พิมพ์หน้านี้ - ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Punmile09 ที่ 26-01-2018 00:49:04

หัวข้อ: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 26-01-2018 00:49:04
เก็บกระทู้ไว้  -------โมดุฯ

***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************





(https://www.picz.in.th/images/2018/01/26/Untitled-1a7552f0120ba3239.png)




(https://www.picz.in.th/images/2018/07/18/Nn53jE.jpg)





.

.



“..ตัวท่านเป็นถึงจอมทัพอสุราผู้ยิ่งใหญ่
จะมารักกับมนุษย์ต่ำต้อยเยี่ยงฉันได้อย่างไรกันจ๊ะ“



“ต่อให้เป็นทวยเทพแห่งอสุราทั้งปวง
เมื่อได้รักเจ้าแล้ว
พี่หาได้ต่างจากสัตว์ป่าที่โง่เขลา
หวังรอให้นายพรานที่สร้างกับดักกักขังมัน มารักษาแผลกายให้
..พี่รักเจ้าถึงเพียงนี้
เหตุใดเจ้าจึงสงสัยต่อความรักของพี่ที่มีให้เจ้านัก”



*******************************************************


สวัสดีค่ะ
นิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่คนเขียนชื่นชอบ
เลยอยากจะมาแชร์มุมมองในจินตนาการของเราให้ทุกๆคนได้อ่านกันค่ะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ ♥
:mew1:




แวะมาพูดคุยกันได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/pg/Punmile09/posts/?ref=page_internal
Twitter : https://twitter.com/pppunmile
 หรือแฮชแท็กtwitter
#ดอกแก้วกุมภัณฑ์



*******************************************************




✽ อารัมภบท ✽

.

.

.


เสียงคำรามของเหล่าทหารยักษาดังกึงก้องไปทั่วทั้งสนามรบ การศึกของอสุราทั้งสองแว่นแคว้นล่วงเลยมาถึงเจ็ดทิวา ทั้งสองฝั่งต่างได้สูญเสียไพร่พลไปจำนวนมากรวมถึงแม่ทัพและเหล่าทหารกล้าผู้มากฝีมือ

หากแต่ฝ่ายที่ดูเสียเปรียบเห็นทีจะเป็นฝ่ายของกรุงราชคฤห์ซึ่งเป็นศัตรูคู้แค้นของนครคีรีมาแต่เนิ่นนาน เพราะเมื่ออรุณเบิกฟ้าย่างเข้าสู่ทิวาที่เจ็ดแม่ทัพใหญ่แห่งราชคฤห์ได้ถูกวศินจอมทัพอสุราแห่งนครคีรีบั่นเศียรจนขาดสะบั้นสายโลหิตแดงฉานไปทั่วผืนปฐพี สร้างความหวั่นวิตกให้แก่เหล่าทหารเป็นอย่างมาก

เมื่อไร้ซึ่งหัวเรือรบทั้งกองทัพยักษาจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นองค์รามสูรยุพราชแห่งราชคฤห์ได้ลงมากุมบังเหียนการศึกด้วยพระองค์เอง แววตาสีเพลิงวาวโรจน์ เขี้ยวคมงอกเงยขึ้นมาด้วยโทสะ เลือดเผ่าพันธุ์อสุราวิ่งพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย

...ศึกครั้งนี้อย่าหวังว่าจะได้ชัยชนะกลับคืนไปสู่เมืองของพวกเจ้า

“ทูลองค์รามสูร...ทุกอย่างเตรียมการพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

           วาริท ทหารเอกเข้าทูลถวายความแก่เจ้านายของตนเมื่อได้สำเร็จกิจที่ได้รับมอบหมาย

           องค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์ตวัดตัวขึ้นคร่อมบนหลังอาชาศึกสีนิลก่อนจะควบตะบึงขึ้นไปบนยอดผาตามแผนการที่วางไว้ แลดูเหมือนทิวานี้จักเป็นวันของราชคฤห์เป็นแน่แท้

ท้องนภากว้างถูกปกคลุมด้วยเมฆาทมิฬ เพลานี้เหล่าทหารยักษ์แห่งนครคีรีถูกกำจัดเสียจนสิ้นเมื่อโดนศรอาบพิษพญานาคอัคคิมุขซึ่งออกฤทธิ์ร้อนให้แผดเผาร่างกายคล้ายโดนเพลิงเผาก่อนจะค่อยๆกัดกร่อนให้ทรมานจนสิ้นลมหายใจ กองทัพยักษาที่เคยหนาแน่นบัดนี้ถูกตีแตกพ่ายไม่ต่างกับมดแตกรัง เหล่าทหารขององค์ยุพราชได้ไล่ต้อนจอมทัพอสุราให้แยกออกจากขบวนทัพขึ้นไปบนผาสูงตามที่องค์ยุพราชตรัสสั่งไว้

            อาชาสีนิลห้อตะบึงมาจนถึงยอดผาในที่สุด วศินจอมทัพอสุราแห่งนครคีรีทรงกายอยู่บนหลังอาชาศึกสีขาวปลอดในมือถือตะบองประจำกายพร้อมต่อสู้เคียงคู่กับทหารเอกวิรุณยักษา บัดนี้จอมทัพอสุราทั้งสองถูกรายล้อมด้วยเหล่าทหารของราชคฤห์จนมิสามารถที่จะเขยื้อนตัวได้แม้แต่น้อย

“เป็นถึงองค์ยุพราชแห่งราชคฤห์ เหตุใดจึงไม่ยอมรับผลแพ้ชนะในสมรภูมิรบ แต่กลับใช้วิธีสกปรกเฉกเช่นนี้เล่าองค์รามสูร”

          วศินยักษาเอ่ยขึ้นอย่างเคียดแค้นจับจิตเมื่อนึกถึงเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของเหล่าทหารที่โดนลูกศรอาบพิษแทงทะลุร่างล้มตายไปต่อหน้าต่อตา

นัยน์ตาสีเพลิงวาวโรจน์จับจ้องไปยังศัตรูคู่แค้นอย่างเหยียดหยาม สู้กันอย่างชายชาติทหารมันคงไร้ซึ่งปัญญา เจ้าพวกยักษ์ชั่วถึงต้องใช้เล่ห์กลอย่างหมาจนตรอกเช่นนี้!

“ศึกครั้งนี้ ข้าไม่ได้มาเพื่อต่อรองกับพวกเจ้า”

          สิ้นเสียงองค์รามสูร ลูกธนูอาบด้วยพิษพญานาคก็พุ่งตรงไปสู่กลางอกของจอมทัพอสุราอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พลันพิษร้อนก็สูบฉีดไปทั่วร่างกายดั่งเปลวเพลิงแผดเผา ทำให้ร่างสูงใหญ่ของวศินตกลงจากหลังอาชาศึกทันทีจนได้ยินเสียงกระดูกที่แตกร้าวดังลั่น

“วศิน!!”

            ทหารเอกคู่ใจรีบกระโดดลงจากหลังม้าศึกก่อนจะเข้าไปประคองร่างของจอมทัพอสุราที่บัดนี้เนื้อตัวเริ่มขึ้นสีชาดผลมาจากพิษอัคคิมุขของพญานาค พิษร้อนเริ่มแผ่กระจายไปทั่วลุกลามอย่างรวดเร็ว บริเวณอกที่ถูกลูกศรปักเริ่มโดนกัดกร่อนจนเป็นแผลฉกรรจ์

เรียกเสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดของจอมทัพอสุราดังขึ้นไม่หยุดหย่อน

...พวกราชคฤห์ย่อมรู้ดีว่าพิษเพียงเท่านี้ไม่สามารถที่จะคร่าชีวิตของวศินได้เพราะอสุราหนุ่มได้เคร่งครัดในการบำเพ็ญเพียรจนตบะแกร่งกล้า ที่กระทำการเช่นนี้ก็เพื่อให้จอมทัพอสุราอ่อนแรงกำลังลงจนไม่สามารถที่จะต่อกรกับพวกมันได้

...หึ ช่างน่าอดสูยิ่งนักองค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์!

“ส่งตัวนายเจ้ามาซะวิรุณ”

          รามสูรกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า...ดวงตาสีเพลิงทอดมองร่างของศัตรูที่บัดนี้ไร้หนทางต่อสู้อย่างเหยียดหยาม

“ฝันไปเถิดองค์รามสูร...สายเลือดแห่งนครคีรีจักไม่มีวันยอมสวามิภัคดิ์ให้แก่เดรัจฉานวิธีเยี่ยงนี้เป็นแน่!”

            สิ้นคำสบถอย่างเคียดแค้นของวิรุณ ร่างสูงใหญ่ได้ก้มแบกร่างของสหายร่วมรบที่บัดนี้ไร้ซึ่งสติจะช่วยเหลือตนมาไว้แนบบ่าเคียงไหล่

...หากต้องตายด้วยน้ำมือของพวกราชคฤห์ที่เล่นไม่ซื่อแล้วไซร้ ก็ขอสละชีพเฉกเช่นชายชาติทหารเสียยังดีกว่าต้องตายด้วยเดรัจฉานวิธีของพวกมัน!

            คิดได้ดังนั้นวิรุณจึงแบกร่างของสหายคู่ใจกระโจนลงจากหน้าผาสูงชันผ่านชั้นหมอกหนาที่ปกคลุมลงสู่ห้วงลึก

            หากแต่ร่างอสุราทั้งสองมิได้หล่นกระแทกผืนพสุธาดังใจนึก สายน้ำเชี่ยวกราดเบื้องล่างได้รองรับร่างของจอมทัพทั้งสองไว้ก่อนจะพัดกลืนหายไปกับสายนที

            ใบหน้าขององค์รามสูรบิดเบี้ยวอย่างโกรธแค้นเขี้ยวงองุ้มขึ้นอย่างน่ากลัวเนื่องจากไม่สามารถนำร่างของจอมทัพอสุราไปเป็นหลักประกันการประกาศชัยชนะศึกได้

"ทูลองค์รามสูร...อย่างไรก็ตาม อสุราสองตนนั้นยังคงมิสิ้นชีพเป็นแน่แท้ แต่เดิมทีแม่น้ำสายนี้เป็นตัวเชื่อมระหว่างดินแดนของมนุษย์ หากเราทำการเจรจาขอเข้าไปจับกุมตัวพวกมันเลยก็ย่อมได้”

          วาริทรีบกราบทูลองค์ยุพราชพลันหันไปสั่งพลทหารให้จัดเตรียมกองทัพ หากแต่องค์รามสูรกลับห้ามปราบไว้เสียก่อน ดวงตาสีเพลิงวาวโรจน์ด้วยอารมณ์โทสะแต่เพียงชั่วคราวแววตาของจอมอสุรากลับฉายแววเจ้าเล่ห์เพทุบายขึ้นมา

...เดรัจฉานวิธีเยี่ยงนั้นรึวิรุณ

           ข้าจักทำให้เจ้าได้เห็นว่าเดรัจฉานที่แท้จริงมันเป็นเยี่ยงไร

...เพราะศัตรูที่แท้จริงนั้น..หาได้น่าหวั่นเกรงเท่ามิตรที่แปรเปลี่ยน...

“มิต้อง...วาริท จงสั่งจัดขบวนทัพเสียให้พร้อมข้าจะมุ่งหน้าไปนครคีรี เพื่อทูลความให้กษัตริย์แห่งนครคีรีได้ทรงทราบว่าท่านแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพของพระองค์นั้น…หนีทหารและทิ้งการศึก!

           สิ้นเสียงสั่งขององค์รามสูรเหล่าทหารต่างนึกแปลกใจไปพร้อมกัน แต่พลันเข้าใจความนึกคิดของนายเหนือหัวเหล่ายักษาก็พยักหน้ารับกันอย่างรู้เช่นเห็นชาติ

          จอมทัพอสุราแห่งนครคีรีหากสิ้นชีพในสนามรบ คุณงามความดีของมันย่อมอยู่คู่บ้านคู่เมืองตราบชั่วลูกชั่วหลาน...แต่ถ้าเป็นถึงชายชาติทหารอีกทั้งยังเป็นแม่ทัพใหญ่กลับทำเรื่องน่าอดสูเฉกเช่นการหนีศึกสงคราม



          เป็นทหารหนีทัพ



          แม่ทัพขัดพระประสงค์องค์จ้าวเหนือหัว ละทิ้งต่อหน้าที่และบ้านเกิดเมืองนอน อย่าว่าแต่เพียงเศียรมันจะไม่อยู่บนบ่า




          ...แม้แต่ชื่อและคุณงามความดีของมันก็จะไม่เหลือให้ถูกกล่าวถึง!


..............



พิษอัคคิมุข – เป็นหนึ่งในชนิดของพิษพญานาคทั้งสี่ ซึ่งจะออกฤทธิ์ร้อนคล้ายถูกไฟแผดเผาและจะกัดกร่อนให้เกิดแผลคล้ายไฟลวก







มาแปะบทนำไว้ก่อนนะคะ ส่วนเนื้อเรื่องจะทยอยอัพลงเรื่อยๆอาจจะอาทิตย์ละครั้งถ้าหากไม่ติดธุระค่ะ

ฝากพี่ยักษ์ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ   ♥

 :o8:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๐ - อัคคิมุข : ๒๖/๐๑/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 26-01-2018 07:16:11
เปิดมาน่าอ่านมาเลยค่า สนุกมากแค่อินโทร  :mc4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๐ - อัคคิมุข : ๒๖/๐๑/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 27-01-2018 09:36:05
ตามอ่านจ้า
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๐ - อัคคิมุข : ๒๖/๐๑/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 27-01-2018 11:21:10
รอจ้า สงสารพี่ยักษ์ถูกใส่ร้าย  :o12:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๐ - อัคคิมุข : ๒๖/๐๑/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 28-01-2018 21:17:17
กรี๊ด!!!!  :m3: :m3: :m3:

ชอบแนวยักษ์..ยักษ์  :-[

บวกเป็ดโล้ด  o13 o13

ตามจ้าตาม  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๑ - แรกพบ : ๒๘/๐๑/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-01-2018 09:13:46
 o13สนุกดี

เอ๋ ,,,เปิดมาก็โป้พระเลย 55
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๑ - แรกพบ : ๒๘/๐๑/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-01-2018 09:28:37
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๑ - แรกพบ : ๒๘/๐๑/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 29-01-2018 12:32:03
ชอบชื่อเรื่องมากเลย พอเข้ามาอ่านเจ้าแก้วก็ จ้ะ จ๋า สะน่าเอ็นดู หวังว่าเรื่องนี้คนแต่งจะอยุ่กับเราไปจนจบนะคะ นิยายแนวนี้แต่งไม่จบหลายเรื่องเลย เสียดายมาก รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๑ - แรกพบ : ๒๘/๐๑/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: zeroshadaw ที่ 29-01-2018 17:14:16
รออ่านนะคะ. เป็นกำลังใจให้ค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๑ - แรกพบ : ๒๘/๐๑/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: neverland ที่ 29-01-2018 19:26:47
เจ้าแก้วน่าสงสารจัง ไปเจออะไรมา
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๐๑/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-02-2018 08:44:41
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๐๑/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-02-2018 13:07:29
ภาษาสวยมากค่า ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๐๑/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-02-2018 14:16:55
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๐๑/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 02-02-2018 18:02:13
ติดตามค่ะ ชอบ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๐๑/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 02-02-2018 18:18:48
พี่ศินฟื้นปุ๊บปิ๊งรักน้องแก้วเลยล่ะเซ่!!!!  :hao3: :m12: :m4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๐๑/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-02-2018 22:37:59
น่าสนใจๆ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๐๑/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 04-02-2018 11:17:43
นึกว่าวิรุณจะมาชอบแก้ว โล่งอก แล้วใครจะมาคู่กับวิรุณน่ะ แต่ที่แน่ๆๆๆตอนหน้าพระเอกตื่น อิอิ
หัวข้อ: Re: [ชี้แจงแถลงไข]✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๕/๐๒/๒๕๖๑ คห.17
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-02-2018 13:03:30
 :L2: :L1: :pig4:

รออ่านอย่างใจจดใจจ่อ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑ - แรกพบ : ๐๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 06-02-2018 15:23:22
แรกพบ

.

.

.


“พ่อครูจ๊ะ ฉันเก็บสมุนไพรตามที่พ่อครูสั่งมาให้แล้วจ้ะ”

ร่างทะมัดทะแมงของเด็กหนุ่มรุ่นกระทงเดินดุ่มเข้ามาในเขตเรือน ก่อนจะวางย่ามคู่ใจลงบนแคร่ไม้ไผ่ พ่อครูหรือครูบุญของบรรดาชาวบ้านประจำหมู่บ้านจันทร์ผาผู้ซึ่งคอยถ่ายทอดวิชาศิลปะการต่อสู้หลากหลายแขนงและคอยรักษาอาการเจ็บไข้ของผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้

ชายชราวางมือจากการปรุงยาตรงหน้าก่อนจะหันกลับมามองเด็กหนุ่มอย่างเอื้อเอ็นดู

“ขอบใจเอ็งมากเจ้าแก้ว แล้ววันนี้เอ็งได้ประคบยาตามที่ข้าสั่งไว้หรือยังฮึ” พ่อครูเอ่ยถาม

“เรียบร้อยแล้วจ้ะ”

ดวงตาฝ้าฟางมองใบหน้าที่ถูกผ้าสีทึบพาดปิดแผลฉกรรจ์บริเวณดวงตาข้างซ้ายของมันเอาไว้

เห็นทีไรก็อดเวทนาสงสารไม่ได้ เพราะเรื่องราวในอดีตทำให้ศิษย์รักของครูบุญต้องสูญเสียดวงตาข้างหนึ่งไปและพวกสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นยังได้ทิ้งรอยแผลฉกรรจ์ไว้ใต้ร่มผ้าอีกนับไม่ถ้วน

เหตุนี้จึงทำให้ครูบุญและเด็กน้อยผู้อาภัพต้องระหกระเหินออกมาจากนครใหญ่ มาเริ่มต้นชีวิตใหม่อยู่ท้ายเชิงเขา ไร้ซึ่งเสียงครหานินทาและสายตาที่มองมันอย่างรังเกียจเสียหนักหนา

“ดี งั้นข้าวานเอ็งไปเก็บไพลกับทองพันชั่งมาให้ข้าที วันนี้เจ้ากล้ามันฝึกหนักคงจะปวดเมื่อยตัวอยู่ไม่น้อย”

“อยู่แถวริมธารฝั่งทางทิศใต้ใช่ไหมจ๊ะพ่อครู”

“เออ...ระวังตัวเสียด้วยเล่า ช่วงนี้น้ำมันไหลเชี่ยวนัก ข้ากลัวเอ็งจะเดินไม่ดูตาม้าตาเรือตกน้ำตายห่าตายโหงไปเสียก่อน”

เจ้าแก้วหัวเราะรับแผ่วเบากับคำตักเตือนของครูบุญ

ชีวิตของมันก็มีเพียงเท่านี้ วันๆคอยเก็บสมุนไพรมาให้พ่อครูเพื่อทำยารักษาให้แก่คนในหมู่บ้านและลูกศิษย์ลูกหาที่มาเรียนวิชากับครูบุญ ชายชราและมันนั้นต่างก็เป็นที่รักของชาวบ้านแห่งนี้

ทุกๆวันเรือนของครูบุญนั้นจะอุดมไปด้วยกับข้าวกับปลาของคาวหวานต่างๆที่ชาวบ้านนำมาแบ่งให้อยู่เสมอถือเป็นสินน้ำใจที่พ่อครูช่วยรักษาและสอนศิลปะวิชาต่อสู้ต่างๆให้แก่ลูกหลานของชาวบ้านที่นี่โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

           

          ร่างทะมัดทะแมงของเด็กหนุ่มเดินฝ่าลึกเข้าไปในดงไพร อีกเพียงไม่กี่สิบก้าวก็จะถึงริมธารที่มั่นหมาย หากแต่หางตากลับสังเกตได้ถึงเงาตะคุ่มอยู่หลังโขดหินใหญ่ เมื่อลางสังหรณ์เริ่มทำงานยังไม่ทันที่จะได้ไหวตัวหนีเสือโคร่งตัวใหญ่ก็กระโจนออกมาจากหลังโขดหินก่อนจะดักหน้าเจ้าแก้วไว้ เหงื่อกาฬเริ่มผุดซึมขึ้นมาเนื่องจากสัญชาตญาณในกายถูกปลุกให้หนีเอาชีวิตรอด

กรรรรรรห์!!

           สิ้นเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่ เด็กหนุ่มก็รีบวิ่งตะบี้ตะบันหนีตายกลับเข้าไปในดงไพร โดยมีเสียงฝีเท้าใหญ่ไล่กวดตามมาไม่ห่าง

“ช....ช่วยด้วยจ้ะ!!ช่วยฉันด้วย!!”

เสียงแหบพร่าตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออย่างกลัวจับจิต ในกายถูกปลุกเร้าจนตื่นไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดขอนไม้ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยสะดุดแม้นจะหลับตาเดิน แต่ในเพลานี้กลับตั้งตนเป็นปรปักษ์ทำเอาเจ้าแก้วล้มกลิ้งลงไปนอนกินดินจนปากมอม

...ถ้าหากตายโหงขึ้นมาจะเก็บเอ็งไปเป็นฟืนเผาผีเสียให้เข็ด!

นึกก่นด่าขอนไม้เป็นวรรคเป็นเวร แต่ยังไม่ทันได้ตั้งหลักลุกดี ก็โดนแรงมหาศาลกระโจนเข้าใส่จนได้กลับลงไปนอนกินดินอีกหน อุ้งเท้าใหญ่ตะปบเหยื่ออันโอชะไว้แน่นหนากรงเล็บแหลมคมกางจิกลงบนผิวกายของมนุษย์ตรงหน้า เสียงคำรามกรรโชกดังสนั่นลั่นป่าเมื่อพยัคฆ์ร้ายเตรียมจะฉีกทึ้งเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ในอุ้งมือ

มันหลับตาลงรอรับความตายที่กำลังจะมาเยือน เสียงกรงเล็บแหลมคมแหวกม่านอากาศลงมาอย่างรวดเร็ว แต่เด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกเจ็บเจียนตายอย่างที่คิด รอบกายเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจคล้ายสัตว์ใหญ่ดังขึ้นเหนือศีรษะก่อนกลิ่นสาปสนิมของเลือดจะแผ่กำจายไปรอบบริเวณ

นัยน์ตาสีน้ำผึ้งค่อยๆเปิดขึ้นจึงพบว่าเสือโคร่งตัวนั้นได้หายไปแล้วเหลือเพียงแต่ร่องรอยของกรงเล็บที่มันฝากไว้บนผิวกายจนเป็นแผลฉกรรจ์

เจ้าแก้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พลันหันหน้าไปอีกทางก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อพบร่างของเสือโคร่งตัวใหญ่นอนอยู่ข้างกัน แต่บัดนี้ร่างของมันกลับไร้ซึ่งลมหายใจอีกต่อไป สันกรามล่างของเจ้าเสือโคร่งคล้ายถูกเรี่ยวแรงมหาศาลฉีกทึ้งออกจากกันจนห้อยลงมาเปื้อนธุลีดิน อารามตกใจจึงรีบถอยหลังออกห่าง แต่แผ่นหลังกลับชนเข้ากับอะไรบางสิ่งอย่างจัง นัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อจดจ้องไปยังเงาขนาดใหญ่ที่พาดผ่านตนไปจนถึงร่างไร้ชีวิตของพยัคฆ์ร้าย

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนรึไม่”

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้น เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ของยักษ์ตรงหน้าก่อนจะนิ่งค้างไปอย่างตกตะลึง

ร่างกายใหญ่โตแต่สง่าผ่าเผยผิดแผกจากยักษ์ทั่วไป หากกะความสูงด้วยสายตาอย่างไรก็ต้องเกินสี่ศอกเป็นแน่แท้ เนื้อกายสีคร้ามแดดขับกล้ามเนื้อหนั่นแน่นทั่วร่างให้รูปองอาจมากยิ่งขึ้น ใบหน้าคมคร้ามแสดงสันกรามชัดเจน

...นับว่าเป็นยักษ์ที่รูปงามเลยทีเดียว

“ม..ไม่จ้ะ ขอบคุณมากนะจ๊ะที่ช่วยฉันไว้” เอ่ยตอบไปอย่างหวาดหวั่น พร้อมก้มลงเก็บย่ามคู่ใจขึ้นมาสะพายไว้ข้างกาย

วิรุณพยักหน้ารับก่อนจะก้มลงมองเด็กหนุ่มมนุษย์ตรงหน้า

... ก็เห็นอยู่ว่าไหล่ของมันทั้งสองข้างนั้นโดนกรงเล็บของเสือโคร่งขย้ำเสียจนเนื้อเปิด ยังจะมาโป้ปด

“แขนท่านเลือดออกนี่จ๊ะ”

            เจ้าแก้วเอ่ยถามไปตามประสาซื่อ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งมองสำรวจรอยแผลฉกรรจ์บริเวณช่วงแขนของอสุราหนุ่ม แขนข้างนั้นโดนคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายบาดลึกเข้าไปจนเนื้อเปิด เลือดจำนวนมากไหลอาบไปทั่วจนมันอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้

…เพราะมาช่วยเหลือมัน จึงทำให้ยักษ์ตนนี้ได้รับบาดเจ็บ

“ช่างเสียเถอะ บาดแผลเพียงเท่านี้”

               ผ่านสมรภูมิรบมาก็มาก เพียงแค่รอยถากของเขี้ยวเสือกระผีกเดียวหาได้ระเคืองผิวไม่

“ถือเสียว่าเป็นการตอบแทน...ให้ฉันช่วยรักษาแผลให้นะจ๊ะ”

               มันอดที่จะห่วงผู้มีพระคุณของมันไม่ได้ อสุราหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บที่แขนเพียงเท่านั้น เมื่อสังเกตดูให้ดีแล้วทั่วทั้งตัวก็ดูฟกช้ำเสียจนน่าหวั่นว่าจะช้ำในเอาได้

“เจ้ารักษาเป็นหรือ”  วิรุณเอ่ยถามกลับไป

“ได้เพียงผิวเผินเท่านั้นจ้ะ”

               อดแปลกใจอยู่ไม่น้อย ผู้ใดจักคิดเล่าว่ามนุษย์หน้าซื่อผู้นี้จะมีความรู้ความสามารถในการรักษาแผลกัน

“เช่นนั้น เจ้าช่วยไปดูอาการให้สหายข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่”

“ผู้ใดหรือจ๊ะ” เจ้าแก้วอดที่จะสงสัยขึ้นมาอย่างเสียมิได้

 “สหายข้า ยามนี้มันยังไม่ฟื้นตัวจากพิษไข้ ข้าเกรงว่าอาการมันจะทรุดไปมากกว่านี้ หากไม่เป็นการรบกวนเจ้าเกินไป ช่วยไปดูอาการมันให้ข้าที”

“ได้จ้ะ แต่ท่านไปล้างแผลเสียก่อนเถิด ประเดี๋ยวฉันจะทำแผลให้”

               วิรุณเพียงพยักหน้าตอบรับก่อนจะออกเดินนำเด็กหนุ่มมุ่งตรงไปสู่ริมธารใกล้ๆ เมื่อไปถึงเจ้าเด็กนั่นก็บอกให้เขานั่งลงที่โขดหินข้างริมธารก่อนมันจะใช้ภาชนะที่หาได้บริเวณนั้นไปตักน้ำมาเพื่อล้างแผลให้ ตามด้วยหยิบสมุนไพรในย่ามออกมาขยี้จนเริ่มละเอียดก่อนจะประคบตัวสมุนไพรลงมาบนแผลให้อย่างเบามือ

               มือคู่นั้นหาได้อ่อนนุ่มเฉกเช่นของเหล่าสตรี

…แต่น้ำหนักมือช่างเบาและอ่อนโยน ผิดแผกจากบุรุษทั่วไปนัก

               สายตาคมจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ครานี้จึงได้สังเกตให้ชัดถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น มนุษย์ผู้นี้มีผ้าสีทึบปิดตาข้างซ้ายไว้คล้ายจะป้องกันบาดแผลบางอย่างที่อยู่ใต้เนื้อผ้านั่น แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามออกไปดั่งใจนึก เสียงฉีกขาดของเนื้อผ้าก็ดังขึ้นมาแทรกจนต้องหันไปมอง

“เจ้าจะทำสิ่งใด”

               วิรุณมองมนุษย์ตรงหน้าอย่างแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะจู่ๆมันก็ถอดเสื้อของตนเองออกแล้วจัดการฉีกแยกแผ่ออกเป็นผืน

“พันแผลไว้จ้ะ ประเดี๋ยวจะโดนเศษดินเศษหญ้าเกาะเอา”

               เอ่ยจบก็ส่งยิ้มซื่อตามประสามาให้อีกหน ก่อนจะจัดการพันผ้าไว้รอบท่อนแขนกำยำให้อย่างเสร็จสรรพ

“ขอบใจเจ้ามาก”

               เจ้าแก้วเพียงพยักหน้ารับคำพร้อมเอ่ยชักชวนให้อสุราหนุ่มพาไปดูอาการของสหายอีกตนตามที่ได้วานไว้ ทั้งสองออกเดินเลียบเคียงริมฝั่งธารไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานนักก็ได้พบกับจุดหมายปลายทาง

“ข้านำมันไปนอนพักไว้ในถ้ำนั้น”

               ใบหน้าคมคร้ามพยักเพยิดไปทางถ้ำหินตรงหน้า ลักษณะตัวถ้ำนั้นอยู่ใกล้กับบริเวณน้ำตก ทางเข้าถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยจนรกครึ้ม อสุราหนุ่มเดินนำทางเข้าไปได้ไม่ลึกนักก็ได้พบกับร่างอีกร่างที่นอนไม่รู้สติอยู่ข้างโขดหินใหญ่

               เห็นดังนั้นเจ้าแก้วจึงยอบกายลงไปนั่งข้างๆเรือนกายสูงใหญ่ที่นอนหายใจรวยริน ถึงแม้นจะไม่รู้สติแต่อาการที่แสดงออกก็คล้ายว่าจะทรมานเหลือแสน ทั้งกายขึ้นสีแดงชาดได้อย่างน่ากลัวจนเจ้าแก้วเริ่มจะวิตกขึ้นมาไม่น้อย

…เคยรักษาพิษของสัตว์เลื้อยคลานมาหลายชนิดก็จริงแต่ก็ไม่เคยพบเห็นพิษของสัตว์ชนิดไหนรุนแรงเท่านี้มาก่อน

“เจ้าพอจะรักษามันได้หรือไม่”

               เหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายทำให้เจ้าแก้วนั้นลำบากใจอยู่ไม่น้อย ตัวมันนั้นหากจะต้องรักษาจริงๆก็คงจะได้แค่ผิวเผินเท่านั้น มันไม่ได้มีวิชาความรู้มากพอที่จะสามารถช่วยเหลือได้ ยิ่งเป็นพิษที่ออกฤทธิ์ดังที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นนี้ มันจึงนึกหวั่นวิตกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ฉันทำได้แค่เพียงรักษาพิษของสัตว์เลื้อยคลานเล็กๆเท่านั้นจ้ะ พิษรุนแรงเช่นนี้ไม่เคยพบมาก่อน ฉันคงไม่สามารถจะช่วยเหลือได้”

               เด็กหนุ่มหน้าสลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดทันทีที่รู้ว่าไม่สามารถจะช่วยเหลือผู้มีพระคุณของมันได้

“ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”

“ช่างเสียเถิด อย่างไรก็ขอบคุณเจ้ามากที่อุส่าห์มาดูอาการให้”

               เจ้าแก้วเพียงพยักหน้ารับอย่างหงอยเหงาแต่พอนึกหาหนทางออกนัยน์ตาก็ทอประกายความหวังขึ้นมาทันที

               ใช่…พ่อครู อย่างไรกันเล่า

               พ่อครูของมันนั้นเก่งกาจทางด้านเวชศาสตร์และเชี่ยวชาญด้านการรักษามาก

               หากให้พ่อครูช่วยดูอาการให้ล่ะก็ต้องรู้หนทางที่จะถอนพิษให้อสุราหนุ่มตนนี้เป็นแน่

“แต่ถ้าหากให้พ่อครูดูอาการให้ ก็อาจจะพอรู้วิธีรักษานะจ๊ะ”

“พ่อครู?”

“พ่อครู…ครูบุญน่ะจ้ะ เป็นคนที่คอยรักษาอาการเจ็บไข้ให้แก่ผู้คนในหมู่บ้าน ท่านเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาทุกแขนง ฉันเพียงคิดว่าหากท่านไม่รังเกียจ จะพาท่านผู้นี้ไปให้พ่อครูช่วยดูอาการก็ได้นะจ๊ะ”

“จะดีหรือ”

               อดที่จะลังเลอย่างเสียมิได้ ขืนจู่ๆเจ้าเด็กนี่พาพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้าน ผู้คนจะไม่แตกตื่นเอาหรอกหรือ

“ดีสิจ๊ะ อีกอย่างท่านก็จะได้ไปรักษาแผลตัวท่านด้วย”

“ชาวบ้านจะไม่แตกตื่นกันหรือไร”

“เรือนของครูตั้งห่างออกมาจากตัวหมู่บ้านอยู่มาก ไม่มีผู้ใดเห็นหรอกจ้ะ ไปเถอะ ถือเสียว่าตอบแทนที่ท่านช่วยชีวิตฉันเอาไว้”

               เพราะทนความคะยั้นคะยอไม่ไหวอีกทั้งใจก็นึกห่วงชีวิตของสหายตนจึงพยักหน้าตอบรับคำเชื้อเชิญไปอย่างเสียมิได้

               เอาเถิด มาถึงขนาดนี้แล้วลองทำตามคำแนะนำของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ไม่เสียหายอันใด ถึงแม้นจะไม่สามารถถอนพิษได้ แต่เพียงแค่รักษาให้อาการทุเลาลงก็เพียงพอแล้ว

“เช่นนั้นก็รีบไปกันเถิดจ้ะ ประเดี๋ยวจะมืดค่ำเอา”

               ได้ความดังนั้นวิรุณจึงก้มลงไปประคองร่างที่สูงใหญ่พอกันขึ้นมาจากพื้นอย่างทุลักทุเลไม่น้อย เจ้าแก้วเลยรีบรุดหวังจะเข้าไปช่วย แต่กลับโดนปรามไว้เสียก่อน

“ตัวมันหนักเช่นนี้ เจ้าประคองไปก็เปลืองแรงเสียเปล่า ช่วยนำทางไปก็พอ” พูดจบก็แบกร่างของสหายขึ้นมาไว้บนหลังอย่างยากลำบากเล็กน้อย

…ถึงจะตัวสูงใหญ่พอๆกันแต่ก็พาลทำเอาขาแข้งล้าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

               เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินนำออกไปที่ปากถ้ำ เมื่อพ้นออกมาจากความมืดสลัว จึงทำให้เจ้าแก้วได้เห็นหน้าคร่าตาอสุราหนุ่มอีกตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ใบหน้าคมเข้มแสดงสันกรามเด่นชัด ทำให้ดูสมกับเป็นยักษาวัยฉกรรจ์

เรือนผมที่ถูกตัดสั้นอย่างเป็นระเบียบเผยรูปของใบหน้าคมคร้ามได้เป็นอย่างดี

จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วเข้มที่พาดเฉียงได้รูป

ทั้งยังมีรอยแผลเป็นเล็กๆบนหัวคิ้วซ้าย แต่กลับไม่ได้ดูน่าเกลียด กลับกันแผลเป็นนั่นยิ่งช่วยขับเน้นให้ใบหน้าคมคายนี้ดูดุดันสมกับเป็นบุรุษยิ่งนัก

นับว่าเป็นยักษ์ที่รูปงามมากทีเดียว…แต่กลับน่าเกรงขามไม่น้อยแม้นในยามที่หลับใหล..

“เหตุใดเจ้าถึงได้เข้ามาในป่าดงพงไพรเช่นนี้”

               เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบระหว่างการเดินทาง

“ฉันเข้ามาเก็บสมุนไพรไปให้พ่อครูจ้ะ”

“แล้วท่านล่ะจ๊ะ เหตุใดท่านทั้งสองจึงเข้ามาอยู่ในเขตแดนของมนุษย์ได้”

               ใบหน้าซื่อๆนั่นหันมาถามอย่างสงสัยไม่น้อย แต่เมื่อมันรู้ตัวว่าได้เสียมารยาทถามในสิ่งที่ไม่ควรถามจึงรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

“ขอโทษจ้ะ ที่ฉันเสียมารยาท” ไม่ว่าเปล่า แต่มันยังยกมือขึ้นมาไหว้ประกอบเสียด้วย

…มือไม้อ่อนเสียจริง

“ช่างเถิด ข้าก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร…ข้ากับสหายเป็นทหารในกองทัพแห่งนครยักษ์ เมื่อไม่นานมานี้ได้มีศึกระหว่างสองแว่นแคว้นเกิดขึ้น โชคไม่ดีเจ้านี่โดนศรอาบพิษยิงเข้าใส่ อีกทั้งตอนนั้นยังถูกข้าศึกลอบโจมตีจึงทำให้ตกลงมาจากหน้าผา รู้ตัวอีกทีข้าก็โผล่มานอนข้างๆริมธารเสียแล้ว”

               ไม่ได้คิดจะปิดบัง…แต่เพียงแค่พูดความจริงไม่หมดก็เท่านั้น

               หากมนุษย์ตรงหน้ารับรู้ว่าทั้งเขาและเจ้าวศินเป็นถึงจอมทัพของนครยักษาจะไม่ตื่นตกใจไปยิ่งกว่านี้หรือ

“ท่านสองตนเป็นทหารหรอกหรือจ๊ะ”

               มิน่าเล่า รูปกายถึงได้ดูองอาจน่าเกรงขามยิ่งนัก เห็นคราแรกนึกว่าเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ของเผ่าพันธุ์ยักษ์เสียอีก

“ใช่ ทำไมรึ”

“เปล่าจ้ะ เพียงแต่ไม่คิดว่าทหารยักษ์จะรูปงามเช่นนี้”

               มนุษย์หน้าซื่อตอบกลับมาอย่างไม่เคอะเขิน ก็มันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ หาได้ป้อยอคำหวานเอาอกเอาใจผู้ใด คราแรกก็นึกว่าเหล่าทหารยักษ์นั้นจะหน้าตาถมึงทึงชวนอกสั่นขวัญผวา ผู้ใดจักนึกกันเล่าว่ารูปโฉมจะงดงามเพียงนี้

               เมื่อได้รับคำชมแบบโต้งๆหลุดออกมา อสุราหนุ่มก็อดที่จะประหม่าไม่ได้ ร้อยวันพันปีหาได้เคยมีผู้ใดมากล่าวชมด้วยใบหน้าซื่อๆเช่นนี้ ส่วนมากจะเป็นทำนองเกี้ยวพาราสีของเหล่านางยักษ์เสียมากกว่าแต่ถึงกระนั้นเขาก็หาได้หวั่นไหวไปกับคำพูดเชยชมหวานหูเหล่านั้นสักเพียงนิด

               หากแต่ต้องมารู้สึกกระดากอายขึ้นมาเพราะคำพูดของเด็กหนุ่มมนุษย์ผู้นี้

               หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกหน สายตาคมกล้าจ้องมองตรงไปยังแผ่นหลังของมนุษย์ที่เล็กกว่าเขาไปเกือบเท่าตัว ช่วงบ่าขนาดสมส่วนรับกับแผ่นหลังกว้างพอเหมาะสมวัย หากเพียงสังเกตให้ดีจะพบว่าบนผิวกายเนียนละเอียดนั่นมีรอยแผลเป็นบริเวณหลังไหล่ขวา…คล้ายรอยบาดของคมมีดหรือคมดาบ

               วิรุณไล่สายตาไปเรื่อยจนถึงช่วงเอวที่คอดรับกับสะโพกใต้เนื้อผ้าโจงกระเบนสีน้ำตาลแก่…เด็กหนุ่มตรงหน้าหาได้เอวบางอ้อนแอ้น เพียงแต่ไม่ได้สอบหนาเฉกเช่นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ได้พบเห็นทั่วไป 

เป็นเพียงมนุษย์หน้าพาซื่อ…อีกทั้งยังเป็นบุรุษเฉกเช่นเขา

               รูปโฉมก็ธรรมดาเสียจนไม่ได้รู้สึกสะดุดตาสักเพียงนิด

               แต่เหตุใดจึงมีเสน่ห์ให้ชวนมองได้ถึงเพียงนี้

เมื่อรู้ตัวว่าเผลอมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างเสียมารยาท อสุราหนุ่มจึงหันสายตาไปมองเหล่าแมกไม้นานาพันธุ์รอบกายแทน ก่อนจะเดินตามหลังเด็กหนุ่มไปเงียบๆไม่ได้ชวนเปิดบทสนมนาขึ้นมาอีก

             

 ก่อนตะวันจะคล้อยดับลงทั้งสามก็เดินทางมาถึงเรือนไม้ขนาดพอเหมาะไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ลักษณะตัวเรือนนั้นทำมาจากไม้ไผ่และไม้เนื้อแข็งที่หาได้ตามป่าบริเวณนี้ ในส่วนของหลังคาถูกมุงทับด้วยหญ้าคาตามปกติของชาวบ้านทั่วๆไป หากแต่เรือนหลังนี้กลับดูมั่นคงแข็งแรงดี มิได้ทรุดโทรมเหมือนดังที่เขาคาดคิดไว้

ทันทีที่เข้าสู่เขตเรือนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็รีบวิ่งรี่เรียกหาพ่อครูของมันไปทั่ว ทำเอากลุ่มของชายหนุ่มที่กำลังแบกหามของอยู่ใต้ถุนเรือนนั้นหันไปมองทางต้นเสียงเป็นตาเดียว แต่เมื่อคนเหล่านั้นสังเกตได้ว่ามีแขกแปลกหน้ามาเยือนอีกทั้งยังเป็นถึงยักษ์ร่างสูงใหญ่ก็พาลตื่นตกใจไปตามๆกัน

พ่อครูให้มันไปเก็บสมุนไพรมิใช่รึ แล้วเหตุใดไอ้แก้วมันถึงได้ยักษ์กลับมาด้วยถึงสองตน!

“พ่อครูจ๊ะพ่อครู!” 

“เอ้าๆ...เอะอะไรกันเจ้าแก้ว”

            ครูบุญของศิษย์ทั้งหลายเอ็ดเสียงดุ มือเหี่ยวย่นพาดผ้าขาวม้าไว้รอบคอก่อนจะเดินลงมาจากเรือนตามเสียงเรียกของศิษย์รัก เจ้าแก้วรีบเข้าไปประคองพาชายชรามานั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่บริเวณลานดินหน้าเรือน

พลันสายตาของชายชราก็สังเกตเห็นเรือนกายสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ยังไม่ทันที่จะได้หันไปถามให้คลายสงสัย เจ้าแก้วก็เอ่ยสวนขึ้นมาเสียก่อน

“พี่ยักษ์ท่านนี้ได้ช่วยชีวิตฉันไว้ก่อนที่จะโดนเสือโคร่งตะปบเอาจ้ะ พอดีฉันเห็นว่าท่านทั้งสองอาการไม่ค่อยจะดีนัก จึงได้ชวนกลับมาที่บ้าน ฉันเลยอยากจะขอวานให้พ่อครูช่วยดูอาการของท่านทั้งสองให้หน่อยน่ะจ้ะ”

               เพราะในอ่อนกับแววตาเว้าวอนของศิษย์รักคนเล็ก ครูบุญจึงต้องตกปากรับคำศิษย์รักอย่างเสียมิได้ ก่อนจะหันไปเจรจากับอสุราหนุ่มแทน

“นำตัวท่านผู้นั้นมาวางไว้บนแคร่เสียก่อนเถิด”

               วิรุณพยักหน้ารับคำของครูเฒ่า ก่อนจะแบกร่างของสหายไปวางลงบนแคร่ตามคำสั่ง

ครูบุญก้มมองอีกหนึ่งร่างของอสุราหนุ่มที่นอนหายใจรวยริน กายขึ้นสีชาดได้อย่างน่าหวาดกลัวพร้อมมีเหงื่อผุดซึมไปทั่วร่าง ตรงกลางอกมีบาดแผลฉกรรจ์ซึ่งในยามนี้พิษร้ายได้กัดกินผิวเนื้อบริเวณอกจนพุพองคล้ายกับโดนไฟลวก

…เป็นลักษณะฤทธิ์ของพิษร้อนที่รุนแรงมากทีเดียว

“ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าเป็นพิษของสัตว์ชนิดใด” ชายชราเอ่ยถาม

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่พ่อเฒ่าพอที่จะรักษาสหายข้าได้หรือไม่”

ครูเฒ่าหนักใจไม่น้อย พิษร้ายแรงเช่นนี้เป็นพิษของสัตว์ชนิดใดนั้นเขาก็ไม่สามารถที่จะคาดเดาได้เช่นกัน เพราะไม่เคยพานพบมาก่อน

“ข้าไม่เคยพบเห็นพิษร้ายเช่นนี้มาก่อน เท่าที่พอจะช่วยได้ยามนี้คือให้กินยาขับพิษเท่านั้น”

               ใบหน้าคมคร้ามของยักษาวัยฉกรรจ์พยักหน้ารับคำของชายชรา

“อาการของท่านก็ย่ำแย่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก ประเดี๋ยวข้าจะดูให้อีกที ก่อนอื่นนำตัวท่านผู้นี้ไปพักไว้บนเรือนเสียก่อนเถิด แล้วข้าจะให้เจ้าแก้วมันนำยาขับพิษไปให้ดื่ม”

“ขอรับ”

วิรุณยักษาขานรับคำสั่งก่อนจะแบกร่างของสหายขึ้นเรือน โดยได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าหนุ่มวัยฉกรรจ์อยู่หลายคนพอที่จะประคองร่างสูงใหญ่ได้สบายๆ

“ท่านลงไปหาพ่อครูเถอะจ้ะ...ประเดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลให้”

            เจ้าแก้วยกหม้อต้มยาสมุนไพรตามที่ครูบุญสั่งขึ้นมาบนเรือน ก่อนจะวางหม้อดินเผาไว้ข้างกายสูงใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้น

“ขอบใจเจ้ามาก”

            วิรุณพยักหน้ารับ ใบหน้าคมคร้ามปรากฏความอ่อนล้าออกมาอย่างชัดเจนเรือนกายสูงใหญ่ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากตัวเรือน

“ร้อน...”

            เสียงแหบทุ้มเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายจะละเมอเพ้อพก เจ้าแก้วสะดุ้งเล็กน้อยพลันหันความสนใจมาหาอสุราที่นอนแน่นิ่งอยู่ แผ่นอกผึ่งผายขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ...ร่างกายใหญ่โตนี่คงจะอึดอัดไม่น้อยที่ต้องมานอนอยู่ในเรือนที่ไม่ได้กว้างขวางมากนัก มิหนำซ้ำวันนี้มันวันอับลมจึงทำให้ร้อนกว่าปกติ

“เอ่อ....ท่านลุกขึ้นมาดื่มยาไหวหรือเปล่าจ๊ะ”

            เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างหวั่นเกรง...อสุราหนุ่มตรงหน้านั้นขนาดนอนไม่รู้สติยังทำให้มันรู้สึกกลัวได้ถึงเพียงนี้

“…”

            ไร้ซึ่งเสียงตอบรับของยักษา เจ้าแก้วนึกปลงตกด้วยความจนปัญญา เห็นทีคงจะได้ป้อนยาให้เสียแล้วกระมัง..

คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงจัดการตักยาต้มใส้ถ้วยดินเผา ก่อนจะค่อยๆประคองศรีษะหนักขึ้น พอที่จะให้สามารถดื่มยาได้สะดวก

            เสียงคำรามทุ้มต่ำในลำคอดังขึ้นอีกครา ทำให้เจ้าแก้วรีบผละออกมา...สงสัยคงจะร้อนในกายกระมัง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มพลันนึกถึงคำสั่งของพ่อครูขึ้นมา

...'ตัวยาจะไปขับพิษออกจากร่าง จึงทำให้ไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก เอ็งก็อย่าลืมปลดผ้าผ่อนทุกชิ้นออกให้หมดเสียด้วย'

            นึกได้ดังนั้นใบหน้าอ่อนเยาว์ก็พลันเห่อร้อนขึ้นมา เจ้าแก้วได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของบุรุษมาเยอะก็จริงเพราะบ่อยครั้งก็มักจะอาบน้ำร่วมท่ากับเหล่าลูกศิษย์ของครูบุญ แต่มันก็ไม่เคยได้เห็นร่างเปล่าเปลือยของยักษ์มาก่อน

ยิ่งเป็นยักษ์หนุ่มวัยฉกรรจ์ที่น่าเกรงขามตนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ มันจึงกระอักกระอ่วนไปเสียหมด…

“ขอโทษนะจ๊ะ...พ่อครูสั่งให้ฉันทำ”

            พูดกับลมฟ้าอากาศไปพร้อมยกมือไหว้ปลกๆ เด็กหนุ่มค่อยๆปลดอาภรณ์ของอสุราตรงหน้าออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหนั่นแน่นสมเป็นบุรุษเพศวัยฉกรรจ์ทั่วทั้งร่าง มันกระดากอายเกินกว่าจะมองแต่ถ้าหากหลับตาก็เกรงว่ามือไม้มันจะไปโดนอะไรต่อมิอะไรเข้า

คิดได้ดังนั้นก็รีบใช้ผ้าคลุมท่อนล่างของอสุราหนุ่มไว้ให้อย่างเรียบร้อย เมื่อเสร็จกิจตามที่ได้รับมอบหมายเจ้าแก้วก็รีบเดินออกมาจากเรือนด้วยในอกที่เต้นระรัวคล้ายมีฝูงสัตว์ขนาดใหญ่เข้ามาวิ่งพล่านไปทั่ว


______________________________________________

มาแล้วจ้าาาา ตอนนี้เป็นฉบับรีไรท์ตามที่ได้แจ้งไปก่อนหน้านี้นะคะ

เนื้อหามีการเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย

สำหรับนักอ่านที่พึ่งมาอ่านไม่ต้องแปลกใจนะคะ พันไมล์เพียงแค่ปรับปรุ่งเนื้อหาที่เคยลงไปก่อนหน้านี้เท่านั้น

จึงได้ทำการแจ้งไว้ แล้วลบตอนเก่าออกค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๑ - แรกพบ : ๐๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 09-02-2018 20:17:31
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒ - เจ้าแก้ว : ๑๐/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 10-02-2018 00:58:13
เจ้าแก้ว



.

.

.


“แผลลึกมากเลยทีเดียว ประเดี๋ยวข้าจะไปโขลกสมุนไพรมาประคบให้ ระหว่างนี้ท่านก็ถอดเสื้อแสงออกเสียก่อนเถิด เห็นเจ้าแก้วมันบอกว่าเนื้อกายท่านนั้นชอกช้ำนัก ข้าจึงอยากจะตรวจดูให้ถี่ถ้วน”


วิรุณปฏิบัติตามคำสั่งของชายชรา พร้อมกับถอดเสื้อออกทางศีรษะด้วยท่าทีที่ลำบากอยู่ไม่น้อย


หลังจากที่แบกหามร่างของสหายตนขึ้นไปไว้บนเรือนแล้ว เมื่อลงมาด้านล่างพ่อเฒ่าผู้นี้ก็เรียกเขาเข้าไปตรวจดูอาการตามที่เด็กหนุ่มผู้นั้นได้วอนขอไว้ มือเหี่ยวย่นตามวัยจัดการดึงผืนผ้าพันแผลที่อดีตมันเคยเป็นเสื้อออกอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นบาดแผลฉกรรจ์จากเขี้ยวของสัตว์ใหญ่ ท่าทางคล่องแคล่วที่สำรวจบาดแผลอยู่นั้น ทำให้รู้สึกได้ว่าท่านพ่อเฒ่าผู้นี้ดูชำนาญการในด้านการรักษาไม่น้อยเลยทีเดียว


               ร่างสูงใหญ่ของรองทัพอสุราที่นั่งเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นรอยช้ำและบาดแผลตามกล้ามเนื้อหนั่นแน่นทั่วร่าง


              ระหว่างที่เขากำลังนั่งมองสำรวจบริเวณเรือนโดยรอบอยู่นั้น กลับสะดุดตากับไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่ชูช่อดอกสีขาวนวลอยู่บริเวณริมรั้ว บุพผาสีขาวปลอดส่งกลิ่นหอมอบอวลคลอเคล้าไปกับแสงสุริยนที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไป อสุราหนุ่มทอดมองไม้ต้นเล็กอย่างสนอกสนใจ สีขาวนวลของช่อดอกไม้ท่ามกลางพุ่มเขียวขจีนั้นช่างทำให้เพลิดเพลินตายิ่งยัก


“นั่นเรียกว่าต้นแก้ว” ชายชราเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีสนใจต้นแก้วที่ต้นเป็นผู้ลงมือปลูกเอง


วิรุณเพียงพยักหน้ารับรู้ไม่ได้โต้ตอบกลับไปเพื่อต่อบทสนทนา ทำเพียงแค่นั่งนิ่งให้พ่อเฒ่ารักษาแผลและตรวจดูอาการต่อให้


ต้นแก้วอย่างนั้นหรือ…ไม่เคยพบเห็นต้นไม้ชนิดนี้ในนครยักษ์มาก่อนเสียด้วยซ้ำไป


“แผลที่อื่นๆตามร่างกายท่าน เพียงแค่หมั่นประคบยาทุกวันก็หายขาด...ส่วนนี่ยาต้มดื่มเสียเถอะมันแก้ช้ำในได้ชะงัดนัก”


               หลังจากพันแผลที่แขนเสร็จสรรพชายชราก็ยื่นส่งหม้อดินเผาขนาดเล็กมาให้


วิรุณยกหม้อยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด กลิ่นของสมุนไพรหลากหลายชนิดในภาชนะนั้นฉุนมากทีเดียว แต่รสชาติขมเฝื่อนของมันกลับทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่น้อย


“ว่าแต่ตัวท่านเล่า...มีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรรึพ่อยักษ์”


“ข้าวิรุณ...ส่วนสหายข้าอีกตนชื่อวศิน”


“แล้วเหตุใดท่านทั้งสองถึงเข้ามาในเมืองของมนุษย์เสียได้” ชายชราเอ่ยถามอย่างนึกแปลกใจ       


เพราะดูจากลักษณะท่าทางที่องอาจน่าเกรงขามของยักษ์ทั้งสองตนแล้ว คงจักมิใช่ยักษ์ธรรมดาเป็นแน่แท้


...เรือนกายสูงใหญ่สง่าผ่าเผย รูปโฉมงดงามเพียงนี้


หากมิใช่พวกขุนนางในวังก็คงจะเป็น..


“ข้ากับวศินเป็นทหารในกองทัพแห่งนครยักษ์...ในระหว่างที่กำลังต่อสู้กับเหล่าศัตรูอยู่นั้นพวกข้าทั้งสองเสียทีพลาดท่าพลัดตกลงมาจากยอดผา รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฟื้นอยู่ข้างริมธารนั่นแหละขอรับ”


         …ทหาร


“เอาเถิดพ่อ วางเรื่องหนักอกหนักใจไว้เสียก่อน พักกายพักใจอยู่ที่นี่จนกว่าอาการบาดเจ็บจะดีขึ้น...ไว้ร่างกายฟื้นตัวกำลังวังชากลับมาแข็งแรงดีดั่งเดิมแล้วค่อยกลับไปเมืองยักษ์เถิดนะพ่อวิรุณ”


               น้ำเสียงที่มากไปด้วยความเมตตาจากชายชรา ทำให้เขารู้สึกปล่อยวางความเคร่งเครียดที่สั่งสมมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาได้อย่างไม่มีสาเหตุ


อสุราหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ชายสูงวัยอย่างซาบซึ้งในบุญคุณที่ท่านผู้นี้ได้เมตตารักษาอาการของพวกเขาโดยไม่แม้นแต่จะนึกคลาแคลงใจเลยสักนิด


“มิต้องนอบน้อมกับข้านักดอกท่าน ข้ารึก็เป็นเพียงแค่ชาวป่าชาวเขาธรรมดา หาได้มียศมีเกียรติอันใด พ่อยักษ์อย่าลดตัวลงมากราบไหว้เลย”


การกระทำของอสุราหนุ่มสร้างความลำบากใจให้เขาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยเพราะเป็นถึงเผ่าพันธุ์ยักษ์แต่มาให้ความเคารพกับมนุษย์ผู้น้อยเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก


“หาได้เกี่ยวกับเรื่องเผ่าพันธุ์หรือยศเกียรติอันใดไม่ ที่ท่านเมตตาช่วยเหลือข้าและสหาย เพียงเท่านี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณแล้ว”


“อย่าได้ถือว่าเป็นบุญคุณอันใดเลยท่านวิรุณ ทางข้าเสียอีกที่ต้องติดหนี้บุญคุณ” น้ำเสียงที่มากไปด้วยเมตตากล่าวอย่างนึกขบขัน “ถ้าไม่ได้ท่านช่วยเหลือเอาไว้ ป่านนี้เจ้าแก้วมันก็คงกลายเป็นอาหารเสือไปแล้ว”


               วิรุณขานรับคำของชายชรา ก่อนที่เสียงของบุคคลที่มาใหม่จะดึงความสนใจของพวกเขาทั้งสองให้หันไปมอง


 “พ่อครูจ๊ะ”


            เจ้าแก้วเดินเลียบเคียงเข้ามาหาชายชราก่อนจะยอบกายลงไปนั่งคุกเข่าข้างๆแคร่ไม้ไผ่


“ข้าบอกให้เอ็งไปทำแผลอย่างไรเล่าเจ้าแก้ว ทำไมช่างดื้อด้านนัก”


            ชายชราหันมาดุมันเสียงเข้มทำเอาเจ้าแก้วหน้าหงอลงไปถนัดตา วิรุณจึงหันไปมองทางเด็กหนุ่มที่เขาได้ช่วยชีวิตเอาไว้


“ฉันอยากมาดูอาการพี่ยักษ์หน่อยน่ะจ้ะ”


“ดื้อด้านเช่นนี้…ท่านวิรุณน่าจะปล่อยให้มันโดนกินไปซะให้สิ้นเรื่อง”


เสียงดุด่าแต่กลับแฝงไปด้วยความห่วงใยของครูบุญบ่นออกมาอย่างไม่จริงมากนัก


เชื่อเถอะ...หากเป็นศิษย์คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าแก้วแล้วล่ะก็ นอกจากเขาจะไม่หาหยูกยามาทาให้แล้วยังจะกระทืบซ้ำให้จมตีนเพราะความเผอเรอไม่รู้จักระมัดระวังตน


 “แล้วนี่ที่ข้าเคยสั่งเคยสอนไปเอ็งจำเข้าหัวบ้างรึไม่ ท่านวิรุณเป็นถึงยักษ์ทั้งศักดิ์และอายุอานามรึก็มากกว่าเอ็งโข ใยถึงกล้าใช้คำเรียกเล่นหัวเช่นนั้น”


            ครูบุญยังบ่นให้ศิษย์รักต่อไป เจ้าแก้วก็เช่นนี้อายุอานามของมันก็ใกล้เข้าสู่วัยหนุ่มเต็มทีหากแต่มันยังคงใช้ชีวิตไปตามประสาหาได้มีความเลือดร้อนเหมือนเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน วันๆมันสนใจแต่เรื่องสมุนไพรที่ครูบุญคอยพร่ำสอนจนไม่ใคร่จะเรียนวิชาป้องกันตัวอื่นใด อีกทั้งครูบุญก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย เพราะทั้งหวงทั้งห่วงมันดั่งไข่ในหินนั้นแล


แต่ถึงจะไม่ได้ออกแรงกำลังหนัก เจ้าแก้วก็ไม่ได้ร่างกายบอบบางหรืออ้อนแอ้นดูขี้โรคอะไร กลับกันเสียอีก หุ่นของมันนั้นดูสมส่วนสุขภาพดีตามที่เด็กหนุ่มทั่วไปพึงมี กล้ามเนื้อทั่วร่างไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดูแล้วช่างทะมัดทะแมงยิ่งนัก


“ขอโทษจ้ะ คราวหลังฉันจะระวังมากกว่านี้”


            หากเปรียบเป็นลูกสุนัขยามนี้เจ้าแก้วก็คงหางลู่หูตกได้อย่างน่าสงสาร


แต่ตัววิรุณเองนั้นก็หาได้ใส่ใจนักกับคำสรรพนามที่เด็กหนุ่มใช้เรียกตน


พี่ยักษ์อย่างนั้นรึ...น่าเอ็นดูน้อยเสียที่ไหนกัน


“เอาเถอะ...ไปให้เจ้ากล้ามันทำแผลให้เสีย เสร็จแล้วก็เปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่เสียด้วย มอมเหมือนลูกหมาคลุกดิน”


“จ้ะพ่อครู” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน


            ครูบุญทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน มือเหี่ยวย่นตามวัยลูบหัวมันไปอย่างที่เคยทำ เมื่อศิษย์รักได้เดินออกไปแล้วเขาจึงได้หันกลับมาขอโทษขอโพยอสุราหนุ่มแทนมันอย่างเสียมิได้


“เจ้าแก้วมันกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก บางครั้งบางคราจึงดูไม่รู้ภาษาไปบ้าง อย่าได้ถือสามันเลยนะท่านวิรุณ”


ชายชราหันมามองอสุราหนุ่มอย่างลุแก่โทษแทนเจ้าแก้ว


อย่างไรแล้วเผ่าพันธุ์ยักษ์นั้นก็มีศักดิ์ที่สูงกว่ามนุษย์ การที่เจ้าแก้วใช้คำพูดเช่นนี้เขามองว่ามันไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง หากแต่อสุราหนุ่มกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้กระผีกเดียว


“ท่านขึ้นไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยเถิด ประเดี๋ยวข้าจะเดินไปดูแผลให้เจ้าแก้วมันสักหน่อย” 


“ขอรับ”


               วิรุณขานรับเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนเรือน หากแต่เขาก็มิได้เอนกายพักผ่อนดังที่ชายชราบอก


ร่างสูงใหญ่ของรองทัพอสุรานั่งเฝ้าดูอาการของสหายตนอยู่ไม่ห่างกาย ตอนนี้วศินดูท่าจะไม่ทรมานเพราะพิษร้อนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว หากแต่ยังคงมีหยาดเหงื่อผุดซึมขึ้นมาเพราะยาขับพิษที่ชายชราให้เด็กหนุ่มผู้นั้นนำมาให้ดื่ม


“ไอ้ยักษ์สำออย โดนศรปักอกเพียงเท่านี้ก็ล้มหมอนนอนเสื่อแล้วรึ”


               ไม่พูดเปล่า ยังยกฝ่าเท้าขึ้นมาดันต้นแขนของอีกฝ่ายอย่างหยอกล้อเหมือนดั่งเคย หากแต่แววตาคมกล้านั้นมิได้มองอย่างสาแก่ใจสักเพียงนิดกลับฉายแววกังวลใจและห่วงใยสหายตนอย่างเหลือแสน





            ทางด้านของครูบุญเมื่อเดินเข้ามาทางใต้ถุนเรือนก็เห็นเจ้าแก้วนั่งโอดนั่งโอยอยู่บนพื้นโดยที่พี่มันนั่งทำแผลให้อยู่บนแคร่ไม้ไผ่


“เอ็งช่วยอยู่นิ่งๆสักประเดี๋ยวได้ไหมวะไอ้แก้ว ข้ารำคาญนัก”


            ผู้เป็นพี่เอ่ยออกมาอย่างหัวเสียไม่น้อย ก็ศิษย์รักของครูบุญแค่โดนสมุนไพรไปนิดหน่อยก็ร้องเหมือนจะตายวันตายพรุ่ง


“ก็ฉันเจ็บนี่ พี่กล้ามือเบาเสียที่ไหนล่ะจ๊ะ”


            เจ้าแก้วบ่นเสียงเล็กเสียงน้อยใส่พี่มัน...ก็มือนักมวยมันเบาเสียที่ไหนกัน


“เอ้าๆ อยู่นิ่งๆซะเจ้าแก้ว ไม่เช่นนั้นล่ะข้าจะให้ไอ้กล้ามันเตะตัดเอ็งแทนต้นกล้วย”


            แสร้งดุเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่ข้างศิษย์นักมวยคนเก่ง


ไอ้กล้าเป็นศิษย์อีกคนของเขา มันให้ความสนใจในด้านศิลปะป้องกันตัวเสียยิ่งกว่าสิ่งใด โดยเฉพาะมวยไทยฝีไม้ลายมือเกือบเทียบเท่าชั้นครูได้เลยทีเดียว แต่เห็นมันดุด่าเจ้าแก้วขนาดนี้แท้จริงแล้วก็ทั้งรักทั้งโอ๋น้องมันไม่ต่างจากเขานักหรอก


“ก็พี่กล้ามือหนักนี่จ๊ะพ่อครู”


เจ้าแก้วที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดินหน้างอเล็กน้อย ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มซบลงบนตักของชายชราอย่างออดอ้อน มือเหี่ยวย่นจึงลูบหัวมันคล้ายเป็นการปลอบไปในท่วงที


นั่นปะไร...เห็นรึไม่


พ่อครูน่ะตั้งท่าดุไอ้แก้วไปอย่างนั้นเอง พอโดนมันออดอ้อนออเซาะเข้าหน่อยก็ใจอ่อนโอ๋กันไม่หยุดหย่อน ไอ้กล้ามองน้องมันด้วยความหมั่นไส้เสียเต็มประดาก่อนจะใช้เท้าถีบเอวไปเบาๆจนตัวมันเซ


“ไอ้กล้า! เอ็งนี่ก็ชอบแกล้งน้องนุ่ง รีบจัดการแผลให้มันเสีย จะได้ไปกินข้าวกินปลา แล้วก็หัดเบามือเสียบ้างมือคนห่าอันใดหนักเยี่ยงฝ่าตีน”


ครูบุญรีบเอ็ดทันทีเมื่อลูกรักโดนประทุษร้าย ก่อนจะใช้ผ้าขาวม้าที่พาดคออยู่ฟาดปากไอ้ตัวดีไปหนเพราะได้ยินเสียงมันประชดประชันตัดพ้อ


“จ้าๆ แตะไม่ได้เลยนะเจ้าดอกแก้วดอกนี้เนี่ย” เดชะบุญไอ้กล้าหลบทันหวุดหวิด...แค่ผ้าขาวม้าก็สร้างความเจ็บปวดให้ผู้อื่นได้นะพ่อเฒ่าเนี่ย


“พูดมากนะเอ็งนี่ รีบทำแผลให้มัน เสร็จแล้วก็ไปเอาผ้าพันแผลมาเปลี่ยนให้น้องมันเสียด้วย”


“จ้าๆ”


เจ้าแก้วหัวเราะให้กับการหยอกล้อแสนรุนแรงของพ่อครูกับพี่ของมันก่อนที่จะนั่งนิ่งๆอดกลั้นกับความเจ็บปวดให้พี่มันทำแผลที่บ่าให้จนแล้วเสร็จ


หลังจากนั้นครูบุญจึงเรียกเจ้าแก้วให้ขึ้นไปนั่งบนแคร่ข้างๆตนเพื่อจะประคบยาบริเวณแผลเป็นให้


...ถึงมันจะผ่านมาแล้วหลายปี แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่เจ้าแก้วมักจะปวดแผลมากจนไม่สามารถนอนหรือใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ เขาจึงมักสั่งให้มันประคบยาอยู่เสมอ


“เอ็งยังเจ็บแผลอยู่รึไม่”


“ไม่จ้ะพ่อครู ไม่เจ็บแล้วจ้ะ”


มือเหี่ยวย่นของครูบุญจัดการถอดผ้าผืนเก่าที่คลุกดินคลุกฝุ่นมาเสียเต็มที่ออกให้


เมื่อผ้าสีมอหลุดออกเผยให้เห็นบาดแผลฉกรรจ์ของร่อยรอยในอดีต ยามนี้แผลมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย...คงเพราะได้รับแรงกระแทกมาเมื่อตอนเข้าป่า ชายชราลูบหัวปลอบมันแผ่วเบาก่อนจะนำยามาประคบให้อย่างเบามือ


 เห็นทีไรก็อดสะท้อนในอกไม่ได้ หากแต่วันนั้นเขาไปช่วยเหลือมันได้ทันเจ้าแก้วมันก็คงไม่ต้องมาเสียตาข้างซ้ายอีกทั้งยังต้องมาเสียโฉมไปตลอดชีวิตของมัน


แต่เจ้าตัวนั้นก็หาได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้นไม่ มันกลับใช้ชีวิตด้วยความปกติสุขไม่เคยถือสาโกรธเคืองผู้ใดก็ตามที่ทำให้มันต้องเป็นเช่นนี้ ถึงแม้นจะโดนใครเขาหยอกล้อกลั่นแกล้งรุนแรงเพียงใดมันก็ทำเพียงยิ้มรับ จะมีเสียก็แต่เขากับไอ้กล้านี่ล่ะที่คอยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนมันอยู่เสมอ


“อดทนหน่อยนะลูกเอ้ย สักวันเอ็งจะต้องมีความสุขมากกว่านี้แน่” ชายชราเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ เพราะนึกสงสารในโชคชะตาของมันเหลือเกิน


เขามองรอยแผลลึกเป็นทางยาวอย่างพินิจพิจารณา ดวงตาของเจ้าแก้วน่ะสวยได้แม่มันมากทีเดียวด้วยสีที่ผิดแผกไปจากชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป นัยน์ตาหวานล้ำทอประกายสีของน้ำผึ้งป่าราวกับว่าหากใครได้สบตาก็คล้ายจะโดนดึงให้เข้าไปในห้วงภวังค์โดยไม่ทันได้ตั้งตัว


…ถึงแม้นจะมีรอยบากบนใบหน้า ก็หาได้ทำให้ใบหน้าของมันขี้ริ้วขี้เหร่สักเพียงนิด


“พ่อครูพูดอันใดกันจ๊ะ แค่ฉันได้อยู่กับพ่อครูและทุกๆคนที่นี่ฉันก็พอใจแล้วล่ะจ้ะ”


เจ้าแก้วไม่เข้าใจกับสิ่งที่พ่อครูของมันบอก มันรีบสวมกอดผู้มีพระคุณตรงหน้าอย่างแสนรักหนักหนา


เพราะตั้งแต่เล็กจนโตชีวิตของมันก็มีเพียงพ่อครูและพี่กล้าเท่านั้น หากจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว มันก็ไม่แม้นแต่ที่จะลังเลเลยสักนิดเดียว


“กอดกันกลมเชียว ลืมไอ้กล้าคนนี้ได้อย่างไรกัน”


            แว่วเสียงใกล้เข้ามาก่อนมือสากกระด้างจะวางลงไปบนศีรษะคนน้อง


“พ่อครูไปพักผ่อนเสียเถอะ ประเดี๋ยวฉันพันแผลให้มันเอง”


            ครูบุญพยักหน้ารับก่อนจะลุกเดินกลับขึ้นเรือนโดยมีเจ้าแก้วตั้งท่าจะเข้าไปช่วยพยุงแต่กลับโดนเขาเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน ...มันก็เป็นเสียอย่างนี้ถึงเขาจะชราลงและสังขารไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนเป็นหนุ่ม แต่ก็หาได้อ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เสียทีเดียว


 กลับกันเมื่อเทียบกับพ่อเฒ่ารุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านแล้วครูบุญถือว่าแข็งแรงกว่ามากโข คล้อยหลังพ่อครู ไอ้กล้าก็จัดการพันแผลรอบตาให้น้องมันเสร็จสรรพ ก่อนจะชักชวนเหล่าลูกศิษย์คนอื่นๆของครูบุญหาสำรับกับข้าวกับปลากินกันดั่งเช่นทุกวัน


 


"เอ็งไปทำอีท่าไหนถึงได้พายักษ์กลับมาด้วยได้วะไอ้แก้ว"


          เหล่าลูกศิษย์ของครูบุญที่นั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันเฉกเช่นทุกวันหันเหความสนใจมายังเด็กหนุ่มอย่างสงสัยใคร่รู้


“ตอนที่เข้าไปเก็บสมุนไพรมาให้พ่อครู ฉันไปเจอเสือโคร่งเข้าพอตั้งท่าจะหนีก็ดันพลาดสะดุดล้มเสียก่อน แล้วคนที่เข้ามาช่วยฉันไว้ก็คือพี่ยักษ์ตนนั้นนั่นแหละจ้ะ” เจ้าแก้วว่าตามประสาซื่อโดยมีพี่มันมองมาอย่างไม่ชอบใจเท่าใดนักเมื่อได้ยินประโยคถัดมา “และฉันเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บอยู่ด้วย จึงอยากจะตอบแทนก็เท่านั้น”


“เอ็งมันใจดีไม่เข้าท่าไอ้แก้ว นี่ถ้าหากเป็นโจรป่าปลอมตัวมามันไม่มาปล้นเอ็งฉิบหายหรอกหรือวะ”


         ไอ้กล้าเอ็ดน้องมันไปอย่างขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย


               ถึงแม้นยักษ์ตนนั้นจะช่วยชีวิตน้องของมันไว้ก็เถอะบุญคุณครั้งนี้เขาก็มิได้ลืมเลือน แต่นั่นมันคนละเรื่องกันมิใช่หรือ ช่วยเหลือกันแล้วก็จบๆไปแต่ไอ้แก้วก็ยังดันทุรังพากลับเรือนมาเสียได้ นิสัยไว้ใจคนและมองโลกในแง่ดีของมันไปทั่วเช่นนี้ทำให้เขาและครูบุญเป็นห่วงมันมากเสียยิ่งกว่าอะไร


               ดูเอาเถิด พบหน้าค่าตาเพียงไม่เท่าไรก็เชิญชวนผู้นั้นผู้นี้กลับมาบ้านด้วย


ถึงแม้นยักษ์สองตนนั้นดูอย่างไรก็คงไม่ใช่โจรหรือผู้ร้าย อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บมา แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ ถ้าหากว่าทั้งสองหายดีอาจจะเปลี่ยนใจเนรคุณก็ย่อมได้ จะเอาอะไรมาไว้เนื้อเชื่อใจยักษ์แปลกหน้าและต่างเผ่าพันธุ์กัน


“ท่านทั้งสองไม่ใช่ผู้ร้ายอันใดหรอกจ้ะพี่กล้า หากจะทำเช่นนั้นจริง เขาจะมาช่วยฉันไว้ทำไม”


“หึ เอ็งมันดื้อด้าน ระวังเถิดหากเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่แลแม้เพียงกระผีก”


               ในเมื่อน้องมันไม่เชื่อฟังคำ อีกทั้งยังออกโรงปกป้องผู้อื่นเสียเต็มประดาก็สุดที่จะกล่าวเตือนไอ้กล้าทำเพียงแค่ยกไหสุราขึ้นมาดื่มโดยไม่แม้นแต่จะหันไปมองหน้าน้องมันอีก


            ศิษย์ร่วมครูอีกคนที่นั่งอยู่ในวงเริ่มเห็นท่าไม่ดีระหว่างพี่กับน้องคู่นี้จึงได้เอ่ยแทรกขึ้นมาเพื่อเบี่ยงประเด็น ไอ้ห่ากล้าพอเหล้าเข้าปากทีไรก็พาลหาเรื่องน้องมันทุกที ดีหน่อยที่น้องมันไม่ได้บ้าตามไปด้วย ทำเพียงแค่เมินไอ้พี่ขี้เมาเสีย ปล่อยให้มันด่าฟ้าด่าลมไปตามประสา


"เออ แล้วยักษ์อีกตนอาการเป็นอย่างไรบ้างวะ"


      ทันทีที่โดนถามถึงอสุราตัวสีชาดที่นอนพักอยู่บนเรือน ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็พลันเห่อร้อนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ


“พ่อครูสั่งแต่ให้ฉันคอยป้อนยากับรักษาแผลให้จ้ะ เห็นว่าคงใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะฟื้นตัว”


“แล้วเอ็งพอรู้ไหมวะ...ว่าโดนพิษอันใดมา”


            เจ้าแก้วสั่นหัวให้กับคำถามของคนในวงสนทนา เพราะปกติเคยแต่รักษาผู้คนที่โดนสัตว์มีพิษกัดต่อย แต่ยักษ์ตนนั้นมีแผลคล้ายกับโดนไฟลวกขนาดใหญ่กลางอกอีกทั้งกายยังเปลี่ยนเป็นสีชาดอย่างน่ากลัวเห็นทีคงจะมิใช่พิษของสัตว์เลื้อยคลานธรรมดาเสียแล้วกระมัง


“แต่ข้าเคยได้ยินได้ฟังพ่อข้าเล่าเกี่ยวกับเรื่องพิษของพญานาคชนิดหนึ่งอยู่นา” ชายหนุ่มว่าน้ำเสียงจริงจังพลันยกไหสุราขึ้นดื่มไปพลาง “ถ้าหากโดนเข้าไปถึงแม้นจะเพียงกระผีกเดียว ก็จะรู้สึกทรมานราวกับโดนไฟแผดเผาทั้งเป็นเลยล่ะ”


“จริงหรือวะไอ้มิ่ง”


“ข้าก็ฟังเขามาอีกที...เอ็งก็ลองไปถามครูบุญดูสิข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน”


  เสียงบทสนทนาของกลุ่มคนวัยหนุ่มคุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยจนกระทั่งเริ่มดึกดื่นต่างคนเลยต่างแยกย้ายขอตัวลับบ้านกลับเรือน


“พี่กล้าจะไปไหนหรือจ๊ะ” เจ้าแก้วถามขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่มันเดินโซซัดโซเซออกไปอีกทาง


“ไม่นอนบ้านไอ้มิ่ง”


ตอบคำถามน้องแต่ไม่แม้นที่จะหันกลับมามองหน้ามันสักเพียงนิดจนไอ้มิ่งต้องเตะเข้าแข้งด้วยความหมั่นไส้เสียเต็มประดา เจ้าแก้วมันหน้าหงอลงจนคนอื่นสังเกตได้ แต่ไอ้ตัวพี่ก็ยังคงปากมอมประชดประชันไม่หยุดหย่อน นี่ถ้าหากพวกเขาไม่ได้รู้จักพวกมันมาก่อนคงนึกว่าเป็นคู่ผัวตัวเมียกันแน่แท้


“ฝากดูพี่กล้าด้วยนะจ๊ะพี่มิ่ง” นั่นปะไร แม้นจะโดนถากถางมันก็ยังคงห่วงพี่ชายมันอยู่วันยังค่ำ


“เออๆ เอ็งไม่ต้องห่วง”


               ตอบรับคำอย่างหมายมั่นแล้วจึงหันกลับมาลากคอไอ้ขี้เมาที่เริ่มออกลายพาลไปทั่วให้เดินตามกลับเรือนไป





            เมื่อเจ้าแก้วกลับขึ้นมาบนเรือนก็ได้พบว่าพ่อครูกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆร่างสูงใหญ่ที่นอนซมเพราะพิษร้าย


โดยที่ข้างกายมียักษ์อีกตนคอยนั่งดูอาการของสหายตนอยู่ไม่ห่าง เห็นดังนั้นเจ้าแก้วจึงได้ตัดสินใจนั่งรออยู่หน้าชานเรือนด้วยเพราะไม่อยากเข้าไปรบกวน


มือเหี่ยวย่นของชายชราจับคลำไปทั่วร่างของอสุราหนุ่มเพื่อตรวจดูอาการ เมื่อสัมผัสได้ว่าเนื้อตัวเย็นขึ้นจนใกล้ปกติก็พอที่จะเบาอกเบาใจลงไปได้บ้าง


 “คงต้องปล่อยให้นอนพักไปก่อนจนกว่าจะฟื้นตัวได้เอง” ครูบุญว่าราบเรียบแฝงแววคิดไม่ตก “ส่วนเรื่องการถอนพิษนั้นพอจะมีวิธีอยู่ แต่รอให้พวกท่านทั้งสองอาการดีขึ้นกว่านี้เสียก่อน แล้วข้าจะพาไปพบหลวงพ่อที่อยู่ถ้ำเชิงเขาฝั่งนู้น เพราะท่านน่าจะพอรู้ว่าพิษในกายของท่านวศินนี้เป็นพิษชนิดใด”


            วิรุณพยักหน้าตอบรับคำของชายชรา พลันสายตาหันออกไปข้างนอกก็ได้เห็นเด็กหนุ่มคนเดิมนั่งพับเพียบเรียบร้อยรออยู่ชานเรือน


“ไม่เข้ามารึแก้ว” เขาเอ่ยถามออกไปจนมันสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะมีผู้ใดสนใจ


“พี่ยักษ์คุยกับพ่อครูเสร็จแล้วหรือจ๊ะ”


            ถามออกไปด้วยใบหน้าซื่อๆเหมือนดังเดิม แต่ก็ยังมิวายหลุดปากเรียกอย่างเผลอตัวจนโดนพ่อครูหันมาเอ็ดอีกรอบ


“มิเป็นไรดอกพ่อเฒ่า ให้เขาเรียกอย่างที่เขาอยากเรียกเถอะ”


            วิรุณบอกไปอย่างไม่ถือสาหาความกับเด็กหนุ่มตรงหน้า


“แล้วนี่พี่เอ็งมันไปไหนเสียล่ะ” ครูบุญเอ่ยถามขึ้นมาบ้างเมื่อไม่เห็นไอ้ตัวดีอีกคนที่ยามปรกติแล้วมันมักจะตัวติดกับเจ้าแก้วแจ


“พี่กล้าบอกว่าวันนี้จะไปนอนกับพี่มิ่งจ้ะ”


“ตั้งวงเหล้ากันอีกแล้วสิไอ้พวกนี้...ประเดี๋ยวเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะสั่งเตะต้นกล้วยจนเข่าหลุดเสียให้เข็ด”


เจ้าแก้วหัวเราะแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆเลียบเคียงเข้าไปจัดที่หลักที่นอนให้พ่อครูเฉกเช่นที่เคยทำอยู่เสมอ


ส่วนตัวมันนั้นปรกติแล้วจะนอนอีกมุมหนึ่งของเรือน หากแต่วันนี้คงต้องสละที่นอนให้สองอสุราหนุ่ม เห็นทีคงต้องระเห็จตัวเองไปนอนข้างพ่อครูเสียแล้ว


“แล้วเจ้าล่ะ นอนที่ใด”


            วิรุณนั่งมองเด็กหนุ่มที่สาละวนจัดที่หลักที่นอนให้เขาเสียวุ่นวายไปหมด


“ประเดี๋ยวฉันย้ายไปนอนข้างๆพ่อครูแทนจ้ะ”


“มานอนตรงนี้จะไม่ดีกว่าหรือจะได้ไม่ต้องไปเบียดพ่อเฒ่า...ที่เจ้าจัดให้ก็เหลือพื้นที่อีกมากโข”


“ฉันเกรงว่าจะไปเบียดท่านทั้งสอง ประเดี๋ยวจะนอนไม่สบายเอาน่ะจ้ะ”


“เบียดอันใดกัน ตัวเจ้าก็เท่านี้ มาเถอะ”


            วิรุณพูดตัดบทก่อนจะล้มตัวลงนอนชิดผนังฝั่งตรงข้ามกับที่สหายตนนอนอยู่ เห็นดังนั้นเจ้าแก้วก็จนปัญญาที่จะปฏิเสธจึงทำได้เพียงลงไปนอนข้างๆ ก่อนจะตะแครงตัวไปอีกฝั่งของเรือน


นัยน์ตาสีน้ำผึ้งจดจ้องมองไปยังอสุราหนุ่มอีกตนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นเรือน ใบหน้าคมคร้ามหลับพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะพิษไข้ แผ่นอกแกร่งดั่งหินผาไหวขึ้นลงไปตามจังหวะของการหายใจ กายสีชาดระเรื่อต้องแสงนวลของเปลวไฟจากตะเกียงน้ำมัน


"แผลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"


เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาจากทางด้านหลังทำให้เจ้าแก้วต้องหันกลับไปมองคู่สนทนา


"ที่โดนเสือตะปบน่ะหรือจ๊ะ"


               วิรุณพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนสายตาคมจะทอดมองไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์ของมนุษย์ตรงหน้าที่อยู่ในระยะประชิด


ไออุ่นและกลิ่นหอมเจือจางที่อบร่ำอยู่รอบร่างที่เล็กกว่าทำให้บรรยากาศรอบกายผ่อนคลายลงได้อย่างน่าประหลาด ส่งผลให้เปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นเริ่มจะปิดลงทุกขณะ


“เจ็บมิใช่น้อยเลยล่ะพี่ยักษ์”


               เสียงหัวเราะแหบพร่าของเด็กหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างติดขบขันในวีรกรรมของตนเอง


“ขอบพระคุณอีกครั้งนะจ๊ะ ที่มาช่วยฉันเอาไว้”


               รอยยิ้มแสนซื่อถูกส่งมาให้ก่อนมันจะหันหลังกลับไปนอนตะแครงดังเดิม


วิรุณไม่ได้กล่าวอะไรออกไปรบกวนการพักผ่อนของอีกฝ่ายอีก อสุราหนุ่มทำเพียงแค่นอนมองแผ่นหลังของมนุษย์ตรงหน้าที่ขยับตามจังหวะการหายใจที่เริ่มสม่ำเสมอแสดงให้เห็นว่าเจ้าแก้วได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 เขาตกอยู่ในห้วงคะนึงนึกคิดของตนอยู่เพียงครู่...จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเปลือกตาที่พยายามฝืนมาตลอดหลายชั่วยามนี้เริ่มจะหนักอึ้งขึ้นเกินที่จะทัดทานไหว ก่อนรองทัพอสุราจะเข้าสู่ห้วงนิทราตามไปอีกตน..



_______________



ช่วงนี้คงทิ้งช่วงนานหน่อยนะคะเพราะใกล้ส่งโปรเจคและสอบมิดเทอมแล้ววว

อาจจะมาช้านิดๆจนถึงช้ามากๆ แต่จะมาแน่นอน

เลยมาบอกทุกๆคนไว้ก่อนค่ะ ว่าจะขอตัวไปทำกิจหลักก่อนเน้อออ  :z10: :z10:

อย่าพึ่งเทเจ้าแก้วกันนะจ๊ะ /ออดอ้อนเอาหัวซบตัก   

ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคอมเม้นท์ของทุกๆคนนะคะ

เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้าาา <3  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๑๐/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 10-02-2018 07:56:21
ชอบมว๊ากกก…  :m1:


รอตอนต่อไป    :teach:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๑๐/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 10-02-2018 08:33:18
รอจ้า
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๑๐/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 10-02-2018 08:34:36
สนุกรอตอนต่อไปเด้อค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๒ - เจ้าแก้ว : ๑๐/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 10-02-2018 11:54:40
รออ่านแยู่นพคะ ชอบยักษ์กับมนุษย์ตัวน้อยแบบนี้ น่ารักดี
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๓ - แปรเปลี่ยน : ๑๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 16-02-2018 10:05:15
แปรเปลี่ยน

.

.

.
สิ้นเสียงคำรามของอสุนิบาตท้องนภาพลันปกคลุมไปด้วยเมฆาทมิฬ สิงสาราสัตว์ล้วนแตกฮือไปคนละทิศเมื่อเสียงกึกก้องของกองทัพยักษ์เคลื่อนขบวนเข้ามาใกล้ประตูเมืองนครคีรี บรรดาเหล่ายักษายักษีทั้งหลายต่างอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน แม้กระทั่งลูกเด็กเล็กแดงก็วิ่งกลับเข้าเรือนกันเสียจ้าละหวั่น

เรือนกายสูงใหญ่ของจอมอสุราทรงอยู่บนหลังอาชาศึกสีนิล กลิ่นอายความน่าเกรงขามแผ่กำจายไปทั่วผืนแผ่นดินของปัจจามิตร เมื่อขบวนทัพหยุดนิ่งสนิททหารเอกขององค์รามสูรก็ได้ควบอาชาศึกออกมาบริเวณด้านหน้าขบวนทัพพร้อมกับแจ้งพระประสงค์ขององค์ยุพราชแก่เหล่าทหารเวรยามหน้าประตูเมือง

"องค์รามสูร ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์ มีพระประสงค์ที่จักเข้าเฝ้าท้าวภารตา จงรีบนำความไปถวายแด่พระองค์เสีย"

เสียงทรงอำนาจของยักษ์วัยฉกรรจ์กล่าวขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามของท้องนภา สร้างความหวั่นวิตกให้แก่ฝ่ายตรงข้ามอยู่ไม่น้อยเพียงแค่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามก็ขนลุกขนพองไปตามๆ กัน เหตุเพราะเมืองปัจจามิตรของนครคีรีนั้นได้ขึ้นชื่อด้านการรบและศึกสงครามอีกทั้งยังมีแม่ทัพนายหน้าที่เก่งกาจจนไม่มีแว่นแคว้นไหนสามารถต้านทานมหาอำนาจนี้ได้ เหล่าเมืองยักษ์ทั้งน้อยใหญ่ต่างตกเป็นเมืองใต้อาณัติของพวกราชคฤห์ทั้งสิ้น

จะมีก็เพียงแต่นครคีรีนั้นแลที่ยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ให้แก่นครมหาอำนาจแห่งนี้ เพราะมีสองจอมทัพผู้เก่งกล้าคอยออกศึกต้านรับเสมอมาจนบ้านเมืองอยู่ร่มเย็นเป็นสุข แต่แล้วเหตุใดยามนี้เหล่าศัตรูถึงเข้ามาถึงนครคีรีแห่งนี้ได้

“ที่ข้าบอก พวกเจ้าได้ยินรึไม่” วาริทย้ำเสียงกระชากอีกหนด้วยท่าทางไม่พอใจนักที่อีกฝ่ายมัวแต่อ้ำอึ้งไม่รีบทำตามคำสั่ง

“ข..ขอรับ”

ทหารยักษ์ตนหนึ่งที่ตั้งสติได้ก่อนใครเพื่อนขานรับคำ ก่อนจะรีบวิ่งรี่เข้าไปในเขตพระราชฐานเพื่อทูลถวายความแด่องค์จ้าวเหนือหัวตามพระประสงค์ขององค์ยุพราช

“ท้าวภารตา! ท้าวภารตาพ่ะย่ะค่ะ”

ในขณะที่กษัตริย์แห่งนครคีรีกำลังร่วมปรึกษาหารือกับเหล่าเสนาอำมาตย์อยู่นั้น ทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาจนเหล่าสนมและข้าราชบริพารทั้งหลายต้องมุ่งความสนใจไปที่ผู้มาใหม่ และด้วยท่าทีรีบร้อนและดูหวั่นวิตกของนายทหารทำให้ท้าวภารตานึกแปลกพระทัยอยู่ไม่น้อย

อสุราหนุ่มก้มหมอบกราบลงที่พื้นก่อนจะรีบทูลถวายความแด่ผู้ที่ทรงอยู่บนตั่งทอง

"องค์รามสูรยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์มีพระประสงค์ที่จะขอเข้าเฝ้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อหมดพูดจบพลันเสียงคำรามของอสุนิบาตก็ดังกึกก้องไปทั่วจนท้องพระโรงไหวสะเทือน ทั้งที่เพลานี้เป็นช่วงของคิมหันต์ฤดู แต่เหตุใดท้องฟ้าถึงได้วิปริตแปรปรวนเช่นนี้

เมื่อได้สดับรับฟังความจากทหารยักษา ท้าวภารตาก็นึกแปลกพระทัยอยู่ไม่น้อย

เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นตนได้มีคำสั่งให้วศินและวิรุณนำกองทัพยักษาหลายพันตนไปประจำการที่เมืองหน้าด่านเพื่อต้านการรุกรานของพวกราชคฤห์จนถึงยามนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของทั้งสองจอมทัพไม่รู้ว่าได้รับชัยชนะหรือเพลี่ยงพล้ำต่อศึกในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ

แต่ถึงขั้นที่องค์ยุพราชแห่งแดนมหาอำนาจได้เสด็จมาเยือน เห็นทีจักมิใช่เรื่องที่ดีเสียแล้ว

"ประเดี๋ยวข้าจักออกไปพบองค์ยุพราชด้วยตนเอง" กษัตริย์แห่งนครคีรีหันไปตรัสสั่งกับเหล่าข้าราชบริพารยักษ์ แต่ก็ยังมิวายถูกห้ามปรามไว้จากเหล่าเสนาอำมาตย์

"จะเป็นการดีหรือพ่ะย่ะค่ะ หากทางฝั่งราชคฤห์คิดเล่นไม่ซื่อขึ้นมา กระหม่อมเกรงว่าพระองค์จะทรงได้รับภยันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ”

เพราะเพลานี้วศินแลวิรุณนั้นได้นำทัพไปประจำที่เมืองหน้าด่าน เมื่อไร้ซึ่งแม่ทัพใหญ่ทั้งสองในเพลานี้ก็ไม่ต่างกับพยัคฆ์ร้ายที่โดนถอดเขี้ยวเล็บ หากเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นมาก็เกรงว่านครคีรีจะตกอยู่ใต้อำนาจของศัตรูและกษัตริย์ของตนจักพลอยได้รับอันตรายไปด้วย

"เป็นถึงองค์ยุพราช คงไม่กระทำการเช่นนั้นกระมัง รีบไปจัดเตรียมขบวนเสีย อย่าได้ปล่อยให้แขกบ้านแขกเรือนรอนาน"

สิ้นพระสุรเสียงขององค์จ้าวเหนือหัว เหล่าข้าราชบริพานก็รีบเร่งทำตามพระราชโองการทันที

ขบวนเสด็จของกษัตริย์แห่งนครคีรีได้เคลื่อนตัวไปที่ประตูเมืองฝั่งทิศพายัพ เมื่อไปถึงก็พบกองทัพของเหล่าศัตรูเฝ้ารออยู่

องค์รามสูรทอดเนตรมองขบวนเสด็จจนกระทั่งอีกฝ่ายมาหยุดอยู่ด้านหน้า ร่างสูงใหญ่ก็กระโดดลงจากหลังของอาชาศึก ก่อนจะก้าวเดินออกไปเบื้องหน้าพร้อมคุกเข่าลงเพื่อทำความเคารพผู้ที่มีศักดิ์เหนือกว่าตน

"กระหม่อมรามสูร ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์"

"อย่าได้มากพิธีรีตองไปเลยองค์รามสูรลุกขึ้นเสียเถิด" ท้าวภารตาเอ่ยบอกอย่างไม่ถือตัว…เพราะการที่ยุพราชแห่งดินแดนมหาอำนาจจะมาหมอบกราบตนนั้น มันก็อดที่จะประหม่าไม่ได้

"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ"

จอมอสุราค้อมกายอย่างนอบน้อมด้วยกิริยามารยาทที่งดงามสมกับเป็นยุพราชแห่งนครกุมภัณฑ์ที่เรืองอำนาจ หากแต่ในอุรานั้นกลับรุ่มร้อนไปด้วยเพลิงโทสะ

เพราะตลอดช่วงการศึกที่ผ่านมาสองจอมทัพนั้นได้สร้างความเสียหายให้แก่กองทัพราชคฤห์ไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงแม้นทั้งสองฝ่ายจะสูญเสียเหล่าแม่ทัพและทหารกล้าผู้มากฝีมือไปจำนวนมาก หากแต่ทางฝั่งนครคีรีนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมถอยทัพแม้นเพียงกระผีก กระทั่งได้ยิงศรอาบพิษร้ายใส่จอมทัพผู้นั้นหวังจะฉวยโอกาสช่วงที่มันถูกพิษร้ายเล่นงานจัดการปลิดชีพมันเสียให้สิ้นเพื่อประกาศชัยชนะให้แก่ทางราชคฤห์

เพราะการศึกครั้งนี้เขาได้ขออาสาออกนำทัพมายึดเมืองหน้าด่านของนครคีรีและบั่นเศียรของจอมทัพใหญ่ไปถวายแด่พระบิดาให้จงได้ เพื่อเป็นหลักประกันว่าตัวเขานั้นหาใช่เพียงยุพราชที่ไม่ได้ความดังที่พระองค์มักตราหน้าอยู่เสมอมา

ฉะนั้นการเดิมพันครั้งนี้เขาจะแพ้ไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เดรัจฉานวิธีเท่าใดก็ตาม

หากแต่แผนก็ล่มไม่เป็นท่า คราแรกก็หวังเพียงแค่ต้องการเข้ายึดเมืองหน้าด่านของนครคีรีและกำจัดจอมทัพอสุราของแดนศัตรูเท่านั้น แต่การที่จะชนะวศินนั้นหาใช่เรื่องที่ง่ายดายดังที่ใจนึก เพราะยักษ์ตนนั้นเก่งกาจสมคำร่ำลือ มันปลิดชีพแม่ทัพของราชคฤห์เสียจนทหารกองทัพเสียขวัญกำลังใจในการสู้รบ และที่สำคัญหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ตนนั้นที่มันลงมือสังหารก็คือสหายคนสนิทของเขา

เพราะฉะนั้นเพลานี้องค์รามสูรจึงหาได้สนใจเกี่ยวกับการยึดครองดินแดนยักษ์แห่งนี้แต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการที่จะชำระแค้นและปลิดชีพจอมทัพอสุราผู้นั้นด้วยน้ำมือตนเอง

หากมันจะตายในสนามรับนั้นก็หาได้สมแก่ใจเท่าใดนัก สู้ยัดเยียดความผิดที่ร้ายแรงนี้ให้มันก่อนที่จะลาโลกไปเสียยังดีกว่า

บอกแล้วอย่างไร…ว่าแม้นแต่ชื่อเสียงและคุณงามความดีของมันก็จะต้องไม่เหลือไม่ให้ถูกกล่าวถึง

"ว่าแต่องค์รามสูรมีกิจอันใดเล่า ถึงได้เสด็จมาเยือนด้วยตนเอง"

สิ้นคำถามของผู้สูงศักดิ์ อสุราหนุ่มก็แสร้งปั้นหน้าแสดงความลำบากใจขึ้นมาไม่น้อยพร้อมกับกล่าวความเท็จออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก

" กระหม่อมได้รับแจ้งมาจากเหล่าทหารว่าตลอดระยะเวลาของการศึกนั้นจอมทัพใหญ่ทั้งสองของพระองค์ได้ละทิ้งการศึกและละเลยต่อหน้าที่ ปล่อยให้แม่ทัพนายหน้าตนอื่นออกรบแทน เฉกเช่นนี้แล้วในฐานะของชายชาติทหารเห็นทีคงไม่สามารถที่จะเมินเฉยกับเหตุการณ์นี้ได้ กระหม่อมจึงต้องประกาศยุติการศึกไว้เสียก่อน แล้วจึงรีบนำความมาแจ้งให้พระองค์ได้ทรงทราบ"

เมื่อได้สดับฟังสิ่งที่องค์ยุพราชแห่งราชคฤห์บอกกล่าว ท้าวภารตาก็แปลกพระทัยอยู่ไม่น้อย

วศินกับวิรุณน่ะหรือจะกระทำการอุกอาจเช่นนั้น เพราะเท่าที่ผ่านมาอสุราหนุ่มทั้งสองตนล้วนประพฤติตนอยู่ในทำนองคลองธรรมที่ดีมาโดยตลอด แล้วมีเหตุอันใดที่จะต้องประพฤติตนผิดธรรมเนียมการศึกที่ร้ายแรงเช่นนี้

"ที่องค์รามสูรกล่าวมาทั้งหมดนั้นมีหลักประกันความหรือไม่"

เพราะพระองค์ยังไม่แลเห็นเหตุผลแม้นเพียงกระผีกเดียว ว่าเหตุใดจอมทัพสองนั้นจะต้องกระทำการดังที่องค์ยุพราชแห่งแว่นแคว้นปัจจามิตรได้กล่าวหา

"ท่านทรงคิดว่าทางราชคฤห์ใส่ความจอมทัพทั้งสองเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ยุพราชแห่งราชคฤห์แสร้งว่าเสียงแข็งกระด้างกระเดื่องแสดงความไม่พอใจทันทีที่รู้สึกว่าตนนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรม

“หาใช่เช่นนั้นไม่องค์รามสูร ข้าเพียงแค่ต้องการหลักประกันความก็เท่านั้น” ท้าวภารตารีบอธิบายเป็นการใหญ่ เพราะเกรงกลัวในอำนาจของแดนศัตรู

“ไปนำตัวพยานออกมาเสีย”

เมื่อได้ความดังนั้นอสุราหนุ่มก็หันไปสั่งการเหล่าทหาร พลันร่างของยักษาตนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น เรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าเสนาอำมาตย์และข้าราชบริพารได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ก็ยักษาตนนั้นเป็นทหารคนสนิทของทั้งสองจอมทัพอย่างไรกันเล่า

"ที่องค์ยุพราชกล่าวมา เป็นความจริงหรือไม่เจ้ากรรณ" พระพักตร์ของกษัตริย์ทอดมองไปยังทหารยักษาก่อนจะเอ่ยถาม

ในอุราเริ่มจะหวั่นระแวงขึ้นมาไม่น้อย เพราะถ้าหากสิ่งที่องค์รามสูรกล่าวมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง แม้นอสุราหนุ่มสองตนนั้นจะเคยกระทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองไว้มากมาย แต่ถ้าหากคิดคดทรยศต่อพระราชโองการศึก ก็เห็นทีที่จักต้องสำเร็จโทษไปตามกฎระเบียบของกองทัพ

"ทุกสิ่งที่องค์รามสูรตรัสมาล้วนเป็นความจริงทุกประการพ่ะย่ะค่ะ เมื่อประกาศหยุดศึกพระองค์จึงอยากจะขอเจรจาในเรื่องนี้ และเพราะแม่ทัพนายหน้าหลายตนได้รับบาดเจ็บหนักกระหม่อมเลยอาสาที่จะเข้ามายืนยันให้พระองค์ได้ทราบพ่ะย่ะค่ะ”

กล่าวความเท็จออกไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่นเหลือแสน…แม่ทัพนายหน้าที่อ้างถึงก็ได้ล้มตายไปหมดด้วยน้ำมือของพวกราชคฤห์ ทหารยักษ์ทุกตนที่เหลือรอดถูกกำจัดเสียจนสิ้นไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นธุลี จะเหลือก็เพียงเขาที่องค์ยุพราชผู้นั้นเล็งเห็นว่าพอที่จะมีประโยชน์อยู่บ้างทันทีที่รู้ว่าเขาเป็นคนสนิทของจอมทัพทั้งสอง

และแล้วข้อเสนอที่ดูอย่างไรก็เป็นการบังคับนั้นถูกยื่นมาให้ ข้อเสนอที่ว่าก็คือเพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่ต่อ เขาต้องแสร้งแสดงบทบาทไปตามที่องค์ยุพราชของทางราชคฤห์ชักนำคือการมาเป็นหลักประกันความในครั้งนี้ให้กษัตริย์แห่งนครคีรีหลงเชื่อ และพวกมันยังได้ข่มขู่ไว้อีกหนว่าถ้าเขาปริปากถึงแผนการนี้ให้ผู้อื่นได้รับรู้เมื่อใดทั้งชีวิตเมียและลูกของเขาพวกมันก็จะไม่เว้น

ในคราแรกก็นึกบันดาลโทสะอยู่ไม่น้อยที่พวกยักษ์เลวชาติพวกนี้ใช้เดรัจฉานวิธีเฉกเช่นนี้ แต่ทันใดนั้นใบหน้าของครอบครัวก็เด่นชัดขึ้นมาในห้วงคะนึงหา

เป็นเช่นนี้แล้ว จะมีทางเลือกอันใดได้อีกเขาจึงต้องยอมจำนนคล้อยตามอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

เพื่อรักษาสิ่งที่เป็นเสมือนแก้วตาดวงใจไว้ จะให้ทรยศต่อใครเขาก็คงต้องยอม

“แต่ข้าก็ยังมิเห็นเหตุผลที่วศินและวิรุณจักต้องกระทำเช่นนั้น” ท้าวภารตาแย้งขึ้นมาอีกหน

“กระหม่อมก็หาได้รู้ตื้นลึกหนาบางอันใดมากนัก แต่หลังจากที่ท่านทั้งสองได้หายตัวไปกระหม่อมก็ได้รับแจ้งจากนายคลังว่าส่วยอากรบางส่วนและเพชรนินจินดาที่หัวเมืองต่างๆ ส่งมาบรรณาการนั้นได้หายไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ฟังคำยืนยันจากทหารคนสนิทของสองจอมทัพ ในอุราของท้าวภารตาก็เต้นรัวด้วยโทสะ ลืมแม้นกระทั่งคุณงามความดีก่อนหน้านั้นที่ทั้งสองได้เคยสร้างไว้

ถึงแม้นทั้งสองจะประพฤติตนดีมาตลอดแล้วอย่างไรเล่า คนดีก็ใช่ว่าจะคิดชั่วทำชั่วมิได้

อุส่าไว้เนื้อเชื่อใจให้ทั้งสองจอมทัพไปดูแลเมืองหน้าด่านเพราะเห็นว่าทั้งสองนั้นซื่อสัตย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างไม่เคยบกพร่อง แต่ในเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือพวกมันกลับคิดคดกระทำการเลวชาติเช่นนี้ นี่หรือคือการตอบแทนผู้มีพระคุณของพวกมัน!

องค์รามสูรสังเกตเห็นสีหน้าที่เริ่มไม่สู้ดีนักของกษัตริย์แห่งนครคีรี จึงรีบถือโอกาสแสร้งเอ่ยสำทับอีกหน

“ครั้นราชคฤห์จะแสร้งประกาศชัยชนะศึกครั้งนี้ไปเลยเสียก็ย่อมได้ แต่ชัยชนะที่ได้มาเพราะความบกพร่องในหน้าที่ของตัวแทนพระองค์นั้นเห็นทีคงจะไม่สามารถที่จะรับมันมาด้วยความภาคภูมิใจเท่าใดนัก แม้นจะเป็นเพียงศัตรูคู่อริกัน แต่ในศักดิ์ศรีของชายชาติทหารนั้น กระหม่อมก็เล็งเห็นได้ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่สามารถที่จะปล่อยปละละเลยได้พ่ะย่ะค่ะ”

ก็จริงดังที่องค์รามสูรได้ศึกกล่าวมา ว่าถ้าหากกรุงราชคฤห์จะฉวยโอกาสถือว่าการศึกครั้งนี้ตนนั้นเป็นผู้ชนะก็ย่อมได้ แต่การที่องค์ยุพราชมาขอเจรจาเพราะไม่สามารถที่จะยอมรับความบกพร่องในการศึกเช่นนี้ได้ ก็ถือว่ายังให้เกียรติคู่ศึกอยู่มาก

ถึงแม้นจะเป็นศัตรูกัน แต่ก็ยังถือยึดมั่นอยู่ในกฎการศึกอย่างที่ชายชาติทหารควรทำ

แล้วเหตุใดจอมทัพสองตนนั้นถึงได้กระทำการไม่ไว้หน้าองค์เหนือหัวของพวกมันเยี่ยงนี้!

"ทางนครคีรีหาได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ขอให้องค์รามสูรทรงวางพระทัยเถิด”

ท้าวภารตายอมโอนอ่อนในที่สุด จนอีกฝ่ายนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจที่แผนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

"หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมคงจะต้องรออยู่ที่นี่เพื่อสะสางคดีความนี้ด้วยตนเอง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทางนครคีรีจะไม่ปล่อยปละละเลยความผิดในครั้งนี้"

องค์รามสูรแจ้งความจำนงออกไปจนผู้ที่สูงศักดิ์กว่านั้นสีหน้าซีดเผือดลงไปไม่น้อย หากยื่นข้อเสนอมาเช่นนี้แล้วมีหรือที่จะกล้าปฏิเสธ เมื่อดวงตาคมของจอมอสุราเห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของฝ่ายตรงข้าม จึงเอ่ยดักขึ้นมาเสียก่อน

“วางพระทัยเถิด กระหม่อมเพียงแค่อยากจะอยู่รอสะสางความผิดตามธรรมเนียมกฎการศึก หาได้มาถือโอกาสนี้ข่มเหงรังแกเข้าบุกยึดนครคีรีแต่อย่างใด เมื่อเสร็จสิ้นกระหม่อมจะได้นำความไปถวายต่อพระบิดาว่าการศึกในครั้งนี้ยุติลงเพราะเหตุใด ท่านภารตาทรงอย่าได้เป็นกังวล”

เมื่อได้ฟังความจากอสุราหนุ่มผู้นั้นท้าวภารตาก็เกิดความละอายต่อใจไม่น้อย ถึงขั้นองค์ยุพราชแห่งเมืองมหาอำนาจยอมล่าถอยทัพขอเข้าเจรจาด้วยสันติวิธี ไร้ซึ่งท่าทีคุกคามข่มเหง แล้วมีหรือที่พระองค์จะกล้าปฏิเสธ

“เช่นนั้นก็ตามที่องค์รามสูรได้กล่าวไปเถิด”

เมื่อได้ความดังที่ปรารถนา ขบวนทัพของราชคฤห์ก็เคลื่อนขบวนเข้าสู่เขตเมืองนครคีรี เหล่านายทหารยักษ์ที่เหลือรอดกระจายอยู่ทั่วตัวเมืองตามคำสั่งของนายเหนือหัว ส่วนตัวองค์รามสูรและทหารเอกก็ได้เข้าไปพำนักที่ตำหนักรับรองตามคำของกษัตริย์แห่งนครคีรี เหล่าข้าราชบริพานวิ่งวุ่นจัดเตรียมตำหนักกันจ้าละหวั่นเพราะการมาอย่างกะทันหันของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

ทางด้านฝั่งในท้องพระโรงกว้าง ท้าวภารตาทรงประทับอยู่บนตั่งทองถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าข้าราชบริพานมากหน้าหลายตาแต่ทุกคนกลับนั่งเงียบไม่แม้นแต่จะกล้าหายใจออกมาแรงๆ ให้ระคายเคือง

ยักษาวัยกลางนั่งเคร่งเครียดไม่แม้นที่จะโวยวายหรือดุด่าพาโลอื่นใด เส้นโลหิตข้างขมับเต้นตุบแสดงให้เห็นว่าเพลานี้ไฟโทสะนั้นได้ครอบงำองค์จ้าวเหนือไว้จนสิ้น ทันใดนั้นเองสุรเสียงตวาดขึ้นจนทำให้เหล่าสนมและข้าราชบริพารอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน

"เจ้าสองตนนั้นกล้ากระทำการเลวชาติเช่นนี้ได้อย่างไร! "

“ขอให้พระองค์พระทัยเย็นก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าคนสนิทต่างเอ่ยปรามอย่างเป็นห่วงเป็นใย เพราะเกรงว่านายเหนือหัวจะเครียดกับเหตุการณ์ครั้งนี้จนล้มป่วยเอาได้

“จะเย็นอยู่ได้เยี่ยงไร พวกมันกล้ากระทำการงามหน้าให้ศักดิ์ของบ้านเมืองโดนเหยียบย่ำเช่นนี้ เห็นทีข้าคงจะปล่อยไว้ไม่ได้”

สุรเสียงที่ถูกปรับให้เบาลงแต่ในเนื้อเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเยียบเย็นเหลือแสน

“อย่างไรกฎก็ต้องเป็นกฎ มันคิดจะหลบหนีความผิดในครั้งนี้ เห็นทีจะต้องมีผู้รับผิดชอบแทน”

บุคคลนั้นก็คือ…คนที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของวศินจอมทัพอสุราอย่างไรกันเล่า

“…”

“ในระหว่างนี้ไปนำตัวเจ้าวิรัล อนุชาของจอมทัพวศินมาลงโทษเสีย โบยจนกว่ามันจะสลบแล้วนำตัวไปขังไว้ที่คุกอย่าให้ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ให้มันชดใช้ในสิ่งที่พี่ของมันได้กระทำไว้!”

สิ้นคำสั่งขององค์จ้าวเหนือหัวเหล่านายทหารก็ขานรับคำก่อนจะรีบปฏิบัติตามคำสั่งทันที คล้อยหลังไม่นานนักท้าวภารตาก็หันไปตรัสกับทหารคนสนิทของสองจอมทัพที่หมอบกราบอยู่ไม่ไกลนัก

“ส่วนเจ้าก็กลับบ้านกลับเรือนไปพักเสียก่อนสักสองสามวัน หลังจากนั้นสักสองสามวันประเดี๋ยวข้าจะส่งนายทหารไปตามตัวมา”

เจ้ากรรณขานรับคำอย่างแข็งขัน พร้อมกราบทูลลา ทันทีที่พ้นจากเขตพระราชฐานร่างสูงใหญ่ของยักษาวัยฉกรรจ์ก็ทิ้งตัวนั่งพิงกำแพงอย่างอ่อนล้า ในใจก็นึกบริภาษจนอยู่ไม่น้อยที่กล้าทรยศหักหลังมิตรสหาย แต่เมื่อนึกถึงหน้าเมียและลูกที่เฝ้ารออยู่นั้น จึงทำได้เพียงแค่ข่มความรู้สึกทรมานนี้ไว้ลึกสุดใจและเดินหน้าต่อไปในเส้นทางที่ชั่วช้าเหลือแสน

พี่ทั้งสอง…ข้าขอโทษที่คิดคดทรยศต่อพวกท่าน



             


มีต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๓ - แปรเปลี่ยน : ๑๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 16-02-2018 10:07:11
ย่างเข้าสู่วันที่สามที่สองอสุราหนุ่มเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมชายคากลางไพร นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เจ้าแก้วได้ทำการดูแลอสุราอีกตนที่ยังคงไม่ฟื้นจากห้วงนิทรา เริ่มจากการเช็ดตัวทำความสะอาดให้ร่างสูงใหญ่เพราะเกรงว่าหยาดเหงื่อที่ผุดซึมขึ้นมาตามเนื้อตัวนั้นจะไปสร้างความรำคาญให้แก่อสุราหนุ่ม หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำความสะอาดแผลที่บริเวณแผ่นอกกว้าง ก็ได้ยินเสียงเรียกของครูบุญที่ร้องเรียกมาจากใต้ถุนเรือเสียก่อน เด็กหนุ่มจึงละมือออกจากสิ่งตรงหน้าแล้วรีบเดินลงไปหาทันที

“ว่าอย่างไรหรือจ๊ะพ่อครู”

“ข้าจะพาท่านวิรุณไปพบพระอาจารย์สักหน่อย ส่วนเอ็งก็อยู่ที่นี่คอยดูอาการของท่านวศินให้ดี”

“จ้ะพ่อครู”

เจ้าแก้วรับคำอย่างว่าง่าย แต่ทันใดนั้นเองร่างของคนที่มาใหม่ก็เดินดุ่มๆ เข้ามาในเขตเรือนเรียกสายตาทั้งสามคู่ให้หันไปมอง…พี่กล้ากลิ่นเหล้าคลุ้งมาเชียว สงสัยพึ่งสร่างเมามาจากบ้านพี่มิ่งเป็นแน่แท้

ไอ้กล้าตัวสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นสายตาขอพ่อเฒ่ามองมาที่มันอย่างหมายมาดคาดหัว…ไอ้ขี้เมาหยำเป เห็นทีจะต้องดัดสันดานกันจริงๆ จังๆ เสียแล้ว

“อีกแล้วนะเอ็ง ข้าบอกข้าสอนไปนี่เคยจำบ้างไหม”

เสียงดุด่าพาโลของชายชราดังขึ้นอย่างเช่นเคย ไอ้กล้าทำเพียงแค่ยิ้มรับอย่างหวาดหวั่นก่อนจะค่อยๆ เลียบเคียงขอตัวไปฝึกซ้อมให้เด็กๆ หากแต่โดนชายชราเอ่ยดักห้ามไว้เสียก่อน

“วันนี้เอ็งไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ไปล้างหน้าล้างตาเสีย แล้วไปหาพระอาจารย์กับข้า”

“ไปหาหลวงตา? ไปทำอันใดหรือจ๊ะพ่อครู” ชายหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้

“ถามมากนะเอ็งนี่ ประเดี๋ยวท่านวิรุณรอนาน รีบไปรีบมา”

“จ้าๆ” ไอ้กล้ารีบขานรับก่อนจะวิ่งโร่ไปทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว…จะไม่ให้รีบได้อย่างไร ก็ฝ่าเท้าของครูเฒ่าที่กำลังวังชายังคงล้นเหลือจะยกขึ้นมาถีบมันอยู่รอมร่อแล้ว!

“พี่ยักษ์แผลสมานดีแล้วหรือจ๊ะ” เสียงของเจ้าแก้วดึงความสนใจของอสุราหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ให้ก้มลงมามอง

“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจเจ้ามาก”

วิรุณเอ่ยขอบคุณเด็กหนุ่มตรงหน้า นึกซาบซึ้งในน้ำใจของมันอยู่ไม่น้อย ก็ตลอดสามวันที่ผ่านมาเจ้าเด็กนี่วิ่งวุ่นดูแลทั้งเขาและเจ้าวศินอยู่ไม่ห่าง ทั้งทำแผลและประคบยาต่างๆ นาๆ จนแทบจะไม่ได้ทำสิ่งใด

แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวฝ่ามือใหญ่ก็เอื้อมไปหาหมายที่จะวางลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มหากแต่ต้องหยุดชะงักไว้เมื่อเสียงของเจ้ากล้าเอ่ยแทรกขึ้นมา ทำให้วิรุณต้องชักมือกลับเมื่อรู้สติ…เขาจะลูบหัวเจ้าแก้วเช่นนั้นหรือ นึกเอ็นดูในตัวของมนุษย์ผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

“ไปกันเถิดจ้ะ”

เสียงทุ้มห้าวเอ่ยบอก...หากเพียงสังเกตให้ดีแล้ว เสียงนั่นติดจะกระชากอยู่หน่อย ไอ้กล้าเดินเข้าไปถือของช่วยครู หากแต่ดวงตาคมกล้าของมันก็ได้มองไปที่อสุราอีกตนอย่างไม่พอใจนัก เพราะมันไม่ได้นึกจะเป็นมิตรกับไอ้ยักษ์สองตนนั้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว โดยเฉพาะไอ้ตนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างพ่อครู เมื่อสักครู่นี้เขาดันเดินกลับมาเห็นพอดีว่ามันกำลังจะลูบหัวไอ้แก้ว

ไม่ได้นึกหวงหรืออะไรหรอกเพราะไอ้แก้วมันก็เป็นบุรุษเช่นเดียวกับเขา เพียงแค่ไม่ชอบใจนักที่คนอื่นจะมาแตะต้องน้องของมันก็เท่านั้น

“เสียงเขียวเชียวนะเอ็ง...ท่านวิรุณอย่าได้ถือสามันเลย ไอ้หมาบ้านี่มันหวงน้องมันมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากข้าแล้วคนอื่นนี่แตะต้องไม่ได้เชียว”

ปฏิกิริยาของลูกศิษย์คนเก่งอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด ชายชราทอดถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนกับความขี้หวงของไอ้คนพี่...เก่งดีนักไอ้นี่ แม้กระทั่งกับยักษ์ก็เก่งไม่หยุดหย่อน

“หมาบ้าอันใดกันเล่าครู”

บ่นเสียงเล็กเสียงน้อยใส่จนครูเฒ่าต้องประเคนฝ่าเท้าเข้าสีข้างอย่างจัง ทำให้หน้าเกือบคว่ำคะมำไปจับกบบนพื้นเสียแล้ว

“กวนประสาทดีนัก” ครูบุญว่าสำทับอีกหน

เสียงหัวเราะคล้ายจะขบขันเสียเต็มประดาจากคนน้องทำให้ไอ้กล้าต้องหันไปประเคนฝ่ามือใส่เจ้าแก้วจนหัวคลอน เรียกว่าแตะเบาๆ ให้พอระคายเคืองเสียดีกว่า มันกล้าทำให้น้องมันเจ็บเสียที่ไหนกันเล่า อีกประการหนึ่งก็ห่วงสีข้างของตนอีกเช่นกัน...ฝ่าเท้าพ่อเฒ่านี่หนักเอาการ

“ยิ้มอันใด”

ตาคมกล้าตวัดไปมองยักษาอีกตนที่ระบายยิ้มออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง...แม้นจะเพียงนิดเดียวแต่เขาก็เห็นว่าไอ้ยักษ์ตนนี้กำลังกลั้นขำเขาอยู่

วิรุณไหวไหล่อย่างไม่สนใจเสียงโวยวายของชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเดินตามครูบุญออกไปจากเขตเรือนคล้อยหลังก็ได้ยินเสียงไอ้กล้าส่งเสียงฮึดฮัดตามมาอย่างไม่พอใจ ยิ่งมันก่นด่าฟ้าลมไปทั่วก็ยิ่งทำให้อสุราหนุ่มนึกระอาในความบ้าบอของมัน...เหมือนหมาบ้าอย่างที่ครูบุญว่าจริงๆ นั่นแล

คล้อยหลังทั้งสามเจ้าแก้วก็กลับขึ้นไปบนเรือนอีกหนก่อนจะหอบตำรับตำราสมุนไพรทั้งหลายของครูบุญออกมาศึกษาเฉกเช่นทุกวัน เพราะคลุกคลีมาตั้งแต่เด็กอีกทั้งครูบุญยังคอยบอกคอยสอนจึงทำให้มันพออ่านตำราบางเล่มได้ทั้งๆ ที่ชาวบ้านทั่วไปนั้นส่วนมากหาได้สนใจเรื่องตำรับตำราเท่าใดนัก

เด็กหนุ่มนั่งจมจ่อมไปกับตำราเวชศาสตร์ตรงหน้าอย่างมีสมาธิจนไม่ทันได้สังเกตถึงอีกร่างที่ขยับกายเคลื่อนไหว

เสียงทุ้มต่ำคราเครือด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นแผ่วเบา เนื่องจากไม่สามารถที่จะเคลื่อนขยับกายได้อย่างที่ใจต้องการ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนักเพราะรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว สร้างความหงุดหงิดให้แก่อสุราหนุ่มไม่น้อย จะพยายามลุกขึ้นนั่งก็ต้องกลับลงไปนอนซมอยู่ที่เดิมทันทีเมื่อกระดูกที่ยังไม่สมานตัวดีเริ่มเขยื้อน

“ฟื้นแล้วหรือจ๊ะ”

เสียงตื่นเต้นระคนดีใจของเด็กหนุ่มแปลกหน้าเอ่ยถาม ดึงความสนใจของอสุราหนุ่มให้หันไปมองอย่างเสียมิได้ ทันทีที่เจ้าแก้วสังเกตเห็นยักษาตนนี้ฟื้นจากนิทราก็ปรี่เข้ามาดูอาการอย่างว่องไว

“เจ้าเป็นใคร”

น้ำเสียงทุ้มน่าเกรงขามเอ่ยถาม ทำเอาเด็กหนุ่มอดที่จะหวาดหวั่นในอกมิได้...ตอนหลับก็ว่าน่ากลัวแล้วพอฟื้นขึ้นมา แม้แต่ใบหน้าคมคร้ามนั่นก็ยังไม่กล้าแม้แต่ที่จะมองเสียด้วยซ้ำ...

“เอ่อ..” ทำอย่างไรดี...กลัวจนคิดคำพูดไม่ออกเสียแล้ว

“ข้าถาม ได้ยินรึไม่”

อสุราหนุ่มถามเสียงเรียบเฉกเช่นเดิม หากแต่ในสายตาของมนุษย์นั้นช่างดูน่าหวั่นเกรงเหลือแสน เจ้าเด็กตรงหน้าสะดุ้งก่อนจะพรั่งพรูคำพูดออกมาเสียจนฟังแทบไม่ทัน

“ฉ...ฉันชื่อแก้วจ้ะ เป็นศิษย์ของครูบุญ ตอนนี้พ่อครูกับพี่ยักษ์วิรุณไม่อยู่ออกไปหาหลวงตาที่เชิงเขาด้านนู้น...ส..ส่วนตัวท่าน พ่อครูบอกให้ฉันมาเฝ้าดูอาการไว้จ้ะ แล้ว…แล้วก็เมื่อสักครู่นี้เป็นเพราะกระดูกแขนขวาของท่านนั้นได้รับแรงกระแทกจนแตกหัก อย่าพึ่งเคลื่อนตัวมากนะจ๊ะประเดี๋ยวจะเจ็บตัวเอา”

เมื่อรัวคำพูดออกไปยาวเหยียดทำให้เด็กหนุ่มต้องกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เมื่อกี้เจ้าพูดถึงวิรุณเช่นนั้นหรือ”

“ใช่จ้ะ พี่ยักษ์ที่มีนามว่าวิรุณ”

“มันยังมีชีวิตอยู่เช่นนั้นหรือ”

คำถามของอสุราหนุ่มสร้างความงุนงงให้เจ้าแก้วไม่น้อย แต่มันก็ทำเพียงแต่พยักหน้าตอบรับเพื่อยืนยันคำถามเท่านั้น

อสุราหนุ่มทอดถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ได้ความจากเด็กหนุ่มตรงหน้าว่าสหายตนนั้นมิได้โดนองค์รามสูรปลิดชีพหลังจากที่เขาหมดสติไป แต่แล้วเหตุใดยามนี้ถึงมาอยู่ที่เมืองมนุษย์เสียได้

“แล้วเหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” วศินถามอย่างนึกสงสัย

“เมื่อสามวันก่อนฉันไปเจอพวกท่านอยู่กลางป่า เห็นว่าท่านทั้งสองได้รับบาดเจ็บหนักจึงพากลับมารักษาที่นี่จ้ะ”

ใบหน้าคมคร้ามพยักหน้าตอบรับ หากแต่ในใจก็ยังไม่คลายความสงสัย จะให้ไว้ใจคนแปลกหน้าเช่นนี้ง่ายๆ ได้อย่างไร

แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามอะไรออกไปอีกหน เด็กหนุ่มตรงหน้าก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อน

“ประเดี๋ยวฉันลงไปต้มยามาให้นะจ๊ะ”

เจ้าแก้วรีบขอตัวออกมาจากเรือนทันทีที่ทนบรรยากาศกดดันจากอสุราหนุ่มตนนั้นไม่ได้ ถึงแม้นจะไม่ได้ตะคอกเสียงดังหรือดุด่าอะไร แต่เพียงแค่สายตาคมและเสียงทุ้มต่ำที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็ทำเอาใจสั่นเพราะความหวั่นเกรงได้ไม่หยอก

คล้อยหลังเด็กหนุ่มมนุษย์ จอมทัพอสุราก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของตนอย่างวิตกกังวลอยู่ไม่น้อย

ทั้งห่วงบ้านเมืองที่ไม่รู้ป่านนี้ชะตากรรมจะเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาสูญหายมาอย่างนี้

แต่ที่เขานึกห่วงยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมดทั้งมวลก็คือเจ้าวิรัลผู้เปรียบเสมือนเป็นแก้วตาดวงใจของเขา

'ศึกครั้งนี้พี่ไม่ไปไม่ได้หรือ'

เจ้ายักษ์น้อยเข้ามากอดแขนเขาไว้...วศินดึงร่างของน้องน้อยเข้ามากอดอย่างแสนรัก น้องมักจะเป็นเช่นนี้เสมอยามที่เขาต้องจากบ้านเมืองไปปฏิบัติหน้าที่ ถึงแม้นใจจะไม่อยากจากไปแม้แต่เพียงวินาทีเดียว...หากแต่เพราะภาระหน้าที่จะให้ละทิ้งการศึกไปก็เห็นทีจะไม่ได้

'มันเป็นหน้าที่ที่พี่ต้องทำเจ้าก็รู้'

'แต่...แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าศึกครั้งนี้จะพรากเราให้จากกัน...ข้ากลัว' เสียงสั่นเครือนั่นเอ่ยออกมาอย่าน่าสงสาร จอมทัพอสุราตระกองกอดร่างที่เล็กกว่าไว้แนบอกด้วยสองแขนแกร่ง ภายในใจก็เจ็บแปรบขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของน้อง เป็นถึงจอมทัพใหญ่มีหน้าที่คอยปกป้องบ้านเมือง แต่ไม่สามารถที่จะอยู่ปกป้องคนที่ตนรักได้แม้สักเพียงนิด

เพราะไม่ว่าอย่างไร หน้าที่และความรับผิดชอบต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ

'ขอเพียงเจ้ารอพี่อยู่ที่นี่ เมื่อศึกครั้งนี้จบลง...พี่จะรีบกลับมาหา เข้าใจรึไม่ เจ้ายักษ์น้อย’

ภาพสุดท้ายของห้วงความคิดคือเจ้าวิรัลโวยวายเสียงดังเหตุเพราะไม่ชอบให้ผู้พี่เรียกขานตนเฉกเช่นตอนเด็ก แต่ก็ยังมิวายพร่ำบอกเขาก่อนที่จะหันหลังออกไปร่มขบวนทัพ ว่าน้องจะรอการกลับมาหาของพี่ยักษ์ใหญ่...พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน

เจ้าแก้วเดินกลับขึ้นมาบนเรือนอีกครั้งหลังจากใช้เวลาลงไปใต้ถุนเรือนอยู่นานโข เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาของมนุษย์ที่เหยียบลงบนพื้นเรือนดึงความสนใจของชายหนุ่มให้ออกจากห้วงคะนึงหา เด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะคุกเข่าลงข้างๆ

“ยาจ้ะ”

เจ้าแก้วยื่นหม้อดินเผาขนาดเล็กให้ หากแต่ยักษาตรงหน้ากลับมิได้รับไว้ จึงทำให้มันเริ่มทำตัวไม่ถูกอีกคราเมื่อโดนสายตาดุดันนั่นจ้องมองมาอย่างไม่วางตา

“...”

“รับไปสิจ๊ะ”

“...”

“ยานี้เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับพิษออกจากตัวท่าน...มิใช่ยาเบื่อยาเมาที่ไหน วางใจเถอะจ้ะ”

ใบหน้าพาซื่อนั่นฉายแววกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด วศินพยักหน้ารับก่อนฝ่ามือใหญ่จะเอื้อมไปรับหม้อดินเผานั่นมาดื่มจนหมดเพื่อตัดความรำคาญ...หาได้รำคาญในตัวมนุษย์ตรงหน้า หากแต่รำคาญตนเองที่เผลอตัวไปจ้องมองอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

เขานึกแปลกใจตนเองอยู่ไม่น้อยเพราะมนุษย์ตรงหน้ารูปโฉมรึก็หาได้งดงามเสียจนต้องหยุดมอง ร่างกายที่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ายังไม่เจริญพันธุ์เข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัวหาได้มีที่ใดน่าพิสมัยสักเพียงนิด อีกทั้งดวงตาข้างหนึ่งที่ยังมีผ้าพันปิดไว้เสียเกือบครึ่งหน้า…มันช่างห่างไกลจากคำว่ารูปงามไปมากโข

หากแต่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับมีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดเสียจนทำให้จอมทัพอสุรามิสามารถที่จะถอนสายตาออกไปไหนได้ เมื่อยามที่ได้จ้องมองเข้าไปในดวงเนตรสีน้ำผึ้งนั่นคล้ายจะถูกสะกดให้ต้องมนต์จนไม่รู้สติ หรืออาจเป็นเพราะคะนึงหาเจ้าวิรัลมากเกินควร…เจ้ายักษ์น้อยนั่นอายุอานามก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเด็กหนุ่มมนุษย์ผู้นี้

ก็คงมิแปลกอันใดถ้าหากมองแล้วจะพานทำให้หวนนึกถึงเจ้ายักษ์น้อยของเขา

“เจ้าเป็นคนดูแลข้ามาตลอดทั้งสามวันอย่างนั้นหรือ”

เสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ เจ้าแก้วสะดุ้งนิดหน่อยด้วยความตกใจ ปฏิกิริยาเช่นนั้นของเด็กหนุ่มยิ่งสร้างความหงุดหงิดให้อสุราหนุ่มขึ้นไปอีก…จะหวาดกลัวอันใดนัก

“ม…ไม่ใช่หรอกจ้ะ ที่ผ่านมาศิษย์อีกคนของครูบุญนั้นคอยดูแลท่านอยู่ เพียงแต่วันนี้เขามิว่าง ครูบุญจึงวานให้ฉันมาเฝ้าแทนจ้ะ”

เพราะสีหน้าที่ดูหงุดหงิดเสียเต็มทีของอีกฝ่าย ทำให้เจ้าแก้วต้องโป้ปดคำโตออกไป

มันนึกหวาดหวั่นไปเสียหมดถ้าหากจะต้องบอกความจริงออกไปว่าที่ผ่านมานั้นเป็นมัน ที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ทุกวันไม่ห่างกาย

เกรงว่าหากอสุราหนุ่มผู้นี้ต้องมารับรู้ว่าโดนมันคอยดูแลอย่างใกล้ชิดมาตลอดสามวันจะพาลนึกไม่ชอบใจเอาได้

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับกลับมาอีกเช่นเคย เจ้าแก้วจึงได้โอกาสขออนุญาตทำแผลให้เพราะวันนี้รอยแผลฉกรรจ์บริเวณแผ่นอกแข็งแกร่งนั่นยังไม่ได้ทำความสะอาดเลยแม้แต่น้อย วศินไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้ารับเป็นเชิงอนุญาต พอได้ความดังนั้นเด็กหนุ่มก็ไปจัดเตรียมยาและผ้าพันแผลด้วยความรวดเร็ว

ระหว่างการทำแผลเจ้าแก้วไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนนั้นได้ตกอยู่ในสายตาคมกล้าของอีกฝ่ายตลอดเวลา

วศินก้มมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ตั้งอกตั้งใจทำแผลให้เขาอยู่ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งนั่นทอแสงอ่อนลงเล็กน้อย จมูกโด่งรั้นที่ช่างรับกันกับริมฝีปากรูปกระจับสวยเม้มเข้าหากันนิดหน่อย กายอุ่นที่มีกลิ่นหอมเย็นของสมุนไพรนานาชนิดนั้นทำให้จิตใจสงบลงได้อย่างน่าประหลาด

กลิ่นหอมเช่นนี้…คล้ายกับกลิ่นหอมที่คุ้นเคยในห้วงของความฝัน

ไหนจะสัมผัสจากน้ำหนักมือที่นุ่มนวลเช่นนี้อีก

ถึงแม้นจะหลับใหลแต่ประสาทสัมผัสทุกส่วนนั้นยังคงทำงานได้อย่างดี

แล้วเหตุใดจะไม่รู้ว่าตลอดสามวันที่ผ่านมาใครคือคนที่คอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ กับเขา

“ขอโทษนะจ๊ะ”

ผ้าสีขาวถูกสอดเข้ามาใต้วงแขนอ้อมไปพันตัวช่วงอกไว้ แต่ด้วยเพราะขนาดตัวที่ห่างกันอยู่มากเจ้าแก้วจึงจำเป็นต้องคุกเข่าแล้วโน้มเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้

มันพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เนื้อตัวของมันไปโดนกายท่านยักษาให้ระคายผิว หากแต่อีกฝ่ายดูจะไม่ให้ความร่วมมือสักเพียงนิด ใบหน้าคมคร้ามหันเข้าหากายอุ่นของมนุษย์ตรงหน้าอย่างจงใจเสียงลมหายใจร้อนระอุที่ดังผะแผ่วอยู่บริเวณช่วงกกหูทำให้เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อขึ้นมาฉับพลัน

น้ำเสียงทุ้มต่ำอันน่าเกรงขามของอสุราหนุ่มทำให้เจ้าแก้วของครูบุญนั้นลมหายใจสะดุดอย่างรุนแรง โลหิตในกายวิ่งพล่านไปทั่วคล้ายกับโดนพิษร้ายเข้ามาแผดเผาร่าง แต่ประโยคถัดมาของร่างสูงใหญ่ที่เอื้อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำอยู่ใกล้ชิดทำให้ภายในอกเต้นระรัวจนได้ยินเสียงอึกทึกดังไปทั่วทั้งโสตประสาท

“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์นั้นประสาทสัมผัสดีกว่ามนุษย์อยู่มาก”

“…”

“แล้วในระหว่างที่หลับ”

ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดอยู่ใกล้ๆ ทำให้เจ้าแก้วเข้าใจในความหมายที่อสุราหนุ่มตนนี้ต้องการจะสื่อทันที

พลันใบหน้าคมคายก็เห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“…”

คิดว่าข้าจะจำไม่ได้เช่นนั้นหรือ

…เป็นเพียงมนุษย์หน้าซื่อ กล้าดีอย่างไรมาโป้ปดจอมทัพอสุราผู้นี้กัน




ไว้เจอกันตอนหน้าค้าบบบ ขอตัวไปชดใช้กรรมก่อนเด้ออ :z10:

ขอบใจสำหรับทุกๆกำลังใจนะคะ <3  :กอด1:

[/center]
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๓ - แปรเปลี่ยน : ๑๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-02-2018 10:47:38
 :L2: :L1: :pig4:

สงสารวิรัล
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๓ - แปรเปลี่ยน : ๑๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-02-2018 13:30:07
วศินมีวิรัลอยู่แล้ว แต่คาดว่ากว่าวศินจะหายดีแล้วกลับเมืองตัวเองวิรัลคงโดนทรมานจนตายแน่ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๓ - แปรเปลี่ยน : ๑๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 16-02-2018 20:11:59
เขินเบาๆๆๆ อิอิ จำกลิ่นกายน้องได้แม่นมาก
กล้า วิรัล วิรุณ ใครคู่ใครน่ะ
รออยู่น่ะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๓ - แปรเปลี่ยน : ๑๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 17-02-2018 21:46:53
สำนวนและเนื้อเรื่องดีงามมากๆเลยค่ะ
กลัวก้อแต่อาจจะมีดราม่าหนักๆตามมานี่สิ
...แต่จะติดตามนะคะ!...
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๓ - แปรเปลี่ยน : ๑๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 21-02-2018 18:51:24
พี่ยักษ์ก็อย่าทำเข้มมากนักสิ สงสารน้องๆ อุตส่าห์ดูแล
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๓ - แปรเปลี่ยน : ๑๖/๐๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 22-02-2018 21:23:28
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๔ - อุบายธรรม : ๑๔/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 14-03-2018 17:48:03
อุบายธรรม

.

.

.
เมื่อครูบุญและสองบุรุษหนุ่มต่างเผ่าพันธุ์ได้ไปกราบไหว้พระอาจารย์ที่ถ้ำบริเวณเชิงเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็ได้มุ่งหน้าเดินทางกลับเรือนโดยทันที

บรรยากาศท่ามกลางพงไพรนั้นอุดมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เหล่าสกุณาต่างส่งเสียงร้องคลอไปกับเสียงน้ำตกที่ไหลลงสู่ริมธารกลางป่า เสียงบำบัดของธรรมชาติเหล่านั้นช่วยขจัดความเหนื่อยล้าทั้งกายใจได้เป็นอย่างดี ดวงตาคมกล้าของอสุราหนุ่มทอดมองไปรอบกายอย่างเพลิดเพลินอุรา

นานแล้ว...ที่มิได้มีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายเช่นนี้

นับตั้งแต่ที่เขาและวศินได้เข้ารับตำแหน่งจอมทัพแห่งนครคีรีก็ได้ฝึกวิชาการศึกสงครามไม่เว้นแต่ละวัน อีกทั้งยังต้องคอยกวดขันระเบียบวินัยให้แก่เหล่าทหารใต้ปกครองอยู่เสมอ จึงทำให้สองอสุราหนุ่มไม่มีแม้นแต่เวลาว่างเพื่อที่จะพักผ่อนหย่อนใจ

ยามจะนอนก็หาได้หลับใหลอย่างสบายอกสบายใจเช่นใครเขา ต้องคอยระแวดระวังอันตรายจากทุกทิศทางที่จะเข้ามาหาตนไม่เว้นแต่ละวินาทีเดียว เพราะกว่าที่จะมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจเช่นนี้ได้ก็ต้องผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย จึงมิแคล้วที่จะมีศัตรูคอยวนเวียนอยู่รอบกาย ไว้เว้นแม้แต่พวกเดียวกันเอง และด้วยเหตุนี้ตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ในนครคีรีทั้งเขาและวศินจึงไม่สามารถที่จะกระทำการใดตามใจตนได้มากนัก

วิรุณจึงถือโอกาสนี้พักผ่อนและปล่อยวางความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดที่สะสมมาเนิ่นนาน ถึงแม้นว่าจะมิใช่เวลาที่จะมามัวเอ้อระเหย หากแต่กลางป่าลึกของแดนมนุษย์นั้นช่างเงียบสงบและร่มรื่นเสียจนเขาลืมทุกสิ่งและทิ้งทุกปัญหาที่หนักอกหนักใจไว้เพียงด้านหลัง

หากแต่สิ่งเดียวที่ดูจะทำลายบรรยากาศอันน่าอภิรมย์เช่นนี้ ก็เห็นทีจะเป็นชายหนุ่มมนุษย์ที่เดินนำหน้าเขาอยู่นั่นแล...

หน้าบูดบึ้งเสียจนพาลทำเอาธรรมชาติรอบข้างเหี่ยวเฉาไปหมด

“หน้าบอกบุญไม่รับเชียวนะเอ็ง”

เพราะท่าทางที่เหมือนจะตายวันตายพรุ่งของมันทำให้ครูบุญอดที่จะหันมาค่อนแคะไอ้ศิษย์ตัวดีไม่ได้

“เหอะ”

“ประเดี๋ยวข้าถีบเข้าให้ มากเรื่องดีนัก… แค่นี้ก็จะลงแดงตายแล้วรึ”

“ปุโธ่ พ่อครูก็” มันโอดครวญ

“เอ็งอย่ามาตอแหล เป็นชายอกสามศอกแท้ๆ เรื่องแค่นี้ถ้าทนไม่ได้ก็ไปหาผ้าถุงมานุ่งซะ”

คำพูดเสียดสีจากครูเฒ่าทำเอาไอ้กล้าต้องสงบปากสงบคำลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมิได้หายขุ่นเคือง…จะอะไรเสียอีกเล่า ก็หลังจากที่พาเจ้ายักษ์ตนนั้นไปกราบหลวงตาแล้ว พ่อเฒ่าผู้นี้ก็จัดแจงบอกหลวงตาให้เสร็จสรรพว่ามันน่ะระริกระรี้อยากจะสักยันต์ลงอาคมกับหลวงตาเป็นหนักหนา ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับเซ้าซี้อยากจะมาเสียให้ได้ ทั้งที่จริงแล้วตัวมันไม่เคยนึกอยากจะลงเข็มอาคมเลยสักเพียงนิด ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ไอ้ตัวดีก็ดูจะหัวเสียขึ้นมาอีกหน

‘หากเอ็งมีปณิธานที่แน่วแน่ ไม่ไขว้เขว สามารถถือศีลได้ครบสามเดือนเมื่อไหร่ เมื่อนั้นข้าถึงจะลงยันต์อาคมให้’ หลวงตากล่าว

‘สามเดือนเลยหรือจ๊ะหลวงตา’ ไอ้กล้าเริ่มหน้าถอดสี

ถือศีลสามเดือนเชียวนะ…ห้ามแตะสุราเมรัยทุกชนิดตั้งสามเดือนเชียว!

‘เออสิวะ หรือเอ็งจะไม่ทำตามก็ได้ ตามแต่ใจเอ็ง ข้าก็ไม่อยากจะรับนักหรอกศิษย์ที่ไม่ได้ความ ไม่เคร่งปฏิบัติ หวังเพียงแต่จะสักเพื่อไปคุยโวโอ้อวดคนอื่นเขา พุทธคุณจะเสื่อมเสียเปล่าๆ ถ้าไปอยู่กับคนที่มันไม่ได้นึกเคารพจริงๆ’

เพราะคำพูดของหลวงตาไปสะกิดโดนต่อมของมันเข้าให้ ไอ้กล้าเลยฮึกเหิมตกปากรับคำจนแทบจะไม่ต้องคิดเลยทีเดียว…ทำเอาครูบุญแอบยิ้มกริ่มอยู่เพียงลำพัง มันก็เป็นเช่นนี้ ยุยงอะไรหน่อยเป็นไม่ได้เลือดพ่อมันแรงนัก ยอมหักไม่ยอมงอ ยอมลงแดงตายดีกว่าที่จะโดนตราหน้าว่าใจเสาะ!

หลังจากรับพรและรับปากกับพระอาจารย์มาแล้ว ก่อนจะขอตัวลากลับก็โดนเรียกไว้อีกหน

‘รับตะกรุดสองอันนี้ไปเสีย…อันคาดเอวน่ะของเอ็ง ส่วนสร้อยคอข้าฝากไปให้เจ้าแก้วมัน’

ชายหนุ่มขานรับพร้อมเอื้อมมือไปประนมรับของจากหลวงตา

‘เอ็งรู้ใช่หรือไม่ ว่าข้อห้ามเมื่อเอ็งสวมใส่ตะกรุดคืออันใด’

‘จ้ะ หลวงตา’ ชายหนุ่มขานรับ ก่อนจะก้มลงกราบผู้อาวุโสอีกหน

‘ดี จะกระทำการดีชั่วประการใด ตัวของเอ็งนั้นย่อมรู้ดีอยู่ใจ...เข้าใจที่ข้าพูดรึไม่’

‘จ้ะ’

ก็เล่นดักทางไว้เสียอย่างนี้ จะให้มันไม่ตกปากรับคำได้อย่างไร ถึงขั้นที่หลวงตามอบของศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนั้นแสนจะหวงนักหวงหนาให้ซะขนาดนี้ หากยังทำตัวสำมะเลเทเมาเฉกเช่นเดิม ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ก็เห็นทีจะต้องไปหาผ้าถุงมานุ่งอย่างที่พ่อครูว่า

คิดได้ดังนั้น ไอ้กล้าก็ถอนหายใจอย่างนึกปลงตก

เอาวะ เป็นไงเป็นกัน อดเหล้าเพียงแค่สามเดือน ถ้าจะถึงขั้นลงแดงตายก็ให้มันรู้กันไป...

เมื่อย่างเข้าสู่เขตเรือนทั้งสามก็เห็นเด็กหนุ่มกำลังเดินลงมาจากชานเรือนพร้อมกับถือหม้อต้มยาและสารพัดของจนล้นมือ แต่เจ้าแก้วนั้นมันดูเหม่อลอยคล้ายสติจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าใดนัก เมื่อเห็นดังนั้นไอ้คนพี่จึงอยากจะแกล้งน้องมันให้หัวเสียเล่นเหมือนดั่งที่เคยหยอกล้อกันอยู่เสมอ

ไอ้กล้าแอบเดินย่องไปอยู่ใต้ถุนเรือนโดยที่น้องมันและพ่อครูที่ยืนพูดคุยอยู่กับยักษ์ตนนั้นไม่ทันได้สังเกตเห็นสักนิด ถึงแม้นว่าตัวจะใหญ่บึกบึนแต่เรื่องความว่องไวและฝีเท้าที่เบาอย่างหาตัวจับได้ยากนั้นต้องยกให้มันเลยเดียว

ชายหนุ่มเฝ้ารอจังหวะก่อนที่จะสอดมือเข้าไปใต้ลูกบันไดรอน้องมันก้าวลงมาเหยียบ เมื่อได้โอกาสก็จับข้อเท้าของเจ้าแก้วไว้มั่นจนเจ้าตัวเผลอร้องขึ้นมาอย่างตกใจ

ด้วยความที่เสียจังหวะการก้าวเท้าทำให้เด็กหนุ่มเกือบที่จะล้มคว่ำคะมำหงายหน้าฟาดลงผืนธรณี หากแต่ชั่วขณะที่ตัวกำลังจะตกลงมาจากลูกกระไดกลับโดนแรงมหาศาลกระชากกลับไปทางด้านหลังได้อย่างทันท่วงที

“ไอ้กล้า!!”

เสียงเอ็ดตะโรดังขึ้นอย่างโมโหจากชายชราทำเอาไอ้กล้าหน้าถอดสี…ครูบุญโกรธจริงเสียแล้ว

ส่วนไอ้ตัวดีก็ใจเสียไปไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะโดยปรกติแล้วการหยอกล้อกลั่นแกล้งน้องของมันเช่นนี้ไอ้กล้าก็ทำเป็นประจำก็ไม่เห็นว่าเจ้าแก้วมันจะตกอกตกใจอันใดแต่ครานี้กลับต่างออกไป ขั้นบันไดนั้นถึงแม้นอยู่ไม่สูงมากนักแต่ถ้าหากตกลงไปก็น่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

วิรุณมองไปที่เกิดเหตุอย่างนึกไม่ชอบใจในการละเล่นแผลงๆ ของชายหนุ่มเท่าใดนัก เพราะในขณะที่เขากำลังคุยกับชายชราอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องของเจ้าแก้ว พอหันไปตามต้นเสียงก็ทำเอาใจหล่นไปกองอยู่แทบเท้าหมายจะพุ่งตัวเข้าไปรับร่างของเด็กหนุ่มตามสัญชาตญาณ หากแต่ก็ช้ากว่าอสุราหนุ่มอีกตนที่ถึงตัวเจ้าแก้วก่อนใคร

“วศิน”

วิรุณเอ่ยเรียกชื่อบุคคลที่ยืนซ้อนแผ่นหลังของเจ้าแก้วอยู่ทำเอาเด็กหนุ่มเกร็งตัวขึ้นมาทันที สัมผัสของแผ่นอกกว้างดั่งหินผาไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดกั้นแผ่ไอร้อนระอุออกมารอบกาย ลมหายใจอุ่นที่อยู่เหนือศีรษะทำเอาเจ้าแก้วนั้นหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ขึ้นมาเสียดื้อๆ

‘เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์นั้นประสาทสัมผัสดีกว่ามนุษย์อยู่มาก’

‘แล้วในระหว่างที่หลับ...คิดว่าข้าจะจำอะไรไม่ได้เช่นนั้นหรือ’

เพียงจบประโยคนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกคล้ายโดนพญาช้างสารวิ่งชนเข้าอย่างจัง ดวงตาพลันพร่าเลือนไปเสียหมด ต้องตั้งสติอยู่นานโขกว่าจะผละตัวออกมาได้…แต่ก็ยังมิวายถูกอสุราหนุ่มวานให้ช่วยหาผ้าผ่อนมาให้นุ่ง เพราะแขนข้างหนึ่งของวศินยังไม่สามารถที่จะใช้การได้ดีนักเจ้าแก้วเลยต้องอาสาพันทบผ้าให้ทุกอย่างเสร็จสรรพ

ด้วยเรือนกายที่สูงใหญ่เกินมนุษย์นั้นทำให้ผ้าโจงสีน้ำตาลแก่กระถดเลยเข่าขึ้นมาอยู่มากโขเผยให้เห็นกล้ามเนื้อขาที่ดูแข็งแรงหนั่นแน่นไปเสียทุกส่วน เด็กหนุ่มไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย ทำเพียงแค่ผละตัวออกมาแล้วหันไปเก็บข้าวของลงบันไดเรือนไป

เมื่อเห็นดังนั้นจอมทัพอสุราจึงหมายที่จะเดินลงเรือนตามไปด้วยเพราะว่าอยากจะลงไปสูดอากาศที่บริสุทธิ์ให้คลายความเมื่อยล้าจากห้วงนิทราที่ยาวนาน แต่ลมหายใจก็พลันสะดุดเมื่อเสียงร้องของบุคคลที่เดินนำหน้าตนอยู่ดังขึ้นพร้อมกับกายที่กำลังจะถลาตกเรือนไป เร็วกว่าใจนึกวศินเข้าไปประชิดร่างของเจ้าแก้วได้ทันก่อนที่จะดึงเด็กหนุ่มให้กลับมาทางตนได้อย่างทันท่วงที

เกือบไปแล้ว...

“หัดระมัดระวังเสียบ้าง”

เสียงทุ้มติดจะหงุดหงิดไม่น้อยเอ่ยขึ้นอยู่เหนือศีรษะ

เจ้าแก้วกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาพร้อมกับดึงแขนตัวเองออกจากอุ้งมือใหญ่อย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะยกมือขึ้นไหว้ด้วยความนอบน้อมเหมือนดั่งที่เคยถูกพร่ำสอนมา

เมื่อลงมาถึงพื้นเด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปหาชายชราที่บัดนี้กำลังบันดาลโทสะอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งก้มลงมองพี่ชายของตนนั่งทับส้นอยู่บนพื้นดิน ใบหน้าคมเข้มนั้นก้มต่ำฟังคำดุด่าของพ่อครูอย่างสงบปากสงบคำ

“เล่นอันใดไม่รู้จักโต! ถ้าน้องมันหัวร้างข้างแตกขึ้นมาจะทำอย่างไร!”

ชายชราขึ้นเสียงดังด้วยแรงโทสะเสียจนลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองด้วยความสนใจ

“ขอโทษจ้ะ”

ไอ้ตัวดีที่ปกติมักจะยียวนอ้อนบาทเบื้องล่างอยู่เสมอ บัดนี้กลับสลดลงคล้ายจะสำนึกผิดกับการกระทำของตนอย่างสุดซึ้ง

“อย่าให้ข้าเห็นว่าเอ็งแกล้งน้องแบบไม่รู้ภาษาเช่นนี้อีก”

ชายหนุ่มขานรับเสียงแผ่วก่อนดวงตาสีสนิมจะเลื่อนไปมองหน้าน้องมันที่ส่งยิ้มอย่างขบขันมาให้

โดนกลั่นแกล้งถึงเพียงนี้เจ้าแก้วมันก็ไม่แม้แต่จะขุ่นเคืองในตัวพี่ชายมันแม้แต่น้อย เห็นดังนั้นก็นึกละอายต่อใจยิ่งนักที่ไปหยอกล้อมันรุนแรงเกินสมควร ศิษย์มวยคนเก่งของครูบุญจึงค่อยๆ กระเถิบกายเข้าไปหาน้องของมันที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ข้างๆ ชายชราอย่างลุแก่โทษ ใบหน้าคมเข้มของคนพี่แนบซบลงไปบนตักน้องอย่างออดอ้อนทำเอาเจ้าแก้วนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

ดูๆ ไปแล้วก็คล้ายเสือโคร่งตัวโตที่แสนเชื่องยิ่งนัก

เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่หยุด นัยน์ตาสีน้ำผึ้งทอแสงอ่อนลงเมื่อทอดมองไปยังพี่ชายของมันคล้ายจะเอ็นดูเสียเต็มประดา…หาดูยากนักเชียวมุมเด็กเล็กของไอ้พี่กล้าน่ะ

“ว่าแต่เอ็งเถอะเจ้าแก้ว เหตุใดใบหน้าถึงขึ้นสีเยี่ยงนี้ ไม่สบายรึ”

คำถามของชายชราดึงความสนใจของเจ้าแก้วกลับมา ฝ่ามืออบอุ่นของครูบุญแนบลงไปกับหน้าผากของมันอย่างนึกเป็นห่วง…เห็นเจ้าแก้วแข็งแรงเช่นนี้แต่ยามป่วยไข้ขึ้นมาก็ล้มหมอนนอนเสื่อไปเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว

“เปล่าจ้ะพ่อครู ฉันสบายดี” เจ้าแก้วยืนยันให้ชายชราคลายความกังวล

“แน่รึ?”

“จ้ะ”

ครูเฒ่าเพียงแค่พยักหน้ารับคำก่อนจะหันไปมองยังอสุราสองตนที่เดินคู่กันเข้ามาทางพวกเขา

“ฟื้นแล้วรึท่าน” ครูบุญเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเชื้อเชิญอสุราหนุ่มทั้งสองให้มานั่งบนแคร่ข้างตน เจ้าแก้วจึงรีบกุลีจอลงมานั่งข้างๆ พี่ชายของตนแทน

วิรุณลอบมองใบหน้าวัยเยาว์ก่อนจะเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย วันนี้อากาศก็ไม่ได้ร้อนเท่าใดนัก แต่เหตุใดใบหน้าของอีกฝ่ายถึงขึ้นสีระเรื่อเช่นนั้น

“เหตุใดใบหน้าเจ้าถึงได้แดงนัก ไม่สบายหรือ”

คำถามเดิมซ้ำสองทำให้เด็กหนุ่มเริ่มที่จะอยู่ไม่สุข เพราะมันรู้ดีว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร...

เจ้าแก้วน่ะผิวกายของมันไม่ได้ขาวเสียทีเดียวแต่ก็ไม่ได้ผิวคร้ามแดดมากนัก จึงสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าใบหน้าของมันขึ้นสีระเรื่อลามไปทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งใบหู

“สงสัยอากาศร้อนกระมังจ๊ะ”

ใช่เสียที่ไหนกัน

ใบหน้าอ่อนเยาว์หันมาตอบก่อนจะส่งยิ้มซื่อๆ มาให้…ทันใดนั้นวิรุณก็คล้ายจะโดนมนต์สะกดให้หลุดเข้าไปในห้วงของนัยน์ตาสวยหวานปานน้ำผึ้งป่านั่น

ในอกของรองทัพอสุราเต้นระรัวเร็วเสียยิ่งกว่าตอนจะไปรบทัพจับศึกกับศัตรูแดนไหน

ไร้ซึ่งเสียงโต้ตอบกลับของยักษา ดวงตาคมกล้าทำได้เพียงมองไปยังมนุษย์ผู้น้อยคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์

ทันใดนั้นเสียงกระแอมของบุคคลที่สามก็ดังขึ้นดึงความสนใจให้วิรุณถอนสายตาออกไปจากเด็กหนุ่ม ไอ้ตัวต้นเหตุขยับกายเข้ามานั่งแนบชิดน้องมันก่อนจะส่งสายตาปานจะกินเลือดเนื้อไปยังคนที่ลอบมองน้องของมันอย่างไม่วางตา

เจ้าแก้วก็กระไร ถูกจดจ้องถึงเพียงนี้แต่มันก็หาได้รู้ตัว นั่งมองนกมองไม้ไปตามประสาเดือดร้อนพี่มันต้องมาคอยหวงเป็นหมาบ้าอยู่เช่นนี้

วิรุณลอบถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจกับพฤติกรรมของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่เจอกันชายหนุ่มผู้นั้นก็ไม่เคยเจรจาพาทีกับเขาอย่างปรกติเสียเมื่อไหร่ คอยแต่จะตั้งแง่และหาเรื่องกันอยู่ตลอดเวลาเลยเชียว

เจ้ามนุษย์ดื้อด้าน..

“ไอ้กล้า”

เสียงเอ่ยปรามของผู้อาวุโสดังขึ้นเพราะเห็นว่าลูกศิษย์ของตนเริ่มแสดงกิริยามารยาทที่มิควรออกมา มีอย่างที่ไหนไปขมึงตาใส่ยักษ์อย่างอวดดีเช่นนั้น ไอ้นี่มันชักจะกล้าสมชื่อขึ้นทุกวันจนไม่กลัวเจ็บกลัวตายแล้วกระมัง

เมื่อโดนหมายหัว ไอ้ตัวดีก็ดูจะสงบปากสงบคำและเจียมตัวลงไปอยู่มากโข จนเปิดโอกาสให้ชายชราได้เอ่ยปากซักถามอสุราหนุ่มอีกตนที่นั่งเงียบไม่มีปากเสียงมาเนิ่นนาน

“ท่านวศิน” เสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาเอ่ยขึ้น “อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ยังคงรู้สึกร้อนรุ่มในกายอยู่หรือไม่”

“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบพระคุณท่านมากที่เมตตา”

เสียงทุ้มต่ำยังคงติดแหบพร่าเอ่ยตอบกลับไป เมื่อครู่ก่อนที่จะเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาสหายของเขาได้เล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ฟังมาบ้างแล้วว่าเหตุใดทั้งคู่ถึงได้มาอยู่ที่เรือนของมนุษย์ รวมถึงเรื่องที่เจ้าเด็กมนุษย์หน้าซื่อผู้นั้นคอยปรนนิบัติดูแลเขามาตลอดระยะเวลาที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่ด้วย

“เอาเถิด หลังจากนี้ท่านทั้งสองก็พักผ่อนกายใจให้หายเหน็ดเหนื่อยกันเสียก่อน รอให้อาการของท่านวศินหายดีแล้วค่อยเดินทางกลับไปนครยักษ์ดีหรือไม่” ครูบุญเอ่ยถามอย่างนึกห่วง

เพราะดูจากสภาพของทั้งสองอสุราแล้วหากจะดื้อดึงกลับไปในเพลานี้ก็คงจะลำบากอยู่ไม่น้อย สู้อยู่รักษาตัวให้หายดีเสียก่อนแล้วค่อยเดินทางกลับก็ย่อมได้

อสุราหนุ่มทั้งสองตนพยักหน้ารับอย่างหามิได้ เพราะในยามนี้หากที่จะดึงดันกลับไปก็รังแต่จะสร้างความลำบากเอาเสียเปล่า และอีกอย่างวิรุณก็ถูกพระอาจารย์ที่ถ้ำเชิงเขาวานให้เขาพาตัววศินไปพบเสียด้วย จึงตกปากรับคำชายชราไปอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

แต่เห็นจะมีก็เพียงแต่ใครบางคนที่ดูไม่พอใจนักเมื่อเขาตกปากรับคำว่าจะอยู่ต่อ

นั่นอย่างไร...นั่งหน้าบึ้งตึงตาเขียวปั้ดเชียว

เพราะใบหน้าบูดบึ้งและกิริยาฟึดฟัดอย่างขัดใจทำให้วิรุณหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ จนเจ้าตัวหันมาถลึงตาใส่อย่างคาดโทษ

“เอ็งมีปัญหาอะไรรึไม่ไอ้กล้า”

แต่ก่อนที่ไอ้ตัวดีจะได้เอ่ยวาจาที่ไม่น่าอภิรมย์ออกมาให้ระคายเคืองหู ชายชราก็หันพูดดักคอมันเสียก่อน จนไอ้กล้าแทบจะเก็บหมาเข้าไปในปากไม่ทันกันเลยทีเดียว

ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ยักษ์เวร!




ต่อที่ คห.40
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-50% : ๑๔/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 14-03-2018 19:12:15
พี่ยักษ์กับแก้วมาแล้ว ดีใจๆๆ อ่านจบแล้วก็อยากอ่านตอนต่อไปอีก 555
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-50% : ๑๔/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 14-03-2018 19:43:09
รีบมาต่อไวไวน่ะ ออเจ้า อิอิ
เหตุการณ์พาให้ถึงเนื้อถึงตัวจริงๆๆๆ น้องแก้วตัวแดงหมดแล้ว ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-50% : ๑๔/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-03-2018 09:43:30
กล้านี่สงสัยจะเสร็จท่านรองแม่ทัพซะล่ะมั้ง


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-50% : ๑๔/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-03-2018 08:20:41
ท่านรองแม่ทัพนี่คู่กับพี่กล้าแน่นอน ไม้เบื่อไม้เมาเนี่ย ส่วนวศินเป็นยักษ์ซึน ข้ารู้ ข้าเห็น  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-50% : ๑๔/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 17-03-2018 10:44:40
ชอบความซื่อของน้อง :hao3:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-100% : ๑๗/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 17-03-2018 13:58:11
“ไม่มีจ้า...ผู้ใดจะกล้ามี” ต้นประโยคตอบรับด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น แต่แผ่วท้ายเพราะกลัวว่าพ่อเฒ่าที่หูดีเกินวัยจะได้ยินเข้า

เมื่อเห็นว่าไอ้ศิษย์ตัวดีเริ่มจะสงบปากสงบคำลงบ้างแล้ว ครูบุญก็หันไปบอกกล่าวกับสองอสุราหนุ่มอีกหน

“นี่ก็เย็นย่ำเต็มที พ่อทั้งสองไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวเสียเถิด อีกสักประเดี๋ยวข้าจะให้เจ้าแก้วมันนำยาต้มไปให้”

สองยักษาพยักหน้ารับคำก่อนจะขอตัวออกมาจากวงสนทนาแล้วมุ่งตรงไปสู่ท่าน้ำหลังเรือน เมื่อร่างสูงใหญ่ทั้งสองพ้นสายตาไป ไอ้กล้าก็นึกขึ้นได้ว่าหลวงตาได้ฝากของมาให้น้องมัน จึงเอี้ยวตัวไปหยิบสร้อยที่เหน็บอยู่บริเวณชายผ้าด้านหลังแล้วยื่นส่งให้

“ตะกรุดนี่ หลวงตาฝากมาให้เอ็ง”

เจ้าแก้วรับมาไว้ มันประนมมือขึ้นไหว้เหนือศีรษะก่อนจะสวมสร้อยที่ถักด้วยเชือกสีดำลงบนคอ

“แล้วของพี่กล้าล่ะจ๊ะ” เด็กหนุ่มย้อนถามอย่างสงสัย

“ของข้าอยู่ที่เอวนี่”

ไอ้กล้าบอกแค่นั้นก่อนจะถกชายเสื้อขึ้นเผยให้เห็นเชือกถักสีเดียวกันกับของน้องมันคาดอยู่รอบช่วงเอวสอบหนา หากแต่ตัวเรือนตะกรุดนั้นมีขนาดใหญ่กว่าของเจ้าแก้วเกือบเท่าตัว เมื่อเห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้

...เหตุเพราะตะกรุดคาดเอวนั้นมีข้อห้ามในการบูชาอย่างเคร่งครัด

หนึ่งในข้อห้ามนั้นคือผู้ที่สวมใส่ตะกรุดชนิดนี้ ห้ามดื่มน้ำเมาโดยเด็ดขาด

แล้วเหตุใดพี่มันถึงเลือกที่จะถือปฏิบัติตาม เห็นวันๆ เอาแต่กินเหล้าเคล้าน้ำเมาจนพ่อครูนึกเอือมระอา

“ใส่ตะกรุดคาดเอวเช่นนี้ พี่กล้าก็กินเหล้าไม่ได้น่ะสิจ๊ะ”

“ก็เออสิวะ และถึงจะไม่ใส่ ข้าก็กินไม่ได้อยู่ดี”

“ทำไมล่ะจ๊ะ”

อยากจะรู้นักว่าอะไรดลใจให้พี่ของมันที่เป็นสิงห์สุรานั้นยอมอดน้ำเมาได้

“ก็พ่อเฒ่าผู้นี้บังคับให้ข้าไปรับศีลกับหลวงตา.. โอ้ย!”

ยังพูดไม่ทันจบดีเรือนกายสูงใหญ่ของศิษย์มวยคนเก่งก็โดนฝ่าเท้าของครูบุญประเคนใส่กลางอกจนหงายหลังลงไปนอนแผ่บนพื้นก่อนเสียแล้ว

“พูดให้มันดีๆ นะเอ็ง ข้าไปบังคับเอ็งตั้งแต่เมื่อใดกัน”

“อูย..มือถึงตีนถึงเสียจริงพ่อครูเนี่ย” ไอ้กล้าพยุงตัวลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เสื้อที่เก่าอยู่แล้วยิ่งดูซอมซ่อเข้าไปอีกเมื่อเจ้าของมันโดนถีบจนตัวคลุกไปกับพื้นดิน

ใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มแสร้งแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าพร้อมแกล้งเอ่ยวาจาค่อนขอดจนชายสูงวัยนึกหมั่นไส้มันขึ้นมาอีกหน จึงยกฝ่าเท้าอีกข้างขึ้นหมายจะประทับลงไปกลางอกไอ้ตัวดีให้มันล้มลงไปจับกบให้สาแก่ใจ แต่ครานี้ศิษย์ตัวดีดันไวทายาด ดึงน้องของมันมาเป็นปราการกั้นไว้เสียก่อนนั่นล่ะ ครูบุญจึงยอมลดเท้าลงไป

“งั้นเอ็งจะเอาศอกเข่าเพิ่มรึไม่ หา ไอ้กล้า”

“พอแล้วจ้ะ”

พี่มันเสียงสลดลงจนเจ้าแก้วอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้…ทั้งพ่อครูกับพี่กล้ามักหยอกล้อกันรุนแรงเช่นนี้เสมอ แต่ถึงแม้นพ่อครูจะชอบลงไม้ลงมือกับพี่มันเพียงใดแต่ทั้งคู่ก็รู้ดีว่าชายชรานั้นทั้งรักและห่วงพวกเขาสองพี่น้องเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

“หลังจากนี้ท่านทั้งสองจะพักอยู่ที่นี่จนกว่าร่างกายจะฟื้นตัวดีขึ้น พวกเอ็งก็คอยดูแลให้สมกับเป็นเจ้าบ้านเสียด้วย”

ครูบุญเอ่ยขึ้นมาเพื่อตั้งใจจะย้ำให้ไอ้ตัวดีมันเข้าใจ คนน้องน่ะเขาไม่นึกห่วงเพราะมันยังรู้จักเจียมเนื้อเจียมตนและมีกาลเทศะอยู่มาก แต่ไอ้ตัวพี่นี่สิที่ทำให้ชายชราเหนื่อยใจอยู่ไม่น้อย

“แต่พ่อครู...ฉันยังไม่ไว้ใจยักษ์สองตนนั้นเท่าใดนัก” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เปลี่ยนเป็นจริงจังไม่มีท่าทีล้อเล่น ทำให้ผู้อาวุโสหยุดฟัง ก่อนที่มันจะพูดต่อ “หากไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นก็ดีไป แต่หากวันใดที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาแล้วเราจะทำอย่างไรกันจ๊ะ”

“แล้วเรื่องไม่ดีที่เอ็งว่าน่ะ มันคือเรื่องใด” ครูบุญถาม

“ฉันก็ไม่รู้...แต่เท่าที่สังเกตพวกมันต้องไม่ใช่ยักษ์ธรรมดาเป็นแน่”

ชายชรานิ่งฟังอย่างไม่โต้แย้งสิ่งใด...ที่มันพูดมาก็ถูกต้องทั้งหมด ทั้งสองตนนั้นต้องมีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดาแน่นอนอยู่แล้ว เหตุใดเขาจะดูไม่ออก แต่จะตัดสินกันเพียงเพราะเหตุการณ์ฉาบฉวยเช่นนี้และอีกฝ่ายยังคงมีสภาพไม่สู้ดีอยู่ ก็ดูจะไม่เป็นธรรมเท่าใดนัก

อีกอย่าง...สัญชาตญาณบางอย่างในตัวของเขานั้นสัมผัสได้ว่าพ่อยักษ์ทั้งสองตนมิได้เป็นภัยอันตรายอย่างแน่นอน...

“เอาเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะไอ้กล้า คิดไปก็ปวดกบาลเสียเปล่า” ชายชราถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายอารมณ์

“ตามแต่พ่อครูจะตัดสินใจเถิด...แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งพ่อครูกับไอ้แก้วได้รับอันตรายเพราะยักษ์สองตนนั้นเป็นเหตุ ฉันไม่ปล่อยพวกมันเอาไว้แน่”

นัยน์ตาสีสนิมสะท้อนแววดุดันออกมาอย่างน้อยครั้งที่มันจะเป็น ชายชราจึงพยักหน้ารับคำของศิษย์อย่างหมดหนทางจะโต้เถียง ก็เป็นเพราะไอ้กล้าห่วงในความปลอดภัยพวกเขาทั้งสองคนนั่นล่ะ มันถึงได้คอยเซ้าซี้อยู่เช่นนี้

“กับยักษ์นี่ก็เก่งไม่หยุดหย่อนนะเอ็งนี่ ไม่กลัวหรืออย่างไร” เอ่ยทีเล่นทีจริงออกไปหวังจะให้ความขุ่นมัวของมันจางหาย

“แล้วอย่างไรเล่าพ่อครู ต่อให้เป็นพญายักษ์ฉันก็ไม่กลัว”

ย้ำน้ำเสียงเข้มอีกหนจนคนฟังพยักหน้ารับอย่างนึกระอาใจ...เพราะเขารู้ดี ว่ายามใดที่อีกฝ่ายเอาจริงเอาจังแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นพญายักษ์อย่างที่มันว่า ก็คงจะฉุดแรงบ้าดีเดือดของมันไม่อยู่

…เลือดพ่อมันแรงนักล่ะ

“ไปๆ พวกเอ็งสองคนไปอาบน้ำอาบท่าเสีย โดยเฉพาะไอ้ตัวพี่ เหม็นกลิ่นเหล้าจะตายชัก”

พูดจบก็เอาเท้าดุนเอวไอ้กล้าไปอีกหน มันเลยแสร้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างไม่พอใจก่อนจะลุกขึ้นจูงแขนน้องมันไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เหลือเพียงโสร่งผืนเดียวพันท่อนล่างเอาไว้

เห็นทีวันนี้คงจะต้องไปอาบน้ำอีกท่า เพราะท่าที่อยู่หลังเรือนนั้นโดนยึดครองจากยักษ์สองตนไปแล้ว ถ้าจะไปอาบร่วมกันก็เกรงว่าจะพาลอารมณ์เสียขึ้นไปอีก

เดิมทีแค่เห็นหน้าเจ้ายักษ์ที่ชื่อวิรุณตนนั้นมันก็พาลหัวเสียอยู่ไม่น้อย ถ้ายังจะต้องไปเห็นร่างเปล่าเปลือยของยักษาตัวใหญ่ขนาดนั้นอีก มีหวังเหล้าและกับแกล้มที่กินมาค่อนคืนจะย้อนกลับออกมาเสียฉิบ

เพียงแค่คิดก็รู้สึกไม่เจริญอาหารขึ้นมาเสียแล้ว

...เกลียดขี้หน้ามันนัก

“เอ็งหายเจ็บแผลหรือยังวะไอ้แก้ว”

ระหว่างทางเดินไปท่าน้ำอีกฝั่งนัยน์ตาคมก็มองสังเกตบริเวณบ่าของเจ้าแก้วที่ในยามนี้มีรอยเล็บขนาดใหญ่ฝากฝังไว้อยู่บนผิวกาย หลังจากตกสะเก็ดไปคงเป็นแผลเป็นที่เห็นชัดเจนน่าดู

ก่อนจะกวาดไล่สายตามองไปทั่วผิวกายที่โผล่พ้นโสร่ง

ทั้งแผลเก่าแผลใหม่เต็มตัวมันไปหมด...

โชคดีเสียก็แต่ร่องรอยส่วนมากไม่ได้เด่นชัดเท่าใดนักหากไม่มองในระยะประชิด จะมีก็เพียงแต่รอยแผลเป็นที่พาดยาวจากหลังไหล่ขวายาวมาถึงบริเวณกลางหลังนี่แหละ ที่ขึ้นร่องรอยเด่นชัดกว่ารอยใด

…เหลียวมองยามใดก็พาลให้หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อในอดีต

“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วจ้ะ” เจ้าตัวทำเพียงยิ้มรับบางเบากับคำถามของผู้เป็นพี่

จนถึงทุกวันนี้ทั้งพ่อครูและพี่กล้าก็ยังไม่สามารถที่จะปล่อยวางและลืมเลือนเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้เลยสักเพียงนิด ทุกครั้งที่ทั้งสองเห็นรอยแผลบนตัวมัน ก็มักจะมีสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดเสมอ ทั้งๆ ที่ตัวมันเองนั้นหาได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มากเท่าใดนัก

...อดีตก็เป็นเพียงแค่อดีต

ร่องรอยบางอย่างก็มีไว้เพื่อคอยย้ำเตือนให้เราเพียรระลึกถึงเท่านั้น

มันไม่สามารถที่จะกลับมาสร้างความเจ็บปวดให้เราได้อีก

หากตัวเรานั้นเข้มแข็งและหนักแน่นมากพอ...

เห็นดังนั้นไอ้กล้าจึงทำเพียงพยักหน้ารับคำน้องมันก่อนบทสนทนาจะสิ้นสุดลง

เมื่อมาถึงท่าน้ำสองพี่น้องก็จัดการชำระล้างร่างกายในส่วนของใครของมันจนเสร็จเรียบร้อยดี ก่อนที่จะพากันเดินกลับไปที่เรือน เมื่อไปถึงไอ้กล้าก็รับอาสาเป็นคนหุงหาอาหารในส่วนของวันนี้

สำรับอาหารของชาวบ้านชาวเขาตามป่าดงพงไพรไม่ได้เลิศหรูอันใด มีเพียงปลาย่างที่ไปจับมาจากริมธาร น้ำพริก และผักสดที่เก็บเอาตามชายรั้วเท่านั้น เพราะวันนี้เหล่าลูกศิษย์คนอื่นๆ ของครูบุญจะไปตั้งวงเหล้ากันที่บ้านไอ้มิ่ง เลยไม่ต้องลำบากหากับข้าวกับปลากันให้วุ่นวาย

“เอ็งไม่ไปด้วยกันจริงหรือวะไอ้กล้า” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

นึกแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียวว่าสิงห์น้ำเมาอย่างไอ้กล้าจะปฏิเสธคำชวน ปกติก็มีแต่มันนี่แหละเป็นตัวตั้งตัวตีชวนเพื่อนฝูงเมามายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“ไม่ล่ะ ช่วงนี้ข้างด”

เสียงร้องโห่แซวแซงแซ่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ว่าเสือมันทิ้งลายเสียแล้ว ด้วยความรำคาญไอ้กล้าเลยลุกขึ้นไล่เตะพวกมันเรียงตัวจนไอ้พวกปากมากทั้งหลายวิ่งหลบกันเป็นพัลวัน เสียงเอะอะโวยวายของเหล่าหนุ่มวัยฉกรรจ์ดังขึ้นไปถึงบนเรือน จนครูบุญที่นั่งคัดแยกสมุนไพรในกระจาดกับเจ้าแก้วอยู่บริเวณชานเรือนต้องส่งเสียงดุด่าลงมา

“โตกันจนจะตายห่าแล้วเล่นเป็นเด็กไปได้นะพวกเอ็ง ไปๆ รีบกลับบ้ากลับช่องเสีย”

พอได้ยินเสียงของผู้มีอำนาจสูงสุดลูกศิษย์ทั้งหลายก็ขานรับคำอย่างแข็งขันก่อนจะพากันกล่าวลาครูของตน

หลังจากที่เหล่าชายหนุ่มแยกย้ายกันกลับบ้านกลับเรือนไปแล้ว เขตเรือนของครูบุญก็กลับเข้าสู่ความสงบเฉกเช่นเดิม เจ้าแก้วที่นั่งคัดสมุนไพรตามคำสั่งของชายชราอยู่จึงหาเรื่องมาคุยตามประสาเพื่อให้บรรยากาศรอบกายไม่เงียบเสียจนเกินไป

“พ่อครูจ๊ะ” ปากเรียก แต่มือก็ยังคงคัดแยกสมุนไพรอยู่อย่างแข็งขัน

“ว่าอย่างไร”

“เหตุใดพ่อครูถึงได้ให้พี่กล้าไปรับปากว่าจะถือศีลกับหลวงตาล่ะจ๊ะ”

“ก็ก่อนที่จะลงยันต์อาคม มันก็ต้องถือศีลให้ได้ก่อน เพื่อแสดงปณิธานที่แน่วแน่ว่าจะสามารถปฏิบัติตนให้ควรคู่กับพระพุทธคุณที่คุ้มครองมัน”

มือเหี่ยวย่นคัดแยกสมุนไพรอีกกระจาดไปพร้อมกับหันมาอธิบายในสิ่งที่ศิษย์รักของตนสงสัย

“พี่กล้าจะสักยันต์หรือจ๊ะ”

เด็กหนุ่มนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะที่ผ่านมาพี่ของมันนั้นโดนพวกเหล่าเพื่อนฝูงชวนไปสักอยู่หลายครั้งหลายครา แต่มันก็ปฏิเสธทุกครั้งไป เหตุไฉนรอบนี้ถึงยอมเสียง่ายๆ กัน

“มันก็เป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่หรือไร พี่เอ็งมันจะได้ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียบ้าง ทุกวันนี้เมาหัวราน้ำแทบจะทุกวัน ข้าล่ะเหนื่อยใจกับมันนัก” ครูบุญถอนหายใจออกมาอยากเหนื่อยอ่อนก่อนจะปัดผ้าขาวม้าเพื่อไล่ยุงป่าและเหล่าแมลงตัวเล็กตัวน้อย

หากเพียงนานๆ ครั้งไอ้ตัวดีมันจะเมาทีเขาก็มิได้ถือสาหาความอันใด เพราะเข้าใจว่าวัยหนุ่มกับน้ำเมามันเป็นของคู่กัน หากแต่ศิษย์รักของเขานั้นมันเมาเสียจนเกินพอดีพองาม

บางวันกลับมาจากบ้านไอ้มิ่งก็นอนสลบไสลเป็นวันกว่าจะฟื้นตัว ทั้งดุด่าก็แล้วลงไม้ลงมือก็แล้วมันก็ไม่หลาบไม่จำ จึงต้องใช้ไม้แข็งเข้าดัดสันดาน หากจะใช้การบังคับจิตใจมันก็คงปฏิบัติได้ไม่นานประเดี๋ยวก็ลงแดงตบะแตกกลับไปกินเช่นเดิม

สู้ใช้อุบายธรรมในการค่อยๆ แก้นิสัยมันไปไม่ดีกว่าหรือ

ชายอกสามศอกหากได้รับปากอะไรไปแล้วก็ต้องดำรงมั่นในสัจวาจาตน การที่มันรับปากกับพระอาจารย์เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะถือศีลนั้นก็ต้องทำให้ได้ตามที่รับปากไว้ มิเช่นนั้นก็จะดูเป็นพวกกลับกลอก ไม่รักษาคำพูด ใครเขาจะดูถูกเหยียดหยามเอาได้ ซึ่งคนอย่างไอ้กล้านั้นไม่มีทางยอม...เขารู้จักมันดี

“แต่ฉันก็ยังเห็นชาวบ้านบางคนที่สักยันต์อาคม เขายังดื่มสุราได้ปกติเลยนี่จ๊ะครู”

“นี่เจ้าแก้ว” ชายชราวางมือจากกระจาดสมุนไพรก่อนจะหันไปหา

ดวงตาฝ้าฟางทอดมองมาที่ศิษย์รักอย่างเอื้อเอ็นดู

นี่มันนึกห่วงใยสุขภาพร่างกายพี่มันหรือเกรงว่าพี่มันจะลงแดงตายเพราะขาดเหล้ากันแน่

“จุดประสงค์ที่ข้าให้พี่เอ็งมันทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวมันเอง”

เด็กหนุ่มวางมือจากงานตรงหน้าก่อนจะหันมามองอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเท่าใดนัก จึงต้องอธิบายต่อ

“ไม่ดีหรืออย่างไรที่สุขภาพไอ้กล้ามันแข็งแรงจะได้อยู่กับเอ็งไปนานๆน่ะ หือ เจ้าแก้ว...ชีวิตข้านั้นจะอยู่ค้ำฟ้าคอยเฝ้าดูแลพวกเอ็งไปตลอดเสียที่ไหน หากวันหนึ่งที่ข้าตายจากไปจะได้ไม่มีห่วง อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าไอ้กล้ามันจะสามารถเป็นที่พึ่งของเอ็งได้” มือเหี่ยวย่นตามวัยเอื้อมไปลูบหัวมันแผ่วเบา

ไอ้คนพี่นั้นเขาไม่ห่วงเท่าใดนัก จะห่วงก็แต่เจ้าแก้วมัน

ถ้าหากวันใดไม่มีเขาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องมั่นใจได้ว่าพี่ของมันจะสามารถเป็นหลักยึดให้น้องมันได้ ถึงแม้นเจ้าแก้วนั้นหาใช่เด็กชายตัวน้อยเฉกเช่นเมื่อก่อน แต่หัวอกของคนที่เลี้ยงดูและคอยฟูมฟักดูแลมานั้นก็เป็นธรรมดาที่จะนึกห่วงหาอาทร

“พ่อครูอย่าพูดเช่นนี้สิจ๊ะ”

เจ้าแก้วเข้าไปกอดรอบเอวของชาวชราไว้มั่น ใบหน้าคมคายของมันซุกซบลงกับตักอย่างหาที่พึ่ง

...มันไม่ชอบเอาเสียเลยยามเมื่อคนที่มันรักพูดถึงเรื่องของการจากลา

ชีวิตนี้..สูญเสียทั้งพ่อทั้งแม่ไปก็ทุกข์ทรมานจนเกินใจจะรับไหวแล้ว...

หากแต่ยังมีครูบุญและพี่ชายของตนที่เป็นหลักยึดทางใจ เป็นเสมือนต้นไม้ต้นใหญ่ที่คอยแผ่กิ่งปกป้องมันเสมอมา

ถ้าจะต้องพานพบกับการสูญเสียบุคคลสำคัญอีกครั้งในชีวิต...มันก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร

แม้นภายนอกจะดูเข้มแข็ง...แต่ในภายจิตใจลึกๆ นั้นอ่อนแอเสียจนนึกหวาดหวั่นกับทุกสิ่งอย่าง

“แก้วเอ๊ย…เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องพบเจอ สักวันข้าก็ต้องตายไปตามสังขารที่โรยรา” ชายชราพูดต่อ พร้อมกับระบายยิ้มอ่อนโยนออกมาเมื่อไอ้ตัวคิดมากมันกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม “...และถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ด้วยแล้วเอ็งก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”

“ฉันตามพ่อครูไปไม่ได้หรือ”

...ลูกเต้าเหล่าใคร ช่างงอแงเสียจริง

เสียงอู้อี้ที่ลอดผ่านออกมาทำให้ชายชราสัมผัสได้ว่าเจ้าแก้วกำลังกลั้นลูกสะอื้น

สัมผัสเปียกชื้นแถวชายเสื้อทำให้ต้องปลอบมันเป็นการใหญ่

แล้วกันไอ้เจ้านี่...คุยเรื่องเลิกเหล้าของพี่มันอยู่ดีๆ ดันดึงเข้าบทโศกเสียได้

“ลองตามมาดูสิ...ข้าจะถีบส่งเอ็งให้กลับมาเกิดใหม่แทบไม่ทันเลยเชียว”

คำพูดติดตลกของพ่อครูทำให้เจ้าแก้วอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เด็กหนุ่มกอดร่างของชายชราที่มันแสนรักไว้แน่น ไม่ยอมถอนใบหน้าออกมาเสียทีจนครูบุญระอาใจที่ดึงออก ทำได้เพียงลูบหัวปลอบประโลมมันไปเรื่อยๆ พร้อมกับเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้มันฟังเสียจนเพลิน

กลิ่นหอมเย็นรอบกายของครูบุญและมืออบอุ่นที่คอยลูบหัวอยู่แผ่วเบาทำให้เจ้าแก้วเคลิ้มไปกับสัมผัสจนเปลือกตาเริ่มที่จะหนักอึ้งขึ้นมา

ชายชราก้มลงมองร่างของศิษย์รักที่ยามนี้มันเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัว ตั้งแต่เล็กจนใหญ่เจ้าแก้วมักโหยหาไออุ่นจากเขาและพี่ของมันเสมอ ดูจากที่คอยออดอ้อนออเซาะพวกเขาอย่างเคยตัวจนใครต่อใครมองมันเป็นลูกแหง่ไปเสียหมด

“เอ้า หลับง่ายเสียจริง”

รู้ตัวอีกทีเสียงเจื้อยแจ้วที่คอยพูดจ้อไม่หยุดก็เงียบสงบลง ใบหน้ายามหลับนั้นดูมีความสุขในห้วงนิทราเสียจนคนมองไม่อยากจะปลุก ครูบุญจึงนำผ้าขาวม้าที่พาดอยู่บนบ่ามาคอยปัดไล่ยุงและแมลงป่าไม่ให้มารบกวนการนอนของศิษย์รัก ชายชราพิศดูใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ตอนนี้ปลายจมูกรั้นของมันขึ้นสีระเรื่อจากการร้องไห้เมื่อครู่

มือเหี่ยวย่นเอื้อมใบเช็ดคราบน้ำตาที่เกาะอยู่บริเวณขนตายาวออกให้อย่างเบามือ

… ก็เป็นเสียอย่างนี้ ใครกันที่จะไม่นึกเอ็นดูในตัวมัน


______________________


เพิ่มเติม

-เรื่องการสักยันต์อาคมต่างๆ เท่าที่หาข้อมูลมาคือผู้สักจะต้องถือศีลก่อน ส่วนระยะเวลานั้นแล้วแต่จะกำหนดหรือแล้วแต่อาจารย์ท่านนะคะ แต่บางคนก็ไม่ต้องถือศีลก็ได้แล้วแต่กรณีๆไปค่ะ
-เรื่องตะกรุด จะแบ่งเป็นหลายประเภท แต่ที่คนนิยมบูชาติดตัวกันนั้นมีอยู่สองประเภทคือเป็นสร้อยและสวมใส่ที่เอว
โดยในการบูชาเนี่ยบางความเชื่อจะต้องมีการถือศีลเพื่อบูชาพระพุทธคุณ ยกตัวอย่าง ของพี่กล้าเนี่ยสวมตะกรุดที่เอว ข้อห้ามอย่างนึงก็คือในขณะที่สวมใส่อยู่ผู้สวมจะต้องห้ามดื่มสุราเลยโดยเด็ดขาด แต่ในกรณีนี้ก็แล้วแต่คนไป เพราะในสมัยนี้เขาก็ไม่ได้เคร่งเรื่องแบบนี้นี้กันเท่าไหร่แล้วค่ะ
________________

เห็นฟีดแบ็คที่ทุกคนพูดถึงพี่กล้าแล้วขำมาก5555 แต่มันก็แสบจริงๆนั่นแล น่าจับฟาดสักที!
เขาหวงน้องเขามากเลยเนอะ กล้าก็รักของกล้าา  :กอด1:

พันไมล์ได้รับโปรเจคอีกแล้ว พอใกล้ปิดเทอมโปรเจคทุกวิชาก็รุมเร้า เอื้อออ
แต่จะพยายามอัพเท่าที่จะอัพได้เน้ออ :z10:
เจอกันตอนหน้าจ้าา :กอด1: :L2:

ร่วมพูดคุยกันได้ที่twitter #ดอกแก้วกุมภัณฑ์
ขอบคุณคอมเม้นจากทุกๆคนนะคะ
อ่านเม้นท์แล้วยิ่งกว่าโดปกระทิงแดงเป็นโหลเลยย <3

twitter: pppunmile
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-100% คห.40 : ๑๗/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 17-03-2018 19:25:53
อ้อนเก่งขนาดนี้ถึงคราวพี่ยักษ์ดูแลจะอ้อนขนาดไหนน่ะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-100% คห.40 : ๑๗/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-03-2018 21:00:04
อยากรู้อดีตของแก้วพอๆกับอยากรู้ว่าถ้าแก้วได้อ้อนพี่ยักษ์บ้างจะเป็นยังไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-100% คห.40 : ๑๗/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-03-2018 21:09:07
แบบนี้พี่ยักษ์จะเอ็นดูน้องไหม  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-100% คห.40 : ๑๗/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 17-03-2018 22:09:12
พี่ยักษ์เราค่าตัวแพงมากเลย บทนิดเดียว 555
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-100% คห.40 : ๑๗/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 18-03-2018 10:42:43
ทำไมชีวิตน้องดราม่าแบบนี้  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-100% คห.40 : ๑๗/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 18-03-2018 13:34:05
สนุกมากกกก ภาษาสวยมาก ๆ เลยค่ะ อ่านเพลินเลย
น้องแก้วน่าเอ็นดู แล้วก็น่าสงสาร T^T
เราชอบพี่กล้ามาก ๆ อ่ะ ดูเป็นพี่ชายที่ปกป้องน้องได้
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ เก่งมากเลย
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๔ - อุบายธรรม-100% คห.40 : ๑๗/๐๓/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 18-03-2018 18:55:19
พวกพี่ยักษ์ยังไม่ค่อยแสดงอาการกันเลยน๊าาาาา ><
รอลุ้นต่อไปว่าจะหลงเสน่ห์น้องแก้ว และพี่กล้ารึเปล่า 55555555
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๕ - ฝันร้าย : ๐๔/๐๕/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 04-05-2018 16:50:47
ฝันร้าย

.

.

.
ทางฝั่งของสองอสุราหนุ่มหลังจากที่ทั้งคู่แยกตัวออกมาก็จัดการทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อยดีแล้ว ก็ได้ถือโอกาสนี้พูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อย

เรือนกายสูงใหญ่ของจอมทัพอสุรานั่งเท้าแขนข้างหนึ่งไว้กับเข่าที่ชันขึ้น นัยน์ตาสีนิลกาลทอดมองดูท้องนภาที่เริ่มเปลี่ยนสีเมื่อยามอาทิตย์อัสดง เสียงหรีดหริ่งเรไรดังขึ้นไม่ขาดสายช่วยให้บรรยากาศโดยรอบนั้นผ่อนคลาย แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยทำให้จิตวิตกกังวลของสองอสุราหนุ่มคลายลงได้แม้นสักนิด

“แล้วเรื่องศึกกับกรุงราชคฤห์ พวกเราจะทำอย่างไรดี”

คำถามของวิรุณทำให้ก่อเกิดความเงียบรอบกายอีกหน สองอสุราหนุ่มล้วนต่างตกอยู่ในห้วงนึกคิดของตนเอง จนเส้นประสาททุกส่วนสัดล้วนเครียดขมึง

สามวันมาแล้วที่ได้อาศัยอยู่ในเมืองมนุษย์...

ในจิตใจของทั้งคู่นั้นนึกห่วงและกังวลถึงแต่ชาติบ้านเมืองเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่ายามนี้ทางฝั่งนั้นจะเป็นเช่นไรบ้าง

“เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม”

“…”

“พรุ่งนี้ก่อนรุ่งสาง พวกเราจะเดินทางกลับไปยังนครคีรี”

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบทำลายบรรยากาศเงียบรอบตัว หากแต่บรรยากาศรอบตัวกลับคุโชนไปด้วยไฟโทสะ

“แต่อาการของเจ้า...”

วิรุณอดที่จะแย้งขึ้นมาไม่ได้ เพราะอาการของอีกฝ่ายนั้นเพียงแค่ทุเลาลงเท่านั้น หากแต่พิษร้ายจากลูกศรยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างแทรกซึมอยู่ในทุกหยาดโลหิต

แล้วจะให้เขานั้นวางใจได้อย่างไร ?

วศินนั้นเป็นยักษาที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำกว่ายักษ์ปกติทั่วไป อีกทั้งยังหมั่นบำเพ็ญตบะจนแกร่งกล้า แต่พิษจากลูกศรขององค์รามสูรเพียงไม่กี่หยดทำให้ตัวมันต้องพักฟื้นไปสามวันสามคืน มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพิษชนิดนั้นต้องไม่ใช่พิษธรรมดาเป็นแน่

...เพราะสามารถล้มจอมทัพอสุราตนนี้ได้ ก็นับว่ามีอนุภาคร้ายแรงอยู่พอสมควร

“แผลเพียงเล็กน้อยแค่นี้...ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารักษา”

เสียงทุ้มต่ำราบเรียบเฉพาะตัวที่นางยักษ์หลายตนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าช่างนุ่มนวลชวนให้ใจสั่นหวั่นไหว บัดนี้มันช่างสร้างความเดือดดาลให้เขาอยู่ไม่น้อย

อวดดีนัก ไอ้ยักษ์ไม่เจียมสังขาร!

“จริงอย่างเจ้าว่าสหายข้า...ไม่จำเป็นต้องเสียเวลารักษา เพราะอีกไม่นานเจ้าก็คงจะตายโหงตายห่าภายในเวลาอันไม่ช้านี้”

น้ำเสียงยียวนพร้อมกับถ้อยคำหยาบคายที่น้อยคนนักจะได้ยินออกมาจากท่านรองแม่ทัพเพราะโดยปกติแล้วในสายตาของคนภายนอกที่มองมา วิรุณนั้นนับว่าเป็นบุรุษที่สมบุรุษ ทั้งสุภาพและอ่อนโยนอย่างหาที่ติไม่ได้ จะมีก็แต่สองยักษาที่อยู่กลางพงไพรนี้เท่านั้นที่รู้เช่นเห็นชาติกันดีกว่าอีกฝ่ายนิสัยใจคอเป็นเช่นไร

ก็เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เขี้ยวยังไม่งอก..

“เจ้าพูดอะไร”

จอมทัพอสุราขมวดคิ้วจนยุ่ง หัวเสียอยู่ไม่น้อย

“รู้ตัวหรือไม่ว่าอาการของเจ้ามันย่ำแย่เพียงไหน? นี่ถ้าไม่ได้พ่อเฒ่าผู้นั้นช่วยบรรเทาอาการขับพิษออกให้ป่านนี้เจ้าไปเยี่ยมแดนปรโลกแล้ว และตอนนี้ก็ใช่ว่าจะหายดีเสียเมื่อ แล้วยังจะอยากอวดดีไม่เข้าท่าอีกรึ?”

วิรุณเอ่ยสำทับไปอีกหน หวังให้อีกฝ่ายได้ตระหนักเสียทีว่าร่างกายของตนนั้นอ่อนแอลงไปมากเพียงใด

ที่เขากล้ากล่าววาจาตักเตือนวศินก็เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นสหายคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน อีกทั้งเขายังมีอายุอานามที่มากกว่าจึงมองวศินเป็นเสมือนน้องชายแท้ๆ ที่คลานตามกันออกมา

“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร! นอนรอรักษาตัวให้หาย แล้วปล่อยปละละเลยทิ้งบ้านเมืองให้ตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นหรือ!”

เสียงทุ้มตวาดกร้าวด้วยแรงอารมณ์เพราะทนแรงกดดันมากมายที่รับอยู่ไม่ไหวอีกต่อไป นับตั้งแต่ที่ย่างท้าวออกมาจากเมืองจิตใจเขาก็มุ่งมั่นเพียงแต่จะนำชัยชนะกลับมาก็เท่านั้น เพียงแค่อย่างสะสางกิจที่หนักอึ้งนี่ให้มันลุล่วง แต่กลับโดนอีกฝ่ายใช้วิธีสกปรกคิดคดเล่นไม่ซื่อ ทำให้เขาต้องมามีสภาพเช่นนี้

ต้องนอนพักฟื้นอย่างน่าเวทนา ให้พวกมนุษย์คอยดูแลรักษา

วศินนั้นไม่ได้ลืมบุญคุณที่พ่อเฒ่าได้ช่วยตนไว้ แต่เขาไม่เห็นความจำเป็นเลยที่จะต้องเอ้อระเหยลอยลมอยู่ในเมืองมนุษย์นี้ต่อ

เท่านี้มันก็เกินพอแล้ว ไว้กลับไปยังนครคีรีแล้วให้พวกหมอหลวงช่วยกันรักษาก็ย่อมได้

ควรรีบกลับไปจัดการปัญหานี้ให้มันจบลงเสียที!

“เหตุใดเจ้าจึงเข้าใจอะไรยากนัก? ร่างกายของเจ้ามันหาได้แข็งแรงเฉกเช่นเมื่อก่อนแล้ว หัดเจียมตนเสียบ้าง!”

เพราะความหัวรั้นของอีกฝ่ายทำให้วิรุณไม่สามารถควบคุมโทสะไว้ได้อีกต่อไป

“ช่างมันปะไร--!”

ผลั่ก!!

แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคดี หมัดหนักๆ ก็พุ่งเข้าใส่เสี้ยวหน้าจนวศินที่ยังไม่แม้นแต่จะไหวตัวเกิดทันเสียหลักล้มโครมลงไปบนพื้นดิน หากในยามปกติแล้วพลังหมัดเพียงเท่านี้ไม่อาจสามารถทำให้เขาระคายผิวเลยด้วยซ้ำ แต่ในยามนี้ดูก็รู้ว่าวิรุณยังออมแรงไว้อยู่มาก เขายังไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านกลับไปเลยด้วยซ้ำ

...ช่างน่าสมเพชตัวเองนัก

“สติกลับคืนมาหรือยัง?”

เมื่อได้ปลดปล่อยอารมณ์โมโหออกไปด้วยการซัดหมัดใส่อีกฝ่ายหวังเพื่อเรียกสตินึกคิดกลับมา วิรุณก็หอบหายใจหนักไม่ต่างกัน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ กับสหายของตนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดิน ใบหน้าคมคร้ามน่าเกรงขามปรากฏรอยแตกที่มุมริมฝีปากจนเลือดซิบ กระนั้นก็มิได้ทำให้เขาเห็นใจมันหรือรู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ

นี่ยังน้อยไป...ปกติเวลาทะเลาะกันทีไรถึงขั้นกระดูกแตกหักยังนับว่าเป็นเรื่องปกติ

“…”

วศินไม่ได้พูดอะไรออกมา นัยน์ตาคมกล้าจ้องมองไปบนท้องนภาที่ยามนี้เข้าสู่ยามรัตติกาล แสงสว่างจากสุริยันต์ถูกฉาบทับด้วยความมืดมิดจนอับแสง

เมื่อได้นึกตรึกตรองกับตัวเองอยู่เพียงครู่ สติที่กระเจิงออกไปด้วยไฟโทสะก็เริ่มกลับมา

“วศิน...ฟังข้า”

วิรุณกล่าวขึ้นมาทั้งๆ ที่สายตายังทอดมองออกไปยังป่ากว้าง แต่กลับฉายแววจริงจังออกมาทางน้ำเสียง พอเห็นว่าอีกฝ่ายก็เงียบคล้ายจะรอฟังเขาอยู่ก็ได้พูดต่อ

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการที่จะรีบกลับไปสะสางปัญหานี้ ข้าเองก็หาได้นิ่งนอนใจ อีกทั้งยังห่วงบ้านเมืองไม่ต่างจากเจ้า”

“…”

“แต่ร่างกายเจ้า เจ้าย่อมรู้ดี พิษจากศรขององค์รามสูรนั้นหาได้ใช่พิษธรรมดาไม่ เพียงแค่ไม่กี่หยด กลับล้มเจ้าได้จนถึงขั้นต้องนอนพักฟื้นไปหลายวัน”

“…”

“ในระหว่างที่เจ้าหลับ พ่อเฒ่าที่มาสามารถรักษาพิษให้เจ้าได้เพราะเขาไม่เคยพบพิษชนิดนี้มาก่อน จึงได้ตัดสินใจพาข้าไปพบหลวงตาที่ถ้ำเชิงเขา เพราะหวังว่าท่านจะสามารถช่วยเจ้าได้”

“…”

“แต่อาการของเจ้านั้นมันไม่ปกติเกรงว่าพิษมันอาจจะออกฤทธิ์ขึ้นมาอีก ท่านบอกเพียงแค่ว่าหากเจ้าฟื้นให้พาเจ้าไปพบท่านอีกทีเพื่อที่จะได้ตรวจดูอย่างละเอียด”

“อืม”

จอมทัพอสุราเพียงแค่ขานรับเสียงต่ำอย่างจนปัญญา ก็จริงอย่างที่วิรุณได้กล่าวมา ตอนนี้ร่างกายเขามันอ่อนแรงเสียจนตัวเขาเองยังหวั่นใจ ด้วยพลังในกายไม่เคยลดถดถอยเช่นนี้มาก่อน ถ้ายังจะดึงดันกลับไปตอนนี้ก็เกรงว่าตนจะเป็นภาระของวิรุณเสียเปล่าๆ

“ส่วนทางฝั่งนครคีรีนั้นไม่ต้องห่วงไปหรอก ยังไงเจ้ากรรณก็ยังอยู่รักษาการแทนพวกเราได้ อีกอย่าง...ตราบใดที่องค์รามสูรนำหัวเจ้าไปเป็นหลักประกันชัยชนะไม่ได้ ผลการศึกครั้งนี้ย่อมยังไม่ถูกตัดสิน...หายห่วงเสียแล้วรีบพักฟื้นร่างกายของเจ้าให้หายดีก็พอ”

เมื่อเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายดูอ่อนลงไปมากและดูจะคล้อยตามกับตน วิรุณจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

น้อยคนนักที่จะรู้และได้เห็นมุมนี้ของจอมทัพอสุราผู้ยิ่งใหญ่...แม้นภายนอกวศินจะดูดุดันน่าเกรงขามก็จริง แต่เรื่องความหัวรั้นนั้นไม่เป็นสองรองใคร จนในบางครั้งเขากับวิรัลก็เหนื่อยใจจนเกินที่จะต้านทาน

“เอ้า กลับเรือนกันเถอะ แล้วล้มไปเองก็ลุกเองนะ ข้าไม่ช่วย”

วิรุณกล่าวเยาะไปอีกหน ก่อนจะลุกขึ้นบิดร่างคลายความเหนื่อยล้าแล้วยืนกอดอกมองดู ไร้ซึ่งการให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายดังที่กล่าว

ดูสภาพเข้า...ตัวสีชาดเพราะฤทธิ์ของพิษ นอนหมดสภาพมุมปากปริแตกเลือดไหลซิบ

เป็นภาพที่มองแล้วอยากจะหัวร่อให้หงายกลิ้ง

วศินสบถออกมาอย่างหัวเสียนิดหน่อยที่โดนเยาะเย้ยก่อนจะดันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลไม่น้อย ก่อนทั้งคู่จะเดินกลับเข้าไปในเขตเรือน

เมื่อสองยักษาเดินขึ้นมาบนเรือนก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้

พ่อเฒ่าผู้นั้นที่ควรจะไปพักผ่อนกลับยังนั่งอ่านตำรับตำราอยู่บริเวณชานเรือน มีเพียงแสงนวลจากตะเกียงน้ำมันเท่านั้นที่ให้แสงสว่างกับบริเวณโดยรอบ โดยที่มีอีกร่างหนึ่งนอนหนุนอยู่บนตัก

และดูท่าจะหลับลึกเลยทีเดียว

วศินเผลอจ้องมองเสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มที่โดนแสงสีนวลของเปลวไฟฉาบไล้อยู่ข้างแก้มอิ่ม ใบหน้ายามหลับของเจ้าแก้วที่ดูสุขเสียเต็มประดาในห้วงนิทราลึกให้ความรู้สึกที่ทำให้อยากจะมองไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้เบื่อ

หากได้นอนมองทุกคืน…คงจะรู้สึกสบายใจน่าดู

พลันคิดได้ดังนั้นคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันอยากรำคาญใจในความคิดพิสดารของตน

…อยากจะนอนมองหน้าเด็กหนุ่มมนุษย์ผู้นี้หรอกหรือ…เห็นทีเขาคงจะยังไม่ฟื้นจากพิษไข้ดีเลยทำให้จิตฟุ้งซ่านเฉกเช่นนี้

“กลับมากันแล้วรึพวกท่าน” เสียงของชายชราเอ่ยทักหลังจากที่ถอนสายตาออกมาจากคัมภีร์ใบลานตรงหน้า

หลังจากนั้นก็กวักมือเรียกให้วศินมารับยาต้มไปดื่มเอง เพราะเจ้าตัวภาระที่หนุนอยู่บนตักเขานอนหลับอุตุอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จนต้องขอโทษขอโพยพ่อยักษ์ไปอย่างเสียไม่ได้ที่เสียมารยาทเช่นนี้ แต่อสุราหนุ่มผู้นั้นก็ดูท่าว่าจะไม่ถือสาอะไรให้มากความเพียงกล่าวขอบคุณเขาแล้วก็รับยาไปดื่ม ครูบุญสังเกตเห็นรอยช้ำที่อยู่ข้างมุมปากของพ่อยักษ์ตนนั้น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปให้มากความเพราะเกรงจะเป็นการเสียมารยาท

“ท่านยังไม่เข้านอนหรือ” วิรุณเอ่ยถาม

นี่ก็ดึกมากแล้ว อากาศในพงไพรก็เย็นเสียจนน้ำค้างเริ่มเกาะ เหตุใดครูเฒ่าถึงยังไม่กลับเข้าเรือน

“นั่งอ่านตำรับตำราเพลินไปสักหน่อย อีกอย่างเจ้าลูกหมานี่มันก็ดูท่าจะหลับลึกทีเดียว ข้าเลยไม่อยากจะปลุกมัน”

ชายชราพูดไปพลางกลั้วหัวเราะไปพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบหัวมันแผ่วเบา จนเสียงนุ่มของเด็กหนุ่มหลุดคราเครือออกมาให้ได้ยิน

“น้ำค้างเริ่มลงหนักแล้ว ข้าว่าท่านเข้าเรือนเถอะ”

วิรุณแนะเพราะยิ่งดึกอากาศโดยรอบก็เริ่มเย็นลงทุกขณะ เกรงว่าทั้งสองนั้นจะจับไข้ไม่สบายเอาได้

ครูบุญพยักหน้ารับคำของอสุราหนุ่มก่อนจะเอื้อมมือไปเขย่าตัวเจ้าแก้วที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวหมายที่จะปลุกมันให้ตื่น

หากแต่เขย่าตัวก็แล้ว เรียกก็แล้ว

มันก็ยังคงหลับสนิท จนเขาระอาใจที่จะปลุก…แล้วกันไอ้เจ้านี่

“แก้ว...แก้วเอ๊ย ตื่นไปนอนในเรือนดีๆ ลูก”

เสียงนุ่มนวลของชายชราเรียกให้ตื่นอีกหน แต่ดูอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่มีวี่แววตอบสนอง ซ้ำยังซุกเข้ากับหน้าท้องของเขาแน่นเพื่อหาไออุ่น

“ข้าช่วย”

ดูท่าแล้วเด็กหนุ่มคงไม่ตื่นแน่ วิรุณจึงขันอาสาที่จะช่วย ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ก็เดินนวยนาดเข้าไปช้อนตัวของเจ้าแก้วขึ้นมาไว้แนบอก

“ลำบากท่านแล้ว ท่านวิรุณ”

ครูเฒ่าเอ่ยขึ้นอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่วิรุณเพียงยกยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ถือสาหาความ พร้อมบอกอีกว่าขืนปล่อยให้เขาเป็นคนอุ้มเข้าแก้วกลับเข้าไป มีหวังกระดูกกระเดี้ยวได้พังไม่เป็นท่า ได้ยินดังนั้นครูบุญจึงจำใจต้องอาศัยเรี่ยวแรงของยักษาอุ้มศิษย์รักเข้าไปนอนในเรือน

เจ้าแก้วของเขานั้นหาใช่เด็กชายตัวเล็กตัวน้อยดังในอดีตอีกแล้ว แขนขายาวดูผึ่งผายสมกับวัยหนุ่ม

แต่เมื่อไปอยู่ในอ้อมแขนของอสุราหนุ่มตนนั้น กลับดูตัวเล็กลงไปจนแทบจมหายเข้าไปในอกกว้าง

คราแรกที่อาสาวิรุณไม่ได้คิดเป็นอื่นเพียงแค่อยากจะช่วยเท่านั้น แต่เมื่อได้โอกาสใกล้ชิดกับเด็กหนุ่มมนุษย์ที่อยู่ในอ้อมแขน ทำให้เผลอก้มลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวในวงแขนเขา ผิวเนื้ออุ่นและกลิ่นกายหอมที่อบร่ำอยู่รอบเรือนกายของมนุษย์ในอ้อมแขนทำให้วิรุณเผลอกระชับวงแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม

แม้นเพียงเล็กน้อยก็ไม่อยากให้ระคายห้วงนิทราของคนตรงหน้า

"จะเข้าไปได้หรือยัง"

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขัดขึ้นมา ในน้ำเสียงห้วนติดจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

วิรุณไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่อุ้มร่างของเจ้าแก้วเดินเข้าไปในเรือนตามหลังครูบุญ คล้อยแผ่นหลังกว้างของรองทัพแห่งนครคีรี ดวงตาคมกล้าของอสุราหนุ่มก็ฉายแววหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน...อาการงุ่นง่านนี่คอยรบกวนจิตใจเขาตลอดทั้งวันตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมาเจอเจ้ามนุษย์หน้าซื่อผู้นั้น

...น่ารำคาญนัก
 
 
(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๕ - ฝันร้าย : ๐๔/๐๕/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 04-05-2018 16:52:16
เสียงหรีดหริ่งเรไรดังแว่วไหวกลางไพรพนายามค่ำคืน ทุกชีวิตบนเรือนนั้นได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงแต่จอมทัพอสุราที่ยังคงนั่งชันเข่าพิงอยู่ข้างฝ่าผนัง

ค่ำคืนนี้ไม่อาจข่มตานอนได้เลย...วศินปล่อยความรู้สึกนึกคิดให้ล่องลอยไปอย่างฟุ้งซ่านเสมือนกลุ่มหมอกควัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...

“แม่..”

น้ำเสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้อสุราหนุ่มต้องเบือนสายตาไปมองอย่างสงสัย เพราะน้ำเสียงคราเครือนั้นดูเศร้าโศกเสียจนดึงความสนใจของเขาไปได้มากทีเดียว

เพียงไม่นานเสียงสะอื้นไห้ก็เริ่มตามมา

แม้นจะเป็นเพียงเสียงที่เบาบางแต่กลับดังชัดเจนในความรู้สึกของวศิน

ใบหน้าคมคร้ามจ้องมองร่างของเด็กหนุ่มที่นอนหนุนขดผ้าอยู่ใกล้ๆ กับพี่ชายตัวเอง แสงนวลของดวงจันทราที่ลอดเข้ามาทางบานหน้าต่างฉาบไล้เสี้ยวหน้าได้รูป แสงสีเงินเกิดกระทบสะท้อนกับความระยิบระยับบนแพขนตายาวที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ

“…แม่จ๋า”

คิ้วเข้มขมวดขึงอีกครา

เหตุไฉนน้ำตาและเสียงสะอื้นของมนุษย์ตรงหน้าถึงได้มาก่อกวนความรู้สึกของตนให้ยุ่งเหยิงได้เช่นนี้

คิดได้ดังนั้นอสุราหนุ่มก็เอนกายลงนอนพร้อมตะแคงตัวหันหลังให้มนุษย์ที่เขานึกรำคาญ…

เปล่าเลย...หาได้รำคาญดังที่ใจคิด เพียงแต่ความกระวนกระวายเล็กๆ ที่เห็นน้ำใสๆ ฉาบบนแพขนตาหนานั่นมันชวนให้อึดอัดได้อย่างน่าประหลาด

แม้แต่ยามหลับ เจ้าก็ยังทำให้หงุดหงิดใจได้ถึงเพียงนี้

เมื่อเห็นว่าสติตนเริ่มฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ วศินจึงล้มตัวลงนอนหวังให้ห้วงนิทราช่วยขจัดอาการที่ว่านั้นให้หายไป

“แม่…แม่มะลิ”

เสียงแหบพร่าแปร่งปร่าออกมาอย่างยากลำบากเพราะลูกสะอื้นที่ถูกกดไว้ในลำคอ กายของเจ้าแก้วเริ่มจะสั่นเทาคล้ายลูกนกต้องฝน แขนทั้งสองข้างยกขึ้นมาปัดป่ายไปทั่วราวกับต้องการจะไขว่คว้าเอาความว่างเปล่าเบื้องหน้าเข้ามากอดเป็นหลักยึด

เสียงสะอื้นเริ่มดังชัดเจนขึ้นทุกขณะ ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าโศกเสียจนน่าสงสาร

และเพราะทนฟังเสียงที่เข้ามาบีบเคล้นในอกไม่ไหววศินจึงหมายที่จะหันตัวไปปลุกให้เด็กหนุ่มผู้นั้นหลุดออกมาจากห้วงความฝัน

หากแต่ใครอีกคนก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ทำให้จอมทัพอสุราหยุดการกระทำไว้ได้ทัน

“แก้ว…ไอ้แก้ว”

เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกอย่างเป็นห่วง

ไอ้กล้าพลิกตัวหันมาหาน้องมันทันทีรับรู้ได้ถึงเสียงสะอื้นอยู่ข้างกายไม่หยุด ก่อนจะทำการปลุกโดยที่จับแขนเขย่าเบาๆ ให้รู้สึกตัวหากแต่เจ้าแก้วก็ยังคงไม่หลุดพ้นออกมาจากห้วงฝันร้าย คนเป็นพี่จึงต้องเพิ่มแรงขึ้นอีกนิดเพราะกลัวเสียงร้องไห้ของมันจะไปปลุกใครคนอื่นเข้า

“ไอ้แก้ว”

เพราะความตื่นยากของมัน ไอ้กล้าจึงเผลอออกแรงกำต้นแขนมันเสียจนแดงห้อเลือด แต่ก็ถือว่าได้ผลดีทีเดียว ไอ้ขี้เซามันเริ่มจะปรือตาขึ้นมามองแล้ว

“จ๋า..”

“ข้าเห็นเอ็งร้องไห้เลยปลุก…เอ็งฝันถึงแม่อีกแล้วรึ”

เจ้าแก้วทำเพียงพยักหน้าตอบพี่มัน นัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่สวยยังคงทอประกายไปด้วยหยาดน้ำตา ฝ่ามือสากของคนเป็นพี่จึงต้องเอื้อมไปลูบหัวปลอบประโลมให้อย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่ดวงตาคมจะทอดมองน้องมันด้วยความห่วงใยเหลือแสน

พวกเขาทั้งสองคน ถึงแม้นจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ หากแต่ทั้งหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกก็หาได้เหมือนกันสักเพียงนิด เขานั้นได้ใบหน้าคมเข้มปกติของบุรุษและดวงตาสีสนิมมาจากพ่อ ในขณะที่เจ้าแก้วแทบจะถอดแบบแม่มาเสียหมด

นัยน์ตาที่ไม่แข็งกระด้างเหมือนดั่งบุรุษทั่วไปทำให้ตามันหวานล้ำเสียยิ่งกว่าอะไร อีกทั้งสีของแววตาก็เป็นสีน้ำผึ้งเสมือนของแม่ ใบหน้าคมคายที่ติดจะหวานนั่นดูอย่างไรก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก จะรูปหล่อก็ไม่ใช่จะสวยก็ไม่เชิง

แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดเสียจนน่าหวั่น ขนาดหน้ามีรอยบากถึงเพียงนี้ สาวเล็กสาวใหญ่ในหมู่บ้านยังตามพะเน้าพะนอมันเสียยิ่งกว่าอะไร เจ้าแก้วติดพูดจ๊ะจ๋ามาแต่เล็กแต่น้อยเพราะมันนั้นตัวติดแม่เป็นลูกลิง จึงพลอยได้นิสัยและการพูดจาของแม่มาเต็มๆ พอรวมกับใบหน้าซื่อๆ และคำพูดคำจาหวานหูของมันก็ทำเอาใครต่อใครก็เอ็นดูมันไปเสียหมด

“นอนเสีย”

พอเอ่ยปลอบมันไปอีกหน ก็ยังมิวายโดนสายตาของลูกหมามองกลับมา ทำให้คนพี่อดที่จะเอ็นดูมันไม่ได้

นิสัยของไอ้แก้วอีกอย่างก็คือออดอ้อนเก่งเสียยิ่งกว่าอะไรนี่ล่ะ นี่ถ้าหากมันเป็นผู้หญิง ก็เกรงว่าทั้งเขาและพ่อครูจะได้ขุดบ่อเลี้ยงจระเข้ไว้หน้าบ้านให้เสียฉิบ เพราะหนุ่มๆ ในหมู่บ้านคงวิ่งรี่มาก้อร่อก้อติกไม่เว้นแต่ละวัน

“มองอันใด เอ็งอยากถูกข้าเตะตัดแทนต้นกล้วยอย่างที่พ่อครูขู่รึ” ขู่ไปก็ขำไป ใครจะทำมันได้ลงคอ

“…” ก็ยังคงมองมาไม่หยุดหย่อน

“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเอ็งน่ะ”

ทำเป็นบ่นไปเรื่อยเปื่อยแต่ก็ดึงร่างของน้องมันมานอนกอดแนบอกดังที่เคยทำเสมอมา ตั้งแต่เล็กจนโตยามใดที่ฝันร้ายจนร้องไห้มันจะเข้ามากอดเขาไว้ จนครูบุญนึกระอาใจกับมันนักที่โตเป็นหนุ่มถึงเพียงนี้ก็ยังกระจองอแงเป็นเด็กเล็กๆ

รู้ถึงไหนอายถึงนั้น

ใบหน้าคมคายแนบซบไปกับแผ่นอกของผู้เป็นพี่ ฝ่ามืออุ่นนั่นคอยลูบปลอบมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสติการรับรู้ค่อยๆ เจือจางลงไป

“นอนแต่หัวค่ำแล้วตื่นมาร้องไห้ยามดึกดื่น เอ็งเป็นเด็กแบเบาะหรือวะ” บ่นออกไปอย่างไม่จริงจังนัก

เมื่อมั่นใจว่าน้องมันหลับสนิทดีแล้วไอ้กล้าจึงคลายอ้อมแขนที่กอดอยู่ออก

ตัวมันก็ใช่ว่าจะเล็กเสมือนตอนเป็นเด็ก ขืนนอนกอดกันไปจนกระทั่งรุ่งสางคงมิวายโดนเหน็บกินเป็นแน่แท้

ผ่านไปเพียงไม่นานเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอของมนุษย์ทั้งคู่ก็ดังคลอกันแผ่วเบา และเมื่อมั่นใจได้ว่าทั้งสองได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว เรือนกายสูงใหญ่ของจอมทัพอสุราจึงค่อยๆ พลิกตนกลับมาอีกฝั่ง

ดวงตาคมกล้าทอดมองร่างของเด็กหนุ่มมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาสีสวยที่เคยทอแววประกายสดใสบัดนี้ถูกซ่อนอยู่ใต้เปลือกตาเพื่อพักผ่อน ใบหน้าได้รูปเอียงแนบซบไปกับต้นแขนของตนต่างหมอนที่สละให้เขาและเจ้าวิรุณได้นอนหนุน

ปลายจมูกที่แดงก่ำเพราะการสะอื้นนั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวดูคล้ายเด็กเล็กยิ่งนัก

ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูอย่างไรแล้วอายุก็ยังคงไม่น่าจะยี่สิบปีดีนัก

ร่างกายที่ไม่ได้บอบบางอ้อนแอ้นอรชร แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตล่ำสันเหมือนดั่งคนพี่

กล้ามเนื้อเรียงตัวสวยขนาดพอเหมาะกับตัวนั้นดูแข็งแรงสมเป็นบุรุษอยู่ไม่น้อย หากแต่ยามที่ต้นแขนนั่นอยู่ในอุ้งมือเขา ช่างดูเล็กและเปราะบางเสียจนเพียงแค่มือเดียวก็เกรงว่าจะทำให้แหลกสลายได้ภายในพริบตา

ผิวกายสีเหลืองนวลกรำแดดเล็กหน่อยอย่างคนสุขภาพดี

เส้นผมสีดำสนิทล้อมกรอบใบหน้าคมคายให้ดูน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อต้องแสงสีนวลของดวงเดือน

“อือ…”

เสียงเครือครางดังขึ้นผะแผ่วทำให้อสุราหนุ่มชะงักสายตาไว้เพียงเท่านั้น เจ้าแก้วเริ่มที่ขยับตัวไปมาเล็กน้อย คงเพราะไม่สบายตัวหรือไม่ก็เมื่อยแขนเกินจะทน

เมื่อเห็นดังนั้นวศินจึงรอสังเกตอีกสักครู่หนึ่งให้มั่นใจว่ามนุษย์ตรงหน้ายังคงจมลึกอยู่ในห้วงนิทรา

ฝ่ามือใหญ่จึงเอื้อมไปดึงหมอนรองใต้ศีรษะตนออกมา ก่อนจะค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้ร่างที่นอนหลับสนิท ตั้งใจเพียงแค่จะนำหมอนไปรองคอให้เท่านั้น

เพราะท่าทางหลับคอพับคออ่อนอย่างไร้สตินั่น เกรงว่าจะทำให้คอเคล็ดเอาได้

เมื่อเจ้าแก้วสัมผัสได้ถึงไออุ่นอยู่ใกล้ตัวมือของมันก็เริ่มไขว่คว้าอากาศอีกหน

หากเพียงครั้งนี้มันไม่ได้คว้าความว่างเปล่ากลับมาไว้ในอ้อมแขนเหมือนดังเช่นเคย แต่กลับเป็นท่อนแขนล่ำสันของอสุราหนุ่มที่ตัวมันนั้นเกรงกลัวหนักหนาในยามปกติ แต่ในยามที่นอนไม่รู้สติเฉกเช่นนี้กลับใจกล้าบ้าบิ่นคว้าแขนเขามากอดเสียแน่นยิ่งกว่าลูกลิงลูกค่าง

การกระทำที่เหนือความคาดหมายทำให้วศินพยายามที่จะดึงแขนตนออก แต่ก็กลับโดนวงแขนเล็กนั่นกอดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ประกอบกับเสี้ยวหน้าได้รูปนั่นได้แนบซบไปบนท่อนแขนของเขาเป็นที่เรียบร้อย

เหตุการณ์ที่เหนือการควบคุมสร้างความหงุดหงิดงุ่นง่านให้เขาอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความจนปัญญาที่จะยื้อดึงแขนตนกลับจากแรงเกาะที่เหนียวแน่นนี้ อสุราหนุ่มจึงทำเพียงแค่จัดท่านั่งใหม่ให้ตนไม่เมื่อยจนเกินไป โดยที่แขนข้างซ้ายของเขาโดนเจ้ามนุษย์หน้าซื่อเอาไปกอดไว้แนบกาย

จอมทัพแห่งนครยักษาเพียงแค่พรูลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด

เขานึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ยอมสละแขนตนให้เด็กมนุษย์ผู้นี้เอาไปกอดก่ายได้ตามอำเภอใจ เพราะโดยนิสัยปกติเขามิใช่คนที่จะยอมให้ใครเข้ามาชิดใกล้ได้ง่ายนัก

และหากจะว่าเขานั้นถือตัวก็คงจะไม่เกินจริง

หากแต่เด็กหนุ่มผู้นี้ตั้งแต่วันแรกที่พบกันก็มาทำลายขอบเขตที่เขาได้วางไว้เสียจนน่าหงุดหงิด

สายตาคู่นี้ที่ไม่เคยจะหยุดมองหรือสนใจสิ่งรอบกายกลับโดนนัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นดึงดูดเสียจนตกอยู่ในภวังค์ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยจะเป็นเช่นนี้มาก่อน เพราะตั้งแต่เกิดมาวศินไม่เคยจะสนใจหรือใคร่มองนางยักษ์ตนไหน

และถึงแม้นจะเคยโดนทอดสะพานมาหลายครั้งหลายหนก็เมินเฉยเสียจนคนเขาไปครหานินทากันให้วุ่นไปหมดว่าจอมทัพผู้นี้ตายด้านเรื่องความรักความใคร่

ตายด้านเช่นนั้นหรือ? ใช่เสียที่ไหน

เขาคิดเพียงแค่ว่าว่าการที่จะต้องมีใจปฏิพัทธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระไร้แก่นสารเสียยิ่งกว่าอะไร

การเอาตัวตนและหัวใจของตนไปผูกไว้กับผู้อื่น

ก็มีแต่จะทำให้อ่อนแอลง

เพราะสัตว์โลกใบนี้นั้นเมื่อความรักได้ก่อเกิดขึ้นมาในจิตใจ*…แม้นเพียงเสี้ยวเดียว*

ถึงจะแข็งแกร่งดังหินผา ก็พร้อมที่แตกสลายทำลายตนเมื่อรู้สึก...รัก

แม้นจะฉลาดปราดเปรื่องสักเพียงไหน เมื่อมีรักแล้ว ก็โง่เขลาเบาปัญญาไม่ต่างกัน

แล้วเหตุใดเขาจะต้องยอมให้ความรู้สึกเฉกเช่นนั้นครอบครองตน…

วศินก้มลงมองเด็กหนุ่มมนุษย์ที่อยู่ข้างกาย เขานึกแปลกใจในตนเองไม่น้อยที่ยอมเพิกเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ ครั้นจะดึงแขนออกมาให้มันนอนคอตกไปยันรุ่งสางก็ย่อมได้

แต่เพราะใบหน้ายามหลับพริ้มของเด็กหนุ่มที่ดูจะมีความสุขเสียเต็มประดานั่นทำให้ไม่อยากจะไปรบกวนห้วงนิทราแสนหวานนั่นให้ระแคะระคายแม้นสักเพียงนิด

แต่เท่านี้ก็นับว่าเกินพอแล้ว...

ยอมอดทน ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องอดทน

ยอมให้ผู้อื่นชิดใกล้ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นเพียงมนุษย์ที่มีฐานันดรต่ำกว่า

เพียงเท่านี้ก็มากเกินพอแล้วในข้อจำกัดของเขา...

แต่...ลมหายใจอุ่นที่รินรดอยู่บนท่อนแขนและกลิ่นหอมละมุนที่อยู่รอบกายของมนุษย์ผู้นี้…

กลับทำให้จิตใจที่แสนว้าวุ่นของเขาสงบลงได้อย่างน่าประหลาดคล้ายแอ่งน้ำเย็นเยียบที่ไม่มีแม้นแต่ตะกอนฝุ่นผงให้รำคาญใจ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่คิ้วเข้มขมวดขึงได้คลายตัวออกจากกัน

จิตที่วิตกและพะว้าพะวังในเรื่องต่างๆ ได้มลายหายไปหมดสิ้น

เป็นความสบายใจสบายกายอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อนในชีวิต

เพราะอากาศที่เย็นลงทำให้เจ้าแก้วเริ่มที่จะขยับตัวหาไออุ่นอีกครา เมื่อรับรู้ได้ถึงกายอุ่นของใครสักคนที่อยู่ชิดใกล้มันจึงไม่ลังเลเลยที่จะซุกตัวเข้าหา โดยที่ไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร

วงแขนของมนุษย์หน้าซื่อจึงปล่อยมือจากท่อนแขนแกร่งแล้วเปลี่ยนไปโอบกอดช่วงเอวสอบของอสุราหนุ่มไว้แทน

ชักจะเหิมเกริมไปกันใหญ่

เห็นดังนั้นจอมทัพอสุราจึงหมายจะดึงตัวของมนุษย์ผู้น้อยให้ออกห่าง แต่เมื่อได้มองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แนบซบอยู่ช่วงสะโพกแล้วก็เพียงแค่ได้ชะงักไว้แค่นั้น ก่อนฝ่ามือใหญ่จะเปลี่ยนไปวางบนศีรษะของเด็กหนุ่มแทน

เอาเถอะ*…ถือเสียว่าตอบแทนที่ช่วยดูแลเขายามล้มป่วยก็แล้วกัน*

จะยอมสละไออุ่นให้คลายหนาวในค่ำคืนนี้...แค่คืนนี้เท่านั้น

ไว้รุ่งสางค่อยลุกออกไปก็ยังไม่สาย

คิดได้ดังนั้นอสุราหนุ่มก็ทอดถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน

เมื่อเวลาผ่านไปได้อีกหลายชั่วยามความมืดมิดในไพรกว้างเริ่มที่จะถูกแทนที่ด้วยแสงของสุริยัน

เหล่าสกุณาเริ่มส่งเรียกร้องออกหากินต้อนรับวันใหม่ ท้องนภายังไม่สว่างดีแสดงให้เห็นว่ายามรุ่งสางได้ย่างกรายเข้ามาเยือน ภายในเรือนของครูบุญยังไม่มีผู้ใดตื่นจากห้วงนิทราทุกชีวิตยังคงหลับสนิทอยู่เฉกเช่นเดิม

จะมีก็เพียงแต่เรือนกายสูงใหญ่ของยักษาตนหนึ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายคลายวงแขนดึงตนออกมาจากการโอบกอดที่แน่นหนาของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะลุกเดินออกไปนอกเรือน

ทิ้งไว้เพียงแต่ไออุ่นที่เจือจางและหมอนที่นำไปรองไว้ให้

แทนตักของเขาที่เจ้าแก้วได้อาศัยหนุนนอนมาตลอดทั้งค่ำคืน



__________

พบยักษ์ขี้เก๊กหนึ่งอัตราจ้าาาาา  :o8:

ไหนๆ ใครบอกพี่วศินค่าตัวแพงไม่ค่อยมีบท นี่ไงมีแล้วนะ

บทเยอะด้วย หมั่นส้ายยย 5555



กลับมาแล้วจ้าา ขอโทษที่หายหน้าไปนานนะคะ

เพราะงานที่รัดตัวจนแทบไม่มีเวลาหายจัยย  :sad4:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันน้าา ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจจ้า :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๕ - ฝันร้าย : ๐๔/๐๕/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-05-2018 19:57:01
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๕ - ฝันร้าย : ๐๔/๐๕/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 04-05-2018 21:11:45
วิรัลจะเป็นยังไงบ้าง
น่าสงสาร ต้องมาโดนลงโทษ ทั้งที่ไม่มีความผิด

 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๕ - ฝันร้าย : ๐๔/๐๕/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 04-05-2018 22:36:43
แหมมมมมม ยักษ์ซึนนิเจ้าคะ
ทำมาเหตุผลงั้นงี้ สุดท้ายก้อนอนกอดกันทั้งคืน -.,-
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๕ - ฝันร้าย : ๐๔/๐๕/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-05-2018 15:41:57
ยอมเป็นหมอนจ้างด้วย อิอิ
ตอนต่อไปจงมาๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๕ - ฝันร้าย : ๐๔/๐๕/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 05-05-2018 23:50:22
กรี๊ดดดดดด ขอกระโดดกอดคุณนักเขียนพร้อมจุ๊บอีก3ที ฮืออออ เราชอบเรื่องนี้มากแม้จะพึ่งลงแค่5ตอน เราจะติดตาม เราชอบแนวยักษ์ๆ อะไรแบบนี้ด้วย พี่ยักษ์ซึนน่ารักมาก แต่ๆๆ น้องแก้วน่ารักกว่า (ฮ่าาาา) ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :mew1:

ปล. บางจุดอ่านแล้วยังรู้สึกงงๆ นะคะ แบบเหมือนพิมพ์คำตกไป คำผิดก็มีบ้างเล็กน้อย ปรับแก้ได้ พยายามเข้านะคะ สู้ๆ  :mc4:  :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๕ - ฝันร้าย : ๐๔/๐๕/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 06-05-2018 08:38:58
กรี๊ดดดดดด ขอกระโดดกอดคุณนักเขียนพร้อมจุ๊บอีก3ที ฮืออออ เราชอบเรื่องนี้มากแม้จะพึ่งลงแค่5ตอน เราจะติดตาม เราชอบแนวยักษ์ๆ อะไรแบบนี้ด้วย พี่ยักษ์ซึนน่ารักมาก แต่ๆๆ น้องแก้วน่ารักกว่า (ฮ่าาาา) ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :mew1:

ปล. บางจุดอ่านแล้วยังรู้สึกงงๆ นะคะ แบบเหมือนพิมพ์คำตกไป คำผิดก็มีบ้างเล็กน้อย ปรับแก้ได้ พยายามเข้านะคะ สู้ๆ  :mc4:  :L2:  :กอด1:

ได้เลยค้าบบ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆนะคะ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๕ - ฝันร้าย : ๐๔/๐๕/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-05-2018 01:40:08
แหมมมม ทำมาเปงงงง ถ้าชอบน้องเขาแล้วยังขี้เก๊กแบบนี้จะเชียร์คนอื่นให้ค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๐๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 03-06-2018 23:12:04
เจ้ากระรอก

.

.

.


“เอ้าๆ เดี๋ยวก็ตกลงมาคอหักตายหรอกเอ็งนี่!”

ครูบุญที่นั่งคัดสมุนไพรอยู่บนแคร่อดที่จะดุเสียงเข้มขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเห็นศิษย์รักคนเล็กของตนกระโจนขึ้นไปบนต้นมะพร้าวด้วยความว่องไวราวกับลูกลิงป่า เจ้าแก้วหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับค่อยๆ ปีนไต่ลำต้นขึ้นไปบนยอดสูง

ก็เมื่อสักครู่นี้มันได้ยินพ่อครูพูดว่าอยากกินน้ำมะพร้าว ดังนั้นมันจึงไม่รอช้ารีบจัดการสลัดเสื้อออกจากตัวพร้อมกับถลกผ้านุ่งขึ้นสูง ก่อนจะกระโจนขึ้นต้นมะพร้าวไปโดยที่ไม่สนใจฟังเสียงท้วงติงของชายชราเลยสักนิด

ทโมนเสียยิ่งกว่าลูกลิงลูกค่าง!

“เอาทั้งทะลายเลยไหมจ๊ะพ่อครู”

เสียงสดใสของเด็กหนุ่มตะโกนลงมาหาคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง

ขาและแขนก็ของมันก็ต่างเกาะเกี่ยวลำต้นไว้แน่นเพื่อเป็นหลักยึด เจ้าแก้วหัวเราะจนตาปิดเมื่อเห็นสีหน้าของครูบุญเขียวคล้ำลง ดูท่าแล้วคงอยากจะถือหวายมาหวดหลังมันเสียเต็มแก่

ยามเรียบร้อยก็สงบนิ่งดั่งผ้าพับไว้ในหีบ

แต่ยามที่มันเลือดบ้าขึ้นนี่ช่างทโมนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด

ครูบุญคิดในใจอย่างนึกปลงตก ก่อนจะวางกระจาดยาลงบนแคร่พร้อมกับลุกเดินเข้ามายืนอยู่ใต้ต้นมะพร้าวเจ้าปัญหา

“เอ็งรีบลงมาเสียเจ้าแก้ว”

ชายชราเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายพร้อมกับยกนิ้วชี้หน้ามันไว้อย่างคาดโทษ

“แหะๆ ก็ฉันเห็นว่าพ่อครูอยากกินน้ำมะพร้าวนี่จ๊ะ”

“แล้วข้าใช้เอ็งปีนขึ้นไปเก็บเสียที่ไหนกัน” เขากัดฟันเถียงมันกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ศิษย์รักคนเล็กคนนี้ยามจะดื้อรั้นขึ้นมาก็ทำเอาเขาปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ไม่หยอก

“ลงมาเมื่อใดล่ะข้าจะฟาดเอ็งให้เนื้อเขียวเลยเชียว”

“จะกล้าเร้ออ”

เสียงยียวนของบุคคลที่สามดังแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลัง

ร่างสูงใหญ่เดินนวยนาดเข้ามาหาครูเฒ่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไอ้ลูกลิงที่กำลังเกาะต้นมะพร้าวอยู่อย่างแนบแน่น เมื่อสักครู่มันเดินเข้ามาทันได้ยินเสียงบ่นขรมของพ่อเฒ่าพลันให้นึกเย้ยเยาะอยู่ในใจเงียบๆ

จะฟาดไอ้แก้วให้เนื้อเขียวเช่นนั้นหรือ?

เอาหัวเป็นประกันเลยว่าอย่างมากพ่อครูก็ทำเพียงแค่ดุด่ามันเหมือนอย่างที่ผ่านมาเท่านั้นล่ะ

ก็โอ๋กันเสียขนาดนั้น ตั้งแต่เล็กจนโตรสชาติของก้านไม้หวายมีหรือไอ้แก้วมันจะเคยลิ้มรส มีแต่เขานี่แหละที่โดนหวดจนหลังลายพร้อยไปเสียหมด!

หนักสุดโดนเตะตกเรือนก็เคยผ่านมาแล้ว บนโลกนี้มีแต่เจ้าแก้วนั่นล่ะที่พ่อครูจะใจดีด้วย

ไอ้เรื่องเฆี่ยนตีหวังสั่งสอนเนี่ยลืมไปเสียเถอะ เพียงเห็นน้องมันซึมเซื่องลงเพียงนิดพ่อครูก็มือไม้อ่อนแล้ว

ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง!

“ปากมากนะเอ็ง” ครูบุญเปลี่ยนหันมาเหวใส่ไอ้คนพี่แทน

หมั่นไส้กับท่าทางลอยหน้าลอยตาของมันเสียจนอยากจะประเคนบาทาประทับลงบนอก

“หล่อเหลามากด้วยเช่นกันจ้ะ” ชายหนุ่มยักคิ้วพร้อมกับยิ้มตอบผู้มีพระคุณอย่างอารมณ์ดี แต่กลับได้รับเพียงใบหน้าเหม็นเบื่อตอบกลับมาจากชายชราแทนเสียเนี่ย

“ข้าล่ะคลื่นไส้นัก” สายตาฝ้าฟางปรายมามองไอ้ตัวดีข้างกายพร้อมกับเอ่ยสั่ง “มาช่วยน้องเอ็งเก็บมะพร้าวด้วย”

“จ้าๆ”

ชายชราบ่นทิ้งท้ายไว้อีกนิดหน่อยก่อนจะเดินปัดผ้าขาวม้ากลับไปนั่งแยกสมุนไพรอยู่บนแคร่ต่อ โดยไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นมองสองพี่น้องอยู่เป็นระยะๆ เพราะนึกเป็นห่วงศิษย์รักคนเล็ก

เจ้าแก้วนั้นถึงจะแข็งแรงดีก็จริงอยู่แต่ดวงตาที่มองเห็นได้เพียงข้างเดียวนั้นเกรงว่าจะทำให้มันได้รับอันตรายจากความมุทะลุตามวัย ที่ผ่านมาก็ตกต้นไม้น้อยใหญ่จนนับครั้งไม่ถ้วนจนเขากับพี่มันเอือมที่จะดุด่า แต่ดีหน่อยที่ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้มันดูจะว่านอนสอนง่ายขึ้นมาบ้าง ไม่โลดโผนโจนทะยานเหมือนตอนเด็กๆ ให้เขาได้ปวดหัว

..แค่ทุกวันนี้ปะทะฝีปากกับไอ้กล้าคนเดียวก็ชักจะอายุสั้นลงทุกทีแล้ว

“พี่กล้าจ๊ะ รับนะ!”

ไอ้ตัวทโมนตะโกนลงมาบอกพี่มันที่ยืนคอยอยู่ตรงโคนต้น

“เออ ข้ารู้แล้ว”

สองพี่น้องช่วยกันเก็บมะพร้าวอย่างสนุกสนาน มีบางครั้งที่คนน้องอยากจะเอาคืนพี่มันที่ชอบแกล้ง จึงใช้เท้าช่วยยันให้ลูกมะพร้าวร่วงลงมาติดต่อกันโดยที่ไม่ปล่อยจังหวะว่างให้ไอ้กล้าได้วางของเก่าลง ผลที่ได้คือพี่มันเกือบจะหัวร้างข้างแตกแต่ดีที่ไวทายาดสามารถหลบได้ทันการณ์

“ไอ้แก้ว! เล่นอะไรแผลงๆ นะมึง!”

ไอ้กล้าเหวใส่น้องมันไปอย่างหัวเสีย แต่ก็ยังมิวายโดนครูเฒ่าที่นั่งอยู่ไกลตอกกลับมาจนหน้าม้าน

“ไปว่าน้องมัน เอ็งน่ะจัญรี้จัญไรกว่ามันเยอะ ไอ้กล้า!”

ถือหางกันเสียจริง พ่อเฒ่านี่!

ไอ้กล้าฮึดฮัดขัดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชี้หน้าน้องมันไว้อย่างคาดโทษโดยเมื่อได้เสียงหัวเราะอย่างปนสะใจคล้ายกับจะเยาะเย้ยเขา

“เอ็งลงมาได้แล้วไอ้แก้ว”

เสียงทุ้มตะโกนขึ้นไปบอกน้องมันเมื่อเห็นว่ามะพร้าวที่เก็บลงมามันเยอะพอสมควรแล้ว

“จ้ะ เดี๋ยวฉันลงไป”

เจ้าแก้วพักเหนื่อยจากการออกแรงก่อนจะหันไปมองภูมิทัศน์โดยรอบ

ทันใดนั้นสายตาก็หยุดลงอยู่กับร่างสูงใหญ่ของยักษาสองตนที่เดินคู่กันมาจากทางฝั่งท่าน้ำบริเวณหลังเรือน นัยน์ตาสีน้ำผึ้งป่ากลับเผลอจดจ้องไปที่ร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มสีชาอย่างลืมตัว พลันเสียงอึกทึกในอกก็รัวกระหน่ำเสียจนเจ้าตัวนั้นหูอื้ออึง

หวนให้นึกถึงเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา...ไออุ่นที่โอบรอบกายของมันนั้นช่างอุ่นสบายเสียจนต้องเผลอไผลขดกายเข้าหา

แล้วก่อนที่มันจะทันได้รู้สึกตัวตื่นความอบอุ่นนั้นก็สลายหายไปราวกับสายลม..จนต้องแอบนึกเสียดายอยู่ลึกๆ ข้างในอก

แต่แล้วเมื่อลืมตาตื่นขึ้นกลับได้พบเรื่องที่ทำให้แปลกใจอยู่ไม่น้อย...

..เหตุใดหมอนใบเก่าที่มันเคยสละให้กับอสุราหนุ่มได้หนุนนอนนั้น เหตุใดถึงกลับมารองอยู่ใต้ศีรษะมันเสียได้...

เมื่อร่างสูงใหญ่ของสองยักษาเดินเข้ามาถึงเขตเรือน ไอ้กล้าที่คราแรกอารมณ์กำลังเบิกบานก็กลับนึกหัวเสียขึ้นมาทันทีทันใด มันรีบเดินฟึดฟัดออกไปจากเรือนโดยไม่แม้นแต่ที่หันจะกลับไปฟังเสียงเรียกของครูเฒ่าสักเพียงนิด ระหว่างที่เดินผ่านเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่ตนนึกชัง ชายหนุ่มได้ปรายตาขึ้นไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เป็นมิตรก่อนจะจ้ำเท้าเดินออกไปจนฝุ่นตลบตาม

...เกลียดขี้หน้าพวกมันทั้งสองอย่างกับอะไรดี

โดยเฉพาะไอ้ยักษ์ที่ชอบมีรอยยิ้มสุภาพน่าสะอิดสะเอียนตนนั้น!

“ผีห่าตนไหนเข้าสิงมันล่ะนั่น”

ครูบุญบ่นคล้อยหลังตามมันไปอย่างเหนื่อยหน่ายใจกับพฤติกรรมของศิษย์รักคนโต

เขารู้ว่าไอ้ตัวดีมันกำลังหลบหน้าพ่อยักษ์ทั้งสอง โดยเฉพาะกับพ่อวิรุณ...เห็นใช้สายตามองอีกฝ่ายทีไรก็เขียวปั้ดอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน

“เอ้าแก้ว”

วิรุณลอบถอนหายใจให้กับบุรุษหนุ่มหัวรั้นเมื่อครู่ก่อนจะสังเกตเห็นเงาตะคุ่มบนต้นมะพร้าวต้นสูง พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเจ้าแก้วกำลังมองลงมาด้านล่างเช่นกัน วิรุณกำลังจะเอ่ยถามเด็กหนุ่มแต่พอเห็นมะพร้าวกองโตที่กองอยู่บริเวณโคนต้นก็เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดได้ในทันที

วศินที่มองขึ้นไปตามสายตาของสหายตนก็ได้สบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำผึ้งป่าเข้า พออีกฝ่ายรู้ตัวจึงรีบหันหน้าหนีออกไปอีกทางแสร้งทำเป็นเมินมองนกบนยอดไม้ที่อยู่รอบกายแทน

“ระวังร่วงนะ” วิรุณส่งยิ้มเบาบางพร้อมส่งความห่วงใยไปให้คนบนยอดไม้สูง

“สบายใจได้จ้ะพี่ยักษ์”

เสียงสดใสที่ตอบกลับมาทำให้วิรุณเผลอจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มอีกครา..

เด็กหนุ่มในพงไพรมีที่รอยยิ้มสุกใสเสียจนดวงสุริยันบนท้องฟ้ายังต้องหม่นหมองอับแสงลง

...ช่างอบอุ่น เจิดจ้า เสียจนพาตาพร่าเลือน

มีชีวิตชีวาราวกับน้ำค้างที่พลิ้วไหวอยู่บนยอดหญ้า

คล้ายกับน้ำฝนฉ่ำเย็นที่ตกลงมาชโลมจิตใจของผู้ที่ได้พบเห็น..

“พ่อวิรุณไม่ต้องไปห่วงมันให้เปลืองน้ำลาย ไอ้ลิงลมตัวนี้กล่าวเตือนไปมันเคยฟังเสียที่ไหน” ครูบุญเอ่ยสวนขึ้นมาดักคอศิษย์รัก ก่อนจะหันไปพูดกับสองอสุราหนุ่มพร้อมกับตบแคร่ข้างกาย “พวกท่านมานั่งนี่เถอะ ข้าให้เจ้าแก้วมันต้มยาไว้ให้แล้ว”

สองยักษาพยักหน้ารับคำชายชราอย่างว่าง่าย ถึงแม้นพ่อเฒ่าผู้นี้จะเป็นเพียงแค่มนุษย์ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าแต่ทั้งสองจอมทัพกลับนึกเคารพและนับถือชายชราผู้มากไปด้วยความเมตตาอยู่มาก

ในระหว่างที่วิรุณได้ออกตัวเดินเข้าไปหาชายชรานั้นเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงร้องอย่างตกใจของเจ้าแก้วดังขึ้นอยู่ด้านหลังจึงรีบหันตัวกลับไปดู ภาพที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้านั้นส่งผลให้ภายในอกที่แข็งแกร่งดั่งหินผาวูบไหวอย่างรุนแรง

“เจ้าแก้ว!! ”

ร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากต้นมะพร้าวทำให้ทั่วทั้งตัวเย็นเฉียบแต่เม็ดเหงื่อกลับซึมออกมาจนเปียกชุ่ม ลำคอแห้งผากแม้แต่เสียงที่จะเอ่ยเรียกยังแทบจะถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ สองขาคล้ายกับโดนตอกตรึงอยู่กับพื้นไม่สามารถขยับก้าวออกไปได้อยากใจนึก เสียงร้องระคนตกใจของครูบุญที่ตะโกนกร้าวขึ้นกลับดึงสติของวิรุณให้กลับมาได้ทัน

แต่ยังไม่แม้แต่ที่จะได้ยกเท้าออกวิ่งร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มอีกตนกลับพุ่งตัวนำตนไปถึงต้นมะพร้าวต้นนั้นก่อนใคร

ตุ้บ!

วศินเอื้อมมือคว้าร่างของเด็กหนุ่มเข้ามาไว้ในอ้อมแขนได้อย่างทันท่วงทีแต่เพราะร่างกายที่ไม่ได้มีพละกำลังมหาศาลเหมือนดังแต่ก่อน เมื่อต้องรองรับน้ำหนักของเด็กหนุ่มไว้ทั้งร่างจึงทำให้ทั้งเขาและเจ้าแก้วล้มกลิ้งลงไปบนพื้นดิน สัญชาตญาณสั่งให้เขากอดเด็กหนุ่มเอาไว้แนบอกเมื่อสังเกตเห็นว่าบริเวณใกล้ๆ นั้นมีเศษหินคมกระจัดกระจายอยู่ทั่ว

ร่างสูงใหญ่เผลอลืมตนทิ้งน้ำหนักลงที่แขนด้านขวาจนได้ยินเสียงลั่นของกระดูก ความเจ็บปวดคล้ายกับโดนเข็มลนไฟนับพันเล่มทิ่มแทงลงมาบนแขนจนชาวาบ อสุราหนุ่มขบกรามลงแน่นจนเหงื่อผุดซึมขึ้นมาทั่วร่าง เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลงวศินจึงพลิกตัวขึ้นนอนหงายเพื่อลดการกดทับน้ำหนักไปบนแขน

โดยยังมีมนุษย์ตัวน้อยนอนตัวแข็งขดกายเกยอยู่บนร่างของเขา

เจ้าแก้วกะพริบตาถี่รัวเมื่อเริ่มตั้งสติได้ เมื่อครู่นี้ตอนที่มันกำลังจะปีนลงมาจากต้นมะพร้าวจู่ๆ ก็มีงูเขียวตัวหนึ่งชูคอออกมาจากทะลายมะพร้าวที่อยู่ใกล้ๆ อารามตกใจจึงทำให้มันเผลอปล่อยมือออกจากลำต้นส่งผลให้ร่างทั้งร่างร่วงตกลงมาสู่พื้นด้วยความรวดเร็ว วินาทีมันนึกแต่เพียงว่าอย่างไรเสียตกลงไปรอบนี้สภาพคงดูไม่จืดเป็นแน่

แต่กลับไม่เป็นดังคาดเมื่อโดนแรงมหาศาลโถมตัวมารับร่างของมันไว้ก่อนภาพทุกอย่างจะหมุนเคว้งอยู่เพียงครู่หนึ่งแล้วจึงหยุดลง

แผ่นอกกว้างกำยำขึ้นสีชาดที่อยู่เบื้องหน้านี้ทำให้มันรู้ได้ทันทีว่าคนที่พุ่งตัวมารับมันเอาไว้ก็คือ..

...ท่านวศิน

จู่ๆ บรรยากาศรอบด้านก็แผ่กลิ่นอายน่าประหลาดออกมาเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปสบเข้ากับนัยน์ตาสีนิลทรงอำนาจ สายตาคมกล้าทำให้เจ้าแก้วอ้ำอึ้งคล้ายคนใบ้ คำพูดทุกอย่างถูกกลืนเก็บเข้าไปลำคอพลันเสียงเต้นระรัวในอกของเด็กหนุ่มก็เพิ่มจังหวะเร็วรัวขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าผิวเนื้อเปล่าเปลือยของทั้งคู่นั้นกำลังแนบชิดกันอยู่ ไอร้อนจากเรือนกายสูงใหญ่ที่โอบล้อมอยู่รอบกายทำให้หวนนึกถึงความอบอุ่นเมื่อช่วงรุ่งสางที่ผ่านมา

...ช่างคล้ายกันเหลือเกิน

วศินเป็นฝ่ายที่รวบรวมสติกลับคืนมาได้ก่อนหลังจากที่โดนลูกแก้วสีอ่อนดึงดูดจนไม่สามารถผละสายตาหนีออกไปได้ คิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากถามคำถามคนที่อยู่ในอ้อมแขน

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” น้ำเสียงทุ้มน่าเกรงขามถามขึ้นทำให้จ้าแก้วสะดุ้งตกใจถอนสายตาออกมาจากอีกฝ่าย

“ฉัน...ไม่เป็นไรจ้ะ”

ใบหน้าคมคร้ามพยักหน้าตอบรับเพียงเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อความเจ็บที่แขนขวาแล่นเข้าโจมตีจนท่อนแขนเริ่มล้า แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมคล้ายอ้อมกอดที่โอบรัดรอบกายเด็กหนุ่มออกแต่กลับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นไปอีกเมื่อได้สัมผัสกับผิวเนื้ออุ่นของมนุษย์ที่นอนเกยอยู่บนช่วงตัวเขา

ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งลดลงมาจับประคองตรงช่วงเอวคอดอย่างลืมตัว ผิวเนียนละเอียดของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนส่งผลให้อสุราหนุ่มเผลอลงแรงจนอีกฝ่ายสะดุ้ง

..มนุษย์นั้นผิวเนียนลื่นมือขนาดนี้เชียวหรือ...

อีกทั้งช่วงเอวยังเล็กเสียจนใช้มือเพียงข้างเดียวยังสามารถโอบได้ไว้เกือบครึ่งเสียด้วยซ้ำไป..

การกระทำอันอุกอาจนี้ส่งผลให้เจ้าแก้วหน้าแดงเห่อร้อนเสียยิ่งกว่าตอนจับไข้เมื่อฝ่ามือใหญ่ที่กระชับอยู่บริเวณสีข้างไล้ปลายนิ้ววนกับผิวเนื้อบั้นเอวจนขนอ่อนทั่วร่างลุกชูชัน ความรู้สึกร้อนรุ่มประเดประดังโถมเข้าใส่จนหูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลมแดด ริมฝีปากสีสดที่ถูกสายตาคมจดจ้องขบกัดเข้าหากันจนซีดขาว

“แก้ว”

เสียงเรียกอย่างร้อนใจของบุคคลที่สามดังขึ้นทำลายบรรยากาศแปลกๆ ที่โอบล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ วิรุณเดินเข้ามาหาก่อนจะช่วยประคองร่างของเด็กหนุ่มขึ้นยืนบนพื้นข้างๆ เขาสังเกตเห็นว่าเจ้าแก้วนั้นหน้าแดงจัดตั้งแต่ใบหูจนไปถึงลำคอเลยคิดไปว่าอีกฝ่ายคงโดนไอแดดแผดเผา ตาคมมองสำรวจร่างเด็กหนุ่มไปทั่วว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ แต่ก็เบาใจไปเมื่อพบว่าอีกฝ่ายนั้นปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน

วิรุณทอดมองร่างที่เล็กกว่าอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะต้องรีบเบือนหน้าหนีออกไปอีกทางเมื่อรู้สึกว่าตนเองนั้นได้ใช้สายตาล่วงเกินมองร่างเปลือยท่อนบนของเด็กหนุ่มมนุษย์จนดูเสียมารยาท ก่อนจะรีบรุดเข้าไปช่วยประคองสหายของตัวเองขึ้นมาแทนเพราะดูท่าว่าอีกฝ่ายนั้นจะได้รับบาดเจ็บอยู่พอสมควร

เห็นดังนั้นเจ้าแก้วจึงกระวนกระวายรี่เข้าไปหวังจะช่วยประคองร่างของคนที่มาช่วยมันเอาไว้ทำให้สองจอมทัพอสุราหันมองไปที่เด็กหนุ่มพร้อมกัน ก่อนจะต้องชะงักนิ่งงันเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

ผิวกายเนียนละเอียดขึ้นสีระเรื่อทั่วตัวเมื่อโดนแสงอาทิตย์ฉาบไล้ไปทั่วผิวเนื้อ ลำคอเรียวรับกับช่วงกระดูกไหปลาร้าที่ขึ้นรูปชัดเจน แผ่นอกชุ่มชื้นด้วยหยาดเหงื่อทอประกายหยอกเย้ากับแสงอาทิตย์ ยอดอกเล็กสีน้ำตาลอ่อนตัดกับสีผิวเนื้อนวลได้อย่างดี

นัยน์ตาคมทั้งสองคู่ไล่เรื่อยลงมาถึงเอวได้รูปรับกับช่วงสะโพกที่โดนผ้านุ่งปิดคลุมทับไว้ ผ้าสีเข้มนั้นถูกรั้งขึ้นจนเห็นผิวเนื้ออ่อนที่โคนขาด้านใน

สองอสุราหนุ่มเผลอตัวจดจ้องอย่างยากที่จะถอนสายตาออกมาได้

..ร่างกายของเด็กหนุ่มตรงหน้าพวกเขา หาได้อรชรอ้อนแอ้นดังเช่นเหล่าสตรี

แต่เหตุใดกลับมีเสน่ห์เสียจนน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้...

...น่ามองไปหมดทุกสัดส่วน..

“ท่าน...ท่านเจ็บมากหรือไม่จ๊ะ”

เจ้าแก้วเอ่ยถามขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเห็นสองยักษามองมาที่มันนิ่งงันไม่พูดไม่จาจนพานทำให้มันใจเสีย ทันใดนั้นสติที่หลุดลอยไปของทั้งสองก็กลับเข้าที่ วิรุณกระแอมไอในลำคอแก้เก้อขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนนั้นเผอเรอไปกับรูปโฉมของเด็กหนุ่มตรงหน้า เช่นเดียวกันกับวศินที่หันเหความสนใจของตนเองไปอยู่ที่ต้นไม่ต้นหญ้าแถวนั้นแทน

...พอรู้สึกตัวความกระดากอายก็ถาโถมเข้าใส่จนพวกเขานั้นรู้สึกผิดขึ้นมาจับจิต

หาใช่รู้สึกผิดเพราะเจ้าแก้วนั้นเป็นบุรุษเฉกเช่นเดียวกัน

..แต่สิ่งที่ทำให้สองจอมทัพนึกผิดบาปอย่างมหันต์อยู่ในใจก็เป็นเพราะอีกฝ่ายนั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กที่ยังไม่เจริญเติบโตเป็นชายหนุ่มเต็มตัวเสียด้วยซ้ำไป...

..ให้ความรู้สึกราวกับเป็นโจรป่าโฉดชั่วที่กำลังคิดมิดีมิร้ายกับเด็กน้อยแสนซื่ออย่างไรอย่างนั้น...

“ข้าบอกเอ็งแล้วใช่หรือไม่ หา! เจ้าแก้ว!”

แต่ก่อนที่บรรยากาศรอบกายทั้งสามจะกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้เสียงตวาดกร้าวด้วยแรงโทสะของครูบุญก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน ชายชราเดินถือไม้หวายเส้นยาวเข้ามาหาหวังจะตีสั่งสอนศิษย์รักให้หลาบจำสักครั้ง แค่เห็นมันร่วงตกลงมาก็ทำให้เขานั้นใจหายจนเกือบลืมหายใจชั่วขณะหนึ่งนึกเป็นห่วงมันจนในอกบีบรัดอย่างทรมาน พลันโล่งอกไปเมื่อเห็นได้ว่าเจ้าแก้วปลอดภัยดี แต่เมื่อหันไปมองผู้มีพระคุณของมันแล้วมือเหี่ยวย่นก็กำไม้หวายจนสั่นเทา

ยิ่งสายตาของครูเฒ่าสังเกตเห็นแผลฟกช้ำตามเนื้อตัวของท่าวศินและอาการบาดเจ็บจากแขนขวาที่ดูจะแย่ลงกว่าเดิม ยิ่งทำให้ครูบุญโกรธจนควันแทบออกหูหน้ามืดเกือบจะลงแรงหวดไปบนแผ่นหลังของศิษย์รัก

เพราะความทโมนของมันต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย

ใช้ได้เสียที่ไหนกัน!

“ขอโทษจ้ะ..”

เจ้าแก้วก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด เสียงที่เคยสดใสยามนี้ช่างหม่นหมองเสียจนครูบุญยังแอบสะเทือนอยู่ลึกๆ ในอก

หาใช่ว่าเขาอยากจะเฆี่ยนตีมันให้ต้องเจ็บกายเสียที่ไหน ตีมันไปก็เป็นเขามิใช่หรือที่เจ็บยิ่งกว่า ตั้งแต่เล็กจนโตแทบนับครั้งได้ที่เขาคิดจะลงไม่ลงมือกับเจ้าแก้วของเขา

“ช่างเถอะพ่อเฒ่า เขาปลอดภัยก็ดีแล้ว” วศินพูดขึ้นมาอย่างไม่นึกถือสาหาความ เขาไม่ต้องการให้ชายชราลงไม้ลงมือกับเด็กหนุ่มผู้นี้สักเพียงนิด

“ปล่อยไปได้เสียที่ไหนกันท่านวศิน ทโมนไม่รู้ความจนทำผู้อื่นเขาเดือดร้อนไปด้วย” ครูบุญฮึดฮัดอย่างไม่พอใจนัก หวังจะลงหวายให้มันหลาบจำสักครั้ง จะได้ไม่ซนไปทั่วเช่นนี้อีก

“เรื่องแค่นี้ เป็นปกติของเด็กวัยกำลังซน ข้าหาได้ถือสาอันใด” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอกอีกครั้ง โดยครานี้เน้นย้ำจุดประสงค์กับพ่อเฒ่าอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ติดใจเอาความ และหากจะลงไม้ลงมือกับเจ้าแก้วเขาก็คงจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น

“พ่อยักษ์พูดมาขนาดนี้แล้ว ถ้าฆ่าลงไม้ลงมือไปก็คงไม่พ้นกลายเป็นไอ้แก่ใจร้ายไม่ได้ความ” ชายชราถอนหายใจอย่างนึกปลงตก ก่อนจะหันไปเรียกไอ้ลูกลิงที่กำลังซึมเซื่องได้ที่ “เจ้าแก้ว”

“จ๊ะ” มันรีบเงยหน้าขึ้นมาขานรับอย่างว่องไว เรียกรอยยิ้มเอ็นดูไปจากพ่อครูได้อยู่มากโข

“ทำแผลให้ท่านวศินเสียด้วย”

“จ้ะพ่อครู”

เจ้าแก้วพยักหน้ารับอย่างแข็งขันเมื่อรู้สึกได้ว่าตนเองไม่โดนคาดโทษแล้ว มันเลียบๆ เคียงเข้าไปปะเหลาะเอาใจชายชราอย่างออดอ้อนจนฝ่ายนั้นโอนอ่อนไปในที่สุด



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 03-06-2018 23:14:11
ร่างสูงใหญ่ของจอมทัพอสุรานั่งผึ่งผายอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนเรือน ตาคมทอดมองบรรยากาศรอบด้านไปเรื่อยพร้อมกับหันกลับมามองร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังสาละวนอยู่หน้ากองฟืนอยู่เป็นระยะ

เจ้าแก้วบอกให้เขานั่งรอสักครู่ก่อนจะเร่งรีบหาสมุนไพรชนิดต่างๆ มาต้มเป็นยาให้เขาดื่มกันช้ำใน

สีหน้าตั้งอกตั้งใจยามจ้องไปที่หม้อดินเผาบนกองฟืนดึงดูดสายตาของวศินให้หันไปมองได้อย่างไม่ยากเย็น ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เคยขึ้นสีระเรื่อบนแก้มอย่างคนสุขภาพดียามนี้กลับเปื้อนเขม่าควันขมุกขมัวเล็กน้อย แต่เจ้าหัวก็หาได้ใส่ใจกลับตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เขาจดจ้องท่าทางที่เต็มไปด้วยความเป็นธรรมชาติจนลืมสนใจทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย

รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็มายืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับอ่างน้ำหนึ่งใบเสียแล้ว

“เช็ดแผลก่อนนะจ๊ะ”

เด็กหนุ่มวางอ่างดินเผาไว้บนแคร่ข้างกายสูงใหญ่ก่อนจะเอ่ยขออนุญาตเจ้าตัวเพื่อทำความสะอาดแผลให้ วศินเพียงพยักหน้ารับพร้อมกับให้ความร่วมมือโดยการยกแขนทั้งสองข้างขึ้นอย่างทุลักทุเลเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายสามารถปลดผ้าพันแผลผืนเก่าออกได้อย่างสะดวก

เมื่อได้รับอนุญาตเจ้าแก้วก็เขยิบตัวเข้าไปยืนตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของคนที่นั่งอยู่ ฝ่ามือที่เล็กกว่าของยักษาอยู่มากค่อยๆ ดึงผ้าสีหม่นออกอย่างเบามือ เมื่อเนื้อผ้าที่ปกปิดหายไปก็ปรากฏรอยแผลชอกช้ำน่ากลัวมีเลือดซึมออกมา เด็กหนุ่มหน้าเสียลงไปไม่น้อยอย่างนึกรู้สึกผิดอยู่ในอกก่อนจะนำผ้าสะอาดอีกผืนชุบน้ำพร้อมบิดให้หมาดแล้วบรรจงซับลงไปบริเวณรอบปากแผลอย่างระมัดระวัง

เมื่อเห็นว่ารอยแผลที่ควรจะสมานกันกลับปริแตกมีเลือดซึมออกมายิ่งส่งผลให้ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นอย่างฉับไวเนื่องจากตระหนักได้ว่าตนเองนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องมาเจ็บตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“คือ..” เสียงซึมเซื่องเอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆ กลัว

“...”

“ขอโทษนะจ๊ะที่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนไปด้วย” นัยน์ตาสีอำพันหลุบต่ำลงเมื่อโดนสายตาคมกล้าตวัดมองมา

“...” วศินไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เพียงแค่นั่งนิ่งๆ คอยฟังอีกฝ่ายพูดต่อเท่านั้น

“แล้วก็...ขอบคุณมากจ้ะ ที่มาช่วยฉันเอาไว้”

เจ้าแก้วพูดอ้อมแอ้มได้อย่างไม่เต็มเสียงเท่าใดนัก พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่นั่งหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์อื่นใด นั่นยิ่งทำให้เจ้าแก้วเผลอขบกัดริมฝีปากตนเองอย่างนึกประหม่าขึ้นไปอีก ใบหน้าอ่อนเยาว์พลันขึ้นสีระเรื่อเพราะแรงกดดันจากอีกฝ่ายที่ส่งตรงมาจากนัยน์ตาสีนิลคล้ายกับมีประกายไฟคุโชนอยู่ข้างในนั้น

..มันช่างแผดเผา...และทำให้ร้อนรุ่ม..

ทุกกิริยาของเด็กหนุ่มล้วนตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม หากแต่สิ่งที่ดูจะดึงดูดสายตาของจอมทัพอสุรามากที่สุดในเวลานี้ก็เห็นจะเป็นกลีบปากอิ่มสีสดที่โดนเจ้าของมันขบกัดไว้จนขึ้นสีซีด เขาพิศดูเพียงครู่หนึ่งก่อนจะดึงความสนใจทั้งหมดไปไว้ที่สิ่งของรอบกายแทน

เพราะหากจ้องมองนานกว่านี้..

ก็เกรงว่าจะทำให้ตัวเขานั้นสูญเสียการควบคุมไปด้วย

“ช่างเถอะ เรื่องแค่นี้ข้าหาได้ใส่ใจ”

เพราะต้องการปกปิดบิดเบือนความรู้สึกน่ารำคาญที่กำลังเกาะกุมก่อกวนจิตใจจึงเผลอหลุดคำพูดที่ขัดแย้งกับตนออกไปคล้ายกับจะไม่ไยดีกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เท่าใดนัก

จอมทัพอสุราแสร้งมองรอบด้านไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองอีกฝ่ายที่ตอนนี้ดูเซื่องซึมลงไป แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเมื่อรู้สึกตัวว่าเขากำลังมองมันอยู่ เด็กหนุ่มก็ส่งรอยยิ้มเบาบางส่งมาให้ก่อนจะทำทีเป็นชวนคุยเรื่องสุขภาพร่างกายของเขาแทนพร้อมกับทำแผลไปพลาง

ในเวลานี้เองที่วศินรู้สึกคล้ายกับโดนมดกองทัพหนึ่งรุมกัดเข้าที่กลางอกเมื่อทันเห็นสายตาที่แสดงถึงความตัดพ้อกัน แม้นจะเพียงแค่แวบเดียวก็เล่นเอาเขานั้นรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายดูท่าทีจะไม่ติดใจอะไรเขาจึงทำได้แค่เพียงปล่อยเลยตามเลยนั่งเป็นผู้ฟังที่ดีต่อไป

วศินมองปากเล็กๆ ที่ขยับเจื้อยแจ้วไปเรื่อยอย่างไม่รู้เหนื่อย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปเห็นคราบเขม่าเจือจางแต้มอยู่ข้างแก้มอิ่ม

..ช่างขัดตาเสียจริง...

ทันใดนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งก็ยกเอื้อมขึ้นมาเช็ดคราบสกปรกออกไปจากผิวเนื้อนุ่ม ส่งผลให้เจ้าแก้วนิ่งงันตัวแข็งทื่อเมื่อโดนจู่โจมด้วยการกระทำที่เหนือความคาดหมายจนเผลอตัวหลับตาลงด้วยความตกใจ

หากแต่ฝ่ามือใหญ่ที่สามารถกุมหัวของมันไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวนั้นกลับบรรจงเช็ดคราบเขม่าออกให้อย่างเบามือ มือข้างนี้ที่เคยจับแต่ศาสตราวุธมาตลอดชีวิตไม่รู้ว่าควรกะแรงอย่างไรเมื่อต้องสัมผัสกับพวงแก้มอุ่น เกรงว่าหากลงแรงมากไปจะทำให้ผิวเนียนขึ้นรอยช้ำเอาได้ง่ายๆ

ความอุ่นร้อนจากข้อนิ้วที่ลากผ่านข้างแก้มแผ่ซ่านไปทั่วกายจนทำให้ศิษย์รักของครูบุญหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์แก้วตาสีอำพันสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อสบเข้ากับสายตาทรงอำนาจ โดยปกติแล้วเจ้าแก้วนั้นเป็นมนุษย์ประเภทที่ชอบออดอ้อนอยู่แล้ว เมื่อโดนการกระทำที่อ่อนโยนเช่นนี้เข้าไปจึงเผลอตัวเอียงหน้าเข้าหาฝ่าใหญ่อย่างนึกเคยตัว พฤติกรรมเช่นนี้ถูกครูบุญกับพี่กล้าด่าว่ามันเสียนิสัยคล้ายเด็กไม่รู้จักโต

แต่แท้จริงแล้วเจ้าแก้วก็ต้องการเพียงแค่ไออุ่นที่มันเคยขาดมาตั้งแต่เด็กเท่านั้น มันจึงชอบที่จะออดอ้อนพ่อครูกับพี่ตัวเองประจำเมื่อมีโอกาสและตัวเจ้าแก้วเองนั้นกลับมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องไม่ดีด้วย

“คราบเขม่า” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอก พร้อมกับลอบสังเกตอาการของอีกฝ่ายไปด้วย “มันเปื้อนหน้าเจ้า”

เจ้าแก้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะลงมือทำแผลต่อ แต่คราวนี้กลับปิดปากเงียบสนิทไม่พูดไม่จา ทำเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับการทายาสมุนไพรลงบนบาดแผลเท่านั้น

การกระทำเมื่อครู่ทำเอาวศินนั้นนึกแปลกใจตนเองอยู่ไม่น้อยที่มือมันไปไวเสียยิ่งกว่าความคิด ช่วงเวลาที่ข้อนิ้วสัมผัสกับผิวเนื้อนุ่มหยุ่น ยามที่อีกฝ่ายเผลอเอียงแก้มลงมาหานั้นมันให้ความรู้สึกคล้ายกับว่ากำลังหยอกเอินกับพวกสัตว์ป่าตัวเล็กๆ อย่างเช่น...

..กระรอก..

หน้าซื่อๆ ...ตากลมใส..

ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เริ่มมองเห็นสันกรามได้ชัดเจนขึ้นดูท่าแล้วในอนาคตคงจะเนื้อหอมอยู่ไม่น้อย แต่เนื้อส่วนแก้มนั้นกลับยังคงมีอยู่พอสมควรแก้มกลมๆ ไม่ตอบลงดังเช่นคนวัยหนุ่มทั่วไป

มันทั้งเนียนและนุ่มมือจนเขาต้องเผลอไล้ข้อนิ้วไปด้วยความเพลิดเพลิน

อีกทั้งนัยน์ตาสีสวยนั่นยังเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึงเมื่อเขาถือวิสาสะถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่าย อสุราหนุ่มมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกชอบใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขนาดกับวิรัลที่เป็นน้องชายแท้ๆ เขายังไม่เคยปฏิบัติด้วยความอ่อนโยนเช่นนี้เลยด้วยซ้ำไป

“พันแผลจ้ะ”

เจ้าแก้วเอ่ยบอกโดยที่มีจอมทัพแห่งยักษาตัวโตปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายราวกับเด็กว่านอนสอนง่าย อ้อมแขนของมนุษย์ตัวน้อยสอดผ้าพันช่วงอกแกร่งไว้อย่างเชี่ยวชำนาญ แต่อสุราหนุ่มที่นั่งนิ่งตามคำบอกของมันนั้นทำให้เกิดความลำบากอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ดวงตาคมปลาบที่ก้มลงมามองอย่างไม่ละสายตาทำให้ศิษย์รักของครูบุญมือไม้สั่นเล็กน้อย ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดอยู่ใกล้ๆ ทำให้มันไม่กล้าแม้แต่ที่เปรยตาขึ้นมองเลยแม้แต่น้อย

เมื่อวศินรู้สึกตัวได้ว่าการจดจ้องอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลาแบบนี้คงทำให้เด็กหนุ่มเกิดความกดดันเขาจึงเลื่อนสายตาออกไปมองทิวทัศน์รอบกายแทนเพื่อให้เจ้าแก้วไม่รู้สึกเกร็งและประหม่าไปมากกว่านี้

“ท่านจะไม่ดามแขนไว้จริงหรือจ๊ะ”

มันช้อนตาขึ้นมองอสุราหนุ่มตรงหน้าอย่างนึกสงสัยอีกครา เมื่อครู่นี้เจ้าแก้วได้บอกกับอีกฝ่ายไปว่าหลังจากทำความสะอาดแผลแล้วพ่อครูได้สั่งให้มันดามแขนขวาของท่านผู้นี้ไว้ด้วยเพราะแรงกระทบกระทั่งเมื่อครู่อาจจะทำให้กระดูกแขนร้าวหรือแตกหักได้ แต่อสุราหนุ่มกลับปฏิเสธอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก บอกเพียงแต่ว่าบาดแผลเพียงแค่นี้ไม่นานก็หาย

“อืม” วศินพยักหน้ายืนยันคำตอบอีกหน

เพียงแค่กระดูกร้าวนิดหน่อยประเดี๋ยวมันก็หาย ไม่จำเป็นต้องดามให้รำคาญกายรำคาญใจ ร่างกายของยักษามันดีกว่ามนุษย์ก็ตรงนี้นั่นล่ะ

“เช่นนั้นฉันเอาของไปเก็บก่อนนะจ๊ะ”

เด็กหนุ่มเอ่ยบอกพร้อมกับเก็บข้าวของทุกอย่างขึ้นมาถือไว้ก่อนจะลุกเดินเอาไปเก็บให้เข้าที่

ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มอีกตนก็เดินแบกกองฟืนเข้ามาทางใต้ถุนเรือนพอดี วิรุณเพียงหันมายักคิ้วให้กับสหายของตนเล็กน้อยก่อนจะหันไปทักทายเด็กหนุ่มมนุษย์หน้าซื่อแทน เมื่อครู่นี้เขาได้อาสาไปช่วยครูบุญขนย้ายกองฟืนจากบริเวณหลังบ้านมาไว้ใต้ถุนเรือนเพราะเห็นว่าคนสูงวัยกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บท่อนไม้อยู่อย่างทุลักทุเล

“จะไปไหนหรือแก้ว” อสุราหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินไปหยิบย่ามใบเก่าที่คุ้นตาขึ้นมาสะพายไว้ข้างกาย

“ฉันจะเข้าไปเก็บสมุนไพรให้พ่อครูจ้ะพี่ยักษ์” น้ำเสียงสดใสพร้อมกับรอยยิ้มกว้างถูกส่งกลับไปให้คู่สนทนา

นี่ก็สายมากแล้ว ต้องรีบเข้าป่าเพื่อไปหาสมุนไพรมาให้ครูบุญอีกหลายชนิด เพราะเมื่อวันก่อนเด็กๆ ในหมู่บ้านนั้นจู่ๆ ก็จับไข้ขึ้นสูงจนเหล่าพ่อแม่ของพวกมันต้องวิ่งโร่มาขอความช่วยเหลือจากชายชรากันเสียให้วุ่นครูบุญจึงตกปากรับคำไว้ก่อนจะขอเวลาให้เตรียมยาและทุกอย่างให้พร้อมเสียก่อนถึงจะเข้าไปรักษาให้ในหมู่บ้าน

“ไม่กลัวถูกเสือจับกินอีกรึ” เสียงหยอกเย้าด้วยอารมณ์ขันของวิรุณทำให้เจ้าแก้วหน้ายู่ขึ้นมาบ้างเมื่อนึกถึงวีรกรรมเสี่ยงตายของตัวเอง

“คราวนี้ไม่พลาดแล้วจ้ะ” มันตอบกลับอย่างมุ่งมั่นพร้อมกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อโดนอีกฝ่ายขยี้หัวเสียจนเส้นผมยุ่งเหยิง

ท่าทาง น้ำเสียง และรอยยิ้มที่ไม่คุ้นเคยจากมนุษย์หน้าซื่อทำให้คิ้วเข้มบนใบหน้าคมคร้ามของจอมทัพอสุราขมวดเข้าหากันจนยุ่ง ตะกอนขุ่นมัวในอกถูกกวนขึ้นมาจนคละคลุ้งเมื่อเห็นบุคคลทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนิทสนม นัยน์ตาสีอ่อนที่ทอประกายสดใสยามตอบคำถามของวิรุณนั้นทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีออกไปมองทิวทัศน์รอบด้านเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจออกจากภาพน่ารำคาญใจ

ทีกับเขา...สายตาที่อีกฝ่ายใช้มองกันนั้นราวกับเป็นคนละคน

ทั้งประหม่าและหวาดกลัว

..เหมือนพวกสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กลัวว่าตนนั้นจะถูกนักล่าจับกิน

ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลให้อารมณ์ขุ่นมัว วศินหยัดกายขึ้นหวังจะเดินออกไปให้พ้นจากบริเวณใต้ถุนเรือน หากแต่เสียงตะโกนโหวกเหวกอย่างร้อนรนของเด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังวิ่งโร่เข้ามาในเขตเรือนอย่างหน้าตาตื่นนั้นดึงความสนใจของพวกเขาทั้งสามให้หันกลับไปมองเป็นตาเดียว

“ครูบุญจ๊ะ! เกิดเรื่องแล้วจ้ะ!!”

เด็กหนุ่มคนนั้นหยุดยืนหอบหายใจจนตัวโยน กายสีคล้ำแดดชโลมไปด้วยหยาดเหงื่อจนเสื้อผ้าเปียกชื้น ทำให้เจ้าแก้วต้องเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยท่าทีตื่นตกใจอยู่ไม่น้อยโดยมีสองยักษาเดินตามไปอยู่ไม่ห่าง ทำให้เด็กหนุ่มในหมู่บ้านตื่นตกใจเสียยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ทั้งสองยืนค้ำหัวมันอยู่

นี่มันยักษ์มิใช่หรือ! เหตุใดยักษ์จึงมาอยู่ที่บ้านครูบุญได้!

“มีเรื่องอะไรงั้นหรือจ้อย”

‘ไอ้จ้อย’ เด็กหนุ่มในหมู่บ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเลิกสนใจยักษ์แปลกหน้าทั้งสองก่อนจะรีบคว้ามือเจ้าแก้วขึ้นมาจับไว้พร้อมกับรีบพูดอย่างร้อนรนจนอีกฝ่ายฟังไม่ได้ความ

“พี่แก้วเกิดเรื่องแล้วจ้ะ!” ไอ้จ้อยยังคงไม่หายหอบจึงทำให้คนอายุมากกว่าต้องลูบหลังแล้วบอกให้มันใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่า

“ใจเย็นเสียก่อนจ้อย ค่อยๆ พูด” น้ำเสียงนุ่มคล้ายปลอบประโลมอยู่ในท่วงทีทำให้ไอ้จ้อยเริ่มเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด มันสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มบอกจุดประสงค์ที่ทำให้มันต้องวิ่งลัดป่าลัดดงเข้ามาหา

“ก็พี่กล้าน่ะสิจ๊ะ! อุบ!”

พอชื่อพี่ชายของตนหลุดออกมาจากปากไอ้จ้อย เจ้าแก้วก็รีบตะครุบปากมันไว้ก่อนจะส่งสายตาเตือนเชิงว่าอย่าพูดเสียงดังไปประเดี๋ยวครูบุญจะได้ยิน

ไอ้จ้อยเห็นดังนั้นก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจในทันที จะอะไรเสียอีกถ้าไม่ใช่ว่าพี่แก้วจะกลัวครูบุญรู้เรื่องเข้า ยิ่งท่าทีที่ร้อนรนของมันแล้วไม่ต้องคาดเดาให้ยากเลยว่าศิษย์คนโตของครูบุญนั้นต้องไปก่อเรื่องในหมู่บ้านอีกแล้วเป็นแน่

คราแรกเจ้าแก้วก็ตั้งใจว่าจะเป็นคนเข้าไปหาพี่ชายมันโดยที่พ่อครูไม่ทันที่จะได้รู้เรื่อง มิเช่นนั้นละก็รับรองเลยว่าพี่กล้าต้องโดนดีไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ราวกับชะตาจะไม่เข้าข้างเสียแล้ว เมื่อเสียงอาวุโสทรงอำนาจเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายดึงสายตาทั้งสี่คู่ให้หันไปมองชายชราที่เดินนวยนาดลงมาจากบนเรือน

“ไอ้ตัวดีมันไปก่อเรื่องอันใดไว้ล่ะ”

น้ำเสียงนิ่งเรียบไม่แสดงถึงโทสะเอ่ยถามอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนใจคล้ายกับเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติอย่างเช่นฝนตกฟ้าร้องไปแล้วสำหรับเขา แต่หารู้ไม่ว่าท่าทีแบบนี้ของพ่อเฒ่านี่แหละที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการบันดาลโทสะออกมาโต้งๆ

เจ้าแก้วหันไปมองพ่อครูของมันก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนกลับไปให้เมื่อโดนสายตาคาดโทษมองมาอย่างรู้ทันว่ามันนั้นตั้งใจที่จะปกปิดความผิดช่วยพี่ของมัน

ถึงจะเริ่มชราแต่หูและตานั้นก็ยังใช้การได้ดีอยู่ เขาสังเกตเห็นตั้งแต่ไอ้จ้อยมันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในเขตเรือนแล้ว เพียงเท่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความ ครูบุญเดินไปหยิบผ้าขาวขึ้นมาพาดไว้บนคอด้วยท่าทีสบายๆ พร้อมกับเปิดหีบไม้ตรงมุมห้องขึ้น หยิบไม้ตะพดที่ทำมาจากไผ่เปร็งมาถือไว้ในมือด้วยท่าทีไม่รีบร้อนก่อนจะเดินลงมาเจอกับศิษย์รักคนเล็กที่กำลังพยายามช่วยปกปิดเรื่องของพี่มัน

ชายชรามองคาดโทษมันไปหนหนึ่ง ก่อนจะหันไปถามต้นสายปลายเหตุจากเด็กหนุ่มอีกคนแทน

“ว่าอย่างไร หา ไอ้จ้อย”

น้ำเสียงดุดันที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกถึงอารมณ์เดือดดาลจากชายชราได้เป็นอย่างดี ไอ้จ้อยอึกอักอยู่ในคราแรก แต่เมื่อโดนตวัดสายตามามองจนสะดุ้งทำให้ต้องจำใจสารภาพออกมา

“คือ...พี่กล้ามีปากเสียงกันกับพี่มืดอีกแล้วจ้ะ”

ข้าว่าแล้วเชียว! ไอ้ตัวดี!

วันนี้เอ็งไม่ตายดีแน่ไอ้กล้า!

ชายชราขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมายมั่น เส้นประสาทข้างขมับเต้นตุบเมื่อได้ฟังคำบอกกล่าวจากปากของเด็กหนุ่มในหมู่บ้าน

‘ไอ้มืด’ เป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับไอ้กล้า พวกมันสองคนเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน เหตุเพียงเพราะไอ้ตัวดีมันดันไปถูกอกถูกใจนางบัวคลี่สาวสวยประจำหมู่บ้านเข้า ส่วนทางฝั่งไอ้มืดนั้นก็ดูท่าจะมีใจให้กับฝ่ายหญิงอยู่แล้วเหมือนกัน พวกมันสองคนถึงขั้นแข่งกันแลกหมัดแลกแข้งในงานบุญหมู่บ้านเมื่อสามปีที่แล้วจนต่างฝ่ายต่างสภาพดูไม่ได้กันทั้งคู่

เขาจะไม่หนักอกหนักใจเท่านี้เลยถ้า’ ไอ้มืด’ ที่ว่ามานั้นมิใช่ลูกชายคนเดียวของ’ เสือขาว’ ขุนโจรที่มีชื่อเลื่องลือในหมู่บ้านรวมถึงละแวกใกล้เคียง ผู้ใดก็รู้ว่าเสือขาวนั้นเลี้ยงทั้งโจรป่าโจรบ้านไว้อยู่หลายร้อยชีวิตอีกทั้งยังมีอำนาจมากมายแม้แต่ทางการก็ยังไม่กล้าเข้ามายุ่ง

มึงนะมึง

เก่งกล้าสมชื่อจริงๆ

ทำแต่เรื่องฉิบหายไม่เว้นแต่ละวันเลยนะไอ้เวรตะไล!




(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 03-06-2018 23:15:15
“พ่อครูจ๊ะ...ให้ฉันไป-”

เจ้าแก้วเห็นท่าไม่ดีจึงเดินเลียบๆ เคียงๆ เข้ามาลูบแขนชายสูงวัยหวังให้บรรเทาโทสะลง เพราะครูบุญนั้นก็อายุมากแล้วขืนปล่อยให้เครียดขมึงบ่อยๆ เช่นนี้เกรงว่าร่างกายจะทรุดโทรมเร็วเสียกว่าเดิม

“เอ็งไม่ต้องมายุ่ง ไปทำหน้าที่ของเอ็งตามที่ข้าสั่งไป” เสียงเฉียบขาดออกคำสั่ง

เด็กหนุ่มจึงต้องยอมถอยออกมาโดยไร้ข้อโต้แย้งพร้อมกับสำทับไปอีกหนว่าอย่าบันดาลโทสะจนเกินควร น้ำเสียงและสายตาที่ห่วงใยถูกส่งไปให้กับผู้มีพระคุณ มือเหี่ยวย่นจึงวางทับไปบนฝ่ามือของเด็กหนุ่มพร้อมกับตบเบาๆ เพื่อให้มันได้คลายกังวลลง

“เช่นนั้นข้าจะไปกับท่านด้วย”

วิรุณเสนอตัวติดตามไปด้วยเพราะนึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยหากครูเฒ่าผู้นี้จะต้องเดินทางไปผู้เดียว เพราะถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างน้อยเขานั้นจะได้ช่วยเหลือไว้ได้ทันเพราะลำพังชายสูงวัยเพียงคนเดียวคงไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ที่มันเกินจะรับมือไว้ได้

นึกถึง’ ไอ้ตัวดี’ ของครูเฒ่าผู้นี้ขึ้นมาแล้วก็อดที่จะถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้ แววตาแข็งกร้าวและวาจาพล่อยๆ ที่อีกฝ่ายมักจะมอบให้นั้นมันติดตรึงอยู่ในอกจนอสุราหนุ่มนึกระอาอยู่ไม่น้อย น้องก็ออกจะน่าเอ็นดูแล้วเหตุใดตัวพี่มันถึงได้น่าตีถึงเพียงนี้...

“ลำบากพ่อวิรุณแล้ว”

ครูบุญทอดถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก เขาไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือจากพ่อยักษ์ด้วยเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดี มีท่านวิรุณไปด้วยก็คงช่วยได้มาก

“ฝากด้วยนะจ๊ะพี่ยักษ์” เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ ไปให้อย่างรู้สึกละอายที่พี่ชายของตัวเองนั้นขยันก่อแต่เรื่อง

“เจ้าวางใจเถอะ”

ร่างสูงใหญ่เพียงแค่ยิ้มบางๆ ตอบรับเด็กหนุ่มพร้อมกับวางมือลงบนกลุ่มผมสีเข้มเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลลง ก่อนจะหมุนตัวเดินตามหลังชายชราและเด็กหนุ่มอีกคนเข้าไปทางหมู่บ้าน

เมื่อยืนมองส่งจนสุดสายตา เจ้าแก้วก็พรูลมหายใจออกมาอีกครั้งเพื่อผ่อนคลายจิตใจของตัวเอง ก่อนจะหันหลังกลับอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ระวังว่ามีใครยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“อะ--!”

หน้าของมันปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างอย่างแรงจนเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในหัว แต่ฝ่ายที่โดนมันชนเข้าเต็มแรงนั้นกลับยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านสักเพียงนิด เป็นมันเสียเองที่เกือบจะเสียหลักหงายล้มไปด้านหลังถ้าฝ่ามือใหญ่ไม่เอื้อมมาคว้าตัวมันไว้ก่อน เจ้าแก้วลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้าคือแผงอกกำยำที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าดิบสีขาวสะอาด

พอได้ยืนใกล้กับอีกฝ่ายด้วยระยะชิดถึงเพียงนี้ ทำให้เจ้าแก้วตระหนักได้ว่าตนนั้นตัวหดเล็กลงไปมากโข หัวของมันยังไม่เลยช่วงอกของอสุราหนุ่มเสียเลยด้วยซ้ำไป อีกทั้งฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นที่กอบกุมต้นแขนของมันจนรอบเสมือนกำข้อแขนเด็กเล็กๆ อย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าจะเข้าไปในป่าหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอยู่เหนือศีรษะพร้อมกับค่อยๆ คลายฝ่ามือออกจากต้นแขนเรียวเล็กของเด็กหนุ่ม ถึงแม้นจะมีกล้ามเนื้อที่สมส่วนไม่ได้ดูบอบบางอะไร แต่ถ้าเทียบกับเขาแล้วต้นแขนของเด็กหนุ่มมนุษย์นั้นเล็กราวกับพวกยักษ์เด็กวัยกำลังซนเสียด้วยซ้ำไป

..เพียงมือข้างเดียวก็สามารถกอบกุมไว้ได้โดยง่าย...

“ช..ใช่จ้ะ ฉัน...ฉันต้องไปเก็บสมุนไพรให้พ่อครู”

เสียงกระท่อนกระแท่นเอ่ยตอบพร้อมกับเผลอยกมือขึ้นมาลูบต้นแขนข้างที่โดนกุมไว้ ร่องรอยความอบอุ่นที่ฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นทิ้งไว้ยังคงเจือจางอยู่บนผิวเนื้อ ความร้อนแล่นริ้วผ่านร่างวูบหนึ่งจนเจ้าแก้วรู้สึกได้ว่าตนนั้นมีอาการคล้ายกับคนจับไข้ขึ้นมาอีกหน เนื้อตัววูบวาบเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อนเมื่อโดนอสุราหนุ่มแตะเนื้อต้องตัว...

วศินก้มลงมองอีกฝ่าย แม้แต่หน้าเขาเจ้าเด็กนี่ก็ยังไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วท่าทางที่ดูหวาดกลัวจนตัวสั่นนั่นล่ะที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเสียดื้อๆ

หากฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นวิรุณ...อีกฝ่ายจะเลิกกลัวหรือไม่?

..จะกล้าเงยหน้าขึ้นมามองกันหรือเปล่า?

“หึ”

เสียงทุ้มต่ำหัวเราะเย้ยหยันในลำคอให้กับความคิดประหลาดของตนก่อนจะพรูลมหายใจออกมาเพื่อระงับอารมณ์ฟุ้งซ่าน เป็นเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน

“ข้าจะไปด้วย” วศินบอกจุดประสงค์ของตนเอง ก่อนจะมองอีกฝ่ายกลับอย่างไม่คิดจะหลบเหมือนครั้งที่ผ่านมา

นัยน์ตากวางเบิกกว้างขึ้นอย่างแปลกใจกับคำพูดของเขา ตากลมโตหวานล้ำ ลูกแก้วสีน้ำตาลอ่อนประกายไหวระริกอย่างระคนตกใจ ภาพตรงหน้านั้นยิ่งทำให้วศินมองเจ้าแก้วเป็นสัตว์ป่าตัวเล็กขี้ตกใจ

ตื่นกลัวง่ายเสียจริง..เจ้ากระรอกตัวนี้...

“จะดีหรือจ๊ะ” เด็กหนุ่มถามกลับอย่างไม่มั่นใจเท่าใดนัก

“อืม”

“แต่ว่า...ท่านบาดเจ็บอยู่นะจ๊ะ พักผ่อนอยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือ”

มันอดที่จะเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้เพราะแผลเก่านั้นก็ยังไม่หายดี ซ้ำยังได้แผลใหม่เพิ่มมาอีก เจ้าแก้วจึงคิดว่าให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนอยู่นี่เสียยังจะดีกว่า

“นอนอุดอู้มาหลายวันแล้ว ข้าอยากออกไปเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง” เขายืนยันอีกหน

ที่กล่าวมาข้างต้นก็ถูกเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากได้ออกไปเดินชมนกชมไม้คงช่วยทำให้จิตวิตกเรื่องการศึกนั้นสงบลงไปได้บ้าง แต่แท้จริงแล้วเหตุผลหนึ่งที่เขาตัดสินใจจะตามอีกฝ่ายเข้าไปในป่าด้วยก็เพราะนึกถึงคำบอกเล่าของวิรุณเมื่อวันก่อนขึ้นมา

‘ระหว่างที่เจ้าหมดสติไป ข้าถือโอกาสออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆ แต่กลับเจอแก้วเข้าพอดี เด็กคนนั้นกำลังจะโดนเสือกินไปแล้วถ้าข้าไม่เข้าไปช่วยไว้’

เห็นหรือไม่...

..แม้แต่เสือมันยังอยากจะขย้ำเจ้ากระรอกหน้าซื่อตัวนี้...

เป็นเช่นนี้แล้วจะวางใจปล่อยเข้าป่าไปคนเดียวได้อย่างไร?

“อ้อ เช่นนั้นเชิญทางนี้เลยจ้ะ”

เจ้าแก้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในเหตุผลของวศินเพราะนอนอุดอู้มาสามวันติดคงทำให้กล้ามเนื้อล้าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ท่าทางที่ผ่อนคลายลงมากของอสุราหนุ่มทำให้มันไม่รู้สึกประหม่าเหมือนก่อนหน้านี้ มันหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับออกเดินนำทางโดยมีร่างสูงใหญ่ของจอมทัพอสุราเดินทิ้งระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่ด้านหลัง ดวงตาสีนิลทอดมองแผ่นหลังได้รูปของเด็กหนุ่มสลับกับมองแมกไม้นานาพันธุ์ที่รายล้อมอยู่รอบกาย ยิ่งเดินเข้าไปลึกก็ยิ่งได้พบพันธุ์ไม้ที่ไม่เคยได้รู้จักมาก่อน และในบางครั้งเจ้าแก้วที่สังเกตเห็นว่าเขาดูท่าจะสนใจก็จะพูดเจื้อยแจ้วขึ้นมาไม่หยุดเกี่ยวกับชื่อและสรรพคุณของมัน

วศินไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับเขาทำเพียงแค่เดินตามและเป็นผู้ฟังที่ดีไปตลอดทาง

เสียงนุ่มๆ ที่พูดพร่ำอยู่ข้างกายนั้นน่าฟังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

แสงแดดบางส่วนที่ส่องลอดเข้ามาในพงไพรตกกระทบกับนัยน์ตาสีอำพันจนขึ้นแววทอประกายยามที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามองประกอบการสาธยายสรรพคุณของสมุนไพรที่เขานั้นไม่ได้ใคร่จะสนใจฟังเท่าใดนัก…

..มันไม่น่าสนใจเท่ากับคนข้างกายที่พูดจ้อไม่หยุดเลยสักนิด...

อาจเป็นเพราะปกติแล้วเจ้าแก้วไม่ค่อยมีเพื่อนในวัยเดียวกันให้เที่ยวเล่นเหมือนอย่างคนอื่นๆ ทุกๆ วันเด็กหนุ่มจะมัวตามติดแต่เพียงครูบุญและพี่ชายของตนเองเท่านั้น ไม่ได้สนใจที่จะออกเที่ยวเตร่ไปทั่วกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน

อีกทั้งในบางครั้งบางคราวพ่อครูกับพี่กล้าก็ยุ่งจนไม่มีเวลาที่จะมาสนใจมันมากนัก วันๆ หนึ่งถ้าไม่ออกไปเดินเล่นในป่าก็คุยกับนกกับไม้ไปทั่วให้พอคลายเหงาได้บ้าง

ในเมื่อพอมีคนมารับฟังในสิ่งที่มันพูด เจ้าแก้วจึงถือโอกาสนี้พูดจ้อไม่หยุด

..สิ่งที่ใครต่อใครก็ต่างมองว่าน่าเบื่อ แต่อสุราหนุ่มตนนี้กลับตั้งใจฟังโดยไม่แสดงท่าทางเบื่อหน่ายให้มันเห็นเลยแม้แต่น้อย..

เห็นเช่นนั้นในใจเด็กหนุ่มก็ลิงโลดจนเผลอลืมตัวไปว่าตนนั้นเคยหวาดกลัวอีกฝ่ายมากเพียงใด

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ทั้งสองเริ่มที่จะเลิกทิ้งระยะห่างของกันและกัน ในตอนนี้เลยกลับกลายเป็นว่าข้างกายอสุราหนุ่มมีเจ้าแก้วเดินประกบติดแจ มีบางครั้งบางคราที่มันจะผละตัวออกไปเก็บสมุนไพรบางชนิดลงย่ามแต่สุดท้ายก็จะเดินกลับมาเดินอยู่ข้างๆ กายเขาเช่นเดิม




________



มาแล้วจ้าา แหะๆ ยังมีคนรออยู่ไหมคะะ ฮือออ อย่าเทเค้าน้าาา  :sad4:

เนื่องจากชีวิตช่วงนี้ยุ่งขิงจริงๆค่ะ แอบสารภาพด้วยว่าอู้ไปอ่านนิยายมาด้วย แค่กๆ :z10:

มาต่อแล้วน้าา ยาวๆไปนิดอ่านให้สนุกนะคะอย่าลืมติชมให้พันไมล์ด้วยน้าา อยากอ่านความเห็นของทุกคนเลยค่ะ



ปล1.พี่กล้าเปรี้ยวเข็ดฟันมากกกก วีรกรมมของมันยังมีอีกเยอะหลังจากนี้ เห็นทีจะต้องมีคนปราบ-- แค่ก

ปล2.เจ้าแก้วเป็นเด็กประเภทติดการสกินชิพค่ะ ติดแบบว่ามากจริงๆอ้อนเก่งมากกกกก เขียนเองก็อยากบีบเอง



เจอกันตอนหน้าจ้า ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจนะคะ เลิิ้บ :L2: :กอด1:



#ดอกแก้วกุมภัณฑ์

             

             
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 04-06-2018 10:00:20
ตอนเห็นว่าอัพตอนใหม่แล้วนี่แทบจะร้องไห้ ลูกแก้วของแม่~ คิดถึงจังเลยลูกกก

ตอนนี้ระยะห่างระหว่างลูกกับพี่ยักษ์เริ่มลดน้อยลงแล้ว อีกไม่นานก็คงได้เห็นพี่ยักษ์เริ่มรักลูกบ้างแล้ว ฮือออ อิแม่ปลื้มปริ่มเหลือเกินลูก

พี่กล้านี้ก็แสบใช่ย่อยจริงๆ คงต้องให้วิรุณช่วยปรา-- แค่ก //โดนพี่กล้าเตะ// มันน่าจริงๆ เลยยยย

ปล.คำผิดเริ่มน้อยลงแล้วแต่ยังมีบ้างเล็กน้อย คำตกก็ไม่มีแล้ว สู้ๆ นะคะ ยังรอเรื่องนี้เสมอ อย่าเท อย่าท้อ  อย่าหมดกำลังใจ เราจะส่งใจช่วยคุณนักเขียนนะคะ รักมากๆ  :กอด1:  :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: zeroshadaw ที่ 04-06-2018 10:20:39
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ :pig4:

เป็นกำลังใจให้น้าาาาา สู้ๆ +เป็ดให้ด้วยยยย

ชอบมากกกกกก เจ้ากระรอกแก้วน่าร้ากกกกกก

ปล.มีบางคำเขียนผิดหรือตกคำไปบ้างนิดนึงเน๊อะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 04-06-2018 20:44:58
มือไวมากๆๆๆ อิอิ
อมยิ้มให้กับความน่ารักของแก้วอ่ะ
กล้าจะมีคู่แล้ว อิอิ
ลุ้น ตามอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 04-06-2018 22:09:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-06-2018 23:55:36
ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาด้วย เห็นระยะห่างของขนาดตัวแล้วเขินเลยค่าาา  :hao7:

ปล.  คำผิดค่ะ  ...ช่างอบอุ่น เจิดจ้า เสียจนพาตาพล่าเลือน เป็น พร่าเลือน ค่ะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 05-06-2018 12:12:25
ตอนเห็นว่าอัพตอนใหม่แล้วนี่แทบจะร้องไห้ ลูกแก้วของแม่~ คิดถึงจังเลยลูกกก

ตอนนี้ระยะห่างระหว่างลูกกับพี่ยักษ์เริ่มลดน้อยลงแล้ว อีกไม่นานก็คงได้เห็นพี่ยักษ์เริ่มรักลูกบ้างแล้ว ฮือออ อิแม่ปลื้มปริ่มเหลือเกินลูก

พี่กล้านี้ก็แสบใช่ย่อยจริงๆ คงต้องให้วิรุณช่วยปรา-- แค่ก //โดนพี่กล้าเตะ// มันน่าจริงๆ เลยยยย

ปล.คำผิดเริ่มน้อยลงแล้วแต่ยังมีบ้างเล็กน้อย คำตกก็ไม่มีแล้ว สู้ๆ นะคะ ยังรอเรื่องนี้เสมอ อย่าเท อย่าท้อ  อย่าหมดกำลังใจ เราจะส่งใจช่วยคุณนักเขียนนะคะ รักมากๆ  :กอด1:  :L2:


รับทราบจ้าา หลังจากนี้จะพยายามให้มากขึ้น ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 05-06-2018 12:13:16
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ :pig4:

เป็นกำลังใจให้น้าาาาา สู้ๆ +เป็ดให้ด้วยยยย

ชอบมากกกกกก เจ้ากระรอกแก้วน่าร้ากกกกกก

ปล.มีบางคำเขียนผิดหรือตกคำไปบ้างนิดนึงเน๊อะ



รับทราบจ้าา ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 05-06-2018 12:13:59
ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาด้วย เห็นระยะห่างของขนาดตัวแล้วเขินเลยค่าาา  :hao7:

ปล.  คำผิดค่ะ  ...ช่างอบอุ่น เจิดจ้า เสียจนพาตาพล่าเลือน เป็น พร่าเลือน ค่ะ



ขอบคุณมากค้าบบ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-06-2018 15:37:55
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 05-06-2018 18:02:53
เจ้ากระรอกน่าร๊ากกกกกก >\\\\\\<
เฮียวศินชอบน้องก็จีบน้อง เข้าใจไหมครัาาาาาา
ส่วนพี่กล้ากับพี่วิรุณสงสัยจะต้องมีวางมวยก่อนจะได้กัน 555555555
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๖ - เจ้ากระรอก : ๐๓/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 06-06-2018 10:36:03
ติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๗ - ไอ้ตัวดี : ๑๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 17-06-2018 20:18:21
ไอ้ตัวดี

.

.

.


คล้อยหลังจากที่เลี่ยงการเผชิญหน้ากับบุคคลที่มันนึกชัง ไอ้กล้าก็ได้ตัดสินใจว่าวันนี้จะเข้าไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ในหมู่บ้านสักหน่อย เผื่อว่าอารมณ์เดือดพล่านที่กำลังปะทุอยู่ในอกนั้นจะทุเลาลงไปได้บ้าง

แต่เมื่อหวนนึกถึงต้นสายปลายเหตุก็พาลให้มันเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างฉุดไม่อยู่ เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ จนรู้สึกได้ พาลให้ต้องเตะก้อนหินก้อนกรวดตามทางเพื่อระบายความเครียดขมึง

ไอ้ยักษ์ตัวแดงหน้าตายตนนั้นไอ้กล้าไม่ใคร่ที่จะใส่ใจเท่าใดนัก

แต่กับอีกตนนี่สิ..เพียงแค่เห็นหน้ากันก็พาลทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนจนอยากจะสำรอกออกมาทุกครั้งไป!

ยิ่งเห็นสายตาที่มันใช้มองไอ้แก้วด้วยแล้วยิ่งอยากจะประเคนลำแข้งใส่เสียให้สิ้น

เพียงแค่อ้าปากก็เห็นไปถึงลิ้นไก่แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นคิดไม่ซื่อกับน้องเขา ทั้งๆ ที่ไอ้แก้วมันก็เป็นบุรุษเฉกเช่นเดียวกันแล้วเหตุไฉนจะต้องจ้องมองราวกับเอ็นดูมันเสียปานนั้นด้วยเล่า หวังจะเข้ามาป้อยอน้องของเขาเช่นนั้นหรือ

หึ...มีเชื้อสายเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งเสียเปล่า...แม้นแต่เด็กชายที่ยังไม่ถึงวัยหนุ่มดีมันก็ยังคิดเลวด้วยได้ถึงเพียงนี้

ฝันไปเสียเถอะ...อย่าหวังเลยว่ามันจะได้กระทำเรื่องงามหน้าเช่นนั้น!

คิดเองเออเองเสร็จสรรพก็ตีอกชกลมไปทั่วจนเหล่าสัตว์เล็กสัตว์บริเวณนั้นแตกกระเจิงไปคนละทิศ

แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ทำให้ศิษย์มวยคนเก่งของครูบุญไม่สามารถที่จะปล่อยวางอคติที่มีต่อสองอสุราหนุ่มได้ก็คงเป็นเพราะที่มาที่ไปของทั้งสองตนนั้นต่างหากที่ทำให้มันรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างไม่ชอบมาพากล

แต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะมองข้ามปัญหาเหล่านี้ไปเมื่อเล็งเห็นว่ามิใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องนำมาขบคิดให้หนักกบาล ในเมื่อพ่อครูมีจิตใจที่จะช่วยเหลือ เขาก็ไม่คิดขัดความต้องการของผู้มีพระคุณ

ช่างเสียเถิด...พวกมันจะเป็นมาอย่างไรเขาไม่นึกสน

แต่ถ้าตราบใดการมีอยู่ของพวกมันทำให้ครอบครัวของเขาต้องเดือดร้อนแม้นจะเพียงกระผีกเดียว ถึงครานั้นต่อให้เป็นจ้าวแห่งยักษ์เขาก็จะไม่เว้น!

ใช้เวลาเพียงไม่นานชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงที่หมาย

หมู่บ้านจันทร์ผาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับเชิงเขา ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนดำรงชีพด้วยการเพาะปลูกไปตามประสา บางคราก็จะอาศัยพ่อค้าคนกลางที่นานๆ ที่ถึงจะแวะเข้ามารับซื้อผลผลิตไปขายในเขตเมืองหลวงหรือไม่ใครที่พอมีแรงแบกหามหน่อยก็จะชักชวนกันเดินเท้าเข้าไปขายของในตลาดกันเสียเอง

แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับเหล่าชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย เพราะทุกคนที่นี่ล้วนอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ใครขาดเหลือสิ่งใดก็สามารถไปหยิบยืมบ้านใกล้เรือนเคียงได้โดยง่าย ดูอย่างพ่อครูของเขาปะไร รักษาคนในหมู่บ้านนี้มาร่วมสิบกว่าปี อัฐสักแดงก็ไม่เคยเรียกเก็บ

ไอ้กล้าเดินคิดสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งฝ่าเท้าหยุดยืนอยู่ที่หน้าเรือนไม้หลังเล็ก มันเดินเลียบเคียงเข้าไปใกล้เมื่อเห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเตาไฟบริเวณใต้ถุนเรือน

“ทำอะไรอยู่รึเฟื่อง” ร่างสูงใหญ่เอนกายพิงเข้ากับเสาเรือนพร้อมกับส่งยิ้มทักทายไปให้อีกฝ่าย

“อ๊ะ! พี่กล้า” สาวน้อยหน้ามนผงะตกใจเพียงครู่ ก่อนจะลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากผ้านุ่งแล้วเดินเข้าไปหาคนที่ถือวิสาสะนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ตัวเก่า

“มาหาพี่มิ่งหรือจ๊ะพี่”

“เปล่า” กล้ายิ้มตอบกลับไปพร้อมกับใบหน้าคมเข้มที่เริ่มขึ้นสีระเรื่อ “แล้วนี่...พี่สาวเฟื่องไปไหนเสียล่ะ”

เด็กสาวอมยิ้มน้อยๆ ให้กับท่าทางที่อายม้วนจนแทบจะตกแคร่ลงไปคลุกดินอยู่รอมร่อของพี่ชายตัวโต

พี่กล้าเป็นคนเจ้าชู้ฉอเลาะเก่งคารมหวานเสียยิ่งกว่าอะไรทำเอาสาวๆ ในหมู่บ้านนี้หลงกันไปเป็นแถวเป็นแถบ เห็นจะมีพี่สาวนางอยู่คนเดียวนี่ล่ะที่พ่อนักมวยคนเก่งไม่กล้าแม้แต่จะเล่นลิ้นเล่นคารมด้วย

..ดูท่าเสือมันจะสิ้นลายก็คราวนี้ล่ะว้า..

“พี่บัวพายายไปเก็บดอกบัวที่ท่าน้ำจ้ะ เห็นบอกวันพรุ่งจะนำไปถวายให้หลวงตา” เด็กสาวเดินกลับไปตักน้ำในโอ่งมาพร้อมกับยื่นส่งให้อีกฝ่าย

“คราวหลังบอกพี่ก็ได้” เพราะท่าน้ำที่บ้านก็มีอยู่มาก ที่เรือนเขาก็มีแต่ผู้ชายกันทั้งนั้นทิ้งไว้ก็กลัวจะเสียเปล่า

“จ้ะ ไว้ฉันจะบอกพี่บัวให้ก็แล้วกัน” เฟื่องยิ้มขันพร้อมกับส่งยิ้มกรุ้มกริ่มล้อเลียนอีกฝ่ายให้ได้หน้าเห่อร้อนเสียยิ่งกว่าเก่า

ชายหนุ่มยกขันน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย ก่อนจะหันไปสนใจเด็กสาวอีกคนที่กลับไปนั่งยองอยู่หน้าเตาไฟอีกหน

บนเตาดินเผามีลังถึงที่สานจากไม้ไผ่ขนาดกลางวางทับซ้อนกันอยู่สองชั้น กลุ่มควันสีขาวลอยคละคลุ้งขึ้นมาเมื่อเฟื่องยกฝาออกมาวางไว้ข้างเตา ทันใดนั้นกลิ่นหอมหวานของขนมนึ่งก็ลอยเข้ามาปะทะที่จมูก ไอ้กล้ารีบลุกจากแคร่แล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันทีเมื่อเห็นว่าเด็กสาวกำลังจะยกชั้นลังถึงที่ร้อนระอุลงมาจากเตา

“พี่ช่วย” ฝ่ามือหยาบกร้านรีบชิงมาถือไว้มั่น ก่อนจะยกลังถึงสองชั้นที่กำลังร้อนได้ที่กลับมาวางไว้บนแคร่ที่ถูกปูรองทับไว้ด้วยใบตองแล้วชั้นหนึ่ง

“ขอบคุณจ้ะ”

“ว่าแต่ทำขนมอันใดรึ” ไอ้กล้าชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ กลิ่นหอมหวานที่ลอยฉุยขึ้นมามันชวนให้ท้องร้องโครกครากอยู่ไม่หยอก

“ขนมกล้วยจ้ะ” เฟื่องอมยิ้มละมุน “ของชอบพี่แก้ว...”

ทันใดนั้นใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กสาวก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เรียกสายตาล้อเลียนจากอีกฝ่ายได้อย่างดีเลยเชียว

“อิจฉาไอ้แก้วมันจริงเว้ย” ไอ้กล้าเอ่ยแซวอย่างสนุกปากระคนเอ็นดูน้องสาวตัวเล็ก

เฟื่องอายุน้อยกว่าเจ้าแก้วอยู่สองปี ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งที่พ่อครูพึ่งพาย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านใหม่ๆ เด็กสาวมักจะคอยแวะเวียนนำขนมและข้าวปลาอาหารมาให้ที่เรือนอยู่บ่อยครั้ง

คราแรกก็บอกว่ายายให้เอามาตอบแทนเรื่องที่พ่อครูมารักษาจนหายไข้ แต่พักหลังๆ มาเฟื่องก็มักจะนำขนมมาฝากบ่อยเสียจนเขาเริ่มเอะใจว่าช่วงหลังๆ มานี้ท่าทางของเด็กสาวนั้นเริ่มแปลกไป มากี่ครั้งก็ถามหาไอ้แก้วมันทุกครั้ง ซ้ำยังชะเง้อมองหาจนคอแทบเคล็ด

ใครต่อใครเขาก็รู้ไปทั่วแล้วว่าหลานสาวคนเล็กของยายนิ่มน่ะแอบชอบพอไอ้แก้วมันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว จะมีก็แต่เจ้าตัวนั่นล่ะที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดกับเขา วันๆ อยู่แต่กับต้นไม้ใบหญ้า มันนึกสนใจใครเสียที่ไหนกัน

“เช่นนั้นก่อนพี่กลับ ฉัน...ฉันฝากขนมกล้วยไปให้ทุกคนด้วยนะพี่กล้า” เด็กสาวพูดตะกุกตะกักอย่างเขินอายพลางหลบหนีสายตาล้อเลียนจากอีกฝ่ายเสียให้วุ่น

ขี้แกล้งนักนะพี่กล้านี่! ประเดี๋ยวจะฟ้องพี่บัวเสียให้เข็ด!

“ทุกคนที่ว่านี่...รวมพี่แก้วของเฟื่องด้วยหรือเปล่าล่ะจ๊ะ” ก็ยังมิวายเย้าแหย่เสียงเล็กเสียงน้อยจนโดนอีกฝ่ายเอาใบกล้วยตีเข้าที่ต้นแขนนั่นล่ะไอ้กล้าถึงยอมละถอยออกมา

พอก่อน...ไปแกล้งน้องสาวเขามากเข้า ประเดี๋ยวจะโดนพี่สาวดุเอา

“พอเลยพี่กล้า นู่น พี่บัวมานู่นแล้ว” เฟื่องพยักพเยิดไปทางหน้าเรือนเพื่อดึงความสนใจอีกฝ่ายให้ออกจากเรื่องของตนเสียที

ได้ยินดังนั้นใบหน้าคมคร้ามจึงรีบหันไปมองตามทิศที่เฟื่องชี้นิ้วบอก พลันในอกข้างซ้ายก็เต้นรัวกระหน่ำราวกับทหารรัวกลองรบ

ดวงตาคมปลาบจดจ้องไปยังร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่กำลังเดินประคองหญิงชราอีกคนอยู่ไม่ห่าง

ใบหน้านั้นงดงามหมดจดราวกับนางฟ้านางสวรรค์ ผมสีดำขลับทิ้งตัวลงปรกถึงช่วงเอวคอดกิ่วราวกับม่านน้ำตกที่พลิ้วไสวปลิวไปตามแรงลม ดวงตากลมโตคมขำราวกับกวางสาวรับกับจมูกได้รูปและริมฝีปากรูปกระจับสีระเรื่อ รูปร่างสะโอดสะองทุกส่วนสัด ผิวกายขาวเนียนที่โผล่พ้นออกมาจากเนื้อผ้าทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของนักมวยคนเก่งขึ้นสีแดงเห่อร้อนไปทั่วทั้งใบหน้า

เมื่อเห็นท่าทียืนตะลึงของพี่ชายตัวโต เฟื่องจึงยกมือสะกิดเข้าที่ช่วงเอวสอบเพื่อเรียกสติของอีกฝ่ายให้กลับคืน ไอ้กล้าสะดุ้งตัวเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งปรี่เข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที

“เอ้า ไอ้กล้า” ยายนิ่มร้องทักขึ้นมาแต่ไกล ส่งผลให้หลานสาวที่อยู่ข้างกันต้องหันมามองตาม

เมื่อเห็นว่าบุคคลที่ยายของตนทักทายเป็นใคร บัวคลี่จึงทำเพียงแค่ยิ้มตอบรับอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมกับสงวนท่าทีอย่างเรียบร้อยไม่ให้เกินงาม

ท่าทีอ่อนช้อยของหญิงสาวทำให้หัวใจที่แข็งแกร่งของไอ้กล้าอ่อนยวบลงราวขี้ผึ้งลนไฟ นัยน์ตาสีสนิมจ้องมองนางในดวงใจอย่างตกอยู่ในภวังค์ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องเสหน้าหลบเอียงอายจนใบหน้างดงามนั้นเริ่มขึ้นริ้วสีระเรื่อได้อย่างน่าดูชม

“ไปไหนมาหรือจ๊ะยายนิ่ม” ปากเอ่ยถามผู้เป็นยาย แต่ทว่ากลับจดจ้องอยู่ที่หลานสาวไม่วางตา

“ไปเก็บดอกบัวมา” ยายนิ่มตอบ” แล้วนั่นเอ็งจะมองหลานข้าอีกนานไหมหา ไอ้กล้า”

หญิงชราอดที่จะค่อนขอดมันไม่ได้เมื่อเห็นสายตาของไอ้นักมวยตัวดีที่ใช้มองหลานสาวนาง ถึงแม้นจะมิได้มองอย่างจาบจ้วงน่าเกลียดอันใด แต่ท่าทีของไอ้กล้าก็พานทำให้นางนึกหมั่นไส้มันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

อันที่จริงแล้วนางก็หาได้รังเกียจรังงอนไอ้กล้าไม่ มันน่ะเป็นคนดีมากทีเดียว มีน้ำใจกับทุกคน รักพี่รักน้อง เสียอย่างเดียวคือติดเหล้าและเลือดร้อนไปหน่อยเท่านั้น จึงทำให้ยายนิ่มต้องไว้เชิงกันท่าหลานสาวตนเองไว้ยามที่อีกฝ่ายเข้ามาเทียวไล้เทียวขื่อ

แต่นางก็ไม่นึกที่จะขัดขวางอะไรสักนิด ถ้าหากว่าหลานสาวของตนนั้นก็มีใจตอบกลับให้กับอีกฝ่ายเหมือนกัน หากทั้งคู่ตกลงปลงใจกันจริงมีหรือนางจะคิดห้าม เพราะฝ่ายชายเองนั้นก็เห็นมันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยรักและเอ็นดูราวกับลูกหลานคนหนึ่ง

“’ โธ่ ยายนิ่มก็” ไอ้กล้าละสายตาออกมาพร้อมกับเข้าไปบีบนวดแขนเหี่ยวย่นให้อย่างเอาอกเอาใจ จนโดนฝ่ามือฟาดเข้าที่ต้นแขนจนต้องร้องอู้ “โอ๊ย ยายตีฉันทำไม”

“ข้ารำคาญเอ็ง” บ้วนน้ำหมากทิ้งลงดินไปคำหนึ่งจนไอ้กล้ากระโดดเหยงหลบแทบไม่ทัน “ไปๆ เข้าเรือนกันได้แล้ว ร้อนจะตายชัก” หญิงชราบ่นทิ้งท้ายไว้ก่อนจะออกเดินนำกลับเข้าไปในเรือนก่อนโดยมีเฟื่องเดินเข้ามาประคองให้ไปนั่งบนแคร่พร้อมกับหาน้ำหาท่ามาให้กินดับร้อน

“พี่ช่วย” ไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธ ฝ่ามือใหญ่ก็เอื้อมไปดึงตะกร้าหวายมาถือไว้เสียเอง

“ขอบคุณจ้ะ” บัวคลี่ยิ้มบางเบาก่อนจะต้องก้มหน้าหลบลงเพื่อหนีสายตาคมปลาบที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา

หญิงสาวออกเดินนำก่อนโดยมีร่างสูงใหญ่ของนักมวยคนเก่งถือตะกร้าดอกบัวตามหลังไปต้อยๆ ทำให้เหล่าบรรดาหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ที่กำลังวุ่นอยู่กับคอกไก่ชนในละแวกนั้นเอ่ยปากร้องแซวกันเสียให้วุ่นไปหมดเมื่อได้เห็นภาพที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาตินี้จะได้เห็น

ไอ้นักเลงเลือดร้อนประจำหมู่บ้านเดินถือตะกร้าหวายตามผู้หญิงตัวต้อยๆ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตนปานนั้น

มันน่าขันอยู่ไม่หยอกนา...ดูท่าดวงกลัวเมียลอยมาแต่ไกลเลยเชียว

เสียงโห่แซวดังไม่หยุดหย่อนจนไอ้กล้าต้องหันไปชี้หน้าเชิงปราบให้พวกมันหุบปากนั่นล่ะถึงจะเงียบเสียงลงได้

“แล้ว...วันนี้ไม่มีสอนเด็กๆ หรือจ๊ะพี่กล้า” บัวคลี่หันมาถามพร้อมใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงพาดได้อย่างน่าดูชม

สาเหตุก็คงเป็นเพราะโดนไอ้พวกเวรตะไลนั่นแหกปากแซวนั่นแล..

“มี”

“อ้าว แล้ว...”

“แต่พี่อยากเห็นหน้าบัว...เลยมาหา” เสียงทุ้มนุ่มก้มลงกระซิบอยู่ข้างใบหูขาว ส่งผลให้สาวเจ้าหน้าร้อนวาบก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินหนีกลับเข้าไปหายายที่นั่งอยู่ใต้ถุนเรือน ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนยิ้มหน้าบานโต้แสงแดดอยู่กลางแจ้ง

“เอ้าๆ ไม่รอพี่เลยนะ”

ไอ้กล้าเดินทอดน่องเข้ามาหาก่อนจะวางตะกร้าหวายลงบนแคร่ข้างๆ กัน

“เอ็งทำอันใดหลานข้า ห้ะ ไอ้ตัวดี” ยายนิ่มถามเสียงเขียวเมื่อสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหลานสาวคนโตนั้นขึ้นสีแดงจัดราวกับจับไข้แดด

“ฉันเปล่านะยาย โอ๊ยๆ” ไอ้กล้าร้องลั่นเมื่อโดนยายเฒ่าปาหมากใส่

...หมากที่เคี้ยวแล้วด้วยนะนั่น!

“พี่บัวเขินหรือจ๊ะ” เฟื่องกระเถิบเข้ามากระเซ้าเย้าแหย่พี่สาวตนอย่างอดไม่อยู่

หายากมากเลยนะที่พี่บัวจะแสดงอาการเขินอายเช่นนี้ นี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือเปล่าว่าในใจของพี่สาวนางอาจจะเริ่มเปิดรับพี่กล้าเข้ามาบ้างแล้วก็ได้..

ถ้าเป็นเช่นนั้น...มันต้องเร่งเติมฟืนใส่เสียตั้งแต่ไฟมันยังร้อนนี่แหละ!

“พูดอันใดของเอ็งนังเฟื่อง” ผู้เป็นพี่ฟาดไปที่ต้นแขนน้องสาวเบาๆ เพื่อปรามแววตาและน้ำเสียงทะเล้นอันเกินงาม

“ก็มันจริงนี่ อู้ยย ยายตีเข้ามาได้” เฟื่องลูบต้นแขนตัวเองป้อยๆ เมื่อโดนยายฟาดลงมาที่แขนอีกข้าง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อโดนสายตาคาดโทษของหญิงชรามองมาอย่างหมายหัว

“สนับสนุนกันดีนักนะพวกเอ็งนี่” ยายนิ่มส่ายหัวระอาก่อนจะหันไปสนใจชายหนุ่มที่ยืนยิ้มกริ่มพิงเสาเรือนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล “ว่าแต่เอ็งเถอะ กินอะไรมาหรือยังล่ะ หือ ไอ้กล้า”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบทำให้ในอกของชายหนุ่มอุ่นวาบขึ้นมา ยายนิ่มก็เป็นเสียอย่างนี้ ถึงจะปากร้ายด้วยอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ใจดีมีเมตตากับมันอยู่เสมอ

“ยังจ้ะยาย”

“เช่นนั้นก็อยู่กินข้าวกินปลาก่อน” นางบอก” วันนี้นังบัวมันจะแกงกะทิสายบัว ข้าจะได้ฝากกลับเอาไปให้พ่อบุญกับเจ้าแก้วมันด้วย”

“จ้ะ”

ไอ้กล้าพยักหน้ารับคำ


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๗ - ไอ้ตัวดี : ๑๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 17-06-2018 20:24:14
“หมาบางตัวมันเข้ามาวุ่นวายอะไรแถวนี้วะ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนดังแทรกขึ้นมาจากหน้าเรือน

ทำให้ไอ้กล้าคิ้วกระตุกโดยสัญชาตญาณ ปลายประสาททั่วร่างตื่นเร่าเมื่อถูกน้ำเสียงยียวนอันแสนคุ้นเคยปลุกปั่น มันขบสันกรามไว้แน่นอย่างระงับอารมณ์ก่อนจะตัดสินใจหันหน้ากลับไปหาคู่อริที่กำลังเดินนวยนาดเข้ามาใกล้พร้อมกับเหล่าสมุนของมัน

ไอ้มืด...

มารผจญทุกครั้งเลยสิวะ ห่าเอ๊ย!

ไอ้กล้าสบถหยาบขึ้นในลำคออย่างหัวเสียเมื่อความสุขที่กำลังก่อตัวโดนตัวเหี้ยตัวเบ้อเร่อโผล่หางเข้ามาสอดซะเสียฉิบ ร่างสูงใหญ่เดินมาบังสองสาวพี่น้องที่กำลังช่วยกันประคองหญิงชราให้ลุกยืน ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าไว้กับเอวสอบพร้อมกับดุนลิ้นไปมาที่กระพุ้งแก้มด้วยท่าทางยียวนกวนโทสะ

..เวลามันทำท่าทางแบบนี้ทีไรเป็นได้รับฝ่าเท้าจากพ่อครูทุกที…

“วันก่อนไอ้มิ่งเล่าให้ฟังว่ามีเหี้ยเข้ามาลักไก่ในเล้าชาวบ้านไปแดก...แต่เห็นว่าจับเอาไปปล่อยแล้วนะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนราวกับกำลังเล่าเรื่องให้เพื่อนฝูงฟัง มันยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะมองตรงไปที่อีกฝ่าย “แต่ทำไมกูยังเห็นอีกตัวเดินลากหางไปมาอยู่แถวนี้วะ”

“ไอ้กล้า! มึง!”

ลูกสมุนคนหนึ่งที่ดูจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพุ่งตัวออกมาข้างหน้าหมายจะซัดปากอีกฝ่ายที่กล้ากล่าวล่วงเกินลูกพี่ของมัน แต่กลับถูกผู้เป็นนายยกมือห้ามปรามไว้ก่อนเลยทำได้เพียงแค่ฮึดฮัดอยู่ในใจพร้อมกับส่งสายตากินเลือดกินเนื้อไปให้ไอ้นักมวยตัวดีที่กำลังยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“เย็นไว้ เอ็งอย่าลงแรงให้เสียเปล่าเลยไอ้พัน” ฝ่ามือหยาบกร้านตบลงบนช่วงบ่าเบาๆ "หมาแค่ตัวเดียวใช้ไม้ไล่ก็เผ่นแนบหางจุกตูดแล้ว”

อีกฝ่ายเยาะด้วยใบหน้าเย้ยหยันเรียกเสียงหัวเราะขบขันชอบใจจากพวกลูกน้องมันได้ยกใหญ่

“ต่างกับตัวเหี้ย” ไอ้กล้าสบถขำในลำคอ “ใช้ตีนเขี่ยก็ไปแล้ว”

ท่าทางและน้ำเสียงยียวนทำให้ไอ้มืดต้องขบกรามแน่น ร่างสูงใหญ่พอๆ กันของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ยืนประจันหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร สายตาทั้งสองคู่ฟาดฟันกันไม่ลดละ บรรยากาศรอบตัวเริ่มมาคุขึ้นเรื่อยๆ จนยายนิ่มที่นั่งสังเกตเหตุการณ์มาได้สักพักหนึ่งต้องเอ่ยปากห้ามปรามเพราะเกรงว่าทั้งสองจะซัดหมัดซัดแข้งใส่กันอีก

“ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันเถอะพ่อมืด อย่าไปถือสาไอ้กล้ามันเลย”

ถึงแม้นจะปรามแต่ใจจริงแล้วนางก็หวั่นเกรงอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อยด้วยรู้ดีว่าไอ้มืดนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เกิดไปทำให้ฝ่ายนั้นไม่พอใจขึ้นมาจะต่างอะไรกับหาเหาใส่หัวตน

“เห็นแก่ยายหรอกนะ...ฉันถึงไม่รังแกหมามัน”

เน้นคำว่าหมาใส่หน้าไอ้ตัวอวดดีอีกหน

ก่อนจะหันเหความสนใจไปหาหญิงสาวอีกนางที่กำลังก้มหน้าหลบสายตาอยู่ไม่ไกล มืดยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหาหมายจะคว้าตัวนางในดวงใจให้เข้ามาใกล้กัน

แต่ปฏิกิริยาสะดุ้งตื่นตกใจของนางนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับเขาอยู่ไม่น้อย

ทำให้หวนนึกถึงช่วงระยะเวลาหลังๆ มานี้ ที่บัวมักจะหลบสายตาไม่ยอมพูดคุยกันเหมือนดั่งแต่ก่อน ไม่เหมือนกับกับไอ้กล้า ทั้งสายตาและน้ำเสียงที่นางใช้กับมัน พอเอามานึกเทียบกับตนเองแล้วนั้นนางทำราวกับเขาเป็นเพียงธาตุอากาศไม่มีตัวตน

ที่ผ่านมานั้นก็อาศัยเพียงแค่หลอกใจตนเองมาโดยตลอดว่าอย่างน้อยๆ บัวอาจจะแบ่งสักเสี้ยวในดวงใจมาให้กันบ้าง แต่นับวันไปความหวังที่แสนน้อยนิดนั้นก็เริ่มริบหรี่มากยิ่งขึ้น เมื่อได้เห็นว่าแววตาของคนทั้งสองมองกันอย่างลึกซึ้งเพียงใด

..เพียงเท่านี้ก็รับรู้ได้แล้วว่าแม้นแต่ในซอกหัวใจของบัวก็ไม่มีเขาอยู่ในนั้นเลยแม้สักนิด...

ยิ่งขบคิดก็พาลให้เพลิงโทสะเริ่มปะทุขึ้นด้วยแรงอิจฉาริษยา เส้นเลือดข้างขมับตึงเครียดขมึงเมื่อเห็นว่านางโดนไอ้กล้าดึงให้เข้าไปหลบอยู่ด้านหลังมัน

“บัว” มืดผ่อนเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นหวาดกลัวตนเพียงใด เรียกความปวดร้าวให้เข้ามารุมกัดกินแผลในอกที่เริ่มปริ

ก็เพียงแค่อยากเห็นหน้า..

..เหตุใดจึงต้องหวาดกลัวกัน...พี่ไม่เคยคิดจะทำร้าย..

..ไม่เคย...

“มึงกลับไปเสีย” ไอ้กล้าปรามเสียงต่ำ เมื่อเห็นสายตาตัดพ้อของอีกฝ่าย “อย่ามายุ่งกับบัวอีก”

“มึงแส่อะไรด้วยวะไอ้กล้า”

ลูกน้องคนเดิมโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด

คิดว่าเป็นใคร ใหญ่มาจากไหนกันถึงกล้ามาอวดดีใส่พี่มืดของมัน ก็แค่ไอ้นักมวยไร้ชื่อ ฐานะหรือก็ต่ำต้อยกว่าลูกพี่มันไปหลายขุม ริอ่านมาคิดแก่งแย่งดอกฟ้าคนงามไป เห็นทีมันคงจะไม่อยากแก่ตายกระมัง

“กูไม่ได้เสือก” มันยิ้มเยาะ “แต่ช่วยปรามลูกพี่พวกมึงด้วย...หญิงไม่แลแล้วยังเสือกมาพาลคนเขาไปทั่วแบบนี้ มันน่าสมเพชว่ะ” พูดจบก็ดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้มอีกหนพร้อมกับยกคิ้วท้าทายอีกฝ่ายไปอย่างเย้ยหยันราวกับผู้มีชัยเหนือกว่า

อย่างน้อยๆ ในเวลานี้เขาก็สามารถมั่นใจได้อย่างหนึ่งแล้วว่าคนที่บัวเลือกคือเขา..

..ไม่ใช่มัน...

“ปากดีนะมึง” มืดไม่ยอมแพ้ ความริษยาที่สุมอยู่ในอกทำให้เขายอกย้อนอีกฝ่ายกลับไปหวังเพียงแค่ให้มันได้เจ็บแสบแม้นสักนิดก็ยังดี “เอาเวลาป้อยอสาว...ไปดูแลไอ้บอดน้องมึงจะไม่ดีกว่าหรือวะ”

..นี่ล่ะ จุดอ่อนของมัน...

“วันๆ เห็นไอ้แก้วมันตามแต่ตูดมึงต้อยๆ เกิดมึงทิ้งมันไปมีเมียขึ้นมา คงไม่ต่างอะไรกับหมาหัวเน่า” แม้นจะรู้ว่ากำลังดึงอีกคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเข้ามายุ่งแต่ในเมื่อไฟแห่งอารมณ์มันถูกจุดขึ้นมาแล้วก็ยากที่จะดับลง ยิ่งเห็นสีหน้ามันคล้ำลงด้วยความโกรธก็ยิ่งสะใจ “ทั้งบอดทั้งบากแบบนั้นคงไม่มีใครเขาเอา...น่าสงสารนะมึงว่าไหม”

และถึงแม้นจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะเอ่ยกระตุ้นเร้าให้เขาสติขาด แต่ชายหนุ่มก็อดไม่อยู่เมื่อไอ้มืดมันกล้าดีพูดลามปามน้องเขาอย่างสนุกปาก

..มันไม่มีสิทธิ์...

มือสองข้างกำหมัดแน่นเพื่อระงับไฟโทสะที่เริ่มก่อตัวขึ้นราวกับเพลิงพายุ หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกันเห็นท่าไม่ดีจึงเอื้อมมือไปลูบแขนอีกฝ่ายไว้อย่างอ่อนโยนหวังให้ชายหนุ่มนั้นได้คลายโทสะลงไปได้บ้าง

แต่ดูท่าการกระทำของนางยิ่งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีให้ไฟโทสะของไอ้มืดยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีกเท่าตัว มันบดกรามแน่นจนเป็นสันนูน ความเสียใจท่วมท้นอยู่เต็มอก แต่ศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่สั่งให้ไม่ยอมล่าถอย

“ทำไมวะ? แทงใจดำหรือ” เขาหัวเราะเย้ยหยันอย่างได้ใจเมื่อเห็นว่าไอ้กล้าถลึงตามองมา “เกิดมากำพร้าแล้วยังเสือกมีน้องพิกลพิการ--!”

ผลั่ก!

โครม!!

“ว้าย! /พี่กล้า!”

“พี่มืด!”

เพราะไม่อาจฟังคำพูดพล่อยๆ ออกมาจากปากของมันได้อีก ไอ้กล้ายกฝ่าเท้าถีบเข้าไปตรงกลางอกจนร่างของมันกระเด็นล้มพับไปบนแคร่ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจนแตกหักไม่มีชิ้นดี กระจาดขนมกล้วยที่เฟื่องวางทิ้งไว้ก่อนหน้ากระเด็นกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น

สามยายหลานต่างกอดกันกลมเมื่อเห็นเหตุการณ์ไม่สู้ดีตรงหน้า พวกนางร้องตะโกนขอความช่วยเหลือกับชาวบ้านคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งเลยสักราย

“ไอ้จ้อย! เอ็งไปตามพ่อบุญมาประเดี๋ยวนี้เลย เร็ว!” ยายนิ่มตะโกนร้องบอกเด็กชายที่ยืนมุงดูอยู่ใกล้ๆ อย่างร้อนรนเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์มันเริ่มจะไปกันใหญ่

ยามที่ไอ้กล้ามันบ้าดีเดือดขึ้นเช่นนี้มีหรือใครจะกล้าเข้าไปห้าม ก่อเรื่องคราวใดชาวบ้านกี่สิบคนก็สู้พละกำลังมันไม่ได้ จะมีก็แต่ครูบุญเท่านั้นที่จะสามารถทำให้มันสงบลงได้

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเสียหลักไอ้กล้าก็หมายที่จะเข้าไปกระทืบมันซ้ำ แต่ไม่ทันที่จะได้เข้าไปถึงตัวก็ถูกลูกสมุนของมันเตะสกัดขาไว้จนเสียหลักล้มกลิ้ง

ไอ้มืดที่ตั้งหลักได้ก่อนก็หยัดกายลุกขึ้นด้วยความรวดเร็วก่อนจะก้าวขุมใหญ่เข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับกระทืบเท้าลงไปหมายจะเหยียบให้ซี่โครงมันแตก แต่ไอ้เวรนั่นไวทายาดกลิ้งตัวหลบออกไปด้านข้างได้ทันซะเสียฉิบ!

ไอ้กล้ากระเด้งตัวขึ้นมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ทั้งคู่ต่างก็พุ่งตัวเข้าหากันราวกับกระทิงหนุ่มตกมัน เสียงหอบหายใจและเสียงหมัดที่ผลัดกันกระแทกลงบนผิวเนื้อของอีกฝ่ายจนปริแตกดังขึ้นไม่หยุดพร้อมกับหยดเลือดที่สาดกระเซ็นลงผิวดินอย่างน่าหวาดหวั่น

เสียงหวีดร้องอย่างตกใจของเฟื่องและบัวคลี่ดังขึ้นเมื่อไอ้กล้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดนอีกฝ่ายถีบเข้าอย่างจังตรงสีข้างจนล้มโครมลงบนพื้น ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะตามมาใช้เท้าเหยียบลงไปบนอกมันจนสำลักอากาศไอโขลกๆ

“พี่มืด! พอเถอะจ้ะ ฮึก ฉันขอ”

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่มีใจให้เริ่มเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ นางก็รีบปรี่เข้าไปดึงรั้งแขนของฝ่ายที่กำลังบันดาลโทสะลงไปบนร่างของเขาอย่างโหดร้าย ใบหน้างดงามถูกอาบเต็มไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร ฝ่ามือเรียวเล็กยื้อยุดกายใหญ่ของมืดไว้อย่างสุดความสามารถหวังให้เขาหยุด

แต่ยิ่งนางเว้าวอนขอให้เขาหยุดลงมือกับไอ้กล้าเท่าใดความเสียใจและความริษยาก็แล่นตรงเข้ามากอบกุมหัวใจมากยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุดแรงสตรีมีหรือจะสามารถยื้อยุดแรงของบุรุษได้ ช่วงจังหวะหนึ่งมืดเผลอตัวสะบัดนางออกจนร่างบอบบางเสียหลักล้มลงไปนั่งกองบนพื้น

“พี่บัว!” เฟื่องร้องอย่างตกใจก่อนจะเข้าไปประคองพี่สาวตนที่กำลังร้องไห้จนตัวโยนเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

ช่วงจังหวะที่ไอ้มืดเผลอมองนางอย่างนึกเป็นห่วง เปิดโอกาสให้ไอ้กล้ายันตัวขึ้นมาตั้งหลักก่อนจะถีบเข้าไปตรงช่วงท้องของมันจนตัวงอ

“มึง!” เขาตามไปซัดหมัดใส่มันด้วยแววตาที่แดงก่ำไม่ปล่อยโอกาสให้ได้โต้ตอบเลยแม้แต่น้อย “มึง! ไอ้จัญไร!” หมัดหนักลอยลุ่นๆ ฝ่าอากาศเข้าไปปะทะกับใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายจนเลือดแตกซิบออกมาเป็นสาย “ไอ้แก้วมันน้องกู!” หมัดอีกข้างกระแทกเสยเข้าไปจนหน้าหัน” อย่าเสือกกะโหลกมายุ่งกับน้องกู!”

ดูท่าครั้งนี้เหตุการณ์ปะทะกันมันดูจะรุนแรงมากกว่าทุกทีที่ผ่านมา..

ร่างสูงใหญ่แผ่ไอสังหารออกมาอย่างน่าหวาดหวั่น ครานี้เห็นทีไอ้กล้ามันจะสติแตกของจริงเข้าเสียแล้ว นัยน์ตาสีสนิมแดงก่ำไปด้วยไฟโทสะ สองมือกำหมัดแน่นจนกายสั่นสะท้านไปทั่วก่อนจะตัดสินใจพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายที่กุมท้องตัวงอสำลักเลือดอยู่ตรงหน้า

“หยุด! ไอ้กล้า!! ”

แต่ก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวไอ้มืดได้ เสียงประกาศิตทรงอำนาจก็ดังแทรกขึ้นมาราวกับสายอสุนีบาตผ่าฟาดลงมาบนพื้นดิน

ชายชราที่ชาวบ้านทุกคนล้วนเคารพนับถือเดินฝ่าวงล้อมเข้ามายืนตรงกลางระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง บรรยากาศรอบด้านที่เคยชุลมุนวุ่นวายครานี้กลับเงียบสนิทราวกับป่าช้า ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจกับเสียงสำลักของไอ้มืดที่กำลังถูกเหล่าลูกน้องประคองตัวให้ขึ้นยืนดังผะแผ่วอยู่ในกระแสอากาศ

แต่สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นยืนตะลึงงันกันเสียยิ่งกว่าเห็นผีก็คือร่างสูงใหญ่องอาจของอสุราหนุ่มตนหนึ่งที่เดินติดตามครูบุญมา ยักษาวัยฉกรรจ์ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังวงล้อมของชาวบ้าน เรือนกายสูงใหญ่โดดเด่นกว่าใคร กลิ่นอายของชนชั้นสูงศักดิ์ข่มเหล่ามนุษย์ได้อย่างหมดสิ้น ใบหน้าคมเข้มนิ่งขรึมทำให้สาวเล็กสาวใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ต้องคอยแอบชำเลืองมองมาอย่างไม่ขาดสาย

ยักษ์จริงๆ หรือ?

..เหตุใดถึงได้รูปงามถึงเพียงนี้…

“ถอยออกมา” ชายชราเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

ดวงตาฝ้าฟางมองศิษย์รักที่หอบเหนื่อยจนตัวโยนแต่ไอ้ตัวดีมันก็ยังมิวายจ้องไปทางพ่อมืดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเสียให้ได้

“ไอ้กล้า” ครูบุญเคาะไม้ตะพดลงบนพื้นหนหนึ่ง “กูบอกให้ถอย!”

สรรพนามที่เปลี่ยนไปบ่งบอกถึงแรงอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น ไอ้กล้าฮึดฮัดอย่างไม่พอใจนักแต่ก็ยอมล่าถอยออกมาแต่โดยดี

“เอาล่ะ...มันเกิดอะไรขึ้น” ชายชราเอ่ยถามอย่างใจเย็น ทั้งๆ ที่ต้นสายปลายเหตุนั้นไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความ คงไม่พ้นเรื่องหลานสาวคนโตของแม่นิ่มเป็นแน่แท้ “หือ พ่อมืด”

“หึ” ไอ้มืดเสหน้าหลบไปอีกทางพร้อมกับบ้วนเลือดทิ้งลงบนพื้นดิน “พ่อเฒ่าถามไอ้หมาบ้าตัวนั้นเอาเองเถิด”

“ไอ้ห่าเอ๊ย” ไอ้กล้าสบถหยาบเตรียมที่จะพุ่งเข้าหาอีกครั้ง แต่กลับถูกฝ่ามือปริศนากอบกุมลงมาที่ช่วงบ่าเสียก่อน

วิรุณก้าวเข้ามาจับไว้ได้ทันเมื่อเห็นว่าไอ้ตัวดีมันจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เข้ามาห้ามไอ้กล้าก็สะบัดตัวอย่างแรงหวังจะหลุดออกจากการเกาะกุม แต่ก็ไร้ผลเพราะยิ่งดิ้นอีกฝ่ายก็ลงแรงที่อุ้งมือจนมันหน้าบิดเบ้ด้วยความเจ็บปวด

..แรงมหาศาลเช่นนี้...ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน...

“ปล่อย” เสียงทุ้มต่ำกดลึกพร้อมส่งสายตาข่มขู่ไปให้คนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ไม่” วิรุณก้มหน้าลงมองเจ้ามนุษย์จอมอวดดีพร้อมกับเพิ่มแรงกดจนไอ้กล้าร้องคราเครือเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ผิวเนื้อใต้อุ้งมือใหญ่นั้นแดงเป็นเปื้อนอย่างน่ากลัว แต่ทว่าท่าทางของอีกฝ่ายทำให้วิรุณนึกขันอยู่ไม่น้อยเมื่อได้เห็นแววตาถือดีและท่าทีจองหองของมันแม้นจะเจ็บตัวเพียงใด

..เก่งกล้าสมชื่อเสียจริง...

“ข้าต้องขอโทษพ่อมืดแทนมันด้วย” ครูบุญหันไปมองทางด้านชายหนุ่มอย่างลุแก่โทษ “ไว้เย็นนี้ข้าจะให้เด็กมันเอายาต้มกับลูกประคบไปให้พ่อมือที่เรือนก็แล้วกัน”

ชายชราตัดสินใจตัดปัญหามันเสียแต่ต้นลม เพราะอีกฝ่ายเป็นบุคคลที่เขานั้นไม่ค่อยอยากจะมีปัญหาด้วยสักเท่าใดนัก

“พ่อครู-!”

เมื่อได้เห็นผู้มีพระคุณออกรับผิดแทน ใบหน้าคมเข้มก็ชาวาบด้วยความรู้สึกผิดที่ตีตื้นขึ้นมาอยู่ในอก

คนที่ควรจะขอโทษไม่ใช่เขาหรือพ่อครู

แต่เป็นไอ้ปากพล่อยนั่นต่างหาก!

“หุบปากเสียไอ้กล้า” ชายชราปรามเสียงแข็งพร้อมกับยกไม้ตะพดชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ “เอ็งมันดีแต่ก่อเรื่องทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่ว!”

ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็สะบัดหน้าหนีออกไปอีกทางเมื่อรู้สึกว่ากระบอกตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา ความโกรธและความน้อยอกน้อยใจทำให้มันตัวมันสั่นเทิ้มจนอสุราหนุ่มที่คอยกอบกุมไหล่หนาไว้ยังรู้สึกได้

“ครานี้ฉันจะเห็นแก่พ่อเฒ่า” ไอ้มืดยืนยืดตัวขึ้นพร้อมกับเดาะลิ้นกวนอารมณ์ส่งไปให้อีกฝ่ายที่จ้องตอบกลับมาด้วยแววตาแดงก่ำ

“พวกเรา...กลับ” ร่างสูงใหญ่หันไปบอกกับลูกน้องตน

ก่อนจะเดินออกไปจากเขตเรือนสายตาคมปลาบก็จดจ้องไปที่นางอันเป็นที่รักอย่างคะนึงหาแต่เพียงไม่นานก็กลับมากระด้างชาดังเดิม

..ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้กล้ามึง...



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๗ - ไอ้ตัวดี : ๑๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 17-06-2018 20:27:09
คล้อยหลังไอ้มืดและเหล่าสมุนเดินห่างออกไปจากเรือน หญิงสาวก็รีบปรี่เข้ามาดูอาการของไอ้กล้าด้วยความเป็นห่วงสุดหัวใจ นางกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นร่องรอยความบอบช้ำทั่วเรือนกายใหญ่และคราบเลือดที่แห้งเกรอะกรังตามใบหน้าคมเข้ม เห็นดังนั้นวิรุณจึงผละมือออกจากอีกฝ่ายอย่างเข้าใจในสถานการณ์ก่อนจะถอยตัวออกมายืนอยู่ห่างๆ ก่อนจะต้องสบถขำในลำคอเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วราวกับพลิกฝ่ามือ

“พี่กล้า...” มือเล็กยกขึ้นสัมผัสรอยช้ำบนใบหน้าอย่างแผ่วเบา “เจ็บมากไหมจ๊ะ”

“เจ็บ” ชายหนุ่มร้องโอดโอยอย่างเกินจริงเมื่อนิ้วเรียวสัมผัสโดนรอยแผลข้างมุมปาก “พี่เจ็บ”

“อ...ขอโทษจ้ะ” นางลนลานจะดึงมือกลับ

“เห็นหน้าบัวพี่ก็หายเจ็บแล้ว”

มันกุมมืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อยราวกับรอช่วงเวลาเช่นนี้มาแสนนาน พร้อมกับส่งสายตาหวานเชื่อมตอบกลับไป ใบหน้าหล่อเหลาซบลงไปกับฝ่ามือนิ่มอย่างออดอ้อน

ท่าทีที่เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือหลังตีนเรียกสายตาเบื่อหน่ายของครูบุญได้เป็นอย่างดี

เมื่อครู่นี้บ้าเลือดราวกับหมาบ้า...พอโดนสาวปลอบเข้าหน่อยก็สำออยจนปรับอารมณ์ตามมันไม่ทัน

ตอแหลตลบตะแลงเก่งนัก!

“ฉันเป็นพยานได้นะตาบุญ พี่มืดน่ะปากเสียก่อน” เฟื่องที่อดกลั้นอารมณ์มานานโพล่งออกมา นางไม่สบอารมณ์ตั้งแต่อีกฝ่ายพูดถึงพี่แก้วไม่ดีแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าจะโดนยายเอาหวายลงหลังล่ะก็ตอนนั้นจะกระโดดเตะปากสักหนให้หมามันหลุดออกมาเสียให้เข็ด

มาว่าพี่แก้วของเฟื่องได้อย่างไร!

“นังเฟื่อง!” ยายนิ่มปรามหลานสาวคนเล็กเสียงแข็งก่อนที่มันจะพูดมากความไปมากกว่านี้

“ก็มันจริงนี่จ๊ะยาย”

“เอาล่ะๆ เรื่องมันผ่านไปแล้วใครเริ่มก่อนไม่สำคัญ...ที่แน่ๆ โตเป็นควายกันขนาดนี้แล้วยังตีกันเป็นเด็กๆ ไปได้” ชายชราบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก ก่อนจะหันไปสั่งเสียงเข้มกับไอ้ตัวดีที่กำลังป้อยอหลานสาวชาวบ้านเขาอยู่ “ถอยออกมาเดี๋ยวนี้ ไอ้ห่ากล้า!”

ไอ้กล้าจำใจต้องผละออกมาอย่างเสียมิได้ทั้งๆ ที่นึกเสียดายอยู่ในอกอยู่ไม่น้อย

ก็นานๆ ทีจะเห็นบัวมีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้ด้วยปกติแล้วนางใจแข็งจะตายไป ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ยอมออมมือให้ไอ้มืดมันซ้อมเสียแต่เนิ่นๆ ไปแล้ว

“ประเดี๋ยวฉันจะให้เด็กๆ มันยกแคร่ที่บ้านมาเปลี่ยนให้ก็แล้วกันนะแม่นิ่ม” เขาหันไปพูดกับหญิงชราที่คุ้นหน้าค่าตากันดี

“ช่างเถิดพ่อบุญ” นางปฏิเสธ

“ไม่ต้องเกรงใจดอกแม่ ถือเสียว่าฉันชดเชยให้ก็แล้วกันที่ไอ้หมาบ้านี่มันมาก่อความวุ่นวายให้อยู่บ่อยๆ”

“เช่นนั้นก็ตามแต่ใจพ่อบุญเถิดจ้ะ” นางยิ้มรับน้ำใจของเขาไว้ ก่อนจะเอ่ยสำทับไปว่าเย็นนี้จะให้นางเฟื่องเอาแกงกะทิสายบัวกับขนมกล้วยไปให้

“ลำบากแม่นิ่มแล้ว” เขาตอบรับอย่างเกรงอกเกรงใจ

“ลำบากอันใดกันพ่อบุญ” นางโบกไม้โบกมืออย่างไม่นึกถือสา “จะฝากขนมกล้วยไปให้ไอ้แก้วมัน เห็นนางเฟื่องมันบอกว่าไอ้คนเล็กมันชอบกินนักมิใช่รึ” พยักพเยิดไปทางเด็กสาวที่ยืนยิ้มแป้นพร้อมแก้มแดงปลั่ง

“เช่นนั้นรึ” ชายชรายิ้มรับ “แม่นิ่มก็อย่าเอาใจมันมากนักเล่า ประเดี๋ยวจะเสียนิสัยเอา นี่ทุกวันนี้แค่พี่มันคนเดียวก็โอ๋น้องจนมันไม่รู้จักโตแล้ว”

“คิดเยอะไปได้” ยายนิ่มหัวเราะขบขันอย่างอารมณ์ดี “ฉันก็รักมันเหมือนลูกเหมือนหลานนั่นแล”

นึกถึงไอ้คนเล็กขึ้นมาดวงตาฝ้าฟางก็ทอแสงอ่อนลงอย่างอ่อนโยน นางนั้นทั้งรักและเอ็นดูไอ้แก้วอย่างกับอะไรดี ก็มันน่ะทั้งออดอ้อนออเซาะเก่งต่างกับพี่มันซะเสียฉิบ

“ไอ้ตัวแสบมันคนถือหางเยอะขนาดนี้เชียวรึ” ชายชราหัวเราะในลำคอ ส่ายหัวอย่างนึกระอา “เช่นนั้นฉันลานะแม่นิ่ม” ครูบุญกระชับผ้าขาวม้าที่ราวคอ ก่อนจะปรายตามองไปทางไอ้ตัวดีที่ยืนมือกุมเป้าอยู่อย่างเรียบร้อยไม่เหลือเค้าคนเก่งกล้าเมื่อสักครู่นี้ให้เห็นเพียงกระผีกเดียว “กลับ”

ไอ้กล้าเดินอย่างพินอบพิเทาตามออกไปแต่ก็ยังมิวายหยุดยืนส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้แม่บัวคลี่ที่ยืนเอียงอายหลบสายตาอยู่

ป๊อก!

“โอ๊ย!”

เสียงไม้เนื้อแข็งที่ฟาดลงกะโหลกแข็งดังลั่นขึ้น ไอ้กล้าสะดุ้งตื่นจนตัวโยนหมายจะหันไปด่าคนที่ประทุษร้ายตนแต่เมื่อเห็นว่าเป็นพ่อครูยืนจังก้าเท้าเอวมองกลับมาด้วยหน้าตาถมึงทึง ไอ้ตัวดีก็รีบวิ่งฉิวนำออกไปก่อนใครเพื่อน

พ่อครูนะพ่อครู ฟาดลงมาได้!

ระหว่างทางกลับเรือนไอ้กล้าเดินทิ้งระยะห่างออกมาจากชายชราอยู่มากโข เมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่กำจายอยู่รอบตัวของพ่อเฒ่า

พ่อครูยามเงียบขรึมเช่นนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนดุด่าพาโลเสียงดังเสียอีก

เพราะฉะนั้นยามนี้..สงบปากสงบคำเข้าไว้เป็นอันดีที่สุด…

วิรุณที่เดินรั้งอยู่ท้ายสุด ลอบสังเกตอาการมนุษย์ตรงหน้ามาได้สักพักหนึ่ง อีกฝ่ายนั้นเดินกระย่องกระแย่งอย่างไม่สู้ดีเท่าใดนัก คงเป็นเพราะบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้กับคู่อริเมื่อครู่นี้เท่าที่สังเกตผ่านๆ ตัวมันนั้นชอกช้ำอยู่ไม่หยอก

อสุราหนุ่มละความสนใจออกมาจากอีกฝ่ายก่อนจะหันไปชมนกชมไม้รอบกายแทน แต่เสียงบ่นงึมงำๆ ชวนให้รำคาญใจก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทไม่หยุดหย่อนจนต้องหันกลับมามองต้นตอของเสียงอย่างเสียมิได้

“ร้อนจังวะ” ไอ้กล้ายกมือขึ้นเสยผมที่ปรกลงมาทิ่มตาไปทางด้านหลังพร้อมกับเช็ดเหงื่อเม็ดเป้งที่กำลังจะไหลเข้าตาออก

ยามนี้พระอาทิตย์กำลังขึ้นตรงตำแหน่งศีรษะพอดิบพอดี ไอร้อนจากแสงแดดส่องกระทบลงมาจนตาพร่า อากาศอบอ้าวในป่าร้อนชื้นส่งผลให้ทั้งร่างเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจถอดเสื้อออกมาพาดไว้บนบ่าเพื่อเมื่อรู้สึกเหนียวตัวเกินจะทน

เมื่อท่อนบนไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดกั้น ละอองแดดก็ได้ทีอาบไล้ลงมาบนผิวกายสีคร้ามแดดสะท้อนกับหยาดเหงื่อวาววับเผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่ตึงแน่นทั่วทั้งแผ่นหลังกว้างสมชายชาตรี แนวบ่าตั้งตรงอย่างองอาจรับกับช่วงแขนกำยำและช่วงบั้นเอวสอบที่ห้อยตะกรุดเส้นหนาเอาไว้หมิ่นเหม่แถวช่วงเชิงกราน

สะโพกตึงแน่นเคลื่อนไหวอย่างทะมัดทะแมงเมื่อช่วงขายาวก้าวเดิน เม็ดเหงื่อที่ไหลหยดลงมาจากปลายเรือนผมสีเข้มตกลงบนร่องแนวกระดูกสันหลังอย่างเอื่อยเฉื่อยไหลเรื่อยก่อนจะหายลับเข้าไปในเนินสะโพกใต้โจงกระเบนสีเข้ม

นัยน์ตาคมปลาบของรองทัพอสุรากระตุกวูบเมื่อรู้สึกว่าเผลอตัวไปจดจ้องอีกฝ่าย เขาส่ายหน้าอย่างระอาให้กับตนเองเงียบๆ

ร่างกายใหญ่โตราวกับกระทิงหนุ่มของอีกฝ่ายนั้นหาได้มีอะไรน่าพิสมัยชวนมองเลยสักเพียงนิด ชายหนุ่มตรงหน้าถือว่าตัวสูงใหญ่เอาเรื่องทีเดียว รูปร่างกำยำล่ำสันมัดกล้ามเนื้อตึงเครียดทั่วทั้งตัวอย่างคนที่ออกกำลังอยู่สม่ำเสมอ

แต่ถึงจะตัวใหญ่กว่ามนุษย์ด้วยกันสักเพียงไหน...ก็สูงเกินช่วงไหล่ของเขามานิดเดียวเท่านั้น…

“เวรเอ๊ย” เสียงทุ้มต่ำสบถขึ้นในลำคอ ไอ้กล้านิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อเดินไม่ทันระวังจนไปเหยียบเข้ากับเศษไม้เหลาแหลมที่พวกชาวบ้านใช้ดักสัตว์เข้าจนเลือดไหลอาบทั่วฝ่าเท้า

“เป็นอะไรรึไม่” ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนยืนค้ำอยู่เหนือหัว

วิรุณก้าวเข้ามาหาทันทีเมื่อเห็นว่าจู่ๆ อีกฝ่ายก็หยุดเดินกะทันหัน แต่เมื่อเห็นเลือดจำนวนมากที่ชุ่มโชกไปทั่วฝ่าเท้าของชายหนุ่มก็เข้าใจได้ในทันใด

มันคงโง่เซ่อเดินไม่ดูตาม้าตาเรือจนไปเหยียบเข้า

“ให้ข้าช่วยไหม”

“ไม่ต้องมาแส่” น้ำเสียงถือดีสะบัดอย่างหัวเสียอยู่ไม่น้อย

ไอ้กล้าไม่ได้หันกลับไปมองอีกฝ่ายที่ยืนซ้อนแผ่นหลังเสียด้วยซ้ำไป มันหันหน้าหนีไปอีกทางก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวเดินกะเผลกๆ ออกห่างจากอสุราหนุ่ม

วิรุณคิ้วกระตุกกึกเมื่อความหวังดีของเขาโดนอีกฝ่ายมองเมินอย่างไม่ไยดีซ้ำยังโดนปฏิเสธกลับมาอย่างหยาบคาย

หลายครั้งหลายคราที่เขาพยายามมองเมินความอวดดีของมันเพราะไม่อยากจะถือสาหาความ แต่ยิ่งนานไปความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดก็เริ่มจะหมดลง..

..เห็นทีพูดกันดีๆ คงไม่ชอบ…

อสุราหนุ่มยืนกอดอกมองไอ้ตัวดีลากขากะเผลกๆ ไปตามทาง นัยน์ตาสีนิลกาฬหรี่ลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นจะล้มแหล่มิล้มแหล่ สภาพราวกับหมาขาเดี้ยงสร้างความรำคาญใจให้เขาอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นวูบหนึ่งของเสี้ยวความคิดก็นึกอยากจะเอาชนะไอ้คนอวดดีมันสักครั้ง

คิดได้ดังนั้นร่างสูงใหญ่ก็ย่างสามขุมเข้าไปตัดหน้าไอ้กล้าไว้พร้อมกับโน้มตัวลงโอบอุ้มช่วงตัวของอีกฝ่ายขึ้นมาพาดไว้บนไหล่ก่อนจะออกเดินโดยไม่เปิดโอกาสให้มันได้หนี

“ทำบ้าอะไรวะ!” มันดีดดิ้นยกใหญ่พร้อมโวยวายเสียงดัง “ปล่อย!!”

ไอ้กล้าตกตะลึงจนแทบสิ้นสติเมื่อจู่ๆ คนที่มันแสนจะชังน้ำหน้ากระทำการอุกอาจเหนือความคาดหมาย ความรู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายตีรวนขึ้นมาจนใบหน้าคมเข้มแดงก่ำด้วยไฟโทสะ มันดิ้นสุดแรงหวังจะให้ตนหลุดพ้นออกจากปราการน่าคลื่นเหียนนี้

หากแต่ฝ่ามือใหญ่ที่กระชับอยู่ตรงช่วงเอวนั้นออกแรงรัดจนมันแทบจะหายใจไม่ออก ช่วงตัวสูงใหญ่จนน่าหวาดหวั่นถึงแม้นจะโดนทั้งฝ่ามือฝ่าเท้ามันประเคนใส่ก็ดูท่าว่าเจ้าของมันจะไม่รู้สึกรู้สาเลยสักนิด กลับก้าวย่างเดินต่ออย่างมั่นคงราวกับหินผา

ในระยะสายตานั้นครูบุญเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้วเห็นแค่แผ่นหลังแวบไปมาเท่านั้น ครั้นจะตะโกนแหกปากขอความช่วยเหลือก็ศูนย์เปล่า นอกจากพ่อครูจะไม่ช่วยแล้วคงจะก่นด่ามันซ้ำอีกเป็นแน่

“หุบปาก” เสียงเย็นเยียบเอ่ยเตือน “ถ้าไม่อยากถูกหักขา”

“ไอ้ยักษ์เวร!” ไอ้กล้าขบกรามแน่นจนหน้าแดงก่ำ “กูจะฆ่ามึง!”

“มีปัญญาก็ลองดู” ..อยากรู้เหมือนกันว่าฝีมือนักมวยคนเก่งมันจะแน่สักแค่ไหน

วิรุณสบถขำในลำคอเมื่ออีกฝ่ายยังไม่หยุดประทุษร้ายตนซ้ำยังสาดวาจาหยาบคายใส่กันอย่างไม่หยุดหย่อน ฝ่ามือใหญ่เลื่อนช่วงตัวหนาลงไปให้หัวห้อยมากกว่าเดิมพร้อมเปลี่ยนตำแหน่งจากโอบรัดรอบเอวสอบมาที่ช่วงขาแทน

ไอ้กล้าหัวห้อยโคลงเคลงไปมาตามจังหวะการเดินของอสุราหนุ่มจนเริ่มวิงเวียนศีรษะ มันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างอาฆาตแค้นเมื่อโดนอีกฝ่ายแบกขึ้นบ่าเดินตัวปลิวราวกับอุ้มเด็กตัวเล็กๆ ก็มิปาน

...เสียหน้าฉิบหาย!

ฝ่ามือใหญ่ออกแรงบีบรัดต้นขามันจนปวดชาไปทั้งแถบ เรี่ยวแรงขัดขืนที่มีในตอนแรกเริ่มถดถอยลงเมื่อความเจ็บปวดจากบาดแผลใหม่และเก่าเริ่มออกฤทธิ์เล่นงาน

ท่าทีที่สงบลงของอีกฝ่ายสร้างความพอใจให้กับอสุราหนุ่มอยู่ไม่น้อย มุมปากได้รูปยกยิ้มเหยียดหยันเมื่อสามารถกำราบไอ้ตัวดีให้อยู่หมัดได้

..ก็นึกว่าจะแน่...



______________________________________



เผ็ดจริงๆเลยนะ ตัวแค่เนี้ยย(??) 555555 :hao7:

น้องข้าใครอย่าแตะะะะ แค่พูดก็ห้ามม พี่ชายที่แสนดีจริงๆเลยนะพี่กล้าเนี่ยย  :hao7:

หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๗ - ไอ้ตัวดี : ๑๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 17-06-2018 21:05:25
ใครว่าน้องไม่ได้พี่กล้าซัดจมพื้น
แอบอมยิ้มเบาๆๆๆกับความคิดของพี่ยักษ์ที่มีต่อกล้า ท่าทางจะกัดกันยาวเพราะไอ้ตัวดีฤทธิ์เยอะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๗ - ไอ้ตัวดี : ๑๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-06-2018 09:58:59
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๗ - ไอ้ตัวดี : ๑๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 18-06-2018 21:26:18
รีบมาอ่านเรื่องนี้ก่อน อดใจไม่ไหวจริงๆ ขอโืทษด้วยนะคะที่มาช้า;-;

ตอนนี้พี่กล้าแสบจริงๆ ตอนจีบสาวนี้ก็โคตรจะแมนรู้สึกอยากให้พี่กล้าจีบเราบ้าง แต่เนี่ยยย พี่ยักษ์วิรุณเนี่ยยย ทำเอาเราช้ำใจ อยู่ๆ มาแล่นเรือเฉยย อ่ะ หนูยอมให้พี่ยักษ์ก็ได้ค่ะ หนูไม่เอาพี่กล้าแล้วก็ได้  :hao5:

ฮือออออ ตอนนี้เรือวิรุณกล้าแล่นค่ะ แล่นแบบน่านน้ำกระจาย ชิปเปอร์อย่างอิฉันตกงานเลยค่ะ ปลื้มปริ่มมั่กๆ คนน้องก็ยักษ์ คนพี่ก็ยักษ์บ้าง แงงง

ทำไมรู้สึกเม้นต์วนๆ หาสาระอะไรไม่ได้จากเราเลย (ฮ่าาาาา) ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะที่มาช้า อย่าพึ่งคิดว่าเราทิ้งนะ เรารักเจ้าแก้วมาก ทิ้งไม่ได้ ;-; สู้ๆ นะคะ เราเป็นกำลังใจให้ รักนะคะ :กอด1:  :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๗ - ไอ้ตัวดี : ๑๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-06-2018 06:50:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๗ - ไอ้ตัวดี : ๑๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 19-06-2018 09:01:10
 :impress2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๘ - ห้วงคำนึงหา : ๒๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 27-06-2018 17:16:34
ห้วงคำนึงหา

.



.



.




'ศึกครั้งนี้พี่ไม่ไปมิได้หรือ'

'มันเป็นหน้าที่...เจ้าก็รู้'

'แต่...แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าศึกครั้งนี้จะพรากเราให้จากกัน...ข้ากลัว'

'ขอเพียงเจ้ารอพี่อยู่ที่นี่..พี่จะรีบกลับมาหา เข้าใจรึไม่ เจ้ายักษ์น้อย’

รอยยิ้มและน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่แสนอ่อนโยนเอ่ยขึ้นผะแผ่วราวกับกับเสียงหวีดหวิวของสายลม ร่างสูงใหญ่องอาจตรงหน้าสวมใส่ชุดเกราะของขุนศึกแบบเต็มยศ ใบหน้าคมคร้ามที่แสนคุ้นเคยถูกกลุ่มไอหมอกบดบังจนไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเท่าใดนัก

แต่กระนั้นก็กลับชัดเจนยิ่งนักในห้วงคำนึงหา...

.. พี่วศิน...

สายลมเย็นเยียบพัดผ่านช่วงตัววูบใหญ่ หอบนำพากลิ่นอายของความหวาดกลัวให้แทรกซึมเข้าไปทั่วทุกสรรพางค์กาย

สองแขนเอื้อมออกไปข้างหน้าอย่างหมายมาดที่จะไขว่คว้าร่างของผู้เป็นพี่ให้กลับมาหา เมื่อเห็นว่าแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายนั้นเริ่มหายลับเข้าไปในม่านหมอก

“พี่..” เสียงสั่นเครือเปล่งเรียกอย่างยากลำบากราวกับมีเข็มร้อนนับพันเล่มจี้อยู่ที่บริเวณลำคอ “อย่าไป”

“ไม่…ไม่”

“กลับมา”

“กลับมาหาน้อง”

หยาดเหงื่อเม็ดโตผุดซึมขึ้นมาจนชุ่มผิวเนื้อแต่ทว่าทั่วทั้งร่างนั้นกลับเย็นเฉียบ

นัยน์ตาดำหดเล็กลงก่อนจะต้องเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่ออีกฝ่ายนั้นหันตัวกลับมาหา

“วิรัล..”

ทั่วทั้งร่างของจอมทัพอสุราชุ่มโชกไปด้วยหยาดโลหิตสีแดงฉาน กลิ่นคาวคละคลุ้งของสาบสนิมแผ่กำจายไปทั่วทั้งบริเวณ

กลุ่มหมอกควันทมิฬเริ่มเจือจางลงเผยให้เห็นร่างที่ไร้วิญญาณของเหล่าทหารยักษ์นอนกลาดเกลื่อนอยู่บนผืนดินอย่างน่าเวทนา บ้างโดนตัดเศียรจนกระเด็นออกไปคนละทิศ บ้างโดนลูกธนูเหล็กเสียบทะลุร่าง ทั้งที่ม่านตายังคงเบิกกว้างแข็งค้างอยู่อย่างนั้น บางรายก็โดนเหยียบจนกระดูกบิดเบี้ยวผิดรูปหนักเข้าหน่อยก็ร่างแหลกละเอียดราวกับโคลนตมก็มิปาน

ภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้าส่งให้แรงคลื่นเหียนตีรวนขึ้นมาจนตัวสั่นเทิ้มเกินจะควบคุม ลมหายใจหอบกระชั้นแรงขึ้น ปลายประสาททั่วทั้งร่างกระด้างชาจนไม่รู้สัมผัส เหงื่อกาฬผุดซึมออกมาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อได้เห็นว่าเหล่าซากศพที่นอนเกลื่อนนั้นบางตนก็เคยคุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน

“เจ้ายักษ์น้อย…” สุ้มเสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกดึงสติที่เริ่มพร่าเลือนให้หันกลับไปหาใบหน้าคมคร้ามที่มองมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง นัยน์ตาของอีกฝ่ายนั้นถูกเลือดอาบย้อมจนมองไม่เห็นตาขาว

“..รอพี่...”

เมื่อฝ่ายนั้นเริ่มขยับริมฝีปากคล้ายกับต้องการที่จะสื่ออะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นลูกศรเหล็กกล้าก็ฝ่ากระแสอากาศเข้ามาหาอย่างจังด้วยแรงกำลังมหาศาล เหล็กแหลมคมพุ่งทะลุเกราะเนื้อดีจนเนื้อโลหะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ

“ไม่!!”

เสียงกรีดร้องอย่างเสียสติดังขึ้นเมื่อเห็นร่างของผู้เป็นพี่ทรุดกองลงไปกับพื้น

กลุ่มเลือดข้นคลั่กไหลทะลักออกมาจากทางปากและจมูกอย่างไม่ขาดสาย แผ่นอกกำยำใต้ชุดเกราะขยับไหวขึ้นลงอย่างแผ่วเบาเมื่อชีพจรค่อยๆ อ่อนลง

ฝ่าเท้าเปล่าเปลือยเหยียบย่ำกับธุลีดินสีเลือดออกตัววิ่งฝ่ากลิ่นสาบคาวของหยาดโลหิตนับร้อยพันชีวิตแตกกระเซ็นออกเป็นวงกว้าง

เมื่อทรุดกายลงข้างๆ ร่างที่เหลือเพียงลมหายใจรวยริน กระบอกตาทั้งสองข้างก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างยากที่จะสกัดกั้น สองแขนตระกองกอดร่างสูงใหญ่ขึ้นมาแนบไว้กับอกราวกับต้องการฉุดรั้งมิให้พญามัจจุราชสามารถคร่าชีวิตของอีกฝ่ายไปได้

“ไม่....ไม่” ฝ่ามือสองข้างที่อาบชุ่มไปด้วยเลือดของประคองใบหน้าของผู้ที่เริ่มจะหมดสติลงไปทุกขณะมาแนบชิดไว้ไม่ห่าง

“ตื่นขึ้นมามองหน้าข้าเดี๋ยวนี้นะ” น้ำเสียงเอาแต่ใจที่มักใช้กับคนพี่เสมอมาสั่นเครือจนแทบฟังไม่ได้ความเมื่อก้อนสะอื้นตีรวนขึ้นมากระจุกอยู่กลางลำคอ

“…”

“...ฟื้นสิ! ฟื้น!”

เสียงตะโกนดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณราวกับคนเสียสติ หยาดน้ำตามากมายพรั่งพรูเอ่อล้นไปทั่วทั้งใบหน้าจนเปียกชุ่ม แขนสองข้างตระกองกอดร่างอีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะซุกหน้าลงไปแผ่นอกเย็นชืดที่ไร้ซึ่งชีพจรการเต้นของก้อนเนื้อในอกอีกต่อไป

มือทั้งสองกำแน่นเข้าหากันจนเล็บจิกลงไปบนผิวเนื้อ ทั่วทั้งกายสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงเกินประคองไหว ก่อนจะเปล่งเสียงร้องโอดครวญออกมาไม่ขาดสายราวกับสัตว์ป่าได้รับบาดเจ็บอย่างสุดแสน

ความเสียใจท่วมท้นอยู่ในอกจนมิสามารถที่จะควบคุมตนเองได้อีกต่อไป ใบหน้าแหงนเงยขึ้นมองท้องนภามืดมนอย่างสิ้นหวังพลางร่ำไห้ราวกับว่าหัวใจกำลังจะขาดสะบั้นลงเป็นเศษเถ้าธุลี

หยาดฝนเลือดกระหน่ำเทลงมาไม่ขาดสายกลิ่นคาวคละคลุ้งแผ่กำจายโอบล้อมให้ทั่วทั้งบริเวณโดนย้อมไปด้วยสีแดงฉาน อสุนีบาตผ่าฟาดลงบนผืนธรณีจนทั่วทั้งแผ่นดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น

หลังม่านอวัศยาทมิฬปรากฏให้เห็นร่างสูงใหญ่ของบุคคลผู้หนึ่งยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางห่าฝนโลหิต ดวงตาสีแดงเพลิงเด่นชัดภายใต้เงามืดมองตรงมาข้างหน้าอย่างไม่ละสายตาพร้อมกับค่อยๆ ลดมือข้างที่เล็งคันศรลงไว้ข้างกาย

…เขาผู้นั้นยืนอยู่ทิศเดียวกันกับลูกศรที่พึ่งถูกปล่อยยิงออกมา

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำค่อยๆ ดังขึ้นแข่งกับเสียงผ่าฟาดของสายฟ้า เมื่อเห็นว่าลูกศรของตนนั้นปักลงที่กลางอกของเป้าหมาย ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นอย่างนึกพอใจอยู่ไม่น้อยที่สามารถปลิดชีพจอมทัพใหญ่ของแว่นแคว้นแดนศัตรูได้สำเร็จ

“…เจ้า”

เสียงแหบพร่าสั่นคราเครืออย่างโกรธแค้นเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้เข้าเรื่อยๆ ร่างสูงตระหง่านหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เรือนร่างล่ำสันแผ่กลิ่นอายกดดันไปทั่วทั้งบริเวณ ใบหน้าของคนผู้นั้นถูกกลุ่มหมอกดำปกคลุมไว้จนไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขาเป็นใคร

“หึ”

อีกฝ่ายสบถเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคออย่างหฤหรรษ์เมื่อเห็นร่างที่ไร้วิญญาณนอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอดของอสุราอีกตน นัยน์ตาสีแดงเพลิงทอประกายกล้าแกร่งจดจ้องไปที่ร่างของทั้งสอง ก่อนฝ่าเท้าใหญ่จะยกขึ้นสูงหมายมั่นที่จะกระทืบลงไปซ้ำให้สาแก่ใจ

เมื่อรับรู้ได้ถึงความตายที่จะมาเยือนในไม่ช้า อ้อมแขนที่โอบกอดร่างผู้เป็นพี่ไว้ก็กระชับวงแขนแน่นขึ้นก่อนจะซุกหน้าลงไปบนอกกว้าง หยาดน้ำตาไหลอาบหน้าลงมาไม่ขาดสายเมื่อรู้สึกอดสูใจเกินกว่าที่จะทนรับไหว เปลือกตาค่อยๆ หลับลงอย่างเหนื่อยล้ารอให้อีกฝ่ายประทานความตายให้อย่างไม่คิดที่จะต่อสู้ขัดขืน

“…น้องรักพี่..”

สุ้มเสียงกระซิบประโยคสุดท้ายเอ่ยขึ้น แรงมหาศาลก็กดทับลงมาบนช่วงตัวอย่างรุนแรงก่อนที่สติรับรู้ทุกอย่างจะมืดดับลง…

อึก! ...

แรงสะดุ้งฉุดให้บุคคลที่ตกอยู่ในห้วงฝันร้ายตัวสั่นกระตุกอย่างแรงก่อนจะลืมตาโพล่งขึ้นท่ามกลางความมืดมิด เหงื่อกาฬไหลโซมไปทั่วทั้งผิวกาย

กลิ่นอับชื้นและละอองฝุ่นผงตีรวนอบอวลอยู่ใต้จมูก

เสียงน้ำหยดลงบนผืนดินเป็นช่วงๆ ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณที่เงียบสงัด ร่างร่างหนึ่งค่อยๆ ยันตัวขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว แขนทั้งสองค้ำบนพื้นด้วยอาการสั่นเทา โซ่ตรวนเส้นใหญ่ที่ล่ามอยู่บริเวณข้อเท้าเสียดสีกับรอยฟกช้ำเมื่อเจ้าตัวพยายามที่จะยันตัวขึ้นยืน ทันใดนั้นความเจ็บปวดตามแนวกระดูกสันหลังก็แล่นริ้วขึ้นมาจนทำให้เขาต้องทรุดตัวลงไปนอนกองลงบนพื้นอีกหน

“อึก…”

เขาคู้กายเข้าหากันอย่างหวาดหวั่น หยาดน้ำอุ่นร้อนกลิ้งลงมาอาบไล้แนวแก้มอย่างไม่ขาดสายเมื่อหวนนึกถึงห้วงฝันร้ายที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้

..พี่วศิน...

วิรัลกดแรงสะอื้นที่กระจุกขึ้นมาบนลำคอได้อย่างยากลำบากเมื่อภาพของพี่ชายที่โดนฆ่ายังเด่นชัดอยู่ในห้วงความคิด กลุ่มเลือดแดงฉานที่อาบท่วมผืนปฐพีส่งกลิ่นสาบคาวคลุ้งอย่างน่าสยดสยองติดตรึงในความทรงจำจนมิอาจที่จะลืมเลือน

เคร้ง! 

เสียงสะเดาะโซ่เหล็กบริเวณหน้าประตูดึงความสนใจของผู้ถูกคุมขังให้หันกลับไปมอง ก่อนจะต้องรีบถอยตัวร่นหนีไปหลบอยู่ที่มุมห้องเมื่อแสงจากคบเพลิงของทหารเวรสาดส่องเข้ามาในห้องมืด

วิรัลนั่งคู้กายกอดเข่าไว้แนบอกอย่างหวาดกลัว อาภรณ์ที่สวมใส่อยู่นั้นซอมซ่อจนไม่เหลือเค้าเดิม คราบเลือดแห้งเกรอะกรังไปทั่วใบหน้าเปื้อนฝุ่น ทั่วทั้งกายปรากฏบาดแผลฟกช้ำเป็นจ้ำอยู่หลายแห่ง

ทหารเวรสองนายเดินเข้ามาในห้องคุมขังก่อนจะเปิดทางให้อสุราหนุ่มตนหนึ่งก้าวออกมายืนอยู่ด้านหน้า ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ผู้ที่หลบอยู่บริเวณมุมมืดพร้อมกับยอบกายคุกเข่าลงข้างๆ อย่างระมัดระวัง

“วิรัล”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกพร้อมกับฝ่ามือหนาที่เอื้อมไปลูบปลอบประโลมลงบนศีรษะ

กรณ์ทอดมองร่างตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยน พลันนัยน์ตาสีโกเมนก็ส่องประกายวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างเจ็บปวดสุดแสนเมื่อได้เห็นสภาพของอีกฝ่าย

“อย่าแตะต้องตัวข้า!”

เสียงตวาดลั่นดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ก่อนจะปัดฝ่ามือของอีกฝ่ายออกไปให้พ้นจากช่วงตัว วิรัลขดคู้กายเข้าแนบชิดกับผนังดินอับชื้นราวกับจะกลืนหายเข้าไปในนั้น แววตาสีสวยมองบุคคลตรงหน้าอย่างหวาดระแวง ด้วยเพราะหยาดน้ำใสที่เอ่อคลอหน่วยตาบดบังภาพตรงหน้าไปหมดสิ้นจึงทำให้มองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเท่าใดนัก

“ข้าเอง…เจ้าตัวน้อย” กรณ์ปรับลดน้ำเสียงให้อ่อนลง “มองให้ดีๆ สิ”

วิรัลหอบหายใจจนตัวโยนหลังจากที่เปล่งเสียงกร้าวออกไป อสุราตัวน้อยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทุ้มต่ำอันแสนคุ้นเคย เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีโกเมนคู่นั้นพลันทำนบน้ำตาก็ไหลอาบลงมาทั่วแก้มอีกหน ก่อนจะโถมตัวเข้าหาอีกฝ่ายจนอสุราหนุ่มตรงหน้าตั้งรับไว้แทบไม่ทัน

กรณ์ระบายยิ้มออกมาอย่างโล่งอกเมื่อวิรัลเลิกผลักไสตนออกห่าง อ้อมแขนแกร่งโอบรัดร่างเจ้าตัวน้อยของเขาไว้แนบอกอย่างหวงแหน

“กรณ์…” อ้อมแขนเล็กรัดร่างของพี่ชายใจดีไว้แน่นราวกับเจอที่พักพิง

หลังจากวันนั้นที่โดนคุมตัวมาสำเร็จโทษแทนพี่ชายของตน วิรัลก็โดนคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินตลอดมาโดยมิได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก วันคืนอันยาวนานผ่านไปอย่างทรมานแสนสาหัส ทุกๆ ราตรีฝันร้ายและกลิ่นคาวเลือดจะเข้ามาเล่นงานจนจิตใจนั้นหวาดผวายากที่จะข่มตาหลับ

แต่ในยามนี้ที่ได้ซุกอยู่ในอ้อมอกอุ่นของพี่ชายอีกตน ความหวาดกลัวกลับถูกปัดเป่ามลายหายไปจนหมดสิ้น

“ชู่ว เงียบเสียเด็กดี ข้าอยู่นี่แล้ว” ริมฝีปากได้รูปกดจูบลงข้างขมับเพื่อปลอบประโลม “เจ้าไม่ต้องกลัว”

อสุราหนุ่มโอบอุ้มร่างของอีกฝ่ายขึ้นมาไว้แนบอกได้อย่างง่ายดาย ปรกตินั้นเจ้าวิรัลหาใช่ยักษาร่างกายกำยำสูงใหญ่ไม่ แต่กลับร่างเล็กบอบบางอุ้มง่ายหิ้วง่ายราวกับเจ้าพวกยักษ์เด็ก

หลังจากที่ได้รู้ข่าวว่าทั้งสองจอมทัพก่อกบฏกับแผ่นดินบ้านเกิดจนวิรัลต้องถูกจับตัวมาสำเร็จโทษแทนเขานั้นโกรธจนแทบคลั่ง

ตัวเขาเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยในกองทัพ ไม่มีอำนาจมากพอที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือวิรัลได้ ถึงแม้นพี่ชายของตนมียศเป็นถึงทหารเอกจะรู้จักและคุ้นเคยกับจอมทัพใหญ่ทั้งสองตนนั้นมากเพียงใด แต่เมื่อยามที่วีรบุรุษได้ผันเปลี่ยนเป็นปรปักษ์ต่อแผ่นดินแล้วไซร้ก็ไร้ซึ่งประโยชน์

ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้เขาพยายามที่จะแอบลอบเข้ามาในคุกใต้ดินแห่งนี้อยู่หลายหน แต่ด้วยงานที่รัดตัวจนแทบจะไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาได้ ซ้ำเหล่าทหารเวรยังตรวจตระเวนอย่างรัดกุม ทำให้ต้องจำใจกล้ำกลืนอดทนต่อความห่วงหาที่กัดกินหัวใจเขาจนเป็นแผลเหวอะหวะ

แต่เมื่อได้โอกาสดีกรณ์จึงไม่ลังเลอาศัยช่วงที่เปลี่ยนเวรยามเป็นพลทหารใต้บังคับบัญชาของตนเข้ามาหาเจ้าตัวน้อยของเขา เมื่อได้เห็นสภาพของอีกฝ่ายพลันในอกก็ปวดแปลบคล้ายกับโดนมือปริศนาบีบรัดอย่างรุนแรงฝ่ามือและฝ่าเท้าเย็นเยียบเมื่อชีพจรหยุดเต้นกะทันหัน

หัวใจแหลกสลายไม่มีชิ้นดีเมื่อแสงของเปลวไฟตกกระทบลงบนผิวเนื้อบอบช้ำที่โผล่พ้นออกมาจากสาบเสื้อรุ่มร่าม

กายขาวเนียนปรากฏรอยช้ำเลือดขึ้นเป็นจ้ำอย่างน่ากลัว เขาขบกรามแน่นจนขึ้นสันเมื่อสังเกตเห็นว่าบริเวณข้อเท้านั้นถูกตรวนเส้นใหญ่ล่ามเอาไว้ราวกับสัตว์ป่า อสุราหนุ่มหันไปพยักหน้ากับพลทหารสองตนอย่างเข้าใจกันดี เพียงไม่นานพันธนาการเหล็กก็ถูกปลดออกทันทีเมื่อหนึ่งในนั้นเดินถือลูกกุญแจเข้ามาไขออกให้

แต่สิ่งที่ทำให้เขานั้นปวดร้าวยิ่งกว่าสิ่งใดก็คงเป็นประกายของนัยน์ตาที่เคยส่องสดใสหากแต่ยามนี้กลับหม่นหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด

ยิ่งเห็นว่าเจ้าตัวน้อยนอนหลับตาซบเข้ากับอกของตนเองอย่างต้องการที่พักพิง ความสงสารก็พวยพุ่งเข้าเกาะกุมจิตใจจนกระบอกตาร้อนผ่าว ร่างสูงใหญ่กระชับวงแขนให้แน่นขึ้นก่อนจะเดินอุ้มอีกฝ่ายออกจากเขตห้องขังโดยมีพลทหารเวรใต้ปกครองคอยสอดส่องดูต้นทางให้

“ขอบใจพวกเจ้ามาก…วันพรุ่งข้าจะนำตัวเขามาคืนก่อนยามผลัดเวร” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบโดยไม่แม้นแต่ที่จะหันกลับไปมองทางเบื้องหลังที่มีพลทหารทั้งสองตนค้อมตัวรับคำสั่งอย่างแข็งขัน

สองขาก้าวอย่างรีบเร่งเมื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนผ่าวจากผิวกายของคนที่อยู่ในอ้อมกอด

หลังจากที่แอบพาวิรัลออกมาจากห้องขังได้อย่างแนบเนียนกรณ์ก็เดินลัดเลาะมาตามเส้นทางด้านหลังของเขตพระราชฐานเพื่อหลบหลีกสายตาของเหล่าทหารยามตนอื่นๆ

“อือ” เสียงคราเครือของคนในอ้อมกอดดังขึ้นแผ่วเบา ทั่วกายมีหยาดเหงื่อผุดซึมขึ้นจนเนื้อตัวเปียกชุ่มกายเริ่มสั่นเทาเมื่อโดนพิษไข้เข้าเล่นงาน

“อดทนไว้นะเจ้าตัวน้อย”

กรณ์ก้มลงมองน้องน้อยในอ้อมกอดก่อนจะก้มลงประทับริมฝีปากข้างขมับชื้นเหงื่อพร้อมกับคลายวงแขนที่โอบกอดอีกฝ่ายไว้แนบแน่นออกเพื่อให้วิรัลไม่อึดอัดตัวไปมากกว่านี้

อสุราหนุ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกเมื่อย่างเข้าสู่เขตชุมชน เขาจัดการเลื่อนมือไปโอบศีรษะของอีกฝ่ายให้หันเข้ามาซุกอกตนเพื่อปกปิดใบหน้าโดยที่เจ้าตัวเองก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ แม้นชาวบ้านรอบข้างจะหันมามองเป็นระยะแต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจมากนัก

อาจเป็นเพราะพิษไข้ที่เริ่มรุมเร้าหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้วิรัลซุกหน้าเข้ากับอกอุ่นราวกับเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางออดอ้อนโดยไม่รู้ตัวของอีกฝ่ายเรียกเสียงหัวใจของอสุราหนุ่มให้เต้นโครมครามราวกับพลกลองกำลังรัวกลองรบก็มิปาน

..คนในอ้อมกอดของเขาอาจไม่คิดสิ่งใดให้มากความ

..แต่กับคนที่เฝ้าแอบรักอีกฝ่ายมาเนิ่นนานนั้นไซร้...

ในหัวอกมันกระโดดโลดเต้นอย่างนึกลำพองตนไปถึงไหนต่อแล้ว...


[/i]


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๘ - ห้วงคำนึงหา : ๒๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 27-06-2018 17:18:07
 เมื่อถึงที่หมายอสุราหนุ่มก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าเรือนไม้ขนาดกลางหลังหนึ่ง เขาสอดส่องสายตามองอยู่เพียงครู่ก่อนจะสะดุดกับเจ้ายักษ์เด็กสองตนที่กำลังเล่นกันอยู่ใต้ถุนเรือน เมื่อเห็นดังนั้นร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้าไปใกล้พร้อมกับส่งเสียงร้องทักหลานชายทั้งสอง

“เจ้าพวกตัวเล็ก”

“อ้ะ! ท่านอามา!” นิ้วเล็กป้อมยกชี้มาหาก่อนจะหันไปชักชวนน้องชายที่กำลังเล่นดินอยู่ให้หันมามอง

“อาก๊อน!” เสียงหวีดแหลมเล็กดังขึ้นพร้อมกับร่างเจ้าลูกยักษ์ตัวเล็กวัยสองขวบค่อยๆ ทรงตัวยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล ก่อนจะเดินเตาะแตะๆ เข้ามาหาโดยมีพี่ชายวัยสี่ขวบวิ่งหน้าทะเล้นตามมาอยู่ไม่ห่าง

“พลังลมสลาตัน ย่าห์!”

เจ้าตัวกลมสองตนเข้ามาพัวพันแข้งขาของอสุราหนุ่ม ก่อนคนพี่จะโหม่งศีรษะเข้ากับหน้าท้องแข็งไปจังๆ จนตนเองกระเด็นหงายหลังลงไปนอนแผ่พังพาบนับดาวบนพื้นเสียเอง

“อ๋อย~มึนๆ ๆ ๆ” เจ้ามารุตส่ายหัวไปมาอย่างมึนงงก่อนจะกระเด้งตัวกลับขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว มือเล็กๆ รีบปัดเศษดินที่เปื้อนตามผ้านุ่งของตนออกอย่างร้อนรนเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าจะโดนท่านแม่ตีก้นเป็นแน่หากว่าเล่นมอมแมม

“ท่านอาพาใครมาหรือ” อสุราตัวน้อยค่อยๆ เลียบเคียงเข้ามาหาผู้เป็นอา ดวงตากลมใสจ้องมองไปยังร่างซอมซ่อที่นอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง ก่อนจะต้องเบิกตากว้างพร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างดีอกดีใจเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย “อ๊า! ลูกพี่!”

มารุตร้องเสียงสนั่นเมื่อเห็นลูกพี่วิรัลของตน เจ้าตัวกลมรีบตะกายหน้าแข้งของผู้เป็นอาพัลวันราวกับลูกลิงป่าก็มิปาน

กรณ์มองหลานชายคนโตด้วยความขบขันระคนเอ็นดูเมื่อโดนเขี้ยวน้อยๆ ของมันขบเข้าที่ปลีน่องให้ความรู้สึกคล้ายกับโดนลูกสุนัขแทะอย่างไรอย่างนั้น

ฟันน้ำนมยังไม่หลุดดีด้วยซ้ำไป ช่างเก่งกล้านัก

เขาจัดการเปลี่ยนมาอุ้มวิรัลไว้ด้วยแขนข้างเดียวส่วนอีกข้างก็โน้มลงไปช้อนอุ้มหลานคนเล็กขึ้นมาไว้ ปล่อยให้ไอ้ตัวแสบคนพี่ลงไปดิ้นพล่านด้วยความขัดใจ

เจ้ามินตราอสุราตัวน้อยที่ดูสุขุมกว่าพี่มันอยู่มากโขมองท่านอากับลูกพี่วิรัลตาแป๋วก่อนจะเอื้อมมือเล็กๆ ทั้งสองข้างออกไปหาวิรัลอย่างเรียกร้องหมายที่จะให้อีกฝ่ายอุ้มตนเหมือนอย่างเคย

“พี่วิรัลของพวกเจ้าไม่สบายนิดหน่อย” กรณ์ปรามเสียงนุ่ม “แล้วนี่...พ่อแม่ของเจ้าไปไหนเสียล่ะ” หันไปถามกับหลานชายคนโตที่ตอนนี้มันกำลังยืดตัวขึ้นเข้าหาวิรัลอย่างไม่ยอมแพ้

“แม่บุหลันขึ้นไปเอาของบนเรือนขอรับ” เสียงเล็กๆ ว่าเจื้อยแจ้ว “ส่วนท่านพ่อข้าไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำตอบจากหลานชายตัวเล็กคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันอย่างนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะโดยปรกติแล้วพี่ชายของตนนั้นยามที่พักเว้นจากช่วงศึกมักจะอยู่ติดบ้านติดเรือนตลอด ด้วยความที่ลูกยังเล็กซ้ำอยู่ในวัยกำลังออดอ้อนออเซาะเก่งเป็นใครก็ไม่อยากออกห่างด้วยกันทั้งนั้น

“อ้าว เจ้ากรณ์”

เสียงอ่อนหวานร้องทักมาจากบริเวณชานพักบันได ก่อนร่างสะโอดสะองของนางยักษ์ตนหนึ่งจะเดินเข้ามาหาสามอาหลาน

“พี่บุหลัน” กรณ์หันไปค้อมกายทักทายพี่สะใภ้อย่างนอบน้อม

นางเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นร่างของใครอีกคนอยู่ในอ้อมกอดของอสุราหนุ่ม

“นั่นวิรัลใช่หรือไม่” น้ำเสียงร้อนรนแฝงความเป็นห่วงอย่างเหลือแสนเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเจ้ากรณ์พยักหน้ารับ “เกิดสิ่งใดขึ้น”

“ไว้ข้าจะบอกทุกอย่างให้ท่านได้รู้ แต่ก่อนอื่นขอพาวิรัลเข้าไปพักในเรือนก่อนได้หรือไม่”

กรณ์ร้องขอก่อนจะได้รับอนุญาตจากอีกฝ่ายแทบจะทันที บุหลันเข้าไปอุ้มตัวลูกชายคนเล็กของนางออกมาจากอกอสุราหนุ่มพร้อมกับรีบเดินนำพาให้ขึ้นไปบนเรือนโดยมีเจ้ามารุตคอยสาละวนวิ่งวุ่นอยู่ไม่ห่าง

ร่างสูงใหญ่วางอีกฝ่ายไว้บนฟูกหนาก่อนจะผละตัวออกไปตระเตรียมอ่างน้ำและผ้าผ่อนมาผลัดเปลี่ยน โดยมีพี่สะใภ้คอยเป็นธุระไปหายาสมุนไพรมาให้

“เจ้าตัวน้อย...ข้าเช็ดตัวให้นะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบแผ่วเบาก่อนจะช่วยประคองร่างขึ้นแล้วจัดการปลดอาภรณ์สีหม่นออกจากตัว

ผ้าเนื้อหยาบค่อยๆ ทิ้งตัวลงมากองบริเวณช่วงเอวคอด เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวนวลที่ขึ้นสีระเรื่อด้วยพิษไข้ อสุราหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อดันเผลอไปจ้องมองยอดถันสีสดบนแผ่นอกเล็ก

เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะตัดสินใจจับอีกฝ่ายเช็ดเนื้อเช็ดตัวอย่างว่องไวจนทั่วทั้งร่างสะอาดเอี่ยม หลังจากที่ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่แล้วกรณ์ก็ประคองร่างอีกคนลงบนฟูกอย่างนุ่มนวลพร้อมกับพลิกกายให้นอนคว่ำเพื่อที่จะได้ไม่ไปนอนกดทับแผลบริเวณแผ่นหลังก่อนจะคลี่ผ้าห่มออกคลุมท่อนล่างไว้ให้

วิรัลตัวสั่นเทาขึ้นอีกหนเมื่อรู้สึกหนาวเหน็บขัดกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว ข้างกายนั้นมีเจ้ายักษ์เด็กสองตนนั่งทับเข่าเฝ้าดูอยู่ไม่ห่างด้วยความสนอกสนใจ

“เจ้าพวกทโมน อย่าไปกวนพี่วิรัลเชียว”

เสียงปรามของมารดาเอ่ยดักไว้ได้ทันก่อนที่มือเล็กป้อมข้างหนึ่งกำลังยื่นออกไปหมายที่จะจิ้มแขนลูกพี่ของตน เจ้ามารุตสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหดมือกลับเข้ามาหนีบไว้กลางขาดังเดิม เขี้ยวน้อยๆ ทั้งสองข้างงับเข้าหาริมฝีปากเบาๆ อย่างนึกขัดใจที่โดนท่านแม่เอ่ยห้ามอย่างรู้ทัน

ก็ผิวของลูกพี่วิรัลนุ่มมือจะตายไป ข้าอยากจับๆ ๆ ท่านแม่นี่ล่ะก็!

นัยน์ตากลมโตมองตามมือของผู้เป็นอาที่กำลังบรรจงทาสมุนไพรลงบนผิวนุ่มๆ ของวิรัลอย่างนึกอิจฉาตามประสาเด็กเล็ก แก้มกลมยุ้ยพองลมขึ้นเล็กน้อยอย่างขัดใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงหงายท้องผึงเกลือกกลิ้งไปตามพื้นเรือนจนโดนมารดาเอ็ดเข้าอีกหน

“ว่าแต่...” บุหลันหันมาถามน้องชายของสามี “เหตุใดวิรัลถึงได้มีสภาพเช่นนี้เล่าเจ้ากรณ์”

นางมองเจ้ายักษ์น้อยที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฟูกอย่างสงสารจับจิต

ตัวก็นิดเดียว แต่เหตุใดถึงโดนทำร้ายร่างกายสาหัสถึงเพียงนี้…

“พี่บุหลันคงได้ยินข่าวของสองจอมทัพมาบ้างแล้ว” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอกแผ่วเบา นัยน์ตาสีโกเมนทอดมองไปที่หลานชายตัวน้อยสองตนที่กำลังกอดฟัดกันตัวกลม ก่อนจะวกกลับมาหาร่างบอบช้ำตรงหน้า ฝ่ามือใหญ่เอื้อมไปลูบศีรษะของอีกฝ่ายแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าเจ้าวิรัลกระเถิบกายเข้ามาแนบชิดตนมากขึ้น “เพราะเหตุนี้...วิรัลจึงโดนองค์เหนือหัวสั่งคุมตัวมาสำเร็จโทษแทนท่านวศิน...ซ้ำยังโดนสั่งขังไว้ที่คุกใต้ดินมาหลายวันแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากปากของอสุราหนุ่ม นางก็ลมแทบจับ บุหลันยกมือขึ้นทาบเหนืออกอย่างใจหายพลันทอดมองไปที่เจ้ายักษ์น้อยของพวกพี่ๆ อย่างสงสารจับใจ

วิรัลนั้นเป็นที่รักของทุกคน ทั้งนางและสามีก็ต่างเอ็นดูเจ้าตัวน้อยตนนี้ราวลูกชายอีกคนก็มิปาน

แต่สิ่งที่ทำให้นึกคลาแคลงใจอยู่ไม่น้อยเลยก็คือเหตุใดสามีของนางถึงไม่ยอมบอกเกี่ยวกับเรื่องที่วิรัลโดนจับไปทารุณเลยสักนิด

ไม่แม้นแต่ที่จะพูดถึงด้วยซ้ำไป เพราะหลังจากที่เขากลับมาจากศึกครั้งนั้น กรรณก็เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่พูดไม่จา ข้าวปลาไม่ยอมแตะ ยามรุ่งก็มักจะออกจากเรือนไปก่อนที่นางและลูกๆ จะตื่นเสียแล้วกว่าจะกลับมาก็เย็นย่ำซ้ำยังร่ำสุราจนเมามายแทบจะทุกวัน ทั้งๆ ที่ปรกติแล้วกรรณนั้นไม่แตะอบายมุขเหล่านั้นมาเนิ่นนานแล้ว เทียบเท่ากับอายุของเจ้ามารุตเสียด้วยซ้ำไป

แล้วเหตุใดกันนะ…ที่ทำให้สามีของนางเคร่งเครียดถึงเพียงนี้…

..หวังเพียงแค่ว่าจะมิใช่เรื่องร้ายแรงก็พอ…

“กรรณไม่เคยบอกข้าเลย..”

“ส่วนตัวแล้วข้าคิดว่าท่านพี่ก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน” กรณ์ว่าเสียงหนักแน่น

เขามั่นใจ…มั่นใจว่าถ้าพี่ชายของตนรู้ว่าวิรัลโดนจับไปสำเร็จโทษยังไงฝ่ายนั้นก็ไม่มีทางยอมเป็นแน่

เพราะท่านพี่ของเขารักและเอ็นดูเจ้าตัวน้อยมากกว่าน้องแท้ๆ ในไส้คนนี้เสียอีก…

“เอาเถิด เอาไว้พ่อตัวดีกลับมา ข้าจะไล่ถามความจริงเท็จเสียให้เข็ด” นางหมายมาดเอาไว้ “แล้วเจ้าเล่าเจ้ากรณ์ไม่มีงานมีการต้องไปทำรึ” หันกลับมาถามคนที่กำลังสอดตัวลงไปนอนกอดเจ้าวิรัลอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“วันนี้ข้าว่าง…กิจที่ต้องทำก็สะสางเรียบร้อยหมดแล้ว” เสียงทุ้มต่ำตอบงึมงำ ก่อนจะดึงร่างของวิรัลเข้ามากอดไว้แนบอกโดยไม่สนใจสายตาของพี่สะใภ้ที่ส่งมาอย่างล้อเลียนเลยสักนิด

…เอาเถิด..จะยอมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็แล้วกัน

สงสารคนที่แอบรักเจ้าวิรัลอยู่ฝ่ายเดียวมาเนิ่นนาน ครั้งนี้จะยอมให้เจ้ากรณ์หาเศษหาเลยกับน้องน้อยบ้างคงจะไม่เสียหายอะไรนักดอกหนา…

บุหลันยกยิ้มขึ้นนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวโตมันพยายามยัดตัวเองลงบนไปบนฟูกผืนเดียวกับคนน้องอย่างไม่ยอมแพ้ ซ้ำยังเรียกความสนใจของเจ้ายักษ์เด็กสองตนที่กำลังนั่งนับมดอยู่บริเวณขอบบานหน้าต่างได้เป็นอย่างดีเสียด้วย

“ท่านอาขี้โกง!” มารุตร้องเหวขึ้นเมื่อเห็นมือผู้เป็นอาโอบลงไปรอบเอวลูกพี่วิรัลของมัน “ข้าไม่ยอมๆ ๆ ปล่อยมือออกจากลูกพี่เดี๋ยวนี้นะ! ว้ากก!”

เอวน้อยๆ นุ่มๆ ของพี่วิรัลเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวนะ ท่านอานี่!

เจ้าตัวซนวิ่งตุบตับเข้ามาหาพร้อมกับกระโดดตัวโถมลงไปบนตัวท่านอย่างแรงจนบุหลันร้องห้ามไว้แทบไม่ทันเลยทีเดียว มารุตปีนป่ายแผ่นหลังกว้างไว้มั่นก่อนจะเกาะหนึบแน่นเหนียวราวกับลูกลิงลูกค่าง ใบหน้ากลมยุ้ยยื่นข้ามไหล่มามองลูกพี่ของตนที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมอกอุ่น

ในความคิดของเจ้ามารุตใบหน้ายามหลับของลูกพี่วิรัลนั้นน่าดูมากๆ ราวกับกำลังมองเจ้ามินตราตอนสมัยยังแบเบาะไม่มีผิดเพี้ยนเลย!

“นี่เจ้าตัวกลม นอนดีๆ อย่าโวยวาย ปล่อยให้ท่านอาของเจ้าพักผ่อนเสีย”

บุหลันปรามลูกชายคนโตอีกหน ก่อนจะอุ้มลูกชายคนเล็กขึ้นกระเตงเข้าเอวเตรียมพาไปเข้านอนที่อีกห้อง เจ้าตัวเล็กเมื่อโดนอุ้มเข้าหน่อยก็ตาปรือปรอยก่อนจะเอียงหัวซบไหล่ของมารดาหลับปุ๋ยไปอย่างง่ายดาย

“อื้อ! รับทราบ!” มารุตปีนลงมานอนอยู่ข้างๆ แต่โดยดี พร้อมกับหลับตาปี๋ทำท่ากรนครอกๆ เสร็จสรรพ

คล้อยหลังจากที่บุหลันก้าวออกไปจากห้อง กรณ์ก็ถือโอกาสนี้พิศมองใบหน้ายามหลับใหลของเจ้าตัวน้อยในอ้อมอกอีกหน

ใบหน้ายามหลับของวิรัลนั้นช่างเพลิดเพลินตาเป็นอย่างมาก ขนตายาวงอนเปียกชื้นหยาดน้ำตาที่กลั่นออกมาจากฝันร้าย เมื่อเห็นดังนั้นวงแขนแกร่งก็กระชับร่างน้องน้อยแน่นขึ้นเพื่อหวังจะเป็นหลักยึดในห้วงความฝัน

พวงแก้มใสและปลายจมูกรั้นขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะพิษไข้ได้อย่างน่าดูชม ปลายนิ้วสากยกขึ้นเกลี่ยรอบกลีบปากนุ่มสีสดที่เขานั้นนึกอยากจะครอบครองอยู่หลายครั้งหลายหน จมูกโด่งก้มลงแนบกับซอกคอขาวก่อนค่อยๆ ละเลียดเก็บกลิ่นกายหอมเข้าปอดไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน

เจ้าตัวน้อยของเขายังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่องราว จะมีบางครั้งเท่านั้นที่ขยับตัวนิดหน่อยคล้ายจะรำคาญสิ่งที่มารบกวนห้วงนิทรา

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไร้ท่าทีต่อต้าน อสุราหนุ่มจึงค่อยๆ ละเลียดชิมผิวเนื้อนวลที่โผล่พ้นออกมาจากสาบเสื้ออย่างหลงใหล ริมฝีปากร้อนพรมจูบไปตามลำคอขาวเรื่อยลงไปถึงช่วงไหปลาร้าได้รูปราวกับคนมัวเมาในรสของสุราชั้นดี

ยิ่งได้สัมผัสผิวเนื้อนุ่มสมดั่งใจหมาย ความลำพองใจก็ยิ่งโหมกระพือขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ กรณ์เดาะลิ้นเล่นอยู่ในกระพุ้งแก้มอย่างต้องการระงับอารมณ์ก่อนจะขบกัดลงไปที่ลาดไหล่เล็กด้วยความมันเขี้ยว

ก็ตัวน้องทั้งนุ่มทั้งหอมถึงเพียงนี้…เขาจะอดใจไหวได้อย่างไร…

เมื่อเชยชมผิวเนื้อเยาวพานจนเป็นที่น่าพอใจ ก็หมายที่จะก้มลงไปชิมผลไม้รสหวานสีสดที่ลอยเด่นอวดสายตาอยู่

ใบหน้าคมคร้ามค่อยๆ ยอบลงไปใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่ายที่ดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอ อุณหภูมิร่างกายอุ่นร้อนของพิษไข้ถูกไอร้อนจากเรือนกายสูงใหญ่แทรกซึมจนหลอมรวมเป็นความอบอุ่นที่สบายกาย นัยน์ตาสีโกเมนทอแสงอ่อนลงเมื่อจดจ้องอยู่กับกลีบปากสีสดทีดูท่าแล้วคงจะ…หวานนุ่มลิ้นอยู่ไม่น้อย…

ยิ่งจ้องมองลิ้นในอุ้งปากก็ยิ่งอยู่ไม่เป็นสุขอยากจะเข้าไปชิงลิ้มรสผลไม้เนื้อหวานเสียเต็มแก่ อสุราหนุ่มเอียงใบหน้าให้ได้องศาก่อนจะค่อยๆ ลดระยะห่างของใบหน้าลงจนปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกันแผ่วเบา

ขนตายาวงามงอนของอีกฝ่ายเด่นชัดอยู่ในระยะสายตา

ใกล้จนแม้นแต่มดตัวจ้อยก็ไม่สามารถที่จะเดินผ่านไปได้

ริมฝีปากอ่อนนุ่มน่าลิ้มรสอยู่ห่างเพียงแค่ลมกั้นเท่านั้น…

แต่….

“แม่บุหลัน!! ท่านอาจะกินลูกพี่วิรัลแล้ว!!!! ฮืออออออออ!!”

ไม่ทันที่จะได้สัมผัสความหอมหวานให้สมใจ…เสียงโหวกเหวกโวยวายของเจ้ามารุตก็ดังลั่นขึ้นจนต้องผละกายถอยห่าง

วิรัลย่นคิ้วลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงแหลมเล็กร้องกระจองอแง ก่อนจะพลิกกายหนีไปอีกข้างพร้อมกับดึงผ้าห่มไปคลุมหัวแล้วหลับต่ออย่างไม่สนใจสิ่งรอบกาย

ส่วนทางด้านของอสุราหนุ่มนั้นยังตกตะลึงไม่หาย เมื่อโดนหลานตัวน้อยขัดจังหวะเข้า

เสียงเจ้ามารุตร้องลั่นเรือนอย่างไม่ขาดสายพร้อมกับทิ้งตัวลงไปนอนกับพื้นดินกระแด่วๆ เป็นการใหญ่ โดยที่ปากก็เอาแต่พร่ำ ‘ท่านอาจะกินพี่วิรัลๆ ๆ’ ไม่หยุดหย่อนจนบุหลันต้องวิ่งรี่เข้ามาดูเพราะนึกว่าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น

อสุราหนุ่มลุกขึ้นมานั่งกุมขมับมองหลานตัวน้อยด้วยความหนักอกหนักใจ

..อีกนิดเดียว…เพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง..

ถ้าไอ้ลูกลิงมันไม่แหกปากร้องโวยวายเสียลั่นเรือนปานนั้นเขาก็ได้ชิมรสเจ้าตัวน้อยไปแล้ว!

เจ้าลมตัวแสบ! ช่างทำกับอาของเจ้าได้นะ!



______________________________

ปล. มารุต แปลว่า ลม


ชะแว้บบบบ เปิดตัวตัวละครใหม่ คู่ตุนาหงันของเจ้าวิรัลยักษ์น้อยย ฮ่าๆๆ :hao7:

มีตัวแสบสองตนโผล่มาป่วนนิดนึงให้พอมีสีสัน ~



ฝากฟีดแบ็คได้ทางแฮชแท็ก #ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ หรือจะคอมเม้นท์ก็ได้เน้อออ อยากอ่านความเห็นของทุกคนเลยย :mew1:

เจอกันตอนหน้าจ้าาา :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๘ - ห้วงคำนึงหา : ๒๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 27-06-2018 18:12:37
ทำไมตอนนี้ไม่มีเจ้าแก้วลูกรักกับพี่ยักษ์วศินอ่ะ โกรธคุณพันไมล์แล้วๆๆ  :z3:  :m15: //โดนตบ// แฮร่ๆ เก๊าย้อเย่นน้าาา แซวด้วยความคิดถึงลูกในอก(?)อย่างเจ้าแก้วเฉยๆ  :hao5:

ตอนนี้น่ารักมากๆ พี่กรณ์อิสมายผัววว //โดนตบรอบสอง// ไม่ใช่ๆ (ฮ่าาาา) พี่ยักษ์วศินคือใครไม่รู้จัก พี่ยักษ์วิรุณคือใครจำไม่ได้!! ตอนนี้คือพี่ยักษ์กรณ์ออนลี่เท่าน้านนนน (ฮ่าาาา) พี่กรณ์ของหนูหล่อมากๆ ฮือออ ท่องไว้พี่กรณ์ของวิรัล พี่กรณ์ของวิรัลลลล

เรื่องนี้มีกันกี่คู่เนี่ย ยกป้ายไฟเชียร์ไม่ถูกแล้วว ตอนที่แล้วก็พี่ยักษ์วิรุณกับพี่กล้า ชื่อเรื่องก็เจ้าแก้วลูกรักกับพี่ยักษ์วศิน ตอนนี้ก็พี่ยักษ์กรณ์กับเจ้าน้องน้อยวิรัล ฮอลลลล สั่งทำป้ายไฟเชียร์ไม่ทันแล้ววว :sad4:

ปล.ตอนนี้เริ่มไม่มีคำผิดแล้วนะคะ คุณพันไมล์เก่งมากๆ //กระโดดกอด// เป็นกำลังใจให้นะคะ เทคแคร์ :L2:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๘ - ห้วงคำนึงหา : ๒๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 27-06-2018 20:30:22
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
อดชิมเลย
มีมาอีกคู่แล้ว
แอบฟินไปเบาๆๆๆ ลืมไปเลยว่าน้องยักษ์โดนลงโทษมา อิอิ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๘ - ห้วงคำนึงหา : ๒๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-06-2018 11:39:17
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๘ - ห้วงคำนึงหา : ๒๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Ellette ที่ 28-06-2018 23:46:11
สวัสดีค่ะคุณพันไมล์ ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ครั้งแรก น่าจะเคยอ่านมาก่อน จากชื่อเรื่องคิดว่าเป็นนิยายไทยโบราณ พอได้อ่านเป็นแนวแฟนตาซีด้วย ตอนแรกเดาผิดว่าใครคู่กับเจ้าแก้ว ที่แท้คนที่นอนหลับอยู่เป็นพระเอกของเจ้าแก้วนี่เอง ได้เห็นเรื่องนี้ผ่านต่อบ่อยครั้ง พอได้เข้ามาอ่านแล้วชอบเรื่องนี้มาก อ่านทีเดียวเกือบหมด แล้วคิดว่าจะเป็นนิยายที่คงตามอ่านเรื่อย ๆ และรอแบบรูปเล่มถ้ามีโอกาสนั้นนะคะ เจ้าแก้วน่าเอ็นดูมาก เมื่อวานดิฉันนั่งอ่านแล้วแอบน้ำตาซึม เพราะสงสารเจ้าแก้ว เป็นเด็กน่ารักมาก น่าโอบกอด น่าเอ็นดูที่สุด ทำอะไรก็อยากเลี้ยง ป้อนอาหารป้อนนม ส่วนพี่กล้า พี่กล้าเป็นคนแมน ๆ นิสัยนักเลงมาก ดิฉันแอบตะขิดตะขวงใจคู่พี่กล้ามาก จะคู่ชายหรือหญิงดี ส่วนคนที่ขาดไม่ได้คือพ่อครู พ่อครูมีทัั้งความตลก ความรู้ และความดุ ทำให้เรื่องน่าสนใจมากขึ้นด้วยนะคะ ชอบเวลาพ่อครูดุเด็ก ๆ มาก ทั้งตลก ทั้งห่วง

ตัวละครที่ดิฉันประทับนอกจากน้องแก้วแล้วคือพี่กล้าค่ะ พี่กล้าเป็นผู้ชายแมน ๆ ทั้งแท่ง แต่พอเทียบกับพี่ยักษ์ (เวลาอ่านตอนน้องแก้วเรียกพี่ยักษ์แล้วนึกถึงเด็กน้อยตัวป้อม ๆ กำลังชูแขนเลยค่ะ) กลับตัวเล็กกว่าสักหน่อย เพิ่มเติมคือความเซ็กซี่เบา ๆ จากกล้ามเนื้อของพี่กล้าค่ะ ร่างกายมนุษย์น่าหลงใหลไม่เบาเลยใช่ไหมคะพี่ยักษ์ เรื่องนี้มีผู้หญิงด้วย บรรยายสวยงามตามท้องเรื่อง เห็นความอ่อนหวานของผู้หญิงแบบพี่บัวและความแก่นแก้วของคนน้องค่ะ

ตอนแรก ๆ ของเรื่องตกใจที่น้องแก้วเสียตาไปข้างหนึ่งเลยค่ะ แต่ไม่เป็นไร พอได้อ่านก็เห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแก้ว ไม่อยากให้ใครมาว่าน้องแก้วแบบพี่มืดทำเลยนะคะ ไม่ดี สงสัยว่าน้องแก้วเคยโดนอะไรมาก่อน สงสัยจะได้อ่านในตอนกลาง ๆ เรื่องหรือเปล่าคะ?

เรื่องนี้อ่านแล้วไม่มีเบื่อเลยค่ะ ดิฉันชอบภาษาของคุณพันไมล์นะคะ อ่านแล้วมีความสุข เห็นความละเมียดละไมในการใช้ภาษา ไม่ทราบว่าคุณพันไมล์ชอบอ่านวรรณคดีด้วยหรือเปล่า ขออนุญาตถามเรื่อยเปื่อยค่ะ

ปล. ดิฉันพยายามจะเวิ่นเว้อมาก ๆ เห็นแต่ละตอนที่คุณพันไมล์อัพค่อนข้างยาวเลยอยากให้กำลังใจเยอะ ๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะ รอตอนหน้าอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๘ - ห้วงคำนึงหา : ๒๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 03-07-2018 11:16:55
ทำไมตอนนี้ไม่มีเจ้าแก้วลูกรักกับพี่ยักษ์วศินอ่ะ โกรธคุณพันไมล์แล้วๆๆ  :z3:  :m15: //โดนตบ// แฮร่ๆ เก๊าย้อเย่นน้าาา แซวด้วยความคิดถึงลูกในอก(?)อย่างเจ้าแก้วเฉยๆ  :hao5:

ตอนนี้น่ารักมากๆ พี่กรณ์อิสมายผัววว //โดนตบรอบสอง// ไม่ใช่ๆ (ฮ่าาาา) พี่ยักษ์วศินคือใครไม่รู้จัก พี่ยักษ์วิรุณคือใครจำไม่ได้!! ตอนนี้คือพี่ยักษ์กรณ์ออนลี่เท่าน้านนนน (ฮ่าาาา) พี่กรณ์ของหนูหล่อมากๆ ฮือออ ท่องไว้พี่กรณ์ของวิรัล พี่กรณ์ของวิรัลลลล

เรื่องนี้มีกันกี่คู่เนี่ย ยกป้ายไฟเชียร์ไม่ถูกแล้วว ตอนที่แล้วก็พี่ยักษ์วิรุณกับพี่กล้า ชื่อเรื่องก็เจ้าแก้วลูกรักกับพี่ยักษ์วศิน ตอนนี้ก็พี่ยักษ์กรณ์กับเจ้าน้องน้อยวิรัล ฮอลลลล สั่งทำป้ายไฟเชียร์ไม่ทันแล้ววว :sad4:

ปล.ตอนนี้เริ่มไม่มีคำผิดแล้วนะคะ คุณพันไมล์เก่งมากๆ //กระโดดกอด// เป็นกำลังใจให้นะคะ เทคแคร์ :L2:  :กอด1:


เรื่องนี้มีทั้งหมดสามคู่นะคะ เปิดตัวครบหมดแล้วเนอะะะ ให้ซีนเขาหน่อย เดี๋ยวพอคู่หลักออกจะโดนแย่งซีนเอาหมด 555555555

ขอบคุณสำหรับกำลังใจจ้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : ๐๘ - ห้วงคำนึงหา : ๒๗/๖/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 03-07-2018 11:49:29
สวัสดีค่ะคุณพันไมล์ ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ครั้งแรก น่าจะเคยอ่านมาก่อน จากชื่อเรื่องคิดว่าเป็นนิยายไทยโบราณ พอได้อ่านเป็นแนวแฟนตาซีด้วย ตอนแรกเดาผิดว่าใครคู่กับเจ้าแก้ว ที่แท้คนที่นอนหลับอยู่เป็นพระเอกของเจ้าแก้วนี่เอง ได้เห็นเรื่องนี้ผ่านต่อบ่อยครั้ง พอได้เข้ามาอ่านแล้วชอบเรื่องนี้มาก อ่านทีเดียวเกือบหมด แล้วคิดว่าจะเป็นนิยายที่คงตามอ่านเรื่อย ๆ และรอแบบรูปเล่มถ้ามีโอกาสนั้นนะคะ เจ้าแก้วน่าเอ็นดูมาก เมื่อวานดิฉันนั่งอ่านแล้วแอบน้ำตาซึม เพราะสงสารเจ้าแก้ว เป็นเด็กน่ารักมาก น่าโอบกอด น่าเอ็นดูที่สุด ทำอะไรก็อยากเลี้ยง ป้อนอาหารป้อนนม ส่วนพี่กล้า พี่กล้าเป็นคนแมน ๆ นิสัยนักเลงมาก ดิฉันแอบตะขิดตะขวงใจคู่พี่กล้ามาก จะคู่ชายหรือหญิงดี ส่วนคนที่ขาดไม่ได้คือพ่อครู พ่อครูมีทัั้งความตลก ความรู้ และความดุ ทำให้เรื่องน่าสนใจมากขึ้นด้วยนะคะ ชอบเวลาพ่อครูดุเด็ก ๆ มาก ทั้งตลก ทั้งห่วง

ตัวละครที่ดิฉันประทับนอกจากน้องแก้วแล้วคือพี่กล้าค่ะ พี่กล้าเป็นผู้ชายแมน ๆ ทั้งแท่ง แต่พอเทียบกับพี่ยักษ์ (เวลาอ่านตอนน้องแก้วเรียกพี่ยักษ์แล้วนึกถึงเด็กน้อยตัวป้อม ๆ กำลังชูแขนเลยค่ะ) กลับตัวเล็กกว่าสักหน่อย เพิ่มเติมคือความเซ็กซี่เบา ๆ จากกล้ามเนื้อของพี่กล้าค่ะ ร่างกายมนุษย์น่าหลงใหลไม่เบาเลยใช่ไหมคะพี่ยักษ์ เรื่องนี้มีผู้หญิงด้วย บรรยายสวยงามตามท้องเรื่อง เห็นความอ่อนหวานของผู้หญิงแบบพี่บัวและความแก่นแก้วของคนน้องค่ะ

ตอนแรก ๆ ของเรื่องตกใจที่น้องแก้วเสียตาไปข้างหนึ่งเลยค่ะ แต่ไม่เป็นไร พอได้อ่านก็เห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องแก้ว ไม่อยากให้ใครมาว่าน้องแก้วแบบพี่มืดทำเลยนะคะ ไม่ดี สงสัยว่าน้องแก้วเคยโดนอะไรมาก่อน สงสัยจะได้อ่านในตอนกลาง ๆ เรื่องหรือเปล่าคะ?

เรื่องนี้อ่านแล้วไม่มีเบื่อเลยค่ะ ดิฉันชอบภาษาของคุณพันไมล์นะคะ อ่านแล้วมีความสุข เห็นความละเมียดละไมในการใช้ภาษา ไม่ทราบว่าคุณพันไมล์ชอบอ่านวรรณคดีด้วยหรือเปล่า ขออนุญาตถามเรื่อยเปื่อยค่ะ

ปล. ดิฉันพยายามจะเวิ่นเว้อมาก ๆ เห็นแต่ละตอนที่คุณพันไมล์อัพค่อนข้างยาวเลยอยากให้กำลังใจเยอะ ๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะ รอตอนหน้าอยู่นะคะ


ขออนุญาติตอบไปทีละประเด็นเลยนะคะ แต่ก่อนอื่นเลยต้องขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากๆเลยค่ะ :pig4: :L1: :L2:

1.เรื่องคู่พี่กล้าตอบยากเหมือนกันค่ะว่าจะคู่ชายหรือหญิงดี ฮ่าๆ แต่คิดว่าคงไม่ต้องเดาเลยค่ะว่าสุดท้ายแล้วจะได้คู่กับใคร แต่ความสัมพันธ์นั้นมันมีหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักเสมอไป อาจจะเป็นเพื่อนสนิทก็ได้หรือไม่ก็มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนอะไรประมาณนี้ค่ะ  :o8:

2.เรื่องตาของเจ้าแก้วที่เสียไปข้างหนึ่ง มีที่มาที่ไปแน่นอนค่ะ แต่เป็นเพียงแค่ดีเทลเล็กๆน้อยๆเท่านั้นค่ะ จะเฉลยปมออกมาช่วงกลางๆเรื่องค่ะว่าเพราะอะไรถึงทำให้ทั้งสามคนต้องย้ายเข้ามาอยู่กลางป่าเขาและจะกล่าวถึงพ่อแม่ของทั้งสองด้วยค่ะ

3.ส่วนที่คุณElletteถามว่าพันไมล์ชอบอ่านวรรณคดีหรือไม่นั้น ขอตอบเลยไม่ได้อ่านจริงจังอะไรมากนักค่ะส่วนมากจะเปิดอ่านผ่านๆเสียตามากว่าค่ะ เรื่องการใช้ภาษานั้นเนื่องจากเป็นครั้งแรกเลยที่แต่งนิยายซ้ำยังเป็นแนวไทยโบราณพันไมล์อาศัยแค่ทักษะเล็กๆน้อยๆที่ได้จากการอ่านนิยายมาหลายปีเท่านั้นค่ะ ถ้าหากมีตรงไหนควรปรับปรุงแก้ไขสามารถเม้นท์บอกได้เลยนะคะ พันไมล์จะนำไปปรับปรุงแก้ไขค่ะ :กอด1:

สุดท้ายแล้ว ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากๆเลยนะคะ เข้ามาเจอยอมรับว่าตกใจมากที่เห็นเม้นยาวขนาดนี้ ไม่ได้เวิ่นเว้อเลยค่ะ พันไมล์อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นมาเยอะเลย ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่เข้ามาเอ็นดูเจ้าแก้ว  :mew1: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๙ - ศิโรราบ : ๑๘/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 18-07-2018 17:36:09
ศิโรราบ

.

.

.
ยามบ่ายคล้อยอันแสนอบอ้าวภายในตำหนักรับรองพระราชอาคันตุกะ ปรากฏร่างองค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์นอนเอกเขนกพิงกายเข้ากับหมอนอิงปักลายดิ้นทองด้วยท่าทีองอาจสมกับเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แม้นจะใส่เพียงผ้านุ่งผืนเดียวแต่ทว่าท่วงท่าสง่างามของเอกบุรุษวัยฉกรรจ์นั้นกลับแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามไปทั่วทั้งบริเวณ รอบกายมีนางกำนัลและเหล่าข้าราชบริพารที่องค์จ้าวเหนือหัวแห่งนครคีรีส่งมาคอยให้ปรนนิบัติพัดวีอยู่ไม่ห่างกาย

มือข้างหนึ่งยกจอกสุราใบงามขึ้นจรดใกล้กับริมฝีปากก่อนจะเริ่มละเลียดรับรสหอมหวานของน้ำจัณฑ์ชั้นดีเข้าไปในโพรงปากทีละน้อย ฤทธิ์ร้อนผ่าวไหลผ่านลำคอลงไปอย่างลื่นละมุนเหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมนุ่มที่อบอวลอยู่บริเวณปลายลิ้น

นัยน์ตาคมกล้ากวาดมองรอบโถงกว้างอย่างพินิจพิจารณาอีกครา

ตำหนักรับรองอาคันตุกะที่ท้าวภารตาทรงรับสั่งให้เข้ามาพำนักนั้นกว้างใหญ่โอ่โถงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว บริเวณภายนอกนั้นถูกโอบล้อมไปด้วยพรรณพืชไม้หอมนานาชนิดช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบตำหนักนั้นรื่นรมย์ราวกับอยู่ในสวนพฤกษาสวรรค์ก็มิปาน

พระตำหนักแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากไม้สักทองเนื้อดีผิวมันวาววับ ภายในประกอบไปด้วยท้องพระโรง ห้องเสวย ห้องบรรทม และห้องสรงสำหรับพระราชอาคันตุกะโดยเฉพาะ รอบด้านมีเฉลียงใหญ่ไว้เป็นที่ประทับทอดพระเนตรทัศนียภาพอันงดงามของสวนพฤกษา ฝาผนังและเพดานโถงถูกประดับด้วยภาพแกะสลักลวดลายอ่อนช้อยงดงามวิจิตรบรรจงยิ่ง ตัวเครื่องเรือนล้วนทำมาจากทองแลประดับด้วยเพชรนิลจินดาหลากหลายชนิด

รามสูรเพลิดเพลินไปกับรสสุราและบรรยากาศโดยรอบอยู่ไม่น้อย ก่อนสายตาคมกล้าจะหันกลับมาพิศมองร่างอรชรของเหล่านางกำนัลยักษีที่หมอบกราบรอถวายการรับใช้อย่างพินิจพิจารณา ปลายนิ้วที่เคล้าคลึงอยู่รอบจอกเหล้าค่อยๆ ละเลียดไล้สัมผัสไปตามรอยสลักอ่อนช้อยบนพื้นผิวเกลี้ยงเกลา

นัยน์ตาสีทมิฬเปล่งประกายระอุด้วยฤทธิ์ของสุราชั้นดี ยิ่งได้พิศดูผิวเนื้ออ่อนของเหล่าอิสตรีด้วยแล้วประกายความปรารถนาก็เริ่มคุโชนขึ้นจนแผ่กลิ่นอายร้อนแรงอยู่รอบกายอสุราหนุ่ม สายตาหยาดเยิ้มที่ทอดมองไปยังนางกำนัลยักษ์ตนหนึ่งฉายแววชื่นชมอย่างไม่คิดที่จะปกปิดไว้แม้นเพียงกระผีก

แม้นนางยักษ์ตนอื่นจะพยายามชม้อยชม้ายชายตามองอย่างสงวนท่าทีไม่ให้เกินงาม แต่นางผู้นั้นกลับก้มหน้ามองพื้นตำหนักราวกับว่ามันน่ามองเสียหนักหนา

รูปร่างสะโอดสะองของเยาวภาแลผิวเนื้อนวลที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าคาดอกสีแดงเข้มช่วยขับเน้นให้ผิวกายขาวผ่องนั้นน่ามองจนมิสามารถที่จะเพิกถอนสายตาออกมาได้

ในบรรดาเหล่านางกำนัลทั้งหมดทั้งมวลนั้น นางผู้นี้ดูโดดเด่นกว่าผู้ใด

ใบหน้าเรียวรีได้รูปงดงามหมดจดเกินที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบ เส้นผมสีดำสนิทเหยียดตรงทิ้งตัวคลอเคลียถึงราวสะโพกอวบอิ่มใต้ผ้านุ่งสีเข้ม ดึงดูดสายตาของบุรุษวัยฉกรรจ์ที่ห่างร้างจากเรือนร่างของสตรีมานานได้อย่างดียิ่ง

รามสูรหยัดกายขึ้นยืนก่อนจะย่างกรายเข้าไปหานางยักษ์ที่ตนหมายตาเอาไว้

ร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มค้อมกายลงก่อนฝ่ามือหยาบจะเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นจนได้ประสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลนวลที่ไหวสั่นระริกด้วยความตื่นกลัว แม้นองค์ยุพราชตรงหน้านางนั้นจะรูปโฉมงดงามเพียงใด แต่ถึงอย่างไรก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นฝ่ายศัตรู อีกทั้งกลิ่นอายมหาอำนาจที่แผ่กำจายอยู่รอบกายอีกฝ่ายนั้นช่างน่าหวาดหวั่นเสียจนนางมิสามารถที่จะควบคุมความหวาดกลัวเอาไว้ได้

อสุราหนุ่มมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่พึงพอใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งนางตัวสั่นหวาดกลัวราวกับลูกกวางป่าเช่นนี้ ยิ่งกระตุ้นเร้าให้สัญชาตญาณดิบในกายเขาพลุ่งพล่านเสียยิ่งกว่าเก่า ก่อนจะหมายมาดเอาไว้ว่าอย่างไรคืนนี้จะต้องเรียกนางให้มาปรนนิบัติรับใช้บนแท่นบรรทมให้จงได้

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์ยุพราชแห่งแดนมหาอำนาจ

แม้นหาได้อยู่แผ่นดินมารดา แต่เมื่อตนนั้นถือเป็นแขกคนสำคัญขององค์จ้าวเหนือหัวแล้วไซร้ เพียงแค่ต้องการสตรีชั้นต่ำนางหนึ่งมาบำเรอความใคร่ มีหรือผู้ใดจะกล้าขัด?

“เจ้า” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกพร้อมกับไล้ข้อนิ้วไปตามพวงแก้มอิ่ม “มีชื่อว่าอย่างไรเล่า หืม แม่เนื้อนิ่ม”

ท่าทีถึงเนื้อถึงตัวคุกคามอย่างเปิดเผยสร้างความตื่นกลัวให้นางยิ่งกว่าเก่า ดาหลาเอียงกายหลบฝ่ามือใหญ่ที่กำลังคลอเคลียอยู่ข้างใบหน้า แต่กลับถูกเรี่ยวแรงมหาศาลของอสุราหนุ่มฉุดรั้งให้เข้าไปใกล้ ต้นแขนเรียวเล็กถูกฝ่ามือใหญ่กอบกุมเอาไว้อย่างแน่นหนา แรงบีบรัดทำให้นางต้องพยายามกดก้อนสะอื้นให้กลับลงไปในลำคออย่างอยากลำบาก

ไอร้อนระอุของบุรุษวัยฉกรรจ์แผ่กำจายอยู่รอบตัวของอีกฝ่ายอย่างเข้มข้น ท่อนบนที่เปล่าเปลือยเผยให้เห็นแผงอกกว้างกำยำและมัดกล้ามเครียดขมึงไปทั่วทั้งเรือนร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคร้ามก้มลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนระอุที่เจือไปด้วยกรุ่นกลิ่นของสุราชั้นดี

“ข้าถามเจ้า” ฝ่ามือใหญ่ออกแรงบีบที่ต้นแขนจนนางร้องเสียงหลง “ได้ยินรึไม่” น้ำเสียงทุ้มต่ำเข้มขึ้นบ่งบอกถึงคลื่นอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว

“ด..ดาหลา เพคะ...”

“ดี” รามสูรยกยิ้มมุมปาก “ผู้ใดที่หาใช่ดาหลา ไสหัวออกไปเสียให้หมด หากข้าไม่เรียกหา ก็อย่าได้เสนอหน้าเข้ามาเด็ดขาด”

“เพคะ”

รามสูรปรายตากลับมามองเหล่านางกำนัลตนอื่นเชิงขับไล่ นางยักษ์ทั้งหลายจึงรีบกราบทูลลาพร้อมกับลุกออกไปจากท้องพระโรงอย่างรู้งาน

แต่บางตนนั้นก็ยังมิวายแอบลอบมองไปทางดาหลาด้วยสายตาอิจฉาริษยาอย่างปิดไว้ไม่อยู่เมื่อนางนั้นดันไปถูกตาต้องใจองค์ยุพราชเข้า

แต่ไหนแต่ไรมาดาหลานั้นเป็นนางยักษ์ที่งดงามโดดเด่นในบรรดาเหล่านางกำนัลทั้งหมดทั้งมวลยากที่จะหาผู้ใดเปรียบได้ ด้วยรูปร่างสะโอดสะองแลใบหน้างามพริ้มเพราราวกับนางฟ้านางสวรรค์นั้น

หากผู้ใดได้พานพบมีหรือที่จะไม่เหลียวหลังกลับมามอง แม้นแต่ราชองครักษ์บางตนที่พวกนางชมชอบยังแอบลอบมองนางแพศยานี่อย่างละเมอเพ้อพกอยู่หลายครั้งหลายหน จึงไม่แปลกเลยที่เหล่านางกำนัลส่วนมากจะเกลียดขี้หน้านางถึงเพียงนี้

แต่สิ่งที่ทำให้ดาหลาตกเป็นที่เกลียดชังของเหล่านางยักษีตนอื่นได้ถึงเพียงนี้ก็คงเป็นเพราะเดิมทีนางนั้นแลดูสนิทชิดเชื้อกับสองจอมทัพใหญ่จนเกินงามต่างหาก เกรงว่าทั้งท่านวศินและท่านวิรุณก็คงไม่แคล้วโดนเสน่ห์มารยาของนางหลอกล่อเข้าให้เสียกระมัง

“ดาหลา...มานี่สิ”

เมื่อห้องโถงกว้างเหลือเพียงสอง รามสูรก็ปล่อยมือออกจากอีกฝ่ายก่อนจะเดินนำกลับไปนั่งคอยอยู่บนตั่งพร้อมกับเอนกายลงพิงเข้ากับหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน โดยที่สายตาคมกล้ายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของดาหลาอยู่อย่างไม่วางตา

เมื่อเห็นว่านางมีท่าทียืดเยื้อน่ารำคาญทันใดนั้นจอกเหล้าทองใบเล็กก็ถูกปาเฉียดเข้ากับปลายเท้าขาวจนเจ้าตัวสะดุ้งตัวสั่นกับการข่มขู่ของอสุราหนุ่ม

ดาหลาค่อยๆ กระเถิบเข้าไปใกล้ทีละนิด แต่กระนั้นก็ยังเว้นระยะห่างไว้อยู่มากพอควร ซึ่งท่าทางไว้เนื้อไว้ตัวของนางนั้นสร้างความรำคาญให้แก่รามสูรอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

เป็นเพียงนางกำนัลชั้นต่ำ ไฉนเลยยังกล้าเล่นตัวราวกับตนนั้นเป็นนางฟ้านางสวรรค์

สายตาโลมเลียฉายแววดูแคลนอยู่เพียงครู่ก่อนจะเอื้อมมือออกไปคว้าร่างของนางกำนัลคนงามเข้ามากักขังไว้อยู่ในอ้อมแขน ร่างบอบบางปลิดปลิวเข้าสู่อ้อมอกแข็งแกร่ง เนื้อตัวนั้นก็ต่างเกยอยู่บนหน้าตักของผู้เป็นนายอย่างหมิ่นเหม่ ท่อนแขนกำยำโอบรอบเอวเล็กพร้อมกับออกแรงรัดให้เนื้อตัวของอีกฝ่ายแนบชิดกันเสียยิ่งกว่าเก่า

“อ...องค์ยุพราช ทรงปล่อยบ่าวเถิดเพคะ”

เสียงอ่อนหวานสั่นเครือเว้าวอนได้อย่างน่าสงสาร หวังเพียงให้อสุราหนุ่มนั้นปล่อยตนออกจากอ้อมแขน แต่อีกฝ่ายกลับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เสียยิ่งกว่าเดิม

ริมฝีปากร้อนผ่าวซุกไซร้ลงข้างซอกคอขาวอย่างถือวิสาสะพร้อมกับสูดดมกลิ่นผิวเนื้ออ่อนอย่างอยากกระหาย กลิ่นน้ำปรุงตามผิวกายนวลลออหอมรัญจวนใจยิ่งกระตุ้นเร้าอารมณ์ดิบของอสุราหนุ่มให้โหมกระพือมากยิ่งขึ้น

ดาหลาตื่นตกใจจนเนื้อตัวแข็งทื่อ ลำพังแรงของสตรีมีหรือจะสู้พละกำลังบุรุษวัยฉกรรจ์ได้

นางพยายามดันร่างสูงใหญ่ตรงหน้าให้ออกห่างพร้อมกับออกแรงดิ้นอย่างขัดขืน แต่ทว่ากลับเสียเปล่า ซ้ำร้ายยังเปิดโอกาสให้ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้ไปตามสะโพกอิ่มอย่างหยาบโลน

ลมหายใจร้อนระอุที่รินรดอยู่บริเวณลำคอเรียวระหงเรียกก้อนสะอื้นให้ตีรวนขึ้นมาอย่างเสียขวัญ นัยน์เนตรงามเจือไปด้วยหยาดน้ำใสเอ่อคลอ หากแต่เจ้าตัวยังคงฝืนรั้งไว้มิให้พวกมันไหลรินลงมาอย่างสุดความสามารถ

ฟันขาวขบกัดกลีบปากสีระเรื่ออย่างสะกดกลั้นส่งผลให้หยาดโลหิตผุดซึมออกมาตามรอยปริแตก รามสูรผละออกมามองนางอย่างไม่พอใจเท่าใดนัก อุ้งมือแข็งบีบเข้ากับสันกรามเป็นเชิงห้ามการกระทำอันแสนโง่เขลา แรงมหาศาลบีบเคล้นลงไปจนแก้มอิ่มขึ้นเป็นรอยนิ้วมือ

“รังเกียจข้าขนาดนั้นเชียวรึ” น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเย้ยหยันเอ่ยกระซิบข้างใบหู พร้อมกับโน้มตัวเข้าไปใกล้เสียจนแผ่นอกกำยำแนบชิดไปกับเนินเนื้อขาวผ่อง

นัยน์ตาคมกล้ากวาดมองเรือนร่างของนางกำนัลจอมพยศอีกหน ก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างพออกพอใจ

ครั้นเมื่อจำความได้หาได้มีอิสตรีหน้าไหนกล้าปฏิเสธความต้องการของเขาไม่

ด้วยรูปโฉมและอำนาจในมือไม่ว่าจะเป็นเหล่าพระธิดาผู้สูงศักดิ์หรือแม้นแต่นางกำนัลชั้นต่ำ เพียงแค่ปรายตามองกระผีกเดียวพวกนางก็แทบจะตบตีแย่งชิงกันเพื่อถวายการรับใช้ในห้องบรรทม

..หาผู้ใดที่คิดมองเมินนั้น ไม่มี..

แล้วเหตุไฉนนางผู้นี้ถึงมีท่าทีกล้ำกลืนฝืนทนนักเมื่อถูกเขาโอบกอดอย่างเชยชม

“บ่าวมิบังอาจเพคะ” ดวงหน้างดงามหลุบต่ำลงเมื่อไม่สามารถที่จะทัดทานผู้เป็นนายได้

แม้นในอุราอยากที่จะขัดขืนสักเพียงใด แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมศิโรราบให้แก่อีกฝ่ายโดยดุษฎี

เป็นเพียงบ่าวไพร่ไร้ศักดินา หากผู้เป็นนายหมายมาดสิ่งใดมีหรือที่นางจะกล้าปฏิเสธ

“ดี” ปลายนิ้วไล้วนปาดหยาดน้ำอุ่นที่ไหลรินลงมาตามแก้มเนียนให้อย่างแผ่วเบา “ไม่ต้องกลัว...ข้าจะช่วยเอ็นดูเจ้าให้มาก”

รามสูรอารมณ์ดีขึ้นเมื่ออีกฝ่ายว่าง่ายเลิกคิดที่จะต่อต้านให้รู้สึกระคายใจ ฝ่ามือข้างหนึ่งลดลงไปโอบรอบเอวบางอย่างทะนุถนอมส่วนอีกข้างก็เชยคางมนให้เงยขึ้นก่อนจะก้มลงคลอเคลียอยู่ข้างแก้มนวล

ริมฝีปากอุ่นละเลียดไปตามผิวเนื้อหอมกรุ่นอย่างเพลิดเพลินพร้อมกับรวบกลุ่มผมนุ่มสลวยออกไปพาดไว้บนลาดไหล่ข้างหนึ่ง เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวผ่องอวดสายตาอย่างเย้ายวนชวนให้หลงใหล

อสุราหนุ่มค่อยๆ บรรจงประทับจูบตั้งแต่พวงแก้มอิ่มเรื่อยลงมาถึงลำคอเพรียวระหง ริมฝีปากร้อนทิ้งรอยแดงเจือจางไว้ทุกที่ที่ไล้ลากผ่าน ลาดไหล่กลมกลึงไหวระริกเมื่อถูกฝ่ามือหยาบกร้านนวดคลึงวนอย่างเอาอกเอาใจ

เขาเคลิบเคลิ้มไปกับการลิ้มรสเยาวภายิ่งนัก ความหอมหวานของผิวเนื้อนวลนั้นเลิศรสเสียยิ่งกว่าสุราชั้นดีเป็นไหนๆ

ดาหลาหลับตาลงกลั้นก้อนสะอื้นกลับลงคออย่างขมขื่นในวาสนา เพียงปล่อยให้บุรุษหนุ่มเชยชมร่างตนอย่างอับจนปัญญา นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นที่มีเพียงกายอุ่นหากแต่ไร้ซึ่งวิญญาณและจิตใจ

ทันใดนั้นใบหน้าของบุคคลที่อยู่ในดวงใจเสมอมาก็กระจ่างชัดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมนน่าอดสู

..เขาผู้นั้น…ที่นางรักและเทิดทูนสุดหัวใจ

..จอมทัพใหญ่แห่งนครคีรี

…ท่านวศิน...

เมื่อนึกถึงอสุราหนุ่มที่ตนนั้นแอบเฝ้ารักมาเนิ่นนานกระบอกตาก็ยิ่งร้อนผ่าวขึ้นด้วยนึกสมเพชตนที่มิอาจฝืนโชคชะตานี้ได้

แต่แล้วสัมผัสเปียกชื้นที่คลอเคลียอยู่บริเวณเหนือเนินอกก็เรียกสติของนางให้กลับคืน ภาพที่เห็นคือองค์ยุพราชกำลังละเลียดปลายลิ้นลงไปตามเนินเนื้ออวบอิ่มของตนอย่างตะกละตะกลาม พลันใบหน้านวลก็เห่อร้อนขึ้นมาด้วยความกระดากอายและความตื่นกลัวอย่างสุดแสน

ดาหลาเริ่มออกแรงต่อต้านอีกครั้งเมื่อฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งพยายามที่จะปลดผ้าคาดอกของนางออก ยิ่งบริเวณสะโพกที่กดทับอยู่กึ่งกลางกายใหญ่สัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุของบุรุษวัยฉกรรจ์ด้วยแล้วนางก็ยิ่งดีดดิ้นหนีเป็นพัลวัน

ทั้งหัวใจร่ำร้องต่อต้านขึ้นมาอย่างสุดแสนจะทรมาน

..ไม่…

สัมผัสหยาบโลนจากอีกฝ่ายนั้นไม่ลดละลงแม้แต่น้อย กลับยิ่งออกแรงบีบบังคับอีกครั้งเมื่อเห็นว่านางเริ่มขัดขืน

“หยุดดีดดิ้นเสีย!” เสียงทุ้มตวาดอย่างหัวเสียอยู่ไม่น้อย

คราแรกนั้นก็ว่าง่ายอยู่หรอก แต่เหตุใดนางถึงกลับพยศขึ้นมาอีกครั้งได้

ครานี้รามสูรไม่คิดออมแรง ฝ่ามือใหญ่กระชากผ้าคาดอกของนางออกจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีเศษผ้ากระจุยกระจายออกไปคนละทิศ

เมื่อไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดบังเนินเนื้อขาวผ่อง ก็เผยโฉมออกมาให้ได้ยล นัยน์ตาคมกล้าทอแสงเข้มขึ้นเมื่อจับจ้องไปยังทรวงอกอิ่มเต่งตึงพร้อมกับหมายมั่นที่จะเข้าไปตระกองกอดให้สาสมใจ

ปึง**! **

แต่ทันใดนั้นเองประตูหน้าตำหนักก็ถูกเปิดออกอย่างแรงด้วยฝีมือของทหารเอกคู่กาย

วาริทย่างก้าวเข้ามาในห้องโถงหมายที่จะรีบมากราบทูลความแก่เจ้านายโดยไม่ทันได้สังเกตว่านายของตนนั้นกำลังพะเน้าพะนอคลอเคลียกับนางกำนัลรูปงามอยู่

ครั้นเมื่อรู้สึกตนอสุราหนุ่มก็รีบเสหน้าหลบออกไปอีกทางทันที เมื่อเห็นว่าร่างอรชรที่นั่งหมิ่นเหม่อยู่บนหน้าตักของเจ้านายตนนั้นไร้อาภรณ์ปกปิดกายช่วงบน

หากแต่ช้ากว่าใครอีกคนที่กระชับอ้อมแขนกอดนางเอาไว้แนบอก พร้อมกับเบี่ยงหลบให้ช่วงตัวสูงใหญ่บดบังร่างของนางจนมิด

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” อสุราหนุ่มค้อมตัวลงอย่างพินอบพิเทาเมื่อได้รับสายตาตำหนิจากผู้เป็นนาย

นี่หาใช่ครั้งแรกที่วาริทต้องพานพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ไม่

แต่ไหนแต่ไรมาองค์รามสูรนั้นล้วนเป็นที่โจษจันในเรื่องเจ้าชู้ประตูดินอยู่แล้ว เมาสุราเคล้านารีนี่ล่ะ ภาพลักษณ์องค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์

แต่สิ่งที่ทำให้เขานั้นนึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเลยก็คือได้เห็นนายของตนนั้นลงแรงช่วยปกป้องร่างเปลือยเปล่าของนางบำเรอทั้งๆ ที่ผ่านมาแม้นแต่ละนางจะเปิดกายอล่างฉ่างต่อหน้าเขาและเหล่าราชองครักษ์เพียงใดองค์ยุพราชก็หาได้สนพระทัยไม่

ด้วยเหตุนี้ทำให้วาริทเริ่มอยากที่จะรู้นักว่านางนั้นเป็นผู้ใด...เหตุใดจึงสามารถปลุกความเป็นสุภาพชนของเจ้านายตนออกมาได้

“มีสิ่งใดก็ว่ามา” น้ำเสียงทุ้มกังวานเอ่ยเสียงขรึมแฝงไปด้วยความไม่พอใจประมาณหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นว่าราชองครักษ์ของตนนั้นมองดาหลาอย่างสนอกสนใจออกนอกหน้า

“กระหม่อมตามตัวเขามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” รามสูรพยักหน้ารับ “เจ้าออกไปก่อน” เมื่อหันไปตรัสสั่ง ร่างผึ่งผายของทหารเอกก็รีบเดินออกไปจากห้องโถงทันทีอย่างรู้งาน

เมื่อไร้ซึ่งบุคคลอื่นรามสูรก็หันกลับมาสนใจนางในอ้อมกอดอีกหนพร้อมกับถอนหายใจหนักเมื่อถูกขัดอารมณ์ปรารถนา ก่อนจะจัดการหยิบผ้าแพรผืนบางมาคลุมลงบนร่างของอีกฝ่ายจนปิดบังนวลเนื้อขาวผ่องไว้จนมิด

ดาหลารีบห่อไหล่เข้าหากันทันทีเมื่อได้รับอาภรณ์คลุมกาย นางกำผ้าเนื้อลื่นไว้มั่นราวกับเกรงว่ามันจะถูกอีกฝ่ายกระชากออกไปอีกครา

“ข้ามีราชกิจที่ต้องสะสางสักหน่อย” ปลายนิ้วร้อนไล้วนข้างแก้มนวลก่อนจะประทับจูบตามลงไป “คืนนี้จงมารับใช้ข้าที่ห้องบรรทม” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นข่มขู่ทันควัน “อย่าได้คิดลองดี เข้าใจรึไม่” พร้อมออกแรงบีบสองข้างแก้มนวลจนนางต้องนิ่วหน้าก่อนจะพยักรับอย่างมิอาจที่จะปฏิเสธ

“เพคะ”

“ดี...ไปได้แล้ว”

เมื่อร่างเป็นอิสระดาหลาก็รีบผละตัวออกห่างจากอีกฝ่ายทันทีโดยไม่ลืมที่จะน้อมกายถวายความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติ

ด้านหน้าประตูมีนายทหารสองตนยืนรักษาการอยู่ ถัดออกไปเป็นอสุราหนุ่มอีกตนที่เข้าไปทูลถวายความแก่องค์ยุพราชเมื่อครู่นี้

แต่แล้วสายตานางก็สะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ถัดไป และดูท่าแล้วฝ่ายนั้นก็ดูแปลกใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

แต่ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ที่ต่าง จึงทำได้เพียงแค่ก้มหน้าอย่างเจียมตนแล้วเดินผ่านไปราวกับคนไม่รู้จักกัน

...เขาคือสามีของบุหลัน พี่สาวของนาง

กรรณมองตามหลังน้องภรรยาตนไปจนสุดสายตา ก่อนจะหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงของวาริทเรียกให้เข้าไปภายในตำหนัก

เมื่อไม่กี่ยามที่ผ่านมาระหว่างที่กำลังนั่งเคล้าสุราอยู่กับกลุ่มเกลอเก่า คนขององค์ยุพราชในเครื่องแบบทหารนครคีรีก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแยกตัวเขาออกมาโดยทำทีแสร้งว่าองค์จ้าวเหนือหัวต้องการเรียกพบ ทันใดนั้นราวกระดูกสันหลังก็ชาวาบทันทีเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน

..เจ้าพวกเลวชาติพวกนี้...มันยังต้องการสิ่งใดจากเขาอีก…

ครั้นเมื่อบานประตูไม้เนื้อดีถูกปิดลงภายในห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

บนตั่งไม้สักทองบุคคลที่กรรณสุดแสนจะชิงชังนอนเอกเขนกทอดกายอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนราวกับกำลังชมสวนพฤกษาอยู่ก็มิปาน

พลันนัยน์ตาของอสุราหนุ่มก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเมื่อจับจ้องไปยังศัตรูคู่แค้น เขี้ยวคมงอกเงยขึ้นมาเพื่อแสดงถึงเพลิงโทสะที่เริ่มก่อตัว ทั่วสรรพางค์กายสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธเมื่อเห็นอีกฝ่ายแสยะยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน

กรรณไม่แม้นแต่ที่จะประพฤติตนตามธรรมเนียมปฏิบัติต่อผู้ที่สูงศักดิ์กว่า ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านจ้องหน้าองค์ยุพราชอย่างไม่ลดละ ยามเมื่อฤทธิ์ของน้ำเมามันไหลเวียนอยู่ในกระแสโลหิตเช่นนี้ ความอาจหาญมันยิ่งเพิ่มขึ้นอีกเท่าทบทวีคูณ

“เหตุใดจึงยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!” วาริทหันมาตวาดเสียงเข้ม เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงกิริยาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

อสุราหนุ่มเตะตัดข้อพับขาของอีกฝ่ายจนเข่าทรุดลงกระแทกกับพื้นไม้เสียงดั่งสนั่นพร้อมกับจับแขนทั้งสองข้างไพล่กดลงกลางหลังจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น

แต่เท่านี้ยังไม่สาสมกับที่อีกฝ่ายทำตัวไร้มารยาทกับนายเหนือหัวของตน มือข้างหนึ่งได้กดลำคอของอีกฝ่ายจนศีรษะหมอบต่ำลงไปกับพื้น

กรรณคำรามต่ำในลำคออย่างเคียดแค้นเหลือคณา กระบอกตาทั้งสองข้างร้อนผะผ่าวด้วยความอดสูเมื่อต้องมาหมอบกราบฝ่ายศัตรู

ในระดับสายตาปรากฏฝ่าเท้าเปล่าเปลือยเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้า รามสูรเหยียดยิ้มมุมปากก่อนจะใช้บาทข้างหนึ่งช้อนเชยเข้าที่ใต้คางของนายทหารหนุ่ม

“เหตุใดอ้ายกรรณจึงแสดงท่าทีดุร้ายใส่พวกเดียวกันเช่นนี้เล่า” น้ำเสียงเย้ยหยันว่าเยาะถากถางเมื่อเห็นนัยน์ตาแดงก่ำและเขี้ยวงองุ้มของอีกฝ่าย

“สารเลว! ข้าหาใช่พวกเดียวกับเจ้าไม่-!”

อสุราหนุ่มตวาดลั่นอย่างเหลืออดกับคำพูดของอีกฝ่าย ลืมแม้นกระทั่งยศศักดิ์ไปเสียสิ้น

แต่ไม่ทันไรกลับต้องหน้าหันเมื่อโดนหลังฝ่ามือตวัดตบเข้าตรงกกหูจนซีกหน้าชาไปทั้งแถบ รสชาติเค็มปร่าของโลหิตไหลซึมออกมาข้างมุมปากเมื่อโดนแหวนนิลที่อีกฝ่ายสวมใส่กระแทกเข้าอย่างจัง

“หัดระวังปากเสียบ้าง” องค์ยุพราชว่าเสียงเย็น พร้อมกับเช็ดมือที่โดนหยาดเลือดกระเซ็นใส่เข้ากับชายผ้านุ่ง “ลืมสถานะตนแล้วหรือ”

กรรณเสหน้าหลบไปอีกทางเมื่อต้องยอมจำนนให้กับอีกฝ่าย หากแต่ประโยคต่อมานั้นทำให้เขาต้องเบิกตากว้างขึ้น พลันในอกก็สะท้อนวาบ

“มารุต มินตรา..” อีกฝ่ายแสร้งว่าเสียงขบขัน “ตั้งชื่อบุตรได้ไพเราะดีนี่”

ชื่อของแก้วตาดวงใจทั้งสองสามารถสลายไฟโทสะที่ก่อตัวขึ้นได้ราวกับลมพายุพัดเป่าเศษเถ้าผงธุลี

..เสมือนคำขู่ที่ผ่าฟาดลงมาที่กลางอก...

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” อสุราหนุ่มกดศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจนั้นกลับกลัดหนองยิ่งนัก

..สิ้นแล้วซึ่งศักดิ์ศรี..

หากแต่หน้าของลูกเมียที่รอคอยอยู่เรือนนั้นกลับเด่นชัดขึ้นมาในอก แม้นตนจะแหลกเป็นผงธุลีก็คงต้องยอม

“เอาเถอะ” รามสูรโบกปัดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเท่าใดนัก “พวกยักษ์ป่าก็สันดานต่ำเช่นนี้ทุกชาติพันธุ์” กล่าวทิ้งท้ายไว้ให้คนฟังได้เจ็บใจ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งเท้าแขนชันเข่าอยู่บนตั่งตัวเดิม

“ที่ข้าให้วาริทไปตามตัวเจ้ามานั้นก็เพียงแค่อยากจะย้ำเตือนข้อตกลงระหว่างเรา” น้ำเสียงเกียจคร้านเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยยกจอกสุราชั้นดีขึ้นมาละเลียดดื่มด่ำอย่างไม่รีบร้อน “หวังว่าเจ้าจะยังไม่ลืม” พร้อมกับปรายตามองไปที่ผู้ต่ำศักดิ์อย่างต้องการที่จะย้ำเตือน

“กระหม่อมทราบดี” กรรณกดเค้นเสียงสั่นเครือไว้ “ทราบดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อแรงกดที่หลังของวาริทเริ่มทำให้แขนของเขาชา

รามสูรโบกมือสั่งให้ทหารเอกปลดปล่อยร่างอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ “หากมีผู้ใดล่วงรู้แม้นเพียงเสี้ยวกระผีก” เสียงทุ้มต่ำลดระดับลงหากแต่แฝงไปด้วยแววข่มขู่เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าเขาเอาจริง “รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับเมียและลูกของเจ้า”

“พ่ะย่ะค่ะ…” กรรณตอบรับอย่างกล้ำกลืนเต็มที

“ดี” องค์ยุพราชกล่าวชม “หลังจากนี้ข้ามีกิจเล็กน้อยที่อยากจะให้เจ้าช่วยไปสะสางให้สักหน่อย จะได้หรือไม่”

รามสูรเดินถือจอกสุราเข้าไปหาร่างที่หมอบต่ำอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก่อนจะส่งยื่นให้อีกฝ่ายได้ดื่มอย่างไม่ถือตน เมื่อทหารหนุ่มรับไปถือไว้ในมือ รามสูรจึงเริ่มกล่าวถึง'ราชกิจที่ว่า'ออกมา

เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านกรรณทำได้เพียงแค่ก้มหน้าลงต่ำหลับตาฟังคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างกล้ำกลืน

ในเพลานี้…เขานั้นนึกละอายใจจนแม้นแต่แผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนก็ยังไม่กล้าที่จะมอง

หาใช่อยากเป็นคนคิดคดทรยศต่อผู้มีพระคุณทั้งสองไม่ หากแต่ข้อต่อรองของเหล่าศัตรูนั้นทำให้เขาต้องยอมรับในโชคชะตาของตนโดยดุษฎี

..ร่วมเป็นพยานให้ร้ายแม่ทัพใหญ่ทั้งสอง

ช่วยปิดบังซ่อนเร้นหลักฐานการตายของเหล่าแม่ทัพนายหน้าตนอื่น

สร้างหลักฐานเท็จเกี่ยวกับกลมคลังของเมืองหน้าด่าน



..เพื่อแลกกับความปลอดภัยของลูกและเมีย ที่เขารักปานแก้วตาดวงใจ…

___________



ตอนนี้สั้นนิดนึงนะคะ พอดีพันไมล์ตัดอีกครึ่งหนึ่งไปไว้ตอนหน้า

ครึ่งหลังจะอัพพรุ่งนี้เน้อ ขอขอตรวจคำผิดก่อนน้า :z10:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๙ - ศิโรราบ : ๑๘/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 18-07-2018 18:43:32
คุณพันไมล์ขอตรงนี้นิดนึง คือนางยักษ์ที่รามสูรชอบตกลงชื่อดาหลาหรือว่าบุหรงอ่า คือคิดว่าชื่อดาหลานะ แต่มีบุหรงมาด้วยเลยอยากให้แก้ตรงนั้นนิดนิด ตรงช่วงที่รามสูรเอาผ้ามาคลุมตัวให้น่ะค่ะ

องค์รามสูรโซแบดมากเว่อออออร์ โอ้โห้ ร้อนแรงดั่งไฟเยอร์ที่แท้ทรู5555555 ทำไมล่ะ ทำไมถึงทำแบบนี้ กลับตัวเป็นคนดีเถอะ แล้วเราจะถือป้ายไฟเชียร์ให้คู่กับดาหลา(คือจริงๆแล้วจะกันไม่ให้ดาหลามายุ่งกับพี่ยักษ์ พี่ยักษ์ต้องเป็นของเจ้าแก้วลูกแม่เท่านั้น!!) พระองค์ร้ายกาจมาก ทำไมร้ายงี้ บังคับกรรณทำไม ฮืออออ ไม่รักรามสูรแล้ว //เอาไม้ไล่ตี

สงสารกรรณอ่ะ คือเข้าใจเลยนะว่าไม่อยากทำแต่เพื่อลูกเมียอ่ะ กรรณนี่น่าจะน่าสงสารสุดในเรื่องแล้วมะ คือถ้าฝ่ายนครคีรีไม่ได้รู้เรื่องที่รามสูรบังคับกรรณแล้วไหนจะเมียของกรรณเข้าใจผิดอีก คือแบบโคตรน่าสงสารอ่ะ ขอให้ทุกคนเข้าใจว่ากรรณถูกรามสูรบังคับเถอะ สงสารมาก ใจนึงก็ผู้มีพระคุณ อีกใจก็ลูกเมีย ไม่ทำลูกเมียก็ตาย

คุณพันไมล์ คุณเก่งมากๆเลยอ่ะ คือมันเป็นแนวพีเรียดแฟนตาซี แต่คุณเก็บรายละเอียดได้เก่งมาก เราอ่านแล้วรู้สึกไหลลื่นเลยอ่ะ ไม่มีตรงไหนให้ขัดใจเลยจริงๆ เราเป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าคุณเหงาหรือต้องการกำลังใจทักหาเราในทวิตได้นะคะ พร้อมตอบเสมอ55555 รักและเทคแคร์นะคะ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๙ - ศิโรราบ : ๑๘/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 18-07-2018 19:34:16
คุณพันไมล์ขอตรงนี้นิดนึง คือนางยักษ์ที่รามสูรชอบตกลงชื่อดาหลาหรือว่าบุหรงอ่า คือคิดว่าชื่อดาหลานะ แต่มีบุหรงมาด้วยเลยอยากให้แก้ตรงนั้นนิดนิด ตรงช่วงที่รามสูรเอาผ้ามาคลุมตัวให้น่ะค่ะ

องค์รามสูรโซแบดมากเว่อออออร์ โอ้โห้ ร้อนแรงดั่งไฟเยอร์ที่แท้ทรู5555555 ทำไมล่ะ ทำไมถึงทำแบบนี้ กลับตัวเป็นคนดีเถอะ แล้วเราจะถือป้ายไฟเชียร์ให้คู่กับดาหลา(คือจริงๆแล้วจะกันไม่ให้ดาหลามายุ่งกับพี่ยักษ์ พี่ยักษ์ต้องเป็นของเจ้าแก้วลูกแม่เท่านั้น!!) พระองค์ร้ายกาจมาก ทำไมร้ายงี้ บังคับกรรณทำไม ฮืออออ ไม่รักรามสูรแล้ว //เอาไม้ไล่ตี

สงสารกรรณอ่ะ คือเข้าใจเลยนะว่าไม่อยากทำแต่เพื่อลูกเมียอ่ะ กรรณนี่น่าจะน่าสงสารสุดในเรื่องแล้วมะ คือถ้าฝ่ายนครคีรีไม่ได้รู้เรื่องที่รามสูรบังคับกรรณแล้วไหนจะเมียของกรรณเข้าใจผิดอีก คือแบบโคตรน่าสงสารอ่ะ ขอให้ทุกคนเข้าใจว่ากรรณถูกรามสูรบังคับเถอะ สงสารมาก ใจนึงก็ผู้มีพระคุณ อีกใจก็ลูกเมีย ไม่ทำลูกเมียก็ตาย

คุณพันไมล์ คุณเก่งมากๆเลยอ่ะ คือมันเป็นแนวพีเรียดแฟนตาซี แต่คุณเก็บรายละเอียดได้เก่งมาก เราอ่านแล้วรู้สึกไหลลื่นเลยอ่ะ ไม่มีตรงไหนให้ขัดใจเลยจริงๆ เราเป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าคุณเหงาหรือต้องการกำลังใจทักหาเราในทวิตได้นะคะ พร้อมตอบเสมอ55555 รักและเทคแคร์นะคะ :กอด1: :L2:

โธ่ นี่ขนาดตรวจดูสองรอบแล้วยังผิดหรือนี่
นางยักษ์ชื่อดาหลาถูกแล้วครับผมม ขอบคุณที่ช่วยเตือนนะคะะะ

ขออณุญาติขำตรงเอาไม้ไล่ตีองค์รามสูรค่ะ โถถถ ดูตัวเล็กตัวน้อยลงไปเลยย 5555555
ขอบคุณสำหรับกำลังใจน้าาา น่ารักมากๆเลยย ทุกวันนี้เราก็กลับไปอ่านคอมเม้นต์คุณตลอดๆเลย~
ขอบคุณมากนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๐ - สองพี่น้อง : ๑๙/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 19-07-2018 19:33:58
สองพี่น้อง



.

.

.


อีกเพียงไม่กี่ชั่วยามดวงสุริยันก็จะลาลับกับขอบฟ้า เหล่าสกุณาทั้งหลายต่างมุ่งหน้าบินคืนสู่รังเพื่อกลับไปหาลูกน้อยที่เฝ้ารอคอยอาหารจากแม่ของพวกมัน เสียงร้องของลูกนกดังแว่วคละเคล้าไปกับสายลมเย็นที่พาดพัดผ่าน

ภายในห้องนอนปรากฏร่างสองร่างนอนตระกองกอดกันแนบแน่น ฝ่ายที่โดนกอดรัดจนหน้าซุกเข้าไปกับแผ่นอกกว้างเริ่มรู้สึกตัวตื่นก่อนใคร เมื่อสามารถปรับทัศนียภาพได้ แผ่นอกเปล่าเปลือยของใครบางคนก็ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งแรก

ผิวเนื้อร้อนระอุแผ่ไออุ่นโอบล้อมรอบตัวเขาเอาไว้ อีกทั้งพันธนาการแข็งแกร่งที่กอดรัดตนอยู่นั้นช่างแน่นหนาเสียยิ่งกว่าโซ่ตรวนเส้นไหน ๆ คราแรกที่ลืมตาตื่นก็นึกหวาดผวาขึ้นมาอยู่ในอก แต่ครั้นเมื่อเห็นแผ่นอกกำยำอันแสนคุ้นเคยความหวั่นวิตกทั้งหมดทั้งมวลก็ถูกปัดเป่าให้หายไปราวกับเศษฝุ่นธุลี

..รอยแผลเป็นที่เด่นชัดบริเวณอกข้างซ้ายนั้นเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนได้ดีว่าผู้ใดคือเจ้าของอ้อมกอดนี้

วิรัลเงยหน้าขึ้นมองอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงซุกเอาหน้าแนบเข้ากับอกอุ่นอีกหน พลันคมเขี้ยวก็ขบเม้มลงไปบนรอยแผลนูนที่ตนเป็นผู้สร้างไว้เมื่อครั้นยังเยาว์วัย

..แผลเป็นซึ่งเกิดจากรอยเขี้ยวของเจ้ายักษ์น้อยในวัยสี่ขวบปีที่แสนหวงแหนพี่ชาย...

เมื่อครานั้นกรณ์ในวัยเก้าขวบปีโดนนางยักษ์รุ่นราวคราวเดียวกันตามเทียวไล้เทียวขื่อเช้าถึงเย็นถึงไม่เว้นแต่ละวัน แม้นจะได้เข้าหาแบบเชิงชู้สาว แต่ตามประสาซื่อของเด็กน้อยเมื่อโดนแย่งความสนใจไปเจ้าวิรัลก็ร้องไห้กระจองอแงเป็นการใหญ่จนวศินต้องอุ้มมาหาที่เรือน เมื่อกรณ์เข้าไปหาเจ้ายักษ์น้อยก็โผตัวไปกอดแน่นพร้อมกับใช้เขี้ยวที่พึ่งเกิดกัดเข้าสุดแรง...แต่กระนั้นอสุราน้อยก็ยังยื่นนิ่งให้น้องฝังเขี้ยวลงกับผิวเนื้อตนเองจนหมดแรงคาอ้อมกอด

..รอยเขี้ยวน้อยๆ เด่นชัดอยู่บนอก ราวกับต้องการตีตราแสดงความเป็นเจ้าของเอาไว้

“อืม” อสุราหนุ่มขยับตัวเมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงสัมผัสเปียกชื้นบนผิวกาย

เมื่อลืมตาตื่นก็เห็นกลุ่มผมยาวสลวยคลอเคลียอยู่ใต้ปลายคาง มุมปากยกยิ้มขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองกัน

“ตื่นแล้วหรือ” เสียงทุ้มติดแหบพร่าเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือไปปัดปอยผมที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มอิ่ม ข้อนิ้วแข็งไล้วนอยู่บนผิวเนื้อนวลอย่างเพลิดเพลินอารมณ์

น้องโตขึ้นมากแล้ว หาใช่เด็กน้อยที่คอยไล่ตามเขาดั่งเช่นในอดีต

..แต่เจ้าแก้มกลมๆ น่ากัดให้จมเขี้ยวนี่ก็ยังไม่หายไปเสียที...

“อื้อ” เจ้าตัวน้อยตอบรับด้วยน้ำเสียงงัวเงียพร้อมกับถูไถใบหน้าเข้ากับอกเปล่าเปลือยของอีกฝ่ายอย่างเคยตัว ขณะที่สองแขนก็ยกขึ้นโอบรอบลำคอคนพี่จนต้องก้มลงไปหา

“ถ้าเจ้าง่วง ก็นอนต่อเสียเถอะ” กรณ์บอกพร้อมกดจูบลงไปตรงข้างขมับเพื่อตรวจดูอาการไข้ที่ตอนนี้เนื้อตัวไม่ร้อนแล้ว แต่ก็ยังคงอุ่นๆ

“กรณ์..” น้องเริ่มเสียงสั่นเครือ คงจะเริ่มรู้สึกปวดบริเวณบาดแผล “...เจ็บ”

วงแขนแกร่งกอดกระชับร่างอีกฝ่ายแน่นเมื่อเห็นน้องน้อยทรมานจากบาดแผลตามร่างกาย ถ้าหากเป็นไปได้เขาก็อยากจะเคลื่อนย้ายพวกมันมาไว้บนตัวเขาแทน

..เพียงเท่านี้ก็จะขาดใจเสียให้ได้แล้ว...

“เจ็บมาก ๆ ...พวกเขาโบยข้า” ก้อนสะอื้นกระจุกขึ้นมาในลำคอ กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อหวนนึกถึงรสสัมผัสปวดร้าวยามที่หวายกระหวัดฟาดลงมาที่กลางหลัง “...เจ็บไปหมดทั้งตัวเลย”

สุดท้ายแล้ววิรัลก็ไม่สามารถฝืนทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไป การสำเร็จโทษเช่นนี้แม้นจะเป็นทหารยักษ์ที่ร่างกายกำยำล่ำสันก็คงมิสามารถที่จะต้านทานความเจ็บปวดได้ แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าตัวน้อยของเขากัน

“ให้ข้าดูแผลให้นะ” ปลายนิ้วไล้ปาดคราบน้ำตาออกให้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง หากแต่เจ้าตัวน้อยที่กอดคอไว้แน่นนั้นไม่ยอมที่จะปล่อยมือออกห่าง ซ้ำยังซุกหน้าเข้ากับซอกคอเสียแนบแน่นทำเอาอสุราหนุ่มลมหายใจสะดุดไปหลายช่วง

กายอุ่นที่นั่งทาบทับอยู่บนตักเปิดโอกาสให้กรณ์ได้ใช้สองมือโอบประคองบั้นเอวเอาไว้ ปลายนิ้วไล้วนอยู่เนินเว้าบริเวณสีข้างจนได้ยินเสียงคราเครือในลำคอดังขึ้นจากอีกฝ่าย พลันอสุราหนุ่มก็รู้สึกร้อนวาบทั่วทั้งสรรพางค์กาย แต่เมื่อตั้งสติได้ก็ทอดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับหยุดการกระทำที่จาบจ้วงลงเพียงเท่านั้น

..เจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนนั้นหาได้คิดเกินเลยไม่

มีเพียงเขาเท่านั้นที่ชั่วช้า...เฝ้าแต่หมกมุ่นกับร่างกายของน้องอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก...

เมื่อตรวจดูแผลและจัดการทาสมุนไพรให้จนแล้วเสร็จ อสุราหนุ่มก็อุ้มอีกฝ่ายออกมาจากห้องนอน ยามนี้บริเวณรอบนอกนั้นเริ่มมืดค่ำลงแล้ว สายตาคมกล้าสอดส่องหาไปทั่วเรือนเมื่อไม่พบผู้ใด แต่ไม่ทันไรร่างของพี่สะใภ้ก็ปรากฏขึ้นตรงบันไดเรือน นางอุ้มเจ้ามินตราไว้แนบเอวส่วนมืออีกข้างก็จับจูงเจ้ามารุตเอาไว้

“อ้าว ตื่นกันแล้วรึ” บุหลันร้องทักก่อนจะเดินเข้ามาหาทั้งคู่ พร้อมกับส่งสายตาล้อเลียนไปให้เจ้าจอมฉวยโอกาสอย่างรู้และเข้าใจกัน “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าวิรัล อาการดีขึ้นหรือยัง” น้ำเสียงทอแววห่วงใยอย่างสุดแสนเอ่ยถามน้องน้อยในอ้อมกอด

กรณ์ปล่อยร่างของอีกฝ่ายลงยืนบนพื้นอย่างระแวดระวัง ก่อนจะอุ้มเจ้ามารุตที่วิ่งหน้าแป้นเข้ามาหาขึ้นมาอุ้มไว้แทน

หลานชายตัวน้อยหัวเราะชอบใจเมื่อโดนท่านอาอุ้มชูขึ้นสูง หากแต่ดวงตากลมโตกลับจดจ้องไปที่ร่างของวิรัลอย่างสนอกสนใจแทน ลูกพี่วิรัลของมันโดนแม่บุหลันจับตัวเข้าไปกอดไปหอมราวกับเด็กเล็ก ๆ มิหนำซ้ำเจ้ามินตราที่แทรกอยู่ตรงกลางยังยื่นมือออกมาออดอ้อนให้อีกฝ่ายโอบอุ้ม

แก้มกลมยุ้ยพองลมขึ้นอย่างขัดอกขัดใจ คมเขี้ยวน้อยๆ สองข้างขบเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มไปมา เรียวคิ้วก็ผูกปมยุ่งเหยิงจนท่านอาต้องยื่นมือมาคลึงคลายออกให้

“มองสิ่งใด วิรัลอุ้มเจ้าไม่ไหวหรอกนะ” กรณ์ดักทางหลานชายคนโตไว้อย่างรู้เท่าทัน

แม้นมันจะมีอายุเพียงแค่สี่ขวบปี แต่เจ้ามารุตนั้นก็ตัวหนักเอาการมีหรือวิรัลจะอุ้มไหว ขนาดตัวเขาเองยังแอบชาที่แขนอยู่เล็กน้อยเสียด้วยซ้ำไป

“ไม่คุยกับท่าอาแล้ว ยี้!” เจ้าตัวกลมดีดดิ้นตัวไปมาพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เป็นพัลวัน เรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำได้เป็นอย่างดี

อสุราหนุ่มก้มลงหอมแก้มยุ้ยเป็นกระติกพร้อมกับใช้คมเขี้ยวกัดลงบนผิวเนื้ออ่อนนุ่มจนยืดย้วย เรียกเสียงหวีดร้องจากเจ้าตัวแสบได้เป็นอย่างดี เจ้ามารุตดิ้นแรงขึ้นจนผู้เป็นอาต้องปล่อยตัวลง พลันหางตาของอสุราตัวน้อยก็เห็นร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นพ่อเดินขึ้นเรือนมา

“พ่อจ๋า!”

เมื่อเห็นบุตรชายคนโตวิ่งมาหาด้วยความดีอกดีใจเสียเต็มเปี่ยมกรรณก็ย่อตัวลงพร้อมอ้าอ้อมแขนออกรับแรงโถมกอดรัดเสียเต็มรัก

“คราวหลังอย่าวิ่งนะเจ้ามารุต ประเดี๋ยวจะล้มเอา” อสุราหนุ่มแสร้งดุอย่างไม่จริงจังเท่าใดนัก ก่อนจะรวบร่างเจ้าตัวน้อยขึ้นอุ้มไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวพร้อมกับก้มลงหอมแก้มกลมยุ้ยของมันจนเจ้ามารุตหน้ายู่ แต่กระนั้นมือน้อยๆ สองข้างก็จับประคองใบหน้าของบิดาไว้ก่อนเรียวปากจิ้มลิ้มจะกดจูบไปทั่วใบหน้าคมคร้ามย้ำๆ จนเกิดเสียง

จุ๊บ

ปิดท้ายด้วยการกดปากลงไปบนปากของพ่อจ๋าหนึ่งหน แต่ครานี้ข้างมุมปากของบิดากลับปรากฏรอยแผลปริแตกขึ้นอย่างน่ากลัว ทำเอาเจ้ามารุตเสียขวัญขึ้นทันตา

“พ่อจ๋าเจ็บไหมจ๊ะ” น้ำเสียงสลดลงเล็กน้อย ฝ่ามือเล็กค่อยๆ ลูบปลอบประโลมก่อนจะเป่าลมใส่ให้ราวกับต้องการที่จะปัดเป่าความเจ็บปวดให้มลายหายสิ้นดั่งที่ผู้เป็นพ่อเคยทำให้ยามที่มันหกล้ม “พ่วง! ข้าเป่าให้แล้วนะ พ่อจ๋าจะไม่เจ็บแล้ว”

“หายเป็นปลิดทิ้งเลยเชียว” นัยน์ตาทอแสงอ่อนลงเมื่อก้มลงมองใบหน้าของดวงใจดวงน้อย ขณะที่ปลายนิ้วก็ยกขึ้นมาเช็ดเหงื่อเม็ดโตออกจากจมูกจิ้มลิ้มให้เจ้าตัวแสบที่พูดเจื้อยแจ้วเจรจาไม่หยุด

“กรรณ” บุหลันเดินเข้ามาหา ก่อนจะโผตัวเข้าสู้อ้อมกอดของสามี

อสุราหนุ่มกอดภรรยาไว้แน่นโดยมีเจ้ามารุตที่อยู่ตรงกลางคอยก่อความวุ่นวายอยู่ไม่หยุด บุหลันไล้มือไปตามโครงหน้าของอีกฝ่ายแต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นรอยแผลที่มุมปาก ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามถึงที่มาที่ไปเจ้ากรณ์ก็เดินเข้ามาหาเสียก่อน

กรรณหันไปหาอีกฝ่ายแต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยอีกตนเดินตามหลังมาด้วย

..วิรัล…เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้..มิใช่ถูกคุมขังไว้ที่คุกใต้ดินหรอกหรือ?

“วิรัล” เสียทุ้มต่ำเรียกชื่อน้องได้ไม่เต็มปากนัก

ความละอายแก่ใจมันตีรวนขึ้นมาจนแม้นแต่ใบหน้าก็ยังไม่กล้าที่จะมอง

ทั้งๆ ที่วันนั้นตนอยู่ในเหตุการณ์แท้ๆ ...รับรู้ทุกๆ อย่าง แต่กลับไม่สามารถช่วยอะไรน้องได้เลย..

“กรรณมีแผลนี่” เจ้าวิรัลโผเข้ามาหาอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงทั้งๆ ที่ตนนั้นก็มีบาดแผลฉกรรจ์อยู่ไม่ต่างกัน

ในบรรดาพี่ๆ ทั้งหมดนอกจากวศินที่เป็นพี่แท้ๆ แล้วก็มีกรรณนี่ล่ะที่เจ้าวิรัลมักจะชอบออดอ้อนเป็นพิเศษ อสุราหนุ่มจึงทั้งรักทั้งหวงน้องน้อยตนนี้เสียยิ่งกว่าน้องในไส้

“มีเรื่องให้ออกแรงนิดหน่อย” แสร้งว่าปั้นหน้ายิ้มหวังเพียงให้ทุกคนสบายใจ “พอสุราเข้าปากแล้วเลือดมันเลยร้อน” กรรณยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ พร้อมกับวางมือลงบนศีรษะอีกฝ่ายก่อนจะโยกโคลงไปมา

“โอ้โห พ่อจ๋าเท่มาก!” เจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนร้องเย้วๆ ขึ้นมาอย่างชอบอกชอบใจในเรื่องการใช้กำลังจนโดนผู้เป็นมารดาหยิกพุงกลมๆ เข้าให้ถึงกับร้องเสียงหลงหวีดลั่นสนั่นเรือน ก่อนฝ่ามือพิฆาตจะหันไปหยิกคนพ่อต่อจนเนื้อบิดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายทำตัวเกกมะเหรกเกเรไม่เข้าเรื่อง

“โอ๊ยๆ เมียจ๋า พี่เจ็บ” อสุราหนุ่มแสร้งร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดก่อนจะรวบร่างอรชรของเมียรักเข้ามากดจูบสองข้างแก้มอย่างหนักหน่วงเพื่อเป็นการเอาคืน

ฟอด!

เพี๊ยะ!

“กรรณ! ประเดี๋ยวเถอะ จะโดนมิใช่น้อย” นางว่าเสียงเขียวอย่างคาดโทษพร้อมกับฟาดมือลงบนต้นแขนกำยำอย่างไม่คิดที่จะออมแรงจนอีกฝ่ายร้องอู้ “ไปล้างเนื้อล้างตัวเสีย กลิ่นเหล้าคละคลุ้งเช่นนี้ ข้าไม่ชอบนัก”

“ได้จ้ะ” พ่อตัวดีขานรับอย่างแข็งขัน

คล้อยหลังจากที่ทุกคนเดินกลับเข้าไปในเรือน อสุราหนุ่มสองพี่น้องต่างยืนมองหน้ากันอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งบทสนทนาอื่นใด

กรรณเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีออกมาก่อนที่ความอึดอัดจะเพิ่มขึ้นมากไปกว่าที่เป็น

สายตาของเจ้ากรณ์นั้นราวกับสามารถที่จะเจาะลึกเข้าไปในห้วงความคิดเสียให้ได้ เขาไม่กล้าแม้นแต่ที่จะมองหน้ามันตรงๆ ด้วยเพราะความละอายใจที่เอ่อล้นอยู่ในอก

“ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้าสักหน่อย” มันกล่าวเสียงเรียบโดยไม่แม้นแต่จะหันหน้ากลับมามองคู่สนทนาพร้อมกับออกเดินนำลงไปจากเรือน

ยามดึกสงัดเหลือเพียงแต่เสียงลมหวีดหวิวกระทบกับพุ่มไม้เป็นระลอก แสงจันทร์นวลสาดส่องลงมาจนทั่วทั้งบริเวณพงไพรนั้นสว่างไสว ในป่าลึกห่างจากตัวเรือนออกไปอยู่มากโข สองอสุราหนุ่มเดินตามกันเข้าไปจนถึงบริเวณริมธาร น้ำใสไหลเอื่อยเฉื่อยกระทบเข้ากับโขดหิน พื้นผิวโปร่งใสส่องสะท้อนกับแสงเงาจันทราและผืนนภากว้าง

กรณ์เดินย่ำผ่านเหล่าก้อนกรวดไปพิงกายอยู่ข้างโขดหินก่อนจะก้มลงวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตา หวังเพียงให้ความเย็นฉ่ำของสายนทีดับไฟร้อนรุ่มที่สุมทุมอยู่ในอก

“มีสิ่งใดรึ” อสุราหนุ่มอีกตนเอ่ยถามผู้เป็นน้อง เขายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่

“ไปล้างเนื้อล้างตัวเสียก่อนเถิด ประเดี๋ยวกลับไปพี่สะใภ้ข้าจะบั่นคอเจ้าเอา” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างขบขัน

กรรณพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินถัดออกไปทางบริเวณต้นริมธาร เขาจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ทั้งหมดไว้บนโขดหินแล้วจึงเดินลงไปในลำธารจนระดับช่วงเอวสอบจมหายไปกับสายน้ำ

น้องชายที่นั่งถัดไปอยู่ไม่ห่างจดจ้องไปที่แผ่นหลังกว้างเขม็งเมื่อสะดุดตาเข้ากับบาดแผลฉกรรจ์บริเวณบ่าซ้าย มันเป็นรอยคล้ายถูกของมีคมบาดลึกจนเนื้อเปิด หากแต่รอบปากแผลกลับพุพองราวกับโดนฤทธิ์ร้อนของบางอย่างกัดกร่อนเข้า

“แผลเจ้าไปโดนสิ่งใดมา”

คำถามฉับพลันของอีกฝ่ายทำให้ลมหายใจขาดห้วง กรรณยกมือปิดบาดแผลก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้พ้นสายตาสงสัยใคร่รู้ของเจ้ากรณ์

..แผลที่โดนศรอาบพิษยิงถาก แม้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่มันกลับสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวได้อย่างทรมาน เคราะห์ดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ มิเช่นนั้นทั้งร่างคงโดนพิษร้ายกัดกร่อนจนสิ้นใจไปแล้ว

..แต่เรื่องนี้จะให้มันรับรู้มิได้เด็ดขาด…

ท่าทีแปลกประหลาดจากผู้เป็นพี่สร้างความขุ่นเคืองให้เขาอยู่ไม่น้อย คิ้วเข้มขมวดมุ่นยุ่งเหยิงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มทำตัวมีพิรุธ

“โดนศรยิงเฉียดเข้าน่ะสิ” อสุราหนุ่มตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก ก่อนจะเดินกลับขึ้นฝั่งแล้วหยิบผ้านุ่งมาสวมใส่ไว้ “ข้าเบี่ยงตัวหลบผิดท่าไปสักหน่อย คมมันจึงบาดลงลึก”

กรณ์หรี่ตาจดจ้องบาดแผลฉกรรจ์อยู่เพียงครู่

ในยามออกทัพจับศึกมีศาสตราวุธเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ถึงแม้นตัวเขาจะเคยออกรบมาน้อยกว่าอีกฝ่าย แต่ก็มั่นใจว่าไม่มีอาวุธชนิดไหนสามารถทำให้แผลพุพองเช่นนี้ได้ มิหนำซ้ำเนื้อช้ำเลือดที่ปริแตกราวกับโดนไฟลวกเช่นนี้น่ะ มันคล้ายกับโดนพิษของบางสิ่งบางอย่างที่มีอนุภาคร้ายแรงอยู่มิใช่น้อยเลย

แม้นจะยังไม่ปักใจเชื่อในครานี้ แต่ก็หาได้แย้งสิ่งใดออกไป เพียงแค่เก็บความสงสัยไว้ในส่วนลึกของจิตใจเท่านั้น

กรรณเดินเข้ามาพิงกายกับโขดหินฝั่งตรงข้ามพร้อมกับเอ่ยปากถามถึงกิจธุระที่น้องชายต้องการพูดคุย มันลงแรงพาเขาเดินออกห่างมาจากเรือนเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะต้องการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว หากอยู่ที่เรือนคงจะไม่สะดวกเท่าใดนัก

“มีสิ่งใดก็รีบพูดมาเถิดเจ้ากรณ์” อยากกลับไปนอนกอดเมียและลูกทั้งสองเหลือเกิน

“วิรัล..”

“…”

“…โดนจับตัวไปคุมขังพร้อมสำเร็จโทษแทนท่านวศิน” ตาคมกล้าทอดมองพงไพรเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย พลันกลับต้องแปรเปลี่ยนเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบกลับของอีกฝ่าย

“ข้ารู้…” …แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย

“เจ้าว่าอย่างไรนะ” กรณ์ถามย้ำอีกหน ราวกับคำพูดก่อนหน้านี้เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน “พูดอีกครั้ง” น้ำเสียงกดต่ำเยียบเย็นลง

“ข้าบอกว่าข้ารู้เรื่องที่วิรัลโดนจับตัวไป--!”

ผลั่ก!

ยังไม่ทันพูดจบดี หมัดหนักก็ลอยลุ่นๆ มาปะทะเข้าข้างสันกรามจนหน้าหันส่งผลให้แผลเก่าที่ยังไม่สมานดีปริแตกเลือดอาบซึมออกมาอีกหน กรณ์ตามติดไปกอบกุมลำคออีกฝ่ายเอาไว้มั่น นัยน์ตาสีเดียวกันกับผู้เป็นพี่ประกายวาวโรจน์ราวเพลิงเผา เขี้ยวคมสองข้างงองุ้มออกมาแสดงถึงอารมณ์โทสะที่แรงกล้า

“รู้! รู้แล้วเหตุใดจึงไม่ช่วย!” น้ำเสียงกรุ่นโกรธตะคอกถามอย่างนึกโมโห พร้อมกับออกแรงที่กอบกุมอยู่รอบลำคอผู้เป็นพี่จนเส้นเลือดแขนปูดโปน “เจ้ายอมปล่อยให้วิรัลไปเจอเรื่องระยำเหล่านี้ได้อย่างไร!” โลหิตในกายเดือดพล่านเกินที่จะหยุดยั้งเมื่อหวนนึกถึงบาดแผลตามตัวของน้องน้อย

เรื่องบัดซบเช่นนี้มันไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ!

กรรณปัดป้องฝ่ามืออีกฝ่ายออกแต่กลับไร้ผล อสุราหนุ่มกอบโกยอากาศเข้าปอดเป็นพัลวัน ก่อนจะอาศัยช่วงจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอถีบเข้าที่ท้องจนเจ้ากรณ์เซถลาตกน้ำตัวเปียกมะล่อก เขาสำลักอากาศไอโขลกอยู่เพียงครู่ ก่อนจะพุ่งตัวตามไปคร่อมทับร่างน้องชายแล้วซัดกำปั้นใส่หน้ามันจนได้ยินเสียงกระทบของผิวเนื้อที่ปริแตก

อสุราหนุ่มสองตนผลัดกันประเคนพละกำลังใส่กันจนเสียงดังสนั่นลั่นไปทั่วผืนป่า เหล่าสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยต่างแตกตื่นส่งเสียงร้องเกรียวกราว โขดหินรอบด้านแตกร้าวเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดนอัดเข้าหา นัยน์ตาสีโกเมนทั้งสองคู่จ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เขี้ยวคมงอกเงยขึ้นฟาดฟันใส่กันไม่ลดละ เมื่อยามที่โทสะครอบงำเช่นนี้เรี่ยวแรงที่มีมหาศาลกลับเพิ่มขึ้นทบเท่าทวีคูณ

เวลาล่วงเลยผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง กรรณใช้ความว่องไวอาศัยยามที่อีกฝ่ายกำลังตั้งหลักลุกดันร่างของมันเข้ากับต้นไม้ใหญ่จนลำต้นสั่นสะเทือน มือข้างหนึ่งยกขึ้นบีบลำคอผู้เป็นน้องไว้มั่นก่อนจะคำรามใส่เสียงดังลั่นราวกับราชสีห์

เจ้ากรณ์ยามที่ขาดสติเช่นนี้ชอบใช้กำลังอย่างบ้าคลั่งจนหน้ามืดตามัว

ยิ่งเป็นเรื่องเจ้าตัวน้อยของมันยิ่งแล้วใหญ่…กับเขาที่เป็นพี่มันแท้ๆ ยังไม่คิดที่จะออมแรงแม้นเพียงกระผีก..

สองพี่น้องจ้องตากันอย่างขุ่นเคือง เวลาผ่านไปนานจนสามารถเรียกสติกลับคืนมากรรณถึงยอมปล่อยมือออก

“บอกข้ามาว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่ช่วยวิรัล” กรณ์เค้นเสียงถามอีกหน ตั้งท่าจะเข้าไปประเคนหมัดใส่อีกรอบ แต่กลับโดนผู้เป็นพี่ยกนิ้วชี้หน้าห้ามปรามไว้เสียก่อน

“เจ้าคิดว่ามีอำนาจมากขนาดนั้นเชียวรึเจ้ากรณ์” กรรณสวนกลับอย่างขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย พลางขยับกรามไปมาด้วยความเมื่อยขบ

เจ้ายักษ์นั่นมันแรงเบาเสียที่ไหนกัน...เล่นใส่มาไม่ยั้งราวกับกำลังเข่นฆ่าอยู่กับศัตรูอย่างไรอย่างนั้น

..ช่างทำกับพี่ของมันได้

“มากกว่าข้าก็แล้วกัน” กรณ์จ้องอีกฝ่ายเขม็ง “หากเจ้าเอ่ยปากขอมีหรือท้าวภารตาจะไม่รับฟัง” แต่ไหนแต่ไรมา นอกจากสองจอมทัพใหญ่ก็มีพี่ชายของตนที่องค์จ้าวเหนือหัวนั้นจะไว้เนื้อเชื่อใจ

“ยามที่พระองค์บันดาลโทสะ มีหรือที่จะรับฟังสิ่งใด เจ้าก็รู้”

กรณ์นิ่งเงียบ นัยน์ตาสีโกเมนเหม่อมองท้องนภามืดมิดอย่างไร้ซึ่งความหวัง แม้นจะยังมิได้ปักใจเชื่อว่าจอมทัพทั้งสองก่อการกบฏจริง แต่ยามนี้หากยังดันทุรังจะถามหาข้อเท็จจริงก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นมา

...คงจะต้องรอเวลาอีกสักหน่อย

“ก็อย่างที่เจ้ารู้ จอมทัพทั้งสองก่อกบฏในยามที่ออกศึกกับกรุงราชคฤห์” คล้ายกับต้องกลืนโลหะร้อนลวกลงคอ ยิ่งเอื้อนเอ่ยวาจาโป้ปดออกไปมากเท่าใด เขาก็ยิ่งนึกละอายใจต่อผู้มีพระคุณมากเท่านั้น ลับหลังน้องชายสันหมัดสองข้างถูกเจ้าตัวกำเข้าจนมันสั่นไหวรุนแรง “เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ตัวข้าในฐานะคนสนิทยังจะกล้ามีปากมีเสียงอันใดได้อีกหรือ” กรรณผินหน้ากลับมามองน้องชาย

“เรื่องวิรัล ข้าก็เสียใจไม่ต่างกับเจ้า และก็หาได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ไม่” เขาตอบกลับอย่างสัตย์จริง

มันก็รู้ว่าเขารักวิรัลไม่ต่างกับน้องในไส้ ตลอดหลายวันที่น้องถูกคุมขังคิดว่าเขานั้นกินอยู่นอนหลับด้วยความสบายใจสบายกายหรือ

“ข้าอาศัยช่วงที่เปลี่ยนผลัดยามแอบเข้าไปลักพาตัววิรัลออกมา แต่วันพรุ่งต้องนำตัวไปส่งคืนก่อนทหารเวรชุดใหม่จะมา” น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงแววขมขื่นเอ่ยบอก นัยน์ตาคมสลดลงอย่างเศร้าสร้อยที่ไม่สามารถช่วยอีกฝ่ายได้มากกว่านี้

“ทำไม..” กรรณใจเสีย เมื่อรู้ว่าเจ้าตัวน้อยของเขาจะต้องถูกส่งตัวกลับเข้าไปในคุกใต้ดินอีกครั้ง

“ข้าไปลักพาตัวเขามา หาได้ออกมาโดยชอบธรรมไม่ หากองค์จ้าวเหนือหัวทราบเข้า มิใช่เจ้าหรือที่จะเดือดร้อน” ยอมรับว่าตัวเขาก็ห่วงพี่ชายอยู่ไม่ต่าง

“ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้” เพราะเขาทนไม่ได้หากวิรัลจะต้องกลับไปอยู่ในนั้นอีก เท่านี้มันก็เกินพอแล้ว ยิ่งเห็นสภาพน้องในวันนี้ตัวเขาก็ยิ่งปวดใจไม่หาย

“อย่างไรเล่า?” กรณ์ว่าพลางเหยียดยิ้มที่มุมปากเพราะยังผูกใจเจ็บ “หากเจ้าคิดจะช่วย เหตุใดจึงไม่ช่วยตั้งแต่แรก”

“เมื่อครู่ที่ข้าพูดไป เจ้ารู้ความบ้างหรือไม่เจ้ากรณ์” เขามองหน้ามันอย่างเบื่อหน่าย

นิสัยอันธพาลไปทั่วไม่มีใครเกินจริงเลยเชียว

“วันพรุ่งพระองค์มีรับสั่งให้ข้าไปเข้าเฝ้า” กรรณเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น “ข้าจะทูลขอพระองค์ให้ เจ้าไม่ต้องห่วง”

“ข้าเชื่อใจเจ้าได้หรือ” ถ้อยคำสวนกลับของผู้เป็นน้องทำให้อสุราหนุ่มสะอึกอยู่ไม่น้อย

แม้นรู้ดีว่ามันเพียงแค่กล่าวด้วยความเป็นห่วง แต่นั่นกลับยิ่งตอกย้ำให้เขาละอายใจในความผิดจนในอกนั้นเสียดร้าวราวกับโดนคมหอกทิ่มแทง

“หากไม่เชื่อใจข้า เจ้าจะเชื่อใจผู้ใดได้”

กล่าวออกไปเช่นนั้นก็กลับหน้าม้านเสียเอง…

...คนทรยศเช่นเขายังจะกล้าพูดคำๆ นี้อยู่อีกหรือ…

“อืม” กรณ์พยักหน้ารับคำอย่างไร้ข้อโต้แย้งอื่นใดอีก

เมื่อการสนทนาสิ้นสุดลงทั้งคู่ก็ต่างแยกกันไปชำระล้างกายใหม่อีกหนเพราะหากกลับไปสภาพช้ำเลือดกันเช่นนี้มีหวังผู้ที่รออยู่เรือนจะตื่นตกใจเอาได้

 

(ต่อหน้าถัดไป)   
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๐ - สองพี่น้อง : ๑๙/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 19-07-2018 19:34:48
 เพลานี้บนเรือนนั้นเงียบสงัดบ่งบอกได้ว่าทุกคนต่างแยกย้ายเข้าห้องหับหลับนอนไปเรียบร้อยแล้ว อสุราหนุ่มสองตนแยกจากกันตรงชานเรือน แต่ก่อนที่กรณ์จะเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องเสียงของผู้เป็นพี่ก็เอ่ยดักอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน

“เรื่องนั้น” พลางผินหน้ากลับมามองผู้ฟัง น้ำเสียงกดต่ำลงจนราวสันหลังผู้ต้องหานั้นเย็นวาบ นัยน์ตาคมกล้าทอประกายเข้มขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วเข้าที่ข้างลำคอของตนเป็นการบอกใบ้ว่าต้องการที่จะสื่อถึงสิ่งใด

..ใช่ว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นรอยแดงที่เจือจางอยู่ข้างลำคอของเจ้าวิรัล..

“…”

“อย่าได้คิดทำอีก”

..นี่ถือว่าเป็นคำเตือน…

เมื่อเดินเข้ามาภายในห้องนัยน์ตาคมกล้าก็จับจ้องอยู่กับร่างที่นอนคุดคู้กายเข้าหากันราวกับเด็กตัวเล็กๆ อสุราหนุ่มค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้โดยพยายามเบาฝีเท้าเพื่อไม่ต้องการรบกวนห้วงนิทราของอีกฝ่าย แต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อเจ้าตัวน้อยตรงหน้าเริ่มรู้สึกตัวตื่น

“กรณ์..” วิรัลลุกขึ้นมานั่งทั้งที่ยังงัวเงีย พร้อมกับจดจ้องไปที่ร่างสูงใหญ่ “ไปไหนมาหรือ”

“มีเรื่องให้พูดคุยกับพี่กรรณของเจ้านิดหน่อย” อสุราหนุ่มเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนที่จะโดนเจ้าวิรัลโถมตัวเข้ากอดเต็มแรง

เจ้าตัวน้อยปีนป่ายขึ้นมานั่งจัดท่าบนหน้าตักเองเสร็จสรรพพร้อมเพิ่มแรงโอบรอบคอไว้แนบแน่น กรณ์ที่ไม่ได้ตระเตรียมตัวมารับเหตุการณ์เช่นนี้นั่งตัวแข็งราวกับโดนสาปมือไม้ก็พลันเย็นเฉียบไปหมดเมื่อเนื้อตัวอุ่นนุ่มของน้องทาบทับกับอกเปล่าเปลือยของตน

ตั้งแต่ไปลักพาตัวออกมาเจ้าวิรัลจะดูจะออดอ้อนและโหยหาเขาเป็นพิเศษ เอะอะก็กอด เอะอะก็ซุกไซร้

ราวกับว่าเขาเป็นพระอิฐพระปูนไร้ความรู้สึก..

มันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าหากยังขยันออดอ้อนเขาอยู่เช่นนี้ ก็เกรงว่าเมื่อใดที่ทนไม่ไหวขึ้นมาตัวน้องนั่นล่ะที่จะแย่เอา…

“ตื่นมาทำไม หืม” อ้อมแขนแกร่งยกขึ้นโอบกอดตอบ

“ข้ากลัว..” เจ้าตัวน้อยพูดอู้อี้อยู่ในลำคอดูท่ายามที่เขาไม่อยู่ข้างกายความหวาดผวามันจะกลับมาทำร้าย “กรณ์...”

“ชู่ว ข้าอยู่นี่แล้วเจ้าตัวน้อย” กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นพร้อมกับก้มลงไปจูบที่ข้างขมับชื้นเหงื่อ ดูท่าช่วงที่เขาไม่อยู่น้องคงจะฝันร้าย

“อื้อ” เจ้าวิรัลพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย อสุราตัวน้อยผละหน้าออกมาจากอกอุ่น หากแต่รอยช้ำเลือดที่ปรากฏอยู่ที่ข้างมุมปากของกรณ์นั้นกลับดึงความสนใจได้เป็นอย่างดี “กรณ์ไปโดนอะไรมาหรือ” ฝ่ามือนุ่มข้างหนึ่งยกขึ้นไล้รอบๆ จนกรณ์เผลอหลุดร้องเสียงต่ำด้วยความเจ็บ

“ก็พี่กรรณของเจ้าน่ะสิ” เขายกยิ้มตอบ น้องจะได้ไม่เป็นห่วง “ต่อยตีข้าไม่ยั้งเลย” แอบป้ายสีพี่ชายตนไปนิดหน่อยเพราะยังเคืองเรื่องเก่าไม่หายเลยถือโอกาสนี้เรียกความสงสารจากเจ้าตัวน้อยไปด้วยเสียเลย

...เชื่อว่าหลังจากนี้ความนิยมเขาจะพุ่งทะยานนำหน้ามันแน่นอน

“เหตุใดจึงต้องใช้กำลังกันด้วย” นัยน์ตาสุกสกาวทอแววเป็นห่วงอย่างสุดแสน จนผู้ที่กำลังอดทนอดกลั้นอยู่นั้นต้องข่มใจอย่างมากที่จะไม่เผลอตนไปรังแกเข้า "เจ็บมากหรือเปล่า"

“มาก” มากกับผีน่ะสิ แผลเพียงเท่านี้มีหรือจะสามารถทำให้เขาระคายผิว

แต่แล้วเรื่องที่เหนือการคาดหมายก็เกิดขึ้นซ้ำสอง เมื่อเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดนั้นยืดตัวขึ้นจนระดับใบหน้าอยู่เสมอกัน ก่อนลมอุ่นๆ จากริมฝีปากอีกฝ่ายจะเป่ารดลงบนแผลฟกช้ำเหมือนดั่งที่เจ้ามารุตทำให้พ่อจ๋าของมันในช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา

กรณ์ตัวแข็งทื่อฉับพลันฝ่ามือที่โอบกอดร่างอีกฝ่ายไว้เย็นเฉียบแต่เหงื่อกาฬกลับผุดซึมขึ้นจนฝ่ามือเปียกชื้น

ในอกนั้นเต้นระรัวเร็วราวกับรัวกลองรบพันลูกก็มิปาน ยิ่งน้องผละออกมามองเขาด้วยตาใสแจ๋วเจือความห่วงใยอย่างบริสุทธิ์ใจ อารมณ์เบื้องต่ำที่ถูกกดไว้ลึกก็ยิ่งแผลงฤทธิ์อย่างเกินจะควบคุม

อสุราหนุ่มคำรามต่ำในคออย่างหักห้ามใจ คำกล่าวเตือนของผู้เป็นพี่ที่หน้าประตูนั้นช่างพร่าเลือนราวกับกลุ่มหมอกควัน อ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับร่างอีกฝ่ายแน่นขึ้น ใบหน้าคมสันโน้มลงต่ำจนปลายจมูกทั้งสองแตะกันแผ่วเบา

“กรณ์..” วิรัลขานเรียกเสียงเบาหวิว ตกใจไม่น้อยเมื่อจู่ๆ ฝ่ายนั้นโน้มหน้าลงมาใกล้เกินกว่าที่เคย

กลิ่นอายคุกคามที่ก่อตัวขึ้นทำให้อสุราตัวน้อยเริ่มทำตัวไม่ถูก..

เมื่อกรณ์ดูแปลกไปจากที่เคย...

แววตาของอีกฝ่ายดูลุกโชนประกายเข้มขึ้นเมื่อยามที่จดจ้องไปยังกลีบปากนุ่ม เจ้าตัวน้อยพยายามยื้อกายออกห่างจากความใกล้ชิดเกินความจำเป็น แม้นจะตกใจกับการกระทำถึงเนื้อถึงตัวของอีกฝ่ายแต่ในอกนั้นกลับเต้นรัวเร็วเสียจนห้วงลมหายใจไม่เป็นจังหวะปกติ นัยน์ตาฉายแววสับสนและหวาดหวั่นออกมา

อสุราหนุ่มขบเขี้ยวเข้ากับริมฝีปากตนอย่างหักห้ามใจเมื่อรู้ตัวว่าแสดงท่าทีล่วงเกินคุกคามน้องจนเกินงาม เรียวลิ้นร้อนในโพรงปากกวาดดุนไปทั่วอย่างนึกขัดใจเมื่อไม่สามารถลิ้มรสเจ้าผลหวานตรงหน้าได้อย่างที่ใจต้องการ

เกือบไปเสียแล้ว...หากไม่เห็นแววตาที่หวาดหวั่นของอีกฝ่าย เขาก็เกือบที่จะออกแรงบังคับเพื่อจะได้ลิ้มรสกลีบปากนุ่มนั่นแล้ว..

..นับวันเจ้าตัวน้อยยิ่งจะทำให้ความอดทนเขาลดต่ำลงเรื่อยๆ ...

“ข้าเพียงแค่อยากตรวจดูพิษไข้ของเจ้าสักหน่อย” คำโกหกคำโตหลุดออกมาอย่างหน้าด้านๆ แต่เจ้าวิรัลกลับพยักหน้ารับอย่างเข้าใจพร้อมกับโล่งอก “นอนกันเถอะ” ตัดบทสนทนาโดยการล้มตัวลงนอนนอกเบาะรอง

เขาไม่กล้าที่จะเอาตัวไปอยู่ใกล้น้องเพราะเกรงว่าเหตุการณ์อย่างเมื่อครู่มันจะเกิดขึ้นซ้ำอีก คราวนี้ก็จะไม่หยุดอยู่แค่ปลายจมูกแตะกันแน่

"กรณ์ไม่มานอนด้วยกันหรือ" เจ้าตัวน้อยเสียงสลดลงอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่มองมาอย่างโหยหาเกือบจะพังกำแพงแห่งความอดกลั้นของเขาให้สิ้นซาก

"ไม่ล่ะ" อสุราหนุ่มแสร้งหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า แขนข้างหนึ่งสอดเข้ารองใต้ศีรษะต่างหมอน "ข้ากลัวเจ้าร้อน"

"ไม่ร้อนนะ...มันอุ่น.." เสียงน้องงึมงำในลำคอแผ่วเบาคงเพราะไม่อยากจะรบกวน ก่อนประโยคต่อมาจะทำให้อกของอสุราหนุ่มร้อนรุ่มราวกับเพลิงเผา "เช่นนั้นจับมือได้หรือไม่..แค่...แค่หลวมๆ ก็ได้ ข้าไม่ร้อนหรอก"

ร้องขอเช่นนี้..แล้วผู้ใดเล่าจะกล้าปฏิเสธ..

..ร้ายนักนะเจ้าตัวน้อยนี่..

"มาสิ" แสร้งว่าอย่างไม่ใส่ใจ แต่ในอกนั้นกลับลิงโลดจนแทบออกมาแดดิ้นบนพื้นเสียให้ได้..

ฝ่ามือใหญ่ยื่นออกไปหาทั้งที่เจ้าตัวยังคงหลับตาอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งสัมผัสอุ่นนุ่มก็สอดแทรกเข้ามาตามร่องนิ้ว ส่งผลให้ในอกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มีเพียงปลายนิ้วเท่านั้นที่กอบกุมแนบชิด ต่างฝ่ายต่างเงียบปล่อยให้ห้วงความคิดของตนนั้นล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย

เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วยามเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอนั้นบ่งบอกว่าเจ้าวิรัลได้กลับเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นที่เรียบร้อย อสุราหนุ่มจึงถือโอกาสเคลื่อนขยับกายเข้าไปใกล้แล้วสอดแขนเข้าโอบกอดร่างของน้องเข้ามาแนบกับอกดังเดิม

กรณ์นอนมองร่างในอ้อมกอดตลอดทั้งคืนโดยไม่แม้นแต่ที่จะผละสายตาออกห่างไปไหนไกล ริมฝีปากไล่จุมพิตไปทั่วใบหน้าราวกับต้องการที่จะกักเก็บความคิดถึงนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด..

..ก่อนที่จะต้องแยกจากกัน...

_________________________



ฝากเม้นเป็นกำลังใจให้พันไมล์ด้วยน้าา

หรือจะติดแท็ก #ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ทางทวิตเตอร์ก็ได้ค้าบบ :mew1:

..เจอเจ้าแก้วตอนหน้านะคะ เผื่อมีคนคิดถึง แฮ่ๆ > <
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๐ - สองพี่น้อง : ๑๙/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 19-07-2018 20:14:02
คิดถึงเจ้าแก้วกับพี่ยักษ์วศินนนน!  //งอแง//

สงสารพี่กรรณอ่ะ สงสารมาก แอบน้ำตาซึมตอนอ่านเลย ต้องเก็บทุกอย่างไว้กับตัว ละอายใจที่ตัวเองเป็นคงไม่ดีเสียเองแต่ก็ต้องทำเพื่อครอบครัว หนูเอาใจช่วยพี่นะคะ //ยกป้ายไฟเชียร์

พี่กรณ์ก็ใจเย็นหน่อยสิ นั้นพี่ชายแกนะเว้ย555555 แหม่.. พอเป็นเรื่องของวิรัลนี่หัวมันร้อนง่ายเนอะ เดี๋ยวให้พี่ยักษ์วศินกลับมาก่อน ให้เรื่องทุกอย่างมันคลี่คลายก่อนแล้วจะให้พี่วศินจัดการเสีย เอาให้หนักพี่วศิน! 5555555

พี่กรรณแอบมีหวงน้องน้อยวิรัลแถมยังเห็นอีกว่าพี่กรณ์ทำอะไรไว้กับน้อง ตีเลยพี่กรรณตีพี่กรณ์น้องชายพี่เลย นิสัยไม่ดีแอบหื่นกับน้องวิรัลได้ไง! //ยื่นไม้เรียวให้

แอบมีพิมพ์ผิดน้าา ตรง ...น้องโตขึ้นมากแล้ว ไม่ไล่ตาย... อย่าพึ่งไล่พี่กรณ์ไปตายสิ5555555 //แซวว//เราแอบมาห้ามบอกใครนะ จุ๊ๆไว้55555 สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้น้าา รักและเทคแคร์

ปล. 1.คิดถึงพี่ยักษ์วศิน
       2.คิดถึงเจ้าแก้วลูกรัก
       100.คิดถึงเจ้าแก้วลูกรัก
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๐ - สองพี่น้อง : ๑๙/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-07-2018 07:55:30
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๐ - สองพี่น้อง : ๑๙/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 21-07-2018 10:31:37
รามสูรมีแอบหวงดาหลันเบาๆๆ แต่งานนี้วศินกับมาเมื่อไรได้จมแน่
แอบสงสารกรรณห่วงลูกเมีย หวังว่าจะลงตัวกับวศิน กรรณยังตาไวเห็นน้องน้อยโดนกรณ์จูบทิ้งไว เดียวจะโดนดี อิอิ
กรณ์ใจเย็นๆๆๆๆน่ะน้องยักษ์ไม่รอดไปไหนหรอก มีแต่กระตุ้น ฮ่าๆๆๆ
อยากให้กล้าคู่กับวิรุณเลยจัง มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนก็คนรักกันไงเนอะ
คิดถึงลูกแก้วจังเลย วศินพาน้องมาไวไวน่ะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๐ - สองพี่น้อง : ๑๙/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 22-07-2018 08:57:34
แงงงงง   :monkeysad:  สงสารทุกคนเลย 
โดยเฉพาะพี่กรรณ น่าสงสารที่สุดแล้ว
แล้วถ้าน้องวิรัลรู้ความจริง จะเจ็บปวดขนาดไหนเนี่ย คนที่รักทำร้ายพี่ชายและตัวเอง ฮืออ
สุดท้ายแล้วขอให้ทุกคนเข้าใจพี่กรรณ แล้วมีทางออกที่ดีโดยไม่ต้องสูญเสียใครไปนะ T^T
ไม่อยากให้น้องต้องกลับเข้าไปในคุกอีก หวังว่าพี่กรรณจะช่วยน้องได้
ภาษาดีเช่นเคยเลยค่ะ ชอบบบบบ  เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า ^^
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๐ - สองพี่น้อง : ๑๙/๗/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: K_mala ที่ 22-07-2018 10:06:47
เรื่องนี้น่าสนใจ รอติดตามจ้า :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๑ - หวงแหน : ๑๓/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 13-08-2018 20:47:10
หวงแหน

.

.

.


“ซี๊ดด...ไอ้แก้วเบามือหน่อยสิวะ”

“โอ๊ย”

“พอแล้— อ...โอ๊ย! พ่อครู!”

ไอ้กล้าร้องดังลั่นเมื่อโดนฝ่ามือหนักฟาดเข้าที่กลางหลัง มันแอ่นตัวเหยียดตรงเมื่อรู้สึกแสบสันที่บริเวณผิวเนื้อ ครูบุญยืนมือเท้าสะเอวมองไอ้ตัวดีตาเขียวปั๊ดเมื่อมันดีดดิ้นไม่เข้าท่าราวกับเด็กเล็กเด็กน้อย

“หุบปากเอ็งประเดี๋ยวนี้เลยไอ้กล้า” ชายชราชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ “นั่งนิ่งๆ เสีย น้องมันทำแผลให้ลำบากเห็นหรือไม่” น้ำเสียงเข้มงวดที่มีไว้ใช้เฉพาะกับไอ้ตัวดีเอ่ยสำทับไปอีกหน ก่อนจะใช้ผ้าขาวม้าที่พาดคออยู่นั้นโบกพัดให้ศิษย์คนเล็กเมื่อสังเกตเห็นว่าไรผมของมันเริ่มชื้นเหงื่อ

ตั้งแต่เช้ามานี้เป็นเจ้าแก้วคนเดียวที่ต้องวิ่งวุ่นไปเสียทุกอย่างทั้งหุงหาข้าวปลาอาหารสารพัดสิ่งทำเอาเหงื่อซ่กอยู่มิใช่น้อย เพราะเมื่อสองวันก่อนหลังจากที่ไอ้กล้าไปมีเรื่องกับชาวบ้านชาวช่องเขามาระหว่างทางกลับเรือนดันเสือกกะโหลกเดินไม่ดูตาม้าตาเรือยื่นตีนไปให้ไม้เสียบเล่นเสียอย่างนั้น ลำบากท่านวิรุณต้องเปลืองแรงแบกหามร่างถึกทึนของมันกลับมาที่เรือนอีก ถึงกระนั้นไอ้ตัวดีก็ยังไม่สำเหนียกตนกลับโวยวายด่าพาโลพ่อยักษ์ตนนั้นด้วยความหัวเสียจนเขาต้องเคาะกะโหลกมันไปอยู่หลายทีถึงจะเงียบปากลงไปได้

..มันน่านัก

...ไม่โดนหักขาหักแข้งก็บุญหัวของไอ้กล้ามันแล้ว…

“เสร็จแล้วจ้ะ” เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมาเมื่อผ้าทบสุดท้ายถูกพันพับเก็บไว้หลังข้อเท้าเป็นที่เรียบร้อย “ประเดี๋ยวฉันลงไปเอาลูกประคบก่อนนะ” มันว่าทิ้งท้ายไว้ก่อนจะรีบลุกเดินลงเรือนไปอย่างคล่องแคล่ว

เมื่อเดินกลับขึ้นมาก็ได้พบว่าพ่อครูนั้นกำลังนั่งบ่นพี่ของมันอยู่ดังเดิม ทว่าครานี้ถึงแม้นปากจะดุด่าว่ากล่าวอย่างไรแต่มือนั้นกลับบรรจงแต้มสมุนไพรป้ายไปตามบริเวณแผลฟกช้ำบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

“โตไม่รู้จักโตนะเอ็งนี่” ชายชราเอ่ยดุ แต่ทว่านัยน์ตานั้นทอแสงอ่อนลงไปมากเมื่อเห็นแผลฟกช้ำตามใบหน้าของศิษย์คนโต “คราวหน้าคราวหลังก็หัดรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองเสียบ้าง ไม่ใช่ใครเขาเย้าแหย่อะไรก็ขึ้นง่ายไปเสียหมด” เขาเตือนต่อ ก่อนจะกดเสียงให้เข้มขึ้นเมื่อเห็นว่าไอ้ตัวดีมันยังนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ “ที่ข้าพูดนี่เอ็งเข้าใจหรือไม่ หา ไอ้กล้า”

“จ้าๆ จะไม่ทำอีกแล้วจ้า” มันพยักหน้ารับคำ

“เอ็งก็เป็นเช่นนี้ทุกทีล่ะวะ” ครูบุญแต้มยาบริเวณรอยช้ำข้างโหนกแก้มให้พร้อมกับออกแรงกดสุดแรงจนไอ้กล้าร้องโอดโอยออกมาเสียงดัง “เอ้า เจ้าแก้ว มาประคบยาให้พี่เอ็งเสีย ข้าจะลงไปดูเด็กๆ มันเสียหน่อย” ชายชราหันมาสั่งก่อนจะลุกสะบัดเอาผ้าขาวม้าขึ้นพาดคอแล้วเดินลงเรือนไปทิ้งให้สองพี่น้องมันดูแลกันเอาเอง

หลังจากนี้เขาคงต้องกลับมาสอนมวยพวกเด็กๆ แทนไอ้กล้ามันสักระยะหนึ่ง เพราะสภาพเช่นนั้นลำพังช่วยเหลือตนเองยังไม่ค่อยจะคล่อง นับประสาอะไรกับต้องลุกมาสอนเตะแข้งฟันศอกกัน

“ยังปวดอยู่หรือไม่จ๊ะพี่กล้า” เจ้าแก้วถามพร้อมกับห่อลูกประคบไว้กับผ้าอีกชั้นเพื่อกันความร้อนจัด

“ปวดสิวะ” ชายหนุ่มนั่งเท้าแขนไปด้านหลังพลางเงยหน้าขึ้นเพื่อสามารถที่จะประคบยาได้สะดวก

ความอุ่นร้อนและกลิ่นฉุนเจือจางของสมุนไพรแนบลงข้างกรอบหน้าอย่างเบามือ ไอ้กล้าหลับตาพริ้มเมื่อรู้สึกผ่อนคลาย มันชอบนักล่ะยามที่น้องมาทำแผลให้เช่นนี้เพราะมือเจ้าแก้วนั้นเบาอย่างกับอะไรดี

“ถ้าปวด คราวหลังก็อย่าไปต่อยตีกับเขาไปทั่วสิจ๊ะ” เด็กหนุ่มว่าด้วยท่าทีพาซื่อ เรียวคิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับเรื่องวิวาทของพี่มันเท่าใดนักและถึงแม้นจะไม่ชอบใจเจ้าแก้วก็หาได้ว่ากล่าวสิ่งใดออกไป

แต่กับคนเป็นพี่นั้นกลับรับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าแก้วมันเริ่มไม่ชอบใจเข้าแล้ว…

..เพราะน้ำหนักมือที่กดลงมาบนแผลย้ำๆ นี่อย่างไรเล่า…

“ก็ไอ้ห่ามืดมันกวนส้นตีนข้าก่อน” ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสียเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน “ข้าไม่ผิด”

“พี่กล้าอายุเท่าใดแล้ว” เจ้าแก้วปรายตามองมาเพียงนิด ก่อนจะลดน้ำหนักมือลงเมื่อเห็นว่าพี่ของมันเจ็บ “ปีนี้ยี่สิบสามแล้วนะจ๊ะ”

“…” ทำได้เพียงแค่นั่งเงียบฟังน้องพูดอย่างตั้งอกตั้งใจเสียยิ่งกว่าตอนที่พ่อครูว่ากล่าวตักเตือนเสียอีก

“หาใช่เด็กๆแล้ว เหตุใดจึงไม่หัดระงับโทสะเสียบ้าง” นัยน์ตาสีสวยทอแสงอ่อนลง ในน้ำเสียงนุ่มหาได้แฝงอารมณ์ขุ่นมัวในตัวพี่มันเลยแม้แต่น้อย

“…ก็มันว่าเอ็ง” ชายหนุ่มเหงาหงอยลงไปอย่างเห็นได้ชัด “ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดมาว่าเอ็งเสียๆ หายๆ”

เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าแก้วก็ทอดถอนใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะระบายยิ้มออกมาพร้อมกับชี้บริเวณดวงตาข้างซ้ายที่ถูกพันปิดไว้ด้วยผ้า

“เสียๆ หายๆ อย่างไรหรือจ๊ะ” มันถามอย่าพาซื่อ “ที่ฉันตาบอดน่ะหรือ?”

“ไอ้แก้ว” ผู้เป็นพี่ขัดขึ้นมาอย่างสุดจะทน เพราะเขาไม่อยากให้มันรู้สึกแย่กับเรื่องพรรค์นี้อีก

“พี่กล้า” เจ้าแก้วเสียงอ่อนลง “ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่จ๊ะ ฉันก็ตาบอดดั่งที่เขาว่ากล่าว แล้วเหตุใดจึงจะต้องโกรธด้วยในเมื่อเขาก็แค่พูดความจริง” แม้นจะพูดเรื่องที่หนักหนาเช่นนี้ แต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับพูดมันออกมาราวกับความพิกลพิการของมันนั้นเป็นเพียงเรื่องปรกติทั่วไป เจ้าแก้วยังคงยิ้มอยู่ต่างกับพี่มันที่หน้าบูดบึ้งลงไปทุกที “หรือพี่กล้าอับอายที่ฉันเป็นแบบนี้?” น้ำเสียงนั้นสลดลงจนไอ้กล้านั้นใจเสีย

“พูดบ้าอันใดของเอ็ง!” ชายหนุ่มเผลอตวาดออกมาอย่างลืมตัว แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายจึงรู้ว่าถูกไอ้แก้วมันเย้าแหย่เข้าเสียแล้ว เด็กหนุ่มกลับมายิ้มสดใสดังเดิมหลังจากที่จงใจว่าเสียงเศร้าแกล้งพี่มันไป

..ซ้ำยังไปแหย่ถูกจุดเสียด้วย...

แต่เมื่ออารมณ์มันขึ้นแล้วมีหรือจะดับลงโดยง่าย ไอ้กล้าพูดเสียงหนักแน่นพร้อมกับยกนิ้วดันหน้าผากน้องมันย้ำๆ จนเจ้าแก้วต้องเอี้ยวตัวหลบเป็นพัลวัน

“ข้าไม่เคยอับอายที่เอ็งเป็นเช่นนี้...ไม่เคยแม้แต่จะคิด ถึงเอ็งจะบอดสนิททั้งสองข้างหรือทั้งมือทั้งตีนสั้นกุดข้าก็รักเอ็ง จำใส่กะโหลกไว้เสีย” ครานี้กลับกลายเป็นเจ้าแก้วเสียเองที่ต้องนั่งฟัง “ข้าแค่ไม่ชอบใจที่พวกมันพูดถึงเอ็งแบบสนุกปากเช่นนั้น มันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับเอ็ง แต่ไม่ใช่กับข้า...ไอ้แก้ว”

ไม่พูดเปล่าร่างสูงใหญ่กลับเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อพิงเข้ากับอกของน้องมันราวกับต้องการที่พักพิง

“ข้าขอโทษก็แล้วกัน...ที่ขยันสร้างแต่เรื่องปวดหัวให้พ่อครูกับเอ็งไม่เว้นแต่ละวัน” น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือแววรู้สึกผิดอย่างแท้จริง ก่อนจะเกลือกกลิ้งศีรษะไปมาจนเสื้อน้องยับยู่ไปหมด

..ราวกับเสือโคร่งตัวโตๆ กำลังออดอ้อนอย่างไรอย่างนั้น

“ฉันหาได้โกรธเคืองอะไรเลย” เจ้าแก้วยกมือขึ้นโอบรอบลำคอพี่มันไว้ ก่อนจะโดนอีกฝ่ายดึงเข้าไปกอดทั้งตัว อ้อมแขนแข็งแรงโอบรัดแน่นราวกับต้องการย้ำว่าเขานั้นรักมันมากเพียงใด “ที่พูดก็เพราะเป็นห่วงพี่กล้าทั้งนั้น…อย่ามีเรื่องกับใครเพราะเรื่องของฉันอีกเลยนะ” เด็กหนุ่มซบใบหน้าเข้ากับอกผู้เป็นพี่อย่างออดอ้อน

“เอ็งมันก็แบบนี้ทุกทีสิวะ” เสียงทุ้มต่ำสบถอย่างไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้

“แบบไหนหรือจ๊ะ”

“อ้อนเป็นเด็กไปได้ ข้าไม่ใจอ่อนหรอกนะบอกไว้เลย”

“ฉันโตแล้วนะจ๊ะพี่กล้า” เจ้าแก้วแย้งกลับ

“สิบเจ็ดปี…โตกับผีเอ็งน่ะสิ” เอาเจ้าเนื้อแก้มเยอะๆ นี่ออกไปให้ได้เสียก่อนค่อยริมาออกปากเถียง

แต่เมื่อนึกดูดีๆ แล้วเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านนั้นเจริญพันธุ์นำหน้ามันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่กับเจ้าแก้วนั้นบรรยากาศรอบกายมันทั้งนุ่มนวลอ่อนโยนหาได้แข็งกระด้างดั่งเช่นเด็กหนุ่มคนอื่นๆ

ถ้าจะเปรียบเทียบกันหากเขาเป็นดั่งเปลวเพลิงที่พร้อมแผดเผาทุกสรรพสิ่ง เจ้าแก้วก็คงเป็นสายน้ำฉ่ำเย็นที่คอยช่วยชโลมจิตใจให้ชุ่มฉ่ำ

..และเพราะมันเป็นเช่นนี้ เขาถึงได้นึกหวงแหนมันนัก...

“ฮื่อ ฉันไม่คุยกับพี่กล้าแล้ว”

ไอ้คนที่พึ่งยืนยันตนว่ามันโตแล้วกลับลุกหนีเดินลงเรือนไปอย่างว่องไว ทิ้งให้พี่มันต้องพยุงตัวลุกขึ้นเดินตามลงไปอย่างยากลำบาก

เมื่อเดินลงมาก็เห็นพ่อครูกำลังยืนคุมเหล่าบรรดาลูกศิษย์เข้าคู่ฝึกซ้อมกันอยู่อย่างแข็งขันและเมื่อพวกมันเห็นเขาก็ตั้งท่าจะพากันวิ่งกรูเข้ามาหาจนโดนครูบุญเอ็ดตะโรเข้าให้นั่นล่ะถึงจะพากันกลับไปตั้งใจซ้อมดังเดิม

“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะพี่กล้า ดีขึ้นบ้างหรือยัง” ไอ้ดินเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจ้าแก้วเอ่ยถามขึ้นในระหว่างที่กำลังยกเป้าล่อให้คู่ฝึกซ้อมของตนเอง

“เอ็งแหกตาดูสิวะ” ชายหนุ่มเดินกะเผลกไปยืนพิงเสาเรือนไว้เพื่อเป็นหลัก ก่อนจะตอบคำถามอีกฝ่ายอย่างใส่อารมณ์นิดหน่อยเมื่อหางตาสังเกตเห็นสองอสุราหนุ่มที่กำลังนั่งคุยกันอยู่บนแคร่อีกตัว

…รกหูรกตาฉิบหาย

เมื่อวันก่อนเขาก็ยังไม่ทันได้หายเคืองเรื่องที่จู่ๆ เจ้าแก้วก็ดันเดินกลับเรือนมาพร้อมกับไอ้ยักษ์ตัวแดงนั่น ซ้ำยังดูท่าจะสนิทสนมกันเกินความจำเป็นเสียด้วย

“เอ๊ะ ไอ้ห่านี่ สันดานพาลไปทั่วนะเอ็ง น้องมันก็ถามดีๆ” ครูบุญยกไม้ตะพดขึ้นชี้หน้าพลางว่ากล่าวตำหนิไอ้คนที่โตแต่ตัว

“จับดีๆ สิวะไอ้ดิน! เหลาะแหละเช่นนี้ก็กลับเรือนไปหาแม่เอ็งนู่น!” ไอ้กล้ายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจในคำพูดของพ่อครู ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องหันไปตวาดเด็กหนุ่มแทนจนมันหันรีหันขวางออกแรงจับแน่นจนเหงื่อหยด

“จ..จ้ะ”

..ก็พี่กล้าน่ะเห็นเป็นเช่นนี้ยามที่สอนมวยพวกมันนั้นโหดเอาเรื่องเลยทีเดียวนา…

“แล้วนี่ไอ้แก้วมันไปไหนเสียล่ะพ่อครู” สาดส่องสายตามองหาไปทั่วก็ไม่พบหน้ามัน

“ข้าก็ไม่รู้มัน” ครูบุญมองหาบ้าง ก่อนจะพยักพเยิดหน้าบอกเมื่อเห็นเจ้าแก้วเดินมาจากทางหลังเรือน “นั่นปะไร เดินมาโน่นแล้ว”

“เอ็งจะไปไหนวะ” ไอ้กล้าถามขึ้นเมื่อเห็นน้องมันถือมีดพร้าด้ามยาวติดตัวมาด้วย

“อ้อ ฉันจะเข้าไปตัดต้นไผ่น่ะจ้ะพี่กล้า” มันพูดพร้อมกับพับถลกชายผ้านุ่งขึ้นเก็บไว้ชิดใกล้กับโคนขาอย่างคล่องแคล่ว “พ่อครูบอกวันนี้จะทำแคร่ตัวใหม่กัน ฉันเลยอาสาจะเข้าไปตัดไม้ไผ่มาให้” เด็กหนุ่มเอาผ้าขาวม้ามัดคาดไว้บนศีรษะเพื่อกันหยาดเหงื่อหยดใส่ตา

หลังจากที่คนพี่ไปก่อเรื่องไว้จนแคร่ที่บ้านยายนิ่มพังเละเทะไม่เป็นท่าพ่อครูก็ได้สั่งให้พวกมันยกแคร่อยู่เรือนไปไว้ให้สามยายหลานไว้ใช้แทน

วันนี้อากาศปลอดโปร่งแดดไม่ร้อนจัดมากเท่าใดนัก ครูบุญเลยพูดลอยลมออกมาว่าอยากจะทำแคร่ตัวใหม่ไว้ใช้สักหน่อย เจ้าแก้วเลยขันอาสาเองเสียเลย คราแรกชายชราก็ไม่ยอมเพราะไม่อยากให้ศิษย์รักลำบาก แต่เมื่อโดนมันตะล่อมเข้าหน่อยว่าอยากออกกำลังเสียบ้างก็ต้องยอมตามใจโดยที่ไม่ลืมสั่งให้พวกลูกศิษย์ตัวโตสองคนตามเข้าไปช่วยมันด้วย

“ข้าไปด้วย อูยยย” เสียงทุ้มร้องโอดโอยเมื่อโดนไม้ตะพดเคาะลงบนหัว

“แหกตาดูสังขารตนเองเสียบ้าง” ครูบุญเอ็ดตะโรใหญ่ “ดันทุรังไปก็เป็นภาระน้องมันเสียเปล่า”

“แค่ไม้เสียบตีน ขาฉันไม่ได้ขาดนะพ่อครู--!”

ยัง…มันยังเถียงไม่หยุดหย่อน ครานี้เห็นที่ไม่ต้องใช้แล้วกระมังไม้ตะพดนี่

ต้องฝ่ามือ…เน้นๆ ..

ผั้วะ!

…ฟาดเข้าอย่างจังที่กลางหัวไอ้คนเถียงคำไม่ตกฟากจนไอ้กล้าหูอื้อตาลายไปชั่วขณะ

..เจ็บตัวน่ะไม่เท่าไร แต่ไอ้พวกศิษย์ทั้งหลายแหล่ที่มันกำลังยืนกลั้นขำกันอย่างสุดความสามารถนี่สิมันน่าเสียหน้าฉิบหาย

พ่อครูนะพ่อครู! ไม่ไว้หน้ากันเลย!

“โอ๊ย..” แต่ไม่ทันไรไอ้ตัวดีก็ทรุดตัวลงนั่งยองก้มหน้ากุมหัวตัวเองนิ่ง

“พี่กล้า” เจ้าแก้วเป็นคนแรกที่ถลาเข้าไปดูอาการพี่มันโดยมีครูบุญยืดกอดอกมองดูอยู่ห่างๆ

“ไอ้แก้ว…ข้าเจ็บ” เสียงทุ้มสั่นพร่าสมจริงเสียจนครูบุญเกือบจะใจเสียว่าลงมือกับมันหนักเกินไป แต่ทันได้เห็นสายตาเย้ยหยันที่ถูกส่งมาลับหลังน้องมันพอดีจึงได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เพียงผู้เดียว

..ตอแหลตลบตะแลงเก่งนักนะมึง!

“พี่กล้าเจ็บตรงไหนหรือจ๊ะ” ไอ้คนน้องที่พาซื่อไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของพี่มันก็ออกอาการเป็นห่วงเสียจนใบหน้าซีดเผือดไปหมด

“นี่เจ้าแก้ว...พี่เอ็งมันโดนไม้เสียบตีน หาได้ถูกฟาดกระบาลแยก” ชายชราอดที่จะแทรกขึ้นมาไม่ได้เพราะยามนี้ทั้งฝ่ามือฝ่าเท้ามันคันคะเยอไปเสียหมดเมื่อเห็นไอ้ตัวดีมันแกล้งโอดโอยเกินเหตุ “เอ็งไปเถอะ ประเดี๋ยวข้าดูมันเอง” เขาเดินเข้าไปลูบหัวมันให้คลายความกังวลลง แต่ก็ยังมิวายหรี่ตามองไอ้ตัวโตไว้อย่างคาดโทษ

...น้องมันไม่อยู่เช่นนี้ก็ถือว่าทางสะดวก

“พร้อมหรือยังวะไอ้แก้ว” ชายหนุ่มอีกสองคนเดินเข้ามาสมทบหลังจากที่โดนครูบุญสั่งให้ตามเข้าไปช่วย “เอ้า ไอ้กล้า เป็นอะไรล่ะนั่น” มั่นเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าสหายตนลงไปนั่งกุมหัวบนพื้น

“โรคสำออยมันกำเริบ” ครูบุญว่าเสียงหน่าย เรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่จากสองชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี

“หุบปากไปเลยพวกเอ็ง” ไอ้กล้าจ้องตาเขม็งก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลโดยมีน้องมันคอยช่วยประคองอยู่ไม่ห่าง “แล้วนี่พวกเอ็งจะไปไหนวะ” ชายหนุ่มถามกลับเมื่อเห็นว่าทั้งสองเหน็บมีดพร้าไว้หลังชายผ้านุ่ง

“ครูให้ข้ากับไอ้อินเข้าไปช่วยไอ้แก้วมัน” ชายหนุ่มชี้บอก

“เออๆ ข้าฝากดูมันด้วยก็แล้วกัน” ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นยีหัวคนน้องจนผมเผ้ามันยุ่งเหยิง “ยิ่งชอบเซ่อไม่ดูตาม้าตาเรืออยู่ด้วย”

“ถ้าน้องมันเซ่อ เอ็งก็บอดล่ะวะ มีที่ไหนเอาตีนไปให้ไม้เสียบเล่น” อินแทรกขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ พร้อมกับกระโดดหลบฝ่าเท้าที่พุ่งเข้ามาหาได้อย่างหวุดหวิด

อุบะ! ขนาดมันเจ็บตัวอยู่ยังมือไวตีนไวดีไม่มีตก

“เอ้าๆ เล่นกันเป็นเด็กไปได้ ไปกันได้แล้วพวกเอ็งน่ะ” ครูบุญเข้ามาห้ามทัพได้ทันก่อนที่มะพร้าวจะถูกปาเข้าใส่ไอ้อินที่หัวเราะเสียงดังลั่นวิ่งไปหลบเสานู้นทีเสานี้ทีราวกับเด็กเล็กเด็กน้อย

“เอ้า แก้ว จะไปไหนล่ะนั่น”

เสียงทุ้มต่ำของอสุราหนุ่มอีกตนแทรกขึ้นมาหยุดความโกลาหลที่เกิดขึ้น วิรุณปรายตามองรอบด้านอยู่เพียงครู่จนได้สบเข้ากับไอ้ตัวดีที่ทำหน้าถมึงทึงบอกบุญไม่รับอยู่เมื่อเห็นเขา

“ฉันจะเข้าไปตัดไม้ไผ่มาทำแคร่น่ะจ้ะ” เด็กหนุ่มว่าพร้อมกับเหน็บมีดพร้าเข้าที่หลังชายผ้านุ่ง

“อ้อ” อสุราหนุ่มพยักหน้ารับ “ไปผู้เดียวหรือ”

“เปล่าจ้ะ มีพี่มั่นกับพี่อินเข้าไปช่วยด้วย”

“อย่างนั้นหรือ…ถ้าเช่นนั้นต้องการแรงงานเพิ่มหรือไม่” ใบหน้าคมคร้ามยกยิ้มขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำหน้าฉงนสงสัย

...นัยน์ตาพาซื่อเปล่งประกายสดใสหยอกล้อแสงอาทิตย์ได้อย่างน่าดูชม

“ท่านหมายถึงจะเข้าไปตัดไผ่น่ะหรือจ๊ะ” เจ้าแก้วยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอกดีนัก

“อืม” อสุราหนุ่มตอบรับอย่างนึกขันในความหัวช้าของมัน

“มิเป็นไรดอกพ่อวิรุณ เหนื่อยกายเสียเปล่า” ชายชรารีบบอกขึ้นมาอย่างเกรงอกเกรงใจ “แค่ไอ้มั่นกับไอ้อินก็แรงมากโขแล้ว ท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่เถิด”

“ใช่จ้ะๆ ฉันกับไอ้มั่นแรงดีไม่มีตกอยู่แล้ว” ชายหนุ่มอีกคนเสริมขึ้น

“ให้ข้าช่วยเถอะ” วิรุณยังคงไม่ยอมล่าถอย “ได้ออกกำลังบ้างก็ดีเหมือนกัน อีกอย่างไปกันเยอะๆ จะได้ไม่เหนื่อยมาก”

“ก็ดี” เสียงทุ้มยียวนดังแทรกขึ้นมาขัด เรียกความสนใจของทุกคนให้หันกลับไปมอง “มาอาศัยเขาอยู่ ก็หัดทำตัวมีประโยชน์เสียบ้าง”

ไอ้กล้ายืนพิงเสาเรือนอย่างเกียจคร้าน จากบริเวณนี้มันอยู่ไกลจากพ่อครูมากโขจึงสามารถปากดีได้อย่างไม่กลัวเกรง

“ไอ้กล้า!” ครูบุญหันไปตวาดลั่นเมื่อศิษย์คนโตนั้นปากเสียอย่างไร้มารยาท แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปลงไม้ลงมือตักเตือนก็โดนพ่อวิรุณห้ามปรามไว้เสียก่อน

“ช่างเขาเถิดพ่อเฒ่า” อสุราหนุ่มส่งยิ้มบางเบาไปให้อย่างไม่นึกถือสาหาความ แต่ไอ้ตัวดีกลับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องมองเขม็งมาตาเขียวก่อนมันจะฮึดฮัดเดินหนีไปอีกทาง

“พ่อวิรุณอย่าไปถือสามันเลยนะ ไอ้กล้ามันก็ปากไวเช่นนี้ คิดเสียว่าฟังเสียงหมาเห่าก็แล้วกัน” ครูบุญลำบากใจอย่างหนักเมื่อไอ้ตัวดีมันทำเรื่องงามหน้าทิ้งไว้แล้วหนีเปิดเปิงไปเสียอย่างนั้น

“ช่างเถิดพ่อเฒ่า ข้าหาได้ถือสาสิ่งใด” วิรุณระบายยิ้มออกมาอย่างไม่ติดใจอะไร

...ก็อย่างที่พ่อเฒ่ากล่าวมา คิดเสียว่าหมามันเห่า

...ซ้ำร้ายยังเป็นหมาบ้าตัวใหญ่เสียด้วย...

“เช่นนั้นก็ตามแต่ใจท่านเถิด” ชายชราพยักหน้ารับอย่างจำยอม ก่อนจะหันไปสั่งความกับลูกศิษย์อีกสองคน “พวกเอ็งน่ะอย่าพากันเถลไถลออกนอกทางเชียว เข้าใจหรือไม่”

“จ้ะครู” ทั้งสองขานรับอย่างแข็งขันก่อนจะเดินนำออกไป

“ส่วนเอ็งเจ้าแก้ว ดูแลตนเองให้ดี อย่าให้ข้าต้องเป็นห่วง” ฝ่ามืออุ่นลูบหัวมันไปอีกหน

“จ้ะพ่อครู” เด็กหนุ่มขานรับก่อนจะขอตัวเดินออกมา

เจ้าแก้วเดินนำหน้าวิรุณอยู่เพียงไม่กี่ก้าวแต่ในระหว่างที่กำลังจะเดินผ่านแคร่หน้าเรือนไปกลับต้องหยุดชะงักฝีเท้าไว้เมื่อเสียงทุ้มต่ำของอสุราหนุ่มอีกตนเอ่ยถามขึ้น

“จะไปไหนกัน”

วศินมองมาที่ทั้งสองด้วยสายตาที่เรียบเฉย ก่อนจะสังเกตเห็นปลายด้ามของมีดพร้าที่เหน็บอยู่บนชายผ้านุ่งของเด็กหนุ่มพลันคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“แก้วจะเข้าไปตัดไผ่มาทำแคร่” วิรุณตอบพร้อมกับยกมือขึ้นมาจับบ่าของเจ้าแก้วเอาไว้ “ข้าเลยอาสาไปช่วย…นั่งๆ นอนๆ มาหลายวันมันครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะออกกำลังบ้าง”

ดวงตาคมกล้ามองไปที่มือข้างที่จับอยู่บนบ่าของเด็กหนุ่มพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นขึ้นกว่าเดิม จนใบหน้าคมคายดูดุดันเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว

“...ข้าไปด้วย” เสียงเข้มห้วนตอบกลับ ก่อนจะปรายตามองไปที่เด็กหนุ่มอยู่เพียงครู่ส่งผลให้เจ้าแก้วสะดุ้งตื่นเล็กน้อยเมื่อได้สบเข้ากับสายตาดุดันของอีกฝ่าย

“จะดีหรือ” วิรุณเลิกคิ้วมองสหายของตน “แขนเจ้าก็ยังไม่หายดี พักอยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือ”

“ข้าก็อยากออกไปยืดเส้นยืดสายเหมือนกัน” อสุราหนุ่มว่าตัดบทไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะลุกเดินนำออกไป ทิ้งให้คนที่อยู่เบื้องหลังงุนงงอยู่ไม่น้อย

...หน้านิ่วคิ้วขมวดอันใดของมัน ทำอย่างกับไปกินรังแตนมาอย่างไรอย่างนั้น

ระหว่างทางเดินเข้าไปในไพรกว้างเสียงพูดคุยของอสุราหนุ่มและเด็กหนุ่มที่เดินรั้งท้ายสุดดังแว่วขึ้นเป็นระยะ บางครั้งก็เป็นเสียงหัวเราะของเจ้าแก้วที่หลุดขำออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของวิรุณ ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องสมุนไพรนานาชนิดที่เขามีความสงสัยใคร่รู้เจ้าแก้วก็จะรีบอธิบายให้ฟังเสียยาวเหยียดถามตอบกันอย่างเพลิดเพลินจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบกายไปเสียหมด

“นั่นใช่ต้นแก้วหรือเปล่า” วิรุณชี้ไปทางไม้ยืนต้นขนาดกลางที่คุ้นตา ขนาดลำต้นนั้นดูสูงกว่าที่เคยพบเห็นจากเรือนของครูบุญอยู่เล็กน้อย

“ใช่จ้ะ พี่ยักษ์รู้จักด้วยหรือ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแข็งขันก่อนจะเดินเข้าไปเด็ดใบและดอกของต้นแก้วมาไว้ในมือ “ต้นแก้วเนี่ยมีสรรพคุณเยอะเลยนะจ๊ะ อย่างเช่นใบของมันบางวันพี่กล้าก็ชอบเอาไปเคี้ยวให้ตัวร้อนเพราะขี้เกียจลุกไปทำการทำงาน”

อสุราหนุ่มหลุดขำออกมาอย่างไม่ไว้ท่าเมื่อได้รู้ถึงวีรกรรมของไอ้ตัวดีเพิ่มอีกอย่าง

“แล้วได้ผลหรือไม่”

เจ้าแก้วระบายยิ้มพร้อมส่ายหน้าหวือ “ไม่เลยจ้ะ พ่อครูรู้ทันเสียก่อน”

“แล้วดอกแก้วล่ะ ทำสิ่งใดได้บ้าง”

“เยอะแยะไปหมดเลยจ้ะ แต่ที่ฉันชอบก็คือกลิ่นของดอกแก้ว มันหอมมากๆ” ไม่ว่าเปล่ายังยกดอกสีขาวนวลขึ้นจรดปลายจมูกเหมือนดังที่เคยทำ

“จริงหรือ?” ไม่น่าเชื่อว่าต้นเล็กๆ เช่นนั้นจะเป็นพันธุ์ไม้หอมกับเขาด้วย

“จริงสิจ๊ะ พี่ยักษ์ลองดมดูสิ” เด็กหนุ่มยื่นดอกแก้วไปตรงหน้าอย่างลืมตัว มันพยักพเยิดหน้าให้เมื่อเห็นท่าทีลังเลจากอีกฝ่าย

วิรุณพยักหน้ารับก่อนจะก้มหน้าลงมาหาเพราะด้วยส่วนสูงที่ต่างกัน ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นกอบกุมมือข้างที่จับดอกแก้วไว้มั่น ปลายจมูกโด่งแตะลงที่กลีบขาวบางของผกาดอกน้อยก่อนจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมจรุงอบอวลอยู่รอบๆ

..หอมจริงอย่างที่เจ้าแก้วบอก...

“หอมไหมจ้ะ” ใบหน้าพาซื่อเงยขึ้นมองอย่างเฝ้ารอคำตอบ

“อืม” อสุราหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะปล่อยมือแล้วยืดตัวขึ้นตรงตามเดิม

ปลายนิ้วคลึงเข้าหากันเมื่อความอุ่นของผิวเนื้ออีกฝ่ายยังคงติดตรึงอยู่ซ้ำกลิ่นหอมนั้นก็ยังไม่จางหายไป เห็นทีคงจะไม่ใช่เพียงเพราะกลิ่นของดอกแก้วอย่างเดียวแล้วกระมัง..

ตุบ!

เสียงของหนักกระทบพื้นอยู่บริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลดึงความสนใจของทั้งคู่ให้หันไปมอง

“มีอะไรหรือวศิน” วิรุณเอ่ยถามสหายของตนก่อนจะหันไปมองก้อนหินขนาดพอเหมาะที่อีกฝ่ายปามาทางโพรงไม้ที่อยู่ใกล้ๆ

“งู” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพร้อมกับชี้ให้ดู เมื่อมองตามก็ทันเห็นเพียงแค่ปลายหางเลื้อยหายเข้าไปไปโพรงไม้เสียแล้ว

“อ้อ” วิรุณพยักหน้ารับอย่างเข้าใจว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ต้องการที่จะไล่งูให้ก็เท่านั้น

“ไปกันได้แล้ว” นัยน์ตาคมหันมองไปที่เด็กหนุ่ม “เพื่อนของเจ้าเดินนำไปไกลแล้ว” เมื่อพูดจบก็เดินนำหน้าออกไปโดยไม่แม้นแต่ที่จะหันกลับมามองอีก

“เป็นอะไรของมันล่ะนั่น” อสุราหนุ่มมองตามหลังสหายตนไปด้วยความงุนงง

ตั้งแต่อยู่ที่เรือนแล้วดูมันอารมณ์ไม่ดีอย่างไรชอบกล ทั้งๆ ที่ปรกติก็เป็นคนพูดน้อยยิ้มยากอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว ยิ่งยามนี้หน้านิ่วคิ้วขมวดก็ยิ่งไปกันใหญ่

ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้เจ้าแก้วเผลอมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนลับสายตา เรียวคิ้วได้รูปยู่เข้าหากันเล็กน้อยอย่างคิดไม่ตกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก แต่เมื่อคิดว่าคงเป็นเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวเด็กหนุ่มจึงไม่ได้ติดใจมากนัก

ระหว่างทางเจ้าแก้วก็ยังคงพูดเจื้อยแจ้วเจรจาอยู่ตลอด ครานี้วิรุณเลยถือโอกาสลอบมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายอีกหน ใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นดูอย่างไรก็คงยังไม่เจริญเติบโตเต็มวัยหนุ่มอย่างแน่นอน

...หากให้คาดเดาก็คงประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีกระมัง

“ว่าแต่แก้วเถอะ อายุเท่าใดแล้วเล่า”

“ฉันน่ะหรือจ๊ะ?”

“ใช่”

“อีกไม่กี่เดือนก็สิบเจ็ดเต็มแล้วจ้ะ”

..นั่นปะไร...ห่างกันสิบปีพอดิบพอดี..

____________



อุ...ชื่อตอนนี่หมายถึงพี่กล้าเขาหวงน้องเขานะคะ จริงจริ๊งงง

อย่าไปคิดม๊ากกกก ก็แค่ไล่งูให้จริงจิ๊งง :hao7:

ขออภัยที่หายหน้าไปนานเลยนะคะ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีปัญหาส่วนตัวรุมเร้านิดหน่อยจึงทำให้ไม่สามารถปิดตอนได้ตามที่หวัง ฮือออ  :hao5:

ตอนนี้สั้นหน่อยนะคะเพราะอีกตอนต่อเนื่องกันพันไมล์เลยตัดจบตรงนี้ก่อน พลังหมดพอดี แงงง



ปล.เฉลยอายุเจ้าแก้วแล้วนะคะ แค่16ย่าง17เอ๊งง สมัยก่อนไม่มีกฏหมายคุ้มครองผู้เยาว์ซะหน่อยเนอะ แค่กๆๆ

 :กอด1: :L2: :L1:

หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๑ - หวงแหน : ๑๓/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 13-08-2018 21:43:44
เชื่อดีไหมเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆ
ตอนนี้ได้แค่หวงไม่รู้ตัว รู้ตัวเมื่อไรเพิ่ม หึง แน่นอน อิอิ
กว่าจะได้ตัดต้นไผ่เสร็จวศินคิ้วผูกเป็นโบว์ไปกี่ชั้นแล้วเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆ
คิดถึงลูกแก้วมากเลย กอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กล้าปากดีจริงๆๆๆรวิรุณปิดด้วยปาก ฮ่าๆๆๆๆ
รออ่านน่ะ^^
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๑ - หวงแหน : ๑๓/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 13-08-2018 21:53:03
สิบปีเอ๊งงงง ยังไงก็ไม่คุกหร๊อกกกกกกก55555 ถึงพี่ยักษ์จะคุก เราก็จะเข้าไปอยู่ในคุกเป็นเพื่อนเองงง เอ๊ะ! หรือเราจะเป็นฝ่ายคอยส่งข้าวส่งน้ำให้พี่ยักษ์ดีน้าา (เอ้า! แปปๆ ก็จะทิ้งพี่ยักษ์แล้วอินี่55555)

พี่กล้าาาา กล้าสมชื่อแถมยังแสบรว้ายๆ เกินพิกัดอีกกก น่าตีจริงๆ เลย อยากให้พี่ยักษ์วิรุณจับฟาดๆๆ (เอ๊ะ! เอาไรฟาดดียย์-...-) พี่กล้าเป็นพี่ที่น่ารักมากๆ เลยนะ แบบไม่ว่าน้องจะเป็นอะไร จะเป็นยังไงพี่ก็รัก โคตรอิจฉา5555 กับพี่เราไม่มีหรอกโมเม้นท์แบบนี้ ส่วนใหญ่ตีกันตาย555555

แอบเห็นคนหึง1eaค่าาาา พี่ยักษ์วิรุณแนะนำออกห่างจากเจ้าแก้วด้วยค่ะ สหายของพี่หึงใหญ่แล้-- //โดนเตะ// นั่นแหละค่ะพี่วิรุณ ออกห่างจากเจ้าแก้วของพี่ยักษ์วศินเดี๋ยวเนนนน้!

คิดถึงนะคะคุณพันไมล์ สู้ๆ กับทุกเรื่องนะคะ เราเป็นกำลังใจให้ กระซิบหน่อย ขอโมเม้นท์พี่ยักษ์กับเจ้าแก้วหวานๆ หน่อยสิ โหยหามากกก5555 รักและเทคแคร์นะคะ><
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๑ - หวงแหน : ๑๓/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าวสวย ที่ 14-08-2018 09:00:31
ชอบมากๆ สงสารวิรัลลลล น้องแก้วก็น้ารัก  มาต่อเร็วๆนะคะ เนื้อเรื่อวคู่หลักแอบบช้านะ ดูยืดยื้อ ยังออกจากป่าไม่ได้สักที เป็นกำลังใจให้ค่าา
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๑ - หวงแหน : ๑๓/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-08-2018 09:26:54
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๑ - หวงแหน : ๑๓/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-08-2018 19:11:10
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๑ - หวงแหน : ๑๓/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 28-08-2018 03:31:44
ไหวหวั่น
.


.


.

               หลังจากเดินหาต้นไผ่ที่พอจะสามารถตัดนำลำต้นไปใช้งานได้ก็กินเวลาไปมากโข เพราะส่วนใหญ่นั้นยังมีเนื้อที่อ่อนเกินไป ไอ้มั่นจึงแนะให้เดินลึกเข้าไปอีกสักหน่อยจนกระทั่งได้เนื้อไผ่ตามที่ต้องการ


               ช่วงเวลาบ่ายคล้อยนั้นร้อนอบอ้าวเสียจนเหงื่อกาฬไหลโทรมกายส่งผลให้เหล่าบรรดาชายหนุ่มต้องถอดเสื้อแสงออกระบายความร้อนกันเสียยกใหญ่


               เจ้าแก้วพาดเสื้อไว้บ่นบ่าหลังจากที่ได้ส่งมอบมีดพร้าไปให้อสุราหนุ่มตามที่ฝ่ายนั้นต้องการ


“จะดีหรือจ๊ะ” มันแย้งขึ้นอย่างเกรงอกเกรงใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกระชับด้ามมีดในมือแน่น


               ..จากมีดพร้าเล่มเขื่อง เมื่อไปอยู่ในมือพี่ยักษ์ตนนั้นกลับดูเล็กลงไปถนัดตาเลยทีเดียว...


“ดีสิ...แก้วไปนั่งพักเถิด ประเดี๋ยวที่เหลือนี้พี่จัดการต่อเอง” วิรุณยิ้มรับพร้อมกับลูบหัวมันไปอีกหน


               หลังจากที่ได้รู้อายุอานามของเด็กหนุ่มแล้วความเอื้อเอ็นดูมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะเจ้าแก้วทำให้เขาคิดถึงเจ้าวิรัลยักษ์น้อยที่อายุอานามไล่เลี่ยกัน


               มิหนำซ้ำสรรพนามที่เปลี่ยนไปนั้นเขาก็เป็นคนริเริ่มก่อนทั้งหมด ด้วยเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกเกร็งยามที่พูดคุยกัน และเจ้าแก้วก็ดูจะชอบใจมากเสียด้วยที่มันจะได้เรียกพี่ยักษ์ตามที่มันอยากจะเรียก 


               ..จู่ๆก็ได้พี่ชายเพิ่มมาอีกคนเสียอย่างนั้น ซ้ำยังเป็นยักษ์เสียด้วย...


“แต่มันเหนื่อยนะจ๊ะพี่ยักษ์ ให้ฉันช่วยเถอะ” ..ก็ยังคงคะยั้นคะยอไม่เลิกราทั้งๆที่มือตัวเองพองแดงไปหมด


               ต่อให้มือจะหยาบกร้านเพียงใด ลองมาถือมีดพร้าเล่มใหญ่ไว้นานๆดูเถิด ขี้คร้านจะต้องร้องโอดโอยกันระงม แต่เจ้าแก้วกลับยังนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกไม่ระแคะระคายใดๆ ไม่แม้นแต่จะปริปากบ่น จนเขาสังเกตเห็นว่ามือมันเริ่มระบมนั่นล่ะจึงต้องขออาสาเข้าไปช่วย


               ..เห็นเช่นนี้ก็ดื้อด้านเป็นกับเขาเหมือนกัน...คล้ายพี่มันไม่มีผิดเพี้ยน...


“พี่ฟันฉับเดียวก็ขาดแล้ว แรงเยอะกว่าแก้วตั้งเท่าใด ลืมแล้วหรือ” วิรุณเอ่ยอย่างขบขันเมื่อเห็นว่าไอ้ตัวดีคนเล็กมันยู่หน้าอยากจะออกปากเถียงอย่างไม่ยอมแพ้


“แต่..”


               ..เถียงเก่งจริงนะ ตัวแค่นี้


“เอาเถิด พี่อยากช่วย อย่าคิดสิ่งใดให้มากความเลย”


               เมื่อหมดหนทางจะโต้แย้งเจ้าแก้วก็พยักหน้าพยักตาอย่างจำยอม แต่ถึงกระนั้นก็หาได้ไปนั่งพักตามที่เขาบอก กลับเดินตามต้อยๆเพื่อสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่างแทน   


“ยามที่ตัดออกต้องเหลือข้อไผ่ด้านล่างไว้ด้วยสักสองสามข้อนะจ๊ะ” มันแย้งขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่ยักษ์ของมันฟันมีดเข้าโคนไผ่ฉับเดียวจนโค่นล้มลงมาทั้งต้น


“ทำไมรึ” อสุราหนุ่มยกแขนขึ้นหวังจะปาดหยดเหงื่อที่กำลังจะไหลเข้าตาแต่อีกฝ่ายกลับยื่นเสื้อของตนเองมาให้เช็ดเสียก่อน


               ..กลิ่นอบร่ำของไอแดดขจรขจายอยู่บนเนื้อผ้า ซ้ำยังได้กลิ่นหอมเจือจางที่คุ้นเคยกรุ่นอยู่ที่ปลายจมูก


“ลำต้นมันจะได้ไม่ตายน่ะจ้ะ” มันรับเสื้อคืนมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อนๆเมื่อรู้ว่าตนเผลอกระทำการมิสมควรลงไป “ขอโทษนะจ๊ะ เสื้อฉันเหม็นเหงื่อถึงเพียงนี้ ยังกล้าเอาไปให้พี่ยักษ์เช็ดอีก” …ถ้าพ่อครูรู้โดนเอ็ดยกใหญ่แน่


“ไม่เหม็นหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบาในประโยคท้าย “...หอม”


“อะไรหรือจ๊ะ”มันเงยหน้ามองเมื่อรู้สึกว่าตนได้ยินไม่ชัดเท่าใดนัก


“เปล่า” อสุราหนุ่มเปลี่ยนเรื่องในทันควัน โดยเจ้ามนุษย์หัวช้าก็คล้อยตามมากับเขาอย่างง่ายดาย “แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าต้นไหนเหมาะที่จะตัดไปใช้งาน” พร้อมกับชี้ปลายมีดพร้าไปยังกอต้นไผ่


“ไม่ยากเลยจ้ะ” มันพยักหน้ารับก่อนจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดยิบ “ต้องดูตรงรอยต่อปล้องไผ่หรือที่เขาเรียกกันว่าตาต้นไผ่ หากมันเป็นสีเหลืองหรือออกน้ำตาลๆก็เป็นอันว่าใช้ได้จ้ะ”


“แล้วถ้าเป็นสีเขียวเช่นนี้เล่า”


“แบบนั้นก็แสดงว่าลำต้นมันยังอ่อนไปจ้ะพี่ยักษ์”


“อ้อ” ใบหน้าคมคร้ามกดพยักรับอย่างกระจ่างแจ้ง ก่อนจะลงมือฟันลำต้นไผ่ต่อ


               แรงของอสุราหนุ่มนั้นเหนือชั้นกว่าแรงของมนุษย์อยู่มากตามอย่างที่ว่า เพียงลงแรงฟันฉับเดียวกอไผ่ก็ล้มลงได้อย่างง่ายดาย เรียกเสียงโห่ฮาอย่างชอบอกชอบใจจากไอ้อินกับไอ้มั่นได้เป็นอย่างดี พวกมันทั้งสองยืนมองพ่อยักษ์หนุ่มรูปงามออกแรงตัดต้นไผ่อย่างชื่นชมจนออกนอกหน้าซ้ำยังยกยอปอปั้นไม่ขาดปาก


               ...ว่าก็ว่าเถอะ...ลำไผ่เพียงเท่านั้นให้หักด้วยมือเปล่ายังได้เลยกระมัง...


“สุดยอดเลยจ้ะ ท่านฟันฉับเดียวก็ขาดสะบั้นแล้ว พวกฉันนี่ฟันกันจนข้อมือแทบหัก” ไอ้อินเข้าไปปะเหลาะอยู่ไม่ห่าง ยามนี้มันทิ้งมีดพร้าไว้อย่างไม่ดูดำดูดีและถือโอกาสอู้มันไปด้วยเสียเลย


“ข้ออ่อนเช่นนี้ไว้กลับไปข้าจะบอกไอ้กล้าให้ดีไหมเล่า แลกแข้งแลกหมัดกับมันสักสองสามยก ช่วยได้เยอะเลยนะเอ็ง” โดนเพื่อนเย้าเข้าหน่อยไอ้คนช่างอู้ก็ตีหน้าแหยทันที


“พับผ่าเถอะ ให้ข้าไปจับเสือยังจะง่ายเสียกว่า” ..เพราะไอ้กล้ายามที่มันองค์ลงนี่ดุเสียยิ่งกว่าเสือเสียอีก มือหนักตีนหนักอย่างกับอะไรดี เพียงแค่หวนนึกถึงเมื่อครั้นที่เคยเข้าคู่ฝึกซ้อมกัน มันเล่นเขาซะน่วมไปหมดกระดูกกระเดี้ยวร้าวจนต้องนอนประคบยาอยู่หลายวัน


“ขนาดนั้นเชียวรึ” วิรุณอดที่จะเอ่ยแทรกขึ้นมากลางบทสนทนาของชายหนุ่มทั้งสองไม่ได้


               ...นี่ผู้อื่นเขาหวาดกลัวไอ้ตัวดีมันขนาดนั้นเลยเชียว?


“โอ้ย นี่ถือว่ายังน้อยไปนะจ๊ะท่าน ทั้งหมู่บ้านไม่มีผู้ใดกล้าหือกับมันหรอกจ้ะ แรงเยอะอย่างกับอะไรดี” เมื่อได้ทีเผาเพื่อนไอ้อินก็ใส่ไฟเสียยกใหญ่ โดยมีคู่หูอีกคนพยักหน้าส่งเสริมอย่างเข้าขากัน


“ไอ้กล้าน่ะ เรี่ยวแรงมันผิดมนุษย์มนา” มั่นว่าเสียงจริงจัง “บ้าดีเดือดไม่มีใครเกิน มิเช่นนั้นครูจะคอยตามคุมมันไม่ให้ห่างหรือ นี่ถ้าเมื่อวันก่อนครูไปห้ามเอาไว้ไม่ทันล่ะก็มีหวังไม่ไอ้กล้าก็ไอ้มืดล่ะที่ต้องนอนจมกองเลือด”


               ไอ้กล้ากับไอ้มืดมันตัวสูงใหญ่พอกันทั้งคู่ เรี่ยวแรงหรือก็สูสี ขนาดเป็นบุรุษเฉกเช่นเดียวกันยังอดที่จะยอมรับไม่ได้เลยว่าไอ้สองคนนั้นมันน่ากลัว เพียงแค่ประจันหน้ากันก็แผ่ไอสังหารไปทั่วทั้งบริเวณ เล่นเอาชาวบ้านชาวช่องขนลุกขนพองไปตามๆกัน


               ..แต่ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อล่ะวะ...


 “ทั้งสองมีเรื่องผิดใจกันมาก่อนหรือ”…เพราะจากท่าทางวันนั้นแล้วดูเอาเรื่องกันทั้งคู่เลยทีเดียว


“โอยย เป็นมานานมากโขแล้วจ้ะท่าน สองสามปีได้แล้วกระมัง” ไอ้อินคันปากเป็นหนักหนายามที่จะได้นินทาไอ้กล้ามันลับหลัง..โอกาสงามเช่นนี้มีหรือที่มันจะปล่อยให้หลุดมือไป!


“เรื่องกระไรเล่า” อสุราหนุ่มหยุดมือที่กำลังลงแรงฟันกอไผ่ไว้ก่อนจะหันมาตั้งใจฟังคู่สนทนา


               ..เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันนั้นไปก่อวีรกรรมอะไรไว้...ชอบพาลไปทั่วเช่นนี้เป็นเฉพาะกับเขาหรือเป็นโดยสันดานของมัน...


“ก็เรื่องนังบัวหลานยายนิ่มน่ะสิจ๊ะ” มั่นที่กำลังนอนเอนกายอยู่ใต้ร่มไม้เสริมขึ้น “ไอ้กล้ากับไอ้มืดมันดันไปหมายตาสาวคนเดียวกันเข้าเมื่อสามปีก่อน เลยมีเรื่องให้ต้องเขม่นกันนิดหน่อย”..นิดหน่อยในที่นี้ก็คือหน้าบวมปากบวมกันทั้งคู่ล่ะวะ


“แต่พ่อไอ้มืดมาห้ามไว้เสียก่อนน่ะจ้ะ มิหนำซ้ำยังแนะให้พวกมันตีมวยกันตัวต่อตัวไปเลยจะได้รู้แพ้รู้ชนะ”


“ขนาดนั้นเชียวรึ” คิ้วเข้มขมวดยู่เข้าหากันเล็กน้อย “แล้วผู้ใดชนะล่ะ?”


“ก็ไอ้กล้าน่ะสิจ๊ะ ซัดฝ่ายนั้นเสียหมอบราบเลยเชียว” พอได้ย้อนความก็อดที่จะนึกขำไม่ได้ เพลานั้นหากเขากับไอ้มั่นไม่เข้าไปลากมันออกมามีหวังไอ้มืดได้ดับมืดคาตีนสมชื่อเป็นแน่แท้


“แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกมันก็เป็นเช่นนี้ล่ะจ้ะ เจอหน้ากันหน่อยล่ะไม่ได้ ไอ้นั่นก็ชอบยียวน ไอ้นี่ก็จุดติดง่าย ไม่มีหรอกยืนคุยกันดีๆตามประสาคนทั่วไปเขาทำกัน” ไอ้อินส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายใจ เพราะพอพวกมันสองคนทะเลาะเบาะแว้งกันทีไร ก็เห็นจะมีแต่ครูนั่นล่ะที่คอยตามเช็ดตามล้างให้เสมอ ไหนจะลำบากน้องมันที่ต้องมาคอยดูแลไอ้คนที่โตแต่ตัวนั่นอีก


“แต่พักหลังๆมานี้ข้ารู้สึกว่าพวกมันสองคนเขม่นกันหนักขึ้นแล้วนา ไอ้อิน” ...เพราะมันดูอึมครึมขึ้นกว่าเดิมอย่างไรชอบกล


“ก็แน่สิวะ นังบัวมันแสดงออกชัดเจนว่ามีใจให้ไอ้กล้าปานนั้น มีหรือไอ้มืดมันจะอยู่เฉย” พูดก็พูดเถอะ ไอ้มืดก็หาได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร หนำซ้ำยังรูปหล่อคมสันพอๆกันอีก แต่ที่ไอ้กล้าได้เปรียบก็เห็นจะเป็นคารมคำหวานที่มันมักใช้ป้อยอหญิงบ่อยๆเช้าถึงเย็นถึงเพียงนี้ มีหรือผู้ใดจะไม่ใจอ่อน


“ดูพี่เอ็งไว้ดีๆด้วยล่ะไอ้แก้ว แกว่งตีนหาเสี้ยนเก่งฉิบหาย” สองชายหนุ่มส่ายหัวอย่างเอือมระอาก่อนจะขอตัวหลบมุมไปพักผ่อนเอนกายให้หายเมื่อยขบอยู่ที่ใต้ร่มไม้


“พี่ยักษ์พักก่อนเถิดจ้ะ ประเดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง” มันบอกอย่างนึกห่วงเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะออกแรงมากเกินควรจนไปกระทบบริเวณแผลฟกช้ำเข้า


“ช่างเถิด เดี๋ยวพี่ทำต่อเอง แก้วไม่ต้องทำแล้ว”


“แต่...” …เจ้าเด็กช่างเจรจานี่ ขี้เกรงอกเกรงใจเสียจริง


“ไม่มีแต่ หากอยากจะช่วยพี่จริงๆ ช่วยนั่งอยู่เฉยๆก็พอแล้ว” สีหน้ามู่ทู่ของมันทำเอาอสุราหนุ่มหลุดขำออกมาอย่างอารมณ์ดี


“ถ้าเช่นนั้นประเดี๋ยวฉันไปหาน้ำหาท่ามาให้ท่านดื่มนะจ้ะ” ท่าทีกระตือรือร้นของมันทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่ที่จะขัดใจ


               ..นัยน์แววตาสีน้ำผึ้งที่ทอประกายหยอกล้อกับแสงอาทิตย์นั้นมันช่างเจิดจ้าและดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าสิ่งใด


“ที่ริมธารนั่นน่ะหรือ” บริเวณโดยรอบนี้แว่วเสียงของน้ำตกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าใดนัก


“ใช่จ้ะ” เจ้าแก้วพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันไปหยิบปล้องไม้ไผ่ที่ถูกตัดไว้เป็นท่อนสั้นๆขึ้นมาไว้สามสี่อันหมายที่จะตักมาเผื่อพี่มั่นกับพี่อินด้วย


“รออีกสักหน่อยเถิด ประเดี๋ยวพี่ไปด้วย” เขาบอกด้วยความหวังดีเพราะเกรงว่าหากปล่อยให้มันถือกลับมาคนเดียวน้ำท่ามันจะกระฉอกทิ้งไปเสียหมด


“ไม่เป็นไรจ้ะพี่ยักษ์ ฉันไปคนเดียวได้” เจ้าแก้วส่ายหน้าปฏิเสธหวือ


“เช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ” ฝ่ามือใหญ่วางประทับลงบนศีรษะได้รูปพร้อมกับออกแรงขยี้เบาๆแต่กลับทำให้อีกฝ่ายหัวสั่นหัวคลอนได้โดยง่าย


               ..เหตุใดจึงไม่ตัวโตๆเท่าพี่ของมันกันนะ...ตัวเพียงเท่านี้ทำเอาเขากะแรงด้วยไม่ถูกเลยเชียว


“จ้ะ” มันพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขันก่อนจะเดินดุ่มๆออกไปจากบริเวณนั้นโดยมีอสุราหนุ่มคอยมองตามไปจนลับสายตา





               เมื่อเดินเข้าใกล้ริมธารไปเรื่อยๆก็เริ่มได้ยินเสียงของสายน้ำชัดขึ้น ส่งผลให้ร่างกายอันแสนอ่อนล้านั้นกลับมาสดชื่นกระปี้กระเป่าได้เป็นอย่างดี เจ้าแก้วเดินเลียบฝั่งไปทางต้นของลำธาร แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อสายตามองเห็นแผ่นหลังกว้างของใครบางคนที่นั่งอยู่บนโขดหิน และด้วยฝ่ายนั้นหันหน้าออกไปทางริมธารพอดิบพอดีจึงยังไม่ทันได้สังเกตเห็นมัน


               ..ที่แท้ก็มานั่งอยู่นี่เอง...


               เห็นดังนั้นเจ้าแก้วจึงค่อยๆลดเสียงฝีเท้าลงด้วยเพราะไม่อยากให้เสียงไปรบกวนอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนสิ่งรอบกายจะไม่เป็นใจเท่าใดนัก เมื่อยามที่ขาอีกข้างยกก้าวถอยหลังก็ดันไปเหยียบกิ่งไม้แห้งที่ระเกะระกะอยู่แถวนั้นเข้าพอดิบพอดี ส่งผลให้อสุราหนุ่มต้องหันกลับมามองหาต้อตอของเสียง


               คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นหอบของพะรุงพะรังเต็มมือไปหมด


“เอ่อ...คือ” เจ้าแก้วตกประหม่าขึ้นมาทันทีเมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาคมกล้า “ฉันมาตักน้ำน่ะจ้ะ”


               วศินไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก ทำเพียงแค่หันหน้ากลับไปมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยดังเดิม


               เห็นดั่งนั้นเด็กหนุ่มจึงรีบปลีกตัวออกมาจากบริเวณนั้นทันทีด้วยเพราะไม่ต้องการที่จะไปรบกวนอีกฝ่ายให้รำคาญใจ เพราะตั้งแต่เช้าแล้วที่ท่านผู้นั้นดูอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก


เมื่อมันเดินมาถึงบริเวณที่ต้องการก็จัดการวางกระบอกไม้ไผ่ลงไว้ข้างโขดหินก่อนจะก้มลงพับชายผ้านุ่งให้สั้นขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่จะสามารถลงไปตักน้ำได้อย่างสะดวก


               เจ้าแก้วเดินลุยน้ำลงไปจนถึงระดับปลีน่อง เมื่อมั่นใจว่าน้ำบริเวณนี้ไร้ซึ่งตะกอนดินและเศษหินแล้วจึงลงมือจัดการตักน้ำใส่ภาชนะที่นำมาจนเต็มทั้งหมด สายนทีฉ่ำเย็นที่ไหลผ่านผิวกายไปนั้นช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดีจนมันอดไม่ได้ที่จะต้องยืนแช่ไว้อย่างนั้น


               นัยน์ตาสีสวยจดจ้องฝูงปลาที่ว่ายแหวกอยู่กลางสายน้ำอย่างเพลิดเพลินจนลืมไปว่าตนนั้นอาสามาเอาน้ำไปให้ใครเขาได้ดื่ม เมื่อคิดได้ดังนั้นมันจึงรีบเดินสวนกระแสน้ำหมายที่จะกลับขึ้นฝั่ง แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวถึงฝั่งความเจ็บแปรบบริเวณฝ่าเท้าก็แล่นเข้าเล่นงานทันที เรียวคิ้วได้รูปขมวดมุ่นขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกแสบบริเวณผิวเนื้อ เจ้าแก้วจึงค่อยๆเดินกระย่องกระแย่งกลับเข้าชายฝั่งอย่างทุลักทุเล


               แต่ยังไม่ทันขึ้นพ้นจากผิวน้ำ จู่ๆก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลดึงเข้าหาจนมันเกือบจะล้มหน้าคว่ำมิหนำซ้ำกระบอกน้ำที่อุส่าห์ลงแรงลงไปตักมาก็หกกระจัดกระจายลงพื้นไปคนละทิศ


“ไม่ดูตาม้าตาเรือหรือ” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นอยู่เหนือหัวแสดงให้เห็นว่าผู้พูดนั้นไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าใดนัก


“ข..ขอโทษจ้ะ” เจ้าแก้วก้มหน้างุดเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงกดดันจากอีกฝ่าย“ฉันไม่ทันได้มองให้ดีก่อน ต..แต่หินบาดเพียงเท่านี้-!”


               จู่ๆตัวก็ลอยขึ้นจากพื้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบเกาะยึดที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวไว้ด้วยสัญชาตญาณ และเมื่อตั้งสติได้มันก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจเพราะในยามนี้ตนนั้นโดนอีกฝ่ายอุ้มไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวราวกับเด็กตัวเล็กๆ การกระทำของอีกฝ่ายทำให้มันเนื้อตัวเกร็งเครียดอยู่ไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าแม้นแต่ที่จะโต้แย้งสิ่งใดออกไปเมื่อโดนสายตาคมดุจ้องกลับมาเป็นเชิงตักเตือน


               วศินอุ้มร่างของเด็กหนุ่มออกมาจากบริเวณนั้นก่อนจะมองหาโขดหินที่พอจะสามารถให้อีกฝ่ายนั่งได้อย่างสะดวกสบาย หลังจากนั้นจึงค่อยวางร่างของเจ้าแก้วลงอย่างเบามือ เมื่อหลุดพ้นจากปราการแข็งแกร่งฝ่ายนั้นก็ดูประดักประเดิดอย่างเห็นได้ชัด มันเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบหน้ากัน นั่นยิ่งสร้างความหงุดหงิดให้อสุราหนุ่มมากขึ้นไปอีก แต่เมื่อสังเกตเห็นหยดเลือดที่ไหลซึมออกมาจากปากแผลเป็นจำนวนมากแล้วความรู้สึกขุ่นมัวที่ถูกสั่งสมมานั้นก็มลายหายไปจนหมดสิ้น


ร่างสูงใหญ่นั่งลงบนโขดหินที่ระดับเตี้ยกว่าของอีกคนก่อนจะยกเอาฝ่าเท้าข้างที่เป็นแผลขึ้นมาวางไว้บนตัก แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงมือล้างเศษดินออกจากแผลเจ้าตัวรั้นก็ดึงขากลับก่อนจะรีบพูดออกมาอย่างหน้าตาตื่น


“ท..ท่านจะทำกระไรหรือจ๊ะ” ลูกแก้วสีสวยเบิกโตอย่างตกใจสุดขีดเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายของมันไปมากโข


“ยื่นเท้าออกมาสิ” อสุราหนุ่มหาได้ฟังความมันไม่ กลับเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าอย่างออกคำสั่ง


“ไม่ได้หรอกจ้ะ ประเดี๋ยวฉันจัดการเอง” เจ้าแก้วส่ายหัวปฏิเสธยกใหญ่ ให้เป็นตายอย่างไรมันก็ไม่มีทางยอมให้อีกฝ่ายนั้นลดตัวลงมาทำเรื่องเช่นนี้เป็นแน่


“ข้าจะไม่พูดเป็นหนที่สอง” …เจ้ากระรอกดื้อด้าน


“ฉันทำเองได้จ้ะ..” มันพูดด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ “ท่านอย่าลำบากเลย”


“…” 


“จริงๆนะจ๊ะ บาดแผลเพียงเท่านี้—อะ..!”


               สองมือรี่จับยึดโขดหินไว้มั่นเมื่อจู่ๆก็โดนเรี่ยวแรงมหาศาลดึงข้อเท้าไป แต่ครานี้เห็นทีจะขัดขืนไม่ได้เสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายปรายตาดุมาเป็นเชิงตักเตือน นัยน์ตาสีนิลเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเพลิงแสดงถึงแรงอารมณ์ที่เริ่มจะขุ่นมัว เพียงเท่านั้นก็ทำเอาเจ้าแก้วต้องนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตนไม่กล้าแม้นแต่ที่จะหายใจออกมาแรงเสียด้วยซ้ำไป


               ..เพราะเกรงว่าจะโดนตาแดงๆคู่นั้นจดจ้องมาอีก...



 (ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๒ - ไหวหวั่น : ๒๘/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 28-08-2018 03:32:53
   



               เมื่ออีกฝ่ายเลิกต่อต้านอสุราหนุ่มจึงก้มลงมาให้ความสนใจกับบาดแผลบริเวณที่ถูกคมหินบาดแทน เพราะเมื่อครู่นี้มันออกแรงดิ้นมากไปจึงทำให้เลือดนั้นซึมออกมาจากแผลมากขึ้นกว่าเดิม


               วศินจัดการประคองฝ่าเท้าของเจ้ามนุษย์หัวรั้นขึ้นมาวางไว้บนตักอย่างเบามือพร้อมกับวักเอาสายน้ำฉ่ำเย็นมาล้างคราบเลือดและคราบดินออกให้


               ..ข้อเท้ามันเล็กเพียงเท่านี้ แม้นเพียงฝ่ามือเดียวของเขาก็กอบกุมไว้ได้โดยรอบ


“อยู่นิ่งๆล่ะ” ว่าไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะค่อยๆใช้ปลายนิ้วดึงเศษหินคมออกจากปากแผล


               เลือดจำนวนมากซึมออกมาเต็มฝ่าเท้าเมื่อโดนปลายนิ้วแข็งบ่มให้เศษดินและกรวดก้อนเล็กก้อนน้อยที่คั่งค้างอยู่ภายในออกมาให้หมด พอมั่นใจได้ว่าไร้ซึ่งเศษตะกอนเกาะอยู่ในแผลแล้วจึงวักน้ำสะอาดขึ้นมาล้างให้จนฝ่าเท้าของอีกฝ่ายสะอาดหมดจด


“เรียบร้อย” เขาบอกพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม “เลิกเกร็งตัวได้แล้ว”


               ท่าทีหวาดกลัวของมันนั้นทำให้เขานึกรำคาญใจอยู่ไม่น้อยเพราะเจ้าตัวเอาแต่นั่งก้มหน้าหลุบตามองผืนหินดินทรายราวกับต้องการที่จะหลบหน้าอย่างไรอย่างนั้น


“ข..ขอบพระคุณจ้ะ” เจ้าแก้วยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่กล้าเงยหน้ามองอีกฝ่ายอยู่ดี


               ในขณะที่กำลังจะประคองตนเองลุกขึ้น จู่ๆก็กลับโดนท่อนแขนแกร่งสองข้างพาดปิดไว้ระหว่างตัว มันเบิกตาโพลงขึ้นอย่างตกใจพร้อมกับผงะตัวไปทางด้านหลังเมื่อโดนอีกฝ่ายจดจ้องมาอย่างไม่วางตา


               นัยน์ตาคมกล้ามองพินิจพิจารณาเจ้าสัตว์ตัวเล็กที่เริ่มลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข มันมองไปรอบๆอย่างหาที่พึ่งแต่สุดท้ายก็ต้องเบือนสายตากลับมามองกันอย่างไร้หนทางที่จะหลบหนี


               ..และปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยเท่านี้ก็สร้างความพอใจให้กับอสุราหนุ่มได้อย่างน่าประหลาด


 “เจ้าหวาดกลัวข้าหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


“คือ..” เจ้าแก้วเริ่มทำตัวไม่ถูก...เพราะด้วยระยะประชิดเช่นนี้ทำให้รับรู้ได้ถึงไอระอุจากผิวกายของอีกฝ่าย “เปล่าจ้ะ ฉ..ฉันหาได้คิดเช่นนั้น”


“โกหก” วศินมองตอบโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อเจ้าคนดื้อด้านมันปากแข็ง


               แต่เขาหาได้มีอารมณ์ขุ่นมัวเจือปนอยู่อีกต่อไปแล้ว เพลานี้ได้ต่อปากต่อคำกับสัตว์ตัวเล็กๆเช่นนี้ก็ผ่อนคลายได้มากเลยทีเดียว


               ..ตัวเท่านี้


               ..มันน่าเย้าแหย่เสียจริง...


“จริงๆนะจ๊ะ” เด็กหนุ่มจดจ้องกลับไปบ้าง ลืมแม้นกระทั่งเผลอตนมองลึกเข้าไปในประกายเพลิงสีเข้ม


“จริงหรือ?” ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้ารัวๆแทน “เช่นนั้นเหตุใดจึงชอบหลบหน้าหลบตานัก”


“ไม่ได้หลบเสียหน่อยจ้ะ” มันเถียงกลับบ้างพร้อมกับก้มหน้างุดลงไปมองหน้าตักของตนแทน เมื่อรู้สึกว่าเริ่มร้อนบริเวณใบหู


“ก็นี่แหละที่เขาเรียกว่าหลบ” อสุราหนุ่มแสร้งว่าเสียงเข้ม แต่ในใจนั้นกลับนึกอยู่ไม่หยอก


               น้ำเสียงทุ้มต่ำไร้ซึ่งความขุ่นเคืองเจือปนดั่งที่แล้วมาทำให้เจ้าแก้วต้องเงยหน้ากลับขึ้นมามองคู่สนทนาอีกหน และสิ่งที่มันเห็นก็ทำให้ภายในอกนั้นเกิดเสียงอึกทึกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่


               ใบหน้าคมคร้ามดูคลายความดุดันจากเมื่อเช้าลงไปอยู่มาก นัยน์ตาสีเพลิงเริ่มเข้มขึ้นก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นสีนิลดังเดิม แสงอาทิตย์ที่กระทบเข้ากับกรอบหน้าคมสันนั้นช่วยขับให้อีกฝ่ายดูน่ามองอย่างน่าประหลาด


               เวลาผ่านไปเพียงครู่หนึ่งกลับเป็นฝ่ายอสุราหนุ่มเสียเองที่ไม่สามารถเบือนสายตาออกไปไหนได้เมื่อโดนนัยน์เนตรสีสวยสะกดตราตรึงไว้ ลูกแก้วที่หยอกล้อกับแสงอาทิตย์นั้นเปล่งประกายมีชีวิตชีวาได้อย่างน่าดูชม แม้นดวงตาอีกข้างจะถูกผ้าพันปิดเอาไว้แต่นั่นก็หาได้ทำให้ความอยากพิศมองลดลงสักเพียงนิด


               ..ยิ่งได้มองก็อยากที่จะมองไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้เบื่อ


               แววตาพาซื่อที่มองตอบกลับมานั้นพาลทำให้ในอกของจอมทัพใหญ่หวามไหวได้อย่างน่าประหลาด เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขามาก่อน มันช่างอ่อนไหวราวกับยอดของดอกหญ้าที่ชูช่ออยู่ท่ามกลางสายลม


               ..เพียงแค่โดนพัดพาก็ย่อมลอยตามไปอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน


               ..ไร้ซึ่งตัวตนของตนเองไปชั่วขณะ...


               รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเกิดสัมผัสแผ่วเบาจรดอยู่บริเวณข้างมุมปากและกลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยกรุ่นอยู่ที่ปลายจมูก


“ยังเจ็บอยู่หรือไม่จ๊ะ” เจ้าแก้วเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลเมื่อมันพึ่งสังเกตเห็นรอยช้ำเจือจางที่ข้างมุมปากของอีกฝ่าย


“ไม่แล้ว” เสียงเข้มขึ้นมาหน่อยเมื่อรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แผลที่โดนเจ้าวิรุณประเคนหมัดใส่เมื่อหลายวันก่อน...มันพึ่งจะมาเห็นหรืออย่างไร


“ท่านไปโดนอะไรมาหรือจ๊ะ” น้ำเสียงและท่าทางเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดทำให้จอมทัพอสุราคลายความขุ่นเคืองลงไปได้อย่างน่าประหลาด แต่ปลายนิ้วที่อยู่ไม่สุขคอยลูบบนรอยฟกช้ำไปมานี่สิที่น่าหวาดหวั่น


               ..ซุกซนนัก...


“ช่างเถิด อย่าได้ใส่ใจเลย” ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาจับหมายจะดึงมือของอีกฝ่ายออกด้วยเพราะสัมผัสนุ่มละมุนนั้นเริ่มทำให้เขาจิตใจว้าวุ่นเสียยิ่งกว่าเก่า


               แต่เมื่อได้สัมผัสแล้วกลับรู้สึกไม่อยากจะปล่อยเสียอย่างนั้น แรงดึงคราแรกที่หมายมั่นจะลงมือกลับแปรเปลี่ยนเป็นแรงบีบกระชับเข้าหาแทน


               ฝ่ามือของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นหาได้อ่อนนุ่มเฉกเช่นของสตรี ความหยาบกระด้างที่มีนั้นก็ปรากฏให้เห็นเหมือนดั่งของบุรุษทั่วไปที่ใช้แรง หากแต่เมื่ออยู่ในมือเขานั้นกลับรู้สึกว่ามันหาได้รู้สึกสากระคายเลยสักนิด อาจเป็นเพราะผิวเนื้ออ่อนของเด็กวัยเจริญพันธุ์ด้วยกระมัง


               ..เพราะฉะนั้นผู้ที่จับศาสตราวุธมาทั้งชีวิตเช่นเขาจึงได้คิดว่าฝ่ามือของเด็กหนุ่มนั้นทั้งเนียนและลื่นมือมากเพียงใด..


“แก้ว”


               เสียงของบุคคลที่สามดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศแปลกประหลาดของคนทั้งคู่ทำให้ทั้งสองจำต้องผละออกห่างจากกันโดยปริยาย


วิรุณเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าที่โล่งอกโล่งใจ เพราะหลังจากที่ตัดต้นไผ่จนได้ปริมาณที่เพียงพอแล้วก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายกลับมาเสียทีจึงนึกเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายเข้าจึงได้ฝากให้มั่นและอินจัดการต่อพร้อมกับขอตัวออกมาตามหาเจ้าแก้ว แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นยังปลอดภัยดีจึงสบายใจขึ้นมาได้


“พี่เห็นว่าแก้วมานานแล้วไม่กลับไปเสียทีเลยเป็นห่วง” อสุราหนุ่มกล่าวก่อนจะหันไปพูดกับสหายของตน “เจ้าก็อยู่ด้วยหรือ”


“อืม” วศินผละลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังจะลุกจากโขดหิน แต่กลับช้ากว่าวิรุณที่เอื้อมมือออกมาหาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมีท่าทีผิดแปลกไป


               ท่าทางที่สนิทสนมชิดเชื้อของทั้งคู่เรียกตะกอนขุ่นมัวที่สงบลงไปแล้วให้กลับขึ้นมาอีกหน ไหนจะสรรพนามที่เจ้าวิรุณใช้ก่อนหน้านั้นอีก...


“แก้วไปโดนอะไรมาหรือ” อสุราหนุ่มถามอย่างเป็นกังวลก่อนจะก้มลงมองฝ่าเท้าข้างที่เกิดบาดแผล


“คือฉัน...”


“โดนหินบาด” จอมทัพอสุราเอ่ยแทรกขึ้นมา “ตอนที่กำลังลงไปตักน้ำ”


“เช่นนั้นหรือ” วิรุณพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปแสร้งเอ่ยดุกับเจ้าตัวรั้นแทน “พี่บอกแล้วอย่างไรว่าให้ระวังตนเอง”


“ขอโทษจ้ะ ฉันไม่ทันได้มองจริงๆ” เจ้าแก้วเซื่องซึมลงไปถนัดตาเมื่อโดนดุติดกันถึงสองครั้งสองครา


“ดูทำหน้าเข้า” อสุราหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาเมื่อสุดท้ายก็เป็นเขาเสียเองที่แสร้งเข้มขรึมใส่อีกฝ่ายต่อไปไม่ไหว ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นยีหัวเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดูอย่างเหลือแสน


“ฮื่อ” เจ้าแก้วทำเสียงฮึดฮัดในลำคอพร้อมกับเอียงหัวหลบเป็นพลวัน ก่อนจะเผลอลืมตนเอี้ยวตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของใครอีกคนแทน


               ..และก็ได้ผล..พี่ยักษ์ของมันหยุดกลั่นแกล้งมันแล้ว..


“โอ้ รู้จักหาที่หลบนี่” วิรุณว่าอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกเปรียบเทียบเด็กหนุ่มกับลูกสัตว์ตัวเล็กๆยามที่โดนศัตรูจู่โจมก็มักที่จะวิ่งรี่ไปหลบอยู่หลังพ่อแม่มันเสมอ


               ..แต่ดูท่าแล้วพ่อมันตัวนี้ดุเอาการ..ยืนจ้องเขาตาเขม็งเลยเชียว..


“พอได้แล้ว” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยปรามเมื่อเห็นว่าเจ้าวิรุณยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเล่นไร้สาระราวกับเด็กเล็กเด็กน้อย


“เสียงเข้มเชียว นี่ข้าเป็นพี่เจ้านะ ลืมแล้วหรือวะ” อสุราหนุ่มหรี่ตามองสหายตนอย่างแสร้งเอาเรื่อง


               เจ้าวศินก็เป็นเช่นนี้..อายุน้อยกว่าเขาก็จริงแต่มันกลับเข้มขรึมเกินวัยเสียยิ่งกว่าตัวเขาอีก


“เพียงสองขวบปี ข้าไม่นับ”


“ไอ้ยักษ์อวดดี” ว่าจบก็ยกเท้าขึ้นหมายจะถีบให้หายคัน แต่อีกฝ่ายนั้นไวทายาทเอี้ยวตัวหลบได้ทันท่วงทีเสียก่อน


“เลิกเล่นได้แล้ววิรุณ” จอมทัพใหญ่เอ่ยปรามอีกฝ่ายอย่างจริงจัง เมื่อเห็นว่าดวงตะวันนั้นเริ่มทอแสงอ่อนลง หากมัวแต่ชักช้าเอ้อระเหยเช่นนี้มีหวังกลับถึงเรือนมืดค่ำกันพอดี


               ..ผู้อื่นนั้นเขาไม่นึกสนใจเท่าใดนักแต่กับเจ้ากระรอกที่ยืนทำหน้าไขสืออยู่ด้านหลังนี่สิเกรงว่าแผลมันจะปวดเอา


“อินกับมั่นกำลังช่วยกันตัดท่อนไผ่อยู่ ยามนี้คงกำลังมัดรวมกันไว้เตรียมขนย้าย” วิรุณหันไปบอก “เช่นนั้นพี่จะกลับไปช่วยพวกเขาก่อน แก้วจะกลับพร้อมกับพี่เลยไหม”


“ไปจ้ะๆ” เจ้าแก้วพยักหน้ารับหงึกหงักแต่แล้วแขนข้างหนึ่งกลับถูกยึดไว้เสียก่อน


“เจ้าไปเถอะ” อสุราหนุ่มออกปากรับแทน “เดี๋ยวทางนี้ข้าดูแลเอง ขาเจ็บเช่นนี้ช่วยแบกไม่ไหวหรอก”


               เมื่อเจ้าแก้วกำลังจะเอ่ยปากแย้งว่าแผลเพียงเท่านี้หาได้สาหัสอะไร แต่แรงจับที่ต้นแขนที่มีมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยนั้นราวกับกำลังตักเตือนว่าให้มันเงียบปากไว้เป็นดีที่สุด


“ข้าดูแลแก้วได้ ไม่ลำบากเจ้าหรอก” วิรุณบอกอย่างเกรงอกเกรงใจ เพราะอีกฝ่ายนั้นแขนอีกข้างก็ยังไม่หายดีเท่าใดนัก


“ไม่ลำบากหรอก…ตัวเพียงเท่านี้”


“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า” อสุราหนุ่มพยักหน้ารับอย่างจำยอมก่อนจะออกเดินนำกลับเข้าไปในป่า


               เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าหากเขามาดูแลเจ้าแก้วก็คงไม่มีคนออกแรงช่วยอินกับมั่น ถ้าจะให้เจ้าวศินไปแบกกอไผ่ในยามนี้ก็เห็นทีจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ประเดี๋ยวจะหาว่ารังแกยักษ์พิการเสียเปล่าๆ


               ..นี่เขาไม่ได้ว่ากล่าวมันเกินความเป็นจริงแต่อย่างใดเลยหนา...





“เดินไหวหรือไม่”  เมื่อเห็นว่าสหายตนเดินออกไปจนพ้นสายตาแล้ว วศินจึงหันกลับมาหาอีกฝ่าย


“ไหวจ้ะ” มันพยักหน้ารับรัวเพื่อเป็นการยืนยันว่าตนนั้นหาได้บาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด


“แน่ใจหรือ” ถามย้ำอีกหน


“แน่ใจจ้ะ ฉันเดินได้ แผลเพียงเท่านี้เอง”


               เมื่อได้รับการยืนยันจากเจ้าตัวอสุราหนุ่มจึงออกเดินนำหน้าโดยมีเจ้าแก้วเดินตามหลังไปอย่างทุลักทุเล


เจ็บแผลน่ะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อีกฝ่ายน่ะขายาวกว่ามันตั้งเท่าใด เพียงก้าวช้าๆของเขาก็ทำเอามันต้องสับขาเดินตามจนกระหืดกระหอบได้อย่างง่ายดาย


               ..เจ้าแก้วมั่นใจเต็มอกเลยว่าขามันนั้นหาได้สั้นม่อต้อแต่อย่างใด เพียงแต่อีกฝ่ายนั้นขายาวเกินไปต่างหาก...


               แต่แล้วคนที่เดินนำอยู่กลับหยุดฝีเท้าไว้จนมันเดินตามมาทัน ก่อนฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งจะยื่นมากอบกุมมือมันไว้โดยที่เจ้าของมือไม่แม้นแต่จะก้มลงมามองเสียด้วยซ้ำไป


“จับไว้” เสียงทุ้มน้ำเอ่ยบอกอย่างเนิบนาบ “หากข้าเดินเร็ว...จะได้ไม่หลงกัน”


               พูดไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะออกตัวเดินต่อ แต่ครานี้อีกฝ่ายชะลอฝีเท้าให้ช้าลงไปมากคล้ายกับต้องการที่จะรอให้มันเดินได้ทันอย่างไรอย่างนั้น     


               เจ้าแก้วเดินตามไปอย่างไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง นัยน์ตาสีสวยก้มลงมองฝ่ามือใหญ่ที่กอบกุมมือของมันไว้จนมิดแทบมองไม่เห็น ความอุ่นร้อนที่โอบล้อมอยู่นั้นทำให้จิตใจสงบลงได้อย่างน่าประหลาด มันเงยขึ้นมองเสี้ยวหน้าคมคร้ามอยู่เพียงครู่หนึ่งพลางแอบเถียงอยู่ในใจ


               อยากจะแย้งเหลือเกินว่าป่าผืนนี้มันเดินมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่


ไม่มีทางที่จะหลงได้หรอก..


               ..แต่เมื่อบังเอิญได้เห็นรอยยิ้มบางเบาที่ปรากฏขึ้นอยู่บนมุมปากของอีกฝ่ายเลยทำให้ต้องจำยอมปล่อยเลยตามเลยไปตามเขาเสียอย่างนั้น..



_________________________



เริ่มเข้าสู่ช่วงหลอกเด็กจ้า ก๊ากกกกกก  :hao7:

มาซะดึกดื่นเลย ขอโทษที่ให้รอนานเลยนะคะ ฮือออ  :z10:



ฝันดีคับบบบ <3   :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๒ - ไหวหวั่น : ๒๘/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-08-2018 09:37:10
เจ้าแก้วเสน่ห์แรง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๒ - ไหวหวั่น : ๒๘/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-08-2018 09:50:33
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๒ - ไหวหวั่น : ๒๘/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 28-08-2018 14:03:26
เจ้าแก้ววววววววว แม่กลับมาแล้วลูกกก คิดถึงแม่ม้ายยยยยย555555 แต่แม่คิดถึงหนูมากๆ เลย //หอมหัว// คิดถึงคุณพันไมล์เหมือนกันนะคะ><

เริ่มกลัวใจพี่ยักษ์วิรุณแล้วอ่ะ พี่ยักษ์ห้ามมาแย่งเจ้าแก้วไปจากพี่ยักษ์วศินนะ ไปหาพี่กล้าเลย เจ้าแก้วนี่จองให้พี่วศินเท่านั้น55555 แต่แอบชอบความพี่น้องของพี่วิรุณกับเจ้าแก้วนะ มันน่ารักอ่ะ พี่วิรุณเหมาะกับการเป็นพี่ชายเจ้าแก้วมากกว่าจริงๆ เจ้าแก้วนี่ต้องพี่วศินอ่ะ //ขิงลูกเขย//

ขอโทษพี่ยักษ์วศินด้วยนะคะ สารภาพว่าแอบลืมชื่อพี่ไปแล้ว555555 นึกว่าพระเอกชื่อวิรุณ //โดนตบ// ค่าตัวแพงเหรอคะพี่ยักษ์ เอาเลขบช.มาค่ะเดี๋ยวโอนค่าตัวให้พร้อมค่ากาแฟของคุณพันไมล์ด้วย55555

มีหวานกว่านี้ไหมคะ ขอมม. พี่ยักษ์ตัวโตกับน้องมนุษย์ตัวเล็กเยอะๆ หน่อยน้า เดี๋ยวลืมชื่อพระเอกอีกกกก //โดนพี่ยักษ์วศินเอาดาบจ่อคอ// ไม่ลืมแล้วก็ได้ค่ะพี่ขา.___.

รักและเทคแคร์นะคะคุณพันไมล์ มิสยู้ววววววว :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๒ - ไหวหวั่น : ๒๘/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 28-08-2018 19:18:16
เจ้าแก้วมันน่ารักจริงๆๆๆๆ
เถียงเก่งซะด้วย
น่าฟัดจริงๆๆ
แค่นี้ท่านวศินก็หวงไม่รู้ตัวแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๒ - ไหวหวั่น : ๒๘/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-08-2018 11:31:53
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๒ - ไหวหวั่น : ๒๘/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-08-2018 00:54:15
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๒ - ไหวหวั่น : ๒๘/๘/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 21-09-2018 07:58:37
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๓ - ใต้แสงจันทรา : ๐๕/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 05-10-2018 18:57:40
ใต้แสงจันทรา


.


.


.
[/b]


“แก้ว แก้วเอ้ย”


               ชายชราเดินถือกระจาดสมุนไพรมาวางไว้บนแคร่ตัวเก่าใต้ถุนเรือนก่อนจะหันกลับไปเรียกศิษย์คนเล็กที่กำลังใช้มีดพร้าเลาะเสี้ยนออกจากลำไม้ไผ่อยู่อย่างขะมักเขม้น


               วานนี้กว่าพวกมันจะกลับมาก็เริ่มโพล้เพล้เต็มที เขาจึงสั่งแยกย้ายให้ไอ้อินกับให้มั่นกลับไปหาลูกหาเมียแทนแล้ววันพรุ่งค่อยมาจัดการกันต่อ แต่ที่ทำให้ครูบุญนึกขุ่นเคืองใจหาใช่เรื่องนั้นไม่ แต่เป็นเรื่องที่ไอ้ตัวดีคนน้องมันดันไปทะเล่อทะล่าหาเรื่องเจ็บตัวไม่เข้าท่าต่างหาก


               เพียงแค่เห็นเจ้าแก้วมันเดินกะเผลกมาแต่ไกลในอกก็ร่วงลงไปอยู่ปลายเท้าแล้วเป็นที่เรียบร้อย แต่พอตั้งท่าจะดุพ่อวิรุณกลับรีบแก้ต่างให้มันเสียก่อน


‘แก้วโดนหินบาดเข้า ตอนที่กำลังลงไปตักน้ำในลำธารให้พวกข้าน่ะพ่อเฒ่า’ อสุราหนุ่มพยักพเยิดหน้าไปทางเจ้าแก้วที่ยิ้มแหยเดินกะเผลกเข้ามาในเขตเรือนโดยมีวศินเดินตามหลังมาไม่ห่าง ชายชราพยักหน้ารับรู้อย่างจำยอมก่อนจะกวักมือเรียกให้มันเดินตามขึ้นไปทำแผลบนเรือน


            ดูแล้วแผลลึกเอาการเลยทีเดียว เขาดุมันไปอย่างไม่จริงจังเท่าใดนักด้วยเพราะนัยน์ตากวางที่มองมาอย่างออดอ้อนอย่างหน้าซื่อตาใสนี่ล่ะ


‘เดี๋ยวเถอะเอ็ง’ มือเหี่ยวย่นเคาะลงบนหน้าผากเบาๆเรียกเสียงหัวเราะจากศิษย์รักได้เป็นอย่างดี


‘พ่อครูจ๊ะ’ เจ้าแก้วเลียบเคียงเข้ามานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆในขณะที่เขากำลังนั่งบดยาใส่แผลให้มันอยู่


‘ว่าอย่างไร’


‘เอ่อ..คือ’ จู่ๆใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ขึ้นสีราวกับจับไข้กะทันหัน ‘พ่อครูจะพาท่านผู้นั้นไปพบหลวงตาตอนไหนหรือจ๊ะ’


            ได้ยินดังนั้นครูบุญก็เลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับพึ่งนึกขึ้นได้ ถ้าเจ้าแก้วไม่ทักท้วงล่ะก็เกือบลืมไปแล้วเชียวว่าจะพาท่านวศินไปพบพระอาจารย์เพื่อให้ช่วยดูอาการของพิษให้


‘คงเป็นมะรืนนี้ ว่าแต่เอ็งถามทำไม’ เขาหรี่ตามองเมื่อเห็นมันเกาปลายจมูกแก้เก้อหน้าตาตื่นราวกับเด็กถูกจับได้ว่าไปเล่นซนมา


‘ป..เปล่าจ้ะ’


‘เอ็งดูสนิทสนมกับพ่อยักษ์ตนนั้นนะ’ น้ำเสียงอ่อนโยนเข้มขึ้นเล็กน้อย ‘ลับหลังข้าคงไม่ได้ไปเล่นหัวอันใดเกินพอดีใช่หรือไม่’


            สิ้นประโยคเจ้าแก้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน เขามองมันอย่างแสร้งจับผิดแต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงหน้าซื่อๆของลูกหมาตัวหนึ่งเท่านั้นจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไป





“เจ้าแก้ว” เอ่ยเรียกซ้ำอีกหนเมื่อมันไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน


               ผู้ถูกเรียกสะดุ้งสุดตัวจนเกือบทำลำไผ่หลุดมือ มันมองตามต้นเสียงไปก็พบว่าพ่อครูยืนเท้าเอวมองอย่างเอาเรื่องจึงต้องรีบวางมือจากงานตรงหน้าแล้ววิ่งแจ้นเข้าไปหาที่ใต้ถุนเรือนทันที


“จ๋าพ่อครู” เด็กหนุ่มดึงผ้าขาวม้าที่โพกศีรษะอยู่ลงมาเช็ดหยดเหงื่อที่กำลังจะไหลเข้าตา


“เอ็งมานั่งคัดสมุนไพรให้ข้านี่ ทางนั้นให้ไอ้อินกับไอ้มั่นมันทำก็พอ” เพราะยามนี้ตะวันกำลังขึ้นตรงกลางศีรษะ แดดช่วงบ่ายแก่นั้นร้อนจัดจนเขาอดที่จะห่วงมันไม่ได้


               ...ยิ่งกระหม่อมบางอยู่ด้วยประเดี๋ยวจะจับไข้แดดเอาได้


“แต่ว่า..”


“ไม่ต้องต่งต้องแต่ ไปจัดการให้เรียบร้อยเสีย” แสร้งว่าเสียงดุใส่เป็นการทิ้งท้ายก่อนจะเดินหนีไปหลังเรือนเพื่อดูเหล่าลูกศิษย์อีกหลายชีวิตฝึกซ้อมช่วยไอ้กล้ามัน แม้นว่าท่านวิรุณจะอาสาไปช่วยอีกแรงแต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี


               ..ไม่วางใจในที่นี้หมายถึงไม่ไว้ใจไอ้ตัวดีนั่นต่างหาก ปล่อยทิ้งให้เผชิญหน้ากับพ่อยักษ์สองต่อสองก็เกรงว่ามันจะกระทำการงามหน้าหาเรื่องให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าอีก


“จ้ะ” เจ้าแก้วพยักหน้าหงึกหงักอย่างจำยอมแล้วจึงเดินเข้าไปใกล้แคร่ตัวนั้นอย่างพินอบพิเทา


               ..เพราะมีใครบางคนนั่งหน้านิ่งอยู่บนแคร่นั่นแลที่ทำให้เจ้าแก้วยักแย่ยักยันกับพ่อครูอยู่นานโข…   


มันเดินก้มหน้างุดเข้าไปใกล้โดยไม่ยอมสบตาอีกฝ่ายหวังเพียงแค่จะยกกระจาดสมุนไพรขึ้นไปคัดอยู่บนชานเรือน แต่แล้วเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจก็เอ่ยดักไว้เสียก่อน


“จะไปไหน”


“ไป...ไปบนเรือนจ้ะ” ...ขืนนั่งทำอยู่นี่มีหวังคัดถูกคัดผิดกันพอดี..


“มานั่งนี่สิ” ราวกับคำบอกก่อนหน้านั้นเป็นเพียงอากาศที่ผู้ฟังไม่ใครจะสนใจ


               ร่างสูงใหญ่เบี่ยงกายเปิดทางเป็นราวกับเป็นการบังคับทางอ้อม


“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ประเดี๋ยวท่านจะนั่งไม่สบายเอา” เจ้าแก้วปฏิเสธเสียงแผ่วเมื่อโดนนัยน์ตาคมดุจ้องมองมา


“เคยบอกไปแล้วมิใช่หรือ” วศินแสร้งกดเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “..ว่าข้าไม่ชอบพูดซ้ำ”


               แล้วก็ได้ผลเมื่อเจ้าสัตว์ตัวน้อยมันเลียบๆเคียงๆนั่งลงบนแคร่ตัวเดียวกันอย่างประหม่าโดยมีกระจาดสมุนไพรคั่นกลางระหว่างทั้งคู่เอาไว้


               ต่างคนต่างตกอยู่ในความเงียบไร้ซึ่งบทสนทนาอื่นใด เจ้าแก้วก้มหน้าลงคัดแยกชนิดของสมุนไพรอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่มีบางครั้งบางคราที่จะเงยหน้าลอบมองอสุราหนุ่มข้างกายจนอีกฝ่ายรู้ตัวว่ากำลังถูกจดจ้องอยู่จึงเบนสายตากลับมามองตอบกลับไปบ้าง ทำเอาเจ้าสัตว์ตัวเล็กสะดุ้งตื่นเล็กน้อยก่อนจะรีบก้มกลับลงไปทำงานของตนต่อ


               จอมทัพใหญ่ทอดมองท่าทีเก้กังของอีกฝ่ายอย่างนึกขัน เมื่อคนที่แสร้งตั้งอกตั้งใจทำงานนั้นมันกลับคัดสมุนไพรผิดๆถูกๆเสียอย่างนั้น..


“ดูดีๆสิ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเตือน


“อะไรหรือจ๊ะ” …ยังคงซื่อตาใสอยู่อย่างไม่รู้ตัว


“นี่” เขาชี้ลงไปยังเหล่าสมุนไพรที่ถูกแยกปะปนกันมั่วไปหมดก่อนจะเลื่อนนิ้วลงมาเคาะที่หน้าผากของอีกฝ่ายแผ่วเบา “ปนกันมั่วไปหมดแล้ว”


“ข..ขอบพระคุณจ้ะ”


               พอรู้ตัวว่าตนพลั้งพลาดเจ้าแก้วก็รีบกุลีกุจอคัดแยกใหม่เป็นการใหญ่โดยมีอีกฝ่ายกอดอกมองอยู่ไม่ห่างและเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาก็ได้พบว่าใบหน้าดุดันนั่นปรากฏรอยยิ้มบางเบาขึ้น เพียงเท่านั้นใบหูก็ร้อนวาบจนต้องก้มหน้ากลับลงไปสนใจสมุนไพรในกระจาดต่อ


               แต่แล้วลมหายใจก็พลันสะดุดเมื่อโดนข้อนิ้วแข็งดันปลายคางให้เชิดขึ้น นัยน์ตาสีน้ำผึ้งไหวสั่นระริกเมื่อถูกผู้สูงศักดิ์กว่าจ้องมองลงมา


“หลบทำไม” เขาแสร้งว่าเสียงเข้ม ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองใบหูที่กำลังขึ้นสีแดงก่ำ


               อสุราหนุ่มมองลึกเข้าไปในลูกแก้วสีอ่อนที่ล้อกับประกายแสงแดดจ้า ใบหน้าเยาว์วัยของเด็กหนุ่มขึ้นสีระเรื่อได้อย่างน่าดูชม


เจ้ากระรอกไร้ซึ่งถ้อยคำโต้แย้งอื่นใด มันทำเพียงเสียงฟึดฟัดขึ้นจมูกเหมือนที่พวกสัตว์ตัวเล็กๆชอบทำยามที่ถูกคุกคามจากสัตว์ใหญ่ มันพยายามเบือนหน้าหลบแต่ครานี้ดูท่าจะไม่ได้ผลเมื่อปลายนิ้วแกร่งถูกแปรเปลี่ยนเป็นอุ้งมือใหญ่ที่โอบระคองใบหน้าไว้แทน


               ...ไม่รู้ว่าจะต้องลงแรงเท่าใดจึงจะพอดี กับเจ้าวิรัลนั้นแม้นจะตัวเล็กกว่าแต่น้องก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันซึ่งเขายังสามารถกะแรงได้ถูกยามหยอกเย้า แต่กับเจ้ามนุษย์หน้าซื่อนี่สิหากทำเช่นเดียวกันมีหวังช้ำไปหมดทั้งตัวเป็นแน่..


               เพราะเกรงว่าจะโดนดุอีกเจ้าแก้วจึงเป็นฝ่ายมองโต้ตอบกลับไปบ้างเพื่อยืนยันว่าตนนั้นหาได้หลบหน้าหลบตาดั่งที่อีกฝ่ายกล่าวหา


...เพียงแค่ทำตัวไม่ถูกก็เท่านั้นเอง..


แต่กลับเป็นฝ่ายอสุราหนุ่มเสียเองที่ต้องชะงักเมื่อโดนลูกแก้วสีสวยจดจ้องกลับมา ในอกของจอมทัพใหญ่วูบไหวจนได้ยินเสียงอึกทึกแว่วเข้ามาในโสตประสาท แม้นจะเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์แต่ชาตินักรบเช่นเขานั้นหาได้เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักใคร่ไม่ วันเวลาที่ผ่านพ้นมีเพียงแค่การศึกให้คำนึงถึง มือทั้งสองที่ใช้จับศาสตราวุธมาตลอดชีวิตหาได้เคยใช้ทะนุถนอมใครอื่นนอกจากน้องของตน


ความอ่อนโยนทั้งหมดที่เขามีให้ก็คือเจ้าวิรัลแต่เพียงผู้เดียว..


..แต่ครานี้กลับมีเจ้าสัตว์ตัวน้อยตรงหน้าเพิ่มมาอีกคนโดยที่เขาเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำไป...


 “โอ้ย!ไอ้มั่น มือข้า!” เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นกะทันหันเรียกสายตาของทั้งคู่ให้หันกลับไปมอง


               อินกระโดดเหยงๆสะบัดมือไม้รัวเมื่อโดนค้อนเหล็กทุบมือเข้าอย่างจัง มั่นรีบสละเครื่องมือช่างในมือแล้วลุกไปดูอาการของเพื่อนอย่างหน้าตาตื่น


               ...จะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไรเล่า ก็ในระหว่างกำลังตีตะปูเพื่อยึดไม้อยู่นั้นจู่ๆไอ้อินก็สะกิดเข้าสีข้างยิกๆก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางใต้ถุนเรือน เพียงเท่านั้นค้อนในมือก็ตีพลาดผิดจังหวะส่งผลให้สหายตนต้องเต้นกระโดดเหยงๆได้อย่างน่าอนาถ


               ...ตายห่า ถ้าไอ้กล้ามาเห็นเข้า ดูท่าคงจะอาละวาดจนเรือนพังไปข้าง..


 “เอ่อ..คือ” อินที่พึ่งรู้ตัวว่าโผงผางไปขัดจังหวะใครเขาเข้าก็ต้องยกยิ้มแก้เก้อเมื่อโดนนัยน์ตาคมดุปรายมองมาเพียงนิด แต่เพียงเท่านั้นก็เรียกให้ขนสันหลังลุกตั้งได้อย่างง่ายดาย และเพราะมัวแต่ยืนใบ้ทำตัวไม่ถูกจึงโดนศอกของมั่นกระทุ้งเรียกสติอีกครา


               แต่ก่อนที่บรรยากาศอึมครึมจะเริ่มก่อตัวขึ้นเสียงร้องทักของเด็กสาวที่คุ้นหน้าค่าตาก็ดังมาจากทางหน้าเรือนเสียก่อน เรียกเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากสองหนุ่มได้ทันท่วงที


“พี่แก้ว!”


“อย่าวิ่งสิเฟื่อง”


               เด็กสาววัยสะพรั่งวิ่งหน้าแชล่มเข้ามาในเขตเรือนโดยมีพี่สาวดุตามหลังมา ทั้งสองนางดูตกอกตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นอสุราหนุ่มนั่งผึ่งผายอยู่บนแคร่ใต้ถุนเรือน เฟื่องหน้าถอดสีลงไปถนัดตาเมื่อได้สบเข้ากับใบหน้าดุดันของอีกฝ่าย


               ..ตนที่เห็นคราก่อนว่าน่ากลัวแล้ว แต่ตนนี้กลับน่ากลัวยิ่งกว่าเท่าทบทวีคูณ..


               เมื่อเห็นว่าสองสาวหอบหิ้วตะกร้าหวายมาด้วยเจ้าแก้วจึงรีบเดินออกไปรับพร้อมอาสาช่วยถือเหมือนอย่างที่เคยทำ


เด็กหนุ่มที่สวมเพียงผ้านุ่งสั้นเหนือเข่าเพียงตัวเดียวเรียกความร้อนให้เข้าจู่โจมใบหน้าของเฟื่องอย่างจัง แม้นจะไม่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆดูกำยำล่ำสันเหมือนดั่งพี่กล้า แต่ร่างกายสมส่วนของเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์ก็ทำให้ในอกของสาวน้อยสั่นคลอนได้อย่างง่ายดาย


               ไม่ได้เจอนานพี่แก้วตัวสูงขึ้นอยู่มากโข ไหล่ก็ดูผึ่งผายขึ้นตามประสาคนที่กำลังเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัว


               แต่มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนไป นั่นก็คือเนื้อบริเวณแก้มที่เฟื่องชอบนักหนา มันดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่หยอก นางชอบแอบบีบแอบจับมันวันละหลายหนยามที่บัวคลี่เผลอ


“วันนี้ฉันทำขนมกล้วยมาให้พี่แก้วด้วยนะ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองอย่างขวยเขินแต่ก็ต้องก้มหลบเมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาสีอ่อนที่ก้มมองลงมา


“ไม่เห็นต้องลำบากเฟื่องเลย” เจ้าแก้วยิ้มให้เมื่อเห็นว่าเด็กสาวทำหน้ามุ่ย


“ไม่เห็นจะลำบากเลย ฉันเต็มใจจ้ะ”


“แล้วพวกข้าเล่านังเฟื่อง ไม่ทำมาเผื่อพวกข้าเลยรึ” เสียงโห่แซวดังมาจากสองหนุ่มบริเวณใกล้เคียง เด็กสาวหันไปเลิกคิ้วใส่เล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปอย่างฉะฉาน


“ของพวกพี่ก็มีจ้ะ แต่ของพี่แก้วจะเยอะกว่าหน่อย” เพียงเท่านั้นก็เรียกเสียงโห่ฮาอย่างชอบอกชอบใจกลับมา พร้อมด้วยการแซวอย่างสนุกปากว่าไอ้แก้วมันเสน่ห์แรงใช่เล่น


               ทางด้านของบัวคลี่ที่ชะเง้อมองไปรอบเรือนอยู่เป็นเนืองๆก็ต้องหน้าขึ้นสีเมื่ออินกับมั่นตะโกนบอกราวกับรู้ทัน


“ไอ้กล้ามันอยู่หลังเรือนนู่น”


“พี่บัวไม่ได้มาหาพี่กล้าสักหน่อย พวกพี่เนี่ยขี้ยุเสียจริง”เสียงเล็กเสียงน้อยพูดอย่างมั่นอกมั่นใจแต่ในน้ำเสียงกลับฉายแววหยอกล้อพี่สาวของตนอยู่


“เอ้าเรอะ ตายล่ะหวา อย่างนี้หมามันก็เฉาแย่” อินแสร้งเสียดายแทนสหายของตนอย่างสุดซึ้ง


“หยุดเลย พี่บัวหน้าแดงเถือกไปหมดแล้ว” เฟื่องทำท่าทีปกป้องพี่สาวอย่างไม่จริงจังมากนักก่อนจะต้องร้องโอดโอยเมื่อโดนฟาดเบาๆเข้าที่ต้นแขนจนต้องลูบคลำป้อยๆ


“ประเดี๋ยวเถอะ พี่จะฟ้องยาย” เฟื่องหาได้กลัวที่ไหน กลับยกคิ้วหลิ่วตาใส่จนผู้เป็นพี่นึกระอา


“พี่บัวกับเฟื่องเข้าไปนั่งในเรือนก่อนเถิดจ้ะ ตรงนี้แดดมันร้อน” เจ้าแก้วเชื้อเชิญสองพี่น้องด้วยความคุ้นชิน


“เอ่อ..จะดีหรือแก้ว” บัวคลี่เอ่ยถามอย่างเกรงอกเกรงใจด้วยเพราะไม่อยากรบกวนไปมากกว่านี้


“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เข้ามาเถอะ” เจ้าแก้วยังคงคะยั้นคะยอไม่หยุดจนสองสาวจำต้องจำยอมโดยไร้ข้อโต้แย้ง


               มันออกเดินนำจนกระทั่งมาถึงใต้ถุนเรือน สองพี่น้องยืนเก้กังอยู่ห่างๆอย่างไม่กล้าย่างกลายเข้ามาใกล้ แต่แล้วความประดักประเดิดที่มีก็ต้องมลายสูญเมื่อร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากแคร่แล้วเป็นฝ่ายบอกให้พวกนางเข้าไปนั่งเสียเอง


“เอ่อ..ม...ไม่เป็นไรหรอกจ้ะท่าน ประเดี๋ยวพวกฉันก็จะกลับแล้วจ้ะ”


“มาเถิด” เสียงทุ้มต่ำตอบกลับอย่างนุ่มนวล


               วศินระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยเพื่อหวังเพื่อจะคลายความดุดันลงไปบ้าง พวกนางจะได้เลิกหวั่นวิตกกันเสียที


               แม้นหญิงสาวชาวมนุษย์จะมีศักดิ์ที่ต่ำต้อยกว่า แต่จอมทัพอสุราหาได้คิดเช่นนั้นไม่


               ..เพราะการให้เกียรติสตรีคือสิ่งที่บุรุษทั่วไปพึงมี


“ขอบพระคุณจ้ะ” สองพี่น้องค่อยๆเลียบเคียงมานั่งบนแคร่อย่างสงวนท่าที


               เฟื่องดูเรียบร้อยขึ้นถนัดตาไม่มีท่าทีกระโตกกระตากให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ส่วนเจ้าแก้วก็ขันอาสานำขนมไปแจกจ่ายให้คนอื่นๆโดยที่ไม่ลืมแยกกระทงขนมที่เฟื่องนำมาฝากตนโดยเฉพาะออกไว้ก่อน


               เมื่อเดินมาถึงหลังเรือน เด็กๆที่ฝึกซ้อมกันอยู่ก็ตาวาววับขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเจ้าแก้วเดินถือตะกร้าเข้ามา เรียกเสียงดุด่าพาโลจากครูบุญได้เป็นอย่างดี


“เอ้าๆ ตั้งใจกันหน่อยพวกเอ็ง” ครูบุญเอ็ดเตือนเมื่อเจ้าพวกตัวน้อยมันเสียสมาธิ แต่เมื่อเห็นศิษย์รักคนเล็กเดินหอบของพะรุงพะรังมาก็เป็นอันเข้าใจได้ในทันที


“หยุดเลยเจ้าแก้ว เอาไปเก็บเสีย รอให้พวกมันซ้อมกันเสร็จเสียก่อนค่อยกิน” ชายชราปรามเสียงดุจนได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยร้องโอดโอย ส่วนพวกคนหนุ่มก็แอบลอบถอนหายใจเพราะคิดว่าจะได้หยุดพักยกสักหน่อย


ท่าทีอิดออดของศิษย์ทั้งหลายทำให้ครูบุญออกคำสั่งให้พวกมันเตะเป้าล่อไปอีกคนละห้าสิบยก ไอ้พวกตัวเล็กอีกคนละยี่สิบยก เอาให้แข้งมันช้ำกันไปข้าง


“บัวมาหรือวะไอ้แก้ว”


               นักมวยคนเก่งเดินกะเผลกเข้ามาหา นัยน์ตาคมกล้าเปล่งประกายขึ้นอย่างดีอกดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อเห็นตะกร้าหวายใบที่คุ้นเคย


“จ้ะ พี่บัวกับเฟื่องทำขนมกล้วยมาฝาก” มันพยักพเยิดหน้าบอกอย่างรู้งาน


               ไม่ทันจบประโยคดีไอ้คนพี่ก็เดินละลิ่วไปทางหน้าเรือนราวกับแผลฉกรรจ์ที่เท้ามันนั้นเป็นเพียงรอยขีดข่วน แม้นจะมีเสียงเอ่ยทัดทานจากพ่อครูมันก็หาได้สนใจไม่


“รู้งานจริงนะเอ็งนี่” เขาหันมาเอ็ดเจ้าคนเล็กแทนเมื่อเห็นว่ามันนั้นถือหางพี่มันจนเกินควร


               เจ้าแก้วหัวเราะอย่างขบขันก่อนจะหันไปหาผู้ที่กำลังเดินย่างกรายเข้ามา พร้อมกับเอ่ยปากชักชวนอีกฝ่ายอย่างสนิทชิดเชื้อโดยลืมไปเสียสนิทว่าพ่อครูยืนอยู่ข้างๆ


“พี่ยักษ์กินขนมกล้วยไหมจ๊ะ” น้ำเสียงแผ่วท้ายเมื่อโดนพ่อครูปรายตามองมาอย่างตักเตือน


“แก้วว่าอะไรนะ?” ร่างสูงใหญ่ค้อมกายลงใกล้เมื่อได้ยินไม่ชัดเท่าใดนัก


“ขนมจ้ะ ขนมกล้วย”


“มันคืออะไร” วิรุณขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่คุ้นเคย


“ลองชิมดูไหมจ๊ะ อร่อยนะ” มันหว่านล้อมสุดฤทธิ์ จนในที่สุดอสุราหนุ่มจึงต้องพยักหน้าตอบรับอย่างเสียไม่ได้


               ..เจอลูกอ้อนตาใสเช่นนี้เข้าไปเป็นใครก็ต้องอยากตามใจกันทั้งนั้น…


“พ่อวิรุณก็ตามใจมันจนเหลิงหมดแล้ว” ครูบุญส่ายหัวอย่างเอือมระอาในความทะโมนของศิษย์คนเล็ก


               ฝ่ายอสุราหนุ่มเพียงยิ้มบางเบาก่อนจะรับขนมที่ว่านั่นเข้าปากไปหนึ่งคำ รสชาติหวานละมุนลิ้นเจือความเปรี้ยวฝาดของเนื้อกล้วยเล็กน้อยเป็นเนื้อสัมผัสที่แปลกใหม่มากสำหรับเขา เพราะโดยปรกติแล้วอยู่ที่เมืองยักษ์นั้นจะนิยมกินผลหมากรากไม้กันเสียมากกว่า


“อร่อยไหมจ๊ะ” นัยน์ตาสีอ่อนทอประกายอย่างเฝ้ารอคำตอบ


“ก็ไม่เลว”


               เด็กหนุ่มยิ้มร่าอย่างดีอกดีใจก่อนจะคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายกินอีกจนโดนครูบุญปรามเสียงดุนั่นล่ะมันถึงจะยอมล่าถอย


ชายชราลุกขึ้นจากตั่งเตี้ยพร้อมสะบัดผ้าขาวม้าขึ้นพาดไหล่เดินกลับออกไปทางหน้าเรือนเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีกิจธุระที่จะต้องพูดคุยกับนางบัวคลี่พอดี


 (ต่อด้านล่าง)           
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๓ - ใต้แสงจันทรา : ๐๕/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 05-10-2018 18:58:42
 
  เจ้าแก้วยกมือขึ้นเกาจมูกแก้เก้อเมื่อโดนนัยน์ตาคมกล้าทอดมองลงมาอย่างขบขัน ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือเข้ามาหา ยังไม่ทันได้ทักท้วงอะไรออกไปก็โดนปลายนิ้วโป้งปาดไล้บริเวณปลายจมูกอย่างแผ่วเบา มันยืนกะพริบตาปริบๆมองจนเป็นฝ่ายอสุราหนุ่มเสียเองที่เริ่มออกอาการตกประหม่า


“คือ..” เขากระแอมแก้เก้อ “มันเปื้อนน่ะ” พร้อมกับชี้นิ้วบอกอย่างเก้กัง


               เจ้าแก้วพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจได้ในทันที แต่ไม่ทันที่จะได้กล่าวขอบคุณพี่ยักษ์ของมัน เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอยู่เหนือหัวเสียก่อน


“ทำอะไร” ร่างสูงใหญ่ยืนประชิดอยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่มมนุษย์แต่แววตากลับมองสบตรงไปยังสหายของตนอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าใดนัก ส่งผลให้ผู้ที่อายุมากกว่าคิ้วกระตุก


...มันไปกินรังแตนที่ไหนมา


“เปล่า แก้วแค่เอาขนมกล้วยมาให้กินก็แค่นั้น” เขาพยักพเยิดลงไปมองตะกร้าหวายต้นเหตุ “เจ้าลองดูสิ รสชาติดีเลยทีเดียว”


               จอมทัพใหญ่ก้มลงมองเจ้าสัตว์ตัวเล็กพอดีกับที่มันหันกลับขึ้นมามองกัน เจ้าแก้วดูประดักประเดิดอย่างเห็นได้ชัดจนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน...นึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย


               ...ทีกับเจ้าวิรุณไม่เห็นเป็นเช่นนี้บ้าง


“ไม่ล่ะ” ด้วยความขุ่นมัวและนึกรำคาญตนเองอยู่ไม่น้อยจึงปฏิเสธออกไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแข็งจนเจ้าวิรุณยังต้องขมวดคิ้วมอง


               ..แล้วก็ทันได้เห็นแววตาสีน้ำผึ้งป่านั่นสลดลง เพียงเท่านั้นในอกก็วูบไหวลงอย่างน่าประหลาด จะเรียกว่าแอบรู้สึกผิดเล็กๆก็คงจะไม่เกินจริงไป...


               ...จะเอายังไงก็ว่ามาเจ้าตัวน้อยนี่


“เจ้าวศินมันไม่ชอบกินของหวานมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผลหมากรากไม้ยังแทบจะไม่แตะเสียด้วยซ้ำไป” วิรุณลูบหัวปลอบใจเด็กน้อยตรงหน้ายกใหญ่


“เช่นนั้นหรือจ๊ะ” เจ้าแก้วพยักหน้ารับรู้อย่างง่ายดายก่อนจะหันไปมองทางหน้าเรือนเมื่อได้ยินเสียงพ่อครูตะโกนเรียก “ฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ” มันเดินตัวปลิวออกไปโดยปล่อยทิ้งให้สองอสุราหนุ่มมองจ้องเขม็งกันอยู่อย่างนั้น


“ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดทำให้ท่านแม่ทัพต้องขุ่นเคืองใจหรือขอรับ” วิรุณแสร้งเอ่ยเย้า “ดูอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเลยนะขอรับ”


               จอมทัพอสุราขมวดคิ้วยุ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อนึกรำคาญในท่าทีหยอกล้อของผู้ที่อายุมากกว่า


“เปล่า” เขาปฏิเสธไปหวังเพื่อจะตัดความรำคาญ แต่กลับได้สายตาจับผิดจากสหายคนสนิทกลับคืนมาเสียอย่างนั้น


“หน้าบึ้งตึงเช่นนี้ข้าเชื่อก็บ้าแล้ว” วิรุณกอดอกมองอย่างไม่ยอมแพ้ ดูซิว่าเจ้าคนปากหนักมันจะแสร้งตีเฉยไปได้อีกกี่น้ำ


               จอมทัพอสุราทำเพียงแค่ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปทางหน้าเรือนเพื่อต้องการหลีกหนีความน่ารำคาญ แต่ก็ยังมิวายโดนสหายเดินตามมาแกล้งใช้ลำตัวเบียดกระแทกจนเขานั้นเกือบล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น


               ..ถ้าในยามที่ร่างกายเขาปรกติดีมีหรือแรงเพียงเท่านี้จะสะทกสะท้าน


               สองอสุราหนุ่มเดินปลีกตัวไปบริเวณหน้าเรือนด้วยเพราะเห็นว่าที่ใต้ถุนเรือนนั้นพ่อเฒ่ากำลังพูดคุยธุระกับสองหญิงสาวด้วยท่าทีเคร่งเครียดเอาการ


วิรุณเดินเข้าไปหาอินกับมั่นที่กำลังขึ้นโครงแคร่กันอย่างขะมักเขม้นก่อนจะยอบกายลงนั่งข้างๆแล้วชักชวนคุยด้วยความสนใจใคร่รู้ในงานช่าง


แม้นจะเก่งกาจในด้านออกทัพจับศึก แต่ในด้านงานช่างงานฝีมือเช่นนี้เขาไม่เอาอ่าวเลยทีเดียว


               ส่วนทางด้านของจอมทัพใหญ่ก็ปลีกตัวออกไปนั่งบนขอนไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นมากนัก นัยน์ตาคมกล้ามองกลับขึ้นไปบริเวณชานเรือน ก็ได้เห็นว่าเจ้าสัตว์ตัวน้อยมันกำลังวุ่นอยู่กับการหยิบจับสมุนไพรลงห่อผ้าอย่างขะมักเขม้น


               เพียงไม่นานก็มัดทบไว้อย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินลงมาใต้ถุนเรือนแล้วส่งให้กับพ่อเฒ่า ยาห่อนั้นถูกมอบให้หญิงสาวชาวบ้านต่ออีกหน นางประนมมือขึ้นไหว้แล้วรับมันมาถือไว้ แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นหาได้อยู่ในสายตาของอสุราหนุ่มไม่


               เขาเพียงมองตามแต่ร่างเพรียวของเด็กหนุ่มที่เดินถือกระทงใบตองและขันน้ำตรงมาทางกลุ่มของชายหนุ่มที่นั่งต่อแคร่กันอยู่


“อะไรวะไอ้แก้ว” อินเอ่ยถามพลางใช้ผ้าขาวม้าเช็ดเหงื่อบนใบหน้า


“ขนมกล้วยจ้ะ ส่วนของพวกพี่” มันยื่นส่งให้แต่นอกเสียจากอีกฝ่ายจะไม่รับไปแล้วยังแสร้งตีหน้ายุ่งยากอีกด้วย


“มือไม่ว่างว่ะ เอ็งหยิบมาให้ข้ากินที” ด้วยความคุ้นชินกับไอ้แก้วเสมือนน้องนุ่งอินจึงเอ่ยปากขอมันอย่างเคยตัว


“เอ็งก็วางมือก่อนสิวะไอ้อิน” มั่นพูดดักคอไว้ก่อนที่น้องมันจะทำตามคำขอไร้แก่นสารนั่น แต่นอกจากมันจะไม่ฟังแล้วยังอ้าปากรอคอยอย่างเอาแต่ใจอีกต่างหาก…หนักอกหนักใจแทนเมียมันจริงเชียวที่มีผัวบ้าบอคอแตกเช่นนี้


               เจ้าแก้วพยักหน้าอย่างจำยอมพร้อมกับวางกระทงขนมและขันน้ำลงบนตั่งไม้เตี้ยก่อนจะหยิบขนมกล้วยชิ้นหนึ่งยื่นส่งเข้าปากคนพี่ไป


“แก้ว พี่วานส่งขันน้ำมาให้หน่อยจะได้หรือไม่” เพราะอากาศที่ร้อนจัดอสุราหนุ่มจึงนึกกระหายน้ำขึ้นมาบ้าง แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับมาดื่มกินพลันเสียงโวยวายก็ดังค้านขึ้นมาจากใต้ถุนเรือน


“เอ็งมือด้วนหรือวะไอ้อิน!” ...ปากแสร้งต่อว่าสหายตนแต่ตานั้นกลับจ้องเขม็งมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง


               นี่ถ้าไม่ติดว่ายามนี้แม่ยอดดวงใจของมันนั่งอยู่ใกล้ๆก็คงลุกตึงตังเข้ามาหาเรื่องกันแล้ว


               วิรุณถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเบือนหน้ากลับมารับขันน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่ใครใส่ใจเท่าใดนัก


ผ่านไปเพียงครู่ครูบุญก็เดินนำหน้าสองสาวพี่น้องออกมาจากใต้ถุนเรือน


“เช่นนั้นฉันกับน้องขอลานะจ๊ะตาบุญ” บัวคลี่เอ่ยบอกด้วยท่าทีนอบน้อม


ทางด้านชายชราพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยสำทับกลับอีกหน “สักสามสี่วันข้าจะเข้าไปหาที่เรือนก็แล้วกัน อย่าลืมกินยาต้มให้หมดด้วยเล่านังบัว”


“จ้ะ”


“ให้พี่ไปส่งนะ” กล้ารีบเสนอตัวโดยที่สายตายังไม่ละออกจากดวงหน้างามของนางอันเป็นที่รัก


“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะพี่กล้า ลำบากพี่เปล่าๆ” หญิงสาวเอ่ยบอกอย่างนึกเป็นห่วงแผลที่เท้าของอีกฝ่าย


“แต่..”


“ฉันไปส่งเองจ้ะ” เจ้าแก้วขันอาสาขึ้นมาบ้าง ก่อนจะรีบลุกออกมารับหน้าแทนพี่มัน


“จะดีหรือแก้ว” นางเอ่ยถามอย่างเกรงอกเกรงใจ


“ดีสิพี่บัว ให้พี่แก้วไปส่ง นี่ยายก็บ่นว่าคิดถึงพี่แก้วจะตายชัก”


               เฟื่องรีบสนับสนุนอย่างออกนอกหน้าจนพี่สาวต้องหันไปค้อนวงโตใส่


“ให้เจ้าแก้วมันไปส่งนั่นแหละดีแล้ว เป็นสาวเป็นนางเดินทางกันเพียงสองคนมันอันตราย” ครานี้ครูบุญกลับเห็นดีเห็นงามด้วยก่อนจะหันไปสั่งกำชับศิษย์คนเล็กอีกหน “อย่าติดลมอยู่นานล่ะเอ็ง รีบไปรีบกลับ เข้าใจไหมเจ้าแก้ว”


“จ้ะพ่อครู” มันพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน “เฟื่อง ให้พี่ถือช่วยนะ” ก่อนจะยื่นมือไปรับตะกร้าเปล่าสองใบมาถือไว้เสียเอง


               ท่าทีอ่อนโยนของเด็กหนุ่มเรียกริ้วแดงให้พาดผ่านบนใบหน้าอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น เสียงนุ่มๆนั้นทำให้เฟื่องอยากฟังอีกฝ่ายพูดไปเรื่อยอย่างไม่รู้เบื่อ เจ้าแก้วเปิดทางให้สองสาวออกเดินนำไปก่อนโดยทิ้งระยะห่างจนพอดีแล้วจึงเดินตามหลังออกจากเขตเรือนไป


               คราแรกวิรุณตั้งใจจะอาสาเดินเข้าไปส่งเป็นเพื่อน แต่ทันได้เห็นสายตาที่สหายร่วมรบส่งมาปรามไว้เสียก่อนจึงจำต้องพยักหน้ารับอย่างเข้าใจกัน


               ...เพราะการที่จะทะเล่อทะล่าเข้าไปในกลุ่มมนุษย์ตามใจชอบเช่นนั้นเห็นทีจะไม่เป็นการดีเท่าใดนัก





               เย็นย่ำจนตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเต็มแก่เป็นเวลาที่ทุกสรรพสิ่งกำลังจะถูกผืนรัตติกาลเข้าครอบงำ ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาปรากฏให้เห็นร่างสูงใหญ่ของจอมทัพอสุรานั่งพิงกายกับต้นมะพร้าวอยู่เยื้องบริเวณท่าน้ำหลังเรือน


               หลังจากที่ขอปลีกตัวออกมาชำระล้างร่างกายแล้วเขาจึงถือโอกาสนี้นั่งสงบจิตสงบใจที่ว้าวุ่นมาตลอดทั้งวัน นัยน์ตาคมกล้าทอดมองไปยังผืนน้ำที่ส่องสะท้อนกับแสงนวลของดวงจันทร์ ระลอกคลื่นตีกระทบฝั่งแผ่วเบาเมื่อถูกลมไล่ต้อน เสียงจิ้งหรีดดังประสานกันเป็นระยะฉุดรั้งความรู้สึกนึกคิดให้ถลำลึกลงไปเสียยิ่งกว่าเดิม


               อสุราหนุ่มแหงนเงยหน้าขึ้นจ้องมองท้องนภามืดมิดอย่างไร้จุดหมาย แต่แล้วเสียงเหยียบย่ำพื้นที่ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบกลับดึงความสนใจให้เขาหันกลับไปมอง


               เจ้าแก้วเดินถือผ้าขาวม้าเดินดุ่มๆลงไปที่ท่าน้ำด้วยท่าทางคล่องแคล่ว บนตัวของเด็กหนุ่มยังคงสวมไว้เพียงแค่ผ้านุ่งผืนสั้นเมื่อตอนกลางวัน ดูท่าแล้วมันคงพึ่งกลับมาจากในหมู่บ้านเป็นแน่


               ร่างทะมัดทะแมงจัดการวางสัมภาระลงไว้ข้างกายก่อนจะเลื่อนมือลงไปปลดชายผ้านุ่งที่เหน็บไว้ด้านหลังออกจนผืนผ้าทิ้งตัวหล่นไปกองอยู่บริเวณข้อเท้า ส่งผลให้ใบหน้าคมคร้ามต้องรีบเสหลบเป็นการใหญ่เมื่อทันเห็นผิวเนื้ออ่อนวับๆแวมๆอยู่ตรงหางตา


               ...เกือบไปแล้ว..


               คงเพราะมุมที่เขานั่งอยู่ค่อนข้างมืดอีกฝ่ายจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่านอกจากผืนป่าแล้วยังมีอีกหนึ่งชีวิตนั่งประดักประเดิดทำตัวไม่ถูกอยู่ใต้ต้นไม้


แต่ถ้าหากจะลุกออกไปตอนนี้ก็เกรงว่าจะทำให้เจ้าสัตว์ตัวเล็กมันตกใจเอาได้จึงจำใจต้องนั่งนิ่งอยู่กับที่แม้นเพียงจะขยับกายเปลี่ยนท่าก็ยังไม่กล้า..


               วศินเสหน้าหลบออกไปอีกทางแต่เสียงผืนไม้กระดานที่ลั่นแผ่วเบายามที่อีกฝ่ายเหยียบย่ำนั้นกลับดังชัดเจนในความรู้สึก ผิวน้ำถูกแหวกออกจากกันเมื่อใครบางคนค่อยๆจุ่มปลายเท้าลงไป เสียงน้ำถูกวักรดผิวกายดังขึ้นต่อเนื่อง จนผ่านเลยไปครู่หนึ่งเสียงนั้นก็เงียบลง


               อสุราหนุ่มจึงหันกลับไปมองด้วยเพราะนึกว่าอีกฝ่ายนั้นจัดการตัวเองจนแล้วเสร็จเรียบร้อย แต่กลับไม่เป็นดังคาดเมื่อได้เห็นแผ่นหลังเปล่าเปลือยยืนนิ่งอยู่กลางน้ำ


นัยน์ตาสีอ่อนทอดมองแสงจันทร์นวลที่กระทบส่องกับคลื่นน้ำอย่างเพลิดเพลิน มันวักน้ำขึ้นล้างหน้าล้างตาอีกหนพร้อมกับเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าขึ้นเปิดให้เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด หยดน้ำบริเวณปลายผมชื้นกลิ้งผ่านตามร่องแนวสันหลังเรื่อยลงผ่านช่วงเว้าของสะโพกจนหายลับลงไปรวมกับกลุ่มน้ำดังเดิม


ราวกับต้องมนต์สะกด อสุราหนุ่มคล้ายได้ยินเสียงกึกก้องดังประท้วงขึ้นภายในอก ซ้ำลำคอพลันแห้งผากกะทันหัน ยากที่จะเพิกถอนสายตาออกจากร่างของอีกฝ่ายไปได้..


               เสี้ยวหน้าข้างที่เคยถูกผ้าพันปิดไว้ปรากฏรอยแผลเป็นยาวพาดผ่านดวงตาข้างซ้ายที่ปิดสนิท เขาเผลอจดจ้องมองรอยจารึกนั้นอยู่เนิ่นนานจนกระทั่งใบหน้าอ่อนเยาว์หันมาทางที่เขานั่งอยู่


นัยน์ตาสีอ่อนกระทบเข้ากับแสงนวลของแสงจันทร์ยิ่งเสริมให้แววตาหวานหยดเสียยิ่งกว่าเก่า ริมฝีปากสีสดขมเม้มเข้าหากันอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อสายลมหนาวผัดผ่านช่วงตัว ผิวกายสีน้ำผึ้งที่โดนฉาบไล้ด้วยแสงสีนวลนั้นมีเสน่ห์ชวนมองอย่างน่าประหลาด


               เขาไม่เคยเห็นร่างกายเปล่าเปลือยของอิสตรีหน้าไหนมาก่อนจึงไม่รู้ว่าความงามของนวลเนื้อนั้นเป็นเช่นไร แต่ผิวเนื้ออ่อนของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นหากจะให้มองว่างดงามก็คงไม่ใกล้เคียงเท่าใดนัก ด้วยเพราะยังปรากฏรอยแผลเป็นเจือจางอยู่ทั่วลำตัวซ้ำยังคล้ำแดดเป็นบางช่วง


...แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นกลับมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ช่วงไหล่สมส่วนรับกับช่วงเอวผายได้อย่างพอดิบพอดี สะโพกเล็กที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้น้ำแม้นจะไม่ได้ดูเพรียวบางแต่กลับทะมัดทะแมงยิ่งนัก


อสุราหนุ่มไม่รู้ว่าตนใช้สายตาจ้องมองร่างกายเปล่าเปลือยของอีกฝ่ายเนิ่นนานเท่าใด แต่รู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็ขึ้นฝั่งมาพันผ้าขาวม้าไว้รอบเอวเสียแล้ว


เจ้าแก้วก้มลงสำรวจสัมภาระเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเขตเรือนโดยทิ้งไว้เพียงความว้าวุ่นที่เคยสงบลงไปแล้วกลับลุกฮือขึ้นมาก่อกวนจิตใจของจอมทัพใหญ่อีกหน..


..โดยที่ตัวต้นเหตุมันยังไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป..



_________________________________



พี่ยักษ์แอบมองลูกเราอาบน้ำได้ยังง้ายยยยยย มั่ยยอมมมมม /ดิ้นๆๆ :z3:


มาแล้วจ้าาา มาช้าอีกตามเคย ฮืออออ ขอโทษที่ทิ้งช่วงไปนานเลยนะคะ ทั้งเรียนทั้งโปรเจคมันยุ่งมากจริงๆ T T :z10:

เนื้อเรื่องก็ยังคงเรื่อยๆมาเรียงๆเต่าคลานแบบนี้ไปก่อนเน้อ

อารมณ์แบบรอคลื่นสึนามินั่นแล---- แค่กๆ :hao7:



ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกๆคนนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าคับพ้มม <3 :L2: :กอด1:

#ดอกแก้วกุมภัณฑ์

twitter:pppunmile

หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๓ - ใต้แสงจันทรา : ๐๕/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 05-10-2018 22:36:13
//ฟาดนังพี่ยักษ์// ยักษ์บ้า! ยักษ์ทะลึ่ง! ยักษ์โรคจิต! มาแอบดูลูกฉันอาบน้ำเหรอ เห็นน้องเปลือยแล้วให้พ่อแม่มาขอเลยนะพี่ยกษ์ ไม่งั้นโกรธจริงด้วยยยย //เดี๋ยวๆ//

คุณพันไมล์ คุณทำเอาเราจะตายอยู่แล้วอ่ะ แบบบรรยายเจ้าแก้วได้แบบ หื้มมม //ปาดเลือด// เจ้าแก้วนี่เสน่ห์แรงจริงนะ ทั้งคนทั้งยักษ์หลงกันให้หมด นี่แม่ก็หลงหนูด้วย จะตายอยู่แล้ว ความคิ้วท์กระแทกหน้า5555555

อยากให้พี่ยักษ์รู้ตัวสักทีอ่ะ พี่มึงชอบน้องไง พี่มึงยังไม่รู้ใจตัวเองอีก เดี๋ยวพี่ยักษ์วิรุณแย่งไปจะรู้สึก เอาจริงอยากให้พี่ยักษ์วิรุณปราบพยศนังกล้าสักทีนะ แหม่ เจอสาวเข้าหน่อยก็รีบปรี่ไปหาเขาเลยนะ แล้วยังมาแซะพี่ยักษ์วิรุณอีก มันน่าปราบพยศจริงๆ อยากเห็นฉากนั้นเร็วๆ แต่อย่างนังพี่กล้าเหรอจะยอมง่ายๆ ไม่มีทางงง

เจ้าแก้วลูกกกกกกกก เจ้ากระรอกน้อยยยยยยยย เจ้าเด็กน่ารักกกกกก อยากจับปั้นเป็นก้อนแล้วกลืนลงท้อง ไม่อยากให้พี่ยักษ์แล้ว!

คิดถึงคุณพันไมล์นะคะ สู้ๆ ทั้งการเรียนและนิยายนะคะ เราเป็นกำลังใจให้เสมอออ เลิ้บบบ<3
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๓ - ใต้แสงจันทรา : ๐๕/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-10-2018 02:03:47
 :L2: :pig4: :L2:


 o13
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๓ - ใต้แสงจันทรา : ๐๕/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 06-10-2018 15:59:27
เอาแล้ววววววท่านจอมทัพอสุรา ลำคอแห้งผาก ร้อนรุ่มกายใจไหมละ แอบดูอยู่แบบนี้ 555555 เริ่มสับสนใหญ่แล้วสินะ อยู่ด้วยกันอีกหน่อยคงรู้ใจตัวเองมากกว่านี้ละ แต่จะยอมรับเมื่อไหร่ยังไงวันไหนรอดูต่อไป แต่แค่ใครเข้าไปคุยด้วยนิดหน่อย ท่านจอมทัพก็ตาขวางใส่แล้ว หวงไม่รู้ตัว พลอยทำคนอื่นงงไปหมด 555 //เจ้าแก้วน่าเอ็นดูซะจริงๆอยากรู้อดีต แต่แค่ที่เกริ่นมาก็เจ็บปวดแทนไปแล้ว ไม่รู้เจออะไร ใครที่ทำแม่งชาติหมามาก ขอด่าไว้ก่อนเลย 5555 ดีที่ยังมีพี่ชายและครูเลี้ยงดู แต่ต่อไปก็รอให้พี่ยักษ์ทั้งหลายดูแลอะนะ อิอิ!! ใครๆก็เอ็นดูเจ้าแก้ว ก็นะมันน่าเอ็นดูจริงๆ //เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดียว สนุกกกกกมากกกก ชอบบบบบบบบบ ภาษาสำนวนดีด้วย อ่านลื่นไม่ติดขัด ไม่วกไปมาหรือตัดชับ มีความค่อยๆเป็นค่อยๆไป ท่านจอมทัพจะกลับเมืองยังไงจะแก้ตัวได้หรือไม่ วิรุณกับไอ้กล้าจะญาติดีกันได้ไหม เจ้าวิรัลจะเป็นอะไรบ้าง ข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้น อยากรู้อีกหลายเรื่อง สรุปคือว่ามันน่าติดตามมากค่ะ F5 รอตอนใหม่เลย แต่งสนุกมากๆ เอาอีกๆ Fc #ดอกแก้วกุมภัณฑ์
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๓ - ใต้แสงจันทรา : ๐๕/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Lautenyu ที่ 06-10-2018 19:52:57
:angry2: :m16: :3125: คุณตำรวจขา ไอ้ยักษ์พิกลพิการตนนี้มันเหิมเกริมมากไปแล้วค่ะ บังอาจถ้ำมองลูกแก้วของดิฉัน จับมันเลยค่ะ จับมันไปติดคุกสักหลายๆ ปีเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๓ - ใต้แสงจันทรา : ๐๕/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 09-10-2018 19:09:32
เม้นรวบยอดเลยได้มะ อ่านแล้วรักมาก แต่ไม่ชอบกรรณอะ นอกจากทรยศเพื่อนแล้ว ยังขายชาติอีก ลูกเมียภูมิใจชะมัด

แต่น้องแก้วของเรา ฮื่อ จะถูกพี่ยักหล่อลวงแล้ว วิรัณคือเพื่อนพระเอกผู้แสนดี เจอก่อน รักก่อน แต่ไม่ได้ใจ สงสาร
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๓ - ใต้แสงจันทรา : ๐๕/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-10-2018 10:29:13
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๓ - ใต้แสงจันทรา : ๐๕/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Ellette ที่ 13-10-2018 23:02:13
สวัสดีค่ะคุณพันไมล์ แวะเข้ามาให้กำลังใจ เดี๋ยวคงต้องกลับไปอ่านตอนที่ค้างไว้ ขอบคุณนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๔ - แผนการชั่ว : ๓๑/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 31-10-2018 04:06:21
แผนการชั่ว

.

.

.

   ภายในห้องสรงน้ำกลางตำหนักรับรองอาคันตุกะคนสำคัญ ปรากฏร่างสูงใหญ่ขององค์ยุพราชนั่งเอนกายพิงขอบอ่างหินอ่อนด้วยท่าทีผ่อนคลายไม่น้อย โดยที่มีนางกำนัลสองตนคอยขนาบข้างเคียงกายอยู่คนละฝั่ง ร่างอรชรของเหล่าอิสตรีนั้นล้วนเปลือยเปล่าอวดเนื้อหนังมังสาอย่างไม่คิดเหนียมอาย มือเรียวสวยทั้งสองคู่ต่างลูบไล้ไปตามมัดกล้ามเนื้อหนั่นแน่นอย่างหลงใหล

   กลิ่นอายดิบกร้าวของอสุราหนุ่มวัยฉกรรจ์ตนนี้ทำให้พวกนางมิสามารถที่จะต้านทานเสน่ห์อันร้ายเหลือของอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย

   เพียงแค่ได้รู้ว่าองค์รามสูรนั้นต้องการให้พวกนางเข้ามารับใช้ในห้องบรรทมก็พาลทำให้ใจดวงน้อยเต้นสั่นไหวไปตามกัน กิจกรรมอุ่นเตียงดำเนินไปจนเกือบรุ่งสางแม้นจะเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างว่าชายชาตินักรบนั้นมีแรงขับเคลื่อนทางอารมณ์ค่อนข้างสูงกว่าบุรุษทั่วไป

   แต่ผู้ใดจักคิดเล่าว่าอสุราหนุ่มผู้นี้จะมีพละกำลังล้นเหลือถึงเพียงนี้เล่นเอาพวกนางทั้งสามหมดเรี่ยวหมดแรงไปตามกัน

..ใช่ นางกำนัลที่องค์รามสูรเรียกให้เข้ามารับใช้นั้นมีถึงสามนางด้วยกัน

   ..ขนาบข้างสอง...แลกำลังโยกขย่มอยู่บนกายของอสุราหนุ่มอีกหนึ่งนั่นปะไร...

เสียงทุ้มต่ำเครือครางในลำคออย่างพออกพอใจเมื่อถูกนางกำนัลที่เคลื่อนกายอย่างช่ำชองปรนเปรอให้จนสุขสม สองมือกร้านบีบเคล้นลงบนช่วงเอวอวบอิ่มจนผิวเนื้อนวลขึ้นรอยแดง อสุราหนุ่มยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสีหน้าของสตรีคนงามเหยเกเพราะฤทธิ์ตัณหา

นัยน์ตาคมปราบเปล่งประกายวาบเมื่อจิตนาการว่านางกำนัลที่โยกกายขย่มอยู่บนตัวคือนางยักษ์จอมอวดดีตนนั้น...

หลังจากวันนั้นดาหลาก็หาได้เข้ามาถวายการรับใช้เขาในห้องบรรทมตามที่ได้สั่งเอาไว้

ด้วยอารมณ์โทสะที่ยังคุกรุ่นครั้นเมื่อโดนวาริทขัดจังหวะจึงทำให้เขาต้องหาทางระบายออก โดยการเรียกนางกำนัลสามตนนี้เข้ามาเป็นตัวรองรับอารมณ์กดดันทั้งหมด

ตลอดชั่วข้ามคืนที่ผ่านมานางทั้งสามโดนเขาเอาเปรียบจนหมดแรงสิ้นท่าไปตามกัน

...และแน่นอนว่าใบหน้าที่อยู่ใต้ร่างเขานั้นหาใช่รูปโฉมของพวกนางไม่..กลับเป็นภาพทับซ้อนของนางกำนัลชั้นต่ำนางนั้นแต่เพียงผู้เดียว

...ในเมื่อคิดที่จะกล้าลองดีกับเขาเช่นนี้ ก็รอดูแล้วกันว่าผลจะเป็นเช่นไร!

“องค์รามสูรเพคะ..” เสียงออดอ้อนเต็มไปด้วยจริตของนางยักษ์ที่ขนาบอยู่ข้างกายดึงความสนใจให้ต้องหันกลับไปมอง

   มือทั้งสองของนางประคองใบหน้าเขาไว้ก่อนจะดึงลงไปประกบจูบอย่างดูดดื่ม ลิ้นแลกลิ้นโรมรันพันตูกันอย่างถึงพริกถึงขิงทั้งๆที่ยังมีอีกนางวุ่นวายอยู่บนกายแกร่ง

   คิ้วเข้มคลายปมลงก่อนจะตอบสนองกลับไปอย่างสาสมจนพลิกมาเป็นฝ่ายกุมบังเหียนแทน อสุราหนุ่มเป็นฝ่ายถอนจุมพิตเร่าร้อนออกก่อนจะเคลื่อนใบหน้าลงมาคลอเคลียกับเนินเนื้อขาวผ่อง ริมฝีปากร้อนผ่าวขบกัดดูดดึงจนผิวขาวขึ้นรอยแดงเป็นจ้ำเรียกเสียงหวีดร้องอย่างพออกพอใจจากนางได้เป็นอย่างดี

   เสียงหยาบโลนของกิจกรรมเร่าร้อนดังสอดประสานกับเสียงของน้ำที่ล้นออกจากขอบสระ

กระทบกับพื้นจนทั่วบริเวณเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำแห่งอารมณ์ เมียบ่าวทั้งสามต่างปรนเปรอรสรักให้อสุราหนุ่มอย่างไม่มีใครยอมใคร นวลเนื้อเปลือยเปล่าเบียดแอบแนบชิดราวกับต้องการให้ความร้อนระอุของเขาหลอมละลายพวกนางให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น

   แต่แล้วความหฤหรรษ์พลันต้องถูกรบกวนเมื่อบานไม้กั้นถูกเปิดออกจนกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของสตรีนางหนึ่ง

ถึงกระนั้นรามสูรก็หาได้คิดสนใจไม่ ด้วยเพราะเบื้องหน้ามีร่างอรชรของนางกำนัลบดบังอยู่ ส่วนสองนางที่เหลือก็ต่างรุมเร้าจนแทบจะมองไม่เห็นภาพเบื้องหน้า

   ..แม้นจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญบุกเข้ามาในห้องสรงเช่นนี้ พวกนางทั้งสามก็หาได้ตื่นตระหนกไม่ กลับยังคลอเคลียเรือนกายสูงใหญ่อย่างลุ่มหลงมัวเมาจนไม่สนใจสิ่งรอบกายแม้นสักนิด...

“องค์รามสูรพ่ะย่ะค่ะ...กระหม่อมนำตัวนางมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

   เสียงรายงานอย่างนอบน้อมของทหารเอกทำให้อสุราหนุ่มหยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนนั้นได้สั่งการให้วาริทไปนำตัวผู้ใดมา

   ...มาแล้วหรือแม่ตัวดี...

“ออกไป” น้ำเสียงทุ้มต่ำไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ

   นัยน์ตาคมปราบจดจ้องร่างบอบบางที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน ไหล่ของนางไหวสั่นอยู่เพียงนิดเมื่อต้องกลั้นก้อนสะอื้นที่ตีรวนขึ้นมา ผ้าคลุมไหล่ที่หลุดลุ่ยลงมาเผยให้เห็นว่าบริเวณต้นแขนของนางนั้นปรากฏรอยนิ้วมือเจือจางอยู่ นั่นยิ่งส่งผลให้เรียวคิ้วเข้มของอสุราหนุ่มขมวดมุ่นขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ได้ยินที่องค์รามสูรบอกหรือ” เสียงจิกกัดของนางกำนัลที่แนบชิดอยู่บนกายใหญ่ตวาดขึ้นอย่างหลงลืมตน เมื่อเห็นว่าหนามเล่มใหญ่ปรากฏกายกลับมาอีกครั้ง

   ...นางดาหลามันเสนอหน้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน!

“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” วาริทค้อมกายให้เจ้านายตนอย่างนอบน้อมเมื่อรู้สึกว่าตนนั้นคงทะเล่อทะล่ามาขัดจังหวะเข้าเสียแล้ว ก่อนจะดึงร่างของดาหลาขึ้นมาอย่างแรงจนกายบอบบางเซเข้าปะทะกับแผงอกแกร่ง

   ..เพียงเท่านั้นเส้นความอดทนก็ขาดผึง

รามสูรขบกรามกรอดเมื่อเห็นว่ารอบข้อมือเล็กแดงเถือกด้วยแรงฉุดกระชากของเจ้าวาริท อสุราหนุ่มปรายตากลับมามองนางกำนัลทั้งสามที่ยังคงนั่งลอยหน้าลอยตากันอย่างไม่รู้สำนึก นัยน์ตาคมปราบจดจ้องร่างอรชรที่อยู่บนกายด้วยสายตาที่เยือกเย็น

   แม้นกายเบื้องล่างจะยังสอดประสานกันอยู่อย่างแนบแน่น แต่ราวสันหลังของนางกลับเย็นยะเยือกเมื่อถูกอีกฝ่ายจดจ้องอย่างไม่วางตา แต่ถึงกระนั้นสายตาที่คุกรุ่นไปด้วยไฟโทสะก็หาได้ทำให้นางหวาดกลัวไม่ กลับเร่งให้ริ้วแดงพาดผ่านใบหน้าด้วยความขวยเขินแทน

“เมื่อสักครู่นี้เจ้าเอ่ยปากไล่ผู้ใดหรือ” น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยถามพร้อมกับฝ่ามือกร้านข้างหนึ่งยกขึ้นลูบพวงแก้มขาวอย่างแสร้งทะนุถนอม “หืม” พร้อมกับก้มลงจูบบนผิวแก้มนวล

   การกระทำอ่อนหวานเช่นนี้ทำให้ในอกของนางสั่นไหวอย่างรุนแรงและหลงคิดระเริงไปไกลว่าองค์รามสูรนั้นต้องมีใจให้กับตนเป็นแน่

   …แต่วาริทรู้ดีว่าการกระทำเช่นนั้นของเจ้านายตนเป็นแค่การหลอกล่อให้เหยื่อตายใจ

   ..อยู่ดีไม่ว่าดีแท้ๆ...

“ก็ไล่นางดาหลาน่ะสิเพคะ” เสียงหวานจิกกัดอย่างมีจริตจะก้าน

   รามสูรยกยิ้มมุมปากขึ้นราวกับว่ารู้สึกพออกพอใจในคำตอบเถรตรงของนางกำนัลชั้นต่ำ ก่อนที่จะ..

เพี๊ยะ!

   ..ฟาดฝ่ามือลงไปบนเสี้ยวหน้างามจนนางหน้าหันไปตามแรงกระแทก

   เสียงกรีดร้องของนางกำนัลที่เหลือดังขึ้นอย่างเสียขวัญเมื่อฝ่ามือใหญ่ข้างนั้นบีบคางเรียวเล็กไว้มั่น นัยน์ตาคมกล้าวาวโรจน์แปรเปลี่ยนเป็นสีเพลิงด้วยอารมณ์โทสะ ไม่แม้แต่ที่จะสนใจว่าได้ทำสตรีเลือดตกยางออก

“อย่าปากพล่อยเช่นนี้อีก” รามสูรจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีสวยที่โดนม่านน้ำตาบดบังจดมิด “เข้าใจรึไม่”

นางพยักหน้ารัวรับอย่างหวาดกลัวทั้งใบหน้าที่อาบน้ำตา บุรุษตรงหน้าที่เคยร่วมสัมพันธ์กันมาชั่วข้ามคืนนั้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน

“ออกไปให้พ้นหน้าข้า!”

   เสียงทุ้มต่ำตวาดลั่นก่อนจะสะบัดร่างของนางออกไปให้พ้นกายโดยมีนางกำนัลอีกสองตนช่วยโอบประคองกันออกมาจากสระน้ำด้วยความทุลักทุเล ทั้งสามห่อกายด้วยผ้าคลุมผืนบางก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตำหนักจนแทบจะล้มหน้าคะมำกันเลยทีเดียว

   เมื่อความวุ่นวายผ่านพ้นไป มีเพียงเสียงของผิวน้ำในสระเท่านั้นที่กระทบเข้ากับขอบหินอ่อน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

แต่แล้วบรรยากาศอึมครึมกลับถูกแทรกด้วยเสียงสะอื้นของสตรีเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้

   ดาหลาห่อกายเข้าอย่างหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่พึ่งจะผ่านพ้นไป นางเสียขวัญอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่าองค์ยุพราชลงมือตบตีนางกำนัลอย่างไม่คิดยั้งมือเพียงเพราะว่าอีกฝ่ายพูดจาไม่เข้าหู อีกทั้งความหวาดกลัวต่อบทลงโทษที่นางคิดขัดขืนคำสั่งของเขาอีก

“วาริท” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกทหารคนสนิท

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ปล่อยมือ”

   สิ้นคำตรัสสั่งอสุราหนุ่มก็ปล่อยให้นางกำนัลข้างกายเป็นอิสระทันที ก่อนจะโดนนัยน์ตาคมกล้าของผู้เป็นนายมองกลับมาเป็นเชิงขับไล่ ทำให้เขาเข้าใจในสถานการณ์ต่อจากนี้ได้ทันที

   วาริทโน้มกายรับอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินกลับออกไปจากห้องสรงน้ำ โดยไม่ลืมที่จะงับปิดบานไม้กั้นให้เรียบร้อยเสร็จสรรพทิ้งให้ลูกกวางน้อยต้องเผชิญหน้ากับราชสีห์ตามลำพัง

   เมื่อไร้ซึ่งบุคคลที่สามทั้งห้องก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง ดาหลาเอาแต่ก้มมองพื้นไม่แม้นแต่ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองอสุราหนุ่มอีกตน นางทำเพียงแค่กระชับผ้าคลุมไหล่ผืนบางเข้าแนบกายราวกับว่ามันจะสามารถปกป้องตนให้รอดพ้นจากอีกฝ่ายได้อย่างไรอย่างนั้น

   รามสูรจดจ้องเรือนกายบอบบางไม่วางตา ก่อนจะลุกขึ้นจากสระแล้วเดินเข้าไปหานางโดยไม่ลืมที่จะหยิบผ้านุ่งเข้ามาพันรอบเอวสอบไว้อย่างหมิ่นเหม่

   เสียงฝีเท้าหนักหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างของนางกำนัลจอมหัวดื้อ ก่อนฝ่ามือกร้านจะช้อนให้ใบหน้างามแหงนเงยขึ้นมาสบตากับตน

เนตรงามคลอเคล้าน้ำตาได้อย่างน่าสงสาร นางกลั้นก้อนสะอื้นเมื่อโดนเรี่ยวแรงมหาศาลบีบปลายคางแน่นจนรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวสนิมของหยาดเลือด

“กล้าดีนะ” รามสูรยกยิ้มมุมปาก “กล้าขัดคำสั่งข้า!” นัยน์ตาคมกล้าเปล่งประกายวาวโรจน์ด้วยแรงโทสะ

   ดาหลาขบเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อความเจ็บปวดบริเวณข้างแก้มเพิ่มมากขึ้น นางส่งเสียงสะอื้นอย่างเสียขวัญเมื่อโดนอีกฝ่ายกระชากผ้าคาดอกออกจนอาภรณ์คลุมกายขาดวิ่น อสุราหนุ่มไม่พูดพร่ำให้เสียเวลาเมื่อนวลเนื้อที่คะนึงหามาตลอดทั้งค่ำคืนปรากฏอยู่ตรงหน้า

ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยแรงโทสะและไฟราคะที่คุกรุ่นตวัดอุ้มร่างของนางกำนัลคนงามขึ้นแนบอก ก่อนจะออกตัวเดินกลับเข้าไปในห้องบรรทมอย่างรวดเร็ว

ร่างบอบบางถูกโยนลงไปบนแท่นบรรทมกว้าง แต่ยังไม่ทันที่จะได้พลิกกายหนีกลับโดนร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มทาบทับลงมาเสียก่อน นางหวีดร้องอย่างน่าสงสารเมื่อโดนอีกฝ่ายซุกไซร้จูบตระโบมเรือนร่างอย่างหยาบโลน หยาดน้ำตามากมายเกลือกกลิ้งลงมาไม่ขาดสายเมื่อโดนความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจ

องค์ยุพราชรวบข้อมือทั้งสองของนางไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนจะไล่ละเลียดผิวเนื้อนวลอย่างลุ่มหลงมัวเมาในอารมณ์

..เพียงได้กลิ่นหอมของนวลเนื้อขาวผ่องตรงหน้า สัญชาตญาณดิบในกายก็ถูกปลุกเร้าขึ้นอย่างรุนแรง

..ความรู้สึกมันรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งไหนๆ...

แรงขัดขืนจากเรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดหาได้สร้างความรำคาญไม่ เพราะเพลานี้เขาต้องการเชยชมแม่เนื้อนิ่มจอมพยศตรงหน้าให้สาแก่ใจ!

มือสากกร้านเลื่อนลงไปปลดผ้านุ่งของอีกฝ่ายจนร่างของนางเปลือยเปล่าในท้ายที่สุด

เมื่อนางสิ้นฤทธิ์ที่จะดีดดิ้นขัดขืนรามสูรจึงยืดกายขึ้นมาเพื่อเชยชมร่างอรชร สายตาเร่าร้อนจดจ้องตั้งแต่ผมยาวสีดำคลับที่ทิ้งตัวแผ่กระจายไปทั่วหมอนปักดิ้นทอง ทรวดทรงองเอวทั่วร่างดูอวบอิ่มงดงามอีกทั้งผิวกายขาวนวลเนียนยังตัดกับเบาะสีแดงเลือดนกได้เป็นอย่างดี

   ดาหลานอนนิ่งให้อีกฝ่ายใช้สายตาโลมเลียอย่างจาบจ้วง เพียงเท่านั้นความกระดากอายก็พลันแล่นริ้วจู่โจมเข้ามาอย่างจัง

“องค์รามสูร..” เสียงหวานสั่นเครือได้อย่างน่าสงสาร “ด...ได้โปรด..ปล่อยบ่าวไปเถิดเพคะ” พลันน้ำตาที่แห้งเหือดไปก็กลับมาไหลรินอีกครั้งเมื่อได้เอ่ยปากเว้าวอน

“เจ้ากลัวหรือ” ร่างสูงใหญ่ลงไปทาบทับตัวกับผิวเนื้อนุ่มจนแนบชิดสนิท ก่อนจะก้มพรมจูบตามแนวลาดไหล่ของนางอย่างหลงใหล

   อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้าตอบรับอย่างหมดหนทางสู้ หวังเพียงใช้ไม้อ่อนเพื่อให้อสุราหนุ่มนึกสงสารและปล่อยตนไป

   ทางฝ่ายรามสูรเมื่อเห็นท่าทีที่โอนอ่อนลงของนางกลับนึกพอใจขึ้นมาอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อหวนนึกถึงคำบอกเล่าของวาริทเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมากลับทำให้ไฟโทสะลุกโชนขึ้นมาอีกหน...

‘กระหม่อมได้ยินเหล่านางกำนัลพูดกันว่า นางดาหลานั้นมีใจให้กับจอมทัพวศินอยู่ไม่น้อยเลยนะพ่ะย่ะค่ะ’

   …เพราะเหตุนี้สินะถึงได้เล่นตัวกับเขานัก!

“ไม่ต้องกลัว” เสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบต้นแขนเนียนราวกับว่าต้องการปลอบประโลม “ข้าจะช่วยเอ็นดูคนของจอมทัพวศินให้มาก”

   สิ้นประโยคพลันกายของดาหลาก็เย็นเฉียบขึ้นมาทันใด ตามแนวสันหลังชาวาบเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลในดวงใจหลุดออกมาจากปากของฝ่ายศัตรู นัยน์ตาสวยเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึงด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ความในใจของนาง

“ว่าอย่างไรเล่าดาหลา” ปลายนิ้วเกี่ยวเส้นผมที่ปรกใบหน้านวลไปทัดหูให้อย่างเบามือ “จะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้ากับมันมีความสัมพันธ์กันเยี่ยงไร” แม้นการกระทำจะอ่อนโยนแต่น้ำเสียงกลับแฝงแววคุกคามอย่างเห็นได้ชัด

   สตรีใต้ร่างทำเพียงแค่เสหน้าหลบออกไปอีกทางพร้อมด้วยหยาดน้ำตาที่เกลือกกลิ้งลงมาคลอเคลียที่ข้างแก้มอิ่ม

   ..ละอายใจเหลือเกินที่ถูกล่วงรู้ความรู้สึกที่น่ารังเกียจเช่นนี้

   ..เพราะมีแค่นางเท่านั้นที่เป็นฝ่ายรักท่านวศินอยู่เพียงผู้เดียว...

“..หามิได้เพคะ” ดาหลาข่มกลั้นความอดสูเอาไว้อย่างถึงที่สุด “กับท่านวศิน...หาได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใดต่อกันเพคะ”

“หึ...เจ้ายักษ์ทื่อมะลื่อนั้นคงไม่ได้รับรู้อะไรเลยสินะ” น้ำเสียงเย้ยหยันกล่าวอย่างถากถาง “แต่ก็นับว่าดียิ่งนัก..” อสุราหนุ่มเดาะลิ้นเข้ากับกระพุ้งแก้มอย่างสะกดกลั้นอารมณ์เบื้องต่ำที่โหมกระพือเมื่อใช้สายตาโลมเลียร่างนวลเนียนของนางกำนัลคนงาม “…เพราะข้าก็ไม่คิดที่จะรับของเหลือจากสวะพรรคนั้นเป็นแน่”

   สิ้นคำกล่าวร่างสูงใหญ่ก็พลิกกายของดาหลาให้กลับมานอนใต้ร่างตนดังเดิม ก่อนจะปลดผ้านุ่งของตนออก

เนื้อแนบเนื้อไร้ซึ่งอาภรณ์ขวางกั้นอีกต่อไป เสียงสะอึกสะอื้นของดาหลาร่ำร้องจนแหบแห้ง

แม้นกายจะสยบให้กับพละกำลังของอีกฝ่ายแต่ใจนั้นหาได้ปฏิพัทธ์แต่โดยดีไม่..

   ..เป็นเพียงนางกำนัลชั้นต่ำ...มีหรือจะสามารถขัดความต้องการของเจ้านายได้..

   เสียงโลมเลียนวลเนื้ออย่างหยาบโลนดังขึ้นไม่ขาดสาย เมื่อสองร่างรวมเป็นหนึ่งได้สำเร็จอสุราหนุ่มผู้ควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องบนก็หาได้ปราณีไม่ เรี่ยวแรงมหาศาลขับเคลื่อนถาโถมเข้าใส่จนนางไร้ซึ่งแรงกำลังที่จะขัดขืนทำได้เพียงแค่ปล่อยให้อีกฝ่ายตักตวงทุกอย่างจนกว่าจะพอใจ

   ..หยาดเหงื่อมากมายชุ่มฉาบทั่วผิวกายจนล้อเข้ากับแสงของเปลวไฟจากตะเกียง...

   เสาเรือนของแท่นบรรทมหลังงามไหวไปตามจังหวะการเคลื่อนกายที่สอดประสานแนบแน่น ผ้ามุ้งบิดพลิ้วเป็นระลอกคลื่นส่งเงาทาบทับลงบนแผ่นหลังกว้าง

ร่างสูงใหญ่ขับเคลื่อนกายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ราวกับอาชาศึกกำลังห้อตะบึงควบอย่างบ้าคลั่ง

แสงของเปลวเทียนที่อยู่ในตะเกียงวูบไหวไปตามแรงอารมณ์ ไฟราคะโหมกระพือมอดไหม้ทุกสิ่งรอบกายให้แหลกสลายเมื่อได้เชยชมกลิ่นหอมของดอกไม้แรกแย้ม

   ไม่รู้ว่าเวลานั้นผ่านล่วงเลยไปนานเท่าใด รู้ตัวอีกทีดาหลาก็สลบคาอ้อมกอดตนไปเสียแล้ว..

รามสูรคลายฝ่ามือที่กอบกุมกับอีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะพลิกกายให้นางลงไปนอนอยู่เคียงข้างกัน นัยน์ตาคมกล้าทอแสงอ่อนลงเมื่อพิศมองรอยช้ำที่ขึ้นอยู่ทั่วผิวกายเนียน ใบหน้างดงามยังคงปรากฏรอยชื้นของคราบน้ำตาอยู่บริเวณหางตา

   ..เพราะนางนั้นหอมหวานเกินไป...จนตัวเขานั้นเผลอลงแรงด้วยอย่างบ้าคลั่ง...

   นัยน์ตาคมทอดมองร่างบอบบางอย่างพินิจพิจารณาอยู่เพียงครู่ ก่อนจะดึงผ้าแพรขึ้นมาคลุมกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายไว้ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างกายอย่างโหยหาจนเขานั้นยังนึกแปลกใจตนเอง

   กับนางกำนัลตนอื่นเมื่อเสร็จกิจแล้วก็จะถูกไล่ตะเพิดอย่างสาดเสียเทเสียเพราะเขามิอาจที่จะร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางกำนัลชั้นต่ำได้ไม่ว่าจะหน้าไหนก็ตาม

   ..แต่กับดาหลานั้นแตกต่าง...

เมื่อได้สานสัมพันธ์ลึกซึ้งแล้วหาได้มีความรู้สึกที่อยากจะผลักไสนางออกไปให้พ้นกายไม่ อีกทั้งยังไม่ได้รู้สึกรังเกียจเหมือนดั่งที่ผ่านๆมาอีกเสียด้วยซ้ำไป...



   ในช่วงปัจฉิมยามบรรยากาศโดยรอบตำหนักรับรองพระราชอาคันตุกะนั้นเงียบสงัด มีเพียงองครักษ์สองนายที่รามสูรได้มอบหมายให้มาเฝ้าหน้าพระตำหนัก

   อสุราหนุ่มสองตนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่ไม่ทันใดก็พลันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในครรลองจักษุ

นัยน์ตาคมจดจ้องเงาตะคุ่มที่เลียบเคียงอยู่ตามแนวกำแพงพระราชวังอย่างไม่วางตา ทั้งสองจึงส่งสัญญาณให้อย่างเข้าอกเข้าใจกันดี พลางมือก็เลื่อนลงไปจับกระชับศาสตราวุธประจำกายแน่น

   เพียงไม่นานเงาปริศนาก็ทอดเดินเข้ามาตามทางเดิน องครักษ์นายหนึ่งย่างก้าวออกไปรับหน้าคอยกันท่าเมื่อเห็นว่ามีผู้มาเยือน ฝ่ายนั้นสวมเสื้อคลุมสีมืดทึบชายผ้ายาวจนปกปิดใบหน้าทั้งหมดเอาไว้

“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงเข้มขู่กรรโชกทำให้อีกฝ่ายต้องหยุดตามคำสั่ง “มีธุระกงการอันใด”

“ข้าอยากจะขอเข้าเฝ้าองค์รามสูร” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยตอบอย่างสุขุม

“เพลานี้น่ะรึ” องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเท่าใดนักเมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย จากนั้นจึงได้ออกปากไล่ “กลับไปเสีย”

“เรื่องสำคัญ” ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น “...ไปแจ้งให้ท่านวาริทรู้เสีย”

   เมื่อสังเกตให้ดีพลันก็จำได้ทันทีว่าเจ้าคนปริศนานี้เป็นผู้ใด...ที่แท้ก็เป็นทหารของนครคีรีตนนั้นนี่เอง

“เช่นนั้นจงรออยู่นี่สักประเดี๋ยว”

   องครักษ์หนุ่มหันกลับไปพยักหน้ากับสหายอีกตนที่ยืนสังเกตท่าทีอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปในพระตำหนักเพื่อแจ้งให้วาริทได้ทราบความ

 

   วาริทนั่งเคร่งขรึมอยู่บนตั่งหน้าห้องบรรทมเพื่อรอเฝ้าถวายการรับใช้เจ้านายตน พลันเห็นองครักษ์เดิมดุ่มๆเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อนก็ลุกขึ้นยืนรอฟังความที่อีกฝ่ายจะนำมาแจ้ง

“มีเหตุอันใด” วาริทลดเสียงให้เบาราวเสียงกระซิบ ทั้งสายตายังคอยมองกลับไปทางห้องบรรทมเพราะเกรงว่าเสียงจะไปรบกวนองค์รามสูรเข้า

“ทหารของนครคีรีตนนั้นจะมาขอเข้าเฝ้าองค์รามสูรขอรับ” อสุราหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นแต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาก็พลันหายสงสัยได้ในทันที “ทั้งยังบอกอีกว่ามีเรื่องสำคัญ ให้มาแจ้งให้ท่านวาริททราบขอรับ”

   …เจ้ากรรณทำงานได้รวดเร็วกว่าที่คิด

   เมื่อได้รับสารครบถ้วนจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว นายทหารเอกทำเพียงพยักหน้ารับความก่อนจะไล่ให้องครักษ์หนุ่มกลับไปเชิญแขกให้เข้ามาในโถงรับรองอีกทั้งยังกำชับไว้มั่นว่าให้รักษาการณ์ให้ดีอย่าให้ผู้ใดเข้ามารบกวนเด็ดขาด

   วาริทค่อยๆเลียบเคียงเข้าไปใกล้บานประตูห้องบรรทมอย่างระมัดระวังทุกฝีก้าว ก่อนจะผลักบานไม้สลักลายงดงามออกจากกันอย่างเบามือ

   อสุราหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หลังฉากกั้นก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นรอถวายความนายของตน

ระหว่างนั้นนัยน์ตาคมพลันสังเกตเห็นผ้าผ่อนที่กระจัดกระจายตกอยู่บนพื้นข้างแท่นบรรทม ผ้ามุ้งที่ผูกติดกับเสาบางผืนนั้นก็หลุดลุ่ยลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นเพียงไม่นานมานี้จะร้อนเร่าเพียงใด

   ..ก็นั่งเฝ้าอยู่ด้านหน้าตลอดมีหรือจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยได้อย่างหน้าตาเฉย…


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๔ - แผนการชั่ว : ๓๑/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 31-10-2018 04:06:48
ชั่วยามที่ผ่านมาเขานึกสงสารนางกำนัลตนนั้นอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาคอยรองรับแรงอารมณ์ดิบเถื่อนของเจ้านายตน ขนาดสามนางก่อนหน้าคอยแบ่งรับแบ่งสู้กันยังหมดเรี่ยวหมดแรงจนแทบจะต้องแบกหาม แต่นี่นางกลับรับหน้าที่นั้นอยู่เพียงผู้เดียวจึงอดที่จะหวั่นในอกไม่ได้ว่าสภาพของนางนั้นจะชอกช้ำเพียงใด...

“ว่าอย่างไรวาริท” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามออกมาจากหลังฉากกั้น ฟังก็รู้ว่าตอนนี้นั้นผู้พูดคงไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

“มันมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ถวายทูลความด้วยเสียงที่เบาราวกับจะหายไปกับสายลม

   จะไม่ให้ลดเสียงได้อย่างไร เมื่อพอแอบลอบมองลอดผ่านช่องลายสลักของฉากกั้นเข้าไปนั้นก็ได้พบว่านายของตนกำลังตระกองกอดร่างของนางกำนัลตนนั้นอยู่...

   อยู่เฝ้ารับใช้องค์รามสูรมาก็ตั้งหลายปีดีดัก เหตุการณ์เช่นนี้เคยพานพบเสียเมื่อไร

หากพวกนางที่ผ่านมาไม่ลงมานอนที่พื้นก็จะโดนตะเพิดเปิดเปิงให้ออกไปหลังจากเสร็จกิจ หาได้มีช่วงเวลาที่นายของตนจะมาคอยพะเน้าพะนอตระกองกอดเช่นนี้ไม่

“อืม” รามสูรเพียงพยักหน้ารับก่อนจะดึงผ้าแพรผืนบางขึ้นมาคลุมไหล่เปล่าเปลือยของนางในอ้อมกอดไว้เมื่อสังเกตเห็นว่าเจ้าวาริทมันลอบมองเข้ามาอย่างสนใจใคร่รู้ “..เจ้าออกไปก่อน”

   วาริทขานรับคำสั่งอย่างนอบน้อมก่อนจะถอยออกมาจากห้องบรรทมอย่างเงียบเชียบโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูบานไม้ให้พร้อมเสร็จสรรพ

   คล้อยหลังทหารคนสนิทรามสูรก็ได้หันกลับมาสนใจคนที่นอนหลับใหลไม่รู้เรื่องราวอยู่ในอ้อมกอดของตนอีกครั้ง

   แสงนวลของเปลวไฟในตะเกียงฉาบไล้เข้ากับใบหน้างาม กลิ่นของกำยานหอมอบอวลชวนให้ผ่อนคลายเมื่อได้เพ่งพิศมองผิวเนื้อขาวผ่องตรงหน้า ปลายนิ้วยกขึ้นมาลูบไล้ผิวแก้มนวลก่อนจะเกลี่ยเส้นผมที่ระอยู่ไปทัดไว้ข้างใบหูให้อย่างเบามือ

   ..นางช่างเย้ายวนแม้นในยามที่หลับใหล

   กลิ่นหอมรัญจวนใจที่ถูกตนกอดนั้นตลบอบอวลอยู่ทั่วบริเวณจนมิสามารถที่จะข่มตาหลับได้ อยากที่จะละเลียดลิ้มรสไปเสียทุกส่วนจนยากที่จะห้ามปรามตนไว้ได้

สุดท้ายก็ปล่อยให้ตนเอาเปรียบนางไม่หยุดหย่อนเช่นนี้

   ..ดาหลาดอกนี้ถูกหลอมด้วยไฟปรารถนาจากเขาช่างเย้ายวนชวนให้ลุ่มหลงอย่างร้ายเหลือ...

   ลมหายใจร้อนระอุที่รินรดอยู่ข้างซอกคอและอ้อมกอดที่โอบรัดอยู่รอบกายนั้นทำให้ผู้ที่กำลังติดอยู่ในห้วงนิทรายื้อกายหนีเมื่อรู้สึกว่าไม่สบายตัว

แต่ถึงกระนั้นผู้ที่กระทำก็หาได้สนใจไม่ กลับตรึงร่างของนางให้เข้ามาแนบชิดกายยิ่งกว่าเก่าพร้อมกับเชยคางมนให้แหงนเงยขึ้นมาป้อนจุมพิตแนบแน่น

จนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมของวาริทที่ยืนคอยท่าอยู่หลังบานประตูไม้ดังขึ้นแผ่วเบาเป็นเชิงเตือนว่าให้เร่งรีบออกมาเสียที ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจำเป็นต้องหยุดลงไว้เพียงเท่านี้ก่อนที่มันจะเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้วทำให้เสียการเสียงานเอาได้

   อสุราหนุ่มประคองร่างของนางให้ลงนอนอย่างเบามือก่อนจะตวัดผ้าแพรขึ้นมาคลุมกายเปลือยเปล่าไว้จนมิด

ทั่วผิวกายขาวผ่องปรากฏรอยแดงช้ำเป็นจ้ำอยู่หลายแห่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งปลีน่อง แสดงให้เห็นว่าค่ำคืนที่ผ่านมานั้นทั้งสองได้แนบชิดลึกซึ้งกันมากเพียงใด..

    รามสูรผละออกมาจากกายอุ่นลงมาจากแท่นบรรทม พร้อมก้มลงหยิบผ้านุ่งผืนเดิมที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาพันไว้รอบเอวสอบก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องเพื่อไปสะสางกิจให้แล้วเสร็จ

   วาริทค้อมกายอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นว่านายของตนก้าวออกมาจากห้อง

“มันอยู่ที่ใด” รามสูรเอ่ยถาม

“โถงรับรองพ่ะย่ะค่ะ”

   องค์ยุพราชออกเดินนำไปยังที่หมายโดยมีทหารเอกตามหลังมาไม่ห่าง และนั่นจึงทำให้วาริททันสังเกตเห็นรอยเล็บข่วนยาวเต็มแผ่นหลังกว้าง

   ที่ทำให้เขาต้องแปลกใจก็คือโดยปกติแล้วยามที่องค์รามสูรร่วมเสพสังวาสกับผู้ใดก็ตามฝ่ายนั้นจะไม่มีทางได้ฝากร่องรอยทิ้งไว้เช่นนี้เป็นแน่

แต่นี่นายของต้นถึงกับยอมเลือดตกยางออก เห็นทีนางกำนัลตนนั้นจะได้รับความนิยมชมชอบอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

   ..พูดง่ายๆก็คือองค์รามสูรหลงเมียบ่าวตนนั้นเข้าให้แล้ว...

   เมื่อเดินมาถึงโถงรับรองก็ได้พบร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มตนเดิมที่ยังคงท่าทีกระด้างกระเดื่องไม่เปลี่ยน

   เห็นดังนั้นวาริทจึงตั้งท่าที่จะเข้าไปจัดการอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจเท่าใดนัก แต่กลับโดนผู้เป็นนายยกมือห้ามปรามไว้เสียก่อน

“อย่าทำให้เสียการเสียงานวาริท” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอกอย่างนุ่มนวลพร้อมกับนั่งลงบนตั่ง ก่อนจะชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับเอนกายอิงหมอนอย่างเกียจคร้าน

   กรรณจดจ้องอีกฝ่ายอยู่เพียงครู่ก่อนยื่นส่งม้วนกระดาษให้กับวาริทที่เดินมารับไปถวายแก่องค์รามสูร

   ผู้มีอำนาจสูงสุดภายในตำหนักคลี่ม้วนกระดาษออกด้วยท่าทีไม่รีบร้อน นัยน์ตาคมกวาดไล่อ่านเพียงผิวเผิน เมื่อได้ตรวจเนื้อหาทั้งหมดจนเป็นที่น่าพอใจแล้วก็ยื่นส่งให้วาริทนำไปมอบคืนให้อีกฝ่าย

“ทำได้ดีนี่” เสียงเย้ยหยันเอ่ยชมอย่างจริงใจ รอยยิ้มมุมปากจุดประกายขึ้นอย่างผู้มีอำนาจเหนือกว่า แต่พลันชั่วครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นการขมขู่ “หวังว่าเจ้าคงจะไม่ลืมแผนการที่เราตกลงร่วมกันไว้..” นัยน์ตาสีเพลิงประกายกร้าว “รู้ใช่หรือไม่...ถ้าหากคิดเล่นไม่ซื่อแม้นเพียงสักนิดล่ะก็” ลดเสียงให้เบาลงแต่กลับดังชัดในความรู้สึกของกรรณยิ่งนัก “…เมียและลูกของเจ้าจักเป็นเช่นไร”

   รามสูรว่าทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะลุกเดินกลับห้องบรรทมไปโดยไม่แม้นแต่จะหันกลับไปมองอีก

   ..อีกเพียงไม่กี่ชั่วยามหลังจากนี้ ทางเจ้าเมืองนครคีรีจะมีการเรียกไต่สวนชำระความเรื่องของสองจอมทัพ

   เขาก็เพียงแค่ยืมมือของเจ้ากรรณสร้างหลักฐานเท็จร่วมประกอบการด้วยเล็กน้อย...ก็เท่านั้น

   ..บอกเล่าปากเปล่าไป..ใครเขาจะเชื่อ..



   ร่างสูงใหญ่หยุดยืนอยู่หน้าประตูเพียงครู่ เมื่อผลักบานไม้ออกจากกันมองพาดผ่านฉากกันไปก็ได้พบเงาร่างสลัวกำลังประคองกายลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล

ดาหลานั่งคู้กายกอดเข่าเข้าหากัน ร่างบอบบางมีเพียงผ้าแพรคลุมปิดช่วงสะโพกเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่เท่านั้น เรียวไหล่สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อก้อนสะอื้นตีรวนขึ้นมาอยู่กลางอก นางพยายามกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้อย่างสุดความสามารถเมื่อได้เห็นร่องรอยที่อสุราหนุ่มตนนั้นตีตราเอาไว้ทั่วผิวกาย

..นึกรังเกียจเดียดฉันท์ตนขึ้นมาทันใด

ร่องรอยบอบช้ำที่ปรากฏขึ้นตามกายหาได้เจ็บปวดเท่าแผลในใจที่ถูกฉีกกระชากอย่างไม่มีชิ้นดี

..แต่ที่นึกรังเกียจมากไปกว่านั้นก็คือความรู้สึกของตนที่พลั้งเผลอไปกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายคอยปรนเปรอให้...

ยิ่งหวนนึกถึงก็รู้สึกราวกับมีมือปริศนาเข้ามาบีบเคล้นในอุราจนปวดร้าว

..นางยอมให้เขาได้เชยชมโดยไร้ซึ่งหนทางโต้แย้ง

..ไม่สามารถที่จะต้านทานพละกำลังของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ได้เลย...

เรียวปากอิ่มบวมช้ำเพราะพิษของจุมพิตร้อนแรงที่อีกฝ่ายบังคับให้ตนรับไว้ตลอดค่ำคืนที่มา

นางเผลอขบเม้มมันจนโลหิตไหลซึมออกมาตามกลีบเนื้อแห้งผาก แต่ก่อนที่จะยกมือขึ้นเช็ดมันออกกลับมีมือปริศนาของใครอีกคนประคองช้อนปลายคางมนให้แหงนเงยขึ้น ก่อนที่สัมผัสอุ่นชื้นจะแนบลงมาข้างมุมปากอย่างนุ่มนวล

…องค์รามสูร

ดาหลาตัวแข็งทื่อเมื่อบุคคลที่ตนไม่อยากพบเจอมากที่สุดในเวลานี้กลับปรากฏกายขึ้นตรงหน้า

ฝ่ามือใหญ่ประคองสองข้างแก้มนวลไว้จนนางมิสามารถที่จะเบี่ยงหน้าหลบหนีได้ ข้อนิ้วแข็งไล้ลูบบริเวณพวงแก้มอิ่มแผ่วเบา เรียวลิ้นร้อนจัดการตวัดเลียหยาดโลหิตที่ผุดซึมขึ้นมาอย่างไม่นึกรังเกียจแต่อย่างใด ก่อนจะต้องจำใจผละออกมาอย่างอ้อยอิ่งเมื่อรับรู้ว่านางกำนัลคนโปรดเริ่มหายใจไม่ทัน

   นัยน์ตาคมกล้าสบประสานเข้ากับลูกแก้วที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ไม่พูดพร่ำทำเพลงร่างสูงใหญ่ก็จัดการตวัดกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายขึ้นอุ้มแนบชิดแผงอกแกร่ง ก่อนจะพาเดินเข้าไปในห้องสรงน้ำ

รามสูรปล่อยให้นางยืนลงบนพื้นข้างสระ พร้อมด้วยหันมาปลดผ้านุ่งของตนออกจากเรือนกายจนเนื้อตัวเปล่าเปลือยเสมอกันทั้งคู่

ร่างสูงใหญ่เดินก้าวข้ามลงไปในสระสรงก่อนจะนั่งลงบนแท่นหินจนระดับน้ำเสมอแผ่นอก นัยน์ตาคมกล้าปรายกลับมามองร่างของคนงามที่ยืนก้มหน้าหลบตาอยู่ข้างสระอย่างไม่สบอารมณ์

“ดาหลา” แต่เสียงที่ใช้เรียกกลับนุ่มนวลกว่าที่คิดจนตนเองยังนึกแปลกใจ “มานี่สิ”

   คราแรกนางอยากที่จะปฏิเสธ แต่เมื่อโดนสายตาข่มขู่มองกลับมาจึงจำใจที่จะต้องเดินลงไปในสระตามที่อีกฝ่ายต้องการ

   กายขาวนวลโดนสายน้ำฉ่ำเย็นโอบล้อมรอบจึงทำให้เนื้อตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งหลักดีกลับโดนวงแขนแกร่งตวัดกอดรัดให้เข้าไปแนบชิดเสียก่อน

   ผิวเนื้อร้อนระอุของบุรุษวัยฉกรรจ์แนบประชิดกับนวลเนื้อขาวผ่อง จากตำแหน่งนี้รามสูรที่นั่งอยู่บนแท่นหินนั้นเป็นฝ่ายที่อยู่ต่ำกว่า ใบหน้าคมคร้ามจึงจัดอยู่บริเวณช่วงเนินอกของอีกฝ่ายพอดิบพอดี มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อช้อนตาขึ้นมองคนงามตรงหน้า

   ดาหลายืนนิ่ง หายใจไม่ทั่วท้องเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแนบเรียวปากร้อนจัดไปตามผิวกาย ใบหน้างดงามเห่อร้อนอย่างอับอายเมื่อความอุ่นชื้นดูดกลืนเนินเนื้อของนางอย่างเอาแต่ใจ

   ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งโอบประคองช่วงหลังสะโพกไว้กันไม่ให้นางหนี ส่วนอีกข้างก็ทำหน้าที่ได้ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ปลายนิ้วซุกซนลูบไล้ไปทั่วนวลเนื้อจนได้ยินเสียงหวานคราเครืออยู่ข้างใบหู

..เรียวปากร้อนละเลียดลงมาต่ำป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณหน้าท้องแบนราบนานเป็นพิเศษ...

   ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดอยู่ใกล้แอ่งสะดือทำให้ดาหลาเผลอยกแขนขึ้นโอบรอบต้นคอแกร่งไว้เมื่อรู้สึกว่าเรี่ยวแรงขาของตนเริ่มหดหาย

เรียวลิ้นร้อนดูดกลืนผิวเนื้ออ่อนจนได้ยินเสียงหยาบโลนให้ระคายหู เมื่อถึงจุดสิ้นสุดแห่งอารมณ์ร่างบอบบางก็หวีดร้องอยู่ในลำคออย่างอดกลั้น นางหมดเรี่ยวแรงจนอสุราหนุ่มต้องโอบกอดขึ้นมานั่งแนบไว้บนตัก

   เสียงผิวน้ำกระเพื่อมล้นสระเมื่อจังหวะสอดประสานกายขับเคลื่อนจนเกิดระลอกคลื่น

สายน้ำเย็นฉ่ำก็มิสามารถที่จะดับไฟราคะที่กำลังคุโชนอยู่ได้แม้นเพียงกระผีก รามสูรมัวเมาในนวลเนื้อของนางโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องบางที่มีรอยคมเขี้ยวของเขาประทับลงไป ผิวขาวผ่องที่ถูกเขาตีตราไปทั่วทุกตารางนิ้วนั้นช่างน่าหลุมหลงจนยากที่จะถอนตัว...

   ...ดูท่าแล้วเมียบ่าวนางนี้จะมีอิทธิพลกับเขามากทีเดียว...



   คล้อยหลังที่ก้าวพ้นออกมาจากพระตำหนัก กรรณรู้สึกคล้ายกับว่าฝ่าเท้าทั้งสองข้างนั้นถูกตรวนเส้นใหญ่ล่ามติดเอาไว้อย่างหนาแน่น

   ..มันหนักอึ้ง..

..อับจนไร้หนทางราวกับดวงตาทั้งสองข้างนั้นมืดบอด

   หากจะถอยกลับตอนนี้ก็คงจะสายเกินไปเสียแล้ว ทำได้เพียงแค่เดินหน้าต่อไปเท่านั้น

   ทุกช่วงย่างก้าวสามารถรับรู้ได้ว่ามีสายตาของฝ่ายศัตรูคอยจ้องมองอยู่ ทางนั้นส่งคนของมันมาเฝ้าจับตามองเขาเพื่อกันมิให้แผนการชั่วของมันได้หลุดออกไปให้ผู้อื่นได้รับรู้..

   …ถึงครานี้จักจงเกลียดจงชังพวกราชคฤห์มากเท่าใด

...ในใจนั้นก็รู้สึกเกลียดชังตนเองไม่ต่างกัน...


______________________

ฉับ!! สวิงอารมณ์กันอย่างรวดเร็ว

เผื่อทุกคนจะคิดถึงผู้ชายวรั้ยวร้ายยย 5555



มาช้าอีกตามเคยเลยค่ะ ขออภัยโด้ยย :z10:
...พอแล้วไปนอนดีกว่า ฝันดีคับพ้ม <3  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๔ - แผนการชั่ว : ๓๑/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Zenith ที่ 31-10-2018 14:22:12
เป็นตอนที่รู้สึกเศร้าอ่ะ ไม่ได้รู้สึกร้อนแรงหรืออะไรเลยจริงๆ มันวูบโหว่งในอกมาก คุณพันไมล์เขียนตอนนี้อาจจะอยากให้รู้สึกถึงความร้อนแรงขององค์รามสูร แต่เราไม่รู้สึกเลยอ่ะ มีแต่ความวูบโหว่งในอก เพราะสงสารดาหลาอ่ะ เป็นผญ.เหมือนกันเลยเข้าใจว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนกับการโดนกระทำแบบนี้ แม้รามสูรจะชอบจะหลง แต่ดาหลาไม่ได้เต็มใจอ่ะ มันเลยวูบๆ ถึงจะไม่ชอบดาหลาก็ตามแต่ก็ไม่คิดอยากให้โดนเป็นแบบนี้อ่ะ ขอโทษตรงนี้ด้วยนะคะ อาจไม่รู้สึกเหมือนคนอื่น แต่เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราไม่ได้ว่าคุณพันไมล์น้าา ที่เขียนตอนนี้แบบนี้เราเข้าใจแต่แค่สงสารดาหลาเฉยๆ อินมากไปหน่อย55555 แล้วยิ่งมีฉากกรรณเข้ามาอีกก็ยิ่งสงสารอ่ะ เลยเกลียดรามสูรจริงๆ ทำร้ายคนมากมาย หวังแต่ว่าดาหลาจะช่วยให้รามสูรคิดและปรับปรุงตัว แต่พอคิดว่าถ้ารามสูรเป็นคนดีใครจะเป็นตัวร้ายล่ะ เออ เพราะงั้นอย่าใส่ใจกับเราเลย5555555 คิดได้อ่ะ งั้นเอาใหม่ ไหนๆ รามสูรร้ายแล้วก็ร้ายให้สุดๆ ไปเลยยย รามสูรนี่ร้ายกับคนทั้งโลกยกเว้นดาหลาสินะ กรุ้มกริ่มๆ 555555555 เอ้ย ไม่ดิ มันขืนใจดาหลามันไม่ใช่คนดี!! เดี๋ยวก่อนๆ จะเอาไม้ไล่ฟาดให้

สงสารพี่กรรณอ่ะ สงสารมาก หนูเป็นพี่คงผูกคอตายไปแล้ว ฮือออ เข้มแข็งนะพี่กรรณ สู้ตาย แม้พี่หรือใครจะเกลียดพี่ แต่หนูรักพี่นะ เข้มแข็งไว้ ไฟท์ติ้งงงง

ปล.หาคำผิดไม่เจอนะคะ เก่งมากเลย เรารู้สึกเรื่องมันจะเอื่อยๆ อ่ะ อยากให้มันกระชับกว่านี้หน่อย แหะๆ เรื่องเรียนก็สู้ๆ นะคะ สู้ไปพร้อมพี่กรรณนี่แหละ5555555 เอาใจช่วยน้าาา รักนะคะ เทคแคร์
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๔ - แผนการชั่ว : ๓๑/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-10-2018 20:50:55
 :m16:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๔ - แผนการชั่ว : ๓๑/๑๐/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 31-10-2018 21:11:05
แอบคล้อยตามนิดๆๆ อิอิ ช่างร้อนแรงอะไรเยี่ยงนี้อยากให้ดาหลาคู่กับรามสูรน่ะ เห็นใจดาหลาอ่ะ แต่ท่าจะยาก หรือไม่ยาก ลุ้นต่อ

หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๕ - ตามล่าสองจอมทัพ(๕๐%) : ๐๓/๑๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 03-12-2018 03:02:31
ตามล่าสองจอมทัพ

.

.

.


ม้วนกระดาษถูกขยำจนยับย่น พระหัตถ์ของกษัตริย์นครคีรีสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อได้ทอดพระเนตรหลักฐานจากกรมคลัง

หลังจากวันที่เกิดเรื่อง พระองค์ได้เรียกตัวเจ้ากรรณมาเข้าเฝ้าพร้อมกับมอบราชกิจให้เข้าไปตรวจตราที่กองคลังเมืองหน้าด่าน เพื่อรวบรวมหลักฐานมาร่วมประกอบการไต่สวนคดีความในครั้งนี้

ท้ายที่สุดข้อความที่ประจักษ์แก่สายตานั้นทำให้พระองค์มิสามารถที่จะระงับโทสะเอาไว้ได้อีกต่อไป

...ส่วยอาการและเครื่องราชบรรณาการบางส่วนนั้นได้หายออกไปจากท้องพระคลังพร้อมกับการหายตัวไปของทั้งสองจอมทัพ อีกทั้งพวกมันยังหลบหนีไปในระหว่างที่กำลังนำทัพปล่อยปละละเลยหน้าที่ซึ่งถือว่าเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุดของกฎการศึก

...หลักฐานยืนยันทำให้ต้องจำใจยอมรับว่าสองจอมทัพใหญ่ที่พระองค์ไว้เนื้อเชื่อใจมาโดยตลอดนั้นกลับก่อกบฏและเนรคุณแผ่นดินได้อย่างเลือดเย็น

แม้นจะทรงนึกเอ็นดูอสุราหนุ่มทั้งสองตนอยู่มาก แต่เห็นทีคงจะไม่สามารถปล่อยปละละเลยความผิดในครั้งนี้ไปได้

“ทรงพระทัยเย็นก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างนึกกังวลขึ้นมาเมื่อเห็นพระพักตร์ไม่สู้ดีขององค์จ้าวเหนือหัว

“จะให้ข้าเย็นอย่างไรไหว..” น้ำเสียงกระชากอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าดูสิ่งที่พวกมันสองคนกระทำต่อข้า!”

ทั้งท้องพระโรงต่างตกอยู่ในความเงียบงันเมื่อกระบอกส่งสารถูกปาลงพื้นอย่างแรง

เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อกัน ทำให้พระองค์ไม่นึกเฉลียวใจเลยว่าต่อให้ตนนั้นจะมีบุญคุณกับอสุราหนุ่มทั้งสองมากเพียงไหน สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีผู้ใดที่จะปราศจากจากความโลภโดยแท้จริง ต่อให้ยึดมั่นในศีลธรรมและปฏิบัติตัวอยู่ในทำนองคลองธรรมแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วเมื่อมีโอกาสได้กอบกุมอำนาจไว้ในมือก็ต่างหลงระเริงไปตามกันจนหมดสิ้น

ทำให้พระองค์หวนนึกถึงบทสนทนาระหว่างพระองค์กับโอรสคนโตเมื่อครั้นที่ยังไม่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้น

‘ภาวัต’ พระโอรสที่ครองตำแหน่งยุพราชแห่งนครคีรีนั้นเป็นพวกไม่ได้ความเท่าใดนัก แต่เพราะมีอำนาจของฝ่ายมารดาที่ดำรงตำแหน่งพระมเหสีคอยช่วยหนุนหลังอยู่จึงทำให้ท้าวภารตามิสามารถที่จะว่ากระทำการตามใจชอบได้เท่าใดนัก

แต่ไหนแต่ไรมาองค์ยุพราชนั้นนึกเกลียดชังสองจอมทัพใหญ่อยู่ไม่น้อยเพราะเห็นว่าพระบิดาดูรักและเชื่อใจพวกนั้นมากกว่าตัวเองที่เป็นลูกในไส้ เลยมักจะหาเรื่องใส่ความมาตลอดเมื่อมีโอกาส ถึงขั้นมีปากเสียงจนถึงขั้นเลือดตกยางออกไปเลยก็มี

และครั้งล่าสุดที่ทำให้องค์ยุพราชบันดาลโทสะมากที่สุดก็เมื่อได้รู้ว่าท่านพ่อมีรับสั่งให้ทั้งสองจอมทัพออกไปประจำการอยู่ที่เมืองหน้าด่านเพื่อต้านรับศึกจากกรุงราชคฤห์แทนที่จะเป็นตนเอง...หน้าที่นั้นมันควรเป็นของเชื้อพระวงศ์ หาใช่พวกทหารไร้หัวนอนปลายเท้าเช่นพวกมัน!

เกิดปากเสียงใหญ่โตเพราะครานี้ทางฝ่ายพระมเหสีเองก็ไม่ยอมเมื่อสิ่งที่องค์เจ้าเหนือหัวทำนั้นมันเกินกว่าที่นางจะรับได้

‘พระองค์ทรงไว้ใจผู้อื่นมากกว่าลูกแท้ๆ อีกหรือเพคะ’ น้ำเสียงที่ขมขื่นถูกเค้นออกมาอย่างเจ็บแค้นเมื่อมิสามารถที่จะอดทนได้อีกต่อไป

...ที่ผ่านมาก็ทำเป็นมองข้ามมาโดยตลอด แต่ครานี้เห็นทีคงยอมให้ไม่ได้

‘ท่านพ่อเตรียมใจเอาไว้ได้เลย หากวันใดที่พวกมันคิดคดหักหลังขึ้นมาล่ะก็ มันก็เป็นเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจของพระองค์เอง!’

รู้ตัวอีกทีก็เผลอตวัดตบใบหน้าคมคายของเจ้าภาวัตจนหน้าหัน

เสียงกรีดร้องของพระมเหสีดังขึ้นอย่างตกใจ นางร้องไห้ออกมาพร้อมกับจดจ้องมาอย่างโกรธแค้นก่อนจะพาตัวลูกออกไปจากท้องพระโรงโดยทันที พอรุ่งสางหมายที่จะเข้าไปหาในตำหนักเพื่อปรับความเข้าใจก็ได้ความว่าทั้งสองนั้นออกเดินทางไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของพระมเหสีเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อช่วงปัจฉิมยามที่ผ่านมา

ท้าวภารตาพยายามประคองโทสะของตนไว้อย่างสุดความสามารถ พระเนตรทรงอำนาจทอดมองเหล่าข้าราชบริพารก่อนจะหยุดลงที่ทหารหนุ่มตนหนึ่ง

“เจ้ากรรณ” เสียงทุ้มกังวานก้องทั่วท้องพระโรง

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าจักมอบหน้าที่ให้เจ้าจัดการเรื่องนี้”

อสุราหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ ขานรับด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนจะต้องตัวชาเมื่อได้ฟังคำสั่งต่อมาจากองค์จ้าวเหนือหัว

“จงไปออกตามหาแม่ทัพวศินและแม่ทัพวิรุณเสีย แล้วจับตัวพวกมันกลับมารับโทษให้จงได้!”

ราวกับโดนอสุนิบาตผ่าฟาดลงกลางอก

กรรณเนื้อตัวเย็นเฉียบ มือทั้งสองข้างถูกกำจนแน่นเมื่อโดนรับสั่งให้ออกไปตามหาตัวสองจอมทัพ ทั่วท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่ออสุราหนุ่มไม่มีท่าทีตอบสนองต่อคำสั่ง

“เจ้ากรรณ” ท้าวภารตาเรียกซ้ำอีกหนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นั่งอ้ำอึ้ง

“พ..พ่ะย่ะค่ะ”

“จงไปเตรียมตัวให้พร้อมเสีย...กิจครานี้ข้าจักให้เวธัสไปช่วยเจ้าอีกแรง”

ทันทีที่ได้ยินกรรณก็หันไปมององครักษ์หนุ่มประจำพระองค์ที่ยืนหน้าตาถมึงทึงอยู่ข้างๆ บัลลังก์ทันที

...ความฉิบหายซ้ำสอง..

อสุราหนุ่มสองตนมองจ้องกันอย่างฟาดฟัน ก่อนที่กรรณจะต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีกลับมาก่อนด้วยเพราะรู้สึกไม่จำเริญหูจำเริญตาเท่าใดนัก

..เวธัสนั้นเป็นคู่อริกับเขามาตั้งแต่เมื่อครั้นที่ยังเป็นเพียงพลทหารฝึกหัดด้วยกันทั้งคู่ ที่มีเรื่องบาดหมางกันก็เพราะดันไปต้องตาต้องใจนางยักษ์ตนเดียวกันเข้าเลยทำให้ต้องมีปากมีเสียงกันไปตามประสาวัยหนุ่มเลือดร้อน

แต่สุดท้ายคนที่ได้ใจบุหลันมาครองก็คือเขา แม้นเรื่องมันจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่ทุกวันนี้ก็ยังอดที่จะเขม่นกันไม่ได้อยู่ดี

“อย่าให้เสียการเสียงาน” พระองค์เอ่ยเตือนอย่างรู้เท่าทัน “เข้าใจหรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อสุราหนุ่มค้อมกายรับคำสั่งอย่างนอบน้อมแม้นจะรู้สึกไม่ชอบใจเท่าใดนักที่จะต้องปฏิบัติภารกิจร่วมกับอดีตศัตรูหัวใจ

...แต่ถึงอย่างไรเสียก็ควรแยกแยะให้ออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว โตๆ กันทั้งคู่แล้วหาใช่เป็นอสุราหนุ่มเลือดร้อนเหมือนดั่งเมื่อก่อนไม่

“ดี เช่นนั้นก็ออกไปได้แล้ว ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้เจ้าทราบเพียงเท่านี้”

กรรณยังคงท่าทางอึกอักไม่ยอมลุกออกไปเสียทีจนท้าวภารตาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามออกมาอีกหน

“คือ...กระหม่อมมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะทูลขอจากพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องอันใดเล่า เจ้ากรรณ”

“กระหม่อมอยากจะขอให้พระองค์ปล่อยตัวเจ้าวิรัลออกมาจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ภายในท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบอีกหนเมื่อน้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยเว้าวอนต่อองค์จ้าวเหนือหัว

พระองค์มิได้โต้ตอบกลับมา ทำเอาอสุราหนุ่มใจเสียด้วยความหวาดหวั่น

“ได้โปรดทรงเมตตาเถิดพ่ะย่ะค่ะ...เจ้าวิรัลเองก็หาได้รับรู้เรื่องนี้ด้วย” พยายามประคองน้ำเสียงสั่นเครือให้นิ่งสงบ แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินเมื่อหวนนึกถึงสภาพของน้องในวันนั้น

...โทษทัณฑ์อันแสนสาหัสเช่นนั้น

...มันสมควรเป็นเขาที่ได้รับมัน..

“...หากพระองค์ต้องการที่จะลงโทษ...ก็ขอให้กระหม่อมรับโทษนั้นแทนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นคำกล่าวร่างสูงใหญ่ก็ก้มลงหมอบกราบแนบพื้นอย่างไม่คิดลังเลแม้นสักนิด

ขอเพียงแค่นำตัววิรัลออกจากคุกใต้ดินได้ ต่อให้พระองค์จะสั่งให้โบยจนเนื้อแตกเขาก็ยินดี

“เอาล่ะ” ท้าวภารตาทอดถอนหายใจออกมาในที่สุด “ลุกขึ้นเถิดเจ้ากรรณ”

อสุราหนุ่มหยัดกายขึ้นตามคำสั่งแต่ถึงกระนั้นก็ยังมิได้เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่อยู่เบื้องบนแต่อย่างใด

“เห็นแก่คุณงามความดีครั้งนี้ของเจ้า...” พระองค์ปรายตาปรามเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีที่จะแย้งขึ้นมา “ข้าจะปล่อยตัวเจ้าวิรัลให้ตามที่เจ้าขอก็แล้วกัน”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”

เพียงเท่านั้นก็ไม่สามารถที่จะเก็บกลั้นความยินดีเอาไว้ได้อีกต่อไป เรือนกายสูงใหญ่หมอบกราบลงบนพื้นอีกหนด้วยความตื้นตันในอก

...เพราะอย่างน้อยเขาก็สามารถช่วยน้องให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้แล้ว

...ตอนนี้ก็คงจะเหลือแค่เขาแต่เพียงผู้เดียว

...ที่ถลำลึกลงไปในห้วงแห่งความมืดมน จนยากที่จะถอนตัว...

 

ภายในห้องขังมืดสลัวมีเพียงเสียงของประกายไฟจากคบเพลิงบริเวณหน้าลูกกรงเท่านั้นที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

ร่างร่างหนึ่งคู้กายอยู่ตรงมุมอับของห้องคับแคบ อากาศที่เย็นลงทำให้เนื้อตัวสั่นขึ้นมาอย่างยากที่จะควบคุม วิรัลเหม่อมองลงไปที่พื้นดินอยู่นานสองนาน จนสุดท้ายสัมผัสอุ่นร้อนจากหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาก็ทำให้ต้องยกมือขึ้นปาดออกจนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเปื้อนมอมแมมเต็มไปด้วยคราบเขม่าดิน

พลันเสียงโซ่ตรวนที่ดังขึ้นจากบริเวณหน้าประตูก็เรียกความสนใจจากอสุราตัวน้อยให้หันไปมอง เงาร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างมั่นคง ประกายแสงสลัวของคบเพลิงทอดทับแผ่นหลังกว้างจนเงาตกกระทบทอดยาวลงมาบนพื้นดิน

เจ้าตัวน้อยคู้กายเข้าหากันยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากหวั่นเกรงท่าทีคุกคามของคนตรงหน้า แต่แล้วเมื่อฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นกายที่คุ้นเคยก็ทำให้ความวิตกกังวลทั้งหลายทั้งมวลถูกปัดเป่าให้หายทิ้งไปจนหมดสิ้น

“เจ้าตัวน้อย” น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนเอ่ยเรียกพร้อมกับยอบกายลงตรงหน้า

“...กรรณ”

“ข้ามารับเจ้าแล้ว” รอยยิ้มอบอุ่นกลับดูสว่างไสวเสียยิ่งกว่าเปลวไฟในคบเพลิง “...กลับบ้านกันนะวิรัล”

ยังไม่สิ้นประโยคดีเจ้าตัวน้อยก็โถมกายกอดจนล้มกลิ้งไปกับพื้นดินด้วยกันทั้งคู่พลันปล่อยเสียงสะอื้นออกมายกใหญ่เมื่อโดนอ้อมแขนอุ่นโอบรัดเอาไว้แนบอก มิวายให้อสุราหนุ่มต้องคอยปลอบคอยโอ๋กันยกใหญ่

...จะมีแค่พี่วศินกับเขาเท่านั้น ที่น้องมักจะร้องไห้กระจองอแงใส่ราวกับเด็กๆ เช่นนี้

“เด็กดี” พอกดจูบข้างขมับชื้นเหงื่อก็ได้เห็นว่าใบหน้าของเจ้าวิรัลนั้นมอมแมมยิ่งนัก...เห็นทีกลับเรือนไปคงต้องให้บุหลันขัดเนื้อขัดตัวให้เสียหน่อยแล้ว “ลุกขึ้นเร็ว”

“อื้อ”

ถึงจะพยักหน้าแต่น้องก็ยังคงกอดคอเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เป็นอันเข้าใจได้เลยว่าเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดต้องการให้เขาอุ้มกลับเรือนเป็นแน่

“เกาะดีๆล่ะเจ้าลูกลิง”

กรรณอุ้มร่างเบาหวิวขึ้นไว้ได้อย่างง่ายดาย ก่อนเดินก้าวออกจากห้องขังมืดมิด ทิ้งไว้เพียงแค่ความทรงจำอันเลวร้ายไว้เบื้องหลังพร้อมกับตั้งปณิธานไว้กับตนมั่นว่าต่อจากนี้จะไม่ให้น้องต้องได้รับอันตรายอื่นใดอีกแล้ว

...จะปกป้องดูแล ไม่ให้ขาดตกบกพร่องเหมือนอย่างที่แล้วมา...



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๕ - ตามล่าสองจอมทัพ(๑๐๐%) : ๐๙/๑๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 09-12-2018 02:08:07
ยามบ่ายคล้อยนั้นแม้นจะร้อนจัดแต่ก็หาได้ทำให้ย่านใจกลางนครคีรีเงียบสงบไม่ เหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างทำหน้าที่กันอย่างขยันขันแข็ง บรรยากาศภายในเมืองนั้นครึกครื้นไปด้วยการละเล่นและจำอวดหลากหลายชนิด ส่วนลูกเด็กเล็กแดงก็วิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน

บริเวณท้ายตลาดปรากฏร่างของบุคคลหนึ่งทรงอยู่บนหลังอาชาสีขาวปลอดได้อย่างสง่าผ่าเผย นัยน์ตาคมกล้าสีมรกตที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าโพกหัวกำลังจดจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มตนหนึ่งอย่างสนอกสนใจ

“นั่นเจ้ากรรณนี่” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่กำลังจูงม้าได้เป็นอย่างดี “แล้วมันอุ้มผู้ใดอยู่ล่ะนั่น ท่าทีรีบร้อนเชียว”

ร่างบอบบางที่ขดกายอยู่ในอ้อมแขนแกร่งนั้นทำให้เขามองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเท่าใดนัก แต่เรือนผมยาวสลวยที่คลอเคลียอยู่ข้างแผ่นอกกว้างก็ทำให้เข้าใจได้ในทันทีว่าเป็นร่างของสตรีอย่างแน่แท้ไม่มีผิดเพี้ยน

“จะให้กระหม่อมไปเรียกตัวมาไหมพ่ะย่ะ..” ยังไม่ทันได้เอ่ยถามจบประโยคดีก็โดนเท้ากระทุ้งเข้าที่เอวจนสะดุ้ง ก่อนสายตาคมดุจะจ้องปรามมา

“ข้าบอกว่าอย่างไร”

“บ่าวผิดไปแล้วขอรับ” ทาสหนุ่มค้อมศีรษะลงอย่างสำนึกผิดเมื่อเผลอตนหลุดพูดในสิ่งที่เคยชินออกไป

“อย่าได้พลาดอีก มิเช่นนั้นข้าจักโบยเจ้าให้หลังลาย”

ท่าทีขึงขังปั้นปึ่งขึ้นอย่างสมจริงสมจังเมื่อมีบุคคลที่สามเดินผ่านมา

“ขอรับท่านเรวัต” ทาสหนุ่มค้อมกายรับอีกหน แต่เมื่อบริเวณนั้นปลอดผู้คนก็ได้เงยหน้าขึ้นถามนายของตน “ว่าแต่..พระองค์..”

“เจ้าธรรศ!” ...พึ่งบอกไปเมื่อครู่นี้เองแท้ๆ! ไอ้ยักษ์ไม่ได้ความนี่!

“ปุโธ่! องค์เรวัต มิมีผู้ใดอยู่แถวนี้เสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” อสุราหนุ่มว่าด้วยหน้าที่บอกบุญไม่รับทันที “จู่ๆ พระองค์ก็คิดเล่นพิเรนทร์ปลอมกายเป็นสามัญชนเช่นนี้ กระหม่อมก็ปรับตัวไม่ทันสิพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่าบ่นมากน่า” องค์ยุพราชแย้งราชองครักษ์ประจำกายกลับอย่างหัวเสีย

...อุตส่าห์ปลอมตัวเข้าเมืองมาเสียแนบเนียน จะมาแผนแตกก็เพราะความปากมากของมันนี่ล่ะ!

“ก็ดูองค์เรวัตทำสิพ่ะย่ะค่ะ มีอย่างที่ไหนให้โพกหน้าพันหัวจนมิด ลักลอบเข้าเมืองผู้อื่นเขาราวกับโจรป่า-โอ๊ย!” ร้องเสียงหลงทันทีเมื่อสีข้างถูกกระทุ้งด้วยฝีเท้าของผู้เป็นนาย

“ไอ้ธรรศ!”

หลุดปากด่าออกไปอย่างคุ้นเคย นี่ถ้าเป็นบ่าวตนอื่นมันปีกกล้าขาแข็งมาเถียงฉอดๆ เช่นนี้มีหวังหัวคงหลุดออกจากบ่าไปนานแล้ว

แต่เพราะอสุราหนุ่มอีกตนแม้นจะมีศักดิ์เป็นเพียงราชองครักษ์และทหารเอกคู่กายแล้ว ลับหลังทั้งคู่ก็สนิทสนมกันไม่ต่างกับสหายอื่นทั่วไป ก็เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อครั้นยังตีนเท่าฝาหอย เพราะเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่าอีกฝ่ายมันถึงได้ปากกล้ากับเขานัก

“กระหม่อมพูดจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ เหตุไฉนพระองค์จะต้องปลอมตัวมาด้วย เสด็จมาในนามขององค์ยุพราชก็สะดวกสบายกว่าแท้ๆ”

“ก็ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาสะสางราชกิจแทนท่านพ่อเสียหน่อย” อสุราหนุ่มว่าด้วยเสียงจริงจังแต่ก็ยังมิวายส่งสายตาให้นางยักษ์รูปงามที่เดินผ่านไปผ่านมา “แค่ออกมาเที่ยวเล่นผ่อนคลายก็เท่านั้น”

“หากองค์เจ้าเหนือหัวรู้เข้าล่ะก็มีหวังกระหม่อมโดยโบยหลังลายแน่พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าธรรศถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก

“ข้ารับผิดชอบเองน่า” องค์เรวัตปลอบอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับกระทุ้งเข้าที่ท้องม้าให้ออกเดิน “เอ้า ไปกันได้แล้ว ตระเวนรอบเมืองกันอีกสักหน่อย แล้วค่อยเข้าไปเยี่ยมเยือนเจ้ากรรณที่เรือน”

บุหลันใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดไปตามเนื้อตัวมอมแมมของวิรัลด้วยความนุ่มนวล โดยมีสองอสุราตัวน้อยนั่งจุมปุ๊กมองตาใสแจ๋วอยู่ไม่ห่าง เจ้ามารุตช่วยแม่บุหลันดูแลลูกพี่วิรัลอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่องชนิดที่ว่ายุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว เมื่อได้รู้ว่าหลังจากนี้ลูกพี่ของมันจะมาอาศัยอยู่ด้วยแม้จะเพียงชั่วคราวก็ตามที

“ข้าถักผมให้นะ ยาวเช่นนี้คงร้อนน่าดู” น้ำเสียงเอ็นดูบอกอย่างนุ่มนวลเมื่อทอดมองกายขาวผ่องที่ปราศจากคราบเขม่าดิน

เรือนผมยาวที่ถูกชำระล้างจนสะอาดถูกปล่อยละไปจนเกือบถึงช่วงเอว ความนุ่มดุจแพรไหมทำให้นางอยากที่จะตกแต่งให้มันสวยงาม เพราะมีแต่บุตรชายเลยไม่ได้มีโอกาสที่จะกระทำการเช่นนี้เท่าใดนัก ที่เจ้าตัวน้อยตรงหน้ายอมไว้ผมยาวก็เพราะนางเป็นฝ่ายออดอ้อนขอเอาไว้ด้วยเพราะวิรัลนั้นดูน่ารักน่าชังเหลือแสนยามที่อยู่ในทรงผมถักเช่นนี้

เจ้าตัวหันหลังให้อย่างว่าง่ายปล่อยให้บุหลันได้ทำตามใจชอบ ผ่านไปสักพักอสุราน้อยตัวกลมก็ค่อยๆ กระเถิบกายขึ้นมานอนเกยบนตักนุ่มอย่างแนบเนียน เห็นดังนั้นวิรัลเลยรวบกอดเจ้ามารุตให้เต็มรักอย่างนึกมันเขี้ยวจนมันดิ้นพล่านๆ อยู่ในอ้อมกอดเป็นการใหญ่

“อ๋า พี่วิรัลตัวห๊อมหอม” ไม่ว่าเปล่ายังซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกขาวพร้อมกับดมฟุดฟิดราวกับลูกหมาตัวเล็กๆ

“เจ้าก็ตัวนุ่ม” คมเขี้ยวขบเม้มไปตามท้องแขนกลมๆ อย่างเพลิดเพลิน กลิ่นกายบริสุทธิ์ของเด็กเล็กช่วยเยียวยาจิตใจที่หมองเศร้าได้เป็นอย่างดี

สองพี่น้องแกล้งกันไปมาจนโดนแม่บุหลันปรามไปหลายหนเพราะเกรงว่าผมจะเสียทรงเอาได้ เพียงไม่นานก็แล้วเสร็จ ใบหน้าจิ้มลิ้มถูกล้อมกรอบไว้ด้วยมวยผมที่ถูกถักอย่างสวยงาม พอดีกับที่ร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มอีกตนเดินขึ้นมาบนเรือน

กรณ์นิ่งค้างไปเพียงครู่เมื่อเห็นว่าวิรัลหันมามองตน ก่อนจะแสร้งหลบออกไปอีกทางทำทีว่าไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเท่าใดนัก ทั้งๆ ที่ในอกนั้นมันสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาคู่งาม

พอได้รู้ข่าวว่ากรรณสามารถทูลขอให้ท้าวภารตาทรงพระราชทานอภัยโทษให้เจ้าวิรัลได้สำเร็จ เขาก็ดีใจจนเก็บอาการไว้แทบไม่อยู่

“เจ้าว่างมากนักหรืออย่างไร เจ้ากรณ์”

กรรณอุ้มบุตรคนเล็กออกมาจากห้องพร้อมกับส่งสายตาปรามดุน้องชายตน ที่ชักจะเสเพลมากขึ้นทุกวัน

มีอย่างที่ไหนเป็นทหารกลับหนีหน้าที่ตนออกมาตามใจชอบเช่นนี้

แต่นอกจากมันจะทำหูทวนลมแล้วยังแสร้งเมินราวกับว่าคำพูดของเขานั้นเป็นเพียงธาตุอากาศ

“ข้าผลัดเวรแล้ว” กรณ์ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ บุหลันพร้อมกับกวักมือเรียกให้เจ้ามารุตเข้ามาหา

อสุราตัวน้อยกลิ้งหลุนๆ เปลี่ยนที่พำนักพักพิงโดยฉับพลัน มันโถมตัวเข้าใส่ผู้เป็นอาจนฝ่ายนั้นเกือบเสียหลักล้มไปด้านหลัง

สองอาหลานกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนเสียงหวีดแหลมของเด็กเล็กดังลั่นเรือน จนกระทั่งมีเสียงร้องเรียกดังขึ้นมาจึงได้หยุดความวุ่นวายขนาดย่อมเอาไว้

“ผู้ใดมาหรือ” บุหลันเข้าไปอุ้มเจ้ามินตรามาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสามีของตน

“ข้าลงไปดูเอง”

กรรณเป็นฝ่ายอาสาทั้งที่ในอกยังนึกกังวลอยู่ไม่น้อย

ตอนนี้เขาห่วงหน้าพะวงหลังไปเสียหมดเพราะรู้ดีว่าทางฝ่ายขององค์รามสูรนั้นจับตามองตนอยู่ตลอดเวลาเลยต้องพึงระวังเอาไว้เสมอ

แต่แล้วบุคคลที่มาเยือนกลับทำให้ความกังวลใจมลายหายไปจนหมดสิ้น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มทั้งสองตนยืนอยู่บริเวณใต้ถุนเรือน

“องค์เรวัต!”

“เจ้ากรรณ” ฝ่ายนั้นเดินเข้ามาหาก่อนจะรีบห้ามปรามทันทีเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติ “อย่าได้มากพิธีเลย”

“เหตุไฉนองค์ยุพราชถึงเสด็จมาถึงนี่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ขี่ม้ามา” ท่าทีสนิทสนมอย่างไม่ถือตัวทำให้อสุราหนุ่มคลายความกังวลไปได้มากโข

…ซ้ำนิสัยขี้เล่นที่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมเสียด้วย

“องค์เรวัตพ่ะย่ะค่ะ”

ทหารเอกข้างกายทอดถอนใจอย่างนึกเบื่อหน่ายกับความไม่เป็นการเป็นงานของเจ้านายตน

“อ้อ...ข้าตั้งใจมาเยี่ยมเยือนเจ้าต่างหาก”

เมื่อได้ฟังเหตุผลของอีกฝ่ายกรรณจำต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่คิดจะเชื่อเท่าใดนัก

“คงหนีเที่ยวอีกตามเคยสินะพ่ะย่ะค่ะ”

แล้วก็ได้รับการพยักหน้ารับจากคนติดตามเป็นการยืนยันคำตอบว่าสิ่งที่เขาพูดมาน่ะเข้าใจถูกแล้ว

“ไม่ปฏิเสธก็แล้วกัน” อสุราหนุ่มยิ้มหน้าระรื่น ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับผู้ที่พึ่งมาใหม่แทน “นั่นบุหลันรึ เหตุไฉนถึงงดงามขึ้นถึงเพียงนี้เล่า” น้ำเสียงเอ่ยแซวอย่างสนิทสนม แต่ก็ยังสงวนท่าทีไว้เมื่อเห็นว่าฝ่ายสามีของนางนั้นเริ่มมองตาขวางเล็กน้อย

…นี่ถ้าไม่ติดว่าเขามีศักดิ์เหนือกว่าล่ะก็ป่านนี้มิโดนซัดจนหมอบแล้วหรืออย่างไร

“องค์เรวัต!” นางมิสามารถที่จะเก็บความปิติยินดีเอาไว้ได้ กลับเป็นฝ่ายโถมตัวเข้ากอดองค์ยุพราชเสียจนอีกฝ่ายเกือบที่จะตั้งรับไว้ไม่ทัน

การกระทำเช่นนี้หากบุคคลภายนอกมองมาก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องแค่นี้นับว่าเป็นเรื่องปรกติ

เพราะถ้าหากไม่สนิทชิดเชื้อกันมากพอ มีหรือจะกล้า

“เจ้ากรรณดูแลดีใช่หรือไม่” องค์เรวัตลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอื้อเอ็นดู “ถ้าไม่ดีล่ะก็บอกข้ามาได้เลย ประเดี๋ยวจะจัดการเสียให้เข็ด”

“เพคะ ถึงแม้นบางคราจะเกกมะเหรกเกเรไปบ้างก็เถอะ” อสุราหนุ่มถึงกับอยู่ไม่สุขเมื่อโดนภรรยากล่าวหา

องค์เรวัตหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าไอ้ยักษ์ที่ปกติแล้วมีนิสัยดุร้ายนั้นท่าทีเซื่องซึมลง

…เพราะกลัวเมีย

แต่แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อช่วงบ่ายนั้นตนพบเห็นเจ้ากรรณอุ้มนางยักษ์อีกตนผ่านไปทางท้ายตลาด ไอ้คล้อยจะปล่อยเลยตามเลยก็เห็นทีจะไม่ดีนักเลยถือโอกาสถามมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็แล้วกัน

“ว่าแต่เมื่อตอนบ่ายนั้นเจ้าไปอุ้มนางยักษ์ตนไหนมาล่ะเจ้ากรรณ ข้าเห็นนะ”

นัยน์ตาคมปลาบหรี่มองอย่างต้องการที่จะจับผิด

หากมันคิดจะนอกกายนอกใจบุหลันล่ะก็…ตายสถานเดียว!

“กระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ส่วนเจ้าตัวเองก็ยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่เหงื่อกาฬกลับผุดซึมขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบุหลันเขี้ยวเริ่มงอกแล้ว..

…ฉิบหาย

“เจ้าไปอุ้มใคร” นางจ้องตาเขม็งก่อนจะหยิกเข้าที่เนื้อท้องจนต้องร้องเสียงหลง “กรรณ!”

“เมียจ๋า เบาๆ พี่เจ็บ โอ๊ย!” อสุราหนุ่มคู้กายอย่างไร้หนทางสู้ มือก็พยายามรวบตัวเมียรักเข้ามากอดแต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อนางปัดมันออกอย่างไม่ไยดี

...พับผ่าสิ! องค์เรวัตหาเรื่องให้เขาแล้ว

“บอกมานะ!” บุหลันออกแรงบิดอย่างไม่คิดเบามือ

“พี่ไม่ได้ทำจริงๆ”

“ไม่ได้ทำแล้วองค์เรวัตจะเห็นได้อย่างไร!”

“สารภาพไปเถอะเจ้ากรรณ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา” นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังจะมายืนหัวร่อกันอีก

เบากับผีน่ะสิ! หากเป็นเช่นนั้นจริงบุหลันไม่ปล่อยให้เขาลอยนวลเป็นแน่!

“ที่องค์เรวัตเห็นก็คงเป็นเจ้าวิรัลนั่นล่ะ หาใช่นางยักษ์ตนไหน” ในที่สุดก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายน่ะเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ดันคิดไปเองว่าเจ้าวิรัลเป็นนางยักษ์ไปเสียอย่างนั้น ความซวยมันเลยตกมาอยู่ที่เขานี่

“วิรัลหรือ?”

เมื่อได้ความดังนั้น คราแรกองค์เรวัตก็มีท่าทีไม่ค่อยไว้วางใจ แต่พอโดนชักชวนให้ขึ้นไปหาเจ้าตัวบนเรือนเลยต้องเออออตามไปเพราะเขาเองก็คิดถึงเจ้ายักษ์น้อยขี้อ้อนตนนั้นอยู่ไม่ต่างกัน

“ครั้งนี้ถือว่ารอดตัวไป” บุหลันมองสามีตัวดีไว้อย่างคาดโทษ

เสียงโอดครวญของผู้ถูกพาดพิงทำให้ทั้งวงสนทนานั้นครึกครื้นไปด้วยเสียงหัวเราะและอบอวลไปด้วยความคิดถึงที่ทุกคนต่างมีให้แก่กัน

..ทำให้หวนนึกถึงช่วงเวลาเมื่อครั้งยังเยาว์วัย

แต่เดิมทีกรุงไกรมาศและนครคีรีนั้นเป็นเมืองมหามิตรกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ โดยมักจะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันเสมอมา เหล่าขัตติยวงศ์ของทั้งสองแว่นแคว้นนั้นต่างรักใคร่กลมเกลียวกันราวกับสายเลือดเดียวกันก็มิปาน

เมื่อครั้นที่องค์เรวัตยังเป็นเพียงแค่พระโอรสตัวน้อยก็มักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนที่นครคีรีอยู่เสมอ

แต่แอบเลวร้ายหน่อยก็ตรงที่ว่ามักจะโดนพระโอรสองค์ใหญ่อย่างองค์ภาวัตและเหล่าลูกพี่ลูกน้องรุมกลั่นแกล้งจนได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง ในเวลานั้นเหล่าข้าราชบริพารต่างก็ไม่กล้าเข้ามาห้ามปรามเพราะกลัวว่าจะโดนร่างแหเข้าไปด้วย

‘ไอ้ยักษ์ตาเขียว ตัวเตี้ยม่อต้อ! ออกไปจากเมืองของข้าเสีย!’

โอรสคนโตออกปากขับไล่อย่างสนุกสนานซ้ำยังก้มลงหยิบก้อนหินมาเขวี้ยงใส่เสียจนอสุราตัวน้อยล้มก้นจ้ำเบ้า ในเวลานั้นแม้นเรวัตจะมีอายุได้สิบขวบปีแล้วแต่ก็ยังมีร่างกายที่เล็กกว่ารุ่นราวคราวเดียวกันอยู่มากโข จึงทำได้เพียงแค่นั่งร้องไห้จ้าไปอย่างไร้หนทางสู้

ฝ่ายนั้นดูตกใจจนตาเหลือกเพราะกลัวว่าเหล่าพระบิดาที่นั่งเสวนากันอยู่ที่บริเวณศาลากลางน้ำจะได้ยินเข้าจึงปรี่เข้ามาตะครุบปากเล็กนั่นไว้โดยพลัน

‘เงียบนะ!’ องค์ภาวัตดูหัวเสียอยู่ไม่น้อย ซ้ำยังบันดาลโทสะออกแรงมากเสียจนฝ่ายนั้นดิ้นเร่าๆ เพราะเริ่มขาดอากาศหายใจ

แต่ในระหว่างที่กำลังจะหมดลมเฮือกสุดท้ายกลับมีใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเสียก่อน อสุราน้อยที่ดูตัวโตเทียบเท่ากับพระโอรสจอมเกกมะเหรกเกเรยืนค้ำศีรษะของทั้งคู่เอาไว้ ใบหน้าที่เรียบเฉยมองต่ำลงมาหาก่อนจะยอบกายนั่งลงข้างๆ กัน เขาค้อมศีรษะให้กับพระโอรสเล็กน้อย ซ้ำน้ำเสียงแน่วแน่ยังพูดออกมาอย่างไม่หวั่นเกรง

‘รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า…หาใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำพ่ะย่ะค่ะ’

เพียงเท่านั้นทั่วทั้งบริเวณก็พลันเงียบสนิท เหล่าข้าราชบริพารต่างอ้าปากค้างไปตามกันเมื่อไม่คิดว่าจะมีผู้ใดกล้าว่ากล่าวตักเตือนพระโอรสคนโต

หาได้มีผู้ใดกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนั้นเป็นแน่

ถ้าหากมิใช่ ‘วศิน’ แล้วล่ะก็

‘อย่ามาแส่ มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า’ เขี้ยวน้อยๆ งอกเงยขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นหน้าของบุคคลที่ตนนึกชังมาโดยตลอด

ถึงแม้นมันจะมีศักดิ์ที่ต่ำต้อยกว่า แต่เพราะเป็นคนโปรดของพระบิดา มีหรือที่จะกล้ากระทำการอุกอาจด้วยได้

‘จำเป็นต้องแส่ เพราะกระหม่อมได้รับหน้าที่ให้มาคอยเฝ้าดูแลองค์ยุพราชพ่ะย่ะค่ะ’

เพียงเท่านั้นก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับพระโอรสจอมเกเรได้อยู่ไม่น้อย ก่อนจะต้องรีบปล่อยมือออกจากไอ้เจ้าตัวแคระแกร็นราวกับเนื้อตัวมันเป็นของร้อน

…หากท่านพ่อรู้ว่าเขากลั่นแกล้งองค์ยุพราชล่ะก็มีหวังคงถูกลงโทษเป็นแน่

‘ชิ!’

สุดท้ายฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำก็ยอมล่าถอย องค์ภาวัตหมุนกายเดินออกไปจากบริเวณนั้นทันทีโดยไม่รอเหล่าลูกสมุนและนางกำนัลที่วิ่งตามไปจนขาแทบขวิด

หลังจากที่ทั่วทั้งบริเวณปราศจากใครอื่น โอรสตัวน้อยก็หาได้กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่มาช่วยเหลือตนไว้เพราะเกรงว่าจะโดนฝ่ายนั้นกลั่นแกล้งอีก แต่แล้วฝ่ามือข้างหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า คราแรกก็นึกว่าจะถูกตีเลยจำต้องขดตัวเข้าหากันโดยสัญชาตญาณ

‘ลุกขึ้นไหวหรือไม่’

ไม่ว่าเปล่าฝ่ายนั้นยังก้มลงมาประคองตนให้ลุกขึ้นอย่างนุ่มนวลอีก

…ขัดกับท่าทีภายนอกที่ดูขึงขังเป็นอย่างมาก

‘ข…ข้าเจ็บ ฮึก ขา’ น้องน้อยเริ่มส่งเสียงสะอื้นเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่บริเวณข้อเท้า

‘คงจะเคล็ด’ ฝ่ายนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเบี่ยงแผ่นหลังกว้างมาตรงหน้า ‘ขึ้นหลังข้าสิ’

คราแรกก็นึกลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมกระเถิบกายไปเกาะเกี่ยวแผ่นหลังมั่นคงนั่นไว้อย่างรวดเร็ว

ในระหว่างทางสังเกตได้ว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายพามานั้นเป็นที่อยู่อาศัยของพวกทหาร กระโจมหลายหลังตั้งติดกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อสุราตัวน้อยคู้กายหลบอยู่หลังพี่ชายใจดีแน่นเมื่อเห็นว่ามีสายตานับสิบคู่จ้องมองมาที่ตน

‘พี่ย้ากหยั่ย!’ เสียงแหลมเล็กหวีดขึ้นอย่างดีอกดีใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปหา

อสุราตัวน้อยเดินเตาะแตะเข้ามาหาผู้เป็นพี่อย่างทุลักทุเลก่อนจะโถมตัวกอดรัดพันแข้งขาราวกับลูกงูก็มิปาน

‘วิรัล’ น้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนลงมากทำให้คนที่ซ่อนอยู่ด้านหลังต้องโผล่หน้าออกมาดูด้วยความสงสัย

…เป็นเสียงที่แตกต่างกันลิบลับเมื่อเทียบกับตอนที่ใช้กับพระโอรสเมื่อครู่

‘อู้มมม’ เข้าตัวกะเปี๊ยกชูแขนป้อมๆ ขึ้นอย่างโหยหา ‘พี่จ๋า อู้มมมม’

น้องเริ่มกระจองอแงเมื่อเห็นว่าพี่ของตนนั้นยังมีท่าทีนิ่งเฉย

‘เอ่อ…ปล่อยข้าล..ลง ก่อนเถอะ’ เพราะเริ่มรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายแย่งอ้อมแขนนั้นมา เลยต้องรีบสละกายออกก่อนที่จะมีใครร้องไห้ฟูมฟาย

เรวัตถูกแบกร่างเข้าไปวางไว้ในกระโจมหลังเก่า แต่กลับดูสะอาดตาราวกับว่ามันได้รับการทำความสะอาดและรักษาเป็นอย่างดี

ฝ่ายนั้นทิ้งเขาไว้ให้อยู่คนเดียวก่อนจะอุ้มเจ้าตัวเล็กนั่นเดินออกไปข้างนอก เพียงไม่นานก็กลับเข้ามา แต่ครานี้กลับมีผู้ติดตามกลับมาอีกเป็นโขยง นางยักษ์น้อยหน้าแชล่มสองตนเดินเข้ามามุงดูเขาอย่างสนอกสนใจ ตามมาด้วยอีกสองหนุ่มน้อยที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

‘ข้าชื่อบุหลัน นี่ดาหลาน้องสาวข้า ส่วนนั่นกรรณ กรณ์ และนั่นพี่วิรุณ’ นางยักษ์ตัวน้อยชี้ไม้ชี้มือแนะนำตนและพวกพ้องอย่างกระตือรือร้น ‘นี่เจ้าวิรัลน้องชายของพี่วศิน’

‘ข..ข้าชื่อเรวัต’ อสุราตัวน้อยมีท่าทีเก้กังขึ้นมาเมื่อรู้สึกเก้อเขิน

แต่พอทุกคนในที่นี้รู้ว่าเขาเป็นองค์ยุพราชก็หาได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือทำให้รู้สึกว่าตนนั้นแปลกแยกสักนิด กลับชักชวนพูดคุยอย่างสนุกสนานซ้ำยังช่วยกันหาสมุนไพรมาประคบและพันผ้าบริเวณข้อเท้าที่เคล็ดให้อีก

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ยามที่มาเยือนนครคีรีทีไร สถานที่แรกที่องค์ยุพราชตัวน้อยจะปรี่เข้าไปก็คือกระโจมหลังเก่าในรั้วค่ายทหาร สายสัมพันธ์เส้นบางที่ทุกคนมีให้ต่อกันถูกถักทอขึ้นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นความผูกพันอันแน่นแฟ้นในที่สุด

‘วศิน ถ้าข้าได้ขึ้นครองราชย์เมื่อใด เจ้าต้องมาเป็นแม่ทัพใหญ่ของข้านะ’ องค์เรวัตในวัยสิบห้าขวบปีพูดอย่างมาดมั่น

‘จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ’ อสุราหนุ่มยิ้มให้กับคำชักชวนอันใสซื่อ

‘อื้อ! หากได้เจ้ามาร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าแล้วล่ะก็ พวกข้าศึกจะต้องแพ้ราบคาบอย่างแน่นอน!’

‘เอาไว้องค์เรวัตวิ่งชนะเจ้าวิรัลได้เมื่อไหร่ กระหม่อมจะลองคิดดูอีกครั้งนะพ่ะย่ะค่ะ’

ว่าทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะลุกออกไปทิ้งให้อสุราตัวน้อยนั่งดีใจกับคำตอบอยู่เพียงครู่ แต่เมื่อนึกขึ้นได้เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังตามหลังมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย

‘วศิน! หนอยย เจ้าว่าข้าเชื่องช้ารึ!’

ความอลหม่านเล็กน้อยเกิดขึ้นเมื่อทหารหนุ่มโดนก้อนพลังงานบางอย่างโถมตัวใส่จนล้มกลิ้งไปกับพื้นด้วยกันทั้งคู่ สร้างเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ที่พบเห็นได้อย่างไม่ขาดสาย


เรื่องราวในอดีตถูกกลบทับเมื่อเพลานี้ไร้ซึ่งวี่แววของสหายรักอีกสองตน องค์เรวัตที่พึ่งจะรับรู้เรื่องการก่อกบฏของทั้งสองจอมทัพนั้นนิ่งเฉยกว่าที่คิด เขาไม่มีท่าทีตกใจหรือโกรธขึ้งแต่อย่างใด ทำเพียงแค่นั่งกอดและปลอบเจ้าวิรัลที่ร้องไห้อยู่อย่างอ่อนโยน

..ในที่นี้องค์เรวัตคือคนที่รักและเทิดทูนท่านวศินมากที่สุด

นัยน์ตาสีมรกตที่เคยทอแววประกายกล้ากลับหม่นแสงลงราวกับห้วงเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุด

แต่ถึงกระนั้นก็หาได้ว่ากล่าวอะไรออกมาให้ได้ยินแม้นสักคำ...ยากที่จะหยั่งรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดโดยสิ้นเชิง..

หลังจากที่มื้ออาหารค่ำจบลงทุกคนบนเรือนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน โดยองค์เรวัตเสนอตัวจะไปนอนกับเจ้าวิรัลด้วยตนเอง คราแรกกรณ์นั้นค้านหัวชนฝา แต่เมื่อเห็นท่าทางดีใจของน้องแล้วเขาก็ไม่สามารถที่จะหาข้ออ้างอะไรได้อีก

ตอนนี้บริเวณชานเรือนจึงเหลือเพียงแค่สองอสุราหนุ่มพี่น้องเท่านั้น

“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด” กรณ์เอ่ยถามด้วยเสียงนิ่งเรียบ มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเจ้ากรรณจะต้องออกไปตามหาตัวสองจอมทัพตามที่องค์เจ้าเหนือหัวสั่ง

ท้าวภารตาคงสั่งปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นอย่างดีเพราะถือว่าเป็นความเสื่อมเสียแก่บ้านเมืองอย่างถึงที่สุด แม้นแต่ทางกรุงไกรมาศที่นับว่าเป็นเมืองมหามิตรกันก็ยังถูกละเว้นไม่ให้รับรู้

“คืนวันพรุ่ง”

“เจ้าไม่คิดจะบอกวิรัลกับบุหลันเลยหรือ”

“ข้าตั้งใจจะบอกก่อนไป”

กรณ์มองแผ่นหลังกว้างของผู้เป็นพี่ด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามา บ่าทั้งสองข้างนั้นกว้างแกร่งดั่งหินผาพร้อมจะเป็นที่พักพิงให้กับทุกคนได้เสมอ แต่ครั้งนี้มันกลับดูบอบบางราวกับว่ากำลังแบกรับเรื่องราวหลายอย่างเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

“กรรณ…เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว” ฝ่ามือข้างหนึ่งถูกวางลงบนบ่าราวกับต้องการช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของอีกฝ่าย “…เจ้ามีข้า”

“...” …แสงของเปลวไฟที่สะท้อนภายในแววตาคนเป็นพี่วูบไหวอยู่เพียงครู่หนึ่งแต่แล้วก็กลับมานิ่งสงบได้ดังเดิม

...ไม่ได้...เขาจะให้เจ้ากรณ์เข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด

“ข้าจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น” อสุราหนุ่มว่าด้วยเสียงแน่วแน่ “ข้าเชื่อในตัวเจ้า”

“...”

“และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามข้าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ”

“...”

“ไปทำตามหน้าที่เถอะ...ไม่ต้องห่วงทางนี้” รอยยิ้มถูกส่งมอบไปให้ “ข้าจะดูแลข้างหลังให้เจ้าเอง”

เพียงเท่านั้นความอดทนทั้งหมดก็พังทลายลงมาอย่างไม่เป็นท่า มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้นที่เป็นตัวปลอบประโลมและเยียวยาจิตใจ กรณ์ยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังที่สั่นเทิ้มเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็นับว่ามากแล้วสำหรับเจ้ากรรณ

แม้นจะไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายทำมันถูกหรือผิด แต่นั่นก็หาใช่เหตุผลที่เขาจะต้องนึกสน

...แผ่นหลังนี้ที่คอยปกป้องดูแลเขามาตลอด..คราวนี้กลับโดนปลอบประโลมเสียเอง

มันยากที่จะสามารถเชื่อใจใครสักคนได้

..แต่กับพี่ชายคนนี้ ถึงแม้นจะต้องแสร้งโง่งม

เขาก็ยินดี..

ปลายนิ้วที่คลึงอยู่กับจอกเหล้าอย่างพินิจพิจารณาอยู่นานสองนาน หลังจากที่ได้รับสารบางอย่างมาจากอุปนิกขิตของตนที่แอบแฝงอยู่ในนครคีรี

ร่างสูงใหญ่ขององค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์เอนกายอย่างเกียจคร้านเข้ากับหมอนอิง ข้างกายมีนางกำนัลรูปงามอีกสองตนคอยบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจ หลังจากค่ำคืนวันนั้น ดาหลาก็พยายามหลบหน้าเขาทุกวิถีทางจึงจำต้องยอมให้คนอื่นมาคอยรับใช้ แต่มีหรือที่จะนึกสน

แม้นกลางวันจะไม่ได้มาคอยปรนนิบัติ..แต่ทุกค่ำคืน...เขาจะกกกอดนางไว้ไม่ห่างกาย

..เจ้านกน้อยมีอิสระเท่าที่เขาอยากให้มี...

เพียงแค่รอเวลาที่จะเด็ดปีกสวยและกักขังไว้ให้อยู่ใต้พันธนาการอ้อมกอดนี้

..ตลอดกาล

ฝ่ามือใหญ่โบกไล่ให้นางกำนัลทั้งสองออกไปจากบริเวณนี้ทันทีเมื่อเห็นทหารคนสนิทเดินเข้ามา วาริทถวายความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติก่อนจะคุกเข่าลงข้างๆ เพื่อรอรับคำสั่งจากนายเหนือหัว

“ได้ความมาว่าอย่างไรบ้าง”

“เจ้ากรรณจะออกเดินทางคืนวันพรุ่งพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงถูกลดแผ่วลงอย่างระมัดระวัง “แต่ครั้งนี้ท้าวภารตามีรับสั่งให้มีคนร่วมเดินทางไปด้วย”

“มันเป็นใคร”

“เวธัส...องครักษ์ประจำกายพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”

คิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อยเมื่อต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากใจ

“วาริท”

“เจ้าจงออกติดตามเจ้ากรรณไปด้วยอย่าให้คลาดสายตา” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอก “อย่าให้มันรู้ตัว และถ้าหากมันคิดจะบิดพลิ้วแม้นเพียงนิดล่ะก็...จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเสีย”

นัยน์ตาคมกล้าประกายเพลิงวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างแน่วแน่ ก่อนจะลุกกลับเข้าไปในห้องบรรทมทิ้งไว้เพียงแค่ทหารเอกผู้จงรักภักดี

“..พ่ะย่ะค่ะ องค์รามสูร”


__________________

ต่อนยอนต๊ะต่อนยอนตามเคยยย 555555 :hao7:
แต่หลังจากนี้จะเป็นพาร์ทของพี่ยักษ์และเจ้าแก้วแบบเต็มตัวแล้วค่ะ จิได้พัฒนาความสัมพันธ์แล้วว :hao5:
ฮูเล่ รอมาเกือบปี 5555555 /ปาดเหงื่อ


มีเรื่องมาแจ้งนิดหน่อยค่ะ


ปล.ปลายปีนี้มีข่าวดีจะมาแจ้งให้ทราบแต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้นสามารถติดตามได้ที่ทางเพจหรือในทวิตเตอร์นะค้าบบ

ปล2.ปีใหม่นี้ พันไมล์จะทำสคส.แจก เดี๋ยวถ้าทำเสร็จจะเอาตัวอย่างมาลงให้ดูนะคะ ถ้าใครสนใจสามารถติดตามข่าวได้ทางเพจ Punmile หรือทวิตเตอร์  pppunmile คับพ้มม
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๕ - ตามล่าสองจอมทัพ(๑๐๐%) : ๐๙/๑๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-12-2018 08:29:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๖ - รักษากาย : ๒๐/๑๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 20-12-2018 23:48:18
รักษากาย

.

.

.



         “แผลหายสนิทดีแล้วนาท่านวศิน”

               ครูบุญคลำตรวจไปบนแผ่นอกกว้างที่เคยปรากฏบาดแผลฉกรรจ์ ก่อนจะวกกลับไปสำรวจบริเวณท่อนแขนแกร่ง

               นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เลยก็ว่าได้ที่ร่างกายอีกฝ่ายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เพราะโดยปรกติ

หากว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆแล้วล่ะก็ คงใช้เวลารักษากันอยู่นานโข ดีไม่ดีล่ะโดนคร่าชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

               “แต่พิษนั้นยังคงไหลเวียนอยู่ในกายท่านอยู่ ข้าเกรงว่าหากไม่รีบรักษาล่ะก็คงแย่เป็นแน่แท้” ชายชราว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาก็หาได้นิ่งนอนใจไม่

แต่ทุกตำรับตำราเวชศาสตร์ที่เคยร่ำเรียนก็หาได้ปรากฏบอกอาการของพิษร้ายชนิดนี้ แม้นรอยพุพองจะเลือนหายไป แต่ก็ยังคงเหลือแผลเป็นขนาดใหญ่และเนื้อกายที่ยังคงเป็นสีชาดอยู่

               เป็นหลักฐานที่แสดงว่าอสูรร้ายยังคงนอนหลับใหลอยู่ในกาย...รอเพียงเวลาที่อีกฝ่ายร่างกายทรุดโทรม

               …มันก็พร้อมที่จะแผดเผาอย่างไม่คิดปรานี

               “แล้วท่านพอที่จะรู้หนทางรักษาหรือไม่” วศินเอ่ยถามเสียงเครียด เพราะถ้าหากเป็นเช่นนี้เขาก็คงไม่สามารถที่จะเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองของตนได้

               …ยิ่งนับวัน เรี่ยวแรงของเขามันก็ยิ่งถดถอยลง

               เพียงแค่ยังไม่มีผู้ใดได้รับรู้

               ยาต้มที่เคยดื่มต้านกลับไร้ผล จากที่เคยสามารถระงับพิษร้อนในกระแสโลหิตได้กลับมีค่าไม่ต่างหยดน้ำที่พยายามมอดดับกองเพลิง

               มันเริ่มย่ำแย่ลงทุกที

               “ทางรักษาน่ะมันพอมี” ชายชราทอดถอนใจอย่างหนักอก “แต่ข้าไม่สามารถรับปากได้ว่ามันจะหายขาด”

               “แม้นเพียงทุเลาลงก็ยังดี” ถ้าหากว่าจนถึงที่สุดแล้วมันยังคงอยู่ เขาก็คงทำได้แค่เพียงรอรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น

               “คราแรกที่ข้าคุยกับท่านวิรุณไว้นั้น คือรอให้อาการบาดเจ็บของท่านหายดีเสียก่อน แล้วจึงค่อยพาไปพบพระอาจารย์ ให้ท่านช่วยดูอาการให้ เพราะหนทางนั้นค่อนข้างจะเดินทางลำบากสักหน่อย ข้าเกรงว่าหากพาท่านไปอาการจะทรุดเอาได้”

               “พระอาจารย์หรือ?”

               “ใช่…พระอาจารย์คง...ท่านเป็นปรมาจารย์ทางด้านศาสตร์หลากหลายแขนง อีกทั้งยังมีวิชาอาคมที่แก่กล้า ความรู้ที่ข้ามีทั้งหมดยังเทียบชั้นครูเช่นนั้นไม่ได้” ครูบุญว่าด้วยท่าทีที่เลื่อมใสศรัทธา “หากท่านไม่ขัดเคืองอันใดล่ะก็ ข้าจะพาไปพบ”

               แม้นจะมีจิตใจที่พร้อมช่วยเหลืออสุราหนุ่มเต็มที่ แต่เขาก็ยังคงตระหนักอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงศักดิ์กว่าตน เพราะฉะนั้นแล้วถ้าหากท่านวศินยินยอมที่จะรับการรักษาตามที่ได้ชี้แนะ เขาก็จะไม่ลังเลเลยที่จะลงแรงกายแรงใจช่วย

               แม้นจะอยู่ร่วมกันมาได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่เขากลับรู้สึกผูกพันกับพ่อยักษ์ทั้งสองตนได้อย่างน่าประหลาด

               ทั้งๆที่เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าของกันและกัน แต่กลับไม่เคยรู้สึกเลยว่า การมาเยือนของสองอสุราหนุ่มนั้นนำพาซึ่งความเดือดร้อนมาให้

               “เอาอย่างท่านว่าก็แล้วกัน” วศินยักษาพยักหน้าตอบ “เห็นทีครานี้คงต้องรบกวนท่านอีกหน—อึก!”

ทันใดนั้นคำพูดก็ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เมื่ออาการคลื่นเหียนของสาบสนิมตีรวนขึ้นมาอย่างรุนแรง หยาดโลหิตผุดซึมออกมาข้างมุมปากทั้งที่เจ้าตัวพยายามอดกลั้นมันเอาไว้

แต่ก็ไร้ผล

               …มันแสดงอาการมาร่วมอาทิตย์กว่าแล้ว และมีแต่จะยิ่งหนักขึ้นไปทุกที

               “พ่อวศิน!” ครูบุญตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ผ้าขาวม้าที่พาดไว้บนบ่าถูกนำมาซับเลือดที่เริ่มไหลทะลักออกมาให้อย่างรีบร้อนพร้อมกับรับเรือนกายสูงใหญ่ที่เริ่มเซทรุดลง “เจ้าแก้ว! ไปต้มยามา!”

               เสียงตะโกนดังลั่นทำให้ลูกศิษย์น้อยใหญ่ต้องเข้ามามุงด้วยความตื่นตระหนกไม่แพ้กัน

ส่วนเจ้าแก้วที่กำลังนั่งคัดสมุนไพรอยู่ใต้ถุนเรือนก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าอสุราหนุ่มตนนั้นทรุดลงไปบนพื้นพร้อมกับพ่อครู มันรีบทิ้งงานทุกอย่างลงก่อนจะวิ่งไปหยิบสมุนไพรในห่อมาลงหม้อต้มทันควัน

               “วศิน!”

               วิรุณวิ่งมาพร้อมกับอินและมั่น ทั้งสามหนุ่มช่วยกันพยุงร่างสูงใหญ่ให้ขึ้นไปนอนพักบนแคร่อย่างทุลักทุเล

               ครูบุญที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดไร้ซึ่งท่าทีหวั่นเกรง ฝ่ามือเหี่ยวย่นจัดการไล่ตรวจชีพจรตามจุดต่างๆ ก่อนหัวคิ้วจะขมวดมุ่นอย่างหนักใจเมื่อตรวจพบว่า ชีพจรของท่านวศินนั้นอ่อนแรงลงไปมาก

               …เห็นที คงรอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว

               “ไอ้กล้า!” ชายชราหันไปหาศิษย์รักคนโตที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ไม่ห่าง

               “จ้ะ พ่อครู”

               “เอ็งไปบอกแม่นิ่มกับนังบัวด้วยว่าวันพรุ่งข้าจะพาท่านวศินไปพบพระอาจารย์ คงไม่ได้เข้าไปหา” น้ำเสียงเครียดขมึงเอ่ยสั่ง

               “แต่พ่อครู..”

“ไป!!”

               สิ้นคำสั่งไอ้ตัวดีก็เดินฟึดฟัดออกไปจากเรือนทันที แม้นจะรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆก็ตาม แต่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้หากยังคงตั้งท่าต่อต้านอยู่มีหวังคงได้กินตีนพ่อครูแทนมื้อเย็นเป็นแน่แท้

               “พ่อครูจ๊ะ!ยาจ้ะ!”

               เจ้าแก้วยกหม้อยาเข้ามาหาด้วยความว่องไว

แม้นจะร้อนจนลวกมือพองแดงมันก็หาได้นึกใส่ใจ

               “เอ็งมาช่วยข้าประคองศีรษะท่านวศินขึ้น” ครูบุญสั่ง “ส่วนพวกเอ็งน่ะกลับเรือนไปได้แล้ว” ก่อนจะออกปากไล่เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายเพราะเห็นว่าเพลานี้มันก็เย็นย่ำเต็มที

               เจ้าแก้วพยักหน้ารับอย่างแข็งขันก่อนจะเบียดตัวขึ้นมานั่งบนแคร่กับฝ่ายที่นอนไม่ได้สติอยู่

               “ขอโทษนะจ๊ะ”

               มันประคองศีรษะของอสุราหนุ่มขึ้นอย่างระมัดระวังพร้อมกับสอดตักเข้าไปรองไว้ด้านใต้แทนหมอนหนุน ก่อนจะเอื้อมมือไปรับผ้าสะอาดและอ่างน้ำที่มั่นจัดหามาให้

               นัยน์ตาสีน้ำผึ้งฉายแววร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดเมื่อก้มลงมองใบหน้าคมคร้ามที่ดูซีดเซียวลงไปถนัดตา

เหงื่อกาฬที่ผุดซึมขึ้นข้างขมับจนเปียกชื้นถูกผ้าชุบน้ำซับออกให้อย่างเบามือ หยาดเลือดจำนวนมากที่ไหลเปรอะเปื้อนตามเรือนกายใหญ่ถูกเช็ดทำความสะอาดจนเกลี้ยงเกลา

               หลังจากนั้นชายชราก็ได้สั่งให้เจ้าแก้วประคองศีรษะอีกฝ่ายขึ้นสูง แล้วจึงค่อยๆป้อนยาลงไปทีละนิดจนกระทั่งหมดหม้อ เขาตรวจดูชีพจรอีกครั้งก็พบว่ามันกลับมาเต้นปกติแล้ว แม้นจะแผ่วเบาไปบ้างก็ยังถือว่าไม่อันตรายเหมือนดั่งเมื่อครู่นี้

               เวลาผ่านไปสักพักเมื่อได้รับยาช่วยบรรเทาฤทธิ์ร้อน อสุราหนุ่มก็มีสีหน้าที่ดีขึ้น แต่สติที่เลือนหายไปยังคงไม่กลับมา

               คงต้องให้เวลาพักฟื้นอีกสักหน่อย

               “เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะพ่อครู”

               เจ้าแก้วดูวิตกอย่างเห็นได้ชัดเพราะสีหน้ามันดูสลดลงไปมาก คงตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย

               “เป็นผลจากพิษนั่นล่ะ อาการแย่กว่าที่ข้าคิด คงเป็นมาสักพักแล้วแต่ท่านวศินไม่ยอมแสดงออกมาให้เห็น” ครูบุญตอบก่อนจะหันกลับไปหาวิรุณที่ยืนมองสหายรักด้วยความห่วงใยเหลือแสน “วันพรุ่งข้าจะพาท่านวศินไปพบพระอาจารย์ คงต้องลำบากให้ท่านวิรุณออกแรงช่วยเสียแล้วล่ะ” น้ำเสียงมากไปด้วยเมตตาเอ่ยปนนึกขัน

               เพราะลำพังเขากับพวกลูกศิษย์คงไม่มีปัญญาที่จะช่วยกันเคลื่อนย้ายอสุราหนุ่มตนนี้ได้เป็นแน่

                “วางใจเถิดพ่อเฒ่า” วิรุณยิ้มรับอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันกลับไปมองสหายตนที่นอนหลับพริ้มอยู่บนตักของเด็กหนุ่ม

               “แก้วหนักหรือไม่ ให้พี่ทำแทนไหม” เพราะดูจากขนาดตัวแล้วหากปล่อยให้มันนอนหนุนตักเจ้าแก้วเช่นนี้ไปอีกสักพักแล้วล่ะก็

มีหวังคงขาชา

               “ไม่เป็นไรจ้ะพี่ยักษ์ ฉันสบายมาก” รอยยิ้มแสนซื่อถูกส่งตอบกลับมาก่อนจะหันไปปัดไล่ยุงและเหล่าแมลงออกเพื่อไม่ให้มารบกวนคนที่กำลังพักผ่อน

               “เอาเช่นนั้นหรือ”

               “จ้ะ หายห่วงได้เลย” เจ้าแก้วรับปากอย่างมั่นเหมาะก่อนจะก้มลงไปมองฝ่ายที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่บนตักของตนแทน เมื่อเห็นว่าเรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับกำลังรู้สึกไม่สบายตนในห้วงนิทรา

ผ้าชุบน้ำถูกซับไปตามเนื้อตัวอีกครั้งเมื่อเจ้าแก้วรู้สึกว่ากายใหญ่เริ่มร้อนระอุจนเหงื่อกาฬเริ่มผุดซึมขึ้นมาอีกหน ซ้ำยังคอยพัดวีให้ไม่หยุดมือราวกับว่าต้องการให้ฝ่ายที่หลับใหลอยู่นั้นรู้สึกสบายเนื้อตัวมากที่สุด

แม้นจะเป็นเพียงการดูแลเพราะหน้าที่

แต่อสุราหนุ่มอีกตนที่อยู่ร่วมในสถานการณ์เดียวกันนั้นกลับรู้สึกแต่งต่าง...

รอยยิ้มที่มีกลับรางเลือนหายเมื่ออีกฝ่ายหันหลังให้

ทุกการกระทำของเด็กหนุ่มตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่ม

ท่าทีร้อนรนของแก้วที่มีต่อสหายของเขานั้น…เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

นัยน์ตาที่เคยทอประกายสดใสกลับหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นอาการที่ย่ำแย่ของเจ้าวศิน รวมไปถึงการดูแลและเอาใจใส่อย่างดีนั่นอีก

ใช่ว่าที่ผ่านมาจะไม่รู้สึกระแคะระคายอะไร แต่เขาเพียงแค่ทำทีเป็นเมินเฉยมันไปเท่านั้น

คราแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ช่วงหลังๆท่าทีที่เปลี่ยนไปของวศินทำให้ความเชื่อมั่นของเขานั้นสั่นคลอนได้อย่างไม่ยากเย็น

เหตุใดเล่าจะดูไม่ออก...เพราะตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มันไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้มาก่อนเสียด้วยซ้ำไป

เพียงแค่ตอนนี้ตามนิสัยของเจ้าตัวแล้วคงยังไม่อยากที่จะยอมรับมันก็เท่านั้น

...เพราะความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางแววตา

มันไม่เคยโกหก..

“เช่นนั้นพี่ก็ฝากมันด้วย” ..ทั้งตอนนี้และหลังจากนี้ไป

รอยยิ้มที่เคยมอบให้อีกฝ่ายก็ยังคงไว้ซึ่งความจริงใจอยู่เสมอไม่มีวันเปลี่ยน

เรือนกายสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มปลีกตัวออกมาจากเขตเรือนโดยให้เหตุผลไว้ว่าจะขอไปชำระล้างร่างกายที่ท่าน้ำสักหน่อย

ลับหลังแผ่นหลังกว้างที่เลือนหายเข้าไปในความมืด เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ชนวนความรู้สึกที่จำใจต้องดับมอดลง เมื่อรับรู้ว่าหนทางข้างหน้าคงไม่มีทางเลยที่มันจะถูกบรรจบเข้าด้วยกัน

หาใช่ไม่เคยคิดที่จะลองฝืน

…แต่เพราะว่าชนวนของอีกฝ่ายนั้นถูกใครอีกคนช่วงชิงไปไว้ในกำมือเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่างหาก

ดันทุรังไปก็สูญเปล่า

ปล่อยให้โชคชะตาได้ทำหน้าที่ของมันเถิด..

 

               กองไฟที่ถูกติดไว้เพื่อให้แสงสว่างและกันเหล่าสัตว์ร้ายประกายโรจน์ท่ามกลางความมืดมิด

               เวลาที่พ้นเลยผ่านไปราวๆสองชั่วยามนั้นอสุราหนุ่มที่นอนแน่นิ่งอยู่บนตักก็หาได้มีท่าทีว่าจะรู้สึกตัวตื่นเลยสักนิด เจ้าแก้วเลยอาศัยจังหวะนี้ขยับเขยื้อนกายนิดหน่อยเมื่อเริ่มรู้สึกล้าที่ช่วงขา

เมื่อเห็นว่าในบริเวณนี้เหลือเพียงแค่มันและอสุราหนุ่มอยู่เพียงสอง จึงถือโอกาสนี้ลอบสังเกตใบหน้าคมคร้ามที่หลับพริ้มอย่างถือวิสาสะ

               แผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่เรียบนิ่ง แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นหลับลึกเพียงใด

               คงจะอ่อนเพลียอยู่ไม่น้อย

               เส้นผมสีเข้มบางส่วนที่ปรกลงมาตรงหน้าทำให้เจ้าแก้วต้องยกมือขึ้นมาปัดออกให้อย่างลืมตัว เพียงเพราะเกรงว่ามันจะไปรบกวนอีกฝ่ายเอาได้

               ทันใดนั้นก็ต้องชะงักเมื่อเห็นแผลเป็นที่บริเวณหัวคิ้วซ้าย

               มันรวบรวมความกล้าอยู่เพียงครู่ก่อนจะแตะปลายนิ้วลงไปบนรอยบากเล็กๆอย่างเบามือ

               แสงจากดวงจันทร์ที่ตกกระทบลงบนเสี้ยวหน้าคมเข้มขับเน้นให้อีกฝ่ายนั้นดูมีเสน่ห์ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว คล้ายกับโดนมนต์ขลังครอบงำ ฝ่ามือนั้นกลับเลื่อนไปตามโครงหน้าได้รูปอย่างเผลอไผล

               เพราะถ้าหากเป็นเวลาปรกติ...มีหรือมันจะกล้าถึงเพียงนี้..

               จู่ๆเสียงอึกทึกที่ดังขึ้นในอกนั้นกลับทำให้เจ้าตัวหูอื้อไปชั่วขณะเมื่อปลายนิ้วเผลอปัดผ่านบริเวณริมฝีปากและคมเขี้ยวของอีกฝ่าย

               ความรู้สึกหวามไหวแล่นผ่านปลายนิ้วขึ้นมาฉับพลันจนตั้งรับแทบไม่ทัน

               ..ราวกับมันจะละลายหายไปเสียให้ได้

               แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่กำลังจะดึงมือออกมา กลับถูกพันธนาการแข็งแกร่งกอบกุมเอาไว้จนมิด

เจ้าแก้วสะดุ้งอย่างตื่นตกใจเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นมาจับตามสัญชาตญาณทั้งที่เจ้าตัวยังคงหลับตาอยู่

อีกทั้งน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยทักออกมานั้นกลับทำให้เจ้าสัตว์ตัวเล็กตัวแข็งทื่อเย็นเฉียบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

               ...รู้สึกตัวตื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน

               “..ซุกซนนักนะ” ว่าเพียงเท่านั้นสายตาทรงอำนาจก็จ้องมองกลับไป ส่งผลให้อีกฝ่ายทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่

               “อ..คือ” ใบหน้าอ่อนเยาว์ถูกไอร้อนจู่โจมเมื่อโดนจับได้ว่าตนนั้นแอบลักลอบจับต้องใบหน้าผู้อื่นอย่างถือวิสาสะ “..ขอโทษจ้ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” น้ำเสียงสลดลงไปอย่างรู้สึกผิด เพราะลึกๆแล้วความหวาดกลัวที่มีต่ออสุราหนุ่มตนนี้ก็ยังคงมีอยู่ “เอ่อ..เพราะพิษในกายกำเริบจึงทำให้ท่านนั้นสลบไป พ่อครูเลยสั่งให้ฉันมาช่วยดูแล แล้ว...แล้วฉันกลัวว่าท่านจะตื่นจึงไม่กล้าลุกออกไปไหน”

               เหตุไฉนกลับเปลี่ยนเรื่องเสียนี่

               ท่าทีร้อนรนตั้งแต่แรกเริ่มตกอยู่ในสายตาของอสุราหนุ่มทั้งหมด มันพูดเจื้อยแจ้วแก้ตัวต่างๆนานาคงเพราะกลัวว่าเขาจะดุด่ากระมัง

               มือของมนุษย์ที่ตกอยู่ในพันธนาการแน่นหนาออกแรงยื้อยุดอย่างต้องการอิสระ แต่ก็ไร้ผลเมื่อถูกกอบกุมแน่นขึ้นเสียยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาสีสวยที่ทอประกายหยอกล้อกับเปลวเพลิงสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อไม่สามารถต่อกรกับผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าได้

               “หวาดกลัวอะไรนัก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามทั้งที่สายตาทั้งคู่ยังคงสอดประสานกันอยู่ “ข้ายังไม่ทันได้ว่ากล่าวสิ่งใดออกไปสักคำ”

               “ฉัน..ฉันเปล่ากลัวนะจ๊ะ”

               “เจ้าเคยบอกข้าแล้วสองหน” อสุราหนุ่มย้ำเตือนความจำ “ไม่กลัว...แต่ก็ชอบหลบตาอยู่เรื่อย”

               เจ้าแก้วตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอยู่ไม่น้อยเมื่อโดนดึงตัวให้ลงไปใกล้

ราวกับโดนพันธนาการที่มองไม่เห็นกักขังเอาไว้จนไร้หนทางหลบหนี

ราวกับถูกนัยน์ตาคมกล้าทรงอำนาจคู่นั้นตรอกตรึงเอาไว้กับที่

               ..โดยไม่สามารถขัดขืนได้เลยสักนิด...

               แต่แล้วบรรยากาศที่อบอวลอยู่รอบข้างมีอันต้องพลันสลายเมื่อน้ำเสียงดุของชายชราอีกคนปรามขึ้นมา

               “เอ็งไปกวนอะไรท่านวศินอีก หา เจ้าแก้ว”

               ครูบุญเดินถือท่อนฟืนเข้ามาเติมกองไฟก่อนจะยืนค้ำเอวมองศิษย์รักคนเล็กอย่างจ้องจับผิด

               เพราะมันชอบทโมนไม่เข้าท่า...เผลอเป็นไม่ได้เลยเชียว

               “ว่าแต่พ่อวศินเถอะ รู้สึกดีขึ้นหรือไม่” ชายชราถามอย่างนึกห่วง

โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าอีกทางด้านหนึ่งฝ่ามือของทั้งสองนั้นได้ปล่อยผละออกจากกันเป็นที่เรียบร้อย

               “ขอรับ...ดีขึ้นมากแล้ว” กายสูงใหญ่ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นโดยมีเด็กหนุ่มคอยช่วยประคองอยู่ไม่ห่าง “ขอบพระคุณท่านมาก”

               “ตัวยานั่นข้าเพิ่มสมุนไพรอีกชนิดเข้าไปด้วย ฤทธิ์ของมันจะไปกล่อมประสาทให้รู้สึกง่วง ซ้ำผลข้างเคียงยังทำให้อ่อนเพลียอีกด้วย ถ้ายังไงคืนนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่เสียเถิด” รอยยิ้มใจดีที่มักมีให้เสมอประดับขึ้นบนใบหน้า “แล้ววันพรุ่งข้าจะพาท่านไปหาพระอาจารย์ที่ถ้ำท้ายเชิงเขาฝั่งนู้น” ปลายนิ้วชี้บอกทิศทางไว้ล่วงหน้า

               อสุราหนุ่มทำเพียงพยักหน้ารับอย่างไร้ข้อโต้แย้งก่อนจะปรายตามองหาไปทั่วเขตเรือนเมื่อพบว่าสหายตนนั้นไม่ได้อยู่รอบบริเวณนี้เหมือนอย่างทุกที

               “ท่านวิรุณขึ้นไปบนเรือนแล้ว” ครูบุญอ่านท่าทางนั้นออก

               “แล้วพี่กล้าล่ะจ๊ะพ่อครู” เจ้าแก้วเป็นฝ่ายมองหาบ้างเมื่อไม่เห็นว่าพี่มันจะกลับออกมาจากหมู่บ้านเสียที

               “ก็คงนอนอยู่เรือนไอ้มิ่งนั่นล่ะ เอ็งไม่ต้องไปห่วงมันหรอก” เขาส่ายหัวอย่างนึกเอือมระอากับพฤติกรรมของไอ้ตัวดี “อีกประเดี๋ยวก็ดับกองไฟเสีย แล้วขึ้นเรือนไปนอน วันพรุ่งเอ็งก็ต้องไปกับข้าด้วย”

               “ไปหาหลวงตาหรือจ๊ะ”

               “เออ ข้าจะให้พี่เอ็งมันเฝ้าเรือนอยู่ที่นี่แทน ขืนพาไปด้วยล่ะปวดหัวตายห่า”

               ผ้าขาวม้าถูกยกขึ้นมาพาดไหล่ก่อนชายชราจะหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนเรือน ซ้ำก่อนไปยังไม่ลืมที่จะหันมากำชับกับเจ้าแก้วให้ดับกองฟืนอีกหน

               “เอ่อ” เด็กหนุ่มมีท่าทีอึกอักเมื่อได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองอีกครั้ง “ท่านขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถิดจ๊ะ ประเดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”

               “ไม่เป็นไร”

               “แต่..” เจ้าแก้วมีท่าทีอยู่ไม่สุขอย่างเห็นได้ชัดจนอสุราหนุ่มจับความผิดปกตินั้นได้

               …ดูก็รู้ว่าหน้าขาคงชาหนักเอาการจนมันลุกไม่ขึ้น

               ก็ดันเสียสละไม่เข้าท่าให้เขายืมตักหนุนนอนมาตั้งนานสองนาน

ตัวก็เท่านี้ใยไม่รู้จักเจียมสังขารเสียบ้าง

               “ขาเจ้า” ใบหน้าคมเข้มพยักพเยิดให้ดู “ลุกไม่ไหวใช่หรือไม่”

               …ขนาดนี้แล้วยังดื้อด้านไม่ยอมบอกอยู่อีก

               “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น-!”

               ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดีทั้งร่างก็ถูกอุ้มขึ้นออกมาจากแคร่แบบกะทันหัน

รู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่ายเสียแล้ว เจ้าแก้วเบิกตาโพลงอย่างตื่นตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายนั้นพึ่งจะฟื้นตัวได้ไม่นานร่างกายคงยังไม่แข็งแรงเท่าใดนัก มันจึงกลัวว่าอาการของอสุราหนุ่มจะทรุดเอาได้ แต่พอจะอ้าปากตักเตือนกลับโดนสายตาปรามดุลงมาจนต้องจำใจเม้มปากเงียบ

แม้นภายนอกจะดูเชื่อฟังแต่แววตาดื้อรั้นที่ฉายแววออกมาทำให้วศินต้องเลิกคิ้วมองอย่างนึกสงสัย

“มีอะไร”

“ท่านป่วยอยู่นะจ๊ะ ปล่อยฉันลงเถอะ ประเดี๋ยวอาการจะทรุดเอา” ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าคนพูดรู้สึกเป็นกังวลมากเพียงใด

แต่ดูท่าอีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจฟังมากนัก กลับเดินไปดับกองไฟอย่างเพิกเฉยต่อความปรารถนาดีที่คนในอ้อมกอดมอบให้

“ท่านวศิน..” 

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเข้มขึ้นเล็กน้อย...แต่เพราะเป็นเจ้าแก้วพูดมันจึงดูนุ่มนวลอยู่มาก ไม่ได้แข็งกระด้างเลยสักนิด

แต่เท่านี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อสุราหนุ่มหยุดชะงักทุกการกระทำเพียงเพราะว่าได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อตน

...เป็นหนแรก

จอมทัพอสุราจดจ้องไปที่เจ้าสัตว์ตัวเล็กในอ้อมกอดพลันในอกก็สะท้านไหววูบใหญ่เมื่อได้สบเข้ากับลูกแก้วสีสวย

ทันใดนั้นกำแพงที่คอยขวางกั้นมาตลอดกลับพังทลายลงอย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันนั้นไม่เคยแข็งแกร่งมาตั้งแต่แรกเริ่ม

..เพียงเสี้ยววินาทีก็ได้รับรู้ว่า..

               “ท่านวศิ-”

               “เงียบซะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำปรามขึ้น “ตัวเจ้าเพียงเท่านี้ มันไม่ลำบากข้านักหรอก”

ตลอดเวลาที่ผ่านมามนุษย์ตรงหน้านั้น...

มีอิทธิพลกับตนมากเพียงใด..


 
(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๖ - รักษากาย : ๒๐/๑๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 20-12-2018 23:50:34
 

   เสียงน้ำหยดจากร่องหินตกกระทบลงบนแอ่งน้ำเกิดเสียงก้องดังไปทั่วโถงถ้ำกว้าง แสงบางส่วนที่สามารถทะลุช่องเปิดสาดส่องลงมายังร่างของผู้ทรงศีลที่กำลังนั่งเจริญภาวนาอยู่บนโขดหิน

               เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งจิตที่ตั้งสมาธิไว้มั่นกลับต้องมีอันชะงักลงเมื่อรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของใครบางคน

               คงเดินทางมาถึงกันแล้ว

               ...คราแรกที่ไอ้บุญบอกกล่าวมา ว่าอีกฝ่ายเป็นทหารมาจากเมืองยักษ์

               แต่กลิ่นอายน่าเกรงขามเช่นนี้

คงหาใช่พวกทหารปลายแถวธรรมดาๆเสียแล้วกระมัง...

               เปลือกตาที่เหี่ยวย่นไปตามวัยค่อยๆเปิดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของกลุ่มผู้มาเยือนบริเวณปากทางเข้าถ้ำ

ไม้เท้าหัวงูจงอางที่ถูกแกะสลักมาจากไม้มะเกลือถูกคว้ามาถือพยุงร่างไว้เพื่อพาตนก้าวเดินไปตามทางน้ำแหวก

ฟ่ออ

เมื่อมาถึงบริเวณหน้าโถงทางเข้า งูจงอางเผือกขนาดใหญ่สองตัวที่นอนขดอารักขาอยู่กลับชูคอขึ้นสูงจนเลยหัวพระชราไปหลายศอกเพื่อเตรียมการคุ้มกันภัย

“มิใช่โจรป่าผู้ร้ายที่ไหนดอก” เสียงที่มากไปด้วยเมตตาบารมีเอ่ยบอก “พวกเขามากันแล้ว...ท่านทั้งสองกลับไปก่อนเถิด”

หลังจากได้รับคำสั่งสองพญาอสรพิษก็เลื้อยตรงไปยังบริเวณแอ่งน้ำใกล้แท่นเจริญภาวนา ก่อนลำตัวใหญ่จะหายลับดำดิ่งลงไปใต้ความมืดของกระแสน้ำนิ่ง

เมื่อเดินมาถึงบริเวณโถงหลักของถ้ำก็ปรากฏร่างของบุคคลกลุ่มหนึ่งยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว เจ้าแก้วเป็นคนแรกที่รีบวิ่งเข้ามาหาก่อนจะคุกเข่าก้มลงกราบแทบเท้าของผู้ทรงศีล

“หายหน้าไปนานเลยนะเอ็ง ลืมข้าไปแล้วหรืออย่างไร หา เจ้าแก้ว” ปลายไม้เท้าถูกเคาะเบาๆลงไปบนกระหม่อมที่อยู่เบื้องล่าง ก่อนรอยยิ้มเอื้อเอ็นดูที่นานๆทีจะปรากฏให้เห็นก็ถูกส่งมอบไปให้เด็กหนุ่มตรงหน้า

 “ไม่ได้ลืมนะจ๊ะ ฉันเพียงแค่หาโอกาสมาเฝ้าหลวงตาไม่ได้สักที” น้ำเสียงออดอ้อนของมันทำให้ผู้ฟังต้องใจอ่อนยวบ

“เอ็งเอาแต่เข้าไปเล่นในป่าน่ะสิไม่ว่า” พ่อครูเดินเข้ามาสมทบไม่ห่างก่อนจะก้มลงกราบแทบเท้าของพระอาจารย์อีกคน

“มันก็เล่นไปตามประสาเด็กนั่นล่ะ” ผู้ทรงศีลยิ้มขันอย่างอารมณ์ดี

เพียงเท่านี้ก็รู้ได้แล้วว่าไอ้ตัวทโมนนี่มันมีพระอาจารย์คอยถือหางอยู่ ขนาดเขาที่เป็นลูกศิษย์ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาหลายปียังไม่เคยได้รับความเอ็นดูเท่านี้มาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำไป

ยิ่งกับไอ้กล้า...ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

กับพระอาจารย์นี่ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไร

ตลอดทางเดินไปยังลานหินเจ้าแก้วก็คอยประคองร่างของหลวงตาอยู่ไม่ห่างกาย ก่อนมันจะเป็นฝ่ายลงไปนั่งบริเวณชั้นที่เตี้ยกว่าผู้อื่น

ชั้นสูงขึ้นมาอีกขั้นเป็นที่นั่งของพ่อครูและอสุราหนุ่มทั้งสองตน ส่วนหลวงตาก็นั่งอยู่บนโขดหินอีกขั้นหนึ่ง

“พระอาจารย์ขอรับ...นี่ท่านวศิน พ่อยักษ์อีกตนที่ข้าเคยกล่าวให้ท่านฟังเมื่อครานั้น”

นัยน์ตาฝ้าฟางหันไปมองร่างสูงใหญ่ของอมนุษย์ทั้งสองตนด้วยแววตาที่เรียบเฉยก่อนจะพยักหน้าอย่างรับรู้

“เจ้าแก้ว” หลวงตาหันไปมองเจ้าคนที่กำลังนั่งจับจ้องมาทางนี้ด้วยท่าทีตั้งอกตั้งใจฟัง “มานั่งข้างหลวงตานี่ เอ็งไปนั่งทำไมเสียตั้งไกล”

“แต่…” มันมีท่าทีอึกอักเล็กน้อย เพราะคงไม่ดีนักที่จะไปนั่งเทียบเสมอกับผู้ใหญ่

“อย่าโอ้เอ้”

เพียงเท่านั้นร่างปราดเปรียวก็เปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งของตนตามคำสั่งทันที

กลับกลายเป็นว่าตอนนี้มันต้องนั่งเผชิญหน้ากับอสุราหนุ่มตนนั้นแทน

..อดประหม่าไม่ได้จริงๆ เมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาสีเข้มทรงอำนาจ

“เอาล่ะ” คำหมากถูกเคี้ยวอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาฝ้าฟางจดจ้องไปยังสองอสุราหนุ่มก่อนจะเอ่ยถามเพื่อเข้าเรื่อง “ท่านพอจะจำได้หรือไม่ว่าอาการตอนที่ถูกพิษนั่นคราแรกมันเป็นเช่นไร”

“ทันทีที่ลูกศรดอกนั้นปักลงมา มันก็กัดกร่อนผิวเนื้อและลามไปอย่างรวดเร็วคล้ายกับถูกไฟคลอกขอรับ” วิรุณเป็นฝ่ายอาสาตอบแทน เพราะครานั้นสหายตนคงไม่มีสติรับรู้มากเท่าใดนัก “พอหลังจากนั้นเพียงไม่นานเนื้อตัวของเจ้าวศินก็เริ่มขึ้นสีแดงชาดอย่างที่ท่านเห็น”

ผู้ทรงศีลที่นั่งอยู่ในระดับสูงกว่าทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ก่อนนัยน์ตาฝ้าฟางจะฉายแววหนักอกหนักใจขึ้นมาอยู่บ้างเล็กน้อย

เพราะถ้าหากเป็นพิษชนิดนั้นตามที่คิดเอาไว้จริงๆแล้วล่ะก็ แม้นแต่เขาที่ถือว่าเป็นปรมาจารย์ชั้นครูก็คงไร้หนทางที่จะถอนพิษให้ได้

หากแต่จะให้เมินเฉยและไม่ช่วยเหลือก็เห็นทีคงจะไม่ได้

“…ข้าพอจะเดาได้ว่าเป็นพิษชนิดใด” เพียงเท่านั้นทุกคนก็ต่างมีสีหน้าที่โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก แต่ประโยคถัดมากลับถูกดับความหวังลงทันควัน “เพียงแค่ยังไม่มั่นใจก็เท่านั้นว่าใช่หรือไม่ ไอ้ครั้นจะให้รักษาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าก็เห็นทีจะไม่ได้”

ครูบุญเริ่มมีสีหน้าวิตกตามไปด้วยเพราะกลัวว่าจะไม่สามารถช่วยรักษาชีวิตของอสุราหนุ่มเอาไว้ได้

ส่วนเจ้าแก้วเองที่นั่งทับเข่าอยู่ข้างแท่นหิน  ก็ทอดมองไปยังฝ่ายนั้นอย่างนึกเป็นห่วงอยู่ไม่แพ้กัน

และเพราะท่าทางเซื่องซึมที่ผิดปรกติของมันทำให้พระอาจารย์ต้องก้มลงมามอง ก่อนจะทันสังเกตเห็นว่าพ่อยักษ์ตนนั้นก็มองตอบกลับมาเช่นเดียวกัน

สายตาทั้งสองคู่ที่สบประสานกันเพียงเสี้ยววินาทีนั้นกลับทำให้ผู้ทรงศีลต้องแอบลอบถอนหายใจกับตนเงียบๆ

…ต่างเผ่าพันธุ์กันนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องยากแล้ว

นี่ยังเป็นบุรุษด้วยกันทั้งคู่

…ดูท่า คงมีเรื่องให้ต้องหนักใจเพิ่มมาอีกเรื่องแล้วกระมัง..

 “เอาล่ะ”

ไม้เท้าถูกตั้งลงบนพื้นก่อนพระอาจารย์คงจะมองตรงไปยังร่างสูงใหญ่กายสีชาด

“ให้ท่านวศินอยู่รักษากายกับข้าที่นี่เสียก่อน แล้วหลังจากนี้ข้าจะช่วยหาหนทางถอนพิษให้” ก่อนจะหันไปบอกกับอสุราหนุ่มอีกหนึ่งตนที่นั่งอยู่ข้างกัน “ส่วนท่านวิรุณ ข้าจะให้ไอ้บุญมันจัดหาว่านไปให้แช่ที่เรือนก็แล้วกัน เพราะที่นี่มีบ่อว่านเพียงบ่อเดียว เกรงว่าจะไม่สะดวกกับพวกท่านทั้งสอง” ทางฝ่ายนั้นไร้ข้อโต้แย้ง อสุราหนุ่มเพียงพยักหน้ารับคำอย่างเข้าอกเข้าใจ

“เอาเช่นนั้นหรือขอรับ” ครูบุญท้วงขึ้นอย่างไม่มั่นใจ เพราะพระอาจารย์เองก็ชราภาพมากแล้วคงจะไม่สะดวกที่จะเดินเหินเท่าใดนัก “ให้ข้าบอกไอ้กล้ามันมาอยู่ช่วยท่านอีกแรงดีหรือไม่”

“อย่าเลย หาเรื่องปวดกบาลให้ข้าเสียเปล่า” หลวงตาส่ายหัวปฏิเสธอย่างขบขัน ก่อนจะก้มลงมองเด็กหนุ่มที่นั่งบีบแข้งบีบขาให้อยู่บนพื้นข้างกาย “ให้เจ้าแก้วมันอยู่ช่วยข้าก็แล้วกัน” ฝ่ามือเหี่ยวย่นลูบลงบนศีรษะทุยอย่างเอื้อเอ็นดู

“จะดีหรือพระอาจารย์” พ่อครูแย้งขึ้น “ทโมนปานลูกลิงลูกค่างเช่นนี้มีแต่จะทำให้เสียเรื่องเสียเปล่าๆ” เพราะรู้ดีว่ายามที่อาจารย์ของตนเป็นการเป็นงานนั้นจริงจังมากเพียงใด

“เออ เอ็งไม่ต้องห่วง” พระอาจารย์คงเอ่ยยืนยันเสียงหนักแน่น “เอาตามที่ข้าว่านี่ล่ะ ให้เจ้าแก้วมันมาคอยออกไปเก็บสมุนไพรกับเตรียมของให้ข้าก็พอ หาใช่งานหนักหนาอะไรมันทำได้สบายอยู่แล้ว”

สิ้นเสียงตัดสินใจของผู้ทรงศีลก็ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด

“เช่นนั้นก็เอาตามที่อาจารย์ว่า อีกราวๆสามสี่วันข้าจะมาหาใหม่” ครูบุญพยักหน้ารับ แต่ก็ยังมิวายหันไปหาศิษย์คนเล็กที่นั่งอยู่ “เอ็งอย่าออกไปทโมนข้างนอกจนได้เรื่องอีกล่ะ อยู่ช่วยงานหลวงตาให้ดีด้วย เข้าใจหรือไม่เจ้าแก้ว”

“จ้ะ พ่อครู” มันพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

 

ลับหลังครูบุญและวิรุณยักษาที่พึ่งเดินออกไปจากถ้ำ พระอาจารย์คงก็หันกลับมาสั่งให้เจ้าแก้วออกไปหาสมุนไพรตามที่จำเป็นต้องใช้ในการรักษาคืนนี้ พร้อมไม่ลืมกำชับให้มันรีบกลับมาก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน

ภายในโถงถ้ำกว้างตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่หนึ่งผู้ทรงศีลกับอีกหนึ่งอสุราหนุ่มเท่านั้น

“ท่านวศินเป็นทหารหรอกรึ” ดวงตาฝ้าฟางเพ่งพินิจพิจารณารูปพรรณของอีกฝ่ายตามไปด้วย

..รูปงามซ้ำยังมีท่าทีองอาจผึ่งผายเช่นนี้คงเดาได้ไม่ยากว่าจะมีตำแหน่งอะไรในกองทัพ

“ขอรับ”

“..เป็นจอมทัพใหญ่เสียด้วย”

สิ้นเสียงคำถามของชายชราทั่วทั้งบริเวณก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

ทางอสุราหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าหาได้มีท่าทีตื่นตกใจที่เขาล่วงรู้ความจริงเกี่ยวกับตนแม้นกระผีก

ฝ่ายนั้นเพียงแค่ยิ้มตอบบางเบาก่อนจะก้มหัวลงนิดหน่อยเป็นเชิงยอมรับว่าสิ่งที่เขาเข้าใจนั้น

..มันถูกต้องทั้งหมด



______________________________________________



เปิดตัวละครตัวใหม่อีกหลายตัวเลยค่ะ ฮาาาา

เรื่องนี้ตัวละครเยอะจริงๆ ถ้ายังไงวันไหนว่างๆพันไมล์จะทำแผนผังตัวละครมาให้ประกอบการอ่านนะคะ555



ขอสวัสดีปีใหม่นักอ่านทุกคนล่วงหน้านี้เลยแล้วกันนะคะ เพราะหลังจากนี้พันไมล์จะลาไปเที่ยวยาวจนถึงสิ้นเดือนเลย

คงเจอกันอีกทีปีหน้า (ดูนานจังแต่อีกไม่กี่วันเอง55555)

ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันหยุดปีใหม่นี้นะคะ เที่ยวและพักผ่อนกันให้เต็มที่เน้อ ส่วนใครที่ติดงานพันไมล์เป็นกำลังใจให้ค่าา <3 :กอด1:


สุดท้ายนี้ฝากเม้นเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าาา กำลังจะเฉาแย้ววว อยากอ่านเม้นคนอ่านที่น่ารักมั่กๆๆ /อ้อนนน
:hao5: :hao5:



ปล1.สคส.เลื่อนไปส่งให้ได้หลังปีใหม่นะคะ เพราะตอนนี้ยังไม่เสร็จเลยค่ะคงส่งไม่ทัน สามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ทางทวิตเตอร์เลยครับผม (แจกแค่20ใบเท่านั้นน้าาา พลาดแล้วจะเสียใจนะเอออ เจ้าแก้วกับพี่ยักษ์น่ารักมากๆๆ)


รัก


พันไมล์

 :กอด1: :L2: :L1: :pig4:





หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๖ - รักษากาย : ๒๐/๑๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-12-2018 01:47:55
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๖ - รักษากาย : ๒๐/๑๒/๒๕๖๑
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 16-01-2019 10:04:39
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๗ - อัคคิมุข : ๒/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 02-02-2019 22:55:28
อัคคิมุข

.

.

.
 

         “ในบ่อประกอบไปด้วยว่านเจ็ดชนิดและสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาพิษเบื้องต้น…ในหนึ่งวันท่านจะต้องมาแช่รักษากายสามเวลา…ครั้งละสองชั่วยาม” พระอาจารย์คงเอ่ยเสียงหนักแน่น “และที่สำคัญ...หากเวลายังไม่ครบรอบ ห้ามลุกออกมาจากบ่อเป็นอันขาด”

               ผู้ทรงศีลที่ยืนอยู่ข้างๆบ่ออธิบายขั้นตอนการรักษาเบื้องต้นให้โดยละเอียด...แม้นว่าตอนนี้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าพิษที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของอสุราหนุ่มนั้นเป็นพิษชนิดใดก็ตาม

               “ระหว่างการรักษาให้ท่านมาใช้บ่อว่านที่โถงแห่งนี้” ไม้ตะพดถูกยกชี้บอก “ทางฝั่งทิศเหนือเป็นบริเวณบำเพ็ญเพียรของอาตมา...หากไม่มีความจำเป็นขอความกรุณาท่านอย่าได้ย่างกรายเข้าไปหากไม่ได้รับอนุญาต” แม้นจะรู้ว่าคำเตือนซึ่งๆหน้าเช่นนี้จะดูเสียมารยาทอยู่ไม่น้อย แต่เอ่ยเตือนเอาไว้ก่อนจะดีเสียกว่า

               “ส่วนบริเวณโถงทางทิศใต้เป็นที่พำนักอาศัยของท่าน...และหากต้องการชำระล้างร่างกายละก็เดินออกไปจากถ้ำเพียงไม่ไกลนี้มีลำธารอยู่สายหนึ่ง ไว้อาตมาจะให้เจ้าแก้วมันพาท่านไปก็แล้วกัน”

               “ขอรับ” วศินขานรับพลันสายตาก็เลื่อนไปมองยังเด็กหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลโดยที่ฝ่ายนั้นก็มองตอบกลับมาเช่นกัน

               “ส่วนเอ็งนะเจ้าแก้วนอนที่โถงกลางที่เคยนอนนั่นล่ะ...แล้วอย่านึกทโมนย่างกรายไปรบกวนท่านวศินเชียว เข้าใจหรือเปล่า” น้ำเสียงเอื้อเอ็นดูที่แฝงความหมายโดยนัยถูกเอื้อนเอ่ยออกมา

...นี่จะถือว่าเป็นคำเตือนหนแรก

               “จ้ะ” มันพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน

               “แต่การแช่ว่านในช่วงสามวันแรกของท่านวศินหลวงตาจำเป็นที่จะต้องให้เอ็งเฝ้าเอาไว้ตลอดเวลา เพื่อสังเกตอาการ” แม้นจะนึกขัดเคืองใจอยู่ไม่น้อยแต่การรักษาต้องมาก่อนเหตุผลอื่นเสมอ

               “จ้ะหลวงตา”

               “ดีเช่นนั้นก็อย่าลืมทำตามที่ข้าบอกเสียล่ะ พอครบสองชั่วยามเอ็งก็ไปต้มยามาให้ท่านวศินดื่มด้วยก็แล้วกัน”

               เอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นผู้ทรงศีลก็ขอตัวกลับไปบำเพ็ญเพียรต่อที่โถงทางทิศเหนือ ปล่อยทิ้งไว้เพียงแค่สองชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่ต้องอยู่ร่วมกันไปตลอดระยะเวลาสองชั่วยามหลังจากนี้

               “ท่าน...พร้อมหรือยังจ๊ะ” เจ้าแก้วเลียบเคียงเดินเข้ามาหาพร้อมกับวางตะเกียงไว้บนโขดหินข้างบ่อ มันเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่ม

               ยิ่งได้ชิดใกล้เช่นนี้...ยิ่งทำให้ได้รู้ว่ามันนั้นเป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวกระจ้อย

            แม้นขนาดเงาที่ฉาบทับลงไปบนพื้นก็มิอาจที่จะเทียบเคียงอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย..

               “อืม” อสุราหนุ่มพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง”

               “เพียงแค่ลงไปนอนแช่ในบ่อว่านให้ครบสองชั่วยามเท่านั้นจ้ะ”

               “แล้ว...ต้องถอดออกหรือไม่” เอ่ยถามพร้อมกับชี้ลงไปยังผ้านุ่งที่ตนสวมใส่

               เพียงเท่านั้นก็เรียกรอยริ้วแดงขึ้นมาพาดผ่านบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มได้อย่างไม่ยากเย็น...เจ้าแก้วทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนจะค่อยๆพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบ

               “ถ...ถอดจ้ะ” แม้นจะเคยเห็นร่างเปล่าเปลือยของบุรุษด้วยกันมาก็มากโข แต่กับอสุราหนุ่มตรงหน้ามันกลับตกประหม่าเสียทุกครั้งไป...สุดท้ายจึงตัดสินใจยืนหันหลังเพื่อให้อีกฝ่ายได้จัดการตนเองให้เรียบร้อย

               เสียงเสียดสีของเนื้อผ้าดังแผ่วเบาขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน

ในโถงถ้ำมืดมิดมีเพียงแสงสว่างจากกองไฟขนาดย่อมเท่านั้นที่สาดส่องเจิดจ้า แสงนวลตาที่กระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณปรากฏให้เห็นเงาร่างสูงใหญ่ที่ทาบทับลงไปบนผนังถ้ำ...ฝ่ายนั้นค่อยๆจัดการปลดผ้านุ่งออกจากกายจนผืนผ้าทิ้งตัวลงไปกองอยู่บนพื้นเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะย่างก้าวลงไปในบ่อว่าน

               เมื่อมีเสียงแหวกของผิวน้ำเป็นตัวยืนยันว่าอสุราหนุ่มได้ลงไปแช่ในบ่อแล้วเป็นที่เรียบร้อย เจ้าแก้วจึงได้หันกลับมาตามเดิม มันนั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเพื่อเฝ้าสังเกตอาการของอสุราหนุ่มตามที่หลวงตาได้ฝากฝังเอาไว้

 นัยน์ตาสีน้ำผึ้งกระทบกับแสงไฟทอประกายวูบไหวยามที่จับจ้องไปยังร่างกำยำองอาจของยักษา

               กายช่วงล่างหายลับลงไปในผืนน้ำโผล่พ้นมาให้เห็นเพียงแค่แผ่นหลังกว้างที่มีกล้ามเนื้อตึงเครียดขมึงไปทุกส่วนสัด แสงนวลจากเปลวไฟส่องสะท้อนรอยแผลเป็นบริเวณช่วงบ่าลามมาจนถึงเอวสอบ ร่องรอยบาดแผลจากการกรำศึกสนามรบปรากฏไปทั่วทุกพื้นที่บนผิวกายสีชาด

               …ตำหนิที่มากมี ก็หาได้สยบอสุราหนุ่มตนนี้ให้มัวหมองแต่มันกลับเสริมให้อีกฝ่ายดูกร้าวแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

               เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วยาม จากท่าทีที่ดูนิ่งสงบเริ่มถูกฤทธิ์ของพิษร้ายในกายเล่นงาน

ตามเนื้อตัวของวศินยักษาเริ่มมีเหงื่อกาฬผุดซึมขึ้นมาจนข้างขมับชื้น จังหวะการหายใจที่เคยสม่ำเสมอกลับติดขัดทำให้เจ้าแก้วต้องลุกเดินเข้าไปหาด้วยกระวนกระวาย

               “ท่านวศิน” เมื่อเห็นว่าช่วงตัวสูงใหญ่ที่นั่งพิงอยู่ขอบบ่อเริ่มออกอาการไม่สู้ดี เด็กหนุ่มจึงเอื้อมมือไปจับบ่าแกร่งด้วยความวิตกกังวล แต่แล้วก็ต้องตื่นตกใจเมื่อสัมผัสได้ว่าผิวกายของอีกฝ่ายนั้นร้อนจัดราวกับนั่งอยู่ในกองเพลิงก็มิปาน

               เรียวคิ้วเข้มขมวดแน่นตามมาด้วยเสียงคำรามทุ้มต่ำในลำคอราวกับว่าเจ้าตัวกำลังอดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดทรมานอย่างสุดแสน อสุราหนุ่มแหงนเงยหน้าขึ้นเพื่อกอบโกยอากาศเมื่อความร้อนรุ่มตีรวนขึ้นมากระจุกอยู่ช่วงอกจนไม่สามารถหายใจได้อย่างปกติ

               “..ร้อน” เสียงแหบพร่าโอดครวญผะแผ่ว...แต่กลับดังชัดในความรู้สึกของคนที่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างกาย

               “ท่านวศิน...อดทนไว้นะจ๊ะ..” เจ้าแก้วสอดกายเข้ามาประคองศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้เพราะเกรงว่าจะกระแทกเข้ากับคมหินข้างบ่อเอาได้...แต่แล้วในอกกลับพลันสั่นวูบไหวเมื่ออสุราหนุ่มทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงที่ตักของมันจนหน้าขาสัมผัสได้ถึงความชื้นจากเหงื่อกาฬที่ไหลท่วม

               ใบหน้าคมคร้ามบิดเกร็งจนเส้นเลือดข้างขมับปูดเด่นชัดทำให้เจ้าแก้วต้องใช้สองมือโอบประคองเอาไว้มั่น

นัยน์ตาสีอ่อนส่องสะท้อนภาพความเจ็บปวดอย่างสุดแสน หัวใจคล้ายถูกมือปริศนาบีบเคล้นจนช้ำเลือดเมื่ออีกฝ่ายเริ่มส่งเสียงคำรามกร้าวราวกับสัตว์ใหญ่ถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส

               กล้ามเนื้อเครียดขมึงสั่นเทาเมื่อพิษร้ายเริ่มออกฤทธิ์แผ่กำจายไปในสายโลหิต...อสุราหนุ่มเริ่มขยับเคลื่อนกายเมื่อรู้สึกราวกับถูกเข็มลนไฟนับพันเล่มทิ่มแทงลงมาในทุกอณูผิว สันหมัดทั้งสองข้างถูกกำเข้าหากันจนคมเล็บจิกผิวเนื้อจนเลือดผุดซึม หยดน้ำที่ไหลออกมาจากปลายหางตาแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดมากเพียงไหน

               ผู้ที่เคยแข็งแกร่งดั่งหินผากลับน้ำตาหลั่งรินอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส

               เพียงเท่านั้นเจ้าแก้วก็ไม่สามารถอดรนทนดูได้อีกต่อไป มันโน้มตัวลงใกล้ก่อนจะใช้อ้อมแขนโอบกอดกายช่วงบนของอสุราหนุ่มเอาไว้มั่น ส่วนมืออีกข้างก็เอื้อมไปสอดประสานเข้ากับฝ่ามือใหญ่เพียงเพราะไม่อยากให้ฝ่ายนั้นถูกคมเล็บของตนจิกเข้าผิวเนื้อจนเป็นแผลฉกรรจ์

ไม่อยากให้เจ็บตัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่...อาจจะเป็นการกระทำที่โง่เขลาเบาปัญญา

               แต่ถ้ามันสามารถช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดอันแสนทุกข์ทรมานจากท่านวศินได้มันก็ยินดีที่จะทำ..

               ฝ่ามือใหญ่ข้างที่ถูกสอดประสานออกแรงกำมือของมนุษย์ตัวน้อยเอาไว้มั่นราวกับว่ามันเป็นที่พึ่งสุดท้ายในวังวนอันมืดมิด ส่วนแขนอีกข้างของเด็กหนุ่มที่โอบกอดช่วงบ่ากว้างก็ถูกยึดเอาไว้มั่นไม่ต่างกัน

               เล็บคมจิกผ่านผิวเนื้อบอบบางของมนุษย์จนโลหิตข้นคลั่กแผ่กระจายกลิ่นสาบสนิมออกมา ยิ่งฤทธิ์ร้อนแผดเผา แรงที่ยึดก็ยิ่งแน่นขึ้นเพื่อระบายความเจ็บปวดอย่างสุดแสน

               “ฮึก..” เจ้าแก้วขบเม้มริมฝีปากจนขาวซีดพร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงเผาะลงมาอย่างมิอาจห้ามไหว

               เจ็บทั้งกายและใจเมื่อทอดมองเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความระคนทุกข์ของอสุราหนุ่ม

ถึงแม้นอีกฝ่ายจะมีสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงสมบูรณ์...แต่ไม่ว่าอย่างไรเมื่อเทียบกันแล้ว เรี่ยวแรงของยักษ์และมนุษย์นั้นก็ไม่สามารถที่จะเทียบชั้นกันได้อย่างสิ้นเชิง

…เพียงฝ่ามือเดียวของท่านวศินก็สามารถกอบกุมต้นขามันไว้ได้โดยรอบ

...แล้วนับประสาอะไรกับเรียวแขนที่บอบบางราวกับเด็กเล็กเมื่อเทียบกับช่วงแขนกำยำของอสุราหนุ่ม

               ลูกแก้วสีสวยสั่นไหวระริกซ้ำยังอาบคลอไปด้วยหยดน้ำเมื่อรู้สึกเจ็บที่บริเวณแขนและอุ้งมือจนแทบสลบ

เจ็บจนชาไปถึงราวกระดูกสันหลังเมื่อถูกเรี่ยวแรงของอสุราหนุ่มกอบกุมจนผิวเนื้อเริ่มขึ้นรอยช้ำเลือดอย่างน่าหวาดหวั่น ทั้งฝ่ามือและแขนปวดร้าวราวกับมันจะแตกสลายเป็นผุยผง

               ...เป็นรสชาติความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้พานพบมาก่อนในชีวิตนี้

            หยาดน้ำตาตกกระทบลงบนเสี้ยวหน้าคมคร้ามหยดแล้วหยดเล่า

หากแต่แรงโอบรัดรอบกายใหญ่กลับแน่นขึ้นเพื่อต้องการแบ่งเบาความทุกข์ทรมานกายจากอีกฝ่ายอย่างไม่ย่อท้อ

               หนึ่งอสุราหนึ่งมนุษย์ประสานฝ่ามือเข้าหากันแน่นราวกับว่าถ้าหากปล่อยไปคนใดคนหนึ่งจะสลายหายสาบสูญ เสียงสะอื้นในลำคอดังขึ้นแผ่วเบาเมื่อกำลังอดกลั้นกับความเจ็บปวดแสนสาหัสควบคู่ไปกับเสียงคำรามทุ้มต่ำ

               เวลาเวียนบรรจบจวบจนครบสองชั่วยามแรงที่ประสานอยู่นั้นก็เริ่มคลายออก ร่างของอสุราหนุ่มที่ทิ้งน้ำหนักกายลงมานั้นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายได้สูญเสียเรี่ยวแรงไปมากเพียงใด เปลือกตาที่หนักอึ้งเริ่มต้านทานความอ่อนล้าไม่ไหว วศินฝืนลืมตาขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้นที่ตกกระทบลงบนผิวแก้ม

               นัยน์ตาสีน้ำผึ้งที่อยู่เบื้องบนบัดนี้ถูกบดบังไปด้วยม่านน้ำตาได้อย่างน่าสงสาร...ก่อนจะสังเกตเห็นว่าอ้อมแขนของมนุษย์ที่โอบรอบตนเองอยู่นั้นสั่นเทาอยู่ไม่น้อย

               “เจ้า...” น้ำเสียงแหบพร่าเค้นผ่านลำคอที่แห้งผาก เมื่อพบว่าเรียวแขนทั้งสองข้างนั้นขึ้นจ้ำช้ำเลือดเป็นรอยนิ้วมือ อีกทั้งยังมีเลือดไหลออกมาจากผิวเนื้อที่ถูกคมเล็บจิกเปิดจนหยาดโลหิตแดงฉานอาบลามไปถึงข้อศอก...ทั้งหมดนั้นมันเกิดจากเขาทั้งหมด “...เจ็บมากหรือไม่” วศินฝืนแรงยกแขนขึ้นมากอบกุมเรียวแขนของมนุษย์ตัวน้อยด้วยความสั่นเทาก่อนปลายนิ้วจะเกลี่ยไล้คราบเลือดออกให้อย่างเบามือ

               “ม...ไม่เป็นไรจ้ะ...ฉันไม่เป็นไร” เจ้าแก้วส่ายหน้ารัวก่อนยกไหล่เช็ดหยดน้ำแห่งความอ่อนแอออกไปจนหมดสิ้น มันมองเมินเรียวแขนบอบช้ำทั้งสองข้างอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจก่อนจะก้มลงมองใบหน้าอ่อนล้าที่อยู่บนตักด้วยความห่วงหา “ท่านวศิน...ยังเจ็บอยู่หรือไม่จ๊ะ”

               มีเพียงการพยักหน้าตอบรับเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนอสุราหนุ่มจะหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย

               “...แก้ว” น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนระโหย

               “…” เพียงเท่านั้นก็รู้สึกราวกับถูกฉุดรั้งขึ้นที่สูงเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเรียกชื่อของมัน...เป็นหนแรก

               “…ข้าขอโทษ” เสียงแหบพร่าเอ่ยบางเบาจนต้องก้มหน้าลงไปฟังใกล้ๆ ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นมากอบกุมมือบอบช้ำของสัตว์ตัวน้อยเอาไว้ราวกับต้องการแสดงความรับผิดชอบ “ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องเจ็บ...” น้ำเสียงสุดท้ายอ่อนแรงเสียจนถูกกลืนหายไปกับสายลม แต่ทว่าทั้งหมดนั้นกลับดังชัดในความรู้สึกของคนที่เฝ้ามองอย่างห่วงหาอาทร

               ...ไม่เป็นไรสักนิด...แม้นจะต้องเจ็บกายมากกว่านี้มันก็ไม่นึกถือโทษโกรธเคือง

               ...ความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาทั้งบีบคั้นและเร่งเร้าให้ในอกวูบไหวจนรู้สึกเจ็บปวด...แต่ภายใต้ความทรมานนั้นกลับเร่งจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อในอกซ้ายให้แปรเปลี่ยนไปทีละนิดเมื่อได้ใกล้ชิดกับอสุราหนุ่ม

...ขอเพียงแค่ได้อยู่ใกล้...มันก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดมากไปกว่านี้..

             
(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๗ - อัคคิมุข : ๒/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 02-02-2019 22:56:19
  “ถอยออกไปเสียเจ้าแก้ว” น้ำเสียงเข้มขมึงของผู้มาใหม่เอ่ยก้องไปทั่วโถง ก่อนร่างของพระอาจารย์จะเดินเข้ามาใกล้ สายตานิ่งเรียบทอประกายโรจน์เมื่อเห็นว่าเรียวแขนของเด็กหนุ่มนั้นมีสภาพบอบช้ำมากเพียงใด “…หาเรื่องใส่ตัวนักนะเอ็ง”

               พระอาจารย์ส่งสายตาเชิงดุก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้เจ้าแก้วมันลุกออกไปจากพ่อยักษ์ตนนั้นเสียที...แต่เมื่อสังเกตเห็นฝ่ามือของทั้งสองที่กอบกุมกันเอาไว้แน่นก็ต้องลอบถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก

               ...หากมีเพียงท่านวศินที่คิดล่วงเกินก็ยังพอจะขวางได้

...แต่ในเมื่อมองเห็นความห่วงหาอาทรที่สะท้อนออกมาจากสายตาของเจ้าแก้วแล้วนั้นก็ต้องยอมที่จะปล่อยเลยตามเลยมองเมินข้ามไป

               ...เอาไว้ค่อยไปตามชำระความกับไอ้บุญทีหลังก็แล้วกัน...ว่าเหตุใดมึงจึงไม่ดับไฟตั้งแต่ต้นลม!

            “เจ้าแก้วถอยออกมาก่อนลูก...หลวงตาจะได้ดูอาการของท่านวศินได้” แม้นจะยังคงเหลือความขุ่นเคืองอยู่แต่ความรักและเอ็นดูที่มีต่อเจ้าลูกหมาตัวนั้นก็มีมากกว่า...เพียงแค่ได้เห็นสายตาเจ็บปวดและเนื้อตัวที่บอบช้ำของมันกำแพงในใจก็ถูกพังทลายทิ้งจนแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี

               เจ้าแก้วก้มลงกระซิบถ้อยคำที่ข้างใบหน้าคมคร้ามเพียงครู่เดียว อสุราหนุ่มตนนั้นก็คลายแรงที่กำลังกอบกุมฝ่ามือออก มันค่อยๆประคองศีรษะอีกฝ่ายให้เอนซบลงบนโขดหินที่ได้ระดับก่อนจะผละกายลุกออกมาหาหลวงตาแล้วก้มลงกราบที่แทบเท้า

               “ไปนั่งรออยู่ตรงนั้นเสีย...ประเดี๋ยวหลวงตาจะทำแผลให้เอ็งเอง” มือเหี่ยวย่นลูบลงไปบนศีรษะได้รูป เส้นผมชื้นเหงื่อที่ตกระใบหน้าอ่อนเยาว์ถูกปัดออกให้พ้นทางก่อนปลายนิ้วจะเกลี่ยลงผ่านผ้าเนื้อหยาบที่พันดวงตาข้างซ้ายของมันอย่างอ่อนโยน “ผ้าพันตาเอ็งน่ะถ้ามันร้อนก็ถอดออกเถิด อยู่ในนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเห็นหรอก”

               เพียงเท่านั้นอาการดื้อรั้นที่น้อยคนนักจะได้เห็นก็ฉายชัดออกมา มันส่ายหัวปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องรอให้คิด...เจ้าแก้วก็เป็นเช่นนี้ เรื่องอื่นน่ะว่านอนสอนง่ายนักเชียว จะมีก็เพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่มันจะดื้อดึงต่อต้านไม่ยอมทำตาม

            ...เพราะมันไม่อยากเผยรอยบากที่ใบหน้าให้ใครต่อใครได้เห็น

               เจ้าแก้วหลบออกไปนั่งคอยอยู่ที่มุมหนึ่งตามที่หลวงตาบอก โดยที่ดวงตาเศร้าสร้อยก็จดจ้องมองร่างของอสุราหนุ่มที่นอนไม่ได้สติไม่วางตา

               แต่แล้วเสียงเคลื่อนตัวของบางสิ่งบางอย่างที่ดังขึ้นบริเวณทางเข้าโถงกลับดึงความสนใจให้หันไปมอง เพียงเท่านั้นก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตกใจเมื่อได้เห็นงูจงอางเผือกขนาดใหญ่สองตัวเลื้อยเข้ามาก่อนร่างของบุรุษคนหนึ่งจะปรากฏกายขึ้น

               ช่วงตัวสูงใหญ่ที่สวมใส่ไว้เพียงผ้านุ่งสีเขียวมรกต  กายช่วงบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผ่นอกกว้างกำยำ บริเวณต้นแขนแกร่งทั้งสองข้างมีเพียงกำไลทองรูปพญานาคพันรอบ ท่าทีองอาจย่างก้าวตามหลังงูยักษ์ทั้งสองตนอย่างมั่นคงก่อนจะตวัดสายตามองมายังบริเวณมุมที่เจ้าแก้วนั่งอยู่

               เด็กหนุ่มคู้กายเข้าหากันอย่างหวาดหวั่นเมื่อถูกดวงตาสีเขียวจดจ้องมองมาอย่างไม่ลดละ...เพียงแค่ได้สบตาก็คล้ายกับถูกน้ำเย็นเฉียบสาดซัดเข้าใส่จนตัวชา

               “ท่านนคิน..นั่นเจ้าแก้ว” พระอาจารย์คงเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มบางเบา “หลานชายคนเล็กของอาตมาเอง”

               ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับรู้เพียงนิดก่อนจะเบือนสายตากลับไปหาพระอาจารย์ราวกับว่าในพื้นที่นี้ไม่มีเด็กหนุ่มผู้นั้นอาศัยร่วมอยู่ด้วย “ภุชงค์...โภคิน...นำยักษ์ตนนั้นขึ้นมาจากบ่อเสีย” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยสั่ง ทันใดนั้นพญาอสรพิษทั้งสองก็เลื้อยควบคู่กันไปทางบ่อว่านก่อนจะใช้ลำตัวเกี่ยวพันรอบกายของอสุราหนุ่มไว้มั่นเพื่อประคองร่างไร้สติขึ้นมาบนฝั่ง

               แต่แล้วงูยักษ์ตัวหนึ่งกลับออกแรงพันรัดแน่นจนได้ยินเสียงบีบรัดผิวเนื้ออย่างรุนแรง ก่อนดวงตาของอสรพิษจะทอประกายวาวโรจน์ขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว

เจ้าแก้วถึงกับกายเย็นเฉียบเมื่อเห็นว่าร่างของอสุราหนุ่มถูกรัดแน่นจนใบหน้าซีดเซียว แต่พอตั้งท่าจะลุกมาหากลับโดนหลวงตาใช้ไม้ตะพดชี้เป็นเชิงเตือนว่าให้อยู่ห่างเอาไว้ห้ามเข้ามาใกล้

               “ภุชงค์! ปล่อย!” พญานคินนาคราชตวาดเสียงดังก้อง “ปล่อยตัวเขาลงประเดี๋ยวนี้!”

               สิ้นเสียงคำสั่งร่างของอสุราหนุ่มก็ถูกปล่อยให้ร่วงลงมานอนที่พื้น ก่อนงูยักษ์อีกตัวจะจับพลิกให้นอนหงายขึ้นพร้อมดึงเอาผ้านุ่งที่ถูกปลดวางไว้ข้างๆขึ้นมาคลุมทับท่อนล่างที่เปลือยเปล่าเอาไว้ให้

               พญานาคราชย่างก้าวเข้าไปหาก่อนจะทรุดกายลงนั่งข้างๆร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น นัยน์ตาคมกล้าจดจ้องลงไปยังแผลเป็นที่ปรากฏอยู่บนแผ่นอกกว้าง เนื้อกายสีชาดที่อาบชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬสะท้อนต้องแสงกับเปลวไฟจนวาววับ

               แต่ที่ทำให้ต้องสะดุดตาก็คือสีของเหงื่อนั้นมีลักษณะแดงเข้มคล้ายกับหยาดโลหิต

นคินเอื้อมมือลงไปปาดไล้เก็บหยาดเหงื่อขึ้นมาก่อนจะคลึงปลายนิ้วอย่างพินิจพิจารณา

               พลันเรียวคิ้วก็ขมวดปมแน่น นัยน์ตาสีเขียวมรกตแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเมื่อได้กลิ่นของพิษที่ถูกขับออกมาจากร่างอสุราหนุ่ม

ทางงูยักษ์ทั้งสองตัวก็เลื้อยเข้ามาใกล้เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของนายตน พลันสิ้นสองแฉกก็แลบตวัดเลียหยดพิษที่ปลายนิ้วก่อนเหล่าอสรพิษจะเลื้อยแนบเข้าข้างลำตัวของพญานาคราชราวกับต้องการช่วยปลอบประโลมอีกฝ่าย

               “...พิษเจ้านารา” สุ้มเสียงอ่อนระโหยเอ่ยบอก...หยาดน้ำที่คลอขึ้นมาจากหน่วยตาสะท้อนความเจ็บปวดรวดร้าวออกมาอย่างสุดแสน

               “ท่านนคิน” ผู้ทรงศีลเอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่านาคราชหนุ่มเนื้อตัวสั่นเทา

               “พระอาจารย์…พิษนี้เป็นพิษของเจ้านารา...สหายรักของข้าขอรับ” นคินเอ่ยเสียงหนักแน่นก่อนความเศร้าโศกจะจางหายไปเมื่อมือเหี่ยวย่นวางลงบนบ่าแกร่งอย่างปลอบประโลม

               “ท่านนคินหมายความว่า...”

               “ขอรับ...พิษที่อยู่ในกายของยักษ์ตนนี้คือพิษนาค” นัยน์ตาคมกล้าประกายวาบไหว “พิษอัคคิมุข”

               ทันใดนั้นภายในโถงถ้ำกว้างก็เงียบสงัดลงถนัดตา เจ้าแก้วพลันใจกระตุกวูบเมื่อเห็นแววตาวิตกกังวลของหลวงตาที่มองมาทางมัน

               “แล้ว...มีหนทางรักษาหรือไม่”

               “พิษนาคย่อมมีเพียงนาคเท่านั้นที่จะถอดถอนออกได้...”พญานาคราชจ้องมองไปยังร่างของอสุราหนุ่มอย่างใช้ความคิดก่อนจะพยักหน้ารับแทนคำตอบ “แต่ในหมู่นาคทั้งหมดทั้งมวล...พิษอัคคิมุขของเจ้านารานั้นมีฤทธิ์รุนแรงมากกว่านาคตนอื่นอยู่หลายเท่าตัวนัก” นาคหนุ่มเริ่มวิตกกังวลไม่แพ้กัน “ตัวข้าเองก็ไม่กล้ารับปากว่าจะสามารถถอนพิษออกให้ได้หมด”

               “ขอเพียงทุเลาลงก็ยังดี” พระอาจารย์คงเอ่ยเสียงอ่อน “ท่านนคิน...หนนี้ถือเสียว่าอาตมาขอความกรุณาด้วยเถิด...ช่วยชีวิตท่านวศินด้วย”

               เมื่อถูกวอนขอจากผู้ที่ตนเคารพนับถือพลันแววตาแข็งกระด้างก็อ่อนแสงลง “...พระอาจารย์เอ่ยปากขอกันเช่นนี้...หากนคินปฏิเสธก็คงจะใจไม้ไส้ระกำเกินทน” นาคหนุ่มทอยิ้มบางเบาก่อนนัยน์ตาสีเขียวมรกตจะกลับคืน

               “แต่ก่อนอื่นคงต้องเคลื่อนย้ายเขาออกไปจากที่นี่เสียก่อน” เพราะภายในโถงถ้ำแห่งนี้อากาศไม่ค่อยจะถ่ายเทสักเท่าใดนัก นคินเอ่ยปากสั่งให้สองอสรพิษเคลื่อนย้ายร่างของอสุราหนุ่มออกไปยังโถงกลางเพราะบริเวณนั้นมีช่องปล่องเปิดกว้างซ้ำยังมีแสงมากพอที่จะสามารถมองเห็นได้อย่างสะดวก

               ส่วนทางด้านเจ้าแก้วก็ถูกหลวงตาเรียกไปทำแผลมิหนำซ้ำยังถูกดุจนมันเซื่องซึม เมื่อหลวงตาเห็นรอยเล็บที่กรีดแทงทะลุผิวเนื้อจนเปิดเป็นแผลฉกรรจ์ ไหนจะรอยช้ำเลือดเป็นจ้ำทั่วทั้งแขนนี่อีก

               …ทำตัวบ้าบิ่นไม่เข้าเรื่องนัก

               “ถ้าพ่อกับพี่เอ็งมันมาเห็นละก็รับรองได้เลยว่าป่าแตก” พระอาจารย์ส่ายหัวอย่างปลงตก

ก็ไอ้บุญกับไอ้กล้าน่ะรักและถนอมเจ้าดอกแก้วดอกนี้มากเพียงใดใครจักไม่รู้ ลองถ้ามันมาเห็นความบอบช้ำนี่สิ มิวายอาละวาดปั้นปึ่งสติสตังแตกยับเยินเป็นแน่

               ผ้าสะอาดถูกพันรอบแขนทั้งสองข้างจนบดบังผิวเนื้อบอบช้ำจนมิด เจ้าแก้วก้มลงกราบแนบตักของหลวงตาก่อนจะผละออกไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้อสุราหนุ่มตามที่นาคตนนั้นได้เอ่ยปากขอความร่วมมือเอาไว้

               ...เพราะทั้งภุชงค์และโภคินก็ต่างถูกสะบัดออกเมื่อฝ่ายนั้นเริ่มรู้สึกตัวตื่นซ้ำยังไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าที่ควร

               ...ไอ้ยักษ์ดื้อด้าน..ปล่อยให้มันตายไปเสียเลยดีไหม!

            “..ท่านวศิน” เจ้าแก้วเดินเลียบเคียงเข้าไปหาคนที่กำลังพยุงกายกระเถิบขึ้นพิงเข้ากับโขดหินอย่างทุลักทุเล “เช็ดเนื้อเช็ดตัวก่อนเถิดจ้ะ” เด็กหนุ่มยอบกายนั่งลงข้างๆช่วงตัวสูงใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือออกไปจับต้นแขนกำยำไว้อย่างอ่อนโยน

               ทางฝ่ายนั้นก้มลงมองมนุษย์ตัวน้อยเพียงครู่ ก่อนปฏิกิริยาตอบรับอย่างว่าง่ายจะเรียกเสียงทอดถอนหายใจออกมาจากเหล่าสัตว์เลื้อยคลานทั้งสองตัวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

               ...อะไรมันจะสั่งได้ง่ายดายปานนี้

...เพียงแค่มนุษย์ตาบอดตัวกระจ้อยเอ่ยปากขอเจ้ายักษ์ตนนั้นก็ยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซ้ำยังนั่งนิ่งให้หลานของพระอาจารย์เช็ดเนื้อเช็ดตัวโดยไม่มีท่าทางขัดเคืองใจออกมาให้ได้เห็นเลยแม้นเพียงกระผีก

“พระอาจารย์.. ” นคินที่นั่งอยู่ข้างๆกำลังจะเอ่ยปากถามทั้งที่ตายังไม่ผละออกมาจากการดูแลของเด็กหนุ่มตรงหน้า

“อาตมาก็พึ่งจะเห็นพร้อมกับท่านนคินนี่แล..” มือเหี่ยวย่นหยิบหมากขึ้นมาเคี้ยวเพื่อต้องการดับความขุ่นเคืองใจ “เจ้าแก้ว...เสร็จแล้วก็ถอยออกมาเสีย” น้ำเสียงเข้มเอ่ยสั่งเมื่อสังเกตเห็นว่าพ่อยักษ์ตนนั้นจดจ้องหลานคนเล็กของตนอย่างไม่ละสายตาโดยที่เจ้าตัวน้อยนั่นก็ไม่ทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป

...นัยน์ตาสีนิลกาฬคู่นั้นมิสามารถปิดบังบางสิ่งบางอย่างที่ฉายชัดออกมาได้เลยสักเพียงนิด..

เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จเด็กหนุ่มก็ผละกายลุกออกห่างตามคำสั่งก่อนจะย้ายตัวไปนั่งข้างๆหลวงตาโดยที่ไม่รอให้โดนดุเป็นหนที่สอง

“วศิน..” นคินเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย “พิษที่ไหลเวียนอยู่ในกายเจ้าคือพิษนาคอัคคิมุข” นาคหนุ่มจดจ้องโต้ตอบกับอสุราตนนั้นอย่างไม่ลดละ “เป็นพิษที่มีฤทธิ์ร้ายแรงที่สุดในพิษทั้งสี่ ...หากปล่อยทิ้งไว้นานกว่านี้ลมหายใจของเจ้าคงมิแคล้วจักต้องถูกพรากไป” รอยยิ้มเย็นเยือกถูกจุดขึ้นข้างมุมปากเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นยังไม่มีท่าทีหวาดหวั่น “ข้าสามารถถอนพิษออกให้เจ้าได้...แต่นั่นเป็นเพราะพระอาจารย์เอ่ยปากขอ หาใช่เพราะข้ามีเมตตาต่อพวกยักษ์อย่างเจ้าไม่...” น้ำเสียงทุ้มถูกกดต่ำ “แต่ก่อนอื่นเจ้าจะต้องบอกข้ามาเสียก่อนว่าได้รับพิษนี้มาได้อย่างไร...”

“…”                                                                                                                                     

“...เจ้าได้รับพิษนี้มาจากพวกยักษ์แห่งกรุงราชคฤห์ใช่หรือไม่”

ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่าย มีเพียงแค่การพยักหน้าเท่านั้นเพื่อยืนยันคำตอบ

“เจ้าเป็นใครกัน...” หากเป็นเพียงพวกทหารปลายแถวมีหรือจะถูกเพ่งเล็งจากองค์ยุพราชเลวชาตินั่น..

“…ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่...ผู้ควบคุมกองกำลังทหารยักษ์แห่งนครคีรี”

“จอมทัพอสุราเช่นนั้นหรือ..” นาคหนุ่มทวนคำอย่างเหลือชื่อ

วศินพยักหน้ายืนยันอีกหนก่อนจะเบือนสายตากลับไปหามนุษย์หน้าซื่อที่กำลังมองมาที่ตนด้วยแววตาตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อได้รับรู้ความจริงอีกอย่างเกี่ยวกับตัวเขา

...ที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะปิดบัง...แต่เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องบอก...ก็เท่านั้น

เพียงเท่านั้นนัยน์ตาสีเขียวมรกตก็สลดวูบลงเพียงครู่ก่อนนคินจะเอ่ยปากเล่าย้อนเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดขึ้นมา “เจ้านาราเป็นสหายรักของข้า”

“…”

“ปกติแล้วพวกเราจักต้องคายพิษออกมาเมื่อครบเวลาสิบห้าวัน...ซึ่งช่วงที่เกิดเหตุก็ยังไม่ครบรอบที่เจ้านาราจะคายพิษ...ในคืนนั้นสหายข้าขึ้นไปยังโลกด้านบนแต่กลับโชคไม่ดีถูกพวกยักษ์เลวชาติจับตัวไป”

น้ำเสียงขมขื่นถูกเค้นออกมาอย่างยากลำบาก

“…พวกยักษ์จากกรุงราชคฤห์...มันทำร้ายเจ้านาราจนได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส...เพียงเพราะพวกมันต้องการพิษอัคคิมุข...เมื่อนาราไม่สามารถคายพิษออกมาให้พวกมันได้ข้างลำตัวจึงถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะเพื่อรีดเอาพิษออกมา”

“..แล้วตอนนี้...เขาเป็นอย่างไรบ้าง” วศินเองเมื่อได้ฟังก็รู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมาในอกไม่ต่าง...พวกราชคฤห์กระทำการชาติชั่วกับเขายังไม่พอ แต่กลับระรานผู้อื่นไปทั่วเช่นนี้มันช่างน่าสมเพชยิ่งนัก

“..ตายแล้ว” นาคหนุ่มฝืนยิ้มออกมาทั้งที่ภายในอุรานั้นแตกสลายไม่มีชิ้นดี “หลังจากวันนั้นเจ้านาราก็หอบลากสังขารกลับลงมายังเมืองบาดาล...ลมหายใจสุดท้ายที่กระซิบเอื้อนเอ่ยกับข้าคือ ‘องค์ยุพราชแห่งราชคฤห์’ เป็นผู้บงการทุกสิ่งทุกอย่าง...ด้วยพระองค์เอง” ภาพลำตัวของสหายรักที่ถูกกรีดจนเนื้อเปิดยังคงฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ เกล็ดสีนิลถูกถอดถอนจนตกสะเก็ดเลือด ทั่วลำคอขาวปรากฏรอยนิ้วมือขนาดใหญ่กอบกุมอยู่รอบจนม่วงคล้ำ

...มันโหดร้ายทารุณเกินกว่าที่เขาจะสามารถทนมองร่างนั้นค่อยๆถูกความเจ็บปวดพรากลมหายใจไปจากกันได้

“ว่าแต่เจ้าเถอะ...เหตุไฉนจึงถูกเพ่งเล็งจากเจ้ารามสูรเสียได้” ท่าทีที่ผ่อนคลายลงไปมากของพญานาคราชทำให้ความขมุกขมัวที่อยู่รอบกายพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น อีกทั้งยังเป็นฝ่ายชักชวนอสุราหนุ่มพูดคุยอย่างไม่มีท่าทีขัดเคืองเหมือนอย่างเช่นเมื่อแรกพบ

“...เมื่อตอนที่ออกศึกกับพวกราชคฤห์ ข้าและสหายถูกพวกมันเล่นไม่ซื่อกระทำการนอกเหนือกฎการศึก” นัยน์ตาสีนิลกาฬเปล่งประกายวาวโรจน์ดั่งเพลิงเผาเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา “รามสูรใช้ศรอาบพิษยิงใส่ข้าเพื่อหวังจะตัดกำลังและอาศัยช่วงที่ข้าเพลี่ยงพล้ำเข้ามาเล่นงาน”

“สันดานชั่วโดยเนื้อแท้..” นคินเผลอสบถหยาบจนถูกพระอาจารย์ปรายตามองมาเชิงตักเตือน

“แต่สหายข้ากลับพาโดดหนีลงมาจากหน้าผาเพียงเพราะต้องการจะปลิดชีพให้สิ้นเสียยังดีกว่าจักต้องตายด้วยน้ำมือของพวกราชคฤห์”

“...สุดท้ายพวกเจ้าก็รอดใช่หรือไม่” …ถึกทนสมกับเป็นจอมทัพใหญ่เสียจริง

“อืม” นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่รอดมาได้

“หึ...และให้ข้าคาดเดา...ก็คงเป็นเจ้าที่ไปพบยักษ์ทั้งสองตนเข้า...ใช่หรือไม่เจ้าแก้ว” นคินแย้มยิ้มมุมปากไปให้สัตว์ตัวเล็กที่นั่งอิงแอบอยู่ข้างกายพระอาจารย์...มันเหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนจะพยักหน้ารับแทนคำตอบ “โชคดีของพวกเจ้า...ที่ถูกคนจิตใจงามช่วยเหลือเอาไว้” รอยยิ้มวาววับเผยให้เห็นเมื่อยามที่ตาสีเขียวมรกตทอดมองใบหน้าใสซื่อของเด็กหนุ่มมนุษย์

...พอได้มองแบบชัดๆเช่นนี้แล้ว กลับทำให้นาคหนุ่มรู้สึกว่าแม้นสัตว์ตัวน้อยจะพิกลพิการ...แต่กลับน่าเอ็นดูอย่างประหลาด

               ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพระอาจารย์ถึงรักหลานคนเล็กนัก

               “ท่านนคิน” เสียงนุ่มของพระอาจารย์เอ่ยตักเตือนเมื่อเห็นว่าหลานรักที่นั่งอยู่ข้างกายเริ่มออกอาการตกประหม่า…เพราะมันกำปลายจีวรเขาไว้จนยับย่น

               ...คงกลัวท่านนคินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว..

               แท้จริงแล้วนาคหนุ่มตนนั้นมีนิสัยขี้เล่นเอาการ...แต่คงเพราะพึ่งจะได้พบเจอคนแปลกหน้าเลยอาจจะแผ่กลิ่นอายไม่เป็นมิตรออกมาบ้างจนทำให้จำแก้วรู้สึกหวาดกลัวได้อย่างไม่อยากเย็น

               “เท่าที่ข้าดูจากอาการของวศินแล้ว...คงยังไม่สามารถถอนพิษออกให้เขาได้หมดในครั้งเดียวขอรับอาจารย์” นาคหนุ่มบอกทั้งสีหน้าวิตก “เพราะตอนนี้ร่างกายของวศินนั้นอ่อนแอมาก...ข้าเกรงว่าหากทำการถอนพิษออกไปในคราเดียวเขาจะไม่สามารถอดทนต่อความเจ็บปวดได้” …น้ำเสียงจริงจังไร้ท่าทีขี้เล่นเหมือนทุกทีเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น

               “แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง”

               “..ต้องค่อยๆถอนพิษออกทีละนิดพร้อมกับแช่ว่านขับพิษของพระอาจารย์ควบคู่กันไปด้วย...ราวๆเจ็ดวันก็น่าจะทุเลาลง” เพราะถ้าหากขืนดันทุรังรีบร้อนละก็โอกาสที่ฝ่ายนั้นจะเจ็บปวดจนสิ้นใจนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

               “อืม...ว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน แค่ท่านนคินรับปากว่าจะช่วยท่านวศินอาตมาก็ถือว่าเป็นบุญคุณแล้ว” ผู้ทรงศีลเผยยิ้มอย่างโล่งอกพร้อมกับก้มลงลูบหัวหลานรักอย่างปลอบประโลมเมื่อเห็นว่าเจ้าแก้วมีสีหน้าที่คลายทุกข์ลงไปมาก

               “นคินเต็มใจที่จะช่วยขอรับ” พญานาคราชเอ่ยเสียงหนักแน่น “คิดเสียว่าทำเพื่อลบรอยบาปให้เจ้านาราก็แล้วกัน”

แม้นกายจะมลายหายสิ้น...

มีเพียงพิษร้ายที่ยังคงไหลเวียนอยู่ในสายโลหิตของอสุราหนุ่มเท่านั้นที่แทนการมีชีวิตอยู่ของสหายรัก

...หลับให้สบายเถิดหนานารา..

ความทุกข์ระทมที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง...ข้าจักเป็นคนสะสางมันให้เจ้าเอง..



__________________________________________________________



ต้องขออภัยที่ทิ้งช่วงไปนานเลยนะคะ ถ้าเป็นไปได้จะพยายามอัพให้เร็วกว่านี้ค่ะ /ปาดน้ำตา :hao5:

ขอบคุณทุกคนที่ยังรอกัน...อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรคอมเม้นบอกพันไมล์ได้นะคะ ต้องการกำลังใจมาก ฮึกๆๆ

1เม้น เท่ากับ 1กำลังใจที่ต่อชีวิตอันแห้งเหี่ยวของพันไมล์เลยค่ะ



แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ <3  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๗ - อัคคิมุข : ๒/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-02-2019 00:14:52
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๗ - อัคคิมุข : ๒/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-02-2019 15:58:07
ดีใจที่ได้อ่านต่อ

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 17-02-2019 18:25:57
ถอนพิษ

.

.

.
               ย่างเข้าสู่วันที่สามของพิธีถอนพิษอัคคิมุข

ร่างสูงใหญ่ของอมนุษย์ทั้งสองเผ่าพันธุ์นั่งขัดสมาธิเผชิญหน้ากันอยู่บริเวณกลางโถงถ้ำกว้าง...แสงสว่างที่สาดส่องผ่านช่องเปิดลงมาเป็นตัวบ่งบอกว่าความมืดมิดของรัตติกาลได้ลาลับกลับแทนที่ด้วยแสงแรกของสุริยันวันใหม่

ละอองแดดส่องกระทบเข้ากับผิวกายคร้ามแดดชื้นเหงื่อจนวาววับ...กล้ามเนื้อตึงแน่นเครียดขมึงไปทุกส่วนสัดยามที่เจ้าตัวขยับเขยื้อนกาย อสุราหนุ่มผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะหนักแน่นเมื่อเริ่มรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว หยาดเหงื่อที่ผุดซึมอยู่ข้างขมับชื้นหยดลงบนหน้าตักหยดแล้วหยดเล่าตามกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่าน

“อดทนไว้...วศิน” เสียงทุ้มต่ำที่อยู่ตรงข้ามเอ่ยเตือนเมื่อเห็นใบหน้าคมคร้ามขมวดคิ้วแน่น

นาคหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นมองด้วยท่าทีสงบนิ่งพลางบริกรรมคาถาถอดถอนพิษไปด้วยอย่างขะมักเขม้น

เพลานี้ก็ล่วงเลยมาร่วมสามชั่วยามแล้วที่เขากับอสุราหนุ่มเข้าพิธีถอนพิษอัคคิมุข

เขตอาคมศักดิ์สิทธิ์ถูกแบ่งกั้นไว้โดยสองพญาอสรพิษที่แปลงกายขยายใหญ่ขึ้นจนสามารถสร้างเขตแดนขนาดย่อมเอาไว้เพื่อไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้ามารบกวนการประกอบพิธี อีกประการคือในระหว่างที่พิษอัคคิมุขคายออกมานั้นจะแผ่ละอองกระจายออกมาทั่วทั้งบริเวณ ด้วยเหตุนี้พญานคินนาคราชจึงได้สั่งให้ทั้งภุชงค์และโภคินคอยดูดซับพิษร้ายเอาไว้เพื่อไม่ให้พระอาจารย์และเจ้าแก้วที่อยู่ร่วมในถ้ำได้รับอันตรายไปด้วย

การถอนพิษล่วงเลยเข้าสู่วันที่สาม บัดนี้พิษได้ไหลเวียนออกมาจากร่างของอสุราหนุ่มแล้วเกินกว่าครึ่ง จึงส่งผลให้เนื้อตัวสีชาดนั้นจางหายไปเผยผิวกายคร้ามแดดออกมาให้ได้เห็น

นับว่าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีเกินคาด เพราะนอกจากฝ่ายนั้นจะมีความอดทนอดกลั้นชั้นยอดแล้วร่างกายยังเริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้นมากกว่าเก่าอีกเป็นเท่าตัว ดูจากมัดกล้ามเนื้อตึงแน่นและเส้นเลือดที่ขยายสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายจนทำให้จอมทัพวศินดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

นี่แค่ถอดถอนเพียงครึ่งเท่านั้น...หากพิษอัคคิมุขได้จางหายออกไปจนหมดแล้วล่ะก็ กำลังวังชาของอีกฝ่ายคงกลับมาเต็มเปี่ยมเป็นแน่แท้

เพียงพิศด้วยตาเปล่าก็รับรู้ได้ว่ารูปโฉมของจอมทัพอสุราตนนี้มากเสน่ห์เหลือล้น...แต่เพราะท่าทางทื่อมะลื่อดั่งหินผาจึงทำให้ดูดุดันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แม้นแต่ตัวเขาเองที่เป็นถึงพญานาคราชก็ยังแอบหวั่นเกรงลึกๆอยู่ในอก...แค่ความน่าเกรงขามและกลิ่นอายของชายชาตินักรบก็กินขาดไปมากโขแล้ว

               จนกระทั่งคาถาบทสุดท้ายสิ้นสุดลง...อสุราหนุ่มทั้งไอทั้งสำลักจนหน้าแดงก่ำเมื่อความคลื่นเหียนคับคั่งในโพรงปาก ก้อนโลหิตข้นคลั่กที่ตีรวนขึ้นมาถูกปล่อยทิ้งลงไปในหม้อดินเผาใบใหญ่ ลิ่มเลือดสีแดงสดทับถมกันจนดำคล้ำส่งกลิ่นคาวสนิมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

               “โภคิน” พญานาคราชเอ่ยเพียงเท่านั้นงูจงอางที่นอนขดกายเฝ้าอยู่ก็เข้ามาคาบหม้อดินเผาเอาไว้ก่อนจะเลื้อยออกไปเพื่อนำหม้อพิษกลับลงไปยังเมืองบาดาล...แม้นจะอยู่ในรูปของเสียแต่อนุภาคของพิษอัคคิมุขนั้นก็ร้ายแรงเกินกว่าที่จะสามารถปล่อยทิ้งเอาไว้บนโลกมนุษย์ได้

               “รู้สึกดีขึ้นหรือไม่” นัยน์ตาสีเขียวมรกตจดจ้องสังเกตอาการของอสุราหนุ่มพร้อมส่งสมุนไพรให้เคี้ยวดับคาวเลือด...ส่วนใบหน้าที่ชื้นเหงื่อก็กดรับแทนคำตอบก่อนจะยกหลังมือปาดเลือดที่มุมปากออก

               “ดี” รอยยิ้มโล่งอกจุดประกายขึ้นบางเบา “ร่างกายของเจ้าฟื้นเร็วเกินคาด...เห็นเช่นนี้แล้วข้าก็หมดกังวล” นคินลุกขึ้นยืนเพื่อคลายความเมื่อยขบก่อนจะยื่นส่งมือไปตรงหน้าอสุราหนุ่มเพื่อให้อีกฝ่ายได้จับประคองกายขึ้น

               “ขอบใจเจ้ามาก” นาคหนุ่มเพียงยักไหล่ตอบรับอย่างผ่อนคลายก่อนจะตบลงบนบ่าแกร่งเบาๆแทน

               “ช่างเถิด...เอาไว้ถ้าเจ้าอยากจะตอบแทนข้าจริงๆละก็...ขอเป็นนางยักษ์รูปงามสักตนก็พอ” แววตาเปล่งประกายฉายชัดออกมาอย่างไม่คิดปิดบังเมื่อเริ่มสนิทชิดเชื้อกัน

               ได้ยินดังนั้นวศินก็พรูลมหายใจออกมาอย่างขบขันให้กับความเจ้าชู้ประตูดินของพญานาคราช ก่อนจะส่ายศีรษะบอกเป็นเชิงนัยว่าตัวเขาไม่ค่อยจะสันทัดในสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยขอสักเท่าใดนัก

...เรื่องแบบนั้นคงต้องเป็นเจ้าวิรุณเสียมากกว่าที่ช่ำชอง

               “เหตุใดจึงทำท่าทางเช่นนั้น” แต่แล้วลางสังหรณ์บางอย่างก็สะกิดใจเข้าอย่างจัง...อย่าบอกนะว่า.. “วศิน...นี่อย่าบอกนะว่าเจ้ายังถือครองพรหมจรรย์อยู่!”

               “…” หาได้ถือครองอย่างที่อีกฝ่ายว่า…แค่เท่าที่ผ่านมายังไม่อยากจะสานสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับผู้ใดก็เท่านั้น..

               “เจ้ายักษ์ทื่อมะลื่อ! อย่างเจ้าน่ะหานางยักษ์รูปงามมานอนกกกอดได้เป็นสิบไม่ใช่หรืออย่างไรกัน!” ยิ่งพูดข้างขมับก็ยิ่งเต้นตุบ...เติบใหญ่จนเป็นยักษาวัยฉกรรจ์แล้วเหตุใดยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใยอยู่เล่า!         

                    เสียเชิงชายฉิบหาย!

               “แล้วเหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น” สตรีหาใช่ของเล่นระบายความใคร่...หากว่าจักต้องมีก็ขอมีเพียงหนึ่งเดียวก็เกินพอ

วศินทอดถอนใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

...นี่ไม่ใช่หนแรกที่ถูกปรามาสเช่นนี้ แม้นแต่กับเจ้าวิรุณเองก็ยังเคยก่นด่าเขาอยู่หลายหน ยามที่มีนางยักษ์รูปงามหลายตนเข้ามาหาเชิงชู้สาวแต่เขาก็ปฏิเสธพวกนางอยู่ร่ำไป

“แม้นแต่จูบ...เจ้าก็ไม่เคย?” ฝ่ายนั้นพยักหน้ายืนยันเป็นหนที่สอง

“นี่วศิน...ข้าถามจริงๆเถอะ เจ้า...ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ” นาคหนุ่มเอ่ยถามด้วยความกระดากปากแต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า

“รู้สึกเช่นไร?”

“ก็อย่างเช่นเวลา...งุ่นง่านๆ”

“เจ้าหมายถึงอารมณ์ความใคร่น่ะหรือ” …ขวานผ่าซากจริงนะท่านแม่ทัพ..

“อืม” นคินยกมือขึ้นเกาจมูกเมื่อเริ่มรู้สึกกระดากอายขึ้นมาเสียเอง...ทั้งๆที่ฝ่ายถูกถามกลับยืนตอบหน้าตายอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ราวกับเรื่องที่พูดคุยกันนั้นเป็นเพียงแค่การไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป

“ข้าเป็นบุรุษ...มันก็ต้องมีบ้างเป็นเรื่องปกติ” ก็ไม่เห็นจะผิดแปลกตรงไหน

“แล้ว...เจ้าทำเช่นไร” เริ่มอยากจะกัดลิ้นตนเองอยู่ไม่น้อย ไม่รู้จะซักถามไปหาสวรรค์วิมานอะไรนักหนา

“มือก็มี...มิใช่หรือ” คำตอบแบบเถรตรงทำให้นาคหนุ่มสำลักน้ำลายจนไอโขลกๆ ลำบากเจ้าภุชงค์ต้องกระหวัดหางขึ้นมาลูบหลังช่วยบรรเทาให้

...แม้นเขาจะเคยผ่านสตรีนารีมาบ้าง แต่ก็หาได้ช่ำชองเท่าใดนัก ที่เอ่ยถามเพียงเพราะอยากจะลองเชิงอสุราหนุ่มเสียมากกว่า..

แต่ใครจักคิดเล่าว่านอกจากจอมทัพตนนี้จะไม่รู้สึกระแคะระคายอะไรแล้วยังตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอันใด...กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ต้องหน้าม้าน

ตุบ!

แต่แล้วเสียงตกกระทบของสิ่งของบางอย่างที่ดังขึ้นอยู่หน้าโถงกลับดึงความสนใจทั้งหมดให้หันไปมอง

ก่อนจะพบว่าเป็นสัตว์ตัวเล็กที่ยืนถือหม้อยาเอาไว้มั่น เจ้าแก้วมองมาทางพวกเขาอย่างลุแก่โทษที่จู่ๆมันก็เข้ามากะทันหัน...เห็นดังนั้นอสรพิษยักษ์ก็แปลงกายลดขนาดตัวลงเมื่อเห็นท่าทางตกใจของเด็กหนุ่มมนุษย์ เพราะพระอาจารย์เคยเปรยๆไว้บ้างแล้วว่ามันน่ะกลัวพวกสัตว์เลื้อยคลานจับใจ

ตลับยาที่หล่นร่วงกลิ้งมาหยุดที่ปลายหางของเจ้างูเผือก ภุชงค์ชูคอส่งเสียงฟ่อ ตาแดงก่ำจดจ้องไปที่มนุษย์ตัวน้อยก่อนจะก้มลงคาบสิ่งของชิ้นนั้นขึ้นมาไว้แล้วเลื้อยเข้าไปใกล้ พญาอสรพิษที่มีนิสัยดุร้ายชูคอขึ้นเหนือร่างของเด็กหนุ่มราวกับต้องการจะข่มขู่ ทำให้เจ้าแก้วต้องก้มหน้าหลับตาแน่นเมื่อเรียวลิ้นสองแฉกแลบเลียลงมาใกล้

ฟ่ออ

แต่แล้วสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้นเมื่อภุชงค์เลื้อยพันตัวมันเอาไว้ก่อนจะใช้หัวที่แผ่แม่เบี้ยดุนดันเข้าที่ข้างใบหน้าราวกับต้องการจะหยอกเอิน...เกล็ดแข็งๆของสัตว์เลื้อยคลานที่ครูดไปกับผิวเนื้อทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นเป็นรอยแดง เจ้าแก้วลมหายใจสะดุดเมื่อถูกเรียวลิ้นแลบเลียเข้าที่ใบหน้าจนเปียกชื้น

พญานาคราชมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาที่ตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นว่าจู่ๆเจ้างูที่มีนิสัยดุร้ายตัวนั้นเข้าไปพะเน้าพะนอมนุษย์ราวกับมันเป็นของรักของหวง

“แปลก...ตั้งแต่ฟักออกมาจากไข่ นอกจากข้ากับเจ้านาราแล้ว ภุชงค์ก็ไม่เป็นมิตรกับผู้ใดเลย” นคินหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ

ดูอย่างคราวของจอมทัพวศินนั่นปะไร...พึ่งจะเจอกันหนแรกเจ้าภุชงค์แผลงฤทธิ์ออกแรงรัดกะเอาให้ตายเสียด้วยซ้ำไป... “ดูท่าแล้วภุชงค์จะชอบเจ้านะ”

เจ้าแก้วยืนเก้กังทำตัวไม่ถูกเมื่อปลายหางซุกซนกระหวัดไปมาที่โคนขาอ่อน ส่วนข้างแก้มก็โดนดุนดันจนหน้ายู่

พญาอสรพิษก้มลงคายตลับยาไว้ให้ในมือก่อนจะไถหัวไปตามฝ่ามือเชิงบังคับให้เด็กหนุ่มลูบอย่างออดอ้อน

...ผีห่าตนไหนเข้าสิงมันล่ะนั่น จู่ๆก็ทำตัวราวกับเป็นลูกหมาแสนเชื่องเสียอย่างนั้น..

“ข..ขอบใจนะจ๊ะ” เจ้าแก้วขยับมือลูบอย่างกล้าๆกลัวๆกับสัมผัสมันเลื่อมของเกล็ดสีขาวนวล ก่อนจะต้องตื่นตกใจจนตาเบิกกว้างเมื่อเรียวลิ้นของอสรพิษแลบเลียเข้ามาที่ริมฝีปากอิ่ม

...มันชักจะไปกันใหญ่

“ภุชงค์...อย่าลามปามให้มันมากนัก” เสียงกระแอมไอของนคินดังขึ้นขัดจังหวะเพื่อเอ่ยเตือน

...เพราะตั้งแต่เมื่อครู่ตอนที่ปลายหางของเจ้าภุชงค์ป้วนเปี้ยนอยู่ที่โคนขาของมนุษย์ตัวจ้อยน่ะ ข้างกายเขาเกิดเสียงบดกรามดังกรอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ พอหันไปมองก็เห็นว่าจอมทัพวศินจดจ้องไปทางนั้นเขม็ง

ซ้ำประกายเพลิงยังวาวโรจน์จนตาแดงก่ำ...เหลือเพียงนิดเขี้ยวก็คงจะงอกในไม่ช้า..

...อาการออกชัดถึงเพียงนี้...คงไม่ธรรมดาเสียแล้ว..

“เอ่อ...แก้วเอายามาให้ท่านวศินมิใช่รึ...เข้ามาสิ” นาคหนุ่มเบี่ยงเบนความสนใจออกไปเรื่องอื่นเมื่อรู้สึกถึงไอขมุกขมัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นบางเบาระหว่างที่สายตาของอสุราหนุ่มและจงอางเผือกจดจ้องกันอย่างไม่ลดละ

...ภุชงค์เอ๋ย...อย่าหาเรื่องให้ข้าต้องปวดหัวนักเลย..

ส่วนเจ้ายักษ์ตนนี้ก็พอกัน...หึงหวงแม้นกระทั่งกับงู

“ท่านแม่ทัพเก็บอาการหน่อยเถิด...” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ลดระดับลงให้ได้ยินกันเพียงสองคนเอ่ยอย่างล้อเลียน “ประเดี๋ยวสัตว์ตัวน้อยตกใจวิ่งหายกลับเข้าไปในโพรงแล้วจะหาว่าข้าไม่เตือน”

“พูดเรื่องอะไรของเจ้า” เรียวคิ้วเข้มขมวดมุ่นก่อนจะจ้องนาคหนุ่มกลับ

“นอกจากจะทื่อมะลื่อเป็นศิลาตายด้านแล้วยังปากหนักอีกหรือ” นคินส่ายหัวอย่างเอือมระอา “มองขึ้นมาจากเมืองบาดาลยังรู้เลยว่าเจ้าน่ะคิดอย่างไรกับเด็กมนุษย์นั่น” ไม่ว่าเปล่ายังยักคิ้วอย่างท้าทายให้อีกฝ่ายได้แสบระคายใจยิบๆ

“…” ประกายวูบไหวเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะถูกกลบด้วยความนิ่งเฉยเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้

“ท่ามากนัก...ระวังเถิดจะไม่ทันการ” นคินกระซิบทิ้งท้ายเอาไว้อย่างอารมณ์ดี “เจ้าภุชงค์มันแปลงกายเป็นมนุษย์ได้นะเผื่อเจ้าไม่รู้...ซ้ำยังหล่อเหลาเอาการ” …โกหกคำโตออกไปเพื่อหวังว่ามันจะไปเร่งเชื้อเพลิงข้างในกายของเจ้าศิลายักษ์นี่ได้บ้าง...แม้นเพียงกระผีกเดียวก็ยังดี

พญานาคราชจากไปแล้วพร้อมกับสมุนอสรพิษ...เหลือทิ้งไว้เพียงแค่สองชีวิตที่ยืนประจันหน้ากันอยู่

เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นลอบมองเสี้ยวหน้าคมคร้ามที่กำลังยกหม้อยาขึ้นดื่ม ประกายแดดอ่อนๆที่ฉาบไล้ลงมากระทบเข้ากับแนวสันกรามขับเน้นให้กลิ่นอายของบุรุษวัยฉกรรจ์แผ่กำจายอยู่รอบตัวของอีกฝ่าย

นัยน์ตาสีนิลส่องกระทบแสงอย่างมีชีวิตชีวาสะกดสายตาให้ตราตรึง

บัดนี้อสุราหนุ่มตรงหน้าหาได้มีกายสีชาดเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมาแล้ว เนื่องด้วยพิษร้ายในร่างถูกถอดถอนออกไป จึงปรากฏให้เห็นผิวกายคร้ามแดดเข้ามาแทนที่ อีกทั้งท่าทางองอาจยังแลดูมีพลังและกำลังวังชาขึ้นกว่าเก่าอยู่มาก

กลิ่นอายบางอย่างที่แผ่กำจายออกมารอบตัวอสุราหนุ่มนั้นดูกร้าวแกร่งดุดันสมกับเป็นจอมทัพอสุราผู้ยิ่งใหญ่

แม้นแค่เพียงปรายตาลงมามอง ผู้ต้อยต่ำก็พร้อมที่จะสยบลงแทบเท้า...มิอาจหาญกล้าตีตนขึ้นเทียบเคียง

และเจ้าแก้วเองก็รู้สึกเช่นนั้น...

สัตว์ตัวเล็กที่ชูคอเชิดแหงนมองดูผู้สูงศักดิ์ช่างต่ำต้อยไม่เจียมตนยิ่งนัก..

“เจ้าจะออกไปไหน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักดึงสติที่หลุดลอยให้กลับมาเมื่อวศินสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นสะพายย่ามเอาไว้ข้างกาย

“พอดีว่าตัวยาที่ต้มให้ท่านดื่มนั้นใกล้หมด..” มันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้สบเข้ากับนัยน์ตาคมเข้มที่มองลงมา “หลวงตาก็เลยสั่งให้ฉันเข้าไปเก็บสมุนไพรมาเพิ่มจ้ะ”

อสุราหนุ่มพยักหน้ารับรู้ “เช่นนั้น...ข้าออกไปด้วยจะได้หรือไม่”

“จะดีหรือจ๊ะ” เจ้าแก้วมองอย่างนึกเป็นห่วงเพราะอีกฝ่ายนั้นพึ่งผ่านพ้นพิธีถอนพิษมาคงจะรู้สึกเพลียอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว “ท่านนอนพักอยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือ”

ทว่าสีหน้าท่าทางแบ่งรับแบ่งสู้ของเจ้ามนุษย์หน้าซื่อกลับเร่งให้ตะกอนที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นขุ่นมัวขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“ข้าอยู่ในถ้ำมาหลายวันแล้ว...เพียงแค่อยากออกไปผ่อนคลายบ้างก็เท่านั้น” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบเชียบแต่ทว่ากลับทำให้คนฟังต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เริ่มแปรเปลี่ยนไป “หากมันทำให้เจ้าต้องลำบากใจ...ก็ไม่เป็นไร” จอมทัพอสุรากล่าวไว้เพียงเท่านั้นก็หมุนตัวหมายจะเดินกลับที่โถงถ้ำของตน

แต่แล้วสัมผัสแผ่วเบาที่แตะเข้าที่แขนกลับทำให้ต้องหยุดชะงักไว้เพียงเท่านั้น...วศินทำเพียงแค่ยืนนิ่งไม่ได้หันกลับไปหาอีกฝ่ายแม้นสักนิด

ฝ่ามือเล็กของมนุษย์ทั้งสองข้างยกขึ้นกอบกุมท่อนแขนแกร่งเอาไว้ราวกับต้องการฉุดรั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งท่าจะเดินหนี...เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างเบื้องหน้าด้วยความวิตก

สัตว์ตัวเล็กคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เรียวปากถูกขบเม้มเข้าหากันอย่างขาดความมั่นใจ

“..เปล่านะจ๊ะ” เสียงทุ้มนุ่มของเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์เอ่ยแผ่วเบาขัดแย้งกับแรงมือที่เริ่มกระชับแน่นลงบนท่อนแขนของยักษาวัยฉกรรจ์ “ฉัน...ฉันไม่ได้รู้สึกลำบากใจเลยสักนิด” หากตอนนี้จะหันกลับมามองเพียงสักนิดก็คงได้เห็นว่าเจ้ากระรอกตัวน้อยนั้นหางลู่หูตกราวกับเด็กถูกว่ากล่าวตำหนิติเตียน

“…”

“ฉันแค่เกรงว่าท่านวศินจะรู้สึกอ่อนเพลียจากการถอนพิษ...จึงอยากให้นอนพักผ่อนมากกว่า”

ลูกแก้วสีอ่อนไหวสั่นเมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมามอง...ด้วยความจนปัญญาจะหาข้อแก้ตัว

มนุษย์หน้าซื่อจึงยอมเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตนออกมาเพื่อหวังเพียงแค่อีกฝ่ายจะรับรู้ได้ถึงความในใจ

“ขอโทษด้วยนะจ๊ะ” เรียวนิ้วเผลอสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุของผิวกายคร้ามแดด “…ฉันก็แค่เป็นห่วงท่าน”

               เพียงเท่านั้นภายในโถงถ้ำกว้างก็เหลือเพียงแค่เสียงของหยดน้ำที่ไหลตกกระทบลงบนพื้นหิน ละอองแดดอ่อนบางเบาเริ่มเข้มขึ้นเมื่อแสงอาทิตย์เปล่งแสงเจิดจ้า

               เรียวนิ้วของมนุษย์ชื้นเหงื่อขึ้นมาเมื่อจู่ๆก็ถูกความอบอุ่นเข้ากอบกุมสอดประสานจนเกิดเสียงดังอึกทึกขึ้นมาในอกซ้าย...นัยน์เนตรสีอ่อนแม้นจะสามารถทอแสงล้อสุริยันได้เพียงข้างเดียวกลับสะท้อนภาพของผู้สูงศักดิ์กว่าตนอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

ยอมสยบลงอย่างง่ายดายเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มบางเบากดลึกอยู่บนใบหน้าคมคร้ามที่หันกลับมามองกัน

               เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนวูบวาบราวกับถูกกระแสไฟลามแล่นไปทั่วทั้งกายเมื่อปลายนิ้วถูกคลึงอย่างอ่อนโยนผ่านผ้าพันแผล

               “เข้าใจแล้ว” เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจทว่ากลับอ่อนโยนมากกว่าที่เคยทำให้สัตว์ตัวเล็กสูญเสียการควบคุมตนเองได้อย่างไม่ยากเย็น มันขบเม้มเรียวปากจนขาวซีดเพื่อระงับความรู้สึกแปลกประหลาดที่ตีมวนอยู่ในช่วงท้องจนร้อนวูบไปทั่วสรรพางค์กาย

               ยิ่งนัยน์ตาคมกล้าคู่นั้นจดจ้องมองลงมาที่กลีบเนื้อนุ่มอย่างไม่วางตา ก็ยิ่งไม่สามารถระงับความประหม่าเอาไว้ได้อีกต่อไป มันขยับมือเพื่อหวังจะหลุดออกจากการกอบกุม แต่ก็ต้องสิ้นหวังเมื่อจอมทัพอสุราไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร มิหนำซ้ำยังเพิ่มแรงบีบกระชับสอดประสานให้แนบแน่นเสียยิ่งกว่าเดิม

               ...เกินจะต้านทานไหว..

               “ท่านวศิน” เจ้าแก้วรู้สึกอื้ออึงที่ข้างใบหูเกินกว่าจะรับรู้ มันเอาแต่ก้มมองพื้นราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้าย “ป...ปล่อยมือฉันก่อนได้ไหมจ๊ะ”

               “เจ้าจะออกไปข้างนอกมิใช่หรือ” นอกจากจะไม่ทำตามแล้วยังแสร้งเฉไฉราวกับคำเว้าวอนก่อนหน้าเป็นเพียงธาตุอากาศ “รีบไปสิ ประเดี๋ยวสายกว่านี้จะร้อนเอา”

                    “แต่...” มือที่ยังกอบกุมกันไว้ต่างหากที่ทำให้มันร้อนรุ่มจนเหงื่อกาฬผุดซึม...เกรงว่าหากยังจับไว้เช่นนี้จะไม่มีสมาธิเอานี่สิ

               “จะไปไม่ไป” น้ำเสียงทุ้มแสร้งดุเพื่อสยบความลังเล...แล้วก็ได้ผลเมื่อเจ้าสัตว์ตัวเล็กรีบพยักหน้ารับรัวเร็วก่อนจะเริ่มเดินนำออกไป

               ...เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง..


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 17-02-2019 18:28:01
 

เจ้าแก้วรวบรวมสมุนไพรทั้งหมดลงใส่ไว้ในย่ามเมื่อเก็บจนครบ...เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นซับหยดเหงื่อที่ไหลลงมาข้างขมับจนไรผมเปียกชื้น

               แสงอาทิตย์แรงกล้าที่ส่องผ่านกลุ่มพุ่มไม้ลงมายังผืนพนากว้างทำให้แผ่นหลังเปียกชุ่มอยู่ไม่น้อย เจ้าแก้วเดินเลียบเคียงไปตามลำธารเรื่อยเปื่อยเพื่อฟังเสียงสายน้ำที่ไหลกระทบกับโขดหินอย่างเพลิดเพลิน

แต่แล้วหางตาก็พลันสังเกตเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่ยืนอยู่บริเวณใกล้ธารน้ำตก

               แม้นน้ำบริเวณนั้นจะลึกเพียงอกแต่เมื่ออสุราหนุ่มลงไปยืนแล้วกลับสูงเพียงเอวของอีกฝ่ายเท่านั้น

               เจ้าแก้วห้อยย่ามสะพายไว้ตรงกิ่งไม้ก่อนจะอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายวักน้ำล้างใบหน้าปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ข้างลำธารด้วยความคุ้นชิน มันเดินไปตามทางของกิ่งไม้ใหญ่ที่ยื่นโน้มลงไปใกล้ผิวน้ำริมธารก่อนจะนั่งหย่อนขาลงไปปล่อยให้สายน้ำเย็นเฉียบพัดพาความร้อนระอุในกายให้มลายหาย

               นัยน์ตาสีอ่อนลอบมองแผ่นหลังกว้างที่มีหยดน้ำเกาะพราวส่องสะท้อนล้อแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบลงบนผิวกายคร้ามแดด...มัดกล้ามเนื้อตึงเครียดขมึงไปทุกส่วนสัดขับเน้นให้เห็นถึงเสน่ห์ของบุรุษวัยฉกรรจ์อย่างเต็มตัว เส้นผมที่เปียกลู่แนบกับใบหน้าถูกเสยเปิดขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มเมื่อยามฝ่ายนั้นหมุนตัวกลับมา

               ในอกพลันสั่นไหวเมื่อได้สบประสานเข้ากับนัยน์ตาทรงอำนาจอีกครั้ง

...เพราะมัวแต่เผอเรอ รู้ตัวอีกทีฝ่ายนั้นก็เดินฝ่ากระแสน้ำเข้ามาหากันเสียแล้ว..

               อสุราหนุ่มยืนประจันหน้าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเงยขึ้นมองสัตว์ตัวเล็กที่กำลังตื่นตระหนก

มันทำท่าจะลุกหนีหากแต่วงแขนแกร่งทั้งสองข้างกลับยกขึ้นปิดกั้นทางออกเอาไว้อย่างรู้ทัน...สุดท้ายมนุษย์ตัวน้อยจึงต้องนั่งอยู่ในพันธนาการกักขังด้วยความจำยอม

               “เก็บสมุนไพรเสร็จแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม ใบหน้าที่ปกติมักนิ่งเฉยดุดันกลับดูผ่อนคลายขึ้นมาก

               “จ...จ้ะ” ลูกแก้วสีสวยสั่นไหวเมื่อถูกแววตาคมช้อนขึ้นมอง อสุราหนุ่มขยับกายเข้าไปแนบชิดมากยิ่งขึ้นจนเรียวขาเนียนเกลี้ยงเปียกชื้นจากหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่ทั่วแผ่นอกกำยำ

               “เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” ...รอยยิ้มกดลึกปรากฏขึ้นเมื่อเห็นว่าใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นขึ้นสีระเรื่อลามไปทั่วถึงใบหู

                    “เปล่านี่จ๊ะ...ฉันสบายดี” มันส่ายหน้าปฏิเสธ

               “แล้วเหตุใดจึงหน้าแดงนัก” ...แม้นจะรู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก็อดที่จะเย้าแหย่ไม่ได้

               ...นี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้จอมทัพอสุรารู้สึกอภิรมย์ยิ่งนัก

               “คือ..” เสียงกระท่อนกระแท่นเอ่ยอย่างขัดเขินเมื่อถูกจับทางได้ “วันนี้อากาศมันค่อนข้างร้อนน่ะจ้ะ”

                    เสียงสบถขำในลำคอดังขึ้นเมื่อมองเห็นแต่เพียงความดื้อด้านที่ฉายชัดออกมาปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง อสุราหนุ่มจึงทำเพียงพยักหน้ารับอย่างตามใจ ไม่คิดจะคาดคั้นให้ต้องอับอายมากไปกว่านี้ ก่อนจะหันไปสนใจเรียวแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มแทน

ผ้าพันแผลที่ถูกพันเอาไว้ตั้งแต่อุ้งมือยาวไปจนเกือบถึงศอก รอยช้ำที่โผล่ออกมาให้เห็นนั้นทำให้อดที่จะเลื่อนมือไปกอบกุมเอาไว้ไม่ได้

               ...บาดแผลทั้งหมด...มันเกิดขึ้นเพราะเขาทั้งสิ้น..

               “ยังเจ็บอยู่รึไม่” ฝ่ามือเล็กของมนุษย์ทั้งสองข้างถูกอุ้งมือใหญ่ช้อนถือไว้อย่างเบามือ

...แม้นมีถึงสองก็มิอาจเทียบเคียงได้เลยสักนิด เจ้าแก้วก้มลงมองเรียวนิ้วที่กำลังลูบผ่านเนื้อผ้าด้วยความอ่อนโยน ริมฝีปากอิ่มเผลอขบเม้มเข้าหากันเมื่อความรู้สึกบางอย่างแล่นปลาบเข้ามาตรงกลางอก

               ...พอเทียบกันแล้วมือของมันนั้นเล็กราวกับเด็กตัวน้อยก็มิปาน..

               “ไม่...ไม่เจ็บแล้วจ้ะ” แต่แล้วก็ต้องหน้าเบ้ลงเล็กน้อยเมื่อจู่ๆปลายนิ้วแข็งก็ออกแรงกดลงมาบนรอยช้ำ

                    “โกหก”

                    “ฮื่อ” แม้นท่าทีแบบนั้นจะดูดื้อดึง แต่มันกลับเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าคมคร้ามให้กว้างขึ้นยิ่งกว่าเดิม

               “เจ็บขนาดนั้นเชียวหรือ...ข้าแค่กดเบาๆเอง”

                    “ก็...ท่านวศินแรงเยอะนี่จ๊ะ” แน่อยู่แล้ว...แรงของมนุษย์กับยักษ์น่ะมันเทียบกันได้เสียที่ไหนกัน

               จอมทัพอสุรามองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

ไม่บ่อยนักหรอกที่เจ้าแก้วจะแสดงสีหน้าท่าทางแบบนี้ออกมาให้ได้เห็น ส่วนใหญ่มันมักจะตีหน้าซื่อไม่ก็ยิ้มแย้มสว่างไสวให้ใครต่อใครเขาไปทั่ว เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เขานึกชอบใจอยู่ไม่น้อยยามที่ได้เย้าแหย่ให้สัตว์ตัวเล็กแสดงอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านออกมา

               ท่าทางราวกับกระรอกป่ากำลังพองขนขู่ใส่ผู้ล่าอย่างไร้ทางสู้

                    …น่าเอ็นดูน้อยเสียที่ไหน..

               ใบหน้าคมคร้ามลอบยิ้มอย่างพออกพอใจเมื่อเห็นว่าแก้มทั้งสองข้างนั้นกำลังแดงปลั่งได้ที่ สายตาคมกล้าทอแสงอ่อนลงยามที่ได้สบประสานกับฝ่ายตรงข้าม ก่อนคำพูดสุดท้ายที่พญานาคราชทิ้งทวนเอาไว้จะฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง

               ‘ท่ามากนัก...ระวังเถิดจะไม่ทันการ’

ทันใดนั้นฝ่ามือทั้งสองข้างของมนุษย์ตัวน้อยก็ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากโดยที่เจ้าของยังไม่ทันได้เตรียมตัว

อสุราหนุ่มก้มลงจรดจูบแผ่วเบาแนบไปกับผ้าพันแผลราวกับต้องการแฝงคำขอโทษผ่านการกระทำแสนอ่อนโยน

สัมผัสอุ่นแนบแน่นที่แทรกซึมผ่านเนื้อผ้าทำให้เจ้าแก้วตัวแข็งทื่อ

นัยน์ตาสีอ่อนวูบไหวอย่างรุนแรงเมื่อจู่ๆฝ่ายนั้นก็กระทำการที่เหนือความคาดหมายไปมากโข...มันขบเรียวปากล่างจนขาวซีดเมื่อถูกสายตาทรงอำนาจช้อนขึ้นมองทั้งๆที่ฝ่ามือยังคงตกอยู่ใต้พันธนาการอุ่นร้อน

สองสายตาประสานกันเนิ่นนานราวกับห้วงเวลารอบตัวนั้นหยุดหมุนไปเพียงครู่หนึ่ง...เสียงอึกทึกที่ดังกึกก้องอยู่ในอกเริ่มรุนแรงขึ้นราวกับต้องการออกมาโลดแล่นภายนอก

เจ้าแก้วลมหายใจสะดุดโดยพลันเมื่อเห็นว่าคมเขี้ยวของอสุราหนุ่มขบลงบริเวณข้อนิ้วของมัน

หากแต่ความวาบหวามกลับแล่นทะยานเล่นงานเสียจนหูอื้อตาลายไปหมด สัตว์ตัวเล็กถูกสายตาทรงอำนาจสะกดตรึงเอาไว้ราวกับโดนโซ่ตรวนล่องหนล่ามพันธนาการอย่างแน่นหนา

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะรวบรวมความกล้าเอื้อมมือออกไปประคองใบหน้าคมคร้ามเอาไว้ ฝ่ามือสั่นเทาเล็กน้อยเมื่ออสุราหนุ่มเอียงหน้าแนบเข้ามาทั้งที่สายตายังคงไม่ยอมละห่างไปไหน

…ราวกับเสือโคร่งตัวโตที่กำลังเชื่องอย่างไรอย่างนั้น..

เรียวนิ้วของมนุษย์ตัวน้อยถือวิสาสะไล้สัมผัสไปตามสันกรามราวกับเด็กเล็กขี้สงสัย

เจ้าแก้วนึกชอบลวดลายอ่อนช้อยที่ปรากฏอยู่รอบริมฝีปากได้รูปอยู่ไม่น้อย มันเลื่อนผ่านปลายเขี้ยวอย่างกล้าๆกลัวๆแต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมให้จับโดยไม่แม้นที่จะปัดป้องออกก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่

สัตว์ตัวเล็กนึกเพลิดเพลินเสียจนไม่ทันได้สังเกตเห็นท่อนแขนที่โอบอ้อมเข้ามาทางด้านหลัง วศินกระตุกยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะออกแรงดึงรั้งตัวของมันลงน้ำด้วยความรวดเร็วโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสที่จะได้ร้องออกมาเสียด้วยซ้ำ

ตูม!!

ผิวน้ำแตกกระเซ็นไปคนละทิศเมื่อร่างของมนุษย์หล่นร่วงลงไป แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตะกายหนีเอาตัวรอดก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลฉุดรั้งขึ้นมาเหนือผิวน้ำเสียก่อน อสุราหนุ่มสอดแขนเข้าไปโอบรัดรอบตัวของอีกฝ่ายไว้มั่นก่อนจะอุ้มขึ้นจนเจ้าแก้วตัวลอยเหนือผิวน้ำ

เรียวขาเล็กโอบรัดรอบกายใหญ่อย่างหาที่พึ่งตามสัญชาตญาณส่วนสองแขนก็ถูกดึงไปคล้องรอบคอเอาไว้ให้เสร็จสรรพ

เพราะเมื่อครู่นี้ถูกกลั่นแกล้งโดยไม่ทันได้ตั้งตัวจึงทำให้มันสำลักน้ำเข้าไปอึกใหญ่ เจ้าแก้วไอโขลกจนใบหน้าแดงก่ำน้ำหูน้ำตารื้นได้อย่างน่าสงสาร

เส้นผมสีเข้มที่เปียกลู่ล้อมกรอบใบหน้าอ่อนเยาว์ไว้ถูกเสยขึ้นจนเผยให้เห็นความมีชีวิตชีวาของมนุษย์วัยเจริญพันธุ์

วศินโอบกระชับแขนแน่นขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายได้ขยับปรับท่าทางอย่างสบายตัว...แล้วรอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อเด็กน้อยในอ้อมกอดซุกซบใบหน้าลงมาบนลาดไหล่เมื่อรู้สึกไอจนเหนื่อย แก้มข้างหนึ่งที่พาดอยู่นั้นขึ้นสีแดงระเรื่อได้อย่างน่าดูชม

“รู้สึกเย็นขึ้นหรือไม่” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็ยืดกายกลับมามองหน้ากันอีกครั้ง นัยน์ตาสีสวยทอประกายตัดพ้อก่อนจะถูกทับด้วยความดื้อดึงที่ฉายชัด จอมทัพอสุราหลุดขบขันออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อถูกเรี่ยวแรงอันน้อยนิดข่วนเข้าที่แผ่นหลังราวกับว่าต้องการที่จะเอาคืน “...เห็นเจ้าบอกว่าร้อน มิใช่หรือ”

อันที่จริงนั่นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น

แท้จริงแล้วเป็นเพราะบางสิ่งบางอย่างที่แผ่กำจายอยู่รอบตัวเจ้ามนุษย์หน้าซื่อผู้นี้ต่างหากที่ทำให้เขานึกไม่ชอบใจอยู่ลึกๆ

...กลิ่นสาบของงูจงอางคละคลุ้งรอบผิวกายไปหมด

เพราะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้นจึงไม่แปลกใจอะไรที่เจ้าตัวจะไม่ได้กลิ่น แต่กับอสุราหนุ่มที่ประสาทสัมผัสดีกว่ามาก จึงทำให้รับรู้และสัมผัสกลิ่นเจือจางที่สมุนของเจ้านคินปล่อยทิ้งเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

“ไม่ร้อนแล้วจ้ะ” เจ้าแก้วส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับดันแผ่นอกกว้างออกห่าง มันตั้งท่าจะทิ้งตัวลงแต่กลับถูกอ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับแน่นเสียจนไร้หนทางสู้ “ท่านวศิน...”

“ว่าอย่างไร”

“ป...ปล่อยฉันลงเถิดจ้ะ” เจ้าแก้วเว้าวอนแต่ก็ต้องยื้อกายออกห่างเมื่อใบหน้าคมคร้ามเคลื่อนเข้ามาใกล้

นอกจากอสุราหนุ่มจะไม่ทำตามคำขอของมันแล้วยังเอื้อมมือขึ้นมาลูบที่ข้างแก้มอีกต่างหาก

ปลายนิ้วเกลี่ยไล้ผิวนวลเนียนอย่างเพลิดเพลิน นัยน์ตาคมกล้าจดจ้องลูกแก้วสีสวยอย่างไม่วางตาก่อนจะเคลื่อนไปมองที่ผ้าพันตาข้างซ้ายอย่างสนอกสนใจ

วศินลูบปลายนิ้วพาดผ่านเนื้อผ้าแผ่วเบา...แต่ก่อนที่จะถือวิสาสะปลดผ้าพันแผลออกฝ่ามือก็ถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน

“อย่า..” เสียงห้ามปรามดังขึ้นแผ่วเบาก่อนแววตาสั่นไหวจะฉายชัดออกมาอย่างเว้าวอน

“ทำไม” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างนึกขัดใจ

“ป...เปล่าจ้ะ...แต่อย่าถอดเลย มัน...” เรียวปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันจนซีดเซียวพร้อมกับปลายนิ้วที่เริ่มเย็นเฉียบ “...มันน่าเกลียด”

เจ้าแก้วก้มหน้าลงต่ำราวกับคนขาดความมั่นใจ...ตั้งแต่เล็กจนโตมันถูกคนรอบข้างล้อเลียนเรื่องรอยบากบนใบหน้าเสียจนชาชิน แต่กับอสุราหนุ่มผู้นี้กลับไม่กล้าแม้นแต่จะเปิดเผยให้เห็น

...มันเพียงแค่รู้สึกอับอายจนเกินจะทนไหว หากต้องให้อีกฝ่ายเห็นร่องรอยน่าเกลียดนี้..

มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่...เจ้าแก้วเอาแต่ก้มหน้ามองสายน้ำที่ไหลผ่านลำตัวสูงใหญ่อย่างไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่าย

แต่แล้วจู่ๆปลายคางกลับถูกเชยขึ้นจนได้สบเข้ากับนัยน์ตาทรงอำนาจอีกครั้ง...ดวงตาคู่นี้ที่มันไม่กล้าลุกขึ้นต่อกรด้วยได้ไม่ว่าจะทางไหน

ลูกแก้วสีสวยสั่นไหวจนน้ำในตาเอ่อคลอเมื่ออสุราหนุ่มโน้มตัวลงมาใกล้ พลันเนื้อตัวก็เย็นเฉียบเมื่อฝ่ายนั้นจรดริมฝีปากลงมาบนดวงตาข้างที่มืดบอด

มันตั้งใจจะผลักดันกายสูงใหญ่ให้ออกห่างแต่ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อๆเลยกลับกลายเป็นว่าต้องเกาะช่วงบ่าแข็งแรงเอาไว้แทน

สัตว์เล็กตัวสั่นงันนกเมื่อถูกผู้ล่าจู่โจมเข้าหา ความอุ่นร้อนที่แทรกซึมผ่านผ้าปิดตาอย่างอ่อนโยนทำให้ความวิตกกังวลทั้งหลายถูกปัดเป่าทิ้งไปโดยพลัน มันออกแรงขยุ้มลาดไหล่แข็งแรงอย่างตกประหม่าเมื่อลมหายใจอุ่นรินรดอยู่บริเวณผิวแก้ม

ใบหน้าคมคร้ามผละถอยออกเพียงนิดแต่ทว่านัยน์ตาสีนิลกลับมีประกายเพลิงบางอย่างก่อตัวขึ้นเมื่อได้มองตามหยดน้ำหนึ่งหยดกำลังเกลือกกลิ้งลงมาจากปลายผมก่อนจะเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากสีอ่อนเนิ่นนาน...ทุกการขยับเขยื้อนอยู่ในสายตาของอสุราหนุ่มทั้งหมด

…หยดน้ำใสถูกแปรเปลี่ยนให้ฉาบไล้จนชุ่มชื้นเมื่อเจ้าตัวเม้มปากเข้าหากัน

“..ท่านวศิน” เสียงเรียกแผ่วเบากลับไร้ผล...ราวกับเสียงหวีดหวิวของสายลม

ถ้อยคำที่ตั้งใจจะเอื้อนเอ่ยถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อฝ่ายนั้นจรดเรียวปากมาทาบทับเอาไว้ก่อนกลีบเนื้อนุ่มจะถูกขบเม้มแผ่วเบาย้ำไปย้ำมา

เจ้าแก้วเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตกใจยิ่งกว่าครั้งไหน...มันตัวแข็งทื่อเมื่อรับรู้ได้ถึงความอุ่นชื่นที่ไล้เล็มอยู่รอบๆเด็กหนุ่มเม้มปากแน่นเมื่อผู้บุกรุกตั้งท่าจะแทรกแซงเข้ามา

แต่แล้วก็ต้องเพลี่ยงพล้ำเมื่อถูกปลายนิ้วใหญ่ลงน้ำหนักมือไล้ไปตามร่องกระดูกสันหลังส่วนมืออีกข้างที่บีบเคล้นอยู่บริเวณเหนือสะโพกก็ทำให้ความวาบหวามจู่โจมเข้าจนเสียการควบคุม

“อื้อ”

เมื่อได้โอกาสเรียวลิ้นร้อนก็อาศัยจังหวะนี้แทรกตัวเข้าไปในโพรงปากอุ่น...เสียงอู้อี้ในลำคอลดแผ่วลงเมื่อถูกกวาดต้อนจนมุม มนุษย์ตัวน้อยไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหันเมื่อถูกดูดกลืนริมฝีปากแนบแน่น ไม่มีแม้นแต่ช่วงจังหวะที่จะได้พักหายใจ

ฝ่ามือทั้งสองข้างถูกดึงให้กลับไปโอบรอบลำคอแกร่งเอาไว้อีกครั้งเพื่อเป็นหลักยึด

               ทั้งสองปรับเปลี่ยนองศาหน้าเข้าหากันอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนทุกอย่างจะดำเนินไปตามสัญชาตญาณดิบที่ถูกเก็บไว้ใต้เบื้องลึกของจิตใจ ความอุ่นนุ่มโรมรันพันตูจนแทบกลืนรวมกันเป็นเนื้อเดียว เสียงเฉอะแฉะที่ดังแว่วอยู่ใกล้ใบกลับไร้ผลเมื่อไม่มีผู้ใดคิดจะสนใจมัน

หยาดน้ำบางส่วนไหลย้อนออกมาข้างมุมปากตามแรงอารมณ์ที่โหมกระพือขึ้น

               เจ้าแก้วส่งเสียงคราเครืออยู่ในลำคอเป็นระยะเมื่อรู้สึกเจ็บบริเวณเรียวปากยามที่คมเขี้ยวของอสุราหนุ่มขบกัดลงมา แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ตีรวนขึ้นมากลับทำให้อ้อมแขนโอบกอดร่างสูงใหญ่เอาไว้แนบแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม

                    ...แผ่นอกที่แนบประชิดกันนั้นทำให้รับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

               เนิบนาบ...หากแต่หนักแน่นและมั่นคง

               ไม่หวือหวาน่าตื่นเต้น...แต่กลับนุ่มนวลอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป

               ในที่สุดอสุราหนุ่มก็เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกอบกุมที่ท้ายทอย สายใยที่เชื่อมระหว่างกันสะท้อนล้อกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาก่อนจะถูกตัดขาดเมื่อปลายนิ้วใหญ่ลูบไล้ลงบนกลีบปากนุ่มที่บัดนี้ขึ้นสีแดงจัด

               นัยน์ตาสีอ่อนที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำแห่งห้วงอารมณ์ยังคงไหวระริกเมื่อจดจ้องตามเรียวปากอุ่นร้อนที่คอยป้อนจุมพิตลึกซึ้งให้แก่กัน

               วศินอาศัยช่วงที่คนในอ้อมกอดเผลอเอื้อมมือไปปลดผ้าพันตาของอีกฝ่ายออก ก่อนที่ร่องรอยแผลฉกรรจ์จะเผยออกมาให้ได้เห็น รอยบากลากพาดผ่านดวงตาข้างซ้ายที่ปิดสนิทสะกดสายตาตรึงแน่นจนไม่สามารถละออกไปไหนได้ ความทรงจำในคืนที่แสงจันทร์ส่องกระทบฉาบไล้ลูกแก้วอับแสงกลับฉายชัดเข้ามาอีกหน

               ปลายนิ้วลูบไล้ผ่านความอัปลักษณ์ในสายตาใครต่อใครด้วยความอ่อนโยน...ทะนุถนอมราวกับมันเป็นสิ่งล้ำค่า

               “สำหรับข้า...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบแผ่วเบา “...มันไม่ได้น่าเกลียด”

พลันริมฝีปากอุ่นก็จรดแนบลงไปบนรอยแผลฉกรรจ์อย่างนุ่มนวล โดยที่อีกฝ่ายทำได้แค่เพียงสอดปลายนิ้วเข้ากับท้ายทอยอย่างต้องการที่พึ่งเมื่อเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถูกสูบหายไปกับเหตุการณ์ก่อนหน้า

               วศินอุ้มคนในอ้อมกอดขึ้นให้ระดับหน้าอยู่เหนือกว่าตน ก่อนจะแหงนเงยขึ้นสบประสานสายตากับลูกแก้วสีสวยที่เริ่มสั่นไหว เจ้าแก้วเลื่อนมือข้างหนึ่งมาไล้กรอบหน้าคมคร้ามเมื่อความรู้สึกบางอย่างตีรวนขึ้นมาจนเต็มตื้น

               ...นอกจากพ่อครูกับหลวงตาและพี่กล้า...ก็ไม่มีผู้ใดเคยบอกว่าไม่นึกรังเกียจความพิกลพิการนี้

               น้ำตาหยดหนึ่งตกกระทบลงบนผิวแก้มของอสุราหนุ่ม

ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นอื่นใด...มีเพียงแค่หยาดน้ำอุ่นที่ร่วงหล่นลงมาเท่านั้น รอยยิ้มบางเบาที่สะท้อนผ่านสายตาของกันและกันส่งผ่านความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ภายในอกนั้นอุ่นวาบขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด

               ...ต้นกล้าต้นน้อยที่นอนหลับใหลอยู่ภายใต้จิตใจของทั้งคู่ถูกบ่มเพาะจนเริ่มเจริญเติบโตขึ้นมาทีละนิด

...อีกเพียงไม่นานคงเติบใหญ่ฝังรากลึกเกี่ยวพันใจทั้งสองดวงให้สมานเป็นหนึ่งเดียว..

               เพราะสัตว์ตัวเล็กเอาแต่จดจ้องลงมาไม่วางตา อสุราหนุ่มจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามอย่างนึกเป็นห่วงเพราะเกรงว่ามันจะตื่นตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่จนพานทำให้ขวัญเสีย

               “รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า” น้ำเสียงทุ้มนุ่มถามอย่างนึกเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าตาคู่สวยนั้นยังคงมองตามริมฝีปากของตนไม่วางตา

               แต่แล้วก็รู้สึกโล่งอกเมื่อฝ่ายนั้นส่ายหน้าปฏิเสธตอบกลับมา

               อสุราหนุ่มตั้งท่าจะอุ้มอีกฝ่ายกลับเข้าฝั่งเพราะเกรงว่าหากแช่น้ำนานกว่านี้มันจะจับไข้เอา

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆใบหน้าก็ถูกสองมือคู่นั้นประคองให้แหงนเงยขึ้น ก่อนริมฝีปากจะถูกทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว

               วศินชะงักนิ่งค้างรู้สึกเย็นเยียบที่ฝ่ามือกะทันหันเมื่อกลายเป็นฝ่ายถูกจู่โจมขึ้นมาเสียเอง

               ริมฝีปากเล็กที่ขบเม้มอยู่รอบๆอย่างไม่ประสาเรียกรอยยิ้มให้ฉายขึ้นมาอย่างเอื้อเอ็นดู จอมทัพใหญ่จึงทำเพียงแค่ยื่นนิ่งอยู่กับที่เพราะอยากจะรู้นักว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กมันจะทำเช่นไรต่อไป

               แต่จนแล้วจนรอดก็มีเพียงแค่ความอุ่นนุ่มที่คอยขบงับอยู่รอบๆไร้ท่าทีคุกคามอย่างที่ตนเคยทำเมื่อก่อนหน้าพร้อมกับเสียงคราเครืออื้ออึงในลำคอราวกับกำลังประท้วงอะไรบางสิ่ง ร่างสูงใหญ่จึงลองหยั่งเชิงโดยการถอยหน้าหนีแต่แล้วเจ้ามนุษย์หน้าซื่อกลับยื้อกายเข้าหาอย่างดื้อดึงก่อนจะพยายามแนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง

               เพียงเท่านั้นแรงอารมณ์ที่ยังคั่งค้างอยู่ก็ถูกพัดให้โหมกระพือขึ้นมาอีกครั้ง โดยที่เจ้าตัวต้นเหตุยังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นกำลังกระทำการยั่วเย้าอารมณ์เบื้องต่ำของใครเขา

               ...การกระทำมุทะลุอย่างเป็นธรรมชาติ...ใสซื่อไร้เดียงสาแต่ทว่ากลับเย้ายวนเสียจนในอกของจอมทัพใหญ่นั้นสั่นไหวยอมสยบโดยดุษณี

               “เจ้าชอบหรือ” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าถามขึ้น ก่อนจะรู้สึกร้อนวูบไปทั่วทั้งกายเมื่อเห็นว่าปลายนิ้วของตนที่กำลังลูบไล้อยู่ข้างมุมปากนั้นถูกขบเม้มอย่างเอาแต่ใจ

                    …ร้ายกาจไม่เบา..

มนุษย์ตัวน้อยพยักหน้ารับอย่างไม่คิดที่จะปิดบังความต้องการอย่างซื่อตรง...ถึงอย่างไรเด็กน้อยในอ้อมกอดก็อายุเพียงแค่สิบเจ็ดเท่านั้น คงไม่แปลกอะไรถ้าจะแสดงท่าทีเว้าวอนอย่างเปิดเผยเช่นนี้

               “..เด็กดี” สิ้นคำเรียวปากทั้งสองก็กลับมาแนบชิดกันอีกครั้ง

               โดยที่ครั้งนี้กลับได้รับความร่วมมือที่ดีเกินคาดเมื่อคนที่อยู่เหนือกว่าเอียงใบหน้าเข้าหาพร้อมกับเปิดรับเรียวลิ้นเข้าไปในโพรงปากอย่างรู้งานโดยไม่ต้องรอให้โดนคมเขี้ยวของเขาขบเม้ม

               ฝ่ามือทั้งสองข้างโอบประคองใบหน้าของอสุราหนุ่มเอาไว้มั่นก่อนจะใจกล้าบ้าบิ่นพลิกขึ้นมาเป็นฝ่ายไล่ต้อนเสียเอง การกระทำเถรตรงเรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำให้ดังขึ้นในลำคอก่อนจะยอมล่าถอยเพื่อให้อีกฝ่ายได้กระทำตามใจ

               ปลายนิ้วร้อนอาศัยจังหวะที่เจ้าแก้วเผลอสอดเข้าไปใต้เสื้อเพื่อลูบไล้ผิวกายเนียน ก่อนจะออกแรงลากนิ้วไปตามร่องหลังจนในที่สุดร่างในอ้อมกอดก็ตัวอ่อนระทวยลงอย่างเห็นได้ชัด

ทันใดนั้นอสุราหนุ่มก็กดยิ้มลึกที่ข้างมุมปากเมื่อเด็กน้อยซุกซบใบหน้าลงกับแผ่นอกแนบแน่น โผล่มาให้เห็นแค่ใบหูที่ขึ้นสีแดงจด

               ...นี่คงเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนของเจ้าแก้ว..

            ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดอยู่กับผิวเนื้อเปลือยเปล่าทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบศีรษะเพื่อปลอบประโลม

               “ใจเย็นๆ...ไม่ต้องรีบร้อน” ริมฝีปากอุ่นกดจูบลงข้างขมับชื้นเหงื่ออย่างเอื้อเอ็นดู “กลับกันเถิด...ป่านนี้พระอาจารย์คงเป็นห่วงเจ้าแย่แล้ว”

ความอ่อนโยนที่โอบกอดอยู่รอบกายทำให้คล้อยตามได้อย่างไม่ยากเย็น

อสุราหนุ่มอุ้มอีกฝ่ายกลับขึ้นไปบนฝั่งก่อนจะเอ่ยสั่งให้มันถอดเสื้อที่เปียกชุ่มออกมาบิดให้หมาดเพราะเกรงว่าจะจับไข้เอาได้ โดยที่ฝ่ายนั้นก็ทำตามโดยไม่หือไม่อือทั้งๆที่สองข้างแก้มนั้นแดงปลั่งจนลามไปทั่วทั้งใบหูและลำคอ

               ...สงสัยมันคงจะพึ่งรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่นี้ตนเองได้กระทำการอุกอาจอะไรไปบ้าง

               ...เห็นหน้าซื่อๆเช่นนั้นแท้จริงแล้วซุกซนไม่น้อยเลยทีเดียว..



_______________________________



เจ้าแก้ว!ทำอะไรลู๊ก!!! /เตรียมก้านมะยม  :fire:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-02-2019 19:03:15
 :z1:



 :L1: :pig4: :L1:

 o13
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 17-02-2019 20:24:29

เจ้าแก้วน่ารักเกินไปแล้วลู๊กกก

 :-[
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 19-02-2019 05:23:12

เขาจูบกันเเล้วววว    :impress3:



แหม ๆ เจ้าแก้ว ไม่เบาเหมือนกันนะเราอะ    :haun5:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 19-02-2019 09:30:03
 :katai2-1: :-[
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 20-02-2019 08:50:05
เจ้าแก้ววว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-02-2019 23:31:52
ติดตามเรื่องนี้ด้วยจ้า~
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-02-2019 02:19:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Lyralyn ที่ 21-02-2019 09:52:36
หนูแก้ววววไม่หวงตัวเลยลูกกก /// รอติดตามค่าา
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: oohsg94 ที่ 05-03-2019 14:59:08
แก๊ววววววว หนูรู้กกกก พี่กล้าจ้ะไปเอาก้านมะยมมา!!! โง๊ยยย ถ้าพี่กล้ารู้นี่ป่าแตกจริงๆแน่  :-[
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-03-2019 20:00:18
เรื่องนี้ต้องถึงพี่กล้า !!
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 23-03-2019 20:07:23
แก้วววว!!!!!!! :ling1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: pan19891990 ที่ 25-03-2019 23:39:55
เรื่องกำลังเข้มข้นเลย แอบมีคนหึงหนึ่งอัตรานะคะ  :katai2-1:
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 26-03-2019 09:13:27
ต้องมาบอกก่อนว่าเรื่องนี้จำได้ว่าอ่านตอนล่าสุดคือนานมาก แล้วทิ้งไว้นานเลยตั้งแต่ตอนที่เจ้ากล้าไปหาเรื่องไว้
จู่ๆไปเจอว่ามีการอัพจนถึงตอนที่ 18 รีบเข้าเล้ามาอ่านอย่างเร็ว  ขอบคุณนะคะ  :pig4:
ได้ทำสารบัญเผื่อชาวเล้าตามอ่านได้ง่ายขึ้นนะคะ

 ๑ แรกพบ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3784812#msg3784812)
 ๒ เจ้าแก้ว  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3786902#msg3786902)
 ๓ แปรเปลี่ยน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3790552#msg3790552)
 ๔ อุบายธรรม-แรก  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3804088#msg3804088)
 ๔ อุบายธรรม-100%  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3805202#msg3805202)
 ๕ ฝันร้าย  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3826644#msg3826644)
 ๖ เจ้ากระรอก  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3840841#msg3840841)
 ๗ ไอ้ตัวดี  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3847952#msg3847952)
 ๘ ห้วงคำนึงหา  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3852547#msg3852547)
 ๙ ศิโรราบ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3861888#msg3861888)
 ๑๐ สองพี่น้อง  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3862385#msg3862385)
 ๑๑ หวงแหนบ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3873843#msg3873843)
 ๑๒ ไหวหวั่น  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3879665#msg3879665)
 ๑๓ ใต้แสงจันทรา  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3896382#msg3896382)
 ๑๔ แผนการชั่ว  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3906220#msg3906220)
 ๑๕ ตามล่าสองจอมทัพ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3918879#msg3918879)
 ๑๖ รักษากาย  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3925432#msg3925432)
 ๑๗ อัคคิมุข  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3940917#msg3940917)
 ๑๘ ถอนพิษ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65727.msg3945983#msg3945983)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๘ - ถอนพิษ : ๑๗/๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-03-2019 16:52:04
 :mew1: :mew1: :mew1:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 03-04-2019 02:54:59
อมฤต

.

.

.


   “หายดีแล้วนี่...ท่านแม่ทัพ”

   เสียงทุ้มต่ำเอ่ยหยอกเย้ามาแต่ปากทางเข้าถ้ำ

   องค์นคินยิ้มบางเบาเมื่อทอดมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินขึ้นมาจากบ่อว่าน ก่อนจะก้มลงหยิบผ้านุ่งสีเข้มที่วางอยู่ใกล้ๆแล้วโยนส่งไปให้อีกฝ่ายได้ใช้คลุมท่อนล่าง

   ...แม้นตัวเขานั้นจะเป็นบุรุษ แต่ก็อดที่จะยอมรับไม่ได้เลยว่าอสุราหนุ่มตนนี้มีรูปโฉมที่เป็นทรัพย์โดยแท้

   เสียก็แต่ทื่อมะลื่อแข็งกระด้างไปหน่อยเท่านั้น..

   “รู้สึกอย่างไรบ้าง” นคินมองสำรวจอย่างนึกกังวลเพราะเกรงว่าผลข้างเคียงจากพิธีถอนพิษจะทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ แต่นอกจากจะไม่มีอาการอะไรให้น่าเป็นห่วงแล้วจอมทัพใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขากลับดูกร้าวแกร่งและแข็งแรงมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

   ต่างจากหนแรกที่เจอกันลิบลับ

   “ดีขึ้นมากแล้ว” อสุราหนุ่มหยักหน้าตอบรับพร้อมกับเสยเส้นผมสีเข้มที่เปียกชื้นไปด้านหลัง เผยให้เห็นโครงหน้าคมสัน และแววตาที่มีชีวิตชีวาส่องสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านช่องแสงจนประกายเจิดจ้า เนื้อกายสีคร้ามแดดชุ่มน้ำดูสุขภาพดีขับส่งให้กล้ามเนื้อหนั่นแน่นนั้นงดงามราวกับเทพบรรจงสร้าง

   ภายใต้ท่าทีสุขุมกลับแฝงเร้นกลิ่นอายบางอย่างที่ดุดัน

   ...นี่สินะ เสน่ห์ของชายชาตินักรบ

   “ตอนนี้พิษในร่างกายเจ้าถูกถอนออกหมดแล้ว คราแรกข้าก็นึกหวั่น เกรงว่าพิธีถอนพิษจะทำให้ร่างกายเจ้าได้รับบาดเจ็บ แต่นอกจากจะไม่เป็นดังที่คิดแล้ว เจ้ายังดูแข็งแรงและฟื้นตัวได้เร็วจนข้าเองยังแปลกใจ”

   “ทั้งหมดนั่นมันเป็นเพราะความช่วยเหลือของเจ้า” อสุราหนุ่มยิ้มตอบรับบางเบา...ไม่ว่าอย่างไรบุญคุณในครั้งนี้เขาก็ต้องทดแทนให้ได้

   ..แต่ความแค้นนั้นเห็นทีจะปล่อยปละละเลยไปไม่ได้

   ถึงเวลาที่จะต้องชำระความกันเสียที...ยอมเสียเวลามามากพอแล้ว

   “ว่าแต่เจ้าเถอะ...หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อ” เพราะรู้ดีว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง...ที่อีกฝ่ายจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ก็เพราะก่อนหน้าร่างกายนั้นย่ำแย่จนต้องได้รับการรักษา แต่ในเมื่อหายดีแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ต่อ

   “ก็คงต้องกลับไปสะสางเรื่องที่ค้างคาเอาไว้” นัยน์ตาสีเข้มประกายวาวโรจน์ขึ้น

   “ข้าล่ะนับถือความอดทนของเจ้าจริงๆที่ยังใจเย็นอยู่รักษาตัวจนหาย” นคินวางมือลงบนลาดไหล่แข็งแรง “ขืนวู่วามกลับไปทั้งสภาพนั้น หากไม่ตายเพราะน้ำมือของเจ้ารามสูรสักวันก็ต้องตายเพราะพิษอัคคิมุขอยู่ดี”

   ที่อีกฝ่ายกล่าวมาก็จริงอย่างว่าเพราะถ้าหากตอนนั้นเขาฝืนดันทุรังกลับไปยังนครคีรีแล้วละก็ไม่เห็นวี่แววที่จะสามารถต้านทานเหล่าศัตรูได้เลยสักนิด ทั้งแรงกำลังที่เหือดหายและร่างกายที่อ่อนแอจนน่าสมเพชก็มีแต่จะเป็นภาระของผู้อื่นเสียเปล่า

แต่ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขานั้นยอมที่จะอยู่รักษากายที่นี่...ตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในเมืองมนุษย์นั้นกลับมีบางสิ่งบางอย่างที่พันธนาการความรู้สึกของเขาเอาไว้ด้วยเช่นกัน

สิ่งเหล่านี้มันไม่ควรที่จะเกิดขึ้น...นั่นคือสิ่งที่สะท้อนอยู่ในอกตลอดเวลายามทอดมองไปยังใครอีกคน

แต่ช่างยากนักที่จะหักห้ามยามที่ได้สบประสานเข้ากับนัยน์ตาสีอ่อนที่ส่องสะท้อนวูบไหว

และแล้วก็ไม่สามารถที่จะหลบเลี่ยงหลีกหนีได้เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้สึกได้เติบโตขึ้นทีละน้อยจนแผ่ขยายเป็นรากไม้ที่ฝังตัวลึกลงไปหัวใจ...ยากที่จะถอดถอนทิ้ง

...ท้ายที่สุดก็ตกลงไปในหลุมพรางที่ตนเองนั้นปิดผนึกเอาไว้...ไร้ทางออก ไม่มีทางหลบหนี ทำได้แค่เพียงยอมสยบยและปล่อยให้ทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่ชะตาได้ลิขิตเอาไว้

“อันที่จริง...ข้ามีอะไรบางอย่างอยากจะมอบให้เจ้า” ใบหน้าเปื้อนยิ้มถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมเมื่อเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่เขาตั้งใจเอาไว้

“อะไรหรือ?”

อสุราหนุ่มถามกลับพร้อมกับก้มลงมองบางสิ่งบางอย่างที่ถูกยื่นมาตรงหน้า

ภาชนะทองเหลืองขนาดเล็กถูกปิดฝาเอาไว้อย่างเรียบร้อย วศินเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย แม้นจะไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนักแต่ก็รับขวดทองเหลืองมาไว้ในมือ

“มันคืออะไร” เนื้อสัมผัสเกลี้ยงเกลาที่ส่องสะท้อนจนเงาวับแสดงให้เห็นว่าสิ่งของชิ้นนี้ได้รับการรักษาเป็นอย่างดี

“ของมีค่าที่ใครต่อใครก็อยากจะได้มัน ถึงขั้นเกิดศึกนองเลือดอยู่บ่อยครั้งเพื่อที่จะแย่งชิงมา”

“เช่นนั้นข้าก็คงรับเอาไว้ไม่ได้” พอตั้งท่าจะส่งคืนทางฝ่ายนั้นกลับนิ่งเฉยราวกับเป็นการปฏิเสธทางอ้อม

“เอาไว้รอให้ข้าพูดจบหลังจากนั้นค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย” พญานาคราชยิ้มบางเบา ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง

“เจ้าคงเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับการมีชีวิตที่เป็นอมตะและอยู่ยงคงกระพันมาบ้างใช่หรือไม่”

“อืม...แต่มันก็เป็นแค่เพียงเรื่องเล่าปากต่อปากเท่านั้น”

“ก็ดี” นคินพยักหน้ารับ “เพราะนั่น...คือสรรพคุณของสิ่งที่เจ้ากำลังถืออยู่” รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นข้างมุมปาก

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“อมฤต” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยหนักแน่น “น้ำทิพย์ที่ทำให้ผู้ที่ได้ดื่มกินมีชีวิตเป็นอมตะ...อยู่ยงคงกระพัน ตีรันฟันแทงไม่เข้าและเปี่ยมล้นไปด้วยพละกำลังมหาศาล”

“…ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มัน” อสุราหนุ่มปฏิเสธแทบจะทันที

“วศิน...ฟังข้า” นัยน์ตาสีเขียวมรกตประกายเพลิงวูบไหว พลันบริเวณข้างลำตัวก็ปรากฏเกร็ดสีเขียวสะท้อนกับแสงอาทิตย์จนวาววับ “..ต่อจากนี้ไปเวลาของข้า เหลืออีกไม่มากแล้ว”

   “เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ลางสังหรณ์บางอย่างมันร้องบอกว่ามีบางสิ่งที่กำลังผิดแผกไป...อสุราหนุ่มจดจ้องอีกฝ่ายไม่ลดละเมื่อสังเกตเห็นว่าผิวกายของพญานาคหนุ่มนั้นดูหมองคล้ำลงกว่าเมื่อหลายวันก่อน

   …นี่มันไม่ปกติแล้วมิใช่หรือ..

   “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ขอให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปนั้น...ข้าตัดสินใจดีแล้ว”

   “…”

   “หลังจากที่ข้าตัดสินใจถอดถอนพิษของเจ้านาราออกมาจากตัวเจ้านั้น ทุกอย่างมันผิดคาดไปมากโข...คราแรกข้าคิดว่าร่างกายตนเองจะสามารถทนทานรับไหว...แต่ความจริงแล้วมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น”

   “…” อสุราหนุ่มรับฟังด้วยท่าทีเรียบนิ่งแต่ทว่ากลับมีตะกอนบางส่วนในจิตใจที่ถูกก่อขึ้นจนขุ่นมัว สันหมัดถูกกำจนสั่นเทิ้มเมื่อเริ่มเข้าใจในสิ่งทีอีกฝ่ายต้องการจะสื่อ

   ..นคินที่รับพิษต่อจากเขาไปนั้นกำลังถูกพิษร้ายเล่นงานอยู่...

   “หลังจากวันที่นาราจากไปจิตใจของข้ามันบอบช้ำเกินจะทนไหว” เสียงทุ้มต่ำสั่นเครือเพียงนิด แต่กลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอย่างสุดแสน “พระอาจารย์บอกให้ข้าละทิ้งทุกอย่างแล้วตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะได้ปล่อยวางความโศกเศร้า…แต่เจ้ารู้อะไรไหม..”

   “…”

“…ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีวันไหนเลยที่ข้าจะสามารถลบเลือนมันออกไปได้ ทุกๆครั้งที่หลับตาภาพของนาราที่กำลังจะถูกพรากลมหายใจไปกลับฉายชัดขึ้นมาซ้ำๆ”

   “…”

   “แค่หายใจเข้าออกก็ทรมานราวกับถูกเหล็กร้อนทิ่มแทงทะลุอก” นัยน์ตาคมกล้าสั่นไหวอย่างล่องลอย หยาดน้ำใสที่เอ่อคลอถูกกลั้นเก็บไว้อย่างสุดความสามารถ “ทุกๆวันข้าอยากจะตามไปล้างแค้นให้นาราแล้วแก้แค้นเจ้าพวกราชคฤห์ให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันได้ทำเอาไว้…แต่ถ้าหากลงมือทำเช่นนั้นไปตัวข้าจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในร่างนี้ได้อีกตลอดกาล”

   “ทำไม” คิ้วเข้มขมวดขึงเมื่อเริ่มเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ

   ...คล้ายกับเป็นการสั่งลา...และฝากฝังความปรารถนาครั้งสุดท้ายก่อนที่จะลาลับไปตลอดกาล..

   “สำหรับเหล่านาคที่ยอมถวายตนบำเพ็ญเพียรภาวนารักษาศีลนั้นจะต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เวียนว่ายตายเกิดในวงเวียนนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์หากลงมือสร้างตราบาปติดตัว”

   “เจ้าจะพูดอะไรกันแน่”

“วศิน...มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับองค์รามสูรได้” พญานาคราชเอ่ยย้ำ นัยน์ตาสีเขียวมรกตทอประกายวูบไหวคล้ายเฝ้ารอความหวัง

“บุญคุณที่เจ้าได้ช่วยเหลือ ข้าจะไม่มีวันลืม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยบอกหนักแน่น ก่อนจะยื่นส่งภาชนะทองเหลืองกลับคืนให้อีกฝ่าย “และความแค้นที่เจ้ามีต่อรามสูร...ข้าจะช่วยชำระสะสางให้อย่างสาสม อย่าได้ห่วงไปเลย”

“...” ไหล่กว้างไหวสั่นเล็กน้อยเมื่อถูกฝ่ามือใหญ่บีบกระชับราวกับช่วยปลอบประโลม

“แต่ของพรรคนี้มันไม่จำเป็น...ผู้ที่สมควรได้รับมันคือเจ้า หาใช่ข้า...นคิน” รอยยิ้มบางเบาปรากฏข้างมุมปาก “เจ้าต่างหากที่ควรดื่มมันเพื่อรักษาร่างกายไว้รอวันที่ข้านำชัยชนะกลับมามอบให้”

“นี่ท่านแม่ทัพ...ข้าไม่ได้อยากที่จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวขนาดนั้นหรอกนะ” พญานาคราชส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับหัวเราะขบขันกลบเกลื่อนความเศร้าโศก

“พูดบ้าอะไรของเจ้า”

“รู้อะไรไหมวศิน...บางทีการตัดสินใจที่จะไปนั้นก็ถือว่าเป็นการปรานียิ่งกว่าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไร้ซึ่งบุคคลอันเป็นที่รักเสียอีกนะ” รอยยิ้มทอแสงอ่อนปรากฏขึ้นเมื่อนึกถึงบุคคลในความทรงจำ “...ในเมื่อคนที่อยากจะอยู่ด้วยไม่อยู่ที่นี่แล้ว จะดันทุรังมีลมหายใจต่อไปอีกทำไม...เจ้าว่าไหม?”

จอมทัพอสุราทำเพียงแค่ยืนนิ่งฟังอีกฝ่ายโดยไร้ท่าทีขัดเคืองเหมือนดั่งก่อนหน้า เมื่อได้คิดทบทวนตามเจตนาของนคิน

..ทั้งหมดทั้งมวลนั้นแสดงว่าพญานาคหนุ่มตรงหน้าเขาตัดสินใจที่จะรอให้ลมหายใจสุดท้ายมาเยือนโดยไม่คิดที่จะใช้น้ำทิพย์ในขวดนั้นรักษาตนเอง

“..เข้าใจแล้ว” อสุราหนุ่มพยักหน้ารับยินยอม

...ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เคารพการตัดสินใจของอีกฝ่ายเสมอ

“เข้าใจก็ดี” นคินยิ้มกว้างก่อนจะถือวิสาสะยัดภาชนะทองเหลืองใส่มืออีกฝ่าย “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ช่วยรับสิ่งนี้เอาไว้เถิด ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนที่เจ้าจะช่วยล้างแค้นไอ้ยักษ์ชั่วนั่น”

“ข้ารับไว้ไม่ได้”

“วศิน...เชื่อข้า หลังจากนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ารามสูรนั้นจะมีแผนการชั่วอะไรอีก หากเจ้าต้องกลับไปต่อสู้กับฝ่ายนั้น อย่างน้อยข้าก็จะได้มั่นใจว่าเจ้าปลอดภัย...เพราะถ้าหากรอบนี้มันใช้พิษอัคคิมุขเล่นงานเจ้าอีกละก็ แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือเจ้าได้อีกแล้ว เข้าใจที่ข้าพูดไหม”

แม้นอีกฝ่ายจะทำเพียงยืนนิ่งเงียบ แต่เขาเริ่มเห็นอะไรบางอย่างที่จะสามารถโน้มน้าวให้อสุราหนุ่มคล้อยตามได้อย่างไม่ยากเย็น

..เห็นทีจะต้องเอาหลานรักของพระอาจารย์มาใช้งานเสียหน่อยแล้ว...

“หรือไม่ อย่างน้อยๆเจ้าก็จะได้มีชีวิตกลับมาหาใครบางคนที่เฝ้ารออยู่ที่เมืองมนุษย์นี่อย่างไรเล่า...ไม่ดีหรอกหรือ” รอยยิ้มกดลึกปรากฏข้างมุมปากทันทีเมื่อสังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีนิลคู่นั้นกำลังสั่นไหวแต่เพียงครู่ก็กลับมามั่นคงตามเดิม

“..ข้าหาได้อยากมีชีวิตที่เป็นอมตะ” ไม่เคยอยากจะอยู่ค้ำฟ้าเลยสักนิด

เพราะลำพังอายุขัยของเผ่าพันธุ์อสุรานั้นก็ใช่ว่าจะมีน้อยเสียที่ไหนกัน หากเทียบกับมนุษย์แล้วนั้นก็หลายศตวรรษเสียด้วยซ้ำไป

“เจ้านี่ก็แปลก...ใครต่อใครก็พร้อมที่จะแย่งชิงของในมือเจ้ากันทั้งนั้น เหตุใดจึงเอาแต่ปฏิเสธอยู่ได้” ยิ่งเห็นท่าทางหนักแน่นเขาก็ยิ่งนึกนับถืออสุราหนุ่มยิ่งขึ้นไปอีก

ในสายตาผู้อื่นการปฏิเสธโอกาสเช่นนี้หากไม่โง่งมจนเกินทนก็คงยึดมั่นในครรลองครองธรรมอย่างแน่วแน่

...ซึ่งจอมทัพวศินนั้นเป็นอย่างหลังโดยแท้

   “วศิน…อย่าลืมว่าเพราะเหตุใดจึงทำให้เจ้าต้องมารักษาตัวอยู่ที่นี่” นคินย้ำเตือน “ในเมื่อฝ่ายนั้นมันเล่นไม่ซื่อก่อน เจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปรานี...เดรัจฉานวิธีเช่นนั้นไม่คู่ควรกับความเป็นธรรมแม้นสักนิด”

   “…”

   “แต่ข้าก็จะไม่บังคับ ถ้าหากว่าเจ้าไม่ต้องการมัน” พญานาคหนุ่มเอ่ยสำทับเป็นหนสุดท้าย...ถึงนี่จะเป็นความหวังดีแต่เขาก็ไม่คิดที่จะยัดเยียดมันให้อีกฝ่าย “แต่ถ้าหากเปลี่ยนใจก็บอกข้าได้เสมอ”

   “ขอบใจเจ้ามาก”

   ภาชนะทองเหลืองถูกส่งคืนให้กับเจ้าของพอดีกับที่ใครบางคนเดินเข้ามาในโถงถ้ำ

   เจ้าแก้วเดินเข้ามาหาด้วยความเก้กังเพราะข้างตัวมีงูจงอางยักษ์เลื้อยขนาบข้างกายไม่ห่าง แม้นจะเริ่มรู้สึกคุ้นชินกับพญาอสรพิษบ้างแล้วแต่มันก็ยังนึกหวั่นอยู่ไม่น้อยยามที่ถูกลำตัวมันเลื่อมโอบรัดหยอกเย้า

   เมื่อวันก่อนท่านนคินบอกว่าที่ภุชงค์ทำไปนั้นเพียงแค่อยากจะผูกมิตร...และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มันโดนใครอีกคนกลั่นแกล้งให้ตกน้ำตัวเปียกมะล่อกเพียงเพราะว่าได้กลิ่นสาบของงูที่วนเวียนอยู่รอบกาย

   ‘ก่อนไปกลิ่นเจ้าภุชงค์ยังคลุ้งจมูกอยู่เลย...ไม่ทันไรก็ถูกทับด้วยกลิ่นยักษ์แล้วหรือนี่ ร้อนแรงกันเสียจริงนะ’

   คำหยอกเย้าของพญานาคหนุ่มล้อเลียนเป็นนัยแฝงหลังจากที่กลับมาถึงถ้ำ เย็นวันนั้นเจ้าแก้วถูกหลวงตาดุไปยกใหญ่เพราะกลัวว่าจะจับไข้เอา

   แต่ที่ไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นก็คงเป็นรอยแผลเล็กๆที่ปริแตกอยู่ข้างมุมปากเพราะโดนคมเขี้ยวของใครบางคนบาดเข้า..

   “มีอะไรหรือแก้ว” นคินเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นมาก่อนใครพร้อมกับกระดิกนิ้วเรียกเจ้าภุชงค์ที่ตามติดเด็กหนุ่มแจให้มาหา แต่นอกจากมันจะไม่ปฏิบัติตามแล้วยังแผ่แม่เบี้ยใส่ราวกับไม่สนใจไยดี

   “คือ...หลวงตาให้ฉันมาตามพวกท่านทั้งสองน่ะจ้ะ” มันยิ้มตอบก่อนจะต้องอุทานเสียงเบาเมื่อถูกเจ้างูยักษ์ข้างกายใช้แม่เบี้ยดุนดันข้างแก้ม

   “เช่นนั้นหรือ” นคินพยักหน้ารับก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มมนุษย์หน้าซื่อ “ขอบใจนะแก้ว”

ใบหน้าคมคร้ามเผยยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยก่อนจะก้มกายลงกระซิบข้างใบหูให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน “คราวหน้าคราวหลังระวังหน่อยนะ เขี้ยวยักษ์มันคม...ประเดี๋ยวจะได้แผลมาอีก” ทันทีที่สิ้นคำหยอกเย้า ใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ขึ้นริ้วสีแดงได้อย่างน่าดูชม ทำให้พญานาคหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาก่อนฝ่ามือใหญ่จะเอื้อมไปลูบบนศีรษะอย่างเอ็นดู

(มีต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 03-04-2019 02:55:33




หลังจากที่นคินเดินออกไป อสุราหนุ่มก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม ท่าทีถมึงทึงทำให้เจ้าแก้วเผลอขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อกายสูงใหญ่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แต่ทว่าสายตากลับมองเลยไปทางด้านหลังของมันแทน

พญาอสรพิษเชิดชูคอขู่ฟ่อ แววตาแดงก่ำจดจ้องมองกลับมาอย่างไม่ลดละ ภุชงค์ใช้ปลายหางโอบรัดรอบเอวของเด็กหนุ่มก่อนจะเคลื่อนกายมาบดบังเอาไว้อย่างหวงแหน

   “ถอยไป” เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยเตือน นัยน์ตาสีนิลแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉานเมื่อไฟโทสะเริ่มปะทุ

   ฟ่ออ!

   ฝ่ามือใหญ่เอื้อมออกไปหมายจะคว้าตัวจ้าแก้วให้เข้ามาหา แต่ยังไม่ทันที่จะเข้าถึงตัวกลับถูกคมเขี้ยวคมของอสรพิษฉกลงมาที่ท่อนแขนอย่างแรงจนจมเขี้ยว หยดเลือดที่ไหลซึมออกมาทำให้เจ้าแก้วเบิกตาขึ้นอย่างตื่นตกใจก่อนจะออกปากร้องห้ามด้วยความร้อนรน

   แต่อสุราหนุ่มกลับทำเพียงแค่ยืนนิ่งเฉยราวกับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดที่ถูกทำร้ายร่างกาย ก่อนฝ่ามืออีกข้างจะตะปบเข้าบริเวณปากของเจ้างูยักษ์พร้อมออกแรงบีบง้างขากรรไกรให้อ้ากว้างจนแทบฉีกขาด

เขี้ยวยาวที่งอกเงยออกมาแสดงให้เห็นว่าอสุราหนุ่มนั้นเริ่มมีโทสะอยู่ไม่น้อย เรี่ยวแรงมหาศาลถูกส่งผ่านไปยังอุ้งมือที่กำลังกำรอบคอของพญาอสรพิษ เสียงคำรามทุ้มต่ำในลำคอดังประสานกับเสียงขู่ฟ่อ

“ท่านวศิน” เจ้าแก้วเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆเมื่อเห็นว่าภุชงค์เริ่มมีท่าทีอ่อนลงคงเพราะไม่สามารถต้านเรี่ยวแรงของอีกฝ่ายเอาไว้ได้

...มันไม่เคยได้เห็นอีกฝ่ายในมุมนี้มาก่อน

ตาสีแดงฉานและมีเขี้ยวยาวงอกเงยออกมายิ่งตอกย้ำความน่าหวั่นเกรงให้มากขึ้นไปอีก

“ปล่อยภุชงค์เถอะนะจ๊ะ...ฉันขอ” น้ำเสียงเว้าวอนแผ่วเบาของเด็กหนุ่มกลับส่งไปถึงใครอีกคนได้อย่างไม่ยากเย็น

   แรงบีบรอบลำคออสรพิษยักษ์ถูกคลายออกโดยทันทีก่อนร่างของภุชงค์จะร่วงลงไปที่พื้น เจ้าแก้วจึงก้มตัวลงไปลูบหัวให้อย่างปลอบประโลมก่อนจะเอ่ยบอกให้อีกฝ่ายติดตามท่านนคินไป แม้นจะไม่อยากทำตามนักแต่มันก็ไม่คิดที่จะดื้อดึงต่อเด็กหนุ่ม ภุชงค์ยืดกายขึ้นจดจ้องคู่อริอีกครั้งก่อนจะเลื้อยออกไปจากโถงถ้ำตามคำขอของเจ้าแก้ว

   “ท่านวศิน เจ็บมากไหมจ๊ะ” มนุษย์ตัวน้อยเดินเข้าไปหาก่อนจะเอื้อมมือออกไปแตะบริเวณท่อนแขนกำยำแผ่วเบา แต่ท่าทีที่ยังคุกรุ่นของอีกฝ่ายกลับทำให้มันยังไม่กล้าที่จะเขยิบเข้าไปใกล้มากนัก

   อสุราหนุ่มเบือนหน้าออกไปอีกทางเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง

   ปรกติแล้วนั้นเขาหาใช่คนที่วู่วามและบันดาลโทสะโดยใช่เหตุ แต่เพราะตะกอนขุ่นมัวที่อยู่ใต้เบื้องลึกของจิตใจกลับก่อกวนเสียจนสมาธิแตกกระเจิง

   ...ตลอดชีวิต ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน

   ความรู้สึกคล้ายกับการหวงแหนจนตนเองยังนึกแปลกใจ...

   แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเพียงเท่านี้ กลับทำให้จิตใจที่สงบนิ่งกระวนกระวายจนน่าหวาดหวั่น

   และนับวันความรู้สึกนี้มันก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปทุกที..

   เจ้าแก้วมีสีหน้าไม่สู้ดีนักก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อฝ่ายนั้นเบือนหน้ากลับมามอง นัยน์ตาสีแดงเพลิงจดจ้องมองลูกมนุษย์ตรงหน้าด้วยแววตานิ่งเฉยก่อนจะสังเกตเห็นว่ามือเล็กๆที่แตะท่อนแขนของตนนั้นสั่นเทาเล็กน้อยคล้ายกับสัตว์ตัวเล็กที่กำลังหวาดกลัวต่อผู้ล่า

   “เจ้ากลัวข้าหรือ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม ก่อนฝ่ามือใหญ่จะยกขึ้นมากอบกุมมือข้างนั้นอย่างอ่อนโยนขัดกับท่าทีแข็งกร้าวที่แสดงออก

   ร้อยวันพันปีไม่เคยนึกสนใจหากผู้ใดจะรู้สึกหวาดกลัวตน...แต่กลับเด็กหนุ่มตรงหน้าแม้นเพียงนิดก็ไม่อยากจะทำให้ได้ระคายเคือง

   กับเจ้าวิรัลเองยังกล้าออกปากดุน้องอยู่บ้าง...แต่กับเจ้าสัตว์ตัวเล็กนี่ ไม่เคยคิดแม้แต่จะอยากทำให้เสียขวัญ

   เจ้าแก้วช้อนตาขึ้นมองก่อนจะค่อยๆพยักหน้ารับอย่างกล้าๆกลัวๆ เพียงเท่านั้นก็เรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอจากอสุราหนุ่มได้เป็นอย่างดี

   ...เจ้ากระรอกตัวน้อยตอนที่หวาดกลัวจนตัวสั่นเช่นนี้กลับน่าเอ็นดูยิ่งนัก

   ร่างสูงใหญ่ก้มต่ำลงมาจนใบหน้าของทั้งคู่เสมอกันก่อนฝ่ามือที่กอบกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้จะยกขึ้นมาแนบเข้าข้างใบหน้าของตน ปลายนิ้วเล็กเคลื่อนสัมผัสผ่านคมเขี้ยวของยักษ์ไปตามแรงที่ควบคุม ก่อนจะต้องลมหายใจสะดุดเมื่อลากผ่านเรียวปากอุ่นร้อนของอีกฝ่าย

   สองสายตาสอดประสานกันไม่ห่าง รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้าคมคร้ามอีกครั้งเมื่อได้จ้องมองคนตรงหน้า นัยน์ตาสีแดงเพลิงประกายอ่อนแสงลงกลับไปเป็นสีเดิม แต่เขี้ยวยาวที่งอกเงยนั้นยังคงอยู่

วศินปล่อยมืออกจากพันธนาการที่กอบกุมก่อนจะเคลื่อนต่ำลงไปโอบประคองบนช่วงเอวได้รูป พร้อมกับออกแรงดันร่างของอีกฝ่ายเข้ามาแนบประชิดกันมากยิ่งขึ้นจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากแผ่นอกกว้างเปลือยเปล่า

หยดน้ำบางส่วนที่เกาะพราวอยู่ส่องกระทบกับแสงอาทิตย์อย่างมีชีวิตชีวา

   ลมหายใจอุ่นที่รินรดอยู่บริเวณผิวแก้มทำให้เจ้าแก้วรู้สึกราวกับถูกหลอมละลาย มันผละมือออกจากใบหน้าคมเข้มก่อนจะเคลื่อนไปวางไว้บริเวณท่อนแขนของอีกฝ่ายแทน สัตว์ตัวเล็กยืนมองริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่ายไม่วางตาพลันเสียงกึกก้องในอกก็เต้นรัวจนหูอื้อเมื่อความรู้สึกกระหายอยากตีรวนขึ้นมาอย่างยากที่จะหักห้ามใจ

ริมฝีปากอิ่มถูกเม้มเข้าหากันเพื่อระงับความปรารถนา แต่ทว่าใบหน้าคมคร้ามที่เคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมปรับองศาเข้าหากันนั้นกลับเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่เร่งให้เสียงเต้นของก้อนเนื้อในอกซ้ายดังกึกก้อง

   แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะเคลื่อนประชิดฝ่ามือเล็กกลับยกขึ้นมาขวางกั้นตรงกลางเอาไว้เสียก่อน ส่งผลให้เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันโดยทันที วศินนึกขัดใจอยู่ไม่น้อยที่ถูกขัดขวาง ซ้ำเจ้าสัตว์ตัวน้อยมันยังเอามือปิดปากตัวเองไว้อีกต่างหาก

   “ทำอะไรของเจ้า” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์นักเพราะเรียวลิ้นในปากมันอยู่ไม่สุขเมื่อจินตนาการไปถึงความอุ่นชื้นที่เคยได้ลุกล้ำเข้าไปเก็บเกี่ยวกลืนกิน “เอามือออก” มองเผินๆคล้ายกับจะข่มขู่ แต่รอยยิ้มที่ควบคู่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ากำลังโดนคุกคามอยู่เลยสักนิด

   เจ้าแก้วส่ายหน้าปฏิเสธอย่างใจกล้า...เพราะความรู้สึกที่ถูกคมเขี้ยวของอีกฝ่ายบาดเข้าที่ผิวเนื้อยังคงฉายชัดอยู่ในความรู้สึก

   “ปิดทำไม” คราวนี้น้ำเสียงทุ้มต่ำกลับเข้มขึ้นเล็กน้อย ฝ่ามือใหญ่ที่โอบประคองอยู่แถวบั้นเอวออกแรงเคล้นคลึงเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายคล้อยตาม

   “ก็...” เจ้าแก้วพูดเสียงแผ่วเบา “เขี้ยวท่านวศิน...ทำฉันเจ็บนี่จ๊ะ”

   เพียงได้ฟังเหตุผลอสุราหนุ่มก็กดยิ้มลึกมากขึ้นกว่าเดิม

   ..เด็กน้อย...

   “หากไม่มี...ก็หมดปัญหาใช่หรือไม่” ข้อเสนอถูกหยิบยื่นไปให้ ก่อนเขี้ยวคมยาวโค้งจะมลายหายไป

   แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยตอบจู่ๆสัมผัสอุ่นร้อนก็แนบลงมาที่หลังฝ่ามือทั้งยังกดแช่นิ่งค้างไว้อยู่อย่างนั้น

   ระยะที่ชิดใกล้มีเพียงแค่ฝ่ามือเท่านั้นที่ขวางกั้นระหว่างริมฝีปากของทั้งคู่ อสุราหนุ่มจดจ้องเจ้าสัตว์ตัวเล็กไม่วางตา ยิ่งเห็นว่ามันเริ่มออกอาการกระวนกระวายทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งได้ใจ

ท่อนแขนแข็งแรงเปลี่ยนเป็นโอบรัดรอบเอวของมนุษย์จนลำตัวแนบชิดกันหยดน้ำบางส่วนที่ยังหลงเหลือบนแผ่นอกกว้างทำให้เสื้อที่เจ้าแก้วสวมใส่อยู่เปียกชื้นเล็กน้อย มันพยายามยื้อกายออกห่างแต่ก็ไร้ผลเมื่อถูกพันธนาการแน่นหนาโอบรัดเอาไว้จนแทบจมหายเข้าไปในอ้อมกอด

   ยิ่งได้ใกล้ชิดเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ตระหนักได้ว่าความแตกต่างระหว่างขนาดตัวของพวกเขานั้นมีมากเพียงใด...

   “อื้อ” เจ้าแก้วส่งเสียงประท้วงในลำคอเมื่อไร้หนทางสู้ ฝ่ามือเล็กยกขึ้นวางแนบไปบนแผ่นอกกำยำพร้อมทั้งออกแรงดันอย่างสุดความสามารถแต่กลับไร้ผล

   ปกติแล้วมันก็หาได้บอบบางอ้อนแอ้นแต่อย่างใด แต่ในยามที่ถูกอสุราหนุ่มโอบกอดเอาไว้เช่นนี้แล้วความมั่นใจที่เคยมีกลับถูกพังทลายไม่เป็นท่า..

   เมื่อได้กลั่นแกล้งจนพอใจอสุราหนุ่มก็ผละใบหน้าออกห่างก่อนจะยืดกายขึ้นเต็มความสูง แต่วงแขนที่โอบกอดอีกฝ่ายอยู่นั้นหาได้คลายออกตามแต่อย่างใด

   “ท...ท่านวศิน ปล่อยฉันเถอะนะจ๊ะ” มันยื้อกายออกห่างเมื่อเริ่มรู้สึกแปลกประหลาดยามที่ร่างกายได้สัมผัสผิวเนื้อร้อนระอุของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนอสุราหนุ่มจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าใดนักเพราะนอกจากแรงที่กอดจะไม่ลดลงแล้ว ฝ่ามือใหญ่ที่โอบประคองแผ่นหลังอยู่ก็เริ่มลูบไปตามร่องกระดูกสันหลังทำให้เจ้าแก้วตัวอ่อนราวกับขี้ผึ้งลนไฟ มันจึงต้องเอื้อมมือไปจับท่อนแขนกำยำเอาไว้เป็นหลักยึด

   “บอกให้ข้าปล่อยมิใช่หรือ แล้วเหตุใดเจ้าจึงจับแน่นเช่นนี้เล่า” รอยยิ้มร้ายกดลึกข้างมุมปาก

   ก็พึ่งจะได้รู้ตอนนี้ว่าตนเองนั้นมีมุมที่ชอบกลั่นแกล้งอยู่ไม่น้อย

แต่มุมนี้คงถูกใช้กับเจ้าสัตว์ตัวเล็กในอ้อมกอดเพียงคนเดียวเท่านั้น

   “ก็ท่านแกล้งฉันนี่จ๊ะ” มันเงยหน้าขึ้นเถียงอย่างไม่ยอมแพ้

   วศินมองเด็กน้อยในอ้อมกอดอย่างพออกพอใจก่อนจะยอมคลายวงแขนออกเพื่อให้มันได้เป็นอิสระ

   ฝ่ามือใหญ่เลื่อนลงไปกอบกุมกับอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับดึงให้เดินตามออกไปจากโถงถ้ำ โดยที่เจ้าแก้วก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

   ทันทีที่ทั้งสองเดินมาถึงบริเวณโถงกลาง พันธนาการที่กอบกุมกันไว้ก่อนหน้าก็ถูกผละออกห่างเมื่อไม่ได้อยู่กันเพียงแค่สองต่อสอง พระอาจารย์ที่กำลังพูดคุยกับองค์นคินอยู่นั้นหันหน้ามามองพร้อมกับกวักมือเรียกหลานรักให้เข้ามานั่งใกล้ๆ

   ส่วนอสุราหนุ่มที่เดินตามหลังมาก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพญานาคราช แต่สายตาก็ยังคงลอบมองไปทางเจ้าแก้วอยู่เป็นระยะ

   “แขนเจ้าไปโดนอะไรมาละนั่น” นคินเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าท่อนแขนของอสุราหนุ่มนั้นมีรอยแผล...แต่เมื่อเพ่งมองดีๆแล้วถึงกับคิ้วกระตุกก่อนจะหันไปมองสมุนตัวเขื่องที่นอนขดอยู่ข้างกายอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ภุชงค์...” เสียงทุ้มต่ำเล็ดลอดไรฟันอย่างพยายามสงบสติอารมณ์

   ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...

   นี่ดีหน่อยที่เจ้าภุชงค์มันแค่กัดแต่ไม่ได้ปล่อยพิษออกมา มิเช่นนั้นล่ะเป็นเรื่องอีกแน่

   “พวกเจ้าทั้งสองนี่ยังไง ทะเลาะกันราวกับเด็กเล็ก” พญานาคหนุ่มส่ายหัวอย่างนึกเอือมระอา

   อีกฝ่ายก็หวงจนหน้ามืดตามัว...อีกตัวก็ชอบยั่วยุ

   มันก็พอๆกันทั้งคู่...นิสัยดุร้ายพอกันก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ

   “เห็นท่านนคินบอกว่าท่านหายดีแล้วซ้ำยังแข็งแรงขึ้นมาก” น้ำเสียงที่มากไปด้วยเมตตาของพระอาจารย์เอ่ยทัก

   “ขอรับ” อสุราหนุ่มโค้งศีรษะตอบอย่างนอบน้อม

   “อืม...แล้วหลังจากนี้จะเอาอย่างไร” แม้นจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่ก็อยากจะถามอีกสักครั้งเพื่อความมั่นใจ “จะเดินทางกลับไปยังเมืองของท่านหรือจะอยู่ที่นี่ต่อ”

   สายตาของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมองสับระหว่างจอมทัพอสุรากับหลานคนเล็กที่นั่งอยู่ข้างกาย

   ...ไม่ใช่ไม่รู้ว่าระหว่างทั้งคู่นั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนไป

   แต่ก็อยากจะให้ได้เผื่อใจเอาไว้สักนิดว่าในบางครั้งก็ไม่สามารถที่จะกระทำตามความต้องการของตนเองไปได้เสียทุกอย่าง

   “คงจะอยู่ต่อไม่ได้แล้วขอรับ” วศินเอ่ยตอบเสียงหนักแน่น แม้นว่าในใจจะรู้สึกวูบโหวง

   ถึงจะไม่อยากจาก...แต่ก็ไม่สามารถที่จะละทิ้งต่อหน้าที่ได้

   “อืม...อาตมาทราบดี” ชายชรายิ้มบางเบา “ท่านวศินมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เป็นถึงจอมทัพใหญ่คงลำบากอยู่ไม่น้อยเลยสินะ”

   เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นไปเผชิญกับอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งเมื่อความจริงที่พยายามหลีกหนีมาตลอดได้ปรากฏตรงหน้า

   ..ราวกับวันเวลาที่ล่วงเลยผ่านมาเป็นเพียงแค่ความฝัน...

   ทุกอย่างยิ่งตอกย้ำว่าตัวมันกับอสุราหนุ่มนั้นต่างกันมากเพียงใด

   ท่านวศินเป็นถึงจอมทัพใหญ่ มีเกียรติที่สูงส่ง

   แต่ตัวมันนั้นเป็นเพียงแค่มนุษย์ต้อยต่ำซ้ำยังพิกลพิการ

   เพียงแค่คิดเทียบเคียงก็น่าละอายยิ่งนัก…

   ...ช่างห่างไกลจากคำว่าเหมาะสมไปมากโข

   สายตาสองคู่สอดประสานมองกันท่ามกลางความรู้สึกที่ยากที่จะอธิบาย อสุราหนุ่มยังคงมีท่าทีนิ่งขรึมตามเดิมแต่ทว่าในอกกลับวูบไหวยามที่เห็นว่านัยน์ตาสีอ่อนดูเศร้าหมองลง

   ถึงตอนนี้ความรู้สึกที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจก็ยิ่งฉายชัดเพื่อย้ำเตือนว่าตนเองนั้นได้มีใจปฏิพัทธ์ให้แก่เด็กหนุ่มมนุษย์ผู้นี้ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

   ทั้งที่เคยคิดมาตลอดว่ามันอาจเป็นเพียงแค่ความไหวหวั่นเพียงผิวเผิน..แต่นานวันเข้ากลับทำให้ความมั่นใจนั้นสั่นคลอนได้อย่างไม่อยากเย็น

   ...หากทว่าตอนนี้สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่หาได้เอื้ออำนวยให้สามารถสานต่อความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นได้...เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าถ้าหากได้เปิดรับความรู้สึกให้เป็นไปตามที่ใจต้องการแล้วในอนาคตจะเกิดสิ่งใดขึ้น

   ออกทัพจับศึกมาเป็นร้อยพันหาได้เคยหวาดหวั่นหากลมหายใจจะต้องถูกพรากไป

แต่ครั้งนี้เป็นหนแรกที่สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวที่เกาะกุมภายในจิตใจ

   ..ถ้าหากครั้งนี้กลับไปแล้วไม่สามารถกลับมาพบกันได้อีก...

   หรือแม้นแต่คำล่ำลาก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้เอื้อนเอ่ย...

   ..เพียงแค่คิดก็ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้…

   “อย่าห่วงไปเลยท่านวศิน” เสียงที่มากไปด้วยเมตตาของพระอาจารย์เอ่ยบอกแฝงความนัย “สิ่งใดจะเกิดก็ต้องเกิด...เพียงแค่มีสติรับรู้ตัวตน ไม่ประมาทก็เป็นพอ”

   “…”

   “อย่าได้นึกกังวลอันใดให้จิตใจไม่เป็นสุขเลย...ทางนี้ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง ขอให้ท่านกลับไปทำหน้าที่ได้อย่างสบายใจเถิด”

   นัยน์ตาฝ้าฟางทอแสงอ่อนลงเพื่อยืนยันในความหมายที่ตนต้องการจะสื่อ

   ..เพราะรู้ดีว่าหนทางข้างหน้านั้นหาได้ง่ายดายเท่าใดนัก จึงไม่ได้คิดที่จะขัดขวางให้เรื่องมันยุ่งยากยิ่งขึ้นไปอีก

   หากทั้งสองมีใจปฏิพัทธ์ให้แก่กันจริงละก็

...รอคอยให้ถึงวันนั้นก็ยังไม่สาย

   หากเป็นคู่กันแล้ว...ก็คงไม่แคล้วกัน


____________________________



ขอบพระคุณคุณ dekying kukkig ที่ช่วยทำสารบัญให้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 03-04-2019 03:16:56
ชอบความคลอเคลียของภุชงค์ พญาอสรพิษนะเอ้ยยย ออดอ้อนเป็นแมวเชียวว

คิดถึงภาพตัวเล็กตัวใหญ่ของท่านวศินกับเจ้าแก้วแล้วเขิลลลลลล
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-04-2019 12:55:45
 o13 o13 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-04-2019 13:37:02
 o18


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 03-04-2019 22:20:51
มาต่อแล้ว~ นานมากคิดถึงเจ้าแก้ว
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: FXEXRXN ที่ 04-04-2019 23:26:03
 :katai1:ทำไมเจ้าแก้วน่าเอ็นดูขนาดนี้ ฮือออออ รู้ใจตัวเองไม่ทันไรต้องห่างกันไปอีกแล้ว ขอให้วศินกับวิรุณปลอดภัยด้วยเถอะ ไม่อยากให้ทั้งคู่หรือเพื่อน น้อง และครอบครัวของทั้งคู่เป็นอะไรไปเลยอ่ะ สะเทือนใจขั้นสุดแน่ๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: oohsg94 ที่ 05-04-2019 09:00:02
คิดถึงเจ้าแก้วมากๆๆ ฮรื่อออ ท่านวศินไม่เป็นไรนะคะจะช่วยดูแลแก้วให้เองค่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 07-04-2019 20:19:42
เราไม่รู้ว่ากฎเกณฑ์การศึกเมืองยักษ์เป็นยังไง แต่เท่าที่ดูคือองค์รามสูรช่างใจกล้าหน้าด้านเป็นอย่างมาก
รบๆกันอยู่วางแผนฆ่าแม่ทัพ เข้าเมืองคู่ศึกตัวเองใส่ความคนของอีกฝ่าย แล้วก็พักอยู่ในเมืองเค้าสบายใจยังกับอยู่บ้าน ทำตัวเหมือนมาเยี่ยมเพื่อนอ่ะเนอะไม่เหมือนทำสงครามอยู่เลยนะจ๊ะ
เอ้าไหนๆรักจะมาทางนี้แล้วก็ต้องไปให้สุด อยู่ในเมืองเค้าก็ข่มเหงนางกำนัล ขู่เอาชีวิตทหาร สร้างหลักฐานเท็จ ระเบิดภูเขา เผากระท่อม เอาให้ครบไปเลยจร้า
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-04-2019 12:28:44
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4: :katai5:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 15-04-2019 22:25:18
ท่านวศินสู้ๆ อย่าไปนานนะ รีบไปจัดการให้เรียบร้อย
ส่วนน้องแก้ว อยู่รอทางนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อนเอง :hao5:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 22-04-2019 13:50:49
ตามทันแล้ววว เจ้าดอกแก้วเจื้ยวแจ้วน่ารักน่าเอ็นมากกกกก ความใสซื่อของน้อง คือซื่อตรงกับความรู้สึกและความต้องการของตัวเองมาก พอรู้ว่ารัก..รู้ว่ารสจูบเป็นอย่างไร ก็เหมือนเด็กติดใจในรสหวานละมุน ของขนมหวาน อยากกิน...จะกินอีกอ่ะ เอ็นดูน้องงงงง
พี่ยักษ์วศินเห็นทื่อมะลื่อ พอยอมรับใจตัวเองก็รุกน้องไม่ให้หยุดพักหัวใจกันเลย หื้อออออ ดีต่อใจ  :-[

ส่วนอิพี่กล้า ไม่มีอะไรมาก ฝากตบกะบาลมันทีค่ะ เกรียนแตกบ้าบอ ปวดประสาทกับพี่มันนนน 55555555555
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๑๙ - อมฤต : ๓/๔/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 02-05-2019 21:05:12
คนละเผ่าพันธ์ุไม่พอ ยังต้องมาพรากจากกันอีก

เอ็นดูแก้วมากเลยค่ะ น้องยังเป็นน้องน้อยที่น่าทะนุถนอม
แก่นแก้ว ฉลาดและซื่อไปพร้อมกัน

วศินก็มามาดเข้ม สนใจแต่การบ้านการเมือง
ไม่สนใจเรื่องรักใคร่ พอได้มารัก ก็มีอันต้องจาก

ชะตาฟ้าลิขิตให้มาเจอกันแล้ว เหมือนหลวงตาบอก
ถ้ามีวาสนาต่อกัน ยังไงก็กลับมาเจอกันแน่นอน

นับถือน้ำใจนคิน ยอมเสียชีพเพื่อช่วยวศิน
และยอมตายดีกลัวอยู่อย่างเดียวดาย

อยากให้ทีมวศินมารวมตัวกันจังเลยค่ะ
อยากเห็นความราบคาบของรามสูร

เอาใจช่วยเจ้าแก้วกับวศินนะคะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 07-06-2019 11:56:36
กลิ่นดอกแก้ว
.
.
.


   “ขี้ผึ้งนี่ช่วยบรรเทารอยแผลเป็น...แม้นจะไม่หายขาดแต่ก็ทำให้ทุเลาลงได้”

   พระอาจารย์ส่งยื่นตลับยาให้อสุราหนุ่มเพราะเห็นว่ารอยแผลที่บริเวณกลางแผ่นอกกว้างนั้นเริ่มสมานกลืนกับเนื้อผิว เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ร่องรอยในอดีตที่ถูกพิษร้ายเล่นงาน

   “ขอบพระคุณขอรับ”

   “ยาตัวนี้เป็นตัวเดียวกันกับที่เจ้าแก้วมันใช้อยู่” รอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยเมตตาปรากฏขึ้นบนใบหน้ายามที่เอ่ยถึงหลานรัก “แต่ไอ้ตัวนั้นมันช่างหัวรั้น...บ่นว่ากลิ่นมันฉุนเลยทาบ้างไม่ทาบ้าง แผลมันจึงไม่หายเสียที”

   รอยบากที่ตาซ้ายของมันหากเขาไม่บังคับให้ต้องประคบยาทุกเดือนแล้วละก็ป่านนี้คงได้ควักลูกตาทิ้งไปแล้วเสียด้วยซ้ำไป

   นัยน์ตาฝ้าฟางกวาดมองรอบบริเวณถ้ำอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้งก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าไอ้ตัวดีมันจะกลับมาเสียที เพราะเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาเขาได้ใช้ให้มันออกไปเก็บสมุนไพรมาเพิ่มเพื่อใส่ในบ่อว่านที่ท่านวศินจะต้องแช่กายในคืนนี้

นี่ก็เริ่มเย็นย่ำเต็มทีป่านนี้ยังไม่โผล่หัวกลับมา...ดูท่ามันคงไปเล่นเรื่อยเปื่อยเถลไถลอีกตามเคย

พระอาจารย์ส่ายหัวพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลงตกเพราะถึงอย่างไรถ้าเจ้าแก้วกลับมา เขาทำได้อย่างมากก็คงแค่เอ็ดมันไปนิดหน่อยเท่านั้น...มีหรือจะกล้าดุด่า

แต่ดูท่าหนนี้จะมีใครบางคนที่ดูเดือดเนื้อร้อนใจแทนเขาเสียแล้วกระมัง...

   อสุราหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้กันแม้นจะยังมีท่าทีสุขุมตามเดิม แต่ทว่าอาการบางอย่างที่แสดงออกชัดทางแววตานั้นไม่สามารถที่จะปกปิดเอาไว้ได้แม้นเพียงกระผีกเดียว

   เพราะบทสนทนาที่ผ่านมาระหว่างพวกเขานั้นอีกฝ่ายเพียงแค่ถามคำตอบคำซ้ำบางครั้งยังใจลอย...แทบไม่ต้องคาดเดาเลยว่าท่านจอมทัพใหญ่กำลังมัวพะวงนึกถึงใครอยู่ เพราะก่อนที่เจ้าแก้วจะออกไปนั้นท่านวศินเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอติดตามออกไปด้วย แต่เป็นเขาเองที่บอกให้อยู่ที่นี่เพราะมีธุระจะคุยด้วย

   แต่ถึงอย่างไรนั้นธุระที่ว่าก็หาใช่เรื่องสลักสำคัญสักเท่าใดนัก...เพียงแค่พูดคุยสัพเพเหระทั่วไปเท่านั้น

   คราแรกอสุราหนุ่มเองก็ดูคล้อยตามอย่างว่าง่ายไม่นึกระแคะระคายอันใด...แต่เขาอาจประเมินท่านจอมทัพผู้นี้ไว้น้อยไปเสียแล้ว เพราะทันทีที่เห็นประกายบางอย่างในดวงตาทรงอำนาจคู่นั้น แม้นจะเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ทำเอาถึงกับต้องหลุดหัวเราะอยู่ในลำคออย่างอารมณ์ดี

   ...เพราะท่าทีของพ่อยักษ์ดูไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อยที่ถูกเขาขัดไม่ให้ตามไอ้ตัวยุ่งมันออกไป

   สายตาสองคู่สบประสานเพียงแค่เสี้ยวลมหายใจ...เท่านั้นก็เพียงพอที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารถึงเรื่องบางอย่างระหว่างกัน

รอยยิ้มบางเบาที่ปรากฏบนใบหน้าคมคร้ามแม้นจะเพียงแค่ฉาบฉวยแต่นั่นกลับกวนตะกอนขุ่นมัวในใจให้คละคลุ้งได้โดยง่าย

   เป็นใครก็ยากที่จะทำใจเมื่อวันหนึ่งต้นกล้าต้นน้อยที่คอยบ่มเพาะเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมจนเติบใหญ่จะถูกผู้อื่นเก็บเกี่ยวไปเชยชมต่อหน้าต่อตา

   ..ลูกใคร..ใครก็ต้องรักต้องหวงเป็นธรรมดา

   ...รอยแผลที่มุมปากของเจ้าแก้วเป็นตัวยืนยันได้ดีว่ามันเองก็คงถูกเขารังแกมาไม่น้อย แต่ที่นึกโมโหเพราะนอกจากมันจะไม่บอกความจริงกับเขาแล้วยังเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง นั่นนับเป็นนัยน์ได้แล้วอย่างหนึ่งว่าตัวมันเองก็คงสมยอมเอง

   หากพ่อกับพี่มันรู้เรื่องนี้ละก็มีหวังป่าแตก..

   “แล้วนี่แก้วยังไม่กลับมาอีกหรือ พลบค่ำเช่นนี้พวกสัตว์ป่าเริ่มออกมาเพ่นพ่านแล้วด้วยสิ” องค์นคินเอ่ยถามอย่างนึกเป็นห่วง เพราะโดยปกติแล้วหากเด็กหนุ่มออกไปหาสมุนไพรที่ป่า เพียงไม่ถึงชั่วยามก็กลับมาแล้ว แต่นี่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา เขาเกรงว่าจะได้รับอันตรายเข้า

   “ไอ้เจ้านี่มันชอบเถลไถล” พระอาจารย์ส่ายหน้าอย่างนึกระอา “ครั้งล่าสุดพ่อครูของมันก็เล่าว่าเพราะมัวแต่โอ้เอ้ไม่ยอมกลับเรือนเลยเกือบถูกเสือขย้ำ”

   “เช่นนั้นก็ให้เจ้าภุชงค์ออกไปตามดีไหมขอรับ...เจ้านี่มันหูไวตาไวทีเดียว” นาคหนุ่มยื่นข้อเสนอ แต่ตากลับเหล่มองเจ้ายักษ์ทื่อมะลื่อที่เอาแต่นั่งเงียบไม่หือไม่อือ

   โอกาสมาถึงแล้ว...อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวังในตัวเจ้า..

   “ช่างเถิดท่านนคิน อย่าลำบากเลย ประเดี๋ยวมันก็คงกลับมา” ถึงจะเป็นห่วงแต่เจ้าแก้วก็หาใช่เด็กน้อยในอดีตอีกต่อไปแล้ว...ควรปล่อยให้มันได้มีอิสระทำในสิ่งที่ใจมันต้องการเสียบ้าง

หากไปบังคับขู่เข็ญมันมากเกินไปก็เห็นจะไม่ดี

“อาตมาคงต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อนแล้ว...ส่วนเรื่องแช่น้ำว่านเจ้าแก้วมันรู้ ถ้าอย่างไรท่านวศินก็ย้ำมันอีกรอบด้วยก็แล้วกัน”

   “ขอรับ” น้ำเสียงทุ้มต่ำขานรับ

   พระอาจารย์ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะลุกออกไปจากโถงกลางโดยมีพญาอสรพิษทั้งสองตัวคอยขนาบข้างไปไม่ห่างกาย

   เสียงหรีดหริ่งเรไรดังแว่วคลอเคล้าไปกับเสียงของนกเค้าที่เริ่มออกหากิน กองฟืนที่เริ่มมอดแตกสะเก็ดไฟครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ทว่ากลับไร้เสียงสนทนาระหว่างพญานาคราชและอสุราหนุ่ม

องค์นคินถอนหายใจออกมายาวเหยียดหนึ่งหนก่อนจะหันไปมองร่างสูงใหญ่ที่นั่งเหยียดตรงราวกับถูกไม้ดามหลังไว้ตลอดเวลา

   ช่างสง่าผ่าเผยทุกระเบียบนิ้วเสียจริง

   “น่าสงสารนะ...จู่ๆก็ถูกพรานป่าที่จับตัวมาทอดทิ้งกลางคัน” นาคหนุ่มแสร้งว่าทีเล่นทีจริง “เจ้าสัตว์ตัวเล็กมันคงตั้งรับไม่ทัน วิ่งหนีกลับเข้าโพรงไม้ไปเลียแผลใจเสียแล้วกระมัง”

   “พูดอะไรของเจ้า” คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว...หากแต่ในเวลาต่อมาที่ตีความหมายแฝงนั้นออกจอมทัพใหญ่กลับไร้ถ้อยคำที่จะเอื้อนเอ่ยขึ้นมาเสียดื้อๆ

   “ข้ากำลังจะบอกว่า...เจ้าน่ะให้ความหวังเด็กมนุษย์นั่นไว้เสียมากมายแต่ไม่ทันไรก็ฉวยกลับคืนไปเสียแล้ว” นคินยักไหล่อย่างไม่แยแส “มีช่วงเวลาดีๆร่วมกันไม่ทันไรก็ต้องแยกจากกันแล้ว...ซ้ำจู่ๆก็บอกจะไปโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว แบบนี้น่ะใช้ได้หรือท่านแม่ทัพ” เขาจะไม่นึกเคืองเลยสักนิด ถ้าหากว่าก่อนหน้านี้เจ้ายักษ์ทื่อมะลื่อนี่มันอยู่ในขอบเขตของตนเอง

แต่ที่ผ่านมาทุกการกระทำของมันชวนให้คิดไปไกลเกินกลับแล้ว...มิหนำซ้ำยังไปล่วงเกินลูกชาวบ้านเขาให้เสียหายอีก

   “...ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” นัยน์ตาคมทอแสงวาวโรจน์เพียงครู่

   “แล้วอย่างไร? นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าจะพาแก้วกลับไปเมืองยักษ์ด้วยน่ะ” นคินตาโต เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงเขาคงค้านหัวชนฝาซ้ำยังมั่นใจว่าพระอาจารย์เองก็ต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน

   “เปล่า”

   “เช่นนั้น....เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าจะกลับไปสะสางเรื่องที่ค้างคาให้เสร็จแล้วจึงค่อยกลับมาหาแก้ว...เช่นนั้นหรือ?”

   คำถามนั้นทำให้อสุราหนุ่มนิ่งค้างอยู่เพียงครู่...แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีแม้แต่คำตอบให้หายข้องใจ มีเพียงใบหน้าที่เรียบเฉยยากจะคาดเดาได้

   บอกให้อีกฝ่ายรอเช่นนั้นหรือ...แล้วถ้าเขาไม่สามารถที่จะกลับมาได้ตามสัญญาที่ให้ไว้จะเป็นเช่นไร

   ...เพราะทางข้างหน้าก็อันตรายส่วนข้างหลังนั้นก็ไม่สามารถที่จะคลายความกังวลได้เลย..

   “...หรือจริงๆแล้ว..เจ้าไม่ได้นึกรักเด็กนั่นตั้งแต่แรก?” คำถามที่เปรียบเสมือนปลายศรถูกหล่อหลอมจากเหล็กกล้าทิ่มทะลุเข้ากลางอก

จอมทัพอสุรานิ่งค้างไปชั่วอึดใจ...ก่อนจะพยักหน้ารับตามความจริง

   “วศิน” นาคหนุ่มคล้ายได้ยินเสียงเส้นประสาทแตกลั่นดังเปรี๊ยะ แอบนึกโมโหและผิดหวังในใจลึกๆ แต่ทว่าประโยคถัดมากลับทำให้อารมณ์เขากลับตาลปัตรเสียยิ่งว่าลมพายุ

   “ก็จริงดังเจ้าว่า...หากเป็นเมื่อก่อนก็คงใช่ ไม่ผิดเพี้ยน” เสียงทุ้มต่ำอ่อนลงเล็กน้อยราวกับเป็นผู้ร้ายที่ยอมจำนนต่อหลักฐานอย่างดิ้นไม่หลุด “...แต่หลังจากนี้..ไม่ใช่” คำสารภาพแข็งกระด้างที่หลุดออกมาจากศิลายักษ์ทำให้พญานาคราชตาเบิกกว้างขึ้นกว่าเก่า

   แม้นมันจะชวนเข้าใจยากไปสักนิด ตามประสาพวกปากหนัก...แต่นั่นก็นับว่ามากเกินพอแล้ว!

   “เช่นนั้นก็แสดงว่าตอนนี้เจ้ารักแก้วแล้วน่ะสิ ใช่หรือไม่” จะตีเหล็กกล้าต้องตีตอนมันร้อน พอได้โอกาสชายหนุ่มก็หาช่องทางเพิ่มเชื้อเพลิงเข้าไปอีก แต่ดูท่าแล้วอีกฝ่ายจะรู้เท่าทันกลับยังคงสงวนท่าทีนิ่งขรึมไว้อย่างเคยโดยไม่แม้นแต่ที่จะแสดงอาการใดๆออกมาให้ได้เห็น

   “ข้าเองก็ไม่รู้” ทันทีที่ได้ยินคำตอบก็รู้สึกราวกับฟ้าจะถล่มลงมาทับหัวในบัดดล

   หมายความว่าอย่างไรน่ะ! แม้แต่ความรักเจ้าก็ไม่รู้จักเช่นนั้นหรือ!

   ทื่อมะลื่อเกินทนแล้ว!

   “เจ้าไม่รู้ว่าเจ้ารักเด็กนั่นหรือไม่รู้ว่าความรักรู้สึกอย่างไรกันแน่” เสียงถอนหายใจดังยาวเหยียดอย่างนึกปลงตก ครั้นในเสี้ยวใจก็นึกที่จะอยากรีบตายตามเจ้านาราไปเสียเดี๋ยวนี้เลย

   “อืม” ดูมันตอบเข้า! อยากจะเข้าไปเขย่าคอให้รู้แล้วรู้รอดไป!

   “วศิน นี่เจ้าไม่รู้ใจตัวเอง...หรือเจ้าแค่ไม่อยากยอมรับความรู้สึกนี้กันแน่”

   “...เปล่า” เขาเชื่อในความรู้สึกตนเองเสมอ...ว่าหากมันเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมยากที่จะแปรเปลี่ยน

เพียงแค่ยังรู้สึกเร็วไปที่จะเอื้อนเอ่ยคำนั้นออกมา...ถ้อยคำที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะมอบให้ผู้ใด

คำที่จะผูกพันธะสัมพันธ์ไปจนวันที่หมดสิ้นอายุขัย...ถ้าหากจะต้องพูดมันออกมาจริงๆก็ขอให้มั่นใจก่อนว่าทั้งหมดนั้นมันหาใช่เพียงแค่ความรู้สึกที่ฉาบฉวย

…และเมื่อถึงเวลานั้นก็จะไม่นึกลังเลเลยที่จะยอมรับมัน

แต่ในตอนนี้...ตอนที่ในชีวิตมีเงื่อนไขและอุปสรรคมากมายที่ต้องเผชิญ ความรู้สึกเหล่านี้มันจึงไม่ต่างกับโซ่ตรวนที่พันธนาการเอาไว้เขาจึงไม่นึกอยากจะผูกมัดใครเอาไว้ข้างกาย

แต่อย่างน้อยก็ขอเพียงให้เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ผ่านพ้นไปเสียก่อน...จะได้หรือไม่

ยังจะรอกันจนถึงวันนั้นหรือเปล่า..

“ข้าเข้าใจแล้ว” นัยน์ตามรกตวูบไหวสะท้อนเปลวเพลิง...แม้นเพียงเล็กน้อยก็ทำให้นคินนาคราชเข้าใจเจตนารมณ์ของอสุราหนุ่มได้ในทันที

ไม่ใช่ว่าไม่คิดรัก...เพียงแค่ยังไม่อยากจะรั้งใครเอาไว้ด้วยความเห็นแก่ตัวของตนเองก็เท่านั้น

พญานาคหนุ่มวางมือลงบนลาดไหล่หนาเพียงครู่ก่อนจะเดินออกไปจากบริเวณโถงกลางเพื่อกลับไปบำเพ็ญศีล เหลือทิ้งไว้เพียงแค่อสุราหนุ่มที่นั่งนิ่งมองกองไฟเริ่มมอดดับลงทีละนิด

ผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามความมืดมิดก็เข้ามาครอบคลุมบริเวณโถงถ้ำ มีเพียงแค่แสงสว่างจากดวงจันทราเท่านั้นที่ส่องทะลุผ่านลงมาจากช่องแสง ฉาบไล้ใบหน้าคมคร้ามอยู่เพียงเสี้ยวด้านข้าง

   นัยน์ตาคมกล้าปิดลงครู่หนึ่งก่อนจะเปิดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ฉายชัดขึ้นมา ก่อนแผ่นหลังกว้างแกร่งจะหายลับออกไปทางปากถ้ำ เงาร่างสูงใหญ่พาดไปตามทางเดินเรื่อยจนหายลับไปทิ้งไว้เพียงแค่เสียงน้ำหยดลงแอ่งหลุมกว้างดังประสานกับระลอกคลื่นลมภายนอกเป็นระยะ


(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 07-06-2019 11:57:19
กระรอกป่าที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้รีบกระโดดผลุบหายเข้าไปในโพรงเมื่อสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่พื้นด้านล่างก่อนมันจะชะโงกหัวออกมาดูว่าผู้บุกรุกนั้นจากไปแล้วหรือยังคงอยู่...แผ่นหลังกว้างที่หายลับเข้าไปในความมืดทำให้เจ้าสัตว์ตัวน้อยเชิดหน้าชูคอขึ้นเพื่อที่จะอาศัยแรงลมรับกลิ่น

   จมูกเล็กขยับเล็กน้อยไปตามสัญชาตญาณแล้วจึงพองขนราวกับว่ากำลังรู้สึกหวาดกลัว ก่อนมันจะตัดสินใจวิ่งหายเข้าไปหลบในโพรงไม้โดยไม่แม้นแต่ที่จะโผล่พวงหางออกมาให้ได้เห็น

   ภายในผืนป่ากว้างนั้นดูเงียบสงบเฉกเช่นทุกวัน แม้นในบางครั้งจะได้ยินเสียงของสัตว์ป่าคลอมาตามกระแสลมก็ตามที

   เสียงใบไม้แห้งดังขึ้นเป็นระยะเมื่อถูกย่ำลงน้ำหนักบนดิน ร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มดูโดดเด่นท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์ จังหวะการเดินมั่นคงหนักแน่นแต่กลับไม่รีบร้อนและเพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงแว่วของสายน้ำลำธารที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่เขานั้นยืนอยู่

   คืนนี้แสงจันทราดูแรงกล้ายิ่งกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงของม่านน้ำตกที่ไหลกระทบลงบนลำธารชัดเจนยิ่งขึ้น กระแสน้ำพัดผ่านส่องสะท้อนกับแสงสีเงินที่ฉาบไล้ลงมากระทบก้อนกรวดที่นอนนิ่งอยู่ใต้น้ำจนพวกมันเกิดประกายระยิบระยับคล้ายกับอัญมณี

   จอมทัพอสุราเดินเลียบเคียงไปตามทางต้นลำธารอย่างเรื่อยเปื่อย แต่ทันใดนั้นเองเงาร่างของใครบางคนที่ยืนแช่อยู่กลางลำธารก็ทำให้ฝีเท้านั้นหยุดชะงักราวกับถูกออกคำสั่งควบคุมกะทันหัน

   แม้นจะอยู่ไม่ใกล้นักแต่เขาก็จำได้ดีโดยไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายหันหน้ากลับมา

   ...อยู่ที่นี่หรอกหรือ

   เพียงเท่านั้นความทรงจำเมื่อครั้งก่อนก็ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิดพร้อมกับเสียงกึกก้องที่ดังขึ้นในโสตประสาท

   ช่วงเอวได้รูปที่หายลับลงไปใต้ผิวน้ำขยับเคลื่อนไหวเพียงนิดยามที่เจ้าตัวก้มลงวักน้ำขึ้นมาล้างใบหน้า แต่ด้วยระดับที่ไม่ได้สูงมากนักจึงทำให้ครานี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นเนื้อตัวเปลือยเปล่าไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดบัง...นั่นคงเป็นเพราะเจ้าตัวคิดว่าในป่าคงมีเพียงแค่ตนเพียงผู้เดียวซ้ำเพลานี้ก็มืดค่ำเต็มที

   วศินปรายตาไปมองทางกองผ้านุ่งที่ถูกพับไว้เรียบร้อยบนโขดหินริมฝั่งพร้อมย่ามอีกใบก่อนจะย้ายสายตากลับไปหาเจ้าของมันอีกครั้ง

   คราวที่แล้วเป็นเพราะเหตุบังเอิญจึงทำให้ต้องจำยอมสวมบทผู้ร้ายหลบซุ่มอยู่ใต้เงามืด...ซึ่งเขาหาได้ตั้งใจไม่

   แต่ครั้งนี้นั้นแตกต่าง...

   นัยน์ตาทรงอำนาจเกิดประกายวูบไหวพร้อมทั้งจับจ้องลูกมนุษย์ที่กำลังลูบไล้ทำความสะอาดเนื้อตัวของตนเองไม่วางตา รอยยิ้มข้างมุมปากกดลึกลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงฝ่ายนั้นร้องอุทานคงเพราะไปเหยียบกรวดแหลมเข้า

   ฝีเท้าที่หนักแน่นแต่กลับเงียบสนิทค่อยๆเดินลงไปในน้ำพร้อมกับปมผ้านุ่งที่ถูกคลายออกทีละนิดก่อนมันจะถูกโยนไปรวมไว้กับของที่วางไว้ก่อนหน้า

   ช่างไม่ระมัดระวังตัวอย่างเคย...

ไม่เคยระวัง...แม้ว่าในตอนนี้ตนเองจะไม่ได้ยืนอยู่ในลำธารแต่เพียงผู้เดียวอีกแล้วก็ตาม..

หยาดน้ำบางส่วนที่กระเซ็นออกมายามที่เจ้าตัวสะบัดศีรษะนั้นกระเด็นไปโดนแผ่นอกกว้างของใครบางคนเข้าโดยที่มันไม่รู้ตัว เจ้าแก้วตั้งท่าจะหมุนตัวเดินกลับขึ้นฝั่งแต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้พบกับใครบางคนที่มันนั้นไม่นึกว่าจะได้เจอในเวลานี้

“ท...ท่านวศิน”

สัตว์ตัวเล็กตั้งท่าจะถอยหลังกลับไปตั้งหลักแต่ทว่าด้วยแรงต้านของสายน้ำช่วยชะลอความเร็วเอาไว้จนไม่สามารถหนีได้ตามใจต้องการ

ก่อนช่วงเอวจะถูกโอบแล้วรวบกอดจนแผ่นหลังของมันชนเข้ากับแผงอกกว้างอย่างจัง เด็กหนุ่มตื่นตกใจจนเนื้อตัวเย็นเฉียบเพราะตนเองนั้นล่อนจ้อนไม่มีสิ่งใดปิดคลุม แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าแก้วนั้นตระหนกมากกว่าที่เคยก็เพราะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีสภาพที่ไม่ต่างจากตนเสียเท่าไรนัก

มันตั้งท่าจะดันตัวออกเพื่อเว้นระยะห่างแต่กลับถูกท่อนแขนกำยำพันธนาการเอาไว้จนไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้

“พระอาจารย์เป็นห่วงเจ้ามาก” เสียงทุ้มต่ำเข้มขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงตำหนิในท่วงที “เหตุใดดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้วยังไม่กลับ”

ใบหน้าคมคร้ามก้มลงถามคนในอ้อมกอด แต่นอกจากเจ้าสัตว์ตัวน้อยจะไม่ตอบคำถามแล้วยังเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตาเหมือนเก่า เพียงเท่านั้นวศินก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย...แม้นจะยังไม่แน่ใจนักว่าจะเป็นดั่งที่คิดหรือไม่ แค่ท่าทางเช่นนี้เขาเคยพบเห็นมาก่อนจนรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี

...เพราะเจ้าวิรัลนั้นชอบทำนักยามที่น้องรู้สึกไม่ชอบใจหรือตั้งท่าแง่งอนเขา..

“ฉัน...แค่แวะล้างตัวเพียงครู่ ประเดี๋ยวก็กลับแล้วจ้ะ” เสียงพูดแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบทำให้อสุราหนุ่มกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม

..เพียงแค่กอดเอาไว้ด้วยสองแขนก็แทบกลืนหายเข้าไปในอกแล้ว...

“เจ้าออกมาตั้งแต่บ่าย” อุ้งมือใหญ่ที่วางประทับลงบนสะโพกได้รูปเผลอออกแรงบีบจนร่างในอ้อมกอดสะดุ้งส่งเสียงประท้วงอยู่ในลำคอ “มัวไปเล่นซนที่ไหนมา” น้ำเสียงดุดันแสร้งเอ่ยตำหนิแต่ใบหน้ากลับลอบยิ้มมองเด็กน้อยในอ้อมกอดไม่วางตา

แล้วก็ได้ผล...เมื่อเจ้าแก้วเอี้ยวหน้าขึ้นมาหาพร้อมตั้งท่าเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อได้สบเข้ากับประกายกล้าในดวงตาทรงอำนาจ ถ้อยคำทุกอย่างกลับถูกกลืนหายลงไปในลำคอคล้ายกับเป็นใบ้ชั่วขณะ

“ป...เปล่าเสียหน่อยจ้ะ” ฝ่ามือที่เล็กกว่าของเขาเอื้อมมาจับท่อนแทนเอาไว้เพื่อเป็นหลักยึด “ท่านวศินปล่อยฉันก่อนได้หรือไม่จ๊ะ”

“เจ้ากำลังหลบหน้าข้า…รู้ตัวหรือเปล่า” ผู้มีอำนาจเหนือกว่าไม่ยอมให้ความร่วมมือต่อจำเลย 

เสียงพร่าต่ำก้มกระซิบหลังใบหู...ชิดใกล้จนสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่แผ่กำจายอยู่รอบกายตัดกับกระแสน้ำเย็นเฉียบ

เจ้าแก้วตั้งท่าจะตอบโต้กลับแต่แล้วกลับทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าแล้วก้มลงไปดังเดิม มันแอบเม้มริมฝีปากแน่นด้วยเพราะเกรงว่าจะเผลอเผยความรู้สึกบางอย่างออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้

หลบหน้าหรือ...ใช่เสียที่ไหน

มันเพียงแค่รู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะมองหน้าท่านวศินก็เท่านั้น..

เพราะหลังจากที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าจะกลับไปยังเมืองของตนเองจะไม่อยู่ที่นี่ต่อ ในใจก็เกิดความวูบโหวงขึ้นมาจนรู้สึกหวาดกลัวคล้ายกับถูกทิ้งไว้ท่ามกลางหุบเหวลึกที่ไร้ซึ่งหนทางออก...เป็นความรู้สึกเคว้งคว้างที่ตนเองก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าใดนัก

โกรธหรือ...ก็คงไม่ใช่

ทุกอารมณ์มันผสมรวมกันอีรุงตุงนังจนในที่สุดมันก็นึกโกรธตนเองเพียงเพราะต้องยอมรับความรู้สึกบางอย่างที่มันไม่ถูกไม่ควร

...ความรู้สึกคล้ายกับเด็กเอาแต่ใจ...เพียงเพราะว่าไม่อยากให้ท่านวศินกลับไปยังเมืองยักษ์เท่านั้นเอง..

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้มันยังไม่พร้อมที่จะสู้หน้าอีกฝ่ายเพราะละอายใจเหลือเกิน

แต่นอกจากไม่สามารถที่จะหลบพ้นได้แล้วอีกฝ่ายยังปรากฏตัวตรงหน้าราวกับภาพฝัน ทำให้ตะกอนที่ตกผลึกในใจนั้นกลับมาคละคลุ้งขึ้นมาอีกครั้ง

แล้วที่สำคัญแม้นมันจะไม่ได้เอ่ยปาก...

แต่นัยน์ตาทรงอำนาจคู่นั้นที่มองลงมาราวกับว่าสามารถอ่านความรู้สึกนึกคิดของมันได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนยากที่จะปิดบังได้อีกต่อไป..

    “ฉันเปล่าหลบหน้า...” เสียงประท้วงแผ่วเบาถูกกลืนหายไปเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เคลื่อนลงมารินรดอยู่บริเวณข้างซอกคอ เด็กหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อยามที่ถูกปลายจมูกโด่งกดย้ำลงบนผิวเนื้อ ไล่เรื่อยขึ้นไปจนถึงกกหูก่อนจะวกกลับลงมาที่ลาดไหล่เปลือย

   “ท่านวศิน..” เจ้าแก้วหูดับไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย มันได้ยินเพียงเสียงในอกที่เต้นรัวกระหน่ำอย่างบ้าระห่ำ ก่อนจะรู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีนั้นถูกดูดหายละลายไปพร้อมกับริมฝีปากอุ่นร้อนที่คอยกดประทับอยู่ทั่วผิวเนื้อ

   ...กดจูบย้ำไปมาราวกับผู้ล่าที่กำลังลองลิ้มรสของเหยื่อ

   เก็บกลืนรสของผิวเนื้อบริสุทธิ์จนหวานชุ่มไปทั้งโพรงปาก..

   ขบกัดลาดไหล่ได้รูปด้วยคมเขี้ยวจนได้ยินเสียงร่างในอ้อมกอดร้องประท้วงอย่างอ่อนแรง

   อสุราหนุ่มพลิกกายอีกฝ่ายให้หันกลับมาเผชิญหน้ากันก่อนฝ่ามือทั้งสองข้างจะประคองใบหน้าอ่อนเยาว์ให้เชิดขึ้น

...เพราะในยามที่อาบน้ำเจ้าแก้วมักจะถอดผ้าพันตาของมันออกจึงทำให้ได้เห็นใบหน้าเต็มดวงที่กำลังขึ้นสีระเรื่อได้อย่างน่าดูชม ประกายรื้นที่ขอบตาแดงก่ำสะท้อนแสงระยับจากมวลหมู่ดาวบนท้องฟ้า ความตื่นตระหนกฉายชัดออกมาผ่านแววตาใสซื่อช่างดูคล้ายกลับลูกกวางตัวน้อย

   ท่าทางเช่นนั้นเรียกรอยยิ้มพอใจให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคร้ามได้อย่างไม่ยากเย็น อุ้งมือใหญ่ที่โอบประคองใบหน้ามนุษย์นั้นค่อยๆเคลื่อนปลายนิ้วเกลี่ยผ่านผิวแก้มชื้นก่อนจะไปหยุดลงที่เรียวปาก

   “แก้ว” เสียงเรียกขานชื่อส่งผลให้เจ้าของชื่อเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจก่อนจะรีบปิดเปลือกตาแน่นเมื่อเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายก้มลงมาหาในระยะประชิด “กำลังโกรธข้าอยู่หรือ”

   “เปล่านะจ๊ะ ฉันไม่ได้..”

   “เช่นนั้นก็อย่าหลับตา”

   “…”

   “แก้ว”

   “จ...จ๊ะ”

   “เจ้าชอบให้ข้าเรียกชื่อเจ้าใช่หรือไม่...เด็กดี”

“…” ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ มีเพียงแค่การพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้นแทนคำตอบ

ปลายนิ้วแข็งช้อนเข้าใต้คางก่อนจะดันให้แหงนเงยขึ้น

ไม่รอให้ผู้รับสารได้นึกตรึกตรองประมวลผล เรียวปากก็แนบทับลงไปบนความนุ่มหยุ่นทันที ลิ้นร้อนสอดแทรกตัวเข้าไปในโพรงปากอุ่นอย่างคุ้นเคยก่อนจะค่อยๆไล้ไปตามไรฟันขาวอย่างอ้อยอิ่งจนได้ยินเสียงสะอื้นในลำคอ เจ้าแก้วออกแรงจิกลงบนท่อนแขนแข็งแรงอย่างหลงลืมตัว มันพยายามจะตอบโต้กลับแต่ก็ไร้ผลเมื่อถูกฝ่ายนั้นไล่ต้อนจนมุม

   รู้ตัวอีกทีทั้งร่างก็ลอยขึ้นสูงเหนือผิวน้ำโดยที่ริมฝีปากของทั้งคู่ยังไม่แยกห่างออกจากกัน

   เสียงชื้นแฉะเกิดขึ้นตามแรงอารมณ์ที่ค่อยๆไต่ระดับขึ้นสูง ลูกมนุษย์ที่ถูกอุ้มไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าเล็กน้อย เจ้าแก้วใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับกดแนบริมฝีปากกลับลงไป

   เจ้าสัตว์ตัวเล็กรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีขบเขี้ยวลงไปที่เรียวปากล่างของอสุราหนุ่มก่อนจะออกแรงกัดทึ้งอย่างไม่รุนแรงมากนักราวกับต้องการเอาคืนที่ถูกรังแกจนได้แผลเมื่อวันก่อน แต่นอกจากคนที่โดนกระทำจะไม่รู้สึกเจ็บแล้วยังหัวเราะชอบใจอยู่ในลำคอ

   วศินอุ้มร่างของอีกฝ่ายเดินสวนกระแสน้ำไปที่โขดหินใหญ่บริเวณใกล้น้ำตกก่อนจะวางเจ้าแก้วให้นั่งลงไป

   ร่างเปลือยเปล่าถูกแสงของดวงจันทร์ฉาบไล้เลียผิวจนนวลตา อสุราหนุ่มทาบทับริมฝีปากลงไปอีกครั้งก่อนท่อนแขนกำยำจะขนาบสองข้างเพื่อกักขังอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอด เสียงชื้นแฉะยังคงดังคลอต่อเนื่อง และในยามที่ใบหน้าคมคร้ามผละออกมาระหว่างกันก็มีเส้นใยใสเชื่อมต่อพร้อมกับความฉ่ำวาวที่เกาะตัวอยู่บนเรียวปากอิ่ม

ปลายจมูกโด่งเคลื่อนต่ำลงมาสูดดมกลิ่นผิวเนื้อบริสุทธิ์ที่ข้างซอกคออุ่นชื้นพร้อมละเลียดเก็บกลืนหยดเหงื่อที่ผุดซึมออกมาคล้ายกับว่ากำลังดูดน้ำหวานจากปลายเกสรดอกไม้

“อื้อ” เจ้าแก้วส่งเสียงร้องทั้งสายตาที่พร่ามัวเมื่อถูกความรู้สึกวาบหวามพุ่งโจมตี

นัยน์ตากวางฉ่ำน้ำจนขอบตาแดงรื้น เสียงเต้นระรัวในอกดังก้องจนปวดแปลบ แต่แล้วลมหายใจก็พลันสะดุดเมื่อถูกอสุราหนุ่มกดจูบลงบนแผ่นอกย้ำๆ ผิวเนื้อถูกดูดดึงขบเม้มจนรู้สึกเจ็บไม่น้อย สัมผัสได้ถึงคมเขี้ยวของยักษ์ที่กัดเน้นบริเวณเนินอกจนเกิดเสียงหยาบโลนน่าอาย

มันตัวสั่นสะท้านไหวจนต้องยกมือขึ้นดันลาดไหล่กว้าง แต่กลับถูกรวบเอาไว้อย่างแน่นหนา

สร้อยตะกรุดถูกปลายนิ้วเกี่ยวรั้งขึ้นก่อนสัมผัสนุ่มนวลจะประทับลงบนบริเวณกลางอก

เด็กหนุ่มก้มลงมองเรือนผมสีเข้มที่ซุกไซร้อยู่ช่วงอกพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบช่วงบ่ากว้างเอาไว้เป็นที่ยึด เจ้าแก้วสอดปลายนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมหนาที่เมื่อเทียบกันแล้วมือของมันดูเล็กลงไปถนัดตาราวกับมือเด็กเล็กที่กำลังโหยหาที่พึ่ง

เรียวขาสองข้างถูกจับแยกออกก่อนร่างสูงใหญ่จะแทรกเข้ามายืนตรงกลาง วศินตระโบมจูบผิวเนื้อเปลือยเปล่าจนทั่วทั้งแผ่นอกสีนวลขึ้นรอยจ้ำแดงช้ำ เรียวปากร้อนไล้เล็มเคลื่อนต่ำลงมาที่แผ่นท้องเนียนกดจูบย้ำไปมาจนเรียกเสียงสะอื้นจากเด็กน้อยได้อย่างน่าสงสาร

อสุราหนุ่มผละออกห่างพร้อมดันร่างที่เล็กกว่าให้นอนราบลงบนแผ่นหิน ก่อนจะตามลงไปทาบทับ

ผิวเนื้อเปลือยเปล่าร้อนระอุแนบชิดกันทุกสัดส่วนไร้ซึ่งช่องว่างให้อากาศได้ลอดผ่าน เจ้าแก้วถูกป้อนจูบอีกครั้งจนสติการรับรู้เลื่อนลอย รู้ตัวอีกทีเรียวขาทั้งสองข้างก็ถูกดันขึ้นมาจนสะโพกลอยเคว้ง บางส่วนที่เริ่มตื่นตัวตามสัญชาตญาณดิบตั้งชันแนบไปกับแผ่นท้องแบนราบ

สัตว์ตัวเล็กตื่นตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าคมคร้ามเคลื่อนต่ำลงไปอยู่ที่แอ่งสะดือก่อนจะเห็นปลายลิ้นฉกวูบแลบเลียจนเปียกชื้นทั่วทั้งบริเวณ

“อ...อื้อ!” เด็กน้อยหุบขาเข้าเมื่อรู้สึกร้อนวูบบริเวณกลางกาย แต่ทว่าติดที่ช่วงบ่ากว้างขวางกั้นเอาไว้เสียก่อน

แววตาสั่นไหวอย่างรุนแรงเมื่อถูกลมหายใจของอีกฝ่ายเป่ารินรด อสุราหนุ่มกดจูบลงบนแผ่นท้องอีกหนก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่นอนตัวอ่อนได้อย่างน่าเอ็นดู

“เจ้าเคยทำมันหรือไม่” ความหมายแฝงนัยถูกส่งไปให้

เจ้าแก้วที่ปีนี้แม้นจะอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปดแล้วแต่กลับไม่เคยที่จะได้แตะต้องเรื่องใต้สะดือมาก่อน มีหลายครั้งที่ได้ฟังจากพวกเพื่อนพี่กล้าคุยโวกันในวงสุรา แต่ตัวมันเองนั้นกลับไม่แม้แต่จะให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้

...ยังไม่เคยถูกผู้ใดแตะต้องเช่นนี้มาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำไป..

เด็กน้อยที่นอนตัวสั่นอยู่ใต้ร่างค่อยๆส่ายหน้าปฏิเสธอย่างช้าๆ ซ้ำใบหน้าอ่อนเยาว์ยังขึ้นสีแดงจัดจนลามไปถึงลำคอ ท่าทางหวั่นวิตกอีกทั้งยังหลบตาให้วุ่นทำให้อสุราหนุ่มนึกเอ็นดูเสียยิ่งกว่าเดิม

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังในลำคออย่างนึกพอใจก่อนจะก้มลงขบเม้มผิวเนื้ออ่อนจนขึ้นรอยแดงไปทั่วโคนขาเกลี้ยงเกลา ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดอยู่ใกล้ทำให้ร่างข้างใต้สั่นสะท้านก่อนจะหลุดร้องออกมาเมื่อเห็นว่าตัวตนถูกเขาครอบครองเอาไว้ทั้งหมด

“ท่านวศิน!”

เจ้าแก้วตื่นตกใจจนแทบสิ้นสติก่อนเสียงคราเครือในลำคอจะเข้ามาแทนที่เมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่โอบกระชับอยู่บริเวณกลางกาย

ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยทำให้มันต้องแอ่นตัวเหยียดโค้งจนเกร็งสะท้าน สองมือทั้งผลักทั้งดันผู้ที่รังแกกันห่างแต่กลับไร้ผล นอกจากฝ่ายนั้นจะไม่ยอมให้ความร่วมมือแล้วกลับเพิ่มแรงดูดกลืนจนผู้ถูกกระทำมือไม้อ่อนเปลี่ยนจากผลักไสเป็นจิกเล็บเข้ากล้ามเนื้อหนั่นแน่นบริเวณบ่ากว้างเพื่อเป็นหลักยึดเอาไว้แทน

“ฮ..ไม่-” เรียวปากที่เจ่อบวมเพราะถูกบดจูบมาจนชอกช้ำถูกขบกัดเอาไว้เพื่อกลั้นเสียงน่าอาย เจ้าแก้วดิ้นทุรนทุรายราวกับจะขาดใจเมื่อไม่สามารถทัดทานความวูบไหวได้อีกต่อไป ความร้อนที่มากระจุกอยู่ที่บริเวณท้องน้อยทำให้มันตัวสั่นเทิ้มราวลูกนกต้องฝนก่อนจะกระตุกเกร็งสะท้านไหวเมื่อไม่สามารถอดกลั้นความปรารถนาเอาไว้ได้

ทุกหยาดหยดบริสุทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมาโดยที่มีอสุราหนุ่มรองรับเอาไว้ในโพรงปากโดยไม่นึกรังเกียจ

ร่างสูงใหญ่ปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นมาคร่อมทับเอาไว้

“ท...ท่านวศิน…ทำไมถึงกิน..มันสกปรก..” เจ้าแก้วเอ่ยท้วงอย่างหมดสภาพ ใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้นสีแดงจัดคล้ายกับคนจับไข้ ดวงตาปรือปรอยฉ่ำน้ำนั้นหนักอึ้งขึ้นมาเสียดื้อๆ

...เพียงเขาแตะต้องนิดหน่อย เจ้าดอกแก้วดอกนี้ก็ตัวอ่อนราวกับถูกลนด้วยไฟ ซ้ำยังส่งกลิ่นหอมยั่วยวนโดยที่เจ้าตัวนั้นหาได้รู้สึกตัว

แม้นจะไม่เคยร่วมสัมพันธ์กับผู้ใดมาก่อน...แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าความปรารถนานั้นเป็นเช่นไร

โดยเฉพาะกับคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง...

...ความปรารถนาของเขาที่มีต่อเจ้าแก้วนั้นมีมากล้นเสียจนตนเองยังนึกแปลกใจ...

มากเสียจนสูญเสียความเป็นตัวตนไปจนหมดสิ้น..

“หาได้สกปรกไม่..” เสียงทุ้มพร่าก้มกระซิบข้างใบหู “…เจ้ามันน่ากินไปทั้งตัว” ปลายจมูกโด่งกดลงบนจุดชีพจรก่อนจะสูดดมกลิ่นกายซ้ำไปมา พึมพำไม่หยุดปากราวกับต้องมนต์สะกด

ที่กล่าวมานั้นหาใช่คำหวานเพื่อโอ้โลมและไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยสักนิด

เจ้าแก้วไม่ใช่สตรีก็จริง แต่น่าแปลกที่ทั้งเนื้อทั้งตัวนั้นมีกลิ่นหอมอบอวลแม้นจะมีเหงื่อชื้น คงเพราะเจ้าตัวขลุกอยู่กับพืชสมุนไพรแทบจะตลอดเวลา เลยทำให้มีกลิ่นสะอาดนุ่มจมูกเช่นนี้

วศินค้ำศอกขึ้นมองดูใบหน้าของเด็กน้อยที่กำลังปรือปรอยได้ที่ สองแก้มกลมที่มีเนื้ออยู่มากกำลังขึ้นเลือดฝาดได้อย่างน่าดูชม

แต่ที่ดูสะดุดตามากที่สุดก็คงเป็นรอยบากที่พาดผ่านบริเวณดวงตาข้างซ้าย อสุราหนุ่มปัดปอยผมชื้นเหงื่อขึ้นจนเผยให้เห็นดวงหน้าหมดจด ก่อนริมฝีปากจะกดประทับลงไปบนบาดแผลนั้นอย่างทะนุถนอม เขี้ยวคมขบเม้มบนผิวแก้มอย่างนึกมันเขี้ยวก่อนใบหน้าจะคล้อยต่ำลงไปซุกไซร้ข้างซอกคอชื้นเหงื่ออีกครั้ง

...ยอมรับว่าเขานั้นลุ่มหลงในตัวมนุษย์คนนี้เข้าแล้ว...และยากที่จะถอนตัว..

“หากเจ้าไม่ต้องการ...เพียงแค่เอ่ยปาก...ข้าจะหยุด” ประโยคถูกเว้นด้วยการกดจูบย้ำลงบนลำคอ คำต่อคำ

“…”

“แต่ถ้าไม่...หลังจากนี้ต่อให้ร้องอ้อนวอนขอก็คงไม่เป็นผล”

คราแรกเขาตั้งใจที่จะหยุดเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ ไม่คิดเกินเลย แต่ทว่ากลิ่นกายเย้ายวนที่ถูกอบร่ำไปด้วยเสน่หากลับทำให้ความตั้งใจนั้นเริ่มสั่นคลอน สันกรามถูกขบจนนูนเมื่อจู่ๆเด็กน้อยใต้ร่างก็วาดแขนออกมากอดรอบคอเขาเอาไว้ก่อนจะออกแรงดึงรั้งจนทั้งร่างแทบล้มทับถ้าหากไม่ยั้งกายเอาไว้ก่อน

...นี่จะถือว่าเป็นคำตอบ

เจ้าแก้วซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกกว้างอย่างออดอ้อนเพราะเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบหายไปจนหมดสิ้น แต่แล้วกลับต้องลมหายใจสะดุดเมื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุที่ทาบทับลงมาบนแผ่นท้อง เพียงเท่านั้นทั้งเนื้อทั้งตัวก็เย็นเฉียบเมื่อรู้สึกว่าเจ้าสิ่งนั้นกำลังเบียดแนบชิดบริเวณท้องน้อย

...และเมื่อเทียบความต่างของขนาดแล้วทำเอาสันหลังมันเย็นวาบขึ้นมาในบัดดล

“แก้ว...อย่าขยับ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่ามันพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่ทว่ายิ่งหนีก็ยิ่งไปกระตุ้นให้บางสิ่งบางมันรู้สึกเสียยิ่งกว่าเก่า

“มัน...มันร้อน..” เด็กน้อยมีสีหน้าวิตกกังวลเพราะบริเวณนั้นมันช่างร้อนจัดราวกับถูกเหล็กหลอมลวกผิวเนื้อ

“เจ้าหมายถึงอะไร” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อย แต่แล้วคำตอบที่ได้ยินกลับทำเอาจอมทัพอสุราถึงกับนิ่งค้างไปชั่วขณะ

“ต...ตรงส่วนนั้นของท่านวศิน...มัน...มันร้อ- อื้อ” ไม่ทันได้พูดจบประโยคริมฝีปากก็ถูกปิดทับแนบสนิท แต่ครั้งนี้ช่างรุนแรงเสียจนรู้สึกเจ็บเมื่อถูกคมเขี้ยวบาดเข้าที่มุมปาก เสียงทุ้มต่ำที่คราเครืออยู่ในลำคอคลอแผ่วราวกับต้องการสะกดกลั้นอารมณ์เบื้องต่ำเอาไว้

วศินถอนจูบออกก้มลงประทับเรียวปากบนหน้าผากชื้นเหงื่อแต่แล้วกลับต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อสัมผัสได้ว่ากลางกายของตนถูกกอบกุมเอาไว้ สัมผัสอุ่นนุ่มจากอุ้งมือเล็กทำให้เขาต้องขบกรามจนขึ้นสันนูน

การขยับอย่างเก้กังไม่ประสาทำเอาอสุราหนุ่มต้องยืดกายขึ้นก่อนจะดึงร่างของอีกฝ่ายขึ้นมานั่ง ฝ่ามือใหญ่ดึงมือที่เล็กกว่ามากอบกุมบริเวณกลางกายของตนอีกครั้ง แต่ครานี้เนื่องจากได้ประจันหน้าโดยไร้สิ่งใดบดบังก็ทำเอาเจ้าแก้วนิ่งค้างจนตัวแข็งทื่อ

...ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นของผู้อื่นมาก่อน...ปกติเวลาอาบน้ำร่วมท่ากับพวกพี่กล้ามันก็เห็นจนชินตาแล้ว

แต่ทว่าลืมนึกไปเสียสนิทว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นหาใช่มนุษย์เฉกเช่นตน...ขนาดร่างกายที่ใหญ่โตมากกว่าเท่าตัวจึงทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนวูบไปทั่วทั้งร่าง

บางสิ่งบางอย่างที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแผ่กลิ่นอายน่าหวั่นเกรงจนลำคอนั้นแห้งผาก มันดูแข็งกร้าวน่าหวาดหวั่นคล้ายกับว่ามันนั้นมีชวิต..

จังหวะมือที่กอบกุมอยู่รอบกายใหญ่ค่อยๆขยับเคลื่อนไหวอย่างเก้กัง เจ้าแก้วช้อนตาขึ้นมองราวกับกำลังตั้งคำถามว่าสิ่งที่มันทำนั้นทำให้ท่านวศินรู้สึกพึงพอใจหรือเปล่า

เพราะอีกฝ่ายอุตส่าห์ช่วยปลดปล่อยความอึดอัดในร่างกายให้...มันจึงอยากตอบแทนบ้างก็เท่านั้น

ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มต่ำคราเครือในลำคอมันก็ยิ่งเร่งจังหวะและลงน้ำหนักมืออย่างย่ามใจ

...รู้ตัวอีกทีก็ถูกดันให้นอนราบลงไปบนแผ่นหินก่อนจะถูกทาบทับลงมาจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนระอุที่แผ่กระจายอบอวลอยู่รอบกายสูงใหญ่

ริมฝีปากที่บวมช้ำถูกประกบจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผิวเนื้อเปลือยเปล่าปรากฏรอยแดงเป็นจ้ำกระจายทั่ว

อสุราหนุ่มก้มตัวลงต่ำแต่ครั้งนี้กลับดันเรียวขาทั้งสองข้างขึ้นไปชิดแนบอกพร้อมลากลิ้นผ่านผิวเนื้อช่วงโคนขาลงมาต่ำจนถึงบางจุดที่ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งตัวโยนเมื่อถูกเรียวลิ้นชื้นพยายามดุนดันแทรกแซงเข้ามาในกาย

“ต...ตรงนั้น อ..ไม่ มัน อื้อ!” เจ้าแก้วหลับตาแน่นเมื่อถูกปลายนิ้วใหญ่กดลงน้ำหนักบริเวณปากทางแล้วนวดคลึงอย่างเอาอกเอาใจ ความรู้สึกวูบไหวทำให้ต้องหดแผ่นท้องจนเกร็ง

“...ส่วนนี้” ลงน้ำหนักจนสามารถแทรกเข้าไปได้เกินครึ่งข้อนิ้ว “ถ้าไม่ทำให้คุ้นชิน...เจ้าจะเจ็บ”

เพียงแค่นิ้วเดียวก็สร้างความเจ็บปวดให้กับเด็กหนุ่มอย่างสุดแสน

ข้อนิ้วแข็งหยาบกร้านเพราะผ่านการจับศาสตราวุธจนคุ้นชินพยายามที่จะไม่ลงแรงให้อีกฝ่ายนั้นรู้สึกทรมาน แต่ทว่าความอุ่นนุ่มที่โอบรัดทำให้เขาต้องขบกราบแน่นจนเป็นสันนูนเพื่อหักห้ามใจตนเองไม่ให้เร่งรัดรังแกไปมากกว่านี้

เพราะรู้ดีว่าขนาดตัวของเขาและเจ้าสัตว์ตัวเล็กนั้นแตกต่างกันมากเพียงใด...หากรีบร้อนไม่ระมัดระวังแล้วละก็อีกฝ่ายคงทรมานไม่น้อย

ปลายนิ้วเริ่มขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากร้อนรุ่มกดจูบลงบนแผ่นท้องแบนราบและโคนขาสลับไปมาเพื่อดึงความสนใจ เมื่อได้ยินเสียงคราเครือแผ่วเบาในลำคอก็เริ่มกดลึกพร้อมเร่งจังหวะขึ้น เจ้าแก้วนอนบิดกายเร่าเพราะความรู้สึกเจ็บเสียดของสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกประหลาดที่คล้ายกับว่ากำลังร่วงหล่นลงจากที่สูง มันก้มลงมองอสุราหนุ่มที่เล้าโลมส่วนล่างอย่างใจเย็นแล้วก็รู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า

..เพราะท่านวศินในตอนนี้..แปรเปลี่ยนเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง...

ทั้งสายตาร้อนรุ่มยามที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา น้ำเสียงทุ้มพร่าที่คอยกระซิบโอ้โลมข้างใบหูและร่างกายกำยำที่ขยับขับเคลื่อนอย่างเป็นธรรมชาติ

...ไม่เห็นจะเหมือนผู้ที่ถือครองพรหมจรรย์อย่างที่บอกกับท่านนคินเลยสักนิด..

“รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือไม่” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามในตอนที่ถอดถอนนิ้วออกมาจากกายอุ่น เจ้าของร่างหลงร้องออกมาเมื่อรู้สึกวูบโหวงส่งผลให้อสุราหนุ่มต้องขบเขี้ยวลงบนปลีน่องเกลี้ยงเกลาอย่างนึกมันเขี้ยวกับท่าทียั่วเย้าราคโดยไม่รู้ตัวของอีกฝ่าย

...ทั้งๆที่เมื่อก่อนถูกนางยักษ์รูปงามหลายตนหว่านเสน่ห์มาให้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่นึกหวั่นไหวเพียงกระผีก

แต่ท่าทีของลูกมนุษย์ที่นอนน้ำตารื้นหายใจหอบจนใบหน้าแดงก่ำนั้นกลับปลุกสัญชาตญาณดิบที่ถูกเก็บไว้ใต้เบื้องลึกของจิตใจได้เป็นอย่างดี

..น่าขย้ำข่มเหงรังแกให้ร้องห่มร้องไห้ยิ่งนัก...

เจ้าแก้วส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเชื่องช้าก่อนเรียวขาทั้งสองข้างจะถูกดันขึ้นอีกครั้งโดยมีฝ่ามือใหญ่รองข้อพับขาเอาไว้ สะโพกได้รูปยกเหนือพื้นจนบั้นท้ายลอยเด่น อสุราหนุ่มก้มลงจูบซับลงบนผิวเนื้อเนียนพร้อมกับฝังเขี้ยวจนขึ้นรอยจ้ำทั่วบั้นท้ายกลมกลึง

เจ้าตัวน้อยสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกได้ถึงเรียวลิ้นที่ค่อยๆสอดแทรกเข้ามาภายในกายอีกหนและครั้งนี้มันก็เข้ามาได้ลึกกว่าเก่า

เสียงเฉอะแฉะยามที่อีกฝ่ายกระดกลิ้นพลิกแพลงไปมาในตัวทำให้มันหลุดเสียงร้องออกมาอย่างไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ ฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างเลื่อนลงมากอบกุมหนั่นเนื้อกลมกลึงไว้มั่นก่อนจะบีบขย้ำพร้อมดันเปิดให้เรียวลิ้นสามารถลุกล้ำเข้าไปได้มากยิ่งขึ้น

เรียวขาสองข้างพยายามหุบเข้าหากันเพื่อปกป้องตนเอง...แต่ทว่ากลับถูกพันธนาการแน่นหนายึดเอาไว้มั่น

“ฮ...ไม่! ท่าน..วศิน อื้อ!” เด็กน้อยร้องอย่างขวัญเสียเมื่อรู้สึกได้ถึงปลายลิ้นร้อนที่เข้ามาสัมผัสโดนบางจุดในร่างกาย



(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 07-06-2019 11:58:14
เจ้าแก้วเกร็งสะท้านไปทั้งร่างก่อนจะปลดปล่อยความทรมานออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกแล่นปราบทำให้สมองขาวโพลนไปชั่วขณะ แต่แล้วความวูบโหวงกลับเริ่มเข้ามาแทนที่เมื่ออีกฝ่ายถอนใบหน้าออกมาจากกลางหว่างขา มันนอนมองตาปรือปรอยด้วยความเหนื่อยอ่อนผ่านม่านน้ำตาที่เกาะแพขนตาจนเปียกชุ่ม

..และแล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้รู้สึกร้อนวูบไปทั่วทั้งตัวจนลำคอแห้งผาก

อสุราหนุ่มที่ยืดตัวยืนตรงกำลังใช้มือรูดรั้งส่วนกลางกลายอย่างเนิบนาบทั้งที่สายตายังคงจดจ้องมองลงมา

กล้ามเนื้อหนั่นแน่นทั่วร่างกายใหญ่โตนั้นเกร็งเครียดขมึงไปทุกส่วนสัด เส้นเลือดที่ปูดโปนทั่วเรือนกายดูน่าหวาดหวั่นจนมันนึกกลัว

..โดยเฉพาะส่วนกลางกายที่ใหญ่โตเสียจนมีขนาดราวกับท่อนแขนของมันเสียด้วยซ้ำไป...

   เพราะมัวแต่ตกตะลึงจนขวัญเสีย รู้ตัวอีกทีบริเวณท้องน้อยก็รับรู้ได้ถึงความร้อนจัดที่ทาบทับลงมา เจ้าแก้วเสหน้าหลบออกไปอีกทางเมื่อถูกเจ้าส่วนนั้นถูไถอยู่บนแผ่นท้อง ขนาดของมันใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการว่าตัวมันจะสามารถรับรองเอาไว้ได้หมด

   ...หากเปลี่ยนใจตอนนี้จะทันหรือเปล่า

   แต่แล้วความอุ่นร้อนที่ย้ายลงมาแนบชิดกับบั้นท้ายทำให้เจ้าแก้วรีบหลับตาปี๋ มันลมหายใจสะดุดเมื่อรับรู้ได้ว่าบริเวณปากทางถูกอีกฝ่ายใช้ส่วนปลายที่ร้อนจัดนวดคลึงไปมาอย่างอ้อยอิ่ง ความร้อนรุ่มจากกายใหญ่แผ่ซ่านผ่านแนวกระดูกสันหลังขึ้นไปยังก้านสมอง ความรู้สึกเจ็บราวกับถูกฉีกทึ้งแล่นโจมตีทันทีเมื่ออสุราหนุ่มค่อยๆกดย้ำกายใหญ่เข้ามา

แม้นจะเป็นแค่เพียงส่วนปลายเท่านั้นแต่กลับสร้างความร้าวรานให้กับมนุษย์ตัวน้อยอย่างสุดแสน

เจ้าแก้วกัดริมฝีปากจนซีดเซียวพร้อมทั้งกลั้นเสียงสะอื้นที่ตีรวนขึ้นมาในลำคอ...ตั้งแต่เล็กจนโตมันไม่เคยได้ลิ้มรสความทรมานเช่นนี้มาก่อน

   เนื้อตัวพลันเย็นเฉียบเมื่อกายใหญ่ส่วนปลายผลุบหายเข้ามาในร่าง หยาดเหงื่อผุดพรายขึ้นข้างขมับตัดกับผิวเนื้อ รอยแผลที่ข้างมุมปากปริแตกจนเลือดซึมออกมาเพราะเจ้าตัวเอาแต่กัดย้ำไปมาเพื่อระบายความเจ็บ

   “แก้ว...อย่ากัด” วศินเอื้อมมือลงไปลูบไล้ปลอบโยนข้างใบหน้าอ่อนเยาว์ก่อนจะสอดปลายนิ้วให้อีกฝ่ายกัดเอาไว้แทน

   ...ตัวเขาเองก็รู้สึกทรมานไม่ต่างกันเลยสักนิด

   ภายในร่างกายอุ่นโอบรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ อสุราหนุ่มผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆก่อนจะโน้มตัวลงไปป้อนจุมพิตอ่อนหวานเพื่อหวังที่จะคลายความเจ็บปวดให้

   “ท...ท่านวศิน” เจ้าแก้วส่ายหน้าไปมาจนเส้นผมเปียกชื้นแผ่กระจาย สองมือยกขึ้นจับยึดบ่ากว้างเอาไว้อย่างไร้ซึ่งหนทาง เสียงคราเครือดังต่ำอยู่ในลำคอไม่ขาดสาย “...ห้ามเข้ามาหมด..อ..เอาเข้ามาหมดไม่ได้..อื้อ!” มันสะอื้นจนตัวโยนเมื่อรู้สึกเจ็บชาตามแนวสันหลังยามที่อีกฝ่ายขยับเคลื่อนตัว ร่างกายภายในรู้สึกปวดร้าวรานกับถูกแรงมหาศาลฉีกทึ้งออกจากกัน

   ..ไม่ไหว

   มันมากเกินไป...มากเกินกว่าที่จะรับได้ทั้งหมด..

   “...เจ็บมากหรือ” อสุราหนุ่มประคองใบหน้าได้รูปไว้พร้อมพรมจูบอย่างอ่อนโยนพร้อมกับแนบหน้าผากเข้าหาหน้าผากชื้นเหงื่อ “ข้าขอโทษ”

   ไม่คิดว่าขนาดตัวที่ต่างกันจะสร้างความทรมานให้อีกฝ่ายได้มากถึงเพียงนี้

   วศินหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างโดยไม่สนว่าส่วนกลางกายที่ผลุบหายเข้าไปในร่างมนุษย์ตัวน้อยจนเกือบครึ่งจะทรมานแค่ไหน และถึงแม้นว่าภายในกายอุ่นจะทำให้รู้สึกดีเจียนจะคลั่งก็ตาม

...และน้ำตาของอีกฝ่ายนั้นสามารถดึงรั้งสติไว้ได้เป็นอย่างดี

เจ้าแก้วพยักหน้ายอมรับอย่างไม่คิดปิดบังเมื่อรู้สึกเจ็บปวดเกินจะทนไหว แต่เพราะอสุราหนุ่มไม่ฝืนบังคับตนเองซ้ำยังคอยจูบซับปลอบโยนทั่วร่างกายมันจึงอดทนอดกลั้นเพราะอยากจะมอบความสุขตอบแทนให้อีกฝ่ายบ้าง

นัยน์ตาสีอ่อนมองเรือนกายสูงใหญ่ที่อยู่ด้านบนตลอดเวลา แม้นช่วงล่างจะยังเชื่อมต่อกันอย่างแนบชิดแต่ทว่าเรียวปากร้อนจัดกลับก้มลงพรมจูบทั่วร่างอย่างอ่อนโยน

สัมผัสอุ่นชื้นแตะลงที่หลังใบหูซ้ายขวาไล่ต่ำลงมาซุกไซร้ข้างซอกคอชื้นเหงื่อที่บัดนี้ปรากฏรอยจ้ำเลือดและรอยฟันคมที่ขบกัดลงมาอย่างไม่คิดที่จะออมแรง แม้แต่แนวลาดไหล่และแผ่นอกเนียนลามไปจนถึงแผ่นท้องแบนราบก็ไม่เว้น ใบหน้าคมคร้ามแวะเวียนขบกัดอยู่บริเวณโคนขานานเป็นพิเศษ คราบเปียกชื้นทิ้งตัวเอาไว้พร้อมทั้งรอยนิ้วมือขนาดใหญ่อสุราหนุ่มช้อนเรียวขาข้างหนึ่งขึ้นมาก่อนจะกัดเข้าปลีน่องจนขึ้นรอยเขี้ยวคม

“ผิวเจ้ามันน่ากัดให้จมเขี้ยว” เสียงพึมพำแผ่วเบาแต่กลับดังชัดในความรู้สึก

เจ้าแก้วนอนมองท่าทีทั้งหมดด้วยเสียงที่เต้นอึกกะทึกอยู่ในอกจนหูดับตาพร่ามัวเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นประคองฝ่าเท้ามันเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากแนบลงไปบนหลังเท้าและข้อเท้าก่อนจะใช้คมเขี้ยวขบกัดจนขึ้นรอย

เรียกได้ว่าตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า...ไม่มีส่วนไหนเลยที่ริมฝีปากและเขี้ยวคู่นั้นจะไม่ลากผ่านและฝากฝังรอยเอาไว้

จากความทรมานเริ่มมีความรู้สึกแปลกประหลาดซึมแทรกเข้ามายามที่บางสิ่งบางอย่างในร่างกายนั้นเคลื่อนขยับ ความวาบหวามที่แล่นปราบไปทั่วร่างเริ่มทำให้เจ้าแก้วอยู่ไม่สุข มันก้มลงมองแผ่นท้องของตนเองที่บริเวณท้องน้อยนูนขึ้นเป็นรูปร่างของบางสิ่งบางอย่าง แม้นจะเลือนรางแต่ยามที่อีกฝ่ายขยับตัวกลับรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่ดุนดันหน้าท้องราวกับว่ามันนั้นมีชีวิต

มือของมนุษย์เอื้อมไปกอบกุมฝ่ามือใหญ่เอาไว้มั่นก่อนจะดึงลงมาวางบนแผ่นท้องที่ขึ้นรูปของตน นัยน์ตากวางรื้นน้ำช้อนขึ้นมองผู้มีอำนาจเหนือกว่าราวกับว่ากำลังอ้อนวอนขอความเมตตา เพียงเท่านั้นก็ทำให้ทั่วทั้งร่างของอสุราหนุ่มร้อนวูบด้วยความปรารถนาที่กำลังเผาไหม้  สันกรามถูกขบกัดเกร็งแน่นเมื่อใกล้หมดความอดทน

เจ้าสัตว์ตัวเล็กมันกำลังเว้าวอนขอความเห็นใจ...แต่หารู้ไม่ว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นช่างยั่วเย้าอารมณ์ดิบให้ลุกโหมกระพือขึ้นอย่างรวดเร็ว

สองมือช้อนรั้งเข้าใต้สะโพกมนจนตัวลอยหวือก่อนจะจัดการยกขาข้างหนึ่งขึ้นแนบไว้ที่ข้างบั้นเอวสอบ ส่วนอีกข้างถูกนำมาวางประทับไว้บนแผ่นอกกว้างกำยำดั่งหินผา

วศินลงน้ำหนักจนกลางกายสามารถเข้าไปได้ลึกมากยิ่งขึ้น ก่อนจะค่อยๆขยับสวนสะโพกอย่างเนิบนาบไม่รีบร้อน ความอุ่นร้อนบีบรัดแน่นราวกับจะหลอมละลายให้หลอมรวมเป็นหนึ่ง เสียงร้องครวญครางแหบพร่าของเด็กหนุ่มดังคลอขึ้นพร้อมเสียงสะอื้นยามที่เขาเริ่มออกแรงกระแทกกระทั้นอย่างหยาบโลน หน้าขาแข็งแรงกระทบเข้ากับบั้นท้ายเนียนจนเกิดรอยแดงเป็นปื้น ด้วยความต่างของขนาดตัวและพละกำลังที่มีมากเกินจึงทำให้อสุราหนุ่มไม่สามารถที่จะออกแรงได้มากนัก

เรี่ยวแรงมหาศาลถูกนำไประบายกับสิ่งอื่นรอบกายแทนเพียงเพราะว่าไม่อยากจะทำให้ร่างในอ้อมกอดต้องเจ็บตัว ก้อนหินที่วางอยู่ใกล้ถูกอุ้งมือใหญ่คว้ามาเป็นหลักยึด แต่เพียงไม่นานหินแกร่งกลับแตกละเอียดเป็นเศษคมจนบาดมือ สันหมัดถูกกำจนเส้นเลือดปูดโปน เสียงทุ้มต่ำราวสัตว์ใหญ่คำรามกร้าวในลำคอก้องกังวาน

ปลีน่องเกลี้ยงเกลาถูกคมเขี้ยวขบกัดซ้ำรอยเดิมครั้งแล้วครั้งเล่าจนมีบางจุดเลือดไหลซึมออกมา แต่ทว่าเจ้าตัวนั้นไม่ทันได้รู้สึกเพราะถูกปรนเปรอจนสติการรับรู้เลื่อนลอย

กายใหญ่ที่สอดลึกกระแทกกระทั้นเข้าไปถูกบางจุดยิ่งทำให้เจ้าแก้วตัวสั่นเทิ้มและร้องออกมาจนลืมความอับอายไปชั่วขณะหนึ่ง

“เจ้าตัวเล็ก...เบาเสียงหน่อย” รอยยิ้มบางเบากดลึกข้างมุมปากอย่างนึกเอ็นดู ซ้ำยังใช้สรรพนามใหม่เรียกเพื่อกระตุ้นเร้าให้อีกฝ่ายได้รู้สึกอับอาย

แล้วก็ได้ผลอย่างที่คิดเมื่อถูกมือทั้งสองข้างที่หนักราวปุยนุ่นประทุษร้ายบนแผ่นอก มันทั้งจิกและข่วนจนเลือดซิบแต่กลับไม่ระคายผิวเลยแม้แต่น้อย

...ช่างเหมือนกระรอกป่าเสียจริง

...ตอนติดสัดนั้นมักจะดุร้ายเป็นพิเศษ..

คำพูดโอ้โลมที่ถูกกระซิบข้างใบหูทำให้เจ้าแก้วใบหน้าแดงเถือกไปถึงลำคอเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำเหล่านี้หลุดออกมาจากปากของอสุราหนุ่ม

เสียงทุ้มพร่าแหบต่ำที่พร่ำบอกไม่ขาดปากว่าในตัวมันนั้นดีเพียงใด...แม้นหยาดเหงื่อก็ยังหวานลิ้น

รวมไปถึงสายตาร้อนรุ่มที่จ้องมองมาราวกับต้องการที่จะกลืนกินเข้าไปทั้งเนื้อตัว

เวลาล่วงเลยผ่านจนเจ้าแก้วไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อกรด้วยได้อีกต่อไป เพียงแค่ปล่อยให้ร่างกายโยกไหวไปตามแรงขับเคลื่อนของผู้นำจนใกล้ถึงฝั่งฝัน เสียงคราเครือทุ้มเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแหบแห้ง เด็กหนุ่มคล้องแขนรอบลำคอแกร่งไว้พร้อมกับซุกหน้าเข้าแผ่นอกกว้างอย่างต้องการที่พึ่ง ความร้อนรุ่มราวกับท่อนไฟร้อนลวกช่องท้องจนหลอมละลาย เสียงหอบหายใจของอสูรและมนุษย์ดังประสานกันกลางความเงียบสงบของผืนพนากว้าง

การร่วมสังวาสข้ามเผ่าพันธุ์มีเพียงท้องนภากว้างและผืนธรณีกับดวงจันทราเท่านั้นที่เป็นสักขีพยานในค่ำคืนนี้

   สะโพกสอบขยับเคลื่อนไหวรุนแรงจนร่างข้างใต้นั้นแผ่นหลังเสียดสีไปกับพื้นหินจนขึ้นรอย วศินสอดท่อนแขนเข้าไปรองรับน้ำหนักตัวเอาไว้แทนทั้งหมด เพียงไม่นานเจ้าแก้วก็หลุดร้องครวญครางก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสะท้านไหว ของเหลวที่พวยพุ่งออกมาเปื้อนเปรอะหน้าท้องของทั้งคู่ถูกใครบางคนปาดขึ้นมาก่อนจะส่งเข้าปากไปและกลืนกินไม่ให้เหลือแม้นแต่หยาดหยดเดียว อสุราหนุ่มแลบลิ้นเลียมุมปากเพื่อเก็บคราบคาวราวกับมันเป็นสุราชั้นดีนุ่มลิ้น

   ...เจ้าดอกแก้วดอกนี้รสชาติดีไปทั้งตัว

   ยิ่งได้ลิ้มรสก็ยิ่งหวานลิ้นจนยากที่จะหยุดยั้ง..

   อยากจะเก็บกลืนเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

...หวงแหนแม้กระทั่งแสงจันทร์ที่ตกกระทบลงมาบนผิวเนื้อนวล

   เสียงทุ้มต่ำคำรามในลำคอก่อนที่ทุกอย่างจะมาถึงจุดสิ้นสุด กระแสอุ่นร้อนพวยพุ่งเข้าไปในช่องท้องของมนุษย์จนท่วมท้นล้นเปรอะออกมาตามโคนขาเกลี้ยงเกลาผสมกับหยดโลหิตเจือจาง

   เสียงหายใจหอบหนักคล้ายสัตว์ใหญ่ใช้เวลาอยู่เพียงครู่จึงกลับมาเป็นปกติดังเดิม อสุราหนุ่มอุ้มร่างในอ้อมกอดขึ้นมาไว้แนบอกก่อนจะก้มลงประกบเรียวปากแนบแน่น เสียงชื้นแฉะดังคลอยามที่พยายามดูดกลืนและล่วงล้ำอีกฝ่ายจนหายใจตามไม่ทัน

เจ้าแก้วที่นอนนิ่งอย่างไร้เรี่ยวแรงในอ้อมกอดถึงขนาดที่ไม่สามารถต้านทานความอ่อนเพลียไว้ได้ อีกทั้งร่างกายนั้นยังรู้สึกชาจนไม่สามารถขยับเคลื่อนกายได้ตามใจนึก วงแขนสองข้างยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งก่อนจะเอียงหน้าซบบนลาดไหล่กว้างอย่างสิ้นฤทธิ์ แก้มแดงปลั่งที่ชื้นเหงื่อส่งไอร้อนออกมาจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปสูดดมกลิ่นประจำกายเจ้าตัวอีกครั้ง...และอีกครั้งอย่างไม่รู้จักพอ

เมื่อได้รังแกจนพอใจกายใหญ่จึงค่อยถอดถอนตัวตนออกอย่างเชื่องช้า ความวูบโหวงที่สอดแทรกเข้ามาแทนที่ความรู้สึกคับแน่นหน้าท้องทำให้เด็กน้อยในอ้อมกอดผวากอดรัดเขาแน่นขึ้น ถ้อยคำออดอ้อนที่เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบทุ้มเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากจอมทัพอสุราได้เป็นอย่างดี

วศินอุ้มร่างของมนุษย์ขึ้นแนบอกพร้อมกับพาเดินกลับเข้าไปที่ฝั่ง ผ้านุ่งที่วางไว้บนโขดหินถูกนำมาสวมทับเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ส่วนอีกผืนก็ถูกนำมาห่อหุ้มร่างกายของคนในอ้อมกอดเอาไว้อย่างมิดชิด

เมื่อก้มลงมองก็ได้พบว่าเด็กน้อยในอ้อมกอดของตนนั้นสลบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อสุราหนุ่มจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ขึ้นสีระเรื่อยามที่ถูกแสงนวลของจันทราฉาบทับลงมากอปรกับท่าทีอ่อนเพลียเช่นนี้ยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูน่าทะนุถนอมมากยิ่งขึ้น

ใบหน้าคมคร้ามก้มลงประทับจูบบนหน้าผากเนียนเกลี้ยงก่อนจะกระชับวงแขนกอดคนของตนแล้วพาเดินกลับไปยังถ้ำที่พักพิง..





แสงนวลจากกองไฟที่กระจายตัวอยู่ภายในโถงถ้ำได้ปลุกให้ใครบางคนรู้สึกตัวตื่น เจ้าแก้วค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นทีละนิดเมื่อรู้สึกหนักอึ้งและปวดบริเวณกระบอกตาทั้งสองข้างลามขึ้นมาถึงข้างขมับ มันหยุดตั้งสติอยู่เพียงครู่ก่อนจะได้รู้ว่าตนนั้นนอนอยู่บนร่างของอสุราหนุ่มพร้อมทั้งถูกตระกองกอดเอาไว้อย่างแน่นหนาจนผิวเนื้อแนบชิดกันไปทุกส่วน

...ซ้ำเนื้อตัวยังเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ ไร้ซึ่งอาภรณ์ผืนใดมาขวางกั้น

เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันทีเมื่อรู้สึกประหม่าอย่างสุดแสน มันตั้งท่าจะขยับกายลุกออกห่าง แต่ทว่าเพียงแค่ขยับกลับรู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่างราวกับกระดูกระเดี้ยวแตกเป็นผุยผง ความรู้สึกระบมช่วงล่างแล่นปราบขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงท้ายทอยรู้สึกเจ็บจนทั่วเนื้อตัวนั้นชาไปหมด

..โดยเฉพาะบริเวณส่วนที่ถูกกายใหญ่ลุกล้ำเข้ามา เพียงแค่หุบขาเข้าหากันความเจ็บก็แผลงฤทธิ์จนต้องล้มตัวลงนอนอย่างหมดท่า

แต่น่าแปลกที่บริเวณส่วนนั้นไม่ได้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะเท่าที่ควร เพราะความทรงจำครั้งสุดท้ายมันจดจำได้ว่าภายในช่องท้องนั้นเต็มไปด้วยความอุ่นร้อนจนคับแน่น อีกทั้งยังไหลย้อนออกมาเปื้อนเปรอะเต็มเรียวขา

..คล้ายกับว่าถูกทำความสะอาดจนเรียบร้อยหมดจนอย่างไรอย่างนั้น..ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นผู้ที่ลงมือทำให้

คิดได้เพียงเท่านั้นใบหน้าอ่อนเยาว์ก็ร้อนวูบลามไปจนถึงใบหู

มันเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคร้ามที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทราเพียงครู่พร้อมยกฝ่ามือขึ้นลูบแผ่วเบาก่อนจะยืดกายไปประทับจูบลงบนสันกรามได้รูปและเลื่อนไปยังริมฝีปากร้อนรุ่มที่คอยป้อนจุมพิตหวานล้ำให้แก่กันตลอดทั้งค่ำคืนที่ผ่านมา

เรียวคิ้วได้รูปของอสุราหนุ่มขมวดมุ่นเพียงนิดราวกับนึกรำคาญที่ถูกรบกวนในความฝันก่อนจะคลายปล่อยอ้อมกอดออก เมื่อได้โอกาสเจ้าแก้วก็พยุงตัวขึ้นอย่างระมัดระวังแล้วย้ายลงมานั่งคุกเข่าอยู่ข้างเรือนกายใหญ่โต มันสังเกตเห็นว่าตามเนื้อตัวท่านวศินนั้นมีรอยเลือดที่แห้งจนเกาะตัวเป็นคราบหลงหรืออยู่

...ทุกรอยคือรอยที่มันใช้เล็บจิกข่วนผิวเนื้อของอีกฝ่ายทั้งสิ้น

เด็กหนุ่มมองไปรอบโถงถ้ำอย่างใช้ความคิดก่อนจะสะดุดตากับตลับยาที่วางทับไว้บนย่าม เจ้าแก้วคว้าผืนผ้านุ่งขึ้นมาห่อคลุมกายเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ หมายจะลุกเดินไปหยิบตลับยามาทาแผลให้ท่านวศินด้วยความหวังดี แต่ทว่ายังไม่แม้แต่ที่จะได้ลุกขึ้นยืนทั้งตัวก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลรวบกอดเอาไว้ก่อนจะดึงจนตัวมันเซล้มทับลงบนหน้าตักของอีกฝ่าย แรงกระเทือนไม่น้อยส่งผลให้เจ้าแก้วหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บ

“จะไปไหน” เสียงแหบพร่าที่พูดอยู่เหนือหัวเอ่ยถามก่อนใบหน้าคมเข้มจะซุกซบเข้าที่บริเวณหลังคอ  ลมหายใจอุ่นรินรดเป็นจังหวะคงที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายนั้นยังคงไม่ตื่นเต็มที่สักเท่าใดนัก “..ตื่นมาทำอะไรดึกดื่น”

“คือ...ฉัน..” เจ้าแก้วพูดจาตะกุกตะกักไม่เต็มเสียงเพราะรู้สึกได้ถึงแรงดูดที่บริเวณผิวเนื้อหลังคอ “ฉัน...จะไปเอายามาทาให้ท่านวศินจ้ะ” พูดจบก็เผลอร้องอุทานออกมาเล็กน้อยเมื่อถูกเขี้ยวคมขบกัดเข้าที่ซอกคอและที่ลาดไหล่ย้ำๆ

“ไม่ต้อง…กอด..เจ้า” อีกฝ่ายพูดจางึมงำจนเจ้าแก้วต้องเอี้ยวหน้าไปฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“อะไรหรือจ๊ะ”

“อยากนอนกอด...เจ้า” น้ำเสียงแผ่วเบากลืนหายไปในอากาศคล้ายคนละเมอเพ้อพกแต่ทว่ากลับชัดเจนในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม

เจ้าแก้มทอยิ้มเบาบางพร้อมกับเอี้ยวตัวกลับไปวาดแขนโอบรอบคออสุราหนุ่มเอาไว้ก่อนจะออกแรงโน้มให้ใบหน้าคมเข้มซุกซบลงมาบนอก วศินโอบกระชับร่างในอ้อมกอดเอาไว้แน่นราวกับต้องการตักตวงช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด อสุราหนุ่มอุ้มร่างของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะล้มตัวนอนบนพื้นดังเดิมโดยมีลูกมนุษย์ตัวน้อยนอนทาบทับอยู่บนตัว ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสู่ห่วงนิทราไปตามกัน





เสียงนกที่ออกหากินในยามรุ่งสางดังแว่วลงมาให้ได้ยิน แสงอาทิตย์บางส่วนที่ทะลุลงมาจากช่องแสงปลุกให้ร่างสูงใหญ่ตื่น ก่อนจะได้พบว่ามีใครบางคนนอนซุกอยู่บนแผ่นอกแน่น เจ้าแก้วนอนนิ่งถูกผ้าคลุมเอาไว้ทั้งตัวเพราะเมื่อช่วงก่อนรุ่งสางเจ้าตัวละเมอออกมาไม่ขาดปากว่าหนาวทั้งเนื้อตัวยังสั่นเทาเล็กน้อย

มิหนำซ้ำเช้านี้ตามผิวเนื้อยังมีอุณหภูมิที่ร้อนจัด เขาเกรงว่าอีกฝ่ายจะจับไข้เอาได้จึงลุกไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้

เมื่อคืนหลังจากที่กลับมาจากลำธารเจ้าแก้วก็สลบไม่ได้สติเขาจึงเป็นฝ่ายถือวิสาสะทำความสะอาดร่างกายอีกฝ่ายให้จนหมดจด อดยอมรับไม่ได้เลยว่าระหว่างที่ใช้มือลูบทำความสะอาดไปตามผิวเนื้อนวลที่มีร่องรอยของเขาตีตราความเป็นเจ้าของทุกอณูนั้นทำให้อสุราหนุ่มนึกอยากจะรังแกอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่พอเห็นท่าทางอ่อนเพลียแล้วก็นึกสงสารจึงได้แต่หักห้ามใจตนเองไม่ให้ลุกล้ำเข้าไปภายในร่างกายของอีกฝ่ายอีกเป็นหนที่สอง

หลังจากทำความสะอาดเสร็จเขาก็อุ้มเด็กหนุ่มขึ้นมานอนกอดโดยใช้ตนเองต่างเบาะรองเพียงเพราะอยากให้อีกฝ่ายนอนหลับสบาย แม้นเจ้าแก้วจะไม่ได้ตัวเล็ก แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วอีกฝ่ายนั้นดูบอบบางราวกับเด็กตัวน้อยเสียด้วยซ้ำไป

นัยน์ตาคมกล้าทอดมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังหลับพริ้มสีหน้าอ่อนเพลียฉายชัดออกมาให้ได้เห็น เขาค่อยๆเปิดผ้าคลุมออกอย่างเบามือ แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็ทำเอาอสุราหนุ่มต้องหยุดชะงักมือที่กำลังจะเช็ดตัวให้อีกฝ่าย

บนร่างกายของเจ้าแก้วตั้งแต่ลำคอไล่ลงมาจนถึงปลายเท้าไม่มีส่วนไหนเลยที่จะไร้ซึ่งรอยจ้ำห้อเลือดและรอยช้ำ

ทั้งรอยนิ้วมือที่เปลี่ยนเป็นรอยช้ำม่วงคล้ำอย่างน่าหวาดหวั่นและรอยฟันที่ขบกัดทุกส่วนบนร่างกายไม่เว้นแม้แต่ข้อเท้า ปลีน่อง ลามไปยันซอกขาด้านใน บริเวณแผ่นอกถูกประทับรอยจูบไปทั่วจนห้อเลือดส่วนปลายยอดอกสีน้ำตาลอ่อนก็ถูกดูดดุนจนบวมแดงรอบฐานนมมีรอยเขี้ยวกัดเอาไว้อย่างป่าเถื่อน

เพราะเมื่อคืนนั้นมืดจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นร่องรอยทั้งหมดได้ชัดดีนัก...

เพียงเท่านั้นความรู้สึกผิดก็ประเดประดังเข้ามาจนไม่กล้าที่จะแตะต้องลงแรงแม้นสักนิดเพราะรู้ดีว่าเรี่ยวแรงของตนนั้นจะสร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายมากเพียงใด

อสุราหนุ่มก้มลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากมนและสองข้างแก้มก่อนจะเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่มุมปากแต่ทว่ากลับไม่ล่วงเกินลุกล้ำให้อีกฝ่ายนึกรำคาญ ปลายนิ้วใหญ่ที่ลูบไล้อยู่บริเวณไหปลาร้าได้รูปเกี่ยวดึงสร้อยตะกรุดที่อีกฝ่ายสวมใส่ไว้ตลอดเวลาออกมาก่อนจะเก็บไว้กับตัวราวกับมันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต

...ถือเสียว่าเป็นของต่างหน้า..

สายตาที่เคยมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงต่อพยันอันตรายนับร้อยพันบัดนี้กลับสั่นไหวอย่างไม่มั่นคงราวกับแสงไฟในตะเกียงที่ริบหรี่ยามที่ได้จดจ้องใบหน้าของอีกฝ่าย

ทันใดนั้นคำตอบบางอย่างที่นึกทบทวนมาเนิ่นนานก็กระจ่างชัดขึ้นมาในทันที...

แต่แล้วเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามากลับทำให้ต้องหันกลับไปมองก่อนจะพบว่าเป็นพญานาคราชที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากจุดที่พวกเขาอยู่

องค์นคินถอนหายใจหนักออกมาอีกหนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเบี่ยงตัวบังร่างของเจ้าแก้วเอาไว้จนมิด ซ้ำแววตายังฉายแววหวงแหนอย่างไม่คิดที่จะปิดบังไว้อีกต่อไป

 “มีธุระอะไร” อสุราหนุ่มมัดปมผ้านุ่งไว้อย่างหมิ่นเหม่ก่อนจะเสยเส้นผมที่ยุ่งเหยิงขึ้นไปเก็บเอาไว้อย่างลวกๆ ไร้ซึ่งท่าทีเจ้าระเบียบเหมือนดังเช่นเวลาปกติ

ท่าทีสบายๆแต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายกดดันทำให้พญานาคหนุ่มนึกแย้งอยู่ในใจ แม้นสีหน้ามันจะไม่สบอารมณ์แต่ทว่าแววตากลับอิ่มเอมจนเขานึกหมั่นไส้

...ไหนจะรอยเล็บที่ประทับอยู่บนกายอย่างโจ่งแจ้งอีก

เอร็ดอร่อยมากล่ะสิท่า...รสชาติของความบริสุทธิ์มันคงหวานลิ้นน่าดู ท่านแม่ทัพถึงดูอารมณ์ดีนัก

“ข้าก็แค่นำยามาให้แก้ว” นคินยักไหล่ด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนก่อนจะส่งยื่นหม้อยาต้มใบเล็กและตลับยามาให้

ทั้งหมดนี่เขาถูกพระอาจารย์วานขอความช่วยเหลือมาอีกที เพราะแม้นจะไม่ได้เห็นกับตาแต่ทางฝ่ายนั้นก็รู้ดีว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ถึงใจจะอยากมาดูแลหลานรักมากเพียงใดแต่อีกใจกลับไม่กล้าที่จะมาดูสภาพของมันเพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถระงับอารมณ์โทสะเอาไว้ได้หรือเปล่า

ซึ่งนคินเองก็เห็นด้วยกับพระอาจารย์ทั้งหมด...เพราะเพียงแค่เห็นสภาพเจ้าแก้วแบบผิวเผินเท่านั้นก็ต้องยอมรับเลยว่า

...ดูไม่จืด...หากท่านมาเห็นด้วยตาตนเองมีหวังคงเลือดลมร้อนทะลุออกหูเป็นแน่แท้

ก็พอจะเข้าใจว่าทั้งสองนั้นมีความต่างกันค่อนข้างมากโดยเฉพาะขนาดตัว เมื่อเทียบกับวศินแล้วเจ้าแก้วก็ตัวเล็กตัวน้อยลงไปถนัดตา

...ว่าไปแล้วก็รู้สึกผิดย้อนหลัง เขาไม่น่าสนับสนุนเจ้ายักษ์นี่เลย เพราะคนซวยคือเจ้าแก้วที่กำลังนอนซมเพราะถูกพิษของยักษ์ทำร้ายจนชอกช้ำนั่นต่างหาก

“ยานี่ พระอาจารย์บอกว่าให้แก้วดื่มให้หมด แล้วก็นี่...” นคินชี้ไปที่ตลับยา ก่อนจะเริ่มพูดจาได้ไม่เต็มเสียงนัก “ใช้ทาเพื่อสมานแผล...และลดอาการบวมช้ำ”

อสุราหนุ่มก้มลงมองสิ่งของในมือก่อนจะพยักหน้ารับแล้วกล่าวขอบคุณในน้ำใจพญานาคราชที่อุตส่าห์นำมาให้ด้วยตนเอง

แต่ก่อนที่จะหมุนตัวกลับไปหาใครบางคนที่นอนอยู่ก็ถูกเรียกรั้งเอาไว้ก่อน “มีอะไรหรือ”

“นี่..” บางสิ่งบางอย่างถูกยื่นส่งมาให้ พอก้มลงมองก็ปรากฏว่าเป็นภาชนะทองเหลืองใบที่คุ้นตา “...ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องเปลี่ยนใจ” นคินเอ่ยอย่างเรียบนิ่งไร้ซึ่งทีเล่นทีจริงเหมือนดังเก่า

สองสายตาคมกล้าสอดประสานกันมั่นทุกความนัยสื่อสารออกมาจากแววตาที่ไร้ซึ่งการปิดบังทางความรู้สึก

เขา...เคยเสียสิ่งที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับแม้นแต่โอกาสที่จะปกป้องก็ยังไม่มี

ส่วนอีกคนนั้นแตกต่าง...มีทั้งโอกาสและมีคนที่ต้องปกป้องเอาไว้ในยามที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินแก้

อสุราหนุ่มรับสิ่งของที่ตนเคยปฏิเสธมาไว้กับตัวก่อนจะเก็บมันเอาไว้อย่างดี “ขอบใจเจ้ามาก...นคิน”

นาคหนุ่มเพียงยิ้มบางเบาก่อนจะขอตัวกลับก่อนเพียงเพราะไม่อยากจะเป็นก้างขวางเวลาหวานชื่นของใคร ก่อนจะออกไปก็ยังมิวายเอ่ยเย้าว่าให้เพลาๆลงบ้างขืนใช้เรี่ยวแรงอย่างบ้าคลั่งเช่นนั้นมีหวังเจ้าแก้วคงไม่ยอมให้แตะต้องอีกแล้วจะเสียใจ

ทันทีที่หันหลังกลับ ความรู้สึกหนักอึ้งก็เป็นอิสระราวกับได้รับการปลดพันธะ

...เพราะเขาเข้าใจดีว่าการที่ต้องเสียสิ่งที่รักนั้นมันทรมานมากเพียงไหน...วันนี้เวลานี้ ในเมื่อจอมทัพวศินมีทางเลือกที่จะสามารถปกป้องสิ่งสิ่งนั้นเอาไว้ได้เขาจึงไม่คิดลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

...อย่างน้อยๆก็ถือเสียเป็นการไถ่โทษแทนเจ้านาราก็แล้วกัน

ข้าคงช่วยเจ้าได้เท่านี้...แต่หลังจากนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น มันล้วนขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง....



_____________________

สวัสดีค่ะ ต้องขออภัยที่ห่างหายไปนานนะคะ เนื่องจากมีเรื่องหลายอย่างให้ต้องสะสางจึงทำให้ไม่สามารถแวะมาเขียนนิยายได้เลยค่ะ

วันนี้พันไมล์มีเรื่องอยากจะแจ้งให้ทุกคนทราบ ดังต่อไปนี้นะคะ

1.)หลังจากนี้จะของดการอัพนิยายเรื่องดอกแก้วกุมภัณฑ์ก่อนเป็นระยะเวลา2-3เดือนค่ะ(ต้องรอดูสถานการณ์ก่อนนะคะ)เนื่องจากต้องไปปิดต้นฉบับที่จะออกงานหนังสือภายในเดือนตุลานี้ค่ะ

2.)จะกลับมาอัพดอกแก้วอีกทีคงเป็นช่วงกลางเดือนสิงหาหรือไม่ก็ประมาณกันยานะคะ

3.)สาเหตุที่ของดการอัพไปก่อน เพราะหลังจากนี้เนื้อหาจะค่อนข้างหนัก พันไมล์จึงอยากเขียนเก็บไว้ให้จบหมดก่อนแล้วค่อยอัพทีเดียวจะได้ต่อเนื่องค่ะ

ขออภัยที่ทำให้คนอ่านต้องรอนานและขอบคุณสำหรับกำลังใจที่น่ารักเสมอมาค่ะ

รัก.
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 07-06-2019 22:45:51
ก็ต้องรอ เป็นกำลังใจให้ จ้า ขอบคุณ และรอ พันไมล์ ยุจ้า^^
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 07-06-2019 22:54:27
เขินนนน ในที่สุดท่านวศินก็ได้กินเจ้าแก้ว อุตส่าห์อ่อนโยนแต่น้องก็ยังช้ำมากอยู่ดี  เราเขินฉากท่านวศินดึงตะกรุดจากคอน้องด้วย ฮืออ มันให้อารมณ์แบบหวามๆไงไม่รู้ อีกอย่างต่อจากนี้เนื้อหาก็จะหนักมากขึ้นด้วยใช่มั้ยคะ ก็เป็นถือเป็นการพักใจรอ เสพความหวานจากตอนที่ผ่านๆมาเยียวยาความคิดถึงไปก่อน เราจะรอนะค้าาา
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: TheSpaceOfM ที่ 07-06-2019 23:01:44
มีเด็กน้อยโดนจับกินตรงนี้ๆๆๆ  :ling1: ท่านวศินก็คือไม่บอกไม่มีใครเชื่อแล้วว่าเป็นยักษ์พรหมจรรย์ เพราะว่าทำเจ้าแก้วช้ำไปทั้งตัว แต่จะทำไงได้ขนาดตัวต่างกันตั้งขนาดนั้นๆๆ แล้วก็มีเด็กบอกว่าอย่า แต่เด็กยั่วแบบไม่รู้ตัวไม่หยุด ใครจะไปอดใจไหว ฮือๆๆๆ รอติดตามตอนต่อไปนะคะคุณพันไมล์
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: tipppppp ที่ 07-06-2019 23:52:22
แงงงงงงงงงงงงเจ้าแก้วเอ๊ยยยยยยย เสร็จท่านวศินเสียแล้ว   :katai2-1:
เป็นกำลังใจให้น๊าาา รออ่านตอนต่อไปค่าาา
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: oohsg94 ที่ 08-06-2019 15:28:45
สมกับที่รอมานาน เฮ้ เป็นกำลังใจให้ทุกคนเลยนะคะ y-y
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-06-2019 17:12:21
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-06-2019 00:15:47
พักนานไปนะ แต่จะรอจ้า~
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 09-06-2019 11:51:30
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 10-06-2019 03:49:57
เราจะรออ่านต่อน้าาาาาา ถึงแม้ว่ามันจะต้องรอนานแต่เราก็จะรออออ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 10-06-2019 13:25:07
กรี๊ดดดดดดดดด ท่านวศินเป็นยักษ์พรหมจรรย์แน่หรือ? ช่างร้อนแรงดุดัน เจ้าแก้วน้อยชอกช้ำไปทั้งตัว โอ้ยยย ขนาดตัวที่ต่างกันกับความรักที่เร่าร้อนมากล้น ฮืออออออออ น้องก็ช่างยั่วโดยไม่รู้ตัว ใครมันจะไปอดใจไหว พี่ยักษ์เจียนคลั่ง อ๊ากกกกกก
ใครก็ได้ช่วยปรุงยาฟื้นฟูร่างกายเเบบเร่งด่วนให้เจ้าแก้วที

/นานแค่ไหนก็รอค่าาาาา
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 11-06-2019 21:54:37
แงง ยาวนาน แต่ยังไงก็จะรอจ้า เป็นกำลังใจให้นะคะ

โว้ววว ไม่ธรรมดานะท่าน วศินได้สมใจแล้ว
ก็สมรักด้วย ก่อนต้องห่างกันไกล

เอาสร้อยน้องไป จะนำภัยอันใดมาสู่น้องไหมล่ะนั่น
แก้วเอ้ย ยอมทั้งกายทั้งใจเลยนะ รักมากก็ห่วงมาก
ตอนห่างกันไป จะทำใจรอได้นานแค่ไหนกันแบบไม่ต้องกังวล
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: 170cmd ที่ 03-08-2019 10:55:38
 :pig4:ไม่เป็นไรน้าา รอได้นะคะ สู้ๆน้าไรท์
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-08-2019 12:25:54
เข้ามาอ่าน บอกเลยว่าติด555  ยังคงรออยู่เน้ออ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๐ - กลิ่นดอกแก้ว : ๗/๖/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 17-09-2019 22:06:58
คิดถึงเด้อจ้า รอนาจา
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๑ - พบพา : ๘/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 08-12-2019 21:59:32
บทที่ ๒๑
พบพา

.




.




.






“หยุดพักที่นี่สักประเดี๋ยว แล้วค่อยออกเดินทางต่อ” อสุราหนุ่มก้าวลงจากหลังม้าหลังจากที่ต้องรอนแรมมาหลายวัน

เบื้องหน้าคือธารน้ำขนาดเล็กท่ามกลางไพรกว้างที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่...ที่แห่งนี้คือดินแดนมนุษย์ที่พวกเขานั้นย่างกรายเข้ามาถึงเมื่อหลายวันก่อน นัยน์ตาสีโกเมนกวาดมองรอบด้านเพื่อสำรวจก่อนจะเอ่ยบอกให้เหล่าทหารที่ติดตามออกไปเดินตรวจตราบริเวณโดยรอบ

“ห่างจากนี่ไปไม่ไกลคงเป็นหมู่บ้านของพวกมนุษย์” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นจากทานด้านหลังพานทำให้บรรยากาศรื่นรมย์นั้นพังทลายลง “หลังพุ่มไม้นั่น มีกับดักที่ทำจากไม้เหลาแหลม เอาไว้ดักพวกสัตว์ใหญ่”

“นั่นมันน่าอัศจรรย์ใจตรงไหนไม่ทราบ” กรรณหันไปมองคู่อริอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินลงไปที่ธารน้ำแล้ววักขึ้นมาล้างใบหน้า

“จากนครคีรีมาก็ตั้งหลายวัน” เวธัสนั่งลงบนโขดหินที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะสอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณผืนป่า “เดินทางรอนแรมไปทั่วทุกแดน…แต่ก็ไม่พบร่องรอยของทั้งสองจอมทัพแม้นเพียงกระผีก หากพวกเขาหนีออกมาพร้อมสมบัติมากมายเหมือนอย่างที่เจ้าว่า ก็ต้องมีใครสักคนได้พบเห็นบ้าง” อสุราหนุ่มทอดถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา...นับว่าเป็นเวลาหลายวันที่ออกเดินทางตามหาทั้งสองจอมทัพตามที่ได้รับคำสั่งจากองค์จ้าวเหนือหัว

ยิ่งชักช้ามากเท่าไหร่...การสะสางคดีความก็ยิ่งถูกยืดเยื้อออกไปนานเท่านั้น

และนั่นก็หมายความว่าพวกราชคฤห์จะสามารถใช้จังหวะนี้เข้ามาแทรกแซงจนทำให้นครคีรีสั่นคลอนได้ในที่สุด

“หากเจ้าถอดใจก็กลับไปเสีย...ข้าทำภารกิจนี้คนเดียวได้” กรรณยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะปรายตามองไปยังอีกฝ่าย

“หึ...ปล่อยให้เจ้าที่เป็นพวกเดียวกันกับกบฏออกไปตามหาเพียงลำพังน่ะหรือ” เวธัสกระหยิ่มยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนจ้องหน้ากับอดีตคู่ปรับอย่างไม่ยอมลดละ

เพียงเท่านั้นเขี้ยวยาวของอีกฝ่ายก็งอกเงยขึ้นมาตามแรงโทสะก่อนเรี่ยวแรงมหาศาลจะกระทบเข้ากับเสี้ยวใบหน้าจนรู้สึกชา เวธัสคำรามเสียงกร้าวในลำคอในตอนที่กระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้เพื่อเป็นการเอาคืน อสุราหนุ่มสองตนฟาดฟันกันจนน้ำในลำธารกระเซ็นเปียกไปทั่วทั้งตัว

เสียงกึกก้องยามที่สันหมัดกระทบเข้าผิวเนื้อนั้นฟังดูน่ากลัวจนสัตว์ป่าเล็กใหญ่บริเวณนั้นแตกกระเจิงหนี

“เมื่อก่อนบ้าดีเดือดเช่นไร...ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม” เวธัสอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอถีบเข้าตรงกลางท้องจนมันล้มลงไปในธารน้ำ ก่อนจะตามไปเหยียบซ้ำหากแต่มันกลับพลิกตัวหลบได้เฉียดฉิว “ดีแต่ใช้กำลัง...ไร้หัวคิด”

“หึ” กรรณถ่มเลือดทิ้งก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นมาใช้ขาเตะเข้าที่ข้อพับฝ่ายตรงข้ามจนล้มลงไปในธารน้ำด้วยกัน “ถ้าข้าไร้หัวคิด...เจ้าก็คงไร้น้ำยา” เรื่องราวในอดีตถูกหยิบยกขึ้นมาหมายกระตุ้นเร้าโทสะ...แล้วก็ได้ผล

ได้ผลดีเสียด้วย เมื่อทหารเอกขององค์จ้าวเหนือหัวที่ในยามปรกตินั้นมักจะนิ่งขรึม แต่ครานี้กลับเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่แม้นเพียงกระผีก

“เจ้ากำลังเอาเรื่องส่วนตัวมาข้องเกี่ยว” เวธัสออกแรงถีบลมอย่างแรงเมื่ออีกฝ่ายไหวตัวหลบทัน

“ส่วนเจ้าเองก็ไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้” อสุราหนุ่มคว้าเข้าที่ลำคอคู่ต่อสู้ก่อนจะออกแรงบีบเคล้นตามโทสะที่พุ่งขึ้นสูง “บุหลันเป็นเมียข้าแล้ว...นางรักข้า หาใช่เจ้า” ถ้อยคำย้ำเตือนเน้นชัดทิ่มแทงจิตใจคนฟังราวกับหอกแหลมนับพันสาดกระหน่ำลงบนอก เวธัสขบกรามจนขึ้นสันก่อนจะกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายจนเสียหลักลมลงไปในลำธารด้วยกันทั้งคู่

ทั้งสองแลกหมัดกันไปสักพักจนได้เลือดก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นแสงวาววับของสิ่งของบางอย่างที่โดนแดดส่องกระทบอยู่ภายใต้ผิวน้ำ

“นั่น...” กรรณผลักอีกฝ่ายออกห่างก่อนจะเดินย่ำน้ำเข้าไปใกล้ พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบเลือดออกไปจากใบหน้า

วัตถุชนิดนั้นตกอยู่บริเวณข้างโขดหินมันถูกตะไคร้น้ำเกาะเป็นบางส่วน...แม้นจะมองจากระยะนี้แต่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าคืนสิ่งใด อสุราหนุ่มถลาลงไปคว้ามันขึ้นมาก่อนความรู้สึกดีใจจะฉายชัดออกมาทางใบหน้า

“...กำไลต้นแขนของท่านวศิน” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยบอก

กำไลที่ถูกหล่อขึ้นมาจากเหล็กกล้าเนื้อดี...หนึ่งในเครื่องแต่งกายของแม่ทัพใหญ่แห่งนครคีรียามที่ต้องออกศึก

“เช่นนั้น...พวกเขาก็คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากลำธารนี่” เวธัสขยับเข้ามาใกล้เพื่อพิศมองหลักฐานที่สองจอมทัพหลงเหลือเอาไว้

“ท่านกรรณขอรับ” หนึ่งในทหารที่ออกไปลาดตระเวนวิ่งหน้าตั้งเข้ามาอย่างรีบร้อน

“มีอะไร”

“จากลำธารนี่ไป ไม่ใกล้ไม่ไกลมีหมู่บ้านมนุษย์อยู่ทางหลังเชิงเขาขอรับ”

“แล้วได้ความว่าอย่างไรบ้าง” เวธัสเอ่ยถาม

“ตอนนี้พลทหารที่เหลือได้เดินทางเข้าไปตรวจตราภายในหมู่บ้านบ้างแล้ว...ข้าจึงรีบกลับมาแจ้งให้พวกท่านได้ทราบขอรับ”

“ดี” กรรณพยักหน้ารับก่อนจะเดินกลับไปที่อาชาศึกประจำกาย “ไปกันได้แล้ว”













ในเวลาบ่ายคล้อยเหล่าชาวบ้านในหมู่บ้านจันทน์ผานั้นก็ต่างดำเนินกิจวัตรส่วนตัวกันอย่างไม่รีบร้อนเฉกเช่นทุกวัน แต่วันนี้นั้นแปลกไปเมื่อมีผู้มาเยือนย่างกรายเข้ามาในอณาเขต เสียงฮือฮาของเหล่าชาวบ้านดังเซ็งแซ่อย่างตื่นตกใจเมื่อเห็นว่ามีเหล่ายักษาวัยฉกรรจ์หลายตนปรากฏตัวขึ้น

“พวกยักษ์นี่” เด็กสาวชาวบ้านที่ใบหน้าเปื้อนคราบเขม่าควันจากเตานึ่งขนมยืดคอมองอย่างสงสัยใคร่รู้

เฟื่องเช็ดมือเข้ากับผ้านุ่งก่อนจะเดินเข้าไปหายายกับพี่สาวที่นั่งกับดอกบัวอยู่บนตั่งไม้ใต้ถุนเรือน

“ยักษ์พวกนั้นเข้ามาทำอันใดที่หมู่บ้านของเรา” เด็กสาวยืนจ้องไม่วางตา

“บางที...อาจจะเป็นพวกเดียวกันกับยักษ์สองตนที่อยู่บ้านตาบุญกระมัง” บัวคลี่ชะเง้อมองตามน้องสาวก่อนจะยกมือขึ้นมาจับข้างขมับเมื่อความรู้สึกวิงเวียนกลับมาเล่นงานอีกหน

“ยังปวดหัวอยู่อีกหรือจ๊ะพี่บัว” เฟื่องเข้ามาประคองเมื่อเห็นว่าพี่สาวตนอาการไม่ค่อยดี

“อืม...ข้ารู้สึกเพลียเล็กน้อย คงเป็นเพราะอากาศวันนี้มันร้อนไปสักหน่อย” บัวคลี่ยิ้มบางเพื่อไม่อยากให้น้องและยายเป็นกังวล “เอ็งไม่ต้องเป็นห่วง...ได้นอนพักก็คงดีขึ้น”

ตั้งแต่เล็กๆ พี่บัวนั้นร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไรนักจึงทำให้ล้มป่วยอยู่บ่อยครั้ง มิหนำซ้ำยังกระหม่อมบางจนทำให้ตากแดดตามฝนนานไม่ได้ นางจึงมีผิวกายที่ขาวซีดเกินกว่าคนทั่วไปเพราะยายนั้นทั้งหวงและห่วงจนไม่ยอมให้พี่บัวทำงานหนัก

แต่ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาร่างกายของนางดูอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหน้ามืดและอาเจียนเกือบจะทุกวัน จนตาบุญต้องแวะเวียนมาหาที่เรือนอยู่บ่อยครั้งเพื่อตรวจดูอาการและต้มยารักษาให้

“ข้าว่าอาการของเอ็งน่ะมันแปลกๆ อยู่นานังบัว” ยายนิ่มหันมามองหลานสาวอย่างเป็นห่วง มือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบบนผิวเนื้อเนียนอย่างใช้ความคิด “เหมือนกับ...คนท้อง”

คำทักท้วงกะทันหันทำให้หญิงสาวหน้าซีดเผือดก่อนจะฝืนยิ้มออกมาเพื่อโต้ตอบ “ม...ไม่ใช่หรอกจ้ะยาย”

“พี่บัวจะต้องได้อย่างไรกันล่ะยายก็!” เพื่องค้านขึ้น “ฉันไม่เห็นว่าพี่กล้าจะทำอะไรพี่บัวสักหน่อย”

“แล้วใครเขาจะมาทำให้เอ็งเห็นกันล่ะนังเฟื่อง” ยายนิ่มหยิกเข้าที่ท้องแขนจนฝ่ายนั้นร้องโอดโอยก่อนจะใช้มันไปม้วนคำหมากมาให้เพื่อเป็นการระงับปากระงับคำ...นังหลานคนนี้นี่มันม้าดีดกะโหลกเสียจริง

“ไม่ท้องก็แล้วไป ข้าก็แค่ทักท้วงตามประสาคนแก่ที่ผ่านโลกมาเยอะกว่าพวกเอ็ง” นัยน์ตาฝ้าฟางกลับไปสนใจกลีบดอกบัวที่พับค้างเอาไว้ต่อ

“ถ้าอย่างนั้น...ฉันขอขึ้นไปนอนพักสักประเดี๋ยวนะจ๊ะยาย” บัวคลี่ยิ้มก่อนจะลุกเดินขึ้นไปบนเรือน

คล้อยหลังจากนั้นหลานสาวคนเล็กก็เลียบเคียงเข้ามานั่งที่แคร่ไม้ก่อนจะป้องปากกระซิบกระซาบอย่างมีลับลมคมใน “ยาย...ยายว่าพี่บัวท้องจริงๆ น่ะหรือจ๊ะ”

“อะไรของเอ็ง” ยายนิ่มยังเมินเฉยไม่สนใจในสิ่งที่เฟื่องถาม

“แต่...ฉันก็คิดนะ ว่าพี่บัวน่ะท้อง” เด็กสาวว่าเสียงจริงจังเมื่อความทรงจำบางอย่างฉายชัดขึ้นมา “เมื่อสองเดือนก่อน งานบุญประจำหมู่บ้าน ยายจำไม่ได้หรือว่าคืนนั้นน่ะพี่บัวกลับบ้านเสียดึกดื่น มิหนำซ้ำพี่กล้าก็ยังเดินมาส่งด้วย”

“ปกติไอ้กล้ามันก็เดินมาส่งพี่เอ็งเป็นประจำอยู่แล้วนี่” ยายนิ่มแย้งขึ้น

“แต่ฉันว่ามันแปลก...ก่อนหน้านั้นพี่บัวน่ะไว้ตัวกับพี่กล้ามันจะตาย แค่จับไม้จับมือกันยังไม่ได้เลย” เฟื่องพูดต่ออย่างมั่นใจ “แต่หลังจากนั้นมา ทั้งพี่บัวและพี่กล้าก็ดูจะสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ดูอย่างตอนที่พี่มืดมันมาหาเรื่องที่เรือนเราซี่ พี่บัวแสดงออกชัดมากเลยนะยายว่าเป็นห่วงพี่กล้าน่ะ” ทั้งๆ ที่ปกติแล้วพี่สาวของนางจะไม่แสดงท่าทีว่าเป็นห่วงเป็นใยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเป็นพิเศษ

แต่สายตาที่พี่บัวใช้มองพี่กล้าวันนั้น...มันชัดเจนมากจนทำให้พี่มืดพูดไม่ออก

“อีกอย่างเดือนสองเดือนมานี้พี่บัวก็มีอาการแปลกๆ ด้วย มิหนำซ้ำยังบ่นว่าเหม็นดอกมะลิที่ฉันเอามาลอยน้ำในขันอีกต่างหาก ทั้งที่ปกติพี่บัวก็ชอบแท้ๆ”

“ก็จริงของเอ็ง” หญิงชราวางมือจากดอกบัวพี่พับกลีบเรียบร้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลานคนเล็กเมื่อเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่มันพูดนั้นดูเข้าที

แต่ก่อนที่จะได้นึกคิดสิ่งใดให้มากความเสียงฮือฮาของเหล่าชาวบ้านก็ทำให้สองยายหลานหันไปมองอย่างสนอกสนใจเมื่อเห็นว่ามีอาชาศึกตัวใหญ่ห้อตะบึงเข้ามาภายในหมู่บ้าน ก่อนความโกลาหลเล็กๆ จะเกิดขึ้นทันทีที่ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งร้องไห้จ้ากลับไปหาพ่อกับแม่เพราะตื่นตกใจกับเหล่ายักษ์

กลิ่นอายบางอย่างที่แผ่ออกมานั้นเพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ายักษ์สองตนที่ควบขี่อยู่บนหลังม้านั้นต้องเป็นทหารจากเมืองยักษ์

“น่ากลัว...แต่ก็ไม่เท่ากับตนที่อยู่บ้านตาบุญ” เฟื่องพึมพำกับตนเองก่อนจะร้องโอ๊ยเมื่อถูกยายตีเข้าที่ต้นแขน

“อย่าได้ตื่นตกใจไป...พวกข้ามาดี ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย” อสุราหนุ่มตนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังพอจะทำให้ผู้คนในหมู่บ้านหันมาสนใจ

“พวกเรามาจากนครคีรี” อสุราหนุ่มอีกตนกล่าวขึ้นอย่างนิ่มนวล “รอนแรมมาหลายวันเพื่อออกตามหาสองจอมทัพใหญ่แห่งนครคีรีที่สูญหาย...พวกข้าตามหาไปทั่วเกือบทุกแว่นแคว้น แต่ในระหว่างที่หยุดพักที่ริมธารกลางป่ากลับพบสิ่งสิ่งนี้ตกอยู่ในน้ำ” กำไลแขนของจอมทัพวศินถูกชูขึ้นสูง “และทหารของข้าแจ้งเข้ามาว่าใกล้กันนี้มีหมู่บ้านของมนุษย์อยู่ จึงได้เร่งรุดเข้ามาหาเพื่อถามไถ่”

“ยายว่าคนที่พวกเขาตามหาจะใช่ยักษ์ทั้งสองตนนั้นหรือเปล่า” เฟื่องเอี้ยวตัวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบกระซาบข้างหู

แต่แล้วเสียงของใครบางคนก็โพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บริเวณบ่อนไก่หยัดยืนขึ้นเต็มความสูงโดยไร้ซึ่งท่าทีเกรงกลัวต่อพวกยักษ์ “เมื่อไม่นานมานี้มียักษ์สองตนพลัดหลงเข้ามาในหมู่บ้าน”

เพียงเท่านั้นความสนใจทั้งหมดก็พุ่งไปหาชายผู้นั้นทันที...กรรณกระโดดลงมาจากหลังม้าก่อนจะเดินเข้าไปหาเป้าหมาย ท่าทีองอาจสมเป็นชายชาตินักรบทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเปิดทางให้แต่โดยดี “แล้วพวกเขาอยู่ที่ใด”

มืดผงะถอยไปเล็กน้อยเมื่อช่วงตัวสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ “บ้านครูบุญ...ไอ้แก้วมันเป็นคนไปเจอยักษ์สองตนนั้นได้รับบาดเจ็บอยู่ในป่า จึงพากลับไปรักษาที่เรือน”

“แก้ว?” กรรณทวนชื่อซ้ำอีกครั้ง

“มันเป็นหลานคนเล็กของครูบุญ” มืดพยักพเยิดหน้าไปทางท้ายหมู่บ้าน “เรือนหลังนั้นอยู่ทางท้ายหมู่บ้าน เดินลัดป่าไปทางนี้เพียงไม่นานก็ถึงแล้ว”

“เช่นนั้นหรือ” กรรณมองตามไปที่จุดหมายก่อนจะหันกลับมาหาชายหนุ่มมนุษย์อีกครั้ง “เจ้าช่วยนำทางไปได้หรือเปล่า”

“จริงๆ ข้าก็อยากจะช่วยอยู่หรอกนะ แต่คงไม่สะดวกสักเท่าไร” มืดบอกปัดอย่างไม่ไยดี...เพียงแค่คิดว่าจะต้องก้าวไปเหยียบอณาเขตของไอ้หมาบางตัวมันก็พานม่สบอารมณ์ขึ้นมาเสียแล้ว “จะให้ลูกน้องข้าพาไปก็แล้วกัน” ว่าไว้แค่นั้นก็หันไปสั่งลูกน้องอีกสองคนให้นำทางพวกยักษ์ไปที่บ้านครูบุญทันที โดยที่ไม่ลืมย้ำพวกมันอีกหนว่าห้ามก่อเรื่องกับไอ้กล้าเด็ดขาดเพราะถึงอย่างไรแล้วที่นั่นก็เป็นเรือนของครูบุญ ถึงแม้เข้าจะไม่ชอบขี้หน้ามันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพานเกลียดคนรอบตัวมันไปด้วย

“ขอบใจเจ้ามาก” กรรณพยักหน้ารับก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้เหล่าทหารให้มุ่งตรงไปที่เรือนท้ายหมู่บ้านโดยทันที





(มีต่อด้านล่าง)

หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๑ - พบพา : ๘/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 08-12-2019 22:00:05




“วันนี้ข้าจะไปดูอาการท่านวศินสักหน่อย เอ็งอยู่เฝ้าเรือนเสียด้วยล่ะไอ้กล้า” ครูบุญเอ่ยสั่งหลังจากที่ตระเตรียมข้าวของเสร็จ

“ฉันไปด้วยไม่ได้หรือพ่อครู”

“เอ็งจะตามไปหาพระแสงอันใด” ชายชราย้ำเสียงเข้ม “ข้าจะไปกับท่านวิรุณ เอ็งน่ะไม่ต้องเสนอหน้า อยู่เฝ้าบ้านเสีย” แล้วก็ได้ผลเมื่อไอ้ตัวดีมันยอมเลิกเซ้าซี้ทันควัน เพียงแค่เอ่ยชื่อของพ่อยักษ์ออกไป

กล้ายอมล่าถอยก่อนจะทอดถอนหายใจออกมาเมื่อเก็นว่าอสุราหนุ่มนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกัน

ทุกคืนและทุกวันเขาเฝ้าภาวนาให้มันรีบกลับไปยังบ้านเมืองของมันเสียที ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเพราะรู้สึกไม่ค่อยจำเริญหูจำเริญตาสักเท่าไรนัก

“นั่นลูกน้องไอ้มืดนี่” อินและมั่นที่กำลังแบกฟืนมาจากทางหลังเรือนเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าสองคนนั้นเดินย่างกรายเข้ามาในเขตเรือนของครูบุญ

“พวกมึงมาทำไม” กล้าเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปหาฝ่ายคู่อริ แต่ดูท่าแล้วหนนี้พวกมันคงจะไม่ได้มาหาเรื่องเพราะไม่ยักจะต่อปากต่อคำเฉกเช่นปกติ

“กูไม่ได้หามามึง” หนึ่งในนั้นว่าก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางด้านหลัง “แค่นำทางมา”

“อะไรของมึงวะ” กล้าจะเง้อมองตามหลังจากนั้นเพียงไม่นานก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่ามียักษ์อีกอีกหลายตนปรากฏตัวขึ้น แต่ก่อนที่มันจะได้เอ่ยปากทักท้วงออกไปร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็ก้าวมาบดบังเบื้องหน้าเอาไว้ แผ่นหลังกว้างแกร่งของอสุราหนุ่มทำให้มันเผลอผงะถอยไปหนึ่งก้าว

“เจ้ากรรณ” เสียงทุ้มที่เอ่ยทักเล่าบรรดายักษาเรียกความแปลกใจจากทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะครูบุญและไอ้กล้าที่ดูจะตื่นตกใจกว่าใครเพื่อน

“พี่วิรุณ!” อสุราหนุ่มกระโดดลงจากหลังอาชาศึกด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื้นตันใจแต่แล้วกลับถูกกีดกันเอาไว้เมื่อคนที่นั่งอยู่บนม้าศึกอีกตัวควบเข้ามาขัดขวางทาง

เวธัสปรายตามองต่ำไปที่อีกฝ่ายก่อนจะตวัดตามองกลับไปยังอสุราหนุ่มอีกตนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นัยน์ตาคมเข้มเพ่งพิศก่อนความคิดบางอย่างจะแล่นปราบเข้ามาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก็ต้องเก็บกลืนหายไปเมื่อนึกถึงความตั้งใจเดิมที่ได้รับคำสั่งมาจากองค์เจ้าเหนือหัวของตน

“ในนามองครักษ์ส่วนพระองค์ของท้าวภารตากษัตริย์แห่งนครคีรี...ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าจอมทัพวศินและจอมทัพวิรุณนั้นเป็นกบฏต่อบ้านเมือง” อสุราหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่หนักแน่น “โดยความผิดนั้นทั้งสองจอมทัพได้ยักยอกทรัพย์สินส่วนพระองค์ออกมาในระหว่างที่หลบหนี ทั้งยังทิ้งการศึกซึ่งตามกฎแล้วนั้นถือว่าเป็นโทษร้ายแรงอย่างถึงที่สุด องค์จ้าวเหนือหัวจึงมีพระประสงค์ให้จับกุมพวกท่านทั้งสองกลับไปชดใช้ความผิดที่ก่อเสีย...มิเช่นนั้นจะทำการประหารเจ็ดชั่วโคตร!”

“ว่าอย่างไรนะ?” วิรุณนิ่งค้างเมื่อถูกกล่าวหาในสิ่งที่ตนและสหายไม่ได้เป็นคนก่อก่อนจะหันไปมองคนสนิททันที “นี่มันหมายความว่าอย่างไร...เจ้ากรรณ”

“คือ...” ฝ่ายนั้นยังคงพูดไม่ออกเมื่อความรู้สึกผิดอันแน่นอยู่ภายในอก

“กบฏหรือ…” ไอ้กล้าที่ยืนอยู่หน้าเสียก่อนจะกันกลับไปมองพ่อครูของมัน แล้วพลันบันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อได้รู้ความเป็นมาของยักษ์ทั้งสองตน “กูว่าแล้วเชียว! ว่าพวกมึงน่ะมันตัวซวย!” ชายหนุ่มตวาดเสียงกร้าวก่อนจะพุ่งเข้าไปผลักอกของวิรุณอย่างแรงจนฝ่ายนั้นผงะถอย

“กล้า” อสุราหนุ่มเบี่ยงตัวหลบหมัดได้ทันเฉียดฉิวก่อนจะรวบมืออีกฝ่ายไว้เมื่อเห็นว่าไอ้หมาบ้ามันเริ่มโวยวายเสียงดัง “ข้าไม่ใช่กบฏ” แต่ดูเหมือนว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนคนแก้ตัวเพราะแต่ไหนแต่ไรมาอีกฝ่ายก็ไม่เคยมองกันในแง่ดีอยู่แล้ว

“ถุด! คิดว่ากูเชื่อมึงหรือ” ไอ้กล้าถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างหยามเหยียดก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องอีกฝ่ายเขม็ง นัยน์ตาคมเข้มฉายความเจ็บแค้นออกมา “มึงหลอกพ่อครู! หลอกน้องกู! หลอกทุกคน ไอ้ยักษ์ชั่ว!”

“หยุดได้แล้วไอ้กล้า!” เสียงของชายชราเอ่ยตวาดขึ้นเมื่อเหลืออดกับความเลือดร้อนของหลานคนโต

“ไม่ ฉันไม่หยุด” ไอ้กล้ายังคงดื้อดึงซ้ำยังพยายามฉุดกระชากแขนของตนออกจากการเกาะกุม “ฉันเตือนพ่อครูแล้วใช่ไหมว่าไอ้ยักษ์พวกนี้มันไว้ใจไม่ได้!” เวลานี้มันเดือดดาลเสียจนเอาอะไรมาฉุดก็รั้งเอาไว้ไม่อยู่แล้ว “เป็นอย่างไรล่ะ มันนำความฉิบหายมาให้ถึงเรือนขนาดนี้!”

“กูบอกให้หยุด!” ครูบุญตวาดเสียงดังลั่นกว่าทุกทีจนทำให้บรรยากาศรอบด้านเงียบสนิท “ถอยออกมาเสียไอ้กล้า...เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเอ็ง” ชายชราว่าเสียงเย็น

“...ปล่อยกู” กล้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่คนที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะสะบัดแขนอย่างแรงจนสันมือฟาดเข้าใส่ใบหน้าของวิรุณจนหน้าหัน “กูเกลียดมึง...ไอ้ตัวฉิบหาย” ว่าไว้แค่นั้นก็เดินหันหลังกลับไปทางพ่อครูปล่อยให้ใครอีกคนยกมือเช็ดเลือดที่ซึมขึ้นมาข้างมุมปากออกไปอย่างเงียบเชียบ

“พี่วิรุณ...เรื่องนี้ข้าอธิบายได้” กรรณอาศัยจังหวะที่เวธัสเผลอวิ่งรี่เข้ามาหาก่อนจะหันไปตวาดเหล่าทหารทที่กำลังจะเข้ามาจับกุมตัวอีกฝ่าย “หยุดไว้ตรงนั้น! หากพวกเจ้าแตะต้องตัวเขาแม้นเพียงกระผีกเดียวละก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” นัยน์ตาสีโกเมนประกายกร้าวเขี้ยวงองุ้มออกมาอย่างมีโทสะ

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือกรรณ...อยากจะโดนร่างแหไปด้วยใช่หรือไม่” เวธัสมองต่ำ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อไม่เข้าใจในการกระทำของอีกฝ่าย

“เวธัส” กรรณหันไปหาอดีตคู่อริก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ “ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับพี่วิรุณ”

“ไม่มีกฎข้อไหนให้เราจะเจรจากับพวกกบฏ” ฝ่ายนั้นว่าเสียงเย็น

“เขาไม่ใช่กบฏ” กรรณพูดรอดไรฟันให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน

“หึ...เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ คนที่ยื่นหลักฐานยืนยันความผิดของทั้งสองจอมทัพก็คือเจ้าเองนี่” เวธัสเหยียดยิ้มแต่ความคิดบางอย่างที่ฉุกขึ้นมาก่อนหน้ากลับทำให้ต่อเติมเรื่องราวในใจได้ทีละนิด

แปลก...นี่มันแปลก...

เรื่องราวครั้งนี้...มันมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว...

“เช่นนั้น...ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” เวธัสกระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะโบกปัดให้เหล่าทหารออกไปลาดตระเวนรอบด้านเพื่อ

“ไม่” กรรณค้านเสียงแข็ง “ข้าจะเจรจากับเขาเพียงแค่สองคน เข้าไม่เกี่ยว”

“เจ้ามีสิทธิ์ต่อรองด้วยหรือ” เวธัสหรี่ตามองอย่างจ้องจับผิดก่อนจะผลักอกอีกฝ่ายออกห่าง “ข้าให้เวลาเพียงแค่ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินเท่านั้น”

กรรณขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างนึกขัดใจแต่สุดท้ายก็ยอมตกปากรับคำไป “ข้าคิดว่าคุยกันที่นี่...มันไม่เหมาะนัก”

“...ตามข้ามา” วิรุณพยักหน้าไปทางป่าแอ่งน้ำที่อยู่ทางหลังเรือนเพราะที่นั่นเป็นบริเวณที่เงียบสงบที่สุด ก่อนจะออกเดินนำหน้าทั้งสองไป













ผั้วะ!

เสียงของสันหมัดที่ปะทะลงบนเสี้ยวหน้าทำให้กรรณเกือบจะล้มเซลงไปกับพื้นก่อนจะถูกกระชากคอเอาไว้เพื่อรองรับหมัดอีกข้างที่ประเคนเข้ามา เสียงคำรามกร้าวดังก้องเมื่อไฟโทสะโหมลุกโชนจนนัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน วิรุณเหวี่ยงอีกฝ่ายไปที่โขดหินข้างแอ่งน้ำก่อนจะตามไปเหยียบซ้ำลงบนแผ่นอกจนฝ่ายนั้นขบกรามแน่นเพื่อระงับความเจ็บปวด

“ระยำ” เสียงทุ้มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธขึ้ง “ลุกขึ้นมา” วิรุณบีบเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายด้วยฝ่ามือที่สั่นเทิ้มเมื่อไม่สามารถควบคุมสติตนเองเอาไว้ได้หลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพทุกอย่างจากปากของมัน “เจ้าทำอะไรลงไป รู้ตัวหรือเปล่า...เจ้ากรรณ!” เขาตะคอกใส่อย่างเดือดดาลแต่มันกลับทำเพียงแค่หลบสายตาและนิ่งเฉย

“...ข้าขอโทษ” กรรณพยายามหายใจด้วยเรี่ยวแรงที่หลงเหลือเมื่อถูกบีบเข้าที่ลำคอ

“เก็บถ้อยคำของเจ้าเอาไว้บอกกับวศินมันเสียเถอะ” อสุราหนุ่มเหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายออกไปให้พ้นสายตาก่อนจะหันหลังหนีไปทางอื่นเพื่อต้องการระงับสติที่แตกซ่านให้คงที่

“โง่เง่าสิ้นดี” เวธัสที่เห็นและรับรู้ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นสบถด่าอยู่ในลำคอเมื่อมองต่ำลงไปที่คู่อริของตน ก่อนความรู้สึกผิดหวังและโกรธแค้นจะโจมตีเข้ามาจนต้องขบกรามแน่น “คิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าบุหลันรู้เรื่องนี้ขึ้นมาแล้วจะรู้สึกอย่างไรที่ผัวที่นางรักนั้นเป็นกบฏเสียเอง!” เวธัสพุ่งเข้าไปกระชากตัวของอีกฝ่ายอย่างเหลืออด แต่ครานี้มันหาได้โต้ตอบอะไรกลับมาทำเพียงแค่นิ่งและปล่อยให้เขาต่อยตี

“จะให้ข้าทำอย่างไร!” กรรณตวาดกร้าวออกมาอย่างไร้หนทาง “รามสูรมันขู่จะฆ่าเมียกับลูกของข้า!”

“แล้วเหตุใดเจ้าไม่บอกความจริงให้ท้าวภารตาได้ทราบ!” เวธัสกระชากเสียงถามอย่าเหลืออดเพราะเหตุผลของมันนั้นช่างฟังไม่ขึ้นทั้งเพ

“มันจับตามองข้าอยู่ตลอด...หนแรกมันเพียงต้องการให้ข้ามายืนยันว่าทั้งสองจอมทัพหลบหนีไประหว่างทำศึก แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะให้ข้าร่วมมือสร้างหลักฐานเพื่อเอาผิดเฉกเช่นนี้” กว่าจะรู้ตัวก็ยากเกินกว่าที่จะถอยกลับเสียแล้ว...เพราะตอนนั้นใจมันแต่พะวงห่วงความปลอดภัยของลูกกับเมียจึงไม่ทันนึกคิดให้รอบคอบดีเสียก่อน

เหตุการณ์ครั้งนี้หากจะหาว่าใครควรรับโทษมากที่สุดนั่นก็คือตัวเขา...หาใช่จอมทัพทั้งสองไม่

“เจ้ามันมุทะลุ ไร้หัวคิดไม่ยอมเปลี่ยน” เวธัสขบกรามแน่นก่อนจะผลักอีกฝ่ายไปให้พ้นทาง “หากเพียงแค่เจ้ามาบอกข้า ทุกอย่างมันก็คงไม่เลยเถิดมาถึงขนาดนี้”

“หึ...เจ้าจะคอยเยาะเย้ยข้าเสียมากกว่า” กรรณยิ้มขันเมื่อรู้สึกสมเพชตัวเองเกินจะทน…แม้แต่คู่อริเก่าก็ยังดูมีหัวคิดมากกว่าเขา

“เจ้ามองข้าผิดไปมากโข” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบเฉยในขณะที่กำลังเดินหันหลังกลับ “ในเมื่อเรื่องนี้เจ้ามีส่วนผิดและรู้เห็นในการกระทำของพวกราชคฤห์ ก็จงรอชดใช้ความผิดที่เจ้าก่อขึ้นมาเสีย”

“เวธัส” วิรุณเอ่ยเรียกแต่ฝ่ายนั้นกลับยกมือขึ้นมาห้ามปรามเอาไว้

“ไม่ต้องห่วง...ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ผู้ใดทราบ เพราะเห็นแก่ท่านและท่านวศิน” เวธัสหยุดนิ่งก่อนจะหันไปมองไอ้คนไม่ได้ความที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่พื้น “เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเจ้าที่ต้องรับผิดชอบและชดใช้ในทุกๆ อย่าง...กรรณ”













คล้อยหลังจากที่ฝ่ายนั้นเดินออกไปวิรุณก็หันไปมองทางฝ่ายที่นั่งก้มหน้าอยู่บนพื้นก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด “ลุกขึ้นมา” เขาเอื้อมมือไปตรงหน้าแต่พอฝ่ายนั้นจะยกขึ้นจับวิรุณกลับดึงกลับก่อนจะพูดออกมาเสียงแผ่ว “...เจ้าทรยศ...หักหลังพวกข้า”

“พี่วิรุณ…ข้า”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” วิรุณส่ายหน้าพร้อมกับยกมือปราม

“...” กรรณพยุงตัวลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีโกเมนจับจ้องไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง

...เขาทำพลาดอย่างมหันต์

“วันที่ข้าและวศินออกไปรบกับพวกราชคฤห์และได้ฝากฝังให้เจ้าช่วยดูแลเมืองหน้าด่าน...ก็เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยต่อไปอย่างราบเรียบ “ทหารนับร้อยล้มตายเกลื่อนเพราะองค์รามสูรใช้ศรอาบพิษตัดกำลังกองพล พวกข้าถูกไล่ต้อนขึ้นไปบนหน้าผา…และวศินก็ถูกศรนั้นปักเข้าที่กลางอก”

กรรณเบิกตากว้างในสิ่งที่ไม่เคยได้รู้มาก่อน...ในวันนั้น วันที่รามสูรเล่าเกี่ยวกับจอมทัพทั้งสองก่อนที่จะบังคับเขาร่วมแผนการหาได้เป็นเช่นนี้ไม่...

“แต่สิ่งองค์รามสูรบอกข้าในวันนั้น...คือพวกท่านควบม้าหนีหายไปในระหว่างที่กำลังชุลมุน”

“แล้วเจ้าก็เชื่อ?” วิรุณเลิกคิ้วขึ้นถาม

“ในเวลานั้นข้าได้รับแจ้งมาว่าแม่ทัพนายหน้าทุกนายต่างถูกพวกราชคฤห์ลอบฆ่าจนเกลี้ยง และท่านกับพี่วศินก็หายไป” กรรณนึกทวนความจำ...ในเวลานั้นคงเป็นเพราะหลงเชื่อคำลวงจึงทำให้สตินึกคิดถูกพรากจากไป

“นั่นก็เพราะพวกข้าถูกไล่ต้อนขึ้นไปบนหน้าผา หาได้คิดหนีไม่” อสุราหนุ่มทอดถอนใจออกมาอย่างปลงตก...ในเหตุการณ์เช่นนี้อะไรๆ ก็ช่างดูเป็นใจไปหมดเสียจริง

“เป็นความผิดของข้าเอง ถ้าหากข้าหนักแน่นและนึกไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนอีกสักนิด...พวกท่านก็คงไม่ต้องมาประสบพบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้” กรรณก้มหน้ามองพื้นเมื่อรู้สึกละอายใจเหลือแสน

“ช่างเถิด...ถึงเจ้าจะเอ่ยขอโทษอีกสักกี่ครั้ง ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้” วิรุณบอกปัด “เก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ให้วศินเสีย...จงพูดให้มันฟังเหมือนอย่างที่เจ้าพูดกับข้า”

“…” กรรณใบหน้าซีดเผือดก่อนจะรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่เข้ามากอบกุมภายในจิตใจ

“เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าวศินนั้นเป็นเช่นไร” ฝ่ายนั้นย้ำเตือนความจำ “แม้แต่ตัวข้าเอง...ก็คงช่วยอะไรไม่ได้”

“ขอรับ...ข้าทราบดี” กรรณก้มหน้ารับก่อนจะเอ่ยถามถึงใครอีกคนที่ไม่มีแม้แต่วี่แววในบริเวณนี้ “แล้ว...พี่วศิน”

“มันไปรักษาตัวอยู่ในถ้ำท้ายเชิงเขา...อาการย่ำแย่พอสมควร” วิรุณพยักหน้าไปอีกทาง “ก่อนที่เจ้าจะมา ข้ากับพ่อเฒ่ากำลังจะเดินทางไปดูอาการของมันพอดี”

คำบอกเล่าจากปากของอีกฝ่ายทำให้กรรณรู้สึกหนักอึ้งในอกเสียยิ่งกว่าเดิม “ข้าจะไปกับท่านด้วย”

“เช่นนั้นก็คงต้องให้เจ้าเวธัสตามไปด้วย”

เมื่อได้ข้อสรุปทั้งสองอสุราหนุ่มก็เดินกลับเข้ามาบริเวณเขตเรือนที่ยามนี้นั้นเหลือมนุษย์อยู่เพียงแค่สองคน นั่นก็คือครูบุญและไอ้กล้า ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็คงถูกไล่ให้กลับเรือนไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

“พ่อวิรุณ” ครูบุญเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหา ชายชรายังคงมีสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาเช่นเดิมไร้ท่าทีโกรธขึ้งหรือฉุนเฉียวออกมาให้ได้เห็น

“ข้า...” อสุราหนุ่มตั้งท่าจะเอ่ยขอโทษในสิ่งที่เขากับสหายได้กระทำเอาไว้จนทำให้เดือดร้อน แต่ฝ่ายนั้นกลับยกมือขึ้นวางบนต้นแขนแล้วบีบเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มมาให้อย่างไม่ถือสา

“ช่างมันเถิด พ่อวิรุณ” เขาไม่นึกติดใจในที่มาที่ไปของอสุราหนุ่มทั้งสองตนเพราะตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันนั้นก็สามารถเป็นตัวยืนยันได้แล้วว่าพ่อยักษ์ทั้งสองนั้นไม่ได้มีนิสัยที่ร้ายกาจ...และถึงแม้ว่าจะมี เขาก็เป็นแค่คนที่คอยช่วยรักษาเท่านั้น หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดไม่ ไม่จำเป็นเลยที่พ่อวิรุณจะต้องมานึกกังวล

ทางด้านกรรณเองก็แยกตัวออกไปเจรจากับเวธัสเรื่องของวศิน และเพียงไม่นานทั้งสองก็เดินกลับเข้ามาหาก่อนคำที่เวธัสเอ่ยบอกนั้นจะสร้างความแปลกใจให้อยู่ไม่น้อย “ข้าจะไม่ตามพวกท่านไป จงใช้ช่วงเวลานี้จัดการเรื่องทุกอย่างเสีย...แล้ววันพรุ่งก่อนรุ่งสาง ไปพบกันที่ธารน้ำตกทางฝั่งโน้น...พวกเราจะได้เดินทางกลับนครคีรีกันเสียที” เอ่ยเอาไว้เพียงเท่านั้นก็หันไปสั่งให้เหล่าพลทหารเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางไปยังจุดนัดพบ

“ขอบใจเจ้ามาก” กรรณเอ่ยเสียงแผ่วในขณะที่ฝ่ายนั้นเดินผ่าน

“อืม” เวธัสมองตรงไปทางด้านหน้าก่อนจะตวัดตัวขึ้นนั่งคร่อมบนหลังอาชาศึกอย่างสง่าผ่าเผยแล้วควบออกไปจากบริเวณเขตเรือน

วิรุณมองตามเหล่าทหารที่เริ่มทิ้งระยะห่างออกไป ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงหนักแน่น “ไปหาเจ้าวศินกันเถอะ”










_________________________________







มาแล้วค่าาาา แงงง ขอโทษนะคะที่มาช้า และยังผิดคำพูดอีกที่ว่าจะกลับมาช่วงเดือนกันยา

แต่เพราะมีเหตุฉุกเฉินและงานที่เยอะมากๆเลยทำให้พันไมล์ไม่สามารถปั่นต้นฉบับได้ตรงตามแผนที่วางเอาไว้

เลยทำให้ล่าช้าเป็นอย่างมาก ขออภัยคนมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ T T

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากๆที่ยังรอคอยนิยายเรื่องนี้อยู่และยังแวะเวียนมาพูดคุยให้กำลังใจกันตลอด

ขอบคุณมากจริงๆค่ะ

ฝากคอมเม้นต์เป็นกำลังใจหรือจะแวะมาพูดคุยกันที่ #ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ใน Twitter ก็ได้คร้าบบ

ป.ล.ตอนนี้ยังไม่ผ่านการเกลาสำนวนและตรวจคำผิดเพราะพันไมล์ไม่มีเวลาแต่อยากรีบอัพให้ทุกคนได้อ่านกัน ไว้เดี๋ยวจะกลับมาแก้ไขอีกครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๑ - พบพา : ๘/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-12-2019 22:42:57
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๑ - พบพา : ๘/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-12-2019 14:11:27
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๑ - พบพา : ๘/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 09-12-2019 16:04:10
ในที่สุดก็กลับมาอัพแล้ววว :pig4:

..อีกไม่นานพี่วศินจะจากเจ้าแก้วไปแล้ว  :o12:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๑ - พบพา : ๘/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-12-2019 22:57:27
ว้าวว ขอบคุณค่ะ ที่กลับมาลงแล้ว

เรื่องยุ่งยากมาแล้วค่ะ แก้วจะไหวไหมนั่น
ถ้าวศินต้องกลับเมืองตัวเอง ไม่รู้อีกนานไหมจะกลับมา

ที่สำคัญ เค้าเป็นของกันแล้วด้วย เอ็นดูเจ้าแก้ว
เผลอๆ วศินกลับมาอีกที อาจจำแก้วไม่ได้ ถ้าแก้วยอมทายาดีๆ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๑ - พบพา : ๘/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-12-2019 00:26:27
ดีใจมากเลย ที่มิสฯ มาอัพ :mew1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๑ - พบพา : ๘/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 10-12-2019 09:22:44
กลับมาแล้ว~
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๑ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 26-12-2019 20:00:09
บทที่๒๒

ลาจาก

.

.

.



นัยน์ตาคมคอยสังเกตภาพเหตุการณ์จากบนยอดผาอยู่เป็นระยะ จากบริเวณนี้นั้นทำให้สามารถมองเห็นหมู่บ้านของชาวมนุษย์ที่ตั้งอยู่ท้ายเชิงเขาเกือบจะทั้งหมด อสุราหนุ่มเดินกลับไปยังอาชาสีนิลคู่ใจก่อนจะก้าวขาขึ้นคร่อมเมื่อเห็นว่าทหารติดตามสองนายควบม้ากลับมาหลังจากที่ออกไปลาดตระเวนโดยรอบตามคำสั่งของเขา

อันที่จริงต้องเรียกว่าคอยสังเกตการณ์กลุ่มเป้าหมายมิให้คลาดสายตาเสียมากกว่า...

“ท่านวาริทขอรับ” หนึ่งในนั้นรีบเอ่ยรายงานผู้เป็นนายทันที “หลังจากที่แวะพักบริเวณริมธาร พวกเจ้ากรรณก็มุ่งตรงเข้าไปในหมู่บ้านของมนุษย์ที่ตั้งอยู่บริเวณท้ายเชิงเขาขอรับ”

“จากที่เฝ้าสังเกตการณ์ ดูเหมือนว่าเจ้ากรรณจะรู้แล้วขอรับว่าทั้งสองจอมทัพนั้นอยู่ที่ใด”

“จริงหรือ” วาริทถามย้ำ

“ขอรับ” หนึ่งในนายทหารยืนยันในสิ่งที่ตนได้พบ “พวกชาวบ้านบอกว่าเมื่อหลายวันก่อน มียักษ์สองตนพลัดหลงมาจากทางธารน้ำและมีคนในหมู่บ้านได้ช่วยเอาไว้ขอรับ”

“คนที่ช่วยเหลือเอาไว้มันชื่อแก้ว เป็นหลานของหมอยาประจำหมู่บ้านขอรับ” อสุราหนุ่มอีกตนช่วยเสริม “เรือนของพวกมันนั้นตั้งอยู่ห่างออกไปจากตัวหมู่บ้านไม่ไกลนัก...พวกข้าทั้งสามจึงไม่ได้ติดตามไปต่อเพราะเกรงว่าเจ้ากรรณจะรู้ตัวน่ะขอรับ”

ตามคำสั่งของท่านวาริทนั้นคือให้ตามติดโดยทิ้งระยะห่างให้ได้มากที่สุด เพราะองครักษ์ของท้าวภารตานามว่าเวธัสนั้นหูไวตาไวเสียยิ่งกว่าสิ่งใด และอีกอย่างหากเจ้ากรรณรู้ว่ามันถูกตามติดอยู่ตลอดเช่นนี้ก็คงมิวายคิดหาทางหนีทีไล่จนพานทำให้แผนการทุกอย่างมันผิดเพี้ยน

วาริทจดจ้องลงไปยังพื้นเบื้องล่าง พลันรอยยิ้มข้างมุมปากก็ปรากฏขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของหนึ่งในสองจอมทัพแห่งนครคีรีกำลังเดินลัดเลาะป่าเพื่อมุ่งตรงไปตามลำธาร

“แล้วมนุษย์พวกนั้นเป็นใคร” เขาเอ่ยถามเพราะเห็นว่านอกจากเจ้ากรรณกับจอมทัพวิรุณแล้วยังมีมนุษย์อีกสองคนที่เดินมาด้วยกัน

“พ่อเฒ่านั่นชื่อบุญขอรับ เป็นหมอยาประจำหมู่บ้านจันทน์ผา...คงเป็นคนที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้กับทั้งสองจอมทัพน่ะขอรับ”

“แล้วจอมทัพวศินกับเจ้าเวธัส...อยู่ที่ใด” วาริทเอ่ยถามเสียงเบาอย่างใช้ความคิด ในขณะที่ตายังคงจับจ้องอยู่กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มเป้าหมายไปไม่ห่าง แต่แล้วลางสังหรณ์บางอย่างก็เต้นเร่าขึ้นมาในกายเมื่อจับสังเกตได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติ ก่อนจะหันไปสั่งเหล่าผู้ติดตามเสียงเครียด

“จงติดตามพวกมันไปอย่าให้คลาดสายตาแม้นเพียงกระผีกเดียว” วาริทกดเสียงต่ำ พึมพำอยู่กับตนเอง ก่อนรอยยิ้มชั่วร้ายที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นนายจะปรากฏขึ้น “…ความแตกเสียแล้วกระมัง”













“เจ้าแก้ว...ให้หลวงตาดูแผลเอ็งหน่อยซิ”

เสียงอ่อนโยนยังคงมากไปด้วยเมตตาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าหลานคนเล็กนั้นเริ่มจะเคลื่อนขยับตัวจากที่นอนซมเพราะพิษไข้มาตั้งแต่ช่วงรุ่งสาง หลังจากที่เขาวานให้ท่านนคินช่วยนำยามาให้ ก็ได้ความว่าสภาพของมันนั้นย่ำแย่กว่าที่คิดเอาไว้

เพราะนอกจากตัวที่ร้อนจัดแล้ว...ทั่วทั้งร่างกายยังมีร่องรอยบอบช้ำอยู่เต็มไปหมด

คราแรกที่ไม่อยากเข้ามาดูสภาพของมันด้วยตนเองเพราะเกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์โทสะเอาไว้ได้ แต่ภาพที่ได้เห็นทันทีที่เดินย่างกรายเข้ามาบริเวณโถงถ้ำแห่งนี้กลับทำให้ต้องหยุดยืนดู เมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แผ่ออกมา

ภาพที่จอมทัพวศินตระกองกอดเจ้าแก้วเอาไว้แนบอกเมื่อเห็นว่ามันตัวสั่นเพราะพิษไข้ ซ้ำยังก้มลงพรมจูบไปตามผิวเนื้อบอบช้ำอย่างทะนุถนอมราวกับเกรงว่าเรี่ยวแรงของตนจะทำให้มันรู้สึกเจ็บ

..เพียงเท่านี้....ก็ทำให้เขาได้รู้และเข้าใจทุกอย่างในตอนนั้นเอง....

เจ้าแก้วปรือตาขึ้นได้ทีละนิด มันรู้สึกหนักอึ้งในศีรษะจนต้องหลับตาลงไปอีกรอบ

พระอาจารย์ถือโอกาสในตอนที่มันขยับพลิกตัวเอื้อมมือไปเปิดผ้าออก แล้วก็ต้องหยุดชะงักเอาไว้ด้วยความตื่นตกใจ เมื่อสิ่งที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้านั้นคือร่องรอยบอบช้ำและรอยเขี้ยวมากมายที่ประทับลงบนผิวกายของหลานคนเล็ก มือเหี่ยวย่นสั่นเทาเกินกว่าจะควบคุมในตอนที่ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงเนื้อตัวที่ร้อนจัดของมัน

“อือ” เจ้าแก้วขมวดคิ้วแน่น หยาดเหงื่อผุดซึมขึ้นข้างขมับเมื่อรู้สึกปวดร้าวที่ช่วงสะโพก “...ท่าน...วศิน” มันพึมพำเสียงแหบพร่าเรียกชื่อใครอีกคน ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นทีละนิดอย่างอ่อนล้า

“ท่านวศินเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้ ก่อนที่เอ็งจะตื่น” พระอาจารย์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะลูบหน้าผากชื้นเหงื่อของมันด้วยความเป็นห่วง พลางไล่สายตาสำรวจรอยฟกช้ำที่อยู่ใต้ร่มผ้าอีกหน “เจ็บมากเลยหรือลูก”

“…” นัยน์ตาสีอ่อนวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ

“เอ็งนี่นะ” พระอาจารย์ส่ายหน้าไปมาอย่างนึกปลงตก “หากพ่อกับพี่ของเอ็งรู้เรื่องนี้เข้าละก็คง...ฉิบหายกัน”

เจ้าแก้วค่อยๆ ประคองตัวลุกขึ้นนั่ง มันขบฟันลงบนริมฝีปากจนขาวซีดเมื่อรู้สึกเจ็บร้าวช่วงล่างจนชา

แต่ถึงแม้ว่ากายจะเจ็บปวด...แต่ทว่าความสุขที่ก่อเกิดขึ้นในจิตใจนั้นกลับล้นปริ่มอยู่เต็มอก

“เจ้าแก้ว บอกความจริงกับหลวงตามาตามตรง” พระอาจารย์ลอบมองท่าทีของมันไม่วางตา “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น...เอ็งถูกท่านวศินบังคับขืนใจหรือไม่” คำถามเถรตรงจากหลวงตา ทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่

“ว่าอย่างไร” แม้นจะรู้คำตอบอยู่เต็มอก แต่เขาก็ต้องการฟังคำยืนยันจากปากของมันเอง

“ป เปล่าจ้ะ” เจ้าแก้วส่ายหน้าปฏิเสธช้า ๆ พร้อมกับก้มหน้ามองพื้น “ท่านวศิน...ไม่ได้ทำเช่นนั้นหรอกจ้ะหลวงตา”

“เช่นนั้นก็แสดงว่าเอ็งสมยอม” ชายชราทบทวนคำตอบของมันอีกครั้ง ก่อนคำถามต่อมาจะทำให้หลานคนเล็กใบหน้าแดงจัดราวกับจับไข้แดด “เอ็งรักท่านวศินหรือ”

“ฉัน...” เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมาจากพื้น นัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นวูบไหวราวกับเปลวเพลิงที่ต้องลมจนอ่อนแรง ก่อนแรงบีบรัดในอกซ้ายจะเป็นตัวเร่งคำตอบให้ประจักษ์ชัดเจนขึ้นมาแม้นจะไม่ได้เอ่ยปากบอกไป แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอแล้วที่หลวงตาจะรับรู้ได้ถึงความในใจของมัน

“เอ็งรู้ใช่หรือไม่...ว่าวันใดวันหนึ่งท่านวศินก็ต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองของตนเอง” พระอาจารย์เอ่ยเตือนเสียงราบเรียบแม้ว่าในแววตาจะไม่สามารถปิดบังความห่วงใยที่มีต่อมันเอาไว้ได้

“จ้ะ” เด็กหนุ่มขานรับเสียงแผ่วเมื่อความจริงที่คิดหลีกหนีมาโดยตลอดกำลังย้อนกลับมาเล่นงานให้มันตื่นจากความหวังลมๆ แล้งๆ

“อีกฝ่ายเป็นยักษ์ ซ้ำยังเป็นแม่ทัพใหญ่…สักวันหนึ่งก็ต้องมีคู่ครอง เพื่อที่จะมีทายาทไว้สืบสกุล” มือเหี่ยวย่นวางลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน “ที่หลวงตาพูด ไม่ได้ต้องการทำให้เอ็งเสียใจ...แต่หลวงตาอยากจะให้เอ็งได้นึกถึงความเป็นจริงอีกด้านด้วย”

“…” เจ้าแก้วนั่งนิ่งและนึกทบทวนในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“เอ็งรักท่านวศินก็จริงอยู่...แต่เอ็งมั่นใจได้อย่างไรว่าฝ่ายนั้นเขาก็รักเอ็งและพร้อมที่จะสละทิ้งทุกอย่าง เพื่อมาอยู่กับเอ็งที่นี่” พระอาจารย์ลูบศีรษะของมันอย่างปลอบประโลมเมื่อเห็นว่าเจ้าแก้วเอาแต่นั่งก้มหน้านิ่ง “เอ็งมีไอ้บุญ มีไอ้กล้า มีหลวงตา ที่ของเอ็งคือที่นี่...ส่วนท่านวศินก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มีบ้านเมืองให้ต้องดูแล”

“…”

“เอ็งเข้าใจที่หลวงตาพูดหรือไม่” เขาถามย้ำ ก่อนจะคลี่ยิ้มเบาบางออกมาเมื่อเห็นว่ามันพยักหน้ารับ แต่แล้วในอกพลันวูบไหวเมื่อเห็นว่านัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นรื้นน้ำได้อย่างน่าสงสาร แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ยอมเผยความอ่อนแอออกมาให้ได้เห็น

สิ่งที่เขาพูดออกไป ก็เพียงแค่อยากให้มันได้นึกตรึกตรองอีกครั้งเพื่อตัวของมันเอง

เรื่องราวครั้งนี้ หากมีใครสักคนจะต้องรู้สึกเสียใจละก็คงไม่พ้นตัวมันเองอย่างแน่นอน เพราะในไม่ช้าหรือเร็วฝ่ายนั้นก็ต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองของตน ภาระหน้าที่ของท่านวศินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่สามารถปล่อยปละละเลยได้

ฉะนั้นแล้ว...หากว่าตอนนี้ยังจะพอที่จะหยุดยั้งเรื่องราวระหว่างทั้งคู่เอาไว้ได้

เขาก็หวังเพียงแค่ว่าอย่าให้มีใครต้องรู้สึกทุกข์ทรมานกับเหตุการณ์ครั้งนี้เลย



(มีต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Punmile09 ที่ 26-12-2019 20:00:53



“ถึงกับออกปากบอกให้เจ้าออกมาอยู่ข้างนอกเช่นนี้...ดูท่าแล้ว พระอาจารย์คงโกรธเอามาก” พญานาคหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเห็นว่าใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกายยังคงนิ่งเฉย

“…แขนเจ้า” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้นโดยไม่นึกสนใจบทสนทนาก่อนหน้า “ไปโดนอะไรมา” นัยน์ตาคมเข้มมองไปยังท่อนแขนของพญานาคราชเมื่อเห็นว่ามีผิวเนื้อบางส่วนแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดสีนิล

“นี่น่ะหรือ” ฝ่ายนั้นยกขึ้นมาดูก่อนรอยยิ้มบางเบาจะปรากฏขึ้น “ช่างมันเถิด ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร”

“แล้วอาการของเจ้าเล่า เป็นอย่างไรบ้าง” วศินหมายถึงผลกระทบจากพิษอัคคิมุขที่อีกฝ่ายได้รับเมื่อตอนที่ถอนพิษให้เขา เพราะหลังจากนั้นสภาพร่างกายของนคินก็ทรุดลงไปอย่างรวดเร็ว จากผิวกายที่เคยเปล่งปลั่งกลับหมองคล้ำลงไปอย่างเห็นได้ชัด

แม้นอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีออกมาว่ายังคงสุขสบายดี แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความทุกข์ระคนที่ฉายชัดอยู่ในแววตาคู่นั้นได้

“ดี ไม่มีอะไรน่าห่วง” นคินยิ้มกว้างก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่ายออกไป “ว่าแต่เจ้าเถอะ”

อสุราหนุ่มปรายตามองมาเพียงนิด ก่อนจะหันกลับไปยังโถงถ้ำเช่นเดิม

แม้ว่าภายนอกจะไม่ได้แสดงอาการออกมา แต่ความห่วงหาที่ปะทุอยู่ในอกนั้นทำให้เขาสูญเสียสมาธิจนจิตใจอยู่ไม่สุข เมื่อความอุ่นจากผิวเนื้อของอีกฝ่ายยังคงกรุ่นอยู่ที่ปลายนิ้ว สร้อยตะกรุดที่ถือวิสาสะยึดครองมาถูกนำมาพันทบไว้บนข้อมือแทนของต่างหน้า

ห่างกันเพียงแค่แผ่นหินกั้น ก็ทำให้รู้สึกคะนึงหาจนแทบจะทนไม่ไหว

“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าน่ะ” นคินขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่นึกสงสัย “จะไม่พาแก้วกลับไปด้วยจริงๆ น่ะหรือ”

“ไม่” อสุราหนุ่มตอบกลับโดยไม่มีท่าทีลังเล

“ทำไม” เมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น

“…”

แต่เพียงไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็กระจ่างชัด จึงทำให้นคินไม่คิดถามหาเหตุผลอื่นใดให้มากความอีก

เพราะคำตอบมันฉายชัดอยู่ในแววตาของท่านแม่ทัพแล้วเป็นที่เรียบร้อย

ทั้งหวงและห่วงเช่นนี้...ดูท่าแล้วเจ้ามนุษย์ตัวน้อยคงได้อยู่เหนือจอมทัพอสุราไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว...

“แก้ว” นคินเบิกตากว้างขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นลูกมนุษย์เดินออกมาจากโถงถ้ำโดยมีพระอาจารย์ตามหลังมาไม่ห่าง ท่าทางของเด็กหนุ่มนั้นดีขึ้นกว่าเมื่อตอนรุ่งสางมากนักแม้จะมีความอ่อนล้าออกมาให้ได้เห็นอยู่บ้างก็ตาม

“เจ้าออกมาทำไม” วศินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง พร้อมกับขยับเข้าไปใกล้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงลงน้ำหนักที่เท้าได้ไม่เต็มที่ แต่พอเอื้อมมือไปหาหวังช่วยประคองมันกลับผงะถอยเพียงนิดราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจ เพียงเท่านั้นก็ทำให้ความรู้สึกบางอย่างมันกรุ่นขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น “เหตุใดจึงไม่นอนพัก”

อสุราหนุ่มประคองเสียงของตนไม่ให้ผิดแผกไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาในขณะที่ยอมถอยเว้นระยะห่าง

“ฉัน...” เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีอ่อนวูบไหวเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นสร้อยตะกรุดของตนที่อยู่บนข้อมือของอีกฝ่าย “…มีเรื่องอยากจะคุยกับท่านวศินจ้ะ”

อสุราหนุ่มลดสายตามองต่ำเมื่อสัมผัสได้ว่าเสียงแหบพร่านั้นช่างบางเบาราวกับว่าคนพูดกำลังมีเรื่องหนักอกหนักใจให้คิด เขาตั้งท่าจะเอื้อมมือออกไปหาหวังดึงร่างของมันเข้ามากอดแนบชิดเหมือนดังค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ทำได้เพียงแค่คิด เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องกำมือข้างนั้นเข้าหากันแทนที่จะยื่นออกไปดังที่ใจปรารถนา

“ว่าอย่างไร” น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนขึ้นมาก จนทำให้นคินที่ยืนอยู่ใกล้กันนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ

“คือ...” เจ้าแก้วยังคงมีท่าทีลังเล มันมองไปทางหลวงตาสลับกับอสุราหนุ่มที่ยืนตรงหน้ากันเป็นระยะ ก่อนความรู้สึกและความคิดมากมายจะตีกันให้วุ่นอยู่ในหัวจนต้องเม้มริมฝีปากไว้แน่น

แต่ยังไม่ทันจะได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไปเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากปากทางเข้าถ้ำกลับดึงความสนใจจากทุกคนให้หันไปมองเป็นตาเดียว

“พ่อครู...พี่กล้า...” เจ้าแก้มพึมพำเสียงแผ่วอย่างตื่นตกใจ นัยน์ตาของมันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนภาพเบื้องหน้าจะถูกบดบังด้วยแผ่นหลังกว้างแกร่งของใครบางคนแทน

“เอาตัวน้องกูคืนมา” ไอ้กล้าเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาหาโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากพระอาจารย์หรือครูบุญ ตอนนี้อารมณ์โทสะของมันกำลังคุกรุ่นได้ที่ แต่ก็ยังมีสติมากพอที่จะไม่อาละวาดตามคำตักเตือนของพ่อครู “ไอ้แก้ว มาหาข้า”

ชายหนุ่มเว้นระยะห่างเอาไว้พอสมควร ก่อนจะเอ่ยย้ำด้วยเสียงที่เข้มขึ้น “ไอ้แก้ว!”

วศินมองไปยังอีกฝ่ายเพียงปราดเดียวราวกับชายหนุ่มผู้นั้นเป็นธาตุอากาศ ก่อนเสียงคำรามในลำคอจะดังแผ่วขึ้นเมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะเข้ามาหาคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง

“ไอ้กล้า!” เสียงของพระอาจารย์ตวาดขึ้นเมื่อเห็นว่าหลานคนโตมันช่างหัวรั้นเกินจะทน

อสุราหนุ่มยังคงยืนนิ่งอย่างไม่หวั่นเกรง แต่แล้วกลับต้องชะงักเมื่อมีฝ่ามือวางสัมผัสลงที่กลางหลังอย่างนุ่มนวล

“ท่านวศิน” เจ้าแก้วเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะหยุดอารมณ์คุกรุ่นของอสุราหนุ่มที่กำลังปะทุขึ้นมาได้

วศินขบกรามขึ้นจนเป็นสัน ก่อนจะยอมขยับถอยเปิดทางให้สองพี่น้องได้พบกัน

ไอ้กล้าพุ่งตัวเข้ามาดึงแขนน้องมันอย่างไม่รีรอก่อนจะต้องหยุดชะงัก เมื่อสังเกตเห็นร่องรอยบางอย่างที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อ พลันในอกก็เต้นเร่าเมื่อสัญชาตญาณบางอย่างกำลังเร่งเร้าให้เลือดในกายสูบฉีด ม่านตาขยายกว้างขึ้นอย่างตื่นตกใจเมื่อได้เกี่ยวรั้งคอเสื้อออกกว้างจนเห็นร่องรอยที่มันต้องการจะปกปิดเอาไว้

ชายหนุ่มขบกรามแน่นจนขึ้นสันพร้อมตวัดมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“พี่กล้า” เจ้าแก้วขยับตัวขวางร่างของอสุราหนุ่มเอาไว้เมื่อเห็นว่าพี่มันกำหมัดแน่นจนตัวสั่นเทิ้ม

“มึง…” เสียงทุ้มพร่าเจือความโกรธอย่างถึงที่สุด “ทำอะไรน้องกู!” สิ้นเสียงตะโกนกึกก้องไอ้กล้าก็กระโจนเข้าไปหาทันที แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปล่อยหมัดใส่ทั้งร่างกลับลอยขึ้นเหนือพื้น มันจึงทำได้แค่เพียงตะโกนด่าทอและถีบอากาศเพื่อระบายอารมณ์

“เลิกบ้าเสียที!” เสียงทุ้มตวาดอย่างเหลืออด วิรุณเพิ่มแรงแขนที่โอบรัดอยู่รอบเอวสอบให้มั่นเมื่อมันออกแรงดิ้นจนเกือบจะหลุด

“ปล่อยกู!” ไอ้กล้าพยายามยื้อกายหนีอย่างสุดความสามารถ คำด่าทอมากมายถูกสาดใส่คนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างน้องมันอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ฝ่ายนั้นกลับทำเพียงแค่เมินเฉย

“เอ็งเลิกทำตัวเป็นหมาบ้าแบบนี้เสียทีไอ้กล้า” ครูบุญตวาดมันขึ้นมาอย่างเหลืออดเมื่อเห็นว่าสถานการณ์มันเริ่มแย่ลงทุกขณะ

“พ่อครูยังจะให้ฉันเฉยได้อีกหรือ!” นัยน์ตาสีเข้มลุกโชนไปด้วยแรงโทสะ “ดูสิ ว่ามันทำอะไรลงไปบ้าง!”

“เอ็งหมายความว่าอย่างไร” ชายชราเอ่ยถามอย่างคลาแคลงใจ สลับกับมองไปทางเจ้าแก้วที่ถูกอสุราหนุ่มตนนั้นดึงเข้าไปกอดเอาไว้ในอ้อมแขน

“…รอยบนตัวไอ้แก้ว” ชายหนุ่มขบกรามกรอดอย่างโกรธแค้น “มันเป็นคนทำ!”

“…”

“ไอ้ยักษ์นั่น...มันจับไอ้แก้วทำเมียไปแล้ว!” สิ้นเสียงตวาดก้อง คนที่เหลือต่างเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ โดยเฉพาะครูบุญและวิรุณที่ตอนนี้มองค้างไปทางร่างสูงใหญ่ที่กำลังโอบประคองเจ้าแก้วแนบอก

“นี่...” ครูบุญพึมพำเสียงแผ่วเบาสลับมองไปทางพระอาจารย์อย่างต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่เคยถูกคิดล่วงหน้ามาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ

และถ้ามันเป็นจริงอย่างที่ไอ้กล้ามันพูดแล้วละก็...

“ถามกับลูกเอ็งเอาเองก็แล้วกัน” พระอาจารย์เอ่ยบอกเสียงราบเรียบก่อนจะหันไปเรียกหลานคนเล็ก “เจ้าแก้ว...มาหาหลวงตา”

เด็กหนุ่มนิ่งค้างไปเมื่อวงแขนแกร่งที่โอบกอดมันอยู่นั้นรัดแน่นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดและเสียงของจังหวะชีพจรที่เต้นรัวกำลังบ่งบอกว่าฝ่ายนั้นเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทีละนิด เมื่อเห็นว่ามันวางมือลงบนท่อนแขนราวกับบอกทางอ้อมว่าให้ปล่อย

“วศิน...ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเจ้า” วิรุณเอ่ยบอกเสียงเครียดเมื่อนึกถึงจุดประสงค์ในการเดินทางมาหาครั้งนี้ ก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางที่ใครอีกคนยืนอยู่

จอมทัพอสุราหันไปมองตาม เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้ากรรณนัยน์ตาก็ฉายแววประหลาดใจขึ้นมาเพียงแค่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดังเดิม

เพียงเท่านั้นก็เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องรอให้ใครเอ่ยปากบอก เขาคลายวงแขนออกเพื่อปล่อยให้คนในอ้อมกอดเป็นอิสระ ก่อนจะยกมือขึ้นวางนาบลงบนเสี้ยวหน้าอ่อนเยาว์ สร้างความแปลกใจให้กับสองอสุราหนุ่มที่มองมาไม่วางตา

“แล้วข้าจะกลับมาหา” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยบอกให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคนในขณะที่ปลายนิ้วลูบผ่านผิวแก้มอุ่นอย่างอ่อนโยน ก่อนรอยยิ้มจะปรากฏขึ้นข้างมุมปากเพียงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กนั้นเอียงหน้าแนบซบลงมาบนฝ่ามืออย่างออดอ้อน นัยน์ตาสีอ่อนที่ช้อนขึ้นมองกันทำให้เขาต้องระบายลมหายใจออกมา

จู่ ๆ ก็นึกพาลให้กับทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล...

วศินผละห่างออกไป ก่อนจะเดินเข้าไปหาสหายของตนแล้วเดินนำออกไปที่บริเวณนอกถ้ำ ทิ้งให้ใครบางคนนั้นมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนสุดสายตา




“เอ็งนะเอ็ง…ไอ้ตัวดี” หลังจากที่เหล่ายักษาทั้งสามตนเดินออกไปจนพ้นระยะสายตา เสียงพึมพำเคร่งเครียดของครูบุญก็ดังขึ้นเมื่อหันมามองศิษย์คนเล็ก

“พ่อครู” เจ้าแก้วเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเมื่อสัมผัสได้ว่าพ่อครูของมันคงกำลังกรุ่นโกรธได้ที่ พอหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่กล้าฝ่ายนั้นก็เอาแต่หันมองไปทางอื่น ปล่อยให้มันต้องรองรับความกดดันอยู่เพียงคนเดียว

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” ครูบุญยกมือขึ้นปราม “กลับกันได้แล้ว...เอ็งไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีก ไปลาหลวงตาซะ”

นัยน์ตาสีอ่อนวูบไหว ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธออกมาเมื่อไม่ยอมทำตามคำสั่งของพ่อครู...ในเมื่อท่านวศินบอกว่าจะกลับมาหา มันก็ควรที่จะรอที่นี่

“ไอ้แก้ว” กล้าเดินเข้ามาหาเมื่อเห็นว่าน้องมันยังคงดื้อรั้นไม่เข้าเรื่อง...มันรู้ดีว่าพ่อครูในตอนนี้กำลังกรุ่นโกรธได้ที่จึงไม่ควรที่จะทำให้อีกฝ่ายหมดความอดทน “กลับบ้านเรากันได้แล้ว”

“แต่...ท่านวศินบอกให้ฉันรอ...” เจ้าแก้วพึมพำเสียงพร่าในตอนที่เงยหน้ามองพี่มันราวกับต้องการขอความช่วยเหลือสัญชาตญาณบางอย่างในกายมันร้องบอกว่าเวลาที่จะได้อยู่กับอีกฝ่ายนั้นเหลือน้อยลงเต็มทีแล้ว...

“ไอ้กล้า มึงถอยออกมา” น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยสั่งไร้ซึ่งอารมณ์อื่นเจือปน แต่นั่นกลับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าพ่อครูของพวกมันนั้นหมดสิ้นแล้วซึ่งความอดทน “ในเมื่อมันดื้อรั้นไม่ฟังความนัก เห็นทีจะพูดกันดีๆ ไม่ได้แล้ว” ไม้ตะพดในมือถูกยกขึ้นสูงหวังจะฟาดลงไปบนตัวของศิษย์คนเล็ก ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยได้แตะต้องให้มันเจ็บช้ำแม้นเพียงกระผีก

ครูบุญควบคุมมือที่สั่นเทาให้มั่นคงเมื่อเห็นว่านัยน์ตาสีอ่อนไม่ได้มีความหวั่นเกรงออกมาให้เห็น แต่เจ้าแก้วกลับหลับตาลงราวกับว่ายอมรับการลงโทษจากเขา

“พ่อครู!” เป็นไอ้กล้าที่ดึงน้องมันเข้าไปกอดแนบอกแล้วเบี่ยงตัวมาบังเอาไว้แทน “ถ้าจะทำมัน ทำฉันแทนเถอะ”

“…” ไม้ตะพดที่อยู่ในมือถูกลดระดับลง ชายชราดึงมือกลับก่อนจะหันหน้าหนีออกไปอีกทาง

“ฉันผิดเองที่ดูแลน้องไม่ดี ฉันรู้ว่ามันทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” ไอ้กล้ากระชับวงแขนแน่นเมื่อสัมผัสได้ว่าคนในอ้อมกอดนั้นตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย “แต่...นี่อาจจะความต้องการของมัน ที่ไม่ว่าฉันหรือพ่อครูก็ทำให้มันไม่ได้”

“...” ครูบุญยืนนิ่งเพื่อรับฟังคำพูดจากศิษย์คนโต

“ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันผิดแผก มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิด” ชายหนุ่มว่าต่อด้วยเสียงที่มั่นคง “แต่ถ้าไอ้แก้วมันรักยักษ์ตนนั้นจริงๆ ...”

“ท่านวศินจะต้องกลับเมืองในคืนนี้” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นทันควัน “และจะไม่กลับมาที่นี่อีก...เลิกฝันลมๆ แล้งๆ ในเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้เสีย” คำพูดตัดบทราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางอกทำให้เจ้าแก้วเบิกตากว้างขึ้นเมื่อยังจับต้นชนปลายไม่ถูก มันกำมือแน่นจนเริ่มสั่น นัยน์ตาสีอ่อนสั่นไหวรุนแรงราวกับเปลวเพลิงที่อ่อนแรงเพราะต้องลม

“ไอ้บุญ” แต่แล้วเสียงของใครอีกคนก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มคุกรุ่น พระอาจารย์เดินเข้ามายืนอยู่ใกล้กับหลานรักทั้งสอง นัยน์ตาฝ้าฟางมองตรงไปยังลูกศิษย์ของตนอย่างแน่วแน่ “…อย่างน้อย ก็ให้เขาได้ร่ำลากัน”

ว่าไว้เพียงเท่านั้นก็เดินกลับเข้าไปในโถงถ้ำอีกฝั่งโดยมีพญานาคราชที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ตามติดไปด้วย

ผ่านไปเพียงครู่ที่บริเวณโดยรอบนั้นก็เงียบสนิท ก่อนเสียงถอนหายใจยาวเหยียดจะดังขึ้นมา ครูบุญมองตรงไปยังสองพี่น้องที่ยืนกอดกันตัวกลม ก่อนจะตัดสินใจเดินหนีออกไปจากบริเวณนั้น

“เกือบไปแล้วไหมเอ็ง” ไอ้กล้าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าในที่สุดพ่อครูก็ยอมใจอ่อน

“พี่กล้า” เสียงพึมพำอู้อี้ที่ดังประชิดกับแผ่นอกทำให้ต้องยกมือขึ้นวางบนศีรษะมันอย่างเอ็นดู

“ไม่ต้องขอบคุณหรือขอโทษข้า...ไอ้แก้ว” ชายหนุ่มว่าเสียงเรียบ “ถึงแม้ว่าข้าจะอยากตีเอ็งฉิบหาย อยากจะฆ่าไอ้ยักษ์นั่นใจจะขาด แต่ถ้ามันทำให้เอ็งต้องรู้สึกเจ็บ...ข้าจะอดทน”

“…”

“ถ้าเอ็งเลือกแล้ว” ไอ้กล้าโอบกอดน้องมันอย่างทะนุถนอม “ต่อให้พ่อครูหรือพระอาจารย์จะไม่เห็นด้วยก็ตาม...ข้าก็จะอยู่ข้างเอ็ง”

“...” เสียงสะอื้นที่ถูกเก็บกลืนอยู่ในลำคอเป็นตัวบ่งบอกว่าน้องมันกำลังห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา

“…ถึงเอ็งจะทำผิด ก็ช่างหัวมัน” ชายหนุ่มซุกซบใบหน้าลงไปบนกลุ่มผมนุ่มอย่างหวงแหน...อ้อมกอดแข็งแรงโอบกระชับแน่น “เรื่องแค่นี้ มันไม่ได้ทำให้ข้ารักเอ็งน้อยลงหรอก...ไม่ต้องกลัว”













“แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อ” คำถามแรกเอ่ยขึ้นหลังจากที่บทสนทนานั้นเงียบเชียบกินเวลามานานพอสมควร วิรุณยืนห่างออกไปเพียงแค่ระยะโขดหินกั้น นัยน์ตาสีเข้มทอดมองสายธารเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด

หลังจากที่เจ้ากรรณบอกเล่าเรื่องราวให้วศินรับรู้ทั้งหมด ฝ่ายนั้นกลับนิ่งเฉยเกินคาด มันยืนฟังเรื่องราวทุกอย่างด้วยท่าทีเงียบสงบไร้ซึ่งวี่แววโทสะออกมาให้ได้เห็น ต่างกับเจ้ากรรณที่เล่าไปเสียงสั่นไปเพียงแค่ฝ่ายนั้นปรายตามองมา

“วิรัล...เป็นอย่างไรบ้าง” จอมทัพอสุราเอ่ยถามเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด นัยน์ตาคมเข้มตวัดไปมองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนท่าทีของเจ้ากรรณจะทำให้เขาต้องระงับอารมณ์โทสะที่กำลังจะปะทุขึ้นมา

“ตอนนี้วิรัลอยู่ที่เรือนข้ากับบุหลัน มีเจ้ากรณ์คอยคุ้มกันให้” กรรณเอ่ยบอกได้ไม่เต็มเสียง พลันสันหลังก็ชาวาบเมื่อรู้ว่าไม่ควรที่จะปิดบังเรื่องนั้นเอาไว้...เพราะถ้าหากอีกฝ่ายได้รู้ด้วยตนเองแล้วนั้นผลที่ตามมาจะหนักกว่านี้ร้อยพันเท่า “แต่ก่อนหน้านั้นท้าวภารตามีรับสั่งให้จับตัววิรัลมาสำเร็จโทษแทนท่าน และกักขังไว้ในคุกใต้ดินอยู่นานหลายคืนหลายวัน”

เพียงเท่านั้นก็ราวกับความอดทนทั้งหมดที่มีพังทลายลง วศินคำรามเสียงกร้าวก่อนจะคว้าเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายแล้วเหวี่ยงเข้าไปกระแทกกับต้นไม้จนสัตว์น้อยใหญ่แตกตื่นไปทั่วทั้งป่า เขี้ยวคมงอกยาวขึ้นตามแรงโทสะที่กำลังปะทุเดือดดาล นัยน์ตาสีเข้มพลันเปลี่ยนเป็นแดงฉานราวกับเปลวเพลิงในตอนที่บีบเคล้นแรงลงไปบนลำคอของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดยั้งมือ

“หากวิรัลเป็นอะไรไป” เสียงทุ้มต่ำพูดย้ำ “หน้าไหนข้าก็ไม่เว้น...แม้แต่เจ้าเองก็ด้วย” ว่าไว้เพียงเท่านั้นก็เหวี่ยงร่างของอีกฝ่ายลงไปกองอยู่ที่พื้น ก่อนจะหันหน้าออกไปทางลำธารเพื่อระงับโทสะของตน

“วศิน” วิรุณเดินเข้าไปใกล้สหายของตน “เราต้องทูลเรื่องนี้ให้ท้าวภารตาได้รับทราบ เรื่องที่องค์รามสูร-” ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจบฝ่ายนั้นก็ยกมือขึ้นปรามรามกับต้องการให้เขาหยุดพูด

“เปล่าประโยชน์” จอมทัพอสุราพูดเสียงเรียบ

“หมายความว่าอย่างไร...เจ้าจะปล่อยให้เราถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏในความผิดที่เราไม่ได้กระทำเช่นนั้นหรือ” วิรุณถามเสียงเครียด

“….”

“วศิน”

“เราจะกลับกัน...คืนนี้” อสุราหนุ่มหันกลับมามองเพียงเสี้ยวเดียว ก่อนเสียงหนักแน่นจะพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบกลางไพรกว้าง “…และคนที่ต้องชดใช้ให้กับเรื่องราวทั้งหมดในครั้งนี้”

“…”

“คือ ‘มัน’ เท่านั้น”

…องค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์...













นัยน์ตาสีอ่อนมองตรงไปยังแผ่นหลังกว้างแกร่งของใครบางคนที่ยืนอยู่ห่างออกไป เจ้าแก้วอาศัยต้นไม้ที่ขึ้นรกครึ้มบริเวณนี้เป็นที่กำบังตัวในการหลบซ่อนหลังจากที่แอบฝืนคำสั่งพ่อครูเดินออกมาจากถ้ำ มันอาศัยช่วงที่หลวงตาเรียกพี่กล้าเข้าไปหาเดินออกมาที่บริเวณลำธารเพื่อจะชำระล้างกาย แต่แล้วกลับต้องรีบหลบเข้ามาในพุ่มไม้เมื่อเห็นว่าอสุราหนุ่มทั้งสามตนกำลังเจรจากันอยู่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

ในระหว่างนั้นเสียงกึกก้องที่ดังทั่วป่าก็ทำให้เด็กหนุ่มต้องสะดุ้งตกใจ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าท่านวศินนั้นกำลังโมโหร้ายในแบบที่มันไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน พลันความรู้สึกกลัวก็แล่นเข้ามาเกาะกุมหัวใจ จนต้องเบือนสายตาหลบหนีออกไปอีกทาง

เจ้าแก้วตั้งท่าจะเดินออกไปจากบริเวณนี้เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เบื้องหน้านั้นดูเคร่งเครียดเกินกว่าที่มันจะต้องรับรู้ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขาออกเดินเสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกกลับทำให้ต้องสะดุ้งอย่างตื่นตกใจเพราะไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะรับรู้ว่ามันแอบหลบซ่อนอยู่บริเวณนี้

“แก้ว” วศินเอ่ยเรียกทั้งที่ยังยืนหันหลังอยู่ ก่อนรอยยิ้มบางเบาจะปรากฏขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้าสัตว์ตัวเล็กโผล่หัวออกมาจากพุ่มไม้

บอกแล้วอย่างไรว่าประสาทการรับรู้ของยักษ์นั้นดีกว่าพวกมนุษย์อยู่หลายเท่า...เขารู้ว่ามันแอบอยู่ตรงนั้นมานานพอสมควร

และนี่ก็คือเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้เจ้ากรรณรอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด...

ลูกมนุษย์ตัวน้อยเดินเลียบเคียงเข้ามาใกล้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเห็นว่ายังมีอสุราหนุ่มอีกสองตนมองมาที่ตนเอง

วิรุณตั้งท่าจะเอ่ยทักเด็กหนุ่ม แต่พอเห็นสายตาของสหายตนที่มองมากลับทำเพียงแค่เก็บกลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงไปแล้วปลีกตัวออกห่างพร้อมกับเจ้ากรรณอย่างรู้สถานการณ์

เมื่อบริเวณนี้เหลือกันเพียงแค่สองคน ร่างสูงใหญ่ของอสุราหนุ่มก็หันกลับมาหาเจ้าสัตว์ตัวเล็กที่ยังคงมีท่าทีหวาดกลัวฉายชัดออกมาทางแววตา

“มานี่สิ” วศินเอ่ยเรียกด้วยเสียงที่อ่อนลงจากก่อนหน้า พร้อมกับยื่นมือออกไปหา

เจ้าแก้วยังคงมีท่าทีลังเล แต่พอได้สบเข้ากับนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้นมันก็วางมือลงบนฝ่ามือใหญ่ก่อนจะสอดประสานเรียวนิ้วเข้าด้วยกันเมื่อระยะห่างถูกลดลงจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากแผ่นอกกว้าง ทั้งตัวถูกรวบกอดจนผิวเนื้อแนบชิด จังหวะชีพจรและสัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ต้องหลับตาลงเมื่อรู้สึกปลอดภัยในอ้อมแขนนี้

รู้ตัวอีกทีทั้งร่างก็ถูกตวัดอุ้มขึ้นจนตัวลอยเหนือพื้น เจ้าแก้วซุกซบใบหน้าลงกับแผ่นอกอุ่นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเมื่อฝ่ายนั้นนั่งลงบนโขดหินใต้พุ่มไม้ใหญ่ อสุราหนุ่มกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นในตอนที่คนบนตักขยับตัวนั่งหลังตรงเพื่อให้สายตาสบประสานกันได้พอดี

ฝ่ามือใหญ่เอื้อมออกไปแนบข้างใบหน้าอ่อนเยาว์ พร้อมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยนผิวเนื้อเนียนอย่างอ้อยอิ่งราวกับว่าต้องการซึมซับช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด วศินไล่มองรายละเอียดบนใบหน้าของเด็กหนุ่มไปทีละนิด ก่อนรอยยิ้มจะปรากฏเมื่อฝ่ายนั้นยกมือขึ้นมากุมมือเขาเอาไว้แล้วเอียงใบหน้าแนบซบเหมือนอย่างที่ชอบทำ

“คืนนี้…ข้าต้องไปแล้ว” อสุราหนุ่มเอ่ยบอกเสียงเบาในตอนที่เกลี่ยปลายนิ้วเข้ากับริมฝีปากสีอ่อน ร่องรอยคมเขี้ยวของเขาที่ฝังอยู่บนผิวเนื้อทำให้ต้องอดทนต่อความรู้สึกที่กำลังร้องเรียกอย่างโหยหา

เจ้าแก้วนิ่งค้างไปเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับเชื่องช้า คำพูดมากมายถูกเก็บกลืนลงไปเมื่อนึกทบทวนถึงคำพูดจากหลวงตา

‘…เอ็งรักท่านวศินก็จริงอยู่...แต่เอ็งมั่นใจได้อย่างไรว่าฝ่ายนั้นเขาก็รักเอ็งและพร้อมที่จะสละทิ้งทุกอย่าง เพื่อมาอยู่กับเอ็งที่นี่’

หากเป็นเช่นนั้นจริงการกระทำของมันก็ไม่ต่างจากคนเห็นแก่ตัวที่คิดถึงแต่เพียงความสุขของตนเองจนลืมมองความเป็นจริงที่อยู่เบื้องหน้า

‘...ที่ของเอ็งคือที่นี่...ส่วนท่านวศินก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มีบ้านเมืองให้ต้องดูแล’

เจ้าแก้วหลับตาลงเมื่อคำพูดเหล่านั้นตีกันวุ่นอยู่ในหัว ก่อนความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจจะย้ำเตือนให้มันเอ่ยคำคำนี้ออกไป

โอกาสสุดท้ายที่จะขอทำตามหัวใจของตนเอง...

“ท่านวศิน...ไม่ไปไม่ได้หรือจ๊ะ” เด็กหนุ่มช้อนตาขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอดด้วยความหวังที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่แล้วสัมผัสอุ่นชื้นที่แนบลงมาบนหน้าผากกลับทำให้กระบอกตาร้อนผ่าว ก่อนน้ำตาหยดแรกจะไหลลงมาเงียบเชียบเมื่อประโยคถัดมาถูกเอื้อนเอ่ย

“เจ้าก็รู้...” เสียงทุ้มพร่าเอ่ยกระซิบแผ่วเบา “…ว่าข้าเลือกเจ้าไม่ได้”

เจ้าแก้วพยักหน้ารับรู้ในคำตอบของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีอ่อนคลอไปด้วยหยาดน้ำที่ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย ทุกหยาดหยดถูกกลั่นกรองออกมาจากความเสียใจและผิดหวังอย่างถึงที่สุด แต่มันกลับเลือกที่จะมองข้ามความรู้สึกเหล่านั้นไปและเริ่มต้นความพยายามครั้งใหม่อีกหน

...ความพยายามครั้งสุดท้าย ที่ถูกก่อขึ้นด้วยความหวังก่อนหน้าที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี

“ฉันจะรอท่าน”

“…” อสุราหนุ่มก้มลงมองคนในอ้อมกอดด้วยความแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะฝ่ายนั้นไม่แม้แต่จะเอ่ยห้ามหรือฉุดรั้งให้เขาอยู่ กลับทำเพียงแค่อ้อนวอนขอและยืนยันที่จะรอ

...นี่คือสิ่งที่เขาไม่อยากเอ่ยขอ...เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องรอคอยกันอย่างเลื่อนลอย

หนทางข้างหน้านั้นจะเป็นเช่นไร ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลย…

“ต่อให้นานเพียงไหน...ก็จะรอ” เจ้าแก้วเอ่ยย้ำด้วยเสียงที่หนักแน่นไร้ซึ่งความลังเล แม้ว่าหยดน้ำตาจะเอ่อล้นขึ้นมาบดบังภาพเบื้องหน้าจนพร่ามัวไปหมดก็ตาม

“แม้ว่าข้าอาจจะไม่ได้กลับมาหาเจ้าอีกแล้วน่ะหรือ” อสุราหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับพยายามซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้

..ความรู้สึกที่กระจ่างชัดขึ้นมาท่ามกลางเสียงชีพจรที่เต้นหนักแน่นขึ้น…

เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าสัตว์ตัวเล็กก็โผตัวเข้ามากอดแนบแน่น มันตัวสั่นเล็กน้อยแต่กลับไร้ซึ่งเสียงสะอื้นออกมาให้ได้ยิน มีเพียงแค่สัมผัสอุ่นชื้นจากหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาจนเปียกชุ่มแผ่นอก

วศินยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของคนในอ้อมกอดอย่างปลอบประโลม ก่อนรอยยิ้มบางเบาจะปรากฏขึ้นเมื่อถูกกอดแน่นจนผิวเนื้อแนบชิดส่งผ่านไออุ่นของกันและกัน

ใบหน้าคมคร้ามก้มลงจรดปลายจมูกลงบนกลุ่มผมสีเข้ม ก่อนจะเคลื่อนลงไปบนผิวแก้มที่ชื้นไปด้วยหยดน้ำตาและเก็บเกี่ยวสัมผัสทั้งหมดเอาไว้ให้ได้มากที่สุดในตอนที่ริมฝีปากของทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากัน

...วินาทีนั้นถ้อยคำสัญญาก็ดังก้องอยู่ในอกของอสุราหนุ่ม

ไม่ว่าหนทางข้างหน้านั้นจะอันตรายสักเพียงไหน

...หรือต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตก็ตาม...

เขาจะต้องกลับมาหาเจ้าของสัมผัสนี้ให้ได้...








_________________________










พี่ยักษ์จะต้องไปแล้ววว เจ้าแก้วเข้มแข็งมากเลยลูกก T T /หอมหัว

พี่กล้าช่างเป็นพี่ชายที่แสนดี แม้จะไม่เห็นด้วยแต่พอเห็นน้องร้องไห้ก็ยอมไปหมดแล้ว

เก่งแต่ปากจริงๆเลยยยย




ฝากคอมเม้นต์เป็นกำลัง และฝาก #ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ด้วยนะคะ

ปล.ปีหน้าอาจจะมีข่าวดีค่ะ แอบกระซิบว่าหยอดกระปุกเผื่อเจ้าแก้วเอาไว้ได้เลย อิอิ







แล้วก็ถือโอกาส ขอสวัสดีปีใหม่นักอ่านทุกท่านล่วงหน้าด้วยเลยนะคะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจและแรงสนับสนุนที่มีให้กันมาโดยตลอด ขอให้ปีนี้ ปีหน้า และปีต่อๆไปของทุกคนมีความสุขและเป็นปีที่ดีนะคะ หากใครที่ต้องเดินทางก็ขอให้เดินทางปลอดโดยสวัสดิภาพ เที่ยวปีใหม่นี้ให้สนุกนะคะ




สวัสดีปีใหม่ 2563 ค่ะ




รัก

พันไมล์

หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-12-2019 12:52:35
อัพส่งท้ายปีเลย555
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-12-2019 08:25:30
 o18

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 28-12-2019 15:32:11
ท่านวศิน ไม่สัญญาในใจสิ บอกเจ้าแก้วตัวน้อยให้ได้รู้ด้วยยย :hao5:


อิพี่กล้าโว้ยยยย
ถึงจะเสียท่าโดนท่านวิรุณหิ้วกอดเอวตัวลอยดิ้นกะแด่วๆ  :laugh:
แต่อิพี่กล้าทำดีมาก ปกป้องน้อง ถึงจะใจร้อนปากเสียแต่มันรักน้องของมันที่สุด!

สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอให้มีแต่ความสุข สุขภาพแข็งแรง มั่งคั่งร่ำรวย โชคดีตลอดปีและตลอดไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 01-01-2020 20:26:39
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-01-2020 09:54:15
ร้องไห้เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-01-2020 11:23:53
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 07-01-2020 07:30:35
เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวเลยนะคะ อ่านไปเขินไป แบบ น้องงงงงง
ตอนหน้ารออ่านฉากบู๊ พี่ยักษ์สู้ๆๆ ชอบพี่กล้ามากๆเลยนะ รักน้องตัวเองสุดๆ
รอตอนต่อไปนะคะ คุณคนแต่งเขียนได้ดีมาก ภาษางาม อ่านแล้วสบายจัย :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 11-01-2020 18:09:27
สงสารแก้ว เป็นเด็กน้อยเตาะแตะไปเลยตอนอยู่กับพี่
อย่าทิ้งน้องไว้นานนะ เผลอแปบๆ ยิ่งโตยิ่งน่ารักไม่รู้ด้วย
แล้วแก้วให้ตะกรุดพี่ไป จะเป็นอะไรไหมคะ

กล้าทั้งรัก ทั้งหวง และก็เคืองน้องมาก แต่ก็ไม่เสี่ยงให้ใครมาแตะต้อง
อย่างน้อย แก้วก็ยังมีกล้าคอยดูแล

พ่อครูกับพระอาจารย์คือของขึ้นแล้วขึ้นอีกน่ะ

สวัสดีวันเด็กค่ะ ถึงจะโตแล้ว ก็ยังเป็นเด็กได้เสมอน้า  :mew2:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: oohsg94 ที่ 20-01-2020 13:12:19
 :hao5: เปียกปอนมาก
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 23-01-2020 21:57:47
พี่ยักษ์รีบกลับมาน้าาาา น้องรออยู่ :ling1:
หัวข้อ: Re: ✽ ดอกแก้วกุมภัณฑ์ ✽ : บทที่ ๒๒ - ลาจาก : ๒๖/๑๒/๒๕๖๒
เริ่มหัวข้อโดย: อะไร ที่ 03-04-2020 00:10:51
อยากรู้ความสัมพันธ์กล้าเเละก็วิรุณค่าาา ณ จุดๆนี้ ดูเหมือนคนเขียนจะปูมาให้เเต่ก็ทิ้งให้มโนไปเองง น้ำตาอิเเม่จะไหล สรุปเขามีโมเม้นท์มั้ยคะ555ฝากถามนักเขียนเลยค่าา