เก็บกระทู้ไว้ -------โมดุฯ
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
(https://www.picz.in.th/images/2018/01/26/Untitled-1a7552f0120ba3239.png)
(https://www.picz.in.th/images/2018/07/18/Nn53jE.jpg)
.
.
“..ตัวท่านเป็นถึงจอมทัพอสุราผู้ยิ่งใหญ่
จะมารักกับมนุษย์ต่ำต้อยเยี่ยงฉันได้อย่างไรกันจ๊ะ“
“ต่อให้เป็นทวยเทพแห่งอสุราทั้งปวง
เมื่อได้รักเจ้าแล้ว
พี่หาได้ต่างจากสัตว์ป่าที่โง่เขลา
หวังรอให้นายพรานที่สร้างกับดักกักขังมัน มารักษาแผลกายให้
..พี่รักเจ้าถึงเพียงนี้
เหตุใดเจ้าจึงสงสัยต่อความรักของพี่ที่มีให้เจ้านัก”
*******************************************************
สวัสดีค่ะ
นิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่คนเขียนชื่นชอบ
เลยอยากจะมาแชร์มุมมองในจินตนาการของเราให้ทุกๆคนได้อ่านกันค่ะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ ♥
:mew1:
แวะมาพูดคุยกันได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/pg/Punmile09/posts/?ref=page_internal
Twitter : https://twitter.com/pppunmile
หรือแฮชแท็กtwitter
#ดอกแก้วกุมภัณฑ์*******************************************************
✽ อารัมภบท ✽
.
.
.
เสียงคำรามของเหล่าทหารยักษาดังกึงก้องไปทั่วทั้งสนามรบ การศึกของอสุราทั้งสองแว่นแคว้นล่วงเลยมาถึงเจ็ดทิวา ทั้งสองฝั่งต่างได้สูญเสียไพร่พลไปจำนวนมากรวมถึงแม่ทัพและเหล่าทหารกล้าผู้มากฝีมือ
หากแต่ฝ่ายที่ดูเสียเปรียบเห็นทีจะเป็นฝ่ายของกรุงราชคฤห์ซึ่งเป็นศัตรูคู้แค้นของนครคีรีมาแต่เนิ่นนาน เพราะเมื่ออรุณเบิกฟ้าย่างเข้าสู่ทิวาที่เจ็ดแม่ทัพใหญ่แห่งราชคฤห์ได้ถูกวศินจอมทัพอสุราแห่งนครคีรีบั่นเศียรจนขาดสะบั้นสายโลหิตแดงฉานไปทั่วผืนปฐพี สร้างความหวั่นวิตกให้แก่เหล่าทหารเป็นอย่างมาก
เมื่อไร้ซึ่งหัวเรือรบทั้งกองทัพยักษาจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากอยู่ไม่น้อย ถึงขั้นองค์รามสูรยุพราชแห่งราชคฤห์ได้ลงมากุมบังเหียนการศึกด้วยพระองค์เอง แววตาสีเพลิงวาวโรจน์ เขี้ยวคมงอกเงยขึ้นมาด้วยโทสะ เลือดเผ่าพันธุ์อสุราวิ่งพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย
...ศึกครั้งนี้อย่าหวังว่าจะได้ชัยชนะกลับคืนไปสู่เมืองของพวกเจ้า
“ทูลองค์รามสูร...ทุกอย่างเตรียมการพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
วาริท ทหารเอกเข้าทูลถวายความแก่เจ้านายของตนเมื่อได้สำเร็จกิจที่ได้รับมอบหมาย
องค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์ตวัดตัวขึ้นคร่อมบนหลังอาชาศึกสีนิลก่อนจะควบตะบึงขึ้นไปบนยอดผาตามแผนการที่วางไว้ แลดูเหมือนทิวานี้จักเป็นวันของราชคฤห์เป็นแน่แท้
ท้องนภากว้างถูกปกคลุมด้วยเมฆาทมิฬ เพลานี้เหล่าทหารยักษ์แห่งนครคีรีถูกกำจัดเสียจนสิ้นเมื่อโดนศรอาบพิษพญานาคอัคคิมุขซึ่งออกฤทธิ์ร้อนให้แผดเผาร่างกายคล้ายโดนเพลิงเผาก่อนจะค่อยๆกัดกร่อนให้ทรมานจนสิ้นลมหายใจ กองทัพยักษาที่เคยหนาแน่นบัดนี้ถูกตีแตกพ่ายไม่ต่างกับมดแตกรัง เหล่าทหารขององค์ยุพราชได้ไล่ต้อนจอมทัพอสุราให้แยกออกจากขบวนทัพขึ้นไปบนผาสูงตามที่องค์ยุพราชตรัสสั่งไว้
อาชาสีนิลห้อตะบึงมาจนถึงยอดผาในที่สุด วศินจอมทัพอสุราแห่งนครคีรีทรงกายอยู่บนหลังอาชาศึกสีขาวปลอดในมือถือตะบองประจำกายพร้อมต่อสู้เคียงคู่กับทหารเอกวิรุณยักษา บัดนี้จอมทัพอสุราทั้งสองถูกรายล้อมด้วยเหล่าทหารของราชคฤห์จนมิสามารถที่จะเขยื้อนตัวได้แม้แต่น้อย
“เป็นถึงองค์ยุพราชแห่งราชคฤห์ เหตุใดจึงไม่ยอมรับผลแพ้ชนะในสมรภูมิรบ แต่กลับใช้วิธีสกปรกเฉกเช่นนี้เล่าองค์รามสูร”
วศินยักษาเอ่ยขึ้นอย่างเคียดแค้นจับจิตเมื่อนึกถึงเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของเหล่าทหารที่โดนลูกศรอาบพิษแทงทะลุร่างล้มตายไปต่อหน้าต่อตา
นัยน์ตาสีเพลิงวาวโรจน์จับจ้องไปยังศัตรูคู่แค้นอย่างเหยียดหยาม สู้กันอย่างชายชาติทหารมันคงไร้ซึ่งปัญญา เจ้าพวกยักษ์ชั่วถึงต้องใช้เล่ห์กลอย่างหมาจนตรอกเช่นนี้!
“ศึกครั้งนี้ ข้าไม่ได้มาเพื่อต่อรองกับพวกเจ้า”
สิ้นเสียงองค์รามสูร ลูกธนูอาบด้วยพิษพญานาคก็พุ่งตรงไปสู่กลางอกของจอมทัพอสุราอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พลันพิษร้อนก็สูบฉีดไปทั่วร่างกายดั่งเปลวเพลิงแผดเผา ทำให้ร่างสูงใหญ่ของวศินตกลงจากหลังอาชาศึกทันทีจนได้ยินเสียงกระดูกที่แตกร้าวดังลั่น
“วศิน!!”
ทหารเอกคู่ใจรีบกระโดดลงจากหลังม้าศึกก่อนจะเข้าไปประคองร่างของจอมทัพอสุราที่บัดนี้เนื้อตัวเริ่มขึ้นสีชาดผลมาจากพิษอัคคิมุขของพญานาค พิษร้อนเริ่มแผ่กระจายไปทั่วลุกลามอย่างรวดเร็ว บริเวณอกที่ถูกลูกศรปักเริ่มโดนกัดกร่อนจนเป็นแผลฉกรรจ์
เรียกเสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดของจอมทัพอสุราดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
...พวกราชคฤห์ย่อมรู้ดีว่าพิษเพียงเท่านี้ไม่สามารถที่จะคร่าชีวิตของวศินได้เพราะอสุราหนุ่มได้เคร่งครัดในการบำเพ็ญเพียรจนตบะแกร่งกล้า ที่กระทำการเช่นนี้ก็เพื่อให้จอมทัพอสุราอ่อนแรงกำลังลงจนไม่สามารถที่จะต่อกรกับพวกมันได้
...หึ ช่างน่าอดสูยิ่งนักองค์ยุพราชแห่งกรุงราชคฤห์!
“ส่งตัวนายเจ้ามาซะวิรุณ”
รามสูรกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า...ดวงตาสีเพลิงทอดมองร่างของศัตรูที่บัดนี้ไร้หนทางต่อสู้อย่างเหยียดหยาม
“ฝันไปเถิดองค์รามสูร...สายเลือดแห่งนครคีรีจักไม่มีวันยอมสวามิภัคดิ์ให้แก่เดรัจฉานวิธีเยี่ยงนี้เป็นแน่!”
สิ้นคำสบถอย่างเคียดแค้นของวิรุณ ร่างสูงใหญ่ได้ก้มแบกร่างของสหายร่วมรบที่บัดนี้ไร้ซึ่งสติจะช่วยเหลือตนมาไว้แนบบ่าเคียงไหล่
...หากต้องตายด้วยน้ำมือของพวกราชคฤห์ที่เล่นไม่ซื่อแล้วไซร้ ก็ขอสละชีพเฉกเช่นชายชาติทหารเสียยังดีกว่าต้องตายด้วยเดรัจฉานวิธีของพวกมัน!
คิดได้ดังนั้นวิรุณจึงแบกร่างของสหายคู่ใจกระโจนลงจากหน้าผาสูงชันผ่านชั้นหมอกหนาที่ปกคลุมลงสู่ห้วงลึก
หากแต่ร่างอสุราทั้งสองมิได้หล่นกระแทกผืนพสุธาดังใจนึก สายน้ำเชี่ยวกราดเบื้องล่างได้รองรับร่างของจอมทัพทั้งสองไว้ก่อนจะพัดกลืนหายไปกับสายนที
ใบหน้าขององค์รามสูรบิดเบี้ยวอย่างโกรธแค้นเขี้ยวงองุ้มขึ้นอย่างน่ากลัวเนื่องจากไม่สามารถนำร่างของจอมทัพอสุราไปเป็นหลักประกันการประกาศชัยชนะศึกได้
"ทูลองค์รามสูร...อย่างไรก็ตาม อสุราสองตนนั้นยังคงมิสิ้นชีพเป็นแน่แท้ แต่เดิมทีแม่น้ำสายนี้เป็นตัวเชื่อมระหว่างดินแดนของมนุษย์ หากเราทำการเจรจาขอเข้าไปจับกุมตัวพวกมันเลยก็ย่อมได้”
วาริทรีบกราบทูลองค์ยุพราชพลันหันไปสั่งพลทหารให้จัดเตรียมกองทัพ หากแต่องค์รามสูรกลับห้ามปราบไว้เสียก่อน ดวงตาสีเพลิงวาวโรจน์ด้วยอารมณ์โทสะแต่เพียงชั่วคราวแววตาของจอมอสุรากลับฉายแววเจ้าเล่ห์เพทุบายขึ้นมา
...เดรัจฉานวิธีเยี่ยงนั้นรึวิรุณ
ข้าจักทำให้เจ้าได้เห็นว่าเดรัจฉานที่แท้จริงมันเป็นเยี่ยงไร
...เพราะศัตรูที่แท้จริงนั้น..หาได้น่าหวั่นเกรงเท่ามิตรที่แปรเปลี่ยน...
“มิต้อง...วาริท จงสั่งจัดขบวนทัพเสียให้พร้อมข้าจะมุ่งหน้าไปนครคีรี เพื่อทูลความให้กษัตริย์แห่งนครคีรีได้ทรงทราบว่าท่านแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพของพระองค์นั้น…หนีทหารและทิ้งการศึก!”
สิ้นเสียงสั่งขององค์รามสูรเหล่าทหารต่างนึกแปลกใจไปพร้อมกัน แต่พลันเข้าใจความนึกคิดของนายเหนือหัวเหล่ายักษาก็พยักหน้ารับกันอย่างรู้เช่นเห็นชาติ
จอมทัพอสุราแห่งนครคีรีหากสิ้นชีพในสนามรบ คุณงามความดีของมันย่อมอยู่คู่บ้านคู่เมืองตราบชั่วลูกชั่วหลาน...แต่ถ้าเป็นถึงชายชาติทหารอีกทั้งยังเป็นแม่ทัพใหญ่กลับทำเรื่องน่าอดสูเฉกเช่นการหนีศึกสงคราม
เป็นทหารหนีทัพ
แม่ทัพขัดพระประสงค์องค์จ้าวเหนือหัว ละทิ้งต่อหน้าที่และบ้านเกิดเมืองนอน อย่าว่าแต่เพียงเศียรมันจะไม่อยู่บนบ่า
...แม้แต่ชื่อและคุณงามความดีของมันก็จะไม่เหลือให้ถูกกล่าวถึง!
..............
พิษอัคคิมุข – เป็นหนึ่งในชนิดของพิษพญานาคทั้งสี่ ซึ่งจะออกฤทธิ์ร้อนคล้ายถูกไฟแผดเผาและจะกัดกร่อนให้เกิดแผลคล้ายไฟลวก
มาแปะบทนำไว้ก่อนนะคะ ส่วนเนื้อเรื่องจะทยอยอัพลงเรื่อยๆอาจจะอาทิตย์ละครั้งถ้าหากไม่ติดธุระค่ะ
ฝากพี่ยักษ์ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ♥
:o8:
แรกพบ
.
.
.
“พ่อครูจ๊ะ ฉันเก็บสมุนไพรตามที่พ่อครูสั่งมาให้แล้วจ้ะ”
ร่างทะมัดทะแมงของเด็กหนุ่มรุ่นกระทงเดินดุ่มเข้ามาในเขตเรือน ก่อนจะวางย่ามคู่ใจลงบนแคร่ไม้ไผ่ พ่อครูหรือครูบุญของบรรดาชาวบ้านประจำหมู่บ้านจันทร์ผาผู้ซึ่งคอยถ่ายทอดวิชาศิลปะการต่อสู้หลากหลายแขนงและคอยรักษาอาการเจ็บไข้ของผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้
ชายชราวางมือจากการปรุงยาตรงหน้าก่อนจะหันกลับมามองเด็กหนุ่มอย่างเอื้อเอ็นดู
“ขอบใจเอ็งมากเจ้าแก้ว แล้ววันนี้เอ็งได้ประคบยาตามที่ข้าสั่งไว้หรือยังฮึ” พ่อครูเอ่ยถาม
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
ดวงตาฝ้าฟางมองใบหน้าที่ถูกผ้าสีทึบพาดปิดแผลฉกรรจ์บริเวณดวงตาข้างซ้ายของมันเอาไว้
เห็นทีไรก็อดเวทนาสงสารไม่ได้ เพราะเรื่องราวในอดีตทำให้ศิษย์รักของครูบุญต้องสูญเสียดวงตาข้างหนึ่งไปและพวกสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นยังได้ทิ้งรอยแผลฉกรรจ์ไว้ใต้ร่มผ้าอีกนับไม่ถ้วน
เหตุนี้จึงทำให้ครูบุญและเด็กน้อยผู้อาภัพต้องระหกระเหินออกมาจากนครใหญ่ มาเริ่มต้นชีวิตใหม่อยู่ท้ายเชิงเขา ไร้ซึ่งเสียงครหานินทาและสายตาที่มองมันอย่างรังเกียจเสียหนักหนา
“ดี งั้นข้าวานเอ็งไปเก็บไพลกับทองพันชั่งมาให้ข้าที วันนี้เจ้ากล้ามันฝึกหนักคงจะปวดเมื่อยตัวอยู่ไม่น้อย”
“อยู่แถวริมธารฝั่งทางทิศใต้ใช่ไหมจ๊ะพ่อครู”
“เออ...ระวังตัวเสียด้วยเล่า ช่วงนี้น้ำมันไหลเชี่ยวนัก ข้ากลัวเอ็งจะเดินไม่ดูตาม้าตาเรือตกน้ำตายห่าตายโหงไปเสียก่อน”
เจ้าแก้วหัวเราะรับแผ่วเบากับคำตักเตือนของครูบุญ
ชีวิตของมันก็มีเพียงเท่านี้ วันๆคอยเก็บสมุนไพรมาให้พ่อครูเพื่อทำยารักษาให้แก่คนในหมู่บ้านและลูกศิษย์ลูกหาที่มาเรียนวิชากับครูบุญ ชายชราและมันนั้นต่างก็เป็นที่รักของชาวบ้านแห่งนี้
ทุกๆวันเรือนของครูบุญนั้นจะอุดมไปด้วยกับข้าวกับปลาของคาวหวานต่างๆที่ชาวบ้านนำมาแบ่งให้อยู่เสมอถือเป็นสินน้ำใจที่พ่อครูช่วยรักษาและสอนศิลปะวิชาต่อสู้ต่างๆให้แก่ลูกหลานของชาวบ้านที่นี่โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
ร่างทะมัดทะแมงของเด็กหนุ่มเดินฝ่าลึกเข้าไปในดงไพร อีกเพียงไม่กี่สิบก้าวก็จะถึงริมธารที่มั่นหมาย หากแต่หางตากลับสังเกตได้ถึงเงาตะคุ่มอยู่หลังโขดหินใหญ่ เมื่อลางสังหรณ์เริ่มทำงานยังไม่ทันที่จะได้ไหวตัวหนีเสือโคร่งตัวใหญ่ก็กระโจนออกมาจากหลังโขดหินก่อนจะดักหน้าเจ้าแก้วไว้ เหงื่อกาฬเริ่มผุดซึมขึ้นมาเนื่องจากสัญชาตญาณในกายถูกปลุกให้หนีเอาชีวิตรอด
กรรรรรรห์!!
สิ้นเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่ เด็กหนุ่มก็รีบวิ่งตะบี้ตะบันหนีตายกลับเข้าไปในดงไพร โดยมีเสียงฝีเท้าใหญ่ไล่กวดตามมาไม่ห่าง
“ช....ช่วยด้วยจ้ะ!!ช่วยฉันด้วย!!”
เสียงแหบพร่าตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออย่างกลัวจับจิต ในกายถูกปลุกเร้าจนตื่นไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดขอนไม้ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยสะดุดแม้นจะหลับตาเดิน แต่ในเพลานี้กลับตั้งตนเป็นปรปักษ์ทำเอาเจ้าแก้วล้มกลิ้งลงไปนอนกินดินจนปากมอม
...ถ้าหากตายโหงขึ้นมาจะเก็บเอ็งไปเป็นฟืนเผาผีเสียให้เข็ด!
นึกก่นด่าขอนไม้เป็นวรรคเป็นเวร แต่ยังไม่ทันได้ตั้งหลักลุกดี ก็โดนแรงมหาศาลกระโจนเข้าใส่จนได้กลับลงไปนอนกินดินอีกหน อุ้งเท้าใหญ่ตะปบเหยื่ออันโอชะไว้แน่นหนากรงเล็บแหลมคมกางจิกลงบนผิวกายของมนุษย์ตรงหน้า เสียงคำรามกรรโชกดังสนั่นลั่นป่าเมื่อพยัคฆ์ร้ายเตรียมจะฉีกทึ้งเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ในอุ้งมือ
มันหลับตาลงรอรับความตายที่กำลังจะมาเยือน เสียงกรงเล็บแหลมคมแหวกม่านอากาศลงมาอย่างรวดเร็ว แต่เด็กหนุ่มกลับไม่รู้สึกเจ็บเจียนตายอย่างที่คิด รอบกายเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจคล้ายสัตว์ใหญ่ดังขึ้นเหนือศีรษะก่อนกลิ่นสาปสนิมของเลือดจะแผ่กำจายไปรอบบริเวณ
นัยน์ตาสีน้ำผึ้งค่อยๆเปิดขึ้นจึงพบว่าเสือโคร่งตัวนั้นได้หายไปแล้วเหลือเพียงแต่ร่องรอยของกรงเล็บที่มันฝากไว้บนผิวกายจนเป็นแผลฉกรรจ์
เจ้าแก้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พลันหันหน้าไปอีกทางก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อพบร่างของเสือโคร่งตัวใหญ่นอนอยู่ข้างกัน แต่บัดนี้ร่างของมันกลับไร้ซึ่งลมหายใจอีกต่อไป สันกรามล่างของเจ้าเสือโคร่งคล้ายถูกเรี่ยวแรงมหาศาลฉีกทึ้งออกจากกันจนห้อยลงมาเปื้อนธุลีดิน อารามตกใจจึงรีบถอยหลังออกห่าง แต่แผ่นหลังกลับชนเข้ากับอะไรบางสิ่งอย่างจัง นัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อจดจ้องไปยังเงาขนาดใหญ่ที่พาดผ่านตนไปจนถึงร่างไร้ชีวิตของพยัคฆ์ร้าย
“เจ้าบาดเจ็บตรงไหนรึไม่”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้น เจ้าแก้วเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ของยักษ์ตรงหน้าก่อนจะนิ่งค้างไปอย่างตกตะลึง
ร่างกายใหญ่โตแต่สง่าผ่าเผยผิดแผกจากยักษ์ทั่วไป หากกะความสูงด้วยสายตาอย่างไรก็ต้องเกินสี่ศอกเป็นแน่แท้ เนื้อกายสีคร้ามแดดขับกล้ามเนื้อหนั่นแน่นทั่วร่างให้รูปองอาจมากยิ่งขึ้น ใบหน้าคมคร้ามแสดงสันกรามชัดเจน
...นับว่าเป็นยักษ์ที่รูปงามเลยทีเดียว
“ม..ไม่จ้ะ ขอบคุณมากนะจ๊ะที่ช่วยฉันไว้” เอ่ยตอบไปอย่างหวาดหวั่น พร้อมก้มลงเก็บย่ามคู่ใจขึ้นมาสะพายไว้ข้างกาย
วิรุณพยักหน้ารับก่อนจะก้มลงมองเด็กหนุ่มมนุษย์ตรงหน้า
... ก็เห็นอยู่ว่าไหล่ของมันทั้งสองข้างนั้นโดนกรงเล็บของเสือโคร่งขย้ำเสียจนเนื้อเปิด ยังจะมาโป้ปด
“แขนท่านเลือดออกนี่จ๊ะ”
เจ้าแก้วเอ่ยถามไปตามประสาซื่อ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งมองสำรวจรอยแผลฉกรรจ์บริเวณช่วงแขนของอสุราหนุ่ม แขนข้างนั้นโดนคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายบาดลึกเข้าไปจนเนื้อเปิด เลือดจำนวนมากไหลอาบไปทั่วจนมันอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
…เพราะมาช่วยเหลือมัน จึงทำให้ยักษ์ตนนี้ได้รับบาดเจ็บ
“ช่างเสียเถอะ บาดแผลเพียงเท่านี้”
ผ่านสมรภูมิรบมาก็มาก เพียงแค่รอยถากของเขี้ยวเสือกระผีกเดียวหาได้ระเคืองผิวไม่
“ถือเสียว่าเป็นการตอบแทน...ให้ฉันช่วยรักษาแผลให้นะจ๊ะ”
มันอดที่จะห่วงผู้มีพระคุณของมันไม่ได้ อสุราหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บที่แขนเพียงเท่านั้น เมื่อสังเกตดูให้ดีแล้วทั่วทั้งตัวก็ดูฟกช้ำเสียจนน่าหวั่นว่าจะช้ำในเอาได้
“เจ้ารักษาเป็นหรือ” วิรุณเอ่ยถามกลับไป
“ได้เพียงผิวเผินเท่านั้นจ้ะ”
อดแปลกใจอยู่ไม่น้อย ผู้ใดจักคิดเล่าว่ามนุษย์หน้าซื่อผู้นี้จะมีความรู้ความสามารถในการรักษาแผลกัน
“เช่นนั้น เจ้าช่วยไปดูอาการให้สหายข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่”
“ผู้ใดหรือจ๊ะ” เจ้าแก้วอดที่จะสงสัยขึ้นมาอย่างเสียมิได้
“สหายข้า ยามนี้มันยังไม่ฟื้นตัวจากพิษไข้ ข้าเกรงว่าอาการมันจะทรุดไปมากกว่านี้ หากไม่เป็นการรบกวนเจ้าเกินไป ช่วยไปดูอาการมันให้ข้าที”
“ได้จ้ะ แต่ท่านไปล้างแผลเสียก่อนเถิด ประเดี๋ยวฉันจะทำแผลให้”
วิรุณเพียงพยักหน้าตอบรับก่อนจะออกเดินนำเด็กหนุ่มมุ่งตรงไปสู่ริมธารใกล้ๆ เมื่อไปถึงเจ้าเด็กนั่นก็บอกให้เขานั่งลงที่โขดหินข้างริมธารก่อนมันจะใช้ภาชนะที่หาได้บริเวณนั้นไปตักน้ำมาเพื่อล้างแผลให้ ตามด้วยหยิบสมุนไพรในย่ามออกมาขยี้จนเริ่มละเอียดก่อนจะประคบตัวสมุนไพรลงมาบนแผลให้อย่างเบามือ
มือคู่นั้นหาได้อ่อนนุ่มเฉกเช่นของเหล่าสตรี
…แต่น้ำหนักมือช่างเบาและอ่อนโยน ผิดแผกจากบุรุษทั่วไปนัก
สายตาคมจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ครานี้จึงได้สังเกตให้ชัดถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น มนุษย์ผู้นี้มีผ้าสีทึบปิดตาข้างซ้ายไว้คล้ายจะป้องกันบาดแผลบางอย่างที่อยู่ใต้เนื้อผ้านั่น แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามออกไปดั่งใจนึก เสียงฉีกขาดของเนื้อผ้าก็ดังขึ้นมาแทรกจนต้องหันไปมอง
“เจ้าจะทำสิ่งใด”
วิรุณมองมนุษย์ตรงหน้าอย่างแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะจู่ๆมันก็ถอดเสื้อของตนเองออกแล้วจัดการฉีกแยกแผ่ออกเป็นผืน
“พันแผลไว้จ้ะ ประเดี๋ยวจะโดนเศษดินเศษหญ้าเกาะเอา”
เอ่ยจบก็ส่งยิ้มซื่อตามประสามาให้อีกหน ก่อนจะจัดการพันผ้าไว้รอบท่อนแขนกำยำให้อย่างเสร็จสรรพ
“ขอบใจเจ้ามาก”
เจ้าแก้วเพียงพยักหน้ารับคำพร้อมเอ่ยชักชวนให้อสุราหนุ่มพาไปดูอาการของสหายอีกตนตามที่ได้วานไว้ ทั้งสองออกเดินเลียบเคียงริมฝั่งธารไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานนักก็ได้พบกับจุดหมายปลายทาง
“ข้านำมันไปนอนพักไว้ในถ้ำนั้น”
ใบหน้าคมคร้ามพยักเพยิดไปทางถ้ำหินตรงหน้า ลักษณะตัวถ้ำนั้นอยู่ใกล้กับบริเวณน้ำตก ทางเข้าถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อยจนรกครึ้ม อสุราหนุ่มเดินนำทางเข้าไปได้ไม่ลึกนักก็ได้พบกับร่างอีกร่างที่นอนไม่รู้สติอยู่ข้างโขดหินใหญ่
เห็นดังนั้นเจ้าแก้วจึงยอบกายลงไปนั่งข้างๆเรือนกายสูงใหญ่ที่นอนหายใจรวยริน ถึงแม้นจะไม่รู้สติแต่อาการที่แสดงออกก็คล้ายว่าจะทรมานเหลือแสน ทั้งกายขึ้นสีแดงชาดได้อย่างน่ากลัวจนเจ้าแก้วเริ่มจะวิตกขึ้นมาไม่น้อย
…เคยรักษาพิษของสัตว์เลื้อยคลานมาหลายชนิดก็จริงแต่ก็ไม่เคยพบเห็นพิษของสัตว์ชนิดไหนรุนแรงเท่านี้มาก่อน
“เจ้าพอจะรักษามันได้หรือไม่”
เหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายทำให้เจ้าแก้วนั้นลำบากใจอยู่ไม่น้อย ตัวมันนั้นหากจะต้องรักษาจริงๆก็คงจะได้แค่ผิวเผินเท่านั้น มันไม่ได้มีวิชาความรู้มากพอที่จะสามารถช่วยเหลือได้ ยิ่งเป็นพิษที่ออกฤทธิ์ดังที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นนี้ มันจึงนึกหวั่นวิตกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ฉันทำได้แค่เพียงรักษาพิษของสัตว์เลื้อยคลานเล็กๆเท่านั้นจ้ะ พิษรุนแรงเช่นนี้ไม่เคยพบมาก่อน ฉันคงไม่สามารถจะช่วยเหลือได้”
เด็กหนุ่มหน้าสลดลงไปอย่างเห็นได้ชัดทันทีที่รู้ว่าไม่สามารถจะช่วยเหลือผู้มีพระคุณของมันได้
“ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”
“ช่างเสียเถิด อย่างไรก็ขอบคุณเจ้ามากที่อุส่าห์มาดูอาการให้”
เจ้าแก้วเพียงพยักหน้ารับอย่างหงอยเหงาแต่พอนึกหาหนทางออกนัยน์ตาก็ทอประกายความหวังขึ้นมาทันที
ใช่…พ่อครู อย่างไรกันเล่า
พ่อครูของมันนั้นเก่งกาจทางด้านเวชศาสตร์และเชี่ยวชาญด้านการรักษามาก
หากให้พ่อครูช่วยดูอาการให้ล่ะก็ต้องรู้หนทางที่จะถอนพิษให้อสุราหนุ่มตนนี้เป็นแน่
“แต่ถ้าหากให้พ่อครูดูอาการให้ ก็อาจจะพอรู้วิธีรักษานะจ๊ะ”
“พ่อครู?”
“พ่อครู…ครูบุญน่ะจ้ะ เป็นคนที่คอยรักษาอาการเจ็บไข้ให้แก่ผู้คนในหมู่บ้าน ท่านเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาทุกแขนง ฉันเพียงคิดว่าหากท่านไม่รังเกียจ จะพาท่านผู้นี้ไปให้พ่อครูช่วยดูอาการก็ได้นะจ๊ะ”
“จะดีหรือ”
อดที่จะลังเลอย่างเสียมิได้ ขืนจู่ๆเจ้าเด็กนี่พาพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้าน ผู้คนจะไม่แตกตื่นเอาหรอกหรือ
“ดีสิจ๊ะ อีกอย่างท่านก็จะได้ไปรักษาแผลตัวท่านด้วย”
“ชาวบ้านจะไม่แตกตื่นกันหรือไร”
“เรือนของครูตั้งห่างออกมาจากตัวหมู่บ้านอยู่มาก ไม่มีผู้ใดเห็นหรอกจ้ะ ไปเถอะ ถือเสียว่าตอบแทนที่ท่านช่วยชีวิตฉันเอาไว้”
เพราะทนความคะยั้นคะยอไม่ไหวอีกทั้งใจก็นึกห่วงชีวิตของสหายตนจึงพยักหน้าตอบรับคำเชื้อเชิญไปอย่างเสียมิได้
เอาเถิด มาถึงขนาดนี้แล้วลองทำตามคำแนะนำของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ไม่เสียหายอันใด ถึงแม้นจะไม่สามารถถอนพิษได้ แต่เพียงแค่รักษาให้อาการทุเลาลงก็เพียงพอแล้ว
“เช่นนั้นก็รีบไปกันเถิดจ้ะ ประเดี๋ยวจะมืดค่ำเอา”
ได้ความดังนั้นวิรุณจึงก้มลงไปประคองร่างที่สูงใหญ่พอกันขึ้นมาจากพื้นอย่างทุลักทุเลไม่น้อย เจ้าแก้วเลยรีบรุดหวังจะเข้าไปช่วย แต่กลับโดนปรามไว้เสียก่อน
“ตัวมันหนักเช่นนี้ เจ้าประคองไปก็เปลืองแรงเสียเปล่า ช่วยนำทางไปก็พอ” พูดจบก็แบกร่างของสหายขึ้นมาไว้บนหลังอย่างยากลำบากเล็กน้อย
…ถึงจะตัวสูงใหญ่พอๆกันแต่ก็พาลทำเอาขาแข้งล้าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินนำออกไปที่ปากถ้ำ เมื่อพ้นออกมาจากความมืดสลัว จึงทำให้เจ้าแก้วได้เห็นหน้าคร่าตาอสุราหนุ่มอีกตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ใบหน้าคมเข้มแสดงสันกรามเด่นชัด ทำให้ดูสมกับเป็นยักษาวัยฉกรรจ์
เรือนผมที่ถูกตัดสั้นอย่างเป็นระเบียบเผยรูปของใบหน้าคมคร้ามได้เป็นอย่างดี
จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วเข้มที่พาดเฉียงได้รูป
ทั้งยังมีรอยแผลเป็นเล็กๆบนหัวคิ้วซ้าย แต่กลับไม่ได้ดูน่าเกลียด กลับกันแผลเป็นนั่นยิ่งช่วยขับเน้นให้ใบหน้าคมคายนี้ดูดุดันสมกับเป็นบุรุษยิ่งนัก
นับว่าเป็นยักษ์ที่รูปงามมากทีเดียว…แต่กลับน่าเกรงขามไม่น้อยแม้นในยามที่หลับใหล..
“เหตุใดเจ้าถึงได้เข้ามาในป่าดงพงไพรเช่นนี้”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยแทรกขึ้นมาทำลายความเงียบระหว่างการเดินทาง
“ฉันเข้ามาเก็บสมุนไพรไปให้พ่อครูจ้ะ”
“แล้วท่านล่ะจ๊ะ เหตุใดท่านทั้งสองจึงเข้ามาอยู่ในเขตแดนของมนุษย์ได้”
ใบหน้าซื่อๆนั่นหันมาถามอย่างสงสัยไม่น้อย แต่เมื่อมันรู้ตัวว่าได้เสียมารยาทถามในสิ่งที่ไม่ควรถามจึงรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“ขอโทษจ้ะ ที่ฉันเสียมารยาท” ไม่ว่าเปล่า แต่มันยังยกมือขึ้นมาไหว้ประกอบเสียด้วย
…มือไม้อ่อนเสียจริง
“ช่างเถิด ข้าก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร…ข้ากับสหายเป็นทหารในกองทัพแห่งนครยักษ์ เมื่อไม่นานมานี้ได้มีศึกระหว่างสองแว่นแคว้นเกิดขึ้น โชคไม่ดีเจ้านี่โดนศรอาบพิษยิงเข้าใส่ อีกทั้งตอนนั้นยังถูกข้าศึกลอบโจมตีจึงทำให้ตกลงมาจากหน้าผา รู้ตัวอีกทีข้าก็โผล่มานอนข้างๆริมธารเสียแล้ว”
ไม่ได้คิดจะปิดบัง…แต่เพียงแค่พูดความจริงไม่หมดก็เท่านั้น
หากมนุษย์ตรงหน้ารับรู้ว่าทั้งเขาและเจ้าวศินเป็นถึงจอมทัพของนครยักษาจะไม่ตื่นตกใจไปยิ่งกว่านี้หรือ
“ท่านสองตนเป็นทหารหรอกหรือจ๊ะ”
มิน่าเล่า รูปกายถึงได้ดูองอาจน่าเกรงขามยิ่งนัก เห็นคราแรกนึกว่าเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ของเผ่าพันธุ์ยักษ์เสียอีก
“ใช่ ทำไมรึ”
“เปล่าจ้ะ เพียงแต่ไม่คิดว่าทหารยักษ์จะรูปงามเช่นนี้”
มนุษย์หน้าซื่อตอบกลับมาอย่างไม่เคอะเขิน ก็มันรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ หาได้ป้อยอคำหวานเอาอกเอาใจผู้ใด คราแรกก็นึกว่าเหล่าทหารยักษ์นั้นจะหน้าตาถมึงทึงชวนอกสั่นขวัญผวา ผู้ใดจักนึกกันเล่าว่ารูปโฉมจะงดงามเพียงนี้
เมื่อได้รับคำชมแบบโต้งๆหลุดออกมา อสุราหนุ่มก็อดที่จะประหม่าไม่ได้ ร้อยวันพันปีหาได้เคยมีผู้ใดมากล่าวชมด้วยใบหน้าซื่อๆเช่นนี้ ส่วนมากจะเป็นทำนองเกี้ยวพาราสีของเหล่านางยักษ์เสียมากกว่าแต่ถึงกระนั้นเขาก็หาได้หวั่นไหวไปกับคำพูดเชยชมหวานหูเหล่านั้นสักเพียงนิด
หากแต่ต้องมารู้สึกกระดากอายขึ้นมาเพราะคำพูดของเด็กหนุ่มมนุษย์ผู้นี้
หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกหน สายตาคมกล้าจ้องมองตรงไปยังแผ่นหลังของมนุษย์ที่เล็กกว่าเขาไปเกือบเท่าตัว ช่วงบ่าขนาดสมส่วนรับกับแผ่นหลังกว้างพอเหมาะสมวัย หากเพียงสังเกตให้ดีจะพบว่าบนผิวกายเนียนละเอียดนั่นมีรอยแผลเป็นบริเวณหลังไหล่ขวา…คล้ายรอยบาดของคมมีดหรือคมดาบ
วิรุณไล่สายตาไปเรื่อยจนถึงช่วงเอวที่คอดรับกับสะโพกใต้เนื้อผ้าโจงกระเบนสีน้ำตาลแก่…เด็กหนุ่มตรงหน้าหาได้เอวบางอ้อนแอ้น เพียงแต่ไม่ได้สอบหนาเฉกเช่นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ได้พบเห็นทั่วไป
เป็นเพียงมนุษย์หน้าพาซื่อ…อีกทั้งยังเป็นบุรุษเฉกเช่นเขา
รูปโฉมก็ธรรมดาเสียจนไม่ได้รู้สึกสะดุดตาสักเพียงนิด
แต่เหตุใดจึงมีเสน่ห์ให้ชวนมองได้ถึงเพียงนี้
เมื่อรู้ตัวว่าเผลอมองสำรวจอีกฝ่ายอย่างเสียมารยาท อสุราหนุ่มจึงหันสายตาไปมองเหล่าแมกไม้นานาพันธุ์รอบกายแทน ก่อนจะเดินตามหลังเด็กหนุ่มไปเงียบๆไม่ได้ชวนเปิดบทสนมนาขึ้นมาอีก
ก่อนตะวันจะคล้อยดับลงทั้งสามก็เดินทางมาถึงเรือนไม้ขนาดพอเหมาะไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ลักษณะตัวเรือนนั้นทำมาจากไม้ไผ่และไม้เนื้อแข็งที่หาได้ตามป่าบริเวณนี้ ในส่วนของหลังคาถูกมุงทับด้วยหญ้าคาตามปกติของชาวบ้านทั่วๆไป หากแต่เรือนหลังนี้กลับดูมั่นคงแข็งแรงดี มิได้ทรุดโทรมเหมือนดังที่เขาคาดคิดไว้
ทันทีที่เข้าสู่เขตเรือนเด็กหนุ่มผู้นั้นก็รีบวิ่งรี่เรียกหาพ่อครูของมันไปทั่ว ทำเอากลุ่มของชายหนุ่มที่กำลังแบกหามของอยู่ใต้ถุนเรือนนั้นหันไปมองทางต้นเสียงเป็นตาเดียว แต่เมื่อคนเหล่านั้นสังเกตได้ว่ามีแขกแปลกหน้ามาเยือนอีกทั้งยังเป็นถึงยักษ์ร่างสูงใหญ่ก็พาลตื่นตกใจไปตามๆกัน
พ่อครูให้มันไปเก็บสมุนไพรมิใช่รึ แล้วเหตุใดไอ้แก้วมันถึงได้ยักษ์กลับมาด้วยถึงสองตน!
“พ่อครูจ๊ะพ่อครู!”
“เอ้าๆ...เอะอะไรกันเจ้าแก้ว”
ครูบุญของศิษย์ทั้งหลายเอ็ดเสียงดุ มือเหี่ยวย่นพาดผ้าขาวม้าไว้รอบคอก่อนจะเดินลงมาจากเรือนตามเสียงเรียกของศิษย์รัก เจ้าแก้วรีบเข้าไปประคองพาชายชรามานั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่บริเวณลานดินหน้าเรือน
พลันสายตาของชายชราก็สังเกตเห็นเรือนกายสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ยังไม่ทันที่จะได้หันไปถามให้คลายสงสัย เจ้าแก้วก็เอ่ยสวนขึ้นมาเสียก่อน
“พี่ยักษ์ท่านนี้ได้ช่วยชีวิตฉันไว้ก่อนที่จะโดนเสือโคร่งตะปบเอาจ้ะ พอดีฉันเห็นว่าท่านทั้งสองอาการไม่ค่อยจะดีนัก จึงได้ชวนกลับมาที่บ้าน ฉันเลยอยากจะขอวานให้พ่อครูช่วยดูอาการของท่านทั้งสองให้หน่อยน่ะจ้ะ”
เพราะในอ่อนกับแววตาเว้าวอนของศิษย์รักคนเล็ก ครูบุญจึงต้องตกปากรับคำศิษย์รักอย่างเสียมิได้ ก่อนจะหันไปเจรจากับอสุราหนุ่มแทน
“นำตัวท่านผู้นั้นมาวางไว้บนแคร่เสียก่อนเถิด”
วิรุณพยักหน้ารับคำของครูเฒ่า ก่อนจะแบกร่างของสหายไปวางลงบนแคร่ตามคำสั่ง
ครูบุญก้มมองอีกหนึ่งร่างของอสุราหนุ่มที่นอนหายใจรวยริน กายขึ้นสีชาดได้อย่างน่าหวาดกลัวพร้อมมีเหงื่อผุดซึมไปทั่วร่าง ตรงกลางอกมีบาดแผลฉกรรจ์ซึ่งในยามนี้พิษร้ายได้กัดกินผิวเนื้อบริเวณอกจนพุพองคล้ายกับโดนไฟลวก
…เป็นลักษณะฤทธิ์ของพิษร้อนที่รุนแรงมากทีเดียว
“ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าเป็นพิษของสัตว์ชนิดใด” ชายชราเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่พ่อเฒ่าพอที่จะรักษาสหายข้าได้หรือไม่”
ครูเฒ่าหนักใจไม่น้อย พิษร้ายแรงเช่นนี้เป็นพิษของสัตว์ชนิดใดนั้นเขาก็ไม่สามารถที่จะคาดเดาได้เช่นกัน เพราะไม่เคยพานพบมาก่อน
“ข้าไม่เคยพบเห็นพิษร้ายเช่นนี้มาก่อน เท่าที่พอจะช่วยได้ยามนี้คือให้กินยาขับพิษเท่านั้น”
ใบหน้าคมคร้ามของยักษาวัยฉกรรจ์พยักหน้ารับคำของชายชรา
“อาการของท่านก็ย่ำแย่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก ประเดี๋ยวข้าจะดูให้อีกที ก่อนอื่นนำตัวท่านผู้นี้ไปพักไว้บนเรือนเสียก่อนเถิด แล้วข้าจะให้เจ้าแก้วมันนำยาขับพิษไปให้ดื่ม”
“ขอรับ”
วิรุณยักษาขานรับคำสั่งก่อนจะแบกร่างของสหายขึ้นเรือน โดยได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าหนุ่มวัยฉกรรจ์อยู่หลายคนพอที่จะประคองร่างสูงใหญ่ได้สบายๆ
“ท่านลงไปหาพ่อครูเถอะจ้ะ...ประเดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลให้”
เจ้าแก้วยกหม้อต้มยาสมุนไพรตามที่ครูบุญสั่งขึ้นมาบนเรือน ก่อนจะวางหม้อดินเผาไว้ข้างกายสูงใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้น
“ขอบใจเจ้ามาก”
วิรุณพยักหน้ารับ ใบหน้าคมคร้ามปรากฏความอ่อนล้าออกมาอย่างชัดเจนเรือนกายสูงใหญ่ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากตัวเรือน
“ร้อน...”
เสียงแหบทุ้มเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายจะละเมอเพ้อพก เจ้าแก้วสะดุ้งเล็กน้อยพลันหันความสนใจมาหาอสุราที่นอนแน่นิ่งอยู่ แผ่นอกผึ่งผายขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ...ร่างกายใหญ่โตนี่คงจะอึดอัดไม่น้อยที่ต้องมานอนอยู่ในเรือนที่ไม่ได้กว้างขวางมากนัก มิหนำซ้ำวันนี้มันวันอับลมจึงทำให้ร้อนกว่าปกติ
“เอ่อ....ท่านลุกขึ้นมาดื่มยาไหวหรือเปล่าจ๊ะ”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามอย่างหวั่นเกรง...อสุราหนุ่มตรงหน้านั้นขนาดนอนไม่รู้สติยังทำให้มันรู้สึกกลัวได้ถึงเพียงนี้
“…”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับของยักษา เจ้าแก้วนึกปลงตกด้วยความจนปัญญา เห็นทีคงจะได้ป้อนยาให้เสียแล้วกระมัง..
คิดได้ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงจัดการตักยาต้มใส้ถ้วยดินเผา ก่อนจะค่อยๆประคองศรีษะหนักขึ้น พอที่จะให้สามารถดื่มยาได้สะดวก
เสียงคำรามทุ้มต่ำในลำคอดังขึ้นอีกครา ทำให้เจ้าแก้วรีบผละออกมา...สงสัยคงจะร้อนในกายกระมัง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มพลันนึกถึงคำสั่งของพ่อครูขึ้นมา
...'ตัวยาจะไปขับพิษออกจากร่าง จึงทำให้ไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก เอ็งก็อย่าลืมปลดผ้าผ่อนทุกชิ้นออกให้หมดเสียด้วย'
นึกได้ดังนั้นใบหน้าอ่อนเยาว์ก็พลันเห่อร้อนขึ้นมา เจ้าแก้วได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของบุรุษมาเยอะก็จริงเพราะบ่อยครั้งก็มักจะอาบน้ำร่วมท่ากับเหล่าลูกศิษย์ของครูบุญ แต่มันก็ไม่เคยได้เห็นร่างเปล่าเปลือยของยักษ์มาก่อน
ยิ่งเป็นยักษ์หนุ่มวัยฉกรรจ์ที่น่าเกรงขามตนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ มันจึงกระอักกระอ่วนไปเสียหมด…
“ขอโทษนะจ๊ะ...พ่อครูสั่งให้ฉันทำ”
พูดกับลมฟ้าอากาศไปพร้อมยกมือไหว้ปลกๆ เด็กหนุ่มค่อยๆปลดอาภรณ์ของอสุราตรงหน้าออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อหนั่นแน่นสมเป็นบุรุษเพศวัยฉกรรจ์ทั่วทั้งร่าง มันกระดากอายเกินกว่าจะมองแต่ถ้าหากหลับตาก็เกรงว่ามือไม้มันจะไปโดนอะไรต่อมิอะไรเข้า
คิดได้ดังนั้นก็รีบใช้ผ้าคลุมท่อนล่างของอสุราหนุ่มไว้ให้อย่างเรียบร้อย เมื่อเสร็จกิจตามที่ได้รับมอบหมายเจ้าแก้วก็รีบเดินออกมาจากเรือนด้วยในอกที่เต้นระรัวคล้ายมีฝูงสัตว์ขนาดใหญ่เข้ามาวิ่งพล่านไปทั่ว
______________________________________________
มาแล้วจ้าาาา ตอนนี้เป็นฉบับรีไรท์ตามที่ได้แจ้งไปก่อนหน้านี้นะคะ
เนื้อหามีการเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย
สำหรับนักอ่านที่พึ่งมาอ่านไม่ต้องแปลกใจนะคะ พันไมล์เพียงแค่ปรับปรุ่งเนื้อหาที่เคยลงไปก่อนหน้านี้เท่านั้น
จึงได้ทำการแจ้งไว้ แล้วลบตอนเก่าออกค่ะ :hao5:
เจ้าแก้ว
.
.
.
“แผลลึกมากเลยทีเดียว ประเดี๋ยวข้าจะไปโขลกสมุนไพรมาประคบให้ ระหว่างนี้ท่านก็ถอดเสื้อแสงออกเสียก่อนเถิด เห็นเจ้าแก้วมันบอกว่าเนื้อกายท่านนั้นชอกช้ำนัก ข้าจึงอยากจะตรวจดูให้ถี่ถ้วน”
วิรุณปฏิบัติตามคำสั่งของชายชรา พร้อมกับถอดเสื้อออกทางศีรษะด้วยท่าทีที่ลำบากอยู่ไม่น้อย
หลังจากที่แบกหามร่างของสหายตนขึ้นไปไว้บนเรือนแล้ว เมื่อลงมาด้านล่างพ่อเฒ่าผู้นี้ก็เรียกเขาเข้าไปตรวจดูอาการตามที่เด็กหนุ่มผู้นั้นได้วอนขอไว้ มือเหี่ยวย่นตามวัยจัดการดึงผืนผ้าพันแผลที่อดีตมันเคยเป็นเสื้อออกอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นบาดแผลฉกรรจ์จากเขี้ยวของสัตว์ใหญ่ ท่าทางคล่องแคล่วที่สำรวจบาดแผลอยู่นั้น ทำให้รู้สึกได้ว่าท่านพ่อเฒ่าผู้นี้ดูชำนาญการในด้านการรักษาไม่น้อยเลยทีเดียว
ร่างสูงใหญ่ของรองทัพอสุราที่นั่งเปลือยท่อนบนเผยให้เห็นรอยช้ำและบาดแผลตามกล้ามเนื้อหนั่นแน่นทั่วร่าง
ระหว่างที่เขากำลังนั่งมองสำรวจบริเวณเรือนโดยรอบอยู่นั้น กลับสะดุดตากับไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่ชูช่อดอกสีขาวนวลอยู่บริเวณริมรั้ว บุพผาสีขาวปลอดส่งกลิ่นหอมอบอวลคลอเคล้าไปกับแสงสุริยนที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไป อสุราหนุ่มทอดมองไม้ต้นเล็กอย่างสนอกสนใจ สีขาวนวลของช่อดอกไม้ท่ามกลางพุ่มเขียวขจีนั้นช่างทำให้เพลิดเพลินตายิ่งยัก
“นั่นเรียกว่าต้นแก้ว” ชายชราเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีสนใจต้นแก้วที่ต้นเป็นผู้ลงมือปลูกเอง
วิรุณเพียงพยักหน้ารับรู้ไม่ได้โต้ตอบกลับไปเพื่อต่อบทสนทนา ทำเพียงแค่นั่งนิ่งให้พ่อเฒ่ารักษาแผลและตรวจดูอาการต่อให้
ต้นแก้วอย่างนั้นหรือ…ไม่เคยพบเห็นต้นไม้ชนิดนี้ในนครยักษ์มาก่อนเสียด้วยซ้ำไป
“แผลที่อื่นๆตามร่างกายท่าน เพียงแค่หมั่นประคบยาทุกวันก็หายขาด...ส่วนนี่ยาต้มดื่มเสียเถอะมันแก้ช้ำในได้ชะงัดนัก”
หลังจากพันแผลที่แขนเสร็จสรรพชายชราก็ยื่นส่งหม้อดินเผาขนาดเล็กมาให้
วิรุณยกหม้อยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด กลิ่นของสมุนไพรหลากหลายชนิดในภาชนะนั้นฉุนมากทีเดียว แต่รสชาติขมเฝื่อนของมันกลับทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่น้อย
“ว่าแต่ตัวท่านเล่า...มีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรรึพ่อยักษ์”
“ข้าวิรุณ...ส่วนสหายข้าอีกตนชื่อวศิน”
“แล้วเหตุใดท่านทั้งสองถึงเข้ามาในเมืองของมนุษย์เสียได้” ชายชราเอ่ยถามอย่างนึกแปลกใจ
เพราะดูจากลักษณะท่าทางที่องอาจน่าเกรงขามของยักษ์ทั้งสองตนแล้ว คงจักมิใช่ยักษ์ธรรมดาเป็นแน่แท้
...เรือนกายสูงใหญ่สง่าผ่าเผย รูปโฉมงดงามเพียงนี้
หากมิใช่พวกขุนนางในวังก็คงจะเป็น..
“ข้ากับวศินเป็นทหารในกองทัพแห่งนครยักษ์...ในระหว่างที่กำลังต่อสู้กับเหล่าศัตรูอยู่นั้นพวกข้าทั้งสองเสียทีพลาดท่าพลัดตกลงมาจากยอดผา รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ฟื้นอยู่ข้างริมธารนั่นแหละขอรับ”
…ทหาร
“เอาเถิดพ่อ วางเรื่องหนักอกหนักใจไว้เสียก่อน พักกายพักใจอยู่ที่นี่จนกว่าอาการบาดเจ็บจะดีขึ้น...ไว้ร่างกายฟื้นตัวกำลังวังชากลับมาแข็งแรงดีดั่งเดิมแล้วค่อยกลับไปเมืองยักษ์เถิดนะพ่อวิรุณ”
น้ำเสียงที่มากไปด้วยความเมตตาจากชายชรา ทำให้เขารู้สึกปล่อยวางความเคร่งเครียดที่สั่งสมมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาได้อย่างไม่มีสาเหตุ
อสุราหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ชายสูงวัยอย่างซาบซึ้งในบุญคุณที่ท่านผู้นี้ได้เมตตารักษาอาการของพวกเขาโดยไม่แม้นแต่จะนึกคลาแคลงใจเลยสักนิด
“มิต้องนอบน้อมกับข้านักดอกท่าน ข้ารึก็เป็นเพียงแค่ชาวป่าชาวเขาธรรมดา หาได้มียศมีเกียรติอันใด พ่อยักษ์อย่าลดตัวลงมากราบไหว้เลย”
การกระทำของอสุราหนุ่มสร้างความลำบากใจให้เขาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยเพราะเป็นถึงเผ่าพันธุ์ยักษ์แต่มาให้ความเคารพกับมนุษย์ผู้น้อยเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก
“หาได้เกี่ยวกับเรื่องเผ่าพันธุ์หรือยศเกียรติอันใดไม่ ที่ท่านเมตตาช่วยเหลือข้าและสหาย เพียงเท่านี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณแล้ว”
“อย่าได้ถือว่าเป็นบุญคุณอันใดเลยท่านวิรุณ ทางข้าเสียอีกที่ต้องติดหนี้บุญคุณ” น้ำเสียงที่มากไปด้วยเมตตากล่าวอย่างนึกขบขัน “ถ้าไม่ได้ท่านช่วยเหลือเอาไว้ ป่านนี้เจ้าแก้วมันก็คงกลายเป็นอาหารเสือไปแล้ว”
วิรุณขานรับคำของชายชรา ก่อนที่เสียงของบุคคลที่มาใหม่จะดึงความสนใจของพวกเขาทั้งสองให้หันไปมอง
“พ่อครูจ๊ะ”
เจ้าแก้วเดินเลียบเคียงเข้ามาหาชายชราก่อนจะยอบกายลงไปนั่งคุกเข่าข้างๆแคร่ไม้ไผ่
“ข้าบอกให้เอ็งไปทำแผลอย่างไรเล่าเจ้าแก้ว ทำไมช่างดื้อด้านนัก”
ชายชราหันมาดุมันเสียงเข้มทำเอาเจ้าแก้วหน้าหงอลงไปถนัดตา วิรุณจึงหันไปมองทางเด็กหนุ่มที่เขาได้ช่วยชีวิตเอาไว้
“ฉันอยากมาดูอาการพี่ยักษ์หน่อยน่ะจ้ะ”
“ดื้อด้านเช่นนี้…ท่านวิรุณน่าจะปล่อยให้มันโดนกินไปซะให้สิ้นเรื่อง”
เสียงดุด่าแต่กลับแฝงไปด้วยความห่วงใยของครูบุญบ่นออกมาอย่างไม่จริงมากนัก
เชื่อเถอะ...หากเป็นศิษย์คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าแก้วแล้วล่ะก็ นอกจากเขาจะไม่หาหยูกยามาทาให้แล้วยังจะกระทืบซ้ำให้จมตีนเพราะความเผอเรอไม่รู้จักระมัดระวังตน
“แล้วนี่ที่ข้าเคยสั่งเคยสอนไปเอ็งจำเข้าหัวบ้างรึไม่ ท่านวิรุณเป็นถึงยักษ์ทั้งศักดิ์และอายุอานามรึก็มากกว่าเอ็งโข ใยถึงกล้าใช้คำเรียกเล่นหัวเช่นนั้น”
ครูบุญยังบ่นให้ศิษย์รักต่อไป เจ้าแก้วก็เช่นนี้อายุอานามของมันก็ใกล้เข้าสู่วัยหนุ่มเต็มทีหากแต่มันยังคงใช้ชีวิตไปตามประสาหาได้มีความเลือดร้อนเหมือนเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน วันๆมันสนใจแต่เรื่องสมุนไพรที่ครูบุญคอยพร่ำสอนจนไม่ใคร่จะเรียนวิชาป้องกันตัวอื่นใด อีกทั้งครูบุญก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย เพราะทั้งหวงทั้งห่วงมันดั่งไข่ในหินนั้นแล
แต่ถึงจะไม่ได้ออกแรงกำลังหนัก เจ้าแก้วก็ไม่ได้ร่างกายบอบบางหรืออ้อนแอ้นดูขี้โรคอะไร กลับกันเสียอีก หุ่นของมันนั้นดูสมส่วนสุขภาพดีตามที่เด็กหนุ่มทั่วไปพึงมี กล้ามเนื้อทั่วร่างไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดูแล้วช่างทะมัดทะแมงยิ่งนัก
“ขอโทษจ้ะ คราวหลังฉันจะระวังมากกว่านี้”
หากเปรียบเป็นลูกสุนัขยามนี้เจ้าแก้วก็คงหางลู่หูตกได้อย่างน่าสงสาร
แต่ตัววิรุณเองนั้นก็หาได้ใส่ใจนักกับคำสรรพนามที่เด็กหนุ่มใช้เรียกตน
พี่ยักษ์อย่างนั้นรึ...น่าเอ็นดูน้อยเสียที่ไหนกัน
“เอาเถอะ...ไปให้เจ้ากล้ามันทำแผลให้เสีย เสร็จแล้วก็เปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่เสียด้วย มอมเหมือนลูกหมาคลุกดิน”
“จ้ะพ่อครู” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
ครูบุญทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน มือเหี่ยวย่นตามวัยลูบหัวมันไปอย่างที่เคยทำ เมื่อศิษย์รักได้เดินออกไปแล้วเขาจึงได้หันกลับมาขอโทษขอโพยอสุราหนุ่มแทนมันอย่างเสียมิได้
“เจ้าแก้วมันกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก บางครั้งบางคราจึงดูไม่รู้ภาษาไปบ้าง อย่าได้ถือสามันเลยนะท่านวิรุณ”
ชายชราหันมามองอสุราหนุ่มอย่างลุแก่โทษแทนเจ้าแก้ว
อย่างไรแล้วเผ่าพันธุ์ยักษ์นั้นก็มีศักดิ์ที่สูงกว่ามนุษย์ การที่เจ้าแก้วใช้คำพูดเช่นนี้เขามองว่ามันไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง หากแต่อสุราหนุ่มกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้กระผีกเดียว
“ท่านขึ้นไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยเถิด ประเดี๋ยวข้าจะเดินไปดูแผลให้เจ้าแก้วมันสักหน่อย”
“ขอรับ”
วิรุณขานรับเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนเรือน หากแต่เขาก็มิได้เอนกายพักผ่อนดังที่ชายชราบอก
ร่างสูงใหญ่ของรองทัพอสุรานั่งเฝ้าดูอาการของสหายตนอยู่ไม่ห่างกาย ตอนนี้วศินดูท่าจะไม่ทรมานเพราะพิษร้อนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว หากแต่ยังคงมีหยาดเหงื่อผุดซึมขึ้นมาเพราะยาขับพิษที่ชายชราให้เด็กหนุ่มผู้นั้นนำมาให้ดื่ม
“ไอ้ยักษ์สำออย โดนศรปักอกเพียงเท่านี้ก็ล้มหมอนนอนเสื่อแล้วรึ”
ไม่พูดเปล่า ยังยกฝ่าเท้าขึ้นมาดันต้นแขนของอีกฝ่ายอย่างหยอกล้อเหมือนดั่งเคย หากแต่แววตาคมกล้านั้นมิได้มองอย่างสาแก่ใจสักเพียงนิดกลับฉายแววกังวลใจและห่วงใยสหายตนอย่างเหลือแสน
ทางด้านของครูบุญเมื่อเดินเข้ามาทางใต้ถุนเรือนก็เห็นเจ้าแก้วนั่งโอดนั่งโอยอยู่บนพื้นโดยที่พี่มันนั่งทำแผลให้อยู่บนแคร่ไม้ไผ่
“เอ็งช่วยอยู่นิ่งๆสักประเดี๋ยวได้ไหมวะไอ้แก้ว ข้ารำคาญนัก”
ผู้เป็นพี่เอ่ยออกมาอย่างหัวเสียไม่น้อย ก็ศิษย์รักของครูบุญแค่โดนสมุนไพรไปนิดหน่อยก็ร้องเหมือนจะตายวันตายพรุ่ง
“ก็ฉันเจ็บนี่ พี่กล้ามือเบาเสียที่ไหนล่ะจ๊ะ”
เจ้าแก้วบ่นเสียงเล็กเสียงน้อยใส่พี่มัน...ก็มือนักมวยมันเบาเสียที่ไหนกัน
“เอ้าๆ อยู่นิ่งๆซะเจ้าแก้ว ไม่เช่นนั้นล่ะข้าจะให้ไอ้กล้ามันเตะตัดเอ็งแทนต้นกล้วย”
แสร้งดุเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่ข้างศิษย์นักมวยคนเก่ง
ไอ้กล้าเป็นศิษย์อีกคนของเขา มันให้ความสนใจในด้านศิลปะป้องกันตัวเสียยิ่งกว่าสิ่งใด โดยเฉพาะมวยไทยฝีไม้ลายมือเกือบเทียบเท่าชั้นครูได้เลยทีเดียว แต่เห็นมันดุด่าเจ้าแก้วขนาดนี้แท้จริงแล้วก็ทั้งรักทั้งโอ๋น้องมันไม่ต่างจากเขานักหรอก
“ก็พี่กล้ามือหนักนี่จ๊ะพ่อครู”
เจ้าแก้วที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดินหน้างอเล็กน้อย ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มซบลงบนตักของชายชราอย่างออดอ้อน มือเหี่ยวย่นจึงลูบหัวมันคล้ายเป็นการปลอบไปในท่วงที
นั่นปะไร...เห็นรึไม่
พ่อครูน่ะตั้งท่าดุไอ้แก้วไปอย่างนั้นเอง พอโดนมันออดอ้อนออเซาะเข้าหน่อยก็ใจอ่อนโอ๋กันไม่หยุดหย่อน ไอ้กล้ามองน้องมันด้วยความหมั่นไส้เสียเต็มประดาก่อนจะใช้เท้าถีบเอวไปเบาๆจนตัวมันเซ
“ไอ้กล้า! เอ็งนี่ก็ชอบแกล้งน้องนุ่ง รีบจัดการแผลให้มันเสีย จะได้ไปกินข้าวกินปลา แล้วก็หัดเบามือเสียบ้างมือคนห่าอันใดหนักเยี่ยงฝ่าตีน”
ครูบุญรีบเอ็ดทันทีเมื่อลูกรักโดนประทุษร้าย ก่อนจะใช้ผ้าขาวม้าที่พาดคออยู่ฟาดปากไอ้ตัวดีไปหนเพราะได้ยินเสียงมันประชดประชันตัดพ้อ
“จ้าๆ แตะไม่ได้เลยนะเจ้าดอกแก้วดอกนี้เนี่ย” เดชะบุญไอ้กล้าหลบทันหวุดหวิด...แค่ผ้าขาวม้าก็สร้างความเจ็บปวดให้ผู้อื่นได้นะพ่อเฒ่าเนี่ย
“พูดมากนะเอ็งนี่ รีบทำแผลให้มัน เสร็จแล้วก็ไปเอาผ้าพันแผลมาเปลี่ยนให้น้องมันเสียด้วย”
“จ้าๆ”
เจ้าแก้วหัวเราะให้กับการหยอกล้อแสนรุนแรงของพ่อครูกับพี่ของมันก่อนที่จะนั่งนิ่งๆอดกลั้นกับความเจ็บปวดให้พี่มันทำแผลที่บ่าให้จนแล้วเสร็จ
หลังจากนั้นครูบุญจึงเรียกเจ้าแก้วให้ขึ้นไปนั่งบนแคร่ข้างๆตนเพื่อจะประคบยาบริเวณแผลเป็นให้
...ถึงมันจะผ่านมาแล้วหลายปี แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่เจ้าแก้วมักจะปวดแผลมากจนไม่สามารถนอนหรือใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ เขาจึงมักสั่งให้มันประคบยาอยู่เสมอ
“เอ็งยังเจ็บแผลอยู่รึไม่”
“ไม่จ้ะพ่อครู ไม่เจ็บแล้วจ้ะ”
มือเหี่ยวย่นของครูบุญจัดการถอดผ้าผืนเก่าที่คลุกดินคลุกฝุ่นมาเสียเต็มที่ออกให้
เมื่อผ้าสีมอหลุดออกเผยให้เห็นบาดแผลฉกรรจ์ของร่อยรอยในอดีต ยามนี้แผลมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย...คงเพราะได้รับแรงกระแทกมาเมื่อตอนเข้าป่า ชายชราลูบหัวปลอบมันแผ่วเบาก่อนจะนำยามาประคบให้อย่างเบามือ
เห็นทีไรก็อดสะท้อนในอกไม่ได้ หากแต่วันนั้นเขาไปช่วยเหลือมันได้ทันเจ้าแก้วมันก็คงไม่ต้องมาเสียตาข้างซ้ายอีกทั้งยังต้องมาเสียโฉมไปตลอดชีวิตของมัน
แต่เจ้าตัวนั้นก็หาได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้นไม่ มันกลับใช้ชีวิตด้วยความปกติสุขไม่เคยถือสาโกรธเคืองผู้ใดก็ตามที่ทำให้มันต้องเป็นเช่นนี้ ถึงแม้นจะโดนใครเขาหยอกล้อกลั่นแกล้งรุนแรงเพียงใดมันก็ทำเพียงยิ้มรับ จะมีเสียก็แต่เขากับไอ้กล้านี่ล่ะที่คอยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนมันอยู่เสมอ
“อดทนหน่อยนะลูกเอ้ย สักวันเอ็งจะต้องมีความสุขมากกว่านี้แน่” ชายชราเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ เพราะนึกสงสารในโชคชะตาของมันเหลือเกิน
เขามองรอยแผลลึกเป็นทางยาวอย่างพินิจพิจารณา ดวงตาของเจ้าแก้วน่ะสวยได้แม่มันมากทีเดียวด้วยสีที่ผิดแผกไปจากชาวบ้านชาวเมืองทั่วไป นัยน์ตาหวานล้ำทอประกายสีของน้ำผึ้งป่าราวกับว่าหากใครได้สบตาก็คล้ายจะโดนดึงให้เข้าไปในห้วงภวังค์โดยไม่ทันได้ตั้งตัว
…ถึงแม้นจะมีรอยบากบนใบหน้า ก็หาได้ทำให้ใบหน้าของมันขี้ริ้วขี้เหร่สักเพียงนิด
“พ่อครูพูดอันใดกันจ๊ะ แค่ฉันได้อยู่กับพ่อครูและทุกๆคนที่นี่ฉันก็พอใจแล้วล่ะจ้ะ”
เจ้าแก้วไม่เข้าใจกับสิ่งที่พ่อครูของมันบอก มันรีบสวมกอดผู้มีพระคุณตรงหน้าอย่างแสนรักหนักหนา
เพราะตั้งแต่เล็กจนโตชีวิตของมันก็มีเพียงพ่อครูและพี่กล้าเท่านั้น หากจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว มันก็ไม่แม้นแต่ที่จะลังเลเลยสักนิดเดียว
“กอดกันกลมเชียว ลืมไอ้กล้าคนนี้ได้อย่างไรกัน”
แว่วเสียงใกล้เข้ามาก่อนมือสากกระด้างจะวางลงไปบนศีรษะคนน้อง
“พ่อครูไปพักผ่อนเสียเถอะ ประเดี๋ยวฉันพันแผลให้มันเอง”
ครูบุญพยักหน้ารับก่อนจะลุกเดินกลับขึ้นเรือนโดยมีเจ้าแก้วตั้งท่าจะเข้าไปช่วยพยุงแต่กลับโดนเขาเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน ...มันก็เป็นเสียอย่างนี้ถึงเขาจะชราลงและสังขารไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนเป็นหนุ่ม แต่ก็หาได้อ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เสียทีเดียว
กลับกันเมื่อเทียบกับพ่อเฒ่ารุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านแล้วครูบุญถือว่าแข็งแรงกว่ามากโข คล้อยหลังพ่อครู ไอ้กล้าก็จัดการพันแผลรอบตาให้น้องมันเสร็จสรรพ ก่อนจะชักชวนเหล่าลูกศิษย์คนอื่นๆของครูบุญหาสำรับกับข้าวกับปลากินกันดั่งเช่นทุกวัน
"เอ็งไปทำอีท่าไหนถึงได้พายักษ์กลับมาด้วยได้วะไอ้แก้ว"
เหล่าลูกศิษย์ของครูบุญที่นั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันเฉกเช่นทุกวันหันเหความสนใจมายังเด็กหนุ่มอย่างสงสัยใคร่รู้
“ตอนที่เข้าไปเก็บสมุนไพรมาให้พ่อครู ฉันไปเจอเสือโคร่งเข้าพอตั้งท่าจะหนีก็ดันพลาดสะดุดล้มเสียก่อน แล้วคนที่เข้ามาช่วยฉันไว้ก็คือพี่ยักษ์ตนนั้นนั่นแหละจ้ะ” เจ้าแก้วว่าตามประสาซื่อโดยมีพี่มันมองมาอย่างไม่ชอบใจเท่าใดนักเมื่อได้ยินประโยคถัดมา “และฉันเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บอยู่ด้วย จึงอยากจะตอบแทนก็เท่านั้น”
“เอ็งมันใจดีไม่เข้าท่าไอ้แก้ว นี่ถ้าหากเป็นโจรป่าปลอมตัวมามันไม่มาปล้นเอ็งฉิบหายหรอกหรือวะ”
ไอ้กล้าเอ็ดน้องมันไปอย่างขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้นยักษ์ตนนั้นจะช่วยชีวิตน้องของมันไว้ก็เถอะบุญคุณครั้งนี้เขาก็มิได้ลืมเลือน แต่นั่นมันคนละเรื่องกันมิใช่หรือ ช่วยเหลือกันแล้วก็จบๆไปแต่ไอ้แก้วก็ยังดันทุรังพากลับเรือนมาเสียได้ นิสัยไว้ใจคนและมองโลกในแง่ดีของมันไปทั่วเช่นนี้ทำให้เขาและครูบุญเป็นห่วงมันมากเสียยิ่งกว่าอะไร
ดูเอาเถิด พบหน้าค่าตาเพียงไม่เท่าไรก็เชิญชวนผู้นั้นผู้นี้กลับมาบ้านด้วย
ถึงแม้นยักษ์สองตนนั้นดูอย่างไรก็คงไม่ใช่โจรหรือผู้ร้าย อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บมา แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ ถ้าหากว่าทั้งสองหายดีอาจจะเปลี่ยนใจเนรคุณก็ย่อมได้ จะเอาอะไรมาไว้เนื้อเชื่อใจยักษ์แปลกหน้าและต่างเผ่าพันธุ์กัน
“ท่านทั้งสองไม่ใช่ผู้ร้ายอันใดหรอกจ้ะพี่กล้า หากจะทำเช่นนั้นจริง เขาจะมาช่วยฉันไว้ทำไม”
“หึ เอ็งมันดื้อด้าน ระวังเถิดหากเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่แลแม้เพียงกระผีก”
ในเมื่อน้องมันไม่เชื่อฟังคำ อีกทั้งยังออกโรงปกป้องผู้อื่นเสียเต็มประดาก็สุดที่จะกล่าวเตือนไอ้กล้าทำเพียงแค่ยกไหสุราขึ้นมาดื่มโดยไม่แม้นแต่จะหันไปมองหน้าน้องมันอีก
ศิษย์ร่วมครูอีกคนที่นั่งอยู่ในวงเริ่มเห็นท่าไม่ดีระหว่างพี่กับน้องคู่นี้จึงได้เอ่ยแทรกขึ้นมาเพื่อเบี่ยงประเด็น ไอ้ห่ากล้าพอเหล้าเข้าปากทีไรก็พาลหาเรื่องน้องมันทุกที ดีหน่อยที่น้องมันไม่ได้บ้าตามไปด้วย ทำเพียงแค่เมินไอ้พี่ขี้เมาเสีย ปล่อยให้มันด่าฟ้าด่าลมไปตามประสา
"เออ แล้วยักษ์อีกตนอาการเป็นอย่างไรบ้างวะ"
ทันทีที่โดนถามถึงอสุราตัวสีชาดที่นอนพักอยู่บนเรือน ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็พลันเห่อร้อนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“พ่อครูสั่งแต่ให้ฉันคอยป้อนยากับรักษาแผลให้จ้ะ เห็นว่าคงใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะฟื้นตัว”
“แล้วเอ็งพอรู้ไหมวะ...ว่าโดนพิษอันใดมา”
เจ้าแก้วสั่นหัวให้กับคำถามของคนในวงสนทนา เพราะปกติเคยแต่รักษาผู้คนที่โดนสัตว์มีพิษกัดต่อย แต่ยักษ์ตนนั้นมีแผลคล้ายกับโดนไฟลวกขนาดใหญ่กลางอกอีกทั้งกายยังเปลี่ยนเป็นสีชาดอย่างน่ากลัวเห็นทีคงจะมิใช่พิษของสัตว์เลื้อยคลานธรรมดาเสียแล้วกระมัง
“แต่ข้าเคยได้ยินได้ฟังพ่อข้าเล่าเกี่ยวกับเรื่องพิษของพญานาคชนิดหนึ่งอยู่นา” ชายหนุ่มว่าน้ำเสียงจริงจังพลันยกไหสุราขึ้นดื่มไปพลาง “ถ้าหากโดนเข้าไปถึงแม้นจะเพียงกระผีกเดียว ก็จะรู้สึกทรมานราวกับโดนไฟแผดเผาทั้งเป็นเลยล่ะ”
“จริงหรือวะไอ้มิ่ง”
“ข้าก็ฟังเขามาอีกที...เอ็งก็ลองไปถามครูบุญดูสิข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน”
เสียงบทสนทนาของกลุ่มคนวัยหนุ่มคุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยจนกระทั่งเริ่มดึกดื่นต่างคนเลยต่างแยกย้ายขอตัวลับบ้านกลับเรือน
“พี่กล้าจะไปไหนหรือจ๊ะ” เจ้าแก้วถามขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่มันเดินโซซัดโซเซออกไปอีกทาง
“ไม่นอนบ้านไอ้มิ่ง”
ตอบคำถามน้องแต่ไม่แม้นที่จะหันกลับมามองหน้ามันสักเพียงนิดจนไอ้มิ่งต้องเตะเข้าแข้งด้วยความหมั่นไส้เสียเต็มประดา เจ้าแก้วมันหน้าหงอลงจนคนอื่นสังเกตได้ แต่ไอ้ตัวพี่ก็ยังคงปากมอมประชดประชันไม่หยุดหย่อน นี่ถ้าหากพวกเขาไม่ได้รู้จักพวกมันมาก่อนคงนึกว่าเป็นคู่ผัวตัวเมียกันแน่แท้
“ฝากดูพี่กล้าด้วยนะจ๊ะพี่มิ่ง” นั่นปะไร แม้นจะโดนถากถางมันก็ยังคงห่วงพี่ชายมันอยู่วันยังค่ำ
“เออๆ เอ็งไม่ต้องห่วง”
ตอบรับคำอย่างหมายมั่นแล้วจึงหันกลับมาลากคอไอ้ขี้เมาที่เริ่มออกลายพาลไปทั่วให้เดินตามกลับเรือนไป
เมื่อเจ้าแก้วกลับขึ้นมาบนเรือนก็ได้พบว่าพ่อครูกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆร่างสูงใหญ่ที่นอนซมเพราะพิษร้าย
โดยที่ข้างกายมียักษ์อีกตนคอยนั่งดูอาการของสหายตนอยู่ไม่ห่าง เห็นดังนั้นเจ้าแก้วจึงได้ตัดสินใจนั่งรออยู่หน้าชานเรือนด้วยเพราะไม่อยากเข้าไปรบกวน
มือเหี่ยวย่นของชายชราจับคลำไปทั่วร่างของอสุราหนุ่มเพื่อตรวจดูอาการ เมื่อสัมผัสได้ว่าเนื้อตัวเย็นขึ้นจนใกล้ปกติก็พอที่จะเบาอกเบาใจลงไปได้บ้าง
“คงต้องปล่อยให้นอนพักไปก่อนจนกว่าจะฟื้นตัวได้เอง” ครูบุญว่าราบเรียบแฝงแววคิดไม่ตก “ส่วนเรื่องการถอนพิษนั้นพอจะมีวิธีอยู่ แต่รอให้พวกท่านทั้งสองอาการดีขึ้นกว่านี้เสียก่อน แล้วข้าจะพาไปพบหลวงพ่อที่อยู่ถ้ำเชิงเขาฝั่งนู้น เพราะท่านน่าจะพอรู้ว่าพิษในกายของท่านวศินนี้เป็นพิษชนิดใด”
วิรุณพยักหน้าตอบรับคำของชายชรา พลันสายตาหันออกไปข้างนอกก็ได้เห็นเด็กหนุ่มคนเดิมนั่งพับเพียบเรียบร้อยรออยู่ชานเรือน
“ไม่เข้ามารึแก้ว” เขาเอ่ยถามออกไปจนมันสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะมีผู้ใดสนใจ
“พี่ยักษ์คุยกับพ่อครูเสร็จแล้วหรือจ๊ะ”
ถามออกไปด้วยใบหน้าซื่อๆเหมือนดังเดิม แต่ก็ยังมิวายหลุดปากเรียกอย่างเผลอตัวจนโดนพ่อครูหันมาเอ็ดอีกรอบ
“มิเป็นไรดอกพ่อเฒ่า ให้เขาเรียกอย่างที่เขาอยากเรียกเถอะ”
วิรุณบอกไปอย่างไม่ถือสาหาความกับเด็กหนุ่มตรงหน้า
“แล้วนี่พี่เอ็งมันไปไหนเสียล่ะ” ครูบุญเอ่ยถามขึ้นมาบ้างเมื่อไม่เห็นไอ้ตัวดีอีกคนที่ยามปรกติแล้วมันมักจะตัวติดกับเจ้าแก้วแจ
“พี่กล้าบอกว่าวันนี้จะไปนอนกับพี่มิ่งจ้ะ”
“ตั้งวงเหล้ากันอีกแล้วสิไอ้พวกนี้...ประเดี๋ยวเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะสั่งเตะต้นกล้วยจนเข่าหลุดเสียให้เข็ด”
เจ้าแก้วหัวเราะแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆเลียบเคียงเข้าไปจัดที่หลักที่นอนให้พ่อครูเฉกเช่นที่เคยทำอยู่เสมอ
ส่วนตัวมันนั้นปรกติแล้วจะนอนอีกมุมหนึ่งของเรือน หากแต่วันนี้คงต้องสละที่นอนให้สองอสุราหนุ่ม เห็นทีคงต้องระเห็จตัวเองไปนอนข้างพ่อครูเสียแล้ว
“แล้วเจ้าล่ะ นอนที่ใด”
วิรุณนั่งมองเด็กหนุ่มที่สาละวนจัดที่หลักที่นอนให้เขาเสียวุ่นวายไปหมด
“ประเดี๋ยวฉันย้ายไปนอนข้างๆพ่อครูแทนจ้ะ”
“มานอนตรงนี้จะไม่ดีกว่าหรือจะได้ไม่ต้องไปเบียดพ่อเฒ่า...ที่เจ้าจัดให้ก็เหลือพื้นที่อีกมากโข”
“ฉันเกรงว่าจะไปเบียดท่านทั้งสอง ประเดี๋ยวจะนอนไม่สบายเอาน่ะจ้ะ”
“เบียดอันใดกัน ตัวเจ้าก็เท่านี้ มาเถอะ”
วิรุณพูดตัดบทก่อนจะล้มตัวลงนอนชิดผนังฝั่งตรงข้ามกับที่สหายตนนอนอยู่ เห็นดังนั้นเจ้าแก้วก็จนปัญญาที่จะปฏิเสธจึงทำได้เพียงลงไปนอนข้างๆ ก่อนจะตะแครงตัวไปอีกฝั่งของเรือน
นัยน์ตาสีน้ำผึ้งจดจ้องมองไปยังอสุราหนุ่มอีกตนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นเรือน ใบหน้าคมคร้ามหลับพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะพิษไข้ แผ่นอกแกร่งดั่งหินผาไหวขึ้นลงไปตามจังหวะของการหายใจ กายสีชาดระเรื่อต้องแสงนวลของเปลวไฟจากตะเกียงน้ำมัน
"แผลเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาจากทางด้านหลังทำให้เจ้าแก้วต้องหันกลับไปมองคู่สนทนา
"ที่โดนเสือตะปบน่ะหรือจ๊ะ"
วิรุณพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนสายตาคมจะทอดมองไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์ของมนุษย์ตรงหน้าที่อยู่ในระยะประชิด
ไออุ่นและกลิ่นหอมเจือจางที่อบร่ำอยู่รอบร่างที่เล็กกว่าทำให้บรรยากาศรอบกายผ่อนคลายลงได้อย่างน่าประหลาด ส่งผลให้เปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นเริ่มจะปิดลงทุกขณะ
“เจ็บมิใช่น้อยเลยล่ะพี่ยักษ์”
เสียงหัวเราะแหบพร่าของเด็กหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างติดขบขันในวีรกรรมของตนเอง
“ขอบพระคุณอีกครั้งนะจ๊ะ ที่มาช่วยฉันเอาไว้”
รอยยิ้มแสนซื่อถูกส่งมาให้ก่อนมันจะหันหลังกลับไปนอนตะแครงดังเดิม
วิรุณไม่ได้กล่าวอะไรออกไปรบกวนการพักผ่อนของอีกฝ่ายอีก อสุราหนุ่มทำเพียงแค่นอนมองแผ่นหลังของมนุษย์ตรงหน้าที่ขยับตามจังหวะการหายใจที่เริ่มสม่ำเสมอแสดงให้เห็นว่าเจ้าแก้วได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขาตกอยู่ในห้วงคะนึงนึกคิดของตนอยู่เพียงครู่...จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเปลือกตาที่พยายามฝืนมาตลอดหลายชั่วยามนี้เริ่มจะหนักอึ้งขึ้นเกินที่จะทัดทานไหว ก่อนรองทัพอสุราจะเข้าสู่ห้วงนิทราตามไปอีกตน..
_______________
ช่วงนี้คงทิ้งช่วงนานหน่อยนะคะเพราะใกล้ส่งโปรเจคและสอบมิดเทอมแล้ววว
อาจจะมาช้านิดๆจนถึงช้ามากๆ แต่จะมาแน่นอน
เลยมาบอกทุกๆคนไว้ก่อนค่ะ ว่าจะขอตัวไปทำกิจหลักก่อนเน้อออ :z10: :z10:
อย่าพึ่งเทเจ้าแก้วกันนะจ๊ะ /ออดอ้อนเอาหัวซบตัก
ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคอมเม้นท์ของทุกๆคนนะคะ
เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้าาา <3 :กอด1: :กอด1:
“ไม่มีจ้า...ผู้ใดจะกล้ามี” ต้นประโยคตอบรับด้วยน้ำเสียงแช่มชื่น แต่แผ่วท้ายเพราะกลัวว่าพ่อเฒ่าที่หูดีเกินวัยจะได้ยินเข้า
เมื่อเห็นว่าไอ้ศิษย์ตัวดีเริ่มจะสงบปากสงบคำลงบ้างแล้ว ครูบุญก็หันไปบอกกล่าวกับสองอสุราหนุ่มอีกหน
“นี่ก็เย็นย่ำเต็มที พ่อทั้งสองไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวเสียเถิด อีกสักประเดี๋ยวข้าจะให้เจ้าแก้วมันนำยาต้มไปให้”
สองยักษาพยักหน้ารับคำก่อนจะขอตัวออกมาจากวงสนทนาแล้วมุ่งตรงไปสู่ท่าน้ำหลังเรือน เมื่อร่างสูงใหญ่ทั้งสองพ้นสายตาไป ไอ้กล้าก็นึกขึ้นได้ว่าหลวงตาได้ฝากของมาให้น้องมัน จึงเอี้ยวตัวไปหยิบสร้อยที่เหน็บอยู่บริเวณชายผ้าด้านหลังแล้วยื่นส่งให้
“ตะกรุดนี่ หลวงตาฝากมาให้เอ็ง”
เจ้าแก้วรับมาไว้ มันประนมมือขึ้นไหว้เหนือศีรษะก่อนจะสวมสร้อยที่ถักด้วยเชือกสีดำลงบนคอ
“แล้วของพี่กล้าล่ะจ๊ะ” เด็กหนุ่มย้อนถามอย่างสงสัย
“ของข้าอยู่ที่เอวนี่”
ไอ้กล้าบอกแค่นั้นก่อนจะถกชายเสื้อขึ้นเผยให้เห็นเชือกถักสีเดียวกันกับของน้องมันคาดอยู่รอบช่วงเอวสอบหนา หากแต่ตัวเรือนตะกรุดนั้นมีขนาดใหญ่กว่าของเจ้าแก้วเกือบเท่าตัว เมื่อเห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้
...เหตุเพราะตะกรุดคาดเอวนั้นมีข้อห้ามในการบูชาอย่างเคร่งครัด
หนึ่งในข้อห้ามนั้นคือผู้ที่สวมใส่ตะกรุดชนิดนี้ ห้ามดื่มน้ำเมาโดยเด็ดขาด
แล้วเหตุใดพี่มันถึงเลือกที่จะถือปฏิบัติตาม เห็นวันๆ เอาแต่กินเหล้าเคล้าน้ำเมาจนพ่อครูนึกเอือมระอา
“ใส่ตะกรุดคาดเอวเช่นนี้ พี่กล้าก็กินเหล้าไม่ได้น่ะสิจ๊ะ”
“ก็เออสิวะ และถึงจะไม่ใส่ ข้าก็กินไม่ได้อยู่ดี”
“ทำไมล่ะจ๊ะ”
อยากจะรู้นักว่าอะไรดลใจให้พี่ของมันที่เป็นสิงห์สุรานั้นยอมอดน้ำเมาได้
“ก็พ่อเฒ่าผู้นี้บังคับให้ข้าไปรับศีลกับหลวงตา.. โอ้ย!”
ยังพูดไม่ทันจบดีเรือนกายสูงใหญ่ของศิษย์มวยคนเก่งก็โดนฝ่าเท้าของครูบุญประเคนใส่กลางอกจนหงายหลังลงไปนอนแผ่บนพื้นก่อนเสียแล้ว
“พูดให้มันดีๆ นะเอ็ง ข้าไปบังคับเอ็งตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“อูย..มือถึงตีนถึงเสียจริงพ่อครูเนี่ย” ไอ้กล้าพยุงตัวลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เสื้อที่เก่าอยู่แล้วยิ่งดูซอมซ่อเข้าไปอีกเมื่อเจ้าของมันโดนถีบจนตัวคลุกไปกับพื้นดิน
ใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มแสร้งแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าพร้อมแกล้งเอ่ยวาจาค่อนขอดจนชายสูงวัยนึกหมั่นไส้มันขึ้นมาอีกหน จึงยกฝ่าเท้าอีกข้างขึ้นหมายจะประทับลงไปกลางอกไอ้ตัวดีให้มันล้มลงไปจับกบให้สาแก่ใจ แต่ครานี้ศิษย์ตัวดีดันไวทายาด ดึงน้องของมันมาเป็นปราการกั้นไว้เสียก่อนนั่นล่ะ ครูบุญจึงยอมลดเท้าลงไป
“งั้นเอ็งจะเอาศอกเข่าเพิ่มรึไม่ หา ไอ้กล้า”
“พอแล้วจ้ะ”
พี่มันเสียงสลดลงจนเจ้าแก้วอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้…ทั้งพ่อครูกับพี่กล้ามักหยอกล้อกันรุนแรงเช่นนี้เสมอ แต่ถึงแม้นพ่อครูจะชอบลงไม้ลงมือกับพี่มันเพียงใดแต่ทั้งคู่ก็รู้ดีว่าชายชรานั้นทั้งรักและห่วงพวกเขาสองพี่น้องเสียยิ่งกว่าสิ่งใด
“หลังจากนี้ท่านทั้งสองจะพักอยู่ที่นี่จนกว่าร่างกายจะฟื้นตัวดีขึ้น พวกเอ็งก็คอยดูแลให้สมกับเป็นเจ้าบ้านเสียด้วย”
ครูบุญเอ่ยขึ้นมาเพื่อตั้งใจจะย้ำให้ไอ้ตัวดีมันเข้าใจ คนน้องน่ะเขาไม่นึกห่วงเพราะมันยังรู้จักเจียมเนื้อเจียมตนและมีกาลเทศะอยู่มาก แต่ไอ้ตัวพี่นี่สิที่ทำให้ชายชราเหนื่อยใจอยู่ไม่น้อย
“แต่พ่อครู...ฉันยังไม่ไว้ใจยักษ์สองตนนั้นเท่าใดนัก” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เปลี่ยนเป็นจริงจังไม่มีท่าทีล้อเล่น ทำให้ผู้อาวุโสหยุดฟัง ก่อนที่มันจะพูดต่อ “หากไม่มีเหตุใดเกิดขึ้นก็ดีไป แต่หากวันใดที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาแล้วเราจะทำอย่างไรกันจ๊ะ”
“แล้วเรื่องไม่ดีที่เอ็งว่าน่ะ มันคือเรื่องใด” ครูบุญถาม
“ฉันก็ไม่รู้...แต่เท่าที่สังเกตพวกมันต้องไม่ใช่ยักษ์ธรรมดาเป็นแน่”
ชายชรานิ่งฟังอย่างไม่โต้แย้งสิ่งใด...ที่มันพูดมาก็ถูกต้องทั้งหมด ทั้งสองตนนั้นต้องมีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดาแน่นอนอยู่แล้ว เหตุใดเขาจะดูไม่ออก แต่จะตัดสินกันเพียงเพราะเหตุการณ์ฉาบฉวยเช่นนี้และอีกฝ่ายยังคงมีสภาพไม่สู้ดีอยู่ ก็ดูจะไม่เป็นธรรมเท่าใดนัก
อีกอย่าง...สัญชาตญาณบางอย่างในตัวของเขานั้นสัมผัสได้ว่าพ่อยักษ์ทั้งสองตนมิได้เป็นภัยอันตรายอย่างแน่นอน...
“เอาเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะไอ้กล้า คิดไปก็ปวดกบาลเสียเปล่า” ชายชราถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายอารมณ์
“ตามแต่พ่อครูจะตัดสินใจเถิด...แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งพ่อครูกับไอ้แก้วได้รับอันตรายเพราะยักษ์สองตนนั้นเป็นเหตุ ฉันไม่ปล่อยพวกมันเอาไว้แน่”
นัยน์ตาสีสนิมสะท้อนแววดุดันออกมาอย่างน้อยครั้งที่มันจะเป็น ชายชราจึงพยักหน้ารับคำของศิษย์อย่างหมดหนทางจะโต้เถียง ก็เป็นเพราะไอ้กล้าห่วงในความปลอดภัยพวกเขาทั้งสองคนนั่นล่ะ มันถึงได้คอยเซ้าซี้อยู่เช่นนี้
“กับยักษ์นี่ก็เก่งไม่หยุดหย่อนนะเอ็งนี่ ไม่กลัวหรืออย่างไร” เอ่ยทีเล่นทีจริงออกไปหวังจะให้ความขุ่นมัวของมันจางหาย
“แล้วอย่างไรเล่าพ่อครู ต่อให้เป็นพญายักษ์ฉันก็ไม่กลัว”
ย้ำน้ำเสียงเข้มอีกหนจนคนฟังพยักหน้ารับอย่างนึกระอาใจ...เพราะเขารู้ดี ว่ายามใดที่อีกฝ่ายเอาจริงเอาจังแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นพญายักษ์อย่างที่มันว่า ก็คงจะฉุดแรงบ้าดีเดือดของมันไม่อยู่
…เลือดพ่อมันแรงนักล่ะ
“ไปๆ พวกเอ็งสองคนไปอาบน้ำอาบท่าเสีย โดยเฉพาะไอ้ตัวพี่ เหม็นกลิ่นเหล้าจะตายชัก”
พูดจบก็เอาเท้าดุนเอวไอ้กล้าไปอีกหน มันเลยแสร้งทำเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างไม่พอใจก่อนจะลุกขึ้นจูงแขนน้องมันไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เหลือเพียงโสร่งผืนเดียวพันท่อนล่างเอาไว้
เห็นทีวันนี้คงจะต้องไปอาบน้ำอีกท่า เพราะท่าที่อยู่หลังเรือนนั้นโดนยึดครองจากยักษ์สองตนไปแล้ว ถ้าจะไปอาบร่วมกันก็เกรงว่าจะพาลอารมณ์เสียขึ้นไปอีก
เดิมทีแค่เห็นหน้าเจ้ายักษ์ที่ชื่อวิรุณตนนั้นมันก็พาลหัวเสียอยู่ไม่น้อย ถ้ายังจะต้องไปเห็นร่างเปล่าเปลือยของยักษาตัวใหญ่ขนาดนั้นอีก มีหวังเหล้าและกับแกล้มที่กินมาค่อนคืนจะย้อนกลับออกมาเสียฉิบ
เพียงแค่คิดก็รู้สึกไม่เจริญอาหารขึ้นมาเสียแล้ว
...เกลียดขี้หน้ามันนัก
“เอ็งหายเจ็บแผลหรือยังวะไอ้แก้ว”
ระหว่างทางเดินไปท่าน้ำอีกฝั่งนัยน์ตาคมก็มองสังเกตบริเวณบ่าของเจ้าแก้วที่ในยามนี้มีรอยเล็บขนาดใหญ่ฝากฝังไว้อยู่บนผิวกาย หลังจากตกสะเก็ดไปคงเป็นแผลเป็นที่เห็นชัดเจนน่าดู
ก่อนจะกวาดไล่สายตามองไปทั่วผิวกายที่โผล่พ้นโสร่ง
ทั้งแผลเก่าแผลใหม่เต็มตัวมันไปหมด...
โชคดีเสียก็แต่ร่องรอยส่วนมากไม่ได้เด่นชัดเท่าใดนักหากไม่มองในระยะประชิด จะมีก็เพียงแต่รอยแผลเป็นที่พาดยาวจากหลังไหล่ขวายาวมาถึงบริเวณกลางหลังนี่แหละ ที่ขึ้นร่องรอยเด่นชัดกว่ารอยใด
…เหลียวมองยามใดก็พาลให้หวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อในอดีต
“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วจ้ะ” เจ้าตัวทำเพียงยิ้มรับบางเบากับคำถามของผู้เป็นพี่
จนถึงทุกวันนี้ทั้งพ่อครูและพี่กล้าก็ยังไม่สามารถที่จะปล่อยวางและลืมเลือนเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้เลยสักเพียงนิด ทุกครั้งที่ทั้งสองเห็นรอยแผลบนตัวมัน ก็มักจะมีสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวดเสมอ ทั้งๆ ที่ตัวมันเองนั้นหาได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้มากเท่าใดนัก
...อดีตก็เป็นเพียงแค่อดีต
ร่องรอยบางอย่างก็มีไว้เพื่อคอยย้ำเตือนให้เราเพียรระลึกถึงเท่านั้น
มันไม่สามารถที่จะกลับมาสร้างความเจ็บปวดให้เราได้อีก
หากตัวเรานั้นเข้มแข็งและหนักแน่นมากพอ...
เห็นดังนั้นไอ้กล้าจึงทำเพียงพยักหน้ารับคำน้องมันก่อนบทสนทนาจะสิ้นสุดลง
เมื่อมาถึงท่าน้ำสองพี่น้องก็จัดการชำระล้างร่างกายในส่วนของใครของมันจนเสร็จเรียบร้อยดี ก่อนที่จะพากันเดินกลับไปที่เรือน เมื่อไปถึงไอ้กล้าก็รับอาสาเป็นคนหุงหาอาหารในส่วนของวันนี้
สำรับอาหารของชาวบ้านชาวเขาตามป่าดงพงไพรไม่ได้เลิศหรูอันใด มีเพียงปลาย่างที่ไปจับมาจากริมธาร น้ำพริก และผักสดที่เก็บเอาตามชายรั้วเท่านั้น เพราะวันนี้เหล่าลูกศิษย์คนอื่นๆ ของครูบุญจะไปตั้งวงเหล้ากันที่บ้านไอ้มิ่ง เลยไม่ต้องลำบากหากับข้าวกับปลากันให้วุ่นวาย
“เอ็งไม่ไปด้วยกันจริงหรือวะไอ้กล้า” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
นึกแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียวว่าสิงห์น้ำเมาอย่างไอ้กล้าจะปฏิเสธคำชวน ปกติก็มีแต่มันนี่แหละเป็นตัวตั้งตัวตีชวนเพื่อนฝูงเมามายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“ไม่ล่ะ ช่วงนี้ข้างด”
เสียงร้องโห่แซวแซงแซ่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ว่าเสือมันทิ้งลายเสียแล้ว ด้วยความรำคาญไอ้กล้าเลยลุกขึ้นไล่เตะพวกมันเรียงตัวจนไอ้พวกปากมากทั้งหลายวิ่งหลบกันเป็นพัลวัน เสียงเอะอะโวยวายของเหล่าหนุ่มวัยฉกรรจ์ดังขึ้นไปถึงบนเรือน จนครูบุญที่นั่งคัดแยกสมุนไพรในกระจาดกับเจ้าแก้วอยู่บริเวณชานเรือนต้องส่งเสียงดุด่าลงมา
“โตกันจนจะตายห่าแล้วเล่นเป็นเด็กไปได้นะพวกเอ็ง ไปๆ รีบกลับบ้ากลับช่องเสีย”
พอได้ยินเสียงของผู้มีอำนาจสูงสุดลูกศิษย์ทั้งหลายก็ขานรับคำอย่างแข็งขันก่อนจะพากันกล่าวลาครูของตน
หลังจากที่เหล่าชายหนุ่มแยกย้ายกันกลับบ้านกลับเรือนไปแล้ว เขตเรือนของครูบุญก็กลับเข้าสู่ความสงบเฉกเช่นเดิม เจ้าแก้วที่นั่งคัดสมุนไพรตามคำสั่งของชายชราอยู่จึงหาเรื่องมาคุยตามประสาเพื่อให้บรรยากาศรอบกายไม่เงียบเสียจนเกินไป
“พ่อครูจ๊ะ” ปากเรียก แต่มือก็ยังคงคัดแยกสมุนไพรอยู่อย่างแข็งขัน
“ว่าอย่างไร”
“เหตุใดพ่อครูถึงได้ให้พี่กล้าไปรับปากว่าจะถือศีลกับหลวงตาล่ะจ๊ะ”
“ก็ก่อนที่จะลงยันต์อาคม มันก็ต้องถือศีลให้ได้ก่อน เพื่อแสดงปณิธานที่แน่วแน่ว่าจะสามารถปฏิบัติตนให้ควรคู่กับพระพุทธคุณที่คุ้มครองมัน”
มือเหี่ยวย่นคัดแยกสมุนไพรอีกกระจาดไปพร้อมกับหันมาอธิบายในสิ่งที่ศิษย์รักของตนสงสัย
“พี่กล้าจะสักยันต์หรือจ๊ะ”
เด็กหนุ่มนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะที่ผ่านมาพี่ของมันนั้นโดนพวกเหล่าเพื่อนฝูงชวนไปสักอยู่หลายครั้งหลายครา แต่มันก็ปฏิเสธทุกครั้งไป เหตุไฉนรอบนี้ถึงยอมเสียง่ายๆ กัน
“มันก็เป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่หรือไร พี่เอ็งมันจะได้ดูเป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียบ้าง ทุกวันนี้เมาหัวราน้ำแทบจะทุกวัน ข้าล่ะเหนื่อยใจกับมันนัก” ครูบุญถอนหายใจออกมาอยากเหนื่อยอ่อนก่อนจะปัดผ้าขาวม้าเพื่อไล่ยุงป่าและเหล่าแมลงตัวเล็กตัวน้อย
หากเพียงนานๆ ครั้งไอ้ตัวดีมันจะเมาทีเขาก็มิได้ถือสาหาความอันใด เพราะเข้าใจว่าวัยหนุ่มกับน้ำเมามันเป็นของคู่กัน หากแต่ศิษย์รักของเขานั้นมันเมาเสียจนเกินพอดีพองาม
บางวันกลับมาจากบ้านไอ้มิ่งก็นอนสลบไสลเป็นวันกว่าจะฟื้นตัว ทั้งดุด่าก็แล้วลงไม้ลงมือก็แล้วมันก็ไม่หลาบไม่จำ จึงต้องใช้ไม้แข็งเข้าดัดสันดาน หากจะใช้การบังคับจิตใจมันก็คงปฏิบัติได้ไม่นานประเดี๋ยวก็ลงแดงตบะแตกกลับไปกินเช่นเดิม
สู้ใช้อุบายธรรมในการค่อยๆ แก้นิสัยมันไปไม่ดีกว่าหรือ
ชายอกสามศอกหากได้รับปากอะไรไปแล้วก็ต้องดำรงมั่นในสัจวาจาตน การที่มันรับปากกับพระอาจารย์เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะถือศีลนั้นก็ต้องทำให้ได้ตามที่รับปากไว้ มิเช่นนั้นก็จะดูเป็นพวกกลับกลอก ไม่รักษาคำพูด ใครเขาจะดูถูกเหยียดหยามเอาได้ ซึ่งคนอย่างไอ้กล้านั้นไม่มีทางยอม...เขารู้จักมันดี
“แต่ฉันก็ยังเห็นชาวบ้านบางคนที่สักยันต์อาคม เขายังดื่มสุราได้ปกติเลยนี่จ๊ะครู”
“นี่เจ้าแก้ว” ชายชราวางมือจากกระจาดสมุนไพรก่อนจะหันไปหา
ดวงตาฝ้าฟางทอดมองมาที่ศิษย์รักอย่างเอื้อเอ็นดู
นี่มันนึกห่วงใยสุขภาพร่างกายพี่มันหรือเกรงว่าพี่มันจะลงแดงตายเพราะขาดเหล้ากันแน่
“จุดประสงค์ที่ข้าให้พี่เอ็งมันทำเช่นนี้ ก็เพื่อตัวมันเอง”
เด็กหนุ่มวางมือจากงานตรงหน้าก่อนจะหันมามองอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเท่าใดนัก จึงต้องอธิบายต่อ
“ไม่ดีหรืออย่างไรที่สุขภาพไอ้กล้ามันแข็งแรงจะได้อยู่กับเอ็งไปนานๆน่ะ หือ เจ้าแก้ว...ชีวิตข้านั้นจะอยู่ค้ำฟ้าคอยเฝ้าดูแลพวกเอ็งไปตลอดเสียที่ไหน หากวันหนึ่งที่ข้าตายจากไปจะได้ไม่มีห่วง อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าไอ้กล้ามันจะสามารถเป็นที่พึ่งของเอ็งได้” มือเหี่ยวย่นตามวัยเอื้อมไปลูบหัวมันแผ่วเบา
ไอ้คนพี่นั้นเขาไม่ห่วงเท่าใดนัก จะห่วงก็แต่เจ้าแก้วมัน
ถ้าหากวันใดไม่มีเขาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องมั่นใจได้ว่าพี่ของมันจะสามารถเป็นหลักยึดให้น้องมันได้ ถึงแม้นเจ้าแก้วนั้นหาใช่เด็กชายตัวน้อยเฉกเช่นเมื่อก่อน แต่หัวอกของคนที่เลี้ยงดูและคอยฟูมฟักดูแลมานั้นก็เป็นธรรมดาที่จะนึกห่วงหาอาทร
“พ่อครูอย่าพูดเช่นนี้สิจ๊ะ”
เจ้าแก้วเข้าไปกอดรอบเอวของชาวชราไว้มั่น ใบหน้าคมคายของมันซุกซบลงกับตักอย่างหาที่พึ่ง
...มันไม่ชอบเอาเสียเลยยามเมื่อคนที่มันรักพูดถึงเรื่องของการจากลา
ชีวิตนี้..สูญเสียทั้งพ่อทั้งแม่ไปก็ทุกข์ทรมานจนเกินใจจะรับไหวแล้ว...
หากแต่ยังมีครูบุญและพี่ชายของตนที่เป็นหลักยึดทางใจ เป็นเสมือนต้นไม้ต้นใหญ่ที่คอยแผ่กิ่งปกป้องมันเสมอมา
ถ้าจะต้องพานพบกับการสูญเสียบุคคลสำคัญอีกครั้งในชีวิต...มันก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร
แม้นภายนอกจะดูเข้มแข็ง...แต่ในภายจิตใจลึกๆ นั้นอ่อนแอเสียจนนึกหวาดหวั่นกับทุกสิ่งอย่าง
“แก้วเอ๊ย…เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องพบเจอ สักวันข้าก็ต้องตายไปตามสังขารที่โรยรา” ชายชราพูดต่อ พร้อมกับระบายยิ้มอ่อนโยนออกมาเมื่อไอ้ตัวคิดมากมันกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม “...และถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ด้วยแล้วเอ็งก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”
“ฉันตามพ่อครูไปไม่ได้หรือ”
...ลูกเต้าเหล่าใคร ช่างงอแงเสียจริง
เสียงอู้อี้ที่ลอดผ่านออกมาทำให้ชายชราสัมผัสได้ว่าเจ้าแก้วกำลังกลั้นลูกสะอื้น
สัมผัสเปียกชื้นแถวชายเสื้อทำให้ต้องปลอบมันเป็นการใหญ่
แล้วกันไอ้เจ้านี่...คุยเรื่องเลิกเหล้าของพี่มันอยู่ดีๆ ดันดึงเข้าบทโศกเสียได้
“ลองตามมาดูสิ...ข้าจะถีบส่งเอ็งให้กลับมาเกิดใหม่แทบไม่ทันเลยเชียว”
คำพูดติดตลกของพ่อครูทำให้เจ้าแก้วอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เด็กหนุ่มกอดร่างของชายชราที่มันแสนรักไว้แน่น ไม่ยอมถอนใบหน้าออกมาเสียทีจนครูบุญระอาใจที่ดึงออก ทำได้เพียงลูบหัวปลอบประโลมมันไปเรื่อยๆ พร้อมกับเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้มันฟังเสียจนเพลิน
กลิ่นหอมเย็นรอบกายของครูบุญและมืออบอุ่นที่คอยลูบหัวอยู่แผ่วเบาทำให้เจ้าแก้วเคลิ้มไปกับสัมผัสจนเปลือกตาเริ่มที่จะหนักอึ้งขึ้นมา
ชายชราก้มลงมองร่างของศิษย์รักที่ยามนี้มันเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มตัว ตั้งแต่เล็กจนใหญ่เจ้าแก้วมักโหยหาไออุ่นจากเขาและพี่ของมันเสมอ ดูจากที่คอยออดอ้อนออเซาะพวกเขาอย่างเคยตัวจนใครต่อใครมองมันเป็นลูกแหง่ไปเสียหมด
“เอ้า หลับง่ายเสียจริง”
รู้ตัวอีกทีเสียงเจื้อยแจ้วที่คอยพูดจ้อไม่หยุดก็เงียบสงบลง ใบหน้ายามหลับนั้นดูมีความสุขในห้วงนิทราเสียจนคนมองไม่อยากจะปลุก ครูบุญจึงนำผ้าขาวม้าที่พาดอยู่บนบ่ามาคอยปัดไล่ยุงและแมลงป่าไม่ให้มารบกวนการนอนของศิษย์รัก ชายชราพิศดูใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ตอนนี้ปลายจมูกรั้นของมันขึ้นสีระเรื่อจากการร้องไห้เมื่อครู่
มือเหี่ยวย่นเอื้อมใบเช็ดคราบน้ำตาที่เกาะอยู่บริเวณขนตายาวออกให้อย่างเบามือ
… ก็เป็นเสียอย่างนี้ ใครกันที่จะไม่นึกเอ็นดูในตัวมัน
______________________
เพิ่มเติม
-เรื่องการสักยันต์อาคมต่างๆ เท่าที่หาข้อมูลมาคือผู้สักจะต้องถือศีลก่อน ส่วนระยะเวลานั้นแล้วแต่จะกำหนดหรือแล้วแต่อาจารย์ท่านนะคะ แต่บางคนก็ไม่ต้องถือศีลก็ได้แล้วแต่กรณีๆไปค่ะ
-เรื่องตะกรุด จะแบ่งเป็นหลายประเภท แต่ที่คนนิยมบูชาติดตัวกันนั้นมีอยู่สองประเภทคือเป็นสร้อยและสวมใส่ที่เอว
โดยในการบูชาเนี่ยบางความเชื่อจะต้องมีการถือศีลเพื่อบูชาพระพุทธคุณ ยกตัวอย่าง ของพี่กล้าเนี่ยสวมตะกรุดที่เอว ข้อห้ามอย่างนึงก็คือในขณะที่สวมใส่อยู่ผู้สวมจะต้องห้ามดื่มสุราเลยโดยเด็ดขาด แต่ในกรณีนี้ก็แล้วแต่คนไป เพราะในสมัยนี้เขาก็ไม่ได้เคร่งเรื่องแบบนี้นี้กันเท่าไหร่แล้วค่ะ
________________
เห็นฟีดแบ็คที่ทุกคนพูดถึงพี่กล้าแล้วขำมาก5555 แต่มันก็แสบจริงๆนั่นแล น่าจับฟาดสักที!
เขาหวงน้องเขามากเลยเนอะ กล้าก็รักของกล้าา :กอด1:
พันไมล์ได้รับโปรเจคอีกแล้ว พอใกล้ปิดเทอมโปรเจคทุกวิชาก็รุมเร้า เอื้อออ
แต่จะพยายามอัพเท่าที่จะอัพได้เน้ออ :z10:
เจอกันตอนหน้าจ้าา :กอด1: :L2:
ร่วมพูดคุยกันได้ที่twitter #ดอกแก้วกุมภัณฑ์
ขอบคุณคอมเม้นจากทุกๆคนนะคะ
อ่านเม้นท์แล้วยิ่งกว่าโดปกระทิงแดงเป็นโหลเลยย <3
twitter: pppunmile
เสียงหรีดหริ่งเรไรดังแว่วไหวกลางไพรพนายามค่ำคืน ทุกชีวิตบนเรือนนั้นได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงแต่จอมทัพอสุราที่ยังคงนั่งชันเข่าพิงอยู่ข้างฝ่าผนัง
ค่ำคืนนี้ไม่อาจข่มตานอนได้เลย...วศินปล่อยความรู้สึกนึกคิดให้ล่องลอยไปอย่างฟุ้งซ่านเสมือนกลุ่มหมอกควัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
“แม่..”
น้ำเสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้อสุราหนุ่มต้องเบือนสายตาไปมองอย่างสงสัย เพราะน้ำเสียงคราเครือนั้นดูเศร้าโศกเสียจนดึงความสนใจของเขาไปได้มากทีเดียว
เพียงไม่นานเสียงสะอื้นไห้ก็เริ่มตามมา
แม้นจะเป็นเพียงเสียงที่เบาบางแต่กลับดังชัดเจนในความรู้สึกของวศิน
ใบหน้าคมคร้ามจ้องมองร่างของเด็กหนุ่มที่นอนหนุนขดผ้าอยู่ใกล้ๆ กับพี่ชายตัวเอง แสงนวลของดวงจันทราที่ลอดเข้ามาทางบานหน้าต่างฉาบไล้เสี้ยวหน้าได้รูป แสงสีเงินเกิดกระทบสะท้อนกับความระยิบระยับบนแพขนตายาวที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ
“…แม่จ๋า”
คิ้วเข้มขมวดขึงอีกครา
เหตุไฉนน้ำตาและเสียงสะอื้นของมนุษย์ตรงหน้าถึงได้มาก่อกวนความรู้สึกของตนให้ยุ่งเหยิงได้เช่นนี้
คิดได้ดังนั้นอสุราหนุ่มก็เอนกายลงนอนพร้อมตะแคงตัวหันหลังให้มนุษย์ที่เขานึกรำคาญ…
เปล่าเลย...หาได้รำคาญดังที่ใจคิด เพียงแต่ความกระวนกระวายเล็กๆ ที่เห็นน้ำใสๆ ฉาบบนแพขนตาหนานั่นมันชวนให้อึดอัดได้อย่างน่าประหลาด
แม้แต่ยามหลับ เจ้าก็ยังทำให้หงุดหงิดใจได้ถึงเพียงนี้
เมื่อเห็นว่าสติตนเริ่มฟุ้งซ่านไปกันใหญ่ วศินจึงล้มตัวลงนอนหวังให้ห้วงนิทราช่วยขจัดอาการที่ว่านั้นให้หายไป
“แม่…แม่มะลิ”
เสียงแหบพร่าแปร่งปร่าออกมาอย่างยากลำบากเพราะลูกสะอื้นที่ถูกกดไว้ในลำคอ กายของเจ้าแก้วเริ่มจะสั่นเทาคล้ายลูกนกต้องฝน แขนทั้งสองข้างยกขึ้นมาปัดป่ายไปทั่วราวกับต้องการจะไขว่คว้าเอาความว่างเปล่าเบื้องหน้าเข้ามากอดเป็นหลักยึด
เสียงสะอื้นเริ่มดังชัดเจนขึ้นทุกขณะ ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าโศกเสียจนน่าสงสาร
และเพราะทนฟังเสียงที่เข้ามาบีบเคล้นในอกไม่ไหววศินจึงหมายที่จะหันตัวไปปลุกให้เด็กหนุ่มผู้นั้นหลุดออกมาจากห้วงความฝัน
หากแต่ใครอีกคนก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน ทำให้จอมทัพอสุราหยุดการกระทำไว้ได้ทัน
“แก้ว…ไอ้แก้ว”
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียกอย่างเป็นห่วง
ไอ้กล้าพลิกตัวหันมาหาน้องมันทันทีรับรู้ได้ถึงเสียงสะอื้นอยู่ข้างกายไม่หยุด ก่อนจะทำการปลุกโดยที่จับแขนเขย่าเบาๆ ให้รู้สึกตัวหากแต่เจ้าแก้วก็ยังคงไม่หลุดพ้นออกมาจากห้วงฝันร้าย คนเป็นพี่จึงต้องเพิ่มแรงขึ้นอีกนิดเพราะกลัวเสียงร้องไห้ของมันจะไปปลุกใครคนอื่นเข้า
“ไอ้แก้ว”
เพราะความตื่นยากของมัน ไอ้กล้าจึงเผลอออกแรงกำต้นแขนมันเสียจนแดงห้อเลือด แต่ก็ถือว่าได้ผลดีทีเดียว ไอ้ขี้เซามันเริ่มจะปรือตาขึ้นมามองแล้ว
“จ๋า..”
“ข้าเห็นเอ็งร้องไห้เลยปลุก…เอ็งฝันถึงแม่อีกแล้วรึ”
เจ้าแก้วทำเพียงพยักหน้าตอบพี่มัน นัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่สวยยังคงทอประกายไปด้วยหยาดน้ำตา ฝ่ามือสากของคนเป็นพี่จึงต้องเอื้อมไปลูบหัวปลอบประโลมให้อย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่ดวงตาคมจะทอดมองน้องมันด้วยความห่วงใยเหลือแสน
พวกเขาทั้งสองคน ถึงแม้นจะเป็นพี่น้องกันแท้ๆ หากแต่ทั้งหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกก็หาได้เหมือนกันสักเพียงนิด เขานั้นได้ใบหน้าคมเข้มปกติของบุรุษและดวงตาสีสนิมมาจากพ่อ ในขณะที่เจ้าแก้วแทบจะถอดแบบแม่มาเสียหมด
นัยน์ตาที่ไม่แข็งกระด้างเหมือนดั่งบุรุษทั่วไปทำให้ตามันหวานล้ำเสียยิ่งกว่าอะไร อีกทั้งสีของแววตาก็เป็นสีน้ำผึ้งเสมือนของแม่ ใบหน้าคมคายที่ติดจะหวานนั่นดูอย่างไรก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก จะรูปหล่อก็ไม่ใช่จะสวยก็ไม่เชิง
แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดเสียจนน่าหวั่น ขนาดหน้ามีรอยบากถึงเพียงนี้ สาวเล็กสาวใหญ่ในหมู่บ้านยังตามพะเน้าพะนอมันเสียยิ่งกว่าอะไร เจ้าแก้วติดพูดจ๊ะจ๋ามาแต่เล็กแต่น้อยเพราะมันนั้นตัวติดแม่เป็นลูกลิง จึงพลอยได้นิสัยและการพูดจาของแม่มาเต็มๆ พอรวมกับใบหน้าซื่อๆ และคำพูดคำจาหวานหูของมันก็ทำเอาใครต่อใครก็เอ็นดูมันไปเสียหมด
“นอนเสีย”
พอเอ่ยปลอบมันไปอีกหน ก็ยังมิวายโดนสายตาของลูกหมามองกลับมา ทำให้คนพี่อดที่จะเอ็นดูมันไม่ได้
นิสัยของไอ้แก้วอีกอย่างก็คือออดอ้อนเก่งเสียยิ่งกว่าอะไรนี่ล่ะ นี่ถ้าหากมันเป็นผู้หญิง ก็เกรงว่าทั้งเขาและพ่อครูจะได้ขุดบ่อเลี้ยงจระเข้ไว้หน้าบ้านให้เสียฉิบ เพราะหนุ่มๆ ในหมู่บ้านคงวิ่งรี่มาก้อร่อก้อติกไม่เว้นแต่ละวัน
“มองอันใด เอ็งอยากถูกข้าเตะตัดแทนต้นกล้วยอย่างที่พ่อครูขู่รึ” ขู่ไปก็ขำไป ใครจะทำมันได้ลงคอ
“…” ก็ยังคงมองมาไม่หยุดหย่อน
“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเอ็งน่ะ”
ทำเป็นบ่นไปเรื่อยเปื่อยแต่ก็ดึงร่างของน้องมันมานอนกอดแนบอกดังที่เคยทำเสมอมา ตั้งแต่เล็กจนโตยามใดที่ฝันร้ายจนร้องไห้มันจะเข้ามากอดเขาไว้ จนครูบุญนึกระอาใจกับมันนักที่โตเป็นหนุ่มถึงเพียงนี้ก็ยังกระจองอแงเป็นเด็กเล็กๆ
รู้ถึงไหนอายถึงนั้น
ใบหน้าคมคายแนบซบไปกับแผ่นอกของผู้เป็นพี่ ฝ่ามืออุ่นนั่นคอยลูบปลอบมันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสติการรับรู้ค่อยๆ เจือจางลงไป
“นอนแต่หัวค่ำแล้วตื่นมาร้องไห้ยามดึกดื่น เอ็งเป็นเด็กแบเบาะหรือวะ” บ่นออกไปอย่างไม่จริงจังนัก
เมื่อมั่นใจว่าน้องมันหลับสนิทดีแล้วไอ้กล้าจึงคลายอ้อมแขนที่กอดอยู่ออก
ตัวมันก็ใช่ว่าจะเล็กเสมือนตอนเป็นเด็ก ขืนนอนกอดกันไปจนกระทั่งรุ่งสางคงมิวายโดนเหน็บกินเป็นแน่แท้
ผ่านไปเพียงไม่นานเสียงลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอของมนุษย์ทั้งคู่ก็ดังคลอกันแผ่วเบา และเมื่อมั่นใจได้ว่าทั้งสองได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว เรือนกายสูงใหญ่ของจอมทัพอสุราจึงค่อยๆ พลิกตนกลับมาอีกฝั่ง
ดวงตาคมกล้าทอดมองร่างของเด็กหนุ่มมนุษย์ที่อยู่เบื้องหน้า นัยน์ตาสีสวยที่เคยทอแววประกายสดใสบัดนี้ถูกซ่อนอยู่ใต้เปลือกตาเพื่อพักผ่อน ใบหน้าได้รูปเอียงแนบซบไปกับต้นแขนของตนต่างหมอนที่สละให้เขาและเจ้าวิรุณได้นอนหนุน
ปลายจมูกที่แดงก่ำเพราะการสะอื้นนั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวดูคล้ายเด็กเล็กยิ่งนัก
ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูอย่างไรแล้วอายุก็ยังคงไม่น่าจะยี่สิบปีดีนัก
ร่างกายที่ไม่ได้บอบบางอ้อนแอ้นอรชร แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตล่ำสันเหมือนดั่งคนพี่
กล้ามเนื้อเรียงตัวสวยขนาดพอเหมาะกับตัวนั้นดูแข็งแรงสมเป็นบุรุษอยู่ไม่น้อย หากแต่ยามที่ต้นแขนนั่นอยู่ในอุ้งมือเขา ช่างดูเล็กและเปราะบางเสียจนเพียงแค่มือเดียวก็เกรงว่าจะทำให้แหลกสลายได้ภายในพริบตา
ผิวกายสีเหลืองนวลกรำแดดเล็กหน่อยอย่างคนสุขภาพดี
เส้นผมสีดำสนิทล้อมกรอบใบหน้าคมคายให้ดูน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อต้องแสงสีนวลของดวงเดือน
“อือ…”
เสียงเครือครางดังขึ้นผะแผ่วทำให้อสุราหนุ่มชะงักสายตาไว้เพียงเท่านั้น เจ้าแก้วเริ่มที่ขยับตัวไปมาเล็กน้อย คงเพราะไม่สบายตัวหรือไม่ก็เมื่อยแขนเกินจะทน
เมื่อเห็นดังนั้นวศินจึงรอสังเกตอีกสักครู่หนึ่งให้มั่นใจว่ามนุษย์ตรงหน้ายังคงจมลึกอยู่ในห้วงนิทรา
ฝ่ามือใหญ่จึงเอื้อมไปดึงหมอนรองใต้ศีรษะตนออกมา ก่อนจะค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้ร่างที่นอนหลับสนิท ตั้งใจเพียงแค่จะนำหมอนไปรองคอให้เท่านั้น
เพราะท่าทางหลับคอพับคออ่อนอย่างไร้สตินั่น เกรงว่าจะทำให้คอเคล็ดเอาได้
เมื่อเจ้าแก้วสัมผัสได้ถึงไออุ่นอยู่ใกล้ตัวมือของมันก็เริ่มไขว่คว้าอากาศอีกหน
หากเพียงครั้งนี้มันไม่ได้คว้าความว่างเปล่ากลับมาไว้ในอ้อมแขนเหมือนดังเช่นเคย แต่กลับเป็นท่อนแขนล่ำสันของอสุราหนุ่มที่ตัวมันนั้นเกรงกลัวหนักหนาในยามปกติ แต่ในยามที่นอนไม่รู้สติเฉกเช่นนี้กลับใจกล้าบ้าบิ่นคว้าแขนเขามากอดเสียแน่นยิ่งกว่าลูกลิงลูกค่าง
การกระทำที่เหนือความคาดหมายทำให้วศินพยายามที่จะดึงแขนตนออก แต่ก็กลับโดนวงแขนเล็กนั่นกอดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ประกอบกับเสี้ยวหน้าได้รูปนั่นได้แนบซบไปบนท่อนแขนของเขาเป็นที่เรียบร้อย
เหตุการณ์ที่เหนือการควบคุมสร้างความหงุดหงิดงุ่นง่านให้เขาอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความจนปัญญาที่จะยื้อดึงแขนตนกลับจากแรงเกาะที่เหนียวแน่นนี้ อสุราหนุ่มจึงทำเพียงแค่จัดท่านั่งใหม่ให้ตนไม่เมื่อยจนเกินไป โดยที่แขนข้างซ้ายของเขาโดนเจ้ามนุษย์หน้าซื่อเอาไปกอดไว้แนบกาย
จอมทัพแห่งนครยักษาเพียงแค่พรูลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด
เขานึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ยอมสละแขนตนให้เด็กมนุษย์ผู้นี้เอาไปกอดก่ายได้ตามอำเภอใจ เพราะโดยนิสัยปกติเขามิใช่คนที่จะยอมให้ใครเข้ามาชิดใกล้ได้ง่ายนัก
และหากจะว่าเขานั้นถือตัวก็คงจะไม่เกินจริง
หากแต่เด็กหนุ่มผู้นี้ตั้งแต่วันแรกที่พบกันก็มาทำลายขอบเขตที่เขาได้วางไว้เสียจนน่าหงุดหงิด
สายตาคู่นี้ที่ไม่เคยจะหยุดมองหรือสนใจสิ่งรอบกายกลับโดนนัยน์ตาสีน้ำผึ้งคู่นั้นดึงดูดเสียจนตกอยู่ในภวังค์ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยจะเป็นเช่นนี้มาก่อน เพราะตั้งแต่เกิดมาวศินไม่เคยจะสนใจหรือใคร่มองนางยักษ์ตนไหน
และถึงแม้นจะเคยโดนทอดสะพานมาหลายครั้งหลายหนก็เมินเฉยเสียจนคนเขาไปครหานินทากันให้วุ่นไปหมดว่าจอมทัพผู้นี้ตายด้านเรื่องความรักความใคร่
ตายด้านเช่นนั้นหรือ? ใช่เสียที่ไหน
เขาคิดเพียงแค่ว่าว่าการที่จะต้องมีใจปฏิพัทธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระไร้แก่นสารเสียยิ่งกว่าอะไร
การเอาตัวตนและหัวใจของตนไปผูกไว้กับผู้อื่น
ก็มีแต่จะทำให้อ่อนแอลง
เพราะสัตว์โลกใบนี้นั้นเมื่อความรักได้ก่อเกิดขึ้นมาในจิตใจ*…แม้นเพียงเสี้ยวเดียว*
ถึงจะแข็งแกร่งดังหินผา ก็พร้อมที่แตกสลายทำลายตนเมื่อรู้สึก...รัก
แม้นจะฉลาดปราดเปรื่องสักเพียงไหน เมื่อมีรักแล้ว ก็โง่เขลาเบาปัญญาไม่ต่างกัน
แล้วเหตุใดเขาจะต้องยอมให้ความรู้สึกเฉกเช่นนั้นครอบครองตน…
วศินก้มลงมองเด็กหนุ่มมนุษย์ที่อยู่ข้างกาย เขานึกแปลกใจในตนเองไม่น้อยที่ยอมเพิกเฉยปล่อยให้อีกฝ่ายนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ ครั้นจะดึงแขนออกมาให้มันนอนคอตกไปยันรุ่งสางก็ย่อมได้
แต่เพราะใบหน้ายามหลับพริ้มของเด็กหนุ่มที่ดูจะมีความสุขเสียเต็มประดานั่นทำให้ไม่อยากจะไปรบกวนห้วงนิทราแสนหวานนั่นให้ระแคะระคายแม้นสักเพียงนิด
แต่เท่านี้ก็นับว่าเกินพอแล้ว...
ยอมอดทน ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องอดทน
ยอมให้ผู้อื่นชิดใกล้ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นเพียงมนุษย์ที่มีฐานันดรต่ำกว่า
เพียงเท่านี้ก็มากเกินพอแล้วในข้อจำกัดของเขา...
แต่...ลมหายใจอุ่นที่รินรดอยู่บนท่อนแขนและกลิ่นหอมละมุนที่อยู่รอบกายของมนุษย์ผู้นี้…
กลับทำให้จิตใจที่แสนว้าวุ่นของเขาสงบลงได้อย่างน่าประหลาดคล้ายแอ่งน้ำเย็นเยียบที่ไม่มีแม้นแต่ตะกอนฝุ่นผงให้รำคาญใจ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่คิ้วเข้มขมวดขึงได้คลายตัวออกจากกัน
จิตที่วิตกและพะว้าพะวังในเรื่องต่างๆ ได้มลายหายไปหมดสิ้น
เป็นความสบายใจสบายกายอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อนในชีวิต
เพราะอากาศที่เย็นลงทำให้เจ้าแก้วเริ่มที่จะขยับตัวหาไออุ่นอีกครา เมื่อรับรู้ได้ถึงกายอุ่นของใครสักคนที่อยู่ชิดใกล้มันจึงไม่ลังเลเลยที่จะซุกตัวเข้าหา โดยที่ไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร
วงแขนของมนุษย์หน้าซื่อจึงปล่อยมือจากท่อนแขนแกร่งแล้วเปลี่ยนไปโอบกอดช่วงเอวสอบของอสุราหนุ่มไว้แทน
ชักจะเหิมเกริมไปกันใหญ่
เห็นดังนั้นจอมทัพอสุราจึงหมายจะดึงตัวของมนุษย์ผู้น้อยให้ออกห่าง แต่เมื่อได้มองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แนบซบอยู่ช่วงสะโพกแล้วก็เพียงแค่ได้ชะงักไว้แค่นั้น ก่อนฝ่ามือใหญ่จะเปลี่ยนไปวางบนศีรษะของเด็กหนุ่มแทน
เอาเถอะ*…ถือเสียว่าตอบแทนที่ช่วยดูแลเขายามล้มป่วยก็แล้วกัน*
จะยอมสละไออุ่นให้คลายหนาวในค่ำคืนนี้...แค่คืนนี้เท่านั้น
ไว้รุ่งสางค่อยลุกออกไปก็ยังไม่สาย
คิดได้ดังนั้นอสุราหนุ่มก็ทอดถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน
เมื่อเวลาผ่านไปได้อีกหลายชั่วยามความมืดมิดในไพรกว้างเริ่มที่จะถูกแทนที่ด้วยแสงของสุริยัน
เหล่าสกุณาเริ่มส่งเรียกร้องออกหากินต้อนรับวันใหม่ ท้องนภายังไม่สว่างดีแสดงให้เห็นว่ายามรุ่งสางได้ย่างกรายเข้ามาเยือน ภายในเรือนของครูบุญยังไม่มีผู้ใดตื่นจากห้วงนิทราทุกชีวิตยังคงหลับสนิทอยู่เฉกเช่นเดิม
จะมีก็เพียงแต่เรือนกายสูงใหญ่ของยักษาตนหนึ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายคลายวงแขนดึงตนออกมาจากการโอบกอดที่แน่นหนาของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะลุกเดินออกไปนอกเรือน
ทิ้งไว้เพียงแต่ไออุ่นที่เจือจางและหมอนที่นำไปรองไว้ให้
แทนตักของเขาที่เจ้าแก้วได้อาศัยหนุนนอนมาตลอดทั้งค่ำคืน
__________
พบยักษ์ขี้เก๊กหนึ่งอัตราจ้าาาาา :o8:
ไหนๆ ใครบอกพี่วศินค่าตัวแพงไม่ค่อยมีบท นี่ไงมีแล้วนะ
บทเยอะด้วย หมั่นส้ายยย 5555
กลับมาแล้วจ้าา ขอโทษที่หายหน้าไปนานนะคะ
เพราะงานที่รัดตัวจนแทบไม่มีเวลาหายจัยย :sad4:
ขอบคุณที่ยังติดตามกันน้าา ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจจ้า :กอด1: :L2: