พิมพ์หน้านี้ - [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: JackXy Wu ที่ 18-07-2018 21:49:29

หัวข้อ: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 18-07-2018 21:49:29
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน
by JackXy Wu


Rainverse : คือเวิร์สหนึ่งที่คนจะได้ยินเสียงของเนื้อคู่เมื่อฝนตก ขยายความคือเวลาปกติจะได้ยินเสียงตามปกติทุกอย่าง
ยกเว้นเวลาฝนตกที่จะเกิดอาการหูดับ เสียงรอบด้านหายไป แต่จะได้ยินเสียงเนื้อคู่ตัวเองแทนค่ะ

ติดแฮชแท็กพูดคุยกันได้ที่แท็กนี้นะคะ >> #คุณผู้มากับสายฝน




*****************************************************************************************


Prologue
Listen to the falling rain

 
แพทริคมีตัวตนอยู่ในโลกที่ไร้เสียงฝนตก...

โลกที่เขาอาศัยช่างแปลกประหลาด เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งของอายุจะได้ยินเสียงโซลเมตตัวเองผ่านสื่อกลางอย่างสายฝน บ้างได้ยินช้า บ้างได้ยินเร็ว หากวันไหนเสียงฝนเบาลงเรื่อยๆ หมายความว่าใกล้ถึงเวลาได้สื่อกับโซลเมตจากอีกสุดสายปลายทางแห่งโชคชะตา

แพทริคจำได้ว่าเสียงฝนเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาอายุสิบแปดปีก็เหลือเพียงความเงียบงัน ทุกครั้งที่ฝนตก ความเงียบนั้นควรถูกแทนที่ด้วยเสียงของ ‘โซลเมต’ แต่แพทริคเป็นข้อยกเว้น

เขาคนเดียวที่ไม่ได้ยินเสียงโซลเมตของตัวเอง

แพทริคคิดว่าคุณโซลเมตเกลียดเขา

มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านคู่แห่งโชคชะตาด้วยความคิดที่ว่านี่มันยุคไหนแล้ว การตามหาโซลเมตเป็นเรื่องไร้สาระ ใครกันจะตกหลุมรักคนคนหนึ่งได้เพียงแค่ได้ยินเสียง ไม่ต่างอะไรกับการถูกคลุมถุงชนจากพระเจ้า

แต่สำหรับแพทริคน่ะ

“เฮ้...”

เสียงหายใจจากทางนั้นสะดุดไป เขาลองทักซ้ำอีกครั้ง

“นี่ ได้ยินผมไหม?”

เสียงทุ้มกระซิบเรียก ทว่าความพยายามไม่เป็นผล เขาถอนใจ เบนสายตาออกนอกหน้าต่าง สายฝนเทกระหนำแต่กลับได้ยินเพียงความเงียบงัน

คำถามที่ไร้เสียงตอบรับทำให้แพทริคเกลียดฤดูฝน เกลียดความเงียบตอนหูดับที่น่าอึดอัด หงุดหงิดโซลเมตตัวเองที่ไม่แม้แต่จะเปล่งเสียงทักทายกัน มีเพียงเสียงหายใจเบาๆ ให้เขาได้ยินเท่านั้น แม้จะลองทักอีกหลายครั้งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบรับ

หยดน้ำฝนเกาะพราวบนหน้าต่าง ไหลกลิ้งทิ้งตัวลงมาเจิ่งนองบนขอบ อากาศเย็นชื้นแทรกผ่านอณูกำแพงเข้ามาในตัวบ้าน เสียดแทงสู่ห้วงความรู้สึก

เคยมีคนพูดไว้ว่าคนเราจะรู้สึกเหงาเวลาฝนตก แพทริคเองก็เช่นกัน

เหงา...และว้าเหว่

คูณสองไปเลย เยี่ยม!

“ใจคอจะไม่ตอบกันหน่อยเหรอ”

มีเพียงเสียงถอนใจบางเบาตอบกลับมา

“เฮ้อ...”

แพทริคมีตัวตนอยู่ในโลกที่ไร้เสียงฝนตก...

ในช่วงขณะนั้น เสียงของโซลเมตที่ควรจะได้ยินก็ไม่มีเช่นกัน
.
.
.
.
.
 
[1]I’m gonna throw out my raincoat
Mmm, I hope it’s all right
Gonna find my rainbow
And hang it up in the sky
Blues pass me by

เสียงเพลงแนวป๊อบแจ๊สเคล้าเสียงเปียโนหวานดังคลอภายในร้านกาแฟบริเวณหัวมุมตึก ไม่ไกลจากที่ทำงานของแพทริคเท่าไหร่ เขามักแวะร้านนี้เสมอหลังเวลาเลิกงาน ผ่อนคลายจิตใจไปกับเครื่องดื่มร้อนๆ ที่ช่วยให้หัวสมองปลอดโปร่ง ดวงตาสีฟ้าใสหลุบต่ำ มองไอร้อนจากแก้วโกโก้ระเหยไปในอากาศ กลิ่นหอมหวานให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ปลายนิ้วโอบแตะแก้ว สัมผัสอุ่นแทรกซึมผ่านผิวเนื้อ

พลันเพลงในร้านค่อยๆ เงียบลงคล้ายวิทยุถูกหรี่เสียง ไม่เพียงแค่เสียงเพลง แต่ทุกสรรพเสียงในร้านทั้งหมดก็วูบดับไป เสียงวิ้งอื้ออึงดังก้องในหู ทุกอย่างจมสู่ความเงียบงัน แพทริคขมวดคิ้ว เขาเบนสายตาออกนอกหน้าต่างโดยอัตโนมัติ ท้องฟ้ามืดครึ้มมาพร้อมกับหยาดฝนโปรยปราย

อีกแล้วสินะ

ทั้งที่ฝนตกหนักขนาดนั้นเขากลับไม่ได้ยินเสียงมันเลยสักนิด รวมถึงสรรพเสียงรอบกายที่หายไปด้วยเช่นกัน อาการหูดับตอนฝนตกน่ารำคาญเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แพทริครู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเฝ้าดูภาพผ่านหน้าจอโทรทัศน์ที่ถูกปิดเสียงเอาไว้

อึดอัด เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ส่วนคนที่ควรอยู่เป็นเพื่อนเขาก็ดันเป็นพวก ‘พูดน้อย’ แพทริคเคยได้ยินอีกฝ่ายพูด เพียงแต่ไม่ได้พูดกับเขา ถึงอย่างนั้นก็แทบนับคำได้อยู่ดี

เป็นคนที่...มนุษย์สัมพันธ์ติดลบหรือไงนะ?

ความเคลื่อนไหวตรงหน้าทำให้แพทริคเหลือบตามอง เจ้าของโต๊ะตรงข้ามเขาเป็นเด็กสาวอายุไม่เกินสิบหกปี เธอนั่งอยู่คนเดียว ใบหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุข ริมฝีปากขยับไหวแต่เขาไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไร ไร้การติดต่อผ่านเครื่องมือสื่อสารใดๆ เธอเพียงแค่คุยกับโซลเมตตัวเอง

ทุกคนได้ยินเสียงโซลเมตทุกครั้งที่ฝนตก แพทริคเองก็ ‘เหมือนจะ’ ได้ยิน แม้เป็นเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ก็ตาม ตอนนั้นเขาอายุสิบแปด พยายามชวนอีกคนคุยแทบตายแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ นอกจากเสียงถอนใจหรือไม่ก็เสียงอื่นๆ ที่เจ้าตัวเผลอหลุดออกมา

‘ฮัดชิ้ว!’

มาแล้วสินะ

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว แพทริคเผลอหลุดยิ้ม โลกที่เงียบงันถูกเติมเต็มด้วยเสียงเขาคนนั้น ยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดเมื่อได้ยินเสียงสูดจมูกดังขึ้นเบาๆ ราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน

“ไม่สบายเหรอ”

เขาเปรยขึ้นมา เสียงจากอีกฝั่งเงียบไปครู่หนึ่ง แพทริคไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือไม่ เคยมีกรณีที่ทางฝั่งเขาฝนตกแต่อีกฝั่งไม่ตก กลายเป็นว่ามีเขาฝ่ายเดียวที่ได้ยินเสียงของอีกคน

“กินยาหรือยัง” เขาลองถามย้ำ

‘ฟืด...’

“ไปกินยาซะ”

พอแกล้งทำเสียงดุก็ได้ยินเสียงฟึดฟัดขึ้นจมูกคล้ายไม่พอใจ นั่นไง ทางนั้นได้ยินเสียงเขาจริงๆ แต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจ แพทริครู้ว่าอีกฝ่ายดื้อ ซ้ำยังดื้อเงียบ ตลอดเวลาห้าหกปีที่เขาพยายามจะสื่อสารด้วยทำให้ค้นพบนิสัยนี้ของโซลเมต

ถอนหายใจใส่เขาบ้างล่ะ ส่งเสียงขึ้นจมูกคล้ายรำคาญบ้างล่ะ

“เมื่อไหร่คุณจะยอมมาเจอผม”

‘...’

“น่าคุณ...จะหกปีแล้วนะ อย่างน้อยมาเป็นเพื่อนกันไม่ดีหรือไง”

แพทริคออกตัวด้วยประโยคโน้มน้าวเดิมๆ อย่างที่บอก ไม่ใช่ทุกคนจะตกหลุมรักโซลเมตของตัวเอง คนบางส่วนจึงเลือกปิดกั้นการสื่อสารกับโซลเมต เขาไม่รู้เหตุผลของอีกคนหรอกว่าเพราะอะไร ได้แต่เดาไปอย่างนั้น

“โอเค ไม่เจอกันก็ได้” แพทริคถอนใจเมื่ออีกฝ่ายประท้วงใส่ด้วยความเงียบ “อย่างน้อยขอรู้จักชื่อก็ยังดี”

‘...’

“เงียบอีกแล้ว” เผลอใช้น้ำเสียงตัดพ้ออีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ “คุณจะกลัวผมทำไม นี่ตื๊อถามมานานหลายปีขนาดนี้น่าจะเห็นความตั้งใจของผมบ้างนะ”

‘...’

“คุณ...”

น้ำเสียงงอแงถูกส่งออกไปเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ที่จริงเขาก็งอแงกับคุณโซลเมตตลอดแต่อีกฝ่ายใจแข็งเหลือเกิน ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน ถ้าไม่ตีเนียนเงียบหายก็คงส่งเสียงขึ้นจมูกรำคาญเขา

แต่ว่านะ ครั้งนี้น่ะ

‘นี่...’

เสียงกระซิบแผ่วจากอีกฝั่งเกือบทำให้แพทริคเผลอปล่อยมือจากแก้วโกโก้ เขาหน้าตาตื่น ขมวดคิ้วมุ่นด้วยกลัวว่าตัวเองจะหูฝาด

“เดี๋ยว เมื่อกี้คุณพูดกับผมเหรอ” หรือว่าคุยกับคนอื่น?

‘ขี้โวยวาย...’ เสียงอีกฝ่ายดังไม่ต่างกับกระซิบ แต่ชัดเจนพอให้แพทริครู้ว่าเป็นเสียงผู้ชาย น้ำเสียงคุณโซลเมตทุ้มต่ำ นิ่งขรึม เขาไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ แพทริครู้อยู่แล้วว่าคุณโซลเมตของเขาเป็นผู้ชาย ‘...ครั้งหน้า’

“ฮะ?”

‘เห็นแก่ความพยายาม...’

“...”

‘ครั้งหน้าที่ฝนตก ผมจะบอกชื่อกับคุณ’

เสียงของคุณโซลเมตเงียบหายไปพร้อมกับสายฝนที่ซาลง น้ำฝนเจิ่งนองเต็มท้องถนนทำให้แพทริครู้ว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่การคิดไปเอง

สรรพเสียงรอบตัวกลับมาเป็นปกติ เพลงแจ๊สหวานบรรเลงถึงฮุคสุดท้าย เสียงหัวเราะจากเด็กสาวโต๊ะตรงข้ามทำให้แพทริคเผลอยกยิ้มตามอย่างห้ามไม่ได้ ทุกอย่างที่หยุดนิ่งไปกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ชายหนุ่มทอดสายตามองนอกหน้าต่าง ผ่านกระจกใสที่มีเม็ดฝนเกาะพราว พวกมันรวมตัวกันก่อนไหลกลิ้งตกลงบนขอบหน้าต่าง

เป็นครั้งแรกที่แพทริคเฝ้ารอให้ฝนตกอีกครั้งไวๆ


หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน :: Chapter 1 Sebastian [18-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 18-07-2018 21:58:14
Chapter 1
Sebastian

 
[Patrick]

ผมจำได้ว่าเสียงฝนตกกระทบพื้นเป็นยังไงแม้จะไม่ได้ยินนานแล้วก็ตาม มันดังเปาะแปะ เสียงเล็กๆ แต่กังวานใส และยังจำได้อีกว่าเสียงนั้นจางหายไปตอนไหน

“แพท...”

เสียงเรียกชื่อขาดหายไป ย่างเข้าฤดูฝนทีไร อาการหูดับมักสร้างปัญหาให้ผมทุกที การทำงานที่เน้นการสื่อสารหยุดชะงักเมื่อทุกสรรพเสียงดับวูบไปในวินาทีเดียวกับที่สายฝนโปรยปราย ตาลุงมาคัสยกมือตบหน้าผาก มองหน้าผมด้วยแววตาปลงตก ริมฝีปากขยับเป็นคำพูดที่ไม่ได้ยิน

‘เก็บป้ายเข้ามาเร็ว!’

โอเค เข้าใจแล้ว ผมยกนิ้วทำสัญลักษณ์โอเค สาวเท้าเดินออกไปหน้าตึก ทันทีที่เปิดประตูออกเม็ดฝนก็กระเซ็นเข้าใส่ อากาศเย็นทำให้รู้สึกขนลุก ในขณะที่กำลังเอื้อมมือหยิบป้ายโปรโมชั่น รถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านด้วยความรวดเร็ว น้ำบนพื้นสาดกระเซ็นเข้าเต็มเสื้อผมที่โชคร้ายยืนอยู่ตรงนั้นพอดี

“บ้าเอ๊ย!” ได้แต่ตะโกนด่าออกไปแม้จะรู้ว่าไม่มีใครได้ยินอะไรก็ตาม “ก็เห็นอยู่ว่ามีคนยังจะขับรถเร็วขนาดนั้น ฉันยังไม่อยากอาบน้ำตอนนี้นะ!”

ในโลกแห่งความเงียบนั้น เสียงหนึ่งดังก้องชัดในหัวผม

‘หึๆ...’

“เฮ้!” ผมขมวดคิ้วมุ่น “โดนรถเหยียบน้ำกระเด็นใส่ไม่ตลกนะคุณ”

เสียงหัวเราะเงียบหายไป กลายเป็นเสียงลมหายใจขลุกขลักคล้ายเจ้าตัวกำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ นั่นไง คุณโซลเมตชักจะเอาใหญ่แล้ว

“นี่คุณ”

‘...’

“คุณครับ” ผมเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “ไม่ต้องทำเป็นเงียบเลย จะโผล่มาหัวเราะผมแล้วหายไม่ได้นะ”

‘ไม่ได้ตั้งใจโผล่’ อีกคนว่าเสียงขรึม ‘แค่เผลอ...’

“เผลอแล้วก็...โอ๊ย!” ผมยกมือกุมหัว หันกลับไปเจอลุงมาคัสกอดอกทำหน้านิ่วใส่ อีกฝ่ายถลึงตา โคลงศีรษะไปทางป้ายที่สั่งให้เก็บและผมยังไม่ได้ลงมือทำ ผมส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ขยับปากเอ่ยขอโทษแม้จะรู้ว่าลุงมาคัสไม่ได้ยิน “ก็เขาชวนคุย”

‘หึ...’

“คุณ!”

ยังไม่ทันได้โวยวายอีกคนให้สมใจก็โดนลุงมาคัสตบไหล่หนักๆ ไปที ผมถอนใจ ยกมือสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ รีบจัดการงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จจากนั้นเดินดุ่มๆ กลับเข้าร้าน

ผมเป็นเทรนเนอร์อยู่ที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งในย่านกลางเมือง แต่เหมือนลุงมาคัสจะยัดเยียดตำแหน่งเบ๊สารพัดประโยชน์ให้ผมด้วยเพียงเพราะเราเป็นญาติกัน คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เดินผ่านโซนคาร์ดิโอชั้นหนึ่ง โบกมือให้เพื่อนเทรนเนอร์คนอื่นที่ส่งสายตาสอบถามมาว่าจะไปไหน ผมเลยชี้เสื้อที่เปียกโชกของตัวเองด้วยสีหน้าเซ็งๆ แทนคำตอบ

น้ำข้างถนนสกปรกจะตาย

ผมกดลิฟต์ รอจนมันเปิดถึงเดินเข้าข้างในโดยมีชั้นสี่เป็นจุดหมายปลายทาง ลืมบอกไปว่าตึกแห่งนี้เป็นโซนฟิตเนสไปแล้วสาม ส่วนชั้นสี่ซึ่งเป็นชั้นบนสุดลุงมาคัสกันไว้เป็นโซนที่พักส่วนตัว บางทีผมก็ค้างที่นี่แทนที่จะกลับคอนโดฯ ตัวเองที่อยู่ไกลออกไป

ประตูห้องพักชั้นบนสุดถูกเปิด ผมถอดเสื้อตัวที่เปียกออก ร่างกายสมส่วนที่มีกล้ามเนื้อเรียงตัวกันอย่างสวยงามสมฐานะเทรนเนอร์สะท้อนกับบานกระจก ผมยิ้มชื่นชมหุ่นตัวเองด้วยความภูมิใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า คว้าหยิบเสื้อยืดอีกตัวมาสวมใส่แล้วทิ้งตัวนั่งบนโซฟา ความเงียบรอบตัวยังคงดำเนินต่อไปเพราะฝนยังไม่หยุดลงเม็ด เงียบจนน่าอึดอัดใจ

“นี่คุณ”

‘...’

“คุยเป็นเพื่อนหน่อย” ผมหลับตา ส่งเสียงคุยกับคุณโซลเมตที่เงียบหายไปตั้งแต่ผมเดินกลับเข้าร้าน “ทำไมไม่ตอบ หรือฝนแถวบ้านคุณหยุดตกแล้ว จะว่าไปพวกเราน่าจะอยู่เขตเดียวกันนะ ฝนตกทีไรทั้งฝั่งคุณฝั่งผมตกพร้อมกันทุกที”

ความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงถอนใจ ผมขมวดคิ้ว อดคิดไม่ได้ว่าเสียงถอนใจนั้นแฝงคำด่าเอาไว้กลายๆ ปกติผมไม่ใช่คนร้อนตัว
เท่าไหร่ แต่ครั้งนี้อดแก้ตัวไม่ได้

“ก็มันเงียบ เลยชวนคุย”

‘ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร...’

“จริงสิ” ผมเบิกตากว้าง “คราวก่อนคุณสัญญากับผมเอาไว้”

‘หึ...ลืมแล้ว’

อีกฝ่ายพูดอย่างไร้เยื่อใย เล่นเอาผมตาโต เด้งตัวลุกนั่งหลังตรง

“คุณจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ ก็คุณสัญญาแล้ว เป็นลูกผู้ชายควรทำตามสัญญาให้ได้ไม่งั้น...”

‘แพท...’ เสียงทุ้มจากอีกคนทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้จนเผลอเงียบไป ‘คุณขี้โวยวาย รู้ตัวไหม?’

“เหอะ...”

ผมแค่นเสียง ไม่อยากยอมรับแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ พอผมเงียบไปอีกฝ่ายก็เงียบตาม ทิ้งผมไว้ในโลกไร้เสียง ผมถอนใจอีกครั้ง รู้สึกว่าเวลาที่ฝนตกและทุกเสียงหายไปไม่ต่างอะไรกับโลกที่หยุดนิ่ง เข็มนาฬิกาชีวิตหยุดเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่งนี้มีใครคนหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น ใครคนหนึ่งที่เป็นของขวัญจากพระเจ้า

โซลเมตของผม...

...ที่พูดน้อยสุดๆ

“อย่าเงียบสิคุณ”

‘ไม่มีอะไรให้ต้องพูด’

“มีสิ” ผมว่าเสียงขุ่น “บอกชื่อคุณมาได้แล้ว ทำตามสัญญาด้วยครับคุณ”

พอทวงอีกรอบ คุณโซลเมตก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา คราวนี้เจ้าของเสียงไม่ปิดบังความรำคาญที่แฝงอยู่ในนั้นเลยสักนิด ผมมุ่นหัวคิ้ว อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองน่ารำคาญขนาดนั้นเลยเหรอ ยังไม่ทันพูดอะไรต่อ เสียงจากอีกฝั่งก็ดังขึ้นมา

‘เซบาสเตียน’

“หืม?”

‘ชื่อผม...เซบาสเตียน’

“เยี่ยม ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะเซ็บ”

‘สนิทกันหรือไง’ เซบาสเตียนว่าเสียงเข้ม ผมหลุดหัวเราะออกมา จินตนาการหน้าอีกฝ่ายได้เลยว่าต้องขมวดคิ้วหน้าตึงอยู่แน่ๆ ที่โดนเรียกชื่อตีสนิทแบบนั้น ‘หัวเราะอยู่ได้’

“ทีคุณยังเรียกผมว่าแพทก่อนเลย สนิทกันเหรอ?”

‘...’

“พอเถียงสู้ไม่ได้ก็เงียบ โธ่คุณ”

‘เมื่อไหร่ฝนจะหยุดสักที’

“ใจร้ายชะมัด”

‘ผมจะทำงาน ไม่มีสมาธิ’

“งั้นผมร้องเพลงให้คุณฟังดีไหม?” ผมหัวเราะอีกครั้ง รู้สึกสนุกที่ได้ยั่วอีกฝ่ายให้หัวเสีย ถือซะว่าเอาคืนที่เซบาสเตียนทำเมินเงียบใส่ผมมาเกือบหกปีแล้วกัน

‘แพท...’

“ครับเซ็บ ว่าไงครับ”

‘อยากให้ผมเงียบไปอีกสักห้าหกปีไหม...’

ผมยิ้มค้าง รีบหุบปากฉับเมื่อโดนอีกฝ่ายขู่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง กว่าจะตื๊อให้เซบาสเตียนพูดด้วยได้ใช้เวลาตั้งหลายปี ผมไม่เสี่ยงให้อีกฝ่ายหงุดหงิดแล้วกลับไปเงียบเหมือนเดิมหรอก ไม่งั้นผมนี่แหละที่จะประสาทตายเอาซะก่อน

ผมได้แต่บ่นงึมงำในลำคอ

ฝนยังไม่หยุดตก ความเงียบยังคงดำเนินต่อไป ได้ยินเสียงหายใจของเซบาสเตียน แจ่มชัดยิ่งกว่าเสียงใดๆ อยากชวนคุยแต่ก็กลัวอีกคนรำคาญ ผมได้แต่นั่งเงียบ หยิบหนังสือมาอ่าน ตัวอักษรไม่มีเสียงแต่สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้ไม่แพ้กัน
ผมคิดว่าเซบาสเตียนไม่ต่างอะไรกับหนังสือ

ไร้เสียง

แต่ตัวตนบอกเล่าทุกอย่าง

จากน้ำเสียงทุ้มต่ำ เรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ทำให้ผมคิดว่าเซบาสเตียนน่าจะเป็นคนนิ่งขรึม โลกส่วนตัวสูง สนิทและไว้ใจคนอื่นยากพอสมควร ดูได้จากกว่าจะยอมเปิดใจคุยกับผมก็ผ่านมาหลายปี ถึงอย่างนั้น...ผมคิดว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
แต่ถ้าคุยกับผมมากกว่านี้จะดีมาก

ผมไม่ใช่คนเอาแต่ใจหรือชอบเรียกร้องความสนใจ แต่กับเซบาสเตียนต่างออกไป ไม่รู้ทำไมถึงอยากเรียกร้องให้คุณโซลเมตคนนี้สนใจเหลือเกิน

อดรนทนอ่านหนังสือต่อได้ไม่เท่าไหร่ก็ยอมแพ้ ต้องยอมรับว่าไม่มีสมาธิอยู่กับมันเท่าไหร่ โสตประสาทผมเอาแต่โฟกัสเสียงหายใจเบาๆ ของเซบาสเตียน

“คุณ”

‘...’

“เซ็บ...” ลองส่งเสียงเรียกไปอีกครั้งเมื่อไม่มีการตอบรับ “มันเงียบเกินไป ผมเบื่อ”

‘ไม่ทำงานหรือไง’

“วันนี้ลูกค้าไม่มาเทรนครับ” ผมว่าเสียงระรื่น ยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดีเมื่อทำให้เซบาสเตียนคุยด้วยได้

‘เทรน?’

“ผมเป็นเทรนเนอร์น่ะ”

‘อืม’

“คุณสนใจไหม ซื้อชั่วโมงเทรนกับผมได้นะ รับรองผลลัพธ์ออกมาถูกใจแน่”

‘ผมไม่จำเป็นต้องพึ่งเทรนเนอร์’

“เฮ้ ก็ให้ผมได้ขายของหน่อย”

‘ทำไมชอบพูดอะไรไร้สาระไปเรื่อย’

“เขาเรียกว่าชวนคุย”

‘ไร้สาระ’

“คนเราจำเป็นต้องคุยแต่เรื่องมีสาระหรือไงคุณ?” ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง เอนตัวพิงพนักโซฟา ดวงตาเหลือบขึ้นจ้องเพดานห้องนิ่งๆ ริมฝีปากเปื้อนรอยยิ้ม “บางทีถ้ามีใครสักคนให้คุยเรื่องไร้สาระได้ก็ผ่อนคลายดี คุณไม่คิดอย่างนั้นเหรอเซ็บ?”

‘ไม่ใช่กับคุณ’

“ใจร้ายจังนะครับ” เป็นอีกครั้งที่ผมหลุดหัวเราะ ไม่ได้ถือสากับคำตอบห้วนๆ ของเซบาสเตียนเท่าไหร่ “ถึงคุณจะว่าแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมพร้อมคุยเรื่องไร้สาระกับคุณตลอดเลยน้า”

‘ผมไม่เห็นประโยชน์ของมัน’ เสียงนิ่งถอนใจเฮือก ‘ไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าหรือไงกัน’

“ทุกอย่างสำหรับคุณต้องได้ผลประโยชน์เหรอ”

‘ก็ควรเป็นอย่างนั้น’

“เซ็บ คุณนี่จริงๆ เลย” ผมส่ายหัว “จริงจังเกินไปหรือเปล่า งั้นเวลาคุยกับเพื่อนสนิทก็คุยเล่นกันไม่ได้เลยสิ”

‘ผมไม่มีเพื่อนสนิท’

ผมชะงักเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย เสียงของเซบาสเตียนยังคงเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ผมกลับสัมผัสถึงอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้

เงียบเหงา

ว้าเหว่

เหมือนทั้งชีวิตที่ผ่านมาอยู่ตัวคนเดียว

ผมเม้มปาก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ผมค่อนข้างรับมือไม่ถูกกับอะไรที่อ่อนไหวแบบนี้ ถึงอย่างนั้นก็พยายามจะปลอบใจอีกฝ่าย

“ถ้าไม่รังเกียจ...ผมเป็นเพื่อนสนิทให้คุณได้นะ”

‘...’

“อืม อาจจะเร็วไปถ้าถึงขั้น ‘สนิท’ งั้นเอาเป็นเราเริ่มต้นเป็นเพื่อนกันดีไหม คงจะดีใช่ไหมล่ะถ้ามีใครคอยให้คุณพูดเล่นด้วยได้” ผมเงียบไป ส่วนเซบาสเตียนไม่ได้ตอบรับอะไร เล่นเอาคนเสนออย่างผมหน้าเริ่มเสีย อดคิดไม่ได้ว่าที่ทำลงไปมันดีแล้วแน่เหรอ เกิดเซบาสเตียนรู้สึกเหมือนโดนรุกล้ำความเป็นส่วนตัวล่ะ? แต่เมื่อเริ่มไปแล้วก็สายเกินกว่าจะถอยหลังกลับ ผมยิ้มแหย หัวเราะแหะๆ พยายามต่ออย่างไม่ย่อท้อ “นี่...มีผมเป็นเพื่อนดีมากเลยน้า”

‘ยังไง’

เยี่ยม อย่างน้อยเซบาสเตียนก็ไม่ได้มีทีท่าปฏิเสธ

ผมกำมือดึงเข้าหาตัว ขยับปากร้อง ‘เยส’ โดยไม่ออกเสียง ก่อนเริ่มพรีเซ้นต์ตัวเองต่อ

“ผมน่ะชวนคุยเก่งนะ”

‘หมายถึงพูดมากหรือเปล่า’

“โธ่ ฟังให้จบสิคุณ” อดงอแงใส่ไม่ได้เมื่อโดนรู้ทัน ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ดังจากอีกฝ่าย ผมหน้ามุ่ย เอาน่า อย่างน้อยก็ทำให้เซบาสเตียนหัวเราะได้ ผมจะไม่เอาเรื่องอีกฝ่ายแล้วกัน “ชวนคุยเก่งก็คือชวนคุยเก่งไง ชวนคุณคุยได้ทุกเรื่องนั่นแหละ อย่างบอกอรุณสวัสดิ์ วันนี้คุณทานอะไร งานเป็นยังไงบ้าง แมวบ้านคุณยังตีกับหมาบ้านข้างๆ อยู่ไหม...”

‘ผมไม่เลี้ยงแมว’

“ผมแค่ยกตัวอย่างครับ” ผมหัวเราะร่วน “เป็นไง น่าสนใจไหม”

‘ยังไม่เท่าไหร่’

“เรื่องมากนะคุณน่ะ”

‘พอๆ กับที่คุณพูดมาก’

“คุณนี่ก็บ่นผมเรื่องนี้บ่อยจังนะเซ็บ”

‘ฝนใกล้หยุดแล้ว’

“เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยนะ” ผมกลอกตา เบนสายตามองผ่านหน้าต่าง เม็ดฝนเบาลงจากตอนแรกมาก คาดว่าอีกไม่กี่นาทีน่าจะหยุดตก

ถึงเวลานั้นทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม

บ้าจริง ต้องรีบปิดการขายแล้ว

“สรุปจะรับพิจารณาผมเป็นเพื่อนไหม ผมบอกอรุณสวัสดิ์คุณได้ทุกเช้าเลยนะ”

‘แพท...’ เซบาสเตียนถอนใจ คล้ายอีกฝ่ายเอือมระอา ‘ฝนไม่ได้ตกทุกวันให้คุณคุยกับผมหรอกนะ’

“อย่างน้อยนี่ก็หน้าฝน ผมว่าเรามีโอกาสได้คุยกันอีกหลายครั้งเลยล่ะ” มุมปากผมยกยิ้มเมื่อได้ยินเสียงถอนใจอีกครั้ง “หรือไม่ผมขอช่องทางติดต่อ...”

‘แพท...’

“โอเคๆ ไม่ขอก็ได้ ไม่เห็นต้องทำเสียงดุขนาดนั้น” ผมรีบพูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดุของอีกฝ่าย “แต่จริงจังนะ อยากเจอคุณชะมัด”

‘ผมไม่อยากเจอ’

“ครับๆ รู้แล้วน่า เย็นชาอะไรขนาดนั้น ผมไม่หลอกขายคอร์สให้คุณหรอกน่า”

‘...’

“งั้นลองเก็บไปคิดดูนะ ที่ผมเสนอไป” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “รับพิจารณาผมเป็นเพื่อนคุณหน่อยนะ อย่างน้อยเราก็เป็นโซลเมตกัน”

‘อืม’

“เยี่ยม!”

‘ผมเองก็อยากรู้...’

“ครับ?”

‘...ว่าการมีใครสักคนให้คุยเรื่องไร้สาระด้วยมันดียังไง’

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

‘...?’

“แต่ที่แน่ๆ มีคนบอกอรุณสวัสดิ์ทุกวันมันดีนะครับ”

ผมไม่รู้ว่าเซบาสเตียนจะเห็นด้วยกับผมไหม เพราะเสียงทุ้มจางหายไปพร้อมกับโสตประสาทที่กลับมาได้ยินเสียงรอบตัวอีกครั้ง เสียงหวานใสของนกน้อยที่ทำรังอยู่นอกระเบียงดังเข้ามาภายในห้อง ผมหลุบตาลง มุมปากยกยิ้มกับตัวเอง
ผมไม่เคยเข้าหาใครขนาดนี้มาก่อน อาจเพราะอีกฝ่ายเป็นโซลเมตเลยรู้สึกพิเศษด้วย หรือไม่ก็...

แค่เพราะคนนั้นคือเซบาสเตียน

ก็แค่นั้น...


***************************************************************************************
ทอล์กท้ายบทหนึ่ง สวัสดีค่ะ เพิ่งเคยเอานิยายมาลงเล้าครั้งแรก ไม่ชินระบบเลย และใช่ค่ะ เราไม่ได้ลงเองแต่วานเพื่อนมาลงให้ กราบขอบพระคุณ Hazel_nut ด้วยนะคะ ชื่อคุ้นๆ ใช่มั้ย คนเขียนเรื่อง Oh! God ผมโดนท่านเจ้าที่ตามรังควานครับ! นั่นแหละค่ะ 55555 ยังไงฝากนิยายด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล.จะพยายามให้เพื่อนมาอัพให้บ่อยๆ นะคะ 555555555555555555555

หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 2 [22-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 22-07-2018 22:09:27

Chapter 2
Sound of rain...Sound of you

 
[Sebastian]
ผมไม่คิดว่าการออกมาข้างนอกโดยไม่พกร่มในฤดูฝนเป็นเรื่องใหญ่อะไร แค่ออกมาซื้อของที่มินิมาร์ทใกล้ๆ คอนโดฯ ตัวเองเท่านั้น จนกระทั่งฝนเม็ดนึงตกลงใส่หัว จากเล็กน้อยค่อยเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเองเบาลงทุกทีรวมถึงเสียงอื่นๆ รอบตัว ฝนตกหนักขึ้นจนทัศนวิสัยถูกบดบังด้วยสายฝน อาการหูดับเข้าครอบงำโสตประสาทการได้ยินของผมอีกครั้ง

เป็นหน้าฝนที่น่าหงุดหงิด

‘เฮ้!’

โดยเฉพาะเสียงของใครบางคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจ

‘มานี่เร็ว ได้ยินไหมเนี่ย อย่าไปตรงนั้น!’

ผมขมวดคิ้ว คล้ายเจ้าของเสียงไม่ได้พูดคุยกับผมเหมือนทุกที ผมเดินเรียบไปกับร้านค้าข้างทาง อาศัยกันสาดที่ยื่นออกมาหลบเม็ดฝน เสียงของแพทริคยังดังต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุดลง และผมก็ไม่คิดจะพูดแทรกให้อีกคนหยุด

ขืนทำแบบนั้นแพทริคคงชวนคุยจ้อยาวกว่าเดิม

‘ทำไมดื้อแบบนี้ ตัวเปียกหมดแล้ว มาเร็ว’

‘อย่าพูดยากสิไอ้หนู’

‘เฮ้ ไม่เห็นต้องข่วนกันเลย’

ข่วน?

เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าชะงัก ผมเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าแพทริคกำลังเล่นอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหาเรื่องทำให้ตัวเองเจ็บตัวเก่งนักแหละ

“แพท”

ผมสาบานได้เลยว่าไม่รู้ตัวตอนเอ่ยปากเรียกอีกคน

เสียงโวยวายจากฝั่งนั้นเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนเสียงขานรับด้วยความแปลกใจจะดังขึ้น

‘ว้าว คุณทักผมก่อนเหรอเนี่ย?’

“ทำอะไร”

ผมทำเมินแล้วถามกลับ แพทริคส่งเสียงหัวเราะมาก่อนตอบรับ

‘ช่วยเจ้าตัวเล็กนี่อยู่’

“เจ้าตัวเล็ก?”

‘ลูกแมวน่ะครับ’ แพทริคขยายความ ‘เกาะอยู่บนต้นไม้ เหมือนจะลงมาเองไม่ได้ด้วย ไม่รู้หลงมาจากไหน ฝนก็ตกจนมันเปียกทั้งตัวแล้วเนี่ย’

“แล้วที่บอกว่าช่วย...” ผมเผลอทำเสียงดุใส่ “ไม่ใช่ว่าคุณกำลังปีนต้นไม้หรอกนะ”

‘ว้าว คุณเดาเก่งจัง’

“แพท” ผมกดเสียงต่ำ “ลงมา มันอันตราย”

‘ไม่เป็นไรๆ ผมปีนต้นไม้เก่ง’

“คุณประมาทเกินไป” ยิ่งพูดเสียงผมก็ยิ่งกดต่ำด้วยความไม่ชอบใจ “ฝนตก มันลื่นคุณไม่เข้าใจหรือไง แล้วเมื่อกี้เจ้าแมวนั่นข่วนคุณด้วยใช่ไหม”

‘ผมไม่คิดว่าคุณจะขี้บ่นขนาดนี้นะเนี่ย’

เสียงแพทริคหัวเราะเบาๆ ส่งผลให้คิ้วของผมผูกกันแน่นกว่าเดิม ผมสาวเท้าเร็วขึ้นเหมือนกับว่าต้องการไปให้ถึงตัวคนดื้อดึง แม้ในความจริงนั้นผมจะไม่รู้ก็ตามว่าแพทริคอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้

‘น้องไม่ได้ดุขนาดนั้น แค่ตกใจผมเฉยๆ’

“แพท...”

‘ครับๆ ดุจัง ได้ตัวน้องแล้ว กำลังจะลงครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ’

เป็นอีกครั้งที่ผมขมวดคิ้ว วันนี้ผมขมวดคิ้วไปกี่รอบแล้วไม่รู้ แต่ต้นเหตุมีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ ฝีเท้าที่เร่งรีบผ่อนลงเมื่อได้ยินแพทริคบอกว่ากำลังจะลงจากต้นไม้ ผมหลุบสายตามองพื้นในขณะที่ก้าวเลี้ยวตรงหัวมุมถนนเพื่อมุ่งหน้าสู่คอนโดฯ

ห่วงงั้นเหรอ?

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีอารมณ์ความรู้สึกนี้กับใครมาก่อน ยิ่งเป็นคนที่ไม่เคยเห็นหน้าได้ยินเพียงแค่เสียงด้วยแล้ว หรือเพราะแพทริคเป็นโซลเมตของผม ทุกอย่างมันเลยต่างจากปกติ?

ผมส่ายหัว เหตุผลนี้มันไร้สาระเกินไป

แต่มีบางสิ่งที่ไร้สาระกว่า

อย่างเช่นความบังเอิญเป็นต้น

ตรงหน้าผมคือชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งที่กำลังปีนลงจากต้นไม้ด้วยท่าทางทุลักทุเล เสื้อผ้าและเนื้อตัวเปียกโชกจากสายฝนที่ลงเม็ดไม่หยุด แขนข้างหนึ่งอุ้มห่อผ้าไว้แนบอกทำให้การปีนลงจากต้นไม้ดูยากลำบากพอสมควร

ผมยืนจ้องอีกฝ่ายจากใต้ชายคาหน้าร้านเบเกอร์รี่ แม้ในใจจะบอกว่าไม่ใช่ คงไม่มีเรื่องบังเอิญน่าตลกอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นกับชีวิตผมหรอก

แต่ว่า...

รู้ตัวอีกทีก็เอ่ยปากออกไปแล้ว

“แพท”

‘ครับ?’

“ลงมาหรือยัง”

‘อา...ลงแล้ว’

“แน่ใจ?”

‘แน่ใจสิ’ เสียงอีกฝ่ายเจือแววร่าเริงกว่าปกติ ผมส่ายหัว ตัดสินใจเดินเข้าร้านเบเกอร์รี่ ขยับปากพูดขอยืมร่มจากคุณตาเจ้าของร้านและชี้มือประกอบจนอีกฝ่ายเข้าใจ ฝากถุงสินค้าที่ตัวเองซื้อมาไว้ที่ร้านชั่วคราว ‘คุณอยู่ข้างนอกเหรอ ยืมร่มใครน่ะ?’

เป็นคนขี้สงสัยจริงๆ

ผมไม่ตอบคำถามนั้น เดินตรงไปหาคนที่ใกล้จะลงจากต้นไม้แล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ตัวว่ามีคนกำลังเดินไปหา ผมมองเขาที่ขยับปากพูดไม่หยุด สอดคล้องกับเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว กระทั่งเดินมาถึงจุดหมาย เสียงที่เคยดังก้องในหัวผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงที่ได้ยินออกมาจาก ‘ปาก’ คนตรงหน้า

และผมยังคงยืนยันคำเดิมว่าแพทริคช่างเป็นคนที่ขยันหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวเก่งจริงๆ นั่นแหละ

อาจเพราะอีกฝ่ายใกล้ถึงพื้นแล้วเลยทำให้เกิดความประมาท อุบัติเหตุอย่างการ ‘ลื่น’ จึงตามมาอย่างช่วยไม่ได้ และถึง ‘แพทริค’ จะขยันหาเรื่องเจ็บตัวเก่ง แต่ก็นับว่าอีกฝ่ายมีความโชคดีอยู่บ้าง...

...อย่างการที่ผมพุ่งเข้าไปพยุงอีกคนทันไม่ให้ล้มหน้าทิ่มพื้นนั่นแหละ

“เกือบไปแล้ว” เสียงทุ้มพึมพำเบาๆ อีกฝ่ายเงยหน้ามองผม แววตาฉายประกายขอบคุณในขณะที่ริมฝีปากคลี่ยิ้มแหย “ขอบคุณครับ”

รูปปากขยับไหวเชื่องช้าหมายให้ผมอ่านออก แต่ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าผมไม่จำเป็นต้องอ่านปากเพราะได้ยินคำขอบคุณนั้นชัดเจนคงไม่ทำแบบนี้

ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใส เส้นผมสั้นสีจินเจอร์เด่นสะดุดตาเปียกลู่แนบกรอบใบหน้าขาวซีด กระสีจางกระจายเต็มช่วงจมูกและข้างแก้ม แพทริคสูงพอๆ กับผมและรูปร่างอีกฝ่ายก็ดีสมกับที่อวดอ้างตัวว่าเป็นเทรนเนอร์ ผมพยักหน้ารับคำขอบคุณโดยไม่พูดอะไร อยากรู้ว่าแพทริคจะทำยังไงต่อไป

“เฮ้อ” เจ้าของผมสีจินเจอร์ก้มมองห่อผ้าในอ้อมกอดซึ่งเมื่อสังเกตดีๆ แล้วถึงพบว่าเป็นเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ ผมสังเกตเห็นเส้นขนสีส้มขะมุกขะมอมที่เปียกลู่ “โชคดีนะเนี่ยพวกเรา”

“อืม โชคดี แค่เกือบหน้าฟาดพื้น”

“โอ๊ะ เซ็บ คือผมอธิบายได้นะเมื่อกี้...เดี๋ยว ทำไมเสียงมัน...?” คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพูดกับลูกแมวในอ้อมแขนชะงักไปก่อนเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าใสจ้องสบกับผมนิ่ง มันแฝงไปด้วยความสงสัยอย่างเห็นได้ชัดจนมุมปากผมเผลอกระตุกยิ้ม

“ไง”

“ซ...เซ็บ?!”

เสียงในหัวกับเสียงจากคนตรงหน้าผสานกันอย่างลงตัว ไม่จำเป็นต้องสงสัยอีกต่อไปว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ในเมื่อคำตอบชัดเจนขนาดนี้แล้ว

“ไหนบอกลงมาแล้ว”

“คือ...”

“คุณโกหก”

“เดี๋ยว นี่คุณคือ...”

“หลักฐานคาตายังจะเถียง?” ผมเลิกคิ้ว ร่มสีเหลืองถูกยื่นไปกันฝนให้กับแพทริคที่เหมือนจะอึ้งไปจนทำตัวไม่ถูก “ชอบตากฝนนักหรือไง”

“อ่า...”

“ไม่เห็นจะคุยเก่งเหมือนที่พูด” ผมแกล้งว่าหน้านิ่ง ลอบสังเกตสีหน้าแพทริคที่เผยอปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่เปล่งเสียงออกมาสักที ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างจนอดคิดไม่ได้ว่ามันจะหลุดออกมาหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ถ้าพวกเรายืนตากฝนกันอยู่แบบนี้ ถึงจะมีร่มก็ตามแต่ละอองฝนอาจทำให้ไม่สบายได้ “ตามผมมา”

“...”

“แพท...ผมจะไม่พูดซ้ำนะ”

“โอเคๆ”

คนที่ยืนนิ่งค้างรีบพยักหน้าขานรับพร้อมสาวเท้าเดินพร้อมผมกลับมาที่หน้าร้านเบเกอร์รี่ พอคุณตาเจ้าของร้านเห็นสภาพพวกเราทั้งคู่ก็ทำไม้ทำมือให้ไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับหาผ้าเช็ดตัวมาให้โดยไม่ลืมหยิบมาเผื่อเจ้าตัวเล็กโดยไม่รังเกียจ ผมเลยสั่งเครื่องดื่มร้อนพร้อมกับขนมปังเป็นการตอบแทน

“...”

“คุณจะจ้องผมอีกนานไหม” ผมถอนหายใจ เบนสายตามาสบกับดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องเอาๆ “ดูแลเจ้าตัวที่อยู่ในเสื้อแจ็คเกตของคุณหน่อยเถอะ ดิ้นจนจะตกแล้ว”

“นี่คุณจริงๆ เหรอเนี่ย”

“คำถามคุณดูไม่ฉลาดเลยนะแพท”

“ให้ตายเถอะพระเจ้า” แพทริคอุทาน ยังคงเขม็งตาจ้องผมไม่ละไปไหน “ถึงคุณไม่ตกใจแต่ผมตกใจนะ ก็แค่...จู่ๆ ก็เจอคุณนะเซ็บ คุณที่เมินเสียงเรียกผมมาหลายปี ทำเหมือนไม่อยากรู้จักกัน พอยอมคุยด้วยก็ปล่อยผมพูดคนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ใครจะไปคิดว่าคุณจะเดินมาหาง่ายๆ แบบนี้ล่ะ พระเจ้า นี่มันเกินกว่าที่ผมจะตั้งตัวทันนะ”

“พูดจบหรือยัง”

“โธ่เซ็บ ผมพูดจริงนะ”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าคุณโกหกนี่”

“เซ็บ...”

ผมแสร้งทำเมินเสียงโอดครวญของแพทริค ยกแก้วโกโก้ร้อนขึ้นจิบ รับรู้ถึงสายตาที่มองมาอย่างไม่ลดละ ถึงจะน่ารำคาญนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรอีกฝ่าย จะว่าไปผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน ผมไม่ใช่พวกเข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่ายๆ กำแพงผมค่อนข้างสูงมากทีเดียว การที่ผมเข้าหาแพทริคและเปิดเผยตัวเองนับเป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุมพอสมควร

“นี่คุณ”

“...อะไร”

“ใจคอจะนั่งเงียบแบบนี้เหรอ ได้เจอกันทั้งที” ดูเหมือนแพทริคจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้แล้ว ไม่งั้นนิสัยชอบชวนคุยชอบตีสนิทคงไม่กลับมา “คุณพักอยู่แถวนี้เหรอ แล้ว...”

“แพท”

“หือ?”

“พูดมาก”

“เซ็บบบบ”

“อายุเท่าไหร่” ผมพูดแทรกขึ้นมา ปรายตามองชายหนุ่มตรงหน้าที่เหมือนจะโตแต่ตัว “ทำไมถึงได้งอแงเป็นเด็กๆ”

“ผมจะยี่สิบสี่แล้วนะ ไม่เด็กสักหน่อยคุณ”

“เด็กกว่าผมอยู่ดี” ผมตอบเสียงเรียบ

“หืม? คุณอายุเท่าไหร่ ดูๆ แล้วไม่น่าห่างจากผมมากนะ” เจ้าคนหัวสีจินเจอร์ทำหน้าประหลาดใจ ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันเล็กน้อย “ยี่สิบห้าใช่ไหม ผมเดานะ”

“เกือบถูก”

“น้อยกว่าหรือมากกว่า?”

“มากกว่า”

“หืม” เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นแพทริคทำตาโตใส่ “ยี่สิบหกใช่ไหม”

“ยี่สิบเจ็ด”

“ถามจริง?”

“ผมไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก”

“แล้ว...” แพทริคลากเสียง ดวงตาสีฟ้าจับจ้องมาที่ผม ผมเลิกคิ้ว “คุณมีแฟนหรือยัง”

“ถามทำไม”

“ก็...อยากรู้เฉยๆ” อีกฝ่ายตอบหน้าตาย ดวงตาสีฟ้าใสฉายประกายซื่อ...ไปนิดนึง ผมถอนหายใจเมื่อสังเกตเห็นแววแพรวพราวแฝงอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น “...ไม่ได้เหรอครับ”

“...”

“ว้า...ใจร้ายจัง ถามแค่นี้ก็ไม่ตอบ เนอะ” ประโยคหลังก้มหน้าลงไปคุยกับเจ้าก้อนขนในอ้อมแขน ผมมองริมฝีปากอีกฝ่ายที่ยกยิ้มก่อนแพทริคจะอุ้มเจ้าลูกแมวส้มขึ้นมาให้หันหน้ามาจ้อง ขนสีส้มเมื่อถูกเช็ดจนแห้งกลับมาฟูฟ่องเหมือนเดิม ดวงตากลมโตสีฟ้าใสไม่ต่างจากคนอุ้มจ้องหน้าผมเขม็ง

ขนสีส้มเข้ม

ดวงตาสีฟ้าซีด

ปากเล็กๆ ที่ขยับไหวไปมาทว่าไม่มีเสียง ผมคิดว่าถ้าฝนหยุดตกเมื่อไหร่เจ้าตัวเล็กนี่คงส่งเสียงร้องไม่มีวันหยุดแน่ๆ

เหมือนคนที่เก็บมันมาไม่มีผิด

“ฝนใกล้หยุดแล้ว”

“เปลี่ยนเรื่องเฉย”

“แล้วคุณจะอยากรู้อะไรนักหนา” ผมถอนหายใจ สบสายตากับคนขี้สงสัยตรงๆ “รู้ไปแล้วจะได้อะไร”

“ก็...” ผมเฝ้ามองแพทริคกลอกตาไปมาเหมือนกำลังหาคำแก้ตัว ก่อนอีกฝ่ายจะหยุดสายตาไว้ที่ผมเหมือนเดิมแล้วคลี่ยิ้มเผล่ “...เผื่อมีโอกาส”

“จะไม่มีโอกาสอะไรทั้งนั้น”

“ผมหมายถึงโอกาสเป็นเพื่อน”

“อยากเป็นเพื่อนแต่ถามเรื่องแฟน?”

พอย้อนถาม แพทริคก็หัวเราะร่วนอย่างไม่ออมเสียงเลยสักนิด แน่ล่ะ ไม่มีใครได้ยินนอกจากพวกเราเอง ดวงตาสีฟ้าหยีโค้ง รอยยิ้มแต้มประดับบนใบหน้า อีกฝ่ายอุ้มเจ้าก้อนขนสีส้มแนบอก ปลายนิ้วลูบเบาๆ ที่หัวเล็กในขณะสายตาจ้องมาที่ผม มันเป็นสายตาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าหลังจากนี้คงสลัดแพทริคไม่พ้นแล้วแน่ๆ

“โอเค พูดตามตรงก็ได้ ผมค่อนข้างสนใจคุณนะ”

“ไร้สาระ นายเพิ่งจะเจอฉัน” ผมปฏิเสธเสียงเรียบ เปลี่ยนสรรพนามเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่คิดจะรักษามารยาทอีกต่อไป “เรื่องโซลเมตนี่ก็เหมือนกัน”

“คุณไม่คิดว่าเรื่องโซลเมตมันเป็นสิ่งพิเศษเหรอ”

“ฉันไม่เห็นว่ามันจะพิเศษตรงไหน” ผมเลิกคิ้ว “แค่คนสองคนถูกบังคับให้ได้ยินเสียงกันและกัน ผูกมัดไว้ด้วยคำว่า ‘โซลเมต’ ทั้งที่ไม่ใช่ความต้องการเลยสักนิด”

“คุณมองโลกแง่ร้ายจัง”

“ฉันมองโลกตามความเป็นจริง” ผมแก้

“แต่ว่านะ ผมน่ะ...” แพทริคหลุบตาลงต่ำ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ก่อนดวงตาคู่นั้นจะกลับมาสบผมอีกครั้ง “ผมมองว่าบนโลกนี้จะมีคนที่เข้าใจเรามากที่สุดคนนึงท่ามกลางคนหลายพันล้านคน มันคงยากนะถ้าจะตามหาคนคนนั้นด้วยตัวเองคนเดียว คุณไม่คิดเหรอว่าที่เราได้ยินเสียงกันเป็นเพราะพระเจ้าท่านอยากช่วยให้ต่างคนต่างหากันเจอเร็วขึ้น”

ถ้าเป็นปกติผมคงตอบกลับว่า ‘ไร้สาระ’ และใช่ ผมกำลังจะพูดคำนั้น แต่เมื่อสบกับดวงตาสีฟ้าใสกระจ่าง คำปฏิเสธกลับถูกกลืนลงคอไป ผมพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองว่าทำไมอะไรๆ ที่ควรเหมือนเดิมกลับไม่เหมือนเดิมเมื่อแพทริคอยู่ตรงหน้า

ผมยังคงเป็นตัวเองเหมือนเดิม แต่เป็นความเหมือนเดิมที่โดนแพทริคทำให้ไม่เหมือนเดิม

“สรุปคุณมีแฟนหรือยังน่ะ?”

“จะรู้ให้ได้เลยใช่มั้ย” ผมถอนหายใจ

“ก็ไม่เท่าไหร่ แต่จะถามจนกว่าคุณจะตอบ”

ให้ตาย ผมชักอยากซัดเจ้าคนหน้ายิ้มนี่สักทีซะแล้ว

“ไม่มี”

“เยี่ยม”

“และก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะสนใจนาย”

“คุณก็ตัดโอกาสผมเกินไป”

“อยากให้ตัดมากกว่านี้ไหมล่ะ” ผมเลิกคิ้ว “กลับไปไม่คุยด้วยอีกดีไหม”

“โธ่ เซ็บครับ...”

ผมส่ายหัวไปมาเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงตัดพ้อ และถึงแม้ระหว่างนั้นเสียงอื่นรอบตัวจะค่อยๆ กลับมาดังตามเดิมจนกระทั่งกลับมาเป็นปกติในที่สุดเมื่อฝนเม็ดสุดท้ายตกกระทบพื้น ถึงอย่างนั้นเสียงของแพทริคก็ยังคงเด่นชัดออกมาจากเสียงอื่นรอบกาย

“เมี้ยวๆๆๆๆ”

เสียงเล็กๆ ร้องขึ้นมา และไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ

พูดมากเหมือนกันจริงๆ นั่นแหละ...

“ฝนหยุดตกแล้ว” ผมพูดขึ้น

“จะไล่ผมกลับล่ะสิ”

“เปล่า นายอยากอยู่ก็อยู่ต่อสิ” ผมว่าหน้านิ่ง เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจ “เพราะฉันจะไปเองต่างหาก”

“ก็นึกว่าอยากอยู่ด้วยกันต่อ”

“นายก็เหมือนกัน”

“ครับ?...”

“เปียกไปทั้งตัวแบบนั้นรีบกลับไปอาบน้ำกินยาดักซะ ป่วยขึ้นมาอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ผมว่าทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินไปหน้าเคาน์เตอร์ จัดการจ่ายค่าขนมและเครื่องดื่มทั้งหมดโดยไม่ถามความเห็นจากแพทริคสักนิด ก่อนสาวเท้าตรงไปยังประตูร้าน มือวางแตะบนที่จับ ยังไม่ทันได้ผลักออกไปเสียงเรียกจากด้านหลังก็ดังขึ้น

“เซ็บ”

ผมชะงัก หันหน้ากลับไปมองเจ้าคนหัวสีจินเจอร์โดดเด่นที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตาสีฟ้าใสมองตรงมาทางผม ริมฝีปากประดับรอยยิ้มบางเบา

“คุณเป็นคนใจดีนะ รู้ตัวไหม”

“...”

“เพราะงั้นช่วยยิ้มเยอะๆ หน่อยนะครับ”

ผมไม่ตอบอะไรและหันหน้ากลับ ผลักบานประตูออกไปข้างนอก บรรยากาศหลังฝนตกเย็นชื้นกว่าปกติ ท้องฟ้าที่ไร้แสงแดดทำให้รู้สึกเหมือนเวลาย่างเข้าช่วงเย็นทั้งที่เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ ได้กลิ่นไอดินหลังฝนตกลอยอยู่ในอากาศบางเบา

และเพราะเหตุผลอะไรก็ตามแต่

ใบหน้าที่มักจะไม่แสดงอารมณ์ก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา


*****************************************************************************************

หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 2 [22-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 23-07-2018 12:39:45
โรแมนติกจังเลย ได้ยินเสียงเมื่อฝนตก ขอบคุณมากค่ะ  :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 2 [22-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-07-2018 22:11:49
 :mc4:


ดีๆ
หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 3 [24-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 24-07-2018 21:32:09
Chapter 3

Sometimes you just need someone to talk to

 

[Patrick]


ถ้าให้ผมนิยามคำว่าบังเอิญ คงนิยามสั้นๆ ว่า...

“เซ็บ!”

ผมส่งเสียงทักทายไปอย่างร่าเริงแต่กลับได้รับสายตานิ่งๆ และเสียงถอนใจมาแทนนี่หมายความว่าไงกันนะ ผมสาวเท้าตรงไปหาเซบาสเตียน อีกฝ่ายวางอาหารแช่แข็งกลับใส่ตู้แช่เย็นและทำท่าจะเดินหนี

“เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งหนี คุยกันก่อนสิ”

“ฉันไม่ว่าง”

“เฮ้ นี่วันอาทิตย์นะ คุณทำงานอะไรชีวิตถึงดูวุ่นวายตลอดเวลาเนี่ย”

“หยุดอยู่ตรงนั้นเจ้าแมวยักษ์” เซบาสเตียนยกมือห้ามผมไว้ไม่ให้เข้าประชิดตัว ผมขมวดคิ้ว เอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตัวเอง ดวงตาคมสีมรกตจ้องผมนิ่ง “ขอฉันอยู่อย่างสงบสักวันเถอะ”

“พูดเหมือนผมกวนคุณทุกวัน”

“ถ้าทำได้นายคงทำ”

“คิดมากน่า” ผมหัวเราะ “ว่าแต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเจอคุณที่มินิมาร์ทนี่ คุณอยู่แถวนี้เหรอเซ็บ”

“ไม่ใช่เรื่องของนาย”

“ผมก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน คอนโดฯ A น่ะ” ผมยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนว่าอีกคนอยากรู้หรือไม่ ถือคติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก “แต่ส่วนใหญ่ช่วงนี้จะพักที่ฟิตเนสของลุงผมมากกว่า”

“พูดจบหรือยัง”

“ถ้าบอกว่ายัง?”

“ก็พูดต่อไป ฉันไปล่ะ”

“เฮ้เซ็บ เซ็บ โธ่ ใจร้ายจัง”

ผมมองแผ่นหลังกว้างที่หันหลังให้แล้วเดินหนีไปโดยไม่ร่ำลา ผมส่ายหัว มุมปากอมยิ้มกับท่าทางรำคาญของเซบาสเตียน

น่าสนใจดี

ยิ่งกำแพงสูงยิ่งท้าทายในการเข้าหา

ผมสงสัยว่าตัวเองจะสามารถข้ามผ่านกำแพงของเซบาสเตียนได้ไหม ถ้าไม่...บางทีผมอาจต้องทุ่มสุดตัววิ่งชนให้ทะลุไปเลย

คิดพลางเดินเอาถุงอาหารสำหรับลูกแมวไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์ แน่นอนว่าสำหรับเจ้าตัวเล็กขนฟูที่ผมบังเอิญไปช่วยเอาไว้เมื่อวาน ผมตัดสินใจรับเลี้ยงมันไว้และมันเองก็ดูพร้อมใจรับผมเป็นทาสเหมือนกัน


“หืม?”

เผลอหลุดเสียงออกมาด้วยความแปลกใจเมื่อระหว่างเดินกลับคอนโดฯ ผมเห็นแผ่นหลังที่คุ้นตาเดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล

เส้นผมตัดสั้นสีดำสนิท

แผ่นหลังกว้างและส่วนสูงที่โดดเด่น

ดูเหมือนว่าความบังเอิญยังคงทำหน้าที่ของมันต่อจนกว่าผมกับเซบาสเตียนจะสนิทกันมากกว่านี้ ผมหรี่ตาลง อมยิ้มมุมปาก สาวเท้าเร่งเดินไปข้างหน้าจนกระทั่งเดินตีคู่ได้สำเร็จ

“ไม่ได้ตั้งใจตามมานะครับ” ผมรีบพูดขึ้นมาทันทีที่ใบหน้าของเซบาสเตียนหันมา ดวงตาสีเขียวหรี่ลงราวกับจะบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดจนต้องสำทับอีกที “คอนโดฯ ผมกลับทางนี้”

“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร”

“คุณจ้องผมด้วยสายตาแบบนั้น รู้ครับว่าด่าผมอยู่ในใจ”

เสียงถอนใจดังขึ้นเบาๆ ผมคลี่ยิ้มเผล่ เวลาที่เซบาสเตียนหาคำพูดมาโต้ตอบไม่ได้มันทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายขึ้นมา แม้ว่าคุณโซลเมตของผมจะอายุมากกว่าก็ตาม

 

‘ล่าสุดซีมอน รอสซ์ ยืนยันไม่มีส่วนในเหตุการณ์การลอบทำร้าย ไมเคิล ลี ตามที่ถูกกล่าวอ้าง แม้ว่าก่อนหน้านี้นักธุรกิจรายใหญ่ทั้งสองจะมีปัญหากระทบกระทั่งกันอย่างหนักก็ตาม...’

 

เสียงประกาศข่าวผ่านวิทยุดังแว่วออกมาจากร้านขายหนังสือพิมพ์ข้างทาง ผมชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย อดเงี่ยหูฟังไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อนักธุรกิจดังผู้ทรงอิทธิพล

“ช่วงนี้ดูเขาจะมีปัญหาเยอะนะ”

“อะไรของนายอีกล่ะ”

“ซีมอน รอสซ์” ผมตอบ เลิกสนใจข่าวนั้นแล้วก้าวเดินต่อไป “ซีมอน รอสซ์ดังจะตาย ถึงไม่ตามข่าววงการธุรกิจแต่ก็ต้องเคยได้ยินชื่อ ‘เสือร้ายแห่งรอสซ์’ บ้างสิ คุณไม่รู้จักเหรอ”

“ดังในเรื่องแย่ๆ” น้ำเสียงของเซบาสเตียนเรียบนิ่งไม่ระบุอารมณ์ “ใครจะไม่รู้จักนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่คนนั้น ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์ที่สุด ใครหมดประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งได้ง่ายๆ”

“เรื่องธุรกิจมันก็พูดยากนะครับ ยังไงก็ต้องนึกถึงผลประโยชน์ไว้ก่อน มันเป็นเรื่องปกตินะผมว่า”

“อืม”

เซบาสเตียนขานรับในลำคอ พวกเราทั้งคู่เดินกันต่อเงียบๆ โดยไร้เสียงพูดคุยอะไรอีก แต่ผมกลับไม่รู้สึกอึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น กระทั่งเดินมาเกือบถึงหน้าคอนโดฯ ผมสังเกตเห็นกลุ่มคนท่าทีแปลกๆ รวมตัวอยู่แถวนั้น ไหนจะรถตู้คันใหญ่สองสามคันที่ข้างรถแปะโลโก้สำนักข่าวซุบซิบชื่อดังประจำประเทศนั่นอีก

“ให้ตายสิ!”

“ฮะ อะไรคุณ?” ผมหันมองคนข้างตัวที่จู่ๆ ก็ชะงักแล้วสบถออกมาเสียงดัง ยังไม่ทันได้รับคำตอบ กลุ่มคนพวกนั้นก็หันมาทางพวกเราซะก่อน

“นั่น มาแล้ว!”

เสียงสูงหวีดแหลมของนักข่าวสาวคนหนึ่งดังขึ้น เป็นสัญญาณให้นักข่าวคนอื่นหันพรึ่บมาทางเดียวกัน ผมจำได้ว่าตัวเองกะพริบตาไปทีเดียวเท่านั้น พอลืมตาขึ้นมาอีกทีรอบตัวก็ถูกรุมล้อมไปด้วยกลุ่มนักข่าว ไมค์และเครื่องอัดเสียงถูกจ่อมาตรงหน้า

ไม่สิ

ไม่ได้จ่อมาที่ผม แต่เป้าหมายคือเซบาสเตียนที่อยู่ข้างผมต่างหาก

“เซบาสเตียนคะ! จริงหรือเปล่าคะเรื่องที่คุณจะไม่สืบทอดธุรกิจครอบครัวต่อเพราะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของพ่อคุณ!?”

“แล้วเรื่องที่คุณทะเลาะกับพี่ชายจนย้ายออกจากคฤหาสน์นี่จริงเท็จแค่ไหนครับ!?”

“ทะเลาะกันเรื่องมรดกใช่ไหมคะ?!”

“ตระกูลรอสซ์แตกคอกันมีมูลความจริงมากแค่ไหนกันครับ?!”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตกใจอะไรก่อนดี ระหว่างเซบาสเตียนคือทายาทตระกูลรอสซ์ กับ อีกฝ่ายคว้าข้อมือผมแล้วจับฉุดให้วิ่งฝ่าวงนักข่าวเข้าไปในคอนโดฯ

“คีย์การ์ด เร็ว!”

“ฮะ?!”

“สแกนคีย์การ์ดเข้าตึกเร็ว คอนโดฯ นายนี่!”

พอโดนเร่งอย่างนั้นผมก็จำต้องหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาสแกนเข้าตึกอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ถือว่ารวดเร็วพอที่จะหนีนักข่าวจากภายนอก ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันมองเจ้าของร่างสูงที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องนักข่าวผ่านบานประตูกระจกใส

“อีกนานกว่าคนพวกนั้นจะไป” ผมพูดขึ้นลอยๆ “หรือไม่ก็คงดักรอคุณข้ามวันข้ามคืนแน่ๆ”

“ฉันรู้ ไม่ต้องย้ำ”

“คุณจะเอาไงต่อล่ะ?”

“ตึกนี้มีทางออกอื่นอีกไหม”

“มีประตูหลังสำหรับขนขยะไปทิ้ง” ผมยักไหล่ จ้องสบกับดวงตาสีมรกต “แต่คุณคิดว่านักข่าวพวกนี้จะไม่ไปดักรอเหรอครับ?”

“ให้ตายสิ!”

ผมลอบยิ้มเมื่อเห็นเซบาสเตียนแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปกติคนหน้านิ่งมักจะทำหน้านิ่งไม่ก็หน้าเบื่อหน่ายใส่ พอเห็นแสดงอารมณ์แบบอื่นบ้างก็น่ามองไม่น้อย

“หรือไม่ก็...” ผมหรี่ตาลง อมยิ้มน้อยๆ ในขณะเสนอทางเลือกอื่น “ไปหลบที่ห้องผมก่อนดีไหม”

“คิดจะทำอะไร”

“ก็คิดจะช่วยคุณไง” ผมว่าตาใส ทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้าไม่ไว้ใจของเซบาสเตียน “น่าเซ็บ ผมดูมีพิษภัยหรือไงล่ะ”

“นายมันตัวป่วน”

“เชื่อเถอะว่านักข่าวข้างนอกนั่นป่วนคุณมากกว่าผมแน่ๆ”

ผมอมยิ้ม ลอบมองสีหน้าครุ่นคิดของเซบาสเตียนเงียบๆ จนอีกฝ่ายถอนใจแล้วพยักหน้ารับ

“ก็ได้”

“ครับ ตามผมมาเลย”

ผมว่าพลางเดินนำเข้าลิฟต์ ใช้เวลาไม่นานก็ถึงชั้นจุดหมาย ผมแตะคีย์การ์ดและเปิดประตูนำเข้าไปตามด้วยเซบาสเตียน เสียงร้องแหลมสูงดังต้อนรับพร้อมกับร่างเล็กสีส้มที่วิ่งเข้าหา

“เฮ้ซูกกี้” ผมย่อตัวลงไปลูบหัวมัน เจ้าเหมียวส่งเสียงครางในลำคอด้วยความพอใจ ผมลุกขึ้น หันมองเซบาสเตียนแล้วคลี่ยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย “ตามสบายนะคุณ ถ้าไม่รู้จะทำอะไรก็เปิดทีวีดูได้นะครับ”

“อืม”

เขารับคำในลำคอ เดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาในห้องรับแขกและหยิบรีโมทโทรทัศน์มากดเปิด ผมเลิกคิ้ว เอียงคอมองท่าทีเขา คิดว่าเซบาสเตียนจะดูอึดอัดมากกว่านี้ซะอีก แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่เขาไม่คิดมากอะไร

ผมเดินเข้าโซนห้องครัว จัดการทำแซนวิสและเครื่องดื่มง่ายๆ เพื่อต้อนรับแขก ทันทีที่วางจานลงบนโต๊ะรับแขกก็ได้รับสายตาไม่ไว้ใจจากอีกคนทันที

โอเค ผมดูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นหรือไง?

“ไม่ได้ใส่ยาพิษน่า กินได้ครับ” ผมว่าในขณะทรุดตัวนั่งข้างเขา

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร”

เซบาสเตียนว่า เขาเป็นอย่างนี้ตลอด เวลาผมร้อนตัวพูดแก้ตัว เขาจะบอกว่าไม่ได้ว่าอะไร แต่สายตานี่ชัดเจนมากบอกเลย

“ว่าแต่…” ผมเกริ่นขึ้นมาเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเงียบไป “จะเอาไงต่อดี นักข่าวพวกนั้น”

“ก็รอจนกว่าพวกเขาจะถอดใจ”

“ข้ามวันข้ามคืนแน่ๆ”

“ช่างมัน” เซบาสเตียนพูดเสียงเรียบ ดวงตาสีมรกตจ้องหน้าจอโทรทัศน์ “ฉันจะค้างห้องนาย”

“หืม?”

“ทำไม” เขาหันมา จ้องหน้าผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง “หรือเปลี่ยนใจไม่อยากให้ฉันอยู่แล้ว พอรู้ว่าฉันเป็นรอสซ์ก็ไม่อยากช่วยแล้วสินะ”

“ฮะ? เดี๋ยวๆ คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ”

“ช่างเถอะ อย่าสนใจเลย”

“เฮ้เซ็บ” ผมเรียกชื่อเขา ทอดสายตาจ้องคนที่ทำหน้านิ่งขรึมแต่แววตาหม่นลง “จะไม่ให้ผมไม่สนใจได้ยังไง ดูเหมือนคุณกำลังไม่สบายใจนี่”

“เรื่องไร้สาระ”

“คุณจำได้ไหม” ผมตบมือลงบนหน้าขาเขาเบาๆ ทำให้เซบาสเตียนหันหน้ามามองผมจนได้ ผมยิ้มให้ หวังว่ารอยยิ้มนี้จะทำให้อีกฝ่ายสบายใจไม่มากก็น้อย “ที่ผมเคยบอกไว้ว่าบางทีคนเราก็ต้องการใครบางคนไว้คุยเรื่องไร้สาระด้วย”

“...”

“ผมว่าผมเป็นคนนั้นให้คุณได้นะ” ผมสบตาเขา อยากให้เซบาสเตียนสัมผัสได้ว่าผมหมายความตามนั้นจริงๆ “ถ้าเรื่องไร้สาระนั้นมันทำให้คุณไม่สบายใจก็บอกผมได้ ผมพร้อมรับฟัง”

จริงๆ นะ ผมคิดว่าสำหรับใครคนนึงการมีคนให้พูดคุย รับฟัง และเข้าใจเราเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว

“เพราะฉันเป็นรอสซ์”

“ยังไงครับ?” ผมถามเมื่อไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไร เซบาสเตียนถอนหายใจ เขาสบตาผม

“ไม่มีใครชอบคนตระกูลรอสซ์ นายน่าจะเคยได้ยิน ‘ชื่อเสีย’ ของตระกูลนี้ดี”

“ก็...เคยได้ยินบ้าง”

“ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว” คราวนี้เซบาสเตียนหันหน้าหนี เขาหลุบสายตาลงต่ำ จ้องมองรีโมทโทรทัศน์ในมือเหมือนไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหน “ฉันอยู่ในสังคมที่ทุกคนใส่หน้ากากเข้าหากัน ตอนแรกก็คิดว่าทุกคนดีด้วย แต่พอโตขึ้นก็รู้อะไรมากขึ้น รอยยิ้ม ความหวังดีพวกนั้นทั้งหมดคือการเสแสร้ง ทั้งที่เกลียดฉัน เกลียดนามสกุลฉันแทบตายแต่กลับทำเหมือนว่าไม่คิดอะไรเพราะคำว่า ‘อิทธิพลของตระกูลรอสซ์’ เหอะ…”

“นั่นทำให้คุณไว้ใจคนยากงั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าหาฉันเพราะหวังดีหรอกนะ ถ้าไม่ทำดีด้วยเพราะหวังผลประโยชน์ก็ไม่กล้ามีปัญหาด้วยเพราะเกรงในอำนาจพ่อฉันเลยแสร้งยิ้มให้ทั้งที่ในใจเกลียดแทบตาย ตลกนะว่าไหม คนเราเกลียดกันได้ทั้งที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอกันก่อนด้วยซ้ำ”

เซบาสเตียนสบตาผม ดวงตาสีเขียวมรกตฉายประกายแข็งกร้าวแต่ผมกลับเห็นบางสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น

ความอ่อนแอและเดียวดาย

เสือดำแห่งรอสซ์ นั่นคือคำเรียกทายาทลำดับสองของตระกูลรอสซ์ที่ผมเคยได้ยินผ่านหูผ่านตามาบ้าง มาถึงตอนนี้ก็คิดว่าไม่เกินจริงสักนิด เซบาสเตียนเหมือนเสือดำ เขาสันโดษ เดียวดาย หลบซ่อนและหลีกเลี่ยงตัวเองออกจากสังคมอย่างเกือบสมบูรณ์ สื่อไม่เคยถ่ายภาพหน้าเต็มๆ เขาได้ชัดเจนเลยสักครั้ง เพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ผมไม่คุ้นหน้าคุ้นตาอีกฝ่ายว่าเป็นทายาทตระกูลดัง

“มันก็จริงอย่างที่คุณว่า” ผมสบตาเขา “คนเราเกลียดกันง่ายเกินไป แค่ได้ยินว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้เป็นอย่างงั้นก็พาลเกลียดตามทั้งที่ไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักกันสักครั้ง แต่คุณรู้ไหมเซ็บบางทีเรื่องนี้มันก็ช่วยให้เราคัดกรองคนที่จะเข้ามาในชีวิตได้นะ อย่างผมไงที่ไม่ได้เป็นแบบคนพวกนั้น ผมชอบคุณจะตาย”

“เกือบดีแล้ว ถ้านายไม่ชมตัวเองตบท้าย”

“แต่คุณก็ชอบใช่ไหมล่ะ”

“ใครว่า”

“รอยยิ้มของคุณไง” ผมว่ายิ้มๆ มองคนที่เผลอหลุดยิ้มโดยไม่รู้ตัวแล้วอดแซวไม่ได้ “เมื่อกี้คุณยิ้มนะเซ็บ ผมเห็น ว่าไง ใจอ่อนกับผมแล้วใช่ไหมล่ะ”

“สำคัญตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า”

“ถ้าทำให้คุณยิ้มได้ก็ถือว่าผมน่าจะสำคัญพอตัวนะ”

“หึ เจ้าแมวยักษ์เอ๊ย”

เซบาสเตียนยิ้มออกมา แม้จะไม่ได้ยิ้มกว้างแต่การที่คนหน้านิ่งขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มก็ถือว่ามากพอแล้ว ผมสบตาเขา ดวงตาสีเขียวมรกตไม่ได้เย็นชาอีกต่อไป มันฉายประกายอ่อนลงและมีชีวิตชีวากว่าเดิม

“ผมไม่ใช่ซูกกี้นะ”

“นายกับเจ้าแมวนั่นเหมือนกันอย่างกับแกะ”

“ตรงไหนเนี่ย”

“ขนส้มตาฟ้า” เซบาสเตียนว่าหน้านิ่ง แต่ในดวงตาฉายประกายวาว ผมเบิกตากว้าง รีบปกป้องสิทธิความเป็นมนุษย์ของตัวเองทันที

“เดี๋ยวๆ นี่ผมคนนะครับไม่ใช่ขนแมว” ผมยื่นหน้าไปใกล้เขา “แมวที่ไหนจะหล่อขนาดนี้”

“หาเรื่องชมตัวเองเก่งดีนะเจ้าแมว”

“เฮ้ บอกว่าไม่ใช่แมว”

“โอเค แมวยักษ์” เซบาสเตียนหัวเราะหึๆ “โวยวายแบบนี้เพราะเจ้าของไม่ให้กินอาหารใช่ไหม”

“เซ็บ!”

ผมโอดครวญเมื่อโดนอีกฝ่ายแกล้ง เซบาสเตียนจ้องหน้าผม เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนฝ่ามือใหญ่จะตบเบาๆ ลงบนหัวผม

“ทำตัวดีๆ แล้วจะให้กินวิสกัส”

“พูดจาไร้สาระนะคุณน่ะ”

“ก็อย่างที่นายบอกไง”

“หืม?”

“บางทีคนเราก็ต้องการใครบางคนไว้คุยเรื่องไร้สาระด้วย”

“...”

“มีนายรับหน้าที่นี้ไว้ก็ไม่เลว”

เซบาสเตียนพูดทิ้งไว้สั้นๆ เขาสบตาผมอยู่อีกไม่กี่วินาทีก็เบนกลับไปสนใจซีรี่ย์สืบสวนบนหน้าจอทีวีตรงหน้า ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างเขา เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

ถ้าเซบาสเตียนบอกว่าแปลกที่คนเราสมัยนี้เกลียดกันได้ง่ายดาย

ผมเองก็น่าจะเป็นคนแปลกคนหนึ่ง...

...ที่เผลอตัวชอบใครบางคนได้ง่ายดายเช่นกัน


*****************************************************************************************

หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 3 [24-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-07-2018 17:31:20
อยากอ่านต่อแร้วววววว อยากให้กำกับหัวเรื่องว่าเป็นแนวเรนเวิสด้วยค่ะ เผื่อคนอยากอ่านแนวนี้จะได้เห็น
หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 3 [24-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: idoloveyou555 ที่ 25-07-2018 17:56:28
ทำไมถึงละมุนกันได้ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 3 [24-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-07-2018 21:51:31
น่ารักดี.... :catrun:
หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 3 [24-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-07-2018 23:06:44
 :katai2-1:


แมวอีกกกกกก
หัวข้อ: Re: Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 3 [24-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 26-07-2018 14:54:39
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ จัดการแก้ไขแล้วค่าาา

 :mew1:  :mew1:  :mew1:


อยากอ่านต่อแร้วววววว อยากให้กำกับหัวเรื่องว่าเป็นแนวเรนเวิสด้วยค่ะ เผื่อคนอยากอ่านแนวนี้จะได้เห็น
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 4 [29-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 29-07-2018 18:47:54

Chapter 4

I can’t get your voice out of my head


[Sebastian]


ติ๊กๆๆ

เสียงเข็มนาฬิกาดังอยู่ข้างหู มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ตามสติการรับรู้เมื่อผมตื่นเต็มตา

ผมลุกจากที่นอน แพทริคยังคงหลับอยู่ ผ้าห่มสีขาวคลุมจนเกือบมิดหัวเหลือโผล่มาเพียงเส้นผมสีจินเจอร์ยุ่งเหยิง เมื่อวานผมตัดสินใจค้างที่ห้องของแพทริคเพื่อหลบนักข่าว ตอนแรกคิดว่าจะนอนที่โซฟาจะได้ไม่รบกวนเจ้าของห้อง แต่แมวยักษ์ตัวนี้ดื้อรั้นเกินไป มันเอาแต่ส่งเสียงเงี้ยวง้าวเดินวนไปมาทั่วห้องกดดันจะให้ผมนอนบนเตียงเดียวกันให้ได้

ไม่ได้อยากตามใจ

แค่ตัดรำคาญ ไม่งั้นคงไม่ได้นอน

ผมถอนใจ มองออกนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเช้านี้มืดครื้มกว่าปกติ ผมได้คำตอบในวินาทีต่อมาที่เม็ดฝนร่วงหล่นจากท้องฟ้า

เสียงเข็มนาฬิกาเบาลง...เบาลง…

จนกระทั่งสรรพเสียงดับวูบไป ทุกอย่างถูกบรรเลงด้วยท่วงทำนองแสนเงียบงัน…

“อือ...เซ็บ อย่าดึงผ้าห่ม…”

...แต่ก็ไม่ซะทีเดียว

ผมชะงักมือที่เผลอออกแรงดึงผ้าห่มจากตัวแต่กลับกระทบไปถึงคนที่แชร์ผ้าห่มด้วยกัน แพทริคดึงผ้าห่มกลับ เขาขดตัวเป็นก้อนกลมสีขาว เส้นผมสีจินเจอร์เป็นสีเดียวที่โดดเด่นออกมา

สีสันหนึ่งเดียวและเสียงหนึ่งเดียวในโลกที่ซีดจางของผม

“โทษที”

“อืม…”

เขาขานรับในลำคอสั้นๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากผ้าห่ม แพทริคขี้เซา เขาชอบพื้นที่อบอุ่น อุปนิสัยแบบนี้สมแล้วที่ผมเรียกเขาว่าแมวยักษ์

ผมส่ายหัว เอี้ยวตัวจะลงจากเตียง เท้าแตะพื้นได้ไม่ทันไรชายเสื้อกลับถูกยึดไว้ ผมหันมอง พบว่าคนที่ซุกตัวในผ้าห่มตอนนี้เงยหน้าขึ้นมาแล้ว ดวงตาสีฟ้าคมกริบปรือปรอย ผมคิดว่าแพทริคน่าจะยังไม่ตื่นเต็มตาแต่พยายามเบิกตาจะจ้องผมให้ได้ ใบหน้าขาวซีดตอนตื่นนอนขับเน้นให้กระสีจางบริเวณจมูกและข้างแก้มดูเข้มขึ้นมา

แพทริคคล้ายศิลปะที่มีชีวิต

บางอย่างที่ธรรมดาแต่เมื่อเป็นเขากลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

“เดี๋ยว…”

เสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ผมขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงไปใกล้แพทริคซึ่งยังไม่ตื่นดีแต่พยายามขยับริมฝีปากคุยด้วย

“พูดไม่รู้เรื่องก็นอนต่อเถอะ”

“ไม่...ผม…” เสียงพึมพำเบาๆ ในลำคอคล้ายเสียงแมวคราง ดวงตาสีฟ้ากึ่งเปิดกึ่งปิดพยายามสบตาผม “อา...อรุณ...สวัสดิ์”

“หืม?”

“ตามสัญญา…”

ผมเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้เข้าใจในทันที แต่ก็ไม่ยากเกินจะเข้าใจ


‘ผมเองก็อยากรู้...ว่าการมีใครสักคนให้คุยเรื่องไร้สาระด้วยมันดียังไง’

‘ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ มีคนบอกอรุณสวัสดิ์ทุกวันมันดีนะครับ’


ก็แค่บทสนทนาสั้นๆ เมื่อนานมาแล้ว คำพูดธรรมดาที่ผมไม่คิดว่าแพทริคจะใส่ใจหรือจดจำเลยไม่หวังจะได้รับ

ในอกรู้สึกอุ่นวาบ ผมพยักหน้ารับ ส่งเสียงตอบกลับเบาๆ ในลำคอ คำพูดง่ายๆ แต่กลับพูดออกมาอย่างเก้อเขินกว่าที่ควรจะเป็น

“อืม...อรุณสวัสดิ์”

ผมเกลียดน้ำเสียงตัวเองที่สั่นเหมือนคนไม่มั่นใจ ในขณะเดียวกันรอยยิ้มของแพทริคกลับทำให้ผมยิ้มตามอย่างห้ามไม่ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกาย สมอง และความรู้สึกเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าจะหาคำตอบได้จริงๆ


“จะไปแล้วเหรอ”

แมวยักษ์ตื่นแล้ว ดวงตาสีฟ้ามองตรงมาที่ผม แพทริคยังคงนั่งอยู่บนเตียงกับชุดนอนยืดๆ ย้วยๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงผิดจากเวลาปกติที่เขามักจะแต่งตัวเนียบอยู่ตลอดเวลา

“ฉันก็มีงานต้องทำ” ผมเลิกคิ้วใส่เขา “นายไม่ไปทำงานหรือไง”

“ผมเข้างานเก้าโมง”

“นี่เจ็ดโมงแล้ว ไปเตรียมตัวซะ”

“คุณจะไม่เป็นไรใช่ไหม” เจ้าแมวยักษ์ถามผมในขณะยกมือลูบๆ เส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่

“อะไร?”

“พวกนักข่าวไง”

“แล้วไง”

“ผมหมายถึง…” แพทริคกลอกตา “ถ้านักข่าวยังดักรอคุณอยู่ล่ะ?”

“ฝนตกแบบนี้ ดักรอไปก็ไม่ได้อะไร”

“อา จริงด้วย”

ผมส่ายหัวให้กับคนเอ๋อที่ตื่นแล้วแต่สติยังไม่ตื่นตาม หลังตรวจเช็กเรียบร้อยว่าไม่ได้ลืมของอะไรไว้ที่ห้องแพทริคผมก็บอกลาเขาสั้นๆ ก่อนเดินไปยังประตูทางออก แมวยักษ์ไม่ได้ส่งเสียงรั้งผมไว้ โลกทั้งใบเงียบงัน มันควรเป็นสิ่งที่ผมเคยชิน แต่ความเคยชินนั้นถูกทำลายไปแล้ว

ผมหันหลังกลับ จ้องสบกับดวงตาสีฟ้าซีดที่มองตรงมา

“นายจะไม่บอกว่า ‘แล้วเจอกัน’ หน่อยหรือไง”

ดวงตาสีฟ้าซีดเข้มขึ้นจนกระจ่างใส เสียงหัวเราะดังก้องในโลกที่เงียบงัน แพทริคพยักหน้ารับ

“ครับ แล้วเจอกันนะ”

ในที่สุด...ในใจผมก็ไม่มีอะไรค้างคาให้รู้สึกรำคาญอีกต่อไป


พื้นที่หน้าคอนโดฯ แพทริคกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ไร้วี่แววนักข่าวพวกนั้น ผมกางร่มในมือที่ยืมมาจากแพทริค ก้าวเดินเลียบฟุตปาธ แมวยักษ์คงหลับต่อแล้ว ผมได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังก้องในหัว คงจะหลับสบายจริงๆ ผมหวังว่าเขาจะไม่หลับเพลินจนไปทำงานสาย

ผมค่อนข้างไม่ชอบหน้าฝน มันเฉอะแฉะและเปียกชื้น บนพื้นถนนเจิ่งนองไปด้วยน้ำทำให้ต้องระมัดระวังในการก้าวเดินมากกว่าปกติ ละอองฝนบางส่วนกระเซ็นโดนแขน เมื่อประสาทการได้ยินดับวูบทำให้ประสาทสัมผัสด้านอื่นทำงานได้ดีกว่าเดิม ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นของอากาศ เม็ดฝน ได้กลิ่นชื้นของดินและต้นไม้

เมื่อก่อนผมรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่

‘อือ ซูกกี้อย่ากวน’

เสียงในหัวพึมพำไม่ได้ศัพท์

ผมยิ้ม

แต่เมื่อเปิดใจ ฝนตกวันนี้ก็ไม่ว้าเหว่อีกต่อไป


คอนโดฯ ผมอยู่ถัดจากคอนโดฯ ของแพทริคอยู่สองช่วงตึก ผมย้ายออกมาอยู่ที่นี่ได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว ระบบการรักษาความปลอดภัยของที่นี่เข้มงวดมากทำให้ผมรู้สึกวางใจว่าจะไม่โดนใครก็ตามที่พยายามขุดคุ้ยเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของผมตามก่อกวน

แต่คงเข้มงวดไม่มากพอเท่าไหร่

ผมปิดประตูห้องด้วยท่าทีปกติ ตาจ้องมองคนที่นั่งเอนตัวบนโซฟาเหยียดเท้าพาดโต๊ะรับแขกอย่างไร้ความเกรงใจ หน้าจอโทรทัศน์ถูกเปิดเอาไว้ ภาพบนจอเคลื่อนไหวแต่ไร้เสียง ผมเดินเข้าไปใกล้ ตบมือลงบนไหล่อีกฝ่าย ไม่แรง แต่ก็ไม่เบาจนเกินไป เขาหันมา ดวงตาสีเขียวมรกตสบเข้ากับผม ริมฝีปากขยับพูดทักทาย

‘ไงน้องชาย’

ผมอ่านปากเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

แมทธิว รอสซ์ หรืออีกคำเรียกหนึ่ง

จากัวร์แห่งรอสซ์

ฉลาด ว่องไว ผู้ล่าที่เลือดเย็น

‘ไม่คิดจะคุยกันหน่อยเหรอ’ แมทธิวขยับปากพูดกับผมราวกับอาการหูดับไม่เป็นอุปสรรคระหว่างเราสักนิด ‘นับวันนายชักจะเย็นชาขึ้นทุกทีนะเซ็บ’

“หยุดพูดสักทีแมท”

‘ฉันแค่คิดถึงน้องชาย’

“มันน่ารำคาญที่ต้องมาคอยอ่านปากนาย”

ผมว่าตามตรง แมทธิวหัวเราะ ถึงผมจะไม่ได้ยินเสียงนั้นแต่พอเดาออกว่ามันคงเป็นเสียงหัวเราะที่น่ารำคาญน่าดู ทุกอย่างที่เป็นพี่ชายต่างแม่คนนี้น่ารำคาญสำหรับผมเสมอ พวกเราอายุห่างกันแค่ปีเดียวผมจึงไม่เคารพเขาเท่าไหร่

‘หือ เซ็บ...อะไรน่ะ ผมกรนเสียงดังเหรอ’

เสียงหนึ่งดังก้องในหัว ผมชะงัก ลืมไปว่ายังมีใครอีกคนที่ได้ยินเสียงผม

“ขอโทษที ฉันปลุกนายเหรอ”

‘อืม คุณเสียงดัง’ แพทริคว่าเสียงงัวเงีย ‘คุณคุยกับใครเซ็บ?’

“ไม่มีอะไร นอนต่อเถอะ”

‘อืม…’

“อย่านอนเพลิน เข้าใจไหม?”

‘ครับ รู้น่า’

ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินแพทริคขานรับด้วยน้ำเสียงกึ่งงอแง ก่อนรอยยิ้มจะหุบลงเมื่อเห็นสายตาของแมทธิวจ้องมองมา เขาหรี่ตาลง ผมมองสบสายตาจับผิดนั้น

‘ยอมคุยกับคนนั้นแล้วเหรอ’

ผมเงียบ ไม่ตอบรับอะไร

‘นึกว่าจะใจแข็งนานกว่านี้’ สายตาแมทธิวแพรวพราว ‘เห็นนายเปิดใจได้ก็ดี’

“...”

‘จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ’ เขาเลิกคิ้วก่อนอมยิ้มมุมปาก ‘อา...เสียงนายจะปลุกโซลเมตที่กำลังหลับอยู่ใช่ไหมถ้าฉันอ่านปากนายไม่ผิด โอเค เข้าใจแล้ว ไม่เห็นต้องทำตาดุใส่ แต่เห็นนายแคร์คนอื่นแบบนี้แล้วแปลกดี อืม...งั้นรอฝนหยุดตกค่อยคุยกัน ระหว่างนี้ฉันยึดทีวีห้องนายก่อนนะ’

ผมไม่ตอบรับอะไร แมทธิวอยากยึดอะไรก็ช่างเขาเถอะ ผมหมุนตัวหนีเดินเข้าห้องนอน คว้าเสื้อผ้าชุดใหม่เข้าไปจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ นึกอยากดีดนิ้วทีเดียวเหมือนธานอสแล้วแมทธิวที่นั่งกระดิกเท้าอยู่ในห้องรับแขกสลายหายไป

เสียดายที่ทำได้แค่คิด


ฝนหยุดตกในอีกเกือบสองชั่วโมงต่อมา เป็นระยะเวลาที่น่ารำคาญเมื่อในห้องคุณมีพี่ชายต่างแม่คอยเดินวนเวียนไปมา พูดจาไม่หยุดปากแม้จะรู้ดีว่าพูดไปผมก็ไม่ได้ยิน ผมนึกสงสารโซลเมตเขาขึ้นมาที่ต้องมาฟังอะไรไร้สาระแบบนี้ ภาวนาให้แถวบ้านอีกฝ่ายฝนไม่ตก จะได้ไม่ต้องปวดหูเพราะเสียงของแมทธิวถึงสองชั่วโมง

“หยุดตกสักที”

“มีอะไรก็ว่ามา” ผมถอนใจ ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวเยื้องกับแมทธิว “แล้วนี่เข้ามาได้ยังไง ฉันจำได้ว่านายไม่มีคีย์การ์ดห้อง”

“มีสิ” แมทธิวยักคิ้ว ดวงตาสีเขียวส่องประกาย “คีย์การ์ดของฉันก็คือ ‘รอสซ์’ ยังไงล่ะ”

นั่นสินะ แค่คำว่ารอสซ์คำเดียวก็มีอิทธิพลมากพอทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ

น่าเสียดายที่ผมเกลียดมัน

“นายมีธุระอะไรแมท”

“เข้าเรื่องเร็วไปหรือเปล่า นี่ช่วงพี่น้องไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบไง”

“ฉันไม่มีเวลามาฟังนายพล่ามทั้งวัน”

“วันนี้เข้าคลาสเหรอครับคุณอาจารย์พิเศษ”

“แมท”

“โอเคๆ” แมทธิวยกสองมือขึ้นยอมแพ้ แต่แววตาดูสนุกที่ได้แกล้งหยอกผมเล่น “ฉันแค่จะมาบอกว่าพ่ออยากให้นายกลับไป”

“ไม่กลับ”

“เฮ้ รู้ไหมว่านายออกมามันมีข่าวบ้าๆ บอๆ หลุดไปเยอะแค่ไหน ฉันกับนายทะเลาะกันมั่งล่ะ แย่งมรดกกันบ้างล่ะ ร้ายสุดคือฉันใส่ร้ายนายจนพ่อเข้าใจผิดไล่นายออกจากบ้าน”

“เหตุการณ์คุ้นๆ แต่บทตัวร้ายก็เหมาะกับนายดีนะแมท”

“ขอโทษทีที่ภาพลักษณ์ฉันมันเป็นอย่างนั้นนะ” เขากลอกตา ดูหัวเสียนิดหน่อย “ถึงแม้ความจริงฉันจะเป็นพี่ชายที่ดี คอยสอดส่องดูแลนายอยู่ลับๆ ด้วยความเป็นห่วง รู้ไหมว่าถ้าไม่ได้ฉันช่วยไว้พวกนักข่าวคงกรูกันมาดักรอนายที่คอนโดฯ นี่แล้ว แต่ให้ตายสิเซ็บ ที่ฉันปล่อยข่าวหลอกๆ ไปว่านายอยู่คอนโดฯ A ใครจะไปรู้ว่านายจะไปโผล่หัวอยู่ที่นั่นจริงๆ”

นี่สินะสาเหตุที่พวกนักข่าวพากันไปดักรอหน้าคอนโดฯ ของแพทริค

“คอนโดฯ เพื่อน”

“อา...เพื่อน”

“อย่าเปลี่ยนเรื่องแมท” ผมจ้องหน้าเขา “ว่ากันตามตรงนายก็ไม่เชิงช่วยฉันหรอก ถ้าเป้าหมายนายคือต้องการให้ฉันกลับไป ถ้าจะช่วยจริงๆ นายปล่อยข่าวว่าฉันอยู่อีกฟากของมุมเมืองเลยยังได้”

“โอเคๆ นายนี่มองฉันขาดเสมอเลยนะ รู้ไหมว่าถ้านายช่วยบริหาร…”

“ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรก็ตามในเครือรอสซ์”

“ฉันจำได้น่า” แมทธิวกระตุกยิ้ม “ถึงบอกว่าเสียดาย”

“ถ้าธุระของนายมีแค่นี้ก็กลับไปได้แล้วมั้งท่านประธาน” ผมเรียกประชดเขาด้วยตำแหน่งของเจ้าตัว “อย่ามาเสียเวลากับรอสซ์นอกคอกอย่างฉันเลย”

“เซ็บ ยังไงนายก็เป็นน้องชายฉัน”

“นั่นสินะ พี่ชายแสนดีที่ทำให้พ่อส่งฉันไปอยู่ต่างประเทศตั้งหลายปี”

“เฮ้ ความอิจฉาของเด็กๆ นายอย่าผูกใจเจ็บน่า”

“เอาเป็นว่าฉันอยู่ตรงนี้สะดวกใจกว่า” ผมยกมือห้ามแมทธิวที่ทำท่าจะพูดแทรก “ถึงไม่มีเรื่อง ‘นั้น’ ฉันก็มีความคิดจะออกมาอยู่คนเดียวอยู่ดี”

“เฮ้อ...ตอนแรกฉันว่าจะไม่บอกนายเพราะนายก็ปฏิเสธชัดเจนว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องของรอสซ์ แต่อย่าลืมเซ็บ เลือดในตัวนายคือรอสซ์ นายเป็นรอสซ์ 100% ไม่ว่าจะปฏิเสธยังไงก็ตาม”

“มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะแมท”

“คราวนี้อันตรายจริง” เขาสบตาผม สองมือประสานกัน โน้มตัวเข้ามาใกล้ “พ่อเหยียบหางมันเข้าเต็มๆ และทางนั้นจะเอาให้ตาย นายอยู่คนเดียวไม่ปลอดภัยเซ็บ กลับไปด้วยกันเถอะ”

“นายดูถูกฉันเกินไป” ผมหัวเราะหึ สบตากับแมทธิวที่มองตอบด้วยสายตาจริงจัง “อีกอย่างฉันไม่ได้อยู่คนเดียว นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าพ่อส่งเจ้าพวกนั้นคอยตามฉันอยู่ห่างๆ”

“อา…”

“หรือต้องให้ฉันไปลากคอคนสวนด้านล่างขึ้นมาเค้นคอสารภาพว่าถูกส่งมาแฝงตัวคอยจับตาดูฉันให้นายฟังดีล่ะแมท?” ผมส่ายหัว “ฉันไม่กลับไป ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“เฮ้อ…”

“ฉันต่างหากที่ควรถอนใจ”

“นายดื้อดึงเกินไป” แมทธิวส่ายหัว แววตาที่มองมาดูเหนื่อยใจ “ก็ตามใจนายแล้วกัน ฉันถือว่าเตือนแล้ว หลังจากนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็หวังว่านายจะป้องกันตัวเองได้”

“นายบอกว่าไม่ว่ายังไงฉันก็เป็นรอสซ์”

“...?”

“เคยมีรอสซ์คนไหนพลาดท่าง่ายๆ บ้างล่ะ จริงไหม”

แมทธิวสบตาผม ดวงตาสีเขียวฉายประกายวาว เขายิ้มมุมปาก ตบไหล่ผมหนักๆ แล้วลุกขึ้น

“ใช่ พวกเราคือรอสซ์”

“...”

“แล้วเจอกันไอ้น้องชาย”

ผมมองตามจนอีกฝ่ายเดินหายลับสายตา เสียงประตูห้องถูกปิดลง ผมถอนหายใจ เอนตัวพิงกับพนักโซฟา แม้ว่าผมจะเกลียดความเป็นรอสซ์ในตัวเอง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านิสัยผมได้รับอิทธิพลจากการเป็นรอสซ์มาไม่น้อย

รอสซ์คือเสือร้าย พวกเราคือผู้ล่าและหยิ่งทะนง

ใครก็ตามที่คิดยุ่งกับเสือร้าย พวกเราจะไม่ปล่อยให้มันทำได้ง่ายๆ แน่!


*****************************************************************************************

หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 4 [29-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-07-2018 20:42:07
มาเฟียร้าย..กะนายแมวเหมียว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 4 [29-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 29-07-2018 21:17:24
สนุกติดตามนะคะ คุณเซ็บเริ่มเอ็นดูเจ้าแมวยักษ์แล้วล่ะสิ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 4 [29-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 29-07-2018 22:07:23
ว๊าวชอบแนวนี้จัง  :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 4 [29-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-07-2018 23:59:33
 o13
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 4 [29-07-61]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 31-07-2018 17:21:39
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 5 [01-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 01-08-2018 19:24:31


Chapter 5

You are my catnip



[Patrick]


“วันนี้ยิ้มบ่อยนะ มีอะไรดีๆ เหรอ”

“ดูออกเลยเหรอ”

“ปากจะฉีกไปถึงหูแล้วแพท”

ผมหัวเราะออกมาเมื่อเทเรซ่า เพื่อนที่เป็นเทรนเนอร์ด้วยกันทักขึ้นในช่วงพักเที่ยงของวัน เธอเลิกคิ้ว หรี่ตาจ้องผมด้วยสายตาจับผิดในขณะยกมือรวบเส้นผมยาวสีบรอนซ์เป็นหางม้า

“มีเรื่องดีๆ อย่างที่ว่านั่นแหละเทซ”

“บอกหน่อย”

“ผมบอกดีไหมนะ”

“แพท!”

“ครับๆ ไม่เห็นต้องตีกันเลย” ผมลูบแขนข้างที่ถูกฝ่ามือเทเรซ่าฟาด เผลออมยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องดีๆ ที่ว่า “ก็แค่...ช่วงนี้เหมือนเขาเปิดใจให้ผมเยอะขึ้น”

“อ๋อ คุณโซลเมต” เทเรซ่าพยักหน้ารับ เธอหยิบแซนวิสกัดไปคำใหญ่ ผมเห็นแล้วเผลอขมวดคิ้วนิดหน่อย กี่แคลฯ กันนะ? “เขาน่ารักไหม พามาเจอหน่อยสิ”

“น่ารักไหมงั้นเหรอ” ผมทวนคำถาม ในหัวปรากฎภาพของเซบาสเตียน ผู้ชายตัวสูงหน้าคมตาดุ พูดน้อยและติดจะขี้รำคาญ แม้ว่าภาพลักษณ์เขาจะห่างจากคำว่าน่ารักไปมาก แต่ว่า… “น่ารักมากๆ เลยล่ะ”

“ยิ้มกว้างขนาดนี้คงจะน่ารักมากจริงๆ”

“ฮ่าๆๆๆ”

“ฉันพูดอะไรผิดเหรอ ทำไมหัวเราะขนาดนั้น”

ผมพยายามกลั้นขำ ปลายนิ้วยกปาดน้ำตาที่เล็ดออกมา เทเรซ่ามองผมด้วยสายตางุนงง แน่ล่ะ ถ้าเธอเจอเซบาสเตียนจริงๆ คงจะหันมาถามผมว่า ‘นี่น่ะเหรอนิยามคำว่าน่ารักของนาย’ ถึงตอนนั้นผมคงไม่อธิบายให้เธอเข้าใจหรอกว่าเซบาสเตียนน่ารักยังไง ความน่ารักของเขาเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสเองถึงจะรู้

และผมค่อนข้างไม่อยากให้คนอื่นสัมผัสความน่ารักของเขาซะด้วยสิ

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ผมก็หัวเราะไปงั้นแหละ”

“ให้จริงเถอะ”

ผมยิ้มรับ ไม่ได้ตอบอะไรและหันไปจัดการกับอาหารกลางวันต่อ ผมมองออกนอกหน้าต่างโซนแคนทีน ท้องฟ้าวันนี้ก็ยังมืดครึ้มไม่ต่างจากตอนเช้าที่ฝนตก ผมภาวนาให้มันตกอีกครั้ง แม้ว่าจะทำให้เฉอะแฉะและอากาศเย็นไปนิดแต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมอยากคุยกับเซบาสเตียนมากกว่า

จนตอนนี้เขาก็ยังไม่ให้ช่องทางติดต่ออื่นกับผมเลย

น้อยใจนิดหน่อย แต่เทียบกับที่รู้แล้วว่าเขาเป็นใครมันก็ไม่ยากถ้าจะตามหาตัว

Rrrr

เสียงโทรศัพท์มือถือของเทเรซ่าดังขึ้น ผมไม่ได้สนใจนักจนกระทั่งได้ยินเสียงเธอบ่นอย่างฉุนเฉียวจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวัง ทำไมไม่ฟังกันบ้าง เธอนี่ อย่าพูดแทรกฉันนะ ไม่รู้ล่ะ ยังไงเรื่องนี้เธอต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องหนีไปไหนเลยนะ ฉันจะไปรับ”

“มีเรื่องอะไรเทซ?”

ผมถามเมื่อเธอวางสาย เทเรซ่าถอนใจ เธอสบตาผม

“น้องสาวฉันน่ะสิ”

“ทีน่า?”

“ใช่” เทเรซ่าพยักหน้ารับ “ยัยนั่นเพิ่งสอบใบขับขี่ผ่านเลยเห่อขอยืมรถฉันขับไปมหา’ลัย วันแรกก็ได้เรื่องเลย ไปเสยเสาหน้าตึกเข้าให้”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” ผมขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง ผมเคยเจอทีน่าอยู่บ่อยๆ เลยสนิทกับเธอพอสมควร “เรียกประกันแล้วใช่ไหม”

“ทีน่าจัดการเรียบร้อยแล้ว เธอไม่เป็นอะไรมาก มีแค่รอยช้ำนิดหน่อย แต่รถนี่หน้ายุบเลย เฮ้อ รถฉัน…”

“เดี๋ยวผมไปส่ง”

“ไม่เป็นไรๆ” เทเรซ่าโบกมือปฏิเสธ “นายอยู่นี่แหละ เดี๋ยวลูกค้าก็ว่าเอาหรอก มีเทรนต่อไม่ใช่เหรอ ถึงนายจะเป็นหลานเจ้าของฟิตเนสก็ใช่ว่าจะโดดงานได้ตามใจชอบนะ เดี๋ยวคุณมาคัสก็หักเงินเดือนเอาหรอก”

“คุณโทมัสโทรมาเลื่อนตั้งแต่เช้าแล้ว” ผมยักไหล่ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ช่วงบ่ายไม่มีงานอะไรด้วย ตาลุงมาคัสไม่น่าจะว่าอะไร ผมว่างพอดีน่าเทซ เธอเองก็ไม่ได้ขับรถมาใช่ไหมล่ะ”

“ก็ใช่”

“งั้นก็อย่าปฏิเสธครับ” ผมยิ้มให้ เทเรซ่าเลยส่ายหัวใส่ แต่มุมปากอมยิ้มน้อยๆ

“เอาใจเก่งแบบนี้ มิน่าทีน่าถึงเพ้อหานายตลอด”

“ว้า รู้สึกผิดกับโซลเมตของทีน่าเลยแฮะ”

“ลดๆ มั่งก็ได้นะความใจดีของนายน่ะ” เทเรซ่าลุกจากเก้าอี้แล้วเดินนำผมออกจากโซนแคนทีน เธอเอี้ยวหน้าหันกลับมาสบตาผมแวบนึง “ระวังคุณโซลเมตของนายจะหึงเอา”

ผมยิ้ม ไม่ตอบอะไร ทำเพียงแค่เดินเคียงไปกับเทเรซ่า

เซบาสเตียนจะหึงงั้นเหรอ?

อืม...งั้นผมคงต้องใจดีกับคนอื่นอีกเยอะๆ เพราะนั่นฟังดูดีทีเดียว


ระยะทางจากฟิตเนสมาถึงมหาวิทยาลัยของทีน่าใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ยัยตัวแสบนั่งรอผมกับเทเรซ่าอยู่ใต้ตึกเรียน ทันทีที่เธอเห็นพวกเราก็พึมพำเสียงเบา

“ขอโทษ…”

“ให้ตายสิทีน่า” เทเรซ่าเสยผมด้วยความหงุดหงิด เธอยืนกอดอกเขม็งตาจ้องทีน่า

“ฉันขอโทษแล้วไงเทซ”

“ฉันเตือนเธอแล้วนะทีน่าว่าอย่าเพิ่งรีบ เธอก็ไม่ฟัง”

“โธ่ ใครจะไปรู้”

“ฉันนี่แหละที่รู้” เทเรซ่าจ้องทีน่าจนผมชักจะกลัวแทน “เธอเป็นคนใจร้อน ตัดสินใจแบบไม่คิดให้ถี่ถ้วน เฮ้อ แล้วดูสิรถฉันเยินขนาดนั้น พรุ่งนี้ฉันจะเอาอะไรขับไปทำงานฮะ?”

“เธอก็นั่งรถสาธารณะไปแบบวันนี้สิ โอ๊ย!”

“ไม่ต้องมาร้องเลย ฉันตีแค่นี้ยังเบาไป”

“เทซ! ยัยคนใจร้าย!” ทีน่าลุกขึ้นเถียง

“เออ คนใจร้ายที่ให้ยัยน้องสาวตัวดียืมรถมาชนเสาเล่นนี่แหละ!”

“พอๆ หยุดก่อนเลยทั้งคู่” ผมที่เงียบฟังมานานเข้าไปห้ามสองสาวไม่ให้ทะเลาะกันไปมากกว่านี้ เทเรซ่าน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เธอเป็นผู้ใหญ่พอที่จะคุมอารมณ์เมื่อถูกห้าม แต่ทีน่านี่สิ เธอเพิ่งจะสิบแปด ยังอยู่ในวัยที่เลือดร้อนพอสมควร “ทีน่าใจเย็นก่อน”

“แพทก็ดูสิ เทซว่าฉัน”

“เทซว่าเพราะเป็นห่วงไง” ผมยิ้มให้ทีน่า อีกฝ่ายร้อนมาเราควรเย็นกลับ “เทซเป็นห่วงเธอไง เธอก็รู้ว่าพี่สาวเธอเป็นพวกปากร้ายใจดี เห็นบ่นเรื่องรถแบบนั้นแต่ที่จริงเทซห่วงเธอมากๆ ผมรับรองได้เลย แทบจะวิ่งจากฟิตเนสมาที่นี่เลยนะ”

“แพทพอเลย”

“เห็นไหม พอผมพูดถูกเข้าหน่อยก็เขินเลย ทีน่าดูสิ”

“แพท!”

“คิก…”

“นั่น ยิ้มแล้ว” ผมหัวเราะ วางมือบนศีรษะทีน่าแล้วจับโยกเบาๆ “เป็นพี่น้องกันคุยกันดีๆ ทีน่าก็รู้ตัวใช่ไหมว่าทำรถของเทซเสียหาย ตรงนี้ก็ต้องยอมรับนะครับ”

“อือ รู้แล้วน่าแพท”

“ดูนะแพท น้องสาวฉันเชื่อฟังนายมากกว่าฉันที่เป็นพี่สาวอีก”

“เพราะแพทใจดียังไงล่ะ แบร่”

“ยัยทีน่า!”

ผมหัวเราะ มองสองพี่น้องที่กลับมาตีกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการตีกันปกติไม่ใช่ทะเลาะอย่างเมื่อครู่ ผมไม่มีพี่น้อง แต่เห็นเทเรซ่ากับทีน่าดูสนิทกันแล้วก็นึกอิจฉานิดหน่อย อย่างน้อยพวกเธอก็ไม่เหงาเวลามีกันและกัน

ระหว่างคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่คุ้นตาเดินตัดผ่านด้านหลังเทเรซ่าและทีน่าไป ผมหรี่ตามองจนมั่นใจก่อนหันกลับมาหาเทเรซ่า

“เดี๋ยวเธอพาทีน่ากลับไปก่อนแล้วกัน”

“หืม แล้วนายล่ะ”

“เหมือนเจอคนรู้จักน่ะ” ผมยิ้ม หยิบกุญแจรถยัดใส่มือเทเรซ่า “ขับรถผมไปก่อนเลยเทซ ไม่ต้องห่วง”

“เอางั้นเหรอ”

“ครับ ตามนี้แหละ”

“โอเค”

เทเรซ่าพยักหน้ารับ พวกเธอโบกมือให้ผมก่อนพากันเดินไปยังลานจอดรถที่ผมจอดเอาไว้ ผมมองจนพวกเธอเดินไปไกลระยะหนึ่งถึงหมุนตัวไปตามทางที่เห็น ‘เขา’ ก้าวไป

ผมไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายโดดเด่นอยู่แล้วหรือเพราะสายตาผมมีแค่เขาถึงหาเจอได้ง่ายๆ อีกฝ่ายสวมเชิ้ตแขนยาวสีดำ กับกางเกงสแล็คและรองเท้าหนังสีเดียวกัน ในมือหอบแฟ้มและกระเป๋าเอกสารดูวุ่นวาย ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ ยังไม่ทันได้ประชิดตัว อีกฝ่ายก็ชะงักฝีเท้าแล้วหมุนตัวมาประจันหน้าผมเหมือนรู้ว่ากำลังถูกตาม

ดวงตาสีเขียวมรกตหรี่ลงเมื่อเห็นผมยิ้มเผล่อยู่ด้านหลัง

“สะกดรอยตามมางั้นเหรอแมวยักษ์”

“เซ็บ~”

“ไม่ต้องมางอแงใส่” เซบาสเตียนถอนใจ “ฉันเห็นนายอยู่กับผู้หญิงสองคนนั้น ใคร?”

“อ้าว เห็นผมแล้วเดินหนีไม่มาทักกันเนี่ยนะ?”

“ก็ไม่รู้จะเข้าไปทักทำไม”

“คุณจะเย็นชาเกินไปแล้วนะเซ็บ” ผมเบะปาก “อ่อนโยนกับผมหน่อยน่า”

“ใครจะใจดีเหมือนนายล่ะ ยิ้มหวานให้คนอื่นไปทั่ว”

“หืม…”

“อะไร?” เซบาสเตียนหรี่ตา ดูท่าไม่ไว้ใจ

“น้ำเสียงคุณดู…” ผมพยายามกลั้นรอยยิ้ม “เหมือนหวงผมเลย”

“เข้าข้างตัวเองเก่งดีนะ”

“คุณหวงผม”

“ไร้สาระ ฉันไม่ได้หวงนาย”

“หวงผมแน่ๆ”

“นี่เจ้าแมวยักษ์ดูปากฉันนะ” เซบาสเตียนถลึงตาจ้องผม “ฉันไม่มีเหตุผลให้ต้องหวงนายเข้าใจไหม”

พูดจบเจ้าตัวก็หันหลังเดินหนีไปทันที แต่คนอย่างผมไม่ปล่อยให้เซบาสเตียนหนีไปไหนได้ง่ายๆ หรอก ผมสาวเท้าเดินตามไปติดๆ ปากก็พูดไม่หยุด

“มีสิเหตุผลน่ะ” ผมเอื้อมมือคว้าชายเสื้อเขาไว้ เซบาสเตียนชะงัก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าดุหันมาทางผม แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะได้ดุผมสมใจ ผมก็ชิงเอาคางไปเกยไหล่กว้างแล้วเงยหน้าส่งยิ้มให้เซบาสเตียนซะก่อน “เพราะผมเป็นแมวยักษ์ของคุณไงเซ็บ”

กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวเซบาสเตียนลอยเข้าจมูก ไม่หวานเกินไปเหมือนน้ำหอมผู้หญิง แต่ให้ความรู้สึกสดชื่นเย็นๆ เหมือนหน้าฝน

ผมเคยได้ยินว่ากัญชาแมวมีฤทธิ์ทำให้เคลิบเคลิ้ม

เซบาสเตียนคงไม่ต่างอะไรกับกัญชาแมว สำหรับแมวยักษ์อย่างผม รู้ตัวอีกทีก็เผลอแนบแก้มกับไหล่เขาแล้วไถไปมาเบาๆ

ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องสบมานิ่ง เซบาสเตียนไม่ได้มีท่าทีเขินอายกับการเข้าประชิดตัวของผม เขาทำหน้าเหมือนเหนื่อยใจ ก่อนจะดีดนิ้วใส่จมูกผมไปทีนึง ผมส่งเสียงร้องประท้วง ดึงหน้าออกมายกมือลูบจมูกป้อยๆ

คุณกัญชาแมวใจร้าย แต่ถึงอย่างนั้นกลิ่นของอีกฝ่ายก็ยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก

ล่องลอย อ้อยอิ่ง…

...ชวนให้หลงใหล

“แมวดื้อ เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”

“ผมดื้อเพราะอยากให้คุณสนใจ”

“ไม่ใช่แค่ฉันที่สนใจ นี่ที่สาธารณะ ไม่คิดจะสนใจสายตาคนอื่นหรือไงแพท”

“ก็…” ผมกลอกตา สุดท้ายก็จ้องสบกับอีกฝ่าย “ถ้าตอบว่าไม่คุณจะตีผมอีกไหม”

“ตี”

“อ่า งั้นสนก็ได้ครับ”

“นายนี่จริงๆ เลย”

“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่เหรอ” ผมมองแฟ้มเอกสารที่เซบาสเตียนหอบอยู่ด้วยความสนใจ

“ทำงาน”

“ทำงาน?” ผมทวนคำ เงยหน้ามองเขา สงสัยว่าใบหน้าผมจะมีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน เซบาสเตียนเลยถอนใจใส่อีกครั้ง

“ฉันเป็นอาจารย์พิเศษ”

“ลุคคุณดูไม่เหมือนอาจารย์เลย”

“เลิกไร้สาระได้แล้ว นายกำลังทำให้ฉันเสียเวลา”

“เดี๋ยวสิเดี๋ยว” ผมรีบเดินตามเซบาสเตียนที่สาวเท้าเดินหนี อีกฝ่ายไม่ฟังเสียงเรียกของผมเลยสักนิด “คุณสอนเสร็จหรือยัง หลังจากนี้ว่างไหม”

“นายไม่มีการมีงานทำจริงๆ ใช่ไหมแพท ถึงได้มาว่างกวนฉันได้ตลอดเวลา”

“คุณอย่าดุผมสิ” ผมแสร้งทำหน้าหงอย เดินเคียงไปกับเขา “ผมแค่ทำตามสัญญา”

“สัญญาอะไรอีก”

“เมื่อเช้าไง”

“อะไร”

“ที่ผมบอกว่าแล้วเจอกัน” ผมยิ้ม ดวงตาเป็นประกายตอนเห็นสีหน้าของเซบาสเตียนฉายแววเก้อเขินขึ้นมาแวบนึง “ผมกำลังทำตามสัญญาอยู่ไง คุณไม่อยากเจอผมเหรอ”

“...”

“อ้อ จริงสินะ แน่นอนสิว่าต้องอยากเจอ ไม่งั้นเมื่อเช้าคุณจะทักผมทำไมจริงไหม”

ใบหูเซบาสเตียนกลายเป็นสีแดงจัด เขาหันมาถลึงตาใส่ผม แฟ้มหนักๆ ถูกจับยัดใส่อ้อมแขน ผมหน้าเบ้เมื่อรู้สึกถึงความหนักของมันที่มาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ถือตามฉันมาเจ้าแมวยักษ์”

“เซ็บ~”

“ประท้วงเหรอ”

“เปล่าครับ” ผมอมยิ้ม ยอมตกเป็นเบ๊ให้เซบาสเตียนแต่โดยดี “แค่จะบอกว่าตอนคุณเขินน่ารักดี”

“เจ้าแมวยักษ์!”

“ถ้ามีคุณเป็นเจ้าของก็ยอมนะ”

ผมว่าหน้าตาย เซบาสเตียนตวัดสายตามอง เขาถอนหายใจ วางมือลงผมหัวผมแล้วขยี้ซะแรง

“อย่าเรียกร้องให้มากนักแพท นายไม่อยากได้ฉันเป็นเจ้าของหรอก”

“หืม ทำไมล่ะ?”

เซบาสเตียนหยุดเดิน เขาหันมาเผชิญหน้ากับผม ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องตรงมาไม่ละไปไหน ผมเหมือนถูกดึงดูดให้ตกลงไปในวังวนนั้น

หลุมลึกที่ไร้ซึ่งทางออก

“ฉันเป็นพวกหวงของ”

“...”

“หวงจนนายจะรู้สึกอึดอัดเลยล่ะ”

“ฟังดูผูกมัดดี” ผมยักไหล่ สบตาสู้เขาอย่างไม่ยอมแพ้ “ทำไงดี ผมชอบโดนผูกมัดซะด้วยสิ”

เซบาสเตียนไม่ตอบอะไรอีก เขาสบตาผมอยู่อีกครู่หนึ่งก็ถอนใจ หมุนตัวเดินต่อไป ผมเดินตามเขาอย่างไม่เร่งรีบ สายตามองตามแผ่นหลังกว้างนั้น มุมปากเผลอกระตุกยิ้ม

เซบาสเตียนอาจยังไม่รู้ ว่าผมเองก็เป็นพวกชอบเอาชนะ

ยิ่งเขาปฏิเสธผมยิ่งเข้าหา บางที...เสือร้ายอย่างเขา อาจสยบให้แมวยักษ์อย่างผมก็ได้ ใครจะไปรู้

หลอกล่อเหยื่อด้วยร่างแมวเหมียว เคยได้ยินกันไหมครับ :)



*****************************************************************************************


หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 5 [01-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 01-08-2018 19:57:02
 :-[ :-[ หลอกล่อด้วยร่างแมวเหมียวอะไรกันบ้่าจริงงงงง
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 5 [01-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 01-08-2018 21:44:41
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 5 [01-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-08-2018 22:00:53
เค้าเริ่มจะมุ้งมิ้งกันแล้ว..วววววว น่ารัก  :katai3: :katai3: :katai3:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 5 [01-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 01-08-2018 22:37:24
ตายๆๆ คุณเซ็บโดนเจ้าแมวยักษ์อ้อนแบบนี้ไม่ดีต่อใจแน่เลย :hao7:
เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน เนื้อเรื่องหน้าติดตามดีค่ะ หาอ่านแนวนี้ยากด้วย เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 5 [01-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 02-08-2018 11:28:15
แมวแพทกล้าหลอกเสือเซ็บซะงั้น เซ็บเขินแล้วน่ารักจังค่ะ ชอบเวลาคู่นี้อยู่ด้วยกันจังมันฟุ้งๆ  :o8: ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 03-08-2018 17:13:08


Chapter 6

You always beside me


[Sebastian]


แมวเป็นสัตว์ชอบเรียกร้องความสนใจ แพทริคเองก็ไม่ต่างกัน ดวงตาสีฟ้านั้นจ้องผมไม่วางตา เป็นแววตาใสๆ ที่ผมคิดว่ามันแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ ผมมองเขาแล้วเห็นภาพแมวยักษ์ตัวหนึ่งกำลังหมอบซุ่ม สายตาเหลือบมองตามผม...ซ้าย...ขวา หรือไม่ว่าผมจะขยับตัวไปทางไหนก็ตาม หางเรียวยาวสะบัดไปมาคล้ายกำลังวางแผนในใจและหาจังหวะตะครุบ

แต่ถ้าจะตะครุบผม แพทริคคงต้องพยายามหนักหน่อย

เพราะเสือไม่มีวันตกเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ

“อาจารย์คะ…”

นักศึกษาในคลาสยกมือถามคำถาม ผมหันมองเธอ สะบัดเรื่องแมวยักษ์ออกไปจากหัวแล้วอธิบายเนื้อหาในส่วนที่นักศึกษาคนนั้นไม่เข้าใจให้เธอฟังอีกครั้ง ปกติเวลาผมทำงานมักจะไม่เอาเรื่องอื่นมาคิดให้เสียสมาธิ แต่เรื่องของแพทริคกลับคอยวนเวียนอยู่ในหัวจนน่ารำคาญใจ

กว่าผมจะสลัดเขาหลุดได้ก็เกือบเข้าคลาสสอนเลท เจ้าแมวยักษ์ตัวดี เห็นผมใจอ่อนให้หน่อยก็ทำเป็นได้ใจจะเรียกร้องมากกว่าเดิม

“เจอกันอาทิตย์หน้า พวกคุณอย่าลืมงานที่ผมสั่งนะครับ”

เวลาสามชั่วโมงผ่านไป หลังให้การบ้านนักศึกษาเรียบร้อยผมก็บอกเลิกคลาส พวกเขาพากันทยอยเดินออกจากห้อง ผมพยักหน้าให้เมื่อมีคนกล่าวลา จนในห้องเหลือผมคนเดียว เอกสารประกอบการสอนถูกจับยัดใส่แฟ้ม ผมตรวจจนแน่ใจดีแล้วว่าไม่ลืมอะไรถึงเดินออกมา ก่อนชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นกลุ่มนักศึกษาที่ตัวเองเพิ่งปล่อยกำลังจับกลุ่มซุบซิบอะไรบางอย่าง

ผมเกือบเดินผ่านแล้วถ้าไม่ใช่ว่าหางตาเหลือบเห็นเส้นผมสีจินเจอร์ที่โดดเด่นออกมาจากผนังสีขาวเข้าซะก่อน

แมวยักษ์เหมือนรู้ตัวว่าถูกจ้อง...ผมหมายถึง เขารู้ว่าถูก ‘ผม’ จ้อง คนที่เอาแต่ก้มหน้าปัดนิ้วไปมาบนไอแพดถึงเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้กัน

ผมได้ยินเสียงลูกศิษย์ตัวเองกรี๊ดเบาๆ

แพทริคเก็บไอแพดใส่กระเป๋าเป้ เขาเดินตรงมาที่ผม ดวงตาสีฟ้าจ้องมาอย่างล็อกเป้าหมาย ไม่วอกแวกมองอย่างอื่นข้างทางสักนิด

“คุณสอนเสร็จแล้ว”

“นายไม่มีงานมีการทำจริงๆ ใช่ไหม” ผมเลิกคิ้ว “โดนไล่ออกขึ้นมาอย่ามาโทษฉันนะ”

“คุณใส่แว่นแบบนี้แล้วเท่จัง”

แมวยักษ์ไม่สนใจที่ผมพูด แหงล่ะ สัตว์ตระกูลแมวเคยสนใจอะไรบ้างนอกจากสนใจตัวเอง ผมถอนใจ หยิบแว่นกรอบใสที่สวมอยู่ออกมาใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต ผมไม่ได้สายตาสั้นหรือมีปัญหาทางสายตา แค่รู้สึกว่าเวลาตัวเองอยู่ในบทบาทอาจารย์ การใส่แว่นทำให้ดูภูมิฐานและน่าเชื่อถือขึ้นก็เท่านั้น

“อา...ถอดออกซะแล้ว”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มเจือแววเสียดายอย่างเห็นได้ชัด

“รอทำไม ฉันไม่ได้บอกให้นายรอ”

“ก็ลางานเต็มวันไปแล้ว” เขาว่าหน้าตาย “ไม่รู้จะไปไหนดีเลยคิดว่ารอคุณสอนเสร็จดีกว่า”

“คิดว่าฉันจะให้นายไปด้วย?”

“ก็...ไม่นะ”

“คิดถูก” ผมตอบสั้นๆ สาวเท้าเดินนำออกไปจากจุดนี้เมื่อเห็นว่าคนให้ความสนใจเจ้าแมวส้มนี่มากเกินไปแล้ว “กลับไปได้แล้วแมวยักษ์ ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับนายทั้งวันหรอกนะ”

“งั้นแค่ไปดื่มกาแฟกันสักชั่วโมง…”

“แพท” ผมเรียกชื่อเขา ชะงักเท้าหันไปมอง อีกฝ่ายจ้องผมตาละห้อย “ฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่”

“เซ็บ…”

ผมเงียบ ไม่ตอบ เร่งฝีเท้าเดินต่อ

“เซ็บ…”

“...”

“เซบาสเตียน” เป็นครั้งแรกที่แพทริคเรียกชื่อเต็มของผม ชายเสื้อถูกคว้าเอาไว้ ผมถอนใจ หันหน้ากลับไปหมายจะดุเจ้าเด็กดื้อที่พูดจาไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องมองมาด้วยสายตาเว้าวอน คำดุพลันถูกกลืนลงคอ

แมวเป็นสัตว์ขี้อ้อน

และแพทริคเองก็ขี้อ้อนสุดๆ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น

พอรู้ตัวอีกที...

“แค่ชั่วโมงเดียวพอนะเจ้าแมวยักษ์”

“อื้ม” อีกฝ่ายขานรับ ดวงตาใสเป็นประกายวาว “เซ็บใจดีที่สุด”

ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนใจดี แต่ถ้าแพทริคจะคิดอย่างนั้นผมก็ขี้เกียจจะห้าม ผมเดินนำเขาไปที่ลานจอดรถ ยังไม่ทันได้ปลดล็อก แพทริคก็พูดแทรกขึ้นมา

“ผมขับให้”

“ฉันขับเอง นายนั่งเฉยๆ เถอะ”

“คุณสอนมาเหนื่อยๆ” เขาสบตาผม ริมฝีปากยกยิ้มหวาน “นั่งพักสบายๆ ดีกว่าครับ”

“ถ้าฉันไม่ให้นายก็จะตื๊อให้ได้ใช่ไหม?”

“อืม...คุณคิดว่าไงล่ะเซ็บ ลองพิสูจน์ก็ได้นะครับ”

“เอาไปเลยไป”

ผมโยนกุญแจรถใส่อกอีกฝ่าย แพทริคยกมือขึ้นรับได้พอดี ใบหน้าแมวยักษ์เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเมื่อโดนผมตามใจ...ไม่สิ ผมไม่ได้ตามใจ แค่รำคาญจนไม่อยากเถียงกับคนเด็กกว่าเท่านั้น

ประตูรถถูกปิดลง เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้น ผมวางกระเป๋าเอกสารไว้เบาะหลัง เอนตัวพิงพนักเบาะแล้วหลับตาลง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและความคิดที่ตึงเครียดจากการสอน เสียงเพลงแจ๊สจากวิทยุเปิดคลอพร้อมกับรถที่เคลื่อนตัวออกจากลานจอด

ไม่ต้องขับเองมันก็สบายจริงๆ นั่นแหละ

พอสบายมากไป...สติผมก็เริ่มเลือนราง

ผมไม่ใช่คนที่ไว้ใจคนอื่นได้ง่าย แต่การเผลอตัวผล็อยหลับไปโดยมีแพทริคเป็นคนขับรถให้ผมไม่แน่ใจว่าเพราะผมไว้ใจเขาหรือแค่เหนื่อยกว่าปกติเท่านั้น


“เซ็บ…”

“...”

“เซบาสเตียน”

เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู แผ่วเบาและค่อยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจมดิ่งอยู่ก้นทะเลลึกเงียบเชียบก่อนโดนเกลียวคลื่นพัดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แสงอาทิตย์อบอุ่นลามเลียผิวกายจนรู้สึกตัวตื่นมาพบกับความเป็นจริง

ในความเป็นจริงไม่มีทะเลลึก

ไม่มีพระอาทิตย์อบอุ่น

มีเพียงดวงตาสีฟ้าซีดที่จ้องสบผมในระยะประชิดและเสียงของเขาที่อบอุ่นไม่ต่างอะไรกับพระอาทิตย์ แพทริคโน้มตัวมาหาผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าใบหน้าเขาใกล้เข้ามาจนสังเกตเห็นถึงรายละเอียดต่างๆ ได้ชัดเจน ความชัดเจนนั้นทำให้ผมคิดได้ว่าบางอย่างที่ดูไม่สมบูรณ์คือความสวยงามในรูปแบบหนึ่ง

ดวงตาเขาไม่ได้เท่ากันทั้งสองข้าง ตาซ้ายของแพทริคให้ความรู้สึกเฉียบคมกว่าด้านขวา ในขณะเดียวกัน ใบหน้าขาวซีดก็เต็มไปด้วยรอยกระสีจางกระจัดกระจายไม่เรียบเนียนบริเวณจมูกและสองข้างแก้ม

แพทริคไม่ได้มีใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ แต่แปลกที่ความไม่สมบูรณ์แบบนั้นดึงดูดสายตาผมได้อย่างง่ายดาย

ผมจ้องหน้าเขา ปลายนิ้วเผลอยื่นไปสะกิดรอยกระบนจมูกอีกฝ่ายเบาๆ แพทริคเลิกคิ้ว สีหน้าประหลาดใจแต่ไม่ถอยหนี

“กระ…” ประโยคโง่ๆ ถูกโพล่งออกไปเมื่อผมรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร “...เข้ากับนายดีเจ้าแมวลายจุด”

แพทริคยิ้ม ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง เขาเอียงหน้าขยับไปมาให้ปลายจมูกปัดผ่านปลายนิ้วผมคล้ายจะหยอกล้อ

“แมวลายจุด” เขาทวนคำพร้อมหัวเราะ “ผมชอบคำนี้นะ :)”

“ถึงแล้วเหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่อง รู้สึกหงุดหงิดตัวเองนิดหน่อยที่เผลอทำอะไรโง่ๆ ลงไป “ฉันเผลอหลับ?”

“ครับ แต่ไม่นานหรอก”

“รีบลงเถอะ”

“ตอนคุณนอนน่ารักดี”

“อะไรนะ” ผมชะงัก หันมาจ้องหน้าเจ้าแมวยักษ์ที่ยิ้มกริ่มจนไม่น่าไว้ใจ “นายคงไม่ได้ฉวยโอกาสตอนฉันไม่รู้ตัวทำอะไรแปลกๆ หรอกใช่ไหม”

“นั่นสิ คุณคิดว่าไงล่ะ”

“แพท…” ผมกดเสียงต่ำ ตาเขม็งจ้องแพทริค “เป็นแมวดื้อตั้งแต่เมื่อไหร่”

“คุณอยากให้เชื่องไหม?”

“แพท”

“แมวดื้อเชื่องได้ถ้าได้รับความรักมากพอนะครับ”

“เริ่มจับเวลาเลยแล้วกัน” ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “นายเหลือเวลาอีกห้าสิบเก้านาที”

“อาจารย์โหดจังเลยครับ”

ผมใช้สายตาปรามเจ้าเด็กดื้อที่นับวันชักจะได้ใจไปใหญ่ แพทริคสะดุ้งนิดหน่อย แต่ก็กลับมายิ้มระรื่นได้ในนาทีต่อมา ผมส่ายหัว การรับมือเจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ยากกว่าที่คาดไว้

ผมปลดล็อกเซฟตี้เบลท์กำลังจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ ทว่าเสียงจากโทรศัพท์มือถือกลับดังขัดขึ้นมาซะก่อน ผมชะงัก หยุดสิ่งที่กำลังทำเพื่อรับโทรศัพท์

‘แมทธิว’

แค่เห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอก็เผลอขมวดคิ้ว

“ว่าไง” ผมกลอกเสียงรับสาย

“เซ็บ” น้ำเสียงของแมทธิวตึงเครียดไร้วี่แววล้อเล่น ผมยืดตัวนั่งตรงโดยอัตโนมัติ “พ่อโดนลอบยิง”

“ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

ผมพยายามบังคับเสียงตัวเองให้มั่นคงที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง

“โรงพยาบาล B เขตสอง อยู่ห้องฉุกเฉินกำลังผ่ากระสุน”

“ฉันจะรีบไป” ผมกดวางสาย ตั้งสติโดยการสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วหันไปหาแพทริค “ฉันไม่ว่างแล้ว นาย…”

“เดี๋ยวผมขับให้”

“แพท”

“โรงพยาบาล B เขตสองใช่ไหม” เขาทวนคำ สตาร์ทรถโดยไม่ฟังคำค้านของผมสักนิด “ผมรู้จัก ไม่ไกลเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่นานหรอก”

“แพทริค” ผมเรียกชื่อเต็มเขา “นี่ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องมาวุ่นวายด้วย”

ผมไม่ได้ว่าเขา แต่หมายความตามนั้นจริงๆ

“ผมบอกแล้วไงว่าวันนี้ว่างทั้งวัน”

“...”

“เวลาผมทั้งวันนี้ยกให้คุณ” น้ำเสียงแพทริคนุ่มทุ้ม “อีกอย่าง...จะปล่อยคุณอยู่คนเดียวในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไงล่ะ อ่า...ขอโทษที่แอบฟังนะ แต่ในรถมันเงียบ เสียงจากในโทรศัพท์คุณก็ดัง”

“อืม ไม่เป็นไร”

ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แพทริคเองก็คงเห็นว่าผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะชวนคุยได้ เขาเลยเงียบไป ผมนั่งนิ่ง ตาจ้องตัวเลขเวลาบนนาฬิกาดิจิตอลบนหน้าคอนโซลรถ เวลาที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นทุกที

ใช่ ผมไม่ค่อยชอบพ่อ ไม่ชอบธุรกิจสีเทาของตระกูลรอสซ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเกลียดพ่อจนไม่รู้สึกอะไรเมื่อรู้ว่าเขาโดนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บ

ผมละสายตาจากนาฬิกาดิจิตอลที่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประสาทเสีย เปลี่ยนเป็นมองออกนอกหน้าต่างรถแทน ท้องฟ้ามืดครื้มกว่าเดิม ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นฝนเม็ดหนึ่งก็ตกกระทบหน้าต่าง

เสียงต่างๆ ค่อยๆ เงียบลงจนกระทั่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบเชียบ

เงียบเหมือนอยู่ตัวคนเดียว

ผมเกลียดที่ตัวเองรู้สึกอ่อนแอขึ้นมาเฉยๆ แต่มันห้ามไม่ได้ในสถานการณ์ที่พะวงกับความปลอดภัยของพ่อ

“ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี เชื่อผมนะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ลมหายใจผมสะดุด เหมือนหลุดออกจากห้วงความคิดและรับรู้ว่ายังมีใครอีกคนที่อยู่ข้างๆ ผมหันมองเขา สายตาแพทริคมองตรงไปที่ถนนข้างหน้า มือซ้ายจับพวงมาลัยรถในขณะที่มือขวายื่นมาจับมือผมไว้ กระชับเบาๆ ให้ความอบอุ่นแทรกผ่านความเย็นชื้น

“ขับรถดีๆ” ผมดึงมือออก “ฉันไม่เป็นไร”

“ใช่ เพราะคุณเก่ง”

“เปล่า”

“...?”

“เพราะนายบอกเองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย” ผมทวนประโยคนั้น หันมองออกนอกหน้าต่าง “ฉันเชื่อนาย”

ผมรู้ดีว่าการพูดออกไปแบบนั้นจะทำให้แมวยักษ์ได้ใจ แต่ในเมื่อมันเป็นความจริง ผมก็ไม่รู้จะเลี่ยงทำไม


พวกเรามาถึงโรงพยาบาลที่แมทธิวบอกในอีกยี่สิบนาทีต่อมา พี่ชายผมยืนหน้าเครียดอยู่หน้าห้องฉุกเฉินกับบอดี้การ์ดประจำตัวอีกสองคน ผมพยักหน้าให้สองคนนั้นที่ก้มหัวแสดงความเคารพแล้วหันไปทางแมทธิว

“เรื่องมันเกิดได้ยังไง” ผมขมวดคิ้วแน่น “ใช้การ์ดชุดไหน การป้องกันหละหลวมแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

‘ใจเย็น’ แมทธิวขยับปากพูดทว่าไร้เสียง ตอนนั้นเองผมถึงนึกขึ้นได้ว่าฝนยังไม่หยุดตก ‘พาใครมาด้วย?’

“เพื่อน”

ผมตอบรับสั้นๆ เปลี่ยนเรื่องโดยการคว้าข้อมือแพทริคที่ยืนนิ่งทำตัวไม่ถูกมานั่งรอบนเก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องฉุกเฉิน ตลอดเวลานั้นผมสัมผัสได้ถึงสายตาของแมทธิวที่จ้องมองมา

“ใครครับ?”

“พี่ชายฉัน”

“ว้าว...จากัวร์แห่งรอสซ์ตัวเป็นๆ” น้ำเสียงแพทริคดูตื่นเต้น “ก็คิดอยู่ว่าหน้าคุ้นๆ ตัวจริงดูดีกว่าในรูปเยอะ”

“ไม่เห็นจะดูดีตรงไหน”

“คุณอยู่กับเขาจนชินมากกว่า” แพทริคแย้ง “หุ่นเขาดีมากเลยนะเนี่ย สูงแต่ไม่เก้งก้าง กล้ามเนื้อสวยมาก ไหล่ก็กว้าง ถ้าไม่เป็นนักธุรกิจไปเป็นนายแบบแทนผมว่าดังแน่ๆ”

“ถ้าชอบแมทมากนักก็ไปทำความรู้จักซะสิ” ผมว่าเสียงเรียบ “หมอนั่นก็เข้ากับคนง่ายเหมือนนาย คงสนิทกันเร็ว”

“หืม”

“อะไร”

“คุณโมโหอะไรหรือเปล่า?”

“โมโหอะไร” ผมจ้องหน้าเขา “ไม่มีเรื่องไหนให้โมโหนอกจากการ์ดชุดนี้ที่ดูแลความปลอดภัยให้พ่อฉันไม่ได้”

“เซ็บ”

“หมอออกมาแล้ว”

ผมตัดบท ลุกขึ้นสาวเท้าตรงไปหาคุณหมอ ด้วยอุปสรรคด้านการสื่อสารที่ยากลำบากในเวลาฝนตก ทำให้คุณหมอต้องเขียนรายงานอาการพ่อผมบนไวท์บอร์ดพกพาให้พวกเราอ่านแทน

พ่ออาการไม่สาหัสอย่างที่ผมกังวล กระสุนฝังเข้าที่หัวไหล่ถูกผ่าออกแล้ว หลังจากนี้เขาต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลสักระยะเพื่อดูอาการว่าอาการบาดเจ็บจะไม่ส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้ออื่นๆ

ผมมองบุรุษพยาบาลเข็นเตียงพ่อผ่านหน้าไป เขานอนหลับตานิ่งไร้สติ พ่อดูแก่ลงจากเดิมและใบหน้าดูเหนื่อยกว่าเดิม ส่วนเรื่องห้องพักแมทธิวเป็นคนจัดการให้เรียบร้อยแล้ว

‘อยู่คุยกันก่อน อย่าเพิ่งกลับ’

แมทธิวขยับปากพูดกับผม เขาเหลือบตามองแพทริค มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม ก่อนหันไปทางเจ้าแมวยักษ์เต็มตัวแล้วยื่นมือให้

‘ยินดีที่ได้รู้จักครับ’

“เช่นกันครับคุณแมทธิว”

‘เรียกแมทเถอะครับ’ ทันทีที่แมทธิวพูดออกมาแบบนั้น ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาถูกใจแพทริคเข้าให้แล้ว พี่ชายผมเป็นคนถือตัวถึงภายนอกจะดูเข้ากับคนง่ายก็ตาม มีไม่กี่คนที่เขายอมให้เรียกชื่อเล่นตั้งแต่แรกเจอ

“ครับแมท” แพทริคหัวเราะ

“แมวยักษ์มานี่” ผมเรียกเสียงเข้ม แพทริคหันมาตามเสียง คิ้วเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม “อย่าไปไว้ใจแมทมากเกินไป นายตามเขาไม่ทันหรอก”

“แมทก็ดูไม่ได้…”

“แพทมานี่”

เสียงผมเข้มขึ้นกว่าเดิม แพทริคเลยหันไปยิ้มให้แมทธิวอีกทีก่อนเดินมายืนข้างผมแต่โดยดี ผมจ้องหน้าพี่ชายตัวเอง ดวงตาเขาฉายประกายวาว ริมฝีปากคลี่ยิ้มที่ผมเห็นแล้วรู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดๆ

‘เจอกันที่ห้องพ่อ’

แมทธิวว่าก่อนเดินนำหน้าพวกเราไป ผมมองตาม ถอนใจแล้วสาวเท้าเดินตามไปติดๆ

“เซ็บ”

“อะไร”

“ข่าวที่บอกว่าคุณกับพี่ชายไม่ถูกกันนี่จริงหรือเปล่า”

“ไม่จริง…” ผมขมวดคิ้ว “แต่มีบ้างที่เหม็นหน้ากัน”

“อ่า...ผมนึกว่าเมื่อกี้ที่คุณไม่อยากให้ผมคุยกับแมทเพราะไม่ชอบแมทซะอีก”

“ชอบแมทหรือไง?”

“เขาก็ดูดีนะ เฟรนด์ลี่ดี”

“อืม...สรุปคือชอบแบบแมทมากกว่า” ผมพยายามปิดความหงุดหงิดในน้ำเสียง...ซึ่งทำได้ห่วยแตกมาก แพทริคเงียบไป ผมคิดว่าเขารู้แล้วว่าผมไม่พอใจเรื่องอะไร

แมวที่อ้อนคนอื่นไปทั่วแบบนั้น…

โอเค ผมไม่ได้หวงแพทริคใน ‘ทำนองนั้น’ ก็แค่ผมกับแมทธิวมักถูกเปรียบเทียบกันอยู่เสมอตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ พวกเราเป็นทายาทตระกูลใหญ่ ถึงผมจะเกลียดตระกูลตัวเองแต่เรื่องชิงดีชิงเด่นเป็นเรื่องที่ยอมไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ยิ่งกับแพทริคที่ออกตัวว่า ‘สนใจผม’ แต่กลับชมแมทธิวไม่หยุดปาก

“เซ็บ”

“...”

“แมทเท่ดีนะ…” ยังจะชมให้ได้ยินอีกเหรอ เชื่อเขาเลย! “แต่คุณเท่กว่า หล่อกว่า ตาสวยกว่า ไหล่กว้างกว่า แถมมือยังอุ่นกว่ามากๆ ด้วย”

ไม่พูดเปล่า แพทริคยังคว้ามือผมไปจับเอาไว้ ผมหันมองเขา หรี่ตาลงจ้องเจ้าแมวยักษ์อย่างจับผิด

“คิดว่าชมแค่นี้ฉันจะใจอ่อน?”

“แล้วผมก็ชอบคุณมากกว่าแมทด้วย”

“...”

“ชอบมากๆ มากที่สุด”

“หยุดอ้อนได้แล้วแมวยักษ์”

“นี่ยังไม่ได้อ้อนเลย” แพทริคมองผมตาใส ก่อนดวงตาใสๆ นั้นจะฉายประกายเจ้าเล่ห์แวบนึงแล้วจางหายไป “คุณเคยเห็นเวลาแมวอ้อนไหม อย่างซูกกี้เวลาจะอ้อนผมมันชอบมาคลอเคลีย เอาหน้ามาถูไถ...อย่างนี้”

แพทริควางปลายคางลงบนไหล่ผมอีกครั้ง ผมชะงักฝีเท้าที่ก้าวเดิน ก้มหน้ามองคนที่ซบซุกอยู่บนไหล่ ดวงตาสีฟ้าใสจ้องสบอย่างไม่กลัวเกรง ริมฝีปากยิ้มกริ่ม ผมถอนหายใจ ยกมือขึ้นขยุ้มหลังคอแพทริคจนอีกฝ่ายสะดุ้งแล้วหดคอตัวแข็งทื่อ

“เวลาแมวโดนจับหลังคอแบบนี้จะขยับไม่ได้ ท่าจะจริง”

“เซ็บ…” น้ำเสียงแพทริคโอดครวญ “ปล่อยครับ ตรงนั้นจั๊กจี้”

“ถ้าเล่นแผลงๆ ในที่สาธารณะอีกนายโดนฟาดแน่”

“ไม่ทำแล้วครับ”

เสียงหงอยๆ ทำให้ผมคลายมือออก แพทริครีบดีดตัวถอยห่างจากผม มือถูหลังคอตัวเอง เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยจนผมเผลอหลุดยิ้มออกมา

“จะกลับไปก่อนก็ได้นะ” ผมว่า

“บอกแล้วไงว่าว่างทั้งวัน”

“ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง ฉันเองก็ดีขึ้นแล้ว”

“แต่ผมก็ยังอยากอยู่ข้างๆ คุณอยู่ดี” แพทริคยังยืนยันคำเดิม ใช่...เขาดื้อ “คุณไม่อยากได้คนอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเหรอ”

“นายจะทำให้ฉันเคยตัว”

“...?”

“นายอยู่ข้างฉันตลอดแบบนี้” ผมหันไปสบตาเขา “ถ้าวันนึงฉันขาดนายขึ้นมาไม่ได้จะทำยังไง นายจะรับผิดชอบไหวเหรอ”

“ถ้าการรับผิดชอบคือให้อยู่ข้างคุณตลอดไป”

“...”

“ผมว่าผมไหวนะ”

คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเท่าไหร่ เพียงแต่...ผมไม่คิดว่าแพทริคจะจริงจังถึงขั้นนี้ เขาเคยบอกว่าสนใจผม ในขณะที่ผมไม่ศรัทธาในเรื่องโซลเมตสักนิด คนเราไม่น่าจะชอบกันได้ง่ายๆ เพราะแค่อีกฝ่ายคือ ‘โซลเมต’ ของตัวเอง

ผมไม่รู้ว่าคำตอบเขาจะเหมือนเดิมแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

รู้แค่ว่าตอนนี้มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่…

...การมีแพทริคอยู่ข้างตัวก็ไม่เลวร้ายอะไร


*****************************************************************************************


หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 03-08-2018 19:27:55
แบบนี้เขาเรียกว่าหึงแล้วนะคะคุณเซ็บบบบ~
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 03-08-2018 21:31:42
คุณเซ็บน่ารักจริงๆ ด้วยยยยยย หลงแมวยักษ์แล้วอ่ะเด้
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 04-08-2018 00:23:06
 :catrun:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-08-2018 00:41:25
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-08-2018 12:55:16
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 05-08-2018 01:18:08
แมวยักษ์ขี้อ้อน อ้อนได้น่ารักและกวนเซ็บจริงๆ เซ็บเริ่มเปิดใจแล้ว ขอบคุณค่ะ :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: __puppy ที่ 06-08-2018 01:21:54
เป็นเวิสที่น่าสนใจมากๆๆๆ ขอปักกก่อนนะคะ เดี๋ยวมาอ่าน อิอิ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-08-2018 14:22:31
 :impress2:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 06-08-2018 19:39:10
เซ็บน่ารักกกกกกก
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 6 [03-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 06-08-2018 21:53:43
เซ็บค่อนข้างจะตรงไปตรงมานะ รู้สึกแบบไหนยังไงก็ยอมรับตัวเองได้
ส่วนแมวยักษ์ก็สมกับฉายามากๆ เอะอะก็ซบ เอะอะก็อ้อน ฮึ่ยยย
ถึงไม่ใช่โซลเมทก็หลงแพทได้ง่ายๆเลยละ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 07-08-2018 15:49:53

Chapter 7

Better when we are together


[Patrick]


หลังรับโทรศัพท์สายนั้นเซบาสเตียนดูเปราะบางอย่างน่าใจหาย ผมห่วงเขาจนอาสาพาตัวเองมาอยู่ข้างๆ แม้จะโดนปฏิเสธในตอนแรกก็ตาม เซบาสเตียนอายุมากกว่าผม หลายๆ ครั้งที่ผมรู้สึกว่า ว้าว! คนๆ นี้ดูเป็นผู้ใหญ่จัง นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาปฏิเสธจะรับความช่วยเหลือ แต่ถึงเซบาสเตียนจะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสิทธิ์อ่อนแอ

ผมทำใจทิ้งเขาไว้คนเดียวไม่ได้จริงๆ

เป็นผู้ใหญ่กว่าแล้วยังไง พึ่งพิงคนที่เด็กกว่ามันเสียศักดิ์ศรีตรงไหน?

ตอนนี้เลยกลายเป็นผมนั่งตัวแข็งเกร็งอยู่ในห้องพักระดับ VIP ที่มีบอดี้การ์ดชุดดำยืนเรียงอารักษ์ขารอบห้อง แน่นอนว่าห้องของ ‘ซีมอน รอสซ์’ การป้องกันต้องแน่นหนาเป็นธรรมดา ถ้าเซบาสเตียนไม่ยืนกรานจะให้ผมเข้ามาด้วย ผมคงโดนการ์ดกันไว้ตั้งแต่หน้าห้อง

“ฝนใกล้หยุดแล้ว”

ผมหันมองเซบาสเตียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เรียวขายาวยกพาดโต๊ะรับแขกตรงหน้า สองมือกอดอกหลวมๆ หลังเอนพิงโซฟา เบนหน้ามองออกนอกประตูระเบียงกระจกที่เกาะพราวไปด้วยเม็ดฝน ท่าทางผ่อนคลายจนผมนึกขำตัวเอง

พวกเราเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันจริงๆ นั่นแหละ

ในขณะที่ผมเกร็งกับกลุ่มบอดี้การ์ดที่ยืนเรียงเต็มห้อง เซบาสเตียนกลับทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน ผมส่งเสียงขานรับในลำคอ ตาจ้องมองช่วงลำคอของคนที่นั่งข้างๆ นึกอยากเอียงหน้าซบสูดกลิ่นหอมจากตัวเขาอีกสักครั้ง แถมอุณหภูมิบนตัวเซบาสเตียนก็อุ่นกำลังดี และผมชอบมันสุดๆ ไปเลย

สิบนาทีต่อมาฝนก็หยุดตก

เสียงเข็มนาฬิกาบนผนังห้องเป็นเสียงแรกที่ดังเข้าโสตประสาทการได้ยิน

“อัล...นายไปตามแมทธิวมา”

“รับทราบครับคุณเซบาสเตียน”

หนึ่งในบอดี้การ์ดโค้งหัวรับคำก่อนเดินออกไปข้างนอก เซบาสเตียนหันมาทางผม ดวงตาสีเขียวหรี่ลงจากนั้นมุมปากก็กระตุกยิ้ม

เท่จนอยากโดดเข้าใส่

“เป็นอะไรเจ้าแมวยักษ์ นั่งตัวเกร็งขนาดนั้น”

“คุณรู้ อย่าแกล้งถามเลย”

“ก็บอกแล้ว” เสียงหัวเราะหึดังเข้าหู “ว่าให้กลับไปก่อน นายดื้อเองนะแพท”

“ก็ไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียว”

“ฉันดูอ่อนแอขนาดนั้น?”

“ผมเป็นห่วง”

เซบาสเตียนเลิกคิ้วเหมือนถามว่าเขาดูน่าเป็นห่วงตรงไหน ผมไล่สายตามองคนที่เอนหลังพิงโซฟา ขาเหยียดพาดโต๊ะอย่างสบายอกสบายใจแล้วหาคำพูดไปค้านไม่ออก เซบาสเตียนตอนนี้ก็ดูไม่น่าเป็นห่วงจริงๆ นั่นแหละ

แอ๊ด…

เสียงเปิดประตูทำให้ผมเงียบลง แมทธิวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าแจ่มใสเหมือนเป็นคนละคนกับตอนที่ซีมอน รอสซ์อยู่ในห้องฉุกเฉิน

“ฝนหยุดสักที”

“เรื่องมันเกิดได้ยังไง”

“อา...เรื่องนั้น…” แมทธิวลากเสียง ดวงตาเบนมาสบผมแล้วคลี่ยิ้ม “อืม...บางทีเราคงต้องเชิญเพื่อนใหม่ออกไปรอข้างนอกสักพักนะเซ็บ”

“อา พวกคุณตามสบายเลยครับ” ผมรีบลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้แมทธิว ไม่ติดใจกับการออกปากไล่ทางอ้อม นี่เป็นเรื่องในครอบครัวและผมเป็นคนนอก ผมไม่ควรเข้ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว “ผมก็ว่าจะออกไปหาอะไรทานพอดี”

“แมวส้ม”

“ครับ?” ผมชะงักเท้า หันกลับมาขานรับเซบาสเตียน ดวงตาคมสีเขียวมรกตจ้องสบผมนิ่ง

“เสร็จแล้วจะตามไป”

“...?”

“นายไม่ได้เอารถมานี่” เขาถอนใจ มองผมด้วยสายตาเหมือนจะบอกว่าแค่นี้คิดไม่ได้หรือไง “จะไปส่ง ขอคุยธุระก่อน”

“ครับ” ผมพยายามกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม “ผมจะรอนะ”

เซบาสเตียนพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดหรือรั้งอะไรไว้อีก ผมเลยหันไปผงกหัวบอกลาแมทธิวตามมารยาทแล้วเดินออกจากห้อง แอบสะดุ้งนิดหน่อยที่เห็นบอดี้การ์ดอีกชุดยืนเฝ้าอยู่ข้างหน้า แถมพอยิ้มให้ก็ไม่ยอมยิ้มตอบอีกต่างหาก

มนุษย์สัมพันธ์แย่จริงๆ


ผมเดินเตร่อย่างไร้เป้าหมาย ในโรงพยาบาลแบบนี้มันยากที่จะหาอะไรทำฆ่าเวลาจริงๆ ผมจนปัญญาจนต้องลงลิฟต์มาชั้นหนึ่ง ถามนางพยาบาลที่เคาน์เตอร์ว่าที่นี่มีที่ๆ พอจะให้ผมไปนั่งเล่นรอคนได้ไหม คำตอบที่ได้คือในเขตโรงพยาบาลมีร้านกาแฟตั้งอยู่ ผมสามารถไปรอที่นั่นได้ หลังถามทางจนแน่ใจว่าจะไม่หลง ผมก็พาตัวเองมาถึงจุดหมาย

กริ๊ง

เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณต้อนรับเมื่อเปิดเข้าไป กลิ่นกาแฟหอมลอยแตะจมูก โต๊ะส่วนใหญ่ถูกจับจองเกือบหมด ผมกวาดสายตาหาที่นั่งให้ตัวเอง โชคดีที่โต๊ะติดหน้าต่างด้านในสุดยังว่างอยู่

“รับอะไรดีคะ”

“โกโก้ร้อนที่นึงครับ ขอบคุณ”

ผมไม่ค่อยดื่มกาแฟเท่าไหร่ถ้าไม่จำเป็น ยกเว้นต้องถ่างตาทำงานดึกๆ โกโก้ร้อนจึงเป็นตัวเลือกที่ดี ผมหยิบไอแพดขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ข่าวดังในโซเชียลเน็ตเวิร์คตอนนี้คงหนีไม่พ้นข่าวของซีมอน รอสซ์ที่ถูกลอบยิง กองทัพนักข่าวที่ถูกกันไว้หน้าโรงพยาบาลเป็นพยาน ผมเลื่อนอ่านข่าวไปเรื่อยๆ ข้อมูลบางแหล่งก็ใส่สีตีไข่เยอะเกินจนดูออก

แต่บางข้อมูลที่ผู้คนคอมเม้นต์กันใต้แหล่งข่าวก็ทำให้ผมเผลอขมวดคิ้ว


ฉันเคยได้ยินว่า ‘เซบาสเตียน รอสซ์’ ปฏิเสธการหมั้นกับ ‘เมลิน่า มอเรน’ ทายาทตระกูลดังที่เคยเป็นคู่ค้ากับรอสซ์มานาน ไม่แน่นะ การโดนหักหน้าครั้งนี้อาจทำให้ ‘มาร์ค มอเรน’ ไม่พอใจจนสั่งคนไปยิงสั่งสอนซีมอนก็ได้


ใต้คอมเม้นต์นั้นมีการตอบกลับนับสิบ ผมเม้มริมฝีปาก ปลายนิ้วเผลอกดดูอย่างห้ามไม่ได้


เซบาสเตียนเป็นคนปฏิเสธแต่กลับไปยิงคนพ่อเนี่ยนะ ไม่เมคเซ้นส์เอาซะเลย

ข่าวนั้นเกือบจะเดือนแล้ว ทำไมเพิ่งมาสั่งยิงเอาตอนนี้

คนจะได้ไม่พุ่งเป้าไปที่มาร์คไงล่ะ

เฮ้! สติหน่อยเถอะพวกคุณ เท่าที่อ่านมาฉันยังหาจุดเชื่อมโยงของเรื่องนี้ไม่เจอเลย ถ้าฉันเป็นมาร์คแล้วคิดจะยิงใครสักคนล่ะก็ คนๆ นั้นควรเป็นเซบาสเตียน ไม่ใช่ซีมอน


ผมวางไอแพดลงบนโต๊ะ ไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับซีมอนสักนิด ที่สนใจตอนนี้มีแค่เรื่องของเซบาสเตียนและเมลิน่า ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซบาสเตียนมีคู่หมั้น...ไม่สิ เขาปฏิเสธเธอ ข่าวนี้น่าจะใหญ่พอสมควรแต่ทำไมผมถึงไม่รู้กัน?

“โกโก้ร้อนมาแล้วค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมเงยหน้าส่งยิ้มก่อนรับแก้วโกโก้มา กลิ่นหอมหวานของมันช่วยให้ความคิดที่สับสนของผมผ่อนคลายลง ผมกุมแก้วไว้ด้วยสองมือ สัมผัสอุ่นร้อนนาบผิวเนื้อ มันไม่ร้อนมากจนลวกผิว และผมค่อนข้างชอบอุณหภูมิระดับนี้

ไอสีขาวลอยขึ้นมาแล้วจางหายไปในอากาศ

ถ้าความคิดยุ่งเหยิงที่ผมมีต่อเซบาสเตียนหายไปเหมือนไอสีขาวนี่ก็คงดี เพราะตอนนี้ผมต้องยอมรับว่าหวงเขามากๆ ถึงพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันก็ตาม มีแค่สถานะ ‘โซลเมต’ ที่ทำให้ผมอุ่นใจว่าระหว่างเรายังมีสายใยบางๆ รั้งเอาไว้

ที่ผมบอกว่าสนใจเซบาสเตียนมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น และความสนใจในวันนั้นมันเติบโตเป็นความรู้สึกที่มากขึ้นกว่าเดิม

เพิ่มเติมและอัดแน่นอยู่ในใจ

กริ๊ง…

เสียงกระดิ่งร้านดังกังวาน ทว่าผมยังจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง เสียงฝีเท้าที่เดินตรงมาฟังดูห่างไกล กระทั่งเก้าอี้ข้างตัวผมถูกดึงออกและมีใครบางคนทรุดตัวลงนั่งถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง

“มองแก้วโกโก้แล้วเหม่อแบบนี้ แน่ใจว่าไหว?”

“อ่า…” ผมกะพริบตา สติกลับคืนมาและพบว่าเซบาสเตียนนั่งจ้องหน้าผมด้วยแววตาสงสัย “คิดอะไรนิดหน่อยครับ คุณตามมาถูกได้ยังไง”

พวกเราไม่ได้แลกเบอร์กัน และเขาไม่ได้โทรมาถามผมแน่ๆ ว่าอยู่ที่ไหน

“ฉันส่งบอดี้การ์ดตามนายมา แล้วอะไรนิดหน่อยที่ว่านั่น…” เขาหลุบสายตามองบนโต๊ะ หน้าจอไอแพดผมยังเปิดค้างอยู่หน้าเว็บเดิม “...ใช่เรื่อง ‘อดีต’ คู่หมั้นฉันหรือเปล่า”

“...”

“แพท” น้ำเสียงเข้มทุ้มต่ำ เซบาสเตียนจ้องหน้าผม “ลืมเอาปากมาหรือไง”

“คือ...เปล่า”

“งั้นก็ตอบคำถามฉัน”

น้ำเสียงเขาเหมือนคุณครูจอมเฮี้ยบกำลังคาดคั้นให้เด็กนักเรียนสารภาพความผิด แม้เซบาสเตียนจะเป็นอาจารย์จริงๆ แต่ผมไม่ได้เป็นนักเรียนของเขา ถึงอย่างนั้น...น้ำเสียงนั่นก็มีอิทธิพลทำให้ผมยอมตอบแต่โดยดี

“อื้ม…”

“แมวโง่” เซบาสเตียนถอนใจหนัก เขาจ้องหน้าผม “จะทำตัวเป็นแมวหงอยทำไม ในข่าวก็บอกอยู่ว่าฉันปฏิเสธ”

“ผมแค่…” ผมขมวดคิ้ว ไม่กล้าสบตาเขา ได้แต่พึมพำเสียงเบา “...หวงคุณ”

“มีสิทธิ์หวงงั้นเหรอ”

“ไม่มี”

“ก็รู้ตัวนี่” เสียงเรียบเฉยชาจนน่าใจหาย ผมเงยหน้าจ้องเขา เผลอตัวตัดพ้อเสียงขึ้นจมูก

“คุณใจร้าย”

“แต่นายก็ยังชอบ…” เขาสวนกลับหน้าตาย “ฉันพูดถูกไหม?”

ผมสบตากับเซบาสเตียน ไม่รู้ว่าที่เขาพูดแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร เหมือนจะเปิดใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ชัดเจนว่าผมไม่มีสิทธิ์ในตัวเขา ความสับสนทำให้ผมแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกไป ซึ่งก็คงถูกใจเซบาสเตียน เขายิ้ม เป็นยิ้มมุมปากนิดๆ ถ้าไม่สังเกตก็แทบไม่เห็น

เขายกฝ่ามือขึ้นแตะหลังคอผม ขยี้เส้นผมบริเวณนั้นเบาๆ ผมเอียงคอแนบกับฝ่ามือเขาเพื่อรับสัมผัสนั้น มือเซบาสเตียนอุ่นกว่าแก้วโกโก้ที่เริ่มเย็นชืดในมือ เป็นอุณหภูมิที่ไม่เย็นเกินไป ไม่ร้อนเกินไปและผมชอบความอบอุ่นนี้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“คุณชอบผมบ้างไหมเซ็บ”

“ไม่รู้สิ” เขาตอบกลับรวดเร็วพอๆ กับที่ผมกะพริบตา ปลายนิ้วร้อนเกลี่ยปอยผมที่ท้ายทอยผมไปมา บางทีเซบาสเตียนคงคิดว่าตัวเองลูบขนแมวยักษ์อยู่จริงๆ ก็ได้ “แต่สีผมนายสวยดี ฉันชอบ”

“คุณชอบมัน...งั้นเหรอ?”

“แปลกหรือไง”

เขาดึงมือออกไปตั้งศอกเท้าคางกับโต๊ะ ทิ้งสัมผัสร้อนผะแผ่วไว้บนหลังคอผมให้รู้สึกอาลัยและโหยหา

“คุณรู้ไหมเซ็บว่าคนที่มีลักษณะแบบผมเขาเรียกกันว่าพวกจินเจอร์ แฮร์ (Ginger Hair)” ผมสบตาเขา “เคยมีความเชื่อว่าจินเจอร์ แฮร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายนะ”

“หืม? เพราะอะไร”

“เพราะพวกเราดูแปลกจากคนทั่วไป ทั้งสีผม สีผิว กระ หรือแม้กระทั่งสีของดวงตาที่ซีดกว่าปกติ” ผมอธิบายพลางสังเกตสีหน้าของเซบาสเตียน เขาสบตาผม ไม่ได้พูดแทรก แต่ก็ดูตั้งใจฟังดี “แม่ผมเป็นจินเจอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พอมีผม ผมก็ได้ยีนส์มาจากแม่เต็มๆ...”

ผมชะงักไปเมื่อเซบาสเตียนเปลี่ยนมาจับมือผม กุมเบาๆ ไม่แน่นไม่หลวมเกินไป ผมเงยหน้าสบกับดวงตาสีมรกต เขามองมาด้วยสายตาที่อ่อนลง

ผมเคยบอกไว้ว่าเซบาสเตียนใจดี

“ไม่ไหวก็ไม่ต้องเล่าแพท”

ซึ่งเขาก็ใจดีจริงๆ นั่นแหละ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ผมยิ้ม ในอกรู้สึกอุ่นวาบไปกับความห่วงใยที่ได้รับ “ตอนเด็กผมโดนแกล้งบ่อย อืม...มันก็ไม่ต่างอะไรกับเหยียดผิวในปัจจุบันหรอก เคยโดนล้อว่าเป็นพ่อมด แวมไพร์เพราะผิวขาวซีดกว่าคนทั่วไปด้วย แต่พอโตขึ้นพวกเพื่อนๆ ก็ไม่ค่อยแกล้งเท่าไหร่แล้ว อย่างว่าแหละ เด็กจะไปเข้าใจความแตกต่างได้ยังไง”

“นายดูมองโลกในแง่ดีจนฉันไม่คิดว่า...”

เขาขมวดคิ้ว คล้ายไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายโดยไม่ให้กระทบความรู้สึกผม

เซบาสเตียนเป็นคนที่ภายนอกดูแข็งแต่ภายในอ่อนโยน

ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะชอบเขาไปมากกว่านี้ได้หรือเปล่า

“เรียกว่าปรับตัวเก่งดีไหมนะ” ผมยิ้ม “พอคุณบอกว่าชอบมันผมเลยรู้สึกตกใจนิดหน่อย”

“ก็แปลก แต่สวยดี”

“เซบาสเตียน”

“...?”

“ผมคิดว่าที่พระเจ้าเลือกให้พวกเราเป็นโซลเมตกันเพราะท่านต้องการเติมเต็มเราทั้งคู่” คำพูดผมดูเพ้อฝัน มันน่าอายที่พูดจาอะไรแบบนี้ออกมา แต่เซบาสเตียนไม่ได้หัวเราะ เขาใช้ดวงตาสีมรกตมองผม รอคอยให้พูดต่อไป “ผมและคุณต่างก็ไม่สมบูรณ์แบบ พวกเรามีความทรงจำวัยเด็กที่ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะงั้น…”

“พูดต่อสิแพท”

เขาว่าเมื่อผมเงียบไป

“เพราะงั้น…” ผมเม้มปาก มองสบตากับคนหน้านิ่งจนไม่รู้ว่าภายในใจคิดอะไร “บางทีพวกเราอาจจะเป็นคนที่เข้าใจกันและกันได้ดีที่สุด เติมเต็มให้กันจนสมบูรณ์”

ความเงียบดำเนินไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เซบาสเตียนมองสำรวจใบหน้าผมอย่างละเอียด ผมเหมือนถูกเขาเปิดเปลือยทุกความรู้สึกด้วยสายตาคู่นั้น

“พระเจ้าเก่งขนาดนั้นเชียว?”

“...”

“นายก็รู้ว่าฉันไม่เชื่อเรื่องนี้” คำตอบของเซบาสเตียนทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ “...แต่บางทีพระเจ้าอาจจะเล่นเกมจับคู่เก่งจริงๆ ก็ได้”

“เซ็บ”

ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นตบเบาๆ ที่ข้างแก้มผม ปลายนิ้วปัดผ่านผิวเนื้อ...อ้อยอิ่ง ผมรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลผ่านร่าง เซบาสเตียนคลี่ยิ้มออกมา

ทุกอย่างรอบตัวดูจืดชืดไปถนัดตาเมื่อเซบาสเตียนยิ้ม ตัวตนของเขาที่อยู่ตรงหน้าผมชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของผมเอาไว้จนไม่อาจละสายตา

“พยายามเข้าล่ะเจ้าแมวยักษ์”

ถ้าพระเจ้าเก่งที่ผูกพันพวกเราไว้ด้วยเส้นด้ายแห่งโชคชะตา

เซบาสเตียนก็เก่ง...ในการขยันทำให้ผมหลงอยู่ในวังวนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า



*****************************************************************************************


หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 07-08-2018 16:47:51
 :z13: จิ้มค่า ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 07-08-2018 16:57:57
แบบนี้เขาเรียกว่าเปิดใจแล้วใช่ไหมคะ ฮื่อออ หลงคุณเซ็บล่ะเกินนนน :o8:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 07-08-2018 19:26:38
แมวยักษ์...เป็นแมวโรแมนติก  :catrun:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 07-08-2018 20:38:23
น่ารักกกกกกก เหมือนโลกนี้มีเพียงเราเนอะ 555
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 07-08-2018 22:52:17
ยิ่งอ่านก็ยิ่งหลง
ทำไมเซ็บถึงได้ละมุนขนาดนี้เนี่ย เพราะเจ้าแมวส้มขี้อ้อนหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 09-08-2018 02:14:59
โรแมนติกมากเลยค่ะ สู้ๆนแมวยักษ์ ปีนกำแพงไปให้ได้นะ ขอบคุณมากค่ะ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 12-08-2018 16:12:51
อ๊ากกกกกก ใจสั่น :hao5:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-08-2018 14:57:22
อีกไม่นานหรอกเซ็บ  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 7 [07-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 13-08-2018 20:33:49
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 8 [13-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 13-08-2018 21:46:48


Chapter 8

Comfort Zone


[Sebastian]


หลังพ่อโดนยิงก็มีเรื่องน่าวุ่นวายตามมา ผมคิดไว้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะมากจนน่าหงุดหงิดขนาดนี้ พวกนักข่าวพากันอออยู่หน้าโรงพยาบาล พอเห็นผมก็วิ่งกรูเข้าหาเหมือนซอมบี้ ไมค์และเครื่องอัดเสียงถูกยื่นจ่อหน้าพร้อมสารพัดคำถามที่แย่งกันพูดออกมา

ผมถอนใจ ปัดไมค์ที่ยื่นจ่อหน้าอย่างไร้มารยาทไปทางอื่น เดินฝ่ากลุ่มนักข่าวไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เสียงตะโกนถามคำถามดังไล่หลังพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ผมปล่อยให้มันลอยผ่านหูไป ไม่เก็บมาใส่ใจ

เจอแบบนี้มาสามวันติด พวกนักข่าวน่าจะรู้ว่าผมไม่ตอบคำถามไร้สาระพวกนี้ บางทีแมทธิวอาจพูดถูก ผมควรมีการ์ดติดตามตัวอย่างน้อยสองคน ถึงจะไม่ชอบเวลามีคนคอยตามแต่อย่างน้อยพวกเขาน่าจะช่วยกันนักข่าวน่ารำคาญพวกนี้ให้ผมได้

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องพักของพ่อ บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าหน้าห้องโค้งศีรษะให้ผมเล็กน้อย ผมพยักหน้ารับ เปิดประตูเข้าไปในห้องพักระดับ VIP

หรูหรา สะดวกสบายเหมาะกับฐานะเจ้าของห้อง

“วันนี้มาเร็ว”

“พยายามทำหน้าที่ลูกที่ดี” ผมตอบ เดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง พ่อมองผม มุมปากกระตุกยิ้ม “เป็นไงบ้างครับ”

“ดีขึ้น”

“วันนี้จะบอกผมได้หรือยัง”

“ถ้าบอกวันนี้ วันต่อไปลูกก็จะไม่มาเยี่ยมพ่ออีก”

“อยากให้ผมมาเยี่ยมเพราะเป็นห่วงจริงๆ หรือเพราะต้องการผลประโยชน์จากพ่อกันล่ะ”

“ในฐานะนักธุรกิจ” เขามองผม แววตากระจ่างใสลึกล้ำไม่เหมือนคนอายุหกสิบกว่าทั่วไป “ผลประโยชน์สำคัญที่สุด ถึงลูกไม่เต็มใจ แต่พ่อได้ผลประโยชน์”

“งั้นผมควรได้สิ่งตอบแทนบ้าง” ผมหรี่ตา จ้องหน้าเขา “เช่นคำตอบ...ว่าเพราะอะไรทำไมวันนั้นพ่อถึงไปบ้านแม่”

“กดเรียกหมอให้หน่อยได้ไหม อยู่ๆ ก็เจ็บแผล”

“พ่อ” ผมถอนใจ สบตาคนที่พยายามเปลี่ยนเรื่อง “พ่อเคยพูดเองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแม่อีก”

“...”

“ยังไม่ทันถึงเดือนก็กลับคำแล้วหรือไง”

พ่อเงียบ ผมก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมานอกจากสบตากัน พ่อมองผมด้วยสายตาลำบากใจ ในขณะที่ผมมองเขาด้วยสายตากดดัน วันที่พ่อโดนยิงผมรู้จากปากแมทธิวแล้วว่าทำไมบอดี้การ์ดถึงช่วยพ่อไม่ได้ ทั้งที่ฝีมือพวกเขาไม่ได้ห่วยแตก

พ่อแวะไปบ้านแม่

หลังจากที่พวกเขาหย่ากันเมื่อต้นเดือนและพ่อบอกเองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแม่อีก

พวกเขาเป็นโซลเมตกัน แต่พ่อไม่ได้รักแม่ คนที่พ่อรักคือน้ามาเรียแม่ของแมทธิว พวกเขาหย่ากันหลังสัญญาที่มีข้อผูกมัดเป็นผลประโยชน์จบลง ความจริงมันควรจบตั้งแต่ผมอายุยี่สิบห้า ผมไม่รู้สาเหตุที่ทำให้ยืดเยื้อไปอีกสองปี และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่เชื่อเรื่องโซลเมต พระเจ้าไม่ได้เก่งกาจถึงขนาดจับคู่คนที่รักกันจริงๆ ได้ทุกคนหรอก

อย่างน้อยพ่อกับแม่ผมก็ไม่ใช่

พ่อไม่ยอมให้บอดี้การ์ดตามไป มีเพียงคนเดียวที่เขาอนุญาตให้ติดตามไปได้คือธิโอ บอดี้การ์ดคนสนิทคนเดียวที่ทำหน้าที่ขับรถให้ พ่อถูกลอบยิงตอนขากลับ กระสุนพุ่งเข้าหัวไหล่ ฝังคาตรงนั้น พ่อหมดสติเพราะเสียเลือดมากบวกกับสภาพร่างกายที่ไม่ได้หนุ่มแน่นเหมือนเมื่อก่อน

โชคดีที่ธิโอสลัดพวกมันพ้นในที่สุดและโทรขอความช่วยเหลือจากบอดี้การ์ดอีกทีม ไม่งั้นพ่อคง…

“บางเรื่องมันก็ซับซ้อนเกินกว่าลูกจะเข้าใจ”

“ผมแค่อยากรู้ว่าพ่อจะไม่หาเรื่องให้แม่ไม่สบายใจ” ผมสบตาเขา เน้นเสียงประโยคหลัง “หรือเจ็บปวดอีก”

“น่าอิจฉา ลูกห่วงแม่มากกว่าพ่ออีก”

“...”

“ลูกคงรักแม่มาก” เขาถอนใจ เบนหน้าหนีจากผม ทอดสายตามองออกนอกหน้าต่างไปไกล “พ่อหย่ากับแม่ลูกไม่ทันไรลูกก็ย้ายออกไป”

“ตั้งแต่กลับมา...ผมตั้งใจจะออกมาอยู่คนเดียวนานแล้ว”

“แค่การตัดสินใจพ่อเร่งให้ลูกทำ” เสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ พ่อหันกลับมา มุมปากประดับรอยยิ้มแต่ดวงตาเฉยเมย “ความสัมพันธ์ที่เกิดจากผลประโยชน์ทางธุรกิจสักวันมันต้องจบลง ลูกก็รู้ดี ยิ่งยื้อยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิม หรือลูกเห็นต่าง?”

“มันคงจะดีถ้าพ่อรักแม่...เหมือนที่แม่รักพ่อ”

“จนถึงตอนนี้พ่อมีความหวังดีให้แม่ของลูกเสมอ”

“หวังดีแต่ประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแม่อีก”

“เบลจะได้ไม่เจ็บปวด” พ่อพูดแทรก “ไม่คาดหวังว่าพ่อจะกลับไป ไม่หวังว่าสักวันพ่อจะรักเธอ ทำแบบนี้ดีที่สุดแล้ว”

“พ่อกำลังเบี่ยงประเด็น”

“อ่า...นั่นสินะ”

“สรุปพ่อไปหาแม่ทำไม”

“พ่อแค่…” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “แค่ต้องการให้แน่ใจว่าแม่ของลูกจะมีความสุขดี...ก่อนปล่อยมือจากเธอเป็นครั้งสุดท้าย”

“ผมไม่เข้าใจ” ผมส่ายหัว “พ่อไม่รักแม่ แต่ก็เหมือนแคร์แม่”

“พ่อบอกแล้วว่าเรื่องมันซับซ้อน ถึงพ่อไม่รักเธอแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดเวลาหลายปีพวกเราผูกพันกัน” เขายิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไรต่อแต่เปลี่ยนเรื่อง “ถ้าเป็นไปได้ ย้ายกลับมาเถอะเซ็บ”

“คอนโดฯ ใกล้ที่ทำงานผมมากกว่า”

“ลูกไม่จำเป็นต้องทำงานพวกนั้นในเมื่อ…”

“ผมเคยบอกพ่อแล้ว” ผมพูดแทรก มองพ่อด้วยสายตาจริงจัง “ผมไม่ชอบธุรกิจของครอบครัวเรา”

“โอเค” เขายกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงยอมแพ้ “งั้นลูกไม่จำเป็นต้องทำงาน แค่…”

“และผมก็ไม่ชอบอยู่เฉยๆ กินเงินจากธุรกิจของพ่อไปวันๆ”

“ตามตรงนะเซ็บ” พ่อจ้องหน้าผม สีหน้าเครียดขึ้นจากเดิม “แมทน่าจะบอกลูกแล้วว่าช่วงนี้มันอันตราย จนกว่าจะสะสางเสร็จ พ่อไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับลูก กับแมท...กับครอบครัวเรา”

“นั่นเพราะพ่อไม่ใช่หรือไง”

“ใช่ พ่อยอมรับ”

“ถ้าห่วง พ่อคงตัดสินใจไม่มีเรื่องกับคนพวกนั้น”

“ลูกต้องเข้าใจธุรกิจนะเซ็บ”

“ธุรกิจกับความปลอดภัยของครอบครัวพ่อเลือกอะไร?” ผมถาม แม้จะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว พ่อเงียบไป ผมเลยพูดต่อ “พ่อเลือกธุรกิจ เลือกจะขัดแข้งขัดขาคนพวกนั้นเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ รู้ทั้งรู้ว่าครอบครัวตัวเองจะตกเป็นเป้าหมาย แต่พ่อก็ไม่เปลี่ยนใจ”

“พ่อจะเพิ่มบอดี้การ์ด…”

“เห็นไหม แค่นี้ก็รู้แล้วว่าพ่อเลือกอะไรเป็นอย่างแรก” ผมแค่นหัวเราะ “พ่อรู้ดีว่าจะเกิดอะไร แต่พ่อเลือกทำแล้วค่อยหาทางป้องกันสิ่งที่เกิดจากการกระทำของพ่อ แทนที่พ่อจะไม่ทำมันตั้งแต่แรก”

“เซ็บ…”

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมลุกขึ้นยืน สบตากับพ่อชั่วครู่แล้วเบนหน้าหนี “พ่อไม่เจ็บมากก็ดีแล้ว รักษาตัวเองดีๆ ครับ”

ผมพูดทิ้งท้าย หันหลังเดินหนี เอื้อมมือจับลูกบิดประตูห้องยังไม่ทันเปิด เสียงจากด้านหลังก็ทำให้ชะงัก

“พ่อรู้ว่าลูกเกลียดมัน เกลียดสิ่งที่พ่อทำ แต่พ่อก็อยากให้ลูกรู้เอาไว้ว่าลูกเองก็เติบโตมาได้เพราะสิ่งที่ลูกเกลียด”

“...”

“ทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีขาวกับดำ มีแต่สีเทา พ่อก็แค่สีเทาเฉดหนึ่งในวงการธุรกิจ พ่อไม่ใช่คนดีแต่พ่อก็ไม่ได้เลวขนาดไม่สนใจครอบครัว ยังมีสีเทาอีกหลายเฉดที่ลูกไม่รู้ ลูกอย่าคาดหวังอะไรที่บริสุทธิ์จากวงการนี้เซ็บ ถ้าเราไม่พยายามให้ตัวเองรอด ก็เป็นเราเองที่ถูกเหยียบ”

ผมเม้มปาก เกลียดที่ลึกๆ ในใจรู้ดีว่าพ่อพูดถูก

“แล้วเจอกันครับ”

เค้นเสียงพูดออกมาได้แค่นั้น ผมเปิดประตู เดินออกไปจากโลกของพ่อ โลกที่ผมพยายามหนีมาตลอดแต่สุดท้ายกลับพบความจริงว่าผมไม่มีวันหนีพ้น


“นายอยู่ไหน”

ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์มือถือทันทีที่ปลายสายกดรับ

“ฟิตเนส...ครับ” แพทริคบอกชื่อฟิตเนสที่ตัวเองทำงานอยู่ น้ำเสียงดูแปลกใจที่ผมโทรไป “มีอะไรหรือเปล่า?”

“ฉันไปหาได้ไหม”

“หืม แต่ผมยังไม่เลิกงานนะ”

“แล้วไปหาไม่ได้?”

“เปล่า แค่…” ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง “โอเค คุณจะมาก็ได้ แต่ผมคงอยู่กับคุณตลอดไม่ได้นะครับ วันนี้มีตารางเทรนให้ลูกค้าสองคน”

“อืม ไม่เป็นไร”

“คุณมาถูกใช่ไหม”

“เคยขับผ่านอยู่”

“ถึงแล้วบอกนะครับ”

“...”

“เซ็บ?”

“อืม ถ้าใกล้ถึงแล้วฉันจะบอก”

แพทริคคงไม่รู้ว่าคำพูดของเขาทำให้ผมอุ่นวาบในใจ มันเป็นแค่คำง่ายๆ แต่ความหมายกลับมากกว่านั้น ความรู้สึกเวลาที่มีใครสักคนรอเรามันดีแบบนี้นี่เอง


ผมมาถึงฟิตเนสที่แพทริคทำงานในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาเดินออกมารับ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มจนผมนึกอิจฉา แพทริคเป็นคนที่ดูมีความสุขอยู่เสมอแม้เขาจะเจอเรื่องอะไรไม่ดีแต่กลับคิดบวกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“คิดถึงคุณ”

นอกจากคิดบวกแล้วก็ ‘คิดถึง’ เก่ง

“หวังจะได้คำว่าคิดถึงกลับหรือไง” ผมเลิกคิ้ว

“อืม...ถ้าได้ก็ดีนะ”

“ฝันเถอะเจ้าแมวส้ม”

“เซ็บ~”

เขาส่งเสียงโอดครวญ ผมยกยิ้มก่อนรีบหุบเมื่อเขามองมา แพทริคหน้ามุ่ย เขาเดินนำผมเข้าไปข้างใน ผมมองรอบด้าน สำรวจด้วยความสนใจ

“ใครน่ะแพท”

เสียงห้าวดังขึ้น ผมหันมอง เจอชายมีอายุร่างใหญ่จ้องมาด้วยสายตาสงสัย แพทริคหัวเราะ เขาเอาแขนพาดไหล่ผมแล้วดึงไปใกล้

“เจ้าของผมเอง~”

“ฉันยังไม่ได้รับเลี้ยงนายเจ้าแมวส้ม”

“โธ่เซ็บ”

“อ๋อ โซลเมตนายที่ว่าน่ารักๆ น่ะเหรอ” ชายคนนั้นว่า ส่วนผมขมวดคิ้วแน่น หันไปมองแพทริคโดยอัตโนมัติ เขาสบตาผม ส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “หรือว่าไม่ใช่? คนนี้หล่อมากกว่าจะน่ารักนะแพท”

“ผมพาเขาไปก่อนนะลุงมาคัส”

“อ้าว เดี๋ยวสิ ยังไม่แนะนำให้ฉันรู้จักเลย แพท!”

แพทริคไม่ฟังเสียงตะโกนตามหลัง เขาคว้าข้อมือผมพาเดินหนีไปจากตรงนั้นทันที

“จะไปไหน”

“พาคุณไปเก็บไว้”

“ฉันไม่ใช่สิ่งของ”

“ผมหวงคุณนี่” เขาว่าในขณะดันผมเข้าไปในลิฟต์ พอประตูปิดลงก็หันมา “สาวๆ มองคุณใหญ่เลย ไม่รู้สึกตัวหน่อยเหรอ”

“ฉันไม่ได้สนใจ”

“แต่ผมสน” แพทริคงอแง ดูไม่เข้ากับตัวใหญ่ๆ ของเขาเลย “ผมหวงของผมนะ”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้สนใจ” ผมถอนใจเบาๆ ดีดหน้าผากเขาไปทีนึงจนเจ้าแมวยักษ์หน้าเบ้ “ต้องให้ขยายความต่อไหม ว่าเพราะมัวแต่มองนายคนเดียว”

แพทริคอ้าปากค้าง ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง ผมหลุดหัวเราะพอดีกับประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นสี่ ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจแพทริคแล้วเดินออกไป เหมือนชั้นนี้จะเป็นที่พักส่วนตัวต่างจากชั้นอื่นๆ

“พาฉันมาห้องนายเหรอ”

“เดี๋ยวเซ็บเมื่อกี้” แพทริคเดินล้อมหน้าล้อมหลังผม ไม่ต่างอะไรกับแมวยักษ์ที่ตื่นตกใจจนพันแข้งพันขาเจ้าของ “คุณบอกว่ามองผมคนเดียวเหรอ”

“แล้วได้ยินว่ายังไงล่ะ?”

“ผมไม่อยากคิดไปเอง”

“ได้ยินยังไงก็ตามนั้น”

“เซ็บ…”

“จะให้ฉันยืนรอนายตรงนี้หรือจะให้เข้าห้อง” ผมเปลี่ยนเรื่อง

“คุณนี่…” เขาขมวดคิ้ว “ชอบทำให้ผมมีความหวัง”

บ่นงึมงัมอยู่คนเดียวแต่ก็เดินนำผมไปที่ห้องของตัวเอง เจ้าของห้องเข้าไปก่อน ผมก้าวตาม จากนั้นก็เผลอขมวดคิ้วเมื่อเห็นห้องรกๆ ของแพทริค ที่นี่รกกว่าห้องที่คอนโดฯ เขาซะอีก

“ไม่ได้เก็บห้องมานานแค่ไหนแล้ว”

“อ่า…”

“รก” ผมว่าสั้นๆ แต่ทำเจ้าแมวยักษ์หน้าจ๋อย “ทำความสะอาดบ้าง เอาเสื้อผ้ามากองบนโซฟาแบบนี้ได้ไง ไม่เรียบร้อยเลย แล้วนี่อีก” ผมขมวดคิ้ว ปาดนิ้วลงบนเฟอร์นิเจอร์ “ขี้ฝุ่นขนาดนี้เช็ดมั่งเถอะแพท”

“ผมไม่ค่อยได้นอนที่นี่บ่อยนี่นา มันเลย…”

“แพท” ผมกดเสียงเรียกเขา “จะอยู่บ่อยหรือไม่บ่อยก็ควรทำความสะอาดถ้านั่นเป็นที่นอนนาย มันไม่ดีต่อสุขภาพเข้าใจที่ฉันบอกไหม”

“เข้าใจแล้วครับ”

“ไม่ต้องมาทำหน้าหงอย ที่พูดนี่เพราะเป็นห่วง นายควรดีใจ”

“เซ็บ...คุณทำให้ผมมีความหวังอีกแล้วนะ”

“ฉันก็ไม่ได้บอกให้นายเลิกหวังสักหน่อย” ดวงตาของแพทริคเป็นประกายเมื่อผมพูดออกไป ผมเบนหน้าหนีสายตานั้น เดินไปนั่งบนโซฟาที่ตั้งอยู่ไม่ไกล “กลับไปทำงานได้แล้วไป”

“อ่า ครับ”

แพทริครับคำ เขารีรอสักพักแต่สุดท้ายก็เดินออกไป เสียงประตูปิดลง ผมถอนใจ ความรู้สึกหนักอึ้งตั้งแต่ที่โรงพยาบาลหายไปแค่เพราะได้เจอหน้าแพทริค เห็นเจ้าแมวยักษ์แสดงสีหน้าต่างๆ

ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ไม่ต้องการคำปลอบใจสวยหรู

แค่เห็นหน้ากัน...แค่นั้น

ดูเหมือนว่า...แพทริคจะทำให้ผมอยากเลี้ยงแมวขึ้นมาซะแล้ว


ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูทำให้ผมเงยหน้าจากหนังสือในมือ มันเป็นหนังสือนิยายแนวรักโรแมนติกที่ผู้หญิงชอบกัน ไม่คิดว่าแพทริคจะอ่านนิยายแนวนี้ แต่พอลองอ่านดูมันก็ไม่เลี่ยนเท่าที่คิด

“เซ็บ”

“หืม? มีอะไร” ผมเลิกคิ้ว แพทริคลงไปยังไม่ถึงชั่วโมงดีก็กลับขึ้นมา “ยังไม่หมดเวลางานนี่ มีอะไรหรือเปล่า ดูทำหน้าเข้า”

“ตามตรงนะครับ”

“...?”

“ผมไม่สบายใจเลย” แพทริคเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์แทนที่จะมานั่งข้างผมเหมือนทุกครั้งที่มีโอกาสเข้าใกล้ ดวงตาสีฟ้าจ้องตรงมา “คุณตอบผมตามตรงนะเซ็บ มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”

“ทำไมนายคิดอย่างนั้น”

“ตอนรับสาย เสียงคุณดูไม่สบายใจ”

“นายช่างสังเกตดี”

“เพราะเป็นคุณไง” แพทริคสบตาผม น้ำเสียงจริงจังแฝงความห่วงใยเอาไว้ “มีอะไรหรือเปล่า ผมรับฟังคุณได้นะคุณก็รู้”

ผมส่ายหน้า เรื่องในครอบครัวมันซับซ้อนเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟังได้อย่างสบายใจ ผมยอมรับแพทริคนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเอาเรื่องในครอบครัวมาเล่าให้เขาฟังได้ ผมไว้ใจเขา แต่ยังไม่ถึงขั้นนั้น

“มันยากที่จะเล่าให้ฟัง ขอโทษที”

“ไม่เป็นไรเซ็บผมเข้าใจ” แพทริคส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ หัวใจผมเหมือนได้รับการเยียวยาอีกครั้ง “ผมไม่ได้อยากรู้ว่าคุณไม่สบายใจเรื่องอะไร ที่ผมต้องการคืออยากให้คุณสบายใจเลยให้ระบายออกมา แต่ถ้าทำให้คุณลำบากก็ไม่ต้องเล่าครับ แค่…”

ผมเงียบ รอฟังว่าแพทริคจะพูดอะไร

“ผมแค่อยากเป็นความสบายใจให้คุณได้”

ผมยิ้ม มองหน้าเจ้าแมวยักษ์ที่ดูระมัดระวังคำพูดกับผมพอสมควร

เป็นความสบายใจให้ผมงั้นเหรอ?

ก็เป็นอยู่นี่ไงเจ้าแมวโง่ ไม่งั้นจะมาหาทำไม

ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแพทริคไม่มีชื่อเรียก ผมรู้แค่ตอนนี้เขาเป็น ‘พื้นที่สบายใจ’ ของผม และคงดีถ้าเราเป็นความสบายใจให้แก่กัน

ผมไม่ชอบเป็นฝ่ายได้รับฝ่ายเดียว แม้เจ้าแมวยักษ์จะไม่ยอม แต่ผมอยากให้เขาบ้าง

“เฮ้”

“ครับ?”

“มานี่” ผมกวักมือเรียก แพทริคเลิกคิ้ว

“ผมตัวเหม็นเหงื่อ”

อ้อ นี่สินะเหตุผลที่เขาดูห่วงผมแทบตายแต่กลับไม่ยอมเข้ามานั่งใกล้ๆ

“ไม่เหม็นขนาดนั้นหรอก”

ผมยังกวักมือเรียกเขา แพทริคมีสีหน้าไม่มั่นใจแต่สุดท้ายก็ยอมเคลื่อนตัวจากที่เดิมมานั่งข้างผมบนโซฟา ผมได้กลิ่นเหงื่อจากเสื้อเขาปะปนไปกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ไม่ใช่กลิ่นที่เหม็นอะไรอย่างที่เจ้าตัวกังวล

คนเราจะตัวหอมตลอดเวลาก็ไม่ใช่ จริงไหม ผมไม่รู้ว่าเขาจะกังวลเรื่องกลิ่นตัวกับผมทำไม ในเมื่อผมไม่ได้รังเกียจเขาสักหน่อย

“เด็กดี”

“คุณทำเหมือนผมเป็นแมวจริงๆ”

เขาประท้วงเมื่อผมแทรกปลายนิ้วกับเส้นผมสีจินเจอร์แล้วขยี้เบาๆ แต่อาการเอียงหัวรับสัมผัสนั้นช่างย้อนแย้งกับคำพูด

“หรือไม่ชอบ?”

“ชอบ” แพทริคมองผม ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวานไปถึงดวงตา “ชอบคุณด้วย”

ผมเลิกคิ้ว อดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่าแมวขี้อ้อนแบบนี้ทุกตัวหรือเปล่า…

หรือเป็นเฉพาะแมวยักษ์ที่ชื่อว่าแพทริค?

“ขอบใจ...” ผมเปลี่ยนเรื่อง “...ที่เป็นห่วง แต่ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

“แน่นะ?”

“แค่เจอห้องรกๆ ของนายก็เลิกปวดหัวเรื่องนั้นแล้วมาปวดหัวกับห้องนายแทนนี่แหละ” ผมแกล้งหยอกเขาหน้านิ่ง ส่วนแพทริคทำตาโต

“ผมจะรีบทำความสะอาด สัญญาเลย”

“สัญญาแล้วทำให้ได้”

“แน่นอน”

ผมยิ้ม ขยี้หัวเจ้าแมวยักษ์แรงๆ ไปอีกที แพทริคส่งเสียงประท้วง เขาดีดตัวออกจากผม เส้นผมสีจินเจอร์ฟูฟ่อง

“เซ็บนะเซ็บ ขยี้มาได้ หมดหล่อแล้วเนี่ย”

“เป็นแค่แมวยักษ์ จะอยากหล่ออะไรนักหนา”

“หล่อให้คุณดูไง” เขายักคิ้ว ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “คุณยิ้มได้ขนาดนี้ สบายใจแล้วจริงๆ ด้วย”

“สบายใจตั้งแต่เห็นหน้านายนั่นแหละ”

“กับห้องรกๆ ของผม?”

“เปล่า” ผมอมยิ้มอีกครั้ง สบกับดวงตาสีฟ้าซีดฉายแววงุนงง “สบายใจเพราะได้เจอหน้านายจริงๆ ไม่งั้นจะโทรหาเหรอ สมใจแล้วสิ ได้เป็นความสบายใจของฉันจริงๆ”

“...”

“ขอบใจ...แพท”

ผมวางมือบนศีรษะเขา ขยับลูบไปมาเบาๆ

หลังจากนั้นแมวยักษ์ก็แข็งเป็นหินไปเลย


*****************************************************************************************


หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 8 [13-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Autonomyz ที่ 13-08-2018 22:24:20
อยากเลี้ยงปมวยักษ์บ้าง น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 8 [13-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-08-2018 22:35:05
แมวยักษ์จะช็อคตายไหมนี่..เจอเซ็บโหมดนี้เข้าไป  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 8 [13-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 13-08-2018 23:14:45
เรื่องของความรัก แม้แต่พระเจ้าก็ห้ามไม่ได้
คิดว่าเซ็บอาจจะต้องพูดคุยกับแม่เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น
มีพื้นที่สบายใจมันก็ดีอ่ะ แต่ถ้าเข้าใจด้วยนี่มันจะยิ่งดีมากๆ
อยากให้ฝนตกอีกเร็วๆจัง
ชอบเวลาที่เขามีกันแค่สองคนบนโลกใบนี้ ><
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 8 [13-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 14-08-2018 08:39:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 8 [13-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 14-08-2018 13:48:13
แมวยักษ์โดนกัญชาแมวATK
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 9 [17-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 17-08-2018 00:02:15

Chapter 9

Let me … you


[Patrick]


เซบาสเตียนน่ะใจร้าย…

จู่ๆ ก็พูดออกมาไม่ทันให้ผมตั้งตัวสักนิด ยังไม่ทันถามก็โดนไล่กลับไปทำงาน แล้วผมจะมีสมาธิทำงานได้ยังไงในเมื่อทั้งรอยยิ้มและคำพูดของเขาลอยวนในหัว

“แพทคะ?”

“ฮะ ครับ?” ผมสะดุ้ง หลุดออกจากความคิดตัวเอง ลูกค้าสาวจ้องหน้าผม เธอเลิกคิ้วสูง

“เหม่อจังเลยค่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร”

แค่คิดถึงใครบางคน

“แน่นะ” เธอหรี่ตามอง สายตาคล้ายรู้ทัน “พอคุณกลับมาอีกครั้งก็เหมือนใจไม่อยู่กับตัว ฉันเห็นคุณยิ้มคนเดียวด้วย มีเรื่องดีๆ เหรอคะ”

“อืม…” ผมอมยิ้ม “ครับ เขาส่งสัญญาณมาแบบนี้ คิดว่าคงดีแน่ครับ”

“เกี่ยวกับสุดหล่อคนนั้นที่มาหาคุณหรือเปล่าน้า?”

“คุณคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“เกี่ยวแน่นอน” เธอเอียงตัวพิงเครื่องออกกำลังกายสำหรับสร้างกล้ามเนื้อ รอยยิ้มล้อเลียนถูกส่งมา ผมยิ้มรับ ส่ายหัวเบาๆ กับความขี้แกล้งของเธอ

“ดูเหมือนผมจะปล่อยให้คุณพักนานไป เริ่มเซตที่สองกันเลยไหมครับ”

“โธ่แพท ฉันเพิ่งพักได้ไม่กี่นาที”

“รวมกับตอนที่ผมขอตัวไปข้างบนเมื่อกี้” ผมแกล้งยกนิ้วขึ้นมานับ “อืม คุณได้พักตั้งนานเลยนะครับ”

“แพทคะ…”

“มาครับ ต่ออีกสามเซตดีกว่า”

“เดี๋ยว…”

“กล้ามเนื้อจะได้กระชับไงครับ คุณอยากมีหน้าท้องสวยๆ ไม่ใช่เหรอ” ผมยิ้มแต่เธอกลับมองมาด้วยสายตาผวา อืม...ผมบอกหรือยังนะว่าเวลาผมเทรนให้ลูกค้าจะค่อนข้างเข้มพอสมควร “ที่จริงตั้งแต่เทรนมามันน่าจะเห็นผลแล้วนะครับ ยกเว้นคุณจะทานอาหารอย่างอื่นนอกจากที่ผมกำหนดให้”

“เรื่องนั้น ฉัน…” เธอมองหน้าผม หัวเราะแห้งๆ ในขณะแก้ตัว “แค่นิดเดียวเองค่ะ สาบานได้ว่าเผลอไปนิ๊ดเดียว”

“อ๋อ นิดเดียวเอง”

“ใช่ค่ะ เพราะงั้น…”

“เพราะงั้นเพิ่มเป็นสี่เซตนะครับ จากนั้นต่อด้วยซิทอัพ” ผมยิ้มหวาน ในขณะที่เธอหน้าซีด “ผมรับรองได้เลยว่าคุณจะไม่เสียใจที่จ้างผมมาเป็น PT รับประกันว่าเห็นผลแน่นอน”

“แพทคะ แพท”

“เอาล่ะครับ ต่อกันเลย”

ใบหน้าผมเปื้อนยิ้มแต่น้ำเสียงเฉียบขาด และแน่นอนว่าเธอค้านไม่ได้

ลูกค้าจ่ายเงินซื้อคอร์สไปแล้วผมต้องทำเต็มที่สิครับจริงไหม


สองชั่วโมงผ่านไปผมถึงเลิกงาน หกโมงเย็นแล้ว ไม่รู้เซบาสเตียนจะเป็นยังไงบ้าง ผมรีบเดินไปทางลิฟต์ ผ่านหน้าเทเรซ่ากับลุงมาคัส พวกเขาส่งเสียงแซวไม่หยุด

“รีบเดินเชียวนะแพท”

“ไม่รู้เลยว่าจะไปหาใคร หึๆ” ลุงมาคัสยักคิ้วใส่ “อย่าลืมพาไปแนะนำตัวที่บ้านล่ะ”

“ว้าว แสดงว่าจริงจังใช่ไหมคะเนี่ย” เทเรซ่าหัวเราะ

“อย่าแซวน่า”

ผมบอกปัด เดินหนีเข้าลิฟต์ ได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลัง เผลอยิ้มเมื่อคิดถึงคำแซวของลุงมาคัส พาไปแนะนำตัวที่บ้านงั้นเหรอ ผมก็อยากนะ แต่ว่า...เซบาสเตียนน่ะ ถึงจะดูเปิดใจแล้ว สถานะระหว่างเราก็ยังไม่ชัดเจนถึงขั้นนั้นอยู่ดี บางที...ผมคงต้อง ‘รุก’ เขาหนักกว่านี้

ติ๊ง!

ลิฟต์ดังเมื่อขึ้นมาถึงชั้นสี่ ประตูเปิด ผมก้าวออกไป ถึงหน้าห้องก็จับลูกบิดหมุนเปิดโดยไม่ทันเคาะประตูเพราะความเคยชิน กว่าจะนึกได้ก็เผลอเสียมารยาทไปแล้ว ผมขมวดคิ้ว เตรียมรอรับคำบ่นจากเซบาสเตียน แต่ทุกอย่างกลับเงียบสงบ พอมองเข้าไปข้างในถึงได้คำตอบ

คุณเสือดำสุดเท่ของผมนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา เรียวขาเหยียดยาว สองมือกอดอกตัวเองไว้ ผมย่องเข้าไปใกล้ พยายามให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

เคยเห็นแมวลักหลับเสือไหมครับ?

เดี๋ยววันนี้จะทำให้ดู

ผมคุกเข่าอยู่ข้างโซฟา ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ เซบาสเตียนยังหลับสนิท ไม่รู้สึกตัว แผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจสม่ำเสมอ ปอยผมสีดำตกระหน้าผาก ผมใช้ปลายนิ้วปัดมันไปด้านข้าง เฉียดผ่านหน้าผากอุ่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อถูกรบกวน ผมชะงัก กลัวทำเขาตื่น

แต่เซบาสเตียนหลับลึกกว่าที่คิด ผมนิ่ง จ้องพิจารณาใบหน้าตอนหลับของเขา เซบาสเตียนเป็นคนหน้านิ่งติดจะดุ แต่เวลาหลับกลับดูผ่อนคลาย

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ สัมผัสถึงลมหายใจอุ่น หลุบตามองริมฝีปากเซบาสเตียนที่เผยอเล็กน้อย ความรู้สึกตีกันในใจ ผมอยากสัมผัสเขา ในขณะเดียวกันก็กลัวอีกฝ่ายโกรธ

แต่แค่แตะๆ เอง…

“คิดจะทำอะไร”

ผมสะดุ้งเมื่อคนที่คิดว่าหลับพูดโดยไม่ลืมตา วินาทีต่อมาเปลือกตาถึงขยับไหว เขาจ้องมองมา ดวงตาสีเขียวมรกตไม่มีร่องรอยความงัวเงียสักนิด

“อ่า…”

“จะสารภาพเองหรือจะให้ฉันเค้นความจริงเจ้าแมวยักษ์”

“ผมแค่”

“คิดว่าฉันหลับเหรอ?” เซบาสเตียนกระตุกยิ้มมุมปาก เขาลุกขึ้น เปลี่ยนมานั่งไขว่ห้าง กอดอกเอนตัวพิงพนักโซฟาอย่างสบายใจ ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยเสน่ห์ ดวงตาคมกริบหลุบมองผมที่นั่งอยู่ด้านล่าง แววตาไม่ต่างอะไรกับนักล่ามองเหยื่อตัวจ้อย “ใช่ ฉันหลับ แต่ฉันไม่ได้หลับลึกขนาดไม่รู้ตัวว่ามีใครเข้าใกล้”

“...”

“อย่าดูถูกสัญชาตญาณของรอสซ์เชียวแพทริค”

“โอเค ผมยอมแพ้” ผมยกมือขึ้นสองข้าง เงยหน้าสบตาเขา “แค่อยากลองจูบคุณ”

“ใจกล้าเกินไปหรือเปล่า”

“ช่วยไม่ได้ ผมชอบคุณนี่” ผมยักไหล่

“ไม่กลัวฉันโกรธ?”

“ก็…” ผมกลอกตา สุดท้ายก็ยอมรับตามตรง “กลัว แต่อยากจูบคุณมากกว่า มันก็น่าเสี่ยงนี่ จริงไหม”

“หึ”

เซบาสเตียนหัวเราะในลำคอ ขาที่ไขว้กันอยู่ขยับออก เขาโน้มตัวลงมา ทิ้งแขนวางเท้ากับขาทั้งสองข้าง คิ้วเลิกขึ้นในขณะเอียงคอจ้องหน้าผม ระยะห่างระหว่างใบหน้าเราลดน้อยลง ผมถูกดวงตาสีเขียวมรกตสะกดเอาไว้ ไม่รู้ว่าเซบาสเตียนคิดอะไรอยู่ในขณะที่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ปลายคางผมถูกจับเชยขึ้น

ผมกลืนน้ำลายลงคอ กลิ่นน้ำหอมจากตัวเซบาสเตียนกำลังมอมเมาผม

เซบาสเตียนเป็นคนร้ายกาจ…

จู่ๆ ใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้จนเกือบสัมผัสได้ก็เบี่ยงออกข้าง เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู

“แพท...”

เขาเรียกชื่อผม ลมหายใจอุ่นเป่ารดติ่งหู ผมรู้สึกปั่นป่วนจนเผลอกลั้นหายใจ

“...เจ้าแมวโง่” จู่ๆ เซบาสเตียนก็ดึงตัวออก เขาตบลงบนไหล่ผม ริมฝีปากกระตุกยิ้ม ดวงตาฉายประกายวาว “คิดว่าจะได้อะไรจากฉันหรือไง”

“เซ็บ” ผมโอดครวญ “คุณแกล้งผม”

“หิว” เขาว่าหน้าตาย “ไปหาอะไรกินกันเจ้าแมว”

“เซ็บ…”

“อะไรอีก”

“สักนิดไม่ได้เหรอ”

“เป็นแค่แมวยักษ์ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง”

เขายักไหล่ ลุกจากโซฟาเดินนำผมไป ผมมองตาม หรี่ตาลง

เซบาสเตียนเป็นคนร้ายกาจ แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะร้ายกาจได้คนเดียว

“หืม...?”

“เป็นแค่แมวยักษ์ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องเหรอครับ” ผมย้อนถาม มือโอบรอบเอวสอบจากด้านหลังแน่น สัมผัสถึงกล้ามเนื้อที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ต ผมวางคางเกยไหล่ เอียงหน้ามองสันกรามเขา กลิ่นน้ำหอมอ่อนลอยแตะจมูก หอมจนต้องกดปลายจมูกกับไหล่กว้าง “แล้วถ้าแมวยักษ์ดื้อจะเรียกร้องให้ได้ล่ะครับ?”

“แมวยักษ์ก็จะได้แค่ครั้งนี้” เซบาสเตียนเอี้ยวหน้ามาสบตาผม “ครั้งต่อไปจะไม่ได้อีก”

“งั้นถ้าผมอ้อน…คุณจะใจอ่อนไหม”

“ทำไงดี ฉันดันเป็นพวกใจแข็งน่ะสิ”

“เซ็บ…”

“เคยได้ยินไหมว่าถ้าทำตัวดีๆ จะได้รางวัล”

“อย่าพูดเหมือนผมเป็นเด็ก”

“นายเด็ก” เขาย้ำ “ไอ้อาการอ้อนจะเอาให้ได้นี่ไม่เด็กเลยงั้นสิ?”

“โธ่เซ็บ”

“เป็นเด็กดีหน่อยแพทริค” เป็นอีกครั้งที่เซบาสเตียนเรียกชื่อเต็มผม ดวงตาสีเขียวมรกตตวัดมอง “ฉันหิว นายจะเอาแต่ใจไปถึงเมื่อไหร่”

“ก็ได้…”

ผมว่าเสียงอ่อย ปล่อยเซบาสเตียนจากอ้อมกอด ความว่างเปล่าเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นจากร่างกายของเขา ผมไม่ชอบเลยสักนิด ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โหยหาเขามากขนาดนี้?

“ไปรถฉันแล้วกัน รถนายทิ้งไว้นี่”

“ครับ”

ผมขานรับ จะทำอะไรได้นอกจากเป็นเด็กดีทำตามที่เซบาสเตียนต้องการ ผมเดินตามเขาไปเงียบๆ ชะงักเมื่ออีกฝ่ายหยุดเดิน ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ยังไม่ได้ถาม ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก

เซบาสเตียนหมุนตัวกลับมา ยื่นมือรั้งต้นคอผมเข้าไปใกล้ ชะโงกหน้าประทับริมฝีปากอุ่นลงบนขมับ ผมยืนตัวแข็ง เสียงหัวเราะแผ่วเบาคล้ายมาจากที่แสนไกล จนเซบาสเตียนผละออกไป กลิ่นน้ำหอมเจือจางลอยในอากาศ อวลอยู่รอบตัว เขามองผม มุมปากอมยิ้ม

“รางวัลสำหรับเด็กดี”

“...”

“ถ้าอยากได้อีกต้องเป็นเด็กดีกว่านี้เข้าใจไหมแพท”

อา...เซบาสเตียน

เสือดำตัวนี้ร้ายกาจเกินไป ผมประมาทไม่ได้ซะแล้ว


เซบาสเตียนเลือกร้านอาหารเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หัวมุมถนนห่างจากคอนโดฯ ผมสองบล็อก บรรยากาศภายในร้านผ่อนคลายมากทีเดียว ผมฮัมทำนองตามเพลงที่เปิดคลอในร้าน มองเซบาสเตียนเปิดสมุดเมนูเพื่อสั่งอาหาร

“หน้าฉันเหมือนสมุดเมนูหรือไง”

เขาพูด สายตายังกวาดมองรายชื่ออาหารในใบเมนู ผมหลุดยิ้ม นั่นสินะ...โดยจ้องขนาดนี้จะรู้ตัวก็ไม่แปลก

“ไม่มีหรอกครับ ผมแค่ชอบมองคุณ”

“ดูมีความสุขจังนะแมวยักษ์” เขาเหลือบตาขึ้นมา ว่าเสียงเข้ม “รีบสั่ง อย่ามัวแต่มองหน้าฉัน”

“คุณเขินเหรอ”

“ฉันดูเขิน?”

“อ่า…” ผมเอียงคอมอง “ก็ไม่”

“ตามนั้น”

“ไม่ยุติธรรมเลย”

“อะไรอีกล่ะ”

“มีแต่ผมที่เขินคุณคนเดียว”

“เป็นธรรมดา” เซบาสเตียนสบตาผม “สำหรับคนที่รู้สึกก่อน”

“แล้วเมื่อไหร่คุณจะรู้สึกเหมือนกันกับผมล่ะ?” เซบาสเตียนเงียบไปทันทีที่ถาม ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่บรรยากาศระหว่างพวกเรามันเปลี่ยนไป ผมเผลอขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า “ขอโทษที ผมอาจพูดอะไรไม่เข้าท่า”

“เปล่าหรอก” เขาส่ายหน้า สบตาผมครู่หนึ่งแล้วเบนหนี “เลือกได้หรือยัง จะสั่งอาหารแล้ว”

“อา...ครับ”

เซบาสเตียนยกมือเรียกพนักงานรับออเดอร์ หลังแจ้งรายการอาหารที่สั่งและทวนเรียบร้อยพนักงานเสิร์ฟก็เดินจากไป ผมมองตามจนเขาหายลับตาถึงหันกลับมาหาเซบาสเตียน ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง

อะไรบางอย่างที่จะไม่ยอมบอกผมแน่ๆ

ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็นความผิดปกตินั้น

“วันนี้คุณไม่มีสอนเหรอถึงมาหาผมได้”

“เพิ่งจะมาสงสัยหรือไง”

“ก็ตอนนั้นผมตกใจ” ผมสบตาเขา ส่งยิ้มให้อีกคนผ่อนคลาย “จู่ๆ คุณก็โทรมาบอกจะมาหา ผมยังคิดอยู่เลยว่าฝันกลางวันไปเองหรือเปล่า”

“อาทิตย์นึงฉันสอนแค่สามวัน” เซบาสเตียนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ เกิดเสียงต๊อกๆ เป็นจังหวะ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ นอกนั้นว่าง”

“ปกติเวลาว่างคุณทำอะไร อืม...พวกงานอดิเรกน่ะ”

“เตรียมแผนการสอน ตรวจงานนักศึกษา” ปลายนิ้วที่เคาะกับโต๊ะชะงักไปพร้อมกับเสียงที่เงียบลง ผมลอบสังเกต เซบาสเตียนเม้มปาก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน “...ไปเยี่ยมแม่เป็นบางวัน”

“อา…”

“นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ”

“ไม่เบื่อเหรอครับ”

“ชินแล้วมั้ง” เขายักไหล่ สบตาผม “ทำไม จะแนะนำอะไรหรือไง”

“อืม…” ผมแกล้งทำเป็นคิด “มาช่วยผมเลี้ยงซูกกี้ไหมล่ะ”

“แมวนาย ฉันเกี่ยวอะไรด้วย”

“คุณอยากเกี่ยวแบบไหนดีล่ะ” ผมหรี่ตา อมยิ้มมุมปาก “ผมให้คุณได้ทุกสถานะเลยนะ”

ปั่ก!

เซบาสเตียนไม่ตอบ แต่แรงเตะจากใต้โต๊ะทำเอาหน้าเบ้ จะร้องก็ไม่ได้เพราะอาหารมาเสิร์ฟพอดี ผมเม้มปาก กลั้นความเจ็บเอาไว้ แต่หน้าตาคงบูดเบี้ยวน่าดู เพราะในที่สุดเซบาสเตียนก็ยิ้มออกมา

เอาเถอะ เห็นเขายิ้มได้ผมก็ดีใจ

“รีบกิน จะได้รีบกลับ”

ผมพยักหน้า พวกเราทานมื้อเย็นกันเงียบๆ คุยบ้างนิดหน่อย เซบาสเตียนค่อนข้างเงียบเวลากินข้าว ผมคิดว่าเขาคงติดมาจากที่บ้าน พวกตระกูลใหญ่ตระกูลโตส่วนมากมักเคร่งเรื่องมารยาท

“เฮ้ แพท!”

“หืม?” ผมชะงัก เงยหน้ามองตามเสียงเรียก เห็นแม่สาวผมบรอนซ์ใบหน้าคุ้นตาโบกมือให้ “เฮ้ เจน”

“ไม่เจอตั้งนาน”

“เหมือนกัน” ผมวางช้อนลง หันไปทักเธอด้วยรอยยิ้ม “เป็นไงบ้าง”

“สบายดี แล้วนี่…” เธอหันไปทางเซบาสเตียน

“อ้อ…” ผมขมวดคิ้ว ไม่รู้จะแนะนำตัวเซบาสเตียนว่ายังไง “รุ่นพี่น่ะ”

“อ๋อ สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ” เซบาสเตียนตอบรับสั้นๆ สีหน้าเรียบนิ่งดูถือตัวเหมือนตอนผมเจอเขาครั้งแรกไม่มีผิด

“ฉันเจนนะคะ” เธอหัวเราะ “ตอนนี้เป็นเพื่อนของแพทค่ะ”

“ตอนนี้?”

เซบาสเตียนขมวดคิ้วทวนคำ

“เคยเดทกันค่ะ คิก”

“เฮ้เจน ไม่เอาน่า”

“อยากรำลึกความหลังไม่ได้เหรอแพท” เธอทำหน้ามุ่ยแต่แววตาดูสนุกที่ได้แกล้งผมเล่น “รอรีเทิร์นนะ ฉันน่ะชอบนายที่สุดในบรรดาคู่เดทแล้ว”

“อย่าลืมว่าเธอทิ้งฉันก่อน” ผมหัวเราะ ส่ายหัวกับความแสบของอีกฝ่าย “แล้วนี่มาทานข้าวกับใคร”

“ความลับค่ะ” เธอขยิบตา “งั้นขอตัวก่อนแล้วกัน ขอโทษนะคะที่รบกวน”

เจนก้มหัวให้เซบาสเตียน เขาพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร เจนหันมาบ๊ายบายผมแถมยังทิ้งท้ายว่าตัวเองใช้เบอร์เดิมถ้าผมเหงาให้โทรไปได้เสมอก่อนเดินผ่านโต๊ะผมเข้าไปในร้าน

“เธอขี้แกล้งน่ะครับ” ผมรีบออกตัวเมื่อหันมาเจอสายตาของเซบาสเตียน

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“ไม่ว่าเลยเหรอ”

“ไม่ ทำไม?” เขาเลิกคิ้ว สบตาผมอยู่สักพักแล้วกลับไปโฟกัสกับมื้อเย็นตรงหน้า “คนรู้จักทักทายกันเป็นเรื่องปกติ”

“ถามจริง?”

“อะไร”

“เจนแนะนำตัวว่าเคยเดทกับผม คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ”

ผมไม่รู้ตัวว่าใช้น้ำเสียงแบบไหนถาม รู้แค่เซบาสเตียนชะงัก เขาเงยหน้า ดวงตาจ้องสบผม ในแววตานั้นเรียบนิ่งจนมองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ผมรู้ว่าตัวเองคาดหวังกับคำตอบเขามาก

“ไม่”

และความรู้สึกเวลาสิ่งที่คาดหวังไม่เป็นไปตามนั้นแม่งโคตรแย่เลย


บรรยากาศหลังจากนั้นแย่มาก พวกเราเงียบใส่กัน อันที่จริง...เซบาสเตียนค่อนข้างเงียบอยู่แล้ว มีแค่ผมที่ชวนคุย แต่คราวนี้ผมไม่รู้จะชวนคุยเรื่องไหน ในเมื่อหัวมันตื้อไปหมด

คนที่รู้สึกก่อนมักเสียเปรียบ บางทีตอนนี้ผมอาจเสียเปรียบไปแล้วก็ได้

ไม่มีใครบอกให้ผมคาดหวัง มีแค่ผมเองที่เผลอตัวคาดหวังความรู้สึกจากเซบาสเตียนเพียงเพราะเขาดู ‘เปิดใจ’ มากกว่าตอนแรก

มื้ออาหารจบลง เซบาสเตียนขับรถมาส่งผมที่หน้าคอนโดฯ

“ไม่ลง?”

“ขึ้นไปจอดข้างบนได้ไหมครับ?”

“หืม?”

“ที่จอดรถชั้นห้องผม” ผมขยายความ หันไปสบตาเขา “วันนี้เหนื่อยมาก ไม่อยากเดินไกล”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” ผมโกหก

“เฮ้อ…” เซบาสเตียนถอนใจ แต่ก็วนรถขึ้นไปจอดข้างบนตามที่ผมขอ “เฮ้ ถึงแล้ว”

“...”

“แพท?” เซบาสเตียนวางมือบนไหล่ผม เขย่าเบาๆ ผมหันมองเขา “เป็นอะไรแมวยักษ์”

“ผม…”

“แพทริค” เขากดเสียงเรียกชื่อผม “เป็นอะไร หืม?”

“เรื่องไร้สาระครับ”

“เคยมีแมวยักษ์ตัวนึงพูดไว้…” เซบาสเตียนปลดเบลท์ เขาหันมาทางผมเต็มตัว แสงไฟสีส้มในรถตกกระทบใบหน้า ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ผมละสายตาไม่ได้เลย “...ว่าการมีใครสักคนให้พูดเรื่องไร้สาระด้วยมันดี”

“...”

“คนๆ นั้นยังเป็นฉันอยู่ไหม หรือนายเปลี่ยนใจแล้ว”

“เซ็บ”

“จะถามอีกครั้ง เป็นอะไร”

“เพราะคุณ”

“ฮะ เพราะฉัน?” เขาเลิกคิ้ว “ฉันทำอะไรนาย”

“ผมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับผม” ผมจับมือเขา เซบาสเตียนไม่ได้ดึงหนี นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี “แต่ผมบอกคุณเสมอว่าผมชอบคุณ และตอนนี้ชอบมากๆ ผมคิดว่าคุณจะรู้สึกเหมือนกันซะอีก...ไม่มากแต่แค่นิดเดียวก็ยังดี”

“ฉันแสดงออกไม่มากพอหรือไง”

“การแสดงออกของคุณทำผมคาดหวัง” ผมสบตาเขา เซบาสเตียนไม่หลบตาสักนิด “ก่อนหน้านี้ที่คุณจูบผม คุณรู้ไหมเซ็บว่าผมคิดเข้าข้างตัวเองไปไกลแค่ไหน”

“ไกลแค่ไหนล่ะ”

“ไกลมากกว่าที่คุณคิดกับผม”

“รู้ได้ไงว่าไกลกว่าที่ฉันคิดกับนาย”

“คุณไม่หึงผมด้วยซ้ำ” ผมสารภาพออกไป รู้ว่าความคิดดูเด็ก แต่อดไม่ได้จริงๆ “ขนาดเจนบอกเคยเดทกับผม แสดงท่าทีสนิทสนมกับผมคุณยังไม่รู้สึกอะไรสักนิด”

“แล้วนายจะให้ฉันรู้สึกยังไง” คราวนี้เซบาสเตียนถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาสบตาผม คิ้วขมวดเข้าหากัน “ไม่สิ ตอบฉันมาก่อนว่าตอนนี้นายกับเจนเป็นอะไรกัน”

“ก็...เพื่อน”

“แล้วที่เคยเดทกันคืออดีต ฉันพูดถูกไหม”

“ถูกครับ”

“นั่นไงคำตอบ” ผมได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอเขา เซบาสเตียนมองผมด้วยสายตาที่อ่อนลง “เพราะมันคืออดีต นายจะให้ฉันหึงอดีตไปทำไมในเมื่อปัจจุบันมันไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

“…”

“เด็กโง่” เขาวางมือลงบนหัวผม จับโยกเบาๆ คล้ายปลอบใจ “นายเด็กกว่าฉันจริงๆ นั่นแหละแพท”

“เซ็บ…”

ผมรู้สึกอายขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเหตุผลของเซบาสเตียน มุมมองของเขาเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลจนผมอดต่อว่าตัวเองในใจไม่ได้ที่เรียกร้องเอาแต่ใจเป็นเด็กทั้งที่อายุก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว

ผมเสียการควบคุมทุกครั้งเมื่อเป็นเรื่องของเซบาสเตียน

“แพท”

“ครับ”

“ฉันถามอะไรได้ไหม” เซบาสเตียนมองผมนิ่ง ผมพยักหน้า “ความรู้สึกนายตอนนี้ จริงจังงั้นเหรอ”

“ผมไม่เคยเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง สบตาเขาให้เห็นถึงความมุ่งมั่น “ผมจริงจังกับคุณนะเซ็บ”

“นายชอบฉันเพราะฉันเป็นโซลเมตนาย อย่างนั้นใช่ไหม”

“การเป็นโซลเมตทำให้เราได้เจอกัน” ผมยิ้ม กุมมือเขาเอาไว้ “แต่ผมชอบคุณเพราะนั่นคือคุณครับเซ็บ”

“ฉันน่ะ…” เขาเงียบไป “เคยบอกนายแล้วใช่ไหมว่าไม่เชื่อเรื่องโซลเมต”

“ครับ คุณเคยบอกแล้ว”

“พ่อกับแม่ฉันเป็นโซลเมตกัน แต่พ่อไม่ได้รักแม่” เซบาสเตียนสบตาผม ในขณะที่ผมตกใจที่เขาเล่าเรื่องราวในครอบครัวให้ฟังเป็นครั้งแรก “ฉันเลยไม่เชื่อเรื่องพวกนี้...จนกระทั่งเจอนาย”

“...”

“ความรู้สึกนี้ไม่เร็วไปใช่ไหม” เขาเม้มริมฝีปาก ท่าทางคิดหนัก “แพท...นายคิดว่าคราวนี้พระเจ้าจะพลาดอีกไหม”

“คราวนี้ท่านจะไม่พลาดครับ” ผมรับรองกับเขา น้ำเสียงหนักแน่น “ผมจะไม่ยอมให้พลาด”

“ฉันเชื่อนาย”

เซบาสเตียนยิ้มรับ รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาทำให้ภายในรถที่มีเพียงแสงไฟสีส้มสลัวสว่างขึ้น โดยเฉพาะตัวตนของเซบาสเตียนที่อยู่ตรงหน้า รู้ตัวอีกทีผมก็ขยับเข้าไปใกล้

ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมที่ผมหลงใหล

“เซบาสเตียน…” ผมแตะข้างแก้มเขา ประคองไว้ ความอบอุ่นจากผิวแก้มแผ่ซ่านไปทั่วปลายนิ้วและฝ่ามือ พวกเราสบตากัน ผมยื่นหน้าเข้าหา กระซิบแผ่วเบาชิดริมฝีปาก “ให้ผมจูบคุณนะ”

เซบาสเตียนไม่ตอบ แต่การที่เขาประทับริมฝีปากเข้าหาผมถือว่าเป็นคำอนุญาต

จูบของเซบาสเตียนดียิ่งกว่าที่ผมคิด ริมฝีปากเขาไม่ได้นุ่มหรือมีกลิ่นลิปสติกหอมหวานเหมือนพวกผู้หญิง แต่เพราะเป็นเขา ทุกอย่างที่ธรรมดาจึงพิเศษขึ้นมา

ผมบดริมฝีปากลงไป หนักหน่วงและเริ่มร้อนแรง เสียงหอบหายใจดังประสาน เซบาสเตียนประคองใบหน้าผมเอาไว้ ปลายลิ้นร้อนถูกส่งมาทักทาย ผมเกี่ยวกระหวัดมันไว้อย่างไม่ยอมแพ้ เสียงเฉอะแฉะดังก้องภายในรถที่เงียบสงบ ผมลุ่มหลงในรสจูบ มัวเมาในรสสัมผัส ดื่มด่ำจนแทบสิ้นสติ

“พอ…”

เขาผลักผมออก เสียงหอบหายใจดังก้อง ไอร้อนจากลมหายใจประสานกัน ผมสบตาเซบาสเตียน โน้มใบหน้าลงไปจูบซับบนริมฝีปากเขาอีกครั้ง

ไม่มีการลุกล้ำแต่ในใจกลับสั่นไหวยิ่งกว่าเดิม

ผมดึงตัวเซบาสเตียนมากอดไว้ ซุกใบหน้าลงบนไหล่กว้าง เอียงหน้าขยับปลายจมูกปัดผ่านต้นคอเขา

“คืนนี้ค้างห้องผมนะครับ”

ผมกระซิบ ในใจคาดหวังคำตกลง

“อืม”

และคราวนี้เซบาสเตียนตอบรับความคาดหวังของผม


*****************************************************************************************

หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 9 [17-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 17-08-2018 01:20:37
โฮ้ยยยย อยากจะกรีดร้อง
ตอนแรกแอบหวั่นใจ ทำไมคุณเซบาสเตียนถึงได้แข็งทื่อไร้อารมณ์ได้ขนาดนี้
แต่พออธิบายเท่านั้นแหละ ตายค่ะตาย ละมุนมาก
ดีที่แพทไม่ระเบิดบึ้มกลายเป็นโกโก้ครั้นช์ไปซะก่อน ไม่อย่างนั้นล่ะอดฟินที่ชั้นจอดรถแน่ๆ >///<
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 9 [17-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 17-08-2018 09:03:12
ตายยยย เซ็บทำไมน่ารักอะไรอย่างนี้ ทำน้องแมวยักษ์(และเรา) ละลายในอ้อมกอดได้เลยค่ะ  :pighaun: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 9 [17-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 17-08-2018 17:01:17
 :-[
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 9 [17-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 17-08-2018 18:40:01
เสือดำราชินี  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 10 [19-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 19-08-2018 16:40:42


Chapter 10

I just want to say I like you


[Sebastian]


ผมตอบรับคำขอแพทริคง่ายๆ ไม่ได้หมายความว่าผมจะให้เขาทำ ‘อะไร’ ง่ายๆ

“คุณตัวหอม”

“ถอยไปเจ้าแมวยักษ์” ผมเอียงหน้าหนี แต่แพทริคไม่ยอมแพ้ เขาเบียดเข้าหา แม้โซฟาจะตัวกว้างมากก็ตาม แมวชอบความอบอุ่น ผมคิดว่าแมวยักษ์ตัวนี้ก็เหมือนกัน หลังอาบน้ำเสร็จเลยเอาแต่เบียดผมไม่หยุด

รู้อย่างนี้ไม่น่าอาบน้ำก่อน แมวจะได้ไม่วอแว

“ช่วยไม่ได้ คุณตัวหอม”

“สบู่ก็กลิ่นเดียวกับนาย” ผมขมวดคิ้ว หันมองเขา แพทริคสบตาผม ยิ้มหวานจนตาหยี “ดมตัวเองไปสิ”

“คุณนี่”

“อะไร”

“ที่จริงไม่เกี่ยวกับกลิ่นหรอก” เขายื่นหน้ามาใกล้ ผมได้กลิ่นหอมจางๆ จากสบู่กลิ่นเดียวกับที่ใช้ ดวงตาสีฟ้าซีดฉายประกายวาว แมวยักษ์แปลงร่างเป็นเสือชั่วขณะ “เพราะเป็นคุณ สบู่กลิ่นเดียวกันเลยหอมมากเป็นพิเศษ”

“...”

“ผมอยากอยู่ใกล้คุณ อยากอ้อนคุณ ให้คุณสนใจ” ปลายจมูกขยับเข้ามา ใกล้จนเห็นรอยกระของแพทริคได้ชัดเจน เขาปัดจมูกผ่านแก้มผม มันให้ความรู้สึกจั๊กจี้แต่ผมไม่ได้ถอยหนี “อยากให้คุณเป็นของผมด้วย…”

“ถ้าอย่างนั้นนายคงต้องพยายามมากหน่อย”

“คุณก็รู้” แพทริคหัวเราะ เขาดึงใบหน้าออก แต่ระยะห่างระหว่างพวกเราก็ยังใกล้มากกว่าปกติอยู่ดี “ว่าผมพยายามเก่งมากแค่ไหน ไม่งั้นคงถอดใจ ไม่คอยร้องเรียกหาคุณทุกๆ หน้าฝนตลอดหกปีที่ผ่านมาหรอก”

“แมวดื้อด้าน”

“แต่ก็คุ้ม เพราะสุดท้ายคุณก็สนใจผม”

ผมกลอกตา ไม่ตอบรับ เบนหน้าหนีมาสนใจซีรี่ย์สืบสวนบนหน้าจอทีวีต่อ ทุกอย่างดูปกติเกินไปทั้งที่พวกเราเพิ่งจูบกัน

เป็นจูบที่ไม่แย่ และผมค่อนข้างชอบมันด้วยซ้ำ

“ถามหน่อยสิครับ”

“อะไร” ผมขานรับ ตายังจ้องจอทีวี แพทริควางคางเกยไหล่ผม “หนัก ออกไป”

“ทำไมก่อนหน้านี้ไม่คุยกับผมล่ะ”

“หมายความว่ายังไง?”

“ผมหมายถึง…” แพทริคเงียบไป เขากดจูบลงบนไหล่ผมผ่านเนื้อผ้า อดไม่ได้จนหันมาดู พอดีกับดวงตาสีฟ้าตวัดขึ้นสบ “เมื่อหลายปีก่อนผมพยายามคุยกับคุณ คุณไม่ตอบรับเลย”

“จะว่าฉันใจร้าย?”

“เซ็บ...คุณอย่าเปลี่ยนเรื่อง”

“เดี๋ยวนี้กล้าแข็งข้อกับฉันแล้วเหรอ หืม?” ผมเลิกคิ้ว แพทริคหน้ามุ่ย ผมเลยสอดปลายนิ้วเข้ากับเส้นผมสีจินเจอร์ของอีกฝ่าย มันเปียกชื้นจากการสระ แต่แพทริคไม่สนใจจะเช็ดให้แห้ง ผมออกแรงขยี้เบาๆ ให้สะเด็ดน้ำ

“เซ็บ…”

“ก็ได้” ผมยอมในที่สุด “นายได้ยินเสียงฉันตอนไหน”

“ตอนผมอายุสิบแปด” เขาเอียงศีรษะเข้าหามือผม ส่งเสียงเบาๆ ในลำคอคล้ายพอใจ

“นายห่างจากฉันสามปี ตอนนั้นฉันยี่สิบเอ็ด”

“อาฮะ”

“พ่อส่งฉันเรียนต่อโทที่ต่างประเทศ” ผมเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง มันลื่นไหลกว่าที่คิด อาจเพราะผมเล่าให้แพทริคฟัง ไม่ใช่คนอื่น “นายรู้ไหมเนื้อหาปริญญาโทมันยากแค่ไหน จู่ๆ ก็มีเสียงใครก็ไม่รู้ชวนคุยนู่นนี่ในหัวทุกครั้งที่ฝนตก”

“โธ่เซ็บ ก็ผมไม่รู้…”

“อืม ฉันเองก็ไม่ได้บอกนาย” ผมโคลงหัว “อีกเหตุผลที่ไม่คุยกับนายก็เพราะเรื่องโซลเมตบ้าๆ นี่”

“โอเค ผมเข้าใจ คุณไม่เชื่อเรื่องนี้”

“และฉันก็ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า”

“แต่อย่างน้อยถ้าคุณรำคาญก็น่าจะบอกผมหน่อย” แพทริคตัดพ้อ ดวงตาสีฟ้าซีดจ้องผม “ผมจะได้เงียบๆ ไม่กวนคุณไง”

“ไม่จำเป็นเท่าไหร่”

“ทำไมครับ?”

“ประเทศที่ฉันไปเรียนต่ออยู่เขตร้อน” ผมสางเส้นผมของแพทริคเบาๆ มันเริ่มหมาดกว่าตอนแรกแล้ว “เรียกว่าเป็นหน้าร้อนตลอดทั้งปีก็ได้ หน้าฝนมีไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ไม่ต้องคิดเรื่องฝนตกตรงกันเลย แทบจะคนละเขตเวลา อืม...แต่ก็มีบ้าง ฉันแค่แกล้งเงียบ”

“สบายคุณเลยสินะ”

“ก็ถือว่าสบาย” ผมแกล้งยิ้มใส่ แพทริคเลยหน้ามุ่ยอีกครั้ง “ตลอดทั้งปีได้ยินเสียงนายไม่ถึงเดือน ทนแป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว”

“ผมโกรธคุณดีไหมเนี่ย”

“กล้าโกรธ?”

“เฮ้ อย่าทำเหมือนคุณถือไพ่เหนือกว่าได้ไหม”

“หรือไม่จริงล่ะ” ผมย้อนถาม แพทริคดูฮึดฮัด

“จริง”

“ไม่โกรธน่าเจ้าแมว”

“แล้วคุณกลับมาเมื่อไหร่ ผมรู้สึกช่วงหลังๆ คุณมีปฏิกิริยากับเสียงผม”

“อืม...ปีที่แล้ว”

“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงตอบรับเสียงผมล่ะ”

“ข้อนี้ยังไม่ตอบได้ไหม” ผมชะงักปลายนิ้วที่สางผมแพทริค ขยี้หัวเขาแรงๆ ก่อนดึงมือออก “ถามเยอะเกินไปแล้วเจ้าแมว”

“แสดงว่ามีเหตุผลอื่นนอกจากที่คุณบอกว่าเห็นแก่ความพยายามของผม”

เขาจ้องผมด้วยแววตาจับผิด ผมสบตาแพทริคครู่หนึ่งก่อนเบนหนี แมวยักษ์ฉลาดเกินไป แค่คำพูดไม่กี่คำกลับโยงเรื่องได้เกือบหมด

เหตุผลมันไม่มีอะไรมากเลย

มันแค่...เป็นวันที่ผมรู้สึกอ่อนแอ วันฝนตกที่ทุกอย่างเงียบงัน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้กับปัญหาห่วยๆ ที่คิดหาทางแก้ไม่ตกนอกจากหนีมาตั้งหลัก

ตอนนั้นผมได้ยินเสียงแพทริค

ความจริงที่ว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวปรากฏขึ้นมา ผมคว้าเอาไว้ ตอบรับเสียงเรียกของเขา

“อย่าคิดมาก”

“หืม?”

“อย่าคิดมากกับคำถามผมเลย” แพทริคส่งยิ้มมา ดวงตาสีฟ้าอ่อนโยน ผมได้รับการปลอบประโลมจากเขาอีกครั้ง ทุกอย่างที่เป็นแพทริคช่วยเยียวยาเสมอมา “อยู่กับผม ผมอยากให้คุณยิ้มมากกว่า”

“ฉันคงไม่บ้ายิ้มทั้งวัน”

ถึงพูดแบบนั้น แต่ผมรู้ดีว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่

“ไม่ยิ้มทั้งวันก็ได้ แค่ยิ้มให้ผมพอ ผมชอบรอยยิ้มคุณนะเซ็บ ชอบคุณด้วย”

“คำว่าชอบอย่าพูดพร่ำเพรื่อดีกว่า”

“ทำไมล่ะ” เขาเอียงคอมอง “ผมแค่พูดความรู้สึกตัวเอง”

“มันเหมือนฉันเอาเปรียบนาย”

“ครับ?”

“ความรู้สึกของนายชัดเจนฉันรู้ดี แต่แพท…” ผมถอนใจ สบตาเขานิ่ง “สุดท้ายฉันก็ยังไม่มั่นใจพอจะพูดคำเดียวกับนายออกมา”

“เซ็บ”

“ฉันรู้มันงี่เง่า ฉันแค่…” ผมกลอกตา “ฝังใจกับเรื่องของพ่อแม่”

“ผมเข้าใจ”

“นายไม่เข้าใจหรอก”

“ไม่เซ็บ ที่บอกว่าเข้าใจน่ะ” แพทริคจับมือผมไว้ บีบเบาๆ พวกเราสบตากัน “ผมเข้าใจถ้าตอนนี้คุณยังไม่พร้อม ผมไม่เร่งรัดอะไรเลยเซ็บ ผมบอกแล้วไงผมอยากเป็นความสบายใจให้คุณ คุณอย่าคิดว่าเอาเปรียบผม ผมเต็มใจบอกชอบคุณและก็เต็มใจรอวันที่คุณจะบอกชอบผม”

“...”

“ผมรอเก่ง คุณก็รู้”

“รอเก่งกับดื้อต่างกันนิดเดียว”

“แล้วคุณคิดว่าผมเป็นแบบไหนล่ะ”

“ดื้…”

คำตอบของผมหายไปเมื่อริมฝีปากถูกแมวยักษ์ยื่นหน้ามาจูบ กดค้างไว้ก่อนผละออก แพทริคยิ้มหวาน เป็นรอยยิ้มที่ส่งไปถึงดวงตา ผมสบตาเขา ถ้าดวงตาของแพทริคเป็นห้วงจักรวาล ในนั้นคงมีดวงดาวนับล้าน

ผมสงสัย...ว่าตัวเองเป็นดาวสักดวงในจักรวาลของแพทริคหรือไม่?

“คุณว่าผมควรทำยังไงดีเซ็บ”

“...?”

“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองชอบคุณมากขึ้นทุกๆ วินาทีเลย”

“ไม่ต้องทำอะไร” ผมยักไหล่ หันกลับไปทางจอทีวี ซีรี่ย์สืบสวนยังไม่จบ แต่ผมดูมันไม่รู้เรื่องอีกต่อไป “แค่ชอบฉันต่อไปจนกว่าฉันจะชอบนายกลับก็พอ”

มันใช้ความกล้าน้อยกว่าที่คิดในการพูดออกไป แต่ใช้ความกล้าทั้งชีวิตเผชิญกับเสียงเต้นของหัวใจและสายตาของแพทริคหลังพูดจบ

แมวยักษ์กำลังจ้องอยู่ ผมรับรู้ถึงสายตาเขา

รู้ตัวอีกทีแพทริคก็ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ผมหันมอง ดวงตาสีฟ้าซีดของเขาดูเข้มขึ้น ผมเห็นความต้องการแฝงอยู่ในนั้น ไม่มีคำพูดระหว่างเรา เขายื่นมือแตะข้างแก้มผม ปลายนิ้วอุ่นคล้ายมีไฟฟ้าสถิต

แพทริคขยับใบหน้าเข้ามา

หลังจากนั้นริมฝีปากผมก็ถูกครอบครอง

ผมหลับตาลง...

แพทริคเป็นคนขี้อ้อน แม้กระทั่งจูบของเขาก็ยังขี้อ้อน แมวยักษ์ไม่รีบร้อนจู่โจม เขาชอบละเลียด ค่อยเป็นค่อยไป จูบผมเบาๆ เคล้าคลอเรียกร้องความสนใจ ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มผมไปมา

“เมี้ยว!”

เสียงแหลมของลูกแมวร้องแทรกขึ้น ผมได้สติตอนซู้กกี้กระโดดขึ้นมาบนตัก

“แพท”

“ครับ”

เขาขานรับ จูบซับริมฝีปากผม

หนึ่งครั้ง

สองครั้ง

สามครั้ง

และคงจะอีกหลายครั้ง ผมยกมือปิดปากเขา จ้องแมวยักษ์ที่ตาหวานเชื่อม ความอบอุ่นจากสัมผัสเมื่อครู่ยังค้างอยู่ ผมเผลอเม้มริมฝีปาก ซู้กกี้กระโดดจากตักผมไปหาแพทริค

“พอได้แล้ว”

“เซ็บ...คุณก็รู้” แพทริคสบตาผม แววตาฉายประกายวาว “ว่าที่ผมชวนคุณค้างห้อง...ความหมายมันมากกว่านั้น”

“สำหรับฉันหมายความแค่นอนเป็นเพื่อนนาย”

“ผมอยากได้มากกว่านั้น”

“เอาแต่ใจ”

“เซ็บ”

“นายอยากได้ความสัมพันธ์แบบ One night stand งั้นเหรอ” พอพูดไปอย่างนั้นแพทริคก็ตาโตใส่

“ผม ผมไม่ได้…”

“รู้น่า” ผมขยี้เส้นผมเขาจนยุ่ง “ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่ยอมนายก็ไม่ทำหรอก”

“อืม...แต่ผมก็คิด”

“ตรงเกินไปไหม?”

“เปล่า ก็แค่…” แพทริคกลอกตา “ผมแค่อยากให้คุณระวังไว้ อย่าทำผมอารมณ์ขึ้นง่ายๆ สิครับ”

“หึ”

“เมี้ยว!”

เสียงของซู้กกี้ดังขึ้นอีกครั้ง ผมมองมัน ลูบหัวเล็กนั้นเบาๆ เจ้าก้อนขนฟูเอาหัวไถกับมือผม…

...ขี้อ้อนเหมือนเจ้าของมันไม่มีผิด

“มันอ้วนขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า” ผมตั้งข้อสังเกต “ท้องป่องหมดแล้ว”

“ซู้กกี้กินเยอะน่ะครับ”

“ระวังนายจะเลี้ยงแมวกลายเป็นหมู”

“ซู้กกี้ไม่หมูสักหน่อย” แพทริคค้าน เขาอุ้มลูกแมวตัวเองขึ้นมาฟัดพุงจนมันส่งเสียงร้องประท้วง ผมอดห่วงไม่ได้ กลัวซู้กกี้ข่วนหน้าเขา “ใช่ไหมซู้กกี้”

“เดี๋ยวก็โดนข่วน”

แพทริคทำท่าจะเถียง แต่เสียงกริ่งหน้าห้องดังขัดขึ้นมา เขาชะงัก ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนวางซู้กกี้ลงกับพื้น

“เดี๋ยวผมมานะ”

“อืม”

ผมพยักหน้า หันกลับมาดูซีรี่ย์อีกครั้งและพบว่ามันจบไปแล้ว ให้ตาย นี่ต้องไปหาดูย้อนหลังใหม่ใช่ไหม? ผมไม่น่าใจอ่อนยอมให้แพทริครบกวนเวลาดูทีวีเลย

“เซ็บ คุณมานี่หน่อย”

เสียงตะโกนเรียกดังมาจากหน้าประตูห้อง ผมขมวดคิ้ว ลุกเดินตามเสียง สังหรณ์ใจแปลกๆ

และลางสังหรณ์ผมก็ถูกต้อง

“แจสเปอร์”

ตรงหน้าผมคือผู้ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท...ยับย่น แว่นตากรอบใสทำให้เขาดูสุขุม...ถ้าไม่นับเส้นผมหยักศกสีดำยุ่งเหยิงและรอยสักเถาวัลย์หนามที่เลื้อยจากด้านหลังขึ้นมาข้างลำคอขวา

ปกติเขาจะทารองพื้นปิดมันไว้และเซตผม ดูเหมือนว่า...

“ขอโทษที่ผมต้องรบกวนเวลาส่วนตัวคุณนะครับเซบาสเตียน แต่…” แจสเปอร์ถอนหายใจ ใบหน้าดูข่มอารมณ์ เขาขยับตัวออกด้านข้าง โคลงศีรษะไปทางแขกผู้มาเยือนอีกคนที่กำลังส่งยิ้มเซย์ไฮมาให้ “...คุณแมทธิวไม่เจอคุณที่ห้อง ก็เลย...เออ นั่นแหละ ลากฉันจากห้องมาใช้งานต่อ เจ้านายเวร!”

ดูเหมือนพี่ชายผมจะทำให้ ‘แจสเปอร์ คิม’ หงุดหงิดพอสมควร เขาถึงไม่สำรวมคำพูดอย่างที่มักทำตามปกติ แต่ถ้าผมเป็นแจสเปอร์ก็คงหงุดหงิด นี่มันเกินเวลางานแล้วแต่กลับถูกลากมาช่วยธุระส่วนตัวอีก เขาเป็นทั้งเลขา ผู้ช่วยมือดีของแมทธิว…

...และโซลเมตอีกตำแหน่ง

แจสเปอร์เป็นทุกอย่างให้พี่ชายผมแล้วจริงๆ ยกเว้นเป็นคนรัก

แมทธิวมองโซลเมตตัวเองเป็นบัดดี้ที่รู้ใจ และแจสเปอร์เองก็ได้ผลประโยชน์จากพี่ชายผม ความสัมพันธ์ของพวกเขาตั้งอยู่บนคำว่าธุรกิจร้อยเปอร์เซ็นต์

“ไงน้องชาย หลบมาอยู่ที่นี่เอง”

“มีอะไร”

“มีหลายเรื่อง” แมทธิวยิ้ม เขาเดินนำเข้าห้อง ไม่สนแพทริคที่เป็นเจ้าของห้องสักนิด ผมแทบกุมขมับกับมารยาทพี่ชายตัวเอง หันไปขอโทษแพทริคทางสายตา อีกฝ่ายยิ้มให้ ดูไม่ติดใจอะไร

“เร่งด่วนมากหรือไงถึงต้องรบกวนคนอื่นแบบนี้”

“โอ้ๆ ขอโทษทีที่ฉันรบกวนเวลาส่วนตัวของพวกนาย” แมทธิวแสร้งทำสีหน้าเสียใจ เชื่อเถอะว่าเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้น

“และฉันด้วย”

“โอเคแจสเปอร์ นายด้วย” แมทธิวหันไปขยิบตาให้โซลเมตตัวเอง

แจสเปอร์ขบฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน เขากำลังข่มอารมณ์ แต่ในใจคงกระชากคอเสื้อแมทธิวต่อยไปแล้วร้อยที

“นั่งก่อนครับ รกนิดหน่อยนะ ผมไม่นึกว่าจะมีแขก”

แพทริคผายมือเชิญแมทธิวและแจสเปอร์ พวกเขานั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับที่ผมและแพทริคเพิ่งจะนัวเนียกันไป ผมเผลอขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกๆ สุดท้ายก็สะบัดหัวไล่ความคิดนั้น นั่งลงบนโซฟาเดี่ยวข้างๆ กัน ส่วนแพทริคเดินหายเข้าไปในครัวและกลับมาพร้อมเบียร์สี่กระป๋อง

“มีอะไรแมท” ผมเปิดประเด็น

“ให้ผมออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนไหม เรื่องส่วนตัวมากหรือเปล่า” แพทริคดูทำตัวไม่ถูก กลายเป็นผมรู้สึกผิดที่ทำเขาลำบากแทน ทั้งที่นี่เป็นห้องเขา

“อยู่นี่แหละ”

“จะดีเหรอคุณ”

“ดี” ผมตัดบท แพทริคเลยไม่กล้าทำอะไรนอกจากเดินไปนั่งโซฟาเดี่ยวตรงข้ามผม

“มีอะไรแมท”

“ขอเกริ่นก่อนได้ไหม”

“อย่ากวนโมโหน่าแมท” ผมถอนใจ “มีอะไรรีบว่ามาเถอะ”

“อืม…” แมทธิวเปิดเบียร์กระป๋องหนึ่งขึ้นดื่ม แววตาจริงจังกว่าเดิม “รู้ใช่ไหมว่าพ่อชนะประมูลโครงการรีโนเวทคอนโดหรูใจกลางเมืองเขต A”

“ข่าวดังขนาดนั้นถึงไม่อยากสนใจก็รู้อยู่ดี”

“แล้วนายพอจะรู้อีกไหม ว่าตอนนี้มันกำลังมีปัญหา”

“พอจะได้ยิน ทำไม นายทำอย่างกับว่าทุกงานผ่านมาได้โดยไม่มีปัญหา?”

แมทธิวยิ้ม เป็นรอยยิ้มเครียดๆ เขาโน้มตัวมาข้างหน้า สบตาผม แววตาเย็นชา

“มันคงไม่แปลกถ้าคนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาครั้งนี้ไม่ใช่คนที่แพ้ประมูลไปอย่างเฉียดฉิว...นายจำเขาได้ไหม”

“เอลตัน มิลาโน”

ชื่อชายคนนั้นออกจากปากผมโดยอัตโนมัติ ตระกูลมิลาโนอิทธิพลไม่ด้อยกว่ารอสซ์สักนิด

“ผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งของเราว่าอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายพ่อกับสร้างปัญหาให้งานเรา เหตุจูงใจสูงพอสมควร พ่อไปขัดแข้งขัดขาเขา” แมทธิวกระดกเบียร์อีกอึกหนึ่ง “พ่อสั่งคนตามสืบเรื่องนี้ แต่เขาไม่ยอมบอกรายละเอียดฉัน”

“นั่นหมายความว่าเขาไม่อยากให้นายยุ่ง”

“ใช่ แต่เพราะอะไรล่ะ ถ้าพ่อแค่ต้องการตัวคนที่ลอบทำร้ายเขาจะปิดบังทำไม ให้ฉันช่วยเหมือนทุกครั้งไม่เร็วกว่าหรือไง? นอกจากมีเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้”

“นายกำลังจะทำอะไรแมท”

แมทธิวยิ้มเหมือนในที่สุดผมก็ถามถูกต้องสักที เขาโคลงศีรษะ ปรายตามองผม คำถามเรียบๆ ถูกส่งมาไม่ให้ตั้งตัว

“ในเมื่อพ่อไม่บอก…”

“...”

“ฉันก็จะลงมือเอง”

“...”

“นายจะร่วมมือด้วยไหมน้องชาย”


*****************************************************************************************


หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 10 [19-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 19-08-2018 22:17:28
มาแล้วววววว :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 10 [19-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 19-08-2018 22:48:58
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 10 [19-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 19-08-2018 22:53:54
ตอนที่เล่าเรื่องหกปีก่อนนี่แอบสงสารแพทเล็กน้อย พูดคนเดียวอยู่ตั้งนาน

เหมือนจะมีเรื่องหนักใจเพิ่มมาและแมวยักษ์อาจจะต้องทำหน้าที่หนักเพิ่มเป็นสองเท่า
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 10 [19-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-08-2018 01:03:46
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 10 [19-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 22-08-2018 06:38:58
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 11 [22-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 22-08-2018 14:13:36


Chapter 11

Will you kiss me?

 

[Patrick]


ผมกำลังตกที่นั่งลำบาก…

ห้องรับแขกในคอนโดฯ กลายเป็นที่ประชุมชั่วคราว บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ไปทั่ว ผมห่อไหล่ อยากปิดหูไม่รับรู้อะไร แต่ทำไม่ได้

“นายจะร่วมมือด้วยไหมน้องชาย”

แมทธิวถามเซบาสเตียน เขายิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้มตาม ผมลอบปาดเหงื่อ รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาจากอีกด้าน ไม่หันกลับไปก็รู้ว่าผู้ช่วยของแมทธิวกำลังจับตามองผม

สาบานเลยว่าไม่ได้อยากรู้เรื่องราวของพวกรอสซ์ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากออกจากห้องไปก่อน แต่เซบาสเตียนให้ผมอยู่ อีกอย่าง...นี่ก็ห้องของผม

“ทำไมถึงคิดว่าฉันอยากร่วมมือ ในเมื่อฉันเองปฏิเสธการเป็นรอสซ์มาตลอด”

“เพราะ...อย่างน้อยนายก็คือรอสซ์” แมทธิวประสานมือเข้าด้วยกัน ดวงตาหรี่ลง “รอสซ์ไม่มีวันปล่อยให้พวกพ้องโดนทำร้าย โดยเฉพาะคนนั้นคือ ‘พ่อ’ ของพวกเรา หรือไม่ใช่?”

“ฉันว่าไม่เกี่ยว” เซบาสเตียนกอดอก เขาเอนหลังพิงโซฟา เลิกคิ้วจ้องหน้าแมทธิว “คิดว่าฉันมองไม่ออก?”

“หืม อะไรกัน” แมทธิวหัวเราะ

“จากัวร์แห่งรอสซ์” เซบาสเตียนสบตากับแมทธิว “ถ้านายอยากสืบเรื่องไหนสักเรื่องคงไม่เกินความสามารถ มันไม่ยากสำหรับนายแมท ไม่จำเป็นต้องให้ฉันร่วมมือด้วย อย่าอ้างอะไรให้ดูดี นายแค่ต้องการคนเบี่ยงเบนความสนใจจากพ่อ คนที่ออกหน้าแทนนาย ซึ่งก็คือฉัน”

“อา...นายมองฉันขาดจริงๆ”

“เพราะฉันเป็นน้องชายนาย”

“ส่วนฉันเป็นพี่ชายนาย” แมทธิวยักไหล่ มองเซบาสเตียนไม่วางตา มุมปากยกยิ้ม “และฉันรู้ว่านายสนใจอยากร่วมมือเหมือนกัน”

“หึ”

“ตกลงตามนี้ พวกเราร่วมมือกัน” แมทธิวยื่นมือออกมา ผมลอบมองหน้าเซบาสเตียน เขาหลุบตาจ้องมือแมทธิวอยู่สักพักก่อนยื่นมือออกไปจับ

“เกลียดนายชะมัด”

“แน่นอน นายคงไม่รักฉันเหมือนโซลเมตของนายหรอก”

“แมท”

เซบาสเตียนกดเสียงเข้ม เขาเหลือบตามองผมแวบนึง...แค่นั้น ไม่ได้แสดงสีหน้าเขินอายอย่างที่ผมคาดหวัง

“ยุ่งเรื่องคนอื่น”

“นายก็กำลังยุ่งเรื่องฉันอยู่เหมือนกัน” แมทธิวหันไปพูดกับแจสเปอร์ อีกฝ่ายกลอกตา แค่นเสียงเหอะในลำคอ “จะโกรธอะไรขนาดนั้น แค่ฉันไปขัดจังหวะตอนนายกำลังจะอึ๊บสาว”

“เจ้านายเวร!”

“ให้เกียรติคนจ่ายเงินเดือนนายหน่อย”

“ถ้าจะทะเลาะกันเชิญด้านนอก” เซบาสเตียนพูดแทรก “จบเรื่องแล้วก็ไป พวกนายกำลังรบกวนแพทริค”

“อา ลืมไปเลย” แมทธิวทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่สนใจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว “ขอโทษด้วยนะครับแพทริค อืม...เรื่องนี้ผมค่อนข้างใจร้อน แถมเซ็บเองก็ไม่อยู่ห้อง”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมได้พูดเป็นครั้งแรก “ผมขอให้เซ็บเขาค้างที่นี่เอง”

แมทธิวผิวปาก เขาหรี่ตาลง แววตาที่ใช้มองผมกับเซบาสเตียนฉายประกายเจ้าเล่ห์กว่าเดิม

ผมรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

น่าเสียดายที่ยังทำแบบนั้นไม่ได้

“อืม...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“ครับ”

แมทธิวลุกเดินนำ แจสเปอร์เดินตาม เขาเหลือบตามองผมอยู่ชั่วครู่จนแมทธิวต้องออกปาก

“ไม่เอาน่าแจส” เสียงหัวเราะดังขึ้น “เขาไม่มีอันตรายหรอก นายไม่จำเป็นต้องหมายหัวเขาขนาดนั้น”

“เผื่อไว้ก่อน...ฉันจะได้ตามเก็บถูกคน”

อืม อยู่ๆ ผมก็โดนหมายหัวล่ะ…

“แพทเป็นคนของผมแจสเปอร์” เซบาสเตียนพูดขึ้นมา ผมเบิกตา หันมองหน้าเขา อีกฝ่ายสบตาแจสเปอร์ “ถ้ามีเรื่องอะไรผมรับผิดชอบเขาเอง ไม่ต้องถึงมือคุณ ขอบคุณ”

“คุณหวงเขาน่าดู”

เซบาสเตียนยักไหล่ ปรายตามองผม ดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนห้วงน้ำวน ผมถูกเขาดึงดูดเข้าไปอีกครั้ง และทุกครั้งหาทางกลับออกมาได้ยากขึ้นทุกที

“ช่วยไม่ได้ เผลอรับเลี้ยงแมวหลงมาแล้ว”

“เฮ้อ น่าอิจฉา” แมทธิวหัวเราะ “เราเอาแบบคู่นั้นบ้างดีไหมแจสเปอร์?”

“พกปืนมาไหม?”

“หืม?”

“ฉันจะยิงกรอกปากตัวเอง” แจสเปอร์แค่นเสียงเหอะ “ได้กับนายฉันตายแล้วเกิดใหม่ดีกว่า”

แจสเปอร์เดินหนี สีหน้าไม่สบอารมณ์ เสียงประตูปิดดังปังจนผมเผลอนิ่วหน้า แต่แมทธิวกลับหัวเราะร่วน ผมคิดว่าเขาคงชอบยั่วโมโหแจสเปอร์บ่อยๆ

“ไว้เจอกัน”

“รีบๆ ไปเถอะ”

เซบาสเตียนไล่ แมทธิวยักไหล่ เขาหันมาขยิบตาให้ผมทีนึงแล้วเดินจากไป เสียงประตูถูกเปิดและปิดลงอีกครั้ง ทั้งห้องกลับมาเงียบสงบและมีเพียงเราสองคนเหมือนเดิม

“เซ็บ”

“อะไร”

“ผมเป็นคนของคุณเหรอ” ผมถามเขายิ้มๆ สบกับดวงตาที่น่าหลงใหล “คุณรับเลี้ยงผมตอนไหนน่ะ ดีใจจัง”

เซบาสเตียนไม่ตอบในทันที เขาลุกเดินมาใกล้ ยืนทิ้งน้ำหนักเอนตัวพิงโซฟาที่ผมนั่ง ผมเงยหน้า คางถูกปลายนิ้วของเซบาสเตียนแตะเชยขึ้น

“อยากเป็นไหมล่ะ?”

“คุณก็รู้คำตอบดี”

“ทั้งที่โลกของฉันต่างจากนายขนาดนี้?” เขาเลิกคิ้ว “โลกของฉันอันตรายมากนะแพท”

“น่าตื่นเต้นดีออก”

“แมวดื้อ”

“ก็เป็นแมวดื้อของคุณคนเดียวไง” ผมยิ้มให้เขา “อีกอย่าง คุณบอกว่าโลกของคุณอันตราย ผมจะปล่อยให้คุณอยู่ในโลกนั้นคนเดียวได้ยังไง”

“นายพูดเอาใจคนเก่ง” เซบาสเตียนแทรกปลายนิ้วสางเส้นผมบริเวณท้ายทอยผม “สาวๆ คงติดนายน่าดู”

“ถ้าอยากให้คุณหวง ผมต้องตอบแบบไหน?”

“ลองคิดดู”

“งั้นมีเยอะเลย”

“ยังไม่รู้สึกหวงเท่าไหร่” เขาคลี่ยิ้มเยาะ “ลองใหม่ไหม?”

“เซ็บ~”

“หึๆ”

เซบาสเตียนหัวเราะในลำคอ ดูพอใจที่ทำผมโอดครวญได้ เพิ่งรู้ว่าภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งนั้นซ่อนความขี้แกล้งเอาไว้ แต่เอาเถอะ เหมือนเขาจะชอบแกล้งผมคนเดียว ซึ่งนั่นก็ดี เพราะเหมือนผมเป็นคนพิเศษสำหรับเขา

ไม่สิ...ผมน่ะเป็นแมวยักษ์ตัวพิเศษของเซบาสเตียนอยู่แล้ว

“ทำไมเงียบ...โกรธ?”

“เปล่าครับ”

“จริงเหรอ”

เซบาสเตียนเชยคางผมขึ้นอีกครั้ง ผมสบตาเขา ห้วงน้ำวนในดวงตาเซบาสเตียนสวยงาม...แต่แฝงแววอันตราย และผมรู้ดีว่าตัวเองหลงรักความอันตรายนี้จนดิ้นไม่หลุด

เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ปั่นป่วนผมด้วยลมหายใจร้อนเป่ารดผิวเนื้อ มอมเมาผมด้วยรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกาย เซบาสเตียนเก่งเรื่องปั่นหัวคน โดยเฉพาะผมที่โดนปั่นจนแทบละเอียดเป็นผง

“จะจูบผม?”

“อยากให้จูบไหมล่ะ”

“คุณรู้คำตอบดี” ผมหลุบตามองริมฝีปากเขา ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม

“แพท…”

“ครับ?”

“อย่าหวังเยอะเกินไป” เซบาสเตียนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เขาเบี่ยงใบหน้าไปด้านข้าง กดริมฝีปากบนขมับผมและผละออก เราสบตากัน ในดวงตาเซบาสเตียนมีประกายวาววาบผ่าน “บนหน้านายมีคำว่าเสียดายตัวใหญ่ๆ แปะอยู่เต็มหน้าผากเลยนะ”

“โธ่เซ็บ”

“ขอโทษอีกครั้งแล้วกันที่ทำให้แมทบุกมาถึงนี่”

จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง เดินไปหยิบกระป๋องเบียร์ของตัวเองที่ยังไม่ได้แตะมาเปิดแล้วยกดื่ม ฟองเบียร์เลอะติดริมฝีปาก เซบาสเตียนแลบลิ้นเลียมันออก ผมเผลอจ้องตาวาว อยากทำหน้าที่เช็ดฟองเบียร์ให้เขาใจจะขาด

“ไม่เป็นไรครับ ที่จริงถ้าผมไม่รั้งคุณไว้แมทก็ไม่มาถึงนี่”

“เชื่อเถอะ ยังไงเขาก็จะมาอยู่ดี ช้าเร็วเท่านั้น” เซบาสเตียนนั่งบนโต๊ะรับแขก เขาหันมาทางผม

“หืม”

“เรื่องแค่นี้โทรคุยก็ได้ไม่จำเป็นต้องคุยต่อหน้าด้วยซ้ำ”

“คุณหมายความว่า…”

“ไม่แปลกใจเหรอว่าแมทรู้ที่อยู่นายได้ยังไง” เซบาสเตียนเลิกคิ้ว “ถ้าฉันเดาไม่ผิด เขาคงสืบหาที่อยู่นายตั้งแต่วันที่พวกเราเจอกันที่โรงพยาบาลแล้ว”

อา จริงอย่างที่เซบาสเตียนว่า

“นายเป็นโซลเมตฉัน ส่วนฉันเป็นน้องชายเขา แมทคงไม่ปล่อยนายรอดหูตาโดยไม่สแกน” เซบาสเตียนยักไหล่ ดวงตาคมปรายมอง “แต่จะให้บุกมาหานายโดยไร้สาเหตุก็ไม่ได้”

“บังเอิญพอดีสินะครับ”

“แมทมักโชคดีในเรื่องแบบนี้” เขายักไหล่ กระป๋องเบียร์ถูกยกดื่มอีกครั้ง ฟองเบียร์ขาวเกาะริมฝีปาก เซบาสเตียนจัดการมันด้วยวิธีเดิมอีกครั้ง “บางทีฉันก็สงสัยว่าคนอย่างนั้นทำไมถึงโชคเข้าข้างอยู่บ่อยๆ เฮ้! จะทำอะไร?”

“เซ็บ”

“จะทำอะไรฉันแมวยักษ์”

“คุณน่ะไม่รู้ตัวสักนิด” ผมยืนตรงหน้าเขา โน้มตัวลงไป แตะปลายนิ้วกับข้างแก้มเซบาสเตียน ออกแรงนิดเดียวเขาก็เงยหน้าขึ้นมา ฟองเบียร์สีขาวเด่นชัดบนริมฝีปาก “ทุกการกระทำของคุณปั่นป่วนผมจนแทบบ้า”

“ฉันคิดว่าปัญหานี้ควรแก้ที่ตัวนายมากกว่า”

“ไม่ครับ ผมคิดว่าเราควรแก้ด้วยกัน”

ผมยิ้ม โน้มหน้าลง ใกล้พอจะตวัดลิ้นเลียฟองเบียร์บนริมฝีปากเขา หัวใจเริ่มเต้นแรง ความต้องการในตัวเซบาสเตียนเพิ่มมากขึ้นกว่าทุกครั้ง

“แพท”

“จะห้ามผมเหรอครับ”

พวกเราสบตากัน เซบาสเตียนแตะปลายนิ้วลงบนริมฝีปากผม ความอบอุ่นจากอีกฝ่ายคล้ายมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ แล่นผ่าน ผมอ้าปาก งับปลายนิ้วเขาไว้ เซบาสเตียนนิ่วหน้า เขาวางกระป๋องเบียร์ลง ดึงมือออกจากปากผม วางมือบนไหล่ ออกแรงกดให้ผมทรุดตัวนั่งคุกเข่าตรงหน้า

เซบาสเตียนในมุมนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเท่มาก ใบหน้าคมดูดีไร้ที่ติ ผมมองเลยไปยังไหล่กว้างแข็งแรง ทุกอย่างที่เป็นเขาล้วนมีเสน่ห์จนยากละสายตา ผมรู้สึกว่าตัวเองเล็กลงเมื่ออยู่ต่อหน้าเซบาสเตียน

ผมสบตาเขา ดวงตาคมเปล่งประกายคล้ายดวงดาว...

...ไม่แน่ใจว่าดาวดวงนี้ไกลเกินเอื้อมไหมถ้าผมอยากคว้าไว้

“เป็นเด็กดี ไม่ดื้อนะครับแพท”

ผมโดนมอมเมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและรอยยิ้มอันตราย

ค่ำคืนนั้นคนใจร้ายนอนหลับสบาย

ส่วนแมวยักษ์ทำได้แค่เฝ้ามอง...


ผมคิดว่าผมฝัน ห้วงน้ำวนสีเขียวมรกตดูดดึงให้จมลงไป ไร้ซึ่งทางออก กระแสน้ำเย็นเยียบผลักดันให้ว่ายหนีขึ้นมา เงยหน้าสูดอากาศเหนือผิวน้ำ กลิ่นหอมเย็นๆ ลอยแตะจมูก ผมนิ่งงันคล้ายโดนสะกดก่อนถูกเกลียวคลื่นสีขาวถาโถมเข้าใส่

ผมลืมตา คลื่นสีขาวกลายเป็นผ้าห่มยับยู่ยี่ อากาศเย็นลงจนรู้สึกได้ ผมฝังตัวกับผ้าห่ม มือไขว่คว้าหาความอบอุ่นจากคนข้างกาย

“แพท...ปล่อย”

“อือ”

“แพท” เสียงเซบาสเตียนกระซิบอยู่ข้างหู มันแหบพร่ากว่าปกติ ผมทำเป็นไม่ได้ยิน ออกแรงกอดเอวเขาไว้แน่น  อุณหภูมิจากตัวเซบาสเตียนอุ่นสบาย ผมอยากอยู่แบบนี้ให้นานกว่าเดิม

“...”

“เจ้าแมว”

“หนาว…” ผมพึมพำ ขยับตัวซุกหน้ากับไหล่กว้าง กลิ่นหอมเย็นจากในฝันอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก “ขอกอดหน่อยไม่ได้เหรอครับ”

“แพท...มันอึดอัด”

“กอดผมคืนสิ”

“แพท”

เสียงเข้มกดต่ำ ผมคิดว่าเซบาสเตียนจะดันตัวผมออก ขืนตัวรออยู่ตั้งนานแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยิ้มทั้งที่ยังหลับตา ความใจดีของเซบาสเตียนไม่จำเป็นต้องมองหาแต่สัมผัสได้จากการกระทำ

เส้นผมปรกใบหน้าถูกสางเบาๆ ปลายนิ้วอุ่นนวดคลึงศีรษะผม สบายจนเผลอส่งเสียงในลำคอ เซบาสเตียนหัวเราะ เขาพึมพำว่าผมเหมือนแมวยักษ์ขี้เกียจ

ไม่ปฏิเสธหรอก

ถ้าขี้เกียจแล้วทำให้คุณใส่ใจผมแบบนี้

“หืม...ฝนตกเหรอครับ?”

ผมถามเมื่อรู้สึกว่าโสตประสาทการได้ยินของตัวเองเปลี่ยนไป มันอื้ออึงอยู่ในหู เสียงเข็มนาฬิกาและเสียงนกร้องเบาลงจนเงียบหาย ผมได้ยินแค่เสียงลมหายใจของตัวเองและเซบาสเตียน

โซลเมตที่เป็นข้อยกเว้นของทุกอย่าง

“เพิ่งตกเมื่อกี้ ไม่หนักมาก”

“ขี้เกียจจัง ไม่อยากไปทำงานเลย”

“ฉันไม่ชอบคนขี้เกียจ”

“ผมไม่ใช่คนขี้เกียจ” ผมเงยหน้าจากไหล่กว้างอันอบอุ่น ลืมตามองคนที่นอนข้างกัน ห้วงน้ำวนในฝันปรากฏอยู่ตรงหน้า...ในดวงตาของเซบาสเตียน ในฝันผมว่ายหนีขึ้นมาได้ แต่ห้วงน้ำวนตรงหน้านี้หาทางออกไม่ได้สักที “ผมเป็นแมวยักษ์ที่ขี้เกียจต่างหาก”

“ตื่นแล้วก็ลุก จะเจ็ดโมงแล้ว”

“ก็บอกว่าเข้างานเก้าโมงไงครับ” ผมพึมพำ ยังโหยหาความอบอุ่นจากเตียงนอนและร่างกายของเซบาสเตียน “วันนี้คุณไม่มีสอนใช่ไหม?”

“อืม พรุ่งนี้ถึงมีสอนตอนบ่าย” เซบาสเตียนลุกนั่งพิงหัวเตียง เขายกมือเสยผมยุ่งๆ ดวงตาคมตวัดมองผมที่ยังนอนตะแคงซุกผ้าห่ม

ผมยังยืนยันคำเดิมว่าเขาเท่มาก

“ดีจัง”

ผมบิดขี้เกียจ ชันตัวลุกนั่ง มองออกนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายามเช้ามืดครึ้ม ม่านสายฝนบดบังทัศนวิสัยภายนอกจนพร่ามัว กระจกหน้าต่างขึ้นเป็นไอสีขาวจากความเย็น บรรยากาศแบบนี้มันน่า…

“คิดอะไรอยู่”

“ฮะ ครับ?”

“ฉันถามว่าคิดอะไรอยู่” เซบาสเตียนเลิกคิ้ว เขาหรี่ตาจ้องหน้าผม “สีหน้านายเมื่อกี้ไม่น่าไว้ใจสักนิด”

“เปล่านี่ครับ” ผมปฏิเสธหน้าซื่อ “แค่คิดว่าบรรยากาศแบบนี้น่านอนอยู่บ้านมากกว่าไปทำงาน”

เซบาสเตียนดูไม่เชื่อเท่าไหร่ ผมเลยแสร้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเช็กอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอดีกับข้อความจากแอพลิเคชั่นแชตชื่อดังเด้งขึ้น มันส่งมาจากคุณนายแม็กเคนซี บราวน์…แม่ผมเอง

“อา…”

“มีอะไรหรือเปล่า?”

“คือ...เซ็บ” ผมสบตาเขา หัวเราะแห้งๆ จนอีกฝ่ายขมวดคิ้ว “วันอาทิตย์นี้คุณพอจะ...อ่า มีเวลาว่างช่วงเย็นๆ หน่อยไหมครับ”

“ทำไม”

“คือ…”

“ตอบมาตรงๆ แพท”

“ลุงมาคัสเล่าเรื่องคุณให้แม่ผมฟัง แม่กับพ่อผมเลยอยากพบคุณ พวกเขานัดให้ผมพาคุณไปทานอาหารเย็นกันวันอาทิตย์นี้” ผมตอบออกไปทีเดียวเมื่อเซบาสเตียนกดเสียงเข้มใส่ ก่อนรีบพูดต่อเมื่อเห็นท่าทีเรียบนิ่งของอีกฝ่าย “แต่...แต่ถ้าคุณไม่สะดวกหรือไม่สบายใจก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมเข้าใจ ไม่ได้น้อยใจเลยนะถ้าคุณจะปฏิเสธ แค่…”

“แพท” เซบาสเตียนฟาดหน้าผากผมไปทีนึง “ใจเย็นหน่อย อย่าเพิ่งสติแตก”

“ขอโทษครับ”

ผมลูบหน้าผากตัวเอง

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ นายกลับโวยวาย”

“ก็ผม…”

“วันอาทิตย์ฉันสอนเสร็จตอนบ่ายสี่โมง” คำพูดของเซบาสเตียนทำให้ผมเงยหน้ามองเขาตาโต “ทันไหม ถ้าทันก็ไป ฉันตกลง”

“เซ็บ~”

ผมกระโจนเข้าหาเขา ตั้งใจจะกอดอีกฝ่ายให้แน่น แต่เซบาสเตียนเร็วกว่านั้น เขาเบี่ยงตัว ยื่นมือผลักหัวผมจนหน้าคะมำลงกับเตียง

เสียงหัวเราะดังขึ้น ชัดเจนในความเงียบงัน

ผมผุดลุก ยกมือลูบจมูกตัวเอง

คุณเสือดำส่งยิ้มร้าย ดวงตาเป็นประกาย

ผมทดเหตุการณ์นี้ไว้ในใจ สักวันจะเอาคืนให้ได้

แมวยักษ์จะไม่ยอมเป็นเหยื่อของเสือดำอีกต่อไป คอยดู


*****************************************************************************************


หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 11 [22-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 22-08-2018 16:58:38
คุณเซ็บน่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 11 [22-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 22-08-2018 17:11:34
โอยยย ทำไมหวานนน อ่านมาถึงคอนนี้ทำไมเราเดาไม่ออกนะว่าใครเคะ ใครเมะ บางตอนก็อีกคนนึงพอมาอีกตอนอ้าวลังเลล่ะ  555 มาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 11 [22-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 22-08-2018 20:54:30
เหมือนจะมีเรื่องเครียดแต่ไม่เลย โดนกลบด้วยความละมุนของเสือดำและแมวยักษ์ ขอบคุณมากค่ะ :3123:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 11 [22-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-08-2018 21:36:46
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 11 [22-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 23-08-2018 00:54:23
โอเค สมกับเป็นพี่น้องกันค่ะ
และแพทก็สมควรเป็นเจ้าเหมียวยักษ์สุดๆ ขี้อ้อนไม่มีใครเกิน แถมยังถูกเขาดักทางได้ตลอด
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 11 [22-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 23-08-2018 22:50:07
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 12 [24-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 24-08-2018 22:35:53


Chapter 12

Family

 

[Sebastian]


แปลก...

ผมรู้สึกตัวเองวันนี้แปลกไปจากเดิม ทั้งที่การดำเนินชีวิตไม่ต่างจากปกติ ผมมาสอนในห้องเรียนเดิม เนื้อหาวิชาเดิมกับนักศึกษาหน้าตาคุ้นเคย

ทว่ามันไม่เหมือนเดิม ใจผมกำลังพะวงกับอะไรบางอย่าง

“อาจารย์คะ?”

“...ครับ?” ใช้เวลาเกือบสามวินาที ผมมองหน้าเธอ ขานรับสั้นๆ “คุณมีคำถามตรงไหนนะครับ?”

“ตรง…” เธอทวนคำถามซ้ำ ขมวดคิ้วจ้องหน้าผม สีหน้าแสดงออกชัดเจนไม่ปิดบัง “วันนี้คุณดูใจลอยนะคะ ไม่สบายหรือเปล่า พวกเราเห็นคุณเหม่อตั้งแต่ต้นคาบแล้ว”

ทุกคนในคลาสพยักหน้าเห็นด้วย

“ไม่เชิง” ผมส่ายหน้า ตัดบทสนทนานั้นทิ้งไป “เรียนกันต่อนะครับ ขอโทษพวกคุณด้วยที่เหม่อ ผมมีเรื่องให้คิดมากไปหน่อย”

หลังจากนั้นทุกอย่างก็ ‘เกือบ’ เหมือนเดิม บางสิ่งยังวิ่งวนในหัวแต่ผมพยายามไม่คิดถึงมันและโฟกัสกับการสอนตรงหน้า ใช้เวลาเกือบทั้งคาบในการค้นหาคำตอบและสาเหตุที่ทำให้ตัวเองกระวนกระวาย

ในที่สุดก็รู้ตัว

สาเหตุนั้นโคตรงี่เง่า

ผมเผลอสบถออกไมค์

นักศึกษาพวกนั้นสะดุ้ง ผมขอโทษพวกเขาอีกครั้ง ได้รับสายตาแปลกๆ หลายสิบคู่มองมา ผมหันกลับไปยังจอโพรเจกเตอร์ตรงหน้า ทำเป็นไม่สนใจ

แต่เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ

จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าแมวส้มตัวยักษ์

แพทริคทำให้ผมเป็นบ้าเพียงเพราะวันนี้มีนัดทานอาหารเย็นกับที่บ้านเขา

 

มนุษย์สัมพันธ์ผมติดลบ หรือถึงไม่ติดลบก็ใกล้ติดลบเต็มที

ตรงหน้าผมคืออาจารย์พิเศษที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เมลิน่าใช้ห้องนี้สอนต่อจากผม เธอสวยและเข้ากับคนง่าย ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดทุกครั้งเวลาเธอมาคุยด้วย

ครับ เธอคือเมลิน่า มอเรน คนที่เกือบจะเป็น ‘คู่หมั้น’ ผม พวกเราเหมือนกันอย่างนึงตรงที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจสีเทาของที่บ้าน ความบังเอิญทำให้เรามาสอนที่เดียวกัน

“วันนี้โชคดีจัง ฉันมาทันตอนคุณยังไม่หนีออกจากห้อง”

“คุณมาเร็วกว่าปกติ” ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง คลาสของเธอเริ่มตอนบ่ายสี่โมงครึ่ง อีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาสอน

“มองนาฬิกาผิดน่ะ” เมลิน่ายักไหล่

เธอวางกระเป๋าและโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะที่ผมเพิ่งเก็บของตัวเองไป “กว่าจะรู้ตัวก็ขับรถออกมาครึ่งทางแล้ว ย้อนกลับก็เสียเวลา”

เมลิน่าหัวเราะ เธอเงยหน้ามองผม ดวงตาสีฟ้าใสทำให้นึกถึงใครบางคน

“แย่หน่อยนะครับ” ผมเก็บของเข้ากระเป๋าจนเรียบร้อย “วันนี้ผมมีธุระ คงอยู่คุยกับคุณไม่ได้”

“ปกติคุณก็อยู่คุยกับฉันไม่เกินสองสามนาทีนี่คะ”

ผมยิ้มนิดๆ ไม่ได้ตอบอะไร เมลิน่าสนใจผม เธอรู้ว่าตระกูลผมกับเธอเป็นคู่ค้ากัน ไม่งั้นเรื่องหมั้นคงไม่เกิดขึ้น เมลิน่านั่นแหละที่เป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้มาตลอด แต่ผมไม่ได้สนใจเธอเลยไม่จำเป็นต้องให้ความหวังอะไร ช่างความขัดแย้งระหว่างตระกูลเถอะ ผมไม่สนใจธุรกิจของพ่ออยู่แล้ว โชคดีที่ทางฝั่งมอเรนไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น

ไม่เหมือนเจ้าแมวยักษ์หรอก รายนั้นดีกับคนอื่นไปทั่ว

“เซบาสเตียนคะ”

ในเมื่อเธอเรียกไว้ ผมเลยจำต้องหันกลับไปอย่างเสียไม่ได้

“ครับ?”

“รู้หรือยังคะว่างานวิชาการของยูฯ ปีนี้คุณต้องเข้าร่วมบรรยายด้วย”

“ผมได้รับเอกสารแจ้งแล้ว” ผมพยักหน้ารับนิ่งๆ “ต้องบรรยายกับคุณ ใช่ไหม?”

“แหม อย่าขัดกันสิคะ ฉันกำลังจะพูดเลย”

“งั้นเรื่องนี้ไว้คุยกันอีกทีนะครับ วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ”

“นัดใครไว้เหรอคะ”

“ประมาณนั้นครับ”

“คนสำคัญ?”

เมลิน่าสบตาผม แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยและท้าทาย เธอรู้ดีว่าผมกำแพงสูงแค่ไหน และคงคิดว่ามันสูงจนผมคงจะไม่ตอบรับ เหมือนที่ผมไม่ตอบรับเธอ

แต่บางทีเธอก็คิดผิด

“เขาเป็นโซลเมตผม…” ผมเว้นจังหวะ มองสีหน้าตกใจของเมลิน่าแล้วนึกขำ “...คุณคิดว่าเขาสำคัญกับผมไหมเมลิน่า?”

คราวนี้เมลิน่าไม่ตอบและไม่ได้รั้งไว้อีก ซึ่งดีสำหรับผม การรับมือเธอมันน่ารำคาญเกินไป ผมเดินผ่านโถงตึกเรียนออกมาด้านนอก ร่างคุ้นตาของใครบางคนยืนพิงตัวตึกหันหลังให้ เขายืนคุยกับผู้หญิงอีกสองคน หนึ่งในนั้นผมคุ้นตาว่าเป็นนักศึกษาในมหา’ลัย ส่วนอีกคนผมเห็นเธอเป็นเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสเดียวกับแพทริค

ไม่ต้องเดาว่าเขาคือใคร ผมจำเขาได้ แม้จะไม่เห็นเส้นผมสีจินเจอร์โดดเด่นนั่นก็ตาม

“แพท”

ผมส่งเสียงเรียกเมื่อเดินไปใกล้ อีกฝ่ายหันกลับมาและยิ้มหวาน

ผมชอบรอยยิ้มของเขา มันสดใส...เจิดจ้าเหมือนพระอาทิตย์ในหน้าร้อน ละลายบางสิ่งบางอย่างในใจผมจนเจิ่งนองและรอวันตกตะกอน

“เซ็บ” แพทริคกวักมือเรียกให้เดินไปหา “คุณมาพอดีเลย เดี๋ยวผมแนะนำให้พวกคุณรู้จักกันไว้”

“สวัสดีค่ะ” เทรนเนอร์คนนั้นทักผมก่อน

“ครับ”

“นี่เทเรซ่า เพื่อนผม คุณคงเคยเห็นเธอแล้วตอนแวะไปหาผมวันนั้น” แพทริคอธิบาย ผมพยักหน้า กล่าวทักทายเทเรซ่าตามมารยาทอีกครั้ง “ส่วนนี่ทีน่า น้องของเทซ เธอเรียนที่นี่ คุณเคยสอนเธอไหม?”

“คุณเรียนคณะไหน?” ผมถามเธอ

“BA ค่ะ”

“ชั้นปีหนึ่ง?”

“ค่ะ”

“ไว้ขึ้นปีสองคุณถึงจะได้เรียนกับผม”

“ผมอยากเรียนกับคุณมั่งจัง” แพทริคพูดแทรก เขามองผมตาเป็นประกาย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแมวยักษ์กำลังคิดอะไรแผลงๆ “คุณในลุคอาจารย์มันเซ็กซี่เป็นบ้า โอ๊ย!”

แพทริคกุมหน้าผากตัวเอง สีหน้าเหยเก ผมมองเขานิ่งๆ ไม่รู้สึกผิดสักนิดที่ดีดหน้าผากเขาไปเต็มแรง

“จะไปได้หรือยัง”

“เซ็บ...เจ็บนะครับ”

“ก็ตั้งใจให้เจ็บ” ผมยักไหล่ หันมองสองสาวที่พยายามกลั้นหัวเราะ “ยังไงขอตัวก่อนนะครับ”

“ค่ะ คิกๆ ฝากแพทเขาด้วยนะคะ” เทเรซ่ากล่าวยิ้มๆ ตามด้วยทีน่าน้องสาวของเธอ

“อาจารย์อย่ารังแกแพทของฉันแรงแบบนี้สิคะ”

“อันที่จริง…” ผมทอดเสียง เหลือบมองแพทริค หน้าผากเขาแดงแจ๋จนน่าขัน ผมหันกลับไปสบตาทีน่าอีกครั้ง “...ผมว่าเขาเป็นของผมนะ”

“ว้าว”

ทีน่าเบิกตากว้าง สีหน้าตกใจ แต่คงไม่เท่าแมวยักษ์ที่ตาโตเกือบถลน ถ้าผมตาไม่ฝาด ผมคิดว่าแก้มแพทริคมีริ้วสีแดงจางๆ พาดผ่าน

แค่นี้ก็เขินแล้ว เจ้าเด็กยักษ์เอ๊ย

“ไปได้แล้วแพท”

ผมแตะมือลงบนท้ายทอยเขา ขยี้เส้นผมบริเวณนั้นเบาๆ ออกแรงดันให้เขาก้าวเดิน เสียงหัวเราะจากสองสาวดังไล่หลัง ผมคิดว่าพวกเธอคงขำท่าเดินเก้กังของแพทริคที่คล้ายหุ่นยนต์

“ร้ายชะมัดเลยเซ็บ”

“ฉันทำอะไรนายอีกหรือไง”

“ผมต้องตอบเหรอ คุณรู้ตัวดี”

“อ้อ ฉันทำนายเขิน”

“ไปรถคุณนะเซ็บ” แพทริคเปลี่ยนเรื่อง นอกจากแก้มที่แดงแล้ว ใบหูก็ไม่แพ้กัน

“แล้วรถนาย?”

“ให้เทซขับไปส่งทีน่าครับ” เขาตอบ “พรุ่งนี้เธอจะขับมาคืนที่ฟิตเนส”

“โอเค”

ผมพยักหน้ารับ เป็นฝ่ายเดินนำแพทริคไปยังลานจอดรถ ระหว่างทางแพทริคชวนผมคุยไม่หยุดปาก ผมคิดว่าเขาคงหายเขินแล้ว รู้อย่างนี้น่าจะแกล้งหนักๆ เจ้าแมวยักษ์จะได้สงบปากนานขึ้นอีกหน่อย

เดินมาใกล้ถึงตัวรถ เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น ผมชะงักฝีเท้า หยิบมันมาดู รายชื่อบนหน้าจอทำเอาเผลอขมวดคิ้ว ผมส่งกุญแจรถให้แพทริคก่อนกดรับสาย

“มีอะไร” ปลายสายบอกความต้องการตัวเอง ผมขมวดคิ้วอีกครั้ง เหลือบตามองแพทริคที่ขึ้นไปสตาร์ทรถรอเรียบร้อย “วันนี้ไม่ได้ มีนัดแล้ว...ใครใช้ให้บอกกะทันหัน?”

ผมก้าวขึ้นไปบนรถ แพทริคหันมอง สายตาเขาคล้ายถามว่าให้ออกรถเลยไหม ผมทำมือให้เขาออกรถในขณะเดียวกันก็นัดแนะกับปลายสายไปด้วย

“ไม่ ยกเลิกไม่ได้” ผมถอนใจ “อืม โอเค ไว้คุยกันอีกทีฉันไม่ว่าง...หุบปากไปซะ!”

ผมกดวางสาย น้ำเสียงล้อเลียนของอีกฝ่ายดังก้องในหัว

“คุณ...จะไม่แคนเซิลผมใช่ไหมเนี่ย?”

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น” ผมหันมองเขา แพทริคมองถนนตรงหน้า เขาไม่ได้หันมาสบตาผม แต่คิ้วขมวดแน่น

“ก็…”

“รับปากนายแล้ว ฉันไม่ใช่คนอย่างนั้น”

“เซ็บ…”

“นายสำคัญกว่าที่ตัวเองคิดนะ เลิกคิดมากได้แล้วเจ้าแมวยักษ์ ตั้งใจขับรถเถอะ”

หลังจากนั้นแมวยักษ์ก็เป็นบ้า

เพราะเขาเอาแต่ยิ้มตลอดทาง

ถ้าถามว่าผมรู้ได้ยังไง...

...คงต้องยอมรับว่าตัวเองก็ลอบมองเขาตลอดทางเหมือนกัน

 

บ้านของแพทริคอยู่แถบชานเมือง ห่างจากตัวเมืองมากพอสมควร ใช้เวลาชั่วโมงกว่ากว่าจะมาถึง ตัวบ้านสองชั้นเป็นไม้ระแนงสีขาว หน้าบ้านปลูกดอกไม้พันธุ์เล็กสีสันสดใส ผสมผสานสไตล์ความเป็นชนบทและความทันสมัยอย่างลงตัว รอบด้านเป็นสนามหญ้ากว้าง โอบล้อมด้วยต้นไม้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กลางธรรมชาติ

ชานหน้าบ้านมีเก้าอี้ตั้งไว้สองตัว สุนัขโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ พอเห็นรถเลี้ยวเข้ามาก็ผุดลุกนั่งหูตั้งพร้อมส่งเสียงเห่าทะลุเข้ามาในรถ แพทริคลดกระจกลง เขาส่งเสียงทักทายมัน

“เฮ้ทิมมี่ ฉันเอง”

“โฮ่ง!”

เจ้าหมาสะบัดหางเป็นพวงไปมา มันตื่นเต้นที่เห็นแพทริคจนวิ่งออกมาเห่าเสียงดังลั่นข้างตัวรถ ผมอดกังวลไม่ได้ กลัวว่ามันจะถูกล้อทับเข้าให้

แพทริคจอดรถไว้บริเวณหน้าโรงรถข้างตัวบ้าน พวกเราเปิดประตูออกมา ผมสูดอากาศเข้าเต็มปอด มันให้ความรู้สึกผ่อนคลายไร้มลพิษไม่เหมือนในตัวเมือง

“โฮ่ง!”

“ฮ่าๆๆ ไงทิม สบายดีไหม”

แพทริคย่อตัวลงไปเล่นกับเจ้าโกลเด้นตัวใหญ่ มันส่งเสียงเห่าไม่หยุดพอๆ กับหางที่สะบัดไปมา ทำท่าจะเลียใบหน้าแพทริคให้ได้ ดีที่เขาเบี่ยงหนีทันไม่งั้นทั้งหน้าคงเต็มไปด้วยน้ำลาย

“โฮ่ง!”

“อย่าเห่าเซ็บสิทิม” แพทริคหัวเราะร่วน เขาขยี้หัวเจ้าหมาตัวโต “นี่คุณเสือดำเลยนะ แกจะโดนขย้ำเอา”

“ไร้สาระ”

“ฮ่าๆๆ คุณยังไม่ชินอีกเหรอ” แพทริคหันมายิ้ม เขาลุกขึ้น ปัดมือตัวเองไปมาก่อนโคลงศีรษะไปยังตัวบ้าน “เข้าบ้านกันครับ อยากแนะนำคุณให้ทุกคนรู้จักแล้ว”

“นายตื่นเต้นเกินไปหรือเปล่า”

“คุณไม่ตื่นเต้น?”

“เฉยๆ”

ถ้าไม่นับเหงื่อที่เริ่มชื้นตามมือกับความคิดที่ตีอยู่ในหัว ผมคิดว่าตัวเองยัง ‘เฉยๆ’ อยู่

“แพท มาเร็วกว่าที่คิดนะ”

แพทริคยังไม่ทันเอื้อมมือแตะลูกบิด ประตูบ้านก็เปิดออกก่อน หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีส่งยิ้มให้พวกเรา เธอมีเส้นผมสีจินเจอร์ ดวงตาสีฟ้าและผิวขาวซีดตกกระเหมือนแพทริคไม่มีผิด ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าเธอเป็นแม่ของเจ้าแมวยักษ์

“คิดถึงจังครับ”

แพทริคตรงเข้าไปกอดแม่ของตัวเอง ผมยืนมองพวกเขากอดกัน ความรู้สึกบางอย่างตีขึ้นจนจุกอยู่บริเวณลำคอ ผมสูดหายใจลึก ไล่มันทิ้งไป

“ส่วนพ่อหนุ่มคนนี้คงจะเป็น...เซบาสเตียนใช่ไหมจ๊ะ?” เธอหันมาทางผม รอยยิ้มใจดีทำให้ผมยิ้มตอบ

“ครับ สวัสดีครับ คุณ…?”

“แม็กเคนซีจ้ะ เรียกป้าแม็กก็ได้”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับป้าแม็ก”

ผมจับมือทักทายเธอ ป้าแม็กดึงผมเข้าไปกอด ผมได้กลิ่นหวานๆ จากตัวเธอ คล้ายกลิ่นขนมปังเพิ่งออกจากเตา บางทีพวกเราอาจมาตอนที่เธอเพิ่งอบขนมปังเสร็จก็ได้ อ้อมกอดป้าแม็กอุ่นไม่ต่างจากแพทริค ผมเผลอตัวไปกับความอ่อนโยนนั้นกระทั่งแพทริคส่งเสียงเรียก

“แม่ครับปล่อยเซ็บได้แล้วน่า”

“แหม หวงเหรอจ๊ะ”

“หวงสิครับ” แพทริคดึงตัวผมมากอดไว้ เขาเกยคางกับไหล่ผม ส่งยิ้มให้ป้าแม็ก “กว่าผมจะกอดเขาได้แต่ละทียากจะตาย แม่จะกอดเซ็บได้ง่ายๆ ได้ยังไง”

“โธ่เจ้าลูกคนนี้” ป้าแม็กหัวเราะร่วน เธอมองผมสลับกับแพทริคตาเป็นประกาย “มาจ้ะ เข้ามาในบ้านกันก่อน คุณพ่อรอเจอพวกเราเหมือนกันนะ”

ผมกับแพทริคเดินตามป้าแม็กเข้าไปข้างใน ตัวบ้านกว้างขวางประดับด้วยเฟอร์นิเจอร์เรียบง่ายไม่ได้หรูหราอะไร เน้นความสบายตา บ้านแพทริคไม่ได้เล็กแต่ก็ไม่กว้างมากถ้าเทียบกับคฤหาสน์ของพ่อ

และคงเป็นเพราะความกว้างนั้นทำให้ผมสัมผัสความอบอุ่นได้เจือจางลงทุกที

“คุณคะ ดูซิใครมา”

“เฮ้ ไอ้ลูกหมา ไม่เจอกันนานเลยนะ!”

ชายวัยกลางคนร่างท้วมในชุดลำลองส่งเสียงทักทาย เขาพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านวางลงบนโต๊ะรับแขก ผุดลุกกางแขนเดินเข้ามากอดแพทริค

“ผมเพิ่งมาเยี่ยมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองนะพ่อ”

“นั่นแหละ นานแล้ว ตั้งเจ็ดวันเชียว!”

“พ่อเถอะ ออกกำลังกายบ้างไหมเนี่ย” แพทริคทำเสียงดุ “ดูแลสุขภาพตัวเองมั่งน่า เบียร์น่ะลดๆ ลงบ้างครับ”

“เจ้าลูกคนนี้ เจอกันทีไรไม่พ้นเรื่องเดิม” พ่อแพทริคส่ายหัวไปมา เขาหันมาทางผม ส่งยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร รอยยิ้มนี้เหมือนแพทริคไม่ผิดเพี้ยน “สวัสดีๆ ไอ้หนุ่ม...เซบาสตี้หรือเปล่าน่ะ”

“เซบาสเตียนครับ”

ผมเอ่ยแก้ ส่วนแพทริคหัวเราะลั่น

“โอ้ ขอโทษที ฉันแก่แล้วหลงๆ ลืมๆ ยินดีต้อนรับนะ ทำตัวตามสบาย ฉันพีเตอร์ เรียกลุงพีทก็ได้” ลุงพีทเดินมากอดผม เขาตบหนักๆ ลงที่กลางหลัง เป็นการทักทายกันอย่างลูกผู้ชาย ผมกอดเขาตอบ อดคิดไม่ได้ว่าผมกอดกับพ่อแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

หรือบางทีอาจไม่เคยเลย?

ผมจำไม่ได้ ระยะเวลายาวนานเกินไปจนความทรงจำเลือนราง

“แม่ไม่คิดว่าพวกเธอจะมากันเร็วแบบนี้ อาหารเย็นยังไม่เสร็จเลยจ้ะ” ป้าแม็กมีสีหน้าเสียดาย “ลูกพาเซบาสเตียนไปเดินเล่นรอก่อนสิ หรือไม่ก็พาเดินชมบ้าน ถึงบ้านเราจะไม่ค่อยมีอะไรให้ชมก็เถอะ”

“งั้นเดี๋ยวผมพาเซ็บไปรอบนห้องแล้วกัน”

“หักห้ามใจตัวเองไว้ไอ้ลูกหมา พ่อแม่ยังอยู่ข้างล่าง”

“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย” แพทริครีบแก้ความเข้าใจผิดจนลิ้นพันกัน ผมมองท่าทีลุกลนของเขาแล้วลอบยิ้ม แก้มแดงหูแดงขนาดนี้ ไม่รู้คิดอะไรอยู่

“ยิ่งนายแก้ตัวยิ่งแย่นะ” ผมโน้มหน้ากระซิบชิดใบหูเขา แพทริคหันขวับ

“เซ็บ!”

“ไอ้ลูกหมา เสียท่าหมดแล้ว”

ลุงพีทหัวเราะลั่น เขาดูชอบใจที่เห็นแพทริคเสียอาการกับผม ป้าแม็กเองก็ไม่ต่างกัน เธอหัวเราะจนใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาหยีโค้งจนเห็นร่องรอยแห่งวัย ลุงพีทโอบแขนรอบเอวป้าแม็ก ดึงเธอมาหอมแก้มต่อหน้าพวกเราฟอดใหญ่

“สู้พ่อก็ไม่ได้ โธ่ไอ้ลูกหมาเอ๊ย”

ผมยิ้มกับภาพตรงหน้า ในขณะเดียวกันหัวใจก็โหยหาสิ่งเหล่านี้

ครอบครัวที่อบอุ่น

ไม่จำเป็นต้องมีบ้านหลังใหญ่

ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงหรือรวยล้นฟ้า

ความสุขที่ผมต้องการเป็นแค่เรื่องง่ายๆ ที่บางครั้งเราก็ไม่สามารถครอบครองมันได้ง่ายๆ

ผมจมดิ่งกับความคิดตัวเอง รู้ตัวอีกทีตอนแพทริควางมือลงบนไหล่ ผมสบตาเขา ในดวงตาสีฟ้าซีดฉายประกายสงสัยเจือเป็นห่วง ผมยิ้มนิดๆ ส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร ถึงอย่างนั้นก็ลบร่องรอยความเป็นห่วงในแววตาของแมวยักษ์ไม่ได้อยู่ดี

“ขึ้นข้างบนกันครับ”

ฝ่ามือใหญ่แตะหลังผม ออกแรงดันเบาๆ ให้เดินไปข้างหน้า เสียงหัวเราะจากป้าแม็กและลุงพีทเบาลงตามระยะทางที่เดินห่างออกมา ผมมองสำรวจรอบตัว บนกำแพงบ้านประดับไปด้วยกรอบรูป มีทั้งรูปเดี่ยว รูปครอบครัว และรูปวัยเด็กของแพทริค

เด็กชายแก้มยุ้ยที่มีเส้นผมสีจินเจอร์และดวงตาสีฟ้าซีดแต่กลับส่องประกายสดใส

แพทริคตอนเด็กน่ารักยังไง ตอนโตก็ไม่ต่างกัน

คงเป็นเพราะเขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่มีแต่รอยยิ้มล่ะมั้ง?

“สัญญาก่อนว่าเข้าห้องผมแล้วจะไม่บ่นว่ามันรก”

จู่ๆ แพทริคก็พูดขึ้นมา ผมเลิกคิ้ว หันมาสบตาเขา

“ขึ้นอยู่กับว่ามันรกมากหรือน้อย”

“พูดแบบนี้ต้องบ่นแน่ๆ”

แพทริคพึมพำกับตัวเอง เขาเดินไปหยุดหน้าประตูบานหนึ่ง ป้ายเก่าๆ สีซีดเขียนด้วยลายมือโย้เย้ว่า ‘Patrick’ ผมเดินตามแพทริคเข้าไปข้างใน มันเรียบร้อยกว่าที่คิด คงเพราะส่วนใหญ่แพทริคไม่ได้นอนที่นี่บ่อยเหมือนคอนโดฯ กับห้องพักที่ฟิตเนส

ในห้องตกแต่งด้วยโทนสีสว่าง เน้นขาว ฟ้าและน้ำตาลอ่อนมองแล้วสบายตา เตียงสีขาวตั้งอยู่กลางห้อง หัวเตียงตั้งกรอบรูปเรียงเอาไว้ เป็นรูปเจ้าของห้องตัวน้อยฉีกยิ้มให้กับกล้อง ตัวรูปกลายเป็นสีเหลืองซีดไปตามกาลเวลา แต่รอยยิ้มของแพทริคยังสดใสไม่ต่างจากเดิม

ผมเดินเลยเตียงไปยังประตูระเบียง ถือวิสาสะเปิดออกไป ลมเย็นพัดปะทะใบหน้า ท้องฟ้าวันนี้ไม่มืดครึ้มอย่างทุกวัน แสงแดดช่วงเย็นทอประกาย ผมมองไปสุดสายตา พระอาทิตย์ดวงใหญ่คล้อยต่ำ อีกไม่กี่ชั่วโมงคงหายลับขอบฟ้า

“วิวห้องผมสวยที่สุดเลยนะ”

แพทริคเดินมาซ้อนหลัง มือซนๆ โอบกอดผมเอาไว้ แผ่นหลังผมแนบชิดกับหน้าอกกว้าง แมวยักษ์เบียดตัวชิดเข้ามามากกว่าเดิม ริมฝีปากอุ่นประทับบนท้ายทอยผม

“ซนอีกแล้วนะแมวยักษ์”

“อยากให้คุณสนใจ รู้ไหมว่าเวลาแมวไถแบบนี้มันต้องการอะไร” เขาไถแก้มลงบนไหล่ผม กระซิบเฉลยข้างใบหู “แมวกำลังแสดงความเป็นเจ้าของล่ะ”

“วิวห้องนายสวยดี” ผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่ได้ผละตัวออก ปล่อยให้แพทริคนัวเนียไปอย่างนั้น สนามหญ้ากว้างขวางสีเขียวสดตัดกับท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาวลอยประดับอยู่บนนั้น เป็นวิวที่มองแล้วชวนให้สบายใจ

“เปลี่ยนเรื่องเก่งจังนะครับ”

“นายโตที่นี่เหรอ”

“อื้ม ใช่ครับ” เขาตอบรับ ผละตัวจากผมมายืนด้านข้าง กอดอกเอนตัวพิงกรอบประตู ผมหันมองเขา พวกเราสบตากัน “ผมอยู่ที่นี่จนจบไฮสกูลถึงไปเรียนต่อในตัวเมือง บางทีก็คิดถึงที่นี่เหมือนกัน คิดถึงบรรยากาศสบายๆ แบบนี้”

“นายน่าอิจฉา”

“มาอิจฉาอะไรผม” เขาหัวเราะ “คนธรรมดาอย่างผมเนี่ยนะมีอะไรน่าอิจฉา”

“ความธรรมดาของนายไงที่น่าอิจฉา” ผมตอบ แพทริคมีสีหน้าไม่เข้าใจ “บ้านนาย ครอบครัวนาย ยอมรับตามตรงว่าฉันอิจฉา เพราะฉันไม่เคยได้สัมผัสอะไรแบบนี้”

“เซ็บ…” แพทริคบีบมือผมไว้ สีหน้าเขาดูกังวลใจ “ขอโทษนะ ผมไม่คิดว่า…”

“นายจะขอโทษทำไม”

“ไม่รู้สิ ผมแค่…” พูดได้แค่นั้นก็เงียบไป อย่างที่ผมบอก แพทริคไม่จำเป็นต้องขอโทษ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะอย่างนั้นเขาถึงบอกผมไม่ได้ว่าขอโทษทำไม

แพทริคก็เป็นแบบนี้ แคร์คนอื่นจนมักเอ่ยปากขอโทษก่อนเสมอ

“พ่อแม่นายรักกันดี ครอบครัวนายเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ ฉันเองก็อยากมีครอบครัวแบบนี้บ้าง ครอบครัวธรรมดาที่ทุกคนมีรอยยิ้มให้กัน”

“...”

“ฉันเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็งที่ผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ แต่รู้อะไรไหม...ฉันเพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าสุดท้ายลึกๆ ในใจตัวเองยังโหยหาตลอดมา”

ผมหลับตาลง ปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหน้า หวังว่ามันจะพัดความหนักอึ้งในใจผมให้จางหายไป

“เซ็บ...คุณยังมีผม”

ประโยคสั้นๆ แต่ปลดล็อกอะไรบางอย่าง ผมลืมตาขึ้นมา แพทริคสบตาผม เขายิ้มให้เหมือนอย่างทุกครั้ง

“ฉันน่าจะตอบรับเสียงนายให้เร็วกว่านี้” ผมยิ้ม มองแพทริคด้วยสายตาที่อ่อนลง “นายเยียวยาคนเก่ง มันอาจดีกว่านี้ถ้าฉันตอบรับเสียงของนายเมื่อหลายปีก่อน”

“คุณก็ตอบรับเสียงผมแล้วไง”

“แต่ช้า”

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา ไม่แน่นะ ถ้าตอนนั้นคุณตอบรับผม เหตุการณ์มันอาจจะต่างจากตอนนี้ก็ได้” แพทริคหัวเราะเบาๆ เขาตบไหล่ผมสองสามที “ผมชอบตอนนี้นะ คิดว่าทุกอย่างคงถูกกำหนดเอาไว้แล้วล่ะ”

“คงจริงอย่างที่นายว่า”

“นี่เซ็บ”

“หืม?”

“ครอบครัวน่ะ…” เขาเกริ่นขึ้นในขณะสบตาผม “ถ้าคุณไม่รังเกียจ คิดซะว่าครอบครัวผมเป็นอีกครอบครัวของคุณก็ได้ เป็นที่ๆ คุณสามารถเป็นตัวของตัวเอง เป็นพื้นที่สบายใจอีกที่ของคุณ กับผม กับพ่อ แม่ เจ้าทิมมี่” แพทริคหัวเราะ “อ้อ เจ้าซูกกี้ด้วย”

“แพท…”

“ผมรู้ว่ามันแทนกันไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าครอบครัว ถึงคุณจะไม่ชอบสิ่งที่ครอบครัวคุณเป็น แต่ผมรู้ว่ามันตัดไม่ขาดหรอก แค่…” เขาก้าวเข้ามาใกล้ ระยะห่างของพวกเราลดลง ไม่ต่างกับกำแพงในใจผมที่ค่อยๆ พังทลาย “...ผมขอแค่คุณยิ้มได้สักนิดก็พอ เวลาคุณยิ้มคุณมีความสุข และเวลาคุณมีความสุข ผมก็มีความสุขเหมือนกัน”

ถ้อยคำเขาอ่อนหวานแต่ซื่อตรง

แววตานั้นก็เช่นกัน

ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง

ตอนนี้ผมมีความสุข

และผมหวังว่า…

“คุณยิ้มแล้ว ผมมีความสุขจัง”

สิ่งที่ผมหวัง...เป็นจริงในวินาทีต่อมา



_____________________________________________________________________


หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 12 [24-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 24-08-2018 23:01:43
แมวยักษ์อบอุ่นมาก..กกกกก   :catrun:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 12 [24-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-08-2018 01:31:25
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 12 [24-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 25-08-2018 21:29:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 12 [24-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 25-08-2018 21:55:29
เซบาสเตียนโชคดีนะที่มีโซลเมตเป็นแพทริค
แบ่งเบาความรู้สึกได้เยอะ
ยิ่งอ่านยิ่งหลง อยากมีแมวยักษ์เองบ้าง
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 13 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 29-08-2018 15:25:12


Chapter 13

First and Only


[Patrick]


“ทำไมตอนเด็กนายแก้มเยอะจัง”

“ไหนคุณบอกจะไม่ล้อ”

“ถามเฉยๆ ล้อตรงไหน”

“ก็คุณ…” ผมมองเข้าไปในดวงตาเขา แววตาเซบาสเตียนมีรอยยิ้มอยู่ข้างใน แล้วอย่างนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้ล้ออีกหรือไง?

“ขอถ่ายรูปเก็บไว้ได้ไหม” น้ำเสียงทุ้มเจือหัวเราะ ผมหน้ามุ่ย รีบดึงอัลบั้มรูปวัยเด็กคืนมาทันที

“ไม่ครับ”

“ไม่เอาน่าแมวยักษ์”

“ถ้าอยากได้รูปผมไว้ดูตอนคิดถึงก็ถ่ายใหม่สิครับ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ อมยิ้มมุมปาก “ตอนนี้หล่อกว่าตอนเด็กเยอะเลยน้า”

“หน้าตอนโตเห็นแล้วน่าหงุดหงิดน่ะสิ” เซบาสเตียนดันหน้าผมหนี เขาลุกจากเตียง “ลงไปข้างล่างเถอะ แม่นายน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว ลงไปช่วยกัน”

“หนีผมอีก”

“อยากให้หนีจริงไหมล่ะ”

“ล้อเล่นครับ” ผมหัวเราะ เดินตามหลังเขาลงไปด้านล่าง กลิ่นอาหารโชยมาแตะจมูก ผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันที

“อ้าว ลงมากันแล้ว”

“อะไรครับพ่อ ไม่ต้องมองด้วยสายตาแบบนั้นเลย” ผมพูดดัก พ่อหัวเราะลั่นจนแก้มแดงเถือก ผมหันมองเซบาสเตียน “คุณนั่งรออยู่ตรงนี้ก่อน คุยกับพ่อผมไปพลางๆ เดี๋ยวผมไปช่วยแม่ยกมื้อเย็นมาเสิร์ฟ”

“อืม”

เซบาสเตียนพยักหน้ารับ ผมเลยแยกตัวเดินเข้าไปในครัว

“วันนี้ทำอะไรทานครับ หอมเชียว”

“ของโปรดลูกไง”

“หืม สตูเนื้อแกะเลยเหรอครับ” ผมหัวเราะ “มีลาซานญ่าผักโขมอบชีสด้วย ว้าว นานๆ ทีแม่จะลงมือทำเองชุดใหญ่ขนาดนี้นะเนี่ย”

“ให้น้อยหน้าได้ยังไงกัน” แม่หัวเราะ “นั่นน่ะ...รอสซ์เชียวนะ”

“เซ็บเขาเป็นคนง่ายๆ กว่าที่คิดนะแม่”

“ไม่รู้ล่ะ เขาอุตส่าห์มาทั้งที ต้องต้อนรับดีๆ หน่อย” แม่ยักไหล่ “ไปเปิดไวน์แดงมาสักขวดไปแพท”

“ทุ่มสุดๆ”

“อย่าล้อแม่สิ” เธอจุ๊ปากดุผม “แล้วนี่ทิ้งเซบาสเตียนไว้กับพ่อเรางั้นเหรอ”

“ครับ ก็ผมจะมาช่วยแม่ไง”

“เดี๋ยวพ่อเราก็ไปพูดอะไรแปลกๆ ใส่เขาหรอก” แม่ส่ายหัวในขณะตักสตูใส่ชาม “ยกถาดนี้ไปแล้วไปนั่งเป็นเพื่อนเซบาสเตียนเขาซะ แม่กลัวแฟนลูกอึดอัด”

“ยังไม่ใช่แฟนสักหน่อยครับ”

“แล้วอนาคตจะไม่เป็น?”

“โธ่แม่” ผมโอดครวญ “อยากสิครับ”

“เขาจะอยากเหมือนลูกไหมน้า?”

“แม่!”

“ล้อเล่นจ้ะ” เธอหัวเราะ มองผมด้วยดวงตาสีฟ้าซีด “ไอ้ลูกหมาของแม่ตื๊อเก่งขนาดนี้ เซบาสเตียนจะใจแข็งได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว”

พอแม่พูดจบ พวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ผมคิดว่าแม่รู้ว่าสถานะระหว่างผมกับเซบาสเตียนมันไม่ได้ตกลงกันง่ายขนาดนั้น และแม่รู้ดีว่าจะทำยังไงให้ผมไม่เครียดกับมันมากเกินไป

“รีบตามออกมานะครับ”

ผมทิ้งท้ายในขณะยกถาดวางชามสตูเดินออกจากห้องครัว แม่ส่งเสียงขานรับก่อนฮัมเพลงต่อ แม่ชอบฮัมเพลงเวลาทำอาหาร เธอบอกว่าเวลาเรามีความสุขในการทำอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นจะออกมาดี เหมือนอาหารของแม่ที่ออกมารสชาติดีถูกปากผมทุกครั้ง

“สตูเนื้อแกะมาเสิร์ฟแล้วครับ”

ผมจัดวางชามสตูลงบนโต๊ะ พ่อส่งเสียงชมไม่หยุดพร้อมกับบ่นว่าไม่ได้ทานเมนูนี้มานานแล้ว ผมหัวเราะ เหลือบมองเซบาสเตียนที่ยิ้มน้อยๆ แต่ไม่พูดอะไร

ว่าแต่…

แก้มเขาดูแดงกว่าปกติหรือเปล่านะ?

“พ่อให้คุณดื่มเบียร์เหรอเซ็บ”

“เปล่านี่ ฉันไม่ได้ดื่ม”

“อ้าว ผมเห็นคุณหน้าแดง นึกว่าพ่อมอมคุณไปซะแล้ว” ผมตอบกลับด้วยความแปลกใจ เซบาสเตียนขมวดคิ้ว เขาเม้มปากก่อนหันหน้าไปทางอื่น ส่วนพ่อหัวเราะลั่นไปแล้ว “มีอะไรกันหรือเปล่าครับเนี่ย พ่อแกล้งอะไรเซ็บ?”

“อย่ากล่าวหาพ่อได้ไหมไอ้ลูกหมา”

“ไม่มีอะไรสักหน่อย นั่งได้แล้ว” เซบาสเตียนว่าเสียงดุ เขาดึงแขนผมให้นั่งบนเก้าอี้ตัวติดกัน ริ้วสีแดงบนแก้มหายไปแล้ว เหลือแต่แววตาขวางที่จ้องมองมา

“อย่าดุสิ คุณดุทีไร…” ผมยื่นหน้าชิดใบหูเขา ลดเสียงลงให้ได้ยินกันแค่สองคน “ผมใจสั่นแทบบ้าแน่ะ”

“อะแฮ่มๆ”

พ่อส่งเสียงกระแอม เขายกกระป๋องเบียร์ขึ้นจิบ ส่งสายตาล้อเลียน

“ขอโทษทีครับ” เซบาสเตียนพูดขึ้นมา “แพทชอบเล่นอะไรไม่รู้เวลา ผมเตือนหลายรอบแล้วแต่เด็กคนนี้ดื้อเกินไป”

“ผมไม่เด็กแล้วนะครับ”

“แกเด็กกว่าเขานะไอ้หมา”

“นายเด็กกว่าฉัน”

ทั้งพ่อและเซบาสเตียนพร้อมใจกันรุม ผมหน้ามุ่ย โต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้

“เด็กกว่าแล้วไง โตพอจะเป็นแฟนคุณได้แล้วกัน”

เกิดเดดแอร์ขึ้นราวสามวินาที

ก่อนพ่อจะสำลักเบียร์

และเซบาสเตียนกระทืบเท้าผมใต้โต๊ะเต็มแรง

“โอ๊ย!”

“สมควรโดนแล้ว” เสียงทุ้มกดต่ำ ผมคงกลัวถ้าไม่เหลือบเห็นใบหูแดงเรื่อของเซบาสเตียนเข้าซะก่อน “ยิ้มอะไร!”

“เปล่าครับ เปล่า”

ผมส่ายหน้า แต่ห้ามปากตัวเองไม่ให้ยิ้มไม่ได้ เซบาสเตียนหรี่ตามอง เขามีสีหน้าไม่ไว้ใจ ใบหน้าดุๆ ของอีกฝ่ายทำผมใจสั่นแทบบ้า สาบานได้ว่าถ้าพ่อไม่นั่งอยู่ตรงนี้ผมคงจู่โจมเขาไปแล้ว

“คุยอะไรกันจ๊ะหนุ่มๆ เสียงดังเชียว”

“ไอ้หมาน่ะสิ” พ่อหัวเราะร่า “พูดจาเพ้อเจ้อจนโดนเข้าให้”

“หืม ไปทำอะไรอีกฮึเรา?”

“เปล่าสักหน่อยครับ” ผมรีบปฏิเสธ อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ตอนนี้ ไม่งั้นเท้าผมคงไม่ปลอดภัย เซบาสเตียนอาจจะอยากกระทืบซ้ำอีกรอบก็ได้ “ทานมื้อเย็นกันครับ คิดถึงฝีมือแม่จะแย่”

“คิดถึงหรือหิวกันแน่?”

“ทั้งสองอย่าง” ผมยิ้มหวานเอาใจ “แต่หิวมากกว่าคิดถึงนิดนึง”

แม่ส่ายหัวอย่างระอาใจ ผมหัวเราะ บรรยากาศรอบตัวพวกเราผ่อนคลายและเป็นไปอย่างเรียบง่าย เซบาสเตียนไม่เกร็งมากอย่างที่ผมคิด เขาไม่ได้พูดมากขึ้นกว่าเดิม หรือยิ้มกว้างกว่าเดิม เซบาสเตียนยังเป็นคนติดจะเงียบๆ กับคนที่ไม่คุ้นชินเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือแววตาและบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัว

เขาผ่อนคลายและดูเข้ากับครอบครัวผมได้ดีทีเดียว

“แพทเล่าว่าเธอเป็นอาจารย์ใช่ไหม สอนอยู่ที่ไหนล่ะ”

“ครับป้าแม็ก” เขาพยักหน้ารับ “ผมเป็นอาจารย์พิเศษ สอนอยู่ที่…” เซบาสเตียนพูดชื่อมหาวิทยาลัยดังในตัวเมืองขึ้นมา แม่ร้องอ้อ รีบพยักพเยิดไปทางพ่อ

“พีทก็เป็นอาจารย์เหมือนเธอเลย”

“ฉันสอนเด็กๆ น่ะ” พ่อว่า “โรงเรียนประถมแถวๆ นี้แหละ งานอดิเรกของคนแก่”

“ไม่ได้ทำเป็นงานหลักเหรอครับ ขอโทษที ผมถามได้ไหม”

“ได้ๆ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” พ่อโบกมือไปมา “ฉันน่ะ เห็นแบบนี้เป็นคุณครูเก่านะ พอเกษียณออกมาแล้วก็หันมาจับพวกงานฟาร์ม ปลูกผัก ทำไร่ไป มารอบหน้าไปเดินดูก็ได้ หลังบ้านนู่น ทีนี้มันเหงาไง ฉันเคยชินกับการมีเด็กๆ อยู่รอบตัว เลยไปสอนพิเศษซะเลย”

“สงสัยคงต้องมีหลาน” แม่ล้อพ่อ ก่อนทำหน้าตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ เธอหันมองเซบาสเตียน “ตายจริง ป้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ ขอโทษด้วยที่พูดแบบนั้นออกไป”

“ไม่เป็นไรนี่ครับ”

“เธอไม่คิดมากเหรอเซบาสเตียน” แม่ถามด้วยความสงสัย ผมเองก็มองหน้าเขา อยากรู้อีกฝ่ายจะตอบยังไงเหมือนกัน

เซบาสเตียนเหลือบตามองผม เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ท่าทีเรียบนิ่งไม่แสดงอาการอะไร มันยิ่งทำให้ผมอยากรู้คำตอบเขาเข้าไปใหญ่

“รับอุปการะเด็กสักคนก็ได้นี่ครับ หรือไม่ก็ใช้วิทยาการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วยอย่างการอุ้มบุญ” เซบาสเตียนเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหันมาทางผม แววตาคล้ายกำลังสนุก “นายชอบแบบไหนล่ะแพท?”

“ฮะ?!”

“เรื่องค่าใช้จ่ายฉันไม่มีปัญหาหรอกนะ”

“เฮ้ย?!”

ผมแทบตกเก้าอี้ เซบาสเตียนพูดเรื่องนี้เหมือนว่าเขากับผมกำลังหารือกันเรื่องสร้างครอบครัวอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิด และไม่คิดด้วยว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้ขึ้นมา

“ล้อเล่น”

ประโยคสั้นๆ หลุดออกจากปากที่ยกยิ้ม เซบาสเตียนหัวเราะเบาๆ ในลำคอ หันกลับไปสนใจสตูเนื้อแกะตรงหน้า จิบไวน์อ้อยอิ่งอย่างสบายใจ ทิ้งให้ผมมองคนล้อเล่นหน้าตายตาค้าง

เสียงหัวเราะของพ่อกับแม่ดังขึ้น

ผมรู้สึกเสียหน้านิดหน่อย

“อย่าแกล้งผมน่า”

“เปล่านี่ พ่อยังไม่ทันทำอะไรเลย”

“แม่ก็เปล่าสักหน่อย”

“ขี้แกล้งนักนะคุณ” ผมอดตัดพ้อไม่ได้ เซบาสเตียนมองมา เขาเลิกคิ้วให้ คล้ายถามว่าตัวเองทำอะไรผิด “ไม่ต้องเลยเซ็บ คุณแกล้งผม นี่เอาคืนกันใช่ไหม?”

เซบาสเตียนไม่ตอบ เขายิ้มน้อยๆ หันไปคุยกับพ่อแม่ผมแทน

ผมเคยบอกว่าพวกเขาเข้ากันได้ดี

แต่ดูท่าจะดีจนลืมไปว่าผมเป็นลูกชายบ้านนี้

รู้ตัวอีกทีก็ถูกลืม

ผมพยายามหาช่องแทรก แต่พ่อกับแม่ดูจะรักลูกชายคนใหม่มากกว่า ผมเลย ‘จำเป็น’ ต้องหาทางเรียกร้องความสนใจกลับคืนมา

ไม่ใช่ความสนใจจากพ่อหรือแม่ แต่เป็นความสนใจจากเซบาสเตียน

ผมวางมือลงบนหน้าขาเขา สะกิดลูบเบาๆ จนเซบาสเตียนหันมาตวัดตาดุใส่ ผมยิ้ม ไม่ยอมหยุดมือจนเขาต้องเอามือมาจับผมไว้ให้อยู่นิ่งๆ ผมพลิกมือตัวเอง ประสานมือเข้ากับเขา

พวกเราแอบจับมือกันอยู่ใต้โต๊ะ ตรงข้ามคือพ่อกับแม่

ตื่นเต้นเป็นบ้า

เซบาสเตียนพยายามดึงมือออก แต่ผมไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก คนขี้แกล้งต้องโดนเอาคืนซะบ้าง อีกอย่างเขาไม่กล้าโวยวาย ผมมองเขาแสร้งทำตัวเป็นปกติ พูดคุยกับพ่อแม่ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วนึกขำ รู้ตัวอีกทีก็หลุดหัวเราะออกไปจนได้ ทุกสายตาเบนมาทางผมทันที

“จู่ๆ ก็หัวเราะ ไอ้หมา แกสบายดีใช่ไหม”

“สบายดีสิครับ”

“หน้าตาแบบนี้มีพิรุธ” แม่หรี่ตาจ้อง

“พิรุธอะไรกันแม่” ผมหัวเราะ กระชับฝ่ามือใหญ่ของเซบาสเตียนเอาไว้ “จู่ๆ มาว่าแบบนี้ผมน้อยใจนะ คุยกันสามคนผมน้อยใจจะแย่อยู่แล้ว แบบนี้ยิ่งน้อยใจใหญ่เลย”

“จ้าๆ นี่แม่มีลูกชายขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่ฮึ?”

“ตั้งแต่แม่กับพ่อแย่งความสนใจจากเซ็บไปจากผมไงครับ”

ผมตอบกลั้วหัวเราะ มองเซบาสเตียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขาขมวดคิ้วแน่น ผมขยับนิ้วโป้งไล้วนหลังมือเขา เซบาสเตียนยังพยายามดึงมือหนีเหมือนเดิมทั้งที่รู้ดีว่าผมไม่ปล่อยง่ายๆ

ไม่ปล่อยทั้งมือ…

...ทั้งตัวเขานั่นแหละ :)


“อาหารอร่อยมาก ขอบคุณสำหรับมื้อเย็นนะครับ”

“เห็นเธอชอบฉันก็ดีใจจ้ะ”

“ไว้ว่างๆ มาอีกสิ” พ่อยักคิ้วให้ “ฉันมีเรื่องของเจ้าหมาโง่เล่าให้เธอฟังเยอะแยะเชียวล่ะ”

“ถ้าผมว่างนะครับ”

เซบาสเตียนยิ้มรับ เขาถูกพ่อกับแม่ดึงตัวไปกอดลา ผมกลายเป็นส่วนเกินอีกครั้งจนต้องอ้าแขนสวมกอดพวกเขาทั้งสามเอาไว้อีกทีนึง

“กอดกันไม่รอผมเลย”

“เอาๆ งั้นมากอดกันทั้งหมดนี่แหละ”

พ่อหัวเราะร่วนจนคนอื่นๆ หัวเราะตาม พวกเรากอดกันอย่างนั้นอยู่สักพักถึงผละออก ผมส่งยิ้มให้พวกเขาทั้งสอง

“ไว้อาทิตย์หน้าผมมาเยี่ยมใหม่นะ”

“พามาคัสมาด้วย พ่อไม่มีเพื่อนเล่นหมากรุกเลย”

“ครับ ไว้ผมจะชวนลุงมาคัสให้”

หลังร่ำลากันเรียบร้อย พวกเราก็ขึ้นรถขับกลับเข้าตัวเมือง คราวนี้เซบาสเตียนเป็นคนขับ ผมอดกังวลไม่ได้เพราะกลัวเขาไม่คุ้นเส้นทาง ยิ่งตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทด้วยแล้ว แต่อีกฝ่ายยังยืนยันคำเดิม ผมเลยไม่อยากขัดใจ

ผมเปิดวิทยุในรถ เสียงเพลงดังกลบความเงียบระหว่างเรา

“เป็นไงครับ มาบ้านผม”

“ก็ดีนะ”

“ขยายความคำว่าก็ดีหน่อยสิครับ”

“ป้าแม็กกับลุงพีทน่ารัก” เซบาสเตียนทำตามที่ผมขอ ผมหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างเขา พบว่าอีกฝ่ายยิ้มมุมปากเล็กน้อย “มันดีกว่าที่คิด ฉันไม่รู้สึกอึดอัดอย่างที่กังวลตอนแรก บ้านนายเป็นกันเองดี”

“ชอบล่ะสิ”

“อืม ชอบ”

“ถ้าชอบก็มาบ่อยๆ” ผมยิ้ม “ผมมาเยี่ยมพ่อกับแม่ทุกอาทิตย์ มาพร้อมกันก็ได้นะครับ”

“ฉันไม่หลงกลนายง่ายๆ หรอกแมวยักษ์”

“โธ่คุณ ผมไม่ได้ล่อลวงอะไรคุณสักหน่อย”

“นายกำลังล่อลวงฉัน” เขาย้ำ หัวเราะเบาๆ ในลำคอ “นายรู้ตัวเองดี”

“ถ้าผมล่อลวงคุณจริงๆ ป่านนี้…”

“ป่านนี้อะไร”

“เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ สบตากับเซบาสเตียนที่ตวัดสายตามองมาแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปสนใจถนนตรงหน้า “พรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว เบื่อจัง”

“ทำไมเป็นแมวขี้เกียจแบบนี้ฮึ?” เขาถาม “ฉันได้ยินนายบ่นเรื่องไปทำงานหลายครั้งแล้ว”

“บ่นไปอย่างนั้นแหละ ผมแค่อยากให้คุณสนใจ”

“ดี งั้นต่อไปฉันจะไม่สนใจนายอีก”

“โธ่เซ็บ อย่าใจร้ายกับผมน่า”

“อย่างนายต้องโดนซะบ้าง”

“โอเคๆ ไม่เรียกร้องความสนใจแล้วก็ได้ ว่าแต่…” ผมเงียบไป ชั่งใจว่าจะพูดดีไหม “พรุ่งนี้คุณว่างหรือเปล่า? วันจันทร์คุณไม่มีสอนนี่ ตอนเย็นหลังผมเลิกงานไปหาอะไรทานกันไหม”

“ฉันไม่ว่าง”

“อ้าว?”

“ต้องเตรียมแผนการสอนกับตรวจงานนักศึกษา” เซบาสเตียนอธิบาย “ถึงไม่ได้สอนเต็มอาทิตย์แต่ฉันก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะแพท”

“คุณเตรียมแผนการสอนกับตรวจงานทั้งวันเลยเหรอครับ” ผมถาม เซบาสเตียนเงียบไปนานกว่าปกติ ผมหรี่ตาลง รู้สึกว่าเขากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง “งานเยอะขนาดนั้นเชียว”

“เยอะจนทับนายตายได้เลย”

“ฮ่าๆๆๆ”

ผมหัวเราะไปกับคำพูดเขา จากนั้นเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่น เซบาสเตียนคงไม่สะดวกใจจะบอกเรื่องนั้นกับผม ว่าเพราะอะไรทำไมเขาไม่ว่าง แต่ผมคิดว่าตัวเองรู้ บางที…

...มันอาจเกี่ยวข้องกับสายที่โทรเข้าหาเซบาสเตียนตอนนั้นก็ได้


พวกเราคุยสรรพเพเหระกันมาตลอดทาง รู้ตัวอีกทีเซบาสเตียนก็มาจอดหน้าคอนโดฯ ผมซะแล้ว ผมหันไปจะบอกลา แต่อีกฝ่ายกลับพูดแทรกขึ้นมาซะก่อน

“ถามหน่อยสิ”

“หืม?”

“ลุงพีทบอกว่านายไม่เคยพาใครมาบ้านมาก่อน ฉันเป็นคนแรก?” เขาเท้าแขนกับพวงมาลัยรถ หันหน้ามาทางผม สายตาฉายแววสงสัยติดจะไม่เชื่อ

ให้ผมเดา นี่คงเป็นเรื่องที่พ่อคุยกับเซบาสเตียนตอนผมเข้าไปหาแม่ในครัว

“ครับ คุณเป็นคนแรก”

ผมตอบตามตรง เซบาสเตียนขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาชอบขมวดคิ้วเวลาคิดหรือตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมรู้ดีเพราะสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลา ความเงียบโอบล้อมพวกเรา ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัด แค่ปล่อยให้เซบาสเตียนใช้เวลากับตัวเองและตัดสินใจพูดออกมาเมื่อเขาพร้อม

“แล้ว…” เขาเกริ่นหลังเงียบไปนาน ดวงตาสีมรกตสบผมนิ่ง น้ำเสียงทุ้มแหบพร่า “...คนแรกและคนเดียวด้วยไหม”

“ก็ถ้าคุณรับความรู้สึกผม”

ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้ เซบาสเตียนไม่ขยับหนี สายตาจับจ้องผมไม่ละไปไหน

“...”

“คุณก็จะเป็นคนแรก...”

ผมกดจูบลงบนขมับเขา ผละออกมาสบตาอีกฝ่าย อมยิ้มเมื่อเห็นเซบาสเตียนมีท่าทีทำตัวไม่ถูก

“และคนเดียว...ต่อจากนี้ไป :)”


___________________________________________________________


หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 13 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-08-2018 16:10:10
โอ้โหหห คือเขินมาก   :o8:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 13 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-08-2018 17:37:18
หูย...ยยยย หวานนะแมวยักษ์  :hao3:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 13 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 30-08-2018 00:35:03
โอ๊ยยยยย เขาหวานกันไม่เกรงใจคนอ่านบ้างเลย
ครอบครัวนี้เขาอบอุ่น ต้อนรับดี๊ดี ลูกชายคนใหม่ก็เข้ากันได้ด้วย ฉลุยเลยสิคุณเซบาสเตียน ><

เท่าที่อ่านมา เซบาสเตียนก็ท่าจะชอบให้แพทอ้อนมากเหมือนกันนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 13 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 30-08-2018 18:59:29
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 13 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 30-08-2018 20:00:15
หยอดได้ทุกจังหวะจริงๆ 5555
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 13 [29-08-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 30-08-2018 23:37:42
เขินไม่ไหวแล้ว ขยันหยอดกันจัง ฮือออ บ้านแพทอบอุ่นเป็นกันเอง เซ็บมาบ่อยๆน้า ขอบคุณมากค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 01-09-2018 23:34:20

Chapter 14

I care about you


[Sebastian]


‘เธอรู้ไหม ไอ้ลูกหมาไม่เคยพาใครมาบ้านเลยนะ’

‘ครับ?’

‘ฉันกับแม็กเคยบอกให้แพทพาคนรักมาแนะนำให้ที่บ้านรู้จักบ้าง เจ้าลูกคนนี้เสน่ห์แรง สาวๆ ติดตรึม คบมาก็หลายคนแต่กลับไม่เคยพาใครมาบ้านสักครั้ง’

‘ลุงกำลังจะบอกอะไรผมเหรอครับลุงพีท’

‘ลูกชายฉันจริงจังกับเธอนะ’

‘เขาเคยบอกผมอยู่ครับ’

‘แล้วเธอจริงจังกับลูกชายฉันบ้างไหม?’

‘ผมยังไม่แน่ใจ พูดออกไปตอนนี้คงไม่ดี’

‘เธอรู้ไหมเซบาสเตียน...ว่าแววตาเธอเวลามองลูกชายฉันเป็นยังไง’

‘...’

‘น่าเสียดาย แววตาตอนเธอมองแพท ตัวเธอไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ฉันน่ะ...เห็นชัดเจนเชียวล่ะ’


“เห็นชัดเจน...งั้นเหรอ?”

ผมหมุนปากกาในมือ บทสนทนาเมื่อวานย้อนเข้ามาในหัว หมุนวนซ้ำไปมาโดยเฉพาะคำว่า ‘เห็นชัดเจนเชียวล่ะ’ ของลุงพีท ผมจำรายละเอียดทุกอย่างได้แม่นยำเหมือนมันเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า

สายตาของลุงพีท รอยยิ้มของเขา ราวกับรู้ทัน

บางเรื่อง คนนอกก็รู้ดีกว่าตัวเราเอง

ผมถอนหายใจ สลัดเรื่องของลุงพีทและแพทริคออกจากหัว กลับมาโฟกัสกับงานนักศึกษาที่กำลังตรวจ ผมใช้เวลาช่วงเช้าหมดไปกับการวางแผนการสอนในครั้งถัดไปและตรวจงาน กาแฟดำกับขนมปังสองแผ่นไม่ทำให้อิ่มท้องเท่าไหร่ ถ้าแพทริครู้คงบ่นผมไม่หยุด แต่ทำไงได้ ในเมื่อมันสะดวกที่สุด

เวลาไหลผ่านไปจนเกือบเที่ยง เสียงแจ้งเตือนข้อความดังจากสมาร์ตโฟนที่วางบนโต๊ะข้างตัว ผมเหลือบมอง ข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เผลอถอนใจ

‘อย่าลืมไปตามนัด’

บางทีแมทธิวก็เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำเกินไป ผมกดอ่านให้เขารับรู้แต่ไม่ตอบกลับ ใช้เวลาที่เหลือเคลียร์งานตัวเองจนเรียบร้อยจากนั้นลุกไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการนัดเจอใครบางคน

ใครบางคนที่สามารถช่วยพวกเราสืบเรื่องมือปืนที่ลอบยิงพ่อได้


ร้านกาแฟใกล้สำนักงานตำรวจเขตสองเป็นสถานที่นัดพบ ผมเดินเข้าไปข้างใน สบตากับชายผิวสีร่างใหญ่ที่นั่งอยู่โต๊ะในสุด เส้นผมหยิกจากกรรมพันธ์ถูกตัดสั้นจนเกรียน ดวงตาดุดันรับกับรอยแผลเป็นเส้นยาวพาดบากข้างแก้มซ้าย เขาสวมแจ็คเกตหนังสีดำสนิท ยิ่งเสริมให้ลักษณะภายนอกน่าเกรงกลัว

ผมคงคิดว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพลประจำถิ่น ถ้าแมทธิวไม่บอกก่อนว่าเพื่อนเขาคนนี้คือเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยสืบสวนซึ่งประจำอยู่ที่เขตสองนี้

“เชิญนั่งครับ” เขายิ้มให้ ดูเป็นมิตรกว่าที่เห็นภายนอก

“คุณคงจะเป็นเจคอป” ผมจับมือทักทายอีกฝ่าย “ผมเซบาสเตียน”

“เสือดำแห่งรอสซ์” เจคอปยิ้ม “เพิ่งจะได้เห็นตัวจริงคุณชัดๆ ก็วันนี้ แมทบอกผมว่าคุณค่อนข้างเก็บตัว?”

“ผมแค่เลี่ยงความวุ่นวาย”

“ส่วนแมทชอบพุ่งเข้าหาความวุ่นวาย”

ผมเผลอกระตุกยิ้ม นึกชอบใจการเปรียบเทียบของเจคอป

“แมทนัดผมให้มาเจอคุณ” ผมเข้าเรื่องหลังทักทายกันพอสมควร “เขาบอกคุณมีเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีของพ่อ”

“ไม่เชิงเบาะแสเพิ่มเติมเท่าไหร่”

“ยังไงครับ?”

“เพิ่มเติมน่ะใช่ แต่สำหรับพวกคุณเท่านั้น”

“คุณหมายความว่า…” ผมหรี่ตาลง “...ที่ผมกับแมทรู้มันไม่ใช่ทั้งหมด?”

“คุณซีมอนต้องการให้พวกคุณรู้แค่นั้น” เจคอปพยักหน้ารับ “หลักฐานนอกจากภาพในกล้องวงจรปิดที่บันทึกได้กับปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุและหัวกระสุนเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น”

“มีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีก”

“นี่ครับ”

เจคอปเลื่อนแฟ้มเอกสารมาตรงหน้า ผมสบตาเขา อีกฝ่ายพยักหน้าให้ ผมเลยเปิดแฟ้มออกดู มันเป็นรูปถ่ายรอยล้อรถบนถนน ลายดอกยางล้อรถค่อนข้างชัดเจน หน้าต่อไปเป็นรูปยางรถมอเตอร์ไซค์และรายละเอียดประเภทของยางไว้อย่างละเอียด

“รอยยางที่พบบนที่เกิดเหตุ ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแล้วได้ข้อมูลว่าเป็นยางประเภท Sport Tyre หรือยางสปอร์ต ลักษณะเด่นของยางประเภทนี้คือดอกยางที่มีจำนวนมากเพื่อใช้ในการยึดเกาะถนน ความลึกของร่องยางที่ตื้นกว่า ไม่ลึกเหมือนยางวิบาก (Off-Road Tyre) คุณสมบัติที่ผมว่ามาทั้งหมดนี้ทำให้ยางประเภทนี้นิยมใช้กันมากในสนามการแข่งขัน”

“ข้อมูลแค่นี้ก็ยังเจาะจงไม่ได้อยู่ดี”

“ใช่ครับ เราเลยตรวจละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม” เจคอปเอื้อมมาพลิกเอกสารหน้าถัดไปให้ผมดู “พวกเราพบว่ายางเจ้าปัญหานี้มีเอกลักษณ์ต่างจากดอกยางลายอื่นมากพอสมควร”

“คุณหมายถึงลายพิเศษ?”

ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้มากนัก แต่เมื่อเจคอปพยักหน้า ผมก็รู้ว่าตัวเองมาถูกทาง

“เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาบริษัท JX Tyres เปิดตัวยางรุ่นพิเศษ หนึ่งในซีรี่ส์ลิมิเต็ดอิดิชัน ที่ร่วมมือกับองค์กร Green World ในแคมเปญอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” เจคอปอธิบาย เขาพลิกเอกสารหน้าถัดไป มันเป็นรายละเอียดยางรุ่นพิเศษที่ว่านี้ ภาพซูมเข้าไปยังลายดอกยางที่มีตราสัญลักษณ์ของแคมเปญบนผิวและข้างตัวล้อ “รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะถูกนำไปสมทบทุน บลาๆ ผมเราข้ามตรงนี้กันดีกว่าครับ ประเด็นคือแคมเปญนี้นักแข่งรถให้ความสนใจกันมากทีเดียว จึงทำให้กำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ และในประเทศเรามีตัวแทนจำหน่าย (Distributor) ไม่กี่รายที่นำเข้ายางของ JX Tyres”

“คุณมีรายชื่อตัวแทนจำหน่ายพวกนั้น?” ผมเลิกคิ้ว ประสานมือวางบนโต๊ะ สบตากับเจคอป “แต่ถึงจะมีไม่กี่ราย ตัวแทนจัดจำหน่ายก็ไม่ได้ขายโดยตรงให้กับผู้บริโภครายสุดท้ายนี่ครับ”

ตามหลัก Supply Chain ที่ผมเรียนมา พวก Distributor จะทำธุรกิจแบบ Business to Business หรือขายสินค้าในราคาส่งให้พวกค้าส่ง/ปลีก (Wholesaler/Retailer) เพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภครายสุดท้ายอีกที ซึ่งผมคิดว่าร้านค้าปลีกที่เกี่ยวกับอะไหล่รถ ล้อรถพวกนี้มีนับไม่ถ้วน จำนวนรายชื่อลูกค้าที่ซื้อไปก็ไม่น้อย ยากต่อการเจาะจงตัวบุคคลอยู่ดี

“อย่างที่คุณว่า”

“แมทคงไม่ให้ผมมานั่งฟังคุณตั้งหลายนาทีเพื่อจบที่คำนี้หรอกนะครับ”

“ใจเย็นสิครับคุณรอสซ์” เขาหัวเราะ “อย่างที่ผมบอกว่ากำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทาง JX Tyres จึงค่อนข้างเลือกเป็นพิเศษว่าจะส่งให้ตัวแทนจำหน่ายรายไหน และบังเอิญว่าจากตัวแทนจำหน่ายทั้งห้ารายในเมืองเรา รายที่ทำยอดขายได้เป็นอันดับหนึ่งตลอดมานั้น…”

“อยู่ที่เขตกลางนี่” ผมต่อประโยคนั้น เจคอปพยักหน้า ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มชอบใจ

“ครับ อยู่ที่นี่ เขตสองติดหัวมุมถนนถัดออกไปอีกสามบล็อก JY Tyre Distributors คุณน่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง” เจคอปโคลงศีรษะ เขาสบตาผม “ส่วนเรื่องที่คุณกังวลว่าตัวแทนจำหน่าย จำหน่ายให้ค้าส่งและปลีกเท่านั้น ข้อนี้ตัดทิ้งได้เลยครับ เพราะยางรุ่นนี้ทาง JX Tyres ให้สั่งซื้อโดยตรงกับทางตัวแทนจัดจำหน่ายเท่านั้นครับ”

“คุณบอกว่าจากตัวแทนจัดจำหน่ายภายในเมืองนี้” ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะ “คุณปักใจว่าคนที่ลงมือเป็นคนพื้นที่?”

“ครับ พวกเราสัณนิษฐานว่ามือปืนน่าจะเป็นบุคคลในพื้นที่”

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น” ผมย่นคิ้ว “เขาอาจถูกจ้างมาจากที่อื่นก็ได้”

“คุณยังไม่เห็นไฟล์วิดีโอจากกล้องวงจรปิดตัวอื่นสินะครับ”

“ผมกับแมทรู้ข้อมูลเท่าที่ซีมอน รอสซ์ ‘อนุญาต’ ให้รู้”

ผมแค่นเสียง นึกหงุดหงิดในใจอย่างห้ามไม่ได้ เจคอปหัวเราะเบาๆ เขาหยิบไอแพดขึ้นมา เลื่อนปลายนิ้วแตะมันอยู่ไม่กี่ทีก็ยื่นมาให้ ผมรับมาดู บนหน้าจอปรากฏคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์ในวันเกิดเรื่องเอาไว้ รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่วิ่งขึ้นมาขนาบข้าง คนขับแต่งตัวมิดชิดด้วยเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีดำสนิท ศีรษะสวมทับด้วยหมวกกันกระแทกปิดหน้าตา พอขับตีคู่รถพ่อได้ ปืนในมือซ้ายก็ถูกยกจ่อและลั่นไกทันทีก่อนเลี้ยวหนีหลุดจากการมองเห็นไป

คลิปจบลงแค่นั้น มันคือหลักฐานเบื้องต้นที่ผมรู้

คนลงมือถนัดมือซ้าย

ปลอกกระสุนและหัวกระสุนอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ และผมคิดว่าพ่อคงไม่บอกพวกเราแน่

“คลิปนี้ผมได้ดูแล้ว”

“ครับ แต่จริงๆ แล้วไฟล์จากกล้องวงจรปิดไม่ได้มีแค่นี้” เขาสบตาผม น้ำเสียงจริงจัง “ยังมีอีกหลายไฟล์ แต่...มันมีปัญหานิดหน่อย พวกเราจึงเปิดเผยได้แค่นั้น”

“อย่าบอกนะว่ากล้องวงจรปิดตัวอื่นเกิดเสียขึ้นมา”

“พูดเป็นเล่น คุณก็รู้ว่าเรื่องงี่เง่าแบบนั้นไม่เกิดขึ้นกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างเราหรอก”

“แล้วมันมีอะไรครับ”

“หลักฐานที่ได้มานอกจากไฟล์คลิปจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุแล้ว พวกเรายังมีไฟล์อื่นอีกแต่คุณซีมอนไม่ให้พวกเราเปิดเผยให้คุณกับแมททราบ นั่นแหละครับปัญหาที่ผมว่า คุณลองเลื่อนดูไฟล์ถัดไปสิครับ”

ผมเลื่อนดูไฟล์ถัดไปตามที่เจคอปบอก มันเป็นคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดตัวอื่นๆ ที่ถูกนำมาเรียงกันเป็นไฟล์เดียว ผมเห็นเงาแวบๆ ของมอเตอร์ไซค์คันนั้นขับผ่าน แต่แทบมองไม่เห็นแบบชัดๆ เลยสักกล้องเดียว

“เขาหลบกล้องวงจรปิด?”

“ถูกต้องครับ ดูเชี่ยวชาญมากเลยใช่ไหม” เจคอปถาม ผมพยักหน้า “เชี่ยวชาญเหมือนเป็นคนในพื้นที่ เขาหลบหลีกกล้องวงจรปิดในบริเวณนี้ได้แทบทุกตัว บางตัวจับภาพเขาได้แต่ก็แค่นั้น เบาะแสไม่เพียงพอจะสืบค้นไปมากกว่านี้”

ผมพยักหน้ารับ ไฟล์จากกล้องวงจรปิดพวกนี้ทำให้ข้อสัณนิษฐานว่าคนร้ายเป็นคนในพื้นที่มีเปอร์เซ็นต์ความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นมากทีเดียว พ่อถึงไม่อยากให้พวกผมรู้ คงกลัวว่าจะเข้าถึงหลักฐานอื่นๆ นั่นแหละ

ผมถอนใจ เอ่ยถามรายละเอียดจากเจคอปต่อ

“คุณได้ไปขอรายชื่อลูกค้าที่สั่งซื้อยางรุ่นนี้หรือยัง”

“ยังครับ”

“อะไรกัน” ผมขมวดคิ้ว “ทั้งที่มันเป็นเบาะแสเดียวที่สามารถสืบต่อได้เนี่ยนะ?”

“ความจริงแล้ว” เจคอปขมวดคิ้ว สีหน้าลำบากใจ เขาสบตาผม “พวกเราได้รับคำสั่งจากซีมอน รอสซ์ว่าให้หยุดการสืบค้นเพียงเท่านี้ นอกนั้นเขาจะจัดการเอง”

“ให้ตายสิ!”

ผมเผลอสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด

“อย่างน้อยคุณก็ได้เบาะแสเพิ่มเติม” เจคอปพยายามปลอบ เขาส่งยิ้มให้ “ตอนนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะเอาเบาะแสจากผมนี้ไปสืบต่อไหม”

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลพวกนี้นะครับ” ผมเคาะเบาๆ ลงบนแฟ้ม เงยหน้าสบตาเจคอป “แต่คุณจะไม่เดือดร้อนใช่ไหมที่เอาข้อมูลพวกนี้มาให้คนนอกอย่างผม”

“แมทขอร้องให้ผมช่วยทั้งที จะเมินคำขอเพื่อนก็ยากหน่อย” เขาหัวเราะ “อีกอย่าง...คนนอกที่เป็นลูกชายของผู้เสียหาย ผมคิดว่าพอจะผ่อนผันได้ หรือถึงถูกจับได้ขึ้นมา ผมก็หวังว่าคุณกับแมทน่าจะมีวิธีช่วยไม่ให้ผมโดนเด้งจากตำแหน่ง”

“แมทคงไม่ปล่อยให้คุณโดนเด้งหรอก”

“ฟังแล้วสบายใจขึ้นนิดนึงครับ” เขาหัวเราะ พยักพเยิดมาทางแฟ้มตรงหน้าผม “แฟ้มนั้นคุณเก็บไปได้เลยนะครับ มันเป็นแค่ก็อปปี้ ตัวจริงผมไม่กล้าเอาออกมาหรอก ส่วนไฟล์จากกล้องวงจรปิดทั้งหมดผมส่งไปให้แมทแล้ว คุณไปขอจากเขาได้ถ้าต้องการดูเพิ่มเติมอีกรอบ”

“ครับ ขอบคุณมาก”

“ขอให้โชคดีนะครับ”

ผมพยักหน้ารับคำอวยพรนั้น พึมพำขอตัวก่อนลุกเดินออกจากร้าน เบาะแสทั้งหมดวิ่งวนอยู่ในหัว

คนร้ายถนัดซ้าย

สัณนิษฐานว่าเป็นคนในพื้นที่

และอาจจะอยู่ในวงการรถแข่ง

ผมคิดจนหัวคิ้วแทบจะผูกกันเป็นเงื่อน เห็นทีคงต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาแมทธิวให้เขาช่วยคิดสักหน่อย ผมหวังว่าช่วงนี้งานเขาคงไม่ยุ่งเกินไป และพ่อที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลจะไม่จับตามองเขาจนเกินเหตุ


หลังคุยกับเจคอปเสร็จผมเลือกแวะสถานที่หนึ่ง และใครคนหนึ่งที่ผมคิดถึงเธออยู่ทุกวินาที คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็ขับรถมาถึงจุดหมาย

คฤหาสน์ตระกูลเปเรซตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ประตูรั้วเปิดออกโดยอัตโนมัติเมื่อผู้ดูแลเห็นว่าเป็นรถผม ผมขับเข้าไปข้างใน ก่อนดับเครื่องจอดที่หน้าประตู

“คุณเซบาสเตียน?”

“สวัสดีครับป้าแมรี่” ผมทักทายแม่นมร่างท้วมที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก “คุณแม่อยู่ไหมครับ”

“คุณเบลอยู่ที่ห้องทำงานชั้นสามค่ะ ให้ป้าไปตามให้ไหมคะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมปฏิเสธ “เดี๋ยวผมขึ้นไปเอง”

“คุณเบลคงตกใจแย่” เธอหัวเราะเบาๆ “จู่ๆ คุณก็มา ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าแบบนี้”

“เซอร์ไพรส์ไงครับ”

“ป้าก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันค่ะ”

ป้าแมรี่หัวเราะจนแก้มแดง ผมยิ้มให้เธอ พึมพำขอตัวและเดินแยกไป

คฤหาสน์ตระกูลเปเรซกว้างขวางไม่แพ้ตระกูลรอซส์ และยังให้ความรู้สึกอ้างว้างเหมือนกันไม่มีผิด ผมเผลอนึกถึงบ้านของแพทริค บรรยากาศแบบนั้นชวนให้น่าอิจฉากว่าเป็นไหนๆ

ก๊อกๆ

ผมเคาะประตูบอกให้เจ้าของห้องรู้ว่ามีแขก ได้ยินเสียงแม่ขานรับมาจากด้านใน ผมเปิดประตูเข้าไป แม่นั่งก้มหน้าก้มตาตรวจเอกสารหนาเป็นปึก เส้นผมสีน้ำตาลเข้มรวบเป็นมวยเรียบร้อย แม่เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีเข้มจ้องผมผ่านกรอบแว่นใส

“โอ้ เซ็บ ลูกมาได้ยังไงน่ะ?!”

เธอเบิกตากว้างจนหลุดมาด ผมยิ้ม เดินอ้อมโต๊ะหาแม่ ก้มหน้าจูบทักทายเธอที่ผิวแก้ม แม่วางงานทุกอย่างในมือ เธอลุกขึ้นตรงมาโอบกอดผมเอาไว้

“เซอร์ไพรส์ครับ” ผมกอดแม่ไว้ เหมือนที่ตอนเด็กๆ ชอบทำ ต่างกันแค่ตอนเด็กผมแม่กอดจนผมจมอกเธอ ส่วนตอนนี้ผมโตกว่าเดิมจนแม่เหลือตัวนิดเดียว “ผมมาทำธุระแถวนี้พอดีเลยแวะมาหาแม่ ไม่รบกวนใช่ไหมครับ”

“ลูกไม่เคยรบกวนแม่สักหน่อย”

เธอว่าเสียงดุแบบไม่จริงจังนักก่อนดันตัวผมให้ไปนั่งคุยกันที่โซฟารับรองที่ตั้งอยู่ในห้องทำงาน ส่วนใหญ่แม่ชอบทำงานที่บ้าน นานๆ ทีจะเข้าไปดูงานในบริษัทช่วยลุงกับลูกพี่ลูกน้องผมอีกคนหนึ่ง

“สบายดีไหมครับ” ผมถามเมื่อเรานั่งกันเรียบร้อย แม่พยักหน้า คลี่ยิ้มให้เหมือนทุกที

“สบายดี ลูกล่ะเซ็บ”

“เหมือนกันครับ”

“แม่ได้ข่าวว่า…” เธอมีสีหน้าลังเล “พ่อของลูก…เขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้”

“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นต่อที่บ้านแล้ว” ผมเผลอบีบมือตัวเอง “แม่ยังคิดมากเรื่องพ่ออยู่ไหม…”

“ไม่เชิง แม่รู้ดีว่าสักวันจะเป็นแบบนี้” แม่ยิ้มให้ผม ดวงตาสีเข้มของแม่ไม่มีร่องรอยความอ่อนแออย่างที่ผมนึกกลัว “แม่มีเวลาทำใจมาหลายปี แต่จะให้ตัดขาดไม่เป็นห่วงเขาเลยมันก็ทำไม่ได้ ยิ่งช่วงนี้มีข่าวไม่ดีกับเขาด้วย”

“พ่อแก้ไขสถานการณ์ได้อยู่แล้ว”

“แต่ครั้งนี้ดูแย่กว่าทุกครั้ง” แม่ถอนใจ “ได้ฟังข่าวบ้างไหม เรื่องที่พ่อของลูกประมูลโครงการนั้นมาได้”

“ผมพอได้ยินมาบ้างครับ” ทั้งจากทางโทรทัศน์และจากปากแมทธิวเอง “การทำงานติดขัดแถมสร้างปัญหาให้กับชุมชนในละแวกนั้นจนมีคนเรียกร้องให้เปลี่ยนบริษัทที่ดูแล ทุกอย่างเอื้อให้เข้าทางฝั่งพวกมิลาโนเสนอตัวรับช่วงต่อ แม่คิดว่าไงครับ?”

“อาจจะมีส่วน แม่ไม่แน่ใจ พ่อลูกศัตรูน้อยซะที่ไหน” แม่ถอนใจ สบตาผมด้วยสายตาจริงจัง “แต่ที่แม่กังวลที่สุดคือลูกต่างหากเซ็บ ได้ข่าวว่าพอแม่ย้ายออกจากที่นั่นลูกก็ย้ายออกตาม”

“เรื่องตั้งนานแล้ว แม่เพิ่งจะเอามาพูดเนี่ยนะครับ?”

“เพราะแม่รู้นิสัยลูกดี” แม่ลูบหัวผมเบาๆ “เวลาลูกตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว ลูกไม่ชอบให้ซักไซ้นี่ หงุดหงิดทุกครั้งเลยไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ขนาดนั้นสักหน่อยครับ”

“ขนาดนั้นแหละ” เสียงหัวเราะดังก้อง แม่ตบไหล่ผม แววตาที่มองมาอ่อนลง “แม่เลยรอให้ผ่านไปสักระยะถึงถาม อารมณ์ลูกตอนนี้คงไม่ร้อนเหมือนตอนนั้นแล้ว”

“อยู่คนเดียวสะดวกกว่าครับ ใกล้ที่ทำงานผมด้วย”

“นี่เซ็บ แม่พูดตรงๆ ได้ไหม”

“ครับ?”

“กลับไปอยู่ที่รอสซ์ก่อนเถอะ” แม่สบตาผม แววตาปะปนทั้งความเป็นห่วงและจริงจัง “แม่กลัวลูกจะโดนลูกหลง แม่ไม่สบายใจเลย”

“อย่าคิดมากเลยครับ มันไม่มีอะไรหรอก”

“แต่เซ็บ…”

“หรือถึงมันจะเล่นงานผมจริง ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันคือใคร” น้ำเสียงผมแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ผมอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมของมันมากกว่าเดิม”

“เดี๋ยวนะ…” แม่ขมวดคิ้วแน่น “ลูกพูดเหมือนรู้ข้อมูลมันบางส่วน?”

“...”

“เซ็บ บอกแม่มานะว่าลูกกำลังทำอะไร”

แม่ว่าเสียงแข็ง สายตาจริงจัง ผมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเราหนักอึ้ง แม่เป็นคนสร้างบรรยากาศนี้ขึ้นมา เธอผมเป็นคนอ่อนหวาน แต่ก็น่ากลัวได้ในเวลาเดียวกัน

“พ่อตามสืบเรื่องนี้ เขาไม่ยอมให้ตำรวจยุ่ง แถมปิดบังข้อมูลบางส่วนกับผมและแมท แม่ไม่คิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นเหรอ?” ผมย้อนถามแม่ เธอเงียบไป ผมเลยพูดต่อ “ใช่ครับ ผมตามสืบเรื่องนี้ แม่เคยถามผมใช่ไหมว่าผมเกลียดพ่อหรือเปล่า ผมไม่ชอบเขา แต่ไม่ได้เกลียด และคนที่คิดร้ายกับพ่อ...กับรอสซ์ ผมไม่มีทางนิ่งเฉยได้หรอก”

“ลูกกำลังทำเรื่องอันตราย”

“ผมรู้ดี”

“ไหนลูกเคยบอกไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับรอสซ์” แววตาของแม่สับสน “เอาล่ะ ถ้าลูกไม่สะดวกใจกลับไปรอสซ์ ลูกมาอยู่ที่นี่ก็ได้ ตระกูลเปเรซของเรายินดีต้อนรับลูกเสมอ”

“ผมไม่อยากรบกวนลุงเบอนาร์ดกับอเล็กซ์” ผมอ้างชื่อสองคนนั้น ถึงรู้ดีว่าลุงกับลูกพี่ลูกน้องผมคนนี้นานๆ ทีจะกลับมาก็ตาม “อีกอย่าง ผมตัดสินใจแล้ว ถึงผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับรอสซ์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในตัวผมมีเลือดรอสซ์อยู่ครึ่งหนึ่ง ผมปล่อยไปไม่ได้จริงๆ”

“แม่ไม่น่าปล่อยให้ลูกซึมซับวิถีของรอสซ์มามากขนาดนี้เลย” เธอส่ายหัว รอยยิ้มอ่อนใจถูกส่งมาให้ “แม่คงเปลี่ยนความคิดลูกไม่ได้แล้วจริงๆ แต่เซ็บ...ระวังตัวด้วย แม่ขอแค่นี้ ถ้ามีอะไรผิดสังเกตหรือต้องการความช่วยเหลือแม่ขออย่างเดียวคือบอกแม่ อย่าปิดบังกัน”

“แม่ปวดหัวกับงานตัวเองก็พอแล้ว”

“กับความปลอดภัยของลูกไม่มีคำว่าปวดหัว”

“แม่…”

“รับปากแม่สิเซ็บ”

“เฮ้อ...ครับ ผมรับปาก”

ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้แม่สบายใจน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี แม่ยิ้ม สีหน้าคลายกังวลขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศหนักๆ เมื่อสักครู่หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นจริง

“ดีมากจ้ะ” แม่ลูบหัวผมอีกครั้ง คราวนี้เธอเปลี่ยนเรื่องจนผมตั้งตัวไม่ทัน “ได้ข่าวว่าช่วงนี้ลูกมีคนคุย...โซลเมตของลูกคนนั้น?”

“ใครบอกแม่ครับ” ผมขมวดคิ้ว จำได้ว่าตัวเองไม่เคยพูดเรื่องแพทริคให้แม่ฟัง

“แมทธิวแวะมาเยี่ยมแม่น่ะ”

คำตอบอ้อมๆ ที่ผมไม่จำเป็นต้องถามต่อ พี่ชายตัวดีปากมากขึ้นทุกวัน

“ก็...ครับ”

“เล่นเอาแม่แปลกใจมากเลยตอนที่ได้ยิน”

“แปลกตรงไหนครับ”

“แปลกตรงที่ลูกเปิดใจกับคนอื่นนอกจากครอบครัว” เสียงหัวเราะดังขึ้น ผมพยายามบังคับสีหน้าไม่ให้แสดงอาการแปลกๆ ออกไป โดยเฉพาะตอนที่แม่มองผมด้วยสายตาค้นหา “เธอคนนั้นพิเศษมากเลยสินะ”

“อันที่จริง…” ผมกระแอม “...‘เขา’ พิเศษอย่างที่แม่ว่า”

“เขา?”

“แพทริค” ผมพูดชื่อเจ้าแมวส้มออกมา รู้สึกไม่กล้าสบตาแม่ตรงๆ จนนึกหงุดหงิดตัวเอง “เขาเป็นผู้ชาย แม่โอเคหรือเปล่าที่มันเป็นแบบนี้”

“โอ้เซ็บ” เธอหัวเราะอีกครั้ง “แน่นอนแม่โอเค ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้สักนิด”

“ผมคิดว่าแม่จะ…” ผมเงียบไป ไม่รู้จะต่อประโยคตัวเองยังไง สุดท้ายเลยเว้นไว้อย่างนั้น “แพทเข้ากับคนง่าย บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมสบายใจเวลาคุยกับเขา”

“แม่ชักอยากเจอแพทของลูกซะแล้วสิ”

“ไว้ถ้าผมว่างจะพาเขามาเจอแม่” ผมทำเมินคำว่า ‘แพทของลูก’ ไปซะ

“แม่จะรอนะ”

ผมคุยกับแม่ต่อเกือบชั่วโมงก่อนขอตัวกลับ แม่ไม่ลืมกำชับผมเรื่องแพทริค เห็นทีคงต้องหาเวลาว่างพาเขามาพบแม่จริงๆ สักที ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เกือบบ่ายสี่โมงแล้ว ผมไม่มีธุระต่อที่ไหนอีกและยังไม่อยากกลับคอนโดฯ


V
V
V

หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 01-09-2018 23:34:52

‘พรุ่งนี้คุณว่างหรือเปล่า? วันจันทร์คุณไม่มีสอนนี่ ตอนเย็นหลังผมเลิกงานไปหาอะไรทานกันไหม’


เสียงของแพทริคดังในหัว เจ้าแมวยักษ์เลิกงานหกโมงเย็น อีกสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานั้น ผมขมวดคิ้ว เคาะปลายนิ้วกับพวงมาลัยรถ ชั่งใจว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็สตาร์ตรถและขับออกไป

นั่งรอเจ้าแมวยักษ์สักสองชั่วโมงก็ไม่ได้ลำบากอะไร


“เซ็บ?!”

“ไง”

“คุณมาได้ไงเนี่ย?”

“ขับรถมา”

“ไม่สิ ที่ผมหมายถึงน่ะ…” แพทริคดูคล้ายแมวยักษ์ที่กำลังสับสน เขาเดินวนรอบตัวผมไปมาไม่หยุด ดวงตาสีฟ้าซีดเบิกกว้าง “คุณบอกคุณไม่ว่าง แต่ทำไมพอผมตอกบัตรเลิกงานแล้วถึงเจอคุณยืนรอหน้าฟิตเนสเนี่ย?!”

“สติแตกไปแล้วหรือไง”

“เซ็บ”

“ทำธุระเสร็จแล้วเลยมาหา” ผมตอบสั้นๆ ไม่ได้ขยายความว่าไปนั่งฆ่าเวลารอในร้านกาแฟใกล้ๆ ฟิตเนสเกือบสองชั่วโมงเพื่อรอให้ถึงเวลาเขาเลิกงาน “นายไม่อยากให้ฉันมา?”

“แน่นอน อยากสิ!”

เขาว่าหน้าตาตื่น ผมหัวเราะ คว้ามือแพทริคมาจับเอาไว้ มืออุ่นๆ ของเขาให้ความรู้สึกดีเหมือนทุกครั้ง

“ดินเนอร์กัน”

“เดี๋ยวๆ แล้วรถผม?”

“จอดทิ้งไว้นี่แหละ” ผมตอบหน้าตาย “ไปรถฉัน เดี๋ยวขากลับแวะไปส่งที่คอนโดฯ นายเลย”

“แล้วพรุ่งนี้ผมจะไปทำงานยังไงครับคุณ”

“จะไปส่ง”

“ฮะ?”

“เดี๋ยวตอนเช้าฉันมาส่งนาย” ผมขยายความ แพทริคตาโตไปแล้ว เหมือนเขายังงงว่าผมนึกอะไรถึงทำตัวแปลกไปแบบนี้ “จะไปไหม ตัดสินใจนานเกินไปหรือเปล่า”

“ไปครับไป”

แพทริคยิ้มออกมา

จากนั้นความเครียดที่วิ่งวนอยู่ในหัวผมก็ถูกรอยยิ้มนั้นทำให้หายไปทันที


“คราวหลังโทรมาบอกกันก่อนก็ดีนะครับ”

“นายจะได้หนีฉัน?” ผมแกล้งพูดไปอย่างนั้น แต่แพทริคกลับทำหน้าตื่นใส่

“ผมจะหนีคุณทำไมกัน แต่จู่ๆ โผล่มาแบบนี้ผมเกือบหัวใจวาย”

“อย่าเวอร์น่า”

“ไม่เวอร์สักหน่อย” แพทริคทำหน้ามุ่ย เขาตักกุ้งตัวโตใส่จานอาหารผม “หัวใจเต้นแรงเป็นบ้าตอนเปิดประตูมาเห็นคุณดักรออยู่แบบนั้น”

“ถ้าบอกก็ไม่ได้เห็นหน้าตลกๆ ของนายน่ะสิ”

“โอเค ใจจริงคุณแค่อยากแกล้งผมสินะ”

“เปล่า ใจจริงแค่อยากเจอนาย” ผมยักไหล่ สบตากับแพทริค “วันนี้ไม่ได้เจอทั้งวัน คิดถึง...ก็แค่นั้น”

“เซ็บ” แพทริคหรี่ตา เขาดูอยู่ไม่สุขอีกต่อไป “ทำไงดี คุณน่ารักมาก ผมอยากฟัดคุณตรงนี้เลย”

“นี่ร้านอาหาร”

“งั้นไปต่อที่ห้องคุณก็ได้ใช่ไหม?” ผมเตะขาแพทริคใต้โต๊ะไปทีนึงจนเขาหน้าเบ้ด้วยความเจ็บ แน่ล่ะ ผมไม่ได้ออมแรงให้เจ้าแมวยักษ์ตัวนี้เลยสักนิด “ผมเจ็บนะ”

“ไม่ต้องมาทำหน้าตาน่าสงสาร”

“เซ็บ…”

แมวส้มงอแงอีกแล้ว ถ้าอยู่กันแค่สองคนเขาคงทิ้งตัวมาซุกมาซบผมแน่ๆ และผมคงเผลอใจอ่อนอีกตามเคย...แพ้ทุกครั้งที่โดนเจ้าแมวส้มตัวนี้อ้อนนั่นแหละ

“เปลี่ยนเรื่องคุยได้แล้ว”

“ครับๆ เปลี่ยนก็ได้” แพทริคหัวเราะ ดวงตาสีฟ้ามองตรงมาที่ผม “วันนี้ธุระเป็นยังไงบ้างครับ ผ่านไปด้วยดีไหม”

“ก็...ดีนะ”

ผมเสหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบ แอบเหลือบมองแพทริค เขายังยิ้มให้ผมเหมือนเดิม แต่แววตาเขา...ไม่รู้สิ ผมคิดว่าแพทริคกำลังพยายามไล่ต้อนผมอยู่ หรือความจริงแล้วไม่มีอะไร ผมแค่ร้อนตัวไปเท่านั้น

“คุยงานเหรอครับ ดูสิ พอผมพูดถึงคุณหน้าเครียดเชียว งี้แหละ เป็นเรื่องงานทีไรผมนี่ปวดหัวทุกที” เขายังคงหัวเราะเหมือนไม่มีอะไร ส่วนผมที่ปิดบังเขาไว้เริ่มอยู่ไม่สุข

“ก็เครียดนิดหน่อย” ผมยักไหล่ “บางอย่างมันไม่ลงตัวน่ะ”

“เฮ้อเซ็บ…”

“อะไรเจ้าแมวยักษ์”

“มีอะไรบอกผมตรงๆ ได้นะครับ” เขายิ้มให้ ยื่นเท้ามาเขี่ยขาผมเบาๆ คงอยากให้ผมผ่อนคลายลง “บางทีผมอาจคิดมากไป แต่ลางสังหรณ์มันบอกว่าธุระของคุณคือเรื่องนั้นที่คุณคุยกับแมทใช่ไหม”

“...”

“ขมวดคิ้วแบบนี้ใช่แน่ๆ” แพทริคดีดนิ้ว เขาเท้าแขนกับโต๊ะ ยื่นหน้ามาหาผม รอยยิ้มหายไป เหลือใบหน้าที่ดูจริงจังขึ้นกว่าเดิม “มันอันตรายไหมครับ”

“แค่พูดคุยเกี่ยวกับเบาะแสที่พ่อปิดบังฉันไว้” ผมพูดความจริงในที่สุด “ไม่มีอะไรอันตรายเลยแพท”

“ผมเป็นห่วงคุณนะ”

“ฉันรู้”

“คุณไม่ต้องไปสืบต่อเองเลยนะครับ” เขาว่าเสียงดุ “มีอะไรให้ลูกน้องคุณจัดการไป”

“ฉันไม่มีลูกน้องสักหน่อย”

“เซ็บ…”

“โอเคๆ” ผมยกสองมือขึ้นยอมแพ้ “ฉันจะทำแค่สืบข้อมูล ไม่ลงสนามเอง เท่านี้นายสบายใจหรือยัง”

“คุณรับปากผมแล้วนะ”

“อืม”

“ผมไม่ได้อยากก้าวก่ายคุณหรอก แต่ผมเป็นห่วง เข้าใจไหมครับเซ็บ”

“รู้แล้วน่าเจ้าแมวยักษ์”

คำว่าห่วงประกอบไปด้วยคำหนึ่งพยางค์

สั้น

ง่าย

แต่อัดแน่นไปทั้งหัวใจ


หลังส่งแพทริคเรียบร้อยผมก็ตรงกลับคอนโดฯ ตัวเองและโทรหาแมทธิวเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้จากเจคอป มันกินเวลานานพอดูกว่าที่ผมจะวางสายจากเขา ส่วนเรื่องการสืบต่อนั้นแมทธิวบอกจะรับช่วงต่อเอง ผมไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร การกระทำของแมทธิวมักอยู่นอกเหนือการคาดเดาเสมอ บางทีเขาก็ทำไปเพราะเห็นว่าสนุก ไม่ก็ตื่นเต้นท้าทายดี

ผมกำลังจะอาบน้ำ แต่เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นซะก่อน

‘ลุงเบอนาร์ด’

นานแล้วที่เขาไม่ได้โทรหาผมสายตรงแบบนี้

“สวัสดีครับ”

“ไงหลายชาย” เสียงลุงทักมาจากปลายสาย “ได้ข่าวว่าวันนี้เข้าไปเยี่ยมเบลมาใช่ไหม”

“ครับ ทำธุระแถวนั้นเลยแวะไปเยี่ยมแม่” ผมตอบรับ “ลุงมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“อืม…” เขาลากเสียง ดูจริงจังขึ้นจนผมสัมผัสได้ “เบลบอกลุงว่าเธอสืบเรื่องคนที่ลอบทำร้ายหมอนั่น”

หมอนั่น...เป็นคำที่ลุงมักใช้เรียกพ่อผม เขาไม่ถูกกันเท่าไหร่ สาเหตุหลักไม่ได้ซับซ้อน ลุงแค่เป็นพี่ชายที่รักน้องสาวยิ่งกว่าอะไร และพ่อผมทำให้น้องสาวของลุง หรืออีกนัยหนึ่งคือแม่ผมเสียใจ…

“ลุงจะห้ามผม?”

“เซ็บ...เชื่อลุงเถอะ อย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลย”

“แม่น่าจะบอกลุงด้วยใช่ไหม ว่าแม่พยายามห้ามแล้วแต่ผมไม่ฟัง”

“ลุงคิดว่าเธออาจจะเห็นแก่ลุงบ้าง” คนปลายสายถอนใจเฮือกใหญ่ “วงการนี้มันอันตรายกว่าที่เธอคิด ถ้าพวกมันรู้ว่าเธอพยายามจะสืบหา มันอาจวกมาเล่นงานเธอได้ ลุงเป็นห่วง”

“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะครับ”

“เฮ้อ เจ้าหลานชายจอมดื้อ!”

“ส่วนอันนี้เป็นคำชมหรือเปล่าครับ”

“ลุงจริงจังนะเซ็บ” น้ำเสียงเขาทำให้ผมเลิกพูดเล่น “ลุงรู้ว่าเธอดื้อแค่ไหน แต่ครั้งนี้ฟังลุงบ้างได้ไหม”

“ขอบคุณนะครับลุงเบอนาร์ด”

ผมเลือกตอบรับสั้นๆ ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น แต่แค่นี้ลุงเบอนาร์ดคงรู้ดีว่าคำตอบผมคืออะไร เขาเงียบไปสักพัก เสียงถอนใจดังมาเป็นระยะ

“รักษาตัวเองดีๆ”

“ครับ”

บทสนทนาสิ้นสุดตรงนั้น ผมลดโทรศัพท์ลง จ้องหน้าจอดำมืดที่ดับไปหลังไม่ได้ใช้งาน มันสะท้อนใบหน้าผม แววตาดื้อดึงที่มองกลับมาคล้ายคลึงกับแววตาของพ่อไม่มีผิด

ผมตัดเขาไม่ขาดไม่ว่าจะทางไหน

โลกของพ่อที่พยายามวิ่งหนี สุดท้ายผมก็วิ่งกลับไปอยู่ดี


_________________________________________________

สวัสดีค่ะ ฝากเพื่อนให้เอานิยายลงเล้าให้ตั้งหลายบทแต่ไม่ได้ลงทอล์กเลย วันนี้เลยมาพูดคุยท้ายเรื่องสักหน่อย ขอบคุณที่กดมาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ เราอ่านทุกคอมเมนต์เลย ดีใจที่ชอบค่ะ จะพยายามมาอัปบ่อยๆ นะ หวีด สกรีม หรือทวงนิยายได้ที่ #คุณผู้มากับสายฝน ได้เลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 02-09-2018 13:06:32
เห็นเค้าลางอันตรายมารำไร หวังว่าคงจะไม่มีอะไรมากนะ

คุณเซ็บเขาเข้าใจคำว่าห่วงเลยพลอยหัวใจพองฟูไปด้วย
ขอเถอะค่ะ อย่าน่ารักมากไปกว่านี้ได้ไหม
นี่คนอ่านก็หลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว ไม่รู้จะโดนกล้ามแขนล่ำๆของแมวส้มเข้าวันไหน

ปล. แอบสงสัยมานานว่าทำไมเรื่องนี้ไม่มีคนเขียนทอล์กเลย วันนี้กระจ่างแล้วค่ะ
อยากบอกว่าเราชอบการเขียนของคุณมากยิ่งคำผิดนี่แทบไม่มี อ่านได้ไหลลื่นสุดๆ
ติดหนึบหนับ ต้องเข้ามาดูแทบทุกวันว่าอัพหรือยัง
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: AmPnie ที่ 02-09-2018 15:42:37
จะมีบทบู้ไหมนะ  //ได้แต่สงสัย 
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 02-09-2018 18:42:15
เป็นห่วงเสือดำ  :mew2:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 03-09-2018 09:46:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-09-2018 19:54:54
เราไม่อยากเดาโพ เดี๋ยวจะแหก ขอเก็บข้อมูลเรื่อยๆก่อน  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 05-09-2018 23:31:04
สนุกมากกก ชอบมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย เดาว่าเซ็บจะได้กินแพท~ อยากเห็นแมวน้อยโดนกิน :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: แมว ที่ 06-09-2018 01:55:38
สนุกมากค่ะ พล็อตดี  :mew1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 06-09-2018 15:42:49
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 06-09-2018 21:45:44
 คือดีต่อใจ ผลัดกันอ่อยเนอะ ได้ๆ เราโอเค //คว้ายาดม
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: jinnyjayb ที่ 07-09-2018 15:28:09
แพทน่ารักมาก อบอุ่นมาก
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 07-09-2018 23:10:38
เหมือนมันจะอึมครึมๆแต่มันก็สดใสได้เมื่อมีแมวส้ม
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 14 [01-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 08-09-2018 20:28:10
มารอฝนตกค่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 15 [08-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 08-09-2018 22:47:24

Chapter 15

We don’t talk anymore

 
[Matthew]


ผมเป็นมนุษย์ประเภทเบื่อง่าย ทำงานนั่งโต๊ะทุกวันชีวิตก็ไร้สีสัน บางครั้งเลยต้องหางานนอกมาทำให้ชีวิตตัวเองเร้าใจขึ้นมาบ้าง :)

“แจสเปอร์เตรียมรถให้หน่อย วันนี้นายออกไปกับฉัน งานที่สั่งเมื่อกี้พักไว้ก่อน”

ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ สั่งงานใหม่และแคนเซิลงานที่เพิ่งสั่งเขาไปเมื่อห้านาทีที่แล้วทิ้ง

“FUCK!”

โอ้...ผมจะคิดว่าแจสเปอร์ตื่นเต้นจนหลุดสบถใส่แล้วกัน :)


“ต้องเข้าไปด้วยไหม”

แจสเปอร์ถามผม น้ำเสียงเขาหงุดหงิด ผมหันไปยิ้มให้จนอีกฝ่ายชักสีหน้ามากกว่าเดิม

“แน่นอน ฉันขาดนายได้ที่ไหนกันคุณผู้ช่วยมือดี”

“เกลียดตำแหน่งนี้ชะมัด”

แจสเปอร์สบถก่อนเปิดประตูรถลงไป ผมตามเขาไปติดๆ ตรงหน้าเราคือ JY Tyre Distributors ศูนย์ตัวแทนจำหน่ายอะไหล่และยางล้อรถประเภทต่างๆ จากข้อมูลที่เจคอปให้เซบาสเตียนมา ผมคิดว่าตัวเองน่าจะได้เบาะแสเพิ่มเติมจากที่นี่บ้าง

“สวัสดีครับ สนใจยางหรืออะไหล่รุ่นไหนสามารถติดต่อสอบถามได้นะครับ” พนักงานต้อนรับตรงมาหาผมอย่างรู้งาน ผมยิ้มให้เขา บอกความต้องการตัวเองออกไป

“ผมขอพบผู้จัดการสาขาครับ” นี่ไม่ใช่คำขอแต่เป็นคำสั่ง พนักงานหนุ่มยิ้มค้าง

“คือว่า…”

“บอกเขาว่าแมทธิว รอสซ์ต้องการพบ” ผมยื่นนามบัตรไปตรงหน้าคนที่ยืนแข็งค้างเมื่อได้ยินนามสกุลผม อา...นามสกุลดังแบบนี้ทำอะไรได้สะดวกขึ้นเยอะ

“สะ สักครู่นะครับ รบกวนนั่งรอก่อน”

เขาผายมือไปยังโซนห้องรับรองด้านข้างที่มีความเป็นส่วนตัว ผมพยักหน้า เดินไปอย่างว่าง่าย แจสเปอร์เดินตามหลัง เขาบ่นพึมพำเรื่องผมใช้อำนาจได้น่าหมั่นไส้ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ เราจะมีอำนาจไปทำไมถ้าไม่ใช้?

อ้อ ยกเว้นเซบาสเตียนน้องชายผมไว้คนนึงแล้วกัน

“คิดว่าจะได้กลับไปเยอะแค่ไหน” แจสเปอร์ถาม ผมยักไหล่

“เท่าที่คำว่ารอสซ์จะกดดันเขาได้”

“เกลียดนายจริงๆ”

“แต่ฉันชอบนายนะ”

ผมแกล้งขยิบตาให้แจสเปอร์ เขากลอกตา สีหน้าเหนื่อยใจ ไม่ได้เขินอายหรือทำตัวไม่ถูก แจสเปอร์กับผมเป็นโซลเมตกัน แต่ความรู้สึกของพวกเราไม่ได้เกินเลยกว่านั้น บางทีคำว่าโซลเมตก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรัก แต่เป็นบัดดี้ดีๆ ที่รู้ใจเราสักคน

“สวัสดีครับคุณรอสซ์”

“เรียกผมว่าแมทธิว” ผมลุกขึ้นจับมือกับผู้มาใหม่ เหลือบตามองป้ายชื่อตรงอกเขา

Eric Collins (Manager)

“ผมเอริคครับ” เขาแนะนำตัว สีหน้ายิ้มแย้มอย่างมืออาชีพ “เชิญนั่งก่อนครับ เห็นว่าคุณมีธุระกับผม?”

“ครับ”

“เชิญตามสบายเลยนะครับ ถ้าผมช่วยคุณได้ก็จะช่วยแน่นอน”

“แน่นอนครับ คุณช่วยผมได้” ผมหัวเราะ หันไปทางแจสเปอร์ อีกฝ่ายหยิบไอแพดขึ้นเปิดยื่นให้เอริคอย่างรู้งาน “ยางรุ่นนี้ คุณพอจะรู้จักใช่ไหมครับ”

“ครับ รุ่นนี้กำลังมาแรงมาก” เขาตอบรับ เงยหน้าขึ้นสบตาผม “คุณแมทธิวสนใจเหรอครับ”

“สนใจครับ แต่ไม่ได้สนใจจะใช้” ผมยิ้ม สบตาเอริค เขายังคงมีใบหน้าเรียบสงบ แต่แววตาดูกังวลใจ “ผมสนใจว่า ‘ใคร’ ใช้ต่างหาก และมี ‘ใคร’ ที่ซื้อมันไปจากที่นี่บ้าง”

“ข้อมูลลูกค้าผมไม่สามารถเปิดเผยได้จริงๆ ครับ”

“คุณแน่ใจ?”

“...”

“แจสเปอร์” ผมเรียกเขา อีกฝ่ายขานรับ หยิบไอแพดเปิดรูปหนึ่งขึ้นมา คราวนี้แจสเปอร์ทำหน้าที่ไล่บี้แทนผม

“อาทิตย์ที่แล้วคุณมีนัดทานข้าวกับคุณธิโอนี่ครับ” เอริคเงียบไปเมื่อเห็นรูปแอบถ่ายตัวเขากับบอดี้การ์ดคนสนิทของพ่อผม เขาเม้มริมฝีปากแน่น คงไม่คิดว่าห้อง VIP จะถูกแอบถ่ายออกมาได้ แต่คนของผมทำได้…

...รอสซ์ทำได้เกือบทุกอย่างนั่นแหละ

“แจสเปอร์ นายเข้าประเด็นเร็วเกินไป” ผมแกล้งปรามผู้ช่วยตัวเอง “คุณเอริคนึกคำตอบไม่ทันเลยเห็นไหม”

“ขอโทษทีครับคุณแมทธิว” เขาตอบกลับเสียงเรียบ ในประโยคนั้นแฝงแววเสียดสี “ผมไม่คิดว่าคุณเอริคจะตั้งตัวไม่ทัน คิดว่าเขารู้เจตนาพวกเราและเตรียมตัวแต่แรกแล้วซะอีก”

“พวกคุณต้องการอะไรครับ”

“ผมนึกว่าคุณจะไม่ถามซะแล้ว” ผมยิ้ม ประสานมือเอนตัวพิงพนักโซฟา “ผมจะไม่อ้อมค้อมแล้วกัน คุณคงได้ข่าวเรื่องที่พ่อผม ซีมอน รอสซ์ถูกลอบยิง”

“ครับ ผมทราบ”

“และการที่คุณมีนัดกับธิโอ บอดี้การ์ดคนสนิทของเขาในสถานที่เป็นส่วนตัวพอสมควรแบบนั้น...” ผมโคลงศีรษะ จุ๊ปากเบาๆ หรี่ตามองคุณผู้จัดการที่สีหน้าไม่สู้ดี การเว้นจังหวะแบบนี้ทำให้คู่สนทนารู้สึกอึดอัด ซึ่งผมชอบทำอยู่บ่อยครั้ง “...แสดงว่าหัวข้อที่คุยกันเป็นความลับพอสมควร เช่นว่า...ธิโอขอให้คุณนำเอกสารบางอย่างให้เขา”

“...”

“เอกสารที่ทำให้ผมสืบหาตัวมือปืนที่ลอบยิงพ่อผมได้”

“คุณธิโอไม่ให้ผมเผยแพร่มันต่อ” ในที่สุดเอริคก็ตอบกลับ เขาถอนใจ คิ้วขมวดยุ่ง สีหน้าลำบากใจ “ผมรับปากเขาแล้ว จะมีแค่รอสซ์เท่านั้นที่ได้ข้อมูลนี้ไป”

“แล้วผมไม่ใช่ ‘รอสซ์’ อย่างนั้นเหรอ?”

ผมเน้นเสียง จงใจโน้มตัวไปข้างหน้า สบสายตากับเอริคไม่ละไปไหน นี่คือเทคนิคการกดดันคนที่ผมเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก รอสซ์ไม่ใช่ฝ่ายถูกคุกคาม และไม่เคย แต่รอสซ์คือผู้คุกคาม

“คุณกำลังทำให้ผมลำบากใจนะครับ”

“คุณอย่าคิดว่าตัวเองกำลังผิดคำพูด” แจสเปอร์ทำหน้าที่โน้มน้าวต่อ แต่ถ้าเอริคยังไม่ยอม โซลเมตของผมก็พร้อมเปลี่ยนเป็นข่มขู่เขาได้ “คุณแมทธิวก็คือรอสซ์ เจ้านายผมแค่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนพวกผมพร้อมช่วยเหลือ คุณจะไม่เดือดร้อนที่นำข้อมูลของลูกค้ามาเปิดเผย”

“ผม…”

“แต่ถ้าคุณไม่…” แจสเปอร์ปรับเสียงจนเย็นเยียบ ผมหลุดยิ้ม นึกชอบตอนเขาเข้าโหมดโหดแบบนี้ชะมัด “...เรื่องที่คุณเปิดเผยข้อมูลลูกค้าให้คุณธิโอ ผมรับรองว่าคุณเดือดร้อนแน่นอน”

“คะ คุณ…” เอริคเบิกตากว้าง “ยะ ยังไงคุณธิโอก็เป็นคนของพ่อคุณ เขาไม่ปล่อยให้ผมเดือดร้อนแน่นอน”

“คุณอยากลองไหมล่ะครับ” ผมหัวเราะ สบตาเอริคอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ พ่อผมมีอำนาจมากกว่า เขาช่วยคุณได้แน่ ถึงผมปล่อยข้อมูลออกไป แต่ก็แค่นั้น เขาช่วยในส่วนที่เขาควรรับผิดชอบ แต่เรื่องหลังจากนั้น ผมว่าเขาคงไม่เสียเวลามาช่วยคุณ ในเมื่อคุณหมดประโยชน์กับเขาแล้ว”

“คุณคิดจะทำอะไร?!”

“อืม นั่นสิ ทำอะไรดี” ผมแสร้งทำเป็นคิดหนัก มองสีหน้าบิดเบี้ยวของเอริคอย่างเพลินใจ “ตอนนี้ยังคิดไม่ออก แต่ไม่ต้องห่วง คุณได้สนุกแน่”

“คุณแมทธิว ผมขอร้องล่ะ”

“ผมก็ขอร้องคุณเหมือนกัน” ผมแทรกขึ้น เน้นย้ำที่คำว่าขอร้อง แต่น้ำเสียงไม่ได้หมายความตามประโยคนั้น หึ...มันตรงกันข้ามเลยล่ะ

“ผมจะไว้ใจคุณได้ยังไง” เอริคตั้งข้อสงสัย “คุณธิโอกำชับผมขนาดนั้น ซ้ำเขายังไม่ให้คุณรู้เรื่องเอกสาร ถึงคุณจะเป็นรอสซ์ก็เถอะ ไม่ใช่ว่า…”

น้ำเสียงและแววตานั้นคลางแคลงใจ ผมสบตาเขา ยังคงมีท่าทีสบายใจแม้จะโดนอีกฝ่ายสงสัย เป็นแจสเปอร์ซะเองที่พูดเสียงเย็นขึ้นมา

“อย่ากล่าวหาเจ้านายผมถ้าคุณยังไม่มีหลักฐาน”

“ผมแค่ตั้งข้อสังเกต”

“ข้อสังเกตของคุณจะทำให้คุณลำบากนะครับ” แจสเปอร์เขม็งตาจ้องเอริค “เจ้านายผมค่อนข้างรีบ น่าเสียดายที่เรามีเวลาให้คุณตัดสินใจจำกัด”

“ผม…”

“คุณมีทางเลือกนะเอริค คุณจะเลือกทางไหนดีล่ะ” ผมยิ้ม ไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน แรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเอริคก็ยกสองมือยอมแพ้ ผมกระตุกยิ้มให้กับชัยชนะ

“ผมจะส่งไฟล์รายชื่อให้คุณทางอีเมล แต่ขอร้องอย่าให้ผมเดือดร้อนไปมากกว่านี้”

“แน่นอนครับ” ผมรับปาก โคลงศีรษะไปทางคุณผู้ช่วย “แจสเปอร์”

แจสเปอร์พยักหน้ารับ ลุกขึ้นผายมือเชิญเอริคให้เดินนำไปที่ห้องทำงานเขา คุณผู้จัดการที่น่าสงสารไม่มีทางเลือกหลังจากนี้ ผมหยิบไอแพดขึ้นเช็กตลาดหุ้นไปพลางๆ เพื่อฆ่าเวลา หลังจากนั้นไม่นานแถบแจ้งเตือนบนจอก็แจ้งว่าผมได้รับอีเมลฉบับใหม่

ผมยิ้มอย่างพอใจ

ก็แค่นี้ ทำให้เรื่องมันยากจนเสียเวลาหลายนาทีไปได้

V
V
V
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 15 [08-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 08-09-2018 22:51:29
V
V
V

[Patrick]

ผมคิดว่าตัวเองกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง มันรบกวนอยู่ในใจ สลัดยังไงก็ไม่หายสักที

“แพท!”

“ฮะ ว่าไงครับ” ผมสะดุ้ง เงยหน้ามองตามเสียงตะโกนเรียก เทเรซ่ายืนอยู่ตรงหน้า เธอกอดอกก้มลงจ้องผม คิ้วขมวดแน่นเป็นปม

“นายเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย ไม่ไปพักเที่ยงเหรอ?”

“วันนี้ไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่แล้วก็...ผมสบายดี” อาจจะสบายดี อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้น ถ้านับทางกายภาพน่ะนะ แต่พอตอบแบบนั้นเทเรซ่ากลับถอนใจใส่

“แน่ใจว่าสบาย ฉันเห็นนายทำหน้าแบบนี้มาสามสี่วันแล้วนะ”

“โอเคๆ” ผมยกสองมือยอมแพ้ “พระเจ้า เธอนี่ช่างสังเกตจริง อย่างที่เธอว่า ช่วงนี้ผม...ไม่สบายใจน่ะ”

“เรื่องอะไร บอกฉันได้ไหม” เทเรซ่าทรุดนั่งบนพื้นข้างผม พวกเรานั่งอยู่ในห้องฝึกโยคะ มันเงียบสงบเหมาะกับการคิดอะไรต่างๆ โดยเฉพาะในเวลาพักเที่ยงแบบนี้ “สะดวกใจจะเล่าก็ได้นะ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

“เรื่องของเซ็บน่ะ”

“เขาไม่รับรักนายหรือไง”

“โธ่เทซ ไม่เอาน่า” ผมโอดครวญ “อย่าพูดแบบนั้นสิ พระเจ้า! ผมใจแกว่งเลยเนี่ย”

“ล้อเล่นน่า เขาดูชอบนายจะตาย” เทเรซ่าหัวเราะ เธอจ้องมองผม “ว่าแต่เขาทำอะไรให้นายไม่สบายใจล่ะ”

“ไม่รู้สิ ผมแค่…” ผมยักไหล่ มันยากจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดตามจริง “ช่วงนี้เขาค่อนข้างดื้อกับผมนิดหน่อย ผมรู้ว่าเขาดูแลตัวเองได้ แต่ผมแค่เป็นห่วง”

“อืม ความจริงฉันไม่เข้าใจสักนิดว่าพวกนายมีเรื่องอะไรกัน” เทเรซ่ากลอกตา แหงล่ะ ผมไม่ได้ลงรายละเอียด แถมจู่ๆ ก็โพล่งมาดื้อๆ เธอจะไม่เข้าใจก็ไม่แปลก “แต่ฟังดูแล้วนายกลัวว่าจะวุ่นวายมากไปจนเขารำคาญใช่ไหม ฉันตีความหมายถูกหรือเปล่า”

“นั่นแหละ ผมกลัวเขารำคาญอย่างที่เธอว่า”

“อา…”

“สถานะของพวกเราไม่ได้ชัดเจนพอให้ผมก้าวก่ายเขามากขนาดนั้น ให้ตายสิ”

“ใจเย็นน่า นายได้พูดกับเขาตรงๆ หรือยัง”

“ผมพูดแล้ว”

“แล้วเขารับปากนายไหม หรือยังไง?”

“เขาก็รับปาก สัญญากับผมตามที่ผมขอ”

“แล้ว…” เธอลากเสียง “...ยังไงต่อ นายกลัวเขาผิดคำพูด?”

“เซ็บเห็นนิ่งๆ แบบนั้น ถ้าเธอรู้จักเขานะเทซ เธอจะรู้ว่าเขาดื้อมากแค่ไหน”

“เรื่องนี้มันทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อใจกัน” คำพูดของเทเรซ่าทำผมนิ่งไป เหมือนความกังวลที่ผ่านมาหลายวันถูกแช่แข็งชั่วขณะ ผมสบตาเธอ เทเรซ่ายิ้มให้คล้ายจะปลอบใจ “มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักหน่อย นายแค่เชื่อใจเขาก็พอน่าแพท”

“นั่นสินะ”

“เลิกคิดมากได้แล้ว” เทเรซ่าขยี้หัวผม ผมปัดมือเธอออกจนอีกฝ่ายหัวเราะ

“เดี๋ยวจะโดนนะเทซ”

“ทำไม หวงเหรอ เก็บไว้ให้คุณเซ็บขยี้ได้คนเดียวสินะ”

“แน่นอน ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”

“คุณเซ็บจะรู้ไหมนะ ว่าแมวยักษ์ของเขาอยากถูกจับใส่ปลอกคอจะแย่”

เทเรซ่าส่งเสียงล้อ ผมหรี่ตา ผุดลุกขึ้นไล่จนเธอวิ่งหนีออกไปนอกห้อง ความกังวลหายไปชั่วขณะหนึ่ง และผมหวังว่าเซบาสเตียนจะไม่ทำให้สิ่งที่ผมกังวลเป็นจริง


“คิดถึงคุณ”

“บอกทุกครั้งที่เจอกัน ไม่เบื่อบ้างหรือไง”

“ไม่เบื่อ เพราะคิดถึงคุณจริงๆ ครับ”

ผมส่งยิ้มให้เซบาสเตียน วันนี้เรามีนัดกันหลังผมเลิกงาน ตั้งแต่วันที่เขามารับผมไปทานข้าวเย็น เราก็ไม่ได้เจอกันอีก ผมยุ่งกับงาน ส่วนเซบาสเตียนต้องเตรียมหัวข้อในการบรรยายงานวิชาการที่มหาวิทยาลัย แน่นอน ผมคิดถึงเขาแทบบ้า พอได้เจอหน้าเลยอยากอ้อนยิ่งกว่าเดิม

วันนี้ผมเป็นฝ่ายขับรถมารับเขาที่หน้าคอนโดฯ เรามีแพลนจะไปทานข้าวเย็นกับดูหนังรอบดึก เซบาสเตียนกับผมมีรสนิยมชอบหนังแนวเดียวกันพอดี การเลือกหนังที่จะดูเลยง่ายขึ้นไปอีก

พวกเราแวะทานอาหารกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งกลางตัวเมือง ที่นี่อยู่ใกล้กับโรงหนังที่จะดูกัน เดินถัดไปอีกแค่สองป้ายรถก็ถึงแล้ว

หัวข้อสนทนาเป็นไปอย่างเรียบง่าย คำถามธรรมดาไม่มีอะไรแปลกใหม่อย่าง งานเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม ตอนกลางวันทานอะไร แต่ผมกลับตกหลุมรักในความเรียบง่ายนั้น เหมือนเราแชร์ชีวิตประจำวันด้วยกัน มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นอยู่ในใจจนผมอยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ ถ้าเซบาสเตียนไม่ว่าอะไร

“ฉันบอกนายหรือยัง”

“ครับ?” ผมเงยหน้าเมื่อเซบาสเตียนเกริ่นมาแบบนั้น เขาสบตาผม มุมปากกระตุกยิ้ม

“คู่บรรยายงานวิชาการฉันน่ะ”

“ทำไมครับ”

“เมลิน่า” ชื่อนั้นคุ้นหูผมอย่างประหลาด ผมขมวดคิ้ว พยายามขุดความทรงจำเกี่ยวกับชื่อนั้นขึ้นมา แต่ช้ากว่าเซบาสเตียน “เมลิน่า มอเรนคนที่เกือบจะเป็นคู่หมั้นฉันไง”

“อา…” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลย ให้ตาย

“หึงไหม”

“ไม่...ครับ” ผมตอบเสียงเบา รู้ดีว่าในใจหึงเขาสุดๆ แต่ถ้าบอกว่าหึง เซบาสเตียนคงมองว่าผมเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไม่มีเหตุผล

“แย่นะ”

“ฮะ?”

“อยากให้แมวยักษ์แถวนี้หึง” เขาว่าหน้าตาย ดวงตาสีมรกตเป็นประกาย “แบบนี้ไม่สนุกเลย”

“เซ็บ” ผมโอดครวญ “คุณแกล้งผมอีกแล้ว”

“นายน่าแกล้ง...” เขายักไหล่ เบนสายตามองผ่านกระจกร้านออกไปด้านนอกครู่หนึ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อยก่อนกลับมาสบตาผม “...ไม่รู้ตัวเหรอ”

“ถ้าผมแกล้งคุณกลับบ้างอย่างอแงนะครับ”

“นายไม่กล้าหรอก”

“ผมกล้ากว่าที่คุณคิดนะ”

ผมหัวเราะ เซ็บมองผม เขาส่ายหัวไปมา มุมปากยกยิ้ม พวกเราคุยเล่นไปเรื่อยจนกระทั่งจัดการอาหารมื้อนั้นเรียบร้อย ผมกับเซบาสเตียนเดินออกจากร้านหลังชำระค่าอาหารที่เคาน์เตอร์เสร็จ

“เซ็บ” ผมเรียก แต่เหมือนเจ้าตัวกำลังมองหาอะไรบางอย่าง ผมวางมือบนไหล่เขา เซบาสเตียนชะงัก หันกลับมามองผม คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “มีอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่า” เขาส่ายหัว “กำลังคิดว่านายจะกินป๊อบคอร์นด้วยไหม”

“ผมไม่ค่อยชอบกินอะไรตอนดูหนัง” ผมตอบ “ถ้าคุณชอบ ซื้อแค่ถังเล็กก็พอครับ”

“ฉันไม่ชอบกินอะไรตอนดูหนังเหมือนกัน”

“งั้นซื้อแค่โค้กแล้วกัน แก้วเดียวหรือสองดี ผมไม่ชอบน้ำอัดลมเท่าไหร่” ผมขอความคิดเห็นเขาในขณะเดินตรงไปยังลิฟต์ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาสักที ผมหันมอง พบว่าเขากำลังมองไปทางหนึ่ง คิ้วขมวดแน่น “เซ็บ? เฮ้ มองอะไรครับ”

“ฮะ อา…” เขาขานรับก่อนส่ายหัว “เหมือนเห็นคนรู้จักน่ะ แต่ไม่แน่ใจ ช่างเถอะ”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับ

“เฮ้แพทริค!” ใครบางคนตะโกนเรียกจากด้านหลัง ผมหันกลับไปตามเสียงนั้น

“เฮ้ โทมัส?”

“เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนาน” เขาตรงมาทักทายทันที “ช่วงนี้งานยุ่งเหรอ เพื่อนนัดบอกไม่ว่างตลอด”

“ก็ยุ่งตามปกตินั่นแหละ กว่าฉันจะเลิกงานก็เย็น เลยอยากพักมากกว่า” ผมตอบกลั้วหัวเราะ เบี่ยงตัวให้โทมัสเห็นเซบาสเตียนที่ยืนอยู่ข้างๆ “อา ส่วนนี่เซบาสเตียน”

“สวัสดีครับ” โทมัสทัก “เพื่อนแพทเหรอครับ”

“สวัสดีครับ” เซบาสเตียนตอบ เขายื่นมือมาจับมือเพื่อนผมตามมารยาท “เรียกว่าเพื่อนก็ได้ครับ”

ผมหน้ามุ่ย ไม่ค่อยพอใจกับคำว่าเพื่อนของเขาเท่าไหร่ เลยแอบขยับปากบอกโทมัสว่าเซบาสเตียนเป็นโซลเมตผม พอรู้ว่าเซบาสเตียนเป็นใคร เพื่อนผมก็เบิกตาโตทันที

“โอ้…”

“ชู่” ผมรีบส่งสัญญาณไม่ให้โทมัสโวยวายอะไร ไม่งั้นเซบาสเตียนต้องตีผมแน่ๆ

“แพท” เซบาสเตียนเรียกผม “นายคุยกับเพื่อนไปก่อน เดี๋ยวฉันมา ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

“โอเคครับ ผมรออยู่หน้าลิฟต์นี้นะ”

เซบาสเตียนพยักหน้ารับรู้ก่อนเดินแยกไป ทิ้งผมไว้กับเพื่อนจอมสอดรู้สองคน

“เล่ามาให้ไวเลยนะแพท โซลเมตคนนี้ที่นายเคยมาบ่นบ่อยๆ ใช่ไหมว่าเขาไม่ตอบรับเสียงเรียกของนายสักที”

“จะมีคนไหนได้ล่ะ”

“แล้วทำยังไงเขาถึงตอบนายได้เนี่ย” โทมัสแสดงสีหน้าชัดเจนว่าอยากรู้สุดๆ “เขาดูเป็นคนเงียบๆ แฮะ หรือนายไปกวนจนเขารำคาญต้องพูดด้วย?”

“ฉันไม่ได้น่ารำคาญขนาดนั้นสักหน่อย”

“นายแน่ใจ?”

“เฮ้ นี่ฉันเพื่อนนายนะ” ผมโวยวาย ส่วนโทมัสหัวเราะร่าที่ยั่วโมโหผมได้

“โอเคๆ ฉันหยุดก็ได้ แล้วนายจะพาเขามาแนะนำกับเพื่อนๆ ไหม” โทมัสเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “ปาร์ตี้กันสักหน่อย ไม่ได้รวมตัวกันนานแล้ว นายพาเขามาเปิดตัวกับเพื่อนๆ ด้วยเลย”

“ขอฉันคิดดูก่อน”

“หวงหรือไง”

“หวง” ผมพยักหน้ารับ แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด “เซ็บค่อนข้างเข้ากับคนอื่นยากน่ะ ฉันกลัวเขาอึดอัด ต้องถามเขาก่อน”

“โอ้ ได้สิ ได้เรื่องยังไงนายค่อย…”

คำพูดของโทมัสเบาลง มวลอากาศบีบรัดส่งเสียงวิ้งข้างหู หลังจากนั้นโลกทั้งใบก็จมสู่ความเงียบ โทมัสถอนใจ เขาขยับปากให้ผมอ่านคำพูดได้ว่า ‘หน้าฝนเฮงซวย’ มันไม่ผิดจากที่โทมัสว่าเท่าไหร่ ชีวิตบนโลกใบนี้ช่วงหน้าฝนเป็นอะไรที่ลำบากไปหมด

อา...เสียดายจัง แบบนี้คงดูหนังไม่ได้แล้ว

‘หยุดนะ! บ้าเอ๊ย!’

เสียดายได้ไม่ทันไร จู่ๆ เสียงเซบาสเตียนก็ดังก้องในหัวปะปนเสียงหอบหายใจหนัก ทุกความคิดหยุดชะงักทันที

“เซ็บ อะไร เกิดอะไรขึ้น?!”

‘เวรเอ๊ย!’

“คุณอยู่ไหนน่ะ!”

‘บันไดหนีไฟชั้นสาม!’

“ผมกำลังไป!”

ผมวิ่งออกจากตรงนั้นทันทีโดยไม่ได้บอกลาโทมัส เขาเองก็คงดูออกว่าผมกำลังรีบเลยไม่ได้รั้ง ประตูทางหนีไฟอยู่ไกลจากจุดที่ผมอยู่พอสมควร ผมวิ่งสุดฝีเท้า นึกขอบคุณร่างกายตัวเองที่แข็งแรงทำให้ไม่หน้ามืดไปซะก่อน

เสียงของเซบาสเตียนยังดังก้องในหัวเป็นระยะ เขากำลังไล่จับใครบางคนอยู่ มีบางครั้งที่กลั้นเสียงเอาไว้ ผมนึกสังหรณ์ใจว่าอาจมีการลงไม้ลงมือกัน

ให้ตายเถอะ!

ผมผลักประตูทางหนีไฟตรงหน้าจนมันเด้งไปกระแทกกำแพงด้านหลัง หากเป็นช่วงเวลาปกติเสียงคงดังก้อง ผมกวาดสายตามองหาเซบาสเตียน ไม่รู้เขาอยู่ที่ไหนแล้ว

“คุณอยู่ไหนเซ็บ!”

‘ข้างล่าง แฮ่ก ลงมาแพท!’

ผมวิ่งลงไปทันที ร่างของเซบาสเตียนกับชายคนหนึ่งปรากฏตรงหน้า เขาสวมแมสสีดำปิดปากไปครึ่งหน้า ฮู้ดสีเข้มคลุมศีรษะทำให้ผมไม่สามารถเห็นใบหน้าเขาได้อย่างชัดเจน

ชานพักบันไดแคบจนผมกลัวว่าเซบาสเตียนจะพลาดท่าได้รับบาดเจ็บ เซบาสเตียนพยายามจะจับตัวเขาไว้ แต่อีกฝ่ายขัดขืนจึงเกิดการลงไม้ลงมือกัน ผมเลือดขึ้นหน้าทันทีที่เห็นชายคนนั้นถีบเซบาสเตียนเข้าที่ท้องอย่างจัง!

“อึก!”

“เซ็บ!” ผมพุ่งเข้าไปประคองตัวเขาไว้ไม่ให้ล้ม

“แพทปล่อยก่อน!” เขาพยายามดันตัวออกจากผม ตาเขม็งจ้องไปยังคนที่วิ่งหนีลงไปอีกชั้น เซบาสเตียนแรงเยอะกว่าที่ผมคิด กว่าจะรู้ตัวเขาก็สลัดผมทิ้งแล้ววิ่งตามไปทันที

“เซ็บ!” ผมวิ่งตามเขาไปติดๆ

“มันสะกดรอยตามฉัน!” เขาตะโกนบอก “ตั้งแต่ที่ร้านอาหารแล้ว!”

เสียงเตือนในหัวผมดังลั่น รู้ทันทีว่าเซบาสเตียนหมายความว่ายังไง นี่อาจเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบยิงซีมอน รอสซ์ และเซบาสเตียนจะไม่ยอมปล่อยพวกนี้ไปแน่!

“ให้ตายสิเซ็บ!” ผมสบถออกมาอย่างหัวเสีย เขารู้อยู่ก่อนแล้ว ที่แยกตัวบอกจะเข้าห้องน้ำคือมาตามล่าอีกฝ่าย “ไหนคุณบอกจะไม่ทำอะไรอันตรายไง!”

เสียงของผมส่งไปไม่ถึงเซบาสเตียน ทั้งที่ช่วงเวลานี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของผม มีแค่พวกเราที่ได้ยินเสียงกันและกัน แต่เซบาสตียนปฏิเสธและผลักผมออกจากโลกของเขา

ผมทั้งโกรธทั้งน้อยใจ เขาเลือกทำอะไรคนเดียวโดยไม่ปรึกษาผมสักนิด

โดยไม่ทันได้ตั้งตัว เซบาสเตียนวิ่งไปประชิดชายคนนั้นสำเร็จ เขาโถมตัวเข้าใส่จนพากันกลิ้งไปกระแทกกำแพงเกือบตกบันได

เซบาสเตียนกระชากคอเสื้อเขาให้ยืนขึ้น ซัดหมัดเข้าใส่ใบหน้าชายคนนั้น ผมรีบเข้าไปช่วยเขาจับตัวอีกฝ่ายเอาไว้โดยการล็อกแขนทั้งสองข้างจากด้านหลัง

“ใครส่งแกมา!”

แต่ถึงเขาจะตะโกนดังแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ยินอยู่ดี

“เซ็บใจเย็นก่อน ตอนนี้มันไม่ได้ยินที่คุณพูดหรอก”

พลั่ก!

“แม่ง!” ผมสบถออกมาเมื่อถูกชายคนนั้นแทงศอกเข้าที่สีข้างจนเผลอคลายแรงจับ แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้มันฉวยโอกาสดิ้นหลุด

“เซ็บระวัง!”

ผมร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นมันอาศัยจังหวะที่ผมพลาดท่าออกแรงผลักจนเซบาสเตียนเซเกือบตกบันได...เกือบไปแล้วถ้าผมไม่พุ่งไปคว้าตัวเขาเอาไว้ นั่นเปิดโอกาสให้มันหนีไปได้ เซบาสเตียนทำท่าจะตามไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกระชากข้อมือเขาไว้อย่างแรงจนอีกฝ่ายสบถลั่นด้วยความเจ็บ

“แพทริค!”

“คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไงเซบาสเตียน!!!”

“แล้วจะให้ฉันปล่อยมันไปเนี่ยนะ?!” เขาตะโกนใส่ผม สะบัดข้อมือออกอย่างแรง เซบาสเตียนขยี้เส้นผมตัวเองจนยุ่งเหยิง เสียงสบถดังลั่น “เวรเอ๊ย! ทั้งที่เกือบจะจับมันได้แล้ว นายไม่รู้หรือไงว่าถ้าฉันเค้นได้ว่าใครส่งมันมา…”

“คุณก็คิดอยู่แค่นี้!” ผมตะโกนขัด เขม็งตาจ้องเซบาสเตียนที่นิ่งไป “คิดแค่จะจับมัน ไม่สนใจความปลอดภัยตัวเอง ถ้ามันมีอาวุธล่ะ?! เมื่อกี้ถ้าผมคว้าคุณไว้ไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น คุณคิดบ้างไหม? หรือคุณคิดว่าสู้กับมันสุดตัวจนตกบันไดคอหักตายเป็นเรื่องที่ควรทำแล้ว!”

เสียงผมดังก้องทั่วบริเวณพื้นที่คับแคบ ผมสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับอารมณ์ตัวเอง

“แพท…” เขาเสยผม ดูไม่สบอารมณ์ “บันไดไม่กี่ขั้นไม่ทำให้คอหักตายได้หรอกนะ”

“คุณสัญญากับผมแล้วเซ็บ” ผมพูดเสียงเรียบ สบตาเขานิ่ง ควบคุมลมหายใจหอบถี่จากแรงอารมณ์ให้สงบลง “คุณสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องอันตราย คุณรู้ดีว่าผมห่วงคุณ คำว่าห่วงของผมมันไม่สำคัญพอสำหรับคุณใช่ไหม?”

ความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่ผมได้รับกลับมา เซบาสเตียนขมวดคิ้ว เขาทำเพียงถอนใจ

“กลับเถอะครับ ปากคุณแตก อย่าลืมทำแผลด้วย”

ผมเดินนำออกจากบริเวณนั้น เซบาสเตียนเดินตามมาเงียบๆ ระหว่างเราไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก โลกของผมเงียบงันตั้งแต่ตอนนั้น ผมขับรถกลับมาส่งเขา ไม่มีบทสนทนาใดๆ มีเพียงสัญญาณไฟกะพริบจากคอนโซลหน้ารถซึ่งเป็นระบบที่ถูกเปิดใช้ตอนฝนตกเมื่อคนขับไม่สามารถได้ยินเสียงแตรรถหรือเสียงสัญญาณเตือนได้

มนุษย์สามารถคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แต่ผมไม่สามารถทำอะไรเพื่อความปลอดภัยของเซบาสเตียนได้เลย เขาตัดสินใจทำมันคนเดียว นั่นหมายความว่าเซบาสเตียนไม่เคยมองว่าผมสามารถช่วยอะไรเขาได้เลยหรือเปล่า?

ผมอยากให้เขาเชื่อใจผมบ้าง สักนิดก็ยังดี

จนกระทั่งขับรถมาส่งเซบาสเตียนที่คอนโดฯ ผมก็ยังไม่พูดกับเขา พวกเราเลือกไม่พูดอะไรกัน ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน

ผมไม่รู้ว่าเซบาสเตียนรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ผมเหมือนคนจมน้ำ

ใต้ผืนน้ำ ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิท แรงดันกดตัวผมให้จมลึกลงไป ถ้าหากเซบาสเตียนเปรียบเหมือนอากาศ สำหรับผม ตอนนี้อากาศใกล้หมดลงทุกที มันทรมาน แต่เป็นความทรมานที่ผมยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ ในเมื่อผมเป็นคนผลักไสอากาศนั้นไปเอง

ผมยังไม่อยากคุยกับเขาตอนนี้

ไม่...แม้แต่คำเดียว


_________________________________________________________

พาร์ทนี้ควรเป็นของแพทเดี่ยวๆ อะ แต่เราชอบคุณแมทไงเลยขอแบ่งพื้นที่ให้คุณเขาหน่อย 5555 ยังยืนยันนะคะว่านิยายเรื่องนี้ฟีลกู๊ด แต่เพื่อให้เรื่องดำเนินต่อไปเราจำต้องใส่มาม่าเข้าไปนิดหน่อย ไม่ต้องกลัวค่ะ เราสายสุขนิยม เดี๋ยวก็ดีกันแย้ววว บทนี้ก็อิ่มมาม่ากันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวเอาบทหน้ามาง้อ อะฮึ่ม -///-

ฝากคอมเมนต์หรือติดแท็ก #คุณผู้มากับสายฝน ส่งฟีดแบ็กให้หน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล.ตอนหน้าอาจมีคนเรือล่ม ถ้าอยากรู้โพก่อนอ่านตอนถัดไปหาได้ในแท็กนิยายนะคะ แต่ถ้าอยากตื่นเต้นก็...5555555555

หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 15 [08-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 09-09-2018 10:59:51
อยากให้ฝนตกแต่มันต้องไม่ใช่ใช่อารมณ์แบบนี้สิ
แมวส้มกำลังจะได้อ้อนเจ้าของแล้วเชียว

ปกติว่าชอบคุณแมทแล้วนะ
แต่พอคุณเขาแสดงอำนาจด้วยเสน่ห์ของรอสซ์มันยิ่งหลง
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 15 [08-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 09-09-2018 13:36:33
คุณเสือดำตกอยู่ในอันตราย เป็นห่วง...งงงง    :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 15 [08-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: nkl31 ที่ 13-09-2018 17:44:20
เราว่าเราลงเรือถูกอยู่นะ แพทคือคนกด ใช่มะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 15-09-2018 22:09:32
Chapter 16

Hey, I Like You


[Sebastian]


เพราะผมชินกับการอยู่คนเดียวมาตลอดจนลืมว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิม มีใครบางคนเป็นห่วงและอยากให้ผมห่วงตัวเองมากกว่าที่เป็นอยู่

นอกจากโกรธ แพทริคคงกำลังน้อยใจ ผมคิดอย่างนั้น

ผมไม่รู้ว่าตัวเองนั่งโง่อยู่หน้าจอทีวีแบบนี้นานแค่ไหน ภาพบนจอขยับแต่ไร้เสียง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งในวันฝนตก ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอย่างที่ควรเป็น แต่สิ่งที่ไม่ควรเป็นคือแพทริคไม่ชวนผมคุยเหมือนทุกครั้ง ผมถูกความเงียบดูดให้จมลงไป

ลึกลง…

ลึกลงกว่าเดิม...

ผมเคยคิดว่าความเงียบไม่มีเสียง

กระทั่งวันนี้

ที่ความเงียบมีเสียงดังจนน่ารำคาญ

“แพท...”

ผมกลืนน้ำลายหนืดลงคอ การเปล่งเสียงเรียกชื่อเขากลายเป็นสิ่งไม่คุ้นชิน

“...แพทริค”

ฝั่งนั้นยังเงียบ ไม่มีการตอบรับ ผมพร่ำเรียกชื่อเขา คำขอโทษหลุดจากปาก หวังจะได้รับการให้อภัย ผมไม่เคยทะเลาะกับแพทริค ผมไม่รู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้จะรับมือยังไง ที่ผ่านมาเหมือนเราสนิทกันมากขึ้นทุกวัน แต่วันนี้ทำให้ผมรู้ว่าแท้จริงเราอาจไม่เคยรู้จักตัวตนจริงๆ กันเลยก็ได้

แพทริคอดทนรอผมตอบรับเสียงเขามาหกปี

แต่ตอนนี้ผมกลับทนความเงียบที่เขามอบให้ไม่ได้แม้แค่นาทีเดียว

“ฉันจะไปหานาย”

ผมพูดทิ้งท้าย แพทริคไม่ได้ส่งเสียงห้าม และผมถือว่านั่นเป็นคำอนุญาต


‘ขอโทษด้วยนะคะ คุณแพทริคไม่สะดวกให้คุณขึ้นไปค่ะ’

ผมกวาดสายตาอ่านตัวอักษรบนกระดานไวท์บอร์ดที่พนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์โชว์ให้หลังส่งข้อความสอบถามเจ้าของห้อง ผมพยักหน้ารับทราบ หันหลังเดินจากจุดนั้น สายตามองออกนอกคอนโดฯ ฝนตกหนักกว่าตอนแรก และถ้าแพทริคไม่อนุญาตให้ผมขึ้นไปสักทีล่ะก็…

“ฝนตกแรงมาก” ผมพูดขึ้น เชื่อว่าอีกฝ่ายได้ยินชัดทุกคำ “นายคิดว่าคนเราทนตากฝนได้นานแค่ไหน?”

เงี่ยหูฟัง ในความเงียบนั้นเหมือนได้ยินเสียงขบฟันกรอด

ผมเปิดประตูออกไป อากาศเย็นปะทะผิวจนขนลุก ผมก้าวไปข้างหน้า เม็ดฝนตกกระทบผิวเมื่อเดินพ้นชายคาคอนโดฯ ผมนั่งลงบนขอบกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ มันตั้งประดับอยู่ด้านหน้า ปล่อยให้สายฝนชะโลมร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าจนเปียกโชก

“ฉันไม่ได้ล้อเล่น แพท” ผมพูด เสียงสั่นเล็กน้อย “ให้รู้กันไป...ระหว่างนายกับฉัน ใครมีความอดทนมากกว่า”

ผมรู้ดีว่านี่เป็นการเล่นกับความรู้สึกเขา แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

สงครามประสาทดำเนินต่อไป ผมเมินสายตาแปลกๆ ของผู้คนที่มองมา พวกนั้นคงคิดว่าผมเป็นบ้าที่นั่งตากฝนทั้งที่มีร่มให้หลบ ใช่...ผมก็คิดว่าตัวเองบ้าเหมือนกันที่ใช้วิธีนี้เรียกร้องความสนใจจากแพทริค

หรือบางทีผมอาจสำคัญตัวผิด?

ผมถอนใจ ยกมือปาดน้ำฝนที่ไหลผ่านใบหน้าจนน่ารำคาญทิ้งเป็นระยะ ให้ตาย ผมเกลียดฝนชะมัด ไม่รู้ว่านั่งอยู่แบบนั้นนานเท่าไหร่ รู้แค่ความหนาวทำให้ผมชินชา หรือผมควรพอแค่นี้?

ผมก้มหน้าคิดอะไรไปเรื่อย ก่อนสัมผัสได้ว่าสายฝนที่ตกลงบนศีรษะหยุดลง

ฝนหยุดแล้ว?

ไม่สิ…

ผมมองคนที่ยืนตรงหน้า ไล่มองตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปข้างบน แพทริคจ้องผมตอบ ใบหน้าเขาเรียบนิ่ง ในมือถือร่มสีเหลืองยื่นมาบังฝนให้ผม

“ลุกตามผมมา”

เขาออกคำสั่ง และผมทำตามแต่โดยดี


เป็นครั้งที่สามที่ผมมาห้องแพทริค เขาหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่และผ้าเช็ดตัวยัดใส่มือผมโดยไม่พูดอะไร ผมเม้มริมฝีปาก พาตัวเองเข้าห้องน้ำชำระร่างกายที่เย็นเยียบอย่างรวดเร็ว

ผมกลับออกมาอีกครั้ง โซฟาหน้าจอโทรทัศน์ห้องนั่งเล่นว่างเปล่า แพทริคไม่ได้อยู่ตรงนี้เหมือนตอนที่ผมเข้าห้องน้ำ เหลือเพียงซู้กกี้ที่ขดตัวนอนหลับสบายอยู่บนเบาะนอนของมันที่มุมห้อง

ผมเดินมาหน้าประตูห้องนอนแพทริค ยกมือเคาะตามความเคยชิน ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเคาะไปเขาก็ไม่ได้ยินเลยถือวิสาสะเปิดเข้าไป ในห้องมีแค่แสงสีส้มสลัวจากโคมไฟสองข้างเตียง แพททริคนั่งอยู่บนนั้น เอนตัวพิงพนักด้านหลัง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กวางอยู่ที่ตัก เขาไม่เงยหน้ามองผม เอาแต่ขมวดคิ้วพิมพ์อะไรบางอย่าง

ถึงไม่ได้ยินเสียง อย่างน้อยหางตาน่าจะเห็นว่ามีใครเข้ามา

แพทริคเมินผมอย่างสมบูรณ์

ผมตัดสินใจขึ้นเตียงไปนั่งข้างเขา ไหล่ชนไหล่ ไออุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายส่งต่อมาที่ผม ถ้าเป็นปกติแมวยักษ์ตัวนี้คงทิ้งทุกอย่างในมือมาอ้อนมาซบผมแล้ว

ผมถอนใจ เอียงหัวที่ชื้นจากการสระซบลงบนไหล่เขา ลองอ้อนอีกฝ่ายบ้าง เผื่อจะใจอ่อน แพทริคเกร็งจนรู้สึกได้ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นถึงได้ผ่อนคลายลง เขายังไม่ปริปากพูดกับผม แต่ก็ดีกว่าบอกให้ผมเอาหัวออกไปจากไหล่เขาแล้วกัน

ผมหลับตาลง ปล่อยตัวจมกับความคิด มันยุ่งเหยิง ตีกันจนชักปวดหัว ผมไม่รู้ว่าสาเหตุที่ปวดหัวคือคิดมากไปจนเครียด หรือเพราะฝนเล่นงานจนไม่สบายเข้าแล้วจริงๆ

ผมคิดอะไรไปเรื่อย เวลาไหลผ่านเชื่องช้า บรรยากาศอึดอัดแต่ไม่เท่าตอนแรก จู่ๆ แพทริคก็ขยับตัว เขาทำท่าจะลุก ผมจำต้องดึงหัวตัวเองกลับอย่างช่วยไม่ได้ ในใจวูบโหวง เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เหมือนแหล่งพึ่งพิงสุดท้ายกำลังหายไป

แพทริคลุกจากเตียงไปจริงๆ ผมมองตาม เขาเดินไปมุมห้อง เปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบผ้าขนหนูมาอีกผืน จังหวะที่หันกลับมา พวกเราสบตากัน แพทริคนั่งลงข้างผมเหมือนเดิม ส่วนผ้าเช็ดตัวนั้นถูกคลุมลงบนหัวผม เจ้าแมวยักษ์ออกแรงขยี้เบาๆ จนเส้นผมชื้นๆ เริ่มหมาดขึ้น

ไม่มีคำพูดระหว่างเราเหมือนเดิม

ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป

“แพท” ผมจับข้อมือเขาไว้ หันหน้าสบตากับอีกฝ่าย ดวงตาสีฟ้าซีดมองสู้ไม่หนีไปไหน “อย่าเงียบได้ไหม ขอโทษ จะไม่ทำแบบนั้นอีก”

“...”

“แพทครับ”

“ผมโกรธคุณมาก” ในที่สุดเขาก็พูดกับผม ความเงียบไม่เสียงดังจนน่ารำคาญอีกต่อไป “โกรธคุณมากแต่ก็เป็นห่วงคุณมากเหมือนกัน”

“ฉันรู้” ผมลูบหัวเขา เลื่อนมือลงมา ประคองใบหน้าแพทริคไว้ด้วยสองมือ เกลี่ยปลายนิ้วกับแก้ม “รู้ว่าเป็นห่วง ขอโทษที่ผิดสัญญา ขอโทษที่ไม่ฟังอะไรนายเลย ฉันขาดสติไปเอง จะไม่ให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”

“อย่าทำแบบนั้นอีก มีอะไรให้บอกผม” เขาวางมือทาบกับหลังมือผม สายตาจริงจัง “คุณไม่เชื่อใจผมเหรอ คิดว่าผมพึ่งพาไม่ได้สักนิดหรือไง?”

“นายพึ่งพาได้” ผมตอบเขา น้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม แพทริคเหมือนเด็กหลงทาง แววตาเขาสั่นไหว “แต่ที่ฉันทำไปโดยไม่บอกนายเพราะฉันคิดแค่ว่านี่เป็นเรื่องของฉัน จะดึงนายมาเสี่ยงอันตรายด้วยได้ยังไง”

“เฮ้ ผมบอก…!”

“อย่าเพิ่งขัด” ผมยั้งเขาไว้ ตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ แพทริคขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ยอมเงียบฟัง เขาเป็นเด็กดีกับผมเสมอ “ข้อแรกคือฉันเคยชินกับการจัดการอะไรคนเดียว ต่อไปจะคิดถึงนายให้มากๆ ข้อสอง ฉันเป็นห่วงนาย เหมือนที่นายเป็นห่วงฉัน ตลกดีว่าไหมที่ความเป็นห่วงของเราสองคนทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ”

“...”

“อย่าทำหน้าแบบนั้น ฉันจะพยายามปรับตัว...พวกเราจะปรับตัวเข้าหากันให้มากกว่านี้ โอเคไหมเจ้าแมวยักษ์”

“ครับ แต่อย่าทำแบบนี้อีก อย่าทำเหมือนผมช่วยอะไรคุณไม่ได้ อย่าทำเหมือนคุณต้องจัดการทุกอย่างคนเดียว คุณน่ะดื้อ! ผม…”

ผมยื่นหน้าไปใกล้ ปิดปากแมวยักษ์ช่างบ่นด้วยปากตัวเองจนเสียงทุ้มนั้นขาดหายไป ผมจูบซับย้ำๆ จนแน่ใจว่าเขาจะไม่ปริปากพูดอะไรอีก จากนั้นถึงผละออกมา จูบข้างแก้ม หวังว่าแพทริคจะรู้ว่าจูบนี้หมายความว่ายังไง ผมอยากปลอบเขา ปลอบให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

แพทริคนิ่งไป เขาไม่ขัดขืน ปล่อยให้ผมสัมผัสอย่างอิสระ ทั้งริมฝีปาก ใบหน้า สันกรามและปลายคางตามที่ต้องการ ผมวกกลับมาที่ริมฝีปากเขาอีกครั้ง สัมผัสครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม ผมเป็นฝ่ายชักนำ เป็นผู้คุมเกม รุกไล่ให้อีกฝ่ายยอมจำนน ลมหายใจร้อนเป่ารดผิวหน้า แพทริคหายใจหอบ เขาพยายามจะสู้ ท้ายทอยผมถูกประคองไว้ ปลายนิ้วร้อนเกลี่ยไปมา ขนอ่อนบริเวณนั้นลุกซู่ มันวูบวาบ มวลบางอย่างหมุนวนอยู่ในท้อง

แพทริคไล้ปลายนิ้วลงบนหลังผม แตะเบาๆ เข้าที่กระดูกสันหลัง ปลายนิ้วเคลื่อนลงต่ำตามข้อกระดูก เชื่องช้า สวนทางกับริมฝีปากเขาที่แทบดูดกลืนผมเข้าไปทั้งตัว

“แพท” ผมกระซิบเสียงพร่า ฉวยโอกาสตอนเขาปล่อยให้หายใจถามออกไป “จะทำ?”

“อยากทำ”

เขากระซิบชิดใบหู เป่าลมร้อนจนผมขนลุกอีกครั้ง

“งั้นนี่ถือเป็นการง้อนาย” ผมยื่นข้อเสนอ สบตากับแมวยักษ์ที่แววตาไม่ปิดบังความต้องการไว้อีกต่อไป “ทำตามที่นายต้องการ แล้วหายโกรธฉัน”

“ผมไม่ได้อยากทำเพราะเหตุผลนั้น” เขาขมวดคิ้ว ดูไม่สบอารมณ์ แพทริคขบฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน เขาผละตัวจากผม คล้ายกำลังหักห้ามใจ

“เฮ้” ผมส่งเสียงเรียก คว้าข้อมือรั้งไว้ ขยับเข้าใกล้กดจูบบนหลังท้ายทอยแพทริค ขบเม้มเบาๆ จนเขาหลุดเสียง ก่อนยื่นหน้ากระซิบข้างแก้ม “แต่ฉันอยากให้นายทำ”

“เซ็บ คุณ?”

เขาเอี้ยวหน้ากลับมา แววตางุนงง ผมกระตุกยิ้ม

“ทำสิ” ผมว่า ยั่วยุเขาด้วยเสียงหัวเราะและรสจูบ จับล็อกคางแพทริคไว้ไม่ให้หันหนี กัดลงบนริมฝีปากล่างอีกฝ่าย ดึงเบาๆ เพื่อเร้าอารมณ์ “หรือนายไม่อยากทำ?”

แมวยักษ์คำรามฮึ่ม หลังจากนั้นผมก็ถูกผลักให้กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหมอนกับหัวเตียง แพทริคคร่อมผมเอาไว้ จากมุมนี้แมวยักษ์ดูแปลกตาไป แววตาคู่นั้นหรี่ลง จ้องตรงมาที่ผม คล้ายนักล่ากำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการเหยื่อของตัวเองอย่างไร

บางทีแพทริคอาจไม่ใช่แมวยักษ์ ความขี้อ้อนนั้นแค่พรางตาไม่ให้เห็นร่างที่แท้จริง

“คุณมันร้ายเกินไปแล้วนะเซ็บ”

“ตรงไหน” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ตรงที่อยากให้นาย…”

“เซ็บ!”

เขาคำรามฮึมฮัม ก้มหน้าบดจูบลงบนริมฝีปากผม รสจูบร้อนแรงจนแทบหายใจไม่ทัน ผมไขว้แขนเกี่ยวคอเขาไว้ ออกแรงกดอีกฝ่ายไม่ให้หนีไปไหน เสียงหอบหายใจปะปนกันจนฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร อากาศภายในห้องร้อนจนผมอยากกระชากเสื้อผ้าพวกเราออกไปซะ

แพทริคเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่ออยู่บนเตียง เขากระหายอยาก ไม่รู้จักพอ ริมฝีปากไม่หยุดนิ่ง ไล้โลมตะโบมจูบผมไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ฝ่ามือร้อนบีบเคล้นไหล่ผม ลากไล้ลงมาที่แผ่นอก ออกแรงขย้ำโดยไม่ออมแรง มันเจ็บจี๊ดจนต้องส่งเสียงประท้วง

“เฮ้!”

“คุณโทษตัวเองเถอะเซ็บ” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่ากลั้วเสียงหอบหนัก “กล้ามเนื้อคุณแน่นจนผมอยากเคล้นให้มันขึ้นรอยนิ้วมือผมจริงๆ พระเจ้า!”

“อา แพท!”

ผมหลุดเสียงกระเส่า ปลายนิ้วซุกซนของแพทริคสะกิดส่วนอ่อนไหวบนแผ่นอก ผมเผลอเชิดหน้า หลับตาเกร็งตัวกับสัมผัสนั้น สะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงความเปียกชื้นและความเจ็บจี๊ด พอก้มมองถึงเห็นว่าแมวยักษ์ตัวดีกำลังคันเขี้ยว เขาซุกหน้ากับอกผม ขบเม้มดูดดุนที่จุดนั้น ฟันคมครูดสะกิดผ่านผิวผ้าคล้ายจะแกล้งกัน

ใช่เขาแกล้ง

ผมรู้ทันทีที่ดวงตาสีฟ้าช้อนขึ้นมองจากมุมที่ต่ำกว่า ผมนึกสงสัยว่าแพทริคจะทำยังไงต่อไป เขาเคลื่อนตัวลงต่ำ เสื้อยืดผมถูกเลิกขึ้น แพทริคคำรามฮึ่ม ถ้าฉีกเสื้อให้ขาดได้เขาคงทำไปแล้ว มันให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อแพทริคซุกใบหน้าลงมา ฝากร่องรอยไว้บนตัวผม ปลายลิ้นชื้นเลียวนรอบแอ่งสะดือ ฟันคมครูดผ่านผิว กดจูบซับสลับไปมา เขาปลุกปั่นอารมณ์ผมจนแทบกระเจิง

รู้ตัวอีกทีแพทริคก็เคลื่อนลงต่ำกว่าเดิม

เขาอยู่ในจุดที่อันตราย...

...อันตรายสำหรับผม


V
V
V
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 15-09-2018 22:10:38
V
V


ดวงตาสีฟ้าซีดเหลือบขึ้นมองผมอีกครั้ง แววตาเข้มกว่าเดิม มุมปากกระตุกยิ้มร้ายกาจไม่เหลือเค้าแมวยักษ์ขี้อ้อนตาใสตัวเดิม ผมหลุบตามองเขา อีกฝ่ายส่งปลายนิ้วแตะขอบกางเกงผม พวกเราสบตากันนิ่ง ผมปล่อยให้แพทริคดึงรั้งกางเกงยางยืดที่ใส่นอนลงมา

แล้วก็โยนทิ้งไป เหลือแค่ชั้นใน

“คุณตื่นแล้ว”

“ใช่ ฉันยังไม่หลับ” ผมโต้กลับ แพทริคหัวเราะ วางมือลง ‘บนนั้น’ กดเคล้นจนผมซี้ดปาก “ฮึ่ม! แพท!”

“คุณก็รู้” เขาหัวเราะร่วน “ว่าผมหมายถึงอะไรที่ตื่น”

“งั้นนี่ล่ะ” ผมขยับตัวส่งเท้าวางแนบกับกลางลำตัวแพทริค มันดุนดันสู้ทันทีที่ถูกสัมผัส “เจ้าหนูของนายตาใสไม่แพ้กันเลยนี่”

“ซี้ด เซ็บ…” แพทริคสูดปาก แววตาที่จ้องมาคาดโทษ ผมหัวเราะในลำคอ ลากปลายเท้าลงน้ำหนักบดตรงส่วนที่ผมรู้ดีว่ามันแทบทำให้ผู้ชายอย่างเราคลั่งได้เลยล่ะ “เซ็บ!”

“เฮ้ เบาหน่อย!”

ผมร้องเตือนแมวยักษ์ที่หน้ามืดโถมตัวเข้าหาผมอีกครั้ง เขาจับขาผมออกให้พ้นทาง แทรกตัวเข้ามาตรงกลาง กอบกุมความต้องการของผมที่ลุกโชนด้วยสองมือ ปลุกปั่นจนผมตาพร่า ในท้องวูบโหวงและหดเกร็ง มันยากที่จะไม่รู้สึกอะไรในเมื่อแพทริคใช้มือเก่งจนผมกลั้นเสียงแทบไม่ไหว

“มันดูน่าอร่อยนะ” เขาพูดขึ้นมา ตวัดลิ้นเลียริมฝีปาก

“อยากพิสูจน์ไหมล่ะ”

“คุณกำลังยั่วผมนะเซ็บ”

“ใช่ ฉันยั่วนาย” ผมยอมรับตามตรง เอนตัวพิงพนักด้านหลัง เท้าศอกกับขอบหัวเตียง เสยเส้นผมชื้นเหงื่อที่ปรกหน้าผากตัวเอง หลุบตามองแพทริคที่อยู่ต่ำกว่า ขาขวาผมเหยียดราบกับที่นอน ส่วนขาซ้ายตั้งชัน แพทริคอยู่ตรงกึ่งกลางนั้น “หรือลิ้นนุ่มๆ ของนายมีดีแค่ตอนจูบ?”

ไม่มีคำตอบจากแพทริค แต่แววตาวาววับกับการที่เขาก้มหน้าลงโอบรับตัวตนผมเข้าสู่โพรงปาก นั่นถือเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

หัวสมองผมพร่าเบลอ ไม่รู้อะไรร้อนกว่ากันระหว่างอุณหภูมิร่างกายผมกับโพรงปากของแพทริค

และให้ตายเถอะพระเจ้า! เจ้าลิ้นร้ายกาจนั่นไม่ได้มีดีแค่ตอนจูบจริงๆ ด้วย

ผมแทรกปลายนิ้วกับกลุ่มผมสีจินเจอร์ กดนวดเบาๆ ลงบนหนังศีรษะสลับกับจิกทึ้งมัน แพทริคครางอือตอนที่ผมแกล้งกดหัวเขาลงต่ำ ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเชิดหน้าซี้ดปากเมื่อโดนปลายลิ้นกดลงส่วนปลาย ลมหายใจผมถี่กระชั้น ขยับสะโพกบดเบียดปากนุ่ม ผมถูกชักนำตามจังหวะที่แพทริคมอบให้ มือทั้งสองข้างของเขาคลึงเคล้นรูดรั้งไม่หยุดพัก

“อะ อา ขยับปากนุ่มๆ ของนายหน่อย อืม อย่างนั้น...เด็กดี”

ความรู้สึกโหมทะยานขึ้นสูง ปลายเท้าผมเสียดสีกับเตียง ลมหายใจถี่กระชั้น ผมหอบหายใจหนัก ความเสียวซ่านกลายเป็นร่องรอยยับย่นบนผ้าปูเตียงสีขาว มัวเมากับสัมผัสที่ได้รับ

ผมหลุบตามองเขา เจ้าตัวกำลังทำสิ่งที่ผมมอบหมายอย่างตั้งใจ ศีรษะที่ถูกปรกคลุมด้วยเส้นผมสีจินเจอร์ผงกขึ้นลง ทุกๆ การขยับนั้นทำผมอยู่นิ่งไม่ไหว สะโพกขยับไปโดยไม่รู้ตัว

จู่ๆ แพทริคก็เหลือบตาขึ้นมา

ดวงตาสีฟ้าเข้มลง ฉายประกายร้ายกาจ เขาจ้องผมในขณะที่ริมฝีปากปรนเปรอให้ไม่หยุด ปลายลิ้นตวัดเลีย จงใจลากช้าให้ผมเห็นชัด

มันมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ ท้องผมบิดมวน ลมหายใจหอบถี่ เสียงครางหลุดจากปาก กระตุกและบิดเกร็งทันทีที่แพทริคขบเม้มส่วนปลาย ผมรู้สึกคล้ายตัวเองกำลังจะพังทลาย

ฟันคมครูดเนื้ออ่อน

เหมือนลูกศรที่ถูกปล่อยจากคันธนู

หลังจากนั้นผมก็พังทลายจริงๆ

“อึก!”

“แฮ่ก พะ แพท…” ผมเรียกชื่อเขา เจ้าแมวยักษ์เงยหน้ามองผม ริมฝีปากเลอะเทอะไปหมด “อย่ากลืนเชียวเจ้าแมวดื้อ!”

ไม่ทันขาดคำ ผมเห็นลูกกระเดือกเขาขยับไหว เจ้าแมวยักษ์กลืนกินทุกหยาดหยดของผมลงไป ผมไม่รู้ว่ามันจะส่งผลเสียต่อร่างกายเขาไหม แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจด้วยซ้ำ

แพทริคส่งยิ้มท้าทาย

“เสื้อนี่เกะกะ คุณว่าไหม”

“อยากให้ถอด?”

“ผมอยากกัดคุณให้จมเขี้ยวทั้งตัวโดยไม่มีอะไรมากั้น” เขาว่าหน้าตาย

ผมสบตาเขา

“มาถอดให้ฉันสิ”

“เคยมีใครบอกไหมว่าเวลาคุณอยู่บนเตียงนี่โคตรร้ายกาจเลย”

“ถ้าบอกว่าหลายคน นายจะคลั่งไหมล่ะ”

ผมแหย่เขา แพทริคดูงุ่นง่านไม่สบอารมณ์ เขาไม่พูดอะไรอีกต่อไป ร่างใหญ่โถมตัวเข้ามา จับขอบชายเสื้อยืดที่ถกคาบนอกดึงขึ้นทีเดียวหลุดจากตัว เขาโยนมันไปไกล สายตาจ้องผมนิ่ง เต็มไปด้วยความต้องการที่ไม่สามารถปิดได้มิด แมวยักษ์ซุกใบหน้าเข้าที่ซอกคอผม ริมฝีปากซุกซนขบเม้มไปทั่ว มือร้อนลากผ่านผิว บีบเคล้นทุกที่ที่สัมผัส

ผมแตะสีข้างเขา ปลายนิ้วเกี่ยวชายเสื้ออีกฝ่าย เลิกถอดขึ้นด้านบน แพทริคให้ความร่วมมือแต่โดยดี วินาทีต่อมาช่วงบนเขาก็เปลือยเปล่า แพทริคเป็นเทรนเนอร์ ไม่แปลกที่จะหุ่นดี กล้ามเนื้อแน่นไร้ไขมัน ช่วงไหล่กว้างและเอวสอบ ผมลากมือผ่านสีข้างเขาอีกครั้ง สัมผัสถึงกล้ามเนื้อชายโครงที่ขึ้นเป็นลายสวยไม่แพ้ส่วนหน้าท้อง

“นายหุ่นดีนี่”

“คุณชอบเหรอ” เขาว่าเสียงพร่า  ริมฝีปากดูดเม้มติ่งหูผม “ซื้อคอร์สเทรนกับผมสิ แล้วผมจะเทรนให้คุณเอง”

“ไม่มีทดลองก่อนเหรอ” ผมจับใบหน้าเขามาจูบ แพทริคส่งเสียงคำรามเบาๆ ในลำคอเมื่อผมส่งปลายลิ้นเข้าไป เสียงจูบดังเฉอะแฉะเป็นทำนองน่าอาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเร้าอารมณ์ ผมผละริมฝีปากออก “ถ้าของนายดีจริงฉันอาจจะยอมซื้อคอร์สกับนายก็ได้”

“งั้นเริ่มทดลองตั้งแต่คืนนี้เลยไหม”

“เริ่มจากไหนดี”

“วิดพื้นแล้วกัน” เขายิ้ม “แต่คืนนี้เปลี่ยนจากพื้นเป็นตัวคุณนะ”

พวกเราเลิกต่อปากต่อคำกัน แพทริคดูมีความสุขกับร่างกายผม แมวยักษ์ซุกซนตวัดลิ้นเลียและดูดดุนไปทั่ว โดยเฉพาะจุดอ่อนไหวบนหน้าอกผมที่เขาชอบเป็นพิเศษ

“อะ ฮืม…” ผมกัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน แหงนหน้าสูดอากาศเข้าเต็มปอดระบายความเสียวซ่าน จิกทึ้งเส้นผมเขา ขย้ำไปมา ปลายลิ้นนุ่มบดขยี้ติ่งไตนั้น เสียงดูดดังก้องในโลกที่เงียบงัน โลกที่มีเพียงแค่เราสองคน “จะดูด หะ ให้หลุดติดปาก ละ เลยหรือไง ฮืม! อา เจ้าแมวลามก!”

“คุณไม่รู้เหรอครับว่าแมวชอบกินนม” เขาช้อนสายตามองผม ปลายลิ้นโลมเลียเชื่องช้าราวกับตั้งใจให้ผมดิ้นพล่าน “โดยเฉพาะนมสดจากเต้า”

“เต้าบนนายคงไม่ได้กิน” ผมหายใจหนัก “แต่ถ้าเต้าล่างนายคงได้ดื่มนมสมใจ”

“ฮึ่มเซ็บ!”

กึก!

“อย่ากัด!” ผมผวาเฮือก ฟาดมือลงกลางหลังแพทริค อีกฝ่ายไม่สนใจสักนิด ผมขมวดคิ้วแน่น เด็กดื้อแบบนี้สมควรโดนลงโทษ

“เฮ้!”

“หมดเวลาสนุกแล้วเด็กน้อย”

ผมกระตุกยิ้มหลังผลักแพทริคออกจนเขาแทบหงายหลัง ผมดันตัวขึ้นมา เชยปลายคางอีกฝ่ายไว้ แพทริคจ้องผมด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ ผมยื่นหน้าจูบเขา ล็อกท้ายทอยอีกฝ่ายไม่ให้หันหนี เรียวลิ้นเกี่ยวรัดไม่มีใครยอมใคร ผมวางมืออีกข้างบนไหล่เขา ลากไล้ลงมา ผ่านหน้าอกแน่นๆ กล้ามเนื้อชายโครงลงมาถึงเอวสอบ บีบอย่างแรงเป็นการเอาคืนก่อนลากต่ำลงกว่าเดิม

“ฮะ ฮ้า! เซ็บ คุณ…!”

“ชู่ๆ เด็กดี”

ผมกระซิบชิดใบหูเขา จูบซับข้างแก้ม ฝ่ามือลูบไล้ตามแนวความยาวของส่วนอ่อนไหว แพทริคแข็งเกร็งอยู่ในอุ้งมือผม ดื้อดึงไม่ต่างจากคุณเจ้าของตัวใหญ่ ผมซุกหน้าขบผิวเนื้ออ่อนบริเวณซอกคอแพทริค ปลุกเร้าตัวตนอีกฝ่ายผ่านเนื้อผ้ากางเกงนอนจนมันขยับขยายกว่าเดิม แพทริคครางต่ำอยู่กับอกผม สองมือถูไถบีบเอวผมระบายอารมณ์

เอวสอบขยับตามมือผม เขายัดเยียดตัวตนเข้ามา เบียดชิดกับฝ่ามือ ผมเกี่ยวขอบกางเกงเขาลง เปิดเปลือยความต้องการให้หลุดพ้นขึ้นมา โอบกุมตัวตนที่แท้จริงเอาไว้ มันอุ่นร้อนและสั่นเกร็งในทุกจังหวะที่ขยับมือ

“อยากปล่อยไหม”

“แฮ่ก เซ็บ…” เขาครวญคราง และผมยิ่งได้ใจ กดเน้นส่วนปลายหยอกเย้า

“อึดอัดไหมเด็กดี อยากปล่อยหรือเปล่า”

“เซ็บ อา...คุณนี่แม่ง!” เป็นครั้งแรกที่เขาพูดหยาบคายกับผม “แม่งเอ๊ย คุณอย่าแกล้ง อะ อา…”

“ชู่…” ผมจูบปิดปากเขา อ้อยอิ่งเชื่องช้า แต่แพทริคเปลี่ยนมันให้เป็นจูบที่ดุดัน เขาโอบท้ายทอยผมไว้ด้วยสองมือ จิกเส้นผมของผม “ทำตัวดีๆ แล้วฉันจะให้นายปล่อย”

“แม่ง ผมจะจับคุณกระแทกแรงๆ เลยคอยดู ฮึ่ม!”

ผมหัวเราะกับคำขู่เขา แหงล่ะ หลังจากนี้มันอาจไม่ใช่คำขู่ก็ได้ ผมละมือจากส่วนนั้น ไม่ปล่อยให้เขาเสร็จง่ายๆ แพทริคมองผมตาขวาง เขาค้างอยู่กลางทาง ดูสับสนงุ่นง่านและไม่เข้าใจ ผมสบตาเขา ขยับถอยกลับไปเอนตัวพิงพนักเตียงเหมือนเดิม ผมเท้าแขนกับขอบหัวเตียง เสยเส้นผมที่ชื้นเหงื่อไปด้านหลัง ปรายตามองเขาอย่างคนที่เหนือกว่า

“อยากปล่อยใช่ไหม”

“...”

“งั้นทำไมไม่ปล่อยในตัวฉันเลยล่ะ :)”

ผมกดโดนปุ่มอันตรายเข้าให้แล้ว แพทริคโถมตัวเข้ามา กักผมไว้ใต้ร่างเขา ซุกไซ้ไปทั่วตัวผม ริมฝีปากดูดเม้มฝากร่องรอยและความเจ็บจี๊ด มือตะโบมบีบจนเนื้อผมแทบหลุดติดมือเขา แพทริคแทรกตัวอยู่ตรงกลาง เขาก้มหน้าลงดูดผิวเนื้ออ่อนที่ซอกขา ไม่ต้องดูผมก็รู้ว่าเขาคงทิ้งรอยแดงเป็นจ้ำไว้ตรงนั้น

“ผมไม่มีเจล”

“แต่นายมีลิ้น” ผมว่าเสียงหอบ “ใช้มันให้เป็นประโยชน์สิ”

แพทริคคำรามเสียงต่ำ คล้ายเสียงสัตว์ป่า สีหน้าและแววตาเปลี่ยนเป็นผู้ล่า ค่ำคืนนี้แมวยักษ์กลายร่างเป็นเสือโดยสมบูรณ์

เซ็กส์ระหว่างผู้ชายไม่ได้ง่ายดายเหมือนชายหญิง มันคงไปไม่รอดถ้าไม่มีตัวช่วยหล่อลื่น ผมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน ผมมักเป็นคนกระทำ สาวๆ คู่นอนพวกนั้นก็ดูชอบเซ็กส์ของผมดี ส่วนแพทริคเป็นคนแรก...เป็นผู้ชายคนแรกที่ผมเต็มใจจะให้เขาเข้ามา

สัมผัสเปียกชื้นที่แตะเข้าปากทางทำผมสมองเบลอ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ที่จริงมันรู้สึกดีกว่าที่คิด เสียงเฉอะแฉะดังก้องในความเงียบ กล้ามเนื้อผมขยับรัดปลายลิ้นนุ่มที่ส่งเข้ามา ผมเงยหน้าขึ้น กัดฟันกลั้นเสียงครางเอาไว้ มือกำผ้าปูที่นอนจนยับ ปลายเท้าจิกลงบนเตียง ขยับเสียดสีไปมาโดยไม่รู้ตัว

หลังจากคืนนี้ไป ผมจะจัดให้ลิ้นของแพทริคอยู่ในหมวดสิ่งของอันตราย

“อะ อืม แพท พอ…” ผมบอกเขาเมื่อรู้สึกว่ามันพร้อมแล้ว และผมทนไม่ไหวอีกต่อไป

“ผมต้องเบิกทางก่อน”

“อะ อา แพท”

ผมคำรามเมื่อปลายนิ้วสอดแทรกเข้ามา แพทริคดูไม่ไหวเหมือนกัน แต่เขาก็ยังพยายามไม่รีบร้อนจนทำผมเจ็บตัว ขั้นตอนนี้เนิบนาบแต่กลับทำผมเริ่มทนไม่ไหวซะเอง ผมกัดฟันกรอด อยากให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปสักที

ความต้องการของผมเป็นจริงในวินาทีต่อมา แพทริคถอดปราการสุดท้ายทิ้ง เขาโถมตัวเข้าหา จ่อมันกับทางเข้า ดุนดันตัวตนเข้ามาในตัวผม มันจุกเสียดและอึดอัดในตอนแรก พวกเราแทบขยับไม่ได้ แพทริคคำราม เขาขยับตัวช้าๆ กระทั่งทุกอย่างเข้าที่ถึงได้เร่งความเร็ว

ตัวผมขยับตามแรงกระแทก หัวสั่นคลอน

แพทริคไม่ได้โกหก

เขาจับผมกระแทกแรงๆ จริงๆ

“อึก อะ อะ แพ แพทริค!” ความรู้สึกแปลกใหม่ทำผมพูดไม่เป็นภาษา ผมเกี่ยวแขนคล้องคอเขา ดึงลงมาใกล้ พวกเราจูบกันโดยที่แพทริคไม่หยุดขยับเอวและผมไม่หยุดกระเด้งรับ

“แน่นไป” เสียงทุ้มคำรามฮึ่ม เขาเกี่ยวขาผมไว้ในขณะที่โหมตัวลงมา “แม่ง คุณรัดแน่นมากเลยเซ็บ!”

“ผิดที่ฉะ ฉัน หรือผิดที่นายมันใหญ่ไปกัน แฮ่ก!”

“อา คุณนี่ปากดีจริง” เขาฟาดก้นผมไปทีนึง เจ็บจนเผลอกัดฟัน

“อ...ไอ้หนูของนายทำเอวฉันแทบไม่ติดเตียง”

ผมส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอ

“ฮื้ม! เวลาอยู่บนเตียงคุณชอบ Dirty Talk เหรอ”

“ไม่ชอบเหรอ อึก!”

“ชอบทุกอย่างที่เป็นคุณ แม่ง! อย่าดูดผมแบบนั้น”

ผมคลายส่วนที่แกล้งรัดเขาไว้ แพทริคยั่วง่ายจนผมนึกชอบใจ ก่อนโดนอีกฝ่ายเอาคืนด้วยการขยับเนิบช้าจนผมแทบขาดใจ

“อย่าแกล้ง…”

“คุณต้องการอะไร คุณบอกผมสิ”

เจ้าสะโพกน่าหงุดหงิดนั้นทำผมแทบคลั่ง ผมชันตัวขึ้น ช่วงล่างเสียดสีกับสิ่งที่อยู่ข้างในจนเผลอซี้ดปาก เหมือนโดนไฟฟ้าช็อต ผมปวดหนึบที่กลางลำตัว ร่างกายอ่อนไหวไปทุกสัดส่วน

ผมจูบเขา จิกปลายนิ้วกับท้ายทอยอีกฝ่าย ขยุ้มเส้นผมดึงรั้งให้แพทริคเชิดหน้าขึ้น ผมเอี้ยวใบหน้าไปด้านข้าง เป่าลมร้อนข้างใบหูแพทริค ส่งเสียงทุ้มต่ำเร้าอารมณ์อีกฝ่าย

“ในตัวฉันอุ่นไหม อา...เด็กดี ขยับแรงๆ”

“อึก เซ็บ!” แพทริคร้องเมื่อผมแกล้งบีบรัดตัวตนเขาไว้ ผมถูกผลักให้นอนราบกับเตียง ขาข้างหนึ่งถูกแพทริคยกขึ้นสูง เขาแทรกลึกมากขึ้นกว่าเดิม กระแทกกระทั้นโดนจุดกระสัน ผมแทบไม่อยู่นิ่ง ขยับตัวตอบรับการเคลื่อนไหวของแพทริคเป็นจังหวะเดียวกัน

“ดี แบบ น...นั้น แรงได้แค่นี้ ร...เหรอแพท”

คำพูดผมเหมือนตัวจุดฉนวน แพทริคขยับโยกอยู่บนตัวผม แรงจนจวนเจียนจะระเบิด

ฝนยังไม่หยุดตก ผมรู้เพราะโลกทั้งใบตอนนี้มีเพียงเสียงหอบหายใจ เสียงครางกระเส่าทุ้มต่ำของผมและแพทริคเท่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเราขยับไปอีกขั้น ในโลกที่มีแค่เราสองคน

ผมและเขา

แพทริคเลื่อนมือมาโอบอุ้มผมไว้ ขยับรั้งเมื่อพวกเราใกล้ถึงจุดหมาย

ในหัวผมพร่าเลือน ได้แต่หลับตาเชิดหน้ารับสัมผัสทั้งจากภายนอกและภายใน

ก่อนหน้านี้ผมพังทลาย

ส่วนตอนนี้ผมใกล้แตกสลาย

ด้วยน้ำมือของแพทริคเพียงคนเดียว

“อะ อะ ฮะ ฮ้า!”

ลมหายใจผมขาดห้วง ร่างกายกระตุกเกร็ง ความต้องการถูกปลดปล่อยจนเลอะเต็มหน้าท้อง ในขณะเดียวกันแพทริคก็ปลดเปลื้องอารมณ์ใส่ตัวผม เติมเต็มจนทะลักทลาย

บางทีผมคงต้องเตรียมถุงยาง

เพราะมันคงไม่จบแค่ครั้งนี้แน่ๆ

“อือ เซ็บ…”

แพทริคกลายร่างเป็นแมวยักษ์เหมือนเดิม เขาพาดแขนกอดเอวผมไว้ ใบหน้าซุกกับไหล่ ปากอุ่นจูบไล่ไปมาไม่อยู่นิ่ง ผมแทรกปลายนิ้วกับเส้นผมสีจินเจอร์ มันชื้นเหงื่อจากการออกแรง ผมขยี้เบาๆ แพทริคช้อนตาขึ้นสบ เขาคว้ามือผมไว้ หลุบตามองรอยถลอกบนหลังมือที่เกิดจากการต่อยหน้าไอ้เวรที่สะกดรอยตามเมื่อเย็น

แพทริคจูบลงบนแผล สัมผัสเขาอ่อนโยน

“ไม่อยากให้คุณเจ็บตัวเลย”

“ไม่เจ็บเท่าไหร่”

“แต่ผมเจ็บ” เขาทำหน้ายู่ เบะปากเหมือนเด็กเล็กๆ “เพราะผมชอบคุณ ชอบมากๆ ไม่อยากเห็นคุณเป็นอะไรทั้งนั้น”

ผมขยับตัวนอนตะแคง ยกมือเท้าหัวตัวเอง ทอดสายตามองแพทริคที่จับมือผมไว้ไม่ปล่อย ผมดึงมือออกจากเขา ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนแตะแก้มแพทริคเอาไว้ ไล้ปลายนิ้ววนไปมาและยื่นหน้าจูบอีกฝ่าย แพทริคจูบตอบ มือเลื้อยมาบีบเนื้อบริเวณเอวผม ฟอนเฟ้นไปมาจนต้องจับให้หยุด

ผมผละออก จ้องหน้าเขานิ่ง

“เฮ้…”

“ครับ?”

“บอกชอบฉันอีกทีได้ไหม” แววตาแพทริคดูสงสัย แต่ก็ทำตามที่ผมขอ

“ผมชอบคุณ”

“เด็กดี” ผมหลุดยิ้ม กระซิบตอบกลับไป “ฉันก็ชอบนาย”

แพทริคตัวแข็งทันทีที่ฟัง เขาจ้องหน้าผมนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง ปากเผยอค้าง ผมหลุดขำกับท่าทางของเขา นานทีเดียวกว่าแมวยักษ์จะหาเสียงตัวเองเจอ

“คุณ...อย่าล้อผมเล่นเชียวนะ!?”

“ฉันดูเป็นคนชอบพูดเล่นเหรอ”

“เซ็บ…” แมวยักษ์สับสน เขาผุดลุกนั่ง จ้องหน้าผมเขม็ง ผมมองร่างกายเขา มันดูดีจนยากละสายตา “เฮ้! หยุดมองไอ้หนูผมสักที มองหน้าผมนี่ เซ็บ!”

“เฮ้อ...คำว่าชอบจากปากฉันมันดูไม่จริงใจเหรอ”

“ผ...ผม”

“ฉันชอบนาย” ผมพูดซ้ำ สบตาเขา “ชอบนายแพทริค”

คำว่าชอบของผมคงมีมนต์วิเศษ มันสามารถเสกให้ใบหน้าแพทริคแดงเรื่อ แมวยักษ์มีสีหน้าแปลกประหลาด เหมือนเขาจะยิ้ม แต่ก็บิดเบี้ยว สุดท้ายก็หัวเราะออกมา โถมตัวกอดผมแน่น ประทับจูบลงบนไหล่ เกลี่ยปลายจมูกตัวเองไปมา คำว่า ‘ผมชอบคุณ’ ถูกกระซิบข้างหูนับไม่ถ้วน

ผมกอดเขาตอบ หัวเราะกับท่าทีน่ารักนั่น ลูบมือกับแผ่นหลังกว้างเปล่าเปลือย

โลกของผมกับโลกของแพทริคขยับเข้าหากัน

ในที่สุด...

...วันนี้โลกทั้งสองก็รวมเป็นใบเดียว


___________________________________________________

ก่อนอื่น ใครเรือล่มก็สูดหายใจเข้าลึกๆ นะคะ 5555 ถึงคุณเซ็บจะรับ แต่ก็ไม่ได้อยากให้มองว่าเคะจ๋าขนาดนั้น คุณเซ็บก็ยังคงเป็นคุณเซ็บ ดุๆ แมนๆ เพิ่มเติมคือชอบแพทกลับแล้ว เย่ เรื่องโพสิชั่นจริงๆ ก็ไม่อยากฟิกโพหรอกค่ะ ฮ่า แต่ในเมื่อมีฉากแบบนี้มันก็เลยต้องเลือกสักคน เซ็บก็จะยังไทป์ผัวสำหรับเราค่ะ เราไม่อยากจำกัดความว่าเคะหรือฝ่ายรุกจะต้องน่ารัก ขี้อ้อนหรือออกสาวอะไร เพราะงั้นก็อยากให้มองคุณเซ็บในแบบเดิมที่มองกันนะคะ ❤ เซ็กส์คือการแสดงความรักในรูปแบบหนึ่ง เรารับรู้ว่าเขารักกันแค่นั้นก็สุขใจแล้วค่ะ ><

ฝากส่งฟีดแบ็กด้วยนะคะ

#คุณผู้มากับสายฝน
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 16-09-2018 01:56:48
ฮอตสุดๆไปเลยค่าาาา โอ้ยยยยย :pighaun: :jul1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 16-09-2018 04:35:11
เรือเราล่มค่ะ แต่เราไหวตัวทัน คว้าชูชีพตีขาไปขึ้นเรืออีกลำแล้ว  :hao7:  แมวยักษ์กลายร่างเป็นเสือ อ่านไปจะกรี๊ดไปค่ะ กัดผ้าห่มไปด้วย ส่วนคุณเซ็บก็ยังเป็นคุณเซ็บในแบบที่อ่อนโยนและชวนของขึ้นสุดๆ ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 16-09-2018 09:37:12
เป็นบรรยากาศฝนตกที่รุนแรง เร่าร้อน แล้วก็กลับมาอ่อนโยน
เขารักกันน่ารักมากกกก แม้ว่าตอนที่เซบาสเตียนเอ่ยปากชวนเราจะรู้สึกเฟลไปนิดนึง
กลัวแพทริคคิดมากว่าถึงกับต้องเอาเรื่องแบบนี้มาง้อกันเลยเหรอ
แต่สุดท้ายก็ไม่ สมใจ เข้าทาง >///<
ถึงจะกลายร่างดุดันแค่ไหน ขอแค่เจ้าของลูบคางเมื่อไหร่ก็กลับมาเป็นแมวยักษ์ขี้อ้อนเหมือนเดิม
ส่วนเรื่องเรือนี่น่าจะไม่ล่มนะ เพราะยังไม่ลงค่ะ ฮ่าๆ
แต่เราคิดว่าคนขี้อ้อนก็ต้องเป็นคนปรนเปรอสิ ไม่อย่างนั้นคุณเซ็บจะเป็นเสือดำราชินีได้ยังไง ใช่มั้ย ><
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 16-09-2018 11:08:36
เค้าอ้อยกันไปอ้อยกันมาน่ารัก ดีใจที่มีวันนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: nkl31 ที่ 16-09-2018 15:13:30
 :pighaun: เรือเรายังอยู่ดี แถมเปลี่ยนจากเรือพายเป็นสปีทโบ๊ทแล้วค่าาา แม่ขาาาาาา เค้าได้กันแล้ววว เป็นของกันและกันแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 16-09-2018 20:04:32
 :jul1: :jul1:
ชอบความกลายร่างเป็นเสือของแพทมากกกก เลือกกำเดาแทบพุ่ง เซ็บยั่วมากกกกกกก เขินเลยอ่ะ
ชอบความพอเสร็จก็กลับมาเป็นเข้าแมวขี้อ้อนเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-09-2018 22:46:28
ใช่ค่ะ เรือเราล่ม 55555555555555555555
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 16 [15-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 18-09-2018 18:39:35
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 17 [23-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 23-09-2018 21:25:14

Chapter 17

You’ll never lose me, I promise.


[Patrick]



พื้นที่ว่างข้างตัวเกือบทำให้ผมคิดว่าเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน ทว่าสัมผัสอุ่นที่เหลือทิ้งไว้บนนั้นย้ำเตือนว่าไม่ได้ฝันไป ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นคือความจริง

รวมถึงคำว่าชอบของเซบาสเตียน

“อือ…”

ผมครางแผ่ว มุดตัวซุกผ้าห่ม หัวไถกับหมอนนุ่มใบโต อากาศเช้านี้เย็นลงกว่าเดิม คงเพราะฝนที่ตกหนักอยู่เกือบทั้งคืน ตอนนี้มันหยุดแล้ว ผมได้ยินเสียงนกร้องจากทางระเบียง เสียงพูดเบาๆ ลอยมาในอากาศ ผมลุกขึ้นนั่ง สะบัดหัวไล่ความมึนงงทิ้ง หยีตามองไปทางระเบียงห้อง ประตูบานเลื่อนถูกเปิดแง้มไว้

ผ้าม่านสีครีมขยับไหวตามแรงลมจากด้านนอก ร่างสูงของใครบางคนยืนเท้าแขนกับระเบียง มือหนึ่งยกแนบใบหู ผมคิดว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“ใช่ เมื่อวานเกือบจับได้แล้ว แต่พลาด”

เสียงของเซบาสเตียนชัดเจนขึ้นเมื่อผมเดินเข้ามาใกล้ เขาหันหน้ามองผมแวบหนึ่ง คงเพราะได้ยินเสียงเดิน ผมคิดว่าเซบาสเตียนจะตัดบทคนในโทรศัพท์แล้วตัดสายทิ้ง แต่เขาทำแค่หันกลับไป สายตาทอดมองความวุ่นวายด้านล่างและคุยกับคนในสายต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ฉันรู้สึกมาสักพักแล้ว แค่เมื่อวานมันชัดเจนกว่าเดิมว่าโดนตาม ทำไมนายไม่โดนบ้างฮะแมท?” ในที่สุดผมก็รู้ว่าเขาคุยกับใคร “แหงล่ะ ไม่ต้องคิดส่งบอดี้การ์ดมาคุ้มกันฉันเชียวนะ คนพวกนั้นอย่างกับวิญญาณตามติด”

ผมฟังเซบาสเตียนคุยกับแมทธิวอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจสวมกอดเขาจากด้านหลัง ลมหายใจเซบาสเตียนสะดุด ผมรู้สึกได้ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เซบาสเตียนวางมือข้างที่ว่างทับมือผมที่ประสานกอดเอวเขาไว้ ปลายนิ้วเกลี่ยหลังมือผมเบาๆ ผมจูบท้ายทอยเขา วนเวียนอยู่แถวนั้น กล้ามเนื้อแผ่นหลังเขามีเสน่ห์จนผมจูบซ้ำไปมาผ่านผิวผ้า ผมอ้อนเซบาสเตียนจนพอใจถึงได้เกยคางลงบนไหล่ หลับตาเอียงแก้มซบกับความอบอุ่นนั้น

เซบาสเตียนเป็นอุณหภูมิที่เติมเต็มตัวตนของผม

ไม่อาจขาดได้อีกต่อไป

“ฝากนายด้วยแล้วกัน ถ้าขอภาพจากกล้องวงจรปิดมาได้ พวกเราอาจรู้รูปพรรณสัณฐานมันเพิ่มเติม” เซบาสเตียนเงียบไป เขาฟังสิ่งที่แมทธิวพูดก่อนพ่นลมหายใจคล้ายหงุดหงิด “นายก็อย่าทำให้พ่อสงสัยสิ แค่นี้ไม่เกินความสามารถของจากัวร์แห่งรอสซ์หรอก”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เซบาสเตียนพูดกับแมทธิวก่อนตัดสาย เขาขยับตัวเบาๆ ยื่นมือมาลูบหัวผมก่อนหันกลับมาเผชิญหน้า ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องมองมา แววตานั้นอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง

“จะอ้อนเอาอะไรหืม?”

“เอาคุณ”

“นายได้ไปแล้วไง” เซบาสเตียนตอบตามตรง กลายเป็นผมที่เขินอายซะเอง “มาหน้าแดงใส่ทำไมแพท”

“ก็เพราะคุณนั่นแหละ”

“ฉันทำไม”

“คุณทำผม…” ผมเม้มปาก สวมกอดอีกฝ่ายไว้แล้วซุกหน้ากับไหล่เขา เสียงที่พูดออกมาอู้อี้ดูน่าตลกสิ้นดี “...ทำผมเขิน บ้าเอ๊ย ทำไมต้องเป็นผมที่เป็นคนเขินล่ะ?”

“เด็กน้อย” เขาหัวเราะ ขยี้หัวผมแรงๆ แล้วดันตัวออก “เข้าห้องซะ เดี๋ยวฉันจะกลับแล้ว”

“อยู่ด้วยกันก่อนไม่ได้เหรอครับ”

“ก็อยู่ด้วยทั้งคืนแล้วไง” ผมถูกเขาน็อกด้วยคำพูดอีกครั้ง ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า เซบาสเตียนดูตามใจผมมากกว่าเดิมจนอดรู้สึกทำตัวไม่ถูกไม่ได้

“ก็อยากให้อยู่ด้วยกันนานๆ นี่”

ผมบ่นพึมพำ เดินตามหลังเซบาสเตียนเข้าไปในห้อง ก่อนถูกไล่ให้ไปล้างหน้าแปรงฟัน ส่วนเซบาสเตียนแยกไปแต่งตัวด้วยชุดเดิมที่ซักและอบแห้งเรียบร้อย อา...ผมยังไม่ได้คาดโทษเขาเรื่องที่ไปตากฝนแบบนั้นเลยนะ เห็นผมทำเป็นไม่สนใจแต่ข้างในร้อนรนตั้งแต่เขาวัดใจกับผมแล้ว สุดท้ายผมก็ใจอ่อน ไม่สิ...ผมน่ะไม่เคยใจแข็งกับเซบาสเตียนได้เลยต่างหากล่ะ

“กลับแล้วนะ”

“เดี๋ยวครับ”

“หืม?”

“คือ…” ผมมองหน้าเขา ชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่ มันจะเป็นการทำลายบรรยากาศดีๆ ในเช้านี้ให้หมดไปหรือเปล่า “ผมเป็นห่วงคุณ...เรื่องเมื่อวานน่ะ”

“อืม ฉันรู้”

“ไม่ คือ…” ผมกลอกตา “ขอโทษที่แอบฟังที่คุณคุยกับแมทนะ แต่คุณบอกว่าคุณรู้สึกว่ามีคนตามมาสักพักแล้วใช่ไหมล่ะ?”

“ใช่” เซบาสเตียนพยักหน้ารับ “อีกอย่างนายไม่ต้องขอโทษที่แอบฟัง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนาย ก็พูดให้ฟังด้วยกันนี่แหละ...สัญญาแล้วไงว่ามีอะไรจะบอก”

ผมคิดว่าถ้าใบหน้าตัวเองยืดหยุ่นได้ ตอนนี้ผมคงยิ้มกว้างจนริมฝีปากยกถึงใบหูแน่ๆ

“คุณน่ารัก”

“สรุปคือนายจะคุยเรื่องไหน เรื่องที่มีคนตามสะกดรอยฉัน หรือเรื่องที่ฉันน่ารัก?” เซบาสเตียนเลิกคิ้ว เขาเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น กระดิกนิ้วเรียกให้ผมตามมานั่งด้วยกัน ผมนั่งตรงข้ามเขา “เหมือนจะต้องคุยยาวใช่ไหม”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับ “ผมบอกคุณไปแล้วว่าเป็นห่วง ถ้าเกิดมันตามคุณอีกล่ะ…”

“นายคงไม่คิดว่าฉันจะปล่อยตัวเองให้โดนมันทำร้ายหรอกนะ”

“ผมจริงจังนะเซ็บ” ผมปรับเสียงให้เขารู้ “แมทจะส่งบอดี้การ์ดมาคอยคุ้มครองคุณก็ไม่เอา อีกอย่างคุณอยู่คนเดียวด้วย ให้ตายสิ ในหัวผมกังวลเรื่องคุณเต็มไปหมด ไม่งั้นคุณกลับไปอยู่ที่รอสซ์เถอะ อย่างน้อยผมยังวางใจได้ว่าคุณจะปลอดภัยแน่ๆ”

“เจ้าแมวยักษ์ สงบสติตัวเองแล้วฟังฉันนะ” เซบาสเตียนสบตาผม เขายกนิ้วชี้ขึ้น “หนึ่ง...ฉันไม่กลับไปที่รอสซ์เด็ดขาด พ่ออยู่ที่นั่น เขาจะจับตามองฉันทุกฝีก้าวจนทำอะไรไม่สะดวกเชียวล่ะ”

“แต่…”

“และสอง” เซบาสเตียนชูสองนิ้วตรงหน้าผม “ฉันรำคาญพวกบอดี้การ์ดที่ตามตูดเหมือนฉันเป็นนักโทษ”

“ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณทั้งนั้น”

“แพท” เซบาสเตียนวางแขนลงบนขา เขาประสานมือหลวมๆ โน้มตัวมาข้างหน้า จ้องนิ่งมาที่ผม “ฉันจะปลอดภัย ตราบใดที่ไม่วิ่งเข้าหามันเหมือนเมื่อวาน และอีกอย่าง ฉันไม่ได้อยู่ในที่สุ่มเสี่ยง ที่ทำงานฉันคนพลุ่กพล่าน คอนโดฯ ฉันระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม มันไม่มีทางเข้าประชิดตัวฉันได้ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง”

“อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง” ผมทวนคำ ฮึดฮัดไม่ชอบใจ “ก็หมายความว่ายังมีสิทธิ์เข้าประชิดตัวคุณได้ไง”

“เรื่องมากจัง นายไม่มาตามเฝ้าฉันเลยล่ะ”

เซบาสเตียนประชด ใช่...ผมรู้ว่าเขาประชด ฟังจากน้ำเสียงนั่น แต่เซบาสเตียนต้องไม่รู้แน่ว่าผมเอาคำประชดเขามาคิดเป็นจริงเป็นจัง

“ได้สิ”

“ฮะ?”

“ผมจะตามเฝ้าคุณ”

“นายพูดอะไรของนาย” เขาขมวดคิ้ว “อย่าคิดทำอะไรบ้าๆ เชียว”

“ไม่บ้าสักหน่อย” ผมยักไหล่ “คุณไม่เอาบอดี้การ์ด ไม่กลับไปอยู่ที่ปลอดภัย โอเค งั้นผมจะมาอยู่กับคุณเอง อย่างน้อยผมก็สบายใจได้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยคุณได้”

“นี่แพท” เซบาสเตียนถอนหายใจ เขาสบตาผม “ฉันประชด นายไม่ต้องเอาไปคิดจริงจัง”

“โอ้ ช่วยไม่ได้แฮะ ผมคิดไปซะแล้ว”

ผมตอบรับหน้าซื่อ เซบาสเตียนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม อีกนิดน่าจะผูกโบว์ได้ เขาเขม็งตาจ้องผมราวกับจะกดดัน ผมเหงื่อตก เซบาสเตียนเป็นคนตาดุคม เวลาโดนเขามองด้วยสายตาแบบนี้มันน่ากลัวทีเดียว

ใจเย็นไว้แพทริค เซบาสเตียนเอ็นดูนายจะตาย อย่าหลบตาคุณเสือดำเชียวนะ!

ผมปลุกปลอบใจตัวเอง ปั้นหน้าจริงจังแม้เหงื่อจะท่วมมือไปหมด กระทั่งเซบาสเตียนพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา เขาหรี่ตา จ้องผมด้วยแววตาดุๆ คู่นั้น

“นี่คงไม่ใช่แผนขอเนียนมาอยู่ด้วยกันหรอกใช่ไหม”

“ใช่ที่ไหนกันล่ะครับ!” แต่ก็...อืม เรียกว่าผลประโยชน์พิเศษจากเหตุผลหลักแล้วกัน

“นายมาอยู่ด้วยก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดีแพท”

“ผมช่วยได้นะ!”

“ยังไง” เขาเลิกคิ้ว “นายทำงานทั้งวัน ส่วนฉันส่วนใหญ่อยู่ที่ห้อง ทำงานสามวันต่อสัปดาห์ เท่ากับว่าออกข้างนอกน้อยกว่านาย ไม่เข้าข่ายเสี่ยงอะไรทั้งนั้น นายจะมาอยู่ด้วยหรือไม่มาก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนไป เข้าใจที่พูดไหมแพท”

“มัน มันก็…”

“หรือฉันพูดตรงไหนผิด แย้งได้นะ ฉันรับฟังเสมอถ้ามีเหตุผลรองรับมากพอ”

อา...ให้ตาย ผมแย้งไม่ได้สักจุดเลยล่ะ

“โอเค” ผมยกมือยอมแพ้ “ผมอาจช่วยอะไรคุณไม่ได้ก็จริง แค่...รู้สึกไม่อยากปล่อยให้คุณอยู่คนเดียว ส่วนนึงเพื่อความปลอดภัยของคุณ อา ถึงจะไม่ช่วยอะไรก็เถอะ อีกส่วนก็เพื่อความสบายใจของผม”

“แค่ความสบายใจของนาย แค่นั้น?”

“ครับ แค่นั้น”

“ฉันควรทำไงดี” เซบาสเตียนตั้งคำถาม เขาลุกเดินอ้อมโต๊ะมานั่งข้างกัน ดวงตาสีมรกตสะกดผมเอาไว้ “ทำให้นายสบายใจอย่างที่ต้องการดีไหม”

“เซ็บ…”

“ฉันน่ะ อยากใจร้ายกับนายให้มากกว่านี้” เขาหัวเราะเบาๆ ยื่นหน้ากดจูบข้างแก้มผม...แผ่วเบา “น่าเสียดายที่ทำไม่ลงแล้ว”

“...”

“ก็ได้ จัดการตามที่นายต้องการ” เขายี้หัวผมจนยุ่งแล้วลุกขึ้น “ฉันต้องกลับจริงๆ แล้ว ไว้ค่อยเจอกันเจ้าแมวยักษ์”

เซบาสเตียนทิ้งท้ายสั้นๆ เขาหมุนตัวเดินออกไป เสียงประตูปิดลง ผมมองบานประตูนั้น นิ่งอยู่สักพักถึงได้ก้มหัวยกมือปิดหน้าตัวเองไว้ กลิ่นอายเซบาสเตียนยังอวลอยู่รอบตัว ผมหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

เซบาสเตียนน่ารักกับผมเสมอ แม้ว่าเขาจะปฏิเสธก็ตาม


“แพท ฉันถามจริงๆ นะ นายสบายดีหรือเปล่า”

“ผมดูไม่สบายเหรอครับ” ผมหันไปยิ้ม “ไม่นะ ผมว่าก็ปกติดี”

“โอ้พระเจ้า อย่ามายิ้มใส่ฉันแบบนั้นเชียว” เทเรซ่าทำหน้าผวา เธอก้าวถอยหนี “รู้ตัวไหมว่านายเอาแต่ยิ้มทั้งวัน น่ากลัวชะมัด”

“ผมเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่าครับคุณบิล?” ผมก้มหน้าถามลูกค้าที่กำลังเทรนให้เขาอยู่ คุณบิลหัวเราะลั่น เขาเป็นชายวัยกลางคนที่อารมณ์ดีเข้ากับคนง่าย

“ที่คุณเทเรซ่าพูดมาน่ะถูกต้องที่สุดเลยล่ะ”

“เห็นไหม ฉันบอกแล้ว” เทเรซ่าเสริม เธอเพิ่งเทรนให้ลูกค้าของตัวเองเสร็จ ผมนึกอยากให้เทเรซ่ามีงานด่วนเข้ามาตอนนี้ชะมัด

“ผมว่าผมก็ปกตินะ”

“คุณเอาแต่ยิ้มทั้งวัน” บิลจุ๊ปาก เขามองผมด้วยสายตาของผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมาก่อน “คงมีเรื่องดีๆ ที่ทำให้คุณเป็นอย่างนี้ อืม...ผมคิดว่าเรื่องดีๆ นั่นเรียกว่าความรัก”

“พระเจ้า คุณเดาเก่งเกินไปแล้ว”

“สายตาคุณมันฟ้อง” บิลหัวเราะลั่น เขาวางดัมเบลเก็บ ยกผ้าที่พาดคล้องคอซับเหงื่อ “เป็นประกายวิบวับจนผมแสบตาไปหมด แถมวันนี้ยังใจดีไม่เข้มงวดกับผมเหมือนที่เคย”

อา เรื่องนี้ต้องโทษเซบาสเตียนเลย

“อัปเดตเรื่องราวความรักให้ฟังเลยนะ”

“โธ่เทซ”

“คุณโดนพวกเราล้อมไว้แล้ว” บิลแกล้งทำเสียงขู่ “หนียากหน่อยล่ะ”

“โอเคๆ ผมยอมแล้ว” ผมยกมือห้าม “อันที่จริงมันไม่ได้มีอะไร ผมแค่ดีใจ ที่เขายอมให้ย้ายไปอยู่ด้วย”

“ฮะ?!”

“เทซอย่าเสียงดังสิครับ คนหันมามองกันหมด”

“ขอโทษที แต่ว่าให้ตายเถอะ นี่มันก้าวหน้าเกินไปไหมเนี่ย?!”

เทเรซ่าตาโต คงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเซบาสเตียนจะยอมให้ผมย้ายไปอยู่ด้วย (ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ) แหงล่ะ...ก็ความสัมพันธ์ของพวกเรามันพัฒนาไปอีกขั้นแล้วนี่นา แต่เรื่องนี้ผมจะไม่บอกเทเรซ่าหรือใครหรอก ให้เป็นเรื่องของเราสองคนก็พอ เรื่องพิเศษที่รู้กันเฉพาะคนพิเศษ

“คุณบอกว่า ‘เขา’ งั้นเหรอ” บิลผิวปาก “ตอนแรกผมนึกว่าสาวน้อยที่ไหนได้ใจของคุณไปซะอีก”

“ถ้าสาวน้อยธรรมดาผมคงไม่หลงเขามากขนาดนี้”

เซบาสเตียนพิเศษกว่านั้นเยอะ

“ว่าแต่…” เสียงบิลฟังดูเจ้าเล่ห์ สายตาที่เขามองผมก็เช่นกัน “ผู้ชายสองคนมันค่อนข้างจะยากหน่อย อย่างเช่น...ตำแหน่งต่างๆ”

“โอ้…” เทเรซ่าทำตาโตอีกรอบ สีหน้าอยากรู้อยากเห็นจนนึกอยากตีเธอสักที

“พวกคุณไม่ต้องมองผมแบบนั้นเลยนะ”

“โอ ไม่เป็นไรนะแพท ฉันเข้าใจนาย มันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย” ดูเหมือนเทเรซ่าจะตัดสินผมในใจไปแล้ว “ฉันเคยได้ยินว่า ‘ทางนั้น’ จะเจ็บมาก อา...แต่นายแข็งแรงอยู่แล้ว คงไม่เป็นไร”

“เทซ ผมไม่ได้…”

ผมพยายามจะค้าน แต่เสียงผู้ประกาศข่าวจากโทรทัศน์บนผนังห้องกลับดังขัดขึ้นมา BGM ระทึกใจที่มีในข่าวด่วนแวดวงธุรกิจดึงความสนใจพวกเราไป พอๆ กับเนื้อหาข่าวนั้น

“สวัสดีค่ะ พบกับฉัน เจนิเฟอร์ บราวน์”

“และผม ไมเคิล ฟาเรล”

“ข่าวด่วนวันนี้น่าจะทำให้หลายๆ คนตกใจค่ะ หากท่านผู้ฟังติดตามข่าวสารแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ ฉันมั่นใจว่าทุกคนต้องได้ยินเรื่องโครงการประมูลรีโนเวทคอนโดฯ หรูใจกลางเมืองเขต A ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่ชนะการประมูลนี้คงไม่พ้นซีมอน รอซส์ เสือร้ายที่หลายๆ คนในวงการนี้ต่างยำเกรง”

เสียงผู้ประกาศข่าวเล่าอย่างออกรส เธอดูตื่นเต้น ต่างจากผมที่ตอนนี้เริ่มเป็นห่วงเซบาสเตียน ไม่รู้เขาจะได้ฟังข่าวนี้หรือเปล่า

“แต่นั่นแหละครับ รอสซ์ที่ช่ำชองในวงการนี้ดันพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ โครงการที่ประมูลมาได้กลับมีปัญหาหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อสภาพและสิ่งแวดล้อมจนผู้อาศัยในละแวกนั้นเดือดร้อนกันเป็นแถว ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรอสซ์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมืออาชีพ แต่ล่าสุดเจ้าของโครงการออกมาให้สัมภาษณ์แล้วนะครับว่าถ้ารอสซ์ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ให้เรียบร้อย โครงการนี้จะถูกเปลี่ยนมือผู้ดูแลใหม่ คุณทราบไหมครับเจนว่าเป็นใคร”

“จะเป็นใครไปได้นอกจากเอลตัน มิลาโนคนนั้นล่ะคะ”

“พระเจ้า เอลตัน มิลาโนที่มีข่าวหลุดออกมาว่าแพ้การประมูลไปอย่างเฉียดฉิวคนนั้นใช่ไหมครับ”

เสียงผู้ประกาศข่าวสองคนสันนิษฐานไปต่างๆ นาๆ ส่วนผมจมกับความคิดตัวเอง กระทั่งเทเรซ่าสะกิดถึงรู้ตัว

“ผมไม่เป็นไร”

“แน่ใจ?”

“แค่เป็นห่วงเซ็บน่ะ” ผมถอนหายใจ ก่อนเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นบิลมีสีหน้าสงสัย “บิล ดูเหมือนว่าผมจะปล่อยให้คุณพักนานเกินไปแล้วนะครับ”

“เฮ้ ไม่เอาน่า”

“มาครับ เวทเทรนนิ่งต่อไหม” ผมว่ายิ้มๆ ได้ยินเสียงเทเรซ่าหัวเราะก่อนพึมพำขอตัวแล้วเดินแยกไป

“โธ่คุณแพทริค”

หลังจากนั้นผมก็ระบายความกังวลของตัวเองไปกับการเทรนคุณบิลจนเขาหอบแฮ่ก…



V
V
V
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 17 [23-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 23-09-2018 21:27:23
V
V
V


วันนี้ผมขออนุญาตลุงมาคัสเลิกงานเร็วกว่าปกติชั่วโมงครึ่งโดยให้เหตุผลว่าจะไปย้ายของเข้าห้องเซบาสเตียน โดนล้อกลับมายกใหญ่ แถมลุงยังมองผมด้วยสายตาแปลกๆ เขาบอกผมให้อดทน เจ็บครั้งแรกไม่หนักหนาเท่าไหร่ ผมนึกสังหรณ์ใจว่าลุงอาจคิดแบบเดียวกับเทเรซ่า

คนพวกนี้นี่มัน…

ใช้เวลาไม่นานก็กลับถึงคอนโดฯ สิ่งแรกที่ผมจัดการคือซู้กกี้ เก็บข้าวของให้มันเรียบร้อยเพื่อนำไปฝากที่บ้านพ่อกับแม่ ผมไม่กล้าเอามันไปห้องเซบาสเตียน กลัวไปทำห้องเขาเละเทะไม่ก็เฟอร์นิเจอร์พังเข้าให้ ของห้องเซบาสเตียนมีแต่แบรนด์ดังๆ ผมไม่มีปัญญาชดใช้ค่าเสียหายแน่

หลังฝากซู้กกี้เรียบร้อย ดูจนแน่ใจว่าเจ้าทิมมี่จะไม่กินไอ้ตัวเล็กนี่ (โชคดีที่ทิมมี่ไม่ทำอย่างที่ผมกังวล) ผมก็บึ่งรถกลับคอนโด ถึงนี่ก็เย็นพอดี ระหว่างเดินไปที่ลิฟต์ พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็เรียกผมไว้ซะก่อน

“คุณแพทริคคะ”

“ครับ?”

“มีคนฝากจดหมายไว้ให้ค่ะ”

ผมขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าใครฝากมา ผมเอื้อมมือรับซองจดหมายสีดำจากเธอ เดินมานั่งบนโซฟาที่ล็อบบี้คอนโดฯ หลังแกะออกดู ผมก็พบว่าตัวเองคงไปเหยียบหางผู้มีอิทธิพลเข้าให้แล้วจริงๆ


To...Patrick Henderson

‘ไม่ใช่เรื่องของคุณ อย่ามายุ่งถ้าไม่อยากเดือดร้อน’


กระดาษหนึ่งแผ่นมีตัวอักษรพิมพ์เป็นประโยคแค่หนึ่งบรรทัด เป็นหนึ่งบรรทัดที่สัมผัสได้ถึงการข่มขู่ ผมตัดสินใจเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์

“ขอโทษนะครับ คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าใครเป็นคนมาฝากไว้”

“เด็กผู้ชายน่ะค่ะ”

“เด็กผู้ชาย? พักอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”

“ไม่นะคะ ฉันไม่คุ้นหน้าเลย” เธอส่ายหน้าปฏิเสธ “เขาเดินเข้ามาพร้อมผู้พักท่านอื่นที่แตะคีย์การ์ดเข้ามาพอดีน่ะค่ะ บอกว่ามีคนฝากจดหมายเขามาให้คุณแพทริคอีกที”

“งั้นเหรอครับ” ผมพยักหน้ารับ ถ้าฝากมาอีกทอดนึงก็คงตามตัวยาก “ขอบคุณนะครับ”

“ยินดีค่ะ”

ผมเดินกลับ จมอยู่กับความคิดจนเผลอสะดุ้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ตัวเองดังขึ้น หน้าจอปรากฏชื่อเซบาสเตียน แค่เห็นชื่อเขา ความคิดวุ่นวายในหัวก็เหมือนจางหายไปชั่วขณะหนึ่ง

“ครับ”

“เย็นนี้จะขนของมาใช่ไหม”

“อืม ผมกำลังจะเก็บของเลย”

“อยากได้คนช่วยหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมหัวเราะ “ของผมมีนิดเดียว”

“แต่ฉันมาแล้ว” เขากรอกเสียงมาตามสาย “หันหลังกลับมาเจ้าแมวโง่ แล้วมาเปิดประตูให้ฉัน ทางเท้าข้างนอกนี่ทาสีเหม็นชะมัด”

สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไป ผมหันหลังกลับ เห็นเซบาสเตียนยืนกอดอกพิงเสาอยู่หน้าประตูคอนโด ผมเดินไปแตะคีย์การ์ดให้เขาเข้ามา เซบาสเตียนมองหน้าผม เขาขมวดคิ้ว

“เป็นอะไร?”

“หืม? เปล่านี่ครับ”

“แน่ใจนะ สีหน้านายดู...แปลกๆ” เซบาสเตียนถามซ้ำ ผมเลยหัวเราะเพื่อให้เขาสบายใจ “ไม่ต้องมาหัวเราะ อย่าให้รู้ทีหลังว่าปิดบังอะไร”

เซบาสเตียนขู่ ตอนนั้นเองที่ผมนึกกลัวสัญชาตญาณของเขา

รอสซ์นี่น่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ

“ผมจะกล้าปิดอะไรคุณครับ…”

“คุณแพทริคคะ...” เสียงพนักงานเคาน์เตอร์เรียกผมอีกครั้ง ผมสูดหายใจ ภาวนาให้เธออย่าพูดอะไรออกมา แต่เหมือนจะไม่ทัน “ฉันลืมแจ้งค่ะ ว่าคุณสามารถทำเรื่องขอดูกล้องวงจรปิดบริเวณคอนโดฯ ได้นะคะ นี่เป็นหนึ่งในนโยบายรักษาความปลอดภัยของผู้พักอาศัยค่ะ”

“อ่า…ขอบคุณนะครับ”

“แพท” เสียงเย็นๆ ดังขึ้นด้านหลัง ผมกลืนน้ำลายลงคอ “เดี๋ยวมีเรื่องต้องคุยกันหน่อย”

ผมหันกลับมา สบตากับเซบาสเตียน ดวงตาสีมรกตเรียบนิ่ง เย็นเยียบ ผมรีบยิ้มหวาน หวังว่าจะช่วยให้เขาไม่โกรธที่ผมปิดบัง

“ขึ้นข้างบนก่อนนะครับ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง”

หลังจากนั้นเซบาสเตียนก็ปล่อยไอเย็นแช่แข็งผมตั้งแต่ข้างล่างยันขึ้นมาข้างบน อยากร้องเพลง Let it go ประกอบให้เข้ากับบรรยากาศ ถ้าไม่ติดว่าขืนร้องออกไปจริงๆ เซบาสเตียนน่าจะซัดหมัดใส่หน้าผมแทน


“บอกแล้วไงว่าเรื่องของฉันจะทำให้นายเดือดร้อน”

“ผมเต็มใจเดือดร้อนเอง คุณอย่าโทษตัวเองได้ไหม”

ผมกุมมือเขาไว้หลังเล่าเรื่องจดหมายปริศนาให้ฟัง เซบาสเตียนขมวดคิ้วแน่น ท่าทางหงุดหงิดพอสมควร ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงให้เขาใจเย็นลง เลยทำได้แค่นั่งเงียบๆ บนโซฟา กุมมือเขาไว้ให้เซบาสเตียนรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว...ไม่เคยอยู่ ผมไม่มีวันทิ้งเขาไปแค่เพราะได้จดหมายขู่โง่ๆ นี่หรอก

“แพท”

“ครับ”

“มากอดหน่อย”

แล้วเขาก็ดึงผมเข้าไปกอด ผมโอบแขนรอบตัวเขา แนบแก้มลงกับไหล่กว้าง เซบาสเตียนเองก็ซบหน้าลงกับไหล่ผมเหมือนกัน พวกเราเงียบไปเกือบนาที ก่อนเซบาสเตียนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา

“ฉันเป็นห่วงนาย”

“ผมรู้”

“มันรู้ว่าขู่ฉันไม่ได้ มันรู้ว่าจุดอ่อนฉันคือนาย”

“บอกแล้วไง อย่าโทษตัวเองสิครับ”

“อืม...ให้ส่งคนไปตามสืบไหมว่าใครมันบังอาจมาขู่นาย” เซบาสเตียนว่าเสียงเย็น “ไปทำเรื่องขอดูกล้องวงจรปิดก่อนย้ายมาห้องฉันด้วยเจ้าแมวโง่”

“อื้ม ครับๆ”

“จริงจังหน่อยได้ไหม” เขาเอ็ดเสียงเข้ม ผละตัวออกมามองหน้าผม “จะโดนเล่นงานอยู่แล้วยังไม่รู้ตัว”

“ผมไม่เป็นอะไรหรอกน่า” ผมยิ้ม “มีคุณอยู่ด้วยทั้งคน”

“ฉันอยู่กับนายตลอดเวลาหรือไง”

“คุณอยู่ในใจผมตลอดเวลาเลย”

“มันใช่เวลามาพูดเล่นไหมฮะเจ้าตัวดี” เซบาสเตียนขยี้หัวผมแรงๆ จนมันยุ่งเหยิง ผมต้องจับมือเขาเอาไว้ “มานี่เลย มาให้ทำโทษซะดีๆ”

เซบาสเตียนทำเสียงดุขัดกับการลงโทษที่แสนหวาน

เขาดึงผมไปจูบ ก่อนผละมากดปลายจมูกเข้าที่แก้ม เสียงหอมดังฟอดใหญ่ ผมอดรู้สึกเขินไม่ได้ เซบาสเตียนขยันทำให้หัวใจผมทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาจริงๆ

“หอมให้แก้มผมช้ำเลยไหมครับ”

“อย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อไร้ทางสู้”

“ก็คุณเป็นเสือ” ผมยิ้มหวาน “ส่วนผมเป็นแค่แมว”

“แมวยักษ์ก็คือเสือดีๆ นี่แหละ” เซบาสเตียนหัวเราะหึ เขาผละตัวออกห่าง แต่ยังกุมมือผมไว้ “จำได้ไหมเรื่องที่นายเคยถามว่าทำไมฉันถึงตอบรับเสียงนาย”

“ครับ คุณพร้อมจะเล่าแล้วเหรอ”

“อืม” เขาพยักหน้ารับ “สักระยะแล้ว แค่หาจังหวะไม่ได้ อยากฟังอยู่หรือเปล่า”

“แน่นอน อยากสิครับ”

“วันนั้นน่ะ มันแย่สำหรับฉันมากๆ” เขาเริ่มเล่า สายตาหลุบต่ำลง ผมพลิกเป็นฝ่ายกุมมือเขาแทน ไล้ปลายนิ้วโป้งบนหลังมือเขา ปลอบโยนผ่านสัมผัสเล็กๆ นั้น “วันนั้นพ่อหย่ากับแม่...ความจริงมันควรเกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน การแต่งงานของพวกเขาขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ นายรู้ไหม”

ผมไม่ได้ตอบ คิดว่าเซบาสเตียนคงไม่ได้อยากได้คำตอบเท่าไหร่

“โชคชะตาชอบเล่นตลก ฉันคิดว่างั้น พ่อกับแม่เป็นโซลเมตกัน และบังเอิญที่พวกเขาเป็นทายาทตระกูลที่พึ่งพาอาศัยกันในวงการธุรกิจนี้ การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจไม่ใช่เรื่องแปลก แม่ชอบพ่อ แม่เลยแต่งกับเขา ทั้งที่รู้ว่าพ่อมีน้ามาเรียอยู่แล้ว”

“มันไม่ยุติธรรมกับน้ามาเรีย พ่อรู้ แม่รู้ ทุกๆ คนรู้ แต่ผลประโยชน์มันยากจะปฏิเสธ เพราะอย่างนั้นถึงมีข้อตกลงขึ้นมาว่าหลังจากทั้งคู่มีทายาทสายตรงที่เป็นที่ยอมรับ พวกเขาจะหย่ากันหลังจากที่ทายาทคนนั้นอายุครบยี่สิบห้าปี ทายาทคนนั้นคือฉันนี่แหละ ถึงแมทจะเกิดก่อนและใช้นามสกุลรอสซ์เหมือนกัน แต่ถ้าว่ากันตามตรง ฉันจะเป็นผู้สืบทอดหลัก”

“แต่คุณไม่ต้องการนี่”

“ใช่ ฉันไม่ต้องการ เลยโยนให้แมทรับผิดชอบไปซะ หมอนั่นก็ไม่ได้แย่ เขาเหมาะกับวงการนี้มากกว่าฉันด้วยซ้ำ แถมตาแก่พวกนั้น...ฉันหมายถึงปู่ย่าตายายฉันก็แก่จะลงโลงอยู่แล้ว ไม่มีอำนาจมาคัดค้านอะไรอีก เรื่องนี้เลยถือว่าจบไป เฮ้อ...นายทำฉันนอกเรื่องนะเจ้าแมวยักษ์”

“เอ้า ผมผิดเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ เลยโดนเซบาสเตียนดีดหน้าผากเข้าให้

“จะฟังต่อไหม”

“ฟังครับๆ”

“อืม ก็นั่นแหละ ข้ามเรื่องทายาทบ้าบอนั่นไปซะ ประเด็นมันอยู่ที่ตอนฉันอายุยี่สิบห้าพวกเขาไม่ได้หย่ากันอย่างที่ฉันคิดมาตลอด นายรู้ไหมว่าตอนนั้นฉันแอบหวังว่าสัญญานั่นจะเป็นโมฆะ บางทีพ่ออาจจะรักแม่เหมือนที่แม่รักพ่อ มันกลายเป็นฉันปล่อยให้ตัวเองมีความหวัง มีความหวังกับสิ่งที่ไม่ควรหวัง”

“เซ็บ…”

“ฉันไม่เป็นไร” เขาตอบผม “นั่นแหละ จนฉันอายุยี่สิบเจ็ด จู่ๆ พ่อก็ตัดสินใจหย่ากับแม่ ฉันรู้สึก...ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก มันเคว้งไปหมด ปกติครอบครัวก็ไม่ได้อบอุ่นอะไรอยู่แล้ว หมายถึงมุมมองฉันที่มีต่อครอบครัวนะ แต่พ่อกับแม่ถึงไม่รักกัน เขาก็ยังรักฉันอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ มันเลยพอหลอกตัวเองได้ว่าฉันก็มีครอบครัวอยู่นะ ฉันรู้ว่าตรรกะตัวเองอาจมีปัญหาที่คิดว่าการฝืนอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวดีกว่าแยกย้ายกัน รู้ทั้งรู้ว่าทำแบบนั้นมันเป็นการทรมานทั้งสองคน ฉันโตแล้วแต่กลับเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ พอเขาหย่ากันฉันเลยเคว้ง มันไม่มีอะไรให้ยึดให้หลอกตัวเองแล้ว ฉันพาลโกรธพ่อ พาลไปหมดทุกอย่าง ตอนนั้นแมทก็โดนฉันพาลใส่”

“ฉันใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการเดินเตะฝุ่นข้างถนนไปเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็ฝนตก มันเงียบมาก ฉันยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนโลกเข้าไปใหญ่ ไม่มีใครอยู่ข้างฉันสักคน ไม่สิ...ฉันเองนี่แหละที่เอาแต่ใจผลักไสทุกคน ตอนนั้นเสียงนายก็ดังขึ้นมา”

“ดังหลายรอบด้วย”

“ไม่เอาน่า แค้นหรือไงที่ฉันปล่อยให้คุยคนเดียว”

“น้อยใจนิดหน่อยเองครับ คุณจะง้อย้อนหลังก็ได้นะ”

“นั่นแหละ พอได้ยินเสียงนายจู่ๆ ก็รู้สึกว่า ไอ้หมอนี่มันพูดมากจังเลย ชวนคุยอยู่ได้ทุกหน้าฝน”

“เฮ้!”

“อย่าเพิ่งโกรธกันสิ” เซบาสเตียนหัวเราะ เขาขยี้หัวผม “อย่างที่นายรู้ว่าฉันค่อนข้างมีปัญหากับการเปิดใจคุยกับคนแปลกหน้า ความศรัทธากับคำว่าโซลเมตติดลบ แต่ตอนนั้น ตอนที่ฉันอยู่ตัวคนเดียวจริงๆ เสียงนายดังขึ้นมา มันทำให้ฉันรู้ว่านอกจากตัวเองยังมีไอ้ปากมากบางคนอยู่ด้วย”

โอเค ผมจะร้องไห้แล้วนะ เป็นทั้งไอ้คนพูดมากกับไอ้ปากมากในสายตาเซบาสเตียนมากี่ปีก็ไม่รู้ ให้ตายสิ

“ฉันเลยตอบรับเสียงนาย และตอนนี้ฉันก็รู้สึกดีที่ตัดสินใจทำแบบนั้น”

“ผมจะพูดว่าดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก”

“ทำไม?”

“เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้คุณตอบรับเสียงผม มันทำให้คุณเสียใจนี่”

“สักวันมันต้องเกิดอยู่แล้ว ฉันรู้ดี แค่เผลอตัวคาดหวังว่ามันจะเปลี่ยนแปลง” เขายิ้มมุมปาก มองผมด้วยสายตาที่อ่อนลง “ขอบใจที่เป็นห่วงความรู้สึกฉันนะ”

“ผมห่วงทุกอย่างที่เป็นคุณนั่นแหละ”

“ฉันก็ห่วงทุกอย่างที่เป็นนาย” เซบาสเตียนตอบกลับมาตรงๆ จนผมไปไม่เป็น “และฉันจะลากตัวคนที่กล้าส่งจดหมายขู่โง่ๆ นั่นมาจัดการ ไม่ต้องกลัวนะเจ้าแมวยักษ์”

“คุณเท่ที่สุดเลย”

“นายคือข้อยกเว้นหนึ่งเดียวในโลกของฉัน ฉันไม่ยอมเสียนายไปหรอกแพท”

ผมยิ้มออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น

คำบอกรักที่ไม่มีคำว่ารักนั้นลึกซึ้งและตรึงอยู่ในใจ ผมกุมกระชับมือเขาไว้ ประทับจูบแผ่วเบาและกระซิบคำสัญญาข้างใบหูอีกฝ่าย

“คุณจะไม่มีวันเสียผมไป ผมสัญญา”

_________________________________________

มาอัปแล้วค่า แงงง ขออภัย เลทไปหนึ่งวัน เมื่อวานไปงานแฟนมีตฮยอนบินมาค่ะ ฮ่า กลับบ้านมาเหนื่อยมากเลยไม่ได้อัปเลย เลยมาอัปวันนี้แทนนะคะ

บทนี้เจ้าแมวก็ซวยไปค่ะ ตกเป็นเป้าหมายซะงั้น หวังว่าคุณเซ็บจะคอยปกป้องเจ้าแมวไม่ให้โดนใครทำอะไรได้นะคะ ส่วนใครที่สงสัยว่าทำไมเซ็บถึงตอบรับเสียงของแพท วันนี้มาเฉลยแล้วค่ะ น่าจะหายคาใจกันพอสมควร

บทต่อๆ ไปแอบกระซิบว่าสังเกตกันดีๆ นะคะ แจ็คจะเริ่มใส่เบาะแสต่างๆ ลงในเรื่องแล้ว ไหนดูซิจะมีใครตาไวเห็นเบาะแสที่แจ็คแอบซ่อนเอาไว้ไหม 55555

เจอกันบทหน้านะคะ จะพยายามไม่เลท แต่คงไม่เลทแล้วแหละ ไม่มีอีเว้นท์ออกงานไหนแย้ววว

#คุณผู้มากับสายฝน
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 17 [23-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 23-09-2018 22:00:14
แมวอ้อนเสือ...น่ารัก  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 17 [23-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-09-2018 11:56:41
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 17 [23-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 25-09-2018 12:53:31
พี่เซ็บโคตะระเท่เลยยยยยยยน
พี่เซ็บโอปป้าาาาา พ่อพระเอกของช้านนนนน
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 17 [23-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: mameemamey ที่ 26-09-2018 09:10:56
ฮือออออ ไม่ไหววว เซ็บคือดีมากกก แพทก็ดีเช่นกัน ละมุน. แง
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 17 [23-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 26-09-2018 09:18:59
อูยยยยยย มดขึ้นค่ะ หวานกันแบบอ่อนโยนอบอุ่นสุดๆ แมวยักษ์โดนขู่ซะแล้วพี่เสือดำตะลากคอคนทำให้น้องเอง :angry2: ขอบคุณมากค่ะคุณแจ็ค :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 18 [28-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 28-09-2018 21:56:58

Chapter 18

When you come into my world


[Matthew]


“นั่งก่อนสิ”

“ครับ”

น้ำเสียงเรียบแฝงความกดดันทำให้ผมเผลอสูดหายใจ พ่อจ้องนิ่งเมื่อผมนั่งตรงข้ามเขา โต๊ะทำงานของพ่อกั้นพวกเราเอาไว้ แต่ไม่กั้นความกดดันที่พ่อแผ่ออกมาสักนิด

สัญชาตญาณผมบอกว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก

“เอริค คอลลินส์”

“เป็นชื่อที่เพราะดีนะครับพ่อ” ผมยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร แม้จะรู้ดีว่าการแสดงห่วยๆ นี่ไม่มีวันตบตาเสือร้ายแห่งรอสซ์ได้ก็ตาม “ใครเหรอครับ”

“พ่อให้โอกาสแกอีกครั้งแมท…” พ่อถอนใจ ประสานมือวางบนโต๊ะ โน้มตัวมาข้างหน้า ผิวหนังเหี่ยวย่นรอบดวงตาที่กระจ่างใสดูขัดกัน พ่อแก่แค่ร่างกาย แต่จิตใจพ่อเต็มไปด้วยพลังน่าเกรงขาม “อย่าฝ่าฝืนคำสั่งพ่อ”

“ผมไม่เข้าใจ”

“ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ”

“โอ้ พระเจ้า ให้ตายเถอะ!” ผมเสยผมตัวเองแรงๆ อย่างหงุดหงิด สบตาพ่ออย่างตรงไปตรงมา “ทำไมผมถึงรู้ไม่ได้ ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวกับครอบครัวเรา?”

“บางเรื่องให้พ่อจัดการเอง แกทำหน้าที่ของตัวเองก็พอ”

“ผมเป็นห่วง พ่อรู้หรือเปล่า”

“พ่อรู้” พ่อเคาะนิ้วกับโต๊ะ “เหมือนพ่อไม่จัดการอะไรเลยใช่ไหม?”

“พ่อน่าจะรู้คำตอบดี” ผมถอนหายใจ “สื่อเล่นข่าวกันใหญ่ ปัญหาไม่แก้ไขสักที เอลตัน มิลาโนเตรียมล้างมือรับช่วงต่อ ส่วนพ่อต้องจ่ายค่าปรับ...ผมรู้นะว่าตระกูลเรารวย แต่ค่าปรับนั่นเราไม่สมควรต้องจ่ายด้วยซ้ำ ยิ่งข่าวออกมา ชื่อเสียงบริษัทเรายิ่งแย่ ความน่าเชื่อถือลดลง หุ้นตกตัวแดงเป็นแถบ ให้ตาย…”

“ทุกอย่างมีทางแก้เสมอ พ่อกำลังแก้ในวิธีของพ่ออยู่”

“ให้ผมรู้ไม่ได้เลยเหรอ มีอะไรที่พ่อปิดบังไว้หรือไง”

ผมตัดสินใจถามตรงๆ พ่อเงียบไป เขาจ้องหน้าผม คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พ่อเหมือนเซบาสเตียน เวลาคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่างชอบขมวดคิ้ว ทั้งสองคนเหมือนกันจนบางทีผมก็คิดว่าตัวเองเป็นคนนอก

“จัดการเรื่องตัวเองไปแมท”

“โอเค ตอบแบบนี้คงจะไม่อยากบอกจริงๆ” ผมยักไหล่

“อย่าแอบจัดการอะไรลับหลังอีก”

“ครับ ผมไม่ทำอะไรก็ได้”

“แมท…” พ่อกดเสียงต่ำ ดวงตาหรี่ลง มันดูอันตราย “รู้ใช่ไหม ว่าพ่อไม่ได้หมายถึงแค่แกคนเดียว”

“...”

“พ่อรู้หมดนั่นแหละว่าพวกแกสองคนรวมหัวกันสืบเรื่องนี้” พ่อว่าเสียงเรียบ ผมไม่ประหลาดใจที่พ่อรู้ ถ้าเขาไม่รู้สิถึงน่าประหลาดใจ “รู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พ่อจะส่งบอดี้การ์ดตามเฝ้าเซ็บ ฝากบอกเขาด้วยถ้าคิดปฏิเสธ เรื่องจะยุ่งยากกว่านี้ เตือนน้องแกซะ ถ้ายังไม่อยากถูกแยกกับไอ้หนุ่มหัวแดงนั่น...คงรู้ดีว่าพ่อไม่ได้พูดเล่น”

“ถ้าแตะต้องแพทริค เซ็บคงไม่พอใจพ่อแน่”

ผมเผลอกระตุกยิ้ม เซบาสเตียนเอ็นดูแพทริคจนผมรู้สึกได้

“พ่อรู้ แต่เซ็บก็ไม่เคยพอใจพ่ออยู่แล้วนี่ ส่วนแก…” พ่อเว้นจังหวะสักพัก มุมปากเหยียดยิ้ม “...บริษัทสาขาต่างประเทศค่อนข้างมีปัญหา ถ้าแกยังขัดคำสั่งพ่อ บางทีพ่ออาจต้องรบกวนแกไปจัดการงานที่นั่น”

ผมกัดฟัน ฝืนยิ้มจนกลายเป็นแสยะ

“ทราบแล้วครับ”

พ่อพยักหน้ารับ โบกมือไล่ผมออกจากห้องทำงาน ทันทีที่หันหลังให้ ผมก็ไม่จำเป็นต้องเก็บสีหน้าอีกต่อไป พนักงานที่อยู่บริเวณนี้เมื่อเห็นหน้าผมก็พากันก้มหน้าเดินหลบ เว้นแต่แจสเปอร์ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าผม

“โดนหนัก?”

“โดนขู่หนัก” ผมพ่นลมหายใจ สาวเท้าเดินกลับห้องทำงานตัวเอง “หงุดหงิดเป็นบ้า”

“ดูหน้าก็รู้” เขาแค่นเสียง “บราวน์นี่กับกาแฟดำสักแก้วไหมล่ะ”

เขาเอ่ยปากเสนอเมนูที่ผมชอบทานเวลาเครียด นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยิ้มได้ในสถานการณ์ที่หงุดหงิดสุดๆ จะหาคนรู้ใจผมมากกว่าแจสเปอร์คงไม่มี ผมตบบ่าเขา แจสเปอร์บ่นทันทีที่ผมทำสูทเขายับ

“ได้ก็ดี ขอบคุณ”

แจสเปอร์รับคำหน้าหงิกงอ เขาเดินแยกไป ผมกลับเข้าห้องทำงาน ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ หมุนตัวหันหลังให้โต๊ะ มองออกนอกกำแพงด้านหลังที่เป็นกระจกใสทั้งแถบเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ

“ไงเซ็บ...อยากฟังข่าวร้ายไหม”


[Sebastian]

ผมคิดว่าตัวเองมีความอดทนสูงพอสมควร แต่ความอดทนของผมกำลังหมดไป

“เลิกตามสักที”

ผมกดเสียงใส่บอดี้การ์ดชุดดำสองคนที่เดินตามหลังห่างออกไปสามเมตร รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีอีกหลายคน...ไม่ต่ำกว่าหก ที่คอยดูผมจากที่ไกลๆ เกือบอาทิตย์แล้วที่พ่อส่งบอดี้การ์ดมาตามดูแลผม มันน่าหงุดหงิดเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะมีใครคอยดูแลทุกฝีก้าวแบบนี้

“ไม่ได้ครับคุณเซบาสเตียน คุณท่านสั่งไว้”

“ให้ตายสิ!”

ผมสบถอย่างหัวเสีย พวกเขาเงียบ ไม่ตอบโต้มากไปกว่านั้น นี่คงเป็นข้อดีอย่างเดียว พวกเขาไม่พูดมาก ทำให้ผมพอจะหลอกตัวเองได้ว่าไม่มีคนคอยติดตาม แต่ถึงอย่างนั้น…

“อ่า เซ็บ…”

“ไม่ต้องไปมอง อย่าสนใจ” ผมพูดดักเมื่อแพทริคเอาแต่เหลือบตามองบอดี้การ์ดด้านหลังผม ไม่กล้าเดินเข้ามาหาหรือทำอะไรอย่างที่เคยทำ นี่เป็นอีกอย่างที่ผมหงุดหงิด แพทริคกลายเป็นแมวยักษ์ตื่นคนตั้งแต่ผมมีบอดี้การ์ดตามติด “แพท มาเร็ว เดี๋ยวไม่ทันนัด”

“สรุปเราจะไปไหนกันครับ คุณยังไม่บอกผมเลย”

“เดี๋ยวก็รู้น่า”

ผมขยี้หัวเขาเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้ แพทริคบ่นอุบว่าผมชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ ผมเดินนำเขาขึ้นรถ ทันทีที่พวกเราอยู่ด้วยกันสองคน เจ้าแมวยักษ์ก็ถอนใจเฮือกใหญ่

“น่ากลัวเป็นบ้า”

“ฉันบอกว่าอย่าไปมอง” ผมสตาร์ทรถ “นายชอบหันไปมองเจ้าพวกนั้นเองนี่”

“ก็พวกเขาจ้องผมเขม็งขนาดนั้น คุณก็รู้เวลามีสายตาใครจ้องมามันอดมองกลับไม่ได้”

“แล้วนายก็เกร็งซะเอง”

“พ่อคุณต้องมีคำสั่งลับให้พวกเขาจับตามองผมแน่ๆ” แพทริคตั้งข้อสังเกต ผมเองก็แอบคิดแบบนั้นเหมือนกัน “สรุปคุณจะไม่บอกจริงๆ เหรอว่าที่มารับผมวันนี้เราจะไปไหนกัน”

“อยากให้นายเซอร์ไพรส์” ผมลอบยิ้มในขณะหักพวงมาลัยรถไปตามเส้นทางที่คุ้นชิน ด้านหลังคือรถของบอดี้การ์ดที่ขับตามมาติดๆ

“ผมจะหัวใจวายตายไหม”

“แมวมีเก้าชีวิตนี่”

“ตอนนี้เหลือชีวิตเดียว”

“อีกแปดหายไปไหนซะล่ะ?” ผมแกล้งถาม อยากรู้เขาจะตอบกลับมายังไง

“ให้คุณไปหมดแล้ว”

“หึ…”

ผมหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แพทริคดูผ่อนคลายลงแล้ว เขาไม่ถามอีกว่าผมจะพาไปไหน เจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ไว้ใจเจ้าของมันมากทีเดียว เห็นทีผมคงต้องให้รางวัลเขาสักหน่อย


“ซะ เซ็บ…”

“ใจเย็น อย่าสั่น”

“ผมคิดว่าผมกำลังจะหัวใจวายตายจริงๆ” เขาหันมองผม หน้าตาน่าสงสารจนอยากดึงมากอดแล้วตบหลังปลอบ “คุณไม่บอกก่อนว่าจะพามาพบแม่คุณ ผมจะได้แต่งตัวดีๆ กว่านี้”

“นี่ก็ดีแล้ว” ผมตบไหล่เขา ก่อนหน้านี้ผมบอกให้เขาแต่งตัวสุภาพหน่อย หลังเลิกงานแพทริคเลยเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำกับกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ “ลงจากรถเถอะ”

“เซ็บ ผม...คือผม…”

ผมลงจากรถ เดินอ้อมมาประตูอีกฝั่ง เปิดมันและหิ้วคอเสื้อแมวยักษ์ที่พองขนทำตัวเกร็งออกมา เพราะรู้ไงว่าเขาจะเกร็งแบบนี้ ผมเลยไม่บอกก่อนว่าจะพามาพบแม่ ไม่งั้นแพทริคคงกระโดดหนีผมแน่ๆ

“สูดหายใจลึกๆ เด็กดี มองหน้าฉันนี่แพท” ผมจับคางเขาให้หันมามองผม ดวงตาสีฟ้าซีดฉายประกายกังวล ผมเกาคางเขาเบาๆ เจ้าตัวครางฮือในลำคอ หน้าตาน่าสงสาร “แม่ฉันใจดีนะ”

“เซ็บ” แพทริคเรียกผมเสียงเบา “ถ้าแม่คุณไม่ชอบผมล่ะ ผมไม่มีอะไรเลยนะ เป็นแค่เทรนเนอร์ฟิตเนสธรรมดาๆ ผมไม่มั่นใจ ผม…”

“นายไม่จำเป็นต้องมีอะไร ของพวกนั้นฉันมีอยู่แล้ว” ผมตบบ่าเขาหนักๆ เรียกสติคนที่แพนิคให้กลับมา “สิ่งที่นายจำเป็นต้องมีคือรักฉันให้มากๆ ก็พอ เข้าใจไหม”

แพทริคเงียบไปอึดใจ เขาจ้องหน้าผม แววตายังไม่มั่นใจเหมือนเดิม แต่ไม่แพนิคเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว เขาพยักหน้ารับ ผมเลยยิ้มให้กำลังใจเขาไปทีนึงก่อนเดินนำเข้าไปข้างใน

“คุณเบลกับท่านอื่นๆ รออยู่ที่ห้องอาหารค่ะ”

“ขอบคุณครับป้าแมรี่”

ผมเดินมาถึงห้องอาหาร เคาะประตูพอเป็นพิธีแล้วเปิดเข้าไป โต๊ะอาหารตัวยาวถูกตกแต่งอย่างดี แต่มีเพียงห้าที่นั่งปลายโต๊ะเท่านั้นที่มีคนนั่งอยู่ แม่ยิ้มให้ผมจากเก้าอี้หัวโต๊ะ ขวามือแม่คือลุงเบอนาร์ดและอเล็กซ์ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม อีกฝ่ายอายุเท่าแมทธิว

“สวัสดีครับ”

“พวกเรากำลังรออยู่เลย” แม่ยิ้ม เบนสายตาไปทางแพทริคที่ยืนแข็งอยู่ข้างผม “สวัสดีจ้ะ แพทริคใช่ไหม”

“ครับ สวัสดีครับ”

“เรียกน้าเบลก็ได้นะ” แม่ผมออกปาก ผมเหลือบมองแพทริค เขาตาโตไปแล้ว

“ฉันเบอนาร์ด ลุงของเซ็บเขา”

“ฉันอเล็กซ์ ยินดีที่ได้รู้จัก” อเล็กซ์ยิ้ม ผายมือให้พวกเรา “นั่งก่อนสิ”

ผมลูบหลังแพทริค ให้เขาคลายกังวลก่อนนั่งบนเก้าอี้ติดกับแม่ ตรงข้ามผมคือลุงเบอนาร์ด แพทริคนั่งข้างผม ตรงข้ามเขาคืออเล็กซ์ แม่สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณให้นำอาหารมาเสิร์ฟ ระหว่างนั้นก็ชวนคุยเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย

“เซ็บพูดเรื่องของเธอให้ฉันฟังเยอะเชียวล่ะแพทริค”

“จริงเหรอครับ” เจ้าแมวยักษ์หูผึ่ง ก่อนรีบสงวนท่าที “อ่า...ขอโทษครับ ผมตกใจไปหน่อย ไม่คิดว่าเซ็บจะพูดถึงผมให้คุณฟังด้วย”

“ฉันก็ตกใจเหมือนกัน”

“ครับ?”

“เซ็บไม่ค่อยเล่าเรื่องคนอื่นให้ฉันฟังหรอก ยกเว้นคนนั้นจะสำคัญจริงๆ”

“แม่ครับ” ผมแทรกขึ้นมา “อย่าทำให้เขาได้ใจสิครับ”

“เราก็ไปแกล้งน้อง ชอบเขาขนาดนี้จะทำเป็นไม่สนใจทำไม”

“หึ น้องน่าแกล้งกว่าที่แม่รู้อีกครับ” ผมตอบหน้านิ่ง แอบเหลือบตามองแพทริคที่นั่งข้างกัน ใบหูอีกฝ่ายแดงจัด ผมพยายามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้

“วิ้ว...หวานกันจังเลยนะ”

“อยากมีบ้างหรือไงอเล็กซ์” ผมเลิกคิ้วถามคนแซว อเล็กซ์เลยหัวเราะหึๆ ตอบกลับมา

“ก็มีอยู่นะ อย่าดูถูกไปเชียว”

“หืม ไม่พามาให้พ่อรู้จักบ้างล่ะ” ลุงเบอนาร์ดหันขวับ “ลูกไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้สักนิด อย่าบอกนะว่าปิดบังพ่อไว้นานแล้ว”

“โอ้ ความลับ :)” อเล็กซ์แตะนิ้วกับริมฝีปาก ส่งเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์

“ลูกคนนี้นี่”

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่อนคลายลง ผมนึกขอบคุณอเล็กซ์ที่ช่วยสร้างบรรยากาศ อาหารและเครื่องดื่มทยอยมาเสิร์ฟจนครบ แพทริคปรับตัวได้แล้ว เขาพูดคุยกับทั้งสามคนอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ผมเห็นอย่างนั้นก็โล่งใจ แพทริคเป็นคนเข้ากับคนง่ายอยู่แล้ว แค่รอบนี้เขากังวลมากเกินไป ผมรู้ดีว่าฐานะตัวเองกับแพทริคต่างกัน และมันอาจข่มเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่อยากให้แพทริคสนใจเรื่องพวกนั้นมากนัก

“นายอดทนเก่งมากแพท ถ้าเป็นฉัน โซลเมตไม่ตอบรับเสียงเรียกตั้งหลายปี คงไม่สนใจแล้ว”

“ผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ยอมแพ้ไปก่อน”

“ดีแล้วที่ไม่ยอมแพ้ไปก่อน” ผมพูดขึ้นมา “ขอบคุณที่ทนรอ”

“คนเรามักอดทนเมื่อคนนั้นเป็นคนพิเศษสำหรับเรา” แม่พูดขึ้น ผมชะงัก มองหน้าแม่ แววตาหม่นลงเล็กน้อยก่อนกลับมาสดใสเหมือนเดิม “แม่ดีใจที่ลูกเจอคนพิเศษของตัวเองเซ็บ”

ผมเองก็อยากให้แม่เจอคนพิเศษของตัวเองเหมือนกัน

มันเป็นแค่ความคิด ผมไม่ได้พูดออกไป

“ว่าแต่…” ลุงเบอนาร์ดเปลี่ยนเรื่อง เขามองแพทริค “เห็นว่าเป็นเทรนเนอร์ใช่ไหม”

“ครับ”

“ฉันค่อนข้างมีปัญหาเรื่องการลดน้ำหนักนิดหน่อย” ลุงกระแอม “ปรึกษาได้ไหม”

“ได้แน่นอนครับ ไว้ว่างๆ คุณนัดผมได้เลย”

“ตอนนี้ฉันก็เล่นกล้ามท้องอยู่ที่ฟิตเนสนึง” อเล็กซ์เสริม “เทรนเนอร์โหดเป็นบ้า ถ้าเจอนายเร็วกว่านี้ฉันเทรนกับนายดีกว่าแพท นายดูใจดีกว่าเยอะเลย”

“แต่ตอนเทรนผมเข้มนะครับอเล็กซ์”

“เฮ้ ไม่เอาน่า”

“ทำไมถึงมาเป็นเทรนเนอร์ล่ะ ฉันถามได้ไหม” แม่พูดขึ้น สีหน้าสนใจ แพทริคยิ้มรับ เขารีบอธิบายด้วยท่าทีกระตือรือร้น

“ตอนเด็กๆ ผมสุขภาพไม่ดีเท่าไหร่ ตัวเล็กกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน ที่บ้านเลยเริ่มให้ออกกำลังกายครับ หลังจากนั้นสุขภาพก็ดีขึ้น ผมเลยเลือกเรียนวิทย์กีฬาแล้วมาทำงานเป็นเทรนเนอร์ที่ฟิตเนสของลุงน่ะครับ”

“นอกจากนี้เคยอยากเป็นอย่างอื่นบ้างไหม”

“อืม…” แพทริคทำท่าคิด “ถ้าความฝันตอนเด็กๆ ผมเคยอยากเป็นนักแข่งรถมอเตอร์ไซค์นะ งานอดิเรกสมัยเรียนผมชอบแข่งกับเพื่อนในสนาม บางทีก็ขับออกทริปเป็นกลุ่ม แต่แม่ผมกังวล เธอบอกว่าอันตราย ผมเลยเลิกเพื่อให้แม่สบายใจ อีกอย่างก็มองว่าเอาเป็นอาชีพประจำไม่ได้”

“น่าเสียดาย” อเล็กซ์พึมพำ “ความรู้สึกตอนสายลมปะทะมันรู้สึกเป็นอิสระดีมากเลย”

“ใช่ครับ คุณก็ชอบเหรอ?”

“เรียกว่าหลงใหลเลยล่ะ” อเล็กซ์หัวเราะ ดูชอบใจที่ได้คุยกับคนที่มีความชอบเดียวกัน “แต่ช่วงนี้พักอยู่ พอดีร่างกายไม่เอื้ออำนวยนิดหน่อย”

“ฉันกำลังจะถามเลย” ผมเกริ่น มองหน้าอเล็กซ์ จากนั้นไล่สายตามองข้อมืออีกฝ่ายที่พันผ้ายืดไว้จนเกือบถึงข้อศอก “แขนเจ็บเหรอ เห็นขยับตัวหยิบอะไรไม่ถนัดตั้งแต่ต้นแล้ว”

“ใช่ ให้ตายเถอะ ถ้านายรู้ว่ามันเกิดเพราะอะไรจะต้องบอกว่างี่เง่าแน่ๆ”

“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

ผมถามด้วยความสงสัย เท่าที่ผมรู้จัก อเล็กซ์ไม่ใช่คนซุ่มซ่าม

“ตอนไปซ้อมยิงปืนที่สนามน่ะ” เจ้าตัวเล่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้เดินไม่ดูทางมาชนฉันเข้าเต็มๆ ข้อมือเลยกระแทกขอบกระถางต้นไม้แถวนั้น เจ็บร้าวขึ้นมาเกือบถึงศอก”

อเล็กซ์พ่นลมหายใจหนัก ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มดับอารมณ์หงุดหงิด

“ดีที่เจ็บแค่มือเดียว” ลุงเบอนาร์ดส่ายหัว “ไม่รู้จักระวังตัวเองเลย”

“ไม่เอาน่าพ่อ มือข้างถนัดก็ไม่ได้เจ็บสักหน่อย”

“คราวหน้าอาจไม่โชคดีแบบนี้แล้วนะอเล็กซ์” แม่พูดขึ้นมา “ดูอย่างน้าสิ ถนัดทั้งสองมือ ถ้าข้างไหนเจ็บอีกข้างก็ยังใช้งานได้”

“พระเจ้า นี่เราจะคุยกันเรื่องมือเจ็บต่อหน้าแพทจริงๆ เหรอ เสียบรรยากาศหมด”

“ตามสบายครับ ผมไม่คิดมากอะไร” แพทริคปฏิเสธ “แต่แนะนำว่าช่วงนี้งดใช้ข้อมือข้างที่เจ็บนะครับ กล้ามเนื้อจะอักเสบเอา ถึงจะดูเหมือนไม่เป็นอะไรมากก็เถอะ”

“ขอบใจมาก ฉันจะระวัง”

อเล็กซ์พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย อีกฝ่ายดูชอบแพทริคมากทีเดียว แม่กับลุงเองก็มีท่าทีที่ดี ผมรู้สึกโล่งใจอีกครั้ง ว่ากันตามตรง ไม่ใช่แค่แพทริคที่กังวล ผมเองก็กังวลเหมือนกันว่าครอบครัวตัวเองจะเข้ากับแพทริคได้ไหม ในเมื่อพวกเราค่อนข้างอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ต่างกันพอสมควร

ผมกังวลมาก แน่ล่ะ...ใครๆ ก็อยากให้ครอบครัวเข้ากับคนที่ตัวเองชอบได้ แต่ถ้าผมแสดงอาการออกมา แพทริคคงสติแตกมากกว่าเดิม ผมเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเลยต้องเก็บอาการเพื่อเป็นหลักให้แพทริครู้สึกสบายใจ เจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ทำได้ดีในสถานการณ์ที่เขารู้สึกวางใจ ผมอยากให้เขาวางใจผม

และแพทริคไม่ทำให้ผมผิดหวัง เขาทำได้ดีทีเดียว


“ขอบคุณที่มาพบพวกเรานะ ถ้าฉันทำอะไรให้เธออึดอัดต้องขอโทษด้วย”

“ไม่เลยครับคุณเบล”

“น้าเบลจ้ะ” แม่แก้คำ “ฉันบอกเธอกี่ทีแล้วแพทว่าอย่าเรียกกันห่างเหินแบบนั้น”

“ขอโทษครับ ผมยังไม่ชินเท่าไหร่” เขาหัวเราะเบาๆ “จะพยายามเรียกให้ชินนะครับน้าเบล”

“ไม่ต้องเกร็งไป พวกเราใจดีกว่าที่เธอคิด” ลุงเบอนาร์ดหัวเราะหึๆ

“ว่างๆ แวะมาอีกได้นะ คุยกับนายสนุกดี”

“แต่ตอนนี้ขอพาแพทกลับก่อนนะครับ” ผมโอบไหล่เจ้าแมวยักษ์ แพทริคหันมา เขายิ้มให้ผม “ค่ำแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาต้องไปทำงานอีก กลัวจะพักผ่อนไม่พอ”

“โธ่เซ็บ ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ”

“อย่าเถียง”

“โธ่…”

“ฮ่าๆ น่ารักกันจริงๆ พวกนาย” อเล็กซ์เอ่ยแซว

“เดินทางปลอดภัย” แม่บอก สายตาเหลือบมองด้านหลังผม ตอนนี้พวกเรายืนอยู่หน้าบ้าน แม่กับลุงและอเล็กซ์ออกมาส่งพวกเรา “เห็นลูกยอมมีบอดี้การ์ดแบบนี้แม่ก็เบาใจ”

“อย่าพูดถึงพวกเขาเลยครับ” ผมกลอกตา หงุดหงิดเมื่อนึกถึงคำขู่ของพ่อที่ฝากมากับแมทธิว

“เชื่อแม่เถอะ แบบนี้ดีแล้วล่ะ”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับ หันไปทางแพทริค “กลับเลยนะ?”

“ได้ครับ” เขาตอบรับ จากนั้นถึงบอกลาทุกคน “ขอตัวกลับก่อนนะครับ ขอบคุณที่ต้อนรับผมอย่างดี”

แพทริคค้อมหัว จับมือลุงเบอนาร์ดกับแม่เป็นการกล่าวลา เมื่อถึงตาอเล็กซ์ เจ้าแมวยักษ์รีบเปลี่ยนมือเป็นอีกข้างทันทีที่เห็นอเล็กซ์ยื่นมือออกมา ผมเห็นอเล็กซ์ยิ้มให้เขา แววตาเป็นประกายวาว

และผมเริ่มหวงขึ้นมาเล็กน้อย

ร่ำลากันเรียบร้อย ผมกับแพทริคหันหลังเดินแยกออกมา สวนกับชายคนนึงในชุดสูท แพทริคเกือบเดินชนเขาเนื่องจากเอาแต่มองหน้าผมไม่ยอมมองทางเดิน

“ระวังหน่อย” ผมดุเจ้าตัวยุ่ง ก่อนเหลือบตามองชายคนนั้น “ขอโทษด้วย ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ?”

“ไม่ครับคุณเซบาสเตียน” เขาค้อมหัว ผมคุ้นหน้าอีกฝ่ายว่าเป็นคนของลุงเบอนาร์ด

“ดีแล้ว”

ผมพยักหน้ารับ ดันหลังแพทริคให้เดินนำไปข้างหน้า

“คุณเบอนาร์ดครับ…”

เสียงชายคนนั้นดังแว่วอยู่ด้านหลัง ผมอดหันกลับไปมองไม่ได้…

“เซ็บ?”

“หืม ว่าไง” ผมหันกลับมาเมื่อแพทริคส่งเสียงเรียก เขายิ้มให้

“จับมือผมไม่ปล่อยเลยนะ”

“จับไม่ได้เหรอ” ผมกระชับมือเขา “ไม่อยากปล่อยนี่”

แพทริคอมยิ้ม ไม่ตอบรับ ผมเลยถือว่าเขาอนุญาต


“เป็นไงบ้าง”

ผมถามเมื่อพวกเราออกรถมาได้สักระยะ แพทริคโอดครวญทันทีที่ผมเปิดประเด็น

“ตื่นเต้นแทบตาย หัวใจผมเต้นตุบๆ ไปหมด”

“แต่นายก็ทำได้ดีนะ”

“เพราะมีคุณอยู่ข้างๆ ไงครับ” คนปากหวาน พอมีช่องก็ไม่ปล่อยให้เสียเปล่า ผมยิ้ม ตามองถนนตรงหน้า แต่ก็พอเดาได้ว่าเจ้าแมวยักษ์คงกำลังมองผมและยิ้มหวานอยู่แน่ “คุณเป็นพลังให้ผมจริงๆ นะเซ็บ”

“ตอนแรกนายเกร็งตัวพองขนไม่ยอมออกจากรถด้วยซ้ำ”

“ตอนนั้นผมตั้งตัวไม่ทันนี่ครับคุณ”

“พอตั้งตัวได้ก็คุยจ้อเชียว” ผมอดค่อนแคะไม่ได้ “คุยกับอเล็กซ์ถูกคอจนลืมฉันเลยนะ”

“หืม…” เขาลากเสียง “คุณหึงผมเหรอครับ”

“ไม่รู้ ความหมายเดียวกับหวงหรือเปล่าล่ะ” ผมยักไหล่ “ที่รู้ๆ คือหวงนาย”

“พระเจ้า คุณอย่าเล่นกับใจผมแบบนี้”

“ใจเต้นเหรอ” ผมขำในลำคอ “แรงมากไหม?”

“แทบทะลุจากอก”

ผมหัวเราะกับน้ำเสียงจริงจังติดโอเวอร์ของแพทริค

“อาทิตย์หน้าฉันมีบรรยายงานวิชาการที่มหาวิทยาลัย จำได้ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่อง “ที่บรรยายคู่กับเมลิน่า”

“อา...จำได้ครับ”

“ถ้าว่างก็มาฟังได้นะ เป็นงานเปิด คนนอกเข้าได้แต่ต้องสำรองที่นั่ง แต่ถ้าไม่อยากฟังก็เดินเล่นตามบูธข้างในได้ พวกนักศึกษาตั้งบูธกิจกรรมสนุกๆ เยอะแยะ”

“อืม ผมดูก่อนนะครับ ไม่แน่ใจว่าขอลาได้หรือเปล่า”

“ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

“แต่ผมอยากไปนะ” แพทริครีบพูด ผมเหลือบมองเขา “เดี๋ยวคุณโดนแย่งไปทำยังไง”

“ใครจะแย่ง?”

“เมลิน่า”

“เด็กขี้หวง” ผมหัวเราะในลำคอ “ตอบแบบไม่คิดเลยนะ”

“ไม่รู้ล่ะ ผมขอไปคุมคุณหน่อยเถอะ จะได้รู้ว่าคุณมีเจ้าของแล้ว”

“นายก็มีเจ้าของแล้วเหมือนกัน”

“รู้ครับ รอคุณจับใส่ปลอกคออย่างเดียวเนี่ย”

“ถูกจับใส่นานแล้วไม่รู้หรือไงแพท”

“หือ?”

“ตั้งแต่นายเดินเข้ามาในโลกของฉัน ฉันก็จับนายใส่ปลอกคอ ไม่อนุญาตให้ออกไปแล้วแพท ยังไม่รู้ตัวอีก”

แพทริคเงียบไปอึดใจ ก่อนเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ หางตาผมเห็นเขาขยับตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ วินาทีต่อมา ปลายจมูกของแพทริคก็กดลงบนแก้มผม

“ถึงอนุญาตผมก็ไม่ออกครับ”

ผมนึกสงสัยว่าเราจะชอบใครมากขึ้นกว่าเดิมทุกวันได้ยังไง

และแพทริคทำให้ผมเข้าใจคำตอบของคำถามนั้น


_________________________________________________________

บทนี้พามารู้จักครอบครัวเซ็บทางฝั่งคุณแม่บ้าง แค่นี้เจ้าแมวก็เกร็งตัวพองขนแย่แล้ว ถ้าไปเจอซีมอนนี่คงช็อกตัวแข็ง 555

ฝากส่งฟีดแบ็กด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ #คุณผู้มากับสายฝน

หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 18 [28-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 28-09-2018 23:16:52
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 18 [28-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-09-2018 01:02:02
อุบัติเหตุจริงรึเปล่า  :hao4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 18 [28-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 29-09-2018 02:24:30
กินกันไม่ลงจริงๆเลยคู่นี้ หยอดกันไปมา คนที่เขินจนตัวบิดคือทางนี้ อ๊ายยยย :-[
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 18 [28-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 29-09-2018 06:12:14
แพทริคนิสัยน่ารัก ใครๆได้รู้จักก็เอ็นดูทุกคน เจ้าแมวยักษ์ของเซ็บ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 18 [28-09-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 30-09-2018 13:51:46
 ลูกๆทำอะไรก็รู้เห็นไปซะหมดสมกับเป็นพ่อเสือ
และเรารู้สึกถึงความห่วงใยจางๆจากพ่อล่ะ

นี่รู้สึกว่าคุณเซ็บเปิดใจกับแพทมากขึ้นมากๆ
มีพูดคุย หยอกล้อ หึง แถมยังจะมาทำให้หวงด้วย
เราแพ้คุณเซ็บโหมดแบบนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 19 [03-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 03-10-2018 21:22:24


Chapter 19

Private Number



“ให้เข้ามาเลยครับ ขอบคุณ”

เอลตัน มิลาโนกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ตั้งโต๊ะ หลังเลขาติดต่อเข้ามาว่ามีคนขอพบ เขาวางมือจากเอกสาร จัดสูทให้เรียบร้อยและนั่งหลังตรงเตรียมต้อนรับผู้มาเยือน

“สวัสดี”

“สวัสดีครับ” เขาพยักหน้ารับ ลุกยืนผายมือไปทางชุดโซฟารับแขกที่ตั้งอยู่มุมห้อง “เชิญนั่งก่อนครับ”

“เป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีไหม”

“แหม...คุณใจร้อนซะจริง รับกาแฟสักแก้วก่อนเถอะครับ”

“ไม่รบกวนคุณดีกว่า” อีกฝ่ายปฏิเสธ หรี่ตาจ้องหน้าเขาซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม เอลตันยิ้มรับ “ฉันแค่อยากรู้ความคืบหน้าว่าคุณดำเนินการไปถึงไหนแล้ว”

“ทุกอย่างราบรื่นดี” เอลตันยักไหล่ “ผมคุยกับเจ้าของโครงการแล้ว คาดว่าอีกไม่เกินอาทิตย์หน้าจะได้ข่าวดี”

“อย่าชะล่าใจไป ซีมอนไม่น่ายอมปล่อยให้คุณคว้าเนื้อชิ้นโตไปง่ายๆ”

“ผมเองก็คิดอย่างนั้น” เอลตันหน้าเครียดลง สีหน้าครุ่นคิด “ปัญหาที่เราสร้างขึ้นมามันไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่เกินกว่ารอสซ์จะหาทางแก้ไข…”

“แต่เขากลับปล่อยปัญหานี้ไว้”

“ใช่ นี่เป็นจุดเดียวที่ผมไม่วางใจ”

“ฉันถึงบอกว่าอย่าประมาทเสือแก่” อีกฝ่ายถอนหายใจ “ฉันเองก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน”

“เห็นว่ามีคนเข้ามาวุ่นวาย?”

“ใช่ ทุกอย่างผิดแผนไปหมด”

“คุณจะทำยังไงต่อล่ะ” เอลตันถามยิ้มๆ “มันน่าลำบากใจ...ใช่ไหมล่ะ”

“คุณไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องนี้ ฉันจะจัดการเอง”

“ผมช่วยคุณได้นะ ตอบแทนที่คุณ…”

“ฉันไม่ต้องการอะไรตอบแทนจากคุณ” เสียงปฏิเสธเรียบนิ่ง “คุณก็แค่ตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ความต้องการฉันบรรลุผล คุณเองก็ได้ประโยชน์ เราจบกันที่ตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องมีอะไรอีก”

“โอ้ อันที่จริงผมก็ไม่เชิงได้ผลประโยชน์สักเท่าไหร่ ในเมื่อคุณเองก็ปล่อยข่าวทำให้ผมเป็นผู้ต้องสงสัย”

“ไม่มีหลักฐานสืบมาถึงตัวคุณ แค่ข้อสันนิษฐาน ไม่จำเป็นต้องเดือดร้อน”

“แต่ชื่อเสียงผมเสียน่าดู”

“ชื่อเสียงคุณไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์มาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ” อีกฝ่ายพูดกลั้วเสียงหัวเราะ เอลตันหรี่ตาลง รอยยิ้มหายไปจากมุมปาก “ทนกับข้อครหาเพิ่มอีกนิดแลกกับผลประโยชน์น่าจะเป็นสิ่งที่คุณคุ้นเคยนี่”

“ผมถามคุณตามตรงอีกครั้งนะ” เอลตันสบตาคนตรงหน้า “คุณเป็นคนทำใช่ไหม”

“หลักฐานล่ะ?”

เอลตันเงียบ เขาไม่มีหลักฐานอย่างที่อีกฝ่ายร้องขอ เมื่อเห็นเขาเงียบ ผู้มาเยือนก็ถอนใจ มุมปากยกขึ้น รอยยิ้มนั้นคาดเดาไม่ได้ สายตาที่มองมาเหนือกว่า

“รีบเอาโครงการนั้นมาเป็นของคุณซะ ฉันขอตัวก่อน”

ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็ลุกเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เอลตันนั่งอยู่ที่เดิม เขาจ้องบานประตูที่ปิดลง คิ้วขมวดเข้าหากัน วินาทีต่อมาจึงระบายลมหายใจ เขาไม่อยากตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่อีกฝ่ายมีอำนาจต่อรองเหนือกว่า แถมยังมีข้อเสนอน่าดึงดูดใจ วงการนี้มีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา และเอลตันคิดว่าเขาควรลองเสี่ยงให้สุดทาง

ไม่งั้นนอกจากจะโดนรอสซ์เอาคืนแล้ว เขาอาจโดนตระกูลใหญ่อีกตระกูลเล่นงานเอาได้


[Matthew]

ตั้งแต่เด็ก ผมค่อนข้างดื้อเงียบ...เงียบกริบชนิดไม่มีใครจับได้ กว่าจะรู้ผมก็ทำสิ่งนั้นสำเร็จแล้ว และนิสัยนั้นอยู่กับผมมาจนโต พ่อห้ามผมสืบต่อ โอเค ผมไม่หาหลักฐานเพิ่ม แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ศึกษาหลักฐานเก่าที่ได้มาก่อนหน้าให้ละเอียดกว่าเดิม

เช้านี้ผมเพิ่งได้ไฟล์จากกล้องวงจรปิดคอนโดฯ ของแพทริคมาจากเซบาสเตียน หลักฐานชิ้นนี้ไม่ถือว่าผมผิดสัญญากับพ่อ เรื่องมันเกิดก่อนที่พ่อจะขู่ให้ผมหยุด

ผมหมกมุ่นกับมันมากพอสมควร นั่นทำให้ผมพบเบาะแสดีๆ เข้าให้ เมื่อจัดการเทียบกับ ‘คลิปก่อนหน้านี้’ ผมรู้สึกเหมือนเดินมาถูกทาง อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่มองผ่านกลับปรากฏให้เห็นรายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม นี่ทำผมประหลาดใจมากทีเดียว พวกเราเกือบเดินผิดทางกันซะแล้ว

ก๊อกๆ

ผมละสายตาจากจอไอแพดในมือ จัดการปิดไฟล์ทั้งหมดและล็อกหน้าจอ

“เชิญครับ”

ประตูเปิดเข้ามา ผมยิ้มเมื่อเห็นร่างสูงเพรียวของใครบางคน

“แมท”

“ไงครับแม่” ผมทัก “อะไรทำให้แม่บุกมาถึงห้องทำงานผมกันเนี่ย?”

“ต้องให้แม่พูดอีกเหรอ” แม่หรี่ตา ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดยิ้ม “ไปทำเรื่องอะไรเอาไว้ ทำไมไม่บอกแม่”

“พ่อฟ้องแม่หรือไง”

“แค่แจ้งว่าลูกกำลังยุ่งในเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง ให้คอยจับตาดูไว้” แม่แก้คำ แต่ผมฟังแล้วอยากให้แม่ด่าออกมาตรงๆ ดีกว่าหลอกด่า “เฮ้ แมท...แม่ว่าเรื่องนี้ลูกไม่ควรยุ่งจริงๆ”

“ก็เลิกยุ่งแล้วไงครับ” ผมว่ายิ้มๆ “นั่งก่อนไหม ยืนแบบนั้นเมื่อยแย่”

“แม่เชื่อได้เหรอ”

แม่ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ เธอเดินมาหย่อนสะโพกพิงขอบโต๊ะทำงานผม สองมือกอดอก คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยยามทอดสายตามองมา

“แม่ไม่เชื่อผมแล้วจะเชื่อใครครับ” ผมสบตาแม่ ไร้พิรุธใดๆ ผมว่าตัวเองทำได้ดีทีเดียวในสถานการณ์ที่หลักฐานถูกล็อกหน้าจอวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ “แต่แม่ครับ...แม่ไม่สงสัยเหรอว่าทำไมพ่อถึงไม่อยากให้ยุ่ง”

“แม่เคารพการตัดสินใจของเขา”

“เหมือนตอนที่แม่ยอมให้พ่อแต่งงานกับน้าเบล?”

“แมท เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก” แม่กระตุกยิ้มมุมปาก แววตาเรียบนิ่ง “เรื่องในอดีตปล่อยมันไปซะ ในเมื่อปัจจุบันทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทาง”

“แม่เองก็ร้ายเหมือนกันนะครับ”

“แม่แค่มีความอดทน” แม่หัวเราะอย่างพอใจ แววตากลับมาเป็นประกาย “ต้องใช้เวลายี่สิบกว่าปีในการเปลี่ยนจาก ‘มาเรีย เมแกน’ เป็น ‘มาเรีย รอสซ์’ เชียวนะ”

“ถ้าเซ็บมาได้ยินคงไม่พอใจ”

“จะทำให้ทุกคนพอใจไม่ได้หรอก ในเมื่อความสัมพันธ์มันยุ่งเหยิงมาตั้งแต่ต้น” แม่ถอนใจ “เบลกับเซ็บใช้ช่วงเวลาที่ตัวเองพอใจมามากแล้ว มันควรถึงตาแม่บ้าง”

แต่ผมคิดว่าช่วงเวลาของน้าเบลกับเซบาสเตียนมันไม่น่าพอใจเท่าไหร่สำหรับพวกเขาหรอก

“เฮ้อ...ผมว่าเราเปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า” เพราะผมเองก็ลำบากใจเหมือนกัน “เรื่องพ่อน่ะ...ผมคิดว่าที่พ่อไม่ให้ยุ่ง อาจเพราะคนที่ลงมือเป็นคนใน…”

“แมท” แม่กดเสียง “ลูกไม่ควรคิดแบบนั้นนะ”

“เพราะผมไม่สามารถหาเหตุผลข้ออื่นมารองรับได้อีกแล้วไงครับ”

แม่มองหน้าผมนิ่งๆ ระหว่างพวกเรากลายเป็นความเงียบ ผมไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรอยู่ อาจจะคิดตามที่ผมพูดและคล้อยตาม หรือไม่ก็คิดอย่างอื่น...

“อย่าพูดให้พ่อได้ยินเชียว” แม่เตือน “เรื่องจะวุ่นวายกว่านี้”

“ไม่พูดหรอกครับ ก็บอกแล้วว่าจะเลิกยุ่งกับเรื่องนี้”

“ให้จริงเถอะ”

ผมยิ้ม ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แม่ชวนผมคุยเรื่องอื่น ผมเพิ่งรู้ว่านอกจากเรื่องที่พ่อฝากแม่มากำชับ ก็มีเรื่องงานเลี้ยงการกุศลอีกงาน และแม่ต้องการให้ผมออกงานนี้ด้วย

ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ผมค่อนข้างชอบงานเลี้ยงพวกนี้ โดยเฉพาะตอนบังคับ...หมายถึงตอนรบกวนให้แจสเปอร์ผู้ที่เกลียดงานสังสรรค์ไปด้วยในฐานะผู้ช่วย สีหน้าเหม็นเบื่อของเขาทำให้ผมมองเพลินเชียวล่ะ

“อ้อ แม่ครับ”

“อะไรของลูกอีกล่ะ”

“แม่ใช้รองเท้าแบรนด์ Claudia หรือเปล่าครับ”

“ใช่” แม่พยักหน้า ขยับตัวออกห่างแล้วพรีเซนส์บูธส้นสูงหุ้มข้อที่สวมอยู่ให้ผมดู “แม่ชอบดีไซน์น่ะ เป็นเอกลักษณ์ดี หนังที่ใช้ก็นุ่มสบายเท้า ถามทำไมเหรอ?”

“เปล่าครับ”

ผมยิ้ม เงยหน้าสบตาเธอ

“สวยดีครับ :)”


[Patrick]

วันนี้เซบาสเตียนมีบรรยายงานวิชาการที่มหาวิทยาลัย ก่อนวันงานผมรู้สึกว่าเขายุ่งและจริงจังกับหัวข้อบรรยายมากจนไม่กล้าวุ่นวาย แม้จะย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วก็ตาม พอวันงานผมก็ไม่ว่างมาให้กำลังใจเขาอย่างที่อยากทำ ถึงอย่างนั้นเซบาสเตียนก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาบอกว่าคนเราควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองถูกแล้ว

แต่เหมือนเทพเจ้าแห่งความโชคดีจะเข้าข้างผม

คุณลูกค้าที่นัดเทรนกันช่วงบ่ายโทรมาแคนเซิลเพราะติดธุระด่วน นั่นหมายความว่าช่วงบ่ายผมว่าง...อันที่จริงไม่ว่างหรอกถ้านับพวกงานยิบย่อยในฟิตเนสอย่างการตรวจสอบดูแลเครื่องออกกำลังกายหรือพาลูกค้าวอล์กอินให้คำแนะนำต่างๆ ซึ่งให้คนอื่นรับหน้าที่แทนได้

ตอนนี้ผมเลยมาโผล่ที่มหาวิทยาลัยที่เซบาสเตียนทำงาน ผมโทรบอกเขา แต่อีกฝ่ายไม่รับ เดาว่าคงกำลังขึ้นเวทีบรรยายอยู่ในหอประชุม เลยเปลี่ยนเป็นส่งข้อความบอกแล้วเดินเล่นฆ่าเวลา มีบูธน่าสนใจเต็มไปหมด ส่วนมากเป็นของกิน ที่เหลือเป็นบูธกิจกรรมหารายได้เข้าชมรมและบริจาคมูลนิธิต่างๆ

ผมเดินผ่านลานดนตรี เสียงดนตรีบรรเลงสดทำให้ผมนึกถึงช่วงชีวิตสมัยเรียน มันสนุกสนานและเต็มไปด้วยความทรงจำ ผมไม่ได้นัดสังสรรค์กับเพื่อนนานแล้วตั้งแต่เริ่มชีวิตวัยทำงาน แรกๆ ก็มีบ้าง แต่หลังจากนั้นทุกอย่างมันหนักขึ้น ความรับผิดชอบต่างๆ สะสมทำให้เหนื่อยล้าและเลือกกลับห้องพักผ่อนมากกว่า

ผมถูกชีวิตวัยผู้ใหญ่กลืนกิน

ทุกคนถูกกลืนกินเมื่อก้าวพ้นคำว่าวัยรุ่น

“ยู้ฮู มีใครสนใจขึ้นเวทีไหมคะ” เสียงจากนักดนตรีเอ่ยถามผ่านไมค์ “มาสนุกกันเถอะค่ะ”

ผมกระตุกยิ้ม รู้ตัวอีกทีก็เดินไปข้างหน้า ผมสบตาเธอ

“ขอแจมด้วยได้ไหมครับ”


เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ผมคืนไมค์ให้หลังรับหน้าที่เป็นนักร้องจำเป็นจนเสียงเกือบแหบ ลงจากเวทีได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์ดัง ผมหยิบขึ้นมา ชื่อที่โชว์หน้าจอส่งผลให้ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“เสร็จแล้วเหรอครับ”

“โดดงานมาหรือเปล่า” เซบาสเตียนถามเสียงเข้ม ผมอดหัวเราะไม่ได้

“ไม่ได้โดดครับ โชคเข้าข้างทำให้ว่างพอดี”

“อย่าให้รู้ว่าโดดงาน”

“ไม่เชื่อถามลุงมาคัสเลย” ผมโยนไปที่ลุง รีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณอยู่ไหน ผมจะไปหา”

“มาถูกหรือไง”

“อา…” ผมกลอกตา “ไม่ถูกครับ ไม่คุ้นทาง”

“เจ้าแมวโง่” เสียงเข้มเอ็ดปนหัวเราะ “นายอยู่ตรงไหน ดูรอบๆ ตัวแล้วบอกมา เดี๋ยวฉันเดินไปหา”

ผมหันมองรอบตัว พบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าตึกแห่งหนึ่ง ผมอ่านชื่อตึกให้เซบาสเตียนฟัง เขากำชับให้ผมยืนอยู่ตรงนี้นิ่งๆ อย่าวิ่งไปไหนเดี๋ยวจะหลง ผมเริ่มสงสัยว่าในสายตาของเซบาสเตียนตัวเองเป็นยังไง หวังว่าคงไม่ใช่หนูน้อยสี่ขวบใส่หมวกเหลืองสะพายกระเป๋าเตรียมไปโรงเรียนอนุบาลหรอกนะ?

ในระหว่างที่ผมยืนรอเซบาสเตียน โทรศัพท์ก็สั่นอีกครั้ง ผมหยิบขึ้นดู พบว่าเป็นข้อความภาพ เบอร์ที่ส่งมาเป็น Private Number ลางสังหรณ์เตือนว่านี่มันไม่น่าไว้ใจ ผมเลื่อนนิ้วกดเปิดภาพนั้น มันเป็นภาพพ่อกับแม่ที่สวนหลังบ้าน มีทิมมี่วิ่งอยู่ด้านข้าง

“อะไรกัน?”

Rrrrrrr

ผมสงสัยได้ไม่นานก็มีสายเรียกเข้ามาใหม่ มันเป็น Private Number ผมกดรับทันที

“ฮัลโหล”

“เห็นรูปแล้วใช่ไหม” เสียงนั้นแปลกประหลาด เหมือนพูดผ่านเครื่องแปลงเสียง

“นั่นใคร” ผมกดเสียงเข้ม “คุณต้องการอะไร มายุ่งกับครอบครัวผมทำไม!”

“ต้องการอะไร? ลองคิดดูก่อนไหมว่าใครยุ่งเรื่องใครก่อนกันแน่”

อีกฝ่ายทวนคำถาม เสียงหัวเราะในลำคอทำผมหงุดหงิด

“เฮ้แพท?” ผมหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเรียก เซบาสเตียนมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ที่รู้คือเขาขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นหน้าผม “เป็นอะไรหรือเปล่า”

ผมเม้มริมฝีปาก เสียงคนในสายทำให้ผมเริ่มคุมสติตัวเองไม่อยู่

“หึ ถ้าคุณไม่รู้ผมจะบอกให้...”

“คุยกับใครแพท” เซบาสเตียนถาม เขาสังเกตสีหน้าผมแล้วยื่นมือมาข้างหน้า “เอามาให้ฉัน”

ผมส่งโทรศัพท์ให้เซบาสเตียนแต่โดยดี เขากดเปิดสปีกเกอร์โฟนพอดีกับคนปลายสายพูดขึ้นมา

“คุณเฮนเดอร์สัน ถ้าไม่อยากให้พ่อแม่และสัตว์เลี้ยงที่น่ารักของคุณเป็นอันตรายล่ะก็...อย่ายุ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของคุณ ฉันว่าฉันเตือนคุณแล้วนะ”

“แล้วมีใครเตือนแกหรือยังว่าถ้ามายุ่งกับคนของฉันจะเป็นยังไง”

เซบาสเตียนกรอกเสียงตอบกลับ น้ำเสียงเขาเรียบนิ่งแต่เต็มไปด้วยแรงกดดันจนผมยังรู้สึกอึดอัดแทน ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณรอสซ์ ผมนึกแปลกใจว่าทำไมคุณกล้าพูดแบบนั้นทั้งที่ตัวคุณเป็นสาเหตุ”

“อย่ามายุ่งกับแพทริคและครอบครัวเขา”

“ฉันไม่ยุ่งแน่ ถ้าคุณไม่เข้ามาวุ่นวายเรื่องนี้” เซบาสเตียนหน้าเครียดจนผมต้องดึงโทรศัพท์กลับมาแต่โดนยื้อไว้ แถมยังทำตาดุใส่

“คิดว่าขู่แพทเพื่อให้ฉันกลัวจะได้ผลหรือไง”

“...”

“ใช่ มันได้ผล ฉันไม่ปฏิเสธ” เซบาสเตียนว่าเสียงเย็น เขากระตุกยิ้มมุมปาก “แต่อย่าลืมว่ารอสซ์ไม่เคยเป็นเหยื่อใคร ฉันมีกำลังและคนมากพอจะปกป้องคนที่ฉันรักมากกว่าที่แกคิด”

ติ๊ด

แล้วเขาก็ตัดสายไปอย่างไร้เยื่อใย

“เซ็บ ผม…”

“แป๊บนึงนะแพท” เขาคืนโทรศัพท์ให้ผม ก่อนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาโทรออก “ว่างคุยไหมแมท...ดี มีเรื่องอยากให้ช่วย ขอยืมคนของนายหน่อย มันโทรมาขู่แพท พุ่งเป้าไปที่พ่อแม่เขา ส่งคนไปคุ้มกันที เดี๋ยวนี้เลย ที่ G-Village บ้านเลขที่ 162 ถนนเบเวอลีน เขตชานเมือง ใช่ ฝากด้วยแล้วกัน ขอบใจมาก”

“เซ็บ…”

“ขอโทษนะ” เขาสบตาผม วางมือบนหัวผมก่อนลูบเบาๆ “นายเดือดร้อนเพราะฉันตลอด คราวนี้มันลามไปถึงครอบครัวนายด้วย”

“ผมเป็นห่วงพ่อกับแม่”

“ฉันรู้ ฉันส่งคนไปคุ้มกันแล้ว นายไม่ต้องห่วงนะ” เซบาสเตียนปลอบผม “เรื่องนี้ฉันมีส่วนรับผิดชอบ นายอย่าเกรงใจ”

“ผมขอโทรหาแม่แป๊บนึงนะครับ”

ผมต่อสายหาแม่ พูดคุยกันสักพักจนแน่ใจดีว่าสถานการณ์ที่บ้านตอนนี้เป็นปกติไม่มีอะไรผิดสังเกต ผมไม่อยากบอกให้แม่กังวล เลยได้แต่บอกว่าคิดถึงและเป็นห่วง กำชับให้ดูแลตัวเองดีๆ ก่อนวางสาย ผมหวังว่าคนของแมทธิวจะไปทันก่อนที่ฝ่ายนั้นจะลงมือทำอะไร มันอาจจะแค่ขู่เฉยๆ แต่ผมไม่วางใจอยู่ดี

“ขอบคุณนะเซ็บ ผมทำอะไรเพื่อคุณได้บ้างนะ”

“ไม่งอแงสิ เป็นหน้าที่ฉันอยู่แล้ว”

“ผมอยากให้คุณพึ่งพิงผมได้บ้าง” ผมสารภาพ มันเป็นความรู้สึกแย่ที่ซ่อนอยู่ลึกๆ “แต่ผมกลับเป็นฝ่ายพึ่งคุณตลอด เหมือนเป็นคนไม่ได้เรื่องเลย”

“เฮ้ มานี่มา” เซบาสเตียนเดินนำผมไปนั่งที่เก้าอี้ใต้ตึก ตรงนี้เงียบสงบเพราะส่วนใหญ่อยู่กันในงานด้านนอก “นายฟังฉันนะแพท นายไม่ได้พึ่งฉันตลอด มันก็มีเรื่องที่ฉันต้องพึ่งนาย แค่คนละเรื่องเท่านั้น คนเราสามารถเป็นที่พึ่งพาได้ทุกคนนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง บางเรื่องเราเข้มแข็ง เราให้คนอื่นพึ่งได้ บางเรื่องเราอ่อนแอ เราก็ต้องพึ่งคนอื่น ฉันที่กลายเป็นฉันในตอนนี้ก็เพราะนาย ดีขึ้นกว่าเดิมก็เพราะนาย เพราะฉะนั้นเลิกน้อยใจได้แล้วเข้าใจไหม”

ผมสบตาเขา ความรู้สึกถูกปลดล็อกจากคำพูดของเซบาสเตียน

“ขอบคุณนะครับ”

“ขอบคุณนายเหมือนกันที่อยู่ข้างๆ”

“วันนี้คุณหล่อจัง” ผมยิ้ม ลบความกังวลออกจากใจ ไล่สายตามองชุดสูทที่เขาสวม แถมยังเซ็ตผมด้วย เซบาสเตียนดูภูมิฐานและโดดเด่นมาก “สาวๆ มองเยอะแน่เลยใช่ไหม”

“พอตัว”

“เซ็บคะ” เสียงใสดังขึ้น ผมเงยหน้ามองแม้ไม่ได้ถูกเรียกเอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงมาทางพวกเรา เธอสวยมาก แต่คนสวยเอาแต่มองไปที่เซบาสเตียน “ฉันตามหาคุณตั้งนาน หลบมาอยู่นี่เอง”

“มีอะไรหรือเปล่าเมลิน่า”

อ้อ เมลิน่าคนนั้น…

ผมหรี่ตาลง

“บอกให้เรียกเมลไงคะ” เธอทำหน้ามุ่ย “ฉันจะมาถามว่าตกลงคุณจะไปปาร์ตี้ตอนเย็นกับพวกเราไหม อาจารย์ในภาควิชาเราไปกันเกือบหมดเลยนะ”

“ผมคงไม่ว่าง”

“เฮ้ ไม่เอาน่า คุณน่าจะสังสรรค์บ้างนะ ฉันอยากให้คุณไป”

“ผมมีนัดแล้วขอโทษที”

“กับใครคะ”

“คนนี้” เซบาสเตียนพาดแขนกับไหล่ผม “ลืมแนะนำให้รู้จัก นี่แพทริค เขาเป็นคนของผมเอง”

“คน...ของคุณ?”

“ครับ เขาเป็นโซลเมตผม”

“...”

“คนรักของผมเอง”

ผมหันมองเขาทันที เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำยืนยันสถานะจากปากของเซบาสเตียน เมลิน่าเงียบไป ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังตกใจหรือเป็นอะไร รู้แค่ตอนนี้หัวใจผมเต้นแรง

มันเต้นแรงเกินไป

ถ้ามีอะไรที่ชัดเจนกว่าสถานะของพวกเรา

ก็คงเป็นเสียงหัวใจผมนี่แหละ


______________________________________


แจ็ค ทอล์ก

คุณเซ็บจะเป็นหลัวสำหรับเราตลอดกาลและตลอดไปค่ะ 555

มาอัปก่อนกำหนดเพราะวันเสาร์-อาทิตย์นี้ออกไปข้างนอกค่า กลับมาดึกเหมือนเคย เลยมาอัปไว้ก่อนดีกว่า ตอนนี้เขียนตุนไว้ถึงบทที่ 21 แล้ว จะทยอยอัปให้เรื่อยๆ นะคะ

จริงๆ ก็ใกล้จบแล้วค่ะ อีกประมาณ 5 บทจบ ฮือออ ใจหายมากค่ะ อยู่กันมาตั้งนาน ยังไงขอฝากทุกคนติดตามเรื่องนี้ไปจนจบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

#คุณผู้มากับสายฝน

หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 19 [03-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 03-10-2018 22:24:21
คุณเซ็บหล่อจังเลย พอรู้เรื่องปุบสั่งการทันที มีคนลึกลับโผล่มาอีกแล้ว แม่แมทก็น่าสงสัย ทำไมถามแม่เรื่องรองเท้า ปมน่าสงสัยไปหมดืขอบคุณมากค่ะคุณแจ็ค รอตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 19 [03-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-10-2018 22:38:49
 :ruready :ruready :ruready
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 19 [03-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-10-2018 06:27:03
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 19 [03-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: u_cosmos ที่ 04-10-2018 20:59:40
จบตอนนี้ต้องขอยืมคำของแพทริคมาพูดเสียหน่อยค่ะ
“คุณ(เซ็บ)เท่ที่สุดเลย”
ไม่มีคำไหนจะมอบให้แล้ว หลัวในใจ หลัวในฝันจริงๆอ่ะ

ผู้ต้องสงสัยเต็มไปหมด คราวก่อนก็คนที่บ้านแม่คุณเซ็บ คราวนี้ก็คนที่บ้านพ่อ
ไม่รู้จะเพ่งเล็งใครดี
แต่....ถึงแม้เรื่องจะเริ่มเข้มข้นสักแค่ไหน ความละมุนของคุณสองคนก็ไม่ได้ลดลงเลยสักนิด
เป็นห่วงหัวใจเจ้าแมวยักษ์มากๆ กลัวทำงานหนักเกินไป >///<
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 19 [03-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-10-2018 10:31:43
ชัดเจนดีจังเซบ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 19 [03-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 06-10-2018 00:39:25
หลงเซ็บจนหาทางออหไม่เจอแล้ววววว โซหลัวจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 19 [03-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 06-10-2018 14:38:23
มาตามเป็น FC คุณเซบบ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 19 [03-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 06-10-2018 18:44:26
ขอบคุณมากค่า ผิดโพแต่ไม่เป็นไรค่า แฮปปี้ :hao7: :hao7: :hao7: :hao6:
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 20 [06-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 06-10-2018 23:13:27


Chapter 20

The last jigsaw piece


[Sebastian]


ยังจำที่ผมเคยบอกว่าอยากดีดนิ้วทีเดียวเหมือนธานอสแล้วแมทธิวสลายเป็นฝุ่นได้ไหม ตอนนี้ความรู้สึกนั้นกลับมาอีก และเป็นอีกครั้งที่ผมเสียดาย ที่มันเป็นได้แค่ความคิด

ผมวางมือจากงานตรงหน้า สื่อการเรียนการสอนยังไม่เสร็จดี ผมยังไม่ได้ตรวจแผนงานที่นักศึกษาส่งมาด้วยซ้ำ แต่แมทธิวที่นั่งกระดิกเท้ายิกๆ อยู่บนโซฟาทำให้ผมต้องวางงานทั้งหมดลงชั่วคราว

“คราวหลังโทรมาบอกก่อนเถอะ”

“ลืมไป ขอโทษที”

“มีเรื่องอะไร” ผมเข้าประเด็น พาตัวเองมานั่งตรงโซฟาเดี่ยวเยื้องกับแมทธิว “รีบคุยรีบเสร็จก่อนแพทจะกลับมา ฉันไม่อยากให้เขารู้อะไรมาก เดี๋ยวจะเดือดร้อนไปมากกว่านี้”

“รู้เพิ่มหรือไม่ ยังไงก็กลายเป็นเป้าไปแล้วอยู่ดี”

“เข้าเรื่องเถอะ”

ผมถอนใจ เหลือบมองนาฬิกา อีกสิบห้านาทีแพทริคจะเลิกงาน ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาจะกลับถึงนี่

“รู้ใช่ไหมที่พ่อสั่งห้ามพวกเราสืบต่อ”

“รู้ ฉันถึงประหลาดใจที่นายกล้ามาหาฉันถึงนี่ ทั้งที่คนของพ่อเฝ้าอยู่รอบคอนโดฯ คอยจับตาดูฉัน” ผมเลิกคิ้ว สบตาแมทธิวที่ไม่ทุกข์ร้อน “ไม่กลัวพวกนั้นรายงานพ่อหรือไง”

“ก็รายงานไปสิ”

“แมท”

“อย่าทำเสียงดุใส่ฉันน่า” เขาโบกมือ “พี่ชายจะมาเยี่ยมน้องชายแปลกตรงไหน นอกจากนี้พวกเขามีหลักฐานไหมล่ะว่าฉันมาหานายด้วยสาเหตุอื่น”

“...”

“ก็ไม่” เจ้าตัวหัวเราะหึๆ “พ่อไม่จัดการฉันถ้าไม่มีหลักฐานมากพอ อีกอย่างฉันก็เลิกสืบหาเบาะแสใหม่แล้ว”

“แต่ไม่ได้หมายความว่านายจะไม่ทำอะไรเลย ฉันพูดถูกหรือเปล่า” ผมแทรกขึ้น “ไม่งั้นไม่กี่วันก่อนนายคงไม่โทรมาบอกว่าเจออะไรดีๆ หรอกนะ”

“อย่างที่นายว่า” แมทธิวยิ้มรับ “ฉันหาเบาะแสใหม่ไม่ได้ เพราะพ่อจับตามองฉันเขม็งเชียวล่ะ แต่พ่อไม่ได้ห้ามให้ฉันทิ้งเบาะแสเก่าๆ สักหน่อย ฉันก็แค่ใช้เวลาว่างพิจารณามันอย่างละเอียดกว่าเดิมเท่านั้น”

“ได้อะไรมั่งล่ะ”

“เยอะกว่าที่นายคาด” แมทธิวหยิบไอแพดวางบนโต๊ะรับแขกตรงหน้า เขาเรียกให้ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ จากนั้นกดเปิดคลิปหนึ่งขึ้นมา “นี่เป็นคลิปจากคอนโดฯ แพททริคที่นายส่งมาให้ สังเกตดูดีๆ นายว่าคนนี้มีลักษณะยังไง”

ผมหรี่ตาพิจารณาคนในคลิป ยอมรับว่าพอได้ไฟล์มาผมเปิดดูแค่ครั้งเดียว ไม่ทันสังเกตอะไรมากเท่าไหร่ ในคลิปเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่นอกอาคาร มุมค่อนข้างอับ แต่ก็มองเห็นตัวคนนั้นได้มากพอสมควร เขาสวมเสื้อผ้ามิดชิด เสื้อฮู้ดสีดำแขนยาวสวมทับเสื้อยืดสีขาวตัวในและกางเกงตัวโคร่ง ตัวฮู้ดบังใบหน้า เห็นแค่ปลายคางเล็กน้อย

“พรางตัวขนาดนั้น นายคาดหวังว่าฉันจะตอบอะไร ถ้ารู้จะส่งไปให้นายช่วยคิดหรือไง”

“ตอนแรกฉันก็คิดเหมือนนาย แต่ดูนี่” แมทธิวเลื่อนความเร็วคลิปไปข้างหน้าแล้วกดหยุด เขามองหน้าผม มุมปากยกยิ้ม “มันเป็นจังหวะที่ลมพัดมาพอดี นายสังเกตเสื้อที่เขาใส่”

ผมหรี่ตามองตามที่แมทธิวชี้แนะ ความจริงบางอย่างเริ่มปรากฏ ผมเลื่อนคลิปถอยหลังแล้วกดเล่นเพื่อดูภาพเคลื่อนไหวให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง จังหวะที่ลมพัดทำให้เสื้ออีกฝ่ายแนบไปกับลำตัว ส่วนโค้งนูนปรากฎเด่นชัด

“เป็นผู้หญิง?”

“หน้าอกชัดขนาดนั้น”

“คิดถูกจริงๆ ที่ให้คลิปนายไปจัดการ” ผมสบตาแมท “คนเจ้าชู้อย่างนายสายตาไวกับเรื่องพวกนี้”

“นี่ชมหรือเปล่า”

“แล้วแต่จะคิด” แมทธิวกลอกตาเมื่อผมตอบปลายเปิด “แล้วยังไงต่อ นายเลยพิจารณาเรือนร่างเธอจนละเอียดเลยล่ะสิ?”

“อย่าพูดให้ฉันดูเหมือนโรคจิตน่า” แมทธิวพ่นลมหายใจ “แต่ก็ใช่ พอฉันเห็นว่า ‘เธอ’ เป็นผู้หญิงเลยลองดูรายละเอียดอื่นๆ อย่างพวกโครงร่าง ส่วนสูง ช่วงไหล่ ท่าทางการเดินพวกนี้ด้วย และค่อนข้างมั่นใจว่าเธอเป็นผู้หญิงแน่ๆ”

“ฉันกำลังคิดอะไรบางอย่าง” ผมลูบปลายคางตัวเอง หรี่ตาจ้องภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอไอแพด

“บางอย่างที่นายคิดคืออะไร”

“เธอคล้ายจะถนัดมือซ้าย” ทั้งการยื่นจดหมายให้เด็กคนนั้นหรือแม้กระทั่งท่าทางการชี้มือ ส่วนใหญ่เป็นมือซ้ายทั้งนั้น ผมไม่อยากปักใจมากเกินไป แต่คนเราถ้าถนัดมือข้างไหนมักใช้ข้างนั้นบ่อยกว่าอีกข้างไม่ใช่หรือไงกัน

“เยี่ยม เพราะสิ่งที่นายคิดตรงกับสิ่งที่ฉันคิด”

“นายกำลังจะบอกว่าคนส่งจดหมายขู่แพทกับคนที่ยิงพ่อเป็นคนเดียวกัน” ผมเลิกคิ้ว “มือปืนเป็นผู้หญิงงั้นเหรอ”

“คาดไม่ถึงสินะ”

“นายแน่ใจมากแค่ไหนแมท”

“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์”

“อีกสิบเปอร์เซ็นต์ล่ะ”

“กันไว้เผื่อสันนิษฐานผิดจะได้ไม่หน้าแตกมาก” เขาตอบหน้าตาย กดปิดคลิปที่เปิดอยู่ เปลี่ยนเป็นอีกคลิป มันเป็นคลิปที่พ่อผมถูกลอบยิง “เดี๋ยวจะหาว่าฉันคิดไปเอง นายลองสังเกตมือปืนคนนี้ดู ช่วงไหล่แคบมาก ถ้าเป็นผู้ชายจะกว้างกว่านี้ ถึงจะเป็นผู้ชายที่ตัวเล็กขนาดไหนก็เถอะ แล้วจังหวะที่ยกปืนยิง...”

แมทธิวกดหยุดคลิปทำให้ภาพหยุดค้างตรงที่อีกฝ่ายยืดแขนไปด้านข้าง แขนเสื้อแจ็คเก็ตสีดำที่สวมร่นขึ้นจากข้อมือขึ้นไปเล็กน้อย

“นายเห็นข้อมือนั่นไหม เล็กอย่างกับอะไรดี แถมมือที่สวมถุงมือนั่นอีก”

“เหมือนมือผู้หญิงจริงอย่างที่นายว่า” ถ้าหากเธอไม่สวมถุงมือพรางเอาไว้แต่แรก พวกเราคงเอะใจเร็วกว่านี้ “แต่นายแน่ใจได้ยังไงว่าผู้หญิงสองคนนี้เป็นคนเดียวกัน”

“สัญชาตญาณ”

“เราใช้สัญชาตญาณเป็นหลักฐานอ้างอิงไม่ได้นะแมท”

“ล้อเล่นน่า” แมทธิวโบกมือไปมา คราวนี้เขาเปิดสองคลิปขึ้นเทียบกัน “นายเห็นรองเท้าบูธที่มือปืนสวมไหม”

“เห็น ทำไม”

“ทรงรองเท้าคล้ายทรงผู้ชาย แต่จริงๆ นั่นน่ะเป็นรองเท้าผู้หญิงแบรนด์ Claudia จุดเด่นของแบรนด์นี้อยู่ที่ดีไซน์รองเท้าที่เหมือนผู้ชาย แต่ถ้านายสังเกตดีๆ ตรงส้นรองเท้าจะเป็นส้นสูงแบบผู้หญิง ในคลิปนี้อาจเห็นไม่ชัด แต่ถ้าดูอีกคลิปนายจะเห็นชัดกว่านี้ พอลองมาเทียบ ฉันเลยสันนิษฐานว่าอาจเป็นคนเดียวกัน”

“เราเกือบไปผิดทาง” ผมรำพึงกับตัวเอง

“ฉันมีอะไรที่เด็ดกว่านั้น”

“อย่าอมพะนำแมท” ผมถอนใจ “บอกมาให้หมด”

“จำรายชื่อคนที่ไปซื้อยางรุ่นพิเศษนั้นได้ไหม”

“ที่นายไปบังคับข่มขู่ขอเขามา”

“เรียกว่าขอความร่วมมือดีกว่า” แมทธิวแก้คำ เขากระแอม เปิดไฟล์รายชื่อขึ้นมา ชี้ให้ผมดูรายชื่อหนึ่งในนั้น “ตอนแรกฉันไม่ทันเอะใจ จนกระทั่งเมื่อวานฉันออกไปพบลูกค้ารายใหญ่ ขากลับระหว่างทางเจอคนนี้มากับ…”

แมทธิวเล่าให้ผมฟังก่อนเปิดรูปที่แอบถ่ายให้ดู ผมจ้องรูปบนหน้าจอไอแพดนิ่ง ไม่รู้ควรจะพูดอะไรออกไปหาก ‘คนๆ นั้น’ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้จริง

“มั่นใจมากแค่ไหนแมท”

“บอกแล้วไงว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์”

“...”

“และอาจเป็นเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ถ้านายฟังสรุปข้อสันนิษฐานของฉันทั้งหมด” แมทธิวเงียบไปครู่หนึ่ง เขาสบตาผม ถอนใจแผ่วเบา “อยู่ที่ว่านายพร้อมรับฟังหรือเปล่า”

ผมเงียบ คิดหนักกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ มันมีแนวโน้มเป็นจริงเกินครึ่ง

“บอกมาเถอะ ฉันพร้อม”

แมทธิวยิ้ม เขาตบบ่าผมหนักๆ ข้อสันนิษฐานทั้งหมดถูกนำมาต่อกันจนจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายในทีแรกเป็นรูปเป็นร่าง ขาดเพียงคำสารภาพจากปากคนร้าย

จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายจึงจะถูกต่อครบโดยสมบูรณ์

ผมถอนใจ ระบายก้อนความอึดอัดทิ้ง กดดูคลิปนั้นอีกครั้ง พิจารณาตรงที่เธอยืนอยู่และสังเกตอะไรได้อีกอย่าง มันเป็นสิ่งเล็กๆ ที่ผมมองข้ามไป ไม่สิตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าคนร้ายคือ ‘ใคร’ แต่ตอนนี้ผมคิดว่ารู้ และอะไรเล็กๆ น้อยๆ นี่อาจช่วยผมยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่

ผมขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าป่านนี้หลักฐานจะถูกทำลายหรือยัง

“ฉันคงต้องไปพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

ผมพูดกับตัวเอง แมทพยักหน้ารับ พวกเราจมอยู่กับความคิดตัวเองหลังจากนั้น


“คุณไปไหนมาน่ะเซ็บ ผมกลับมาไม่เจอ โทรไปก็ไม่รับ”

แพทริคถามเมื่อผมกลับถึงห้อง ผมลังเล ไม่แน่ใจว่าควรบอกดีหรือไม่ แต่พอเห็นสายตาเป็นกังวลของแพทริคก็ใจอ่อนยวบ ในสถานการณ์แบบนี้ ผมดันหายตัวไปแถมไม่รับสายแพทริค ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ผมยังไม่มีบอดี้การ์ด เขาคงเป็นห่วงผมมากกว่านี้แน่

“จัดการธุระนิดหน่อย นายกลับมานานหรือยัง ไปอาบน้ำก่อนไป” ผมเดินไปที่ตู้เย็น หยิบเบียร์ออกมากระป๋องนึง เดินมาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาก่อนเปิดมันดื่ม

“คุณหายไปตั้งนาน ผมอาบแล้ว เปลี่ยนเป็นชุดนอนนี่คุณไม่สังเกตเลยเหรอ” เขาถาม แหงล่ะ ผมรู้ตัวดีว่าตอนนี้ไม่มีสติจะสังเกตอะไร แพทริคเดินเข้ามากอดผมจากด้านหลัง ปลายจมูกโด่งกดลงข้างแก้ม เจ้าแมวยักษ์หอมแก้มผมดังฟอดแล้วคลอเคลียอยู่แบบนั้น “คุณก็ตัวหอม”

“หอมที่ไหน เพิ่งกลับมา ยังไม่ได้อาบน้ำ”

“อาบด้วยกันไหมครับ”

“ไหนใครบอกว่าอาบแล้ว” ผมเอี้ยวคอมองเขา เจ้าแมวยักษ์ยิ้มเผล่ แววตาเป็นประกาย “เป็นแมวเจ้าเล่ห์เหรอเรา?”

“อาบแล้วก็อาบอีกได้นะครับ”

“ถ้าอยากเปียกอีกรอบ ฉันว่านายเอารองเท้าไปซักเถอะ ทิ้งให้เปื้อนมาหลายวันระวังจะซักไม่ออก” ผมพูดถึงรองเท้าผ้าใบของแพทริค วันที่ย้ายของออกจากคอนโดฯ เจ้าแมวยักษ์ตัวนี้ซุ่มซ่ามเดินไปโดนสีบนทางเท้าที่ทางคอนโดฯ ให้ช่างมาทาใหม่ รองเท้าสีขาวที่ปกติมอมแมมอยู่แล้วเลยมีรอยเปื้อนสีเหลืองเพิ่มขึ้นมาอีกจนได้

“โธ่ เดี๋ยวผมซักน่า แต่อาบน้ำกับผมก่อนนะๆๆ”

“ไม่ล่ะ เสียใจด้วยแพท” ผมปฎิเสธ หลังจากนั้นเจ้าแมวยักษ์ก็ส่งเสียงหง่าวๆ โวยวายไม่หยุด เขาเดินอ้อมมาทิ้งตัวนั่งข้างผม เกยคางกับไหล่ จ้องผมด้วยดวงตาสีฟ้าคู่สวย “คิดว่าอ้อนแล้วฉันจะใจอ่อน?”

“ก็ต้องลองดู”

“มั่นใจในตัวเองเกินไปหรือเปล่า

“ผมน่ารักนะ คุณจะไม่ใจอ่อนจริงๆ เหรอ”

“ดื่มไหม” ผมยื่นเบียร์กระป๋องที่ดื่มอยู่ไปทางแพทริค เปลี่ยนเรื่องซะ จะได้ไม่เผลอใจอ่อนไปกับลูกอ้อนของอีกฝ่าย

“อยากดื่มจากปากคุณ”

“อ๋อ ให้ฉันพ่นใส่หน้านาย?”

“ไม่โรแมนติกเลยคุณ” แพทริคงอแง ผมอดไม่ได้ บีบจมูกเขาไปแรงๆ ทีนึง “อื้อ! เจ็บนะครับ”

“สมควรโดนแล้ว”

“โธ่” เขาผละตัวออกห่าง ลูบจมูกตัวเองป้อยๆ ผิวขาวพอโดนแตะแรงนิดหน่อยก็แดงจัด แพทริคจมูกแดงแจ๋เหมือนกวางเรนเดียร์ ผมอดหัวเราะไม่ได้ “หัวเราะผม ชอบใจ ให้ผมฟัดคุณบ้างดีไหมฮึ?”

“อย่าดื้อกับเจ้าของ”

“ถ้าดื้อแล้วคุณจะไม่รักเหรอ”

ผมยกเบียร์ขึ้นดื่ม แกล้งเว้นช่วงให้เจ้าแมวยักษ์กระสับกระส่ายเล่น ดวงตาสีฟ้าสั่นไหว เขาดูลุ้นกับคำตอบผมจนทนแกล้งต่อไม่ไหว แพทริคคงไม่รู้ตัวว่าเป็นคนที่น่าเอ็นดูมากแค่ไหน

“รักสิ”

ผมยื่นหน้าไปใกล้ ทาบมือกับแก้มเขา แตะริมฝีปากจูบเจ้าตัวดีเบาๆ กลิ่นเบียร์ลอยคลุ้งผสมกลิ่นมิ้นต์จากริมฝีปากอีกฝ่าย คงเป็นลูกอมที่แพทริคชอบอมประจำ ผมค้นพบว่าตัวเองคิดถูกทันทีที่ล่วงล้ำเข้าไปข้างใน ลูกอมเม็ดเล็กกำลังละลาย ผมกวาดต้อนมันด้วยความร้อนจากปลายลิ้น ไม่นานมันก็หายไป รสหวานเย็นติดลิ้นผม แต่ไม่ชัดเจนเท่าความหวานจากริมฝีปากแพทริค

“อื้ม เซ็บ…”

ผมถอนริมฝีปากออก ผิวเนื้ออ่อนที่แนบสนิทผละจากกัน เสียงหอบหายใจดังขึ้น ไอร้อนจากปากเป่ารดคละกัน หัวใจผมเต้นแรง สั่นสะเทือนจนน่าขัน แพทริคสบตาผม แววตานั้นลึกล้ำ เขาขยับหน้าเข้ามาอีกครั้ง จูบผมเบาๆ แล้วผละออก จูบอีกครั้ง และผละออกอีกครั้ง

รสสัมผัสชัดเจน ทุกอย่างตรึงอยู่ในความรู้สึก ริมฝีปากที่แนบสนิท จังหวะที่ถอดถอน เสี้ยววินาทีที่ห่างกันแสนสั้นแต่ความโหยหากลับขยายกว้าง มันแผ่ตัว เติบโตและโอบล้อมผมเอาไว้ ใจกลางความโหยหานั้นคือแพทริค เขาอยู่ตรงนั้นเสมอ

“คุณกำลังกังวลอะไรหรือเปล่า”

“ทำไมคิดอย่างนั้น”

“ไม่รู้สิ คุณแปลกไป” แพทริคกุมมือผมเอาไว้ พวกเราสบตากัน “อยากบอกผมไหม”

“ฉันไม่อยากให้นายถูกดึงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“ผมเต็มใจ”

“ครอบครัวนายเดือดร้อนเพราะฉันด้วย”

“คุณส่งคนคุ้มครองพวกเขาแล้ว” แพทริคสบตาผม แววตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมทำมาก่อน แต่แพทริคทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิด “ผมเชื่อว่าพวกเขาจะปลอดภัย”

“แมทน่ะ” ผมเกริ่น “วันนี้เราคุยกันเรื่องหลักฐานที่ได้มา ทั้งหมดนั่นพุ่งเป้าไปที่คนคนนึง รวมกับข้อสันนิษฐานอื่นๆ แล้วฉันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

“เป็นคนที่คุณรู้จักเหรอครับ”

“อยากให้ไม่เป็น” ผมถอนใจ เอนหัวพิงกับศีรษะแพทริค หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า “ขอยังไม่บอกนายตอนนี้ได้ไหมว่าใคร”

“คุณสะดวกใจค่อยบอกดีกว่าครับ”

“ขอบใจนะ”

“คุณรู้สึกดีขึ้นหรือยัง”

“นิดนึง” ผมยิ้มเล็กน้อย ลืมตาจ้องเพดานห้อง กลัวแพทริคไม่สบายใจ เขาไม่ควรเก็บเรื่องวุ่นวายของผมไปคิดให้ปวดหัว มันเปล่าประโยชน์ “ได้พูดออกไปบ้างมันดีจริงๆ นั่นแหละ”

“อย่างที่คุณบอกผมไง”

“ฉันบอกอะไร?”

“คนเราสามารถเป็นที่พึ่งพาได้ทุกคน แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง” แพทริคทวนความจำให้ผม “คราวนี้ถึงตาผมเป็นที่พึ่งให้คุณบ้างได้ไหม ผมรู้ว่าคุณโตกว่า คุณพยายามรับผิดชอบคนเดียวทุกอย่างเท่าที่ไหว แต่แบ่งเบามันให้ผมบ้างก็ได้ครับ”

“เข้าใจพูดนะ”

“ผมจริงจังนะเซ็บ”

“ฉันรู้แพท ขอบใจนายมาก” ผมตบหลังมือเขา เจ้าแมวยักษ์ยิ้มกว้าง พอใจกับคำชม ถ้าเขามีหูกับหางแมวจริงๆ ป่านนี้มันคงสะบัดไปมาแน่ๆ “แพท ฉันมีเรื่องจะขอนาย”

“ครับ? คุณว่ามาได้เลย”

“สุดสัปดาห์นี้ว่างไหม”

“ทำไมเหรอครับ” เขาเลิกคิ้ว ดูสงสัย “วันเสาร์อาทิตย์ผมหยุดอยู่แล้ว มีอะไรเร่งด่วนหรือเปล่า หรืออยากให้ผมไปที่ไหนเป็นเพื่อน?”

“เซ้นส์นายนี่เร็วดีนะ”

“ครับ?”

“มันเป็นงานเลี้ยงการกุศล ทั้งรอสซ์และเปเรซได้รับเชิญให้ร่วมงานนี้” ผมอธิบาย สบตากับแมวยักษ์ที่มองตาแป๋วตั้งอกตั้งใจฟัง “ปกติฉันไม่ค่อยชอบงานพวกนี้ คนเยอะ น่ารำคาญ ยิ่งงานที่เปิดให้สื่อเข้ามาทำข่าวด้วย…”

“แต่ครั้งนี้คุณจะไป ผมพูดถูกหรือเปล่า”

“ใช่ ต้องไป แม่กับพ่อ…” ผมถอนใจ “เป็นครั้งแรกที่พ่อไม่ได้ออกงานพร้อมแม่ฉัน คราวนี้เขาไปกับน้ามาเรีย ฉันไม่อยากให้แม่รู้สึกแย่เลยจะไปด้วย แต่ก็รำคาญงานพวกนี้”

“อา...เข้าใจแล้ว ผมไปกับคุณได้นะ ถ้าไม่รังเกียจ”

“ฉันจะไปในนามของเปเรซ ถ้านายตกลงฉันจะส่งชื่อให้แม่แจ้งเขาว่ามีแขกของตระกูลไปด้วย”

“ชักประหม่านิดนึงแล้วแฮะ” แพทริคหัวเราะเบาๆ แววตาดูกังวล “ผมต้องไปเช่าชุดก่อน งานมันธีมอะไรครับ สูทธรรมดานี่พอไหวไหม ผมไม่ค่อยได้ออกงานทำนองนี้เท่าไหร่”

“เรื่องชุดไม่มีปัญหา พรุ่งนี้ฉันจะพานายไปห้องเสื้อเจ้าประจำ ถ้าจะตัดใหม่คงไม่ทัน เอาเป็นแก้ทรงให้พอดีกับตัวนายแล้วกัน เดี๋ยวให้เขาจัดรองเท้ามาให้เลือกด้วย เสร็จแล้วค่อยไปทำผมกับร้านประจำฉัน ทุกอย่างฉันจัดการเอง นายมาแต่ตัวและเป็นเด็กดีทำตามที่บอกก็พอ”

“เอ่อ…”

“ที่พูดไปนี่เข้าใจหรือเปล่า ไม่พอใจตรงไหนบอกได้ ช่างที่ฉันคัดมาฝีมือดีที่สุดสมราคา ไม่ต้องกังวลว่าจะออกมาไม่ดี”

“ไม่เซ็บ คือผม…” แพทริคปาดเหงื่อ “มันต้องหรูขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“ก็ไม่หรูเท่าไหร่นี่ ปกติจะตาย”

พอผมตอบไปแบบนั้น แพทริคเหมือนตาเหลือกไปชั่วขณะ เห็นท่าทางของเขาแล้วอดหัวเราะไม่ได้ ผมทาบมือทั้งสองข้างกับแก้มแพทริค ออกแรงขยี้ด้วยความมันเขี้ยว

“ตาเหลือกหมดแล้วเจ้าแมวโง่”

“คุณรวยเกินไป ผมเข้าไม่ถึง” น้ำเสียงอีกฝ่ายคล้ายจะร้องไห้

“ไม่ดีเหรอ เลี้ยงนายได้ทั้งชีวิตเลย”

“คุณรู้ตัวหรือเปล่า พูดแบบนี้เหมือนเสี่ยกำลังจะล่อลวงเด็กเลย”

“ตีสักทีดีไหม เปรียบเทียบอะไรน่าเกลียด”

“ตีด้วยปากได้ไหมครับ แบบนั้นจะยอมเลย”

เจ้าแมวยักษ์ทำเป็นเก่ง เขาเชิดหน้าเถียงสู้ ผมหัวเราะในลำคอ ดูท่าทางผยองพองขนของเด็กดื้อแล้วนึกอยากแกล้งมากกว่านี้ ผมขยับเข้าไปใกล้ เอียงหัวกระซิบข้างหูแพทริคด้วยโทนเสียงแหบพร่า...ใช่ ผมจงใจ

“เรียกฉันว่า ‘แด๊ดดี้’ สิ แล้วนายจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ”

หลังจากนั้นแมวยักษ์ก็ช็อกตัวแข็งอยู่ร่วมนาทีก่อนก้าวหนีฉับๆ เข้าห้องไปทั้งที่ใบหูแดงเถือก


________________________________________________
แจ็ค ทอล์ก

วันนี้เฉลยเพิ่มอีกหนึ่งปม คนร้ายเป็นผู้หญิงค่ะ ฮ่าาาา

วันนี้กลับจากข้างนอกไวค่ะ ไปเลี้ยงรุ่นมา ตอนแรกนึกว่าจะกลับดึก แต่ไม่ดึกเท่าไหร่ เลยมาอัปให้อีกตอน

อ้อ แจ็ค แจ้งนิดนึงค่ะ ในบทที่ 17 แจ็คเพิ่มเบาะแสใหม่ไปครึ่งบรรทัด จะอ่านซ้ำอีกรอบก็ได้นะคะ แต่ไม่อ่านก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะมีพูดถึงในบทนี้อยู่ (แต่ไม่บอกหรอกว่าเบาะแสไหน ฮี่ๆ)

คิดว่าน่าจะอัปจนจบเรื่องภายในเดือนนี้นะคะ ฝากติดตามกันด้วยค่า

#คุณผู้มากับสายฝน
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 20 [06-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 07-10-2018 00:05:03
ไม่นะ อย่าบอกนะว่าคุณแม่คือคนร้าย :serius2:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 20 [06-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-10-2018 00:11:48
ไม่อยากปักว่าใครเป็นคนร้าย ประสบการณ์สอนเรามาว่าเดี๋ยวแหก  :hao7:

ปล. หมันไส้ความแง้วๆ ของแมวยักษ์  :hao5:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 20 [06-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-10-2018 02:59:15
ผู้หญิงก็มีอยู่ไม่กี่คนมั้ยในนี้  :m28:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 20 [06-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 07-10-2018 13:59:59
ไม่นะ อย่าบอกนะว่าคุณแม่คือคนร้าย :serius2:
คิดเหมือนกันเลยอ่ะ..ใจบ่ดี   :mew5:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 20 [06-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: felin_kkr ที่ 07-10-2018 16:30:11
เพิ่งมาอ่านค่ะลุ้นตามจนหยุดไม่ได้เลย
ในหัวนี่คิดตลอดเลย
ขอเดาว่า  คุณอเล็กซ์มีส่วนเกี่ยวข้องค่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 20 [06-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 07-10-2018 20:45:37
เข็มเยนไปทางคุณแม่ แหะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 20 [06-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 07-10-2018 21:26:57
กรี๊ดดด แดดดี้ ที่ไม่ได้แปลว่าพ่อ :o8:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 20 [06-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 09-10-2018 18:37:27
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 21 [13-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 13-10-2018 21:35:58

Chapter 21

Can you answer me?


[Patrick]


วันนี้ผมต้องไปงานเลี้ยงการกุศลเป็นเพื่อนเซบาสเตียน ผมหมดเวลาช่วงเย็นไปกับการปลอบใจตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นเกิน เซบาสเตียนทำตามที่พูดทุกอย่าง ผมไม่ต้องทำอะไร แค่ทำตัวเป็นตุ๊กตาแมวยักษ์ที่ดีให้เขาจับแต่งตัว ไม่กี่วันก่อนนี้เซบาสเตียนพาผมไปหาช่างเสื้อเพื่อวัดตัวแก้สูทและจัดรองเท้าให้เข้าชุดเรียบร้อย

สารภาพว่าตอนแรกที่เห็นราวชุดสูทแบรนด์ต่างๆ แขวนเรียงอยู่ตรงหน้า ผมเกือบหน้ามืด เพราะมีแต่แบรนด์ดังระดับชั้นนำราคาสูงลิบที่ผมไม่กล้าแตะแน่ๆ แต่เหมือนเซบาสเตียนไม่รู้สึกอะไร เขาเดินฉับๆ หยิบตัวนั้นตัวนี้ทาบตัวผมอย่างคล่องแคล่ว พอผมแย้งว่าราคาสูทแต่ละตัวมันแพงเกินไป เขาก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ไล่ผมไปลองรองเท้าต่อ

เผด็จการที่สุดก็คุณเสือดำคนนี้นี่แหละ

“เข้ากับนายดี”

เขาพูดขึ้นหลังพวกเราแต่งตัวและเซ็ตผมเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้ชาย การแต่งตัวใช้เวลาไม่นาน ส่วนคุณสาวๆ นั้นวุ่นวายกันตั้งแต่บ่าย

“อย่าหลอกให้ผมดีใจเก้อนะครับ” ผมแซวเขา เซบาสเตียนเลยดีดหน้าผากผม “เจ็บนะคุณ”

“มั่นใจตัวเองหน่อย นายดูดีมากวันนี้”

“คุณก็เหมือนกันเซ็บ”

ผมไล่สายตามองเซบาสเตียน เขาสวมสูทสีดำสนิทตรงกันข้ามกับผมที่เซบาสเตียนเลือกสูทสีครีมให้ เขาให้เหตุผลว่าผมเหมาะกับสีอ่อน มันขับให้สีผมของผมเด่นน่ามอง

ไม่รู้เคยบอกหรือยังว่าเซบาสเตียนเวลาอยู่ในชุดสูทภูมิฐานแบบนี้มันเหมาะกับเขามาก เขาดูสุขุม มาดนิ่งเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและเท่ในสายตาผมที่สุด ทรงผมถูกเซตเสยไปด้านหลัง ปอยผมสีดำตกละหน้าผากเล็กน้อย ขับให้ใบหน้าคมมีสเน่ห์น่าค้นหามากกว่าเดิม

เขาดูดีเกินไป ทุกคนต้องให้ความสนใจมากแน่

“จู่ๆ ก็หน้ามุ่ย เป็นอะไรหืม?”

“กำลังคิดว่าคนจะมองคุณเยอะไหม”

“ไม่มีใครกล้ามองหรอก ฉันน่ากลัว”

“คุณหล่อจะตาย”

“ปากหวาน แต่ไม่มีรางวัลให้นะ” เขายิ้ม หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเมื่อมีเสียงแจ้งเตือนแอปพลิเคชันข้อความชื่อดัง เซบาสเตียนขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึม

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ?” ผมถามเมื่อเห็นความผิดปกติ เซบาสเตียนเงยหน้า เขาส่ายหัว

“เปล่า รีบไปกันเถอะ”

“ความลับเยอะจังนะครับ”

ผมตัดพ้อ เซบาสเตียนหัวเราะหึๆ เขาตบไหล่ผม ดันให้ออกจากร้านไปขึ้นรถคันหรูที่จอดรอรับอยู่ด้านหน้า งานใกล้จะเริ่มแล้ว ผมสูดหายใจลึก เตรียมเดินเข้าสู่โลกของเซบาสเตียน


“เซ็บ ผมว่าผมตื่นเต้น”

“แค่งานเลี้ยงธรรมดา” เขาพยายามปลอบ

“งานเลี้ยงธรรมดาในโรงแรมที่หรูที่สุด คนเดินผ่านไปมามีแต่คนดัง ไม่ก็ทายาทตระกูลใหญ่ๆ เนี่ยนะครับ?”

“‘จับมือกันไหม นายจะได้เลิกตื่นเต้นสักที”

“เดี๋ยว...นักข่าวเยอะนะครับ” ผมกระซิบ สบตาเซบาสเตียนที่มองมา “ถ้าเขาเอาคุณไปเขียนข่าวเสียหายล่ะ ผมทนไม่ได้หรอกถ้าทำคุณเดือดร้อน”

“ฉันไม่เดือดร้อนสักหน่อย” เขาว่า “แต่ลองเขียนอะไรแย่ๆ เกี่ยวกับนายดูสิ ฉันจะฟ้องให้หมดตัว อย่าทำหน้าอย่างนั้นน่า ฉันไม่ได้ใจร้าย แค่สื่อสมัยนี้เคยตัวมากเกินไป แต่พวกนั้นคงไม่กล้าหรอก ในเมื่อฉันมีทั้งรอสซ์และเปเรซหนุนหลัง”

“ผมไม่ได้ห่วงตัวเองจะโดนเขียนแย่สักหน่อย ห่วงคุณนั่นแหละ แต่ถ้าคุณบอกว่าพวกเขาไม่กล้า งั้น…” ผมค่อนข้างลังเล สุดท้ายก็พูดออกไป “ผมจับมือคุณได้ไหม”

“รอให้พูดคำนี้ตั้งนาน”

เซบาสเตียนกระตุกยิ้ม เขาจับมือผมเอาไว้ ไออุ่นจากฝ่ามือเขาทำให้ผมรู้สึกตื่นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยน้อยลง ผมรู้ว่ามีหลายสายตามองมา แต่ในเมื่อสายตาเซบาสเตียนมีแค่ผม ผมก็จะไม่ใส่ใจสายตาคนอื่นเหมือนกัน

“วันนี้ผมจะเจอพ่อคุณไหมนะ”

“อยากเจอหรือไง” เขากระเซ้า

“สักวันก็ต้องเจอไม่ใช่เหรอครับ ในเมื่อพวกเราคบกันอยู่” ผมกระแอม สถานะนี้ชวนให้เคอะเขินไม่น้อย “แต่ว่ากันตามตรง ตอนนี้ผมค่อนข้างประหม่าเหมือนกัน พ่อคุณน่ากลัวนะครับ ถ้าเกิดเขาไม่ชอบผมนี่เรื่องใหญ่เชียวล่ะ”

“อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เหม็นหน้านายแล้วกัน”

“คุณรู้ได้ไง”

“คิดว่าเขาจะไม่รู้เรื่องของพวกเราเหรอ” เซบาสเตียนย้อนถาม ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ “พ่อรู้ แต่ยังยอมให้ฉันไปไหนมาไหนกับนายแบบนี้เท่ากับว่าเขาไม่ได้ขัดขวาง ไว้ถ้าวันนี้มีโอกาส ฉันจะแนะนำนายให้รู้จักพ่ออย่างเป็นทางการสักที”

“ตื่นเต้นจนเหงื่อออกมืออีกแล้ว”

“อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ” เซบาสเตียนพูดหน้าตาย แต่แววตาแพรวพราว “หรือนายไม่อยากได้ลูกเสือตัวนี้แล้ว?”

“คุณน่ะเป็นพ่อเสือต่างหาก”

แถมยังเป็นพ่อพันธุ์ซะด้วย

“เหรอ ถ้าเป็นพ่อเสือ...เมื่อไหร่นายจะเรียกฉันว่าแด๊ดดี้สักทีล่ะ”

“เซ็บ ผมบอกแล้วไงว่าอย่าเล่นมุกนี้” ผมเม้มปาก ใจเต้นกับมุกอันตรายนั่น “เห็นใจผมบ้างเถอะครับ แทบทะลุจากอกแล้ว”

“เด็กน้อย”

“เฮ้เซ็บ” เสียงเรียกดังจากด้านหลัง พวกเราหันไปพบแมทธิวยิ้มร่าเดินโบกมือมาแต่ไกล ด้านหลังเป็นแจสเปอร์ผู้ช่วยของเขา ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้คุณผู้ช่วยหน้าแข็งตาขวางกว่าปกติ “มาอยู่นี่เอง ฉันเดินหาทั่วงาน โอ้ เฮ้แพท วันนี้ดูดีมากนะ”

“ขอบคุณครับ คุณก็เหมือนกันแมท”

วันนี้แมทธิวอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม ข้างในเป็นเชิ้ตสีดำสนิทปลดกระดุมสองเม็ดบนโชว์แผงอกกว้าง ลุคเขาวันนี้ดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่มีสเน่ห์ร้ายกาจ ผมเห็นสาวๆ มองตามเขาเป็นแถว

“ตามหาฉันทำไม”

“พ่อให้มาตาม” แมทธิวเหล่มาทางผม “บอกให้พาแพทมาคุยด้วยหน่อย อยากรู้จัก”

ผมเหงื่อตกทันทีที่ได้ยิน แต่ทำใจดีสู้

“ผมก็อยากเจอคุณซีมอนอยู่เหมือนกันครับ”

“ถามจริง?” แมทธิวเลิกคิ้ว “ฮ่าๆ ถามไปอย่างนั้นแหละ ตามมาสิ ทางนี้เลย”

แมทธิวเดินนำ ผมสูดหายใจลึกแล้วก้าวตาม เซบาสเตียนเดินอยู่ด้านข้าง เขาลูบหลังผม ตบเบาๆ แล้วเลื่อนมากุมมือผมไว้ ผมบีบมือเขาตอบ ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ผมไม่อยากให้เซบาสเตียนกังวลเรื่องของผมมากเกินไป ความเป็นผู้ใหญ่ของเซบาสเตียนจะทำให้ผมเคยตัวเข้าสักวัน

“เซบาสเตียน”

“สวัสดีครับพ่อ” เซบาสเตียนเอ่ยทักชายสูงวัยที่ยังดูแข็งแรงตรงหน้า ข้างเขาคือหญิงวัยกลางคน ใบหน้าสวยงามกับทรวดทรงสูงระหงทำให้เธอดูอ่อนกว่าวัยมาก “สบายดีนะครับน้ามาเรีย”

“ฉันสบายดี ไม่เจอกันนานเชียว”

“ช่วงนี้งานยุ่งครับ” เซบาสเตียนตอบรับสั้นๆ เขาหันมาทางผม “นี่แพทริคครับ”

“สวัสดีครับ”

“สวัสดี” ซีมอน รอสซ์พยักหน้าให้ผม เขาตอบรับเสียงนิ่งดวงตาสีมรกตจ้องตรงมา แรงกดดันแผ่จากตัวเขาจนผมลอบสูดหายใจ “แพทริค เฮนเดอร์สัน ได้ยินชื่อเธอมานาน ในที่สุดก็เจอกันสักที”

“เป็นเกียรติที่ได้พบคุณเช่นกันครับคุณรอสซ์”

“ไม่ต้องทางการนักหรอก”

“อ่า ครับ”

“ฉันขอตัวก่อนนะคะคุณ” คุณมาเรียพูดขึ้น เธอเหลือบมองผม ริมฝีปากสีแดงสดคลี่ยิ้มก่อนเดินจากไป ผมเดารอยยิ้มเธอไม่ออกว่ามีความหมายอะไร

“เซ็บ” คุณซีมอนเรียกเซบาสเตียน “พ่อขอคุยกับคุณแพทริคเป็นการส่วนตัว”

“พ่อ…”

“เฮ้ มาเถอะเซ็บ” แมทธิวพูดขัด “ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่เป็นไรเซ็บ” ผมยิ้มให้เขา ส่งสายตาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี “เสร็จแล้วเดี๋ยวผมโทรหา ไม่ต้องห่วงนะครับ”

เซบาสเตียนมองผมนิ่งๆ สักพัก เขาถอนใจ เบนสายตาไปทางคุณซีมอน

“อย่าขู่อะไรเขานะครับ”

“คนนี้จริงจัง?”

“ผมจริงจัง”

เซบาสเตียนทิ้งท้ายก่อนหันหลังเดินไปกับแมทธิว ผมรวบรวมความกล้า เผชิญหน้ากับซีมอน รอสซ์ เสือร้ายแห่งวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คนที่ชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสมาพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว

“หาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า”

“ครับ”

เขาเดินนำผมออกจากภายในห้องบอลรูม ระเบียงทางปีกขวาเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพูดคุย มันเงียบสงบทีเดียว

“เครื่องดื่มหน่อยไหม” เขาพยักพเยิดไปทางบริกรที่ถือถาดเครื่องดื่มผ่านมา ผมยิ้มรับ หยิบมาแก้วหนึ่ง ไม่ได้อยากดื่ม แค่ถือไว้แก้เก้อไม่ให้มือรู้สึกว่าง “รู้จักกับเซบาสเตียนได้ยังไง”

“ผมได้ยินเสียงเขาตอนฝนตก” คุณซีมอนเลิกคิ้วขึ้น “ผมเป็นโซลเมตเขาครับ”

“งั้นเหรอ”

“ครับ”

“ลูกชายฉันคนนี้ไม่เชื่อเรื่องโซลเมต” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงแววเยาะหยัน แต่แววตากลับหม่นลง “น่าประหลาดที่เขายอมรับเธอ”

“ผมแค่แสดงออกให้เซ็บเชื่อว่าผมชอบเขาจริงๆ”

“ใจกล้าไม่เลว” เขาจุ๊ปาก หรี่ตาจ้องผม แววตาพิจารณาอยู่ในที “อายุเท่าไหร่”

“ยี่สิบสี่ครับ”

“ยังอายุน้อย” น้ำเสียงแหบต่ำเนิบนาบ ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “คิดว่าจะดูแลลูกชายฉันได้ดีแค่ไหน ไม่ใช่ว่าเป็นภาระให้เซบาสเตียนหรอกนะ? พูดกันตามตรง ฐานะครอบครัวเธออยู่ในเกณฑ์ธรรมดา เธอจะซัพพอร์ตลูกชายฉันได้มากแค่ไหน? ฉันไม่ว่าถ้าพวกเธอจะรักกัน แต่ถ้าทำให้ลูกชายฉันลำบาก...”

เขาเว้นท้ายประโยคให้คิด แววตาที่มองมาเย็นชา ผมเม้มริมฝีปากเมื่อได้ยินคำถามนี้ ไม่แปลกใจถ้าคุณซีมอนจะมองผมเป็นภาระของเซบาสเตียน ผมด้อยกว่าเขาในทุกด้าน เป็นแค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดา ไม่ได้เป็นทายาทตระกูลใหญ่มีอิทธิพลคับฟ้า แต่ว่า…

“ผมอาจเด็กกว่า บางทีผมก็ต้องพึ่งเซ็บจริงอย่างที่คุณว่า แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นภาระเขานะครับ คุณคงไม่รู้ว่าพวกเราเติมเต็มกันและกันมากแค่ไหน ไม่สิ...คุณรู้หรือเปล่าครับว่าเซบาสเตียนต้องการอะไร เขาไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบหรือรวย ถ้าต้องการ เขาจะปฏิเสธทุกอย่างที่คุณพยายามให้เหรอครับ? เซ็บแค่อยากใช้ชีวิตธรรมดา เขาแค่ต้องการคนที่รักเขา และผมเชื่อว่าตัวเองทำหน้าที่นั้นได้ดีกว่าที่คุณคิดแน่ๆ”

ผมพูดรัวจนเกือบหายใจไม่ทัน ทุกความรู้สึกอัดแน่นในใจ ผมไม่ได้กล้าหาญที่ต่อปากต่อคำกับซีมอน รอสซ์ แต่ผมกลัว...กลัวว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างผมจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่เคียงข้างเซบาสเตียน ความกลัวผลักดันให้ผมสู้ และผมไม่เสียใจที่ตอนนี้กำลังยืนจ้องตาสู้กับเสือร้ายแห่งรอสซ์

ซีมอนน่ากลัว แต่ผมกลัวเสียเซบาสเตียนไปมากกว่า

“คิดดีแล้วใช่ไหมที่กล้าต่อปากต่อคำกับฉันแบบนี้”

“ผมแค่อธิบาย”

“รอสซ์ต้องการทายาท นายรู้ใช่ไหม...” ซีมอนว่า ผมเงียบไป “...ว่าตัวเองมีลูกกับเซบาสเตียนให้ฉันไม่ได้”

“...”

“เซบาสเตียนคือทายาทสายตรง สายเลือดจากเขาเท่านั้นที่สามารถรับช่วงต่อได้”

“คุณกำลังจะบอกผมทางอ้อมว่าให้เลิกยุ่งกับเซ็บอย่างนั้นเหรอ”

“ที่ฉันกำลังจะบอกน่ะ…” เขายกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ ดวงตาคมปลาบมองผมไม่ละไปไหน “...เธอสามารถรักกับเซบาสเตียนได้ แต่ฉันเองก็ต้องการทายาท เพราะฉะนั้นเขาต้องมี ‘ภรรยา’ และมีทายาทให้ฉัน ถ้าเธอรับได้ ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไร”

เอาล่ะ ผมคิดว่าเรื่องนี้มันยุ่งเหยิงไปกันใหญ่

และผมเริ่มหมดความอดทนแล้วเหมือนกัน

“ผมขอโทษกับสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปนี้ด้วยครับ” ผมออกตัว สูดลมหายใจเข้าลึก สบตากับซีมอน รอสซ์ผู้น่าเกรงขาม “คุณรู้หรือเปล่า สิ่งที่คุณพูดมาถ้าเกิดขึ้นจริงจะเป็นยังไง? มันจะไม่ต่างจากตอนนี้สักนิด ขอไม่ขยายความนะครับ ผมอาจละลาบละล้วงมากเกินไป แต่ผู้หญิงคนที่คุณจะดึงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในฐานะภรรยาของเซ็บ คุณคิดว่าเธอจะมีความสุขเหรอครับ? ลูกของเธอที่โตขึ้นมาคงไม่ต่างกับเซบาสเตียนในตอนนี้ สับสนกับความสัมพันธ์ในครอบครัวตัวเอง ผมรู้ว่าคุณรู้ดีว่ามันแย่ยังไง ถ้าคุณต้องการทายาท ผมว่ามันมีวิธีที่ดีกว่านั้น วิทยาศาสตร์ก้าวหน้ากว่าที่คุณคิดนะครับ”

ผมหอบหายใจ จ้องตาสู้กับชายสูงวัยตรงหน้า ใบหน้าเขาเรียบตึง แววตาไม่ปรากฎอารมณ์ ผมไม่รู้ว่าซีมอนคิดอะไรอยู่ บางทีคงกำลังคิดกำจัดเด็กปากดีอย่างผมที่บังอาจสั่งสอนเขาก็ได้

“หึ…” ทว่าซีมอนกลับหัวเราะออกมา มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้ม “ต้องชมอีกครั้งว่าเธอเป็นคนใจกล้า”

“ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ผมไม่มีทางให้คุณแยกผมกับเซ็บแน่ๆ คุณจะบงการชีวิตเขาไม่ได้”

“ฟังฉันพูดให้จบก่อน” เขาปราม ผมเลยเงียบไป “แน่ล่ะ สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดฉันรู้ซึ้งถึงผลลัพธ์ของมันดี และฉันไม่คิดจะให้ทุกอย่างซ้ำรอยเดิม”

“เดี๋ยวนะครับ?” ผมขมวดคิ้ว

“ฉันแค่อยากรู้ว่าเธอจะทำอย่างไร ถ้าฉันขัดขวางเธอ มันทำให้ฉันรู้ว่าเธอก็กล้าหาญและกล้าคิดไม่น้อย”

“เอ่อ ผม…”

ผมทำอะไรไม่ถูกเมื่อทุกอย่างพลิกไปหมด ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ซีมอนสบตาผม แววตาเขาอ่อนลงแต่ยังคงแฝงความน่าเกรงขามเอาไว้ เขาตบไหล่ผมหนักๆ

“สิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดคือให้ลูกชายฉันมีความสุข นั่นเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยให้เขาได้เต็มร้อย ฉันหวังว่าเธอจะทำหน้าที่นั้นได้ดีกว่าอย่างที่พูดไว้ เรื่องทายาทเราค่อยคุยกันอีกที แต่เธอน่าจะสังเกตบ้าง ว่าฉันไม่ได้เข้มงวดเรื่องทายาทสายตรงอย่างที่แกล้งพูด ไม่อย่างนั้นงานส่วนใหญ่ฉันจะให้แมทธิวเข้ามาบริหารเหรอ ในเมื่อเซบาสเตียนปฏิเสธพวกมัน”

เขาหัวเราะหึๆ ผมเถียงไม่ออก ตอนนั้นอารมณ์นำจนไม่มีสติพิจารณาอะไรทั้งสิ้น

“ผม…”

“กลับไปหาเซบาสเตียนเถอะ ฉันหมดธุระกับเธอแล้ว” เขาตัดบทก่อนเดินจากไป ทันทีที่ร่างชายสูงวัยหายลับสายตาผมก็เผลอถอนใจยาว รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบไปหมด

“ถือว่าเรื่องเรียบร้อยได้ไหม?”

ผมพึมพำกับตัวเองในขณะเดินกลับไปข้างใน สวนทางกับร่างคุ้นตา อีกฝ่ายเองก็เห็นผมเช่นกัน แถมยังเป็นฝ่ายโบกมือทักก่อนด้วยซ้ำ

“เฮ้แพท เซ็บล่ะ”

“เขาแยกไปกับแมทน่ะครับ” ผมยิ้มรับ เอ่ยชมอีกฝ่าย “วันนี้คุณดูดีนะอเล็กซ์ แขนหายดีแล้วเหรอครับ?”

“หายดีแล้ว วันนี้นายก็หล่อมากเหมือนกัน” อเล็กซ์ยิ้ม แววตาแพรวพราว “ฉันใจเต้นเลยเนี่ย”

“เสียดายนะครับ ผมใจเต้นได้กับเซ็บคนเดียว”

“รู้ว่ารักกันมาก ไม่ต้องอวดขนาดนี้ก็ได้”

“แล้วน้าเบลกับลุงเบอนาร์ดล่ะครับ?”

“อยู่ทางนู้นน่ะ นายจะไปหาพวกเขาไหม”

“เดี๋ยวผมตามไปแล้วกันนะครับ ขอไปหาเซ็บก่อน”

“โอเค แล้วตามมานะ”

อเล็กซ์โบกมือให้แล้วเดินแยกไป ผมโทรหาเซบาสเตียน พอรู้ว่าเขาอยู่ไหนก็เดินไปทันที


“เซ็บ”

“เป็นไงบ้าง”

เขาทักผม เซบาสเตียนกับแมทธิวยืนพิงกำแพงทางเดินอยู่นอกห้องบอลรูมที่ใช้จัดงาน ตรงนี้เงียบและไม่มีคนผ่าน ผมนึกสงสัยว่าพวกเขาออกมาทำอะไร เพราะสีหน้าเซบาสเตียนดูไม่ดีเท่าไหร่

“ดีกว่าที่คิดครับ” ผมยิ้มรับ เดินเข้าไปใกล้ “แล้วนี่เป็นอะไรกันหรือเปล่า ทำไมหน้าเครียดกันขนาดนั้น”

ผมทัก ทั้งเซบาสเตียนและแมทธิวหน้าเครียดกว่าเดิม แมทธิวมองหน้าผม เขาหันไปสบตาเซบาสเตียน

“บอกเรื่องนั้นกับแพทหรือยัง?”

“ไม่ได้บอกทั้งหมด”

“หืม? นี่คุยเรื่องอะไรกันครับ” ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย สบตาเซบาสเตียน เขามีท่าทีหนักใจ “มีอะไรหรือเปล่าเซ็บ บอกผมได้นะครับ”

“แพท เรื่องที่ฉันเล่าให้นายฟังน่ะ”

“ครับ?”

“เรื่องคนๆ นั้น...” เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่ง แววตาจริงจังกว่าเดิม “ฉันกับแมทตัดสินใจจะจบเรื่องแล้วล่ะ หลักฐานมัดแน่นขนาดนี้ ฉันไม่อยากปล่อยให้มันยืดเยื้อ”

“ฉันพรินต์หลักฐานทั้งหมดเตรียมพร้อมแล้ว” แมทธิวว่า เขาโคลงศีรษะ “นายใจอ่อนเกินไปเซ็บ ฉันรู้ดีว่าถ้าไม่ทำแบบนี้นายจะปล่อยไป ดีแค่ไหนที่ฉันส่งข้อความบอกนายให้เตรียมใจล่วงหน้าก่อน”

ผมเบิกตาเล็กน้อย ได้คำตอบแล้วว่าใครส่งข้อความหาเซบาสเตียน และทำไมเขาถึงหน้าเครียดขนาดนั้น

“ฉันแค่…” เซบาสเตียนเงียบไป เขาถอนใจ เอียงหัวซบไหล่ผม “...มันน่าลำบากใจ”

“ใจเย็นๆ ครับเซ็บ” ผมโอบไหล่เขา ลูบเบาๆ ผ่านผิวผ้า “คนนั้นเป็นใคร คุณบอกผมได้ไหม ทำไมคุณถึงดูลำบากใจขนาดนี้”

“คนนั้นน่ะ…”

เซบาสเตียนพูดชื่ออีกฝ่ายขึ้นมา ผมเบิกตากว้าง เข้าใจความรู้สึกของเขาขึ้นมาทันที

ให้ตายเถอะพระเจ้า นี่มันเรื่องจริงใช่ไหม?!


[Sebastian]

“แม่ครับ ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”

“มีอะไรหรือเปล่าเซ็บ”

“เรื่องของพ่อ” ผมสบตาตรงๆ แม่ชะงักไปนิดนึง “สะดวกไหมครับ”

“เกิดอะไรขึ้น?”

ไม่ใช่แค่แม่ที่ดูตกใจ แต่รวมถึงลุงเบอนาร์ดและอเล็กซ์ที่ยืนอยู่ข้างกันด้วย ผมหันไปสบตาแมทธิวและแพทริค พวกเขาพยักหน้าให้ ผมเม้มริมฝีปาก สถานการณ์นี้ทำผมอึดอัดเหมือนมีหินก้อนใหญ่ถ่วงในใจ

“ไปหาที่เป็นส่วนตัวกว่านี้คุยกันเถอะครับ” ผมกวาดสายตามองพวกเขา “ทุกคนเลย”

“ทางนี้ครับ ผมเปิดห้องไว้แล้ว”

แมทธิวผายมือเชิญ เขายิ้มให้แต่แววตาเฉยชาก่อนเดินนำไป แม่สบตาผม ผมจ้องกลับ แตะมือที่แผ่นหลังเธอให้เดินตามแมทธิว แพทริคอยู่ข้างผม เขาบีบมือผมไว้ สายตาเป็นห่วงจนต้องยิ้มให้เขาสบายใจ

“อยู่ข้างฉันนะแพท”

“ผมไม่ทิ้งคุณอยู่แล้ว”

ผมเชื่อเขา เพราะนั่นเป็นสิ่งที่แพทริคทำให้ผมเสมอมา


“ลูกจะบอกแม่ได้หรือยังว่านี่มันเรื่องอะไร” แม่เปิดประเด็นทันทีที่พวกเราเข้ามาในห้องหนึ่งของโรงแรมที่จัดงาน แมทธิวเพิ่งเปิดห้องนี้สดๆ ร้อนๆ แม่นั่งบนโซฟารับแขกกลางห้อง อเล็กซ์กับลุงเบอนาร์ดนั่งขนาบข้าง “สีหน้าลูกดูไม่ดีเลย เกิดอะไรขึ้น บอกแม่เถอะเซ็บ”

สายตาแม่เป็นกังวล และแม่คงกังวลมากกว่านี้แน่

“เรื่องที่พ่อถูกลอบยิง ผมรู้ตัวคนร้ายแล้วนะครับ”

“ลูกว่าอะไรนะ?!” แม่เบิกตากว้าง เสียงสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“ครับ อย่างที่แม่ได้ยิน”

“เดี๋ยว ที่ลุงเตือนไปไม่ฟังกันเลยเหรอ ถึงได้มายุ่งกับเรื่องอันตรายพวกนี้?!” ผมหันสบตาลุงเบอนาร์ด เขาขมวดคิ้วมุ่น ผมไม่ตอบ แต่ยื่นมือขอซองเอกสารจากแมทธิว เขาส่งให้ผมทันที

“นี่ครับ”

“นี่มันอะไรเซ็บ”

“หลักฐานต่างๆ ที่พวกผมรวบรวมกันมา” ผมตอบข้อสงสัย แม่รับไปเปิดดู “รายละเอียดตั้งแต่ใหญ่ๆ จนไปถึงอันเล็กที่เกือบมองข้าม ลุงกับอเล็กซ์จะดูด้วยก็ได้นะครับ”

พวกเขาสบตาผม ก่อนหยิบเอกสารพวกนั้นขึ้นดู ผมเว้นจังหวะ ปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงพลิกเอกสารพวกนั้น แรงบีบที่หัวไหล่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง แพทริคไม่ได้นั่ง เขายืนข้างโซฟาเดี่ยวที่ผมนั่ง แมทธิวเองก็เช่นกัน สองคนนี้ยืนขนาบผมเอาไว้

ผมตบมือแพทริคที่บีบไหล่ตัวเอง ยิ้มปลอบใจอีกฝ่ายให้คลายกังวล

ผมเข้มแข็งกว่าที่เขาคิด

“เซ็บ…” แม่เรียกผม เสียงแหบพร่า แววตาที่มองมาสั่นไหว “แม่...แม่ไม่เข้าใจ ลูกต้องการจะบอกอะไร”

“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ”

แม่ดูสับสน ผมเหยียดยิ้ม เบนหน้าไปข้างตัวแม่ สบตาใครบางคนที่มองตอบด้วยสายตาเรียบนิ่ง

“และผมก็อยากเข้าใจว่า ‘เธอ’ ทำลงไปทำไม”

“...”

“ตอบฉันได้ไหม…”

“...”

“ว่ายิงพ่อฉันทำไม...อเล็กซานดร้า เปเรซ”

_____________________________________
แหะ...อเล็กซ์เป็นชื่อที่ใช้ได้ทั้งชายและหญิง เราไม่เคยบอกน้า ว่าอเล็กซ์เป็นผู้ชาย ถ้าย้อนอ่านฉากที่เปิดตัวอเล็กซ์ เราเองก็ไม่ได้บรรยายคำไหนที่ระบุเพศของอเล็กซ์ด้วย อย่าง เธอ เขา ครับ ค่ะ ไม่ได้ใส่ไปเลย 55555555555 เราค่อนข้างชอบเขียนอะไรที่เล่นกับจิตวิทยาคนอ่าน เห็นชื่ออเล็กซ์ครั้งแรกก็ตีความไปตามความเคยชินว่าเป็นผู้ชายงี้
เห็นหลายๆ เสียงเดาเป็นคุณแม่ คุณมาเรีย เมลิน่าอดีตคู่หมั้นเซ็บงี้ ฮื้อออ ขอโทษน้าาา แต่แอบเห็นมีคนลงหวยที่อเล็กซ์เหมือนกัน ถึงเราจะเขียนว่าคนร้ายคือผู้หญิงและเขียนหลอกว่าอเล็กซ์ไม่ใช่ผู้หญิงก็ตาม
ฝากส่งฟีดแบ็กด้วยนะคะ เราอยากรู้ว่าก่อนเฉลยกับหลังเฉลยทุกคนคิดเห็นไปทางไหนกันบ้าง อ้อ บทหน้าเซ็บก็จะบรรยายนะคะ ต้องให้คุณเขาบรรยายเรื่องในครอบครัวด้วย คุณแพทก็พักไปยาวๆ ก่อน อิอิ
#คุณผู้มากับสายฝน
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 21 [13-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-10-2018 02:49:41
ตอนแรกคิดว่าเป็นผู้ชาย
อยากรู้แรงจูงใจๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 21 [13-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 14-10-2018 10:08:11
เดาผิด  o22 o22
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 21 [13-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 14-10-2018 12:21:01
อ๊ากกกกก เดาผิดดดดด
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 21 [13-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Prangkii ที่ 14-10-2018 20:33:19
รู้สึกตะหงิดกับการเจ็บแขนของอเล็กซ์ แต่ไม่แน่ใจเลยไม่ได้สงสัยนึกว่าไม่มีอะไรแต่คดีพลิกเฉย
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 22 [18-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 18-10-2018 21:35:46
Chapter 22

Rosz` & Pérez


[Sebastian]

เธอยังนิ่ง หลังตรงคอแข็ง แววตากระด้างต่างจากอเล็กซานดร้าคนเดิมที่ผมรู้จัก

“อเล็กซ์…”

“มันอะไรกันอเล็กซ์?” แม่ถามเสียงเบา แววตาสั่นคลอน “ทำไมเซ็บถึง...!”

“หลักฐานแค่นี้จะเอาผิดฉันเหรอ” อเล็กซ์เลิกคิ้ว “ไม่ปรักปรำกันไปหน่อยหรือไง?”

“อยากให้ชัดเจนกว่านี้ไหม ผมช่วยชี้แจงให้คุณได้นะ” แมทธิวเหยียดยิ้ม เขาไม่สนิทกับอเล็กซ์อยู่แล้ว พอมีเรื่องนี้ยิ่งไปกันใหญ่ “เอาให้คุณจนต่อหลักฐานดิ้นไม่หลุดเลยล่ะ”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

“แน่ใจเหรอ ลองคิดดูใหม่ไหมคุณผู้หญิง?”

“แมทพอ” ผมห้าม แมทธิวเป็นคนใจร้อน เรื่องวุ่นวายอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้บานปลาย “ฉันจัดการเอง นายอยู่เฉยๆ”

“หวังว่านายจะไม่ใจอ่อน”

“พ่อนายก็พ่อฉัน” ผมตอบสั้นๆ เป็นอันรู้กันว่าถึงอเล็กซ์จะเป็นญาติที่ผมค่อนข้างสนิท แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะปล่อยเธอ

“เหอะ”

“เริ่มกันตรงไหนดี” ผมเมินเสียงแค่นหัวเราะของแมท สบตาอเล็กซ์นิ่ง เธอจ้องตอบ “รูปพรรณสันฐานคนร้ายดีไหม?”

ผมหยิบไอแพดแมทธิววางบนโต๊ะ เปิดไฟล์จากกล้องวงจรปิดให้พวกเขาดู

“คนร้ายเชี่ยวชาญถนนและตรอกซอยแถวนี้มาก รู้ว่าต้องไปทางไหนหรือหลบกล้องยังไง” ผมสบตาอเล็กซ์ “เบื้องต้นเราสันนิษฐานว่าคนร้ายเป็นคนในพื้นที่”

“ส่วนหลักฐานในที่เกิดเหตุ พื้นถนนตรวจพบรอยยางรถคนร้าย พอลองเทียบกับคลังข้อมูล มันเป็นยางรถแข่งรุ่นพิเศษ ลายดอกยางเป็นเอกลักษณ์ ยางรุ่นนี้พอเปิดตัวก็ได้รับการตอบรับดีมากเนื่องจากเป็นหนึ่งในแคมเปญอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ร้านที่นำเข้าในประเทศมีไม่กี่ร้าน กระจายย่อยไม่กี่ที่ในเมือง เป็นเรื่องบังเอิญที่ร้านนั้นอยู่ใกล้บ้านแม่และคอนโดฯ ของเธอ”

“ฉันไม่ได้ซื้อ”

“แต่เธอใช้”

“หลักฐาน?”

“มีแน่ แต่ฉันยังอธิบายไม่เสร็จ” ผมตอบกลับ อเล็กซ์เงียบไป “ในไฟล์กล้องวงจรปิด คนร้ายถนัดมือซ้าย ท่าทางการชักปืน เล็งและยิงคล่องแคล้ว เบาะแสทั้งหมดฉันสามารถจำกัดวงล้อมให้แคบเข้ามาอีกชั้น คนร้ายเป็นคนในพื้นที่ อาจเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับวงการแข่งรถ และมีทักษะการใช้ปืนขั้นสูง”

“เลยคิดว่าเป็นฉัน?” อเล็กซ์ถามเสียงสูง เธอกอดอก เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งในขณะที่หัวเราะ “ไม่เอาน่า แค่ฉันชอบแข่งรถกับยิงปืนเป็นงานอดิเรกมันไม่มากพอให้นายเอามาปรักปรำหรอก ไหนล่ะแรงจูงใจ? ฉันจะไปยุ่งกับครอบครัวนายทำไม”

“แรงจูงใจคือคุณเกลียดพ่อผมล่ะมั้ง” แมทธิวแทรกขึ้นมา น้ำเสียงประชดประชัน

“แมท” ผมปราม

“โทษที” เขาแค่นเสียง หันหน้าหนี “มันอดไม่ได้”

“แต่ลุงว่าหลักฐานเบาไปอยู่ดี” ลุงเบอนาร์ดพูดขึ้นหลังเงียบฟังมาสักพัก เขาสบตาผม สีหน้าเครียดขึง “ใช่ ลุงไม่ชอบพ่อของเธอ เขาทำให้น้องสาวลุงเจ็บปวด แต่มันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ เธอจะมาลงที่อเล็กซ์ไม่ได้ คนร้ายในคลิปไม่เห็นหน้าด้วยซ้ำ”

“จริงอย่างที่เบอนาร์ดว่า ลูกไม่ควรด่วนตัดสินใจ”

“ผมกำลังจะพูดต่อพอดีครับ” ผมว่าเสียงเรียบ “อีกอย่าง ถ้าผมไม่มั่นใจหลักฐานที่ตัวเองมี คงไม่กล้าชี้ตัวคนร้าย ทุกคนคงยังไม่เห็นไฟล์กล้องวงจรปิดอีกอัน มันเป็นกล้องวงจรปิดบริเวณคอนโดฯ ของแพทริค มีคนส่งจดหมายขู่เขาเพื่อให้ผมหยุดสืบเรื่องนี้”

ผมเปิดคลิปให้ทุกคนดู กดหยุดเมื่อถึงจุดสำคัญ

“ต้องขอบคุณที่ลมพัดมาพอดี มันทำให้แมทเอะใจกลับมาดูคลิปตัวแรก สังเกตสรีระคนร้าย ต่อให้เป็นผู้ชายที่ตัวเล็กกว่ามาตรฐานแค่ไหน ช่วงไหล่ก็ไม่แคบขนาดนี้ และข้อมือ...” ผมกดหยุดตอนคนร้ายยกปืนยิงจนแขนเสื้อเลิกขึ้น “...คงไม่เล็กและบางแบบนี้ ถึงสวมถุงมือพรางไว้ แต่ถ้าสังเกตดีๆ มันดูเป็นมือผู้หญิงมากกว่ามือผู้ชาย และสองคนนี้เป็นคนเดียวกัน”

“ทั้งสองคลิปไม่เห็นหน้าทั้งคู่ แน่ใจได้ยังไง” อเล็กซ์ไม่ยอมแพ้

“รองเท้าไงล่ะ” ผมว่า หันไปทางแมทธิว “ตรงนี้ฉันยกให้นายอธิบายแล้วกันแมท”

“ได้ตามที่นายต้องการ” เขายิ้มรับ เป็นรอยยิ้มที่แผ่ไม่ถึงดวงตา “ออกตัวก่อนว่าผมโชคดีมาก ตอนแรกไม่แน่ใจเรื่องรองเท้าเท่าไหร่ แต่ผมรู้สึกคุ้นเคยกับดีไซน์มันไม่น้อย จนนึกออกว่าเคยเห็นที่ไหน ใช่ครับ...คุณแม่ผมก็ใช้รองเท้าแบรนด์ Claudia เหมือนกัน มิน่าถึงได้รู้สึกคุ้น และบังเอิญจริงๆ ที่คนร้ายปริศนาจากทั้งสองคลิปสวมรองเท้าแบรนด์เดียวกันเป๊ะ”

“โอ้ ขอโทษนะ แต่ถามหน่อย คิดว่าเขาผลิตมาแค่คู่เดียวในโลกเหรอ?”

“นี่มันไม่ไร้สาระไปหรือไง!?” ลุงเบอนาร์ดกดเสียงเข้ม ตาจ้องแมทธิวเขม็ง “หยิบหลักฐานมั่วๆ มาผสมกันแล้วใส่ร้ายลูกสาวฉันเนี่ยนะ ให้ตายเถอะพระเจ้า ถ้าเราสืบหาตัวคนร้ายได้ด้วยหลักฐานแค่นี้ โลกคงไม่ต้องมีตำรวจ!”

“อเล็กซ์ จำวันที่ฉันไปหาเธอที่คอนโดฯ ได้ไหม” ผมไม่สนคำประชดของลุงเบอนาร์ดแต่หันไปถามอเล็กซ์แทน เธอไม่ตอบ ทำเพียงจ้องตาผมนิ่ง ในแววตาคู่นั้นผมเห็นความกังวลซ่อนอยู่ “เธอบอกแปลกใจที่ฉันมาหา ฉันรู้ว่าข้ออ้าง ‘ไม่รู้จะซื้อของขวัญอะไรให้แพทริคในโอกาสที่เราคบกัน’ มันไม่เหมาะกับฉันสักนิด แต่ก็ขอบคุณที่เธอช่วยให้คำแนะนำอย่างดี...เรื่องนี้ช่างมันก่อน อย่างที่ลุงเบอนาร์ดบอก จะหยิบหลักฐานมั่วๆ มาผสมกันแล้วเจาะจงว่าเป็นเธอคงเป็นเรื่องงี่เง่าน่าดู ฉันเลยต้องพิสูจน์บางอย่าง…”

“นายทำอะไร?”

“...”

“ฉันถามว่านายทำอะไร!”

“ใจเย็น” ผมปรามเธอ อเล็กซ์ดูร้อนรน เธอไม่เก็บอาการอีกต่อไป “วันนั้นที่ ‘เธอ’ เอาจดหมายขู่มาส่งให้แพทริค รู้ใช่ไหมว่าหน้าคอนโดฯ เขาทาสีทางเท้ากันอยู่ ในคลิปกล้องวงจรปิด ฉันเห็นคนๆ นั้นก้าวเหยียบสีที่ทาทิ้งไว้เต็มๆ ตอนหันหลังเดินกลับ ไม่รู้ว่าเธอรู้ตัวหรือเปล่า แต่คงไม่ เพราะถ้ารู้ เธอคงรีบทำความสะอาดมัน ไม่ปล่อยให้สีแห้งติดพื้นรองเท้าแบบนี้”

ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา เปิดภาพหลักฐานที่ถ่ายไว้วางกลางโต๊ะ มันเป็นภาพพื้นรองเท้าที่เปื้อนสีเหลืองจนเกือบเต็ม พื้นหลังเป็นห้องคอนโดฯ ของอเล็กซ์ ทุกอย่างชัดเจน บรรยากาศรอบตัวเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ

“...”

“อ้อ เกือบลืม เธอถามหาหลักฐานใช่ไหม เรื่องยางล้อรถนั่น แมทไปขอใบรายชื่อลูกค้าที่ซื้อยางมา อยู่ในกองเอกสารที่ฉันให้เธอไปนั่นแหละ แน่นอนมันไม่มีชื่อเธอ เพราะเธอไม่ได้ซื้อเอง แต่มีคนซื้อให้เธอ”

ผมหยิบใบรายชื่อที่แมทธิวพรินต์มา จิ้มนิ้วลงไปที่ชื่อหนึ่งในหน้ากระดาษ

“เอดิสัน มิลเลอร์ คุ้นๆ ชื่อนี้ไหม?”

“...”

“เธอน่าจะคุ้น นอกจากจะเป็นนักแข่งรถดาวรุ่งที่กำลังมาแรง เขายังตามจีบเธอด้วยนี่” ผมเว้นจังหวะ ปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวกดดัน อเล็กซ์หน้าซีด เธอเม้มริมฝีปากแน่น “เธอรู้จัก อย่าปฏิเสธ ฉันมีหลักฐานว่าเธอไปดินเนอร์กับเขา”

“และต้องขอโทษที่เสียมารยาท” แมทธิวแทรก “เพราะผมนัดเจอเขา ถามว่าได้ซื้อยางนี่ให้คุณใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ อย่าสงสัยทำไมเขาตอบผมง่ายๆ แค่อ้างชื่อเซบาสเตียนลูกพี่ลูกน้องคุณ หลอกถามนิดหน่อยก็แทบบอกข้อมูลทั้งหมดที่ผมอยากรู้และไม่อยากรู้ เขาเป็นคนดีนะ จริงใจกับคุณมากทีเดียว”

“หุบปาก ไม่ใช่เรื่องของคุณ!”

“โอ้ ขออภัยครับคุณผู้หญิง :)”

“หลักฐานทุกอย่างชัดเจน เธอมีตรงไหนจะแก้ตัวหรือเปล่าล่ะ?”

อเล็กซ์เงียบ ทุกคนเงียบ จนในที่สุดมันก็ถูกทำลายลง

“ใช่ฉันทำเอง”

“เพราะฉันบังคับ อย่าโทษเธอ” ลุงเบอนาร์ดแทรกขึ้น ผมจ้องหน้าเขา ไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ อเล็กซ์ไม่มีวันทำเรื่องใหญ่แบบนี้คนเดียวแน่ “ฉันเป็นคนบงการเรื่องทั้งหมด ถ้าจะโทษใครสักคน ให้โทษฉัน”

“พ่อไม่ได้บังคับ ฉันเต็มใจทำ!”

“เงียบซะอเล็กซ์!” ลุงเบอนาร์ดกดเสียงเข้ม เขาหันมาทางผม “เป็นลุงเองที่ส่งคนไปตามสะกดรอยเธอ และก็เป็นลุงเองที่โทรไปขู่แพทริค ลุงไม่อยากดึงพวกเธอมายุ่งเรื่องนี้ ลุงเตือนแล้วแต่เธอไม่ฟังเลยจำเป็นต้องทำแบบนั้น แต่ลุงไม่มีความคิดจะทำร้ายพวกเธอหรือครอบครัวของแพทริคสักนิด”

“ทำไมถึงทำแบบนี้เบอนาร์ด อเล็กซ์” แม่มองหน้าลุงแวบนึงแล้วหันมาจับต้นแขนอเล็กซ์ไว้ บีบแน่น แววตาผิดหวังจนผมเจ็บในใจ ผมไม่อยากให้แม่รู้เรื่องนี้สักนิด แต่มันไม่มีทางเลือกจริงๆ “น้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจสักนิด ตอบน้าสิอเล็กซ์!?”

แกร๊ก…


V
V
V
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 22 [18-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 18-10-2018 21:36:40

อเล็กซ์ไม่ทันตอบ เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ทุกคนหันมอง ผมเบิกตากว้างเมื่อเห็นพ่ออยู่ตรงนั้น ข้างๆ คือน้ามาเรีย แจสเปอร์ยืนอยู่ด้านหลัง สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่

พ่อกวาดตามองพวกเราทุกคน แววตาเรียบนิ่ง เขาถอนใจ หันสบตาแมทธิวก่อนหยุดที่ผม

“พ่อบอกแล้วไง ว่าอย่ายุ่งกับเรื่องนี้”

“พ่อรู้?”

ผมหลุดปากเมื่อเห็นท่าทีไร้ความตกใจของเขา พ่อยักไหล่ เดินเข้ามาใกล้ ลุงเบอนาร์ดลุกขึ้น พวกเขายืนเผชิญหน้ากัน แรงกดดันแผ่จากตัวทั้งสอง ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น คนที่ควรจะแตกสลายจากเหตุการณ์นี้กลับเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด

“เบอนาร์ด ทำแบบนี้ทำไม พี่บอกฉันมาเถอะ”

“เบล…”

“เพราะฉันหรือเปล่า” แม่จ้องหน้าลุง ดูสงบสติอารมณ์ได้มากกว่าตอนแรก แม้เสียงจะยังสั่นอยู่ก็ตาม ผมเผลอกำมือแน่นเมื่อเห็นสายตาของแม่ ผมไม่อยากเห็นแม่เจ็บปวดกับเรื่องนี้อีกต่อไป “ทำแบบนี้เพราะฉันหรือเปล่า”

“ฉันขอโทษ”

“ฉันไม่ต้องการคำขอโทษ ฉันต้องการคำอธิบาย ทั้งพี่ ทั้งอเล็กซ์ ทำไมทำแบบนี้” แม่เม้มปาก เว้นช่วงไปครู่หนึ่ง แววตาแดงก่ำแต่ไม่มีแม้กระทั่งน้ำตา แม่เข้มแข็งเสมอ แต่ผมไม่รู้ว่าในใจแม่พังไปเท่าไหร่แล้ว

ผมหลุดจากภวังค์เมื่อไหล่ถูกบีบเบาๆ ก่อนเปลี่ยนเป็นลูบปลอบ ผมเงยหน้าขึ้น แพทริคมองลงมา สายตาอ่อนโยนฉุดผมขึ้นจากหลุมดำมืด ผมยังมีเขา แพทริคอยู่ข้างผมเสมอ ในวันที่ผมอ่อนแอ อย่างน้อยผมก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป

“ใช่...ที่ฉันทำแบบนี้ เพราะต้องการแก้แค้นให้เธอ”

“ฉันไม่ต้องการให้ใครมาแก้แค้นให้ทั้งนั้น” แม่ส่ายหน้า “ปล่อยให้เรื่องมันจบไปไม่ได้เหรอ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือไง ทำแบบนี้มันให้ผลดีตรงไหน ฉันไม่เห็นเลยสักนิด!”

“ให้ปล่อยมันจบงั้นเหรอ?” ลุงเบอนาร์ดขึ้นเสียงสูง ทว่าปลายเสียงสั่น ลุงแค่นหัวเราะ ตวัดสายตามองพ่อผมที่ยังยืนนิ่ง “มันทำร้ายจิตใจเธอมาตลอดหลายสิบปี เหมือนจะให้ความหวังเธอ แต่สุดท้ายก็แค่ความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าฉันจะรู้สึกยังไงที่เห็นน้องสาวตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มายี่สิบกว่าปี? ซีมอนไม่เคยรักเธอเบล ไม่เคยสักนิด เขาแต่งงานกับเธอเพราะผลประโยชน์ระหว่างตระกูลพวกเรา! ยังจะไปห่วงอะไรมันอีก คนที่เห็นผลประโยชน์นำหน้าอย่างมัน ลองให้สูญเสียบ้างจะเป็นไรไป?!”

“อ้อ คุณเลยวางแผนมาตั้งแต่ต้นสินะ” พ่อเลิกคิ้ว

“ใช่ ผมวางแผนมาตั้งแต่ต้น” ลุงเบอนาร์ดสบตาพ่อ สายตาแข็งกร้าวไร้ความเกรงกลัว “วันเกิดเหตุที่เบลนัดคุณมาพบก็ผมนี่แหละโน้มน้าวให้เธอกล้านัดพบคุณ ผมต้องการให้คุณอยู่ในสถานการณ์ที่คนติดตามน้อยที่สุด ผมรู้ว่าถ้าคุณมาหาเบลหลังออกปากจะไม่ยุ่งกับน้องสาวผมอีก ให้คนรู้เรื่องนี้น้อยที่สุดจะดีกว่า คงไม่ดีใช่ไหมถ้าเรื่องไปเข้าหูมาเรีย? มาหาภรรยาเก่าแบบนี้น่ะ มันเป็นไปตามแผนทุกอย่าง หึ...แต่ผมไม่ได้ต้องการให้คุณถึงตายหรอก”

“แค่ต้องการสร้างสถานการณ์และโยนความผิดไปให้เอลตันสินะ” พ่อเลิกคิ้ว “โอ้ จริงสิ ช่วงนั้นผมกับเขามีปัญหากระทบกระทั่งกันพอดีเสียด้วย คงเข้าทางคุณไม่น้อย ปัญหาต่างๆ ที่เกิดกับงานผมก็คงจะเป็นคุณอีกตามเคยที่ร่วมมือกับเอลตัน ผมพูดถูกไหม”

“คุณก็รู้ดีนี่” ลุงเบอนาร์ดไม่คิดปิดบัง “ใช่ ผมร่วมมือกับเขา เสนอทางเลือกให้ เขาได้โครงการนั้น ผมได้แก้แค้นคุณ ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นผมนี่แหละเป็นคนลงมือเอง พอใจหรือยัง”

“คุณกล้ามากเบอนาร์ด แต่ก็ขี้ขลาดมากเหมือนกันที่ให้ลูกสาวออกหน้าลงมือในส่วนที่อันตรายที่สุด ถ้าวันนั้นคนของผมตอบโต้กลับ คิดว่าลูกสาวคุณจะได้ยืนอยู่ตรงนี้ไหม?”

“คุณอย่ามาว่าพ่อฉัน!” อเล็กซ์ลุกขึ้น ตวาดกร้าว เธอจ้องหน้าพ่อผม แววตาแข็งกระด้าง “เรื่องนี้พ่อฉันไม่ผิด ใช่ พ่อเริ่มต้นเรื่องทุกอย่าง ฉันรู้เข้าโดยบังเอิญ ถ้าจะโทษเขา โทษฉันดีกว่าที่ไม่ห้ามและเห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อทำ ฉันเป็นคนเสนอตัวเองว่าจะทำ ฉันไม่ต้องการให้มีคนนอกรับรู้ และอีกอย่าง...ฉันเกลียดคุณ!”

“เกลียดฉันตามพ่อเธอ?”

“ไม่ ฉันเกลียดที่คุณทำร้ายจิตใจน้าเบลมาตลอด” อเล็กซ์ประกาศชัดเจน “ฉันรักน้าเบลเหมือนแม่แท้ๆ ตั้งแต่จำความได้ ฉันไม่เคยเห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุขจริงๆ สักครั้ง คุณทำให้เธอเสียใจ ในวันที่คุณควรไปจากเธอคุณกลับไม่ไป คุณทำให้น้าเบลมีความหวัง แต่สุดท้ายคุณก็ทิ้งเธอไปง่ายๆ พอกันที ฉันจะไม่อดทนกับคนอย่างคุณแล้วซีมอน!”

“พอเถอะอเล็กซ์ น้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”

“ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เหรอ?” อเล็กซ์หันขวับ จ้องหน้าแม่เขม็ง “แน่ใจจริงๆ เหรอคะว่าไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้รู้สึกอะไร ที่ผ่านมาไม่เคยเจ็บสักนิดเลยเหรอคะ?!”

“อเล็กซ์หยุดได้แล้ว” ผมแทรก ไม่ชอบที่เธอไล่ต้อนความรู้สึกแม่ผม “เธอกำลังทำแม่เสียใจ หยุดได้แล้ว อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

อเล็กซ์เงียบไป เธอสบตาผม แววตาแดงก่ำ

มือผมสั่นจนต้องกำไว้แน่น เล็บจิกเข้าเนื้อ ผมรู้สึกเจ็บ แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมยังมีความรู้สึก

“เซ็บครับ”

แพทริคเรียกชื่อผม เป็นเสียงเรียกเบาๆ เขาคงอึดอัดกับสถานการณ์ตอนนี้ไม่น้อยในเมื่อเขาเป็นคนนอกคนเดียวในห้องนี้ ไม่รวมแจสเปอร์ แพทริคย่อตัวนั่งข้างโซฟา เขาสบตาผม ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาจับมือผมไว้ ออกแรงแกะเบาๆ ให้คลายออก จากนั้นสอดมือตัวเองเข้ามา บีบมือผมเอาไว้แทน

ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี

แววตาเขาบอกผมแบบนั้น

“ซีมอน ฉันขอโทษแทนพวกเขา ขอโทษแทนทุกอย่างที่เกิดขึ้น”

“ถ้าคำขอโทษลบล้างได้ทุกอย่าง บ้านเมืองจะมีกฏหมายไว้ทำไมคะเบล?” น้ามาเรียแทรก เธอสบตาแม่ผม ริมฝีปากเหยียดยิ้ม “คุณน่าจะรู้นี่คะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงเกินขอบเขตคำขอโทษไปแล้ว”

“ฉันไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้มาเรีย”

“ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกค่ะ” น้ามาเรียพยักหน้ารับ “ฉันเองก็เหมือนกัน ตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากให้คุณก้าวเข้ามาในชีวิตของพวกเราหรอกค่ะ ถ้าไม่มีคุณตั้งแต่ต้น เรื่องวุ่นๆ วันนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้”

“มันจะมากไปแล้วนะ!” ลุงเบอนาร์ดตวาดลั่น

“แล้วสิ่งที่คุณทำกับพ่อผมมันน้อยกว่าตรงไหน?!” แมทธิวไม่ยอมแพ้ เขาตั้งท่าจะเดินเข้าหา แต่แจสเปอร์เข้ามาล็อกตัวไว้ได้ทัน “คุณเองก็ไม่ต่างกันหรอก ทั้งคุณทั้งลูกสาวคุณนั่นแหละ!”

“คุณแมทธิว พอ!” แจสเปอร์กระซิบเสียงหนัก

“ปล่อยฉันแจสเปอร์!”

“ขอร้อง หยุดได้ไหมแมท เฮ้! มองฉันนี่” แจสเปอร์ตบเบาๆ ที่ใบหน้าแมทธิว “ใจเย็น ฉันอยู่นี่ไง เฮ้ โอเคไหม”

แมทธิวสงบลงแล้ว เขาซบหน้ากับไหล่แจสเปอร์ อีกฝ่ายตบหลังปลอบเขา

“เรื่องมันเริ่มที่ฉัน เพราะฉะนั้นฉันจะเป็นคนตัดสินใจ ทุกคนไม่ต้องพูดอะไร ฟังฉันให้ดีๆ” พ่อพูดขึ้นเมื่อสถานการณ์ในห้องคงที่ เขาปรายตามองผม “พ่อรู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้นแล้วเซ็บ รู้ว่าใครลงมือ ใครเป็นต้นเหตุ เรื่องมันละเอียดอ่อนเกินไป พ่อถึงไม่อยากให้ลูกมารับรู้ เดิมทีพ่อจะปล่อยให้เรื่องเงียบ ให้มันหายไปกับเวลา เบอนาร์ดต้องการแก้แค้นพ่อ พ่อก็จะให้เขาแก้แค้น เขาต้องการโครงการที่เราประมูลได้ พ่อก็จะให้ เพราะพ่อรู้ดีว่ามันทดแทนที่พ่อทำร้ายจิตใจแม่ของลูกมายี่สิบกว่าปีไม่ได้”

“แต่คุณคะ…”

“ไม่ มาเรีย ผมตัดสินใจแล้ว” พ่อยกมือห้ามเมื่อน้ามาเรียทำท่าจะขัด พ่อสบตาลุงเบอนาร์ด “เรื่องเอลตันผมเข้าไปคุยกับเขาแล้ว ถึงเปเรซจะมีอิทธิพล แต่อย่าลืมว่ารอสซ์เองก็มีเหมือนกัน เอลตันไม่โง่ เขารู้ดีว่าควรจัดการตัวเองยังไง เขาสารภาพกับผมทุกเรื่อง ผมไม่คิดเอาความ ในเมื่อเขาก็แค่เบี้ยตัวนึงที่คุณดึงเข้ามาในกระดาน คุณต้องการให้ผมเสียงานนี้ใช่ไหม ได้ เพราะผมยกโครงการนี้ให้เอลตันทำต่อแล้ว พรุ่งนี้ข่าวคงออกกันครึกโครม ผมหวังว่าเราจะจบกันตรงนี้ แลกกับผมไม่เอาเรื่องพวกคุณ...หลักฐานเยอะขนาดนี้ คุณคงไม่เสี่ยงอีกใช่ไหม?”

“คุณอย่าทำเหมือนผมเป็นหนี้บุญคุณคุณนะ!”

“อ้อ หรือไม่เป็น?”

“ผมไม่ต้องการความเห็นใจจากคุณ” ลุงเบอนาร์ดกัดฟันกรอด แววตาวาวโรจน์ “จับผมซะ! ดำเนินคดีตามกฏหมาย แต่อเล็กซ์ไม่เกี่ยวด้วย อย่ายุ่งกับเธอ”

“พ่อ!”

“ไม่เกี่ยวทั้งที่เธอเป็นมือปืน?” พ่อเลิกคิ้ว พูดต่อเสียงเรียบ “ถ้าจะแจ้งจับคุณ คิดว่าเรื่องจะจบตรงนั้น? ไม่หรอกเบอนาร์ด เขาจะสืบต่อ ลูกสาวคุณเดือดร้อนแน่ คิดใหม่อีกที ยอมรับความหวังดีของผมเถอะ”

“แต่ผม…!”

“พอเถอะ!” แม่ตะโกนขัด เธอลุกขึ้น เผชิญหน้ากับลุง “ขอร้อง ให้มันจบสักที เห็นแก่ฉันได้ไหม พี่ไม่อยากให้ฉันเจ็บปวดอีกต่อไปแต่สิ่งที่พี่ทำมันทำให้ฉันเจ็บมากนะ ฉันไม่อยากเป็นต้นเหตุเรื่องนี้สักนิด คิดว่าฉันดีใจเหรอที่ทั้งพี่ชายและหลานสาวตัวเองทำร้ายคนอื่นเพื่อแก้แค้นให้ฉัน พี่อาจสะใจ แต่ฉันไม่ ซีมอนไม่รักฉัน ฉันรู้ แต่ฉันรักเขา รักทั้งที่เขาไม่รักฉัน ฉันรู้ดีทั้งหมดนั่นแหละ และพี่รู้อะไรไหม? ยิ่งกว่าการเห็นคนรักโดนทำร้าย คือคนที่ฉันรักไม่แพ้กันเป็นคนลงมือ มันทำให้ฉันเจ็บยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด!”

“แม่ครับ”

ผมทนไม่ไหวอีกต่อไป แม่ที่ยืนอยู่ตรงนี้เหมือนจะแตกสลายได้ทุกวินาที ผมลุกไปหา ดึงแม่มากอดไว้ แม่ตัวสั่นจนผมทำอะไรไม่ถูก เธอกำเสื้อผมแน่น ผมสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่อก

แม่กำลังร้องไห้

ผมเศร้าที่ไม่สามารถช่วยอะไรแม่ได้ ผมไม่อยากให้เธอร้องไห้ แม่ไม่ควรมีน้ำตา แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากให้แม่ร้องออกมาให้หมด บางทีเก็บมันไว้ข้างในและแสร้งทำเป็นเข้มแข็งอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดี

“ไม่ร้องนะครับ ผมอยู่นี่ อยู่ข้างแม่”

“เซ็บ…” แม่สะอื้น “แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้สักนิด”

“ผมรู้ครับ ผมรู้”

ผมกระซิบปลอบ ตลอดมาแม่เข้มแข็งและไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองอ่อนแอ แต่คราวนี้แม่ทนไม่ไหว และผมเต็มใจอนุญาตให้แม่อ่อนแอได้ แม่ตัวเล็กนิดเดียวเมื่ออยู่ในอ้อมกอดผม ความรู้สึกผิดกำลังกัดกินแม่ มันลามมาที่ผม

เชื่องช้า กัดกินไปทีละส่วน จนถึงตอนนี้ผมก็ช่วยอะไรแม่ไม่ได้มากอยู่ดี

“เซ็บ” เสียงนุ่มดังขึ้นข้างหู วงแขนอุ่นโอบกอดทั้งผมและแม่เอาไว้ ความอ่อนโยนของแพทริคทำให้ความรู้สึกผิดที่กัดกินใจผมสลายไป “ผมอยู่ตรงนี้กับคุณ ไม่เป็นไรนะครับ”

“เบล…” ลุงเบอนาร์ดเรียกแม่เสียงแผ่ว ผมเงยหน้ามองเขา อีกฝ่ายทอดสายตามองแม่ที่อยู่ในอ้อมกอดผม แววตาอ่อนล้าและหม่นแสง อเล็กซ์ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดลุง ตอนนี้ทั้งห้องมีแต่เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นปนกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร “ฉันขอโทษ ฉันไม่มีเจตนาจะให้เธอเจ็บปวดแบบนี้ ฉันไม่เคยเป็นพี่ชายที่ดีที่ปกป้องเธอได้เลยเบล”

คำพูดของลุงกระตุ้นให้แม่ร้องไห้หนักกว่าเดิม ผมลูบหลังปลอบ ก่อนแม่จะสูดหายใจลึกและขยับตัวจากอ้อมกอดผม แม่หันเผชิญหน้ากับลุง สีหน้าไม่ดีสักนิด ดวงตาแม่แดงก่ำและเหนื่อยล้า

“จบได้ไหมเบอนาร์ด สัญญากับฉันได้ไหมว่าจะไม่ยุ่งกับรอสซ์อีก”

“...”

“พวกเราเจ็บกันมามากแล้ว มันถึงเวลาที่ต้องปล่อยไปสักที พี่ไม่ต้องห่วง สักวันฉันจะเข้มแข็งขึ้น พี่ก็รู้ว่าฉันเข้มแข็งมาตลอด ฉันไม่เคยขอร้องอะไรพี่เลย แต่แค่ครั้งนี้ได้ไหม รับปากฉันทีว่าจะไม่ยุ่งกับพวกเขาอีก”

ลุงเบอนาร์ดเงียบไปพักใหญ่ สุดท้ายเขาก็พยักหน้า

“ได้ ฉันสัญญา เรื่องทุกอย่างจะจบตรงนี้” ลุงถอนใจ ตวัดสายตามองพ่อ น้ำเสียงห้วนสั้น “ฉันขอโทษ”

“ขอบคุณ” แม่ยิ้ม แม้ริมฝีปากจะสั่นเล็กน้อย ก่อนหันไปทางพ่อ เขามีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่เห็นแม่ร้องไห้ขนาดนี้ อย่างน้อยถึงพ่อไม่รักแม่ แต่ก็คงมีความผูกพันให้แม่บ้าง “ฉันขอโทษแทนพวกเขาอีกครั้งที่ทำให้คุณเดือดร้อน เรื่องพวกนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ”

“ช่างเถอะ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก คุณหยุดร้องเถอะเบล”

“ฉันหยุดแล้วนี่ไง” แม่พยายามยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงแววตาหม่นหมองของแม่สักนิด “ฉันยิ้มให้คุณได้แล้ว วันนี้อาจได้แค่นี้ แต่ฉันเชื่อว่าสักวัน อาจจะสักสิบปี หรือสามสิบปีผ่านไป ฉันจะยิ้มให้คุณได้สดใสกว่านี้ ขอโทษที่เข้ามาในชีวิตคุณกับมาเรีย ฉันในวันนั้นเห็นแก่ตัวจนไม่น่าให้อภัย”

“พอเถอะค่ะเบล” น้ามาเรียแทรก เธอขมวดคิ้ว ท่าทางหงุดหงิดใจ “คุณจะไม่ได้รับการให้อภัย ถ้าคุณไม่เริ่มให้อภัยตัวเองก่อน ฉันยอมรับว่าทั้งโกรธทั้งเกลียดคุณ ฉันไม่อยากให้อภัยคุณหรอก เรื่องนั้นย้อนคิดทีไรก็น่าหงุดหงิด มันน่าหงุดหงิดจนฉันอยากจบมันแล้ว คุณให้อภัยตัวเองได้เมื่อไหร่ ฉันจะให้อภัยคุณเมื่อนั้นค่ะ”

แม่เงียบไป หลังจากนั้นถึงยิ้มออกมา

“ขอบคุณมาเรีย ฉันจะพยายาม”

“ผมขอคุยกับคุณได้ไหม” พ่อพูดขึ้น เขาสบตาแม่ “คราวนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ”

“เบล…” ลุงทำท่าจะห้าม สุดท้ายก็ถอนใจ “เอาเถอะ แล้วแต่การตัดสินใจของเธอ”

แม่สบตาพ่อ ก่อนหันมาสบตาผม ผมพยักหน้าให้เธอ แม่ยิ้ม หันกลับไปอีกครั้ง

“ได้ค่ะ”

“ขอคุยเป็นการส่วนตัว” พ่อว่าเสียงเรียบ เขากวาดตามองพวกเราทั้งหมดที่อยู่ในห้อง “รบกวนทุกคนออกไปก่อน ป่านนี้คนในงานคงสงสัยว่าพวกเราหายไปไหนกันหมด...ผมขออนุญาตนะมาเรีย”

“ฉันไม่มีปัญหาค่ะ คุณตามสบายเถอะ”

ทุกคนทยอยออกจากห้อง ผมเองก็ควรไปเช่นกัน

“มาเถอะเซ็บ” แพทริคแตะหลังผม เขาออกแรงดันเบาๆ ผมมองหน้าเขา สบกับแววตาอ่อนโยนคู่นั้น “ทุกอย่างกำลังจะเรียบร้อยดี มากับผมเถอะครับ”

“อืม”

ผมพยักหน้ารับ เดินเคียงออกจากห้องนั้น

ตลอดทางแพทริคอยู่ข้างตัวผม เขาไม่ถอยห่างสักนิด

ผมโชคดีที่มีเขา


“คุณเป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นไหม”

แพทริคถามเมื่อพวกเราออกจากงาน ตอนนี้ผมกับแพทริคอยู่หน้าโรงแรม มันมีสวนหย่อมเล็กๆ ที่ประดับไฟสวยงามและมีเก้าอี้ให้นั่งพัก ผมถอดสูทออกจากตัว พับมันพาดไว้กับแขน ปลดกระดุมเชิ้ตตัวเอง รู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาบ้าง ผมพิงตัวกับพนักเก้าอี้ หลับตาลง รู้สึกได้ว่ามีคนนั่งลงข้างๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแพทริคนั่นแหละ เขาไม่ได้ถามซ้ำเมื่อเห็นผมไม่ตอบ แต่ปล่อยให้ผมหลับตาทบทวนเรื่องราวต่างๆ

“เฮ้ แพท…” ผมลืมตา หันหน้าไปทางเขา

“ครับ”

“แบบนี้ดีแล้วใช่ไหม…”

“ทุกอย่างอาจไม่ลงตัวสำหรับทุกคน แต่มันดีที่สุดเท่าที่จะหาทางออกได้แล้วครับ”

“นั่นสินะ” ผมพยักหน้ากับตัวเอง “หลังจากนี้มันคงยากขึ้น ฉันไม่รู้ว่าแม่จะรู้สึกยังไงที่ลุงกับอเล็กซ์ทำแบบนั้น พวกเขาเป็นพี่น้อง เป็นน้าหลาน เพราะเป็นครอบครัวเดียวกันมันถึงยากจะจัดการกับความรู้สึก…”

“แล้วคุณล่ะครับ รู้สึกยังไงบ้าง”

“ฉันน่ะเหรอ…”

“คุณห่วงคนอื่นแต่ไม่ห่วงตัวเองเลยนะครับ” แพทริคสบตาผม ดวงตาสีฟ้าเข้มขึ้น ฉายประกายจริงจัง “เพราะคุณไม่ห่วงตัวเอง ผมเลยห่วงคุณว่าคุณจะรู้สึกยังไง ฝั่งนึงก็พ่อคุณ ส่วนอีกฝั่งคือลุงและลูกพี่ลูกน้องคุณ มันลำบากใจมากใช่ไหมครับเซ็บ”

“แพท มันยากมากเลย” ผมถอนใจ ทิ้งหัวพิงศีรษะเขา แพทริคลูบหัวผมช้าๆ ปล่อยให้ผมระบายสิ่งที่อยู่ในใจ “ทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด แรงจูงใจของทุกคน เหตุผลของพวกเขา…”

“ความรักทำให้คนเราทำได้ทุกอย่างจริงๆ นะครับ”

“นั่นสินะ ตลกดี” ถึงปากผมจะบอกว่าตลก แต่ผมหัวเราะไม่ออกสักนิด “ฉันโกรธที่พ่อถูกทำร้าย โกรธที่คนทำร้ายพ่อคือคนใกล้ตัวที่ไว้ใจ แถมพวกเขายังขู่นาย เอาครอบครัวนายมาเป็นข้อต่อรอง แต่พอมองมุมของลุงกับอเล็กซ์ ถ้าเป็นฉัน...ถ้าฉันเห็นคนที่ฉันรักเจ็บปวดมาตลอดยี่สิบกว่าปีแบบนั้น ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไรลงไป อาจแย่กว่าที่ลุงทำด้วยซ้ำ…”

“ฉันอยากโกรธพวกเขาทุกคน โกรธพ่อที่ไม่รักแม่แต่ยอมแต่งงานกับแม่เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ โกรธแม่ที่ก้าวเข้าไปในชีวิตคู่ของพ่อกับน้ามาเรีย โกรธลุงกับอเล็กซ์ที่ทำเรื่องโง่ๆ เพื่อแก้แค้น แต่สุดท้ายพอฉันเอาตัวเองไปมองในมุมของพวกเขา ฉันกลับตอบตัวเองไม่ได้ว่าถ้าเป็นฉัน ฉันจะจัดการกับมันยังไง ทุกคนมีเหตุผลในมุมมองของตัวเอง”

“ใช่ครับ ทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเอง หลังตัดสินใจไปแล้ว ผมคิดว่าพวกเขาคงเตรียมพร้อมรับผลที่ตามมา การตัดสินใจของเขา ความรับผิดชอบของเขา ผมคงห้ามคุณคิดมากไม่ได้ เรื่องมันใหญ่เกินกว่าคุณจะไม่คิดอะไรเลย แต่ถ้าคุณเหนื่อย หรือรู้สึกแย่อะไรก็ตาม ผมหวังว่าคุณจะนึกถึงผม ผมอยู่ข้างคุณเสมอเซ็บ อยู่ตรงนี้ตลอด คุณล้มผมจะคอยฉุดให้ลุก คุณก้าวต่อไม่ไหวผมจะคอยพยุงจนคุณแข็งแรงดี ผมน่ะ...รักคุณมากนะครับ”

เขาจูบหน้าผากผม สัมผัสอุ่นจากริมฝีปากเขาทำให้ผมยิ้มออกมาได้

น้ำตาผมไหล

ตื้นตันกับสิ่งที่แพทริคทำให้

ผมที่เข้มแข็งมาตลอด วันนี้อนุญาตให้ตัวเองอ่อนแอได้ เพราะแพทริคบอกเองว่าจะอยู่ข้างผม คอยฉุดในวันที่ผมล้ม คอยพยุงในวันที่ผมก้าวต่อไปไม่ไหว

“แพท…”

“ครับ?”

“ขอบใจนะ”

“ผมเต็มใจทำให้คุณ”

“อืม...ฉันก็เต็มใจรับมันเอาไว้เหมือนกัน”



________________________________________

ซีนอารมณ์ก็มา เฉลยในทุกๆ อย่างแล้วนะคะ ใช่ค่ะ คุณลุงเองก็มีส่วนเหมือนกัน แรงจูงใจก็น่าจะเหมือนที่หลายๆ คนเดาเอาไว้ จริงๆ ก็แอบคิดนะคะว่าใช้เหตุผลแค่นี้เป็นแรงจูงใจมันสมเหตุสมผลหรือเปล่า คิดไปคิดมาก็ อืม...อย่างที่แพทบอกนั่นแหละค่ะ ความรักทำให้คนเราทำได้ทุกอย่างจริงๆ หวังว่าจะชอบตอนนี้กันนะคะ

อีกสองตอนจะจบเนื้อหาหลักแล้วค่ะ เราเลยตัดสินใจว่าจะอัปให้จบในเดือนนี้ไปเลย บทต่อไปจะอัปวันอาทิตย์นี้นะคะ แล้วเจอกันค่า

#คุณผู้มากับสายฝน
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 22 [18-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 18-10-2018 22:52:22
ปริศนาได้รับการคลี่คลาย แพทดูแลไม่ห่างเลย ดีจัง ทุกอย่างเกิดเพราะรักจริงๆ ขอบคุณมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 22 [18-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 18-10-2018 23:16:24
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 22 [18-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-10-2018 01:46:35
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 23 [21-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 21-10-2018 21:07:53

Chapter 23

You had me at hello


“ที่ผ่านมาผมเห็นแก่ตัวกับคุณมาก”

“ไม่ใช่แค่คุณหรอกค่ะ” เบลยิ้มรับแม้แววตาเหนื่อยล้า “ฉันก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน รู้เต็มอกว่าคุณมีมาเรียอยู่แล้ว แต่ฉันไม่คิดปฏิเสธการแต่งงานสักนิด”

ซีมอน รอสซ์สบตาผู้ที่ได้ชื่อว่าภรรยาเก่า เบลในความทรงจำเขาคือผู้หญิงที่เข้มแข็ง สดใสและเด็ดเดี่ยว แต่วันนี้เธอต่างออกไป เหนื่อยล้า ไร้ซึ่งความมั่นใจ แววตามีแต่ความรู้สึกผิดอัดแน่น เขาไม่รู้ว่าควรโทษอะไร ระหว่างตัวเองในวัยหนุ่มที่เด็ดขาดไม่พอจะปฏิเสธการแต่งงานกับเบล หรือโทษพระเจ้าที่เล่นตลกร้ายผูกมัดพวกเขาไว้ด้วยเส้นด้ายแห่งโชคชะตา

ซีมอนได้ยินเสียงของเบล

เบลได้ยินเสียงของเขา

พวกเราเป็นโซลเมตทว่าไม่ได้รักกัน

...เขาไม่ได้รักเบลอย่างที่เบลรักเขา

การตัดสินใจในวัยหนุ่มส่งผลกระทบถึงตอนนี้ เหมือนโดมิโน เมื่อตัวแรกล้มตัวอื่นก็ล้มตาม ในที่สุดทุกอย่างก็พัง โดมิโนชิ้นสุดท้ายล้มลง ความอดทนเฮือกสุดท้ายถูกทำลาย นี่คือผลลัพธ์จากวันนั้น หากเขายืนกรานปฏิเสธ…

อาจจริงอย่างเบอนาร์ดว่า เขาในตอนนั้นคงไม่ได้เทิดทูนความรักไว้เป็นอันดับหนึ่ง ซีมอนโตมาในโลกของการแข่งขัน ทุกอย่างถูกมองเป็นตัวเลข เป็นผลประโยชน์และเม็ดเงินนับไม่ถ้วน

ความรักและผลประโยชน์ เขาเลือกไม่ได้ มันไม่สามารถไปด้วยกัน...ไม่เคย

ความเคยชินทำให้ซีมอนเลือกผลประโยชน์ เบลคือผลประโยชน์ชิ้นงาม ซีมอนเชื่อว่ามาเรียจะเข้าใจ วินาทีที่เขาคิดอย่างนั้น เขาได้ทำร้ายจิตใจผู้หญิงถึงสองคนในเวลาเดียวกัน

“ผมขอโทษ สำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา”

“ทุกอย่างเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน” เธอหลุบตาลง “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ”

“ผมแต่งงานกับคุณเพราะผลประโยชน์ ผมเป็นผู้ชายที่ใจร้ายกับคุณมาก” ซีมอนก้าวเข้าหาเบล แต่เธอถอยหลัง เขาเลยหยุดอยู่แค่นั้น “ผมควรหย่ากับคุณเมื่อครบกำหนดสัญญา แต่ผมก็ไม่ได้ทำ ผมไม่ได้รักคุณแบบคนรัก แต่ผมไม่ปฏิเสธว่าตลอดเวลาที่เราใช้คำว่าคู่ชีวิต ผมผูกพันกับคุณ มันทำให้ผมลังเล ทำร้ายทั้งคุณและมาเรียไม่จบสิ้น”

“ความผูกพันน่ากลัวนะคะ” เธอแค่นหัวเราะ ซีมอนไม่รู้ว่าภายในใจเบลคิดอะไรอยู่ เขาเหมือนจะรู้จักเธอดี แต่ก็ไม่ “แต่ฉันก็ยังรู้สึกดีที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันมีความหมายกับคุณบ้าง แม้ไม่ใช่ในฐานะที่ต้องการ”

“เบล…”

“ไม่ค่ะ อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ฉันไม่ต้องการความสงสาร” เบลสบตาเขา น้ำเสียงจริงจัง เธอเม้มริมฝีปาก ถอนใจแผ่วเบา “ทุกคนมองฉันแบบนั้น ทั้งเบอนาร์ด อเล็กซ์ เซ็บ หรือแม้กระทั่งคุณ แต่ฉันไม่คู่ควรกับมัน ฉันไม่ควรได้รับความสงสารหรือเห็นใจ พูดกันตามตรงซีมอน เรื่องนี้เริ่มที่ฉัน ความเชื่อเพ้อฝันเรื่องโซลเมต ทุกอย่างถึงดำเนินมาถึงตอนนี้ ถ้ามีใครสักคนที่ต้องได้รับความเห็นใจ คนนั้นควรเป็นมาเรีย เธอไม่ผิดอะไรสักนิดเดียว”

“คุณจะรับความผิดไปทั้งหมดไม่ได้เบล ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องมันขับเคลื่อนต่อไป”

“โอเคซีมอน ฉันจะแบ่งความผิดกับคุณคนละครึ่ง” เธอยิ้มให้เขา ซีมอนอยากยิ้มตอบ แต่มันยากเกินไป

“สักวันเราอาจเป็นเพื่อนกันได้”

“ค่ะ สักวัน”

“ผมปลดปล่อยคุณแล้วนะเบล”

“เหลือแค่ฉันที่ยังไม่ปลดปล่อยตัวเอง” ซีมอนมองเบลก้มหน้าสูดหายใจลึก เสียงเธอสั่นเครือ กระทั่งเงยหน้าถึงเห็นน้ำตาอีกฝ่าย “แต่คุณไม่ต้องห่วง ฉันจะเป็นอิสระ...สักวันหนึ่ง เมื่อวันนั้นมาถึง วันที่ฉันอนุญาตให้ตัวเองหลุดจากกรงขังที่สร้างขึ้น ฉันหวังว่าคุณจะยังยินดีรับฉันเป็นเพื่อน”

“ผมยินดีเสมอ”

ตอบรับออกไปเช่นนั้น ซีมอนหมายความอย่างที่พูด เบลสบตาเขา รอยยิ้มถูกส่งมา ซ้อนทับกับรอยยิ้มในวันวานเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน


‘คุณได้ยินเสียงฉันไหมคะ?’

‘คุณ…?’

‘พวกเราได้ยินเสียงกันและกันในวันฝนตก เขาว่าเราเป็นโซลเมตกันนะคะ คิก~’


‘สวัสดีค่ะ ได้เจอคุณตัวจริงสักที’

เบลในวันนั้นสดใสร่าเริง รอยยิ้มเจิดจ้ากว่าพระอาทิตย์

‘สวัสดีครับ’

ซีมอนได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไปแบบนั้น


“ขอบคุณค่ะ สุดท้ายฉันอยากให้คุณรู้ไว้” คราวนี้เบลก้าวเข้าหาเขา ดูเปราะบาง แต่ก็เข้มแข็ง ช่างเป็นความขัดแย้งที่ทำให้ซีมอนไม่อาจละสายตา เธอกระซิบข้างใบหูเขา “You had me at hello, Simon”

“ขอบคุณ และขอโทษด้วย” เบลให้ใจเขาตั้งแต่แรกเจอ แต่เขาทำแบบเธอไม่ได้

เบลยิ้ม ค้อมศีรษะลง เธอหมุนตัวเดินจากไป ไร้คำร่ำลา แผ่นหลังบอบบางหายลับ บานประตูปิดลง แต่ตัวตนส่วนหนึ่งของเบลยังคงสลักลึกในความทรงจำซีมอน พันธนาการเขาไว้ด้วยความรู้สึกผิด เธอไม่หายไปไหน แต่จะเป็นรอยแผลเป็นประทับอยู่ในใจเขา

เบล เปเรซ

อดีตคู่ชีวิต

แม่ของเซบาสเตียน

และในอนาคต

หากเขายังอยู่บนโลกใบนี้ แม้เป็นเพียงตาแก่ไร้เรี่ยวแรงนอนติดเตียงรอวันสุดท้ายของชีวิต…

“ผมจะรอคำว่าเพื่อนจากคุณ...เบล”


[Sebastian]

ผมคิดว่าแพทริคขี้กังวลเกินไป วันนั้นผมไม่น่าร้องไห้ให้เขาเห็น มันคงฝังใจเจ้าแมวยักษ์น่าดู เรื่องราวทุกอย่างจบลงแต่แพทริคยังคงยืนกรานจะพักอยู่กับผม ไล่ก็ไม่ไป ดื้อดึงจนน่าจับมาฟาดบั้นท้ายสักทีสองทีให้ขึ้นรอยแดง

และบางที ผมคงต้องจับเขามาฟาดจริงๆ ไม่ใช่แค่ขู่

“ยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอ”

“อะไรอีก”

“คุณครับ” เขาเข้ามาออดอ้อนคลอเคลีย กอดผมแน่นจากด้านหลัง ไล่จูบตั้งแต่กกหู ลำคอตบท้ายด้วยแก้ม “ไม่โกรธผมนะ แค่อยากให้คุณพักผ่อนบ้างก็เท่านั้น”

“โดยการซื้อตั๋วเครื่องบินแล้วลากฉันมาเที่ยว?”

ผมกวาดตามองภายในบ้านพักที่แพทริคจองไว้ มันเป็นบ้านพักเดี่ยวชั้นเดียวในตัวอุทยาน ตัวบ้านร่มรื่นน่าอยู่ ข้างนอกรายล้อมด้วยต้นไม้ บรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ผมยอมรับว่าที่นี่สวยงามชวนให้ผ่อนคลายทีเดียว

“ครับ ไม่ดีเหรอ คุณก็ยอมมานี่”

“ใช่ ฉันยอมมา แต่การไม่ถามกันสักคำ คิดว่าดี?” ผมย้อนถาม เอี้ยวหน้ามองแพทริคที่ทำหน้าจ๋อย “ถ้าเกิดฉันติดธุระขึ้นมา หรือมีตารางงานที่เลื่อนไม่ได้ คิดไหมว่านายจะเสียค่าตั๋วแถมใช้โควต้าวันหยุดหมดไปเปล่าๆ”

“ผมแค่อยากเซอร์ไพรส์คุณ”

“คราวหลังจะทำอะไรบอกกันก่อน ฉันไม่อยากให้นายเสียเงินฟรี” ผมดุเขา แมวยักษ์เลยซบหน้ากับไหล่ผม ส่งเสียงหง่าวๆ ขอความเห็นใจ “ฉันพูดไปตั้งยาว เข้าใจบ้างไหมเจ้าเด็กดื้อ”

“อื้อ”

“ตอบดีๆ แพท” ผมหมุนตัวเผชิญหน้าเขา เชยคางอีกฝ่ายให้เงยหน้าสบตากัน “หน้ามุ่ยเชียว ไม่พอใจที่ฉันดุ?”

“เปล่า…”

“ก็มาด้วยแล้วนี่ไง” ผมเสียงอ่อนลง ลูบแก้มแพทริคเบาๆ “ทำไมสุดท้ายกลายเป็นฉันที่ง้อนายล่ะ”

แมวยักษ์ไม่ตอบ เขาทำแค่ยิ้ม เอียงแก้มแนบฝ่ามือผม สายตาออดอ้อน สองมือโอบเอวผมไว้ ดึงให้เข้าไปชิด ผมขยับเข้าไปหาอย่างว่าง่าย

“เพราะคุณแคร์ผมน่ะสิ”

“นับวันนายยิ่งได้ใจใหญ่”

แพทริคหัวเราะเมื่อผมว่าแบบนั้น เขายื่นหน้าเข้ามา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องการอะไร ผมเบี่ยงหนี ไม่ตามใจแมวยักษ์อย่างที่เคย เด็กดื้อต้องโดนลงโทษซะบ้าง

“โธ่เซ็บ”

เขาโอดครวญเมื่อผมดันตัวเองออกจากอ้อมกอด ผมเดินไปทิ้งตัวบนโซฟาหน้าจอทีวี กดเปิดดูไปเรื่อยเปื่อย แพทริคตามมานั่งข้างๆ ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่จนต้องหันไปหรี่ตาใส่

“ยังไม่อนุญาต ห้ามหอม”

“ไม่รู้ ไม่สน”

“หัดเป็นแมวดื้อตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมเลิกคิ้ว “ดื้อมากๆ จะไม่รักนะ”

“อย่าขู่ผมแบบนั้น” แพทริคหน้ามุ่ย ไม่พอใจที่ผมพูดคำว่าไม่รัก “ขู่อะไรผมก็ได้ แต่อย่าบอกว่าไม่รักได้ไหม”

“ก็รู้นี่ว่าแค่ขู่” ผมหัวเราะ โยกหัวเขาเบาๆ แพทริคจับมือผมออกมา กุมไว้แน่น สบตาผมก่อนเปลี่ยนโทนเสียงเป็นจริงจัง

“คุณเป็นไงบ้างเซ็บ”

“สบายดี”

“ไม่สิ” แพทริคถอนใจ “คุณรู้ว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร คุณสัญญาไว้ว่าจะเล่าให้ผมฟังถ้าพร้อมแล้ว”

“เฮ้อ...ต้องรู้ให้ได้เลยใช่ไหม” ผมบ่น แต่ก็ตอบไปตามตรง “ฉันน่ะพอไหวแล้วล่ะ ห่วงก็แต่แม่ ตอนนี้ลุงกับอเล็กซ์ยังไม่กล้าเข้าหน้าแม่ด้วยซ้ำ ปกติพวกเขาจะแวะมาพักกับแม่สามวันต่อสัปดาห์ นี่หายไปเลย มีแค่โทรหาบ้าง ฉันกลัวแม่จะคิดมาก ไม่ว่ายังไงแม่ก็แคร์พวกเขา…”

“เรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลา”

“ใช่ ฉันก็หวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยา” ผมพยักหน้ารับ “แม่เหลือแค่พวกเขากับฉัน สายเลือดตัดกันไม่ขาดอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องรอเวลาที่เหมาะสม เวลาที่ความรู้สึกผิดในใจของทุกคนหายไป”

“ความรู้สึกผิดมันไม่มีวันหายหรอก” แพทริคว่า น้ำเสียงเขาอ่อนโยน “แต่สักวันเราจะหาทางอยู่กับมันได้ โดยไม่ให้มันทำร้ายความรู้สึกเราเหมือนตอนนี้ต่างหากครับ”

“แค่ช้าเร็ว” ผมยักไหล่ “เลิกคุยเรื่องนี้เถอะ นายพาฉันมาถึงนี่ จะไม่ออกไปเที่ยวข้างนอกหรือไง คงไม่คิดจะอยู่ในบ้านพักตลอดทั้งวันหรอกนะ”

“ก็ง้อคุณก่อน พอคุณหายโกรธผมค่อยพาคุณออกไปเที่ยว”

“หายโกรธแล้วไง”

“งั้นไปเที่ยวกันครับ เขาบอกว่าพระอาทิตย์ตกดินที่นี่สวยมาก”

แพทริคยิ้มให้ผม ท่าทางตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กๆ หากมีสิ่งหนึ่งที่สวยงามกว่าพระอาทิตย์ตกดิน มันคงเป็นรอยยิ้มของเขา สดใสและเต็มไปด้วยพลังบวก

ผมลุกขึ้น ยื่นมือให้แพทริค

“ไปสิ ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกัน”


วันหยุดพักผ่อนกับการมาเที่ยวในครั้งนี้ดีกว่าที่คิด ต้องขอบคุณแพทริคที่พาผมมา พวกเราเที่ยว ชื่นชมธรรมชาติ ดูพระอาทิตย์ตก ดื่มด่ำบรรยากาศที่หาไม่ได้ในเมืองใหญ่ มันทำให้ผมทิ้งเรื่องเครียดในหัวไปได้มากทีเดียว มื้อค่ำในคืนนี้จบที่ร้านอาหารพื้นเมืองติดกับที่พัก เสียงดนตรีบรรเลงสนุกสนานครื้นเครง พวกเราดื่มกินจนกรึ่มได้ที่ถึงตัดสินใจพากันกลับ

“ฮะๆๆ วันนี้สนุกชะมัดคุณว่าไหม”

“เดินแทบไม่ตรงแล้วแพท” ผมส่ายหัว แพทริคดื่มหนักกว่าผมมาก “เข้าที่พักเร็ว อยากอาบน้ำจะแย่”

พวกเราเที่ยวมาทั้งวัน ผมเหนียวตัวจนอยากอาบน้ำแล้วเข้านอนเอาแรงไวๆ ผมพยุงแพทริคเข้าข้างใน ขอบคุณที่บ้านพักนี้มีห้องน้ำสองห้อง ผมจัดการยัดเขาเข้าห้องแรก กำชับเจ้าตัวจนแน่ใจว่าแพทริคจะไม่เมาหลับคาอ่างก่อนพาตัวเองมาอาบน้ำชำระร่างกายอีกห้อง

สายน้ำเย็นไหลผ่านตัว ปลุกสติผมให้กลับมา ผมยังคงมึนอยู่นิดๆ แต่หัวโล่งกว่าเดิมมาก ผมพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมา ตอนนั้นเองที่โดนจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว

“เฮ้!”

“อื้มเซ็บ” แพทริคซุกหน้ากับลำคอผม ริมฝีปากประทับจูบดูดดึงไม่ห่าง เส้นผมสีจินเจอร์เปียกชื้นแนบลู่ไปกับศีรษะ กลิ่นหอมจากตัวอีกฝ่ายทำให้ผมรู้ว่าแพทริคอาบน้ำเสร็จแล้ว และเจ้าหมอนี่มันซุ่มรอจู่โจมผม “ตัวคุณหอมจังครับ อยากกินให้หมดทั้งตัวเลย”

“เฮ้ ขยับออกไปหน่อย”

“ขอนะครับ”

“แพท แพท เฮ้!”

เขาไม่ฟังผมสักนิด แพทริคปิดปากผมด้วยจูบหนักๆ ฝ่ามือไล้ตะโบมไปทั่ว เขาบีบหน้าอกผม ออกแรงเคล้นจนขึ้นรอยแดง ก่อนต้อนผมไปทางโซฟา โถมตัวทับลงมาทั้งที่ปากไม่ละจากกันสักนิด

ผมพลิกตัว กดแพทริคลงล่างและคร่อมทับเขาไว้ แมวยักษ์เป็นผู้คุมเกมจนชักได้ใจเกินเหตุ

“หน้าอกคุณใหญ่จัง” เขาเอนตัวพิงโซฟา มองมาแววตาหวานเชื่อม มือหนึ่งโอบเอว อีกมือประคองบั้นท้ายผม แถมมือนั้นยังอยู่ไม่สุขซะด้วย ผมกระตุกยิ้ม

“ชอบไหมล่ะ”

“ชอบจนอยากบีบให้ช้ำ”

“อย่ารุนแรงนักสิ” ผมเชยคางเขา โน้มลำตัวไปใกล้ จงใจให้มันเด่นล่อตาอีกฝ่าย “อ่อนโยนกับมันหน่อย รู้ไหมว่ามันชอบลิ้นของนายนะ”

แพทริคตาวาว สายตาแปรเปลี่ยนเป็นนักล่า ผมกดนิ้วโป้งลงบนริมฝีปากเขา คลึงเบาๆ ก่อนส่งไปข้างใน แพทริคตวัดลิ้นโลมเลีย สายตาจ้องผมไม่ละไปไหน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอยากกินผมเต็มแก่

ผมทาบนิ้วกับลิ้นเขา กดเบาๆ ให้แพทริคเผยอริมฝีปาก จากนั้นก็หยัดตัวป้อนนมให้แมวยักษ์ที่หิวกระหายถึงปาก เขาดูดกลืนมัน ปลายลิ้นตวัดเลีย ฟันคมครูดผ่านส่วนยอด ผมตัวสั่น โอบกอดศีรษะเขาไว้ สอดปลายนิ้วเข้ากับเส้นผมสีจินเจอร์ จิกทึ้งระบายอารมณ์เสียวซ่าน แพทริคซุกหน้ากับอกผม แนบแน่น เสียงดูดดึงเปียกแฉะฟังหยาบโลนผสมกับเสียงหายใจหนัก ผมหลับตาเชิดหน้าขึ้นเมื่อหน้าอกอีกข้างถูกบีบแรงกว่าเดิม ผมหลุดเสียงครางออกมา หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความพอใจจากคนทำ

แพทริคคงคิดว่าตัวเองคุมเกม

ผมจะทำให้เขารู้ว่าตัวเองคิดผิด

“อ่า เซ็บ ซี้ด…”

“เสียวไหม” ผมกระซิบข้างหูเขา จงใจบดเบียดส่วนล่างของพวกเราให้แนบชิดกว่าเดิม ถูไถผ่านผิวผ้า “ชอบให้ฉันบดแรงๆ หรือเปล่า อ่า...อื้ม!”

“ค...คุณกำลังทำให้ผมคลั่งนะ”

“ฮะ ดีสิ” ผมหัวเราะ บดตัวลงกับตักแพทริค เสียดสีความแข็งขืนที่ตั้งลำและร้อนผ่าว ผ้าเช็ดตัวที่พันท่อนล่างพวกเราหลุดลุ่ย แต่ผมไม่สน ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป “ฉันชอบให้นายคลั่งเพราะฉัน หลงฉันให้มากกว่านี้เด็กดี นายเป็นของฉันเข้าใจไหมแพท”

วันนี้ผมจะบดขยี้ให้แพทริคครวญครางอยู่ใต้ร่างเลยล่ะ

เจ้าแมวยักษ์คำรามฮึ่ม มือที่ประคองเอวออกแรงให้ผมขยับบดแรงกว่านี้ ในขณะเดียวกันแพทริคก็เด้งเอวขยับรับเป็นจังหวะ มือที่บีบบั้นท้ายผมขยับหายไปครู่หนึ่ง ผมเหลือบมอง แพทริคป่ายมือไปยังที่นั่งข้างตัว หลังจากนั้นก็หยิบหลอดเจลที่วางไว้ขึ้นมา

บอกแล้วว่าเจ้าแมวยักษ์เตรียมตัวจะกินผม วางแผนไว้อย่างดีขนาดไหนคิดดู

“ฉันทำเอง”

ผมแย่งเจลหลอดนั้นมาเทใส่มือแพทริค กระทั่งมันชุ่มโชก กระตุกยิ้มให้เจ้าแมวยักษ์ที่หรี่ตามองเหมือนไม่ไว้ใจ ก่อนจับมือเขาวางไว้ที่บั้นเอว ผมสบตาแพทริค ค่อยๆ เคลื่อนมือเขาลงต่ำ จับนิ้วอีกฝ่ายไว้แล้วให้มันชำแรกเข้าไปในตัวพร้อมกับนิ้วของผมเอง

“อะ แพท…” ผมครางชื่อแพทริคเสียงต่ำ สะกิดนิ้วเรียวยาวของอีกฝ่ายที่อยู่ภายในตัวเอง สะโพกแอ่นหยัดรับสิ่งที่อยู่ภายใน “ในนี้อุ่นไหม”

“เซ็บ คุณยั่วผมเกินไปแล้วนะ” เขาตอบเสียงกระท่อนกระแท่น ความอดทนน้อยลงทุกที

“อยากเข้าไปข้างในไหม” ผมถาม ขยับสะโพกบดเล่นกับนิ้วของเขา แพทริคส่งเข้ามาอีกนิ้ว ขยับเกี่ยวเสียดสีอยู่ข้างในให้ผมดิ้นพล่านเป็นการเอาคืน ผมเลยเกร็งรัดนิ้วเขาเป็นการตอบแทน

“ซี้ด! คุณมันร้ายเซ็บ”

“ข้างในฉันอุ่นมากนะ” ผมยังพูดจากระตุ้นอารมณ์เขา “ถ้าได้นายเข้ามามันคงรัดแน่นกว่านี้แน่ ตรงนี้ของฉันรักนายจะตายอยู่แล้วแพท”

“ให้ผมเข้าไปเถอะ”

เขาขอเสียงพร่า ผมหัวเราะ บังคับให้แพทริคถอนนิ้วออกไป ขยับตัวนั่งคร่อมเขาไว้ให้อะไรๆ มันง่ายกว่าเดิม

“อ้อนวอนฉันสิ” ผมว่าอย่างเหนือกว่า ขยับสะโพกถูไถกับปลายส่วนแข็งขืนที่ตั้งชัน มันกระตุกและสั่นทุกครั้งที่ลื่นผ่านปากทาง...ใช่ ผมจงใจ “อ้อ ฉันยังอยากให้นายเรียกฉันว่าแด๊ดดี้นะ”

“ดะ…”

“หืม?”

“ให้ผมเข้าไปข้างในนะครับแด๊ดดี้ ซี้ด…!”

แพทริคเชิดหน้าสูดปากทันทีที่ผมกดตัวตนเขาเข้าไปข้างใน ผมโอบต้นคอเขาไว้ กระตุกยิ้มมุมปากให้แพทริคที่มองมาตาเยิ้ม คืนนี้ผมจะคุมเกม ไม่ว่าแพทริคจะยอมหรือไม่ก็ตาม

ผมเริ่มขยับเมื่อทุกอย่างเข้าที่ แพทริคพยายามจะพลิกตัวผมลงล่าง แต่ผมขืนตัวเอาไว้ เจ้าแมวยักษ์ดูขัดใจ แต่พอผมทิ้งตัวขยับโยก ความไม่พอใจก็หายไปเหลือแต่เสียงครางทุ้มในลำคอ แพทริคถูกผมชักนำไปตามจังหวะที่กำหนด เสียงหอบกระเส่าดังปนกัน แพทริคดึงตัวผมเข้าไปจูบ

รสจูบครั้งนี้ดุดันและเรียกร้องกว่าทุกครั้ง

ผมไม่หยุดขยับ จังหวะถี่รัวขึ้นเมื่ออารมณ์โหมกระพือ เหงื่อไหลเต็มตัวจนคิดว่าจบจากนี่คงต้องอาบน้ำกันใหม่

“อึก! แพทอย่าสวน!”

“คุณคุมเกมได้คนเดียวหรือไง” แพทริคเถียง ยังคงสวนเอวขึ้นมาไม่หยุด มันกระแทกจุดอ่อนไหวภายในผมเต็มๆ จนตัวสั่นคลอน ต้องกัดปากห้ามเสียงเอาไว้ “ร้องสิครับ ผมอยากได้ยินเสียงครางของคุณ”

“ร้องว่าอะไรดี” ผมกัดปาก “แบบนี้เหรอ…”

ผมครางต่ำเสียงแหบพร่าข้างใบหูเขา บดช่วงล่างตัวเองสู้ให้แพทริคคลั่งกว่าเดิม เขาคำรามฮึ่ม กัดหน้าอกผมและดูดดึงไม่ห่าง ผมจิกหัวเขาไว้ แอ่นตัวให้แพทริคทำได้ถนัดยิ่งขึ้น

“เรียกแด๊ดดี้อีกสิ อะ อืม...”

“อ่า...แด๊ดดี้ ข้างในคุณร้อนมาก” เขากระแทกสวน “รัดผมแน่นสุดๆ ไปเลย”

“รัดได้แน่นกว่านี้อีกนะ” ไม่ว่าเปล่า ผมสาธิตทันที

“ซี้ด อย่าแกล้งครับ”

“หึๆๆ” ผมหัวเราะ เร่งจังหวะขึ้นเมื่อรู้สึกไม่ไหวแล้ว แพทริคจับตัวตนผมไว้ ก่อนหน้านี้มันแข็งเกร็งจนถูไถกับหน้าท้องเขาไปมา “ชอบที่ฉันทำให้นายไหมแพท รู้สึกดีหรือเปล่าเด็กดี”

“ชอบครับ” เขาหอบแฮ่ก ขยับรูดรั้งให้ผมจนเสียวซ่านไปถึงปลายเท้า “ชอบให้แด๊ดดี้บดผมแรงๆ อย่างนี้ ซี้ด!”

แพทริคกระตุกเฮือก ปลดปล่อยข้างในจนชุ่มฉ่ำ ผมตามเขาไปติดๆ ห้วงอารมณ์ฉีดกระจายเต็มหน้าท้องเป็นลอน ผมทิ้งตัวซบเขา กดจูบลงบนต้นคอแพททริค ดูดเม้มตีตราจอง ส่วนนั้นยังคาอยู่ในตัว ไม่คิดจะเอาออก แช่ไว้แบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกัน

“เลอะหมดเลย”

“เพราะใครกันที่เริ่ม?”

แพทริคหัวเราะ เขาดันตัวผมออก ส่วนนั้นหลุดตามมา ผมเผลอร้องเมื่อจังหวะที่ถอดถอนจุดนั้นยังอ่อนไหวและไวต่อสัมผัสอยู่ เจ้าแมวยักษ์หยิบทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดทำความสะอาดให้ผม เขาทำท่าจะล้วงของเหลวที่อยู่ข้างในออกให้ด้วยซ้ำแต่ผมห้ามเอาไว้แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวที่กระจัดกระจายตกแถวนั้นมาคลุม

“ชอบตอนคุณขึ้นให้ผมจัง”

“ถ้าชอบก็เรียกแด๊ดดี้บ่อยๆ แล้วจะขึ้นให้”

“คุณนี่จริงๆ เลย” แพทริคบ่นพึมพำ ผมเลยยื่นหน้าไปจูบปลายจมูกเขา แมวยักษ์จ้องผมตาแป๋ว

“น่ารัก” ผมยิ้ม “นายน่ะน่ารักจังนะแพท”

ผมเกลี่ยนิ้วกับใบหน้าแพทริค รอยกระสีอ่อนกระจายเต็มจมูกและข้างแก้ม มันน่าเอ็นดูในสายตาผมมากๆ จะว่าไปเขาก็ดึงดูดสายตาผมตั้งแต่แรกพบแล้ว ผู้ชายตัวสูงที่ปีนต้นไม้ช่วยลูกแมวจนตัวเองเปียกปอนเกือบเป็นอันตราย ทว่ามือกลับประคองเจ้าตัวเล็กไว้ไม่สนว่าตัวเองจะบาดเจ็บ...

...และดวงตาสีฟ้าใสที่มองมา

คงตั้งแต่ตอนนั้น ถึงผมจะไม่รู้ตัวเองก็ตาม

“ถ้าผมน่ารักก็รักผมให้มากๆ”

“รู้น่า” ผมบีบจมูกเขา “แล้วนายล่ะ รู้อะไรไหม…”

“ครับ?”

“Maybe…” ผมสบตาเขา ยกยิ้มเมื่อเห็นแววตาใสซื่อมองตอบอย่างงงๆ “You had me at hello, Patrick”

แพทริคนิ่งไป หลังจากนั้นถึงหัวเราะออกมา

“อื้ม เช่นกันครับ”





_________________________________________

You had me at hello : คุณได้ใจฉันตั้งแต่แรกเจอ ... ต่างคู่ ต่างเวลา และต่างผลลัพธ์
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 23 [21-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 21-10-2018 21:37:21
งื้ม...มมม คุณเสือดำแซ่บมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   :m25:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 23 [21-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 22-10-2018 02:27:15
แซ่บมากกกกกกกกก ซี้ดปากกันระรัววววว
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Chapter 23 [21-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-10-2018 10:46:20
สมกับเป็นเสือ แซ่บๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Epilogue [24-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 24-10-2018 21:10:49
Epilogue

There’s a rainbow always after the rain


[Patrick]



“ใกล้หมดหน้าฝนแล้ว”

ผมทัก เงยหน้ามองท้องฟ้าตอนเช้า เมฆสีเทากำลังเคลื่อนตัวออก เปิดทางให้ท้องฟ้ากระจ่างและแสงอาทิตย์ เมื่อเช้ามืดฝนตกอยู่ร่วมห้าชั่วโมง มันเพิ่งหยุดเมื่อเก้าโมงเช้าที่ผ่านมานี่เอง

“อืม ตกนานแบบนี้คงส่งท้ายแล้วล่ะ” เซบาสเตียนพยักหน้ารับ เขาก้าวไปข้างหน้า สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดแล้วหันมาทางผม “จะไม่ได้ยินเสียงนายตอนฝนตกแล้วแพท”

“ว้าว อย่าบอกนะว่าคุณคิดถึงเสียงผม”

“เปล่า ดีใจ ไม่มีเสียงอะไรรบกวน” เขาตอบหน้าตาย ผมเลยเบ้หน้าใส่

“ระวังไว้เลย หน้าฝนปีหน้าผมจะกวนคุณหนักกว่าเดิม”

เซบาสเตียนหยุดเดิน เขาหรี่ตามอง ก่อนขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง ผมประท้วง จับมือเขาออก เปลี่ยนเป็นผสานมือพวกเราไว้ด้วยกัน บีบกระชับไว้แบบนั้นก่อนออกเดินต่อ เซบาสเตียนไม่ได้ดึงออก ผมถือว่าเขาอนุญาต

“เมื่อก่อนฉันเกลียดตอนฝนตก” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา

“อือฮึ เพราะได้ยินเสียงผมงั้นเหรอ”

“มันทั้งน่ารำคาญและอึดอัดเวลาไม่ได้ยินอะไร” เขาหัวเราะในลำคอ “อ้อ มีเสียงนึงที่ได้ยิน แต่นั่นยิ่งน่ารำคาญกว่าเดิม”

“ถ้าคุณพูดคำว่ารำคาญออกมาอีกคำเดียวผมจะร้องไห้จริงๆ นะ”

“เป็นแมวขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาแกล้งเกาคางผม

“ตั้งแต่ชอบคุณนั่นแหละ”

“ล้อเล่นน่า” เซบาสเตียนหัวเราะ พวกเราก้าวไปข้างหน้า พื้นเปียกแฉะ อากาศรอบตัวเย็นชื้น ผมได้กลิ่นไอดินผสมกับกลิ่นฝน มันเป็นกลิ่นที่บรรยายออกมาไม่ถูก แต่ผมค่อนข้างชอบมัน “ตอนนี้ไม่รำคาญแล้ว”

“เปลี่ยนจากรำคาญเป็นอะไรล่ะครับ?”

“ชอบ”

ผมยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบจากเซบาสเตียน เขาหันมายิ้มตอบผม พวกเราเดินมาถึงจุดชมวิวพอดี นักท่องเที่ยวค่อนข้างบางตา คงเพราะฝนตกและอากาศเปียกชื้น เหมาะแก่การนอนซุกตัวในผ้าห่มอุ่นๆ มากกว่า แต่ผมกับเซบาสเตียนคิดต่างไป พวกเราไม่อยากเสียเวลาทิ้งอย่างนั้น

“วิวตรงนี้สวยอย่างที่เขาเขียนรีวิวไว้ในเว็บไซต์เลยนะครับ”

ผมมองออกไปข้างหน้า ตรงที่เรายืนอยู่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างพื้นดินทั้งสองฝั่ง ด้านหลังเป็นน้ำตกที่ตกจากชั้นบนสุด ส่วนข้างล่างเป็นน้ำตกอีกชั้นที่ต่อกัน ผมมองลงไปในแอ่งน้ำนั้น มันกระจ่างใสดูเย็นสบาย หญ้ามอสและเฟิร์นสีเขียวสดปรกคลุมโขดหิน ดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาตามลม

“ถ่ายรูปไหมแพท”

“ถ่ายสิครับ มาถึงนี่ทั้งที” ผมหัวเราะ สบตาเขา “รู้ไหมว่าแลนมาร์คตรงนี้คู่รักนิยมมาถ่ายรูปกันเยอะเชียวนะ”

“งั้นมาถ่ายรูปคู่กัน”

เซบาสเตียนยิ้ม เขาหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดกล้องหน้า ยืนเคียงข้างผม ภาพบนจอปรากฏรูปผมกับเซบาสเตียน ด้านหลังเป็นสายน้ำตกและธรรมชาติรอบตัว มันสวยมากทีเดียว

แชะ!

“อีกรูปสิครับ” ผมบอก เซบาสเตียนตามใจผมโดยไม่ปฏิเสธ ผมยิ้มกริ่ม จังหวะที่เขากำลังกดถ่าย ผมก็หันหน้าไปหอมแก้มเขาทันที

แชะ!

“เฮ้! เจ้าแมวยักษ์ฉวยโอกาส” เขาย่นคิ้ว ดีดหน้าผากผมไปทีนึง “ถ้าฉันตกใจจนถีบนายตกน้ำตกจะทำยังไงฮะ?”

“โธ่ คุณไม่ใจร้ายแบบนั้นสักหน่อย” ผมส่งยิ้มอ้อน เซบาสเตียนเลยส่ายหน้าให้

“หน้าฉันประหลาดชะมัด”

“ดูดีออก” ผมชะโงกหน้าดูรูปที่ถ่ายไว้ “น่ารักดี ปกติคุณไม่ทำหน้าเหวอแบบนี้”

“ฉันจะลบ”

“เฮ้ๆๆๆ หยุดเลยนะเซ็บ” ผมรีบแย่งโทรศัพท์เขามายัดใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง “ผมไม่ให้ลบ ผมชอบภาพนี้ ไม่ลบนะครับ นะๆๆ”

“หยุดอ้อน”

“ไม่หยุด” ผมยักคิ้วใส่ “คุณแพ้ลูกอ้อนผม เรื่องอะไรจะหยุดครับ”

“นายนี่จริงๆ เลยแพท”

เซบาสเตียนจิ๊ปาก สุดท้ายก็หลุดยิ้ม เขาบีบจมูกผม พึมพำว่ามันเขี้ยวๆ จนจมูกผมแดงแปร๊ดก่อนผละออก เท้าแขนกับขอบสะพาน มองออกไปข้างหน้า สายลมพัดมาแผ่วเบา ผมได้กลิ่นดอกไม้ป่าอีกครั้ง ละอองน้ำตกจากด้านหลังกระเซ็นมาเป็นระยะ ผมเงยหน้า ท้องฟ้ากำลังเปิด แสงอาทิตย์อ่อนๆ สาดลงมา บรรยากาศตอนนี้ดีสุดๆ

“แพท”

“ครับ?”

“มันฟังดูน่าอาย แต่ว่า…” เขาหันมองผม สายตาที่ส่งมาอ่อนโยน “...ตอนนี้ฉันมีความสุขมาก นายเปลี่ยนวงจรชีวิตเดิมๆ ของฉันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ขอบคุณ...ที่ไม่ยอมแพ้กับฉันนะ”

“คุณนี่ บทจะโรแมนติกก็ไม่บอกกล่าว”

“อย่าล้อน่า” เขาทำเสียงเข้ม แต่ริ้วแดงข้างแก้มบอกให้รู้ว่าเขิน

“ผมไม่ได้ล้อสักหน่อย”

“รู้ ฉันก็พูดไปอย่างนั้น” เซบาสเตียนยักไหล่ “เวลาผ่านไปเร็วมากแพท เหมือนฉันเพิ่งรู้จักนายได้ไม่ทันไร แต่ที่ไหนได้ นี่จะหมดหน้าฝนแล้ว ระหว่างทางมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเยอะแยะ ถ้าเมื่อก่อนตอนฉันยังอยู่ตัวคนเดียวคงไม่รู้จะจัดการกับเรื่องพวกนี้ยังไง”

“คุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวสักหน่อย” ผมค้าน “ก่อนผมจะเข้ามาในชีวิตคุณ คุณเองก็มีคนคอยอยู่เคียงข้างตั้งเยอะ อย่ามองข้ามพวกเขาสิครับ อย่างน้อยเรื่องนี้แมทธิวก็ช่วยคุณมากกว่าผมแล้วกัน”

ผมหัวเราะออกมาเมื่อเซบาสเตียนแค่นเสียงใส่ตอนพูดถึงแมทธิว ผมชอบความสัมพันธ์ของสองพี่น้องคู่นี้ เหมือนจะไม่ชอบหน้าแต่สุดท้ายในใจพวกเขาก็เป็นห่วงกันตลอด

“อย่าพูดถึงแมทน่า” เซบาสเตียนกลอกตา “เสียบรรยากาศชะมัด ไม่รู้ป่านนี้หมอนั่นจามไปกี่รอบ”

“พูดถึงแมท สรุปเขาถูกคุณซีมอนย้ายไปสาขาที่ไหนเหรอครับ” ผมถามด้วยความสงสัย หลังเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลาย เซบาสเตียนเล่าให้ผมฟังว่าแมทธิวถูกคุณซีมอนจับย้ายไปประจำบริษัทลูกซึ่งเป็นสาขาย่อยต่างประเทศเพราะขัดคำสั่งห้ามสืบเรื่องมือปืนที่ลอบยิงเมื่อครั้งนั้น

“ที่…” เขาพูดชื่อประเทศ ผมเผลอเบิกตากว้างทันที

“เดี๋ยวนะ ที่นั่นขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่อากาศหนาวติดลบเกือบตลอดปีไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่” เซบาสเตียนหัวเราะหึๆ ในลำคอ “แต่ถ้านายจะสงสารใครสักคน แจสเปอร์น่าสงสารที่สุด ตำแหน่งเขาต้องอยู่ข้างตัวแมทเสมอ และแจสเปอร์โคตรเกลียดอากาศหนาวเลย”

“หวังว่าพวกเขาจะไม่ตีกันตายคากองหิมะนะครับ”

“ฉันก็หวังแบบนั้น ที่แมทโดนลงโทษก็เพราะช่วยฉัน อย่างน้อยฉันก็ไม่อยากให้เขาปวดหัวเพิ่ม” เซบาสเตียนตอบรับยิ้มๆ เขามองออกไปข้างหน้า สายตาทอดไกล ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร “และฉันก็หวังว่าพวกเรา...ทุกคนรอบตัวฉันจะมีความสุขกันสักที”

“เซ็บ” ผมเรียกเขา รอจนอีกคนหันมา ดวงตาสีมรกตไหววูบ ผมยิ้มให้เขา “คุณเคยได้ยินคำนี้ไหมครับ?”

“หืม?”

“หลังเมฆฝนหายไปจะเจอสายรุ้งนะ”

“เข้าใจเปรียบเทียบดี” เขายิ้ม

“เฮ้ จริงนะคุณ” ผมทำตาโตใส่ “ไม่มีอะไรเลวร้ายได้ตลอดหรอก ก็เหมือนหน้าฝนที่บรรยากาศมืดครึ้ม เฉอะแฉะ เปียกชื้นไม่สะดวกทำอะไรสักอย่าง มันแย่ใช่ไหมล่ะ? แต่ฝนไม่ได้ตกตลอดไปสักหน่อย หลังมันหยุดอากาศก็กลับมาแจ่มใส แถมมีสายรุ้งสวยๆ ให้คุณมองด้วย”

“โอเค เชื่อแล้ว นายไม่ต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้น”

“กลัวคุณมองว่าผมคิดอะไรเป็นเด็กๆ”

“คิดอะไรเป็นเด็กๆ ก็ดีนะฉันว่า” เขายิ้มออกมาในที่สุด “ความคิดของเด็กไม่ซับซ้อน มันซื่อตรงและจริงใจ นายก็เป็นอย่างนั้นแพท มันเป็นข้อดีต่างหาก”

“คุณชมอีกคำเดียวผมจะลอยแล้วนะ”

“ก็เกินไป”

เซบาสเตียนหัวเราะ แววตากลับมาสดใสอีกครั้ง ผมรักที่มันเป็นแบบนั้น เวลาที่เซบาสเตียนยิ้มหรือหัวเราะทำให้ผมมีความสุขตามเขาไปด้วย เซบาสเตียนควรเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ถึงไม่ที่สุดในโลก แต่ก็ควรที่สุดในโลกของผม พวกเราต่างมีโลกเป็นของตัวเอง แต่ผมยินดีจะแบ่งปันโลกของผมให้เขาร่วมใช้ชีวิตด้วย

“ว่าแต่…”

“หืม?”

“ฝนในใจคุณหยุดตกแล้ว” ผมเกริ่น “ตอนนี้คุณเจอสายรุ้งของตัวเองหรือยังเซ็บ”

เซบาสเตียนสบตาผม พวกเราจ้องหน้ากันครู่หนึ่ง ในที่สุดเซบาสเตียนก็ยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มแผ่ไปถึงดวงตาที่หยีโค้ง เขาพยักหน้า จ้องลึกเข้ามาในตาผมราวกับจะบอกบางอย่างเป็นนัย

“อืม ฉันเจอแล้ว”

“ไหนครับ” ผมแกล้งถาม

“สายรุ้งของฉันคือนาย...แพท”

รอยยิ้มผมกว้างกว่าเดิม คำตอบของเซบาสเตียนเป็นประโยคสั้นๆ แต่แสนพิเศษ ผมรู้สึกว่าในใจตัวเองอุ่นวาบแม้บรรยากาศรอบตัวจะเย็นชื้น ช่วงชีวิตหนึ่งของผม การเป็นสายรุ้งและโลกทั้งใบให้ใครสักคนเป็นเรื่องราวที่มีความหมายที่สุด

เซบาสเตียนเองก็มีความหมายกับผมไม่น้อยไปกว่ากัน

ในวันที่ผมมองไม่เห็นเขาจะเป็นสีสันหนึ่งเดียวที่ผมมองเห็น

ในวันที่ผมไม่ได้ยินอะไร เซบาสเตียนจะเป็นเสียงเดียวที่ดังท่ามกลางความเงียบ

ในวันที่ผมไม่สามารถลิ้มรส เขาจะเป็นรสชาติเดียวที่ผมสัมผัสได้

ในวันที่ผมหลับตาและฝันไป ตัวตนของเซบาสเตียนจะแจ่มชัดในนั้น

ชื่อคุณจะสลักบนตัวผม ตัวตนของคุณจะฝังลึกในใจ

แด่คุณผู้มากับสายฝน

คุณที่เป็นทุกอย่างให้ผม

ผมขอเป็นสายรุ้งประจำตัวคุณตลอดไป...

“...ส่วนคุณก็เป็นโลกทั้งใบของผมครับเซ็บ”


The End





___________________________________
บทส่งท้ายแล้วค่ะ มันก็จะใจหายหน่อยๆ เพราะอยู่กับเรื่องนี้มาตั้งแต่ 1 กค. เลย เวลาผ่านไปเร็วมาก ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาด้วยกันจนถึงบทสรุปของเรื่องนะคะ เราอยากให้นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายอีกเรื่องที่ทุกคนจะกลับมาอ่านใหม่ซ้ำอีกรอบในวันที่ต้องการกำลังใจหรือพลังบวก หวังว่ามันจะเป็นมากกว่างานเขียนชิ้นหนึ่งค่ะ

หน้าฝนใกล้หมดลงแล้ว หวังว่าหลังจากนี้ทุกคนจะเจอสายรุ้งของตัวเองนะคะ

ปล.เดี๋ยวมีตอนพิเศษแมทธิวกับแจสเปอร์ลงให้อ่านอีกตอน ฝากติดตามด้วยค่ะ

#คุณผู้มากับสายฝน
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Epilogue [24-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 24-10-2018 22:26:26
รอตอนพิเศษ..ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะจ๊ะ  :catrun:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Epilogue [24-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 24-10-2018 23:11:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Epilogue [24-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-10-2018 00:38:36
ละมุนมากๆ TT
รออ่านสเปเลยต่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Epilogue [24-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 25-10-2018 01:09:15
เดินทางมาด้วยกันจนจบตอน อ่านตอนฝนตกอีกแล้วยิ่งอบอุ่นเข้าไปใหญ่
ขอบคุณมากนะคะสำหรับเรื่องโรแมนติกอบอุ่นใจและลุ้นระทึกแถมลงเรือผิดลำอีก :m17:
รอติดตามตอนพิเศษค่ะคุณแจ็ค :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Epilogue [24-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: _tosssalad ที่ 25-10-2018 02:08:08
ชอบจัง แด๊ดดี้ที่ไม่ใช่ผัว อร๊ายยยย :haun4: :jul1: :m25:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Epilogue [24-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 25-10-2018 12:01:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Epilogue [24-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 25-10-2018 23:13:26
จบแล้ว ดีงามแต่ขัดใจตัวเองนิดหน่อยแบบคิดว่าเซบาสเตียนน่าจะรุกอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special 1 [27-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 27-10-2018 23:06:31
Special 1

Will you please shut the fuck up?

[Matthew & Jasper]




โลกแม่งบัดซบหรือเพราะเขาเกิดเป็น ‘แจสเปอร์ คิม’ มันถึงบัดซบกัน?

แจสเปอร์เคยตั้งคำถามกับตัวเองหลายครั้ง และทุกครั้งคำตอบที่ได้คือ เพราะเขาเป็นแจสเปอร์ คิมยังไงล่ะ แม่เขาเป็นผู้อพยพ มาเจอกับพ่อขี้เหล้าไร้อนาคตที่ประเทศนี้ เขาคือผลผลิตจากความผิดพลาด ตั้งแต่จำความได้แจสเปอร์เห็นพ่อตบตีแม่ ความรุนแรงกลายเป็นสิ่งคุ้นชิน กระทั่งแม่หนีไป ทิ้งเขาไว้กับพ่อเวรๆ นี่

เขารับช่วงต่อความรุนแรงนั้น เป็นกระสอบทรายให้พ่อต่อยตี เมื่อคิดต่อต้าน ยิ่งโดนหนักกว่าเดิม

แจสเปอร์ไม่มีความผูกพันกับพ่อ พ่อก็แค่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เขาเกิดมาโดยไม่ถามสักคำว่าอยากเกิดไหม โอเค รู้ว่าเรื่องแบบนี้ถามกันไม่ได้ ถึงอย่างนั้นแจสเปอร์ก็ไม่นึกเสียใจที่วันหนึ่งพ่อออกจากบ้านไปและไม่กลับมาอีก

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนนั้น เขารู้แค่ไม่มีคนจ่ายค่าเช่าห้องรูหนูนี่แล้ว ตอนนั้นแจสเปอร์อายุแค่สิบสี่ปี ไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่มีความรู้และเด็กเกินกว่าใครจะรับทำงานพาร์ทไทม์ เมื่อเจ้าของห้องเช่ารู้เรื่องก็ติดต่อสถานสงเคราะห์ให้มารับเขาไป บ้านเด็กกำพร้าเป็นบ้านหลังที่สองที่แจสเปอร์ได้รับจากพระเจ้า

มันดีที่มีที่คุ้มหัว แม้สภาพแวดล้อมไม่ดีเท่าไหร่แต่ไม่แย่เท่าตอนเขาอยู่กับพ่อ ก็แค่พวกหัวโจกตั้งท่าจะรังแกเด็กใหม่อย่างเขา ห้องนอนรวมที่แออัดแต่หนาวเหน็บเมื่อเข้าหน้าหนาว อาหารรสชาติแปลกๆ แจสเปอร์คิดว่าชีวิตตัวเองในสถานสงเคราะห์ไม่ได้แย่เท่าไหร่ มีที่อยู่ ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เกือบดีแล้วเชียวถ้าติดว่าเขาเริ่มได้ยินเสียงใครบางคนในวันฝนตก...

แจสเปอร์เงียบ พยายามเงียบที่สุด ทำตัวเองให้ไร้ตัวตน เฝ้าฟังเสียงปริศนานั้นจนเวลาผ่านไป หนึ่งปี สองปี เรียนรู้ชีวิตอีกฝ่ายคร่าวๆ และเหมือนฝั่งนั้นจะรู้แล้วว่าเขาได้ยินเสียงตัวเอง

‘ฮัลโหล มีใครได้ยินไหม?’

“...”

‘เฮ้?’

“...”

‘ไม่ได้ยินจริงสิ? ว้า ฉันกำลังจะอ่านเรื่องผีล่ะ’ คืนนั้นจบที่แจสเปอร์นอนคู้ตัวคลุมโปง หลับตาปี๋ สองมือปิดหูแน่นแต่ไม่สามารถกันเสียงของอีกฝ่ายได้เลย

แจสเปอร์คิดว่ามันจะจบแค่นั้น แต่ไม่...ทุกครั้งที่ฝนตกเขาจะได้ยินเสียงโซลเมตเวรของตัวเองอ่านเรื่องผีจากเว็บสยองขวัญชื่อดังให้ฟัง อีกฝ่ายกำลังก่อกวนเขา น้ำเสียงเจือหัวเราะนั่นน่าหงุดหงิดชะมัด กระทั่งแจสเปอร์ทนไม่ไหวนั่นแหละ

“หุบปากสักทีได้ไหม!?”

อีกฝั่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนหัวเราะในลำคอ

‘ว้าว ว่าแล้วว่าฉันต้องมีโซลเมตเหมือนคนอื่นเขา’

“แม่งเอ๊ย ไอ้งี่เง่า หุบปากนายสักทีฉันจะนอน!”

แจสเปอร์ตะโกนอย่างหัวเสีย สวนทางกับอีกฝ่ายที่หัวเราะลั่นกลับคืนมา

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้คุยกับแมทธิว รอสซ์


[Jasper]

“ช่วยหุบปากสักชั่วโมงได้ไหมครับ หรือจะให้ผมตัดลิ้นคุณทิ้งดี?”

“ไม่เอาน่าแจสเปอร์”

“หุบปาก...” ผมนวดขมับตัวเอง ข่มใจไม่ให้ลุกจากเตียงไปบีบคอไอ้บัดซบที่นอนเหยียดยาวบนโซฟาในห้องผม เท้ากระดิกไปมาตามจังหวะผิวปาก แม่ง! นอกเวลางานไม่ต้องพูดเพราะกับมันแล้วให้ตายเถอะ “...ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทนแมท!”

“ไม่เห็นต้องหงุดหงิดขนาดนี้เลย” แมทธิวตีหน้าซื่อ เขาเหลือบตามองผม แววตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ แต่ในที่สุดก็หยุดผิวปากกวนประสาท “ทำไม แค่ฉันผิวปากฮัมเพลงมันกวนใจนายขนาดนั้นเชียว โอ้...หรือเพราะกำลังแชทคุยกับใครนะ”

“มารยาท”

“ฉันไม่ได้แอบดูสักหน่อย นายเองก็ไม่ได้ปิดบังนี่”

“ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว” ผมตัดบท ขี้เกียจเถียงกับเขา มันเปลืองพลังงานเปล่าๆ “ถึงจะเป็นบ้านนาย แต่นี่ห้องฉัน เกรงใจกันหน่อยคงไม่ตาย”

“นายก็รู้แจสเปอร์ ฝนตกแบบนี้ฉันอยู่ไหนนายก็ได้ยินเสียงฉันอยู่ดี” เขาเหยียดยิ้ม

“อย่างน้อยก็ไม่ต้องเห็นหน้า” ผมโบกมือไล่ “ไปได้แล้วไป”

“ไม่ไป”

“แมท...” ผมกดเสียงต่ำ

“ฉันขอใช้สิทธิ์เจ้าของบ้าน ถึงนี่จะเป็นห้องนาย แต่ก็อยู่ในอาณาเขตบ้านฉัน เพราะฉะนั้นฉันมีสิทธิ์เหนือกว่า หรือนายจะไปเช่าห้องที่อื่นก็ได้นะ แต่อย่าลืมว่าประเทศนี้อะไรๆ ก็แพงไปหมด สู้ค่าเช่าทั้งปีไหวหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่ต้องมาขู่”

“ไม่ได้ขู่สักหน่อย” แมทธิวลุกนั่ง เอนตัวพิงโซฟา ตวัดขาไขว่ห้าง แขนสองข้างวางพาดพนักโซฟาท่าทางสบายใจ เขามองตรงมา เหยียดยิ้มมุมปาก ผมเกลียดรอยยิ้มเขา ยิ่งโดนลากมาดูงานสาขาต่างประเทศนี่ยิ่งหงุดหงิด “พูดความจริงทั้งนั้น น่าๆ เราก็คนกันเอง ฉันนอนไม่หลับ พรุ่งนี้วันหยุด ขออยู่ด้วยคนสิจะไล่กันท่าเดียวเลยหรือไง”

“งี่เง่าเอ๊ย! นายทำฉันปวดหัว” ผมกลอกตา ก้มมองจอโทรศัพท์เมื่อมันสั่น ผมเปิดอ่านข้อความล่าสุดที่ส่งมาก่อนเรื่องของแมทธิวจะหายไปจากหัว ผมยิ้ม พิมพ์ตอบอีกฝ่ายกลับไป

“เฮ้”

“อะไร” ผมขมวดคิ้ว เหลือบตามองใบหน้าคนที่เป็นทั้งเจ้านายและโซลเมตของตัวเอง เขาลุกจากโซฟา เดินตรงมา “แล้วใครอนุญาตให้ขึ้นเตียงวะ ลงไปซะแมท”

“คนคุยคนนี้น่ะ...จริงจังเหรอ”

“นายจะรู้เรื่องส่วนตัวของฉันไปทำไม?”

“ฉันไม่เคยเห็นนายคุยกับใครนานเท่าคนนี้” เขาเลิกคิ้ว เมินคำถามผม พวกเราสบตากันนิ่ง “สามเดือนที่นายคุยกับเธอคนเดียว...คบกันแล้ว?”

“ถ้าตอบว่าคบแล้ว?” ผมเลิกคิ้วดูปฏิกิริยาของแมทธิว เขาขมวดคิ้วแน่น แววตาขุ่นมัว จากนั้นเหยียดยิ้ม

“โอ้ เจ๋งนี่”

“เสียงนายฟังดูไม่ยินดีเท่าไหร่ รอยยิ้มจอมปลอมนั่นก็ด้วย”

“แหงล่ะ เมื่อก่อนนายทุ่มเททำงานให้ฉันเต็มร้อย ถ้านายมีคนรักแล้วเสียงานเสียการจะทำยังไง”

“ฉันมืออาชีพพอแมท” ผมยักไหล่ ไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไรและก้มหน้าพิมพ์แชทตอบคนคุยของตัวเองต่อ หูได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของแมทธิว เขาเงียบไปแล้ว มันค่อนข้างดีกับประสาทการได้ยินของผมนิดหน่อย แต่ผมลืมไปว่าการเงียบของแมทธิวไม่ต่างอะไรกับคลื่นใต้น้ำ “เฮ้! อะไรของนายวะ?”

“ให้ตาย! นายคบกับเธอแล้ว? ฉันถามจริง!?”

“ก็ตอบไปแล้ว” ผมถอนใจ แบมือไปตรงหน้า “ขอโทรศัพท์ฉันคืนด้วยแมท”

“ฉันไม่เชื่อว่านายจะคบกับเธอ” แววตาแมทธิวดื้อดึงและรู้ทัน เขายังไม่คืนโทรศัพท์ผม “นายใช้คำว่า ‘ถ้า’ แสดงว่านายสมมุติ”

“นายก็ฉลาดเหมือนเดิมนี่ เอาล่ะ คืนโทรศัพท์ฉันได้แล้ว”

“ให้เธอรอบ้างไม่เป็นไรหรอกน่า” เสียงแมทธิวอ่อนลง แววตาเขาก็เช่นกัน ส่วนรอยยิ้มจอมปลอมยังไม่หายไปไหน “ไม่ต้องรีบตอบหรอก”

“เอาล่ะแมท มาคุยกันดีๆ ก่อนฉันจะหงุดหงิดแล้วเตะนายออกจากห้อง” ผมเสยผมตัวเอง พยายามใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ชีวิตส่วนตัวจะโดนแมทธิวรุกล้ำอยู่ก็ตาม “ฉันจะถามนายสั้นๆ คำถามง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอย่าง...นายจะมายุ่งอะไรกับชีวิตส่วนตัวฉันไม่ทราบ?”

“ฉันไม่ชอบ”

“ขอเหตุผลที่ฟังขึ้นและมีสาระด้วย”

“นายอยากรู้จริงเหรอ” เขากลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง “ฉันไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ทั้งแน่ใจแต่ก็ไม่แน่ใจในเวลาเดียวกัน”

แมทธิวไม่ได้โกหกหรือตอบเลี่ยง ผมสบตาเขา เห็นแต่ความกังวลเต็มไปหมด แมทธิวถอนใจ เขายัดโทรศัพท์คืนใส่มือแล้วทิ้งหัวพิงไหล่ผมเงียบๆ

“ถ้าง่วงก็กลับไปนอนที่ห้องดีๆ ฉันเป็นผู้ช่วยนายไม่ใช่หมอน”

ผมพูดแบบนี้ทุกครั้งที่แมทธิวเอาไหล่ผมเป็นหมอน แต่เขาก็ไม่ฟังทุกครั้งนั่นแหละ

“นึกภาพวันที่ฉันไม่มีนายอยู่ด้วยไม่ออก” จู่ๆ ก็พูดไปอีกเรื่อง แต่แมทธิวก็เป็นแบบนี้ ผมชินซะแล้ว “จะทิ้งฉันไปมีครอบครัวจริงเหรอ นายมีวันนี้เพราะฉัน ฉันให้โอกาสนาย ดึงนายขึ้นมา พอปีกกล้าขาแข็งก็จะทิ้งฉันไปเนี่ยนะ?!”

คำพูดของแมทธิวทำให้ผมนึกถึงเรื่องในอดีต แมทธิวให้คุณซีมอนอุปการะผม ผมถูกอบรมและฝึกฝนให้มีความรู้ความสามารถมากพอจะเคียงข้างแมทธิวได้ในอนาคต เป็นผู้ช่วยมือดีที่ไม่ทำให้เขาผิดหวัง

มีสำนวนกล่าวไว้ว่าอย่าพูดความลับเมื่อฝนตก แมทธิวเคยบอกว่าที่ดึงผมมาไว้ข้างตัวเพราะเขาคิดว่าการมีโซลเมตคือช่องโหว่ เขาอาจหลุดความลับทางธุรกิจออกมาโดยไม่ตั้งใจและผมอาจเอาไปทำเรื่องไม่ดีต่อเขาถ้าเป็นคนนอก แต่เมื่อผมเป็นคนของเขา แมทธิวสามารถควบคุมและบงการทุกอย่างได้

“ขอโทษนะ นี่เวลาลำเลิกบุญคุณหรือไง”

“แล้วบุญคุณทำให้นายอยู่กับฉันตลอดไปได้ไหมล่ะ”

แมทธิวเงยหน้าขึ้น เขาจ้องเข้ามาในดวงตาผม แววตาจริงจังไม่ล้อเล่นอีกต่อไป ผมค่อนข้างตั้งตัวไม่ทันและทำตัวไม่ถูก พวกเราเป็นโซลเมตกัน แต่ที่ผ่านมาเราเคียงคู่กันในฐานะนายจ้างกับลูกน้อง อาจคาบเกี่ยวความเป็นเพื่อนนิดหน่อยแต่ไม่เคยมีสักครั้งที่แมทธิวจะพูดให้ผมคิดไปในทางอื่น

ต้องยอมรับว่าตกใจมาก มากโคตรๆ เลยล่ะ

“ในฐานะอะไรล่ะ” ผมหยั่งเชิง

“...”

“คิดได้เมื่อไหร่ค่อยมารั้งกัน” ผมกระตุกยิ้ม ตบแก้มแมทธิวเบาๆ “หาคำตอบดีๆ ไว้ล่ะ”

ผมเลิกสนใจเขา เอนตัวพิงพนักเตียงและพิมพ์ข้อความโต้ตอบกับคนคุยต่อ เธอคุยสนุก น่ารัก ช่างเอาอกเอาใจแต่ไม่ก้าวก่าย นิสัยแบบนี้ตรงสเป็คผมสุดๆ

“เฮ้…” แมทธิวขยับตัวเข้าหา ไหล่เราชนกัน ไออุ่นจากตัวเขาส่งผ่านมาถึงผม “งั้นจนกว่าฉันจะให้คำตอบนายได้ ขออย่างเดียว เวลาที่อยู่กับฉันอย่าคุยกับเธอ”

“คราวนี้สั่งในฐานะอะไร เจ้านาย?”

“ในฐานะแมทธิว” เขายื่นหน้ามาใกล้จนผมได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัว มุมปากยกยิ้ม คราวนี้เป็นรอยยิ้มมั่นใจจนน่าหมั่นไส้ “แมทธิวที่เป็นโซลเมตของนาย”

ผมมองดวงตาสีเขียวมรกตของเขาในระยะใกล้ พวกเราเคยใกล้กันขนาดนี้ไหมผมไม่แน่ใจ แต่ในเมื่อแมทธิวเป็นฝ่ายขยับเข้ามาโดยไม่ลังเล ผมก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ

ผมแตะแก้มเขา มือถือถูกปิดหน้าจอวางทิ้งไว้

“หึๆ หวงกันหรือไงคุณจาร์กัวแห่งรอสซ์” ผมแสร้งประชด “ใครเป็นคนบอกว่าความสัมพันธ์ของเราอยู่บนคำว่าธุรกิจ หืม?”

“ใครกันนะ ฉันชักจำไม่ได้ซะแล้วสิ”

“มารู้สึกเอาตอนนี้ ไม่คิดว่าช้าไป?” ผมแกล้งถาม แมทธิวกระตุกยิ้ม เขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผม

“อาจรู้สึกมานานแล้วก็ได้” เขายักไหล่ “แต่นายไม่เคยหยุดกับใคร...ไม่เคย ฉันเลยไม่กังวล”

“หึ กลัวฉันหยุดกับคนนี้หรือไง ทำไม ถ้าหยุดแล้วจะทำไม”

“แต่ฉันเป็นโซลเมตนายนะแจสเปอร์” เขายกคำนั้นขึ้นมาอ้าง ผมเลิกคิ้ว

“โซลเมตไม่จำเป็นต้องรักกัน นายรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว”

“ฉันแค่…” เขากลอกตา ดูพยายามหาข้อแก้ตัว “ก็ใช่ ฉันรู้น่า รู้ดีเลยล่ะ ก็แค่ แค่…”

“เฮ้ นายช่วยเงียบสักแป๊บได้ไหม”

แมทธิวก็แค่คนท่ามากคนหนึ่งเท่านั้นแหละ

ผมขยับแนบหน้าผากเราเข้าชิดกัน แตะปลายจมูกชนกับเขา หลุบตาลง จ้องริมฝีปากแมทธิวที่อยู่ใกล้กว่าที่เคย ปากที่ส่งเสียงกวนประสาทผมตั้งแต่แรกยันตอนนี้

มันค่อนข้างให้ความรู้สึกดีเมื่อประทับริมฝีปากลงไป

นุ่มหยุ่น อุ่น และเอาแต่ใจ

“นายกัดฉัน” แมทธิวกระซิบเสียงพร่าชิดริมฝีปากผม เขาขยับเข้ามาใกล้ แทบจะคร่อมกันอยู่ร่อมร่อ “ทำร้ายร่างกายเจ้านายแบบนี้ลงโทษยังไงดี”

ผมวางมือเหนือสะโพกเขา เหยียดยิ้มใส่เจ้านายที่ขมวดคิ้วตรงหน้า มุมปากมีเลือดซึม

“เสียใจ นี่นอกเวลางานฉันไม่นับนายเป็นเจ้านาย ออกไปได้แล้วแมท”

ผมดันตัวเขาออก แมทธิวไม่ได้ขืนตัว เขายอมผละออกง่ายๆ ผิดวิสัย ผมสงสัยปนไม่ไว้ใจว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่ก็ได้คำตอบเมื่อแมทธิวชะโงกหน้าเข้ามาอีกครั้ง กดจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากผมและ…

กึด!

“ซี้ด!” ผมสูดปากเมื่อถูกฟันแหลมขบเข้าให้ ปลายลิ้นผมสัมผัสถึงรสเลือด “แมท!”

“ไปล่ะ ฝันดี”

เขากระตุกยิ้มมุมปาก สีหน้ายียวน โบกมือให้สองสามทีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ผมหรี่ตามองตามกระทั่งประตูปิดลง ในใจร่างแผนการเอาคืน สักวันผมจะกำราบเขา...

เอาให้ยิ้มไม่ออกเลยคอยดู!





_______________________________
มาอัปตอนพิเศษแล้วค่า คู่นี้ไม่ระบุโพซิชั่นนะคะ แล้วแต่จินตนาการของแต่ล่ะท่านเลย จบแบบปลายเปิดอย่างนี้แหละ 55555555

เดี๋ยวมีตอนพิเศษอีกตอนนะคะ ลงเฉพาะในเว็บ เป็นตอนพิเศษวันฮัลโลวีน เราจะอัปให้วันที่ 31 ตค นะคะ วันเกิดเราพอดี แล้วก็เป็นวันฮัลโลวีนพอดี 555
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special 1 [27-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-10-2018 02:40:30
ทันกันดีจังคู่นี้  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special 1 [27-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 28-10-2018 09:50:03
กินกันไม่ลงเลยนะ ทั้งแจสเปอร์ทั้งแมทธิว
หึหึ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special 1 [27-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 28-10-2018 10:55:26
คู่กัด  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special 1 [27-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-10-2018 22:58:08
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 31-10-2018 23:18:17
Special

Halloween Day


Patrick X Sebastian


คุณแมด แฮท เทอร์และแมวเชสเชียร์ของเขา

[Sebastian]


31 ตุลาคม คือวันฮาโลวีนหรือเรียกกันอีกอย่างว่าวันปล่อยผี เมื่อถึงเทศกาลนี้ทีไรบรรยากาศภายในตัวเมืองคึกคักทุกครั้ง ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนแต่งผีไม่ก็ฉีกแนวเป็นแฟนตาซีไปเลย มหาวิทยาลัยที่ผมทำงานก็มีจัดกิจกรรมสำหรับเทศกาลนี้ทุกปี ผมไม่เคยเข้าร่วมสักปี กระทั่งปีนี้

เป็นปีแรกที่มา แถมไม่ได้มาคนเดียวซะด้วย

“บอกแล้วว่าคนต้องมองคุณเยอะแน่ๆ”

เสียงหงุดหงิดดังจากคนข้างตัว ผมหันมอง แพทริคกำลังหน้ามุ่ย เขาขมวดคิ้ว มองซ้ายทีขวาที จนคนอื่นที่มองมาพากันหันหนีแทบไม่ทัน

“เพื่อนร่วมงานกับลูกศิษย์ฉันทั้งนั้นแพท”

“ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สนใจคุณนี่”

“แต่เขาก็รู้ว่าฉันมีนายแล้ว” ผมพยายามปลอบแมวยักษ์ที่อารมณ์เสีย “ว่าแต่ฉัน นายเองล่ะรู้ตัวบ้างไหมว่าโดนมองเหมือนกัน”

“ฮะ? ผมน่ะเหรอ” แมวยักษ์หน้าเหรอหรา “มองทำไม ผมไม่ได้แต่งตัวเท่ๆ แบบคุณสักหน่อย”

“คอสเพลย์เป็นแมวแบบนี้นายก็น่ารักน่า”

ผมพยายามกลั้นขำ มองแพทริคในชุดเสื้อเชิ้ตลายทางสีเทากับกางเกงสแลคสีดำ กระดุมเสื้อปลดลงหนึ่งเม็ดโชว์โชกเกอร์สีดำที่ลำคอ บนหัวสวมที่คาดผมหูแมวสีเทา  ส่วนเข็มขัดที่เขาใส่ ด้านหลังมีพวงหางแมวสีเทาสลับลายดำ ไม่นับรวมถุงมือครึ่งมือในรูปแบบอุ้งมือแมวสีเดียวกันที่เขาสวมนั่นอีก

“ผมไม่อยากเป็นแมวเชสเชียร์สักหน่อย”

“แต่ฉันเป็นแมด แฮทเทอร์” ผมยิ้ม ขยับหมวกทรงสูงที่ตัวเองสวมนิดๆ “และฉันอยากมีแมวเชสเชียร์เป็นของตัวเอง นายก็ยอมรับข้อตกลงนี่ ถ้าจะมาด้วยต้องแต่งเป็นแมวเชสเชียร์ จะปฏิเสธก็ได้แต่นายไม่ทำ”

“ก็ใครจะปล่อยให้คุณมางานแบบนี้คนเดียวล่ะ”

“แมวขี้หวง”

“ก็เจ้าของน่าหวง”

“ไหนใครเคยบอกว่าให้ฉันลองเปิดใจกับคนอื่นๆ ดู” ผมเลิกคิ้ว ยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ “พอฉันทำแบบนั้นกลับเป็นนายซะเองที่แยกเขี้ยวขู่กลัวคนอื่นเข้าใกล้ฉัน”

“ก็ผม…”

“เซบาสเตียน!” ผมเงยหน้ามองตามเสียงเรียก ชายคนหนึ่งในชุดกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์โบกมือให้มาแต่ไกล “มาทางนี้หน่อยครับ”

“ใครน่ะ” เสียงแมวยักษ์ขู่ฟ่อ ผมยิ้ม

“เพื่อนร่วมงานน่ะ”

ตอบแค่นั้นก่อนเดินไปตามคำเชิญ เมื่อมาถึงผมก็พบมนุษย์หมาป่ากับแวมไพร์ยืนขนาบข้างกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์อยู่ พวกเขาส่งยิ้มเมื่อเห็นผม

“ยินดีต้อนรับคุณแมด แฮทเทอร์กับแมวเชสเชียร์ของเขา”

“นี่แพทริค” ผมแนะนำเจ้าแมวยักษ์ที่ปั้นหน้ายิ้มให้พวกเขารู้จัก จากนั้นหันมาทางแพทริค “ส่วนนี่เพื่อนร่วมงานในคณะที่ฉันสอน แจ็ค สแปร์โรว์นั่นชื่อสตีฟ มนุษย์หมาป่าเมแกน ส่วนแวมไพร์นี่เจสัน”

“สวัสดีครับ”

แพทริคจับมือกับทุกคนด้วยอุ้งมือแมวนุ่มๆ นั่นจนทั้งสามหัวเราะ เล่นเอาแมวยักษ์หน้าขึ้นสี

“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จัก” เจสันตอบรับ “ได้ยินพวกนักศึกษาซุบซิบกันว่าแฟนของอาจารย์เซบาสเตียนหล่อมาก พอเจอตัวจริงถึงได้เข้าใจ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

“หล่อที่ไหน” ผมว่า เหลือบมองแพทริคที่ยืนข้างกัน “น่ารักมากกว่า”

“น่ารักจริงๆ” เมแกนพยักหน้ารับ

ผมตวัดตามองเขา คลี่ยิ้มเย็น

“ของฉัน”

“หวงจนออกนอกหน้าเชียว” สตีฟแซวยิ้มๆ เขาสบตาผม “ไม่น่าเชื่อว่านายจะเป็นคนแบบนี้ เมื่อก่อนฉันไม่กล้าเข้าใกล้เพราะนายน่ากลัว พอมารู้จักกันจริงๆ มันต่างจากที่คิดเลยแฮะ”

“ช่วงก่อนเจอแมวน่ะ” ผมไหวไหล่ “พอเจอแมวแล้วนิสัยก็ดีขึ้น”

“เขาว่ากันว่าการเลี้ยงสัตว์ทำให้จิตใจอ่อนโยน” เจสันหัวเราะ เขามองผมอย่างรู้ทัน “ท่าจะจริง”

“แล้วนี่น้องแมว เอ๊ย แพทริคอายุเท่าไหร่ครับ ผมถามได้ไหม” เมแกนชวนแพทริคคุย คงกลัวว่าเขาจะอึดอัด แต่แววตาที่มองเจ้าแมวยักษ์ของผมไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่

“ยี่สิบสี่ครับ ใกล้จะยี่สิบห้าแล้ว”

“เด็กจัง งั้นเรียกฉันว่าพี่เมแกนก็ได้นะ”

“หืม จะดีเหรอครับ”

“ดีสิ คนกันเอง” เมแกนยิ้มหวาน ผมหรี่ตามองเขา ขยับเข้าโอบเอวแพทริคเอาไว้ เจ้าแมวยักษ์หันมองผม ดวงตาสีฟ้าใสงุนงง

โดนหยอดยังไม่รู้ตัวอีก

“ฉันไม่อนุญาตให้เรียก” ผมว่า ยิ้มเย็นใส่เมแกน “เขาเรียกฉันได้คนเดียว”

“โอเคๆ ไม่ต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นเลยนะ”

“นายรนหาที่เองเมแกน” สตีฟหัวเราะหึๆ

“ทำใจเถอะ ตอนนี้ไม่ทันแล้วล่ะ” เจสันว่า เขามองหน้าผมยิ้มๆ “เสียดาย ที่จริงน่ะ ฉันสนใจนายมาตั้งนานแล้วล่ะเซบาสเตียน”

“ก็พอรู้” ผมตอบหน้าตาย เขาดูแปลกใจ

“ดูออกงั้นเหรอ”

“สายตานายมันน่ารำคาญ” ผมกระตุกยิ้ม “มองอยู่ได้ ใครจะไม่รู้ตัว”

“คนมองนายเยอะแยะ”

“อันนั้นฉันก็รู้”

“เซ็บครับ” จู่ๆ แพทริคก็กระตุกชายเสื้อผม “ผมรู้สึกปวดท้องนิดหน่อย ช่วยพาไปห้องน้ำได้ไหมครับ”

ผมขมวดคิ้ว สายตาของแพทริคกับน้ำเสียงไม่ได้ดูเจ็บปวดอะไรสักนิด แววตาขวางๆ ด้วยซ้ำไป แต่สุดท้ายผมก็เล่นตามเกมเขา เอ่ยปากขอตัวกับเพื่อนๆ แล้วพาแมวยักษ์แยกตัวออกมา


ปึง!

“ปิดแรงแบบนั้น ระวังประตูจะพังนะ” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ไม่สะทกสะท้านแม้จะถูกดันเข้ามาในห้องน้ำเดียวกับแพทริค และถูกเขากักตัวเอาไว้

“เจสันชอบคุณ” เขาเบะปาก

“เมแกนก็ชอบนาย”

“ไม่เหมือนกัน”

“ยังไง?” ผมเลิกคิ้ว ยิ้มยั่วอีกฝ่าย เวลาเห็นแพทริคหึงแล้วมันมีความสุขแปลกๆ

“เมแกนแค่หยอดผมเล่นๆ แต่เจสันชอบคุณมาก่อนหน้านั้น” แพทริคขมวดคิ้ว คำรามฮึมฮัมในลำคอ เขาหลุบตามองเสื้อที่ผมใส่ “แล้วเนี่ย จะปลดกระดุมทำไมตั้งสองเม็ด รู้ไหมว่าใครมองมาบ้าง เห็นผมไม่พูดหน่อยคุณจะทำอะไรก็ได้เหรอ”

“แค่กระดุมเสื้อ” ผมหัวเราะเบาๆ “ทีนายใส่โชกเกอร์เซ็กซี่แบบนั้นฉันยังไม่ว่าอะไร”

“โชกเกอร์นี่คุณใส่ให้ผมไม่ใช่หรือไง”

ผมหลุดหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าเหลืออดของแพทริค เขาตลกชะมัด และผมเองก็นิสัยเสียน่าดูที่ชอบปั่นหัวเขาเล่นแบบนี้

“หัวเราะเข้าไปนะคุณ” แพทริคหรี่ตาลง “คิดว่าผมเด็กกว่าแล้วจะไม่กล้าลงโทษคุณเหรอ”

“จะทำอะไรล่ะ”

“เดี๋ยวก็รู้”

เขากระซิบชิดใบหูผม เบียดตัวเข้ามาใกล้ ผมยืนพิงกำแพงห้องน้ำนิ่ง ไม่คิดหนี อยากรู้เหมือนกันว่าแพทริคจะทำยังไงต่อไป เขาจ้องหน้าผม ปลายนิ้วลากผ่านลงมาถึงแผ่นอก กระดุมเสื้อเชิ้ตด้านในผมถูกปลด เขาแหวกสาบเสื้อผมออก กระตุกยิ้มร้ายแล้ววางอุ้งมือแมวนุ่มๆ ลงบนนั้นก่อนเริ่มนวดหน้าอกผมเบาๆ

“อืม...คราวนี้เป็นแมวนวดเหรอ” ผมกระซิบถาม ยื่นมือเกาะเอวเขาเอาไว้ แพทริคออกแรงนวดหนักมือกว่าเดิมจนผมต้องเม้มปากเอาไว้ “ทำไมชอบนวดนมฉันจังเลย หื้ม?”

“คุณรู้ไหมว่าทำไมแมวชอบนวด”

“ท...ทำไมล่ะ” เสียงผมสั่น เพราะแพทริคทั้งนวดทั้งสะกิดหัวนมผมจนมันเสียววาบไปหมด

“เพราะตอนแมวยังเด็ก เวลาดูดนมแม่แมว การนวดแบบนี้…” เขาออกแรงนวดเฟ้นและขย้ำบีบหน้าอกผมแรงๆ ประกอบคำอธิบาย “มันเป็นการกระตุ้นจุกนมของแม่แมวให้ผลิตน้ำนมออกมาเยอะๆ ไงครับ”

“อะ ฮะๆๆ” ผมหัวเราะออกมา เสียงกระท่อนกระแท่น “เด็กดี ถึงนายนวดมันจนช้ำก็ไม่มีน้ำนมให้นายหรอกนะ”

“จริงเหรอครับ” เขายิ้มร้าย “ต้องลองพิสูจน์ก่อนนะ”

แพทริคว่าพลางครอบริมฝีปากลงมา เขาดูดดุนหน้าอกผมพร้อมขย้ำเฟ้นไม่อ้อมแรง ปลายลิ้นซุกซนตวัดแยงละเลงรัวจนผมหลังแทบไม่ติดผนัง ผมสอดมือจิกเส้นผมเขา ระบายลมหายใจหนักๆ ออกมา เชิดหน้ามองเพดานห้องน้ำในขณะที่แอ่นอกให้แมวยักษ์ดูดจนหัวนมแดงก่ำ

ปลายนิ้วผมสะกิดโดนหูแมวที่เขาสวม มันนุ่มฟูจนเผลอออกแรงกำไว้ รู้ตัวอีกทีมันก็ยับคามือ

“อะ อะ แพท...เสียวไป”

“ไม่มีน้ำนมจริงๆ ด้วย” แพทริคพึมพำ ตวัดลิ้นเลียเบาๆ ส่งท้ายจนผมตัวสั่น เขาผละออก เงยหน้าสบตาผม รอยยิ้มร้ายๆ ไม่เหมือนแพทริคที่ไร้เดียงสาเวลาอยู่กับคนอื่นสักนิด “หิวนมจังเลยครับเซ็บ”

“ก็บอกแล้วไง” ผมว่าเสียงหอบ หน้าอกยังรู้สึกอยู่ทั้งที่แพทริคไม่ได้สัมผัสมันแล้ว “ว่าเต้าบนน่ะไม่มีน้ำนมหรอก”

“แล้วถ้าเต้าล่าง…”

เขาลากเสียง หรี่ตาและลดตัวลง ปลายนิ้วสาละวนกับซิปกางเกงผมโดยไม่ละสายตาจากกัน ผมโอบศีรษะเขาไว้ ออกแรงดันให้มาแนบชิด กระซิบเสียงพร่า

“ถ้าตรงนี้น่ะ มีให้นายกินจนอิ่มเลยล่ะเด็กดี”

จากนั้นแมวยักษ์ก็โอบรับมันไว้เต็มโพลงปาก ขยับหัวเข้าออกสร้างความสุขสมให้ผมจนแทบตาพร่า ผมปิดปากตัวเอง กลั้นเสียงร้องเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้าห้องน้ำ แต่ในขณะเดียวกันสะโพกกลับเด้งรับไม่หยุด ผมหลุบตาลง มองแพทริคที่กลืนกินผมไว้ มันกระทุ้งเต็มข้างแก้มเขาจนเห็นเป็นรูปร่าง ผมแตะใบหน้าเขาไว้ สัมผัสของตัวเองผ่านผิวแก้มอีกฝ่าย

เสียงกดชักโครกดังจากห้องข้างๆ จากนั้นเป็นเสียงเปิดประตูและเสียงล้างมือที่อ่างล้างหน้า ก่อนเสียงฝีเท้าจะเดินห่างออกไป แพทริคเร่งความเร็ว ผมปลดปล่อยเต็มปากเขาจนมันเลอะออกมาข้างนอก

เขากลืนมันลงไป

ผมหอบหายใจ คว้าทิชชู่ในห้องน้ำมาเช็ดทำความสะอาดตัวเองและใช้นิ้วปาดคราบที่เลอะมุมปากแพทริคทิ้งไป ริมฝีปากอิ่มเผยอค้าง แพทริคเลียนิ้วผมเบาๆ สีหน้าเว้าวอน ผมหลุบตาลงต่ำ ตรงนั้นของแมวยักษ์ตั้งชันจนดันเนื้อผ้าขึ้นมา

“อึดอัดไหมเด็กดี”

“ช่วยผมได้ไหมครับ”

“อยากให้ช่วยแบบไหนล่ะ” ผมถาม เห็นแพทริคตาเป็นประกายวาว

“คุณหันหลังได้ไหมครับ”

ความปรารถนาเขาลุกโชน ผมหันหลัง สองแขนเท้ากำแพงห้องน้ำ แพทริคโน้มตัวทาบทับลงมา กางเกงผมหล่นกองกับพื้น จากนั้นเขาก็เติมเต็มผมในวินาทีต่อมา พวกเรากลั้นเสียงเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อมีคนเข้ามาในนี้ ทั้งกลัวจะมีคนจับได้และตื่นเต้นที่ได้หลบซ่อน

“อะ อึก!”

“ชู่ เบาๆ ครับ” เขากระซิบเสียงพร่าข้างใบหู กระแทกเน้นเข้ามาทั้งที่บอกให้ผมเบาเสียง “อยากให้ห้องแรกเขารู้เหรอครับว่าเราทำอะไรกัน”

แหงล่ะว่าไม่

แต่ถ้าแพทริคยังกระแทกย้ำอยู่แบบนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทนได้อีกสักเท่าไหร่...


Matthew & Jasper

แฟรงเกนสไตน์ตัวร้ายกับคุณชายโจ๊กเกอร์


[Matthew]


แจสเปอร์ไม่ชอบงานเลี้ยงวุ่นวาย ผมรู้ รู้ดีที่สุด และรู้ด้วยว่าถ้าผมบังคับ ยังไงซะเขาก็ต้องยอมตามมาด้วยอยู่ดี ตำแหน่งเลขาของเขาไม่สามารถปฏิเสธได้เมื่อผมเอาคำว่างานมาอ้าง

แต่คิดอีกทีผมไม่อยากให้เขามาด้วยแล้ว

“แจสเปอร์ คอเสื้อจะเปิดกว้างไปถึงไหน”

“หนักหัวนายหรือไง”

“ฉันพูดกับนายดีๆ นะ” ผมยิ้ม ตาเขม็งจ้องคอเสื้อคนที่แต่งเป็นแฟรงเกนสไตน์ที่ปลดกระดุมจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน “แต่งตัวบ้าอะไรของนาย ไร้รสนิยมสุดๆ”

“ของนายดีนักเหรอไง”

“อย่างน้อยก็ไม่ขาดเป็นรูทั่วตัวแบบนายแล้วกัน”

ผมส่ายหัว มันเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสามเม็ดบนจนเห็นแผ่นอกวับๆ แวมๆ ตัวเสื้อถูกกรีดขาดเป็นรูแหว่งๆ สวมทับด้วยแจ็คเก็ตหนังอีกชั้น กางเกงยีนส์สีซีดขาดเข่ากับรองเท้าผ้าใบมอมๆ

“โจ๊กเกอร์เนี่ยนะ สิ้นคิดมาก” เขาแค่นเสียงใส่ ใบหน้าที่แต่งเอฟเฟคเป็นรอยเย็บบากฉายแววดูแคลนชุดที่ผมใส่ “ตั้งแต่เดินเข้างานมาก็เจอโจ๊กเกอร์เป็นสิบๆ คนแล้วมั้ง”

“แฟรงเกนสไตน์ก็ใช่จะมีนายคนเดียว”

“แต่ไม่ซ้ำเท่านาย”

“โอเคๆ ไม่เถียงแล้วก็ได้” ผมยกมือยอมแพ้ เหล่ตามองเสื้อเจ้าปัญหาที่เขาใส่อีกครั้ง “อย่างน้อยก็ติดกระดุมอีกสักเม็ดเถอะ ปลดขนาดนี้นายไม่ถอดทั้งแผงเลยล่ะ”

“ก็คิดอยู่”

“แจสเปอร์” ผมกดเสียงเรียกชื่อเขา “นายก็รู้ว่าที่ฉันพูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง”

“ก็รู้” เขายักไหล่ แสร้งหยิบขนมที่บริกรถือถาดผ่านมาเข้าปาก ดวงตาหรี่จ้องผม “แต่แล้วไง เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันนี่?”

“ฉันว่าฉันบอกแล้วนะ ว่าฉันจีบนายอยู่”

“แล้วติดหรือยังล่ะ?” เขาเลิกคิ้ว เหยียดยิ้มใส่ “ก็ไม่ เพราะฉะนั้นอย่าให้มากเกินไปแมท นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครบังคับ”

ผมหรี่ตามองเขา แจสเปอร์ก็ยังคงเป็นแจสเปอร์ เป็นไอ้ตัวร้ายที่ชอบท้าทายขีดความอดทนของผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่ได้ตอบโต้กลับ รู้ดีว่าแจสเปอร์พูดถูก สถานะพวกเราตอนนี้คือคนคุย ผมจีบเขา แต่แจสเปอร์ยังไม่ตอบตกลง ผมอยากหวงเขา แต่ผมไม่มีสิทธิ์มากขนาดนั้น

“สวัสดีค่ะคุณแมทธิว”

“สวัสดีครับลิซ่า” ผมยิ้ม จับมือทักทายกับลูกสาวบริษัทคู่ค้าของบริษัทผม “คุณเป็นมาเลฟิเซนต์ที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย”

“ปากหวานจังค่ะ” เธอหัวเราะ “คุณก็เป็นโจ๊กเกอร์ที่เท่ที่สุดเหมือนกัน”

“มันแน่นอนอยู่แล้วนี่ครับ”

ผมแกล้งไม่ถ่อมตัว ลิซ่าเลยหลุดหัวเราะหนักกว่าเดิม เธอเหลือบมองแจสเปอร์ที่ยืนเงียบอยู่ข้างผม เป็นฝ่ายยื่นมือให้จนแจสเปอร์ต้องจับมือตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้

“สวัสดีค่ะ ฉันลิซ่า”

“แจสเปอร์ครับ”

“จะเป็นการรบกวนไหมคะ” ลิซ่ายิ้มหวาน “ถ้าฉันอยากเชิญคุณไปกับฉันหน่อย เพื่อนฉันสนใจคุณแต่ไม่กล้าเข้าหาคุณน่ะค่ะ”

“คนไหนครับ” แจสเปอร์ถามยิ้มๆ ลิซ่าชี้ไปทางกลุ่มเพื่อนเธอ ก่อนที่แจสเปอร์จะหันมาทางผม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้ายกาจแล้วหันกลับ “ได้สิครับ คุณลิซ่าอุตส่าห์มาเชิญทั้งที ผมไม่กล้าปฏิเสธหรอก”

“งั้นฉันขอยืมตัวมือขวาคนเก่งของคุณสักครู่นะคะแมท”

ผมยิ้มรับ แม้ในใจจะคุกรุ่น มองตามหลังแจสเปอร์ที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองกันสักนิด ผมเผลอกัดฟันกรอด อยากพุ่งไปคว้าข้อมืออีกคนดึงกลับมายืนอยู่ข้างตัวเองเหมือนเดิม เขาเป็นเลขา เป็นผู้ช่วยฝีมือดีที่รู้ใจผมที่สุด แจสเปอร์คือคนของผม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่คิดแบบนั้นสักนิด

ผมมองแจสเปอร์พูดคุยกับกลุ่มสาวๆ ตรงนั้น หงุดหงิดจนเผลอทุบโต๊ะระบายอารมณ์

เพล้ง!

“เวรเอ๊ย!”

ผมสบถ ก้มลงเก็บเศษแก้วที่ตกแตกจากฝีมือตัวเอง แต่เหมือนสติจะไม่อยู่กับตัวเท่าไหร่ ผมเผลอแตะเข้าที่ด้านคมของมันจนได้เลือด บริกรที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบวิ่งมาเคลียร์พื้นที่ ผมลุกขึ้น ถอนใจเมื่อเห็นปลายนิ้วตัวเองเลือดไหลเป็นสาย ผมกำลังจะเอ่ยปากขอผ้าจากบริกร แต่จู่ๆ ก็ถูกดึงมือไป จากนั้นผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดก็ถูกกดซับที่แผล

“ไม่อยู่ด้วยแป๊บเดียวทำไมต้องหาเรื่องเจ็บตัวด้วย”

“...”

“เรียกร้องความสนใจหรือไงเจ้านาย” แจสเปอร์แค่นเสียงประชด เขาสบตาผมนิ่ง “ไม่ต้องมายิ้ม มันไม่ได้ผล ที่ฉันกลับมาเพราะมันเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลเจ้านายอย่างนาย”

“แค่นายกลับมาก็เกินพอแล้ว”

แจสเปอร์สบตาผม เขาหรี่ตาลง ถอนใจแผ่วเบา พันผ้าเช็ดหน้ากับนิ้วผมไว้แล้วเดินหายไปครู่หนึ่งก่อนกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาล

“ตามมา เดี๋ยวทำแผลให้”

จริงๆ แล้วแจสเปอร์น่ะ...ใจดีกับผมจะตาย :)


“ไปทำยังไงให้แก้วแตก” เขาถามในขณะทำแผลให้ผม พวกเรานั่งอยู่ตรงบันไดหนีไฟ ไม่รู้ทำไมมานั่งตรงนี้ แต่แจสเปอร์บอกมันเงียบดี ผมเลยไม่ขัดใจเขา

“เผลอทุบโต๊ะแรงไปหน่อย”

“ทุบทำไม”

“เพราะหงุดหงิด”

“หงุดหงิดใคร”

“หงุดหงิดนาย” ผมตอบ สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกแสบแผล แจสเปอร์เงยหน้าขึ้น เราสบตากัน “เพราะฉันดูเหมือนชอบนายอยู่ฝ่ายเดียว แต่นายไม่รู้สึกอะไรกับฉันเลย”

“ไร้สาระ”

“ฉันไม่ใช่คนมีสาระอยู่แล้ว” ผมหลุบตาจ้องมือแจสเปอร์ที่กำลังใส่ยาทำแผลให้ผม “เบาๆ หน่อย แสบนะนั่น…”

“แสบที่ไหน”

“แผลสิ”

“นึกว่าแสบที่ใจ” แจสเปอร์หัวเราะเบาๆ ผมกลอกตา

“ถ้าที่ใจน่ะไม่แสบหรอก ชาหมดแล้ว”

“อย่าตัดพ้อฉันน่า” แจสเปอร์แกะพาสเตอร์และปิดลงบนแผลผม เขาเงยหน้าขึ้นมา “คนอย่างนายไม่เหมาะจะมาตัดพ้อใครหรอกนะ กระดิกนิ้วทีเดียวสาวๆ ก็แทบวิ่งเข้าหา”

“ฉันแค่ต้องการนาย ถ้ากระดิกนิ้วทีเดียวนายจะเข้าหาไหมล่ะ”

“นายดูจริงจังกว่าที่ฉันคิด”

“หรือที่ผ่านมานายคิดว่าฉันแกล้งเล่น” ผมเลิกคิ้ว สบตาเขานิ่ง “ฉันจริงจังแจสเปอร์ แค่เรื่องของนายนั่นแหละ อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมานายไม่ชัดเจนกับฉันสักทีเพราะไม่มั่นใจ?”

“ก็ไม่เชิง”

“ต้องทำยังไงนายถึงจะไว้ใจฉัน?”

ผมถาม แต่แจสเปอร์ไม่ตอบ เขาแค่ยักไหล่แล้วเงียบไป ผมหงุดหงิดนิดหน่อย คิดว่าตัวเองก็แสดงออกชัดเจนมากพอแล้ว ชัดกว่านี้ก็คงขอแต่งงานพาไปจดทะเบียนแล้วล่ะ

ผมขยับเข้าไปใกล้เขา แจสเปอร์จ้องหน้าผมนิ่ง ไม่หลบไปไหน ผมกดจูบลงบนริมฝีปากเขาเบาๆ เป็นการหยั่งเชิง แจสเปอร์ถอนใจ เขาประคองใบหน้าผมไว้ เป็นฝ่ายบดจูบลงมา

เราจูบกันมาก็หลายครั้ง

และทุกครั้งมันส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจผมตลอด

มันไม่ใช่ความชอบผิวเผิน ตอนนี้ผมรู้ใจตัวเองดี เหลือแค่ใจของแจสเปอร์ที่ไม่รู้จะตรงกับผมไหม บอกตามตรง กรณีของแม่และพ่อทำให้ผมกังวล พวกเขารักกันแม้ไม่ใช่โซลเมตกัน ผมกลัวว่าแม้กระทั่งคำว่าโซลเมตก็รั้งแจสเปอร์เอาไว้ไม่ได้

ผมผละออก กดจูบลงบนลำคอเขา ขบเม้มสร้างรอยจนแจสเปอร์สะดุ้ง มือผมป่ายไปตามสาบเสื้อ ดึงมันออกและจูบลงบนหน้าอกเขา ตำแหน่งเหนือหัวใจที่เต้นรัวนั่น ไม่รู้มันเต้นเพราะผมหรือเปล่า เม้มประทับตราจองโดยที่แจสเปอร์ไม่มีท่าทีจะต่อต้านหรือผลักไส

“นายเป็นของฉัน”

“ฉันยังไม่ได้เป็นของนาย อย่านิสัยเสีย”

“ไม่ นายเป็นของฉัน” ผมย้ำเสียงเข้ม เหยียดยิ้มสบตาแจสเปอร์ที่มองมา “นายพูดถูก ฉันมันนิสัยเสีย ถูกตามใจจนเคยตัว อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันต้องได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน”

“ไม่กลัวฉันเกลียดนายหรือไง”

“อย่างน้อยนายก็เกลียดฉัน” ผมยังคงยิ้ม “ดีกว่าไม่รู้สึกอะไรด้วยเลยไม่ใช่หรือไง”

“งี่เง่าน่ะแมท” เขาส่ายหัว สีหน้าเหนื่อยใจ

“ยอมรับ ฉันมันงี่เง่า” ผมยักไหล่ “ติดกระดุมซะ ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นรอย”

“ไม่ล่ะ”

“นายหมายความว่าไง” ผมขมวดคิ้ว

“ก็เห็นไป จะได้รู้ว่าฉันมีคนของตัวเองแล้ว นายน่าจะพอใจ” แจสเปอร์หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ เขาสบตาผม แววตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจจนน่าจับมาฟาดสักที

“ร้ายนักนะ”

“นายชอบแบบนี้ไม่ใช่หรือไง”

“เพราะเป็นนายเลยชอบต่างหากล่ะ”

แจสเปอร์เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนหัวเราะออกมา เขาลุกขึ้น โคลงหัวไปทางประตูที่ปิดอยู่

“กลับเข้างานเถอะ”

“...”

“อยากโชว์รอยให้คนอื่นเห็นแทบแย่แล้ว”

ผมเหยียดยิ้ม

เซบาสเตียนเคยบอกว่าผมร้าย แต่เหมือนจะมีคนร้ายกว่าผมอยู่หนึ่งคน

ผมลุกขึ้น กระซิบชิดใบหูเขา

“อยากโชว์ว่านายเป็นคนของฉันแล้วเหมือนกันแจสเปอร์”





______________________
จริงๆ อยากเขียนโทนใสๆ ดอกไม้บาน กลายเป็นอะไรพอร์นๆ แบบนี้ได้ไงไม่รู้ แต่พยายามจำกัดเรทแล้วค่ะ ไม่ให้เยอะไป จริงๆ ตอนแรกว่าจะเขียนแค่แพทเซ็บ แต่คิดอีกที เขียนของคู่กัดแมทแจสด้วยเลยดีกว่า สองคู่สองอารมณ์ และโพสิชั่นปริศนา 5555555 ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายจริงๆ แล้วค่ะ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาโดยตลอดนะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจ มีค่าสำหรับเรามากๆ ค่ะ นิยายที่เขียนเพื่อฮีลตัวเองในวันที่ชีวิตประสาทแดก ดีใจที่มันให้ความสุขกับทุกคนได้นะคะ รักมากมาย แล้วเจอกันเรื่องหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-10-2018 23:29:07
 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 01-11-2018 03:58:13
ฮืออ เราชอบเรื่องนี้จัง เราชอบเรื่องนี้จังง เราชอบเรื่องนี้จัง

ตอนแรกข้ามไปหลายทีเพราะไม่สนเรนเวิร์ส แต่พอเข้ามาอ่านแล้วค้นพบว่าตรงสเป็คไปหมดเลย โดยเฉพาะคุณเซบกับแพท แง แมวยักษ์น่ารักมาก แด้ดดี้ก็แซบมากกก

คุณแจสก็ดี ดี๊ดี ขอบคุณที่แต่งให้อ่านค่ะ ตัวละครคุณมีเสน่ห์ตรงสเปคเรามาก เคมีอะไรก็เป็นแบบที่ชอบเลย

เหมือนคุณเข้ามานั่งในใจเราเลยตอนเขียน เราชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ เราสามารถยิ้มเป็นบ้าไปได้ทั้งวันเพราะเรื่องนี้เลย น่ารักมากๆๆๆ

you made my day มากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-11-2018 14:18:07
แซ่บทั้งคู่เลยจ่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-11-2018 19:29:33
 :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Prangkii ที่ 02-11-2018 19:34:29
  :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 02-11-2018 21:47:37
แซ่บไม่แพ้กันเลย ทั้งสองคู่

  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 03-11-2018 00:14:53
งุ้ยยย ชอบคู่แมทมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sarujang ที่ 03-11-2018 05:54:09
ยังอ่านไม่จบ แต่ชอบมากๆๆๆๆ มีเวลาว่างจะตามอ่านจนจบแน่นอน
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ  อีกหนึ่งเรื่องค่ะ
 o18
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: aqumay ที่ 04-11-2018 15:54:21
คือเราสมัครเล้าเป็ดเพื่อมาคอมเม้นท์ให้คุณเลย
เราชอบเรื่องนี้มากก อ่านแล้วมันอุ่นตุ่นหัวใจมากๆ
คุณแพทอบอุ่นมากๆ อ่านไปยิ้มไป ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ นะคะ

หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 06-11-2018 10:32:42
แมวยักษ์ช่างร้ายกาจ โคตรหวงเจ้าของอ่ะ  :z1:
สนุกมากค่ะ  :pig4:  :3123:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 07-11-2018 13:09:54
ยังอ่านไม่จบนะคะ ได้ครึ่งเรื่องเองค่ะ
แต่อยาก "ชม" ก่อน ... ว่า ...

ภาษาดีจัง อ่านแล้วเพลิน
ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือยเกินควร
ตัวสะกดก็ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ...
มีผิดบ้างก็เช่น คำนี้ ปรากฏ ผิด 3 จุด ต้องสะกดด้วย นะคะ
หรือ เดินเรียบ ต้องเป็น เลียบ แต่คำนี้ในจุดอื่นก็ถูกต้องดี
กับที่ผิด เจอ 2 จุดคือคำว่า แซนวิส คำนี้ต้องทับศัพท์ว่า แซนด์วิช นะคะ
 
ถ้าจะผิดก็ประมาณพิมพ์ตกหล่น
เช่น กระหนำ มืดครื้น แต่งตัวเนียบ และอีกไม่กี่คำ ซึ่งเกิดจากการพิมพ์พลาด
และน้อยมากนะคะ
เรียกว่า ชอบเลยล่ะค่ะที่สะกดภาษาไทยได้เข้มแข็งขนาดนี้

เดี๋ยวอ่านจบแล้วจะมารีวิวนะคะถ้าไม่ลืม
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Halloween [31-10-61]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 20-12-2018 06:20:10
ชอบทั้งสองคู่เลย :hao7:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: JackXy Wu ที่ 25-12-2018 23:09:40
Special

Christmas Day




[Sebastian]

วันนี้เป็นวันพิเศษ วันที่ทุกคนมีความสุขกับการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส ผมไม่เคยนึกตื่นเต้นกับมันมาก่อน สำหรับผม คริสต์มาสไม่ต่างจากวันธรรมดา ผมไม่เคยได้ฉลองพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่ พวกเขายุ่ง ผมรู้ดี ด้วยหน้าที่การงานและความรับผิดชอบต่างๆ

จากความทรงจำในวัยเด็ก วันคริสต์มาสของผมมีแค่ต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ประดับไฟสวยงามที่ตั้งอยู่กลางบ้าน ของขวัญกล่องใหญ่ราคาแพงจากพ่อกับแม่

ทั้งหมดมีแค่นั้น

มันทำให้ผมเกลียดการแกะห่อของขวัญ เพราะผมรู้ดีว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าของเล่นราคาแพงที่ไร้ชีวิต ผมในวัยเด็กไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ความสุขของผมเล็กแค่นั้นแต่พ่อกับแม่ไม่สามารถให้ได้

ผมโตขึ้น ทุกอย่างกลายเป็นความชาชิน กระทั่งแพทริคเข้ามาในชีวิต เปลี่ยนทุกความเคยชินของผม เติมเต็มความหมายของคำว่าครอบครัวให้กันอีกครั้ง

“ตรงนั้นมีขบวนพาเหรดด้วยเซ็บ คุณดูสิ”

ผมหลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อแพทริคเรียกให้หันไป ผมมองตามนิ้วที่เขาชี้ชวน พาเหรดขบวนใหญ่กำลังมุ่งหน้าผ่านทางเท้าที่เราเดินอยู่ ไฟประดับส่องแสงระยิบระยับ เสียงดนตรีวันคริสต์มาสบรรเลงประกอบครึกครื้น เมื่อขบวนพาเหรดเคลื่อนผ่าน ไฟประดับสองข้างทางก็สว่างขึ้นเป็นลำดับ ผู้คนพลุกพล่านเดินขวักไขว่ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม สองข้างทางเต็มไปด้วยโชว์การแสดงต่างๆ ของพวกเด็กๆ กับการแสดงดนตรีตามท้องถนน เป็นบรรยากาศวันคริสต์มาสที่ดีมากทีเดียว

“ตามไปดูไหมล่ะ?”

“คุณอยากไปไหม” แพทริคหันมาถาม ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายล้อแสงไฟ “คนเยอะ ผมกลัวคุณจะอึดอัด”

“ไม่หรอก” ผมส่ายหน้า “วันเทศกาลมันต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

“งั้นเราไปดูตรงนั้นดีไหมครับ”

แพทริคยิ้มให้ผม ตรงนั้นที่ว่าคือจุดตั้งต้นคริสต์มาสต้นยักษ์บริเวณจัตุรัสใจกลางเมือง คนเยอะน่าดูเพราะเป็นจุดที่ทุกคนอยากถ่ายรูปเก็บเป็นความทรงจำเอาไว้

“ตามใจนายเลยเจ้าแมวยักษ์”

“ขอบคุณครับ คุณน่ารักจังเซ็บ” แพทริคหัวเราะ เขายื่นหน้ามากดจมูกลงบนแก้มผม ทิ้งสัมผัสอุ่นไว้เพียงชั่วครู่ก่อนผละออกมากอบกุมมือผมไว้ จับจูงเดินไปพร้อมกัน

ผมยิ้ม ไม่คิดตำหนิการแสดงความรักของเจ้าแมวยักษ์ในที่สาธารณะ ผมเดินเคียงเขา มองแสงไฟประดับสวยงามที่ติดเต็มสองข้างทาง แต่เมื่อแพทริคหันมา ประกายในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นทำให้แสงไฟระยิบระยับจืดชืดไปถนัดตา มันเทียบไม่ได้เลยกับดวงตาที่ส่องประกายของเขา

แพทริคในสายตาผมสวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด

ส่องสว่างและเปล่งประกายยิ่งกว่าดวงดาวบนยอดต้นคริสต์มาส

เขาเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่ส่งมาให้ และผมดีใจที่วันนั้นเลือกแกะกล่องของขวัญกล่องนี้

“แพท ระวังหน่อย” ผมดุเขาเมื่อเจ้าแมวยักษ์เอาแต่เงยหน้าคอตั้งมองต้นคริสต์มาสยักษ์จนเดินไม่มองทางเกือบชนคนอื่น เขาสะดุ้ง หยุดยืนตัวแข็งเหมือนแมวตกใจจนผมเผลอหลุดยิ้ม “นี่ จะยืนแข็งอยู่ตรงนี้อีกนานไหม ฉันทิ้งนายนะถ้าไม่เดินต่อสักที”

“โธ่เซ็บ” เขาเริ่มงอแง “ก็มันสวยมากจริงๆ นะครับ”

“อืม ฉันรู้น่า นายมองตาวาวขนาดนั้น”

“ผมชอบวันคริสต์มาส” เขายิ้ม แบมือรับเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมา เกล็ดสีขาวเมื่อแตะกระทบบนถุงมือก็ละลาย ทิ้งไว้เพียงรอยชื้นจางๆ แพทริคเงยหน้าขึ้น พวกเราสบตากัน “และยิ่งดีที่ได้อยู่กับคุณด้วยเซ็บ เทศกาลพิเศษกับคนพิเศษ คุณคิดว่าไง?”

“คิดว่านายเพ้อเกินไปแล้ว” ผมผลักหัวเขาเบาๆ เจ้าแมวยักษ์เลยเบ้หน้าใส่

“โรแมนติกหน่อยสิครับ”

“แย่หน่อยนะที่ฉันไม่ใช่คนโรแมนติกสักเท่าไหร่”

“คุณเขินที่จะแสดงความรู้สึกออกมาล่ะสิ”

“ไหนใครบอกอยากถ่ายรูปกับต้นคริสต์มาส” ผมเปลี่ยนเรื่องเมื่อถูกต้อน “รีบถ่ายซะก่อนคนอื่นจะแย่งนายถ่าย”

“คุณเลี่ยงตอบผมอีกแล้ว”

“อยากให้ฉันตีนายเหรอแพท” ผมแกล้งทำหน้าดุ แพทริคเลยหัวเราะร่วน เขาดึงมือผมเบาๆ

“ถ่ายด้วยกันนะครับ”

“แล้วใครบอกจะให้นายถ่ายคนเดียว” ผมพึมพำ

“กลัวสาวๆ แถวนี้คิดว่าผมโสดล่ะสิ” เขาส่งยิ้มทะเล้น ผมอดมันเขี้ยวไม่ได้ ยื่นมือบีบปากที่พูดเจื้อยแจ้ว ออกแรงดึงเบาๆ จนแพทริคส่งเสียงอื้ออึงในลำคอประท้วง “เจ็บครับ!”

“รู้ก็ดี เจ้าของนายหวงนายจะตายอยู่แล้วแพท”

“ผมชอบให้คุณหวงผม” เขาลูบปากป้อยๆ หลังผมปล่อยมือ “แต่เมื่อกี้เจ็บครับ”

“เพราะนายเป็นแมวดื้อไง” ผมตอบยิ้มๆ แพทริคหรี่ตาจ้องผม ไม่รู้ในหัวคิดอะไรอยู่ แต่ผมไม่เสี่ยงให้เจ้าแมวยักษ์กลายร่างเป็นเสือแล้วจับผมฟัดตอนนี้ เลยเบี่ยงความสนใจเขาไปที่ต้นคริสต์มาสยักษ์แทน “ถ่ายรูปกัน”

ผมยกโทรศัพท์ขึ้นเปิดกล้องหน้า ขยับตัวเข้าชิดแพทริค หน้าเราทั้งคู่อยู่ในเฟรม ด้านหลังเป็นต้นคริสต์มาสยักษ์ประดับไฟสวยงามส่องประกายตัดกับท้องฟ้าตอนกลางคืน เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปราย เป็นฉากถ่ายรูปที่องค์ประกอบสวยงามลงตัว

ผมกดถ่ายไปหลายรูป ทั้งรูปที่พวกเรายิ้มปกติไปจนถึงรูปที่แพทริคทำหน้าตลกๆ ใส่กล้องจนผมหลุดขำ ก่อนพวกเราจะเดินหลบออกมาให้คนอื่นเข้าไปถ่ายบ้าง แพทริคเดินนำผมสวนทางกับผู้คนที่เดินเข้าหาต้นคริสต์มาส จนเราออกมาอยู่ในที่โล่ง ผู้คนบางตากว่าตรงใจกลางเมือง

“เดี๋ยวเขาจะมีแสดงพลุด้วยนะเซ็บ”

“ให้เดา นายอยากดู?”

“หนึ่งปีมีครั้งนึงเองนะ” เจ้าแมวยักษ์ออดอ้อน ซึ่งผมก็แพ้ลูกอ้อนเขาตลอดนั่นแหละ “คุณนั่งรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมไปซื้ออะไรมาให้รองท้อง”

“เฮ้ ไม่ต้อง…”

“นั่งครับ ไม่ดื้อนะเซ็บ” แพทริคกดไหล่ผมให้นั่งบนเก้าอี้ตัวยาวที่ตั้งอยู่บนทางเท้า เขาขยิบตา “จองที่ไว้ครับ เดี๋ยวโดนแย่งที่หมดตอนเขาจุดพลุกัน”

“เฮ้อ ตามใจนายแล้วกัน”

ผมทำตามที่แพทริคต้องการ นั่งจองที่ให้เขา กระชับเสื้อโค้ทกับขยับผ้าพันคอตัวเองให้เข้าที่ อากาศหนาวเย็นช่วงเดือนธันวาคมทำให้ลมหายใจผมกลายเป็นไอควันสีขาว แผ่นหลังของแพทริคหายไปในกลุ่มคนก่อนเครื่องมือสื่อสารที่ผมถือไว้จะสั่น ผมหลุบตามอง มีคนส่งข้อความมาทางแอปพลิเคชันแชตชื่อดัง

พี่ชายของผมเอง

ผมกดเปิดข้อความ สิ่งแรกที่เห็นคือรูปของแมทธิวกับแจสเปอร์ พี่ชายผมฉีกยิ้มกว้าง แขนข้างหนึ่งคล้องคอแจสเปอร์ไว้ อีกมือถือกล้องถ่ายเซลฟี่ ส่วนแจสเปอร์มีสีหน้าเหมือนถูกบังคับ ซึ่งผมคิดว่าเขาถูกแมทธิวบังคับให้ถ่ายรูปจริงๆ นั่นแหละ ด้านหลังพวกเขาเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ แสงไฟระยิบระยับ เดาว่าคงเที่ยวงานเทศกาลอยู่เหมือนกัน

ใต้รูปมีข้อความที่ไม่ยาวแต่ก็ไม่สั้นส่งมา


‘ไงเซ็บ เมอร์รี่คริสต์มาส หวังว่าปีนี้นายจะไม่ทำตัวเป็นเสือป่วยเหงาหงอยเหมือนที่ผ่านมา เพราะแพทคงไม่ยอมให้นายเป็นแบบนั้นแน่ อากาศที่นั่นเป็นไงบ้าง? ที่นี่โคตรหนาว ฉันเกือบแข็งตาย รู้ไว้ด้วยที่ฉันติดแหงกอยู่นี่เพราะเรื่องของนายล้วนๆ เฮ้! ช่วยคุยกับพ่อให้ทำเรื่องเรียกตัวฉันกลับทีสิ แจสเปอร์จะฆ่าฉันแล้ว เขาเกลียดอากาศหนาวยิ่งกว่าฉันซะอีก ฉันเดาว่านี่เป็นอีกเหตุผลที่เขาไม่ตกลงปลงใจกับฉันสักที ไว้เคลียร์งานเรียบร้อยจะไปเยี่ยมนะไอ้น้องชาย XOXO’

“งี่เง่าน่ะแมท” ผมหลุดหัวเราะ ที่แมทธิวโดนพ่อเตะไปรับผิดชอบบริษัทลูกสาขาต่างประเทศเพราะตัวเขาเองนั่นแหละดึงดันไม่ฟังคำสั่ง ผมแนบรูปถ่ายของตัวเองกับแพทริคส่งไปและพิมพ์ตอบคำถามเขา กำชับทิ้งท้ายว่าไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยม ผมยังไม่อยากหาเรื่องปวดหัวให้ตัวเองตอนนี้ แมทธิวไม่ได้อ่านในทันที ผมเดาว่าเขาคงสนุกอยู่กับงานเทศกาลทางฝั่งนั้น แต่แล้วก็มีข้อความจากอีกคนส่งมา


‘เมอร์รี่คริสต์มาสเซ็บ ฉันรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะตัดสินใจส่งข้อความนี้ ฉันอวยพรนายแบบนี้ทุกปี แต่ปีนี้มีเรื่องราวแย่ๆ ที่ฉันทำลงไปจนฉันไม่กล้าคุยกับนายอีกเลย แต่เฮ้...ฉันขอโทษกับเรื่องราวทั้งหมดจริงๆ หวังว่าจะได้รับการให้อภัยจากนาย ไม่ต้องตอบก็ได้ แต่ถ้านายไม่ว่าอะไร ฉันขอสติ๊กเกอร์สักตัวก็พอ … รักนายนะเซ็บ จากอเล็กซ์’

ผมอ่านข้อความจากอเล็กซ์อยู่นาน หลังจบเรื่องนั้นพวกเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก แม่บอกอเล็กซ์กับลุงเบอนาร์ดย้ายไปดูแลบริษัทที่ต่างประเทศ พวกเขาไม่กล้าสู้หน้าเราเท่าไหร่ แม้ว่าแม่จะให้โอกาสก็ตาม ผมส่ายหัว รู้สึกความกังวลใจในตัวอักษร

‘เมอร์รี่คริสต์มาสอเล็กซ์ ฉันไม่ใจร้ายพอจะส่งสติ๊กเกอร์ให้เธอแค่ตัวเดียวหรอก เคยมีคนบอกฉันว่าเรื่องร้ายๆ ผ่านมาแล้วจากไป ฉันหวังว่าพวกเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมสักวัน รักเธอเหมือนกัน...จากเซบาสเตียน คนที่เป็นน้องชายของเธอเสมอ’


ข้อความจากคนอื่นๆ ถูกส่งมาเป็นระยะ จากเพื่อนร่วมงานของผม แน่นอนรวมถึงเมลิน่าด้วย เธอเหมือนจะทำใจเรื่องผมกับแพทได้แล้ว เราตกลงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม้แพทริคจะพองขนหางตั้งใส่ผมทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องของเมลิน่า ผมไล่อ่านและตอบกลับทุกข้อความ แพทริคยังไม่กลับมาง่ายๆ ผมเดาว่าเขาคงจะต่อคิวยาวเหยียดอยู่ที่ร้านไหนสักร้าน

สองข้อความสุดท้ายส่งมาจากคนที่ผมอยากให้พวกเขาอยู่ด้วยกันแต่มันเป็นไปไม่ได้

ผมเลือกเปิดอ่านข้อความของแม่ก่อน


‘เซ็บลูกรัก เป็นอีกปีที่คริสต์มาสของลูกไม่มีแม่อยู่ด้วย แม่เสียใจกับเรื่องนี้เสมอ แต่แม่เชื่อว่าปีนี้ลูกไม่ได้นั่งเงียบเหงาอยู่คนเดียวใช่ไหม? ต้องขอบคุณแพทริคสินะ เขาทำให้ลูกแม่สดใสขึ้นเยอะ เมอร์รี่คริสต์มาสจ้ะ พรุ่งนี้เราไปทานข้าวกันนะ อันที่จริงแม่เคลียร์งานรอลูกเรียบร้อยแล้ว แต่คิดว่าวันนี้ลูกอาจอยากอยู่กับแพทริคมากกว่า รักลูกเสมอ’

ผมยิ้มเมื่อโดนดักทาง แต่ถ้าผมรู้ว่าแม่ว่าง ผมก็จะเลือกแม่ก่อนแพทริคอยู่ดี เชื่อว่าเจ้าแมวยักษ์ต้องเข้าใจ หรือไม่ผมก็อยากฉลองพร้อมกันสามคน บางทีอาจพาแม่ไปฉลองกันที่บ้านของแพทริค แม่น่าจะเข้ากับบ้านนั้นได้ดี ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับ ก่อนกดอ่านข้อความจากพ่อ


‘เมอร์รี่คริสต์มาสเซบาสเตียน พ่ออาจไม่ใช่พ่อที่ดีในสายตาลูก แต่หวังว่าพ่อจะตัดสินใจถูกที่ให้แพทริคเข้ามาในชีวิตลูก ขอให้คริสต์มาสปีนี้มีความสุข ...พ่อ’

ข้อความของซีมอน รอสซ์ไม่มีคำบอกรัก ไม่ได้พิมพ์ยาวเหยียดเป็นเรียงความ เป็นแค่ข้อความเรียบง่ายสั้นๆ ตามแบบฉบับของเขา แต่ผมรู้ดีว่านี่เป็นการแสดงความรู้สึกที่มากที่สุดแล้วสำหรับพ่อ

‘ครับ พ่อตัดสินใจไม่ผิด เมอร์รี่คริสต์มาสเช่นกันครับ’

ผมกดส่งข้อความ มันขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านอย่างรวดเร็วแต่ไม่มีการตอบกลับมาอีก ผมกดออกจากแอปพลิแคชันแชต เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นแพทริคกำลังเดินตรงมา ในมือถือแก้วสองใบและถุงใส่อะไรบางอย่าง

“คนเยอะมากเซ็บ ผมต่อคิวจนขาเกือบแข็ง”

“ฉันถึงบอกว่าไม่เป็นไรไง” ผมส่ายหน้า เอื้อมมือช่วยเขาถือของ กลิ่นหอมหวานโชยแตะจมูกกับสัมผัสอุ่นที่แทรกซึมผ่านถุงมือ

“อากาศหนาวผมเลยคิดว่าโกโก้ร้อนสักแก้วกับวาฟเฟิลน่าจะดี” แพทริคส่งยิ้มให้ เขานั่งข้างผม ไหล่ชนไหล่ แบ่งปันไออุ่นให้แก่กัน ผมยกแก้วโกโก้ขึ้นจิบ พยักหน้าเห็นด้วย

“อีกกี่นาทีถึงจะจุดพลุ”

“เมื่อกี้ผมถามคนที่ต่อคิวอยู่ข้างหน้า” แพทริคกัดวาฟเฟิลคำใหญ่ เคี้ยวจนแก้มพอง ผมมันเขี้ยวจนอยากบี้แก้มขาวๆ ของเจ้าแมวยักษ์ให้ขึ้นรอยแดง “เห็นว่าอีกราวๆ สิบนาที”

“จะแข็งตายกันก่อนไหม” ผมหัวเราะเบาๆ อากาศวันนี้หนาวจนมือแข็ง ขนาดพวกเราแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหนาๆ อุ่นๆ ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แทรกซึมเข้ามา

“ผมอยู่ตรงนี้ทั้งคน ถ้าคุณหนาวก็แค่กอดผมแน่นๆ”

“แล้วนายไม่หนาวเหรอ” ผมสบตาเขา เขี่ยนิ้วกับปลายจมูกที่มีรอยตกกระ “จมูกนายแดงหมดแล้ว จะเปลี่ยนจากแมวยักษ์ไปเป็นกวางเรนเดียร์หรือไงหืม?”

“ถ้าผมเป็นกวางเรนเดียร์ งั้นคุณก็เป็นซานต้า”

“อ๋อ อยากโดนฉันเฆี่ยน?” ผมแกล้งว่า คราวนี้แพทริคเลยแดงไปทั้งหน้า “อย่างนี้เองสินะ”

“เซ็บ คุณมันร้าย คุณทำให้ผมคิดอะไรไม่ดี”

“อะไรไม่ดีนั่นมันยังไง” ผมเย้า “ไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิ ความคิดในหัวนายน่ะ”

“ไม่ต้องดูพลุกันแล้วครับ กลับห้องเราเลยแล้วกัน คุณจะได้รู้ว่าผมกำลังคิดอะไร” แพทริคทำท่าจะลุกฉุดมือผมจนต้องรั้งชายเสื้อโค้ทเขาให้นั่งลงเหมือนเดิม

“ล้อเล่นน่ะ”

“เซ็บ” เขาครวญคราง เอนหัวมาซุกไหล่ผม “อยากกอดคุณจะแย่”

“กอดสิ ตรงนี้ก็กอดได้”

“คุณรู้ว่าผมหมายถึงกอดแบบไหน”

“เด็กดี” ผมลูบหัวเขา “รีบทำไม ยังไงคืนนี้ฉันก็อยู่กับนายทั้งคืนอยู่แล้ว”

ดวงตาแพทริควาววาบ เขายื่นหน้าเข้ามา กลิ่นหวานของโกโก้และวาฟเฟิลอวลอยู่รอบตัว กระทั่งปลายจมูกเราชนกัน ไอควันสีขาวเคล้าเคลอ เขากำลังจะจูบผม ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงจุดพลุดึงสติพวกเรากลับคืนมา ผมยิ้ม ตบลงบนอกเขาเบาๆ ให้ผละออก แมวยักษ์มีสีหน้าเสียดายอย่างไม่ปิดบัง

“อยากดูพลุไม่ใช่หรือไง” ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าตอนกลางคืนที่สว่างจ้า แต่งแต้มสีสันสวยงามจากพลุหลายดอกที่จุดติดกัน มันระเบิดกระจายเป็นแฉกก่อนสลายหายไป “สวยอย่างที่นายว่าจริงๆ ด้วยแพท”

“นั่นสิครับ เสียดายที่ช่วงเวลานั้นอยู่แค่ไม่กี่วินาที”

“แต่ก็เป็นไม่กี่วินาทีที่น่าจดจำ”

ผมละสายตาจากความสวยงามบนท้องฟ้า หันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของแพทริค เขายังคงมองพลุที่แตกกระจาย แสงสว่างหลากสีตกกระทบใบหน้า หยอกล้อกับแววตาตื่นเต้นไม่ต่างจากเด็กๆ แพทริคเหมือนแมวตัวใหญ่ที่ถูกของเล่นที่ชอบดึงดูดความสนใจเอาไว้ เขาน่ารักจนผมอดไม่ได้

“แพท”

ผมกระซิบเรียก แพทริคหันมา ผมไม่ให้เขาตั้งตัว ประคองใบหน้าอีกฝ่ายไว้ กดจูบบนริมฝีปากเขา รสชาติโกโก้หอมหวานติดปลายลิ้น ผมขยับตัวชิด โอบกอดแพทริคไว้ในอ้อมแขน ตัวตนของเขาอบอุ่น อุ่นจนคล้ายจะละลายหายไปในอ้อมกอดผม ความหนาวเย็นรอบตัวจืดจางลง ผมแทบไม่รู้สึกถึงพวกมันอีกต่อไป

แพทริคเติมเต็มผมจนสมบูรณ์

เป็นความอบอุ่นหนึ่งเดียวที่จะเป็นของผมตลอดไป

“เซ็บ...คุณทำผมพลาดพลุลูกท้าย” แพทริคกระซิบชิดริมฝีปากผม กดจูบย้ำแผ่วเบาและผละออก รอยยิ้มสวยงามแต่งแต้มมุมปาก “ช่วงหลังมานี้คุณจู่โจมผมบ่อยจังนะ”

“เพราะนายมันน่ารัก”

“คุณน่ารักกว่า” เขาไม่ยอมแพ้ ส่วนผมหัวเราะ ลูบจมูกแดงๆ ของเขาจนมันหายเย็น “คุณรู้ไหมเซ็บว่าผมชอบบรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาสนี้มากแค่ไหน”

“แค่ไหนล่ะ?”

“มากๆ เลยล่ะ ผมชอบเวลาเห็นทุกคนมีรอยยิ้ม” เขากวาดสายตามองรอบตัว เสียงกลุ่มนักร้องร้องเพลง Christmas Carol ดังแว่วมา แววตาอบอุ่นอ่อนหวานหันกลับมามองผมอีกครั้ง “ชอบเวลาทั่วทั้งเมืองประดับไปด้วยแสงไฟ ชอบความสนุกสนานจากขบวนพาเหรด เสียงเพลงที่เปิดคลอ มันเป็นการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่า ทิ้งเรื่องราวที่ผ่านมาและเริ่มต้นใหม่ในปีหน้า เราอาจจะเจอสิ่งที่แย่กว่าปีนี้ หรือเจอสิ่งที่ดีกว่าเดิม ไม่มีใครรู้หรอกครับ แต่คริสต์มาสปีนี้เราแค่อธิษฐาน และมีความหวังว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ไม่ใจร้ายกับเราเกินไปนัก”

“นั่นสินะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย “ขอให้ปีหน้าไม่ใจร้ายกับเราเกินไป”

“คุณจะเจอแต่สิ่งดีๆ ครับเซ็บ”

“ไหนนายบอกไม่รู้ว่าปีหน้าเราจะเจอกับอะไรไง?” ผมย้อนถาม แพทริคเลยเกาหัวแก้เก้อ

“ครับ แต่ผมก็แค่...อยากให้คนที่ผมรักมีความสุข”

“ความสุขของฉันคือนาย”

“เซ็บ…” เจ้าแมวยักษ์เบิกตาโต ริ้วแดงกระจายเต็มสองข้างแก้ม เขายังคงเขินทุกครั้งเวลาผมบอกรักเขา ไม่ว่าจะทางตรงหรืออ้อม

“แค่นายอยู่กับฉัน ทุกวันของฉันก็จะมีความสุข” ผมยิ้ม สบตาเขาไม่ละไปไหน “ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าจะทำให้ปีหน้าของฉันเต็มไปด้วยความสุขยังไง”

“ครับ” เขารับคำ ยิ้มกว้าง ความสุขแผ่ไปถึงแววตา “ผมรู้แล้ว”

“เด็กดี” ผมจูบเขาอีกครั้ง “เมอร์รี่คริสต์มาสแพท ปีหน้าขอให้เราอยู่ข้างกันเหมือนเดิม”

“เมอร์รี่คริสต์มาสเหมือนกันครับเซ็บ” แพทริคกุมมือผมไว้ แบ่งปันไออุ่นซึ่งกันและกัน “อยู่ด้วยกันไปทุกๆ คริสต์มาสจนผมพวกเราขาวเหมือนหิมะเลยเป็นไง?”

“ฟังดูไม่เลว”

“มันฟังดูเยี่ยมไปเลยต่างหาก”

เรามองหน้ากัน เงียบไปสักพักก่อนหัวเราะออกมา

ในอนาคตผมไม่รู้ว่าจะมีเรื่องราวอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตบ้าง แต่ผมเชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้เมื่อมีกันและกัน คอยเป็นพลังงานให้กับอีกฝ่าย

คำอธิษฐานของผมต่อวันคริสต์มาสปีนี้ ขอให้แพทริคมีความสุขในทุกปี ขอให้ไม่มีอะไรมาพรากรอยยิ้มและความสดใสของเขาไป ขอให้ผมได้อยู่กับเขา ขอให้ความรักเรายืนนาน

เท่านี้ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

---------------------------

แจ็ค ทอล์ก

สุขสันต์วันคริสต์มาสนะคะ หวังว่าจะอ่านตอนนี้ด้วยหัวใจที่อบอุ่นกันนะคะ และเราขอให้ปีหน้าของทุกคนเจอแต่สิ่งดีๆ ค่ะ ปีนี้อาจใจร้ายกับเราไปบ้าง แต่พอปีใหม่แล้วขอให้ทุกคนมีความหวังนะคะ ขอให้ปีหน้าใจดีกับทุกคนเยอะๆ ค่ะ เราเองก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน ฮ่าาา

ปล.รอบนี้เราอัปเล้าเองแหละ ฮืออ ในที่สุดก็อัปในเล้าเป็นแล้วค่ะ ให้เพื่อนสอน เย่ :hao5:

#คุณผู้มากับสายฝน

หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 25-12-2018 23:18:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-12-2018 23:30:08
 :mc2: :mc2: :mc2:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-12-2018 14:50:45
น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 26-12-2018 15:29:50
Merrychristmas ค่าา
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 26-12-2018 16:26:05
เมอรี่คริสมาสต์เหมือนกันค่า
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 27-12-2018 21:28:42
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 28-12-2018 10:20:09
เป็นคริสต์มาสที่อบอุ่นมากเลย

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 10-01-2019 22:56:55
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 06-05-2019 22:18:41
เป็นเรื่องที่ดีมากเลย  แพทอบอุ่นมากเซบก็เท่มาก ส่วนคู่แจสเปอร์แมททิวก็คงต้องลุ้นให้คบกันเร็วๆ ชอบทั้งสองคู่เลย ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมานะคะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 12-06-2019 03:06:55
บรรยากาศของเรื่องดีมาก และสารภาพว่าเดาโพผิด555555555 แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไรเลย แพทยังคงเป็นแมวยักษ์น่าเอ็นดูกับเซ็บที่เท่ ชอบความเจ้าเล่ห์ของทั้งสองคนบนเตียงมาก มันทันกันไปหมด :o8:
ชอบคู่แมธกับแจสเปอร์ด้วยแฮะ อยากให้มีเรื่องยาว
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 10-07-2019 15:34:38
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ ชอบความเป็น rainverse มากก
แต่พออ่านๆไปแล้วเรากลับชอบเซ็บกับแพทมากกว่าความเป็นrainverseซะอีก
แพทเป็นคุณพระอาทิตย์ที่สดใสและอบอุ่มในโลกน้ำแข็งของเซ็บจริงๆเลยค่ะ
มันน่ารักมาก แบบมากๆๆๆเลยอะ ที่คนๆนึงน่ารักกับใครอีกคนได้ขนาดนี้
เซ็บก้น่ารัก เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของเซ็บชัดมาก เค้าน่ารักขึ้นทุกทีๆ
อ่อนโยนขึ้น น่ารักขึ้น จากตอนแรกที่ก้นู้สึกว่าเค้าน่ารักอยู่แล้ว
ตอนแรกไม่กล้าเดาโพเลยค่ะ แต่ต่อมาก้ลงเรือถูกลำจนได้
คุณเซ็บบนเตียงนี่คือที่สุดมาก ควีนมากจนอยากจะร้องกรี้ดด แบบฮื่ออมันดีจังเลยย
ตอนพิเศษคริสมาสทำเราแอบคิดไกลว่าถ้าเค้าเล่น role play เป็น master & his slave มันจะได้เลือดขนาดไหน
5555555555555 คุณแมวยักษ์ที่เหมือนจะเป็นคนคุมเกมสุดท้ายก้โดนคุมตลอด น่ารักมากก
ส่วนคู่แมทกับแจสเปอร์นี่ก้ชอบค่ะ เป็นคู่ที่แอบลุ่นมาตลอดเลย
พอท้ายเรื่องเปิดโอกาสให้แบบนั้นก้คือดีมากกก แมทพอรู้ใจตัวเองก็ขี้หวงมากเลยอะ
แจสเปอร์ก้ขยันยั่วให้แมทหึง หวง และโมโหจริงๆเลย เป็นอีกคู่ที่น่ารักกกมากๆเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆและน่ารักๆแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Yumitun ที่ 12-07-2019 20:16:29
เป็นเรื่องราวกึ่งๆแฟนตาซีที่น่ารักดีค่ะ เซปกับแพท ก็เป็นตัวละครที่น่ารักมาก ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆ ให้อ่านกันนะคะ  สนุกและอบอุ่นมากเลย
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Something7 ที่ 13-07-2019 12:09:58
อ่านรวดเดียวจบ ตามมาจากคุณหมีชวนอ่านในทวต
ไม่เคยอ่านเรสเวิร์สมาก่อน แต่ชอบมากค่ะ
มันโรแมนติกตั้งแต่แรก และเจ้าแมวยักษ์ก็อ้อนซะจนคุณเซบ
ที่ไม่อยากโรแมนติกกลายเป็นหลงกลแมวยักษ์เข้าเต็มๆ
ขอบคุณนักเขียนมากค่า สนุกและน่ารักมาก
เราเมนคุณเซบและลงเรือถูกโพค่ะ เย่
เป็นกำลังใจให้นะคะ ขะติดตามต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: analyze ที่ 15-07-2019 19:55:31
รักกกกกกกกกกกก ชอบมากๆเลยค่ะ อ่านรวดเดียวเลย  แอบอยากให้มีตอนของแจสเปอร์อีกมากๆ รู้สึกชอบผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เปิดตัวเลย :hao7: :hao7: :mew5:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 20-07-2019 22:51:29
ชอบมากๆเลย ขอบคุณมากนะคะ
น่ารักทั้งสองคู่ ถึงแม้ตอนแรกเราอาจจะผิดโพไปบ้างสำหรับคู่หลัก 5555 o22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 22-07-2019 02:03:37
เราเพิ่งเคยอ่าน rainverse เป็นครั้งแรก ประทับใจเรื่องนี้มากเลยค่ะ สนุกมากเลย
ชอบความเป็นแมวยักษ์ของแพทริค กับความนิ่งแต่ขี้ยั่วของเซ็บ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ

หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:50:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 11-05-2020 15:30:47
น่ารักมากๆเลยค่า ไม่รู้ว่าเค้าไปอยู่ไหนมา ทำไมพึ่งมาเจอเรื่องดีๆแบบนี้
ขอบคุณคุณคนเขียนมากๆนะคะที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่า่น
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Rainverse] Beautiful Silence #คุณผู้มากับสายฝน : Special Christmas [25-12-61]
เริ่มหัวข้อโดย: ffern ที่ 22-05-2020 14:34:47
ลังเลมาหลายรอบ จนฤดูฝนวนมาอีกปี ปีนี้เราตัดสินใจอ่านเเล้วนะคะ อ่านไปสองตอนเเล้ว เเวะมากกระซิบว่าชอบมาก น่ารักมากอบอุ่นหัวใจไปหมด จากใจคนที่ชอบหน้าฝน ถ้าเจอคนเเบบเซ็บบ้างคงจะเขินไม่น้อยเลย  :hao7: