกรของโทชิฮิโระสง่างามเพียงใด เกล็ดแวววาวสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์ ดวงตาสีครามคู่โตดูเปล่งประกายราวกับมีอัญมณีอยู่ภายใน รูปลักษณ์นับว่าห่างไกลจากพวกปีศาจทั่วไปอยู่หลายขุม ดูทรงอำนาจแต่ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัว คงเพราะแบบนี้มนุษย์ถึงยอมรับนับถือมังกรได้


กลิ่นเหม็นไหม้ของควันไฟช่วยฉุดอาคาเนะขึ้นจากภวังค์ อาคาเนะลุกขึ้นเพ่งสายตามองไปยังที่มาของกลิ่นนั้น ที่ปลายสายตาปรากฏกลุ่มควันสีดำคล้ำลอยขึ้นจากพื้นดิน


“โทชิ” อาคาเนะแตะมือลงบนผิวของโทชิฮิโระร้องเรียกเสียงแผ่ว เด็กหนุ่มหันไปสบตากับสึซึรันที่คิดว่าคงจะสัมผัสได้ไม่ต่างกัน สิ่งที่ปะปนมากับสายลมไม่ได้มีเพียงแค่กลิ่นของควันแต่ยังมีกลิ่นคาวเลือดปะปนมาด้วย


“เกาะให้มั่น ข้าจะเร่งความเร็วขึ้น”







บ้านที่สร้างจากไม้กลายเป็นเชื้อไฟได้อย่างดี แม้จะมีหิมะปกคลุมอยู่รอบด้าน แต่ไม่อาจช่วยดับเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ได้ เสียงร่ำร้องของคนเจ็บดังระงมจากบนท้องถนน เหล่าชาวบ้านต่างถูกลากออกจากบ้านของตนแล้วบังคับให้มาอยู่รวมกันท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ใครที่ต่อสู้จะถูกฟันอย่างไม่ปรานี ทุกคนจึงทำได้เพียงเกาะกลุ่มเอาไว้แล้วคอยดูแลกันเท่านั้น


“ไอ้หมู่บ้านนี้มันจนชะมัด ผู้หญิงดีๆ สักคนยังไม่มีเลย” เหล่าชายฉกรรจ์สวมเกราะเก่าคร่ำคร่ากวัดแกว่งอาวุธในมือยืนล้อมชาวบ้านเอาไว้ พวกนั้นบ่นใส่กันด้วยท่าทีเบื่อหน่าย เข้าฤดูหนาวอย่างนี้มันเดินทางแสนลำบาก แม้แต่กับพวกโจรป่า พอบังเอิญเจอหมู่บ้านเข้านึกว่าจะโชคดี ที่ไหนได้กลับเป็นหมู่บ้านจนๆ ที่แทบไม่มีอะไรจะให้ปล้น


“อย่างน้อยมีที่ให้ซุกหัวนอนไม่ต้องนอนกลางหิมะ”


“แล้วใครมันเผาบ้านวะ”


“เออ คอยดูอย่าให้ไฟลามแล้วกัน เดี๋ยวก็ไม่ต้องมีที่นอนกันหมด”


“แล้วจะเอาไงกับไอ้พวกนี้ดี” ปลายดาบของคนถามตวัดชี้ไปยังกลุ่มของชาวบ้าน ที่ผ่านมาพวกโจรมักจะแค่บุกเข้ามาปล้นชิงแล้วรีบจากไป แต่พอพวกโจรเอ่ยปากว่าจะอยู่ค้างแรมกันที่นี่ทำเอาทุกคนอดหวาดหวั่นไม่ได้


“ฆ่าทิ้งให้หมด จะได้ไม่ต้องหาคนมาเฝ้า” ใครสักคนตอบออกมาราวกับเป็นเรื่องไร้สาระที่ไม่จำเป็นต้องถาม แน่นอนว่าในกลุ่มโจรเช่นนี้ย่อมมีพวกที่หลงใหลในการฆ่าฟันรวมตัวกันอยู่ พวกมันไม่รีรอที่จะเดินตรงไปหาเหยื่อที่กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและไร้ทางสู้


ตอนนั้นเองที่ลูกไฟตกลงมาจากฟากฟ้าขวางทางกลุ่มโจรเอาไว้!


เหล่าโจรป่าแตกฮือ แม้แต่ชาวบ้านยังเงียบเสียงลง ทุกสายตาต่างมองขึ้นไปบนฟ้า เงาดำทะมึนเคลื่อนบนบังดวงอาทิตย์ ในขณะที่โจรป่าแตกตื่น แต่ชาวบ้านกลับลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มออกมา


“นั่นมันตัวบ้าอะไร!” โจรคนหนึ่งร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา กำลังขดตัวอยู่บนฟ้าเหนือหัวพวกเขา


“กลับมาแล้ว”


“เทพของพวกเรา”


นอกจากเทพมังกรที่ส่งเสียงคำรามจากบนฟากฟ้า ยังมีอีกสองคนกระโจนลงมาและก้าวไปยืนขวางระหว่างพวกโจรและชาวบ้านเอาไว้ สึซึรันกางกรงเล็บของตน ในขณะที่อาคาเนะเริ่มสร้างเปลวไฟขึ้นจากฝ่ามืออีกครั้ง


“ปีศาจ!!” พวกโจรร้องกันเสียงหลงและวิ่งหนีโดยไม่คิดจะต่อสู้ บ้างวิ่งกระจายหายไป บ้างขึ้นม้าแล้วควบออกไปสุดกำลัง ทำเอาทั้งอาคาเนะและสึซึรันที่ตั้งท่าเตรียมเผชิญหน้าเต็มที่ถึงกับปรับสีหน้าไม่ถูก


“อะไรกัน ข้าไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเสียหน่อย” หญิงสาวเบ้ปากบ่นระหว่างใช้กรงเล็บสางเส้นผมสีขาวของตนไปด้วย ส่วนอาคาเนะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจแล้วดับเปลวไฟในมือลง ดีแล้วที่เขาไม่ต้องฆ่าใครในวันนี้


แรงดึงจากด้านหลังเรียกให้อาคาเนะสะดุ้งจนหางตั้ง พอเหลียวมองข้ามไหล่ถึงได้เห็นว่ามีหญิงชราคนหนึ่งกำลังกำแขนเสื้อของเขาอยู่ อาคาเนะหลบสายตาที่มองตรงมา เม้มปากแน่นด้วยความกังวล ตอนกระโจนลงมาเขาคิดเพียงว่าต้องช่วยชาวบ้านเท่านั้น ลืมคิดไปสนิทเลยว่าตัวเองยังอยู่ในสภาพครึ่งจิ้งจอกอยู่


“ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา” หญิงชราเอ่ยออกมาโดยมีหยดน้ำใสไหลล้นจากหางตา


“ข้า...” ยังไม่ทันตอบอะไร เสียงขอบคุณก็ค่อยๆ ดังขึ้นซ้ำๆ จากชาวบ้านที่เดินรุมล้อมเข้ามาหา พวกเขาเนื้อตัวเปรอะเปื้อนแต่กลับยิ้มให้กับปีศาจทั้งสอง จนอาคาเนะเริ่มรู้สึกขัดเขินขึ้นมา ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาได้ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนในสภาพร่างแท้จริงอย่างตอนนี้


หลังจากนั้นชาวบ้านทุกคนต่างพร้อมใจกันคุกเข่าแล้วก้มลงคำนับจนศีรษะจรดพื้น ยิ่งทำให้อาคาเนะวางตัวไม่ถูก จนไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเทพมังกรได้มาอยู่ด้านหลังของตนแล้ว


“ลุกขึ้นเถิด” น้ำเสียงของโทชิฮิโระทรงอำนาจและก้องกังวานเมื่อเขาอยู่ในร่างมังกร อาคาเนะลอบถอนหายใจเมื่อได้รู้ว่าที่ชาวเมืองน้อมคำนับ คือโทชิฮิโระไม่ใช่เขา


เหล่าผู้คนต่างค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และได้เห็นเทพมังกรจำแลงร่างเป็นมนุษย์ต่อหน้า นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นเทพมังกรในร่างนี้ โทชิฮิโระเดินเลยผ่านอาคาเนะไปพร้อมกับยกยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนของหญิงชราแล้วช่วยพยุงให้ลุกขึ้น


“ข้ากลับมาตามสัญญาแล้วท่านยาย”


แม้จะไม่รู้ว่าสัญญาที่โทชิฮิโระพูดถึงคือสัญญาเรื่องอะไร แต่พอได้เห็นหญิงชราหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปิติ อาคาเนะก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้


นามของเทพมังกรถูกเรียกขานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเทพมังกรในใจของชาวเมือง สิ่งที่โทชิฮิโระทำตลอดมา ไม่ใช่เพียงการขับไล่ศัตรูออกจากเมืองนี้ แต่ยังทำให้ตัวตนของเขากลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนไปด้วย แค่เพียงได้เห็นเทพมังกรกลับมา ชาวเมืองต่างก็เริ่มเชื่อว่าเมืองนี้จะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง


“ท่านเทพมังกรได้โปรด อย่าจากพวกเราไปอีก” คำร้องขอดังอื้ออึงจากรอบด้านแล้วจึงเงียบลงเมื่อโทชิฮิโระยกมือขึ้นเป็นเชิงปราม


“ก่อนนี้เราเพียงต่างคนต่างอยู่ พึ่งพากันเพียงเพราะความบังเอิญเท่านั้น เมื่อผู้นำของพวกเจ้าเห็นข้าเป็นภัย ข้าจึงไปจากที่นี่” โทชิฮิโระไม่คิดจะรื้อฟื้นความบาดหมางครั้งเก่าจึงเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงสาเหตุแท้จริงที่เขาต้องละทิ้งเมืองนี้ไป


“แต่ตอนนี้เราต่างเห็นแล้วว่าทุกอย่างแย่ลงเพียงใด จากนี้ข้าจะไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำดินแดนของข้า หากพวกเจ้ายังศรัทธาในเมืองนี้ก็จงช่วยกันฟื้นฟูมันขึ้นมา” แม้มีพลังมหาศาล แต่ใช่ว่าลำพังโทชิฮิโระจะเสกสร้างทุกสิ่งขึ้นมาได้ ยังคงต้องพึ่งพาเรี่ยวแรงของมนุษย์ธรรมดาที่จะเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเมือง


“พวกเราจะทำ”


“พวกเราทำได้”


“มาทำด้วยกันเถอะ!” น้ำเสียงของทุกคนฟังดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น แว่วเสียงสูดจมูกเพื่อกลั้นสะอื้นจากหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน พอเห็นอาคาเนะหันมามองสึซึรันก็รีบเบือนหน้าหนี


ที่นี่คือบ้านเกิดของสึซึรัน แต่นางเกือบทำให้มันกลายเป็นเพียงเมืองร้างเพียงเพราะความแค้นส่วนตัว การได้เห็นโทชิฮิโระกลับมาอยู่ท่ามกลางชาวเมืองอีกครั้ง ได้เห็นพวกเขาพยายามต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง ทำให้นางอดที่จะตื้นตันไม่ได้


“อาคาเนะ” น้ำเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียกอย่างนุ่มนวล ทุกคนที่ยืนโดยรอบต่างพร้อมใจกันขยับเพื่อเปิดทางให้ โทชิฮิโระยื่นมือออกมาหาเป็นสัญญาณเรียกให้เข้าไปใกล้ แต่เพราะถูกสายตาหลายสิบคู่จับจ้อง ทำเอาอาคาเนะแทบจะก้าวขาไม่ออก


"อย่าสนใจสายตาคนอื่นอาคาเนะ มองแค่ข้า” ประโยคเดียวกันกับที่ได้เคยฟังเมื่อครั้งเจอกันวันแรก ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ในอก รู้สึกคล้ายกับอีกฝ่ายกำลังบอกว่า ไม่ว่าในสายตาคนอื่นโทชิฮิโระจะเป็นเช่นไร แต่สำหรับเขาโทชิฮิโระจะยังเป็นคนเดิมเสมอ


สองขาพาอาคาเนะเดินตรงไปยังคนที่เรียกหา พร้อมทั้งวางมือลงบนฝ่ามืออุ่นให้ได้กอบกุมมือเขาก่อนกระตุกให้ก้าวไปยืนเคียงข้าง


“จากนี้หากพวกเราจะอยู่ร่วมกัน มีคนที่ข้าต้องแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก ทางนั้นคือสึซึรันสหายข้า” โทชิฮิโระผายมือไปทางสึซึรันทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงรีบปรับสีหน้าปาดน้ำตาแล้วยิ้มให้


“ส่วนนี่คืออาคาเนะ” แทนที่จะพูดกับทุกคน โทชิฮิโระกลับหันหน้าเข้าหาอาคาเนะโดยที่ยังกุมมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ ระยะห่างที่แสนจะใกล้ทำให้อาคาเนะเริ่มรู้สึกร้อนบนใบหน้าขึ้นมา ประกอบกับสายตาวิบวับที่มองมายิ่งทำให้อาคาเนะแทบอยากหายตัวได้เสียตอนนี้


“จิ้งจอก...สุดที่รักของข้า” ต่อจากนั้นอาคาเนะคิดว่าเขาไม่ได้ยินเสียงสิ่งใดอีก หูทั้งสองข้างอื้อตันด้วยความดันเลือดที่พุ่งสูงจนร้อนผ่าวทั้งใบหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะหลบสายตาไปจากโทชิฮิโระด้วยซ้ำ


เป็นอีกหนึ่งวันที่อาคาเนะจดจำได้ขึ้นใจ ว่ามังกรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่หน้าด้านหน้าทนไม่แพ้ความแข็งของเกล็ดบนตัวเลยทีเดียว


•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.

สวัสดีวันเด็ก เรามาแกล้งเด็กกันต่อ  :z1: ตอนหน้าจบแล้วค่าาาา
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป [14/01/17] จบแล้วค่า
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 14-01-2017 15:42:27
บทที่ 29

จากนี้ ตลอดไป






เส้นทางดินที่เคยเป็นหลุมเป็นบ่อ ถูกถมทับแล้วบดอัดลงไปใหม่จนกลายเป็นทางเรียบ บ้านเรือนที่ผุพังถูกซ่อมแซมและตกแต่งใหม่ขึ้นทีละหลัง ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้าน


สิ่งที่ขาดแคลน และสิ่งที่จำเป็นต้องซื้อหา ถูกจัดการโดยสึซึรันเกือบทั้งหมด ปราสาทของเจ้าเมืองคนก่อนเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครกล้าเหยียบเข้าใกล้ เพราะเชื่อว่าอาจมีปีศาจหรือวิญญาณคนตายหลงเหลืออยู่ บวกกับโครงกระดูกที่ไม่เคยถูกกลบฝังทำให้


แม้แต่กลุ่มโจรยังไม่อยากเฉียดใกล้ แต่ด้วยเหตุนั้นทรัพย์สมบัติมากมายจึงยังคงอยู่ มากพอสำหรับที่จะแจกจ่ายทุกคนไว้เป็นทุนสำหรับเริ่มต้นชีวิตใหม่


เมื่อหิมะละลายไปพร้อมกับฤดูหนาวที่จบลง ความมีชีวิตชีวาก็เริ่มหวนกลับมาสู่เมืองแห่งนี้อีกครั้ง ต้นไม้ต่างทยอยผลิใบสีเขียวสดใส ต้นหญ้างอกเงยขึ้นใหม่ เช่นเดียวกับปราสาทที่ถูกทิ้งร้างมาหลายปีได้ถูกซ่อมแซมและมีผู้เข้าไปอาศัยอีกครั้ง


แม้ว่าสวนด้านหลังจะเรียงหลายด้วยหลุมศพของทุกคนที่ตายในปราสาทแห่งนี้ แต่เทพมังกรยังยืนยันว่าจะพำนักในปราสาทหลังนี้แทนปราสาทหลังเก่า เพราะอย่างน้อยมันก็เสียหายน้อยกว่าปราสาทเดิมของตนที่แทบไม่เหลือเค้าโครงให้เห็น


กลิ่นธูปล่องลอยไปตามสายลมในยามเช้าที่ท้องฟ้าใสกระจ่าง โดยมีหญิงสาวคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าป้ายศิลาแผ่นหนึ่ง ในมือถือดอกสึซึรันช่อเล็กๆ เอาไว้


“ถ้าหากเจ้าไม่สบายใจที่จะอยู่ที่นี่...” เสียงของใครบางคนเรียกให้สึซึรันเหลียวกลับไปมอง นางแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะหันกลับไปยังแผ่นศิลาที่ไร้อักษรใดๆ อีกครั้ง


“ไม่ว่าอยู่ที่นี่ หรือสุดขอบฟ้าไกล ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ข้าฆ่าคนเหล่านี้ได้ ไม่ใช่ว่าข้าไม่รู้สึกผิดถึงกล้าอยู่ที่นี่ แต่ข้าอยากจะให้พวกเขาได้เห็น อยากยืนตรงนี้แล้วบอกกับพวกเขาว่านี่คือเทพมังกรที่ข้าเชื่อมั่น ผู้ที่จะคืนชีวิตให้กับเมืองนี้อีกครั้ง ดังนั้นข้าคิดว่าดีแล้วที่เป็นที่นี่”


“ลืมไปว่าเจ้ามันรั้นมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว” โทชิฮิโระยิ้มจางๆ หากสึซึรันไม่ใช่คนดื้อรั้น คงไม่สามารถอดทนอยู่กับมังกรเย็นชาอย่างเขาได้นานขนาดนั้น เขาไม่เคยใส่ใจนาง ไม่เคยไถ่ถามความเป็นอยู่ ไม่ใยดีสิ่งต่างๆ ที่นางพยายามทำ แต่สึซึรันยังคงยิ้มให้กับเขาทุกวัน


“แต่ก็ยังไม่สามารถชนะใจท่านได้” ท้ายเสียงของสึซึรันมีเสียงหัวเราะเจืออยู่ ราวกับรู้ว่าโทชิฮิโระคิดถึงสิ่งใด คงเพราะตลอดเวลาที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน สึซึรันมักเป็นฝ่ายเฝ้ามองเสมอ จึงลอบสังเกตได้โดยง่ายว่าโทชิฮิโระกำลังคิดถึงเรื่องใด


“ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องข้า ข้ายังเคารพท่านเสมอ แต่หลายสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว” เมื่อก่อนสึซึรันทั้งรักและเทิดทูนเทพมังกรยิ่งกว่าสิ่งใด อาจรักมากจนถึงขั้นลุ่มหลง แต่เมื่อผ่านความตายมาครั้งหนึ่ง และได้รับการอภัยแล้ว เวลานี้หัวใจนางเพียงรู้สึกสงบเมื่อได้อยู่ใกล้โทชิฮิโระเท่านั้น


“แล้วนี่อาคาเนะไปไหน ไม่ได้อยู่กับท่านหรือ” ข้างกายโทชิฮิโระตอนนี้ว่างเปล่า ไร้เงาจิ้งจอกน้อยที่มักจะตัวติดกันอยู่เสมอ พอสึซึรันพูดจบโทชิฮิโระก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง จนสึซึรันอดหัวเราะไม่ได้


“ถ้าเป็นห่วงทำไมไม่ตามไป” ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ อาคาเนะกลายเป็นขวัญใจของชาวบ้านอยู่ไม่น้อย ด้วยภาพลักษณ์ที่เจ้าตัวมักยิ้มแย้มมากกว่าโทชิฮิโระ ทำให้หลายคนกล้าพูดคุยด้วย อาจจะบวกเข้ากับทักษะการต้อนรับแขกที่อาคาเนะถนัด ยิ่งทำให้เข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้น


อาคาเนะไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกแล้วเมื่ออยู่ในเมืองนี้ เขาสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ในร่างแท้จริงของตัวเอง ยิ่งทำให้อาคาเนะเปิดใจมากขึ้น นอกจากนี้ในเมืองยังมีคนอีกคนหนึ่งที่อาคาเนะมักชอบออกไปหาบ่อยๆ นั่นคือหญิงชราที่กล่าวคำขอบคุณต่ออาคาเนะเป็นคนแรก


“อาคาเนะไม่เคยรู้จักแม่ ให้เขาสนิทสนมกับท่านยายจิเสะนั่นดีแล้ว” โทชิฮิโระบอกเสียงเรียบ อาคาเนะติดจิเสะเหมือนลูกติดแม่ไม่มีผิด ถ้ามีเวลาเป็นต้องแวะไปหา ไปนั่งฟังหญิงชราเล่าเรื่องเก่าๆ ไปช่วยปัดกวาดเช็ดถูบ้าน คงเป็นเพราะอาคาเนะไม่เคยรู้จักแม่ของตัวเองมาก่อน เลยติดจิเสะโดยไม่รู้ตัว


“อาคาเนะน่ารัก ใครได้รู้จักก็ต้องหลงรักทั้งนั้น” หญิงสาวเอ่ยเย้าด้วยรอยยิ้มกวนๆ ทั้งบุคลิกเด็กหนุ่มแสนซื่อ และรอยยิ้มสดใส ทำให้ใครต่อใครต่างมองข้ามความเป็นปีศาจของอาคาเนะไปโดยง่าย ขนาดสึซึรันยังอดเอ็นดูไม่ได้ มีหรือที่เจ้าของตัวจริงอย่างโทชิฮิโระจะไม่นึกหวง


หางคิ้วคนฟังกระตุกนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าเขาใจกว้างพอจะปล่อยอาคาเนะไกลหูไกลตาได้โดยไม่คิดอะไร แต่เพราะคิดดูแล้ว ตัวเขาอายุมากกว่าอีกฝ่ายตั้งหลายเท่า จะเอาแต่ใจรั้งตัวอาคาเนะไว้ข้างกาย ไม่เปิดโอกาสให้ไปพบเจอโลกภายนอก ก็คงดูไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ถ้าจะทำอย่างนั้นสู้ขังอาคาเนะไว้ในคฤหาสน์ไม่ต้องดั้นด้นมาเมืองนี้ยังดีเสียกว่า ถึงได้ต้องทำเป็นหลับหูหลับตาเวลาอาคาเนะออกไปข้างนอกบ้าง


“ได้ยินว่าพวกหนุ่มสาวที่เพิ่งย้ายกลับมาต่างอยากเป็นเพื่อนอาคาเนะกันทั้งนั้น ป่านนี้ไม่รู้คนเต็มบ้านท่านยายหรือยัง” ยิ่งเห็นดวงตาของโทชิฮิโระหรี่ลง สึซึรันยิ่งป้องปากพูดไปเรื่อย สีหน้าหลากหลายของเทพมังกรใช่ว่าจะหาดูได้โดยง่าย ถือเป็นการเอาคืนที่โทชิฮิโระเอาแต่ตีหน้านิ่งใส่นางสมัยก่อน


“หรือท่านอยากให้ข้าไปตามดูให้...อ้าว” เพียงพริบตาที่สึซึรันเหลียวมองไปทางอื่น พอหันกลับมาโทชิฮิโระก็ไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว ดูท่าวันนี้อาจจะมีฟ้าฝนตั้งเค้ามาเสียแล้ว







กรงเล็บคมกริบกางออกยามที่ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ดวงตาสีเพลิงทอประกายกร้าวจับจ้องไปยังเหยื่อตัวอ้วนกลมที่อยู่ตรงหน้า อาคาเนะแลบลิ้นเลียริมฝีปาก กลั้นหายใจเพื่อให้มั่นใจว่า ‘เหยื่อ’ จะไม่ทันรู้ตัวแล้วหนีไปได้ ใบหูพับลู่ไปด้านหลัง ขณะที่หางเหยียดตรงไม่ขยับ


 “เสร็จข้า!” เด็กหนุ่มกระโจนพรวดเข้าหาเป้าหมาย แล้วรีบตวัดมือคว้ามันเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจับชูขึ้นเหนือหัว ปากก็ร้องเรียกใครอีกคนไปด้วย


“จับได้แล้วท่านยาย” อาคาเนะร้องบอกอย่างเริงร่าพลางแกว่งแม่ไก่ตัวอ้วนไปมา เจ้าไก่ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสารแต่ไม่สามารถดิ้นหลุดจากกรงเล็บของจิ้งจอกได้


“เอ้าเบาๆ เดี๋ยวมันตกใจตายกันพอดี” หญิงชราเดินมาหาพลางห้ามปรามอาคาเนะไม่ให้ฆ่าไก่ของนางทางอ้อม โดยมีเด็กสาวอีกคนช่วยประคองอยู่ข้างๆ นอกจากทั้งสามแล้วยังมีชาวบ้านที่ผ่านไปมาแวะหยุดยืนดูอีกราวหกเจ็ดคน เพราะ ‘ท่านจิ้งจอก’ ดูเหมือนจะออกมาช่วยยายจิเสะไล่จับแม่ไก่ที่หลุดออกจากเล้าแต่เช้าตรู่


“ขออภัย” อาคาเนะรีบอุ้มแม่ไก่ตัวแสบที่ทำให้เขาต้องวิ่งวุ่นตลอดเช้ากลับไปใส่เล้าไว้ตามเดิม แล้วหันมายิ้มประจบใส่หญิงชราที่รออยู่


“ดูเจ้าสิมอมแมมไปทั้งตัว นึกว่าจิ้งจอกจะจับไก่เก่งเสียอีก” จิเสะแกล้งว่า เพราะสภาพเด็กหนุ่มตรงหน้าเล่นเปื้อนฝุ่นดินไปทั้งตัว ทั้งผมเผ้ายังยุ่งเหยิงไปหมด


“โธ่ ข้าไม่ได้จับไก่กินนะท่านยาย” อาคาเนะค้านเสียงอ่อนพลางปัดเศษผงออกจากเสื้อผ้าไปด้วย จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยซ้ำที่เขาได้วิ่งไล่จับไก่แบบนี้


“ถ้าท่านจะเอาไก่ย่างแทนแม่ไก่ รับรองครู่เดียวก็ได้แล้ว ไม่ต้องเหนื่อยเลยด้วย” เพราะต้องระวังไม่ทำให้ไก่ช้ำในตายไปเสียก่อน อาคาเนะถึงพยายามมออมแรงไว้ เลยกลายเป็นเสียเวลามากขึ้นหลายเท่า


“ไก่ย่างของเจ้ากินมื้อเดียวแล้วก็หมด แต่แม่ไก่ของข้า มอบอาหารให้ได้เป็นปีเลยนะ อย่าไปยุ่งกับมันเชียว” พอเห็นหญิงชรายกมือขึ้นหมายจะตี อาคาเนะก็รีบเอี้ยวตัวหนีอย่างแคล่วคล่อง


“เอ่อ...คือว่า...” เด็กสาวที่อยู่ข้างจิเสะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีอึกอัก จะว่าไปอาคาเนะยังจำไม่ได้ว่านางชื่ออะไร รู้แค่ว่าเป็นลูกสาวของบ้านใกล้เคียงแถวนี้เท่านั้น ใบหน้าของนางยังมีเค้าของความเป็นเด็ก น่าจะอายุราวสิบสองสิบสามปี


ผ้าผืนน้อยจากเด็กสาวถูกยื่นให้อาคาเนะอย่างกลัวๆ กล้าๆ จนอาคาเนะไม่แน่ใจว่าควรจะยื่นมือไปรับมาไหม เขารู้ว่าการยอมรับปีศาจเป็นเรื่องยาก บางคนอาจต้องการเวลาอีกมากเพื่อจะปรับตัว


“หน้า...หน้าท่าน มันเลอะ” เด็กสาวเอ่ยเสียงสั่น อาคาเนะจึงยกหลังมือขึ้นเช็ดตรงข้างแก้ม รู้สึกได้ถึงเม็ดหยาบๆ ของเศษดินที่ติดใบหน้าอยู่


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้ากลับไปล้างตัวก็ได้” เห็นอาการประหม่าของเด็กสาวแล้วอาคาเนะคิดว่าอย่าเข้าใกล้นางมากน่าจะดีกว่า แต่พอเขาถอยเท้าหนี นางกลับก้าวเข้ามาใกล้


“ข้าเช็ดให้! เอ่อ... ข้า...” สองแก้มของเด็กสาวกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ หลุบตาลงเหมือนคนทำอะไรผิด


“นี่เจ้าไม่สบายตรงไหนไหม” มือของอาคาเนะยื่นไปหาเด็กสาวโดยไม่ทันคิด เขาแค่รู้สึกว่านางดูตัวสั่นๆ ใบหน้าก็แดง เหงื่อไหลคล้ายคนจะเป็นไข้ แต่ยังไม่ทันได้แตะตัวดูว่าร้อนหรือไม่ก็ถูกใครบางคนเรียกเอาไว้เสียก่อน


“อาคาเนะ!”


“โทชิ?” เสียงฮือฮาดังขึ้นจากรอบด้านเมื่ออยู่ๆ เทพมังกรก็มาปรากฏตัว อาคาเนะละความสนใจจากเด็กสาวตรงหน้าแล้วเดินไปหาโทชิฮิโระทันที


“มาหาท่านยายหรือ น่าจะมาเร็วกว่านี้หน่อยจะได้มาช่วยข้าจับไก่ด้วย” จิ้งจอกน้อยยิ้มร่าโดยไม่ทันสังเกตเลยว่าแววตาของโทชิฮิโระเยียบเย็นสักแค่ไหน


รู้อยู่แล้วว่าอาคาเนะของเขาช่างแสนซื่อ แต่ไม่นึกเลยว่าความสามารถในการอ่านใจผู้หญิงจะอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ จะดุอาคาเนะก็ไม่ได้ จะโทษเด็กสาวคนนั้นก็ไม่ถูก เพราะนางเพียงชื่นชมอาคาเนะมากกว่าที่โทชิฮิโระจะรับได้ไปสักหน่อย


“นี่เจ้า เป็นลูกหมาที่เพิ่งได้ออกวิ่งเล่นหรือ ตัวถึงได้มอมแมมขนาดนี้” มือใหญ่ลูบไล้ตั้งแต่เส้นผมของอาคาเนะ ผ่านแก้ม ละเรื่อยลงมาจนถึงลาดไหล่ แล้วอ้อมหลังไปกดแถวฐานคอของอาคาเนะเบาๆ เป็นการบังคับให้อีกฝ่ายต้องขยับเข้ามาใกล้


“มันจั๊กจี้ นี่ข้าไม่ใช่หมาสักหน่อย” อาคาเนะหัวเราะเบาๆ พลางย่นคอหนี


“ใช่ไม่ใช่ข้าก็จะพาเจ้าไปอาบน้ำ”


“หือ?”


“ขอตัวก่อน” โทชิฮิโระไม่สนใจจะอธิบายอะไรกับอาคาเนะ แต่หันไปบอกลากับหญิงชราแล้วคืนร่างมังกรพร้อมกับคว้าตัวอาคาเนะทะยานขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว







สิ่งหนึ่งที่มักอยู่เคียงคู่กับขุนเขาก็คือสายธารน้ำตกที่ไหลลงมาจากยอดเขาสูง เมืองนี้จึงมีน้ำตกอยู่หลายแห่ง แต่ละที่ล้วนสวยงามจับตา ด้วยน้ำที่ใสสะอาดและเย็นสดชื่น ยิ่งต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้น้ำจะยิ่งเย็นเป็นพิเศษ เหมาะแก่การชำระล้างร่างกายในช่วงเช้าเป็นอย่างยิ่ง เสียแต่อาคาเนะดูจะไม่ชอบน้ำเย็นนัก


ร่างของเด็กหนุ่มถูกจับโยนลงน้ำเสียงดังตูมใหญ่ ต้องใช้เวลาชั่วอึดใจกว่าอาคาเนะจะสามารถพาตัวเองกลับขึ้นมาเหนือน้ำได้


“ทำบ้าอะไรเนี่ย!” คนที่อยู่ๆ ก็ถูกเหวี่ยงลงน้ำโวยลั่นดังยิ่งกว่าเสียงของน้ำตก ส่วนตัวการยังคงกระตุกยิ้มมุมปากมองดูจากบนโขดหินใหญ่ริมน้ำในสภาพแห้งสนิท


“เหนื่อยไม่ใช่หรือ โดนน้ำเย็นจะได้หายเป็นปลิดทิ้ง”


“แล้วมันจำเป็นต้องโยนลงมาที่ไหน ไอ้มังกรบ้า!” อาคาเนะใช้สองมือวักหน้าสาดใส่โทชิฮิโระด้วยความหงุดหงิด เพราะฝีมือมังกรตัวร้ายทำเอาเขาน้ำเข้าจมูกจนแสบไปหมด ยังดีที่น้ำลึกแค่ระดับอกเลยถีบตัวขึ้นมาเหนือน้ำได้ง่าย


“จะขึ้นแล้ว” อาคาเนะบอกเสียงขุ่นแล้วเดินหนีไปอีกทาง ไม่นานก็มีเสียงที่บอกว่าอีกฝ่ายเดินลงน้ำตามมา แต่อาคาเนะไม่สนใจ ยังคงเดินฝ่ากระแสน้ำต่อไปเรื่อยๆ พอถูกโทชิฮิโระคว้าแขนก็รีบสะบัดออกด้วยความโมโห


“ขอโทษๆ ไม่แกล้งแล้ว อย่าหนีสิ” คนที่เป็นฝ่ายพาลก่อนยอมสำนึกผิดแล้วเป็นฝ่ายขอโทษ แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร มีหรือจะยอมหายโกรธง่ายๆ


“ไม่ต้องเลย เอะอะก็แกล้งข้าอยู่เรื่อย คิดว่าข้าโกรธท่านไม่เป็นหรือ” บ่นได้ไม่ทันขาดคำ อาคาเนะก็ถูกคนที่ไล่ตามมาข้างหลังโถมตัวเข้าใส่จนหน้าคะมำลงน้ำไปด้วยกัน ทำเอาต้องสำลักน้ำอีกรอบ


“นี่!” พอโผล่หัวพ้นน้ำได้อาคาเนะก็เตรียมตวาดอีกรอบ แต่คราวนี้โทชิฮิโระไม่ยอมเปิดโอกาส ชิงปิดปากที่เตรียมพ่นคำหยาบด้วยปากของตัวเองอย่างรวดเร็ว


อุณหภูมิของน้ำที่เย็นฉ่ำ สวนทางกับผิวกายที่สัมผัสกันชวนให้รู้สึกประหลาด อาคาเนะนึกโทษแม่ไก่ตัวอ้วนที่ทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงจะต่อต้านโทชิฮิโระขนาดนี้ ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายช่วงชิงลมหายใจของเขาอย่างเอาแต่ใจ ยังดีว่าโทชิฮิโระยังใช้มือช่วยประคองเขาเอาไว้ ไม่ให้จมน้ำไปเสียก่อน


“ขี้โกง” คำพูดแรกของอาคาเนะหลังจากได้อิสระกลับมาช่างแสนแผ่วเบาจนโทชิฮิโระต้องเอียงหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะได้ฟังให้ชัด


“โกงอะไร นี่ข้ากำลังง้อเจ้าอยู่”


“นั่นแหละ วิธีง้อของท่านมันขี้โกงเกินไป” เพราะพอถูกจูบเมื่อใด ความขุ่นเคืองภายในใจเป็นอันหายไปหมดเสียทุกที คิดอย่างไรอาคาเนะก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกครั้ง


“มันได้ผล เพราะเจ้ารักข้ามาก” โทชิฮิโระยิ้มกว้าง มืออุ่นช่วยเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้า พลางก้มลงมองด้วยตาที่กำลังช้อนมองเขาอยู่


“และข้าก็รักเจ้ามากเช่นกัน” เพราะไม่ทันตั้งตัวว่าจะถูกบอกรัก อาคาเนะถึงหน้าแดงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ หัวใจเต้นแรงจนไม่กล้ามองหน้าโทชิฮิโระ แต่เรื่องหนีลืมไปได้ เพราะสองแขนของโทชิฮิโระได้คว้าเอวเขาเอาไว้แน่น


“รู้หรือยังว่าทำไมเด็กสาวคนนั้นพออยู่ต่อหน้าเจ้าแล้วถึงเหมือนคนไม่สบาย”


“หา?”


“เจ้าเคยรับมือแต่กับผู้ชาย เลยซื่อบื้อเรื่องผู้หญิงหรือ ถ้าข้าไม่ไปถึงตอนนั้น เจ้าคงแตะเนื้อต้องตัวนาง ทำให้นางชอบเจ้ามากขึ้นอีกใช่ไหม” คนในอ้อมกอดเงียบไปพักใหญ่ เดาว่าคงกำลังนึกทบทวนเรื่องราวก่อนหน้าอยู่


“เพราะอย่างนั้นเลยโกรธหรือ” ดวงตาสีเพลิงจ้องมองโทชิฮิโระตาใส พอลองคิดตามสิ่งที่โทชิฮิโระพูด ถ้าอย่างนั้นการที่เขาถูกพาตัวออกมา แล้วมาถูกจับถ่วงน้ำก็เป็นเพราะ...


“ท่านหึงหวงข้า?” คำถามแทงตรงจุดทำเอาโทชิฮิโระพูดไม่ออก จะว่าไปเขาก็ทำตัวเหมือนเด็กที่มาหาเรื่องแกล้งอาคาเนะทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้คิดอะไรกับเด็กสาวคนนั้นสักนิด


“ที่แท้ท่านเทพมังกรก็อารมณ์เสียเพราะข้า” อาคาเนะยักคิ้วพลางเอานิ้วจิ้มอกโทชิฮิโระไปด้วย ที่ผ่านมามีแต่เขาที่ฝ่ายกลัวว่าโทชิฮิโระจะเผลอใจไปกับคนอื่น หรือกลัวว่าจะหนีหายไปเหมือนอย่างคราวมาซาโนริ ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่เขาเป็นฝ่ายทำให้โทชิฮิโระกังวลได้บ้าง


แว่วเสียงถอนหายใจจากโทชิฮิโระก่อนที่เขาจะอุ้มอาคาเนะขึ้น สอดมือไปรองรับสะโพกของเด็กหนุ่มเอาไว้ให้อีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักลงมาบนตัวเขา อยู่ในน้ำอย่างนี้ตัวอาคาเนะเบาขึ้นกว่าปกติ การอุ้มเด็กหนุ่มเอาไว้จึงไม่ใช่เรื่องยากสักนิด มือขาวจับแน่นบนบ่าของคนอุ้ม ปากที่เจื้อยแจ้วอยู่เมื่อครู่ยามนี้ปิดสนิท เพราะหวั่นใจว่าอาจจะถูกโยนลงน้ำซ้ำอีก


“ผิดด้วยหรือที่จะหวงคนของข้า” โทชิฮิโระถามเสียงนุ่มพลางซบหน้าลงกับอกของอาคาเนะ


“ไม่รู้หรือว่าข้าลุ่มหลงเจ้าเพียงใด อยากจะขังเอาไว้แต่ในปราสาทด้วยซ้ำ” พอถูกพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอนใส่กลับเป็นอาคาเนะเสียเองที่ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่โอบรอบคอโทชิฮิโระเอาไว้แล้วถามกลับเสียงค่อย


“ท่านเนี่ย ไม่รู้จักอายบ้างหรือ”


“ไม่ชอบ?”


“ก็...ไม่เชิง” ใบหน้าอาคาเนะแดงก่ำ ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็ยังไม่ชินกับคำพูดหวานๆ ของโทชิฮิโระเสียที ได้ยินเมื่อใดเป็นต้องใจเต้นแรงทุกครั้ง ครั้นจะให้เป็นฝ่ายพูดบ้างกลับพูดไม่ออก


“ไม่เป็นไร เรายังมีเวลาอีกมาก ค่อยๆ ทำตัวให้ชิน”  ครั้งหนึ่งโทชิฮิโระเคยคิดว่า อายุขัยที่ยาวนานช่างราวกับเป็นคำสาป ตลอดชีวิตเขาต้องเจอกับการพรากจากครั้งแล้วครั้งเล่า จนรู้สึกเหมือนรอบกายมีเพียงความโดดเดี่ยว


แต่วันนี้เมื่อมีอาคาเนะอยู่เคียงข้าง ชีวิตที่ยืนยาวก็เริ่มจะมีสีสัน เด็กหนุ่มผู้นี้จะเติบโตขึ้นอย่างไร นั่นเป็นอนาคตที่โทชิฮิโระนึกอยากจะรู้เป็นครั้งแรก


“อยู่กับข้านะอาคาเนะ อย่าจากข้าไปไหน ห้ามหายไปจากสายตาข้า” จะไม่ยอมปล่อยมือนี้อีกเด็ดขาด แค่อาคาเนะเท่านั้นที่โทชิฮิโระพร้อมจะทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครแตะต้องจิ้งจอกของเขาได้อีก


“ไม่ไปหรอก ให้ตายสิ ท่านนั่นแหละอันตรายที่สุด” คนเจ้าเล่ห์ที่ใช้คำหวานและอ้อมกอดแสนอบอุ่นล่อลวงจนเขาไม่อาจหนีไปไหนต่างหากที่น่ากลัวกว่าใครในโลก อาคาเนะยิ้มอย่างอ่อนใจแล้วใช้สองมือประคองใบหน้าของโทชิฮิโระให้ออกห่างจากอกเขา ก่อนก้มลงแนบริมฝีปากตัวเองกับคนที่มองอยู่


เมื่อก่อนอาคาเนะไม่เคยเข้าใจบิดาว่าเหตุใดถึงได้เฝ้ารอมารดาของเขาตราบจนสิ้นลมหายใจ ทำไมถึงรักใครสักคนได้มากมายถึงเพียงนั้น แต่ตอนนี้เขาเองกลับมีสภาพไม่ต่างกัน ไม่อาจนึกถึงคืนวันที่ไม่มีโทชิฮิโระได้ด้วยซ้ำ


 ช่างเถอะ


มันคงไม่มีวันนั้นอยู่แล้ว




--- จบ ---



 :L2: :L2: :L2: และแล้วก็มาถึงตอนจบ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตรงนี้ค่ะ เรื่องนี้ถูกรีไรท์เพื่อนำมาลงในเล้าแห่งนี้ โอกาสหน้า เรื่องต่อไปเรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะคะ แต่สปีดการลงจะตกลงมากเลยล่ะ  :o8:


แวะไปหากันได้ที่เพจ Magdaren/Nanami (https://www.facebook.com/magdaren.nanami) นะคะ

**นิยายเรื่องนี้จะมีการตีพิมพ์ค่ะ แต่จะไม่ลบเนื้อหาใดๆ ในนี้  :pig4:

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 21-01-2017 13:48:25
จบแล้วววว สนุกมาก
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 22-01-2017 11:28:20
อ่านจบแล้วจ้าาาาา ขอบคุณที่เขียนนิยายดีดีให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: NaEZ ที่ 26-01-2017 19:17:21
จิ้งจอกน้อยน่ารักกกกกกก
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 10-02-2017 01:14:02
น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 12-02-2017 08:27:02
ไรต์เองนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า ส่วนท่านที่เม้นต์ให้ด้วยมามะมากอดที  :กอด1:

ถ้าใครติดตามเพจเราคงจะเห็นเรื่องรวมเล่มแล้วเนาะ ตอนนี้กำลังปั่นงานส่วนนั้นสลับกับเตรียมเรื่องใหม่ให้อ่านอยู่ค่ะ  :katai4:

เผื่อใครยังไม่ได้เห็นหน้าจิ้งจอกน้อย เลยขอเอามาให้ดูกันค่ะ

(http://i67.tinypic.com/2nvrmfc.jpg)


แวะไปหากันได้ที่เพจค่า Magdaren/Nanami (https://www.facebook.com/magdaren.nanami)  :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 12-03-2017 22:49:18
อยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้นของมาซาโนริกับคาสึกิจังค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-03-2017 20:20:39
 :pig4: o13
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: tamako ที่ 19-03-2017 21:36:10
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 06-04-2017 15:35:18
สนุกมากๆๆๆๆๆๆๆ
ชอบทั้งคู่เลย
จะมีเนื้อหาของคู่โคคิกับซาโตรุมาลงด้วยเปล่าคะ
อยากอ่านคู่นี้มากเลย
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: bojaemyboo ที่ 08-04-2017 23:07:48
จิ้งจอกน้อยน่ารักมาก ท่านเทพมังกรก็หยอดเก่งจริงๆ :-[
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 09-04-2017 21:24:47
ชอบบบบบบ  :katai3:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 14-04-2017 15:40:25
ชอบมากกก ทีแรกเข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง แต่พอได้อ่านแล้วรู้เลยว่าดีกว่าที่คิดไว้มากก 555  :L1: :pighaun:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ บทสุดท้าย จากนี้...ตลอดไป
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 01-05-2017 19:54:19
Happy ending  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษทานาบาตะ 7/7/17
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 07-07-2017 23:54:51
ตอนพิเศษ
ทานาบาตะ



   วันที่ 7 เดือน 7 วันเดียวในรอบปีที่สาวทอผ้าและหนุ่มเลี้ยงวัวจะมีโอกาสได้พบหน้า พวกเขาเป็นคู่รักที่ถูกพรากจากกัน ขวางกั้นไว้โดยแม่น้ำแห่งสวรรค์ ในปีแรกของการพลัดพราก พวกเขาไม่รู้ว่าจะข้ามผ่านแม่น้ำไปได้อย่างไร สาวทอผ้าร่ำไห้แทบขาดใจ โชคดีที่ฝูงนกกางเขนอาสาใช้ปีกเป็นสะพาน เพื่อให้คู่รักได้พบกันอีกครา แม้จะเป็นความรักที่ยากจะได้พบหน้า แต่พวกเขาก็ยังคงเฝ้ารอช่วงเวลาที่จะได้พบกันตลอดมา


   “ช่างเป็นความรักที่มั่นคงมากเลยใช่ไหม” สองมือคนถามยกขึ้นกุมแก้มพลางทำหน้าเคลิ้มฝัน แต่หนึ่งนาทีผ่านไปก็ยังไม่มีใครตอบรับกลับมา สีหน้าของคนถามจึงเปลี่ยนจากเปี่ยมสุขเป็นเหนื่อยหน่ายทันควัน


   “นี่เจ้าฟังอยู่ไหมอาคาเนะ” สึซึรันยื่นขาเขี่ยเท้าคนที่เอาแต่นั่งถือกิ่งไม้แห้งเขี่ยดินไปมาเหมือนเด็กสมาธิสั้น


   “ฟังอยู่ เจ้าลากข้ามาฟังเทศนาขนาดนี้จะไม่ฟังได้อย่างไร” ดวงตาสีเพลิงเหลือบขึ้นมองคนถาม พร้อมกับพยายามจะใช้ไม้ในมือตีขาสึซึรันคืนไปด้วย แต่มีหรือที่นางจะยอมถูกตี สึซึรันถอยเท้าหนีอย่างว่องไว


   “แล้วเล่านิทานให้ข้าฟังทำไม” ยอมรับตามตรงเลยว่าตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เพราะตื่นมาคนที่ควรจะอยู่ด้วยดันหายไป คนเดียวที่น่าจะรู้อะไรบ้างก็ดันลากเขามานั่งฟังนิทานเพ้อฟันอยู่ตลอดเช้า


   พักนี้โทชิฮิโระชอบหายตัวไปบ่อยๆ ครึ่งวันบ้าง ค่อนวันบ้าง พอถามก็ได้คำตอบแค่ว่าออกไปตรวจตราเขตแดน และยิ่งน่าเจ็บใจตรงที่เขาไม่สามารถคาดคั้นโทชิฮิโระได้สำเร็จสักครั้ง


   เคยแพ้ทางอย่างไร จนป่านนี้ก็ยังแพ้อยู่เรื่อยมา


   “รู้หรือเปล่าวันนี้วันอะไร”


   “วันเกิดเจ้า” เป็นการตอบที่สึซึรันมั่นใจว่ามันไม่ได้ผ่านกระบวนการใดๆ จากสมองของอาคาเนะทั้งสิ้น หญิงสาวทั้งถอนหายใจทั้งกลอกตามองฟ้า คุยกับคนใจไม่อยู่กับตัวนี่ยากเสียจริง


   “วันที่ 7 เดือน 7 ต่างหาก ถ้าเจ้าคิดมากเรื่องท่านโทชิฮิโระทำไมไม่บอกไปตรงๆ ออเซาะเสียหน่อย บอกว่าเหงา แค่นั้นก็กอดเจ้าไม่ปล่อย”


   “ถ้าไม่มีธุระ ข้าไปล่ะ” อาคาเนะลุกขึ้นหันหลังเดินหนี ออเซาะหรือ ทำไมเขาจะต้องไปอ้อนคนที่เป็นฝ่ายไม่สนใจกันก่อนด้วย


   อาการแบบนี้เขาเรียกว่ากำลัง ‘งอน’ อย่างที่สุด สึซึรันถึงกับต้องเม้มปากเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดขำ แล้วรีบวิ่งตามอาคาเนะไป


   “เดี๋ยว! เดี๋ยวๆๆ ใจเย็น ก็ได้ ไม่พูดถึงท่านโทชิฮิโระก็ได้” มือเรียวเกี่ยวรั้งศอกของอาคาเนะเอาไว้ ฝ่ายนั้นยอมหยุดเดิน แต่ความขุ่นเคืองในใจยังคงสื่อออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน สึซึรันแอบทดไว้ในใจว่าพรุ่งนี้จะต้องเล่าให้โทชิฮิโระฟังให้ได้ว่าเจ้าจิ้งจอกน้อย งอนคนรักได้น่ารักขนาดไหน


   ส่วนวันนี้มีอย่างอื่นน่าสนุกกว่ารออยู่


   “คือปีนี้เป็นปีแรกที่ชาวเมืองตกลงกันว่าจะจัดงานเทศกาลกัน ยังไม่ได้วางแผนอะไรมาก แต่คิดว่าอยากให้มีการแสดงของสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว”


   “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า” คิ้วของอาคาเนะเลิกขึ้นข้างหนึ่ง คำว่างานเทศกาลพอจะช่วยลดทอนความคับข้องใจของอาคาเนะลงได้บ้าง ในเมื่อโทชิฮิโระไม่อยู่ เขาจะได้ถือโอกาสเล่นสนุกให้เต็มที่เสียเลย


   “แค่คิดว่าคงดีถ้าได้เจ้ามาแสดงเป็นสาวทอผ้า”


   “ไม่” อาคาเนะตอบเสียงแข็งก่อนที่สึซึรันจะทันได้หุบปากเสียอีก


   “ตอบเร็วไปหรือเปล่า”


   “ทำไมข้าจะต้องแสดงด้วย ผู้หญิงในเมืองที่ตั้งมากมาย แล้วยังต้องแสดงคืนนี้ใช่ไหม” อาคาเนะกล้าพนันเลยว่าต่อให้เป็นนักแสดงจากคณะละครอันดับหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถเปิดการแสดงโดยมีเวลาซ้อมไม่ถึงหนึ่งวันได้เลย


   “คนเล่าเรื่องจะบรรยายให้เอง ที่เจ้าต้องทำแค่ยืนเฉยๆ”


   “ถ้าอย่างนั้นยิ่งไม่ต้องเป็นข้าเข้าไปใหญ่” ทำไมเขาจะต้องเล่นบทสาวงามอาภัพรัก ผู้เฝ้ารอเจอคนรักที่อยู่อีกฟากฟ้าด้วย


   “แต่ตัวเอกอีกคนคือท่านโทชิฮิโระนะ” หากตอนนี้สามารถมองเห็นหูจิ้งจอกของอาคาเนะได้ สึซึรันมั่นใจว่ามันต้องกำลังกางออกเพื่อคอยฟังอยู่


   “ถ้าเจ้าไม่อยากทำ ข้าหาสาวๆ คนอื่นมาทำก็ได้ พวกนางคงอยากมีโอกาสได้ใกล้ชิดท่านเทพมังกรสักครั้งในชีวิตมากอยู่แล้ว” หางคิ้วคนฟังกระตุก กำมือแล้วปล่อยอยู่สองสามครั้งเหมือนกำลังลังเล


   “ข้า...ไปหาคนก่อนนะ” เพียงแค่เห็นสึซึรันทำเหมือนจะเดินไป อาคาเนะก็รีบคว้าแขนของนางเอาไว้ ริมฝีปากของจิ้งจอกน้อยเม้มตรงอย่างขัดใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมเอ่ยตกลงเสียงเบา


   “ตกลงแล้วห้ามคืนคำนะ” สึซึรันถามย้ำ ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าอาคาเนะไม่มีทางปฏิเสธ





   เมื่อม่านแห่งรัตติกาลโรยตัวลงมา โคมไฟหลากสีสันก็ได้ถูกจุดขึ้น พร้อมด้วยเสียงครื้นเครงของผู้คนที่พร้อมใจกันออกมาช่วยกันจัดงานเทศกาลเล็กๆ ขึ้น


   ถึงจะเรียกว่างานเทศกาล แต่เพราะเพิ่งจัดขึ้นปีแรก บรรยากาศเลยเหมือนการออกมาล้อมวงสังสรรค์กันเองในหมู่ชาวเมืองเสียมากกว่า ที่ออกจะโดดเด่นขึ้นหน่อย เห็นจะเป็นการแสดงเพื่อบอกเล่าเรื่องราวอันเป็นที่มาของงานในวันนี้


   สาวทอผ้าผู้ตกหลุมรักชายเลี้ยงวัวกำลังยืนอยู่ไม่สุข ขณะที่นักเล่าเรื่องยังคงท่องบทกลอนด้วยน้ำเสียงทรงพลังต่อหน้าทุกคน อาคาเนะขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งเพราะเขาถูกจับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแปลกประหลาด ถึงจะสวมผ้าหลายชั้นคล้ายกิโมโน แต่เนื้อผ้าแพรทั้งเบาและลื่นกว่า ทำเอาแขนเสื้อและชายชุดด้านล่างพลิ้วสไวทุกครั้งที่สายลมพัดผ่าน


   ยังไม่นับรวมใบหน้าที่ถูกแต่งเติมเสียจนกลายเป็นหญิงสาวแทบไม่เหลือคราบอาคาเนะคนเก่า ที่สำคัญคือจนป่านนี้ยังไม่เห็นแม้เงาโทชิฮิโระ


   เหมือนนักเล่าจงใจเล่าเรื่องในส่วนของชายเลี้ยงวัวแบบข้ามๆ ไม่ทันไรก็มาถึงตอนที่ฝูงนกกางเขนใช้ปีกเป็นสะพานให้หญิงสาวข้ามผ่าน บทนี้แสดงโดยเหล่าเด็กๆ ตัวน้อยที่ดูจะถูกอกถูกใจเป็นการใหญ่ เสียงหัวเราะถึงได้สดใสถึงเพียงนั้น


   อาคาเนะถูกสึซึรันสั่งทางสายตาให้ก้าวขาข้ามสะพานไปเสียที สาวทอผ้าคนงามชักจะรักษารอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ถึงได้เดินลงส้นเท้าตึงตังไปยังอีกฝั่งแม่น้ำ แต่ทันทีที่เขาไปถึงโคมไฟทุกดวงก็พลันดับ ทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ในความมืด


   “เกิด...” เสียงถามหยุดลงเมื่อรู้สึกได้ถึงไออุ่นอันคุ้นเคยอยู่ด้านหลัง เพียงเสี้ยวนาทีที่อาคาเนะหมุนตัวกลับ วงแขนแกร่งก็ตวัดรั้งเอวเขาเข้าไปแนบชิด ดวงตาสีครามลึกล้ำปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่นานโคมไฟโดยรอบก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา


   “ท่านหายไปไหนมา” น้ำเสียงคนถามแฝงไว้ด้วยความเคืองขุ่น เพราะวันนี้โทชิฮิโระหายหน้าไปนานกว่าทุกวัน


   “ขอโทษที่ปล่อยให้รอ” ปากบอกขอโทษแต่ใบหน้ากลับยิ้มกริ่ม อาคาเนะเลยพยายามจะดันตัวถอยห่างจากโทชิฮิโระด้วยความไม่พอใจที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีคำอธิบาย


   “ใครรอ ปล่อยข้า”


   “ไม่ปล่อย เห็นเจ้าสวยขนาดนี้คิดหรือว่าข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าหนีไปไหน” คนสูงกว่าก้มลงกดจมูกตรงข้างขมับคนในอ้อมกอด สูดกลิ่นหอมจางๆ จากผิวกายที่มีเพียงเขาเป็นเจ้าของ


   “เดี๋ยวเถอะ! นี่เราอยู่ต่อหน้าคนอื่นนะ” อาคาเนะตีแขนโทชิฮิโระไปเต็มแรงพลางกระซิบดุ สายตาหลายสิบคู่กำลังมองพวกเขาอยู่ เพราะการแสดงยังไม่จบ


   “ข้าก็กำลังเล่นบทคนรักที่ไม่ได้พบกันนานอยู่ หรือว่าจิ้งจอกน้อยไม่คิดถึงข้า” น้ำเสียงอ่อนโยนและอ้อมกอดอุ่นๆ คือสิ่งที่ทำให้อาคาเนะไม่เคยโกรธโทชิฮิโระได้นานเสียที


   แต่ใช่ว่าเขาจะยอมอ่อนข้อให้ต่อหน้าคนอื่นง่ายๆ


   “ไม่”


   “ปากไม่ตรงกับใจ ไม่น่ารักเลย”


   “ก็ข้าไม่ได้อยากน่ารัก”


   “ก็จริง” สายตาที่จ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าให้อาคาเนะหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเสียเฉยๆ เหมือนมีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะเดือดร้อน
ในไม่ช้า


   “เพิ่งรู้ว่าอาคาเนะของข้าสวยมากกว่าน่ารัก” สองแก้มคนฟังร้อนผ่าวด้วยความเขิน นานแล้วที่เขาไม่ได้ถูกชมตรงๆ อย่างนี้


   “ข้าว่าเราควรจบการแสดงได้แล้ว” โทชิฮิโระก้มตัวลงช้อนตัวอาคาเนะขึ้นมาอุ้มไว้ทันทีที่พูดจบ ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นจากบรรดาคนดูโดยรอบ ในขณะที่คนถูกอุ้มมัวแต่ตกตะลึงนึกคำพูดไม่ออก


   “เวลาที่เหลือของเจ้าต่อจากนี้เป็นของข้าแล้ว ที่รัก” โทชิฮิโระพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง ราวกับกำลังสวมบทชายเลี้ยงวัวอยู่ แต่ในหัวใจของอาคาเนะกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เพราะภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของโทชิฮิโระไม่ได้มีคนดูอื่นใด ภายในนั้นมีภาพของเขาเพียงผู้เดียว


   “รีบๆ กลับเลย มังกรเฒ่า” อาคาเนะยกแขนขึ้นโอบรอบคอของโทชิฮิโระแล้วซุกหน้าลงกับอกอุ่น จะถูกใครมองอย่างไรก็ช่างแล้ว ถือเสียว่าเขาเล่นบทสาวทอผ้าที่คิดถึงคนรักเสียเหลือเกินก็แล้วกัน



[อยากมีต่อถ้ามีโอกาส]

ขออนุญาตจบลงตรงนี้เพราะกลัวไม่ทันเลยวันทานาบาตะซะก่อนนะคะ แฮร่



*8/7/17 แก้ไขคำผิดกับจัดหน้าใหม่ค่า
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษทานาบาตะ 7/7/17
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 08-07-2017 01:21:21
คิดถึงงงงงง
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษทานาบาตะ 7/7/17
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-07-2017 02:10:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษทานาบาตะ 7/7/17
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 08-07-2017 08:48:53
สวัสดีค่า ไรท์เองนะคะ เมื่อคืนหมดพลังก่อนจะได้พิมพ์

ตั้งแต่ลงเรื่องนี้จบ เพิ่งจะได้มาลงตอนพิเศษกับเค้าบ้าง  :impress2: เดี๋ยวจะมีมาต่อค่ะ เพราะเราก็คิดถึงจิ้งจอกน้อยกับพ่อมังกรเหมือนกัน แต่ขอเวลาหน่อย ปั่นปุบปับไม่ไหว  :hao5:

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและมาเม้นต์คุยกันนะคะ ดีใจมากที่มีคนเอ็นดูหนุ่มๆ ในเรื่อง เป็นกลุ่มก๊วนที่ป่วนพอสมควรเลยค่ะ

สำหรับเนื้อเรื่องของคู่รอง โคคิ-ซาโตรุ มาซาโนริ-คาสึกิ ถูกจัดทำเป็นมินิโนเวลสำหรับแถมในรอบจองกับทางสำนักพิมพ์ไปนะคะ ไม่สามารถนำมาลงให้อ่านในนี้ได้ ต้องขอโทษด้วยค่า :sad4:

ขออนุญาตแจ้งไว้ตรงนี้อีกที นิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์กับ สำนักพิมพ์หนึ่งเดียว นะคะ

แล้วก็หากมีข้อสงสัย หรืออยากคุยกัน เข้าไปได้ที่ Facebook page: Magdaren/Nanami ได้เลยค่ะ นิยายเรื่องใหม่ก็กำลังเขียนอยู่ (ด้วยสปีดต่ำมากๆ  :katai5:)

แล้วพบกันใหม่ค่า  :bye2:

หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ หลังจากนั้น 11/7/17
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 11-07-2017 21:57:51
ตอนพิเศษ
หลังจากนั้น




        ทันทีที่ปลายเท้าได้แตะลงพื้นอีกครั้ง อาคาเนะก็รีบก้าวหนีจากโทชิฮิโระแบบไม่คิดจะหันกลับไปมอง ถึงจะเผลอใจอ่อนไปนิดหน่อย แต่ใช่ว่าจะลืมความขุ่นเคืองไปหมดเสียที่ไหน


        คนที่ถูกทิ้งไว้ส่ายหน้าแล้วยิ้มกับตัวเอง รู้หรอกว่าอาคาเนะไม่พอใจ แต่ยิ่งอาคาเนะหัวเสียมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าได้รับความคิดถึงและเป็นที่ต้องการมากเท่าขึ้นนั้น


        แต่ขืนบอกไป มีหวังถูกโกรธหนักกว่าเดิม


        “อาคาเนะ”


        “...” จิ้งจอกน้อยไม่ยอมตอบ ซ้ำยังก้าวขาให้เร็วขึ้น


        “จะไม่พูดกับข้าหรือ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องจะต่อว่าข้าหรอกหรือจิ้งจอกน้อย” คราวนี้เหมือนจะได้ผล เพราะอาคาเนะยอมหยุดก้าวขาแล้วหันหลังกลับมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง


        “ใครกันแน่ที่ไม่พูด ข้าไม่ใช่คนที่ชอบหายตัวไปบ่อยๆ แล้วยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ทุกถ้อยคำอัดแน่นด้วยความไม่พอใจแทบล้นอก ปกติโทชิฮิโระเล่าทุกอย่างให้เขาฟังตลอด อาจเป็นเพราะพวกเขาเคยเริ่มต้นด้วยการปิดบังและหลอกลวงกันมาก่อน พอผ่านวันคืนเหล่านั้นมาได้จึงไม่อยากมีเรื่องใดให้ต้องปิดบังกันอีก


        แต่มาวันนี้โทชิฮิโระกลับปิดเรื่องบางอย่างจากเขา ถึงจะไม่ได้โกหก แต่การไม่บอกอะไรก็สร้างช่องโหว่ให้กับความเชื่อใจได้เหมือนกัน และนานวันมันก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้น


        โทชิฮิโระถอนหายใจเบาๆ แล้วยกมือหมายจะสัมผัสคนขี้งอน แต่อาคาเนะกลับชักเท้าหนี แล้วหันหลังเดินตรงกลับไปยังห้องพักของพวกเขาทั้งสองคน


ประตูห้องอยู่ห่างไปเพียงเอื้อมมือ อาคาเนะกำลังจะเปิดมันออก ตอนนั้นเองที่มือใหญ่เอื้อมข้ามไหล่เขาไปจับกรอบประตูเอาไว้ ทำให้อาคาเนะไม่สามารถเปิดประตูได้


        “ขอโทษ” น้ำเสียงทุ้มต่ำทอดยาวแสนอ่อนโยน จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ยอมเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษง่ายๆ เสียแต่ครั้งนี้แค่คำสั้นๆ คำนั้น ไม่ใช่สิ่งที่อาคาเนะอยากฟัง


        “ถ้าไม่ได้รู้สึกผิดก็อย่าขอโทษ แต่ถ้ารู้สึกผิดทำไมถึงไม่ยอมพูดอะไร” ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาคาเนะคงโวยวายเสียงลั่น แต่เวลาที่ผ่านไปสอนให้เขารู้จักควบคุมตัวเองมากขึ้น


        มือที่ยึดประตูไว้ยอมปล่อยออกคล้ายยอมจำนน อาคาเนะก้าวเข้าไปยังห้องนอน โดยมีร่างสูงก้าวตามมาเงียบๆ พวกเขาไม่ใช่เด็กๆ ที่จะสามารถทะเลากันต่อหน้าใครๆ หากมีเรื่องต้องปรับความเข้าใจ ให้เข้ามาคุยกันตามลำพังในที่ส่วนตัวนับว่าดีที่สุด


        อาคาเนะเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะเครื่องแป้งขนาดเล็กที่วันนี้สึซึรันใช้ให้เขายกมาตั้งไว้เมื่อตอนก่อนถูกจับแต่งตัว เครื่องประดับผมสีเงินแวววาวถูกถอดออกทีละชิ้น สึซึรันบอกว่าเครื่องต่างกายที่อาคาเนะสวม เป็นเสื้อผ้าของสตรีชั้นสูงจากแผ่นดินใหญ่ นางเป็นคนมาช่วยแต่งตัวให้ ปักปิ่นไปเอ่ยชมไปเหมือนเป็นเรื่องสนุก แต่พอถึงเวลาต้องมาแกะออกด้วยตัวเองมันกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด


        ปลายนิ้วอุ่น สัมผัมโดนมือของอาคาเนะอย่างแผ่วเบา โทชิฮิโระย่อตัวลงช่วยถอดส่วนที่เหลือ อาคาเนะจึงลดมือลงแล้วยืนนิ่ง ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าการบริการเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ทำให้เขาชินกับการมีโทชิฮิโระอยู่ใกล้ๆ จนเสียนิสัย


        “ถ้าบอกแล้ว สัญญาได้หรือเปล่าว่าจะไม่โกรธ” ถึงจะถอดเครื่องประดับออกจนหมดแล้ว แต่โทชิฮิโระยังคงใช้มือสางเบาๆ ไปตามเส้นผมนุ่ม


        “ทำไมต้องสัญญาด้วย แอบไปทำเรื่องไม่ดีมาหรือท่านเทพมังกร” ถึงปากจะยังเย้าแหย่ได้ แต่ในใจกลับเริ่มกระวนกระวายแบบแปลกๆ คนอย่างโทชิฮิโระที่แกล้งเขาเป็นกิจวัตร เคยกลัวถูกเขาโกรธเสียที่ไหน


        “คงไม่ได้ไปฆ่าใครตายมาใช่ไหม”


        “เปล่า”


        “ไม่ตาย หรือแค่บาดเจ็บ?”


        “เปล่า เห็นข้าชอบทำร้ายคนอื่นหรือ” โทชิฮิโระอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ตอนนี้จิ้งจอกน้อยยอมหันหน้ากลับมาคุยกับเขาแล้ว แต่ดูความคิดที่พูดออกมาแต่ละอย่าง


        “หรือไปเจอใครมา”


        “ใครที่ว่าหมายถึงใคร”


        “ข้าจะรู้ได้อย่างไร นี่แสดงว่าไปเจอมาจริงๆ ใช่ไหม” ไม่รู้ว่าอาคาเนะรู้ตัวหรือเปล่า ว่าน้ำเสียงชักจะเริ่มดุ ซ้ำยังไม่ยอมรับปากเรื่องจะไม่โกรธอีกด้วย


        “ออกไปข้างนอกมันก็ต้องเจอ ‘ใคร’ บ้าง” โทชิฮิโระแกล้งตอบแบบกำกวม อยากรู้เหมือนกันว่าอาคาเนะคิดว่าเขาไปไหนมา


        “นี่ท่านไม่ได้แอบไปมีเมีย ซุกลูกไว้ที่ไหนใช่ไหม” คำถามนี้ทำเอาหางคิ้วคนฟังกระตุก ใครเอาหนังสือนิยายรักคาวโลกีมาให้อาคาเนะอ่านหรืออย่างไร ถึงได้จินตนาการได้ล้ำลึกขนาดนี้


        “แล้วเจ้าคิดว่าข้ามีสักกี่เมียกัน” น้ำเสียงของโทชิฮิโระเริ่มจะเย็นขึ้นทีละน้อย แค่เขาปล่อยอาคาเนะไว้คนเดียวไม่กี่วัน ไม่นึกว่าจะกล้ามองเขาด้วยสายตาแบบนั้น


        เดี๋ยวได้เห็นดีกันจิ้งจอกน้อย


        “กะ...ก็ท่านมีเรื่องปิดบังข้า” อาคาเนะมีท่าทีอึกอัก สองมือบีบกันแน่นอยู่บนตัก สายตาหลุกหลิกไปมาเบือนหนีไปทางอื่น ไม่ยอมสบตากับโทชิฮิโระที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ทำไมชักจะรู้สึกถึงอันตรายขึ้นมาแล้ว


        “เจ้านี่นะ ใครสอนให้คิดเรื่องพวกนี้กัน”


        “ท่านอายุมากกว่าข้าตั้งเท่าไร เคยอยู่กับใครมาบ้างข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” เกินวันดีคืนดีมีใครที่ไหนไม่รู้โผล่มาแสดงตัวว่าเป็นเมียเก่า หรือลูกคนแรก จะให้อาคาเนะทำหน้าอย่างไร ขนาดลุงโฮทากะที่เพิ่งได้เมียคนที่สอง ยังมีเรื่องต้องรบรากับเมียเก่าอยู่ทุกสามสี่วัน แค่บังเอิญผ่านไปเห็นยังขยาด ขืนต้องใช้ชีวิตอย่างนั้นบ้างอาคาเนะคงได้บ้าตาย


        “เมียข้าคือใครเจ้าไม่รู้จริงหรือ” เสียงทุ้มกดต่ำลงแสดงถึงความไม่พอใจ อาคาเนะอ้าปากจะค้านแต่เขากลับถูกโทชิฮิโระโถมตัวเข้าใส่จนหงายหลังลงไปนอนกับพื้นเสียก่อน


        “เดี๋ยว! ทำไมท่านถึงเป็นฝ่ายโกรธเล่า!” จำได้ว่าตอนแรกอาคาเนะต่างหากที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ คุยไปคุยมาทำไมเขาถึงได้เป็นฝ่ายถูกกดไว้กับพื้นไปได้


        “คนที่ข้ามอบสิทธิ์ในการครอบครอง เป็นเจ้าของตัวข้าให้ ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ” สองมือโทชิฮิโระจัดการรวบมือของอาคาเนะไปไว้เหนือหัว สายตาคมกล้าจ้องมองร่างบางที่ตอนนี้กำลังมองเขาด้วยสีหน้าตื่นๆ


        “นั่นมันคนละเรื่อง” ทำไมอาคาเนะจะไม่รู้ว่าตัวเองได้รับความรักมากมายขนาดไหน เขารับรู้และมีความสุขมาก แต่ใช่ว่ามันจะหมายความว่าโทชิฮิโระไม่เคยมีอดีตนี่


        “ผิดแล้วจิ้งจอกน้อย สำหรับข้ามันเป็นเรื่องเดี่ยวกัน” โทชิฮิโระเปลี่ยนมารวบมืออาคาเนะไว้ด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างที่ว่างได้เลื่อนลงมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนที่นอนบิดกายอยู่ใต้ร่าง แล้วจงใจลูบไล้เนื้อนวลใต้ร่มผ้าเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ


        “หากไม่ใช่คนที่ข้ามีใจเสน่หา ต่อให้เอาตัวมาถวายตรงหน้าข้าก็ไม่รับ กลับกันหากเป็นคนที่ข้าต้องการนานเท่าไรก็ไม่มีวันปล่อยให้หลุดรอดไปได้” ริมฝีปากร้อนผ่าวประกบจูบลงมาอย่างหนักหน่วง ทั้งเร่งเร้าและดุดันราวกับอยากจะย้ำให้ถ้อยคำเหล่านี้ฝังลึกลงในทุกสัมผัสที่มอบให้


        “เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าลุ่มหลง ชีวิตก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยอยากได้ใครมาอยู่ข้างกาย มีเพียงจิ้งจอกตัวน้อยจอมหยิ่งที่ดึงความสนใจจากข้าได้”


        “ข้าไม่ได้หยิ่ง” อาคาเนะแก้ตัวเสียงค่อย ต้องพยายามสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มไปตามการชักนำของโทชิฮิโระก่อนจะคุยกันได้จบ


        “หืม แล้วใครกันที่ดื้อดึงไม่ยอมแม้แต่จะเรียกชื่อข้า” ความรุ่มร้อนของความปรารถนาเริ่มคุกรุ่นขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยไออุ่นจากร่างกายที่สัมผัสถูกกันผะแผ่วครั้งแล้วครั้งเล่า รวมไปถึงลมหายใจยามเสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู


        “ปล่อยมือข้า” จิ้งจอกน้อยอ้อนวอนเสียงหวาน การถูกรุกเร้าทั้งคำพูดและการกระทำจากคนรัก มันกดดันจนเกินจะต้านทานไหว


        “บอกมาก่อนว่าเมียข้าคือใคร” มือใหญ่เริ่มลากไล้ลงไปวนแถวหน้าท้องแบนราบแล้วลากผ่านหน้าขาลงไปบีบหนักๆ แถวต้นขาด้านใน เพื่อแหย่ให้ใครบางคนได้ผวาเล่น อาคาเนะเม้มปากครางฮือในคออย่างขัดใจ ดวงตาสีเพลิงจ้องคนแกล้งตาวาว


        โทชิฮิโระจอมขี้แกล้งกลับมาแล้ว


        “ข้ามีเวลาเยอะนะอาคาเนะ” เข่าของคนพูดแทรกเข้ามาตรงระหว่างขาของอาคาเนะ และจงใจเลื่อนสูงขึ้นมาจนกระทบเข้ากับบางสิ่งที่กำลังถูกปลุกให้ตื่น จิ้งจอกน้อยสะดุ้งเฮือกก่อนจะตอบออกมาเสียงเบาหวิว


        “ข้าเอง” ดวงตาสีเพลิงเสมองไปทางอื่นเพื่อข่มความอาย แต่กลับยิ่งทำให้คนด้านบนมองเห็นผิวแก้มสีชมพูเข้มได้ถนัดยิ่งขึ้น


        “คนเดียวใช่ไหม” โทชิฮิโระโน้มตัวลงฝังจมูกลงกับซอกคอขาว พร้อมทั้งขบกัดเบาๆ กระตุ้นให้อาคาเนะต้องออกเสียง


        “คนเดียว..อื้อ...ปล่อยนะ” ยามจิ้งจอกน้อยยอมเป็นฝ่ายร้องขอ จะได้ยินน้ำเสียงแว่วหวานจับใจ โทชิฮิโระคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนจะคลายแรงบีบที่มือลง ส่งผลให้มือของอาคาเนะได้รับอิสระอีกครั้ง


        สิ่งแรกที่มือคู่นั้นทำคือการโอบกอดร่างสูงใหญ่ของคนรักเอาไว้แล้วรั้งให้ทิ้งกายลงมาหาราวกับว่าไม่สามารถทนขาดไออุ่นจากร่างกายนี้ได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะกี่ครั้งรสรักที่โทชิฮิโระป้อนให้ก็ทำให้เขาหลงใหลและเต็มอิ่มกับมันจนแทบสำลักความความสุขได้เสมอ


        หลังจากนั้นไม่นานอาคาเนะก็หลงลืมเรื่องที่สงสัยไปจนหมดสิ้น ปล่อยให้อารมณ์หวามไหวทรงพลังเหนือเหตุและผล ปล่อยให้มังกรขี้หวงได้เชยชมจนสมใจ





....


        ส่วนสาเหตุที่เทพมังกรหายหน้าไปน่ะหรือ ก็แค่อยากเห็นว่าจิ้งจอกน้อยจะงดงามเพียงใด หากได้แต่งกายดังเช่นภาพวาดที่สึซึรันนำมาอวด นางอาสาจะตัดเย็บให้หากอาคาเนะจะยอมใส่ เรื่องวางตัวให้อาคาเนะต้องเล่นบทสาวทอผ้าถูกกำหนดมานานแล้ว เพียงแต่ผู้สมรู้ร่วมคิดสองต่างรู้ดี หากบอกล่วงหน้าจิ้งจอกน้อยคงไม่มีทางยอมเล่นด้วย กระบวนการต่างๆ จึงต้องเก็บเป็นความลับทั้งหมด ที่สำคัญคือ ผ้าทุกผืน เครื่องประดับทุกชิ้น โทชิฮิโระล้วนเป็นคนเลือกสรรมาเอง


        และแน่นอนว่าเป็นคนถอดออกเองกับมือด้วย


✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿


        และแล้วตอนแถมในตอนพิเศษอีกทีก็จบลงเรียบร้อย พระเอกของเรายังไงก็ยังหากำไรเก่งเหมือนเดิม *ปรบมือ* เมื่อไหร่จิ้งจอกน้อยจะทันเหลี่ยมพ่อมังกรบ้างก็ไม่รู้ค่ะ  :hao3:
        ได้เห็นคอมเม้นต์คิดถึงแล้วชื่นใจจัง คิดถึงมากๆ เหมือนกันค่ะ ทั้งตัวละครแล้วก็คนอ่านด้วย เอาไว้พร้อมจะแกล้งจิ้งจอกน้อยเมื่อไหร่จะกลับมาหาอีกนะคะ
        (นี่ลัดคิวปั่นแซงเรื่องใหม่มากๆ ควรจะกลับได้แล้ว ฮ่าๆ)


หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ หลังจากนั้น 11/7/17
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-07-2017 22:01:53
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ หลังจากนั้น 11/7/17
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 12-07-2017 10:49:28
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ หลังจากนั้น 11/7/17
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 12-07-2017 17:46:31
พักนี้เหมือนทำบุญมาน้อยคนเขียนถึงได้ตัดฉากดอกไม้บานแบบนี้เรื่อยเลย
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ หลังจากนั้น 11/7/17
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 15-07-2017 13:52:22
เป็นตอนพิเศษที่น่ารักมากๆเลย
ชอบจิ้งจอกน้อยมากกกกก
หึงได้น่ารักที่สุด
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 30-12-2017 21:39:20
ตอนพิเศษ
หากขาดไป





        ฤดูกาลผันผ่านอากาศเย็นลง ใบไม้สีเขียวค่อยๆ เหี่ยวแห้งแล้วทยอยหลุดออกจากกิ่งก้าน เป็นสัญญาณบอกว่าเหมันต์ฤดูกำลังมาเยือน


        หลังงานเทศกาลผ่านไปโดยไม่ได้รับคำอธิบายที่ชัดแจ้ง โทชิฮิโระยังคงหายหน้าไปในบางวัน โดยเฉพาะในช่วงเช้าก่อนอาคาเนะจะตื่น มิหนำซ้ำบางวันยังกลับมาพร้อมกลิ่นคาวเลือด


        เลือดของโทชิฮิโระเอง


        นับแต่รู้จักกัน อาคาเนะคุ้นเคยกับกลิ่นเลือดของโทชิฮิโระยิ่งกว่าใคร ต่อให้น้อยนิดแค่ไหน อาคาเนะก็สามารถรับรู้ได้ แต่ทุกครั้งที่ถาม เทพมังกรจะเฉไฉชวนคุยเรื่องอื่น อาคาเนะเคยลองหาบาดแผลตามตัวอยู่หลายครั้ง ทั้งแบบที่เจ้าตัวให้ความร่วมมือและเขาต้องขู่บังคับเอา แต่ไม่เคยเจอแม้สักรอยข่วน สุดท้ายจึงเหมือนมีแค่ตัวเขาที่เป็นห่วงจนจะบ้า


        วันนี้โทชิฮิโระก็หายหน้าไปแต่รุ่งสางอีกเช่นกัน ส่วนสึซึรันได้ติดตามจิตรกรผู้นั้นเข้าเมืองไปหลายวันแล้ว ปราสาทกว้างใหญ่แต่ไม่มีใครอยู่ให้พูดคุยสักคน อาคาเนะเบื่อแสนเบื่อจึงออกไปเดินเล่นข้างนอก


        ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงกลายเป็นขวัญใจของพวกเด็กๆ ตั้งแต่ผ่านการแสดงด้วยกันมา พวกเด็กในหมู่บ้านต่างชอบวิ่งกรูเข้ามาหาทุกครั้งที่อาคาเนะเข้าไปในเมือง แต่อารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่เหมาะจะเล่นกับเด็ก อาคาเนะเลยมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าแทน ป่าในยามต้นไม้ผลัดใบกลายเป็นสีเขียวแซมน้ำตาล เหลือง และแดง ดูแล้วก็สดชื่นดี


        อาคาเนะกระโจนขึ้นยอดไม้เพื่อดูทิวทัศน์ให้ไกลขึ้น อยู่นอกเมืองมาหลายปี บางทียังแอบคิดถึงการปีนขึ้นหลังคาหอสูงในเมืองเหมือนกัน อยู่นั่นเขาสามารถปล่อยใจให้ล่องลอย มองดูชาวเมืองใช้ชีวิตกันอย่างคึกคักตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่ที่ไหนก็มีข้อดีข้อดำของตัวเองทั้งนั้น เสียแต่เวลานี้คนที่เขาติดตามมาดันหายหน้าไปไหนไม่รู้


        อยู่ๆ สายลมแรงเกิดพัดกรรโชกมาวูบหนึ่ง จนอาคาเนะต้องย่อตัวลงยกแขนขึ้นบังใบหน้า ทว่ายังรับรู้ถึงความเจ็บแปลบที่แล่นเฉียดใบหน้า


        ดวงตาสีเพลิงเบิกกว้างขึ้น รับรู้ได้ถึงหยดเลือดอุ่นๆ ที่ไหลลงตรงข้างแก้ม ก่อนจะหมุนตัวหันกลับไปมองสิ่งที่เพิ่งผ่านไป
ท้องฟ้าสีครามมีจุดสีขาวเล็กๆ ปรากฏอยู่ ยังไม่ทันเพ่งดูเจ้าสิ่งนั้นก็พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง คราวนี้อาคาเนะตวัดกรงเล็บเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ผลคือสิ่งนั้นขาดสะบั้นกลางอากาศ อาคาเนะจึงคว้าเอามาดู


        สิ่งที่เห็นเป็นกระดาษขาวตัดเป็นรูปคล้ายนกกางเขนถูกตัดขาดครึ่งด้วยฝีมือเขา สัญชาตญาณร้องเตือนอย่างรุนแรงถึงอันตราย กระดาษที่เคลื่อนไหวได้รกับมีชีวิต สิ่งนี้เป็นวิชาของนักปราบปีศาจอย่างแน่นอน


        เสียงใบไม้ถูกตัดขาด และอากาศถูกเฉือนออกแว่วเข้าหู อาคาเนะจึงรีบทิ้งตัวลงจากยอดไม้ทันที หากมีแค่นกกระดาษ แค่ใช้ไฟจิ้งจอกก็สามารถเผาได้โดยง่าย แต่เกรงว่ายิ่งรั้งรอเสียเวลาอยู่นาน ตัวปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่าจะเข้ามาใกล้


        กับปีศาจอาคาเนะไม่เคยหวาดกลัวที่จะเผชิญหน้า แต่พอศัตรูอาจเป็นมนุษย์ทุกอย่างกลับต่างออกไป เขาใช้ชีวิตในโลกของมนุษย์มาตลอด จนป่านนี้ยังไม่เคยเข่นฆ่ามนุษย์แม้สักคน และคงทำไม่ได้ด้วย


        อาคาเนะตั้งใจจะสลัดให้หลุด จึงเร่งความเร็วสุดฝีเท้า แต่เลือกเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตามรอยกลับไปถึงปราสาทได้


        แต่นั่นกลับเป็นการตัดสินใจผิดพลาดครั้งร้ายแรง


        อาคาเนะวิ่งลัดเลาะผ่านต้นไม้ กระโดดข้ามแนวหิน พยายามออกห่างจากเส้นทางสัญจรให้มากที่สุด แต่แล้วเมื่อเขาก้าวขาผ่านกองหินที่วางซ้อนกันกองหนึ่งไป ร่างกายพลันหยุดนิ่งในฉับพลัน


        บนพื้นที่ก้าวเหยียบมีรอยขีดเขียนลงบนดินเป็นวงกลมล้อมรอบจุดที่อาคาเนะยืนอยู่ ลายเส้นพร้อมอักษรโบราณเปล่งแสงสว่างวาบขึ้น พร้อมกับที่อาคาเนะเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก


        ติดกับเข้าแล้ว!!







        เสียงระเบิดดังลั่นป่า แรงสะเทือนทำให้ฝูงนกแตกฮือบินขึ้นฟ้าฝูงใหญ่ ควันสีดำลอยคลุ้งดึงดูดสายตาทุกคนในเมือง ใครสักคนตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นานผู้คนก็เริ่มหันไปคุยกัน เสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ จนกระทั่งมีคนบอกว่าควรจะไปดู เวลานี้เทพมังกรไม่อยู่ ถึงคราวมนุษย์ต้องช่วยเหลือตัวเองบ้าง


        พวกผู้ชายในหมู่บ้าน รวมตัวกันได้หกคนก็พากันมุ่งหน้าไปยังต้นเสียงเพื่อตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้น เดินกันมาได้สักพัก จึงมาถึงบริเวณที่เกิดระเบิดขึ้น


        พื้นดินตรงหน้ากลายเป็นหลุม ในขณะที่ต้นไม้ใบหญ้ากลับไม่มีรอยไหม้แม้สักนิด แต่สิ่งทำให้ทุกคนในที่นั้นตัวชาเมื่อได้เห็น กลับเป็นกิโมโนเปื้อนเลือดและขาดวิ่นที่กองอยู่ตรงก้นหลุมนั้น ด้วยต่างก็จำได้ว่าเจ้าของคือใคร


        หลายคนสะกิดไหล่กัน ต่างฝ่ายต่างไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนั้นเองที่เงาดำทะมึนทาบทับอยู่เหนือหัวพวกเขา ทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียงลงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง


        เทพมังกรมาถึงแล้ว


        หลายปีมานี้โทชิฮิโระให้ความสำคัญกับอาคาเนะแค่ไหน ทุกคนต่างรู้ดี เวลานี้จึงไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับตัว มังกรขาวขดตัวบนอากาศ สายตาก้มมองไปในหลุมด้วยแววตาเรียบนิ่ง ทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิด เขาก็รีบเร่งทะยานกลับมา หัวใจกรีดร้องว่าต้องเกิดเรื่อง แต่พอมาเห็นกับตา ทุกอย่างรอบกายกลับเงียบงัน


        มังกรขาวหายไป เหลือเพียงชายคนหนึ่งที่ก้าวขาได้อย่างแสนยากเย็น โทชิฮิโระคุกเข่าลง ยื่นมือออกไปหากิโมโนเปรอะเปื้อนด้วยปลายนิ้วอันเย็นเฉียบ หัวใจร่ำไห้ แต่สมองยังทำงานไม่หยุด


        แรงทำลายระดับนี้ อาคาเนะจะหนีไปได้หรือไม่ หากโชคร้ายพ่ายต่อนักปราบปีศาจจริงจะไม่มีสิ่งใดหลงเหลือเชียวหรือ แต่ถ้าหากหนีรอดอย่างจวนเจียน เวลานี้จิ้งจอกน้อยไปอยู่ที่ใด เหตุใดถึงไม่มีสัมผัสของพลังปีศาจใดๆ ใกล้กับบริเวณนี้เลยสักนิด


        "หาเขา" ถ้อยคำแรกบางเบาเสียจนพวกชาวบ้านต่างฟังไม่ถนัด ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จนกระทั่งโทชิฮิโระลุกขึ้นพร้อมกำกิโมโนของอาคาเนะไว้ในมือ


        "ตามหาอาคาเนะให้ข้า! ส่วนข้า..." มือที่ถือชุดของคนรักไว้กำแน่นจนสั่น ของบางสิ่ง คนบางคน ไม่ว่าใครก็อย่าได้บังอาจมาแตะต้อง!


        "จะตามล่าคนที่ทำมัน" ราวกับถูกขโมยลมหายใจไปวูบหนึ่ง ที่ผ่านมาชาวเมืองต่างไม่เคยเห็นร่างของเทพมังกรฉายเงาอำมหิตเท่านี้ โทชิฮิโระเคยเป็นเทพผู้ปกป้องในสายตาทุกคนเสมอ แต่วันนี้ได้มีผู้ย้อนเกล็ดมังกรของเขาเข้าแล้ว ตอนนั้นเองที่ทุกคนในที่นั้นได้ตระหนัก ว่ามังกรเป็นได้ทั้งเทพและอสูรในร่างเดียว







        เจ็บ


        ทรมาน


        ปวดไปทั้งตัว


        ในความมืดมิดและสติอันเลือนราง ยังรับรู้ได้ว่าขาข้างหนึ่งเจ็บจนขยับไม่ได้ ไม่แน่ใจว่ามันยังอยู่ดีไหมด้วยซ้ำ หลายครั้งที่สั่งตัวเองให้เปิดตา แต่แค่เห็นแสงสลัวได้ไม่นาน สติก็จมหายไปในความมืดอีกครั้ง บางคราวรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนสัมผัส บางคราวรู้สึกเหมือนมีเสียงพูดคุยอยู่ใกล้ๆ


        เสียงที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย

       
        สัมผัสอุ่นวางทาบลงบนหัว เป็นความอุ่นของฝ่ามือไม่ผิดแน่ ครั้งนี้อาคาเนะบอกตัวเองว่าต้องลืมตาให้ได้ อย่างน้อยเขาก็เริ่มได้ยินสิ่งที่คนพวกนั้นคุยกันอย่างชัดเจน


        "ท่านนี่แปลกคน เข้าป่าแทนที่จะล่าสัตว์ กลับอุ้มสัตว์กลับมา" มือที่ลูบอยู่ชะงัก คนพูดเองก็เช่นกัน


        "ฟื้นแล้ว!" เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้อาคาเนะเปิดตาขึ้นมองได้สำเร็จ แม้จะพร่ามัว แต่พอจะมองเห็นว่ามีคนสองคนนั่งอยู่ในห้อง สิ่งที่ผิดปกติไปคือทุกคนดูตัวโตแปลกๆ


        สมองยังสับสน เหตุการณ์ก่อนหน้าฉายภาพเข้ามาสลับกับภาพในปัจจุบัน ตอนนั้นเองที่มีเงาดำทาบทับลงมา ทำให้อาคาเนะตกใจกลัวจนฝืนลุกหนี แต่ความเจ็บแล่นริ้วจนต้องทรุดตัวลงนอนอีกครั้ง สายตาพลันมองเห็นว่าแขนตัวเองไม่ใช่มนุษย์อย่างที่คุ้นตา ทำให้อาคาเนะยิ่งแตกตื่นลนลาน ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจนล้มลุกคลุกคลานอยู่รอบ


        "ใจเย็น ไม่เป็นไร เราไม่ได้จะทำอะไรเจ้า" เสียงห้ามปราม มาพร้อมมือที่ช้อนตัวจิ้งจอกตื่นกลัวขึ้นมาอุ้มไว้ เพราะเกรงว่าขาหลังที่บาดเจ็บจะเตะฟาดถูกอะไรเข้าอีก


        "อันตรายขอรับ ให้ข้าอุ้มดีกว่า" ชายอีกคนทำท่าจะเข้ามาคว้าตัวเขา อาคาเนะจึงยิ่งพยายามตะกายหนี


        "อย่า ยิ่งทำให้มันกลัวมากกว่าเดิม" อาคาเนะในร่างจิ้งจอกถูกชายคนหนึ่งอุ้มไว้แนบอก ไออุ่นและเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ ช่วยให้คลายกังวลได้ทีละน้อย ในที่สุดอาคาเนะก็ยอมสงบอยู่ในวงแขนนั้น


        "ไปหาอะไรให้มันกิน" ชายอีกคนมองเขาอย่างลังเลแต่ก็รับคำ ดูท่าแล้วคงเป็นนายบ่าวกันถึงได้ยอมทำตามอย่างว่าง่าย


        "ข้าจะวางเจ้าลง แต่ต้องอยู่นิ่งๆ เข้าใจไหม" ดวงตาคนพูดก้มมองมา เป็นครั้งแรกที่อาคาเนะได้มองชายคนนี้อย่างเต็มตา คงต้องบอกว่าชายคนนี้เป็นคนประเภทเดียวกับซาโตรุ สง่างามแต่ไม่ดุดัน และยังดูมีอำนาจบารมียิ่งกว่าเสียอีก


        อาคาเนะถูกวางลงบนผ้าที่ทั้งนุ่มและอุ่น พอเหลียวมองขาหลังตัวเองก็เห็นว่ามีผ้าพันเอาไว้อยู่ จากนั้นจึงไล่สายตาไปสำรวจร่างกายส่วนอื่น เวลานี้เขาอยู่ในร่างสุนัขจิ้งจอกอย่างสมบูรณ์ คงไม่ได้ดูคล้ายปีศาจเลยด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกมนุษย์ช่วยเอาไว้แบบนี้


        "พูดรู้เรื่องด้วยหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ง่าย ข้าจะพักอยู่ที่นี่อีกสองวัน แต่ขาเจ้าดูแล้วคงไม่หายง่ายๆ ถึงตอนนั้นถ้าไม่ดื้อจะพากลับไปด้วยแล้วกัน"


        อาคาเนะรับฟังเงียบๆ ในใจคิดแต่ว่าทำอย่างไรจะกลับไปหาโทชิฮิโระได้ พอนึกถึงเทพมังกรขึ้นมา เพียงเท่านั้นความรู้สึกก็ดำดิ่ง เวลานี้โทชิฮิโระจะเป็นอย่างไร จะรู้บ้างไหมว่าเขาไม่อยู่ จะตามหาเขาหรือเปล่า หรือ...ยังไม่กลับมาเลยด้วยซ้ำ


        จะถามว่าหมดสติไปกี่วันก็คงไม่ได้ ขืนเปิดปากพูดภาษามนุษย์ออกไปคงเกิดเรื่องขึ้นแน่ ถึงคนในหมู่บ้านจะเข้าใจ แต่คนนอกไม่ว่าอย่างไรก็ยังยอมรับปีศาจไม่ได้ อาคาเนะเลยเลือกจะสวมบทจิ้งจอกธรรมดาที่ค่อนข้างสงบเสงี่ยมมากหน่อยเท่านั้น


        จะว่าไปยังไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองเป็นอะไรด้วยซ้ำ ต่างจากคราวก่อนที่มาซาโนริกระตุ้นพลังปีศาจในกายเขา เวลานี้อาคาเนะแทบไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ต่างอะไรจากสุนัขจิ้งจอกบาดเจ็บตัวหนึ่ง


        "ไม่นานก็หาย" ถ้อยคำปลอบประโลมถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เห็นจิ้งจอกตัวจ้อยทำหูลู่หางตกแล้วอดยื่นมาไปลูบหัวไม่ได้ จนตอนนี้เขายังแปลกใจกับตัวเองว่าทำไมถึงได้ตัดสินใจที่จะอุ้มจิ้งจอกตัวนี้กลับมา








        ท้องทะเลที่คลื่นลมสงบ มักเป็นสัญญาณว่าจะพายุใหญ่พัดผ่านเข้ามา ยามนี้รอบกายของเทพมังกรราวกับมีลมพายุพัดวนอยู่ เหมือนน้ำที่ใกล้เดือดเต็มทน ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าสบตา แม้แต่สึซึรันยังแทบเข้าหน้าไม่ติด


        ทันทีที่กลับมาก็มีคนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาบอกเล่าเรื่องราวกับสึซึรัน ตอนได้ยินนางเองก็หูอื้อไปพักหนึ่ง พอจับใจความได้ว่าอาคาเนะหายไปไม่รู้เป็นตายร้ายดี ส่วนโทชิฮิโระ แม้ภายนอกจะดูเหมือนสงบ แต่สึซึรันกลับรู้สึกว่าภายในหัวใจของเทพมังกรต้องกำลังคลุ้มคลั่งอยู่เป็นแน่


        สองวันแล้วที่อาคาเนะหายไป ไม่ใช่ว่าโทชิฮิโระไม่อยากออกไปตามหาอาคาเนะ แต่ครั้งก่อนที่ออกไปเทพมังกรกลับมาด้วยสภาพเนื้อตัวเปรอะเปื้อนคราบเลือดหลายแห่งจนทุกคนที่เห็นต่างหวาดกลัวแทบลืมหายใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านักปราบปีศาจที่วางกับดักไว้ คงไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว


        สึซึรันเคยเห็นเทพมังกรอาละวาดเมื่อครั้งถูกวางยาหนก่อน แต่โทชิฮิโระในสภาพเจ็บปวดจากภายในจนแทบสิ้นหวัง เหม่อลอยและเก็บกดถึงเพียงนี้นางเพิ่งเคยได้เห็นกับตา สึซึรันจึงอ้อนวอนให้เทพมังกรให้อดทนรอฟังข่าวเฉยๆ ก่อน เพราะเกรงว่าหากปล่อยโทชิฮิโระออกไปลำพังอีกครา อาจมีคนตายมากกว่าหนึ่งคน


        แผ่นหลังที่เคยยิ่งใหญ่และสง่างาม ยามนี้ห่อตัวลงเพราะความโศกเศร้า สึซึรันไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาปลอบ นอกจากรับปากว่าจะพยายามตามหาอาคาเนะอย่างเต็มที่ แต่การหาโดยไม่มีร่องรอย ทำให้ต้องใช้เวลาและวงค้นหาที่กว้างมาก น่าแปลกที่หากอาคาเนะหนีรอดไปได้ อย่างน้อยก็น่าจะเห็นรอยเลือดให้เห็นบ้าง เพราะจากเสื้อผ้าที่เหลือไว้ อาคาเนะน่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย


        นอกเสียจากถูกใครพาไป


        หรือไม่อาจเป็นกรณีเลวร้ายที่สุด

       
        สึซึรันสะบัดหัวแรงๆ เพื่อลบความคิดร้ายๆ ออกไปจากหัว เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรจะถอดใจ  บอกกับตัวเองว่าอาคาเนะไม่มีทางเป็นอะไรไปง่ายๆ สุดท้ายเลยตัดสินใจเดินไปยืนข้างๆ โทชิฮิโระ


        "พรุ่งนี้จะลองไปสืบข่าวเมืองข้างๆ ส่วนในพื้นที่ของเราข้าจะฝากคนคอยตรวจตราเอาไว้ เผื่อว่าอาคาเนะกลับมาจะได้รีบพามาหาท่าน"


        ดวงตาสีครามว่างเปล่าเหลือบมองเพียงชั่วครู่ก่อนเบือนกลับไปหลุบลงมองพื้นตามเดิม หลังจากกลับมาโทชิฮิโระก็เอาแต่เงียบมาตลอด ยืนจ้องมองบางสิ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้า


        "ข้าควรอยู่กับเขา" นับเป็นประโยคแรกที่ได้ยินในรอบวัน เป็นน้ำเสียงที่อ่อนระโหยไร้เรี่ยวจนรู้สึกได้


        "อย่าโทษตัวเอง"


        "ไม่โทษไม่ได้" มือของโทชิฮิโระกำแน่นเสียจนปลายเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว มันผิดที่เขาเองที่ปล่อยให้อาคาเนะต้องอยู่ตามลำพัง เพียงเพราะคิดว่านั่นเท่ากับปกป้องอาคาเนะแล้ว


        เรื่องนักปราบปีศาจโทชิฮิโระรับรู้มาได้สักพักแล้ว ไม่แคล้วเป็นพวกได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับเมืองนี้ แล้วเดินทางมาเพื่อลองวิชา กับดักที่ใช้เพื่อกำจัดปีศาจถูกลอบวางอยู่เรื่อยๆ แต่คาถาอาคมเหล่านั้นทำอะไรโทชิฮิโระไม่ได้ อย่างมากก็แค่สร้างบาดแผลเล็กน้อยให้ โทชิฮิโระจึงเพียงแค่ก้าวลงไปในกับดักเหล่านั้นแล้วปล่อยให้มันทำงานจนสูญสลายไปเอง คิดไปเองว่าสักวันนักปราบปีศาจผู้นั้นจะยอมถอนตัวกลับไป นึกไม่ถึงว่าจะวางอาคมรุนแรงเอาไว้ ทำให้อาคาเนะต้องมาพลาดท่าติดกับไปด้วย


        หากไม่ใช่เพราะความสะเพร่าของเขาแล้วเป็นเพราะใคร


        เมื่อสิ่งทำลงไปเพราะคิดว่าเพื่อคนสำคัญ กลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แล้วย้อนมาทำร้ายอาคาเนะ นอกจากโทสะที่มีต่อนักปราบปีศาจที่มากล้น ความเกลียดชังต่อตัวเองก็มีมากไม่แพ้กัน และมันกำลังกัดกินหัวใจของเทพมังกรจนอ่อนล้าเต็มที


        กลับมาเถิดอาคาเนะ


        ให้ข้าได้ขอโทษเจ้าด้วยตัวเอง




(ต่อด้านล่างค่า)





       
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Magdaren ที่ 30-12-2017 21:41:08






        กินอิ่มนอนอุ่น หากเขาเป็นเพียงจิ้งจอกธรรมดาคงไม่ต้องการอะไรมากกว่านี้อีก แต่สำหรับเขาไม่มีที่ใดจะชวนให้โหยหายิ่งไปกว่า 'บ้าน' ที่มีใครอีกคนอยู่อีกแล้ว


        นึกแล้วก็ฉุนหน่อยๆ จนป่านนี้ทำไมโทชิฮิโระยังไม่มารับเขาอีก ถึงจะตามกลิ่นไม่ได้อย่างเขา อีกฝ่ายก็เก่งเรื่องตามตัวเขาอยู่ดีนั่นแหละ


        คงไม่ใช่ว่าออกไปข้างนอกจนลืมเขาหรอกใช่ไหม


        โอ๊ย คิดแล้วอยากกระโดดกัดเสียเดี๋ยวนี้เลย!


        จิ้งจอกน้อยสะบัดหางฟาดผ้าปูนอนอย่างหัวเสีย พอดีกับที่มีคนเปิดประตูห้องเข้ามา เป็นคนติดตามของชายที่คุยกับเขา ไม่พูดไม่จาก็เดินมาสอดมือเข้าใต้สองขาหน้า ช้อนตัวอาคาเนะขึ้นในสภาพช่วงตัวและขาหลังห้อยย้วยแทบหลุดมือ


        นุ่มนวลผิดกับเจ้านายลิบลับ


        "วางมันลง" เมื่ออีกคนตามเข้ามาก็สั่งทันที แต่กลับถูกส่ายหน้าปฏิเสธ


        "ข้าจะย้ายมันไปนอนตรงมุมห้อง"


        "เมื่อครู่ฟังไม่เหมือนคำสั่งตรงไหน"


        "ท่านยาสุนาริ" ผู้ชายตัวโตส่งเสียงโอดครวญให้ความรู้สึกขนลุกพิลึก อาคาเนะมองสำรวจอย่างไม่เกรงใจ บ่าวคนนี้ตัวสูงใหญ่กว่าเจ้านายเสียอีก


        "คาซึมะ" เมื่อถูกเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เจ้าตัวถึงยอมทำตามแต่ยังแอบทำสีหน้าไม่พอใจนัก ทำเอาคนนอกอย่างอาคาเนะได้แต่พับใบหูลงข้างหนึ่งพลางเอียงคอมองไปด้วย


        ตกลงว่าสองคนนี้เป็นนายบ่าวกันจริงหรือเปล่า บางคราวถึงได้ดูสนิทสนมจนแสดงอาการไม่พอใจต่อหน้ากันได้ชัดเพียงนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่อาคาเนะรู้สึกว่าระหว่างสองคนนี้มีบางสิ่งชวนสะกิดใจ








        เมื่อถึงเวลาเข้านอน กลายเป็นว่าอาคาเนะถูกจัดให้นอนอยู่ตรงกลางระหว่างเจ้าของห้องทั้งสอง ยาสุนาริหันหน้าหาผนัง ในขณะที่คาซึมะนอนหันหน้ามามองแผ่นหลังเจ้านายของตน แววตาคู่นั้นลึกซึ้งสื่อความหมาย จ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ถึงยอมหลับตาลง


        เป็นสายตาที่ทำให้อาคาเนะคิดถึงโทชิฮิโระสุดหัวใจ








        หลังผ่านไปครึ่งคืนอาคาเนะก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเขานอนไม่หลับ ถึงตาจะปิดแต่หูยังกระดิกอยู่เรื่อย สมองคิดทบทวนเรื่องราวว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ในสภาพนี้


        กับดักของนักปราบปีศาจ คงมีผลกับปีศาจโดยเฉพาะ นั่นหมายความหน้าที่ของมัน คือการมุ่งหมายสลายพลังปีศาจ อาจเป็นไปได้ที่ผลของมันทำให้พลังปีศาจของอาคาเนะจะสูญหายไปชั่วคราว จนกลายร่างเป็นจิ้งจอกธรรมดาเช่นนี้


        ตอนนั้นเองที่มีเสียงบางอย่าง ดึงอาคาเนะออกจากห้วงความคิดอย่างรวดเร็ว จิ้งจอกน้อยลืมตาขึ้น กางใบหูเพื่อรับฟัง ด้านนอกมีเสียงคล้ายฝีเท้าแต่ดังมาจากกระเบื้องหลังคา


        "เจ้าก็ได้ยินหรือ" คาซึมะตื่นแล้ว เขาเอื้อมมือข้ามหัวอาคาเนะไปสะกิดเจ้านายให้รู้สึกตัว ทั้งคู่สบตากัน ยาสุนาริดูจะเข้าใจความหมายโดยไม่จำเป็นต้องพูด


        ดาบยาวสองเล่มถูกหยิบออกมาจากใต้กองผ้าสีขมุกขมัว ก่อนหน้านี้อาคาเนะไม่ได้สังเกตถึงมันเลยด้วยซ้ำ


        "คิดว่ามีกี่คน" ยาสุนาริกระซิบถาม คาซึมะจึงหลับตาแล้วเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ


        "สี่ ไม่ ห้าคน" คนถามกระตุกยิ้มถูกใจ แล้วถามต่อ


        "ยกให้เจ้าสาม ไหวหรือไม่"


        "จะนั่งดูเฉยๆ ก็ได้ขอรับ นายท่าน" คาซึมะยกยิ้มอย่างกวนๆ ช่างเป็นมนุษย์ที่ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับอันตรายที่ย่างกรายเข้ามาหาเอาเสียเลย


        มีเงาคนปรากฏขึ้นที่นอกหน้าต่าง คาซึมะและยาสุนาริต่างพยักหน้าให้กันในความมืด ดาบคู่กายถูกชักออกจากฝักอย่างเงียบกริบ แล้วแทงออกไปพร้อมกัน


        เสียงร้องเกิดขึ้นเพียงครู่เดียวในจังหวะที่พวกเขาชักดาบกลับ เลือดสีแดงฉานสาดกระจายบนหน้าต่างที่ปูด้วยกระดาษ เสียงสั่งฆ่าดังระงมจากด้านนอก ก่อนนักฆ่าที่เหลือจะพุ่งตัวเข้ามา


        ถึงจะมีจำนวนมากกว่า แต่ด้วยพื้นที่คับแคบจึงตวัดดาบไม่ได้อย่างใจคิด เป็นฝ่ายตั้งรับเสียอีกที่เคลื่อนตัวได้คล่องกว่า คาซึมะตวัดดาบเฉือนคอหอย และสะบั้นช่วงอกจนนักฆ่าล้มตายไปอีกสองคน ส่วนคนสุดท้ายอาศัยช่วงที่เพื่อนรับดาบปีนหน้าต่างหนีกลับออกไป


        "เก็บของ" ยาสุนาริสั่งคำเดียวโดยไม่แยแสศพที่นอนจมกองเลือดอยู่สักนิด กลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้งเสียจนอาคาเนะหน้ามืดไปพักหนึ่ง สัญชาตญาณชักนำให้เขาเดินไปสูดกลิ่นคาวนั้น ปีศาจถึงอย่างไรก็ชื่นชอบเลือดเนื้อมนุษย์อยู่ในจิตใต้สำนึก


        ราวกับเลือดปีศาจในตัวถูกกระตุ้น บางทีถ้าหากเขากินมนุษย์ พลังที่หายไปอาจกลับคืนมาก็ได้ เพียงแต่อาคาเนะว่างเว้นจากการดื่มเลือดมนุษย์มานานจนลังเล ถ้าต้องการก็แค่ขอเลือดไม่กี่หยดจากโทชิฮิโระเท่านั้น


        "ต้องไปกันแล้ว" ยังไม่ทันได้แตะเลือดสักหยด อาคาเนะก็ถูกยาสุนาริอุ้มขึ้นเสียก่อน


        "ห่วงมันเกินไปแล้ว" คาซึมะบ่นเสียงขุ่น เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานยังจะห่วงจิ้งจอกที่เก็บมาอยู่อีก


        "อิจฉาหรือ" ยาสุนาริถามยิ้มๆ แต่ทำให้ใบหน้าของคาซึมะบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม


        "อิจฉาแล้วผิดตรงไหน ในเมื่อท่านเป็นคนเก็บข้ามา สุนัขอย่างข้าก็ต้องหวงเจ้าของไม่ถูกหรือ" คำตอบนั้นทำให้ยาสุนาริถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เขายกมือขึ้นลูบหัวคาซึมะราวกับอีกเป็นเพียงเด็กชายที่ออกจะตัวโตเกินไปหน่อยเท่านั้น


        "ที่ของเจ้า ไม่มีใครมาแย่งได้ วางใจแล้วออกไปกันได้แล้ว" คาซึมะคว้ามือที่ลูบหัวตนลงมาจับไว้ก่อนก้มหน้าเอาหน้าผากจรดมือนั้นพลางหลับตา


        "จะปกป้องไม่ว่าจากสิ่งใด" นั่นคือส่วนหนึ่งของคำสาบานที่คาซึมะปฏิญาณต่อยาสุนาริไว้เมื่อครั้งถูกช่วยชีวิตในวัยเด็ก


        "ไปกัน"








        เกิดเรื่องขนาดนี้แต่ด้านนอกกลับเงียบสนิท แปลว่าได้มีการวางแผนและจัดการกับคนในที่พักทั้งหมดไว้ล่วงหน้า อาจถูกฆ่าหรือร่วมมือกัน แต่ยาสุนาริไม่คิดรั้งรอเพื่อสืบสาวอีกแล้ว


        "ไปที่ว่าการเมือง" ทั้งสองถีบตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ยาสุนาริบังคับม้าด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างอุ้มอาคาเนะเอาไว้ ทว่าควบม้ามาได้ไม่เท่าไรก็พบกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธและคบไฟในมือกลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาขวางทาง


        ม้าตกใจส่งเสียงร้องพร้อมยกขาหน้าทั้งสองขึ้น ยาสุนาริและคาซึมะยังสามารถควบคุมมันให้ยอมสงบลงได้ แต่เป็นการเปิดช่องว่างให้ศัตรูตีวงล้อมพวกเขาไว้ตรงกลาง คะเนจากสายตาคร่าวๆ คราวนี้ศัตรูมีมากเกินสิบคน


        เสียงฟ้าร้องครืนเรียกให้อาคาเนะเงยหน้าขึ้นมอง สายลมราตรีหอบเอากลิ่นเคยคุ้นมาจากทิศทางของเสียงคำรามนั้น และนั่นไม่ใช่กลิ่นของฝน


        "บุตรชายของไดเมียวไทระ คงต้องขอให้เจ้าทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่" หนึ่งในคนที่ล้อมพวกเขาไว้ประกาศออกมา ชื่อตระกูลไทระอาคาเนะพอจะเคยได้ยิน เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่ปกครองแคว้นในเวลานี้


        "คิดว่าชีวิตข้าสำคัญกับท่านผู้นั้นหรือ พวกท่านคาดผิดแล้ว" ยาสุนาริตอบกลับอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไร เขาดูคุ้นชินกับเหตุการณ์นี้เกินไปเสียด้วยซ้ำ


        "ไว้รอดูตอนเราส่งหัวเจ้ากลับไปที่ปราสาท"


        "รักษาหัวเจ้าก่อนเถอะ!" คาซึมะตวัดดาบชี้หน้าคนพูด แต่ด้วยจำนวนคนที่ผิดกันมากขนาดนี้ ต่อให้ฝ่าไปได้ก็คงต้องบาดเจ็บกันบ้าง


        อาคาเนะเงยหน้าหลับตา สูดกลิ่นที่แสนโหยหาก่อนตัดสินใจงับลงบนแขนของยาสุนาริเบาๆ เพื่อให้เขาตกใจจนคลายแรงที่จับตัวอาคาเนะไว้ลง จนสามารถกระโดดลงไปบนพื้นด้านหน้าได้ แต่ขาหลังด้านซ้ายยังเจ็บจนต้องยกเอาไว้


        จิ้งจอกตัวจ้อย เดินได้ด้วยสามขา พอก้าวออกไปข้างหน้า ทุกคนต่างหัวเราะครืน


        "ไม่ทราบว่าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของนายน้อยจะทำอะไรพวกหรือ" ยาสุนาริเองก็คิดอะไรไม่ออก ได้แต่มองอาคาเนะด้วยสายตาไม่เข้าใจ คาซึมะเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร เวลานี้หากพวกเขาลงจากม้าก็เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ


        แต่แล้วกลับมีเสียงใครบางคนถอนหายใจดังแทรกขึ้นมา เป็นเสียงที่ไม่มีใครเคยได้ยิน ทุกคนจึงเงียบลงในที่สุด สายลมพัดแรงขึ้นทีละน้อย จิ้งจอกตัวจ้อยดูราวกับแสยะยิ้มอยู่


        "มนุษย์เอ๋ยมนุษย์" คราวนี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งคาซึมะและยาสุนาริ เพราะเจ้าของเสียงนั้น คือจิ้งจอกที่พวกเขาพามาเอง


        "ข้าขอเตือน หากยังเสียดายชีวิต จงทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหนีไปเสีย" ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างลนลาน สุนัขจิ้งจอกตัวนี้พูดได้ แต่มองอย่างไรมันก็เป็นเพียงจิ้งจอกตัวเล็กจิ๋ว


        "มองข้าทำไม ผู้ที่เจ้าควรกลัว อยู่บนท้องฟ้าโน่น" เมื่อสิ้นเสียงอาคาเนะ เสียงคำรามก็ดังกังวานขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงฟ้าร้องอย่างแน่นอน ร่างสีขาวขนาดยักษ์ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า เกล็ดสีขาวแวววาวสะท้อนแสงจันทร์ เหล่ามนุษย์ที่เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงในพริบตาต่างร้องโวยวายและวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น


        "ปีศาจ! ปีศาจ!"


        "หนี! เร็วๆ!"


        ดวงตาคู่โตตวัดมองมนุษย์เหล่านั้นอย่างเกรี้ยวกราด เทพมังกรบินโฉบใกล้จนพวกมนุษย์หวาดกลัว วิ่งหนีกันจนล้มลุกคลุกคลาน ก่อนจะหันหน้ามาหายาสุนาริกับคาซึมะ


        "อย่า! พวกเขาช่วยข้าไว้" โชคดีที่อาคาเนะกระโดดมาขวางไว้ได้ทัน ยาสุนาริจึงเพียงแค่รู้สึกเหมือนลมหายใจขาดหายไปชั่วครู่ ส่วนคาซึมะถูกม้าสะบัดจนหล่นลงมานั่งคลุกฝุ่นเป็นที่เรียบร้อย


        โทชิฮิโระไม่ได้สนใจใครอื่น เขารีบแปลงเป็นมนุษย์แล้วอ้าแขนรับตัวจิ้งจอกน้อยที่กระโจนเข้ามาหา อาคาเนะเบียดตัวซุกหาไออุ่นที่คิดถึงแทบขาดใจ ในขณะที่โทชิฮิโระกอดเขาเอาไว้ด้วยอ้อมแขนที่สั่นไม่หยุด


        "ขอโทษ ข้าผิดเอง ขอโทษจริงๆ" ถึงจะเคยนึกโกรธแต่พอได้เจอหน้าอีกครั้ง อาคาเนะก็พบว่าในหัวใจมีแต่ความรักและคิดถึงจนล้นไปหมด ไม่มีคำต่อว่าใดๆ หลุดออกจากปากแม้สักครึ่งคำ


        “ดีเหลือเกินที่เจ้าปลอดภัย” หยดน้ำอุ่นหยดหนึ่งไหลลงกระทบใบหูอาคาเนะ ชายที่เข้มแข็งเสมอมา เวลานี้กำลังหลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ แม้เพียงหยดเดียวแต่สื่อความหมายได้มากมายนับร้อยประโยค จิ้งจอกน้อยพับหูใบด้านหลังแล้วฝังจมูกลงกับแผ่นอกอันเป็นสถานที่อันแสนปลอดภัยที่สุดของตัวเอง


        “ข้ารู้ท่านต้องมา”


        "ขอบคุณที่ช่วยเหลือ" เพราะมัวแต่สนใจกันและกัน อาคาเนะจึงลืมอีกสองคนไปเสียสนิท เจ้าของคำขอบคุณได้ลงจากหลังม้า ทั้งยาสุนาริและคาซึมะต่างค้อมตัวลงเพื่อแสดงความขอบคุณจากใจจริง


        "ไม่ได้ตั้งใจจะช่วย"


        "โทชิ" อาคาเนะปรามเบาๆ แล้วหันไปมองยาสุนาริ


        "ท่านช่วยชีวิตข้า ถือว่าข้าตอบแทนท่าน" ถึงจะแค่ช่วงสั้นๆ แต่คนผู้นี้ก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี น้ำใจนี้อาคาเนะย่อมจดจำไว้


        "กลับบ้านกัน" โทชิฮิโระเร่งเร้า เขาอยากพาอาคาเนะกลับบ้านเสียที คราวนี้จิ้งจอกน้อยอยู่ห่างจากเขานานเกินไปแล้ว ซ้ำยังมาผูกมิตรกับใครก็ไม่รู้อีก


        "ขอทราบชื่อเจ้าได้หรือไม่" คนถามกลับกลายเป็นคาซึมะที่ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าอาคาเนะสักเท่าไร แต่อาคาเนะพอจะเข้าใจ สายตาที่คาซึมะมองยาสุนาริเป็นสายตาเดียวกับที่เขามองโทชิฮิโระมาตลอด พอเห็นว่าเขามีคนของตัวเองอยู่แล้วก็วางใจ และเปิดใจยอมรับกันได้


        "อาคาเนะ คงต้องลาแล้ว" อาคาเนะแนะนำตัวสั้นๆ พร้อมเอ่ยลา


        "ลาก่อน" ยาสุนาริพยักหน้าพร้อมยิ้มออกมา อาคาเนะมองใบหน้านั้นพลางคิดว่ายาสุนาริช่างเป็นผู้ชายที่สง่าและงดงามมากจริงๆ นั่นแหละ ไม่ได้สวยดังเช่นสตรี แต่มีความสง่างามในแบบบุรุษจากตระกูลขุนนาง สมกับที่เป็นบุตรชายของไดเมียว


        จากนั้นเทพมังกรก็ทะยานกลับขึ้นฟ้า ทิ้งเมืองที่แตกตื่นวุ่นวายเพราะการปรากฏตัวของตนไว้เบื้องหลังแล้วมุ่งกลับสู่ปราสาทของตน








        จากกันสามวัน แต่เนิ่นนานเหมือนเวลานับสิบปีเลยผ่าน เพียงช่วงเวลาเดียวที่คิดว่าความตายได้พรากอาคาเนะจากไปแล้ว หัวใจก็แหลกสลายไม่มีชิ้นดี เวลานี้ได้จิ้งจอกน้อยคืนมาอีกครั้งโทชิฮิโระจึงวนเวียนกกกอดและบอกรักซ้ำๆ ทั้งปลอบขวัญตัวเองและอาคาเนะไปพร้อมกัน


        ส่วนที่เหลือเป็นไปตามที่อาคาเนะคิดไว้ พลังของเขาถูกสลายไปช่วยคราวด้วยผลของอาคมกำจัดปีศาจ พอได้เลือดจากโทชิฮิโระเขาก็สามารถแปลงร่างและฟื้นคืนพลังได้ตามเดิม ส่งผลให้บาดแผลที่ขาอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นอาคาเนะก็ถูกอุ้มเข้าห้องนอน ปล่อยให้ความคิดถึงคนึงหาทั้งหมดสื่อสารกันผ่านภาษากายแทนถ้อยคำอื่น


        การร่วมรักครั้งนี้ยาวนานและอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ แต่ในความเนิบช้ากลับแฝงไว้ด้วยความโหยหาอันอัดแน่น ยิ่งจุดไฟสเน่หาให้เผาผลาญอาคาเนะจนแทบมอดไหม้ ร่างกายพวกเขาสอดประสานแทบไม่แยกห่าง ริมฝีปากอุ่นร้อนคลอเคลียอยู่ข้างใบหูก่อนวกมาดูดกลืนเสียงครวญครางแหบพร่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความร้อนที่เคลื่อนเข้าและออกเป็นจังหวะ กดย้ำราวกับกำลังพยายามยืนยัน ว่าร่างกายที่แนบชิดอยู่นี้เป็นตัวจริงไม่ใช่เพียงภาพฝัน


        แววตาของโทชิฮิโระหม่นหมอง ถึงจะอยากต่อว่า แต่อาคาเนะรู้ดีว่าเทพมังกรคงตำหนิตัวเองหนักยิ่งกว่าสิ่งที่เขาอยากพูดเสียงอีก สองมือจึงเลือกจะโอบกอดรั้งคอของโทชิฮิโระให้โน้มลงมาหา ให้ใบหน้าแสนเศร้าได้ซบลงตรงอกเขา


        "ต่อจากนี้มีอะไรต้องบอกกัน ขอแค่นั้นได้ไหม" โทชิฮิโระต้องการปกป้องเขาด้วยความรู้สึกเช่นไร อาคาเนะก็ไม่อยากเห็นโทชิฮิโระบาดเจ็บแม้จะเล็กน้อยเพียงใดกลับมาด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน


        "สัญญา สาบาน ขอแค่เจ้าอย่าหายไปจากข้าอีกก็พอ" ดวงตาคมกล้าเงยหน้าขึ้นมอง พวกเขาต่างฝากหัวใจไว้กับอีกฝ่ายด้วยความรักที่มีให้ หากใครคนหนึ่งเป็นอะไรไป หัวใจอีกคนก็คงตายไปพร้อมกัน


        “ขอโทษ”


        “อืม”


        “ขอโทษนะอาคาเนะ”


        “อื้ม”


        “ข้า...” ถ้อยคำที่เหลือถูกอาคาเนะดูดกลืนโดยการทาบริมฝีปากลงไปทับ เวลานี้เขาไม่ต้องการคำขอโทษเสียหน่อย จิ้งจอกน้อยจงใจบดเบียดสะโพกเข้าหาจนเกือบจะเผลอร้องครางออกมาเมื่อสิ่งที่อยู่ด้านในกดโดนจุดอ่อนไหวเข้า


        “ข้าขอเปลี่ยนคำขอโทษเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่” รอยยิ้มค่อยๆ กลับมาสู่ใบหน้าของโทชิฮิโระอีกครั้ง เขากดจูบลงบนปลายจมูกของอาคาเนะอย่างแผ่วเบา ก่อนจะมอบบรรณาการให้ตามคำบัญชา



✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿


        สวัสดีค่าาาาา มาส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่กันด้วยตอนพิเศษล่ะ :mew1:
       
        สารภาพว่าความจริงตั้งใจจะลงตั้งแต่กลางเดือนเนื่องจากไรท์มีภารกิจเข้าอบรม 4 เดือน แต่อัพไม่ทัน สิ้นปีมีโอกาสได้กลับบ้านเลยเอามาลงให้อ่านกันน้าาา

        ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนิยายของเรา ไม่ว่าจะเรื่องนี้หรือเรื่องอื่นๆ อย่างในตอนพิเศษตอนนี้ก็มีแขกรับเชิญเป็นตัวหลักจากเรื่อง  "สัญญาในสายลม" (https://writer.dek-d.com/ND_Editor/story/view.php?id=1489455)
 ที่ตีพิมพ์ไปกับสำนักพิมพ์หนึ่งเดียวมาแจมด้วย

        ขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนล่วงหน้านะคะ ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในปีหน้า ปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้สมหวัง ที่สำคัญคือให้มีสุขภาพแข็งแรงเป็นพื้นฐานสำคัญ


        แล้วพบกันค่า :L2:



หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-01-2018 14:20:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ วารีเล่ห์ลวง ❀ ตอนพิเศษ ต้อนรับปีใหม่ 30/12/17
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 13-01-2018 11:41:16
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ สนุกมากกกกก เห้ยทำไมเราเพิ่งเจอ สนุกมากๆค่ะ เรื่องน่ารักมีทุกอารมณ์ ชอบที่มันดราม่าแต่ก็ไม่ทำให้จิตตกอ่ะ คือทุกคนดีหมด ถึงปมมันจะเริ่มต้นจสกความไม่เข้าใจ.แต่จบดีทุกคู่คือดี 5555556 รักทุกคู่. ชอบการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาร่างโน้นร่างนี้ โอ้โหหหห เราอินมากอ่ะ เหมือนตอนแรกมาซาโนริเป็นเคะรักนักรบ พอเวลาเปลี่ยนนักรบเป็นปีศาจผู้หญิงงงงง คือเราอินมากกก