พิมพ์หน้านี้ - สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ตีสี่ ที่ 25-09-2016 08:23:31

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 25-09-2016 08:23:31
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ใดทั้งสิ้น
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปีควรได้รับการแนะนำ
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนแรก
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 25-09-2016 08:31:24
ตอนแรก


เสียงเคาะคีย์บอร์ดดังรัวต่อเนื่องกันไม่มีหยุดผลที่ได้คือข้อความตัวอักษรบนกรอบหน้าจอเล็กๆ ด้วยความยาวจำนวนหนึ่ง พร้อมกันนั้น หลังสิ้นสุดเสียงเคาะสุดท้าย ตัวอักษรต่างๆ ก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอสนทนา และเพียงครู่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา อีโมชั่นน่ารักสีหวานๆ ปรากฏอยู่เต็มพรืด

“พรุ่งนี้ไปเจอกันที่สยามก่อน แล้วเราก้อค่อยไปดูหนังกันนะ”

“ได้จ้า แต่เฮอร์คิวลิสต้องเลี้ยงนะ หนูนาม่ะมีตังค์”

“แน่นอนอยู่แล้ว เด๋วเสี่ยเลี้ยงเอง”

“เย้ เย้ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ บาย”


เสียงหัวเราะหึหึอย่างชอบใจดังขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะฝันหวานถึงวันพรุ่งนี้ ในที่สุด... พรุ่งนี้แหละ เขาจะมอบความบริสุทธิ์ของผู้ชายให้กับน้องหนูนา และจะได้ลบคำสบประมาทของไอ้ฝาแฝดสองตัวนั่น ที่บังอาจมาว่าเขาได้ว่าโตจนป่านนี้ยังไม่เคยฟันสาวใด!!!

ชายหนุ่มเปิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อดูภาพจำลองเหตุการณ์ซ้ำอีกครั้ง เขาไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดใดๆ แว่นกรอบหนาสะท้อนภาพที่อยู่บนหน้าจอ เขาแสยะยิ้มและส่งเสียงหัวเราะหึหึ... อีกครั้ง



สุดฟ้าลุกขึ้นแต่งตัวแต่เช้าชนิดที่เรียกว่าฟ้ายังไม่ทันสาง เสื้อผ้าสำหรับออกเดทครั้งแรกในชีวิตถูกเลือกเฟ้นมาแล้วอย่างถี่ถ้วน เสื้อเชิ้ตลายสก็อตติดกระดุมเม็ดบนสุดถึงคอ กางเกงยีนส์ขาตรงสีเข้ม เอาเสื้อยัดไว้ในกางเกง และใส่เข็มขัดหนังสีน้ำตาล ส่วนทรงผมเขาควักเอาเจลเกือบครึ่งกระปุกมาโปะบนหัว ยีๆ ป้ายๆ ก่อนจะหวีเสยไปด้านหลังจนผมเรียบแป้ ล้างมือแล้วจึงเทแป้งเด็กขึ้นทาหน้า หยิบแว่นสายตากรอบสีน้ำตาลที่คิดว่าเท่ที่สุดขึ้นมาสวม สุดท้ายสวมถุงเท้าและรองเท้าเป็นอันพร้อมออกจากบ้าน

ชายหนุ่มรู้สึกปลื้มปิติตื้นตันอย่างที่สุด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่เขาจะได้นอนกอดก่ายสาวสวยทรงโตในอ้อมอกยามค่ำคืน และเขาจะได้กลับไปตอกหน้าแฝดนรกยามที่พวกมันพูดถึงเรื่องนี้ สุดฟ้าดันแว่นขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกจากบ้านด้วยความมั่นใจ

ณ สยามแสควร์แหล่งรวมวัยรุ่น... สถานที่ที่เขานัดหมายสาวสวยหนูนาที่แห่งนั้นยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเฉกเช่นเดิม หลากหลายคนหลังจากเดินผ่านเขาไปก็หันกลับมามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบ และมีอีกหลายคนที่มองแล้วหัวเราะ สุดฟ้ายิ้มให้ด้วยความมั่นใจเช่นเดิม แน่นอน เขามั่นใจว่าเขาหล่อ สาวๆ ที่มองเขาแล้วมองอีกนี่ต้องเป็นเพราะความหล่อของเขาแน่ๆ สุดฟ้าจึงยิ้มตอบพร้อมกับยืดตัวเชิดหน้าขึ้นด้วยความภูมิใจไม่น้อย

“มาถึงแล้ว เฮอร์คิวลิสอยู่ไหนหรือ” เขาเปิดดูข้อความในโทรศัพท์มือถือ และรีบพิมพ์ตอบกลับไป

“หน้าร้านหนังสือ หนูนาอยู่ไหน” พอกดส่งเขาก็เงยหน้าขึ้น ประจวบเหมาะกับสาวนางหนึ่งตรงหน้าซึ่งมองเขาด้วยอาการตกใจ เธอถือโทรศัพท์ไว้ในมือ สุดฟ้ารู้ได้ทันทีว่าเธอคือหนูนา ชายหนุ่มเดินเข้าไปหา เธอยังไม่หายจากอาการเอ๋อ อึ้ง สุดฟ้าคิดว่าเธอคงจะตะลึงในความหล่อของเขาอย่างแน่นอน

“หนูนา ผมเฮอร์คิวลิสครับ”

“อ๊ะ ค่ะ” หญิงสาวแทบอยากจะตบปากตัวเอง ไปตอบรับทำไมนะ เธอควรจะปฏิเสธไปสิ ถ้าวันนี้เธอคงต้องไปเดทกับผู้ชายเฉิ่มเชยอย่างนายนี่เธอต้องอกแตกตายแน่ๆ ความคิดในใจของสาวแอบแบ็วพรั่งพรูออกมาอยู่ในหัวสมองของเธอโดยที่สุดฟ้าไม่รับรู้

“ไปกันเถอะผมจองตั๋วไว้แล้ว”

“อะ... เอ่อ” เธอกำลังอ้าปากบอกปัดอยู่แล้ว ถ้าไม่นึกอะไรได้เสียก่อน ไอ้บ้านนอกนี่มันบอกว่ามีตังค์นี่นา ดีล่ะเธอจะปอกเสียให้หมดตัวเชียว ตอนนี้ยิ่งมีของที่อยากได้หลายอย่างอยู่ด้วย

“ดีค่ะ เราไปกันเถอะ” หนูนาเปลี่ยนสีหน้ายิ้มหวานให้ทันที สุดฟ้าถือโอกาสจะโอบไหล่หญิงสาว แต่เหมือนเธอจะรู้ทัน เบี่ยงกายหนีอย่างแนบเนียน เขาเลยอด... ไม่เป็นไรสุดฟ้านึก วันนี้ยังมีโอกาสตลอดทั้งวัน พร้อมกับเสียงหัวเราะหึหึดังลอดออกมาจากลำคอ

ทว่าหลังจากนั้นมันยิ่งแตกต่างจากแผนที่สุดฟ้าวางไว้ เมื่อดูหนังและกินข้าวมื้อกลางวันจบ สาวเจ้าชวนเขาไปเดินซื้อของแทนที่จะไปเดินสวนสาธารณะหรือสวนสัตว์ตามที่เขาคิดไว้ และพอเธอออดอ้อนให้เขาซื้อชุดกระโปรงให้ มีหรือเขาจะไม่ใจอ่อน อันที่จริงไม่เรียกว่าใจอ่อนหรอก แต่ต้องตามใจเพื่อให้เหยื่อหลงต่างหาก ส่วนไอ้ชุดกระโปรงนั่นก็...โค-ตะ-ระแสนแพง ชุดหนึ่งตั้งสองหมื่นห้าพันบาทสุดฟ้าได้แต่ค่อนขอดในใจ ไอ้ชุดพรรค์นี้ใส่แล้วมันจะบินได้หรือไงฟะ แต่กระนั้นเขาก็ยังฉีกยิ้มเหมือนเต็มใจอย่างเต็มเปี่ยม เท่านั้นยังไม่พอสาวเจ้ายังพาเดินเข้าไปร้านกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ น้ำหอม และอีกมากมาย มันไม่เท่าไหร่ถ้าแค่พาเดินเข้าไปดู แต่ดันซื้อของจากทุกร้านที่พาเขาไป ของแต่ละชิ้นก็ไม่ได้ถูกๆ หมดวันนี้เขาคงต้องจนไปอีกสามปีสี่ชาติ!!! .....แต่ไม่เป็นไร สุดฟ้ากัดฟัน แค่วันนี้เขาได้อ่างอ๊างเงินทองเท่านี้ก็นับว่าคุมค่าแล้ว...

“ขอบคุณมากนะเฮอร์คิวลิสที่วันนี้ซื้อของให้หนูนาตั้งหลายอย่าง แต่วันนี้หนูนาต้องกลับแล้ว ขอตัวก่อนนะ” หญิงสาวขอตัวชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว พร้อมข้าวของมากมายที่เธอขอเอาไปถือก่อนหน้า สุดฟ้าได้แต่ยืนอึ้งกิมกี่อยู่สามนาทีกว่าจะประมวลผลได้ว่า.... วันนี้เขาแห้วเสียแล้ว

แต่อย่างว่า ดั่งคำสุภาษิตที่มีมาแต่โบร่ำโบราณ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เมื่อกลับไปถึงบ้านเขาจึงเข้าห้องแชทหาเธอทันที ไว้นัดครั้งหน้าก็ไม่เสียหลาย สุดฟ้าพยายามปลอบใจตัวเอง แต่วันนี้เธอไม่ออนไลน์ เขาจึงยังคงคิดในแง่ดี เธออาจจะเหนื่อย ไว้พรุ่งนี้ละกัน...

กระนั้นไม่ว่าจะวันพรุ่งนี้ สองวันให้หลัง หรืออีกสามอาทิตย์ต่อจากนั้น ก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะออนไลน์เลยสักครั้ง สุดฟ้ากลุ้มใจจนต้องนำเรื่องนี้ไปปรึกษาแฝดนรกเพื่อนหนึ่งเดียวของเขา แม้พวกมันสองคนจะปากหมา ชอบซ้ำเติมและอีกมากมายหลายเรื่องที่เขาไม่ชอบใจในตัวของพวกมันสองคน หากอย่างน้อยพวกมันก็ไม่เคยปล่อยให้เขาต้องอยู่คนเดียวเวลาที่เขาป่วย

“ดีใจด้วยว่ะไอ้เชี่ยสุด แกโดนหลอกเสียแล้ว” ธัชนนท์พูดขึ้น

“หล่อนปอกลอกแกแล้วก็จากไปอย่างไม่เหลือเยื่อใยเลยล่ะ” แฝดผู้น้องเจ้าของชื่อธัชนันท์เสริมขึ้นมา ทั้งสองคนหัวเราะราวกับคนบ้าเหมือนว่าญาติใครเสีย สุดฟ้าตีหน้ามุ่ยบึ้งตึง เขายังไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น

“ไม่มีทาง หนูนาไม่มีทางทำแบบนั้นแน่” สุดฟ้าเถียง ฝาแฝดคนโตจึงตบบ่าเขา ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มขำขัน และกล่าวต่อไปว่า

“หนูนาที่แกว่า ใช่ผู้หญิงทรงโต ผิวขาว ตัวเล็ก ผมสีน้ำตาลทองเป็นลอนใช่ไหม”

สุดฟ้าพยักหน้างึกๆ

“งั้นพวกฉันจะพาแกไปดูอะไรบางอย่าง”

สถานที่ที่ฝาแฝดพามาเป็นร้านเบอร์เกอร์ที่เหล่าวัยรุ่นไม่ว่าจะเป็นพวกตอนต้น ตอนกลางหรือตอนปลายนิยมมาใช้บริการ ธัชนนท์และธัชนันท์พาเขามานั่งโต๊ะที่ติดๆ กับกลุ่มสาวๆ สี่นางซึ่งหนึ่งในนั้นคือหนูนาของสุดฟ้านั่นเอง

“แกไม่น่ารีบชิ่งมาเลยนะ รวยอย่างนี้น่าจะตอดต่ออีกซักหน่อย” เสียงของหนึ่งในสี่สาวดังมาให้ได้ยิน แหม...ช่างเป็นจังหวะปะเหมาะเคราะห์ดีเสียจริงๆ สี่สาวกำลังเม้าท์มอยถึงชายหนุ่มผู้โชคร้ายสักคนอยู่พอดี

“ไม่เอาล่ะ แค่วันเดียวฉันก็จะทนไม่ไหวแล้ว”

สุดฟ้าจำได้ทันที เสียงนี้คือเสียงของหนูนา

“ผู้ชายอะไรไม่รู้ทั้งเฉิ่มและเชย แถมยังหื่นพยายามจะลวนลามฉันตลอดเวลา แค่มองหน้าไอ้บ้านนอกนั่นฉันก็รู้แล้วว่ามันอยากจะฟันฉัน ใครจะไปนอนกับไอ้ทุเรศนั่นลง อยากจะอ้วก หรือถ้าแกอยากได้นะ ฉันให้แอดเดสมันเอาไหม”

สุดฟ้าไม่สามารถทนฟังคำดูถูกพวกนั้นได้ไหวอีกต่อไป สุดฟ้าคิดว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แม้ว่าธัชนนท์และธัชนันท์จะเคยหัวเราะเยาะเย้ยหรือดูถูกเขา ทั้งสองคนก็ยังไม่เคยพูดจารุนแรงแบบผู้หญิงคนนี้มาก่อน เขาลุกขึ้นหันหลัง เดินไปเผชิญหน้ากับหล่อน

“ขอโทษนะ ที่ผมทั้งเฉิ่มทั้งเชย และหื่น แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่าตัวเองไม่เลวแบบคุณที่โกหกปลิ้นปล้อนหลอกลวงคนอื่นไปวันๆ แน่นอน ยัยหน้ากัปปะ” แค่ด่าว่ายังไม่สาแก่ใจของเขาพอ สุดฟ้ายังยกแก้วน้ำบนโต๊ะสาดใส่หน้าเธอคนนั้นไปด้วย รู้สึกสะใจดีแท้ เหมือนว่าตนเองเป็นนางร้ายในทีวีอย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เขาก็เป็นผู้ชายนะเนี่ย

ถึงจะได้ทำเช่นนั้นไปแล้วก็ตาม สุดฟ้าก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ดีที่โดนว่าโดนดูถูกถึงขนาดนั้น ทันทีที่ถึงบ้านชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เอาหมอนมาปิดหน้าและร้องไห้อย่างหนัก

ฝาแฝดหนุ่มทั้งพี่และน้องเมื่อเห็นคนเป็นเพื่อนทำเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างระอา สุดฟ้ายังคงทำเหมือนเมื่อวัยเยาว์ไม่มีผิด ด้วยคำสั่งสอนที่ว่าเด็กผู้ชายต้องไม่ให้ใครเห็นน้ำตา ทุกครั้งที่ฝ่ายนั้นเสียใจจนต้องร้องไห้จึงต้องซุกหน้ากับหมอนเช่นนี้เสมอ พวกเขาเองกลัวว่าเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจะขาดอากาศหายใจตายเสียก่อนเช่นเดียวกัน

“เฮ้ย เงยหน้า” ธัชนันท์ดึงศีรษะของสุดฟ้าขึ้น ทำให้อีกฝ่ายต้องเงยหน้าจากหมอน ชายหนุ่มสูดอากาศเข้าปอดไปหลายเฮือกก่อนจะกดหน้าลงไปกับหมอนใหม่ พักใหญ่ ธัชนันท์ก็ทำเช่นเดิมอีกครั้ง

“จะไปเสียใจทำไมวะ ผู้ชายหน้าตาดีอย่างแก จะหาผู้หญิงมานอนกอดอีกสักกี่คนก็ได้” ธัชนนท์เอ่ยปลอบใจ

“แต่เขาบอกว่าฉันเฉิ่มเชย บ้านนอก หื่น แล้วก็ทุเรศด้วย” ทั้งสองคนจับใจความได้เช่นนั้นจากเสียงดังอู้อี้ของสุดฟ้าซึ่งยังคงฝังใบหน้าอยู่กับหมอน

“เออ แกอาจจะเฉิ่มไปนิด เชยไปหน่อย แต่แกหล่อ ไม่ได้บ้านนอก แกหื่นและฉันก็หื่น ไอ้อาทก็หื่น ผู้ชายทั้งโลกก็หื่น ยัยนั้นไม่มีตาเองที่มองว่านายทุเรศ”

“แต่ฉันไม่เคยได้นอนกับผู้หญิงคนไหนเลย ไม่เหมือนพวกแกนี่” สุดฟ้ายังคงสะอึกสะอื้นอู้อี้เช่นเดิม “ฉันแค่อยากนอนกับผู้หญิงคนนั้นเท่านั้นเอง ทำไมเธอต้องมาว่าฉันขนาดนี้”

“ก็นั่นน่ะสิ และนายจะไปสนใจทำไมล่ะ ถ้าแค่อยากมีอะไรด้วย เดี๋ยวฉันพาไปก็ได้คืนนี้”

“ไม่เอา ฉันไม่ชอบแบบนั้น มันสำส่อนเกินไป” สุดฟ้าเงยดวงตาแดงก่ำซึ่งฉายแววใสซื่อขึ้นมามองเพื่อนทั้งสอง ธัชนันท์ตบกะโหลกไปทีหลังจากฟังคำพูดนั้นจบ

“ยัยหนูนาก็สำส่อนเหมือนกันนั้นแหละ”

“แต่เธอบอกว่าเธอบริสุทธิ์”

“ยัยนั่นมันตอแหลไง” ฝาแฝดพูดออกมาพร้อมกัน และธัชนนท์ก็กล่าวต่อไปอีกว่า “สมัยนี้นะถ้านายอยากนอนกับผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านมือใครมาก่อนล่ะก็ คงต้องไปคบกับเด็กประถมเท่านั้นล่ะ”

“แต่นั่นมันผิดกฎหมายนะ”

“ก็เออน่ะสิ” ตะโกนประสานเสียงพูดพร้อมกันอีกครั้งจนสุดฟ้าต้องยกมือขึ้นปิดหู

“ไม่เห็นต้องตะโกนเสียงดังเลย” สุดฟ้าพูดอย่างหงอยๆ

“อย่างนี้แล้วกัน ฉันจะแนะนำเพื่อนให้ เธออาจจะไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ก็นิสัยดีไม่ชอบดูถูกคนเหมือนยัยหนูนาหรอก”

“ไม่เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะสร้างคนรักของตัวเองขึ้นมาเลยดีกว่า บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยผ่านมือใคร และก็จะมีแต่ฉันคนเดียวด้วย” สุดฟ้าลุกขึ้นยืน วิ่งออกไปจากห้อง ย่ำเท้าตึงตังบนพื้นไม้ไปทางห้องทำงานซึ่งซ่อนอยู่ด้านหลัง ฝาแฝดเองก็ตามไปเช่นเดียวกัน

“อะไรของแกวะ เชี่ยสุด” ธัชนนท์เอ่ยปากถามเมื่อตามมาทันขณะที่สุดฟ้ากำลังกดรหัสปลดล็อคประตู

“พวกแกกลับไปได้แล้วฉันจะทำงาน ชิ่วๆ” เอ่ยปากไล่ง่ายๆ ก่อนจะหายเข้าไปหลังประตูบานหนาหนักซึ่งกั้นโลกภายนอกไว้เบื้องหลัง


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนแรก
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 25-09-2016 08:38:52
ด้วยความเป็นห่วงปนความอยากรู้ ฝาแฝดหนุ่มจึงมาเยี่ยมเยียนบ้านศิริกรทุกวัน และอยู่คอยตั้งแต่เช้าจรดเย็น ซึ่งห้าวันเข้าไปแล้วที่พวกเขายังไม่เห็นหน้าเจ้าของบ้านเสียที

“นี่สเตบาสเตียน สุดมันออกมาจากห้องนิรภัยบ้างไหม” ธัชนนท์เอ่ยปากถามหุ่นยนต์พ่อบ้านซึ่งนำกาแฟและขนมมาเสิร์ฟให้

“ยัง-ไม่-ออก-มา-เลย-ครับ” ตอบคำถามเสร็จมันก็เคลื่อนตัวกลับไปทำงานของมันต่อ

“ไอ้บ้านั่นมันจะทำอะไรของมันวะ” ธัชนันท์พูดขึ้นบ้าง เขาเบื่อสุดๆ จนต้องมายืนอยู่บนตัวเหรียญกลม หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ทำหน้าที่ของมันอย่างขยันขันแข็ง

“กลับไปรอให้มันทำเสร็จแล้วเรียกพวกเรามาดูผลงานของมันอย่างทุกทีดีไหม” ธัชนนท์ถาม

“แต่มันก็อยากรู้เดี๋ยวนี้นี่หว่า” ทั้งสองขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ดูท่าวันนี้พวกเขาคงจะโชคดี เพราะขณะที่กำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปนั้น สุดฟ้าก็เดินออกมาพอดี พร้อมกับถือแก้วกาแฟลายคิกขุแมนไว้ในมือ ทั้งสองคนรู้ได้ในทันทีว่าสุดฟ้าคงกำลังคิดอะไรไม่ออก แน่นอนว่าถ้าสมองของเจ้าของบ้านกำลังลื่นไหล พวกเขาคงได้เห็นหน้ามันตอนที่สิ่งที่มันกำลังจะสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นล่ะ

“อ้าว หวัดดีสุดฟ้า” ธัชนนท์เอ่ยทักทำเหมือนว่าตนแค่มาแวะผ่านมาเยี่ยมเยียนที่บ้านหลังนี้เฉยๆ เช่นปกติ

“พวกแกมาพอดีเลย ฉันกำลังกลุ้มใจว่ะ”

นั่นไงว่าแล้ว ฝาแฝดกระหยิ่มยิ้มอยู่ภายในใจ ธัชนันท์เดินเข้าไปโอบไหล่สุดฟ้า เสนอตัวอาสาช่วยเหลือเต็มที่

“มีอะไรให้พวกเราช่วยเหรอ”

“พวกแกว่าแฟนฉันควรจะหน้าตาเหมือนใครดี มิยาบิ หรือซาโอริดีล่ะ”

ธัชนันท์หันไปมองหน้ากับคู่แฝดของตนแวบหนึ่ง ก่อนหันกลับมามองคนที่ตนกอดคออยู่ “แกจะทำอะไรวะ สุด”

“หุ่นยนต์แฟนร่านสวาท” ฟังคำตอบแล้วพวกเขาได้แต่ร้องโอ้โฮ้ในใจ (พร้อมกันเสียด้วย) แค่ชื่อยังมุ่งมั่นเสียขนาดนี้

“หุ่นยนต์แบบสเตบาสเตียนนะหรือ” ธัชนนท์เอ่ยถามพร้อมทั้งพยายามนึกภาพตาม สเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์พ่อบ้านที่สุดฟ้าสร้างขึ้นเพื่อให้จัดการดูแลบ้าน สุดฟ้าไม่จ้างแม่บ้านเพราะกลัวว่าจะมีใครมายุ่มย่ามกับข้าวของต่างๆ ที่สำคัญยิ่งชีพ พูดง่ายๆ คือกลัวโดนยกเค้า สุดฟ้าทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ โปรแกรมเมอร์ นักสำรวจ ซึ่งนักฯ กรณีสุดท้ายนี้ค่อนข้างจะน้อยหน่อยเพราะเจ้าตัวไม่ชอบออกจากบ้าน ห้องทำงานของสุดฟ้าคือห้องด้านหลังที่มีระบบนิรภัยแน่นหนา เวลาที่เจ้าของบ้านทำงานจะหมกตัวอยู่ในนั้นสองวัน สามวัน หรือเป็นเดือนๆ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ ถ้าเจ้าของบ้านหายเข้าไปในนั้นเป็นเดือนๆ ของที่อยู่นอกห้องนั้นอาจจะหายได้

ด้วยสาเหตุที่กล่าวมาในย่อหน้าข้างต้น สุดฟ้าจึงใช้ความเป็นนักฯ ทั้งหลายแหล่ของตัวเองสร้างหุ่นยนต์พ่อบ้านที่ชื่อสเตบาสเตียนขึ้นมา หน้าตาของสเตบาสเตียนก็เหมือนหุ่นกระป๋องดีๆ ที่สามารถเห็นได้ทั่วไปตามภาพยนตร์สำหรับเด็ก สเตบาสเตียนเคลื่อนที่โดยล้อยาง มีความสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร แข็งทื่อ ไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้า ไม่น่าพิศวาสไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดก็ตาม

“หุ่นยนต์แบบสเตบาสเตียนเนี่ยนะ” ธัชนนท์ถามซ้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

“ใช่ และฉันตั้งใจจะควงแฟนของฉันไปเย้ยยัยหน้ากัปปะนั่นด้วย”

“นายจะพาแฟนหุ่นยนต์ของนายออกไปข้างนอกด้วยหรือ” ธัชนันท์เอ่ยปากถามขึ้นบ้าง

“ใช่สิ ทำไมหรือ” สุดฟ้าถามกลับด้วยความสงสัย ฝาแฝดจึงหันไปมองหน้ากัน แน่นอนนอกจากพวกเขาจะหน้าตาเหมือนกันแล้ว ใจยังตรงกันอีกด้วย ไม่ต้องขยับปากต่างคนต่างก็รู้ว่าคิดอะไรกันอยู่

แฟนหุ่นยนต์หน้าตาขี้เหร่แบบสเตบาสเตียนพวกเขาไม่ยอมพาออกไปไหนด้วยหรอก แค่ให้ยืนข้างๆ ยังไม่อยากทำเลย!!!!!!!!

“อ่อ ถ้านายคิดจะทำอย่างนั้นนะสุดฟ้า ฉันว่านายน่าจะสร้างให้แฟนนายหน้าตาไม่เหมือนใคร ยังไงดีล่ะ คือถ้านายพาแฟนออกไปข้างนอกแล้วบังเอิญเจอตัวจริงเข้า มันจะวุ่นวายเสียเปล่าๆ อย่างหน้าตาเหมือนดาราอะไรทำนองนี้ก็ตัดไปเลย ฉันว่านะ”

“แต่ถ้าไม่มีแบบ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำออกมาแบบไหน” สุดฟ้าพูดหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกังวล

“งั้นก็เป็นคนที่ไม่อยู่ในประเทศไทยก็น่าจะได้” ธัชนนท์เสนอ

“นั่นสิ หน้าตาเหมือนซี ชวิศาดีกว่าไหม รายนั้นสวยขนาดผู้หญิงยังอายเลย” ธัชนันท์เป็นลูกคู่รับอย่างดี

“ผู้หญิงยังอาย... ยังไงอ่ะ”

“ก็ชวิศาเขาเป็นผู้ชายไง หนังสือรุ่น” ประโยคหลัง ธัชนันท์หันไปพูดกับพี่ชายที่เดินไปหยิบหนังสือรุ่นสมัยมหาวิทยาลัยซึ่งเก็บอยู่บนชั้นวางหนังสือของบ้านศิริกรมาอย่างรวดเร็ว พวกเขารีบเปิดหน้ากระดาษพร้อมทั้งผลัดกันสาธยายใต้ภาพ

“ตอนนั้นนายอาจจะจำไม่ได้ แต่ฉันว่านายไม่ใส่ใจเสียมากกว่า” มือก็ชี้ให้ดูภาพผู้ชายคนหนึ่ง ภาพถ่ายเป็นรูปเต็มตัวของคนหลายคน แต่ใบหน้าขาวใสพร้อมรอยยิ้มหวานของคนที่ชื่อชวิศาก็ยังเตะตาคนที่ได้เห็น

“ซี ชวิศาเรียนคณะเดียวกับพวกเราแต่อยู่คนละสาขา มีอยู่วิชาหนึ่งที่เขามาเรียนรวมกับพวกเรา ฉันยังจำได้ ผู้ชายสาขาเราแทบจะขอย้ายกันหมด”

“ฉันไม่เห็นจำได้” สุดฟ้าพยายามนึกแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

“ตอนนั้นนายเคยสนใจใครที่ไหน วันๆ เอาแต่ผสมน้ำอะไรก็ไม่รู้”

“น้ำอะไรนั่นมันคือยาอายุวัฒนะเชียวนะ ถึงจะยังไม่สำเร็จก็เถอะ” สุดฟ้าแย้ง

“เออ เออ ช่างมันเถอะ ฉันเล่าถึงซีต่อแล้วกัน” ทั้งธัชนันท์และธัชนนท์ยังคงมีสีหน้าชื่นชมและเคลิ้มฝัน

“ซีเป็นเดือนมหา’ ลัยที่หน้าตาสวยชนิดที่ว่าดาวมหา’ ลัยต้องชิดซ้าย ถ้านายได้ควงกับคนคนนี้ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม รับรองได้ว่าไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายต้องอิจฉาทั้งนั้น”

“แต่เขาเป็นผู้ชายนะ”

“แล้วยังไงล่ะ หน้าตาของซีสวยกว่าผู้หญิงบางคนอีกนะ”

สุดฟ้าลังเลใจเล็กน้อย “ก็ได้ ซีชวิศาก็ซีชวิศา” หลังจากทำใจได้แล้วก็คว้าเอาหนังสือรุ่นเข้าห้องนิรภัยที่คู่แฝดเรียกทันที

“เอ่อ... อาท แกว่าไอ้สุดจะรู้หรือเปล่าวะว่าให้ทำหน้าตาแบบซี แต่รูปร่างเป็นผู้หญิง”

แฝดผู้น้องเกาหัวหยิก “เออว่ะ ฉันก็ลืมพูดให้มันเข้าใจแบบเคลียร์ๆ”

“แต่ว่าช่างเหอะ แฟนมันไม่ใช่แฟนพวกเราซะหน่อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ว่าแล้วสองพี่น้องก็หัวเราะให้กันอย่างขำขัน



ด้วยประการฉะนี้แล อีกหนึ่งเดือนต่อมาสองพี่น้องหน้าตาเหมือนกันจึงถูกโทรตามให้มาเยือนบ้านตระกูลศิริกรตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งทั้งสองก็ไม่ได้อิดออดเช่นทุกครั้งเพราะรู้ดีว่า ‘หุ่นยนต์แฟนร่านสวาท’ ของสุดฟ้านั้นสำเร็จแล้วนั่นเอง การมาเยือนครั้งนี้ทั้งสองคนก็เตรียมตัวมาหัวเราะ ‘หุ่นยนต์ซีชวิศา’ เต็มที่เช่นเดียวกัน

เสียงออดดังขึ้นไม่นานประตูบ้านศิริกรก็เปิดออก และพวกเขาต้องยืนอึ้งด้วยความตกใจ

“สะไปซ์”

ถ้าเป็นปกติ ธัชนันท์คงเดินเข้าไปตบศีรษะไอ้เพื่อนปัญญาอ่อนคนนี้สักที ข้อหาเล่นมุกดึกดำบรรพ์ไม่เลิก แม้อันที่จริงพวกเขาจะรู้ว่ามันไม่ใช่มุข เพราะสุดฟ้าเข้าใจผิดระหว่างคำว่าเซอร์ไพรซ์กับสะไปซ์มาตั้งแต่เด็ก แน่ล่ะนี่ไม่ใช่เวลาปกติเพราะพวกเขากำลังอึ้งและทึ่งกับคนตรงหน้า หากไม่รู้มาก่อนว่าสุดฟ้าจะสร้างหุ่นยนต์ซีชวิศา พวกเขาจะต้องคิดว่าเป็นตัวจริงๆ เป็นๆ แน่นอน ธัชนนท์อดไม่ได้กับการเอื้อมมือไปจับ ซึ่งสุดฟ้าก็ตีมือนั้นที่เอื้อมมาสัมผัสดังเพี๊ยะเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มร่างสูงผู้ถูกประทุษร้ายนึกก่นด่าตัวเองในใจ ลืมได้ไงวะ ของเล่นใหม่ๆ แบบนี้เจ้าสุดฟ้ามันหวงจะตาย ใครจะแตะของมันไม่ได้เชียว

“อ่ะ ฉันให้พวกแกจับ จะได้รู้ว่าเหมือนจริงขนาดไหน” ครั้งนี้สุดฟ้าตั้งใจจะอวดเต็มที่ จึงยอมให้คนอื่นสัมผัสของรักของหวงของตนได้ตามสบาย ฝาแฝดทั้งคู่ไม่รอช้าคนหนึ่งเปิดเสื้อดูหน้าอก อีกคนถลกกางเกง เห็นหน้าอกแบบราบกับน้องน้อยของหุ่นยนต์ซีชวิศาที่ดูไม่ออกว่าของจริงหรือของปลอม ก็ต้องยอมซูฮกเจ้าบ้าสุดฟ้าในใจ มันเก่งจริงๆ เว้ยเฮ้ย

“ทำไมแกทำเป็นผู้ชายวะ”

“ก็พวกแกบอกว่าไม่เป็นไร ชวิศาสวยกว่าผู้หญิงไง นี่นะฉันทำออกมาเหมือนในหนังสือนี่เขียนไว้เด๊ะ” สุดฟ้าพูดพลางโชว์หน้าประวัติในหนังสือรุ่นฯ ซึ่งบอกลักษณะรูปร่างความสูงของซีชวิศาอย่างละเอียด

สองคนคิดในใจ บางครั้งมันก็โง่ไม่มีใครเกินเช่นกัน.....

“แกจะนอนกับหุ่นของแกไม่ใช่เหรอ แล้วทำออกมาเป็นผู้ชาย แกทำเป็นหรือไง” ธัชนันท์พูดออกมาด้วยความรู้สึกซึ่งแกล้งหงุดหงิดเล็กน้อย สุดฟ้าหน้ามองฝาแฝดด้วยใบหน้าเหลอหลา ก่อนจะเจื่อนซีดขยับปากมุบมิบ

“ไม่เป็น”

“ว่าแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง พวกฉันจะช่วยสอนแกเอง” สองพี่น้องรู้ใจเข้าขากันอย่างดี ทีแรกเพราะคิดว่าจะออกมาไม่ได้เรื่องเหมือนสเตบาสเตียนแต่มาเห็นแบบนี้พวกเขาก็อยากลองป่ามป๊ามกับหุ่นยนต์นี่เหมือนกัน แต่เหมือนว่าสุดฟ้าเองก็จะรู้ใจฝาแฝดเช่นเดียวกัน ร่างสูงจึงได้โอบร่างของหุ่นยนต์เข้าหาตัว กอดรัดไว้แน่นอย่างหวงแหน

“ถึงฉันทำไม่เป็นก็ไม่ต้องให้พวกแกมายุ่งหรอก ฉันรู้นะว่าพวกแกกำลังคิดอะไรอยู่” สายตาดุจ้องมองเพื่อนสนิทคาดเอาโทษหากมาแตะต้องของของเขา ฝ่ายฝาแฝดเองก็นึกละเหี่ยใจ บางครั้งไอ้บ้านี่มันก็หัวไวจริงโว้ย

“บอกไว้ก่อนนะ ถ้าพวกแกแตะต้องชวิศาละก็ บ้านบึ้ม”

แค่ได้ยินคำขู่ก็สยอง เพราะคำว่าบ้านบึ้มที่ว่า คือ บึ้มจริงๆ ไม่ใช่แค่คำขู่ ขอเล่าย้อนกลับไปครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วสุดฟ้าเคยทำแบบนั้นกับบ้านของพวกเขาจริงๆ ส่งระเบิดไปถล่มบ้านช่วงที่แม่ของพวกเขาออกไปซื้อกับข้าว พ่อยังไม่กลับจากทำงาน และพวกเขากำลังเอ้อระเหยลอยชาย มองเห็นบ้านตัวเองอยู่ข้างหน้าเพียงไม่กี่ร้อยเมตร และแล้วมันก็หายไปต่อหน้าต่อตา เหลือแต่ตอม่อ โชคดีที่สุดฟ้าไม่ค่อยข่มขู่ด้วยคำพูดนั้นบ่อยนัก (พูดกันตามจริง แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวเท่านั้นเอง) พวกเขาสามคนเลยยังเป็นเพื่อนกันเรื่อยมา

สุดฟ้าโบกมือไล่ฝาแฝด ก่อนจะโอบไหล่พาชวิศาเดินเข้าห้องนอน เป็นอันว่าจบการสนทนาเพียงเท่านี้

ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนเตียง โดยดึงร่างหุ่นยนต์ของชวิศาให้ล้มตัวลงนอนข้างๆ ชายหนุ่มมุโหมงานหนักสร้างหุ่นยนต์ที่หน้าตาเหมือนซี ชวิศาขึ้นมาแบบแทบไม่หลับไม่นอน เมื่อหัวถึงหมอนเขาจึงหลับเป็นตายทันที แต่กระนั้น เขายังโอบกอดร่างซึ่งนอนอยู่ข้างกันไว้ในอ้อมแขน ด้วยความอัจฉริยะหาใครเปรียบไม่ได้ของเขา ร่างหุ่นยนต์ที่เขาสร้างขึ้นมานั้นจึงไม่มีผิวเนื้อแข็งกระด้าง รวมถึงผิวเนื้อก็อุ่นสบายชนิดที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากปล่อยเลยทีเดียว



หลังจากนอนหลับเหมือนตายมาสองวันสองคืนเต็มๆ สุดฟ้าลืมตาขึ้นมาพร้อมความหิวโหยของร่างกาย เมื่อชายหนุ่มลุกขึ้น ชวิศาก็ลุกขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน สุดฟ้ารู้สึกอิ่มเอมใจอย่างไรบอกไม่ถูกที่ตื่นลืมตาขึ้นมาแล้วเจอหน้าใครสักคนอยู่ข้างๆ ทั้งที่เป็นหุ่นยนต์ แต่สุดฟ้ากลับเห็นว่าชวิศาน่ารักมากจนอดไม่ได้ที่ต้องหอมแก้มไปหนึ่งที

“หิวข้าว ทำอะไรให้กินหน่อยนะ”

“ได้ครับ ด็อกเตอร์ หลังจากที่ด็อกเตอร์ล้างหน้าล้างตา อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ตามออกมานะครับ” นี่คือความพิเศษอีกอย่าง หุ่นยนต์ชวิศาที่สุดฟ้าสร้างขึ้นนั้นมีอารมณ์และความรู้สึกที่คล้ายกับมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นระบบสมองกลที่จำลองอารมณ์ของมนุษย์ก็ตาม โดยที่สุดฟ้าได้ใส่อารมณ์ความรู้สึกที่ชวิศารักเขาเพียงแค่คนเดียว และมีความสำนึกของการมีเขาเป็นเจ้าของ ต้องออดอ้อน เอาใจ ตามใจเขาและซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว

สุดฟ้าออกมาจากห้องนอนอีกครั้งพร้อมกับกลิ่นตัวหอมฉุย เขาเดินตามกลิ่นหอมฉุยของอาหารไปด้วยเช่นกัน นอกจากทำอาหารแล้วชวิศายังทำได้อีกหลายอย่าง สุดฟ้าบรรจุความสามารถต่างๆ ที่คนหนึ่งคนซึ่งสมบูรณ์พร้อมควรมีลงไปในระบบสมองกลของหุ่นยนต์ชวิศาด้วย

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ผมทำได้แต่อาหารง่ายๆ ในตู้เย็นมีของสดไม่กี่อย่างเอง”

สุดฟ้ามองข้าวผัดตรงหน้าแล้วยิ้มออกมา แค่มีคนทำอาหารให้กินเขาก็ดีใจมากแล้ว แม้ปกติสเตบาสเตียนจะเป็นคนทำให้เขาก็เถอะ แต่มีคนน่ารักๆ มาทำให้มันย่อมดีกว่าอยู่แล้วล่ะ

เสียงมอเตอร์เฟืองล้อของสเตบาสเตียนดังฟีด ฟีด อยู่ไม่ไกล สเตบาสเตียนกำลังทำความสะอาดบ้านเช่นปกติ

“งือๆ ไม่เป็นไร ฉันกินได้ เดี๋ยวเราออกไปซื้อของกันไหม ฉันจะพาไปดูสถานที่รอบๆ” แต่เรื่องที่เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับชวิศายังไม่ออกไปจากหัว กะว่าหลังจากกลับมาจากข้างนอกเขาไปศึกษาข้อมูลในเว็บเสียหน่อย แน่นอนว่าการถามจากสองพี่น้องฝาแฝดคงจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า แต่เชื่อเถอะ เจ้าสองคนนั่นต้องคิดค่าจ้างแพงแน่ และค่าจ้างที่ว่าเขาก็ไม่มีทางยอมให้ได้หรอก!!!

กินข้าวเสร็จสุดฟ้าและชวิศาจึงเตรียมตัวออกจากบ้าน

“ฝากดูแลบ้านด้วยนะ คุณสเตบาสเตียน” ชวิศาหันไปบอกกับสเตบาสเตียนเป็นครั้งสุดท้าย

“ครับ ไป-ดี-มา-ดี-นะ-ครับ”



วันนี้ช่างเป็นวันที่อากาศดีเหลือเกิน ชายหนุ่มคิดพลางขยับแว่น ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูฝนแต่วันที่ไม่มีเมฆครึ้มเช่นนี้ แสงแดดสว่างจ้าสดใส ดอกไม้ใบไม้ต่างผลิดอกออกใบแข่งกันอวดช่อชูดอก สุดฟ้าสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ช่างเป็นวันที่สุขใจเสียจริง เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นข้างกายดึงให้เขากลับไปสนใจคนที่เดินอยู่ข้างกันอีกครั้ง

“มีอะไรเหรอ”

“ท่าทางของด็อกเตอร์ดูมีความสุขนะครับ สูดลมหายใจเข้าปอด อย่างนี้ อย่างนี้” ชวิศาพูดพร้อมทำท่าเลียนแบบชายหนุ่มไปด้วย

“กลิ่นเป็นอย่างไรหรือครับ อากาศที่ด็อกเตอร์สูดเข้าไป” ชวิศาถามด้วยความสงสัย หากมันก็ไปกระตุ้นให้สุดฟ้านึกขึ้นได้ว่าตนนั้นลืมบรรจุข้อมูลเรื่องกลิ่นรอบกายให้ชวิศา

“ขอโทษนะ นี่ฉันพลาดไปได้อย่างไรเนี่ย ไว้กลับไปฉันจะแก้ไขให้นายเลย”

“อ๊ะ... ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมไม่ได้ว่าอะไร”

“ไม่หรอก เพราะถึงอย่างไรฉันก็ต้องแก้ไขนายอยู่แล้ว”

“อืม นั่นสินะครับ เพราะตอนนี้ผมทำในสิ่งที่แฟนต้องทำไม่ได้” พูดจบชวิศาก็หัวเราะคิกคัก จนสุดฟ้าอดรู้สึกเขินไม่ได้ เหมือนโดนเยาะเย้ยว่าตัวเองไร้เดียงสาเรื่องพรรค์นั้นอย่างไรก็ไม่รู้อันที่จริงสุดฟ้าบรรจุความรู้ทางเพศศึกษาให้ชวิศาเช่นเดียวกัน แต่ก็เหมือนที่สุดฟ้ารู้ เขารู้แค่ว่าผู้หญิงกับผู้ชายทำกันอย่างไรเท่านั้น

“อย่าหัวเราะนะ ผิดหรือไงที่ฉันไม่เคย”

“ด็อกเตอร์ลืมไปแล้วหรือครับ ว่าผมก็ไม่เคยเหมือนกัน” จากนั้นทั้งคู่ก็จูงมือคุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งหัวเราะต่อกระซิกอย่างมีความสุข ราวกับโลกนี้มีแค่พวกเขาสองคน



สุดฟ้าดาวน์โหลดวิดีโอความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายมาหลายไฟล์ ทั้งยังอ่านข้อมูลเบื้องต้นมาหลายต่อหลายชั่วโมงและหลังจากที่เขาจัดการเชื่อมต่อระบบให้ไฟล์วิดีโอเล่นบนจอโทรทัศน์ขนาดสี่สิบสองนิ้ว โลกรอบตัวพลันหายไปจากมโนสำนึก ฝ่ายชวิศาเองนั่งดูอยู่ข้างๆ ไม่รบกวนหรือเอ่ยปากพูดอะไร เพียงแค่ซบศีรษะลงบนบ่ากว้าง ภาพที่จะได้เห็นหากใครสักคนเดินเข้ามาที่บ้านศิริกร ณ เวลานี้ ชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งดูหนัง AVเกย์ราวกับเป็นหนังรักธรรมดาอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อดูวิดีโอซึ่งโหลดมาจนจบสุดฟ้าก็ลากชวิศาเข้าสู่ห้องแห่งความลับ ผลักร่างหุ่นยนต์ลงนอนบนเตียงซึ่งทำมาจากอะลูมิเนียม ดึงนิ้วก้อยเท้าข้างขวา มีเสียงวืดเบาๆ ดังขึ้น เบาขนาดที่แม้จะตั้งใจเงี่ยหูฟังยังไม่ได้ยิน มันคือระบบพาวเวอร์ออฟ (Power off) ขั้นต้น ชวิศาจะหลับตาลง อกกระเพื่อมเล็กน้อย มีลมเบาๆ ออกจากปลายจมูกเสมือนคนคนหนึ่งซึ่งกำลังหลับ สุดฟ้าลูบที่กลางฝ่าเท้าข้างขวาของชวิศา ผิวตรงนั้นจะแตกต่างกว่าจุดอื่น แต่ก็นั่นล่ะ คงมีแต่ชายหนุ่มเท่านั้นที่รู้ว่ามันแตกต่าง เขาปุ่มตรงกลางฝ่าเท้า พลังงานทุกอย่างถูกตัดลง ก่อนโครงสร้างของร่างกายจะแยกออกเผยให้เห็นโครงเหล็กและสายไฟระโยงระยางภายใน สุดฟ้าขยับนิ้วมือไปมาเพื่อวอร์มร่างกาย หยิบไขควงไฟฟ้าขึ้นมาแล้วลงมือปรับปรุงชวิศาขึ้นใหม่!!!



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนแรก
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 25-09-2016 09:15:28
มาลงชื่อ~
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สอง
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-10-2016 22:33:27
ตอนที่สอง


สุดฟ้านอนหลับไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ หลังจากแก้ไขหุ่นยนต์ชวิศาเสร็จเรียบร้อยหุ่นยนต์ชวิศาเห็นว่าค่อนบ่ายแล้วจึงออกจากบ้านไปซื้อกับข้าว เพื่อมาเตรียมอาหารให้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้าน หุ่นยนต์ในรูปร่างชายหนุ่มหน้าสวยหายไปเป็นเวลาหลายชั่วโมงแต่กระนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านสุดฟ้าก็ยังไม่ตื่น ตอนที่ชวิศาเดินเอาข้าวของไปวางในครัวนั้น สเตบาสเตียนเคลื่อนตัวมามองชวิศาด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่ไม่ว่าอะไรก่อนจะกลับไปทำงานของตนเองต่อ ร่างเพรียวบางมองตามร่างหุ่นยนต์ของสเตบาสเตียนซึ่งพอแน่ใจว่าฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจตนแล้วก็ระบายลมหายใจออกมา แล้วจึงหันกลับไปสนใจของสดตรงหน้า

ตอนที่สุดฟ้าตื่นขึ้นมา ชวิศาทำอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยพอดีใบหน้าน่ารักของชวิศายิ้มให้สุดฟ้าด้วยสีหน้าออกระเรื่อๆ นิด ชายหนุ่มเพิ่งตื่น หัวหูเลยกระเซอะกระเซิง หนวดเคราหร็อมแหร็ม เพราะลงมือแก้ไขชวิศาทั้งวันและนอนหลับไปอีกวันเต็มๆ ที่สำคัญหน้าท่ายังไม่อาบ!!! พอตื่นมาแล้วไม่เห็นชวิศานอนอยู่ข้างๆ ก็รีบคว้าแว่นเดินออกมาด้านนอกทันที

“ทานอาหารเลยไหมครับ”

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถาม เดินตรงมากอดชวิศาไว้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ เขาประกบปากเข้าจูบกับร่างในอ้อมแขน จูบนั้นเงอะงะ แต่อีกฝ่ายกลับตอบรับด้วยดี สุดฟ้าเบี่ยงหน้าหวังจะบดเบียดสัมผัสให้มากกว่านี้ แต่แว่นที่สวมอยู่มันช่างเกะกะ ชายหนุ่มผละออกมาเล็กน้อยแล้วถอดแว่นออก ชวิศาซึ่งลืมตาขึ้นมาในช่วงนั้นพอดี ดูตกตะลึงไปชั่วครู่ มันไม่ใช่ระยะเวลายาวนานเมื่อสุดฟ้าประทับริมฝีปากมาอีกครั้ง

สุดฟ้ากำลังหิวกระหาย เขาจุมพิตชวิศาอย่างดูดดื่มช่วงเวลาแห่งความเงอะงะหายไปแล้ว เมื่อปล่อยให้อารมณ์ความต้องการภายในพวยพุ่ง แม้ชวิศาจะรู้ตัวว่าพวกเขาอยู่ในห้องครัวก็ไม่อาจต้านทาน เพราะในขณะที่กำลังจะพยายามดึงรั้งให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำนี้ ร่างบางกว่าต้องถูกตัดตวงรสชาติความหอมหวานเสียทุกครั้งไป

มือของสุดฟ้าไม่ได้หยาบกระด้าง แค่แข็งกร้านคล้ายๆ กับผู้ชายทั่วไป มือข้างหนึ่งของสุดฟ้าลูบไล้ไปทั่วร่างนุ่มนิ่มของชวิศา อีกข้างประคองอยู่ท้ายทอยของร่างที่สูงน้อยกว่าเพื่อให้อีกฝ่ายรับจุมพิตได้ถนัดถนี่ เวลานี้สุดฟ้าไม่รู้ตัวว่าตนเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้มากน้อยแค่ไหนและตัวเขาเองก็ไม่สนใจมันด้วยซ้ำ เขาแค่ลากฝ่ามือไปตามแต่ละตำแหน่งที่ทำให้ชวิศาสะดุ้งไหวและตอบสนองความต้องการของเขาเท่านั้นเอง

สุดฟ้าดันชวิศาจนไปติดกับโต๊ะอาหารทรงสี่เหลี่ยมสำหรับสี่คนของบ้านศิริกร เอนตัวให้อีกฝ่ายนอนลงกับโต๊ะ แสงไฟบนเพดานคงทำให้ชวิศาตาพร่า ร่างนั้นจึงดูเหมือนงุนงงและมึนเบลอ สุดฟ้าประกบจูบซ้ำเบาๆ พลางเลิกเสื้อขึ้น แล้วย้ายมาหยุดอยู่ที่ยอดอกของชวิศาข้างหนึ่งใช้ลิ้นไล้เลียขบริมฝีปากจนมันชูชัน สุดฟ้าขลุกอยู่กับมันอยู่ชั่วพักใหญ่โดยที่มืออีกข้างเค้นคลึงอยู่ที่เนินสะโพก ดูเหมือนชวิศาจะไม่สบายตัวกับสภาพเช่นนี้นัก เพราะร่างด้านล่างขยับไปขยับมาอยู่เป็นระยะ สุดฟ้าจึงสอดแขนโอบรอบตัวดึงตัวชวิศาขึ้นและยกตัวอีกฝ่ายเดินเข้าผ่านไปอีกห้อง ห้องนอนของสุดฟ้าอยู่ตรงข้ามกับบริเวณรับแขกและครัวนี่เอง

“เอ่อ...” ชวิศาออกเสียง แม้ระยะทางจะไม่ไกลแต่ดูเหมือนว่าสติของชวิศาจะกลับมาแล้ว สุดฟ้าจ้องมองใบหน้าอึกอักลังเลนั้นด้วยรอยยิ้ม ร่างเพรียวบางหลบสายตาชั่วครู่ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นจ้องมองสุดฟ้าอีกครั้ง “เบาๆ หน่อยนะครับ”

สุดฟ้าหัวเราะกับความน่ารักนั้น ต้องอย่างนี้นี่สิแฟนสุดที่รักของเขา แม้จะเป็นหุ่นยนต์แต่ก็น่ารักที่สุด น่าแปลกที่สุดฟ้าไม่รู้สึกประหม่าเลยสักนิด เขาอิ่มเอมใจมากทีเดียวขณะดึงเสื้อที่ชวิศาใส่อยู่ออกทางศีรษะ ปลดกางเกงที่ชวิศาสวมอยู่ออก แล้วจึงถอดเสื้อของตนบ้าง เขาแทบจะทนไม่ไหวเมื่อเห็นชวิศาเบือนหน้าหนีด้วยความอายและพยายามหนีบขาของตนเข้าหากันทั้งที่มีเขาแทรกอยู่ระหว่างกลาง ด้วยความทนไม่ไหวที่ว่านี่หล่ะ เขาจึงยังไม่ได้ถอดกางเกงของตนออก มันเป็นแค่กางเกงผ้าธรรมดา ยามที่เขาบดเบียดร่างกายเข้าหาความร้อนรุ่มของร่างบางมันจึงให้ความรู้สึกแปลกพิกล เขาจึงยิ่งจงใจขยับเสียดสี แม้จะเบือนหน้าไปทางอื่นและหลับตาลงชวิศาก็ยังคงส่งเสียงครางเบาๆ ถ้าไม่กลัวว่าตนเองจะปลดปล่อยออกมาจนทำให้เลอะกางเกงที่สวมอยู่ละก็สุดฟ้าคงจะทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าพวกเขาจะเสร็จสมอารมณ์หมายเชียวละ

จากการเล้าโลมอยู่นานในความคิดของสุดฟ้านั้น เขาคิดว่ามันควรถึงเวลาสักที สุดฟ้าเอื้อมมือไปที่ลิ้นชักข้างเตียง หยิบขวดของเหลวใสมาไว้ในมือ เปิดฝาขวดเทใส่มือจนชุ่ม และทาลงบนท่อนเนื้อที่ชูคอผงาด เห็นครีมบางส่วนหยดลงบนผ้าปูเตียง ชายหนุ่มก็นึกได้ จากวิดีโอที่เขาดูมันต้องใช้นิ้วก่อนนี่หว่า เทมาเยอะขนาดนี้อาบได้เลยแฮะ เออ...แต่ช่างมัน สุดท้ายสุดฟ้าก็ปัดความคิดทั้งหลายทั้งมวลทิ้งไป แล้วใช้นิ้วจากมือที่ชุ่มครีมค่อยๆ สอดเข้าไปในช่องทางที่กำลังเต้นตุบๆ อยู่ตรงหน้าช่องทางคับแน่นดูเหมือนจะผลักไสยามที่เขาสอดใส่เข้าไปในครั้งแรกชวิศารั้งขาทั้งสองข้างของตนไว้แนบอกมองดูก็รู้ว่าฝ่ายนั้นพยายามฝืนร่างกายที่อยากต่อต้านสุดฟ้าสอดนิ้วเข้าไปจนสุดภายในทั้งอุ่นร้อนและรู้สึกดีสุดๆ นี่ขนาดแค่นิ้วมือยังรู้สึกดีขนาดนี้ยังไม่ทันคิดจบสุดฟ้าก็ดึงนิ้วของตนออกและจดจ่อท่อนเนื้อที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ปากทางเข้านั้นแทนถ้าไม่ติดว่าเขาสร้างผิวหนังด้านในของชวิศาให้อ่อนนุ่มเช่นเดียวกับของมนุษย์จริงๆ ทั้งยังมีระบบให้ชวิศารับรู้ความเจ็บปวดหากผิวหนังขาดหรือเป็นรอยถ้าไม่อย่างนั้นแล้วละก็เขาคงสอดใส่เข้าไปจนสุดทางแล้วเป็นแน่แท้หรือว่าจะแก้ไขชวิศาใหม่อีกรอบดีสุดฟ้าคิดอย่างลังเลขณะกำลังขยับสะโพกกดท่อนเนื้อเข้าไปในช่องทางคับแคบด้วยจังหวะสั้นๆ นานทีเดียวกว่าที่ชวิศาจะรับเขาเข้าไปได้ทั้งหมดสุดฟ้านิ่งอยู่พักใหญ่มองไรผมที่ชื้นเหงื่อของชวิศาดวงตาฉ่ำเยิ้มซึ่งมองตรงมาทางเขาริมฝีปากแดงเรื่อที่เผยอขึ้นน้อยๆ

ให้ตายเถอะ!!! น่ารักเป็นบ้า สุดฟ้าสบถกับตัวเองในใจ

แล้วดึงมือของชวิศาซึ่งรั้นอยู่ที่ต้นขาให้มาโอบรอบคอของเขาแทนสุดฟ้าโน้มตัวเข้าหาประกบจูบที่ปากสีเรื่อนั่นพลางขยับสะโพกเบาๆ สุดฟ้าไม่รู้ว่าความหวามหวานที่ว่านี้มันมาจากไหนหรือเริ่มมาจากจุดใดหากแต่มันกำลังเรียกร้องให้เขาตักตวงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดชายหนุ่มได้แต่กระแทกกระทั้นกายเข้าหาร่างแบบบางข้างใต้เพื่อเติมเต็มความกระหายอยากดูดกลืนลมหายใจของอีกฝ่ายอย่างหิวกระหายเสียงครางกระเส่าข้างหูช่างทำให้หน้ามืดตามัวเสียจริง

สุดฟ้าโถมกายไม่ยั้งก่อนร่างกายจะกระตุกแล้วฉีดพ่นของเหลวเข้าสู่ร่างเพรียวบางด้านล่างชวิศานอนอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงผิวกายที่ขาวจัดยังคงแดงเรื่อ ทิ้งเวลาชั่วครู่ใหญ่กว่าที่ลมหายใจหอบเหนื่อยจะกลับสู่สภาพวะปกติ ชายหนุ่มถอนกายออกเอื้อมตัวไปหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะเตี้ยๆ ที่อยู่แถวหัวเตียงเพื่อนำมาเช็ดทำความสะอาดคราบขาวขุ่นซึ่งเลอะอยู่ทั้งบนตัวเขาและบนตัวของชวิศาสุดฟ้านึกตำหนิตนเองอยู่ในใจเล็กน้อยที่ตอนที่ชวิศาปลดปล่อยนั้นตนไม่ได้สนใจสังเกตเขาออกแบบให้หุ่นยนต์ซี ชวิศาสามารถปลดปล่อยออกมาได้เช่นเดียวกันโดยภายในช่องทางด้านหลังจะมีเซ็นเซอร์ที่ตรวจจับความถี่และแรงที่การกระทำต่อเนื่องในภาวะหนึ่ง นั่นหมายถึงถ้าเขา ‘ขย่ม’ ชวิศาด้วยค่าตามที่ตั้งไว้อย่างต่อเนื่องจนครบช่วงเวลา หุ่นยนต์ชวิศาของเขาก็จะปลดปล่อยของเหลวสังเคราะห์สีขาวขุ่นซึ่งเขาพยายามทำให้มันดูเหมือนของจริงออกมา

เช็ดทำความสะอาดเรียบร้อยสุดฟ้าล้มตัวลงนอนข้างกายดึงร่างเล็กบางกว่าเข้ามากอดสองร่างนอนอิงแอบแนบชิดด้วยร่างกายเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนบางและแล้วค่ำคืนนี้ก็จบลง



แสงแดดของเข้าวันใหม่ไม่ได้สาดส่องเข้ามาในห้อง แต่สุดฟ้าก็รู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นเอง ข้างกายว่างเปล่าเหลือเพียงที่นอนเย็นชืดเหมือนน้ำแกงค้างคืนแล้วใส่เอาไว้ในตู้เย็น ชายหนุ่มจึงเด้งตัวลุกขึ้นโดยไว หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างลวกๆ เปิดประตูเดินออกไปนอกห้อง ฝั่งตรงข้ามเป็นส่วนของห้องนั่งเล่นที่เป็นห้องรับแขกในตัว ถัดไปเป็นห้องครัวที่มีร่างเล็กบางที่เขาสร้างขึ้นมายืนอยู่หน้าเตา สุดฟ้าเดินเข้าไปสวมกอด อีกฝ่ายสะดุ้งตกใจเล็กน้อย หากเมื่อหันมาแล้วเห็นว่าเป็นเขาก็ยิ้มให้

“ตื่นแล้วหรือครับ”

ชายหนุ่มร่างสูงกว่าไม่ตอบคำถามนอกจากจะกดย้ำประกบริมฝีปากลงไป ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายนั้นก็ตอบรับเป็นอย่างดี

“รีบลุกมาทำไม” สุดฟ้าตัดพ้อ ดวงตาที่ไม่มีแว่นบดบังจ้องมองที่ใบหน้าใส

“ตื่นมาทำอาหารให้ คุณ...อ่ะ ด็อกเตอร์ไงครับ” ชวิศาตอบด้วยรอยยิ้มสดใส ไร้วี่แววอ่อนระโหยโรยแรง แน่ละ ชวิศาเป็นหุ่นยนต์นี่ ทำอะไรแค่นั้นอย่างเมื่อคืนแล้วเหนื่อยก็แปลกแล้ว

“อีกแป็บ อาหารเช้าก็เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ด็อกเตอร์ไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อนนะครับ” ชวิศาพาสุดฟ้าไปส่งถึงห้องน้ำ หยิบแปรงสีฟันที่มีเนื้อยาสีฟันอยู่บนนั้นให้อีกฝ่าย ส่วนตนเองหมุนตัวออกมาจากห้องน้ำกลับไปในครัว สุดฟ้ารีบแปรงฟันล้างหน้าโกนหนวดอย่างรวดเร็ว ยกรักแร้ขึ้นดมรู้สึกเหมือนมันจะมีกลิ่นนิดๆ แต่ถ้าจำไม่ผิดเขาไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบถอดเสื้อผ้าเพื่อเดินผ่านน้ำและเอาสบู่มาถูตัวก่อนจะเดินผ่านน้ำอีกรอบ แล้วเดินโทงๆ ออกจากห้องน้ำมาหาเสื้อผ้าใส่ ยังไม่ทันที่จะใส่เสื้อผ้าเสร็จดีก็พาตัวเองมานั่งที่โต๊ะอาหารแล้ว

สุดฟ้ามองร่างเพรียวบางด้วยใจที่เป็นสุขและอิ่มเอมเสียยิ่งกว่าการถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง แน่นอนว่าสุดฟ้าไม่เคยถูกรางวัลที่ว่า แต่เขาคิดว่าคนที่ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งคงไม่รู้สึกเบิกบานชื่นมื่นเท่าตัวเขาในขณะนี้แน่นอน สุดฟ้ามองแผ่นหลังของชวิศาไปเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี ไอ้สายตาเจ้ากรรมดันเผลอเหลือบไปมองบั้นท้ายของชวิศาเข้า น้องน้อยของสุดฟ้าจึงชักธงรบขึ้นทันใด

ให้ตายเถอะ!!! สุดฟ้าก่นด่าตัวเองอยู่ในใจพลางขยับขากดหัวน้องน้อยให้มันสงบลง ถ้าไม่ติดเสียงโครกครากเพราะพยาธิประท้วงขออาหารที่เขาไม่ได้กินตั้งแต่เมื่อวานละก็ เขาคงจะลากชวิศาเข้าห้องไปแล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าว สุดฟ้าจึงหน้าเจื่อนไปนิดเมื่อชวิศายกถ้วยน้ำแกงมาตั้งตรงหน้า

“ทานกันเถอะครับ”

ร่างเพรียวบางกว่านั่งฝั่งตรงข้าม และที่ตรงหน้าของชวิศามีจานข้าวอีกใบหนึ่งสุดฟ้าชะงักมองด้วยความแปลกใจ ช้อนและส้อมในมือนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น

“เอ่อ... ทำไมหรือครับ ด็อกเตอร์ไม่ชอบหรือ” ชวิศาหน้าเสีย

“อ่ะ...เปล่า ไม่หรอก น่าทานมากๆ เลย” ถึงสุดฟ้าจะตอบชวิศาไปอย่างนั้น ใบหน้าใสๆ ก็ยังจ้องเขาเขม็งอย่างรอลุ้น สุดฟ้าจึงต้องตักกับข้าวเข้าปาก

“อืม อร่อยมากๆ เลย” พูดเช่นนั้นไปแล้ว ชวิศาถึงจะยิ้มออกและลงมือทานอาหารในส่วนของตัวเองบ้าง สุดฟ้ามองชวิศาที่เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ อย่างไม่วางตา แน่ละ ใครบ้างจะไม่รู้สึกตกใจและแปลกใจเมื่อเห็นว่าหุ่นยนต์ที่เราสร้างขึ้นมากำลังกินข้าว สุดฟ้ากำลังนึกทบทวน ตอนที่เขาแก้ไขชวิศาครั้งล่าสุดเขาไปทำอะไรกับระบบสั่งการหรือเปล่านะ ถึงชวิศาจะเป็นอัจฉริยะ ฉลาด เพียบพร้อม และเหมือนมนุษย์ขนาดไหนก็ตาม แต่ในมโนสำนึกของชวิศาก็ยังรู้ว่าตนเป็นเพียงหุ่นยนต์อยู่ดี สุดฟ้าแน่ใจอย่างที่สุดว่าเขาไม่ได้สร้างระบบรองรับการกินอาหารให้ชวิศา

“อาหารของผมไม่อร่อยหรือครับ” เสียงหวานใสนั่นถามซ้ำตัดห้วงความคิดของสุดฟ้าให้ขาดช่วง ใบหน้าดูกังวลอย่างจริงจัง

“ถ้าอย่างนั้นให้ผมทำให้ใหม่นะครับ”

“อ่ะ...ไม่ต้องหรอก กับข้าวที่ชวิศาทำนี่อร่อยมากจริงๆ” สุดฟ้าย้ำพร้อมตักข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว

เวลาอาหารเช้าจึงจบลงไม่นานหลังจากนั้นสุดฟ้ากำลังนั่งย่อยอาหาร และทานของหวานไปพลางอยู่ที่เก้าอี้ที่ตนนั่งทานอาหารเช้าตัวเดิม เรื่องที่สงสัยเมื่อตอนกินข้าวหายไปจากสมองเป็นปลิดทิ้ง มองด้านหลังของชวิศาที่กำลังล้างจานอยู่ตรงหน้า ที่จริงไม่ต้องทำก็ได้แท้ๆ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็เป็นหน้าที่ของสเตบาสเตียนอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายยังยืนยันว่าจะทำให้ได้ สุดฟ้าจึงได้นั่งมองแผ่นหลัง เอวสอบ และบั้นท้ายใต้กางเกงผ้าขาสั้นอยู่เช่นนี้ แต่หากยิ่งมอง อารมณ์สวิวกิวกิ้วมันยิ่งลุกโชน เพราะแค่เห็นเรือนร่างใต้เสื้อผ้าเขากลับนึกไปถึงผิวเปลือยเปล่ายามไร้อาภรณ์ปกคลุมกายของชวิศาทุกที ไหนจะความคับแน่นยามสอดใส่นั่นอีก.... ความคิดดังที่กล่าวมานี่ล่ะที่ทำให้สุดฟ้าลืมความสงสัยเมื่อตอนกินข้าวไปหมดสิ้น

สุดฟ้าตัดสินใจลุกขึ้นด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ดิบล้วนๆ เขาลากชวิศาเข้าห้องนอนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม กดชวิศาลงกับเตียงและตามขึ้นทาบทับ ถูไถความแข็งขืนของตนกับช่วงล่างของอีกฝ่าย ชวิศาได้แต่หน้าแดงเมื่อสัมผัสถึงสิ่งนั้น

“ด็อกเตอร์...” ท่าทางชวิศาเหมือนอยากเอ่ยห้าม แต่เมื่อสุดฟ้าจูบประทับปิดปากที่จะเอื้อนเอ่ยเสียก่อน จึงมีแค่เสียงครางเครือออกมาจากลำคอเท่านั้น ในขณะที่สุดฟ้าโอ้โลมร่างบางกว่าด้วยจูบ สองมือของเขาก็ถอดกางเกงของชวิศาออกพร้อมกับเล้าโลมช่องทางเบื้องหลังด้วยเจลหล่อลื่น สุดฟ้าไม่อยากจะเยิ่นเย้อมากไปกว่านี้เมื่อน้องน้อยของเขาพร้อมสู้เต็มที่อยู่แล้ว ไม่ช้าไม่นานต่อจากนั้นสุดฟ้าก็สอดใส่ความเร่าร้อนเข้าไปในตัวของชวิศา



แม้จะปลดปล่อยความต้องการของตนไปแล้วถึงสองครั้ง เรี่ยวแรงของสุดฟ้าก็ยังดีอยู่ เขายังขยับกายเอื่อยๆ อยู่บนร่างที่นอนคว่ำข้างใต้ ก่อนจะรั้งร่างนั้นให้ลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังสอดใส่อยู่เช่นนั้น การเปลี่ยนท่วงท่าอย่างกะทันหันทำให้ชวิศาผวาเหยือก ผนังอ่อนอ่อนนุ่มตอดรัดจนชายหนุ่มกระสันซ่านไปทั้งร่างกายทั้งเขาก็สามารถสอดใส่เข้าไปได้ลึกกว่าเดิม แต่ฝ่ายที่ถูกสุดฟ้ารุกรานกลับเริ่มที่จะไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบสนองเสียแล้ว แผ่นหลังบางพิงแนบบนอกกว้างของร่างด้านหลัง ขณะที่ถูกยกสะโพกและกดลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เหนื่อยแล้วหรือ” สุดฟ้าเอ่ยกระซิบชิดริมใบหู ใช้ปลายลิ้นเลียใบหูแล้วขบเม้มติ่งหูเบาๆ ดูเหมือนว่าที่ชวิศายังรู้สึกตัวเพราะแรงอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นเร้าอย่างต่อเนื่อง คำตอบที่สุดฟ้าได้รับจึงเป็นแค่เสียงครางเครือเท่านั้น

สุดฟ้าขยับให้ชวิศาเปลี่ยนท่าอีกครั้ง รั้งให้ร่างบางกว่านอนราบไปกับพื้นเตียง จับให้ขาข้างหนึ่งของชวิศาคร่อมข้ามเอวของเขาไป ก่อนจะกดสะโพกย้ำกระชั้นจนกระทั่งตนปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง ในสมองของสุดฟ้าพร่างพราวไปด้วยแสงสีขาวตอนที่ล้มตัวทับร่างบางกว่าร่างด้านล่างหอบหายใจดวงตาหลับพริ้ม ไม่นานเสียงลมหายใจนั้นก็สม่ำเสมอทั้งที่สุดฟ้ายังไม่ได้ถอนกายออกเสียด้วยซ้ำ สุดฟ้าอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ แล้วไล้จูบที่เปลือกตาปิดสนิทเบาแสนเบา ความรู้สึกอุ่นซ่านบางอย่างพุดขึ้นมาในใจ เป็นความรู้สึกที่สั่งการให้เขาแนบจูบลงไปอย่างทะนุถนอม

เขายันตัวลุกขึ้นพลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงดึงเท้าขวาของชวิศาขึ้น ลูบไล้หาจุดแตกต่างแต่มันกลับเรียบเนียนทั้งฝ่าเท้าชายหนุ่มมั่นใจว่าไม่มีทางที่เขาจะหามันไม่เจอ ซึ่งนั่นเป็นการยืนยันความคิดที่ชัดเจน ชวิศาคนที่นอนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่เขาสร้าง.... แต่เป็นมนุษย์จริงๆ สุดฟ้ารี่ตามองร่างบางตรงหน้า พร้อมคำถามที่ผุดขึ้นมา...

คนตรงหน้าต้องการอะไรจากเขา!!!
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สอง 01/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-10-2016 22:39:51

 

อีกหลายชั่วโมงต่อจากนั้นชวิศาถึงจะตื่นขึ้น ชายหนุ่มกอดรัดร่างนั้นไว้ไม่แน่นหนานัก เขาแกล้งทำเป็นหลับ คนในวงแขนขยุกขยิกเล็กน้อยก่อนจะนิ่งไป แต่สุดฟ้ายังรู้สึกถึงสายตาที่มองมา ก่อนจะตามมาด้วยจูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก ซึ่งชายหนุ่มต้องพยายามอย่างมากกับการบังคับไม่ให้ตัวเองยิ้มออกมา แม้จะคิดว่าชวิศาคนนี้อาจจะมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงแต่เขาก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกตัวเองได้

“อ่ะ” เสียงอุทานดังขึ้นทำให้สุดฟ้าต้องลืมตา ชวิศารู้แล้วว่าเขาแกล้งหลับ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ก็ความหวานซ่านในอกมันล้นจนออกมากองอยู่บนหน้าแล้วนี่นะสุดฟ้ายิ้มกว้างก่อนจรดริมฝีปากของตนลงบนปากสีเรื่อของอีกฝ่าย

“ลุกเถอะครับ ผมอยากอาบน้ำ”

“แต่ยังอยากนอนอยู่แบบนี้อีกสักหน่อย”

“ก็ได้ แต่หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จแล้วนะ เพราะตอนนี้รู้สึกเหนอะๆ ยังไงบอกไม่ถูก”

“อย่างนั้นหรือ” สุดฟ้ายันตัวพร้อมกับดึงชวิศาให้ลุกขึ้นตาม หัวคิ้วของคนตรงหน้าขมวดมุ่นเล็กน้อย

“เป็นอะไรหรือ”

“อ่อ เปล่าไม่เป็นอะไรครับ” ชวิศายิ้มกว้างออกมา

ไม่มีทางที่จะไม่เป็นอะไรไปได้หรอก สุดฟ้ารู้ดี แม้ร่างกายตรงส่วนนั้นจะสามารถรองรับการสอดใส่ได้โดยที่ไม่เกิดบาดแผลหรือความเจ็บปวดก็ตาม แต่ถ้าทำอย่างไม่บันยะบันยังอย่างที่เขาทำเมื่อช่วงเช้า ไม่ว่าแข็งแรงบึกบึนแค่ไหนก็ไม่มีทางทานรับได้หรอก สุดฟ้ารู้สึกผิดจริงๆ แต่ก็อย่างว่านะ ถ้าเป็นชวิศาที่เป็นหุ่นยนต์ไม่มีทางเกิดอาการแบบนั้นขึ้นได้หรอก และเขาก็ไม่รู้นี่ ว่าชวิศาตรงหน้าจะเป็นมนุษย์จริงๆ

“งั้นแช่น้ำเสียหน่อยดีกว่า” ว่าแล้วก็ยกตัวชวิศาขึ้น

“อ่ะ... ไม่ต้องหรอกครับ ผมเดินเองได้”

“ช่างเถอะน่า ขอให้ฉันได้ดูแลนายเอง ตอบแทนที่นายให้ฉันกอดโดยไม่ปริปากบ่นสักคำไง” จบคำพูดสุดฟ้าก็พาชวิศาที่เขินอายหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกซึ่งพยายามมุดหน้าหนีสายตาของร่างสูงมาถึงห้องน้ำ ห้องน้ำที่ว่าเป็นห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนของสุดฟ้าถูกออกแบบให้มีทั้งอ่างอาบน้ำและฝักบัว โดยพื้นใต้ฝักบัวจะถูกลดระดับให้ต่ำกว่าพื้นปกติสุดฟ้าปล่อยให้ชวิศายืนรอตรงนั้น ตอนที่ตนเปิดก๊อกน้ำลงอ่างและปรับระดับน้ำ

“ผมอาบเองได้ครับ” ชวิศาเอ่ยเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าหยิบฝักบัวและหมุนเปิดก๊อกน้ำ สุดฟ้ามองใบหน้าที่แดงระเรื่อ

“อายหรือ” สุดฟ้าแกล้งเย้า นั่งทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมและเบือนหน้าหนี

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เราสองคนมีอะไรกันแล้วนะ ฉันน่ะเห็นของนายทั้งหมดแล้วล่ะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันก็น่าอายอยู่ดีนี่ครับ” พอได้ยินเช่นนั้น มันอดไม่ได้เลยที่สุดฟ้าจะจูบบนปากที่เอ่ยคำน่ารักแบบนั้นออกมา

“นี่ชวิศา เอามือเกาะบ่าฉันไว้สิ”

ชวิศาทำหน้างง หากแต่ยอมยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปเกาะบ่ากว้างของชายหนุ่มแต่โดยดี สุดฟ้ายิ้มกว้าง ใช้มือข้างที่ว่างไม่ได้ถือฝักบัวดึงร่างเพรียวให้แนบชิด ใช้หัวเข่าแยกขาชวิศาให้ห่างออกจากกันเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องทางหลืบลึก

“อ่ะ...” ชวิศาเกร็งตัวกอดคอร่างที่สูงกว่าไว้แน่น

“อย่าเกร็งสิ ไม่อย่างนั้นมันจะเจ็บนะ”

“ก... ก็มันรู้สึกแปลกๆ นี่นา อึก ฮ่ะ” พอเปิดปากพูดเสียงแปลกๆ ก็หลุดออกมาด้วย เสียงครางเหมือนตอนที่พวกเขาร่วมรักกัน และดูเหมือนว่าปลายนิ้วกับสายน้ำจากฝักบัวจะทำให้ชวิศามีอารมณ์ขึ้นมาเสียแล้ว

“นายกำลังมีอารมณ์หรือ”

“อย่าพูดสิครับ” แม้จะเถียงออกมาแบบนั้น แต่น้ำเสียงของชวิศากลับแหบพร่าเหลือเกิน มันทำให้สุดฟ้าอดที่จะกระตุ้นเร้าจากภายในไม่ได้ทั้งที่เขาก็ล้างทำความสะอาดของเหลวคาวขุ่นที่เหลือทิ้งไว้ในตัวชวิศาจนหมดแล้ว สุดฟ้านำฝักบัวกลับไปไว้ที่ที่ของมันบนผนัง โดยปล่อยให้สายน้ำไหลชโลมกายพวกเขาทั้งคู่เช่นนั้น พลางขยับปลายนิ้ว งอบ้าง ขยับเข้าออกบ้าง บ้างก็บดขยี้จนชวิศาครางกระเส่าไม่เป็นภาษา ส่วนอ่อนไหวของชวิศาแนบอยู่แถวบริเวณหน้าท้อง ขยับบดเบียดเสียดสีอย่างเรียกร้อง

“ฉันเข้าไปนะ” สุดฟ้าพูดราวกับจะขออนุญาต ชวิศาไม่แม้จะมองหน้าคนถามได้แต่เบือนหน้าหนี ร่างสูงใหญ่จึงได้ทำท่าเหมือนจะผละออกด้วยความอยากกลั่นแกล้งชายหนุ่มร่างเพรียวจึงรีบรั้งตัวสุดฟ้าไว้ ใบหน้าเนียนใสแดงเรื่อ ปากสีอิ่มขบแน่นยามที่ช้อนสายตามองเขา หัวใจของสุดฟ้าแทบจะกระดอนออกมานอกอก

น่ารักจังโว้ย!!!!!!
 
เรื่องที่คิดกลั่นแกล้งอะไรนั่นตอนนี้ช่างมันเถอะ ถ้าเขายังรั้งรออีกต่อไป ตัวเขาเองนั่นแหละที่จะขาดใจตาย!!!

สุดฟ้ากดจูบชวิศาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ดันแผ่นหลังบางให้ชิดผนัง ยกขาข้างหนึ่งให้สูงขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการรุกราน

“อ่ะ อะ อึก” ร่างบางกว่าในอ้อมแขนส่งเสียงครางออกมา ลำแขนเพรียวบางยึดไหล่ของเขาไว้แน่น สุดฟ้าขยับสะโพกรุนแรงด้วยความเสียวซ่านแล้วต้องลดแรงกระแทกกระทั้นลง เมื่อสำนึกได้ด้านหลังเป็นกำแพงกระเบื้องไม่ใช่เบาะนุ่มๆ ของพื้นเตียง หากกระนั้นด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านฝ่ามือใหญ่จึงบีบเค้นสะโพกของอีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งมือ.....



หลังการปลดปล่อยความพลุ่งพล่านใต้สายน้ำไหลรินของฝักบัว สุดฟ้าพาร่างของชวิศาให้มาลงอ่างน้ำ อุณหภูมิในอ่างกำลังอุ่นพอดีที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย

“อ่ะ” ชวิศาอุทานออกมาเมื่อถูกบังคับให้รับความร้อนรุ่มของชายหนุ่มเจ้าของเรือนร่างสูงให้เข้ามาในร่างกายอีกครั้ง แผ่นหลังบางถูกรั้งให้พิงแผงอกกว้าง สุดฟ้ารู้สึกถึงชีพจรที่เต้นรัวเร็วของอีกฝ่าย

สุดฟ้าวักน้ำขึ้นมาลูบไล้ผิวเนียน บีบนวดให้คลายความเคร่งเครียดตื่นกลัว

“ฉันชอบอยู่ในตัวนาย” ชายหนุ่มกระซิบบอก สังเกตเห็นผิวที่ขึ้นสีจางๆ อยู่แล้ว แดงเรื่อขึ้นอีก หลังจากนั้นชวิศาจึงยอมนั่งนิ่งๆ เอนหลังพิงตัวสุดฟ้าอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ร่างสูงนวดเฟ้นลูบไล้ตามใจ จะมีสะดุ้งบ้างก็ตอนที่มือหนาปัดป่ายต่ำลงไปกว่าสะดือ สุดฟ้ายิ้มแย้มกับปฏิกิริยาตอบรับเหล่านั้น

ถึงแม้ว่าสุดฟ้าจะไม่รู้ว่าการที่หุ่นยนต์ชวิศาที่เขาสร้างขึ้นกับชวิศาที่เป็นมนุษย์มีชีวิตเลือดเนื้อคนนี้ถูกสลับสับเปลี่ยนตัวไปด้วยสาเหตุใด แต่กระนั้นด้วยความที่จุดมุ่งหมายในการสร้างหุ่นยนต์ชวิศามันคือการรองรับความต้องการทางเพศเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าบุคคลตรงหน้าจะเป็นมนุษย์หรือหุ่นยนต์มันจึงไม่ใช่เรื่องที่แตกต่างกันนัก เพียงแต่เขาจำเป็นต้องระมัดระวังในเรื่องต่างๆ มากขึ้นเท่านั้นเอง

สุดฟ้ามีอาชีพรับจ้างอิสระ นั่นคือไม่ว่าใครจ้างให้เขาทำอะไร เขาก็ทำทั้งนั้น เพียงแต่ชายหนุ่มจะรับเฉพาะงานที่ตนเองสนใจเท่านั้น และจากที่ผ่านมางานที่สร้างปัญหาให้กับเขามากที่สุดเป็นงานจำพวกออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ด้วยความที่เขาเป็นอิสระอย่างสุดโต่งไม่สังกัดกับหน่วยงานหรือองค์กรใด และเมื่อสุดฟ้ารับงานแล้วก็จะทำจนกว่าสำเร็จโดยไม่สนใจเรื่องอื่น มีหลายครั้งที่มีการจ้างงานทับซ้อนหรือในช่วงเวลาใกล้เคียงกันการตัดสินใจรับงานก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจในช่วงนั้นๆ ล้วน จึงมีเหตุให้นักย่องเบารวมทั้งกลุ่มบุคคลไม่พึงประสงค์เข้ามาตีสนิทกับชายหนุ่มเพื่อล้วงความลับและขโมยของหลายต่อหลายครั้ง

อันที่จริงแล้วชื่อของสุดฟ้า ศิริกรไม่ได้โด่งดังในวงการอุตสาหกรรมหรือวงการออกแบบพัฒนามากนัก ชื่อของเขามีแค่คนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่รู้จัก พร้อมกับชื่อเสียงด้านราคาค่าตัวที่แสนแพงและผลงานที่รับรองความพึงพอใจ สุดฟ้ายินดีที่จะแก้ไขงานของตนเองจนกว่าลูกค้าจะพอใจภายใต้เงื่อนไข ‘งานที่เขาสนใจเท่านั้น’ แต่อย่างว่า ถึงจะโดนบอกว่าไม่ชอบงานที่เขาทำให้ ชายหนุ่มก็ไม่สนใจอยู่ดี ก็เพราะเขาพอใจนี่นะ เขามีความคิดว่าผลงานที่เขาพอใจ นั่นแหละคือที่สุดของที่สุดและที่สุดแล้ว

อีกทั้งเขายังมีนิสัยอย่างหนึ่ง นั่นคือถ้าลองได้สนใจต่อสิ่งใดแล้ว เขาจะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น จนไม่เป็นอันกินอันนอน ก็เหมือนกับที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้

....ช่วงนี้สุดฟ้ากำลังทำการวิจัยเกี่ยวกับความสุขสมในการมีเพศสัมพันธ์....

เพราะถึงแม้ชวิศาจะปลดปล่อยอย่างรุนแรงไปเมื่อสักครู่ แต่เมื่อสุดฟ้ากระตุ้นเร้าส่วนอ่อนไหวด้วยการนวดคลึง และรูดขึ้นลงอย่างที่กระทำอยู่ตอนนี้ ช่องทางคับแน่นยังคงตอดรัดพร้อมกับสะโพกบางยังคงขยับส่ายบิดเร่าบดเบียดให้แก่กายแข็งขืนของสุดฟ้าชำเราด้วยตัวของชวิศาเอง ใบหน้าคมเข้มจดจ้องจับสังเกตสีหน้าและปฏิกิริยาตอบสนองทางกายของร่างในวงแขนอย่างไม่วางตาร่างบางพิงศีรษะกับช่วงไหล่ของร่างด้านหลัง ริมฝีปากเผยอหอบเล็กน้อย ขณะที่น้ำในอ่างกระเพื่อมตามแรงกระแทกกระทั้น สุดฟ้าละมือออกจึงมีแค่ชวิศาเท่านั้นที่ขยับสะโพกอย่างเร่งร้อนเพื่อปลดปล่อยความอึดอัดในกายที่ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ ช่องทางด้านหลังเริ่มตอดรัดกระตุกถี่เป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปถึงฝั่งฝันในไม่ช้า ในนาทีที่สุดฟ้าโอบตัวชวิศาและยกตัวของอีกฝ่ายให้โน้มตัวไปเท้าแขนกับขอบอ่างด้านหน้า ร่างบางก็ปลดปล่อยออกมา จะว่าเป็นการกระทำที่จงใจก็เป็นได้ เพราะหลังจากนั้นสุดฟ้ายังคงฝืนบังคับให้ชวิศารองรับอารมณ์ที่คั่งค้างของเขาอีกเป็นครู่ใหญ่ ย้ำกายกดลึกจนเสียงเนื้อกระทบกันดังก้อง ความกระสันซ่านเร่งเร้าให้เขายิ่งจ้วงทะยาน ร่างเพรียวบางกระตุกไหวปลดปล่อยอีกครั้งก่อนที่เขาจะถึงจุดและฉีดพ่นของเหลวเข้าไปในร่างของตนตรงหน้าในเวลาไล่เลี่ยกัน

ร่างที่หอบหายใจไร้เรี่ยวแรงเกาะอยู่ขอบอ่างถูกดึงขึ้นอีกครั้ง ไม่มีทั้งเสียงและอาการต่อต้านตอนที่ชายหนุ่มขยับสะโพกด้วยความต้องการที่พวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง รวมถึงยังตอบสนองความปรารถนาของเขาแต่โดยดี....



สุดฟ้าอุ้มพาชวิศาขึ้นจากน้ำ ร่างในห่อผ้าขนหนูหลับลงเพราะความเหนื่อยอ่อน ทั่วทั้งร่างกายหลงเหลือรอยช้ำและผิวแดงก่ำจากเลือดฝาด ชายหนุ่มร่างสูงมองนาฬิกาที่โต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียงหลังจากที่สวมใส่เสื้อผ้าให้อีกฝ่ายเรียบร้อย ตอนนี้เลยเวลาอาหารเที่ยงจนเรียกได้ว่าใกล้เวลาอาหารเย็นเข้าไปแล้ว กระนั้นก็คงเป็นเรื่องยากหากปลุกร่างที่หลับใหลไร้สติขึ้นมารับสารอาหารตามเวลา เขาจึงตัดสินใจสวมเสื้อผ้าของตน เดินออกจากห้องปล่อยให้ร่างแบบบางที่รับศึกอย่างหนักหน่วงได้พักผ่อนเต็มที่ เพื่อให้พร้อมรับศึกในครั้งต่อไป


เจ้าของบ้านที่สวมเสื้อกล้ามกับกางเกงวอร์มเดินออกมาจากห้องนอนตอนใกล้เย็นย่ำผมบนศีรษะยังเปียกซ่กด้วยน้ำ ผู้มาเยือนซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารทั้งสองจึงไม่จำเป็นต้องอ้าปากถาม เพราะเดาได้ว่าเจ้าของบ้านคงเพิ่งตื่น แต่ก็นั่นแหละ ฝาแฝดพี่น้องรู้ดีว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น

“เป็นไงบ้างวะ เอากันตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยหรือไง” แฝดผู้พี่ถามไปอย่างคะนองปากและไม่ได้กลัวว่าใครจะมาได้ยินจนเอาไปนินทาว่าร้าย ผนังของบ้านนี้เก็บเสียงได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นตอนที่เขาทั้งสองคนเข้ามาในบ้าน บ้านทั้งหลังจึงเงียบสนิทราวกับไร้ผู้คน

สุดฟ้ารับผ้าขนหนูจากสเตบาสเตียนมาซับน้ำบนศีรษะ พลางตอบรับว่าอืมในลำคอ ในเมื่อคนที่เอ่ยปากถามไม่ได้กระดากกับคำถาม สุดฟ้าก็ไม่ยี่หระที่จะตอบไปตามตรงเช่นกัน ไม่มีคำว่าอายหรือหน้าบางระหว่างพวกเขาทั้งสามคน เพราะแม้แต่การดูหนังโป๊และช่วยตัวให้เห็นพร้อมกัน พวกเขาก็ทำกันมาแล้ว

คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ทั้งสองกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะถามต่อไปว่า “แล้วเป็นยังไงบ้างวะ”

“จะให้เป็นยังไง พวกแกก็รู้ฉันไม่เคยลองทำกับใคร” คิดไปคิดมาเขาก็เขินเหมือนกันนะเนี่ย แล้วก็ตื้นตันใจมาก ในที่สุดวันนี้เขาก็เป็นผู้ชายเต็มตัวเสียที สุดฟ้าแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มปริ่มเสียเดี๋ยวนั้น

“เพราะงั้นแกก็ควรให้พวกเราลองบ้าง เราสองคนจะได้ช่วยเปรียบเทียบว่าระหว่างคนจริงๆ กับหุ่นยนต์มันแตกต่างกันไหม”

“นั่นสิ” สุดฟ้ายิ้มกว้าง “ถ้าพวกแกสองคนมายุ่งกับชวิศาฉันจะส่งคนไปถล่มบริษัทของแกสองคน และจะตามราวีจนกว่าจะตายกันข้างหนึ่ง”

“โห!!!!!!!!!!!!!!! หวงกว่าครั้งที่แล้วอีกนะเว้ย” สองเสียงร้องขึ้นพร้อมกันและเป็นธัชนันท์ที่พูดต่อไปอีกว่า “ชวิศาเป็นแค่หุ่นยนต์เองนะ ถึงฉันสองคนทำอะไรไปก็ไม่สึกหรอหรอกน่า”

“พวกแกเองก็มีเด็กในฮาเร็มตั้งเยอะ จะมายุ่งอะไรกับแฟนของคนอื่นล่ะ” สุดฟ้าเลี่ยงตอบ ขมวดคิ้วเบ้ปาก

“มันเหมือนกันที่ไหน คนกับหุ่นยนต์นะ หรือว่าที่จริงหุ่นยนต์ของแกไม่ได้ทำให้แกสวิวกิ้วเลย”

“อืม... ไม่รู้สินะ” สุดฟ้าพึมพำ “อ่อ ว่าแต่ที่ชวิศาไปต่างประเทศน่ะ เขาไปทำไมหรือ”

“หือ” สองพี่น้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเล็กน้อย สำหรับสองพี่น้องที่รู้จักสุดฟ้ามาตั้งแต่เด็กย่อมรู้จักนิสัยของสุดฟ้าดีเช่นกัน

“เห็นว่ามีญาติอยู่ที่โน่น แล้วเขาว่ากันว่าไปเรียนทำอาหารอ่ะ” ธัชนนท์ตอบก่อนจะตักเค้กตรงหน้าเข้าปาก ธัชนนท์และธัชนันท์มาถึงบ้านของสุดฟ้าตั้งแต่บ่ายกว่าๆ สองพี่น้องมากินข้าวที่บ้านสุดฟ้าจนเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าเจ้าของบ้านจะยุ่งอยู่กับงานก็ตาม ฝาแฝดจะเข้ามาในบ้านและสั่งให้สเตบาสเตียนทำอาหารให้เหมือนกับทั้งคู่อยู่ในบ้านของตัวเอง

เสียงมอเตอร์เฟืองล้อสำหรับการเคลื่อนที่ของสเตบาสเตียนดังฟีดเบาๆ ตอนที่หุ่นยนต์พ่อบ้านนำอาหารเย็นมาตั้งตรงหน้าชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

“พวกนายบอกว่าเขาเรียนคณะเดียวกับพวกเราไม่ใช่หรือ แล้วไปเรียนทำอาหารนี่น่ะ” สุดฟ้าหยิบช้อนและส้อมขึ้นมาตักชิ้นเนื้อเข้าปาก

“ที่จริงแล้วซี ชวิศาเป็นพวกสมองกลวงน่ะ” ธัชนันท์เอ่ยบ้าง เขาคาบช้อนไอศกรีมไว้ในปาก แล้วส่งถ้วยให้สเตบาสเตียนเพื่อให้ไปตักไอศกรีมมาอีกถ้วย “เด็กที่เรียนสาขาเดียวกับซี ชวิศาพูดว่า นอกจากหน้าตาที่น่ารักและฐานะทางบ้านแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าจะอวดได้อีก ได้ยินว่ากว่าที่จะจบมาได้ก็เหนื่อยทั้งคนติวและคนเรียนเองอย่างซี ชวิศา รู้สึกว่าจะจบออกมาด้วยเกรดที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะสามารถเรียนจบได้เลยละ”

“ทีแรกฉันก็สงสัย ว่าทำไมถึงมาเข้าคณะที่เรียนยากแบบนี้” ข้อสงสัยนี้เป็นของธัชนนท์ และกล่าวต่อไปอีกว่า “เห็นว่าไม่ว่าวิชาอะไรก็เรียนไม่ได้เรื่องเลย แต่ฟลุ๊คสอบติดคณะเรา น่าตลกดีชะมัด ทั้งที่ฉันกับอาทต้องอ่านหนังสือกันแทบตาย”

“ฉันก็ไม่ได้อ่านอะไรสักเท่าไหร่”

“แกมันข้อยกเว้น ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องเรียนด้วยซ้ำ ดันเสือกสอบไปกันที่คนอื่นเขาอีก” ธัชนนท์บ่นอุบ พลางยกน้ำชาขึ้นดื่ม ฝ่ายธัชนันท์ก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มในเวลาที่ไล่เลี่ยกันหลังจากทานไอศกรีมถ้วยที่ห้าหมดไปอย่างรวดเร็ว

“เอาล่ะ พวกฉันอิ่มแล้ว งั้นไปก่อนนะ”

“แล้วเจอกันใหม่”

“อ่ะ อืม” สุดฟ้าพยักหน้ารับ ยกมือโบกให้ก่อนจะก้มหน้าลงกินข้าวต่อ

ยังไม่ทันที่สุดฟ้าจะได้ทานข้าวจนอิ่ม เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมร่างของชวิศาที่เดินออกมาจากห้อง

“ด็อกเตอร์” ร่างแบบบางนั้นพาตัวเองมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างสุดฟ้า

“ผมหิวข้าว ท้องร้องจ๊อกๆ นอนไม่หลับเลย” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่หน้าตายังง่วงงุนเต็มที่ สุดฟ้าพยักหน้ารับรู้ก่อนจะตักอาหารในจานส่งเข้าปากของชวิศา ใบหน้าใสยิ้มให้ เคี้ยวงับๆ อยู่สองสามที หลังจากกลืนกุ้งในปากลงท้องไปก็ฟุบหลับลงกับโต๊ะไปอีก ในตอนแรกชายหนุ่มยังคงรู้สึกงงๆ กับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ก่อนจะปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็วและลงมือทานข้าวต่อ จากนั้นเขาอุ้มพาชวิศาให้กลับเข้าไปนอนบนเตียงในห้อง

จะว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความหมกมุ่นเลยก็เป็นได้ เพราะแค่เห็นชวิศานอนหลับอยู่บนเตียงแค่นี้สุดฟ้ากลับรู้สึกถึงตัณหาที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกาย ชายหนุ่มจึงไม่รอช้าที่จะถลกดึงกางเกงขาสั้นของชวิศาออก จับแยกท่อนขาเรียวเล็กยกขึ้นสูง ช่องทางหฤหรรษ์ยังคงบวมแดงจากผลของการกระทำเมื่อครั้งก่อนๆ หน้าอยู่เล็กน้อย กระนั้นเขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ ถึงอย่างไรเขาไม่ได้รุนแรงจนเลือดตกยางออกอยู่แล้ว

หลังจากที่สุดฟ้าชโลมเจลจนชุ่ม เขาขยับตัวเข้าหาร่างของชวิศา ยกท่อนขาเพรียวบางขึ้นพาดบ่า และกดส่วนปลายให้ชำแรกลึกเข้าไปในช่องทางคับแคบ ร่างที่นอนหลับไม่ได้สติสะดุ้งไหวและปรือตามอง ดูท่ายังคงง่วงอยู่มาก

“ด็อก..เตอร์” เหมือนชวิศาอยากจะเอ่ยถาม ถึงได้พึมพำอย่างสะลึมสะลือ

“ไม่เป็นไร นายนอนไปเถอะ” สุดฟ้าบอก ชวิศาก็ช่างพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ชายหนุ่มขยับสะโพกรุกรานชำเราทั้งที่ยังหลับตาอยู่เช่นนั้น พอเสร็จสมอารมณ์หมายก็ยังคงสอดใส่สุดฟ้าน้อยทิ้งค้างไว้ในช่องทางคับแน่นของอีกฝ่ายและล้มตัวลงนอนข้างๆ กัน



ตอนที่ชวิศารู้สึกตัวยังไม่ทันที่จะขยับเขยื้อนร่างกายสุดฟ้าก็รับรู้ได้จากส่วนที่เชื่อมโยงกัน ช่องทางนั้นบีบรัดเขาอยู่หลายครั้งราวกับจะยืนยันให้แน่ใจชวิศาจึงยิ่งนอนนิ่งไม่กล้าขยับสุดฟ้ารู้สึกได้ว่าร่างในอ้อมกอดนิ่งเกร็งไปทั้งตัว ไม่รู้ว่ากลัวเขาจะตื่นหรือกลัวเหตุการณ์หลังจากนั้นกันแน่ แต่ถ้าเป็นเพราะกลัวเหตุการณ์หลังจากนั้นจริงๆ สุดฟ้าคงเศร้าใจนิดๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นร่างสูงด้านล่างจึงจงใจขยับยกสะโพกขึ้นเพื่อกระตุ้นอีกฝ่าย

“อึก...” เสียงดังกล่าวหลุดรอดออกมาพร้อมลมหายใจที่แรงขึ้นชวิศายังคงนิ่งเหมือนทำอะไรไม่ถูกอีกเป็นครู่ใหญ่ หากอารมณ์ปรารถนาที่ถูกปลุกเร้าขึ้นมาแล้วนั้นไม่สามารถดับมอดลงได้ชวิศาจึงพยายามลุกออกจากบนตัวของสุดฟ้า ในจังหวะนั้นร่างสูงใหญ่จึงตะปบร่างของอีกฝ่ายไว้และยันกายลุกขึ้นนั่ง

“น่าน้อยใจนะ ที่นายไม่อยากทำกับฉันถึงขนาดนั้น”

ชวิศาสั่นศีรษะยิก

“ถ้าอย่างนั้น มันเพราะอะไรล่ะที่นายจะลุกหนีไปแบบนี้”

“ก็... ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี” ชวิศาพูดด้วยเสียงอันแสนเบา ถึงกระนั้นสุดฟ้าก็ยังคงได้ยินอยู่ดี

“ทำอย่างที่นายอยากทำอย่างไรล่ะ” ชายหนุ่มพูดพลางดึงท่อนแขนเพรียวขึ้นมาโอบบ่าของตน และจับยึดสะโพกของอีกฝ่ายให้กดลึกลงมาแล้วยกขึ้นชักนำให้ร่างบางขยับตามจังหวะ จนชวิศายอมเคลื่อนไหวตาม ริมฝีปากบางเฉียบจึงเลื่อนประทับไปที่ริมฝีปากแดงเรื่อได้รูป ขบเม้มหยอกเย้าริมฝีปากล่างของฝ่ายตรงข้ามก่อนจะส่งปลายลิ้มเข้าไล้เลียแตะสัมผัสซึ่งชวิศายอมตอบรับแต่โดยดี ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกผลัดกันรับ ขยับโยกสอดรับจังหวะของกันและกัน ความสุขสมจากรสเพศโหมโยนตัวเหมือนเกลียวคลื่น สาดซัดหนักบ้างเบาบ้างสร้างความกระสันเสียวสุดหฤหรรษ์ที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง ก่อนจะแตกพรายเป็นเม็ดฟองซึ่งสร้างความอิ่มเอมไม่รู้จักลืมเลือน

ไม่รู้ว่านอนมานานจนเต็มอิ่มหรืออย่างไร ชวิศาถึงยังคงสตินอนมองหน้าสุดฟ้าได้อยู่เช่นนี้ ความอบอุ่นของผิวเนื้อที่ได้สัมผัสจากอีกฝ่ายทำให้ในหัวใจเกษมสันต์โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยสิ่งใดๆ ออกมา สองคนผลัดกันประทับริมฝีปากเย้าแหย่อีกฝ่าย หากไม่เพราะเสียงท้องที่ดังประท้วง คนทั้งคู่คงกอดก่ายดูดซับไออุ่นของกันและกันไปอีกนาน

แม้จะเป็นยามดึกร่วมค่อนคืนไปแล้ว สเตบาสเตียนหุ่นยนต์พ่อบ้านยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างดีเช่นเคย หลังจากที่สุดฟ้าและชวิศานั่งเคียงคู่กันบนเก้าอี้ของโต๊ะทานอาหาร ไม่นานจากนั้นหุ่นยนต์พ่อบ้านก็ยกอาหารสำหรับมื้อดึกมาให้

“เฮ้อ...พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแล้ว แย่จริงๆ” สุดฟ้าเปรยออกมาหลังจากทานอาหารไปได้พักใหญ่ซึ่งชวิศาฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมา

“ฉันอยากให้วันลาพักร้อนของนายไม่มีวันหมดจริงๆ เลย”

“เอ๊ะ!!! วันลาพักร้อนของผม” ชวิศาเอ่ยทวนซ้ำด้วยใบหน้างุนงงสงสัย

“อืม อย่าบอกนะว่านายลืมไปแล้วว่าพรุ่งนี้นายต้องไปทำงานแล้ว”

“ท...ทำงาน”

“ฉันเข้าใจนะ ว่านายอยากทำกับฉันเยอะๆ ใช่ไหมล่ะ ถึงกับลาพักร้อนเลยนี่นะ นึกถึงใบหน้าที่เขินอายของนายเมื่อตอนนั้นแล้ว ฉันดีใจจริงๆ นะ ฉันเนี่ยหัวใจเต้นรัวเลยล่ะ” สุดฟ้าเล่าด้วยท่าทางปลื้มและตื้นตันสุดๆ พลางลอบสังเกตใบหน้าทั้งซีดทั้งอึ้งของชวิศาไปด้วย เป็นหน้าตาที่ตลกอย่างมากสุดฟ้ายิ้มแย้มหัวเราะในใจ

“อ่อ...” สุดฟ้าร้องเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักของตู้เตี้ยๆ ซึ่งวางไว้ข้างผนัง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาให้ชวิศา

“โทรศัพท์ของนาย ฉันว่าน่าจะเปิดเครื่องได้แล้วละนะ หมดเวลาพักร้อนแล้วนี่” พูดซ้ำประโยคหลังอีกครั้ง จากนั้นจึงนั่งลงทานข้าวมื้อเย็นของตนต่อไป ปล่อยให้ชวิศาหน้าซีดเหงื่อแตกซกไปแต่เพียงลำพัง

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สอง 01/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-10-2016 22:44:56



วันรุ่งขึ้นสุดฟ้าตื่นขึ้นมาช่วยชวิศาแต่งตัวแต่เช้า เสื้อผ้าทั้งหมดเพิ่งถูกจัดส่งมายังบ้านศิริกรในช่วงเช้ามืดของวัน ทั้งหมดถูกทำความสะอาดและติดอุปกรณ์สอดแนมไว้เรียบร้อย มนุษย์ผู้มีนามว่าชวิศาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเสื้อผ้าชุดนี้มันพิเศษอย่างไรบ้าง เพราะมันดูแสนธรรมดาและแสนปกติราวกับว่าผู้เป็นเจ้าของได้ใส่มันมาแล้วหลายสิบหลายร้อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรอยเปื้อนเล็กๆ ตรงข้อมือ หรือสีของด้ายที่กระดุมเม็ดสุดท้ายซึ่งแตกต่างจากเม็ดอื่นซึ่งเกิดจากการซ่อมแซมราวกับชวิศาเป็นคนปักเข็มลงไปเอง

สุดฟ้าเห็นใบหน้าของชวิศาช่างห่อเหี่ยวและไม่ร่าเริงเอาเสียเลย เขาจึงพูดปลอบใจไปว่า “ไม่เป็นไรนะ ทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็กลับมาบ้านแล้ว อย่าเศร้าไปเลยน่านะ”

ชวิศาพยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

จากนั้นสุดฟ้าก็ยืนโบกมือยืนส่งชวิศาที่หน้าบ้าน พอลับหลังร่างบาง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รีบวิ่งเข้าห้องแห่งความลับของตนทันทีเปิดจอมอนิเตอร์ติดตามภาพของชวิศาซึ่งถูกส่งมาจาก ‘แมลงจักจั่นติดตาม’ ภาพที่ได้เป็นภาพจากมุมสูง ไม่เห็นสีหน้าของชวิศาในภาพชวิศายกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ไม่นานนักเสียงจากลำโพงก็ดังขึ้น แน่นอนว่าโทรศัพท์ของชวิศาก็ถูกติดเครื่องดักฟังเช่นกัน

“พี่โย แย่แล้วละ”

“อะไรของนาย” เสียงปลายสายยังคงงัวเงียเหมือนเพิ่งตื่น

“คนคนนั้นต้องไปทำงานด้วยละ”

“แล้วไงล่ะ ก็ไม่เห็นว่าจะแย่ตรงไหนนี่ นายก็ไปทำสิ” คงเพราะยังไม่ตื่นดีแน่ๆ อีกฝั่งถึงได้ตอบกลับมาแบบนั้น

“ผมไม่อยากไป งานอะไรนั่นผมทำไม่เป็นหรอก” น้ำเสียงงอแงจนสุดฟ้ายังนึกอยากที่จะเห็นหน้า

“งั้นนายก็กลับมาที่บ้าน พอเย็นนายก็ค่อยกลับไปหาหมอนั่น”

“อือ... โอเคตามนั้น” น้ำเสียงสดใสขึ้นในพริบตา

คนในภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า เดินอย่างไม่เร่งร้อนไปตามทางบนท้องถนน ประมาณยี่สิบห้านาทีหลังจากนั้น ร่างเพรียวบางก็เลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง แมลงจักจั่นแสนอัจฉริยะจึงบินลงต่ำเข้าไปใกล้ ภาพของชวิศาที่ยืนกดกริ่งที่หน้าประตูจึงสามารถเห็นได้ชัด ไม่นานจากนั้นบานประตูสีน้ำตาลก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวตุ่นๆ กางเกงขายาวสีดำเดินหาวหวอดมาเปิดประตูรั้ว

“พี่ไม่ไปทำงานเหรอ”

เจ้าแมลงรีบบินตามติดชวิศาเข้าไปข้างในบ้าน มันบินวนเวียนไปรอบๆ จนกระทั่งเป้าหมายหยุดอยู่กับที่ เจ้าแมลงตัวเล็กจึงได้ไปเกาะอยู่กับผนังห้องด้านหนึ่ง

“เดี๋ยวว่าจะเข้าบริษัทตอนสายๆ กินอะไรมาหรือยัง” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยถาม

“เรียบร้อยแล้วล่ะ”

“ดีจังนะ พี่สิ...ตั้งแต่นายไม่อยู่ลำบากขึ้นเยอะเลย แล้วผู้ชายคนนั้นก็ไม่ยอมฟื้นซะที ไหนๆ ก็ไหนแล้วนะ นาย กลับมาทั้งทีช่วยทำอะไรให้พี่กินหน่อยสิ เอาซุปครีมเห็ด เบซิลพาเมร์ กับฟรัวกรา”

สุดฟ้าที่นั่งแอบฟังอยู่ด้วยได้แต่โคลงศีรษะด้วยความงุนงง ไอ้ของพวกนั้นมันอะไรหว่า

“มีของหรือ” อ๊ะ...ไม่น่าเชื่อ ดูเหมือนว่าชวิศาจะรู้ด้วยว่าผู้ชายคนนั้นพูดถึงอะไร

พอชวิศาเคลื่อนที่ แมลงจักจั่นก็ค่อยๆ บินตามติดชวิศาไป สุดฟ้าจึงได้เห็นชวิศาหยิบผ้ากันเปื้อนมาคล้องคอ หยิบกระทะ หยิบของหลายอย่างออกมาจากตู้เย็นสุดฟ้าถึงนึกขึ้นได้ สองแฝดเล่าว่าชวิศาไปเรียนทำอาหารนี่นะ

“แล้วไปอยู่บ้านศิริกรเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“เอ่อ... ก็ดีครับ”

ตรงจุดที่แมลงจักจั่นไปเกาะอยู่ด้านบนตรงหน้าชวิศาพอดี ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งกำลังนั่งจิบชากินขนมขบเคี้ยวชมภาพบนจอแอลอีดีจึงได้มองเห็นทั้งชายหนุ่มผู้ที่แทนตนเองว่าพี่เดินเข้ามาในครัว และชวิศาที่ยืนอยู่หน้าเตาพร้อมรอยยิ้มน่ารักตอนที่ตอบคำถามของพี่ชาย

“ไม่คิดจะขยายความหน่อยหรือว่าดียังไง แต่ช่างเถอะนายโอเคก็ดีแล้ว ว่าแต่เรื่องนั้นล่ะนายรู้หรือยัง” นั่นนะสิ พวกนายอยากรู้เรื่องอะไรกันน๊า....

ชวิศาหันไปมองหน้าคนถาม ก่อนเสียงจะดังขึ้นว่า “ยังอ่ะ”

“อะไรกัน นายเข้าไปอยู่บ้านศิริกรเป็นวันแล้วนะ”

“ใจเย็นๆ สิ ผมจะพยายามสืบให้ได้นะ” ถึงนายจะน่ารักฉันก็ไม่ปล่อยให้นายมาสืบความลับของฉันไปง่ายๆ หรอก

“พยายามให้ได้จริงๆ แล้วกัน ถึงนายจะมีเวลาเป็นเดือนก็เถอะ แต่ถ้ามัวแต่เอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ พอถึงกำหนดจริงๆ นายจะลำบากนะ แล้วเรื่องงานนี่ก็เหมือนกัน ที่จริงแล้วนายควรต้องไปทำ เพราะถ้าเขาฟื้นขึ้นมามันจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับเขาทีหลัง อ๊ะ พอพูดถึงเรื่องงาน ผู้ชายคนนั้นเขาทำงานที่ไหนละ”

ชวิศายิ้มแหยๆ หัวเราะแห้งๆ “ผมไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว ได้อย่างไรกันเนี่ย ไหนดูสิในกระเป๋ามีอะไรบ้าง” ชายหนุ่มผู้พี่พยายามรื้อกระเป๋า แน่นอนว่าในคงมีแต่หลักฐานเท็จที่สุดฟ้าสร้างไว้ทั้งนั้น

จากบทสนทนาแล้ว สุดฟ้าคิดว่าหุ่นยนต์ชวิศาของเขาต้องเกิดปัญหาอะไรอย่างแน่นอน ฟังๆ ดูแล้ว ชวิศาน่าจะอยู่ในสลีฟโหมด แต่ว่าชวิศาเข้าโหมดนี้ได้อย่างไรล่ะ สุดฟ้าขมวดคิ้วอย่างสงสัย จะว่าแบ๊ตหมดก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ระบบพลังงานของชวิศาใช้เวอร์ชั่นเดียวกับของสเตบาสเตียนตอนนี้สเตบาสเตียนอายุสามปีแล้วยังไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรเลย หรือว่าจะช๊อต ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าช๊อตจะไม่มีทางเข้าสลีฟโหมดอยู่แล้ว งือ...ชวิศาเป็นอะไรไปนะ คิดไม่ออกจริงๆ

สุดฟ้าลุกออกจากเก้าอี้อย่างกะทันหัน เขาออกจากห้องแห่งความลับ เดินตรงลิ่วมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน

“ไม่ได้สิ ถ้าไปที่บ้านนั้นตอนนี้ ทั้งสองคนคงจะรู้ว่าเรารู้ความจริงแล้ว” สุดฟ้าเดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงหน้าประตูหลายรอบ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ ต้องวางแผนให้รอบคอบ... ดังนั้นเขาจึงเดินกลับไปที่ห้องทำงานอีกครั้ง เปิดคอมพิวเตอร์ เข้าโปรแกรมควบคุมอุปกรณ์สอดแนมระยะไกล ชายหนุ่มคีย์คำสั่งด้วยความรวดเร็ว ภาพที่ปรากฏบนจอภาพเปลี่ยนไป เจ้าแมลงจักจั่นกำลังเคลื่อนที่ เสียงพูดคุยของชวิศาและพี่ชายยังคงดังออกมาจากลำโพงเป็นระยะๆ

บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้นสุดฟ้าสั่งให้แมลงจักจั่นเริ่มบินสำรวจตั้งแต่ชั้นล่าง แล้วบินวนกลับมาที่บันไดเพื่อขึ้นไปสำรวจชั้นสอง ชั้นสองของบ้านเกือบทั้งหมดเป็นห้องนอน และหนึ่งในห้องนอนเหล่านั้นมีร่างของหุ่นยนต์ชวิศานอนสงบนิ่งอยู่ ดูจากภายนอกแล้วเหมือนว่าชวิศาจะอยู่ในโหมดพาวเวอร์ออฟจริงๆ แล้วความคิดหนึ่งก็พุดขึ้นมาในสมองของสุดฟ้า มีอีกวิธีที่ทำให้ชวิศาเข้าสู่พาวเวอร์ออฟได้นั่นคือ สวิตซ์ที่นิ้วก้อยเท้าข้างขวา ...แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ว่าการที่สุดฟ้าออกแบบให้สวิตซ์ต้องใช้วิธีการดึง หรือการวางตำแหน่งไว้ที่นิ้วก้อยเท้าก็ตาม ล้วนแต่เป็นการป้องกันเหตุที่ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น จนทำให้ชวิศาตัดระบบการทำงานทั้งนั้น

สุดฟ้าวางความคิดเช่นนั้นของตนไว้ก่อน เนื่องจากไม่มีสิ่งใดที่สามารถพิสูจน์ได้ เขาจึงไม่อยากด่วนสรุป หนทางเดียวที่เขาจะรู้ได้คือการได้ร่างของหุ่นยนต์ชวิศากลับมา หรือไม่เขาต้องเข้าให้ถึงตัวหุ่นยนต์ของเขา ชายหนุ่มโหลดภาพที่ได้จากเจ้าแมลงสอดแนมลงเครื่องคอมพิวเตอร์ อัพโหลดภาพเข้าสู่โปรแกรมสร้างแผนผัง รอไม่นานแบบแปลนบ้านที่มนุษย์ชวิศากำลังไปเยือนอยู่ในตอนนี้ก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอ เสียงพูดคุยของชวิศากับพี่ชายยังดังให้ยินเป็นระยะๆ ขณะที่สุดฟ้ากำลังคิดถึงแผนการอย่างถี่ถ้วน



เป็นเวลาร่วมหนึ่งทุ่ม สุดฟ้าถึงได้เห็นชวิศากลับมาถึงบ้าน เจ้าของร่างเพรียวบางไม่ได้กินข้าวมาจากบ้านของพี่ชาย แต่ต้องอยู่ทำอาหารให้พี่ชายทาน เห็นแบบนั้นแล้วสุดฟ้าก็เลยอยากจะทานอาหารที่ชวิศาทำบ้างชายหนุ่มจึงมายืนรอรับร่างบางอยู่ที่หน้าประตู

“กลับมาแล้ว”

“กลับมาแล้วครับ”

“คิดถึงชวิศาจังเลย” สุดฟ้าไม่พูดเปล่ายังจูบชวิศาอีกด้วย ใบหน้าใสจึงแดงเรื่อและก้มหน้าลงต่ำด้วยความเอียงอาย

“ชวิศาไปทำอาหารเถอะ ฉันรอนายจนท้องกิ่วแล้ว” สุดฟ้ารุนหลังชวิศาให้เดินเข้าไปในครัว หากเป็นคนอื่นที่เพิ่งเลิกงานกลับมาถึงบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย การที่โดนคนที่อยู่บ้านบังคับให้ทำอาหารทั้งที่เจ้าตัวก็อยู่บ้านทั้งวันแท้ๆ ไม่ว่าใครก็คงจะรู้สึกหงุดหงิดกันบ้าง แต่ก็นั่นแหละ ความรู้สึกแบบนั้นคงไม่มีทางเกิดกับชวิศา เพราะเขาทั้งไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเนื่องจากใช้แรงในการทำงาน รวมทั้งการทำอาหารนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ชวิศาถนัด

อาหารเย็นมื้อนั้นยังเป็นอาหารไทยที่สุดฟ้าเห็นหน้าค่าตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ใบหน้าคมเข้าภายใต้แว่นสายตากรอบหนา ทรงผมกระเซอะกระเซิงจึงเบ้หน้าเบี้ยวปาก ก่อนจะบ่นงึมงำให้ร่างบางที่นั่งอยู่ตรงหน้าฟังว่า

“ทำไมนายไม่ทำมักกะโรนีไก่อบซอส ผักโขมอบชีสหรือริซอตโต้ บ้างละ ไอ้พวกนี้ฉันกินจนเบื่อแล้วนะ”

ชวิศาเอียงคอขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำท่าเหมือนสงสัย ที่สงสัยก็คงเพราะชื่อรายการอาหารที่สุดฟ้าร่ายมาให้ฟังมันคุ้นหูเหมือนที่พี่ชายบอกให้ตนทำให้กินเมื่อตอนกลางวันอย่างไรอย่างนั้น แล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ด็อกเตอร์ก็อยากกินงั้นหรือครับ แต่ในตู้เย็นไม่มีวัตถุดิบเลย ถ้าอย่างไรพรุ่งนี้ผมไปซื้อของมาทำให้นะครับ” คนพูดยิ้มกว้างจนดูเหมือนว่าใบหน้านั้นจะกระจ่างใสไปยิ่งกว่าเดิม ทั้งในดวงตาดูเหมือนว่าจะมีประกายระยิบระยับด้วยเช่นกัน สุดฟ้าจึงพยักหน้ารับคำโดยแทบจะไม่รู้ตัว เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของพวกที่อยากจะย้ายสาขาตอนเรียนนั่นแล้ว ใบหน้าแบบนี้ใครบ้างละที่อยากจะละสายตา...

จบอาหารมื้อเย็น หลังจากปล่อยให้กระเพาะอาหารได้ทำงานไปสักพัก สุดฟ้าก็ดึงชวิศาให้มาออกกำลังด้วยกิจกรรมเข้าจังหวะ ครั้งนี้สถานที่ที่สุดฟ้าเลือกเป็นโซฟาหน้าทีวีซึ่งควบรวมห้องรับแขกไปในตัวนั่นแหละ และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องร่องรอยในภายหลัง ชายหนุ่มจึงได้หาผ้ามารองไว้ อันที่จริงถ้าหากว่ามันเลอะแล้วหลังจากนั้นค่อยนำไปซักหรือเปลี่ยนใหม่มันก็คงไม่ใช่เรื่องลำบาก แต่มันจะมีเรื่องยุ่งยากตอนที่สองแฝดจะพรวดพราดเข้ามาในบ้านอย่างไม่รู้กำหนดเวลานี่ล่ะ พูดกันตามจริงเขาไม่อยากให้สองคนมายุ่งกับชวิศา และที่สำคัญที่สุดคือไม่อยากให้รู้ว่าชวิศาที่อยู่กับเขาคนนี้เป็นมนุษย์จริงๆ

“อ่ะ อืม”

แม้จะค่อนข้างเขินอายในช่วงแรก แต่เมื่อสุดฟ้าบอกให้ทำอะไรชวิศาก็ยอมทำตามที่เขาบอก นั่นแสดงว่าค่าตอบแทนที่ชวิศาจะได้รับเมื่อทำงานสำเร็จคงจะสูงมากทีเดียว ถึงได้ยอมทอดกายให้เขาขนาดนี้ แน่นอนว่าที่มาของความคิดนี้มาจากซีรี่ย์เรื่องหนึ่งที่สุดฟ้าเคยดูนั่นเอง ดังนั้นชายหนุ่มจึงคิดจะตักตวงความสุขจากเรือนร่างที่สวยงามนี้ให้คุ้มค่า ก่อนจะยอมตอบแทนเล็กน้อยด้วยสิ่งของที่ชวิศาอยากได้

ด้วยความคิดเช่นนี้สุดฟ้าจึงกกกอดชวิศาทั้งคืน ให้ร่างกายนั้นสร้างความสุขสมให้เขาหลายต่อหลายครั้ง โดยไม่คำนึงว่าตนได้กุเรื่องให้อีกฝ่ายต้องไปทำงานในวันรุ่งขึ้น สุดฟ้าตั้งหน้าตั้งตาใช้ร่างกายของชวิศาให้คุ้มค่าที่สุดและเช้าต่อมาชวิศาก็ต้องตื่นมาด้วยรสจุมพิตอันดูดดื่มทั้งที่เพิ่งได้หลับไปแค่ประมาณสามชั่วโมงเท่านั้น ยังไม่ทันตื่นดีร่างเพรียวบางก็ถูกอุ้มพาเข้าห้องน้ำไปขัดสีฉวีวรรณเสียเอี่ยมอ่อง แต่กระนั้นตอนที่สุดฟ้ากำลังแต่งตัวให้ ร่างบางยังคงสัปหงกงึกๆ อยู่ดี

ชายหนุ่มอมยิ้มเมื่อดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องรู้ราวรู้จักระแวดระวังภัยที่กำลังจะเกิดเสียเลย ตอนที่เขาดันร่างอีกฝ่ายที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวปราศจากอาภรณ์สำหรับส่วนล่างให้เอนตัวเองนอน ฝ่ายนั้นก็ทำตามอย่างว่าง่าย สุดฟ้าจับท่อนขาเรียวแยกออกเปิดเผยให้เห็นช่องทางหลืบลึกเบื้องหลังซึ่งยังคงบวมแดงเล็กน้อย ใช้ปลายลิ้มโลมเลียหยอกเย้าอย่างอดใจไม่ไหวก่อนจะสอดอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นแท่งเรียวรีขนาดสั้นๆ เข้าไป คราวนี้ชวิศาจึงได้ตื่นเต็มตา

“ด... ด็อกเตอร์ทำอะไรหรือครับ” อุปกรณ์ที่ว่ามันกำลังสั่นอยู่ภายในร่างกาย ในขณะที่ชวิศาไม่สามารถลุกขึ้นได้เพราะถูกท่อนแขนแข็งแรงของสุดฟ้ากดไว้

“หือ ไม่มีอะไรหรอก อุปกรณ์ที่ช่วยทำให้นายไม่ง่วงตอนทำงานไง”

“แต่ว่ามัน...” แรงสั่นสะเทือนไม่ได้รุนแรงนัก แต่ทำให้ชวิศารู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นริ้วไปทั่วร่าง ส่วนอ่อนไหวด้านหน้าก็กำลังเปลี่ยนรูป พร้อมกับของเหลวที่ไหลซึมออกมาจากส่วนปลาย

“ไม่ต้องห่วงนะ ไม่มีทางที่ใครจะรู้หรอกว่านายสอดอะไรไว้ข้างใน แต่นแต้นแต๊น สิ่งประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดจากสุดยอดอัจฉริยะ สุดฟ้าศิริกร กางเกงในซึมเปื้อน ซึมซับได้ดีแม้วันมามาก หลังจากที่นายใส่กางเกงในตัวนี้แล้วแม้นายจะปลดปล่อยจนเลอะแค่ไหนมันก็ไม่มีทางเล็ดลอดออกมาเลอะกางเกงตัวนอกเด็ดขาด”

ชวิศายันตัวลุกขึ้นหลุดพ้นจากพันธนาการเมื่ออีกฝ่ายหันไปสนใจกับการโฆษณาสิ่งประดิษฐ์ของตน

“ผม...”

“อะไรกันเมื่อก่อนนายก็ทำแบบนี้ออกจะบ่อย นี่เพราะเห็นว่านายบ่นหรอกนะ ฉันถึงได้ทำกางเกงในตัวนี้มาให้ เอ๊ะ แต่ว่าพักนี้นายก็ดูแปลกๆ ไปเหมือนกันนะ” สุดฟ้าแกล้งหรี่ตาจับพิรุธ

“อ...เอ่อ... ไม่นี่ครับ ผมแปลกจากเดิมตรงไหน” พูดจบก็ดึงกางเกงมาสวมทันที เนื้อผ้าที่เสียดสีทำให้ร่างเพรียวบางส่งเสียงออกมาเบาๆ จากนั้นก็สวมกางเกงผ้าขายาวทับ ความร้อนรุ่มเหมือนจะทวีขึ้นทันตา ใบหน้าของชวิศาจึงแดงระเรื่อ

“งั้นไปกินข้าวเถอะ สเตบาสเตียนทำไว้ให้แล้ว” สุดฟ้ายิ้ม

“ม... ไม่ดีกว่าครับ ผะ...ผม ไปทำงานก่อนดีกว่า” ชวิศาบอก คว้ากระเป๋ารีบออกจากบ้านไปทันที สุดฟ้ายกยิ้มด้วยความสนุกสนาน เขารีบเดินเข้าห้องแห่งความลับเช่นเดียวกัน หลังเปิดจอแสดงภาพ ชวิศาซึ่งเดินอย่างเร่งรีบก็ปรากฏตัวขึ้น จุดมุ่งหมายคงเป็นบ้านหลังเมื่อวาน หากวันนี้ชวิศาไม่ต้องหยุดกดกริ่งหน้าบ้าน เขาใช้กุญแจไขเข้าไป และตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องหนึ่งบนชั้นสอง ในจอภาพสุดฟ้าเห็นชวิศารูดลงไปกับประตูแล้วล้มตัวนอนลงไปกับพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความปรารถนาที่พยายามกักเก็บไว้ เขามองด้วยความสนใจอย่างที่ไม่สามารถหยุดรอยยิ้มของความสนุกสนานไว้ได้

“ฮ่ะ ฮึก” เสียงนั้นลอดผ่านลำโพงมาเบาๆ หัวใจของชายหนุ่มที่อยู่หน้าจอแอลอีดีเต้นรัว ชวิศาลุกขึ้นถอดกางเกงของตัวออก แล้วดึงอุปกรณ์ที่สุดฟ้าสอดไว้ใส่ออกมา สุดฟ้ารู้สึกอึ้งไปนิดๆ เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าชวิศาจะทำแบบนี้ เพราะ ชายหนุ่มคิดว่าอุปกรณ์ดังกล่าวต้องอยู่ในตัวชวิศาไปตลอดจนกว่าเขาจะเป็นคนไปนำมันออก

“ชวิศาเป็นมนุษย์นี่นะ เรื่องแบบนี้ต้องคิดเองได้อยู่แล้ว”

แม้จะรู้สึกขัดอารมณ์อยู่บ้าง แต่ภาพการเคลื่อนไหวของคนที่อยู่ในจอภาพก็ปลุกเร้าความปรารถนาของชายหนุ่มขึ้นมา มือเรียวเล็กกำลังรูดรั้งปลดเปลื้องความต้องการของตัวเองอยู่ต่อหน้าต่อตาของสุดฟ้าโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่ามีใครบางคนจับจ้องอยู่ เพราะชวิศายังคงใส่เสื้อเชิ้ตที่มีกระดุมซึ่งฝังไมโครโฟนขนาดจิ๋วไว้ เสียงที่ดังผ่านลำโพงจึงดังชัดเจน สุดฟ้ากลืนน้ำลายดังเอื้อก ฝ่ามือเลื้อยผ่านขอบกางเกงยางยืดเข้าไปกอบกุมความเร่าร้อนของตนบ้าง สายตาจับอยู่ที่ภาพบนหน้าจอ ขยับมือแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับอีกฝ่าย หากไม่นานนักร่างบางตรงหน้าก็ถึงฝั่งฝันไปเสียก่อน สุดฟ้าชะงัก ความปรารถนายังคงร้อนรุ่มแข็งขืนอยู่ในฝ่ามือ เขาหัวเสีย ก่อนจะขยับมืออีกครั้งด้วยความหัวเสียเช่นเดียวกัน ต่อจากนั้นอีกชั่วอึดใจของเหลวขาวขุ่นจึงถูกปลดปล่อยออกมา ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิด หันหลังเดินออกจากห้องเพื่อกำจัดกลิ่นคาวที่แสนน่าสะอิดสะเอียน

ร่างในจอยังคงนั่งนิ่งหลังพิงกับบานประตู ไม่ว่าจะด้วยเพราะเจ้าแมลงสอดแนมจะอยู่ห่างออกมาค่อนข้างไกล หรือเป็นเพราะความละเอียดของภาพ แต่น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาอย่างเงียบเชียบนั้น ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้เลย



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สาม 09/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 09-10-2016 07:32:22
ตอนที่สาม



หลังจากจัดการทำความสะอาดเรียบร้อย สุดฟ้าจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเสียงสัญญาณรอสายดังนาน จนสุดฟ้ารู้สึกหงุดหงิด และเขาต้องกดโทรออกเป็นครั้งที่สองอีกฝ่ายจึงกดรับ

“ทำไมไม่รับสาย” สุดฟ้าตะคอกถามออกไปโมโหกรุ่นโกรธเสียเห็นช้างตัวเท่ามด อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปนานไม่พูดตอบกลับมาเสียที สุดฟ้าจึงยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม

“เที่ยงนี้ออกมากินข้าวกับฉันที่โรงแรมตรงข้ามกับที่ทำงานของนาย” ชายหนุ่มพูดรวดเดียวจนจบและวางสายโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ เขาเดินไปเดินมาอย่างที่ไม่รู้ว่าจะทำให้อารมณ์ปั่นป่วนในอกจางหายไปได้อย่างไร โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้


เวลาพักเที่ยงของเหล่าพนักงานบริษัทมาถึงอย่างรวดเร็ว สุดฟ้าที่นั่งรอชวิศามาตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งหงุดหงิดจนไม่สามารถสงบสติบังคับให้ร่างกายอยู่นิ่งๆ ได้ เขารู้พอๆ กับที่ชวิศารู้ ว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ทำงานในบริษัทฝั่งตรงข้าม ดังนั้นไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะช้าได้ถึงขนาดนี้ ดังนั้นพอเห็นร่างบางในกรอบสายตา เขาจึงรี่ตรงเข้าไปหาทันที จับกระชากต้นแขนอีกฝ่ายอย่างไม่ออมมือ

“ทำไมถึงมาช้า” เขากดเสียงถามลอดไรฟัน

“ด็อกเตอร์บอกว่า... เที่ยง”

สุดฟ้าไม่รู้ว่าความโมโหโทโสที่กำลังพวยพุ่งนี้มาจากไหน แต่มันช่างรุนแรงโดยที่ชายหนุ่มไม่อาจจะยับยั้ง

เขาลากชวิศาให้เดินตาม ผลักไสร่างเล็กบางกว่าเขาไปในห้องน้ำชั้นล่างของโรงแรม ตอนที่สุดฟ้าและชวิศาเข้าไป มีคนอยู่สองสามคน แต่สุดฟ้าไม่สนใจ คนสองสามคนจะมองพวกเขาด้วยสายตาเช่นไรตอนที่เห็นเขาทั้งคู่เข้าไปขังตัวในห้องน้ำห้องเดียวกัน สุดฟ้ารู้เพียงแต่ว่า ...เขาต้องการปลดปล่อยที่นี่และเดี๋ยวนี้!!!

ชวิศามองเขาด้วยดวงตาที่มีน้ำคลอหน่วย ตอนที่เขาปลดเข็มขัดและตะขอกางเกงของชวิศาออก

“อย่าทำเลยนะครับ เรากลับไปทำที่บ้านเถอะ”

“ฉันจะทำที่นี่ หันหลังไป” เขาพูด เสียงแข็งด้วยอารมณ์

“ผมขอล่ะ”

สุดฟ้าไม่ฟังคำขอร้องนั้น เขาจับชวิศาให้หันหลังหันหน้าเข้าชนกำแพง ก่อนกระซิบเสียงต่ำไปว่า “ถ้าไม่อยากส่งเสียงแปลกๆ ก็กัดชายแขนเสื้อไว้ซะ” ชายหนุ่มไม่สนใจว่าชวิศาจะทำตามที่เขาพูดหรือไม่ ตอนที่เขาถลกกางเกงชั้นในของชวิศาลงแล้วเห็นว่าภายในช่องทางด้านหลังไม่มีอุปกรณ์ที่เขาสอดไว้เมื่อตอนเช้า เหมือนว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นความผิดร้ายแรงที่ทำให้เขาหน้ามืด แล้วสวนกายเข้าไปแทนที่อย่างไม่ปรานีปราศรัย ร่างที่ถูกกระทำสั่นระริกโดยที่มีเสียงร้องออกมาจากในลำคอเบาๆ สุดฟ้ากระแทกกายเข้าหาอย่างรุนแรง ถาโถมอย่างบ้าคลั่ง ภายในอกร้อนรุ่มเหมือนมีไฟแผดเผา ในหูเหมือนจะได้ยินแค่เสียงวิ้งๆ โดยไม่สนว่าชวิศาจะรู้สึกอย่างไร จะเจ็บปวด เสียใจหรืออะไรก็ตามแต่ ไม่สนใจว่าชวิศาคนที่ยืนตรงนี้เป็นมนุษย์จริงๆ ที่มีเลือดเนื้อ เขารับรู้แค่ว่าตนไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ไม่ชอบใจที่ชวิศาขัดขืนคำสั่ง โมโหและหงุดหงิดที่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีความคิดและอยู่ได้ด้วยตัวเอง

ตอนที่ร่างกายกระตุกถี่ๆ ปลดปล่อยของเหลวขาวขุ่นเข้าไปภายในร่างกายของอีกฝ่าย สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกเหมือนจะหายไปส่วนหนึ่ง

ทันทีที่ชายหนุ่มปล่อยมือจากสะโพกที่เคยยึดไว้ ร่างเพรียวสมส่วนที่ดูบอบบางลงเมื่ออยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวก็ร่วงไปกองอยู่ที่พื้นพร้อมกับใจของเขาที่หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม สุดฟ้าพยุงชวิศาขึ้นมา ดึงร่างที่คว่ำหน้าอยู่กับถังพักน้ำให้หันมาทางตน ใบหน้านั้นซีดราวกับกระดาษ ตอนที่พยายามจะสวมกางเกงให้ชวิศา เขาจึงได้เห็นของเหลวสีแดงปะปนอยู่กับคราบคาวขาวขุ่น

เลือดออก... สุดฟ้าพึมพำในใจ มือที่สั่นระริกยังทำหน้าที่ของมันต่อไป สุดฟ้าเช็ดสิ่งตกค้างที่ปรากฏอยู่บนพื้นด้วยกระดาษทิชชู่ และอุ้มพาชวิศาออกมาจากห้องน้ำเล็กๆ ห้องนั้น คราวนี้ด้านนอกนั่นไม่มีใครเลย ตอนที่ออกมาถึงฟรอนต์ ดูเหมือนจะมีคนมองเขาทั้งสองคนด้วยความใคร่รู้อยู่บ้างเช่นเดียวกัน แต่สุดฟ้าพุ่งตัวผ่านประตูโรงแรมออกไปอย่างรวดเร็ว เรียกรถแท็กซี่ พาชวิศาขึ้นไปและสั่งให้ตรงไปยังบ้านของเขาให้เร็วที่สุด

หัวใจของเขายังคงเต้นระรัวขณะที่เลือดภายในกายเย็นเยียบ ชวิศายังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยหลังจากที่เขาจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายจนเรียบร้อย สุดฟ้ามองใบหน้าขาวซีดที่เริ่มจะมีสีเลือดจางๆ ด้วยความกังวล ก่อนจะลุกขึ้นหันหลังและเดินออกจากห้อง

ชายหนุ่มเดินตรงไปยังห้องทำงานของตน กดรหัสปลดล็อกประตู และเดินเข้าไปในห้องที่สว่างขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อประตูเลื่อนเปิด

สุดฟ้าเปิดคอมพิวเตอร์ เขาเช็กอีเมลที่ส่งมาจ้างงานโดยหวังว่าจะทำให้หัวใจที่ว้าวุ่นนี้สงบลง แต่ไม่มีข้อความไหนที่น่าสนใจเลย หรือที่จริงแล้วใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ข้อความเหล่านั้น จึงเลือกอีเมลที่อยู่ในกล่องจดหมายแล้วลบมันทิ้ง ก่อนที่จะเปลี่ยนหน้าจอเป็นภาพชวิศาซึ่งกำลังหลับใหลอยู่บนเตียง

ภาพชวิศาที่สุดฟ้าใช้กล้องวงจรปิดจับตาดูอยู่นี้เป็นหุ่นยนต์ชวิศาที่เขาสร้างขึ้น สายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่ร่างซึ่งนอนสงบนิ่งแต่ใจกลับกระหวัดไปถึงใครอีกคน เขามองร่างนั้นนิ่งๆ ด้วยความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง

เขาควรเปิดโปงเรื่องโกหกนี้ซะ.... สุดฟ้าได้แต่ครุ่นคิดในใจ



เวลาผ่านไปนานพอดูจนกระทั่งมีเสียงเรียกของสเตบาสเตียนดังออกมาจากลำโพงเล็กๆ ข้างประตู เสียงของสเตบาสเตียนยังคงทื่อๆ เหมือนเช่นเคย

“ดูเหมือนว่าคุณชวิศาจะนอนหลับอย่างไม่สบายตัวนัก ผมเลยมาเรียกด็อกเตอร์ให้ไปดู”

“วันนี้อากาศร้อน นายก็ไปเร่งแอร์ให้เขาหน่อยสิ”

“ผมเร่งแอร์ให้แล้วครับเมื่อชั่วโมงก่อน แต่เมื่อครู่ผมไปดูอีกครั้ง คุณชวิศากลับทำท่าหนาวสั่น ตามข้อมูลที่ผมมี อาการเช่นนี้น่าจะเรียกว่าไข้หวัด แต่ที่บ้านไม่มีทั้งยาและอุปกรณ์อื่นเลย ผมจึงไม่สามารถตรวจสอบได้”

ชายหนุ่มเดินผ่านหน้าหุ่นยนต์พ่อบ้านไปอย่างรวดเร็ว เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนที่เย็นสบายโดยที่สเตบาสเตียนยังตามมาข้างหลัง เสียงวีดของเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนหยุดลงพร้อมกับสุดฟ้าที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ตรงหน้าเตียงที่ชวิศานอนอยู่

เขาชะงักไปเป็นครู่ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าผากของร่างที่นอนกระสับกระส่าย และรีบชักมือกลับ อุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายสูงกว่าปกติไปมากเลยทีเดียว ...ชวิศาไม่สบาย

“เดี๋ยวฉันจะไปซื้อยา” สุดฟ้าออกจากบ้านไปอย่างเร่งร้อน

สุดฟ้าเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยได้เผชิญกับอาการป่วยบ่อยนัก ตั้งแต่ที่เขาต้องอยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้ วันที่เขาล้มป่วยนั้นแทบจะนับครั้งได้ ของจำพวกนั้นจึงแทบไม่ใช่สิ่งจำเป็น และแม้จะรู้อยู่อย่างขึ้นใจแล้วว่ายาประเภทใดที่สามารถลดอาการไข้ได้ (เหมือนที่คนทั่วไปเขารู้กัน) แต่สุดฟ้าก็ยังซื้อยาบรรเทาอาการต่างๆ มาอย่างมากมาย แม้แต่ยานวดคลายกล้ามเนื้อ

“ให้น้ำเกลือดีไหม” สุดฟ้าออกปากถามความคิดเห็นจากสเตบาสเตียน ทั้งที่รู้ดีว่ายังไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นและในอุ้งมือมียาพาราเซตามอลอยู่สองเม็ด

“ไม่จำเป็นหรอกครับ ด็อกเตอร์ให้คุณชวิศาทานยา และเช็ดตัวให้บ่อยๆ ก็เพียงพอครับ”

“แค่นั้นเหรอ”

“แค่นั้นครับ” สเตบาสเตียนพูดซ้ำยืนยันให้สุดฟ้าแน่ใจ ชายหนุ่มจึงพยายามหยอดยาใส่ปากของชวิศาด้วยอาการเก้ๆ กังๆ

“ทำแบบนั้น อีกสามวัน คุณชวิศาก็คงยังไม่ได้กินยาหรอกครับ” สุดฟ้าหันไปมองค้อนหุ่นยนต์ที่พูด ใช่!!! ไอ้สิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นหุ่นยนต์นะสิ แต่กลับพูดจาค่อนแคะเหมือนคนจริงๆ ไม่มีผิด

“ผมป้อนยาให้คุณชวิศาเองดีกว่าครับ” สเตบาสเตียนพูดพลางขยับตัว สเตบาสเตียนมีนิ้วมือห้านิ้วและมีมือสองข้างเหมือนมนุษย์ รวมถึงที่ปลายนิ้วยังมีเซนเซอร์เพื่อตรวจวัดระยะยามที่จับสิ่งของ จากนั้นสมองกลจะทำการคำนวณแรงที่ใช้ในการหยิบจับหรือสัมผัส ดังนั้นแม้แต่ยามที่สเตบาสเตียนหยิบแก้วบางใสซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถแตกได้ง่าย ยังสามารถทำได้เหมือนมนุษย์ไม่มีผิด

“ไม่ต้อง” สุดฟ้าปฏิเสธเสียงแข็ง

“บอกมาว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”

ถ้าสเตบาสเตียนเป็นมนุษย์คงต้องถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายกันบ้างล่ะ

“ด็อกเตอร์ต้องพยุงตัวคุณชวิศาขึ้นก่อนครับ ให้หลังพิงกับด็อกเตอร์ไว้ก็ได้ครับ”

“อย่างนี้หรือ” สุดฟ้าพยายามจัดท่าให้ศีรษะของชวิศาพิงอกของเขา “แล้วยังต่อล่ะ แต่เหมือนจะเคยเห็นในหนังเลยแฮะ” พูดแบบนั้นแล้วจึงยิ้มกว้าง ก่อนจะเอายาใส่เข้าไปในปากตัวเอง

แหยะ...ขมแฮะ สุดฟ้าคิดในใจ และประกบปากกับคนป่วย เขาพยายามใช้ลิ้นแทรกเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่าย พร้อมทั้งดันยาเข้าไปอย่างทุลักทุเล แต่ใช่ว่าเจ้ายาสองเม็ดนั้นจะยอมทำตามคำสั่งของเขาง่ายๆ มันกลับคาอยู่กลางลิ้นนี่เอง สุดฟ้าจึงม้วนลิ้นตัวเองกลับมาอีกครั้งเพื่อดุนยาไปไว้ปลายลิ้น แต่แล้ว... เอือก เขากลับกลืนมันเข้าไปเองซะนี่

สุดฟ้าเงยหน้าขึ้นมามองสเตบาสเตียน

“ฉันกลืนมันลงไปแล้วล่ะ”

“ครับ” โชคดีที่หุ่นยนต์ไม่สามารถแสดงอาการใดๆ ได้สเตบาสเตียนจึงพูดต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้น ด็อกเตอร์ป้อนยาให้คุณชวิศาต่อเถอะครับ”

สุดฟ้าจึงทำตามที่สเตบาสเตียนบอกอย่างว่าง่าย หลังจากนั้นเขาทำการเช็ดตัวให้ชวิศาอีกรอบ สเตบาสเตียนจึงกลับออกไปทำงานของตน ปล่อยให้สุดฟ้านั่งเฝ้าชวิศาอยู่ข้างเตียง นั่งไปนั่งมาสุดฟ้ารู้สึกง่วงเหมือนกัน เลยย้ายไปนอนข้างชวิศาแทนความร้อนแผ่ออกมาจากร่างกายของชวิศาจนน่ารำคาญกระนั้นสุดฟ้ายังคงกอดชวิศาไว้อยู่ดี



รู้สึกตัวตื่นขึ้นมากันอีกครั้ง ท้องฟ้าด้านนอกกลายเป็นสีดำสนิท ภายในห้องมืดมิด แต่สุดฟ้าเหมือนเห็นแววตาของชวิศา อุณหภูมิร่างกายของคนในอ้อมกอดลดลงมาเหลือแค่ความรู้สึกอุ่นๆ หากลมหายใจที่เป่ากระทบยังคงความร้อนไม่เจือจาง

“ปล่อยเถอะครับ เดี๋ยวด็อกเตอร์จะติดหวัดไปด้วย” เสียงของชวิศาแหบแห้ง

“ไม่ทันแล้วล่ะ ฉันนอนกอดนายมาหลายชั่วโมงแล้ว”

ชวิศาหลุบสายตาลง ทั้งที่ภายในห้องนี้ก็มืด แต่สุดฟ้ารู้สึกเหมือนจะเห็นสีหน้าของชวิศาได้อย่างชัดเจนเหลือเกิน เขากระชับอ้อมกอดพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า

“ฉันขอโทษ”

คำพูดนั้นทำให้ร่างบางกระตุกและเกร็งตัว

ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของชวิศา รวมถึงไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของสุดฟ้า เป็นเช่นนั้นอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งสุดฟ้าดึงตัวชวิศาให้ลุกขึ้น

“กินข้าวดีกว่านะ แล้วนายจะได้พักผ่อนต่อ ป่านนี้สเตบาสเตียนคงเตรียมอาหารไว้แล้วล่ะ” เขาไม่อยากคิดอะไรให้มากไปกว่านี้ แม้จะมั่นใจในความชาญฉลาดของตัวเอง แต่ปัญหาบางอย่างคงต้องให้เวลาคิดอีกสักหน่อย ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเดินไปเปิดไฟ พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า

“ออกไปกินข้างนอกดีกว่านะฉันจะได้กินด้วย”

ใบหน้าของชวิศาเหยเกยามที่พยายามลุกขึ้น สุดฟ้าจึงรีบปราดเข้าไปหา

“ฉันขอโทษ” สุดฟ้าพูดซ้ำอีกครั้ง ชวิศามองแล้วยิ้มพูดตอบกลับมาเบาๆ ว่าช่างมันเถอะครับ อย่าไปสนใจเลย และพยายามลุกขึ้น สุดฟ้าจึงถือโอกาสนั้นอุ้มชวิศาขึ้น พาเดินออกไปข้างนอก

ดวงไฟในบ้านของสุดฟ้านั้นเป็นระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ ยกเว้นก็แต่ในห้องนอนเท่านั้น ตอนที่สุดฟ้าก้าวออกมาจากห้องไฟของห้องด้านนอกจึงได้สว่างเรียงกันไปตามทางที่สุดฟ้าเดิน สเตบาสเตียนเองก็เพิ่งออกมาโหมดประหยัดพลังงานเมื่อเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหวของคนทั้งคู่ได้

“ไปเอาเบาะรองนั่งมาที่นี่หน่อย แล้วยกอาหารมา”

สเตบาสเตียนเคลื่อนที่พร้อมเสียงวืดเบาๆ วางเบาะบนเก้าอี้ของโต๊ะทานอาหาร

“ผมทำข้าวต้มเตรียมไว้ให้คุณชวิศาแล้วครับ ด็อกเตอร์จะรับเป็นอะไรดีครับ” เจ้าหุ่นยนต์ถามขณะที่สุดฟ้าวางชวิศาลงเบาะอย่างเบามือ

“ข้าวต้มนั่นล่ะ”

ไม่ถึงนาทีข้าวต้มหอมฉุยที่มีควันสีขาวลอยกรุ่นก็มาวางอยู่ตรงหน้า สุดฟ้าดึงถ้วยของชวิศาเข้ามาใกล้ หยิบช้อนขึ้นมาคนพลางเป่าไอร้อนให้จางลง ตอนที่ตักข้าวจะป้อนเข้าปากอีกฝ่าย คนที่นั่งมองอยู่จึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมทานเองได้”

“อือ รู้แล้วแต่ฉันจะป้อน กินซะ” คำพูดคล้ายคำสั่งกลายๆ ทำให้สีหน้าคนฟังเผือดสีลงเหมือนลำบากใจ แต่กลับยอมอ้าปากกินข้าวคำนั้นเข้าไปแต่โดยดี พอป้อนอีกฝ่ายไปคำสุดฟ้าจะตักข้าวเข้าปากตัวเองไปสองคำ ชวิศาจะเคี้ยวช้าๆ ราวกับไม่อยากกินหรือกลืนไม่ลง บางครั้งสุดฟ้าจึงกินเข้าไปสามคำกว่าที่ชวิศาจะกลืนลงไปหมด ทั้งสองนั่งกินข้าวเงียบๆ จนหมดถ้วยแรกสุดฟ้าถึงดึงถ้วยที่สองเข้าหาตัวทำท่าจะตักข้าวป้อนอีกฝ่าย

“ผมอิ่มแล้วครับ”

“ไม่ได้ นายพึ่งกินไปแค่หกช้อนเท่านั้น ข้าวต้มทั้งถ้วยมีสามสิบสองช้อน นายยังกินไม่ถึงครึ่งเลย อย่างน้อยนายต้องกินอีกเก้าช้อน”

“แต่...” ร่างเพรียวบางอยากจะเถียงแต่อีกฝ่ายกลับยื่นช้อนมาตรงหน้าเสียแล้ว ชวิศาจึงต้องอ้าปากและรับอาหารเข้าปาก

ครั้งนี้เก้าช้อนที่ว่าทำให้ชวิศาอิ่มจริงๆ ถึงกับถอนหายใจเฮือกที่ข้าวต้มในถ้วยหมดลงเสียที และยังไม่ทันคิดที่จะลุกขึ้น ร่างทั้งร่างก็ถูกอุ้มลอยสูงขึ้นอีกครั้ง สุดฟ้าพาชวิศาตรงดิ่งกลับไปยังห้องนอน วางร่างบางกว่าไว้บนเตียง จากนั้นหันไปหยิบผ้าขนหนูและกะละมังใส่น้ำใบเล็กที่ใช้เช็ดตัวให้ชวิศาเมื่อตอนกลางวัน รองน้ำอุ่นใส่และกลับมานั่งอยู่ที่ข้างเตียงอีกครั้ง

“เดี๋ยวจะเช็ดตัวให้”

“ไม่ต้องหรอกครับผมทำเองได้”

“อือ แต่อยากทำให้ ถอดเสื้อออกสิ” ไม่พูดเปล่ายังรั้งชายเสื้อยืดของชวิศาขึ้น ข้างฝ่ายชวิศาใช่ว่าจะยอมง่ายๆ จึงยึดมือหนาไว้ ยื้อกันไปยื้อกันมาอยู่พักใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของบ้านก็ไม่ยอมลงให้จึงใช้วิธีรวบรัดตัดความ รวบข้อมือเล็กเข้าไว้ด้วยกันแล้วกดร่างเพรียวลงกับพื้นเตียงพร้อมกับดึงชายเสื้อยืดพรวดเดียวจนไปหยุดกองอยู่ที่เหนือศีรษะ ความเย็นที่มากระทบร่างกายทำให้ชวิศาสั่นสะท้าน พร้อมกับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เมื่อเห็นคนที่นอนอยู่โอนอ้อนไม่ขัดขืน สุดฟ้าจึงดึงเสื้อยืดแขนสั้นให้พ้นจากปลายแขน ก่อนจะหันไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้ชวิศา เพราะเป็นครั้งที่สองสุดฟ้าถึงได้เช็ดตัวให้อีกฝ่ายได้อย่างคล่องมือ

เมื่อถึงตอนที่สุดฟ้าจะถอดกางเกงขาสั้นของชวิศาออก มือเรียวบางจึงยื้อฝ่ามือหนาไว้อีกครั้ง

“ไม่ทำอะไรหรอก แค่เช็ดตัวเฉยๆ”

สุดฟ้าเห็นสายตาที่มองตรงมาของชวิศา มันเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ แต่เขาแน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง คำว่าไม่เป็นไรของชวิศายังคงมีความคลางแคลงแฝงอยู่ เขารู้สึกยอกในอก รู้สึกโมโหหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุอีกครั้ง

“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ชวิศา” สุดฟ้าสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“บอกให้ปล่อยมือ” สุดฟ้าย้ำอีกครั้ง ชวิศายอมปล่อยมือแต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายจำใจ ร่างเล็กบางกว่านิ่งเงียบ ไม่ยอมมองหน้า เห็นอย่างนั้นเขายิ่งรู้สึกหงุดหงิด ...มันจะอะไรกันนักหนา เขาก็แค่อยากจะทำดีไถ่โทษ ทำไมต้องทำเหมือนไม่พอใจ

....ถ้าไม่พอใจกันนักก็กลับไปสิ สุดฟ้าอยากจะตะโกนกลับไปเช่นนั้น แต่เขาไม่ทำหรอก เพราะต้องเอาคืนจากชวิศาให้สาสม ในฐานะที่มากระตุกหนวดสิงโตเช่นเขา

ชายหนุ่มจึงจงใจลงน้ำหนักมือกับต้นขาอ้อนเป็นพิเศษ ร่างบางกว่าเกร็งตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไล้ผ้าขนหนูในมือเข้าหาจุดอ้อนไหวกลางลำตัว แต่เพียงแค่เฉียดไปเฉียดมา สังเกตเห็นชวิศากัดริมฝีปากไว้แน่น ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา

เอาซี่... ทนได้ก็ทนไป...

สุดฟ้าจึงกอบกุมความอุ่นร้อนไว้ในมือ

“อึก” เสียงที่หลุดออกมาทำให้ชายหนุ่มยกยิ้ม เขาขยับมือขย้ำผ้าเบาๆ ร่างที่นอนราบอยู่บิดกายหนีคล้ายต่อต้าน เขาจึงแทรกตัวเข้าไปนั่งขัดสมาธิกลางหว่างขา ดึงท่อนขาเพรียวขึ้นเกยไว้บนเข่า รั้งท่อนเนื้อที่ขยายตัวเต็มมือขึ้นลง ก่อนที่จะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น หยดน้ำใสๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดแน่นนั่นเสียก่อน เขาใจหายวูบ ตัวแข็งค้าง... เสียงสะอื้นดังตามมาทำให้เขาร้อนรนยิ่งกว่าเดิม รีบไถลตัวลงจากเตียง

พอเป็นอิสระได้ ชวิศาก็หันตัวไปอีกด้าน ซุกหน้าลงกับหมอน ปล่อยเสียงร้อง ปล่อยน้ำตาให้ร่วงหล่นโดยไม่แยแสใคร สุดฟ้านั่งชันเข่าเกาะอยู่ข้างเตียงโดยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้ นั่งมองอีกฝ่ายร้องไห้อย่างทำอะไรไม่ถูก ร่างผอมบางคู้ตัวเข้าหากันเหมือนจะหลบหนีหลีกเลี่ยง ในอกของสุดฟ้าจึงรู้สึกแปลบวาบพิกล

“เจ็บหรือ” สุดฟ้าเอ่ยถามเสียงเบา ช่างเป็นคำถามที่โง่แสนโง่ แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี

“ขอโทษนะ”

“ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆ ก็อย่าพูดออกมาดีกว่า” ชวิศาตะโกนตอบกลับมา แล้วเสียงร้องไห้ก็ดูเหมือนว่าจะดังกว่าเดิม

“น...นายโกรธอะไร” สุดฟ้าถามเสียงอ้อย “ไม่ชอบที่ฉันเช็ดตัวให้เหรอ หรือที่บังคับให้กินข้าวเมื่อกี้ แต่ฉันเห็นว่านายป่วยอยู่ เลยอยากให้กินเยอะๆ ถ้าครั้งหน้านาย....”

“ไม่ใช่เรื่องพวกนั้นเลย” ชวิศาลุกขึ้นมาประจันหน้า จะเรียกว่าประจันหน้าก็ไม่ถูกนัก เพราะชวิศานั่งหน้าขึงอยู่บนเตียง ในขณะที่สุดฟ้านั่งจุกเจ่าเกาะอยู่ข้างเตียง ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องเงยหน้าเพื่อสบตากับดวงตาดุวาวที่ฉ่ำไปด้วยน้ำ

“ผ... ผมไม่ชอบที่ด็อกเตอร์...อึก ฮือ เห็นผมเป็นแค่ที่...ระบายความใคร่” พูดไปก็สะอึกสะอื้นไป “ไม่ว่าจะของพวกนั้น หรือที่ทำเมื่อกี้ โฮฮฮฮ” ว่าก็ก้มหน้าลงกับเตียงแล้วร้องไห้ต่อ สุดฟ้าเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เก้ๆ กังๆ มองอีกฝ่ายพลางแตะมือลงที่แผ่นหลังบอบบางและลูบปลอบ

“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ให้ทำอีกเลยเหรอ” เขาถามด้วยความกังวล ไม่ได้สนใจคำพูดของชวิศาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าชวิศาปฏิเสธจริงๆ ละก็ เขาต้องแห้งเหี่ยวเฉาตายแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาต้องเอาหุ่นยนต์ชวิศาของเขาคืนมา ชวิศาของเขาคงไม่ปฏิเสธแล้วก็คงจะไม่มาร้องไห้คร่ำครวญแบบนี้แน่ๆ

ชวิศาหยุดร้อง เงยหน้าขึ้นมาแล้วช้อนสายตามองเขา ก่อนจะก้มหน้าลงไปอีกครั้ง นั่งบิดไปบิดมาอยู่ไม่สุข จนสุดฟ้านึกสงสัย ช่างเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ

“ป... เปล่าครับ แต่ด็อกเตอร์อย่าเอาไอ้แท่งๆ เมื่อเช้ามาใส่อีกนะ ผมไม่ชอบ”

สุดฟ้าขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นครุ่นคิด ‘ไอ้แท่งๆ เมื่อเช้า’ อ้อ... ชายหนุ่มกำมือขวาทุบเข้าที่มือซ้ายพร้อมอุทานในใจ ไอ้นั่นเอง อ้อๆๆ ไม่ชอบไอ้นั่นน่ะเอง สุดฟ้าพยักหน้ารับ

“ได้ซิ ต่อไปจะไม่เอามาให้นายเห็นอีกเลย” สุดฟ้ายิ้มให้ซึ่งชวิศาก็ยิ้มตาม “งั้นก็ทำได้แล้วใช่ไหม”

ชวิศาหน้าแดง พลางกระเถิบตัวเข้าไปด้านในของเตียงเพื่อให้ชายหนุ่มร่างสูงนั่งลง สุดฟ้าดึงชวิศาให้มาเผชิญหน้า โน้มตัวลงไปหาจนใบหน้าห่างกันเพียงแค่ลมหายใจกั้นและบรรจงจูบลงไปบนริมฝีปากแดงได้รูป ขยับย้ำดูดดึงโดยที่อีกฝ่ายก็ตอบรับแต่โดยดี บทรักเอื่อยเฉื่อยเรื่อยๆ ดำเนินไปอย่างนุ่มนวล ไม่ว่าฝ่ามือหนากร้านแกร่งจะไล้ไป ณ จุดตำแหน่งใดก็แผ่วเบาราวกับแตะต้องของมีค่า แรงกระทำที่เคยกระทั้นรุนแรงนั้นกลับกลายอ้อยอิ่งเนิบนาบหากรัญจวนหวานซ่านกว่าครั้งไหนๆ ทั้งอย่างนั้นห้วงกฤษณาที่อ้อนหวานยังคงปลุกเร้าให้คนทั้งคู่เร่าร้อน ชวิศาดูจะไม่อนาทรต่อความเจ็บปวดทางกายที่เคยได้รับ ร่างแบบบางหลับตาพริ้มส่งเสียงครางเครือกับความสุขสมที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้อย่างไม่รู้หน่าย สุดฟ้ามองร่างในอ้อมกอดด้วยแววตาอ้อนเชื่อม เฝ้าเพียรพรมจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

ชวิศาได้แต่ปรือตามองพร้อมรอยยิ้มอ้อนล้า ยามที่ร่างสูงถอดถอนกายผละจากร่าง ความอ้อนเพลียทั้งจากอาการป่วยและกิจกรรมที่เพิ่งผ่านพ้น ทำให้ร่างบางง่วงงุนจนแทบไม่อาจฝืนหนังตาที่หนักอึ้ง กระนั้นเมื่อสัมผัสได้ว่าร่างสูงกำลังจะลุกจากไปยังอุตส่าห์คว้ามือใหญ่ไว้

สุดฟ้าเห็นชวิศาขยับปากขมุบขมิบ จึงขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อให้ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้ชัด

“...อยู่กับผมนะ”

ชวิศาคงจะพูดอะไรอีกหลายคำ แต่สิ่งที่เขาจับใจความได้มันก็มากเพียงพอที่จะทำให้ความรู้สึกในอกมันยิ่งฟูฟ่อง สุดฟ้าจึงกระซิบบอกให้อีกฝ่ายนอนหลับ เขาจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนหรอก

จากนั้น สุดฟ้าก็ลงมือเช็ดตัวให้ชวิศาอีกครั้ง และตรวจดูบาดแผลที่ชวิศาได้รับ แม้ไม่มีเลือดออกแต่ก็แดงช้ำน่ากลัว ท่าทางว่าเขาต้องยับยั้งชั่งใจให้มากกว่านี้เสียแล้ว เพราะถึงอย่างไร ชวิศาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สาม 09/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 09-10-2016 07:42:21

ตอนที่รู้สึกตัวตื่น ภายในห้องยังคงมืดสนิทอยู่เช่นเดิม ในอ้อมแขนมีร่างนุ่มนิ่มที่ยังคงหลับสนิท เสียงลมหายใจสม่ำเสมอนั้นทำให้เขารู้สึกอยากจะหลับต่ออยู่เหมือนกัน แต่รู้สึกเหมือนว่าร่างกายจะพักผ่อนมากเกินพอ ต่อให้นอนต่อไปก็คงหลับไม่ลง สุดฟ้าจึงขยับตัวลุกขึ้นหยิบแว่นตาที่วางอยู่โต๊ะเตี้ยใกล้หัวเตียงขึ้นสวม

แสงสว่างจ้าจัดซึ่งตกกระทบผ้าม่านหนาหนักลอดผ่านเข้ามาในห้องเพียงเล็กน้อย เพราะปกติสุดฟ้ามักจะนอนไม่เป็นเวล่ำเวลา บางทีก็นอนข้ามวันข้ามคืน หากปล่อยให้แสงแดดส่งเข้ามาได้ก็จะทำให้หงุดหงิดเสียเปล่าๆ ผ้าม่านบังหน้าต่างจึงถูกปิดไว้ตลอด

เช้านี้เขานึกครึ้มอกครึ้มใจจึงรั้งม่านบังแสงรวบเก็บไว้ด้านข้าง

ทันทีที่ม่านบังแสงถูกดึงออกไป แสงสว่างจึงส่องกระทบลงบนเตียงทันที ร่างบนเตียงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพลิกตัวไปอีกทาง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมเพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดรบกวนการนอน

สุดฟ้ายกยิ้มกับภาพนั้น เหลือบสายตามองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่บอกเวลาสิบโมงกว่า

“ชวิศา ตื่นมากินข้าวก่อนเถอะ”

อีกฝ่ายลืมตามามองเขาเพียงชั่วครู่แล้วหลับตาลงไปเช่นเดิม พลางขยับปากตอบกลับมาว่า “ผมง่วงอะ ขอนอนต่อนะ”

“จะนอนก็ได้แต่ต้องตื่นขึ้นมากินข้าวกินยาก่อน” อารมณ์ประมาณกำลังเป็นพี่เลี้ยงเด็กอย่างไรก็อย่างนั้น แต่ชวิศาดูจะว่าง่ายกว่ามาก เพราะอีกไม่ถึงนาทีก็ยอมลุกขึ้นมาแต่โดยดี สุดฟ้าจึงพาชวิศาไปล้างหน้าแปรงฟันและพามาทานอาหารเช้าตอนเวลาสายๆ

ทั้งบ้านเงียบกริบเมื่อต่างฝ่ายต่างทานอาหารของตนไปเงียบๆ และแล้วกลับมีเสียงโทรศัพท์ดังฝ่าความเงียบที่ว่านั่นขึ้นมาชวิศาลุกจากเก้าอี้ รีบเดินไปหยิบรับโทรศัพท์ที่ว่างอยู่ที่โต๊ะข้างโซฟา และเดินออกไปด้านนอก

ฝ่ายสุดฟ้าจึงหยิบโทรศัพท์ของตนเองขึ้นมาบ้าง กดรหัสลงไปก่อนจะยกขึ้นแนบใบหู

“ซี วันนี้ไม่มาเหรอ” เสียงปลายสายที่สุดฟ้าได้ยินเป็นเสียงของคนที่ชวิศาเรียกว่าพี่ชายเมื่อวันก่อน

“เมื่อวานก็ไม่กลับมาอีกเลย เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงของฝั่งนั้นฟังคล้ายเป็นห่วง

“อือ ไม่เป็นอะไรหรอกครับ” แน่นอนว่าชวิศาและพี่ชายกำลังสนทนาผ่านระบบโครงข่ายไร้สาย โดยมีสุดฟ้ากำลังดักฟังผ่านโทรศัพท์มือถือของตน

“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะโทรบอกหน่อย พี่เป็นห่วงนะ เคยบอกตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ”

“อืม รู้แล้ว ครั้งหน้าจะระวังให้มากกว่านี้ แล้วที่โทรมานี่มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่หรอก แต่วันนี้นายไม่ต้องแกล้งออกมาทำงานหรือ”

“อะ นั่นสินะ” ชวิศาร้องออกมาอย่างนึกขึ้นได้ “แต่กว่าผมจะตื่นก็สิบโมงกว่าเข้าไปแล้ว อย่างไรก็คงไปไม่ได้อยู่แล้วล่ะ”

“สิบโมงเลยหรือ กลับไปอย่าเอานิสัยนี้ติดตัวไปด้วยเชียว ไม่อย่างนั้นคุณย่าต้องบ่นจนหูชาแน่ๆ”

ชวิศาเงียบไปพักใหญ่ ปลายสายจึงเอ่ยเรียกซ้ำ “อืม ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”

“อ้อ พรุ่งนี้นายจะมาใช่ไหม ฉันไม่อยากไปกินข้าวนอกบ้านนะ วันนี้อุตส่าห์แขวนท้องรอนายตั้งนาน” สุดฟ้าขมวดคิ้วฉับ ใบหน้าบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ไอ้ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันเนี่ย ถึงได้เห็นชวิศาของเขาเป็นพ่อครัวส่วนตัวไปได้ แบบนี้ต้องบอกให้ชวิศาเลิกไปทำงานกำมะลอนั่นแล้ว จะได้ไม่มีข้ออ้างออกจากบ้าน

“อ...อืม”

“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน”

พอทั้งสองคนที่เขากำลังดักฟังคำสนทนาวางสาย ชายหนุ่มก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าไว้เหมือนเดิม ตอนที่ชวิศากลับมานั่งที่โต๊ะจึงเห็นสุดฟ้านั่งทานอาหารอยู่เหมือนเดิม

หลังทานอาหารเสร็จสุดฟ้าพาตัวเองมานั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่หน้าทีวี โดยที่มือจับจูงชวิศาให้มานั่งด้วยกัน ให้ชวิศานั่งซ้อนอยู่ข้างหน้า รั้งให้แผ่นหลังบอบบางศีรษะทุยมนซบบนอกของตน นั่งดูรายการทีวีไปพลาง ดมดอมผมหอมผิวใสไปพลาง ช่างเป็นอะไรที่มีความสุขเสียจริง สุดฟ้ากระหยิ่มยกยิ้มออกมา

“เอ้อ... ด็อกเตอร์ไม่ต้องไปทำงานหรือครับ” ชวิศาถาม เอี้ยวตัวหันมองสุดฟ้า เจ้าของร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย สมองอันปราดเปรื่องวิเคราะห์คำถามอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบไปว่า

“ไม่ล่ะ ช่วงนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ”

สีหน้าของชวิศาแสดงออกถึงความสงสัยอย่างชัดเจนกับคำตอบที่ได้รับ “แล้วที่ทำงานไม่ว่าหรือครับ”

“อือ...” สุดฟ้าครุ่นคิดเล็กน้อย “ก็ไม่มีใครว่านี่นะ”

“ดีจัง ผมนะไม่ชอบไปทำงานมากๆ เลย หลังเรียนจบลองไปทำงานอยู่ที่นึง ด็อกเตอร์รู้ไหมครับ มันน่าอึดอัดมากเลยล่ะ ทำอะไรผิดนิดหน่อยก็โดยว่าเสียยกใหญ่”

“หือ...อย่างนั้นหรือ” สุดฟ้าครางเสียงตอบรับ แต่ในสมองคิดว่า ท่าทางชวิศาจะลืมว่าตนเองสลับตัวกับหุ่นยนต์ชวิศาของเขา แต่เอ๊ะ!!! หรือว่าชวิศาจะรู้ว่าเขาเพิ่งสร้างหุ่นยนต์ชวิศามาได้แค่วันเดียว ไม่สิ... ถ้าชวิศารู้ว่าเขาเพิ่งสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา ชวิศาจะกินข้าวให้เขาเห็นต่อหน้าต่อตาแบบนั้นได้อย่างไร ชวิศาต้องไม่รู้แน่นอนว่าเปลี่ยนตัวกับหุ่นยนต์

“แล้วงานอะไรล่ะที่นายชอบ”

“ทำอาหารครับ” ชวิศาตอบอย่างรวดเร็ว “ตอนแรกถึงจะลำบากไปหน่อย แต่เวลาที่ทำอาหารเป็นแล้วและมีคนชมว่าอาหารที่เราทำอร่อย ตอนนั้นนะ ผมมีความสุขมากเลยครับ อ๊ะ!!!”

“อะไรหรือ”

ชวิศามองสุดฟ้าหน้าตาตื่น ท่าทางจะรู้แล้วละสิว่าตัวเองหลุดปากพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ถึงอย่างนั้นสุดฟ้ายังคงแสร้งทำตาใสไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ดี

“ไม่มีอะไรครับ” หันกลับไปมองทีวีเช่นเดิม

สุดฟ้าลอบจับสังเกต ร่างบางหลุบตาลงต่ำ ลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่เป็นสุข ดูเหมือนว่าค่อนข้างกังวลกับคำพูดของตัวเองมากเลยทีเดียว กระนั้นชายหนุ่มต้องละความสนใจไปเมื่อเสียงออดหน้าประตูดังขึ้นสเตบาสเตียนเคลื่อนที่เสียงดังวืดเบาๆ ไปเปิดประตู จากนั้นไม่นานสองพี่น้องหน้าตาพิมพ์เดียวมาปรากฏตัวให้เห็น

“โอ้” สองพี่น้องอุทาน สายตาคมกริบกวาดมองสองร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างถี่ถ้วน เห็นมือของสุดฟ้าหายเข้าไปใต้เสื้อของชวิศาต่างยกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

“ตั้งแต่วันนั้นก็เพิ่งให้เห็นชัดๆ อีกครั้งก็วันนี้แหละ” แฝดผู้พี่เอ่ยขึ้นพลางเดินมานั่งฝั่งซ้ายของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

“ยังน่ารักเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน” แฝดผู้น้องซึ่งนั่งอยู่ขวามือเอ่ยสมทบ ทั้งยังยื่นมือหมายจะสัมผัสหากโดนฝ่ามือใหญ่ตีเพียะเข้าเสียก่อน ดูท่าคราวนี้คงจะอีกนานกว่าที่เจ้าทึ่มมันจะเลิกหวงของ สองพี่น้องนึกเข่นเขี้ยวในใจ

แน่นอนว่าครั้งนี้ฝาแฝดไม่ได้มามือเปล่า โบราณเขาว่าไว้ว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยกลฉันใด ในเมื่อพี่น้องสุวราลักษณ์พูดตรงๆ แล้วเจ้าเพื่อนไม่ยอมรับคำ คราวนี้จึงต้องมีของมาล่อกันหน่อย

ธัชนนท์ชูกระดาษสีสันสดใสตรงหน้าของสุดฟ้า พลางเอ่ยว่า “บัตรวีไอพีงานคิกขุแมนแฟนมีตติ้งที่จะจัดขึ้นพรุ่งนี้”

เพราะต่างฝ่ายต่างรู้นิสัยใจคอของกันและกันดี พอสุดฟ้ายื่นมือไปคว้าบัตร ธัชนนท์ก็ดึงบัตรกลับไปในทันใด ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงได้แต่คว้าอากาศไว้ในมือ

ดวงตาคมหรี่มองใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ของฝาแฝด

“เชอะ ช่างมันครั้งนี้ไม่ไปก็ไม่ตาย” สุดฟ้าชิงพูดขึ้นเสียก่อนพลางกอดชวิศาไว้แน่น ทั้งที่ในใจเสียดายอย่างสุดแสนแต่ถ้าต้องให้เลือกระหว่างชวิศากับคิกขุแมน เขาเลือกชวิศา!!!

“เอ้ย... เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชวิศาหรอกน่า” แฝดคนน้องพูดด้วยใบที่พยายามทำให้ดูจริงใจที่สุด

“คราวนี้ฉันกับพี่ อยากให้นายช่วยเรื่องงานน่ะ”

“คิดดูสิบัตรนี้เปิดจองตั้งแต่ตอนที่นายยังพร่ำเพ้อคลั่งไคล้ยัยหนูนานะ พวกฉันไม่มีญาณวิเศษล่วงรู้เรื่องชวิศาหรอก” ธัชนนท์เอ่ยเสริมคำพูดน้องชาย

สุดฟ้ายังหรี่ตามองคนทั้งสองอย่างไม่เชื่อใจ “งานที่นายว่า อยากให้ฉันทำอะไร”

“เรื่องงานเอาไว้ทีหลังก็ได้ ผ่านพรุ่งนี้ไปก่อนแล้วเราค่อยมาคุยละเอียดกัน”

สุดฟ้าไม่อยากจะเชื่อใจสองพี่น้องนี้เลย แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้เหมือนกัน แน่นอนว่าทั้งสองคนอาจมีจุดประสงค์ที่อยากจะลองป่ามป้ามกับหุ่นยนต์ชวิศาของเขา แต่พวกเขาก็รู้จักกันมานานและรู้นิสัยกันดี ‘หากแตะต้องของที่เขาไม่อนุญาต คนคนนั้นต้องเจอดี’ พี่น้องสุวราลักษณ์จึงไม่น่าจะทำตัวยุ่มย่ามให้เกิดเรื่อง ดังนั้นสุดฟ้าจึงคว้าตั๋วไว้

“โอเค งั้นวันจันทร์ พวกฉันจะมาหาอีกที” จบธุระสองพี่น้องก็ออกจากบ้านไป ทันทีที่สิ้นเสียงประตู ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เด้งตัวลุกขึ้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มระรื่น

“ไปเตรียมตัวดีกว่า”

“เอ้อ ด็อกเตอร์จะไปไหนหรือครับ”

“พรุ่งนี้มีมีทติ้งคิกขุแมนนะ ฉันเลยต้องไปขัดสีฉวีวรรณแล้วก็เตรียมข้าวของเสียหน่อย” สุดฟ้าระริกระรี้ยิ่งกว่าปลากระดี่ได้น้ำ “อ้อ แล้วพรุ่งนี้ชวิศาอยู่บ้านคนเดียวได้นะ น่าเสียดายเหมือนกันที่มีบัตรใบเดียว แต่อย่างว่าถ้าคนที่ไม่ใช่แฟนคลับไปก็คงไม่ค่อยสนุกหรอกน่ะ” สุดฟ้าหายเข้าห้องนอนไปพร้อมกับเสียงพูดด้วยความลั้นล้า ปล่อยให้ชวิศายืนเคว้งอยู่กลางห้องอยู่เป็นครู่ใหญ่ หลังหันซ้ายหันขวาดูแล้วว่าตนคงถูกทิ้งหมดความสนใจจากอีกฝ่ายแน่แล้ว เขาจึงทรุดตัวนั่งลงที่เดิม


เช้าวันต่อมา

สุดฟ้ายืนอยู่หน้าประตูกำลังเตรียมตัวออกจากบ้าน เช้านั้นชายหนุ่มพิถีพิถันในการแต่งตัวเป็นพิเศษ ผมสีดำที่เคยพองฟูอยู่เป็นนิจ ถูกโป๊ะเคลือบด้วยเจลและหวีซะเรียบแป้ เสื้อตัวในเป็นลายคิกขุแมนถูกสวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าอ้อน ส่วนกางเกงเป็นผ้ายีนสีเข้ม สุดฟ้าดันแว่นตาขึ้น และบอกกับชวิศาเป็นคำสุดท้าย

“ฉันไปล่ะนะ เฝ้าบ้านดีๆ ล่ะ”

“ครับ ขอให้สนุกนะครับ” ชวิศาพูด เขย่งปลายเท้ายืดตัวขึ้นหอมแก้มสุดฟ้าก่อนจะโบกมือด้วยสีหน้าสดใส สุดฟ้ายิ้มกว้างและเดินออกจากบ้านอย่างอารมณ์ดีสุดๆ เช่นเดียวกัน

ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ห่างจากบ้านไปประมาณห้าร้อยเมตร เขาออกจากบ้านตั้งแต่เช้า แสงแดดอ้อนๆ เช่นนี้ยิ่งทำให้สุดฟ้าเริงร่ายิ่งไปกว่าเดิม ระหว่างทางสุดฟ้าก็นึกไปด้วยว่า วันนี้เขาจะซื้อหุ่นฟิกเกอร์คิกขุแมนสักกี่ตัวดี และต้องซื้อแก้วคิกขุแมนใบใหม่ด้วย เพราะความสะเพร่าของเขา จึงทำแก้วใบเก่าตกแตก แต่อย่างว่าถึงใบเก่าไม่แตกเขาต้องซื้อใบใหม่อยู่ดี อ๊ะ... ซื้อที่ห้อยโทรศัพท์ให้ชวิศาด้วยดีกว่า สุดฟ้าเดินไปหัวเราะอย่างชอบใจ พลันความคิดก็สะดุดกึก นึกขึ้นได้... เขาลืมกล้องถ่ายรูป ได้อย่างไรเนี่ย ถึงสมัยนี้คนส่วนใหญ่จะนิยมใช้กล้องของโทรศัพท์มือถือแทนกล้องถ่ายภาพแล้วก็ตาม แต่งานสำคัญแบบนี้ จะให้เขาไปโดยขาดกล้องโปรฯ เป็นไปไม่ได้หรอก

ว่าแล้วสุดฟ้าก็หันหลังจ้ำอ้าวกลับบ้านโดยด่วน

ชายหนุ่มเปิดประตูบ้านเข้าไปอย่างรีบร้อน แต่ทว่าภาพตรงหน้าทำให้เขาลืมสิ้นทุกสิ่ง ลืมว่าเขารีบกลับบ้านมาเพื่ออะไร ลืมแม้กระทั่งว่าวันนี้เขาต้องไปไหน และที่สำคัญลืมแม้กระทั่งว่าจะขยับร่างกายอย่างไร ในหัวได้ยินแต่เสียงวิ้งๆ ภาพที่เห็นดูห่างไกลจนเหมือนอยู่กันคนละที่ กระทั่งได้ยินเสียงสั่นเครือเอ่ยเรียกเขา

“ด... ด็อกเตอร์”

สุดฟ้ารู้สึกราวกับเพิ่งหลุดมาจากอีกโลกหนึ่ง เขาหน้ามืดตามัวและท่วมท้นไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลตอนที่ใช้เท้าข้างขวาถีบสุวราลักษณ์คนหนึ่ง พลางกระชากคอเสื้อฝาแฝดอีกคนออกจากการทาบทับอยู่บนร่างของชวิศา สภาพเสื้อยืดที่ถูกเลิกขึ้นจนเห็นแผ่นอกขาวเนียน กางเกงขาสั้นทั้งชั้นในถูกร่นไปกองอยู่ที่ปลายเท้าและน้ำหูน้ำตาท่วมหน้าของร่างบางทำให้สุดฟ้าประเคนหมัดไม่ยั้งใส่พี่น้องคู่นั้น ไม่แน่ว่าความเป็นเพื่อนตลอดยี่สิบหกปีอาจจะสะบั้นลงก็วันนี้

“ไอ้พวกบ้า ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามยุ่งกับชวิศา” สุดฟ้าเสยปลายคางสุวราลักษณ์คนน้องไปหนึ่งหมัด ก่อนจะก้มหลบหมัดขวาตรงของคนพี่ แล้วกระทุ้งลิ้นปี่ให้อีกฝ่ายจุกจนเซถอยไป แม้จะฝีมือพอๆ กัน และอยู่ในภาวะสองรุมหนึ่ง แต่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านดูจะได้เปรียบอยู่หลายขุม นั่นคงเพราะความบ้าเลือดกับภาพตำตานั่นแหละ

ประลองฝีมือกันอยู่พักใหญ่ สองพี่น้องจึงยอมล่าถอยไปก่อน

“อย่ากลับมาเหยียบที่นี่อีกนะ ไม่งั้นฉันจะเอาให้พวกแกถึงตาย” สุดฟ้าตะโกนไล่หลัง หน้าตาแตกยับไม่ต่างกับคู่ต่อสู้ ทรุดนั่งลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ้อน แว่นสายตากระเด็นตกไปตอนไหนไม่รู้ ผมที่เซตไว้ซะเรียบเมื่อตอนเช้าก็ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง

เห็นภาพชายหนุ่มเป็นเช่นนั้น ชวิศาซึ่งแอบอยู่ไม่ห่างก็รีบเข้ามาหา

“ด็อกเตอร์ เป็นอย่างไรบ้างครับ” มือบางแตะไปรอยแผลที่มีเลือดไหล

“ชวิศา นายถูกเจ้าพวกนั้นทำอะไรหรือเปล่า” ฝั่งสุดฟ้าเองก็เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ว่าการที่ตนเองพะบู้อยู่นานสองนานมาจากสาเหตุอะไร สุดฟ้าจับไหล่ของชวิศาไว้กวาดสายตาตรวจสอบจนทั่ว แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่าไม่บุบสลายก็ตาม แต่ภาพที่สุดฟ้าเห็น ชวิศาโดนลูบคลำทั่วทั้งตัว เรื่องแบบนี้เขายอมไม่ได้เด็ดขาด คิดแล้วยิ่งแค้น!!!!!

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ โชคดีที่ด็อกเตอร์กลับมาช่วยไว้ได้ทัน” สีหน้าของชวิศาดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด และแล้วหยดน้ำตาก็ร่วงหล่นลงมา

“ชวิศา” สุดฟ้าอุทานด้วยความตกใจ ยังไม่ทันสิ้นเสียง น้ำตาของชวิศาไหลออกมาเป็นสายราวกับว่าไม่สามารถหยุดยั้ง สุดฟ้าได้แต่นิ่งเงียบอย่างทำอะไรไม่ถูกก่อนมือใหญ่จะถูกยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าเนียนใสซึ่งกำลังแดงก่ำ เขารั้งปลายคางให้ชวิศาเงยหน้าขึ้นและประกบจูบลงไป เสียงสะอื้นหายไปในบัดดล

ปลายลิ้นของสุดฟ้าแตะปลายลิ้นของร่างในอ้อมกอดอย่างแช่มช้า ค่อยๆ ไล้ละเลียดและดูดกลืน แล้วไล้เลียไปถึงร่องรอยน้ำตา เสียงริมฝีปากที่ดูดดึงผิวอ้อนบางใสกำเนิดเป็นเสียงเบาๆ เขาดึงเสื้อยืดที่ชวิศาใส่ขึ้น แทะเล็มไปเรื่อยจนถึงติ่งเนื้อบนแผ่นอก หยอกเย้าขบเบาๆ ด้วยฟัน นิ้วมือแหวกเนินสะโพกคลึงวนรอบปากทางเข้าด้วยความไม่เร่งร้อน

“อะ อือ” ชวิศาครางเครือไม่เป็นภาษาตอบสนองการกระตุ้นเร้าปรนเปรอที่ชายหนุ่มเพียรทำให้ ไม่นานนักชวิศาก็ปลดปล่อยออกมา สุดฟ้าจึงใช้น้ำรักขาวขุ่นนั้นเป็นตัวหล่อลื่นสำหรับช่องทางด้านหลัง แล้วจดจ่อความต้องการของตนเข้าไป ช่องทางคับแน่นราวกับจะปฏิเสธ หากแต่เพราะจังหวะลมหายใจของร่างที่ถูกรุกรานที่ผ่อนลงไม่กระชั้นถี่ ร่างสูงจึงเหยียดเอวเดินหน้าโดยไม่บังคับฝืนและรุกเร่งจนเกินไปนัก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเซ็กส์ที่เกิดจากความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่ายนั้น ให้ความสุขสมและอิ่มเอมใจมากว่าความปรารถนาที่ดันทุรังเอาแต่ได้ เพราะนอกจากความสุขในรสเพศ สุดฟ้ายังรู้สึกว่ามันมีความหอมหวานที่น่ามึนเมาอยู่ในเวลานั้น ทั้งยังตกค้างล่องลอยแม้ในยามที่พวกเขาไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน

สุดฟ้าขยับสะโพกตอบสนองความต้องการในกันและกัน ร่างบอบบางที่แผ่นหลังแนบกระแทกกับพื้นทำให้ร่างสูงนึกกังวลจึงรั้งชวิศาให้ลุกขึ้นนั่งทับตนไว้ ยกสะโพกบางขึ้นแล้วกดลงเป็นจังหวะ ขณะเดียวกันก็กดจูบขบผิวเนื้อให้ขึ้นรอยระเรื่อจางๆ กระแทกกายสวนขึ้นให้ร่างเพรียวบางผวาเยือก ตอดรัดมากกว่าเก่า

“อย่าทำอย่างนี้สิครับ” ชวิศาตัดพ้อ

“ไม่ชอบหรือ” สุดฟ้าเอ่ยกระซิบด้วยรอยยิ้มทะเล้น ชวิศาไม่ได้กล่าวตอบได้แต่ซุกใบหน้าอยู่ที่ซอกคอของสุดฟ้า พร้อมจังหวะรักที่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ช่องทางซึ่งดูดกลืนเขาไว้ภายในยิ่งตอดรัดกระตุกถี่ ไม่นานนักสุดฟ้าก็ปลดปล่อยความปรารถนาอันท่วมท้นออกมา

ชวิศาปล่อยร่างอันล้าแรงไว้ในอ้อมกอดของสุดฟ้า ร่างบางถูกตระกองกอดไว้พักใหญ่จนหายเหนื่อยหอบ สุดฟ้าจึงยกตัวชวิศาออก เสื้อผ้าของเขายังครบถ้วนดี ยกเว้นเข็มขัดกับตะขอกางเกง ด้านชวิศาถูกถอดไปเฉพาะอาภรณ์ส่วนล่างเท่านั้น

“ย้ายไปทำกันต่อในห้องดีไหม” สุดฟ้าถามอีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี เรื่องขุ่นเคืองที่สองพี่น้องทำไว้พักเก็บไว้ก่อน ความแค้นสิบปีค่อยชำระยังไม่สาย

“ก็... แล้วแต่สิครับ” ชวิศาก้มหน้างุดยามตอบคำถามนั้น ก่อนที่สุดฟ้าจะยกตัวชวิศาให้ลอยสูงขึ้นพร้อมทั้งเกี่ยวกางเกงของชวิศาที่ตนเป็นคนถอดติดมือมาด้วย

พอถึงห้องนอนแทนที่จะตรงไปที่เตียง สุดฟ้าเดินตรงไปยังห้องน้ำ คนที่ถูกอุ้มจึงร้องเอ๋ด้วยความแปลกใจ

“อาบน้ำก่อนดีกว่า”

ชวิศาจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

ชายหนุ่มร่างสูงก็ยังคงเปิดน้ำอุ่นลงอ่าง คนที่ยืนอยู่ในห้องน้ำด้วยกันจึงเอียงคอมองด้วยความสงสัย ซ้ำน้ำฝักบัวที่เปิดรดตัวก็ยังอุ่นๆ

“ร้อนไปหรือ”

“ก็... ไม่หรอกครับ แต่ว่าวันนี้ร้อนจะตาย” ชวิศาพูด

“นายน่ะ ตัวรุมๆ อาบน้ำเย็นเดี๋ยวก็ไม่สบายไปอีก”

“ด็อกเตอร์ใจดีจังครับ” ชวิศายิ้มกว้าง สุดฟ้าได้แต่ยิ้มตอบ

“เอ้า เกาะบ่า”

“แบบนี้อีกล่ะ ผมทำเองได้ไหม”

“คงจะไม่ได้หรอก เพราะฉันอยากทำ”

“แต่ผมไม่อยากให้ทำเลย”

“เถอะน่า” สุดฟ้าคะยั้นคะยอ ชวิศาทำท่าอิดออดไม่นานนักก็ยอมเกาะบ่าของร่างสูงไว้แน่น คราวนี้สุดฟ้าใช้เวลาไม่นานนักรวมถึงไม่ทำอะไรที่เป็นการกระตุ้นอีกฝ่ายด้วยซ้ำ สุดฟ้าเห็นชวิศาถอนหายใจจึงเอ่ยเย้า

“ถอนหายใจเพราะโล่งอกหรือไง”

“ครับ อะ... ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” ชวิศารีบปฏิเสธ

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ลงน้ำได้แล้ว” ว่าแล้วก็ยกตัวอีกฝ่ายพาลงอ่างไปด้วยกันไม่ได้อารมณ์เสียหรือขุ่นเคืองเพราะคำพูดของชวิศาแต่อย่างใด

น้ำกำลังอุ่นสบายไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าร้อนจนเกินไปนัก สุดฟ้าตั้งใจบีบนวดชวิศาอย่างดีไม่ได้ทำอะไรรุ่มร่ามเกินไปกว่านั้น ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพาร่างเล็กบางกว่าขึ้นจากน้ำ

“ง่วงไหม” สุดฟ้าเอ่ยถามหลังจากจัดการแต่งตัวให้ทั้งชวิศาและตัวเองเสร็จ

ร่างบางสั่นศีรษะ “ด็อกเตอร์จะไปงานมีทติ้งคิกขุแมนหรือครับ ไปเถอะผมอยู่คนเดียวได้ พวกพี่น้องฝาแฝดคู่นั้นคงไม่กลับมาแล้วล่ะ และคราวนี้ผมจะไม่เปิดประตูให้ใครแล้วด้วย” ชวิศายิ้ม

“ไม่ใช่หรอก ว่าจะทำงานซะหน่อย” สุดฟ้าพูดรู้สึกเป็นห่วงชวิศาอย่างไรก็ไม่รู้ อย่างน้อยๆ ถ้าชวิศาต้องอยู่คนเดียวตอนที่เขาต้องทำงาน ชวิศาอาจจะเหงาก็เป็นได้

“อือ งั้นก็ไปทำเถอะครับ ผมอยู่คนเดียวได้” ชวิศาบอกอย่างหนักแน่นจริงจัง สุดฟ้าจึงพาชวิศาออกมาด้านนอก และมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงาน

“ฉันจะทำงานในห้องนี้”

“โฮ้ ผมนึกว่าเป็นผนังธรรมดาซะอีก แถมไม่มีลูกบิดประตูด้วย”

“อ้อเรื่องนั้น...” สุดฟ้าป้อนรหัสเพื่อให้ประตูเปิดออก ชวิศาถึงกับร้องว้าวด้วยความตื่นตาพร้อมกับพึมพำว่าเหมือนกับในหนังเลย ทั้งสายตายังพยายามกวาดมองไปทั่วห้องข้างในจากช่องประตูที่กำลังเปิดอยู่ สำหรับสุดฟ้า เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหาย รวมทั้งการที่ปล่อยให้ชวิศาเห็นอะไรแบบนี้บ้างคงจะทำให้อีกฝ่ายเผยไต๋ได้เร็วขึ้นเพราะถ้าปล่อยให้ชวิศาได้อยู่ที่นี่นานขึ้น อาจจะทำให้เขาต้องลำบากใจทีหลังก็เป็นได้

“ถ้าชวิศามีอะไรก็กดปุ่มนี้เพื่อเรียกฉันได้ และถ้าจะออกไปข้างนอกให้มาบอกฉันก่อน”

“ครับ” ชวิศาพยักหน้ารับแข็งขัน

จากนั้นสุดฟ้าจึงเรียกสเตบาสเตียนให้มาหา อธิบายกับชวิศาต่อไปว่างานที่จะทำคือ ซ่อมแซมสเตบาสเตียนซึ่งคงต้องใช้เวลาหลายวัน ระหว่างนั้นคงต้องให้ชวิศาเป็นคนทำอาหาร

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมถนัดอยู่แล้ว”



หลังจากที่สุดฟ้าชัตดาวน์ระบบการทำงานของสเตบาสเตียนยังไม่ถึงสิบนาที โทรศัพท์ของชวิศาก็มีสายเรียกเข้า ชายหนุ่มเห็นจากสัญญาณเตือนบนโทรศัพท์ของตนเอง เขาจึงวางมือจากงานที่ทำอยู่มาดักฟังคำสนทนา เสียงปลายสายยังเป็นคนเดิม

“ไหนนายบอกว่าจะมาอย่างไรล่ะ วันนี้น่ะ”

“วันนี้วันเสาร์นะครับ ผมจะใช้ข้ออ้างอะไรออกไปล่ะ พี่ก็ทนๆ เอาหน่อยไม่ได้หรือ อีกไม่กี่วันเอง”

“มันก็ใช่ ว่าแต่นายต้องทำอะไรหรือเปล่าล่ะ วันนี้หมอนั่นก็อยู่บ้านอีกหรือไง”

“ไม่ครับ เขาทำงาน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิ นายออกมาเถอะ”

“แล้วจะบอกคุณสุดฟ้าว่าอย่างไรดีล่ะครับ เขาบอกว่าถ้าจะออกไปข้างนอกต้องบอกเขาก่อนน่ะ”

“ยุ่งยากจริง” อีกฝ่ายบ่น “เอาอย่างนี้ นายบอกว่ามีธุระกับเพื่อนละกัน ถ้าเขาถามว่าธุระอะไร นายก็บอกว่าเรื่องงานที่บริษัท รีบๆ มาทำอะไรให้ฉันกินได้แล้ว”

“ครับ ครับ ผมจะบอกคุณสุดฟ้าไปตามนั้น”

และไม่ถึงอึดใจเสียงอินเตอร์โฟนก็ดังขึ้น “ด็อกเตอร์ครับ ผมออกไปข้างนอกนะครับ”

สุดฟ้าเปิดประตูออกไปหา เขายื่นกุญแจบ้านให้ชวิศา “นายยังไม่มีกุญแจบ้านใช่ไหม เผื่อว่าฉันจะทำงานเพลิน แล้วอย่ากลับดึกนักล่ะ ถ้ากลับมาแล้วก็ทำมื้อเย็นให้หน่อยแต่นายไม่ต้องรอนะ หิวก็กินไปก่อนได้เลย”

“ครับผม” ชวิศายิ้มรับด้วยใบหน้าสดใสอารมณ์ดี

“งั้นไปนะครับ”

สุดฟ้าจึงกลับเข้าห้องมาทำงานต่อ

หน้าจอมอนิเตอร์ยังคงเป็นภาพของชวิศาที่ถูกส่งมาจากจักจั่นซึ่งบินติดตามร่างเพรียวบางอยู่เช่นเดิม ในขณะที่มือของสุดฟ้ายังทำงานง่วน อาจจะเป็นความคิดที่ขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่การปรับปรุงสเตบาสเตียนครั้งนี้เขาตั้งใจจะโปรแกรมให้สเตบาสเตียนคอยดูแลชวิศาไม่ให้เกิดเรื่องอย่างวันนี้ขึ้นมาอีก ชวิศาเป็นมนุษย์ธรรมดาที่พอโดนผู้ชายตัวโตกว่าสองคนกดลงกับพื้นก็คงไม่มีทางสู้อะไรได้อยู่แล้ว แม้ว่าจะขัดกับภาพลักษณ์สปายอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามสุดฟ้าคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคงไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่ใช่การแสดงละครของชวิศาอย่างแน่นอน เพราะว่าถ้านี่เป็นเรื่องหลอกลวง ฝาแฝดคงต้องมีส่วนรู้เห็นด้วย

สุดฟ้าชะงักมือ ....หรือจะเป็นแผนของสองพี่น้องนั้นจริงๆ

คนที่แนะนำให้เขาสร้างหุ่นยนต์รูปร่างหน้าตาแบบชวิศาขึ้นมาก็สองคนนั่น ไอ้ท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างออกหน้าออกตานั่นอีกล่ะ สุดฟ้าไม่อยากจะคิดต่อไปเลย...



หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สาม 09/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 09-10-2016 07:48:04
ยังไม่ทันที่สุดฟ้าจะตัดสินใจถามสองพี่น้องเรื่องที่ตนสงสัย ฝาแฝดสุวราลักษณ์ก็มาปรากฏตัวที่หน้าบ้านเสียก่อนในวันรุ่งขึ้น ชวิศาวิ่งหน้าตาตื่นมาหาเขาและบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน ตอนที่สุดฟ้าไปถึงหน้าประตูบ้าน สองคนนั้นยังคงอยู่ข้างนอกและประตูบ้านยังคงล็อกอยู่ ชวิศาเกาะเสื้อที่เขาสวมใส่ไว้แน่นพลางแอบอยู่ด้านหลัง

ช่างเป็นจังหวะที่ดีเสียจริงๆ แต่ว่าเขาจะทำอย่างไรล่ะถึงจะทำให้สองพี่น้องสารภาพได้ และถ้าเกิดสองคนนั้นบอกว่าไม่รู้เรื่อง เขาจะเชื่อคำพูดของทั้งสองได้แค่ไหนกัน

“ชวิศาเข้าไปในห้องก่อนดีกว่านะ ถ้าฉันไล่สองคนนั้นกลับไปได้แล้วฉันจะไปเรียกนาย”

ชวิศารับคำและเดินเข้าห้องนอนไปอย่างว่าง่าย

สุดฟ้าเปิดประตู สองพี่น้องใบหน้าบวมช้ำไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่นัก

“มีอะไร” สุดฟ้าถามเสียงห้วน

“เรื่องเมื่อวาน...พวกฉันขอโทษ” ประโยคสุดท้ายสองพี่น้องพูดแทบพร้อมกัน ก้มศีรษะลงต่ำ ยกมือขึ้นประกบเหนือศีรษะ

“คิดว่าฉันควรจะยกโทษให้ง่ายๆ หรือไง”

“พวกฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นแบบนั้น แค่อยากจะบอกแกไว้ก่อน... อย่าเอาระเบิดมาลงบ้านพวกฉันนะเว้ย เรื่องนี้พวกเราอธิบายได้ อีกอย่างแกก็โกหก นั่นน่ะ คนจริงๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ซะหน่อย”

“หืม” สุดฟ้าขมวดคิ้ว เหลือบสายตากลับไปมองยังทิศที่ตั้งของห้องนอน ไม่ว่าอย่างไร ชวิศาไม่ควรที่จะรู้ความจริงในตอนนี้

“ตามมา” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพูด เดินนำไปยังห้องด้านในสุด สองพี่น้องซึ่งเดินตามมาด้านหลังถึงกับรู้สึกหวาดๆ ห้องที่ว่าคือห้องทำงานของสุดฟ้า ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม ผนังแข็งแรงสามารถกันไฟไหม้ได้สบายๆ ทั้งยังเก็บเสียงและกันเสียงจากภายนอก มีประตูทางออกทางเดียว ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีทางออกฉุกเฉิน หรืออาจจะมีแต่พวกเขาไม่รู้ พูดง่ายๆ คือ ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้างในจะไม่มีใครรับรู้เลยสักคน

ฝาแฝดพร้อมใจกันกลืนน้ำลายลงคอดังเอือก ...พวกเขาไม่น่าวู่วามทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นลงไปเลย!!!!!!!!!!

เสียงประตูที่ปิดโดยอัตโนมัติทำให้ทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก สุดฟ้าหยิบไขควงไฟฟ้าขึ้นมา กดสวิตช์ มันหมุนทำงานเสียงดังวืดๆ

“ทำไมพวกแกถึงคิดว่าชวิศาไม่ใช่หุ่นยนต์ล่ะ” สุดฟ้าถามขณะใช้ปลายไขควงไฟฟ้าหมุนน๊อตประกอบลงไปในโครงของเครื่องจักรตรงหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้มันคือหุ่นยนต์พ่อบ้านที่ชื่อสเตบาสเตียนนั่นเอง แต่สองพี่น้องที่อยู่ในห้องด้วยนั้นคงจะไม่รู้และไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ

“ก็ถ้าเป็นหุ่นยนต์คงไม่โดนพวกฉันสองคนกดง่ายๆ หรอก พวกฉันควรโดนเหวี่ยงกระเด็นมากกว่าโดนแกชก”

“ทั้งที่รู้อย่างนั้นพวกแกก็ยังอยากลอง”

“อ่านะ เผื่อฟลุ๊กไง”

“แล้วก็ฟลุ๊กจริงๆ” พอคนน้องพูดจบ คนพี่ก็ต่อทันที

“เสียใจด้วยนะที่ชวิศาที่ฉันสร้างขึ้นอ้อนแอบอบบางเหมือนคนจริงๆ”

“ร้องไห้ได้ด้วย?” ธัชนนท์ถาม

“แน่นอน” สุดฟ้าไม่ได้พูดโกหก หุ่นยนต์ชวิศาร้องไห้ได้จริงๆ แต่ค่อนข้างจะยากเสียหน่อย เพราะหุ่นยนต์ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกได้เช่นมนุษย์ ดังนั้นคงไม่มีทางที่จะเศร้าเสียใจได้ง่ายๆ

“ฉันทำให้ชวิศาเหมือนมนุษย์จนแยกแยะไม่ออกเชียวล่ะ ลมหายใจ นอนหลับ ความอุ่นร้อนของผิว ผิวแดงเรื่อในตอนที่อุณหภูมิร่างกายควรสูงขึ้น เหงื่อ แล้วอะไรอีกล่ะ อ้อ... ตอนน้ำแตกด้วย” สุดฟ้าหัวเราะในลำคอ ถึงแม้ยังไม่ได้ทดสอบก็เถอะ แต่สุดฟ้ามั่นใจในความอัจฉริยะของตนเองเต็มเปี่ยม

“เรื่องนี้แหละ ที่พวกฉันยิ่งอยากทดสอบ แกลองคิดดูสิถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ พวกเราจะสร้างกำไรได้มหาศาลแค่ไหน ฉันสองคนคิดแผนการตลาดครั้งนี้ไว้เสร็จสรรพแล้ว มีแต่ได้กับได้ นายก็สร้างหุ่นยนต์ไว้สักสามสิบตัว ส่วนฉันสองคนจะทำเว็บไซต์บริการคู่เดตไว้ให้บริการลูกค้า ถ้าลูกค้าถูกใจคนไหนพวกเราก็จะพาไปส่งให้ถึงที่ ทีนี้เรื่องเงินเราก็จะเรียกเก็บได้อย่างไม่อั้น สำหรับส่วนแบ่งพวกฉันให้แกหกสิบเปอร์เซ็นต์เลย”

“คู่เดต?”

“ถึงจะพูดว่าคู่เดตแต่ก็ต้องมีเรื่องอย่างว่าอยู่แล้วล่ะ” แฝดผู้น้องของสุวราลักษณ์เอ่ยเสริม “เพราะฉะนั้นยิ่งเหมือนมนุษย์ยิ่งดี”

“อืมนั่นสิ เป็นความคิดที่ดีนะ” สุดฟ้าอือออราวกับจะสนับสนุน “ว่าแต่พวกแกมีเงินสักสามร้อยล้านหรือเปล่าล่ะ”

“สามร้อยล้าน!!!!!” ฝาแฝดตะโกนพร้อมกัน และธัชนันท์ก็ถามต่อไปว่า “แกจะเอาเงินขนาดนั้นไปทำอะไรวะ”

“ก็เอาไปสร้างหุ่นยนต์สามสิบตัวอย่างที่พวกแกต้องการไง ตัวละสิบล้านสามสิบตัวก็สามร้อยล้าน”

“สิบล้านเหรอ ต้นทุนในการทำนี่ไม่สูงไปหน่อยหรือวะ” ธัชนนท์ถาม

“แกคิดว่าค่าผิวหนังเทียมมันเท่าไหร่กัน แล้วเซนเซอร์ตั้งเท่าไหร่ ระบบความร้อน ระบบกันความชื้น แค่ระบบพลังงานอย่างเดียวก็ปาเข้าไปร่วมสี่ล้านแล้ว พวกแกรู้หรือเปล่าชวิศานะไม่ต้องลากปลั๊กไฟมาต่อกับไฟบ้านทุกๆ วันหรอกนะเว้ย แบตเตอรี่ที่ชวิศาใช้อยู่สามารถใช้งานได้เป็นสิบปี สิบล้านนี่ฉันยังว่าน้อยไปเลย”

“มิน่า แกถึงได้หวงนักหวงหนา”

“เออเด่ะ หัดรู้ซะบ้างกว่าที่ฉันจะทำอะไรออกมาได้มันต้องใช้เงินใช้พลังงานไปเท่าไหร่ ใครจะยอมให้พวกแกชุบมือเปิบไปได้วะ”

“เออ เออ เป็นอันว่าพวกฉันรับรู้ แล้วแกก็ต้องไม่โกรธเรื่องเมื่อวานแล้วนะเว้ย คราวนี้พวกฉันรับรองว่าจะไม่ยุ่งกับชวิศาของแกอีกแล้วจริงๆ” ธัชนนท์ให้คำสัญญารับรองอย่างหนักแน่น สุดฟ้าเหล่ตามอง ไม่อยากจะเชื่อใจเจ้าพวกนี้เลย

“แต่ฉันว่า... ชวิศาที่อยู่กับแกนี่ยังไงก็เป็นคนจริงๆ แน่ๆ” จู่ๆ ธัชนันท์ก็พูดขึ้นมา เขาพูดกอดอกเอามือเกาคางทำท่าคิด

“ฉันว่า แกบอกมาตรงๆ เลยดีกว่า แกนะไม่ได้สร้างหุ่นยนต์ได้จริงๆ หรอกใช่ไหม สุดฟ้า”

“ฉันสร้างหุ่นยนต์รูปร่างหน้าตาแบบชวิศาขึ้นมาจริงๆ” สุดฟ้าย้ำให้ทั้งสองคนฟังซ้ำอีกครั้ง “อะไรอีกล่ะที่ทำให้แกคิดอย่างนั้น”

ธัชนันท์ยิ้มให้สุดฟ้าอย่างมีเลศนัย “แกสร้างหุ่นยนต์ให้มีไฝที่ต้นขาด้านในข้างซ้ายด้วยหรือไง”




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สาม 09/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: Bronc ที่ 09-10-2016 09:32:17
สนุกมากๆ ชวิศาน่ารัก ว่าแต่เข้ามาล้วงความลับอะไรของสุดฟ้า สุดหื่นกันนะ
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่ 22/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 22-10-2016 23:08:15
ตอนที่สี่


ช่วงสามสี่วันที่ผ่านมานี้สุดฟ้าไม่มีสมาธิในการอัปเกรดสเตบาสเตียนเลย ไฝที่ต้นขาด้านในข้างซ้ายของชวิศาเป็นจริงหรือเปล่า เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ สองพี่น้องสุวราลักษณ์มาป่วนที่บ้านนี้ได้ทุกวัน แทบจะมากินอยู่หลับนอนที่นี่ จริงอยู่ว่าสองคนนั้นไม่ได้ทำตัวรุ่มร่ามกับชวิศาแล้ว แต่ไม่สามารถวางใจให้อยู่กับชวิศาได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะปูดเรื่องอะไรกับชวิศาบ้าง นับว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่เขายังไม่ได้พูดเรื่องที่อยากให้ชวิศาลาออกจากงานหลอกๆ นั่นไป ตอนกลางวันที่เจ้าสองคนนั้นมานั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านจึงไม่ได้เจอชวิศาแต่กระนั้นเจ้าแฝดนรกก็ยังรบกวนชีวิตของเขาจนดึกดื่นๆ ทั้งยังมีเรื่องของชวิศามาเล่าได้ไม่ขาดปาก สองวันก่อนเล่าเรื่องที่มหาวิทยาลัยให้ฟัง แน่นอนว่าพวกเขาอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เสียแต่ว่าตัวเขาเองไม่เคยใส่ใจช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัยเลย จำได้ว่าตอนนั้นไปเรียนเพราะอยากได้ใบปริญญาเท่านั้น

ส่วนวันก่อน พี่น้องสุวราลักษณ์เอาเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องของชวิศาหลังจากเรียนจบแล้วมาให้ฟัง ที่บอกว่าเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างเพราะสองคนนั้นฟังมาจากคนอื่นเหมือนกัน และคนอื่นที่ว่าอาจจะฟังมาจากคนอื่นอีกทีเช่นเดียวกัน

“รู้หรือเปล่า ว่าชวิศากลับมาไทยแล้วนะ” ธัชนนท์บอกเขา

“ไม่รู้หรอก”

“แย่จริงถ้าฉันรู้ก่อนว่าชวิศามีโอกาสที่กลับมาฉันคงไม่แนะนำให้นายสร้างหุ่นยนต์หน้าตาเหมือนชวิศาหรอก”

สุดฟ้าอยากจะตบศีรษะเจ้าเพื่อนสนิทคนนี้จริงๆ พูดซะเสียงดังเชียว โชคดีว่าชวิศากลับเข้าไปในห้องนอนแล้ว ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เขาปิดไว้ต้องแดงออกมาแน่ๆ

“แล้วไง” สุดฟ้าถามอย่างไม่สนใจสักเท่าไหร่ นิ้วมือกดปุ่มบนจอยเกมยิก คนที่ถือจอยอีกอันเป็นธัชนันท์

“ไม่อยากรู้หรือไงว่าซี ชวิศากลับมาที่ประเทศไทยทำไม”

“ไม่ล่ะ” สุดฟ้าตอบอย่างเย็นชา เขาจะอยากรู้ทำไมในเมื่อเจ้าตัวอยู่ที่บ้านของเขาตอนนี้ ถ้าอยากรู้อะไรสู้ไปถามจากปากเลยไม่ดีกว่าหรือ

“รู้ไว้หน่อยไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อปะเหมาะเคราะห์ร้ายแกจะได้ไม่ต้องพาหุ่นยนต์ชวิศาของแกไปเจอเขาไง แล้วที่ชวิศาออกจากบ้านไปทุกวันอย่างนี้อาจจะไปบังเอิญไปเจอตัวจริงมาแล้วก็ได้”

“คนหน้าตาเหมือนกันมีเป็นพะเรอเกวียน เจอกันแล้วยังไงล่ะ” ไม่รู้ว่าตอนเจอกันเป็นอย่างไรแต่ตอนนี้หุ่นยนต์ของเขาหลับสนิทอยู่ที่บ้านของเจ้าคนที่ชื่อโยโดยไม่รู้ว่าพาวเวอร์ออฟได้อย่างไร ส่วนชวิศาตัวเป็นๆ ก็หลับอยู่ในห้อง

“ไม่แน่ว่าซี ชวิศาอาจจะโป๊ะยาสลบหุ่นยนต์ชวิศาของแกก็เป็นไปได้นะ” ธัชนนท์พูดด้วยน้ำเสียงระรื่นอย่างทะเล้น ประโยคต่อมาของสุดฟ้าเป็นสิ่งที่พวกเขารู้กันดีว่า

“ยาสลบใช้ไม่ได้ผลกับชวิศาหรอก”

แต่มันเป็นเรื่องที่น่าคิด ตอนที่เจอกันกับหุ่นยนต์ชวิศา ซี ชวิศาตัวจริงอาจจะเอายาสลบโป๊ะหุ่นยนต์ของเขาจริงๆ ก็เป็นได้ แต่ฤทธิ์คงจะแรงน่าดูเพราะป่านนี้หุ่นยนต์ชวิศายังไม่ฟื้นเลย

“แกเคยทดลองหรือ ซี ชวิศาออกจะอ่อนแอบอบบางขนาดนั้น” คราวนี้ ธัชนันท์พูดขึ้นบ้างพร้อมกับตัวละครในเกมถูกฝั่งสุดฟ้าอัดซ้ำๆ จนแต้มหมด ฝาแฝดผู้น้องวางของที่อยู่ในมือหันไปสบตากับพี่ชายก่อนจะลุกขึ้นยืน

“กลับก่อนนะ ฝันดีล่ะ” สองพี่น้องบอกพร้อมกัน สุดฟ้ามองตาม จะเรียกว่าชินก็เป็นได้ สองพี่น้องคู่นี้นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป เดินเข้าเดินออกบ้านของเขาราวกับเป็นบ้านของตัวเอง พอสุดฟ้ารู้สึกตัวอีกทีมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำเสียแล้ว

ร่างสูงลุกขึ้น ปิดโทรทัศน์ เดินไปทางห้องด้านหลัง กดรหัสปลดล็อกห้องทำงาน แสงไฟข้างในสว่างพร้อมๆ กับประตูที่เปิดออก ร่างของสเตบาสเตียนที่เกือบจะเสร็จสมบูรณ์ยังนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะตัวยาว



สุดฟ้าออกไปกินข้าวเช้าพร้อมชวิศาและกลับเข้าไปอัปเกรดสเตบาสเตียนต่อตอนที่ชวิศากำลังเดินทางออกจากบ้านเช่นเดียวกัน แมลงจักจั่นติดตามยังคงบินตามชวิศาและส่งภาพกลับมายังมอนิเตอร์ในห้องแห่งความลับของสุดฟ้าเช่นเดิม

.....แต่วันนี้มีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม

ชวิศาเพิ่งออกจากบ้านไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่นักตอนที่รถยนต์สี่ประตูสีดำมาจอดเทียบข้าง ทีแรกสุดฟ้าได้แต่เหลือบตามองอย่างไม่ค่อยสนใจ แต่พอเห็นชายในชุดสูทสีดำออกมาจากรถพร้อมกับภาพในหน้าจอที่บ่งบอกว่าชวิศากำลังโดนจับลากขึ้นไปบนรถ จากความตกตะลึงในคราแรกกลับกลายเป็นความโมโหโกรธาขึ้นมาทันที เพราะเจ้าคนที่โผล่หัวออกมาจากรถเหมือนมองหาอะไรสักอย่างช่างคุ้นตา

ไม่ใช่แค่เจ้าพวกนั้นจะกระตุกหนวดเสือมายุ่งกับของรักของหวงของเขา ยังริอาจลองดีเป็นครั้งที่สอง อย่างนี้มันต้องโดน!!!!!!!

สุดฟ้าฮึ่มฮัมยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น ชายหนุ่มเดินย่ำเท้าตึงๆ ออกไปเปิดประตู

ฝาแฝดสองพี่น้องยืนยิ้มเผล่อยู่หน้าบ้าน

“ตกลงว่า ชวิศาของแกโดนโป๊ะยาสลบแล้วหลับจริงๆ ด้วยล่ะ” สุวราลักษณ์คนพี่ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“เออ รู้แล้ว” เจ้าของบ้านกรรโชกกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ชวิศาเป็นคนจริงๆ แล้วจะทำไมวะ ถึงจะไม่ใช่หุ่นยนต์พวกแกก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง ส่งตัวชวิศาคืนมา”

“อูย....ไม่มีใครอยากจะยุ่งกับของพี่หรอกครับ” ธัชนันท์ว่า “พวกกระผมแค่สงสัย เลยต้องพิสูจน์เท่านั้นเอง ปราบส่งคนคืนเขาไป”

ชายในชุดสูทสีดำอุ้มพาชวิศาซึ่งหลับสนิทมาส่งถึงมือสุดฟ้า หลังจากรับร่างเพรียวบางมาไว้ในอ้อมแขนแล้วชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็ออกปากไล่ผู้มาเยือนทันที

“กลับไปได้แล้ว และถ้าจะให้ดีก็ไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”

“เฮ้ย อย่าเพิ่งตัดรอนอย่างนั้นสิ วันนี้พวกเรามาเจรจาอย่างสันตินะเว้ย” ธัชนนท์พูด “เรื่องชวิศาพวกเรารับรองว่าไม่ยุ่งอีกอย่างแน่นอน ฉันสองคนแค่อยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นไงมาไงเท่านั้น”

สุดฟ้ายังยืนตีหน้าขึงอย่างไม่เชื่อถือ สองพี่น้องยังยิ้มละไมอย่างน่าหมั่นไส้

“พูดจริง แค่แกเล่าให้พวกฉันฟังเท่านั้นว่า ชวิศามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

ต่างคนต่างเงียบอีกอึดใจใหญ่ ก่อนสุดฟ้าจะรับคำออกมาว่า

“เออ” แล้วหันหลังพาชวิศากลับเข้าห้องนอน สองพี่น้องจึงลั่นล้ามานั่งรออยู่ที่โซฟา สักพักสุดฟ้าจึงออกมาจากห้อง นั่งลงต่อหน้าแขกทั้งสอง และเล่าเรื่องที่เล่าได้ อันได้แก่ไม่รู้ว่าชวิศาหุ่นยนต์สลับกับตัวจริงได้อย่างไร แต่รู้ว่าสลับตัวกันและหุ่นยนต์ของเขาก็นอนอยู่บ้านคนที่ชื่อโย

“ฉันว่าแกตัดเนื้อหาสาระสำคัญไปมากเลยว่ะ” ธัชนันท์กล่าวต่อว่า

“แกรู้ได้อย่างไรว่าชวิศาที่อยู่กับแกไม่ใช่หุ่นยนต์”

“ก็ชวิศาต้องกินข้าว หุ่นยนต์ที่ไหนกินข้าวได้”

“แกไม่ได้สร้างให้ชวิศากินข้าวได้หรือไง”

“เปล่าถึงจะพยายามให้เหมือนมนุษย์มากแค่ไหนเรื่องบ้างเรื่องมันก็ต้องมีข้อจำกัด” สุดฟ้าตอบหน้าตาย

“เอางี้ดีกว่า เข้าประเด็นเลยชวิศาเขายอมให้แกทำด้วยหรือ” ธัชนนท์ชิงถาม

“ก็ยอม”

“เขามาอยู่ที่นี่ทำไมวะ” แฝดผู้น้องถามต่อ

“ยังไม่รู้เหมือนกัน”

“เขาไม่สงสัยเรื่องคนที่หน้าตาเหมือนตัวเองราวกับแกะ แถมชื่อเหมือนกันหรือ”

“ไม่นะ”

“เขาไม่รู้ด้วยใช่ไหมว่าชวิศาอีกคนเป็นหุ่นยนต์”

“น่าจะไม่รู้”

สองพี่น้องที่ผลัดกันยิงคำถามได้แต่ขมวดคิ้วงุนงงสงสัย

“คงอยากได้อะไรสักอย่างละมั้ง” สุดฟ้าว่า “ตอนนี้กำลังสืบอยู่”

“สืบโดยใช้ไอ้แมลงปอบินตามอ่านะ”

“จักจั่นต่างหาก” สุดฟ้าแก้

“แล้วแกได้อะไรบ้าง”

“ยังไม่รู้อะไรเลย รู้แค่มีกำหนดประมาณเดือนนึง นี่ก็ผ่านไปกว่าสิบวันแล้ว ชวิศาก็ไม่เห็นมีท่าทีอะไรเลย”

“เดือนนึง ...สามสิบวัน?” ธัชนันท์ทักอย่างสงสัย

“ถ้านับดูแล้วก็พอๆ กับกำหนดกลับของชวิศาเลยนะ” ธัชนนท์ว่า

“กลับหรือ?” สุดฟ้าเอ่ยขึ้นบ้าง

“แกน่ะ ให้จักจั่นบินตาม แล้วมีบันทึกดักฟังเสียงด้วยหรือเปล่า” ธัชนนท์ถามต่ออย่างรวดเร็วไม่ทันได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย

“มี” ชายหนุ่มพยักหน้า เดินนำทั้งสองคนเข้าไปในห้องทำงาน

ภายในห้องนั้น สเตบาสเตียนที่ถูกปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะตัวยาว

“เฮ้ย นี่หุ่นยนต์ตัวใหม่ของแกเหรอ” ธัชนันท์ออกปากด้วยความตื่นเต้น ร่างนั้นเป็นชายหนุ่ม รูปลักษณ์ภายนอกอยู่ในช่วงอายุใกล้เคียงกับพวกเขา แม้กระทั่งส่วนสูงก็น่าจะพอๆ กันเมื่อคะเนจากสายตา

“ไหนแกบอกว่าต้นทุนในการสร้างมันสูงไงล่ะ นี่แกสร้างตัวที่สองแล้วนะ”

“ฉันไม่ได้สร้างใหม่ทั้งตัว นี่สเตบาสเตียนฉันปรับปรุงขึ้นใหม่”

“สร้างซะหล่อเชียวนะ แกไม่กลัวชวิศาจะหลงรักหุ่นยนต์ของแกเหรอ”

“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” สุดฟ้ายืนยันเสียงหนักแน่นอย่างที่ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน

“สุดฟ้า แกสร้างให้ฉันสักตัวสิ” ธัชนันท์เอ่ยขอกระแซะเข้าหาอย่างออดอ้อน ซึ่งก็โดนเจ้าของบ้านผลักออกห่างอย่างรังเกียจแทบทันที

“เห็นว่าเป็นเพื่อนกันฉันลดให้แก จากสิบล้านเหลือเก้าล้าน ถ้าแกตกลง อีกหนึ่งเดือนแกมารับได้เลย”

“โห้ยยยยยยยย ยังไงก็ยังแพงอยู่ดีนั่นล่ะ” ธัชนันท์โอดโอย ธัชนนท์เห็นว่าถ้าปล่อยให้คุยเล่นกันต่อไปอย่างนี้วันนี้คงไม่ได้รู้เรื่องกันจึงเอ่ยขัดขึ้นมาว่า

“เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ สุดฟ้า แกเอาเทปบันทึกเสียงให้พวกฉันฟังก่อนดีกว่า”

“หูย บ้านนอกจัง ฉันไม่มีเทปบันทึกเสียงว่ะ มีแต่ไฟล์ภาพพร้อมเสียง เอาไหม”

ธัชนนท์หมั่นไส้นักจึงเดินไปตบศีรษะสุดฟ้าเข้าให้เสียที แล้วเอ่ยเร่ง

“รีบๆ เปิดให้ฟังเลย”

“แค่นี้ก็ต้องตีกันด้วย” ไม่วายที่สุดฟ้าจะบ่นงึมงำ ขณะกดแป้นพิมพ์คีย์พาสเวิร์ดเพื่อเปิดไฟล์ หน้าจอปรากฏภาพเคลื่อนไหวทันทีที่สุดฟ้าสั่งเล่นไฟล์ภาพที่เก็บไว้

ภาพของชวิศาเดินออกจากบ้านเพื่อไปทำงานหลอกๆ ที่สุดฟ้ากุขึ้นดำเนินไปให้ทั้งสองพี่น้องให้เห็นไล่เรียงไปตั้งแต่บทสนทนากับผู้ชายที่ชื่อโย กิจกรรมที่ชวิศาทำเมื่ออยู่ในบ้านหลังนั้น ซึ่งไม่มีอะไรเป็นที่สะดุดตา จนกระทั่งผู้เป็นเจ้าของสั่งปิดภาพเหล่านั้นลงกะทันหัน สองพี่น้องตระกูลสุวราลักษณ์เลิกคิ้วเป็นคำถาม

“ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วล่ะ” สุดฟ้าตอบห้วนๆ จะให้เจ้าสองคนนี้ดูต่อได้อย่างไร ก็ต่อไปจะเป็นภาพที่ชวิศาช่วยตัวเองเมื่อวันนั้นนี่นา

ฝาแฝดสุวราลักษณ์รู้ว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น แต่ไม่ได้คะยั้นคะยอรบเร้าให้มากความ เพราะรู้ว่าคงเป็นภาพที่สู่สาธารณะไม่ได้แน่ๆ

“โยธิน ภูสิทธิ์วรโชติสินะ พี่โยที่ชวิศาพูดถึง”

“แต่ดูแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ เป็นผู้บริหารบริษัทในเครือของตระกูล ประวัติดีไม่มีด่างพร้อย แม้ว่าจะเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกับชวิศา แต่ก็นั่นแหละ สองคนนั้นเติบโตมาพร้อมกันจะสนิทกันมากก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วคนที่เคี่ยวเข็ญจนชวิศาเรียนจบมาได้ก็คุณโยธินนี่ล่ะ” ธัชนนท์กล่าวเมื่อน้องชายพูดถึงพี่ชายที่ชวิศาพูดถึง ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกปากเพราะสะกิดใจอะไรบางอย่าง

“บีหนึ่ง จำเรื่องแปลกๆ ตอนที่เราอยู่ปีสามได้ไหม”

“เรื่องแปลกๆ หรือบีสอง” ธัชนนท์ทำท่านึก แต่เรื่องแปลกที่ว่ามันช่างยากที่จะนึกออกจริงๆ

“เรื่องแปลกๆ ของชวิศานะ บีหนึ่ง”

“อะ... นั่นสินะบีสอง พอรวมกับเหตุการณ์ในช่วงนี้..... มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่เลย” ประโยคสุดท้ายสองพี่น้องพูดออกมาพร้อมกันพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักราวกับเด็กผู้หญิง

“รู้แล้วใช่ม่ะ อะไรเหรอ” สุดฟ้าถามหน้าซื่อตาใส พวกเขาหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับเจ้าของคำถามพลางคิด พวกเขาจะเรียกร้องอะไรเป็นข้อต่อรองดีนะ

“ถ้าแกทำหุ่นยนต์น่ารักๆ ให้สักตัว พวกฉันอาจยอมบอกก็ได้” พอพูดประโยคนั้นอย่างพร้อมเพรียงกันจบ จึงหันไปหัวเราะให้แก่กันอีกครั้ง

“ให้แกสองคนหนึ่งตัว หรือคนละตัว”

“อ่า...นั่นสิ คนละตัวย่อมดีกว่าล่ะนะ เนอะบีสอง” ธัชนนท์ว่า

“อือก็ดีเหมือนกันนะบีหนึ่ง จะได้ไม่ต้องมาแย่งกันทีหลังด้วย”

“ได้ๆ งั้นบอกมาได้แล้ว” สุดฟ้าฉีกยิ้มถาม

“เรื่องสิเพื่อน ฉันต้องเห็นหุ่นยนต์ของแกก่อนแล้วพวกฉันจะบอก”

สุดฟ้านิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะยิ้มออกมา “งั้นไม่เป็นไร ฉันไม่อยากรู้ก็ได้ อยู่แบบนี้ฉันก็ไม่ได้เดือดร้อน” ก่อนจะหันไปกดคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์เข้าห้องแชตในสังคมออนไลน์

“อย่าเพิ่งใจน้อยสิเพื่อน” ธัชนันท์รีบตามมากอดคอ

“แกกับฉันสองคนต่างก็รู้ตับไตไส้พุงกันดี ไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าพวกฉันบอกแกแล้วแกจะเบี้ยวไม่สร้างหุ่นให้”

“คิด” สุดฟ้าตอบแล้วหัวเราะหึหึในลำคอ

“นั่นไง ดังนั้นฉันคิดหนทางที่เราทั้งสองฝ่ายจะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบไว้แล้ว” ธัชนนท์พูด ทั้งน้องชายฝาแฝดและเจ้าบ้านศิริกรต่างพยักหน้างึกๆ

“ก่อนอื่น แกสร้างหุ่นสองตัวให้เสร็จภายในสิบวันได้ไหม”

“มันก็ได้ละนะ” สุดฟ้านิ่งคิดก่อนจะตอบออกมา

“แบบที่กลางวันทำงาน กลางคืนเข้านอนนะ”

สุดฟ้าหน้าย่น แฝดผู้พี่ของบ้านสุวราลักษณ์จึงกล่าวต่อไปว่า “ชวิศาจะอยู่ที่ไทยอีกสิบกว่าวัน ถ้าไม่ทำแบบนั้นแกกับเขาก็จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกชั่วชีวิต”

ชายหนุ่มทำหน้าไม่เชื่อ “เว่อร์ไปละมั้ง แต่ถึงจะไม่ได้เจอกันอีกก็ไม่เห็นจะเป็นไงเลย”

คราวนี้สองพี่น้องถึงกับสะดุ้ง มองคนพูดที่ยังนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์หน้าตาเฉย ผู้เป็นเพื่อนจึงต้องรั้งไหล่ดึงความสนใจของอีกฝ่ายกลับมาหาตน

“ถ้าชวิศาไม่อยู่แล้ว แกจะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง”

“จะต้องรู้สึกอะไรล่ะ”

“ทั้งที่แกออกจะหวงแสนหวงชวิศาขนาดนั้นอ่านะ” ธัชนันท์ถามขึ้นบ้าง

“ฉันหวงชวิศาของฉัน ฉันไม่รู้ว่าชวิศาของพวกแกต้องการอะไร ถึงได้กักตัวชวิศาของฉันไว้แล้วแฝงตัวเขามาในบ้านของฉัน”

“งั้นทำไมแกไม่บอกชวิศาว่าแกรู้เรื่องทั้งหมด แล้วก็ไปเอาหุ่นของแกคืนมาซะ”

“ถ้าทำง่ายๆ อย่างนั้นก็ไม่สนุกซิ” สุดฟ้ายิ้ม “ช่วงนี้ไม่มีงานอะไรน่าสนใจเข้ามาเลย ฉันเบื่อจะเป็นเป็ดอยู่แล้ว มันก็....พอดีเลย”

สองพี่น้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่เท่ากับว่าเรื่องที่พวกเขาคิดได้มันก็ไม่ส่งผลอะไรกับเจ้าสุดฟ้าเลยนะสิ แต่เรื่องอะไรที่พวกเขาจะต้องยอมแพ้ง่ายๆ ในเมื่อมันอยากได้เรื่องสนุกนัก ขอจัดให้เลยละกัน ....แม้ว่าตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออกก็ตาม

ฝาแฝดสุวราลักษณ์ผู้มีพลังในการสื่อสารด้วยโทรจิตเป็นเลิศ หัวเราะให้แก่กัน ก่อนที่แฝดผู้น้องจะเดินเข้าไปโอบไหล่เพื่อนสนิทผู้เป็นเป้าหมาย

“พวกฉันสองคนจะช่วยให้แกสนุกสนานกว่านี้เอง”

สุดฟ้าตาโตเป็นประกายขึ้นมาทันที

“แต่มีข้อแม้ว่าแกต้องสร้างหุ่นยนต์น่ารักๆ ให้ฉันสองคนคนละตัว ซึ่งต้องเสร็จภายในสิบวัน และที่สำคัญในช่วงนี้ฉันบอกให้แกทำอะไรแกก็ต้องทำตามนั้น ห้ามขัดห้ามปฏิเสธ”

“ท่าจะยุ่งยากแฮะ” สุดฟ้าขมวดคิ้ว “ฉันไม่เอาด้วยดีกว่า”

“เฮ้ย!!!!!” สองพี่น้องร้องออกมาพร้อมกัน “อย่าเพิ่งปฏิเสธดิ งั้นก่อนอื่น ฉันจะทำให้ชวิศาของแกน่ารักสุดๆ ก่อน”

“ตอนนี้ชวิศาก็น่ารักสุดๆ อยู่แล้ว” สุดฟ้าพูดอวดพลางยิ้มกว้าง

“น่า... ถ้าแกไม่ชอบใจแล้วค่อยบอกปฏิเสธ” ธัชนนท์พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น

พอทั้งสองคนกลับออกไป สุดฟ้าจึงลงมือปรับแต่งสเตบาสเตียนอีกเล็กน้อย และดึงนิ้วก้อยเท้าข้างขวาปลุกให้หุ่นยนต์พ่อบ้านของเขาลุกขึ้น

“อรุณสวัสดิ์ครับ ด็อกเตอร์” สเตบาสเตียนพูดพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ



สุดฟ้ากำลังนั่งเกลี่ย เขี่ย และลูบผมของชวิศาเล่นตอนที่อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมา ชวิศาทำหน้างงมองเขาตาปริบๆ ตามด้วยคำถามพาซื่อ

“ผมกลับมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรครับ”

สมองของสุดฟ้าประมวลผลอย่างรวดเร็ว เสียงกิ้งในหัวดังขึ้น ถ้าเขากุเรื่องขึ้นมาหลอกชวิศาอีกชวิศาอาจจะเชื่อก็เป็นได้ ท่าจะสนุกดี ชายหนุ่มคิดพลางตีสีหน้าให้ขรึมลงบิ้วอารมณ์ให้ดูเศร้าอีกเล็กน้อย

“นายจำไม่ได้เหรอ นายโดนมนุษย์ต่างดาวลักพาตัว”

“มนุษย์ต่างดาว?” ชวิศาทวนคำซ้ำ ทำหน้างงยิ่งไปกว่าเดิม

“นายโดนจับตัวไปตั้งสองวัน ฉันเป็นห่วงนายมากเลย” ว่าเข้าไปนั่นทั้งที่ชวิศาหลับไปแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้นเอง

คราวนี้คนฟังถึงกับหน้าซีด “นายจำไม่ได้เลยหรือ” สุดฟ้าถามซ้ำด้วยใบหน้าเคร่งเครียดที่แกล้งทำชวิศาส่ายหน้ายิกๆ

“ผมไม่เห็นจำได้เลย” ชวิศาขมวดคิ้ว พยายามนึก ระหว่างนั้นสุดฟ้าก็ปลดเข็มขัดกับตะขอกางเกงของอีกฝ่ายออกชวิศาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ช่าง แต่เขาไม่ได้ทำกับชวิศามาตั้งหลายวัน อึดอัดจะตาย เพราะเช่นนั้นตอนนี้ขอก่อนนะ

“อ๊ะ” ชวิศาส่งเสียงทัก

“ตรวจร่างกายไง ไม่รู้ว่ามนุษย์ต่างดาวทำอะไรกับนายบ้าง” พูดจบก็ดันตัวชวิศาให้ล้มลงนอนอีกครั้ง ดึงทั้งกางเกงชั้นนอกชั้นในหลุดจากปลายเท้าในครั้งเดียว ชวิศายังมองหน้าเขาอย่างงุนงงเช่นเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วหลับตาส่งเสียงครางอาอือในลำคอเมื่อร่างสูงใหญ่ใช้ปากกดลงครอบครองส่วนอ่อนไหวกลางลำตัว รุกเร้าด้วยความอุ่นร้อนของโพรงปากและปลายลิ้น ดูดดึงด้วยจังหวะหนักๆ สลับกับการไล้เลียด้วยจังหวะเนิบช้า ก่อนจะกระตุ้นอย่างหนักหน่วงในจังหวะสุดท้ายให้อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมา

สุดฟ้าไม่ได้ปล่อยให้ชวิศาได้หอบหายใจนานนัก เขาใช้ของเหลวขาวขุ่นซึ่งยังคงอยู่ในปากเป็นตัวหล่อลื่น โดยใช้ปลายลิ้นแทรกนำทางและปล่อยน้ำรักนั้นเข้าไป ไม่โอ้โลมให้เยิ่นเย้อ จากนั้นกดแก่นกายตระหง่านตามไปอย่างรวดเร็วจนสุดความยาว

“อึก” ชวิศาส่งเสียงออกมา ร่างกายสะท้านไหว ชายหนุ่มนิ่งค้างอยู่ในท่านั้น กดตัวลงบดเบียดจูบกับปากบางได้รูปสีแดงอิ่ม ชวิศาปรือตามองและยกแขนขึ้นโอบกอดเขาไว้

หลังจากจูบที่แสนยาวนานและดูดดื่มจบลง สุดฟ้าพลันนึกสงสัย ชวิศาจะนึกอยากทำกับเขาบ้างไหมนะ หรือเป็นแค่เขาฝ่ายเดียวที่เสพติดการร่วมรักกับอีกฝ่าย

ชายหนุ่มเริ่มต้นขยับสะโพก ถอดกายออกและกดย้ำจนเกิดเป็นเสียงเนื้อกระทบกัน ฟังดูหยาบโลน ชวิศาที่กำลังหลับตาขมวดคิ้วน้อยๆ ก็คงได้ยินเสียงนั้น สุดฟ้ายังคงนึกสงสัย

“เจ็บหรือชวิศา”

ชวิศาลืมตามองเขา พลางส่ายศีรษะ

“รู้สึกดีไหม” ชายหนุ่มถามต่อพลางโน้มหน้าเข้าไปใกล้

“อ...อือ” เสียงตอบนั้นแสนเบาทั้งเจ้าของคำตอบยังเลี่ยงหลบสายตาสุดฟ้ารู้สึกเหมือนตัวเองโง่เง่าคาดเดาไม่ถูกเลยว่าการกระทำเช่นนั้นของอีกฝ่ายมีความหมายอย่างไร

ชายหนุ่มหยุดร่างกายที่ขยับเคลื่อนไหว ร่างบางข้างใต้จึงได้หันมามองพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“ถ้านายไม่ชอบ ฉันจะหยุด” สุดฟ้าตั้งใจจะทำอย่างที่พูดจริงๆ ชวิศาคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่หุ่นยนต์ของเขา ไม่ใช่ของของเขา และเขากอบโกยจากอีกฝ่ายมามากพอแล้ว

ชวิศานิ่งมอง ส่วนเขาก็จ้องมองเข้าไปในดวงตาใสอย่างไม่ลดละ ก่อนอีกคนจะหลบตาหนีไปเสีย

ให้ตายเถอะทำไมจู่ๆ เขาจะต้องมาสนใจเรื่องพรรค์นี้ด้วยนะ อีกฝ่ายจะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่เขาจะต้องมาสนใจเสียหน่อย ถึงคิดอย่างนั้นสุดฟ้ากลับรู้สึกแปลกๆ ในอกพิกล ตอนนี้เป็นเขาเสียอีกที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำเรื่องที่ค้างคาอยู่นี่ต่อไปดีหรือไม่

ชวิศาก็รู้สึกดีทุกครั้งไม่ใช่หรือไง แล้วต้องสนใจอะไรอีกล่ะ สุดฟ้าคิดอย่างลังเล

“ผมชอบครับ” จู่ๆ ชวิศาก็พูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย สบตาเขาด้วยสายตามุ่งมั่นจริงจัง จนเขาสับสนว่าเรื่องอะไรกันนะแต่พลันนึกขึ้นได้หลังจากนั้นไม่กี่วินาที จากนั้นร่างบางข้างใต้จึงยกตัวขึ้นจูบเขา ใช้ศอกยันช่วงตัวด้านบนให้ลอยขึ้นเหนือพื้นเตียงเล็กน้อยทั้งที่ถูกเขากดทับช่วงสะโพกไว้ ท่วงท่าเช่นนั้นดูน่าอึดอัด สุดฟ้าจึงโน้มตัวเข้าหาเพื่อตอบสนองสัมผัสเต็มที่

ในอกรู้สึกอู้ฟู่พองฟู หัวใจกระโดดโลดเต้นกันยกใหญ่ สุดฟ้ายกยิ้มแม้ริมฝีปากยังแทบไม่ห่างกัน รู้สึกว่าจูบนี้อบอวลหอมหวานยิ่งกว่าครั้งใดๆ .....

ชวิศานอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา มือของเขาลูบเบาๆ ไปตามแผ่นหลังเนียนนุ่มลื่น ห้องของเขามีแต่นาฬิกาดิจิตอลจึงไม่มีเสียงดังติ๊กๆ ระบบปรับอากาศก็เงียบมากจึงไม่มีเสียงครางหึ่งๆ ทั้งห้องนี้ผนังยังกันเสียงได้ดี ห้องทั้งห้องจึงยิ่งเงียบสนิท สุดฟ้าได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเอง และเสียงโครก.....คราก.....

ชวิศาหัวเราะ “หิวซะแล้วล่ะ” ใบหน้าน่ารักหันมาหา เกยคางวางไว้บนอก

“ด็อกเตอร์อยากกินอะไรครับ”

“เนื้อ”

“เนื้อหรือ งั้นก็ต้องสเต๊กสินะ ด็อกเตอร์จะนอนต่อก็ได้ครับ เสร็จแล้วผมจะมาเรียก”

“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวฉันไปช่วย มีอะไรอยากให้นายดูด้วย”

ชวิศาเลิกคิ้วด้วยความสงสัยแต่ไม่ได้เอ่ยปากถาม เดินตามร่างสูงที่สวมเสื้อผ้าเสร็จเร็วกว่าออกไปด้านนอก ที่โซฟาหน้าทีวีมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่

“สเตบาสเตียน” ผู้ชายคนนั้นจึงหันมาตามเสียงเรียก ฝ่ายชวิศาดึงชายเสื้อสุดฟ้าไว้แล้วเอ่ยกระซิบถามเสียงเบา

“เพื่อนของด็อกเตอร์หรือครับ”

“เปล่า สเตบาสเตียนไง หุ่นยนต์พ่อบ้านที่ฉันบอกว่าจะปรับปรุงไง”

ชวิศานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วพึมพำออกมาว่า “เหมือนคนจริงๆ เลยครับ”

“อือ แน่นอนสิ ต่อไปนี้ฉันจะให้สเตบาสเตียนเป็นบอดี้การ์ดของนาย แต่แน่นอนว่าต้องทำงานพ่อบ้านด้วยล่ะนะ”

“เอ๊ะ!!! ไม่เห็นจำเป็นเลยนี่ครับ บอดี้การ์ดอะไรนั่น”

“ไม่ได้ล่ะ นายเพิ่งโดนมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปเองนะ ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับนายอีกเป็นอันขาด และต่อไปนี้ก็ไม่ต้องไปทำงานแล้ว นายคนเดียวฉันเลี้ยงได้” ในที่สุด สุดฟ้าก็สามารถจบเรื่องโกหกเกี่ยวกับงานลงได้ แต่ยังไม่เลิกอ้างเรื่องมนุษย์ต่างดาว ถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าเจ้าสองตัวนั่นเป็นมนุษย์ต่างดาวจริงๆ นั่นแหละ แต่ละเรื่องที่ทำไม่ได้เหมือนคนปกติเลยสักเรื่อง ทั้งน่าปวดหัวและน่าตบศีรษะสั่งสอนเป็นที่สุด อ้อ... เรื่องที่ทำกับชวิศาไว้เขายังไม่ได้คิดบัญชีเลยนี่นะ อย่าให้มีโอกาสแล้วกัน สุดฟ้าได้แต่เข่นเขี้ยวในใจ

“นั่นสิ แถมโดนจับไปทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ด้วย” ชวิศาพูดกับตัวเองเบาๆ โดยที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านหันไปพูดคุยกับหุ่นยนต์พ่อบ้านสเตบาสเตียนเรื่องประสิทธิภาพความคล่องตัวของร่างกายใหม่ จึงไม่ได้ยินประโยคที่ว่า หันกลับมาอีกที ชวิศายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าและท่าทางกังวลใจ ดูท่าร่างเพรียวบางจะเชื่อคำโกหกนั่นมากกว่าที่คิดไว้นะเนี่ย

“เป็นอะไรไปน่ะชวิศา ไม่หิวข้าวแล้วหรือ ถ้ายังไงให้สเตบาสเตียนทำให้ดีไหม”

“อ๊ะ ไม่ต้องครับ ผมทำได้”

ชวิศาสลัดความคิดยุ่งยากออกจากสมอง พลางก้าวเท้าเข้าไปในครัว

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่ 22/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 22-10-2016 23:11:15


สเตบาสเตียนติดตามชวิศาเหมือนเงาตามตัว ถ้าชวิศาอยู่ภายในบ้าน สเตบาสเตียนจะทำงานบ้านตามหน้าที่ของตนเองเช่นปกติ แต่ถ้าชวิศาก้าวเท้าออกจากบ้านเมื่อไหร่ ร่างสูงหนาเทียบเท่าเจ้าของผู้สร้างจะตามติดเขามาในทันใด ที่สำคัญหน้าตาของสเตบาสเตียนยังเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนทั่วไปไม่น้อย

“ด็อกเตอร์ไม่น่าทำให้คุณสเตบาสเตียนหน้าตาดีขนาดนี้เลย” ชวิศาพูดออกมาตอนที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังเลือกซื้อของอยู่ในซูเปอร์มาเกต

“มีแต่สาวๆ มองตามแน่ะ” ว่าพลางพยักพเยิดไปทางกลุ่มสาวน้อยสาวใหญ่ซึ่งมองชายหนุ่มร่างสูงไม่วางตา

“ถ้าคุณชวิศาไม่บอกผมคงไม่รู้ว่าตัวเองหน้าตาดี” สเตบาสเตียนตอบด้วยเสียงนุ่มทุ้มที่ชวิศาแอบเผลอใจละลายไปในบางครั้ง คนอะไรไม่รู้เสียงเท่จริงๆ ชวิศาคิดในใจ

เหลือบมองร่างสูงข้างกายด้วยความลังเล การที่มีคนตามติดไปทุกฝีก้าวทำให้ร่างโปร่งบางค่อนข้างจะกังวลใจและอึดอัดอยู่ไม่น้อย เขามีความลับที่ไม่สามารถบอกให้สุดฟ้ารับรู้ได้อยู่ ถ้าคนที่อยู่บ้านศิริกรไม่มีใครล่วงรู้เลยจะดีที่สุด แต่จนป่านนี้เขาก็ยังไม่เจออะไรที่เกี่ยวกับชวิศาอีกคนที่อยู่กับพี่โย นึกๆ แล้วก็อยากถามสเตบาสเตียนให้รู้เรื่องรู้ราวกันไป

“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปหาหมอเลยจะเป็นอะไรไหมนะ” ชวิศาเอ่ยขึ้นมาลอยๆ แต่ก็เรียกความสนใจจากคนข้างกายได้ดี

“คุณชวิศาเป็นอะไรหรือครับ”

อา.... แล้วเขาจะตอบอย่างไรดีล่ะเนี่ย ไม่ได้คิดไว้ซะด้วยสิ คิดแค่ว่าถ้าคนคนนั้นป่วยมีโรคประจำตัวก็น่าจะไปหาหมอบ่อยๆ

“เปล่าครับ ผมพูดไปอย่างนั้นแหละ” ชวิศายิ้มแหยๆ แล้วเสหลบสายตาที่จ้องมองเหมือนจะทะลุไปถึงตับไตไส้พุงของสเตบาสเตียน “เออ... คุณสเตบาสเตียนเห็นใบตรวจสุขภาพของผมหรือเปล่า”

สเตบาสเตียนทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาว่าไม่มีนี่ครับ “ที่บ้านไม่มีใบตรวจสุขภาพของคุณชวิศาหรอกครับ” ชวิศาถอนหายใจอย่างหมดหวัง ว่าแล้วเชียว.... เขาพยายามรื้อๆ ค้นๆ หาเอกสารประจำตัวหรือใบตรวจสุขภาพของคุณชวิศาคนนั้นแล้ว แต่ไม่พบอะไรเลย ทางพี่โยเองก็พยายามค้นหาจากอินเทอร์เน็ตทั้งสอบถามจากเพื่อนที่เป็นหมอว่ามีโรคอะไรบ้างที่ทำให้คนหลับได้เป็นวันๆ ขนาดนั้น ที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นไฮเปอร์ซัมเนีย ทั้งอย่างนั้นโรคนี้ทำให้คนหลับได้เพียงไม่นานก็ต้องตื่นขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่นอนหลับเป็นสัปดาห์เช่นนี้

“ถามอะไรอีกอย่าง คุณสเตบาสเตียน ถ้าผมจะไปที่อื่นบ้างจะเป็นอะไรไหม คุณต้องนำเรื่องของผมไปรายงานด็อกเตอร์หรือเปล่า”

“ไม่ครับ ผมมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของคุณเท่านั้น” ส่วนหน้าที่หรือคำสั่งอื่นๆ คุณหุ่นยนต์พ่อบ้านถูกสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้แพร่งพรายออกไป


สุดฟ้าถอดเครื่องดักฟังจากเสื้อผ้าของชวิศาออกแล้วและไม่ได้ให้เจ้าจักจั่นคอยสอดส่องพฤติกรรมของชายหนุ่มร่างเล็กอีกต่อไปเพราะคิดว่าสเตบาสเตียนเพียงตนเดียวน่าจะเพียงพอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้รับรู้บทสนทนาดังกล่าวของหนึ่งคนและหนึ่งตน

และขณะเดียวกันกับบทสนทนานั้นซึ่งอาจจะเหลื่อมล้ำสักประมาณสิบถึงยี่สิบนาที สองพี่น้องหน้าตาเหมือนกันกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของเขา บนโซฟารับแขกหน้าทีวีจอยักษ์

“ถ้าแกไม่ให้ฉันคุยกับชวิศา พวกฉันจะทำให้ชวิศาน่ารักสุดๆ ได้อย่างไรล่ะ”

“ใช่ๆ มันต้องมีการเตรียมการอะไรกันบ้าง” ถึงจะพูดไปอย่างนั้น ในหัวสมองของทั้งสองคนก็ยังคงว่างเปล่า ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดได้เลาๆ ถึงแผนการที่จะทำ แต่เมื่อลองคิดไตร่ตรองดูแล้วมันจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่าชื่นชมอยู่ไม่น้อย และไม่แน่ว่าเจ้าสุดฟ้ามันจะชอบหรือไม่

“ฉันคิดว่าตอนนี้ชวิศาก็น่ารักที่สุดอยู่แล้วล่ะนะ” สุดฟ้าพูดจาด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวด “ถ้าพวกแกอยากได้หุ่นยนต์ขนาดนั้น ยอมจ่ายเงินซะน่าจะง่ายกว่านะ”

“ตั้งสิบล้าน!!! ใครจะไปมีปัญญาหาเงินเยอะแยะขนาดนั้นมาให้แกกันล่ะ” สองพี่น้องพูดพร้อมกัน

“เพื่อนฝูงกัน แกจะไม่ยอมทำให้ฟรีสักตัวนึงไม่ได้หรือ” ธัชนันท์พยายามออดอ้อนขอความเห็นใจ

“อืม นั่นสินะ” สุดฟ้าครุ่นคิดด้วยความลังเล เพียงครู่เดียวเขาก็ตอบกลับไปว่า “ไม่ดีกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะเอาความเป็นเพื่อนมาเป็นข้ออ้างได้”

เหตุผลที่แกอ้างมามันไม่ได้เรื่องเล้ย!!! ธัชนนท์และธัชนันท์คิดอยู่ในใจ

และแล้วชวิศาก็กลับมาจากการซื้อของ

“อา... สวัสดีครับ” ชวิศาเอ่ยทักทาย ขณะที่สเตบาสเตียนก้มศีรษะให้เล็กน้อย และนำข้าวของที่อยู่ในมือเข้าไปเก็บ

“มาพอดีเลย ชวิศาพวกเรามีเรื่องจะพูดด้วย” ธัชนันท์รี่เข้าไปหาชวิศาด้วยความรวดเร็ว

“ครับ” ชวิศาก็ชั่งแสนน่ารักตั้งใจรับฟังด้วยใบหน้าที่แสนซื่อ

“คือว่านะ...” ยังไม่ทันที่น้องชายฝาแฝดจะพูดออกไป ธัชนนท์ก็ออกปากขัดเสียก่อน

“ถ้าเราพูดกันเสียตรงนี้เรื่องที่ควรจะเป็นความลับก็ไม่ใช่ความลับนะสิ”

ผู้ฟังทั้งสามคนต่างขมวดคิ้ว หลังจากกระแสจิตจากพี่ชายฝาแฝดส่งตรงมาถึง ธัชนันท์จึงร้องอ้อออกมา

“สุดฟ้า ถ้าแกไม่ให้พวกฉันคุยกับชวิศาฉันจะบอกเรื่องทุกอย่าง ซึ่ง... แกคงรู้ใช่ไหมว่าเรื่องที่ว่ามันเรื่องอะไร” ธัชนนท์ยกยิ้มอย่างเป็นต่อ

“พวกแกขี้โกง” สุดฟ้าได้แต่เต้นเร่าๆ ชี้หน้าว่าฝาแฝดด้วยคำพูดสั้นๆ

“ไม่เลย พวกฉันไม่ได้ขี้โกงเลย แต่นี่เขาเรียกว่าการเจรจาธุรกิจ เอาอย่างนี้ ฉันมีทางเลือกให้แกสองทาง ทางแรกแกก็พูดไป ผลลัพธ์ที่ตามมาก็แค่สภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าแกไม่รู้สึกอะไรกับชวิศาจริงๆ แกคงไม่เดือดร้อนนักหรอก ส่วนอีกทางให้พวกฉันพูดซึ่งผลลัพธ์ก็เหมือนกัน หึหึหึ” ธัชนนท์หัวเราะอย่างสบอารมณ์

“ไอ้...” สุดฟ้าได้แต่พูดอยู่แค่นั้น นึกคำด่าต่อว่าต่อขานไม่ออก ก่อนจะโพล่งออกมาว่า “ฉันจะส่งระเบิดไปถล่มบ้านแก”

ธัชนนท์ยิ้มรับกับคำขู่สุดฮิต

“เอาซี่ ถ้าแกทำแบบนั้นฉันก็ยังจะพูดอยู่เหมือนเดิม”

“ได้ ได้ ของแกตัว ของแกอีกตัวใช่ไหม อาทิตย์หน้ามาเอาแล้วไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก” สุดฟ้าสะบัดหน้าพรืด เดินหายเข้าไปในห้องทำงาน เพียงครู่เดียวสุดฟ้าได้เดินกลับอีกพร้อมกำชับสเตบาสเตียนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“สเตบาสเตียนจับตาดูชวิศาไว้ ถ้าเจ้าสองตัวนี้เข้าใกล้ชวิศาภายในระยะห้าสิบเมตร หรือพูดจาอะไรแปลกๆ ให้ชวิศาฟัง นายต้องมาบอกฉันทันที เข้าใจไหม”

“รับทราบครับ ด็อกเตอร์”

หลังคำสั่งนั้นสองพี่น้องกระเด้งตัวออกห่างจากชวิศาทันที และยังไม่ทันที่ใครพูดอะไรก็รีบจรลีออกจากสถานที่แห่งนี้ทันที

ชวิศาหันซ้ายหันขวามองสองพี่น้องสุวราลักษณ์ที่รีบออกจากบ้าน มองประตูห้องทำงานที่ปิดสนิทของผู้เป็นเจ้าของบ้าน และหันมองใบหน้าอันหล่อเหลาของสเตบาสเตียนซึ่งมองเขาเขม็งเหมือนจะจ้องจับผิด แล้วยิ่งรู้สึกผิดที่ผิดทางทำอะไรไม่ถูก

“ผ...ผมเข้าไปในห้องนอนได้ไหม” ชวิศาเอ่ยถามสเตบาสเตียนอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ถ...ถ้าอย่างไร อีกสักชั่วโมงผมจะออกมาทำอาหาร คุณสเตบาสเตียนทานข้าวดึกหน่อยจะเป็นอะไรไหมครับ”

เนื่องจากสเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์ คำถามน่างุนงงเช่นนั้นของชวิศาจึงไม่เป็นปัญหาต่อพ่อบ้านหนุ่ม

“ผมไม่รับอาหารครับ ผมคิดว่า คุณชวิศาน่าจะพักผ่อนให้เพียงพอดีกว่า สำหรับเรื่องอาหารเดี๋ยวผมจัดเตรียมให้เองครับ” ร่างสูงตอบด้วยใบหน้าซึ่งแต้มรอยยิ้มน้อยๆ และน้ำเสียงอบอุ่นเช่นเดิม

“อ๊ะ... นั่นสินะ” ชวิศายกมือขึ้นเกาศีรษะแกรกๆ ก้มหน้าลงน้อยๆ อย่างเขินอายในความเด๋อด๋าของตนเอง พลางชี้นิ้วไปทางห้องนอน

“ไปนะครับ” ชวิศาบอกอีกครั้งพลางก้มศีรษะให้

พอปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย ชวิศาก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกทันที รอเสียงสัญญาณสองสามครั้ง อีกฝั่งก็รับสาย”

“ว่าไง วันนี้ไม่มาทำงานหรือไง”

“ไม่ครับ คุณสุดฟ้าบอกว่าไม่ต้องไปทำแล้ว เขาพูดว่าผมคนเดียว เขาเลี้ยงไหวด้วยล่ะ” ชวิศาเล่าเรื่องที่ทำให้ปลื้มใจโดยลืมหัวข้อที่จะโทรหาพี่ชายไปเสียสนิท

“แถมนะ เขายังให้สเตบาสเตียนมาเป็นบอดี้การ์ดให้ผมด้วย สเตบาสเตียนนะหล่อมากเลย เสียงก็นุ้มนุ่มจนผมเผลอใจละลายไปตั้งหลายครั้งแน่ะ”

“เดี๋ยวนะซี พี่ว่าเราควรหยุดพร่ำเพ้อก่อนน่าจะดีกว่านะ” โยรีบเบรกน้องชายก่อนที่อีกฝ่ายจะฝันเฟื่องไปยิ่งกว่านี้

“นายลืมไปแล้วหรือไง ชวิศาของเจ้าสุดฟ้าไม่ใช่นาย แต่เป็นคนที่นอนหลับเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ที่บ้านนี่ต่างหาก”

“ง่ะ อย่าขัดจังหวะดิ ขอแอบเข้าข้างตัวเองบ้างได้ปะล่ะ” ชวิศาหน้างอหงิก

“เออ... แทบลืมไปแน่ะ” ในที่สุดชวิศาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองตั้งใจโทรหาโยธินด้วยเรื่องอะไร

“วันนี้นะ ฝาแฝดสุวราลักษณ์พูดอะไรแปลกๆ ประมาณว่าถ้าคุณสุดฟ้าไม่ได้คิดอะไรกับชวิศาจริงๆ ก็คงไม่เดือดร้อน แล้วฝาแฝดก็ทำท่าเหมือนจะรู้อะไรหลายๆ อย่างเลยล่ะครับ แต่ว่าคุณสุดฟ้าเขาห้ามไม่ให้พูดอะไร แล้วก็สั่งห้ามเข้าใกล้ชวิศาด้วย”

“สุวราลักษณ์?”

“ครับ พี่น้องฝาแฝดธัชนนท์ กับธัชนันท์ สุวราลักษณ์ไง”

“อ้อ...” ปลายสายลากเสียงเหมือนนึกได้ “อือ... งั้นตอนนี้เราก็อยู่เฉยๆ ไปก่อน ถ้าพี่มีอะไรแล้วจะโทรไปหา และถ้ามีอะไรคืบหน้าก็อย่าลืมโทรมาบอกด้วยล่ะ”

“ครับ” ชวิศารับคำแข็งขัน

“อ้อ อีกอย่าง เมื่อสองวันก่อนคุณอาโทรมาวันศุกร์นี้ คุณอาจะมาที่บ้าน!!! ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่ 22/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 23-10-2016 01:52:13
มารอ
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่ 22/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 23-10-2016 16:48:53
ลักลับ ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ห้า 30/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 30-10-2016 07:10:45
ตอนที่ห้า


สุดฟ้าหายเข้าไปในห้องนั้นจนเวลาล่วงเข้าวันที่สามแล้ว ชวิศาชะเง้อชะแง้รออยู่ภายนอกไม่ได้เห็นหน้าชายหนุ่มเจ้าของบ้านเสียทีก็นึกเป็นห่วง

“คุณสเตบาสเตียน”ร่างเพรียวบางเอ่ยเรียกหุ่นยนต์พ่อบ้าน สเตบาสเตียนหยุดอยู่กับที่ในมือถือตะกร้าผ้าที่ตั้งใจจะนำไปซัก

“ทำไมด็อกเตอร์เขาไม่ออกจากห้องทำงานมาบ้างเลยล่ะ ด็อกเตอร์ไม่ออกมากินข้าวบ้างเลยจะเป็นอะไรไหมเนี่ย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณชวิศาไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าด็อกเตอร์ทำงานก็จะอยู่ในนั้นจนกว่างานจะเสร็จครับ ส่วนเรื่องอาหาร ด็อกเตอร์จะทานจำพวกอาหารอัดเม็ด วิตามินและอาหารเสริมครับ”

“ของแบบนั้นอะนะ”ชวิศาเบ้หน้า ไม่ค่อยชื่นชอบอาหารอวกาศแบบนั้นสักเท่าไหร่ เพราะเขาเป็นพ่อครัวทำอาหารด้วยสาเหตุหนึ่ง ถ้าคนส่วนใหญ่กินแต่ของแบบนั้น คนทำอาหารอย่างเขาคงไม่มีความจำเป็น

“ครับ เพราะด็อกเตอร์ต้องการเร่งทำงานให้เสร็จเร็วๆน่ะครับ”

“งั้นหรือ”ชวิศาได้แต่พยักหน้ายอมรับ แอบรู้สึกเหงาอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้เห็นหน้าชายหนุ่มเจ้าของบ้านมาตั้งสามวันพรุ่งนี้เขาก็ต้องกลับไปที่บ้านเพื่อไปรับหน้ามารดาและเผลอๆอาจจะไม่ได้กลับมาอีก ชวิศากังวลใจอย่างบอกไม่ถูก

ชวิศาทรุดตัวลงนั่งหน้าประตูบานใหญ่ เขาคิด... ไม่ว่าวันนี้ หรืออีกสองอาทิตย์หน้า ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องจากที่นี่ไปอยู่ดี แต่อย่างน้อยที่สุดถ้าได้เห็นหน้าสุดฟ้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปก็ดี ให้เขาได้อยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย...

ร่างเพรียวบางนั่งรออยู่หน้าห้องทำงานของสุดฟ้าตั้งแต่ช่วงสาย เที่ยงลุกไปกินข้าว และกลับมานั่งอยู่ที่เดิม นั่งรออยู่เช่นนั้นผ่านมื้อเย็น ชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็ยังไม่ออกมาจากห้องเสียที รอจนหลับไปตรงนั้นและตื่นขึ้นพร้อมเช้าวันใหม่ ชวิศาได้แต่เหม่อมองประตูบานนั้นจนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“เครื่องลงตอนสิบโมงนะ เรามาที่บ้านล่ะแล้วจะได้ออกไปพร้อมกัน” ชวิศาได้แต่ครางรับก่อนจะตัดใจลุกขึ้นยืน

“ทำไมไม่กดกริ่งเรียกล่ะครับ”สเตบาสเตียนถามเขา นั่นสินะ...ทำไมเขาถึงไม่ทำแบบนั้นล่ะ ชวิศาเหมือนนึกขึ้นได้ จึงได้เดินไปกดปุ่มบนกำแพง หลังจากยกมือออกทุกอย่างยังคงเงียบกริบเหมือนเดิม ประตูบานเลื่อนตรงหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะขยับ ชวิศาจึงใช้นิ้วจิ้มไปที่ปุ่มอีกครั้ง แล้วเอาหูแนบกับบานประตู แต่ถ้าชวิศารู้ว่าประตูความหน้าสิบเซ็นติเมตรสั่งทำด้วยวัสดุพิเศษกันเสียงทั้งภายในและภายนอกไม่ให้ทรานเฟอร์ส่งผ่านกันได้แล้วละก็ ร่างเพรียวบางคงไม่ทำเช่นนั้น

เมื่อกดกริ่งไปสองครั้งแล้วไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ชวิศาจึงใช้มือเคาะประตูแทน

“ประตูสั่งทำพิเศษครับคุณชวิศาต่อให้เอาค้อนมาทุบเสียงจากภายนอกก็ไม่มีทางหลุดรอดเข้าไปข้างในครับ” สเตบาสเตียนพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ชวิศาหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาอบอุ่นด้วยสีหน้าหลากหลาย ที่แน่ๆร่างบางหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆที่ทำเรื่องเปิ่นๆแบบนั้นออกไป เขายกมือขึ้นเกาศีรษะแกรกๆอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีไปกว่านั้น ก้มหน้าอมยิ้มด้วยความเขินอาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับสเตบาสเตียนว่า

“งั้นผมไปก่อนนะครับ”ชวิศาเดินผ่านหน้าหุ่นยนต์ในรูปร่างชายหนุ่มร่างสูงกว่าไป เดินไปไม่กี่ก้าว สเตบาสเตียนก็ร้องว่ารอเดี๋ยว สเตบาสเตียนหายเข้าไปในครัวสักพักก็กลับออกมา

“พร้อมแล้วครับ”

ชวิศาได้แต่งง

“คุณชวิศาจะออกไปข้างนอกไม่ใช่หรือครับ ผมเองก็จะไปกับคุณด้วย”

แย่แล้ว! ชวิศาอุทานในใจ ถ้าสเตบาสเตียนไปด้วย เรื่องทุกอย่างที่เขาปิดบังไว้ก็คงต้องถูกเปิดเผยออกหมด จะทำอย่างไรดีล่ะ ชวิศาคิดด้วยความกังวล

“คุณสเตบาสเตียนไม่ต้องไปหรอกครับ ผมไปคนเดียวได้” ชวิศาอ้อมแอ้มบอกออกไป

สเตบาสเตียนมองคนตรงหน้า สมองกลประมวลผลวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเช่นเดิมว่า “คุณชวิศาลืมแล้วหรือครับ ด็อกเตอร์ให้ผมเป็นบอดี้การ์ดของคุณ ผมคงไม่สามารถให้คุณไปไหนมาไหนคนเดียวได้หรอกครับ”

“อ๊ะ...นั่นสิ” แย่แล้วๆ ชายหนุ่มได้แต่พร่ำร้องคำคำนี้อยู่ในใจ

“ครับ แค่หน้าที่ที่ผมได้รับก็ไม่สามารถปล่อยให้คุณออกไปข้างนอกคนเดียวได้อยู่แล้ว ดังนั้นกรุณาอย่าปฏิเสธด้วยครับ”

“ครับ” ร่างบางพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นขอผมโทรศัพท์ก่อน” ใบหน้าจืดเจื่อนกังวล ชวิศาเลี่ยงเดินออกห่างจากหุ่นยนต์พ่อบ้าน ยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออก

“พี่โย คุณสเตบาสเตียนเขาจะไปด้วยน่ะครับ”

“คนที่ว่า สุดฟ้าให้มาเป็นบอดี้การ์ดให้นายนะเหรอ อืม ก็เอาสิ”

“พี่ว่ามันจะไม่เป็นไรหรือ”

“หึ นายกังวลอะไรอยู่ล่ะ ไม่ใช่ว่านายหลุดพูดอะไรไปตั้งเยอะแล้วหรอกหรือ”

ชวิศาหน้าเสีย เขาแค่หน้าตาเหมือนคุณชวิศาของคุณสุดฟ้า แต่นิสัยหรือความคิดอ่านอย่างอื่นไม่รู้ว่าเหมือนกันไหม เขาเคยคุยกับอีกฝ่ายแค่ครั้งเดียว เพราะฉะนั้นตอนที่อยู่กับสุดฟ้า เขาจึงเป็นตัวเองอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าเรื่องที่พวกเขาสลับตัวกัน สุดฟ้าจะรู้หรือยัง แต่ไม่รู้ล่ะ ตอนที่เขาขอดีๆก็ไม่ยอมตกลงง่ายๆนี่นา คอยดูสิ เขาจะทำให้สุดฟ้าหลงรักเขาให้ได้เลย

“อือๆ งั้นอีกเดี๋ยวเจอกันนะครับ”ว่าก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วรีบมาหาสเตบาสเตียน

“โอเคครับ ไปกันเถอะ”

อีกครู่ใหญ่ๆต่อมา ชวิศาจึงได้ไปยืนเผชิญหน้ากับโยธิน คนเป็นพี่ขมวดคิ้วไม่ชอบใจนักกับเสื้อผ้าที่ชวิศาสวมใส่อยู่ กางเกงสแล็คสีดำนี่ก็โอเคอยู่หรอก แต่ไอ้ลายเพนต์การ์ตูนบนเสื้อยืดนี่มันอะไรกัน

“ตัวนี้ชื่อคิกขุแมนครับ คุณสุดฟ้าชอบมากเลย”ชวิศาโอ่พร้อมรอยยิ้ม

โยธินได้แต่พยักหน้ารับโดยไม่ออกความคิดเห็น และบอกให้ชวิศาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้นถ้าคุณอาได้เห็นเสื้อยืดลายการ์ตูนเด็กประถมเช่นนี้อาจจะเป็นลมลงได้ ตอนนี้จึงเหลือแค่เขากับพ่อบ้านหนุ่มหล่อ และถ้าโยธินจำไม่ผิดสเตบาสเตียนที่เป็นพ่อบ้านของบ้านศิริกรน่าจะเป็นหุ่นยนต์ที่เจ้าของบ้านเป็นคนสร้างขึ้นแต่ที่เห็นอยู่ตรงหน้า นี่มันมนุษย์ชัดๆ!!!

“คุณ...สเตบาสเตียน?”โยธินเอ่ยถาม

“ครับ”

“คุณเป็นหุ่นยนต์หรือ”

“ครับ”สเตบาสเตียนตอบรับด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนเช่นเดิม ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มหล่อเหลาไม่เปลี่ยนแปลงหรือสะทกสะท้านกับคำถาม

“ครับนี่คือใช่หรือไม่ใช่”

“ใช่ครับ ผมเป็นหุ่นยนต์ที่ด็อกเตอร์สร้างขึ้น”

เป็นฝ่ายโยธินเสียอีกที่ตะลึงงันไปกับคำตอบที่ชัดเจนของอีกฝ่าย

“ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออย่างไร”โยธินถามอย่างสงสัย ซึ่งสเตบาสเตียนได้ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า “มีกฎที่ต้องปิดบังความลับอยู่บ้างครับ แต่ไม่ใช่กับคำถามนี้”

“อ่า... งั้นชวิศาอีกคน นั่นก็หุ่นยนต์ใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“สุดฟ้าสร้างหุ่นยนต์ที่ทั้งหน้าตาทั้งรูปร่างเหมือนชวิศาขึ้นมาทำไม ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเพื่อทำเรื่องไม่ดีหรอกใช่ไหม”

“เรื่องจุดประสงค์ผมไม่ทราบครับ คงต้องถามจากด็อกเตอร์”สเตบาสเตียนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
นิ่งได้ใจสมกับที่เป็นหุ่นยนต์จริงๆวุ้ย โยธินคิด ยังไม่ทันอ้าปากจะพูดอะไรต่อชวิศาก็กลับลงมาเสียก่อน ชายหนุ่มจึงหยุดคำถามไว้แค่นั้น

จากนั้นชายหนุ่มทั้งสามคน (แม้ว่าที่จริงจะเป็นสองคน กับหุ่นยนต์หนึ่งตนก็ตาม แต่เราจะรวบยอดให้สเตบาสเตียนเป็นหนึ่งคนด้วยแล้วกัน) จึงออกเดินทางไปสนามบินด้วยรถยนต์ของโยธิน รอเวลาไม่นานนัก คุณนายตระกูลภูกิจพัฒน์ก็เดินออกมาจากเกตด้วยชุดกระโปรงผ้าไหมสีเขียวอ่อน ในมือขวาลากกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็ก คล้องกระเป๋าถือไว้ในมือซ้าย

มารดาของชวิศาเป็นอาจารย์สอนศิลปะและวัฒนธรรม สองพี่น้องแม้จะคนละนามสกุลแต่ได้รับการเลี้ยงดูจากนางมากับมือด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นไม่ว่าจะกิริยามารยาท การพูดจาหรือแม้กระทั่งการแต่งตัวก็ต้องเรียบร้อยระรื่นตา

ชวิศายกมือไหว้ให้อย่างเรียบร้อย ออกปากทักทายก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอด และโยธินก็ทำตามเช่นนั้นบ้าง พอถามสารทุกข์สุกดิบของทั้งบุตรชายและหลายชายเรียบร้อย สายตาของเธอจึงหันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนยิ้มอยู่น้อยๆไม่ห่างกัน

“ใครหรือจ๊ะ”

“บ..”

“เพื่อนของผมเองครับ”ชวิศายังไม่ทันได้ตอบ โยธินก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน ชวิศามองหน้าลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็เงียบปากไว้

“สเตบาสเตียนครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”เหมือนหุ่นยนต์พ่อบ้านจะรู้ตัวจึงได้เอ่ยแนะนำตัวอย่างสุภาพ นางพรลภัสยิ้มให้ก่อนจะตอบกลับไปเช่นเดียวกัน



สุดฟ้าออกมาจากห้องแห่งความลับของเขาตอนช่วงเวลาเที่ยงๆของวัน  โดยมีร่างหุ่นยนต์ที่เขาเพิ่งสร้างเสร็จเดินตามมาด้านหลัง  ชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องของสเตบาสเตียนซึ่งแต่เดิมเป็นห้องเก็บของ กลับออกมาพร้อมเสื้อผ้าสองชุดเพื่อให้หุ่นยนต์ทั้งสองตนสวมใส่

ตอนนี้เขาทั้งหิวและง่วงนอน แต่ถ้าจะให้ดี ขอให้มีอะไรตกถึงท้องก่อนจะนอนหลับต่ออีกสักสองสามวัน แต่ทั้งบ้านเงียบกริบ

“สเตบาสเตียน ชวิศา”สุดฟ้าร้องเรียก ซึ่งไม่มีเสียงใดๆตอบรับกลับมา สุดฟ้าเดินไปเปิดประตูห้องนอนของตน ในนั้นว่างเปล่าไม่มีใคร และไม่ว่าจะเป็นในห้องน้ำหรือในห้องครัวก็เช่นเดียวกัน

สุดฟ้ารู้สึกหงุดหงิด โมโห สองคนนั้นไปไหนกันนะ ชวิศาก็อีกคนจะไปไหนก็ไม่ยอมบอก ทั้งที่เขาก็เคยพูดว่าให้มาบอกเขาก่อนออกไปข้างนอก กำลังจะกดโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรออก พลันความคิดบางอย่างได้ปรากฏแวบเข้ามาในหัว ไม่ใช่ว่าสองคนนั้นระริกระรี้ลั่นล้ากันอยู่ข้างนอกหรอกนะ จากที่กำลังจะโทรออกเลยเปลี่ยนเป็นเดินเข้าห้องทำงานของตนแทน  เขากรอกรหัสเข้าคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรม กรอกโค้ดอีกสองสามอย่างแล้วกอดอกนั่งรอลูกโลกหมุนติ้วๆ ไม่ถึงอึดใจ จุดแดงๆบนแผนที่ก็ปรากฏ สุดฟ้าสกอร์เมาส์ซูมภาพ แล้วก็ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มเหี้ยมออกมา

ออกมาจากห้อง หุ่นยนต์ของฝาแฝดที่สุดฟ้าสร้างให้ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ แน่นอนล่ะ ครั้งนี้เขาโปรแกรมที่ฟังก์ชันต่ำสุด รับคำสั่งอย่างเดียว ถ้าฟลูออปชันอย่างสเตบาสเตียนหรือชวิศา เจ้าพวกนั้นต้องรอไปอีกสิบชาติหรือจ่ายมายี่สิบล้านเท่านั้น

“ไปนั่งที่โซฟา”สั่งสั้นๆก่อนจะออกจากบ้าน รื้อเอาจักรยานไฟฟ้าที่เคยจอดทิ้งไว้ออกมาใช้

อากาศตอนเที่ยงวันร้อนใช่เล่น ที่สำคัญท้องร้องจ้อกๆเลย เพราะเขาคิดว่าออกมาจะได้กินอาหารร้อนๆฝีมือของชวิศาหรอกนะ เขาถึงไม่มีกินแคปซูลประทังชีพเลยตั้งแต่เมื่อวาน ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาลงโปรแกรมให้หุ่นสองตัวนั่นให้เสร็จ ที่ไหนได้... กลับเป็นแบบนี้ไปเสียนี่ ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก

สุดฟ้ามาถึงจุดหมายปลายทาง กระเพาะยังคงส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไอร้อนและแสงแดดตอนกลางวันทำให้เหงื่อไหลโทรมกาย ชายหนุ่มจอดรถจักรยานไว้หน้าบ้าน และเดินไปกดกริ่งหน้าประตู  ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะรออย่างใจเย็นได้ แต่ถ้าต้องให้ยืนร้อนรอนานไปว่านี้ เขาจะอาละวาดให้แหลกเลยคอยดู ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวนับเวลาในใจ

โชคดีที่เขาเพิ่งเริ่มนับยังไม่ถึงสิบ ประตูไม้สีน้ำตาลตรงหน้าก็เปิดออก คนที่มาเปิดประตูให้เป็นลูกพี่ลูกน้องของชวิศา

“อ๊ะ” คนตรงหน้าอุทานออกมาได้แค่นั้น เพราะถูกผู้มาเยือนผลักให้พ้นทาง กลิ่นหอมที่ลอยออกมายิ่งทำให้สุดฟ้าน้ำลายสอ ให้ตายเหอะ ทิ้งให้เขาอยู่บ้านคนเดียวแล้วกินของอร่อยที่นี่กันเนี่ยนะ ช่างใจร้ายใจดำสิ้นดีเลย

“ด็อกเตอร์”ชวิศาร้องอย่างตกใจ ไม่คิดว่าร่างสูงจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ สุดฟ้าทำแค่เพียงยกมือให้ แล้วดึงเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ออกก่อนนั่งลง หยิบช้อนหยิบส้อมตักอาหารกินอย่างไม่สนใจใคร

ชวิศากลืนน้ำลายลงคอดังเอือก หันมองทางมารดาของตน คุณพรลภัสนั่งมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญตาค้าง

ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเช่นปกติของชายหนุ่มวันนี้มีออปชันเสริมเป็นรังแคขาวๆเพราะไม่ได้สระผมมาหลายวัน ใต้ขอบตาหลังกรอบแว่นดำคล้ำ เสื้อยืดลายคิกขุแมน กางเกงขาสั้น สวมทับด้วยเสื้อกาวน์สีเหลืองหม่นๆ มีรอยด่างเป็นดวงๆ ชวิศาเห็นโยธินที่เดินตามเข้ามายกมือขึ้นกุมศีรษะ แล้วแม่ของเขาก็เอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ได้สติว่า

“ช่วยบอกแม่ได้ไหมคะ ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร”

ชวิศาไม่ตอบหันมองไปทางชายหนุ่มผู้พี่

“เอ่อ... รุ่นน้องผมเองครับ มันค่อนข้างจะบ้าๆ เหมือนสติไม่เต็ม แต่ไม่มีพิษมีภัยหรอกครับ”

เสียงเรอดังขึ้นขัดจังหวะ อาหารตรงหน้าสุดฟ้าหมดเกลี้ยง “ใครเป็นรุ่นน้องของนายมิทราบ แล้วมาว่าฉันสติไม่เต็มน่ะ พวกเรารู้จักกันหรือไง ฮ่วย ชวิศากลับกันเถอะ” พูดจบร่างสูงได้คว้าข้อมือของชวิศาเดินออกจากบ้านโดยไม่ร่ำไม่ลา

โยธินหน้าเจื่อน มองตามสองคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปทางประตูบ้าน แล้วหันมามองหน้าหญิงสูงวัยผู้มีศักดิ์เป็นอา ดวงตาคมจ้องเขม็ง พร้อมคำถามเครียดเสียงเขียว

“ตกลงแล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่คะ”

หลังจากที่โยธินพยายามชักมหาสมุทรทั้งห้าแห่งมาอธิบาย ร่วมกับการปั้นน้ำอีกนิดหน่อย นางพรลภัสผู้เป็นอาจึงได้ยอมเลิกซักไซ้ไล่เลียง หากยังกำชับคำสุดท้ายให้โทรตามชวิศากลับมาคุยอีกครั้งตอนเย็น

“เอาแล้วไง จะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย”โยธินเดินกลับไปกลับมาพยายามหาหนทางออก พลันสายตาหันไปเห็นสเตบาสเตียนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา ความคิดจึงหยุดลง และหันไปสนใจฝ่ายตรงข้ามแทน

“นายน่ะ ไม่กลับหรือไง”

“กลับครับ ถ้าเช่นนั้นขอตัวก่อน”สเตบาสเตียนตอบคำถามอย่างเรียบง่ายเหลือเชื่อแต่นั่นทำให้เขานึกออก

“เดี๋ยวก่อน นายทำให้ชวิศาอีกคนฟื้นได้ไหม” พูดไปแล้วเหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าที่พูดถึงเมื่อสักครู่เป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่คนเป็นๆมีชีวิต “...เอ่อ ฉันหมายถึงทำให้ทำงานน่ะ”

“ได้ครับ”

“ดีเลย งั้นไปจัดการหน่อย”

โยธินเดินนำพาสเตบาสเตียนขึ้นไปบนห้อง ร่างของหุ่นยนต์ชวิศานอนนิ่งอยู่บนเตียง รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนมนุษย์อย่างไม่มีผิดเพี้ยนทำให้ร่างนั้นราวกับคนที่กำลังนอนหลับ

“ขอโทษครับ คงต้องขอให้คุณออกจากห้องไปก่อน”

“เอ๊ะ ต้องออกไปด้วยหรือ”

“ครับ เกี่ยวกับระบบการทำงานต่างๆผมคงต้องเก็บเป็นความลับ รบกวนออกไปข้างนอกด้วยครับ”สเตบาสเตียนเอ่ยย้ำอีกครั้ง โยธินจึงได้แต่พยักหน้ารับและเดินออกไป พร้อมกับปิดประตู

หุ่นยนต์พ่อบ้านถอดเสื้อที่ร่างซึ่งนอนอยู่บนเตียงสวมอยู่ออก จับที่ฝ่าเท้าข้างขวาและกดปุ่มที่กึ่งกลางฝ่าเท้า เสียงวืดดังขึ้นเบาๆ พร้อมๆกับส่วนประกอบผิวหนังของร่างถูกยกตัวแยกออก สเตบาสเตียนปลดกระดุมด้านชายเสื้อของตนออกสองสามเม็ด กดนิ้วลงที่ตำแหน่งสะดือ แผ่นโลหะรวมถึงหนังเทียมที่ทำหน้าที่เทียบเท่ากับผิวหนังหน้าท้องจึงเปิดออก สเตบาสเตียนดึงเอาถุงพลาสติกหนาทึบออกมาจากช่องว่างช่วงท้อง แล้วปิดผิวหนังกลับไปอย่างเดิม

คุณพ่อบ้านเอาถุงที่ว่าสอดใส่ไว้ที่ช่องว่างช่วงท้องของหุ่นยนต์ชวิศา ดึงท่อกลมให้ยืดยาวออก ไปต่อกับช่วงคอและโพรงปาก ขยับหมุนให้เข้าที่ แล้วจึงหันไปดูสวิตช์ที่นิ้วก้อยเท้าข้างขวา เขาขยับมือขวาเล็กน้อย นิ้วมือทั้งห้าจึงเปลี่ยนเป็นปากกาบัดกรี สเตบาสเตียนใช้มันซ่อมแซมสวิตช์ให้เข้าที่เหมือนเดิม จากนั้นจึงกดปุ่มที่กลางเท้าขวาอีกครั้ง และดึงนิ้วก้อย หุ่นยนต์ชวิศาจึงลืมตาตื่น

“สเตบาสเตียนหรือ?”ชวิศาถามแล้วหันมองไปรอบๆเพื่อเปรียบเทียบภาพกับความทรงจำ

“ครับ”

“นายเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ ทั้งที่ฉันหลับไปไม่กี่วันเท่านั้นเอง” เนื่องจากระบบนาฬิกาภายในร่างมีแบตเตอรี่โดยเฉพาะ ดังนั้นต่อให้ร่างหุ่นยนต์ถูกตัดกระแสชัตดาวน์นานเพียงใด นาฬิกาที่ว่าก็ยังเดินอย่างเที่ยงตรงต่อไป

“งั้นเรากลับกันเถอะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ ด็อกเตอร์ต้องการให้คุณอยู่ที่นี่”

“อยู่ที่นี่? คำสั่งของด็อกเตอร์อย่างนั้นหรือ”

“ใช่ครับ” สเตบาสเตียนตอบรับ “นอกจากนี้ ด็อกเตอร์ต้องการให้คุณเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้คุณสลับตัวกับชวิศา ภูกิจพัฒน์ด้วยครับ”

“ชวิศา ภูกิจพัฒน์”ร่างหุ่นยนต์ที่นั่งอยู่บนเตียงพึมพำราวกับนึกทบทวน ที่จริงแล้วหุ่นยนต์ชวิศากำลังใช้ดังกล่าวค้นหาเปรียบเทียบกับความทรงจำที่ผ่านเข้ามา

“ฉันเจอเขาที่ซูเปอร์มาร์เก็ต”หุ่นยนต์ชวิศาเริ่มต้นเล่าเรื่องด้วยน้ำเรียบเรื่อย “เขาเข้ามาทัก และขออนุญาตสนทนาด้วย แต่ขอให้มาสนทนาที่บ้าน เพราะอยู่ที่นั่นมีแต่ผู้คนมองเราทั้งสองคน ฉันตามเขามา เขาขอร้องให้ฉันมาอยู่ที่นี่สักพักและเขาจะเข้าไปอยู่กับด็อกเตอร์ในฐานะของฉัน เขาบอกว่าแค่ช่วงเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นเขาก็ต้องกลับไปอยู่ที่ต่างประเทศตามเดิม แต่ฉันปฏิเสธ เขาก็พยายามขอร้องอ้อนวอน และเข้ามากอดขาฉันไว้ ตอนที่ฉันกำลังจะกลับ เขาดึงรั้งฉันไว้แล้วฉันก็ล้มลง” นั่นหมายความว่านิ้วก้อยเท้าข้างขวาต้องไปโดนอะไรสักอย่าง ชวิศาถึงเข้าสู่พาวเวอร์ออฟโหมด

“ฉันต้องอยู่ที่นี่แทนผู้ชายที่ชื่อชวิศา ภูกิจพัฒน์หรือ” ชวิศาถามซ้ำอีกครั้ง

“ครับ” หุ่นยนต์พ่อบ้านตอบรับสั้นๆ

ใบหน้าสวยก้มต่ำลงเล็กน้อยดูคล้ายจะเศร้าสร้อยและจำใจยอมรับอยู่ในที

“ถ้าอย่างนั้นผมเรียกคุณโยธินเข้ามานะครับ เขาคงมีอะไรต้องคุยกับคุณ เพื่อให้คุณเป็นชวิศา ภูกิจพัฒน์ที่แนบเนียนยิ่งขึ้น”ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ สเตบาสเตียนเดินไปเปิดประตูให้โยธินเข้ามา

ไม่ว่าจะได้เห็นกี่ครั้ง ชายหนุ่มก็นึกทึ่งทุกครั้งไป ร่างตรงหน้าเหมือนกับชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายของเขาราวกับฝาแฝด ไม่ใช่สิ ฝาแฝดยังคงมีสิ่งแตกต่าง แต่ร่างตรงหน้าเหมือนราวกับโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน  หนำซ้ำใบหน้ายังดูอ่อนวัยกว่าชวิศาด้วยซ้ำ

สเตบาสเตียนขอตัวกลับ

โยธินหันไปบอกลาแล้วจึงหันไปหาคนที่นั่งอยู่บนเตียง

“ผมอยากรู้ สุดฟ้าเขาสร้างคุณขึ้นมาเพื่ออะไร”

หุ่นยนต์ชวิศาตอบคำถามนั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องครุ่นคิด “เพื่อให้ผมเป็นคนรัก”



แสงแดดตอนบ่ายๆก็ยังคงร้อนเปรี้ยงอยู่เช่นเดิม

สุดฟ้าเดินสะโหลสะเหลเข้าไปในห้องนอน มือหนึ่งคว้าจับข้อแขนของชวิศาไว้แน่น ลากพาให้เข้าไปนอนด้วยกัน แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ ร่างเพรียวบางจึงขืนตัวไว้

“เดี๋ยวผมคุยโทรศัพท์เสร็จ แล้วจะตามไปนะครับ” ชวิศาพูด ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง ชวิศาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย

“ทำไมสภาพของสุดฟ้าถึงได้เข้าขั้นดูไม่ได้ขนาดนั้นหา” ปลายสายกรอกเสียงมา ไม่รอให้เขาได้เอ่ยทักทาย ตอนที่โยธินโทรมาหาชวิศานั้น เป็นช่วงที่สเตบาสเตียนให้เขารออยู่นอกห้องเพื่อจัดการให้หุ่นยนต์ชวิศาที่กำลังนอนหลับ ฟื้นขึ้นมา

“ก็... ก็เขาเพิ่งทำงานเสร็จ”

“ผู้ชายคนนั้นเป็นกรรมกรหรือไง พี่ว่ากรรมกรยังสภาพดูดีกว่าหมอนั่นเลย พี่คงว่าอะไรหรอกนะ ถ้าเขาไม่โผล่มาให้คุณอาได้เห็น แล้วเย็นนี้คุณอาก็อยากจะคุยกับนายด้วยตัวเอง นายจะเอาอย่างไร แต่ในความคิดของพี่ พี่อยากให้นายเลิกเล่นและกลับมาที่บ้านเสียที แล้วพี่จะให้สเตบาสเตียนพาคนคนนั้นกลับไปพร้อมกันเลย” 

“ไม่ได้นะ ไม่เอาด้วยหรอก ผ... ผม...”

“ซีฟังนะ พี่รู้นายอยากอยู่ที่นั่น นายอยากอยู่กับสุดฟ้า แต่นายไม่คิดบ้างหรือไงว่าชวิศาอีกคนเขาจะรู้สึกอย่างไร นายอยู่ที่นั่นนายคงจะรู้ว่าทั้งสองคนเขามีความสัมพันธ์อย่างไร นายจะทำลายพวกเขาทั้งคู่เพื่อความสุขของตัวเองหรือ พี่อยากให้นายคิดถึงจุดนี้ดีๆ”

ชวิศานิ่งเงียบ สิ่งที่เขาทำอยู่เป็นการทำร้ายทั้งสุดฟ้าและผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเขาคนนั้น เขาเป็นมือที่สามซึ่งมาแทรกกลางความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ชวิศาได้แต่น้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง ทั้งที่หน้าตาเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงไม่มีโอกาสแบบนั้นบ้างนะ

ชายหนุ่มร่างเพรียวบางกดวางสายไปโดยไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง สุดฟ้านอนคว่ำหน้าหลับสนิทอยู่บนเตียง เขานั่งมองชายหนุ่มร่างสูงนึกย้อนกลับไปสมัยที่ตนยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง เขาได้พบสุดฟ้าครั้งแรกเนื่องจากมีวิชาเรียนร่วมกัน  ฝาแฝดสุวราลักษณ์ที่นั่งขนาบข้างอยู่สองฝั่งทำให้สุดฟ้า ศิริกรดูโดดเด่นขึ้นมาด้วย แต่เป็นความโดดเด่นในความแปลกเสียมากกว่า เพื่อนๆในสาขาต่างสงสัยกันว่าเพราะอะไรสองหนุ่มที่ทั้งหล่อและเท่อย่างเหลือร้ายถึงได้คบกับผู้ชายเชยๆเหมือนไม่เต็มแบบนั้น

แต่ผู้ชายที่เหมือนไม่เต็มคนนั้นกลับสอบได้คะแนนเต็มสำหรับการเทสต์ย่อยครั้งแรก ชวิศามองใบประกาศคะแนนด้วยความทึ่ง เพื่อนๆคนอื่นก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนัก ทำให้ยิ่งตระหนักว่า คนเรานี่มองแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ

วันเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปเรื่อยๆ จนเข้าใกล้ช่วงสอบอีกครั้ง และบังเอิญว่าวันนั้นเขามีโอกาสได้เจอสุดฟ้า ศิริกรที่ห้องสมุด ตรงหน้าชายหนุ่มหน้าตาเชยๆมีหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนาหลายเล่มวางไว้เต็มโต๊ะ เขาคิดว่าสุดฟ้าคงจะอ่านหนังสือเช่นเดียวกัน เขาจึงเดินเข้าไปหา ร่างสูงก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดยิกๆแทบไม่ได้หยุดมือ เขาจึงส่งเสียงเรียกเบาๆอยู่สองสามครั้ง ร่างนั้นก็ไม่มีทีท่าจะเงยหน้าขึ้นมามอง จนตัวเขานึกถอดใจ ในเมื่อฝ่ายนั้นเก่งกาจขนาดนั้นคงไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่นหรอก แต่ตอนที่เขากำลังจะหันหลังกลับ สุดฟ้าเงยหน้าขึ้นมาและส่งเสียงเรียกเขาไว้

“มีอะไรเหรอ”

ครั้งนั้นกลับกลายเป็นเขาเสียอีกที่อึกอักไม่กล้าพูดอะไรออกไป ก่อนจะถามอีกฝ่ายกลับไปว่าอ่านหนังสือสอบอยู่เหรอ

“เปล่า เขียนสูตรเคมีอยู่”

ถึงคำตอบจะทำให้เขาแปลกใจเพราะมันดูไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ต้องใช้ในการสอบ กระนั้นเขาทำใจกล้าชักชวนให้อีกฝ่ายมาอ่านหนังสือด้วยกัน ด้วยคิดง่ายๆว่า คนเก่งๆแบบนี้น่าจะเก็งข้อสอบได้บ้าง เรื่องเรียนนับได้ว่าเป็นปมด้อยที่สุดของเขา ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าใด ดูเหมือนว่าผลการเรียนของเขาจะไม่ได้ดีขึ้นตามความพยายามนั้นเลย

“ไม่ล่ะ ฉันขี้เกียจ” ทว่าชายหนุ่มปฏิเสธความหวังของเขาโดยสิ้นเชิง

“นายอยากให้ฉันติวให้เหรอ” สุดฟ้าถามเขาตรงๆ ซึ่งทำให้เขานิ่งคิดหาคำตอบ คนที่นั่งอยู่จึงเปิดสมุดไปหน้าหลัง ก้มหน้าเขียนอะไรยุกยิกลงกระดาษ ก่อนฉีกมันออกจากสมุดแล้วส่งให้เขาพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ก่อนหน้านายก็มีตั้งหลายคนแล้วที่มาขอให้ฉันติวให้” เมื่อสุดฟ้าพูดเช่นนั้น เขาถึงได้สังเกตเห็น สมุดเล่มนั้นดูบางกว่าปกติจริงๆ “แต่บอกตามตรงนะ ฉันขี้เกียจ”สุดฟ้ายังย้ำให้เขาฟังอีกรอบพร้อมกับก้มหน้าลงไปขีดๆเขียนๆต่อไป

เขารีบเดินออกมาจากที่ตรงนั้นทันที หัวใจเต้นตูมตามเหมือนจะกระดอนออกมาจากอก มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก และมือของเขายังคงสั่นตอนที่ยกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู แต่แค่ไม่กี่วินาทีเมื่อสายตากวาดมองตัวอักษรทั้งหมดในหน้ากระดาษ เขารู้สึกได้ว่าร่างกายเย็นเฉียบลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจ

....นี่มันภาษาอะไรกันเนี่ย....

ภาษาไทยที่ชายหนุ่มผู้ไม่ค่อยเต็มเขียนให้ อ่านออกค่อนข้างยากแต่เขาและพี่โยก็พยายามแกะมันจนออก เนื้อความข้างในเขียนไว้ว่าควรต้องอ่านตรงไหน ควรจะต้องท่องจำอะไรบ้าง เขาทำตามนั้น แม้สมองของเขาจะจดจำพวกเนื้อหาเหล่านี้ได้น้อย ถึงกระนั้นผลคะแนนที่ได้ยังเกินค่ามีน (มาจาก Median แปลว่า ค่ามัธยฐาน)มาไกล  เขาอยากจะเลี้ยงขอบคุณ แต่ตอนที่เจอสุดฟ้าอีกครั้ง ดูท่าว่าชายหนุ่มจะลืมเขาไปแล้ว เขาจึงซื้อสมุดโน้ตเล่มใหม่ไปให้แทน

จากนั้น พอรู้สึกตัวสายตาของเขาก็มักจะมองหาร่างสูงของสุดฟ้าอยู่เรื่อยไป
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ห้า 30/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 30-10-2016 07:22:37
โยธินมองร่างเพรียวบางซึ่งยืนอยู่หน้าเตาหยิบจับสิ่งของต่างๆอันเป็นส่วนผสมของวัตถุดิบสำหรับมื้อเย็นด้วยความคล่องแคล่วแล้วนึกทึ่ง ชายหนุ่มลองขอให้คนที่กำลังยืนอยู่หน้าเตาทำพาสต้าไวต์ซอสให้ทาน ทุกคนในครอบครัวต่างรู้กันว่า ชวิศาทำอาหารได้ดีที่สุดและไม่เอาอ่าวในทุกเรื่อง

ทั้งที่ผู้เป็นแม่เป็นถึงอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในหลายแขนงไม่ว่าจะเป็นการจัดดอกไม้ ร้อยมาลัย เย็บหรือปักผ้า ทำอาหาร ทำขนม ดนตรี รำไทยหรือแม้กระทั่งเต้นรำ ลูกพี่ลูกน้องซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายได้รับการถ่ายทอดความรู้ต่างๆเหล่านั้นมาตั้งแต่ยังไม่ครบสามขวบดี แต่จนกระทั่งปัจจุบันความสามารถต่างๆที่ถูกอบรมสั่งสอนบรรจุเข้าไปในตัวก็ยังคงเป็นแค่ขั้นฝึกหัดจะมีสิ่งที่ได้เรื่องได้ราวขึ้นมาบ้างก็คงเป็นการทำอาหาร แต่ความสามารถนี้กว่าจะผลิดอกออกผล นั้นเป็นช่วงที่ชวิศาเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ที่เขาพูดกันว่า ‘เมื่อทำสิ่งใดซ้ำๆกันเป็นระยะเวลาสิบปี ความสามารถนั้นจะกลายเป็นพรสวรรค์’ ดูทีท่าแล้วคำพูดนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับชวิศา  ภูกิจพัฒน์เลย กระนั้นด้วยความที่ถูกอบรมบ่มนิสัยมาอย่างเข้มงวดบวกกับนิสัยว่านอนสอนง่าย น้องชายของเขาจึงดูเรียบร้อยน่ารักสมกับหน้าตาให้พ่อแม่ญาติพี่น้องได้ชื่นใจ

ใช่แล้ว... ชวิศาเป็นหลานรักของตระกูล ทั้งที่ไม่ได้นามสกุลภูสิทธ์วรโชติ ซ้ำยังเป็นเครือญาติที่สายเลือดค่อนห่างออกไปพอควร แต่คุณย่าของเขากลับรักชวิศานักหนา อันที่จริงต้องบอกว่ารักและชื่นชมคุณแม่ของชวิศา คุณอาของเขาถึงจะถูกและความรักนั้นก็ถูกส่งต่อไปยังชวิศาอย่างไม่มีข้อสงสัย

เขาไม่เคยรู้สึกอิจฉาน้องชายผู้ซึ่งเป็นที่รักของครอบครัว ออกจะเอาใจและตามใจจนเกินไปด้วยซ้ำ ถึงได้ยอมให้ทำในสิ่งที่จะเกิดเรื่องยุ่งยากเช่นนี้แม้จะรู้ว่าชวิศาจะไม่มีทางตัดใจตามที่เคยบอกไว้ในตอนแรกซ้ำคงจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิม แต่เขาไม่อาจใจร้ายออกปากห้ามน้องชายได้ลงคอ

"เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมไปเรียกคุณแม่นะครับ"

ร่างเพรียวบางผู้มีหน้าตาละม้ายคล้ายชวิศาราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันวางจานอาหารลงบนโต๊ะ แต่ก่อนจะได้ก้าวออกจากครัวไปทำตามที่ปากพูด พรลภัส ภูกิจพัฒน์ ได้ก้าวเท้ามาถึงโต๊ะอาหารเสียก่อน

"ว้าว น่าทานจังค่ะ แม่คิดถึงอาหารฝีมือลูกมากๆ" ผู้ซึ่งแอบอ้างเป็นลูกในขณะนี้ยิ้มรับ ดึงเก้าอี้ออกมาและนั่งลง

"ทานเยอะๆนะครับ" พ่อครัวบอกก่อนจะยกมือขึ้นหยิบช้อนตักอาหารของตนขึ้นมาชิม โยธินมองด้วยความอึ้งและทึ่งเป็นครั้งที่สอง

"เป็นอะไรหรือจ๊ะพี่โย"

"อ๊ะ ป... เปล่าครับ" ตอบปฏิเสธแต่ที่จริงเขากำลังนึกสนเท่ห์ว่า เหตุใดคนตรงหน้าถึงทานอาหารได้ ร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นหุ่นยนต์ไม่ใช่หรือ ...หรือเจ้าสเตบาสเตียนหุ่นยนต์พ่อบ้านตนนั้นจะโกหก เห็นอย่างนี้เขายิ่งรู้สึกสับสน ถึงกระนั้นก็ลงมือตักอาหารเข้าปาก อาหารที่อีกฝ่ายทำยังคงรสชาติดีอย่างไม่มีที่ติ มองไปทางอาผู้หญิง เธอยังคงทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อยเช่นเดิมทำให้เขายิ่งสับสน ...นี่เขาพลาดหรือลืมอะไรไปหรือเปล่านะ

โยธินตามหุ่นยนต์ที่ชื่อว่าชวิศาเข้าไปในห้องหลังทานอาหารเสร็จ ด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ใช่หุ่นยนต์จริงๆก็เป็นได้

"ผมขอตัวเขาห้องน้ำก่อนนะครับ" ร่างเพรียวบางกว่าเอ่ยปาก เขาพยักหน้ารับ ร่างนั้นจึงหายเข้าไปในห้องน้ำอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกลับออกมาคุยกับเขาอีกครั้ง

"มีอะไรหรือครับ"

"นายเป็นหุ่นยนต์จริงๆ นะหรือ"

"ครับ" คู่สนทนาตอบรับสั้นๆ

"มีอะไรที่พอจะเป็นข้อพิสูจน์ได้บ้าง"

หุ่นยนต์ชวิศานิ่งเงียบไปเล็กน้อย "ผมไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลโครงสร้างของร่างกายครับ รวมถึงการกระทำที่แปลกประหลาดในสายตาของมนุษย์ต่อมนุษย์ผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากด็อกเตอร์ แต่เพื่อเป็นการยืนยันตัวผมต่อคุณซึ่งผมจำเป็นต้องอยู่ร่วมต่อไปอีกพักใหญ่ การกระทำเช่นนี้อาจจะไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง"

โยธินรู้สึกหมั่นไส้ตงิดๆ กับคำว่า 'จำเป็น' ของอีกฝ่าย ถ้าสุดฟ้ารู้อยู่แล้วเรื่องชวิศาทั้งสองคน น่าจะส่งคนของเขากลับมาเสียก็สิ้นเรื่อง คนที่ยอมให้หุ่นยนต์นี่อยู่ที่นี่ต่อไปใช่ว่าจะเป็นเขาเสียหน่อย

ร่างหุ่นยนต์ชวิศายื่นมือซ้ายออกมาตรงหน้า ขยับนิ้วนางเพียงเล็กน้อย ปลายนิ้วเรียวกลับเปลี่ยนเป็นดวงไฟที่ฉายแสงสว่าง ชายหนุ่มตาโตไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ

"แล้วนายทานอาหารกินข้าวได้เหมือนคนจริงๆเลยเนี่ยนะ"

"อย่างที่ผมแจ้งไปเมื่อสักครู่ว่า ผมไม่ได้..."

"เออน่า เรื่องนั้นบอกครั้งเดียวฉันก็จำได้แล้ว แต่ช่วยอธิบายคร่าวๆไม่ได้หรือไง หรืออย่างน้อยก็ช่วยบอกก่อนว่านายทำอะไรได้บ้าง ฉันจะได้ไม่ต้องตกใจทีหลัง"โยธินเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อนที่หุ่นยนต์ชวิศาจะท่องข้อห้ามที่เคยบอกไปจนจบ

ด็อกเตอร์สร้างให้หุ่นยนต์เช่นเขาขับเคลื่อนร่างกายและดำเนินชีวิตเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้บรรจุข้อมูลการถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเข้ามาด้วยเพราะถ้าทำได้คำตอบที่เขาจะบอกออกไปคงสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

"ผมไม่ได้ทานอาหารจริงๆครับ เพียงแค่ทำท่าเหมือนทานเข้าไป ส่วนอาหารที่ทานเข้าไปนั้นจะถูกเก็บไว้ในช่องว่างช่วงท้อง หลังจากนั้นผมต้องนำมันออกมาเททิ้งครับสำหรับคำถามที่คุณถามว่าผมทำอะไรได้บ้าง ผมต้องบอกว่า 'ผมทำได้ทุกอย่าง' อย่างที่มนุษย์คนหนึ่งสามารถทำได้ สามารถแช่น้ำได้แต่ไม่สามารถว่ายน้ำได้ด็อกเตอร์ไม่มีเวลาในการสร้างระบบลอยตัวให้ผม เพราะไม่ได้มีจุดประสงค์ในการสร้างผมขึ้นมาเป็นนักว่ายน้ำ รวมถึงการว่ายน้ำยังไม่มีความจำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วยแต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่นการพบบุคคลซึ่งกำลังจมน้ำ ผมจะดำเนินการค้นหาบุคคลชายหรือหญิงผู้มีร่างกายแข็งแรงมาดำเนินการช่วยชีวิตครับ เฮ้อ..."ตบท้ายด้วยการถอนหายใจ หุ่นยนต์ชวิศายกยิ้มและถามต่อไปอีกว่า "ผมถอนหายใจเหมือนมนุษย์ไหมครับ"

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ห้า 30/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 30-10-2016 22:51:23
สนุกมากกกก :ling1:
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ห้า 30/10/2016
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 31-10-2016 00:50:21
สนุกมากกก กอ/ไก่เยอะๆๆเลย เห้ยยยย พระเอกแบบโคตะระเพี้ยน 555555 น่ารักแฮะ
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่หก 06/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 06-11-2016 07:44:31
ตอนที่หก

ตอนที่สุดฟ้าตื่นขึ้นมา เขาทั้งหิวและหงุดหงิด หงุดหงิดเพราะตื่นมาแล้วไม่เห็นชวิศานอนอยู่ข้างๆ หิวเพราะไม่ได้กินอะไรมาสองวันเต็มๆ ถึงกระนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มกดรหัสลงไปในเครื่องและยกขึ้นแนบหู นิ่งฟังข้อความเสียง และเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าหลังจากข้อความนั้นจบลง

ชายหนุ่มเปิดประตูออกมาจากห้องนอน ได้ยินเสียงชวิศาดังออกมาจากห้องนั่งเล่น พอเดินไปถึงก็เห็นชวิศา สเตบาสเตียนและหุ่นยนต์สองตนที่เขาเพิ่งสร้างเสร็จนั่งเล่นไพ่กันอยู่

“ด็อกเตอร์ ตื่นแล้วหรือครับ” ชวิศาร้องทักพร้อมรอยยิ้มและเดินเข้ามาหา สเตบาสเตียนจึงลุกขึ้นมาบ้าง

“รับอาหารเลยไหมครับ”

สุดฟ้าพยักหน้างึกก่อนจะดึงชวิศาเข้ามากอด สูดกลิ่นหอมอ่อนๆเข้าปอดสองสามเฮือก ถึงได้รู้สึกค่อยยังชั่วหน่อย พลันนึกขึ้นได้จึงผละร่างของชวิศาออกอย่างรวดเร็ว ยกคอเสื้อ ยกรักแร้ขึ้นดม งืม... มีกลิ่นตุๆจริงๆด้วยแหะ ไม่มีสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก สุดฟ้าไม่อยากจะนับว่าเขาไม่ได้อาบน้ำสระผมมากี่วันแล้ว

“ไปอาบน้ำกันไหมชวิศา”สุดฟ้าเอ่ยถามตาหวานเยิ้ม แน่ละ เขาชวนไปอาบน้ำด้วยกันอย่างนี้มันต้องมีนัยยะสำคัญอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าร่างเพรียวที่ยิ้มเขินอายอยู่ตรงหน้าจะรู้หรือไม่ หรือขวยเขินกับสายตาหยดย้อยของชายหนุ่มเท่านั้น กระนั้น ชวิศาก็ยังคงเดินตามชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของบ้านเข้าไปในห้องน้ำอยู่ดี

สุดฟ้ารีบถอดเสื้อของตนออกอย่างรวดเร็ว หากอีกฝ่ายที่ตามเข้ามาด้วยกันกลับยั้งไว้ ก่อนที่ร่างสูงจะปลดกางเกงของตัวเองลง

“โกนหนวดก่อนดีกว่านะครับ”ชวิศาเอ่ยอาสา พลางดันให้สุดฟ้านั่งลงกับขอบอ่าง ชายหนุ่มจึงเอี้ยวตัวหันไปเปิดก็อกล้างมือ ร่างเล็กบางฉีดโฟมโกนหนวดใส่มือ ขยี้เล็กน้อยและลูบไปตามแนวคางได้รูปจนทั่ว จากนั้นจึงล้างโฟมออกจากมือเพื่อหยิบจับมีดโกน มือเรียวบางถือส่วนด้ามไว้มั่น แล้วเริ่มลากจากต้นคอด้านข้างของชายหนุ่มไปถึงสันกราม ไล่ไปถึงเสี้ยวหน้าอีกด้าน ในระหว่างนั้นดวงตาคมเข้มของร่างสูงใหญ่จับจ้องอยู่บนใบหน้าเนียนจนชวิศาแทบมือไม้อ่อนอยู่หลายครั้ง กระทั่งโกนหนวดให้อีกฝ่ายเสร็จใบหน้าของชวิศายังแดงเรื่อไม่จางหาย

สีแดงเรื่อบนผิวเนียนใสกระตุ้นความปรารถนาได้ดียิ่งนัก เขาจึงรั้งร่างเพรียวบางกว่าเข้ามาใกล้ กดจมูกซุกไซ้บริเวณหน้าท้องเรียบ ใช้จมูกดุนดันสูดกลิ่นหอม แล้วใช้ฟันขบผิวเนื้อผ่านเนื้อผ้าเบาๆ ชวิศาตัวสั่นน้อยๆตอนที่มือหนากร้านไต่แตะแถวสะโพกพลางรั้งทั้งกางเกงขาสั้นและชั้นในของอีกฝ่ายลงมากองที่เข่า

ร่างสูงลุกขึ้นยืน จับชายเสื้อยืดลายคิกขุแมนที่ชวิศาสวมใส่อยู่ติดมือ ดึงออกทางศีรษะ จากนั้นก็รีบปลดกางเกงของตนอย่างรวดเร็ว สุดฟ้ายิ้มกว้างดันชวิศาให้ไปอยู่ใต้ฝักบัว เปิดน้ำและลากมือไปตามผิวเนียน ชวิศาหลุบสายตาลงต่ำ อมยิ้มแก้มแดงเพราะความเขินอาย ใช้มือลูบน้ำถูไถผิวสีเข้มบนหน้าอกของเขาเช่นเดียวกัน

เว้ยเฮ้ย!!! ยิ่งถูยิ่งเร้าอารมณ์ ...แต่ไม่ได้ สุดฟ้าพยายามหักห้ามใจ ไม่เช่นนั้นแล้วร่างกายของเขาอาจจะไม่สะอาด ยิ่งไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน ชายหนุ่มพยายามข่มอารมณ์ ปิดน้ำและหยิบใยขัดตัวขึ้นมา บีบครีมอาบน้ำใส่ลงไป ขยำๆ สองสามที แล้วกอบเอาฟองสีขาวมาลูบที่ไหล่มนของร่างเล็กกว่า ส่วนใยขัดตัวก็ส่งให้อีกฝ่ายต่างฝ่ายต่างถูฟองสบู่ให้กันแต่ไม่ไกลไปกว่าหน้าอก แขนขวา หัวไหล่  แขนซ้าย หัวไหล่ หน้าอก และกลับมาที่ หน้าอก หัวไหล่ แขนขวา

ชวิศาเหลือบตาขึ้นมอง อมยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะที่หลุดออกมา

“มาครับ หันหลังเดี๋ยวผมจะถูหลังให้ด็อกเตอร์เอง”พูดพลางจับให้ชายหนุ่มร่างสูงหันหลัง ใช้ใยขัดตัวถูๆจนทั่วทั้งตัว เสร็จแล้วจึงเปิดน้ำล้างตัวให้อีกฝ่าย

“ผมว่า ผมของด็อกเตอร์ยาวแล้วนะครับ วันนี้ออกไปตัดกันดีไหม”

“อือ ก็ได้”

ชวิศาส่งผ้าเช็ดตัวมาให้ร่างสูง เขารับไว้นำมาพันรอบตัว ร่างเล็กบางกว่าใช้ผ้าขนหนูอีกผืนพันเอวแล้วเดินนำออกไปจากห้องน้ำ
เอ่อ... สุดฟ้ารู้สึกว่าเขาจะลืมอะไรสักอย่าง กำลังงงๆ ชวิศาก็จับเขาแต่งตัวพาออกไปด้านนอกเสียแล้ว ยิ่งพอเห็นอาหารที่สเตบาสเตียนทำให้วางไว้บนโต๊ะพร้อมเสียงกระเพาะที่ดังโครกคราก เรื่องที่พยายามจะนึกจึงลืมไปสนิท

ทานอาหารมื้อแรกของวันเรียบร้อย ชวิศาก็จูงมือเขาออกไปบ้าน สเตบาสเตียนเดินตามมาข้างหลัง

สุดฟ้าเรียกรถแท็กซี่ให้มารับที่บ้าน อากาศและแสงแดดตอนเที่ยงๆบ่ายๆของวันร้อนจนไม่อยากเดินฝ่าออกไปกล้างแจ้งให้แสงยูวีแผดเผา รถแท็กซี่สีเขียวคาดเหลืองมาจอดเทียบถึงหน้าห้าง สุดฟ้าหยิบเงินตามจำนวนที่ขึ้นโชว์บนมิเอตอร์ให้คนขับแท็กซี่ ก่อนจะลงมาจากรถ ชวิศาเดินตามลงมา ส่วนสเตบาสเตียนที่นั่งอยู่เบาะหน้าลงมายืนรอก่อนหน้าแล้ว

ทั้งสุดฟ้าและชวิศาแต่งตัวคล้ายฝาแฝดใส่เสื้อยืดคอกลมลายคิกขุแมนในเวอร์ชั่นสีชมพูหวานแหววแต่เปล่งประกายออร่าสีม่วงจับมือกันคุยเรื่องสัพเพเหระ ชี้ชวนดูนั่นดูนี่ไปตามทาง ทำให้สาวๆและหนุ่มๆ(?)ที่เดินผ่านไปผ่านมารู้สึกเสียดาย ผู้ชายตัวเล็กกว่านั่นออกจะดูดี ขนานใส่เสื้อยืดปอนๆราศีสูงส่งยังจับระยิบระยับไม่สมกับไอ้หนุ่มหัวกระเซิงหน้าตาโอตาคุเสียเลย ส่วนสเตบาสเตียนสุดหล่อซึ่งเดินตามทั้งสองคนต้อยๆ สายตามองตรงไปข้างหน้าพร้อมใบหน้าอมยิ้มน้อยๆก็หล่อกระชากใจสาวๆจนมีแต่คนส่งสายตาหวานเชื่อมทอดสะพานมาหา ไม่อยากจะกล่าวให้ใครเสียใจ ใบหน้าหล่อเหลาด้วยรอยยิ้มอบอุ่นนี้เป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดฟ้าตั้งไว้เพื่อกันคนที่จะมายุ่งย่ามกับชวิศา ถ้าคิดว่าหน้าตาดีจนสามารถเทียบรัศมีสเตบาสเตียนผู้ซึ่งพระเจ้าสุดฟ้าเป็นคนปั้นแต่งขึ้นมาได้ ก็ลองเข้ามาสิ!!!!

ชวิศาพาสุดฟ้ามาตัดผมที่ร้านประจำช่วงที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เจ้าของร้านเดินเข้ามาทักอย่างสนิทสนม สุดฟ้าไม่แปลกใจ ก็นี่ชวิศา  ภูกิจพัฒน์ไม่ใช่หุ่นยนต์ชวิศาของเขา แต่ทว่าชวิศาคงจะลืมไปว่าสลับตัวกับคน(หุ่นยนต์)ของเขาและเข้ามาอยู่ในบ้านของเขา ฉะนั้นเขาจะรอช้าอยู่ไย

“ชวิศา นายสนิทกับผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ คบกับนายมาตั้งนานไม่เคยเห็นนายเข้าร้านนี้สักที ร้านประจำของนายต้องเลยไปอีกไม่ใช่หรือ”ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบาด้วยคำตอแหลและมั่วแหลก

ซวยแล้ว!!! หลุดอีกแล้ว ชวิศาหน้าซีด ก่อนจะยกยิ้มแหยๆ ชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งเหงื่อแตกอยู่สามสิบวินาทีก็คิดคำแก้ตัวออก

“จริงๆมีร้านประจำสองร้านครับ แต่ร้านนี้ไม่ค่อยได้เข้า”ร่างเล็กหน้าใสซึ่งตอนนี้กลายเป็นหน้าซีดอ้อมแอ้มตอบ เขาจึงทำเป็นพยักหน้ารับรู้ แต่ที่จริงในใจแอบขำ

สุดฟ้าเดินตามช่างที่เรียกให้ไปสระผม  เขาไม่อยากจะสารภาพเลยว่าไม่ถูกกับร้านแบบนี้อย่างแรง!!! ครั้งสุดท้ายที่เจ้าฝาแฝดสุดโฉดนั่นพาเขามาเข้าร้านแบบนี้ เขาถึงกับไม่กล้าออกจากบ้านไปสามเดือน ช่างเป็นความทรงจำที่น่าสยดสยองเสียนี่กระไร สุดฟ้าคร่ำครวญในใจด้วยภาษาดาวนาเม็ก

“มีแบบไหมค่ะ” คุณช่างสุดสวยผมยาวสีดำประการแดงเอ่ยถาม สุดฟ้าถึงกับมองผ่านกระจกตาค้าง ให้ตายเหอะ อกเป็นอก เอวเป็นเอว ผิวขาวน่าเจี้ยมากๆ

“แล้วแต่พี่ตาเลยครับ ขอหล่อๆแล้วกัน” รู้สึกชวิศาจะเป็นตอบคำถามให้เสร็จสรรพ เขาถึงได้ตาเยิ้มมองคุณช่างคนสวยต่อไป แต่อย่างว่าการนอนแค่สองวันหลังทำงานมาสี่วันเต็มของเขาคงจะน้อยเกินไป เพราะพอมองดูมดูมของคุณช่างไปพักใหญ่ก็เริ่มง่วงเสียแล้ว ถึงจะพยายามฝืนสุดท้ายเขาก็หลับนกอยู่ดี

“เสร็จแล้วค่ะ”เสียงผู้หญิงซึ่งแว่วเข้าหูทำให้สุดฟ้าลืมตาขึ้น ตอนที่ยังงงๆเบลอๆก็เห็นไอ้หนุ่มหัวทองอยู่ตรงหน้า ง่ะ เขามาตัดผมไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มาโผล่ที่ไหนละเนี่ย กระพริบตาอีกสองสามครั้งถึงได้เห็นชัดว่าข้างหน้าเป็นกระจกที่ส่องหน้าตนเองอยู่

โอ้ พระเจ้ายอด กอดกล้วย!!! ไอ้ผมสั้นๆแบบนี้ไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่หัวสีน้ำตาลทองๆนี่มันอะไรกัน หันหลังกลับจะต่อว่าคุณช่างสุดสวยเสียหน่อย แว่นตากรอบหนาคู่ชีพกลับถูกดึงออกอย่างรวดเร็ว

“เป็นไงค่ะ น้องซี”

“แหม ผมไม่กล้าว่าฝีมือของพี่ตาหรอกครับ”

สุดฟ้าเห็นไม่ชัดแต่ได้ยินเสียงคุณช่างคนสวยหัวเราะชอบใจ

“เปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์ซะหน่อย ขี้คร้านสาวๆจะมองกันเหลียวหลัง” เธอว่า ซึ่งพอชายหนุ่มร่างสูงได้ยินยิ่งหูผึ่ง อาการตกประหม่ากับทรงผมทรงใหม่หายไปทันที

“จริงหรือครับ งั้นชวิศาไปหาคอนแทคเลนส์กัน” พูดจบ หยิบแว่นคืนและคว้าข้อมือบางได้ก็ดึงร่างเล็กกว่าออกจากร้านทันที ทิ้งหน้าที่จ่ายเงินไว้ให้กับสเตบาสเตียน

ใช่ว่าออกจากร้านมาแล้วเขาจะรู้ว่าต้องเดินไปทางไหน สุดฟ้าจึงหันไปถามคนข้างตัว “ต้องไปซื้อคอนแทคเลนส์ที่ไหนล่ะ”

“ซอยที่เดินผ่านมาก็น่าจะมีนะครับ”

ชายหนุ่มจูงมือพาร่างเล็กบางกว่าเดินไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ โดยมีสเตบาสเตียนตามาสมทบทีหลัง เดินยังไม่ทันเหนื่อยก็ถึงร้านที่ว่า แจ้งพนักงานถึงค่าสายตา พนักงานสาวจึงหันหลังไปหยิมกล่องสีขาวคาดฟ้าขนาดเล็กกว่าฝ่ามือมาให้

“เคยใส่คอนแทคเลนส์มาก่อนไหมค่ะ” พอตอบว่าไม่เธอจึงสอนวิธีการใส่ แนะนำข้อห้ามข้อควรปฏิบัติอย่างละเอียดถี่ถ้วน กลับออกจากร้านมาครั้งสุดฟ้าจึงไม่ใช่เจ้าแว่นอีกต่อไป

“ง่ะ งงๆ แปลกๆ”เขาบ่นด้วยความไม่เคยชิน ซ้ำยังโล่งๆเพราะไม่มีแว่นมาเกี่ยวหูกดจมูก

“อีกสักพักก็ชินครับ”ชวิศาเอ่ยปลอบ แต่สุดฟ้าเริ่มรู้สึกชอบมันเสียแล้วสิ ก็หญิงสาวคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าเขาไปเมื่อกี้ หันมามองแล้วยิ้มให้เขาอีกต่างหาก แต่เอ๊ะ.... หรือไอ้ที่ยิ้มเพราะตลกกัน สุดฟ้าขมวดคิ้วฉับกับความคิดของตน ตอนหันไปถามชวิศา

“นายว่าฉันหล่อไหม ชวิศา”

ร่างเพรียวนิ่งอึ้งไปนิด ก่อนเบือนหน้าหนีเสสายไปมองทางอื่น อมยิ้มหน้าแดงเรื่อตอนที่ตอบว่าหล่อครับพร้อมสายตาที่ช้อนขึ้นมองเขาแล้วหลุบลงต่ำอย่างรวดเร็ว แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจกับอาการเขินอายนั้น เนื่องจากเขากำลังจะลองตกหญิง

อ๊ากกกก.... ไม่อยากจะเชื่อ ในที่สุดเขาก็ได้ใช้คำนี้ เห็นเจ้าแฝดชอบพูดจาข่มเขาดีนัก คราวนี้ละเขาจะสร้างฮาเร็มของตัวเองขึ้นมาบ้าง ให้มันรู้ไปว่าหล่อขั้นเทพแบบเขาจะไม่มีหญิงใดเหลียวมอง


สุดฟ้ากวาดสายตามองสามร้อยหกสิบองศา มองหาสาวสวยที่เพียบพร้อมด้วยหน้าอกหน้าใจ กวาดสายตาครบรอบแต่ก็ยังไม่เจอคนที่โดนใจเสียที

"ด็อกเตอร์ ผมหิวแล้วไปหาอะไรทานกันเถอะครับ" ชวิศาเอ่ยปากชักชวน แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ ดูร้อนระอุ น่าชวนให้หาที่นั่งพัก ชายหนุ่มร่างสูงจึงไม่ปฏิเสธที่จะเดินตามอีกฝ่ายเข้าร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนที่การตกแต่งเน้นสีขาวและเทาเป็นหลัก มีไม้ประดับวางแซมเป็นจุด ให้ไม่ดูเกะกะจนเกินไป

ชวิศาหันมาถามเขาว่าอะไรกินไม่ได้บ้าง ก่อนจะหันไปสั่งอาหารกับพนักงานอย่างคล่องแคล่ว รายการอาหารไม่คุ้นหูทำให้เขาเลิกคิ้วสงสัย สเตบาสเตียนจึงอธิบายให้เขาฟังราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ ส่วนคนที่พามากวาดสายตาไปทั่วร้านอย่างนึกชื่นชมบรรยากาศ พลันสายตาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ห่างกัน ชวิศารีบหันหน้าเข้าหาโต๊ะโดยไว

"อะไรหรือ" สุดฟ้าเอ่ยถามอย่างสงสัย ร่างเพรียวบางเจ้าของใบหน้าสวยส่ายศีรษะยิกๆ จะบอกได้อย่างไร เมื่อสามคนที่ชวิศาเห็นคือ แม่ พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และชวิศาอีกคน มันไม่น่าจะมีอะไรแต่ก็รู้สึกอดกังวลไม่ได้ ประมาณว่าถ้าบังเอิญเจอแม่แล้วเขาต้องทำหน้าอย่างไรละ

ชวิศาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พิมพ์ข้อความแล้วกดส่ง สักพักโยธินก็หันมามองทางเขา ตามหลังไม่กี่วินาทีเสียงแจ้งเตือนข้อความก็ดังขึ้น

‘ทำเฉยๆ เหมือนไม่รู้จักกัน'

"เป็นอะไรหรือเปล่า" ร่างสูงถามซ้ำ ชวิศารีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว ยิ้มให้พลางปฏิเสธว่าไม่มีอะไรอาหารมาเสิร์ฟพอดี ร่างเพรียวจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหาร สายตาพลางเหลือบแลไปอีกโต๊ะ เห็นกลุ่มคนทั้งสามลุกขึ้นเดินออกจากร้านค่อยโล่งอกทานอาหารอย่างสบายใจ

ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของผมสีน้ำตาลทองที่บัดนี้บนหน้าไร้แว่วกรอบหนาบดบังความหล่อเหลาดูเหมือนจะไม่ถูกกับสปาเก็ตตี้มากนัก หรือไม่ก็ไม่ถูกกับช้อนหรือส้อมที่ใช้ทาน อาหารเส้นยาวสีนวลถึงได้เลื่อนหล่นไม่เข้าปากเสียที ชวิศายิ้มอย่างกึ่งขบขันกึ่งเอ็นดู

"ขอตะเกียบได้ไหม ไอ้นี่มันกินยากมากๆ"

"ใช้ส้อมพันเส้นให้เป็นก้อนสิครับ"

"ยังไง"สุดฟ้าถามด้วยใบหน้างุนงงอย่างไม่เข้าใจ เป็นชวิศาเสียอีกที่ยิ่งแปลกใจที่อีกฝ่ายดูจะไม่รู้เรื่องในเรื่องง่ายๆ

"ส่วนใหญ่ผมทำแต่อาหารไทยให้ด็อกเตอร์ทานนะครับ" สเตบาสเตียนเอ่ยเสริมขึ้นมา หุ่นยนต์พ่อบ้านนั่งอยู่ตรงข้ามกับสุดฟ้า มีน้ำผลไม้ปั่นวางอยู่หน้าแต่ปริมาณของน้ำยังเท่าเดิมไม่ได้พร่องลงชวิศาลองทำให้สุดฟ้าดู มือขวาจับส้อมเกี่ยวเส้นสปาเก็ตตี้ขึ้นมาเพียงไม่กี่เส้น ใช้ช้อนรองไว้แล้วหมุนมือจนได้เส้นก้อนกลมๆอยู่ที่ปลายส้อม ป้อนส่งเข้าปากร่างสูงโดยใช้มือซ้ายรองไม่ให้หกเลอะดูท่าชายหนุ่มจะชอบใจกับการเอาใจโดยมีคนป้อนอาหารถึงปากเป็นอย่างมาก ถึงได้ไม่ได้จับช้อนอีกปล่อยให้อีกฝ่ายป้อนเขาคำแล้วคำเล่า

ผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆหันมามอง และพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มขำขัน ชายหนุ่มจึงยักคิ้วหลิ่วตาส่งยิ้มหวานไปให้ หญิงสาวทั้งสองนางจึงยิ่งวี้ดว้ายด้วยเสียงเบาๆยิ่งกว่าเดิม

สุดฟ้ารู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อยเมื่อชวิศาชวนให้กลับบ้านทันทีที่ทานอาหารเสร็จ ไม่ให้ขัดใจได้อย่างไร เขายังไม่ได้เบอร์สาวที่ไหนเลย อุตส่าห์ตัดผมมาใหม่ก็ยังไม่ได้อวดหล่อให้ใครเห็น ชายหนุ่มหน้างอ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่กลับ คอยดูสิ

"ก็ได้ครับ แล้วด็อกเตอร์จะทำอะไรละครับ"

"เดินดูของไปเรื่อยๆก็ได้" เขาอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยที่อีกฝ่ายยอมตามใจ แล้วระริกระรี้ลั่นล้าเดินเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ด้วยความสบายใจ กระนั้นสายตาก็ยังคงสอดส่องคอยมองหาสาวน่ารักๆ พลางส่งรอยยิ้มกรุ่มกริ่มให้สาวๆที่เดินผ่านอยู่เสมอ

"เสื้อตัวนี้แม่ว่าสวยดีนะ น้องซี" ชวิศาพยักหน้าหงึกๆ พลักได้สตินึกขึ้นได้ เสียงนี้คุ้นๆชอบกล

"ครับ ดูเรียบๆ แต่ค่อนข้างทันสมัยใช้ได้เลยครับ"

พอเงยไปมองก็ใช่จริงๆเสียด้วย แม่กับชวิศาอีกคนยืนหันหลังให้อยู่ตรงหน้า กำลังดูเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ที่ราวถัดไป ชวิศารีบหันหลังกลับอยากเดินออกจากร้านแต่ติดอยู่ที่ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งดูเหมือนว่ายังคุยติดพันอยู่กับพนักงานขาย

"สเตบาสเตียน เดี๋ยวผมไปห้องน้ำสักครู่นะครับ"

"ถ้าเช่นนั้นผมไปด้วยครับ"

"ไม่ต้องหรอกครับ แล้วใครจะอยู่กับด็อกเตอร์ล่ะ ผมไปแป็บเดียว"ร่างเพรียวบางเอ่ยอย่างร้อนรน หากกระนั้นยังไม่ทันได้ขยับไปไหน เสียงของมารดากลับดังขึ้นมาเสียก่อน

"อ้าว คุณสเตบาสเตียน มาซื้อของเหมือนกันหรือค่ะ" คุณพรลภัสเอ่ยทักเสียงหวาน ท่าจะชื่นชอบคุณพ่อบ้านมากจริงๆ ชวิศาใจเต้นโครมๆแทบจะกระเด็นออกมานอกอก ไม่กล้าหันกลับไปมอง ไม่ว่าอย่างไรผู้เป็นนมารดาคงต้องสงสัย เขากับชวิศาอีกคนหน้าเหมือนกันราวกับฝาแฝด ไม่ใช่แค่คล้ายหรือหน้าเหมือน แต่ราวกับโคลนนิ่งกันมาและที่สำคัญเขาเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้องท้องเดียวกันคนอื่น ถึงพี่โยจะบอกว่าให้ทำเป็นไม่รู้จักแต่ต้องมาเจอกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ เขายังไม่ทันเตรียมใจเลย
นับว่าโชคของชวิศายังมี ตอนที่ยืนหันให้ด้วยความระทึกโยธินก็โผล่มาพอดี ร่างสูงของลูกพี่ลูกน้องแทรกเข้ามาในวงสนทนา ยืนซ้อนบังตัวไว้ให้ร่างเพรียวได้หลบไปที่อื่นคุณนายชวิศาแปลกใจและสงสัยในท่าทีแปลกๆนั่นเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสนทนากับสเตบาสเตียนต่อ

เจ้าของใบหน้าใสหลบเลี่ยงออกมายืนแอบมองอยู่ไม่ห่าง เห็นสุดฟ้าขยับไปเข้ากลุ่มวงสนทนา เขาไม่เห็นสีหน้าของชายหนุ่มเห็นแต่ชวิศาอีกคนที่ส่งยิ้มสวยให้ร่างสูงแต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความเศร้าอย่างไรชอบกล ชวิศาลองคิด ถ้าคนที่ได้อยู่กับสุดฟ้าเป็นตัวเขาจริงๆแล้ววันหนึ่ง กลับมีใครก็ไม่รู้มาแย่งที่ตรงนั้นไป เขาคงเศร้าใจอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้น เขาอยากจะบอกให้คุณชวิศาคนนั้นรับรู้ เขาจะอยู่ตรงนี้อีกไม่นาน แล้วเขาจะคืนทุกอย่างให้  เขาไม่ได้ต้องการอะไรมาก ...แค่อยากได้ความทรงจำที่แสนวิเศษนี้เก็บไว้เท่านั้นเอง

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่หก 06/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 06-11-2016 07:48:23
สุดฟ้าโทรศัพท์ให้สองพี่น้องสุวราลักษณ์มารับหุ่นยนต์ในตอนเย็น ทั้งสองคนตื่นเต้นกันมาก รีบมาที่บ้านของเขาทันทีที่วางสาย

"สุดยอดจริงๆว่ะ ฉันโคตรนับถือเลย แกเป็นอัจฉริยะจริงๆ"

สุดฟ้ายืดอกรับคำชมอย่างชอบใจ

“ทำไมเป็นผู้ชายอีกแล้วว่ะ” หนึ่งในสองแฝดเอ่ยถามหลังจากถลกเสื้อกับกางเกงของหุ่นลงดูเรียบร้อย ส่วนอีกคนนั่งจ้องหน้าหุ่นยนต์ตามไม่กระพริบ

"ก็ฉันเคยสร้างแต่ผู้ชาย ถ้าแกอยากได้หุ่นผู้หญิงต้องรออีกสองเดือน เอาไหมล่ะ" สุดฟ้าหน้างอไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที ค่าจ้างก็ไม่มี แค่ทำให้ก็ถือว่าบุญแล้ว ยังจะเรื่องมากอีก

"แต่ว่าน้องเขาก็น่ารักดีนะพี่ไอซ์" ธัชนันท์เอ่ยแย้งขึ้นมาหลังหลังจากนั่งจ้องจนน้ำลายยืด "ฉันขอคนนี้แล้วกันนะ" จบคำก็กอดหมับทันที ผู้เป็นพี่ชายจึงหันมาโวยวาย

"เป็นพี่เสียสละให้น้องไม่ได้หรือไงละ ถึงยังไงพี่ก็ชอบแบบเฉี่ยวๆ ดูเปรี้ยวๆ แบบคนนั้นไม่ใช่หรือไง" ธัชนันท์ชี้นิ้วไปยังร่างหุ่นยนต์ที่นั่งหน้านิ่งอยู่ไม่ห่างกัน

"ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่แกจะนอนกับผู้ชายเนี่ยนะ"

"เรื่องเพศตัดไปถ้ารูปร่างหน้าตาผ่านไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่ว่าพี่จะไม่เคยซะหน่อย ถ้าพี่ไม่เอาก็คืนให้ไอ้สุดฟ้าไป แต่ผมเอาคนนี้นี่แหละ" ฝาแฝดผู้น้องว่าอย่างเอาแต่ใจ

ธัชนนท์ฮึ่มฮั่มด้วยความขัดใจอยู่พักใหญ่ ถึงได้หันมาพิจารณารูปร่างหน้าตาของหุ่นยนต์ที่สุดฟ้าสร้าง จะว่าไปเจ้าเพื่อนบ๊องส์มันเอาใจใส่ต่อรสนิยมของเขาใช่เล่น วงหน้าเรียวได้รูป ดวงตากลมปลายหางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย แม้ริมฝีปากล่างจะหนาไปสักหน่อยแต่ก็รับกับจมูกโด่งและดวงหน้าเรียว เมื่อเพ่งพิศให้ดีทำให้เขานึกถึงใครคนหนึ่ง

"ธารา"

"ใช่ไหมล่ะ" แม้ไม่เหมือนราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันอย่างชวิศา แต่ก็มีส่วนคล้ายมากทีเดียว "ส่วนคนนี้ก็เหมือนเดนิสเลย" ธัชนันท์คลี่ยิ้ม ปลายนิ้วเกลี่ยไล้บนผิวเนียนข้างแก้มอย่างหลงใหล

"โอเค เป็นอันว่าพอใจกันแล้วชะไหม" สุดฟ้าขัดก่อนที่ทั้งสองคนจะเข้าภวังค์ไปมากกว่านี้ "อะแฮ่ม เห็นอะไรไหม" เขากระแอมกระไอ เสยผมหันไปหันมาอยู่หลายนาที สองพี่น้องสุวราลักษณ์มองจ้องอยู่นานก็ยังคงทำหน้างง แต่ความจริงพวกเขาทั้งสองคนเห็นความเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มเจ้าของบ้านแล้วหากแกล้งทำเป็นไม่เห็น ในคราแรกเพราะตื่นเต้นกับหุ่นสองตน แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาใจตรงกันอีกครั้ง อยากให้เจ้าบ๊องมันเสียจริตก็เท่านั้น ทีตอนที่พวกเขาพาไปตัดผมมันกลับทำหน้าเหมือนโลกจะแตก ตอนนั้นความยาวของผมก็มากกว่านี้ สีผมรึก็เข้มกว่าไม่ได้ออกสีทองจนแนวได้ใจ ไอ้หล่อมันกลับร้องห่มร้องไห้ไม่กล้าออกจากบ้านไปสามสี่เดือน ทั้งที่พวกเขายังรู้สึกว่ามันออกจะหล่อแบบผู้ดี๊ผู้ดี แล้วผมทรงนี้มันอะไรกันล่ะ

เป็นจริงดังว่า ร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วฉับอย่างขัดใจ "อะไรกัน ไม่มีอะไรแปลกไปหรือไง บอกไว้ก่อนเลยละกัน ต่อให้พวกแกเอาหุ่นทั้งสองตัวนี่ไป พวกมันก็ไม่ตอบสนองหรอกนะ เพราะฉันตั้งรหัสล็อคไว้" สุดฟ้ายกยิ้มอย่างสะใจ ส่วนสองพี่น้องร้องเฮ้ยพร้อมกัน

"อะไร ไหนแกบอกว่ายกให้แล้ว"

"มันก็ใช่ แต่หุ่นตัวนึงตั้งสิบล้าน แค่เรื่องนั้นเรื่องเดียวพวกแกคิดว่ามันคุ้มกันหรือไง" ใช่ว่าจะมีแค่เจ้าสองคนนั่นที่มีหัวการค้า ตัวเขาเองก็ไม่ต่างกันหรอกหนำซ้ำเขาจะเคี่ยวกว่าด้วย

"โอเค แกไม่มีแว่น หัวมีสี ผมสั้นขึ้นแล้วจะเอายังไง"  ธัชนันท์พูดอย่างรวดเร็ว พาเดนิชมาให้อยากแล้วมาพรากไปทีหลังเนี่ย เขาไม่ชอบใจนักหรอกนะ

"ฉันหล่อม่ะ" สุดฟ้าถาม ฝาแฝดสุวราลักษณ์มองหน้าเจ้าของคำถาม แล้วหันมาสบตากันเอง ก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าของคำถามอีกครั้ง

"แกกินของผิดสำแดง?"

"ไข้ขึ้น?"

"นอนน้อย?" และอีกมากมายหลายคำถามตามมาเป็นพรวนจากปากสองพี่น้องตระกูลสุวราลักษณ์

"ฉันไม่ได้เป็นอะไร" ชายหนุ่มเจ้าของบ้านตะโกนโวยวาย "ทำไมแค่ฉันถามว่า ฉันหล่อไหม แค่เนี้ยมันแปลกประหลาดขนาดนั้นเลยหรือ"

"ปกติตอนที่แกจะถามว่าตัวแกหล่อหรือเปล่า ต้องเป็นตอนที่แกอกหักจีบสาวไม่ติดน้ำตาท่วมจอ"

"ช่างทำร้ายจิตใจกันอย่างโหดร้ายเสียจริง ขุดเอาเรื่องตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหามาตอกย้ำซ้ำเติมแบบนี้" ร่างสูงใหญ่ของสุดฟ้าเซแซ่ดๆ ไปซบลงกับพนักพิงของโซฟา ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไม่หยดลงสักแหมะ  ธัชนนท์และธัชนนท์พร้อมใจกันตบศีรษะคนละฉาดสองฉาด

"อย่าร่ำไร มีอะไรก็ว่ามา"

"พาไปท่องราตรีหน่อย ฉันจะไปสีหญิง"

"ก็แค่นั้น"

แต่ก่อนจะได้คุยรายละเอียดเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากนี้ ชวิศาและสเตบาสเตียนที่แยกตัวไปช่วยกันทำกับข้าวอาหารมื้อเย็นก็ออกมาตามพวกเขาทั้งสามคน  พวกเขาจึงต้องทิ้งประเด็นให้ค้างไว้แค่นั้นแล้วไปเติมพลังงานให้กับร่างกาย หลังทานข้าวเสร็จ สุวราลักษณ์คนน้องมาออดอ้อนเซ้าซี้ให้สุดฟ้าปลดล็อคหุ่นยนต์เร็วๆ ชวิศากับสเตบาสเตียนเองก็มาร่วมวงนั่งดูอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะจากที่นั่งคุยนั่งเล่นด้วยกันก่อนที่เจ้าของบ้านจะตื่น หุ่นยนต์ทั้งสองตนสามารถตอบสนองได้ปกติ แถมยังทำให้ชายหนุ่มร่างเพรียวผู้เป็นมนุษย์จริงๆแพ้ตั้งหลายตา จะดูไม่เหมือนสเตบาสเตียนตรงที่ไม่พูดไม่คุยไม่ยิ้มเท่านั้นเอง

สุดฟ้าเรียกให้ธัชนันท์มายืนตรงหน้าหุ่นตัวที่เลือก

“คนอื่นอย่าส่งเสียงนะ” เขาบอกก่อนพูดต่อไปว่า “เริ่มต้นบันทึกข้อมูล”

“เริ่มต้นบันทึกข้อมูล”หุ่นยนต์ตนนั้นทวนเสียงตาม “คุณคือใครครับ”

คนสร้างหุ่นยนต์พยักเผยิดให้เพื่อนสนิทตอบ  ธัชนันท์พยักหน้ารับและตอบว่า “ธัชนันท์ สุวราลักษณ์”

“ธัชนันท์ สุวราลักษณ์ ทำการบันทึกเรียบร้อย” เสียงวืด ...แชะดังขึ้นเบาๆเหมือนจับภาพ“ผมชื่ออะไรครับ”

“เดย์” ฝาแฝดคนน้องตอบโดยไม่ต้องคิด

“เดย์ ทำการบันทึกเรียบร้อย” นิ่งไปอีกสักครู่ หุ่นยนต์นามว่าเดย์จึงคลี่ยิ้มออกมา “สวัสดีครับ คุณธัชนันท์”

“เสร็จแล้วหรือ” ธัชนันท์หันถามสุดฟ้า

“เออ เสร็จแล้ว”

“ฉันนึกว่าต้องทำอะไรที่มันยุ่งยากกว่านี้เสียอีก”ธัชนนท์ว่า ชวิศายังคิดเช่นนั้นเหมือนกัน

“งั้นแกก็ลองดิ” เอ่ยปากท้าด้วยรอยยิ้มมุมปาก สุวราลักษณ์คนพี่จึงดึงร่างหุ่นยนต์ให้มาเผชิญหน้า

“เริ่มต้นบันทึกข้อมูล” หุ่นยนต์อีกตนยังคงยืนนิ่ง  ธัชนนท์จึงพูดซ้ำด้วยเสียงที่ดังและชัดเจนมากขึ้น กระนั้นผลที่ได้ยังเหมือนเดิม
สุดฟ้าหัวเราะ “นี่มันหุ่นยนต์ของฉัน มันก็ต้องใช้เสียงฉันดิ ขอบอกพวกแกสองคนไว้ก่อนนะ ถึงหุ่นยนต์ทั้งสองตนนี้ฉันจะยกกรรมสิทธิ์ให้เป็นของพวกแก แต่อย่างไรมันก็เป็นของฉันอยู่ดี ไม่ต้องห่วง ฉันไม่คิดเอาคืน ไม่ทวงเงินทีหลัง แต่หากเกิดเหตุผิดพลาดใดๆที่อาจจะส่งผลเสียต่อฉัน หรือเหตุการณ์ใดๆก็ตามที่ฉันเห็นว่าหุ่นยนต์ทั้งสองตนอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามดุลยพินิจของฉัน ฉันสามารถทำลายมันได้ตลอดเวลา ส่วนข้อกำหนดอื่นๆก็ไปถามกันเอาเอง เริ่มต้นบันทึกข้อมูล” จบประโยคสุดท้าย หุ่นยนต์ที่ยืนอยู่หน้า ธัชนนท์ทำการทวนคำพูดและถามชื่นเช่นเดียวกับที่เดย์ของธัชนันท์ทำ

“น้ำ ทำการบันทึกข้อมูลเรียบร้อย สวัสดีครับ คุณธัชนนท์”

สุดฟ้าเห็นเพื่อนทำหน้าหงิก จากอารมณ์ลั่นล้าในคราแรกแปรเปลี่ยนไปแทบจะพลิกฝ่ามือ ผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงเอ่ยถาม“ทำไมทำหน้าแบบนั้นอ่ะ”

“แกจะทำลายเดย์ในกรณีไหนบ้างอ่ะ”

“ไม่รู้ดิ”

“โหย สุดฟ้าาาา แบบนั้นมันแย่เกินไปนะเว้ย ถ้าเกิดแกโมโหอะไรฉันขึ้นมาแล้วเอามาลงที่น้องเดย์ ฉันก็แย่ดิ”  ธัชนันท์โอดโอย

“จะบ้าหรือ ถึงอย่างไรฉันก็เป็นคุณพ่อนะ ฉันไม่คิดจะฆ่าลูกตัวเองง่ายๆแบบนั้นหรอก”

“จริงดิ” ยังถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“จริงเว้ย”

“แน่นะ” ถามซ้ำเพื่อความชัวร์

“แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง”

“ไม่ยั่วนะ” เอ่อ... ไม่มีความคิดเห็น

“เดี๋ยวแกจะโดนถีบ” เมื่อออกมาตราการณ์ขั้นเด็ดขาด สุวราลักษณ์คนน้องถึงยอมพยักหน้าหงึกๆ กอดเอวบางของเดย์ไว้เต็มอ้อมแขน

ธัชนนท์และธัชนันท์เห็นว่านอกจากจะเปลี่ยนทรงผมแล้ว ควรจะหาเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าเสื้อยืดคิกขุแมนซึ่งมีอยู่ล้นตู้เสื้อผ้าของเจ้าของบ้านมาให้ใส่เพื่อให้ดูมีสกุลรุนชาติเหมาะกับการเที่ยวกลางคืนเพื่ออ่อยเหยื่อ จึงพามาที่บ้านของพวกตน และท้ายที่สุดอดถามอย่างเป็นห่วงเรื่องชวิศาไม่ได้

“แน่ใจนะว่าจะพาไปด้วย”

“อีกอย่างแกก็มีชวิศาอยู่แล้วทั้งคน ยังอยากจะไปจีบผู้หญิงคนอื่นอีกเนี่ย” สุวราลักษณ์อีกคนเสริมขึ้นมา

“ไหนตอนแรกแกบอกว่าสร้างชวิศาขึ้นมาเป็นแฟนไงว่ะ ถึงตอนนี้มันจะเกิดเหตุไม่คาดฝันก็เถอะ แล้วแกจะมีหญิงอื่นต่อหน้าแฟนแกเนี่ยนะ”  ธัชนันท์กระซิบถามทั้งที่กอดคอลากพาชายหนุ่มเพื่อนซี้ออกมาห่างจากร่างเพรียวบางที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่พอควรแล้วก็ตาม

“ตอนที่พวกแกมีแฟนก็คบคนอื่นด้วยไม่ใช่หรือไง” คราวนี้สองพี่น้องถึงกับเถียงไม่ออก  ธัชนนท์จึงตัดบทเอาดื้อๆ

“ช่างมันเถอะอาท ใช่ว่าจะเป็นแฟนกันจริงๆ หรือต่อให้ตอนนี้ชวิศาที่ว่าเป็นหุ่นยนต์ จุดประสงค์ที่สุดฟ้ามันสร้างขึ้นมาเพราะแรงจูงใจอื่น นายเองก็เหมือนกัน พอน้องเดย์หน้าเหมือนเดนิส ความคิดต่อน้องเดย์ของนายจะเปลี่ยนไปจากแรกเริ่มงั้นหรือ”

จริงดังว่า จุดประสงค์การมีอยู่ของหุ่นยนต์ชวิศาออกจะชัดเจนขนาดนั้น แม้จะถูกสับเปลี่ยนและชวิศา ภูกิจพัฒน์มาอยู่ที่ตรงนี้แทนก็ตาม...  ธัชนันท์ได้แต่พยายามทำใจยอมรับความจริงในข้อนั้น

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่เจ็ด 12/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-11-2016 17:13:40
ตอนที่เจ็ด

เที่ยวกลางคืนครั้งแรกในชีวิต  สุดฟ้าทั้งตื่นเต้นทั้งระริกรี้ยิ่งกว่าปลากระดี่ได้น้ำ ฝาแฝดคนพี่เดินนำพวกเขาเข้าไนท์คลับมีระดับที่เป็นแหล่งรวมวัยรุ่นลูกคนมีเงินทั้งหลายในกลุ่มสังคมไฮโซ พื้นที่ชั้นหนึ่งเป็นฟลอร์เต้นรำที่ตอนนี้บนเวทียังวงดนตรีเล่นสดให้เหล่าหนุ่มสาวได้ยักย้ายส่ายสะโพก กว่าที่พวกเขาจะมาถึงก็เป็นเวลาค่อนดึกแล้ว เพราะฉะนั้นบรรยากาศในร้านจึงอยู่ในช่วงคึกคัก

ธัชนนท์เดินนำไปยังพื้นที่ส่วนตัวที่เขาโทรมาจองไว้ก่อนหน้า

“เคยมาบ้างไหม”ธัชนันท์ที่เดินอยู่รั้งท้ายเอ่ยปากถามชวิศาที่กวาดสายตามองไปรอบๆอย่างตื่นตาเช่นเดียวกัน ส่วนเจ้าสุดฟ้าเพื่อนสนิทที่คบกันมาแต่วัยเยาว์ออกอาการลั่นล้าแทบจะผวาเข้าหากลุ่มสาวๆ ถ้าพี่ชายของเขาไม่ได้ดึงไว้เสียก่อน

“ไม่เคยเลยครับ”

คนถามครางรับในลำคอ  เขาไม่แปลกใจนัก เพราะจากเสียงเล่าลือ คุณโยธินพี่ชายของชวิศาค่อนข้างจะหวงน้องชายคนนี้ของตนไม่น้อย ไม่แน่ว่าถ้าคนที่ถูกพูดถึงรู้ว่าพวกเขาพาน้องชายมาแหล่งอโคจรเช่นนี้ อาจจะตามมาลากตัวกลับทันทีเลยก็เป็นได้

หลังจากมาถึงชุดโซฟาบนพื้นที่โซนชั้นสองและสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว สุดฟ้าก็ทำท่าลุกลี้ลุกลนอยากจะลงไปสีร่างกายกับสาวๆข้างล่างเสียเต็มแก่

“ดื่มสักแก้วสองแก้วก่อนแล้วค่อยไปเต้นสิ”ธัชนนท์ส่งแก้วเหล้าให้สุดฟ้า ชายหนุ่มรับแก้วมายกดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วต้องเบ้หน้าเพราะความเฝื่อนคอ ก่อนจะวางแก้วลงกระแทกกับโต๊ะดังปึก

“เฮ้ย ใจเย็นๆดิว่ะ”

“หมดแล้ว ไปแล้วนะ”

“เดี๋ยวดิ นั่งคุยกันก่อนสิว่ะ”ธัชนันท์เอ่ยปากพูดรั้งบ้าง ข้างกายของเขาเป็นที่นั่งของเดย์ ส่วนน้ำนั่งอยู่ข้างพี่ชายฝาแฝด แม้สุดฟ้าจะพาสเตบาสเตียนมาด้วย แต่การที่สุดฟ้าทิ้งชวิศาไว้กับหุ่นยนต์พ่อบ้านก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอยู่ดี

“คุยอะไรละ ถ้าอยากคุยกลับไปคุยที่บ้านดิว่ะ มาเที่ยว ไม่ได้มาคุย”สุดฟ้าผู้แสนจะเอาแต่ใจโวยวายขึ้นมา ธัชนนท์ไม่อยากให้อารมณ์ขุ่มมัวของเพื่อนสนิททำลายความรื่นเริงของพวกเขาทั้งหมด จึงได้ปล่อยให้สุดฟ้าออกไปซ่าง่ายๆ

“เออๆ ไปเหอะ ขอให้สนุกนะเว้ย”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อแค่ยกยิ้มก่อนจะเผ่นแผล้วไปอย่างรวดเร็ว พอเห็นเพื่อนสนิทคล้อยหลังไปแล้ว ธัชนนท์ถึงได้หันมาสนใจชวิศาแทน และไหนๆก็ไหนๆแล้ว เขาว่าจะถามเรื่องที่ค้างคาใจเสียด้วยเลย

“เอาเหล้าไหม”

“เอา”ชวิศาพยักหน้า เขาไม่เคยกินมาก่อน ได้แต่อยากลองมานานแล้ว แต่เพราะถูกพี่ชายควบคุมดูแลอยู่เสมอ ช่วงสมัยเรียนที่พวกเพื่อนๆชวนไปเที่ยว เขาก็อดไป และถึงได้ไปจริงๆก็มีคนตามคอยคุมตลอด

ขณะที่พี่ชายเอ่ยปากถามชายหนุ่มหน้าสวย คนเป็นน้องก็ลงมือชงเหล้าบางผสมมิกซ์เซอร์อย่างน้ำอัดลมส่งให้ชวิศา

“ค่อยๆจิบละ อย่ากระดกรวดเดียวหมดเหมือนไอ้สุดฟ้า”

ชวิศาพยักหน้ารับ ยกแก้วขึ้นจิบอย่างที่อีกฝ่ายแนะนำ น้ำในแก้วหวานเหมือนน้ำอัดลมที่เขาเคยดื่ม มีแค่รสเฝื่อนขมจางๆจนแทบไม่รู้สึก

“อร่อยดี”สองพี่น้องบ้านสุวราลักษณ์ยกยิ้ม

“แต่ยังไงก็อย่ากินเยอะละ”

ชายหนุ่มตอบรับ ยกแก้วขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะวางมันลง และเปลี่ยนมาหยิบขนมขบเคี้ยวเข้าปาก

“เอ่อ... ได้ยินว่าไปอยู่ฝรั่งเศสมาใช่ไหม เป็นอย่างไรบ้าง”

ชวิศานิ่งค้างไปทันที ปล่อยขนมในมือให้ร่วงลงพื้น

“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น จะว่ายังไงดีละ คือพวกเรารู้แล้วเรื่องที่นายสลับตัวกับชวิศา...อีกคน”เพราะคู่สนทนาก็ชื่อชวิศา จึงฟังดูสับสนไม่น้อย

“งั้น ฉันเรียกนายว่าซี แล้วเรียกอีกคนว่าชวิศาแล้วกันนะ”ธัชนนท์พูดต่อ ส่วนชวิศายังนิ่งค้างหน้าซีดอยู่เช่นนั้นอีกร่วมนาที

“ใจเย็นๆ ไม่ต้องคิดมาก ไม่เป็นไรหรอกน่า” สุวราลักษณ์คนน้องกล่าวปลอบ

“สุดฟ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า”ชวิศาพูดเสียงเบา โซนที่พวกเขานั่งอยู่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว สำหรับพวกที่จะมานั่งดื่มและคุยกันไปเรื่อยๆโดยเฉพาะ จึงค่อนข้างเงียบ แม้จะได้ยินเสียงดนตรีจากการแสดงสดบนเวทีดังมาตลอด แต่ก็ไม่ดังมากจนต้องตะโกนคุยกัน กระนั้นเสียงของชวิศาก็ยังเบาเกินไปสำหรับการได้ยินอย่างชัดเจนในเวลานี้

ชายหนุ่มฝาแฝดยังคงนั่งรออีกฝ่ายให้เปิดปากพูดอีกครั้ง

“สุดฟ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า”เสียงของชวิศาดังขึ้นกว่าเดิม มันมาพร้อมสีหน้าร้อนรนของชายหนุ่ม สองพี่น้องที่รู้ใจราวกับโทรจิตถึงกัน หันมามองหน้ากันเองแค่ชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะตอบออกไปว่า

“น่าจะยังไม่รู้นะ พวกนายสองคนเหมือนกันจะตาย เหมือนกันยิ่งกว่าฝาแฝดแบบเราสองคนเสียอีก”

ชวิศามีท่าทางโล่งใจขึ้นมาทันตาเห็น แล้วทำท่าลุกลี้ลุกรนขึ้นมาอีกครั้ง “นายสองคนจะไม่บอกสุดฟ้าใช่ไหม”

“บอกทำไม ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรสักอย่าง”

“ขอบใจมากนะ”ชวิศายิ้มให้ธัชนันท์ผู้ที่เป็นเจ้าของประโยคนั้น และเมื่อหันไปหาธัชนนท์ ฝาแฝดคนพี่ก็พยักเพยิดคล้ายบอกว่า น้องชายพูดแบบไหน เขาก็ว่าตามนั้น

“แล้วทำไมถึงสลับตัวกันได้ล่ะ”

“ก็...”คราวนี้ชวิศากลับก้มหน้าก้มตา นั่งบิดไปบิดมามือไม้อยู่ไม่สุขเสียแทน

“ก็แบบว่า...”อ้ำๆอึ้งๆ ไม่ยอมพูดเสียทีจนสองพี่น้องนึกรำคาญ ถ้าไม่ติดว่าหน้าตาน่ารัก ธัชนันท์ว่าจะเดินเข้าไปโบกแก้เขินสักทีสองที

“เอ้า กินเข้าไปก่อนจะได้กล้าพูด”

ชวิศารับแก้วเหล้าไปดื่มอึกๆอย่างว่าง่าย แก้วใสทรงสูงยังอยู่ในมือตอนที่เขาเอ่ยปากพูดออกมา

“ฉันนะ แอบชอบสุดฟ้ามาตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว” พูดไปแล้ว เขาเขินจนรู้สึกเหมือนตัวกำลังจะระเบิดเสียให้ได้ นี่ขนาดว่าไม่ได้พูดต่อหน้าเจ้าตัวนะ ถ้าเขาได้พูดสารภาพรักต่อหน้าสุดฟ้าแล้วละก็... อั้ยๆๆๆ

ชวิศาเขินกับจิตนาการของตัวเองจนต้องยกแก้วเหล้าในมือขึ้นดื่มจนหมด เพราะอยู่ในที่สาธารณะหรอก เขาถึงต้องรักษาจริตให้ดูอยู่กับร่องกับรอยเสมอ

“ขออีก”

“แล้วจะทำอย่างไรต่อไปละ ถึงยังไงก็ไม่ได้อยู่เมืองไทยตลอดไม่ใช่เหรอ” ธัชนนท์ถามขึ้นมาบ้าง

จากที่มโนลั่นล้าอยู่ ชวิศาถึงกับหงอยไปทันทีเมื่อเจอคำถามนี้“ยังไม่รู้เหมือนกัน” เขาก้มหน้าลงมองน้ำสีเข้มในแก้วที่อยู่ในมือ แล้วก็ยกมันขึ้นดื่ม “ที่จริงฉันก็รู้ว่ามันค่อนข้างยากที่จะทำให้สุดฟ้าหันมาสนใจฉัน ตอนสมัยเรียนฉันอ่อยเขาทุกวิธีที่นึกออก เขายังจำชื่อฉันไม่ได้เลยจนกระทั่งพวกเราเรียนจบ ตอนที่ฉันไปเมืองนอก ฉันก็คิดว่าจะตัดใจจากเขา” ชวิศายกแก้วขึ้นดื่มอีกรอบ“แล้วจู่ๆตอนที่ฉันกลับมา เขากลับสวีทอยู่กับผู้ชายที่หน้าตาเหมือนฉัน รู้ไหม ตอนที่ฉันเห็นพวกเขาครั้งแรก ฉันโทรกลับไปหาแม่เลยนะ ฉันคิดว่าฉันอาจจะมีพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากจากกันไปนานเหมือนในละคร แต่รู้อะไรไหม ฉันเป็นลูกคนเดียวนะ ไม่มีพี่น้อง แล้วผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร ที่สำคัญกลับมาแย่งสุดฟ้าของฉันไปต่อหน้าต่อตา” ยิ่งพูดชวิศายิ่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งอารมณ์และอินเนอร์มาเต็มยิ่งกว่าบนหลังเมฆเดอะมิวสิคเคิล ธชันนท์และธัชนันท์มองหน้ากัน สภาพแบบนี้ เป็นไปได้ว่าชวิศาคงจะเริ่มเมาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ห้ามเมื่อชวิศาส่งแก้วมาให้ชงเหล้าอีกครั้ง

ตอนที่สุดฟ้ากลับมาที่โต๊ะพร้อมกับสาวสวยอกสะบึ้ม ชวิศาก็หมดสภาพคอพับคออ่อนพิงศีรษะอยู่กับอกของสเตบาสเตียน

“กลับกันยัง” สุดฟ้าออกปากชวนหน้าตาส่อแววจุดมุ่งหมายสาเหตุที่รีบกลับอย่างชัดเจน

“อะไร ยังไม่ทันดื่มอะไรเลยก็จะกลับแล้ว”

“อ้าว พวกแกยังไม่ได้กินเหรอ ฉันไปเต้นตั้งนาน นั่งรออะไรอยู่ตั้งนานว่ะ”สุดฟ้าขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เขาเหลือบไปเห็นชวิศาคอพับคออ่อนหมดสภาพอยู่ข้างสเตบาสเตียน จึงเอ่ยถามสองพี่น้อง

“เป็นไรอ่ะ”

“เมา”คำตอบของธัชนันท์สั้นๆ ทำให้ชายหนุ่มหัวสีทองร้องโวยวายขึ้นมา

“เฮ้ย!!! แล้วใครเป็นคนเอาเหล้าให้กินว่ะ ให้กินทำไมเนี่ย” เขาเดินเข้าไปดูชวิศาใกล้ๆ ชายหนุ่มร่างเล็กหน้าแดงกล่ำ หลับตาอย่างไม่รู้สติ เขาลองตบแก้มเบาๆแล้วร้องเรียกชื่อ อีกคนก็ยังไม่ตอบสนอง

“อ้าว ถ้าไม่อยากให้กิน ทำไมแกไม่มาเฝ้าไว้เองละ ไม่ใช่เด็กของฉันซะหน่อย”

“เพื่อนกันก็ช่วยดูหน่อยไม่ได้หรือไง ไม่งั้นฉันเอาเดย์คืนเสียเลยนี่”

“ไม่ได้นะเว้ย ให้แล้วให้เลย”

“พอเถอะน่า จะทะเลาะกันเพื่อ? ส่วนแกนะสุดฟ้า ไม่ต้องมาโวยวายหรอก เดี๋ยวฉันให้คนไปส่งพวกแกทั้งหมดที่บ้าน ส่วนชวิศาก็ปล่อยให้สเตบาสเตียนดูแลไป”

สุดฟ้ายังไม่ตอบรับ ธัชนนท์จึงสำทับอีกประโยคมาว่า

“หรือแกไม่ไว้ใจสเตบาสเตียน”

“หึ... คนของฉันเชื่อใจได้อยู่แล้ว”พูดจบสุดฟ้าก็สะบัดบ๊อบเดินกลับไปหาสาวทรงโตที่ยืนรออยู่ 

“ไม่คิดจะแนะนำเพื่อนคุณให้แอมรู้จักบ้างหรือค่ะฟ้า”สาวสวยนวยนาดเข้ามาเกาะแขนสุดฟ้าเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ถ้าแนะนำไปแล้วคุณจะหันไปชอบฝาแฝดสองคนนั้นแทนผมหรือเปล่าละครับ”สุดฟ้าถาม พยายามดัดเสียงให้หล่อที่สุดเท่าที่จะทำได้

“แหม”เธอลากเสียง จีบปากจีบคอพูดอย่างมีจริต “แอมมีคุณอยู่แล้วทั้งคน จะให้สนใจคนอื่นอีกทำไมละค่ะ”

“คุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักที่สุดเลยครับ”

“อะแฮ่ม แค่กๆๆ เดย์ช่วยลูบหลังให้หน่อยได้ไหม”ธัชนันท์หมั่นไส้จนอดที่จะส่งเสียงขัดขึ้นมา หุ่นยนต์ผู้มีชื่อว่าเดย์ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย ซ้ำยังถามผู้เป็นเจ้านายด้วยว่าเป็นอะไรมากไหม ต้องให้ทำอะไรเพิ่มเติมหรือไม่

“ไม่เป็นอะไรแล้วขอบใจมากนะ”เขาตอบเสียงหวานไม่ต่างกัน

“แหวะ”

ธัชนันท์ตวัดสายตาไปมองเจ้าของเสียง และก่อนที่สองคนนั้นจะตีกันจริงๆ ธัชนนท์ห้ามทัพโดยส่งเสียงทักทายไปยังสาวสวยหนึ่งเดียวเสียก่อน

“สวัสดีครับ ผมไอซ์ครับ”เขาพูดพลางยื่นมือไปข้างหน้า สาวสวยจึงยื่นมือมาจับทักทายตามมารยาท

“แอมค่ะ”

“ส่วนผู้ชายที่หน้าเหมือนผมคนนี้ชื่ออาท” พอแนะนำน้องชายเสร็จ ธัชนนท์เลยถือโอกาสแนะนำคนอื่นไปด้วย “ที่นั่งอยู่ด้านนั้นคือสเตบาสเตียน เป็นพ่อบ้านของสุดฟ้า ข้างกันคือชวิศาเพื่อนร่วมรุ่นของพวกเรา ข้างน้องชายผมคือเดย์ และด้านนี้... น้ำครับ คุณแอมคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับถ้าเราจะกลับกันเลย”

“แน่นอนค่ะ เพราะแอมกับฟ้า... มีนัดกันต่อ”เธอหันไปส่งสายตาเจ้าชู้แบบรู้กันสองคนกับสุดฟ้า

“ไปที่บ้านผมแล้วกันนะครับ”

“จะดีเหรอว่ะสุดฟ้า ฉันว่าไปคอนโดฉันดีกว่าไหม”คราวนี้ธัชนันท์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะต่อให้พวกเขาเถียงกันหรือทะเลาะกันบ้าง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาสนิทสนมจนคล้ายจะเป็นครอบครัวเดียวกันจึงพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง ไม่ว่าอย่างไรผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนที่พวกเขาไม่รู้จัก

“ไม่เอาอ่ะ”สุดฟ้าตอบปฏิเสธทันที “ฉันนอนไม่หลับอ่ะ ถ้าต้องไปนอนที่อื่น”

“นี่แกจะกลับไปนอนอย่างเดียวเหรอ”ธัชนันท์ถามกลับทันที

“ก็... เปล่า แต่มันต้องนอนบ้างไม่ใช่เหรอว่ะ”

“หึ อ่อน”ฝาแฝดคนน้องทำท่าดูถูก “คืนนี้ฉันกะว่าจะลองทั้งคืน อยากรู้ว่าของที่แกทำมาดีจริงหรือเปล่า” พอโดนข่มทับสุดฟ้าเลยของขึ้นบ้าง

“ใครกันแน่ที่อ่อน ฉันน่ะ ไม่หยุดเลยยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ยังไหว”

“แรงดีจริงขนาดนั้นเลยหรือค่ะ สุดหล่อ”แอมกล่าวขึ้นพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะมาบ้าง ธัชนันท์จึงยื่นหน้ามาสำทับ

“อย่าไปฟังมันมากนะครับคุณแอม เจ้านี่มันขี้โม้”

อารมณ์โมโหพุ่งปี้ดทันทีที่ได้ยินคำสบประมาท "งั้นคืนนี้มาแข่งกันเลยดีกว่า"

"ที่บอกว่าจะแข่งกันนี้คือ แกจะมานอนห้องเดียวกับฉัน กลายเป็นว่าคืนนี้เราจะเล่นหมู่กัน"ธัชนันท์ลอยหน้าลอยตาพูด

"พวกแกไม่มีอะไรทำกันแล้วใช่ไหม ถึงจะเล่นหมู่เนี่ย"ธัชนนท์พูดสอดขึ้นมา "ฉันโทรตามรถแล้ว รีบลุก จะหมู่จะเดี่ยวค่อยไปตัดสินใจในรถ" ก่อนจะหันไปบอกสเตบาสเตียนให้อุ้มชวิศาตามมา

"แหมะ พูดจาทำเป็นไม่เคย"น้องชายฝาแฝดพูดแซวด้วยความคะนองปาก

"พวกแก"สุดฟ้าร้องออกมา "ไม่ชวน"

"ไอ้บ้านี่ ใครจะไปเคยทำ ไอ้อาทแกก็ไปพูดให้มันเข้าใจผิด คุณแอมก็อยู่หัดเกรงใจเขาบ้าง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้หญิง"

“แอมเข้าใจค่ะ พวกผู้ชายก็มักจะคุยเล่นกันอย่างนี้”เธอกล่าวอย่างไม่คิดถือสา

สรุปแล้วคืนนั้น ธัชนันท์พูดตื้อจนสุดฟ้ายอมไปนอนที่คอนโดจนได้ แต่อย่างว่า พอรุ่งเช้าแดดออกปุ๊บ ชายหนุ่มผู้ติดบ้านก็รี่กลับบ้านปั๊บ และยังหิ้วสาวแอมกลับมาด้วย ธัชนันท์จึงรู้สึกได้ว่าความพยายามของตัวเองช่างสูญเปล่า

ตอนที่กลับมาถึง สุดฟ้าเห็นชวิศานั่งหน้าง่วงอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี

“กลับมาแล้วหรือครับ”ชวิศาเอ่ยทักพลางหาวหวอด ก่อนจะล้มตัวไปนอนอีกรอบ

“เป็นอะไร ยังเมาค้างอยู่หรือ”ธัชนันท์เอ่ยถาม ส่วนพี่ชายฝาแฝดเดินเข้าไปดูสเตบาสเตียนที่ง่วนอยู่ในครัว

“อืม ปวดหัว มึน ง่วง แต่สเตบาสเตียนบอกให้ตื่นมากินข้าว” เขานอนเหยียดตัวแค่ครึ่งบนอยู่บนโซฟา เจ้าของบ้านและแขกผู้หญิงจึงไปทรุดตัวลงฟากหนึ่งบนโซฟาเบด มโนสำนึกส่วนหนึ่งของชวิศารู้สึกตัวอยู่ว่า ที่มานอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาแบบนี้มันไม่ดี แต่เขาไม่อยากลุกจริงๆ แค่ครู่เดียวพ่อบ้านก็มาเรียกพวกเขาไปทานอาหาร

“อาหารพร้อมแล้วครับ”ก่อนจะเจาะจงเรียกคนที่นอนแบ็บอยู่

“คุณชวิศาครับ ลุกได้แล้วครับ อาหารเสร็จแล้ว”

“ลุกไม่ไหวอ่ะ คุณสเตบาสเตียน”

“ครับ”คุณพ่อบ้านรับคำก่อนจะเดินเข้าไปช้อนร่างชายหนุ่มร่างเล็กแล้วยกจนตัวลอย ชวิศาก็ช่างว่าง่าย พอถูกคุณหุ่นยนต์พ่อบ้านอุ้มก็เกาะอีกฝ่ายไว้เสียแน่น ชายหนุ่มร่างเพรียวได้รับการบริการอย่างดีเยี่ยมจนผู้เป็นเจ้าของบ้านตาขวาง ดังนั้นตอนที่สเตบาสเตียนทำท่าจะทรุดตัวลงนั่งข้างชวิศา สุดฟ้าจึงเสนอหน้าเข้าไปนั่งตรงนั้นเสียแทน

“จะไปทำงานอะไรก็ไป” ไม่ใช่พูดไล่แค่ปาก เขายังโบกมือไล่เสียด้วย แต่ด้วยความที่สเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์ซึ่งถูกโปรแกรมมาให้รับคำสั่งของสุดฟ้าอย่างเคร่งครัด โดยไม่มีการชักสีหน้าหรือแสดงอาการไม่พอใจกับผู้เป็นเจ้านาย หุ่นยนต์ในรูปร่างของมนุษย์สุดหล่อจึงเพียงแค่รับคำและผละออกมาปฎิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบของตน

“เอ... คุณเดย์กับคุณน้ำไม่ทานหรือค่ะ”แอมออกมาถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังนั่งอยู่ที่ชุดโซฟาไม่ยอมลุกขึ้นมายังโต๊ะอาหาร

“อ่อ สองคนนี้เขาไม่ค่อยชอบทานข้าวเช้านะครับ คุณแอมมาทานเถอะครับฝีมือการทำอาหารของสเตบาสเตียน ยอดเยี่ยมมากนะครับ ผมนะชอบมาฝากท้องที่นี่บ่อยๆ” เป็นสุวราลักษณ์คนพี่ที่พูดตอบแล้วเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น ทั้งยังเป็นคนชวนหญิงสาวพูดคุยเรื่องสัพเพเหระระหว่างมื้ออาหารเช้า เนื่องจากเจ้าของบ้านผู้ที่เชิญเจ้าหล่อนมากลับให้ความสนใจอยู่กับชวิศาที่ตักข้าวต้มเข้าปากด้วยอาการมึนค้างเพราะแอลกอฮอล์ไม่หาย

หลังอิ่มจากของคาว สเตบาสเตียนนำของหวานมาเสริฟอย่างรู้จังหวะเวลา

“เอ่อ... ผมขอตัวก่อนนะครับ ทานไม่ไหวแล้วจริงๆ”ชวิศาลุกขึ้นโดยไม่รอให้ใครอนุญาต เขาเดินไปล้มตัวลงแผละบนโซฟาเบดตัวยาวเช่นเดิม สุดฟ้าหันมองตาม มองสเตบาสเตียนนำยาไปให้ชวิศา ถึงจะรู้อยู่ว่าพ่อบ้านของเขาเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่สามารถมีความรู้สึกรักใคร่ได้ก็เถอะ แต่พอเห็นแบบนี้มันทำให้เขาหงุดหงิดในอกชอบกล

“ฟ้าค่ะ เดี๋ยวทานเสร็จ พาแอมดูบ้านของคุณหน่อยได้ไหมค่ะ”

สุดฟ้าคงจะไม่หันมาให้ความสนใจหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถ้าฝ่าเท้าของอีกผ่ายไม่สะกิดลากมาถึงกลางหว่างขา สุดฟ้าขนลุกซู่ อะไรที่เคยเงียบสงบพาลจะผงาดประกาศศักดาอีกครั้ง

“ไปเลยไหมครับ เดี๋ยวผมพาไปดูห้องนอนก่อนเป็นอันดับแรก” ชายหนุ่มเจ้าของบ้านไม่รอเวลาให้เยิ่นเย้อ เขาพาสาวสวยหายเข้าไปในห้องนอนของตนทันที

แฝดคนน้องพ่นลมหายใจอย่างหมั่นไส้ ธัชนนท์จึงลุกขึ้นบ้างเมื่อทานอาหารจนอิ่ม พวกเขาหันบอกลาชวิศาและเรียกให้หุ่นยนต์สองตนที่นั่งเงียบรอคำสั่งลุกขึ้นมา

พ้นประตูบ้านศิริกร ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเรียบซึ่งยืนรออยู่หน้าบ้านก็ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ ฝาแฝดคนพี่เปิดเอกสารภายในออกมาดู เขากวาดสายตาอ่านข้อมูลบนหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว

“เป็น’ไงบ้าง”ธัชนันท์เอ่ยถาม

“เป็นนักเขียนว่ะ”

“นักเขียนนิยายอีโรติกหรือเปล่าว่ะ เอ็กซ์ชิหาย” คนพูดหัวเราะขำขัน ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องให้หาหนังสือที่หญิงสาวเขียนมาให้เขาอ่านสักเล่ม

“เขียนหนังสือท่องเที่ยว นิยายรัก รับงานแปล อือ พูดได้ห้าภาษา”ฝาแฝดคนโตส่งเสียงอืออาด้วยความทึ่ง

“แหมะ สเปคเชี่ยสุดเลยนะเนี่ย สวย หุ่นดี ฉลาด พ่อเจ้าประคุณขอให้จับมันให้อยู่หมัดทีเถอะ มันจะได้เบื่อชวิศาแล้วยกให้ลูกช้างเสียที”ชายทำท่ายกมือไหว้ท่วมหัว

“เฮ้ย นั่นตัวจริงเป็นๆ นะ ถึงสุดฟ้ามันจะเบื่อ แต่ซี ชวิศาก็คงไม่ยอมหรอก”

“ไม่ได้หมายถึงชวิศาตัวเป็นๆ แต่หมายถึงหุ่นยนต์ต่างหาก คิดดูถ้าพวกเราเอาไปถอดประกอบ แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ จากนั้นก็เอาไปขายจะได้กำไรสักเท่าไหร่”

“งั้นเดย์ของแกก็ได้นะ ขายเป็นเซ็กส์ทอยก็กำไรเหนาะๆแล้ว”

“เรื่องนั้นผมทำอยู่แล้ว แต่ผมว่าหุ่นยนต์ชวิศาน่าจะล้ำหน้ากว่านั้นว่ะ”ธัชนันท์เกาคางคล้ายกำลังใช้ความคิด “พี่ลองคิดดูนะ คุณโยธินกับซีเจอหุ่นยนต์ชวิศาแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นหุ่นยนต์ แน่ละ ว่าพวกเราไม่รู้ว่าสองคนนั้นได้คุยกับหุ่นยนต์หรือเปล่า แต่ผมว่าคุณโยธินคงจะไม่ถึงขนาดมองไม่ออก พี่ดูเดย์กับน้ำสิ ต่อให้ดูเหมือนมนุษย์แค่ไหน ก็ยังดูทื่อๆไร้การตอบสนองถ้าเราสองคนไม่ออกคำสั่งที่ชัดเจน แม้แต่สเตบาสเตียนก็เถอะ อ่ะ คุณแอมก็ไม่ได้ดูแปลกใจสงสัยนี่น่า แต่ไม่รู้ละ ถ้าสุดฟ้ามันหวงขนาดนั้น ผมว่ามันต้องไม่ธรรมดา”

“จะมานั่งเดาทำไมให้ปวดหัว ลองไปบ้านคุณโยธินดูสักครั้งไหมละ”ธัชนนท์พูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์



ชวิศารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนบ่ายกว่าๆ อาการที่ทำให้รู้สึกทรมานเมื่อช่วงเช้าจางลงไปมาแล้ว จะเหลือก็แต่ความรู้สึกมึนๆ เขาหันไปรอบตัวเมื่อรู้สึกตัวตื่นเต็มที่ ทั้งบ้านเงียบกริบ แต่ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อเดินหาผู้ร่วมอาศัยคนอื่น หรือส่งเสียงเรียกใครสักคน สเตบาสเตียนก็เปิดประตูห้องออกมาปรากฏตัวให้เห็นเสียก่อน

“เป็นอย่างไรบ้างครับ”

“ค่อยยังชั่วแล้ว รู้สึกดีกว่าเมื่อเช้ามากเลย”บอกอาการของตัวเองจบ เขาถามถึงผู้เป็นเจ้าบ้านทันที “ด็อกเตอร์ละครับ”

“ยังไม่ออกมาจากห้องเลยครับ”

“เอ๋”ชวิศาส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจ

“หิวไหมครับ ผมจะทำอะไรให้ทาน”

“อืม เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับ แล้วด็อกเตอร์ละ ได้ทานอาหารกลางวันหรือยัง”

“ยังครับ”

“ที่บอกว่ายังไม่ออกมาจากห้องนี่หมายถึงเมื่อไหร่ครับ มีงานหรือ”

“เมื่อเช้าหลังจากอาหารเช้าครับ แต่ไม่ได้อยู่ในห้องทำงาน ด็อกเตอร์อยู่ในห้องนอน”

“เมื่อคืน ด็อกเตอร์ก็เมามากเหมือนกันหรือนี่”ชวิศาบ่นกับตัวเอง เขาจำไม่ได้ และพอจะรู้ว่าตัวเองเมาพับไปก่อนที่สุดฟ้าจะกลับมาที่โต๊ะเสียอีก

“เดี๋ยวผมจะเตรียมอาหารเย็นเองครับ”ชวิศาหันไปยิ้มให้คุณพ่อบ้าน และลุกขึ้นด้วยท่าทางกระตือรือร้น มึนๆเมาๆแบบนี้มันต้องทำอะไรให้รสแซ่บจัดจ้านเข้าไว้ ชายหนุ่มคิดเมนูไว้ในหัว พลางเดินเข้าไปดูของสดในครัว ก่อนจะหันไปชวนคุณพ่อบ้านออกไปซื้อกับข้าวด้วยกัน
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่เจ็ด 12/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-11-2016 17:25:15
หลังเตรียมอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย ชวิศาจึงเดินไปเคาะประตูห้องนอนของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

“อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”

“คุณชวิศาครับ ประตูทำมาจากวัสดุพิเศษ กันเสียงครับ เคาะอย่างไรด็อกเตอร์ก็ไม่ยินครับ”

ชายหนุ่มร่างเพรียวรู้สึกจะคุ้นกับประโยคคล้ายกันนี้อย่างเหลือเกิน

“แล้วต้องทำอย่างไรละครับ”

คุณพ่อบ้านกดปุ่มอินเตอร์คอมที่อยู่บนผนังข้างประตู ก่อนจะกรอกเสียงลงไป “ด็อกเตอร์ครับ คุณชวิศาทำอาหารเสร็จแล้วครับ” พูดจบสเตบาสเตียนก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ชวิศามองหน้าคุณพ่อบ้านสลับกับประตูบานกว้าง เห็นคุณหุ่นยนต์พ่อบ้านยืนนิ่ง เขาจึงยืนเงียบๆ เช่นนั้นบ้าง สักครู่ใหญ่ๆ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงเปิดประตูออกมา แต่ที่สำคัญกว่านั้น กลับมีผู้หญิงในชุดเสื้อยืดลายคิขุแมนที่ไม่ยอมใส่อาภรณ์ช่วงล่างเดินออกมาด้วย ซ้ำยังเกาะแขนสุดฟ้าอย่างสนิทสนม แล้วคิดว่าคนอย่างชวิศาจะทนได้หรือ!!!!
ชายหนุ่มปรี่เข้าไปแทรกระหว่างสองคนนั้นทันที ใช้หัวไหล่ชนหญิงสาวผู้ซึ่งรูปร่างพอๆกับตนเสียกระเด็น สองมือเกาะแขนของชายหนุ่มเจ้าของบ้านร่างสูงไว้

“ด็อกเตอร์ครับ วันนี้ผมทำอาหารอร่อยๆ ไว้เพียบเลยครับ”น้ำเสียงที่ใช้พูดก็เพิ่มความออเซาะไปอีกสิบเท่า แต่เหมือนว่าสาวแอมก็ใช่ย่อย เธอพยายามแทรกตัวกลับไปที่เดิมแต่แรงผู้หญิงหรือจะสู้ผู้ชายได้ หญิงสาวจึงจำใจย้ายไปเกาะแขนสุดฟ้าอีกข้างด้วยความเจ็บใจ

“ฟ้าค่ะ ไหมฟ้าบอกว่าจะพาแอมไปทานอาหารอร่อยๆ ที่ร้านที่ฟ้ารู้จัก’ไงค่ะ ตอนนี้แอมหิ๊ว หิวค่ะ พาแอมไปทานนะคะ”

“แอมหิวมากไหมครับ ถ้าหิวมากวันนี้เรากินอาหารที่บ้านก่อนแล้วกันครับ ไว้คราวหน้าผมจะพาไป”

ชวิศาแอบหัวเราะ ส่งสายตาเยาะเย้ยไปให้สาวสวยอีกฝั่ง ส่วนแอมก็จ้องกลับตาขวาง ก่อนจะหันไปส่งเสียงออดอ้อนสุดฟ้าต่อไปอีกว่า “ที่จริงแอมก็ไม่ได้หิวมากหรอกค่ะ แอมทนได้ เราออกไปทานข้างนอกกันนะคะ... นะ”

“เอาไว้วันหลังเถอะครับ ถึงอย่างไรวันนี้ชวิศาก็ทำอาหารไว้แล้ว” สุดฟ้ารู้สึกภูมิใจไม่น้อยที่ในที่สุดก็มีคนมาทำท่ายื้อแย่งเขาเสียที

“ใช่แล้วครับ วันนี้ผมตั้งใจทำสุดฝีมือเลยละ”ชวิศาพูดนำเสนอเมื่อพากันเดินมาถึงโต๊ะอาหาร

“อี้ แกงอะไรเนี่ย ฟ้าค่ะ แอมไม่ค่อยถูกกับอาหารเผ็ดๆค่ะ คุณบอกให้พ่อครัวของคุณทำใหม่ได้ไหมค่ะ”แอมร้องออกมาทันทีที่เห็นหน้าตาอาหารที่จัดวางอยู่บนโต๊ะ

“เรื่องมาก”ชวิศาแกล้งบ่นออกเสียงดังจนหญิงสาวได้ยินชัดเจน พอสุดฟ้าหันมามองเขาจึงยกยิ้มหวานให้ “ด็อกเตอร์นั่งลงทานก่อนเถอะครับ เห็นคุณสเตบาสเตียนบอกว่าด็อกเตอร์ไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เที่ยงแล้ว เดี๋ยวปวดท้องนะครับ ส่วนเรื่องกับข้าวไม่เผ็ด ก็ปล่อยให้คุณสเตบาสเตียนทำให้คุณผู้หญิงคนนี้ทานแล้วกันนะครับ” ชวิศากุลีกุจอตักข้าวให้สุดฟ้าหลังจากที่ดึงชายหนุ่มร่างสูงให้ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ได้แล้ว  หญิงสาวเห็นอีกฝ่ายทำคะแนนเอาหน้าไปเช่นนั้นเธอจึงเปลี่ยนท่าทีอาการ เธอรีบสืบเท้าเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ข้างชายหนุ่มเจ้าของบ้าน ก่อนจะส่งเสียงหวานตามไป

“แอมนั่งด้วยนะคะ นั่งทานข้าวคนเดียว มันดูเหง๊าเหงา”

ชวิศาแอบเบ้ปากอีกรอบ

“ด็อกเตอร์ครับ ลองทานแกงนี้นะครับ ผมทำสุดฝีมือเลย” เขาหันมาตักอาหารใส่จานของชายหนุ่ม พลางมองเมินหญิงสาวที่นั่งอยู่อีกฝากหนึ่งไปเสีย

“ฟ้าค่ะ ลองทานผัดจานนี้ดูหน่อยไหมค่ะ ดูน่าทานอยู่เหมือนกันนะ แต่ไม่รู้รสชาติจะเป็นอย่างไร ฟ้าคงไม่ว่าแอมนะคะ ถ้าแอมจะขอให้ฟ้าลองชิมก่อน”

มันจะอะไรนักหนา ชวิศานึกฉุน เขาไม่ได้ขอร้องให้กินอาหารที่เขาทำเสียหน่อย “ทำไมไม่ลองเอาใส่ปากตัวเองดูละครับ กับข้าวของผมไม่ทำให้ใครท้องเสียแน่นอน”

“เรื่องท้องเสียฉันไม่กลัวหรอกค่ะ แต่อาหารที่หน้าตาดีบางครั้งรสชาติก็ไม่เป็นสับปะรด คนกินถึงต้องเลี่ยงไปหาอย่างอื่นกินแทน”

ชวิศารู้สึกเหมือนโดนว่ากระทบ แน่ละ สุดฟ้าอยู่ในห้องนอนกับผู้หญิงคนนี้สองต่อสอง ต่อให้เป็นเด็กอมมือยังรู้เลยว่าสงคนนี้เข้าไปทำอะไรกัน เขาก็อยากนึกน้อยใจอยู่หรอก แต่ต้องมาเสียสามีที่อุตส่าห์ไปขอร้องอ้อนวอนเจ้าของตัวจริงเขามา ชวิศาไม่คิดว่ามันจะคุ้มค่า เรื่องอะไรจะให้ใครมาชุบมือเปิบไปอีกละ ที่สำคัญเขาไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะไม่เป็นสับประรด!!!!!

“ด็อกเตอร์ครับ กับข้าวที่ผมทำอ่ะ อร่อยใช่ไหมครับ”ไม่พูดเปล่า เขายังคว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงของชายหนุ่มผู้อยู่ท่ามกลางศึกอันร้อนฉ่า ชวิศาข่มความอายทุกอย่างให้ลึกสุดติ่ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมแพ้แม่สาวทรงโตนี่หรอก

เขาลากๆคลึงๆถูๆไถๆจนมันมีอาการสู้มือ ให้มันรู้ไปสิ เขาก็ผู้ชายเหมือนกัน เรื่องแบบนี้ถึงไม่เชี่ยวชาญแต่ไม่อ่อนเป็นเด็กประถมแน่นอน

ฝั่งสาวแอมที่เห็นคู่ต่อสู้ประกาศศึกมาเช่นนั้น เธอก็ไม่ยอมถอย ใช้หน้าอกหน้าใจที่แม่ให้มาอย่างสะบึมละฮึ่มสีต้นแขนชายหนุ่มผมสีทองเสียบ้าง ปลายนิ้วเรียวที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงามลากไปบนแผ่นอกกว้าง ขยับเข้าไปเบียดชนิดที่ว่าสิงร่างได้คงทำไปแล้ว

ชวิศาเห็นท่าไม่ดี จึงลุกขึ้นนั่งคร่อมตักของหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าของบ้านพลางขย่มสะโพกกระตุ้นอีกฝ่าย สุดฟ้าที่อยู่ท่ามกลางการฟาดฟัดอันโหดเหี้ยมเช่นนี้หรือจะทนได้ จากที่นั่งอิ่มเอมเปรมใจเพราะอาการยื้อแย้งเป็นที่ต้องการของตลาดจากสาวสวยและหนุ่มหน้าสวยกว่า เขาต้องรีบอุ้มร่างเพรียวบางของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนตักขึ้นไปจัดการอะไรอะไรให้มันเรียบร้อย  จะปล่อยให้เป็นสามพี สุดฟ้าก็กลัวว่า ชวิศาและแอมจะตกลงปลงใจกันเองแล้วปล่อยให้เขาเดียวดายเสียแทน โดยที่เขาไม่ทันได้เห็น ชวิศาโบกมือพร้อมรอยยิ้มให้แอมด้วยท่าทีเหนือกว่า ในขณะที่แอมก็ส่งสายตาตอบกลับมาว่าเธอคงจะไม่ยอมง่ายๆ



ด้วยความที่เป็นผู้กำชัยชนะในศึกครั้งแรก ชวิศาเลยชะล่าใจ คิดว่าสุดฟ้าจะอิ่มหนำจากการปรนเปรอของตนเสียเต็มคราบ ที่ไหนได้ ตอนเช้าเขากลับเห็นหญิงสาวที่เป็นมารหัวใจกำลังระริกระรี้กับเจ้าของบ้านร่างสูงเสียนี่ ความง่วงงุนหลังการตื่นนอนหายเป็นปลิดทิ้งในทันใด เขาถลาตัวเข้าไปนั่งแทรกระหว่างสองคนนั้นทันที

“คุณแอมตื่นเช้าจังนะครับ”ชวิศาแสร้งเอ่ยทักเสียงหวาน

“ค่ะ พอดีเมื่อคืนแอมนอนแต่หัวค่ำนะคะ ตอนเช้าเลยสดชื่นเรี่ยวแรงดี”ทั้งคำพูดทั้งสายตาที่จดจ้องอยู่กับสุดฟ้า มันทะแม่งๆ จนคนที่นั่งอยู่ตรงกลางต้องมองทางซ้ายที ทางขวาที ยิ่งเห็นชายหนุ่มร่างสูงจ้องแอมตามเป็นมัน เขายิ่งรู้สึกไม่ไว้ใจ

“ด็อกเตอร์ครับ ผมหิวข้าวแล้ว ไปทานข้าวกันนะครับ”ชวิศาใช้ทั้งสองมือดึงใบหน้าของสุดฟ้าให้หันมาทางตน ส่งยิ้มหวานออดอ้อนไปให้

“อืมๆ ได้”

ชวิศาเกาะสุดฟ้าแน่นหนึบ มองหญิงสาวหนึ่งเดียวในบ้านเดินนวยนาดอย่างไม่วางตา แต่แอมกลับไม่มีทีท่าเดือดร้อนกับอาการหวงออกหน้าออกตาของอีกฝ่าย เธอยิ้มสบายๆและพาตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“คุณแอมไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องบ้างหรือครับ”ชวิศาอดที่จะถามออกไปไม่ได้

“พอดีแอมอยู่คนเดียวค่ะ กลับไปก็ต้องไปเหงาอยู่คนเดียว ฟ้าก็เลยบอกให้แอมอยู่ที่นี่ไปพลางๆ ใช่ไหมค่ะฟ้า”

“ใช่ครับ”ชายหนุ่มตอบไวเสียจนชวิศาหมั่นไส้

“อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบายนะครับ ด็อกเตอร์ใจดีแบบนี้เสมอเลยนะครับ”ชวิศาหันไปพูดกับสุดฟ้า เขาพยายามจะพูดกับชายหนุ่ม แต่ดูเหมือนชายหนุ่มเจ้าของบ้านจะให้ความสนใจเขาน้อยเหลือเกิน

วันทั้งวันนั้น เขาก็พยายามทำเช่นนี้ เขาพยายามทำตัวเกาะติดสุดฟ้าไว้ แต่ชายหนุ่มร่างสูงกลับให้ความสนใจแต่แอม เมื่อเธอขยับตัวไปทางไหน เขาก็ขยับตัวไปทางนั้น เขาพูดด้วยก็แต่ตอบรับสั้นๆ แต่กับแอม กลับคุยเป็นคุ้งเป็นแคว

“เดี๋ยวผมไปซื้อกับข้าวก่อนนะครับ”ชวิศาพูดเสียงเบา น้ำเสียงเจื่อนจ๋อยหลังถูกเมินมาทั้งวัน มองสุดฟ้าที่นั่งดูโทรทัศน์กับแอมแล้วคุยกันอย่างออกรสออกชาติด้วยความรู้สึกอิจฉาปนความน้อยใจ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เขาก็ไม่มีทางอยู่ในสายตาของสุดฟ้าเลยหรือไงนะ

เขาเปิดประตูออกออกมายืนอยู่หน้าบ้าน มองท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้มด้วยความเหงาหงอย สเตบาสเตียนออกมายืนอยู่ข้างๆเขา

“คุณสเตบาสเตียนไม่ต้องตามผมมาก็ได้ครับ ผมขอกลับไปที่บ้านสักชั่วโมงสองชั่วโมง”

“ที่นี่ก็คือบ้านของคุณครับ”

“ตอนนี้อาจจะไม่ใช่แล้วก็ได้ คุณสเตบาสเตียนก็เห็นว่าคุณแอมสำคัญแค่ไหน”

เพราะสเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่เข้าใจการตัดพ้อของมนุษย์ทั้งยังไม่รู้จักการพูดปลอบใจจึงได้แต่ยืนเฉยๆ ชวิศายืนนิ่งอยู่หน้าบ้าน ที่จริงเขาอยากกลับไปที่บ้าน กลับไปหาพี่โย พี่ชายที่แสนดีที่คอยช่วยเหลือเขาทุกอย่าง แต่เขาก็นึกลังเล เขาเป็นคนที่อยากจะมาอยู่ที่นี่ เป็นคนที่ดื้อรั้นที่จะทำแบบนี้ เขาควรจะกลับไปให้พี่ชายช่วยจริงๆอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน เรื่องแบบนี้มันต้องจัดการเองสิ!!!!

ชวิศาปลุกพลังฮึดในกายขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ยอมให้ผู้หญิงหน้าไหนมาแย่งสุดฟ้าไปง่ายๆหรอก แต่พอกลับเข้าไปในบ้านกลับไม่เห็นสองคนนั้นแล้ว

“เอ้า หายไปไหนกันนะ คุณสเตบาสเตียนพอจะทราบไหมครับ”ประโยคหลังเขาหันไปถามคุณพ่อบ้าน

“อยู่ในห้องนอนครับ”

“อะไรกัน”ชวิศาหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาเดินไปที่ประตูห้องนอน แล้วระรัวนิ้วบนปุ่มอินเตอร์คอมบนผนัง

ให้มันรู้ไปสิ ถ้าโดนรบกวนขนาดนี้จะยังทนเอากันอยู่ได้

“มีอะไร” โดนตะคอกผ่านลำโพงทันทีสมใจอยาก ถึงในอกจะแปล็บขึ้นมาบ้างเพราะอาการน้อยใจ เขาก็ไม่ถอยง่ายๆหรอก

“ขอโทษครับ พอดีผมลืมถามด็อกเตอร์นะครับ ว่าวันนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

“จะทำอะไรก็ทำมาเถอะ”

“พอดีผมตัดสินใจไม่ได้ว่าระหว่างเนื้อกับปลาจะเลือกอะไรดี”ชวิศาถามต่อ เรื่องอะไรจะปล่อยให้สุดฟ้าไปทำอะไรต่ออะไรกับยัยนั่นได้ง่ายๆ เขาจะกวนให้หมดอารมณ์อยากเลยคอยดู

เสียงอีกฝั่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบว่าเนื้อ

“แล้วเอาเนื้ออะไรดีละครับ ระหว่างเนื้อไก่ เนื้อหมู หรือเนื้อวัวดีครับ”

“วัว”คราวนี้คำตอบกลับมาเร็ว

“แล้วควรจะทำแบบไหนดีละครับ จะตุ๋น ต้ม นึ่ง ย่าง หรือทอด”

“ย่าง”

“จะย่างแบบสุกมาก สุกน้อย หรือสุกปานกลางดีครับ”

“โว้ย จะสุกแบบไหนก็ทำมาเถอะ”

“งั้น แล้วเครื่องเคียงอย่างอื่นจะเอาอะไรดีครับ”

“ฉันบอกว่าจะทำอะไรก็ทำมาเถอะ แล้วก็อย่ามารบกวนอีก ฟ้าค่ะ”

เขาได้ยินเสียงแทรกแว่วๆ “แอมอยากทานอาหารญี่ปุ่นค่ะ บอกให้พ่อครัวของคุณทำอาหารญี่ปุ่นได้ไหมค่ะ แอมอยากทานซาชิมิ โดยเฉพาะปลามากุโร่คะ ฟ้าบอกว่าให้พ่อครัวของฟ้าทำให้แอมทานนะคะ”

“ครับๆ ได้ครับ เดี๋ยวผมบอกให้ครับ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ไปทำซาชิมิปลามากุโร่มา แล้วต้องหามาให้ได้นะเดี๋ยวฉันจะออกไปกิน แล้วก็ไม่ต้องรบกวนอีกละ”

“เดี๋ยวสิครับ แล้วไอ้มามาคุโร่นี่มันหน้าตาอย่างไรละครับ ผมไม่รู้จัก มันไม่มีชื่อภาษาไทยหรือครับ”เขาพูดพลางกดปุ่มบนอินเตอร์คอมรัวๆเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ

“ด็อกเตอร์ตัดสัญญาณอินเตอร์คอมของห้องนอนไปแล้วครับ”

“ทำได้ด้วย”ชวิศาหันไปมองคุณพ่อบ้านอย่างสงสัย

“ครับ บ้านหลังนี้ด็อกเตอร์เป็นคนออกแบบ และควบคุมการก่อสร้างด้วยตัวเองทั้งหมดครับ”

“ว้าว”ชวิศาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ รู้สึกทึ่งในความสามารถของชายหนุ่มเจ้าของบ้านจนเกือบจะลืมเรื่องขุ่นข้องใจ

“ทั้งที่เก่งและฉลาดขนาดนี้ ทำไมถึงไปหลงยัยงูพิษนั่นได้นะ”เจ้าของคำพูกหน้าหงิก ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออก

“พี่โย”เขากรอกเสียงลงไปทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย “พี่ช่วยหาปลามากุโร่ให้ผมหน่อย เอาฮอนมากุโร่ เฉพาะโอโทโร่ด้วย”

“นายก็ไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตสิ มาบอกพี่ทำไม”

“พี่โย!!!! ถ้าผมอยากได้ของถูกๆแบบนั้นผมจะโทรหาพี่หรือไงละ”

“ชวิศา ชักจะก้าวร้าวใหญ่แล้วนะ”โยธินดุกลับมาเสียงเข้ม คนเป็นน้องจึงอึกอักอ้อมแอ้มขอโทษ “พี่ก็หาให้ผมหน่อยสิครับ ขอแบบสดๆน่ะ”

“นี่มันเมืองไทยแล้วก็นอกฤดูกาล พี่จะไปหาสดๆอย่างที่นายต้องการได้จากที่ไหน ถ้าอยากได้ก็ไปซื้อในซุปเปอร์นั่นละ หรือถ้าอยากได้จริงๆก็กลับมาที่บ้าน พี่จะจองตั๋ว พาเราไปซื้อที่ญี่ปุ่นคืนนี้”

“แล้วก็ไม่พากลับมาที่ไทยอีกเลยนะสิ ผมไม่โง่นะ เชอะ ไปหาเอาเองก็ได้ ไม่ง้อหรอก”พูดจบก็ตัดสายฉับทันที เขาไม่ปล่อยให้พี่ชายโทรกลับมาว่าอีกรอบ จึงชิงปิดเครื่องเสียก่อน แล้วจึงหันไปชวนสเตบาสเตียนให้ไปเดินหาปลาเจ้าปัญหาที่ว่าด้วยกัน

“ถ้าทำให้ยัยชะนีหน้าขาวนั่นกินคนเดียว ผมไม่ลงทุนขวนขวายหาขนาดนี้หรอก จะแล่ปลาช่อนให้กินแทน หัวสูงนัก แซลมอนธรรมดายังหรูเกินไปเลย หรือว่าจะซื้อมิบาซิมากุโรให้ยัยลิงนั่นกินดีครับ”ชวิศาหันไปถามความคิดเห็นจากคุณพ่อบ้าน คุณหุ่นยนต์ก็ตอบกลับมาพร้อมรอมยิ้มเช่นเดิมว่า

“ผมไม่มีความคิดเห็นครับ ผมได้รับโปรมแกรมคำสั่งให้ทำอาหารที่คุณค่าทางโภชนาการ สะอาดและปลอดภัยจากสารปนเปื้อนให้ด็อกเตอร์รับประทานครับ”

“อือ... แล้วปกติคุณสเตบาสเตียนไปซื้อของที่ไหนครับ”

“สั่งซื้อออนไลน์ครับ เมื่อก่อนผมไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านครับ”

กำลังจะพูดว่าน่าสงสารอยู่แล้ว แต่ชวิศาก็นึกขึ้นมาได้เสียก่อน ว่าก่อนหน้านั้น คุณสเตบาสเตียนไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาอย่างนี้

ขวิศาพาคุณพ่อบ้านหนุ่มหล่อไปห้างสรรพสินค้าในย่านที่ถูกเรียกว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคนญี่ปุ่น เขาตรงดิ่งไปยังโซนอาหารสดการเป็นอันดับแรก เนื้อปลาที่วางโชว์อยู่เมื่อมองจากสีสันถือว่าอยู่ในระดับคุณภาพดีใช้ได้ แต่ตั้งแต่ที่เขาเริ่มทำอาหารอย่างจริงจัง ชวิศาก็รู้สึกว่าประสาทสัมผัสด้านการรับรสและกลิ่นจะดีขึ้นกว่าแต่เดิมเป็นพิเศษ อีกทั้งเขาเคยไปทานซาชิมิเนื้อปลามากุโรในช่วงฤดูของมันมาแล้ว ดังนั้นทันทีที่เขาคีบเนื้อปลาดิบเข้าปาก จึงบอกได้ทันทีทีว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่เขาตามหา กำลังกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่อุตส่าห์ยอมให้เขาชิมและเดินออกมาอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ของทางซุปเปอร์มาเก็ตมองเขาอย่างไม่วางตา ถึงอีกฝ่ายจะยกยิ้มให้ แต่ในสมองของเขาก็คิดไปไกลแล้ว เขาจึงหยิบปลาดิบที่แล่แล้วขึ้นมาหนึ่งถาด ส่งให้เจ้าหน้าที่คนนั้นช่วยแพ็คน้ำแข็งให้

ชวิศาเดินไปดูของสดและเครื่องปรุงอื่นๆ พลางคิดในใจว่าควรจะไปหาที่อื่นหรือควรจะมักง่ายเอาถาดที่หยิบมาไปจัดใส่จานเลยดี ว่าง่ายๆเลยคือตั้งแต่มาเรียนทำอาหารอย่างจริงจัง ความพิถีพิถันด้านรสชาติเหมือนจะซึมเข้าไปในมโนสำนึกเสียแล้ว แต่พอนึกถึงหน้าคนที่สั่งเมนูนี้ ชวิศาจึงรู้สึกเหม็นขี้หน้าจนยอมเก็บจิตวิณญาณของพ่อครัวของตนไว้ก่อนชั่วคราว

“พี่นวลสวัสดีค่ะ”

“อ้าวน้องแก้วเป็นอย่างไรบ้างค่ะ สบายดีไหม”

“ค่ะ สบายดีค่ะ”

ในคราแรก ชวิศาก็ไม่ได้สนใจเสียงพูดคุยของหญิงสาวต่างวัยที่พูดคุยทักทายสารทุกข์สุกดิบเรื่องอาหารการกินโน่นนี่นั่นสักเท่าไหร่นัก จนกระทั่งได้ยินคุณพี่นวลถามคุณน้องแก้วด้วยประโยคหนึ่งเข้า เขาจึงหูผึ่ง

“เป็นอย่างไรบ้างค่ะเรื่องอีหนูเล็กๆของคุณสามี ยังมีมากวนคุณน้องอยู่ไหม”

“ไม่มีแล้วละคะ คำแนะนำของพี่นวลเยี่ยมมากๆค่ะ ตอนนี้ถึงคุณมงคลจะไปหาเศษหาเลยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยค้างคืน หรือหายไปเป็นอาทิตย์ๆแบบเมื่อก่อน”

“ดีแล้วค่ะ ผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ ต้องมีบ้างตามประสา แต่เราที่เป็นหลวงเป็นเมียตบเมียแต่งต้องใจเย็นเข้าไว้ค่ะ อย่าไปหึงหวงระราน สามีจะยิ่งไม่ชอบ เขาจะหาว่าเราไม่ไว้หน้า ถึงเขาไปไม่รักเราเท่ากับวันแรกที่จีบเรา แต่ก็อย่าไปถือสาค่ะ คิดเสียว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นของเรา คอยเอาอกเอาใจปรนนิบัติพัดวี ข้าวปลาอาหารอย่าให้ขาด แล้วอย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นยายเพิ้ง  พวกผู้ชายนะชอบเด็กๆเพราะยังสวยยังสด อย่าไปยอมแพ้ค่ะ ทำตัวให้เป็นกระดังงารนไฟเข้าไว้ ขี้คร้านจะหนีไปไหนเสีย แล้วยิ่งน้องแก้วทำกับข้าวอร่อยขนาดนี้ เชื่อเถอะสเน่ห์ปลายจวัก ไม่ว่ายุคไหนก็ได้ผล”

ชวิศาเชื่อว่าสเน่ห์ปลายจวักของตัวเองก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน แต่ให้นิ่งๆใจเย็นเข้าไว่อย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง มันต้องลองอีกสักตั้งสิน่า

อาหารญี่ปุ่นหลากหลายชนิดถูกจัดแต่งอย่างสวยงาม วางเตรียมอยู่บนโต๊ะจนเกือบเต็มพื้นที่ ดีว่าอาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารจำพวกที่ต่อให้เย็นลงสักนิดหน่อยก็ยังทานได้อร่อย ส่วนอาหารจำพวกทอดเขาแค่ปรุงของสดเตรียมไว้ก่อน นอกจากนี้คือปลาดิบซึ่งยังคงอยู่ในตู้เย็น

เขาไปซื้อของตั้งนาน กลับมาถึงบ้านสองคนนั้นก็ยังไม่ออกมาจากห้องเสียที แต่เพราะคำพูดของคุณนวลยังดังอยู่ในหัว ชวิศาจึงพยายามสงบใจไว้ จนกระทั่งทำอาหารเสร็จ ผ่านไปจวนจะร่วมสองชั่วโมงแล้ว สองคนนั้นก็ยังเงียบชี่ ถึงจะหงุดหงิดแค่ไหน ชวิศาก็บอกตัวเองให้รอคอยอย่างอดทน

ชายหนุ่มนั่งรอจนเวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า และจนกระทั่งหลับไป

คุณพ่อบ้านเห็นว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งอยู่ในความดูแลหลับคอพับคออ่อนอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะทานอาหาร จึงเดินเข้าไปหาแล้วช้อนร่างเพรียวบางยกตัวลอยสูงขึ้น เดินพาร่างในอ้อมแขนไปยังห้องด้านหลังซึ่งปัจจุบันถูกกำหนดให้เป็นห้องพักของหุ่นยนต์พ่อบ้าน สเตบาสเตียนวางชายหนุ่มร่างเพรียวบางลงบนฟูกนอนเก่าที่เขาเพิ่งปูผ้าปูที่นอนผืนใหม่ ก่อนจะออกไปเก็บอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะให้เข้าที่ แล้วจึงกลับเข้ามาอยู่ในห้องอีกครั้ง

ชวิศายังคงนอนหลับตาพริ้ม ลมหายใจทอดยาวบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับสนิท

สเตบาสเตียนไม่จำเป็นต้องนอนหลับ แต่ในยามที่ไม่มีการเรียกใช้งาน เขาจะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน ระบบกำเนิดไฟฟ้าขนาดจิ๋วในร่างกายจะเริ่มทำงานชาร์จแบตเตอร์รี่ให้กลับมาเต็มอีกครั้ง โดยดึงเอาพลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันซึ่งถูกประจุเก็บไว้มาเป็นตัวขับเคลื่อน สุดฟ้าออกแบบให้หุ่นยนต์ของเขาเข้าโหมดประหยัดพลังงานด้วยลักษณะการนอนหงายเหมือนคนปกติ แต่เนื่องจากวันนี้ที่นอนของสเตบาสเตียนถูกชวิศายึดไว้ หุ่นยนต์พ่อบ้านจึงนั่งชันเข่าขึ้น ใช้มือทั้งสองข้างกอดเข่าไว้ และหลับตาลง



ทั้งห้องมืดสนิทตอนที่ชวิศาลืมตาขึ้น เขาชันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยความเคยชินของร่างกาย เป็นจังหวะเดียวกับที่แสงสว่างสีส้มนวลบนเพดานค่อยๆเรืองรอง

“หิวไหมครับ”สเตบาสเตียนถามพร้อมรอยยิ้ม เรียกสายตาของชวิศาให้หันไปมอง ก่อนที่ชายหนุ่มร่างเพรียวจะหันมองไปรอบตัว เมื่อไฟสว่างจนสามารถเห็นทุกสิ่งรอบกายได้อย่างชัดเจน จึงเห็นว่าข้าวของมากมายถูกวางกองไว้จนทำให้ห้องนี้ดูแคบไปขนัดตา

“ที่นี่ที่ไหนครับ”แม้จะดูสิ้นคิดที่ถามคำถามนี้ออกมา แต่ชวิศาก็แปลกใจจริงๆ

“ห้องของผมเองครับ แต่ว่าเดิมทีมันเป็นห้องเก็บของ”คุณพ่อบ้านยังคงมีรอยยิ้มละมุนตาเช่นเดิมตอนที่ตอบคำถามนั้น “บ้านนี้มีห้องทำงานของด็อกเตอร์หนึ่งห้อง ห้องนอนหนึ่งห้อง ห้องเก็บของซึ่งก็คือห้องนี้ และโถงกลางซึ่งใช้พื้นที่เชื่อมต่อกับส่วนครัว ซึ่งหลังจากการวิเคราะห์จนถี่ถ้วนแล้ว ผมคิดว่าห้องนี้เหมาะสมที่สุดในการพาคุณมาพักผ่อน”

“ห้องนอนของด็อกเตอร์คงไม่ใช่ที่ของผมแล้วสินะ”

ในระบบฐานข้อมูลของสเตบาสเตียน ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านหลังนี้เป็นของสุดฟ้าเจ้านายของเขา แต่เมื่อรวมเข้ากับการวิเคราะห์รูปประโยคของคู่สนทนา ประโยคดังกล่าวไม่ใช่ประโยคคำถาม หุ่นยนต์พ่อบ้านจึงไม่ได้ตอบออกไป

“ช่างมันเถอะ ผมหิวแล้วออกไปกินข้าวกันดีกว่าครับ”

“ต้องขอประทานโทษครับ ผมต้องเรียนแจ้งว่าคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากห้องนี้ในเวลานี้ครับ แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมได้เตรียมอาหารมาให้คุณแล้วครับ”

“ทำไมละ”ชวิศาไม่ได้สนใจว่าสเตบาสเตียนเตรียมอะไรไว้ให้เขา เขาสนใจเพียงแค่ทำไมเขาถึงออกไปข้างนอกไม่ได้

“ทำไมผมถึงออกไปไม่ได้”

“ด็อกเตอร์ต้องการใช้พื้นที่ด้านนอกเพื่อปฏิบัติภารกิจส่วนตัวครับ”

ชวิศาไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา เขาเข้าใจนัยยะของประโยคแบบนั้น แล้วก็ไม่พอใจที่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านทำเหมือนว่าเขาเป็นสิ่งของที่นึกเบื่อก็โยนทิ้ง ชวิศาฮึดฮัดทำท่าจะเดินออกไปข้างนอกแต่โดนคว้าตัวไว้เสียก่อน

“ปล่อยผม”เขาหันไปตวาดสเตบาสเตียน

“ผมคงไม่สามารถปฏิบัติตามคำพูดของคุณได้”

คราวนี้ชวิศาทั้งดิ้ดทั้งกรีดร้อง พยายามทำทุกทางเพื่อให้หลุดจากการจับกุม แต่ผู้ชายหุ่นบางๆเช่นเขาหรือจะสู้หุ่นยนต์ที่โครงสร้างร่างกายถูกสร้างขึ้นจากวัสดุชนิดพิเศษ ทั้งมีระบบเสริมสร้างกำลังได้ ชวิศาดีดดิ้นจนเหนื่อยอ่อน น้ำตาไหลหลั่งรินออกมาเป็นสายอย่างคับแค้นใจ นึกกร่นด่าตัวเองซ้ำๆว่าทำไมถึงได้หลงรักคนแบบนี้ได้

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่แปด 20/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 20-11-2016 07:48:20
ตอนที่แปด

สเตบาสเตียนวางร่างชวิศาลงบนเตียง แพขนตายังคงฉ่ำหยาดน้ำ จมูดแดงเรื่อ ลมหายใจของร่างบนเตียงดูติดขัดคล้ายกำลังสะอื้นเป็นพักๆ เขาดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงอก แล้วยืดตัวขึ้นยืนตรงแน่วเช่นเดิม

“คุณก็จัดการเรื่องน้องชายของคุณเองแล้วกัน ตอนนี้ผมก็จะกลับไปอยู่ที่บ้านแล้ว”หุ่นยนต์ชวิศาพูดกับโยธิน และสเตบาสเตียนก็เอ่ยแย้งขึ้นมาหลังที่ประโยคนั้นจบ

“แต่ด็อกเตอร์ยังไม่มีคำสั่งให้คุณกลับ”

“ด็อกเตอร์ก็ไม่ได้มีคำสั่งให้นายพาคุณชวิศามาที่นี่เหมือนกัน นายก็ยังพามา”ชวิศาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาหยุดจังหวะในการพูดไปครู่หนึ่ง และเอ่ยต่อไปอีกว่า “อย่ากังวลไปเลยน่า เรื่องนี้ฉันรับผิดชอบเอง”

สเตบาสเตียนไม่ได้นิ่งเงียบไปเพราะอีกฝ่ายกล่าวว่าจะรับผิดชอบเอง เพียงแต่เขามีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด

“ถ้าอย่างนั้น ผมกลับก่อนนะครับ”หุ่นยนต์ชวิศากล่าวลาเจ้าของบ้าน ก่อนสาวเท้าก้าวเดินนำหน้าสเตบาสเตียนไป แสงแดดยามบ่ายยังไม่ราแรงลงเลย แต่หุ่นยนต์ที่ใช้ผิวหนังเทียมเช่นพวกเขาย่อมไม่รู้สึกความร้อนแรงนั้น

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างไร”

“คุณชวิศาเรียกเธอว่านังงูพิษ”

หุ่นยนต์ชวิศาหัวเราะ เป็นไปได้ว่าคุณหนูชวิศาคงเดียงสาต่อโลกเพราะถูกปกป้องอยู่เสมอ แค่เห็นด็อกเตอร์หลงใหลผู้หญิงคนหนึ่ง จึงคิดว่าเธอร้ายกาจเหมือนงูพิษ

“มีภาพไหม ส่งให้ดูหน่อยสิ”

การติดต่อสื่อสารระยะไกลระหว่างพวกเขาจะใช้คลื่นสัญญาณคล้ายสัญญาณโทรศัพท์ แต่เป็นความถี่เฉพาะผ่านตัวปรับคลื่นสัญญาณชนิดพิเศษที่ไม่เกี่ยวพันกับคลื่นความถี่อื่นๆที่มีใช้กันอยู่ในระบบสังคมปัจจุบัน แต่รูปแบบการส่งข้อมูลจะเหมือนระบบทั่วๆไป ที่ต้องส่งข้อมูลหรือข้อความเข้าเซิร์ฟเวอร์กลาง ก่อนจะถูกส่งต่อไปยังปลายทาง

“อืม เข้าใจละ ไม่แปลกใจที่ด็อกเตอร์จะหลงขนาดนั้น” ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่ด็อกเตอร์บรรจุให้ไว้ในฐานข้อมูล ฝ่ายหญิงจะมีรูปร่างผอมบาง เอวคอด หน้าอกใหญ่ ผิวขาว และผมยาว จนครั้งแรกที่เขาได้พบผู้หญิงในชีวิตประจำวันจริงๆ เขายังต้องถามด็อกเตอร์ว่านั่นเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหน

“มีไฟล์วีดีโอชีวิตประจำวันของคุณชวิศาเก็บไว้ด้วยใช่ไหม ส่งมาให้ด้วย”

สเตบาสเตียนจัดการให้ตามที่หุ่นยนต์ชวิศาสั่ง แม้กำลังเคลื่อนที่ระบบสมองกลก็ประมวลผลไปด้วย จนพวกเขากลับมาถึงบ้านศิริกร

“กลับมาแล้วเหรอ หายไปไหนกันเนี่ย ฉันหิวข้าวจะตายแล้ว”

ชวิศาก้าวเท้าไปหาชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านซึ่งอยู่บนโซฟาหน้าทีวี โดยมีแอมนั่งเบียดชิดจนแทบจะเกยอยู่บนตัก เขาจึงเดินเข้าไปนั่งบนตักของสุดฟ้า ยกสองแขนคล้องคอร้างสูงไว้

“หิวหรือครับ กินอะไรดีละ เนื้อนมไข่ก็น่าเบื่อแล้ว”พูดพลางลากนิ้วไปบนแผ่นอกกว้าง ช้อนตาขึ้นมองในมุมที่คิดว่าน่ารักที่สุดของมนุษย์ที่ชื่อชวิศา“กินบ่อยๆก็เลี่ยน จริงไหมครับด็อกเตอร์”

สุดฟ้าหัวเราะ “ข้าว กับข้าว อาหารที่กินได้จริงๆ ตอนนี้ท้องร้องจ็อกๆเลย”

“งั้นให้สเตบาสเตียนเป็นคนทำแล้วกัน เพราะตอนนี้ผมงอนอยู่”ไม่ว่าเปล่ายังแสร้งสะบัดหน้าหนี

“งอนอะไรละฮึ”สุดฟ้าถาม รั้งร่างเพรียวบางให้เอนตัวซบอก ลูบหลังไปพลางคล้ายปลอบโยน ลืมหญิงสาวอีกคนไปเสียสนิท แอมเบะปาก ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอน ชวิศาเหลือบสายตาไปมองหญิงสาวก่อนขยับตัวเพื่อให้ศีรษะพิงไหล่ร่างสูงได้สบายขึ้น

“ก็ด็อกเตอร์สนใจแต่ผู้หญิงคนนั้น”

“ก็แค่ชั่วครู่ชั่วคราวน่า ถึงอย่างไรนายก็เป็นของฉัน” หุ่นยนต์ชวิศาไม่แน่ใจว่าถ้าเจ้าของชื่อตัวจริงมาได้ยินคำพูดเช่นนี้จะดีใจบ้างไหม แต่จากละครที่เขาเคยนั่งดูกับคุณพรลภัส เขาควรที่แง่งอนต่อไปอีกสักหน่อย

“ก็เลยเห็นของตาย นึกอยากมีอะไรด้วยก็ปากหวาน พอเจอของใหม่ก็ทิ้งผมเหมือนผักปลา”

“เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ฉันทิ้งนายที่ไหน”

“เมื่อเช้าด็อกเตอร์ให้คุณสเตบาสเตียนขังผมไว้ในห้อง”ชวิศาผละตัวออกกอดอกทำหน้าขึงราวกับไม่พอใจหนักหนา

“อ่า...”ชายหนุ่มไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร เพราะอารมณ์กลัดมันมันบังตาจนลืมทุกอย่าง

“ฮึ... ผมโกรธจริงๆด้วย”ชวิศาลุกขึ้นทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ แล้วเดินไปหาสเตบาสเตียนที่อยู่ในครัว

“ไม่โกรธสิ ขอโทษน๊า”สุดฟ้าพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ก็ช่างเขาไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ค่ะฟ้า เขาอยากโกรธก็ปล่อยให้โกรธไป”ไม่รู้ว่าแอมเดินออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ “ถึงอย่างไรแอมก็รักฟ้านะคะ”

“ชิ หน้าด้าน”

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน”

“ก็หน้าด้านที่มาแย่งของของคนอื่น”

“ไม่ใช่ว่ามโนไปเองหรอกหรือ”หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทีเหนือกว่า การะปะทะฝีปากเริ่มจะเผ็ดร้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชวิศาถลาทำท่าจะเข้าไปตบหญิงสาวคู่กรณีเสียให้ได้ ติดก็แต่ว่าโดนสุดฟ้าดึงตัวไว้ก่อน

“ไม่เอาน่า ชวิศา”การที่มีคนมาแสดงอาการแย่งชิง มันก็ทำให้เขารู้สึกดีอยู่หรอก แต่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันจริงจังแบบนั้นก็จะดูเกินไปสักหน่อย ถึงอย่างไรการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขก็น่าจะดีกว่า

“เอาอย่างนี้ดีไหม เดี๋ยวฉันจะจัดตารางแบ่งให้คนละสามวันต่อสัปดาห์ จะได้ไม่ต้องมาทะเลากันดีไหม”

“ไม่เอา ถ้าด็อกเตอร์เห็นว่านังงูพิษนี่ดีหนักหนา ก็เชิญกกกันต่อไปเถอะ ผมไม่สนใจด้วยแล้ว เชอะ”แล้วชวิศาก็รีบวิ่งเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องของสเตบาสเตียน

และทันทีที่บานประตูปิดลง ปิดกั้นสายตาของบุคคลด้านนอก หุ่นยนต์ชวิศาจึงหัวเราะด้วยความสนุกสนาน เขาไม่แปลกใจเลย ว่าเหตุใดมนุษย์ถึงได้ขวนขวายอย่างเป็นดารานักแสดง มันสนุกอย่างนี้นี่เอง

“สเตบาสเตียน”
เขาสื่อสารกับหุ่นยนต์พ่อบ้านผ่านช่องสัญญาณไร้สาย ไม่มีเสียงพูดคล้ายกับการโทรจิต

“ครับ”

“เตรียมอาหารให้ฉันด้วยละ”

“คุณจะทานอาหารด้วยหรือครับ”สเตบาสเตียนถามกลับมาอย่างแปลกใจ

“ไม่ได้ทานจริงๆหรอก แต่ตอนนี้ฉันเป็นคุณชวิศา ถ้าไม่ทานอาหารก็โดนจับได้พอดี ถึงเวลาอาหารก็มาตามด้วยละ”

“คุณจะไม่บอกด็อกเตอร์หรือครับ”

“ไม่ละ ฉันจะเป็นคุณชวิศาสักพัก”

“ถึงอย่างไร ข้อมูลทุกอย่างก็อยู่บนเซิร์ฟเวอร์อยู่ดี”

“นายก็ไปลบมันเสียสิ”

“ไม่ได้ครับ การกระทำเช่นนั้นเป็นการขัดขืนคำสั่งขั้นรุนแรง ด็อกเตอร์จะทำลายพวกเราทิ้งหากกระทำสิ่งใดที่ส่อไปในทางทรยศหักหลัง”

“รู้แล้วน่า ไม่ได้ให้ลบจริงๆเสียหน่อย แค่อย่าให้ด็อกเตอร์เห็นเรื่องที่เราทำกันวันนี้ก็พอ”

“ไม่ได้ครับ”สเตบาสเตียนยืนยันกลับมาอย่างจริงจัง จนชวิศาต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย โปรแกรมของสเตบาสเตียนเป็นอย่างนั้นนี่นะ

“เออๆ ไม่ทำก็ไม่ทำ”ถึงอย่างไรสักวันหนึ่ง ด็อกเตอร์ก็ต้องรู้ว่าเขากลับมาแล้วอยู่ดี



ตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้น ทุกอย่างรอบตัวดูมึนงงสับสนไปเสียหมด เขาปวดหัวและรู้สึกหิวน้ำ แต่ใช้เวลาแค่ชั่วนาทีเดียว ความสับสนมึนงงก็จางหายไป เหตุการณ์ทุกอย่างถูกดึงย้อนกลับมาฉายซ้ำไปซ้ำมาในหัวอีกครั้ง และน้ำตาก็ไหลลงมาอีก ชวิศาไม่สามารถหยุดความเสียใจของตัวเองได้ ทั้งที่พยายามบอกตัวเองเช่นนั้น การแอบรักยังเจ็บปวดน้อยกว่า การรับรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันได้ถูกรัก ที่สำคัญสุดฟ้าคงไม่รับรู้ถึงตัวตนของเขาด้วยซ้ำ

“ตื่นแล้วหรือ”

โยธินรีบปราดเข้ามาหาทันทีที่เห็นน้ำตาของเขา พี่ชายประคองเขาลุกขึ้นและโอบกอดเขาไว้ น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยปลอบเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง

“ไม่เป็นไรนะ น้องพี่ อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ได้ทำเพื่อความรัก ได้รู้จักความรัก ได้ทุ่มเทเพื่อมัน”

ทั้งที่ก่อนหน้าพี่ชายยังชอบพูดว่าการกระทำของเขาคือการแย่งชิงของของคนอื่น แต่ตอนนี้กลับบอกว่าการกระทำของเขามันเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว

นั่นสิ... เพราะเขาพยายามแย่งสุดฟ้ามาจากชวิศาอีกคน สุดท้ายก็เลยมีคนแย่งสุดฟ้าไปจากเขา

“แค่เห็นเขาอยู่กับคนอื่น ผมก็เจ็บเจียดตายแล้ว ไม่น่าพาไปตัดผม ทำผมใหม่ แล้วก็พาไปซื้อคอนแทคเลนส์เลย”ชวิศาพูดไปพลาง สะอื้นไปพลาง

“ก็เจ้านั่นมันตาถั่ว ไม่เห็นว่าซีของพี่น่ารักแสนดีแค่ไหน อย่าไปสนใจผู้ชายพรรค์นั้นเลยนะ ใครไม่รักพี่ก็รักเราเสมอ ไหนจะคุณย่า คุณอาอีก กลับบ้านกันเถอะนะ”โยธินใช้จังหวะที่น้องชายกำลังเสียใจชวนกลับฝรั่งเศสเสียเลย ถ้ารอให้หายเศร้าเดี๋ยวจะมีแรงฮึดให้เขาปวดหัวอีก

“ป่านนี้อองตัวร์คงคิดถึงเราแย่แล้ว”

ชวิศานิ่งเงียบก่อนจะยอมพยักหน้าเบาๆ แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงสองชั่วโมง พี่ชายผู้แสนดีก็บอกว่าได้ตั๋วกลับฝรั่งเศสแล้ว
คืนนั้น ชวิศานอนไม่หลับ ใจมันหวิวๆ แต่ก็หน่วงหนักอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก พรุ่งนี้ หลังจากเขายอมก้าวเท้าขึ้นเครื่องบินไปแล้ว เขาคงไม่มีโอกาสกลับมาที่เมืองไทยได้อีกง่ายๆ ชายหนุ่มมองกระเป๋าเดินทางที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างเลื่อนลอย ที่จริงการกลับมาที่ไทยครั้งนี้ ก็เป็นตัวเขาที่ดื้อดึงอยากจะมา ตั้งแต่ที่รู้ว่าพี่โยต้องกลับมาตรวจงานที่สาขาประเทศไทย ชวิศาก็รบเร้าลูกพี่ลูกน้องผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายตลอด เขาแค่อยากเห็นหน้าสุดฟ้า หลังที่ต้องห่างจากกันไปเสียนาน

ทำไมเขาถึงตัดใจจากผู้ชายคนนั้นไม่ได้สักทีนะ ชวิศาถามตัวเองด้วยคำถามนี้หลายต่อหลายครั้ง

ด้วยฐานะของครอบครัวและรูปร่างหน้าที่ใครต่อใครกล่าวเยินยอว่าราวกับสวรรค์ปั้นแต่ง เขาสามารถเลือกคนที่ดีพร้อม คนที่ยอมทุ่มเทชีวิตเพื่อเขาได้อย่างง่ายดาย แต่น่าแปลกที่หัวใจของเขากลับอยู่ที่ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่ไม่เหมือนคนปกติสักอย่าง ...กว่าจะรู้สึกตัว ชวิศาก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของสุดฟ้าเสียแล้ว



“อะไรหรือ”

เพราะจู่ๆสเตบาสเตียนก็กลับเข้าสู่โหมดทำงานอีกครั้ง นั่นทำให้หุ่นยนต์ชวิศารู้สึกตัวขึ้นมาด้วย

“คุณชวิศาอยู่ในสวนข้างบ้านครับ”

“อา... ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปดูเอง”

ไฟในบ้านยังคงมืดสนิทตอนที่หุ่นยนต์ชวิศาก้าวออกมาจากห้อง เพราะระบบไฟแสงสว่างภายในบ้านใช้เซ็นเซอร์ตัวจับอุณหภูมิความร้อนจากร่างกายมนุษย์ แม้ว่าเมื่อมนุษย์สัมผัสร่างกายของเขาจะรู้สึกถึงความอุ่นร้อนของผิวหนัง แต่ก็ยังเป็นอุณหภูมิที่ต่ำเกินไปจนไม่สามารถทำให้เซ็นเซอร์ทำงานได้ แต่กระนั้นความมืดภายในบ้านก็ไม่ใช่อุปสรรค เขาก้าวเท้าไปตามทางจนออกมาสู่สวนเล็กๆบริเวณข้างบ้าน

แสงสว่างจากโคมไฟบริเวณหน้าบ้านสาดส่องไปยังจุดนั้นเพียงเล็กน้อย พอให้เห็นเสี้ยวหน้าอันเหม่อลอยของร่างที่นั่งกอดเข่าอยู่บริเวณนั้น

“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ”

เสียงถามของเขาทำให้มนุษย์ที่ชื่อชวิศาสะดุ้ง ร่างนั้นหันมามองเขาก่อนจะสั่นศีรษะปฏิเสธ

“ทำไมถึงรู้ว่าผมมาที่นี่”

หุ่นยนต์ชวิศาเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “บ้านนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีมาก มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกจุด การที่ประตูรั้วไม่ได้ล็อก ไม่ได้ความว่าพวกเราลืม แต่กลับกัน ประตูรั้วเป็นสัญญาณเตือนภัยจุดแรกของบ้านนี้”

“อ่อ” ชวิศารับฟังด้วยความรู้สึกเอื่อยเฉื่อย “คุณออกมาไล่ผมหรือครับ”

“เปล่าครับ ออกมาคุยด้วยเฉยๆ”

ชวิศามองใบหน้าที่เหมือนกับเขาราวกับพิมพ์เดียวกันด้วยความสงสัย

“อย่างที่ผมถามไป คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ”หุ่นยนต์ชวิศาถามคำถามนั้นซ้ำอีกครั้ง ซึ่งทำให้ชวิศาก้มหน้าลง

“ไม่รู้สิ”คนตอบเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าสีดำสนิท “อาจจะมาหาคำตอบ”เสียงพูดนั้นแผ่วเบา

“คำตอบของเรื่องอะไรครับ”อีกคนถามอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงชัดเจน เฝ้ารออีกฝ่ายที่ยังคงนั่งเงียบอย่างใจเย็น ชั่วครู่ใหญ่จึงพูดต่อไปอีกว่า

“ผมฉลาดมากนะ รู้คำตอบของทุกคำถามที่มีอยู่บนโลกใบนี้ บางที่ผมอาจจะฉลาดกว่ากูลเกิ้ลด้วย”หุ่นยนต์ชวิศาพูดอย่างภูมิใจ

“คุณไม่รู้หรอก เพราะตัวผมเองยังไม่รู้คำตอบของหัวใจตัวเองเลย”เสียงที่กล่าวออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ ที่พร้อมจะจางหายไปกับความมืดยามค่ำคืน

“ทำไมคุณถึงรักด็อกเตอร์”คำพูดของหุ่นยนต์ชวิศาเรียกสายตาแปลกใจของมนุษย์ชวิศาให้หันมามอง

“ดูเหมือนว่าผมจะเดาถูก”เขายกยิ้มให้ “ร่างกายของมนุษย์มีสิ่งซับซ้อนที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้อยู่สองอย่าง นั่นสมองและจิตใจ ทุกงานวิจัยล้วนแต่เป็นทฤษฎีที่ใช้ความน่าจะเป็นในการสรุปผล เอาเป็นว่าผมขอตอบคำถามที่คุณไม่สามารถตอบได้ด้วยทฤษฎีนี้ก็แล้วก็กันนะครับ การที่คุณหลงรักคุณสุดฟ้า ศิริกร ก็เพราะฟีโรโมนของคุณสุดฟ้าตรงกับคุณ”

ชวิศายกยิ้ม ถ้าเป็นคำตอบแบบนี้ก็สมควรที่เขาจะคิดไม่ได้ เขาอ่อนวิชาวิทยาศาสตร์ ต่อให้เรียนมามากเท่าไหร่ก็คืนอาจารย์ไปหมด

“แล้วคุณละครับ คุณก็รักด็อกเตอร์เหมือนกัน”

หุ่นยนต์ชวิศากำลังจะอ้าปากตอบอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายก็พูดต่อขึ้นมาเสียก่อน “ผมขอโทษนะครับที่ผมขอสลับตัวกับคุณ เพื่อให้ได้อยู่กับคุณสุดฟ้า ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าการที่ต้องเห็นคนที่รักอยู่กับคนอื่นมันเจ็บปวดแค่ไหน ผมขอโทษจริงๆ” ชวิศาสูดลมหายใจเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่ แล้วยันตัวลุกขึ้น หุ่นยนต์ชวิศาจึงได้ลุกขึ้นตาม

“สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจจริงๆ อาจจะเป็นเรื่องนี้ก็ได้ ผมอยากจะขอโทษคุณที่พยายามแย่งคุณสุดฟ้ามาจากคุณ และก็อยากให้คุณดูแลเขาให้ดี”

“คุณจะกลับไปแล้วหรือ” หุ่นยนต์ชวิศารู้เรื่องนี้ดี เพราะมันเป็นเรื่องหลักๆที่ทำให้โยธินกังวล

“ครับ”ชวิศายกยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นนอกจากจะมอบให้อีกฝ่ายที่หน้าตาเหมือนกับเขา มันยังเป็นรอยยิ้มที่เขามอบให้กับตัวเอง รอยยิ้มที่บอกว่าเขาควรจะเข้มแข็งขึ้น “ผมควรอยู่ในที่ของผม ถึงจะรู้สึกเหมือนว่าจะเหงาๆอยู่บ้าง แต่ก็มีเรื่องสนุกหลายอย่าง”

“ที่นั่นมีอะไรที่รอคุณอยู่หรือครับ”

“คุณย่าครับ คุณย่าท่านอายุเยอะแล้ว ก็เลยเจ็บออดๆแอดๆอยู่ตลอด ครั้งนี้กว่าจะขอมาได้ก็ต้องอ้อนขอตั้งหลายวัน”

“นึกว่าจะเป็นลูกและภรรยาของคุณเสียอีก”หุ่นยนต์ชวิศาพูดแซวตอนที่เดินมาส่งอีกคนถึงหน้าบ้าน

“ไม่ใช่เลย”ชายหนุ่มหน้าแดง กล่าวปฏิเสธเป็นพัลวัล “ก็ใจของผมอยู่ที่นี่ คบกับใครก็เห็นเป็นหน้าเขา” เขาออกมาหยุดยืนอยู่หน้ารั้ว

“ผมไปแล้วนะครับ ขอบคุณที่มาอยู่คุยเป็นเพื่อน”

“โชคดีครับ แล้วไว้เจอกันใหม่”

แผ่นหลังนั้นค่อยๆหายไปอย่างเชื่องช้า เมื่อชวิศาก้าวหายไปในความมืด ยามกลางดึกสงัดเช่นนี้ทุกอย่างช่างเงียบสงบไปเสียทั้งหมด แม้จะมีเสียงรถยนต์ดังแว่วมานานๆครั้ง แต่บรรยากาศรอบตัวล้วนชวนให้น่าหลงใหล หุ่นยนต์ชวิศายืนนิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับซึมซับกับบรรยากาศ

“คุณชวิศาถึงบ้านแล้วครับ”เสียงของสเตบาสเตียนดังขึ้นมาในหัว “ถ้าคุณเดินไปส่งก็หมดเรื่องแล้วแท้ๆ” คุณพ่อบ้านพูดคล้ายกำลังบ่น

“ถ้าฉันไปส่ง คุณชวิศาก็ต้องปฏิเสธแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะยื้อกันไปยื้อกันมาจนถึงเช้า ไม่คิดบ้างหรือว่าการที่เขามาที่นี่พี่ชายเขาอาจจะไม่รู้เรื่อง”

“ไม่ทราบครับ”

“สเตบาสเตียนนี่ละน๊า”หุ่นยนต์ชวิศาพึมพำคล้ายอ่อนใจ “อ่อ เช็คเที่ยวบินที่คุณชวิศาจะเดินทางพรุ่งนี้ให้ด้วยสิ”


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่แปด 20/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 20-11-2016 07:55:06
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านศิริกรทุกอย่างล้วนดูปกติ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านตื่นมาทานอาหารเช้าตอนประมาณเก้าโมง ที่เดินเคียงกันมาเป็นสาวสวยหุ่นสะบึมตามรสนิยมของชายหนุ่ม สเตบาสเตียนเสริฟอาหารทันทีที่สองคนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ อาหารเช้าวันนี้เป็นอเมริกันเบรคฟาสท์อันประกอบด้วย ไข่ดาว ไส้กรอก แฮม และขนมปังปิ้ง เครื่องดื่มเป็นนมสดและน้ำส้มคั้นสดอย่างใส่ใจสุขภาพ

“ไม่มากินหรือชวิศา”สุดฟ้าเอ่ยปากร้องถามคนที่นั่งอยู่หน้าทีวี บนจอภาพขนาดยักษ์กำลังฉายซีรี่ย์เกาหลีที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้

“ไม่หรอกครับ ผมไม่จำเป็นต้องกินเสียหน่อย”

“เลิกงอนได้แล้วน่า” เขาบอกออกไปก่อนหันไปทางสเตบาสเตียน “ชวิศากินข้าวหรือยังน่ะ”

“ยังไม่ได้กินครับ”

ได้ยินดังนั้น เขาจึงยกจานตัวเองไปหา “เมื่อวานก็ไม่ยอมกินข้าว ไหนนายเคยบอกว่าอาหารพวกนี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตไง ต่อให้โกรธก็อย่าอดข้าวสิ”

“ผมอดข้าวเสียที่ไหน แต่ผมไม่จำเป็นต้องกินจริงๆต่างหาก อ่อ อีกเรื่อง คุณชวิศาก็เดินทางกลับไปวันนี้แล้วด้วย”พูดจบก็ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจไปให้ ถึงจะหน้าตาเหมือนกันแต่สุดฟ้ากลับรู้สึกถึงความแตกต่าง

“ฉันไม่ได้สั่งให้นายกลับมา”

“แล้วจะให้ผมเป็นคนไปแทนหรือครับ ด็อกเตอร์ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้สนใจใยดีแท้ๆ”

“หุบปากไปเลยนะ อย่าเอาลักษณะท่าทางแบบนั้นมาใช้กับฉัน นายไม่มีสิทธิ์”สุดฟ้าตะโกนบอกกลับไป “สเตบาสเตียนเอารถออกเดี๋ยวนี้”

“ด็อกเตอร์จะทำแบบนั้นทำไม”

“ของของฉันถ้าฉันไม่ยกให้ ใครหน้าไหนก็เอาไปไม่ได้ทั้งนั้น”

“รถพร้อมแล้วครับ”สเตบาสเตียนเอ่ยแทรกเสียงตะโกนโหวกเหวกของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน ส่วนหญิงสาวหนึ่งเดียวในบ้านก็มองทางโน้นทีทางนี้อย่างตื่นตกใจ เมื่อเห็นเจ้าของบ้านก้าวฉับๆไปทางประตูหน้าพร้อมกับชายหนุ่มสองคนที่ตามไปติดๆ เธอจึงลุกจากเก้าอี้สาวเท้าตามไปบ้าง พ้นกรอบประตูออกไปเธอก็พบรถยนต์สีดำเงาวับ รูปลักษณ์เรียบหรูทันสมัยที่ไม่มีตราสัญลักษณ์บ่งบอกสัญชาติจอดนิ่งอยู่หน้าบ้าน

“ฟ้าจะไปไหนค่ะ”เธอร้องถาม แต่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของชื่อกลับไม่แม้จะเหลือบแลมาทางเธอ ทันทีประตูรถปิดลง รถยนต์คันงามก็เคลื่อนที่จากไปอย่างรวดเร็ว




“หาเที่ยวบินที่ชวิศาจะไปวันนี้”

“ผมก็นั่งอยู่นี่”

“เงียบไปซะชวิศา ต่อไปนี้ฉันจะเปลี่ยนชื่อนายเป็นมาริเอะ”

“อย่าเอาชื่อตัวการ์ตูนปัญญาอ่อนมาตั้งเป็นชื่อผมนะ”

“ปัญญาอ่อนตรงไหน มาริเอะออกจะน่ารัก”

“ไม่ปัญญาอ่อนอะไร ทุกตอนมีแต่พูดว่าคิขุแมนเก่งที่สุดอย่างกับนกแก้วนกขุนทอง”

สุดฟ้าโมโหเดือดดาลอย่างที่สุด นอกจากจะว่ามาริเอะสุดที่รักของเขาแล้วยังเถียงคำไม่ตกฟาก

“ฉันจะฟอแมตแล้วลงข้อมูลบุคลิกให้นายใหม่”

“ผมแบคอัพไว้หมดแล้ว”

“รหัส พีทีสองเอ็มวายเจ็ดโอหนึ่งห้าเอสสามเจ็ดแปดสาม รับคำสั่ง”สุดฟ้ากำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาล

“ตรวจสอบรหัส รหัสถูกต้อง เตรียมรับโปรแกรมคำสั่ง”จากเสียงรื่นเริงคอยต่อล้อต่อเถียงเปลี่ยนไปเป็นโหมดเข้ารหัสทันทีที่สุดฟ้าขานรหัสเปลี่ยนแปลงข้อมูล ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหุ่นยนต์สมองกลจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย

“เข้าโปรแกรมบันทึกข้อมูลพื้นฐาน”

“เข้าโปรแกรมบันทึกข้อมูลพื้นฐาน”หุ่นยนต์ชวิศาขานคำสั่งซ้ำ  นั่งนิ่งดวงตามองตรงไปข้างหน้า

“เปลี่ยนแปลงชื่อเรียกร่างต้นแบบ”

“เปลี่ยนแปลงชื่อเรียกร่างต้นแบบ ชื่อเดิม ชวิศา กรุณาระบุชื่อเรียกใหม่”

“มาริเอะ”

“ยืนยันชื่อมาริเอะ ทำการบันทึกเรียบร้อย”ทันทีที่มาริเอะออกจากโหมดเปลี่ยนแปลงข้อมูล เขาก็ส่งเสียงหึอย่างไม่พอใจออกมาทันที

“หยุดยิ้มเยาะเย้ยนะสเตบาสเตียน”พูดเสียงดุก่อนจะนั่งกอดอกเชิดหน้าหนี มองไปยังนอกหน้าต่าง

“ผมไม่ได้ยิ้มเยาะครับ บุคลิกพื้นฐานของผมเป็นอย่างนี้”สเตบาสเตียนตอบก่อนจะแจ้งข้อมูลที่สุดฟ้าถามมาตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ ข้อมูลที่เขารู้มาตั้งแต่เมื่อวาน

“เครื่องบินจะออกตอนสิบโมงสี่สิบห้าครับ ที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ”

“ชิบหาย”สุดฟ้ามองตัวเลขเวลาที่อยู่บนหน้าจอของคอนโซลรถยนต์ เขานั่งอยู่ที่นั่งตอนหน้าด้านข้างคนขับซึ่งตำแหน่งคนขับหลังพวงมาลัยนั้นเป็นที่นั่งของสเตบาสเตียน ส่วนหุ่นยนต์ชวิศาที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นมาริเอะแล้ว นั่งอยู่ที่นั่งตอนหลัง รถยนต์กำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้มันสิบโมงแล้ว ในขณะที่พวกเขายังอยู่บนถนนพระรามเก้า ป่านนี้ชวิศาไม่เข้าเกจไปแล้วหรือ

“มาริเอะเช็คตำแหน่งของชวิศาดิ เข้าเกทไปหรือยัง”

“ไม่ ถ้าด็อกเตอร์ยังเรียกผมว่ามาริเอะ ผมจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น”

โว้ย!!! สุดฟ้ากรีดร้องในใจ ทำไมบุคิลของมาริเอะถึงได้ผิดเพี้ยนไปขนาดนี้ละเนี่ย

“ได้ มาริ โอเคไหม”

“ครับก็พอรับได้”เจ้าหุ่นยนต์กวนประสาทลอยหน้าลอยตาพูดคล้ายจำยอม สุดฟ้ากัดฟันกรอด “ทีนี้เช็คได้หรือยังว่าชวิศาเข้าเกทไปหรือยัง”

“คร้าบ สเตบาสเตียนขอเชื่อมต่อหน่อย”

“ได้ครับ”สเตบาสเตียนกดปุ่มขับเคลื่อนอัตโนมัติที่อยู่บนพวงมาลัย และระบุจุดหมายการเดินทางบนหน้าจอทัชสกรีนบนคอนโซล

“ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเริ่มต้นทำงาน พิกัดจุดหมายละติจูดสิบสามจุดหกแปดเก้าเก้าสี่เจ็ด ลองติจูดหนึ่งร้อยจุดเจ็ดห้าศูนย์ศูนย์สองเจ็ด สนามบินสุวรรณภูมิ”ขณะที่เสียงประดิษฐ์ของระบบขานการทำงานของรถยนต์ มาริเอะก็ทำการขยับนิ้วโป้งข้างขวา ปลายนิ้วเปิดออกปรากฏเป็นหัวอาร์เจสี่สิบห้า ส่วนสเตบาสเตียนเขาก้มคอลงนิดหน่อย ผิวหนังด้านหลังคอขนาดเล็กๆเลื่อนเปิดออกปรากฏเป็นช่องสำหรับเสียบพอร์ตอาร์เจสี่สิบห้า มาริเอะซึ่งนั่งอยู่หลังสเตบาสเตียนพอดีเสียบพอร์ตที่ปลายนิ้วโป้งของตนเข้าไปที่พอร์ตนั้น ทำให้ระบบการทำงานของสเตบาสเตียนดับลง

เวลาค่อยๆเคลื่อนที่ผ่านไป ตอนนี้รถยนต์ของพวกเขาเคลื่อนที่เข้าสู่ถนนมอร์เตอร์เวย์แล้ว ความเร็วของรถยนต์จึงค่อยๆเพิ่มขึ้นตามปริมาณรถที่บางตา

“ยังครับ คุณชวิสาเพิ่งโหลดกระเป๋าเสร็จ”

“งั้นก็ไปป่วนระบบตรวจคนเข้าเมืองซะ”

“มันผิดกฎหมายนะครับ”มองหน้ามาริเอะแล้ว เขารู้สึกคิ้วกระตุก อีกฝ่ายยังกวนประสาทเขาอย่างต่อเนื่อง

“ทำไปเถอะน่า แค่ทำให้อินเตอร์เน็ตหรือการเชื่อมต่อสัญญาณล่ม ก่อนที่พวกเราจะไปถึงก็แค่นั้น”

“ด็อกเตอร์นี่เอาแต่ใจชะมัด”ถึงมาริเอะจะยอมทำตามคำสั่งแต่ก็ยังไม่วายพูดบ่น



ชวิศาและโยธินกำลังเข้าแถวรอตรวจเอกสาร ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายยังคงมีสีหน้าเศร้าหมอง ใต้ตาดำคล้ำคลายอดนอน เขายืนนิ่งมองตรงไปเบื้องหน้าแต่สายตาไม่ได้โฟกัสที่จุดใดเป็นพิเศษ พี่ชายที่มีความสูงห่างจากเขาหนึ่งช่วงศีรษะยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนหน้านั้นสักหนึ่งหรือสองนาทีทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่เมื่อแถวที่พวกเขายืนรออยู่เหลือเพียงคู่หญิงชายที่เป็นคิวก่อนหน้า ระบบก็เกิดมีปัญหาขึ้นมา เจ้าหน้าที่ที่อยู่หลังเคาท์เตอร์บอกว่ากำลังดำเนินการแก้ปัญหา ขณะเดียวกันระบบตรวจเอกสารแบบอัตโนมัติก็ใช้งานไม่ได้เช่นเดียวกัน เสียงประกาศดังไปทั่วสนามบิน

“เอ่อ ขอโทษครับ ผมจองไฟลท์เที่ยวสิบโมงสี่สิบห้าไว้นะครับ”โยธินเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ เวลากระชั้นชิดเสียจนพวกเขาอาจจะตกเครื่อง

“ไม่ต้องห่วงนะคะท่านผู้โดยสาร จะยังไม่ได้มีการนำเครื่องบินขึ้น ไม่ว่าเที่ยวบินใดก็ตาม จนกว่าระบบในสนามบินจะสามารถใช้งานได้เป็นปกติ ขออภัยท่านผู้โดยสารไว้ ณ ที่นี้ด้วย จะมีประกาศแจ้งอีกครั้งหลังจากที่ระบบกลับมาเป็นปกติค่ะ”

“ครับ”ชายหนุ่มพยักหน้ารับ หันมาหาน้องชาย รุนหลังอีกฝ่ายให้ไปหาที่นั่งรอด้วยกัน

“กินอะไรหน่อยไหมซี เมื่อเช้าน้องกินข้าวน้อยมาก หิวหรือเปล่า”

“ไม่ครับ”ชวิศาสั่นศีรษะปฏิเสธ

“งั้นก็ไปกินไอติมกันดีไหม”

“แล้วแต่พี่โยครับ”ชายหนุ่มตอบเสียงเนือยๆพยายามยกยิ้มให้พี่ชาย ชายหนุ่มร่างสูงลูบศีรษะน้องชายอย่างเอ็นดูกึ่งปลอบประโลม อย่างน้อยชวิศาก็พยายามทำให้เขาไม่รู้สึกเป็นห่วง โยธินจึงไม่คิดคะยั้นคะยออะไรอีก

หลังจากหาโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งรอในร้านไอศกรีมได้ โยธินก็เป็นฝ่ายจัดการสั่งขนมและไอศกรีมให้ชวิศา ส่วนตรงหน้าตนเองก็มีไอศกรีมถ้วยเล็กๆวางอยู่ด้วยเช่นกัน ชวิศาชอบทำขนมจนเขาชอบทานของหวานตามไปด้วย ส่วนคนเป็นน้องไม่คิดจะทำลายความตั้งใจของพี่ชาย เขาจึงหยิบช้อนตักไอศกรีมเข้าปาก รสชาติหวานเย็นละมุนลิ้นแต่ก็เจือรสเฝื่อนขมของช็อคโกแลต ชวิศาตักไอศกรีมทานจนหมดถ้วย ต่อให้รู้สึกเศร้าอยู่ แต่พอได้กินของที่ชอบ มันก็ย่อมอดใจไม่ได้ ชายหนุ่มจึงไม่ค่อยเข้าใจพวกที่อกหักจนไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ หรือที่จริงเขาอาจจะไม่ได้ชอบสุดฟ้ามากอย่างที่ตนเองเข้าใจก็ไม่รู้ ชวิศาคิดไปพลาง ตักเค้กเข้าปากไปพลาง

“เอาอีกไหม”โยธินถาม เมื่อเห็นน้องชายกินเค้กสองชิ้นจนหมดทำให้ชวิศาขมวดคิ้วอย่างลังเล ให้กินอีกเขาก็กินได้อยู่หรอก แต่จะต้องมาโดนพี่โยบังคับให้ออกกำลังกายทีหลังนี่นะสิที่ทำให้เขาคิดหนัก ไม่รู้ว่าจะมาห่วงเรื่องรูปร่างกับน้ำหนักของเขาทำไมหนักหนา ตัวเขาเองยังไม่คิดมากเลย

ชวิศาจึงตัดสินใจสั่นศีรษะปฏิเสธเสียดีกว่า

โยธินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง ถ้าเที่ยวบินของเมื่อวานไม่เต็ม ป่านนี้พวกเขาคงถึงนีสไปแล้ว

ขณะที่ต่างคนต่างนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งวิ่งถลาเข้ามาหาอย่างกระหืดกระหอบก็ตบมือลงบนโต๊ะเสียงดัง ทั้งสองคนสะดุ้งเฮือก ก่อนสายตาของชวิศาจะแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจ แต่ชั่วเสี้ยววินาทีต่อมาก็มีแต่ความกังขา

สุดฟ้าคว้าข้อมือของชวิศาก่อนลากให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ คนที่ไม่ทันระวังตัวจึงแทบล้มคะมำ ดีว่าโยธินไหวตัวช่วยพยุงไว้ได้ทัน เข้าคว้าจับข้อมือของสุดฟ้าแล้วยึดไว้

“จู่ๆ มาฉุดกระชากลากถูน้องชายผม ผมคิดว่าสามารถแจ้งความจับคุณได้นะครับ”โยธินวาดแขนโอบรอบเอวของน้องชาย ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ยึดข้อมือหนาของสุดฟ้าไว้

“มาเอาของของคนอื่นไปแล้วยังหน้าด้านบอกว่าจะแจ้งความจับฉันอีกเนี่ยนะ”

“ของของคุณ? ผมเอาอะไรของคุณมาหรือครับ ถ้าหมายถึงน้องชายของผมละก็ เขาไม่ใช่สิ่งของที่ใครนึกอยากจะทำอะไรก็ได้นะครับ”โยธินจ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง สายตาแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ฝ่ายสุดฟ้าก็จ้องตาคนตรงหน้ากลับอย่างไม่คิดยอมแพ้ ในหัวเขาคิดภาพที่ตัวเขาจับไอ้หล่อน้อยกว่าตรงหน้ามาหักกระดูกแล้วเคี้ยวๆ กระทืบซ้ำจนอีกฝ่ายเละเป็นจุลไปแล้ว

“ด็อกเตอร์ รอกันบ้างสิครับ”มาริเอะร้องเรียกเขามาแต่ไกล เมื่อเข้ามาถึงวงปลากัดตัวผู้ที่ยังจ้องตากันอย่างไม่เลิกราก็บ่นออกมาทันที “จะรีบอะไรหนักหนา อ๊ะ!!! สวัสดีครับคุณโยธิน”

“ฉันนึกว่าการที่นายกลับไปแล้วจะทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมเสียอีก”โยธินหันไปพูดกับมาริเอะ ซึ่งมาริเอะก็ตอบกลับไปอย่างไม่เดือดร้อนว่า

“แหม บางอย่างก็ต้องเหนือความคาดหมายกันบ้าง”ระหว่างที่โยธินคุยกับมาริเอะ เขาก็ต้องคอยยื้อยุดข้อมือของสุดฟ้าไม่ให้ลากน้องชายเขาไปได้อย่างใจหวัง ช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาดจนผู้คนรอบข้างเริ่มให้ความสนใจ มาริเอะจึงต้องยื่นมือมาแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน

“ข้อมือคุณชวิศาเป็นรอยช้ำหมดแล้วครับ ด็อกเตอร์”

พอเห็นรอยแดงบนข้อมือของคนเป็นน้อง โยธินก็อยากจะชกไอ้คนทำสักหมัดสองหมัด

“เอาละ ด็อกเตอร์ได้เจอคุณชวิศาแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็กลับได้แล้วนะครับ”พูดพลางดึงให้สุดฟ้าเดินกลับไปทางประตู แต่คนถูกดึงไม่ยอมก้าวเท้าตามเสียที

“จะไปจริงๆเหรอ”สุดฟ้าเอ่ยถาม เขามองหน้าชวิศาคล้ายพยายามค้นหาคำตอบ ฝ่ายคนถูกถามเมื่อเจอกับคำถามนี้ก็รู้สึกหวั่นไหว ก็นะ คนที่แอบชอบมาทำหน้าตาท่าทางเหมือนไม่อยากให้เขาไป ใครบ้างละจะไม่หวั่นไหว แต่ไม่ได้ เขาแค่อาจจะคิดไปเองข้างเดียวก็เป็นได้

“อืม ผมจะกลับฝรั่งเศสวันนี้แล้ว”

“ไม่ไป ไม่ได้เหรอ”

มาแล้ว!!!!! ชวิศาอยากร้องตะโกนหมุนตัวตีลังการาวดรอฟสักสามรอบ สุดฟ้าไม่อยากให้เข้าไปจริงๆด้วย เขาควรจะตอบตกลงแบบไหนเพื่อไม่ให้ดูใจง่ายเกินไปดีละเนี่ย หรือควรถามย้ำอีกสักรอบดีว่าอยากให้เขาอยู่เพราะอะไร

“เอ่อ ที่...”

“ขอโทษครับ ด็อกเตอร์”สเตบาสเตียนสืบเท้าเข้ามาใกล้และกล่าวแทรกการสนทนาระหว่างพวกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

โธ่!!! คุณสเตบาสเตียนมามีเรื่องอะไรตอนนี้เนี่ย ชวิศานึกค่อนคอดในใจ

“เกิดเหตุฉุกเฉินระดับบีที่บ้านครับ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่เก้า 26/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 26-11-2016 23:11:44
ตอนที่เก้า

สุดฟ้าใช้ช่วงจังหวะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับคำพูดสเตบาสเตียนคว้าข้อมือของชวิศาและลากออกมาโดยไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน สเตบาสเตียนเห็นว่าเจ้านายเดินออกไปแล้วจึงรีบสาวเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงหุ่นยนต์ที่หน้าตาเหมือนชวิศาและโยธินที่ยังคงยืนอยู่บริเวณนั้น ที่โยธินไม่ได้วิ่งตามไปด้วยเพราะเขายังอยู่ในอาการตกตะลึง

“เอาอย่างไรดีครับ”

“ก็ตามไปสิ”พูดจบเขาจะสาวเท้าตามไปบ้าง แต่โดนรั้งไว้เสียก่อน

“อ่อ ไม่ต้องรีบหรอกครับ อย่างไรเสีย ด็อกเตอร์ก็ต้องกลับไปที่บ้าน เดี๋ยวเราค่อยตามไปก็ได้ครับ”มาริเอะยิ้มให้ ก่อนจะแบมือ

“ขอยืมโทรศัพท์มือถือหน่อยครับ”

โยธินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “อย่างนายต้องใช้โทรศัพท์มือถือด้วย?” เขาคิดว่าหุ่นยนต์ไม่น่าจะจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์สื่อสารแบบนี้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ส่งมันให้อีกฝ่าย มาริเอะใช้พอร์ตที่อยู่ในนิ้วก้อยเสียบเข้ากับโทรศัพท์

“ทุกนิ้วของนายเป็น... อะไรแบบนี้ทั้งหมดหรือเปล่า”

“ประมาณนั้นครับ”

“แล้วนายกำลังใช้โทรศัพท์ของฉันทำอะไรน่ะ”

“ก่อนหน้านี้ผมทำให้ระบบในสนามบินใช้ไม่ได้ครับ เลยต้องทำให้มันกลับมาเหมือนเดิม”

“เอ๊ะ เดี๋ยวนะ นายทำให้ระบบในสนามบินใช้ไม่ได้”

“ครับ”มาริเอะตอบรับด้วยท่าทางปกติ

“นายคงทำไปเองโดยพละการ อะไรทำนองนั้นใช่ไหม”

“หือ ผมก็ต้องทำเพราะคำสั่งของด็อกเตอร์สิครับ”

โยธินกุมขมับ ทั้งที่อยากให้สิ่งที่เขาคาดเดาไว้ในหัวไม่ใช่เรื่องจริงแท้ๆ ไอ้บ้านั่น ยิ่งทำตัวคลุมเคลือแบบนี้ เขายิ่งไม่มีทางยกชวิศาให้เด็ดขาด คอยดูสิ!!!!!!



สุดฟ้า ชวิศาและสเตบาสเตียนกำลังอยู่บนรถซึ่งกำลังเคลื่อนที่มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ คอนโซลหน้ารถตรงที่นั่งข้างคนขับถูกเปลี่ยนเป็นคีย์บอร์ด ซึ่งตัวอักษระมากมายกำลังถูกแสดงอยู่บนอากาศ เทคโนโลยีที่สุดฟ้าเรียกมันว่าดิจิตัลไลท์มอนิเตอร์  ภาพข้อความที่เรียงกันเป็นพรืดถูกฉายออกมาจากโทรศัพท์มือถือของเขา

“ตอนแรกการจ่ายกระแสไฟฟ้าของทางภาครัฐขัดข้องครับ ผมได้ทำการสั่งเปิดใช้ไฟฟ้าสำรอง จากนั้นผมตรวจพบว่าสัญญาณเชื่อมต่อค่อนข้างดีเลย์จึงทำการสับสวิตซ์ไปใช้ตัวเชื่อมสัญญาณช่องที่สามและสี่ แต่ก็เกิดสัญญาณขัดข้อง และล่าสุด ผมยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบควบคุมภายในบ้านได้”

“โอเค มีคนแฮ็กระบบของเรา” สุดฟ้าพูด “เจาะไฟร์วอลล์ ถอดรหัสของฉันจนถึงห้องทำงาน” ชายหนุ่มกดคีย์บอร์ดมือเป็นระวิง

“ตัดการเชื่อมต่อของนายกับระบบในบ้านซะ ฉันไม่อยากให้ต้องมาเช็ตทุกอย่างใหม่”

“รับทราบครับ”สเตบาสเตียนตอบรับขณะขยับพวงมาลัยรถยนต์แซงรถคันข้างหน้า พอรถเคลื่อนที่เข้าสู่ถนนพระรามเก้าปริมาณรถที่หนาแน่นทำให้หุ่นยนต์พ่อบ้านต้องลดความเร็วลง ชวิศาที่นั่งอยู่ที่นั่งตอนหลังแทนที่มาริเอะเมื่อขามา มองทางโน้นทางนี้ทีด้วยความตื่นตะลึง และอยากจะออกปากถามใจจะขาด แต่ละเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับรถยนต์คันนี้ และคุณพ่อบ้าน โดยลืมเรื่องที่สนามบินไปสนิท ชวิศากำลังคิดว่าตัวเองกำลังหลงมาอยู่ในภาพยนตร์ไซไฟ  เขาคุ้นชินกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน เคยได้ดูภาพยนตร์ซึ่งจิตนาการถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในอนาคต แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นกับตาตัวเองแบบนี้

“คุณสเตบาสเตียนครับ”ชวิศาอดปากไม่ได้จริงๆ “รถยนต์รุ่นนี้ของค่ายไหนหรือครับ”

“ค่าย?”สเตบาสเตียนค้นหาความหมายของคำในคลังข้อมูล แม้จะพบความหมายของคำแต่ล้วนไม่เข้าพวกกับประโยคคำถามจนเขาไม่สามารถประมวลผลและหาคำตอบได้

“ค่ายในประโยคนี้หมายถึงบริษัทผู้ผลิตรถยนต์”สุดฟ้าละมือหันไปอธิบาย

“ครับ”ตอบรับพร้อมทั้งทำการบันทึกข้อมูลใหม่ลงไป จากนั้นสุดฟ้าจึงหันไปสนใจหน้าจอตรงหน้าพร้อมทั้งอธิบายให้ชวิศาฟังต่อไปอีกว่า

“รถคันนี้เป็นรุ่นต้นแบบของฉันเอง ตอนนี้ฝาแฝดกำลังวางแผนเรื่องโรงงานกับการลงทุนอยู่ กว่าจะได้ผลิตจริงคงอีกสองสามปี แต่ก็คงจะเหลือแค่ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ากับระบบควบคุมการเคลื่อนที่อัตโนมัติ”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ ธุรกิจในเครือของตระกูลภูสิทธ์วรโชติล้วนแต่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ซึ่งปัจจุบันพี่ชายของเขาพยายามขยายธุรกิจเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหาร เขาเคยได้ยินคนเป็นพี่เปรยกับคุณลุงเรื่องอยากลองจับธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ต้องยั้งความคิดไว้เพราะอาจจะต้องเริ่มทุกอย่างตั้งแต่ศูนย์ ทั้งยังเป็นธุรกิจที่อายุของผลิตภัณฑ์ค่อนข้างสั้น บางทีถ้าเขาบอกเรื่องโรงงานรถยนต์ของสุวราลักษณ์และสุดฟ้า พี่โยอาจจะสนใจ และถ้าพวกเขาร่วมลงทุนด้วยกันจริงๆ เขาก็อาจจะได้เจอสุดฟ้าบ่อยขึ้น ไม่สิ... ถึงตอนนั้นเขาอาจจะตกลงปลงใจใช้ชีวิตอยูกับสุดฟ้าแล้วก็ได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชวิศาก็เขินจนหน้าแดง แม้ว่าชายหนุ่มจะยังไม่พูดจาให้ชัดเจน แต่มาตามเขาถึงสนามบิน มันก็ต้องคิดอะไรบ้างละ

ชวิศาเหลือบตามองสุดฟ้าที่ยังทำหน้าเครียดอยู่กับคีย์บอร์ดและมอนิเตอร์ ถ้าถามตอนนี้คงจะไม่ถูกกาลเทศะ เขาจึงต้องอดทนเก็บความสงสัยไว้ก่อน

ภาพบนดิจิตัลไลท์มอนิเตอร์เปลี่ยนไปเมื่อสุดฟ้ากู้คืนระบบกล้องวงจรปิดภายในบ้านให้กลับมาอยู่ในการควบคุมได้สำเร็จ ฝ่ายคนชุดดำภายในบ้านก็เหมือนว่าจะรู้ตัวเช่นกัน แม้จะดูตื่นตกใจในคราแรก แต่ก็หนีถอยออกจากบ้านได้อย่างรวดเร็ว พวกนี้ไม่ใช่มือสมัตรเล่น คนที่เข้ามาภายในบ้านของเขาไม่มีแฮ็กเกอร์ สุดฟ้าสับภาพไปที่กล้องตัวอื่นๆที่อยู่รอบบ้าน เจอผู้ชายคนหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ถอยออกจากแผงคอนโทลที่อยู่ด้านนอกพอดี สุดฟ้ารู้ในนาทีนั้นว่ารอบตัวเขาต้องมีไส้ศึก ทุกอย่างถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี เหมือนรอเวลาที่เขาไม่อยู่บ้านเท่านั้นที่จะเข้ามาขโมยของ เขาแน่ใจว่าระบบไฟร์วอลล์ของเขาไม่ใช่แค่ใช้เวลาห้านาทีหรือสิบนาทีในการทำลายมัน ที่สำคัญอีกฝ่ายไม่ได้ทะลายเข้ามาตรงๆ แต่ค่อยๆแทรกซึมมาควบคุมการทำงานของบ้าน

เมื่อรถเข้ามาจอดนิ่งสนิทบริเวณที่จอดรถหน้าบ้าน ทุกอย่างในบ้านจึงดูเงียบสงบและเป็นปกติเหมือนก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากบ้านไป

สุดฟ้าเดินไปที่แผงควบคุมด้านนอก ผนังตรงนั้นยังเรียบสนิทเหมือนเดิม มันเป็นเพราะความชื่นชอบ เขาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเป็นความลึกลับ แม้แต่ช่างที่ทำการก่อสร้างก็ยังไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้มีความสามารถแค่ไหน หรือซ่อนอะไรไว้บ้าง เขาวางมือบนผนัง ลูบลงไปจนเจอจุดที่แตกต่างก่อนจะกดน้ำหนักลงไป ผนังที่เคยเรียบเป็นเนื้อเดียวกันค่อยๆแยกตัวออก เผยให้เห็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดสี่นิ้วคูณสี่นิ้วที่ถูกเจาะลึกลงไปเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ไว้ภายใน หน้าจอมอนิเตอร์ยังคงแสดงสถานการณ์ทำงานเช่นปกติ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยากต่อการพบเจอ ด้วยผนังด้านนอกที่เรียบเสมอกัน ชนิดที่ว่าถ้าไม่รู้มาก่อนคงไม่รู้ถึงตำแหน่งที่ตั้ง แต่ทุกอย่างถูกพิสูจน์ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ชายหนุ่มกดปุ่มอีกครั้ง ฝาครอบแผงควบคุมจึงเคลื่อนที่กลับไปเหมือนเดิม

ขณะที่สุดฟ้ากำลังให้ความสนใจอยู่ที่แผงควบคุมด้านนอก ชวิศาก็กำลังตื่นตาตื่นใจกับโรงเก็บรถของบ้านศิริกร ชายหนุ่มร้องว้าวออกมาเบาๆเหมือนเด็กๆ ยามที่เห็นพื้นที่ที่รถยนต์จอดอยู่ค่อยๆเคลื่อนลงต่ำไปใต้พื้นดิน โรงรถของสุดฟ้าอยู่ใต้ดิน มิน่า ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ถึงไม่เคยเห็นรถยนต์คันนี้เลย พอหลังคารถยนต์เคลื่อนลงต่ำกว่าพื้นที่ที่พวกเขายืนอยู่ พื้นถนนก็ค่อยๆเคลื่อนจากฝั่งหนึ่งไปถึงอีกฝั่ง ตอนที่สุดฟ้าเดินกลับมา ที่จอดรถบริเวณหน้าบ้านก็กลับมาเรียบสนิทเหมือนเดิมพอดี

“สุดฟ้า โรงจอดรถ โรงจอดรถ”ชวิศาได้พูดซ้ำๆอย่างตื่นเต้นและนัยน์ตาเป็นประกาย “มันเจ๋งมาก คุณเป็นคนสร้างมันหรือ”

“เปล่า”สุดฟ้าตอบ

“อ้าว”

“ช่างที่สร้างบ้านเป็นคนสร้าง ฉันแค่บอกให้พวกเขาทำแบบนี้เฉยๆ”

“โธ่ มันก็เป็นความคิดของคุณ”ชวิศาบ่น เขาถูกรุนหลังให้เดินเข้าไปในบ้าน ในตอนนั้นแอมก็เปิดประตูออกมา

“ฟ้าค่ะ คุณไปไหนมาเนี่ย รู้ไหมค่ะว่ามีขโมยขึ้นบ้านคุณด้วย”

ชวิศาเบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจทันทีที่เห็นเธอ พร้อมกับพูดออกมา “แล้วเธอไปอยู่ที่ไหนไม่รู้จักโทรแจ้งตำรวจ”

“คุณไม่รู้หรอกวาพวกนั้นน่ากลัวขนาดไหน ตัวโตอย่างกับตึก”แอมหันไปบอกกับชวิศา แล้วหันไปพูดกับสุดฟ้าต่อไปอีกว่า “แอมพยายามโทรแจ้งแล้วนะคะ แต่โทรศัพท์ใช้ไม่ได้เลย โชคดีว่าแอมเห็นพวกมันแล้วเข้าไปหลบในห้องได้ทัน ไม่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้แอมจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“ครับ คุณทำถูกต้องแล้ว”

แอมขมวดคิ้วกับท่าทีเมินเฉยของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้าน ถึงไม่ตื่นเต้นกับการที่ขโมยเข้าบ้าน อย่างน้อยก็ควรมีทีท่าเป็นห่วงเธอบ้างสิ หญิงสาวคิดอย่างไม่ชอบใจนัก

สุดฟ้าเดินตรงไปยังประตูห้องทำงาน “ขอโทษนะครับที่ต้องปล่อยพวกคุณไว้กันตามลำพัง หลังจากมีเหตุขโมยขึ้นบ้าน แต่ผมมีงานต้องทำ” เขาพูดด้วยท่าทางเย็นชาที่ชวิศารู้สึกคล้ายคุ้นเคย สุดฟ้าที่ชวิศารู้จักในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เป็นอย่างนี้ เป็นชายหนุ่มที่ดูแปลกประหลาด และดูห่างเหินจากผู้คนรอบกาย ท่าทีเช่นนั้นทำให้ชวิศานึกหวั่นใจ เขาคว้าจับข้อมือของสุดฟ้าไว้ก่อนที่สุดฟ้าจะหายเข้าไปในห้อง

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” หลายเรื่องเสียด้วย

“อืม แต่ต้องหลังจากที่ฉันทำงานเสร็จ”

ชวิศาอยากจะถามต่อ แต่จากประสบการณ์ที่อยู่บ้านหลังนี้มาหลายอาทิตย์ การทำงานของสุดฟ้าไม่เคยมีกำหนดแน่นอน เขาจึงแค่พยักหน้ารับ แค่สุดฟ้าไปตามเขาที่สนามบิน เรื่องนี้ก็ทำให้เขาฟินจนตัวแตกแล้ว อีกอย่าง.... ความคิดทุกอย่างของชวิศาสะดุดลง เมื่อประกายบางอย่างสว่างวาบขึ้นมาในหัว ตอนที่ไปสนามบิน มีชวิศาอีกคนไปด้วย นั่นก็แสดงว่า

“คุณรู้แล้ว”ชวิศาเอ่ยปากถามหน้าตื่น

“รู้อะไร ฉันจะไปทำงานแล้ว”สุดฟ้าพูดมาแค่นั้น ผลักศีรษะของเขาเบาๆก่อนจะเดินหายไปหลังบานประตูอัตโนมัติตรงหน้า
ทั้งๆที่คุณชวิศาอีกคนก็กลับมาที่บ้านแล้ว แต่สุดฟ้าก็ยังไปตามเขาถึงสนามบิน นั่นแสดงว่าสุดฟ้ารู้เรื่องการสลับตัวระหว่างเขากับคุณชวิศาแล้ว เขาอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆด้วยความปลื้มปริ่ม เฮ้ย! เรื่องแบบนี้เด็กสามขวบยังดูออกเลยนะ

“ทำหน้าตาอะไรของคุณ ประหลาดแท้”

ชวิศาเหล่มองคนที่ขัดความสุนทรีย์ของเขาด้วยหางตา เพราะเขาอารมณ์ดีอยู่หรอก จึงไม่อยากสนใจเสียงเป็ดเสียงห่าน ชายหนุ่มร่างเพรียวเดินผ่านหญิงสาวไปอย่างไม่แยแส เขาเดินไปนั่งบนโซฟาเบดตัวยาวหน้าทีวี หยิบรีโมททีวีขึ้นมากดเปิดอย่างไม่ใครใส่ใจอีกหนึ่งบุคคล หญิงสาวอย่างแอมก็ใช่จะสนใจชายหนุ่มหน้าสวยอย่างชวิศา พอเห็นอีกฝ่ายเมินเธอ เธอก็ไม่ได้คิดจะเสวนาด้วย ดังนั้นต่างคนจึงต่างแยกย้ายไปอยู่ที่มุมของตัวเอง



สุดฟ้าเดินตรงเข้าไปหาคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในห้องทำงานเป็นอันดับแรก เขาคีย์พาสเวิร์ดเพื่อเข้าใช้งานเครื่อง ขณะที่สเตบาสเตียนเดินมาหยุดอยู่ที่ชุดโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก หุ่นยนต์พ่อบ้านนั่งลงบนเก้าอี้ และเมื่อขยับมือข้างซ้ายไปมาสักพักมือข้างนั้นก็เปลี่ยนพอร์ตซาต้า จากนั้นจึงทำการเสียบพอร์ตที่มือซ้ายเข้ากับพอร์ตที่ติดตั้งอยู่บนโต๊ะ ข้อมูลมากมายถูกส่งถ่ายระหว่างระบบควบคุมในบ้านกับสมองกลของคุณหุ่นยนต์พ่อบ้าน สุดฟ้าเองก็นั่งตรวจล็อกในระบบไปเงียบๆ

ในห้องทำงานโล่งว่างจนชายหนุ่มเจ้าของบ้านเดาไม่ออกว่ากลุ่มคนร้ายต้องการขโมยสิ่งใด ความสะอาดเป็นระเบียบนี้ไม่ใช้ฝีมือของเขา แต่เป็นฝีมือการจัดการของสเตบาสเตียน ที่ผนังด้านหนึ่งของห้องจะมีตู้เครื่องมือและตู้เก็บชิ้นงานทดลอง ซึ่งทุกสิ่งถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย กระนั้นผลงานในตู้ก็ล้วนเป็นผลงานที่ล้มเหลว ชิ้นงานที่ถูกพัฒนาจนสำเร็จแล้วจะถูกส่งให้ผู้จ้างวานหรือส่งเข้าโรงงานผลิตที่เขาเป็นหุ้นส่วน

“ด็อกเตอร์ครับ การรบกวนข้อมูลทำให้เกิดไฟฟ้าดับไปสองนาทีครับ”

“เฮ้ย!”สุดฟ้าร้องออกมาก่อนจะรีบลุกขึ้น ที่มุมห้องด้านทิศเหนือจะมีประตูลงไปสู่ห้องใต้ดิน

ระบบไฟฟ้าภายในบ้านจะมีด้วยกันสามส่วน หนึ่งคือพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซล่าเซลที่ติดอยู่บนหลังคา สำหรับใช้งานในบ้านสลับกับไฟฟ้าจากภาครัฐที่จะถูกดึงมาใช้ยามที่พลังงานไฟฟ้าจากแผงโซล่าเซลต่ำลง แต่กำลังไฟฟ้าทั้งสองแหล่งต่างเป็นแหล่งพลังงานสำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอีกตัวหนึ่งที่จ่ายไฟสำหรับห้องใต้ดินด้านล่าง นอกจากนี้เขายังเตรียมไฟฟ้าสำรองที่เป็นพลังแบตเตอรี่ไว้อีกด้วย

“เปิดประตู”ทันทีที่เขาส่งเสียงออกไป พื้นห้องก็ค่อยๆเลื่อนออกจนเห็นเป็นช่องที่มีบันไดทอดลงไปด้านล่าง และเมื่อเขาย่ำเท้าลงไปบนบันไดขั้นแรก แสงไฟสีขาวก็พลันสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ สุดฟ้าก้าวเท้าอย่างรวดเร็วจนลงไปถึงพื้นด้านล่าง เขาเดินเข้าไปดูแขนกลที่หยุดนิ่งอยู่กับที่

โธ่เว้ย!!! ชายหนุ่มสบถในใจ เขารันโปรแกรมแขนกลให้ทำบอร์ดสำหรับดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์รุ่นทัชสกรีนไว้ การที่เกิดเหตุการณ์ไฟดับนั่นหมายความว่า เขาอาจจะต้องเริ่มต้นทำบอร์ดนี้ใหม่ทั้งหมด ชายหนุ่มหยิบแผงวงจรขนาดเล็กขึ้นมาดู มองมันผ่านแว่นขยายชนิดตั้งโต๊ะที่ติดอยู่ด้านข้าง แผงวงจรขนาดเล็กนี้เต็มไปด้วยลวดลายวงจรไฟฟ้า ตัวต้านทานและตัวไอซีมากมาย เขาหันไปเช็คคำสั่งของแขนกลบนหน้าจอมอนิเตอร์ก่อนจะหันกลับดูแผ่นวงจรอีกครั้ง เมื่อเห็นรอยตะกั่วไถลออกจากลายวงจร จึงขยี้ศีรษะอย่างหงุดหงิด หลังจากทำใจได้ ถึงได้หันไปหยิบแผ่นวงจรในตู้เก็บอุปกรณ์ออกมา ใช้เครื่องตัดแผงวงจรให้ได้ขนาดสำหรับโทรศัพท์ขนาดจอสี่นิ้ว นำมันไปวางบนแท่นยึดและสั่งให้แขนกลเริ่มทำงานอีกครั้ง และยืนดูการทำงานของแขนกลอีกครู่ใหญ่

“ด็อกเตอร์ครับ คุณโยธินกำลังมาที่บ้านครับ”เสียงของสเตบาสเตียนดังออกมาลำโพงซึ่งติดไว้ที่ผนัง

นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สุดฟ้ากำลังครุ่นคิด เขาเดินกลับมายังห้องด้านบน แล้วเอ่ยปากถามหุ่นยนต์พ่อบ้านไปว่า

“มีอะไรหายไปบ้าง”

“โมเดลวายเจ็ดโอหนึ่งห้ารุ่นหนึ่งหายไปครับ โฟลเดอร์ศูนย์สามเอ็มเออาร์สองเจ็ด ศูนย์สี่เจยูแอลสองสาม และศูนย์สี่เจยูแอลศูนย์หก ถูกก็อปปี้ไปครับ”

เรื่องโมเดลทดลองที่ถูกขโมยไป สุดฟ้าพอจะเข้าใจเป้าหมายของคนกลุ่มคนพวกนี้ สิ่งประดิษฐ์ของเขาถ้าสำหรับพวกที่พอมีความรู้อยู่บ้าง ถ้าได้เห็นรายละเอียดก็คงก็อปปี้ไปทำใหม่ได้ไม่ยาก แต่ไฟล์ข้อมูลที่เก่าขนาดนั้นพวกนั้นจะเอาไปทำไมกัน
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนชุดดำรู้จักบ้านข้องเขาเป็นอย่างดี ขอบเขตผู้ต้องสงสัยในหัวของสุดฟ้าจึงแคบลงมา แต่สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อยที่ทำงานเป็นมือเท้า ถึงขนาดมาเหยียบจมูกเขาถึงถิ่น ชายหนุ่มอยากได้ตัวคนบงการเท่านั้น!!!

“ดึงข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับโยธิน ภูสิทธ์วรโชติ ชวิศา ภูกิจพัฒน์ เอมมิกา ปัณณกุล ธัชนนท์ ธัชนันท์ สุวราลักษณ์จากทุกแหล่งออกมาให้หมด อ่อ ตอนนี้ฝาดแฝดอยู่ที่ไหน”

“คุณธัชนนท์อยู่ที่ออฟฟิตสำนักงานใหญ่ครับ ส่วนคุณธัชนันท์เท่าที่กล้องวงจรปิดจับภาพได้ เขาขับรถออกไปนอกเมือง คาดว่าน่าจะไปดูโรงงานครับ”

“แล้วเดย์กับน้ำละ”

“เดย์อยู่กับคุณธัชนันท์ น้ำอยู่กับคุณธัชนนท์ครับ”

“งั้นก็ดี ปิดระบบการทำงานของเดย์กับน้ำซะ ฉันจะให้ฝาแฝดส่งสองคนนั้นมาซ่อม”

“มีอีกเรื่องที่ผมต้องแจ้งให้ด็อกเตอร์รับทราบครับ”

“หือ”

“เดย์เคยถูกถอดประกอบไปครับ” สุดฟ้าเดาได้ทันทีว่าใครทำแบบนั้น

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”เขาถามต่อ และสเตบาสเตียนก็บอกวันและเวลามาอย่างละเอียด สุดฟ้ายกนิ้วโป้งขึ้นมากัดอย่างลืมตัว มันสอดคล้องกันเกินไป

“แล้วสถานะการทำงานปัจจุบันละ”

“ปกติครับ”

ชายหนุ่มไม่อยากสงสัยฝาแฝดที่เขารู้จักมาตั้งแต่เด็ก พวกเขามีหุ้นร่วมกัน โรงงานและบริษัทนั่นก็เป็นของเขากับฝาแฝด มันมีสาเหตุอะไรที่สองคนนั้นต้องหักหลังเขา แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ว่า คนที่รู้จักบ้านของเขาดีที่สุดก็น่าจะเป็นธัชนนท์และธัชนันท์

“ด็อกเตอร์ครับ มีข้อความจากคุณมาริครับ”

สุดฟ้าตวัดสายตาขึ้นมองหุ่นยนต์พ่อบ้านที่ยังคงรอยยิ้มละไมอยู่บนใบหน้า ก่อนจะเหลือบสายตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงล็อกข้อมูลข้อความที่มาริเอะส่งมา พลันรู้สึกว่าขมับกำลังเต้นตุบๆ ถ้าไม่ติดว่าโปรแกรมคำสั่งข้อมูลเบื้องต้นของเขาแน่นหนา เขาคงสงสัยว่า มาริเอะแปรพักตร์ไปแล้ว

“ใช้เสียงของมาริเอะเลยแล้วกัน”ถึงอย่างไรเขาคงจะไม่รู้สึกดีไปกว่านี้แล้วละ ฟังเสียงกวนประสาทของเจ้าตัวเพิ่มอีกหน่อยจะเป็นไรไป

“สวัสดีครับด็อกเตอร์ เดี๋ยวผมปล่อยให้คุณโยธินเข้าไปในบ้านคนเดียวน๊า ส่วนเรื่องดึงข้อมูลที่ด็อกเตอร์สงสัยให้ผมจัดการแล้วกัน จะแยกย่อยแล้วสรุปความน่าจะเป็นให้ครบถ้วนเลยครับ”น้ำเสียงรื่นเริงอารมณ์ดีจนน่าปวดหัวของมาริเอะดังออกมาจากปากของหุ่นยนต์พ่อบ้าน

“ไม่ใช่ว่าพอจะเดาได้แล้วหรือ ถึงไม่เข้ามา”

“แหม ด็อกเตอร์เองก็ไม่ไว้ใจใครเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ ถึงได้เซ็คเสียครบถ้วน”
สุดฟ้าไม่ตอบ นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงออดหน้าบ้านดึงขึ้นมา ปกติแล้วที่ห้องทำงานและห้องนอนของเขาจะไม่มีทางที่เสียงออดดังขึ้นรบกวนให้รำคาญเป็นอันขาด แต่ครั้งนี้คงเป็นเพราะสเตบาสเตียนจงใจเปิดเสียงออดให้ดังในห้องนี้

“ฉันไปแล้วนะ”สุดฟ้าพูดแค่นั้นก่อนระบบสื่อสารระหว่างเขากับมาริเอะจะถูกตัดไป

“รีเซ็ตระบบในบ้านเรียบร้อยแล้วใช่ไหมสเตบาสเตียน”

“เรียบร้อยแล้วครับ”

“บอกมาริเอะด้วยละว่าให้ใช้เอ็กเทอร์นอลโมเด็ม ไม่ให้ใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง”

“คุณมาริโวยวายกลับมาว่า ข้อมูลตั้งเยอะแยะจะให้ไปเก็บที่ไหน”

สุดฟ้าส่งเสียงหึขึ้นจมูกขณะเดินออกมาจากห้องทำงาน “ไหนว่าจะประมวลผลสรุปความน่าจะเป็นมาให้เสร็จ แล้วจะดึงข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกมาทำไม”

ชวิศาและเอมมิกาที่เห็นชายหนุ่มเจ้าของบ้านเดินออกมาจากห้อง รีบลุกเดินเข้าไปหา สุดฟ้าเดินไปหยุดที่ประตูหน้าบ้านก่อนจะกดปุ่มให้ประตูเปิด โยธินยืนขมวดคิ้วหน้าถมึงถึงอยู่ตรงหน้า

“พี่โย”ชวิศาร้องออกมาคนแรกแต่แทนที่จะเดินเข้าไปหาพี่ชายกลับยิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของสุดฟ้า

“พี่จองตั๋วเครื่องบินให้ใหม่แล้วซี พวกเราบินกลับคืนนี้เลย”

ชวิศาสั่นศีรษะยิกๆ คนเป็นพี่จึงปรับสีหน้าให้ดูหม่นหมอง ก่อนจะพูดออกมาว่า “เมื่อกี้คุณย่าท่านโทรหาพี่ บ่นคิดถึงซีหลานรักใหญ่เลย น้องไม่คิดถึงคุณย่าหรือ”

ประโยคนั้นของพี่ชายทำให้ชวิศามีสีหน้าสลดลง ใช่ว่าจะมีแค่เขาฝั่งเดียวที่เป็นหลานสุดที่รัก เขาเองก็รักคุณย่ามากเหมือนกัน แต่คนที่แอบชอบมาตั้งหลายปีก็สำคัญนะ และที่สำคัญสุดฟ้าทำท่าว่าจะมีใจให้เขาแล้วด้วย ชายหนุ่มคิดอย่างลังเล

“กลับไปก่อนก็ได้”สุดฟ้าพูดออกมา คำพูดนั้นทำให้ชวิศาหันไปมองหน้าชายหนุ่มร่างสูงอย่างตกใจ ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อคลอเบ้า

อะไรกัน!!! มาให้ความหวังเขาแล้วก็ผลักเขาให้ร่วงกลับไปอยู่กับความผิดหวังอีกครั้งเนี่ยนะ คนอะไรช่างใจร้ายจริงๆ!!!

“เอ้ย!!! อย่าเพิ่งร้องไห้”สุดฟ้าร้องออกมาเมื่อเห็นน้ำตาของชวิศาร่วงออกมาเป็นสาย

“ใจร้าย คุณสุดฟ้าใจร้ายที่สุด”

แทนที่จะสลดสุดฟ้ากลับหัวเราะ คนเป็นพี่ชายเห็นน้องร้องไห้น้ำตาหยดแหมะๆก็เดินเข้าหาหวังจะมาปลอบ แต่โดนหุ่นยนต์พ่อบ้านร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กันมาขวางไว้เสียก่อน

สุดฟ้าดึงชวิศาเข้ามากอดปลอบเสียเอง “โอ๋ๆไม่ต้องร้อง ที่บอกว่าให้กลับไปก่อนนะ หมายถึงกลับไปหาคุณย่าของนายก่อนแล้วค่อยบินกลับมาก็ได้ เดี๋ยวส่งเครื่องบินไปรับ อ่อ เดี๋ยวให้เครื่องบินบินไปส่งด้วย”

“เว่อร์แล้ว”ชวิศาหยุดร้องทันที เอมมิกาก็หูพึ่งขึ้นมาบ้าง เธอรี่เข้ามากอดแขนของสุดฟ้าไว้

“ฟ้ามีเครื่องบินส่วนตัวด้วนหรือค่ะ”

“อืม”เขาหันไปตอบ และพูดต่ออย่างลังเลว่า“แต่ก็ไม่ใช่ของส่วนตัวขนาดนั้นมั้ง แต่น่าจะใช้ได้ถ้าอยากใช้”

“จะอวดรวยว่าอย่างนั้นเถอะ”โยธินพูดขัดอย่างหมั่นไส้ สำหรับเขาถ้าจะมีเครื่องบินส่วนตัวสักลำก็คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขามองว่ามันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ไหนจะต้องเสียค่าบำรุงดูแล ไหนจะต้องเสียค่านักบิน ค่าสนามบิน ค่าเช่าพื้นที่อีก โยธินมองว่าใช้บริการตั๋วเฟิร์สคลาสยังจะสะดวกกว่า

“ก็ไม่น่ะ แค่พอมีพอใช้”สุดฟ้าพูดขณะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก รอสายอยู่แค่ครู่เดียวปลายสายก็กดรับสาย

“สวัสดีครับ”สุดฟ้ากรอกเสียงลงไปอย่างสุภาพ ชวิศามองตาค้าง ยิ่งได้ฟังคำพูดที่สุดฟ้าใช้สนทนาก็รู้สึกว่าชายหนุ่มหล่อมากกว่าเดิมสักล้านเท่า

“สวัสดีครับ ผมยินดีมากที่คุณสุดฟ้าโทรหา มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”

“โอ๊ะ อย่าเรียกว่ารับใช้เลยครับคุณธีรวัฒน์ พอดีว่าผมจะยืมใช้เครื่องบินสักหน่อย”

“ได้เลยครับ คุณสุดฟ้าจะไปที่ไหนครับ ผมจะได้จัดเตรียมเครื่องบินไว้ให้ แล้วจะส่งคนไปรับถึงที่บ้านเลยครับ”

“ถือสายรอสักครู่นะครับ”สุดฟ้าถามปลายสายก่อนจะหันไปถามโยธิน “ให้ไปส่งที่ไหนอ่ะ” แต่คนถูกถามแค่ส่งเสียงเหอะอย่างนึกค่อนคอดแล้วหันหน้าหนี สเตบาสเตียนจึงออกปากตอบเสียแทน

“สนามบินนีส ฝรั่งเศสครับ”

โยธินถึงกับหันไปมองคุณพ่อบ้านด้วยความขุ่นเคือง

“ไปนีส ฝรั่งเศสครับ”

“ว้าว คุณสุดฟ้าจะไปเที่ยวหรือครับ ถ้าอย่างไรผมจะได้เตรียมไกด์กับรถยนต์”

“อ่อ เปล่าครับ พอดี...”สุดฟ้าหันไปมองหน้าชวิศา เขายังไม่รู้ว่าควรจะระบุความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชวิศาว่าอย่างไรดี

“เพื่อนของผมจะกลับบ้านนะครับ” พอได้ยินว่าเป็นแค่เพื่อน ชวิศาถึงกับหน้างอ

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะรับรองเพื่อนของคุณสุดฟ้าอย่างดีเลยครับ ถ้าผมจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมจะโทรไปแจ้งเรื่องเวลานะครับ”

“ครับ ขอบคุณครับ”สุดฟ้ากดวางสาย ก่อนจะหันไปเชิญโยธินเข้าบ้าน แต่ชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่ถูกเชื้อเชิญทำท่าไม่อยากจะเข้าไปเหยียบบ้านหลังนี้สักเท่าไหร่ เขาออกปากพยายามชวนน้องชายกลับบ้านของพวกเขาท่าเดียว จังหวะนั้นเองรถยนต์สัญชาติยุโรปก็วิ่งจอดหน้าบ้าน เสียงเอี้ยดที่เกิดจากการเสียดสีของล้อและจานเบรกดังก้องไปทั่ว ธัชนนท์ลงจากรถฝั่งคนขับด้วยอาการหน้าตาตื่น เขาใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีในการอุ้มพาร่างหุ่นยนต์ที่มีชื่อว่าน้ำมาหยุดอยู่ตรงหน้าสุดฟ้า

“สุดฟ้า น้ำเป็นอะไรไม่รู้ ไม่ขยับเลย เรียกเท่าไหร่ก็นิ่งสนิท”

ชายหนุ่มเจ้าของนามทำหน้าแปลกใจทั้งที่ในใจยกยิ้ม หุ่นยนต์ของเขานี่ทำงานเร็วดีแท้ “แกไปทำอะไรมาละ ถ้าเอาไฟฟ้าไปช็อต ก็ช็อคตายได้เหมือนกันนา”

“บ้าดิ ใครจะทำแบบนั้น”

ยังไม่ทันจะเสวนาอะไรกันต่อ รถยนต์อีกคันก็มาจอดต่อท้ายรถของธัชนนท์ชนิดที่ว่าห่างจากกันไม่กี่เซ็น ธัชนันท์อุ้มเดย์มาพร้อมสีหน้าตื่นตกใจไม่แพ้

“สุดฟ้า เดย์ตายแล้ว!!!”

เดย์ในอ้อมแขนของธัชนันท์ก็เหมือนตายจริงๆ หลับตานิ่งสนิทไม่ไหวติง

“เออๆ ไม่ต้องตื่นเต้นไป เดี๋ยวดูให้”

สเตบาสเตียนที่รู้หน้าที่เป็นอย่างดี จึงเดินเข้าไปหาสองหนุ่มฝาแฝด ยื่นมือรับร่างหุ่นยนต์ทั้งสองแบกขึ้นบ่า และเดินเข้าบ้านหายเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นเจ้านาย

“คุณสุดฟ้าน่าจะไม่สะดวกคุยกับน้องแล้ว ซี น้องกลับบ้านกับพี่เถอะ”

“อุ่ย อ้าว”สองเสียงนี้เป็นของธัชนนท์และธัชนันท์ “คุณโยธินสวัสดีครับ” ฝาแฝดคนพี่เอ่ยทักอย่างรวดเร็ว คนน้องก็เอ่ยแนะนำตัวสอดรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พลางยื่นนามบัตรให้อีกฝ่ายอย่างพร้อมเพรียง

“ผมธัชนันท์จาก สุวรากรุ๊ปครับ ส่วนนี้คือพี่ชายผม ธัชนนท์”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”ฝาแฝดกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง ท่าทางเหมือนจะนอบน้อมแต่ในสายตาของโยธิน พวกเขาทั้งคู่ดูทะเล้นและล้นเหมือนคนไม่เต็ม โยธินได้ยินชื่อเสียงของทั้งคู่มาบ้าง เขาบอกตัวเองได้เลยว่าตัวตนจริงๆของทั้งสองห่างจากภาพลักษณ์ที่เล่าลือให้หมู่นักบริหารหลายล้านปีแสงเลยทีเดียว แต่เพราะทั้งสองคนยื่นนามบัตรมาให้ โยธินจึงต้องส่งนามบัตรของตัวเองคืนกลับไปตามมารยาท

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันครับ”โยธินกล่าวทั้งที่ในใจไม่ได้อยากเอ่ยคำนี้สักเท่าไหร่นัก

“โชคดีมากเลยที่วันนี้ได้เจอคุณโยธิน พวกเราอยากจะคุยกับคุณมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาไหนสะดวกเสียที ถ้าอย่างไรเชิญเข้าไปในบ้านก่อนดีกว่าไหมครับ”ฝาแฝดคนพี่กล่าวอย่างสุภาพ ผายมือเชื้อเชิญที่เหมือนจะบังคับอยู่ในที

“เอ้า ชวิศาเข้าไปในบ้านกันเถอะ คุณแอมครับ พวกเราเข้าไปนั่งคุยกันต่อในบ้านดีกว่านะ”ธัชนันท์ต้อนอีกสองคนให้เดินนำหน้าเข้าไปในบ้าน ทำงานเป็นทีมอย่างพร้อมเพรียงไม่ปล่อยให้โยธินปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงต้องเดินเข้าไปนั่งทรุดตัวบนโซฟาเบดตัวยาวอย่างจำยอม

ทั้งสองคนทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีแทนเจ้าของบ้านตัวจริงอย่างเสร็จสรรพ พวกเขาทั้งหาน้ำและขนมมารับรองคนทั้งสามด้วยความกระตือรือร้นโดยทำเป็นลืมไปว่าทั้งเอมมิกาและชวิศามาอยู่บ้านสุดฟ้าได้หลายวันแล้ว จากนั้นทั้งสองคนจึงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเล็กด้วยอาการสุภาพเรียบร้อย ก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนา

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่เก้า 26/11/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 26-11-2016 23:23:37
ตอนที่สุดฟ้าเดินตามสเตบาสเตียนเข้าไปในห้องทำงาน มาริเอะก็นั่งอยู่ในห้องอยู่แล้วปลายนิ้วโป้งที่เป็นหัวอาร์เจสี่สิบห้าเสียบอยู่กับกล่องแลน หุ่นยนต์ที่หน้าตาเหมือนชวิศาโบกมือให้เขาพลางบอกว่า “ผมกลับมาแล้ว” ชายหนุ่มส่งเสียงหึ ไม่อยากจะใส่ใจ แค่เห็นหน้าก็รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ

สเตบาสเตียนนำหุ่นยนต์ทั้งสองไปวางบนโต๊ะซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง จัดการถอดเสื้อผ้าออกจากร่างของหุ่นยนต์ทั้งสองตน แม้ลักษณะภายนอกจะดูเหมือนมนุษย์แต่ก็ดูคล้ายคนที่ตายแล้ว ระบบการทำงานทุกอย่างของทั้งสองร่างถูกบังคับให้หยุดนิ่งสนิท
สุดฟ้าเดินไปสังเกตลักษณะภายนอกโดยรวมของเดย์ก่อนเป็นอันดับแรก “ที่บอกว่าโดนถอดประกอบ น้ำด้วยหรือเปล่า”

“ใช่ครับ”

เขาพยายามหาร่องรอยงัดแงะ ปกติแล้วตอนที่เขาส่งชิ้นงานต้นแบบไปให้ทีมวิจัยของโรงงานผลิต เขาจะแนบเอกสารการถอดประกอบและแบบร่างไปให้ด้วย ทีมฯจะมีหน้าที่ปรับลดหรือเพิ่มฟังก์ชั่นการให้งานให้เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบัน แต่ไม่ใช่ว่าทีมฯที่ฝาแฝดหามาจะด้อยฝีมือ บางครั้งทีมวิจัยก็พัฒนาต่อยอดจากไอเดียเริ่มต้นของเขาด้วยเหมือนกัน แต่คราวนี้ดูท่าว่าตัวเขาจะมีคนรู้แกว หุ่นยนต์ทั้งสองตนไม่มีร่องรอยการชำแหละ จนเดาได้แค่ว่าน่าจะเปิดจากสวิตซ์ที่ฝ่าเท้า

“สเตบาสเตียน ฉันอยากฟังว่าพวกนั้นคุยอะไรกัน” 

“ได้ครับ” เมื่อได้รับคำสั่ง หุ่นยนต์พ่อบ้านจึงเชื่อมต่อตัวเองเข้ากับตัวบ้านผ่านพอร์ทซาต้า ภายในบ้านไม่ได้มีเครื่องดักฟัง แต่หุ่นยนต์ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลควบคุมการทำงานในบ้านทั้งหมดอย่างสเตบาสเตียนจะทำการจับการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงและแปลงเป็นข้อความให้สุดฟ้าได้ฟัง แต่ครั้งนี้เสียงที่ดังออกมาจะเป็นเสียงจากระบบ นั่นคือเป็นเสียงของสเตบาสเตียนที่สุดฟ้าเขียนโปรแกรมลงระบบประมวลผลไว้

ชายหนุ่มไม่เคยคาดคิดว่าเขาต้องมาดักฟังคนคุยกันในบ้านของตัวเอง แต่คิดว่าเขาน่าจะเดาจากคำพูดและวิธีพูดได้ออกว่าคำพูดไหนเป็นของใคร ระหว่างนั้น สุดฟ้าก็ลงมือปรับแต่งหุ่นยนต์ทั้งสองไปด้วย

“...แนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์กับการส่งเสริมจากภาครัฐ แต่พอหันมาอีกที คุณโยธินก็หายไปแล้ว”ข้อความดังกล่าวดังออกมาจากปากของสเตบาสเตียน สุดฟ้าขมวดคิ้วเมื่อไม่ค่อยเข้าใจประโยคนั้นเท่าไหร่นัก

“น่าจะหมายถึงงานสัมมนาที่จัดเมื่อเดือนมีนาปีที่แล้วครับ”มาริเอะเป็นคนขยายความให้เขาเข้าใจ

“อ่อ พอดีว่าผมมีประชุมที่ไต้หวันต่อ ต้องบินหลังจากที่งานจบเลยไม่ได้อยู่ช่วงสรุป”

“คุณโยธินก็สนใจอุตสาหกรรมนี้หรือครับ”

เสียงฟังจากคำสนทนา สุดฟ้าเดาว่าน่าจะเป็นการพูดคุยของธัชนนท์กับโยธิน เรื่องที่คุยกันก็มีแต่แนวโน้มตลาด การบริหารงาน และดูท่าว่าสองคนนั้นจะคุยกันถูกคอเสียด้วย การผูกขาดการสนทนาอันยาวนานหลายนาทีของสองคนนั้นทำให้เอมมิกายอมแพ้ก่อนเป็นคนแรก เสียงที่่่ปล่งข้อความออกมาให้สุดฟ้าได้ยินยังเป็นเสียงนุ่มทุ้มของสเตบาสเตียนเช่นเดิม

“แอมขอตัวก่อนนะคะ คือ... แอมไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่”

และหลังจากนั้นอีกไม่กี่นาที ชวิศาก็โดนธัชนันท์ขอร้องให้ไปช่วยทำอาหาร และหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป มันเริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำที่คล้ายจะเป็นการตีสนิท

“พวกผมเรียกคุณโยธินว่าพี่โยอย่างที่ซีเรียกได้ไหมครับ ถึงอย่างไรพวกผมกับซีก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ช่วงหนึ่ง ก็เคยคุยกับซีบ่อยๆ ซียังเอาขนมมาให้พวกเราทานเกือบทุกวัน”

“รู้สึกว่าช่วงนั้น ซีจะหัดทำขนมอยู่”

“อืม”กว่าอีกฝ่ายจะตอบก็นานพอควร “ช่วงนั้นซีตั้งใจเรียนทำขนมมากเลยละ แล้วคนที่อยากให้กิน เขากินไหม”

“กินซิครับ หมอนั่นนะ ถ้าเป็นของกินนะฟาดเรียบ”

“อ่อ”

“ทำไมหรือครับ”

“ประมาณว่า... ถึงจะไม่มีขนมเหลือกลับมา แต่น้องชายฉันก็ไม่มีดูมีความสุขสักเท่าไหร่ เลยนึกว่าไปแจกคนอื่นเสียแทน”

“อือ คนอื่นก็ได้กินครับ น้องพี่เขาใจดี แจกให้แทบทุกคน แต่บังเอิญว่าช่วงนั้นเป้าหมายมันกำลังตกห้วง พอก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือหรือทำอะไรอยู่ก็ไม่ค่อยได้สนใจใคร ถ้ามีคนยื่นของกินมาให้หยิบใส่ปากได้ก็กลืนคำเดียวหมด แล้วก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือของมันต่อ คำพูดขอบคุณสักคำยังไม่มี แต่ที่จริงมันชอบมากนะ”

“จริงเหรอ”เพราะเป็นเสียงโทนเดียวของสเตบาสเตียน ชายหนุ่มจึงไม่แน่ใจว่าใครเป็นเจ้าของคำถามและถามด้วยอารมณ์ไหน

“อืม ไม่โกหกหรอกน่า พอมันรู้สึกตัวก็ถามหาขนมของนายทุกที”หลังประโยคนั้น การพูดคุยสนทนาก็เงียบเสียงไปครู่ใหญ่ และประโยคต่อมาก็ทำให้มาริเอะที่กำลังเท้าคางทำหน้าเบื่อสนใจขึ้นมาได้

“พี่โยรู้เรื่องชวิศาอีกคนใช่ไหมครับ”

“อา...ที่เป็นหุ่นยนต์ของสุดฟ้า”

คราวนี้ทุกอย่างกลับไปเงียบสนิทเหมือนเดิมอีกครั้ง สุดฟ้าขมวดคิ้ว จนกระทั่งมาริเอะบอกให้สเตบาสเตียนเปลี่ยนเป็นดึงภาพในบ้านขึ้นบนจอมอนิเตอร์ที่เปิดอยู่เสียแทน พวกเขาถึงได้เห็นวิธีการที่สามคนนั้นใช้คุยกัน ธัชนนท์กางสมุดจดเล่มเล็กๆ และเขียนข้อความลงไปบนนั้นก่อนจะส่งให้โยธินดู โยธินพยักหน้ารับ ฝาแฝดคนโตถึงได้เก็บสมุดนั้นเข้ากระเป๋า จากนั้นภาพที่เห็นก็ดูเหมือนว่างทั้งสามคนจะนั่งกันอยู่นิ่งๆ ราวกับว่าภาพบนจอมอนิเตอร์ไม่มีการเคลื่อนไหว สุดฟ้าจึงสั่งให้สเตบาสเตียนดึงเสียงสนทนากลับมา เพราะการดักฟังจากการจับความถี่ของคลื่นเสียงใช้หน่วยความจำค่อนข้างมาก ระบบประมวลผลของสเตบาสเตียนจึงตัดการทำงานอย่างอื่นลง

“....สนุกมากครับ พี่ลองไปดูนะ”

“น่าสนใจดี ตอนพี่ไปตรวจสาขาของโรงแรม ก็ไปทำงานอย่างเดียว”

สุดฟ้าทำเสียงชิชะอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะที่มือก็ดึงพอร์ตซาต้าของหุ่นยนต์ที่ฝาแฝดผู้พี่ตั้งชื่อว่าน้ำ มาเสียเข้ากล่องลงโปรแกรมคอนโทรล ตั้งโทรศัพท์มือถือของเขาไว้บนพอร์ตด้านบนของกล่องก่อนจะนำคีย์มาต่อพ่วง

ชายหนุ่มวางแผนการทำงานไว้ในหัว เขาจะอัพเกรดสเตบาสเตียนใหม่ อยากจะใช้หน่วยประมวลผลรุ่นเดียวกับที่ประกอบให้มาริเอะ แต่บุคลิกนิสัยของมาริเอะผิดเพี้ยนไปจากที่เขาตั้งใจไว้มาโข มันอาจจะเป็นความผิดพลาดจากโปรแกรมการเรียนรู้เพิ่มเติม แต่โปรแกรมนี้น่าจะทำให้สมองกลมีการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้นนี่นา เพราะเจอความขัดแย้งกันเช่นนี้ สุดฟ้าจึงตัดสินใจว่า จะวิเคราะห์มาริเอะใหม่อีกสักรอบแล้วค่อยปรับแก้สเตบาสเตียน ฉะนั้นก่อนอื่น เขาจะปรับปรุงดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด ต้องหาคีย์บอร์ดมาต่อพ่วงแบบนี้  ....มันไม่คูลเลยจริงๆ!!!!

เสียงสัญญาณเรียกเข้าทำให้ภวังค์ความคิดของชายหนุ่มหยุดลง หน้าจอโทรศัพท์แสดงรายชื่อคนที่โทรเข้าแต่จอภาพของดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ยังคงแสดงโค้ดคำสั่งเต็มพื้นที่

สุดฟ้าสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย อ่อ นี่อีกอย่างที่ต้องแก้ ถ้าใช้งานอยู่แล้วมีคนโทรเข้า ต้องใช้คำสั่งเปิดลำโพงโทรศัพท์อย่างเดียว

“สวัสดีครับ”

“คุณสุดฟ้า เตรียมเครื่องบินเรียบร้อยแล้วครับ ผมจะนำเครื่องขึ้นตอนหนึ่งทุ่ม ดังนั้นจะให้รถไปรับที่บ้านตอนห้าโมงนะครับ”

“ได้ครับ”

“กรุณาแจ้งเพื่อนของคุณด้วยว่า ต้องตรวจเอกสารออกนอกเมืองตามขั้นตอนปกตินะครับ”

“อ่อครับ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะครับ ถ้าคุณธีรวัฒน์ต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกได้นะครับ”

“โอ้ เท่าที่ผ่านมาคุณสุดฟ้าก็ช่วยเหลือผมมาหลายอย่างแล้วครับ”

เขาพูดปฏิเสธออกมาไปว่าไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง หลังจากนั้นอีกสองสามประโยคเขาก็วางสาย ชายหนุ่มเหลือบตามองเวลาที่มุมหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะเร่งเขียนโค้ดโปรแกรมลงไป และเสียงออดจากอินเตอร์คอมก็ดังขัดจังหวะการทำงานของเขาอีกครั้ง

“คุณสุดฟ้าครับ ผมทำอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ออกมาทานไหมครับ”

พอได้ยินว่ามีของกิน ท้องของเขาเกิดส่งเสียงร้องโครกครากขึ้นมาทันที สุดฟ้าจึงวางมือและเดินออกไปด้านนอก สเตบาสเตียนหุ่นยนต์พ่อบ้านผู้แสนดีจึงเดินตามออกไปด้วยเช่นกัน ชวิศายกยิ้มให้เขาเมื่อเห็นหน้าพลางคว้าข้อมือคล้ายจะพาเดินไปด้วยกัน ก่อนจะทำหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นว่าเอมมิกาเดินออกมาจากห้องนอนเช่นเดียวกัน

“หวังว่าจะมีอาหารกลางวันสำหรับฉันด้วยนะคะ”หญิงสาวพูดขณะเดินเข้าหาสุดฟ้าและคล้องแขนอีกข้างหนึ่งของชายหนุ่มเจ้าของบ้านไว้ ชวิศาก็อยากจะตอบว่าไม่มีแต่เพราะเขาทำน้ำราดหน้าไว้เป็นหม้อ ถึงอย่างไรคุณสเตบาสเตียนก็คงจัดเตรียมให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ดี เขาจึงได้แต่ทำเมินไม่ตอบไปเสีย

อาหารกลางวันนี้เป็นราดหน้าทะเลที่ชวิศาซื้อของสดมาเตรียมไว้ตั้งแต่วันก่อน ให้พูดก็คือเพราะเขาเห็นกุ้งตัวโตกับปลาหมึกสดๆที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต เลยอดที่จะซื้อมาไม่ได้ หลังจากที่วนไปวนมาอยู่ในห้างเพื่อคิดเมนู มันจึงกลายมาเป็นราดหน้าเส้นใหญ่กรอบทะเลหมูหมัก เขาหมักหมูทิ้งไว้จนคิดว่าจะไม่ได้ทำเสียแล้ว

ตอนที่สุดฟ้าเดินไปถึงโต๊ะอาหาร ฝาแฝดสุวราลักษณ์กับโยธินกำลังนั่งทานมื้อกลางวันกันอย่างเอร็ดอร่อย และเมื่อสุวราลักษณ์คนพี่เห็นเขาก็เชื้อเชิญเขาไปนั่งร่วมโต๊ะราวกับตัวเองเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง

“เอ้า สุดฟ้า มานั่งๆ ราดหน้าของชวิศาอร่อยมาก ได้กินแล้วจะติดใจ ซีจ๋าขอเติมจ๊ะ”

ฟังเสียงของธัชนนท์แล้วคิ้วกระตุก สุดฟ้านึกสงสัยทำไมรอบตัวเขาถึงมีแต่พวกกวนประสาทนะ ชวิศาแค่พยักหน้ารับ แต่หันไปหาชายหนุ่มเจ้าของบ้านเสียแทน เพราะรู้ว่าไม่ว่าอย่างไร คุณพ่อบ้านจะเป็นฝ่ายบริการให้ชายหนุ่มจากบ้านสุวราลักษณ์เอง

“คุณสุดฟ้านั่งก่อนครับ”ชวิศาพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าพลางดึงเก้าอี้ให้เขานั่ง แต่โต๊ะทานข้าวที่บ้านของเขามันสำหรับแค่สี่คน ตอนนี้จึงยังเหลือหญิงสาวอีกคนที่ยังยืนหัวโด่ และชวิศาที่ยังกุลีกุจอตักราดหน้าใส่จานให้เขาอย่างเอาใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก สเตบาสเตียนก็ไปหาเก้าอี้มาอีกสองตัว ชวิศาซึ่งเดินถือจานอาหารกลางวันมาสองจานนั่งลงที่หัวโต๊ะติดกับสุดฟ้าทันทีที่หุ่นยนต์พ่อบ้านหาเก้าอี้มาให้ เอมมิกาจึงต้องระเห็จไปนั่งอีกฝั่ง

เมื่ออาหารหนักสำหรับมื้อกลางวันจบไปอย่างราบรื่น ขณะที่พวกเขากำลังละเลียดทานของหวาน บ้างก็กำลังจิบกาแฟ  สุดฟ้าจึงพูดเรื่องเที่ยวบินของชวิศาและโยธิน   

“ตอนห้าโมงจะมีรถมารับที่บ้าน ไปตรวจเอกสารที่สนามบินก่อนแล้วบินตอนประมาณหนึ่งทุ่ม”

ชวิศาหน้าเสีย นึกไม่อยากไปเสียดื้อๆ “คุณสุดฟ้าไปด้วยกันไหมครับ” เขาถามกุมฝ่ามือซึ่งใหญ่กว่าของตนไว้ สุดฟ้าจึงพลิกฝ่ามือมาสอดประสาน ส่วนโยธินนึกระอาจนคร้านจะพูดขัด

“ไม่ได้หรอก ฉันมีงานต้องทำ ไว้ว่างๆแล้วจะบินไปหา”

“เมื่อไหร่ครับ”ชวิศาถามทันที เขาร้อนรนเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่ชัดเจน แถมยังมีทั้งเอมมิกาและชวิศาอีกคน ชายหนุ่มกลัวว่าถ้าเขาห่างจากอีกฝ่ายไปนานๆ เขาจะเป็นฝ่ายถูกลืม

สุดฟ้าทำท่านึก โยธินเห็นว่าน้องชายเริ่มจะงี่เง่าขึ้นทุกที เลยโพล่งขึ้นมากลางปล้องไปเลยว่า “น้องไปเร่งรัดกดดันแบบนี้มันน่ารำคาญนะ ระวังจะโดนเบื่อ” คราวนี้ชวิศาน้ำตาคลอ เขามองหน้าพี่ชายก่อนจะหันหน้ามาหาสุดฟ้าคล้ายจะถามว่าจริงหรือ สุดฟ้าเลยยิ่งอึดอัด ตวัดสายตาไปมองโยธินที่ฝ่ายนั้นทำลอยหน้าลอยตาอย่างไม่ใส่ใจ จนสุดฟ้าเริ่มสงสัยว่าฝ่ายนั้นเป็นพี่ชายแบบไหนกันแน่ หันกลับมามองชวิศาอีกที ชายหนุ่มหน้าสวยก็จ้องมองเขาอย่างรอคอยคำตอบ เหลือบไปมองฝาแฝดต่างก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ผมขอโทษครับ แต่...โทรหาได้ไหม”พอชวิศาเปลี่ยนคำถาม ชายหนุ่มก็ตอบรับทันที ซึ่งนั่นทำให้ชวิศายกยิ้มขึ้นมาได้บ้าง

“เอ้า ไปทำงานได้แล้ว”ธัชนันท์เอ่ยปากไล่

“ถ้าฉันไม่ไปใครจะทำไม”สุดฟ้าตอบคำสวนกลับไปทันที

“ก็ไม่ทำไม ฉันก็จะรออยู่บ้านแกทั้งวัน”

สุดฟ้ายกไหล่ไม่แยแส เขายังนั่งอยู่กับที่ตอนที่หันไปพูดกับชวิศาด้วยน้ำเสียงเจ้าชู้ “เราไปสานสัมพันธ์ส่งท้ายกันหน่อยไหม”
ชวิศาเขินจนหน้าแดง แต่ผู้เป็นพี่ชายถึงกับสำลักกาแฟที่กำลังดื่ม โยธินทำใจยอมรับกับรสนิยมของน้องชายได้ แต่ให้มาได้ยินชัดเจนแบบนี้ เขาก็กระดากหู เสียงดุเข้มจึงเอ่ยชื่อผู้มีศักดิ์เป็นน้องในเชิงห้ามปราม

“คงไม่ได้หรอกครับ เกรงใจพี่โย”ชวิศายิ้มแหยๆให้ทั้งพี่ ให้ทั้งชายหนุ่มผู้ที่ตนผูกใจสมัครรักใคร่

ในเมื่อนั่งอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป สุดฟ้าจึงลุกขึ้น โดยคิดว่าจะไปทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ

“เอ๋!!!”ชวิศาหน้าตาตื่น เพราะคิดว่าตนไปทำอะไรให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านโกรธ กำลังจะลุกขึ้นไปตามง้อ ฝาแฝดบ้านสุวราลักษณ์ก็ลุกขึ้นมาขวางเสียก่อน

“ซีไปเล่นเกมส์กันดีกว่า ไม่ต้องไปสนใจเจ้าสุดฟ้าหรอก”

“แต่คุณสุดฟ้ากำลังโกรธ”

“ฮื่อ โกรธที่ไหน มันก็อย่างนี้แหละ นึกจะไปก็ไปนึกจะมาก็มา ไม่ต้องไปสนใจมันมากนักหรอก ไปเล่นเกมส์กันดีกว่า”ชายหนุ่มร่างเพรียวโดนร่างสูงใหญ่ของธัชนันท์ต้อนให้ไปนั่งหน้าทีวี ฝั่งโยธินกับเอมมิกาก็โดนสุวราลักษณ์คนโตเชื้อเชิญไปให้นั่งจุมปุกอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีเช่นเดียวกัน คนอื่นอาจจะสนใจเกมเพลย์สเตชั่นที่พี่น้องบ้านสุวราลักษณ์นำเสนอ แต่ด้วยใจที่ยังพะว้าพะวงของชวิศา เขาไม่มีสมาธิอยู่กับตัวซ้ำยังไม่มีฝีมือจึงพ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็ว หลังขยับถอยให้คนอื่นมานั่งแทนที่ เสียงโทรศัพท์มือถือที่สุดฟ้าเคยให้ไว้และเขาก็พกติดตัวมาตลอดก็ได้แผดเสียงขึ้น

หน้าจอโทรศัพท์ไปไม่ระบุเบอร์โทรศัพท์ของผู้ที่โทรเข้า กระนั้นชวิศาก็รับสาย

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ เอ...จะแนะนำตัวว่าอย่างไรดีนะ”ปลายสายพึมพำ “ผมคือคนที่หน้าตาเหมือนคุณนะครับ”

“เอ๊ะ!!! คุณ...”กำลังจะร้องเรียกชื่อออกมาแล้วเชียว ถ้าอีกฝั่งไม่ส่งเสียงห้ามปรามมาเสียก่อน

“ต่อไปให้เรียกผมว่า ‘มาริ’ นะครับ”

“หือ ทำไมละครับ”

“ก็ด็อกเตอร์ไม่อยากให้สับสนกับชื่อของคุณเลยบอกให้ใช้ชื่อนี้แทน”มาริเอะยังเล่าอีกว่าชื่อนี้มาจากไหน

“มาริเอะน่ารักจะตาย”ชวิศากล่าวสนับสนุนความคิดของสุดฟ้า เขาเพิ่งรู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ เพราะสุดฟ้ามักจะเปิดดูอยู่เสมอเมื่อมีเวลาว่าง ชายหนุ่มคิดว่ามันก็ตลกและน่ารักดีนะ

“บู้!!!!!!! ตรงไหนกัน ซีรี่ย์เกาหลีที่ดูกับคุณพรลภัสยังจะสนุกกว่า” ต่อจากนั้นพวกเขาสองคนยังคุยกันต่ออีกยาว รู้ตัวอีกที ก็เป็นเวลาเกือบจะห้าโมงแล้ว

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมหุ่นยนต์สองตนที่นำเข้าไปซ่อม ธัชนันท์รี่เข้าไปหาอย่างตื่นเต้น ส่วนคนเป็นพี่ เขารอให้น้ำเดินเข้ามาหาด้วยอาการปกติ

ยังไม่ทันที่เสียงออดหน้าบ้านจะดังขึ้น สเตบาสเตียนก็กล่าวว่ารถยนต์ที่มารับชวิศาและโยธินนั้นถึงหน้าบ้านแล้ว พวกเขาจึงเคลื่อนที่ไปยังประตูหน้าบ้าน จังหวะที่ประตูบ้านถูกเปิดออก ประตูรถยนต์ถูกเปิดออกมาพร้อมชายหนุ่มวัยกลางคนในชุดสูทภูมิฐานผู้เป็นเจ้าของนามธีรวัฒน์

“อาอาร์ม สวัสดีคร้าบ”สองหนุ่มฝาแฝด ยกมือไหว้กล่าวทักทายผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียงกัน

“เอ้า มาอยู่กันที่นี่เอง โดดงานกันมาอีกแล้วใช่ไหม”

“เปล่าครับ”ฝาแฝดยังคงยึดมันในเอกลักษณ์ของพวกเขาสองพี่น้อง สองหนุ่มตอบปฏิเสธกันอย่างพร้อมเพรียง แล้วเอ่ยแก้ต่างต่อไปอีกว่า

“ผมทำงานเสร็จแล้วครับ”

“ผมก็ไปดูโรงงานมาแล้วครับ”

ผู้สูงวัยกว่าจึงหัวเราะ หันมาหาสุดฟ้าที่ยกมือไหว้เขาเช่นเดียวกัน ธีรวัฒน์ยกมือรับไหว้ “เพื่อนคุณสุดฟ้าที่บอกว่าจะไปฝรั่งเศสละครับ”

ทั้งฝาแฝดและสุดฟ้าจึงผายมือไปยังโยธินและชวิศา สองหนุ่มผู้ถูกกล่าวถึงจึงยกมือไหว้ด้วยกริยาเรียบร้อยงดงามจนหลานชายและเพื่อนหลายชายกลายเป็นลิงเป็นค่างไปเลย

“มีกระเป๋าไหมครับ ผมจะได้ให้เด็กนำขึ้นรถ”

“กระเป๋าของพวกผมไปกับเที่ยวบินที่ผมจองไว้วันนี้แล้วครับ คงไม่ต้องลำบากคุณธีรวัฒน์”ถ้าบอกว่าพี่น้องสุวราลักษณ์เป็นคนจัดเตรียมเครื่องบินให้พวกเขา โยธินจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะบริษัทที่ให้เช่าเครื่องบินพานิชย์เป็นหนึ่งในบริษัทลูกในเครือสุวรา แต่เขาไม่คิดว่าสุดฟ้าสามารถเรียกใช้บริการได้เช่นเดียวกัน ซ้ำผู้บริหารระดับซีอีโอยังมาให้บริการด้วยตนเอง จะบอกว่าเพราะเป็นเพื่อนหลานชาย เหตุผลนั้นก็ดูอ่อนไปหน่อย อย่างไรก็ตาม โยธินยังคงไม่ชอบสุดฟ้าอยู่ดี

“ผมโทรหาได้ไหมครับ”ชวิศาหันไปถามย้ำกับสุดฟ้าอีกครั้ง ซึ่งชายหนุ่มร่างสูงก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหน้าสวยที่มีความสูงน้อยกว่าจึงโบกมือให้อีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาใกล้ สุดฟ้ามองอย่างสงสัยแต่ก็ก้มหน้าลงไปหา เมื่อชวิศาเห็นอีกฝ่ายก้มตัวลงมาในระยะที่เอื้อมถึง เขาจึงเขย่งปลายเท้ายกตัวขึ้นแตะริมฝีปากบางของสุดฟ้าอย่างรวดเร็ว สุดฟ้าตอบสนองการกระทำนั้นด้วยการคว้าร่างเพรียวบางเข้าหาหวังจะกดจูบซ้ำ แต่กระนั้นโยธินกลับไวกว่า มือหนึ่ง เขาคว้าไหล่น้องชาย อีกมือเขายันหน้าสุดฟ้าให้ออกห่าง

“ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อ”โยธินกัดฟันกรอด มันแย่จริงๆที่น้องชายของเขาดันทุ่มให้อีกฝ่ายเสียหมดใจ
สุดฟ้าจึงจำใจต้องปล่อยมือ

ชวิศาโบกมือลาขณะที่โดนพี่ชายลากตัวไปขึ้นรถ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงโบกมือให้บ้าง

คล้อยหลังชวิศากับโยธิน สองหนุ่มฝาแฝดก็โบกมือลา ตอนนี้ทั้งบ้านจึงเหลือแค่สุดฟ้ากับเอมมิกาที่ยืนเงียบอยู่เฉยๆมาตลอด เธอเดินเข้ามาหา กอดแขนข้างหนึ่งของชายหนุ่มไว้พลางเบียดหน้าอกหน้าใจเข้าหา

“ตอนนี้ก็เหลือแค่เราแล้วนะคะ”เธอกล่าวเสียงหวาน โน้มดึงร่างสูงให้ก้มต่ำลงมาบดเบียดจุมพิต โรมรันพันตูกันอยู่ครู่ใหญ่กว่าทั้งสองจะผละออกจากกัน ตั้งแต่มาอยู่กับสุดฟ้า เอมมิกาไม่เคยแต่งตัวให้มิดชิด เธอใส่เพียงเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นของชายหนุ่มเจ้าของบ้าน ไม่มีเสื้อผ้าชิ้นในราวจะประกาศว่าเธอพร้อมจะร่วมรักกับเขาเสมอ ยามเมื่อสุดฟ้าลากมือผ่านเข้าไปใต้กางเกงจึงพบแต่เนื้อนวลเต็มฝ่ามือ เธอครางกระเส่ายามเมื่อเขากระตุ้นเร้าหยอกเย้ากลีบบุปผา ร่างของเธออ่อนระทวย สุดฟ้าจึงอุ้มพาเธอไปหยุดยังโซฟาเบดตัวยาวหน้าทีวี ให้เธอนั่งคร่อมทับอยู่ด้านบน เอมมิกาถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก ประถุมถันอวบอั๋นจึงปรากฏสู่สายตา สุดฟ้ายกยิ้ม ล้วงสร้อยคอเส้นเล็กออกมาจากกระเป๋า เธอมองของที่อยู่ในมือเขาด้วยสายตางุงงง

สร้อยเส้นนั้นเป็นทองคำขาว จี้รูปหัวใจประดับทับทิมล้อมกรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ แต่เอมมิการู้ว่าราคาของมันไม่ได้เล็กตามขนาด

“แด่ผู้หญิงที่สวยที่สุด”

สุดฟ้าสวมมันให้เธอ จากนั้นพวกเขาก็ร่วมรักกันอย่างเร่าร้อน




“น่าจะปล่อยคลิปให้ทั่วโซเชียลนักเชียว”มาริเอะพูดหลังจากบังคับให้สเตบาสเตียนดึงภาพในห้องนั่งเล่นขึ้นบนจอมอนิเตอร์

“ถึงคุณจะทำแบบนั้น ด็อกเตอร์ก็จะให้คุณไปตามเก็บคลิปพวกนั้นกลับมาอยู่ดี”

มาริเอะตวัดสายตามองหุ่นยนต์พ่อบ้านอย่างขุ่นเคือง พลางบ่นพึมพำ “เกลียดนัก พวกผู้ชายหลายใจ”

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบ 04/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-12-2016 00:36:16
ตอนที่สิบ


เช้าวันนั้น สุดฟ้าตื่นขึ้นมาเพราะเสียงแผดร้องของโทรศัพท์ เขาคว้าแว่นตาซึ่งวางอยู่โต๊ะเตี้ยบริเวณหัวเตียงขึ้นมาสวม  หยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองหมายเลขโทรเข้าด้วยอาการมึนๆเบลอๆอย่างคนเพิ่งตื่น

“เฮลโล”เขากรอกเสียงลงไปหลังจากกดรับ ปลายสายขอโทษขอโพยที่โทรมากวนแต่เช้า ก่อนจะกล่าวเข้าเรื่อง

“เมื่อวานมีคนโจมตีเซิร์ฟเวอร์ของดีม จาร์ ผมเลยอยากให้มิสเตอร์สุดฟ้ามาช่วยตรวจสอบครับ”

“เอ๋... ผมได้ยินว่าเอฟบีไอเข้าไปตรวจสอบแล้วไม่ใช่หรือครับ”ชายหนุ่มถามกลับไปตามข่าวที่ได้รับล่าสุด

“ครับ แต่ก็ยังตันอยู่ดี เราเจอว่ามีคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์นับล้านเครื่องที่ส่งข้อมูลมาโจมตีเรา แต่เราหาต้นตอไม่ได้ว่าข้อมูลพวกนั้นมันเริ่มมาจากแหล่งไหน มันคงจะดีกว่าถ้าคุณมาช่วยตรวจสอบให้เรา”

“อา...ได้ครับ”สุดฟ้าใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลง

“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจะส่งคนไปรับนะครับ”

ชายหนุ่มตอบรับก่อนจะกดตัดสาย เอมมิกาซึ่งได้ยินเสียงพูดคุยแว่วๆ จึงขยับตัวลืมตาตื่น ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ร่างกายของเธอเปลือยเปล่า ไม่ต่างจากชายหนุ่มเจ้าของบ้าน  เธอยันตัวลุกขึ้นนั่งโดยไม่คิดสนใจผืนผ้าที่ร่นไปกองอยู่ที่สะโพก และโอบกอดเขาจากด้านหลังทำให้ผิวกายเปล่าเปลือยแนบชิดกัน

“มีอะไรหรือค่ะฟ้า”

“พอดีเดี๋ยวผมต้องบินไปอเมริกาวันนี้นะครับ เซิร์ฟเวอร์ของคนรู้จักโดนยิงไอพี เขาเลยให้ผมไปเช็คให้”

“หือ คุณคงไม่คิดจะทิ้งแอมให้อยู่บ้านคนเดียวใช่ไหมค่ะ”เธอช้อนสายตาขึ้นมอง ชายหนุ่มจึงถามกลับ

“คุณจะไปด้วยหรือครับ ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอกนะ”

“แต่ได้อยู่กับคุณ”เธอตอบ แล้วขยับตัวไปนั่งอยู่เบื้องหน้าของสุดฟ้า ลากฝ่ามือปลุกเร้าอารมณ์ของเขาให้ลุกโชน จนมันผงาดแข็งกร้าว ก่อนจะกลืนกินมันด้วยช่องทางอุ่นร้อน

“คุณไม่อยากอยู่กับแอมหรือค่ะ”เธอถามซ้ำ สุดฟ้าลากฝ่ามือไปตามบั้นเอวของหญิงสาว ขย้ำสะโพกซึ่งแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ บ่งบอกว่าเจ้าของร่างขยันดูแลร่างกายเป็นอย่างดี แล้วอดนึกย้อนถึงชวิศาไม่ได้ ทั้งที่ฝ่ายนั้นเป็นผู้ชายแท้ๆ ผิวพรรณกลับเรียบเนียนและนุ่มลื่นกว่าเอมมิกาเสียอีก

“อยากสิครับ เพราะฉะนั้นหลังเสร็จจากนี้ คุณไปเตรียมเก็บกระเป๋าได้เลยนะ”เขาตอบก่อนจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน




ราวๆสิบเอ็ดโมงกว่าๆของวันนั้น คนที่บอกว่าถูกส่งมารับเขาก็มาถึงหน้าบ้าน และคนที่ลงมาจากรถยังคงเป็นธีรวัฒน์อยู่เช่นเดิม

“มิสเตอร์ดีน มอร์แกน ให้มารับคุณสุดฟ้าครับ”

“แล้วคุณธีรวัฒน์ต้องมารับด้วยตัวเองเลยหรือครับ”

“ก็แขกวีไอพี ผมจะไม่มาดูแลด้วยตัวเองได้อย่างไร อีกอย่าง นานๆทีคุณสุดฟ้าถึงจะใช้บริการสักครั้ง”

สุดฟ้าเกาศีรษะทำท่าเขิน “ก็มันแพงนี่นา”

“ไม่ได้จ่ายเงินเองยังว่าแพงอีกหรือไง”ธีรวัฒน์ออกปากแซว ชายหนุ่มจึงได้แต่หัวเราะแหะๆ

“แล้วนี่จะไปกันกี่คนหรือครับ”ธีรวัฒน์ถาม เมื่อเห็นว่ายังมีอีกสองคนยืนอยู่ด้วยกัน

“อ่อ หมดนี่แหละครับ”สุดฟ้าตอบก่อนจะกล่าวแนะนำพ่อบ้านส่วนตัวและเอมมิกาให้ธีรวัฒน์รู้จัก “นี่สเตบาสเตียน พ่อบ้านส่วนตัวของผม และนี่คุณแอม คู่ขาของผมเองครับ”

ทั้งเอมมิกาและธีรวัฒน์ต่างนิ่งอึ้งไปชั่วครู่กับคำแนะนำนั้น ก่อนที่ผู้สูงวัยกว่าจะปรับสีหน้าได้ก่อน ถึงจะชินกับนิสัยที่ไม่เหมือนใครของเพื่อนหลานชายอยู่บ้าง แต่บางครั้งมันก็ทำให้เขาทึ่งจนไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน

“แหม ฟ้าเนี่ย”เอมมิกาพูดออกมาด้วยเสียงเจื่อนๆแปร่งๆ “แนะนำแอมแบบนั้นเดี๋ยวใครต่อใครก็เข้าใจแอมผิดหมด”

“แล้วจะให้บอกว่ายังไงละครับ”เขาถามด้วยความสงสัย

“ก็บอกว่าเป็นเพื่อน หรือจะบอกว่าเป็นคนรักก็ได้นี่ค่ะ”เอมมิกาว่าพร้อมรอยยิ้ม

“แต่คุณไม่ใช่เพื่อนและคนรักของผมนี่ครับ”

คำตอบของสุดฟ้าทำให้เอมมิกาหน้าม้าน ยังไม่ทันพูดหรือตอบโต้กระไรต่อ ชายหนุ่มร่างสูงก็เดินนำลิ่วๆ ไปขึ้นรถ หลังจากที่ตั้งสติได้ หญิงสาวจึงวิ่งตามไปขึ้นรถเช่นเดียวกัน แต่ใช่ว่าประเด็นดังกล่าวจะถูกตัดจบไปง่ายๆ เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวหันไปคุยกับสุดฟ้าในประเด็นนี้

“ฟ้าค่ะ แอมว่าเราต้องคุยกันเรื่องความสัมพันธ์ของเรา”

“ครับ”สุดฟ้าหันไปหาด้วยท่าทางตั้งใจฟัง รถยนต์ขนาดเจ็ดที่นั่งที่พวกเขาโดยสารกำลังเริ่มเคลื่อนที่

“แอมไม่ชอบค่ะที่คุณแนะนำกับคนอื่นว่า แอมเป็นคู่ขาของคุณ”

“ครับ”ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบ เธอจึงนิ่งมองเขา ผ่านไปร่วมนาที เขาก็ยังไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปาก เธอจึงเอ่ยถาม

“คุณจะว่าอย่างไรละค่ะ”

“ครับ ผมรับทราบครับ”

เอมมิการู้สึกเหมือนเส้นเลือดที่ขมับกำลังเต้นตุบๆ

“ค่ะ แล้วครั้งหน้า คุณจะบอกคนอื่นว่าอย่างไรค่ะ”

“ก็ไม่บอกว่ายังไงครับ”

“สรุปคือแอมไม่มีความสำคัญกับคุณเลยใช่ไหมค่ะ”เธอทำท่าทางแง่งอน

“มีสิครับ คุณคือผู้หญิงที่สวยที่สุดเป็นอันดับสองเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย”

“แล้วอันดับแรกนี่ใครค่ะ”เธอถามเสียงแข็ง

“แม่ผมเอง”

“อ่อ แล้วไป”เธอพูด แล้วกล่าวต่อไปอีกว่า “ถ้าอย่างนั้น ครั้งหน้าคุณแนะนำกับคนอื่นว่าแอมเป็นคู่ชีวิตของคุณก็แล้วกันดีไหมค่ะ”เธอยกยิ้มเมื่อพูดจบ สุดฟ้าทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลงอย่างง่ายได้ จนเป็นเอมมิกาเสียเองที่ตื่นตกใจ

“คุณแน่ใจนะคะ”

“ครับ ผมแน่ใจ”การตอบรับอย่างง่ายดายของเขาทำให้หญิงสาวกังขา

“คุณแน่ใจนะว่าคุณรู้ความหมายของคำว่า ‘คู่ชีวิต’”

“ครับ คู่ชีวิต คือคนสองคนที่ผูกสัมพันธ์กัน และยอมรับทุกสิ่งระหว่างกันได้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เขาทั้งคู่ต่างซื่อสัตย์และจริงใจต่อกัน”สุดฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนเอมมิการู้สึกขนลุก แต่เธอก็ข่มความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นไว้และกล่าวต่อไปว่า

“งั้น เท่ากับว่าต่อไปนี้คุณจะไปนอนกับผู้หญิงหรือผู้ชายคนอื่นไม่ได้อีกแล้วนะ”เธอย้ำให้เขาฟัง

“ครับ”เขาตอบรับ ซึ่งนั่นทำให้เอมมิกาไม่สนใจเหตุผลของเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะเธอสนใจเพียงคำตอบรับที่ทำให้เธอสมปรารถนา



เครื่องบินที่จัดเตรียมไว้หรูหราเสียจนเอมมิการ้องว้าวและมองอย่างตื่นตา แม้จะเป็นเครื่องบินลำเล็กแต่ก็ยังใหญ่เกินไปสำหรับผู้โดยสารและลูกเรือจำนวนสิบคน

สุดฟ้าไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเดินตรงไปยังเตียงหลังใหญ่ทันทีที่ก้าวเท้าขึ้นมาเหยียบพื้นเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ ปล่อยให้เอมมิกาเดินสำรวจการตกแต่และพื้นที่ใช้สอยต่างๆให้หนำใจ สเตบาสเตียนก้าวเท้าตามเขามาพลางส่งเม็ดยาสีนวลอ่อนให้เขา

“ยาครับ ด็อกเตอร์”

“อืม ขอบใจ”เขายาโยนเข้าปากก่อนจะล้มตัวลงนอน ต่อให้เป็นเครื่องบินโดยสารแบบวีไอพีแค่ไหน ตอนที่นำเครื่องขึ้นก่อนที่เครื่องบินจะแตะระดับเพดานบิน ผู้โดยสารทุกคนก็ต้องนั่งประจำจุดและรัดเข็มขัดเพื่อความปลอดภัย แต่ช่วงเวลานั้นนั่นแหละที่ปั่นป่วนกระเพาะกับลำไส้ของเขามากที่สุด แม้หลังจากที่เขาหลับไปแล้ว การที่หุ่นยนต์พ่อบ้านต้องอุ้มเขาไปยังที่นั่งจะเป็นภาพที่ดูอุบาทว์ไปสักหน่อย แต่สุดฟ้าถือว่าเขาหลับไปแล้วเพราะฉะนั้นมันไม่ผลอะไรต่อเขา ที่สำคัญถ้าเขาต้องเผชิญกับอาการเมาเครื่องไปตลอดระยะเวลาบิน  ต่อเนื่องไปอีกเป็นวัน ไม่ว่าอะไรที่เลี่ยงอาการแบบนั้นได้เขายอมทั้งนั้นละ

ชั่วเวลาไม่นานที่เขาปล่อยความคิดให้ล่องลอย สุดฟ้าก็สามารถดิ่งลงสู่ห้วงนิทราได้อย่างรวดเร็ว ตอนที่เขารู้สึกตัวอีกครั้ง เป็นช่วงที่เครื่องบินกำลังเคลื่อนที่เอื่อยๆอยู่บนรันเวย์ พอลืมตาเขาก็อ้าปากถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆทันที

“ถึงแล้วใช่ไหม”

“ถึงแล้วครับ”สเตบาสเตียนตอบกลับมา พลางส่งแจ็คเก็ตแขนยาวให้เขา อากาศที่เมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงร้อนตับแตก แต่ที่นิวยอร์กอากาศกำลังเย็นสบายที่ค่อนไปทางหนาวสำหรับคนไทย สุดฟ้าจึงรับเสื้อมาสวมทับเสื้อยืดแขนสั้นตัวใน สเตบาสเตียนเองก็สวมเสื้อแขนยาวเพื่อให้ดูกลมกลืนกับคนทั่วไป จะมีก็แต่เอมมิกาที่เธอแต่งตัวเสียจัดเต็ม

“ทำไมค่ะ”เธอถาม หญิงสาวอยู่ในชุดเดรสสั้นสีดำ สวมถุงน่องดำ สวมทับด้วยเสื้อโค้ทยาวสีเหลืองผ้าวูลหนา ส่วนคอแต่งด้วยขนเฟอร์  แน่นอนว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ เอมมิกาขนมาเองหลังจากที่รู้ว่าเขาต้องบินมาอเมริกาและเธอได้สิทธิ์ตามมาด้วย

“เปล่าครับ”ชายหนุ่มตอบ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจความเยอะของหญิงสาวก็ตามที ก็นะ... อุณหภูมิแค่สิบห้าสิบหกองศา ต้องสวมโค้ทหน้าหนาวเลยหรือไงนะ สุดฟ้าคิดอย่างแปลกใจ

ลงจากเครื่องปุ๊บก็มีคนของ ‘ดีม จาร์’ มารออยู่ที่ประตูทางออก

“สวัสดีครับ มิสเตอร์ศิริกร ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะครับ” โรเบิร์ต อานิสตันเป็นผู้ช่วยคนสนิทของมิสเตอร์มอร์แกน เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ตามเชื้อชาติ รูปร่างเหมือนนักกีฬามากกว่าพนักงานออฟฟิต สุดฟ้าทักทายตอบกลับไปด้วยภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน

“ถ้าไม่ลำบากเกินไป คุณมอร์แกนอยากให้คุณเข้าไปที่บริษัทก่อนได้ไหมครับ เจ้านายผมสั่งอาหารไว้รอคุณแล้ว”

“อ่อ ได้ครับ ดีเหมือนกัน หลังทานอาหารเช้าเสร็จผมจะได้เช็คระบบเลย”

โรเบิร์ตเดินนำพาพวกเขาทั้งสามคนไปยังรถยนต์โดยไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเพิ่มเติม โรเบิร์ตเป็นผู้ช่วยในส่วนของงานบริหารที่มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทในระดับพื้นฐาน สุดฟ้าคิดว่าอีกฝ่ายคงได้รับรายงานมาแล้ว แต่คงจะเป็นข้อมูลเดียวกับที่ดีน มอร์แกนแจ้งเขา จึงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม

รถยนต์เคลื่อนที่ออกจากสนามบินจอร์นแอฟเคเนดี้มุ่งเข้าสู่แกรนด์เซ็นทรัลปาร์คเวย์ และใช้เส้นทางพิเศษเลียบแม่น้ำฮาร์เล็ม เพียงแค่สามสิบนาที รถยนต์ที่สุดฟ้านั่งมาก็เข้าสู่แมนฮัตตัน อาคารสำนักงานของดีม จาร์ตั้งอยู่บนโคลัมบัสอเวนิว ช่วงถนนที่แปดสิบสามห่างจากสวนสาธารณะธีโอดอร์โรสเวสต์ประมาณสี่ร้อยเมตร  ทั้งรถราบนถนนและผู้คนที่เดินอยู่สองข้างทางยังคงคึกคักเหมือนครั้งแรกที่สุดฟ้ามาเยือนที่นี่เมื่อสี่ถึงห้าปีก่อน

โรเบิร์ตนำพวกเขาขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ยี่สิบ เมื่อออกจากลิฟต์ ตรงไปยังสุดทางเดินจะเป็นห้องรับรอง ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูเข้าไป ดีน มอร์แกนก็เดินเข้ามาหา

“สวัสดีครับ การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างครับ”

สุดฟ้ากรอกตาพลางนึกคำตอบ เขาหลับมาตลอดยี่สิบชั่วโมงโดยไม่รู้ว่าเครื่องบินจอดพักเครื่องหรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่ก็พยายามเค้นสมองหาคำตอบดีๆ “ครับ ดีครับ เครื่องบินวีไอพีของคุณธีรวัฒน์เยี่ยมยอดมาก”

“ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้นครับ”คนพูดยิ้มกว้างก่อนจะผายมือเชื้อเชิญพวกเขาให้ไปนั่งที่โต๊ะ เซ็ตอาหารเช้าบนโต๊ะรับรองเป็นไข่ดาว แฮม ไส้กรอกและขนมปังที่สเตบาสเตียนเคยทำให้เขาทานเมื่อหลายวันก่อน สุดฟ้านั่งลงอย่างไม่อิดออด หลังจากใช้เวลานอนหลับมาอย่างยาวนาน ร่างกายของเขามักจะโหยหาอาหารอยู่เสมอ

หยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาถือในมือเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มถึงเพิ่งนึกขึ้นได้

“อ่อ... นี่พ่อบ้านและผู้ช่วยของผมครับ เขาชื่อสเตบาสเตียน ส่วนคุณผู้หญิงคนนี้ชื่อเอมมิกานะครับ เธอเป็นว่าที่คู่หมั้นของผมครับ”สองคนที่เขากล่าวถึงยังคงยืนอยู่ด้านหลัง และตอนที่ดีน มอร์แกนกล่าวทักทายกับสองคนนั้น สุดฟ้าก็เริ่มทานอาหารเช้าส่วนของตน

ฟากเอมมิกาก็ไม่ได้คิดจะเอ่ยแย้งอะไร เพราะการที่ถูกแนะนำว่าเป็นว่าที่คู่หมั้นก็ยังดีกว่าถูกเรียกว่าคู่ขาอย่างที่เคยโดน
เมื่อสุดฟ้าทานอาหารเสร็จ เขาก็เริ่มต้นคำถามของตัวเองเกี่ยวกับงานที่ต้องมาทำทันที ส่วนคนอื่นๆแม้แต่สเตบาสเตียนซึ่งเขาปรับปรุงให้หุ่นยนต์พ่อบ้านมีระบบทานอาหาร ยังคงทานในส่วนของตนไปเรื่อยๆ

“ตอนนี้พวกคุณยังหาตัวแฮกเกอร์กันอยู่หรือเปล่าครับ”

“ไม่แล้วละครับ”ดีนกล่าวตอบ “พอโปรแกรมเมอร์ของเราเจอว่าเป็นมัลแวร์ ผมเลยสั่งให้หยุดแล้วติดต่อคุณนั่นล่ะครับ ตอนนี้โปรแกรมเมอร์กำลังซ่อมไฟร์วอลล์ชั้นใน ถ้าอย่างไรรบกวนมิสเตอร์ศิริกรเขียนไฟร์วอลล์ชั้นนอกให้ป้องกันกรณีแบบนี้ด้วยได้ไหมครับ” นั่นละ คืองานที่เขารับมาดีม จาร์ 

สุดฟ้าไม่แน่ใจว่าดีม จาร์มีไฟร์วอลล์อยู่กี่ชั้น แต่เขารับจ้างเขียนไฟร์วอลล์ชั้นนอกสุดตั้งแต่เมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว หลังจากที่เซิร์ฟเวอร์ของดีน มอร์แกนโดนแฮกเกอร์ถล่มด้วยไวรัส ครั้งนั้นแฮ็กเกอร์เป็นมือสมัครเล่นที่อยากจะลองวิชา เพราะฉะนั้นเอฟบีไอจึงซิวเจ้านั่นเข้าคุกได้ง่ายๆ แต่กระนั้น การที่เซิร์ฟเวอร์ที่ตัวเองดูแลโดนเล่นเสียเละก็ทำให้ดีน มอร์แกนเปลี่ยนแนวความคิดในการสร้างระบบป้องกัน ดีน มอร์แกนเองก็ถือว่าเป็นโปรแกรมเมอร์รุ่นเก๋า ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะทำงานด้านบริหารอย่างเดียวก็จริง แต่เขาคิดว่าฝ่ายนั้นน่าจะมีส่วนร่วมอยู่บ้าง

หลังทานอาหารเสร็จ สุดฟ้าถูกพามาที่ห้องคอนโทรล คราวนี้เอมมิกาและสเตบาสเตียนถูกกันให้รออยู่ในห้องรับรองด้านล่าง 
อาคารทั้งหลังมีสามสิบชั้น โดยชั้นที่ยี่สิบเอ็ดถึงชั้นที่สามสิบด้านบนจะเป็นพื้นที่เก็บเซิร์ฟเวอร์ มีข้อกำหนดว่าบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้า

ภายในห้องนั้นมีโปรแกรมเมอร์นั่งทำงานอยู่สองสามคนซึ่งพอเห็นว่าเป็นเขาที่เดินตามเจ้าของบริษัทเข้ามาก็ร้องทักทายอย่างเป็นกันเอง

“เฮ้ นายไปทำอะไรกับหัวมานะสุดฟ้า”

“มันก็ต้องมีเปลี่ยนแปลงกันบ้างเซ่”สุดฟ้าตอบกลับไป

“รวมทั้งแว่นของนายด้วย”

“และที่สำคัญ ตอนนี้มิสเตอร์ศิริกรมีคู่หมั้นแล้ว”มอร์แกนกล่าวเสริมพร้อมรอยยิ้ม เรียกเสียงโห่ฮาด้วยความรู้สึกอิจฉาได้อย่างท่วมท้น

“แว่นเนิร์ดอย่างนายยังมีว่าที่คู่หมั้นได้ ทำไมหล่อๆอย่างฉันถึงไม่มีบ้างนะ”

“เอาไหมละ ยกให้”

“พูดเป็นเล่น”

บทสนทนาที่หาสาระไม่ได้ถูกหยุดไว้แค่นั้น เมื่อสุดฟ้าเสียบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ตัวล่าสุดที่เขาเพิ่งปรับปรุงเสร็จเข้ากับคอนโทรลเลอร์เคส ที่จริงสุดฟ้าไม่จำเป็นต้องใช้อุกปรณ์ชิ้นนี้ ในเมื่อภายในห้องมีคอมพิวเตอร์ให้เขาใช้อยู่แล้ว เพียงแต่เขาอยากลองของใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ

ดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์รุ่นนี้มีขนาดเล็กลงมาก มันมีขนาดประมาณสองนิ้ว เนื่องจากปัญหาเรื่องการใช้โทรศัพท์เพื่อการติดต่อสื่อสาร สุดฟ้าจึงเปลี่ยนมันให้ทำหน้าที่เป็นคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กแทน และเมื่อเขาสามารถลดขนาดมันได้ถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มจึงมีแนวคิดที่จะติดมันเข้ากับนาฬิกาข้อมือ

“ว้าว มีอะไรเจ๋งๆมาโชว์อีกแล้ว”คริส บราวน์เป็นคนที่สุดฟ้าคุยด้วยบ่อยครั้งและสนิทที่สุดในกลุ่มทีมงานของดีม จาร์ เจ้าของชื่อลุกจากที่นั่งและเดินเข้ามาใกล้เพื่อมองเจ้าสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ของสุดฟ้าให้ชัด

สุดฟ้าทาบฝ่ามือบนหน้าจอเพื่อปลดล็อกรหัส จากนั้น อุปกรณ์จึงแสดงภาพเป็นหน้าจอสีดำแบบหน้าต่างดอสและแป้นคีย์บอร์ด

“มันใช้ได้จริงใช่ไหมเนี่ย”

สุดฟ้ายกยิ้ม ชอบใจกับการที่คนอื่นๆตื่นเต้นกับของเล่นใหม่ของเขา

เขาคีย์ข้อมูลคำสั่งลงไป ทุกครั้งที่เขาแตะพื้นที่ในส่วนของแป้นพิมพ์ ตัวอักษรแต่ละตัวจะเรืองแสงออกมา

“เจ๋งมาก เหมือนในออโต้ไมล์เดะๆ”คริสอุทาน ส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะเขาทั้งคู่ต่างเป็นโอตาคุเหมือนกัน

“ฉันขอลองหน่อยได้ไหม”

“ได้ดิ ฉันตั้งใจเอาออกมาโชว์นายโดยเฉพาะเลย”

สุดฟ้าเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อให้คริสเห็นไลท์มอนิเตอร์ได้ชัดขึ้น ชายหนุ่มผู้มีผมสีทองและตาสีฟ้าแต่กำเนิดค่อยๆยื่นปลายนิ้วไปแตะตัวอักษรตัวหนึ่งบนแป้นพิมพ์ครงหน้า แต่ปลายนิ้วของเขาไม่ได้สัมผัสโดนสิ่งใด ตรงหน้าว่างเปล่า ขณะที่ตัวอักษรที่เขาแตะก็เรืองแสงขึ้นมา

“เอ๋”คริสขมวดคิ้วสงสัย กำลังขยับมือต่อ แต่โดนมือของสุดฟ้าจับยึดไว้เสียก่อน

“อย่าทำอย่างที่นายคิดนะ เพราะนายกำลังจะทำให้อุปกรณ์ของฉันเจ๊ง”เขาบอกพลางดึงมือของคริสให้ออกห่างจากหน้าจอ คีย์คำสั่งล็อคการแสดงผลแล้วจึงโบกมือไปมาผ่านหน้าจอให้คริสดู  ภาพหน้าจอในส่วนที่ถูกมือบังไว้จึงหายไป

“การทำงานของมันก็คล้ายๆการฉายภาพโฮโลแกรมนั่นแหละ เพียงแต่ไลท์มอนิเตอร์ของฉันเป็นแบบทูดี” คริสอ้อมมามองด้านข้าง ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นก็เป็นแค่แสงที่ถูกฉายขึ้นไปเท่านั้น และถ้ามองจากด้านหลัง เขาเห็นแค่ตรงหน้าของสุดฟ้าดูสว่างกว่าปกติ

“ถ้าอยู่ในโหมดปกติสำหรับทำงาน การโบกมือไปมาแบบนี้มันจะทำให้ระบบการทำงานของอุปกรณ์ปั่นป่วน มันก็เหมือนกับการที่นายกดแป้มพิมพ์พร้อมกับคลิกเมาส์ไปด้วย บอร์ดมันก็คิดไม่ทันอยู่แล้วว่าควรจะทำคำสั่งไหนก่อน แต่อุปกรณ์ของฉันตอนนี้มันเซ็นซิทีฟกว่านั้นเยอะ”

“นายเคยลองมาแล้ว”

“แน่นอน ฉันทำมันพังไปมากมายแล้ว”สุดฟ้าย้ำให้ฟังคล้ายจะภูมิใจ

“เอาหล่ะ หนุ่มๆ ในเมื่อพวกคุณอวดของเล่นกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอความกรุณากลับไปทำงานด้วยครับ”ในเมื่อดีนพูดเช่นนั้น พวกเขาจึงต่างแยกย้าย สุดฟ้านั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเริ่มลงมือทำงานในส่วนของตน

เริ่มแรกเขาต้องหาแหล่งที่มาของมัลแวร์ ก่อนหน้านี้เขาเขียนไฟร์วอลล์ให้ป้องกันดีดอสอยู่แล้ว แต่ต้องเป็นโปรแกรมอัตโนมัติที่มีแหล่งที่มาจากไม่กี่ไอพี การโจมตีแบบดีดอสจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก อย่างกรณีของดีม จาร์ที่โดนครั้งนี้ สุดฟ้าคิดว่าคนทำคงเตรียมการมาอย่างดี ก่อนอื่นก็ปล่อยมัลแวร์ให้แพร่อยู่บนเว็บ คนที่ใช้เว็บนั้นก็จะติดมัลแวร์ไปโดยไม่รู้ตัวจนมันแพร่กระจายเป็นจำนวนที่มากพอ แล้วลงมือโดยสั่งให้มัลแวร์ใช้ไอพีของอุปกรณ์เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ตอนที่เจ้าของเครื่องเข้าอินเตอร์เน็ต แล้วทุกวันนี้ไม่ว่าใครก็เชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารของตัวเองกับเครือข่ายตลอดเวลา

สุดฟ้าทำการเช็คทุกไอพีที่เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ ก่อนจะดึงประวัติการใช้งานของแต่ละไอพีออกมา ตรวจสอบเว็บไซต์ที่แต่ละไอพีใช้งานซ้ำกัน

“เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม พวกนี้ต้องตัดออก”ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ “เพย์เพล อะเมซอน เน็ตฟลิกซ์ บีบีซี ซีเอ็นเอ็น นี่ก็ไม่เอา ไม่มีอะไรที่น่าเข้าเค้าเลยนะ” เขาจึงเปลี่ยนเช็คโค้ดของทุกเว็บแทน

“แต่แบบนี้มันน่าเบื่อที่สุด”เพราะไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงกัน สุดฟ้าเลยไม่รู้ว่าจะจับจุดร่วมที่ตรงไหนดี แม้จะรู้ว่าต้องหาโค้ดของมัลแวร์ เพื่อสาวไปถึงจุดเริ่มต้น แต่โค้ดที่ว่ามันอยู่ไหนกันละ ชายหนุ่มคิด ขณะมองโค้ดคำสั่งที่เรียงอยู่เต็มหน้าจอ บรรทัดคำสั่งปรากฏที่ด้านล่างของหน้าจอก่อนจะเลื่อนหายไปด้านบน ในจังหวะนั้นเองที่สุดฟ้าเห็นโค้ดแปลกๆที่ไม่น่าจะมีอยู่บนเว็บไซต์เหล่านั้น

“เอ็มวายเอสสามเจ็ดแปดสาม”มันดูคุ้นๆ สุดฟ้าคิดในใจ เขาจึงคีย์คำสั่งดึงเว็บไซต์ที่มีโค้ดดังกล่าวแฝงอยู่ ปรากฏว่ามันมีอยู่ทุกเว็บ จากนั้นจึงลองหาไอพีเริ่มต้นโดยดึงตามเวลาที่เป็นอดีตที่สุด ก่อนจะใช้ไอพีหาพิกัด ผลที่ได้ทำให้เขาต้องส่งเสียงหัวเราะหึหึอยู่ในลำคอ ไม่ใช่ว่าดีใจ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะตอบดีน มอร์แกนว่าอย่างไรมากกว่า เพราะคนที่ยิงไอพีของดีม จาร์เป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในรูปร่างมนุษย์เดินได้ของเขาเอง สุดฟ้าอยากจะต่อสายหามาริเอะเสียเดี๋ยวนั้น เขาให้หาข้อมูลของคน ดันเชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อยิงไอพีเซิร์ฟเวอร์ ไม่ตลกนะเฟ้ย!!!!!

สุดฟ้ากัดฟันกรอดๆ ตอนที่ลงมือเขียนไฟร์วอลล์ตัวใหม่ นิ้วทั้งสิบขยับอย่างรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน แม้จะมีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว แต่พลังสมาธิของเขากลับทะลุสองร้อยเปอร์เซ็นต์ คำสั่งโค้ดโปรแกรมถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไม่มีขาดตอน กระนั้นกว่าที่เขาจะเขียนคำสั่งเสร็จก็ปาเข้าไปรุ่งอีกวัน

สุดฟ้ากดรับสายเมื่อโทรศัทพ์มีสัญญาณเรียกเข้า บรรยากาศยามกลางคืนในห้องคอนโทรลเงียบสนิท พนักงานของดีม จาร์ล้วนกลับบ้านไปหลับไปนอน เหลือแค่เจ้าหน้าที่กะกลางคืนที่อยู่เฝ้าระบบแค่สองคน ซึ่งต่างคนก็ต่างทำงานของตัวเอง ตอนที่สุดฟ้าเอ่ยปากรับสายเป็นภาษาไทย เสียงพูดของเขาจึงดังก้องทั้งห้อง

“ฮัลโลครับ” เขาไม่อย่างให้การคุยโทรศัพท์ของเขารบกวนคนอื่น สุดฟ้าจึงลุกเดินออกไปด้านนอก ทางเดินของชั้นเงียบกริบไร้ผู้คนเช่นเดียวกัน แสงไฟสว่างสาดส่องตลอดเส้นทาง

“คุณสุดฟ้า ค่อยยังชั่วติดสักที ผมคิดถึงคุณมากเลยครับ”

ชายหนุ่มยกยิ้มเมื่อปลายสายมักจะบอกเขาเช่นนี้เสียทุกครั้งที่โทรฯมาหาเขา“เมื่อวานโทรฯไม่ติดเลย เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“อ่อ... พอดีอยู่บนเครื่องนะ”

“เอ๋?”

“ตอนนี้อยู่อเมริกา”

“หือ”ชวิศาครางเสียงรับในลำคอ นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะร้องออกมา “ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอครับ ทำงานเหรอ”

“อืม มาดูงานให้ลูกค้า”

“แล้วจะอยู่ถึงเมื่อไหร่หรือครับ อาทิตย์หน้าผมต้องไปดูจัดอาหารที่โรงแรมสาขาอเมริกา คุณสุดฟ้าจะอยู่ถึงตอนนั้นไหมครับ”

“น่าจะไม่ งานของฉันจะเสร็จแล้ว”

“น่าเสียดายจัง ผมอยากเจอคุณ” ชวิศาเงียบไปอีกครู่ใหญ่ “อยู่ถึงอาทิตย์หน้าไม่ได้หรือครับ ผมจะแจ้งพี่โยขอจองห้องไว้ให้”

สุดฟ้าโคลงศีรษะ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้มีธุระอื่นที่ต้องไปทำเป็นพิเศษ แต่เขาเป็นพวกติดบ้านจึงไม่ค่อยชอบออกไปไหน “ยังไม่รับปากแล้วกัน ต้องอยู่สถานการณ์ก่อน”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนแล้ว”ชวิศากล่าวรู้สึกหดหู่อยู่นิดๆและแม้ว่าอยากจะคุยกับชายหนุ่มต่อไปอีกเรื่อยๆ แต่เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมีงานต้องทำ เขาจึงไม่กล้ารบกวน ประเด็นคือเขาไม่อยากงี่เง่าที่อีกฝ่ายนึกรำคาญใจ อย่างโยธินพี่ชายของเขา ถ้าเข้าไปกวนเวลาที่งานยุ่งมากๆ เขาจะโดนดุเกือบทุกครั้ง

สุดฟ้าตัดสายไปหลังจากนั้นและกลับเข้าไปทำงานต่อ ช่วงสายๆของวันนั้นดีน มอร์แกนมาหาเขา และมาทันตอนที่เขาติดตั้งโปรแกรมพอดี

“เสร็จแล้วหรือครับ”ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยถาม ขณะมองหน้าจอซึ่งกำลังแถบแสดงสถานะการติดตั้ง ก่อนจะไปดึงเก้าอี้ที่ว่างอยู่มาทรุดตัวลงนั่งไม่ห่างจากเขามากนัก

“ครับ”

“แล้วเจอตัวแฮกเกอร์ไหมครับ”

“เอ่อ... คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยในการหาตัว ผมเลยขอก็อปล็อกโค้ดไปนะครับ”สุดฟ้าตอบออกไป

“อ่อ... ไม่เป็นไร แล้วแต่มิสเตอร์ศิริกรเห็นสมควรเลยครับ อืม อาทิตย์หน้ามีงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันพระราชสมภพของเจ้าชายฟาลิฮ์ อัสมานร์ มิสเตอร์ศิริกรจะไปร่วมไหมครับ”

สุดฟ้าเลิกคิ้ว “ผมไม่รู้จักเจ้าชายครับ”

“เอ๋... เจ้าชายฟาลิฮ์ อัสมานร์ ของราชอาณาจักรฮัชดาลลาร์ไงครับ ไม่รู้จักหรือครับ ผมนึกว่าคุณรู้จักเสียอีก ตอนที่คนของเจ้าชายมาส่งการ์ดเชิญให้ผมยังพูดว่าจะได้เป็นเพื่อนคุยกับมิสเตอร์ศิริกร”

“ถ้าฮัชดาลลาร์ ผมก็พอจะรู้จักครับ” แต่ถ้าให้ตอบด้วยใจจริง ชายหนุ่มไม่อยากไปร่วมงานเลี้ยงที่ว่านั่นเท่าไหร่

เมื่อหนึ่งปีก่อน คนของราชวงศ์เคยติดต่อมาให้เขาสร้างอาวุธทำลายล้างสูงให้ ยื่นข้อเสนอด้วยค่าตอบแทนสูงลิ่ว แต่อย่างว่า ขึ้นชื่อว่าอาวุธมันก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าคนสั่งต้องการนำไปทำอะไร ตอนนั้นสุดฟ้าตอบปฏิเสธไปก็จริง แต่ก็อยากรู้ว่าประเทศนี้มันเป็นอย่างไร ถึงมีคนอยากได้อาวุธไปใช้

ฮัชดาลลาร์เป็นประเทศที่ล้อมรอบด้วยทะเลทรายซึ่งมั่งคั่งด้วยน้ำมันและอัญมณี ไม่ว่าจะเป็นแทนซาไนต์หรือเจเรมีเจไวต์ที่ว่าเป็นหินหายาก ต่างมีค่าเท่าก้อนกรวดในดินแดนแห่งนั้น ราชอาณาจักรฮัชดาลลาร์เคยเป็นประเทศปิดที่ไม่ตอนรับบุคคลภายนอกจนในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ที่ประเทศถูกรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้านและประเทศมหาอำนาจซึ่งต้องการครอบครองทรัพยากรอันมีค่า กระนั้นทุกวันนี้การไปเยือนประเทศนั้นไม่ว่าจะในฐานะใดก็ยังคงเป็นเรื่องยาก

“มีจดหมายเชิญมาถึงผมด้วยเหรอเนี่ย”

“ไม่ใช่ว่า คุณโยนมันลงถังขยะไปโดยไม่ได้ดูอีกหรอกนะ”ดีนเอ่ยแซว

สุดฟ้า ศิริกรค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องนี้อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นจดหมายกระดาษหรือพัสดุที่ถูกส่งไปยังบ้านของชายหนุ่มล้วนแต่ถูกกำจัดทิ้ง หากไม่มีการระบุชื่อผู้ส่งหรือผู้ส่งเป็นคนที่สุดฟ้าไม่รู้จัก วิธีการติดต่อที่ง่ายที่สุดคือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แต่ก็นั่นละ ถ้าเขียนหัวข้อจดหมายไม่ดีพอก็มีสิทธิ์ถูกลบทิ้งเหมือนกัน ตอนครั้งแรกที่เขาอยากจะจ้างวานสุดฟ้า ศิริกร ให้มาเขียนโปรแกรมให้ เขายังต้องส่งอีเมล์ไปร่วมยี่สิบฉบับ รอเวลาอยู่สามเดือนกว่า ผู้รับก็ไม่มีทีท่าจะตอบกลับมา ดีที่เขาบังเอิญได้เจอประธานกรรมการบริหารของสุวรา เขาถึงได้ตัวอีกฝ่ายมาทำงานให้

สุดฟ้าทำท่านึกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหาอีเมล์เก่าๆ พลางเอ่ยปากถามคู่สนทนาไปด้วย

“งานจัดที่ไหนหรือครับ”

“โรงแรมภูแก้วดารา ในวอชิงตัน ดีซีครับ”

มันจะบังเอิญประจวบเหมาะอะไรขนาดนั้น สุดฟ้าคิดในใจ ปะติปะต่อกับคำชวนของชวิศาแล้วก็พออนุมานได้ว่าน่าจะเป็นงานเดียวกัน สายตาจดจ้องข้อความในอีเมล์ที่อยู่บนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งระบุเวลางานเลี้ยงในวันพฤหัสบดีของอาทิตย์หน้า

“แล้วมิสเตอร์มอร์แกนจะเดินทางไปร่วมงานนี้เมื่อไหร่หรือครับ ถ้าผมจะติดรถไปด้วยจะสะดวกไหม”

ถ้าเขาตีสนิทกับเจ้าชายไว้ เขาอาจจะได้รับคำเชิญให้ไปเที่ยวฮัชดาลลาร์สักครั้งก็เป็นได้

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบ 04/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-12-2016 00:43:12
เมื่อกลับมาถึงโรงแรม สุดฟ้าก็ล้มตัวลงบนเตียงด้วยท่าทางอยากนอนเต็มที่ ตอนทำงานเขาไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยหรือง่วงก็จริง แต่พอไม่มีงานอยู่ตรงหน้า ร่างกายก็ร่ำร้องว่าอยากพักผ่อนทันที

“ฟ้าค่ะ อย่าเพิ่งนอนได้ไหม คุณไปทานอะไรกับแอมก่อนสิค่ะ”

“ไว้ก่อนแล้วกันครับ”สุดฟ้าพูดทั้งที่ยังหลับตา เขาพร้อมที่จะดิ่งสู่นิทราถ้าเอมมิกาไม่เอาแต่สะกิดเขาหยิกๆ ชายหนุ่มจึงยกมือส่งสัญญาณให้สเตบาสเตียนส่งบัตรเครดิตและเงินสดจำนวนหนึ่งให้หญิงสาว

“คุณแอมครับ นี่เงินสดและบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินครับ ถ้าอย่างไรคุณไปรับประทานอาหารหรือซื้อของคนเดียวก่อนแล้วกันนะครับ ด็อกเตอร์ต้องการเวลาพักผ่อนครับ”

“เงินอยู่กับนายก็ไม่รีบเอามาให้ฉัน ปล่อยให้ฉันแกร่วรออยู่ได้เป็นวัน”เธอพูดบ่นเบาๆก่อนจะรีบลุกออกจากห้องไป และทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตูสุดฟ้าก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่ง โบกไม้โบกมือถามย้ำอีกครั้ง

“เธอออกไปแล้วครับ”

“สัญญาณเครื่องดักฟังละ”

“ไม่มีครับ”

เมื่อได้รับคำตอบสุดฟ้าจึงได้กดเปิดดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ เลือกโหมดสื่อสารซึ่งเชื่อมต่อสัญญาณเข้ากับบ้านของเขาที่กรุงเทพฯ

“สวัสดีครับด็อกเตอร์”มาริเอะยังคงทักทายเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงเช่นเดิม พลางโบกมือให้ซึ่งภาพนั้นที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ “ที่นี่ดึกแล้วนะ มีอะไรเนี่ยรบกวนคนจะนอน”

สุดฟ้าส่งเสียงหึในลำคอ “นายจำเป็นต้องนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกอย่าง....”

“ผมมีเหตุผลน๊า”มาริเอะแย้งออกมาก่อนที่เขาจะพูดจบ

“งั้นว่ามาเลย”

“ก็ผมเจาะไฟร์วอลล์ของด็อกเตอร์ไม่ได้ แล้วมันก็มีข้อมูลหลายๆอยู่ในนั้น ผมก็เลยต้องยิงไอพีเพื่อกวนระบบ แต่ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงแบบนี้”มาริเอะว่าพลางทำหน้าหงอยๆ

“แล้วได้อะไรมาบ้างละ ตั้งแต่นายรับปากว่าจะทำงานให้ ฉันยังไม่เห็นอะไรเลย”

“ไม่ใช่ว่าด็อกเตอร์เริ่มเดาได้แล้วหรือครับ”

“สรุปแล้วฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งนาย”

“เพราะผมไม่ใช่หรือ ด็อกเตอร์ถึงเดินทางไปอเมริกา”

“งั้น ตกลงแล้วนี่เป็นแผนของนาย”

“ใช่ซะที่ไหนละ ผมแค่สงสัยอยู่แล้ว แต่ด็อกเตอร์มาเจอก่อนที่ผมจะบอก ด็อกเตอร์ก็เห็นข้อมูลแล้วใช่ไหม”

“เห็นอะไร”

“อ้าว”มาริเอะทำหน้าตาเหรอหราที่มองดูอย่างไรท่าทางนั้นก็เหมือนชวิศาไม่ผิดเพี้ยนจนสุดฟ้ากระหวัดนึกถึง “ก็บนเซิร์ฟเวอร์อย่างไรละครับ”

“ฉันแค่เช็คแฮกเกอร์ อย่างอื่นดูซะที่ไหน”

“โธ่”คนบนหน้าจอร้องอุทาน “แต่ไม่รู้ด็อกเตอร์จะเชื่อหรือเปล่า เขาว่าที่นั่นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของพลังปราณโลกา คนที่นั่นถึงหวงถิ่นไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่งย่าม”

“ฉันไม่สนใจนิยายแฟนตาซี”สุดฟ้าล้มตัวลงนอน ถ้ามาริเอะยังคงนอกเรื่องอยู่แบบนี้ มีหวังได้หลับจริงๆแน่

“แต่พวกนั้นคุยกันว่าจะนำเทคโนโลยีของด็อกเตอร์ไปปรับปรุงเพื่อให้ใช้ร่วมกับเวทมนต์ได้”

“ตลก เวทมนต์มีจริงซะที่ไหน”สุดฟ้างึมงำ “อ่อ เรื่องบ้านที่สั่งไว้เรียบร้อยใช่ไหม” มาริเอะตอบกลับไปว่าเรียบร้อยตามที่สั่ง แม้จะทำหน้าง้ำอย่างไม่ค่อยพอใจที่ชายหนุ่มไม่เชื่อเรื่องที่เขาพูด

“งั้นหลังจากที่ฉันกลับไปถึงบ้าน เราจะตกเหยื่อกัน”

สุดฟ้าพูดแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้ร่างกายดิ่งลึกสู่นิทรา สเตบาสเตียนจัดการปิดไลท์มอนิเตอร์แล้วเสียบปลั๊กชาร์จแบ็ตเตอร์รี่ ส่วนตัวเขาก็เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานเช่นเดียวกัน




ชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่หน้ากระจกตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขารับเสื้อสูทตัวนอกสีดำจากพ่อบ้านส่วนตัวมาสวมทับเสื้อกั๊กสีเทาอย่างไม่รีบร้อน ตรวจสอบความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำไปเปิดประตู หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีดำเรียบเปลือยหัวไหล่และแผ่นหลังขาวเนียนไร้รอยสิวฝ้า ที่คอยังคงสวมสร้อยทับทิมล้อมเพชรที่เขาเคยให้ไว้ เธอยิ้มเดินตรงเข้ามากอดแขนเขาไว้ทันทีที่เห็นหน้า

“วันนี้คุณหล่อมากเลยค่ะฟ้า”

เขายิ้มรับและเอ่ยปากว่าวันนี้เธอก็สวยมากเช่นเดียวกัน คุยกันไปพลาง ขณะยืนรอให้สเตบาสเตียนไปเคาะประตูห้องของดีน มอร์แกน ชายหนุ่มวัยสามสิบกลางๆ อยู่ในชุดสูทเรียบหรูที่ทำให้เขาดูดีไม่ชายหนุ่มอีกสองคนที่ยืนรออยู่

งานวันนี้จัดที่ห้องแกรนด์บอลรูมชั้นหนึ่ง สุดฟ้าได้ห้องพักมาจากชวิศาซึ่งอีกฝ่ายจัดการให้ทันทีที่เขาบอกว่าจะมาร่วมงานนี้เหมือนกัน แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้มีโอกาสเจอกัน ที่คุยกันคร่าวๆ ชวิศายังวุ่นวายอยู่กับเมนูอาหาร และแม้แต่ตอนนี้ ชวิศาอาจยังคงอยู่ในครัว

ตอนที่พวกเขาลงไปถึงห้องจัดเลี้ยง ผู้คนมากหน้าหลายตากำลังทยอยเดินเข้างาน หน้าซุ้มประตูตกแต่งด้วยผ้าและดอกไม้มีเจ้าหน้าที่สองคนคอยยืนตรวจบัตรเชิญอยู่ด้านหน้า ตอนนั้นสุดฟ้าจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยการ์ดรักษาความปลอดภัย

ดีน มอร์แกนยื่นบัตรเชิญให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กทั้งผมและนัยน์ตาสีดำขลับที่ยืนอยู่ทางขวามือของพวกเขา อีกฝ่ายรับไปกวาดสายตาเพียงเล็กน้อยก่อนจะผายมือเชิยเข้าไปด้านใน แต่สุดฟ้ากลับโดนขวางไว้เสียก่อน

“คุณผู้ชายท่านนี้ไม่ทราบว่ามีบัตรเชิญหรือไม่ครับ”ฝ่ายนั้นถามเขาด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษชัดแจ๋ว

“ไม่มี”สุดฟ้าตอบหลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เขาได้แต่อีเมล์เชิญร่วมงานนี่นะ

“ถ้าอย่างนั้น คงไม่สามารถให้คุณผู้ชายเข้าร่วมงานได้”

“นี่คือมิสเตอร์สุดฟ้า ศิริกร ผมคิดว่าน่าจะมีชื่ออยู่ในรายการผู้ที่ได้รับเชิญ”ดีนกล่าวแทรกขึ้นมา

“โอ... ขอประทานอภัยด้วยครับ เจ้าชายกำลังรอคุณอยู่ ขอเชิญคุณด้านนี้ครับ”เด็กหนุ่มกล่าวอย่างนอบน้อม

“แล้วคนติดตามของผมเข้าไปในงานได้ไหม”

“ได้ครับ เชิญครับ” เด็กหนุ่มร่างเล็กเดินนำหน้าเขาไป ทันทีที่ก้าวผ่านซุ้มประตู สุดฟ้ากวาดสายตาไปรอบงานจัดเลี้ยง แขกเหรื่อผู้ที่มาร่วมงานยืนกระจายกันเป็นจุดๆ ซุ้มวางอาหารถูกจัดไว้ใกล้ผนังทั้งสองฝั่ง เว้นพื้นที่โล่งตรงกลางไว้ ไม่มีโต๊ะสำหรับนั่งรับประทานอาหาร เสียงเพลงในจังหวะช้าๆนุ่มนวลดังมาจากนักดนตรีที่จับจองพื้นที่บนเวทีด้วยเครื่องสายสองชิ้นอันได้แก่ไวโอลินและเชลโล่ ประสานเสียงกับแกรนด์เปียโนสีดำ  เด็กหนุ่มคนนั้นตรงไปยังกลุ่มคนซึ่งยืนสนทนาล้อมรอบชายในชุดสูทสีขาว ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งดูโดดเด่นต่างจากผู้คนรอบกาย

“เจ้าชายครับ”เด็กหนุ่มทูลเรียก ชายหนุ่มเจ้าของนามเรียกขานหันมา และตรงเข้ามาทักทายดีน มอร์แกน บุคคลที่พระองค์รู้จัก

“ยินดีที่เห็นคุณมาร่วมงานเลี้ยงวันนี้ครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงจับมือทักทายกับดีนอย่างเป็นกันเอง

“ผมเองก็ขอถวายพระพรให้พระองค์ทรงเกษมสำราญ”ดีนถวายของขวัญที่เขาเตรียมมาให้ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในพระยศ เจ้าชายหนุ่มรับมาและกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะส่งของชิ้นนั้นให้กับมหาดเล็ก สุดฟ้าจึงก้าวออกไปแนะนำตัวบ้าง

“สวัสดีครับ ผมสุดฟ้า ศิริกรครับ ต้องขอพระราชทานอภัยที่ผมไม่มีของขวัญมาถวาย”ชายหนุ่มก้มศีรษะก่อนจะยื่นมือไปทักทาย

“ไม่เป็นไรครับ แค่คุณตอบรับไมตรีและยอมมาร่วมงานก็นับว่าเป็นเกียรติแล้ว”

“พระองค์ทรงกล่าวเกินไปแล้วครับ ผมต่างหากที่นับว่าเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญจากเจ้าชาย”

“แล้วคุณผู้หญิงท่านนี้”

“ดิฉันชื่อเอมมิกา ปัณณกุลค่ะเป็นว่าที่คู่หมั้นของสุดฟ้า”เธอถอนสายบัวแสดงความเคารพ สุดฟ้าสังเกตุเห็นประกายแปลกๆในตาของเจ้าชาย แต่แค่ชั่วพริบตาเดียวมันก็หายไป

“คุณเป็นผู้หญิงที่สวยมาก และดูเหมาะสมกับมิสเตอร์ศิริกรมากครับ”

หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างไม่ปิดบังความยินดีที่ถูกกล่าวชมเช่นนั้น หลังจากทักทายกันเสร็จ ก็มีแขกท่านอื่นเข้ามาทักทายเจ้าชาย สุดฟ้าจึงเลี่ยงหลบไปอีกทาง เขาเดินไปยังโซนอาหารซึ่งเอมมิกายังคงเกาะติดเขาไม่ห่าง

อาหารที่จัดเรียงอยู่บนโต๊ะล้วนแต่ถูกแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆพอดีคำ ทั้งสีสัน หน้าตาและวัตถุดิบหลากหลายบ่งบอกความพิถีพิถันของพ่อครัวและฐานะของเจ้าของงาน สุดฟ้าหยิบคานาเป้ขึ้นมาใส่ปากก่อนเป็นอย่างแรก ที่จริงเขาหมายตาหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบชีสไว้ แต่คานาเป้ไข่ปลาคาร์เวียร์ก็ใช่จะหากินได้ง่ายๆ อาหารตระกูลมินิเบอร์เกอร์ก็อร่อย เขากินจนลืมหญิงสาวว่าที่คู่หมั้นไปเลย

“อร่อยไหมครับ”

สุดฟ้าผงกศีรษะรับ ในปากกำลังเคี้ยวสลัดไก่อบ ส่วนในมือเขาถือหน่อไม้ฝรั่งพันเบคอนกับพาร์มาแฮมพันสลัดร็อกเกต พอหันไปเห็นเจ้าของคำถามถึงได้พยายามกลืนอาหารในปากลงไปอย่างรวดเร็ว

“ชวิศา”

“ครับ”เจ้าของชื่อยิ้มให้ ยิ้มกว้างชนิดที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า ยิ้มจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ นัยน์ตาของชวิศาฉายแววยินดีจนในอกของสุดฟ้าก็ฟูฟ่องไปด้วยความสุข พอเห็นหน้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มร่างสูงถึงรู้สึกเหมือนว่าคิดถึงชวิศามากกว่าที่เคยเข้าใจ แต่พวกเขาคงจะตื้นตันมากเกินไป ต่างคนจึงต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

“งาน... ราบรื่นดีนะครับ”ชวิศากล่าวขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปครู่ใหญ่ ทั้งที่อยากชวนสุดฟ้าให้ไปหาที่เงียบอยู่ด้วยกันสองคนมากกว่า แต่ลังเลตรงที่ว่า ถ้าพูดออกไปแล้วมันจะออกตัวแรงเกินไปเนี่ยสิ เขาไม่อยากโดนเขี่ยทิ้งง่ายๆหรอกนะ มันเลยต้องเล่นตัวกันบ้าง

“อืม ไม่มีปัญหาแล้ว”ตอบพลางเริ่มกินของที่อยู่ในมือต่อ

“เอ่อ... ห้องพักเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“เยี่ยมเลย”สุดฟ้ายกนิ้วโป้งให้ ชวิศาเลิกคิ้วมองเหมือนกำลังรอให้เขาพูดต่อ เขากรอกตาไปมาพยายามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อไปอีกหน่อยว่า “เตียงนุ่มกำลังดี กว้างด้วย อ่างน้ำก็เจ๋งสุดๆ ฉันชอบระบบน้ำวนนี่มาก รู้สึกสบายตัวสุดๆ”

ชวิศายกยิ้มเจื่อนๆ ใช่เรื่องนี้เสียที่ไหนที่เขาอยากให้พูด ตกลงมีแค่เขาฝ่ายเดียวใช่ไหมที่คิดถึงมากขนาดนี้ แต่ช่างเถอะ ชายหนุ่มคิดในใจ

“เราขึ้น...”ยังไม่ทันได้พูดจนจบ เสียงเรียกชื่อชวิศาก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

“มาอยู่ตรงนี้เอง น้องได้เข้าไปทักเจ้าชายหรือยัง”โยธินถาม

“ยังครับ พอดีผมเพิ่งเข้ามาในงาน”

“งั้นก็รีบเลย เจ้าชายท่านอุตส่าห์เลือกโรงแรมของเราเป็นที่จัดงาน ในฐานะที่น้องก็เป็นหนึ่งในผู้บริหารก็ควรเข้าไปทักทายและดูแลความเรียบร้อย”

ชวิศากัดฟันพยายามยกยิ้ม และระงับอาการไม่พอใจไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า เพราะถ้าทำเช่นนั้นเขาคงโดนดุอีกยาว ชวิศาหันไปมองสุดฟ้าอีกครั้งพลางโบกมือให้ โยธินกลัวว่าน้องชายจะพิรี้พิไรมากกว่าไปนี้จึงคว้าแขนชวิศาและดึงไปเสียเดี๋ยวนั้น

สุดฟ้ามองตามก่อนจะหันมาสนใจอาหารตรงหน้าอีกครั้ง กินจนอิ่มเขาถึงได้กวาดสายตาสนใจผู้คนรอบกาย เอมมิกาก็ดูท่าสนุกสนานกับกลุ่มผุ้ชายหน้าตาดี สเตบาสเตียนก็ถูกห้อมล้อมด้วยสาวน้อยสาวใหญ่ ชวิศาเองก็ดูเหมือนว่าจะสนิทกับเจ้าชายไม่น้อย หัวเราะต่อกระซิกไม่หยุด สุดฟ้ามองแต่ละคนแล้วต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ

และในนาทีนั้น ไฟของห้องจัดเลี้ยงดับลง แต่ยังไม่มีใครออกอาการตื่นตกใจเมื่อเสียงบรรเลงเพลงสุขสันต์วันเกิดดังขึ้นมา พร้อมกับเค้กก้อนโตถูกเข็นเข้ามาในงานอย่างช้าๆ จนมาหยุดตรงหน้าเจ้าชายหนุ่มจากฮัชดาลลาร์ ความสว่างของแสงเทียนบนเค้กทำให้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเจ้าชายคมเข้มขึ้นมากว่าเดิม แต่สิ่งที่ทำให้สุดฟ้าหงุดหงิดเห็นจะเป็นใบหน้าของชายหนุ่มร่างเล็กบางที่ยืนอยู่ข้างๆ ชวิศายกยิ้มราวกับเป็นงานวันเกิดของตัวเองอย่างนั้นละ

เสียงเพลงบรรเลงประสานเสียงร้องวนอยู่สองรอบจึงจะหยุดลง สุดฟ้านึกว่าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์จะประสานมืออธิษฐานเหมือนเด็กน้อยเสียอีก แต่พระองค์แค่หลับตาก่อนจะเป่าเทียนซึ่งปักอยู่บนหน้าเค้กให้ดับลง และไฟฟ้าก็กลับมาส่องสว่างอีกครั้ง เจ้าชายหนุ่มรับมีดตัดเค้กจากมหาดเล็ก จากนั้นจึงตัดแบ่งพระราชทานให้กับแขกซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มาร่วมงาน
สุดฟ้านึกหมั่นไส้หนักข้อขึ้นกว่าเดิมเมื่อชวิศายังหน้าบานลั่นล้ากระตือรือร้นเป็นลูกมือเจ้าชายไม่ห่าง ชายหนุ่มจึงสืบเท้าเข้าไปใกล้

“อ้าว มิสเตอร์ศิริกร พอดีเลยครับ นี่เค้กของคุณครับ”เจ้าชายทรงยื่นจานที่มีชิ้นเค้กอยู่ด้านบนมาให้ เขาก็รับไว้ แต่ไม่ใช่นะ เขาไม่ได้อยากกินเค้กสักหน่อย สุดฟ้ามุ่นคิ้ว

“พระราชทานดิฉันด้วยได้ไหมค่ะ”

พอดีเลย!!! สุดฟ้ายื่นเค้กให้เอมมิกาก่อนที่เจ้าชายฟาลิฮ์จะประทานให้ “อันนี้ก็ได้ พอดีว่าผมกินจนอิ่มแล้ว”

“หรือครับ น่าเสียดายจัง เค้กก้อนนี้ผมอบเองกับมือ” ได้ยินเช่นนั้นสุดฟ้าจึงคว้าจานกลับมาแทบไม่ทัน และใช้ช้อนส้อมคันเล็กตักแบ่งเข้าปากทันทีราวกับกลัวว่าจะมีใครมาแย่ง

“นี่... รู้จักกันอยู่แล้วหรือครับ”แม้ว่าเจ้าชายฟาลิฮ์จะทรงทอดพระเนตรทางโน้นทีทางนี้ที แต่สุดท้ายทรงหยุดมองที่ชวิศาคล้ายจะให้ชายหนุ่มร่างเล็กเป็นผู้แถลงไข แต่หญิงสาวในชุดราตรียาวสีดำยอมเสียมารยาทเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ก็ไม่เชิงค่ะ ก่อนหน้านั้นแม้จะคุยกันบ้าง แต่ยังไม่เคยแนะนำตัวเป็นทางการเสียที”เอมมิกายิ้มหวาน แววนัยน์ตาทั้งสมใจและสะใจในเวลาเดียวกัน พลางกล่าวออกไปอย่างช้าชัดทุกถ้อยคำ

“ดิฉันเอมมิกา ปัณณกุล ว่าที่คู่หมั้นของคุณสุดฟ้าค่ะ”

สิ้นประโยคนั้น ชวิศาเหมือนได้ยินแต่เสียงวิ้งๆในหู ร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากระทันหัน เขาปล่อยจานที่อยู่ในมือร่วงลงพื้น ก่อนจะหงายหลังล้มตึง!!!


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบเอ็ด 11/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 11-12-2016 11:20:51
***//ขอโทษที่มาสายค่ะ//***

ตอนที่สิบเอ็ด


ชวิศาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง สายตามองเห็นพี่ชายมีสีหน้าร้อนรน พลันกระสากลิ่นหอมเย็นอ่อนๆโชยเรื่อยมาตลอดเวลา เบนสายตามองด้านบนเขาเห็นสุดฟ้ากำลังโบกกระดาษไปมา

“คุณสุดฟ้า”ชวิศาเอ่ยเสียงระโหย กล่าวคำพูดต่อไปด้วยภาษาไทย จังหวะนั้นเขาไม่ได้คิดมองรอบกายหรือคำนึงถึงมารยาทแต่อย่างใด “ผมฝันร้ายด้วยละ ฝันว่าคุณกับผู้หญิงคนนั้นกำลังจะหมั้นกัน”

“ไม่ได้ฝันหรอกค่ะ มันกำลังจะเกิดขึ้นจริง”เสียงแหลมสูงของหญิงสาวแทรกขึ้นมาทำให้สติของชวิศากลับมาร้อยเปอร์เซ็น เขาเหลือบตามองคนพูดแค่ชั่วแวบเดียว มันเพียงพอที่จะเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยอยู่บนใบหน้านั้น ชายหนุ่มจึงพยายามขยับนั่งให้ถนัด เกาะแขนของสุดฟ้าที่กำลังประคองหลังเขาไว้แน่น

 “ไม่จริงใช่ไหมครับ”เขาหันไปถาม

เจ้าชายฟาลิฮ์ยังคงยืนมองอยู่ไม่ไกลแม้จะไม่เข้าใจคำพูดที่พวกเขาพูดกัน ไม่ต่างกับสเตบาสเตียนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่

“ไม่ต้องคิดมากหรอกนะซี เขายังไม่ได้หมั้นกันจริงๆซะหน่อย”โยธินพูดเมื่อเห็นน้องชายตาแดงๆทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เห็นสีหน้าแววตาเหมือนใจจะขาดของผู้มีศักดิ์เป็นน้องแล้วตัวเขาเองนั่นละที่เหมือนจะขาดใจ นาทีนี้ขอแค่ให้ชวิศารู้สึกมีแรงใจเข้มแข็งขึ้น ต่อให้ต้องใช้คำพูดเหมือนตัวโกงแค่ไหนเขาก็ยอม “น้องของพี่น่ารักแสนดีอย่างนี้ ไม่มีใครอดใจไม่รักน้องได้หรอก ผู้หญิงคนไหนก็สู้น้องพี่ไม่ได้สักคน”

“ถ้าผู้ชายเขาไม่ได้อยากได้ผู้ชายด้วยกันมาเป็นเมีย ต่อให้พยายามแค่ไหนเขาก็คงไม่เอาหรอกค่ะ”

“นี่เธอ!!!”โยธินหันไปตวาด เอมมิกายังลอยหน้าลอยตาอย่างไม่คิดกลัว

“ไปกันเถอะค่ะฟ้า ไม่ใช่เรื่องของเรา ปล่อยให้เขาดูแลกันเองเถอะค่ะ”เธอคว้าต้นแขนของว่าที่คู่หมั้นพลางดึงให้ลุกขึ้น ชวิศาจึงผวาเกาะไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม ปล่อยให้น้ำตาร่วงผล็อยเป็นสาย พร้อมกับพูดว่า “อย่าไปนะ”

สุดฟ้าโอบกอดชวิศาไว้ทั้งตัว ลูบหัวลูบหลังคล้ายปลอบประโลมก่อนจะตัดสินใจช้อนตัวชวิศาลุกขึ้น

“ผมขอเวลาส่วนตัวคุยกับชวิศาสักครู่นะครับ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาเป็นภาษาอังกฤษ เขาก้มศีรษะเป็นเชิงขอลุแก่โทษให้เจ้าชายผู้เป็นเจ้าของงาน แต่ยังไม่ทันได้ไปไหน เอมมิกาก็ก้าวเท้าเข้ามาขวางเขาไว้

“คุณทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรค่ะ”

“ก็หมายความตามที่พูด ผมขอเวลาส่วนตัวคุยกับชวิศาสักครู่”ชายหนุ่มมองหน้าเธอนิ่ง ก่อนจะยอมเดินเบี่ยงไปอีกทาง

“คุณสัญญากับฉันแล้วนะ”

“ครับ ผมจำคำพูดของตัวเองได้”สุดฟ้าร้องบอกเธอ เขาพาชวิศาเข้ามาในลิฟต์ สเตบาสเตียนเดินตามมาติดๆและกดเลือกชั้นห้องพักของพวกเขา เมื่อออกมาจากลิฟต์ หุ่นยนต์พ่อบ้านเดินนำไปเปิดประตูห้อง จัดการเปิดเครื่องปรับอากาศ รอจนผู้เป็นเจ้านายเข้ามาในห้องจึงปิดประตู

ห้องที่เขาพักเป็นแบบแสตนดาร์ทสวีท มีพื้นที่รับรองแยกกับส่วนของห้องนอน สุดฟ้าจึงพาชวิศาเข้าไปด้านในและวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียง ชวิศายังคงเกาะเขาไม่ปล่อย ในหน้าแดงกล่ำยังคงซุกซบกับแผงอก สุดฟ้าจึงทรุดตัวลงนั่งไปพร้อมกัน สเตบาสเตียนถือแก้วน้ำเปล่ามาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะออกจากห้องและปิดประตูให้

ชวิศายังคงนิ่งเงียบ จนเขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะหลับไปแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงสะอื้นที่ดังมาเป็นระยะ จะว่าไปนี่เป็นสูทตัวใหม่ของเขานี่นา แย่จัง... สุดฟ้าคิด เขากะว่าจะแขวนเก็บเข้าตู้เลยหลังจากจบงาน อย่างนี้กลับไปก็ต้องส่งซักรีดให้เสียเงินอีกซิเนี่ย เอ...แต่มาริเอะก็น่าจะรู้วิธีการซักเสื้อสูทละมั้ง ชายหนุ่มเผลอคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนที่สติจะถูกดึงย้อนกลับมาเพราะชวิศายอมเอ่ยปากพูดเสียที

“คุณจะหมั้นกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆหรือครับ”เสียงถามอู้อี้จนเขาต้องก้มหน้าลงไปฟังให้ชัด

“คุณจะหมั้นกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆหรือ”ชวิศายอมเงยหน้าขึ้นมาถามเขา ใบหน้าขาวใสของชวิศาออกสีเรื่อเล็กน้อย จมูกแดงกล่ำ ตาช้ำ และริมฝีปากแดงจนน่าจูบ สุดฟ้ากดจูบลงไปจริงๆ ก่อนนึกถึงคำพูดของเอมมิกาขึ้นมาได้ แต่เขาก็ปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้มีอะไรด้วยเสียหน่อยแค่จูบเท่านั้นเอง

สุดฟ้าใช้ริมฝีปากขบเม้มริมฝีปากบนของชวิศา เบี่ยงหน้าหลบปลายจมูกไม่ให้ชนกัน เบียดแนบและใช้ปลายลิ้นแทรกผ่านแนวฟัน อีกฝ่ายเปิดปากให้เขาส่งปลายลิ้นเข้าไปคลุกเคล้าอย่างเต็มใจ เกิดเป็นกระแสแปลกประหลาดที่ดึงดูดให้พวกเขาโอบกอดกันอย่างแนบแน่น สัมผัสเสียดสีปลุกเร้าความปรารถนาภายในร่างกายให้ลุกโชนขึ้นมาได้อย่างดาย สุดฟ้าจัดการถอดสูทตัวนอกของเขาและชวิศาออกอย่างเร่งร้อนทั้งที่ยังไม่ละจูบจากกัน ปลดเข็มขัดและถอดกางเกงของชวิศาออกตอนที่ดันตัวอีกฝ่ายให้เอนตัวลงนอน ชวิศาแยกขากว้างให้เขาเบียดตัวแนบชิด ชายหนุ่มร่างสูงรู้ตัวว่ามันกำลังจะเลยเถิด แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ สุดฟ้ามักจะปล่อยให้อารมณ์และความต้องการอยู่เหนือทุกสิ่ง เขาสอดใส่ความปรารถนาเข้าไปในช่องร่วมรักด้านหลัง มันยังคงคับแน่นและฝืดเคืองเหมือนเช่นทุกครั้ง เขารู้ว่าชวิศากำลังพยายามผ่อนคลายเพื่อให้เขาสอดใส่ได้จนสุด ชายหนุ่มผละตัวออกมา มองท่อนเนื้อที่ค่อยๆกดชำแรกผ่านช่องทางคับแน่นนั้นไปอย่างเชื่องช้า เหลือบสายตาขึ้นมองหน้าชวิศา เห็นว่าฝ่ายนั้นมองจุดเดียวกับเขาเช่นกัน พอหันมาสบสายตาก็เบือนหน้าหนี ใบหน้านั้นแดงเรื่อมากขึ้นกว่าเดิม

“เขิน?”เขาโน้มตัวเข้าหาถามด้วยเสียงหยอกเย้าพลางใช้จังหวะนั้นดันรวดเดียวจนสุด ชวิศาสะดุ้งเฮือก

“เจ็บมากไหม”

คนถูกถามสั่นศีรษะ สุดฟ้าถอดเสื้อกั๊กสีเทาตัวในของตนออก โน้มตัวหยิบหมอนมารองใต้สะโพกให้ชวิศา แล้วใช้มือเล้าโลมส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวของอีกฝ่ายให้กลับมาชูชันอีกครั้ง เมื่อชวิศาเริ่มกลับมามีอารมณ์ร่วม เขาจึงถอนสะโพกและเยียดเอวกระทั้นกายเข้าหา เขาจับยึดสะโพกของร่างด้านใต้ไว้ตอนที่กระชั้นจังหวะให้ถี่รัวขึ้น ชวิศาส่งเสียงครางเครือด้วยความสุขสม ก่อนจะทอดจังหวะกระแทกสะโพกให้ช้าลงรั้งช่วงเวลาแห่งความสุขสมให้ยาวนานขึ้นอีกนิด พลางโน้มตัวแนบปากลงกับริมฝีปากที่เผยออ้า เกี่ยวกระหวัดจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม

ในช่วงเวลาเช่นนี้ คำถามทุกคำถาม แม้กระทั้งความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจล้วนจางหายไปสิ้น ชวิศารับรู้ความรู้สึกปรารถนาอันมากล้นของชายหนุ่มผู้เป็นที่รักผ่านร่างกายที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาอยากเป็นที่หนึ่งแต่ก็ยอมรับการเป็นที่สองของตน บางครั้งเขาก็คิด ถ้าวันนั้นไม่มีความคิดที่จะตัดใจ ถ้าเขายังพยายามดันทุรังที่จะทำให้ตนได้อยู่ในสายตาของสุดฟ้า วันนี้ก็คงมีแต่ความสุข แต่ก็ได้แค่คิด ในเมื่อไม่ว่าใครก็ไม่สามารถย้อนอดีตไปแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดได้ กระนั้น เขาไม่อาจยอมรับ หากมีคนที่มาทีหลังแล้วได้ชายหนุ่มไปครอบครอง

สุดฟ้าจัดการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ชวิศาด้วยตัวเองหลังความสเน่หาจากการเสพสังวาสมอดดับลง ชายหนุ่มร่างเล็กบางหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เขานั่งมองใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ครู่ใหญ่ สิ่งที่ชัดเจนในใจคือ ชวิศาเป็นของของเขา ทั้งที่ความรู้สึกหวงแหนมากมายเช่นนี้ควรจะเกิดขึ้นกับมาริเอะ บางครั้งสิ่งที่เขารู้สึกอาจจะเรียกว่าความรัก เพราะความรู้สึกที่รุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นกับชวิศาเท่านั้น สุดฟ้ายอมรับความรู้สึกของตนอยู่เงียบๆภายในใจ

เปิดประตูออกมาจากห้องนอน เขาพบโยธินนั่งหน้าดำคร่ำเคร่งอยู่บนโซฟาของบริเวณพื้นที่รับรอง

“ฉันมาพาน้องชายของฉันกลับ”สายตาโกรธเกรี้ยวตวัดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดฟ้าอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยที่พอจะทำให้คนมองเดาได้ไม่ยากว่าภายในห้องนอนมันเกิดอะไรขึ้น ถึงจะทำใจยอมรับแต่โยธินก็ยังคงรับไม่ได้ที่น้องชายซึ่งเป็นหัวแก้วหัวแหวนถูกย่ำยีอย่างไม่เห็นค่า

“ทีนี่ก็เป็นโรงแรมของคุณ ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับชวิศาหรอกครับ”สุดฟ้าทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

“แล้วนายละ”โยธินถามเสียงเครียด

“ผมไม่ทำร้ายเขาหรอก นั่นบอดี้การ์ดของเขา”สุดฟ้าชี้ไปที่สเตบาสเตียน “คำสั่งของผมยังคงเดิม หากผมลงมือทำร้ายร่างกายชวิศาเมื่อไหร่ สเตบาสเตียนจะเข้ามาจัดการผมทันที”

“แต่นายก็ทำร้ายจิตใจน้องชายฉัน”

“บางอย่างมันก็อยู่นอกเหนือการคาดเดาของผม ผมขอโทษ”

“ฉันไม่เข้าใจ”โยธินพูดขึ้นหลังจากที่นิ่งไปครู่ใหญ่ น้ำเสียงของเขาฟังดูสั่นเครือเล็กน้อย “หุ่นยนต์ที่หน้าตาเหมือนชวิศาเคยบอกว่า นายสร้างเขามาเพื่อเป็นคนรัก ทำไมต้องสร้างให้หน้าตาเหมือนชวิศา แล้วทำไมต้องทำกับน้องชายของฉันแบบนี้”

“ถ้าให้พูดกันตามความจริงมันก็แค่เรื่องบังเอิญ”สุดฟ้าเสสายตามองไปทางอื่น แววตานั้นนิ่งสงบไม่สะท้อนความรู้สึกใดๆ “ตอนนั้นผมแค่อกหักโดนผู้หญิงหลอก เลยอยากจะสร้างตุ๊กตาขึ้นมาเล่นด้วย ฝาแฝดนั่นต่างหากที่บอกให้ผมสร้างให้เหมือนชวิศา แล้วพวกคุณ”สุดฟ้าเบนสายตากลับไปจ้องคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “พวกคุณเป็นคนขโมยเขาไป มันก็เหมาะสมกันดีนี่นา ที่คุณจะโดนขโมยหัวใจไปบ้าง” เขายกยิ้มเยาะ

“มันไม่ใช่เรื่องตลก หรือเรื่องที่จะมาทำเล่นๆแบบนี้นะ นั่นมันหุ่นยนต์ส่วนน้องชายของฉันเป็นคนจริงๆ”โยธินตะคอกเสียงดังอย่างเดือดดาล

“ที่สำคัญ นายรู้ความจริงตั้งนานแล้ว ทำไมไม่พูดออกมา”

“ก็คนที่มีเลือดเนื้อจริงๆมันดีกว่าตุ๊กตาอยู่แล้วนี่นา”

โยธินถลาเข้ามาหา หวังจะชกอีกฝ่ายสักหมัดสองหมัด ค่าที่อีกฝ่ายพูดกลับข้างให้เขาเป็นฝ่ายผิด ทำราวกับเขาจำต้องยอมรับกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่กระนั้นเขากลับโดนสเตบาสเตียนขวางไว้เสียก่อน

“คุณกลับไปเถอะครับ ถ้าชวิศาไม่อยากอยู่กับผม เขาก็คงกลับไปหาคุณเอง ขอบอกให้รู้ไว้ว่าผมไม่เคยกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือรั้งตัวเขาไว้เลย”

ได้ยินคำพูดแบบนั้น โยธินยิ่งคันไม้คันมือหนักไปกว่าเดิม ซ้ำยังปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นน้องชายของเขานั่นละที่วิ่งโร่มาหาอีกฝ่ายถึงที่ แต่ติดที่เจ้าหุ่นยนต์พ่อบ้านนี่ที่เขาพยายามใช้แรงแค่ไหนก็สลัดไม่หลุด

“ผมขอพูดกับคุณดีๆนะครับ วันนี้คุณกลับไปเถอะ ปล่อยให้ชวิศานอนที่นี่เสียคืน แล้วพรุ่งนี้คุณค่อยมาคุยกับเขาใหม่”
โยธินฮึดฮัด แต่ต้องยอมถอยอย่างจำนน เพราะต่อให้พาชวิศากลับไปคืนนี้ พรุ่งนี้หลังจากที่ตื่นขึ้นมา ชวิศาก็ต้องแล่นมาหาสุดฟ้าอยู่ดี ต่อให้เขาเลี้ยงดูน้องชายอย่างเข้มงวดแค่ไหนแต่ก็ไม่ใจร้ายพอที่จะมองดูอีกฝ่ายร้องไห้ตรอมตรมอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มสะบัดตัวออกจากการจับกุมของหุ่นยนต์พ่อบ้าน ก่อนจะกระทืบเท้าตึงๆออกจากห้องไปด้วยอาการฉุนเฉียว

“ด็อกเตอร์ครับ”

“อืม”สุดฟ้าขานเสียงรับพลางไถลตัวเอนศีรษะพิงกับพนักโซฟา เขาหลับตาลงรอฟังสิ่งที่สเตบาสเตียนจะพูดต่อ

“เจ้าชายฟาลิฮ์ เชิญด็อกเตอร์ทานอาหารเที่ยงพรุ่งนี้ครับ พอดีว่าตอนนั้นด็อกเตอร์อยู่ในห้องนอน คุณมาริเลยบอกว่าให้ตอบตกลงไป”

“อืม ก็ตามนั้น จะได้จบๆกันไปซะที”



มื้ออาหารเที่ยงที่สุดฟ้าได้รับคำเชิญถูกจัดที่ห้องอาหารจีนของโรงแรม สุดฟ้ายังคงอยู่ในชุดสูทสากลสามชิ้นแม้มื้อเที่ยงวันนี้จะไม่ใช่งานที่เป็นทางการ เมื่อมาถึงห้องอาหารและแจ้งชื่อเจ้าชาย พนักงานตอนรับจึงพาเขาไปยังห้องส่วนตัวที่เจ้าของคำเชิญจองชื่อไว้ เปิดประตูเข้าไปเขาพบว่าเจ้าชายฟาลิฮ์นั่งรออยู่แล้ว พอฝ่ายนั้นเห็นเขาจึงลุกขึ้นยืนต้อนรับ

“ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญของผมครับ”

“ครับ”เขาตอบคำกลับไปสั้นๆ เป็นเชิงว่าไม่อยากพูดจายืดเยื้อ  เที่ยงวันนี้เขามาเพียงคนเดียว ปล่อยให้สเตบาสเตียนควบคุมดูแลชวิศาและเอมมิกา เพราะสองคนนั้นเย้วๆว่าจะตีกันเสียให้ได้ ฝ่ายเจ้าชายมีครบทั้งมหาดเล็กและองครักษ์ที่ยืนประจำห้องอยู่สี่มุม

ทันทีที่พวกเขานั่งลง อาหารจานแรกก็ถูกนำมาเสริฟ เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยจำพวกซาลาเปาขนมจีบ ส่วนคนที่เติมชาร้อนให้เขาผู้ติดตามของเจ้าฟาลิฮ์

“เชิญทานครับ”เจ้าของคำเชิญผายมือให้เขาลงมือทานก่อน สุดฟ้าจึงจับตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก เขาไม่อยากคิดว่ามีการวางยาให้อาหารแบบในหนังหรอกนะ กระนั้นแวบหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ แต่เมื่อลองคิดดูดีๆการกระทำแบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร
พอเห็นเจ้าชายเสวยพระกระยาหารจนหมดคำ เขาจึงเอ่ยปากถามขึ้นบ้าง

“ที่เชิญผมมาในวันนี้ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่เห็นต้องรีบร้อน เราค่อยๆทานและค่อยๆคุยกันไปน่าจะดีกว่า”

สุดฟ้ายังคงมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง จนเจ้าชายต้องขยับตัวทำท่ากระแอมกระไอ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนเองมีรังสีกดดันอะไรหรอกนะ สุดฟ้าแค่รู้สึกว่าเขาไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องง้อคนอื่นให้มาคบค้าสมาคมด้วย ความต้องการที่อยากให้ผู้คนรอบกายยอมรับในตัวตนการมีอยู่ของเขา มันผ่านพ้นไปเนิ่นนานแล้ว

“คุณคงจำได้เรื่องที่เราเคยติดต่อไป”

“ครับ แล้วผมก็เคยปฏิเสธไปแล้ว”

“ครั้งนี้ผมอยากจะขอซื้อสูตรการสร้างจากคุณ”

“ผมไม่มีทั้งนั้นละครับ”พูดจบเขานิ่งมองคู่สนทนา เจ้าชายหนุ่มนิ่งทอดพระเนตรสบสายตากับเขาคล้ายลองเชิงไม่ต่างกัน  เวลาผ่านไปหลายอึดใจถึงเอ่ยขึ้นมาว่า

“ตอนอายุสิบสี่ คุณเคยส่งจรวจมิสไซลติดระเบิดนิวเคลียร์ที่คุณทดลองทำที่บ้านไปทำลายบ้านของครอบครัวสุวราลักษณ์ แต่เหตุการณ์นั้นไม่ได้เป็นข่าว ไม่มีใครตื่นตกใจ เพื่อนบ้านรอบข้างแค่แปลกใจว่าจู่ๆบ้านปูนสองชั้นหายไปอย่างไร้เสียงไร้ล่องลอยได้อย่างไร”

เจ้าชายฟาลิฮ์แบพระหัตถ์รับซองเอกสารจากคนสนิท พระองค์เทสิ่งของที่อยู่ในนั้นใส่พระหัตถ์ สุดฟ้ายังมองเห็นไม่ชัดว่าสิ่งของเหล่านั้นคืออะไรจนคู่สนทนาวางลงบนโต๊ะ รูปภาพขาวดำหลายใบที่เหมือนว่าถ่ายจากกล้องซึ่งอยู่มุมสูง เมื่อกวาดสายตามองครบทุกภาพ เขาจึงรู้ความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ

ภาพเหล่านั้นเป็นภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิดที่มองเห็นบ้านของพี่น้องสุวราลักษณ์อยู่บนขอบของภาพ เริ่มจากลักษณะบ้านปกติ ต่อมาเป็นภาพที่มีวัตถุสีดำเคลื่อนที่มาเกาะกับหลังคาบ้าน ภาพบ้านที่เหมือนจะเป็นภาพเบลอๆ และภาพสุดท้ายคือ ณ ตำแหน่งนั้นไม่เหลือวัตถุใดอยู่อีก

เจ้าชายหยิบภาพแรกและภาพสุดท้ายขึ้นมา

“คุณทำให้บ้านหลังนั้นหายไป”

อันที่จริงมันเหลือเสาปูนบางต้นอยู่นะ แต่กล้องมันอยู่ไกลเลยมองไม่เห็น สุดฟ้าต่อให้ในใจ

“เจ้าชายรู้ได้อย่างอย่างไรว่าผมทำ อย่างที่คุณพูดไว้ทีแรก ว่าตอนนั้นผมเพิ่งอายุสิบสี่”

“ผมตรวจสอบวิถีของมิสไซลมาแล้วครับ แล้วก็ประวัติของคุณ” คราวนี้เจ้าชายรับกระดาษขนาดเอสี่อีกสามสี่แผ่นมาจากคนสนิท

“ตอนอายุแปดขวบ คุณถูกส่งไปอยู่ในห้องทดลองของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สิบขวบคุณย้ายไปอยู่ที่แสตนฟอร์ด อายุสิบสองคุณได้เข้าไปอยู่กับนาซ่า ตอนอายุสิบสี่คุณกลับไปที่ประเทศไทย อยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนจะกลับมาอยู่ในห้องวิจัยของเซ็นทราเนชั่นแนล หวังว่าผมคงไม่ต้องบอกให้คุณฟังจนถึงปัจจุบันว่าคุณทำอะไร”

สุดฟ้าโคลงศีรษะรับรู้ “เป็นอันว่าผมยอมรับว่าเคยทำระเบิดนั่น แต่ตอนนี้มันไม่มีแล้ว พ่อแม่ผมริบแบบกับสูตรไปหมด พวกเขาเอาไปไว้ไหนก็ไม่มีใครรู้ หรือไม่มันก็ถูกทำลายไปแล้ว”

“แต่มันต้องอยู่ในสมองของคุณ”

สุดฟ้ามองดูท่าทีร้อนรนที่พยายามบีบคั้นเขาอย่างแปลกใจ นึกสงสัยว่าถ้าเขายังคงปฏิเสธต่อไปเรื่อยๆ พวกองครักษ์ในชุดสูทสีดำนั่นจะชักปืนออกมายิงเขาไหมนะ

“ก็ใช่ ผมไม่เคยลืมสิ่งที่ผมคิดและทดลองทำออกมาแล้ว แต่ถ้าผมบอกว่าไม่ขายให้ พระองค์จะทำอะไรผมได้”

เจ้าชายฟาลิฮ์นิ่งเงียบ ซึ่งมันเป็นจริงตามนั้น ต่อให้จับบุคคลใกล้ชิดมาเป็นตัวประกันข่มขู่ ก็คงไม่ทำให้สุดฟ้า ศิริกรเดือดร้อนหรือตื่นเต้น ตามที่คนของพระองค์สืบข้อมูลมาให้  ก็มีแต่ครอบครัวสุวราลักษณ์ที่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มที่สุด ซึ่งครอบครัวนี้ก็ใช่ว่าจะต่อกรด้วยได้ง่ายๆ บิดามารดาของสุดฟ้าเองก็ทำงานอยู่ในองค์กรลับที่ไม่มีใครรู้จักที่ตั้ง เท่าที่รู้สุดฟ้าเองก็ได้พบหน้าพ่อแม่ครั้งสุดท้ายตอนเรียนจบปริญญาตรีที่ประเทศไทย

พระองค์ไม่มีอะไรต่อรองได้เลยจริงๆ ดังนั้นข้อความต่อไปที่พระองค์จะทรงตรัส ก็หวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเห็นใจจนยอมช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์บ้าง

“คิดว่าคุณก็คงรู้จักราชอาณาจักรฮัชดาลลาร์”

“ครับ”ชายหนุ่มผงกศีรษะรับ

“ฮัชดาลลาร์เป็นประเทศที่สมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธัญญาหารท่ามกลางพื้นที่โดยรอบซึ่งมีแต่ทะเลทราย ตั้งแต่อดีตกาลเรามักจะต้อนรับผู้คนที่พเนจรหลงทางอยู่ในทะเลทรายอยู่เสมอจนกระทั่งศิลาสารพัดนึกหายไป”
สุดฟ้าขมวดคิ้วกับคำว่า ‘ศิลาสารพัดนึก’ ที่คู่สนทนาพูดออกมา

“หลังจากนั้นป่าไม้ที่สมบูรณ์ก็เริ่มเสื่อมโทรมลงอย่างช้าๆ พวกเราจึงต้องปิดประเทศ และใช้เวลาสร้างศิลาสารพัดนึกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่เพราะประเทศรอบข้างเกิดสงครามแก่งแย่งดินแดน ประเทศของเราจึงถูกดึงเข้าไปร่วมด้วย ฮัชดาลลาร์ไม่เคยอยากต่อสู้กับใคร แต่ทุกวันนี้เราต้องสูญเสียพี่น้องในการปกป้องเขตแดน และไม่อาจรับผู้คนอพยพมากมายที่พยายามเดินทางเข้ามาในประเทศ”

“เท่าที่ฟังมา ผมยังไม่เห็นว่าสิ่งที่พระองค์ต้องการซื้อจากผมมันจะมีประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าเจ้าชายจ้างให้ผมสร้างบาเรียหรือกำแพงที่ป้องกันการโจมตีมันน่าจะเข้ากับบคำที่พระองค์พูดเสียมากกว่า”

“ไม่ครับ เราไม่ได้ต้องการกำแพงที่ป้องกันการโจมตีจากอาวุธสมัยใหม่ เราต้องการแค่สิ่งที่มาซื้อเวลา อีกแค่ปีเดียวศิลาสารพัดนึกก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ร่างทรงผู้กำกับมนตราพิทักษ์อ่อนแอลงมากจนไม่รู้ว่าเธอจะทนได้อีกแค่ไหน”

“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พระองค์ตรัสว่า ร่างทรงผู้กำกับมนตราพิทักษ์”สุดฟ้ารู้สึกเหมือนว่าตัวเองหูฝาด แม้จะยังคงติดใจเรื่องศิลาสารพัดนึกอยู่บ้าง แต่ข้อความที่เขาถามคือคำที่สร้างความกังขาให้เขาได้มากกว่า

“ครับ ความหมายตรงตามคำที่ผมพูด เธอเป็นคนร่ายมนต์เพื่อปกป้องความอุดมสมบูรณ์ของฮัชดาลลาร์”
สุดฟ้าไม่อยากจะเชื่อ ว่ามันจะมีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนต์อยู่บนโลกใบนี้จริงๆนอกจากในหนังแพรี่ ฮอตเตอร์ แล้วเขาก็พึมพำออกไปเช่นนั้น

“มันค่อนข้างต่างกันอยู่ครับ”เจ้าชายแย้มพระสรวลโบกพระหัตถ์ไปมาเหนือถ้วยชาพลางขยับโอษฐ์พึมพำ และเมื่อยกพระหัตถ์สูงขึ้น น้ำที่อยู่ในแก้วค่อยๆลอยตามออกมาด้วย พอขยับพระกรน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นข้อความภาษาอังกฤษชื่อของสุดฟ้า

“คนทั่วไปเรียกมันว่าพลังจิต แต่มันคือมนตราอย่างหนึ่ง”เจ้าชายฟาลิฮ์ปล่อยให้น้ำไหลเป็นเส้นลงสู่ถ้วยชาเช่นเดิม ถึงจะยังคงตกตะลึงเพราะเหตุการณ์เมื่อสักครู่ สุดฟ้ายังคงมีสติถามในสิ่งที่สงสัย

“ในเมื่อพระองค์มีเวทมนต์ ก็ไม่น่าจะลำบากอะไร”

“มันไม่ได้ทำให้เราสะดวกสบายขนาดนั้นหรอกครับ เพราะถึงอย่างเราก็เป็นมนุษย์ พอโดนปืนยิงหรือโดนระเบิดเราก็ตายเหมือนกัน แม้ว่าฮัชดาลลาร์จะไม่ต้องใช้ทหารมากมายในการต่อกรกับสงคราม แต่ประชากรของเราก็ใช่ว่าจะมีเยอะ และไม่ใช้ทุกคนที่สามารถใช้เวทมนต์ได้”

สุดฟ้านั่งนิ่งและครุ่นคิดอย่างจริงจัง ถามว่าเขาเชื่อเรื่องเวทมนตร์ที่เจ้าชายแสดงให้ดูไหม เขายังคงรู้สึกห้าสิบห้าสิบ ในขณะที่เขาเรียนวิทยาศาสตร์ แต่เขาก็ติดการ์ตูนมากเช่นกัน อุปกรณ์หลายอย่างที่เขาคิด ดึงไอเดียต้นแบบมาจากในการ์ตูน เขาลองคิดถึงผมได้ผลเสีย และลองเสนอสิ่งที่เขาต้องการ

“ถ้าเจ้าชายอนุญาตให้ผมเดินทางไปท่องเที่ยวที่ฮัชดาลลาร์ ไม่แน่ว่าผมอาจจะตกลงก็ได้”

“ได้เลยครับ ฮัชดาลลาร์ยินดีต้อนรับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบเอ็ด 11/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 11-12-2016 11:38:24
จบมื้อเที่ยงวันนั้น สุดฟ้ากลับมาที่ห้องพักเพื่อเก็บข้าวของก่อนกลับเมืองไทย แน่นอนว่าก่อนเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จักเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อม เขานัดหมายเจ้าชายฟาลิฮ์ไว้ว่าจะเดินทางไปที่ฮัชดาลลาร์สัปดาห์หน้า ส่วนแผนการณ์ที่เคยคิดไว้ก่อนหน้านี้ คงไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้ว

“ผมไปด้วย”ชวิศาร้องบอกทันทีที่พูดว่าจะกลับประเทศไทยแล้ว

“ก็ได้อยู่ แต่นายต้องไปขออนุญาตพี่ชายนายก่อน”สุดฟ้าพูดไปอย่างนั้นแหละ รู้อยู่แล้วว่าต่อให้โยธินขัดขวาง ชวิศาก็คงตามเขากลับไปอยู่ดี ชายหนุ่มมองชวิศาที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เห็นล้งเล้งใส่ปลายสายอยู่ครู่เดียวก็วางสาย สุดฟ้าจึงหันหลังว่าจะไปบอกลาดีน มอร์แกนเสียหน่อย ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าจึงตามมาเกาะแขนเขาไว้ทันที ส่วนอีกข้าง เอมมิกาก็เกาะเขาไม่ปล่อยตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาในห้อง

นับว่าเป็นช่วงเวลาที่แปลกและตื่นเต้นดีเหมือนกันละนะ ตอนที่กลายมาเป็นที่ต้องการของสังคมแบบนี้ มีสาวสวยอกสะบึมกับผู้ชายหน้าสวยมายื้อแย่ง อ่อ...ที่สำคัญได้ทดลองเป็นไบเซ็คชวลด้วย แต่เขาเป็นพวกอยู่อย่างสงบสุขมานาน ถึงอยากจะให้ชีวิตมีเรื่องน่าตื่นเต้น แต่สุดฟ้าก็ปรารถนาช่วงเวลาอันสงบสุขเสียมากกว่า

“เอมมิกา อา...หรือผมควรจะเรียกคุณว่าซาเบียดีละ”สุดฟ้าหันไปถามหญิงสาว แต่เธอยังคงแสดงสีหน้างุนงง

“ผมตกลงกับเจ้าชายได้แล้วครับ อาทิตย์หน้ากำลังจะไปฮัชดาลลาร์แล้วด้วย ถ้าอย่างไรวันนี้ขอเชิญคุณกลับไปหาเจ้าชายก่อนดีไหมครับ”เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม

“คุณพูดเรื่องอะไรค่ะฟ้า”เธอถามกลับ หน้าตาที่แสดงออกถึงความไม่เข้าใจยังคงเหมือนเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด ชายหนุ่มร่างสูงถอนหายใจ ถ้าเจ้าชายไม่ใจร้อนสั่งให้คนมาขโมยของที่บ้าน สุดฟ้าคิดว่าตนเองก็ยังคงไม่รู้หรอกว่า เอมมิกาเป็นสายของฝ่ายนั้น เขาจึงหันไปถามชวิศา

“ชวิศารู้ไหมว่าเจ้าชายฟาลิฮ์พักอยู่ห้องไหน พาไปหาหน่อยได้ไหม”

“อืม ได้ครับ”ชวิศาเองก็มีท่าทางแปลกใจกับคำพูดของเขาเหมือนกัน และเมื่อได้รับคำตอบชายหนุ่มพร้อมสองคนที่เกาะเขาเป็นลูกลิงจึงเดินตรงไปที่ลิฟต์

ชวิศาล้วงการ์ดสีทองที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาเสียบเข้ากับช่องใส่การ์ดบนแผงกดในลิฟต์ บนจอแสดงสถานะถามหาหมายเลขรหัส ชายหนุ่มเจ้าของการ์ดลงหมายเลขลงไปอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะระบุชั้นที่ต้องการให้ลิฟต์เคลื่อนที่ไปถึง ใช้เวลาไม่นานนักลิฟต์ก็เคลื่อนที่มาถึงชั้นเป้าหมาย

คราวนี้ชวิศาก้าวเท้าเดินนำหน้าทั้งที่ยังกอดแขนของเขาไว้แน่น จึงเหมือนว่ากำลังลากให้เขาเดินตาม เมื่อมาถึงบานประตูห้องหนึ่ง ร่างเล็กบางก็กดออดหน้าห้อง อีกครู่ต่อมาประตูตรงหน้าจึงถูกเปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำยืนอยู่ตรงหน้า

“มิสเตอร์สุดฟ้า ศิริกรต้องการขอพบเจ้าชายครับ”ชวิศาพูดเป็นภาษาอังกฤษ

ประตูบานนั้นถูกปิดลงอีกครั้ง คราวนี้พวกเขายืนรออีกครู่ใหญ่กว่าประตูจะถูกเปิด สุดฟ้าได้รับคำอนุญาตให้เข้าไปในห้องได้ เขาจึงรุนหลังให้ชวิศาเดินผ่านประตูเข้าไปก่อน ภายในห้องนั้นกว้างราวๆห้าสิบตารางวา ถูกจัดตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบชุด มองผ่านหน้าต่างบานกระจกออกไป สุดฟ้าเห็นว่ามีสระว่ายน้ำอยู่นอกระเบียง

เจ้าชายฟาลิฮ์เดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง พลางเอ่ยปากทักทายแย้มพระสรวลให้เขาทันทีที่เห็นหน้า

“สวัสดีครับ มีอะไรหรือครับ”

“อ่อ ผมพาลูกน้องของเจ้าชายมาส่งคืนครับ”สุดฟ้าเอ่ยธุระของตนออกมาทันที เจ้าชายฟาลิฮ์ทอดพระเนตรมองใบหน้าแต้มยิ้มของชายหนุ่มคู่สนทนาอย่างพิจารณา ก่อนจะแสร้งเป็นเหลือบสายพระเนตรมองทั้งชวิศาและเอมมิกา ขณะชั่งพระทัยว่าควรจะยอมรับตามตรงหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้

“คุณไม่ชอบเธอหรือครับ”ในที่สุดพระองค์ก็ตัดสินพระทัยยอมรับออกมาตามตรง โดยคาดหวังว่าถ้าตนมอบความจริงใจให้ อีกฝ่ายน่าจะมอบความจริงใจกลับมาให้พระองค์เช่นเดียวกัน

“เอ่อ... ก็ดีครับ สวยตรงสเป็คทุกอย่าง”

ชวิศาได้ยินแล้วรู้สึกไม่ชอบใจอย่างที่สุด เหลือบตาขึ้นมองหน้าชายหนุ่มร่างสูงก่อนเขม่นส่งสายตาข่มขู่ไปยังคู่อริที่ยังคงลอยหน้าลอยตาอยู่เช่นเดิม

“แต่ผมไม่อยากมีปัญหาทีหลัง”สุดฟ้าเหลือบสายตามองคนที่เขาไม่อยากมีปัญหาด้วยที่ยังคงจ้องเอมมิกาอย่างไม่ลดละ เชื้อพระวงศ์หนุ่มพยักพระพักตร์อย่างเข้าใจ

“ซาเบีย ยกเลิกภารกิจ”

“ค่ะ”หญิงสาวขานเสียงตอบรับ ก่อนจะถอยหลังออกห่างจากชายหนุ่มร่างสูงไปหนึ่งก้าว

“แล้วเรื่องของที่คนของผมขโมยไป”เจ้าชายตรัสถาม

“อ่อ... ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ใช้แล้ว ส่วนเรื่องไฟล์ ผมคิดว่าคนของเจ้าชายน่าจะยังปลดล็อกไม่ได้”

สุดฟ้าพูดออกมาได้ถูกต้องราวกับตาเห็น เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงดำริอยู่ในพระทัย และนับว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่อีกฝ่ายมางานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของพระองค์ ทั้งยังตอบรับคำเชิญเลี้ยงอาหารเที่ยง ไม่เช่นนั้น พระองค์ก็ยังคงจนหนทางอยู่เช่นเดิม

“แล้วไว้เจอกันอาทิตย์หน้านะครับ”สุดฟ้ากล่าวเช่นนั้นก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับ เดินออกจากห้องพลางลากชวิศาที่ยังเขม่นมองซาเบียไม่เลิก

พอออกมายืนนอกห้อง พ้นสายตาคนอื่นแล้ว ชวิศาเอ่ยปากถามออกมาเป็นภาษาไทยทันที

“ระหว่างผมกับแม่นั่น คุณสุดฟ้าชอบใครมากกว่ากันครับ”คนถามตีสีหน้าจริงจังเสียจนเขาอดที่จะยกยิ้มไม่ได้

“อืม ใครดีน๊า”เขาว่าพลางทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันมามองหน้าอีกฝ่ายและยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ก้มหน้าลงไปใกล้แล้วพูดเสียงเบา “ถ้ายอมออนท็อปแล้วร่อนสะโพกอย่างเซ็กซี่ๆให้ดูสักรอบคงจะตอบได้”

“อ๊ะ”ชวิศาหน้าแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ความร้อนแล่นลามขึ้นศีรษะจนคิดอะไรไม่ออกพลันก้มหน้าหลบสายตาแพรวพราวของชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า “ปกติก็ไม่เคยขัดอยู่แล้วนะ” ชายหนุ่มร่างเล็กพูดเสียงเบาไม่แพ้กัน รู้สึกเขินอายมากขึ้น ก่อนจะต้องจำยอมเงยหน้าขึ้นมาตามแรงมือที่ประคองอยู่ข้างแก้ม หลับตาลงเมื่อที่สุดฟ้าเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ในหัวใจของเขาเต้นตึกตักเสียงดัง จากนั้นความรู้สึกนึกคิดทุกอย่างก็ไปกองรวมอยู่กับความนุ่มหยุ่นที่สัมผัสอยู่บนริมฝีปาก หวิววาบในช่องท้องจนแทบทรงตัวยืนไม่อยู่ ชวิศาจึงยกมือยึดเสื้อของสุดฟ้าไว้พลางบอกตัวเองให้หายใจเข้า

“ชวิศา”เสียงเรียกชื่อทำให้เขาสะดุ้งลืมตา ทันเห็นสุดฟ้าเหลือบตามองเลยไปทางด้านหลัง ก่อนชายหนุ่มจะผละออกห่างอย่างเชื่องช้า ชวิศาหันมอง เห็นโยธินเดินหน้าเครียดมาแต่ไกล จึงได้ขยับตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของสุดฟ้า

“ผมจะกลับเมืองไทยกับคุณสุดฟ้า”ชวิศาพูดบอกไปอีกรอบ

“พี่ไม่อนุญาต”โยธินปฏิเสธเสียงแข็ง

“แต่คุณย่าอนุญาตแล้ว”

“อย่าโกหกนะ”

“ไม่เชื่อพี่ลองโทรถามคุณย่าเลย”ชวิศาพูด ตอนที่โยธินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เขาก็พยายามลากพาสุดฟ้าให้เดินหนี แต่คนเป็นพี่ชายไม่ยอมปล่อยให้เขาหนีไปง่ายๆ ฝ่ายนั้นยื่นมือมาจับต้นแขนของเขาไว้

ขณะที่หูกำลังฟังเสียงที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ สายตาของโยธินก็กำลังจับจ้องอยู่ที่น้องชาย ชวิศาทำหน้างอไม่พอใจเขาแต่พอสุดฟ้ายื่นมือมาบีบจมูก ก็หันไปสนใจชายหนุ่มร่างสูงที่ตนยืนเกาะแขนไม่ปล่อยทันที พลางสะบัดหน้าหนีมือนั้นแต่มีรอยยิ้มอยู่เกลื่อนใบหน้า ไม่ต่างกับอีกคนที่ทอดสายตามองน้องชายของเขาด้วยความอ่อนโยน

“มีอะไรถึงโทรหาย่าได้ละเนี่ย”เสียงถามจากปลายสายเป็นภาษาฝรั่งเศส น้ำเสียงฟังดูแปลกใจที่เขาโทรหา โยธินจึงกรอกเสียงกลับไปเป็นภาษาเดียวกัน

“เรื่องซีนะครับ”ยังพูดไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็กล่าวแทรกขึ้นมาทันที

“น้องโตแล้วนะโย ปล่อยน้องไปบ้างเถอะ ย่ารู้ว่าหลานห่วงน้อง แต่พวกเราไม่สามารถปกป้องเขาไปได้ตลอดหรอกนะ ขนาดลภัสยังไม่หวงห้ามตามติดเท่าหลานเลย”คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ แต่คนฟังอดที่จะรู้สึกน้อยใจไม่ได้ ก็เขาเลี้ยงของเขามา จะปล่อยให้ใครหน้าไหนมาพรากไปง่ายๆได้อย่างไร

“ตอนที่ย่ายุให้เรารวบหัวรวบหาง เราก็ไม่ยอมทำ”โยธินได้แต่ตอบกลับไปในใจว่า เขารักชวิศามากแต่ก็ใช่จะมีอารมณ์พิศวาสด้วยเสียหน่อย ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งเขาไปเจอผู้หญิงที่ใช่ขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเขาเองนั่นสิที่ทำให้น้องชายเสียใจ

ชายหนุ่มบอกลาก่อนจะกดวางสาย

“เรานะ จะกลับไปเมืองไทย ไม่ไปเก็บเสื้อผ้าหรือไง”

ชวิศายิ้มกว้างโผเขามากอดเขา “รักพี่โยที่สุดเลย” เขายกมือขึ้นลูบศีรษะน้องชาย และเหลือบตาขึ้นมองหน้าชายหนุ่มอีกคน ให้ตายเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำใจให้ชอบไอ้หมอนี่ไม่ได้จริงๆ

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบสอง 18/12/2016
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 18-12-2016 18:14:58
*//อาทิตย์ที่แล้วมาสาย อาทิตย์นี้มาเย็น แถมยังเขียนได้สั้นๆ ไม่อยากจะคิดถึงอาทิตย์หน้าเลยอ่ะ//*

ตอนที่สิบสอง

สุดฟ้ามองคนที่นั่งอยู่หน้าทีวีด้วยความหงุดหงิด บนหน้าจอโทรทัศน์ยังคงฉายซีรี่ย์เกาหลี พอชวิศาร้องทักและเดินเข้าไปหา ฝ่ายนั้นถึงได้หันมามองและโผเข้ากอดทำราวกับไม่ได้เจอกันมาสักสามสี่ชาติ ซ้ำยังสนิทสนมกันอย่างแปลกๆ พอพูดทักออกไป จึงได้รับคำตอบกลับมาว่า

“เค้าคุยกันตลอดแหละ”

“คุย?”จะหาว่าเขาโง่ก็ได้นะ แต่มาริเอะไม่มีโทรศัพท์ แล้วสองคนนี้จะมาคุยกันตลอดได้อย่างไร

“คุณมาริจะโทรมาคุยกับผมครับ”

“ผมไม่ได้ใช้เซิร์ฟเวอร์กลางต่อออกข้างนอกนะ ถามสเตบาสเตียนได้”มาริเอะออกตัว เพราะเซิร์ฟเวอร์กลางมีโปรแกรมควบคุมการทำงานในบ้าน ซ้ำยังเก็บข้อมูลอีกหลายอย่าง การเชื่อมต่อทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของสเตบาสเตียน และเช่นเดียวกัน การเชื่อมต่อที่แทรกแซงจากอุปกรณ์อื่นอาจจะส่งผลต่อโปรแกรมควบคุมได้

สุดฟ้ารู้อยู่แล้วว่ามาริเอะคงไม่ได้ใช้เซิร์ฟเวอร์กลาง ไม่เช่นนั้นสเตบาสเตียนคงจะรายงานเขาแล้ว ถึงแม้ว่ามาริเอะจะมีสิทธิ์ออกคำสั่งกับสเตบาสเตียนได้ แต่ขอบข่ายคำสั่งต้องไม่เกี่ยวข้องกับระบบที่หุ่นยนต์พ่อบ้านดูแลอยู่ ดังนั้นคงมีทางเดียวที่ทำให้มาริเอะติดต่อกับชวิศาได้ หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะคงจะใช้เอ็กซ์เทอร์นอลโมเด็มแฮ็กเบอร์โทรศัพท์ในเครือข่ายแล้วโทรหาชวิศา

“ทำไมนายถึงไม่โทรผ่านแอพเคชั่นติดต่อสื่อสารละ”

“อ่ะ นั่นสิ”มาริเอะทำหน้าเหมือนว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ “ผมขอโทษครับ แต่ผมใช้เบอร์ของด็อกเตอร์นะครับ”

สุดฟ้าถอนหายใจ ฝ่ายชวิศาที่พอจะเข้าใจได้ลางๆจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เพราะบนหน้าจอไม่เคยปรากฏเบอร์ โทรให้เห็น เขาจึงไม่เคยโทรกลับ กระนั้นมาริเอะก็มักจะโทรมาหาเขาตอนที่เขาอยากพูดคุยกับใครสักคนทุกครั้ง

“ชวิศากับสเตบาสเตียน ไปซื้อกับข้าวสำหรับวันนี้มาก่อนแล้วกัน ฉันจะปรับแก้มาริเอะหน่อย แล้วก็เตรียมของสำหรับเดินทางไปฮัชดาลลาร์วันอังคารหน้า”

เจ้าของบ้านพูดพลางรุนหลังมาริเอะให้เดินไปทางห้องทำงาน

“ให้ผมไปด้วยใช่ไหมครับ”ชวิศาถาม

“แน่นอน ไปกันหมดนี่แหละ ฉันไม่ปล่อยให้ใครอยู่บ้านแล้วเอาแต่นั่งดูซี่รี่ย์หรอก”

“แหม แล้วจะให้ผมทำอะไรละ งานที่ด็อกเตอร์ให้ทำผมก็ทำเสร็จแล้วอ่ะ”

“ไม่มีอะไรให้ทำก็เข้าเซฟโหมดไปซิ มานั่งดูโทรทัศน์ให้เปลืองค่าไฟทำไม”สุดฟ้าพูดบ่นจนกระทั่งหายเข้าไปหลังบานประตูห้องทำงาน

ชวิศามองตามด้วยหัวใจที่แช่มชื่นมีความสุข ถึงความจริงที่ว่ามาริเอะเป็นคนรักของสุดฟ้าจะยังคงอยู่ แต่เขากลับยังคงมีความสุข เขาหันไปหาคุณพ่อบ้านและชักชวนกันออกไปซื้อของ แต่ยังไม่ทันพ้นจากหน้าบ้าน รถยนต์คันหรูของสองพี่น้องสุวราลักษณ์มาจอดเทียบเสียก่อน

สองพี่น้องลงมาจากรถแล้วถลาเข้ามาหาหุ่นยนต์พ่อบ้านทันที “สเตบาสเตียน ดีใจจังที่นายกลับมา” ว่าพลางกอดหมับอย่างพร้อมเพรียง

“หิวข้าว อยากกินข้าว”

“ทำอะไรให้กินหน่อย”

ชวิศาหัวเราะกับสาเหตุที่สองคนนั้นคิดถึงคุณพ่อบ้าน “ผมกับคุณสเตบาสเตียนกำลังจะไปซื้อของมาทำกับข้าวกันครับ”

“ดีเลย เดี๋ยวเราไปส่ง”ธัชนนท์บอก

“แล้วจะกันหมดหรือครับ”ชวิศาถามเมื่อเห็นเดย์กับน้ำยืนอยู่ไม่ห่าง

“ก็ให้สเตบาสเตียนขับ ซีก็นั่งหน้า แล้วพวกฉันสี่คนนั่งข้างหลังเอง”

ชวิศายังมีท่าทางลังเล แต่แฝดผู้น้องเดินไปเปิดประตูรถ แล้วแฝดผู้พี่ก็ดันให้เขาไปนั่งที่เบาะหน้า หุ่นยนต์พ่อบ้านจึงเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ เป็นจังหวะเดียวกับที่สองพี่น้องสุวราลักษณ์เปิดประตูที่นั่งตอนหลังและเข้าไปด้านใน ทันทีที่ประตูรถปิดสนิท สเตบาสเตียนจึงใส่เกียร์และเหยียบคันเร่งให้รถยนต์คันหรูเคลื่อนที่

สเตบาสเตียนขับรถยนต์มาจอดยังตลาดสดที่เขาสองคนมาด้วยกันบ่อยๆ เป็นตลาดที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่ไกล ระยะทางประมาณเดินให้เหงื่อออก พี่น้องสุวราลักษณ์บ่นอุบออกมาทันทีที่เห็นสภาพตลาดเพราะทั้งสองคนต่างอยู่ในชุดสูทเต็มยศ

“ไม่ต้องลงไปก็ได้ครับ ผมซื้อของไม่นาน”ชวิศาพูดพลางยิ้มให้

“ไม่ละ ไหนๆก็มาแล้ว”ฝาแฝดคนน้องบอกขณะถอดสูทปลดเนคไท ขัดแขนเสื้อมากองอยู่แถวข้อศอก หันไปมองคนพี่กลับเตรียมพร้อมอยู่ข้างรถยนต์แล้ว ชวิศาโคลงศีรษะก่อนจะก้าวเท้าเดินนำ สเตบาสเตียนเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือมารับตระกร้าในมือไปถือไว้เอง

“ทำอะไรดีละครับ”ชายหนุ่มถามคุณพ่อบ้าน

“ตารางเมนูเป็นต้มยำ ผัดผัก ชะอมชุบไข่กับน้ำพริกครับ”
สเตบาสเตียนมีรายการอาหารอยู่ในฐานข้อมูลเป็นร้อยชนิด โดยจัดเรียงลำดับเพื่อเลือกมาทำโดยไม่ให้ซ้ำกันในแต่ละวัน นอกเหนือจากเมนูพิเศษที่สุดฟ้าหรือคุณผู้ชายทั้งสองจากบ้านสุวราลักษณ์ต้องการทาน

“ต้มยำทะเลน้ำข้น หน่อไม้ผรั่งผัดกุ้ง ชะอมชุบไข่กับน้ำพริกเหมือนเดิม”

“หมึกนึ่งน้ำมะนาว”

“กุ้งแช่น้ำปลา”

“เอาปลาดุกผัดเผ็ดด้วย”สองพี่น้องบอกรายการอาหารอีกสองสามอย่างเพิ่มเติม แต่พอถึงเวลาที่เดินผ่านร้านไหน ฝาแฝดกลับแวะซื้อของเสียทุกร้าน

“พอเถอะครับ เดี๋ยวจะเหลือทิ้งเสียเปล่าๆ”

“ไม่เหลือหรอกน่า สำหรับทำกับข้าวของมือเช้ากับมื้อกลางวันพรุ่งนี้”

“นี่ก็สำหรับทำขนม”ธัชนนท์ชูถุงใส่เผือกใส่แป้งให้เขาดู เห็นหน้าคนพูดแล้วเขาได้แต่อ่อนใจ จำใจพยักหน้ารับและออกปากสำทับไม่ให้ซื้ออะไรเพิ่มอีก จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์ของชวิศาก็ดังขึ้น แม้เบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอจะเป็นเบอร์ที่เขาไม่ได้บันทึกชื่อ กระนั้นชวิศาก็กดรับสาย

“สวัสดีครับ”

“ติดแล้ว แน่นอนสิ จะตื่นเต้นอะไร”
ชวิศานิ่งฟังอย่างงุงงง เพราะเหมือนว่าปลายสายจะไม่ได้คุยกับเขา ทั้งยังมีเสียงคนอื่นพูดแทรก

“ผมมาริครับ คุณชวิศาซื้อของถึงไหนแล้วครับ ให้ผมไปช่วยไหม”

“ไม่ต้องครับ นี่ก็จะกลับแล้ว”

“อย่างนั้นรีบกลับมาเร็วนะครับ”


ดังนั้น ชวิศาจึงชวนทุกคนกลับบ้านพร้อมกับช่วยกันหอบหิ้วของสดมามากมายเต็มสองมือ

“โอ๊ะ กลับมาแล้วหรือครับ”

“เฮ้ย!!!”ทั้งธัชนนท์และธัชนันท์ร้องออกมาพร้อมกันเมื่อเห็นหน้าเจ้าของคำพูดนั้น

“ตกใจอะไร จำผมไม่ได้หรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอแนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผมมาริครับ”

ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะมาอยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้ “อ่า... เอ่อ... ยังไงดีละ” ชวิศาเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย “ยังไงอะไรหรือครับ”

“นั่นสิเนอะ ว่าแต่เราไปทำกับข้าวกันดีกว่าครับคุณชวิศา ปล่อยสองคนนี้อ่าเอ่อกันต่อไปเถอะช่วยเอาข้าวของทั้งหมดไปวางไว้ในครัวด้วยนะครับ”ประโยคหลังมาริเอะหันไปสั่งสองหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แล้วหันไปคุยชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร่างต้นแบบของตนเรื่องรายการอาหารวันนี้

“โค-ตรเหมือนคนจริงๆ”ธัชนันท์พูดออกมา “ทั้งแววตาทั้งอารมณ์ในน้ำเสียง พี่เห็นไหม”

“เออ เห็นแล้ว”

“พี่ว่าเราสองคนยอมจ่ายเงินให้สุดฟ้าปรับปรุงเดย์กับน้ำให้ดีไหม”เขาสองคนเดินตามเข้าไปวางของบนโต๊ะทานอาหารในครัว เอ่ยปากสั่งให้หุ่นยนต์ของตนเป็นลูกมือช่วยทำกับข้าว จากนั้นจึงเดินกลับออกมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าทีวีเพื่อคุยเรื่องนี้กันต่อ

“ฉันว่าคงโดนเก็บย้อนหลังค่าหุ่นทั้งตัวแน่เลยว่ะ”แฝดคนพี่พูดพลางกดรีโมทหาช่องรายการ และหัวข้อที่พูดคุยก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนอาหารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ชัธนันท์ไปถึงโต๊ะอาหารเป็นคนแรก

“รอก่อนนะครับ อย่าเพิ่งทาน”
ถึงชวิศาจะบอกว่าอย่าเพิ่งทาน แต่สองพี่น้องก็ถือช้อนกับส้อมไว้ในมือเตรียมพร้อมลงมือทานทันทีที่เจ้าของบ้านมาถึง

“มาเร็วแท้ ฉันเพิ่งบ้านเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเอง”

“ถ้าแกใช้บริการเครื่องบินของอาอาร์ม ข่าวมันก็ต้องไวเป็นธรรมดา”พอสเตบาสเตียนวางจานข้าวตรงหน้า ธัชนันท์ก็จ้วงปลาหมึกนึ่งน้ำมะนาวทันที

“ว่าแต่คุณแอมหายไปไหนว่ะ ไปด้วยกันไม่ใช่เหรอ”ธัชนนท์ถามบ้าง

“คืนไปแล้ว”

“หือ อธิบายให้เคลียร์หน่อยดิ”

สุดฟ้ายิ้มรับเมื่อชวิศาตักต้มยำแยกใส่ถ้วยเล็กๆมาให้ “ก็พอดีว่าเธอเป็นคนของเจ้าชายฟาลิฮ์ แล้วบังเอิญเจอกันพอดีเลยคืนให้”

“อือ”ธัชนันท์รีบเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากและกลืนลงไปอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดว่า “ว่าแล้วเชียว ประวัติว่าเป็นนักเขียน แต่มีหนังสือออกมาสองสามเล่ม แถมยังไม่ใช่หนังสือดัง ยังว่าอยู่ทำไมใช้ของแบรนด์ทั้งตัว”
สุดฟ้าพยักหน้ารับ ไม่ออกความคิดเห็น

“เจ้าชายฟาลิฮ์ที่ว่านี่ หมายถึงรัชทายาทของฮัชดาลลาร์ใช่ไหม”

“ไม่รู้ดิ”สุดฟ้าตอบ ชวิศาจึงกล่าวต่อไปว่า “ใช่ครับ เพิ่งมีการประกาศไปเมื่อไม่นาน”

“แล้วจู่ๆแกไปเจอได้ยังไงว่ะ”

“คุณสุดฟ้าไปร่วมงานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของเจ้าชายครับ แล้วจะไปฮัชดาลลาร์วันอังคารที่จะถึงนี้ด้วย”ชวิสาพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เฮ้ย!!!”สองพี่น้องร้องตะโกนออกมาจนพวกเขาตกใจ “ไปด้วย”

“ไม่ได้”สุดฟ้าเองก็ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อย” แม้ว่าจะเที่ยวให้ทั่วก่อนแล้วค่อยลงมือทำงานก็ตาม

“ใจร้ายว่ะ”แฝดคนน้องหน้างอ

“แกลืมไปแล้วเหรอว่าพวกฉันเป็นเพื่อนกับแกมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนกันนะเว้ย ยามทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน ยามสุขแกจะมีความสุขคนเดียวเหรอ”ธัชนนท์พูดต่อ แต่โดนเจ้าของบ้านตบมุขจนหงายเงิบ

“มันเคยมีเหตุการณ์แบบนั้นด้วยเหรอว่ะ ไม่ยักจะจำได้”

“มีสิมี แกจะให้ฉันเล่าเรื่องไหนละ ความจำของแกออกจะดี เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะจำไม่ได้เลยนะ”

“พอๆ พอเถอะ หยุดพูดได้แล้ว พวกแกก็ต้องทำงาน เอาไว้ว่างๆค่อยไปใหม่ละกัน”สุดฟ้าพูดตัดบทไปแค่นั้น ฝาแฝดสุวราลักษณ์จึงยิ่งหน้างอ กระนั้นก็ซัดกับข้าวบนโต๊ะเสียเกลี้ยงฉาดก่อนจะยอมกลับไปทำงานต่อ

สุดฟ้าส่งรายละเอียดรายการของที่จะเตรียมไปให้สเตบาสเตียน ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปขังอยู่ในห้องทำงานอีกครั้ง

“ให้ผมช่วยอะไรไหมครับ”ชวิศาขันอาสา ถามหุ่นยนต์พ่อบ้านที่ถือกระดาษรายการอยู่ในมือ มาริเอะชะโงกหน้ามาดูสิ่งที่สุดฟ้าเขียนไว้ แล้วจึงหันไปบอกชายหนุ่มที่หน้าตาเหมือนตนว่า

“ไม่ต้องหรอกครับ ของพวกนี้ให้สตบาสเตียนจัดการไปดีกว่า ขืนเราไปยุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะโดนบ่นได้”

“ตามที่คุณมาริว่านั่นแหละครับ ของพวกนี้ผมจัดการเอง ไม่นานก็เสร็จ”ก่อนจะขอตัวเดินตามเจ้าของบ้านไปในห้องทำงาน
ทั้งมาริเอะและชวิศาจึงว่างงาน

“เล่นเกมกันไหมครับ ไม่อย่างนั้นก็ดูซีรี่เกาหลีกันเถอะ”

ชวิศาจึงยกยิ้มเลือกดูซีรี่ย์เกาหลีอย่างไม่ลังเล ในเมื่อเขาเองก็เล่นเกมไม่เก่งอยู่แล้วนี่นา






“เก็บของในตู้เย็นออกให้หมดนะ”สุดฟ้าเอ่ยทวนซ้ำอีกรอบ ขณะที่พวกเขาตรวจดูและชักปลั๊กไฟพวกอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน สเตบาสเตียนเข็นกล่องกันกระแทกซึ่งอยู่บนรถเข็นออกไปจอดรอไว้หน้าบ้าน และกลับเข้ามายกกระเป๋าเสื้อผ้าอีกรอบ

“เรียบร้อยครับ ทำความสะอาดตู้เย็นไว้เรียบร้อยแล้วด้วย”ชวิศารายงานตอนที่เดินมาสบทบกับชายหนุ่ม

“อืม สเตบาสเตียนตัดระบบควบคุมของนายให้เหลือแค่การเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์กลาง”

หุ่นยนต์พ่อบ้านยืนนิ่งไปครู่หนึ่งและพูดต่อไปว่า“ตัดการเชื่อมต่อเรียบร้อยครับ”

สุดฟ้าเดินเข้าไปในสวนด้านข้างบ้าน หยุดยืนและทรุดตัวลงนั่งชันเข่าตรงหน้าผนังที่ซ่อนแผงควบคุมด้านนอก กดมือลงบนผนังเพื่อให้ฝาครอบเปิดออกมา เสียบสายส่งข้อมูลจากดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์เข้ากับพอร์ตเล็กๆบนแผงควบคุม จากนั้นจึงสั่งรันโปรแกรม ชัตเตอร์ซึ่งถูกติดตั้งเหนือหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกรอบบ้านค่อนเคลื่อนที่ลงมา แม้ว่ากระจกที่เขาใช้จะเป็นกระจกเซฟตี้ แต่ถ้าใช้อุปกรณ์เฉพาะ มันก็ถูกเจาะให้เป็นช่องได้ หลังจากลงรหัสล็อกประตู เขาจึงตัดระบบไฟในบ้านทั้งหมดให้เหลือเฉพาะเซิร์ฟเวอร์ที่เชื่อมต่ออยู่กับสเตบาสเตียนเท่านั้น สุดท้ายเขาลองปรับเวลาเพื่อทดสอบระบบสปริงเกอร์ในสวน เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงเดินกลับมารวมกลุ่มกับคนอื่น มองเห็นชวิศาและมาริเอะยืนคุยกันอยู่แต่ไกล
วันนี้ทั้งสองคนอยู่ในชุดเสื้อคอกลมแขนสั้นสีฟ้า สกรีนลายคิกขุแมนตัวการ์ตูนสุดโปรดของเขา สวมทับด้วยเอี๊ยมยีนส์ขาสั้นเหนือเข่า สวมรองเท้าผ้าใบ ทั้งคู่แต่งตัวเหมือนกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร พอเห็นเขาเดินเข้าไปหา ก็หันไปยกยิ้มให้กัน ก่อนจะมาวิ่งวนอยู่รอบตัวเขา

“เล่นอะไรเนี่ย”พอถามทั้งสองคนก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า คนที่ยืนอยู่ทางซ้ายของเขายกมือขึ้นมาชี้ไปทางคนทางขวา แล้วเอ่ยปากถาม “ทายสิคนนี้ใคร”

อีกคนก็ยกมือชี้ไปที่คนที่ยืนอยู่ข้างๆและพูดว่า “ทายสิคนนี้ใคร”

สุดฟ้าเลยถามว่า “ว่างนักเหรอ ทำไมไม่คิดทำอะไรที่มันสร้างสรรค์กว่านี้ละ”

“ก็ว่างอยู่”

“เนี่ยสร้างสรรค์สุดแล้ว”

เขาหัวเราะ มีฝาแฝดสุดป่วนเพิ่มมาบนโลกใบนี้อีกคู่แล้ว

“สเตบาสเตียน”

“หยุด!!! อย่างเรียกตัวช่วยสิ”

“งั้นถ้าตอบถูกจะได้อะไร”สุดฟ้าถามพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ได้เสียงปรบมือ เอ้าปรบมือ”คราวนี้ทั้งสองคนรวมถึงสเตบาสเตียนจึงปรบมือกันเปาะแปะ

“ไม่เห็นจะอยากได้ เอาเป็นหอมแก้มคนละทีได้ม่ะ”

ชวิศากับมาริเอะมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าตรงลง สุดฟ้าจึงยกนิ้วขึ้นชี้ “คนนี้มาริเอะ ส่วนคนนี้ชวิศา”

“เค้าชื่อมาริ”คนที่สุดฟ้าชื้ว่าชื่อมาริเอะตะเบ็งเสียงแทรกขึ้นมาทันที “ชื่อมาริ มาริ มาริ ไม่ใช่มาริเอะ”

“มาริ มาริ มาลี มาลี มาลี อ่อ อยากชื่อมาลีนี่เอง”ชายหนุ่มพูดแซว มาริเอะจึงทำท่าฟึดฟัดเชิดหน้าหนีอย่างขุ่นเคือง สุดฟ้าหัวเราะก่อนจะเอียงหน้าให้ชวิศา ชายหนุ่มร่างเล็กมีอาการเขินอายกระนั้นเขาก็กดจมูกลงบนแก้มที่ยื่นมาหา ฝ่ายมาริเอะกลับโน้มคอสุดฟ้า แล้วจงใจบี้จมูกลงไปแทนคล้ายพยายามแก้แค้ให้สาแก่ใจ เมื่อกลับมายืนเต็มความสูงได้อีกครั้ง เขาเห็นสเตบาสเตียนขยับเข้ามายืนใกล้ๆพลางยื่นหน้ามาหา

“จะทำอะไรน่ะ”

“หอมแก้มให้รางวัลด็อกเตอร์ครับ”

“ฮึ่ย ไม่ต้องออกไปไกลๆเลย”เป็นจังหวะเดียวกับที่รถของธีรวัฒน์มาจอดที่หน้าบ้าน สุดฟ้าจึงไล่พ่อบ้านส่วนตัวไปยกกระเป๋า และแล้วพวกเขาก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางเสียที




สนามบินนานาชาติของฮัชดาลลาร์อยู่นอกเมืองค่อนไปทางตะวันตกบนพื้นที่ที่เป็นทะเลทราย อาคารผู้โดยสารถูกออกแบบให้เป็นอาคารชั้นเดียวเหมือนสนามบินในจังหวัดเล็กๆของไทย สุดฟ้าลงมาจากเครื่องบินด้วยอาการสะลึมสะลือคล้ายยังไม่ตื่นดี อากาศภายนอกอาคารร้อนระอุ แต่ภายในเย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ ภายในอาคารผู้โดยสารที่เพียงพนักงานไม่กี่คน

“สวัสดีครับมิสเตอร์ศิริกร ผมชื่อบาซิมครับ ได้รับคำสั่งจากเจ้าชายให้มาต้อนรับคุณครับ”ชายหนุ่มร่างเล็กพูดกับเขาด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษชัดแจ๋ว “ไม่คิดว่ามิสเตอร์สุวราลักษณ์จะมาเยือนฮัชดาลลาร์ด้วย นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
ประโยคหลังของอีกฝ่ายทำให้สุดฟ้าตื่นเต็มตา เขาหันไปมองคนที่เดินตามมาข้างหลัง พี่น้องฝาแผดโบกมือให้เขาหยอยๆ ทั้งยังมีน้ำและเดย์ยืนอยู่ข้างๆ

“พวกแก”

“พอดีว่าฉันสองคนเคลียร์งานเสร็จแล้ว เลยมาเที่ยวพักผ่อน”

“แกก็ทำงานของแกไป ไม่ต้องสนใจพวกฉันหรอก”

สองพี่น้องพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ก่อนจะรี่เดินเข้าไปหาคนของฮัชดาลลาร์ที่มาต้อนรับพวกเขา ต้อนให้ชายหนุ่มเจ้าบ้านรีบเดินไปที่ที่รถยนต์ สุดฟ้าจึงได้แต่ส่งเสียงชิช๊ะอย่างไม่พอใจ

รถยนต์ที่อยู่ด้านหน้าอาคารเป็นมินิแวนตราดาวขนาดเจ็ดที่นั่ง ซึ่งพอเห็นยานพาหนะสุดฟ้าจึงยกยิ้ม

“ไม่มีที่นั่งสำหรับพวกแกหรอก เพราะฉะนั้นกลับไปซะ”เขาใช้ภาษาไทยเอ่ยปากไล่สองพี่น้องที่เกาะเครื่องบินมากับเขาในครั้งนี้ แต่ยังไม่ทันหันไปบอกกับบาซิม มินิแวนอีกคันก็มาจอดต่อท้าย

“มิสเตอร์ศิริกรและมิสเตอร์สุวราลักษณ์เชิญที่รถยนต์คันนี้เลยนะครับ ส่วนคันข้างหลังสำหรับผู้ติดตามครับ”

พอประโยคนั้นจบทั้งชวิศาและมาริเอะก็เข้ามากอดแขนของสุดฟ้าไว้แน่น แสดงออกชัดเจนว่าไม่ยอมแยกไปนั่งอีกคันแน่ๆ ฝาแฝดจึงเอ่ยขึ้นมาว่าจะไปนั่งอีกคันหนึ่งแทน เมื่อสรุปตกลงกันเรียบร้อย รถยนต์ทั้งสองคันจึงเคลื่อนที่ออกเดินทางเพื่อเข้าเมือง

เส้นทางจากสนามบินนานาชาติฮัชดาลลาร์สู่ตัวเมืองเป็นเส้นทางตรงยาวบนถนนราดยางขนาดสองเลนซึ่งถ้ามองตรงไปตามถนนจะเห็นว่าหายเข้าไปในหมู่ภูเขาหินเบื้องหน้า ที่พื้นถนนยังคงดูใหม่เอี่ยมเหมือนเพิ่งสร้าง ส่วนรอบข้างเองก็มีแต่ทะเลทราย กระนั้นเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ทางทิศใต้ กลับเห็นกลุ่มควันพวยพลุ่งขึ้นมาจางๆ และถ้าฟังไม่ผิด พวกเขารู้สึกเหมือนว่าจะได้ยินเสียงระเบิดดังมาเป็นระยะๆ

“มีควันแปลกๆด้วย”ชวิศาพูดกับมาริเอะ สองคนนั้นเกาะกระจกมองไปยังทางที่ว่า

“ประเทศแถบนี้มีแต่สงคราม นั่นคงเป็นควันที่เกิดจากการรบ”มาริเอะตอบด้วยเสียงเรียบๆ

“น่ากลัวจัง”ชวิศาพึมพำ เขาเกิดและเติบโตในดินแดนที่มีแต่ความสงบสุขแม้จะไม่เคยเห็นสงครามและการสู้รบกับตาตัวเองนอกจากในภาพยนตร์ แต่เขาก็รู้สึกว่าสงครามเช่นนั้นเป็นเรื่องที่โหดร้ายและน่าหวั่นเกรง

เมื่อรถยนต์เคลื่อนที่เข้าใกล้หมู่ภูเขาหิน พวกเขาได้เห็นว่ามีกระโจมที่พักกางเรียงรายอยู่ประปราย บ้างรวมหมู่กันหนาแน่น

“มีคนอยู่ด้วย”ชวิศาพูดเป็นภาษาอังกฤษ บาซิมจึงกล่าวรับและอธิบายต่อไปอีกว่า

“ครับ บริเวณนี้ถือว่าเป็นเมืองชั้นนอก ทางเราจะมีการจัดสรรน้ำสำหรับการบริโภคให้แต่ยังไม่มีไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้คนที่อพยพมาจากที่อื่น”

รถยนต์เคลื่อนที่ตามถนนเข้ามาอยู่ในดงของภูเขาหิน สองข้างเป็นภูเขาหินแห้งแล้งที่สูงจนต้องเงยคอตั้งบ่า ระหว่างทาง ก็ได้พบผู้คนสัญจรไปมาอยู่บ้าง ทั้งเดินเท้า ใช้เกวียนเทียมวัว หรือใช้อูฐบรรทุกสำภาระ

“เขตภูเขาหินเรียกว่า เมืองชั้นกลาง ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำเหมือง มีเกษตรกรรมบ้าง และเลี้ยงสัตว์อยู่บ้าง ฮัชดาลลาร์มีพื้นที่ประมาณสี่พันสองร้อยตารางกิโลเมตรรวมทั้งพื้นที่ทะเลทราย การปกครองระบบกษัตริย์ เป็นประเทศเอกราชที่ไม่ขึ้นตรงกับชาติใด”คนพูดกล่าวอย่างภูมิใจ ก่อนที่รถยนต์จะจอดนิ่งสนิท และเมื่อบาซิมก้าวลงจากรถ คณะเดินทางของสุดฟ้าจึงต้องก้าวเท้าลงจากรถยนต์ตามไปด้วย รอบข้างยังแวดล้อมด้วยภูเขาหินสูงใหญ่อยู่เช่นเดิม ความร้อนแรงของแสงแดดถูกบดบังด้วยภูเขาสูง  กระนั้นอากาศก็ยังร้อนระอุ

“ต้องขอประทานอภัยด้วยครับ ทางเรามีกฏว่าการเดินทางภายในตัวเมืองชั้นใน ห้ามใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ดังนั้นเราจะเปลี่ยนไปใช้บริการขนส่งสาธารณะ”

คนของเจ้าชายเดินนำไปยังลิฟต์ที่ฝังตัวอยู่ในภูเขาหิน พวกเขาเดินตามไปตัวเปล่า ส่วนกระเป๋าข้าวของที่สุดฟ้าขนมาถูกบรรจุอยู่บนรถเข็นกระเป๋าที่ใช้กันทั่วไปในโรงแรม มีผู้ชายอีกคนดูและคอยเข็นตามมา

ลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นด้วยระยะทางสั้นๆในความรู้สึก เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก พวกเขาเห็นลานกว้างปูด้วยพื้นกระเบี้องสีน้ำตาลอิฐ แต่สิ่งที่ดึดดูสายตากว่านั้นคือ สีเขียวขจีของต้นไม้สูงใหญ่เบื้องหน้า ทั้งอากาศยังเย็นชื้นต่างจากเมื่อสักครู่ เสียงนกเสียงสัตว์กู่ร้องแว่วดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ

ชายหนุ่มร่างเล็กผู้เป็นเจ้าบ้านหันมากล่าวเชิญให้เดินตาม จากนั้นเดินนำไปยังเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ที่ประตูตรวจตั๋ว พวกเขาพูดคุยกันด้วยภาษาพื้นเมืองอยู่ชั่วครู่ ก่อนประตูเล็กจะถูกเปิดออกเพื่อให้พวกเขาเดินผ่าน สุดฟ้าเหลือบตามองป้ายบอกทางที่ถูกแขวนไว้เหนือหัว ป้ายนั้นบอกทางนั้นทางหนึ่งไปฟาร์จาห์ อีกทางไปทาอาวีฟ จากนั้นจึงสังเกตเห็นรางรถไฟที่ทอดยาวอยู่เหนือหมู่ไม้ บริเวณโดยรอบเองก็มีคนพื้นเมืองในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวยืนรออยู่บ้างเช่นกัน

“รถไฟฟ้า?”

“ครับ ระบบขนส่งสาธารณะของประเทศเราเป็นรถไฟฟ้ากับรถไฟใต้ดิน ภายในตัวเมืองมีแต่ถนนดินสำหรับการเดินทางด้วยเท้า สัตว์เทียมเกวียน หรือการเดินทางด้วยสัตว์ประเภทอื่นๆ”

“นั่นดาบใช่ไหม”ชวิศาชี้นิ้วไปยังผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดรัดรูปทะมัดทะแมง ที่หลังสะพายดาบและกระเป๋าเป้

“ฮัชดาลลาร์ไม่มีกฏห้ามพกอาวุธครับ ผมเองก็มีเช่นเดียวกัน”บาซิมดึงมีดสั้นสองเล่มออกมาจากชายเสื้อด้านหลัง เขาควงมีดด้วยมือทั้งสองข้างอย่างคล่องแคล่ว

ถึงชวิศาจะใช้มีดทำอาหาร แต่ไม่เคยเอามาควงเล่นแบบนี้ จึงรู้สึกว่ามันอันตรายไม่น้อย พลางเบียดตัวเข้าหามาริเอะ

“ไม่กลัวว่า คนในเมืองจะชักอาวุธมาสู้กันบ้างหรือครับ”

“ใช่ว่าการสั่งห้ามไม่ให้พลเมืองทั่วไปพกอาวุธ จะห้ามไม่ให้คนใช้อาวุธสู้กันได้นี่ครับ ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษหรืออเมริกา ก็ยังคงมีเหตุการณ์ยิงกันอยู่บ่อยครั้ง”บาซิมตอบพลางเก็บอาวุธของตนเข้าที่ ชวิศาไม่กล่าวต่อ เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงดังที่อีกฝ่ายกล่าวมา มีเกิดขึ้นอยู่ทุกที

รอไม่นานนัก รถไฟฟ้าก็เคลื่อนที่มาจอดเทียบชานชลา ผู้คนที่ใช้บริการดูบางตา ทั้งฟากของผู้คนที่เพิ่งก้าวลงจากขบวนและผู้ที่ก้าวขึ้นขบวนรถไฟ  ที่นั่งภายในจึงโล่งว่างพอจะให้ทั้งชวิศาและมาริเอะวิ่งไปฝั่งโน้นทีฝั่งนี้ที เพราะทันทีที่ขบวนรถไฟเคลื่อนที่ ทิวทัศน์แปลกตาที่สามารถเห็นจากภายในตู้ขบวนนั้นสร้างความกระตือรือร้นให้ทั้งสองคนได้ไม่น้อย ฟากหนึ่งของภูเขานั้นแห้งแล้ง แต่อีกฟากหนึ่งนั้นหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพรรณ เสียงร้องเรียกดังชี้ชวนให้ดูน้ำตกที่สามารถมองเห็นได้ไกลๆทำให้สุดฟ้าในไปมอง ก่อนจะต้องตกตะลึงเมื่อเห็นสัตว์มีปีกขนาดใหญ่ซึ่งส่วนหัวเป็นนกอินทรีย์แต่มีสี่ขาบินอยู่ไม่ห่าง

“เขาเรียกว่ากริฟฟอนละ”มาริเอะบอกชวิศา ซึ่งคำพูดนั้นทำให้ทั้งฝาแฝดสองพี่น้อง สเตบาสเตียนและหุ่นยนต์ชื่อน้ำและเดย์ ลุกขึ้นมาเกาะหน้าต่างกันหมด “มีคนขี่อยู่บนนั้นด้วยนะ”

“นั่นของจริงหรือครับคุณบาซิม”สุดฟ้าถาม

“ของจริงครับ แต่กริฟฟอนเป็นสัตว์หายากที่จะต้องขึ้นทะเบียนและขออนุญาตครอบครองกับทางการ และห้ามนำออกนอกประเทศ ปัจจุบันทั่วฮัชดาลลาร์มีกริฟฟอนตัวเต็มวัยอยู่ราวๆร้อยกว่าตัว”

“เยอะมาก”ใครสักคนอุทานขึ้นมา พอกริฟฟอนบินหายไปความตื่นเต้นของทุกคนจึงลดลง พร้อมกับแยกย้ายกลับไปนั่งยังที่ของตน

จากนั้นสุดฟ้าจึงสังเกตเห็นว่า ตู้โบกี้ที่พวกเขานั่งไม่มีใครอื่นก้าวเข้ามาใช้บริการร่วมด้วย คงมีแต่พวกเขาแม้ว่ารถไฟจะจอดมาหลายสถานีแล้วก็ตาม ขณะที่เมื่อชะโงกหน้าไปดูโบกี้อื่น ผู้โดยสารเริ่มจะหนาตาขึ้นเรื่อยๆ สุดฟ้าจึงเอ่ยถามเจ้าบ้านอย่างสงสัย

“เจ้าชายให้จองโบกี้นี้ไว้เพื่อรับรองพวกคุณครับ”

“ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยครับ”ชายหนุ่มพูดบอกออกไปด้วยความเกรงใจ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ถึงเราจะมีระบบขนส่งสาธารณะแค่สองประเภท แต่ก็ยังไม่เคยประสบปัญหาผู้โดยสารหนาแน่นเสียที คุณไม่ต้องกังวลครับ”

สุดฟ้าจึงพยักหน้ารับรู้

ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีจากสถานีต้นทาง บาซิมก็บอกให้พวกเขาลง เมื่อลงจากสถานีรถไฟฟ้าพวกเขาต้องเดินเท้าต่อไปอีกหน่อยกว่าจะถึงพระราชวัง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบสาม 01/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-01-2017 08:24:54
ตอนที่สิบสาม

พระราชวังราซาห์ของราชอาณาจักรฮัชดาลลาร์ที่เห็นจากภายนอกเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมที่ดูเรียบง่าย ล้อมรอบด้วยกำแพงที่สูงเกินศีรษะไปนิดหน่อย ด้านหน้าเป็นลานกว้างที่ถูกปูด้วยอิฐก้อนสีแดงสีเดียวกับพระราชวัง ซุ้มประตูด้านหน้ามีป้อมเล็กๆสำหรับทหารที่เป็นเวรรักษาการณ์

บาซิมพาพวกเขาเดินเข้าประตูเล็กที่ติดกับประตูเหล็กบานใหญ่ คนของเจ้าชายพาพวกเขาเข้ามาง่ายๆจนทั้งฝาแฝดและสุดฟ้าสงสัย กระนั้นยังไม่ทันเอ่ยถาม คนนำทางกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“เจ้าชายรับสั่งให้คนจัดเรือนรับรองไว้ให้พวกคุณที่พระราชวังส่วนหน้าครับ”

“ให้พวกเราพักข้างในวังแบบนี้จะดีเหรอ พวกเราพักโรงแรมก็ได้นะครับ”ธัชนนท์พูดขึ้นมาบ้าง

“ฮัชดาลลาร์ไม่มีโรงแรมติดดาวครับ ผมว่าพวกคุณพักเรือนรับรองที่เจ้าชายจัดไว้ให้จะสะดวกกว่า”คนพูดเห็นผู้ฟังยังสงสัยเลยเอ่ยต่อ พลางก้าวเท้าเดินนำ“อย่างที่พวกคุณรู้ ว่าฮัชดาลลาร์ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว และทางการก็ไม่สนับสนุน เรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างไฟฟ้า น้ำประปา รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน โครงข่ายโทรคมนาคม เพื่อการพัฒนาประเทศ แต่ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดที่จะอยู่อาศัยโดยพึ่งพิงธรรมชาติเป็นหลัก เรามีศูนย์วิจัยยา พันธุ์พืช  มีโรงงานอุตสาหกรรม แต่ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมจากเงินทุนต่างชาติ”

แม้หูข้างหนึ่งจะเงี่ยฟังสิ่งที่บาซิมเล่า แต่สระน้ำสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่เพิ่งเดินผ่านเรียกความสนใจของชวิศาได้มากกว่า พืชน้ำคล้ายบัวซึ่งชูดอกสีขาวเล็กๆสวยงามจนชายหนุ่มยกยิ้ม ทั้งต้นไม้และสวนสองข้างทางก็ร่มรื่น เขากวาดสายตามองทางโน้นทีทางนี้ทีจนมาริเอะต้องมาจับจูงมือ เพราะกลัวว่าเขาจะสะดุดเท้าไปเสียก่อน

“อาจจะดูเหมือนว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพและปิดกั้นการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ แต่โรงงานอุตสาหกรรมก็นำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม เราสนับสนุนให้คนของเราทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน อาจจะมีการผลิตที่ต้องใช้เครื่องจักรบ้าง แต่เราไม่มุ่งเน้นการส่งออก เราเน้นการใช้งานภายในประเทศเป็นหลัก และใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”

สุดฟ้าโคลงศีรษะ คิดตามอย่างเข้าใจ

“แล้วมีโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเล่นเกมกันไหม”แฝดคนน้องถามขึ้นมาบ้าง

“อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนมากเป็นสินค้านำเข้าครับ ส่วนใหญ่จึงมีแต่แท็บเล็ตกับโทรศัพท์มือถือ”บาซิมยิ้มให้ก่อนจะผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญเมื่อเดินนำมาถึงที่พัก

ด้านหน้านั้นเป็นชานมีหลังคายื่นออกมาจากตัวอาคาร ถูกออกแบบให้เป็นช่องลมทรงโค้ง แม้ว่าเสาและผนังอาคารจะก่อจากอิฐแดงก้อนเล็กๆ แต่ก็ประดับด้วยลายเถาเครือดอกไม้ซึ่งเป็นประติมากรรมนูนต่ำ ถูกแต้มสีจนสวยงามโดดเด่น มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้นั่งจิบชาชมบรรยากาศในสวน

“เชิญครับ”

ผ่านประตูไม้สลักลายเข้าไปเป็นโถงกว้างมองตรงไปเห็นห้องรับรองซึ่งเปิดหน้าต่างไว้ทุกบานรับลมเย็นที่พัดโชยมาจากในสวน ภายในห้องนั้นจัดวางชุดโต๊ะและเก้าอี้รับแขกไว้กลางห้อง บาซิมพาพวกเขาเดินชมพื้นที่ชั้นล่างอันประกอบด้วย ห้องครัวที่อุปกรณ์ครบถ้วนทันสมัย ไม่ว่าจะเตาอบ เตาไฟฟ้า หรือตู้เย็น ห้องหนังสือที่กินพื้นที่ปีกซ้ายทั้งแถบ จากนั้นจึงพาเดินขึ้นบันไดไม้ซึ่งถูกขัดถูจนเงาวับไปยังชั้นสอง

“ชั้นนี้มีห้องนอนทั้งหมดห้าห้องครับ มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง เอ่อ....”ชายหนุ่มชะงักคำพูดไปเมื่อกวาดสายมองแขกของเจ้าชายอีกครั้ง “ต้องขอประทานอภัยครับ จำนวนห้องอาจจะไม่เพียงพอต่อทุกท่าน ถ้าอย่างไรผมจะแจ้งให้เจ้าชายทราบและเตรียมเรือนรับรองให้ใหม่ครับ”

“โอ๊ะ ไม่ต้องครับ”ธัชนนท์กล่าวแทรก “ผมนอนกับน้ำ น้องชายผมนอนกับเดย์ ส่วนสามคนนั้นก็อย่างที่เห็น”ฝาแฝดผู้พี่พยักเพยิดไปทางสุดฟ้า ที่ทั้งชวิศาและมาริเอะรี่เข้าไปประกบทันทีที่บาซิมพูดว่าจะเปลี่ยนเรือนรับรองให้ใหม่ ธัชนันท์หัวเราะขำขัน
ด้วยเหตุนี้ สุดฟ้าจึงได้ห้องนอนใหญ่ที่เตียงกว้างขนาดนอนสามคนได้สบายๆและขนาดห้องกว้างขวางในระดับที่หาโต๊ะปิงปองสักสองตัวมาตั้งในห้องยังไม่รู้สึกคับแคบ

ชายหนุ่มร่างสูงแค่เหลือบมองห้องนอนเพียงเล็กน้อยก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างเพื่อดูกระเป๋าอุปกรณ์ซึ่งเขาบอกให้คนของบาซิมนำไปไว้ในห้องสมุด อันที่จริงสุดฟ้าอยากได้ห้องที่มันมิดชิดกว่านี้ ชนิดที่คนอื่นๆเข้ามายุ่งวุ่นวายได้ยาก

“ต้องขอประทานอภัยครับ เรือนรับรองไม่มีห้องแบบที่มิสเตอร์ศิริกรต้องการ เรื่องนี้ผมขอแนะนำว่าให้คุณปรึกษากับเจ้าชายดีกว่าครับ” หลังจากที่เขารับคำ บาซิมจึงพูดต่อไปว่า “อีกสักหนึ่งถึงสองชั่วโมงจะมีคนนำชุดประจำชาติมาส่งนะครับ เย็นนี้เจ้าชายพระราชทานเลี้ยงรับรองให้พวกคุณ ติดขัดสิ่งใดหรือต้องการอะไรเพิ่มเติมให้กดศูนย์ติดต่อพ่อบ้านประจำเรือนรับรองครับ”เขาผายมือไปทางโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับออกไป จากนั้นเสียงย่ำเท้าตึงตังพร้อมปรากฎร่างแฝดคนละฝากำลังวิ่งเข้ามาหาเขา

“ด็อกเตอร์”

“คุณสุดฟ้า” ทั้งสองคนพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน “ไปเดินเที่ยวตลาดกันเถอะ”

“ออกไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้าจะดีเร้อ”สุดฟ้าไม่ได้มีความรู้สึกอยากชมบ้านเมืองของฮัชดาลลาร์ เขามาที่นี่เพราะเวทมนต์ที่เจ้าชายฟาลิฮ์แสดงให้ดูต่างหาก แล้วคงจะดีมาก ถ้าเขาสามารถใช้เวทมนต์เท่ๆได้สักบทสองบทก่อนกลับบ้าน ชายหนุ่มคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไปกันเถอะนะ”มาริเอะส่งเสียงออดอ้อน ชวิศาจึงส่งเสียง นะ นะ นะ ตามกันมา พอเห็นหน้าตาน่ารักยกกำลังสองออดอ้อนส่งสายตามาให้ ชายหนุ่มเลยไม่อาจทนได้ พอพยักหน้าตกลงปุบ ฝาแฝดสุวราลักษณ์จึงมาร่วมขบวนด้วย พอฝาแฝดจะไปด้วยทั้งน้ำและเดย์ก็ต้องไปด้วย ไม่นับรวมสเตบาสเตียนที่มักติดตามเขาเป็นเงา

ตลาดที่พวกเขามาเดินเที่ยวเป็นตลาดที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งพวกเขาเคยเดินผ่านเมื่อตอนเพิ่งมาถึง แต่บาซิมอยากให้พวกเขาได้เห็นที่พักเสียก่อนจึงไม่ได้หยุดแวะให้พวกเขาเดินชม

ฮัชดาลลาร์เป็นประเทศเล็กๆ ที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ป่า ไม่มีตึกอาคารสูงแม้แต่ในตลาดของเมืองเองก็ตาม บ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากไม้หรืออิฐก้อน อาคารที่สูงที่สุดเป็นตึกสามชั้น ผู้คนดูครึกครื้นจอแจแต่ไม่แออัดเท่ากับห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯตอนวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ สินค้าที่วางขายหลากหลายทั้งผลไม้ อาหาร เสื้อผ้า เครื่องประดับ วางอยู่บนแผงขายแบบตลาดนัดที่เห็นได้ทั่วไปในประเทศไทย มีร้านที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านที่ขายโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์

ชวิศาค่อนข้างจะชอบพวกอาหารการกินเป็นพิเศษ ชักชวนให้เขาและมาริเอะแวะชิมโน่นนี่เสียทุกร้าน ก่อนที่กลายเป็นการสุมหัวคุยเรื่องเมนูอาหาร และหลังจากที่เดินเล่นกันจนเหนื่อย พวกเขาถึงเดินทางกลับที่พัก

เมื่อกลับมาถึงปรากฏว่า บาซิมมายืนรอพวกเขาอยู่แล้ว

“อีกไม่นานงานเลี้ยงรับรองจะเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าอย่างไรขอความกรุณาให้พวกคุณรีบแต่งตัวด้วยนะครับ”ถึงจะเห็นว่าบาซิมกำลังยกยิ้มอยู่ก็ตาม แต่พวกเขารู้สึกเหมือนเห็นไอดำแผ่ออกมาลางๆ ดังนั้นทุกคนจึงกุลีกุจอรีบไปอาบน้ำแต่งตัวทันที

ชุดประจำชาติของฮัชดาลลาร์ที่บาซิมนำมาให้เป็นชุดที่ทำจากผ้าไหมเนื้อลื่นเบาสบาย เป็นเสื้อคอกลมแขนยาวตัวใน กางเกงขายาว เสื้อคลุมยาวตัวนอกกลัดกระดุมด้านหน้าและผ้าคาดเอว รองเท้าเองก็ทำมาจากผ้า พื้นรองเท้าถูกเย็บติดกับยางพื้นรองเท้า มองดูก็คล้ายจอมยุทธ์ในหนังจีนไม่น้อย

สุดฟ้าอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มคาดดำ ในขณะที่มาริเอะอยู่ในชุดสีเขียวอ่อน ส่วนชวิศาเป็นสีขาวคาดสีฟ้าอ่อน
ธัชนันท์โบกมือไปมาเลียนแบบท่าทางการใช้วรยุธท์ที่เคยเห็นในภาพยนตร์จีน พวกเขาหัวเราะกันครึกครื้น และบาซิมก็เป็นผู้นำทางให้พวกเขาอีกครั้ง



ห้องโถงที่จัดงานเลี้ยงรับรองสว่างไสวด้วยแสงไฟ ประดับดอกไม้ไว้ตามมุมเป็นจุดๆ พื้นที่กลางห้องโถงปูด้วยพรม มีเบาะรองนั่งวางล้อมอยู่สองฝั่งกับโต๊ะเตี้ยๆวางไว้ทางขวา ตรงกลางระหว่างแถวที่นั่งทั้งสองฝั่งเป็นเบาะรองนั่งผ้าปักสีแดงและสีทอง
ช่วงที่พวกเขามาถึงมีแขกท่านอื่นมาถึงกันบ้างแล้ว พอพวกเขาถูกเชิญเข้ามาด้านใน แขกของงานคนอื่นๆจึงเดินตามเข้ามา แต่ละคนต่างเข้าไปนั่งประจำที่ของตนที่เหมือนว่าจะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว พวกสุดฟ้าเองก็เช่นเดียวกัน พวกเขาได้ที่นั่งแถวหน้า นั่งรออยู่แค่ครู่เดียวเจ้าชายรัชทายาทก็เสด็จมาประทับยังที่นั่งว่างๆด้านข้างของสุดฟ้า

“สวัสดีครับ”เจ้าชายทักทายเขาเป็นภาษาอังกฤษ สุดฟ้าจึงตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน ก่อนที่พระองค์จะสังเกตุเห็นชวิศาและมาริเอะ

“คุณชวิศามีพี่น้องฝาแฝดด้วยหรือครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถามด้วยความสงสัย คนถูกทักจึงหันไปมองหน้ากันเองแล้วยกยิ้มให้ จากนั้นชวิศาจึงตอบกลับว่า “บังเอิญหน้าเหมือนกันเฉยๆครับ เหมือนกันมากเลยใช่ม๊า”ชวิศาลากเสียงพูดที่ฟังแล้ว พอเดาไว้คงจะสนิทกับคู่สนทนาไม่น้อย

สุดฟ้าคิ้วกระตุก แต่ดีที่ว่าเจ้าชายละความสนพระทัยไว้แค่นั้นแล้วหันมาพูดคุยกับเขาเสียก่อน

“ได้ยินว่าไปเที่ยวชมในเมืองมา เป็นอย่างไรบ้างครับ”

“เฉยๆ ครับ สองคนนี้เขาชวนไป”สุดฟ้าพยักเพยิดไปทางแฝดคนละฝาที่นั่งอยู่ข้างๆ

“อ่อ พรุ่งนี้ผมมีแผนที่จะพาพวกคุณไปเที่ยวเขตอื่นๆอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าพวกคุณจะชอบน้ำตกกับหมู่บ้านของชาวบ้านธรรมดาหรือเปล่า”

“มีน้ำตกด้วยเหรอครับ”มาริเอะถามอย่างตื่นเต้น เขายังไม่เคยเห็นน้ำตกจริงๆ พอได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะให้ถึงพรุ่งนี้เสียเร็วๆ

“ครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตอบรับ แต่จังหวะนั้นกษัตริย์ของฮัชดาลลาร์ทรงกำลังเสด็จมาถึง ผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงจึงลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงความเคารพ ผู้มาเยือนจากต่างถิ่นอย่างกลุ่มของสุดฟ้าจึงลุกขึ้นยืนตามอย่างรวดเร็ว สุดฟ้าเห็นเจ้าชายที่ยืนเยื้องอยู่ข้างๆ กำพระหัตถ์ขวาแล้วยกขึ้นประทับที่พระอุระซ้าย เลยเก้ๆกังๆว่าจะทำตามบ้าง แต่เสียงจากคนยืนอยู่ข้างหลังกลับเอ่ยกระซิบขึ้นมาเสียก่อน

“แค่คำนับก็พอครับ”

เมื่อกษัตริย์ของฮัชดาลลาร์ทรงประทับลงบนเบาะแล้ว ผู้ร่วมงานเลี้ยงคนอื่นๆจึงทรุดลงนั่งตาม

จากนั้นเจ้าชายฟาลิฮ์จึงกล่าวทูลแนะนำสุดฟ้ากับองค์กษัตริย์ด้วยภาษาของฮัชดาลลาร์ ซึ่งพระองค์ก็ตรัสยินดีต้อนรับสำหรับการมาเยือนของสุดฟ้าในครั้งนี้ และตรัสให้ทุกคนสนุกสนานกับการดื่มกินในค่ำคืนนี้ แน่นอนว่าทุกคำพูดนั้นองค์ประมุขของฮัชดาลลาร์กล่าวด้วยภาษาพื้นเมือง แต่ด้วยความสามารถอันเลิศล้ำของหุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะ เขาจึงแปลข้อความให้ทุกคนเข้าใจแบบคำต่อคำ

งานเลี้ยงในคืนวันนี้เริ่มต้นการแสดงร่ายรำจากสาวสวยเอวบางร่างน้อยในชุดเสื้อผ้าบางๆน้อยชิ้นที่สุดฟ้าไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นกับตาบนโลกใบนี้ ทั้งปทุมถันอันอวบอัด ทั้งสะโพกร่อนส่ายอย่างเย้ายวน สุดฟ้ามองตามตาไม่กระพริบและน้ำลายหกไม่รู้ตัว ถ้าไม่ใช่เพราะแฝดคนละฝาอย่างชวิศาและมาริเอะทำหน้าตาทมึงทึงพลางขยับมาเบียดกระแซะ เขาก็ยังคงไม่ละสายตา ก่อนที่ทั้งสองคนพยายามเรียกร้องความสนใจของเขาด้วยการป้อนโน่นป้อนนี้ไม่หยุด

บรรยากาศของงานเลี้ยงดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่งองค์ราชาทรงเสด็จกลับออกไปจากงานเลี้ยง ฝาแฝดสองพี่น้องของตระกูลสุวราลักษณ์ก็เหมือนโดนปล่อยผี จากที่นั่งอยู่เงียบๆอย่างเรียบร้อย ก็ยกแก้วเหล้าชนกับคนโน่นคนนี้ไปทั่ว โดยให้สเตบาสเตียนเป็นล่ามจำเป็นกรณีที่เจอคนที่พูดได้แต่ภาษาพื้นเมือง และยิ่งเหล้าที่เจ้าบ้านนำมาเลี้ยงรับรองเป็นเหล้าหวานที่ทั้งกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อมแต่ดีกรีแรง เพราะฉะนั้น ยิ่งดึกจึงยิ่งเมา ต่างจากสุดฟ้า เพราะโดนทั้งชวิศาและมาริเอะนั่งประกบ เขาจึงไม่คิดที่จะลุกไปไหน ได้แต่นั่งคุยอยู่กับเจ้าชาย จนชวิศาเริ่มเมา เขาจึงขอตัวพาคนคออ่อนไปพักผ่อน

ตอนที่เขาลุกขึ้นยืน สเตบาสเตียนก็ทำท่าจะลุกขึ้นเช่นเดียวกัน สุดฟ้าจึงบอกให้อยู่ต่อเพื่อดูแลสองพี่น้องคู่นั้น

“กลับกันได้แล้วชวิศา”

เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ ถึงจะซวนเซไปสักหน่อย แต่ถ้ามีคนพยุงเจ้าตัวก็ทรงตัวยืนได้ แต่กระนั้น ชายหนุ่มร่างสูงก็โน้มตัวลงไปหา

“กอดคอไว้นะ”

คนเมาทำตามอย่างว่าง่าย จนกระทั่งถูกยกตัวลอยขึ้นถึงได้ส่งเสียงโวยวายออกมา “เดินเองด้าย ผมเดินเองด้าย ม่ายต้องอุ้ม”

“นอนไปเถอะน่า”สุดฟ้าหันไปพูดแค่นั้นก่อนหันไปกล่าวบอกกับเจ้าชายอีกรอบ

ทางเดินจากอาคารที่จัดงานเลี้ยงรับรองจนถึงเรือนพักมีแสงไฟส่องสว่างตลอดทาง แม้จะไม่สว่างชัดเท่ากลางวันแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค เสียงดนตรีจากภายในงานแว่วดังมาให้ได้ยินอยู่บ้าง ผสมกับเสียงงึมงำของชวิศา สุดฟ้ารู้สึกได้ว่ามาริเอะจับรั้งชายเสื้อของเขาไว้ตั้งแต่เดินออกมา

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ถ้าด็อกเตอร์จะจำได้ คุณเขียนคำสั่งให้ผมรัก เทิดทูลคุณ และซื่อสัตย์ต่อคุณคนเดียว”

สุดฟ้าไม่ได้พูดอะไร เขารอแค่ให้มาริเอะพูดต่อ “ผมอยากให้คุณลบคำสั่งนั้นให้ครับ ถ้าด็อกเตอร์อยากให้ผมดูแลคุณชวิศา คำสั่งนั้นทำให้ระบบประมวลผลมองว่าคุณชวิศาเป็นปรปักษ์ในบางครั้ง”

“มันไม่น่าจะเกี่ยวกัน”

“โปรแกรมเรียนรู้ได้ทำการลงเงื่อนไขนั้นไว้ในระบบครับ ถึงผมจะเลือกปฏิกิริยาแสดงออกที่เป็นมิตรออกมาใช้งาน แต่บางครั้งระบบประมวลผลก็สั่งให้เพิกเฉยต่อการปฏิสัมพันธ์กับคุณชวิศา”

สุดฟ้ายังไม่ตอบอะไรจนพาชวิศามาถึงเรือนพักรับรอง เมื่อส่งร่างเพรียวบางในอ้อมแขนถึงเตียงเรียบร้อย เขาจึงหันไปคุยกับมาริเอะอย่างจริงจังอีกครั้ง

“รู้เหตุผลที่ฉันติดโปรแกรมเรียนรู้ให้นายใช่ไหม”

“ครับ เพื่อให้ระบบประมวลผลวิเคราะห์การแสดงออกให้ใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆมากที่สุด”

“อืม”สุดฟ้าดึงให้มาริเอะทรุดนั่งบนเตียงตรงหน้าเขา “ฉันรู้ว่านายอาจจะไม่ได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกจริงๆ แต่การที่นายเห็นว่าชวิศาเป็นศัตรูไม่ถูกชะตาด้วยก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ อย่างที่ชวิศาเองก็ไม่ชอบเอมมิกา มันเป็นความรู้สึกหนึ่งที่เรียกว่าหึงหวง แต่นายยังสามารถดึงปฏิกิริยาการแสดงออกที่เป็นมิตรออกมาใช้ นั่นหมายความว่านายยอมรับว่าชวิศาเป็นเพื่อน มันเป็นเรื่องที่ดีนะ”

“แต่ตอนนี้ด็อกเตอร์ไม่ได้รักผมแล้ว”มาริเอะพูดเสียงแผ่ว ราวกับว่าเขากำลังเจ็บปวดจริงๆ

“ไม่ใช่เลย”สุดฟ้าส่ายศีรษะ “ฉันรักของที่ฉันสร้างขึ้นมาทุกชิ้น เพียงแต่ฉันแยกแยะเหตุผลและเป้าหมายออกจากความรู้สึกได้ และฉันจะบอกให้รู้ไว้ว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่สร้างหุ่นยนต์ที่มีความสามารถเพียบพร้อมเท่ากับนายอีกแล้ว สเตบาสเตียนคือเพื่อนของฉัน และนายก็จะเป็นคนรักของฉันตลอดไป”

“แล้วคุณชวิศา...”

“ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองไม่มีอะไรที่จีรัง วันนี้รักได้ อนาคตข้างหน้าก็สามารถเลิกรักได้”

“ไม่เลิก!!!”

ไม่รู้ว่าชวิศารู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ชายหนุ่มร่างเพรียวก็ตะโกนแทรกขึ้นมา ร่างนั้นจ้องเขม็งมาทางพวกเขา ก่อนจะคลานเข้ามาใกล้

“ผมไม่เลิกรักคุณสุดฟ้าเด็ดขาด”ชวิศาย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมแอบชอบคุณมาตั้งแต่ตอนเรียนมหา’ลัยแล้ว จะมาบอกว่าในอนาคตข้างหน้าผมจะเลิกชอบคุณมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ถ้าความรู้สึกนี้จะหายไปละก็ มันควรจะหายไปตั้งแต่ก่อนที่เราจะได้เจอกันอีกครั้งแล้วซิ”

ชวิศาหันไปพูดกับมาริเอะ “คุณมาริไม่ต้องกังวลเรื่องของผมนะครับ ผมไม่ได้คิดแย่งคุณสุดฟ้าไปจากคุณจริงๆ ถ้าคุณจะอนุญาต ผมขอเป็น...ม ภรรยาน้อย แล้วคุณก็เป็นภรรยาหลวง”ประโยคหลังชวิศาก้มหน้าก้มตาพูดเสียงเบาด้วยความเขินอาย “ผมจะไม่ระรานคุณเหมือนที่ทำกับคุณแอมเด็ดขาด ที่จริงที่ทำไปตอนนั้นก็เพราะคุณแอมเป็นผู้หญิง ถ้าเกิดคุณสุดฟ้าไปชอบคุณแอมมากกว่า ผมกลัวว่าคุณสุดฟ้าจะทิ้งคุณซึ่งนั่นหมายถึงคุณสุดฟ้าอาจจะไม่ชอบผมด้วยเหมือนกัน แต่ในกรณีนี้ต่อให้คุณสุดฟ้ารักคุณมากกว่าผมก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้อยู่กับคุณสุดฟ้าด้วย ผมก็ดีใจแล้วครับ”

“คุณก็พูดได้สิ ด็อกเตอร์รักคุณมากกว่าผมนี่”มาริเอะโพล่งขึ้นมา ชวิศาถึงกับหน้าตาตื่น แม้จะดีใจอยู่ลึกๆ แต่คำพูดนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นจริงเสมอไป เขาหันไปมองหน้าคนกลางอย่างสุดฟ้า

“ว่าจะถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมคิดอย่างนั้น”สุดฟ้าถาม

“ตอนแรกที่ด็อกเตอร์รู้ว่าคุณชวิศาสลับตัวกับผม ก็ไม่ยอมให้ผมกลับ สั่งให้ผมอยู่บ้านคุณชวิศาต่อ แล้วก็ไม่เคยมีอะไรกับผมเลยด้วย”

สุดฟ้าถึงกับกุมขมับ จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะเป็นเขาเองที่สร้างให้มาริเอะเหมือนมนุษย์ได้ขนาดนี้ “เอาเรื่องที่ไม่เคยมีอะไรกันก่อนเลยนะ เราต้องแยกแยะระหว่างความรักกับความใคร่ออกจากกัน การที่มนุษย์สองคนมีอะไรกันไม่จำเป็นต้องรักกันก็สามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้ อย่างนี้มนุษย์เรียกว่าความใคร่ แต่ความรักจะทำให้มนุษย์สองคนอยากมีเพศสัมพันธ์กัน”

ชวิศาฟังไปก็หน้าแดงไปด้วย ส่วนมาริเอะ เขากำลังบันทึกข้อมูลทุกอย่างลงหน่วยความจำ

“ตอนแรกที่ฉันมีอะไรกับชวิศา เพราะคิดว่าเป็นนาย นายต้องรู้ว่าฉันสร้างนายขึ้นมาเพราะอยากจะมีเพศสัมพันธ์กับนาย ซึ่งความรู้สึกของฉันในตอนนั้นเรียกว่าความใคร่”

“เอ๊ะ... เดี๋ยวนะ”ชวิศาออกจากโหมดหน้าแดงกลางเป็นโหมดงุนงงแทน “เมื่อกี้ผมได้ยินว่าคุณสุดฟ้าสร้างคุณมาริขึ้นมา... ใช่ไหมครับ”

“อ่า...”สุดฟ้าตอบไม่ถูก มาริเอะเลยชิงตอบเสียแทน

“ครับ ผมเป็นหุ่นยนต์ที่ด็อกเตอร์สร้างขึ้นเพื่อให้มาเป็นคนรักครับ”ไม่ได้พูดตอบเพียงอย่างเดียว มาริเอะยังพูดด้วยความภูมิใจ คราวนี้ชวิศาหันกลับมามองหน้าสุดฟ้า จ้องเขม็งจนชายหนุ่มรู้สึกผิด เขาเบือนหน้าหนี

“คุณสุดฟ้า”ชวิศาเรียกชื่อเขาเสียงแข็ง สุดฟ้าจึงจำใจต้องหันหน้ากลับมา

“ตกลง  คุณไม่เคยรักพวกเราเลยเหรอ”

“ไม่เคยรักซะที่ไหน ด็อกเตอร์เขารักผม ก่อนหน้าที่คุณจะเข้ามาแทรกระหว่างพวกเรา”มาริเอะแย้งขึ้นมาทันที

“ฟังนะครับ คุณมาริ”ชวิศาดึงให้มาริเอะหันมาประจันหน้า เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมไม่รู้ว่าคุณสุดฟ้าบอกกับคุณยังไง เรื่องที่เขารักคุณ”

“ด็อกเตอร์เขาโปรแกรมลงในข้อมูลพื้นฐาน”

“นั่นยิ่งแล้วใหญ่”

“เอ่อ ขอโทษนะ ขอขัดจังหวะหน่อย”คราวนี้ชวิศาตวัดสายตาขุ่นเคืองมามองเขาอย่างเต็มที่ ถ้าเป็นในอนิเมะก็จะมีเสียงชิ้งเป็นซาวด์เอ็ฟเฟ็ค

“พอดีฉันนัดกับเจ้าชายไว้ ขอตัวก่อนได้หรือเปล่า” แหมะ จ้องเหมือนอยากจะกินหัว

ชายหนุ่มเลยไม่รอคำอนุญาต เขายื่นหน้าไปแตะริมฝีปากกับชวิศาและมาริเอะอย่างรวดเร็ว “แล้วก็รีบนอนละ พรุ่งนี้ เจ้าชายจะพาไปเที่ยว จำได้ใช่ไหม” จากนั้นจึงรีบเผ่นออกจากห้อง เดินย้อนกลับไปที่อาคารที่จัดงานเลี้ยง

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบสาม 01/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-01-2017 08:27:31

ที่นั่น เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงยืนรออยู่ก่อนแล้ว พระพักตร์คมคายจ้องมองไปยังผืนฟ้ามืดดำเบื้องบน

“ขอประทานอภัยที่ปล่อยให้พระองค์ต้องรอครับ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่กำลังคิดอยู่ว่าคุณอาจจะไม่สะดวกแล้วก็เป็นได้”ทรงตรัสพลางสาวพระบาทเสด็จนำ สุดฟ้าจึงก้าวเท้าเดินตาม

“ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามก่อน”เจ้าชายรัชทายาททรงเว้นจังหวะไปชั่วขณะเหมือนรอให้คู่สนทนาตอบรับ เมื่อเห็นว่าสุดฟ้านิ่งเงียบอย่างตั้งใจฟังจึงกล่าวต่อไปว่า “นอกจากข้อมูลเรื่องศิลาสารพัดนึกกับร่างทรงฯแล้ว คุณต้องการเงินอีกเท่าไหร่”เจ้าของคำถามหยุดพระบาทเพื่อรอสดับคำตอบอย่างจริงจัง

“ถ้าผมเรียกเงินค่าจ้างจำนวนมาก ข้อมูลที่ได้จะลดลงหรือครับ”

“ไม่ สิ่งที่บอกกล่าวแก่คนนอกได้ยังคงเท่าเดิม”

“ถ้าอย่างนั้นผมไม่อยากได้ค่าจ้างที่เป็นจำนวนเงินอีก”

สุดฟ้าเหมือนเห็นว่าเจ้าชายรัชทายาททรงพรูพระปัสสาสะอย่างโล่งพระทัย “มีอะไรหรือครับ” เขาถามสิ่งที่สงสัยออกไปตามตรง เจ้าชายฟาลิฮ์เหลือบพระเนตรมองคู่สนทนาก่อนสาวพระบาทเสด็จต่อ

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“หรือที่จริงแล้วฮัชดาลลาร์ไม่ได้มั่งคั่งเท่าที่คนภายนอกรับรู้”สุดฟ้าโพล่งขึ้นมา

“ก็ไม่เชิงนัก ถ้าเรายังคงเสถียรภาพของจำนวนสินค้าที่นำเข้าและส่งออกอยู่เช่นนี้ ระบบเศรษฐกิจของเราก็จะยังคงที่ไปอีกหลายปี ถ้าผมอธิบายเรื่องศิลาสารพัดนึก คิดว่าคุณก็คงจะเข้าใจได้ทันที”

“ครับ”

“ความสามารถของศิลาสารพัดนึกก็ตามชื่อของมัน มันทำได้ทุกอย่าง จะบันดาลให้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ขอลูกหรือแม้กระทั่งฆ่าคน ศิลาชิ้นนี้ทำได้ทุกอย่าง”

“คนที่ขโมยไปไม่รวยอย่างไม่รู้เรื่องไปแล้วหรือครับ”

“น่าจะตายไปแล้วมากกว่า”

คราวนี้สุดฟ้ามองหน้าเจ้าชายอย่างสงสัย เพราะคำพูดนั้นขัดกัน “เพราะมีเงื่อนไขในการใช้อยู่” เขากล่าวออกมาตามที่คิด

“ครับ ศิลาสารพัดนึกสร้างมาจากหินธรรมดาที่หาได้ทั่วไปในฮัชดาลลาร์หรือบนโลกใบนี้ แต่มีคุณสมบัติอยู่สามประการ หนึ่งต้องเป็นหินใสไม่มีสิ่งใดเจือปน สองเป็นหินที่อาบแสงทิวาและราตรีมาอย่างน้อยหนึ่งหมื่นราตรี สามต้องดูดซับพลังเวทย์ได้โดยไม่แตกสลายไปเสียก่อน”

“เจ้าชายไม่ได้เป็นโอตาคุใช่ไหม”เขาต้องถามก่อน เพราะเห็นว่ามีโอกาสเป็นแนวร่วมมาแต่ไกล

“เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ‘จิตนาการมาจากชีวิตจริง และชีวิตจริงๆมันยิ่งกว่าในจิตนาการ’ ”ทรงแย้มพระสรวลตอบกลับมา “กลับมาที่การสร้างศิลาสารพัดนึกกันต่อ หลังจากที่เราหาหินแบบนั้นได้แล้ว เราจะใช้นักเวทย์ห้าคนบริกรรมคาถาต่อเนื่องอีกหนึ่งพันราตรี”

“ก็ไม่นานนะ”

“ครับ ขั้นตอนที่ยากที่สุดก็ตอนที่หาหินสำหรับมาทำศิลาสารพัดนึกนี่ละ สำหรับเงื่อนไขการใช้งาน ผู้ใช้ต้องมีพลังเวทย์มากพอให้ศิลาสารพัดนึกดูดซับไปใช้งาน ยิ่งขอในสิ่งที่ยากมากขัดต่อตรรกะความเป็นไปของธรรมชาติในโลก ก็ยิ่งต้องใช้พลังเวทย์มาก สมมติ คุณทำจากแตก และใช้พลังของศิลาสารพัดนึกในการซ่อมทำให้จานกลับมาเป็นเหมือนเดิม ศิลาจะร้องขอพลังเวทย์จากคุณหนึ่งส่วนจากสิบส่วนในการซ่อม ในกรณีเดียวกันถ้าคุณต้องการซ่อมเครื่องบินโบอิ้งที่พังยับเยินให้มาเป็นเหมือนเดิม ศิลาจะร้องขอพลังเวทย์สิบห้าส่วนในขณะที่คุณมีพลังเวทย์แค่สิบส่วน ถ้าคุณฝืน คุณก็อาจจะตายได้”

“แล้วตอนที่ใช้พลังของศิลาสารพัดนึก เจ้าศิลานั่นก็คงไม่ได้โชว์หน้าจอว่าต้องใช้พลังงานแค่ไหน ยืนยันการดำเนินการหรือไม่ ใช่ไหม”

“ถูกต้องครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์พาเขามาหยุดที่ประตูบานหนึ่ง ด้านหน้ามีทหารยามยืนเฝ้าอยู่สี่คน เมื่อทหารเหล่านั้นเห็นพระองค์ต่างก็ยกมือทำความเคารพ จากนั้นจึงทรงผลักบานประตูเข้าไป

“ผมคงพาคุณไปดูพิธีกรรมการทำศิลาสารพัดนึกไม่ได้ ที่นั่นจะอนุญาตให้นักเวทย์ที่เกี่ยวข้องเข้าไปเท่านั้น ส่วนห้องนี้เป็นที่ประทับของร่างทรงผู้กำกับมนตราพิทักษ์”เจ้าชายพาเขาผ่านบานประตูอีกบานที่มีทหารยามอีกชุดยืนเฝ้าอยู่เช่นเดียวกัน ภายในเป็นห้องกว้าง แขวนผ้าแพรประดับไว้ตามเสา กลางห้องมีเตียงนอนซึ่งมีคนนอนอยู่

“เราก้าวเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว”

เพราะคำพูดนั้น สุดฟ้าจึงได้ก้มหน้าลงมองที่พื้น อักขระลวดลายแปลกตาถูกเขียนไว้มากมายจนเต็มพื้นที่ เขามองคนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงที่เบาคล้ายเสียงกระซิบ ภายในห้องนี้เงียบสนิทจนเขาไม่กล้าเสียงดัง

“ผู้หญิงใช่ไหมครับ”

“ครับ เป็นจอมเวทย์คนเดียวที่เรามีอยู่ในขณะนั้น”เจ้าชายฟาลิฮ์ทอดพระเนตรนิ่ง ไม่ต้องถามสุดฟ้าก็พอเดาได้ว่า คนบนเตียงคงจะมีความสำคัญกับเจ้าชายรัชทายาทไม่น้อย มองไกลๆยังเห็นเค้าความสวย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนรักของเจ้าชาย

“คงไม่ใช่แค่... นอนเฉยๆใช่ไหม”

“ครับ”ตรัสพลางหมุนพระวรกายเสด็จออกจากห้อง “เพราะเราต้องการให้มนตราพิทักษ์คลอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของฮัชดาลลาร์ ร่างทรงเลยต้องผนึกจิตให้อยู่ในสมาธิตลอดเวลา”

“หมายความว่า ไม่กิน ไม่ขยับ ไม่ทำอะไรเลย” ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ สุดฟ้าก็ไม่แปลกใจเลยที่ร่างกายของมนุษย์จะทนไม่ไหว

“ครับ สิบปีมาแล้วที่เธอนอนอยู่เช่นนั้น”

เฮ้ย!!! สิบปี สุดฟ้าอยากจะร้องอุทานออกไป แต่ทางเดินที่เงียบสงัดเป็นตัวยั้งเสียงเขาไว้และกลายเป็นเสียงบ่นพึมพำเสียแทน “จะเป็นไปได้อย่างไร”

เจ้าชายรัชทายาทจึงเสด็จนำเขามาที่ห้องห้องหนึ่ง เชื้อเชิญให้เขานั่งลง ก่อนจะเริ่มต้นอธิบาย ระหว่างนั้นนางกำนัลก็นำชามาเสริฟ ชาหอมกรุ่นบรรจุอยู่ในแก้วดินเผาคล้ายแก้วชาของญี่ปุ่น ชารสชาติเฝื่อนขมแต่กลิ่นหอมจนต้องยกจิบอีกรอบ

“ที่ฮัชดาลลาร์เราจะแบ่งผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ออกเป็นสามระดับ นักเวทย์ จอมเวทย์ และมหาเวทย์”เจ้าชายทรงชูพระหัตถ์ขึ้นประกอบคำอธิบาย “การใช้มนตราคือการร่ายคาถาประกอบกับพลังเวทย์ของผู้ใช้มนต์นั้นๆ ผู้ที่ใช้พลังได้เฉพาะพลังของตัวเองจะเรียกว่านักเวทย์ จอมเวทย์คือผู้ที่สามารถยืมพลังจากพื้นดินมาใช้ และมหาเวทย์คือผู้ที่สามารถใช้พลังได้โดยไม่มีขีดจำกัด”

“ใครที่เป็นมหาเวทย์นี่ก็เทพสุดๆเลย”

“แต่ก็ไม่ใช่ใครที่จะเป็นได้ ว่ากันว่าศิลาสารพัดนึกชิ้นที่ถูกขโมยไปถูกสร้างโดยมหาเวทย์เมื่อสองพันปีก่อน ตามตำนานเล่าว่า ชายคนที่มีพลังมหาเวทย์ใช้เวลาเจ็ดราตรีในการหลอมหินสำหรับทำศิลาสารพัดนึก และใช้เวลาอีกเจ็ดราตรีในการบริกรรมคาถาให้ศิลาสารพัดนึกสามารถใช้งานได้”

“แล้วทำอย่างไรถึงจะเป็นมหาเวทย์ได้หรือครับ”

“ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาคนนั้นถึงมีพลังในระดับมหาเวทย์ ตลอดระยะเวลาสามพันปีที่ผ่านมาไม่มีใครที่มีพลังระดับนั้นอีกเลย แต่ก็ยังมีคนที่มีพลังระดับจอมเวทย์ปรากฏขึ้นมาบ้าง คนที่มีพลังระดับจอมเวทย์จะมีพลังนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด ส่วนคนที่มีพลังระดับนักเวทย์ถ้าต้องการเพิ่มระดับของพลังก็ต้องฝึกฝนตราบชั่วชีวิตของตน”

สุดฟ้าครางไม่เป็นภาษาอยู่ในใจ ไอ้ที่เขาอยากใช้เวทมนต์ได้สักบทสองบทก็เป็นไปไม่ได้เลยนะซิเนี่ย ใครมันเป็นคนกำหนดฟร่ะ

“เท่ากับว่า ใครเกิดมาไม่มีพลังก็ไม่ต้องเป็นนักเวทย์กันเลย”สุดฟ้าพูดด้วยความเซ็ง

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าเราเปิดจุดจักระก็สามารถดึงพลังมาใช้ได้”

“เห๋!!!”

“วันนี้พอแค่นี้ก่อนไหมครับ ไว้ผมจะพาคุณสุดฟ้าไปดูโรงเรียนสอนเวทมนต์ของฮัชดาลลาร์”

ถ้าเจ้าชายฟาลิฮ์ไม่ยืนยันว่าโรงเรียนไม่เปิดให้เข้าชมตอนกลางคืนละก็ สุดฟ้าคงจะรบเร้าให้พาไปดูเสีเดี๋ยวนั้นแล้วละ


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบสี่ 07/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 07-01-2017 21:54:27
*// สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงบทนี้

สนุกมากๆ ชวิศาน่ารัก ว่าแต่เข้ามาล้วงความลับอะไรของสุดฟ้า สุดหื่นกันนะ

ลักลับ ซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ

สนุกมากกกก :ling1:

สนุกมากกก กอ/ไก่เยอะๆๆเลย เห้ยยยย พระเอกแบบโคตะระเพี้ยน 555555 น่ารักแฮะ

ขอบคุณค่ะที่บอกว่าเรื่องนี้สนุก เราเป็นพวกเล่าเรื่องตลกไม่ตลกค่ะ เลยค่อนข้างจะกังวลอยู่เหมือนกัน
เราอยากจะเขียนเรื่องนี้ให้ออกมาแบบป่วงๆฮาๆ ซึ่งตอนนี้มันออกทะเลไปไกลมากและรู้สึกห่างไกลคอนเซ็ปตอนแรกมาก
และบางตอนคนเขียนรู้สึกว่าออกจะน่าเบื่อไปเหมือนกัน ที่เขียนอย่างนี้ไม่ใช่จะเลิกเขียนนะคะ แค่จะบอกว่า
เรื่องนี้จะจบตรงที่ พ่อหนุ่มสุดฟ้าของเราทำงานให้ฮัชดาลลาร์เสร็จและกลับบ้านค่ะ ส่วนโน่นนี่นั่นมากมายต้องกลับไปนอนคิดก่อนค่ะ
ตอนนี้เรื่องมันกลายเป็นแฟนตาซีไปซะแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เราตั้งใจให้มันคือนิยายรักกุ๊กกิ๊กตามชื่อเรื่องนะ
เราเริ่มเขียนเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อนในรูปแบบของแฟนฟิคค่ะ และไม่ได้เอาลงที่ไหนเพราะเรื่องตันไปซะก่อน
เขียนได้ถึงตอนที่ห้าค่ะ และพล็อตในหัวตอนนั้นจบลงตอนชวิศาจะกลับฝรั่งเศส แล้วสุดฟ้าก็ตามไปที่สนามบิน
มันสั้นมากกกก เมื่อคิดไม่ออกเลยต้องหยุดไปก่อน และที่เราเอามาลงเพราะปีนี้(2017)มีข่าวว่า ตุ๊กตายางระบบAI จะวางจำหน่างแล้วววว
แล้วซิ ถ้าเราไม่ชิงลงมือก่อน พ่อหนุ่มสุดอัจฉริยะของเราก็ไปก็อปเขามานะดิ เรื่องทั้งหมดก็ด้วยประการฉะนี้แล
ตอนหลังๆนี้เลยต้องด้นสด แล้วก็ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนด้วย จนบางตอนรู้สึกว่า ง่ายไปไหม
อย่างเรื่องพ่อหนุ่มสุดฟ้าพาคุณเอมมิกาไปคืนเจ้าชายอ่ะ

สุดท้ายนี้ ขอความกรุณาให้ทุกท่านติดตามต่อไปด้วยนะคะ ถึงดูเหมือนจะใกล้จบ แต่ยังเหลืออีกหลายตอน....มั้ง
ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เรายังเขียนไม่ถึงไหน ตอนใหม่ของอาทิตย์หน้ายังไม่ถึงหน้าด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ติดตามอ่านตอนที่สิบสี่ได้ด้านล่างค่ะ//*






ตอนที่สิบสี่



เวลาในการนอนแค่สองสามชั่วโมงไม่นับว่าเป็นปัญหาของสุดฟ้า เพราะต่อให้ไม่นอนเลยยี่สิบสี่ชั่วโมง หน้าของเขาก็ยังเด้งเหมือนเดิม ต่างกับฝาแฝดสองพี่น้องที่มีอาการแฮ้งค์อย่างหนักทั้งที่เคยได้ฉายานักดื่มคอทองแดง

“หรือเพราะแก่แล้วว่ะ”ธัชนันท์กล่าวขึ้นมาลอยๆ พลางรับน้ำขิงจากสเตบาสเตียนมาดื่มอีกแก้ว

“แล้ววันนี้จะไหวป่ะเนี่ย”สุดฟ้าถาม ขณะที่ลงมือทานอาหารที่ชวิศานำมาให้ รายนี้ก็ทำท่ามึนตึงกับเขาอยู่เหมือนกัน แต่ยังใส่ใจดูแลเขาอย่างดี สุดฟ้าเลยไม่มีปัญหา เมื่อตักข้าวต้มเข้าปากเขาก็ต้องขมวดคิ้วเพราะรสชาติเหมือนเดิมเด๊ะ

“ทำกันเองเหรอ”ชายหนุ่มหันไปถาม ที่นั่งข้างหนึ่งยังเป็นของชวิศาส่วนอีกข้างเป็นของมาริเอะ แต่คำถามนั้นมาริเอะเป็นคนอ้าปากตอบ

“ครับ เพราะเห็นว่ามีครัวให้ใช้เลยไม่อยากรบกวนคนของฮัชดาลลาร์”

“แล้วเรื่องเมื่อคืนว่าไง”

“ผมโกรธมากกกกกกกกก”ชวิศาว่า เขาลากเสียงยาวที่คำสุดท้ายเพื่อบ่งบอกว่ามากจริงๆ

“ถ้าตอนนี้บอกว่ารักแล้วจะโอเคป่ะเนี่ย”

“โอ้ย!!! จะอ้วก”ธัชนันท์พูด “อย่ามาพูดอะไรเลี่ยนๆตอนนี้ได้ป่ะว่ะ แค่นี้ก็พะอืดพะอมจะตายแล้ว เดี๋ยวอ้วกใส่หน้าจริงๆหรอก”
สุดฟ้าหัวเราะ ฝาแฝดคนพี่เลยพูดขึ้นมาบ้าง “อยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงเนี่ย ถามพวกเราเลย เราสองคนอยู่ในเหตุการณ์เดี๋ยวเล่าให้ฟังแบบละเอียดยิบไม่มีตกหล่นเลย”

“ว่ามาเลยไอซ์ เราอยากฟัง”

“เฮ้ยๆ รีบกินก่อนดีไหม นัดเจ้าชายไว้เนี่ย”สุดฟ้ากล่าวขัด

“ทำไมตื่นเต้นนักว่ะ เมื่อวานที่ซีกับมาริชวนไปเดินเที่ยวยังไม่ตื่นเต้นเลย”ธัชนันท์เอ่ยปากถาม

“ก็เจ้าชายฟาลิฮ์จะพาไปดูฮอกกอตส์”

“อะไรว่ะ ฮอกกอตส์ โรงเรียนสอนเวทมนต์ในแพรี่เหรอว่ะ”ธัชนนท์ถาม

“ถ...ถูกต้องนะคร้าบ”สุดฟ้าชี้มือเลียนแบบพิธีกรในรายดังของไทย

“อย่างนั้นด็อกเตอร์เชื่อผมแล้วใช่ไหมว่าที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของพลังปราณโลกา”มาริเอะเลยกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง

“ง่ะ เจ้าชายไม่เห็นจะพูดถึงสักกระพีก ฉันว่าข่าวนายมันมั่วว่ะมาริ...”เอะ เก็บไว้ในใจเพราะเจ้าของชื่อจ้องเขาเขม็ง “หาข่าวมาจากไหน เพจบุ๊คป่ะเนี่ย มันชอบมีข่าวมั่วนะ ระวังหน่อย”

“จากที่ไหน... ก็จากเว็บไซต์ของโรงเรียนคาร์มานาอย่างไรละครับ”

“โรงเรียนคาร์มานาเป็นโรงเรียนสอนการใช้เวทมนต์ในสังกัดกระทรวงศึกษาของฮัชดาลลาร์ มีนักเรียนทั้งสิ้นห้าพันสามร้อยแปดสิบแปดคน แบ่งการศึกษาเป็นสี่ระดับ มีระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย”

“นายเยี่ยมมากสเตบาสเตียน”มาริเอะยกนิ้วโป้งและปรบมือให้ “ด็อกเตอร์ก็รีบกินซิครับ พวกเราจะได้ไปดูโรงเรียนคาร์มานากัน”
บอกได้เลยว่าสุดฟ้าไม่ชอบไอ้ท่าทางลอยหน้าลอยตาแบบนี้ของมาริเอะมากที่สุด



การเดินทางของพวกเขาในวันนี้ เจ้าชายฟาลิฮ์ได้จัดรถม้าเทียมเกวียนเตรียมไว้ให้ ปูเบาะผ้าอย่างหนาผืนใหญ่แบบที่ต้องถอดรองเท้าก่อนจึงจะเข้าไปนั่งได้ ภายในกว้างขวางมากพอสำหรับพวกเขาแปดคน รวมเจ้าชายและบาซิมเป็นสิบคน คนบังคับม้าอีกสองคน นับว่ามีคนติดตามเจ้าชายน้อยมาก

“เห็นว่าประเทศไทยกำลังนิยมการท่องเที่ยวแบบวิถีชาวบ้าน ผมเลยจัดพาหนะแบบนี้มาให้”

ไม่มีใครเดือดร้อนกับการเดินทางด้วยเกวียน เพราะรู้อยู่แล้วว่าภายในฮัชดาลลาร์มีแค่รถไฟฟ้ากับรถไฟใต้ดิน ถ้าไม่ใช้เกวียนก็คงจะมีแต่เดินเท้า...เท้าใครเท้ามัน

“แล้วเจ้าชายไม่ต้องมีองครักษ์หรือครับ”ชวิศาถาม

“บาซิมเป็นองครักษ์ฝีมือดีของผมอยู่แล้วครับ อีกอย่าง ภายในฮัชดาลลาร์ค่อนข้างสงบสุขไม่ค่อยมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นสักเท่าไหร่”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ ที่ถามเพราะห่วงความปลอดภัยของเจ้าชายเป็นหลัก แต่ในเมื่อเจ้าบ้านว่าเช่นนั้นเขาจึงไม่มีข้อกังขาอีก
ถนนหนทางในฮัชดาลลาร์เป็นถนนดินที่ไม่ได้เรียบสม่ำเสมอกันทั้งหมด แต่ไม่มีหลุมมีบ่อขนาดใหญ่ จึงเหลือแค่อาการสะเทือนเพราะเกวียนไม่มีโช้คคอยลดแรงกระแทก กระนั้นเบาะผ้าหนาๆก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี

สองข้างทางเป็นหมู่แมกไม้ที่เมื่อเงยมองสูงขึ้นไป จะเห็นเสาปูนรองรับรางของรถไฟฟ้า บางจุดที่ใกล้แหล่งชุมชนพวกเขาจะเห็นทางลงสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ ถนนดินที่พวกเขาใช้งานอยู่ถึงมีคนใช้งานสัญจรอยู่บ้าง แต่ก็น้อยนัก กระทั่งรถม้าเทียมเกวียนเคลื่อนที่มาถึงแหล่งชุมชนอีกครั้ง ครั้งนี้น่าจะเป็นเมืองใหญ่พอควร เพราะถนนดินกลายเป็นพื้นปูด้วยอิฐที่มีการแบ่งเขตถนนอย่างชัดเจน อาคารบ้านเรือนถูกปลูกสร้างอย่างหนาแน่นด้วยสถาปัตยกรรมหลากหลาย มีทั้งหอระฆังและหอนาฬิกาที่สามารถมองเห็นได้จากที่ไกลๆ

“เขตนี้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของเราครับ ผู้คนเลยค่อนข้างพลุกพล่าน”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสอธิบาย เมื่อเห็นว่าผู้ร่วมคณะให้ความสนใจบรรยากาศรอบตัวหลังจากคุยกันเองมาตลอดระยะเวลาเดินทาง

“แต่เดิมที่นี่เป็นที่ตั้งวังหลวงของฮัชดาลลาร์ ก่อนจะมีการย้ายไปเมื่อร้อยปีก่อน พระราชวังเดิมจึงกลายเป็นมหาวิทยาลัยอินดราจาร์”

“ทำไมถึงย้ายละครับ”ชวิศาเอ่ยปากถาม

“เพราะประชากรในเขตนี้เริ่มเยอะขึ้นครับ เลยมีความคิดที่จะสร้างเมืองใหม่”

สุดฟ้าที่ได้ฟังคำตอบนั้นรู้ได้ทันทีว่า เจ้าชายฟาลิฮ์กำลังตรัสโป้ปด แต่เขายังคงนิ่งเงียบ รอจนกระทั้งเกวียนเทียมม้าจอดที่หน้าประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยอินดราจาร์ เมื่อเจ้าชายเสด็จลงจากเกวียน พวกเขาจึงมายืนอยู่หน้าประตูของมหาวิทยาลัยด้วยเช่นกัน กลุ่มของพวกเขาอยู่ในชุดพื้นเมืองที่เจ้าชายฟาลิฮ์จัดเตรียมไว้ให้ ดังนั้นแม้หน้าตาจะผิดแปลกไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นจุดสนใจ

“ที่นี่คือมหาวิทยาลัยอินดราจาร์ครับ”ที่จะเรียกความสนใจจากคนทั่วไปซึ่งกำลังเดินเข้าออกผ่านประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยคงจะเป็นข้อความภาษาอังกฤษของเจ้าชายที่ใช้สื่อสารกับพวกเขา

“หลังจากมีการย้ายพระราชวัง พระราชวังซูบราฮ์แห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างไปประมาณยี่สิบปีก่อนจะมีการบูรณะขึ้นมาใหม่เพื่อก่อตั้งเป็นมหาวิทยาลัยอินดราจาร์ เปิดสอนในสาขาวิชาแพทย์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์”

มาริเอะชูมือขึ้นสูงพลางโบกไปโบกมาอย่างกระตือรือร้น เมื่อเจ้าชายผายพระหัตถ์อนุญาตให้พูด หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะก็ทำท่าราวกับจะแปลงร่างเด็กนักเรียนที่กำลังมาทัศนศึกษานอกสถานที่ทันที

“ไม่มีการสอนเวทมนต์หรือครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์นิ่งงัน หันไปทอดพระเนตรมองสุดฟ้าที่กระพริบตาปริบๆส่งให้พระองค์ “ไม่ทราบว่า เวทมนต์ที่คุณมาริหมายถึง คืออะไรครับ”

คำตอบนั้นทำให้สุดฟ้ารู้ได้ทันทีว่า เจ้าชายไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถและพลังในการใช้มนตราให้กับคนภายนอกได้รับรู้ อุปกรณ์และเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกมากมายอาจมีไว้เพื่อให้ประชาชนในประเทศลดการใช้เวทมนต์ลง

มาริเอะทำหน้างง แต่ข้อมูลข่าวสารมากมายบนเครือข่ายออนไลน์ที่หุ่นยนต์สมองกลได้ทำการตรวจสอบยืนยันแน่ชัดว่าประเทศแห่งนี้มีการใช้งานพลังอำนาจที่นักวิทยาศาตร์แบบด็อกเตอร์ผู้เป็นเจ้านายของเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้

“ด็อกเตอร์ ขออนุญาตเปิดเผยข้อมูลครับ”มาริเอะหันไปถามสุดฟ้าด้วยภาษาไทย

นี่เป็นหนึ่งในกฎที่สุดฟ้ากำหนดไว้

ทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์สมองกลที่สามารถแทรกซึมได้ทุกระบบบนโลกออนไลน์ สองคนนั้นสามารถดึงข้อมูลจากทุกแหล่งบนโลก มาประมวลผลและกลั่นกรองจนได้ข้อมูลที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว และบางสิ่งบางอย่างก็เป็นความลับที่ไม่ควรนำมาเปิดเผย ความลับที่แม้แต่ตัวเขาเองไม่ควรรู้ และไม่ว่าใครก็ไม่ควรรู้ว่าหุ่นยนต์ของเขามีความสามารถเช่นนี้

ดังนั้น การเปิดเผยความลับและความสามารถนี้ จำเป็นต้องขออนุญาตเปิดเผยข้อมูลจากเขาก่อน

“ไม่อนุญาต”

“เฮ้ยๆ อะไรว่ะ”ธัชนันท์โวยวายออกมาเป็นภาษาไทยเช่นเดียวกัน “เรื่องอะไรกันนะ มีอะไรปิดบังพวกฉันว่ะ”

สุดฟ้าพลาดไปแล้วที่พูดถึงโรงเรียนสอนเวทมนต์ของฮัชดาลลาร์บนโต๊ะอาหารเมื่อเช้า เพราะนั่นเหมือนเป็นการอนุญาตกลายๆให้ทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนสามารถเปิดเผยข้อมูลนี้ต่อบุคคลอื่นได้ โชคดีที่ครั้งนี้เขาปิดปากเงียบ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เจ้าชายฟาลิฮ์ไม่อยากพูด คงหลุดออกมาเป็นพรวน

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”เขาตอบตัดบท และหันไปพูดกับเจ้าชายด้วยภาษาอังกฤษว่า “เชิญ เจ้าชายต่อได้เลยครับ”

“เฮ้ย ฉันสองคนเป็นเพื่อนของแกนะเว้ย”ฝาแฝดคนน้องยังคงโวยวายต่อ จนสุดฟ้ารู้สึกเกลียดคำว่าเพื่อนขึ้นมาตะหงิดๆ

“เจ้าชายครับ พวกเรารู้หมดแล้วละว่าประชาชนในฮัชดาลลาร์สามารถใช้เวทมนต์ได้ เพราะฉะนั้นเชิญอธิบายเรื่องของเวทมนต์ให้พวกเราฟังได้เลยครับ”ธัชนนท์บอกเจ้าชายห่งฮัชดาลลาร์ด้วยท่าทางสุภาพ สุดฟ้าหันหน้าหนีผิวปากทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวทันทีที่เห็นสายพระเนตรของเจ้าชายรัชทายาท

เจ้าชายหนุ่มผู้ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งประเทศเล็กๆแห่งนี้ ทรงถอนพระปัสสาสะก่อนจะดำรัสต่อไปด้วยพระสุรเสียงสุภาพว่า “อย่างที่พวกคุณรู้ ประชาชนในฮัชดาลลาร์ราวๆเก้าสิบเปอร์เซ็นต์สามารถใช้เวทมนต์ได้ ตั้งแต่อดีตกาลเรามีโรงเรียนสอนเวทมนต์เพื่อสอนวิธีการใช้งานและควบคุมพลัง แต่ว่าปัจจุบันเราจะมีโรงเรียนสำหรับการเรียนการสอนแบบปกติธรรมดาด้วยเช่นกัน ตอนนี้เรากำหนดให้แค่โรงเรียนคาร์มานากับมหาวิทยาลัยอินดราจาร์เท่านั้นที่สามารถมีวิชาเวทมนต์ได้”

“ทำไมละครับ มีคนใช้เวทมนต์ได้เยอะๆก็น่าจะดีนี่ครับ”ชวิศาถาม

“คนที่ใช้เวทมนต์ก็มนุษย์ธรรมดาครับ มีรักโลภโกรธหลงความอยากมีอยากได้ ไม่ใช่ว่ามีคนที่สามารถใช้เวทมนต์ได้เยอะแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ สาเหตุที่เมื่อร้อยปีก่อนต้องย้ายที่ตั้งพระราชวังก็เพราะเกิดสงครามกลางเมืองครับ เป็นการสู้รบเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ หลังจากนั้นมาราชสำนักก็มีกฎว่ากษัตริย์ผู้ปกครองประเทศสามารถมีพระราชโอรสหรือธิดาได้เพียงพระองค์เดียว”

“เข้มงวดจัง ไม่กลัวว่ารัชทายาทจะสิ้นพระชนม์ไปก่อนบ้างหรือครับ”

“ก็ยังไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นนี่ครับ”เจ้าชายตรัสตอบ และเล่าให้ฟังอีกว่า “ตามที่เล่าขานกันมา เมืองที่เราเห็นอยู่ตอนนี้พังราบจนไม่มีเหลือ ขนาดพระราชวังซูบราฮ์ที่เล่ากันว่าถูกสร้างจากเวทมนต์ด้วยพลังของมหาเวทย์เมื่อสองพันปีก่อนยังเสียหายไปบางส่วน”

“สองพันปี!!!” พี่น้องสุวราลักษณ์อุทานออกมาพร้อมกัน พวกเขามองอาคารหลังคาทรงโดมยอดแหลม ค้ำยันด้วยเสาร์กลมแบบศิลปะโรมันตรงหน้าด้วยความทึ่ง เพราะมันเกินไปจากจิตนาการไปมากโข

“ครับ ฮัชดาลลาร์มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มามากกว่าสองพันปีแล้วครับ”




ในที่สุดเจ้าชายฟาลิฮ์ก็พาพวกเขามาเยี่ยมชมโรงเรียนคาร์มานาที่สุดฟ้ารอคอย ชายหนุ่มบอกได้เลยว่าที่นี่มีกลิ่นอายการใช้เวทมนต์ที่เข้มข้นมากๆ

“ดูการเรียนการสอนเหมือนโรงเรียนปกติเลยเนอะ”

“นั่นสนาม’บอลใช่ม่ะ เหมือนกำลังเรียนพละอยู่เลยว่ะ”

“วิ่งแข่งละ สงสัยวิ่งร้อยเมตรกันอยู่”

สองพี่น้องฝาแฝดพูดคุยกันอย่างไม่ตื่นเต้นด้วยภาษาไทย ซึ่งเมื่อกวาดสายตาจนทั่ว ความคาดหวังที่จะได้เห็นนักเรียนในโรงเรียนขี่ไม้กวาดบินได้แบบในหนังมลายหายไปทันที นอกจากอาคารเรียนที่เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่จนดูขลังยิ่งกว่าในภาพยนตร์พ่อมดแล้ว นอกจากนั้นทุกอย่างดูปกติ ชนิดที่ว่าถ้าเจ้าชายบอกว่า นี่เป็นโรงเรียนธรรมดา มันก็คือโรงเรียนธรรมดาจริงๆ

“วิ่งแข่งที่มิสเตอร์สุวราลักษณ์เห็นอาจจะเหมือนว่าเป็นวิชาเรียนธรรมดา แต่ไม่ใช่วิชาเรียนธรรมดาหรอกครับ”

สุดฟ้าขมวดคิ้วสงสัย เจ้าชายรู้ได้ย่างไรว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน

“เจ้าชายเขาถามคุณชวิศาเมื่อกี้นี้ครับ”มาริเอะกระซิบบอก ขณะก้าวเท้าเดินตามไกด์นำทัวร์ไปใกล้สนามกีฬา

“ปัจจัยหลักในการใช้เวทมนต์คือจักระ”

“อันนี้ผมทราบครับ”ธัชนันท์ชูมือขึ้นสูงด้วยท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาบ้าง “จักระคือพลังที่หมุนเวียนในร่างกาย อ้างอิงที่มาจากนินจาซะโหลซะเหล มารุโตะครับ”

“ครับ ตามนั้น”เจ้าชายยิ้มบาง “โรงเรียนจะแบ่งระดับชั้นของนักเรียนตามระดับพลังและความสามารถในการควบคุมจักระ ถ้ามีพลังมากและสามารถควบคุมจักระได้คล่องแคล่ว ต่อให้อายุยังน้อยก็สามารถเรียนในชั้นเรียนระดับสูงได้เช่นเดียวกัน”

เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงเปิดประตูและก้าวเข้าไปในสนาม อาจารย์ผู้สอนวิชานั้นเมื่อเห็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์เสด็จมา ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที ไม่เว้นแม้แต่เด็กนักเรียนที่กำลังนั่งบ้างยืนบ้าง ต่างลุกขึ้นมายืนรวมเข้าแถวอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มนักเรียนเหล่านั้น มีเด็กคนหนึ่งที่มองดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยประถม

“ฮาซีฟ” ประโยคหลังจากชื่อนั้นเป็นภาษาพื้นเมือง เด็กคนก้าวมายืนตรงหน้าเจ้าฟาลิฮ์ และทำเคารพด้วยท่าทางแข็งแรงจริงจัง เจ้าชายหนุ่มลูบพระหัตถ์บนศีรษะด้วยความเอ็นดู

“น้องชายของบาซิมครับ ปีนี้อายุสิบสองแล้ว แต่ตอนนี้อยู่เยียร์สิบเอ็ด ลำดับชั้นเรียนของเราเทียบเท่ากับของอังกฤษ ก็ประมาณ มัธยมศึกษาปีที่สี่ของไทย”

พวกเขาหันมองบาซิมที่เดินตามพวกเขามาเงียบๆทางด้านหลังทันที ชายหนุ่มร่างเล็กยังคงยิ้มแย้มให้อยู่เช่นเดิม จากนั้นเจ้าชายก็หันไปตรัสกับอาจารย์ผู้สอน

“ทรงตรัสว่า ให้อาจารย์ทำการสอนไปตามปกติครับ และถามคุณฮาซีฟว่าถึงคิวที่จะวิ่งหรือยัง วิ่งแล้วครับ ตอนนี้รอคิววิ่งสี่ร้อยเมตรอยู่ฮับ”ประโยคหลังๆมาริเอะปรับเสียงเป็นเสียงเด็กด้วย ชวิศาเลยหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

“แล้วสถิติวันนี้ได้เท่าไหร่”มาริเอะพูดด้วยเสียงทุ้มๆให้คล้ายกับเสียงเจ้าชาย ที่จริงเข้าสามารถเลียนเสียงให้เหมือนอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย ก็สามารถทำได้ แต่มีกฎข้อห้ามที่ไม่ให้เปิดเผยความสามารถที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปต่อหน้าคนหมู่มากอีก จึงทำเป็นว่ากำลังดัดเสียงแทน

“เจ็ดจุดหนึ่งห้าวินาทีครับ”

พอเห็นว่าชวิศากำลังหัวเราะ องค์รัชทายาทจึงเลิกพระขนง ส่งสายพระเนตรเป็นเชิงสงสัย คนของฮัชดาลลาร์ไม่มีใครรู้ว่ามาริเอะพูดอะไร เพราะหุ่นยนต์สมองกลของสุดแปลคำพูดของเจ้าชายมาเป็นภาษาไทย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

แต่เชื่อเถอะว่าพระองค์ต้องสงสัย กระนั้นสุดฟ้าก็ยังคงนิ่งเงียบไว้ เขากะว่า ถ้าได้พูดคุยกับเจ้าชายเป็นการส่วนตัวเมื่อไหร่จะบอกเรื่องที่มาริเอะและสเตบาสเตียนฟังภาษาของฮัชดาลลาร์ออก พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานสเตบาสเตียนก็ไปเป็นล่ามให้ฝาแฝดนี่นะ เขาเลยเปลี่ยนใจเป็น ‘ไว้ถามให้ชัดเจนอีกครั้งแล้วกัน’

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะอธิบายเรื่องจักระต่อแล้วกันนะครับ อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า จักระเป็นพลังที่หมุนเวียนในร่างกาย เมื่อดึงออกมาใช้ก็สามารถหมดได้ เพราะเป็นพลังที่มีอยู่จำกัด ดังนั้นขั้นต้นเราต้องควบคุมและดึงออกมาใช้ให้เหมาะสม อย่างวิชานี้ เราจะให้วิ่งแข่งกัน ต้องควบคุมจักระให้อยู่เฉพาะที่ขา ถ้าเป็นรอบวิ่งสี่ร้อยเมตรจะเห็นได้ชัดเจนเลยครับ แต่นักเรียนเยียร์สิบเอ็ด ไม่ค่อยมีใครมีปัญหาเรื่องการควบคุมจักระแล้วละครับ ส่วนมากจะแข่งกันเพื่อให้ได้สถิตความเร็วสูงสุด”

“เอ๋!!! อย่างนี้ก็น่าสนุกนี่นะ ทางเราก็มีพวกวิ่งเร็วเหมือนกันนะ”ธัชนันท์พูดขึ้นมา ก่อนจะดันเดย์ให้ออกมายืนข้างหน้า

“แกรู้ได้ไงว่ะ”สุดฟ้าเปลี่ยนมาถามภาษาไทยทันที

“ก็บังเอิญอ่ะ พอดีเคยใช้ให้วิ่งไปดักคนร้ายที่ขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งราว อึ้งไปเลยดันวิ่งทันมอเตอร์ไซค์ซะด้วย”

สุดฟ้ากุมขมับ ต่อให้ความสามารถของฟังก์ชั่นกับโปรแกรมไม่เท่ามาริเอะและสเตบาสเตียน แต่ก็เป็นโครงสร้างเดียวกันเนี่ยนะ กลับไปต้องถอดออกอีก ให้เหลือเฉพาะความสามารถบนเตียงอย่างเดียวพอ ชายหนุ่มหมายมั่นไว้ในใจ

“อ่อได้ครับ ที่ระยะทางสี่ร้อยเมตรนะครับ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”ตอบตกลงไปแล้ว ธัชนันท์ถึงได้หันมากระซิบถามคนสร้าง “ไม่มีปัญหาใช้เปล่าว่ะ”

“เออ”

คนที่มาแข่งกับเดย์เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงหน้าตาดี ที่สามารถเรียกเสียงกรี้ดจากสาวๆได้ไม่อยาก ถ้าอยู่ในเมืองไทยหรือประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่ฮัชดาลลาร์ เพราะเท่าที่เขาสังเกตเห็น คนในประเทศนี้มีแต่พวกหน้าตาดี มากน้อยลดหลั่นกันไปตามความสามารถให้การดูแลหนังหน้าและอายุ คนที่อายุน้อยๆส่วนใหญ่หน้าตาเหมือนเพิ่งออกมาจากคลีนิคศัลยกรรม หน้าตาเป๊ะเว่อร์ ชนิดที่สุดฟ้าคิดว่าตัวเองหล่อแล้วยังต้องชิดซ้าย

ในมือของอาจารย์ประจำวิชาเป็นนกหวีด เมื่อทั้งสองคนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เสียงปรี้ดก็ดังขึ้นจากนั้นไม่นาน

ระยะทางสี่ร้อยเมตรสำหรับการวิ่ง เพียงแค่อึดใจเดียวทั้งสองคนก็วิ่งเข้าสู่เส้นชัย เด็กคนที่มาแข่งกับเดย์นับว่าเก่งไม่ใช่น้อย เพราะเฉือนชนะเดย์ไปแค่ศูนย์จุดศูนย์สองวินาทีด้วยเวลายี่สิบเจ็ดจุดสองสามวินาที แต่ต่างกันที่เดย์ไม่มีออกอาการเหนื่อยหอบสักนิด ขณะที่อีกฝ่ายต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกๆ

“ขอโทษครับ ที่ผมไม่ชนะ”เดย์พูดกับธัชนันท์ด้วยท่าทางเศร้าๆ ที่สุดฟ้ารู้สึกว่าตัวเองตาฝาด เขาแน่ใจว่าไม่มีการลงโปรแกรมการเรียนรู้หรือลงข้อมูลพื้นฐานอารมณ์ให้เดย์แน่ๆ มีเฉพาะโปรแกรมตอบสนองเรื่องบนเตียงเท่านั้น แล้วไอ้อาการออดอ้อนออเซาะเศร้าซึมนั่นมันอะไรฟร่ะ

สุดฟ้ามองเพื่อนสนิทดึงหุ่นยนต์ของตัวเองมากอดปลอบด้วยความไม่เข้าใจ

“น่าประหลาดใจมากเลยครับ ไม่คิดว่าคนของมิสเตอร์สุวราลักษณ์จะวิ่งได้เร็วขนาดนี้ ดีนารุนเป็นท็อปของชั้นปีที่มีพลังในระดับจอมเวทครับ แม้ว่าตอนนี้เขายังไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้เต็มที่ก็ตาม แต่เราก็คาดว่าเขาน่าจะใช้พลังได้คล่องแคล่วตอนอยู่เยียร์สิบสาม”

แหม!!! พอได้ฟังแล้วเป็นปลื้ม สิ่งประดิษฐ์ของเขาก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกเหมือนกันนะเนี่ย




หลังจากหยุดพักการทัวร์เพื่อทานอาหารกลางวันกันจนเสร็จเรียบร้อย ก็มาถึงคราวที่สุดฟ้าจะตื่นเต้นกระดี้กระด๊าบ้าง เมื่อเจ้าชายฟาลิฮ์พาพวกเขาไปพบกับอาจารย์ผู้มีพลังในการเปิดจุดจักระ

อาจารย์ท่านดังกล่าวเป็นชายวัยชราซึ่งยังดูแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่วไม่สมกับอายุ

หลังจากที่เจ้าชายทักทายปราศรัยกับอาจารย์วัยชราอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าชายก็หันมาดึงเดยให้ไปใกล้ ภาษาที่เขาสองคนพูดกันเป็นภาษาฮัชดาลลาร์ทั้งหมด แต่คราวนี้มาริเอะไม่ได้แปลแบบเรียลไทม์ เพราะตอนแรกอาจารย์กับเจ้าชายคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ สุดฟ้าเลยบอกว่าไม่ต้องก็ได้

“คุยอะไรกันน่ะ”เพราะเจ้าชายดึงให้เดย์เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าอาจารย์ สุดฟ้าเลยสงสัยขึ้นมา

“เจ้าชายทรงตรัสว่า เดย์น่าจะมีพลังมาก เพราะขนาดไม่ได้เรียนรู้เรื่องการใช้จักระ ยังมีพลังกายเหนือกว่าดีนารุนเสียอีก”

สุดฟ้าพยักหน้ารับ มองเจ้าชายที่หันมาพูดกับเดย์ด้วยภาษาอังกฤษว่า “นั่งคุกเข่าลงหน่อยได้ไหมครับ” เดย์ที่ไม่มีโปรแกรมแปลภาษาในระบบจึงยังยืนนิ่งอยู่เฉยๆ จนกระทั่งธัชนันท์ เข้าไปออกคำสั่งด้วยภาษาไทย หุ่นยนต์สมองกลในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าชายชรา

อาจารย์ชราชาวฮัชดาลลาร์จึงวางมือลงบนหน้าผาก หลับตานิ่งเข้าสู่สมาธิ

“เขาทำอะไรน่ะ”สุดฟ้าถามมาริเอะอีกครั้ง

“ตรวจสอบและเปิดจุดพลังครับ”

“เฮ้ย!!!”สุดฟ้าร้องเสียงหลง เป็นจังหวะเดียวกับที่อาจารย์สูงวัยลืมตาขึ้น

“เขาไม่มีพลังชีวิต”คราวนี้สเตบาสเตียนเป็นคนแปลให้ฟัง แน่ละ หุ่นยนต์มีพลังชีวิตก็แปลกแล้ว

สุดฟ้ารีบเข้าไปแทรกระหว่างกลางทันที

“เรื่องนี้ผมพอจะอธิบายได้ครับ”สุดฟ้าพูดกับเจ้าชายฟาลิฮ์ด้วยภาษาอังกฤษ พยักเพยิดให้ชายหนุ่มราชนิกุลชั้นสูงเดินตามตนมาให้ห่างจากกลุ่ม

“เอ่อ...เดย์เป็นเอไอที่ผมสร้างขึ้นมาครับ โครงสร้างเป็นอะลูมิเนียมเบริลเลียม ความสามารถหลักคือเป็นคู่นอนบนเตียง กำลังเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ประมาณแปดสิบแรงม้า เพราะฉะนั้นจะวิ่งได้เร็วอยู่สักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”สุดฟ้าฉีกยิ้ม เจ้าชายจะรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่ขอให้เขาได้ฉีกยิ้มไว้ก่อน คู่สนทนายังเงียบด้วยใบหน้าเรียบตึง

“มิน่า เขาถึงไม่ทานอะไรเลย แล้วคนอื่นละครับ อย่างคุณมาริ หรือพ่อบ้านของคุณ”

“ครับสองคนนั้นก็ด้วย แล้วก็น้ำ หุ่นยนต์ที่ตัวติดกับไอซ์ฝาแฝดคนพี่”

เจ้าชายทรงพยักพระพักตร์รับรู้ ไม่ตรัสต่อความอะไรอีก หากแต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “คุณยังต้องการให้ท่านอาจารย์เปิดจุดจักระให้อยู่หรือเปล่าครับ”

“แน่นอนครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว”

ถ้าเขาเป็นนักประดิษฐ์ที่ใช้เวทมนต์ได้มันคงจะเท่ขึ้นมาอีกล้านเท่า ชายหนุ่มวาดฝันไว้เสียหรูหรา เขาเดินตามเจ้าชายมานั่งอยู่ตรงหน้าท่านอาจารย์วัยชรา

ฝ่ามือเหี่ยวย่นวางลงบนหน้าผากของเขา ความรู้สึกอุ่นร้อนตรงที่ฝ่ามือนั้นวางไว้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนไปจะไหลลามไปทั่วร่างกาย แล้วค่อยๆจางหายไป

“ไม่ได้ ท่านอาจารย์เขาว่าอย่างนั้นแหนะครับ ด็อกเตอร์”มาริเอะเสนอหน้ามาเป็นล่ามให้เขาทันที สุดฟ้าขมวดคิ้วมองหน้าเจ้าบ้าน

“อาจารย์ท่านว่าเส้นทางที่พลังของคุณไหลเวียนอยู่มันค่อนข้างสับสนครับ เมื่อเปิดจุดจักระไป พลังชีวิตในร่างกายคุณก็จะไหลออกหมด แม้จะไม่ถึงขั้นเสียชีวิตแต่ต้องใช้เวลาอีกหลายวันในการฟื้นคืนพลังในร่างกาย ท่านเลยอยากให้คุณไปฝึกสมาธิมาเสียก่อน”

อย่างเขาเนี่ยนะ ให้ไปฝึกสมาธิ สุดฟ้าอยากจะเถียง ตั้งแต่เด็กเขาเป็นพวกสมาธิดีจดจ่อมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำตลอด

“อาจารย์ท่านว่า ด็อกเตอร์ฟุ้งซ่านเกินไปครับ ในหัวคิดโน่นคิดนี่อยู่ตลอดอยู่ไม่สุข... เหมือนลิง”

“คำพูดนี่อาจารย์พูดไม่ใช่นายพูดเองนะ”สุดฟ้าหันไปถามมาริเอะที่แปลข้อความของอาจารย์วัยชราให้เขาฟัง

“แน่นอนสิครับ ผมไม่เพิ่มเติมอะไรเองหรอกนะ”

ชายหนุ่มจึงต้องก้มหน้ารับอย่างจำยอม พลางคิดว่า ของแบบนี้ ไม่มีก็ไม่ตายหรอกเว้ย!!! แค่เสียใจนิดๆเอง กระซิก กระซิก


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบสี่ 07/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 07-01-2017 21:58:08
หลังจากจบการทัวร์ในโรงเรียน เจ้าชายทรงพาทัวร์ที่ฟาร์มกริฟฟอน แต่นอกจากกริฟฟอนแล้ว ยังมียูนิคอร์น ฟีนิกซ์ และอื่นๆอีกสองสามชนิดที่สุดฟ้าไม่ได้ใส่ใจจำ แน่ละถ้าเขาชื่นชอบสัตว์ขนาดนั้น เขาคงจะไปเป็นสัตวแพทย์แล้ว นี่ขนาดมนุษย์ที่เป็นสัตว์สปีชี่ย์เดียวกัน เขายังไม่อยากจะปฏิสัมพันธ์ด้วย แล้วจะนับประสาอะไรกับสัตว์โลกชนิดอื่นๆ

เอาเป็นว่า หลังจากจบทัวร์โรงเรียนเวทมนต์ในฝันที่ทำให้เขาฝันสลายแล้ว สุดฟ้าไม่ได้สนใจสถานที่อื่นๆอีก เขาแค่ตามไปดูด้วยความรู้สึกเฉยๆ ต่างจากชวิศาและมาริเอะ ที่สองคนนั้นจะลั้นล้ารื่นเริงสุดๆไม่ว่าเจ้าชายแห่งฮัชดาลลาร์จะพอไปชมอะไรก็ตาม ดังนั้นกว่าจะได้กลับถึงที่พักก็มืดค่ำ

เช้าวันรุ่งขึ้นสุดฟ้ารี่ไปหาเจ้าชายทันที อารมณ์ ณ ตอนนี้คืออยากกลับบ้านแล้ว เขาเลยเร่งทำงานให้เสร็จไวๆ หรือถ้าพูดให้ชัดเจนคือ ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว ถ้าไม่รับปากว่าจะทำงานให้ สุดฟ้าเผ่นกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วละ

“ไม่พักอีกสักสองสามวันหรือครับ”เจ้าชายตรัสถาม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ การจะสร้างของที่เจ้าชายต้องการ มีอะไรต้องตรวจสอบหลายอย่าง ผมเลยต้องมาคุยเรื่องรายละเอียด” ที่จริงเขาอยากจะคุยตั้งแต่เมื่อวาน ติดที่มาริเอะเหมือนนกรู้ กันเจ้าชายไว้กับตัวไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้คุยบ้างเลย

“เช่น ขนาดของวัตถุที่ต้องทำลาย ระยะทำลาย แล้วก็อุปกรณ์นำวิถี อ่อ ที่สำคัญ ระเบิดของผมใช้กับคนไม่ได้นะครับ” ประโยคหลังเขาโกหก เขาไม่เคยทดลองใช้กับคนเหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าใช้ได้หรือไม่ได้ แต่บอกว่าใช้ไม่ได้ไว้ก่อนน่าจะดีกว่า

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ เราต้องการแค่ทำลายพวกระเบิด มิสไซล หรือพวกอาวุธทำลายล้างที่ข้ามเขตเข้ามาในพื้นที่ของฮัชดาลลาร์เท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นไม่มีปัญหาครับ ผมจะจัดเตรียมระเบิดของผมไว้สองประเภท”สุดฟ้าหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์มากดเปิด ฉายภาพอาวุธที่เขาจำแนกเป็นสองกลุ่ม และฉายภาพหน้าตาระเบิดของเขา ลักษณะของมันเป็นแค่แท่งทรงกระบอกธรรมดา

“ประเภทแรกสำหรับอาวุธขนาดเล็กที่มีน้ำหนักไม่เกินห้ากิโลกรัม และประเภทที่สองคืออาวุธที่มีน้ำหนักตั้งแต่สิบตันถึงห้าสิบตัน”

เจ้าชายฟาลิฮ์ฟังที่เขาพูดแล้วก็ขมวดพระขนง สงสัยกำลังดำหริว่าเขามักง่ายอยู่แหงมๆ ก็ช่องว่างของทั้งสองประเภทมันห่างกันขนาดนั้น แต่เขาคิดมาแล้วว่าแบบนี้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องส่งเข้าโรงงานให้ฝาแฝดทำให้เท่านั้นแหละถึงจะทำได้

“แล้วก็ผมจะทำระเบิดประเภทแรกให้เจ้าชายสองร้อยลูก ประเภทที่สองอีกสามลูกเท่านั้น”

“เอ๊ะ”ทว่าคราวนี้เจ้าชายจะมีปัญหากับเขาจริงๆ สุดฟ้าเลยชิงพูดก่อน

“เจ้าชายเคยตรัสไว้ว่า เหลือเวลาอีกแค่ปีเดียวศิลาสารพัดนึกก็จะเสร็จสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นผมจะสร้างระเบิดให้ใช้ได้แค่หนึ่งปีเท่านั้น ผมไม่อยากให้โครงสร้าง รูปแบบ ทฤษฎีการทำงานหลุดไปถึงมือใครทั้งนั้น ปัจจุบันแบบแปลนระเบิดที่ผมคิดมีอยู่แผ่นเดียวที่พ่อแม่ของผม และผมคิดว่าต่อให้ใครได้ไปก็ไม่น่าจะแกะผังแบบแผ่นนั้นออก เท่ากับว่าตอนนี้มันอยู่ในหัวผมเท่านั้น ผมไม่อยากให้แพร่กระจายไปทั่วโลกเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ธาตุยูเรเนียม”

เห็นคู่สนทนายังคงนิ่งฟังสุดฟ้าจึงพูดต่อ ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนเป็นตารางแผนงาน

“เริ่มแรกผมจะสร้างชิ้นไทรอัลยี่สิบชิ้น เพื่อให้คนของเจ้าชายได้ทดลองใช้งาน และจะอบรมข้อกำหนดการใช้งานอีกหน”
คู่สนทนาของเขายังคงนิ่งเงียบ จนครู่ใหญ่กว่าที่เจ้าชายจะเปิดพระโอษฐ์อีกครั้ง

“คุณรู้ไหมครับว่าทำไมผมติดต่อคุณ ทั้งที่ถ้าเราอยากได้ระเบิด ฮัชดาลลาร์มีความสามารถที่จะสร้างเองได้”

“เพราะระเบิดทุกชนิดบนโลกนี้มีมลพิษตกค้าง และมลพิษที่ว่าน่าจะมีผลต่อพลังเวทย์”

“คุณทราบ?”

“ครับ ผมพอจะเดาได้ตั้งแต่ที่คุณบาซิมพูดถึงเรื่องโรงงานอุตสาหกรรม ฟังดูเหมือนกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมเพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่เจ้าชายเคยตรัสว่าร่างทรงฯอ่อนแอลงมาก ผมก็สงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ผมไม่รู้ว่าขอบเขตของศิลาสารพัดนึกที่ปกป้องฮัชดาลลาร์อยู่มันแค่ไหน ทำอะไรบ้าง แต่การที่ให้มนุษย์คนหนึ่งมาเป็นร่างทรงเพื่อร่ายคาถาปกป้องฮัชดาลลาร์แทน ผมว่าฮัชดาลลาร์ต้องแน่ใจว่าศิลาสารพัดนึกชิ้นใหม่จะต้องเสร็จก่อนที่ร่างทรงจะหมดพลัง หรือถ้าพวกคุณไม่แน่ใจ มันน่าจะมีร่างทรงคนที่สอง คนที่สาม อ่อ อีกประเด็นคือ ณ ตอนนั้น ร่างทรงคนปัจจุบันเป็นจอมเวทคนเดียวที่ฮัชดาลลาร์มีอยู่ เมื่อลองพิจารณาดู ทุกอย่างมันย้อนแย้งกันเอง แต่เมื่อกลับมาคิดถึงประโยคแรกซึ่งเจ้าชายเคยตรัสไว้ว่า สิ่งที่สามารถบอกต่อคนนอกมีอยู่จำกัด ผมจึงพอทำความเข้าใจได้ว่า ความย้อนแย้งกันนี้คือความลับที่ไม่อาจเปิดเผย”สุดฟ้าคลี่ยิ้ม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เชื้อพระวงศ์แห่งฮัชดาลลาร์

“ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความลับของพระองค์อย่างเด็ดขาด” เพราะเขาก็มีความลับของตัวเองเหมือนกัน

หลังจากฟังข้อวิเคราะห์และคำมั่นของอีกฝ่ายแล้ว เจ้าชายฟาลิฮ์จึงตรัสด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลเช่นเดิมต่อไปอีกว่า

“ตามที่คุณเข้าใจถูกต้องแล้วครับ ศิลาสารพัดนึกชิ้นเดิมมีหน้าที่คงสภาพป่าและความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ฮัชดาลลาร์ นอกจากนั้นยังเป็นปราการป้องกันศัตรูผู้รุกรานอันกล้าแข็ง เราไม่จำเป็นต้องสู้รบกับใครตราบใดที่อยู่ภายใต้พลังของศิลาสารพัดนึก ส่วนหน้าที่ของร่างทรงฯแค่คงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่เท่านั้น”

สุดฟ้าแค่พยักศีรษะรับรู้ ไม่ถามอะไรเพิ่มเติม

“ไม่คิดสงสัยอะไรอีกหรือครับ”

“แล้วแต่เจ้าชายเลยครับ อยากเล่าอะไรก็เล่า”สุดฟ้าฉีกยิ้ม เจ้าชายจึงแย้มพระสรวลเช่นเดียวกัน

“ว่ากันว่า วิธีสร้างศิลาสารพัดนึก รวมถึงคาถามนตราพิทักษ์ล้วนแต่เป็นมรดกตกทอดจากมหาเวทย์ผู้สร้างศิลาฯ เขาเขียนสำเนาไว้หนึ่งร้อยฉบับแจกจ่ายให้คนในเมืองขณะนั้น หลายครัวเรือนในฮัชดาลลาร์ยังมีเอกสารฉบับนั้นสืบทอดมารุ่นต่อรุ่น ที่สำคัญเอกสารฉบับนั้นยังดูใหม่จนไม่น่าจะใช่ของเมื่อสองพันปีก่อน”

สิ่งที่เจ้าชายเล่าทำให้สุดฟ้าสนใจ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่ยอมแสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมาเด็ดขาด ในเมื่อเจ้าชายฟาลิฮ์กำลังพยายามโน้มน้าวใจเขาอยู่ ถ้าเดินไปตกหลุมพรางอีกฝ่ายง่ายๆ ก็ไม่ควรมั่นใจว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะแล้ว

“ทว่า ณ เวลานั้น พื้นที่ทะเลทรายแถบนี้ยังคงอุดมสมบูรณ์ด้วยแมกไม้นานาพรรณ ศิลาสารพัดนึกจึงมีหน้าที่ทำให้ผู้คนสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา จวบจนแผ่นดินเริ่มเปลี่ยนเป็นทะเลทราย เป้าหมายที่แท้จริงของการมีอยู่ของศิลาสารพัดนึกจึงปรากฎขึ้น”

“เจ้าชายตรัสราวกับว่า มหาเวทย์รู้อยู่แล้ว”

พระพักตร์บ่งบอกว่าไม่แน่ใจเช่นเดียวกัน

“ตั้งแต่ผู้คนในฮัชดาลลาร์เริ่มรับรู้ว่าแผ่นดินแถบนี้กำลังแห้งแล้งและกลายเป็นทะเลทราย เราก็มีการศึกษาเกี่ยวกับพลังของศิลาฯมากขึ้น จนรู้ว่าขอบเขตในการปกปักคุ้มครองมีลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายโดมคลุมพื้นที่ทั้งเมือง พลังของคาถามนตราพิทิกษ์ก็เช่นเดียวกัน และถ้าย้ายตำแหน่งของศิลาฯ ตำแหน่งพื้นที่ที่ถูกปกปักคุ้มครองก็จะเปลี่ยนไป”

“หมายความว่า ถ้าเดินถือศิลาฯไปมา พื้นที่ป่าก็จะขยับไปด้วย”สุดฟ้าขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นอย่างนั้น ศิลาฯก็ไม่น่าจะโดนขโมยไปได้”
“เพราะมีขอบเขตในการเคลื่อนย้ายอยู่ครับ ถ้าเคลื่อนย้ายศิลาฯเกินจากระยะสามสิบกิโลเมตรของตำแหน่งที่ตั้งเมืองเดิม พลังในการปกปักพื้นที่ก็จะหายไป ถึงอย่างไรก็ตาม ความสามารถของศิลาฯก็ยังคงอยู่”

“นั่นคือ มีแหล่งพลังเวทย์ที่จ่ายให้กับศิลามาตลอด”สุดฟ้านิ่งคิด และพึมพำออกมาเบาๆ “หรือไม่ก็เป็นพลังของมหาเวทย์เอง”

“เราก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันครับ ตามตำนานไม่เคยกล่าวถึงการเสียชีวิตของมหาเวทย์ เหมือนว่าจู่ๆเขาก็หายตัวไปเสียเฉยๆ ซึ่งมันสอดคล้องกับการศึกษาเรื่องขอบเขตของพลังพอดี ทว่าสุดท้ายเราก็ไม่พบอะไรอยู่ดี”

“ก็ตั้งสองพันปีแล้ว ศพไม่ย่อยไปหมดแล้วหรือครับ”

“เพราะว่าพลังนี้กล้าแข็งมาก เราคิดว่า น่าจะมีอะไรหลงเหลืออยู่”

อา... สุดฟ้าคิดขึ้นมาได้อีกอย่าง พลังปราณโลกาอะไรที่มาริเอะพูดถึงนั่น คงหมายถึงอย่างนี้เหมือนกัน

“เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องที่ผมเล่าน่าสนใจไหม”

“ดีครับ สนุกดี”

“แล้ว?”

“ระเบิดที่ผมจะทำให้ก็ยังเท่าเดิมครับ”สุดฟ้าตอบรวดเร็วทันควัน

“โธ่”เจ้าชายทรงร้องออกมาอย่างเสียดาย

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เปิดเผยต่อคนนอกได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่เจ้าชายทรงกั๊กไว้ ไม่ได้เล่าให้ผมฟังเอง มันจะน่าตื่นเต้นได้อย่างไร”

“ครับ ตกลงครับ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวรับอาหารกลางวันกันก่อนนะครับ ตอนบ่ายผมจะพาไปค่ายทหาร”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบห้า 14/01/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-01-2017 22:22:11
ตอนที่สิบห้า


เมื่อชวิศารู้สึกตื่น มาริเอะก็ลืมตายันตัวลุกขึ้นเช่นเดียวกัน

“เอ๋ วันนี้คุณสุดฟ้าตื่นเช้าจัง”ชายหนุ่มร่างเพรียวเอ่ยเมื่อไม่เห็นผู้ร่วมเตียงอีกคน ที่มักจะยังหลับอยู่เสมอตอนที่เขาตื่น

“วันนี้ ด็อกเตอร์ไปหาเจ้าชายแต่เช้าครับ”

ชวิศาผงกศีรษะรับรู้ แล้วลุกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัว เดินลงบันไดมาถึงชั้นล่างและก้าวเท้าเข้าครัวโดยมีมาริเอะเดินตามมาติดๆ ปรากฎว่าภายในห้องครัวนั้น คุณหุ่นยนต์พ่อบ้านยืนประจำอยู่หน้าเตาแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ชวิศาเอ่ยทักทาย

“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณชวิศารับอาหารเช้าเลยนะครับ”สเตบาสเตียนโต้ตอบกลับมา

“ครับ รบกวนด้วยครับ”

ชวิศาทรุดตัวลงนั่งพร้อมๆกับข้าวต้มในถ้วยกระเบื้องสีขาวถูกยกมาวางตรงหน้า ขณะที่มาริเอะเป็นคนยกแก้วนมจืดและน้ำเปล่ามาเสริฟให้ ยังไม่ทันได้เริ่มทาน ฝาแฝดสองพี่น้องก็ตามมาสมทบ

“สุดฟ้ายังไม่ตื่นเหรอ”ธัชนนท์ถาม

“ด็อกเตอร์ไปหาเจ้าชายแต่เช้าแล้วครับ”มาริเอะเป็นคนตอบคำถามเช่นเดิม

“ไปไหนไม่เคยชวนเพื่อนฝูง”ฝาแฝดคนน้องพูดบ่น

“คงจะเริ่มงานแล้วมั้ง”ผู้เป็นพี่ชายคาดเดา

“แล้ววันนี้ซีจะไปไหนอ่ะ”ธัชนันท์จึงถามคนที่อยู่ตรงหน้าบ้าง ชวิศาถึงหันหน้าไปมองมาริเอะ

“ไปน้ำตกกันไหมครับคุณมาริ”ซึ่งมาริเอะก็ตอบตกลงทันที “แล้วนายสองคนละ ไปไหม”

“เอ่อ”ฝาแฝดส่งเสียงอย่างลังเล ก่อนคนเป็นพี่จะพูดออกมาว่า “ไม่ดีกว่า ถึงฉันสองคนจะมาเที่ยว แต่ก็มาทำงานด้วย”
ชวิศาเลิกคิ้ว ทำหน้างุนงง

“เออ ว่าแต่สุดฟ้ามันมาทำงานอะไรที่นี่รู้หรือเปล่า”ธัชนันท์ถามขึ้นมาบ้าง ซึ่งมีแต่ความเงียบตอบกลับมา เมื่อเห็นว่าทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนต่างไม่มีใครอ้าปากตอบ ชวิศาเลยบอกออกไปแทน

“ไม่รู้เหมือนกัน คุณสุดฟ้าไม่เคยบอกอ่ะ”

“ต้องมีอะไรลับลมคมในแหงๆ เห็นแอบไปคุยกับเจ้าชายบ่อยๆ”สองพี่น้องหันมองหน้ากันเอง แล้วหันไปถามสเตบาสเตียนอีกคำถามว่า

“มันบอกไหมว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”

“บอกว่าอาจจะบ่ายๆเย็นๆครับ”

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ นายไปเป็นล่ามให้ฉันแล้วกัน โอเคไหมซี”

“อือ ไม่มีปัญหา เราไปกับคุณมาริอยู่แล้ว”พอพยักหน้ารับ ฝาแฝดสองพี่น้องก็เร่งกินข้าว และรีบไปเตรียมตัวออกไปข้างนอก ชวิศาจึงเร่งกินข้าวต้มในถ้วยของตนบ้าง ก่อนจะชวนมาริเอะให้เก็บเสื้อเตรียมไปผลัดเปลี่ยน

เขาแยกย้ายกับกลุ่มของฝาแฝดที่หน้าประตูวัง เดินเท้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน พวกเขาไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋ว เมื่อวาน เจ้าชายพระราชทานตั๋วไม่จำกัดเที่ยวให้พวกเขาได้ใช้

ขบวนรถไฟของฮัชดาลลาร์แต่ละเที่ยวทิ้งระยะห่างระหว่างกันประมาณสิบห้านาที แต่ละเที่ยวเป็นขบวนสั้นๆจำนวนไม่กี่โบกี้ กระนั้นก็เหมาะกับจำนวนผู้ใช้งาน ใช้เวลาราวๆครึ่งชั่วโมง เขาทั้งสองคนจึงมาถึงสถานีที่ต้องลง ออกจากสถานีและเดินเท้าต่อไปอีกหน่อยจะพบลำธารกว้าง และเดินย้อนขึ้นไปตามลำธารอีกครู่หนึ่งจึงจะพบแอ่งน้ำตก

มาริเอะยังตื่นเต้นกับธารน้ำไม่ต่างจากเมื่อวาน

“เย็นจัง”ชวิศากล่าวขึ้นเมื่อหย่อนปลายเท้าลงไปแกว่งเล่น มาริเอะหันมองก่อนจะจุ่มมือลงไปในน้ำบ้าง ระบบประมวลผลรับค่าอุณหภูมิของน้ำจากเซ็นเซอร์ที่อยู่ใต้ผิวหนังเทียม เทียบค่าความปลอดภัยสำหรับโครงสร้างภายนอกที่ถูกบันทึกไว้ในระบบ “สิบแปดองศาเซลเซียส”

“อย่างนั้นเหรอ”ชวิศาตอบรับ เมื่อได้ยินเสียงอีกคนพึมพำออกมา “ถอดชุดแล้วลงไปเล่นกันเถอะ”ชวิศาเอ่ยชวน พลางลุกขึ้น ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก

“เดี๋ยวๆครับ ถอดตรงนี้หรือ”มาริเอะร้องทักหน้าตาตื่น

“อือ ไม่เป็นไรหรอก”ว่าจบพร้อมกับเสื้อผ้าเกือบทุกชิ้นลงไปกองอยู่ที่พื้น เหลือเพียงแค่กางเกงขาสั้นตัวใน ชวิศารวบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าหลังที่เตรียมมาด้วย หันไปเจอมาริเอะที่ยังมีเสื้อผ้าครบทุกชิ้นจึงเอ่ยเร่ง

“ถอดชุดสิครับ ลงไปเล่นน้ำกัน”พอเห็นอีกฝ่ายยังเฉย เขาจึงขยับตัวไปหาทำท่าจะถอดให้ มาริเอะก็ขยับหนี

“คุณสุดฟ้าสั่งห้ามไว้เหรอครับ”

มาริเอะสั่นศีรษะ “แต่มีกฎหมายข้อหนึ่งระบุไว้ว่าการกระทำใดที่ควรขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล โดยการเปลือยหรือเผยร่างกาย หรือทำการลามกอย่างอื่น ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายฐานอนาจารครับ”

“เราไม่ได้เปลือยเสียหน่อย ยังใส่กางเกงอยู่นี่ เห็นไหมครับ”เห็นมาริเอะยังลังเล จึงพูดคะยั้นคะยอต่อไปอีกว่า “คุณมาริไม่อยากลงเล่นน้ำเหรอ ถ้าไม่ถอดชุดออกก็ลงเล่นไม่ได้หรอกนะ น้ำเย็นมาก น่าลงเล่นจะตาย”

“ผมไม่รู้สึกถึงความเย็นของน้ำหรอกครับ”

“แต่ก็รู้ว่ามันอุณหภูมิสิบแปดองศา มันเหมือนกันนั่นแหละ หึ แต่ถ้าไม่อยากลงก็ตามใจ”ว่าจบ ชวิศาก้าวเท้าลงไปในน้ำทันที อากาศของฮัชดาลลาร์ค่อนข้างเย็นสบายอยู่แล้ว ตอนที่ก้าวเท้าลงไปแรกๆ จึงรู้สึกว่าน้ำนั้นเย็นจนหนาว แต่พอได้ลงไปแช่ทั้งตัวกลับให้ความรู้สึกว่าอุ่นสบาย ชวิศาแหวกว่ายอยู่ในแอ่งน้ำตื้นอย่างสนุกสนาน ยิ่งไปกว่านั้น บริเวณนี้ไม่มีกลุ่มคนอื่นนอกจากพวกเขา ราวกับสระน้ำนี่เป็นของพวกเขาเท่านั้น

มาริเอะมองคนที่ว่ายน้ำอย่างสนุกสนานด้วยความสนใจ โปรแกรมเรียนรู้ที่มีอยู่ในระบบเป็นตัวกระตุ้นให้ค้นหาคำตอบและพยายามเข้าไปสัมผัสประสบการณ์เดียวกับมนุษย์ทั่วไป ก่อนที่ระบบมวลผลจะคำนวณประเมินเทียบความเสี่ยง กฎข้อบังคับ ข้อกำหนดและบริบทของสังคม จากนั้นจึงตัดสินให้ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติ ในกรณีนี้เอง ระบบประมวลผลก็อนุมัติให้เขาไปปฏิบัติได้

หุ่นยนต์สมองกลถอดเสื้อผ้าออกให้เหลือแต่กางเกงขาสั้นตัวในเหมือนชวิศา เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเช่นเดียวกัน ต่อจากนั้นจึงก้าวลงน้ำ ชวิศาสาดน้ำใส่เขาทันที เขายกยิ้มตอบให้

“น้ำเย็นเนอะ”

มาริเอะพยักหน้ารับรู้ ‘น้ำที่อุณหภูมิสิบแปดองศาเรียกว่าน้ำเย็น’ ความรู้นั้นถูกบันทึกเข้าระบบ

แช่น้ำและนั่งเล่นอยู่ในน้ำจนมาริเอะสังเกตเห็นว่าปากของชวิศาเขียวซีด มาริเอะจึงชวนให้ขึ้นจากน้ำ เมื่อชวิศาขึ้นมาเจอกับลมเย็นๆ จึงยิ่งตัวสั่นงกๆ

“อยู่ในน้ำยังไม่หนาวเท่านี้”

“ผมว่ารีบกลับกันเถอะครับ สีหน้าของคุณดูไม่ดีเลย”

ชวิศาโบกมือปฏิเสธ พลางหยิบผ้าเช็ดตัวที่เตรียมมาขึ้นมาพันเอว ถอดกางเกงขาสั้นออก เปลี่ยนชั้นในตัวใหม่และสวมชุดพื้นเมืองของฮัชดาลลาร์ตัวเดิม “ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เล่นน้ำนาน เดี๋ยวสวมเสื้อผ้าแล้วรอให้ร่างกายอุ่นขึ้นก็สบายดีเหมือนเดิมแล้ว”
มาริเอะเลียนแบบวิธีผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตามชวิศา ปกติแล้วหุ่นยนต์เช่นเขาจะไม่มีเหงื่อ เขาจึงไม่ต้องอาบน้ำเป็นประจำเหมือนมนุษย์ แต่ต้องทำความสะอาดร่างกายบ้างในกรณีที่ฝุ่นผงเกาะติดตามร่างกายมากขึ้น ซึ่งนั่นเขาจะใช้วิธีอาบน้ำแบบเดียวกับที่มนุษย์ทั่วไป แต่การอาบน้ำที่ว่านั้นทำในพื้นที่ปิดอย่างห้องน้ำ ซึ่งไม่ต้องใช้ทักษะการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างที่ชวิศาทำให้เขาดู

“หิวอ่ะ แวะไปหาอะไรกินในหมู่บ้านแล้วค่อยกลับนะ”ชวิศาเอ่ยปากชวน

หมู่บ้านที่ชวิศากล่าวถึงอยู่ห่างจากแอ่งน้ำตกไปทางปลายน้ำ ห่างออกไปราวๆหนึ่งกิโลเมตร เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่ค่อนข้างเงียบสงบ เนื่องจากตอนที่พวกเขาไปถึงเป็นเวลาค่อนบ่ายแล้ว ตลาดของหมู่บ้านจึงเหมือนว่าจะร้างผู้คน ยังดีว่า มีร้านอาหารอยู่บ้าง

ร้านที่พวกเขาเลือกเข้าไปนั่งเป็นเพิงไม้ธรรมดาซึ่งเย็นสบายตามสภาพอากาศของฮัชดาลาร์ อาหารในร้านมีอยู่ไม่กี่อย่าง มาริเอะเป็นฝ่ายอ่านข้อความบนป้ายเมนูและถามเจ้าของร้านเกี่ยวกับรายละเอียดของอาหาร เมื่อรู้ว่าวัตถุดิบที่ใช้เป็นจำพวกแป้ง เนื้อแกะหรือเนื้อวัว ชวิศาเลยบอกให้มาริเอะสั่งเมนูขึ้นชื่อของร้าน

นั่งรอไม่นานอาหารก็ถูกนำมาเสริฟ มีจานที่ใส่แต่แป้งทอดชิ้นหนาแผ่นใหญ่ จานเนื้อ ถ้วยแกงที่ทั้งสีสันทั้งความหนืดคล้ายน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะและผักเคียง เจ้าของร้านเองก็คงเห็นว่าเขาเป็นคนต่างถิ่น ถึงได้ลงมือทำให้ดูว่าต้องทำอย่างไร

เริ่มต้นด้วยการที่ตักเนื้อมาใส่แผ่นแป้ง ตักผักใส่ และตักแกงในถ้วยมาราด เมื่อห่อเสร็จจึงมีหน้าตาคล้ายกับเคบับ เจ้าของร้านส่งมันมาให้เขา ชวิศารับมาพร้อมยกยิ้มให้ กล่าวขอบคุณด้วยภาษาของฮัชดาลลาร์ที่ถามมาจากมาริเอะ

ทั้งมาริเอะและเจ้าของร้านจับจ้องเขาไม่วางตา ตอนที่เขาเริ่มกัดคำแรก แป้งทอดชิ้นหนานั้นนุ่มกว่าที่คิด ทั้งเนื้อและน้ำซอสต่างเข้มข้นด้วยกลิ่นของเครื่องเทศ ผสมกับรสเปรี้ยวกับผักเคียง เป็นรสชาติที่ค่อนข้างจะแปลกลิ้น แต่ก็อร่อยมาก ชวิศาจึงยกนิ้วโป้งที่เป็นภาษาสากลว่ายอดเยี่ยมให้ เจ้าของร้านซึ่งเป็นชายวัยกลางคนยกยิ้มตอบกลับ ยกมือขวาขึ้นประทับบนอกซ้ายและก้มศีรษะให้ ก่อนกลับไปอยู่หลังโต๊ะไม้เช่นเดิม

“ทานไหมครับ”

“ถ้าไม่จำเป็น ผมก็ไม่อยากทานครับ มันยุ่งยาก”

“น่าเสียดายจัง ถ้ากินด้วยกันได้จะอร่อยกว่านี้แท้ๆ”สีหน้าของชวิศาเหงาหงอยลงเล็กน้อย ก่อนจะกัดอาหารที่คล้ายเคบับด้วยความแค้นเคืองหน่อยๆ มาริเอะจึงหาทางแก้ด้วยการให้ชวิศาลองบอกส่วนผสมในอาหาร หลังจากนั้นแม้กระทั่งออกจากร้านมาแล้ว พวกเขาจึงยังคุยเรื่องส่วนผสมและวิธีการทำอาหารต่างๆไม่หยุด

“ผมไม่แน่ใจว่าด็อกเตอร์หาสูตรมาจากไหนครับ”มาริเอะตอบเมื่อชวิศาถามว่าเขาหรือสเตบาสเตียนสามารถทำอาหารให้อร่อยได้อย่างไรทั้งที่ไม่สามารถชิมหรือได้กลิ่น

“ส่วนผสมและอัตราส่วนการปรุงมีบันทึกอยู่ในฐานข้อมูลอยู่แล้วครับ ผมเองก็ไม่เคยถามทั้งด็อกเตอร์และสเตบาสเตียนเหมือนกัน”

“พูดถึงเรื่องคุณสเตบาสเตียน โอ๊ะ”ชวิศาร้องอุทานเมื่อมีเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งมาชนเขาและล้มลงไปกองกับพื้น ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง เมื่อเด็กคนดังกล่าวเริ่มร้องไห้

“เป็นอะไรนะ”ชวิศาถามมาริเอะเมื่อเด็กคนนั้นร้องไห้ไม่ยอมหยุด แต่หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะได้แต่ส่ายหน้า แม้จะลองเอ่ยถามแล้ว เด็กชายคนนั้นก็เอาแต่ร้องไห้ ชวิศาจึงดูแขนจับขาหาบาดแผล พอจับแถวข้อเท้าเด็กชายก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาอีก

“หรือจะเจ็บข้อเท้า แถวนี้มีโรงพยาบาลหรือเปล่านะ”ชวิศาพูดพลางช้อนตัวเด็กชายคนนั้นอุ้มขึ้น ขณะเดียวกันก็พูดคุยกับมาริเอะเกี่ยวกับเส้นทางไปคลินิก หรือสถานพยาบาล เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กชายยื่นมือมาสัมผัสร่างที่อุ้มตนอยู่ ทันใดนั้นเอง ภายในร่างกายของชวิศาพลันรู้สึกปั่นปวนจนต้องทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง

“คุณชวิศา เป็นอะไรหรือครับ”มาริเอะรีบเข้ามาประคองชวิศาไว้ ตอนที่ยื่นมือเข้าไปรับร่างหนูน้อย เด็กคนกลับลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งหนีไปทันที มาริเอะมองตาม ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วบริเวณนั้น พร้อมกับใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนจากร่างกายมนุษย์ที่อยู่ในรัศมี แต่ไม่มีใครเลยนอกจากเด็กผู้ชายเมื่อสักครู่ที่วิ่งหนีไป

พวกเขาเพิ่งเดินออกมาจากหมู่บ้านเล็กๆที่แวะทานอาหารเมื่อสักครู่ เข้าสู่เขตป่าที่ไม่มีบ้านคนโดยตั้งใจว่าจะเดินคุยกันไป เพื่อไปแวะเที่ยวตลาดซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินสถานีต่อไป

“ไม่เป็นไรแล้วละ สงสัยจะไม่ค่อยสบายจริงๆ”ชวิสาบ่นออกมา และเพื่อไม่ให้มาริเอะเดือดร้อนเป็นห่วงจึงชวนกันกลับ โดยเดินย้อนกลับไปที่หมู่บ้านเดิม เพื่อลงสถานีรถไฟใต้ดินสถานีเดิมกับขามา

“เด็กคนนั้นไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เห็นวิ่งปร๋อ คุณชวิศาไม่เป็นไรแน่หรือครับ”

“อือ ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว แข็งแรงดีเหมือนเดิม”

มาริเอะพินิจมองสีหน้าของคนพูด ยื่นมือให้ชวิศาจับไว้ ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายไปพลาง อุณหภูมิร่างกายของชวิศาอยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ มาริเอะจึงตอบโต้บทสนทนาไปอย่างปกติ


ตอนบ่ายเจ้าชายฟาลิฮ์พาสุดฟ้าและคนติดตามออกจากเมืองด้วยรถไฟฟ้าเช่นเดิม ลงจากสถานีเพื่อขึ้นมานั่งอยู่ในรถฮัมเมอร์สีดำซึ่งคนขับพาผู้โดยสารไต่ไปตามไหล่เขา ทิศตรงข้ามกับเส้นทางที่มาจากสนามบิน มองไปนอกหน้าต่างรถเห็นบ้านเรือนมีผู้คนอาศัยอยู่ประปราย แต่ตัวบ้านลักษณะเหมือนเจาะช่องซ่อนตัวอยู่ตามแนวเขา แถวนี้มีแต่ดินแดงฝุ่นฟุ้งไปทั่ว ไม่มีต้นไม้พืชพรรณจนไม่คิดว่ามนุษย์จะอาศัยอยู่ได้ 

ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงกว่าจะมาถึงค่ายทหารที่เจ้าชายว่า ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ทันทีที่พวกเขามาถึงทหารประจำค่ายในชุดเครื่องแบบที่ดูทะมัดทะแมง รีบวิ่งเข้ามายืนรับเสด็จ

ลงจากรถสุดฟ้าก็กวาดสายตามองรอบตัว รถยนต์พาพวกเขามาส่งที่หน้าอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีแดงอิฐ ความสูงประมาณสองชั้น มีอาคารหลังอื่นถูกก่อสร้างกระจายตัวออกไป หันมองอีกด้านไม่ไกลเกินกว่าที่มองเห็นด้วยตาเปล่า เบื้องหน้านั้นเป็นตึกรามบ้านช่องอาคารสูงที่บ่งบอกว่าเป็นเมืองใหญ่ ทว่ากลับว่างเปล่าไร้ซึ่งสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ตึกอาคารดูผุพังทรุดโทรมไม่ต่างจากเมืองร้าง ราวกับสิ่งที่เขาเห็นมีเพียงซากปรักหักพังของความรุ่งเรืองในอดีต

เจ้าชายฟาลิฮ์เองก็เหมือนจะชาชินกับภาพเบื้องหน้า ทรงสาวพระบาทเสด็จไปตามทางด้วยอาการสงบนิ่ง และหยุดประทับตรงหน้าผาเตี้ยซึ่งสูงจากพื้นด้านล่างประมาณสิบเมตร  ทรงส่งกล้องส่องทางไกลให้เขาถือ สุดฟ้าจึงยกมันขึ้นแนบดวงตา  ไกลออกไปราวๆสี่ถึงห้ากิโลเมตร พื้นที่บริเวณนั้นมีร่องดินซึ่งมีขนาดพอให้ผู้ชายตัวโตๆสักคนสองลงไปเดินสวนกันได้ ถัดออกไปอีกหน่อยมีเพียงรั้วลวดหนามไว้แบ่งเขตแดน

ด้านหลังมีทหารหลายนายเดินตามมาอยู่ไม่ห่าง

“เราจะให้ทหารต้านกองทัพศัตรูไม่ให้ผ่านแนวรั้วเข้ามาครับ”

สุดฟ้าเปิดประสาทหูรับฟังข้อมูล แต่ประสาทมองเห็นที่ส่องผ่านกล้องนั้น กวาดมองเมืองร้างด้านหน้า

“กองกำลังที่เข้ามาจู่โจมส่วนใหญ่เป็นรถถังครับ ทหารราบของฝ่ายตรงข้ามคนของเราสามารถจัดการได้”

“เจ้าชายจะตรัสว่า ระเบิดประเภทแรกของผมมันไม่มีประโยชน์”

องค์รัชทายาทแย้มพระสรวล และดำรัสต่อไปว่า “ที่จะมีปัญหาอีกอย่างคือหน่วยรบทางอากาศ”

“แล้วพระองค์ไม่มีกองบินทหารหรือครับ”

“ไม่มีครับ เรามีแต่เครื่องบินโดยสาร ถ้าคำนึงถึงความคุ้มค่าแล้ว เครื่องบินทหารค่อนข้างไม่มีประโยชน์ซักเท่าไหร่ เราเป็นประเทศที่ไม่ต้องสู้รบกับใครมาเป็นร้อยๆปี ถ้านึกไม่ชอบใจพวกที่มารุกรานเราก็ซัดพลังเวท์ใส่ หรือใช้คาถาควบคุมพื้นดิน ทำให้พื้นดินเป็นหลุมให้พวกมันตกลงไปแล้วก็ฝังทั้งเป็น”

สุดฟ้าผงะออกมาเล็กน้อย “พระองค์ก็... โหดไม่ใช่เล่นนะ” นิ่งมองเจ้าชายหนุ่มรูปงามอย่างไร้คำสนทนาที่จะเอื้อนเอ่ย กระทั่งเจ้าชายฟาลิฮ์แย้มพระสรวลกว้าง

“ล้อเล่นใช่ไหมครับ ถ้าทำได้ถึงขนาดนั้น ก็ไม่น่าจะลำบากนี่นา”

“ครับ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสักร้อยปีก่อน”เจ้าชายฟาลิฮ์ทอดเสียงคล้ายหนักใจ “จำเรื่องสงครามกลางเมืองที่เล่าให้ฟังเมื่อวานได้ใช่ไหมครับ”เจ้าชายแค่หันมองหน้าเขาชั่วครู่ จากนั้นจึงผินพระพักตร์กลับไปมองร้างเบื้องหน้า และกล่าวต่อไปว่า “การต่อสู้ครั้งนั้นจบลงที่เจ้าชายทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์ทั้งคู่ และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีผู้ที่ใช้พลังระดับจอมเวทย์ปรากฎขึ้นมาอีกเลย จนจอมเวทย์คนสุดท้ายในยุคนั้นเสียชีวิตลง ถึงมีจอมเวทย์ถือกำเนิดขึ้นมา เป็นแบบนั้นเรื่อยมากระทั่งศิลาสารพัดนึกถูกขโมยไป เด็กๆที่เกิดมาพร้อมพลังระดับจอมเวทย์จึงเพิ่มมากขึ้น”

สุดฟ้านิ่งฟัง รอให้เจ้าชายตรัสต่อไป

เจ้าชายฟาลิฮ์หันไปเรียกบาซิมที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเข้ามาใกล้ ออกคำสั่งไปคำหนึ่งและหันมามาหาเขา ยกพระกรข้างหนึ่งขึ้น ขยับปากออกเสียงด้วยภาษาที่เขาไม่รู้จัก บาซิมก็ทำเช่นเดียวกัน ฉับพลันลูกแก้วโปร่งใสคล้ายมีลมหมุนวนอยู่ภายในก็ปรากฎขึ้นบนพระหัตถ์ของพระองค์  ลูกแก้วนั้นเป็นสีแดง  ส่วนบนมือของบาซิมเป็นสีฟ้าอ่อน มันค่อยๆขยายขึ้นจนมีขนาดเท่ากับกำปั้น

“สมมติว่าลูกพลังสีแดงนี่คือพลังทั้งหมดของผม ส่วนสีฟ้านี่คือพลังทั้งหมดของบาซิม กรณีที่ยินยอมพร้อมใจกันทั้งคู่เราสามารถรวมพลังของเราเข้ากันคนอื่นได้”ทรงเคลื่อนพระหัตถ์เข้าหามือของบาซิม และรวมลูกพลังนั้นเป็นลูกแก้วที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ก่อนจะดึงให้แยกออกจากกันอีกครั้ง

“แต่ถ้าไม่ หากพลังนั้นเท่ากันก็จะถูกหักล้างกันไป”ลูกพลังทั้งสองสลายหายไปเมื่อเจ้าชายและบาซิมนำมันมาชนกันอีกครั้ง “หรือพลังที่มากกว่าจะชนะพลังที่น้อยกว่า โลกของเราเองก็มีพลังมหาศาลไหลเวียนอยู่ครับและก็ไม่เคยยินยอมที่จะรวมพลังกับใคร หรือให้ใครดึงพลังไปใช้”

“ยกเว้นจอมเวทย์”

“ครับ ยกเว้นจอมเวทย์ จากการศึกษา เราพอจะสรุปได้ว่าคุณสมบัติทางกายของจอมเวทย์ต่างจากนักเวทย์ทั่วไป และในตระกูลซึ่งมีบรรพบุรุษที่มีพลังในระดับจอมเวทย์ ลูกหลานในตระกูลนั้นจะมีพลังในระดับจอมเวทย์เป็นส่วนใหญ่”

“นั่นคือความสามารถของจอมเวทย์จะถ่ายทอดทางพันธุกรรม”

“ครับ ถ้าคิดตามทฤษฎีทางพันธุกรรมศาสตร์มันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ในช่วงแปดถึงเก้าสิบปีก่อน ในตระกูลที่มีจอมเวทย์ปรากฎอยู่ทุกรุ่นกลับไม่มีเด็กที่มีพลังระดับจอมเวทย์ถือกำเนิดขึ้นเลย”

“หรือถ้าคิดให้เข้าเค้าสัมพันธ์กับพลังลึกลับที่คอยดูแลฮัชดาลลาร์มาตลอด ก็คือมหาเวทย์ไม่อยากให้เกิดเหตุสงครามกลางเมืองขึ้นมาอีก เลยควบคุมไม่ให้มีจอมเวทย์เกิดขึ้นมาจนเกินความจำเป็น เลยเป็นปัญหาว่ากองกำลังที่น่าจะสามารถจัดการได้ง่ายๆกลับไม่สามารถทำได้เช่นเคย”

“ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างที่คุณพูดครับ”

“ครับเป็นอันว่า ผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอปล่อยโดรนบินสำรวจพื้นที่หน่อยละกันนะครับ”สุดฟ้าเปิดกล่องกันกระแทกใบเล็กที่นำติดตัวมาด้วย ภายในนั้นมีแมลงจักจั่นที่เขาเคยใช้สอดแนมชวิศาวางนิ่งอยู่ มืออีกข้างเขาหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมาเปิด ใช้นิ้วก้อยข้างที่ถือกล่องกันกระแทกสัมผัสหน้าจอ ดึงโปรแกรมควบคุมแมลงจักจั่นขึ้นมาแสดงบนหน้าจอ จากนั้นไม่นาน เจ้าแมลงตัวน้อยก็ค่อยๆกระพือปีกบินสูงขึ้น สุดฟ้าจึงปิดกล่องกันกระแทกเก็บใส่กระเป๋าเช่นเดิม และใช้มือข้างนั้นคีย์คำสั่ง  หลังจากกดปุ่มตกลง ภาพบนหน้าจอจึงเปลี่ยนเป็นมุมมองเดียวกับกล้องที่ติดอยู่ตัวแมลงประดิษฐ์

สุดฟ้าใช้ปลายนิ้วแตะมุมหน้าจอขยายจอมอนิเตอร์ให้ใหญ่ขึ้นอีก และแบ่งหน้าจอครึ่งหนึ่งสำหรับโปรแกรมคำสั่ง พลางเลื่อนภาพจากแมลงจักจั่นไปวางไว้ตรงหน้าเจ้าชายฟาลิฮ์ที่ขยับเข้ามาดูใกล้ๆ

“ดูคล้ายกับคาถาเงาวารีอยู่มาก”

“อืม ผมก็เอาไอเดียมาจากคาถาที่ว่าแหละครับ”สุดฟ้าหัวเราะกับมุขตลกของตน ยังไม่ทันไร เจ้าชายก็ร้องอุทานออกมา พร้อมกับหันไปสั่งการทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วยสุรเสียงรัวเร็ว ชายหนุ่มเจ้าของอุปกรณ์แสนไฮเทคจึงหันไปมองภาพที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอ บังเอิญว่าเจ้าแมลงตัวจ้อยจับภาพขีปนาวุธร่อนแบบนำวิถีพิสัยไกลที่กำลังพุ่งตรงมาทางนี้ได้

ทันใดนั้น เสียงหวอยาวก็ดังขึ้นพร้อมกับทหารของฮัชดาลลาร์วิ่งกรูเข้าประจำที่ รวดเร็วเสียจนสุดฟ้ายังมองตามไม่ทัน เขาจึงละสายตาจากหน้าจอมองพลธนูที่ขึงสายธนูขึ้นเตรียม

“ใช้ธนูเนี่ยนะ ไม่ล้าหลังไปหน่อยหรือครับ”สุดฟ้าถามออกไปอย่างไม่เกรงใจ

“ครับ ล้าหลัง แต่ถ้ารวมกับพลังเวทย์ ก็พอใช้ได้อยู่”

สุดฟ้ามองลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากแล่ง มันลอยขึ้นสูงจนน่าประหลาด ขณะเดียวกัน มือของเขาก็คีย์คำสั่งให้แมลงจักจั่นบินสูงขึ้นอีก เมื่อลูกธนูดอกนั้นมีแนวโน้วที่จะชนกับขีปนาวุธ แล้วก็จริงตามนั้น ทันทีที่สสารทั้งสองปะทะก็เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำให้ท้องฟ้าสีครามแดงฉานด้วยเปลวเพลิงลูกใหญ่ แรงระเบิดนั้นทำให้ภาพบนหน้าจอสั่นไหวขาดหายไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาปกติเช่นเดิม สุดฟ้าถอนหายใจโล่งอกที่แมลงจักจั่นของเขายังอยู่ดี

หลังการระเบิดนั้น เสียงครืนครานดังคำรามตามติดๆ ที่สุดปลายสายตานั้นปรากฎรถเกราะติดอาวุธเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ น้ำหนักของมันทำให้แผ่นดินที่พวกเขายืนอยู่ถึงกับสะเทือน พลธนูของฮัชดาลลาร์ยังคงทำหน้าที่เดิม พวกเขาโจมตีกลับด้วยลูกธนูเสริมพลังเวทย์ซ้ำๆ แม้ครั้งแรกจะยังไม่ได้ผล แต่เมื่อรถหุ้มเกราะเหล่านั้นโดนโจมตีซ้ำๆ มันก็ระเบิดและกลายเป็นก้อนไฟที่เหลือแค่เศษซาก ส่วนขีปนาวุธที่ถูกยิงออกมาจากรถหุ้มเกราะ มันถูกม่านพลังที่มองไม่เห็นขวางไว้ และระเบิดทันทีที่กระทบกับม่านพลังนั้น

เจ้าฟาลิฮ์มองภาพเบื้องหน้าด้วยสีพระพักตร์เคร่งเครียด เมื่อรถหุ้มเกราะของฝ่ายตรงข้ามนั้นมีมากมายนับสิบ

สุดฟ้ากดปิดหน้าจอมอนิเตอร์ไลท์ในมือ ดึงปืนขนาดสิบเอ็ดมม. ออกมาจากซองข้างเอว เสียบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์เข้ากับด้ามปืนและกดเปิดหน้าจออีกครั้ง ใช้มือซ้ายถือปืนไว้ ขณะที่มือขวารัวคำสั่งบนหน้าจอ

“ที่จริงวันนี้ผมเตรียมตัวอย่างมาโชว์ให้เจ้าชายดูด้วยครับ แต่เผอิญว่ามีของจริงมาให้ทดลองเสียก่อน”เขาปิดหน้าจอหลังจากป้อนคำสั่งเสร็จเรียบร้อย ดึงดิจิตอลมอนิเตอร์เก็บใส่กระเป๋า ยกมือขวาที่ถือปืนอยู่ขึ้นเล็ง

มันไกลเกินไป!!! สุดฟ้าสบถในใจ ถ้าเขาพาสเตบาสเตียนมาด้วยมันคงจะง่ายกว่านี้ ระยะทางร่วมสิบกิโลเมตรมันไกลเกินกว่าจะยิงปืนให้โดนเป้าหมาย ไม่ว่าเขาจะใส่แว่นอยู่เช่นนี้หรือเป็นคนสายตาปกติก็ตาม

“ให้ผมช่วยไหมครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ยื่นพระหัตถ์มาตรงหน้าเขา สุดฟ้ามองอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งปืนในมือไปให้ และหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมากดเปิดอีกครั้ง

“เบากว่าปกติหรือเปล่าครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ดำรัสอย่างสงสัย

“หรือครับ ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่เคยจับของจริง”เขาตอบไปตามตรง ปืนในมือของคู่สนทนาเป็นของที่เขาทำเลียนแบบปืนของเล่นขึ้นมา

“ให้ยิงรถถังคันที่สอง สี่ และหก จากทางซ้ายนะครับ”พอได้รับคำสั่ง เจ้าชายฟาลิฮ์ก็ยกปืนขึ้นยิงเป้าหมายตามที่เขาบอกบอกทันที สุดฟ้าตรวจสอบเป้าหมายบนหน้าจออีกครั้ง เมื่อระเบิดขนาดเล็กของเขาตกบนเป้าหมายตามตำแหน่งที่ต้องการ เขาจึงป้อนคำสั่งอีกเล็กน้อย ก่อนที่มือทั้งสองข้างของเขาจะสั่นขึ้นมา สุดฟ้าละมือออกจากหน้าจอ เปลี่ยนมากุมหน้าอก ในรถหุ้มเกราะพวกนั้นมีมนุษย์เป็นๆรวมอยู่ด้วย นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาทดลองระเบิดของเขากับมนุษย์จริงๆ และเป็นครั้งแรกที่เขาจะฆ่าคนจริงๆที่ไม่ใช่ในเกมส์

“ถ้าไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา”น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นไม่ไกล ข้อความคุ้นหูที่เขาเคยได้ยินจากทั้งภาพยนตร์และอนิเมชั่นหลายเรื่อง สุดฟ้าเข้าใจในคำพูดนั้นดี แต่การลงมือทำมันอยากกว่าที่คิด

เขาสูดลมหายใจเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดใจแตะมือลงบนปุ่มยืนยันบนหน้าจอ

ภาพบนหน้าจอแสดงสถานะคำสั่ง แสดงภาพตรวจจับการทำงานที่ส่งมาจากแมลงจักจั่นซึ่งบินร่อนอยู่บนท้องฟ้า ภาพบนหน้าจอแสดงให้เห็นคลื่นความร้อนที่กระจายครอบคลุมเป้าหมายทั้งหมดในรูปแบบกราฟสี แต่ภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็น ไม่มีทั้งแสงและเสียง ก่อนทั้งรถหุ้มเกราะและมนุษย์ที่อยู่ข้างในจะสลายจนเหลือแค่ฝุ่นผงเมื่อสถานะการทำงานของระเบิดสิ้นสุด

และเหลือเพียงสายลมวูบใหญ่ แต่สุดฟ้ารู้สึกเหมือนได้กลิ่นเหม็นไหม้โปรตีนในร่างกายมนุษย์โชยรวมมาด้วย เขายกมือขึ้นปิดปากด้วยความรู้สึกผะอืดผะอมพร้อมกลั้นหายใจ นึกอยากกลับบ้านขึ้นมาจับใจ

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบหก 04/02/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-02-2017 23:11:58
ตอนที่สิบหก



กว่าจะถึงที่พักก็เป็นเวลาค่อนมืด เนื่องจากชวิศาเห็นว่าตัวเองกลับมาแข็งแรงดีแล้วจึงไปเดินเที่ยวในเมืองแถวพระราชวังราซาห์กันอีกรอบ ไม่ต่างจากพี่น้องฝาแฝดสุวราลักษณ์ที่พวกเขาบังเอิญเจอกันที่หน้าประตู แต่สองคนนั้นดูจะรีบร้อนมากกว่าพวกเขานัก เพราะเมื่อเห็นก็เอ่ยปากทักแบบลวกๆก่อนจะตรงดิ่งกลับเรือนรับรอง เห็นทั้งสองคนเร่งรีบ ทั้งเขาและมาริเอะจึงรีบตามไปบ้าง สองคนนั้นก้าวเท้าเร็วมาก กว่าที่ชวิศาจะตามทัน สองพี่น้องก็เข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงในห้องนองใหญ่ของเขานั่นละ

“อาอาร์มโทรมาบอกว่าแกให้เอาเครื่องไอวีบีมารับที่ฮัชดาลลาร์”ฝาแฝดคนหนึ่งกำลังดึงผ้ากองผ้าห่มซึ่งเมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆจึงเห็นว่ามีคนคู้ตัวอยู่ใต้นั้น

“เกิดอะไรขึ้นว่ะ ออกมาคุยกันดีๆดิ”

“ฉันอยากกลับบ้าน!!!”เสียงโวยวายนั้นดังมาจากใต้โปงผ้า

“เออ จะกลับก็กลับ แต่ทำไมต้องเอาเครื่องไอวีบีขึ้นด้วย แล้วแกบอกเจ้าชายหรือยัง”ธัชนนท์บอกด้วยเสียงเรียบๆ แต่สิ่งที่ตอบกลับมายังคงเป็นความเงียบ

“เฮ้ย!!! สุดฟ้า อย่ามาเงียบแบบนี้นะเว้ย”ธัชนันท์โวยวายขึ้นมาบ้าง พยายามดึงไอ้ตัวน่ารำคาญที่พยายามซ่อนตัวอยู่ใต้ผ่าห่มออกมาให้ได้

เมื่อไม่ว่าอย่างไรตัวต้นเรื่องก็ยังเงียบ ธัชนนท์จึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกให้อาอาร์มเอาเครื่องบินปกติมารับ”

“ไม่ได้นะ”สุดฟ้าร้องพร้อมโผล่หัวออกมาจากใต้ผ้าห่ม

“ถ้าเป็นเครื่องปกติ ไม่มีทางลงจอดที่สนามบินได้อยู่แล้ว แถมเจ้าชายก็จะรู้เรื่องด้วย”ประโยคหลังเจ้าตัวงึมงำอย่างวิตก

“รู้แล้วยังไง แค่จะกลับ เขาจะมามีปัญหาอะไร หรืองานแกยังไม่เสร็จแต่จะหนีบ้านก่อน”ฝาแฝดคนน้องพูดออกมาเป็นฉากๆ ยิ่งอีกฝ่ายไม่โต้ตอบเลยยิ่งชัดเจน

นับตั้งแต่สุดฟ้าเริ่มรับจ้างทำงานอย่างจริงจัง สองหนุ่มพี่น้องสุวราลักษณ์สังเกตเห็นว่า เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของพวกเขาไม่เคยเบี้ยวงานสักครั้ง เพราะก่อนรับงาน สุดฟ้าจะถามข้อมูลของงานจนละเอียดยิบ เท่านั้นยังไม่พอ สุดฟ้ายังเลือกงานยิ่งกว่าเลือกแม่ของลูก ดังนั้น ในช่วงสองสามปีหลังๆมานี้ สุดฟ้าจึงรับงานแค่หนึ่งหรือสองงานต่อปีเท่านั้น

“ถามจริง แกรับงานอะไรมาว่ะ”

สุดฟ้าเงยหน้าขึ้นมองฝาแฝด ก่อนจะก้มหน้าซุกลงกับเข่า ฝาแฝดคนน้องเห็นท่าทางแบบนั้นจึงหงุดหงิดโมโห เขาไปขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนเตียง และจับล็อกคอให้สุดฟ้าเงยหน้าขึ้น

“พูดออกมาซะ แกก็รู้ ถ้าพี่ไอซ์ไม่อนุญาตต่อให้แกมีรหัสปลดล็อกเครื่องไอวีบี แกก็เอาเครื่องออกมาไม่ได้อยู่ดี”

สุดฟ้าโดนล็อกคอจนหายใจไม่ออก เขาจึงต้องพยายามดิ้นรนให้หลุดออกจากพันธนาการ ธัชนันท์เห็นว่าอีกฝ่ายท่าจะทรมานจริงๆจึงคลายวงแขนพอให้หายใจได้ สุดฟ้าสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะฮึดเหวี่ยงคนที่ล็อกคอเขาอยู่ทุ่มลงกับพื้น แต่เพราะโดนทุ่มลงกับเตียง ธัชนันท์จึงลุกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

“งั้นฉันก็จะไม่ใช้เครื่องไอวีบี”สุดฟ้าลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า “สเตบาสเตียนเอามอเตอร์สเปซขึ้น ใช้โหมดอากาศยานมาที่นี่ด่วน”

“ครับ”

“เฮ้ย!!!”สองพี่น้องร้องอุทานพร้อมกัน ผวาเข้าไปคว้าแขนสุดฟ้าไว้คนละข้าง พวกเขามีขนาดตัวพอๆกัน แต่เรี่ยวแรงของสุดฟ้าจะน้อยกว่าสองพี่น้องที่ชื่นชอบการออกกำลังอยู่นิดหน่อย พอโดนจับล็อกเช่นนี้จึงดิ้นไม่หลุด

“มาริเอะเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน”

“ครับ”เมื่อมาริเอะรับคำ ชวิศาจึงต้องเดินตามไปช่วยเก็บของด้วย

“อีกเก้าชั่วโมงสี่สิบนาทีมอเตอร์สเปซจะลงจอดครับ”เสียงสเตบาสเตียนรายงานมา ก่อนร่างสูงของหุ่นยนต์พ่อบ้านจะก้าวเท้าออกไปด้านนอก คงจะไปเก็บอุปกรณ์ที่ห้องชั้นล่าง ธัชนนท์คิด

“น้ำ ไปหยุดสเตบาสเตียนไว้ ส่วนเดย์หยุดชวิศาซะ”

“รหัส พีทีสามทูซีรี่ รับคำสั่ง”

เมื่อได้ยินเสียงนั้นทั้งเดย์และน้ำต่างหยุดกึก ก่อนจะขานทวนรหัสออกมาพร้อมกัน “คำสั่งรหัสฉุกเฉิน เริ่มทำการตรวจสอบรหัสผ่าน กรุณายืนยันรหัสผ่าน”

ดูท่าว่าธัชนันท์จะรู้ตัวไว้กว่า ฝาแฝดคนน้องจึงยกมือปิดปากสุดฟ้าได้ทันท่วงที ส่วนฝาแฝดคนพี่ก็ตะโกนลั่นออกไปว่า “ยกเลิก ยกเลิก ยกเลิกคำสั่ง” ทว่าหุ่นยนต์ทั้งสองตนยังคงยืนนิ่ง สุดฟ้ายกยิ้มแม้จะถูกปิดปากอยู่ สองพี่น้องก็รู้สึกว่าเหตุการณ์ตอนนี้เป็นตามที่สุดฟ้าต้องการ

“เอาละ”ธัชนนท์ปล่อยมือจากสุดฟ้า และล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือ “ฉันให้โอกาสแกอธิบายอีกครั้ง ถ้าแกไม่ยอมเล่าให้ฟังดีๆละก็ เรื่องอะไรที่แกพยายามปิดบังไว้ได้ถึงหูคุณน้าแน่ๆ”




สุดฟ้านั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นด้วยอาการกระสับกระส่าย สองพี่น้องสุวราลักษณ์นั่งอยู่ตรงหน้า แต่คงมีแค่พี่ใหญ่ของบ้านที่ตีหน้าถมึงทึงจ้องเขาเขม็ง  น้องชายฝาแฝดกำลังกอดปลอบหุ่นยนต์สุดรักของตน ทั้งชวิศา มาริเอะและสเตบาสเตียนนั่งเกาะกลุ่มกันอยู่ข้างหนึ่ง  กระเป๋าเสื้อผ้าของเขายังเปิดอ้าอยู่เช่นเดิม

“จะพูดได้หรือยัง”น้ำเสียงของฝาแฝดผู้พี่เย็นเหยียบเข้มงวดสมกับเป็นพี่ใหญ่ในหมู่พวกเขาสามคน

สุดฟ้าเหลือบตาขึ้นมอง พอจะรู้อยู่ว่าการที่ฝาแฝดมาสิงสถิตย์อยู่กับเขาตลอดเพราะต้องคอยรายงานความประพฤติให้กับผู้เป็นบิดาและมารดของเขาให้รับทราบ แต่เผอิญว่าพ่อกับแม่ไม่ได้ติดต่อกลับมานานแล้ว เขาจึงคิดว่าธัชนนท์ก็ไม่น่าจะติดต่อได้เหมือนกัน กระนั้นเขาก็ไม่กล้าเสี่ยง ถ้าสองคนนั้นรู้เรื่องนี้เข้า เขาคงโดนคุมประพฤติอีกยาว ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ของเขาจะโหดร้ายทารุณ หรือชอบกดดันให้เขากลายเป็นเด็กมีปัญหาแบบลูกๆบ้านอื่น กลับกันทั้งสองเอาใจใส่ดูแลเขาดีมาก จำได้ว่าช่วงที่เขาเพิ่งเข้าอนุบาลปีแรกๆ พ่อกับแม่ไปเรียนกับเขาด้วย เด็กที่เรียนด้วยกันมีแต่คนอิจฉา แต่ตอนนั้นเขาไม่ดีใจด้วยหรอก ประเด็นคือ ความรู้ความสามารถของเขาอยู่ในระดับเดียวกับเด็กอายุสิบห้า แล้วทำไมเขาต้องไปเรียนอนุบาลอีกรอบ แน่นอนว่าเหตุผลของพ่อแม่คือ ต้องการฝึกให้เขาปรับตัวให้เข้ากับสังคม แต่สังคมของเขาก็มีฝาแฝดอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องฝึกอีกเสียหน่อย พอบอกเหตุผลนั้นไป ผู้เป็นบิดากลับหัวเราะ และตอบกลับมาว่า ดีจังที่เขามีความเป็นเด็กเหลืออยู่ในตัวบ้าง แบบนี้ละที่เขาไม่อยากให้พ่อแม่อยู่ด้วย พอบ่นเรื่องแบบนี้ออกไป คุณน้าแม่ของฝาแฝดก็บอกว่า ไม่ว่าลูกๆจะอายุเท่าไหร่ในสายตาของคนเป็นพ่อแม่ลูกก็ยังเด็กอยู่ดี แต่คุณน้าก็ไม่เห็นปฏิบัติกับฝาแฝดเหมือนที่พ่อแม่เขาทำสักหน่อย  สุดฟ้าไม่อยากนึกถึงเลย นึกถึงทีไรก็หดหู่ทุกที

“เจ้าชายจ้างให้ทำ.....”สุดฟ้างึมงำอยู่ในลำคอ ธัชนนท์ที่เงี่ยหูตั้งใจฟังก็ยังไม่ได้ยิน

“อะไรนะ พูดดังๆดิ”แม้จะโดนย้ำเช่นนั้นแต่สุดฟ้าก็ยังงึมงำตอบกลับมาอีก ฝาแฝดผู้พี่จึงพูดเสียงแข็งสำทับไปว่า “ถ้าไม่พูดออกมาให้ได้ยินชัดๆ ฉันจะโทรหาคุณน้าแล้ว”

“เจ้าชายจ้างให้ทำบอมบ์พินาศ”คราวนี้เขาพูดออกมาเสียงดังฟังชัด บอมบ์พินาศเป็นชื่อระเบิดที่สุดฟ้าตั้งไว้ตั้งแต่ที่เขาเริ่มทดลองทำแรกๆ

“ฉันจำได้ว่าไม่ว่าจะแบบแปลนหรืออะไรเกี่ยวข้องกับไอ้ระเบิดนี่ น้าเขตริบเก็บไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ และถ้าจำไม่ผิด คอมเครื่องที่แกใช้โดนแยกส่วน กระดาษแบบของแกก็โดนเผาทิ้ง แล้วแกยังสร้างได้อย่างไร”

“ก็จำได้อ่ะ”สุดฟ้าช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วเป็นปม

“อ่อ โอเค แล้วงานนี้แกได้ค่าจ้างเท่าไหร่”

“งึ ไม่ได้อ่ะ ได้มาเที่ยวฮัชดาลลาร์กับการที่เจ้าชายจะเล่าเรื่องเวทย์มนต์ให้ฟังนี่ไง”

“ไม่ได้เงินสักบาท”ธัชนันท์ตะเบ็งแทรกขึ้นมา “บางครั้งเรื่องโง่ๆ มึงก็โง่ไม่ใครเกินนะเนี่ย”

สุดฟ้าขมวดคิ้วฉับ เตรียมจะอ้าปากด่ากลับ แต่โดนธัชนนท์ยกมือห้ามเสียก่อน ฝ่ายน้องชายก็โดนสายตาดุห้ามปราม “ถ้าอย่างนั้นรู้ไว้อย่างนะสุดฟ้า ราคาแบบแปลนไอ้ระเบิดบ้าบอ...”

“บอมบ์พินาศ”ทำใจไม่ได้จริงๆนะ ที่ของที่เขาสร้างโดนเรียกว่าบ้าบออะไรเนี่ย

“เออ ระเบิดบอมบ์พินาศ มูลค่าราคาแบบแปลนตอนนี้อยู่ที่หนึ่งพันล้านยูเอส”

“เอ๊ะ!!!”

“แต่เพราะทุกอย่างมันหายไปหมดแล้วไง มันก็เลยยังเป็นแรร์ไอเทมที่มีแค่ภาพวงจรปิดว่าไอ้ระเบิดที่ว่ามันมีจริง”

“แกเคยเห็นด้วยเหรอ”

“เออดิ ถ้าไม่เคยเห็นน้าเขตกับน้าฟ้าเขาจะตามไปริบของของแกถูกเหรอ”ฝาแฝดคนน้องพูดขึ้นมาบ้าง

“แล้วทำไงดีละคราวนี้”สุดฟ้าโอดครวญกระสับกระส่ายมากกว่าเดิม ครั้งที่แล้วเขาโดนลงโทษให้เขียนรายงานการสำนึกผิดจำนวนยี่สิบหน้า และให้ลายมือไก่เขี่ยแบบเขาคัดรายงานให้สวยงามอ่านออกอีกหนึ่งร้อยจบ คราวนี้เขาทำคนตายด้วย ต้องโดนคัดลายมือเป็นพันจบแน่เลย

“ต้องรีบหนี”

ธัชนนท์ที่จับจ้องอยู่แล้ว รีบปราดเข้าไปจับสุดฟ้าไว้ “ใจเย็นๆดิว่ะ”

“เย็นยังไงไหว คราวนี้ฉันทำคนตายด้วย”

“มันก็เป็นเรื่องปกติของสงคราม”

จบคำพูดของธัชนันท์ สุดฟ้ามองหน้าฝาแฝดหน้าตาตื่น “พวกแกไม่ตกใจ”

“พวกเรายี่สิบหกแล้วนะเว้ย อีกอย่างแกคิดว่าพวกฉันเรียกการต่อสู้ไว้เล่นๆเหรอ”

“แต่ตอนนั้นพวกแกบอกว่าเรียนแล้วสาวจะชอบ”

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง ผู้หญิงอ่ะชอบผู้ชายมีกล้าม”บรรยากาศที่ดูเคร่งเครียดก่อนหน้าเบาบางลงทันใด กระทั่งมีเสียงกระแอมกระไอดังขึ้น ตามด้วยเสียงของชวิศา “ตกลงว่าอย่างไรครับ จะกลับกันหรือเปล่า” ธัชนนท์จึงกลับมาตอบคำถามด้วยความจริงจังอีกครั้ง

“กลับไม่ได้หรอก ถ้าไปทั้งอย่างนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องโดนตามรังควานอยู่ดี”และหันไปถามสุดฟ้าว่า “เจ้าชายบอกหรือเปล่าว่า ทำไมเขาถึงมาจ้างแกให้ทำระเบิดให้”

สุดฟ้าจึงเล่าเรื่องที่เจ้าชายเคยติดต่อมาเมื่อปีก่อน และเรื่องที่เคยพูดคุยทั้งหมดรวมถึงเรื่องศิลาสารพัดนึกให้ฝาแฝดและคนอื่นๆฟัง

“ศิลาสารพัดนึกเหรอ ฉันเคยได้ยินคนพูดถึงอยู่ มีคนเอาออกมาประมูลเมื่อสักห้าหกปีก่อน”

“เอ้ย งั้นก็ไปขอซื้อมาคืนเจ้าชายดีป่ะ”

“แกคิดว่าเจ้าชายจะไม่มีปัญญาประมูลของแบบนั้นกลับคืนมาเหรอว่ะ”ธัชนนท์แย้ง สุดฟ้าเลยพูดขึ้นมาอีกว่า

“วันก่อนที่คุยกัน เจ้าชายฟาลิฮ์ทำท่าโล่งใจที่ฉันไม่เอาค่าจ้างด้วยนะ”

“งั้นจะย้ำให้ฟังอีกรอบว่า ระเบิดของแกราคาแพงกว่าศิลานั่นหลายสิบเท่าเลยละ”เมื่อพี่ชายพูดจบ ธัชนันท์จึงกล่าวเสริมต่อไปว่า

“เท่าที่ฉันจำได้ ราคาของศิลาที่ถูกประมูลไปอยู่ที่ประมาณสิบล้านยูเอส แม้ว่าคนที่เอามาประมูลจะบอกว่ามันสามารถทำให้ความปรารถนาเป็นจริง แต่ก็มีคำเตือนอีกว่าถ้าขออะไรที่เกินตัวก็อาจจะทำให้ตายได้ ราคาของมันเลยหยุดอยู่แค่นั้น อีกอย่างคือรูปร่างมันก็เหมือนอัญมณีจำพวกเพชร ก็เลยทำให้คนสนใจบ้าง”

“ไม่ใช่ว่า เจ้าชายเป็นคนนำออกไปประมูลเองหรอกนะ”

“เอาศิลาที่มีความสำคัญต่อประเทศของตัวเอง ไปประมูลตอนอายุสิบแปดเนี่ยนะ”ธัชนันท์หัวเราะ แม้ว่าในใจของพวกเขาจะมีความคลางแคลงอยู่บ้างก็ตาม จากนั้นธัชนนท์จึงกลับเข้ามาสู่ประเด็นหลักอีกครั้ง

“ถ้าฮัชดาลลาร์ไม่มีสงคราม ระเบิดของแกก็จะไม่จำเป็น หรืออีกกรณีหนึ่งคือ ฮัชดาลลาร์สร้างศิลาสำเร็จสินะ”

“อือ ฉันเคยจะเสนอสร้างบาเรียให้ เจ้าชายก็ไม่เอา พอวันนี้ฉันได้เห็น ก็เห็นด้วยเหมือนกันละว่าบาเรียของฉันเอาท์ไปเลย บาเรียจากพลังเวทย์ไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนแฮคก์  เลยเหลือแค่ระเบิดของฉันที่มีพลังทำลายรุนแรง มีกัมมันตรังสีตกค้างน้อย และจัดการทั้งหมดได้ในคราวเดียว”

“นี่ภูมิใจอยู่ใช่ไหม”

สุดฟ้าแย้มยิ้มตอบรับ

“สงครามส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นเพราะประเทศผู้รุกรานต้องการยึดครองอะไรสักอย่างของประเทศผู้ถูกรุกราน ในกรณีของฮัชดาลลาร์คือความอุดมสมบูรณ์ หินหายากและน้ำมัน”

“น้ำมันน่าจะตัดทิ้งไปนะ ตั้งแต่มาถึงยังไม่เห็นแท่นขุดเจาะน้ำมันสักอัน ที่สำคัญประเทศนี้รักษ์โลกจะตาย แต่ผมว่านะพี่ ต่อให้เรารู้ว่าไอ้พวกโลภมากอยากได้ของคนอื่นต้องการอะไรก็หยุดยั้งพวกมันไม่ได้อยู่ดี คนมันจะเอา ไม่ว่าอย่างไรมันก็พยายามจะเอามาให้ได้นั่นแหละ”

“งืม คนมันจะเงี่ยน ห้ามได้ที่ไหน โอ๊ะ”ทันทีที่พูดจบ สุดฟ้าก็โดนกำปั้นจากฝาแฝดคนพี่ทุบศีรษะทันใด

“มันใช่ไหม มาพูดเล่นอยู่เนี่ย”

คนโดนทุบจึงลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ

“ถ้าอย่างนั้น ก็ตามนั้น แกก็ทำระเบิดของแกไป ฉันคิดว่าบอมบ์พินาศของแกคงไม่ได้ทำงานอัตโนมัติหรอกใช่ไหม”

“อืม”สุดฟ้าเดินไปหยิบปืนขนาดสิบเอ็ดมม. ของเขาซึ่งวางอยู่ใต้หมอน ถอดซองกระสุนปืนออกมา บอมบ์พินาศของเขามีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับลูกปืนขนาดสิบเอ็ดมิลลิเมตร เป็นทรงกระบอกหัวตัด ส่วนหัวเป็นกลไกพิเศษที่เมื่อสัมผัสกับวัตถุจะมีเขี้ยวยื่นออกมาเพื่อเกาะติดวัตถุนั้น

“ตอนนี้ ต่อให้เอาไปปาใส่ใครก็ไม่ระเบิด หรือจะพูดให้ถูกมันก็แค่อุปกรณ์ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการแตกตัว”สุดฟ้าลองปามันลงพื้นให้ฝาแฝดดู มันเกาะติดกับพื้นห้องเป็นแนวตั้งฉาก จากนั้นเขาจึงล้วงดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ออกมาจากกระเป๋า และกดเปิดเครื่อง

“มันจะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อปลดรหัสล็อกเพื่อคีย์ค่าความเร็วที่ใช้เพื่อก่อเกิดปฏิกิริยาการแตกตัว”พูดพลางคีย์คำสั่งรีเซ็ตเพื่อเก็บเขี้ยวที่เกาะพื้นนั่น “แต่ถ้าจะทำให้เจ้าชายจริงๆ ฉันจะทำให้มันเป็นระบบออโต้ กำหนดขอบเขตการทำงานและระยะเวลาการทำงานที่ตายตัว”

“ขอโทษครับ ขอขัดจังหวะหน่อย”ชวิศากล่าวแทรกขึ้นมา “ผมขอตัวไปทำอาหารมื้อดึกก่อนแล้วกันนะ” พวกเขาจึงได้เหลือบมองนาฬิกา สองทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว มิน่าถึงรู้สึกหิวชอบกล ธัชนันท์บ่นพึมพำ

เพราะชวิศาลุกออกไป มาริเอะจึงลุกตามออกไปด้วย

ธัชนนท์จึงวกกลับมาที่ข้อสงสัยในประโยคที่สุดฟ้าพูดออกครั้ง “แกบอกว่ามันเป็นอุปกรณ์ที่ก่อปฏิกิริยาแตกตัว”

“อืม ไอ้ตัวนี้มันจะดึงไฮโดรเจนในอากาศมารวมตัวกันก่อให้เกิดพลังงานความร้อนขยายครอบคลุมพื้นที่เป้าหมาย” ขณะที่พูดอธิบาย สุดฟ้าก็เปิดแผนภาพประกอบบนไลท์มอนิเตอร์ไปด้วย “โมเลกุลของสสารที่เกาะตัวกันอยู่ก็จะแยกออกจากกัน แล้วก็ลดพลังงานความร้อนที่ว่านั่นอย่างรวดเร็ว สสารจะเปลี่ยนสถานะอีกครั้ง แต่เพราะความเร็วในการลดพลังงานความร้อนมันเร็วมากๆ สสารพวกนี้จึงกลายเป็นฝุ่นแทนวัตถุชิ้นใหญ่เหมือนเดิม”

“เท่ากับว่า จะกำหนดให้ทำลายเฉพาะวัตถุบางชนิดไม่ได้เลย”

สุดฟ้านั่งมองของในมือนิ่ง “ใช่ ตอนนี้มันทำไม่ได้ ...แต่ฉันว่า พอจะคิดอะไรออกแล้ว สเตบาสเตียน ตามไปด้วยกันหน่อย ข้าวเย็นเสร็จแล้วไปตามด้วยละ”ประโยคสุดท้าย สุดฟ้าหันไปพูดกับสองพี่น้อง

ธัชนนท์และธัชนันท์ได้แต่มองตาม จากนั้นหันมองหน้ากัน บางครั้งพวกเขาก็มีหน้าที่เพียงแค่นี้ ป้อนประโยคคำถามเพื่อให้สุดฟ้าเรียบเรียงความคิดใหม่อีกครั้ง และเจ้าตัวก็จะต่อยอดหรือเพิ่มเติมสิ่งขาดไปด้วยตัวเอง

คืนนั้น สุดฟ้าออกจากห้องหนังสือซึ่งยึดเป็นที่ทำงานชั่วคราวมากินข้าวมื้อดึกช่วงประมาณสามทุ่มกว่าๆ และยี่สิบนาทีต่อจากนั้นก็เข้าไปทำงานต่อ กระทั่งถึงรุ่งเช้าวันใหม่ ชวิศาที่ชะโงกหน้าแอบดูเห็นอีกฝ่ายยังก้มหน้าก้มตาทำงานง่วน ส่วนคุณพ่อบ้านก็นั่งนิ่งเป็นหุ่นอยู่ข้าง ก่อนหน้านี้ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าสุดฟ้ามักจะทำงานไม่หลับไม่นอนจนกว่างานจะเสร็จ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นกับตาสักครั้ง ด้วยเพราะห้องทำงานที่บ้านเป็นห้องปิดแบบที่ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้ พอได้เห็นเช่นนี้แล้วก็นึกอดห่วงไม่ได้ หันหลังกลับมาถึงได้เห็นว่ามาริเอะเดินออกไปหน้าเรือนพักรับรอง ชายหนุ่มร่างเพรียวจึงได้เดินตามออกไปบ้าง

และทันทีที่ยานยนต์สีดำมันปลาบปรากฎเข้าสู่ครรลองสายตา เขาก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างแปลกใจ

“รถของคุณสุดฟ้า”

“ครับ ก็ที่ด็อกเตอร์สั่งให้เคลื่อนที่มาที่นี่เมื่อวาน”มาริเอะตอบพลาง เปิดประตูรถด้านคนขับ เปิดหน้าจอแสดงภาพสถานะยานยนต์ที่อยู่บนคอลโซล โหมดอากาศยานนั้นใช้พลังงานในการขับเคลื่อนมากกว่าระบบรถยนต์ปกติ หลังจากที่เครื่องมาถึง สเตบาสเตียนจึงให้เขามาเช็คสถานะพลังงานของตัวเครื่อง โดยปกติแล้วโรงจอดรถที่บ้านของสุดฟ้าจะมีหัวเชื่อมต่อสำหรับประจุพลังงานติดอยู่บนลานจอดรถ แต่คราวนี้มาริเอะกดปุ่มเปิดหลังคาเพื่อใช้แผงโซล่าเซลในการประจุพลังงาน ซึ่งอัตราเร็วในการประจุจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแสงในวันนั้น

“เอ้า ลืมไปเลย เมื่อวานไม่ได้บอกให้สุดฟ้าเอาเครื่องเก็บ”เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้ชวิศาหันไปมอง สองพี่น้องสุวราลักษณ์ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีเทาเข้ม กางเกงผ้าขายาวยืนมองรถคันนั้นอยู่เช่นกัน ที่สำคัญวันนี้ทั้งคู่อยู่ในชุดเสื้อผ้าที่สีเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ทั้งทรงผมทั้งหน้าตาเนือยๆเหมือนยังคงง่วงนอนทำให้ชวิศาได้แต่นิ่งมองเพราะแยกทั้งคู่ไม่ออก

“ผมว่าดีเลยนะพี่ เดี๋ยวเอามอเตอร์สเปซไปวนดูเมืองที่สุดฟ้ามันเล่าให้ฟังเมื่อวานดูหน่อยเป็นไง”ธัชนันท์กล่าวพลางเดืนนำเข้าไปในครัว

“ยังไม่ได้ทำอาหารเช้าเลยครับ”ชวิศาร้องออกมา มาริเอะเองก็เดินตามมาไม่ห่าง

“อ่อ อืม จะให้ช่วยอะไรไหม”

“ทำเป็นด้วยเหรอ”ชวิศาถามเย้า

“เฮ้ย อย่าดูถูก เห็นเราเป็นแบบนี้ เราก็ทำได้นะ ไข่ต้ม ไข่ทอด ไข่เจียว หรือมาม่าได้ทั้งนั้น”

“ยังจะอวดอีกเนอะ ใครถามอย่าบอกว่าเป็นน้องฉันนะ อายว่ะ”ธัชนนท์พูดพลางกลั้วหัวเราะ

“พี่ไอซ์ พี่มีน้องอย่างผมพี่ต้องภูมิใจดิ น้องชายพี่หล่อขนาดนี้พี่ไม่ภูมิใจเหรอว่ะ”

“เออ อันนี้เห็นด้วยว่ะ แกโคตรหล่อเลยอ่ะ”

นั่งคุยนั่งเล่นไม่นาน ชวิศาและมาริเอะก็ทำอาหารมื้อเช้าเสร็จ ชายหนุ่มนำอาหารไปส่งให้สุดฟ้าก่อนจะกลับมาทานส่วนของตัวเอง หลังจากทานเสร็จได้ไม่นานยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ลุกจากโต๊ะ เจ้าชายฟาลิฮ์ก็เสด็จมาเยือน

“รับมื้อเช้ามาหรือยังครับ”ธัชนนท์เป็นคนลุกไปต้อนรับ

“เรียบร้อยแล้วครับ ผมแวะมาเยี่ยมมิสเตอร์ศิริกรนะครับ เมื่อวานตอนเย็นสีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก”

“อ่อ ไม่ต้องห่วงครับ เขาแข็งแรงดีเหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้กำลังทำงานอยู่ในห้อง”

เจ้าชายฟาลิฮ์พยักพระพักตร์รับรู้ “แล้วไม่ทราบว่ารถยนต์ที่จอดอยู่นั่นของใครหรือครับ”

“ของสุดฟ้าครับ แต่เจ้าชายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ นั่นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าครับ”

“ครับ น่าสนใจดีนะครับ”

“ถ้าสนใจก็ติดต่อผมได้นะครับ เปิดตัวปลายปีนี้ ผมจะลดราคาให้เป็นพิเศษ”

เจ้าชายฟาลิฮ์แค่แย้มพระสรวล ก่อนจะดำรัสขอตัวกลับเพียงเท่านั้น ธัชนนท์เดินกลับเข้าครัวมาอีกครั้ง เขาเห็นชวิศายังคงวุ่ยวายอยู่กับมื้ออาหารของสุดฟ้า

“วันนี้ไปด้วยกันไหมซี จะได้ลองนั่งมอเตอร์สเปซด้วย”

“ช้าไปแล้วพี่ ผมชวนแล้ว”

“แกจะไปไหน”

“ก็ไปที่เดียวกับพี่นั่นแหละ”ธัชนันท์หัวเราะ คนพี่จึงเขม่นมอง “งั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้ไปกันเสียที”

“ต้องเตรียมอะไรไปไหมครับ อย่างอาหารหรือของว่าง”ชวิศาถาม สุวราลักษณ์คนน้องจึงหัวเราะอีกรอบ

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกลับมากินที่บ้านนั่นแหละ”

พวกเขาใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อให้พร้อมเดินทางออกจากบ้าน มาริเอะยืนรอพร้อมอยู่ข้างรถ

“วันนี้ผมจะทำหน้าที่เป็นสารถีให้นะครับ”

“อืม ก็ต้องอย่างนั้นแหละ สุดฟ้าคงจะให้พวกฉันแตะรถมันหรอก”

มาริเอะยิ้มรับ เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ สองแฝดเปิดประตูขึ้นไปนั่งอยู่บนเบาะหลัง ชวิศาจึงต้องขึ้นไปนั่งบนเบาะข้างคนขับไปโดยปริยาย ชวิศากวาดสายตามองพื้นที่คอนโซลหน้ารถอีกครั้ง มันดูปกติเหมือนรถยนต์ทั่วไป

มาริเอะกดปุ่มสตาร์ทเครื่อง เสียงหวืดของมอเตอร์ดังขึ้น แต่มันก็เบาจนผู้โดยสารในรถไม่สามารถได้ยินได้ จากนั้นเขากดเลือกโหมดการทำงานเป็นโหมดอากาศยานต์ซึ่งปุ่มนั้นมีไฟเป็นรูปยูเอฟโอ

“โหมดอากาศยานต์เริ่มต้นทำงาน”เสียงผู้หญิงดังออกมาจากลำโพงทำให้ชวิศาสะดุ้ง

“ผู้โดยสารทุกท่านกรุณารัดเข็มขัด”

เมื่อได้ยินเสียงนั้นอีกรอบ ชวิศาจึงนึกขึ้นได้และดึงเข็มขัดนิรภัยข้ามตัวมากดลงล็อก หันไปมองสองพี่น้องที่นั่งอยู่ด้านหลัง สองคนนั้นก็คาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย

“เริ่มต้นลอยตัว”จบเสียงนั้น ชวิศารู้สึกว่ารถยนต์ที่พวกเขานั่งอยู่กำลังลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆสูงขึ้นจนพ้นหลังคาเรือนรับรอง แต่มันไม่ได้หยุดแค่นั้น ยังสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ ชวิศามองไปนอกหน้าต่างรถ เห็นสวนกว้างของพระราชวัง อาคารปราสาทยอดแหลมซึ่งถูกสร้างอยู่รวมเป็นหมู่ มันยังลอยสูงขึ้นไปอีกจนสิ่งก่อสร้างบนพื้นต่างดูเล็กลง ก่อนจะหยุดลง

“ถึงระดับเพดานบิน”

“ไปเมืองที่สุดฟ้าไปดูเมื่อวานนะ”ธัชนนท์บอกมาริเอะ หุ่นยนต์สมองกลเปลี่ยนหน้าจอแสดงสถานะเป็นแผนที่ เลือกพิกัดตำแหน่ง

“ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเริ่มต้นทำงาน พิกัดจุดหมายละติจูดยี่สิบเจ็ดจุดเก้าศูนย์ห้าแปดสามเก้า ลองติจูดสิบเอ็ดจุดหกเจ็ดแปดศูนย์สองแปด ซันทาเนีย”

ใช้เวลาแค่สิบนาทีพวกเขาก็มาหยุดลอยตัวอยู่เหมือนเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทาง

“ขอภาพด้วย”

ชวิศากดเลือกคำสั่งกล้อง “ภาพเมืองด้านล่างนะครับ” เขาเอ่ยบอก

กระจกหน้ารถเปลี่ยนไปแสดงภาพเมืองที่อยู่ด้านใต้ ส่วนที่นั่งตอนหลัง มีจอแสดงภาพขนาดใหญ่เลื่อนลงมาตรงหน้าสองแฝดและแสดงภาพเดียวกับที่แสดงบนกระจกหน้ารถยนต์

เมืองที่พวกเขาเห็นยังคงมีสภาพเหมือนที่สุดฟ้าเห็นจากค่ายหทารของฮัชดาลลาร์ บรรยากาศของเมืองด้านล่างนั้นเงียบกริบไร้ผู้คน ตึกอาคารล้วนถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง มอเตอร์สเปซค่อยๆเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

“ทำภาพแสกนได้หรือเปล่า”

“มีแค่สเตบาสเตียนที่ทำได้ครับ”

“งั้นเอาแค่แผนที่เมือง”

มาริเอะกดปุ่มบนหน้าจอไม่กี่ที แผนที่ภาพทั้งเมืองก็มาปรากฎอยู่บนจอ แต่ทว่าพวกเขาไม่มีข้อมูลอะไรเลย แม้จะคิดแผนได้ว่าจะทำอะไร แต่เมื่อทุกอย่างยังว่างเปล่า การทำอะไรลงไปตอนนี้ก็ล้วนแต่ไม่คุ้มค่า สองพี่น้องนั่งนิ่งก่อนจะหันมองหน้ากันเอง สุดท้ายฝาแฝดผู้พี่จึงกล่าวขึ้นมาว่า

“วันนี้แค่นี้แหละ พวกเรากลับกันเถอะ”

พวกเขากลับมาถึงเรือนพักรับรองภายในฮัชดาลลาร์ภายในไม่กี่นาที และเมื่อมอเตอร์สเปซจอดกับที่นิ่งสนิท พวกเขาจึงเปิดประตูลงจากยานยนต์ ส่วนมาริเอะเขาสั่งให้เครื่องเปิดส่วนประจุพลังงานก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านพัก

ฝาแฝดตรงเข้าไปหาสุดฟ้าที่ในห้องหนังสือ ชวิศาเดินตามมาห่างๆได้แต่ชะเง้อชะแง้มอง เดาได้ว่าคงเข้าไปคุยอะไรที่เขาไม่รู้เรื่องอีกนั่นแหละ จึงไม่ได้ตามเข้าไป หันหลังกลับก็เห็นว่ามาริเอะตามเข้ามาพอดี

“วันนี้ไปเที่ยวกันอีกไหมครับ”เขาเอ่ยชวน การคมนาคมในฮัชดาลลาร์สะดวกสบายเสียจนนึกอยากไปไหน เขาก็สามารถไปได้ทันที มาริเอะยิ้มรับตอบตกลง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบเจ็ด 30/04/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 30-04-2017 23:45:35
บทที่สิบเจ็ด



“แผนของพวกฉันง่ายมาก แค่ส่งระเบิดของแกไปทำลายอาวุธยุธโธปกรณ์ของฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องทิ้งบอมบ์พินาศให้กับเจ้าชาย แค่ถ้าอีกฝ่ายตั้งท่าจะรุกราน เราก็ทำลายมันก่อน”

“หมายความว่าให้ฉันลบเมืองออกจากแผนที่”

“โหดไปว่ะเพื่อน”ธัชนันท์พูดกลั้วหัวเราะ “เราแค่หาคลังแสง ที่เก็บอาวุธแล้วก็ปล่อยระเบิดของแกไปทำลายมัน”

“ฟังดูง่ายเนอะ”สุดฟ้าพูดออกมาเหมือนประชด

“ใช่ มันเป็นแผนง่ายๆที่ต้องใช้ความสามารถของแกล้วนๆ”

ถึงแม้ว่าสุดฟ้าจะรู้ตัวว่า เขาเป็นคนฉลาด กระนั้นเขากลับดีใจทุกครั้งที่มีคนชื่นชอบในความฉลาดมากความสามารถของตน เขายิ้มภูมิใจ ขยับตัวตั้งใจฟังแผนของสองพี่น้องอย่างเต็มที่

“ซันทาเนียดูเหมือนจะเป็นเมืองร้างก็จริง แต่มีพวกไอดีซี อาศัยอยู่ ก่อนอื่น เราก็ต้องรู้สถานที่เก็บพวกอาวุธสงครามทั้งหลาย จากนั้นก็ปล่อยบอมบ์พินาศไปทำลายมัน”

“แค่นี้?”คนที่อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจฟังเอ่ยถาม

“ใช่แล้ว ไม่งั้นฉันจะบอกว่าต้องใช้ความสามารถของแกหรือ”

สุดฟ้าโคลงศีรษะ “มันก็ได้ แต่เรื่องที่ฉันคุยกับเจ้าชายไว้จะเอายังไง”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พวกฉันเคลียร์เอง แกแค่ทำหน้าที่ของแกในส่วนที่พวกฉันบอกก็พอ”ธัชนนท์พูด

สุดฟ้าตอบตกลงอย่างไม่มีปัญหา เรื่องยากๆอย่างการเจรจาตกลงเงื่อนไขแบบนั้นปล่อยให้ฝาแฝดพี่น้องต้องปวดหัวกันไปก็นับว่าเป็นเรื่องดี ใช่ว่าสุดฟ้าจะทำไม่ได้แต่หลายครั้งที่เขาติดต่องานเอง พี่น้องสุวราลักษณ์ชอบบอกว่า รายได้ไม่คุ้มค่าแรง สุดฟ้าจึงละงานที่ค้างในมือไว้ก่อนและหันมาเข้าระบบตรวจสอบพื้นที่

สองพี่น้องเห็นเพื่อนสมัยเด็กเริ่มทำงานอย่างจริงจังแล้วเขาจึงเดินออกมาจากห้อง จุดหมายต่อไปของพวกเขาคือการเข้าเฝ้าเจ้าชายรัชทายาทของประเทศนี้

ธัชนนท์ติดต่อขอเข้าเฝ้าเจ้าชายฟาลิฮ์ แต่เนื่องจากเจ้าชายติดราชกิจจึงสามารถให้พวกเขาเข้าพบได้ในรุ่งขึ้นอีกวัน อย่างไรก็ตาม ตกเย็นวันนั้น แผนที่ที่ฝาแฝดต้องการก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

“บอมบ์พินาศของฉันต้องสัมผัสกับวัตถุที่ต้องการให้ทำลายเท่านั้นนะ”สุดฟ้าพูดย้ำขณะที่ยื่นวัตถุทรงกระบอกขนาดเท่าข้อนิ้วให้ฝาแฝดสองพี่น้อง

ธัชนันท์รับมาถือยกขึ้นดูอย่างไม่ค่อยใส่ใจก่อนจะส่งคืนให้เจ้าของแล้วโน้มหน้าสุมหัวดูแผนที่ซึ่งพี่ชายกางดูอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ

“แกเช็คทุกที่ในเมืองแล้วใช่ไหม”ธัชนนท์ถาม

“อืม”

ธัชนนท์ก้มหน้าดูตำแหน่งที่เก็บอาวุธยุทโธปกรณ์อีกรอบ ที่ตั้งของมันห่างจากชายแดนของฮัชดาลลาร์ไปไม่ไกล นับว่าเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการรุกรานก่อสงคราม เขาม้วนเก็บเอกสารในมือ

“เจ้าชายจะให้เข้าเฝ้าพรุ่งนี้ แกเตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”

“อะไร ฉันต้องไปด้วยเหรอ”สุดฟ้าโวยวาย

“ใช่สิ ถ้าแกไม่ไปเจ้าชายเขาจะเชื่อเหรอ”

สุดฟ้าหน้าหงิก ไม่ใช่ว่าเขาจะโดนหาว่าเบี้ยวงาน ไม่อยากทำให้ และเหมือนว่าฝาแฝดคนน้องจะรู้ว่าเพื่อนสนิทคิดอะไรอยู่จึงได้พูดออกมาว่า “การที่แกจะหนีกลับบ้านมันก็เบี้ยวงานเหมือนกัน แถมจะแย่มากกว่าเพราะแกปล่อยให้เขาต้องเผชิญกับฝ่ายตรงข้ามแบบทำอะไรไม่ได้เลย”

คนโดนต่อว่ามองหน้าเพื่อนสนิทที่เป็นดั่งญาติและพี่น้องของเขา “เออแม่งพลาด รับงานแบบนี้ไปแล้วนี่หว่า”

หลังพูดคุยกันจบ พวกเขาจึงไปทานอาหารเย็นและแยกย้ายกันพักผ่อน

“คุณสุดฟ้าไปอาบน้ำก่อนสิครับ”ชวิศาเอ่ยบอกเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเจ้าของชื่อจะล้มตัวลงนอนทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน

“ไม่เอาอ่ะ ง่วงอยากนอนแล้ว”

“นอนทั้งอย่างนี้ จะนอนหลับสบายเหรอ แถมไม่ได้อาบน้ำมาตั้งหลายวันตัวเหม็นจะตาย”

“เหม็นก็ช่าง ใครสน”สุดฟ้าพลิกศีรษะไปอีกทาง กอดหมอนอย่างไม่นึกใส่ใจ เขาง่วงใครจะมาฉุดเขาออกจากเตียงไม่ได้ทั้งนั้นแหละ

“ถ้าอย่างนั้นไปอาบน้ำด้วยกันไหมครับดอกเตอร์”มาริเอะพูด ถึงเขาจะไม่มีประสาทการรับรู้กลิ่นเช่นมนุษย์ แต่คำจำกัดความซึ่งถูกเก็บอยู่ในฐานข้อมูล ระบุสถานะการไม่อาบน้ำของมนุษย์ว่าซกมก “เดี๋ยวผมกับคุณชวิศาจะช่วยนวดไหล่ขัดหลังให้”

ได้ยินเช่นนั้นสุดฟ้าจึงรู้สึกว่า ข้อเสนอของดังกล่าวน่าสนใจ แต่อย่างว่าความขี้เกียจของเขามันมากมายเหลือคณานับ “ไม่อ่ะ ขี้เกียจลุก”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมอุ้มไปให้ครับ บริการถอดเสื้อผ้าให้เสร็จสรรพ ด็อกเตอร์แค่นอนเฉยๆเป็นพอ”มาริเอะว่าพลางยกร่างกายของชายหนุ่มผู้มีความสูงร้อยแปดสิบกว่าๆให้ลอยขึ้น ด้วยโครงสร้างร่างกายล้วนผลิตมาจากวัสดุพิเศษ และกำลังมอเตอร์อันมหาศาล สุดฟ้าจึงดูเหมือนปุยนุ่นในมือของหุ่นยนต์หน้าตาคล้ายฝาแฝดของชวิศา

“เหวอ!!!”คนโดนอุ้มจนตัวลอยร้องเสียงหลง ที่ง่วงๆอยู่ตื่นเต็มตา เขาผวาเข้ากอดคอมาริเอะไว้ทันที ถึงจะรู้ว่ามาริเอะสามารถยนรถถังได้สบายแต่ใช่ว่าเขาจะสบายใจเวลาที่โดยอุ้มอยู่แบบนี้

ชายหนุ่มโดนปล่อยให้นั่งบนขอบอ่างอาบน้ำ หลังจากนั้นสองหนุ่มร่างเพรียวหน้าตาดีเข้ามากลุ้มรุมถอดเสื้อผ้า จับโน่นจับนี่จนเขาที่หมกมุ่นอยู่แต่กับงานมาหลายวันตื่นตัวขึ้นมา

หุ่นยนต์มาริเอะซึ่งถูกลงโปรแกรมเรื่องพรรค์นี้ไว้จึงลงปรนนิบัติพัดวีให้ ใช้ทั้งปากทั้งมือจนเขาปลดปล่อยออกมา กระนั้นใช่ว่าอารมณ์ที่ตื่นตัวของเขาจะหดหาย กลับยังแข็งสู้เช่นเดิม สองหนุ่มที่หน้าตาเหมือนกันจึงพยักพเยิดจับจูงมือเขาออกไปด้านนอก สุดฟ้าถูกผลักให้นอนหงายบนเตียงก่อนมาริเอะจะตามมานั่งคร่อม ชวิศาส่งเจลให้หุ่นยนต์ที่หน้าตาเหมือนตัวเองเทชโลมบนอาวุธที่ตั้งแข็งโด่เด่ แล้วกดตัวลงตามมา

สุดฟ้าได้แต่นอนคราง

ส่วนชวิศานั้นหันบั้นท้ายมาให้เขาใช้มือช่วยเตรียมพร้อมให้ ก่อนจะขยับเปลี่ยนตัวกับมาริเอะที่เกือบพาเขาขึ้นสวรรค์ แต่อย่างไรก็ตามคืนนั้นเขาก็ได้ขึ้นไปเดินเที่ยวบนสวรรค์ชั้นเจ็ดหลายรอบเลยทีเดียว

รุ่งเช้าอีกวันสุดฟ้าจึงหน้าใสปิ๊ง ขนาดสองแฝดยังต้องเอ่ยปากทัก

“อะไรวะ นอนหลับแค่คืนเดียวแกหน้าใสได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ”

สุดฟ้าทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซึ่งสเตบาสเตียนตามมาเสิร์ฟอาหารเช้าในทันใด “คนมันหน้าตาดีเว้ย นอนน้อยนอนมากมันก็ไม่มีผลกับหน้าตาหรอก”

“อ่อ เหรอ”ฝาแฝดขานเสียงรับพร้อมกัน เห็นชวิศาไม่ตามลงด้วยเลยพอจะเดาออกว่าเมื่อคืนเพื่อนสมัยเด็กของเขาคงกุ๊กกิ๊กอยู่กับฝ่ายนั้น

“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จไปกันเลย”ฝาแฝดคนพี่วกเข้าสู้เรื่องสำคัญที่ต้องทำ พาลให้สุดฟ้าถอนหายใจออกมา ถึงจะทำหน้าเซ็งแต่เขายังพยักหน้ารับ

“แกไม่ต้องพูดอะไรหรอกน่า แค่ไปนั่งยิ้มเพื่อยืนยันว่าแกเห็นด้วยกับแผนนี้”

“อืมรู้แล้ว”สุดฟ้าตอบรับ

ใช้เวลาทานอาหารกันไม่นานพวกเขาจึงได้ฤกษ์ออกจากบ้านพักรับรอง เมื่อถึงตำหนักของเจ้าชายรัชทายาท พวกเขาแจ้งบอกชื่อ คนรับเรื่องจึงเดินนำเขาไปยังเรือนรับรอง ที่นั่น เจ้าชาฟาลิฮ์ในฉลองพระองค์ชุดพื้นเมืองกำลังประทับรอพวกเขาอยู่แล้ว

“สวัสดีตอนเช้าครับ”เจ้าชายตรัสทักทายพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ เขาพวกจึงเอ่ยตอบรับกลับไป

“ที่พวกผมมาขอพบเจ้าชายวันนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างต้องมาพูดคุยกันอีกครั้งครับ”พี่ชายคนโตของบ้านสุวราลักษณ์พูด สังเกตเห็นคู่สนทนาโคลงศีรษะรับจึงได้พูดต่อไปว่า

“พวกผมจะเสนอแผนการทำลายผู้รุกรานแทนระเบิดของสุดฟ้าน่ะครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์มุ่นคิ้วแต่ยังนิ่งฟังต่อไป

“ผมคงต้องบอกว่า พวกเราคงไม่สามารถปล่อยให้ระเบิดของสุดฟ้าไปอยู่ในมือใครได้ คงต้องขอยกเลิกข้อตกลงที่สุดฟ้าเคยทำไว้กับเจ้าชายครับ แต่พวกเราจะชดเชยด้วยการทำลายคลังอาวุธที่ถูกเก็บไว้ในพื้นที่ของซันทาเนีย”

“แล้วถ้าพวกนั้นหาอาวุธล็อตใหม่ส่งมาอีกล่ะครับ”

“กรณีนั้นขอให้เจ้าชายแจ้งพวกเรามาครับ พวกเราจะทำลายยุทโธปกรณ์ที่ถูกเคลื่อนย้ายเข้าใกล้ฮัชดาลลาร์ให้ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี”

เจ้าชายฟาลิฮ์มองพวกเขานิ่ง และเมื่อสายตาของอีกฝ่ายหันเหมาสบกับสุดฟ้า ชายหนุ่มจึงยกยิ้มให้เหมือนว่าเรื่องที่พูดคุยกันนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง

“ขอทราบเหตุผลที่จู่ๆพวกคุณก็มายื่นเปลี่ยนแปลงข้อตกลงได้ไหมครับ”

“ถ้าเช่นนั้นผมขอถามก่อนว่าเจ้าชายรู้เรื่องระเบิดของสุดฟ้ามาได้อย่างไรครับ”คนดำเนินบทสนทนายังคงเป็นธัชนนท์เช่นเดิม ทว่าเจ้าชายยังนิ่งไม่ตอบคำถาม แฝดพี่จึงพูดต่อไปว่า “มาถึงขั้นนี้แล้วพวกผมอยากให้เจ้าชายจริงใจครับ ถ้าพระองค์ยังคงปิดบังเรื่องที่ผมอยากรู้ เห็นทีว่า พวกเราคงทำธุรกิจร่วมกันไม่ได้”

ธัชนนท์ยกยิ้ม แม้จะอยู่ในฮัชดาลลาร์แต่ใช่ว่าพวกเขาจะเป็นหมูในอวย เขายุให้สุดฟ้าทำงานให้เสร็จเพื่อตัดปัญหาการมีคนมาตามรังควานก็จริง แต่ถ้างานนั้นได้ไม่คุ้มเสีย เขาหาวิธีจัดการตัวก่อกวนดีกว่าลงแรงไป

“มีคนบอกมาครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์เห็นคู่สนทนาเลิกคิ้วจึงตรัสเพิ่มเติม “เป็นคนที่ถือศิลาสารพัดนึกคนปัจจุบัน”

คนฟังทั้งสามต่างร้องอุทานในใจ ก่อนฝาแฝดผู้น้องจะพูดขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นไปเอาศิลาคืนมาไม่ง่ายกว่าหรือครับ”

“ผมลองทำมาหลายครั้งแล้วครับ แต่ไม่สำเร็จ”เจ้าชายหนุ่มผู้มีสายเลือดหน่อเชื้อกษัตริย์ออกอาการอึกอัก นึกสลดที่ทั้งทหารราชองครักษ์รอบตัวล้วนไร้ฝีมือ แผนการใดๆที่พระองค์คิดล้วนไม่บรรลุผลทั้งสิ้น ทั้งนั้นทั้งนี้พระองค์ยังนึกโทษที่ตนไร้ความสามารถ แผนการทั้งหลายจึงไม่สำเร็จ

“ตั้งแต่คนผู้นั้นได้ศิลาไป ดั่งกับศิลานั้นไม่ใช่ของที่เป็นมรดกตกทอดของฮัชดาลลาร์ ตอนที่ศิลาถูกประมูล พวกเราไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ เพราะไม่มีเส้นสายที่ให้เข้าถึงตลาดประมูล แต่หลังจากรู้แน่ชัดแล้วว่าใครที่ได้ศิลาไป เราก็ส่งคงไปขโมยคืนมาหลายต่อหลายครั้งและเราเสียทหารฝีมือดีไปสามคนในภารกิจ แผนการจึงต้องถูกยกเลิกไป”

ฝาแฝดสองพี่น้องมองหน้ากันด้วยความสงสัย กำลังคนที่เสียไปน้อยเกินกว่าจะตัดสินใจยกเลิกภารกิจ และดูเหมือนเจ้าชายฟาลิฮ์จะเข้าพระทัยความกังขาของพวกเขา

“ฟังดูเป็นจำนวนน้อยใช่ไหมครับ แต่สามคนที่ตายเพราะสัมผัสกับศิลา และถ้าใช้วัสดุอื่นหยิบจับศิลา ศิลาสารพัดนึกจะมีน้ำหนักมากขึ้นจนยกไม่ขึ้น หลังจากนั้นองค์กษัตริย์จึงไปเจรจาขอซื้อคืนแต่ผู้ถือครองต้องการแค่ต้นแบบของระเบิดสลายสสารเป็นค่าแลกเปลี่ยน”

“ทำไมต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนั้นด้วย”สุดฟ้าพูดอย่างตั้งข้อสังเกต ซึ่งเจ้าชายฟาลิฮ์ได้แต่สั่นพระพักตร์เป็นการปฏิเสธ

“ถ้าศิลามีพลังมากถึงขนาดนั้นจริงๆ ก็พกติดตัวไปขโมยของไม่ดีกว่าหรือ”

“เพราะของที่ว่าไม่มีอยู่บนโลกน่ะสิ”ธัชนนท์หันไปบอก เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เจ้าชายชาวฮัชดาลลาร์เข้าใจด้วย “ฉันว่าคุณน้าทั้งสองคงทำลายแบบแปลนที่ยึดของแกไว้ทิ้งไปแล้วล่ะ หรือถ้าแบบยังอยู่ การขโมยแบบแปลนก็คงเป็นยาก เลยต้องสร้างเหตุการณ์ให้แกทำมันขึ้นมา”

“เออว่ะ”สุดฟ้าร้องออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ “แต่ถึงได้ไปจริงๆก็ใช่ว่าจะใช้งานได้”

“เขาก็ทำแบบที่พวกฉันทำ การถอดประกอบของจากต้นแบบไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ”ธัชนันท์พูด

สุดฟ้าไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เขาได้แต่โคลงศีรษะ

“งั้นที่พวกนั้นคอยเข้ามาโจมตีอยู่เสมอเพราะต้องการกดดันพระองค์หรือครับ”ธัชนนท์เอ่ยถาม

“ผมเองก็คิดว่าอย่างนั้น เพราะช่วงแรกๆที่ประเทศแทบนี้มีสงคราม พวกเราไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ด้วยสภาพภูมิประเทศและพลังเวทย์ที่พวกเรามี  พวกเราแค่เฝ้าระวังก็เพียงพอแล้วแต่หลังจากมีการเจรจาเรื่องศิลาสารพัดนึก พวกนั้นจึงหันมาโจมตีฮัชดาลลาร์อย่างจริงจัง”

“แล้วคนถือครองศิลาคนปัจจุบันใช้งานมันได้ด้วยหรือครับ”ธัชนันท์ถามต่อ

“ในโลกนี้ไม่ใช่แค่ชาวฮัชดาลลาร์เท่านั้นที่ใช้เวทมนต์ได้นะครับ อย่างที่บอกไว้ว่า เวทมนต์เกิดการดึงจักระภายในร่างกายมาใช้ รวมกับคาถาหรือถ้อยคำที่มาจากความตั้งมั่นของจิต เพราะฉะนั้นถ้าทำการศึกษาอย่างจริงจังไม่ว่าใครก็สามารถใช้เวทมนต์ได้ แต่ปัจจุบันนี้เราจะเรียกมันว่าพลังพิเศษ ส่วนผู้ที่ถือครองศิลาคนปัจจุบัน ตระกูลของเขาสืบทอดวิธีการดึงจักระออกมาใช้มาหลายศตวรรษเลยล่ะครับ”

“แล้วการให้ศิลาฆ่าคนไม่ใช่เรื่องยากหรือครับ”

“เราวิเคราะห์ว่า เขาร่ายคาถาสั่งให้ศิลาดูดจักระของผู้ที่มาสัมผัสครับ จักระคือพลังงาน เวลาที่ดึงพลังงานในร่างกายมาใช้แม้จะสร้างเป็นดาบแต่ก็ไม่ใช่ดาบจริง แถมเป็นดาบที่ถ้าผู้ใช้เวทย์หมดสติหรือพลังที่มีอยู่หมดไป ดาบนั้นก็จะหายไปด้วย ผู้ใช้เวทมนต์จึงนิยมถ่ายเทพลังงานในสิ่งของที่มีอยู่จริงมากกว่า ทีนี้ให้ลองนึกภาพว่าศิลาเป็นอุปกรณ์เวทย์เอนกประสงค์ เราถ่ายเทจักระสู่ศิลา เพื่อให้ศิลาสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในทางกลับกัน ผู้ถือครองจึงน่าจะร่ายเวทย์ให้ศิลากักเก็บจักระไว้ภายในลูกแก้วได้เช่นเดียวกัน”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงไม่ทำระเบิดขึ้นมาเองล่ะครับ”ธัชนันท์เอ่ยถาม ทว่าสุดฟ้ากลับพูดตอบขึ้นมา

“เพราะศิลาสารพัดนึกสร้างสิ่งของตามปัญญาผู้ถือครอง ถ้าอยากได้รถยนต์นั่นจำเป็นต้องรู้ว่ารถยนต์ประกอบด้วยอะไรบ้าง การทำงานเป็นอย่างไร เคลื่อนที่ด้วยวิธีการไหน”

“ใช่ครับเป็นตามที่คุณสุดฟ้าพูด ถ้าพวกคุณจะสังเกต ฮัชดาลลาร์จะไม่ค่อยมีคนยากจนครับ เพราะทุกคนมีสิทธิ์ขออะไรจากศิลาก็ได้ ตามพลังจักระที่พวกเขามี”

“อ่อ ถ้าไม่มีเงินก็ใช้ศิลาสร้างเงินได้ อย่างนี้ไม่วุ่นวายแย่หรือครับ”

“ไม่หรอกครับ เพราะถ้าร่ายเวทย์สั่งให้ศิลาสร้างเงิน เงินที่ได้มาอาจจะเป็นเงินปลอมก็ได้ อย่างที่คุณสุดฟ้ากล่าวครับ การใช้ศิลาสร้างของอย่างใดอย่างหนึ่งต้องจินตนาการให้ละเอียดมากพอ สมาธิและสติต้องตั้งมั่นของสิ่งนั้นถึงจะเหมือนของที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ประชาชนส่วนใหญ่จึงใช้ศิลาสร้างทอง แต่ทองนับว่าเป็นแร่ธาตุหายากบนโลก การสร้างมันจึงต้องใช้จักระมากขึ้นด้วย ดังนั้นคนที่จะใช้ศิลาสร้างของพวกนี้ได้สำเร็จส่วนใหญ่จึงเป็นนักเวทย์ระดับสูงหรือไม่คนที่จนตรอกมากๆ”

“อย่างนั้นเท่ากับว่า พวกเราไม่มีทางนำศิลากลับมาได้เลยหรือครับ”

“น่าจะชิงคืนกลับมาได้ถ้าผู้ร่ายเวทย์เสียชีวิตลง แต่พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าแนวคิดนี้จะใช้ได้หรือเปล่า”จากนั้นเจ้าชายฟาลิฮ์จึงตรัสเรื่องศิลาและเมืองฮัชดาลลาร์พระราชทานแด่สองพี่น้องสุวราลักษณ์ฟังอีกครั้ง

“เพราะไม่มีใครพิสูจน์เรื่องมหาเวทย์ได้สินะ เลยไม่มีใครรู้ว่าถ้าตาย เวทย์ประเภทนี้จะเสื่อมหรือเปล่า อ่อ แล้วของที่คนทั่วไปใช้ศิลาสร้างขึ้นมาละครับ”

“ครับ นั่นล่ะ ของพวกนั้นยังอยู่ดีแม้ว่าผู้สร้างจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วเลยรู้สึกขึ้นมาได้เลยว่า พวกเรายังศึกษาข้อมูลของศิลาได้น้อยมาก”

ธัชนนท์หันไปมองอีกสองคนที่เหลือ เป็นเชิงปรึกษาขอความคิดเห็น สุดฟ้าจึงพูดออกมา “ฉันแล้วแต่พวกแก”

“ผมก็แล้วแต่พี่”

เมื่อสองเสียงย้ำสำทับ เขาจึงหันไปสนทนากับเจ้าชายรัชทายาท “ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอเปลี่ยนแผนเป็นการชิงศิลาคืนให้เจ้าชาย คิดว่าเจ้าชายคงมีผังอาคารสถานที่ที่ศิลาถูกเก็บรักษาไว้อยู่แล้ว”

เจ้าชายพยักพระพักตร์ “ต้องการคนของทางเราหรือเปล่าครับ”

ธัชนนท์นิ่งคิด “ผมคงต้องดูผังอาคารก่อนครับ”

เจ้าชายฟาลิฮ์จึงเรียกข้ารับใช้ให้ไปนำเอกสารมาให้ รออยู่พักหนึ่งม้วนกระดาษจึงถูกส่งเข้าพระหัตถ์ เจ้าชายคลี่ม้วนเอกสารออกทอดพระเนตรก่อนจะส่งให้ฝาแฝดผู้พี่

“ศิลาถูกเก็บไว้ที่ห้องใต้ดินครับ รอบบ้านมียามประจำยี่สิบสี่ชั่วโมง หมาล่าเนื้อ มีกล้องวงจรปิด ประตูเข้าห้องมีรหัสและต้องแสกนม่านตาถึงจะเข้าไปได้ แต่เผอิญว่าเรามีเวทย์มนต์ดีๆที่ทำให้เข้าไปที่นั่นโดยไม่ต้องเจอกับของพวกนั้น เพียงแต่ครั้งแรกๆที่เข้าไปมีข้อติดขัดหลายประการ ส่วนใหญ่จึงคว้าน้ำเหลว จนมาสามครั้งสุดท้ายพวกเราจึงได้สัมผัสศิลาจริงๆ”

“เวทมนต์?”

“ใช่ครับ เรามีคนที่สามารถสร้างช่องว่างของมิติเพื่อเคลื่อนย้ายสสารได้อยู่”

“มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตก็ได้?”สุดฟ้าเอ่ยปากถาม

“ครับ แต่ไม่ได้สะดวกสบายขนาดนั้นนะครับ ให้นึกถึงว่าแบตเตอรี่ของเวทมนต์คือจักระนะครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์รีบอธิบายต่อ “แต่บางกรณีถือว่าเป็นเวทมนต์ที่มีประโยชน์มากทีเดียว”

“อย่างนั้นไม่มีเวทมนต์จับสิ่งของระยะไกลบ้างหรือครับ”

“มีครับ แต่เวทมนต์ที่ว่าก็ใช้จักระเป็นตัวจับอยู่ดี

ธัชนันท์จึงต้องพยักหน้ารับ

“สิ่งที่จำเป็นคืออุปกรณ์ที่จะมาจับศิลาสินะ”ธัชนนท์พึมพำแล้วหันหน้าไปหาสุดฟ้า

“ไม่มีปัญหาของจิ๊บๆ”

“มีอุปกรณ์หรือเปล่า”

“ของที่มีอยู่ก็พอสร้างได้แต่ไม่ค่อยอยากรับรองผล อ๊ะ ทำไมจะต้องสร้างอุปกรณ์อะไรให้ยุ่งยาก พวกเรามีสเตบาสเตียนอยู่ทั้งคน”สุดฟ้าร้องออกมาอย่างดีใจ

“เออใช่”สองพี่น้องร้องเออออออกมาพร้อมกัน ธัชนนท์จึงหันไปหาเจ้าชายรัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์ ยิ้มกว้างพร้อมทั้งกล่าวบอกด้วยความมั่นใจ

“พวกเราพร้อมที่จะชิงศิลาสารพัดนึกมาคืนให้เจ้าชายแล้วครับ”

ไม่นึกว่าเรื่องราวจะพลิกผันกลายเป็นว่าเรื่องราวต่างๆล้วนง่ายดายเช่นนี้ สุดฟ้าติดต่อตามตัวสเตบาสเตียนให้มายังอาคารที่พวกเขาอยู่ในขณะปัจจุบัน  ส่วนสองพี่น้องทูลให้เจ้าชายตามตัวผู้ที่มีเวทย์เคลื่อนย้ายมาได้เลย

“ไม่ต้องวางแผนอะไรเพิ่มเติมหรือครับ”

“คนของเจ้าชายสร้างช่องว่างมิติให้ไปเปิดยังห้องเก็บศิลาได้เลยหรือเปล่าล่ะครับ”

“ได้ครับ”เจ้าชายตรัสตอบรับแม้จะมีพระอาการเหมือนไม่แน่พระทัยก็ตาม เห็นดังนั้นพี่ชายคนโตเอ่ยว่า “ติดปัญหาอะไรอีกหรือครับ”

“เปล่าครับ แค่รู้สึกว่ามันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน จนรู้สึกกังวล”

“ไม่ต้องห่วงครับ สเตบาสเตียนเป็นซุปเปอร์สมองกลที่มีโครงสร้างร่างกายแข็งแกร่ง กำลังมอเตอร์เทียบเท่ารถยนต์ และสามารถยกรถถังได้สบายๆครับ”สุดฟ้าย้ำสำทับให้เจ้าชายฟาลิฮ์สบายพระทัย เชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์จึงแย้มพระโอษฐ์เป็นการตอบรับ

พวกเขานั่งรอไปนานนัก องครักษ์ผู้ซึ่งสามารถใช้เวทย์สร้างช่องว่างมิติเพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งต่างๆก็มาปรากฏตัว ระหว่างนั้นพระองค์จึงสั่งให้ไปตามองครักษ์คนอื่นๆมาด้วย เพราะแม้หุ่นยนต์ของสุดฟ้าจะมีความสามารถมากอย่างที่ผู้สร้างเอ่ยอ้าง แต่การมีแผนสำรองเตรียมไว้น่าเป็นเรื่องที่ปลอดภัยกว่า

หุ่นยนต์พ่อบ้านของสุดฟ้าตามมาสมทบหลังจากนั้นไม่นาน

การส่งคนผ่านช่องว่างมิติของนักเวทย์ เขาจะทำการเขียนอักขระคาถาลงบนพื้นด้วยภาษาที่สองพี่น้องสุวราลักษณ์และสุดฟ้าไม่เข้าใจ อักขระเหล่านั้นไม่ได้ถูกเขียนอุปกรณ์การเขียนใดๆ ไม่ได้ถูกเขียนด้วยเลือดแต่ถูกเขียนด้วยจักระ พวกเขามองเห็นแค่ตัวอักษรค่อยๆปรากฏขึ้นมาทีละตัวๆ ตามปลายนิ้วมือซึ่งวาดตัวอักษรบนอากาศ

สุดฟ้าจึงใช้ช่วงจังหวะเวลานั้นทำการเตรียมช่องติดต่อสื่อสารเชื่อมต่อกับหุ่นยนต์พ่อบ้านเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มวางดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์บนโต๊ะตัวเล็ก เปิดกางหน้าจอดึงตำแหน่งที่ตั้งซึ่งสเตบาสเตียนกำลังถูกส่งไป แล้วพยายามทำการแฮกข้อมูลกล้องวงจรปิดของบ้านเป้าหมาย

“ดึงภาพไม่ได้”สุดฟ้าบ่นพึมพำ ระบบเครือข่ายภายในคงเป็นแบบออฟไลน์ “สเตบาสเตียน ฉันจะเชื่อมต่อสัญญาณเสียง เชื่อมต่อสัญญาณภาพผ่านเลนส์อาร์แอล เปลี่ยนเข้าโหมดต่อสู้เตรียมบันทึกค่าการทดสอบ”

หุ่นยนต์พ่อบ้านทวนคำสั่งซ้ำ ภาพเบื้องหน้าที่สเตบาสเตียนเห็นจึงมาปรากฏอยู่บนหน้าจอมอนิเตอร์ที่ชายหนุ่มเจ้าของอุปกรณ์สุดล้ำดึงขยายให้กว้างขึ้นอีกเต็มความกว้างสูงสุดที่หนึ่งร้อยสิบห้านิ้ว

“แกสองคนมาช่วยดูจอดิ”เขาพูดสั่งพลางเลื่อนหน้าต่างภาพจากเลนส์อาร์และแอลไปวางไว้ตรงหน้าฝาแฝด และเปิดหน้าต่างวัดผลเพื่อเก็บข้อมูลการทดสอบ สเตบาสเตียนเพิ่งเปลี่ยนรูปลักษณ์จากหุ่นกระป๋องมาอยู่ในรูปแบบมนุษย์ได้ไม่นาน และแม้ว่าเขาจะติดฟังก์ชั่นความสามารถนี้เข้าไป แต่ยังไม่เคยทดสอบจริงๆเสียที

อักขระซึ่งนักเวทย์ใช้จักระเขียนขึ้นมาบรรจบกันกลายเป็นวงกลมล้อมรอบจุดที่สเตบาสเตียนยืนอยู่

“เรียบร้อยครับ”นักเวทย์ผู้ร่ายคาถานั้นบอกเป็นภาษาอังกฤษ

“เริ่มเลยนะครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์หันไปตรัสถามสุดฟ้าซึ่งชายหนุ่มได้พยักหน้าให้

“เริ่มได้”

ชายคนนั้นทาบสองมือลงกับพื้น เอ่ยถ้อยข้อความภาษาโบราณ ครู่หนึ่งวงแหวนตรงหน้าของเขาก็ส่องแสงเรืองรอง พื้นที่ที่สเตบาสเตียนยืนอยู่กลายเป็นสีดำมืดพร้อมทั้งร่างหุ่นยนต์ค่อยๆถูกดูดเข้าไป แต่เพราะสเตบาสเตียนเป็นเพียงหุ่นยนต์จึงไม่มีอาการตื่นตกใจให้เห็น

ภาพซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าต่างของไลท์มอนิเตอร์ยังปกติชัดเจนจนกระทั่งหุ่นยนต์พ่อบ้านถูกดูดเข้าไปจนมิด ภาพจากกล้องที่ส่งมาจึงพร่าสั่นคล้ายสัญญาณขาดหายก่อนจะกลับมาชัดเจนในวินาทีต่อมา ทว่าภาพที่พวกเขาเห็นยังคงมืดสนิทอยู่ดี

“เปิดระบบอินฟราเรด”สุดฟ้าออกคำสั่งซึ่งมีเสียงของสเตบาสเตียนทวนคำสั่งดังออกมาจากลำโพง ภาพที่ฝาแฝดเห็นจึงชัดเจนขึ้นมา แม้ภาพที่เห็นจะเป็นภาพขาวดำแต่ลักษณะรายละเอียดภายในห้องนั้นชัดเจนเหมือนพวกเขาไปยืนดูอยู่ที่แห่งนั้น

เจ้าชายฟาลิฮ์สาวพระบาทมาหยุดทอดพระเนตรภาพบนหน้าจอด้วย

“นั่นแหละครับศิลาสารพัดนึก”

ไม่น่าเชื่อว่านักเวทย์ของฮัชดาลลาร์จะเก่งกาจถึงขนาดส่งสเตบาสเตียนให้ไปโผล่ตรงหน้าแทนวางศิลาสารพัดนึกได้ ที่สำคัญก้อนหินดังกล่าวยังถูกวางอยู่บนเบาะไว้เฉยๆ

“สเตบาสเตียนหยิบศิลาตรงหน้าเลย”

จากนั้นจึงเป็นภาพมือของสเตบาสเตียนเอือมไปหยิบศิลาสารพัดนึกมาไว้ในครอบครอง

ทว่าทันใดนั้นเอง หน้าต่างข้อมูลซึ่งถูกดึงให้เปิดแสดงบนหน้าจอไลท์มอนิเตอร์กลับกระตุกวาบและดับหายไป

สุดฟ้าสบถออกมาเป็นภาษาไทยดังลั่น

“อะ อะไร”สองพี่น้องสุวราลักษณ์เอ่ยถามหน้าตาตื่นไม่แพ้กัน

“สเตบาสเตียนโดนไฟช็อต”

“ห๊า!!!!!!!”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบแปด 7/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 07-05-2017 19:11:20
บทที่สิบแปด



ชวิศาลืมตาตื่นตอนค่อนสายและทันทีที่เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง มาริเอะได้เด้งตัวขึ้นนั่งตัวตรงแหน่วเช่นเดียวกัน

“อรุณสวัสดิ์ครับ”มาริเอะเอ่ยทักทายมนุษย์ผู้มีหน้าตาเหมือนกับตนด้วยรอยยิ้ม

หลังจากชวิศาทักทายอีกฝ่ายด้วยคำพูดและรอยยิ้มไม่ต่างกัน เขาลุกเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว แล้วจึงเดินลงไปยังชั้นล่าง และทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องอาหาร หุ่นยนต์พ่อบ้านซึ่งอยู่ในโหมดประหยัดพลังงานได้ลืมตาลุกขึ้นยืนในทันใดเช่นเดียวกัน

“รับอาหารเช้าเลยไหมครับ”

“ครับ”ชวิศาตอบรับขณะนั่งลงบนเก้าอี้ มาริเอะเดินตามมานั่งข้างกันไม่ห่าง “คุณสเตบาสเตียนไม่ได้ไปกับคุณสุดฟ้าหรือ”

“เปล่าครับ ด็อกเตอร์ไปเข้าเฝ้าเจ้าชายพร้อมกับคุณธัชนนท์และคุณธัชนันท์ครับ”หุ่นยนต์พ่อบ้านพูดตอบพร้อมกับวางถ้วยข้าวต้มลงตรงหน้าชวิศา ตามด้วยแก้วนมและน้ำผลไม้

“อย่างนั้นวันนี้คุณสเตบาสเตียนก็ว่างใช่ไหมครับ ไปเที่ยวกันไหม”

“คงไม่ได้ครับ ถ้าผมจะไปไหนต้องแจ้งด็อกเตอร์ล่วงหน้าครับ”

“เมื่อก่อนไม่เห็นจะต้องทำอย่างนั้นเลย”ชวิศาพูดพลางตักข้าวต้มขึ้นเป่าไล่ความร้อน ก่อนส่งมันเข้าปาก ทันทีที่รสชาติอาหารสัมผัสปลายลิ้น เขายังรู้สึกข้องใจทุกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าหุ่นยนต์ที่ไม่สามารถรับรู้รสและกลิ่น สามารถทำอาหารได้อร่อยถึงเพียงนี้

“เพราะตอนนั้นด็อกเตอร์ให้ผมดูแลคุณชวิศาครับ ถ้าคุณชวิศาไปไหนให้ผมตามไปดูแลด้วย”

“แต่ตอนนี้หน้าที่นั้นเป็นของผมแล้ว”มาริเอะพูดบอกออกไปบ้าง “ไปกับผมสองคนไม่สนุกหรือครับ”

ชวิศารีบยกมือบอกปฏิเสธ กลืนอาหารในปากและพูดบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เห็นคุณสเตบาสเตียนต้องอยู่ที่เรือนรับรองคนเดียวเลยชวนไปด้วยเฉยๆ จะได้ไปดูไปเห็นอุตส่าห์ได้มาเที่ยวทั้งที อีกอย่างเมื่อก่อนคุณสเตบาสเตียนไม่ค่อยได้ออกจากบ้านด้วย”

“ขอบคุณครับ แต่ก่อนหน้านั้นผมได้อยู่ในต่างประเทศมาหลายปีครับ ถึงจะไปไหนเองไม่ได้แต่ก็ได้เห็นได้ยินอะไรมาหลายอย่างเหมือนกัน”

“เห๋!!!!! อย่างไรหรือครับ”

มาริเอะก็เท้าคางตั้งใจฟัง แม้จะสามารถเข้าถึงข้อมูลประวัติการสร้างสเตบาสเตียนซึ่งอยู่ในฐานข้อมูล แต่รายละเอียดพวกนั้นบ่งบอกแค่ลำดับการแก้ไข

“ตอนแรกผมเป็นแค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ธรรมดาครับ สำหรับเป็นเพื่อนคุยตอนที่ด็อกเตอร์รอผลแล็บ เอ่อ... ต้องบอกว่าด็อกเตอร์เขียนผมขึ้นมาตอนที่กำลังนั่งรอผลแล็บ พอว่างก็มานั่งเขียนปรับแก้ผม จนหลังๆไม่ว่าจะพิมพ์บันทึกรายงาน หรือค้นข้อมูลก็สั่งปากเปล่า แล้วก็เพิ่มฟังก์ชั่นเข้ามาเรื่อยๆจนหลังจากจบปริญญาตรีถึงได้สร้างร่างกายให้”

“เออ...แล้วทำไมคุณสุดฟ้าต้องมาเรียนปริญญาตรีด้วยครับ”

“ด็อกเตอร์บอกว่าอยากลงเรียนแบบคนอื่นดูบ้างครับ ที่จริงด็อกเตอร์อยากไปเรียนมัธยมใหม่ แต่เพราะอายุเกินไปเยอะแล้ว คุณธัชนนท์กับธัชนันท์จึงบอกว่าให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแทน”

โชคดีที่สุดฟ้าอยากมีชีวิตปกติ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีโอกาสได้เจออีกฝ่าย ชวิศาคิดในใจ

ข้าวต้มในถ้วยของชวิศาหมดพอดี ชายหนุ่มดื่มทั้งนมและน้ำส้มจนหมดแก้วจึงลุกขึ้นยืน หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย บอกลาคุณพ่อบ้านแล้วเดินตีคู่คุยไปพลางๆกับมาริเอะ

สถานที่เที่ยวช่วงเช้าของพวกเขาเป็นน้ำตกอีกแห่งซึ่งเขาทั้งคู่ยังไม่เคยมา เดินทางโดยใช้บริการรถไฟสาธารณะอีกเช่นเคย ทว่าการมาเที่ยวน้ำตกครั้งนี้กลับต่างออกไป

มาริเอะเป็นหุ่นยนต์ที่ได้รับคำสั่งจากสุดฟ้าว่าให้ดูแลคุ้มครองชวิศา ฟังก์ชั่นการระแวดระวังภัยจึงถูกเปิดใช้งานอยู่เสมอ แน่นอนว่าอยู่ในที่สาธารณะอย่างในรถไฟไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้ เพราะประชาชนชาวฮัชดาลลาร์พกอาวุธเดินไปเดินมากันเป็นปกติ แต่พอเข้าสู่เขตป่าที่ต้องเดินเท้าไปยังแอ่งน้ำตก เขาสังเกตว่ามีคนเดินตามมา กระนั้นในคราแรกเขายังคงไม่แน่ใจ

ชาวฮัชดาลลาร์ไม่นิยมท่องเที่ยวตามป่าหรือน้ำตก คงเพราะใช้ชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติจนคิดว่าสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่ธรรมดา

ดังนั้นเพื่อเป็นการทดสอบคนที่ตามรอยมา ยามที่ต้องก้าวเท้าขึ้นเนินเขาชัน มาริเอะจึงช้อนตัวชวิศาขึ้นอุ้ม ก้าวพลางกระโดดเพื่อหนีคนที่ติดตาม

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”ชวิศาถาม สองมือเกี่ยวคอมาริเอะไว้เพราะความเร็วในการเคลื่อนที่ของอีกฝ่ายเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ

“พวกเราโดนสะกดรอยครับ”มาริเอะพูดออกไปเพราะยืนยันแน่ชัดแล้วว่า สองคนที่ตามหลังพวกเขามาเร่งฝีเท้าเพื่อติดตามพวกเขาจริงๆ

ชวิศาอยากจะหันมองคนที่ตามมา แต่เพราะอีกฝ่ายกระโดดเคลื่อนที่ไปข้างหน้าราวกับกำลังบินได้ เขาจึงได้แต่หันมองใบหน้าที่เหมือนกับตนและถามว่า

“พวกเขาอาจมีธุระกับเราหรือเปล่าครับ หรือเก็บของที่เราทำหล่นไว้ได้”

“ไม่ทราบครับ แต่สถานการณ์แบบนี้ผมต้องเข้าสู้โหมดป้องกันไว้ก่อน”

“ถ้าอย่างนั้นหยุดเถอะครับ ผมออกคำสั่งกับคุณได้หรือเปล่า”

มาริเอะสบตากับชวิศา จากนั้นจึงหยุดยืนอยู่กับที่และปล่อยชวิศาลงยืน เผชิญหน้ากับผู้ชายสองคนที่ตามพวกเขามา

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”ชวิศาเอ่ยปากถาม

“พวกเราขอเชิญคุณไปด้วยกัน”หนึ่งในสองคนนั้นตอบออกมาเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น มาริเอะจึงถามอีกฝ่ายว่าจะให้ไปที่ไหนด้วยภาษาฮัชดาลลาร์

“เขาบอกว่าเจ้านายของพวกเขาอยากพบคุณชวิศาครับ”

“ก็ได้ครับ”

มาริเอะพูดตอบออกไปเป็นประโยคยาว และฝ่ายนั้นก็สั่นศีรษะกลับมา

“ผมบอกเขาว่าพวกเราต้องกลับไปที่วังก่อน แต่เขาปฏิเสธ จะเอาอย่างไรครับ สำหรับผม คุณจะตอบตกลงไปกับพวกเขาก็ได้แต่ต้องแจ้งให้ด็อกเตอร์ทราบก่อน”แต่สำหรับมาริเอะ เมื่อสักครู่สเตบาสเตียนเพิ่งแจ้งเขาว่าต้องไปทำงานให้ด็อกเตอร์ ดังนั้นเขาจำต้องงดติดต่อกับหุ่นยนต์พ่อบ้านไปโดยปริยาย

“อ่อ ได้ครับ”ชวิศาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อกดโทรออก ทว่าอีกฝ่ายกลับผิวปากยาวขึ้นมาและในวินาทีนั้นพวกเขาก็ถูกล้อม

ชวิศามองผู้ชายที่ยืมล้อมพวกเขาไว้ด้วยอาการตื่นตะลึง มองมาริเอะที่รัวภาษาฮัชดาลลาร์คุยกับฝ่ายตรงข้าม

“ท่าไม่ดีแล้วครับ พวกเขาไม่อยากให้เราติดต่อใคร”

“ท... ทำไมล่ะ”ชวิศาไม่ได้อยากได้คำตอบจริงๆแต่เขาถามไปด้วยอาการตื่นตกใจ ชายหนุ่มไม่เคยประสบกับเหตุการณ์ข่มขู่ล้อมจับ ถึงแม้จะเป็นหลานคนโปรดของตระกูลภูสิทธ์วรโชติแต่เพราะพี่ชายที่เลี้ยงเขามา ดูแลประคบประหงมไม่ห่าง เลยไม่เคยเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวลูกหลานเศรษฐีอย่างที่พี่ชายเคยเล่าให้ฟัง

“คุณชวิศา ขอโทษนะครับ”

ชวิศาโดนอุ้มจนตัวลอยจากพื้นอีกครั้ง มาริเอะกระโดดจากพื้นสูงขึ้นไปบนอากาศร่วมหลายร้อยเมตร ข้ามศีรษะกลุ่มคนที่ล้อมกรอบพวกเขาอยู่ และทันทีที่สัมผัสพื้น เขารีบสาวเท้าให้ห่างจากกลุ่มคนพวกนั้น ภายในฐานข้อมูลของมาริเอะมีฟังก์ชั่นการต่อสู้อยู่เช่นกัน แต่เพราะเขายังเป็นรุ่นทดลองซึ่งยังไม่มีการทดสอบระบบและปรับปรุงอัพเกรด ฟังก์ชั่นการทำงานบางอย่างจึงถูกระงับไว้ อีกอย่างในสถานการณ์ที่มีอันตราย เขายังถูกกำหนดให้หนีเป็นอันดับแรก

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้ง่ายๆ

มาริเอะชะงักเมื่อโดนดักทาง จะหันหลังกลับพวกเขาก็โดนล้อมกรอบไว้อีกครั้ง ฝ่ายตรงข้ามมีห้าคนขณะที่พวกเขามีกันแค่สองคน และถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา ทั้งห้าคนนั้นคงไม่สามารถตามหุ่นยนต์อย่างมาริเอะได้ทัน

หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะปล่อยให้ชวิศาลงยืนกับพื้น

“ระวังตัวด้วยนะครับ”เขาพูดก่อนจะระบบสั่งการจะเปลี่ยนสู่โหมดการต่อสู้ ฟังก์ชั่นการทำงานนี้จะเปิดใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนรัศมีห้าเมตรรอบตัวเพื่อป้องกันการเข้าถึงของคู่ต่อสู้ กำลังขับเคลื่อนถูกเร่งให้อยู่ในเกณฑ์สูงสุดเพื่อให้เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น แต่กรณีนั้นก็ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้นเช่นกัน มาริเอะไม่เคยใช้พลังงานหมดจนต้องปิดระบบโดยอัตโนมัติจึงไม่มีข้อมูลว่า ถ้าใช้พลังงานเต็มที่อย่างนี้ ระบบทั้งหมดจะใช้งานได้นานกี่นาที กระนั้นขณะที่ระบบสมองกลบางส่วนเริ่มวิเคราะห์เก็บข้อมูลค่าการใช้พลังงาน มาริเอะก็ได้กระโจนเข้าหาชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว

มาริเอะยกขาเตะสูงเข้าที่ก้านคออีกฝ่ายเพียงทีเดียวคนตรงหน้าก็ล้มตึงลงไปนอนกับพื้น อาจเพราะผู้ชายคนนั้นไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นตอนที่เขากระโจนเข้าข้างหลังของชายคนที่สองโดยหวังจัดการทีเดียวให้อีกฝ่ายต้องไปนอนกับพื้นเช่นเดียวกันกลับพลาดไป ผู้ชายคนนั้นตั้งการ์ดกันฝ่ามือของเขาได้ทัน เขาตามไปซัดหมัดซ้ำ แต่ฝ่ายนั้นก็ป้องกันเขาได้ทุกหมัดเช่นเดียวกัน ก่อนจะต้องยกเท้าเตะกันคนที่รุมเข้ามาอีกด้าน ส่วนสายตาพลางมองมนุษย์ที่ตนเองต้องดูแลคุ้มครองไปด้วย

ฝีมือของชวิศาอยู่ในเกณฑ์ที่เอาตัวรอดได้ เมื่อชายหนุ่มอีกสองคนย่างเท้าเข้ามาหาต้องการจับกุมตัวเขา ชายหนุ่มสามารถออกหมัดและเท้ากันฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ถึงตัวได้ เขาได้เห็นประโยชน์ในกีฬาของพี่โยที่บังคับให้เขาเล่นก็คราวนี้ และเมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเขาพอมีฝีมือในการต่อสู้เช่นกัน สองคนนั้นจึงจดจ้องอยู่ห่างๆมากขึ้น 

มาริเอะกลับมายืนพิงหลังกับชวิศาอีกรอบเมื่อล้มไปได้อีกหนึ่ง ระดับพลังงานลดลงเหลือที่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาไม่มีเหงื่อ หยดน้ำซึ่งถูกเรียกว่าเหงื่อจะถูกสร้างให้เกาะอยู่บนผิวหนังเฉพาะการใช้งานฟังก์ชั่นเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ผิวหนังที่โดนกระแทกและฉีกขาดปรากฏฟ้องความเสียหายอยู่ในระบบ

หลังจากที่เพื่อนร่วมกลุ่มโดนชายหนุ่มหุ่นเพรียวบางล้มไปถึงสองคน อีกสามคนที่เหลือจึงระแวดระวังมากขึ้น

ต่อมาหนึ่งในนั้นเอ่ยคำภาษาโบราณที่มาริเอะไม่รู้จัก วาดมืออยู่บนอากาศ แต่เนื่องจากมาริเอะเปิดใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน เขาจึงเห็นคลื่นความร้อนในระดับต่ำรูปร่างคล้ายบ่วงเคลื่อนที่จากด้านบนลงมาหา เขาคว้ามือชวิศากระชากหลบไปอีกด้าน ไอ้บ่วงที่ว่านั้นก็ถูกเคลื่อนตามมา มาริเอะจึงฟันสันมืออย่างรวดเร็วลงไปบนคลื่นความร้อนที่เห็น ชายที่เป็นเจ้าของมนตรานั้นชะงักผงะไป พาให้อีกสองคนที่เหลือหน้าตาตื่น หุ่นยนต์สมองกลเห็นว่าเป็นจังหวะที่ดีจึงคว้าชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างกันวิ่งหนี ทว่าเพียงแค่หันหลังกลับ พื้นที่ตรงหน้าพลันระเบิดตูม ประกายแสงความร้อนสะท้อนเข้าตาจนต้องชะงักเท้า

มาริเอะหันหลังกลับ กระโจนเข้าหาสามคนที่เหลือนั่นอีกรอบ

สัญญาณการติดต่อจากสเตบาสเตียนเงียบหายไปเหมือนอีกฝ่ายถูกปิดระบบ เท่ากับว่าเขาจะยังติดต่อให้ใครมาช่วยเหลือไม่ได้จนกว่าอีกฝ่ายจะกลับมาทำงานอีกครั้ง มาริเอะใช้ความเร็วสูงสุดฟันสันมือเข้าจุดตาย สามคนที่เหลือทรุดลงกองกับพื้นพร้อมค่าพลังงานที่ลดลงเหลือสามสิบเปอร์เซ็นต์

ชวิศาถูกอุ้มจนตัวลอยอีกครั้งเพราะมาริเอะต้องการกลับไปยังวังของเจ้าชายฟาลิฮ์โดยเร็วที่สุด และเพราะเขาไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลกลางที่มีสเตบาสเตียนเป็นแม่ข่ายได้ ระบบสมองกลของมาริเอะจึงได้ดึงแผนที่เมืองที่เคยบันทึกไว้เทียบกับทิศและตำแหน่งที่ตั้งวัง เลือกใช้เส้นทางตรงผ่านป่า ทว่าเขากลับโดนลูกพลังซัดใส่จนต้องล้มกลิ้งไปกับพื้น ระบบขึ้นแจ้งเตือนความเสียหายหลายส่วน ขณะที่ชวิศารีบยันตัวขึ้นยืนเตรียมตั้งรับ มองกลุ่มคนที่มาใหม่ซึ่งเป็นชายสองหญิงหนึ่ง กระนั้นยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ขยับตัวทำอะไร ร่างกายของเขากลับขยับไม่ได้เสียแล้ว

“พวกแกทำอะไร”ชวิศาเผลอร้องถามออกไปเป็นภาษาไทย

“อยู่เฉยๆ ไปกับพวกเราดีๆจะดีกว่า”คราวนี้คำตอบเป็นภาษาอังกฤษชัดเจนคล่องแคล่ว

“ต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่”ชวิศาถามกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน

“ถ้าอยากรู้ก็ต้องไปด้วยกัน”ฝ่ายนั้นตอบก่อนจะยกมือโบกทีเดียวทำให้มาริเอะซึ่งกำลังพุ่งเข้าไปหากระเด็นไปไกล

“คุณมาริ อย่าทำเขานะ”ชวิศาร้องบอก

“งั้นก็บอกให้มันอยู่เฉยๆสิ”

“ได้ ฉันยอมแล้ว แต่ปล่อยให้ฉันไปดูเขาก่อน”เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป ชวิศาจึงสามารถขยับตัวได้อีกครั้ง เขารีบวิ่งเข้าไปหามาริเอะ ประคองร่างที่มีใบหน้าเหมือนกันตนขึ้นมา พลางเอ่ยถามเป็นภาษาไทยว่า

“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

“ระดับพลังงานเหลือสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ระบบเซ็นเซอร์ใต้ผิวหนังเทียมโดนทำลาย โครงสร้างหลักของร่างต้นแบบยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ระบบควบคุมการทำงานอยู่ในภาวะไม่เสถียร”

“คุณมาริ”ชวิศาร้องครางออกมา “ไปกับพวกเขาก่อนนะ แล้วค่อยคิดหาทางกันอีกที”

“รับทราบครับ”มาริเอะตอบรับก่อนจะปิดเปลือกตาลง สั่งรีเซ็ตระบบควบคุมทั้งหมดอีกครั้ง

ชวิศาแบกมาริเอะขึ้นบ่า น้ำหนักของร่างหุ่นยนต์สมองกลเบาอย่างไม่น่าเชื่อ เขาหันไปบอกทั้งสามคนนั้นว่าพร้อมแล้ว ผู้หญิงหนึ่งเดียวคนนั้นจึงตั้งแขนกางมือกับอากาศเบื้องหน้า อีกวินาทีต่อมาประตูลวดลายแปลกตาจึงปรากฏขึ้น ชายคนนั้นผายมือให้เขาเดินผ่านประตูเข้าไป และทันทีที่ก้าวเท้าผ่านประตู ชวิศาได้พบกับห้องว่างซึ่งไม่มีสิ่งใด ทั้งที่ไม่มีอุปกรณ์ให้แสงสว่างใดๆแต่ภายในห้องกลับสว่างมองเห็นทุกสิ่ง ผนังเป็นสีน้ำตาลคล้ายทำจากดินหรืออิฐ ไม่มีหน้าต่าง และเมื่อหันหลังกลับไป ประตูบ้านนั้นได้หายไปแล้ว



สุดฟ้าร้องโวยวายทำท่าจะกระโดดลงไปในหลุมสีดำซึ่งถูกล้อมรอบด้วยอักขระเวทย์ ยังดีว่าองครักษ์ของเจ้าชายฟาลิฮ์คนหนึ่งได้คว้าตัวเขาไว้เสียก่อน ก่อนจะมีองครักษ์อีกคนกระโดดลงไปคว้าตัวสเตบาสเตียนกลับมาให้ กระนั้นทุกอย่างเป็นไปด้วยความทุลักทุเลเพราะตัวของสเตบาสเตียนแสนหนักอึ้ง กว่าจะนำพาร่างของหุ่นยนต์พ่อบ้านกลับมาอีกฝั่งหนึ่งได้ เล่นเอาหอบเหนื่อยไปตามๆกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ในห้องที่พวกเขารวมตัวกันอยู่จะดูเหมือนว่าทุกอย่างเป็นปกติ แต่ทว่าภายใต้ท้องฟ้าสีครามซึ่งปกคลุมเมืองฮัชดาลลาร์กลับปรากฏแสงเรืองรองจางๆ ครอบคลุมทั้งเมืองอีกครั้ง สรรพสัตว์น้อยใหญ่ต่างรับรู้ได้ถึงพลังอันมหาศาลซึ่งโอบอุ้มดูแลเมืองทั้งเมืองไว้ ไม่ต่างจากนักเวทย์ชั้นสูงในเมืองที่รับรู้พลังของศิลาสารพัดนึกได้พร้อมเพรียงกัน และนั่นทำให้หญิงสาวผู้มีพลังจอมเวทย์ซึ่งเป็นผู้กำกับคาถามนตราพิทักษ์มาอย่างยาวนานได้ลืมตาขึ้น

ขณะที่เจ้าชายรัชทายาททรงเงยพระพักตร์ขึ้นรับรู้ด้วยดวงเนตรแห่งจิตถึงพลังของศิลาที่โอบล้อมไปทั้งเมือง

ส่วนสุดฟ้าได้แต่เมียงมองเดินวนรอบร่างหุ่นยนต์พ่อบ้าน เพราะโดนกระแสไฟรบกวนการทำงานของระบบ สเตบาสเตียนจึงนอนหลับตาเหมือนคนตาย อันที่จริงถ้าปล่อยทิ้งไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมง ระบบของสเตบาสเตียนจะถูกรีเซ็ตกลับมาทำงานได้อีกครั้ง เพียงแต่สเตบาสเตียนเป็นแม่ข่ายหลักในการเชื่อมต่อระบบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรือดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ของเขาก็กลายเป็นสากกะเบือปาหัวหมาไปแล้ว

ชายหนุ่มหยุดจ้องมองที่มือของสเตบาสเตียน ที่มือขวานั้นมีหินทรงกลมใส ซึ่งเหมือนมีควันสีแปลกตาลอยวนเวียนอยู่ภายใน ชายหนุ่มจึงจับข้อมือของหุ่นยนต์พ่อบ้านพยายามยกขึ้นให้อยู่ในระดับสายตา ทว่ามันกลับหนักจนยกไม่ขึ้น เขาจึงเปลี่ยนไปแกะนิ้วของสเตบาสเตียนออกแทน กระนั้นแรงกายของเขากลับไม่ทำให้มันขยับสักนิด

“เฮ้ย แกสองคนมาช่วยกันหน่อยดิ๊”สุดฟ้าร้องบอกฝาแฝด

“ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสบอก “เพราะมีจักระแปลกปลอมเข้าใกล้ศิลาตามเวทย์เงื่อนไขที่ผู้ถือครองศิลาคนก่อนได้ร่ายใส่ศิลาไว้”

“ถ้าอย่างนั้น แกสองคนตามเดย์กับน้ำมา”สุดฟ้าหันไปบอกฝาแฝด ประโยคต่อมาเขาหันไปทูลกับเจ้าชายรัชทายาท “ขอให้พระองค์เตรียมแท่นวางศิลาให้ด้วยครับ”

พักใหญ่ๆต่อมาพวกเขาจึงออกไปจากห้องนั้น ปล่อยให้น้ำซึ่งธัชนนท์เป่ายิ้งฉุบแพ้นำศิลาสารพัดนึกออกจากมือของสเตบาสเตียนไปวางบนแท่นรองที่เจ้าชายฟาลิฮ์จัดหามาให้ พวกเขายืนมองจากนอกประตู และเมื่อปฏิบัติการของน้ำเรียบร้อย สุดฟ้าจึงก้าวเท้ากลับเข้าไปภายใน และลองจับมือสเตบาสเตียนยกขึ้น

“เป็นอันว่าพวกเรานำศิลามาคืนฮัชดาลลาร์เรียบร้อยแล้วนะครับ”ธัชนนท์ทูลกับเจ้าฟาลิฮ์ด้วยภาษาอังกฤษ

“ครับ ขอบคุณมาก”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับไปที่เรือนรับรองแล้วนะครับ”สุดฟ้าพูดเป็นภาษาอังกฤษทูลบอกเจ้าชาย ส่วนประโยคต่อมาเขาหันไปพูดภาษาไทย “น้ำกับเดย์มาช่วยยกสเตบาสเตียนหน่อย”

หุ่นยนต์สองตนจึงยืนคนละฝั่ง น้ำยกแขนและเดย์ยกขา

“เฮ้ยๆ อย่ายกอย่างนั้น”สุดฟ้าร้องปรามเสียงหลงเพราะลักษณะการยกร่างหุ่นยนต์แบบนั้น อาจจะทำให้โครงสร้างช่วงข้อต่อเสียหายได้

“วางลงก่อน เอาอย่างนี้ เดย์นายนั่นแหละมาแบกสเตบาสเตียนขึ้นหลังซะ”

เดย์จึงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตามคำสั่ง แบกร่างหุ่นยนต์พ่อบ้านขึ้นหลัง ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ก้าวเท้าไปไหน จอมเวทย์สาวผู้ซึ่งเพิ่งลืมตาตื่นก็ได้เร่งรีบก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ร่างกายที่เคยหลับใหลอย่างยาวนานนับสิบปียังดูปกติเฉกเช่นคนทั่วไป ไม่มีทั้งอาการอาการอ่อนล้าหรืออ่อนเพลีย

“Arbhaka, atithyaH avartata parigRhNIte”

คนที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาราวกับพายุบุแคมเรียกความสนใจของคนต่างถิ่นได้ดี โดยเฉพาะสุดฟ้าที่ครั้งก่อนแม้ว่าเขาจะเห็นหน้าไม่ชัด แต่ชายหนุ่มกลับจำชุด ลักษณะและเค้าหน้าได้ชัดเจน อย่างไรก็ดี เนื่องจากพวกเขาไม่มีใครฟังภาษาฮัชดาลลาร์ออก หนำซ้ำคนแปลยังแน่นิ่งให้เดย์แบกอยู่บนหลัง สุดฟ้าจึงละความสนใจไปเสีย

“คุณสุดฟ้าครับ”เจ้าชายฟาลิ์ตรัสเรียกพวกเขาไว้ ก่อนจะยกพระหัตถ์แตะอกก้มพระเศียรให้ด้วยท่าทางคล้ายเสียพระทัยปนรู้สึกผิด

“พวกเราต้องขออภัยที่ไม่อาจดูแลความปลอดภัยให้คุณชวิศาและคุณมาริได้”

คำพูดนั้นทำให้ฝาแฝดและสุดฟ้ามองหน้ากัน

“คุณชวิศาและคุณมาริโดนจับตัวไปครับ”

“เฮ้ย!!!!!!!!!!”ทั้งสามคนร้องอุทานออกมาพร้อมเพรียงกัน กระนั้นฝาแฝดคนพี่กลับตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “โดนจับไปเมื่อไหร่ แล้วทราบไหมครับพวกไหนจับไป”

“เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน”

ธัชนนท์ยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา “ถ้าแค่ชั่วโมงเดียวน่าจะยังไปช่วยทัน สุดฟ้าแกตามสัญญาณของมาริได้หรือเปล่า”

“ตามได้ซะที่ไหนล่ะ สเตบาสเตียนนิ่งไปอย่างนี้ ไม่ว่าอะไรก็ใช้ไม่ได้ โอ้ย!!! ทำไมต้องมาเกิดเรื่องวันเดียวกันด้วยวะ”สุดฟ้าทึ้งศีรษะด้วยความหงุดหงิด ซ้ำยังบ่นไม่หยุด“ไม่น่าใช้ให้สเตบาสเตียนมาทำงานอะไรแบบนี้เลยเว้ย”

“หยุดพูดได้แล้วน่า”ธัชนันท์ส่งเสียงห้าม

“งั้นพอจะทราบไหมครับว่าพวกนั้นเป็นใคร แล้วตอนนี้ออกจากฮัชดาลลาร์ไปหรือยัง”ธัชนนท์ทูลถามต่อ

“คนพวกนั้นเป็นกลุ่มกบฏของฮัชดาลลาร์ครับ ส่วนคุณชวิศาและคุณมาริตอนนี้น่าจะอยู่นอกฮัชดาลลาร์แล้ว ในกลุ่มคนพวกนั้น มีนักเวทย์ที่ใช้คาถาเคลื่อนย้ายมิติได้เหมือนกัน”

“เท่ากับว่าตอนนี้ไม่รู้เลยว่าสองคนนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไร”

เจ้าชายฟาลิฮ์หันไปตรัสพูดคุยกับนักเวทย์คนนั้น ก่อนจะบอกแก่เจ้าของคำถามว่า “น่าจะยังปลอดภัยดีทั้งคู่ครับ เพราะคนพวกนั้นไม่ได้ใช้เวทย์โจมตีร้ายแรง เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงครับ ไม่ว่าอย่างไรทางเราต้องดำเนินการช่วยเหลือคุณชวิศาและคุณมาริมาให้ได้”

“ช่วยเหลืออะไรวะ ทั้งที่เรื่องเกิดในเมืองแท้ๆยังทำอะไรไม่ได้”

ฝาแฝดคนน้องตบศีรษะสุดฟ้าดังผลัวะให้เจ้าตัวปากเปราะหยุดพูด แล้วพูดว่าเป็นภาษาไทย “ฉันรู้ว่าแกกำลังอารมณ์เสียที่ทั้งของทั้งคนของแกหาย แต่ก็ไม่ควรพูดจาหมาๆลามปามเจ้าของบ้านแบบนี้ ถ้าเรื่องนี้ใครจะผิดก็แกนั่นแหละ รับปากทำงานอะไรมั่วซั่ว”

“เออๆ ฉันมันทำอะไรก็ผิด”

ธัชนันท์กุมขมับเมื่อเพื่อนสนิทร่างสูงไม่แพ้ตนเริ่มจะเข้าโหมดงอแง แล้วคว้าคอเสื้อไม่ให้อีกฝ่ายหนีหายไปไหน

“รีบพามันกลับไปซ่อมสเตบาสเตียนเหอะว่ะ มันจะได้ไม่งี่เง่าไปกว่านี้”ธัชนนท์พูด แล้วหันไปขอพระราชอนุญาตให้น้องชายพาสุดฟ้ากลับไปเรือนรับรอง

คล้อยหลังทั้งสองคน ธัชนนท์จึงหันกลับมาสนทนากับเจ้าชายรัชทายาทต่อ

“เรื่องนี้พระองค์ทราบได้อย่างไรครับ พวกนั้นส่งข้อความเรียกร้องมาแล้วหรือ”

เจ้าชายจึงผายพระกรไปทางหญิงสาวผู้เป็นจอมเวทย์ “ท่านนี้คือองค์ราชินีผู้ซึ่งร่ายคาถามนตราพิทักษ์คอยปกปักดูแลฮัชดาลลาร์ช่วงที่ศิลาสารพัดนึกถูกขโมยไป”

ธัชนนท์จึงก้มศีรษะคำนับ

“พระองค์คอยดูแลความเรียบร้อยในเมือง ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ องค์ราชินีจะเข้าไปช่วยเหลือทันที แต่ในสองสามปีหลัง พระองค์ทำได้แค่ส่งข้อความให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบไปช่วยดำเนินการ ตอนที่ทหารของเราไปถึงพวกนั้นก็ได้ส่งคุณชวิศาและคุณมาริไปที่อื่นแล้ว และถึงทางเราจะปะทะกับอีกฝ่ายแต่ก็ไม่สามารถจับตัวได้ครับ”

สิ่งที่ธัชนนท์กังวลใจไม่ใช่หุ่นยนต์ของสุดฟ้า แต่เป็นชวิศาต่างหาก เพราะเขาไม่รู้ว่าโยธินติดต่อพูดคุยกับชวิศาบ่อยแค่ไหน ถ้าโยธินติดต่อน้องชายสุดหวงไม่ได้นานๆเข้าล่ะ เป็นเรื่องแน่

“ทราบไหมครับ ว่าพวกนั้นต้องการจับใครกันแน่ แล้วจับทั้งสองคนไปเพราะอะไร”

“เรื่องเป้าหมายเรายังไม่ทราบครับ แต่คิดว่าน่าจะตั้งใจจับคุณชวิศา องค์ราชินีทรงตรัสว่า พวกนั้นต่อรองให้คุณชวิศาไปกับพวกเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการไม่ทำร้ายคุณมาริ”

“เอ๊ะ”

“เท่าองค์ราชินีเห็น คุณมาริน่าจะบาดเจ็บสาหัส”

บาดเจ็บสาหัส? เสียหายรุนแรง? เป็นไปได้ด้วยเหรอ ธัชนนท์นึกสงสัยอยู่ในใจ เพราะไม่คิดว่าสุดฟ้าจะสร้างหุ่นยนต์ของรักของหวงให้เปราะบางขนาดนั้น เดย์กับน้ำยังสู้กับผู้ร้ายได้สบายๆ

“แต่คุณมาริเป็นหุ่นยนต์?”เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงตรัสออกมา

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะครับ คิดว่าเจ้าชายก็คงทราบว่าคุณชวิศาเป็นน้องของคุณโยธิน  ภูสิทธ์วรโชติ พวกเราต้องช่วยคุณชวิศาให้ได้ก่อนที่เรื่องนี้จะรู้ถึงหูผู้ชายคนนั้น”

“ครับเรื่องนั้นผมเข้าใจ”

จบประโยคนั้น เจ้าชายทรงหันไปสนทนากับองค์ราชินี แล้วพากันลุกขึ้นสาวพระบาทไปใกล้แท่นวางศิลาสารพัดนึก ธัชนนท์จึงเดินตามไปด้วย

“จะทำอะไรหรือครับ”

“ลองใช้ศิลาหาที่อยู่ของคุณชวิศากับคุณมาริครับ”

องค์ราชินีผู้ซึ่งเป็นจอมเวทย์ยื่นมือออกไปใกล้ศิลาสารพัดนึก กล่าวคาถาด้วยถ้อยคำที่ธัชนนท์ไม่รู้จักอีกแล้ว จากนั้นศิลาจึงส่งแสงเรืองรองและปรากฏภาพพร่ามัวลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขา

“หมายความว่าอย่างไรครับ”

“ทั้งสองคนไม่ได้อยู่ ณ ที่ใดๆบนโลกใบนี้ครับ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สิบเก้า 14/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-05-2017 19:26:07
บทที่สิบเก้า



“ไม่ได้อยู่ ณ ที่ใดๆบนโลกนี้หมายความว่าอย่างไรวะ”สุดฟ้าวางมือจากงานที่ทำอยู่และหันมาถามเขา ธัชนนท์ผ่อนหายใจก่อนจะตอบว่า

“เจ้าชายทรงตรัสว่า ทั้งสองคนน่าจะถูกขังอยู่ในมิติที่นักเวทย์ของฝ่ายนั้นสร้างขึ้น”

“อ้าว แล้วพลังของศิลาสารพัดนึกทำอะไรไม่ได้หรือวะ”สุดฟ้าถามอย่างข้องใจ ถึงจะพอเข้าใจการทำงานของศิลาสารพัดนึก แต่มันยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ

“มันต้องใช้เวทย์ที่แทรกแซงมิติของผู้อื่น พลังของศิลาถึงจะใช้ได้ แต่เวทย์คาถาพวกนี้มีคนฝึกน้อยมาก เจ้าชายเลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปหาตำรามนตรามาให้”

“กว่าจะหาเจอสองคนนั้นไม่ซี้ม่องเท่งไปแล้วเหรอ”สุดฟ้าพูดขณะหันไปคีย์คำสั่งลงบนหน้าจอดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ซึ่งเชื่อมต่อโดยตรงกับแผงวงจรหลักของสเตบาสเตียน เขียนคำสั่งหาพิกัดตำแหน่งของมาริเอะ ระบบสัญญาณการเชื่อมต่อในวงแลนเดียวของสุดฟ้า เป็นระบบไร้สายในคลื่นความถี่พิเศษ เป็นสัญญาณเข้ารหัสจากอุปกรณ์ที่เขาฝากติดไว้กับสถานีอวกาศของนาซ่า เขากำหนดให้สเตบาสเตียนเป็นแม่ข่ายเพื่อเก็บข้อมูลการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นไฟร์วอลล์ดักจับไวรัสและพวกอยากลองดีชอบขโมยข้อมูลคนอื่น นั่นเพราะสเตบาสเตียนอยู่กับเขามานาน ระบบคำสั่งต่างๆค่อนข้างสมบูรณ์เนื่องจากผ่านการปรับแก้โปรแกรมมาหลายครั้ง

“เจอล่ะ”สุดฟ้าร้องบอกเมื่อพิกัดของมาริเอะปรากฏอยู่บนหน้าจอ เขาดึงหน้าต่างโปรแกรมแผนที่เปิดขึ้นมา ป้อนตัวเลขพิกัดและกดเอ็นเทอร์ (Enter) เมื่อเห็นฝาแฝดขยับเข้ามาใกล้ สุดฟ้าจึงดึงมุมหน้าจอไลท์มอนิเตอร์ให้ขยายกว้างขึ้นอีก

“ห่างจากฮัชดาลลาร์ไปไม่ไกลเนี่ยนะ บนแผนที่มีแต่ทะเลทรายไม่ใช่เหรอวะ”ธัชนันท์ถาม

สุดฟ้าขมวดคิ้วเขม็งมอง “ไม่รู้ว่ะต้องไปดู พวกแกรออีกเดี๋ยว ฉันแก้ไขสเตบาสเตียนจะเสร็จแล้ว”

“แล้วแกรู้ไหม ว่าตอนนี้มาริเป็นอย่างไรบ้าง องค์ราชินีเห็นว่ามาริเสียหายหนัก”

สุดฟ้าจึงเปิดหน้าต่างคำสั่งอีกบานขึ้นมา รัวนิ้วเขียนคำสั่งดึงสถานะการตรวจสอบร่างต้นแบบของมาริเอะขึ้นมา “ที่มีปัญหาคือพลังงาน โครงสร้างร่างกายช่วงข้อต่อชำรุดนิดหน่อย เฮ้ย!!! ไม่หน่อยแล้วนี่หว่า”ชายหนุ่มร้อง เมื่อเห็นรายการความเสียหายของมาริเอะขึ้นเรียงเต็มพรืด

“แม่งไปทำอะไรมาวะ จำได้ว่าเขียนโปรแกรมให้หนีเป็นอันดับแรกนะเว้ย”

“เออ ฉันโคตรสงสัย ตกลงว่าเสียหายเยอะจริงหรือวะ ฉันนึกว่าแกจะสร้างมาริให้แข็งแกร่งแบบคนเหล็กซะอีก”ธัชนนท์ถาม

“โครงสร้างอ่ะเป็นอะลูมิเนียมเบริลเลียม น้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ไม่เป็นสนิม แต่ฉันอยากทำให้คล้ายมนุษย์มากๆ เลยใส่ชิ้นส่วนช่วงข้ออีกเพียบเพื่อให้ทำงานได้สมูธเหมือนคนจริงๆ อย่างที่มือ มีเซ็นเซอร์ที่นิ้ว นิ้วละสามตัว ที่ฝ่ามืออีกหก มีเวลาจับพวกแก้วหรือของแตกง่ายเลยทำได้ไม่มีปัญหา ส่วนพวกกลไกการเคลื่อนที่ฉันติดเซอร์โวมอเตอร์ที่มีแรงขับสูงเข้าไป แต่ว่าในชีวิตประจำวัน จะใช้กำลังมอเตอร์อยู่ที่สิบหรือไม่เกินยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้ว่ามาริคงจะใช้แรงขับมอเตอร์มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ พวกชิ้นส่วนช่วงข้อต่อจึงทนความร้อนจากแรงเสียดสีไม่ได้”

“แล้วแกใส่มอเตอร์แรงขับสูงๆไว้ทำไมในเมื่อชิ้นส่วนของแกมันทนแรงเสียดสีไม่ได้”

“ก็ฉันตั้งใจว่าจะทดลองและพัฒนาต่อ แต่มาริกลับโดนแฮพเปลี่ยนตัวกับชวิศาเสียก่อน”สุดฟ้าตอบกลับด้วยความหงุดหงิดไม่แพ้กัน

“เออๆ แล้วนี่พวกเราจะไปหาสองคนนั้นกันเลยใช่ไหม”ธัชนนท์เอ่ยปากขัดยั้งไม่ให้น้องชายฝาแฝดและสุดฟ้าไม่ให้เถียงกันมากไปกว่านี้

“เออ รอแป็บ”สุดฟ้ากลับไปเขียนข้อความคำสั่งเพื่อแก้ไขสเตบาสเตียนต่อ ไม่นานนักหุ่นยนต์พ่อบ้านก็ได้ลืมตาขึ้น

“ชื่อร่างต้นแบบ สเตบาสเตียน ตรวจสอบการทำงานของโครงสร้าง แขนขวา”เสียงนุ่มทุ้มของหุ่นยนต์พ่อบ้านดังขึ้น จากนั้นร่างหุ่นยนต์จึงขยับส่วนต่างๆตามที่เอ่ยแจ้ง จนครบทุกส่วน สุดฟ้าจึงเก็บสายที่เชื่อมต่อระหว่างสเตบาสเตียนกับไลท์มอนิเตอร์และสั่งให้สเตบาสเตียนลุกขึ้นนั่ง

“ตรวจสอบการเชื่อมต่อ”สุดฟ้าเอ่ยสั่ง หุ่นยนต์ระบบสมองกลเอ่ยทวนคำสั่งซ้ำ ขณะที่สุดฟ้าเชื่อมต่อดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์เข้ากับเครือข่ายไร้สายเช่นเดิม

“ภาพกล้องวงจรปิด”ชายหนุ่มออกทำสั่งอีกครั้ง ภาพจากกล้องซึ่งถูกติดตั้งไว้รอบบ้านของเขาจึงถูกแสดงอยู่บนหน้าจอ จากนั้นภาพที่แสดงจึงค่อยๆเปลี่ยนไป เป็นภาพที่ถูกดึงมาจากกล้องของรัฐที่ถูกติดไว้ตามถนน สุดฟ้าเห็นว่าระบบการเชื่อมต่อไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงเปลี่ยนคำสั่งอื่น

“ติดต่อกับมาริได้หรือเปล่า”

สเตบาสเตียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวตอบว่า “ได้ครับ คุณมาริแจ้งว่าอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมว่างๆครับ ไม่มีทั้งประตูและหน้าต่าง”

“โอเค งั้นเดี๋ยวพวกเราไปลองดูกันก่อน”ธัชนนท์เอ่ยบอก เขาคิดว่าถ้าได้เห็นสถานที่จริงคงจะพอหาทางช่วยได้

การเดินทางของพวกเขาไปยังเป้าหมายพิกัดใช้มอเตอร์สเปซของสุดฟ้าเช่นเคย พ้นเขตเมืองฮัชดาลลาร์พื้นที่รอบด้านล้วนเป็นทะเลทรายเวิ้งว้าง พวกเขาอยู่บนอากาศยานมองดูจากที่สูงพื้นที่ด้านล่างยังพบเพียงภูเขาหินสีแดงและสันทรายสุดลูกหูลูกตา

ใช้เวลาไม่นานนักพวกเขาได้มาถึงจุดหมาย

“ภาพพื้นที่ด้านล่าง”สุดฟ้าสั่งให้สเตบาสเตียนดึงภาพพื้นที่โดยรอบก่อนจะนำเครื่องลงจอด ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอยังเป็นทะเลทรายราบไม่มีตึกอาคารใด

“ลงไปดูเลยไหม”สุวราลักษณ์คนน้องเอ่ยถาม เจ้าของอากาศยานจึงออกคำสั่งให้นำเครื่องลงจอด ลงมาจากพาหนะ มองไปทางไหนยังมีแต่ทราย

“จุดนี้แน่เหรอ”ธัชนนท์เอ่ยถาม

“ยืนยันพิกัดนี้แน่นอนครับ”สเตบาสเตียนเอ่ยย้ำยืนยัน

“หรืออยู่ใต้ดิน”

“ลำบากอีกล่ะ”สุดฟ้าบ่น กระนั้นยังเดินไปยังด้านท้ายของมอเตอร์สเปซ กดปุ่มเปิดฝากระโปรงซึ่งปรากฏให้เห็นอุปกรณ์มากมายเรียงรายอยู่ จากนั้นจึงหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา มันมีลักษณะเป็นทรงกระบอกปลายแหลมคล้ายลิ่ม จากนั้นจึงนำมันส่งให้หุ่นยนต์พ่อบ้านเพื่อปักลงบนพื้นดิน สเตบาสเตียนกดปุ่มเปิดการทำงานของมันก่อนจะก้าวถอยออกมา

“สเตบาสเตียนขยับรถด้วย”สุดฟ้าเห็นว่าจุดจอดของมอเตอร์สเปซนั้นใกล้กับจุดที่ปักลิ่มไว้ เขาจึงเอ่ยออกคำสั่งเช่นนั้น สเตบาสเตียนยืนนิ่งขณะระบบสมองกลใช้โปรแกรมคำสั่งให้ยานยนต์เคลื่อนถอยห่าง

“พวกแกด้วย”

พี่น้องสุวราลักษณ์จึงถอยหลังออกไป สุดฟ้าหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมากดเปิดการทำงาน ดึงหน้าต่างโปรแกรมขึ้นมาคีย์ข้อมูลคำสั่ง หลังจากกดปุ่มตกลงพื้นที่โดยรอบที่ปักลิ่มไว้จึงหายไปเป็นวงกว้าง รูปลักษณ์เป็นวงกลมทรงกระบอกยาวลึกลงไปใต้พื้น ส่วนอุปกรณ์ของชายหนุ่มยังปักอยู่ที่พื้นก้นหลุม

ธัชนันท์เดินเข้ามาดูใกล้ หลุมนั้นกว้างแค่ประมาณหนึ่งเมตร ลึกไปแค่ราวๆห้าสิบเซนติเมตรเท่านั้น

“ถอยไป ฉันจะขยายความกว้าง”

ฝาแฝดคนน้องก้าวถอยหลังซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พื้นโดยรอบโดนแรงอันมหาศาลดันให้หลุมนั้นขยายกว้างออกไป ความลึกของหลุมเพิ่มขึ้นอีก

พวกเขาขยับเท้าเข้ามาดู ยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดนอกจากทราย

“ด็อกเตอร์ครับ พิกัดของคุณมาริมีการขยับเคลื่อนที่เล็กน้อยครับ”

“เคลื่อนที่?”

เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่เห็นอะไรสักอย่างนอกจากทราย

สเตบาสเตียนเดินไปยังตำแหน่งพิกัดของมาริเอะจุดล่าสุด เขาโน้มหน้ามองหาที่มาของตำแหน่งสัญญาณ และได้พบสิ่งของบางอย่างแทรกตัวอยู่ทรายสีน้ำตาลแดง เขาจึงแทงมือเข้าไปในพื้นดินทรายบริเวณข้างหลุม เนื่องจากสุดฟ้ายังเปิดการใช้งานอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการสร้างหลุม ด้วยแรงอัดอันมหาศาล หากยื่นมือเข้าไปใกล้ มือของสเตบาสเตียนคงต้องแหลกละเอียด

“นี่ครับ ที่มาของสัญญาณของคุณมาริเอะ”

สุดฟ้ารีบเดินเข้าไปหาคว้าสิ่งของในมือของสเตบาสเตียนขึ้นมาดู ของชิ้นนั้นเป็นเพียงแผ่นไม้รูปหกเหลี่ยมธรรมดา ด้านหนึ่งเป็นผิวเรียบ อีกด้านมีอักษรหรือสัญลักษณ์ที่พวกเขาไม่รู้จัก

อุปกรณ์ส่งสัญญาณของมาริเอะถูกติดตั้งอยู่บนแผงควบคุมหลัก ถ้าสัญญาณของมาริเอะมาจากแผ่นไม้นี่ไม่เท่ากับว่ามาริเอะถูกแยกส่วนไปแล้วหรือ แต่แผ่นไม้ที่ว่าหนาแค่ประมาณหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น ไม่มีสลักหรือเกลียวที่บอกว่าข้างในสามารถเป็นกล่องใส่ของได้

“กลับกันเถอะ เอาของนี่ไปให้เจ้าชายดูกัน”

พวกเขาต่างเห็นด้วยกับความคิดนี้

สุดฟ้าจึงพิมพ์คำสั่งบนหน้าจอไลท์มอนิเตอร์อีกครั้ง สั่งให้ปิดการทำงานของลิ่มขุดพื้น เมื่อไม่มีสนามพลัง ทรายเหล่านั้นจึงไหลไปยังพื้นที่ว่างซึ่งต่ำกว่า ทำให้คลุมทับอุปกรณ์  สุดฟ้าป้อนคำสั่งอีกครั้งให้ลิ่มขุดพื้นดันตัวออกมาจากทรายลอยสูงจากพื้นในระดับสายตา คีย์คำสั่งปิดสนามพลังที่ทำให้อุปกรณ์ชิ้นดังกล่าวลอยตัว ขณะที่มันร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วง เขาจึงเดินเข้าไปรับมันไว้ และนำไปเก็บที่กระโปรงท้ายเช่นเดิม

พวกเขากลับไปถึงพระราชวังราซาห์ไม่นานหลังจากนั้น และเมื่อของเข้าเฝ้าเจ้าชายรัชทายาท ผู้มีศักดิ์สูงกว่าได้ให้พวกเขาเข้าพบได้ทันที

“กำลังจะไปหาอยู่พอดีครับ ผมได้คนศึกษาเวทย์มิติเวลามาแล้ว”เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงตรัสอย่างกระตือรือร้น นอกจากต้องการรับผิดชอบที่แขกถูกลักพาตัวในเขตการปกครองของพระองค์แล้ว การคบหาเป็นสหายกับสุดฟ้า และสองพี่น้องตระกูลสุวราลักษณ์เป็นเรื่องที่มีแต่ประโยชน์ ฉะนั้นพระองค์จึงไม่นิ่งนอนใจที่จะช่วยเหลือพวกเขา

“เธอชื่อพาลิมาครับ”

คนที่เจ้าชายแนะนำให้พวกเขารู้จักเป็นเด็กสาวที่ดูจากหน้าตาแล้วอายุยังน้อย เธอก้มศีรษะคำนับพวกเขาอย่างนอบน้อม

“ถ้าอย่างนั้นผมอยากให้เจ้าชายดูนี่ก่อนครับ”สุดฟ้าพูดพลางส่งแผ่นไม้รูปหกเหลี่ยมไปให้ และทันทีที่เห็นข้อความที่เขียนไว้ ทรงตรัสออกมาว่า “ห้อง”

“เอ๊ะ? อะไรหรือครับ”ธัชนนท์ถาม

“อักษรที่เขียนอยู่บนนี้ครับ”ทรงตรัสบอกก่อนส่งให้พาลิมาได้พิจารณาดู ทว่าจังหวะนั้นเอง สเตบาสเตียนกลับพูดออกมาว่า

“ด็อกเตอร์ครับ ตำแหน่งพิกัดของคุณมาริเปลี่ยนไปแล้วแล้วครับ”

“เอ๊ะ!!!!!”ทั้งสามคนร้องอุทานออกมาพร้อมกัน เนื่องจากสเตบาสเตียนพูดบอกพวกเขาเป็นภาษาอังกฤษ นั่นทำให้เด็กสาวเจ้าของนามพาลิมาเข้าใจข้อความประโยคนั้นด้วย เธอรีบคว้าแผ่นไม้นั้นมาถือไว้ เธอขยับปากพึมพำอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้นมาว่า

“องค์รัชทายาท ตอนนี้มันกลายเป็นแค่แผ่นไม้ธรรมดาแล้วเพคะ”

“อย่างไรรึ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถาม

“เท่าที่หม่อมฉันเห็น แผ่นไม้นี้น่าจะคือหมุนเวทย์สำหรับการกระโดดและสร้างพื้นที่มิติเวทย์ ท่านดาบุลลาจะใช้วงแหวนอักขระเวทย์ในการสร้างประตูและส่งจิตไปยังพื้นที่เป้าหมาย ขณะที่นักเวทย์ผู้นี้จะใช้ประตูเวทย์เปิดไปยังห้องมิติที่ตนได้ทิ้งไว้ในที่ต่างๆ”เธอพูดตอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งสิ้น กระนั้นฝาแฝดและสุดฟ้ายังไม่เข้าใจมากนัก

“พวกคุณเจอแผ่นไม้นี้ได้อย่างไรครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถามผู้นำแผ่นไม้นี้มา

“ผมหาพิกัดของมาริจากอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งที่ผมติดไว้ครับ”

“นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ ทีนี้ก็เป็นการง่ายที่เราตามหาพวกเขาทั้งสอง”เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงแย้มพระสรวล ก่อนจะทรงเอ่ยพระราชรับสั่งให้บาซิม ชายหนุ่มผู้เป็นราชองครักษ์ติดตามพระองค์จัดเตรียมกำลังคนเพื่อไปช่วยเหลือราชอาคันตุกะที่ถูกจับตัวไป

“ระหว่างรอผมจะอธิบายเรื่องมิติเวทย์ที่พาลิมาพูดเมื่อสักครู่ครับ”พระองค์หันไปตรัสกับสุดฟ้าและสองพี่น้องฝาแฝด “มิติเวทย์จะเป็นการสร้างช่องว่างในมิติที่หนึ่งถึงมิติที่สาม เพื่อเปลี่ยนแปลงการกระจัด มิติเวทย์ของนักเวทย์ที่จับตัวคุณชวิศาและคุณมาริไป เป็นรูปแบบของการปักหมุดบนแผนที่แล้วกระโดดไปหาหมุดพวกนั้น สิ่งที่นักเวทย์ที่ใช้เป็นอันดับแรกคือคาถาป้องกัน ให้ลองนึกถึงไฟร์วอลล์ในระบบคอมพิวเตอร์ เพราะเขาจะสร้างพื้นที่ของตัวเองและใส่ไฟร์วอลล์เพื่อไม่ให้คนอื่นลุกล้ำเข้ามาได้ ถ้าต้องการลุกล้ำเราต้องแฮกเข้าไปหรือใช้เวทย์แทรกแซงมิติ

ก่อนหน้านี้ผมยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเวทย์ประเภทนี้อาจจะสร้างช่องว่างในมิติที่เจ็ดขึ้นไป จึงใช้คำว่า ‘ไม่ได้อยู่ ณ ที่ใดๆบนโลกนี้’ แต่เพราะคุณสุดฟ้าจับสัญญาณตำแหน่งของคุณมาริได้ คราวนี้นับว่าเป็นเรื่องง่ายมากครับ เรื่องตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขาทั้งสองคน ผมจะขอให้คุณสุดฟ้าทำการตรวจเช็ค ส่วนเรื่องที่จะนำตัวพวกเขาออกมาจากมิติเวทย์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางเราเอง”

“ได้ครับ”สุดฟ้าตอบรับ

ไม่นานนัก บาซิมได้เข้ามาแจ้งว่าทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เจ้าชายฟาลิฮ์จึงทรงลุกขึ้นสาวพระบาทนำพวกเขาไปยังลานโล่ง ซึ่ง ณ บัดนี้ ลานนั้นเต็มไปด้วยกริฟฟอนหลายสิบตัว ถูกบังคับตั้งแถวเป็นระเบียบ

“คุณสุดฟ้ามีอากาศยานส่วนตัวใช่ไหมครับ เช่นนั้นขอให้คุณใช้อากาศยานของคุณได้ไหมครับ”

สุดฟ้าหันไปพยักพเยิดกับหุ่นยนต์พ่อบ้านผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลควบคุมอุปกรณ์เทคโนโลยีเกือบทุกอย่างของเขา สเตบาสเตียนยืนนิ่งโปรแกรมคำสั่งให้มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่มายังลานแห่งนี้ ระหว่างนั้นธัชนนท์ถึงทูลถามเจ้าชายว่า

“แล้วนำกริฟฟอนออกไปบินนอกเมืองจะไม่เป็นไรหรือครับ”

“ถ้าเป็นผู้คนแถวนี้จะไม่ค่อนแปลกใจกับฝูงกริฟฟอนหรอกครับ อีกอย่างพวกเราก็มีมนต์พรางตัวด้วย”ขณะที่เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสตอบคำถาม มอเตอร์สเปซค่อยๆเคลื่อนที่ลงมาจอดอย่างนิ่มนวล องค์รัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์จึงผายมือให้พวกเขานำทาง

สุดฟ้าและสองพี่น้องสุวราลักษณ์จึงเดินไปขึ้นยานยนต์ โดยมีสเตบาสเตียนจับจองที่นั่งของพลขับเช่นเคย

“เจ้าชายเตรียมคนไปเยอะเกินไปหรือเปล่าวะ”ธัชนันท์เอ่ยปากพูดเมื่อพวกเข้าเข้ามานั่งในที่นั่งด้านในเรียบร้อย และมอเตอร์สเปซกำลังลอยตัวขึ้น

“คนเยอะย่อมอุ่นใจกว่าละมั้ง แต่ถ้าต้องปะทะจริงๆ พวกเราไม่มีปัญญาสู้เลยนะเนี่ย”ธัชนนท์พูดเช่นนั้นเพราะผู้คนที่ใช้เวทย์คาถาล้วนได้รับการฝึกฝนมากมายกว่าพวกเขา และรู้จักใช้จักระเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย

“ฉันมีของอยู่กระโปรงหลัง แต่ไม่รู้จะใช้ได้มากน้อยแต่ไหน”สุดฟ้าบอก

มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว กลุ่มของเจ้าชายฟาลิฮ์ตามมาด้านหลังโดยซ่อนตัวอยู่ภายใต้เมฆหมอกสีขาว พิกัดเป้าหมายซึ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันของมาริไม่ได้ห่างจากเดิมหรือห่างเมืองฮัชดาลลาร์ไปมากนัก และยังอยู่ในเขตทะเลทรายที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัยเหมือนเดิม ใช้เวลาไม่นาน มอเตอร์สเปซก็ร่อนลงจอด

ชายหนุ่มทั้งสี่คนจึงเดินลงมาจากยานยนต์ หันไปมองด้านหลังเจ้าชายฟาลิฮ์เองเพิ่งเหวี่ยงเท้าลงมาจากเจ้าสัตว์ยักษ์สี่ขาหน้าตาเหมือนนก มีผู้ติดตามเพียงบาซิมและพาลิมา สุดฟ้าจึงเงยหน้าขึ้นไปมองบทท้องฟ้า เขาจึงได้เห็นแต่เมฆสีขาว

สุดฟ้าส่งลิ่มขุดพื้นให้สเตบาสเตียน ครั้งที่แล้วนับว่าเป็นเรื่องโชคดีที่บังเอิญหมุดเวทย์โผล่มาให้พวกเขาเห็น แต่สุดฟ้ารู้แล้วว่าใต้พื้นมีของแบบนั้นอยู่ หลังจากที่สเตบาสเตียนปักลิ่มลงพื้น เขาจึงเขียนคำสั่งให้ลิ่มเคลื่อนที่ลึกลงไปจนเจอไม้ซึ่งเขียนเวทย์อักขระไว้ จากนั้นจึงสร้างหลุมกว้างอีกเล็กน้อยเพื่อหยิบมันขึ้นมา

“สเตบาสเตียนบอกมาริด้วยว่ากำลังจะมีคนไปช่วย”สุดฟ้าพูดบอกเมื่อส่งแผ่นไม้ดังกล่าวให้เจ้าชายฟาลิฮ์ พระองค์ทรงส่งต่อมันให้พาลิมา

“ด็อกเตอร์ครับ คุณมาริแจ้งว่าในห้องมีคนเฝ้าคุมพวกเขาอยู่ห้าคน”สเตบาสเตียนพูดประโยคนั้นออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ทุกคนจึงมองหน้ากัน ก่อนเจ้าชายจะหันไปหารือกับเด็กสาวผู้ถือครองเวทย์แทรกแซงมิติ

“พาลิมา เธอเจาะจงตำแหน่งที่จะเข้าไปได้หรือเปล่า”

“ไม่แน่ใจเพคะ”เธอก้มมองแผ่นไม้ซึ่งเป็นหมุดเวทย์ “ถ้าได้เห็นภายในห้องมิติก่อนอาจจะพอกำหนดได้”

สุดฟ้าจึงเปิดหน้าจอดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์อีกครั้ง และหันไปบอกสเตบาสเตียน ส่งข้อความให้มาริเอะส่งภาพกลับมา ไม่ใช้ไม่นานภาพภายในห้องที่ทั้งสองคนถูกจับไว้ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

จากภาพทำให้พวกเขาพอจะเดาได้ว่า ทั้งสองคนถูกคุมบังคับให้นั่งอยู่กลางห้อง

“แบบนี้ก็ง่ายเลยค่ะ ฉันจะดึงพวกเขาออกมาจากทางพื้นด้านล่าง”

เด็กสาวนำมันวางลงกับพื้นและวางมือทาบ “ตอนที่ใช้คาถา ฉันจะไม่สามารถใช้จักระเสริมแรงได้ ฉันจะจับพวกเขาสองคนไว้ ถ้าฉันพยักหน้าให้พวกคุณช่วยดึงพวกเขาออกมาด้วยนะคะ”

สุดฟ้าจึงให้สเตบาสเตียนส่งข้อความหาทั้งสองคนเพื่อไม่ให้ตื่นตกใจ ขณะที่เจ้าชายหันไปแจ้งแก่บาซิมให้ทหารทุกนายเตรียมพร้อมทุกเมื่อ

พาลิมาพึมพำคาถาเบาๆ จากนั้นมือของเธอก็ค่อยๆจมหายใปในแผ่นไม่นั้น เธอคว้าจับข้อเท้าของทั้งสองคนไว้แล้วจึงส่งสัญญาณ สเตบาสเตียนจึงเข้าไปคว้าเอวเธอไว้ ใช้แรงยกร่างของเด็กสาวให้ลอยขึ้น สิ่งที่ตามมาคือปลายเท้าชี้ฟ้าของชวิศาและมาริเอะ สุดฟ้าและธัชนันท์จึงช่วยดึงให้ทั้งสองออกมา

และทันทีที่ร่างของทั้งสองคนพ้นจากมิติเวทย์ พาลิมาจึงคลายคาถา เธอหอบหายใจตัวโยนด้วยความเหน็ดเหนื่อย เพราะถึงแม้จะเคยแทรกเข้ามิติของผู้อื่น แต่เธอไม่เคยนำคนออกมาจากมิติเหล่านั้น อย่างมากที่สุดคือของชิ้นเล็กๆ

ฝ่ายชวิศาทันทีที่เท้าแตะพื้น และหมุนตัวหันไปเห็นสุดฟ้า เขาก็โผกอดอีกฝ่ายไว้แน่น ไม่ต่างจากมาริเอะที่รีบวิ่งไปกอดชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่สร้างตนขึ้นมาเช่นเดียวกัน แต่การเคลื่อนไหวของมาริเอะดูขัดตาอย่างไม่ปกติ

“รีบไปกันก่อนดีกว่าครับ”เจ้าชายรัชทายาทตรัสบอก คว้าแผ่นไม้นั้นขึ้นมาถือไว้ตั้งพระทัยว่าจะร่ายเวทย์เพื่อทำลายมัน ทว่ากลับมีมือยื่นออกมาคว้าพระศอของพระองค์ไว้ บาซิมชักดาบสั้นขึ้นมาฟันแขนข้างนั้นจนขาดเป็นจังหวะเดียวกับที่องค์ชายรัชทายาทปล่อยมือจากหมุดเวทย์และดึงมือปริศนาทิ้งลงกับพื้น

แผ่นไม้เล็กๆกลับกลายเป็นประตูบานใหญ่ เมื่อมันเปิดออก คนมากมายได้เดินออกมาจากประตูนั้น หนึ่งในนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ท่อนแขนและมือหายไป กระนั้นมันกลับไม่เลือดไหลเช่นปกติ ใบหน้างดงามแต่เย็นชาไม่แสดงความรู้สึกเดินตรงมาเก็บท่อนแขนที่ถูกบาซิมฟันขาดไว้

“รีบไปครับ ทางนี้ผมรับมือเอง”เจ้าชายฟาลิฮ์หันมาตรัสบอก

มอเตอร์สเปซถูกสั่งให้เคลื่อนที่มาหยุดจอดตรงหน้าพวกเขา สเตบาสเตียนที่ยังคงอุ้มร่างพาลิมาไว้ในวงแขนรีบพาเธออ้อมไปขึ้นเบาะฝั่งคนขับ สุดฟ้าจึงคว้าร่างมาริเอะและรุนหลังชวิศาให้ไปขึ้นยานยนต์ที่จอดอยู่ สองพี่น้องสุวราลักษณ์เองก็เช่นกัน ทว่ายังไม่ทันที่มอเตอร์สเปซจะเคลื่อนตัว ลูกไฟใหญ่ยักษ์สีแดงฉานพลันพุ่งเข้าใส่พวกเขาก่อนจะกระทบกับม่านพลัง ทำให้คลื่นความร้อนแผ่นเป็นวงกว้าง

เนื่องจากสเตบาสเตียนเป็นผู้ที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของมอเตอร์สเปซ เขาจึงไม่มีท่าทางอาการตกใจเช่นคนอื่น เขาบังคับให้ยานยนต์ลอยสูงขึ้นเหนือพื้นจนถึงระดับเพดานบิน  ระหว่างนั้นมอเตอร์สเปซเกือบถูกโจมตีหลายครั้ง แต่มีทหารของฮัชดาลลาร์เข้ามาขัดความป้องกันไว้ พลางต่อสู้ไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาประชิด ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีจำนวนคนมากกว่าเพราะมีกลุ่มคนก้าวออกมาจากประตูบานนั้นเรื่อยๆ ราวกับต้องการถล่มพวกเขาและคนของเจ้าชายรัชทายาทให้ราบเป็นหน้ากลอง

สุดฟ้าจึงล้วงกระเป๋า หยิบเอาลูกระเบิดบอมบ์พินาศออกมา ส่งให้สเตบาสเตียน

“แกจะบ้าเหรอ เดี๋ยวได้ตายกันหมด”ธัชนันท์ร้องออกมาเมื่อเห็นเช่นนั้น

“เออ ฉันรู้ว่ากำลังจะทำอะไร”สุดฟ้าพูดบอกก่อนจะสั่งให้สเตบาสเตียนปามันลงไปในกลุ่มศัตรู ขณะที่มือของเขาก็คีย์คำสั่งลงไปบนหน้าต่างโปรแกรมบนหน้าจอดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ หลังจากกดตกลง พายุหมุนก็เริ่มก่อตัวขึ้น

พายุหมุนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนั้นทำให้การต่อสู้ชะงักงัน สุดฟ้าเห็นเจ้าชายฟาลิฮ์และบาซิมถอยออกมาขึ้นกริฟฟอน รวมทั้งทหารของฮัชดาลลาร์คนอื่น มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ออกห่างเรื่อยๆ เมื่อพายุหมุนทำท่าจะรุนแรงขึ้น  กองกำลังของฝ่ายศัตรูโดนพายุลูกนั้นหอบลอยขึ้นไปสูงบนฟ้า ทุกคนต่างเร่งถอยหนี รอจนพวกเขาเคลื่อนที่ห่างออกมาระยะหนึ่งแล้ว สุดฟ้าจึงป้อนอีกคำสั่งเพื่อให้พายุลูกนั้นหายไป

ลมพายุที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ พร้อมกับพวกเขาที่เคลื่อนที่เข้าเขตเมืองฮัชดาลลาร์


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ขออธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย

1] “มิติ” ที่ถูกกล่าวอ้างในเรื่องนี้เป็นไปตามกฎของคณิตศาตร์และฟิสิกส์  มิติที่ 1-3 กล่าวถึงกว้าง ยาว และสูง มิติที่ 4 คือเวลา มิติที่ 5-6ในความเข้าใจของผู้เขียนน่าจะหมายถึงโลกคู่ขนาน เพราะที่เขาอธิบายไว้ มิติที่ 5 คือโอกาส มิติที่ 6 คือการดำรงอยู่ในอดีต ปัจจุบันและอนาคต   มิติที่ 7 – 9 เป็นเรื่องของเอกภพ จักรวาล และมิติที่ 10 คือจุดอนันต์
ซึ่งความรู้ใดๆ ผู้เขียนหาอ่านมาจากกูลเกิ้ลทั้งสิ้น โดยเน้นสรุปย่อจากพันทิป ไม่เคยได้อ่านบทความจริงๆเหมือนกัน แต่ที่ค่อนข้างเชื่อถือได้แน่นอนคือ มิติที่ 1 - 4 เพราะมีอยู่ในแบบเรียนสมัยที่ผู้เขียนยังเรียนอยู่
2] การกระจัด คือ ปริมาณที่บอกการเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุ หรือ เส้นทางที่สั้นที่สุดจากจุดเริ่มต้น ถึงจุดสุดท้าย ของการเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุ

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบ 28/05/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-05-2017 21:27:52
บทที่ยี่สิบ



พวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่ลานกว้างในพระราชวัง

สุดฟ้ายิ้มหน้าระรื่นเพราะจะได้กลับบ้านจริงๆเสียที เขาไม่รอช้า ทันทีที่เท้าแต่พื้นจึงรีบก้าวเข้าไปหาเจ้าชายฟาลิฮ์ เอ่ยปากบอกความต้องการของตนเองทันที

“ผมจะกลับบ้านแล้วนะครับ”สุดฟ้าไม่เกริ่นนำหรือร่ำอารัมภาบทใดๆทั้งสิ้น

“ไม่อยู่เที่ยวอีกสักหน่อยหรือครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์พยักพระพักตร์รับก่อนจะเอ่ยคำนั้นออกไป

“พอดีเป็นห่วงที่บ้านนะครับ ไม่มีคนอยู่ตั้งหลายวันไม่รู้ว่าโดนยกเค้าไปหมดหรือยัง”

ธัชนนท์และธัชนันท์ยืนฟังอยู่ไม่ห่าง อยากจะพูดขัดหักหน้าเพื่อนสนิทได้แต่ยั้งใจเอาไว้ สุดฟ้าติดสัญญาณกันขโมยรอบบ้าน กระจกที่ใช้ทำหน้าต่างเป็นกระจกนิรภัย ยังไม่นับชัตเตอร์รอบตัวบ้านอีก ขโมยธรรมดาที่ไหนจะงัดบ้านมันเข้าไปได้ ต่อให้เป็นมืออาชีพมีอุปกรณพร้อมยังต้องคิดหนัก

หลังผ่านเหตุการณ์ที่ชวิศาโดนลักพาตัว พวกเขาคิดว่ารีบกลับก็น่าจะดีที่สุด ถึงจะยังไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริงของกลุ่มผู้ที่ลักพาตัว แต่ฟังจากที่เจ้าชายรัชทายาทพูดมันอาจจะเกี่ยวกับปัญหาภายใน ซึ่งพวกเขาไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

“งั้นพรุ่งนี้ผมของเอาเครื่องบินลงเลยนะครับ”ธัชนนท์พูดแทรก พวกเขามีเครื่องมอเตอร์สเปซของสุดฟ้าอยู่ก็จริง แต่จำนวนคนรวมหุ่นยนต์ทั้งหมดมันเจ็ดคน ไหนจะข้าวของของสุดฟ้าอีก ฝาแฝดคนโตคิดว่าให้เครื่องบินของอาผู้ชายมารับน่าจะเข้าท่ากว่า

“อ่า ได้ครับ”

เมื่อได้รับคำตอบรับ ธัชนนท์จึงโทรศัพท์ไปติดต่อเรื่องเครื่องบินที่จะเดินทางกลับทันที สุดฟ้าจึงเอ่ยทูลลากับเจ้าชายรัชทายาทอีกครั้งเพื่อไปเก็บของเตรียมเดินทางกลับ

ตอนที่พวกเขามาถึงเรือนรับรอง แสงอาทิตย์ได้ค่อยๆลับขอบฟ้าแล้ว พวกเขาต่างอยู่ในอาการหิวโซเพราะไม่มีใครได้ทานอาหารกลางวัน ทั้งยังใช้พลังกำลังไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนหมด

“ชวิศาไปทำอาหารได้ไหม เดี๋ยวให้สเตบาสเตียนไปเก็บของ”สุดฟ้าพูด ชวิศารับคำก่อนจะเดินเข้าไปในครัว มาริเอะทำท่าจะเดินตามไปด้วยเช่นกันแต่โดนสุดฟ้าคว้ามือไว้ก่อน

“นายน่ะจะไปไหน คิดว่าสภาพตอนนี้จะช่วยชวิศาทำอาหารได้หรือไง”

“เซ็นเซอร์ที่มือไม่...”มาริเอะหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะต่อประโยคนั้นในอีกหนึ่งอึดใจต่อมา “มีปัญหานะครับ”

“ไม่มีปัญหาอะไร การโต้ตอบสนทนาหน่วงไปขนาดนี้ มานี่เลย”สุดฟ้าลากแขนให้เดินตาม ยิ่งเห็นมาริเอะเดินเหมือนคนพิการชายหนุ่มยิ่งขัดใจ จึงได้แบกร่างหุ่นยนต์ของตนขึ้นบ่าพาไปวางบนโต๊ะตัวยาว ดึงนิ้วก้อยเท้าข้างขวาและกดปุ่มปิดการทำงานที่ฝ่าเท้า จากนั้นโครงสร้างภายนอกของร่างกายจึงยกลอยขึ้นอย่างอัตโนมัติ สุดฟ้านำอะไหล่สำรองที่มีติดมาถอดเปลี่ยนให้มาริเอะ ตอนที่เขาเปลี่ยนชิ้นส่วนให้ร่างหุ่นยนต์เสร็จ ชวิศาก็มาตามเขาไปทานอาหาร สุดฟ้าจึงกดปุ่มสั่งให้โครงสร้างดึงปิด เปิดไว้เฉพาะโครงสร้างแถวสีข้างเพื่อชาร์จพลังงาน มาริเอะใช้พลังงานไปจนเหลือไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าปล่อยให้ระบบแบตเตอรี่ชาร์จพลังงานเองมันต้องใช้เวลาอีกหลายวัน เขาจึงเสียบชาร์จพลังเข้ากับระบบไฟฟ้าปกติของบ้านพักทิ้งไว้แล้วออกไปทานอาหาร

“ตอนที่โดนจับไปพวกนั้นพูดอะไรบ้างหรือเปล่า”เมื่อพวกเขาทานอาหารเสร็จแล้ว ธัชนนท์จึงถามคำถามนี้กับชวิศา

“ไม่เลยครับ ทีแรกพวกมันให้ผมกับคุณมาริอยู่ในห้องกันแค่สองคน แต่ไม่นานพวกมันก็ให้พวกผมย้ายไปอีกที่ แต่คราวนี้มีคนเฝ้าเราทุกมุมเลย ทั้งที่ห้องไม่มีทั้งหน้าต่างและประตูให้เราหนีเลยแท้ๆ คนที่ถูกส่งมาเฝ้าเราสองคนในตอนหลังก็ไม่มีใครเอ่ยปากอะไรเลย ถึงคุณมาริจะลองถามอะไรไปก็ตาม”

“น่าแปลก”ธัชนนท์พูด “ที่ทางเราก็ไม่ได้รับติดต่อเรื่องข้อเรียกร้องเหมือนกัน”

“ไม่แน่ว่าพวกนั้นตั้งใจจะรออีกสองสามวันแล้วค่อยส่งข้อเรียกร้อง แต่เพราะพวกเราเข้าไปช่วยเหลือสองคนนี้เร็วไป”สุดฟ้าพูดขึ้นมาบ้าง

“อย่าไปคิดถึงมันดีกว่า พวกเราตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งกับปัญหาภายในของฮัชดาลลาร์ไม่ใช่เหรอ ถึงอย่างไรพรุ่งนี้พวกเราก็จะกลับแล้ว อย่าไปเอาเรื่องพวกนี้มีใส่ใจเลย”ธัชนันท์เอ่ยเตือน จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันพักผ่อน ส่วนสุดฟ้าเองต้องกลับไปซ่อมแซมมาริเอะต่อ แม้ว่าหลังแก้ไขมาริเอะอาจจะไม่สมบูรณ์เพราะต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนอีกหลายชิ้น แต่เขาตั้งใจว่าจะซ่อมให้มาริเอะกลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่มองแล้วไม่ขัดตา

ชวิศาแวะถือขนมมื้อดึกมาให้เขาก่อนที่เจ้าตัวจะเข้านอน

ค่ำคืนนั้นเป็นคืนที่บรรกาศเงียบเชียบ แสงจันทร์ส่องสว่างจนเขาต้องหยุดมือและเผลอทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนที่เสียงดังตึงตังจากชั้นบนจะเรียกความสนใจของเขากลับมา สุดฟ้าเงยหน้ามองแม้จะไม่มีทางมองเห็นเหตุการณ์บนชั้นสอง เขาสงสัยแต่ยังหันมากดเปิดการทำงานของมาริเอะ

“ด็อกเตอร์ครับ มีคนจะมาลักพาตัวคุณชวิศาอีกแล้วครับ”มาริเอะพูดประโยคนั้นออกมาทันทีที่ลืมตา ก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะที่นอนอยู่แล้วรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสอง สุดฟ้าสาวเท้าตามไปติดๆ และได้พบสาเหตุของเสียงที่ว่า สเตบาสเตียนกำลังต่อสู้อยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง โดยบนบ่าของชายคนนั้นอุ้มร่างของชวิศาไว้ ห่างไปไม่ไกลมีผู้หญิงอีกคนยืนอยู่ข้างประตูบานใหญ่ มาริเอะโดดเข้าไปหาชายคนนั้นอย่างไม่ลังเล

“สเตบาสเตียนถอยออกไป”สุดฟ้าสั่งก่อนจะวิ่งเข้าไปซัดหมัดใส่ชายคนนั้น แต่ราวกับว่าการกระทำนั้นของเขาเป็นเรื่องที่ผิดพลาด เพราะอีกฝ่ายกลับคว้าจับข้อมือของเขาไว้แล้วเหวี่ยงร่างของเขาให้ไปปะทะกับมาริเอะที่อยู่อีกฝั่ง

“เฮ้ย อะไรวะ”เสียงร้องถามนั้นมาจากสองพี่น้องฝาแฝด สุดฟ้าจึงตะโกนตอบกลับไปว่า

“มันเป็นคนร้าย ช่วยชวิศาเร็ว”

ธัชนนท์วิ่งไปคว้าจับคอเสื้อของชวิศา คนร้ายหันกลับมาจับข้อมือบิดแขนจนเจ้าตัวต้องร้องโอดโอย ธัชนันท์เห็นเป็นโอกาสจึงเตะข้อพับขา ทว่าคนที่โดนทำร้ายยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ฝาแฝดคนพี่โดนเหวี่ยงกระเด็นไปไกล ส่วนคนน้องโดนฟาดหลังมือใส่กระเด็นไปติดผนัง

“เดย์ น้ำ จับมันไว้”สุดฟ้าร้องสั่ง หุ่นยนต์ทั้งสองจึงเข้าประชิดตัวคนร้ายทันที น้ำจับยึดแขน ส่วนเดย์กอดยึดขาไว้ ชายที่เป็นคนร้ายจึงขยับไม่ได้ง่ายๆ ถึงเช่นนั้น ชวิศาที่โดนอุ้มพาดบ่าไว้ก็ยังคงนิ่งสนิทไม่ไหวติงปล่อยให้ชายคนนั้นโยนร่างผ่านเข้าประตูไปราวกับตุ๊กตา มาริเอะเห็นดังนั้นจึงพุ่งตัวผ่านเข้าประตูตามไป ชายคนนั้นจึงร้องสั่งออกมาเป็นคำพูดในภาษาอื่นที่พวกเขาฟังไม่เข้าใจ จากนั้นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างประตูจึงเดินเข้าไปในประตูก่อนที่ประตูบานใหญ่จะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อมืออีกข้างเป็นอิสระใช่ว่าชายคนนั้นจะยอมอยู่นิ่งเฉย เขาวางมือบนศีรษะของน้ำ จากนั้นเพียงแค่ชั่วพริบตา ศีรษะของหุ่นยนต์ก็ถูกระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มทั้งสามผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ยืนมองอยู่ต่างตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน

“เดย์ ถอยออกมา”สเตบาสเตียนร้องสั่ง เดย์จึงดีดตัวออกห่างจากฝ่ามือนั้นอย่างเฉียดฉิว ชายคนร้ายยังยืนนิ่ง กวาดสายตามองพวกเขาทั้งห้าคน แล้วพุ่งเข้าหาสเตบาสเตียนในพริบตา หุ่นยนต์พ่อบ้านที่ระวังตัวอยู่แล้วหลบได้ทันท่วงที เขาวิ่งไปทางสุดฟ้าและช้อนตัวเจ้านายอุ้มขึ้น กระโดดลงไปที่ชานพักของบันไดและกระโดดอีกครั้งลงไปยังชั้นล่าง ส่วนเดย์ก็คว้าตัวธัชนนท์และธัชนันท์อุ้มไว้ที่แขนข้างละคน กระโดดจากหน้าต่างชั้นสองลงไปที่สวนพาให้ฝาแฝดร้องเสียงหลง เสียงเอะอะโวยวายของพวกเขาเรียกให้ทหารในวังมารวมตัวกัน เรือนรับรองถูกปิดล้อมอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายหลบหนี

ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าชายฟาลิฮ์ได้เสด็จมาถึงอาคารที่พระองค์ได้จัดให้อาคันตุกะพักอาศัย

“ชวิศาถูกจับตัวไปอีกแล้วครับ”สุดฟ้ารีบบอกทันทีไม่ต้องรอให้เจ้าชายรัชทายาทตรัสถาม เจ้าชายฟาลิฮ์ยังคงนิ่งเฉยเงยพระพักตร์มองพระจันทร์ดวงกลมโตส่งแสงส่องสว่าง ก่อนจะหันไปถ่ายทอดคำสั่งแก่บาซิมให้จัดเตรียมกำลังคน ขณะเดียวกันหัวหน้าทหารยามก็กลับออกมาจากบ้านพร้อมร่างไร้วิญญาณของคนร้าย

“เขาพูดว่าคนร้ายปลิดชีพตัวเองครับด็อกเตอร์”

ที่ถูกหอบหิ้วตามหลังมานั้นคือร่างหุ่นยนต์ที่ส่วนศีรษะแหลกเละ ธัชนนท์ถลาเข้าไปหา ประคองหุ่นยนต์ที่เหลือเพียงแต่ร่างกายมาไว้ในอ้อมแขน “ซ่อมได้หรือเปล่าวะ”ฝาแฝดคนพี่หันไปถามสุดฟ้า

“ซ่อมได้ดิ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ไว้รอให้กลับไปถึงบ้านก่อน”ชายหนุ่มพูดตอบ จากนั้นจึงหันไปออกคำสั่งกับสเตบาสเตียน

“ให้เปลี่ยนการตั้งค่าแม่ข่ายเป็นไลท์มอนิเตอร์ แล้วให้ทั้งนายและมาริเอะแบ็คอัพข้อมูลทั้งหมดลงเซิร์ฟเวอร์ซะ”

“ครับ”

“บอกมาริเอะให้เลือกความปลอดภัยของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก”




เมื่อได้รับคำสั่งที่ถูกถ่ายทอดมาเช่นนั้น มาริเอะซึ่งกำลังตั้งท่าจะต่อสู้กับชายในชุดคลุมมิดชิดร่วมสิบคนที่ยืนประจันอยู่จึงชะงักเท้า เขายืนในวงล้อมด้วยอาการระแวดระวังภัย

“ต่อให้พวกเขากำลังจะฆ่าคุณชวิศาน่ะหรือ”มาริเอะส่งข้อความผ่านระบบเครือข่ายถามกลับไป

“ด็อกเตอร์บอกว่าพวกมันไม่ฆ่าคุณชวิศา เพราะถ้าต้องการฆ่าคุณชวิศา พวกนั้นคงทำไปนานแล้ว ด็อกเตอร์ต้องการแค่ให้คุณมาริอยู่แถวนั้นเพื่อจะตามตำแหน่งไปช่วยคุณชวิศาได้ถูก”

“รับทราบ”

มาริเอะสปริงตัวสูงลอยออกจากวงล้อม ทันทีที่แตะพื้นก็เร่งความเร็วของฝีเท้าเข้าหาจุดกำบังหลบหลีก อีกฝ่ายส่งคนตามเขามา ทั้งแสงจันทร์วันนี้ยังสว่างจ้า อย่างไรก็ดีถ้ามาริเอะต้องต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม แม้จะเป็นหุ่นยนต์ที่มีร่างกายและความสามารถในการวิเคราะห์คำนวนผลมากกว่ามนุษย์ เขาก็อาจจะพ่ายแพ้ เพราะคู่ต่อสู้ล้วนแต่มีขีดความสามารถเกิดกว่ามนุษย์ปกติ หากแต่สิ่งที่ต้องทำเพียงซ่อนตัว หุ่นยนต์อย่างมาริเอะนับว่าได้เปรียบทุกทาง เขาไม่มีลมหายใจ ไม่มีจิตสังหาร ฝีเบายิ่งกว่าแมวด้วยระบบควบคุมอันยอดเยี่ยม ทั้งระบบสมองกลยังได้ดึงภาพแผนที่สามมิติของพื้นที่แถวนี้จากเซิร์ฟเวอร์กลางมาแล้ว มาริเอะจึงรู้จักทุกซอกทุกมุมของจุดที่อยู่ไม่ต่างจากฝ่ายตรงข้าม

หุ่นยนต์สมองกลเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปตามแนวอาคารหลังจากสลัดคนที่ติดตามเขามา กลับไปยังลานกว้างซึ่งชวิศาถูกจับตัวไว้ แต่เนื่องจากแถวนั้นไม่มีที่ให้เขาซ่อนตัว เขาจึงต้องจับตามองอยู่ห่างๆ ระบบควบคุมสั่งการให้กล้องจับภาพซึ่งอยู่ที่ตำแหน่งดวงตาใช้เลนส์ซูม ภาพของชวิศาที่ยังนอนหลับสนิทอยู่ที่พื้นจึงปรากฏชัดเจน ภาพที่มาริเอะเห็นถูกส่งต่อและบันทึกลงเครือข่าย แม้แต่เสียงพูดคุยของอีกฝ่ายก็เช่นเดียวกัน มาริเอะปรับขยายเพิ่มช่วงความถี่ในการรับเสียงเพื่อสอดแนมในบทสนทนาของศัตรู

ชวิศาถูกปล่อยให้นอนราบอยู่บนพื้น เขายังคงหลับใหลไม่ได้สติเช่นเดิมเพราะฤทธิ์มนตรา

“ไม่ต้องปลุกให้ตื่นหรือ”ชายคนหนึ่งในที่ชุมนุมแห่งนั้นถามขึ้น ภาษาที่เขาใช้เป็นภาษาพื้นเมือง แต่มาริเอะที่อยู่ห่างออกไปยังเข้าใจมัน เนื่องจากเป็นภาษาที่มีใช้ในปัจจุบัน

“ไม่จำเป็น”ชายอีกคนพูดตอบ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นข้างร่างของชวิศา จับมือข้างหนึ่งของร่างที่หลับใหลอยู่ขึ้นมา แล้วใช้มีดสั้นกรีดปลายนิ้วให้เกิดแผล นำเลือดที่ซึมไหลแต้มแผ่นไม้สี่เหลี่ยมที่ล้วงหยิบออกมา ขณะที่ปากพึมพำถ้อยคำโบราณและทันทีที่ยกปลายนิ้วของชวิศาออกจากแผ่นไม้ แผลที่ปลายนิ้วได้หายไปทันทีเช่นเดียวกัน

จากนั้น เขาได้นำแผ่นไม้ดังกล่าววางไว้ที่หน้าผากของชวิศา แสงสว่างสีขาวได้ปรากฏขึ้นพร้อมถ้อยคาถาที่เขาเอื้อนเอ่ย มันหมุนวนล้อมรอบแผ่นไม้นั้นก่อนจะถูกดูดกลืนหายเข้าไป พื้นที่นั้นจึงกลับมาสลัวลางด้วยแสงจันทร์อีกครั้ง

“เรียบร้อย”ชายคนนั้นพูดพร้อมเก็บแผ่นไม้ใส่ไว้ในกระเป๋า เมื่อเขาตบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากัน ชวิศาจึงลืมตาตื่นขึ้น ชายหนุ่มร่างเพรียวลุกขึ้นยืนพร้อมกับถอดเสื้อใส่นอนที่สวมอยู่ออก มาริเอะเห็นท่าไม่ดีนึกจึงได้ส่งข้อความไปหาสเตบาสเตียนซ้ำอีกครั้ง

“กำลังไปถึง”สเตบาสเตียนส่งคำตอบเช่นนั้นกลับมา

ถึงจะเป็นแค่หุ่นยนต์ แต่มาริเอะกลับรู้สึกสังหรณ์แปลกประหลาด ว่าหลังจากนี้อาจจะเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นมาก็ได้ ดวงตาเทียมยังจับจ้องชายสี่คนยืนล้อมรอบชวิศาอยู่สี่ทิศ คนเหล่าประกบมือไว้ที่หน้าอกพร้อมกับสวดคาถาบางอย่าง ทำให้ปรากฏแสงสว่างเรืองรองล้อมรอบชวิศา ไม่ช้าไม่นาน อักขระลวดลายประหลาดบนแผ่นหลังของชวิศาก็ถูกสำแดงออกมาให้เห็น

“อ๊าก!!!”เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของชวิศาทำให้มาริเอะนิ่งเฉยต่อไปอีกไม่ไหว ระบบประมวลผลวิเคราะห์หาทางช่วยเหลือทันที นอกจากสี่คนที่ทำพิธีกรรมแปลกๆนั่นอยู่แล้วยังมีฝ่ายตรงข้ามอีกเกือบสิบคนคอยเฝ้าคุมอยู่รอบนอก สำหรับโหมดต่อสู้ที่ถูกระงับห้ามใช้ มีทั้งปีนยาสลบ ปืนและระเบิด แต่เพราะฟังก์ชั้นเหล่านั้นยังไม่มีการทดสอบ ดังนั้นแทนที่จะทำลายศัตรู อาจจะเป็นการทำลายพวกเดียวกันก็เป็นได้ แต่ในเวลานี้ความเสี่ยงนั้นมันมีค่าน้อยกว่าผลลัพธ์จากเหตุการณ์ตรงหน้า

“เปิดภาพให้ด็อกเตอร์ดูด้วย ฉันอยากได้คำอนุมัติให้ใช้อาวุธ”มาริเอะส่งข้อความไปหาสเตบาสเตียน แม้จะเป็นหุ่นยนต์แต่มาตรวัดเหตุการณ์ฉุกเฉินกำลังร้องเตือนซ้ำๆให้เขาต้องเร่งมือทำอะไรสักอย่าง

“ไม่ทันแล้ว”ข้อความนั้นถูกส่งตอบกลับมาพร้อมมอเตอร์สเปซที่ค่อยๆร่อนลงจอด ฝ่ากระแสลมแรงที่มีชวิศาเป็นจุดศูนย์กลางซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ใช่ลมหากเป็นคลื่นพลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของชวิศา

“เกิดอะไรขึ้น”สุดฟ้าร้องถามเจ้าชายฟาลิฮ์ที่โดยสารมากับมอเตอร์สเปซด้วยกัน

“พวกนั้นปลดผนึกได้แล้วครับ ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ต้องแย่แน่ คุณชวิศาไม่เคยฝึกควบคุมจักระมาก่อน ถ้าทิ้งไว้อย่างนี้คงต้องปล่อยให้จักระไหลออกจากร่างไปหมดแน่”

ได้ยินคำอิบายเช่นนั้นสุดฟ้าจึงรีบลงจากมอเตอร์สเปซ ทว่าเขากลับไม่สามารถเปิดประตูได้

“ทำไมเปิดประตูไม่ได้ สเตบาสเตียน”

“ตรวจพบแรงดันภายนอกมีมากกว่าปกติครับ”

“เว้ย! แล้วจะไปช่วยชวิศายังไงละวะเนี่ย”สุดฟ้าพูดบ่นออกไปพลางนึกในใจว่า กลับไปคราวนี้เขามีตารางการปรับปรุงของที่ใช้อยู่ยาวเหยียด

“ทุบกระจกดิวะ”

“กระจกเซฟตี้กันกระสุนโว้ย”ร้องบอกออกไปเช่นนั้นแต่ก็ทำให้เขานึกออกด้วยเช่นกัน สุดฟ้ากดกระจกข้างลง ทันทีที่มีช่องว่างกระแสลมเชี่ยวกรากพัดเอาเศษหินและทรายเข้าไปในยานยนต์ ทว่าจู่ๆมันกลับหายไปเสียดื้อๆ

พวกเขารีบเปิดประตูออกมาจากมอเตอร์สเปซอย่างรวดเร็ว มาริเอะเห็นสุดฟ้าลงมาจากมอเตอร์สเปซจึงออกมาสมทบ

“Āpaṇa khūpa śūra āhāta, Mī mājhyā pōrān̄cā rāga lāvatō”

เสียงพูดทรงพลังนั้นเรียกความสนใจของพวกเขาที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นได้ทั้งหมด เธอคนนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสวย ผมสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อแขนยาว และกระโปรงยาวกรมเท้า ที่สำคัญไม่มีใครสังเกตเห็นการมาเยือนของเธอ ราวกับเธอโผล่มาจากอากาศที่ว่างเปล่า

“เขาพูดอะไรอ่ะ”สุดฟ้ากระซิบถามสเตบาสเตียน

“พวกแกกล้ามากที่มายุ่งวุ่นวายกับหลานรักของฉัน”

“ย่าของชวิศาเหรอ”ฝาแฝดร้องถามออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“หลานแล้วอย่างไร ต่อไปมันก็เป็นแค่ตุ๊กตาของฉัน”สเตบาสเตียนแปลข้อความต่อไปเมื่อฝ่ายตรงข้ามพูดตอบ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะตบฝ่ามือ แล้วทรุดตัวลงวางมือทาบกับพื้น ชวิศาเองก็ทำตามท่าทางนั้น พริบตาเดียวพื้นดินที่พวกเขายืนอยู่ก็แยกออกจากกัน

“ไม่ตลกแล้ว”สุดฟ้าร้องอุทาน รีบวิ่งขึ้นมอเตอร์สเปซทั้งที่เพิ่งก้าวเท้าลงมา ธัชนนท์ ธัชนันท์ สเตบาสเตียนและมาริเอะรีบวิ่งตามเข้าไปในยานยนต์ติดๆ เมื่อมอเตอร์สเปซลอยขึ้นจากพื้น ธัชนนท์กลับร้องออกมาว่า

“เจ้าชายล่ะ?”

แป๊ะ!

ธัชนันท์สะดุ้งโหยงมือหันไปเห็นฝ่ามือที่ทาบอยู่บนบานกระจกข้าง จากนั้นใบหน้าของเจ้าชายแห่งฮัชดาลลาร์จึงยื่นตามมาให้เห็น สุดฟ้าจึงกดกระจกลงชะโงกหน้าออกไปคุย

“ทำไมไปอยู่บนนั้นล่ะครับ”

“อยู่ข้างใน ผมใช้พลังไม่ค่อยสะดวก”

พวกเขาพูดคุยกันได้แค่นั้นก่อนจะโดนขัดจังหวะด้วยระลอกพลังที่ทำให้รู้สึกเหมือนเครื่องบินตกหลุมอากาศ แต่มันรุนแรงกว่านั้น

“ต้องลอยตัวสูงกว่านี้ครับ ไม่อย่างนั้นคงโดนลูกหลงไปด้วย”สเตบาสเตียนพูด สุดฟ้ารีบตกลงทันทีไม่อย่างนั้นเขาคงมึนศีรษะจนต้องอาเจียนออกมา จนยานยนต์ลอยตัวอยู่ในระดับห่างแล้ว สเตบาสเตียนจึงกดเปิดจอภาพเหตุการณ์ที่พื้นให้ทุกคนได้ดู

“เอายังไงดีวะ แม่งเหมือนไม่มีที่ให้พวกเราเข้าไปแทรกเลย”

“ก็ไม่ต้องไปแทรก แค่พาตัวชวิศากลับมาให้ได้ก็พอ”สุดฟ้าตอบกลับไป

“พูดเหมือนง่ายเนอะ”

“พวกแกก็ช่วยคิดหน่อยดิ๊”

“ฉันมีวิธีหนึ่ง แต่ไม่รับรองผลนะเว้ย”ธัชนันท์พูดออกมา สุดฟ้าและธัชนนท์ต่างหันมอง พร้อมทั้งส่งเสียงออกมาพร้อมกัน

“พูดออกมาเถอะ วิธีไหนก็บอกมา!!!”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



ขออภัยค่ะที่มาสั้นๆ แต่ตอนที่จะเขียนฉากสู้กัน เรานึกถึงนารุโตะ ฮันเตอร์ ฮันเตอร์ และพงศาวดารภูติเทพทุกที แม้ทุกเรื่องที่กล่าวถึงจะเรียกพลังพื้นฐานในร่างกายต่างกัน แต่มันก็คือพลังเดียวกัน นอกจากนี้ผู้เขียนท่านอื่นยังสร้างวิธีการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน พอรวมเข้ากับคำว่าคาถา เราก็ดันนึกไปถึงพวกองเมียว ทั้งของไทยเองก็มีหมอผีด้วย แม้จะอธิบายการใช้เวทมนต์ของฮัชดาลลาร์ไปบ้างแล้ว แต่ใช้เพื่อการต่อสู้นี่.... มันยากเหมือนกันน๊า
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบเอ็ด 27/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 27-08-2017 18:32:46
บทที่ยี่สิบเอ็ด


ปฏิกิริยาท่าทางการกระทำการเคลื่อนไหวของชวิศาเป็นดั่งหุ่นเชิดจริงๆ ใบหน้านิ่งเฉยดวงตาไร้แววจับจ้องต่อสิ่งใด การขยับตัวล้วนเหมือนกับชายหนุ่มซึ่งอยู่ด้านหลัง ทว่าพลังที่ผู้คนในฮัชดาลลาร์ต่างเรียกว่าจักระกลับพวยพุ่งออกมามากมายมหาศาล ชนิดที่ชายหนุ่มผู้ใช้เวทมนต์ควบคุมยังตื่นเต้นระคนยินดี ที่สำคัญมันเหมือนไม่มีวันหมด

ชายคนนั้นกำหนดจิต ขยับปากส่งเสียงสร้างมือใหญ่ยักษ์เข้าคว้าจับร่างหญิงสาวซึ่งลอยอยู่เหนือพื้น ใต้ฝ่าเท้าของเธอเป็นวงแหวนเวทย์ที่ทำให้หญิงสาวสามารถยืนนิ่งได้เหมือนยืนอยู่บนพื้นดิน

“อย่างแกคงจะใช้ได้แต่เวทย์กระจอกๆ”เธอกล่าวปรามาสซึ่งเขาได้แต่เข่นเขี้ยวในใจ จากนั้นเธอจึงดึงดาบออกมาจากความว่างเปล่า ใช้คบดาบแบ่งแยกฉีกกระชากพลังที่พยายามเข้าโอบล้อม ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาหมายเป็นฝ่ายรุกไล่ กระนั้นชายผู้เป็นเจ้าของเวทย์หุ่นเชิดก็ใช่จะเพลี่ยงพล้ำ แม้ร่างที่เขาควบคุมจะไร้ซึ่งคำคาถาประจำตัวแต่แค่พลังที่มีอยู่ เขาก็สามารถเป็นต่อได้ง่ายๆ เขาสร้างเวทย์ป้องกันล้อมรอบ และใช้เพียงจักระในร่างของชวิศาโรมรันศัตรู

ฝ่ายหญิงสาวรู้ดีว่าหากปล่อยให้ยืดเยื้อนานไป จะเป็นตัวเธอเองที่ต้องรีดเร้นพลังจนหมด จะนึกโทษใครก็ไม่ได้นอกจากต้องโทษตัวเอง ที่ยอมใจอ่อนต่อคำขอร้องของลูกสาวที่อยากจะผนึกพลังของหลานชายไว้

สุมุนตรามีศักดิ์เป็นยายของชวิศา ซึ่งปีนี้เป็นปีที่เธอมีครบรอบอายุสองร้อยห้าสิบปี เธอเป็นพวกแปลกแยก สนใจฝักใฝ่การค้นคว้าวิชาเวทมนต์ จึงชอบเดินทางท่องเที่ยวเพื่อหาความรู้แปลกๆ ครั้งนี้เพราะเวทย์ที่เธอกำกับให้หลานชายถูกบังคับปลดผนึก เธอจึงต้องมาตรวจสอบแล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ

“เจ้าน่ะ มาช่วยทางนี้หน่อยซิ”เธอตะโกนร้องเรียกเจ้าชายฟาลิฮ์ เพราะเหมือนสัมผัสว่าอีกฝ่ายก็มีพลังเวทย์ที่กล้าแข็งอยู่ภายในตัว

เจ้าชายรัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์ซึ่งถูกพวกสุดฟ้าทิ้งไว้ให้ดูสถานการณ์ยังยืนงงแม้จะถูกร้องเรียกให้ช่วยเหลือ พระองค์ฝึกมนตราเวทย์มาอย่างช่ำชอง และเคยผ่านการสู้รบ กระนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าจะแทรกแซงกระแสพลังที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองสายได้อย่างไร

“มีของดีอะไรใช้ออกมาให้หมด”

ด้วยเหตุนั้น เจ้าชายถึงได้แบมือทั้งสองข้าง ขยับปากเอ่ยถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์กำหนดจิตก่อเกิดเป็นวงแหวนเวทย์รอบฝ่ามือ จากนั้นลูกไฟสีแดงฉานจึงปรากฏขึ้น ก่อนจะผลักดันลูกพลังนั้นใส่ศัตรูอย่างต่อเนื่อง พระองค์โจมตีใส่ชายเจ้าของเวทย์หุ่นเชิดด้วยวิธีเรียบง่าย อีกฝ่ายแค่ใช้พลังมหาศาลประหัตประหาร พระองค์จึงต้องใช้กำลังเข้าชิงชัยอย่างช่วยไม่ได้

ระหว่างที่เจ้าชายฟาลิฮ์กำลังดึงความสนใจการโจมตีด้วยพลังของชวิศา สุมุนตราจึงใช้โอกาสนี้ทาบฝ่ามือลงกับพื้นดิน เธอเชี่ยวชาญคาถามนตราในระดับที่เพียงใช้ความตั้งมั่นแห่งจิตก็สามารถสร้างอักขระเวทย์ล้อมพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของชวิศาและชายที่ใช้เวทย์หุ่นเชิดโดยที่ชายคนดังกล่าวไม่รู้ตัว ใช้เวลาไม่ถึงวินาที พลังจักระที่ไหลรินอย่างไม่ขาดสายของชวิศาก็หยุดชะงักลง ม่านพลังป้องกันการโจมตีจากเจ้าชายฟาลิฮ์ถูกสร้างขึ้นตรงหน้าชวิศา ป้องกันลูกไฟร้อนได้พอดิบพอดี ส่วนชายที่ใช้คาถาชักใยถูกมนตราอีกอย่างยึดตรึงให้ยืนนิ่งอยู่กับที่

และในจังหวะนั้นเอง ตาข่ายจากเชือกเส้นหนาคล้ายแหหรืออวนก็ถูกโยนมาคลุมร่างชวิศาไว้ สเตบาสเตียนกำลังถือปืนยิงตาข่าย เขากดปุ่มอีกทีกลไกของปืนก็ดึงเชือกกลับรั้งให้ร่างของชวิศาพลิกล้มลากไปกับพื้น ส่วนหนึ่งในฝาแฝดถือปืนอีกกระบอกเล็งยิงไปยังชายที่เป็นฝ่ายศัตรู โอกาสสำเร็จอยู่ข้างพวกเขาถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในความคิดของสุดฟ้า เพราะฝ่ายตรงข้ามเหลือเพียงชายผู้ใช้เวทมนต์แปลกประหลาดกับชวิศาคนเดียว แม้จะมาสังเกตทีหลังว่าฝ่ายศัตรูได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับการพาตัวชวิศากลับมา

ทว่าพริบตาเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มผู้ถูกเวทย์ยึดตรึงของสุมุนตราก็แก้คลายเวทย์นั้นได้ ก่อนจะชักดาบซึ่งห้อยอยู่ข้างเอวขึ้นมารับกระสุนยาสลบจากฝาแฝดคนน้องของบ้านสุวราลักษณ์ได้ทันท่วงที และเงื้อดาบอีกครั้งฟันใส่ตาข่ายจากวัสดุพิเศษของสุดฟ้าขาดสะบั้นในครั้งเดียว เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเวทย์สำหรับเคลื่อนย้ายมิติถูกเปิดขึ้น หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของประตูยืนอยู่ทีอีกฝั่ง ชายคนนั้นร่ายคาถาใส่สุมุนตราและเจ้าชายฟาลิฮ์เพื่อเป็นการถ่วงเวลาก่อนจะกระโดดหายเข้าไปในประตูมิติพร้อมร่างของชวิศา หลังจากนั้นประตูบานใหญ่ก็หายไป

คงเหลือแค่เสียงลมหายใจของแต่ละคน

“Labi! Tu vari man pateikt”

“คราวนี้ พูดอะไรอีกล่ะ”สุดฟ้าหันไปถามสเตบาสเตียน เมื่อหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่แห่งนั้นหันไปพูดคุยกับเจ้าชายฟาลิฮ์

“เธอคงบอกฉันได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อ่อ”สุดฟ้าพยักหน้ารับก่อนจะเดินนำเข้าไปสมทบ และเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษกับเจ้าชายรัชทายาท “ใช่ครับ เจ้าชายควรจะเล่าเรื่องคนกลุ่มนี้อย่างละเอียดที่สุดเลย”

ยามนั้น เวลาได้ล่วงผ่านเข้าสู่วันใหม่ไปหลายชั่วโมงแล้ว เจ้าชายฟาลิฮ์รัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์ยังไม่แสดงพระอาการเหนื่อยล้า ทั้งยังประทับยืนอย่างสงบสุขุมเช่นเดิมแม้จะคู่สนทนาจะมีท่าทีข่มขู่คาดคั้น ก่อนจะตรัสชวนให้ทุกคนไปดื่มน้ำชาที่วัง สุดฟ้าจึงรู้สึกเหมือนเส้นเลือดข้างขมับกำลังกระตุก กระทั่งฝาแฝดคนพี่มาตบบ่าพยักพเยิดให้เดินไปขึ้นยานพาหนะ ส่วนเจ้าชายรัชทายาทนั้นมีองครักษ์ส่วนพระองค์อย่างบาซิมตามมารับอย่างกับนัดแนะกันไว้

ไม่ต่างกับในพระราชวังที่พวกเขาเพิ่งเดินทางมาถึง ทันทีที่ถูกเชื้อเชิญให้นั่งลงกับเก้าอี้ ข้าหลวงซึ่งคอยรับใช้ภายในวังได้นำน้ำชามาเสิร์ฟให้ทันใดเช่นเดียวกัน ธัชนนท์ยกถ้วยน้ำชาอุ่นร้อนขึ้นจิบขณะที่หูคอยเงี่ยฟังคำตรัสของเจ้าชายฟาลิฮ์กับหญิงสาวที่อ้างว่าเป็นญาติกับชวิศา ต่างกับสุดฟ้าที่ยังคงจ้องพระพักตร์ขององค์รัชทายาทเขม็ง

“เจ้าชายถามคุณผู้หญิงท่านนั้นว่าเข้าใจภาษาอังกฤษหรือไม่ครับ พระองค์ประสงค์จะตรัสเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ทุกคนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน”

“ใจเย็นจริงโว้ย”สุดฟ้าเค้นเสียงรอดไรฟันอย่างหงุดหงิดในความพิรี้พิไรของเจ้าชายรัชทายาท ถึงจะรู้ว่าอย่างไรชวิศาก็คงต้องปลอดภัยแน่ แต่ปลอดภัยในสภาพล่าสุดที่เข้าเห็นก็อยู่ในข่ายไม่น่าไว้ใจอยู่ดี

“แกนั่นแหละควรจะใจเย็นๆหน่อย ถึงยังไงตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”ธัชนันท์เอ่ยเตือน

“เพราะทำอะไรไม่ได้ไง ถึงได้หงุดหงิดอยู่นี่ อ่อ... มาริ นายเห็นหน้าไอ้พวกนั้นครบทุกคนใช่ไหม อย่างนั้นช่วยเจาะระบบฐานประชากรหาข้อมูลให้หน่อย แล้วก็เจาะระบบกล้องวงจรปิดด้วย หาสถานที่ล่าสุดที่เจอพวกนั้น”ชายหนุ่มหันไปสั่งการซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ส่วนตัวพร้อมส่งดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ไปให้

“รับทราบครับ”

“คุณสุดฟ้า?”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสเรียก

“อ่ะ ครับ”สุดฟ้าขานรับพร้อมรอยยิ้ม พลางผายมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายเริ่มเล่าได้

“จำเรื่องที่ผมเคยเล่าได้ไหมครับ ว่าเมื่อสักประมาณหนึ่งร้อยปีก่อนเคยมีศึกแย่งชิงบัลลังก์กัน”พระองค์เกริ่มนำ

“ครั้งนั้นเป็นสงครามกลางเมืองที่มีผู้คนเสียชีวิตร่วมหนึ่งหมื่น สาเหตุมาจากกษัตริย์พระองค์ก่อนมีพระประสงค์จะแต่งตั้งองค์ชายรองขึ้นเป็นกษัตริย์”

“ในอดีตก็มีหลายครั้งที่ผู้ที่เป็นกษัตริย์ไม่ใช่เจ้าชายพระองค์โต”หญิงสาวเอ่ยแทรก ทุกคนต่างหันมองไปทางเธอโดยหวังให้เธอกล่าวอะไรเพิ่มเติม แต่เธอทำเพียงแค่เลิกคิ้วโดยหวังให้เจ้าชายตรัสขยายความ แม้จะรู้ว่าทุกคนต่างสงสัยในที่มาที่ไปของเธอ แต่สุมุนตราคิดว่าเรื่องที่เธอควรพูดควรเป็นหลังจากสาเหตุของปัญหาทั้งหมด

“ใช่ครับ เพียงแต่เจ้าชายพระองค์รองทรงสมภพจากนางข้าหลวงในวัง จึงเกิดกระแสความไม่พอใจในชาติกำเนิดของพระองค์

“ที่น่าแปลกคือเจ้าชายพระองค์นั้นมีพลังระดับจอมเวทย์จนสามารถได้รับเลือกเป็นกษัตริย์มากกว่า”

“ว่ากันว่า พระองค์เป็นผู้วิริยะอุตสาหะจนสามารถก้าวข้ามระดับนักเวทย์จนกลายมาเป็นจอมเวทย์ได้ตอนที่ทรงมีพระชนมายุสิบห้าชันษา”

เมื่อได้ยินคำอธิบายสุมุนตราจึงพยักหน้ารับรู้ด้วยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“เอ๊ะ! ขอนอกเรื่องนิดหน่อยนะครับ”ธัชนันท์ยกมือเป็นเชิงขออนุญาตพูด เมื่อเจ้าชายฟาลิพยักพระพักตร์รับ เขาจึงกล่าวต่อไปว่า “จะเป็นกษัตริย์ของฮัชดาลลาร์ได้ต้องเป็นจอมเวทย์เท่านั้นหรือครับ”

“ประมาณนั้นครับ แต่น่าจะหมายถึงผู้ที่มีพลังเวทย์มากที่สุดมากกว่า”

“อย่างนั้นต่อให้เป็นสามัญชนก็สามารถกลายเป็นกษัตริย์ได้”

“ครับ ก่อนที่จะมีสงครามกลางเมืองครั้งนั้นเป็นเช่นนั้นครับ”

“อ้าว แล้วจะมีกฎเรื่องพระราชโอรสหรือพระราชธิดาพระองค์เดียวทำไม”

“นับตั้งแต่สงครามเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะเพื่อเพิ่มพูนพลังเวทย์ของผู้คนในฮัชดาลลาร์ก็หยุดชะงัก และเด็กที่เกิดหลังจากสงครามครั้งนั้นก็ไม่มีใครมีพลังระดับจอมเวทย์อีกเลย หากจะมีเด็กที่มีพลังระดับจอมเวทย์กำเนิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ที่มีพลังระดับจอมเวทย์คนก่อนเสียชีวิตไปแล้ว”

“อย่างนี้คนที่มีพลังระดับจอมเวทย์ไม่เหิมเกริมวางอำนาจหรือครับ”ธัชนนท์ถาม

“ถ้ามีแนวโน้วว่าเขาจะมีความประพฤติเช่นนั้น ไม่นานนักเขาก็จะเสียชีวิตไปเอง”

ทุกคนแสดงถึงความสงสัย หากแต่เว้นสุดฟ้าไว้หนึ่งคนเพราะเขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับศิลาสารพัดนึกมาพอประมาณ จึงพอจะเดาต่อไปได้ว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร

“สาเหตุการเสียชีวิตคือหัวใจล้มเหลว แม้ว่าก่อนหน้านั้นเขาเป็นเด็กที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม เหล่าปราชญ์ทั้งหลายในฮัชดาลลาร์จึงสรุปว่าน่าจะเป็นเพราะอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่า และสิ่งที่มีพลังอำนาจมากที่สุด...”

“ศิลาสารพัดนึกสินะ”สุมุนตรากล่าวออกมา เจ้าชายฟาลิฮ์พยักพระพักตร์อย่างไม่นึกแปลกใจเพราะถ้าเป็นผู้ใช้เวทย์ย่อมต้องรู้จักอุปกรณ์เวทย์ชิ้นนี้

“อย่างนั้นเข้าใจล่ะว่าทำไมถึงอยากได้ตัวชวิศา คุณเองก็รู้ว่าชวิศามีพลังระดับมหาเวทย์ใช่ไหม”ประโยคแรกเธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันไปทูลถามเจ้าชายในประโยคหลัง

“ครับ แต่หลังจากการตรวจสอบและพบว่าคุณชวิศามีอักขระเวทย์ผนึกพลังไว้ รวมถึงตอนที่ลองพูดคุยเกี่ยวกับเวทมนต์ เธอก็ดูไม่รู้เรื่องเลย ผมจึงต้องยกเลิกแผนไป”

“ยกเลิก?”สุดฟ้าทวนคำด้วยความสงสัย ก่อนที่สุมุนตราจะกล่าวเสียงดังจนดึงความสนใจของทุกคน

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะขอแนะนำตัวเองให้พวกคุณรู้จัก ฉันชื่อสุมุนตรา เป็นยายแท้ๆของชวิศา เรื่องของหลานชายของฉัน พวกคุณไม่ต้องเข้ามายุ่งอีกแล้ว เดี๋ยวฉันจัดการเอง”พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน

“ไม่ต้องยุ่งอะไรวะ แค่บอกว่าตัวเองเป็นยายแค่นี้ก็จบเหรอ ใครมันจะไปเชื่อ”สุดฟ้าลุกขึ้นมาโวยวายทันที สุมุนตรากวาดสายตามองชายหนุ่มที่ตนไม่รู้จักตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอีกครั้ง คาดเดาในใจว่าคนตรงหน้าคงเป็นเพื่อนของชวิศา

“ที่มิสเตอร์ศิริกรพูดมาก็มีส่วนถูกนะครับ ตอนที่มหาเวทย์ถือกำเนิดผู้มีพลังเวทย์ต่างล้วนรับรู้ความแปรปรวนของพลังในธรรมชาติทั้งนั้น คุณก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่ต้องการพลังนั้น”

“ตอนที่พลังมหาเวทย์กำเนิดรับรู้กับเขาด้วยหรือเจ้าหนู”สุมุนตราเย้า ดูจากพระพักตร์ของเจ้าชายแล้วน่าจะมีพระชันษาห่างจากหลานชายของเธอไม่กี่ปี ผู้ที่ถูกกล่าวหยอกจึงออกอาการอึกอักสีพระพักตร์กลายเป็นสีระเรื่อขึ้นมา

“อย่างนั้นก็ได้ เพราะฉันเรียกพรลภัสมาแล้ว ถ้าให้แม่ของเจ้าตัวยืนยัน พวกคุณก็คงยินยอมสินะ”หญิงสาวยิ้ม “ถ้าอย่างไรช่วยจัดห้องให้ด้วยแล้วกัน”

เมื่อไม่มีเหตุให้โต้แย้ง เจ้าชายฟาลิฮ์จึงสั่งให้ข้ารับใช้จัดห้องให้เธอ หญิงสาวกล่าวลาก่อนจะเดินตามผู้นำทางไป

“แล้วพวกที่ต้องการตัวซี เอ่อ... ชวิศาน่ะครับ ตกลงว่าเป็นใครกันแน่”ธัชนนท์เอ่ยทูลถามเจ้าชายฟาลิฮ์ ดึงความสนใจของกลุ่มสนทนาให้กลับมาเข้าสู่ประเด็นที่ยังค้างคาอยู่อีกครั้ง

“พวกเขาเรียกตัวเองจันทร์พยัคฆ์เป็นทายาทของหนึ่งในเจ้าชายที่ก่อสงครามกลางเมืองเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หัวหน้ากลุ่มชื่อซาทาร์ สมาชิกในกลุ่มที่เราสามารถยืนยันได้ตอนนี้น่าจะราวๆหนึ่งพันคน”

“พวกเขาต้องการยึดครองฮัชดาลลาร์หรือครับ แต่ถ้ามีพลังเวทย์สูงที่สุดก็ได้เป็นกษัตริย์ได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ครับ สำหรับคนต่างชาติการปกครองภายในของฮัชดาลลาร์จะดูสับสนอยู่เล็กน้อย แม้ตามหลักแล้วผู้ที่มีพลังเวทย์สูงที่สุดจะได้เป็นกษัตริย์แต่ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะมีเหล่าเชื้อพระวงศ์ซึ่งเป็นลูกหลานของกษัตริย์องค์ก่อน กรณีบุคคลทั่วไปหากนึกครึ้มอยากเป็นราชา ต้องยื่นขอท้าประลองเพื่อชิงบัลลังก์”

“อย่างนี้ถ้าท้าประลองแล้วกษัตริย์พระองค์นั้นแพ้ คนที่ชนะก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เลย”

“ใช่ครับ”ตามหลักการแล้วเหตุการณ์ย่อมเป็นเช่นนั้น เจ้าชายฟาลิฮ์ดำริต่ออยู่ในพระทัย แต่ในความเป็นจริง ทุกอย่างย่อมไม่เรียบง่าย คนผู้หนึ่งนึกอยากเป็นกษัตริย์ขึ้นปกครองเมืองย่อมต้องซื้อใจผู้คนมาก่อนหน้า หรือไม่ก็ต้องทำคุณงามความดีจนเป็นนับหน้าถือตา ไม่เช่นนั้น อย่างน้อยที่สุดต้องสั่งสมกำลังคนเพื่อปราบปรามผู้ขัดแย้งแข็งข้อ คนธรรมดาที่ไม่นึกใคร่กระหายในอำนาจจึงหลีกเลี่ยงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการปกครองเมือง

“ง่ายๆอย่างนี้เนี่ยนะ”ฝาแฝดคนน้องร้องออกมาอย่างไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เจ้าชายรัชทายาทพูด “แล้วถ้ากษัตริย์คนใหม่เป็นพวกโลภมาก เป็นคนเลวบ้านเมืองไม่เดือดร้อนหรือครับ”

“ไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นหรอกครับ เพราะทันทีที่เขามีแนวโน้มจะทำแบบนั้น เขาก็จะหัวใจวายตายไปก่อน”

สุดฟ้านั่งฟังอยู่เงียบๆพยักหน้าหงึกๆ ส่วนธัชนนท์และธัชนันท์ต่างหันหน้ามองกัน

“ศิลาสารพัดนึกสำหรับฮัชดาลลาร์แล้ว นอกจากเป็นอุปกรณ์เวทย์สารพัดประโยชน์สำหรับชาวเมือง ยังเป็นกฎที่ไม่มีใครสามารถฝ่าฝืนได้อีกด้วย”เจ้าชายฟาลิฮ์เห็นสองพี่น้องสุวราลักษณ์ยังแสดงอาการงุนงงจึงกล่าวต่อไปอีกว่า “ศิลาสารพัดนึกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคอยดูแลปกปักรักษาความอุดมสมบูรณ์และความสงบเรียบร้อยของฮัชดาลลาร์ครับ”

“อย่างนั้นก็ไม่น่าจะเกิดสงครามกลางเมือง”ฝาแฝดคนพี่พูด

“ศิลาเพิ่งจะเข้มงวดมากขึ้นหลังจากเกิดสงครามเหมือนกันครับ”เจ้าชายตรัสพร้อมทรงพระสรวล

“ทรงตรัสเหมือนหินก้อนนั้นมีความคิดเป็นของตัวเอง”ธัชนันท์ถาม

“คงต้องตอบว่าเป็นเช่นนั้น”

คำตอบเรียบๆนั้นทำให้สองพี่น้องมองหน้ากันอีกครั้ง สุดฟ้าจึงเอ่ยออกไปว่า “แกสองคนไม่ต้องไปคิดมากเรื่องนี้หรอก ฉันคิดว่าพลังของศิลาเองก็น่าจะมีข้อจำกัดอยู่ เงื่อนไขน่าจะเป็นประมาณว่า สามารถทำลายสิ่งที่จะก่อให้เกิดการล่มสลายของฮัชดาลลาร์ได้”

“คุ้นๆเหมือนหนังสือการ์ตูนเรื่องหนึ่งเหมือนกันแหะ”

“คงไม่ถึงกับพอใครคิดไม่ดี ทำไม่ดีก็ตายทันทีหรอกมั้ง”

“ก่อนหน้าสงครามเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนก็ไม่ใช่ครับ แต่หลังจากสงครามแล้ว คนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองล้วนเป็นเช่นนั้นครับ แค่คิดว่าจะกอบโกยผลประโยชน์อาจจะไม่ตาย แต่เมื่อลงมือทำเมื่อไหร่ก็ตายทันทีเมื่อนั้นครับ”เจ้าของประโยคนั้นยังยิ้มแย้มพาลให้สองหนุ่มสั่นสะท้านเยือก “กลุ่มจันทร์พยัคฆ์จึงมีเป้าหมายหลักในการทำลายอำนาจของศิลา”

“อ้าว แล้วคนพวกนี้มีชีวิตรอดด้วยหรือครับ”

“พอศิลาสารพัดนึกออกนอกพื้นที่ของฮัชดาลลาร์แล้ว พลังอำนาจต่างๆเลยลดลง”สุดฟ้าเป็นคนตอบคำถามของธัชนันท์แทน “ตอนที่ขโมยศิลาก็น่าจะแค่จ้างใครสักคนให้นำมันออกนอกเมือง”

“ครับ ปราชญ์หลายท่านก็คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เดิมศิลาจะถูกเก็บไว้ที่หอกลางเมือง อนุญาตให้ชาวเมืองเข้าออกได้ปกติ แม้มีทหารเฝ้าดูแลแต่ก็ไม่ได้เข้มงวดมาก”

“อ้าว มันเป็นของสำคัญไม่ใช่หรือครับ”

“พวกเราชะล่าใจครับ ศิลาถูกตั้งไว้ที่หอกลางเมืองมาร่วมพันปีแล้ว และถ้าไม่มีพลังเวทย์ ศิลาสารพัดนึกก็คือหินธรรมดาที่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใดๆได้ แม้จะคล้ายอัญมณีแต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นรูปทรงอื่นได้เช่นเดียวกัน ยิ่งหลังจากช่วงสงครามกลางเมือง การที่ผู้คนผู้คิดไม่ดีต่อฮัชดาลลาร์ล้มตายเป็นว่าเล่น ก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวเกี่ยวกับพลังอำนาจของศิลาเป็นอีกเท่าตัว”

“ในความหวาดกลัวนั้นก็มีคนเห็นว่าศิลาสารพัดนึกเป็นของอัปมงคลด้วย”พี่ชายคนโตของฝาแฝดกล่าวเสริมขึ้นมา

เจ้าชายฟาลิฮ์ไม่ตอบสิ่งใดเพียงแค่พยักพระพักตร์ ธัชนนท์จึงถามต่อไปว่า

“แล้วเจ้าชายล่ะครับ เห็นว่าศิลาสารพัดนึกเป็นของอัปมงคลหรือเปล่า”

เจ้าชายรัชทายาทนิ่งเงียบ ทอดพระเนตรมองเจ้าของคำถามอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวตอบ “สำหรับผมที่เป็นรัชทายาทซึ่งเป็นว่าที่เจ้าครองนครคนต่อไป การคงอยู่ของศิลานับว่าเป็นขุมอำนาจหนุนหลังอันยิ่งใหญ่เสียมากกว่า ขอเพียงประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม บริหารงานดูแลประเทศด้วยความซื่อสัตย์มั่นคง ผมก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ตราบเท่าหมดอายุไข”

“คำตอบฟังดูดีนะครับ แล้ว... เจ้าชายอยากได้ตัวชวิศาไปทำไมล่ะ”

“เพื่อให้สร้างศิลาสารพัดนึกชิ้นใหม่”คำตอบนั้นออกมาจากพระโอษฐ์โดยไม่ลังเล

“เจ้าชายเคยเล่าให้ฉันฟังแล้วว่า ถ้าเป็นพลังระดับมหาเวทย์จะสามารถสร้างศิลาชิ้นใหม่ได้เพียงใช้ระยะเวลาเจ็ดวัน”สุดฟ้าพูดออกมา

“แล้วพระองค์รู้ได้อย่างไรว่าชวิศาไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้”ธัชนนท์ยังถามต่อ

“สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ผมคงต้องอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย จักระคือพลังชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย คนทั่วไปล้วนปลดปล่อยจักระเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผู้ฝึกมนตราจะแตกต่างจากปกติคือจักระที่ถูกปล่อยออกจากภายนอกจะเป็นระเบียบและเบาบางกว่าคนทั่วไป บางคนสามารถทำได้ถึงขั้นไม่ปล่อยให้จักระไหลสู่ภายนอกได้เลย

สำหรับคุณชวิศา ภายนอกนั้นเธอไม่มีการปลดปล่อยจักระให้เล็ดลอดออกมาเลย ในตอนแรก เราคาดเดาว่าอาจจะเป็นเพราะเธอเชี่ยวชาญถึงขั้นควบคุมจักระได้ดั่งใจ ผมจึงได้ให้คนติดตามเพื่อตรวจสอบ แต่ระหว่างที่ติดตามเธอกลับไม่เคยใช้เวทย์สักครั้ง”

“เพราะรู้ว่ามีคนสะกดรอยอยู่เลยจงใจไม่ใช้”ธัชนันท์ตั้งข้อสังเกต

“การใช้เวทมนต์ให้เชี่ยวชาญย่อมมาจากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การดึงจักระมาใช้ให้ได้อย่างใจนึกเกิดมาจากการฝึกฝนซ้ำๆจนเหมือนว่าจักระคืออวัยวะอย่างหนึ่งในร่างกาย ดังนั้นแม้เราจะบังคับไม่ใช้อวัยวะนั้นในช่วงหนึ่งได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีช่วงเวลาเผลอไผลนี่ครับ”

“เรื่องที่ชวิศามีพลังเวทย์น่ะ ช่างมันเถอะ”สุดฟ้ากล่าวตัดบท “ตอนนี้สนใจแค่จะพาตัวชวิศากลับมายังไงดีกว่า”

“ผมมีข้อมูลแหล่งกบดานของกลุ่มจันทร์พยัคฆ์ เพียงแต่ไม่รู้ตำแหน่งแน่ชัด”สถานที่ที่เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถึงอยู่ในเขตประเทศเพื่อนบ้านของฮัชดาลลาร์ เขตนั้นเป็นย่านชุมชนแออัดที่ไม่มีกล้องวงจรปิดของทางการ มาริเอะจึงไม่สามารถดึงภาพออกมายืนยันได้ หุ่นยนต์อัจฉริยะหาได้เพียงรูปภาพของกลุ่มคนที่ลักพาตัวชวิศาในเขตเมืองใหญ่เท่านั้น



หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบเอ็ด 27/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 27-08-2017 18:34:10



แสงแดดยามเช้ามาเยือนอย่างรวดเร็ว ขณะที่สุดฟ้ายังคงจ้องหน้าจอดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์เปรียบเทียบข้อมูลกับที่เจ้าชายแห่งฮัชดาลลาร์มีอยู่ ก่อนจะต้องละสายตาเพราะการปรากฏตัวของคนสองคน

โยธิน ภูสิทธ์วรโชติอยู่ในชุดสูทสีเข้มหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความไม่ชอบใจก่อนจะต้องปรับสีหน้าเมื่อเจ้าชายรัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์สาวพระบาทเข้าไปทัก ส่วนอีกคนเป็นหญิงวัยกลางคนช่วงอายุสี่สิบปลายๆในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อน เธอกวาดสายตาไปทั่วห้อง ก่อนจะเดินเข้าไปหาสุมุนตราที่เพิ่งโผล่าหน้าผ่านประตูเข้ามา

“แม่คะ”เธอร้องทักออกไปเป็นภาษาไทย สองพี่น้องสุวราลักษณ์และสุดฟ้าจึงให้ความสนใจยิ่งกว่าเดิม

“เรื่องมันเป็นมายังไง”

“ใจเย็นๆภัส ตอนนี้หลานยังสบายดี”

“แม่บอกว่าซีโดนจับตัวไป แล้วจะสบายดีได้ยังไง”เธอถามด้วยความกังวล สุมุนตราจึงยกยิ้มคล้ายปลอบใจ ยกมือแตะไหล่พรลภัส รุนหลังเธอให้เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับกลุ่มชายหนุ่มที่จับจ้องมายังพวกเธอ

“แหม ถ้าฉันยังอายุน้อยกว่านี้ คงรู้สึกดีกับสายตาของหนุ่มๆยิ่งกว่านี้”
“แม่คะ”พรลภัสร้องปราม นึกอ่อนใจกับมารดา มันไม่ใช่เวลามาพูดเล่น ในเมื่อตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าลูกชายเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“แม่ช่วยหลานได้ ลูกก็รู้ เพียงแต่ผนึกถูกทำลายไปชั้นหนึ่งแล้ว แม่คงต้องพาตัวหลานกลับไปด้วย”

“พาไปไหนครับ”สุดฟ้าโพล่งถามออกมาทันที ทั้งสุมุนตราและพรลภัสจึงหันไปมองหน้าคนถาม ก่อนที่หญิงสาวสวยผู้มีศักดิ์เป็นยายของชวิศาจะเอ่ยต่อไปว่า

“ผู้ชายคนนี้เป็นใคร”

“ภัสก็ไม่แน่ใจค่ะ”เธอตอบอย่างลังเล เพราะช่วงหลังๆลูกชายของเธอจะอยู่ในการดูแลของลูกพี่ลูกน้องเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อเห็นสายตาของพรลภัส โยธินจึงบอกออกไปว่า

“เขา... เอ่อ... เป็นคนที่ซีแอบชอบครับ”

“ผู้ชายท่าทางสกปรกที่อาเคยเจอ?”พรลภัสถามย้ำ กวาดสายตามองสุดฟ้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอีกครั้ง แม้สีผมและการแต่งตัวของคนตรงหน้าจะเปลี่ยนไป แต่เค้าหน้าและแว่นตาที่สุดฟ้าสวมใส่ทำให้เธอนึกออกได้ไม่ยาก

“ซีบอกอาว่ามาเที่ยวกับเพื่อน”เสียงพูดของหญิงสาวเข้มขึ้น แววตาดุทำให้โยธินหน้าเจื่อน

“เอ่อ... ขอโทษครับ”ธัชนนท์ส่งเสียงขัด แล้วยกมือไหว้เมื่อพรลภัสหันมาให้ความสนใจพร้อมทั้งอธิบายด้วยตัวเอง “สวัสดีครับคุณอา ผมธัชนนท์ สุวราลักษณ์ครับ พอดีว่าสุดฟ้าต้องมาทำงานที่นี่ ผม น้องชาย และซีเลยตามมาเที่ยวด้วยน่ะครับ”

ดูเหมือนว่าพรลภัสจะไม่มีทีท่าแปลกใจกับเพศสภาพของคนที่ลูกชายชอบ แต่ดูคล้ายเธอจะไม่ชอบหน้าสุดฟ้าเสียมากกว่า

“แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าจะพาชวิศาไป จะพาไปไหนหรือครับ”สุดฟ้าถามอย่างร้อนใจ

“พาไปฝึกวิชาไง”สุมุนตราตอบเรียบๆราวกับเป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้อยู่แล้ว

“ไม่มีทางอื่นเลยหรือคะ หนูไม่อยากให้ซีเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกที่ใช้พลังเวทย์”พรลภัสหันไปพูดกับมารดา

“จะให้แม่ผนึกพลังของซีไว้เหมือนเดิมก็ย่อมทำได้ แต่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าหลานมีพลังมากมายขนาดไหน สักวันก็จะเกิดเรื่องแบบคราวนี้ขึ้นอีกนั่นแหละ นี่เป็นชะตาของหลาน ภัสไม่สามารถเปลี่ยนมันได้หรอก”

“ผมสัญญาว่าต่อไปจะดูแลชวิศาเอง ผมรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”สุดฟ้าพูดแทรกขึ้นไปอีกครั้ง สุมุนตรากลอกตาด้วยความไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันหน้าไปคุยกับชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าหลายสิบรอบ

“เจ้าจะทำอะไรได้”เธอพูดพลางยื่นมือไปวางไว้บนไหล่ของสุดฟ้า ออกแรงบีบจนชายหนุ่มร่างสูงใหญ่นิ่วหน้า สุดฟ้ากัดฟันอดทนต่อความเจ็บอยู่ได้ไม่นาน เขาจำต้องร้องโอยออกมาพร้อมใช้มือทั้งสองข้างจับยึดข้อมือเรียวบางของสุมุนตราและพยายามดึงมือของอีกฝ่ายออก

“ผู้ใช้เวทย์ไม่ใช่เพียงแค่แข็งแกร่ง แต่เรายังสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อีกด้วย”

ทั้งสเตบาสเตียนและมาริเอะเห็นเจ้านายร้องโอดโอยจึงรีบเข้าไปช่วยรั้งมือของหญิงสาวออก เธอจึงละสายตาหันไปมอง แล้วต้องแสดงอาการตกใจออกมา

“ซี!!!”เสียงร้องเรียกชื่อนั้นดึงความสนใจของพรลภัสได้เป็นอย่างดี เธอก้าวเท้าเข้าไปหาคนที่มีใบหน้าเหมือนลูกชายด้วยอาการหน้าตาตื่นไม่ต่างจากมารดา

“เอ่อ... ไม่ใช่ชวิศาหรอกครับ”สุดฟ้าอ้อมแอ้มบอก “นี่มาริ คนของผม”

สำหรับสุมุนตรานั้นตั้งแต่ที่เหยียบย่างเข้ามาในเขตของฮัชดาลลาร์ เธอไม่ได้ให้ความสนใจกับชายหนุ่มกลุ่มนี้มากนัก เนื่องจากคิดว่าคงไม่ต้องเกี่ยวข้องกันต่อไปในภายหน้า แต่เมื่อบุคคลซึ่งมีใบหน้าพิมพ์เดียวกันกับหลานชายราวกับฝาแฝดถูกแนะนำตัว เธอจึงพิจารณาอีกฝ่ายอีกครั้ง และกล่าวออกไปว่า

“ไม่มีชีวิต”

“อา... ทำนองนั้น”

“สร้างตุ๊กตาที่มีหน้าตาเหมือนหลายชายของฉันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน เจ้าต้องการอะไรกันแน่”สุมุนตราถามเสียงเข้ม

“มันเป็นเรื่องบังเอิญน่ะครับ”สุดฟ้าตอบออกไปพร้อมเสตาหลบ ให้บอกว่าสร้างมาเพื่อเป็นคนรักก็ดูน่าสมเพชเกินไป

ธัชนนท์ฝาแฝดคนพี่จึงกล่าวแทรกออกมาว่า “พอดีว่าพวกเรารู้จักซีตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้วน่ะครับ ตอนที่สุดฟ้ามันจะสร้างหุ่นยนต์ไม่รู้จะสร้างหน้าแบบใครดี เลยสร้างหน้าของซีขึ้นมาแทน”

มาริเอะจึงยกยิ้มรับคำพูดนั้น ขณะที่พรลภัสจับใบหน้าของมาริเอะพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อสังเกตให้ชัดๆ

“เรื่องชวิศา... ผมสัญญาว่าต่อไปนี้จะดูแลเขาเอง ผมรับรองได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบคราวนี้ขึ้นอีกแน่”สุดฟ้าวกกลับมาพูดเรื่องที่ยังทิ้งค้างไว้อีกครั้ง

สุมุนตราถอนหายใจ

“หรืออย่างไร อย่างน้อยที่สุดควรถามความเห็นของชวิศาบ้าง”ชายหนุ่มกล่าวสมทบเพิ่มเติม เพราะเชื่อว่าชวิศาต้องเลือกอยู่กับตนแน่นอน

“ได้ ไว้ฉันช่วยหลานชายของฉันกลับมาแล้ว ให้เขาเป็นคนตัดสินใจว่าเขาอยากจะไปกับฉันหรืออยู่กับเจ้า”

“แล้วเรื่องที่ช่วยซีกลับมานี่จะต้องทำอย่างไรล่ะคะ”

“รอให้เจ้าพวกนั้นใช้งานพลังของหลานอีกครั้ง แล้วเราค่อยไปช่วยซีด้วยกัน”สุมุนตราหันไปตอบลูกสาว

“จะรออยู่เฉยๆนะหรือครับ ไม่กลัวว่าพวกนั้นจะทำอะไรชวิศาบ้างเหรอ”สุดฟ้าถาม

“อย่างเช่นอะไรล่ะ”

“ก็...”เขานึกไม่ออก จะให้บอกว่าฝ่ายนั้นจะหมายชีวิตชวิศาก็เป็นไปได้ยากจากเหตุการณ์เมื่อคืนวาน “อาจจะทำไม่ดีไม่ร้าย”

“ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นที่เจ้าสมมุติขึ้นมาจริงๆ เจ้าคิดว่า ตัวเจ้าจะทำอะไรได้”

+++++โปรดติกตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบสอง 03/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 03-09-2017 14:54:02
บทที่ยี่สิบสอง



เขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ อย่างที่หญิงสาวผู้ที่มีศักดิ์เป็นยายของชวิศาพูด เพราะแม้จะมีข้อมูลสถานที่กบดานของกลุ่มจันทร์พยัคฆ์อยู่ในมือ แต่ความสามารถของเขาตอนนี้ทำได้แค่สร้างแผนผังอาคาร ยังไม่มีเทคโนโลยีใดในมือที่สามารถระบุตำแหน่งของคนที่ถูกพาตัวไปได้

สุดฟ้ายืนนิ่งขบคิด

“ทำใจเย็นๆแล้วก็นั่งรอก่อนดีกว่าไหม”เสียงของสุมุนตราดังขึ้นอีกครั้ง ยิ่งตอกย้ำความไร้ประโยชน์ของตนเอง สุดฟ้าสร้างสิ่งประดิษฐ์มามากมาย ตั้งแต่ของชิ้นเล็กๆ ไปจนถึงของชิ้นใหญ่อย่างเครื่องบินในเครือของบริษัทตระกูลสุวราลักษณ์ ของที่เขาสร้างมีทั้งสิ่งที่มีประโยชน์เป็นสินค้าขายดี และของเล่นของไร้สาระที่เขานึกอยากทำขึ้นมาใช้เองเฉยๆ สุดฟ้าไม่เชื่อว่าของพวกนั้นจะไม่มีของชิ้นไหนเลยที่ไม่สามารถช่วยให้เขาหาตัวชวิศาได้ ที่สำคัญที่สุด เขาไม่เชื่อว่าความสามารถของตัวเองจะสิ้นสุดแค่นี้

ชายหนุ่มเงยหน้าที่เคยก้มต่ำมองพื้นขึ้น นัยน์ตามีประกายบางอย่างที่บ่งบอกว่าภายในสมองกำลังมีแนวคิดดีๆ เขาหมุนตัวหาเก้าอี้ แล้วทรุดตัวลงนั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะวางแก้ว หยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมาเปิดอีกครั้ง ขยับนิ้วมือเพื่อเตรียมรัวรหัสคำสั่งอีกครั้ง

“คิดอะไรออกแล้วเหรอ”ธัชนันท์เดินเข้ามาถาม

“อืม แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน”สุดฟ้าเอ่ยปากตอบด้วยความไม่แน่ใจ แม้จะมีแนวคิดอยู่ในหัวแต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทดลองทำจริงๆ

สเตบาสเตียนเดินเข้ามาหาแล้วส่งแคปซูลยาสีเทาๆมาให้ แคปซูลนี้เป็นสารอาหารอัดเม็ดที่จำเป็นต่อร่างกาย การที่เขาอึดถึกสามารถทำงานได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอนนั้น มาจากความสามารถของสารอาหารที่อยู่ในแคปซูล ชายหนุ่มหยิบมันเข้าใส่ปาก เคี้ยวๆและกลืนโดยไม่คิดอยากจะทานน้ำตาม

สุดฟ้าดึงขยายหน้าจอไลท์มอนิเตอร์ให้กว้างเต็มสมรรถภาพ ฝากหนึ่งเป็นจอภาพแสดงผล อีกฝากเป็นหน้าต่างสีดำเพื่อแสดงโค้ดคำสั่ง แล้วดึงหน้าต่างแป้นพิมพ์มาไว้ด้านล่างของหน้าต่างการเขียนคำสั่ง เขาพรมนิ้วกดตัวอักษรด้วยความคล่องแคล่วเชี่ยวชาญ ครู่หนึ่งต่อมาภาพใบหน้าของชวิศาก็ปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ก่อนที่หน้าต่างหนึ่งจะปรากฏภาพใบหน้าของผู้คนซึ่งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“ทำอะไรวะ”

“ใช้ดาวเทียมถ่ายภาพหน้าคนในเขตสัญญาณหาเทียบกับหน้าของชวิศา อ๊ะ...ไม่ใช่สิ”สุดฟ้าขมวดคิ้วเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้ชวิศาอาจจะอยู่ในอาคาร ไม่มีทางที่ภาพถ่ายภายนอกแบบนี้จะหาเจอ เขาจึงลงมือเขียนคำสั่งใหม่ก่อนชะงักมืออีกครั้ง

“อ่อ... แกสองคนเตรียมตัวไว้เลย ถ้าฉันเจอที่อยู่ของชวิศาเมื่อไหร่เราจะไปช่วยชวิศากัน”

“โอ๊ะ คิดว่าจะหาเจอแน่แล้วอย่างนั้นหรือ”เสียงขัดดังขึ้นมาจากสุมุนตราอีกครั้ง

“อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ”

“ขอโทษนะครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์กล่าวแทรกออกมาเป็นภาษาอังกฤษ พระองค์ได้แต่ยืนนิ่งเฉยมายาวนานเพราะแขกผู้มาเยือนแต่ละคนต่างใช้ภาษาที่สามที่พระองค์ไม่สามารถเข้าพระทัยได้ ก่อนจะได้สอบถามพูดกับมาริเอะถึงเนื้อหาที่ทุกคนพูดคุยกัน

“ถ้าอย่างไร พวกเราลองใช้ศิลาสารพัดนึกหาตำแหน่งที่อยู่ของคุณชวิศาดีไหมครับ”

ทุกคนในห้องต่างหันมองพระองค์เป็นจุดเดียว “ครั้งก่อนเพราะศิลาไม่สามารถระบุที่อยู่ของคุณชวิศาได้ ผมจึงไม่ทันนึก แต่ก็น่าจะลองดูอีกครั้ง”

“ความคิดดี ถ้าอย่างนั้นไปกันเลย”สุมุนตราร้องชม พลางลุกขึ้นยืนก้าวเท้าเดินนำ พรลภัสจึงลุกขึ้นเดินตาม ก่อนจะต้องหยุดเท้าเพราะเจ้าชายรัชทายาทรั้งเรียกให้เดินไปอีกทาง

“ศิลาสารพัดนึกไม่ได้อยู่ที่หอกลางเมืองแล้วหรือ”เธอถาม ซึ่งคำถามนั้นนำความสงสัยมาสู่เจ้าชายหนุ่ม

“คุณทราบด้วยหรือครับ ว่าศิลาควรอยู่ที่ไหน”

“อ่อ ลืมบอกไป เมื่อก่อนฉันก็เคยอาศัยอยู่ในฮัชดาลลาร์”คำตอบนั้นสร้างความแปลกใจให้ทุกคนที่เดินตามอยู่เป็นขบวน แม้แต่สุดฟ้า เขาก็สั่งหยุดคำสั่งโปรแกรมที่เพิ่งเขียนให้หยุดไว้ก่อนแล้วเดินตามมาด้วย

“เมืองเล็กๆที่แม่เคยเล่าให้หนูฟังตอนเด็กๆนะเหรอ”

“ใช่ แต่ตอนนี้ฮัชดาลลาร์เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะเลย”

จากนั้นจึงเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับอดีตในหนหลังระหว่างเจ้าชายแห่งฮัชดาลลาร์และสุมุนตรา กระทั่งมาถึงห้องที่กลายเป็นที่เก็บศิลาสารพัดนึกแห่งใหม่

“หือ”หญิงสาวสวยที่อายุอานามปาเข้าไปหลายร้อยส่งเสียงขานแปลกใจในลำคอ “เกิดอะไรขึ้น” เธอถามเมื่อเห็นลวดลายอักขระบนบานประตู

“ศิลาถูกขโมยไปครับ มิสเตอร์ศิริกรเพิ่งช่วยนำกลับคืนมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง”เจ้าชายฟาลิฮ์ตอบพร้อมกับวางพระหัตถ์บนบานประตู ไม่นานนักแสงเรืองรองก็ส่องสว่างออกมาจากฝ่ามือนั้นพร้อมกับอักขระบนบานประตูถูกดูดหายเข้าไปในฝ่าพระหัตถ์ข้างนั้น จวบจนอักขระอักษรทุกตัวหายไปสิ้น เจ้าชายจึงดันบานทวารเปิดประตูเข้าไปด้านใน

ศิลาสารพัดนึกถูกวางอยู่บนเบาะรองสีแดงเลือดนก ลูกแก้วทรงกลมโปร่งใสยังมีลักษณะเหมือนครั้งก่อนที่สุดฟ้าเห็น ภายในลูกแก้วยังมีกลุ่มควันลักษณะแปลกๆวนเวียนอยู่

“เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะเลย แถมยังโดนเวทย์แปลกๆเข้าใส่อีก”

เจ้าชายฟาลิฮ์หันมองผู้พูดด้วยความแปลกพระทัย แม้จะนึกคาดเดาว่าสุมุนตราคงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเวทย์ผู้หนึ่งแต่ไม่คิดว่าเธอจะเก่งกาจถึงขั้นมองเห็นไอเวทย์ที่ติดอยู่บนศิลา ไอเวทย์ที่ว่านี้เป็นผลตกค้างหลังจากการร่ายเวทมนตร์

“พอจะแก้ไขได้ไหมครับ”เจ้าชายตรัสถาม

“ก็อาจจะได้ แต่คงต้องใช้เวลามากทีเดียว เอาไว้ช่วยซีได้แล้วค่อยมาจัดการแล้วกัน”ประโยคหลังเธอหันไปบอกเจ้าชาย จากนั้นจึงยื่นมือออกไป หยุดฝ่ามือข้างนั้นอยู่เหนือศิลาที่คล้ายลูกแก้วใส

“สิ่งที่ข้าต้องการรู้ คือคาถาเวทย์ผนึก ผู้ที่ข้าเป็นเจ้าของ”ข้อความที่เธอเอ่ยเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันของฮัชดาลลาร์ แต่ในยามนั้นแม้สุดฟ้าจะไม่รู้ความหมายของมันแต่ก็ไม่เอ่ยสั่งให้พ่อบ้านประจำตัวแปลความหมาย เพราะทุกคนต่างเงียบกริบราวกับต้องการให้สุมุนตราได้ใช้สมาธิ

หลังจากสิ้นสุดคำพูดของหญิงสาว ศิลาสารพัดนึกก็ส่องแสงเรืองสว่างจ้าครอบคลุมไปทั้งห้อง ก่อนที่สภาพภายในห้องจะเปลี่ยนไปกลายเป็นห้องโล่งว่างเปล่าไร้ผ้าม่านระย้าแขวนบังหน้าต่าง ผนังปูนทาสีขาวที่ความเก่าโทรมทำให้มันเป็นสีเทามอซอ ที่สำคัญคือร่างของชวิศาซึ่งยังคงหลับสนิทอยู่บนตั่งไม้

“ซี”พรลภัสเป็นคนแรกที่ถลันเข้าไปหา ซ้ำยังจับสัมผัสร่างบนเตียงได้ เมื่อสุดฟ้าได้สติเขาจึงตามเข้าไปสมทบ

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้”เจ้าชายฟาลิฮ์ตรัสถามอย่างไม่เชื่อสายพระเนตร

ทว่าอีกชั่ววินาทีถัดมา ห้องหับมอซอได้กลับกลายเป็นห้องที่ตั้งเก็บศิลาสารพัดนึกที่อยู่ในพระราชวังราซาห์ และแม้กระทั่งร่างของชวิศายังถูกดึงกลับมาด้วย สุดฟ้ารีบคว้าช้อนร่างของชวิศาด้วยอาการตื่นตกใจเมื่อตั่งนอนที่รับน้ำหนักร่างของชวิศาหายไปอย่างกะทันหัน

“ชวิศา ชวิศาตื่นสิ”สุดฟ้าร้องเรียกพลางเขย่าร่างกายของอีกฝ่าย

“ถึงจะพาตัวกลับมาได้ แต่เวทย์หุ่นเชิดก็ยังอยู่”

“แล้วจะทำอย่างไรล่ะครับ”

“มีสองวิธี ถอนเวทย์คำสั่ง หรือไม่ก็ฆ่าคนที่ใช้เวทย์ซะ ผู้ใช้เวทย์ตายคาถาก็คลายอัตโนมัติ”สุมุนตราตอบ

“ความมหัศจรรย์ของศิลาสารพัดนึกมีมากขนาดนี้ เราใช้ศิลาถอนเวทมนตร์ได้ไหมครับ”ธัชนนท์เอ่ยถามออกไปบ้าง

“เหมือนจะได้และก็เหมือนจะไม่ได้”สุมุนตรายังตอบคำถามด้วยเสียงเรียบเฉย ก่อนจะพูดว่า “คิดว่าเจ้าชายคงทราบอยู่แล้วว่าศิลาสารพัดนึดโดนเวทย์คำสั่งอะไรไปบ้าง”

“ครับ”

“ที่บอกว่าคนที่มีพลังเวทย์สัมผัสจะทำให้ตาย”ธัชนันท์ต่อข้อความ เจ้าชายฟาลิฮ์จึงขยายความต่อ “ไม่ใช่คนที่มีพลังเวทย์ครับ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิด”

“การถอนเวทย์โดยใช้ศิลาจะต้องให้ซีถือศิลาไว้ ดังนั้นจึงต้องตัดทิ้งไปเลย”นอกจากนี้ ความขุ่นมัวของศิลาสารพัดนึกยังทำให้ความสามารถของศิลาลดลงอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้เธอไม่ได้พูดออกไป

หญิงสาวก้าวไปหาหลานชาย เธอบอกให้สุดฟ้าวางร่างของชวิศาลงกับพื้น แตะสัมผัสนิ้วมือบนหน้าผากของชวิศาทันใดนั้นก็ปรากฏวงแหวนซึ่งประกอบด้วยอักขระมากมายเรืองแสงลอยอยู่เหนือร่างของชวิศา เจ้าชายฟาลิฮ์สาวพระบาทเข้ามาทรุดพระวรกายประทับลงกับพื้น กวาดสายพระเนตรตรวจสอบอักขระเวทย์ทั้งหมด

“ถ้าขโมยแผ่นผนึกวิญญาณมาก็น่าจะได้นะครับ”

“เจ้าของเวทย์ย่อมต้องเก็บไว้กับตัวอยู่แล้ว”สุมุนตราพูด

ทว่าฉับพลันนั้น ชวิศาได้ลืมตาขึ้น วงแหวนเวทย์หายไปในพริบตาพร้อมกับฝ่ามือของชวิศาที่วาดป่ายเข้าหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ต่างคนจึงผงะหลบกันอย่างไม่ทันตั้งตัว และเป็นมาริเอะกับสเตบาสเตียนที่ยืนอยู่วงนอกกระโดดเข้ามาคว้าจับร่างของชวิศาซึ่งยันตัวลุกขึ้นยืนหมายจะหลบหนี

เจ้าชายฟาลิฮ์ใช้เวทมนตร์สร้างเชือกมามัดข้อเท้าและข้อมือของชวิศาหลังจากนั้น ส่วนสุมุนตราสร้างลูกกรงขนาดยักษ์ครอบคลุมทับไว้อีกที ด้วยเหตุนั้น มาริเอะและสเตบาสเตียนจึงติดอยู่ในกรงไปด้วย อย่างไรก็ตามใช่ว่าชวิศาจะสิ้นฤทธิ์ ชายหนุ่มเป่าลูกเพลิงออกมาจากปาก ความร้อนของมันหลอมละลายซี่ลูกกรงเหล็กตรงหน้าได้อย่างง่ายดายและทำให้ไฟเริ่มลุกไหม้ในห้อง เพียงแต่ในวินาทีต่อมามันก็ถูกดับลงด้วยเวทย์คาถาของเจ้าชายผู้เป็นทายาทของปราสาทและคนติดตาม

จังหวะเดียวกันนั้น พรลภัสได้รี่เข้าประชิดตัวลูกชาย เธอเอ่ยปากสั่งมาริเอะและสเตบาสเตียนให้จับชวิศาไว้ให้แน่นพร้อมทั้งกดร่างของลูกชายให้นอนคว่ำลงกับพื้น ถลกเสื้อที่ชวิศาใส่ขึ้นพลางกัดปลายนิ้วให้เลือดไหล เขียนอักขระคาถาที่เธอเคยเขียนมาแล้วครั้งหนึ่งลงเป็นแผ่นหลังของชวิศา ก่อนถอยออกมาให้ผู้เป็นมารดาร่ายเวทย์กำกับซ้ำ เมื่อเวทย์ผนึกสำฤทธิ์ผล อักขระเลือดนั้นจึงได้จางหายเข้าไปในร่างกายของชวิศา

ชายหนุ่มร่างเพรียวยังพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการจับกุม

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

มาริเอะและสเตบาสเตียนจึงคลายแรงที่จับยึด นั่นทำให้ชวิศาสะบัดหลุดจากการจับกุม นัยน์ตาของชวิศาว่างเปล่าแต่สีหน้าของชวิศามีแววฉงนเมื่อตนไม่สามารถดึงจักระออกมาใช้ได้

“พวกแกทำอะไร”เสียงถามนั้นยังเป็นเสียงของชวิศาทว่าภาษาที่ใช้กลับเป็นภาษาที่ชาวฮัชดาลลาร์กันอยู่ในปัจจุบัน

“ก็ผนึกซ้ำไง”สุมุนตราตอบด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างเหนือกว่า เธอตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน “คิดว่าผนึกของฉันจะกิ๊กก๊อกให้พวกแกดึงพลังของหลานชายสุดที่รักของฉันไปใช้ได้ง่ายๆอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ”

“หึ ตราบใดที่เวทย์หุ่นเชิดยังคงอยู่ หลานรักของแกก็ยังคงเป็นของฉันอยู่ดี”ว่าจบร่างกายของชวิศาก็กระโจนคว้าศิลาสารพัดนึกมาถือไว้

“มาลองดูกันว่าผู้ที่มีพลังระดับมหาเวทย์จะมีจักระกล้าแข็งกันสักแค่ไหน”ชวิศายกยิ้มพลางส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น พวกเขาทุกคนจึงตกอยู่ในภาวะตะลึงงัน ก่อนที่สุดฟ้าจะได้สติรู้ตัวสั่งให้สเตบาสเตียนเข้าไปแย่งศิลาออกมา

ศิลาสารพัดนึกนั้นแม้ชื่อจะบ่งบอกว่าเป็นหิน แต่ลักษณะของมันกลับคล้ายลูกแก้วใสที่มีขนาดเล็กสามารถกำได้มิดไว้ในฝ่ามือ ดังนั้นแม้ว่าสเตบาสเตียนจะพยายามยื้อแย่งมันออกจากกำมือของชวิศาก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ

กล่าวถึงพี่ชายที่คอยดูแลเลี้ยงดูชวิศามาตลอดอย่างโยธิน ภูสิทธ์วรโชติ ซึ่งชายหนุ่มได้แต่ดูเหตุการณ์จากวงนอกมาตลอด หลังจากพาผู้มีศักดิ์เป็นอามาถึงฮัชดาลลาร์ เนื่องเพราะเขาไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด แม้จะเป็นห่วงน้องชายไม่ต่างจากมารดาของเจ้าตัว แต่เขารู้ว่า ขืนตัวเองเข้าไปยุ่งวุ่นวายทั้งที่ไม่รู้สถานการณ์จะเป็นสร้างเรื่องยุ่งยากมากกว่าผลดี เขาจึงได้แต่ยืนนิ่งรับข้อมูลและคอยประมวลผลคาดเดาเหตุการณ์ทั้งหลาย กระทั่งลูกพี่ลูกน้องโดนรุมมะรุมมะตุ้ม ถึงรู้สึกได้ว่า คงทนนิ่งอยู่เฉยๆต่อไปอีกไม่ได้ โยธินกระโดนเข้าไปช่วยน้องชายอย่างไม่รอช้า ยื้อฝ่ามือของสเตบาสเตียนที่ยึดข้อมือของชวิศาไว้

“ต้องรีบเอาศิลาออกมาครับพี่โย ถ้าสัมผัสศิลาสารพัดนึกจะทำให้ตายได้”ธัชนนท์รีบเข้ามาบอกชายหนุ่มผู้มากกวัยกว่า คำกล่าวนั้นทำให้โยธิชะงักมองหน้าน้องชายสุดที่รักอย่างตระหนก แต่เพราะชวิศายังดูปกติดี ความตระหนกจึงเปลี่ยนเป็นความคลางแคลงใจ

ทว่า แทนที่เวทมนตร์อันเป็นเงื่อนไขซึ่งทำให้ไม่มีใครสามารถสัมผัสศิลาได้จะทำงาน กลับกลายเป็นว่าหลังจากชวิศากำศิลาไว้ในมือในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ศิลาสารพัดนึกกลับเกิดการปริแตกเสียแทน อาจเพราะมนต์ที่เป็นคำสาปให้ศิลาพรากชีวิตผู้สัมผัสมันยังเป็นผลเช่นปกติ เพียงแต่พลังตั้งต้นสำหรับสร้างเวทย์ของชวิศามากมายกว่าคนปกติแม้จะถูกผนึกพลังไว้แล้วก็ตาม

นอกจากรอยแตกร้าวที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ ยังมีกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากหินใสในมือของชวิศาด้วย เหตุการณ์นั้นทำให้ทุกคนชะงักงัน และในเวลาไม่นานนัก ก้อนหินที่มีอายุกว่าสองพันปีในมือของชวิศาได้แตกเป็นเสี่ยง กลุ่มควันสีขาวหนาทึบค่อยๆจับตัวเข้าหากัน

“มันคืออะไร”เสียงใครสักคนหนึ่งถามขึ้น แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้แม้แต่เจ้าบ้านผู้ที่ถือครองโดยชอบธรรม

กระทั่งควันสีขาวกลายรูปไปคล้ายมนุษย์ผู้หนึ่ง พวกเขาซึ่งอยู่ ณ ที่นั้นต่างตกอยู่ในอาการตะลึงอีกรอบ กระนั้นการขยับร่างกายของชวิศากลับทำให้พวกเขาละความสนใจจากชายหนุ่มผู้ก่อเกิดจากควัน

ชวิศาวิ่งออกไปนอกห้อง พาให้โยธิน สเตบาสเตียนและมาริเอะวิ่งตามออกไป ชายหนุ่มร่างเพรียวบางวิ่งชนกระจกอาคารซึ่งกั้นระเบียงด้านนอกอย่างไม่ลังเล แต่การกระทำนั้นส่งผลให้โยธิใจหายวาบ พวกเขาอยู่บนชั้นที่ห้าของอาคารพระราชวัง ความตระหนกเป็นห่วงของโยธินเปลี่ยนเป็นความโกรธขึ้งขึ้นมาทันที แม้จะยังรู้เรื่องราวไม่ละเอียดแต่เขานึกแค้นพวกที่ทำให้ชวิศาพบกับเหตุการณ์อันตรายจนอยากจะเหยียบให้อีกฝ่ายจมดิน

โยธินกระโดดคว้าตัวน้องชายอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นเขาจึงสังเกตเห็นว่า มือข้างหนึ่งของชวิศาอยู่ในอุ้งมือของชายแปลกหน้าซึ่งยืนอยู่บนหลังสัตว์หน้าตาประหลาดๆ ที่สำคัญสัตว์ตัวนั้นลอยอยู่กลางอากาศ

ชวิศาใช้เท้ายันร่างของลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่นึกใยดี สะบัดตัวเองให้หลุดจากการจับกุม โยธินพยายามยื้อไว้สุดแรงเกิดเพียงแต่ร่างกายของเขาเองก็ลอยเคว้ง ขาสองข้างถูกจับยึดไว้มือแข็งแรงของหุ่นยนต์อัจฉริยะอย่างมาริเอะและสเตบาสเตียน สุดท้ายแล้ว ชวิศาก็สลัดเขาหลุด โยธินเห็นน้องชายปีนขึ้นไปบนหลังสัตว์หน้าตาประหลาด ทำท่าคล้ายจะบินหายไปถ้าเจ้าชายรัชทายาทไม่เร่งส่งสัญญาณบางอย่าง ด้วยเหตุนั้น ยังไม่ทันที่ชวิศาและชายแปลกหน้าจะพ้นจากขอบเขตสายตา เหล่าทหารองครักษ์บนหลังสัตว์บินได้อย่างกริฟฟอนต่างล้อมทั้งสองคนนั้นไว้ทุกทาง

สุมุนตราก้าวเท้าตามไปสมทบด้วยเวทย์เหยียบเวหาของตน พรลภัสเองก็สามารถใช้เวทมนตร์ที่ทำให้ตนยืนอยู่บนอากาศได้เช่นเดียวกัน และแม้แต่เจ้าชายฟาลิฮ์ก็ยังมีพาหนะมีปีกเป็นกริฟฟอนประจำพระองค์

“พวกเราจะเอายังไงล่ะเนี่ย แต่ละคนบินได้ทั้งนั้นเลย”ธัชนันท์หันไปถามเพื่อนสนิท

“เรียกมอเตอร์สเปซ”สุดฟ้าบอกออกมา สเตบาสเตียนขานรับคำสั่งก่อนจะเชื่อมต่อระบบเพื่อสั่งเคลื่อนย้ายยานพาหนะ

เบื้องหน้าที่พวกเขาเห็นเริ่มมีการปะทะกันบ้างแล้ว ภาพที่อยู่ในระยะสายตานั้น คล้ายกับมีลูกไฟหลากสีพุ่งเข้าชนกัน บางครั้งคล้ายมองเห็นระลอกคลื่นเบื้องหน้าชายแปลกหน้าที่ยืนบังร่างของชวิศาไว้ ชายหนุ่มร่างเพรียวผู้เป็นเจ้าของพลังระดับมหาเวทย์ไม่สามารถใช้พลังของตนได้ ทว่ากลับร่ายคาถาควบคุมพลังรอบตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ คนธรรมดาอย่างสุดฟ้า ธัชนนท์ ธัชนันท์ และโยธินได้แต่ยืนดูด้วยอาการร้อนรน ไม่นับรวมสเตบาสเตียนและมาริเอะ หุ่นยนต์อัจฉริยะทั้งสองตนมีโปรแกรมสำหรับต่อสู้ แต่ถ้าเข้าไปร่วมกับการต่อสู้ของพวกพลังเหนือธรรมชาติ หุ่นยนต์ที่สุดฟ้าภูมิใจก็อาจจะกลายเป็นแค่เศษเหล็ก

มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่มาจอดลอยตัวอยู่หน้าบานหน้าต่างที่พวกเขายืนอยู่

“แล้วยังไง แกคิดว่าพวกเราจะเหลือรอดเหรอ ถ้าไปร่วมวงกับพวกนั้น”ฝาแฝดคนน้องถามต่อ

“ไม่”สุดฟ้าตอบพลางปีนขึ้นไปยืนบนขอบหน้าต่างที่เศษกระจกคมแหลมถูกทำเรียบหายไปโดยฝีมือสเตบาสเตียนและมาริเอะ เขาก้าวกระโดดไปยืนบนหลังคายานพาหนะ “ฉันไม่เคยทดลองอุปกรณ์ของฉันกับสิ่งที่เรียกว่าพลังเวทย์ รวมกับค่าข้อมูลของมาริเอะที่เคยต่อสู้กับพลังเวทย์มาแล้ว โอกาสที่โดดเข้าไปขวางแล้วยังอยู่รอดปลอดภัยน่าจะราวๆยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

“ถือว่าเยอะ”ธัชนนท์ตอบ ขณะกระโดดตามน้องชายฝาแฝดขึ้นไปยืนบนหลังคามอเตอร์สเปซ

สุดฟ้าไม่สามารถสั่งให้มอเตอร์สเปซเปิดประตูได้ เพราะตอนที่เขาสร้างกำหนดให้ประตูทั้งสี่ด้านอยู่ในภาวะล็อกเสมอตอนที่ลอยตัวอยู่บนอากาศเพื่อความปลอดภัยของผู้ที่โดยสารในยานยนต์ ก็ใครจะไปคิดว่าจะได้ใช้รถยนต์บินได้กับเหตุการณ์ทำนองนี้ ชายหนุ่มได้แต่เพิ่มหัวข้อการปรับปรุงอีกข้อลงในสมอง

พวกเขาทั้งสามคนหันไปมองโยธินที่ยังยืนนิ่ง จึงเห็นชายหนุ่มผู้ก่อเกิดจากควันยืนมองพวกเขาอยู่เช่นกัน

“พี่โยไม่ไปด้วยกันหรือครับ”ธัชนันท์ถาม

“แล้วสองคนนี้”

“สเตบาสเตียน มาริลงไปรอข้างล่าง”จบคำสั่งของสุดฟ้า หุ่นทั้งสองก็กระโดดลงไปรออยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว “อ่อ ฉันว่าจะเรียกเดย์มาด้วย”

“ง่ะ”ฝาแฝดคนน้องขมวดคิ้วทำหน้าหงิก “ถ้าจบเรื่องแล้วแกสัญญาจะซ่อมให้ฟรี ฉันยินดีจะให้ยืม”

“หุ่นนั่นมันของของฉัน”สุดฟ้าเค้นเสียงตอบ กดเปิดดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์คีย์คำสั่งเรียกให้เดย์มาสมทบโดยไม่รอคำอนุญาต เงยหน้าเหลือบสายตาไปเห็นว่าโยธินยอมมายืนบนหลังคามอเตอร์สเปซด้วยกันแล้ว จึงป้อนคำสั่งให้ยานยนต์เคลื่อนที่สู่พื้น

ยามนั้นชายหนุ่มผู้มีร่างกายคล้ายวิญญาณจึงลอยตามลงมาด้วย

“ตกลงพี่แกเป็นผีเหรอวะ”

“ออกมาจากหินที่แตกๆแบบนั้น คงเป็นคนเป็นๆมั้ง บางครั้งแกก็โง่นะ ไม่เคยดูหนังแม่นาคเหรอ ที่ผีโดนจับใส่หม้อถ่วงน้ำอ่ะ ฉันว่าศิลาสารพัดนึกมันเทพแบบทำได้ทุกอย่างเพราะมีผีสิงอยู่ในหินแหงๆ”

“ที่ข้าสามารถบันดาลได้ทุกสิ่งเพราะพลังในผนึกของศิลาต่างหาก”

“เมื่อกี้ฉันรู้สึงเหมือนมีเสียงพูดดังขึ้นในหัว”ธัชนันท์ทำท่าแปลกใจระคนไม่แน่ใจ

“บางทีแกก็โง่ในเรื่องง่ายๆเหมือนกันนั่นแหละ ได้ยินเขาพูดชัดเจนจะมาสงสัยอะไรอีก”สุดฟ้าว่ากลับไปบ้าง ก่อนจะหันไปคุยกับชายแปลกหน้า จากนั้นจึงโดดลงจากหลังคายานยนต์เมื่อมอเตอร์สเปซจอดนิ่งบนพื้น

“เท่ากับว่าตอนนี้คุณทำอะไรไม่ได้แล้ว”

“ข้าเป็นเพียงดวงจิต”

“อย่างนั้นไว้จบเรื่องค่อยคุยล่ะกันครับ”ชายหนุ่มพูดพลางเดินไปเปิดกระโปรงท้ายของรถยนต์ ภายในนั้นมีพื้นที่ด้านหนึ่งซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับวางอุปกรณ์ต่างๆของสุดฟ้า ส่วนอีกด้านเป็นกรอบสีดำนูนคล้ายฝาปิดกล่อง สุดฟ้าวางนิ้วมือบนแผ่นสีดำเงาเรียบขนาดหนึ่งคูณหนึ่งนิ้วที่อยู่ด้านบน จากนั้นจึงปรากฏให้เห็นหน้าจอที่มีข้อความว่า ‘รหัสถูกต้อง’ ก่อนที่ฝากล่องใบนั้นจะถูกเปิดออก

ชายหนุ่มหยิบชุดที่ถูกพับเก็บอยู่ภายในส่งให้เพื่อนสนิท ชุดดังกล่าวคล้ายกับสูททหาร หน้าตาเหมือนชุดหมีสำหรับช่างซ่อม มีลักษณะเป็นชุดสวมทั้งตัวมีซิปด้านหน้า สีของชุดเป็นสีดำสนิท

สุดฟ้าอยากได้อุปกรณ์แปลงร่างที่เมื่อกดปุ่มแล้วเสื้อผ้าเปลี่ยนไปคล้ายกับชุดสูทสำหรับต่อสู้อย่างในขบวนการห้าสี แต่เพราะพยายามทำอย่างไร อุปกรณ์แปลงร่างที่ว่าก็ไม่ประสบผลสำเร็จสักที เขาจึงต้องเปลี่ยนมาสร้างชุดที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพร่างกายในการต่อสู้เสียแทน เคยทำเป็นชุดสีแดงตัวเด่นของขบวนการห้าสีในเวอร์ชั่นทดลองแรกๆ แต่โดนฝาแฝดหัวเราะจนหมดความมั่นใจ เลยหักดิบใช้สีดำเสียเลย

“สุดท้ายแกก็ต้องให้ฉันใส่”ธัชนันท์พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย เนื่องจากเมื่อตอนแรกๆที่สุดฟ้าเอาของเล่นชิ้นนี้มาโชว์ มันดูเท่มากจนเขาอยากได้ แต่เจ้าตัวคนสร้างกลับกั๊กไว้ไม่ยอมปล่อยให้ใครได้แตะ ที่สำคัญเจ้าเพื่อนตัวดีมันทำมาสามตัว!!! คิดอย่างไร มันก็ทำมาให้ตัวมันเอง พี่ชายและตัวเขาชัดๆ!!!

“งั้นแกก็โดดไปร่วมวงกับเขาตัวเปล่าๆละกัน”สุดฟ้ากระชากชุดสูทที่ว่าออกจากมือเพื่อนสมัยเด็กทันที

“เฮ้ย! ได้ไง!”

“ได้ดิ หรือถ้าป็อดก็ยืนดูอยู่เฉยๆนะเอ๋อ”

“หยุดทะเลาะกันได้แล้วน่า”พี่ชายคนโตอย่างธัชนนท์เอ่ยตัดบทอย่างนึกรำคาญ “บอกแผนของแกมาได้แล้ว”

“ไม่มี”สุดฟ้าตอบ “แค่ชิงตัวชวิศา”

“แกก็รู้ว่าซีโดนเวทมนตร์ควบคุมอยู่ ได้ตัวมาเขาก็พยายามหนีไปอยู่ดี”

“อีกอย่างคือ ของทุกอย่างของแกสู้พลังเวทย์ไม่ได้นี่”

“พูดอย่างนี้เหมือนจะปล่อยให้น้องชายพี่ไปตามเวรตามกรรม”โยธินพูดขึ้นมาบ้างเมื่อฝาแฝดสุวราลักษณ์แย้งด้วยถ้อยคำที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“เอ้ย เปล่าพี่โย พวกผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”แฝดคนน้องร้อนรนปฏิเสธ ส่วนแฝดคนพี่พยักหน้าหงึกๆสนับสนุนคำพูดของน้องชาย

สุดฟ้ายิ้มเยาะฝาแฝดก่อนจะกล่าวไปว่า “เรื่องแก้เวทมนตร์ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณยายของชวิศาเขา พวกเราทำแค่จับชวิศาไว้ไม่ให้หนีไปได้ก็พอ”

“พวกผมไม่ได้คิดที่จะไม่ช่วยชวิศานะพี่โย แต่แกก็เห็นนะสุดฟ้า ตอนอยู่ในห้องซีโดนรุมขนาดนั้นยังหาทางหนีออกมาได้”

“ไม่เห็นยาก ใช้ปืนยาสลบยิงผลัวะเข้าไป ทีนี้ก็หนีไม่ได้แล้ว”สุดฟ้าพูด ทว่ากลับมีเสียงแย้งมาจากร่างที่คงเหลือเพียงแค่ดวงจิต

“ไม่ได้”

พวกเขาหันไปมองคนที่ส่งคำพูดตรงมายังสมอง

“โอสถที่มีฤทธิ์บังคับร่างกายให้นอนหลับเป็นปฏิปักษ์ต่อเวทย์คาถาควบคุมร่าง เวทมนตร์ที่ควบคุมร่างกายผู้อื่น มักจะเป็นคาถาที่ต้องใช้ยามที่ผู้ต้องคาถาอยู่ในภาวะไร้สติเพื่อป้องกันการต่อต้านจากเจ้าของร่าง ดวงจิตของเจ้าของร่างจะถูกสะกดให้จำศีล ยามที่แก้คาถาจะต้องใช้มนตราปลุกดวงจิตให้ตื่นขึ้น”

“ไม่น่าจะเกี่ยวกัน เราใช้ยาสลบเพื่อให้ชวิศาหลับไปไม่แค่กี่นาทีเท่านั้นเอง”สุดฟ้าแย้ง
“อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะยามที่กายเนื้อหลับใหลดวงจิตจะล่องลอยออกจากร่าง และดวงจิตที่ถูกสะกดจะล่องลอยหายไป”

เมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนั้นมนุษย์ทั้งสี่คนจึงได้แต่มองหน้ากันเอง

“ฉันเชื่อ”โยธินพูดออกมาก่อน แม้จะไม่ได้ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งใดที่จะทำให้น้องชายเป็นอันตราย เขาขอรับฟังและป้องกันไว้ก่อน

“แล้วถ้าซัดจนสลบล่ะ”คำถามนี้ธัชนนท์พูดออกมา แต่เขาตั้งใจถามทั้งโยธินและชายผู้เหลือเพียงดวงจิต

“กายหยาบของผู้โดนคาถาอยู่ในภาวะไร้สติอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำคือทำให้ดวงจิตของผู้ควบคุมหลุดออกจากร่าง”

“เหมือนคนที่โดนผีสิง? อย่างนี้คุณเข้าไปสิงร่างของซีแทนไม่ได้เหรอ”ธัชนันท์ถามบ้าง

“ไม่ได้ ดวงจิตของผู้ใช้เวทย์ถูกผูกไว้ด้วยคาถา”

“ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วว่าทำอย่างไรถึงจะได้ร่างกายของซีคืน ฉันว่าให้คุณคนนี้เขาแนะนำดีกว่าไหม”โยธินพูดถามในเชิงขอความคิดเห็น แต่กระนั้นคำพูดดังกล่าวก็คล้ายกับการบังคับกลายๆ ทั้งเขายังไม่คิดยอมให้ใครปฏิเสธ

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*// เรารู้สึกงงทุกครั้งเลย ที่กลับมาดูกระทู้ของตัวเองแล้วมียอดวิวเพิ่มขึ้น สรุปว่ามีคนอ่านเรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหม?//*

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบสาม 10/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 10-09-2017 09:53:20
ตอนที่ยี่สิบสาม



เมื่อศิลาสารพัดนึกแตกสลายไป อำนาจพลังที่เคยปกป้องคุ้มครองฮัชดาลาร์ก็ได้หายไปด้วย และแน่นอนว่าผู้มีพลังเวททุกคนล้วนรับรู้ถึงม่านพลังที่สลายไป

ยามที่ศิลาถูกขโมยไปจากฮัชดาลลาร์ ครั้นนั้นดูเหมือนว่าพลังที่ปกปักเมืองจะหายไป แต่ในความจริงแล้วมนตราเวทที่ปกป้องเมืองยังคงอยู่เพียงแต่พลังนั้นเบาบางจนยากจะรับรู้ได้ซึ่งต่างกับคราวนี้ ฮัชดาลลาร์นับแต่อดีตตั้งแต่มีศิลาสารพัดนึกถือกำเนิดขึ้นเหมือนเมืองที่ถูกหยุดเวลาไว้ ดังนั้นเมื่อพลังเวทอันยิ่งใหญ่สูญสลาย เวลาของเมืองจึงเคลื่อนเดินอีกครั้ง ทว่าเวลาที่เคลื่อนเดินนั้นรวดเร็วเสียจนถ้าเพียงหยุดยืนสังเกต พวกเขาจะรับรู้ได้ทันที เพียงแต่ว่า เพราะการต่อสู้รบพุ่งเหนือน่านฟ้าพระราชวังราซาร์ได้ดึงความสนใจของผู้คนไปเสียหมด

จากฝ่ายตั้งรับที่มีเพียงสองคนอันได้แก่ ชวิศาที่ถูกควบคุมโดยผู้อื่น และชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของสัตว์ประหลาดที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้ มาบัดนี้ กลุ่มคนในนาม ‘จันทร์พยัคฆ์’ ได้ปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้น เหตุผลหนึ่งนั่นคือ พลังของศิลาสูญสลายไปสิ้นแล้ว การปะทะจึงขยายวงกว้างขึ้น

เหล่าชาวเมืองผู้ไม่ใคร่กระหายในอำนาจจึงทำเพียงแต่เฝ้ามองอย่างระแวดระวังภัยอันตราย แม้ว่าชาวเมืองส่วนมากจะนิยมพกพาอาวุธติดตัวและฝึกการใช้อาวุธเป็นเรื่องปกติ แต่การฝึกฝนทุกอย่างล้วนเป็นไปเพื่อการพัฒนาร่างกายและพลังเวทในกายตน นอกจากนี้เพราะฮัชดาลลาร์เป็นเมืองที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน รากฐานด้านอารยธรรมจึงถูกสืบทอดต่อเนื่องเป็นพันปี ผู้คนส่วนใหญ่เป็นผู้มีปัญญา มีคุณธรรมและรักสงบ

ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์

มนุษย์คือผู้ที่ไม่สามารถละกิเลสได้ฉันใด ทุกพื้นที่ย่อมมีคนลุ่มหลงมัวเมาในความอยากได้อยากมีฉันนั้น

ผู้คนที่แตกความคิดเป็นสองฝั่งต่างมุ่งเข้าฟาดฟันโรมรันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างหมายห้ำหั่นให้อีกฝ่ายตายตกไปเสีย

สุดฟ้ามองความชุลมุนที่ลุกลามจากบนฟ้าลงมาถึงพื้นลานพระราชวังด้านล่างกลายเป็นการจลาจลขนานใหญ่ ฝ่ายตรงข้ามคงหมายจะเข้ายึดวังหลวงให้ได้ ขณะที่พวกเขาเตรียมตัวละแผนการไว้พร้อม เสียแต่ยังหาเป้าหมายของภารกิจไม่เจอ

ชายหนุ่มจ้องสายตาอยู่บนหน้าจอดิจิตอลไลท์มอเตอร์ มองภาพที่ถูกส่งมาจากจักจั่นแมลงติดตามที่ถูกเปลี่ยนหน้าที่ ให้บินสำรวจพื้นที่โดยรอบ ส่วนพวกเขาขยับย้ายที่กลับมาตั้งหลักที่เรือนรับรองซึ่งเจ้าชายฟาลิฮ์ได้อนุญาตให้พวกเขาพักอาศัย เมื่อคลาดกับชวิศายามที่กลุ่มคนที่หมายจะยึดครองพระราชวังราซาห์มาร่วมสมทบเพิ่มมากขึ้น

“ไม่เจอเลย หายไปไหนของเขานะ”

“พวกเจ้ามีของใช้ของซีบ้างหรือเปล่า อย่างเช่นเสื้อผ้า”

โดยไม่ต้องรอให้สุดฟ้าสั่ง มาริเอะก็รีบวิ่งไปหยิบเสื้อผ้าของชวิศาลงมาให้

“คุณจะทำอะไร”

“ตามหาซี”
 
“มีเวทมนตร์ที่ใช้ตามหาคนได้ด้วยเหรอ ทำไมครั้งก่อนไม่เห็นมีใครใช้” ธัชนนท์เอ่ยปากแสดงความคิดเห็นอย่างสงสัย

“เพราะศิลาสามารถตามหาสิ่งใดก็ได้โดยใช้เพียงแค่พลังเวทของผู้ร้องขออย่างไรเล่า”

คนถามพยักหน้ารับรู้ จากนั้นชายผู้เหลือแค่ดวงจิตจึงบอกให้สุดฟ้าถือเสื้อของชวิศา ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าร่างกายมีบางสิ่งแปลกไป

“อย่าฝืน” เสียงนั้นบอกซ้ำ เขาจึงได้ปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายเป็นอิสระ สุดฟ้ารู้สึกได้ถึงความร้อนที่หมุนวนอยู่ภายในร่าง มันวิ่งวนไปทั่วจนเขาต้องพยายามตั้งสมาธิอยู่กับลมหายใจของตัวเอง ก่อนที่ดวงตาของสุดฟ้าจะเบิกกว้างด้วยความตระหนก เมื่อดวงไฟสีน้ำเงินลุกพรึบขึ้นในมือเผาไหม้เสื้อผ้าของชวิศาจนเหลือแค่เถ้าพร้อมความกับการรับรู้ที่ปรากฏขึ้นในมโนความคิด

“หลับใหลในที่ซ่อน”
 
เขาหันไปมองชายผู้มีร่างโปร่งใส ข้อความนั้นราวกับเป็นถ้อยคำสรุปสิ่งที่เขาเองก็ได้รับรู้เช่นเดียวกัน สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในความคิดของชายหนุ่มไม่ใช่รูปภาพ ไม่ใช่ข้อความ มันคล้ายคำพูดแต่ก็คลายประกายความคิดที่ผุดวาบขึ้นมาในเสี้ยววินาที และถึงแม้เหมือนจะรู้ว่าชวิศาอยู่ที่ไหน แต่สุดฟ้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าเขาไม่อาจบอกคนอื่นได้ว่าที่นั่นคือที่ใด

“แล้วมันที่ไหนล่ะ” โยธินถามซ้ำ

สุดฟ้าได้แต่นิ่งเงียบด้วยเพราะจนคำพูด ไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้ สถานที่นั้นไม่มืดแต่ไม่สว่าง ไม่กว้างแต่ไม่แคบ และเขาก็รู้สึกว่าชวิศาเหมือนจะนอนหลับอยู่เท่านั้น

“มิติเวท”

อ่อ... สุดฟ้าร้องอุทานในใจ

“เหมือนที่ซีและมาริเคยโดยจับไปครั้งก่อน” สองพี่น้องฝาแฝดพูดออกมาพร้อมกัน

“อย่างนั้นยิ่งหายากเข้าไปใหญ่” ธัชนันท์พูด

“โดนจับไปครั้งก่อนคืออะไร” โยธินถามขึ้นมาบ้าง ธัชนนท์จึงต้องหันไปเล่าให้ฟังคร่าวๆ พลางย้ำไปอีกว่า พวกเขาจะเดินทางกลับกันแล้ว แต่ชวิศาก็มาโดนจับตัวซ้ำไปอีก

สุดฟ้าที่ยืนนิ่งด้วยความงงงันมานานเริ่มได้สติขึ้นมาบ้าง เขาจึงหันไปถามหุ่นยนต์ที่หน้าตาคล้ายชวิศา “มาริ ครั้งก่อนที่โดนจับไปมีอะไรเป็นจุดสังเกตบ้าง”

“สถานที่ที่ผมกับคุณชวิศาถูกจับไปไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษครับ ห้องนั้นไม่มีหน้าต่าง ไม่มีดวงไฟ แต่ค่าความสว่างอยู่ในระดับมาตรฐาน ทุกครั้งที่ผมกับคุณชวิศาถูกควบคุมให้ย้ายสถานที่จะมีประตูปรากฏที่ผนัง ผมกับคุณชวิศาแค่ถูกคุมตัวให้เดินไปที่อีกห้องเท่านั้น”

“นั่นแหละ” สุดฟ้าร้องออกมาอย่างยินดีพร้อมกับเปิดหน้าต่างให้ไลท์มอนิเตอร์เตรียมจะดึงข้อมูล ทว่าข้อมูลที่เขาต้องการกลับปรากฏขึ้นเสียก่อน

“ดึงข้อมูลบันทึกเรียบร้อย” เสียงพูดดังมาจากสเตบาสเตียน สุดฟ้าหันไปยิ้มให้

“รู้ใจจริงๆ ขอบใจมาก”

“ได้เรื่องแล้วใช่ไหม” ธัชนันท์ถาม

“ไม่หรอก ที่ปรากฏบนนี้มีอยู่สามจุด ในพระราชวัง และตำแหน่งนอกเมืองที่พวกเราไปช่วยชวิศาเมื่อครั้งก่อน”

“หมุดเวทอาจจะมีเยอะมาก” ฝาแฝดคนพี่พูดขึ้นมา สุดฟ้าพยักหน้ารับ “ถ้ามันเป็นคอมพิวเตอร์ฉันคงจะเจาะระบบแล้วหาที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์ เมนเฟรมหรือฮาร์ดดิสตัวอื่นๆ ไปแล้ว อีกอย่างพวกเราใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็เข้าไปสำรวจภายในไม่ได้”

เขาเริ่มท้อแท้อีกแล้ว

ถ้าเป็นเรื่องอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีบนโลกใบนี้ สุดฟ้าคิดว่าตัวเองไม่มีทางแพ้ใคร แต่พอเป็นเรื่องเวทมนตร์เขากลับกลายเป็นแค่ไอ้งั่งที่ทำอะไรไม่ได้ คิดไปคิดมาก็ทำให้พาลนึกเสียใจ ที่มัวแต่นึกอยากสนุกจนไม่ได้คิดหน้าคิดหลังให้ดี แค่เขาคนเดียวที่ต้องลำบากมันคงไม่เท่าไหร่ แต่นี่... เขาเป็นคนพาให้ชวิศามาเจอเรื่องบ้าบออะไรนี่ด้วย โพรงจมูกของสุดฟ้าแสบร้อนจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับแสร้งเป็นกำลังครุ่นคิดเพื่อข่มกลั้นอาการนัยน์ตาร้อนผ่าว

“ข้ารู้คาถาแต่ไม่อาจใช้มนตราเพราะข้าเป็นเพียงดวงจิต ถ้าเจ้าให้ข้ายืมจักระของเจ้า เรื่องที่เกี่ยวกับมนตราเวทข้าจะเป็นผู้จัดการให้เอง”

“ได้เลย!!!” ทั้งสุดฟ้าและสองหนุ่มฝาแฝดของบ้านสุวราลักษณ์ต่างประสานเสียงตอบพร้อมกัน

“จะสิงร่างใครก็ได้ทั้งนั้น” สุดฟ้าหันไปบอก

“ด็อกเตอร์ครับ” สเตบาสเตียนกล่าวแทรกขัดจังหวะ “ตรวจจับพบสัญญาณความร้อนจากร่างกายมนุษย์ในรัศมีห้าร้อยเมตรกำลังเคลื่อนที่มายังเรือนรับรองครับ”

“ต้องหนีกันแล้ว” ฝาแฝดคนน้องกล่าวขึ้นพลางเดินไปเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างของสุดฟ้าที่อยู่ในบ้านไปใส่ไว้ที่กระโปรงหลังของมอเตอร์สเปซ เพราะกลัวว่าเทคโนโลยีของเพื่อนสนิทตกไปอยู่ในมือของคนอื่น เวทมนตร์ในฮัชดาลลาร์อาจจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่โลกภายนอกนั่นอุปกรณ์แปลกๆ ของสุดฟ้ากลับเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล

“ฉันว่าให้สเตบาสเตียน มาริและเดย์ออกไปเจอที่นอกเมืองก่อนเถอะว่ะ จุดที่มีหมุดเวทเมื่อครั้งก่อน” ธัชนนท์ออกความคิดเห็น เนื่องจากมีผู้ชายตัวโตๆ จำนวนสี่คนที่ต้องเดินทางโดยมอเตอร์สเปซ พวกหุ่นยนต์จึงต้องหาทางไปกันเอง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องลำบากของหุ่นยนต์พ่อบ้าน เพราะสุดฟ้าดันติดเครื่องไอพ่นให้สเตบาสเตียนไว้ด้วย เพียงแต่มีแค่สเตบาสเตียนเท่านั้นที่มีอุปกรณ์พิเศษชิ้นนี้

“ก็ตามๆ กันไปนี่แหละ เกิดอะไรขึ้นพวกสเตบาสเตียนจะได้ช่วยได้”

เขาทั้งสองคนพูดคุยกันพลางเดินตามกันมาขึ้นพาหนะ สุดฟ้านั่งด้านหน้าคู่กับฝาแฝดคนพี่ ส่วนด้านหลังคือโยธินกับธัชนันท์ที่มีวิญญาณในศิลานั่งอยู่ตรงกลาง สองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังจึงต้องนั่งเบียดอยู่กับประตู ถึงแม้ร่างนั้นจะโปร่งใสสัมผัสไม่ได้แต่เพราะมองเห็นพวกเขาจึงรู้สึกเกรงใจที่ต้องนั่งเบียด

“คุณไม่บินตามไปเหรอ” แฝดน้องเอ่ยปากถาม

“ข้าชอบพาหนะเช่นนี้ สมัยที่ข้ามีชีวิตอยู่ไม่มีสิ่งของที่หน้าประหลาดที่บินบนฟ้าได้ ข้าจึงอยากสัมผัสให้พอใจ”
 
“อ้าว ตอนที่คุณมีชีวิตอยู่ไม่ขี่ไม้กวาดกันเหรอ”

“ขี่ไม้กวาด? เหตุใดผู้ใช้เวทต้องขี่ไม้กวาด ข้าเห็นก็มีแต่เด็กฝึกมนตราที่ใช้คาถาควบคุมไม้กวาดเล่นกัน”

“อ้าว” ฝาแฝดคนน้องส่งเสียงอุทานแล้วหัวเราะออกมา ก่อนจะถามต่อไปว่า “ในยุคสมัยของคุณเดินทางอย่างไร”

“ใช้ม้าบ้าง หรือสัตว์อสูร ใช้เวทคาถาอื่นๆ ตามแต่ความสามารถของคนผู้นั้น”

“มีสัตว์อสูรด้วย?” ธัชนันท์ขยับตัวหันมองหน้าคู่สนทนาด้วยความสนใจ

“มันไม่ใช่ของที่ดีนักหรอก เจ้าอย่าได้ตื่นเต้นไป สัตว์อสูรเป็นสัตว์ที่เกิดมาจากเวทมนตร์ ผู้สร้างจะใช้เวทกับสัตว์มีชีวิตฝืนบังคับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติตามที่ผู้สร้างต้องการ อย่างเจ้าตัวเมื่อเช้านั่นก็เป็นสัตว์ผสมจากเวทมนตร์เช่นเดียวกัน”
 
เหล่าคนที่นิ่งฟังต่างนึกภาพตาม สัตว์หน้าตาประหลาดที่มารับตัวชวิศาไปเมื่อเช้ามีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิด หน้ายาวคล้ายม้า มีปีกเหมือนนก แต่หางยาวมีปุ่มนูนแหลมคล้ายจระเข้ ใบหูใหญ่ ตัวใหญ่คล้ายช้างแต่ขาสั้น พวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรให้คำจำกัดความเจ้าสัตว์ตัวนั้นว่าอย่างไร

“เออว่าแต่คุยกันมาตั้งนานแล้ว คุณมีชื่อหรือเปล่า” ธัชนนท์เอ่ยถามบ้าง

“ข้ามีนามว่ากริน กริน วียาบูท์”




ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาอยู่นอกเมืองตำแหน่งที่เคยมาดึงชวิศาและมาริเอะออกจากแผ่นไม่เมื่อครั้งก่อน

“มันจะยังอยู่หรือเปล่าเนี่ย” ธัชนันท์เอ่ยออกมาลอยๆ เนื่องจากคราวก่อนหลังจากที่ช่วยชวิศาและมาริเอะออกมาแล้ว เกิดการปะทะกัน พวกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับแผ่นไม้ที่ถูกเรียกว่าหมุดเวท

“ขอขัดขังหวะนิดนึงนะ” โยธินพูดขึ้นมาบ้าง “ซีควรจะถูกจับซ่อนตัวไกลจากเมืองขนาดนี้เลยเหรอ”

แดดร้อนเปรี้ยงยามกลางวันท่ามกลางทะเลทรายทำให้เขาต้องหยีตา โชคยังดีที่ชุดสูทของสุดฟ้าที่เขาสวมใส่ปรับอุณหภูมิภายในให้เหมาะสมกับร่างกายได้แม้จะเป็นสีดำตลอดทั้งตัว ไม่เช่นนั้นโยธินไม่อยากคิดเลยว่ายามที่เขาสวมชุดมิดชิดอับทึบและต้องมายืนท่ามกลางแสงแดดแรงกล้าแบบนี้ มันจะทำให้เขาร้อนสักเพียงใด

“ตามที่พวกผมเข้าใจ กลุ่มที่จับตัวชวิศาไปมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้เวทมนตร์สร้างประตูบานใหญ่ให้ไปยังสถานที่ที่มีหมุดเวทได้ครับ แล้วหมุดเวทพวกนี้น่าจะทำให้เราสืบสาวไปยังสถานที่ที่ซีอยู่ได้ครับ” ธัชนนท์อธิบายสิ่งที่พวกเขาคิด

“แค่พวกเจ้าพาข้ามาที่นี่ก็เพียงพอแล้ว”

“หมายความว่ายังไง” สุดฟ้าเอ่ยถาม

“ที่แห่งนี้ยังคงหลงเหลือไอเวทมากพอให้ตามหาหญิงสาวผู้ให้มนตราประตูมิติ”

“อย่างนั้นเรากลับเข้าเมืองกันเลย” สุดฟ้าร้องบอกด้วยความดีใจ

“ถามหน่อย นี่ไม่คิดจะช่วยเจ้าชายฟาลิฮ์กันเลยใช่ไหม” โยธินถามขณะเดินตามสองพี่น้องฝาแฝดกลับไปขึ้นมอเตอร์สเปซ เพราะพวกสุดฟ้าและสองพี่น้องสุวราลักษณ์ได้แต่ย้ายที่ไม่ไปมาจนเหมือนยังไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง พาลให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ

แฝดคนน้องจึงหันกลับไปย้อนถามว่า “แล้วพี่โยไม่เป็นห่วงซีแล้วเหรอครับ”

โยธินโคลงศีรษะยังนิ่งเงียบด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นเช่นไร กับลูกพี่ลูกน้องที่เขาสนิทสนมจนตนนับอีกฝ่ายเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ คนนี้ เขาทั้งรักทั้งหวง และถึงจะคอยตามดูแลควบคุมเข้มงวดแต่เขาก็ตามใจชวิศามากเช่นกัน สิ่งใดที่ไม่เกินเลยอยู่ในขอบเขตที่เหมาะที่ควร เขาก็ไม่ได้ห้ามปรามอาจจะมีบ่นว่าบ้างบางครั้งเท่านั้น ดังนั้นในครั้งนี้ที่เขาเห็นน้องชายเข้าร่วมกับอีกฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับเจ้าชายฟาลิฮ์ ความคิดเห็นในใจของเขาจึงกึ่งๆ เป็นสองฝักสองฝ่ายแม้จะมีคนบอกว่าชวิศาโดนควบคุมอยู่ก็ตาม

ชวิศามีพลังเวทที่แข็งแกร่ง

ตัวเขารับรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยที่ชวิศาย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านภูสิทธ์วรโชติ ทุกปีในวันครบรอบวันเกิดของน้องชายผนึกมนตราที่กักขังพลังของชวิศาไว้จะอ่อนกำลังลง และครั้งแรกที่เขาเห็นพลังมหัศจรรย์ของน้องน้อยวัยสองขวบที่บันดาลทุกสิ่งให้ปรากฏมาจากความว่างเปล่า เขาตื่นเต้นจนอยากมีความสามารถแบบนี้บ้าง ทว่ายามที่น้องชายอารมณ์เสียหงุดหงิด พลังมหัศจรรย์ที่เขานึกชื่นชมกลับเหมือนคมมีดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่ง และทุกปีที่ชวิศาเติบโตขึ้นพลังของผนึกมนตราก็เสื่อมเร็วขึ้นทุกครั้ง กระทั่งปีที่ชวิศาครบรอบอายุเจ็ดขวบ คุณยายสุมุนตราจึงสามารถผนึกพลังของชวิศาได้อย่างสมบูรณ์

เท่าที่เขารู้ เหตุที่คุณยายสุมุนตราต้องใช้เวลาหลายปีในการคิดค้นผนึกพลังให้หลานชาย เพราะอยากสร้างผนึกให้สามารถปลดปล่อยพลังของชวิศาได้ยามที่เจ้าตัวอยู่ในภาวะคับขันจนถึงแก่ชีวิต และต้องการให้ผนึกนั้นเป็นมนต์คาถาคุ้มครองจากผู้ใช้เวทด้วยกัน

ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่อยากจะเชื่อว่าชวิศาถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย

พวกเขากลับเข้ามาสู่เขตพระราชวังอีกครั้ง มอเตอร์สเปซของสุดฟ้าลอยนิ่งอยู่เหนือน่านฟ้าพระราชวังราซาห์ เสียงตูมตามคล้ายระเบิดและกลุ่มควันยังลอยคละคลุ้งชนิดที่ว่าไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดลงโดยง่าย กลุ่มชายหนุ่มผู้ไร้ซึ่งพลังแห่งเวทมนตร์ไม่อยากถูกดึงเข้าไปร่วมกับการต่อสู้ที่พวกตนล้วนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ยานพาหนะสุดล้ำอย่างมอเตอร์สเปซจึงลอยตัวอยู่สูงจนมองเห็นผู้คนด้านล่างคล้ายมดขนาดเล็ก เพราะพวกเขาจำต้องหลีกเลี่ยงพวกที่ใช้เวทบินได้และสัตว์บินได้ต่างๆ ด้วย

“ผ่อนคลายเข้าไว้ล่ะ” กรินเอ่ยบอกกับสุดฟ้ายามที่เขาวางมือลงบนไหล่ของชายหนุ่ม เห็นเช่นนั้นฝาแฝดคนน้องก็อยากจะออกปากถามแต่เพราะสีหน้าของกรินเหมือนต้องการใช้สมาธิอย่างสูง เขาจึงต้องหุบปากเงียบไว้ก่อน

ครู่หนึ่งต่อจากนั้น วงแหวนอักขระเวทวงใหญ่ได้ปรากฏขึ้นเหนือน่านฟ้าของฮัชดาลลาร์โดยมีพวกเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ขนาดของวงแหวนเวทนั้นครอบคลุมพื้นที่ของพระราชวังราซาห์ทั้งหมด นั่นทำให้กลุ่มทหารของฮัชดาลลาร์และกองกำลังฝั่งปฏิปักษ์ชะงักการต่อสู้ และเมื่อวงแหวนเวทหายไปพวกเขาก็ยังคงหยุดนิ่งเพื่อรอคำสั่งหากวงแหวนนั้นส่งผลให้ผลลัพธ์ของการสู้รบครั้งนี้แปรเปลี่ยนไป

ในขณะที่สุดฟ้าถึงกับหอบหายใจจนตัวโยน

“ทางทิศใต้ของพระราชวัง”
 
สุดฟ้ายังต้องฝืนยกมือสั่นระริกเพราะเรี่ยวแรงที่หายไปกดคำสั่งป้อนลงระบบเพื่อบังคับให้มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ และวินาทีต่อมาหน้าจอแสดงแผนที่จึงได้ปรากฏตรงหน้าผู้โดยสารตอนหลัง ธัชนันท์ที่รู้ใจเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กอย่างสุดฟ้าดีจึงเอ่ยถามกรินอีกครั้งให้ระบุตำแหน่งบนหน้าจอ กรินใช้นิ้วโปร่งแสงของตัวเองชี้ระบุลงไป ธัชนันท์จึงแตะย้ำเพื่อให้หน้าจอรับคำสั่ง อีกหนึ่งมาทีต่อมอเตอร์สเปซก็ลอยนิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ว่า

“สลิงชักรอกอยู่ที่เอว” สุดฟ้าบอกพร้อมกับป้อนคำสั่งลดกระจกข้างลง เขายังคงสูดลมหายใจยาวลึกเข้าปอดแต่อาการเหนื่อยหอบจางหายไปมากแล้ว

“ลำบากชิบ” แฝดน้องเอ่ยปากบ่นพร้อมกดปุ่มที่คอเสื้อจึงปรากฏคล้ายหมวกกันน็อคคลุมทั้งศีรษะ ก่อนจะสอดตัวผ่านช่องกระจกออกไป

“ไว้กลับไปคราวนี้ฉันจะจัดการให้เนี๊ยบไม่มีที่ติเลย” สุดฟ้าหันไปบอก ส่วนฝาแฝดคนพี่หันไปบอกโยธินว่าให้อยู่กับสุดฟ้า

“พี่โยยังไม่ค่อยชินกับอุปกรณ์ อยู่บนนี้กับสุดฟ้าจะดีกว่าครับ” แล้วกดเข็มขัดดึงเอาปลายสลิงที่มีลักษณะเป็นหัวลูกตุ้มธรรมดาออกมา

“ติดกับตรงไหนของรถก็ได้ที่แกสะดวก” เจ้าของชุดแปลงร่างยื่นหน้าไปบอก “อย่าเพิ่งโดดลงไปล่ะ รอฉันให้สัญญาณก่อน” สองพี่น้องจึงขึ้นไปนั่งเหยียบขอบหน้าต่างด้านข้าง ธัชนนท์เกาะอยู่ที่ประตูที่นั่งข้างคนขับและธัชนันท์เกาะอยู่ที่ประตูที่นั่งตอนหลังตำแหน่งหลังคนขับ ปลายสลิงชักรอกติดกับหลังคามอเตอร์เปซ ทั้งสองจึงเอนตัวไปด้านหลังพร้อมที่จะดิ่งลงไปที่พื้นเต็มที่

“เช็กสัญญาณเสียง”

เสียงพูดของสุดฟ้าดังขึ้นจากลำโพงที่ติดอยู่กับหมวก

“ชัดเจน” สองเสียงของฝาแฝดตอบพร้อมกันซึ่งเสียงตอบรับนั้นได้ดังออกมาจากลำโพงของมอเตอร์สเปซ ขณะที่สองมือของสุดฟ้าคีย์คำสั่งให้มอเตอร์สเปซเตรียมพร้อมปรับสมดุลยามที่ฝาแฝดปล่อยตัว

“เตรียมนับถอยหลัง ...สาม ...สอง ...หนึ่ง ปล่อยตัว”

มอเตอร์สเปซขยับวูบนิดหน่อยเพราะแรงน้ำหนักที่ถ่วงกระชากกะทันหันของพี่น้องสุวราลักษณ์ ก่อนจะกลับมาลอยนิ่งเช่นเดิม

“ถ้าพวกแกถึงพื้นแล้วให้กดปุ่มเดิมสองครั้งเพื่อปลดปลายสลิงฝั่งของพวกแก แล้วก็จับตัวผู้หญิงคนนั้นให้ได้ สเตบาสเตียนจะตามเข้าไปสมทบ ส่วนจุดนัดหมาย...” สุดฟ้าดึงแผนที่ขึ้นเพื่อเช็กตำแหน่งที่สามารถนำมอเตอร์สเปซลงจอดได้

“ถนนออกนอกเมืองทางทิศตะวันออก ฉันส่งพิกัดเข้าระบบแล้ว”

“รับทราบ”
 
“ควรตั้งชื่อหน่วยด้วยหน่อยดีหรือเปล่าวะ”
 
“แต่สุดฟ้าแม่งทำตัวเหมือนหัวหน้าเลยว่ะ ครั้งหน้าเปลี่ยนเป็นฉันบ้างนะ”
 
เสียงของธัชนนท์และธัชนันท์คล้ายกันจนตัวสุดฟ้าที่ฟังผ่านลำโพงแยกแยะไม่ออก ส่วนคำว่า ‘รับทราบ’ ฝาแฝดเอ่ยประสานเสียงมาพร้อมกัน ทว่ายังไม่ทันเขาจะตอบอะไรกลับไป ทั้งสองคนก็ถึงพื้นเสียก่อนเพราะสลิงเส้นสีดำถูกดึงกลับมาเก็บที่ลูกตุ้มส่วนปลายอีกด้านซึ่งติดอยู่บนหลังคาของมอเตอร์สเปซ

สุดฟ้าจึงสั่งปิดกระจกและเคลื่อนที่มอเตอร์สเปซไปยังตำแหน่งนัดหมาย

“ถ้าได้ตัวผู้หญิงคนนั้นมา นายจะหาตัวชวิศาเจอแน่ใช่ไหมกริน”

“ถ้าซีอยู่ในมิติเวทของเธอ”
 
ได้ยินคำตอบเช่นนั้น ชายหนุ่มได้แต่นึกภาวนาในใจว่าขอให้การสร้างมิติเวทไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็ทำกันได้ง่ายๆ ก่อนจะถามเพื่อยืนยันความแน่ใจว่า “การสร้างมิติเวทมันเป็นเรื่องยากไหม”

“ในยุคสมัยของข้าผู้คนล้วนสามารถใช้คาถาสร้างมิติเวทเพื่อเก็บสิ่งของกันทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถสร้างห้องในมิติเวทเพื่อให้ผู้คนอยู่อาศัย”

“การใช้เวทมนตร์แต่ละอย่างมีเงื่อนไขอะไรบ้างเหรอ” สุดฟ้าถาม จากที่เขาฟังคำอธิบายของเจ้าชายฟาลิฮ์และที่เห็นๆ มาทุกครั้ง เหมือนกับว่าเวทมนตร์ที่ชาวฮัชดาลลาร์ใช้กัน นอกจากคาถาหรือความตั้งมั่นแห่งจิตที่เจ้าชายรัชทายาทกล่าวถึง น่าจะมีโครงสร้างของเวทมนตร์ที่เป็นเงื่อนไขให้คาถาบางอย่างมีแค่บางคนสามารถใช้ได้

“สำหรับข้า เงื่อนไขคือความเข้มแข็งของพลังเวท”

ได้ฟังคำตอบแล้วสุดฟ้ายิ่งขมวดคิ้วยิ่งไปกว่าเดิม แต่เพราะมอเตอร์สเปซเคลื่อนที่มาถึงจุดหมายแล้ว เขาจึงหันไปให้ความสนใจกับการนำเครื่องลงจอดบนพื้นดิน แล้วเปิดประตูลงมาจากยานพาหนะ เดินไปเปิดกระโปรงท้ายหยิบอุปกรณ์อีกชิ้นออกมา

โยธินเองก็ลงมาจากมอเตอร์สเปซด้วย

“มันคืออะไรน่ะ”

ลูกพี่ลูกน้องของชวิศาถามถึงอุปกรณ์ในมือของสุดฟ้า มันมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าซึ่งสุดฟ้าได้นำมันไปวางไว้ที่พื้นแต่ละมุมรอบยานยนต์

แม้ว่าสุดฟ้าจะกำหนดจุดนัดหมายที่ถนนออกนอกเมือง แต่ตำแหน่งที่เขานำมอเตอร์สเปซมาจอดเป็นพื้นที่โล่งซึ่งถูกซ่อนตัวด้วยต้นไม้ใหญ่ห่างจากถนนมาเล็กน้อย และยังสามารถมองเห็นผู้คนที่ใช้ถนนสัญจรได้เป็นอย่างดี

“ลองออกไปยืนตรงนั้นสิครับ” สุดฟ้าพูดตอบ โยธินจึงเดินไปยังตำแหน่งที่สุดฟ้าชี้มือบอกก่อนจะหันหลังไปถามอีกครั้ง ทว่าภาพตรงหน้าที่ตนได้เห็นกลับเป็นเพียงพื้นที่โล่งเตียนล้อมรอบด้วยต้นไม้เช่นเดิม

“หายไปไหนแล้ว” โยธินพึมพำออกมา

“เป็นอย่างไรบ้างครับเห็นอะไรบ้างไหม”

“น... นายอยู่ไหนน่ะ” เขาร้องถามเมื่อได้ยินแต่เสียงของสุดฟ้า

“ก็อยู่ที่เดิมแหละครับ” สุดฟ้าร้องบอก “กลับมาเถอะครับ เดินตรงเข้ามาได้เลย”

โยธินทำตามที่อีกฝ่ายบอกและเมื่อก้าวเท้าผ่านไปประมาณสามสี่ก้าว มอเตอร์สเปซและสุดฟ้าจึงปรากฏให้เห็นแต่ราวกับอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้นมาแต่แรกแล้ว

“มันเป็นอุปกรณ์พลางตัวอย่างหนึ่ง ที่จริงรถของผมก็เปลี่ยนสภาพให้เข้ากับพื้นที่โดยรอบได้ แต่ถ้าใช้อุปกรณ์ตัวนี้ เราจะได้มีระยะพื้นที่ให้ทำอย่างอื่นได้” สุดฟ้าอธิบายพร้อมรอยยิ้ม


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบสี่ 17/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 17-09-2017 11:24:13
ตอนที่ยี่สิบสี่



ทันทีที่เท้าถึงพื้น ฝาแฝดสองพี่น้องได้รีบพุ่งตัวเข้าหาหญิงสาวที่เป็นเป้าหมายท่ามกลางกลุ่มคนซึ่งกำลังโรมรันศัตรูคู่อริ พวกเขาใช้ความเร็วที่ถูกเสริมประสิทธิภาพด้วยชุดสูทสำหรับต่อสู้ของสุดฟ้าเข้าประชิด หญิงสาวคนนั้นผงะเมื่อเห็นมีคนพุ่งเข้าหา ประตูไม้บานใหญ่ที่เคยตั้งอยู่ข้างกายเสมอหายไปกลายเป็นลูกบอลเพลิงจากพลังเวทบนฝ่ามือ แต่พวกเขามีสองคนที่กลุ้มรุมเข้าหา เมื่อเห็นอันตรายตรงหน้าคนหนึ่งจึงกระโดดขึ้นสูง อีกคนชะงักเท้ากระโดดถอยหลังไปนิดก่อนจะกระโจนเข้าใส่ทางด้านข้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นลูกบอลเพลิงในฝ่ามือของหญิงสาวจึงกลายเป็นดาบคู่ที่คล้ายมีเปลวไฟสีเขียวลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา เธอใช้คมดาบปัดการปะทะของทั้งคู่อย่างสอดประสาน

สองพี่น้องโดนเปลวไฟสีเขียวนั่นครั้งเดียวก็รับรู้ได้ว่าไม่ควรสัมผัสมันอีก หลังจดจ้องเป้าหมายและลอบส่งสายตาผ่านหน้ากากอันเป็นส่วนหนึ่งของชุดสูทต่อสู้อยู่ชั่ววินาทีหนึ่ง เขาทั้งคู่ได้พุ่งตัวเข้าโจมตีอีกครั้ง คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังเป้าหมายคือศีรษะ อีกคนมาจากทางด้านหน้าเป้าหมายคือช่วงลำตัว หญิงสาวที่อยู่กลางวงล้อมจึงต้องกระโดดหนีเพื่อตั้งหลัก แต่เหมือนว่าฝาแฝดคนพี่จะคาดเดาไว้ได้อยู่แล้ว เขาแตะเท้ายันกับพื้นพุ่งตัวขึ้นไปดักรอ ประสานสองมือสับเข้ากลางหลังของเธอเน้นๆ โดยไม่นึกออมแรงว่าเธอเป็นผู้หญิง

ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่ปฏิกิริยาต่อสู้ของพวกเขารวดเร็วจนสามารถเปลี่ยนตำแหน่งยืนแต่ละจุดในเสี้ยววินาทีนั่นก็เพราะพวกเขาสวมชุดสูทสำหรับต่อสู้ของสุดฟ้าอยู่ นอกจากความเร็วในการเคลื่อนที่ที่เพิ่มมากขึ้น ชุดยังป้องกันการบาดเจ็บหลังจากถูกโจมตี ส่วนหมวก นอกจากลำโพงยังป้องกันการกระแทกของศีรษะได้ และหน้ากากตรงตำแหน่งสายตายังเป็นจอภาพแสดงข้อมูลที่ต้องการ มีกล้องชนิดพิเศษจับภาพระยะไกล ทำให้แม้แต่คนสายตาสั้นยังสามารถมองภาพในระยะหลายกิโลเมตรได้อย่างชัดเจน

ธัชนันท์เห็นได้ทีเมื่ออีกฝ่ายเสียท่าจึงกระโจนตัวเข้าหาหวังซัดหมัดเข้าซ้ำ ทว่าเธอกลับตั้งหลักได้เสียก่อนแล้ววาดดาบเข้าใส่ ชายหนุ่มจึงต้องยกแขนขึ้นกัน เปลวเพลิงนั้นทำให้ชุดที่สวมอยู่ขาดเป็นรอยทีเดียว ฝ่ายธัชนนท์เห็นว่าถ้ายืดเยื้อมากไปกว่านี้จะเป็นพวกเขาเองที่เสียเปรียบ จังหวะที่น้องชายชุลมุนชุลเกประมือกับหญิงสาวเป้าหมายจึงดึงอุปกรณ์อีกชิ้นจากช่องกระเป๋าของชุด สวมเข้าที่ข้อมือของหญิงสาวในจังหวะทีเผลอ ทันใดนั้นเองสเตบาสเตียนพลันโผล่พรวดเข้ามาพร้อมสกอตช์เทปที่ปิดปากและพันมือทั้งคู่ของหญิงให้ประกบแน่นจนขยับเขยื้อนไม่ได้ จากนั้นหุ่นยนต์พ่อบ้านจึงให้ถุงผ้าใบใหญ่คลุมเธอไว้ทั้งตัวแล้วแบกขึ้นบ่า

มีพวกพ้องของหญิงสาวเป้าหมายหันมาเห็นการกระทำของพวกเขาบ้างเช่นกัน บางคนจึงดาหน้าเข้ามาหา

“แยกย้ายกันหนี เจอกันที่จุดนัดพบนะครับ” สเตบาสเตียนบอกกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะปล่อยให้ไอพ่นที่ฝ่าเท้าให้ทำงาน แล้วร่างหุ่นยนต์ก็ลอยลิ่วสูงจากพื้น

สองพี่น้องสุวราลักษณ์ได้แต่มองหน้ากันเอง พลางคิดในใจว่าโดนทิ้งง่ายๆ อย่างนี้เนี่ยนะ กระนั้นก็มีแค่‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ ในเมื่อถูกบอกให้แยกย้ายกันหนี พวกเขาจึงวิ่งหนีเป็นอันดับแรก



“คุณช่วยอธิบายเรื่องการใช้เวทมนตร์ของพวกคุณให้ฟังอีกครั้งได้ไหม” สุดฟ้าเอ่ยปากถามกริน ขณะที่ยืนพิงมอเตอร์สเปซรอให้สองพี่น้องสุวราลักษณ์มายังจุดนัดหมาย จากนั้นจึงทวนความรู้ที่เจ้าชายรัชทายาทแห่งฮัชดาลลาร์ทรงอธิบายให้ฟังออกมาเป็นคำพูด

“ผมรู้มาว่าเวทมนตร์คือการดึงจักระในร่างกายมาใช้ รวมกับคาถาหรือถ้อยคำที่มาจากความตั้งมั่นแห่งจิต อย่างนั้นถ้าผมเอ่ยคาถาได้ผมก็ต้องใช้เวทมนตร์ได้น่ะสิ”

“ถูกครึ่งหนึ่งและไม่ถูกครึ่งหนึ่ง” กรินตอบ “คาถาที่มีใช้อยู่เพียงแค่ทำให้การใช้เวทง่ายมากขึ้น และคาถาเป็นแค่ตัวกลางที่ทำให้จิตตั้งมั่นจนทำให้เวทนั้นสัมฤทธิผล ก่อนที่จะรู้จักคาถาเจ้าจะต้องรู้จักธาตุทั้งห้าเสียก่อน” กรินวาดมือเป็นวงกลมบนอากาศ แล้วชี้มือที่ตำแหน่งบนสุดวนมือตามเข็มนาฬิกาเพื่ออธิบายตำแหน่งของธาตุทั้งสี่
“ไม้ ไฟ ดิน โลหะ และน้ำ มีอากาศธาตุเป็นธาตุพิเศษ” กรินพูดพลางลากมือยาวผ่านวงกลมเชื่อมโยง “เวทมนตร์เป็นการผสมหรือสลายธาตุทั้งห้า โดยกล่าวคาถาซึ่งเป็นคำเสกเวทมนตร์ ขณะที่กล่าวคาถาด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตนั้นจะควบคุมจักระให้ปรับแต่งธาตุตามระเบียนเวท”

“คำเสกเวทมนตร์?” สุดฟ้าเอ่ยทวน เขาเข้าใจหลักการในการสร้างเวทแล้ว แต่ประเด็นที่ยังไม่กระจ่างคงจะเป็นคาถาหรือคำเสกเวทมนตร์ คำบัญญัติคำใหม่ที่ทำให้เขางุนงงกว่าเดิม

“อา... ปกติข้าก็ไม่ค่อยได้กล่าวคาถาเสียด้วย” กรินบ่นพลางทำท่านึก “เอาเป็นว่าคาถาน่ะไม่จำเป็นเท่าการปรับแต่งธาตุให้ถูกต้องหรอก”
 
“อ่ะ” พอได้ยินคำยืนยันเช่นนั้น สุดฟ้าจึงทำหน้าเหมือนเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที

“แล้วที่คุณบอกว่า ‘เงื่อนไขคือความเข้มแข็งของพลังเวท’ มันหมายความว่าอย่างไรหรือ”

“พลังเวทประกอบด้วยสองสิ่ง คือจักระและธาตุ จักระคือพลังชีวิตที่มนุษย์ทุกคนล้วนมีอยู่ในร่างกาย แต่ว่าแต่ละคนล้วนมีระดับความเข้มแข็งของจักระไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของร่างกาย ความเข้มแข็งของจิตใจ พลังสมาธิ สภาวะแวดล้อม ส่วนธาตุทั้งห้าเป็นสิ่งที่กำหนดว่าผู้นั้นจะใช้มนตราได้หรือไม่ ธาตุทั้งห้าล้วนผสานอยู่ในจักระ ระดับความเข้มข้นและจำนวนธาตุในร่างของแต่ละผู้คนจะไม่เท่ากัน เหล่านี่ล้วนส่งผมต่อความเข้มแข็งของพลังเวททั้งสิ้น”

สุดฟ้าครางอือออในลำคอรับรู้

อย่างไรก็ตาม การสนทนาระหว่างพวกเขาต้องระงับไว้แค่นั้น เมื่อสเตบาสเตียนอุ้มห่อผ้าวิ่งตรงมาหา

สุดฟ้ารับร่างของหญิงสาวเป้าหมายซึ่งอยู่ในถุงผ้าใบใหญ่วางลงกับพื้น หลังเปิดถุงผ้ากลับกลายเป็นว่าเธอคนนั้นหลับตานิ่งสนิท และไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจเมื่อลองตรวจดู

“เธอตายไปแล้ว”

“ฆ่าตัวตายเหรอ” โยธินถามพลางทรุดตัวลงนั่งและตรวจดูสัณฐานโดยรวมหาร่องรอยที่ทำให้เธอเสียชีวิต แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้แกะเทปที่ปิดปากหรือมัดมือของเธอออก

“ถ้าถูกเวทหุ่นเชิดควบคุมไปนานๆ เข้า เจ้าของร่างก็อาจจะไร้ลมหายใจได้”
 
คนฟังทั้งสองต่างขมวดคิ้ว พวกเขามองหน้ากันด้วยความกังวลโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดออกมา

“แล้วยังสามารถหาที่อยู่ของซีจากเธอได้อยู่หรือเปล่า” โยธินถามถึงสิ่งที่พวกเขากังวลอีกครั้ง

“ในเมื่อเธอตายไปแล้ว แล้วเวทมนตร์ทั้งหลายแหล่ที่เธอใช้มันเกิดขึ้นได้ยังไง” สุดฟ้าถามแทรกไปอีกคำถามถึงสิ่งที่เขาสงสัย

“มันช่างน่ามหัศจรรย์ใช่ไหมล่ะ” กรินหัวเราะพร้อมนัยน์ตาเป็นประกาย“มันเป็นความพิเศษของมนตรานี้ ผู้ใช้มนตราจะจับกระแสจักระในร่างกายของผู้อื่นและควบคุมมันไว้เพื่อใช้งาน ข้าคิดว่าดวงจิตของเจ้าของร่างนี้คงถูกกักขังไว้ นานวันเข้าสายใยเชื่อมโยงระหว่างดวงจิตและกายเนื้อจึงถูกตัดขาดจากกัน เจ้าของมนตราจึงยึดกายเนื้อและพลังเวททั้งปวงของหญิงสาวโชคร้ายไว้เป็นของตัวเอง”

“คนคิดเวทมนตร์แบบนี้ขึ้นมาช่างโหดร้ายจริงๆ” สุดฟ้าออกความคิดเห็น

“ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้”
 
สุดฟ้าและโยธินเงยหน้ามองคนพูดพร้อมโดยไม่ต้องนัดหมาย

“ข้าก็คิดเหมือนเจ้าว่าคนที่นำไปใช้โหดเหี้ยมไม่ใช่เล่น” กรินพูดต่ออีกประโยค

“คุณเป็นคิดเวทมนตร์บทนี้เหรอ”

“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มนตราที่ข้าคิดค้นมีเพียงการควบคุมจักระของผู้อื่น และใช้จักระนั้นควบคุมเวทของคนผู้นั้นอีกทอด”
 
“ผมจะไม่ถามเหตุผลของคุณล่ะนะ แต่ขอคำยืนยันว่าคุณสามารถคลายเวทที่ชวิศาโดนได้”

“แน่นอน อ่ะ... ไม่ใช่ซิ ข้าต้องใช้จักระของเจ้าถึงจะคลายเวทได้”
 
“ผมก็จะถามอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นสุดฟ้าคนเดียวด้วย” คำถามนั้นมาจากธัชนันท์ สองพี่น้องเพิ่งตามมาสมทบและทันได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของกรินพอดี ที่ตามมาพร้อมกันคือมาริเอะและเดย์

“ก็เพราะว่าควบคุมง่าย ตัวข้ามีเพียงแค่ดวงจิตที่ใช้พลังได้เพียงน้อยนิด”
 
“คุณจะไม่มีทางยึดร่างของสุดฟ้าได้ใช่ไหม” ฝาแฝดคนพี่ถามย้ำอีกรอบ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องกังวลไป หลังจากที่ดวงจิตของข้าถูกปลดปล่อยออกมาจากผลึกศิลา เวลาของข้าสำหรับการดำรงอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้เริ่มนับถอยหลังแล้ว”
 
“โอเค ทุกอย่างเคลียร์ เริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือซี ชวิศาได้” ธัชนันท์ร้องบอกออกมา

“วางมือไว้บนหน้าผากของเธอ” กรินบอกสุดฟ้า จากนั้นเขาจึงวางมือไว้บนไหล่ของชายหนุ่มอีกที วินาทีต่อมาอักขระเวทอย่างที่พวกเขาเคยเห็นตอนที่สุมุนตราเคยใช้กับชวิศาก็ปรากฏให้เห็น

“ไอ้ที่มันเป็นแบบนี้ มันเรียกว่าอะไร” สุดฟ้าอดที่จะออกปากถามไม่ได้

“ระเบียนมนตรา อยู่เฉยก่อนแล้วข้าจะอธิบายให้ฟัง” ประโยคหลังกรินเอ่ยเสียงดุ สุดฟ้าจึงต้องพยายามทำให้จิตใจสงบนิ่ง นับลมหายใจเข้าออกเพื่อให้ไม่เป็นการรบกวนอีกฝ่าย ราวๆ หนึ่งนาทีต่อจากนั้น อักขระอักษรต่างๆ ที่เคยลอยอยู่เหนือร่างของหญิงสาวก็หายไป

“ระเบียนมนตราคือบันทึกธาตุในร่างและรายละเอียดเวทมนตราคาถาที่ผูกพันทั้งหลาย”
 
“อย่างนี้ไม่ว่าใครก็รู้หมดน่ะสิว่าเราใช้เวทมนตร์อะไรได้บ้าง”

“เจ้าคิดว่า ไม่ว่าใครก็สามารถดึงระเบียนมนตราออกจากร่างผู้อื่นก็ได้อย่างนั้นหรือ แค่อ่านคาถาจากไอเวทยังต้องใช้เวลาตั้งหลายสิบปีกว่าคนผู้หนึ่งจะทำสำเร็จ มนตราบทนี้มีแต่ผู้ที่อยู่เหนือนักเวททั้งปวงนั่นล่ะถึงจะทำได้”
 
“อ้าว ก็ผมเห็นเจ้าชายฟาลิฮ์อ่านข้อมูลที่อยู่บนระเบียนมนตราได้” สุดฟ้าแย้ง

“การอ่านอักขระคาถาธาตุมันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ผู้ฝึกเวทมนตร์ทุกคนพึงปฏิบัติให้ช่ำชอง”
 
เมื่อเห็นสุดฟ้าพยักหน้ารับรู้ กรินจึงกล่าวต่อ “ข้าจะใช้มนตราเพื่อตามหาซีซึ่งมันอาจจะใช้แรงและพลังมากสำหรับเจ้า หากเหนื่อยให้บอก ข้าจะถอนมนต์ให้เจ้าพัก อย่าฝืนเพราะมันอันตรายต่อชีวิตเจ้าเข้าใจหรือไม่”
 
คนที่ต้องเป็นแหล่งแบตเตอรี่ให้กรินพยักหน้ารับ

“ส่วนสำหรับพวกเจ้า พยายามอย่าให้มีสิ่งใดรบกวนพวกข้าระหว่างนี้”
 
“ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดไป จะเกิดอะไรขึ้น” ธัชนนท์ถาม
“ไม่แน่ใจนัก มีแต่คำพูดปากต่อปากว่ามิติเวทเป็นสถานที่ที่สับสนยุ่งเหยิง ข้าภาวนาว่ามันคงไม่เกิดผลกระทบใด”
 
สองพี่น้องสุวราลักษณ์และสุดฟ้าหันมองหน้ากัน

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอย้ายที่” สุดฟ้าหยิบดิจิตอลไลท์มอนิเตอร์ขึ้นมากดเปิด เขียนคำสั่งข้อมูลและกดตกลง จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูมอเตอร์สเปซ หุ่นยนต์พ่อบ้านอัจฉริยะรู้ใจเจ้านายทันทีโดยไม่ต้องสั่ง สเตบาสเตียนเดินไปอุ้มร่างหญิงสาวขึ้น พาไปยังยานยนต์ที่ภายในถูกปรับเปลี่ยนจนเบาะที่นั่งหายไปกลายเป็นพื้นที่ราบเรียบเสียแทน

สุดฟ้ามั่นใจว่ายานพาหนะของตนสามารถป้องกันอันตรายจากภายนอกได้ในระดับหนึ่ง

“ถ้าไม่อยากให้อะไรรบกวนเชิญในนี้ดีกว่าครับ”



“ถ้าคิดอีกทีมันก็ฟังดูลามกหน่อยๆ” ธัชนันท์พูดขึ้นกับพี่ชายระหว่างยืนมองคนสามคนซึ่งอยู่ภายในรถยนต์ที่สามารถกลายร่างเป็นอากาศยานได้

“ชวนเข้าไปทำในรถ”

ฝาแฝดคนพี่หัวเราะ

เวทมนตร์ในคราวนี้ของกรินไม่มีแสงสว่างเรืองรองหรือตัวอักษรยึกยือที่เหล่าผู้คนซึ่งใช้เวทมนตร์เรียกว่าอักขระเวท จากตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ เห็นเพียงสุดฟ้าที่นั่งหลับตานิ่งๆ กับกรินที่วางมือไว้บนบ่าเพื่อนสนิทสมัยเด็กของพวกเขาเท่านั้น เมื่อการมองบุคคลที่อยู่ภายในยานยนต์ไม่มีมีอะไรน่าสนใจ ธัชนันท์จึงหันหลังพิงสะโพกกับยานพาหนะ

“หาอะไรกินกันดีไหม”

“หิว?” ธัชนนท์ถามอย่างสงสัย เพราะพวกเขาได้รับแจกแคปซูลอาหารมาจากสุดฟ้า ถ้าถามถึงความหิวโหยของกระเพาะอาหารคงต้องปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกเป็นวัน

“ปากว่างอ่ะ”

พี่ชายจึงมือแขนตัวเองมาให้ “ให้กัด ปากจะได้ไม่ว่าง”

“ตลกว่ะ พี่ไอซ์”

“พวกนายสองคนหยอกกันจนน่าขนลุกเลย” โยธินบอกออกมา

“อืม แล้วพี่โยล่ะครับ ถ้าช่วยชวิศาได้แล้วจะเอายังไงต่อ กลับเลยหรือเปล่า”

โยธินมองสีหน้าคนถาม ก่อนจะเสตามองไปทางอื่นแล้วนิ่งคิด อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างภูสิทธิวรโชติกับราชวงศ์อัสมานร์ก็เกี่ยวข้องกันด้วยธุรกิจ เขาให้เกียรติอีกฝ่ายเพราะฐานะที่สูงส่งกว่าตน แต่ถ้าราชวงศ์ล่มสลายเจ้าชายรัชทายาทคงไม่มีความสำคัญอีก

“แล้วทำไมพวกนายถึงไม่ช่วยเจ้าชายเลยล่ะ”

“ก็พวกเราเป็นพ่อค้า ถ้ามีไม่คนสั่งของ เราจะเสนอของให้จนตัวเองขาดทุนทำไม” ฝาแฝดคนพี่ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“แล้วเจ้าชายรัชทายาทจ้างให้สุดฟ้าทำอะไรให้”

“พี่โยคงเคยได้ยินเรื่องระเบิดสลายโมเลกุล”

โยธินพยักหน้ารับ เขาเคยได้ยินเรื่องอาวุธทำลายล้างชิ้นดังกล่าวมาบ้างเหมือนกัน ว่ากันว่าในตลาดมืดให้ราคาแบบแปลนการสร้างสูงลิ่ว ชนิดที่ว่าทำให้คนที่ของอยู่ในมือสามารถกลายเป็นอภิมหาเศรษฐีได้ในพริบตา

“เจ้าชายฟาลิฮ์จ้างทำของที่ว่า... นั่นแหละครับ”

“น่าแปลก ทำไมต้องมาถึงฮัชดาลลาร์ด้วย ทำที่บ้านไม่ได้เหรอ”

“มันโดนหลอกมา” พูดถึงประเด็นนี้แล้วธัชนันท์ออกอาการอย่างหมั่นไส้ “สุดฟ้ามันโดนสั่งห้ามทำของจำพวกระเบิดอีก แต่เผอิญเจ้าชายฟาลิฮ์เอาเรื่องเวทมนตร์มาล่อ มันก็เลยตามเขามาต้อยๆ แถมจะทำให้เขาฟรีแลกกับแค่เล่าเรื่องเวทมนตร์ให้ฟัง”

“มิน่า ถึงถามกรินยิกๆ เรื่องหลักการทำงานของเวทมนตร์”

“คิดเหมือนกันไหมบีสอง”

“รู้สึกตงิดๆ เหมือนกันแหละบีหนึ่ง”

สองพี่น้องหันหน้ามาคุยกันเอง

“อะไรของพวกนาย” โยธินถาม

“พี่โยสนใจจะทำธุรกิจกับพวกเราไหมล่ะครับ” ธัชนันท์เป็นคนเอ่ยปากถามกลับไปแทนที่จะตอบคำถามของอีกฝ่าย

“หือ” โยธินเลิกคิ้วไม่คิดจะตอบตกลงในทันที เพราะรู้ว่าโยธินก็เขี้ยวลากดินไม่ต่างจากพวกตน ธัชนนท์จึงยอมเฉลยให้ฝ่ายตรงข้ามได้ฟังก่อน

“ผมคิดว่า สุดฟ้ามันน่าจะสร้างอุปกรณ์ที่สามารถจำลองการใช้เวทมนตร์ ไม่ใช่สิ... อุปกรณ์ที่ทำให้แม้แต่คนธรรมดาก็ใช้เวทมนตร์ได้”

“หมายถึง ไม่จำเป็นต้องเรียน ไม่จำเป็นต้องฝึก”

“ครับ”

“แบบนั้นมันจะไม่ยุ่งวุ่นวายกันไปใหญ่เหรอ”

ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ถกเถียงกันเรื่องความยุ่งวุ่นวายที่ว่า ความยุ่งวุ่นวายกลับมาเยือนให้พวกเขาได้เผชิญกันเสียก่อน


หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบสี่ 17/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 17-09-2017 11:25:14
สเตบาสเตียนส่งเสียงเตือนมาก่อนแล้วว่ากลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายกำลังมุ่งหน้ามาทิศทางที่พวกเขารวมกลุ่มกันอยู่ เพื่อไม่ให้สุดฟ้าและกรินที่อยู่ในมอเตอร์สเปซถูกโจมตีง่ายๆ พวกเขาจำต้องออกจากพื้นที่พรางตา แต่คราวนี้ แต่ละคนได้ถืออาวุธ ถึงความสามารถมากที่สุดของมันคือทำให้คนที่เป็นเป้าหมายสลบ แต่ในหนึ่งแมกาซีนก็สามารถจัดการได้ห้าสิบคนแม้ว่าจำนวนของมันจะจำกัดอยู่ที่ห้าสิบนัดตามจำนวนบรรจุในแมกาซีนก็ตาม

พวกเขาแยกย้ายซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ในขณะที่สเตบาสเตียนและมาริเอะเลือกปีนขึ้นไปซุ่มอยู่บนต้นไม้สูง

ตูม!!!

สเตบาสเตียนส่งระเบิดไปเตือนกลุ่มไม่ทราบฝ่ายก่อนเป็นอันดับแรก ระเบิดที่ว่าก็เป็นบอร์บพินาศฉบับปรับปรุงที่สุดฟ้าตั้งโปรแกรมไว้ให้คุณพ่อบ้านได้ใช้งาน สิทธิพิเศษนี้ก็ได้รับเฉพาะสเตบาสเตียนอีกเช่นเคย เพราะแม้สรรถภาพของสเตบาสเตียนและมาริเอะจะใกล้เคียงกัน แต่เพราะโปรแกรมเรียนรู้กับบอร์ดควบคุมในระบบสมองกลของมาริเอะทำให้ข้อมูลบุคลิกภาพของเจ้าตัวผิดเพี้ยนไปจากที่สุดฟ้าคาดการณ์ไว้มากโข มาริเอะจึงชอบโกงคำสั่งอยู่บ่อยๆ ชายหนุ่มไม่อยากให้เหตุการณ์บานปลายจนแก้ไขลำบาก เขาจึงต้องจำกัดความสามารถของหุ่นยนต์ตัวโปรดของตนไว้

“ประกาศ!!! ประกาศ!!!” มาริเอะให้กำลังไฟฟ้าขยายความดังของเสียงและพูดออกไปด้วยภาษาฮัชดาลลาร์ “พื้นที่บริเวณนี้ถูกยึดเป็นฐานที่มั่น...”

“รบกวนแจ้งชื่อสังกัดด้วยครับ พวกคุณเป็นกลุ่มทหารของฝ่ายไหน” สเตบาสเตียนพูดแทรกก่อนที่มาริเอะจะพูดจบ มาริเอะจึงโวยวายผ่านการเชื่อมต่อของระบบไร้สายกลับมา

“ทำไมต้องพูดขัดด้วยล่ะ ต่อให้เป็นคนของเจ้าชายฟาลิฮ์หรือกลุ่มทหารของจันทร์พยัคฆ์ก็ไม่ควรให้ใครเข้ามาใกล้ทั้งนั้นแหละ”
 
“ผมทราบครับ แต่ถ้าเป็นคนของเจ้าชายพวกเราคงไม่จำเป็นต้องปะทะกัน” สเตบาสเตียนตอบขณะกวาดสายตามองหาสัญลักษณ์ใดๆ ที่ระบุที่มาของฝ่ายตรงข้าม

อย่างไรก็ตาม การรอดูท่าทีกลับไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เมื่อฝ่ายตรงข้ามเริ่มลงมือ โยธินจึงเป็นคนเปิดฉากตอบโต้

“สเตบาสเตียน มีจำนวนคนเท่าไหร่” ธัชนนท์เอ่ยถามผ่านไมโครโฟนซึ่งติดอยู่ที่หมวก อันเป็นช่องสัญญาณติดต่อสื่อสารรวมของพวกเขา

“ยี่สิบครับ”

“แค่ยี่สิบ จิ๊บๆ แบ่งกันคนละเจ็ดคนเลย” น้องชายฝาแฝดของธัชนนท์ส่งเสียงตามมา เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจิ๊บๆ อย่างที่ธัชนันท์เข้าใจ การที่โยธินสามารถยิงหนึ่งในยี่สิบจนร่วงสลบลงไปนอนกับพื้นเพราะอีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นนัดที่สองจากปืนของธัชนันท์จึงกระทบถูกม่านพลังและนัดที่สามถูกดาบปัดทิ้งอย่างง่ายดาย ซ้ำเขายังถูกพุ่งเข้าประชิดตัว ยังดีว่าถูกเดย์ซึ่งเป็นหน่วยระวังหลังมาช่วยเหลือไว้ทัน

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของพี่ชายดังมาตามสายให้ได้ยิน

“ตอนนี้ยังปลอดภัยครับ”

“พวกเราสามคนแยกกันไปคนละทาง หาทางล่อไปที่อื่น ได้โอกาสก็ลงมือกำจัด ส่วนทางนี้ปล่อยให้พวกหุ่นยนต์ดูแลอย่าให้พวกนั้นลอดผ่านไปได้” โยธินออกคำสั่ง ซึ่งทุกคนต่างก็ขานรับพร้อมเพรียง

แผนของโยธินไม่เรียกว่าดีเลิศและไม่เรียกว่าแย่มาก สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการถ่วงเวลา แต่ถ้าจัดการไม่ให้มีคนรุกล้ำเข้าไปใกล้มอเตอร์สเปซได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี การหลอกล่อของพวกเขาช่วยดึงความสนใจจากคนกลุ่มนั้นได้ก็จริง แต่ยังเหลืออีกสามคนที่มุ่งหน้าสำรวจพื้นที่ที่มอเตอร์สเปซถูกซ่อนอยู่ราวกับได้รับคำสั่งเจาะจงให้มาตรวจสอบพื้นที่แถบนี้

ทั้งสเตบาสเตียน มาริเอะ และเดย์ต่างหลบซ่อนอยู่บนต้นไม้อย่างเงียบเชียบ พวกเขาไม่มีจักระหรือพลังชีวิตให้ฝ่ายตรงข้ามตรวจสอบค้นหา มาริเอะนิ่งรอจนกระทั่งฝ่ายศัตรูเข้ามาใกล้ในระยะหวังผล ใช้แรงกระโดดเหนือมนุษย์พุ่งเข้าหาคนที่รั้งท้ายของกลุ่ม ใช้วงแขนเกี่ยวรัดคอของอีกฝ่ายพร้อมกับถีบเท้าเข้าหาที่ซ่อนตัว และจัดการหักคอชายหนุ่มร่างใหญ่ในวงแขนอย่างไม่นึกลังเล เขาจัดการไปได้อีกหนึ่งแต่แลกมาด้วยการระแวดระวังตัวที่เพิ่มมากขึ้นของฝ่ายศัตรู

ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ทันทีที่พวกพ้องหายไป

ทั้งหนึ่งในนั้นยังดูคล้ายหัวหน้ากลุ่ม เขายืนกวาดสายตาไปโดยรอบเหมือนตรวจจับหาภัยอันตราย จากนั้นจึงผิวปากส่งสัญญาณ ครู่หนึ่งต่อมาพวกพ้องซึ่งแยกย้ายกันไปก็กลับมารวมตัวอีกครั้ง เท่ากับว่าแผนของโยธินล้มเหลว

“เอายังไง” ฝาแฝดคนน้องส่งเสียงไปตามสาย ปล่อยหน้าที่ตัดสินใจให้กับพี่ชายและผู้ที่มีวัยวุฒิสูงกว่า

“ถ้าปะทะคิดว่าจะมีโอกาสชนะเท่าไหร่” โยธินถามในฐานะที่สองพี่น้องสุวราลักษณ์เคยประมือกับผู้ใช้เวทมาก่อน

“ผมคิดว่าคงอยู่ราวๆ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์อย่างที่สุดฟ้าเคยบอกไว้ แถมคงถ่วงเวลาได้แค่ประมาณสิบนาที”
“แล้วแผนที่คิดจะทำให้พวกเราเป็นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ว่า”
“ผมคิดว่า คงต้องใช้อาวุธหนัก สเตบาสเตียน ระดับที่รุนแรงที่สุดของบอมบ์พินาศล่ะ”
“แค่พายุหมุนครับ”
“แฮ็กระบบไม่ได้เลยเหรอ”


ปัง!!!

ทันทีที่สิ้นสุดเสียงพูดของธัชนนท์เสียงของปืนได้ดังขึ้น คนที่ตกเป็นเป้ากระสุนตวัดดาบอย่างรวดเร็วจนสายตาคนปกติมองตามไม่ทัน พร้อมกันนั้นชายหนุ่มร่างยักษ์อีกคนที่พุ่งเข้าหาที่มาของลูกกระสุน ทว่าเหมือนโยธินก็คาดเดาไว้อยู่แล้ว เขาจับจ้องเฝ้ารอการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของชายคนนั้นอย่างสงบนิ่ง เบี่ยงตัวหลบวิถีดาบของฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อยเมื่อโดนจู่โจมในระยะประชิด ก่อนจะเหนี่ยวไกซ้ำอีกครั้งโดยเล็งตำแหน่งกลางหน้าผาก ชายคนนั้นสิ้นใจทันที เสียงปืนนัดที่สองและเสียงของหนักร่วงสู่พื้นที่ให้ชายชุดดำที่รวมกลุ่มกันอยู่ชะงักเท้าไม่ผลีผลาม

“พี่โยพกปืนด้วย?” สองพี่น้องส่งเสียงถามแทบจะพร้อมกัน

“เรื่องปกติ ก็เอาไว้ป้องกันตัว หรือพวกนายสองคนไม่มี”

มีแต่ความเงียบตอบกลับมา

ธัชนนท์และธัชนันท์คิดเพียงว่า มากับสุดฟ้า ต่อให้เกิดเรื่องก็คงไม่ร้ายแรงถึงชีวิต อีกอย่างคือพวกเขามาดูลู่ทางธุรกิจไม่ได้ตั้งใจมาตีกับใคร

ในระหว่างความเงียบที่พวกเขาเฝ้ารอดูท่าทีของฝ่ายตรงข้าม กลุ่มผู้ใช้เวทซึ่งพวกเขาตัดสินใจแน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายคงเป็นปรปักษ์ หนึ่งในนั้นได้ยกมือขึ้นสูงเหนือศีรษะ จากนั้นจึงปรากฏวงแหวนประกายสีฟ้าขนาดเล็กกว่าฝ่ามือ ครู่หนึ่งมันจึงเริ่มขยายขนาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนวงกลมด้านในใหญ่กว่าระยะพื้นที่ที่อีกฝ่ายยืนอยู่ ชายเจ้าของวงแหวนสีฟ้าจึงลดมือลงมาอยู่ในระดับอก

พวกเขาเห็นชัดว่ามันดูคล้ายรูปทรงกระบอกเรืองแสงสีฟ้า ธัชนนท์และธัชนันท์เพ่งมองด้วยความตื่นตะลึงเพราะแสงสว่างอันสวยงาม แต่กระนั้น ยามที่มันขยายขอบเขตอย่างรวดเร็วกลับมีเสียงเตือนของโยธินดังมาตามสายสัญญาณให้รีบถอยออกมาให้ห่างที่สุด

ไม่จำเป็นต้องให้บอกเตือนซ้ำสอง สองพี่น้องและพวกหุ่นยนต์ก็ขยับหนีถอยห่างอย่างรวดเร็วด้วยความเร่งรีบ เนื่องจากเมื่อวงแหวนทรงกระบอกสีฟ้าครามน้ำทะเลเคลื่อนผ่าน ต้นไม้ ใบไม้ สัตว์น้อยใหญ่ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกเผาไหม้เป็นจุณจนเหลือแต่เถ้าถ่าน ทั้งป่าจึงมีแต่ความแตกตื่น พวกนกพวกแมลงต่างบินหนี สัตว์ใหญ่ต่างล้วนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน กระทั่งเวทมนตร์แห่งการทำลายล้างหยุดลง

ธัชนันท์มองแสงสีครามสวยงามตรงหน้าด้วยอาการตระหนกหัวใจเต้นรัว กลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดเสียว แผ่นหลังของเขาพิงอยู่กับด้านท้ายของมอเตอร์สเปซ เขาตั้งใจหนีมาทางด้านนี้ด้วยต้องการเตือนเพื่อนสมัยเด็กถึงอันตรายที่รุกรานเข้ามาใกล้ แต่การเคลื่อนที่ของลำแสงเวทรวดเร็วมาก ขนาดที่แม้ว่าเขาจะสวมชุดสูทที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางกาย ยังถูกไล่หลังตามอย่างที่เรียกว่าหายใจรดต้นคอ

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง เมื่อแสงสีฟ้าค่อยสลายหายไป พื้นที่ตรงหน้าที่เคยเป็นป่าซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง เขามองกลุ่มคนราวสิบกว่าคนกลางพื้นราบนั่นได้อย่างชัดเจน ธัชนันท์ยันขาที่สั่นเทาลุกขึ้นยืน

“ฮัลโล ทุกคนปลอดภัยดีไหม” เสียงของโยธินดังทักออกมาจากลำโพงในหมวก จากนั้นเสียงของพี่ชายและหุ่นยนต์อย่างสเตบาสเตียนและมาริเอะก็ดังตามมาติดๆ

“ครับ ผมปลอดภัยดี” น้ำเสียงของเขาสั่นระรัว ก่อนที่หัวใจภายใต้แผ่นอกจะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อสายตาหันไปเห็นว่าภายในมอเตอร์สเปซมีแต่ความว่างเปล่า

“พ... พี่ แย่แล้ว!!! สุดฟ้า... มันหายไป”



ในที่สุดพวกเขาก็เจอชวิศา

สุดฟ้านอนแผ่อยู่กับพื้นพลางอ้าปากกอบโกยลมหายใจเข้าปอด อาการเหนื่อยแบบนี้คล้ายกับที่เขาฝืนออกกำลังกายเป็นชั่วโมงในวันแรกที่อยากจะฟิตกล้ามเนื้อให้ร่างกายดูดี ทุกครั้งที่หายใจราวกับมีมือที่มองไม่เห็นในอากาศกำลังจากดึงเอาเครื่องในออกมาด้วย คอแห้งเป็นผงกระหายน้ำ แต่ที่นี่ไม่มีน้ำให้เขาดื่ม เขาจำต้องกลืนน้ำลายที่แห้งผากไม่แพ้กัน หายใจจนปวดทั้งปอดและหัวใจ

กรินทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดูเขาเฉยๆ แต่สุดฟ้าไม่แน่ใจว่า อาการเหนื่อยทำให้เขาตาพร่าหรือเปล่า ถึงได้มองเห็นว่าร่างของกรินโปร่งใสมากขึ้นกว่าเดิม

ที่นอนอยู่ข้างกันเป็นร่างของชวิศาที่ยังคงหลับสนิท เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดนอนขายาวของเจ้าตัวซึ่งแม้ไม่สังเกตแต่เขายังเห็นคราบดินและความสกปรกที่ติดอยู่ทั่ว

สิ่งที่ทำให้เบาใจคงจะเป็นลมหายใจทอดยาวของชายหนุ่มร่างเพรียว

“เอ้า พร้อมแล้ว” สุดฟ้าฮึดลุกขึ้นนั่ง กรินบอกกับเขาว่า ต้องการใช้จักระของเขาจนถึงแค่คลายเวทผนึกของสุมุนตรา ส่วนการแก้เวทหุ่นเชิดและพาพวกเขาออกจากมิติเวทจะใช้จักระของชวิศา

ก่อนอื่น สุดฟ้าต้องวางมือลงบนหน้าผากของชวิศาเพื่อให้กรินดึงระเบียนมนตราออกมาตรวจสอบ เขายังวางมือนิ่งอยู่อย่างนั้น ทว่าอักขระและสัญลักษณ์ต่างกลับมีการเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่ง

“ไม่ต้องตกใจไป” กรินพูดดักทางออกมาพอดี สุดฟ้าจึงยังวางมือนิ่งอยู่อย่างนั้น มองแสงเรืองรองสีทองหมุนเวียนเปลี่ยนตำแหน่ง เขามองดูและพยายามทำความเข้าใจ จดจำสัญลักษณ์ต่างๆ พลางมองหาความเชื่อมโยง แม้ไม่เข้าใจทั้งหมดแต่รูปแบบของเวทมนตร์ยังเหมือนที่เขาคาดคิดไว้ มันมีโครงสร้างลำดับการผสมธาตุที่คอยทำงานเชื่อมโยงกันอยู่ สุดฟ้าเห็นกรินแก้คลายเวทผนึกไปเรื่อยๆ ทีละชั้นๆ อย่างใจเย็น

เขาเหมือนจะสลบทันทีที่กรินผละจากตัวเขาเข้าไปหาชวิศา หมดแรงพยุงตัวจนต้องยอมไถลลงไปนอนกับพื้นอีกครั้ง แต่เขายังพยายามฝืนเปลือกตามองดูทั้งสองคนตรงหน้า

สุดฟ้าเห็นกรินขมวดคิ้วคล้ายมีเรื่องยุ่งยากใจ นึกอยากจะเอ่ยปากถาม เพียงแต่เรี่ยวแรงไม่ยอมกลับมาเสียที ทั้งยังเหนื่อยมากจนอยากจะหลับเสียให้ได้ กระนั้นเขาพยายามฝืนอยู่ได้ชั่วครู่เท่านั้น หนังตาอันหนักอึ้งก็ปิดลงอย่างที่เขาไม่ยินยอม

กระแสพลังเวทในร่างของชวิศาเชี่ยวกรากเหมือนสายน้ำบ่าจากเขาสูง หากเป็นยามที่เขายังมีพลังชีวิต กรินจะไม่รู้สึกหนักใจเท่านี้ พลังงานที่เหลือในการคงดวงจิตถูกชักพาให้ไหลไปกับความบ้าคลั่งของพลัง ซ้ำพลังเวทที่เล็ดลอดออกมายังยังฉุดกระชากให้มิตินี้ปั่นป่วน กรินต้องยอมชักมือกลับออกมาเมื่อเห็นความบิดเบี้ยวของห้องมิติ หันมองชายหนุ่มอีกคนที่นอนสลบไสลไม่ได้สติ มองเหตุการณ์รอบตัวอย่างไม่อาจคาดเดาอนาคต ก่อนตัดสินใจก้าวเข้าหาชายหนุ่มผู้ซึ่งไร้มนตราคุ้มครองกาย ใช้พลังที่มีอยู่ชักนำธาตุในกายของสุดฟ้าสร้างเกาะคุ้มกันร่างกายของชายหนุ่ม ก่อเกิดเป็นม่านพลังบางๆ ห่อหุ้มคลุมร่างกายของสุดฟ้าไว้

มิติเวทค่อยๆ ล่มสลายลงเรื่อยๆ พร้อมกับประกายแสงสว่างจ้าที่มาจากร่างของชวิศา ก่อนที่ทุกอย่างจะหายวับไปทิ้งร่างของสุดฟ้าไว้ในที่ซึ่งรายล้อมด้วยความมืดดำ


อันที่จริงชวิศาลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นสุดฟ้าและกำลังเอื้อมมือไปหาอยู่แล้ว เพียงแต่ในเวลานั้นมันมีพลังมหาศาลบางอย่างฉุดกระชากเขาออกมา เขารู้สึกเหมือนตัวเองลอยสูงขึ้นเพราะเห็นภาพร่างของสุดฟ้าห่างไปเรื่อยๆ และค่อยๆ เล็กลง จากนั้นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาได้เห็นพลันเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็วคล้ายถูกชักรอก เหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะหรือขับรถด้วยความเร็วสูงที่ภาพข้างทางผ่านสายตาไปในชั่วเสี้ยววินาที แต่มันต่างกันตรงที่ไม่ว่าจะเป็นที่เห็นตรงหน้าหรือภาพที่มาจากมุมกว้างของสายตา ภาพเหล่านั้นล้วนเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วทั้งนั้น และมันทำให้เขามึนงงจนหัวหมุน ดังนั้นตอนที่ร่างกายได้มีโอกาสสัมผัสพื้นดินอีกครั้ง ชวิศาจึงทรุดตัวลงและอาเจียนออกมาแทบในทันที





+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบห้า 24/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 24-09-2017 06:44:01
ตอนที่ยี่สิบห้า



ยังไม่ทันได้ลืมตา กลิ่นควันไฟและความหอมหวนจากอาการประเภทย่างได้ลอยผ่านเข้าจมูกก่อนสิ่งอื่นใด ชวิศารู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้กินข้าวมานานมาก เพราะกระเพาะส่งเสียงประท้วงก่อนที่ความพยายามในการฝืนเปิดเปลือกจะสำเร็จเสียอีก

ภาพเลือนรางที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้เขาต้องปิดเปลือกตาลง จากนั้นจึงลืมตามองอีกครั้ง ยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยอาการมึนงงสะลึมสะลือ เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ไม่ไกลดึงดูดสายตาของชวิศาเป็นอันดับแรก ถัดมาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งอยู่อีกฝั่ง และความมืดรอบตัวก็ทำให้เขากวาดสายตามองทุกสิ่งรอบกาย

ชวิศารู้สึกตื่นเต็มตาขึ้นมาในฉับพลัน สายตาหวั่นระแวงหันมองรอบด้านอีกครั้ง สลับกับมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“คุณเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไป ตามด้วยเสียงท้องร้องดังโครกครากเหมือนฟ้าลั่นของตน ชวิศารู้สึกอับอายขายหน้า กระนั้นยังคงตีสีหน้านิ่งเฉยไว้ มองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าเหมือนจะหัวเราะ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะขยับตัวพร้อมมีดในมือ ชวิศาบอกตัวเอง ถึงจะไม่มีใครคอยดูแลช่วยเหลือ แต่คราวนี้เขาจะยอมสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งเลย

ทว่าฝ่ายนั้นแค่ตัดเนื้อสัตว์ที่อยู่บนราวไม้เหนือไฟส่งมาให้เขา ชวิศาลังเลแต่เหมือนว่ากระเพาะของเขาจะร้องครวญครางหนักยิ่งกว่าเดิม

“$%#%%## () *&@#” ฝ่ายนั้นพูดด้วยภาษาที่เขาฟังไม่เข้าใจพลางยื่นเนื้อสัตว์ให้ซ้ำ

ทั้งที่คิดว่าตัวเองหลับไปไม่นานแต่ชวิศารู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน และระหว่างที่หลับ เขากลับรู้สึกว่าตัวเองฝันแปลกประหลาด ทั้งยังเหมือนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น พอเห็นของกินถูกยื่นมาล่อลวงอยู่ตรงหน้า เขาจึงตัดสินใจคว้ามันไว้ก่อน

“ขอบคุณนะ” ชวิศาบอกออกไปแม้จะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเข้าใจคำพูดของตนหรือไม่

เนื้อสัตว์ส่วนที่ถูกยื่นมาให้คล้ายเนื้อส่วนน่องไก่ที่เขารู้จัก มันอุ่นร้อนกำลังพอดีซ้ำยังมีกลิ่นหอมของเนื้อและเครื่องเทศโชยมาเรียกน้ำย่อยให้ปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม ชวิศากัดชิมอย่างไม่รอช้า มันหวานนุ่มและเค็มนิดๆ กลิ่นเผ็ดฉุนของเครื่องเทศทำหน้าที่สร้างความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี กลมกล่อมชนิดที่พ่อครัวทำอาหารอย่างเขายังต้องยกนิ้วให้

ชายหนุ่มกินอาหารด้วยความหิวโหย และเมื่อหมดชิ้นที่อยู่ในมือ ก็มีเนื้อย่างชิ้นต่อไปวางเสิร์ฟอยู่บนใบไม้ใบใหญ่ ท่าทางการกินของเขาอาจจะตะกละตะกลามไปบ้าง แต่มันอร่อยมากทั้งเขาก็หิวมากจริงๆ จนใกล้ๆที่จะเริ่มอิ่ม ชวิศาถึงมีสติกลับมานั่งพิจารณาว่าเครื่องเทศที่ใช้หมักควรจะมีอะไรบ้าง

อ๊ะ... ไม่ใช่สิ ชวิศาฉุกคิดอย่างตระหนก มันใช่เวลาที่จะมาสนใจเครื่องเทศที่ใช้หมักตรงไหน เขาขมวดคิ้ว พลางบ่นตัวเองในใจ หลังหมดเนื้อย่างชิ้นที่อยู่ในมือ เขาจึงได้ยกมือขึ้นเช็ดปากและเช็ดมือกับกางเกงด้วยความเหนียมอาย ชายหนุ่มแปลกหน้าส่งกระบอกไม้ไผ่มาให้

ถึงชวิศาไม่เคยใช้ชีวิตในป่ากระนั้นเขาเคยดูหนังมาบ้าง กระบอกไม้ไผ่แบบนี้คงเป็นน้ำดื่ม และไหนๆ เขาก็กินอาหารของอีกฝ่ายเสียเต็มคราบแล้ว จึงไม่รู้ว่าจะปฏิเสธของที่อีกฝ่ายยื่นให้ทำไม อย่างไรก็ตาม ชวิศาก็รับกระบอกไม้ไผ่มาด้วยอาการเหมือนเกรงใจ

และเมื่อยกน้ำขึ้นดื่ม เขาต้องตาโตขึ้นมาอีกรอบ เนื่องจากภายในนั้นไม่ใช่น้ำเปล่า แต่เป็นน้ำผลไม้ที่ทั้งหวานและหอมจนเขาต้องหักห้ามใจไม่ให้ยกมันขึ้นดื่มเสียหมด ก่อนจะส่งน้ำนั้นกลับคืนเจ้าของด้วยอาการเก้อกระดากไม่น้อย

“ขอบคุณนะ คุณชื่ออะไรเหรอ” ครั้งนี้ชวิศาพูดบอกอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษ เพียงแต่คำตอบที่ได้รับกลับมายังคงเป็นภาษาที่เขาฟังไม่เข้าใจอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มจึงลองพูดอีกหนึ่งภาษาที่ตนพอจะสื่อสารได้ ทว่าผลลัพธ์ยังคงไม่ต่างไม่จากเดิม

“แย่แล้ว คิดถึงคุณมาริขึ้นมาเลย”

อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ และตั้งมืออยู่ตรงหน้า ชวิศามองมือข้างนั้นของอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจสลับกับแววตาของชายหนุ่มตรงหน้าที่ยังคงมองนิ่งตรงมา

เขายกมือขึ้นประกบด้วยความลังเล

ฝ่ามือของเขาและอีกฝ่ายสัมผัสกันอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายพลันรู้สึกแปลกประหลาดร้องเตือนให้ชักมือออก แต่เพราะได้ยินเสียงร้องดังห้ามขึ้นมาเสียก่อน เขาจึงยังนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้น

“ข้าไม่ได้คิดจะทำอันตราย”

ชวิศามีสีหน้าแปลกใจอย่างชัดเจน เมื่อคู่สนทนาไม่แม้แต่ขยับปากแต่เขากลับรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดคุยกับเขาอยู่ ริมฝีปากได้รูปกำลังยกยิ้มยิ่งทำให้ใบหน้านั้นน่ามองยิ่งขึ้น

“คุณทำได้ยังไง” คำถามนี้ชวิศาก็เพียงแค่คิดขึ้นมาเท่านั้น ทว่าเหมือนกับว่าอีกฝ่ายก็รับรู้ว่าสงสัยของเขาเช่นกัน

“เจ้าไม่รู้?”

“เอ๋!!! ผมต้องรู้อะไรเหรอ” ชวิศามีสีหน้าแปลกใจ ชายหนุ่มอีกคนขมวดคิ้วและผละออกไป

“เดี๋ยวซิ” เขาร้องเรียกด้วยเสียงพลางคว้ามือของฝ่ายนั้นมาประกบกับมือของตน พร้อมกับตั้งทำถามภายในใจ แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มตรงหน้ากลับไม่มีทีท่าเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ

“ทำไมล่ะ” เขาพึมพำออกมาเสียงเบา ชายคนนั้นทำเพียงสะบัดมือและกลับไปยังที่ของตน ชวิศารู้ตัวในนาทีนั้นว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจตน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตนเองทำสิ่งใดผิด เขาชันสองขาขึ้นมากอดเข่า คิดวนเวียนหาทางกลับไปหาสุดฟ้าและฝาแฝด เขาน่าจะยังอยู่ในฮัชดาลลาร์ สถานที่ที่มีแต่ป่าก็มีแต่ที่นั่นเท่านั้น รอบด้านมีแต่ทะเลทราย คงไม่มีใครสามารถพาเขาข้ามทะเลทรายแล้วพามาทิ้งในป่าประเทศอื่นหรอก แต่คืนนี้มืดแล้วไม่มีทางที่เขาจะหาสถานีรถไฟเจอ

นั่งคิดไปสักพัก ชวิศาก็รู้สึกง่วงนอนอีกครั้ง จึงล้มตัวลงนอนอย่างไม่คิดอะไรให้มากความ

ตอนเช้าชวิศาตื่นมาเพราะแสงแดดที่ส่องกระทบเปลือกตา เมื่อรู้สึกตัวมีสติครบถ้วนเขาจึงกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง กวาดสายตาโดยรอบจึงพบว่าที่แห่งนั้นเหลือเพียงตนเองและกองไม้ซึ่งเหลือแต่เถ้าถ่าน ความหวาดกลัวจู่โจมถามหาโดยฉับพลัน

ชายหนุ่มไม่เคยเจอสัตว์ป่าในฮัชดาลลาร์ แต่ก็ไม่มีใครเคยบอกว่าไม่มี นอกจากนี้เขายังไม่รู้ทางกลับไปยังสถานีรถไฟ เพราะทุกครั้งเขาจะมากับมาริเอะ หุ่นยนต์ของสุดฟ้า จึงไม่ต้องกลัวกับคำว่าหลงทาง ในเวลานี้ เขาจึงอยากร้องไห้ออกมาครามครัน

ยังไม่ทันที่ชวิศาจะร้องไห้ออกมาจริงๆ ชายหนุ่มคนนั้นที่อยู่กับเขาเมื่อคืนได้ปรากฏตัวออกมาเสียก่อน เขารีบวิ่งเข้าไปหาคลายอาการตระหนกไปหลายส่วน

“คุณหายไปไหนมาน่ะ ผมนึกว่าจะโดนทิ้งเสียแล้ว” แม้จะรู้ว่าต่อให้พูดออกไปอีกฝ่ายก็ไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่ตนพูด แต่เมื่อได้พูดออกมา มันทำให้รู้สึกว่าได้ระบายความอัดอั้นออกไปบ้าง คู่สนทนาของเขาไม่ได้พูดตอบอะไรกลับมาเพียงแต่ยื่นลูกไม้ซึ่งถูกเก็บรวมอยู่บนใบไม้ใบใหญ่มาให้ พร้อมกับยกมือขึ้น ชวิศารู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการสื่อสารกับตน

“กินซะ”

ทว่าพอสั่งเสร็จอีกฝ่ายก็ละมือออกไปทันที

ชายหนุ่มได้แต่เพียงทรุดตัวลงนั่งและทำตาม เพราะเขายังต้องพึ่งพาอีกฝ่ายเพื่อออกจากป่า อย่างน้อยถ้าเจอหมู่บ้านหรือชุมชน เขาจะสามารถหาทางกลับได้

ชวิศาก้มมองดูสภาพของตัวเอง ตัวเขามีแต่เสื้อผ้าชุดนอนแม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สวม เพราะฉะนั้นไม่ต้องถามถึงอุปกรณ์สื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือ เขาไม่สามารถติดต่อหาใครได้ ป่านนี้คุณสุดฟ้ากับฝาแฝดคงตามหาตัวเขากันวุ่น นี่ยังไม่นับรวมพี่โยกับคุณย่าอีก กลับไปคราวนี้เขาคงโดนดุจนหูชา ชวิศาถอนหายใจ มองชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเขี่ยกลบพื้นดินที่เคยเป็นที่ตั้งค้างแรม

หลังเสร็จเรียบร้อยชายคนนั้นเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ และตั้งฝ่ามือขึ้นตรงหน้า ชวิศาจึงละมือจากลูกไม้ที่กำลังถือและวางมือประกบทันที ความรู้สึกแปลกๆ ที่ว่าจู่โจมเขาอีกครั้งเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างชอนไชเข้ามาในร่างกาย แต่เพราะไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้เขาคุยกับคนตรงหน้าได้ ชวิศาจึงได้แต่ข่มใจเอาไว้

“เจ้ามาจากไหน”

“ผมตามเพื่อนมาทำงานที่ฮัชดาลลาร์ คุณพาผมไปส่งที่พระราชวังราซาห์ได้หรือเปล่า”

“พระราชวังราซาห์? ที่นั่นมันที่ใดกัน”

“ที่ประทับของเจ้าชายฟาลิฮ์ อัสมานร์ไง”

“เจ้าชายพระองค์นั้นข้าก็ไม่รู้จัก”

“ถ้าอย่างนั้น คุณรู้จักมหาวิทยาลัยอินดราจาร์หรือเปล่า”


อีกฝ่ายแค่ส่ายศีรษะ

“อย่างนั้น ไปส่งผมที่สถานีรถไฟก็ได้”

“แล้วสถานที่ที่เจ้าว่ามันอยู่ที่ใด”

“มีทั่วไปเลย ใกล้ๆ หมู่บ้านก็มี”


คู่สนทนาจึงพยักหน้ารับรู้ ทำท่าจะผละมือออก ชวิศาจึงรีบคว้าจับมือข้างนั้นไว้ “ผมชื่อซี คุณชื่ออะไรเหรอ”

“กริน”

“คุณกริน ขอบคุณนะทั้งเรื่องอาหารเมื่อวานแล้วก็ที่จะพาผมไปส่ง ถ้าผมกลับไปหาเพื่อนได้ผมจะตอบแทนให้”

“ไม่จำเป็น มีอะไรอีกหรือไม่”

 
เพราะกรินมีสีหน้าเหมือนขุ่นเคืองอีกแล้ว ชวิศาจึงสั่นศีรษะปฏิเสธ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับชายหนุ่มอีกคน และเมื่อฝ่ายนั้นออกเดิน เขาจึงก้าวเท้าเดินตามพร้อมหอบพวกลูกไม้ที่กรินหามาให้ตามไปด้วย

เส้นทางเดินที่กรินนำทางไม่ได้รกชัฏมากนัก แต่กระนั้นก็สร้างความลำบากให้ชวิศาอยู่ดี เพราะเขาเดินด้วยเท้าเปล่า บางครั้งจึงเหยียบคมหนามหรือคมหินจนเท้าระบม

“กริน” เขาส่งเสียงเรียก เมื่อเจ้าของชื่อหันมาจึงพูดบอกพร้อมกับทำมือว่าเขาอยากจะขอพัก ถึงจะเห็นว่ากรินทำท่าเบื่อหน่าย ชวิศาก็เพียงเสหลบสายตามองเท้าตัวเอง เขาใช้ชายกางเกงปัดฝุ่นผงที่ติดเท้าออก นอกจากเท้าจะระบมเขายังรู้สึกเจ็บจนชาไม่อยากลุกเดินอีก

นับตั้งแต่เด็กจนโต ถึงจะโดนบังคับให้เรียนให้ฝึกอะไรตั้งมากมายแต่เขาไม่เคยลำบากถึงขนาดนี้ จะไปโรงเรียนก็มีรถยนต์ไปรับไปส่ง จะไปซื้อของก็มีคนเดินตามหิ้วของให้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนมีคนตามดูแล กิจกรรมของโรงเรียนที่เขาต้องเข้าร่วมก็ไม่เคยต้องลำบากลำบน แม้กระทั่งกิจกรรมรับน้องของมหาวิทยาลัย พี่โยยังไปกดดันคณะจนเหลือเพียงกิจกรรมสันทนาการการตบมือร้องเพลงธรรมดา

ชวิศาไม่เข้าใจว่านี่มันเคราะห์กรรมอะไรที่เขาต้องเผชิญ คิดถึงพี่โย คิดถึงคุณสุดฟ้า คิดถึงคุณมาริ คุณสเตบาสเตียน อยากให้คนอื่นมาหาตนให้เจอเร็วๆ คิดไปพลางก้มหน้ายกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ

กรินปรายมองชายหนุ่มร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่บนพื้นด้วยหางตา เขาหันมองไปทางอื่นจนกระทั่งได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆ จึงหันไปดูอีกครั้ง นึกแปลกใจทั้งที่อีกฝ่ายเติบโตพ้นวัยเยาว์แล้ว ไฉนจึงทำตัวคล้ายเด็กน้อยไม่ประสาความเช่นนี้ อย่างไรก็ตามท่าทางเช่นนั้นกลับทำให้เขารู้สึกเวทนาได้ไม่ยาก

กรินเจอชวิศาระหว่างกำลังเดินทาง ฝ่ายนั้นนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนพื้น เมื่อพิจารณาจากเสื้อผ้าเนื้อดีแต่ดูสกปรกมอมแมมที่สวมใส่ เขาจึงคาดเดาว่า ชวิศาอาจจะเป็นกลุ่มคนชนชั้นมีฐานะที่โดนลักพาตัวมาและมาสามารถหนีออกมาจากรังของพวกโจรได้ ทว่าพลังเวทมากมายที่เขาตรวจพบและการที่เจ้าตัวบอกไม่รู้จักมตรากลับทำให้เขาหงุดหงิด แม้กรินจะรู้ว่ามันคือความอิจฉาแต่ยากจะระงับ จึงพาลพาโลทำที่ขุ่นเคืองใส่

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งและประสานมือเข้ากับมือซ้ายของชวิศา การกระทำแบบฉับพลันนั้นคงสร้างความตระหนกให้อีกฝ่าย พลังเวทในร่างกายของชวิศาจึงต่อต้านเขา ต่อให้เขาใช้ความสามารถในการควบคุมพลังชีวิตของตนเองเข้าข่ม นั่นยังไม่สามารถทำให้เขาควบคุมพลังเวทของชวิศาได้

เขาจึงต้องหยุดและถอนจักระกลับมาเพื่อไม่เกิดอันตรายแก่ตนเอง

“ข้าจะรักษาบาดแผลที่เท้าให้เจ้า” เขาพูดพลางวางมืออีกข้างทาบทับลงไป ชวิศาเหมือนจะเข้าใจคำพูดของเขา กระแสพลังอันรุนแรงจึงค่อยๆ สงบลง

กรินใช้จักระของตนแทรกแซงเข้าไปดึงพลังเวทในร่างกายของชวิศาออกมา หน่วงมันไว้ในอีกมือพร้อมกับวางทาบลงบนฝ่าเท้าของเจ้าตัว ชั่วพริบตาเดียวฝ่าเท้าบวมแดงก็กลับกลายเป็นปกติ

นัยน์ตาของชวิศาเป็นประกายอย่างยินดี “ขอบคุณนะ” เขากล่าวคำนั้นเป็นภาษาไทยออกไป

กรินวางมือบนอัญมณีสีนิลที่ประดับอยู่บนปลอกแขน เสี้ยววินาทีต่อมาพลันปรากฏรองเท้าคู่หนึ่งบนฝ่ามือของเขาทันใด

ชวิศาขมวดคิ้วไม่ได้ตื่นเต้นกับความสามารถของกริน หากรู้สึกข้องใจที่กรินมีรองเท้าอีกคู่แต่ไม่ยอมนำมาให้เขาแต่แรก เขาจึงตั้งมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณบอกว่าอยากจะคุยกับอีกฝ่าย

กรินยอมประกบมือด้วยแต่โดยดี

“ทำไมไม่เอามาให้แต่แรก” ชวิศาถาม กระนั้นกลับโดนถามกลับมาว่า “จะสวมหรือไม่สวม”
 
ชวิศารีบคว้าหมับ ถ้าจะให้เดินเท้าเปล่าอีก เขายอมนั่งรออยู่ตรงนี้ดีกว่า

รองเท้าของกรินทำจากหนังสัตว์ เป็นรองเท้าบูตยาวที่มีดีไซน์แปลกตา แต่เพราะมีเชือกให้ผูกรัดตั้งแต่ช่วงหน้าแข้ง เพราะฉะนั้นถึงมันจะมีไซส์ใหญ่กว่าจึงไม่ค่อยมีปัญหากับชวิศาเสียเท่าไหร่

“พร้อมแล้ว” ชวิศาร้องบอกพร้อมชี้มือไปด้านหน้าเป็นเชิงบอกว่าไปต่อได้

พวกเขายังต้องเดินเท้าต่อกันอีกไกล ระหว่างทางถึงชวิศาจะเหนื่อยก็ไม่ได้ร้องขอให้กรินหยุดพัก เขาอยากถึงเมืองเร็วๆ อยากกลับบ้านใจจะขาด อยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เหนื่อยมากๆ เขาก็กินลูกไม้ที่หอบหิ้วมาด้วย มันช่วยลดอาการเหนื่อยได้มากโข ซ้ำยังทำให้รู้สึกเพลินกับการเดินเท้า ตอนที่หอบลูกไม้เหล่านี้มาด้วยเขาไม่ได้คิดอะไรมาก แค่เห็นว่ากรินไม่คิดสนใจมันเลย เขาจึงถือมาด้วยความเสียดายลูกไม้หลายอย่างที่มันหวานอร่อยดี

ดังนั้นตอนที่ลูกไม้ในมือลูกสุดท้ายหมด พวกเขาก็มาถึงเมืองพอดี

กรินสัมผัสที่อัญมณีเรียกห่อผ้าขึ้นมาคาดสะพายหลังและหันมาหาเขา ยกมือขึ้นมาอันเป็นสัญลักษณ์ว่าต้องการคุยกับเขา

“แยกกันตรงนี้”

“ไม่เอา ไปด้วยกันก่อน อย่างน้อยให้เจอสถานีรถไฟก่อน คุณกรินช่วยผมอีกนิด ช่วยถามให้หน่อยว่าสถานีอยู่ไหน ผมพูดภาษาของพวกคุณไม่ได้คุณก็รู้”
ชวิศาร้องขอ ที่เมืองนี้เขายังไม่เคยมาจึงไม่รู้ว่าสถานีรถไฟอยู่ที่ไหน ถ้าให้เดินหาเองอาจจะต้องเดินหลงวนเวียนอยู่ในเมืองนี้อีกเป็นวัน ไม่เอาหรอก เขาอยากกลับบ้านแล้ว ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองในใจ เพียงแต่สิ่งที่ชวิศาบ่น กรินที่กำลังใช้มนตราในการสื่อสารอยู่รับรู้ด้วยทั้งหมด

“ตู้โทรศัพท์ก็ได้ เดี๋ยวผมโทรให้คุณสุดฟ้ามารับ”
 
กรินเลิกคิ้วแปลกใจกับสิ่งที่ชวิศาพูดถึง แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม ทำแค่เพียงเดินไปถามถึงสองสิ่งที่ชวิศาพูดถึงกับชาวเมือง โดยมีคนขอความช่วยเหลือเดินตามต้อยๆ

ผ่านไปหลายชั่วโมงจนตะวันคล้อย พวกเขายังไม่มีทีท่าว่าจะเจอสิ่งที่ชวิศาตามหา ถามชาวเมืองคนใดก็ไม่มีใครรู้

“แปลกจัง” ชวิศาพึมพำกับตัวเอง เจ้าชายฟาลิฮ์เคยตรัสว่าระบบคมนาคมขนส่งทางรางถูกวางเครือข่ายไว้ทั่วประเทศนี่นา เขายังจำได้เลยว่า ฮัชดาลลาร์เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีพื้นที่ประมาณจังหวัดหนึ่งในประเทศไทย การวางระบบขนส่งสาธารณะจึงทำได้ง่ายและทั่วถึง อย่างน้อยที่สุดทุกแหล่งชุมชนจะมีสถานีรถไฟอย่างน้อยหนึ่งสถานี แล้วทำไมเมืองนี้ไม่มี ทั้งที่ดูเหมือนว่าไม่ใช่เมืองเล็กๆ ด้วยซ้ำ

ชวิศาเงยหน้าขึ้นเมื่อโดนสะกิด ยกมือขึ้นประกบมือของกริน

“หาที่พักก่อน ตอนนี้ใกล้ค่ำแล้ว”

ชายหนุ่มร่างเล็กไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ารับ

เขาไม่เคยได้เข้าพักในโรงแรมของฮัชดาลลาร์มาก่อน ตอนที่เดินเข้ามาในอาคารจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมากจนลืมเรื่องที่ทำให้หงอยเหงาอยู่เมื่อสักครู่ไปหมด ภายในนั้นจัดตกแต่งเหมือนที่อยู่อาศัยทั่วไป เพียงแต่มีโต๊ะทานอาหารหลายตัวจนคล้ายร้านอาหารมากกว่าโรงแรมที่พัก

ชวิศาหันซ้ายหันขวามองทุกอย่างเพราะความแปลกตา หันมาอีกทีจึงเห็นว่ากรินก้าวเท้าขึ้นบันไดเดินนำไปไกลแล้ว เขาจึงต้องรีบสาวเท้าตามไป

ห้องพักของพวกเขาอยู่บนชั้นสอง กรินไขกุญแจประตูห้องหนึ่งและเปิดเข้าไป พยักพเยิดให้เขาเดินเข้าไปข้างใน ทว่าตัวเองกลับผละไปเปิดประตูอีกห้อง ชวิศาจึงเดินตามกรินเข้าไปในห้องนั้นอย่างไม่คิดลังเล ต้องแยกห้องนอนคนเดียวในที่ที่ไม่คุ้นเคย ชวิศายอมนอนรวมกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักเสียดีกว่า

“เจ้าตามข้ามาทำไม ไม่อยู่ในห้องของเจ้า”

“ให้นอนคนเดียว ไม่เอาหรอกนะ”

“เจ้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

“แต่มันอาจจะมีอะไรโผล่มาก็ได้ใครจะไปรู้”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า”

“กริน ให้ผมนอนห้องเดียวกับคุณเถอะ ผมนอนพื้นก็ได้”
ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่แยกไปนอนคนเดียวเด็ดขาด

แน่นอนว่ากรินรับรู้ความมุ่งมั่นในประโยคที่ชวิศาไม่ได้ตั้งใจพูดออกไปด้วย กรินจึงยอมยุติเรื่องนี้และเรียกเสื้อผ้าออกมาจากอัญมณี ส่งให้ชวิศารับไปถือและเดินนำออกไป

ที่อาบน้ำเป็นสระธรรมชาติด้านหลังโรงแรม น้ำใสสะอาดแต่มองไม่เห็นก้นสระ ตอนที่พวกเขาไปถึงมีคนอื่นกำลังอาบน้ำอยู่บ้างแล้ว แต่ทั้งหมดล้วนมีแต่ผู้ชาย

กรินถอดเสื้อตัวนอกและปลอกแขนออกจนเหลือแค่กางเกง เขาวางของไว้ริมตลิ่งขณะที่ก้าวเท้าตามบันไดหินลงไปในน้ำ ชวิศาเห็นสระกว้างและน้ำใสขนาดนี้จึงรู้สึกอยากว่ายน้ำขึ้นมาติดหมัด แต่เพราะมองไปรอบตัวเห็นมีแต่คนที่แช่น้ำล้างหน้าล้างตาอยู่ครู่เดียวก็รีบขึ้น เขาจึงไม่กล้าทำอย่างที่ใจนึก กรินเองถูเนื้อถูตัวแค่ครู่เดียวก็ขึ้นไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ชวิศาจึงไม่กล้าโอ้เอ้เพราะกลัวโดนทิ้ง

มื้อเย็นพวกเขาทานอาหารกันที่โรงแรมที่พัก อาหารที่ว่ามีเพียงซุป ขนมปังและเนื้อย่าง รสชาติปานกลางไปค่อนข้างแย่ แต่กรินยังทานได้หน้าตาเฉย เขาจึงไม่กล้าบ่นอีกเช่นเคย

กลับเข้าห้องมาแล้ว กรินเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งกลางห้อง และตบพื้นที่ตรงหน้าเป็นเชิงเรียกเขาให้ไปนั่ง

“เจ้าช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยว่าบ้านของเจ้าอยู่ที่แห่งใด”

“ผมเกิดและโตที่เมืองไทย แต่ตอนนี้ผมย้ายไปอยู่กับคุณย่าที่ฝรั่งเศส แต่ตั้งใจว่าหลังจากที่คุณสุดฟ้าเสร็จงานจะกลับไปอยู่ที่เมืองไทยกับคุณสุดฟ้า”


ทั้งสองเมืองที่ชวิศาพูดมาก็ยังไม่คุ้นหูกรินอยู่ดี

“เจ้าตามเพื่อนมาทำงานที่ฮัชดาลลาร์”

“ใช่ครับ”

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าที่นี่คือที่ใด”

“ฮัชดาลลาร์ครับ”


ใช่ ที่นี่คือฮัชดาลลาร์ เมืองที่พวกเขาอยู่ ณ ขณะนี้เป็นเมืองหนึ่งในเขตการปกครองของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ แต่ทุกสถานที่ที่ชวิศาพูดถึงกรินไม่รู้จักเลย ทั้งชื่อพระราชวัง ทั้งพระนามองค์ชาย ทั้งที่เขาเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาตั้งแต่เกิด

“พระราชวังที่เจ้าว่าตั้งอยู่ที่เมืองใด”

“ซาราลา”


กรินขมวดคิ้ว

“มันทำไม... หรือเปล่าครับ” ชวิศาถามอย่างไม่แน่ใจ

“ข้ารู้จักเมืองนี้แต่ไม่รู้จักพระราชวังที่เจ้าว่า”
 
เมื่อได้ยินคำตอบกลับมา ท่าทางของชวิศาจึงห่อเหี่ยวลงทันควัน พลางคิดบ่นอยู่ในใจว่า นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมคนในเมืองถึงไม่รู้จักที่อยู่ของราชวงศ์ไปได้ และถึงกรินจะรับรู้ความคิดนั้นแต่เขาไม่นึกอยากจะต่อความออกไป

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าเราไปซาราลากัน”
 
ชวิศาเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา แต่สีหน้ายังซึมเซาเช่นเดิม วันนี้เขาเดินทั้งวันจนล้า ซาราลาคงห่างจากที่นี่อีกหลายสิบกิโลเมตร ตอนที่ไปเที่ยวกับคุณมาริ เขานั่งรถไฟแค่สิบนาทียี่สิบนาทีก็ถึงอีกเขตแล้ว ซ้ำจำได้ว่าแต่ละสถานีห่างกันแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น แต่ทำไมคราวนี้เดินมาทั้งวันถึงไม่เจอสักสถานีเลยนะ

“เจ้าคงเหนื่อย วันนี้พักก่อนเถอะ”
 
ชวิศาพยักหน้ารับ ล้มตัวลงนอนหันหลังให้กรินทั้งอย่างนั้น พื้นห้องทำมาจากไม้แข็งกระด้างซ้ำยังไม่มีพรมปู ชายหนุ่มรู้ว่าพรุ่งนี้เช้ายามตื่นมาเขาอาจจะปวดเมื่อย แต่เพราะเมื่อคืนเขาก็นอนกลางพื้นดินจึงไม่ยากทำตัววุ่นวายเรื่องมาก ประกอบกับเขาหดหู่เกินจะคิดถึงความสะดวกสบายของตนเอง

ถึงอย่างนั้น กรินยังอุตส่าห์หาเครื่องนอนมาให้

“ขอบคุณนะ” ชวิศาพูดออกไป แล้วพลันนึกขึ้นได้ เขายกมือขึ้นเพื่อขอสื่อสารกับกริน

“ขอบคุณในภาษาของคุณพูดว่าอย่างไร”

“Paldies” กรินออกเสียงให้ฟัง

“พาละเดียส”

กรินขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ชวิศาจึงยกยิ้มตาม บอกตัวเองให้ฮึดสู้เข้าไว้ ป่านนี้ทุกคนก็คงตามหาเขาเหมือนกัน

เช้าวันถัดมาหลังทานอาหารเช้าซึ่งเป็นซุปข้นๆ จนอิ่มแล้ว กรินพาเขาเดินออกนอกเมือง พอลับตาผู้คนจึงแบมือมาตรงหน้า ถึงเขาจะมองมือข้างนั้นด้วยความงุนงงสงสัยกระนั้นเขายังคงวางมือของตนลงบนฝ่ามือหยาบกร้านอย่างว่าง่าย

ที่นี่เขาไม่รู้จักใคร พูดภาษาที่ชาวฮัชดาลลาร์ใช้กันสื่อสารกันก็ไม่ได้ จึงมีแต่คอยพึ่งพากรินเรื่อยไป

ชวิศาสะดุ้งในคราแรกเพราะไม่ทันตั้งตัวกับความรู้สึกน่าขยะแขยงที่ลามมาจากฝ่ามือ ก่อนพยายามรีบสงบใจ ความรู้สึกแขยงสะอิดสะเอียนจึงทุเลาลง

กรินกระชับมือเขาไว้แน่น และใช้วงแขนอีกข้างโอบรัดตัวเขาดึงเข้าไปชิด ชวิศาผงะออกเล็กน้อยด้วยความตระหนก แต่ชายหนุ่มยังกอดกระชับช่วงเอวเขาไว้แน่น

“ไม่ต้องกลัวไป ข้าจะใช้มนตราพาเจ้าไปซาราลา”
 
“ทำได้ด้วยเหรอ” เขาถามด้วยความแปลกใจ นึกกังขาขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าทำได้ทำไมต้องปล่อยให้เขาเดินจนเมื่อย

กรินก้าวเท้าครั้งหนึ่งพวกเขาก็ลอยสูงขึ้นมาเหนือยอดไม้ สายลมโบกพัดแรงจนชวิศาเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง

“เพราะข้าต้องใช้พลังเวทของเจ้า และข้ารู้ว่าเจ้าคงรู้สึกไม่ดีนักยามที่ถูกดึงพลังเวทออกมาใช้โดยผู้อื่น”
 
ทว่าความตื่นตะลึงของชวิศาไม่ใช่เพราะกรินพาเขาลอยสูงมาอยู่กลางอากาศ แต่เพราะทิวทัศน์รอบด้านนั่นต่างหากที่ทำให้เขาตกอยู่ในอาการงงงัน

“ที่นี่ไม่ใช่ฮัชดาลลาร์” ชวิศาส่งเสียงร้องออกมา แต่เพราะกรินคงมนตราที่ใช้ในการสื่อสารไว้เสมอ เขาจึงรับรู้คำพูดนั้นของชวิศาจากความคิดโดยตรง

กรินขมวดคิ้ว กวาดสายตามองทิวทัศน์รอบด้านด้วยความกังขา พลางคิดในใจ ฮัชดาลลาร์ที่ซีหมายถึงคือที่ใดกัน



         +++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบหก 01/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-10-2017 12:19:02
บทที่ยี่สิบหก



เพราะชวิศาเอาแต่ย้ำว่าที่นี่ไม่ใช่ฮัชดาลลาร์ กรินจึงเปลี่ยนแผนที่จะพาอีกฝ่ายไปซาราลาแต่พาชวิศากลับไปที่บ้านของเขาในเมืองหลวงเสียแทน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าที่ซาราลาคงไม่มีพระราชวังราซาร์ที่ชวิศากล่าวถึง

กรินไม่ได้กลับเข้าบ้านทางประตูหน้าแต่พาชวิศากระโดดเข้าทางหน้าต่างห้องทำงานของตน

บ้านของเขาเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่เพราะบิดามีตำแหน่งเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งของอาณาจักร พี่น้องทั้งหลายล้วนมีห้องทำงานหนึ่งใหญ่ ห้องนอน และห้องอาบน้ำ โดยห้องส่วนตัวแต่ละคนตั้งอยู่ในตำแหน่งแต่ละปีกของตึก ไม่เว้นแต่เขาซึ่งเป็นทายาทที่ไม่ได้ความที่สุดของบ้าน

ชวิศายังคงบ่นพึมพำยามที่เขาเดินกลับมาหลังจากปล่อยอีกฝ่ายทิ้งไว้ในห้องทำงานอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขายื่นอัญมณีไปให้ อีกฝ่ายถึงได้หยุดพูดลงบ้าง

“อะไร”ชวิศามองอัญมณีสีนิลในมือตนพลางเอ่ยออกไปด้วยความสงสัยตามความเคยชิน กรินกุมมือทั้งสองของเขาไว้ นิ่งอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่งราวกับต้องการให้เขาเตรียมตัว ชวิศายังไม่ค่อยเข้าใจนัก ทุกครั้งที่กรินสัมผัสมือนั่นจะตามมาด้วยความรู้สึกขยะแขยงแปลกประหลาด แต่ในยามที่เขาต้องการประกบมือกับกรินเพื่อสื่อสารพูดคุยกัน ความรู้สึกเหล่านั้นมันเบาบางลงจนบางครั้งกลับไม่รู้สึกอะไร ชวิศาสูดลมหายใจยาวเข้าเตรียมตัว พยักหน้าให้เมื่อคิดว่าพร้อมแล้ว

แสงสว่างเรืองรองออกมาจากมือของพวกเขาทั้งสองแล้วหายเข้าไปในอัญมณีขนาดเล็กในฝ่ามือ ครู่หนึ่งกรินก็ผละมือออก ขณะที่ชวิศายังมีสีหน้างุนงง เขาจึงยกฝ่ามือตั้งขึ้นแสดงออกว่าอยากจะคุยกับอีกฝ่าย

“เจ้าสงสัยอะไร”

ชวิศาอยู่ในอาการตกใจ “ผมฟังคุณพูดรู้เรื่อง”

“ใช่ เมื่อครู่เจ้าเพิ่งประจุมนตราถ้อยวจีไว้ในผลึกเวท เพราะฉะนั้นยามที่เจ้าสัมผัสมัน เจ้าย่อมเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูด และข้าย่อมเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูด”

“ถ้างั้นผมขอทดลองหน่อย เดี๋ยวคุณพูดประโยคนั้นซ้ำอีกครั้งได้ไหม”พูดจบชวิศาก็วางอัญมณีสีนิลลงไว้บนโต๊ะ

“$%)(&^@%%$###”

แล้วหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง

“เจ้าดูสนุกกับมันนะ”

“ก็มันเจ๋งมาก”

“เจ๋ง?”

“เยี่ยม ดีเลิศ สุดยอด”

กรินพยักหน้ารับรู้ “เจ้าคงไม่เศร้ากับเรื่องกลับบ้านแล้วสิ”

อารมณ์รื่นเริงที่ชวิศาเพิ่งสัมผัสดิ่งวูบลงทันที “มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”เขาพูดออกไป “ฮัชดาลลาร์น่ะเป็นประเทศที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลทราย ตอนมาถึงที่นี่ครั้งแรก พวกผมลงที่สนามบินนอกเมือง คุณบาซิมขับรถพาพวกผมผ่านทะเลทรายตั้งไกลกว่าจะถึงตัวเมือง นอกภูเขาหินต้องมีแต่ทะเลทรายสิไม่ใช่ป่าเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา”

“มีความเป็นไปได้ว่า ฮัชดาลลาร์ที่เจ้าพูดถึงอาจจะเป็นคนละยุคสมัยกับที่เจ้ายืนอยู่ในขณะนี้”กรินพูดหลังจากนิ่งคิดตามคำบอกเล่าของชวิศาอยู่ชั่วครู่ “เพราะข้าก็ไม่รู้จักทั้งสถานีรถไฟ โทรศัพท์ หรือแม้แต่สนามบินที่เจ้าพูดถึง”

“มันเป็นไปได้ไง”ชวิศาพึมพำเสียงเบา

“มีมนตราบทหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเดินทางท่องเวลาได้ เจ้าอาจจะเผลอใช้โดยไม่รู้ตัว”

“เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เคยใช้เวทมนตร์ ไม่รู้จักด้วยว่าต้องใช้ยังไง ไม่เคยมีเหตุการณ์แปลกๆแบบเผลอใช้เวทมนตร์โดยไม่รู้ตัวด้วย”

“แต่เจ้ามีพลังเวท”เพราะชวิศาแสดงสีหน้าแปลกใจ กรินจึงต้องอธิบายต่อ “ทั้งมนตราถ้อยวจีและมนตราเวหาเหิน ข้าใช้พลังเวทของเจ้าทุกครั้ง”

“แต่คุณเสกรองเท้ากับเสื้อผ้าได้”

“เปล่าเลย ข้าดึงของพวกนั้นมาจากช่องว่างมิติตามมนตราที่ถูกประจุในผลึกเวทนี้ต่างหาก”กรินยกปลอกแขนซึ่งประดับด้วยอัญมณีสีนิลให้เขาดู

“คุณกริน คุณส่งผมกลับบ้านได้หรือเปล่า”

กรินมองหน้าชวิศาที่ส่งสายตาออดอ้อนมาให้อย่างเต็มที่ “เจ้าเป็นพวกโง่เง่างั้นรึ” ประโยคนั้นของกรินทำให้ชวิศาเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน เขาไม่ได้โกรธเคืองแต่งุนงงประหลาดใจที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่วัน กรินก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นพวกสมองน้อย

“รู้ได้ยังไงอ่ะ กว่าที่ผมจะสอบผ่านแต่ละระดับชั้นนะ เลือดตาแทบกระเด็นแน่ะ”

กรินถอนหายใจกับท่าทางเหมือนกระหยิ่มใจที่จะโอ้อวดข้อด้อยของตน ก่อนจะกล่าวย้ำทำลายความหวังของชวิศาไปว่า “ข้าคงส่งเจ้ากลับบ้านไม่ได้หรอก ข้าใช้มนตราไม่ได้”

ชวิศาชะงักไปหลายวินาที จากนั้นจึงเบะปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมา “แล้วจะทำยังไง ผมต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยเหรอ ไม่เอานะ ผมอยากเจอคุณสุดฟ้า ต้องคิดถึงมากแน่ๆ พี่โยอีก คุณย่ากับคุณแม่ด้วย ไหนจะคุณมาริกับคุณสเตบาสเตียน แล้วยังมีไอซ์กับอาท ไม่เอานะ ถ้าไม่ได้เจอทุกคนอีกแบบนี้น่ะ”

กรินรู้สึกเหมือนเสียงร้องของชวิศากำลังทำให้เขาปวดศีรษะและขมับของเขากำลังเต้นตุบๆ

“หุบปากก่อน!!!”

ชวิศาสะดุ้งพลันเงียบสนิทด้วยอาการตกใจ

“ข้าไม่เคยบอกว่าเจ้าจะกลับบ้านไม่ได้เลยสักครั้ง เจ้ามีพลังเวท ก็ใช้พลังของเจ้าร่ายมนตราพาตัวเองกลับไปสิ”

“แต่ผมใช้พลังเวทไม่เป็น มนตราอะไรนั่นที่คุณพูดถึงก็ไม่รู้จัก”ชวิศาบอกเสียงอ่อย

“ข้าจะสอนเจ้าเอง ข้าจะบอกเจ้าเอง”

“จริงเหรอ”ชวิศาทำท่าดีใจมาชั่วแว็บหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นหดหู่เศร้าสลดเช่นเดิม “แต่กว่าใช้ได้คงต้องหลายปีแน่ ป่านนั้นทุกคนไม่คิดว่าผมตายไปหมดแล้วเหรอ”

“เจ้าก็กลับไป ณ ช่วงเวลาที่เจ้าจากมา”

“แล้วผมจะรู้ได้ยังไง ว่าผมย้อนเวลามาตอนไหน เนี่ยผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมนอนหลับอยู่ ตื่นขึ้นมารู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”

“เรื่องเหล่านั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ขอแค่เจ้าสามารถใช้มนตราท่องเวลาได้ก็เพียงพอแล้ว”

“อ๊ะ ท่านกริน”การสนทนาของพวกเขาทั้งสองคนถูกขัดจังหวะด้วยหญิงสาวที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา “ขออภัยค่ะ ข้ากำลังเข้ามาทำความสะอาด ท่านกรินเดินทางกลับมาเมื่อไหร่คะ ให้ข้าเตรียมน้ำและสำรับให้ไหมคะ”

“ขอแค่ปิ่นโตสำหรับกลางวันก็พอ เดี๋ยวพวกข้าจะออกไปกันแล้ว”

“เจ้าค่ะ”เธอรับคำก่อนจะหมุนตัวออกไป

“น้องสาวคุณเหรอ”

“สาวใช้”กรินตอบพลางขยับเข้ามาใกล้ ชวิศาพยักหน้ารับกับคำตอบของอีกฝ่าย และมองมือของกรินที่มากุมมือของตนไว้อีกครั้ง

“จะทำอะไรเหรอ”

“จะทำให้ผลึกเวทเปลี่ยนเป็นเครื่องประดับอื่น ให้เจ้าเดินถือมันไปมาเช่นนี้ ข้ากลัวว่าเจ้าจะทำมันหายไปเสียก่อน”

คนโดนว่าไม่ตอบกระไรนอกจากหัวเราะแหะแหะ ครู่หนึ่งต่อมา ผลึกเวทถูกแปรเปลี่ยนเป็นแหวนสีนิลสวมอยู่ที่นิ้วกลางของชวิศา เขายกมือขึ้นดูด้วยความตื่นเต้นสนใจ และรออีกพักหนึ่งสาวใช้คนเดินก็กลับมาพร้อมห่อผ้าห่อใหญ่ กรินรับมาพร้อมส่งมันให้ชวิศาถือ คนรับภาระต่อถึงกับเบ้หน้าทันที

คราวนี้กรินเดินนำเขาออกไปทางประตู

“อ้าว ทำไม...”

“เจ้าเป็นตัวปุจฉาหรือไร”กรินเอ่ยเสียงดุแฝงด้วยความรำคาญ ทำให้ชวิศาหน้างอ ไม่เฉพาะน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ แต่เพราะคำพูดที่ซับซ้อนนั้นอีก คนถูกว่าขมวดคิ้วครุ่นคิด ตัวปุจฉาหมายถึงตัวคำถามหรือ ก็เขาสงสัยจะห้ามไม่ให้เขาถามได้อย่างไร

“ก็ผมสงสัย คุณก็รู้ว่าผมโง่ คิดเองไม่ได้หรอก”

คนฟังหัวเราะขึ้นจมูกกับคำพูดที่ฟังคล้ายภาคภูมิใจของอีกฝ่าย และเขาบอกออกไปตามที่คิด

“พี่ชายผมบอกว่า คนโง่ไม่ใช่คนไม่ดี ไม่มีใครโง่ทุกเรื่องและไม่มีใครฉลาดทุกอย่าง ถึงผมโง่ แต่ผมหน้าตาดี ตระกูลผมรวยมาก ถึงไม่ใช่ทายาทสายตรงแต่ทุกคนในตระกูลต้องเกรงใจ”ชวิศาท่องคำพูดทุกคำที่โยธินเคยย้ำให้เขาฟังจนจำขึ้นใจ

“อ่อ และตอนนี้ผมทำอาหารเก่งมาก”ประโยคนี้เขาพูดด้วยความภูมิใจจริงๆ รางวัลจากการแข่งทำอาหารเป็นตัวการันตีความสามารถของเขาโดยไม่ต้องให้มีใครมาย้ำเตือน

“คิดได้เช่นนั้นก็ดี”น้ำเสียงของกรินฟังคล้ายประชด แต่ชวิศาไม่แน่ใจและไม่คิดจะใส่ใจด้วย ที่สำคัญเขาลืมเรื่องที่สงสัยไปแล้วจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก รับรู้เพียงแต่เหมือนลืมอะไรสักอย่าง

กรินพาเขามายังสนามหญ้าห่างจากตัวคฤหาสน์ไม่ไกล หญ้าสูงนุ่มเท้าจนน่าล้มตัวลงนอนแต่เพราะเป็นยามกลางวันแสงแดดร้อนเปรี้ยงจนชวิศาคิดว่าคงจะหลับไม่ลงถึงกระนั้นใช่ว่าอากาศจะร้อนอบอ้าว สายลมพัดโชยเอื่อยทำให้อากาศเย็นสบาย ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านเดินนำพาเขามาหยุดใต้ต้นไม้ใหญ่ หันกลับมาและยื่นลูกแก้วใหญ่กว่าฝ่ามือมาให้

“นี่ผลึกนำธาตุ ใช้สำหรับการฝึกดึงพลังเวทออกมาใช้”อันที่จริงมีความรู้ขั้นต้นของผู้เริ่มฝึกเวทอีกหลายอย่าง แต่กรินตัดตอนมันทิ้งเพราะคิดว่าต่อให้อธิบายไปยืดยาวชวิศาคงไม่มีทางเข้าใจ ให้เริ่มจากฝึกปฏิบัติแล้วค่อยแทรกความรู้เพิ่มเติมน่าจะง่ายกว่า

ชวิศารับมาถือไว้แล้วพยักหน้าหงึกๆ

“นั่งลง”

ชายหนุ่มร่างเพรียวบางทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย กรินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า

“ผลึกนำธาตุค่อนข้างไวต่อพลังเวท ให้เจ้าหลับตาตั้งสมาธิรับรู้ถึงพลังที่หมุนเวียนในร่างกาย”ปากของกรินคอยพูดแนะนำบอกกล่าว ขณะที่สายตาคอยจดจ้องความเปลี่ยนแปลงภายในผลึก แล้วก็เป็นจริงอย่างที่เขาคาดเดา เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว จุดแสงซึ่งแสดงถึงพลังเวทในร่างกายของชวิศาได้ล่องลอยวนเวียนอยู่ทั่วภายในผลึก

“ลองลืมตาขึ้นสิ”

ชวิศาร้องอุทานขึ้นมาทันที จุดแสงที่ล่องลอยอยู่ภายในนั้นมีหลากหลายสี ความสวยงามของมันนั้นทำให้ชายหนุ่มมองด้วยความชอบใจ

“สีแต่ละสีบ่งบอกถึงพลังธาตุที่มีในตัวเจ้า สีเขียวคือธาตุไม้ สีแดงคือธาตุไฟ สีเหลืองคือธาตุดิน สีขาวคือธาตุโลหะ สีน้ำเงินคือธาตุน้ำ ปกติแล้วทุกคนจะมีธาตุทั้งห้าอยู่ภายในตัว แต่จะมีบางธาตุที่มีมากกว่าธาตุอื่นจึงถูกกำหนดเป็นธาตุหลัก หากใช้มนตราตามธาตุหลักก็จะสามารถเรียกใช้ออกมาได้ง่ายกว่าการดึงพลังธาตุอื่นออกมาใช้ ส่วนอากาศธาตุจะไม่มีสีใดที่ชัดเจนและน้อยคนนักที่จะมี ”

“แล้วอย่างผมมีธาตุไหนเยอะที่สุดล่ะ”

“ตามที่ข้าดูก็พอๆกันทุกธาตุ”

ชวิศาเงยหน้ามองกรินเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจสงสัย

“หมายความว่า เจ้าสามารถใช้พลังเวทได้ทุกธาตุ”

คนฟังพยักหน้ารับ “แล้วกรินล่ะ ใช้พลังของธาตุอะไร”

คราวนี้คนถูกถามถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าเคยพูดว่า ข้าไม่สามารถใช้มนตราได้ นั่นหมายความว่า ข้าไม่มีพลังธาตุใดๆในร่างกาย”

“แต่เมื่อกี้คุณบอกว่า ทุกคนต้องมี”

“ข้าเป็นข้อยกเว้นที่ว่านั่น”

“แต่คุณยังใช้มนตราได้”

“นั่นเพราะพลังเวทของเจ้า”

สีหน้าของชวิศามีแต่ความไม่เข้าใจ และเมื่อความสนใจของเขามาอยู่ที่ความสงสัยตรงหน้า พลังธาตุซึ่งลอยวนเวียนอยู่ในผลึกจึงหายไป กรินจึงจำใจต้องอธิบายให้อีกคนฟัง

“ข้าศึกษามนตรามาตั้งแต่เด็ก รู้จักระเบียนเวท วิธีใช้ ข้อบังคับและข้อห้ามทุกอย่าง”

“เท่ากับว่าคุณใช้พลังเวทของใครก็ได้ในการสร้างมนตรา”

กรินเสสายตามองไปทางอื่นคล้ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมามองชายหนุ่มร่างเล็กตรงหน้าอีกครั้ง “ตอนที่ข้าสัมผัสร่างกายของเจ้า เจ้ารู้สึกเช่นไร”

“รู้สึกเหรอ... อ๊ะ”ชวิศาฉุกคิดขึ้นมาได้ ความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนนั่นหรือ

“ข้าไม่มีทางใช้พลังเวทของผู้อื่นได้ เพราะไม่มีใครยินยอมให้ข้าควบคุมเขาผู้นั้น หากฝืนบังคับผู้มีพลังเวทอ่อนแอกว่าย่อมพ่ายแพ้ให้แก่ผู้มีพลังเวทเข้มแข็งกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นใช้พลังเวทของผมก็ได้ ผมไม่ว่าอะไร”ชวิศาร้องบอกออกมาอย่างรวดเร็ว

กรินฟังคำปลอบใจนั้นแล้วได้แต่ยกยิ้ม

“เจ้าไม่กลับบ้านแล้วหรือ”

“ถ้าอย่างนั้น กรินกลับไปกับผมไหม ที่ที่ผมอยู่ไม่ต้องจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์หรอก ยุคสมัยนั้นมีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกมากมาย เก่งๆอย่างกรินมีอาชีพอื่นให้ทำอีกเยอะแยะ”

“ขอบใจที่ชวน แต่แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินที่ข้าเกิด”

ชวิศาอยากจะตะล่อมโน้มน้าวต่ออีกสักหน่อย เพราะมองดูเหมือนกรินเองก็ไม่มีความสุขกับที่นี่ เพียงแต่กรินกลับเป็นฝ่ายกล่าวตัดบทให้เขาสนใจการฝึกต่อ

“เจ้าสนใจฝึกเวทของเจ้าเถอะ บทเรียนที่เจ้าต้องเรียนรู้ยังมีอีกเยอะ”

จากนั้นกรินจึงให้ชวิศาควบคุมจุดแสงที่เป็นตัวแทนของธาตุให้กลายเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ ซึ่งชวิศาสามารถควบคุมมันได้อย่างง่ายดาย ผู้สอนจึงคิดว่าชวิศาอาจจะไม่ได้โง่งมมากมายตามที่เจ้าตัวกล่าวอ้าง  และเพราะมีนกซึ่งทั้งลำตัวเป็นสีแดงบินมาหากริน ก่อนจะสลายไปเหลือเพียงกระดาษหนึ่งใบ หลังจากที่กรินอ่านข้อความในกระดาษใบนั้นจบ เขาได้บอกให้ชวิศาฝึกต่อไปและจะมารับกลับในตอนเย็น ชวิศาจึงนั่งเล่นลูกแก้วอยู่ตลอดทั้งวัน



ในค่ำวันนั้น กรินได้เอ่ยปากบอกชวิศาว่า “พรุ่งนี้ข้าต้องไปทำงาน ดังนั้นเจ้าคงต้องฝึกคนเดียวตลอดทั้งวันอีกเช่นเคย” ซึ่งชวิศาก็พยักหน้ารับ เขาเติบโตจนผ่านพ้นวัยเบญจเพสแล้วจึงไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแลอีก ที่สำคัญสิ่งที่กรินสอนจะทำให้เขาได้กลับบ้านเร็วขึ้น เขาจึงไม่คิดโอดครวญ

ชวิศาขอมานอนห้องเดียวกับกรินเช่นเดิมแม้เจ้าของบ้านจะให้สาวใช้จัดห้องไว้ให้แต่ในโลกที่ไม่รู้จักใคร การได้อยู่ใกล้คนคุ้นเคยทำให้เขาสบายใจได้มากกว่า ถึงจะต้องนอนบนพื้นชวิศาก็จะไม่บ่นสักแอะ เพียงแต่เจ้าของบ้านใจดีกว่านั้น เขาจึงได้นอนบนฟูกหนานุ่มและมีผ้าห่มกลิ่นหอมกรุ่น ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนและหลับอย่างรวดเร็วเมื่อเจ้าของห้องไม่มีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเขาอีก

และเช้าต่อมา ชวิศาจึงได้พบหน้าครอบครัวของกรินเป็นครั้งแรก

กรินพาเขามาทานอาหารที่ห้องอาหารใหญ่ซึ่งใหญ่สมชื่อราวกับโรงยิมในร่มที่มีสนามบาสเกตบอลหนึ่งสนามภายใน ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องคือโต๊ะทานอาหารตัวยาวสำหรับหลายสิบที่นั่ง ตัวโต๊ะทำมากระจกขุ่นพ่นทรายเป็นลายเถากุหลาบ เก้าอี้พนักสูงทำจากไม้ที่นั่งบุนวม จานชามทำจากกระเบื้องเนื้อดี

สมาชิกในครอบครัวของกรินนั่งอยู่หัวโต๊ะฝั่งหนึ่ง มีชายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งที่ชวิศาคิดว่าน่าจะเป็นบิดาและมารดาของกริน ส่วนอีกสี่คนน่าจะพี่น้อง

กรินทรุดตัวลงนั่งโดยไม่คิดจะเอ่ยแนะนำเขาให้ใครรู้จัก ชวิศาจึงดึงเก้าอี้และทรุดตัวลงนั่งโดยไม่คิดทักทายใครเหมือนกัน จากนั้นสาวใช้จึงวางผ้ารองจานและเสิร์ฟอาหารให้เขาทันที ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คิดจะสนใจเรื่องอื่นอีก

“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อวานครับ”

หูของชวิศาเงี่ยฟังคำสนทนาแต่สองมือตักอาหารทานด้วยกิริยามารยาทสงบเรียบร้อย

“ได้ยินว่าเมดินจะให้เจ้าไปเห็นผู้สั่งสอนในสำนักศึกษา”

“ครับ เห็นแจ้งว่าเช่นนั้น และให้ไปเริ่มงานที่สำนักศึกษาวันนี้”

“ผู้ใช้มนตราไม่ได้จะให้ไปสั่งสอนผู้ฝึกใช้มนตราเนี่ยนะ เมดินมันคิดอะไรอยู่”

ชวิศาอดที่จะเหลือบมองคนพูดไม่ได้ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยกยิ้มเยาะเย้ยมองกรินด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างไม่วางตา ก่อนจะต้องรีบหลุบตาลงต่ำเพราะฝ่ายตรงข้ามเหลือบสายตามาจดจ้องเขา ชายหนุ่มเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเพราะความกดดันประหม่า

ใช่ว่าชวิศาจะไม่เคยออกงานที่มีแต่พวกคุณหญิงคุณชายคุณนายและเหล่าเจ้าของบริษัทที่ล้วนแต่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ต่อหน้าประจ๋อประแจ๋ลับหลังนินทากันหูดับตับไหม้ เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอประเภทครอบครัวเดียวกันยังจ้องจะแทงข้างหลังพี่น้องกันเองอย่างที่พี่โยเคยบอก

“เช่นเจ้าสมควรพูดหรืออัสตรา”ครานี้เป็นชายหนุ่มอีกคน ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมารดาของกริน ถ้าครอบครัวนี้เคร่งครัดเรื่องตำแหน่งที่นั่ง ชวิศาคิดว่าชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นพี่ชายคนโต

“ตัวเจ้าที่ไม่สัมฤทธิผลแม้กระทั่งมนตราเวทขั้นกลาง”

“พี่ใหญ่ก็ระวังตัวไว้เถอะ ตำแหน่งปราชญ์ลำดับหนึ่งต้องเป็นของข้า”คนพูดกระแทกเสียงอย่างฉุนเฉียว

“หยุดนะ โต๊ะอาหารเป็นที่ที่พวกเจ้าสองคนมาทะเลาะกันรึ”ผู้เป็นประมุขส่งเสียงห้ามปรามกำราบ จากนั้นจึงกล่าวสั่งสอนลูกชายทั้งสอง

“อัสตรา เจ้าเองแทนที่จะยุ่งวุ่นวายกับผู้อื่นจงตั้งใจเรียนให้สัมฤทธิผลมนตราเวทขั้นสูงเสียที สำนักศึกษาใช่แต่สอนมนตราเพียงอย่างเดียว เจ้าควรเป็นห่วงน้องชายเจ้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งโอสถทั้งเพลงดาบรึ เจ้าเองก็เช่นกันไซริ ถึงจะเป็นสหายร่วมรุ่นกับเจ้าชายทานันศิระ ก็มิควรออกตัวสนับสนุนพระองค์อย่างโจ่งแจ้ง ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงบุตรชายคนโตของปราชญ์ลำดับที่หนึ่ง ผู้ดำรงตำแหน่งปราชญ์มิควรเอนเอียงเข้าข้างผู้ใดแม้แต่องค์กษัตริย์ เจ้าควรจำหลักการนี้ไว้หากเจ้ายังมุ่งหวังตำแหน่งปราชญ์ประจำราชวงศ์อยู่”

“ทั้งที่ดิวากำลังจะเสกสมรสกับเจ้าชายน่ะหรือ ท่านบิดา”บุตรชายคนโตถามกลับ

“ความรักของหญิงชายผู้ใดห้ามได้หรือ ความซื่อสัตย์เป็นกลางต่างหากที่บังคับได้”

ชวิศานั่งฟังคำสนทนาเหล่านั้นด้วยความงุนงง หนักเข้าจึงสนใจรสชาติอาหารตรงหน้ามากกว่าสิ่งใด

เขาคิดว่าครอบครัวนี้จะไม่สนใจ ‘ใครก็ไม่รู้’ ที่กล้ามานั่งเสนอหน้าทานอาหารร่วมโต๊ะกับครอบครัวเช่นเขาเสียอีก เพียงแต่การแนะนำตัวในฐานะแขกของบุตรชายมีขึ้นหลังจากที่พวกเขาทานอาหารมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยและย้ายขบวนกันไปนั่งที่อีกห้องหนึ่งซึ่งเล็กกว่าห้องอาหาร

ห้องนี้มีเก้าอี้ยาวมีพนักพิงสำหรับสองคนนั่งตั้งเป็นประธาน ที่นั่งสำหรับบิดาและมารดาของกริน เก้าอี้เดี่ยวตั้งเรียงกันสองแถวหันหน้าเข้าหากัน ที่นั่งสำหรับบุตรชายบุตรสาวและแขกของบุตรชายอย่างชวิศา

สาวใช้เสิร์ฟน้ำให้เขาดื่ม เขาก็ยกน้ำผลไม้หวานหอมขึ้นดื่มอย่างไม่เกรงใจ

“เขาเป็นคนที่ลูกเจอระหว่างทางกลับ”กรินบิดเบือนและละเว้นข้อมูลของชวิศาเล็กน้อย ในความเป็นจริงเขาเจอชวิศาระหว่างที่กำลังตามหาพยัคฆ์เจ้าป่า แต่เพราะเจอชวิศาเสียก่อนจึงต้องเดินทางกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้

“อยากฝึกมนตราเวทแต่ไม่มีอัฐสำหรับศึกษาเล่าเรียน ลูกจึงคิดช่วยแนะนำสั่งสอน”

“คนจร?”เสียงถามมาจากพี่ชายคนที่สี่ของกรินอีกเช่นเคย

ความหมายของคนจรชวิศาก็รู้จัก เมื่อได้ยินคำเรียกขานแบบนั้นจึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย ซ้ำน้ำเสียงคนพูดยังคล้ายดูถูก

“คนจรแล้วเช่นไร พวกเรานับถือผู้คนกันที่พลังความสามารถไม่ใช่รึ”คนเป็นน้องชายถามกลับ

“เจ้าจะบอกว่าคนจรเช่นมันมีพลังเวทกล้าแข็งเช่นนั้นรึ”อัสตราส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก ในฮัชดาลลาร์แม้คนทั่วไปจะสามารถใช้พลังเวทได้ แต่บุคคลที่มีพลังเวทกล้าแข็งล้วนแต่เป็นบุคคลที่กำเนิดในสกุลเก่าแก่

“คงต้องขอให้พี่อัสตรารอชม”กรินยกยิ้มด้วยความมั่นใจ สองพี่น้องเขม่นขี้หน้าไม่ชอบพอกันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่อายุไล่เลี่ยกันห่างกันแค่ห้าขวบปี บุตรชายคนสุดท้ายเกิดมาพร้อมพรสวรรค์รอบตัวขาดแต่เพียงความสามารถในการใช้มนตราทั้งที่เกิดในตระกูลเวทอันดับหนึ่ง ส่วนคนเป็นพี่ชายไม่เอาอ่าวหัวทึบแต่ถือครองอำนาจถึงสามธาตุซึ่งน้อยคนนักจะมีได้ เจ้าตัวจึงหยิ่งผยองไม่เห็นหัวผู้อื่น

วิโยมันยกมือขึ้นกุมศีรษะด้วยความอ่อนใจ การแข่งขันในสกุลมีเรื่อยมาทุกรุ่นเพียงแต่หลักธรรมเนียมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์และซื่อตรง รู้จักเคารพอาวุโสจึงทำให้สกุลสงบเรื่อยมา ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง แต่ละรุ่นล้วนมีคนโดดเด่นเพียงหนึ่ง นอกจะได้รับเลือกเป็นปราชญ์แห่งเวทยังได้รับเลือกเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป

“เจ้าสองคนไม่ต้องมาทุ่มเถียงกัน ข้าตัดสินใจแล้วไม่ว่าคนในตระกูลสาขาผู้ใดได้รับเลือกเป็นปราชย์แห่งเวท จ้าวสกุลคนต่อไปคือคนผู้นั้นด้วย”

“ท่านบิดา!!!”บรรดาบุตรชายบุตรหญิงเอ่ยขานเรียกบิดาโดยตระหนกพร้อมกัน

การที่บิดากล่าวเช่นนั้น มีนัยความหมายกลายๆว่า บุตรในตระกูลหลักอย่างพวกเขาทั้งห้าคนคงจะไม่มีโอกาสได้รับการคัดเลือก

กรินไม่แปลกใจในการตัดสินใจของบิดา สกุลของเขาได้รับเลือกเป็นปราชญ์แห่งเวทมาหลายยุคสมัยทั้งยังมีแต่คนตระกูลหลักที่ได้รับเลือก แต่พอมาถึงรุ่นของพวกเขา บุตรทั้งห้าล้วนมีตำหนิในสายตาบิดาทั้งสิ้น พี่ชายคนโต ‘ไซริ’ เอนเอียงเข้ากับขั้วอำนาจฝ่ายหนึ่งของราชวงศ์ ส่วนพี่สาวทั้งสอง ‘ดิวาและดราวัน’ เพราะเห็นว่าตนเป็นหญิงจึงฝึกฝนมนตราแค่พ้นไปวันๆ ไม่คิดพัฒนาก้าวหน้า พี่คนที่สี่ ‘อัสตรา’ กรินคิดว่าคงอีกหลายปีกว่าจะสัมฤทธิผลมนตราขั้นสูง ส่วนเขาต่อให้เฉลียวฉลาดเท่าใด ใช้มนตราไม่ได้ก็คือใช้ไม่ได้

“เจ้าไปเถอะกริน นี่ยามสายแล้ว เมดินคงมีเรื่องพูดคุยกับเจ้าอีกมาก ดูแลแขกของเจ้าให้สะดวกสบายด้วย”

กรินตอบรับ ลุกขึ้นก้มศีรษะเคารพ ชวิศาจึงต้องรีบลุกขึ้นทำตามและก้าวเท้าตามออกไป


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบหก 01/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 01-10-2017 12:53:02
นี้ย้อนกลับไปก่อนเกิดสงครามใหญ่หรือเปล่า
ส่งให้ชวิศาไปเรียนรู้การใช้เวทมนต์ไรงี้ใช่ป่ะค่ะ
อัสรานิยังไง ตัวต้นเรื่องเลยหรือเปล่า
โอ๊ย...อยากรู้ๆ รอจ้า  :mew1:
 :3123:  :pig4:  :3123:
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบหก 01/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 02-10-2017 12:06:20
เอาแล้วเอาหลาว  อย่าบอกนะศิลามนตราที่มีมายาวนานกรินสร้างจากพลังของซี ค้างงะมาต่อไวๆนะ รอๆๆๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบเจ็ด 08/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-10-2017 05:38:13
ตอนที่ยี่สิบเจ็ด


ชวิศาเพิ่งเคยได้มาเดินในเมืองจริงๆจังๆเป็นครั้งแรก ตอนที่เพิ่งมาถึงเมื่อวาน กรินใช้เวทที่ก้าวข้ามผ่านเมืองไปหมด ส่วนตอนบ่ายเขาได้แต่หมกตัวฝึกดึงพลังเวทออกมาใช้

อาณาจักรฮัชดาลลาร์ของกรินคึกคักด้วยผู้คน พื้นถนนปูด้วยหินก้อนซึ่งใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย บ้านเรือนทำจากไม้และอิฐคล้ายเมืองเก่าในแถบทวีปยุโรปบางแห่ง ตัวบ้านล้วนเป็นชั้นเดียวหรือสองชั้นคล้ายเมืองในฮัชดาลลาร์ที่เขาจากมา ซึ่งบ้านของคนทั่วไปจะปลูกติดกันเป็นแถว ต่างจากบ้านหรือคฤหาสน์ของตระกูลใหญ่ๆของเมืองที่จะมีรั้วรอบขอบชิดและเป็นอาคารสูงมีปราสาทยอดแหลม

ห่างจากบ้านของกรินด้วยระยะเวลาเดินเท้าไม่ไกลเป็นสำนักศึกษาที่กรินต้องมาทำงาน อาคารที่ถูกเรียกว่าสำนักศึกษาเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่คล้ายเรือนพักของคหบดีทั่วไป เพียงแต่ด้านหน้ามีป้ายชื่อบ่งบอกเป็นสำนักศึกษาและประตูใหญ่เปิดไว้ตลอดเวลาต้อนรับผู้มาเล่าเรียน

ผ่านซุ้มประตูเข้ามาเป็นลานกว้างสำหรับใช้ในกิจกรรมต่างๆ เช้าวันนั้นที่กรินและชวิศามาเยือนสำนักศึกษา มีผู้คนมากมายยืนรวมตัวกันอยู่บนลานกว้างแห่งนั้นเช่นกัน

“เขามาทำอะไรกันเหรอ”ชวิศาด้วยความสงสัย

“วันนี้มีคัดเลือกบุคคลภายนอกเป็นผู้เล่าเรียน”กรินจึงอธิบายต่อไปว่า การคัดเลือกผู้เล่าเรียนจะมีจัดขึ้นทุกวันที่หนึ่งของเดือน และมีทดสอบวัดผลทุกสิ้นเดือน

“เดือนเดียวก็สอบผ่านได้เลยเหรอ”ชวิศาร้องถามตาโต

“ความสามารถของผู้คนล้วนแตกต่างกัน”

กรินพาชวิศาผ่านกลุ่มคนเหล่านั้นเข้าไปในอาคารและบังเอิญได้เจอกับเมดินที่เดินสวนออกมาพอดี

“ดีใจที่ได้พบเจ้า ญาติข้า ข้ากำลังต้องการตัวเจ้าไปคัดเลือกผู้เล่าเรียนอยู่พอดี”

“ผู้สั่งสอนท่านอื่นเล่า”

“ไม่จำเป็นต้องมีผู้สั่งสอนท่านเดียวในการคัดเลือกผู้เล่าเรียนนี่”เมดินกล่าวพูดคุยกับกริน ก่อนจะชะงักเมื่อเหลือบมาเห็นชวิศา เขารีบสาวเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มร่างเล็กซึ่งยืนเยื้องอยู่ทางด้านหลังของกรินในทันใด

เมดินมีสายตาที่แหลมคม เพียงแค่มองดู เขาก็รับรู้ถึงระดับของพลังเวทในคนผู้นั้นได้ทันที

“ท่านที่เคารพ ท่านเป็นบุตรชายของสกุลใด ข้าพร้อมจะดูแลท่านเป็นอย่างดี”

“ไม่ต้องตกใจไป สำนักศึกษาใดมีผู้สัมฤทธิผลมนตราเวทขั้นสูงจำนวนมากหรือผู้สัมฤทธิผลมีพลังเวทมาก สำนักศึกษานั้นย่อมมีชื่อเสียงมากตามไปด้วย”กรินกล่าวอธิบายกับชวิศา จากนั้นจึงหันมาพูดกับเมดิน

“คนผู้นี้ไม่ได้มาศึกษาที่นี่ แต่ข้าจะเป็นผู้สอนให้โดยเฉพาะ”

“ได้อย่างไร”เมดินพูดเสียงแข็งไม่ยอมปล่อยชวิศาให้หลุดมือไปง่ายๆ“เจ้ารับปากเป็นผู้สั่งสอนให้กับสำนักของข้าแล้ว ผู้เล่าเรียนของเจ้าย่อมเป็นผู้เล่าเรียนของที่นี่ด้วย”

กรินหัวเราะในลำคอ “เอาไว้หลังจากจบการคัดเลือกผู้เล่าเรียน เราทั้งสองค่อยมาพูดคุยตกลงกันอีกครั้ง”

เนื่องด้วยเมดินเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจจับพลังเวท จึงมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ถูกคัดเลือกโดยการกวาดสายตามองเพียงครั้งเดียว ส่วนคนที่เหลือจะถูกแยกทดสอบตามความสามารถ กรินเองได้ถูกจัดสรรให้ประจำห้องทดสอบหนึ่ง แน่นอนว่าชวิศาก็ตามติดชายหนุ่มไม่ห่าง

สำนักศึกษาไม่ได้มีการสอนเฉพาะมนตราเวทอย่างที่วิโยมันกล่าวไว้ที่โต๊ะอาหาร เริ่มแรกผู้ที่มาคัดเลือกต้องระบุสิ่งที่ต้องการศึกษา และแสดงความสามารถพื้นฐานของความรู้นั้นๆ ระดับความรู้ที่มีติดตัวจะเป็นตัวชี้วัดระดับขั้นของผู้เล่าเรียน ถึงกระนั้น แม้คนผู้หนึ่งจะมีระดับความรู้พื้นฐานด้อยกว่ามาตรฐาน แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถเล่าเรียนได้ เมดินได้ตัวอย่างจากญาติผู้น้องเช่นกริน ที่ไม่สามารถใช้มนตราได้แต่กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญมนตราผู้หนึ่ง เขาจึงมีแนวคิดสร้างชั้นเรียนเริ่มต้นสำหรับทุกคนที่ต้องการมาเล่าเรียนในสำนักของตน

เพราะเหตุที่การคัดเลือกผู้เล่าเรียนมีจัดขึ้นทุกเดือน ผู้รับการคัดเลือกจึงมีจำนวนไม่มาก การคัดเลือกจึงสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะให้เจ้าดูความสามารถของเขาก่อน”กรินบอกเมดินพร้อมดึงเอาคทาเวทออกมาช่องว่างมิติและส่งต่อให้ชวิศา

ผลึกเวทที่ประจุมนตราก็เป็นความคิดสร้างสรรค์ของกริน

ในฮัชดาลลาร์มีผลึกธาตุกระจายอยู่ทั่วไป และนักเวทเพียงใช้ผลึกธาตุในการเสริมพลังของตน แต่แล้ววันหนึ่งกรินกลับนำผลึกเวทคล้ายอัญมณีสีดำมาให้เขาประจุเวท นับแต่นั้นผู้คนจึงตามล่าหาผลึกเช่นนี้แทบพลิกแผ่นดิน ทว่าแหล่งที่มาหรือวิธีการทำผลึกเวทยังเป็นความลับที่กรินครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

“หลับตา ตั้งจิตให้มั่นพร้อมนึกถึงความรู้สึกยามที่เจ้าสัมผัสผลึกนำธาตุเมื่อวาน และกล่าวคาถาตามข้า”กรินพูดและกล่าวคาถาให้ชวิศาฟัง แม้เมื่อวานกรินมีความคิดเห็นว่า ชวิศาหัวไวมากพอในการดึงพลังเวทออกมาใช้ แต่การใช้มนตราในครั้งนี้จะเป็นตัวยืนยันความคิดนั้นว่าเป็นจริงหรือไม่

“ด้วยพลังแห่งข้า ผู้ถือครองอำนาจแห่งธาตุไฟ ขอดลบันดาลสร้างสรรค์ วีร่า”

ทว่าทุกอย่างยังว่างเปล่าเงียบกริบ ชวิศาไม่ย่อท้อ เขากล่าวคาถาอีกรอบ และทุกอย่างยังเงียบกริบเช่นเดิม ชวิศาจึงกล่าวคาถาครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งต่อไปเรื่อยๆตามมาติดๆ พลางเหวี่ยงไม้จนเหนื่อยหอบ กระนั้นทุกอย่างยังคงเงียบสนิทเช่นเดิม

“คทาของเจ้ามันใช้ไม่ได้หรือเปล่า”

คทาที่ชวิศาใช้เป็นคทาฝึกฝนสำหรับนักเวทฝึกหัด ตัวคทาทำจากไม้ธรรมดาปลายด้านบนติดผลึกธาตุไฟ ผลึกนั้นเป็นตัวเหนี่ยวนำที่ทำให้ผู้ฝึกเวทดึงพลังธาตุออกมาใช้ได้ง่ายมากขึ้น

เมดินยื่นมือไปรับคทามาจากชวิศา เหวี่ยงควงด้วยมือข้างเดียวพลางกล่าวคาถาไปพร้อมกัน “วีร่า” ไฟเวทสีแดงลุกพรึบเป็นทางตามทิศที่คทาถูกเหวี่ยงไป

คาถาที่กรินสอนเองเป็นคาถาไฟง่ายๆ สำหรับฝึกดึงพลังเวทขั้นต้น ความแรงของไฟเวทนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ใช้ แต่ผู้สัมฤทธิผลมนตราชั้นสูงมักจะควบคุมความรุนแรงของไฟเวทได้ตามต้องการอยู่แล้ว เมดินเองก็ไม่ต่างกัน

“ปกติดีนี่”เมดินพึมพำออกมา

ไฟเวทไม่อาจดับด้วยน้ำธรรมดา ไฟที่เกิดจากมนตราย่อมต้องดับด้วยมนตรา เมดินจึงกล่าวคาถาอีกบทเพื่อดับไฟเวทที่ตนสร้างขึ้น

“เจ้าว่าเช่นไร”กรินพูดถามเมดิน เขาเดินมาหยุดตรงหน้าชวิศา ชายหนุ่มผู้มีสัมพันธ์ฉันเครือญาติจึงมองหน้าคนที่ถูกถามถึงอย่างตั้งใจอีกครั้ง

“พลังเวทหมุนเวียนเป็นระเบียบ สม่ำเสมอดี เป็นพลังที่เข้มแข็งมั่นคงจนน่าอิจฉาเชียวล่ะ”

“ข้าก็ว่าเช่นนั้น เจ้าเคยเจอใครที่มีพลังเวทแข็งแกร่งเทียบเท่าเขาไหม”

“ไม่ ถ้าในฮัชดาลลาร์ข้ายังไม่เคยเจอ แต่แผ่นดินนี้กว้างใหญ่อาจจะมีสักคนที่เป็นเช่นเขา”เมดินพูดก่อนส่งคทาในมือกลับคืนให้ชวิศา

“ช่วงบ่ายเจ้ามีสอน”

“อ้อ”กรินรับคำ จากนั้นจึงหันหน้าไปสั่งความกับชวิศา ให้ชายหนุ่มพยายามฝึกฝนต่อไปจนกว่าจะใช้เวทบทนี้ได้

“ปกติ คนอื่นใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะใช้มนตราบทนี้ได้”

“ความสามารถของผู้คนไม่เท่ากัน แต่พี่ชายคนที่สี่ของช้าใช้เวลาหนึ่งเดือน”

ชวิศาโล่งอก!!! เพราะกังวลว่าจะมีแต่เขาที่ทำไม่ได้กับการดึงพลังเวทออกมาใช้จริงในครั้งแรก เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงมีแรงฮึดสู้ขึ้นอีกมากโข ทว่ากระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ชวิศาก็ยังไม่สามารถสร้างไฟเวทได้

ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าบนลานฝึกในสำนักศึกษาของเมดิน มีกรินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าใช้มือเท้าคางสายตาเหม่อลอยครุ่นคิด

ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ชวิศาตื่นขึ้นมาฝึกตั้งแต่เช้าจรดเย็นทุกวัน ถือคทาท่องคาถาจนคอแห้ง อดทนทำเรื่องเดิมซ้ำๆโดยไม่เคยปริปากบ่น แล้วทำไมเขาจึงทำไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งท้อใจและยิ่งคิดถึงบ้านยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เขาคิดถึงคุณสุดฟ้า อยากเห็นหน้า อยากกอดใจจะขาดแล้ว พวกเขาเพิ่งใจตรงกันไปนานเท่านั้นเอง ยิ่งคิดยิ่งหดหู่ ความรู้สึกอยากกลับบ้านยิ่งเอ่อล้มท่วมท้นหัวใจ  ความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นนั้นส่งผลต่อพลังเวทในร่างกายของชวิศา มันแผ่รังสีเข้มข้นพุ่งขึ้นสู่ฟ้าเพื่อทำให้ความปรารถนาของผู้เป็นเจ้าของให้เป็นจริง เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดเพราะพลังเวทของชวิศาถูกกักขังอยู่ในผนึกของสุมุนตรามาอย่างยาวนาน

และแม้พลังเวทอันเข้มข้นของชวิศาจะแผ่พุ่งออกมามากกว่าปกติ กระนั้นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับไม่อาจรับรู้ได้ เพราะกรินรับรู้พลังเวทด้วยจักระของตน เขาต้องใช้จักระของตนจับสัมผัสจึงจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของพลังเวทได้

ต่างจากเมดิน เขาเห็นพลังสีดำเป็นสายพุ่งขึ้นสู่ฟ้า พลันรับรู้ได้ทันทีว่านั่นคือพลังของชายหนุ่มผู้ที่ญาติผู้น้องของตนหิ้วเก็บมาจากในป่า เขาจึงใช้พลังทั้งหมดที่มีพุ่งทะยานไปตามทิศทางนั้น

การมาอย่างกะทันหันของเมดินทำให้ชวิศาหลุดจากภวังค์ความคิด เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่ก่อนจะเบะปากร้องไห้ออกมาอย่างไม่นึกอับอาย พร้อมๆกับที่พลังเวทอันเข้มข้นสลายหายไป กลายเป็นเมดินที่อยู่ในอาการตื่นตะลึง

“หายไปแล้ว”เมดินพึมพำออกมา จากนั้นจึงพรวดเข้าไปหากรินและชวิศาพร้อมเอ่ยปากถามญาติผู้น้อง

“เมื่อครู่เจ้าสอนให้ซีใช้เวทอะไร”

“หือ? สอนสิ่งใด ซียังไม่สามารถใช้เวทไฟได้เลยด้วยซ้ำ”

“เฮอะ อย่ามาล้อข้าเล่น”เมดินแค่นแคะด้วยสีหน้าไม่เชื่อถือ “ข้าเห็นลำแสงเวทอันเข้มข้นพุ่งขึ้นสู่ฟ้า”

จบประโยคนั้น กรินมีทีท่าสนใจขึ้นมาทันใด เขาหันไปหาชวิศาทันที “เมื่อครู่เจ้าทำสิ่งใด”

“ไม่ได้ทำอะไร นั่งเฉยๆ”ชวิศาทำหน้าเหลอหลาน้ำตาเหือดแห้งลง

“เจ้าไม่เชื่อข้ารึ”เมดินเอ่ยกลับไปทันทีที่เห็นว่ากรินหันมามองทางตน “พอข้ามาถึงพลังนั้นพลันหายไป”

ไม่มีใครอธิบายสาเหตุและผลของเหตุการณ์ที่ว่าออกมาได้ ชวิศายืนยันว่าตนไม่ได้ทำสิ่งใด ในขณะที่เมดินกล่าวว่าตนเห็นพลังเวทนั้นจริง กรินเชื่อเมดินเพราะความสามารถของดวงตาเช่นนั้นถูกทดสอบมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ส่วนชวิศา เขานึกสาเหตุที่อีกฝ่ายต้องโป้ปดไม่ออก กรินจึงได้แต่จ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าเขม็ง ฝ่ายคนถูกมองได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาด้วยความหวั่นกลัวถึงจะไม่ได้ทำสิ่งใดผิดก็ตาม

กรินจ้องมองอาการหงอกลัวของชวิศาพร้อมใช้สมองครุ่นคิด

หลักการฝึกสอนการใช้มนตราถูกสืบทอดมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน ผู้ที่ถือครองอำนาจพลังธาตุล้วนใช้เวทพื้นธาตุทั้งห้าได้ทั้งนั้น แตกต่างกันเพียงความเข้มแข็งของผลลัพธ์แต่ตัวเขาต่างจากผู้อื่น เหตุเพราะตนไม่มีพลังธาตุและไม่อาจยอมรับความจริงนั้นได้ จึงใช้เวลามากมายในการศึกษาตำราโบราณ ศึกษากระทั่งเข้าใจทะลุปรุโปร่ง

กรินเชื่อว่าความสามารถของผู้คนแตกต่างกัน แม้จะไม่อาจลบความรู้สึกด้อยค่าของการไร้มนตราได้ก็ตาม กรินฉุกใจคิด ความสามารถที่แตกต่างย่อมต้องการการเรียนรู้ที่แตกต่างกันหรือไม่

“ซี เมื่อครู่เจ้าคิดถึงสิ่งใด”

ชวิศาเหลือบสายตาขึ้นมองกริน จากนั้นจึงหลุบสายตาลงมองพื้นเช่นเดิมพร้อมกับเอ่ยคำพูดเสียงแผ่ว “อยากกลับบ้าน”

“แล้วตอนที่เจ้าเอ่ยคาถาเวทไฟเจ้านึกถึงสิ่งใด”

“นึกถึงคาถาที่ท่อง”

“แล้วเจ้าล่ะ เมดิน”

คนโดนถามยักไหล่โคลงศีรษะ “ไม่รู้สิ ข้านึกไปเรื่อยเปื่อย”

ไม่แปลกที่เมดินจะตอบเช่นนั้น เพราะผู้สัมฤทธิผลมนตราขั้นสูงย่อมเคยชินกับคาถาและพลังเวทที่ต้องใช้ แต่กรินต่างออกไป เขาต้องใช้พลังเวทของผู้อื่นจึงต้องใส่ใจต่อกระแสพลังเวทของคนผู้นั้น ดึงแยกธาตุ รวบรวมและสร้างขึ้นใหม่ บางครั้งก็ไม่ใช้หลักการเช่นเดิมขึ้นอยู่กับผู้เป็นเจ้าของพลังเวท

“เช่นนั้นให้เจ้าลองจินตนาการถึงไฟที่กำลังลุกไหม้ และกล่าวคาถาออกไป”

ชวิศาไม่มีความคิดที่จะโต้แย้ง เขาลุกขึ้นหลับตาแล้วตั้งสมาธิ จับคทาไว้ทั้งสองมือ จินตนาการถึงไฟที่ลุกไหม้โชติช่วง พลางกล่าวคาถาที่จำได้ขึ้นใจ

“ด้วยพลังแห่งข้า ผู้ถือครองอำนาจแห่งธาตุไฟ ขอดลบันดาลสร้างสรรค์ วีร่า”

ไฟเวทลุกไหม้ขึ้นบนความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างที่เขาต้องการทันที ชวิศาลืมตามองและร้องตะโกน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

“ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว คุณกรินสอนคาถาที่ทำให้ผมกลับบ้านได้หรือยัง”ชวิศาถลาเข้ามาหาพร้อมถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

ชายหนุ่มผู้ถูกตั้งคำถามและอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันต่างอยู่ในอาการชะงักงันเพราะคำถามดังกล่าว

กรินรู้จักเวทท่องกาลเวลาจากตำรา เขาไม่เคยได้ใช้และไม่เคยเห็นใครใช้ มันเป็นเพียงตำนานปรัมปรา หากไม่พบเจอชวิศาเขาคงยังคิดว่ามนตราบทนี้คงเป็นเพียงตำนานเท่านั้น

ส่วนเมดิน เนื่องจากกรินไม่เคยเล่ารายละเอียดปลีกย่อยของชวิศาให้ฟัง เขาจึงไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่กระนั้นเขาไม่ได้คิดเอ่ยถามขัดการสนทนาของคนทั้งคู่ การที่กรินไม่ห้ามปรามชวิศาในยามนี้คงเพราะไม่คิดจะปิดบังความจริงต่อเขา ชายหนุ่มจึงเพียงคอยจับฟังเรื่องราวและปะติดปะต่อเอาเอง

“ข้าอยากให้เจ้าลองดับไฟเวทนั่นดู”

“ให้ว่าคาถาอย่างไร”ชวิศาถาม

“ไม่จำเป็น ให้เจ้าลองจินตนาการเพียงแค่ไฟนั้นดับลงไปเฉยๆ”

ชวิศาขมวดคิ้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็หันหลังกลับไป จ้องมองเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ สองมือยังถือคทาไว้มั่นเช่นเดิม จากนั้นจึงหลับตาลงจินตนาการว่าไฟนั้นค่อยๆดับลง

ดับซะ!!! ดับไปซะ!!! ดับไปให้สนิท! ชวิศาคิดเช่นนั้นอยู่ภายในใจ และเมื่อลืมตาขึ้นมา เปลวไฟจากมนตราได้ดับมอดลงไปจริงๆ

“พวกคุณสองคนทำอะไรหรือเปล่า”เขาถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่านี่เป็นฝีมือของตนจริงๆ

“ไม่ พวกข้าไม่ได้ทำสิ่งใด”กรินกล่าวยืนยัน เขามองเห็นว่าชวิศาสามารถดับไฟได้จริงโดยไม่ต้องกล่าวคาถา คนถามได้ฟังคำตอบจึงแย้มยิ้มด้วยความดีใจ

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกคาถาที่ทำให้ผมเดินทางกลับบ้านได้ มาได้แล้ว”

“ห๊ะ!!!”เมดินหลุดอุทานออกมา เขามองหน้าญาติผู้น้องที่สนิทสนมกัน กรินยกยิ้มให้คล้ายปลงตก

“เจ้าจะถามหาคำคาถาอีกเพื่อเหตุใด แค่เจ้าตั้งจิตให้มั่นจินตนาการถึงสถานที่ที่เจ้าต้องการ พลังเวทของเจ้าก็จะนำพาเจ้าไปเอง”

“แค่นั้น?”ชวิศาถามย้ำ ถึงจะมีความคลางแคลงไม่แน่ใจ สุดท้ายแล้วเขาย่อมอยากลองพิสูจน์ดู ชวิศาหลับตานึกถึงคนที่ตนคิดถึงเป็นอันดับแรก ภายในใจคิดว่าอยากกลับไปหา อยากไปปรากฏตัวต่อหน้าอีกฝ่าย แต่ว่าคราวนี้ ความต้องการนั้นกับไม่สัมฤทธิผล ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา คนตรงหน้ายังเป็นกรินและเมดินเช่นเดิม

“เจ้าเพิ่งหัดดึงพลังเวทมาใช้ มนตราขนาดใหญ่เช่นนี้คงจะทำสำเร็จได้ยากกระมัง”เมดินกล่าวปลอบใจ ชวิศาหน้าหงอยเศร้าลง

“ความเชี่ยวชาญในมนตราเวทล้วนขึ้นอยู่กับการฝึกฝน เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงกังวลมากนัก ขอเพียงเจ้าตั้งใจ พลังเวทที่เจ้ามีล้วนบันดาลให้เจ้าสมหวัง”กรินกล่าวเสริมอีกประโยค ชวิศาถึงได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง จากนั้นจึงบอกชวิศาให้ลองไปเข้าเรียนพร้อมกับคนอื่นๆ

“เพราะเจ้าบอกว่าตนหัวทึบ ข้าจึงให้เจ้าลองปฏิบัติเพื่อให้จดจำความรู้สึกในการดึงพลังเวทออกมาใช้เสียก่อน เพราะกังวลว่าความรู้ที่เจ้าได้เรียนจะยิ่งทำให้เจ้าไม่สามารถใช้มนตราได้”กรินพูดพลางลุกขึ้นเดินนำหน้าเข้าไปในตัวอาคาร

“แปลกจัง เขามีแต่ต้องเรียนทฤษฎีเพื่อมาฝึกปฏิบัติ”ชวิศาพึมพำแต่เสียงดังมากพอที่กรินจะได้ยิน

“มนตราเวทไม่มีกฎตายตัว แม้จะมีหลักการสอนที่สืบทอดกันมาแต่ใช่ว่าผู้ใช้เวททุกคนต้องเอ่ยคาถาจึงจะใช้มนตราได้ เจ้าเองยามที่ไม่ต้องกล่าวคาถายังสามารถใช้มนตราได้”

“ผู้ที่มีพลังเวทกล้าแข็งมักจะใช้มนตราเวทได้ตั้งแต่วัยเยาว์ การเรียนรู้คาถาเพิ่มเติมก็เพื่อต่อยอดและพัฒนาการใช้มนต์คาถา”เมดินช่วยกล่าวเสริม “ข้าเอง หากเป็นมนตราง่ายๆเพียงแค่นึกก็สัมฤทธิผล”

ชวิศาพยักหน้ารับ พลางคิดในใจว่า ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้ คงได้แต่พยายามตั้งใจเรียนอย่างที่กรินบอก

เมดินเหลือบสายตามองคนที่เดินตามอยู่ด้านหลังแล้วจึงหันมาพูดคุยกับญาติผู้น้องซึ่งสนิทสนมกันคล้ายเพื่อนว่า “ข้านึกว่าเจ้าจะให้เขาอยู่ในส่วนหนึ่งของแผน”

“เขาไม่อาจใช้มนตราได้ตามใจนึก แม้จะมีพลังเวทที่ยิ่งใหญ่”กรินเอ่ยย้ำสิ่งที่พวกเขารู้กันดี

“แต่ถ้าเขาใช้พลังเวทพาตัวเองกลับบ้านได้ เจ้าอาจจะสูญเสียตัวหมากสำคัญ”

“ต่อให้มีเขาหรือไม่ ข้ายังต้องพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์อยู่ดี”

“หมายความว่า เจ้ายังจะออกไปตามหาพยัคฆ์เจ้าป่าต่อไป”

กรินไม่ได้ตอบคำถามเป็นคำพูด เขาเพียงพยักหน้าตอบรับคำพูดของญาติผู้พี่ เมดินจึงได้แต่ถอนหายใจ



การเรียนรู้มนตราเวทเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสไม่ต่างกับการเรียนในมหาวิทยาลัยเลย ชวิศาเป็นนักเรียนที่อายุมากที่สุดในชั้นเรียนที่มีแต่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี แต่อายุมากกว่าไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เข้าใจได้มากกว่าคนอื่น ทุกวันที่ได้รับความรู้เพิ่มเติมมีแต่ทำให้เขางงงวยกับคุณสมบัติของธาตุทั้งห้า

“ไม่เข้าใจอะ อธิบายให้ฟังใหม่อีกรอบไม่ได้เหรอ”

กรินวางตำราเวทในมือ มองชวิศาที่ในมือถืออุปกรณ์การเขียนหน้าตาประหลาดๆ ทั้งยังมีกระดาษซึ่งมีตัวอักษรที่เขาไม่รู้จักอยู่เต็มหน้า ในฮัชดาลลาร์สิ่งที่ใช้สำหรับเขียนถูกเรียกว่าปากกาขนนกที่ต้องจุ่มน้ำหมึกก่อนนำมาเขียนตัวอักษร

“ในมือเจ้าคือสิ่งใด”

ชวิศาทำหน้าสงสัยมองของที่อยู่ในมืออีกครั้งและตอบออกไปว่า “ดินสอไง”

“เจ้าได้มันมาจากที่ใด”

“จากในห้องของคุณกรินแหละมั้ง เอ๊ะ... ตอนนั้นหยิบมาใช้ในห้องเรียนนี่นาอาจจะเป็นของใครสักคน จำไม่ได้แล้วอะ แต่ยึดแล้วยึดเลย”คนพูดยกยิ้ม

“แล้วในยุคสมัยของเจ้าใช้สิ่งใดสำหรับการเขียนหนังสือ”

“ก็มีดินสอนี่แหละ แล้วก็ปากกาแต่มีก็มีหลายแบบมากให้เลือก”ชวิศายังคงตอบแต่โดยดีแม้จะไม่รู้ว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับที่เขาขอให้กรินช่วยติวสำหรับการสอบในวันพรุ่งนี้อย่างไร

ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้วสำหรับชีวิตของชวิศาที่หลุดมาอยู่อาณาจักรฮัชดาลลาร์ที่เขาไม่รู้จัก ชายหนุ่มยังคิดถึงบ้านทุกวัน ก่อนนอนในทุกคืนเขาหลับตานึกถึงสถานที่ที่ตนจากมาและภาวนาให้ตนเองได้กลับไป เพียงแต่ยังไม่มีวันไหนที่เขาจะสมปรารถนา พักหลังๆมานี่เขาจึงเริ่มปล่อยวางและหันมามุ่งมั่นเรียนรู้การใช้มนตราเวทเสียแทน

“ปากกาที่เจ้าว่ามันหน้าตาเป็นเช่นไรรึ”

“มันก็หน้าตาคล้ายดินสอแท่งนี้แหละ แต่ว่าหมึกมันจะลบไม่ได้”

“งั้นรึ ข้านึกไม่ออกเลย เจ้าช่วยอธิบายอย่างละเอียดได้หรือไม่”

“ก็เนี่ยหน้าตามันจะเป็นอย่างนี้”พริบตาเดียวปากกาหมึกน้ำเงินปลอกสีฟ้าใสพลันปรากฏอยู่ในมือของชวิศา กรินไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเนรมิตสิ่งที่เรียกว่าปากกามาจากความว่างเปล่าหรือหยิบยืมมาจากที่อื่นอันเป็นศาสตร์หนึ่งของการใช้พลังเวทที่ง่ายกว่าและใช้พลังน้อยกว่าการเนรมิตขึ้นมาใหม่

“อ๊ะ!!!”เหมือนว่าชวิศาจะรู้ตัวเสียที กระนั้นเจ้าตัวยังอุตส่าห์เงยหน้ามาถามย้ำ“ปากกาของคุณกรินหรือเปล่า”

“เหตุใดต้องเฉไฉว่ามันไม่ได้เกิดจากพลังของเจ้า”

คนถูกถามคอตก “ก็ไม่เข้าใจ ที่อย่างนี้ทำไมทำได้ ทำไมบางอย่างถึงทำไม่ได้ ทดสอบการใช้เวทในชั้นเรียนก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง เรื่องวัฏจักรกับองค์ประกอบธาตุก็ไม่เข้าใจ ยากเหมือนสมัยตอนเรียนมหา’ลัยไม่มีผิด พรุ่งนี้ก็สอบวัดผลแล้ว สอบตกแน่”

“ข้าไม่เห็นความจำเป็นที่เจ้าจะต้องสนใจเรื่องผลสอบนั่น”

อีกทั้ง ผู้เล่าเรียนในสำนักศึกษาไม่จำเป็นต้องสอบวัดผลทุกคนเสมอไป การสอบประเมินทุกสิ้นเดือนล้วนเป็นไปตามความสมัครใจ เพียงแต่มีผู้เล่าเรียนหลายคนสมัครใจเข้าร่วมทดสอบเพื่อวัดระดับความก้าวหน้าของตน

“สอบตกก็ได้เหรอ”

“การรับรองจากสำนักศึกษาว่าเจ้าเป็นผู้สัมฤทธิผลมนตราขั้นสูงเป็นเพียงเกียรติจอมปลอมที่แต่ละสกุลนำมาอวดอ้างกันเท่านั้น หากเจ้าต้องการทำงานเป็นองครักษ์เวทขั้นหนึ่งเพียงแค่ทดสอบผ่านข้อกำหนดของราชวังก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”

กรินหันไปมองคนที่นั่งฟังเพียงเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อไปว่า “ข้าให้เจ้าไปเล่าเรียนเพื่อให้เจ้าเคยชินกับการควบคุมพลังเวทและใช้มนตรา ให้สามารถใช้มนตราขนาดใหญ่ได้ตามใจนึก ไม่ใช่เสี่ยงดวงว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าเบื่อเสียงร้องไห้ยามค่ำคืนของเจ้าเต็มทน”

ชวิศาหน้าแดงด้วยความอับอาย “ด...เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยร้องแล้วเหอะ” ยามที่คิดถึงบ้านมากๆ ชายหนุ่มไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ เขาจึงแอบร้องไห้เบาๆ ด้วยเพราะชวิศายังอาศัยนอนในห้องของกรินอยู่เช่นเคย นึกไม่ถึงว่า ขนาดที่เขาพยายามกลั้นสะอื้นไว้อย่างเต็มที่ กรินยังรับรู้อีก

“แต่สิ่งที่สอนในสำนักศึกษาเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้เวทมนตร์ไม่ใช่เหรอ”

“สำหรับข้าคือใช่”

ชวิศาเงียบไปอีกพักแล้ว ทำท่าอึกอักเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง เขามีอาการลังเลอยู่นานก่อนจะกล่าวว่า “คุณกริน คุณรู้ใช่ไหมว่าการใช้มนตราท่องเวลาต้องทำยังไง”

กรินพยักหน้า

“ถ้าอย่างนั้นคุณลองทำให้ดูหน่อย ใช้พลังเวทของผมได้เต็มที่เลย”ชวิศายิ้มบอก

“ข้าไม่มีทางทางหลงกลแผนตื้นๆของเจ้า”

“แผนอะไร ไม่มี๊”ชวิศารีบปฏิเสธ “ถ้าคุณกลัวผมหลอกคุณ ไม่ต้องพาผมกลับบ้านก็ได้ เราลองไปเที่ยวที่อื่นกันดูก่อน”

“ข้าไม่เคยคิดขัดขวางหากเจ้าจะกลับไปยังสถานที่ที่เจ้าจากมา แต่เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ว่าในยามนี้เจ้าใช้มนตราได้เท่าใดแล้ว มนตราพื้นฐานที่เจ้าฝึกหัดนั้น แรกๆอาจจะผิดพลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อใดที่เจ้าทำสำเร็จแล้ว ครั้งต่อๆไปจะไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นอีก เจ้าแค่ต้องการจดจำความรู้สึกในการใช้มนตราท่องเวลาเท่านั้น แล้วคิดหรือว่าข้าจะเอาตัวเองไปเสี่ยงหากเจ้าพยศไม่ให้ข้าควบคุมพลังเวทของเจ้า”

“ผมสาบานเลย ว่าจะให้คุณใช้พลังเวทของผมพาเราสองคนกลับมาที่นี่ก่อน แล้วค่อยไปทดลองเองทีหลัง”ชวิศายกมือขึ้นสามนิ้วพลางกล่าวอย่างจริงจัง

กรินส่งเสียงหึขึ้นจมูกอย่างไม่คิดเชื่อถือ

“ข้าจะเขียนระเบียนเวทให้เจ้าไปฝึกใช้เอาเอง”

“โธ่ ถ้าผมอ่านระเบียนเวทได้คล่อง ผมคงไม่ขอให้คุณติวให้หรอก”ชวิศากระแทกเสียงใส่อย่างไม่พอใจ นิ่งเงียบขมวดคิ้วชักสีหน้าอยู่ครู่หนึ่ง จึงเริ่มโน้มน้าวกรินอีกครั้ง

“คุณไม่คิดอยากไปดูฮัชดาลลาร์ในอีกหลายปีข้างหน้าเหรอ มันไม่เหมือนตอนนี้หรอกนะ”ถึงอีกฝ่ายจะไม่ตั้งใจฟัง มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเขียนข้อความบนกระดาษ ชวิศายังยินดีที่จะพูดต่อไป “พื้นที่แถวนี้มีแต่ทะเลทรายรอบด้าน แถมยังมีสงครามอีกบ่อยครั้ง ฮัชดาลลาร์เหลือแค่เมืองเล็กๆอยู่ภายในหุบเขา”

“เหตุใดข้าต้องใส่ใจ นั่นอาจจะไม่ใช่อาณาจักรฮัชดาลลาร์ที่ข้าอยู่ หรือถึงจะใช่ ข้าคงจะไม่มีชีวิตยืนยาวถึงป่านนั้น”

ชวิศามองหน้าคนพูด อีกฝ่ายมีสีหน้านิ่งเฉยอย่างไม่นึกเดือดร้อน เขาจึงก้มหน้าลงพร้อมกับอาการเซ็ง กรินเห็นเช่นนั้นจึงหันมาใส่ใจเขียนเอกสารตรงหน้าให้เสร็จพลางพูดว่า “ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว มนตราท่องกาลเวลาสามารถพาเจ้ากลับไปยังช่วงเวลาที่เจ้าจากมาได้ จะไม่มีผู้ใดรับรู้ว่าเจ้าหายไป”

“แต่ตัวผมรู้ ผมคิดถึงพวกเขา อยากเจอ อยากเห็นหน้า”ชวิศาพูดเสียงดัง ก่อนจะลดเสียงลงงึมงำ “อยากกอดด้วย”

กรินยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ แผ่นกระดาษแผ่นนี้เขาเพิ่งเขียนข้อความเสร็จเมื่อสักครู่

“นี่เป็นมนตราท่องกาล”

แค่เห็นชวิศาก็มึนศีรษะ บนกระดาษมีอักขระเวทยาวเหยียดเต็มแผ่น ถึงเขาจะเรียนการอ่านระเบียนเวทเบื้องต้นมาแล้ว แต่สัญลักษณ์ธาตุมากมายขนาดนี้เขาไม่มีทางใช้มนตราบทนี้ได้อยู่แล้ว เขาจึงช้อนดวงตาคลอน้ำขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะสงสารเขาบ้าง

“และตั้งแต่พรุ่งนี้ ข้าจะสอนเจ้าเพิ่มเติมช่วงเย็น ถ้าเจ้าขยันตั้งใจ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นภาพบุคคลที่เจ้าคิดถึง”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

สวัสดีค่ะ ต้องขอขอบคุณ คุณsuikajang  และคุณ A_bookworm สำหรับคอมเมนต์ค่ะ กำลังคิดอยู่ว่าพล็อตเรื่องมันเดาได้อย่างนี้มันจะน่าเบื่อหรือเปล่า ต้องขอบคุณคุณทั้งสองค่ะที่ทำให้รู้ว่าเรื่องที่เราเขียนมันยังน่าติดตามอยู่
และต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เปิดเข้ามาอ่านนิยายของเราด้วยค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามนิยายเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบเจ็ด 08/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 08-10-2017 15:31:52
เข้ามาเห็นชื่อเรื่องกะว่าขำๆ ฮาๆ เบาๆ อ่านไปชักยังไง  o22  ไม่มีคำบรรยาย พาออกทะเลทรายซะงั้น
แต่ก็นับถือผู้แต่งนะคะ มาแต่ละตอนนิเมื่อยตา ยอมรับเลยว่าเลิกอ่านไม่ได้ ถึงจะพาเครียดบ้างก็เถอะ  :katai3:
เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆ  :L2:  รอดูความพยายามของชวิศาว่าจะกลับไปหาสุด(ฟ้า)ที่รักได้หรือเปล่า
 :L1:  :pig4:  :L1:
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบแปด 15/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 15-10-2017 13:30:32
ตอนที่ยี่สิบแปด


รางวัลที่กรินนำมาล่อลวงทำให้ชวิศากระตือรือร้นตั้งใจมากขึ้นกว่าเดิม

วันที่มีการสอบประเมินในสำนักศึกษาไม่มีการเรียนการสอน คนที่ไม่ประสงค์จะสอบสามารถหยุดเรียนได้ แต่หลายคนมักจะมาดูการสอบของคนอื่น ต่างกับชวิศา ในเมื่อกรินบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องสอบก็ได้ ชวิศาจึงไม่คิดจะสนใจการประเมินผลนั่นอีก ซ้ำยังไม่ไปดูการสอบเช่นผู้เล่าเรียนคนอื่นๆ เขาอ่านไอเวทไม่ได้ ดูไปก็เท่านั้น ชายหนุ่มจึงใช้ช่วงเวลาว่างในการคัดลอกระเบียนเวทที่กรินให้มา

การคัดลอกที่ว่าใช่เพียงลอกเลียนอักขระเวทลงในกระดาษอีกแผ่น แต่เป็นการถอดความพลังธาตุที่ใช้ในมนตราแต่ละบท

การศึกษามนตราถูกแบ่งเป็นสามระดับ อันได้แก่ขั้นพื้นฐาน ขั้นกลางและขั้นสูง การศึกษามนตราขั้นพื้นฐานก็แบ่งย่อยไปอีกห้าระดับ โดยมนตราเวทขั้นพื้นฐานระดับหนึ่งเป็นการสร้างเวทจากพลังธาตุเพียงธาตุเดียว ระดับสองคือการใช้สองธาตุ ไล่ไปเรื่อยๆจนถึงระดับห้าคือการสร้างเวทโดยใช้ธาตุทั้งห้า

การเรียนมนตราเวทขั้นกลางมีแค่สองระดับคือวัฏสร้างสรรค์และวัฏสูญสิ้น เรียนรู้การสร้างเวทซ้อนทับโดยไม่ให้พลังธาตุหักล้างกันจนเวทสูญสลาย เนื่องจากในธาตุทั้งห้ามีธาตุที่มีพลังส่งเสริมกัน และพลังธาตุที่พิฆาตกันเองซึ่งส่วนนี้จะคล้ายกับการเรียนมนตราเวทขั้นพื้นฐาน แต่แตกต่างกันที่ความซับซ้อนของมนตรา

แต่การเรียนมนตราเวทขั้นสูงไม่มีการกำหนดระดับ เพราะเป็นการนำความรู้ที่ได้เรียนมาผนวกรวมเข้าด้วยกันและสร้างเวทขนาดใหญ่สำหรับประเมินผลจำนวนยี่สิบบท

ในระหว่างนั้นต้องเรียนรู้การอ่านระเบียนเวทและไอเวทไปพร้อมกัน ระเบียนเวทในความคิดของชวิศาคือสูตรการใช้เพราะมันถูกเขียนอยู่บนกระดาษและเหมือนขั้นตอนการทำอาหาร ที่บางครั้งเราต้องนำวัตถุดิบไปต้มแล้วจึงนำไปทอด จากนั้นจึงนำไปคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง แต่ที่ลำบากสำหรับชายหนุ่มคืออักขระสัญลักษณ์พลังธาตุ เนื่องจากเขายังจำรูปแบบอักขระทั้งหมดยังไม่ได้ การคัดลอกถอดความจะทำให้เขารู้ว่ามนตราบทนี้ใช้พลังธาตุใดบ้าง

สำหรับการอ่านไอเวทจะยากกว่าการอ่านระเบียนเวท ไอเวทนั้นเป็นผลตกค้างหลังการใช้เวทและมันมีลักษณะตามชื่อ คือเป็นไอที่มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น นับตั้งแต่ชวิศาเข้าเรียนวิชาเกี่ยวกับการอ่านไอเวทมา เขายังไม่เคยมองเห็นสิ่งที่ถูกเรียกว่าไอเวทเลยสักครั้ง

หลังจากที่ถอดความมนตราบทนั้นเสร็จ ชายหนุ่มถึงออกไปนอกตัวอาคารเพื่อทดลองใช้มนตรา

ข้อกำหนดที่ทำให้มนตราบทหนึ่งถูกเรียกว่ามนตราขนาดใหญ่นั้นมาจากลำดับความซับซ้อนการใช้พลังธาตุตั้งแต่สองธาตุจำนวนห้าลำดับขึ้นไป และถึงแม้จะมีลำดับขั้นการใช้พลังธาตุมากมาย แต่การจะทำให้มนตราสัมฤทธิผล จะต้องดึงพลังธาตุทุกลำดับขั้นตอนออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง นั่นจึงเป็นปัญหาอีกอย่างของชวิศา เนื่องจากเขาจำระเบียนเวทไม่ได้เพราะฉะนั้นจึงแทบไม่ต้องพูดถึงผลสำเร็จ

ชายหนุ่มเอนหลังนอนแผ่ไปกับพื้นด้วยอาการเหนื่อยหอบ แม้จะมีพลังเวทมากแต่ชวิศาก็ใช้มันอย่างไม่บันยะบันยังด้วยเช่นกัน ด้วยความที่ไม่สามารถจำลำดับการใช้พลังธาตุได้ ชวิศาจึงใช้วิธีหน่วงพลังธาตุลำดับแรกแล้วจึงเรียกใช้ลำดับที่สองมาซ้อนทับ แต่ว่าลำดับธาตุแต่ละขั้นใช่ว่าจะใช้เพียงธาตุเดียว บางลำดับใช้สองถึงสามธาตุ พอเขาร่ายเวทถึงลำดับขั้นที่สามหรือสี่ เวทในลำดับแรกก็สลาย พูดง่ายๆว่าสิ่งที่เขาพยายามทำค่อนข้างจะเปล่าประโยชน์

“ทำไมมันยากอย่างนี้”เขาร้องโวยวายด้วยความอึดอัดใจ จากนั้นจึงพลิกตัวนอนตะแคง

ชวิศานอนกลิ้งอยู่บนลานฝึกในสำนักศึกษา ลานฝึกนี้เป็นพื้นที่หวงห้ามของเมดินซึ่งอนุญาตให้เฉพาะบางคนเท่านั้นที่เข้ามาใช้ได้ และตอนนี้ชวิศาก็เป็นหนึ่งในนั้น

ลานฝึกของเมดินเป็นพื้นดินเรียบปลูกต้นไม้ไว้ล้อมรอบ ชวิศาจับจองที่นั่งใต้เงาไม้ นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างไม่กลัวฝุ่นและความสกปรก ลมเย็นพัดโชยผ่านเป็นระยะ นานเข้าชายหนุ่มร่างเพรียวจึงเคลิ้มผล็อยหลับไป



ยามที่ลืมตาขึ้นมากลับพบว่ากรินมานั่งอยู่ใกล้ๆ ชวิศายันตัวลุกขึ้นยกมือขึ้นปิดปากกลั้นหาว นัยน์ตาปรือปรอยคล้ายยังนอนไม่เต็มอิ่ม

“คุณกริน”ชวิศาเอ่ยเรียกราวกับจะถามว่ามีอะไรหรือเปล่า แม้ชวิศาจะรู้ว่ากรินทำงานเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา แต่เขาสังเกตเห็นว่า กรินมักจะมีงานยุ่งอยู่เสมอ เขาไม่รู้ทั้งหมดแต่เหมือนว่ากรินก็มีกิจการค้าขายของตัวเอง พูดให้ถูกคือช่วงเวลากลางวันชวิศาแทบจะไม่ได้เจอกรินเลย

“ฝึกการใช้มนตราไปถึงไหนแล้ว”

“ยังไม่ได้เรื่องเลย”ชายหนุ่มร่างเพรียวหัวเราะแห้งๆ

“ข้าจะลองให้เจ้าฝึกใช้มนตราขั้นกลางดูก่อน”กรินหยิบหินก้อนเล็กจากแถวนั้นขึ้นมา แล้วเขียนอักขระลำดับเวทลงบนพื้นดิน “นี่เป็นมนตราเวหาเหิน”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ แต่แววตาว่างเปล่าเหมือนว่าพยักหน้าไปอย่างนั้นในความคิดของกริน

“จำได้ใช่ไหม”

“เอ๋!!!!!”คนถูกถามตีสีหน้างุนงงด้วยความไม่เข้าใจ

“ข้าเคยใช้มนตรานี้พาเจ้ากลับเข้าเมืองหลวง”

“อ๋อ”ชายหนุ่มครางรับเสียงยาว “นึกออกแล้ว”

“เจ้าเรียนการกล่าวคาถามาแล้วใช่ไหม”

“ใช่ แต่ถอดความระเบียนเวทไม่ได้นะ”คนพูดยิ้มเผล่ “แต่ไม่ต้องใช้คาถาก็ได้ไม่ใช่เหรอ ไม่กล่าวคาถายังใช้มนตราได้มากกว่าอีก”

“ใช้ได้เพราะความบังเอิญมากกว่า เจ้ายังใช้พลังเวทไม่คล่องก็ให้กล่าวคาถาไปก่อน ไว้ข้าจะเลือกคาถาที่จำเป็นมาให้เจ้าจดจำ”

จากนั้นกรินจึงสอนการถอดอักขระ เนื่องด้วยคาถานั้นถอดเสียงมาจากอักขระพลังธาตุ ระเบียนเวทเองก็เขียนตามอักขระพลังธาตุเช่นกัน

“วันนี้คุณกรินไม่ไปไหนเหรอ”ชวิศาถาม เมื่อคนสอนปล่อยให้เขาพักหลังจากที่พูดย้ำทวนสิ่งที่สอนมาสามสี่รอบ

“ไม่”กรินพูดตอบแล้วเบนสายตาเหม่อมองท้องฟ้ากว้างสว่างสีฟ้าใส จวบจนเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กรินจึงกล่าวขึ้นมาว่า “อีกสี่เดือน ข้าจะออกจากเมือง”

ชวิศารับฟังและพยักหน้ารับ “คุณจะไปทำอะไรเหรอ”

“หาพยัคฆ์เจ้าป่า”

“พยัคฆ์คือตัวอะไร”

คนถูกถามขมวดคิ้วมองหน้าเจ้าของคำถามด้วยความสงสัย ชวิศาเหมือนรู้ตัวว่าคำถามของตนเองคงจะฟังดูงี่เง่า “ผมไม่รู้จริงๆอะ”

“เสือ”

“อ๋อ... ก็เรียกว่าเสือดิ จะต้องใช้คำแปลกๆทำไม”เขาบ่น พาให้กรินส่งเสียงหัวเราะ

“ไปนานไหม”

“ไม่มีกำหนด แต่อย่างไรข้าต้องกลับมาก่อนปีใหม่มาเยือน”

คำพูดของกรินทำให้ชวิศาฉุกคิดได้อีกอย่าง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเดือนปีที่เท่าไหร่

“วันพระจันทร์ดับที่สิบ เดือนที่ห้า ปีที่หนึ่งพันห้าร้อยสิบหก”

“พวกคุณนับปีกันอย่างไร”

“นับปีที่หนึ่งตามปีที่ก่อตั้งอาณาจักร”

ชายหนุ่มผู้ที่มาจากตำแหน่งเวลาอื่นอย่างชวิศาจึงได้ฤกษ์ถามข้อมูลของอาณาจักรที่ตนอาศัยอยู่มากว่าสองเดือน ก่อนหน้านี้เพราะมัวแต่คิดว่าอยากจะกลับบ้าน เขาจึงแทบไม่สนใจสิ่งอื่น เวลาที่ผ่านไปช่วยบรรเทาอาการแปลกถิ่นลงไปได้บ้าง ทั้งยังทำใจว่าคงมีแต่ใช้มนตราท่องกาลที่กรินเคยบอกเล่าไว้ให้ได้จึงจะกลับบ้านได้อย่างที่หวัง แม้กรินจะไม่เคยพบคนที่สามารถใช้มนตราบทนี้ได้จริงๆเลยก็ตาม เพราะมีแค่ตัวเขาหลุดมาอยู่ในช่วงต่างยุคทั้งที่ตนเองยังไม่รู้ตัวว่ามาได้อย่างไร

พลเมืองในฮัชดาลลาร์นั้นโยกย้ายมาจากถิ่นอื่น ตามประวัติที่ได้บันทึกไว้คืออพยพย้ายมาจากทางเหนือ เพื่อหนีความโหดร้ายทารุณของสภาพอากาศและการขาดแคลนแหล่งอาหาร ผู้คนที่มาตั้งรกรากที่นี่มีไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น ก่อนที่เมืองจะเจริญเท่าปัจจุบัน

“พวกคุณใช้เวทมนตร์ได้ตั้งแต่แรกเลยเหรอ”

“ก็ไม่เชิงว่าทุกคน ในบันทึกเขียนไว้ว่า พลังวิเศษนี้มีเฉพาะในบางผู้คนเท่านั้น แต่เดิมจะมีแค่เวทพื้นฐานอย่างเรียกไฟหรือน้ำ แต่บางคนก็สามารถใช้เวทขั้นกลางได้ ต่อมาเมื่อก่อตั้งอาณาจักรแล้วเวทมนตร์ถึงพัฒนาขึ้น เพื่อต่อกรกับสัตว์ร้ายบ้างหรือปราบปรามผู้รุกราน”

“อืม”ชวิศาพยักหน้ารับรู้ “เออ... เมืองฮัชดาลลาร์ที่ผมจากมามีคนใช้มนตราแบบ... สร้างประตูไม้บานใหญ่ๆที่เมื่อเปิดประตูก็สามารถไปไหนก็ได้ด้วย แล้วผมก็เคยถูกจับไปขังอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่างไม่มีประตู ไม่มีอะไรเลยแต่สามารถหายใจได้แล้วก็ไม่ร้อนด้วย สมัยนี้มีคนใช้มนตราแบบนั้นได้ไหม”

กรินนิ่งคิด “ไม่น่าจะมี ไม่รู้สิ แต่เจ้าก็เห็นข้ามีอัญมณีที่ผนึกมนตรามิติว่างเปล่า มนตรานี้ คนรู้จักของข้าและเป็นผู้ถือครองอำนาจแห่งอากาศธาตุเป็นผู้ผนึกให้”

“แล้วคนที่คุณรู้จักคนนั้นใช้มนตราแบบที่ผมเล่าให้ฟังได้หรือเปล่า”

“ข้าไม่แน่ใจ”กรินโคลงศีรษะ

“คุณพาผมไปหาคนคนนั้นได้ไหม”

“เจ้าอยากจะพบเจอคนผู้นั้นทำไม เจ้าอยากเรียนเวทคาถาอื่นแทนคาถาที่เจ้ากลับบ้านแล้วรึ”

“ก็ไม่เชิง”ชวิศาตอบ “ระยะเวลาสองเดือนตั้งแต่ที่ผมมาอยู่ที่นี่ ผมพยายามเค้นสมองคิดมาตลอดว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ คุณบอกว่าผมมีพลังเวทและอาจจะใช้มนตราโดยไม่รู้ตัว แต่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”เขานิ่งคิดพลางนึกย้อนทบทวนความทรงจำให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ตอนเด็กๆ ช่วงที่ใกล้ถึงวันเกิดผมทีไรมันมักจะมีเรื่องแปลกเกิดขึ้นทุกที แบบผมอยากได้ของชิ้นหนึ่ง ของนั้นก็จะมาปรากฏอยู่ในมือ แล้วคุณย่า คุณแม่ พี่ชายหรือคนในบ้านก็ค่อนข้างจะตามใจผมเป็นพิเศษ ขนาดที่ไม่อยากทำอะไรก็ไม่บังคับ ไม่ดุไม่ว่าอะไรด้วย แต่พอผมโตขึ้นเหตุการณ์แปลกช่วงวันเกิดก็ไม่มีอีกผมเลยไม่ได้ใส่ใจจำ

แล้วก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ผมโดนจับตัวไปแต่โดนจับตัวไปพร้อมกับคุณมาริ เอ่อ... คุณมาริเป็นหุ่นยนต์ที่คุณสุดฟ้าสร้างขึ้น หน้าตาเหมือนผมมากๆ ช่วงที่ออกไปเดินเที่ยวในฮัชดาลลาร์ผมก็ไปกับคุณมาริ ไม่ต้องจำทาง พูดภาษาฮัชดาลลาร์ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณมาริฟังออกทุกภาษาเหมือนมนตราที่คุณกรินบรรจุไว้ในแหวนเลย”ชวิศายิ้มกว้างขณะเอ่ยเล่าไปด้วย

“วันที่โดนจับตัวไป คุณมาริก็ไปด้วย แต่เพราะผมชะล่าใจเอง ผมคิดว่าพลเมืองในฮัชดาลลาร์เป็นคนดีคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คุณมาริก็บอกให้รีบหนี ที่ไหนได้คุณมาริโดนพลังเวทซัดใส่ร่างเสียลุกไม่ขึ้นเลย ผมเลยต้องยอมให้พวกนั้นจับตัว แต่สุดท้ายคุณสุดฟ้าก็มาช่วยไว้ ผมถามคุณสเตบาสเตียนทีหลังว่าทำไมถึงไปช่วยพวกเราได้ คุณสเตบาสเตียนก็บอกว่าตามสัญญาณตำแหน่งที่อยู่จากคุณมาริ แล้วคืนนั้นผมก็เข้านอนตามปกติ แต่พอตื่นมากลับเป็นที่ไหนไม่รู้ จริงๆตอนที่ผมตื่น ผมเห็นคุณสุดฟ้านอนอยู่ข้างๆกันนะ แต่เหมือนว่ามีใครดึงร่างของผมให้ห่างออกมาจากคุณสุดฟ้า แล้วแบบ...มันก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด แบบ...ปนกันมั่วซั่วไม่รู้เรื่อง จนผมต้องอาเจียนออกมาเลยล่ะ แล้วก็หมดสติไป พอตื่นมาอีกครั้งก็เจอคุณ”ชวิศาผายทั้งสองมือไปทางกริน

“ตอนที่หลับตอนนั้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองฝันแปลกประหลาด แต่บางครั้งก็เหมือนดึงพลังเวทออกมาใช้เหมือนกัน ถ้าระหว่างที่ผมหลับอยู่มีคนมาทำอะไรสักอย่าง อย่างเช่นเอาพลังเวทมาใส่ไว้ในร่างกายของผม มันก็เป็นไปได้ว่า ตอนที่ผมลืมตามาเจอคุณสุดฟ้า มันอาจจะมีวิกฤตอะไรสักอย่างทำให้พลังเวทในร่างกายผมถูกดึงมาใช้และทำให้ผมใช้มนตราท่องกาลโดยไม่รู้ตัว”

“เจ้า!!!”กรินทำหน้าตื่นตกใจ จนชวิศาเหมือนจะตื่นเต้นตามไปด้วย บางทีกรินอาจจะรู้อะไรบางอย่างจากเรื่องที่เขาเล่าออกไปให้ฟัง

“ดูท่าว่าเจ้าจะฉลาดขึ้นแล้ว”

“อ๊ะ”ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะต้องโวยวายออกไปด้วยใบหน้าแดงเรื่อซึ่งเกิดจากความเขินอายปนความขุ่นเคืองที่โดนล้อเลียน ทั้งที่อุตส่าห์ตั้งใจเล่าให้ฟังด้วยความจริงจัง

“อะไรเล่า มันใช่เรื่องไหมเนี่ย อุตส่าห์พยายามนึกรื้อฟื้นเหตุการณ์แทบตาย ยังมาสนใจกับเรื่องความโง่ของผมอีก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”กรินหัวเราะเสียงดัง ซึ่งนานๆทีชวิศาถึงจะได้เห็นสักครั้ง หรืออันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นกรินหัวเราะเช่นนี้ โดยเฉพาะช่วงหลังๆ ที่ดูเหมือนว่ากรินจะเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากวันแรกๆที่พวกเขาได้เจอกัน อย่างไรก็ตาม หน้าของชวิศาก็งอหงิกไปจนกว่ากรินจะหยุดหัวเราะ

“ตกลงคุณกรินคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“อืม เจ้าคิดว่าถ้าข้ามีพลังเวทที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ข้าควรจะเอาพลังเวทนั้นไปใส่ในร่างกายของผู้อื่นไหม”

เออ... แหะ เก็บไว้เองน่าจะดีกว่า ชวิศาคิดในใจ “ไม่”

“นั่นสิ พลังนี่เป็นของเจ้า คงมีผู้อื่นอยากได้พลังที่เจ้าถือครองเสียมากกว่า คงเป็นวิธีการเดียวแบบที่ข้าทำ”ประโยคหลังกริมพึมพำเสียงเบา

“เอาเถอะ เรื่องนั้นน่ะเอาไว้ก่อน หากเจ้าอยากรู้ที่มาที่ไปที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ เมื่อใดที่เจ้าใช้มนตราได้คล่องแคล่วจงใช้มนตราตรวจดูเถอะ”กรินพูดพลางลุกขึ้นยืน

“แล้วที่คุณบอกจะให้ผมเห็นคนที่ผมคิดถึง”ชวิศารีบลุกขึ้นยืนตามพร้อมทวงถามสัญญาที่อีกฝ่ายเคยให้ไว้

“เรื่องนี้จำได้แม่นนัก”กรินเอ่ยแซว จากนั้นจึงแตะอัญมณีที่ปลอกแขนเรียกเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ทันทีที่มันสัมผัสอากาศ พลันเกิดการระเบิดเล็กๆแล้วกระดาษแผ่นนั้นกลับกลายเป็นนกที่มีชีวิต ชายหนุ่มปล่อยนกตัวนั้นให้บินออกไป

“นี่ก็เป็นเวทมนตร์หรือเปล่า”ชวิศาถามด้วยความใคร่รู้

“ใช่”กรินตอบคำถามสั้นๆ จนชวิศาต้องเอ่ยขอให้อีกฝ่ายอธิบาย “นี่เป็นเวทคาถาเก่าๆที่ไม่ค่อยมีใครนิยมใช้ โดยใช้เลือดเขียนคาถาบนกระดาษ”

ได้ฟังคำอธิบายของกรินแล้วชวิศาเกิดจุดประกายความคิดขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นคุณกรินใช้วิธีนี้ส่งผมกลับบ้านไม่ได้เหรอ”

“ข้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถส่งเจ้ากลับบ้านได้ บางทีเจ้าอาจจะหลุดไปอยู่ช่วงเวลาอื่น”กรินแบมือขอกระดาษจดระเบียนเวทมาจากชวิศา เขาชี้มือลงบนอักขระเวทช่วงหนึ่งซึ่งถูกเขียนไว้ “มนตราท่องกาลจะมีลำดับขั้นในการเส้นทางและจุดหมายปลายทาง ข้าคิดว่าคงมีผู้คนน้อยนักที่จะใช้มนตราบทนี้ได้ เพราะยิ่งต้องแทรกผ่านห้วงเวลาไกลเท่าใดยิ่งต้องใช้พลังมากขึ้นเท่านั้น แต่กระดาษคาถาเป็นการดึงพลังเวทจากธรรมชาติโดยรอบมาใช้ มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้การใช้มนตราขนาดใหญ่ด้วยกระดาษคาถาเป็นไปได้ยาก”

ชวิศามีแต่ความงุนงง แต่เขาจับใจความได้ว่า ไม่ว่าอย่างไรมีแต่ต้องฝึกมนตราท่องกาลให้ได้เท่านั้น

ครู่ใหญ่ๆต่อมา นกที่เกิดจากเวทของกรินได้บินกลับมา เขายื่นมือไปรับทว่ามันกลับกลายร่างเป็นหญิงสาวเสียแทน เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวกรมเท้าสีเขียวอ่อน แม้แต่กรินก็ผงะถอยหลังกับการปรากฏตัวของเธอ

“สวัสดี”เธอเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านใช้มนตรานี้ได้แล้ว?”กรินพูดแต่เหมือนจะเป็นการถามย้ำด้วยเช่นกัน

“ท่านคิดว่าข้าคือผู้ใด”หญิงสาวพูดหยอกกลับมา เธอเชิดหน้ายกยิ้มด้วยความภาคภูมิ

“ขอรับท่านผู้มากความสามารถ”กรินก้มศีรษะพร้อมโค้งตัวด้วยความนอบน้อม หญิงสาวจึงส่งเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า

“ท่านมีธุระอันใดหรือ”

ชายหนุ่มผู้ถูกถามจึงผายมือไปทางชวิศาพร้อมทั้งเอ่ยแนะนำ จากนั้นจึงเอ่ยแนะนำหญิงสาว ทว่าเจ้าตัวกลับเอ่ยนามของตัวเองแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เรียกข้าว่า กิรานา”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ มองดูกรินที่มุ่นคิ้วคล้ายไม่ชอบใจแต่เขากลับไม่โต้แย้งอันใดนอกจากกล่าวกิจธุระที่ต้องการพบเธอ

“ข้าอยากขอร้องให้ท่านช่วยใช้พลังเวทอันแข็งแกร่งทำให้เขาเห็นนิมิต”

“เจ้าอยากเห็นนิมิตใด”กิรานาหันมาถามชวิศา

“ผมอยากเห็น... คุณสุดฟ้า”ชวิศากล่าวบอกด้วยท่าทางเขินอาย กิรานายกยิ้มด้วยคาดเดาได้ว่าบุคคลที่อีกฝ่ายอยากเห็นภาพนิมิตคงไม่พ้นคนที่มีความสำคัญในหัวใจของอีกฝ่าย

“ได้ ยื่นมือมา”กิรานายื่นมือออกไปให้ชวิศาวางมือทับ เธอสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับบอกเขาให้ทำใจให้สบาย จากนั้นจึงหลับตาลง

ความสามารถของกิรานาถูกบอกเล่าสั่งสอนให้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เธอใช้พลังเวทเพื่อการทำนายและสร้างนิมิตที่มีความแม่นยำ แต่กระนั้นอนาคตล้วนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ภาพนิมิตในอนาคตจึงขาดๆหายๆไม่ใช่เรื่องราวที่ปะติดปะต่อกัน ต่างจากการดูเรื่องราวในอดีต เพียงแต่พลังที่กิรานาถือครองไว้ไม่อาจเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

พลังเวทของกิรานาจะแผ่กระจายออกไปจากจุดที่พวกเขาอยู่คล้ายวงคลื่นของน้ำ ตรวจจับความเป็นไปของชายหนุ่มผู้ที่สัมผัสอยู่กับมือของเธอแล้วสร้างเป็นภาพนิมิตให้เขาเห็น ชวิศามองภาพขาดๆหายๆที่ดูคล้ายโทรทัศน์สัญญาณไม่ดีตรงหน้า

“นั่นคุณสุดฟ้า”เขาร้องออกมาเมื่อเห็นภาพชายหนุ่มนอนหลับอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ทว่ากิรานากลับเป็นฝ่ายผงะถอยห่างออกไป ใบหน้าของเธอมีแต่ความแตกตื่นเพราะนอกจากเห็นภาพชายหนุ่มที่ชวิศาต้องการเห็น เธอยังเห็นนิมิตที่เป็นลางร้ายอีกด้วย

“กริน”เธอร้องพลางโผเข้าหาชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนอยู่ข้างกันทันที “ข้าเห็นนิมิตความตายของข้าและท่าน”กิรานาพูดก่อนจะหันมองชวิศาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“เขาคือหายนะที่จะทำให้ข้าและท่านถึงแก่ความตาย”

ชวิศาก็ยืนชะงักนิ่งด้วยงงงัน จากนั้นจึงร้องบอกไปว่า“ผมจะฆ่าคุณกรินได้อย่างไร คุณกรินมีบุญคุณกับผม”

“กริน ท่านต้องเชื่อข้า”เธอย้ำ ดวงตาปริ่มน้ำสะอื้นไห้คล้ายแทบขาดใจ

“ใจเย็นๆก่อนกิรานา เรื่องราวเป็นเช่นใดจงบอกข้า”กรินเอ่ยปลอบ โอบกอดเธอไว้พลางลูบหลังด้วยความอ่อนโยน พานให้ชวิศาหงุดหงิดอิจฉาขึ้นมาทันที มองดูแล้วเขาคงจะกลายเป็นหมาหัวเน่าในไม่ช้า ถึงจะรู้ตัวว่าตนไม่มีความสำคัญต่อกริน แต่แบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะโดนกำจัดก่อนได้กลับบ้านหรอกหรือ ถ้ากรินเชื่อกิรานาจริงๆ

กิรานาเอ่ยเล่าว่า ในนิมิตนั้นเห็นชวิศายืนมองทั้งเธอและกรินจมกองเลือด

“แต่คุณไม่ได้เห็นผมฆ่าคุณกรินนี่ ผมสาบานได้ ผมจะไม่มีวันฆ่าคุณกรินเด็ดขาด และจะไม่มีวันทรยศหักหลังเขาด้วย”ชายหนุ่มพูดพร้อมชูสามนิ้ว เขาแค่อยากจะหาทางกลับบ้าน กรินเป็นความหวังเดียวของเขา และต่อให้เขาสามารถใช้มนตราได้ก็ไม่มีเหตุจำเป็นให้เขาต้องทำแบบนั้น

“กิรานา ข้ามิได้เข้าข้างผู้ใด แต่ซีไม่ได้มีใจหยาบช้าถึงเพียงนั้นทั้งเขาเองคือบุคคลที่ข้าต้องการให้ช่วยเหลือ”

หญิงสาวผละตัวห่างจากแผงอกกำยำของเขาทันที เธอมองหน้ากรินสลับกับชวิศา และเอ่ยถามกรินว่า “เขาคือผู้มีพลังเวทอันแข็งแกร่งที่ท่านพูดถึง”

“ใช่ และซีเองเคยเอ่ยปากยินยอมให้ข้าใช้พลังของเขาได้”

คราวนี้แววตาของหญิงสาวกลับแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายโหดเหี้ยมขึ้นมาในทันควัน เธอย่างสามขุมเข้าไปหาชวิศาอย่างไม่กลัวเกรง “เจ้าคิดจะแย่งชิงคนรักของข้าหรือไร”

“หา!!!”ชวิศาร้องอุทานด้วยความไม่เข้าใจ

“คนรักของเจ้านี่เป็นชาย กริน ท่านอาจจะโดนมันล่อลวงอยู่ ท่านรู้ตัวหรือไม่”กิรานาหันไปพูดกับชายหนุ่มคนรัก

“คุณก็รู้ว่าผมมีคนรักแล้ว ผมจะไปอยากได้คุณกรินอีกทำไม”

“เพราะคนรักของเจ้าไม่ได้มีแค่เจ้านะสิ”เธอหันกลับมาต่อคำกับชายหนุ่มร่างเล็ก

“ผมกับคุณมาริ เราเข้ากันได้ดีอย่างมายุแยงเสียให้ยากเลย”ชวิศาตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวไม่แพ้กัน

“เอาล่ะ เอาล่ะ ทั้งสองคนไม่ต้องเถียงอะไรกันอีกแล้ว กิรานาวันนี้ท่านกลับไปก่อนเถอะ ท่านหายมานานขนาดนี้ เดี๋ยววุ่นวายกันไปใหญ่ และอย่าลืมที่ข้าบอก อย่าให้ใครรู้ว่าท่านใช้มนตรานี้ได้”

“ข้าเข้าใจแล้ว”เธอรับคำและกระโดดกอดกรินอีกรอบก่อนร่างของเธอจะหายวับไปในพริบตา

“ที่เจ้าเห็น นั่นคือมนตราเคลื่อนย้ายพริบตาของนาง น่าจะคล้ายกับมนตราของหญิงสาวที่เจ้าเล่าให้ข้าฟัง”กรินพูดพลางเดินนำเข้าไปในอาคาร ที่นั่นเขาพบเมดินกำลังยืนนิ่งคล้ายรออยู่

“เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงขององค์หญิงกิรานา”

“ถ้าเจ้าเห็น จงบอกว่าเจ้าเห็น”กรินพูดตอบกลับไป เมดินจึงไม่เยิ่นเย้อที่จะถามต่อ

“เกิดอะไรขึ้น”

“นางเห็นนิมิตที่ไม่ดีนัก นางเห็นว่าข้าและนางต้องตาย”กรินพูดต่อเมื่อเห็นว่าญาติผู้พี่ยังนิ่งฟังอย่างรอคอย

“เหตุการณ์เป็นเช่นไร นางได้บอกหรือเปล่า”

“แค่นี้นางก็แตกตื่นพอแล้ว จะให้ข้าคาดคั้นนางอีกหรือ อีกอย่าง นั่นคืออนาคต ข้าจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น”กรินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ชวิศายืนฟังอยู่ไม่ห่างเขาจึงเข้าไปคว้าจับชายแขนเสื้อของกรินไว้ กระตุกดึงให้ทั้งสองคนหันมามองตน

“ถ้าอยากให้ผมช่วยอะไร บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”คำพูดนั้นหมายถึง เขายินยอมให้กรินใช้พลังเวทของเขาได้อย่างเต็มที่


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

เข้ามาเห็นชื่อเรื่องกะว่าขำๆ ฮาๆ เบาๆ อ่านไปชักยังไง  o22  ไม่มีคำบรรยาย พาออกทะเลทรายซะงั้น
แต่ก็นับถือผู้แต่งนะคะ มาแต่ละตอนนิเมื่อยตา ยอมรับเลยว่าเลิกอ่านไม่ได้ ถึงจะพาเครียดบ้างก็เถอะ  :katai3:
เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆ  :L2:  รอดูความพยายามของชวิศาว่าจะกลับไปหาสุด(ฟ้า)ที่รักได้หรือเปล่า
 :L1:  :pig4:  :L1:

ขอบคุณคุณ suikajang สำหรับคอมเมนต์และการบอกว่าเลิกอ่านไม่ได้ค่ะ รู้สึกค่อยยังชั่วถ้านิยายเรื่องนี้จะไม่จบลงง่ายๆ
ส่วนเรื่องเครียดคิดเสียว่ามันเป็นสีสันของชีวิตละกันนะ เพราะตอนแรกเราก็จะเขียนขำๆฮาๆเหมือนกัน แต่คิดง่ายไปไง มันเลยไถล
สุดท้ายนี้ ถึงมีบางช่วงที่มันน่าเบื่อ (เราคิดว่ามีแน่ๆ ขนาดตอนเราเขียนยังอยากหลับเลย แต่เอาออกไม่ได้เพราะตัน คิดเหตุการณ์ย่อยไม่ค่อยออก) ก็ขอความกรุณานักอ่านทุกท่านช่วยติดตามนิยายเรื่องนี้ต่อไปด้วยนะคะ เปิดมาดูผ่านๆก็ได้ไม่ว่าอะไร รอไว้ให้ทีมฮากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง รับรองว่า เรื่องจะกลับมาขำๆฮาๆอย่างเดิม แต่ฮาเท่าความสามารถของเราก็ยังไม่เท่าคนอื่นอยู่ดีละนะ อย่างไรก็แล้วแต่ จะพยายามจนสุดความสามารถค่ะ ไฟโตะ โอ้!!!!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบแปด 15/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 19-10-2017 13:55:02
โห...ต้องลุ้นกันอีกนานเลยกว่าจะได้กลับ แต่จะเกิดอะไรขึ้นน่อ
แล้วทำไมกรินกะองค์หญิงต้องตายอ่ะ หรือมีคนหักหลัง จะเป็นยังไงต่อน๊า
 :L2:  :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบแปด 15/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 19-10-2017 21:12:06
กำลังสนุกเลย เป็นกำลังใจให้ไรเตอร์คะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบเก้า 22/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 22-10-2017 03:34:18
ตอนที่ยี่สิบเก้า


เมื่อชวิศามองกระดาษหลายแผ่นที่ถูกส่งมาให้แล้ว สีหน้าเหน็ดเหนื่อยของเขากลับปรากฏขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

“เจ้าบอกว่าจะช่วยข้า แต่เจ้ายังไม่สามารถดูและปกป้องตัวเองได้ คงมีแต่เป็นตัวถ่วงให้ข้าเสียมากกว่า”กรินนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของตน มีตะเกียงให้แสงสว่างสำหรับเขียนหนังสือตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ท้องฟ้าด้านนอกที่มองผ่านหน้าต่างซึ่งเปิดกว้างเพื่อรับลมเป็นสีดำสนิท

“คุณกรินก็ใช้พลังของผมอย่างที่เคย”ชายหนุ่มร่างเล็กตอบเสียงอ่อย

“เฮ้อ”กรินถอนหายใจไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม เขากับชวิศาไม่มีทางที่จะตัวติดกันได้ตลอด แต่ถ้าพูดไปเขากลัวจะโดนตอบกลับมาว่า ‘ผมจะเกาะคุณแน่นๆ’ เสียมากกว่าถึงได้เลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น

“อย่างนั้นให้ไปท่องจำคาถาทีละบท”กรินดึงกระดาษกลับมา เลือกมนตราที่ชวิศาควรเรียนรู้ที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก มนตราบทนั้นเป็นการใช้เวทเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันตัว

“ท่องจำคาถาให้ขึ้นใจ”

ชวิศาพยักหน้ารับเดินไปนั่งที่ชุดเก้าอี้อีกตัวในห้องซึ่งเขายึดไปเป็นโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง ก้มหน้าก้มตาอยู่กับแผ่นกระดาษและท่องคาถาหกคำซ้ำๆ กรินมองตามก่อนเหลียวมองนกสีขาวซึ่งเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง

“ซีไปนอนได้แล้ว”เขาเอ่ยปากไล่

“แต่ผมยังไม่ง่วง จะท่องคาถาให้จำได้ก่อนด้วย”

“เถอะน่า วันนี้เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ท่องให้ตายก็จำไม่ได้หรอก”

ชวิศาหันมาเบะปากหน้างอง้ำ

“ถ้าเจ้าเชื่อข้าไปนอนแต่โดยดี พรุ่งนี้ข้าจะช่วยเจ้าฝึกให้สามารถใช้คาถานั้นก่อนอาทิตย์ตกดิน”

“จริงเหรอ”คนฟังออกอาการตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันที เขาลุกขึ้นรีบวิ่งไปอีกห้องโดยไม่ต้องให้เอ่ยซ้ำ คล้อยหลังชวิศา นกน้อยตัวสีขาวได้บินเข้ามาในห้อง จากนั้นร่างของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวในชุดนอนซึ่งเป็นชุดกระโปรงผ้าโปร่งบาง

“ทำไมเขามาอยู่ในห้องของท่าน”

“หลายเหตุผล ว่าแต่ท่านเถอะมีธุระอะไรหรือเปล่า”

“ข้าคิดถึงท่าน”กิรานากล่าวอย่างไม่ลังเลพลางเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนตักของชายหนุ่ม เธอกอดเขาไว้เพื่อบ่งบอกว่าคิดถึงอย่างที่ปากว่า

“ท่านออกมาเช่นนี้ไม่กลัวนางข้าหลวงจะตามหาหรือ”

“ข้าแสร้งว่าเข้านอนแล้ว”เธอตอบ “เหมือนท่านจะไม่ดีใจที่ข้ามาหา ที่ท่านให้มนตราบทนี้แก่ข้าก็เพื่อการนี้ไม่ใช่หรือ”

“ข้าต้องการให้ท่านใช้มนตราบทนี้เพื่อหลบหนีหากเกิดอันตรายต่อตัวท่าน”

“ข้าไม่ควรมา”เธอกล่าวด้วยท่าทางซึมเซา และแม้ว่ากรินจะรู้ว่าหญิงสาวแกล้งแสดงออกเช่นนั้นเพื่อให้เขาพูดเอาใจ ชายหนุ่มก็ยังทำอย่างที่เธอปรารถนาอยู่ดี

“ไม่เลยที่รัก ข้าดีใจที่เห็นท่าน แต่ข้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าท่านใช้เวทคาถานี้ได้”เขาโอบประคองเธอไว้ ยกหลังมือเกลี่ยผิวแก้มเนียนนุ่มของหญิงสาวด้วยกิริยาอ่อนโยน

“ข้าจะระวัง”กิรานารับปาก ก่อนจะแนบศีรษะกับลาดไหล่ ฝ่ามือบอบบางของเธอไม่อยู่สุขด้วยพยายามระรานแผ่นอกตึงแน่นของเขาหวังปลุกปั่นอารมณ์ของชายหนุ่ม เธอปรารถนาในตัวเขาด้วยความรักอันเปี่ยมล้น ยิ่งได้เห็นนิมิตอันเป็นลางร้าย เธอยิ่งอยากสานสัมพันธ์กับหนุ่มคนรักด้วยกลัวว่าทั้งเขาและเธออาจจะไม่มีชีวิตอยู่ถึงวันที่ได้ครองคู่

ธรรมเนียมของอาณาจักรฮัชดาลลาร์อนุญาตให้ชายหญิงแต่งงานได้เพียงครั้งเดียว ห้ามมิให้มีการเลิกราดังนั้นกว่าคู่รักหญิงชายบางคู่จะแต่งงานกันก็ต่อเมื่ออายุร่วมสี่สิบถึงห้าสิบปี เหตุเพราะผู้คนในเมืองล้วนอายุยืนยาว หากเลือกคู่ครองผิดชีวิตจะต้องทนทุกข์ไปตราบสิ้นลมหายใจ

เธอประคองใบหน้าของเขาไว้และแนบจุมพิตด้วยความสิเน่หา เรียกร้องให้เขาตอบสนอง

“เราไม่ควรทำเช่นนี้”ชายหนุ่มรั้งร่างเธอออกห่างพลางเอ่ยห้ามปรามเธอไว้

“เช่นนั้นแต่งกับข้า ไม่ต้องรอสิ่งใดอีกแล้ว”

“ท่านก็รู้ เหตุที่ข้าทำดังเช่นท่านต้องการไม่ได้เพราะสิ่งใด”กรินอ้างเหตุผลที่เขาเคยบอกแก่เธอไปก่อนหน้า

“ข้ากลัว หากความตายมาเยือนจริงๆ เราทั้งสองต้องพลัดพรากชั่วนิรันดร์”อีกความเชื่อหนึ่งของชาวเมืองคือ หากชีวิตสูญสลายร่างกายจะกลับสู่ดิน ดวงจิตจะแตกสลายเพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของอากาศธาตุ

“ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”เขาย้ำคำพูดที่เคยสัญญาไว้ ทว่าเธอยังรบเร้าเรื่องการสมรสอีกรอบ ที่กิรานากังวลเพราะทุกนิมิตที่เธอเคยทำนายล้วนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไม่อาจแปรเปลี่ยนราวกับเหตุการณ์นั้นๆได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

กรินโอบกอดหญิงสาวไว้ ลูบหลังปลอบโยนพลางใช้ข้อนิ้วเช็ดน้ำตาให้เธอ

ความจริงเขาอยากรู้เหตุการณ์ให้ละเอียดมากขึ้น ติดเพียงภาพนิมิตของอนาคตที่หญิงสาวเห็นในการทำนายไม่อาจเรียงร้อยให้ปะติดปะต่อ มันเป็นเพียงเหตุการณ์สำคัญในชีวิตคนผู้หนึ่งแต่เขาเชื่อว่าอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงได้

กิรานาไม่ยอมกลับที่พัก เธอเอาแต่เกาะกอดเขาไว้แน่นจนเขาต้องพาเธอมานอนเตียงเดียวกัน และกอดก่ายปลุกปลอบหญิงไปตลอดคืน



กรินตัดสินใจออกเดินทางตามหาพยัคฆ์เจ้าป่าเร็วกว่ากำหนดการเดิม เขาขอระงับการเป็นผู้สั่งสอนกับเมดินเมื่อสิ้นสุดเดือนและออกเดินทางทันทีเมื่อการสอบประเมินผลจบลง เหตุที่เขาต้องการตามหาพยัคฆ์เจ้าป่าเพราะมีเวทผนึกบทหนึ่งที่สามารถผนึกพลังของสิ่งมีชีวิตและดึงออกมาใช้ยามที่ผู้ถือครองต้องการได้ เขาต้องการให้ตนสามารถใช้เวทมนตร์ได้ เพื่อลบข้อด้อยหนึ่งเดียวที่ตนมี

เขาแจ้งบิดาก่อนออกจากบ้านเพราะเหตุนั้นยามบ่ายที่เดินทางออกจากเมืองจึงมีชวิศาเดินตามมาด้วย

“ถ้าเจ้าอยู่ในเมืองจะปลอดภัยมากกว่า”เขาหยุดยืนหันไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่มร่างเล็ก กอดอกมองด้วยความไม่พอใจ

“ผมรู้ แต่อยู่ในเมืองผมไม่รู้จักใคร”

“เจ้ารู้จักเมดิน เจ้ารู้จักครอบครัวข้า และข้าก็เห็นว่าเจ้าดูสนิทสนมกับสิตาเป็นอย่างดี”

สิตาเป็นหญิงรับใช้ที่คอยดูแลทำความสะอาดห้องของกรินซึ่งชวิศาเคยเจอเมื่อวันแรกที่มาถึงคฤหาสน์ ด้วยความที่เธอถูกมอบหมายให้ดูแลความเป็นอยู่คุณชายลำดับที่ห้าของบ้าน ชายหนุ่มจึงได้คุยกับเธอบ่อยๆไปโดยปริยาย นอกจากนี้เขายังรู้จักเด็กๆในชั้นเรียนขั้นต้นอีกหลายคน เพียงแต่

“มันไม่เหมือนกัน”

ชายหนุ่มเหมือนเพิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่ถนัดการเข้าสังคมใหม่ๆ แต่เขาคิดว่าเพราะนี้คือฮัชดาลลาร์ที่เขาไม่รู้จักซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผล พอสำนึกได้ว่าที่นี่ไม่มีพี่โยเขาจึงหวั่นประหม่าไปหมด

“ผมจะดูแลตัวเอง ไม่ต้องให้คุณมาลำบาก”ชวิศาบอกอย่างกระตือรือร้น ทว่าทันทีที่คำพูดของตนจบประโยคกลับต้องร้องโอยและยกมือลูบหน้าผากป้อยๆ

“ดูแลตัวเองอะไร แค่ข้าดีดก้อนหินใส่เจ้า เจ้ายังไม่สามารถหลบหลีกหรือป้องกันได้”

“ก็ผมยังไม่ทันระวังตัว”

“ก่อนที่อันตรายจะถึงตัวเจ้า จะให้มันร้องบอกให้เจ้าระวังตัวหรือ”กรินตอกกลับทันควัน “หรือเจ้าไม่อยากกลับบ้านแล้ว ถึงได้คิดจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้นอกเมือง”

ชวิศาหน้างอ ก้มหน้าเบะปากเตรียมจะร้องไห้อีกแล้ว กระนั้นกรินกลับไม่ใจอ่อนง่ายๆ

“กลับไปซะ”กรินพูด จากนั้นจึงหันหลังให้กระโจนขึ้นต้นไม้ กระโดดอีกไม่กี่ทีร่างของเขาก็พลันหายลับไปจากสายตาของชวิศาแล้ว

กรินไม่ได้ใช้มนตราแต่เพราะเขามีกำลังกายแข็งแกร่ง ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้ใช้เวทเสริมพลังแล้วอาจจะอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย กระนั้นผู้คนในเมืองหลวงต่างยกย่องให้เขาเป็นนักดาบที่เก่งกาจที่สุด

“คุณกริน”คนที่ถูกทิ้งตะโกนร้องเรียก ไม่รู้ว่าในเหตุการณ์เช่นนี้คนอื่นจะคิดตัดสินใจเช่นไร แต่ชวิศาออกวิ่งติดตามไปยังทิศทางที่กรินหายไปอย่างไม่ลังเล ถึงกระนั้นร่องรอยของกรินกลับหายไปอย่างรวดเร็ว พื้นที่รอบด้านมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ ชายป่าติดเขตเมืองเป็นป่าโปร่งซึ่งมีผู้คนเข้ามาหาของป่า หรือฝึกการใช้มนตราอยู่เป็นนิจ บนพื้นดินบางจุดจึงเห็นเป็นรอยทางเดินที่มีการย่ำซ้ำอยู่เป็นประจำ แต่ทิศทางที่กรินผลุบหายไปกลับไม่ใช่เส้นทางที่ผู้คนต่างใช้กัน

ชวิศานั่งลงกับพื้นรื้อเอากระดาษซึ่งกรินจดระเบียนเวทให้ไว้ตนฝึกออกมาดู

นับตั้งแต่ได้ยินกรินพูดเรื่องจะเดินทางเข้าป่าบนโต๊ะอาหาร ชวิศาก็แน่ใจว่าคงจะถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวแน่ ไม่อย่างนั้นกรินคงบอกให้เขาเก็บข้าวของแล้ว เขาจึงแอบกลับคฤหาสน์ในตอนที่กรินต้องควบคุมดูแลการประเมินผล เก็บของใช้ที่จำเป็นใส่ห่อผ้าที่ขอร้องให้สิตาช่วยจัดเตรียม และมายืนดักรอกรินอยู่ที่สำนักศึกษา ตอนนั้นชายหนุ่มยังคิดในใจว่าตนช่างฉลาดหลักแหลม เพราะถ้าไปรอที่อื่นกรินอาจจะใช้มนตราเดียวกับที่พาเขาเข้าเมือง เหาะออกนอกเมืองไปก็ได้ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสารเสียจริงที่ชวิศาลืมไปว่า กรินไม่สามารถใช้มนตรานั้นด้วยตัวเองได้

ชายหนุ่มอ่านชื่อมนตราในกระดาษอย่างตั้งใจ

“อันนี้”เขาวางกระดาษแผ่นนั้นไว้ต่างหาก ก่อนจะหันมาเก็บของอื่นที่รื้อออกมาจากห่อผ้าใส่เข้าไป แม้จะเสียเวลาไปไม่น้อยแต่เขาก็สามารถผูกห่อผ้ากลับมาเหมือนเดิมอย่างที่สิตาทำให้ได้สำเร็จ ชวิศาอยากได้กระเป๋าเป้แต่กระเป๋าที่เขาอยากได้กลับไม่ยอมปรากฏขึ้นในมือเหมือนปากกาที่เขาบังเอิญเรียกออกมาได้ ซึ่งถ้ากรินรู้ความต้องการที่ไม่ประสบผลสำเร็จของชวิศา ข้อสงสัยที่เคยมีเกี่ยวกับพลังเวทในการสร้างปากกาจะกระจ่าง ชวิศาไม่ได้สร้างสิ่งของขึ้นใหม่ เขาเพียงหยิบยืมเคลื่อนย้ายมันมาจากที่อื่นและตอนนี้เขาทำได้เฉพาะของชิ้นเล็กๆเท่านั้น

มนตราบทนั้นเป็นหนึ่งในคาถาสอดแนมที่กรินต้องการให้ชวิศาฝึก ถูกเรียกว่ามนตราดวงเนตรโยฮาน่า รายละเอียดบนกระดาษเขียนว่า จะทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นพื้นที่รอบตัวได้หนึ่งโยฮาน่าหรือเท่ากับระยะทางประมาณเจ็ดจุดสองกิโลเมตร แต่ขณะนั้นชวิศายังไม่รู้ว่าหนึ่งโยฮาน่ามีระยะทางเท่าใด

“ดาทูวานาคารา ดาทูราซาวานิ”เนื่องจากโดนเคี่ยวเข็ญซ้ำๆ ในช่วงสี่ห้าวันที่ผ่านมา ชวิศาจึงอ่านระเบียนเวทคล่องขึ้นอีกนิดกระนั้นการที่จะให้เขาเรียกใช้เวทสำเร็จในครั้งแรกที่ร่ายคาถาเลยก็ยังเป็นไปได้ยากอยู่ดี

ชวิศาพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเริ่มกล่าวคาถาใหม่อีกครั้ง ทว่ายิ่งหงุดหงิดเขาก็ยิ่งไม่สามารถดึงพลังออกมาใช้ได้อย่างที่ต้องการ จังหวะเดียวกันนั้น นกน้อยซึ่งเป็นกระดาษคาถาของกรินได้บินมาถึง มันพุ่งเข้าชนร่างของชวิศา

“กลับไปได้แล้ว”นกตัวนั้นสลายไปพร้อมกับเสียงของกริน แต่สิ่งที่กรินไม่รู้คือบางครั้งชวิศาก็ดื้อดึงและรั้นจะทำให้ได้จนคนเป็นพี่ชายอย่างโยธินยังต้องกุมขมับ

ชายหนุ่มขมวดคิ้วหน้างอหงิกอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแกะห่อผ้าอีกครั้งเพื่อเก็บกระดาษในมือแล้วลุกขึ้นยืน เดินตรงไปข้างหน้าทั้งที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง กล่าวคาถาสร้างอาวุธจากพลังเวทซึ่งมีลักษณะเป็นดาบยาว มนตราดังกล่าวเป็นผลการจากเคี่ยวกรำอย่างหนักของกรินด้วยเช่นกัน ชวิศาใช้ดาบในมือฟันต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นรกครึ้มขวางทาง ทันทีที่ต้นหญ้าเหล่านั้นโดนปลายดาบของชวิศา มันได้ขาดแยกออกจากลำต้นพร้อมกับรอยไหม้ตรงส่วนที่สัมผัสดาบหายไปอีกหลายเซนติเมตร เพราะดาบนั้นสร้างขึ้นด้วยพลังธาตุไฟเสริมคุณสมบัติความแข็งแรงคมกริบด้วยพลังธาตุโลหะ เป็นการใช้พลังที่เสียเปล่าอย่างที่กรินต้องส่ายศีรษะด้วยความอ่อนใจ

ใช่แล้ว! กรินไม่ได้หายไปไหน เขาไม่ได้เดินทางล่วงหน้าแล้วทิ้งชวิศาไว้ เขาเพียงแค่ทำเหมือนทิ้งชายหนุ่มร่างเล็กเพื่อให้เจ้าตัวใจเสียจนต้องเดินทางกลับเข้าเมือง แต่ที่ไหนได้ เจ้าตัวกับดันทุรังยิ่งกว่าเดิมถึงกระนั้นกรินก็ยังคงตามดูเงียบๆไม่คิดจะออกไปปรากฏตัวให้เห็น

ระหว่างทาง ชวิศาได้กล่าวคาถาดวงตาโยฮาน่าไปพร้อมกันด้วย จนกระทั่งการร่ายคาถาผ่านไปหลายชั่วโมงมันก็สัมฤทธิผล กรินถึงขั้นต้องผงะถอยหลังอย่างเร่งรีบ เมื่อขอบข่ายรัศมีการใช้เวทแผ่พุ่งเข้ามาใกล้ เพียงแต่ผลสำเร็จของคาถายังไม่เสถียรพอ ความสามารถของมนตราจึงจางลงอย่างรวดเร็วทั้งยังทิ้งไอเวทให้มองเห็น

“คุณกริน”ชวิศาตะโกนร้องเรียกออกมาอีกครั้ง ความดังของเสียงทำให้สัตว์ตัวเล็กๆที่อาศัยอยู่แถบนั้นแตกตื่น

“คุณกริน”คนเรียกยังร้องตะโกนต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ยอมแพ้เรื่องการใช้มนตราไปเสียแล้ว

“หิวแล้วนะออกมาเดี๋ยวนี้”เสียงตะโกนนั้นดังก้องไปทั่ว เสียงนั้นไม่เพียงรบกวนสำเนียงแห่งป่าแต่มันได้ดึงดูดสัตว์ร้ายล่าเนื้อแถวนั้นออกมาด้วย

เสียงสวบสาบของฝีเท้าสัตว์ก้าวเข้ามาใกล้อย่างที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว เขายังส่งเสียงตะโกนสลับกับการร่ายคาถามั่วไปหมด ชวิศาหันหลังกลับเพราะเสียงขู่กรรโชกโฮกฮากที่ดังขึ้น จึงได้เห็นเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่กระโจนเข้าหากางกรงเล็บหมายจะขย้ำเหยื่อ ด้วยความตกใจเขาจึงวาดดาบขึ้นป้องกัน พลังเวทของดาบรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้เสือตัวนั้นทรุดล้มนอนแน่นิ่ง ชวิศาไม่รั้งรอดูสภาพของสัตว์ร้าย เขายกเท้าวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทิศทางเดินที่เคยสะเปะสะปะอยู่แล้วยิ่งมั่วซั่วมากขึ้นไปกว่าเดิม กรินกลัวว่าพวกเขาจะหลงทางลึกเข้าไปจนหาทางออกไม่ได้ เขาจึงรีบไปดักหน้าชวิศาไว้

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกรินทำให้ชวิศาตกใจ เขาหลับตาปี๋ ใช้มือที่กระชับดาบไว้แน่จึงฟาดฟันออกไปไม่ยั้ง กรินเอียงตัวหลบหลีกก่อนจะเห็นช่วงจังหวะช่องโหว่จึงเตะปลายเท้าเข้าที่ข้อมือของชวิศา เมื่อดาบหลุดมือ เจ้าของดาบเวทถึงได้ลืมตาและเหมือนมีสติรู้ตัวขึ้นมาบ้าง

“คุณกริน”ชวิศาร้องเรียกพร้อมวิ่งเข้าไปกอดอย่างดีใจ จากนั้นจึงพร่ำฟ้องเรื่องเสือเป็นการใหญ่

“เจ้าใช้ดาบฟันมันจนตายแล้วยังจะวิ่งหนีอีก”

“ตาย? จริงเหรอ”พอได้ยินเช่นนั้นเขากลับรู้สึกสงสารขึ้นมา

“ไม่รู้สิ อาจจะ... แต่ข้าเห็นมันล้มลง”เขาพูดพลางเดินนำกลับไปยังจุดที่มีร่างเสือโคร่งตัวใหญ่ล้มอยู่ “ถ้าเจ้ามีสติ ใช้มนตรากำแพงเวทก็ไม่เห็นจำเป็นต้องวิ่งให้เหนื่อยแรง”

“ตอนนั้นผมลืม”ชายหนุ่มสารภาพเสียงอ่อย

“แล้วจะให้ข้าพาเจ้าไปด้วย หากเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ข้าไม่ต้องตามหาเจ้าจนเหนื่อยหรือ อีกอย่างข้าไม่มีพลังมนตราไว้คอยตามหายามที่เจ้าหลงทางหรอกนะ”

“ผมขอโทษครับ ครั้งหน้าผมจะปรับปรุงตัว”

ได้ยินคำพูดของชวิศาแล้ว คิ้วของกรินถึงขั้นขมวดเป็นปม เพราะคำพูดนั้นตีความได้ว่า ไม่ว่าอย่างไรชวิศาก็จะตามเขาไปอยู่ดี

“เจ้ามันช่างดื้อรั้น”

“ขอบคุณที่ชมครับ”

“ข้าไม่ได้ชม!!!”

“อ้าวเหรอ”สีหน้าของชวิศาเหลอหลาจนเหมือนไม่ได้แกล้งจริงๆ

เดินกลับมาเป็นระยะทางไม่นาน พวกเขาสองคนพบว่าเสือตัวนั้นยังคงนอนอยู่ที่เดิมเพราะบาดแผลบนตัวยาวเป็นทางกว้างอย่างน่ากลัว

“คุณกริน รักษามันได้ไหม”ชวิศาถามหน้าเสีย

เจ้าเสือร้ายตัวนั้นมันยังไม่ตายแต่ลมหายใจรวยริน กรินไม่ตอบเพียงแต่ทรุดตัวลงนั่งพร้อมทั้งแบมือให้ชายหนุ่มร่างเล็ก ชวิศาวางฝ่ามือของตนลงไปทันที ชั่วพริบตาหนึ่งแสงเรืองรองสีสันสดใสก็ปรากฏที่มืออีกข้างของกริน เขาอังมือกับรอยดาบเป็นทางยาว ใช้เวลาอีกชั่วอึดใจแผลนั้นก็หายสนิท กรินใช้อีกคาถาหนึ่งเพื่อสะกดให้เสือตัวนั้นสิ้นสติก่อนจะสลายเวทที่ใช้

ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยืน ดึงอัญมณีสีนิลออกมาจากช่องว่างมิติ นำอัญมณีทั้งห้าวางรอบตัวเสือตัวนั้น จากนั้นทรุดตัวลงนั่งเพื่อเขียนอักขระคาถา

“นี่ใช่พยัคฆ์เจ้าป่าหรือเปล่า”ชวิศาเอ่ยถาม เพราะเขาสังเกตเห็นว่าตัวของมันใหญ่มากถ้ามันยืนคงสูงเท่าอกของเขา ชวิศาขยับถอยหลังเมื่อตำแหน่งที่ตนยืนอยู่กำลังขวางทางกริน หลังจากขยับเท้าห่างออกไปอีกนิดเขาจึงทรุดตัวนั่งยองๆและเท้าคางมองกรินซึ่งกำลังเขียนอักษรเวทมากมายบนพื้น

“ไม่ใช่หรอก ผู้คนเล่าว่าพยัคฆ์เจ้าป่าสูงถึงสองมานา  มีขนสีขาวปลอดไม่แต้มสีอื่นใด”

ถึงชวิศาจะไม่เข้าใจว่า เสือตัวนั้นมีขนาดใหญ่แค่ไหนแต่พอได้ยินว่ามีสีขาว เขาจึงอยากเห็นสักครั้ง

“แล้วคุณตามหามันทำไม คุณจะฆ่ามันหรือเปล่า”ชวิศาออกปากถามอีกครั้ง กระนั้นกลับไม่มีคำตอบส่งกลับมาจากกริน ในเมื่อเจ้าตัวเขียนอักขระเสร็จแล้ว เขาหยิบกระดาษเปล่าสำหรับเขียนคาถาขึ้นมาอีกใบวางบนพื้นทับเส้นวงแหวนเวท พลางดึงมีดสั้นที่แนบอยู่เอวนำมาปาดปลายนิ้วให้เลือดรินไหลและใช้เลือดนั้นเขียนอักขระบนกระดาษ ทันทีที่เขียนจบ สายลมรุนแรงได้พัดหมุนวนอยู่ในขอบเขตของวงแหวนอักขระเวทนั้น มองคล้ายภายในเครื่องปั่นผักผลไม้ในความคิดของชวิศา ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าพายุหมุนขนาดย่อมจะหายไป ทั้งร่างใหญ่ของเจ้าเสือโคร่งตัวนั้นก็หายไปด้วย เหลือเพียงอัญมณีสีแดงลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีอัญมณีชิ้นนั้นภายนอกมีลักษณะเป็นแก้วใสหากแต่ภายในมีไอควันสีแดงลอยวนเวียนอ้อยอิ่ง

กรินมีสีหน้ายินดี

ชายหนุ่มยื่นมือออกไปหยิบอัญมณีชิ้นดังกล่าว เมื่อกำมันไว้ในมือกลับปรากฏเป็นดาบด้ามยาวภายในพริบตา จากนั้นจึงทดลองเหวี่ยงครั้งหนึ่ง ผลออกมาว่าต้นไม้ใหญ่ถูกความคมของดาบฟันขาดโค่นล้มไปหลายต้น

ชวิศามองดูด้วยความตื่นตาเพราะเริ่มฉุกคิดได้ว่า แต่ก่อนกรินใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ทว่าวินาทีต่อมาร่างของกรินกลับหายไปจากครรลองสายตาอีกแล้ว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนด้วยความตระหนกเพราะกลัวว่าจะโดนทิ้งอีกรอบ

“คุณกริน”

สิ้นสุดเสียงเรียก เจ้าของชื่อกลับปรากฏตัวให้เห็นในตำแหน่งที่ไกลออกไป ชวิศาจึงพยายามวิ่งไปหาแต่ชายหนุ่มได้เคลื่อนย้ายร่างกายมาอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนเขาต้องชะงักด้วยความตกใจ

“จะส่งเสียงโวยวายเพื่อสิ่งใด”กรินพูดพร้อมกับเก็บอัญมณีไว้ในช่องว่างมิติ

“เดี๋ยวคุณทิ้งผมอีก และผมไม่กลับด้วย”ชายหนุ่มยืนยันเสียงหนักแน่น

“อืม”กรินพยักหน้ารับ เขาหมุนตัวและก้าวเท้าเดินนำให้ชวิศาต้องรีบสาวเท้า วิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังพลางเอ่ยถามด้วยความแปลกใจระคนยินดี

“คุณยอมให้ผมไปด้วยแล้วเหรอ”

“ใช่ พลังของเจ้ามีประโยชน์”คนตอบบอกเช่นนั้นแต่สีหน้าคล้ายจำใจเต็มทน “และข้าจะเคี่ยวเข็ญให้เจ้าใช้มนตราเวทให้คล่องก่อนที่พวกเราจะกลับเข้าเมืองไปครั้งหน้า”

“เย้! ได้เลยผมจะตั้งใจเต็มที่”ชวิศาร้องบอกชูสองแขนด้วยความดีใจพร้อมกับรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะต้องร้องโอดโอยออกมาและเอ่ยปากถามด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง

“คุณกรินทำอะไรน่ะ ผมเจ็บนะ”

“ข้าพอใจก็ดีดหินใส่เจ้า นึกเบื่อก็จะดีดหินใส่เจ้า เจ้าไม่มีปัญญาจะหลบเองมันก็เรื่องของเจ้า”

“มันใช่เรื่องไหมที่ต้องมาแกล้งกันอย่างนี้”

“ถ้าเจ้าอยากไปกับข้า เจ้าก็ต้องทน ถ้าไม่อยากเจ็บตัวเจ้าก็ต้องจัดการปัญหานี้เอาเอง”

คนอะไรมีนิสัยแบบนี้ ชวิศาฮึ่มๆอยู่ในใจ ให้จัดการปัญหานี้เอาเองเหรอ เขาไม่อยากใช้ความรุนแรงสยบปัญหาเท่าไหร่หรอกนะ แต่บางครั้งมันคงต้องสั่งสอนกันบ้าง ตัดสินใจได้เช่นนั้น ชวิศาจึงพุ่งเข้ากรินพร้อมวาดขาสูงโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ก้านคอของชายหนุ่ม กะไว้ว่าทีเดียวให้สลบแล้วค่อยสั่งสอนด้วยคำพูดให้รู้สำนึกเมื่ออีกฝ่ายรู้สึกตัวขึ้นหลังจากนี้ แต่ที่ไหนได้ กรินโยกตัวทั้งที่ยังเดินหันหลังให้ หลังจากตั้งท่าได้ชวิศาจึงซัดทั้งมือทั้งลูกเตะไม่ยั้ง ทว่าคนถูกจู่โจมกลับไม่มีทีท่าสะทกสะท้าน เขาเพียงแค่เอนตัวหลบหมุนตัวกลับมาตั้งรับ ก่อนจะฉวยจังหวะจับข้อเท้าของชวิศาบิดพลิกพร้อมทั้งใช้อีกมือกดไหล่อีกฝ่ายลงกับพื้น และใช้น้ำหนักของทั้งร่างกดคู่ต่อสู้ไม่ให้ดิ้นหนี

“โอ๊ย ๆ ยอมแล้ว ๆ”ชวิศารีบร้องออกมาก่อนเข่าของกรินจะกดจนหลังของเขาทะลุ อีกฝ่ายจึงยอมลุกขึ้น

“ถ้าเจ้าอยากฝึกฝีมือข้าก็ไม่ว่า”กรินยิ้มอย่างเหนือกว่า ให้ชวิศาฉุนเฉียวและเคืองแค้น เขาไม่เคยรู้สึกว่าอยากเข้าคลาสออกกำลังกายของพี่โยมากเท่านี้มาก่อน

“โอ๊ย”เขาร้องพร้อมยกมือขึ้นกุมศีรษะ ลุกขึ้นยืนมาก็โดยกรินดีดอะไรสักอย่างใส่อีกแล้ว สงสัยต้องหาวัตถุปริศนาและแอบเอามันไปทิ้งก่อนล่ะมั้ง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*// 2 มานา เท่ากับประมาณ 2 เมตรนะจ๊ะ ไม่ใช่หน่วยวัดพลังเวท
ส่วนอาทิตย์หน้าขออนุญาตงดลงนิยายเนื่องจากอยู่ในช่วงงานพิธีถวายพระเพลิงค่ะ
(แต่ก่อนหน้าที่เราหายไปแบบไม่แจ้งคือเราตันอะค่ะ เขียนไม่ออกกับขี้เกียจเขียน อิอิ อันนี้ต้องขออภัยจริงๆ)//*
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ยี่สิบเก้า 22/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 23-10-2017 03:55:25
ปูเสื่อรอตอนต่อไป   :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบ 5/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 05-11-2017 07:04:03
ตอนที่สามสิบ


กรินพาเขาเดินลึกเข้าไปในป่ามุ่งหน้าไปในทิศทางที่ห่างจากเส้นทางปกติของคนทั่วไป ระหว่างทางก็ให้เขาฝึกมนตราไปด้วยซึ่งกว่าชวิศาจะรู้ว่าต้องใช้คาถาบทไหน เขาต้องเจ็บตัวไปอีกหลายสิบหน

“วีราวานาโลฮา”

เกาะป้องกันปรากฏขึ้นก่อนที่ชวิศาจะกล่าวคาถาจบ ลูกหินที่กรินดีดใส่จึงแตกละเอียดเมื่อกระทบม่านพลังนั้น เขาพยักหน้ารับพร้อมกับปรบมือให้

“เยี่ยมมาก ในที่สุดเจ้าก็ทำได้”

คนที่ได้รับคำชมถึงกับทรุดตัวลงไปนอนแผ่ หน้าผากของเขาเจ็บจนชาแทบจะไม่มีความรู้สึกแต่เมื่อยกมือขึ้นไปแตะกลับรู้สึกเหมือนว่ามันจะนูนขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงความเจ็บปวดที่ได้รับยามที่เอามือไปโดน ที่สำคัญกรินไม่ยอมรักษาให้ ถ้าพรุ่งนี้เป็นรอยเขียวจ้ำขึ้นมาเขาจะโกรธ!!!

กรินทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะแบมือออกมา “ข้าจะบอกคาถาสำหรับรักษา” ชวิศารีบวางมือของตนบนมือข้างนั้นของกรินทันที

“ข้าบอกครั้งเดียว ตั้งใจจำให้ดีล่ะ”

“เดี๋ยวๆ บอกครั้งเดียว! คุณก็รู้ว่าผมจำไม่ได้”คนพูดรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ปลดห่อผ้าที่สะพายหลังออกมา ดึงเอาทั้งปากกาและกระดาษซึ่งด้านหนึ่งเป็นมนตราที่กรินเขียนไว้ออกมา พลิกด้านหลังที่เป็นหน้าว่างและส่งมันให้กริน

“เชิญเขียนเลยครับ”

ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นอักขระระเบียนมนตรา

“ไหนบอกจะให้คาถา”ชวิศาโอดครวญ ถึงเขาจะถอดความระเบียนมนตราได้คล่องกว่าเดิมแต่ก็ไม่ใช่ว่ามองปุ๊บจะเข้าใจปั๊บเสียหน่อย ชวิศาตวัดสายตามองกรินด้วยอารมณ์คุกรุ่น

“เพราะเจ้ามัวแต่สนใจแค่คำคาถาน่ะสิ การใช้มนตราของเจ้าถึงได้ย่ำแย่นัก”

“อ้าว ก็คุณกรินเป็นคนบอกให้กล่าวคาถาเองนะ”ชวิศาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มผู้พร่ำสอนเวทถึงถอนหายใจนิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าวขึ้นมาอีกว่า “เจ้าว่าตัวเจ้ามีฝีมือด้านการทำอาหาร”

ชวิศาพยักหน้ารับแม้จะงุนงงที่กรินพูดนอกเรื่องอีกแล้ว

“หากข้าให้เจ้าทำอาหารตามสูตรที่มารดาข้าเขียนให้ เจ้าจะทำอาหารนั้นได้อร่อยหรือไม่”

“ถ้าสูตรของคุณแม่คุณอร่อย ผมก็ทำได้อร่อย”

“และถ้าเจ้าเติมเครื่องปรุงผิดไปจากที่ในสูตรบอกไว้ เจ้าคิดว่าอาหารที่เจ้าทำจะยังอร่อยหรือไม่”

“เอ... มันขึ้นอยู่กับปริมาณเครื่องปรุงที่ใส่ลงไป บอกไม่ได้หรอก”

“มนตราก็เช่นเดียวกัน อักขระบนระเบียนมนตราแสดงถึงการผสานธาตุ หากเจ้าไม่เข้าใจไม่จดจำ มนตรานั้นจะสัมฤทธิผลได้เช่นไร”

“อ้อ...”เออใช่ ชวิศาบอกกับตัวเอง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยคิดว่าระเบียนมนตราก็เหมือนกับสูตรการทำอาหาร ที่บ่งบอกสัดส่วนการใช้พลังเวทแต่ละธาตุ แต่เพราะกรินมัวแต่ให้เขาจำคาถานั่นล่ะ เขาถึงลืมเรื่องนี้

“ก็คุณบอกให้จำคาถา”ชวิศายังย้ำคำนี้ให้กรินฟังอีกครั้ง

“ข้าไม่อยากโต้แย้งกับเจ้าเรื่องนี้”ชายหนุ่มตอบ “แต่ข้าเคยบอกเหตุผลไปแล้วว่าเหตุใดการท่องจำและกล่าวคาถาถึงมีประโยชน์ต่อการใช้มนตรา”

กรินเคยบอกว่าอะไรนะ ชวิศาพยายามนึก จะทำให้ใช้มนตราได้สัมฤทธิผลแน่นอนกว่าการไม่กล่าวคาถาหรือเปล่านะ

เห็นชวิศาหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้ว กรินจึงอธิบายเกี่ยวกับคาถาให้ฟังอีกที

“คำคาถาจะทำให้สมาธิของเจ้าจดจ่ออยู่กับการนำพลังเวทออกมาใช้ คำคาถาทำให้เจ้ารู้ลำดับการใช้พลังธาตุ เจ้าเรียนมนตราขั้นพื้นฐาน ต้องฝึกการกล่าวคาถาพร้อมกับการดึงอำนาจพลังของธาตุนั้นๆออกมาใช้ซ้ำๆ ย่อมต้องสร้างความเคยชินให้ร่างกายของเจ้า คำคาถาในมนตราอื่นก็สร้างมาจากคำคาถาที่เจ้าได้เรียนในมนตราขั้นพื้นฐาน เพียงแต่การใช้อำนาจของพลังธาตุซับซ้อนขึ้นเท่านั้น”

ชวิศากะพริบตาปริบๆ ข้อความคำพูดของกรินผ่านหูไปราวกับมันเป็นภาษาต่างดาว และดูเหมือนว่ากรินก็จะรู้เช่นกัน

“เอาล่ะ”เขาจับมือของชวิศามาแบออก ให้ปากกาของเจ้าตัวมาเขียนวงกลมลงไป “ก่อนอื่น มนตราดวงเนตรโยฮาน่าใช้อำนาจพลังของธาตุใดบ้าง”

“ดาทูวานาคาลา ดาทูราซะวานิ เอ...”ชวิศาทวนคาถาแล้วยกมือขึ้นมานับพลังธาตุที่ใช้ “ดาทู... โลหะ วานา ไม้ คาลา ดิน โลหะ ราซะ ดิน วานิ ไม้ ใช้สามธาตุ โลหะ ไม้และดิน”

“อืม แล้วคุณสมบัติหลังของทั้งสามธาตุล่ะ”

“โลหะคือซ่อนเร้น ไม้ มุ่งสู่ด้านบน ดิน มุ่งสู่ศูนย์กลาง”

“ใช่ มนตรานี้เจ้าจะต้องส่งพลังเวทออกไปเพื่อตรวจตราพื้นที่โดยรอบ แต่เพื่อไม่ให้นักเวทคนอื่นที่สัมผัสพลังของเจ้ารู้ตัวว่ากำลังโดนจับตา ถึงต้องซ่อนพลังเวทด้วยอำนาจพลังธาตุโลหะ จุดสำคัญคือพลังธาตุโลหะ หากดึงอำนาจพลังออกมาใช้น้อยมนตราสอดแนมก็จะไม่ใช่มนตราสอดแนมอีกต่อไป”

“อืม”ชวิศาพยักหน้า

“เข้าใจจริงหรือเปล่า”

“เข้าใจ”ชายหนุ่มย้ำคำ

“เช่นนั้นลองทวนสิ”

“เอ่อ มนตรานี้เป็นมนตราสอดแนม แล้ว...ต้องไม่ให้คนอื่นรู้ แล้วก็...”ชวิศาจ้องหน้ากริน “ก็...”จ้องเขม็งจนกรินลุ้นตามไปด้วย

“ได้แค่นี้”คนพูดยิ้มแห้งๆด้วยอาการขวยเขิน กรินจึงพยักหน้าด้วยนึกปลง ผ่านการสอนมนตราอย่างคร่ำเคร่งให้ชวิศาไปสองบท เขาถึงทำใจเพิ่มได้มากขึ้น

“เช่นนั้นให้เจ้าสร้างมนตราขนาดเท่าวงกลมบนฝ่ามือ”

“ฮะ!!!”ชวิศาร้องอุทานพลางก้มลงมองมือตัวเอง รู้สึกเหมือนว่ากำลังเหงื่อตก

“เจ้าแตกตื่นไปไย เอ้า... ก่อนอื่นดึงพลังวัฏสูญสิ้นของพลังธาตุดิน”

ชวิศาทำตามที่กรินเอ่ยบอกพลางพึมพำคาถาตามไปด้วยความเคยชิน จากนั้นเป็นวัฏสร้างสรรค์ของพลังธาตุไม้

“ที่นี้ก็ผสานอำนาจพลังธาตุโลหะ”ผู้ที่เป็นอาจารย์เอ่ยบอก สายตามองดูผลลัพธ์เวทคาถาซึ่งกำลังปรากฏอยู่บนฝ่ามือของคนตรงหน้า

“ดึงพลังธาตุโลหะออกมาผสานเพิ่มขึ้นอีก เพิ่มอีก”เขาย้ำคำสุดท้ายจนไอเวทนั้นจางลงเรื่อยๆกระทั่งเป็นที่พอใจแล้วถึงได้บอกชวิศาให้ขยายอำนาจพลังของธาตุดินและธาตุไม้ออกไป และให้คงสัดส่วนอำนาจพลังของธาตุโลหะตามเวทที่ค่อยๆขยายขึ้น กระนั้นชวิศาขยายขอบเขตได้เพียงแค่พื้นที่รอบตัวเท่านั้น มนตราที่ใช้ก็จางหายไปดื้อๆพร้อมกับร่างของเขาที่ทรุดลงไปนอนแผ่อีกครั้ง

“หมดแรงแล้ว”

“น่าแปลก ทั้งที่พลังเวทของเจ้าแข็งแกร่งมาก เหตุใดจึงเหน็ดเหนื่อยหมดแรงง่ายนัก”กรินเอ่ยด้วยความสงสัย

“ไม่รู้อะ”ชวิศาได้แต่สั่นศีรษะให้กลับมาเป็นคำตอบ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยถามว่า “เออ ทำไมมนตราเมื่อกี้ที่คุณกรินบอกถึงได้ให้ใช้พลังธาตุดินก่อนล่ะ ในคาถาต้องใช้พลังธาตุโลหะก่อนนี่”

“เจ้าจะได้รู้ว่าต้องผสานพลังธาตุด้วยสัดส่วนเท่าใดมนตราบทนี้ถึงจะสัมฤทธิผล อีกอย่างการดึงพลังธาตุตามลำดับในคาถาจะทำให้มนตรามีประสิทธิภาพมากขึ้น”กรินพูดจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน

“ไปกันเถอะ เราต้องหาที่นอนสำหรับคืนนี้กันแล้ว”



พวกเขาใช้เวลาเพียงสามสี่วันในการเดินทางตามรอยพยัคฆ์เจ้าป่า เพราะกรินใช้มนตราดวงเนตรโยฮาน่าในการตรวจสอบพื้นที่และทิศทาง และใช้มนตราเสริมพลังให้เดินทางเร็วขึ้น ชวิศาที่ยังไม่เคยใช้มนตราบทนี้ได้จึงใช้ได้คล่องไปโดยปริยาย

เมื่อมาถึงถิ่นอาศัยของพยัคฆ์ที่กำลังตามหา ผนึกดวงจิตที่ถูกสร้างจากเสือโคร่งซึ่งหวังจะขย้ำชวิศาก็เริ่มมีรอยแตกร้าวพร้อมกับแสงของพลังเวทเริ่มริบหรี่ลง กรินเก็บผนึกนั้นไว้ในช่องว่างมิติเช่นเดิมก่อนเริ่มลงมือตามรอยเจ้าป่าที่ทำให้เขาดั้นด้นมาไกลถึงเพียงนี้ และไม่จำเป็นต้องดิ้นรนมากมาย เมื่อพยัคฆ์ร้ายมาต้อนรับผู้มาเยือนถึงที่

“ดีเลยจะได้ไม่ต้องตามหา”กรินกล่าวขึ้นด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ แต่ชวิศาเริ่มออกอาการขาสั่นเสียแล้ว พยัคฆ์เจ้าป่าของกรินมีขนาดใหญ่โตสูงท่วมหัว ลำตัวคล้ายเป็นสีขาวทั้งตัวแต่ยังมองเห็นลายคาดสีเทาจางๆ คำรามครั้งหนึ่งทำให้สัตว์อื่นแตกตื่นหลบหนีไปหลายกิโลเมตร

“ผมไม่ช่วยหรอกนะ”ชวิศาร้องตะโกนบอกออกไป แค่ก้าวเท้าหนียังทำได้ยากไม่ว่าอย่างไรเขาคงต้องขอผ่าน

กรินดึงเอาพลองยาวออกมาจากอัญมณีซึ่งบรรจุมนตราช่องว่างมิติ ก่อนจะตอบชวิศากลับไปว่า “เจ้าแค่ร่ายมนตรากำแพงคุ้มกายให้ดี หากท่านพยัคฆ์มุ่งหน้าไปเล่นงานเจ้า ข้าไม่มีปัญญาเข้าไปช่วยหรอกนะ” ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดจบประโยค ชวิศาก็ร่ายมนตราที่ถูกกล่าวถึงอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มผู้ริอ่านล่าจับพยัคฆ์ตัวใหญ่ยักษ์เป็นฝ่ายเริ่มเปิดศึกในครั้งนี้ก่อน เขาวิ่งและกระโดดขึ้นสูงอาศัยความเร็ววาดไม้พลองฟาดกลางกระหม่อมของสัตว์ร้ายเข้าจังๆ พลองนั้นเป็นเหล็กกล้าผลิตด้วยกรรมวิธีพิเศษเสริมด้วยอำนาจเวทน้ำหนักรวมหนึ่งตัน แม้ไม่อาจจะทำให้เสือยักษ์บาดเจ็บหนักแต่มันก็สะดุ้งสะเทือนไม่น้อย มันใช้อุ้งเท้าตะปบศัตรูแต่กรินกระโดดหนีได้โดยไม่มีอาการเพลี่ยงพล้ำ อุ้งเท้าใหญ่โตนั่นไม่ว่าจะฟาดเหวี่ยงไปทางไหนย่อมสร้างความเสียหายขึ้นทั้งนั้น ชวิศาจึงก้าวเท้าถอยหลัง หาที่หลบที่แข็งแรงทนทานมากกว่าม่านพลังเวทของตน ขณะมองดูกรินเหวี่ยงไม้พลองฟาดเจ้าเสือยักษ์ทางขวาทีทางซ้ายที บางครั้งก็เตะอัดจนร่างพยัคฆ์เจ้าป่าลอยลิ่วไปไกล

ชวิศารู้ว่ากรินเก่งแม้ไม่เคยเห็นฝีมือของอีกฝ่ายจะจะคาตา แต่เมื่อเห็นขนาดของเสือยักษ์ เขายังคิดอยู่ว่าท่าทางมั่นอกมั่นใจของกรินดูจะถือดีเกินไปสักหน่อย แต่มาถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกกับท่าทางที่ว่าเพราะกรินมีดีให้ถือมากมาย ขนาดไม่ได้ใช้เวทสักบทยังซัดพยัคฆ์เจ้าป่าให้นอนหมอบกับพื้นได้

แต่พยัคฆ์ร้ายใช่จะถูกโค่นลงง่ายๆ เมื่อมันรู้ว่ามนุษย์ตัวจ้อยมีฝีมือ มันจึงงัดอิทธิฤทธิ์ในตัวออกมาถล่มศัตรู เริ่มด้วยการพ่นลูกบอลเวทออกมาจากปาก ทว่ากรินกลับกระโดดหลบลูกไฟใหญ่ยักษ์อย่างง่ายดาย ชวิศาชมดูด้วยความตื่นตะลึง นึกเสียใจที่ไปหาเรื่องกรินเมื่อคราวก่อน

อุ้งเท้าใหญ่โตของพยัคฆ์เจ้าป่ามีความอันตรายมากกว่าเดิม เนื่องจากมันคลุมด้วยพลังเวทรางๆ มันยิ่งกว่ามีดที่คมกริบเพราะรัศมีการทำลายล้างกว้างขึ้น กรินหลบหลีกอุ้งเท้าของมันไปมาอย่างฉิวเฉียด ก่อนพยายามหาจังหวะวาดซัดข้างลำตัวของเจ้าสัตว์ร้าย กระนั้นไม้พลองอันทรงพลังของกรินกลับปะทะเข้ากับม่านพลังป้องกัน

“เทพเกินไปแล้ว”ชวิศาร้องอุทานออกมาเป็นภาษาไทย แม้แต่สัตว์ยังสร้างเกาะป้องกันจากพลังเวทได้ ถ้ากรินไม่พยายามเคี่ยวเข็ญให้เขาใช้มนตรากำแพงคุ้มกาย เขาคงห่วยกว่าเสือ

กรินกระโดดถอยออกมาตั้งหลัก จดจ้องเจ้าพยัคฆ์ร้ายราวกับพยายามประเมินท่าทีหาจังหวะ ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายบุกโจมตีก่อนบ้าง มันพ่นลูกไฟเวทใส่เขา แม้จะมีขนาดใหญ่แต่มันเชื่องช้าและเห็นชัดขนาดนี้ กรินจึงรู้สึกเหมือนเป็นของเด็กเล่นเสียมากกว่า

“เหวอ!!!”ชวิศาร้องเสียงหลง เมื่อไฟเวทของเจ้าพยัคฆ์พุ่งมายังทิศทางที่เขาหลบอยู่ เขายกมือขึ้นกันตามสัญชาตญาณ และแม้ว่ากรินจะได้ยินเสียงร้องแต่ไม่คิดจะเข้าไปช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามพลังเวททำลายนั้นได้กระทบกับม่านพลังของชวิศาก่อนที่มันจะสลายหายไป เป็นอันว่าม่านพลังมนตราของเขาแข็งแรงกว่าก้อนหินด้านหน้าซึ่งกลายเป็นผุยผงไปแล้ว

กรินกระโดดเข้าหาเสือยักษ์อีกครั้ง มันอ้าปากพ่นลูกไฟใส่ กรินควงเหวี่ยงไม้พลองในมือฟาดลูกพลังกลับไปที่มันอีกครั้งทั้งที่ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ที่อาวุธของเขาต้องลงอำนาจเวทไว้ก็เพื่อการนี้ หากต้องปะทะกับพลังเวท อาวุธในมือไม่ควรถูกทำลายลงง่ายๆ

บอลเวทถูกดีดคืนกลับไปหาผู้เป็นเจ้าของ พยัคฆ์เจ้าป่าสร้างเกราะป้องกันขึ้นมาเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าพลังป้องกันจะน้อยกว่าพลังทำลาย เกราะป้องกันจึงแตกสลายและมันถูกพลังของตัวเองเข้าอย่างจัง แม้พลังเวทนั้นจะถูกลดทอนลงแล้วก็ตาม สัตว์ยักษ์ยังคงล้มลงดูคล้ายเจ็บหนักอยู่ดี

กรินทั้งขำทั้งฉิว เพราะคิดว่าต้องฉะปะทะกันนานกว่านี้

เจ้าเสือตัวนั้นมันนอนหอบลมหายใจแผ่วอยู่กับพื้นทั้งยังส่งเสียงขู่ในลำคอไม่สร่างซา ชวิศาเห็นนัยน์ตามันพาให้นึกสงสารอีกแล้ว “คุณจะผนึกมันเหมือนที่ทำกับเสือตัวนั้นเหรอ”

กรินมองอีกฝ่ายด้วยความเฉื่อยชาราวกับรู้อยู่แล้วว่าบอลเวทจากพยัคฆ์เจ้าป่าไม่มีทางทำอะไรชวิศาได้

“อืม ข้ามาด้วยเหตุนั้น”

“น่าสงสาร”แต่ชวิศาไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้เพราะกลัวว่ามันจะมีแรงยกอุ้งเท้าขึ้นมาตะปบศีรษะของตน

“ข้าไม่ได้ฆ่ามันเสียหน่อย”กรินดึงเอาผนึกดวงจิตชิ้นก่อนหน้าออกมา เขาหาพื้นเรียบเขียนวงแหวนเวทและวางผนึกจิตชิ้นนั้นลงไป จากนั้นจึงกวักมือเรียกชวิศา

“เจ้าเห็นสัญลักษณ์อักขระพลังธาตุไม้นั่นไหม”

ชวิศาพยักหน้ารับ

“ให้วางสองมือลงกับพื้นโดยมีอักขระธาตุไม้อยู่ระหว่างกลางของทั้งสองมือ”

ชวิศาทำตามอย่างว่าง่าย

“ทีนี้ตั้งสมาธิถ่ายเทพลังเวทให้ไหลวนย้อนวัฏจักรไปตามวงแหวนเวทบนพื้น”

วนย้อน... ชายหนุ่มพึมพำ

ชวิศายังไม่เคยเขียนวงแหวนเวท แต่เขาเรียนพื้นฐานเกี่ยวกับวัฏจักรในวงแหวนมาแล้ว การถ่ายเทพลังเวทให้วนย้อนก็เหมือนการลบล้างมนตราที่เคยใช้ นั่นคือ กรินกำลังจะชุบชีวิตเจ้าเสือตัวนั้นขึ้นมาใหม่ แต่ที่ชวิศาไม่รู้ เสือตัวนั้นถูกกรินดึงพลังเวทออกมาใช้จวนเจียนร่อแร่แล้ว ถ้าฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ ก็คงอาการเพียบหนัก ทว่าเหตุการณ์กลับไม่เป็นดังที่กรินคาด ทันทีที่เสือตัวนั้นกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง มันกลับมาแข็งแรงดุจเดิมด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนั้นมันจึงกระโจนเข้าหาพวกเขาทั้งคู่ดั่งเสืออาฆาต

ชวิศาผงะหงายหลังเรียกใช้มนตรากำแพงคุ้มกายด้วยความตกใจ ฝ่ายกรินเข้าถลาเข้าขวาง โบกฝ่ามือเข้ากกหูของเจ้าเสือโคร่งจนมันกระเด็นไปไกล เมื่อมันยันตัวลุกขึ้นได้จึงรีบหันหลังวิ่งหนีจนหางจุกตูด

พยัคฆ์ร่างใหญ่ยักษ์เห็นท่าไม่ดีที่จะอยู่ต่อกรกับมนุษย์ทั้งสอง เมื่อเรี่ยวแรงของมันกลับคืนมา มันจึงพยายามยันตัวลุกขึ้นด้วยเช่นกัน

“มันจะหนีแล้ว”ชวิศาร้องด้วยอารามตกใจทั้งที่ก่อนหน้ายังนึกสงสารมันอยู่หยกๆ

กรินประมาทที่ไม่ใช้เวททำให้มันสิ้นสติ เขาคว้ามือชวิศาก่อนจะกล่าวบอกขอใช้พลังพร้อมกางมือออกไปเบื้องหน้า ครู่หนึ่งต่อมา ดาบยาวซึ่งมีลักษณะเป็นแสงสีแดงจำนวนสามด้ามได้พุ่งปักลงตรงหน้าพยัคฆ์เจ้าป่า สัตว์ยักษ์ชะงักงันทันที จากนั้น เขาจึงสร้างดาบแบบเดียวกันนั้นปักกั้นการเคลื่อนที่ของพยัคฆ์รอบทิศทาง

“เจ้า... ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงบ้างหรือ”กรินถามเพราะตนใช้พลังเวทของชวิศาสร้างของชิ้นใหญ่จำนวนมาก แถมดาบที่ใช้ทำกรงขังยังแฝงด้วยมนตราซับซ้อนที่ป้องกันไม่ใช้พยัคฆ์เจ้าป่าหนีไปง่ายๆ

“ไม่อะ เฉย ๆ ”

“น่าแปลกยิ่งนัก”เขาบ่นพึมพำด้วยความสงสัย เหตุใดยามที่ชวิศาใช้เวทระดับกลางกลับเหน็ดเหนื่อยง่ายดาย แต่เมื่อถึงคราวเขาดึงพลังออกมาใช้กลับไม่รู้สึกรู้สา

“เช่นนั้นเจ้าใช้มนตราโยฮาน่าหาพื้นที่โล่งว่างกว้าง ๆ ให้ข้าที”

“ได้เลย”ชายหนุ่มบอกอย่างแข็งขัน เขาแบมือออกมาเบื้องหน้า จ้องมองฝ่ามือตัวเองและค่อยๆเรียกพลังธาตุแต่ละชนิดออกมาอย่างที่กรินเคยสอน เขาขมวดคิ้วกัดฟันพยายามเบ่งพลังให้ขยายขอบเขตออกไป ออกไป ออกไปอีกเรื่อย ๆ ทว่าสุดความสามารถแล้วยังไม่พ้นระยะตำแหน่งที่กักขังพยัคฆ์เจ้าป่าเลยด้วยซ้ำ

“เจ้าปวดถ่ายหนักหรือเปล่า”กรินเอ่ยปากถามชวิศาที่หอบแฮก ๆ

“เปล่าครับ”ชวิศาสั่นศีรษะปฏิเสธพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อ

“แต่หน้าเจ้าเหมือนคนปวดหนัก”

ชวิศามองกรินด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่ได้ปวดท้องยังจะให้เขาปวดอยู่ได้ หรือกรินกำลังคิดอะไรเกินเลยกับเขา

“ไม่ได้นะ ผมมีคุณสุดฟ้าอยู่แล้ว ผมตอบรับความรู้สึกของคุณไม่ได้หรอก”ชายหนุ่มโบกมือปฏิเสธพัลวัน กรินถึงขั้นหัวเราะขึ้นจมูก

“เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า”

“อ้าว!!!”

“ข้าว่าเจ้าเคร่งเครียดเกินไปยามที่ใช้มนตราโยฮาน่า”

“ง่ะ”ชวิศานิ่วหน้า ไม่ว่าเขาใช้มนตราบทไหนเขาก็เคร่งเครียดทั้งนั้นแหละ และเริ่มรู้สึกปวดท้องขึ้นมาจริงๆซะแล้ว “หิวข้าวแล้วง่ะ”

กรินส่งเสียงหัวเราะเบาๆ เขาเดินนำไปยังกรงขังชั่วคราวของเจ้าพยัคฆ์พร้อมกับแบมือมาตรงหน้าชวิศาซึ่งเจ้าตัวก็วางมือลงไปพลางเริ่มคิดว่าจะกินอะไรดี ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขาแทบไม่ได้เข้าครัวเลยเพราะวันๆมัวแต่ฝึกเวทมนตร์ และเท่าที่เขารู้เครื่องปรุงบางอย่างก็ไม่มี จะมีแต่ของพื้นฐานอย่างเกลือกับน้ำผึ้งสำหรับปรุงรสหวานเค็ม

หลังสิ้นสุดการยืมใช้พลังของชวิศา กรินได้นำขนมปังออกมาให้รองท้องประทังความหิว

“ไม่มีให้เลือกหรือครับ”ชวิศาโอดครวญ

“ให้เลือกอะไร ถ้าเจ้ารีบหาพื้นที่กว้างๆให้เจอเร็วๆ ก็จะได้กลับบ้านกันเสียที ยามนั้นเจ้าจะเลือกกินสิ่งใดก็ตามใจเจ้า”

“คุณก็ใช้พลังของผมหาไปเลยดิ จะมารีรออะไร”

“แล้วที่ข้าคอยพร่ำสอนจะมีประโยชน์อันใด”

ชวิศาหน้างอ พูดบ่นขึ้นมาอีกว่า “ก็มันทำไม่ได้”

“เช่นนั้นหมายความว่า เจ้าจะไม่กลับบ้านเจ้าแล้ว”

ครั้งนี้คนฟังหน้าหงิกยิ่งไปกว่าเดิม ก่อนจะระบายลมหายใจที่แสนหงุดหงิดของตนออกมา จากนั้นจึงปรับท่าทางให้ขึงขังยกมือขึ้นตะเบ๊ะ “ผมพร้อมแล้วครับท่านอาจารย์” กรินถึงตะลึงงันกับท่าทางแสนแปลกของอีกฝ่าย แต่เพราะเห็นถึงนัยน์ตามุ่งมั่นอันแสนจริงจัง (มั้ง กรินก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน) เขาจึงทำเป็นมองไม่เห็นและแนะนำเรื่องการใช้มนตราเวทต่อไป

แต่เพราะกรินกลัวว่าจะมืดค่ำไปเสียก่อนกว่าจะได้ผนึกพยัคฆ์เจ้าป่า เขาจึงได้ตัดสินใจใช้พลังเวทของชวิศาตรวจหาพื้นที่ว่างสำหรับเขียนวงแหวนเวท จากนั้นจึงทำการย้ายร่างพยัคฆ์ด้วยพลังของชวิศาอีกเช่นกันแม้กระทั่งตอนผนึกเขาก็ตั้งใจจะใช้พลังของชวิศาอีกเช่นเดิม

“เลือดเจ้าด้วย”

ตอนที่ขอยืมใช้พลัง ชายหนุ่มร่างเล็กไม่เคยหลุดปากบ่นสักแอะ นอกจากขอให้ช่วยอีกเงื่อนไขซึ่งก็คือต้องใช้เลือดของเจ้าตัว

“ตอนผมถอนเวทยังไม่เห็นต้องใช้เลือดเลย”

“การถอนย่อมต้องง่ายกว่าการผูกผนึกอยู่แล้ว”

“ได้ไง เขามีแต่สร้างผนึกง่ายๆให้หาวิธีแก้ยากๆ”

“เช่นนั้นก็มี แต่การสร้างผนึกง่ายๆอย่างที่เจ้าว่า ผู้คนเรียกขานกันว่าคำสาป ใช้เพียงเส้นผม เสื้อผ้าหรือของใช้ของผู้อื่น จะเขียนวงแหวนหรือไม่เขียนก็ได้แล้วร่ายคาถากลับหลัง”

“ฮะ?”ชวิศาไม่คิดว่ามันจะมีของแบบนั้นด้วย

“เพียงแค่มนตราคำสาปจะสะท้อนเข้าตัวผู้ใช้ หากไม่แค้นเคืองจริงๆ ไม่มีใครอยากใช้นักหรอก”

ชายหนุ่มอยากจะร้องออกมาดังๆ ตกลงว่าไอ้ที่เขาได้เรียนไปไม่กี่เดือนนั่น มันแค่เศษเสี้ยวเล็กๆเองหรอกเหรอ ชวิศาคอตก สงสัยเขาคงจะไม่ได้กลับบ้านง่ายๆเสียแล้ว

“เอาเถอะน่า หากเจ้าช่วยข้า ข้าย่อมตอบแทนเจ้า”

ชวิศาเมินหน้าหนีไปทางอื่น เขาไม่ได้อยากได้ของตอบแทนพรรค์นั้นซะหน่อย

“ข้าจะหาทางส่งเจ้ากลับบ้าน โดนที่ตัวเจ้าไม่ได้ใช้มนตราท่องกาลด้วยตัวเอง”

“คุณรับปากแล้วนะ”ชวิศาถามกลับด้วยความกระตือรือร้นทันควัน

“ข้าสัญญา”

เมื่ออารมณ์ดีแล้ว เขาจึงยื่นข้อมือส่งไปให้กรินเชือดได้เต็มที่ ด้วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าต่อให้เขาบาดเจ็บหนักกรินก็สามารถรักษาเขาได้ อย่างไรก็ตาม กรินต้องการเลือดเพียงไม่กี่หยดเท่านั้นเพื่อสร้างเขตแดนและเป็นตัวเชื่อมประสานผนึกอันก่อเกิดจากพลังเวท

ก่อนหน้านั้น กรินใช้อัญมณีจึงประจุพลังเวทของกิรานารวมกับกระดาษคาถาเพื่อกระตุ้นให้วงเวททำงาน โดยเขาตั้งใจว่าจะใช้วิธีดังกล่าวผนึกพยัคฆ์เจ้าป่า แต่เห็นได้ว่าแค่ผนึกเสือโคร่งธรรมดา อำนาจพลังเวทของผนึกดวงจิตชิ้นนั้นก็เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะผนึกดวงจิตนั้นไม่สามารถฟื้นฟูพลังเวทได้ด้วยตัวเองมันเอง การผนึกดวงจิตเป็นกระบวนการกัดกร่อนกายเนื้อให้เหลือเพียงพลังเวท แต่การฟื้นฟูพลังเวทนั้นสัมพันธ์กับการฟื้นฟูความแข็งแรงของร่างกาย เขาจึงริลองสร้างขอบเขตพื้นที่เพื่อให้พลังเวทของพยัคฆ์เจ้าป่าสามารถฟื้นตัวดุจเดิม

หลังจากเขียนอักขระบนพื้นเรียบร้อย กรินใช้มีดสั้นกรีดปลายนิ้วของชวิศาและหยดลงบนตำแหน่งธาตุทั้งห้า จากนั้นจึงกล่าวคาถารักษาบาดแผลนั้น

“คราวนี้ถ่ายเทพลังเวทให้ไหลไปตามวัฏจักรและห้ามหยุดจนกว่าผนึกจะสำเร็จ”กรินกล่าวย้ำก่อนจะปล่อยให้ชวิศาทำหน้าที่ของตน

แสงสว่างเรืองรองอันก่อเกิดจากพลังเวทของชวิศาไหลไปตามลายเส้นและอักษรที่กรินเขียนไว้กระทั่งไปชนบรรจบกัน เมื่อมันเคลื่อนที่วนครบวัฏจักร แสงนั้นจึงลอยขึ้นสูงครอบคลุมร่างของพยัคฆ์เจ้าป่าที่สลบด้วยฤทธิ์มนตรา ก่อนพลังนั้นจะหมุนวนรุนแรงจนคล้ายพายุใหญ่

กรินเดินเข้ามากดไหล่ชวิศาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายลุกหนี

สายลมกรรโชกพัดพาให้ฝุ่นผงปลิวว่อนและแรงลมนั้นราวกับจะพัดพาร่างให้ปลิวไป เวลาผ่านไปเนิ่นนานคล้ายชั่วกัปชั่วกัลป์กว่าที่ลมพายุนั้นจะสงบลงและเหลือเพียงอัญมณีใสที่ภายในดูเหมือนบรรจุด้วยลูกไฟสีเขียว

กรินก้าวเข้าไปหยิบอัญมณีนั้นมาไว้ในมือจากนั้นตรวจสอบด้วยจักระ ผนึกภายนอกนั้นแข็งแกร่งสมกับสร้างด้วยพลังเวทของชวิศา ที่เหลือคือต้องทดสอบว่าการผนึกด้วยวิธีนี้ พลังเวทจะสามารถฟื้นตัวได้หรือเปล่า

“เป็นอย่างไรบ้างครับ”ชวิศาเดินเข้ามาหาและเอ่ยถาม กรินมองหน้าชายหนุ่มร่างเล็กและตอบไปว่า

“ก็ดี”หากในสมองกลับคิดอีกเรื่อง ถ้าเขาสร้างผนึกดวงจิตของชายหนุ่มตรงหน้า มันจะมีพลังมากมายเท่าใดกัน


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบ 5/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 06-11-2017 09:24:20
เมื่อไหร่จะได้กลับไปหาสุดฟ้าน๊าาาาา น้องซี
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเอ็ด 12/11/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-11-2017 06:39:15
ตอนที่สามสิบเอ็ด


กรินไม่ได้เร่งร้อนเดินทางกลับเข้าเมืองเนื่องจากแผนการผนึกดวงจิตพยัคฆ์เจ้าป่าสำเร็จเร็วกว่ากำหนดที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาหาที่พักแรมในป่าเพื่อฝึกให้ชวิศาสามารถใช้มนตราได้เพิ่มขึ้นอีกนิด ซึ่งที่จริงเขาอยากเคี่ยวเข็ญให้อีกฝ่ายเชี่ยวชาญเวทได้สักครึ่งหนึ่งของคนในเมือง แต่ดูเหมือนความปรารถนาเช่นนั้นค่อนข้างริบหรี่เหลือเกิน

คราวนี้กรินดึงกระดาษเปล่าออกมาให้ชวิศา อย่างน้อยเจ้าตัวควรที่จะใช้เวทต่อสู้ขนาดใหญ่ได้สักบทสองบท

สำหรับชาวเมืองฮัชดาลลาร์ พลังเวทถือเป็นอำนาจสูงสุด ผู้สืบทอดตำแหน่งราชาคือผู้ที่อำนาจเวทเหนือผู้อื่น ความแข็งแกร่งของพลังเวทสืบทอดโดยสายเลือด ตระกูลของเขาจึงได้ครองตำแหน่งปราชญ์แห่งเวทเรื่อยมา กระนั้นความยิ่งใหญ่ของตระกูลไม่ได้การันตีว่าจะได้พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มาครอบครอง

ตามบันทึกประวัติศาสตร์เมือง มียุคสมัยหนึ่งที่ตระกูลใหญ่และองค์ราชาในขณะนั้นประพฤติตนมิชอบ สร้างความเดือดร้อนให้ชาวเมืองไปทุกหย่อมหญ้า แต่มาวันหนึ่งกลับปรากฏผู้มีอำนาจเหนือองค์ราชา เขาผู้นั้นทำการสังหารผู้ใจคดสร้างทุกขเวทนาแก่คนผู้อื่นเสียสิ้นด้วยตัวเพียงคนเดียว หลังจากที่คนผู้นั้นยึดครองบัลลังก์ ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองและระบบการคัดเลือกปราชญ์ผู้มีหน้าที่ดูแลเมืองเสียใหม่ เมืองที่ยึดถือแต่พลังอำนาจเป็นใหญ่จึงสุขสงบมาเนิ่นนาน

แต่เพราะสุขสงบมากเกินไป จิตใจของผู้คนจึงเริ่มเสื่อมทรามลง ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวพันกับตำแหน่งรัชทายาทผู้ที่กำลังจะขึ้นครองอำนาจสืบต่อจากราชาองค์ปัจจุบัน

ทุกเดือนสิบสองก่อนที่ปีใหม่จะมาเยือนราวๆสิบวัน เมืองฮัชดาลลาร์จะมีประเพณีสำคัญในการสำแดงอำนาจพลังเวท ซึ่งถูกเรียกว่า ประเพณีมาดามายา เป็นประเพณีการต่อสู้โดยใช้พลังเวท ผู้ชนะมีโอกาสได้ครองบัลลังก์กษัตริย์ปกครองเมือง หรือได้สิทธิ์ได้รับเลือกให้เป็นปราชญ์ลำดับต่างๆ

แม้แต่ตัวกรินเองที่ไม่สามารถใช้มนตราได้ก็ยังลงต่อสู้ด้วยทุกปี กระทั่งปีล่าสุดที่เขาชนะจนติดอันดับแปดคนคนสุดท้าย เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นนักดาบที่เก่งกาจที่สุดของฮัชดาลลาร์

ส่วนผู้ชนะในประเพณีนี้จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นราชาองค์ต่อไปของเมืองก็ต่อเมื่อในปีนั้น ๆ กษัตริย์องค์ปัจจุบันยอมสละราชบัลลังก์ หรืออีกหนทางหนึ่งคือ ผู้ชนะจะต้องอาจหาญพอจะกล้าท้าประลองกับองค์ราชา แต่ตลอดระยะเวลาหลายปีในรัชสมัยของราชาองค์ปัจจุบัน ผู้ที่ร่วมประลองล้วนแค่ต้องการแสดงฝีมือของตัวเองเท่านั้น จึงไม่มีเหตุการณ์ผลัดเปลี่ยนรัชกาลเกิดขึ้น

กระทั่งเมื่อสามปีก่อน เจ้าชายทานันศิระผู้ซึ่งเป็นพระโอรสในองค์วรุนาวัน กษัตริย์องค์ปัจจุบันของฮัชดาลลาร์ชนะการประลองในประเพณีมาดามายา ครั้งนั้นพระองค์ทรงตรัสของท้าประลองพระบิดาของตนเองต่อหน้าชาวเมืองทุกคนที่ร่วมชุมนุมอยู่ในที่แห่งนั้น

มันไม่ใช่เรื่องผิดแต่ก็ไม่ใช่เรื่องสมควรเช่นเดียวกัน

คราวนั้นองค์วรุนาวันมีชัยเหนือพระโอรสในอุทร กระนั้นทุกผู้คนกลับรู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัวรอการปะทุ เจ้าชายทานันศิระเริ่มซ่องสุมกำลังเลี้ยงดูผู้คน โอรสผู้มีโอกาสได้ขึ้นครองราชสมบัติอยู่แล้วจะทำการนั้นไปเพื่อสิ่งใด และแล้วกรินก็ได้รับคำตอบ

เจ้าชายทานันศิระอยากจะแผ่ขยายอำนาจยึดครองเมืองที่อยู่นอกเขตการปกครองซึ่งห่างไกลออกไป เพียงแต่บุตรและบิดาที่เป็นองค์ราชามีความเห็นต่างในเรื่องนี้ และอีกประการหนึ่ง พระองค์ต้องการเข้าพิธีเสกสมรสกับองค์หญิงกิรานา จุดประสงค์นี้ขององค์ชายทำให้เขาค่อนข้างกังขาสนเท่ห์ เนื่องจากพระองค์เป็นคู่ตุนาหงันกับพี่สาวของเขา กรินจึงไม่รู้ว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นไร แต่ที่แน่ ๆ หากเจ้าชายทานันศิระได้เสกสมรสกับกิรานาจริง ๆ พระองค์จะได้รับประโยชน์มากกว่าการสมรสกับพี่สาวของเขา

กิรานาเป็นองค์หญิงตราตั้งอันเนื่องมาจากสกุลของหญิงสาวสืบทอดอำนาจพลังธาตุพิเศษอย่างอากาศธาตุมาทุกยุคทุกสมัย และสืบทอดการใช้พลังเพื่อการพยากรณ์เรื่อยมา แม้พลังของอากาศธาตุจะทำได้มากกว่านั้น แต่น้อยคนนักในผู้ที่ถือครองอำนาจของธาตุพิเศษนี้จะใช้มนตราอื่น

ผู้ที่ถือครองพลังของธาตุพิเศษนี้นับแต่อดีตที่มีการบันทึกมาล้วนเป็นหญิง และอำนาจพลังอากาศธาตุจะหายไปเมื่อให้กำเนิดบุตรที่เป็นหญิงเช่นเดียวกัน พวกเธอเหล่านั้นจึงได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องเข้มแข็งและเก่งกาจหากคิดจะสมรสกับกิรานา

ครั้งแรกที่กรินได้สัมผัสพลังเวทของชวิศาจึงแปลกใจไม่น้อย แต่เพราะเจ้าตัวบอกว่าเดินทางมาจากถิ่นอื่น เขาจึงพอจะเข้าใจว่าบนโลกอันกว้างใหญ่ ชวิศาคงจะถือกำเนิดมาในหมู่นักเวทที่มีความก้าวหน้าในการศึกษามนตรามากว่าชาวเมืองฮัชดาลลาร์

แต่อีกฝ่ายกลับโง่งมเสียเหลือเกิน

“มองแบบนั้นด่าผมอยู่ในใจหรือเปล่า”ชวิศาเอ่ยถามราวกับกำลังมานั่งอยู่กลางใจ ซึ่งกรินก็ไม่คิดปฏิเสธ

“ใช่”

“ผมไม่แคร์ เชอะ”ชวิศาเชิดหน้าใส่

“พร้อมจะเรียนหรือยัง”

“ยังจะต้องเรียนอีกเหรอ ไหนบอกว่าคุณจะหาทางส่งผมกลับบ้านโดยที่ผมไม่ต้องใช้มนตราท่องกาลด้วยตัวเองไง”

“ใช่ แต่เจ้าต้องช่วยข้าหรือจะปล่อยให้ข้าตายตามคำทำนายของกิรานา”

“ง่า”เจ้าตัวครางเสียงเบาก่อนจะร้องโวยวายดีดดิ้นขยี้ศีรษะส่งเสียงดัง เป็นครู่ใหญ่กว่าชวิศาจะหายจากอาการบ้าบอและบอกว่าพร้อมแล้ว กรินจึงยื่นส่งกระดาษที่เขียนวงเวทมาให้

“เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใด แต่ถ่ายเทพลังเวทลงในกระดาษคาถา”

ชวิศารับมาถือและทำตามที่กรินบอก การถ่ายเทพลังเวทง่ายกว่าการสร้างมนตราเวทเพราะใช้วิธีการเดียวกับการส่งพลังเข้าไปในผลึกนำธาตุ เขาไม่ต้องมาคอยใส่ใจว่าต้องดึงอำนาจพลังธาตุใดออกมาใช้ในสัดส่วนเท่าใด

หลังตั้งสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง กระดาษแผ่นนั้นจึงมอดไหม้กลายเป็นลูกไฟเวทสีดำ

“สีดำ?”แม้แต่กรินยังแปลกใจ ชวิศาเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“เจ้ามีพลังอากาศธาตุ ข้านึกว่ามันจะเป็นสีขาวเช่นเดียวกับกิรานาเสียอีก”ก่อนจะอธิบายต่อไปว่า การสร้างลูกไฟจากพลังเวทโดยคิดแค่การอัดพลังเวทใส่คู่ต่อสู้ ลูกไฟนั้นจะมีสีสันเช่นเดียวกับพลังธาตุหลักในร่างกาย เหมือนดั่งที่พยัคฆ์เจ้าป่ามีลูกไฟสีเขียว

“งั้นเป็นสีดำก็ถูกแล้ว คุณกรินบอกว่าผมมีพลังธาตุแต่ละธาตุพอ ๆ กัน ถ้าผสมสีทั้งหมดเข้าด้วยกันมันก็ต้องกลายเป็นสีดำ”

กรินได้แต่ฟังเฉย ๆ ไม่ได้ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ เนื่องมาจากพลังธาตุพิเศษนี้มีผู้ถือครองจำนวนน้อยมาเป็นระยะเวลายาวนาน เขาจึงแค่จดจำข้อแตกต่างนี้ไว้

“เมื่อครู่เจ้าใช้เวลานานไป หากเป็นการต่อสู้จริง เจ้าคงโดนโจมตีก่อน”

“งั้นไม่เป็นไรหรอก ผมไม่คิดจะไปสู้กับใครอยู่แล้ว”ชวิศาโบกมือบอกกรินไม่ให้ต้องกังวล ทว่าคู่สนทนากลับส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก

“เจ้าต้องสู้ เพราะข้าจะให้เจ้าเข้าร่วมประลองในประเพณีมาดามายา”

ชวิศาชะงัก

“และเจ้าต้องเป็นผู้ชนะ”

เหมือนชวิศาเพิ่งทำความเข้าใจในข้อความที่อีกฝ่ายพูดมา เขาร้องโวยวาย “ไม่เอา ผมไม่ร่วมเด็ดขาด ผมยังไม่อยากตายนะ คุณกรินเก่งจะตาย คุณก็เข้าร่วมเองสิ”

“ข้าเข้าร่วมประเพณีนี้อยู่แล้ว แต่เพราะข้าไม่สามารถใช้มนตราได้ข้าจึงไม่สามารถมีชัยเหนือผู้อื่นได้”

“มีคนเก่งกว่าคุณอีกหรือ”

“แน่นอน อย่างน้อยก็บิดาข้าและราชาองค์ปัจจุบัน”

“ถ้าต้องไปเจอกับคนเก่ง ๆ ยังไงผมก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว คุณจะให้ผมลงไปเป็นหมูให้เขาทุบเล่นทำไม”ชวิศาหน้าม่อย พยายามเกลี้ยกล่อมกรินเสียงอ่อน

“ไม่เลยในหมู่ผู้ใช้เวทที่ข้าเคยเจอมา เจ้ามีพลังมากที่สุด”

“แต่ผมใช้มนตราไม่ได้”

“เจ้าใช้ได้”กรินพูดตอบกลับไปทันควัน “เจ้าสามารถใช้มนตราสร้างดาบไฟ สร้างกำแพงคุ้มกาย ...ส่วนมนตราต่อสู้อื่น ๆ”กรินชูกระดาษซึ่งถูกเขียนวงแหวนเวทไว้ให้ชวิศาดูพลางพูดกล่อมอีกฝ่าย “ข้าจะเขียนคาถาให้เจ้า เจ้าเพียงแค่หยิบมันมาใช้เท่านั้น”

ชายหนุ่มร่างเล็กอยากจะสั่นศีรษะ

“หากมีอันตราย เจ้าเพียงเรียกใช้มนตรากำแพงคุ้มกาย เพียงเท่านั้นก็จะไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้อีก”กรินยังพูดกล่อมอย่างต่อเนื่อง “เจ้าก็เห็นแล้ว แม้แต่ลูกไฟเวทของพยัคฆ์เจ้าป่ายังทำอะไรเจ้าไม่ได้”

กรินนิ่งรอ เขารอให้ชวิศาพยักหน้าตอบตกลง ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าก็ยังสั่นศีรษะปฏิเสธ

“เจ้าบอกว่าจะช่วยข้า”

“คุณก็ใช้พลังของผมแบบทุกที”

“เวลาต่อสู้ ผู้ตัดสินจะให้ข้าพกเจ้าขึ้นเวทีด้วยหรือไง”

“ไม่มีมนตราอะไรที่พอจะใช้ได้เหรอ”ชวิศาถามอย่างมีความหวัง เขายอมยกพลังให้กรินใช้แต่ถ้าให้ลงไปสู้เอง เขาได้ตายก่อนที่จะสร้างเวทเสร็จแน่นอน

“มี ให้ข้าผนึกดวงจิตของเจ้า”

“ได้เลย”

“แต่เจ้าต้องกลายเป็นก้อนศิลาไปตลอดชีวิต เจ้าจะตกลงหรือ”

“ฮะ? อ้าว... ถ้าเสร็จงานแล้วคุณกรินก็คลายเวทผนึกให้ไม่ได้เหรอ”

“ข้าใช้มนตราไม่ได้”

“เออแฮะ งั้นก็ให้คุณเมดินหรือคุณกิรานาคลายผนึกให้”

“ก็ได้อยู่แต่ถ้าพลังของสองคนนั้น ไม่สามารถคืนสภาพร่างกายของเจ้าให้สมบูรณ์ได้ เจ้าจะต้องไม่โทษพวกเขา”

“ไม่สมบูรณ์? ไม่สมบูรณ์อย่างไร”

“ข้าบอกไม่ได้ เรื่องนี้มีแต่ต้องลองเท่านั้น ถ้าเจ้ารับปากเช่นนั้น รอข้าเขียนวงเวทครู่หนึ่งแล้วเราเริ่มผนึกดวงจิตของเจ้าได้เลย”

“เดี๋ยว ๆ ใจเย็นก่อน”ชวิศาเอ่ยปากรั้งไว้ ฟังตามที่กรินบอกก็เสี่ยงไม่ใช่น้อย ไม่ใช่ว่าหลังคลายผนึกต้องพิกลพิการ ถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตต้องทรมานมากแน่ๆ

“แล้วถ้าผมร่วมการประลอง คุณว่าผมจะชนะเหรอ”

“ถึงจะดูขัดแย้งกันแต่ข้าอยากให้เจ้าจำไว้ แม้ตัวข้า ‘กริน วียาบูท์’ ไม่อาจใช้มนตรา แต่ข้าคือผู้เชี่ยวชาญมนตราเหนือผู้ใดในฮัชดาลลาร์”ชายหนุ่มกล่าวออกไปด้วยความมั่นใจ



กรินใช้เวลาอีกสองเดือนฝึกฝนการต่อสู้ให้ชวิศา ชายหนุ่มผู้มาจากยุคสมัยอื่นมีพื้นฐานของการฝึกฝนร่างกายอยู่ก่อนแล้วจึงเป็นเรื่องง่ายในการฝึกเพิ่มเติม เพื่อให้ชวิศาปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนจากการประลองต่อสู้ เขาจึงเน้นที่การหลบหลีกและป้องกันเป็นหลัก ส่วนมนตราโจมตี เขาฝึกให้ชวิศาใช้กระดาษคาถาสำหรับมนตราแค่สองบท อันได้แก่ ลูกไฟเวทและค้อนยักษ์

แต่เดิมการใช้กระดาษคาถาจะต้องใช้โลหิตในการเขียนวงเวทเพื่อเป็นตัวกระตุ้นดึงพลังธาตุที่มีอยู่รอบตัวมาใช้งาน เป็นวิธีการใช้มนตราสำหรับผู้ที่ไม่มีพลังเวท ต่อมาภายหลังเมื่อมีจำนวนผู้ใช้เวทเพิ่มมากขึ้นวิธีการนี้จึงหายไป

กรินมาฉุกคิดดัดแปลงวิธีการใช้งานกระดาษคาถาจากการผนึกดวงจิตเจ้าพยัคฆ์ และมันก็สามารถใช้งานได้จริง ๆ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า เพราะชวิศาเป็นผู้ใช้พลังเวทหรือเปล่า การใช้กระดาษคาถาจึงได้ผล อย่างไรก็ตาม เขาหาทางใช้ประโยชน์จากพลังเวทของชวิศาได้แล้ว เรื่องที่เขาสงสัย เขาจะหาคำตอบหลังจากนี้

เมื่อความสามารถของชวิศาเป็นที่พอใจแล้ว กรินจึงพาชายหนุ่มร่างเพรียวกลับเข้าเมือง

กว่าสามเดือนที่พวกเขาทั้งสองออกไปจากเมือง หลายสิ่งหลายอย่างแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงหากมองโดยผิวเผิน แต่เมื่อกลับถึงสำนักศึกษา เมดินได้บอกเล่าทันทีว่ากองกำลังที่เจ้าชายทานันศิระซ่องสุมไว้ดูคึกคักเป็นพิเศษ

“ประเพณีมาดามายาปีนี้ คงมีคนของพระองค์เข้าร่วมมากมาย”

“ซีจะเป็นผู้ชนะ”เขาตอบกลับไป

“เจ้าแน่ใจหรือ ซีเพิ่งฝึกหัดเวททั้งยังไม่ได้ชาญฉลาดเท่าเจ้า”

“ไม่ต้องห่วง พลังอันแข็งแกร่งนั่นคือที่สุด”กรินกล่าวย้ำคำพูดที่พวกเขาทุกคนในฮัชดาลลาร์ต่างยึดถือ แม้ชายหนุ่มจะแน่ใจในพลังของชวิศา กระนั้นในค่ำคืนเขาก็ยังส่งสารเชิญให้กิรานามาหา

“ข้าคิดถึงท่าน”เธอกล่าวและโผเข้าหาเขาโดยไม่สนใจอีกหนึ่งชีวิตที่ยืนมองเขาทั้งคู่อยู่ภายในห้อง ชวิศานั่งเท้าคางอยู่ที่ชุดเก้าอี้ซึ่งเจ้าตัวยึดเป็นโต๊ะเขียนหนังสือส่วนตัว ทำหน้าเหม็นเบื่อและไม่สบอารมณ์ที่กิรานาจงใจเมินผ่าน

“ข้ามีเรื่องขอให้ท่านช่วย”

“ถ้าไม่อยากใช้งาน ท่านคงไม่แม้แต่จะคิดถึงข้ากระมัง”เธอกล่าวอย่างแง่งอน

“ไม่ใช่เลยที่รัก”เขาบอกปฏิเสธเสียงอ้อน เพียงแค่นั้นเธอก็อ่อนระทวยยอมให้เขาจูงจมูก บางครั้งกิรานารู้สึกเหมือนตัวเองโง่งมที่ทุ่มเทใจรักเขามากมายเสียเหลือเกิน

“ข้าอยากให้ท่านลองทำนายอนาคตภายภาคหน้าอีกครั้ง”กรินพาหญิงสาวเข้ามาหาชวิศา กิรานาเบ้ปากจากนั้นจึงทรุดตัวลงหน้าชายหนุ่มร่างเล็กด้วยอาการกระแทกกระทั้น

“แบมือ”เธอพูดเสียงห้วน คว้าจับมือชวิศาไว้เมื่ออีกฝ่ายทำตามที่บอก กรินมายืนมองอยู่ใกล้ๆ แม้เขาจะศึกษาวิธีใช้พลังเวทหลายแขนง แต่ศาสตร์การทำนายนั้นเป็นข้อมูลลับที่สืบทอดเฉพาะในผู้ที่พลังธาตุพิเศษเท่านั้น แม้แต่หญิงสาวเองก็ไม่เคยบอกวิธีการหรือขั้นตอนการใช้พลังโดยละเอียด แต่เธอกลับสามารถกำหนดได้ว่าภาพที่ต้องการให้ปรากฏให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของดวงชะตาเห็นจะเป็นภาพของอดีตหรืออนาคต

กิรานาหลับตาพร้อมเริ่มดึงพลังเวทออกมาใช้ ครู่หนึ่งต่อมาได้ปรากฏภาพเลือนรางขึ้นตรงหน้าชวิศา ภาพนั้นค่อนข้างแจ่มชัดขึ้น ทว่ามันสลับกันไปมาระหว่างภาพอดีตและนิมิตในอนาคต เรื่องราวจึงไม่ปะติดปะต่อ และแค่ชั่วอึดใจเดียวเธอก็ต้องคลายพลังที่ใช้

“ไม่มีภาพเหตุการณ์ที่ท่านและข้าถูกฆ่าตายแล้ว”กรินพูดขึ้น

“ใช่ หมายความว่าเหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว”กิรานาพูดขึ้นอย่างยินดี ก่อนจะมีสีหน้าเศร้าหมองลง “ท่านพี่ทานันศิระจะทำมันจริง ๆ สินะ”ภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาเห็นเป็นภาพสุดท้าย คือเมืองที่กลายเป็นทะเลเลือด แม้ภาพนิมิตที่เห็นจะไม่ระบุตัวผู้ก่อการอย่างชัดเจน แต่จากข่าวสารที่ได้รับมาช่วงนี้ กรินคิดว่าคงไม่มีใครอื่น

“ถ้าข้าบอกเรื่องนี้แก่องค์ราชา”เธอเอ่ยถามกริน กระนั้นชายหนุ่มยังคงนิ่งคิด จากนั้นจึงถามว่า“ท่านคิดว่าข้างกายขององค์ราชาจะมีคนของเจ้าชายทานันศิระบ้างหรือไม่”

นั่นคือสิ่งที่ไม่มีใครรู้ แต่กรินคิดว่า คนในพระราชวังไม่มากก็น้อยต้องมีส่วนหนึ่งที่เป็นคนของเจ้าชายแน่นอน ไม่เช่นนั้น พระองค์คงไม่กล้าทำการเอิกเกริก ที่ตอนนี้ยังไม่กล้าก่อการใดคงเพราะกลัวจะเป็นการปลุกระดมคนที่ยังนับถือองค์ราชาให้ลุกฮือต่อต้าน กรินคิดว่า เจ้าชายทานันศิระทรงมั่นใจแล้วว่า ในประเพณีมาดามายาปีนี้พระองค์จะได้ชัยเหนือทุกผู้คน

“ท่านลองใช้ลูกแก้วทำนายตามปกติ หากภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้นจริง ขอให้ท่านแจ้งองค์ราชาและเหล่าปราชญ์ตามนั้น”

หญิงสาวพยักหน้ารับ

เธอมีหน้าที่การพยากรณ์ชะตาเมืองทุกสิบวัน ตลอดระยะเวลาหลายเดือนนับจากที่เธอเห็นภาพนิมิตความตายของตนและชายหนุ่ม ภาพเหตุการณ์ภายในเมืองจากการทำนายทุกครั้งยังคงแสดงภาพที่เป็นปกติสุข เธอกังวลร้อนรนแต่เพราะข้อจำกัดของพลังนี้คือไม่สามารถทำนายชะตาของตัวเองได้ หญิงสาวได้แต่ใช้พลังตัวเองทำนายชะตาของผู้คนรอบข้าง กระนั้น ข้อกำจัดอีกอย่างของพลังนี้คือ ภาพนิมิตที่เธอเห็นจะปรากฏเฉพาะเหตุการณ์สำคัญของคนผู้นั้น หลายครั้งที่เธอกังขา การตายของเธอไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือไร ทั้งที่คนผู้หนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเธอกลับปรากฏภาพนิมิตจากใช้พลังพยากรณ์ทำนายชะตาของเขา

“กิรานา วันนี้ดึกแล้ว ท่านกลับเถอะ”

“ท่านไล่ข้า”เธอทำหน้าบึ้งใส่ชายคนรัก

“เอ่อ...อา”กรินอ้ำอึ้งพูดสิ่งใดไม่ออกพลางเหลือบตามองชวิศาที่กอดอกนั่งนิ่งเหมือนครุ่นคิดบางสิ่งด้วยความลำบากใจ ชายหนุ่มร่างเล็กดูเงียบไปตั้งแต่จบการใช้พลังทำนายของกิรานา ถึงในยามปกติ แม้ชวิศาจะชอบนิ่งเงียบหากไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้อื่นคุยกัน แต่อย่างน้อยเขาต้องเห็นสายตางุนงงของอีกฝ่ายบ้าง ต่างกับครั้งนี้ ที่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งที่เขาที่สองคุยกันเลย

อย่างไรก็ตาม กรินยังไม่ทันได้พูดสิ่งใดต่อ กิรานากับเป่าคาถาใส่ชวิศาเสียแล้ว “นีคัตโท”

“อ๊ะ ท่าน!!!”ชายหนุ่มเปล่งเสียงออกไปได้แค่นั้น ก่อนที่เขาจะถลารับร่างเล็กบางไม่สมชายซึ่งหมดสติกลางอากาศ และเอนตัวล้มลงทั้งที่ยังนั่งอยู่บนชุดเก้าอี้ตัวยาวตรงหน้าหญิงสาว

“มันอันตรายนะ”เขาหันไปว่ากล่าวตักเตือนคนรัก

“ท่านดุข้า”

“ข้าพูดความจริง ถ้าซีศีรษะฟาดพื้นไปท่านจะทำเช่นไร”

“ก็ใช้มนตรารักษา”

“เฮ้อ”กรินถอนหายใจเสียงดัง จากนั้นจึงช้อนอุ้มตัวชวิศาขึ้น พาร่างในอ้อมแขนไปวางยังที่นอนของเจ้าตัว จัดการห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วจึงหมุนตัวหันกลับมามองหญิงคนรัก

“ถึงอย่างไรข้าก็มีหน้าที่ต้องดูแลเขาและเขาก็มีประโยชน์ต่อเรา ถ้าไม่มีซี ไม่แน่ว่าตอนนี้เราสองคนอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”

“ไม่แน่ว่า เขาอาจใช้พลังเวทบิดเบือนภาพนิมิต”กิรานาพูดข้อสงสัยของตนออกมา “หลังจากที่เห็นนิมิตลางร้าย ข้าได้ลองใช้พลังของข้าตรวจสอบชะตาของผู้คนรอบข้าง กลับไม่เจอภาพนิมิตความตายจากผู้ใดเลย”

“เพราะความตายของท่านไม่ใช่เรื่องสำคัญต่อผู้ใด”กรินบอกน้ำเสียงนั้นช่างฟังดูเย็นชาเสียเหลือเกิน

“กิรานา ถ้าท่านยังไม่รู้ หญิงสาวในสกุลของท่านล้วนถือครองอำนาจพลังของอากาศธาตุ เพียงแต่พลังเหล่านั้นเบาบางเสียจนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น หากตรวจสอบด้วยผลึกนำธาตุจะโดนรัศมีของพลังธาตุอื่นข่มจนหมด แต่ท่านมีพลังของธาตุพิเศษนี้ชัดเจนกว่าผู้อื่นจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอด

พลังพยากรณ์จะมีความหมายต่อเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่กลียุค ผู้คนหมดหวังรู้สึกสิ้นหนทางหรือเผชิญทุกข์หนัก ท่านก็น่าจะเข้าใจดี ทุกวันนี้ในที่ประชุมของเหล่าปราชญ์ ท่านจะมองเห็นสิ่งใดนอกจากสภาพฝนฟ้าอากาศและความอุดมสมบูรณ์ของเมือง”

หญิงสาวหน้างอหงิก ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะตกหลุมรักเขาทั้งที่อีกฝ่ายมีวาจาร้ายกาจ

“ซีไม่มีทางใช้พลังเวทของตัวเองแทรกแซงพลังของท่านและบิดเบือนภาพนิมิตได้ เขาอ่อนด้อยเรื่องการใช้มนตราประยุกต์ ถ้าเขาแทรกแซงพลังของท่านจริง ตัวท่านต้องรู้สึก”

“เขาอาจจะเป็นผู้ใช้เวทที่เชี่ยวชาญมากๆ”

“ถ้าท่านได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเขา ท่านจะทราบว่าเป็นไปไม่ได้เลย”

“เขาอาจจะเสแสร้งหลอกท่านอยู่”

คราวนี้กรินยืนนิ่งอีกครั้ง จ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่จากนั้นจึงกล่าวบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ท่านกลับไปก่อนดีหรือไม่ ข้าไม่อยากทุ่มเถียงเรื่องนี้ทั้งคืน”

“ข้าไม่กลับ”หญิงสาวยืนกรานเสียงแข็ง เธอพุ่งตัวกระโดดขึ้นเตียงของชายหนุ่มคนรัก “ข้าไม่มีทางยอมให้เขาช่วงชิงท่านไป”กิรานาล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจเขาอีก กรินลอบถอนหายใจ จากนั้นจึงดับไฟในห้องและก้าวเท้าขึ้นเตียง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

เมื่อไหร่จะได้กลับไปหาสุดฟ้าน๊าาาาา น้องซี

อืม... แม้แต่เราเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่น่าจะไม่เกินอีกสิบตอนนะ (มั้ง)
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเอ็ด 12/11/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 12-11-2017 16:00:48
แม้จะงงๆอยู่บ้าง แต่ก็สนุก ชอบ :impress3:
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเอ็ด 12/11/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: noozzz ที่ 12-11-2017 21:16:19
อื้อหือ ตอนแรกก็แนววิทยาศาสตร์ ไหงกลายมาเป็นไสยศาสตร์ได้เนี่ย แถมตอนแรกก็เป็นเรื่องรัก แต่จู่ๆก็กลายเป็นกู้ชาติไปงั้น มึนฮะ
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเอ็ด 12/11/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 13-11-2017 10:08:16
ไม่ชอบกิรินา

ทีมซี หึหึ
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบสอง 19/11/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 19-11-2017 06:47:31
บทที่สามสิบสอง


วันรุ่งขึ้นหลังทานอาหารเช้าเสร็จ กรินออกจากบ้านโดยมีชวิศาเดินตามไม่ห่างไปยังหอตำราเมือง สถานที่แห่งนี้เก็บบันทึกประวัติศาสตร์เมืองและตำราเวทเก่าแก่ไว้หลากหลาย เป็นสถานที่ที่อนุญาตให้ชาวเมืองใช้งานได้ แต่ผู้คนน้อยนักที่จะให้ความสนใจกับตำราเก่าเก็บ เนื่องจากเล่าลือกันว่า คาถามนตราหลายส่วนไม่สามารถใช้จริงได้ บ้างมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ผลสะท้อนของมนตราย้อนเข้าสู่ตัว ผู้คนที่มุ่งมั่นฝึกฝนการใช้เวทจึงสมัครเข้าสำนักศึกษามากกว่าอ่านตำราเอาเอง

แต่ตำราเหล่านี้ล้วนแต่เป็นแหล่งอ้างอิงชั้นยอด

“เจ้าสนใจตำราเล่มใด จงลองอ่านดู ในหอตำราแห่งนี้ เก็บรวบรวมมนตราไว้มากมาย”พูดแล้วก็หยิบตำราออกมาชั้น เปิดกางสุ่มไปหน้าหนึ่งและดึงมือของชวิศาข้างที่สวมแหวนบรรจุมนตราถ้อยวจีมาทาบวาง

“เฮ้ย”เขาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ผมรู้เรื่อง” เขามองตัวอักษรยึกยือบนหน้ากระดาษอีกครั้ง ชวิศาอ่านอักษรของฮัชดาลลาร์ไม่ได้และไม่มีความคิดที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมด้วย เขาจดจำเฉพาะอักขระซึ่งต้องถูกเขียนในระเบียนมนตราเท่านั้น

“คุณกรินไม่บอกแต่แรกล่ะครับ ตอนที่เรียนในห้องผมลำบากมากเลยรู้หรือเปล่า”

“เจ้าต้องสัมผัสกับมันเท่านั้นและแผ่พลังเวทออกไป”กรินกล่าวอธิบายต่อไปว่า “เจ้ารับรู้แค่ใจความของสารแต่ไม่ได้หมายความว่าสามารถอ่านออก”

“ก็เหมือนกันแหละ แถมแบบนี้สบายกว่าพยายามฝึกเขียนตัวอักษรอีก”

“ไม่มีสิ่งใดได้มาโดนง่าย ขอให้จำไว้”

ชวิศาเบ้ปาก “รู้แล้วครับ” แต่มีพลังเวททำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ น่าจะมีมาตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้น สอบทุกครั้งเขาต้องได้คะแนนเต็มแน่ เอ๊ะ! หรือเขาจะพยายามฝึกมนตราย้อนกาลให้ได้แล้วกลับไปแก้ผลการเรียน ดีไหมนะ ชวิศาคิดด้วยความขำขัน

กรินแยกตัวไปอีกทางแล้ว ชวิศาจึงทรุดตัวลงนั่งแถวนั้นแล้วลองหยิบหนังสือมาอ่าน เขาวางมือลงบนหน้ากระดาษพร้อมกับแผ่พลังเวทออกไป ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเข้าใจเนื้อหาในหนังสือได้ซึ่งมันไม่เหมือนกับการที่มีคนอ่านให้ฟัง แต่เป็นเขารับรู้ข้อความเนื้อหาเหล่านั้นขึ้นมาเอง

ชวิศาจึงอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน แต่เพลิดเพลินในการใช้พลังเวทเพื่อรับข้อมูลเนื้อหามากกว่าจะตั้งใจจดจำรายละเอียดในหนังสือ

“โอ๊ะ ช่างน่าแปลกนักที่ข้าได้พบท่าน”

เสียงพูดดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาให้เงยหน้าขึ้นมอง

“คุณสุดฟ้า!!!”ชวิศาเด้งตัวลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตะลึง คุณสุดฟ้าก็มาอยู่ที่นี่เหมือนกัน!!! ชายหนุ่มกำลังจะยกยิ้มด้วยความดีใจ ทว่าคนตรงหน้ากลับพูดดับความหวังของเขาไปเสียก่อน

“ต้องขออภัย นามของข้าคือทานันศิระ ไม่ใช่ ‘คุณสุดฟ้า’ ของท่าน”

“เอ๊ะ”ชายหนุ่มร่างเล็กถึงได้พิจารณามองดูให้ชัดอีกครั้ง ชายผู้เป็นเจ้าของนาม ‘ทานันศิระ’ มีใบหน้าคล้ายสุดฟ้า ศิริกรอยู่หลายส่วน แต่ทานันศิระมีเส้นผมสีดำยาวซึ่งถูกมัดรวบครึ่งศีรษะไว้และแววตารอยยิ้มดูสุภาพเป็นมิตร ชวิศาจึงพิศดูด้วยความเสียดาย

กรินได้ยินเสียงของชวิศา เขาจึงเดินย้อนกลับมาหาและเมื่อเห็นคู่สนทนาของคนที่ตนให้ความช่วยเหลือดูแลอยู่ เขาจึงรีบสาวเท้าเข้าไปสมทบ

“ถวายพระพรเจ้าชาย”

“ขอความสุขจงมีแด่ท่านเช่นกัน”

“เจ้าชายมาอ่านตำราเหมือนกันหรือขอรับ”กรินเอ่ยถามต่อ ก้าวเท้าขึ้นไปพยายามบังตัวชวิศาไว้ด้านหลังด้วยไม่อยากให้คนทั้งคู่มีโอกาสได้ปฏิสันถารกัน กระนั้นชายหนุ่มร่างเล็กผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวกลับพยายามชะเง้อชะแง้เพราะอยากมองหน้าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ให้แน่ใจ

“ไม่เชิงนัก แต่เห็นท่านเดินทางมาที่หอตำรา เราจึงมาที่นี่ด้วยหวังจะได้พูดคุยกับท่าน”

“นับว่าเป็นเกียรติยิ่ง แต่ข้าความรู้อ่อนด้อยเกรงว่าจะทำให้เจ้าชายผิดหวัง”

“ถ่อมตัวเกินไปแล้ว เช่นท่านเรียกว่าความรู้อ่อนด้วย ผู้ใดเล่าจะกล้าอ้างตัวว่าเก่งกาจ”เจ้าชายทานันศิระตรัสชมเยินยอกรินพร้อมแย้มพระโอษฐ์ “ถ้าอย่างไร เราขอเชิญท่านร่วมทานอาหารด้วยกันสักมื้อ  คุณชายท่านนี้ด้วย”ทรงผายพระหัตถ์ไปทางชวิศาซึ่งเจ้าของชื่อได้ตอบตกลงทันควันจนกรินต้องนิ่วหน้าใส่

“มีเหตุขัดข้องประการใดหรือ”

“ไม่มีอันใดขอรับ”

ด้วยเหตุนี้เจ้าชายจึงเสด็จนำทั้งคู่ออกไปด้านนอก ที่หน้าอาคารหอตำราเมืองมีรถเทียมม้าสองตัวจอดรออยู่แล้ว ผู้มีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าชายผายพระหัตถ์เชื้อเชิญอีกครั้ง

ตัวรถทำจากไม้ต่อประกอบเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีหลังคาโค้ง เจาะช่องหน้าต่างประตูและติดบานพับให้สามารถเปิดปิดได้ ที่ช่องหน้าต่างมีการห้อยม่านบังแดด

คนบังคับม้าทำหน้าที่เปิดประตูพร้อมวางบันไดให้พวกเขาก้าวขึ้นไป ภายในเป็นม้านั่งยาวบุเบาะผ้าสีแดงเลือดนก กรินดึงให้ชวิศาทรุดตัวทางเบาะนั่งด้านซ้ายอันเป็นธรรมเนียมยามโดยสารรถเทียมม้าร่วมกับผู้มีศักดิ์สูงกว่าสำหรับชาวเมืองฮัชดาลลาร์

ชวิศาค่อนข้างตื่นเต้นเพราะตั้งแต่หลุดย้อนเวลามาโผล่ที่ฮัชดาลลาร์ในยุคอดีต เขายังไม่เคยมีโอกาสได้นั่งรถม้าเลยสักครั้ง จะไปไหนมาไหนกรินก็พาเขาเดินไปอย่างเดียว เขาเคยเห็นมีผู้คนใช้รถม้าในการเดินทาง บ้างใช้สำหรับบรรทุกของ บางคนขี่ม้าตัวใหญ่เป็นพาหนะสัญจรในเมือง แต่เพราะสำนักศึกษาอยู่ไม่ห่างจากคฤหาสน์ของกริน เขาเลยมองข้ามเรื่องนี้ไป

“ทำไมคุณกรินไม่เดินทางด้วยรถม้าบ้างละครับ”ชวิศาหันไปถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัว เบื้องหน้าเจ้าชายทานันศิระกำลังก้าวพระบาทขึ้นมาประทับในรถ เมื่อผู้โดยสารทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อย คนบังคับม้าจึงปิดประตูและกลับขึ้นไปยังที่ของตนด้านหน้า จับสายบังเหียนกระตุ้นให้ม้าย่างเท้า

“เพราะมันมีราคาสูง”

“แต่บุตรชายของปราชญ์ลำดับที่หนึ่งน่าจะพอหาซื้อได้กระมัง”เจ้าชายตรัสแทรกออกความคิดเห็น

“แต่ถ้าให้บุตรทั้งห้ามีรถเทียมม้าไว้ในครอบครองเป็นของส่วนบุคคล เกรงว่าท่านบิดาคงจะไม่มีอัฐมากพอขอรับ”

“สกุลของท่านร่ำรวยมากยังกล่าวว่าไม่มีอัฐ ชาวบ้านทั่วไปคงเรียกว่ายากจนข้นแค้นเทียวล่ะ”

กรินคงรอยยิ้มประดับไว้บนหน้าแม้จะรู้สึกโดนว่ากระทบ

“อย่าคิดมากไป เราแค่กล่าวหยอกล้อท่านเท่านั้น”ทรงแย้มพระสรวลให้เช่นกัน “เรากับพี่ชายของท่านก็นับว่าเป็นสหาย ท่านเองเปรียบเหมือนน้องชายของเราผู้หนึ่ง ทั้งอีกไม่นานเราจะสมรสกับพี่สาวของท่าน นับได้ว่า เราและท่านใกล้จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”

“สมรส? แต่งงานนะเหรอ? ทำไมจะแต่งงานแล้วล่ะครับ”ชวิศาเอ่ยถามออกไปบ้าง เพราะถึงคนตรงหน้าจะไม่ใช่สุดฟ้า แต่ต้องมาเห็นคนที่หน้าเหมือนสุดฟ้าแต่งงาน เขาก็รับไม่ได้หรอกนะ

“อืม... มันก็เป็นเวลาที่สมควรแล้ว”

คำพูดนั้นทำให้กรินฉุกใจ

“อย่าเพิ่งแต่งเลย รอให้ผมกลับไปก่อนไม่ได้เหรอครับ”ชวิศาบอก

“ท่านจะกลับไปที่ไหนหรือ”

“กลับบ้านนะสิ”

“อ้อ”เจ้าชายทานันศิระพยักพระพักตร์ “ข้าเห็นรายชื่อท่านจะเข้าร่วมการประลองในประเพณีมาดามายาด้วย จึงนึกว่าท่านต้องการมาแสวงหาชื่อเสียงในเมืองหลวงเสียอีก”

“ใช่ซะที่ไหนล่ะครับ เพราะคุณกรินอยากให้ผมร่วมประลองด้วยต่างหาก”

กรินเหล่มองคนพูดอย่างนึกฉุน ที่เจ้าตัวปูด ‘เรื่องที่ควรปิดบังไว้บ้าง’ ไปเสียหมด เขาหันเหสายตากลับมาจดจ้องจับสังเกตมองหาพิรุธจากคู่สนทนาตรงหน้าอีกครั้ง เจ้าชายยังแย้มพระโอษฐ์บางเบาประดับบนพระพักตร์ จนเขาไม่อาจพบร่องรอยความรู้สึกใด หากไม่มีข่าวสารจากเมดิน เขาคงยังคิดว่า เจ้าชายทานันศิระเป็นองค์ชายผู้มีน้ำพระทัยดีและมีพระจริยวัตรเรียบง่าย

หลังจากนั้นกรินจึงปล่อยหน้าที่การดำเนินบทสนทนาให้เป็นของชวิศาไปเสีย ซึ่งชายหนุ่มร่างเล็กดูเหมือนจะชื่นชอบการพูดคุยกับเจ้าชายอยู่ไม่น้อยเพราะแม้ในยามที่ทานอาหารชวิศายังชวนอีกฝ่ายคุยไม่หยุดปาก กระทั่งเจ้าชายทานันศิระได้ให้รถเทียมม้ามาส่งพวกเขา และได้อยู่กันตามลำพังแล้วกรินถึงได้พูดว่า

“อย่าเชื่อใจเจ้าชายทานันศิระให้มากนัก”กรินพูดขณะก้าวเท้าเข้าไปในสถานศึกษา

“ทำไมล่ะ เจ้าชายไม่ดีตรงไหน ผมว่าทรงเป็นมิตรดีออก”ชวิศาเอ่ยแย้ง สาวเท้าตามกรินซึ่งเดินเลี้ยวไปยังห้องทำงานเมดิน ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไปโดยไม่รอฟังเสียงอนุญาต

เมดินนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของตนเมื่อเห็นคนที่เพิ่งเดินเข้ามาจึงยกกล่องไม้ใบเล็กขึ้นมาวางและเลื่อนไปด้านหน้า กรินรับมาถือ เปิดฝาและหยิบเครื่องประดับที่มีอัญมณีสีดำเข้มประดับอยู่กลางตัวเรือน

“ของเจ้า”

“ให้ผมทำไม”ชวิศาถามด้วยความสงสัย

“ก็เอาไว้ให้เจ้าเก็บกระดาษคาถา”ชายหนุ่มพูดพลางแบมือ ชวิศาวางมือของตนลงไปบนมือข้างนั้น ฝ่ายนั้นยื่นกำไลข้อมือสีเงินเรียบมาให้เขาถือและวางฝ่ามือทับบนอัญมณี เมื่อกรินยกมือออก เขาจับกำไลมาสวมให้ที่ข้อมือข้างซ้าย

“ถ้าจะใช้งานก็ถ่ายเทพลังเวทลงไปพร้อมกับนึกถึงสิ่งที่เจ้าจะหยิบออกมาใช้”หรืออันที่จริงใช้เพียงแค่จักระก็สามารถใช้งานได้ แต่เพราะชวิศาไม่รู้จักการแยกใช้งานระหว่างจักระและอำนาจพลังธาตุ กรินไม่อยากต้องมาอธิบายอีกยาวเลยไม่ได้พูดบอก “เออ... ถ้าใช้ด้วยพลังเวทมันจะเป็นการเปิดช่องมิตินี่นา ลองใช้ดู”ประโยคหลังชายหนุ่มพูดบอก ชวิศาจึงไม่รอช้าเขาถ่ายเทพลังเวทลงไปในอัญมณี พลันปรากฏเป็นรอยแยกของห้วงอากาศที่ภายในเป็นสีดำสนิท

“อยากเอาอะไรเข้าไปเก็บก็ตามใจเจ้า”จากนั้นกรินจึงเดินไปที่มุมห้อง หยิบลังกระดาษมาส่งให้

“นี่เป็นกระดาษสำหรับใช้เขียนคาถา ให้เจ้าไปเขียนวงเวทเอาเอง”

“คุณกรินน่าจะเขียนวงเวทของมนตราย้อนกาลให้ด้วย”

“เขียนให้ได้ แต่เจ้าจะหลุดไปอยู่ช่วงเวลาใดหรือ ณ ที่แห่งใดข้าคงไม่สามารถบอกได้”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะ”ชวิศาถาม “คุณโกหกหรือเปล่าเพราะยังไม่อยากให้ผมกลับ”

กรินส่งเสียงหึขึ้นจมูก เหลือบมองเจ้าของประโยคนั้นด้วยหางตาก่อนคว้ากระดาษและปากกาขนนกของเมดินขึ้นมาถือพร้อมกับเขียนวงเวทลงไป

วงเวทต่างจากระเบียนมนตราตรงที่เป็นการเขียนทั้งวัฏจักรพลังธาตุลงในกระดาษและเขียนอักขระกำกับคาถาลงไป เป็นการใช้มนตราที่ต้องใช้เวลาเตรียมการหลายอึดใจ อย่างมนตราที่กรินกำลังเขียนวงเวทนั้นเป็นมนตราขนาดใหญ่ที่เขาต้องเขียนอักขระมากมายจนเกือบเต็มแผ่นกระดาษ

“นี่ของเจ้า”

ชวิศายิ้มกว้าง นึกค่อนขอดอีกฝ่ายที่น่าจะเขียนให้เขาแต่แรก

“แต่เจ้าต้องระบุช่วงเวลาและสถานที่ที่เจ้าต้องการเดินทางไปตรงนี้ ถ้าเจ้าไม่เขียนลงไป วงเวทนี้จะทำงานแบบสุ่ม”

“แค่นึกคิดจินตนาการแบบทุกทีไม่ได้เหรอ”

“ได้หรือไม่ได้ข้าก็ไม่รู้ เพราะข้าไม่มีพลังเวทให้ทดลองใช้มนตรานี้ได้”

“อ้าว”เขาร้องเสียงหลง มุ่ยหน้าด้วยความไม่ชอบใจ ชวิศาอยากลองแต่ถ้าหลุดไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แบบที่กรินบอกจริง ๆ เขาคิดว่าตัวเองคงจะเอาตัวรอดไม่ได้ ที่สำคัญที่คือกลับบ้านไม่ได้ด้วยนี่สิ เมื่อมีแต่ความไม่แน่นอนแบบนี้ชวิศาจึงได้แต่เก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในอัญมณีช่องมิติ

“ซีใช้กระดาษคาถาได้จริง ๆ เหรอ”เมดินที่นั่งเงียบฟังทั้งสองคนคุยกันอยู่นานเอ่ยถามขึ้น

“พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็อยากจะให้เจ้าทดสอบดูเช่นกัน ออกไปข้างนอกเถอะ”กรินเดินนำทั้งสองคนออกไปยังลานฝึกซ้อมส่วนตัวของเมดินที่ยังคงไร้เงาบุคคลอื่นเฉกเช่นทุกครั้ง จากนั้นจึงเรียกกระดาษที่ตนเคยเขียนคาถาค้อนยักษ์ไว้ออกมาจากอัญมณี

“ลองดู”เมดินรับกระดาษมา คีบถือไว้ด้วยปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางพริบตาหนึ่งต่อมา มันได้กลายร่างเป็นค้อนปอนด์สีเหลืองทองขนาดใหญ่

“เยี่ยม”เมดินร้องออกมา “ซี เจ้าก็นำค้อนของเขาออกมาด้วยสิ”

ชวิศามีกระดาษคาถาที่กรินเคยเขียนให้ติดตัวไว้สองสามแผ่น เขาล้วงมันออกมาจากถุงผ้าที่ผู้คนในฮัชดาลลาร์นิยมมีติดตัวไว้ในเงินและของมีค่า

“เจ้ามีอัญมณีมิติเวทอยู่แล้ว ยังต้องห้อยถุงผ้าอีกหรือ”กรินเอ่ยทัก ชายหนุ่มร่างเล็กจึงโยนถุงผ้าใส่เข้าไปในช่องมิติที่เปิดกว้าง เหลือเพียงกระดาษคาถาในมือ ใช้เวลาตั้งสมาธิดึงพลังออกมาใช้ไม่ต่างจากเมดินนัก ค้อนอันใหญ่ยักษ์กว่าของเมดินถึงสองเท่าพลันปรากฏของในมือ

“โธ่ อย่างนี้ข้าจะไปสู้ได้อย่างไร”เมดินร้อง เมื่อแบมือแกค้อนในมือก็หายไปพร้อมกระดาษแผ่นนั้นที่ลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน

“เห็นเช่นนี้เจ้าคงอุ่นใจแล้วใช่ไหม”

“แต่กระนั้นเถอะ เพิ่งเริ่มฝึกเวทอย่างซีก็น่ากังวลอยู่ดี”

“ใช่ ๆ น่ากลัวออกจะตาย คุณกรินยังคะยั้นคะยอให้ผมร่วมประลองอยู่ได้”ชวิศาพูดขึ้นมาบ้าง

“ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้เจ้าต้องลำบาก”

ชวิศามองเจ้าของคำพูดด้วยความแปลกใจ เพราะแทนที่คำพูดทำนองนี้จะออกมาจากปากของกริน ชายหนุ่มอีกคนกลับเป็นคนพูดออกมาเสียแทน

“ข้าเป็นคนขอร้องให้กรินช่วยพยายามยับยั้งเหตุการณ์ร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเอง ได้ยินว่า วันนี้เจ้าสองคนไปร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าชายทานันศิระที่วังส่วนพระองค์ ข้าอยากบอกให้เจ้ารู้ไว้ ว่าเจ้าชายมีแผนที่จะก่อกบฏ”

“เอ๊ะ”ชวิศาร้องอุทานด้วยสีหน้าตกใจ

“ข้าคิดว่าประเพณีมาดามายาในปีนี้ เจ้าชายคงจะบังคับให้องค์ราชาลงจากบัลลังก์เป็นแน่”ประโยคหลังเมดินหันไปพูดกับกรินมากกว่าจะพูดกับชวิศา

“เจ้าไม่ต้องห่วง ชวิศาจะได้ชัยเหนือผู้ใด”

“เอ๋!!!”ชายหนุ่มร่างเล็กร้องอุทานออกมาอีกรอบพร้อมทั้งโอดครวญต่อไปว่า “อย่าเพิ่งมั่นใจนักจะได้ไหม ขนาดตัวผมเองยังไม่มั่นใจขนาดนั้นเลย”

“จำคำของข้าไว้ เวลาประลองให้เจ้าใช้มนตราค้อนยักษ์ฟาดใส่คู่ต่อสู้เต็มแรง แค่นั้นข้ารับรองว่าเจ้าจะชนะแน่นอน”

เมดินส่งเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินประโยคนั้น “ข้าเห็นด้วย ชักอยากให้ถึงวันประลองเร็ว ๆ แล้วสิ” คงมีแค่ชวิศาเท่านั้นที่หน้าตายังคงเหยเกอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อถือคำพูดของกรินสักเท่าไหร่

เมื่อหมดธุระ กรินจึงขอตัวกลับมีชวิศาเดินตามติดไปไม่ห่าง เส้นทางเดินจากสำนักศึกษาของเมดินและคฤหาสน์ของกรินยังมีระยะทางเท่าเดิม มีผู้คนสัญจรไปมาประปราย เนื่องจากสำนักศึกษาของเมดินอยู่ในแหล่งชุมชน พ้นจากหมู่อาคารบ้านเรือนซึ่งตั้งติดชิดกัน เป็นกำแพงรั้วยาวของบ้านคหบดีมีชื่อในเมือง เดินเลี้ยวไปอีกแยกจึงจะเป็นคฤหาสน์หลังโตของปราชญ์ลำดับที่หนึ่ง

ที่หน้าประตูรั้ว มีชายรับใช้ยืนรอด้วยอาการกระสับกระส่าย เขาร้องเรียก ‘คุณชาย’ ออกมาทันทีเมื่อเห็นกรินเดินมาแต่ไกล ซ้ำยังสาวเท้าด้วยความเร่งรีบเข้ามาหา

“นายท่านเชิญคุณชายไปพบที่ห้องหนังสือครับ”

“ข้า?”ปกติกรินไม่มีธุระพูดคุยกับบิดาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้มีหน้าที่อันใดเกี่ยวข้องกับวังหลวงหรือการบริหารงานในอาณาจักร

“สีหน้านายท่านไม่ค่อยดีนัก ทีแรกออกคำสั่งให้ส่งคนไปตามท่านที่สำนักศึกษา แต่เพราะท่านไม่อยู่ที่นั่น นายท่านจึงให้ข้ามาคอยท่าขอรับ”

กรินขมวดคิ้ว คิดเดาเอาว่าน่าจะมีเรื่องร้ายแรง เมื่อลองไตร่ตรองทบทวนดู เรื่องร้ายแรงนั่นอาจจะมีกิรานาเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาหันไปสั่งความกับชวิศาว่าให้ไปรอที่ห้อง ก่อนจะรีบก้าวเท้าตรงไปยังห้องหนังสือ

ห้องหนังสือที่ว่าเป็นห้องทำงานส่วนตัวที่จ้าวสกุลได้รับการสืบทอดมาหลายรุ่น นั่นหมายความว่า หากจ้าวสกุลคนต่อไปมาจากตระกูลสายรอง พวกเขาทั้งห้าอาจจะต้องย้ายออกจากคฤหาสน์

“ท่านบิดา”กรินเอ่ยเรียกเสียงเบาพอให้ชายสูงวัยซึ่งนั่งทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างได้รู้สึกตัว วิโยมันหันกลับมาหาบุตรชาย เขากล่าวเข้าเรื่องโดยไม่คิดอารัมภบท

“เช้านี้ท่านหญิงกิรานาทรงประชวรพระวาโยกลางที่ประชุม หมอหลวงบอกว่า เพราะกำลังทรงพระครรภ์ เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”แม้เรื่องที่บุตรชายคนที่ห้ากำลังคบหาดูใจกับองค์หญิงตราตั้งจะไม่เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป แต่ในฐานะที่เขาเป็นพ่อ ย่อมรับรู้การไปมาหาสู่ในยามวิกาลของคนทั้งคู่เป็นอย่างดี

กรินชะงักงันเมื่อได้ยินคำบอกเล่า ท่าทีของเขายังอยู่ในภาวะสงบตอนที่กล่าวยอมรับผิดกับการกระทำที่ผิดธรรมเนียม “เด็กคนนั้นเป็นลูกของข้าเองขอรับ”

“แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป”

“ข้าจะแต่งงานกับนางให้เร็วที่สุด”

“ดี หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด จงบอกกล่าวมาแล้วกัน”

การแต่งงานของหญิงชายในอาณาจักรฮัชดาลลาร์นั้น ไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่ฝ่ายชายไปทาบทามหรือสู่ขอฝ่ายหญิงดั่งเช่นในบางประเทศ หากชายหญิงคู่นั้นมีอายุเกินยี่สิบปีบริบูรณ์ เนื่องด้วยถือว่าพ้นความเป็นผู้เยาว์ที่ต้องอยู่ในความดูแลปกป้องจากบิดามารดาแล้ว อีกประการหนึ่งคือ ชาวเมืองฮัชดาลลาร์ส่วนใหญ่จะแต่งงานเมื่อมีอายุล่วงสี่สิบถึงห้าสิบปี ดังเช่น ‘ดิวา’ พี่สาวของกรินซึ่งปีนี้มีอายุครบสี่สิบปีแล้ว

เรื่องการแต่งงานที่มาถึงก่อนแผนที่กำหนดไว้ ไม่ได้สร้างความหนักใจให้กรินเท่าใดนัก เขาโดนกิรานารบเร้ามาตั้งแต่ที่เจ้าตัวรู้เรื่องเจ้าชายทานันศิระหมายตาความสามารถการพยากรณ์ เพราะถ้าคิดจะรุกรานยึดครองอำนาจเหนืออาณาจักรอื่น ความสามารถของกิรานาจะช่วยสนับสนุนกองทัพได้มากมายมหาศาล

เพียงแต่เขาคิดว่าจะประวิงเวลาให้สามารถไปจัดพิธีหลังประเพณีมาดามายาก็เท่านั้น

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”ชวิศาเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้อง เขาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษที่ตนกำลังเขียนวงเวท

“ข้าต้องแต่งงานกับกิรานาแล้วนะ”

“ฮะ?! แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ผมไม่มีทางไปนอนห้องอื่นเด็ดขาด”ชวิศาพูดบอกอย่างแข็งกร้าว

“ข้ายกห้องนี้ให้เจ้า”

ชวิศาขมวดคิ้ว “แล้วคุณกรินจะไปอยู่ที่ไหน”

“ข้าต้องไปสร้างบ้านใหม่อยู่กับภรรยาของข้านะสิ”เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา เขาไม่มีทางสร้างบ้านได้เสร็จทันก่อนงานแต่งแน่ๆ สงสัยต้องยืมห้องในคฤหาสน์อยู่อาศัยไปก่อน

“งั้น ผมไปด้วย”ชายหนุ่มยกไม้ยกมือร้องบอก

“บ้านของข้าคงไม่เสร็จในเร็ววันหรอก ไม่แน่ว่าเจ้าคงอาจจะได้กลับบ้านของเจ้าก่อน”

“คุณกรินหาทางส่งผมกลับบ้านได้แล้วเหรอครับ”

“ได้แล้วสิ”กรินบอกออกไปแค่นั้น ที่เขาไปหอตำราเมื่อเช้าก็ด้วยเรื่องนี้ เขากำลังหาทางสร้างผนึกพลังอีกชิ้นโดยใช้เหตุการณ์นองเลือดที่กิรานาเห็นในนิมิตให้เป็นประโยชน์

แต่เดิมนั้น ผนึกดวงจิตก็เป็นมนตราขาวกึ่ง ๆ คำสาปอยู่แล้ว แต่เพราะสามารถใช้พลังคลายผนึกทำให้เจ้าของดวงจิตกลับมามีชีวิตได้ ในอดีตจึงใช้มนตราเพื่อดำรงชีวิตอมตะมากกว่าดึงเอาพลังเวทมาใช้ ส่วนผนึกชิ้นใหม่ที่เขาจะสร้าง มันมาจากพลังด้านมืดอย่างแท้จริง ใช้เลือดเนื้อของผู้คนที่เสียชีวิตเป็นเครื่องสังเวย

“เออ แล้วเวลาสร้างบ้านไม่ใช้พลังเวทในการสร้างหรือครับ แบบ... โอม บ้านหลังน้อยจงปรากฏ อะไรแบบนี้”

เสียงถามของชวิศาทำให้เขาหลุดจากภวังค์ มองชายหนุ่มร่างเล็กชูนิ้วโบกมือไปมาและชี้นิ้วลงกับพื้นไม้ของโต๊ะตรงหน้า ทันใดนั้นบ้านหลังน้อยก็ปรากฏขึ้นมาจริงๆ ชวิศาร้องโอ้โฮตาโต ใช้นิ้วมือข้างนั้นจิ้มลงที่ส่วนของหลังคาบ้าน เมื่อชักมือออก หลังคาสีน้ำตาลของบ้านหลังน้อยกลับเป็นรอยบุ๋มลงไป

“นี่มันเค้กล่ะ”ชวิศาร้องบอกเมื่อลองชิมครีมที่เลอะปลายนิ้วมือแล้ว เขาหยิบมันขึ้นมาและกัดเข้าไปเต็มปากเต็มคำ “อร่อยด้วย คุณกรินเอาไหมเดี๋ยวผมเสกให้อีกอัน”เขาหันไปถามชายหนุ่มอีกคนด้วยความกระตือรือร้น

กรินส่ายศีรษะปฏิเสธ นึกอิจฉาพวกที่มีพลังเวทมากมายอีกรอบ ก่อนจะฉุกใจเกิดประกายความคิดขึ้นมา

“ถ้าข้าจะให้เจ้า สร้างบ้านให้ข้าสักหลัง เจ้าจะมีปัญหาหรือเปล่า”

“ฮะ?!”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

แม้จะงงๆอยู่บ้าง แต่ก็สนุก ชอบ :impress3:

อื้อหือ ตอนแรกก็แนววิทยาศาสตร์ ไหงกลายมาเป็นไสยศาสตร์ได้เนี่ย แถมตอนแรกก็เป็นเรื่องรัก แต่จู่ๆก็กลายเป็นกู้ชาติไปงั้น มึนฮะ

ตอนที่อ่านคอมเมนต์ของคุณ WaterProof เราก็คิดอยู่ว่า หรือเราเขียนบรรยายเรื่องได้น่างุนงงเกินไป แต่ถ้าเป็นแบบที่คุณ noozzz เขียนอธิบายล่ะก็ เราขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ก็พล็อตมันออกทะเลจ้า

ตอนที่เรื่องมันเริ่มจะไถล เรากลับมานั่งคิดดูแล้วรู้สึกว่า ถ้าพ้นจากช่วงต้นเรื่องไปแล้ว ซี ชวิศาจะไม่ค่อยมีบท เราเลยเขียนเรื่องเพื่อพัฒนาความสามารถตัวละครโดยเฉพาะ มันเลยกลายเป็นประมาณนี้

อย่าเพิ่งเลิกติดตามนะคะ แม้พล็อตเรื่องจะห่างจากฝั่งไปบ้าง แต่ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่ มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึงจุดหมายค่ะ
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบสอง 19/11/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 21-11-2017 11:15:48
กำลังไหลเลย มีแฝดสุดฟ้าโผล่มาแล้ว ดันเป็นตัวโกงซะนี่ 5555+ รอตอนต่อไป แบบมีสคริปกดข้ามให้มาลงตอนต่อไปเลยป่ะ

ไลท์เตอร์สู้ๆๆๆนะ ชอบๆๆนั่งเรือยอช์ท ออกทะเลไปกับไลท์เพลินๆ
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบสาม 26/11/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 26-11-2017 07:03:04
บทที่สามสิบสาม

กรินเป็นเจ้าของถือครองเอกสารสิทธิ์ที่ดินอยู่ผืนหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับมรดกของครอบครัว อันได้มาจากกิจการค้าขายของตัวเอง เขาทำการค้าอัญมณีประจุมนตรา แน่นอนว่ามีกิรานาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วน เพราะมนตราช่องว่างมิติไม่ใช่ผู้ใดก็สามารถใช้ได้ เขาขายของตามคำสั่งซื้อ ราคาของมันจึงสูงมาก ทั้งยังไม่เผยแพร่แหล่งที่มารวมถึงวิธีการสร้างอัญมณีแก่ผู้ใด จึงพูดได้ว่าทั้งอาณาจักรมีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่รู้วิธีสร้างอัญมณีนี้

กรินพาชวิศามายังที่ดินแห่งนั้น เป็นที่ดินที่อยู่ห่างจากคฤหาสน์ของกิรานามาไม่ไกล กระนั้นมันก็เป็นพื้นที่รกร้างที่ไม่มีบ้านคนอยู่ใกล้เคียง

“ข้าจะให้เจ้าช่วยสร้างบ้านให้ข้าบนที่ดินนี้”

“ครับๆ จะให้ทำอะไรเชิญบอกมาได้เลยครับ”ชวิศาไม่มีคำเถียงโต้แย้ง เพราะต่อให้โวยวายออกไป ถ้ากรินบอกว่าทำได้ก็คือทำได้ตามที่อีกฝ่ายพูด

ที่จริงกรินก็ไม่ค่อยแน่ใจนักกับวิธีการนี้ เพราะยังไม่เคยวาดวงแหวนเวทขนาดใหญ่มาก่อน แต่กระนั้นเพราะมีคนที่มีพลังมากมายอยู่ข้างตัว เขาจึงอยากลองมนตราที่ใช้สร้างสิ่งของเช่นนี้สักครั้ง

การสร้างสิ่งของที่จับต้องได้ด้วยพลังเวทสามารถทำได้จริง ถ้ากล่าวกันตามทฤษฎีแต่มันยุ่งยากและสิ้นเปลืองพลังเวทมากจนการสร้างด้วยมือเช่นวิธีปกติเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า คนส่วนใหญ่จึงใช้พลังเวทเป็นตัวช่วยเสริมมากกว่าการใช้เวทสร้างของชิ้นนั้นทั้งหมด

กรินมาดูที่ดินในครั้งนี้เพื่อเตรียมการเท่านั้น เขาเตรียมเชือกเส้นยาวมาสำหรับการวัดขนาดของพื้นที่ และเตรียมหมุดไม้ที่เป็นแท่งยาวสำหรับปักระบุเขตแดน ดังนั้นแรงงานเพียงแค่สองคนจึงนับว่าเหลือเฟือ เวลาผ่านไปไม่นานพวกเขาก็เดินทางกลับ จากนั้นจึงแวะไปหาเมดินที่สำนักศึกษาเช่นปกติ

“สารจากท่านหญิงมารอเจ้าอยู่นานแล้ว”เมดินผายมือไปทางนกน้อยตัวสีขาวที่เกาะอยู่ขอบหน้าต่าง เขาเดินเข้าไปหา แตะมือที่ตัวมัน เจ้านกน้อยก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง เขาอ่านข้อความนั้นแล้วพับเก็บไว้

“นางว่าอย่างไร”

“นางแค่อยากพบข้า”

“ข่าวที่ข้าได้มาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

“จริง”

“แล้วจะไม่ส่งผลกระทบใดหรือ”เมดินถามอย่างกังวล

“ไม่ต้องห่วง ข้าคาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว”

“เจ้าจงใจอย่างนั้นรึ”เมดินถามด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว แววตาวาวโรจน์ด้วยความฉุนเฉียวทว่าแค่กะพริบตา แววตาเช่นนั้นพลันหายไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่กลัวว่านางจะเป็นอันตรายรึ”

ชวิศามองบรรยากาศอึดอัดหนักหน่วงในบทสนทนาโดยไม่กล้าพูดแทรก

“ข้าย่อมต้องหาวิธีป้องกัน”กรินพูดพร้อมกล่าวย้ำ “นางและลูกของข้าต้องปลอดภัย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

“ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด เอาเถอะ ถือว่าข้าเตือนเพราะเป็นห่วง”เมดินพูดพลางถอนหายใจคล้ายเอือมระอา “มีอะไรให้ช่วยเหลือจงบอกข้าอย่าได้เกรงใจ”

“แน่นอน อีกวันสองวันนี้ ข้าจะนำเอกสารมาให้เจ้าช่วยคัดสำเนา”

“คัดสำเนา?”

“อย่าเพิ่งถามเลย ถ้าเจ้าได้เห็นเจ้าจะรู้เอง”กรินขอตัวลาเพราะต้องเดินทางไปพบหญิงสาวคนรักหลังจากนี้ ซึ่งไม่แน่ว่าเธอคงอยากมาพบเขาตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำแต่อาจจะมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้เธอไม่สามารถไปไหนมาไหนได้

พ้นออกจากห้องเมดินมาแล้ว กรินหันไปบอกชวิศาว่า “ข้าจะไปหากิรานา เจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน”

“ผมไปด้วยไม่ได้เหรอ”

“ข้าจะพูดคุยกับคนรักของข้างโดยไม่มีบุคคลที่สามบ้างไม่ได้หรือ”

ชวิศาหน้าตึงเพราะชายหนุ่มกำลังบอกว่าเขากำลังเป็นก้างขวางคอ ทั้งที่ตัวเองใช้งานเขาสารพัด เขาจึงสะบัดหน้าเดินหนีพร้อมตะโกนร้องบอก “อยากไปไหนก็ไปเลย” ชวิศาก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่คิดอยากจะหันมองกรินอีก เดินไปพลางบ่นไปพลาง ก้าวเท้าไปตามถนนเลี้ยวเข้าตัวเมือง

ชายหนุ่มไม่ค่อยมีโอกาสได้เดินเที่ยวในเมืองมากนัก เพราะกรินไม่ยอมมาเดินด้วยและจะให้เขามาเดินคนเดียว ชวิศาก็คิดว่ามันแปลก ๆ มันทำให้เขาคิดถึงมาริเอะ หุ่นยนต์ของสุดฟ้า เพราะต่อให้คนอื่นไม่ว่าง อย่างน้อยเขายังมีคุณมาริเป็นเพื่อน เขาก้มหน้ามองพื้นด้วยอาการเหงาหงอย

“เป็นอะไรหรือ ดูสีหน้าของท่านไม่ค่อยดีนัก”

ชวิศาเงยหน้ามองคนที่เขามาคุยด้วย “คุณสุดฟ้า” เผลอร้องเรียกออกไปอย่างลืมตัวก่อนจะนึกขึ้นได้จึงยกมือขึ้นปิดปาก

“ท่านเรียกเราด้วยชื่อนี้ถึงสองครั้งแล้ว คนผู้นั้นคงหน้าตาเหมือนเรามาก”คนพูดยกยิ้มที่ทำให้ชวิศาเคลิ้มไป ก่อนจะสะดุ้งรู้สึกตัวเรียกสติของตัวเองกลับมา

“เหมือนมากครับ”เขาพูดบอกพลางพยักหน้ายืนยัน

“เราขออนุญาตถาม คนผู้นั้นเป็นอะไรกับท่านหรือ”

พอนึกถึงคำตอบแล้ว ชวิศาก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาผสมกับความรู้สึกอยากประกาศให้โลกรู้ “ผมกับเขาเป็นแฟนกัน”

“แฟน?”

“คนรักกันนะครับ”เขาอธิบายความหมายด้วยหัวใจที่พองโต นึกอยากกลับบ้านเร็ว ๆ ขึ้นซะเดี๋ยวนั้นเลย แต่พอนึกขึ้นได้ก็หน้าหงอยลงอีก เขาต้องติดอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่กันเนี่ย

“เป็นอะไรอีกหรือ”เจ้าชายทรงตรัสถามเมื่อสีหน้าของคู่สนทนาเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองอีกครั้ง

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเสียงดัง “ผมอยากกลับบ้านนะครับ”

“บ้านของท่านอยู่ไกลมากหรือ”ทรงตรัสถามต่อ ก่อนจะเชิญชวนชวิศาไปนั่งคุยที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ไปไกลนัก ระหว่างเดินก็ชวนคุยไปพลาง เมื่อวานเมดินได้กล่าวเตือนเรื่องเจ้าชายทานันศิระให้เขารู้ตัวแล้ว ถึงจะรู้สึกว่าคนตรงหน้าน่าจะเป็นคนดี แต่เขาก็ควรระวังตัวไว้ตามที่โดนตักเตือน จึงไม่ได้บอกเล่าโดยละเอียด แค่พูดเล่าว่า บ้านของเขาอยู่ไกลและกรินกำลังพยายามหาทางไปส่ง

“เราว่าบางทีท่านกรินอาจจะไม่สะดวกแล้ว ได้ข่าวว่าอีกไม่นานท่านผู้นั้นต้องเข้าพิธีสมรส”ประโยคนั้นออกมาจากพระโอษฐ์พร้อมแววพระเนตรที่เคียดแค้นชิงชังจนชวิศาซึ่งบังเอิญสบสายตาด้วยเสียวสันหลังวูบ เขาเริ่มรู้สึกทะแม่ง ๆ ทำไมมีแต่คนมีปัญหากับการแต่งงานของกริน หรือว่ากิรานาจะเป็นผู้หญิงหลายใจอ่อยผู้ชายไปทั่ว ชวิศาเริ่มเดียดฉันท์หญิงสาวขึ้นมาตงิด ๆ

“ถ้าอย่างไร ให้เราเป็นผู้พาท่านไปส่งดีหรือไม่”

“เอ๊ะ”ชวิศาร้องออกไปเพราะไม่ทันฟัง

“ให้เราเป็นผู้พาท่านไปส่งที่บ้านดีหรือไม่”

“เจ้าชายรู้จักประเทศไทยหรือฝรั่งเศสไหมล่ะครับ”

“หือ”คราวนี้เจ้าชายทรงเป็นฝ่ายส่งเสียงในพระศอด้วยสงสัยเสียแทน

“บ้านของผมอยู่ที่นั่น”ชวิศายกยิ้มพร้อมส่งเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ถ้าเทียบตามยุคสมัยแล้ว ช่วงเวลาที่เขาได้ย้อนกลับมาเป็นยุคก่อนที่จะมีอาณาจักรอยุธยาจะถือกำเนิดเสียอีกทั้งยังห่างกันเกือบสุดฝั่งแผ่นดิน ส่วนฝรั่งเศสก็ยังไม่ใช่ฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน ชวิศาจึงกล่าวตัดบทเปลี่ยนเรื่อง

เจ้าชายแห่งอาณาจักรฮัชดาลลาร์เห็นคู่สนทนาไม่อยากอธิบายความเกี่ยวกับสถานที่ทั้งสองจึงไม่รบเร้าประการใดอีก แต่ทรงเล่าถึงเรื่องราวขำขันที่ทรงเคยประสบมาเสียแทน ซึ่งบางเรื่องเล่าทำให้ชวิศาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ ก็มีสหายของเจ้าชายเข้าทักทายพูดคุยอยู่บ่อยครั้ง มองดูภายนอก เจ้าชายทานันศิระทรงมีพระอัธยาศัยดีถึงเพียงนี้ ชวิศาจึงเกิดข้อสงสัยและเขาก็เอ่ยถามออกไปตามตรงอย่างไม่นึกกลัวเกรงพระราชอำนาจของอีกฝ่าย

“เจ้าชายอยากให้องค์ราชาสละราชบัลลังก์หรือครับ”หลังนิ่งคิดคำถามอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็เอ่ยปากออกไป แน่นอนว่าถึงจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยแต่จะให้เขาถามว่า ‘ทรงกำลังจะก่อกบฏหรือ’ ก็คงเป็นไปไม่ได้

“หืม เหตุใดท่านคิดเช่นนั้น”ทรงเลิกพระขนงและตรัสถามกลับมา

คราวนี้ชวิศาจึงออกอาการอึกอัก จะให้พูดว่าเมดินเป็นคนบอกก็ท่าว่าจะไม่ดี จึงอ้อมแอ้มตอบกลับไปว่า “เอ่อ... ได้ยินเขาพูดกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทรงดำริทราบทันทีว่า ‘เขา’ ที่ว่าคือผู้ใด กระนั้นทรงกล่าวตอบไปว่า “ปีนี้พระบิดามีพระชนมายุหนึ่งร้อยสามสิบสองพรรษาแล้ว เราคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทรงสละราชสมบัติ”

“ร... ร้อย...เท่าไหร่นะครับ”

“หนึ่งร้อยสามสิบสอง”

ชวิศานับนิ้วไม่ถูกเลย ไม่ใช่ว่าคนสมัยก่อนจะมีอายุขัยสั้นกันหรอกเหรอหรือเขาเข้าใจอะไรผิด “อย่างนั้นองค์ราชาทรงชรามากแล้วสินะครับ”

“ไม่เชิงนัก เพราะทรงใช้มนตราเวทดำรงรูปลักษณ์ภายนอกไว้ จึงไม่ค่อยมีใครมีใครรู้ว่ารูปกายที่แท้ของพระองค์เป็นเช่นใด แต่ท่านปราชญ์ลำดับที่หนึ่งจะประกาศเกษียณอายุในปีนี้แล้ว พระบิดาก็คงชราภาพไม่ต่างกัน”

ชวิศาส่งรอยยิ้มแห้งแล้งไปให้ ทีแรกเพราะสงสัยอยากรู้เรื่องที่เจ้าชายประสงค์ก่อกบฏอะไรนั่นเป็นจริงหรือเปล่า แต่พอรับรู้เรื่องอายุขององค์ราชาเข้าไปทำให้มึนงงละความสนใจจากเรื่องที่สงสัยไปเสีย พูดบอกตัวเองด้วยความคิดง่าย ๆ ว่าเรื่องแบบนี้ปล่อยให้กรินจัดการไปดีกว่า



กรินเอาแต่หมกตัวอยู่ในหอตำราเมือง ช่วงวันสองวันแรกชวิศาก็รู้สึกสนุกดีกับการใช้พลังผ่านอัญมณีประจุมนตรา แต่นานเข้าเขาก็นึกเบื่อ ระหว่างนั้นชายหนุ่มกลับได้เจอเจ้าชายทานันศิระบ่อยขึ้น จนถูกเรียกว่าพระสหายอย่างเต็มปากเต็มคำ ข่าวลือเรื่องของเขาจึงลอยเข้าหูเมดินในที่สุด

“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วเรื่องเจ้าชาย”เมดินพูดเสียงเข้มด้วยท่าทางที่พยายามกดข่มความเกรี้ยวกราดโมโห

เมดินมาหาพวกเขาแต่เช้าก่อนที่กรินจะออกจากบ้าน เนื่องจากในช่วงหลายวันที่ผ่านมากรินไม่เคยแวะไปที่สำนักศึกษา เขาใช้เวลาทั้งวันอยู่ในหอเก็บตำราและกลับมานอนเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ชวิศาก็แยกกับกรินที่หอตำราในช่วงกลางวันก่อนจะกลับไปนั่งรอชายหนุ่มที่นั่นและกลับเข้าบ้านพร้อมกัน

ชวิศาหงอที่ถูกดุ แต่ในใจคิดโต้แย้งอยู่ว่า เจ้าชายไม่ใช่คนไม่ดีสักหน่อย

“ไม่ต้องโมโหไปหรอกน่า แค่ไปเที่ยวเล่นในเมือง”กรินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ

ถึงชวิศาจะไม่ฉลาดแต่เขากลับรับรู้ได้ถึงความขัดแย้งไม่จริงใจของกรินและเมดินที่มีต่อตัวเขา ก่อนหน้านั้น ถึงกรินจะพูดจาร้ายกาจชอบทำหน้ารำคาญใส่ แต่ชวิศาไม่เคยรู้สึกผิดที่ผิดทางขนาดนี้ มันเหมือนการที่เขายังมีที่ยืนอยู่ตรงนี้เพราะเขายังมีประโยชน์ หรือเพราะเขามีโอกาสได้คุยกับเจ้าชายทานันศิระที่ไม่สนพระทัยเรื่องพลังของเขาก็ไม่รู้ ความคิดเช่นนี้ถึงได้ชัดเจนขึ้น

“ถ้าเที่ยวเล่นทำไมถึงไม่บอกข้า เจ้าชะล่าใจเกินไปแล้วกริน ไม่แน่ว่าซีอาจจะตอบรับผลประโยชน์ที่เจ้าชายเสนอให้ไปแล้วก็ได้”

“แล้วการที่เจ้ามาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าซีจะมีประโยชน์อะไร”

“แค่อยากให้รู้ว่าข้าจับตาดูเจ้าอยู่”เมดินก้าวเท้ามาหยุดพูดตรงหน้าชวิศา แววตาน่ากลัวกว่าที่เจอกันเมื่อครั้งล่าสุดเสียอีก

“ข้าว่าเจ้าเคร่งเครียดเกินไปแล้ว”กรินเดินมาตบบ่าเมดิน “ข้ารับปากว่าจะช่วยเจ้า แผนการของข้าก็ต้องเป็นไปตามนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงกังวลมากเกินไป”

“เจ้าไม่คิดว่าแผนของเจ้าจะผิดพลาดบ้างหรือไร”เมดินเอ่ยถามเมื่อกรินพยายามดึงชวิศาให้เดินตามออกไปจากห้อง

“มันไม่มีแผนใดสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว และการแก้ไขข้อผิดพลาดนั่นก็เป็นหน้าที่ของข้าด้วยเช่นกัน”ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน เขารุนหลังชวิศาให้เดินนำออกไป พาชายหนุ่มร่างเล็กมายังที่ดินที่เขาตั้งใจจะสร้างเรือนหออีกครั้ง กรินเอ่ยทักคนรู้จักที่บังเอิญเจอกันระหว่างทางบ้างในบางครั้ง ขณะที่ชวิศายังเดินตามด้วยอาการหุบปากเงียบ

“เจ้ายังเชื่อใจข้าอยู่หรือเปล่า”

ชวิศาไม่ตอบและแววตาลังเลที่ถูกส่งออกไปทำให้กรินรับรู้ได้เช่นกัน กรินจึงขยับเท้ามายืนดักอยู่ด้านหน้าพร้อมยกฝ่ามือขึ้นมา “ด้วยคำสัตย์จริงแห่งข้า ผู้เป็นเจ้าของนามกริน วียาบูท์ ข้าขอสาบานว่า หลังจากจบเรื่องราววุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังที่ที่เจ้าจากมาอย่างแน่นอน”

ชวิศามองเห็นฝุ่นไอทรงกลมสีทองปรากฏขึ้นตรงกลางฝ่ามือของกริน ก่อนที่มันจะหายไปเมื่อกรินกำมือลง ชวิศายืนนิ่งงัน รับรู้ได้ทันทีว่าคำพูดนั้นของกรินไม่มีทางบิดพลิ้วอย่างเด็ดขาด เขาเดินตามกรินที่หมุนตัวเดินนำหน้าไป

“เจ้าชายไม่ใช่คนไม่ดี”

“ไม่มีใครเป็นคนที่ดีพร้อมทุกประการเช่นเดียวกัน”อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับรู้ว่าเขาจะพูดอะไร “เจ้ายังมีหน้าที่ชิงชัยในประเพณีมาดามายาให้ได้เช่นเดิม”

ชวิศาหน้าหงอยจนกรินต้องเอ่ยปลอบ “เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าไม่ได้ใช้ให้เจ้าฆ่าเจ้าชายเสียหน่อย อีกอย่างพระองค์ก็ไม่มีทางสิ้นพระชนม์ง่าย ๆ หรอก”

“แต่เมดินบอกว่าทรงจะก่อกบฏ ถ้าโดนจับได้ต้องถูกประหารน่ะสิ”ชวิศาร้อนรนด้วยความเป็นห่วง

“ข้าคงพูดอะไรมากไม่ได้ แต่ข่าวคราวบางอย่างต้องรู้จักฟังหูไว้หู”

“เอ๊ะ อะไร ยังไงเหรอ”เขาถามหน้าตาตื่น กรินพูดอย่างนั้นแสดงว่ามันต้องมาอะไรลึกลับซับซ้อน

“เจ้าอย่าอยากรู้เลย เช่นนี้ก็ดีแล้ว”กรินบอกปัด ถึงจะอยากรู้แค่ไหนแต่กรินคงไม่บอกอะไรเขาเพิ่มเติมอีก พี่ชายของเขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เขาสนิทสนมกับโยธินและนั่นทำให้รู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่สามารถแพร่งพรายได้ บางครั้งเมื่อรู้มากก็อันตรายมาก ชวิศาจึงยอมหุบปาก แต่ตอนที่อยู่กับพี่โย พี่ชายจะคอยบอกเสมอว่าเขาต้องระวังอะไรหรือใคร แล้วกรินจะบอกเขาหรือเปล่าเนี่ยว่าต้องระวังใครบ้าง เขาไม่มีความสามารถมากพอมานั่งสังเกตจับตาเอาเองหรอกนะ ชวิศาคิดว่าคงต้องบอกกรินเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ก่อน แต่อีกฝ่ายก็ร้องเร่งให้เขาไปทำงานแล้ว

“ผมต้องระวังใครหรืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“หือ”

“ก็แบบ... อะไรที่จะอันตรายอะไรอย่างนี้”

“อ้อ ช่วงนี้เจ้าก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ ไม่ต้องกังวลหรอก”จากนั้นจึงบอกให้เขาช่วยจับไม้ไว้ “จับให้แน่นนะอย่าปล่อยเด็ดขาดล่ะ”ชวิศาถึงได้หันมาสนใจสิ่งที่กรินกำลังทำ

ไม้ท่อนยาวที่เขาถือไว้ถูกผูกเชือกไว้ตรงกลาง ปลายอีกด้านของเชือกเส้นนั้นถูกผูกอยู่กับท่อนไม้ที่กรินถือ ชายหนุ่มร่างสูงเดินห่างออกไปจนสุดความยาวเชือก

“กดไว้ให้แน่น อย่าให้ขยับล่ะ”

ชวิศาจึงกดปลายไม้กับพื้นตามที่โดนร้องสั่ง กรินลากไม้เดินวนรอบตัวเขาตามความยาวของเชือกจนครบรอบกลายเป็นวงกลมหนึ่งวง และลดความยาวเชือกอีกครั้งเพื่อสร้างวงกลมวงที่สอง หน้าที่ของเขาจึงหมดลงได้แต่นั่งมองกรินเขียนอักขระบนวงแหวนเวทขนาดใหญ่จากใต้ร่มไม้ซึ่งอีกฝ่ายให้เขามานั่งพัก

“คุณกรินจะทำอะไรเหรอครับ”

“เขียนวงเวทให้เจ้าสร้างบ้านให้ข้าไง”

“แล้วมันจะแข็งแรงทนทานเหรอ ไม่ใช่ผ่านไปสองวันมันเกิดถล่มลงมาแล้วมาโทษผมไม่ได้นะ”

“เรื่องแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้”คำตอบของกรินฟังคล้ายพูดอย่างขอไปทีในความคิดของชวิศา แต่เพราะรู้ว่าขัดไปก็เท่านั้น เขาจึงได้แต่นั่งเงียบมอง

เวลาผ่านไปนานจนชวิศานั่งสัปหงก กรินถึงเดินมาปลุกเขา แผ่นหลังของกรินชุ่มเหงื่อทั้งตามหน้าผากไรผมก็ไม่ต่างกันเนื่องจากต้องเขียนวงเวทท่ามกลางแสงแดดแรงกล้ากลางพื้นที่โล่ง กรินจึงเรียกผ้าผืนเล็กออกมาจากอัญมณีเพื่อซับเหงื่อ

“เจ้าไปอยู่ที่กลางวงเลย มันจะมีเส้นวงกลมล้อมรอบอักขระดินอยู่ ให้วางมือบนเส้นนั้นและถ่ายเทพลังลงไป อ้อ อย่าเหยียบเส้นอักขระที่ข้าเขียนไว้ล่ะ”

ชวิศาพยักหน้ารับ เขาเดินหลบหลีกอักขระบนพื้นไปจนถึงวงกลมในสุดโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ทรุดตัวลงนั่งพร้อมวางมือทั้งสองข้างลงไป ด้วยเพราะกลัวว่าบ้านของกรินจะไม่แข็งแรงทนทาน เขาจึงปล่อยให้พลังเวทไหลจากฝ่ามือลงสู่พื้นดินอย่างเต็มที่

พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนอันเกิดจากพลังเวทที่ไหลเวียนวนครบวัฏจักร

วงเวทของกรินเป็นรูปแบบคำสั่งให้พลังเวทของชวิศาดึงเอาสสารที่มีอยู่ขึ้นมาใช้ หมายความว่า บ้านของเขาจะสร้างจากดินและสินแร่ในดินจากพื้นที่โดยรอบวงแหวนเวท ตัดทอนกรรมวิธีการสร้างตามปกติด้วยความสามารถพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพลังเวท

แต่ถึงกระนั้น ด้วยพลังอันมหาศาลของชวิศาซึ่งเกินกว่าที่กรินคาดเดาไปมากโข แผ่นดินที่เขายืนอยู่จึงสะเทือนไหวพร้อมกับก้อนดินที่กลายเป็นท่อนอิฐสีน้ำตาลเข้มค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจากพื้น กรินต้องขยับเท้าถอยห่างอีกนิดเมื่อผนังกำแพงของบ้านผุดขึ้นจากพื้นห่างจากที่เขายืนอยู่เพียงแค่ฝ่ามือเดียว มันสูงขึ้นและขยายขอบเขตพื้นที่ออกไปโดยมีชวิศาเป็นจุดศูนย์กลาง

ไม่ว่าจะหน้าต่าง ประตู ชานระเบียงมันถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ ชานพักหน้าประตูนั้นมีเสากลมรองรับขอบหลังคาทรงโค้ง ที่ต้องเดินอีกหลายก้าวกว่าจะถึงหน้าประตู ผนังอาคารที่ถูกสร้างให้สูงขึ้นไปนั้นไปบรรจบกันเป็นหลังคาสีน้ำตาลแดง สุดปลายอาคารทั้งสองด้านเป็นหอคอยหลังคาทรงยอดแหลม

เมื่อพื้นดินซึ่งสั่นสะเทือนส่งเสียงอึกทึกอยู่พักใหญ่นั้นสิ้นสุดลง กรินจึงเดินเข้าไปใกล้ประตูหน้าซึ่งเป็นไม้แกะสลักลวดลายสองบานใหญ่ ที่จับประตูเป็นทองเหลืองเงาวับ เขาเปิดประตูเข้าไป ด้านในเป็นทางเดินทอดยาวไปสู่โถงโลงกว้างซึ่งมีร่างนักเวทผู้เนรมิตปราสาทนอนแผ่หมดแรงอยู่บนพื้นขัดมัน

เหนือศีรษะขึ้นไปเป็นเชิงเทียนโคมระย้าถูกแขวนห้อยมาจากเพดาน ที่ชั้นสองเป็นระเบียงลอยล้อมรอบพื้นที่โถงชั้นล่างและเป็นทางเดินเชื่อมระหว่างบันไดทางขึ้นปีกอาคารทั้งฝั่งซ้ายและขวา แสงสว่างจากภายนอกทอดส่องเข้ามาภายในจากบานหน้าต่างกระจกซึ่งล้อมรอบทั้งตัวอาคาร

กรินยกยิ้ม “เจ้าทำเกินไปหน่อยนะ”

“เกินไปหน่อยอะไร”ชวิศายันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมส่งเสียงโวยวายออกมาทันที “ผมอุตส่าห์พยายามขนาดนี้ คุณยังมาว่าผมอีก”

“ข้าขอบใจเจ้า แต่เจ้าดูสิ แทนที่มันจะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ กลับกลายเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่โตขนาดนี้ เจ้าควรควบคุมการใช้พลังให้ได้”

ชวิศาพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างฉุนเฉียว “งั้นให้ผมทำลายมันซะเอาไหม”

“โอ้ อย่าเพิ่งใจร้อนไปท่านมหาเวทผู้ยิ่งใหญ่ ข้าแค่กลัวว่าถ้าท่านเอาแต่ใช้พลังไม่บันยะบันยัง หากเกิดเหตุการณ์คับขันแล้วท่านเกิดหมดแรงข้าวต้มไปเสียก่อน จะลำบากในภายหน้าได้”

ชายหนุ่มผู้ถูกเยินยอยังคงเบ้หน้าด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่ดี

กรินยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้าพร้อมทั้งส่งมือไปให้ “กลับกันเถอะ เจ้าคงหิวแย่แล้ว”

“ใช่เลย ตอนนี้ท้องว่างสุด ๆ”ชวิศากุมท้องกล่าวรับคำทันที

พวกเขาทั้งสองคนออกมาด้านนอก ปรากฏว่าหน้าคฤหาสน์มีผู้คนมายืนออกันเต็มไปหมด และเมื่อคนในเมืองเห็นหน้ากรินจึงเอ่ยถามเซ็งแซ่

“ท่านกรินนี่คฤหาสน์ของท่านหรือ”

“ใช่ขอรับ”

“มันถูกสร้างด้วยเวทหรือ ท่านทำได้เช่นไร”

“ข้าไม่ได้ทำ คุณชายท่านนี้ต่างหาก”กรินผายมือไปที่ชวิศา คนที่ถูกกล่าวถึงจึงสะดุ้งพร้อมชะงักตัวเกร็งเพราะจู่ ๆ ทุกคนก็หันเหสายตามาหา กรินจึงก้าวเท้ามาบังตัวชวิศาไว้ “แต่วันนี้พวกเราต้องขอตัวกลับก่อน ถ้าอย่างไรหากทุกท่านอยากสนทนาขอเชิญพบกันที่นี่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้”

กรินยิ้มกว้างให้ทุกคนอีกครั้งอย่างเป็นมิตรก่อนจะสาวเท้าเดินนำชวิศาออกไป

“ให้อารมณ์เหมือนดาราเลยล่ะ”

“ดารา?”กรินหันมาถาม พวกเขาเดินพ้นฝูงชนออกมาไกลแล้วยามที่ชวิศาพูดออกมาเช่นนั้น

“คนดังแหละครับ แต่แบบดังมาก มีคนชื่นชอบจนไปไหนจะต้องมีคนมารุมล้อมตลอด คนพวกนี้จะถูกเรียกว่าแฟนคลับ”

“เช่นนั้นข้าก็เป็นดาราเหมือนกัน”กรินกล่าวอย่างมั่นใจ

“แต่ดาราต้องแสดงโชว์ให้คนดูด้วยนะ แบบร้องเพลงหรือเล่นละคร”

“ดาราในยุคสมัยของเจ้านะรึ”กรินเอ่ยถาม “ในอาณาจักรฮัชดาลลาร์ก็มีเช่นกันพวกคณะละครที่แสดงดนตรีอะไรทำนองนั้น แต่ข้าไม่รู้จักนักหรอก ไว้เจ้าคอยรอดูในวันงานแต่งของข้าก็แล้วกัน”

ด้วยเหตุนั้น ชวิศาจึงหันมาสนใจพิธีแต่งงานของกรินเสียแทนพลางส่งเสียงซักถามไปตลอดเส้นทาง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


กำลังไหลเลย มีแฝดสุดฟ้าโผล่มาแล้ว ดันเป็นตัวโกงซะนี่ 5555+ รอตอนต่อไป แบบมีสคริปกดข้ามให้มาลงตอนต่อไปเลยป่ะ

ไลท์เตอร์สู้ๆๆๆนะ ชอบๆๆนั่งเรือยอช์ท ออกทะเลไปกับไลท์เพลินๆ

แบบว่าสร้างปุ่มแบบนั้นไม่ได้ซะด้วย นิยายเรื่องนี้ไม่มีสต็อกล่ะ(หัวเราะ) เคยเขียนจนมีสต็อกอยู่สองสามตอน แต่สต๊อกที่ว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว(ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ ต่อไป)
สุดท้ายขอบคุณค่ะ กับการอดใจรอการลงอาทิตย์ละตอนของเรา เราปลื้มจริง ๆ ที่ยังมีคนตามอ่านเรื่องนี้เรื่อย ๆ
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบสาม 26/11/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 28-11-2017 10:03:09
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: ดูๆแล้วเมดินแอบมีเบื้องหลังเหมือนกันป่าวเนี่ยยยย แต่กรินอาจจะรู้แต่ก็ทำเป็นว่าไม่รู้อะไรทำนองเนี่ย

บ้านหรู กิรินาจะว่าไง ฝืมือน้องซีคนที่นางไม่ชอบซะด้วย  :hao3: :hao3:

เอาๆๆปูเสื่อนอนรออาทิตย์หน้าอีก

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบสี่ 03/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 03-12-2017 07:34:31
ตอนที่สามสิบสี่



พิธีแต่งงานของกรินถูกจัดขึ้นในเดือนสิบวันจันทร์สว่างที่แปด เป็นพิธีแต่งงานที่มีการกล่าวถึงทุกหย่อมหญ้าเพราะเจ้าสาวเป็นถึงองค์หญิงนักทำนาย นอกจากนี้เพราะทั้งคู่เพิ่งมีอายุครบยี่สิบปีซึ่งนับว่าเป็นช่วงอายุที่น้อยมากในทัศนคติของชาวเมืองสำหรับการตัดสินใจแต่งงาน และเนื่องด้วยทั้งคู่อายุยังน้อย จึงมีข่าวลือการผิดธรรมเนียมจนฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ออกมาด้วย

ระหว่างนั้นกรินจึงสยบข่าวลือด้วยกระดาษแผ่นหนึ่ง

“คนจะเชื่อไอ้กระดาษแผ่นนี้ด้วยหรือ”ชวิศาเอ่ยถามขณะนั่งมองแผ่นกระดาษในมือ เขาอ่านไม่ออกแต่รู้ว่ามันคือขั้นตอนการทำศิลามหาเวท ซึ่งศิลามหาเวทนี้เป็นอัญมณีเวทสารพัดประโยชน์ที่จะบันดาลให้ผู้ถือครองได้ทุกสิ่งดั่งใจหวังโดยใช้เพียงพลังเวทในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น ในอนาคตข้างหน้ามันจึงถูกเรียกว่าศิลาสารพัดนึก

“หากเป็นคนทั่วไปนำกระดาษแผ่นนี้ไปแจก คงไม่มีใครเชื่อถือนัก ...แต่ถ้าเป็นเจ้าผู้มีพลังเวทมหาศาลถึงขั้นบันดาลให้เกิดคฤหาสน์หลังงามได้ในพริบตาคงไม่มีใครกล้ากล่าวแย้ง”

“แล้วมันสร้างได้จริง ๆ หรือเปล่าตามวิธีที่เขียนอยู่ในนี้”ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกรอบพลางกวาดสายตามองกองกระดาษขั้นตอนวิธีการสร้างศิลาตั้งใหญ่ตรงหน้าซึ่งได้เหล่าผู้ศึกษาในสำนักของเมดินช่วยคัดลอกให้

กรินอยู่ห่างออกไปกำลังใช้ถ่านดำเขียนวงเวทอยู่บนพื้น เพราะมีคฤหาสน์เป็นของตัวเองแล้ว ชายหนุ่มจึงใช้เวลาหมกตัวอยู่ที่นี่เสียเป็นส่วนใหญ่

“ได้สิ ตามตำราที่ข้าศึกษามามันก็น่าจะใช้ได้”

“น่าจะเหรอ”ชวิศาถามหน้าตาตื่น “ถ้าโดนจับได้ว่ามันเป็นของปลอมผมจะไม่โดนประชาทัณฑ์หรือไง”

“ใครจะทำร้ายเจ้าได้ อีกอย่างข้าก็มีอัญมณีชิ้นที่สมบูรณ์อยู่แล้ว เจ้าจะกลัวสิ่งใด”

“คุณไปทำมันตอนไหน”เขาถามอย่างสงสัย กรินจึงหยิบอัญมณีดวงจิตออกมาให้ดู

“แต่มันไม่ใช่”ชวิศากล่าวแย้งทันควัน

“ใครจะรู้ ไม่มีใครเคยเห็นของจริงเสียหน่อย”รอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มทำให้เขาดูชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ขึ้นมาในพริบตา เห็นแบบนั้นชวิศาถึงกับบ่นพึมพำและพูดว่าไม่รู้ด้วยแล้ว กรินส่งเสียงหัวเราะจากนั้นจึงกวักมือเรียกชวิศาเข้ามาใกล้

“วางมือที่ธาตุโลหะ”เจ้าของวงเวทพูดพร้อมนำตั้งกระดาษวิธีการสร้างศิลามหาเวทมาวางในวงแหวน ชวิศารอจนกรินเดินกลับไปยืนข้าง ๆ แล้วจึงถ่ายเทพลังเวทลงไป เพราะโดนบ่นเรื่องการไม่รู้จักควบคุมปริมาณพลังเวทที่ใช้ในแต่ละครั้ง คราวนี้เขาจึงลดระดับอัตราพลังที่ใช้ลง แต่กระนั้นก็ต้องดูเป้าหมายการใช้งานด้วยเช่นกัน

คุณสมบัติหลังของธาตุโหละคือความแข็งแกร่งคงทน นั่นหมายความว่า กรินอยากจะรักษาสภาพของกระดาษพวกนี้ไม่ให้ถูกทำลายได้ง่าย ๆ เมื่อถ่ายเทพลังเวทลงไปกระทั่งเห็นไอเวทจาง ๆ ครอบคลุมปึกกระดาษทั้งหมด เขาจึงระงับพลังที่ใส่ลงไป

“ดีเยี่ยม รู้จักพัฒนาขึ้น”กรินเอ่ยปากชม

“แหม คนเรามันก็ต้องรู้จักพัฒนากันบ้างแหละครับ”เขายืดอกรับด้วยความภาคภูมิก่อนยื่นมือไปรับกระดาษที่กรินส่งมาให้

“ลองใช้เวทไฟเผามันดู”

พริบตาต่อมาไฟเวทได้ลุกท่วมกระดาษแผ่นนั้นทว่ามันกลับไม่ถูกไฟเผาจนมอดไหม้ ต่อมากรินจึงหยิบกระดาษอีกใบ โยนมันขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับดึงดาบออกมาฟาดฟันมัน ยามที่คมดาบสัมผัสราวกับว่าดาบของเขาได้กระทบกับวัตถุแข็งที่ไม่อาจทำลายได้

“ทำไมต้องทำให้มันคงทนถาวรแบบนี้ด้วยล่ะครับ”ชวิศาถามเมื่อทดลองใช้วิธีง่าย ๆ อย่างการฉีกเพื่อทำลายมัน ซึ่งมันให้ความรู้สึกคล้ายว่าเขากำลังพยายามฉีกพลาสติกเหนียว ๆ สักแผ่น

“ของที่มาจากผู้ที่พลังเวทมหาศาลมันไม่ควรจะถูกทำลายได้ง่าย ๆ คนจะได้ยิ่งเชื่อถือข้อมูลในกระดาษแผ่นนี้มากขึ้น”
“คุณกรินเหมือนพวกนักต้มตุ๋นเลย”

“นักต้มตุ๋น?”

“พวกที่ชอบโกหกหลอกลวงคนอื่นเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเองน่ะครับ”

“บางครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ต้องการ มนุษย์จำต้องรู้จักการโกหกบ้าง”

“คำพูดนี้ก็เหมือนตัวร้าย”

กรินหัวเราะ “ทุกอย่างก็เพื่อเจ้า”

“คุณโกหก คุณทำเพื่อกลบข่าวที่ชาวเมืองซุบซิบเกี่ยวกับเด็กในท้องของกิรานาต่างหาก”ชวิศาเถียงกลับทันควัน

“นั่นคือส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งเพื่อให้เจ้าชนะประเพณีมาดามายาแน่นอนด้วยต่างหาก”กรินอธิบายอย่างใจเย็น “เจ้าลองคิดดู หากเจ้าได้รู้ว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้ามีพลังเวทเหนือเจ้ามากมาย เจ้าจะรู้สึกเช่นไร เก้าในสิบ ข้าเชื่อว่าต้องหวั่นเกรงบ้าง”

“ไม่ให้ผมเข้าร่วมการประลองอะไรนั่น ถึงจะเรียกว่าทำเพื่อผม”ชวิศาเถียงหัวชนฝาซึ่งกรินได้แต่ส่งเสียงหัวเราะไปให้

“ลงไปข้างล่างกันเถอะ ป่านนี้แฟนคลับของเจ้าคงมากันพร้อมแล้ว”

ชวิศาย่นจมูกด้วยความไม่สบอารมณ์ เพราะอีกฝ่ายทำเหมือนว่าเขาเป็นลิงในสวนสัตว์ที่ต้องแสดงโชว์ให้คนโน้นคนนี้ดู ชายหนุ่มร่างเล็กอยากจะตะโกนร้องบอกเสียงดัง ๆ ว่าเขาก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้พบปะกับชาวเมืองผู้ชื่นชอบในพลังเวทของชวิศา เขาก็ฉีกยิ้มแก้มปริทันทีคงเรียกได้ว่าเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ถูกสอนมา พี่ชายผู้ซึ่งทำหน้าที่เลี้ยงดูเขามามักจะพูดบอกอยู่เสมอว่า เวลาพบเจอกับคนที่ไม่สนิทสนมหรือไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อนให้ยกยิ้มเป็นมิตรเข้าไว้ จะได้ไม่เป็นการสร้างความเกลียดชังของผู้อื่นที่มีต่อตัวเรา

ครั้งนี้ชวิศาแจกกระดาษวิธีการสร้างศิลามหาเวทก่อนเป็นอันดับแรก มีคนถามถึงคุณสมบัติของมันและศิลาชิ้นตัวอย่างตามที่เขาเคยคิดไว้ กรินจึงนำมันออกมาแสดงพร้อมทดลองใช้เวทจากศิลาซึ่งทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่ากรินไม่สามารถใช้มนตราได้ เหตุการณ์ครั้งนี้จึงถูกพูดกันปากต่อปาก กลบเรื่องครหานินทาของกิรานาเสียสนิท



วันงานแต่งของกรินและกิรานามาถึงอย่างรวดเร็ว สถานที่จัดงานเป็นศาลาเมือง

ชาวฮัชดาลลาร์ไม่นับถือศาสนา แต่มีการกราบไหว้เทพผู้สร้างและพระนางสิตาริกา เทพีผู้ก่อกำเนิดมนตราทั้งหลาย ซึ่งทำให้พิธีแต่งงานของหญิงชายเรียบง่ายด้วยการกล่าวคำสัตย์สาบานรักต่อหน้าคู่สมรส ชายหญิงคู่นั้นก็ถือว่าได้เป็นสามีภรรยากันแล้วโดยไม่จำเป็นต้องมีพยานรับทราบ

เพียงแต่กิรานาเป็นถึงองค์หญิงตราตั้งผู้ถือครองเวทพยากรณ์และกรินก็เป็นบุตรชายของปราชญ์ลำดับที่หนึ่งของอาณาจักร พิธีแต่งงานจึงไม่สามารถทำการโดยไม่บอกกล่าวผู้ใดได้

ศาลาเมืองซึ่งเป็นอาคารโล่งมีเพียงหลังคากันแดดและฝนจึงถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้แพรพรรณ แบ่งพื้นที่สำหรับทำพิธีและที่นั่งของผู้มาร่วมงาน เว้นทางเดินไว้สองฝั่งสำหรับบ่าวสาวเพื่อเดินมายังปะรำพิธี

มีผู้คนมาร่วมพิธีสมรสของกรินมากมาย มีองค์ราชาของอาณาจักรฮัชดาลลาร์เป็นประธานในพิธี ซึ่งรูปลักษณ์ขององค์ราชาไม่ต่างไปจากที่เจ้าชายทานันศิระเคยเล่าประทานให้ฟัง ทรงยังดูแข็งแรงและหนุ่มแน่นอยู่มาก ต่างจากวิโยมันบิดาของกรินที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าค่อนข้างชรามากแล้ว

ชวิศาได้นั่งอยู่เก้าอี้แถวที่สองคู่กับเมดิน เสื้อผ้าที่เขาสวมในงานนั้นดูดีที่สุดตั้งแต่ได้มีโอกาสย้อนเวลามาอยู่ในช่วงยุคที่อาณาจักรฮัชดาลลาร์กำลังเฟื่องฟู ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าป่านกับกางเกงผ้าดิบเนื้อหนาเช่นทุกคราว แต่เป็นผ้าไหมสีเทาเนื้อลื่นบางเบาซึ่งถูกตัดเป็นเสื้อคลุมตัวนอกแขนยาวพอดีตัว ชายเสื้อคลุมยาวเสมอรองเท้า กลัดกระดุมผ้าด้านหน้า และผ้าคาดเอวที่ถูกปักลวดลายตลอดทั้งผืน ส่วนกางเกงขายาวตัวในเป็นสีเทาเข้มกว่าเสื้อคลุมตัวนอกเล็กน้อย

งานพิธีนั้นถูกจัดขึ้นตั้งแต่เช้าเนื่องจากตามธรรมเนียม เมื่อหมดแสงอาทิตย์เจ้าบ่าวต้องพาเจ้าสาวกลับเรือนหอและห้ามออกมาจากบ้านมาอีก กรินจึงให้มีการเริ่มพิธีแต่เช้าเพื่อเพิ่มระยะเวลาการเลี้ยงฉลอง ความหมายของการจัดงานเลี้ยงฉลองก็คล้ายกับท้องถิ่นอื่น ยิ่งจัดงานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่มากเท่าใดก็หมายถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของเจ้าบ่าวและแสดงถึงการยกย่องเชิดหน้าชูตาของฝ่ายเจ้าสาวมากเท่านั้น

ชวิศานั่งรอเพียงไม่นาน ทั้งบ่าวสาวก็ก้าวเข้ามาในพื้นที่จัดงาน ทั้งคู่อยู่ในชุดเสื้อผ้าสีน้ำเงินโดยชุดของกิรานามีสีอ่อนกว่า ตัวเสื้อด้านบนเป็นคอปกตั้ง แขนเสื้อยาวสุดปลายมือ ช่วงเอวเข้ารูปถึงอย่างนั้นแต่กลับมองไม่เห็นช่วงนูนบริเวณหน้าท้องอย่างคนตั้งครรภ์ กระโปรงซึ่งยาวกรอมเท้าปักลายเถาดอกไม้ด้วยด้ายสีอ่อนไล่เรียงกัน ทำให้เธอดูสวยสง่าราวกับนางพญา เธอก้าวเท้ามาตามทางเดิน ส่วนกรินนั้นอยู่ในชุดเสื้อคลุมตัวยาวเช่นชาวเมืองคนอื่นแต่สวมเสื้อคลุมตัวยาวไม่มีกระดุมเพิ่มเติมขึ้นมาอีกตัว

เมื่อมาถึงปะรำพิธี องค์ราชาที่ประทับรออยู่ก่อนหน้าแล้ว คว้ามือของเจ้าบ่าวทางขวาและมือของเจ้าสาวทางซ้ายดึงมาจับประสานกันไว้ จากนั้นประกาศบอกให้ทั้งสองกล่าวคำสาบานได้

ทั้งคู่ยกยิ้มให้แก่กัน จากนั้นจึงยกมือข้างที่ถนัดตั้งขึ้น โดยที่ฝ่ายชายจะเป็นผู้กล่าววาจาสัตย์ขึ้นก่อน

“ด้วยคำสัตย์จริงแห่งข้า ผู้เป็นเจ้าของนามกริน วียาบูท์ ข้าขอสาบานว่า จะมั่นคงในรักและซื่อสัตย์ดูแลกิรานา ซามัตตราบจนชีวิตจะหาไม่”เมื่อกรินกล่าวจบ ชวิศาก็มองเห็นแสงสีทองเรืองรองซึ่งเขาเคยเห็นเมื่อครั้งก่อนปรากฏที่ฝ่ามือของกรินอีกครั้ง ไม่ต่างกับกิรานาเมื่อเธอกล่าวสัตย์สาบานจบ แสงสีทองก็ปรากฏที่ฝ่ามือของเธอเช่นเดียวกัน

ทว่าทันใดนั้นเองกลับปรากฏเงาร่างในชุดสีดำลึกลับซึ่งพรวดพราดฟาดดาบลงมาระหว่างคนทั้งคู่ กรินผงะถอย ไม่ต่างกับกิรานาที่เรียกใช้งานมนตราคุ้มกายทันทีที่ประกายดาบสะท้อนเข้าสู่สายตา

ดาบของศัตรูยังคงตามมาโรมรันใส่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าวอย่างไม่ลดละ เขาได้แต่หลบหลีกและปัดป้องยังไม่ได้ดึงอาวุธของตัวเองออกใช้ ซึ่งภาพนั้นทำให้ฝ่ายเจ้าสาวมีแต่ความกังวล เธออยากเข้าไปช่วยเขาแม้จะรู้ว่ากรินเก่งกาจในทางดาบแต่ความเป็นห่วงที่เกิดขึ้นไม่อาจห้ามปรามได้ง่าย ๆ

กรินเรียกศิลาผนึกจิตออกมาใช้ กำไว้ในมือ เรียกใช้เวทบทหนึ่งก่อนชกมันใส่ร่างของศัตรูซึ่งเข้ามาประชิด ทำให้ร่างนั้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงได้มีโอกาสกวาดสายตามองทั่วสถานที่จัดงาน ซึ่งบัดนี้กำลังอยู่ในภาวะชุลมุนเพราะการเข้าโจมตีของกลุ่มคนที่ไม่ทราบฝ่าย เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งวงแหวนเวทขนาดใหญ่อันเกิดจากพลังเวทของศิลาผนึกจิตในมือของเขาก็ปรากฏขึ้นบนพื้นก่อนก่อเกิดเป็นโดมแสงซึ่งร่างในชุดสีดำของศัตรูสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

“ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดมาป่วนงานแต่งของข้า”เสียงของกรินดังก้องไปทั่ว มันเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเคืองโมโห “หากไม่พอใจอันใดจงแสดงตัวออกมา”

ทุกคนในงานต่างนิ่งงันอยู่กับที่ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อน ทุกคนในที่นั้นต่างรู้กิตติศัพท์ของชายผู้เป็นเจ้าบ่าวเป็นอย่างดี แม้เจ้าตัวจะไม่สามารถใช้มนตราแต่เพลงดาบของกรินกลับสร้างบาดแผลให้กับผู้ใช้เวทที่เป็นศัตรูได้ และมาขณะนี้เจ้าตัวยังประกาศศักดาแสดงความสามารถด้วยมนตราสร้างเขตแดนไม่ให้ผู้ใดใช้เวทหรือมนตราเวทใด ๆ มีผลในเขตพื้นที่ของตน ซึ่งแสดงว่า กรินมองออกอย่างรวดเร็วว่ากลุ่มศัตรูในชุดปกปิดมิดชิดเป็นร่างสร้างจากมนตรา แล้วใครเล่าจะกล้าประกาศตัวเป็นศัตรูโจ่งแจ้ง

เมื่อสังเกตเห็นแล้วว่าทุกอย่างกลับมาอยู่ในภาวะปกติกรินจึงคลายเวท เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องผนึกดวงจิตที่ตนอุปโลกน์ให้เป็นศิลามหาเวทจึงไม่นึกแอบซ่อนยามที่นำมันกลับคืนสู่อัญมณีที่ประจุมนตราช่องว่างมิติ

เมื่อไร้คำทัดทาน กรินจึงเดินเข้าไปหาเจ้าสาวเพื่อทำพิธีต่อ การกล่าวคำสัตย์สาบานในพิธีแต่งงานจะแตกต่างจากการกล่าวคำสัตย์ปกติที่เพียงกำมือลงเพื่อบ่งบอกว่าตนยึดถือคำพูดนั้น แต่การแต่งงานหมายถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แลกเปลี่ยนทัศนคติและพร้อมจะแบ่งปันทุกข์สุขระหว่างคู่แต่งงาน ทั้งสองจึงต้องประกบมือหลังกล่าวคำสัตย์สาบานอันหมายถึงชีวิตหลังจากนี้ถูกรวมเป็นหนึ่ง นั่นหมายความว่า พิธีของทั้งคู่ยังไม่สมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กรินยังไม่ได้เริ่มกล่าวคำสัตย์เพื่อเริ่มพิธีอีกครั้ง กลับมีหญิงสาวท้องโตคนหนึ่งส่งเสียงร้องขัดขวางพิธีอีกครั้ง

“ท่านกริน ท่านจะทิ้งข้าและลูกได้ลงคอหรือ”เธอร้องไห้คร่ำครวญพลางกล่าวโทษเขาสารพัดที่ทอดทิ้งเธอ และไปแต่งงานกับท่านหญิงที่มีศักดิ์สูงกว่า

กรินยกมือกุมขมับด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยระอาก่อนจะเอ่ยปากถามหญิงสาวผู้นั้นว่า “ท่านมีนามว่าอะไร”

“ท่าน... แม้แต่ภรรยาที่ท่านร่วมหลับนอนด้วย ท่านยังไม่คิดจะจำชื่อข้าเชียวหรือ”เธอตัดพ้อเขาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น

“ข้าก็อยากจำนะ แต่ข้ายังไม่รู้จักท่านเลย ท่านช่วยสงเคราะห์แจ้งนามของท่านให้ข้ารู้ด้วยเถอะ”กรินถามด้วยความเย็นชา

กิรานาที่ยืนนิ่งมองหญิงสาวที่อ้างตัวว่าท้องกับกรินด้วยสายตาขมึงถึงมาพักใหญ่จึงโบกมือบอกชายหนุ่มคนรักว่าเรื่องนี้ให้เธอจัดการเอง “ข้าขอให้เวทตรวจสอบอดีตแต่หนหลังของท่านได้หรือไม่”

“นังหญิงแพศยา เจ้าจะสืบเสาะข้อมูลเพื่อนำมาทำร้ายข้าในภายหน้าใช่หรือไม่”

กิรานาโดนว่าด้วยคำนั้นเธอจึงโกรธขึ้งขึ้นทันควัน เธอสาดคำว่ากล่าวตอบกลับไปโดนไม่สนเกียรติในตำแหน่งของตน

“เจ้าสิที่เป็นหญิงแพศยา ร่านสำส่อนจนมีเด็กประจานตัวเองยังเที่ยวพยายามจับคนรักของผู้อื่นไปเป็นสามีของตน”

“ทำเป็นพูดดี ใช่เจ้าจะต่างกับข้า”

“ต่างสิ เพราะข้าไม่ได้อ้าขาให้ชายไร้นามข้างถนนเช่นเจ้า”เธอเหยียดสายตาดูถูกก่อนจะสาวเท้าด้วยกิริยาเนิบนาบกลับไปหาชายคนรัก

“สักวันเจ้าก็จะถูกทิ้ง เหมือนที่เขาทำกับข้า”หญิงคนนั้นยังตะเบ็งเสียงว่ากล่าว

กิรานาไม่เชื่อว่ากรินจะทำเช่นนั้นกับเธอ และเธอไม่มีทางยอมให้หญิงหน้าไหนมาแย่งเขาไป เธอวาดมือสร้างลูกไฟเวทขึ้นมา เพียงแต่กรินคว้าจับข้อมือของหญิงสาวคนรักไว้ก่อนที่มันจะเลยเถิด

การปะทะคารมที่เกิดขึ้นคงจะกลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทาไปอีกหลายวันแม้ว่ากรินจะดึงดันแต่งงานกับหญิงสาวคนรักก็ตาม ไม่มีทางใดแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้นอกจากพิสูจน์ตนเองให้ไร้ผิดจากมลทินนี้ กรินเหลือบสายตามองรอยพระสรวลบนพระพักตร์ของเจ้าชายทานันศิระที่ดูจะสนุกสนานสมใจกับละครฉาวโฉ่บทนี้เสียเหลือเกิน

“ท่านบอกว่าข้าคือบิดาของบุตรในครรภ์ของท่าน ข้าขอทราบว่าท่านตั้งครรภ์ตั้งแต่เมื่อใด”กรินเอ่ยถามด้วยความใจเย็น

 “เดือนสอง”

“ช่วงที่ข้าไม่อยู่ในเมือง”

“ใช่ ข้าเป็นพยานยืนยันได้ ช่วงนั้นกรินออกเดินทางไปต่างเมือง”เมดินลุกขึ้นยืนพลางกล่าวสมทบ

“ล... แล้วอย่างไร ท่านเมดินก็ไม่ได้อยู่กับท่านกรินตลอดเวลาเสียหน่อย ข้าก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ข้าเดินทางมาที่นี่เพราะได้ยินข่าวเรื่องการสมรสของท่านกริน ทั้งที่ท่านเคยกล่าวคำรักกับข้า ล่อลวงให้ข้ายอมมอบกายให้ท่าน”เธอพูดพร้อมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“เจ้ามันโง่เองมันก็ช่วยไม่ได้”กิรานาพูดออกไป กรินจึงต้องส่งเสียงห้ามปรามพร้อมพูดดุ “เจ้ามีศักดิ์เป็นองค์หญิงสมควรกล่าวเช่นนี้หรือ”

กิรานากระทืบเท้าด้วยความขัดใจ สะบัดหน้าหนีแต่สองมือยังเกาะแขนเขาไม่ปล่อย

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าวกลอกตาครุ่นคิด เริ่มอับจนหนทางและเห็นวี่แววว่างานสมรสของตนกำลังจะพังครืนภายในไม่กี่นาทีข้างหน้า ก่อนจะหันไปเห็นชวิศาที่ชมดูเหตุการณ์ด้วยแววตาตื่นเต้นสนุกสนาม

นี่มันใช่เรื่องสนุกที่ไหนกัน กรินนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ ก่อนจะนึกได้ในฉับพลัน

“ข้าว่าท่านกล่าวอ้างผิดคนแล้วล่ะ”ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น “ช่วงที่ข้าเดินทางออกต่างเมือง ข้าเดินทางร่วมกับท่านซี หากข้าไปมาหาสู่กับท่านจริง ท่านซีคงเป็นพยานให้ได้”

คนที่จู่ ๆ ก็ถูกกล่าวถึงชี้มือเข้าหาตัวเอง เขากลอกตาทำท่านึกพร้อมโพล่งออกมาว่า “ใช่ ผมไปไหนมาไหนกับคุณกรินตลอดยังไม่เคยเห็นคุณกรินคุยกับผู้หญิงที่ไหนเลยนอกจากคุณกิรานา แล้วผมก็ไม่เคยเจอคุณด้วย”

“ก็... ก็... พวกท่านมันพวกพ้องเดียวกันย่อมต้องเข้าข้างกัน ข้าเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ จะสามารถต่อกรกับผู้ใดได้”

“คุณกริน”ชวิศาเดินออกมามาจากเก้าอี้ที่นั่ง เดินเข้าไปหากรินพลางชี้มือไปทางหญิงสาวที่คร่ำครวญไม่เลิก “ผู้หญิงคนนี้คือคนของคณะละครที่คุณจ้างมาให้แสดงในงานแต่งเหรอ เล่นเก่งมาก ๆ”ถึงชวิศาจะทำเหมือนกระซิบกระซาบแต่เสียงพูดก็ดังมากพอที่ผู้คนแถวนั้นจะได้ยิน นอกจากนั้นยังมีมนตราอีกหลายบทซึ่งผู้ใช้เวทสามารถใช้เพื่อจับความที่ผู้อื่นพูดคุยกัน เมื่อแขกผู้มาร่วมงานได้ยินเช่นนั้นจึงเริ่มสับสนเสียงดังพูดคุยจึงดังเซ็งแซ่ ก่อนที่คำตอบของกรินจะให้เหล่าแขกเหรื่อหยุดสนทนากันเองและกลับมาเงี่ยหูฟังอีกครั้ง

“เปล่าหรอก แต่ข้าคิดว่านางเป็นหญิงบ้าสติไม่ดี”

“ท่านอยากทอดทิ้งข้าแล้ว จึงกล่าวหาข้าต่าง ๆ นานาซินะ”หญิงคนนั้นกล่าวต่อว่าสวนกลับมาทันควัน

“เช่นนั้นท่านคงพร้อมที่จะพิสูจน์ความสัตย์จริงในคำพูดของท่าน”เสียงพูดของเขาเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าท่านตั้งครรภ์จริงหรือไม่ แต่ถ้าท่านยืนยันจะกล่าวคำโกหกเพื่อทำลายเกียรติของข้าต่อไป ทั้งตัวท่านและลูกคงต้องมีอันเป็นไป”

“ท่านกำลังข่มขู่”

“ข้ากำลังพูดความจริง”เขากล่าว จากนั้นจึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ชาวเมืองฮัชดาลลาร์ทุกท่านคงทราบว่า คำสัตย์สาบานไม่ใช่เวทแต่มันเป็นคำสาปที่พระนางสิตาริกาประทานให้ มีแต่เด็กหญิงเด็กชายที่เกิดจากพ่อแม่ซึ่งแต่งงานด้วยธรรมเนียมอันถูกต้องเท่านั้นถึงจะมีพลังเวทติดตัว ยกเว้นเพียงตัวข้าที่ไร้พลังเวทแม้ท่านบิดามารดาจะกล่าวคำสัตย์สาบานถูกต้องตามธรรมเนียมและพี่ชายพี่สาวทุกคนล้วนใช้มนตราได้”

กรินนิ่งเงียบไปอยู่ชั่วอึดใจก่อนกล่าวต่อไป

“คำสัตย์สาบานนี้ ต่อให้ไร้ซึ่งพลังเวทแต่เมื่อเอ่ยวาจาออกมา พระนางสิตาริกาก็จะยังรับทราบและประทานพรให้หากคนผู้นั้นยึดถือคำสัตย์เป็นสรณะ แต่ถ้าผู้ใดตระบัดสัตย์พระนางจะตามจองล้างจองผลาญคนผู้นั้นให้อยู่ไม่เป็นสุขจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

กรินพูดพลางก้าวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวที่กล้าอ้างตัวว่าเขาล่อลวงและกำลังจะทอดทิ้งเธอ

“ท่านกล้ากล่าวสัตย์สาบานว่าตัวท่านพูดจริงหรือไม่”

ไม่ใช่ชาวเมืองทุกคนในอาณาจักรฮัชดาลลาร์ที่สามารถใช้เวทได้ เหตุผลเป็นดังที่กรินพูดไว้ เริ่มแรกนั้นกลุ่มคนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานนั้นมีเพียงจำนวนหยิบมือเดียวที่สามารถใช้พลังเวทและมนตราได้ กระทั่งมีการพิสูจน์แน่ชัดว่าการกล่าวคำสัตย์สาบานของคู่แต่งงานที่ไม่ว่าทั้งคู่จะมีพลังเวทหรือมีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีพลังเวท บุตรที่เกิดมาจะมีพลังเวทแต่กำเนิด การกล่าวคำสัตย์สาบานในพิธีแต่งงานจึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ชาวเมืองยึดถือปฏิบัติ และธรรมเนียมได้แพร่กระจายออกไปตามความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร

เพียงแต่คำกล่าวที่ว่า ‘คำสัตย์นั้นเป็นคำสาป’ ไม่ค่อยถูกพูดถึงเนื่องจากฟังดูไม่ค่อยเป็นมงคลในการเริ่มต้นชีวิตคู่ แต่กระนั้นก็ไม่อาจซ่อนเร้นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจเหนือผู้อื่น ผู้คนในเมืองหลวงล้วนจำเป็นแต่ต้องยึดถือธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด

“หวังว่าท่านคงเตรียมใจมาพร้อม”กรินกล่าวเตือนหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งพลางผายมือเชื้อเชิญให้เธอเอ่ยคำ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนจดจ้องหญิงสาวเป็นตาเดียว เพราะตั้งตารอต้องการพิสูจน์อาถรรพ์ของคำสัตย์ที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาให้หมู่นักเวท พวกเขาค่อนข้างขลาดกลัวต่อคำสาปนี้จึงไม่ค่อยมีผู้กล้าลองของ กล่าวคำสัตย์สาบานออกเพียงนึกสนุก

หัวใจของชวิศาเต้นแรง เขารับรู้แล้ว ครั้งก่อนที่เขาคิดว่าคำพูดของกรินสามารถเชื่อถือได้โดยไร้ข้อกังขาเพราะเหตุใด

“เชิญ”กรินกล่าวซ้ำเพื่อไม่ให้เธอถ่วงเวลาพิธีการในงานแต่งของเขาให้นานไปกว่านี้

หญิงสาวร่างกายสั่นระริกเหงื่อไหลซึมท่วมตัว แม้เพียงแค่เคยได้ยินคำเล่าลือผลลัพธ์ของการตระบัดสัตย์จากผู้เฒ่าผู้แก่  แต่เธอก็ไม่นึกอยากริลองดี “ข้า... โกหก” เธอตะโกนออกมาสุดเสียง

“ท่านผู้นั้นเป็นคนจ้างวานข้าให้มาทำลายพิธีสมรสของท่าน”

กรินมองตามปลายนิ้วมือของหญิงสาว

“เอ๋... ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงได้กล่าวใส่ไคล้เราเช่นนี้ล่ะ”ชายผู้ถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้จ้างวานลุกขึ้นยืน เจ้าชายทานันศิระยังแย้มพระโอษฐ์เฉกเช่นเดิม ขยับพระหัตถ์เพียงเล็กน้อยก็ปรากฏอาวุธจากมนตราซึ่งถูกซัดใส่หญิงสาวเจ้าปัญหา แต่กรินไหวตัวทันเขาเรียกใช้มนตรากำแพงคุ้มกายก้าวเท้าเข้าบังอาวุธเวทได้ทันท่วงที

“ข้าถามแล้วว่าผู้ใดไม่พอใจการสมรสของข้า ทรงไม่ควรดึงผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง”

ระหว่างนั้น เมดินได้ก้าวเท้าเข้าไปดูหญิงสาวท้องแก่ซึ่งหมดแรงยืนทรุดลงกับพื้น ผู้คนรอบข้างเริ่มแตกฮืออันเนื่องจากพลังเวทของเจ้าชายไม่ใช่อ่อนด้อย หากคนทั้งคู่ปะทะกันจริงคงเกิดความเสียหายไม่ใช่น้อย

“เราเพียงไม่พอใจที่ท่านเป็นน้องแต่จัดงานสมรสก่อนพี่สาว ท่านยังเด็กเกินไปที่จะสมรสกับองค์หญิงน้องของเรา รวมถึงท่านล่วงเกินนาง”

“ท่านพี่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของกรินเลย ข้าผิดเองเจ้าค่ะ”กิรานาก้าวเท้าเข้ามายืนบังอยู่ด้านหน้าของกรินเมื่อเจ้าชายที่นางนับถือดั่งพี่ชายเรียกใช้เวททำลายให้ปรากฏบนฝ่ามือ

“เจ้าเป็นหญิงมิรู้ดอกว่าคำโป้ปดของชายมีมากมายเพียงใด”ทรงตรัสสอน

“ทานันศิระเจ้าทำเช่นนี้สมควรรึ”องค์ราชาสาวพระบาทเข้ามาตรัสถามโอรส “สร้างเรื่องโป้ปดใส่ร้ายสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นเช่นนี้สมควรอยู่ในฐานันดรหรือ”

“ควรถามพระบิดาเช่นกัน องค์หญิงผู้สร้างเรื่องงามหน้าให้ราชสกุลยังสมควรดำรงศักดิ์อยู่หรือ”เจ้าชายทรงกล่าวโต้แย้งอย่างไม่ยอมแพ้

“แต่ไม่ใช่เหตุที่เจ้าควรจะขัดขวางพิธีเช่นนี้”

“แล้วมีเหตุอันใดต้องจัดพิธีเฉลิมฉลองใหญ่โต เพื่อให้ราชสกุลต้องถูกกล่าวถึงในทางเสียหาย”

ทว่าฉับพลันนั้นเองอาวุธเวทรูปร่างคล้ายค้อนยักษ์กลับฟาดใส่พระองค์อย่างไม่ทันตั้งตัว เจ้าชายทานันศิระทรงล้มลงหมดสติในทันใด ทั้งกรินและกิรานาจึงหันไปมองผู้เป็นเจ้าของอาวุธเวทนั้น

ชวิศาทำท่าปาดเหงื่อและพูดออกมาว่า “หวังว่าคงหมดสติไปแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้นนะ”

ด้วยเหตุนั้น พิธีกล่าวสัตย์สาบานของกรินและกิรานาจึงผ่านไปอย่างราบรื่น
 


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบสี่ 03/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 04-12-2017 12:21:12
น้องซี........นางงงงงงทำอาร๊ายยยยย เริศอ่ะ 5555+ o13 o13
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบสี่ 03/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 07-12-2017 09:35:31
สนุกมากกกกก+ไก่พันตัวเลย ซีทำไรไปเนี่ยได้ใจไปสุด ขอบคุณนะคะ ผู้เขียนรักษาสุขภาพด้วยช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบห้า 10/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 10-12-2017 06:45:25
ตอนที่สามสิบห้า



ที่ลานกว้างบริเวณศาลาเมืองกำลังมีงานเลี้ยงสนุกสนาน แต่ชวิศาไม่มีใจจะไปร่วมสนุกด้วยจึงเลี่ยงมานั่งเฝ้าคนที่เขาฟาดอาวุธเวทใส่ที่วังส่วนพระองค์

เขาเพิ่งเคยใช้เวทนี้กับมนุษย์จริง ๆ เป็นครั้งแรก ตอนที่ฝึกใช้ เขาทดสอบกับต้นไม้ในป่าและแน่นอนว่า ต้นไม้แต่ละต้นที่เขาฟาดอาวุธเข้าใส่ล้วนแหลกเละไม่เหลือชิ้นดี กรินถึงยอมให้เขาใช้แค่มนต์บทนี้บทเดียวในการต่อสู้ จากนั้นจึงฝึกลดทอนพลังเวทไม่ให้เป็นอันตรายจนเกินไป เพราะต่อให้ฆ่าผู้ร่วมประลองในประเพณีมาดามายาทั้งหมด เขาก็ไม่มีทางเป็นผู้ชนะ

‘ควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้จักต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่ควรต้องถูกจองจำ’ กรินเคยพูดกับเขาไว้อย่างนั้น

ชวิศาจึงหวังว่า เจ้าชายคงจะไม่เป็นเอ๋อ ปัญญาอ่อนหรือความจำเสื่อมเพราะโดนฟาดจนสลบหรอกนะ แต่ถ้าเกิดเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะดูแลเจ้าชายทานันศิระไปชั่วชีวิต พูดง่าย ๆ ว่าจะพากลับบ้านไปด้วยนั่นล่ะ แค่คิดว่ากลุ่มของพวกเขาจะมีฝาแฝดถึงสามคู่ก็น่าสนุกแล้ว

ชายหนุ่มนั่งคิดพร้อมรอยยิ้ม

“อือ”

เขารีบหันมองไปทางคนที่นอนอยู่บนเตียงทันที เจ้าชายผู้มีพระพักตร์คล้ายคลึงกับสุดฟ้าผู้ซึ่งเป็นชายคนรักของเขากำลังขมวดพระขนง หลังพระเนตรยังปิดสนิทพานให้คนที่นั่งเฝ้ายิ่งรอลุ้น ไม่ช้าไม่นานทรงลืมพระเนตรขึ้นในที่สุด

“ท่าน”พระสุรเสียงแผ่วเบาถูกเปล่งออกมาจากนั้นทรงยันพระวรกายขึ้นประทับนั่ง ชวิศาจึงขยับเข้าไปช่วยพยุง

“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่”เจ้าชายตรัสถามเมื่อกวาดพระเนตรไปทั่วถ้วนและพบว่าห้องนี้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์

“เพราะผมทำให้เจ้าชายสลบไป ผมจึงขออนุญาตมาเฝ้า”

“เราอนุญาตท่านแล้วรึ”

ชวิศากลอกตาคิดหาคำตอบ “ตอนนั้นเจ้าชายยังสลบอยู่ผมเลยถือว่าพระองค์อนุญาตแล้ว”

คนฟังถึงกับแค่นเสียงขึ้นจมูก

“ท่านเป็นคนของกรินเพราะฉะนั้นท่านไม่ควรอยู่ที่นี่”

“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ผมกับคุณกรินเป็นเพื่อนกัน กับเจ้าชายเองผมก็เห็นว่าเป็นเพื่อนเช่นเดียวกัน”

แต่ผู้ฟังกลับนิ่งเงียบไม่กล่าวต่อคำใดทั้งเบือนพระพักตร์หนีไปทางอื่น ถ้าเขาคุยกับคนอื่น ชวิศาคงจะก้มหน้านั่งนิ่งตามไปด้วยเมื่อคู่สนทนาแสดงออกว่าไม่อยากคุยด้วยขนาดนั้น แต่เพราะผู้มีฐานันดรสูงกว่าตรงหน้าดันมีหน้าตาคล้ายคลึงกับสุดฟ้านั่นแหละ เขาถึงไม่อยากให้อีกฝ่ายเมินหนี

“เจ้าชายไม่ชอบคุณกรินหรือครับ”

“ไม่ใช่ไม่ชอบ”ทรงตอบพร้อมรอยแย้มพระสรวล “แต่เรารังเกียจ” เน้นย้ำทุกคำพูดชัดจนชายหนุ่มร่างเล็กคิดในใจว่า

แรง!!!

“ขอถามเหตุผลได้ไหมครับ”

“ท่านจำที่กรินพูดเรื่องพระนางสิตาริกาในงานพิธีสมรสได้หรือไม่”

“จำได้ ...บางส่วนครับ”ชวิศาตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมพร้อมกล่าวตอบออกไป กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดำริถือสาแต่ตรัสต่อไปว่า “เราจะเล่าตำนานตั้งแต่ต้นให้ท่านฟัง พระนางสิตาริกาทรงได้รับการขนานพระนามว่าเป็นเทพแห่งมนตรา เพราะพระนางเป็นผู้ประทานพรให้มนุษย์สามารถใช้มนตราได้ โดยมนุษย์คนแรกที่สามารถใช้เวทได้คือพระสวามีของนาง”ทรงนิ่งเงียบไปครู่ก่อนทรงเอ่ยต่อ

“นางถือกำเนิดกลางทุ่งดอกไม้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดด กระทั่งมีชายคนหนึ่งเดินทางผ่านไปยังทุ่งดอกไม้แห่งนั้น ยามที่เขาพบนางครั้งแรก เขาก็ตกหลุมรักนางทันทีและพยายามทำให้นางยอมแต่งงานกับเขา โดยกล่าวสาบานไว้ว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อนางตราบจนชีวิตจะหาไม่ แต่แล้ววันหนึ่งหัวใจของเขาก็เปลี่ยนไป เขาพบหญิงอื่นและตกหลุมรักนางผู้นั้นเช่นกัน เขาโป้ปดหลอกลวงพระนางสิตาริกาอยู่นานกระทั่งนางจับได้ นางให้เขาเลือกระหว่างนางและหญิงผู้นั้น สุดท้ายเขาก็เลือกหญิงอื่น และทิ้งนางไว้เพียงลำพัง”

“บางทีมันก็เลือกอยากนะ”ชวิศาออกความคิดเห็นในฐานะที่ตัวเองก็เป็นมือที่สามเหมือนกัน และเคยผ่านคำถามทำนองนี้มา แต่โชคดีที่มาริเอะเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่มีเลือดเนื้อจริง ๆ แม้บางครั้งฝ่ายนั้นจะเหมือนมนุษย์จนแยกไม่ออกก็เถอะ แต่อย่างไรก็ตาม ต่อให้มาริเอะเป็นมนุษย์เขาก็จะพูดคุยอย่างสันติเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อยู่ดี เขารักสุดฟ้าไปแล้ว แอบรักอยู่ตั้งหลายปีด้วย วันหนึ่งคนที่แอบชอบหันมามองและตอบกลับความรู้สึกที่มีให้ ใครจะอยากปล่อยมือ

ทว่าเมื่อเจ้าชายปรายพระเนตรมอง เขาก็หุบปากฉับ

“ด้วยเหตุนั้น พระนางจึงสาปลูกหลานของเขาทุกคน หากใครกล่าวคำสาบานและตระบัดสัตย์ต้องพบกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และนางได้ประทานพลังเวทให้กับบุตรของผู้ที่ยึดถือในสัจจะเท่านั้น”

ชวิศาพยักหน้ารับแต่เขายังไม่เห็นสาเหตุที่กรินจะโดนเจ้าชายรังเกียจเลย

“นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมบุตรชายและหญิงที่กำเนิดจากคู่แต่งงานที่ไม่กล่าวสัตย์สาบานจึงไม่มีพลังเวท แต่ทำไมกรินถึงไม่มีพลังเวทล่ะ”

เออ... ทำไมล่ะ ใบหน้าของชวิศาก็แสดงความสงสัยเช่นเดียวกัน และเจ้าชายทานันศิระก็ยอมเฉลยข้อสงสัยนั้นให้

“นั่นเพราะกรินคือดวงจิตของชายคนนั้น”

ชวิศากะพริบตาปริบ ๆ เขานับถือพุทธศาสนาจึงมีทัศนคติเรื่องเวียนว่ายตายเกิดแต่ว่า “ชาวเมืองฮัชดาลลาร์ไม่มีความเชื่อเรื่องนี้ไม่ใช่หรือครับ”

“แล้วท่านจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร”

เขาไม่เก่งพอซะด้วย ชายหนุ่มคิดพลางยกมือขึ้นเกาศีรษะ

“ความเชื่อของเราก็ไม่ผิด เมื่อชีวิตดับสูญร่างกายย่อมคืนสู่ดิน พลังเวทและดวงจิตจะแตกสลายเพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของอากาศธาตุ แต่นานวันเข้าดวงจิตนั้นจะรวมก่อกำเนิดและมาสิงสถิตอยู่ในกายมนุษย์อีกไม่ได้หรือ”

“เพราะเรื่องนั้น เจ้าชายถึงรังเกียจคุณกรินหรือครับ”

“ท่านอยู่กับกรินคงรู้ว่าเขาพยายามขวนขวายเพื่อให้ตนเองใช้เวทได้มากเพียงใด”

ชวิศาพยักหน้ารับ มีความรู้เชี่ยวชาญขนาดนั้นคงไม่ใช้เวลาแค่วันสองวันในการได้ความสามารถเหล่านั้นมา

“น่ารังเกียจที่เขาไม่แม้แต่สำนึกตนว่าทำผิดสิ่งใดไว้ ยังพยายามตะเกียกตะกายต่อต้านโชคชะตา แทนที่จะอยู่อย่างเจียมตน”

แค่ได้ฟัง ชวิศายังรู้สึกแย่ไปด้วย เขาเรียนไม่เก่ง ทำอะไรก็ไม่ดี โดนคนอื่นดูถูกดูแคลนว่าเกิดมาหน้าตาดีกับเป็นหลานรักคุณย่าเท่านั้น ชีวิตถึงได้ราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ ถึงอย่างนั้นพี่โยก็ไม่เคยบอกให้เขาอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องพยายามทำอะไรสักหน่อย

“ทำไมล่ะ การที่เราจะพยายามทำอะไรสักอย่างมันผิดเหรอ”เขาถาม “ความพยายามเป็นเรื่องน่าภูมิใจต่างหาก เจ้าชายทรงไร้เหตุผลมาก ๆ ไม่แน่ว่า...”ชวิศาพยายามเค้นสมองนึกหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ตามที่ตนเคยเรียนมา เขาเรียนคณะวิทยาศาสตร์นะเนี่ย ทำไมความรู้ในสมองถึงได้ว่างเปล่าขนาดนี้

“ไม่แน่ว่า... พลังเวทของคุณกรินอาจเป็นแบบพิเศษ ที่... ที่...ยังไม่เคยมีใครมีมาก่อน พลังเวทของคุณกรินเป็นแบบไร้ธาตุ มัน... เป็นพลังเวทที่สลายการโจมตีของทุกธาตุได้และลบเวทมนตร์ทุกบทได้”

“เช่นนั้นท่านควรไปพร่ำเพ้อให้สหายของท่านฟัง”

ชวิศาหน้างอ เถียงอะไรไม่ได้จึงกล่าวพาลพาโล“ทั้งที่หน้าตาเหมือนคุณสุดฟ้าแท้ ๆ ทำไมนิสัยแย่อย่างนี้”

“เราก็มิใช่คนรักของท่าน มันเป็นความผิดของท่านเองที่คาดหวังว่าเราจะเหมือนคนรักของท่าน”

“เออ!!!”ชวิศากระแทกเสียง ลุกขึ้นยืนพร้อมกระแทกเท้าตึง ๆ เดินออกไปด้วยความโมโหกรุ่นโกรธ เขาอุตส่าห์เป็นห่วง และคิดเสมอว่าอีกฝ่ายเป็นคนดี ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีใจคับแคบแบบนี้ ตั้งแง่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชวิศาเดินบ่นไปตลอดทาง พ้นรั้วพระราชวังของเจ้าชายทานันศิระออกมาแล้ว เขามุ่งหน้าตรงกลับไปที่ลานกลางเมืองสถานที่จัดงานฉลองพิธีสมรสของกริน

งานเลี้ยงยังคงสนุกสนานครึกครื้นแม้ว่าพิธีในช่วงเช้าจะผ่านไปอย่างขรุขระ ผู้คนมากมายร่วมกินดื่มชมการแสดงอยู่เต็มลานกว้าง มองดูคล้ายงานประจำปีมากกว่างานฉลองงานสมรส

ชวิศาขมวดคิ้ว คนเยอะขนาดนี้เขาคงไม่มีทางหาเจ้าบ่าวเจอง่าย ๆ ยิ่งโมโหอยู่ด้วยไม่มีอารมณ์จะเดินตามหาหรอกนะ เขาจึงป้องปากส่งเสียงร้องตะโกน

“คุณกริน คุณกรินอยู่ไหน”

คนที่ยืนอยู่แถวนั้นต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว ก่อนจะมีใครสักคนตะโกนตอบกลับมาว่า “ท่านกรินไม่อยู่หรอก พาท่านกิรานากลับไปแล้ว”

อ้าว! ซะงั้น แต่กระนั้นชวิศาก็ร้องตะโกนขอบคุณออกไป เดินย้อนห่างจากลานกลางเมืองมาอีกเล็กน้อย ชายหนุ่มก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าตอนนี้ไม่รู้ว่ากรินอยู่ที่ไหน คฤหาสน์ที่บิดาของกรินเป็นเจ้าของอยู่คนละฝากกับเรือนหอของกรินเลย ถ้าคิดง่าย ๆ แบบไม่ซับซ้อนกรินควรจะอยู่ที่เรือนหอ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าหลังพิธีกล่าวคำสาบานแล้วจะต้องมีพิธีการยกน้ำชาให้พ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกหรือเปล่า หรือการส่งตัวเข้าหอจะต้องทำพิธีกันที่บ้านเจ้าสาว

เขารู้แน่ว่า คืนนี้กรินกับกิรานาต้องกลับไปนอนที่เรือนหอ แต่ฟ้ายังแจ้งขนาดนี้ สองคนนั้นจะกลับไปที่ไหนล่ะ น่าเบื่อยุคที่ไม่มีโทรศัพท์แบบนี้จริง ๆ กรินเองก็ไม่ยอมสอนเวทมนตร์ที่เป็นนกบินไปบินมาส่งสารให้กันบ้าง

แล้วชวิศาก็นึกขึ้นได้ มีมนตราบทหนึ่งที่กรินเคยสอน เขาเหลียวซ้ายแลขวามองรอบตัว แถวนั้นมีผู้คนมากเกินไปเขาจงเดินหาที่หลบตามซอกอาคาร จากวันนั้นถึงวันนี้ ชายหนุ่มคิดว่าตนเองมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมาแล้ว เขาจึงคิดว่าน่าจะใช้มนตราบทนี้ได้คล่องแคล่วมากกว่าเดิม

เขาแบมือ เรียกใช้อำนาจพลังธาตุตามที่กรินเคยสอน ไม่ได้เรียกใช้ตามคำคาถาปกติ ผสมกลุ่มก้อนอำนาจธาตุในระยะขอบเขตของฝ่ามือ จนได้รูปแบบมนตราที่ต้องการก่อนเพิ่มพลังเวทขยายอำนาจขอบเขตลงไป ชวิศาใช้พลังเวทจนมนตรานั้นครอบคลุมทั้งเมือง กำหนดจิตตั้งมั่นระบุบุคคลที่ตามหา เพียงครู่เดียวเขาก็เห็นสถานที่ที่กรินอยู่ ชายหนุ่มจึงสลายมนตราที่ใช้ และก้าวทางไปยังทิศทางดังกล่าว




กิรานาอาการไม่ดีนัก เขาจึงพาเธอกลับมาพักผ่อน

หลังจากกล่าวคำสัตย์สาบานเพื่อใช้ชีวิตครองคู่ พวกเขาถือว่าครอบครัวใหม่ สามารถแยกออกมาอยู่บ้านของตนต่างหากได้ทันที กรินจึงพาหญิงคนรักมาพักยังคฤหาสน์หลังใหม่

“ไม่น่าเชื่อว่าคฤหาสน์หลังนี้จะอุบัติขึ้นเพราะพลังเวทของเจ้านั่น”หญิงสาวพูดค่อนแคะ เธอนั่งกึ่งนอนพิงหมอนอยู่บนเตียงสี่เสาหลังงาม หลังคาของเตียงขึงผ้าปักลายจันทราและหมู่เมฆ เสาเตียงทั้งสี่มุมมีผ้าม่านที่ถูกรวบไว้ด้วยเชือกถักสีทอง ในห้องกว้างยังมีเครื่องเรือนอื่นตั้งประดับ ทั้งชุดเก้าอี้ ฉากกั้นสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า ประตูหน้าต่างฝั่งระเบียงก็กรุกระจกทั้งแทบ กันแสงด้วยม่านสีขาวโปร่งบาง

“สร้างคฤหาสน์ได้หลังใหญ่โตขนาดนี้ ท่านเชื่อหรือยังว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญมนตรา”

กรินส่ายศีรษะ “ข้าเป็นคนเขียนวงเวทให้เขา เพียงแต่ข้าไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์ที่ได้จะงดงามอลังการเท่านี้”

“แต่ความมุ่งมาดของเขาต้องมีส่วน ไม่มีทางที่วงเวทจะสร้างสิ่งใดได้ละเอียดลออเช่นนี้”

“ข้าไม่โต้เถียงในข้อนี้ แต่ถ้าจะให้การใช้มนตราของเขาถูกเรียกว่าเชี่ยวชาญ คงต้องอีกสักสองสามปีเป็นอย่างน้อย”กรินพูด พลางประคองให้หญิงสาวเอนตัวลงนอน“ท่านพักผ่อนเถอะที่รัก พิธีวันนี้คงทำให้ท่านเหนื่อยมากแล้ว”

“การแต่งงานครั้งนี้ท่านเต็มใจหรือไม่”กิรานาเอ่ยถาม ความคลางแคลงสงสัยบังเกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากเหตุการณ์ติดขัดของพิธีในช่วงเช้า

“ข้าเต็มใจ ท่านไม่ต้องห่วง ขอให้ท่านดูแลลูกคนนี้ของข้าให้ดีเป็นพอ”

“หากเขาใช้มนตราไม่ได้ ท่านจะเสียใจหรือไม่”

“พระนางสิตาริกาไม่มีทางตระบัดสัตย์เสียเอง”เขากล่าวปลอบใจ

ภาพรวมภายนอกเหมือนว่าฮัชดาลลาร์จะเป็นอาณาจักรที่สงบสุขก็จริง แต่ผู้ไร้ซึ่งมนตราย่อมถูกเหยียบย่ำอย่างง่ายดาย และไม่อาจคร่ำครวญกล่าวโทษผู้ใดได้นอกจากบิดามารดาของตนที่รักตัวเองจนเลือกให้บุตรต้องพบกับความอัปยศทุกข์ทรมาน

“ท่านก็ทราบผู้ถือครองอำนาจแห่งธาตุพิเศษ พลังเวทนั้นจะหมดไปเมื่อตั้งครรภ์ แต่ข้ายังใช้พลังได้อยู่ แม้พลังแห่งการทำนายจะไม่แม่นยำเหมือนแต่ก่อน”

“อย่าเพิ่งคิดกังวลไปเลย เวลานี้ข้าขอเพียงให้เขากำเนิดขึ้นมาพร้อมร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ปัญหาอื่นใดที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าข้าจะเป็นผู้ขจัดมันเอง”กรินกล่าวย้ำให้หญิงคนรักสบายใจ จากนั้นจึงเตือนให้เธอหลับพักผ่อน ชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างเตียงจนเธอหลับสนิท กระทั่งจับสัมผัสพลังเวทของมนตราดวงเนตรโยฮาน่าอันเป็นเวทสอดแนมได้ เขาถึงลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้อง สาวเท้าเข้าชิดริมระเบียงที่เห็นถนนทางเดินหน้าคฤหาสน์ บนถนนสาธารณะยังไร้เงาผู้คน แต่พลังเวทที่สัมผัสได้นั้นเป็นของชวิศาไม่ผิดแน่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้มนตราเพื่อตรวจสอบสิ่งใด

ชายหนุ่มเรียกกระดาษคาถาออกมาจากอัญมณี มันกลายร่างเป็นนกตัวสีขาวทันทีที่สัมผัสอากาศ

“ไปดูว่าเขาอยู่ที่ใดแล้วรีบกลับมารายงาน”

กรินปล่อยเจ้านกตัวนั้นให้บินออกไปหลังจากที่มันผงกหัวเหมือนรับคำ ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน มันก็บินกลับมา เมื่อกรินแตะตัวมัน เจ้านกตัวนั้นได้กลายเป็นกระดาษเช่นเดิมพร้อมข้อความคำตอบ

ชายหนุ่มเลิกคิ้วทั้งแปลกใจทั้งสงสัยอยู่ในที จึงลงมารออีกฝ่ายที่หน้าคฤหาสน์

“คุณกริน”เสียงร้องเรียกชื่อดังมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงเสียอีก

“เจ้าใช้มนตราดวงเนตรโยฮาน่าทำไม”กรินเอ่ยถามทันทีที่เดินนำพาอีกฝ่ายเข้ามาในคฤหาสน์แล้ว

“คุณจับสัมผัสได้ด้วยเหรอ ว้า... อะไรกัน คิดว่าดีแล้วเชียว”

“ตอบคำถามข้าก่อนซี”

“ก็จะหาคุณกรินแหละ ผมไม่แน่ใจว่าคุณอยู่ที่ไหน”

“เจ้าใช้พลังได้เสียเปล่ายิ่ง แค่ตามหาคน เจ้าควรใช้เวทตามหา”

“ผมไม่รู้นี่ ผมรู้จักแต่มนต์บทนี้อะ ใครจะทำไม”เขาพูด “อย่ามาว่านะ กำลังโมโหอยู่ด้วย” ทีแรกเขากำลังจะหายโมโหอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดเหมือนตำหนิขึ้นมาอีก อารมณ์จึงคุกรุ่นอีกรอบ

“ใครทำให้เจ้าโมโห ไม่ใช่เจ้าไปนั่งเฝ้าเจ้าชายทานันศิระหรือไร”

ชวิศาถึงได้เริ่มบ่นว่าเจ้าของนามที่ถูกพูดถึงยาวเป็นกระบุง ใส่อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวลงไปด้วย เพราะฉะนั้นกว่าจะเล่าระบายความโกรธจบเขาจึงเหนื่อยหอบ

“แล้วคุณกรินคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“ข้าไม่มีความคิดเห็น”กรินตอบออกไป “ในอดีตกาลข้าเป็นชายคนนั้นแล้วอย่างไร ข้าก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก”

“เออ... อย่างนั้นใช้พลังของผมพาพวกเราย้อนกลับไปไหม”

“กลับไปแล้วเจ้าจักทำสิ่งใด เกลี้ยกล่อมไม่ให้ชายผู้นั้นทิ้งพระนางสิตาริกานะหรือ เจ้าจะพูดอย่างไรให้เขาเชื่อ บอกว่าข้าคือตัวตนในอีกชาติพบของเขาหรือ แต่เจ้าอย่าลืม  เขาก็คือเขา และข้าก็คือตัวข้า ลองคิดดูว่า เขาจำต้องใส่ใจความเดือดร้อนของคนผู้อื่นหรือไร”

“อ้าว แต่คุณกรินใช้พลังเวทไม่ได้นะ”

“ข้าก็พยายามหาหนทางอื่น ใช่ว่าผู้ที่ไร้มนตราจะไม่สามารถใช้เวทได้ตลอดชีวิตเสียเมื่อไหร่”กรินพูดอธิบายต่อ “มนุษย์ทุกคนล้วนมีพลังชีวิตคอยขับเคลื่อนกายเนื้อ แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนก่อเกิดจากธาตุทั้งห้า ข้าไม่เชื่อว่าตนเองจะไม่สามารถใช้พลังเวทได้ เพียงแต่ ณ เวลานี้ยังหาหนทางดึงพลังเวทออกมาใช้ไม่ได้เท่านั้น”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “ผมมานอนที่นี่ด้วยนะ”

“แต่ที่นี่ไม่มีสาวรับใช้คอยทำอาหารให้”

“คุณกรินลืมไปแล้วเหรอ ผมน่ะพ่อครัวมือทอง เรื่องแค่นี้จิ๊บ ๆ”ชายหนุ่มพูดอวดพร้อมอาสาจัดการเรื่องอาหารการกินให้คู่ข้าวใหม่ปลามันให้เสร็จสรรพ จากนั้นชวิศาได้ถามถึงมนตราที่เป็นรูปร่างของนกซึ่งใช้สำหรับส่งสารและเวทสำหรับตาหาคนที่กรินเคยพูดบอกไว้ก่อนหน้า

ชวิศาสามารถสร้างนกน้อยของตัวเองได้ภายในเวลาไม่นาน ด้วยความที่มันเป็นมนตราที่ใช้พลังเวทเพียงเล็กน้อย โดยแม้จะดึงอำนาจพลังธาตุที่มีน้อยที่สุดในร่างกายออกมา ยังสามารถใช้มนต์บทนี้ได้ เขาจึงสนุกกับการสร้างนกหลากสีสันในช่วงเวลาที่กรินขอตัวไปทำงานอื่น

ยามเมื่อตะวันคล้อยใกล้ลาลับขอบฟ้า กรินและกิรานาเดินทางกลับไปยังลานกว้างหน้าศาลากลางเมืองอีกครั้ง คราวนี้เขาทั้งสองอยู่ในชุดเสื้อผ้าสีขาวเดินดิ้นทอง ปักลายเครือเถาดอกไม้ที่สอดคล้องเข้าคู่กัน

พิธีในช่วงค่ำจะมีการกล่าวอวยพรจากองค์ราชาซึ่งเป็นประธานในพิธี และทรงพระราชดำเนินนำคู่แต่งงานไปยังเรือนหอ โดยมีชาวเมืองยืนต่อแถวเป็นทางยาวตลอดสองฝั่งถนนจนไปถึงคฤหาสน์พร้อมทั้งโปรยดอกไม้ไปตลอดเส้นทาง ถนนหนทางสว่างไสว่ด้วยแสงโคมเทียนดูสวยงามจนชวิศาอยากจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป เสียงเพลงรักจังหวะเนิบช้าดังคลอออกมาจากผู้ร่วมงานทุกคนตลอดเวลา

ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมกรินต้องจัดงานเลี้ยงแบบไม่อั้นยาวนานตลอดทั้งวัน เพราะถ้าเลี้ยงดูปูเสื่อแบบอัตคัด พิธีช่วงค่ำคงล่มได้ง่าย ๆ

เพียงแต่เพิ่งผ่านไปได้ครึ่งทางเท่านั้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันพลันบังเกิดขึ้น เสียงตูมดังขึ้นพร้อมลูกไฟเวทซึ่งเป็นเวทประเภทระเบิดทำลายได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าโดยน้อยคนนักจะตั้งตัวได้ทัน ชวิศาโดนเคี่ยวเข็ญมาอย่างหนักในการใช้มนตราป้องกันจึงสามารถเรียกใช้พลังเวทได้ทันท่วงที แต่มีชาวเมืองหลายคนที่บาดเจ็บ ซ้ำร้ายลูกไฟเวทยังปรากฏขึ้นแบบรัวกระหน่ำทำให้ทุกอย่างยิ่งกว่าโกลาหล ผู้คนหนีตายกันอลหม่านพร้อมเสียงระเบิดที่ดังต่อเนื่องไม่หยุด

เขาอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของมนตรากำแพงคุ้มกายยังเผลอยกมือขึ้นกันด้วยอารามตกใจ มองเห็นนักเวทบางคนพยายามสร้างม่านพลังเพื่อป้องกันช่วยเหลือชาวเมืองคนอื่นบ้างเช่นกัน เพียงแต่ลูกไฟเวทกลับปรากฏโผล่ขึ้นในเกราะป้องกันอย่างน่าประหลาด ดังนั้นเลือดสีแดงจึงนองพื้นและมีร่างของผู้คนที่ไร้ชีวิตนอนเกลื่อน รอบตัวมีแต่ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกระนั้นลูกไฟเวทเหล่านั้นก็ยังปรากฏอย่างต่อเนื่องไม่หยุดเสียที

ชวิศาเริ่มขวัญเสีย จับต้นชนปลายไม่ถูก มองหากรินก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน

“หยุด!!!”เขาร้องออกมาพร้อมทรุดตัวลงนั่งยกมือขึ้นกุมศีรษะ เสียงอึกทึกยังดังข่มขวัญเขาไม่หยุดหย่อน

“บอกให้หยุดไง!!!”

เสียงของชวิศาดังก้องไปทั่ว พริบตาต่อมาทุกอย่างก็หยุดนิ่งสนิทและเงียบกริบไร้สรรพเสียงใด จนคนที่นั่งก้มหน้ากอดเข่าคู้ตัวอยู่กับพื้นยังแปลกใจ เขายังนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นอีกชั่วครู่ใหญ่กว่าจะเงยหน้าขึ้นมองรอบตัว

ซวยแล้ว!!!

ชายหนุ่มร่างเล็กร้อนรนยิ่งกว่าเดิม เพราะกลายเป็นว่าผู้คนในเมืองกลับหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลาไว้ ไม่เว้นแม้แต่ก้อนอิฐดินหรือสิ่งของที่ถูกแรงอัดของพลังเวทจนลอยลิ่วสูงจากพื้น ยังนิ่งค้างกลางอากาศเช่นนั้น แต่ลูกไฟเวทที่เคยกระหน่ำโจมตีเข้าใส่ได้หายไปแล้ว

เขาเผลอทำอะไรไปอีกแล้ว ชวิศาหันซ้ายหันขวามองรอบตัวด้วยอาการแตกตื่น เขาคิดอะไรไม่ออกและไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไรด้วย แต่สายตากลับมองหากริน

กรินและกิรานาสวมชุดสีขาวแตกต่างจากคนอื่นทว่าในช่วงชุลมุนก่อนหน้ากลับมองเห็นได้ยาก และถึงแม้ว่าทุกอย่างจะหยุดนิ่งเช่นนี้ ชวิศาก็ไม่ได้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยกระทั่งเขาได้พบกรินกำลังประคองตัวกิรานาหยุดนิ่งอยู่กับที่ในท่วงท่าคล้ายกำลังก้าวเท้าหนี

“คุณกริน แย่แล้ว”เขาร้องบอกพลางวิ่งตรงเขาไปหา “ผมเผลอทำอะไรไปก็ไม่รู้”

เขาลุกลี้ลุกลนคว้าจับข้อมือของกริน มันยอมขยับตามการดึงของเขา ชวิศาจึงวางนิ้วประสานเข้ากับมือของกริน ส่งเสียงเรียกพร้อมถ่ายเทพลังเวทเหมือนที่เคยทำยามที่ต้องขับเคลื่อนมนตราผ่านวงแหวนเวท

“ทำยังไงดีล่ะ คุณกริน”

ทว่าอึดใจต่อมาร่างนั้นกลับสะบัดมือออกทรุดตัวลงกับพื้นและกระอักเลือด

“คุณกริน”เขาร้องเรียกชื่ออย่างใจเสีย

“เจ้าจะฆ่าข้ารึ”กรินหันมาตวาดใส่ มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกและไอออกมาไม่หยุด ถูกอัดพลังเวทที่ไม่มีการปรับแต่งใส่เข้ามาในร่างกายก็เหมือนโดนหมัดหนัก ๆ ชกรัวโดยไม่มีการป้องกัน

“ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ”พูดตอบด้วยใบหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้ กรินถึงได้กวาดสายตามองรอบตัว นึกอยากจะต่อว่าแต่มันก็ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายหยุดชะงัก เขาแบมือออกไปซึ่งชวิศาก็วางมือลงทันที กรินรักษาตัวเองเป็นอันดับแรก จากนั้นลุกขึ้นยืนมองหาผนึกดวงจิตที่เคยถือไว้ในมือก่อนจะโดนสะบัดหายเพราะวิธีคลายเวทแสนรุนแรงของชวิศา

เมื่อเจอแล้วจะนำมันเก็บใส่อัญมณีช่องว่างมิติแต่กลับทำไม่ได้ จึงได้รู้อีกอย่างว่านี่เป็นเขตแดนของชวิศา พลังเวทของผู้อื่นย่อมไม่มีผล

“ข้าขอพากิรานากลับไปที่คฤหาสน์ก่อน”เขาช้อนตัวหญิงสาวคนรักขึ้นอุ้มและยื่นมือไปให้ชวิศาจับอย่างทุลักทุเล พริบตาต่อมาพวกเขาทั้งสามก็ปรากฏตัวที่คฤหาสน์เรือนหอหลังงาม ชายหนุ่มพาร่างของเธอไปนอนบนเตียง ระหว่างนั้นเสียงดังสนั่นอันเกิดจากการระเบิดก็กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับกิรานาที่เธอรู้สึกตัวคลายจากมนต์

“เวทคลายแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้น”หญิงสาวถาม มองสำรวจห้องนอนด้วยความงงงันสับสนเนื่องเพราะครู่ก่อนเธอยังอยู่บนถนนข้างนอก

“เกิดเรื่องแล้ว ข้าคงต้องไปดูเหตุการณ์”

“แต่...”เธอจะกล่าวแย้ง

“ไม่เป็นไร ซีก็อยู่กับข้าด้วย อยู่แต่ในที่ปลอดภัยอย่าให้ข้าต้องเป็นห่วง”เขากำชับ ด้วยเหตุนั้นกิรานาจึงต้องจำยอมพยักหน้ารับ กรินแบมือให้ชวิศาวางมือลงไป เมื่อกระชับมือของชวิศาไว้ในอุ้งมือแล้ว ร่างของพวกเขาทั้งสองคนได้หายวับไปทันที



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

สนุกมากกกกก+ไก่พันตัวเลย ซีทำไรไปเนี่ยได้ใจไปสุด ขอบคุณนะคะ ผู้เขียนรักษาสุขภาพด้วยช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว

เห็นนักอ่านสนุกกับนิยายเรื่องนี้เราก็ดีใจ
แต่ถ้าท่านใดขัดใจตรงไหนก็บอกได้นะ อาจจะไม่ได้เขียนแก้แต่จะเอาไว้เป็นไอเดียสำหรับเขียนเรื่องต่อไป(ยิ้ม)
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบห้า 10/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 11-12-2017 13:32:06
งานเข้าแล้วววววว กดสคลิปเป็นอาทิตย์ต่อไป ปิ้ง เอ๊าไม่ผลแหะ รอๆๆๆๆๆ ปูเสื่อรอ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบหก 17/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 17-12-2017 07:28:03

ตอนที่สามสิบหก



หลังจากเกิดเหตุโจมตีขบวนบ่าวสาวในพิธีสมรสของบุตรชายคนที่ห้าของปราชญ์ลำดับที่หนึ่งและองค์หญิงนักทำนาย กำลังทหารของเมืองซึ่งมีหน้าที่ดูแลความสงบควบคุมเหตุร้ายได้เคลื่อนขบวนมายังจุดเกิดเหตุ และแน่นอนว่า ไม่มีใครรับรู้ถึงช่วงเวลาซึ่งหยุดนิ่งในระหว่างที่มนตราอันเกิดจากพลังเวทของชวิศามีผล

พวกเขาถือคทาไว้ในมือ ซึ่งคทานั้นเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเชื่อมโยงพลังเวทและขยายอำนาจพลังให้มากขึ้น ทหารหลายนายยืนประจำตำแหน่งล้อมรอบจุดเกิดเหตุ เรียกใช้มนตราป้องกันเวททำลายล้างและลบพลังเวทของผู้อื่นในเขตพื้นที่ ม่านพลังที่เรืองแสงสว่างครอบคลุมคนเจ็บทั้งหมด ทว่าระหว่างนั้นก็ยังปรากฏลูกไฟเวทที่กระทบกับม่านพลังป้องกันอยู่เนือง ๆ

ชาวเมืองที่ได้รับบาดเจ็บถูกเคลื่อนย้ายไปยังสำนักแพทย์และสถานที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่การโจมตีที่เกิดขึ้นทั้งหมดในค่ำคืนนั้น แสงสว่างวาบและเสียงระเบิดซึ่งเกิดจากการที่ลูกไฟเวทกระทบวัตถุยังคงดังข่มขวัญผู้คนอย่างต่อเนื่อง นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์อุกอาจร้ายแรงที่สุดในรอบหลายร้อยปีทีเดียว



กรินพาชวิศามาปรากฏตัวที่หน้าคฤหาสน์ของตนเพื่อกางเขตแดนป้องกันตัวอาคารไม่ให้ใครรุกล้ำผ่านเข้าไปได้ จากนั้นจึงใช้มนตราดวงเนตรโยฮาน่าตรวจสอบกลุ่มที่โจมตีขบวนพิธี พวกนั้นอยู่ใกล้จุดที่ถูกโจมตีมาก แต่เพราะใช้พลังซ่อนเวทไว้และให้มันปรากฏเมื่ออยู่ใกล้กลุ่มคน ชาวเมืองจึงตั้งรับไม่ทันแม้หลายคนจะสามารถใช้เวทป้องกันได้ก็ตาม รวมทั้งยังใช้เวทเสริมบางบทที่ทำให้ลูกไฟเวทผ่านม่านพลังป้องกันเข้าไปได้

กรินดึงอัญมณีประจุมนตราออกมาจากช่องมิติ ทำการลงผนึกเวทที่ทำให้พวกเขากระโดดหากันได้แม้จะอยู่คนละสถานที่ และส่งมันให้ชวิศาเก็บไว้

“ข้าจะไปส่งเจ้ายังที่ที่พวกมันอยู่ เจ้าจงจัดการพวกมันอย่าให้เหลือ แล้วค่อยใช้เวทในอัญมณีตามไปสมทบกับข้า”

“แล้วคุณจะไปไหน”

“ข้าจะไปจัดการกับตัวหัวหน้าไงล่ะ”

“คุณกรินอย่าทำร้ายเจ้าชายเลยนะ”

กรินกลอกนัยน์ตาด้วยสีหน้าหงุดหงิด “เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของเมดินต่างหาก” คนฟังถึงกับตะลึงงันจับต้นชนปลายไม่ถูก

“แต่... คุณเมดินบอกว่า...”

“เจ้าชายทานันศิระเป็นผู้หยิ่งในเกียรติของราชวงศ์ถึงเพียงนั้น ทรงไม่มีทางทำร้ายประชาชนในปกครองอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้หรอก”

ถึงจะได้ฟังคำอธิบายชวิศาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “แต่เมื่อกลางวัน...”

“เวทที่รูปลักษณ์เหมือนอาวุธใช่จะมุ่งหมายทำลายเสมอไป”

“แต่ก่อนหน้า คุณกรินกับคุณกิรานาพูดถึงเรื่องเหตุการณ์นองเลือดจากนิมิต และยังพูดเป็นทำนองว่าจะเป็นฝีมือเจ้าชายทานันศิระ”

กรินนึกว่าวันนั้นชวิศาจะไม่ได้สนใจฟังที่พวกเขาหารือกันเสียอีก

“เพราะเมดินเป็นคนให้ข่าวสารเรื่องการซ่องสุมผู้คนของเจ้าชาย อีกอย่างภาพนิมิตมาจากชะตาที่เจ้าต้องเผชิญ มันย่อมเกี่ยวพันกับเจ้ามากกว่าคนในเมือง ที่จริงแล้วการทำนายเหตุการณ์ของอาณาจักรต้องใช้ลูกแก้วเท่านั้นแต่เพราะกิรานาตั้งครรภ์ พลังของเธอจึงอ่อนลงทำให้มองไม่เห็นภาพนิมิตในลูกแก้ว”

“ไม่เข้าใจเลย”ชวิศาพูด

“ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าขอแรงเจ้าช่วยจัดการพวกที่ก่อความวุ่นวายก่อนเท่านั้น”กรินคว้าจับมือชวิศาไว้ ใช้อำนาจพลังธาตุพิเศษย่นย่อระยะทาง พาชวิศาไปส่งยังอาคารแห่งนั้น

กลุ่มที่โจมตีขบวนพิธีของกรินซ่อนตัวอยู่ในอาคารซึ่งผนังฝั่งหนึ่งสามารถมองเห็นภาพด้านนอกด้วยพลังเวท หลายคนกำลังสร้างลูกไฟเวทไว้บนฝ่ามือ และมีชายอีกคนกล่าวคาถาให้มนตราระเบิดทำลายนั้นเลือนรางมองเห็นได้ยาก แต่น่าแปลกที่แม้พวกเขาจะปรากฏตัวอย่างฉับพลันเช่นนี้กลับไม่มีใครหันมาให้ความสนใจ

“จัดการโดยค้อนฟาดเลยอะนะ”ชวิศาพูดถาม แต่กรินยังเงียบ เขาขมวดคิ้วเดินเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้นด้วยความสงสัย ลองวางมือลงบนบ่าของชายคนหนึ่ง ทว่าอีกฝ่ายไม่แม้จะหันกลับมามอง

“พวกนี้โดนเวทควบคุมไว้”

“แล้วจะทำยังไง”

คำถามของชวิศาไม่ทันจบประโยค กรินได้ใช้อำนาจเวทจากอัญมณีดวงจิตเป่ามนต์นิทราให้ผู้คนในที่นั้นหลับใหลไร้สติ เวทควบคุมเป็นการใช้มนตราบังคับให้คนที่อยู่ในอำนาจกระทำในสิ่งที่เจ้าของมนตราเวทนั้นต้องการ ส่วนมากไม่สามารถใช้คำสั่งที่ยุ่งยากซับซ้อนกับผู้ถูกมนตราได้ เพราะเวทคาถาบทนี้แค่ผู้ถูกมนตรามีอำนาจจิตและกำลังสมาธิที่กล้าแข็งก็สามารถคลายคาถาได้  แต่เนื่องจากกรินไม่มีเวลาตรวจสอบ เขาจึงทำเพียงแก้ไขเฉพาะหน้าไปก่อนเท่านั้น

เมื่อเจ้าของพลังเวทหมดสติ ภาพบนผนังจึงจางหายไปด้วย แต่เสียงอึกทึกจากด้านนอกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

“เหตุการณ์จลาจลคงลุกลามไปทั่วเมืองแล้ว”ชายหนุ่มชาวเมืองฮัชดาลลาร์เอ่ย เขาแบมือให้ชวิศาวางมือลงมาอีกครั้ง ใช้พลังเวทตามหาคนที่เขาต้องการเจอตัว ทว่าไม่ว่าจะใช้มนตรากี่ครั้งก็ไม่พบ ชายหนุ่มร่างเล็กได้แต่ยืนมองคนตรงหน้าที่ขมวดคิ้วด้วยอาการหงุดหงิด

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”ชวิศาถามด้วยอาการกล้า ๆ กลัว ๆ

“ข้าใช้เวทตามหาเมดินไม่เจอ”

คนฟังกะพริบตาปริบ ๆ “เมดินเป็นคนวางแผนก่อความวุ่นวายในวันนี้จริง ๆ หรือ”

“อืม เมดินอยากเป็นราชาองค์ต่อไป”

“คุณเมดินบอกกับคุณกรินอย่างนั้นเลยเหรอ”ชวิศาออกอาการตื่นเต้น “แล้วไม่ใช่ว่าใครที่ชนะเลิศในประเพณีมาดามายาจะได้มีโอกาสเป็นราชาของอาณาจักรหรอกเหรอ”

ระหว่างที่เขาเอ่ยถามเรื่องที่สงสัย กรินได้คว้าจับมือเขาออกไปนอกอาคารและโอบชายหนุ่มร่างเล็กเข้าแนบชิด จากนั้นก้าวเท้าเหยียบอากาศว่างเปล่าด้วยมนตราอีกบท พาตัวเองลอยขึ้นสูง เสียงลมกลางคืนหวีดหวิวก้องหู โดยมีเสียงตูมตามและแสงสว่างวาบเกิดขึ้นเป็นจุด ๆ

“ใช่ แต่บังเอิญว่าเมดินได้อันดับสองในการประลองมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงต้องการกำจัดผู้ชนะอันดับหนึ่งทิ้งเสียอย่างไรล่ะ”

“ถ้าต้องการกำจัดอันดับหนึ่ง แล้วทำไมต้องสร้างเรื่องใหญ่โตด้วย”

กรินได้ยินคำถามนั้น แต่สายตาพลันเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งหนีจากการไล่ล่าจากตำแหน่งมุมสูงเหนือน่านฟ้า เขาจึงก้าวเท้าลงไปขวาง กลุ่มคนที่ถูกไล่ล่าประกอบหญิงสาวและเด็ก ๆ อีกสามคน

“เจ้ารู้จักภาษิตที่ว่า ยิงลูกธนูนัดเดียว ได้นกสองตัวไหมเล่า”กรินกล่าวตอบพร้อมกับเรียกดาบออกมาจากช่องว่างมิติ กระโจนเข้าหาชายฉกรรจ์สี่ห้าคนตรงหน้าอย่างดุดันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาวาดดาบเข้าฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม

“เจ้าเป็นใครมายุ่มย่ามอันใดด้วย”หนึ่งในกลุ่มนั้นร้องถามหลังจากซัดเวทไฟใส่จนเขาต้องกระโดดถอยออกมา กรินเอียงคอยกยิ้ม เดาเอาว่าเจ้าพวกนี้คงใช้ช่วงที่ภายในอาณาจักรวุ่นวายผสมโรงก่อเรื่อง

“ดีเลย พวกเจ้าไม่ได้โดนเวทควบคุมสินะ เป็นคนของใครกันล่ะ”

“คนของใครอะไรกัน”

“อ้อ”กรินขยับเท้าแกว่งดาบทว่าแค่พริบตาเดียวกลุ่มชายร่างใหญ่ทั้งหมดก็ล้มลงนอนกับพื้นพร้อมเลือดสีแดงไหลนอง เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง ทันเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวและเด็ก ๆ วิ่งหนีห่างไป แต่ชวิศาถลาเข้ามาหา

“คุณฆ่าพวกเขาทำไม”

“แล้วจะปล่อยให้พวกมันตามไล่ฆ่าผู้อื่นหรือ”

“ผมยังไม่เห็นพวกเขาทำอย่างนั้นเลย”

“เพราะเจ้าไม่รู้จักใช้ตามองอย่างไรเล่า”

ชวิศาอ้าปากอยากเอ่ยเถียงแต่นึกไม่ออกว่าควรจะเถียงกลับไปอย่างไร จึงยักแย่ยักยันอยู่เช่นนั้น

กรินเก็บดาบและแบมือให้ชวิศาอีกครั้ง

“คุณกรินจะไปไหนอีก”

“ไปหาเมดิน”

“แล้วตกลงผมไม่ต้องช่วยปราบพวกก่อความวุ่นวายแล้วเหรอ”

“พวกทหารออกมาควบคุมสถานการณ์แล้ว อีกเดี๋ยวในเมืองก็คงกลับมาสงบเหมือนเดิม”เขาพูดตอบ ยืนนิ่งเพื่อจับสัมผัสพลังเวท ถ้าเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ เมดินต้องสังหารองค์ราชาและโยนความผิดให้เจ้าชายทานันศิระ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตอนทั้งบุคคลทั้งสามอยู่ที่ไหน

กรินหันไปหาชวิศา เมื่อคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างส่งเสียงถามออกมาอีกครั้ง

“แล้วก่อนหน้านี้ ถ้าผมชนะเลิศในการประลอง เมดินจะได้เป็นราชาได้อย่างไรล่ะ”

“เพราะเจ้าต้องสละสิทธิ์อย่างไรเล่า ...ทางนั้น”ชั่วแวบหนึ่ง ที่พลังเวทขององค์ราชาเล็ดลอดออกมาจนเขาสามารถสัมผัสได้ กรินรีบสาวเท้าไปทิศทางนั้นอย่างไม่ลังเล

“รอผมด้วย”ชวิศาร้องบอกพร้อมวิ่งตามไป

กรินวิ่งมาถึงลานกว้างกลางเมือง เขาชะลอฝีเท้าเมื่อพ้นเหลี่ยมมุมอาคารและเห็นคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ เมื่อก้าวเท้าเข้าไปอีกนิด ร่างกายถึงจับสัมผัสม่านพลังที่ถูกกางเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกรับรู้ถึงพลังเวท นอกจากนั้นมันยังทำให้เวทตามหาสอดแนมทุกบทไม่สามารถใช้การได้

กรินหมุนตัวหันหลังพร้อมคว้าดึงข้อมือของชวิศาให้ถอยออกมาเพื่อมองหาที่ซ่อนตัว

“อะไรอีกอะ นั่นใครเหรอ”ชวิศาเอ่ยถามพลางชะเง้อคอมอง “เจ้าชาย”เขาร้องเสียงหลงจนกรินต้องยกมือปิดปากชวิศาไว้

“เจ้าจะร้องเสียงดังทำไม”

“แต่นั่นเจ้าชายทานันศิระกับองค์ราชา เราต้องไปช่วยเขาสิ”เขาพูดด้วยอาการร้อนรน “คุณบอกว่าคุณเมดินกำลังจะฆ่าเจ้าชายไม่ใช่เหรอ เอ๊ะ!!! แต่ว่าทำไมเจ้าชายถึงสู้อยู่กับองค์ราชาล่ะ เราต้องเข้าไปห้ามพวกเขานะ”

ชวิศาทำท่าจะเดินออกไปแต่โดนกรินดึงรั้งไว้อีกครั้ง

“แค่หาเมดินให้เจอ มนตราที่กำกับผู้คนไว้ก็จะเสื่อมไปเอง”

“แล้วจะไปหาที่ไหน คุณกรินใช้เวทตามหาตั้งหลายครั้งยังไม่เจอ เนี่ยเราเข้าไปห้ามเจ้าชายกับองค์ราชาก่อนดีกว่า”ชวิศาสะบัดมือของกรินที่จับเขาไว้ ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของชายหนุ่ม เมื่อก้าวเท้าไปข้างหน้าเดินผ่านม่านพลังเข้าไปภาพเบื้องหน้ากลับแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน

“เจ้าสำนึกบ้างไหมเนี่ยถึงได้เดินเข้าไปในอาณาเขตมนตราของผู้อื่นโดยไม่รู้จักคิด”กรินก้าวเท้าตามมาคว้ามือชวิศาได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินผ่านม่านพลังเข้าไปทั้งตัว กระนั้นก็ไม่อาจหลุดพ้นจากเวทกับดักนั้นเสียแล้ว

เมืองที่พวกเขาเห็นกลับเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบเฉกเช่นทุกวัน

“อ้าว แล้วเจ้าชายกับองค์ราชาไปไหนซะแล้วล่ะ”

กรินกระชับประสานมือของชวิศาไว้ อาณาเขตมนตราส่วนใหญ่ล้วนแต่ทำให้พลังเวทของผู้อื่นไร้ผล จะมีก็แต่พลังอำนาจของธาตุพิเศษเท่านั้นที่พอจะพาให้พวกเขาหลุดออกไปได้ นั่นหมายความว่า ถ้าเขาพลัดหลงกับชวิศา เขาคงต้องวนเวียนอยู่ในนี้ไปอีกนานจนกว่าเจ้าของอาณาเขตจะพอใจ

“เพราะเจ้าและข้าเข้ามาอยู่ในอาณาเขตมนตราของเมดินแล้วนะสิ เจ้านั่นคงสร้างเวทพรางตาให้เห็นสิ่งอื่น ซ้ำการต่อสู้นั่นเป็นภาพจริงหรือภาพลวงตาก็ไม่มีใครรู้ได้”

“พูดอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ หน่อยได้ไหมเนี่ย”ชวิศาหันไปพูดอย่างฉุนเฉียว เล่าขยักขย่อนจนเขางงไปหมดแล้ว กรินถอนหายใจ

“อย่างที่ข้าเคยบอกว่าเมดินอยากขึ้นเป็นราชาองค์ต่อไปแต่เรื่องความปรารถนาของเขาข้าเพิ่งมารับรู้เมื่อไม่นานมานี้ ทุกปีที่มีประเพณีมาดามายาเมดินได้เป็นแค่ผู้ชนะอันดับที่สอง ดังนั้นอย่างมากที่สุด เมดินจะได้เป็นแค่ปราชญ์ลำดับที่หนึ่ง ส่วนผู้มีชัยเหนือผู้อื่นคือองค์ชายทานันศิระ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเป็นคู่แข่งกันมายาวนานแค่ไหน ทว่านับตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ ผลการประลองเป็นเช่นนั้นมาตลอด จนกระทั่งสามปีก่อน เจ้าชายทานันศิระทรงเอ่ยท้าประลองกับองค์ราชาที่เป็นพระราชบิดาของตนเอง การประลองครั้งนั้นองค์ราชาเป็นผู้มีชัย แต่ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่าเจ้าชายทานันศิระตั้งพระทัยจะล้มล้างราชาองค์ปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ข่าวลือนั้นได้จางไปเพราะปีต่อมา เจ้าชายที่ทรงได้รับชัยชนะอีกครั้งทรงประกาศว่าต้องการแค่ทดสอบฝีมือกับพระราชบิดาเท่านั้น ข้าเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก บุตรย่อมต้องฝึกฝีมือกับบิดาอยู่แล้วไม่น่าแปลกอันใด

กระทั่งหลังจากนั้นไม่นานเมดินแจ้งข่าวกับข้าและกิรานาว่า เจ้าชายทานันศิระทรงขอเป็นผู้ดูแลกองทัพจำนวนหนึ่งกองพัน หนึ่งกองพันสำหรับอาณาจักรอื่นคงเป็นจำนวนน้อย แต่สำหรับทหารที่เป็นผู้ใช้เวทนับว่าเป็นกองกำลังที่ยึดครองอาณาจักรอื่นได้ง่ายดายเชียวล่ะ และเมดินยังแอบได้ยินมาว่า ทรงประสงค์จะเสกสมรสกับกิรานา

เจ้าก็รู้ว่านิสัยกิรานาเป็นอย่างไรและเรื่องที่ข้าคบหากับนาง เจ้าชายก็ทรงไม่พอพระทัยมาตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางเร่งวันเร่งคืนอยากให้ข้าแต่งกับนางในเร็ววัน”

“พูดอย่างนี้เหมือนบอกว่าคุณกิรานานิสัยไม่ดีเลย”ชวิศาเอ่ยขัด

“เจ้าก็ช่างตีความ เพราะข้าไม่อาจใช้มนตราได้ หากได้สมรสกับองค์หญิงนักทำนายผู้คนคงยิ่งดูถูก”เขาพูดจบแล้วเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง กรินพยายามรั้งให้ชวิศายืนนิ่งอยู่กับที่ เนื่องจากไม่ว่าจะเดินไปทิศทางพวกเขาก็ต้องวนเวียนอยู่ในอาณาเขตมาตราอยู่ดี

“ปีก่อนในการประลอง ข้าลงต่อสู้จนติดหนึ่งในแปด และข้าวาดหวังว่าปีนี้จะได้อันดับดีกว่าเดิม ด้วยเหตุนั้นเมดินจึงคาดหวังให้ข้าช่วยจัดการกับเจ้าชาย”

“มั่นใจขนาดนั้นเชียว”ชวิศาถามอย่างไม่เชื่อถือ

“หึ แต่ละปีมีคนร่วมประลองในประเพณีมาดามายาหลายพันคน ข้าใช้เวลาเพียงห้าปีก็สามารถติดอันดับหนึ่งในแปด ชาวเมืองยังจัดอันดับให้ข้าเป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีจะถือกำเนิดสักคน ถ้าข้ามีพลังเวทไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่คณามือข้าหรอก”กรินกล่าวอย่างโอ้อวด

“โฮ้”ชวิศาครางรับด้วยสีหน้าล้อเลียน กรินจึงกระแอมกระไอจากนั้นจึงเล่าเรื่องราวต่อไปว่า “กลับเข้าเมืองมาคราวนี้ เมดินบอกข่าวเรื่องการซ่องสุมกำลังของเจ้าชาย แต่ข้ากลับสังเกตเห็นว่าเขามักลอบพบปะกับบุคคลอื่นบ่อยครั้ง”

“ไปสังเกตตอนไหน”ชายหนุ่มร่างเล็กถามอย่างสงสัย

“ก็ตอนที่เจ้าไม่เห็น”

“ผมจะไม่เห็นได้อย่างไร ผมอยู่กับคุณกรินตลอด”

“อยู่กับข้าตลอดทว่าเจ้ามัวแต่มองนกมองไม้จะมีประโยชน์อันใด”

“แล้วไม่สะกิดบ้าง”ชวิศาบ่นงึมงำ

“ช่างเถอะ เพราะข้าก็ไม่คาดคิดว่าเขาลงมือก่อการอุกอาจเหมือนกัน ข้าคิดว่าเขาคงรอกระทั่งถึงวันประลอง เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมเสียอีก”

ยืนคุยกันอยู่ครู่ ลานกว้างกลางเมืองซึ่งว่างโล่งไร้ผู้คนสัญจรนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มต้นพูดคุยกัน ได้ปรากฏเงาบุคคลหนึ่งให้เห็น เมื่อคนผู้นั้นเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงสามารถเห็นได้ชัด

“คุณสุดฟ้า”ชวิศาร้องเรียก ครั้งนี้เขามั่นใจว่าเป็นสุดฟ้าแน่นอนเพราะอีกฝ่ายสวมแว่นด้วย เขาจะเข้าไปหากระนั้นกลับถูกกรินดึงไว้

“ชวิศา มาอยู่นี่เอง ฉันตามหาตั้งนาน”

“คุณกรินปล่อยมือผมสิครับ นี่คุณสุดฟ้า”ชวิศาหันไปพูดกับกริน

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า ภายในนี้คืออาณาเขตมนตรา ชายผู้นั้นไม่ใช่คนรักของเจ้าหรอก”

“ไม่ใช่อะไร ปล่อยผมสิครับ”เขาพูดพร้อมพยายามดึงมือของตนให้พ้นจากการเกาะกุม

“พวกเราควรจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”

“แต่ผมจะไปหาคุณสุดฟ้า”

มือข้างขวาของกรินจับอยู่กับมือของชวิศา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถดึงอาวุธออกมาได้ หากในกรณีที่อาณาเขตนี้ยอมให้เขาใช้เวทที่ถูกประจุไว้ในอัญมณี ส่วนชวิศาก็ดิ้นรนอยากจะไปหาหนุ่มคนรักทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่คิดอยากจะก้าวเข้ามาหาสักนิด มีพิรุธถึงขนาดนี้แล้วชายหนุ่มร่างเล็กยังมองไม่เห็นความแปลกประหลาดนี้อีก

กรินจึงยอมเดินตามชวิศา จากนั้นก็ยกเท้าถีบชายหนุ่มที่มีหน้าตาเหมือนคนที่ชวิศาเรียกว่าสุดฟ้าจนอีกฝ่ายลงไปนอนกองกับพื้น

“คุณกริน ทำอะไรน่ะ”ชวิศาร้องโวยวาย พยายามสลัดมือเขาพร้อมถลาเข้าไปหาคนที่นอนแบ็บกับพื้นให้ได้ เพียงแต่มือข้างนั้นยังถูกกรินจับไว้แน่น ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งคิด สัมผัสเมื่อครู่เป็นกายเนื้อจริง ๆ ไม่ใช่ร่างจำลองด้วยเวท อย่างนั้นแสดงว่า คงจะเป็นชาวเมืองที่หลงเข้ามาในอาณาเขตเช่นเดียวกัน

“ซี ใช้พลังของเจ้าสลายอาณาเขตมนตราเถอะ”

“ผมไม่ทำหรอก”ชวิศาพูดเสียงห้วนด้วยความโมโห จู่ ๆ มาทำร้ายคุณสุดฟ้าของเขา ยังไงซะก็ไม่มีทางให้อภัยเด็ดขาด

“ถ้าเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นข้าจะจัดการคนรักของเจ้าให้สิ้นลมหายใจตรงนี้เลย”

“อ๊ะ อย่านะ”ชายหนุ่มร้องห้าม “อยากทำอะไรก็ทำไปสิ คุณก็ใช้พลังเวทของผมได้อยู่แล้วนี่ ต้องมาบอกทำไม”

“ความรู้สึกของเจ้าตระหนกขนาดนี้ ข้าจะควบคุมพลังเวทของเจ้าได้อย่างไร”

ชวิศาจึงพยายามสงบจิตใจตั้งสมาธิอย่างที่กรินต้องการ แต่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ก็คุณสุดฟ้านอนเจ็บเค้เก้อยู่ตรงหน้า คุณกรินก็ไม่ยอมปล่อยมือให้เขาเข้าไปดูแถมยังทำท่าไม่สนใจอีก

ทว่าฉับพลันนั้น ก็ปรากฏร่างอีกบุคคลหนึ่งให้พวกเขาเห็น เธอคือกิรานาในชุดนอนสีขาวที่พวกเขาเคยเห็นจนชินตา

“คุณกิรานา มาเอาสามีของคุณไปหน่อย”ชวิศาร้องบอก เพียงแต่แทนที่หญิงสาวจะพุ่งตรงเข้ามาหากรินเฉกเช่นทุกครั้ง เธอสร้างดาบเวทขึ้นมาในมือ สัญชาตญาณของกรินร้องเตือนว่าท่าจะไม่ดีแล้ว

“ซีลุกขึ้น”กรินกระตุกดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน แต่ชวิศาไม่ยอมทำตามง่าย ๆ กระทั่งคนที่มีใบหน้าเหมือนกิรานาพุ่งตรงเข้ามาพร้อมดาบในมือ ชายหนุ่มจึงเบี่ยงตัวหลบพลางยกเท้าขึ้นเตะกัน กระนั้นก็ยังคงโดนตามติดประชิด ที่สำคัญฝีมือของอีกฝ่ายไม่ใช่อ่อนด้อย

กรินได้แต่หลบหลีกเพราะไม่กล้าปล่อยมือจากชวิศา เขากระชากดึงให้ชวิศาก้าวเท้าตามโดยจงใจให้ขยับถอยห่างจากร่างซึ่งมีหน้าตาเหมือนคนรักของชายหนุ่มร่างเล็ก จนกระทั่งอีกฝ่ายฟาดดาบใส่เข้ามาหลายกระบวนท่า ชายหนุ่มจึงร้องขึ้นมาว่า "เจ้าชายทานันศิระ”

“ฮะ?”ชวิศาอุทานก่อนจะโดนเหวี่ยงให้หลบไปอีกด้าน ร่างกายของเขาโดนโยนไปโยนมาจนหัวหมุนไปหมดแล้ว

“แท้จริงแล้ว ไม่ใช่กิรานาแต่เป็นเจ้าชายทานันศิระ”เขาพูดพร้อมฉวยโอกาสเตะอัดคู่ต่อสู้เต็มแรงจนอีกฝ่ายกระเด็นถอยไปไกล

“คุณรู้ได้อย่างไร ถ้านั่นเป็นคุณกิรานาจริง ๆ เดี๋ยวก็แท้งหรอก”

“สมญานามของข้าไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะ ทางดาบของเจ้าชายน่ะข้าเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ศัตรูตรงหน้าลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ใช้เวทสร้างอาวุธซึ่งเป็นเข็มแหลมยาวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งนิ้ว ซึ่งพวกมันกำลังลอยนิ่งอยู่กลางอากาศนับหลายสิบอัน

“เจ้าชายทานันศิระถือครองอำนาจธาตุน้ำ โลหะและดิน อาวุธนั่นเป็นธาตุโลหะผสานกับธาตุน้ำที่ใช้คุณสมบัติลบล้างเวทป้องกันของฝ่ายที่ถูกโจมตี”กรินอธิบายพลางดึงร่างของชวิศาให้มาบังอยู่ด้านหน้า ใช้วงแขนโอบเอวอีกฝ่ายเพื่อให้มือว่างพอที่จะเรียกผนึกดวงจิตออกมาจากอัญมณี

“รู้ดีจัง”ชวิศาหันหน้ากลับไปถาม และวินาทีต่อมาก็สำนึกได้ว่าตนถูกกรินดึงมาให้เป็นโล่เตรียมรับการโจมตี เขาร้องโวยวายออกไปทันที “คุณกรินทำไมให้ผมออกมายืนข้างหน้าแบบนี้ล่ะ”

“ซี!!! กำแพงคุ้มกาย!!!”

กรินยังไม่ทันพูดจนจบประโยคเสียด้วยซ้ำ อาวุธที่เคยลอยนิ่งอยู่เฉย ๆ พลันพุ่งตรงเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ทว่าเขาเรียกใช้ม่านพลังป้องกันไว้ได้ทัน โดยสร้างกำแพงเวทล้อมรอบตัวของพวกเขาซ้อนกันถึงห้าชั้น เพียงแต่พลังของฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่า เพราะต่อให้เขาถือผนึกดวงจิตของพยัคฆ์เจ้าป่า สัตว์ร้ายซึ่งมีอายุขัยมาหลายร้อยปี กระนั้นก็ไม่อาจเทียบพลังของมนุษย์ที่ผ่านการขัดเกลาฝึกฝน

กำแพงเวทจึงถูกอาวุธเจาะทะลุเข้ามาขณะที่ชวิศาสติแตกไม่ยอมสร้างมนตรากำแพงคุ้มกายเสียที กรินตัดสินใจพลิกตัวกอดร่างของชวิศาโดยใช้ตัวบังไว้ก่อนที่อาวุธนั้นจะเจาะผ่านม่านพลังป้องกันชั้นสุดท้าย

เสียงลั่นเปรี๊ยะดังแสบแก้วหูอันเนื่องจากพลังเวทสองสายกระทบกันยังกระจ่างชัด ทว่าจู่ ๆ มันกลับเงียบลงในฉับพลัน กรินลืมตาเงยหน้ามองรอบกาย อาวุธเหล่านั้นชะงักนิ่งค้างอยู่ห่างออกไปเพียงคืบ เขายืนมือออกไปจึงสัมผัสได้กับพลังเวทของชวิศา

เขาถอนหายใจโล่งอก เมื่อพวกเขาทั้งคู่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//อดใจรออีกนิดนะ เรากำลังเขียนโค้ดปุ่มสคริปอยู่//*
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบหก 17/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 18-12-2017 14:31:44
 :z3: :z3: :z3: :z3: ค้างทุกอาทิตย์ งืออออ
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเจ็ด 24/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 24-12-2017 05:15:10
ตอนที่สามสิบเจ็ด



การโจมตีด้วยอาวุธเวทปลายแหลมมันเป็นเพียงการบุกเริ่มต้นของฝ่ายศัตรู  ต่อจากนั้นเจ้าชายทานันศิระในรูปลักษณ์ของกิรานาที่พวกเขามองเห็น ได้สร้างกำแพงดินล้อมรอบปิดคลุมพวกเขาไว้และใช้มนตราสร้างน้ำให้เกิดขึ้นภายในคงกะวางแผนให้พวกเขาจมน้ำตาย เพียงแต่ ผนึกดวงจิตของพยัคฆ์เจ้าป่าเป็นอำนาจพลังธาตุไม้ซึ่งเป็นพลังธาตุที่สามารถข่มพลังของอีกฝ่ายได้ กรินจึงใช้มนตราขั้นต้นดึงพลังของสองธาตุที่ฝ่ายศัตรูใช้งานเร่งปฏิกิริยาให้ก่อเกิดเป็นต้นไม้ต้นใหญ่

ชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าการต่อสู้กับเจ้าชายทานันศิระเป็นเรื่องตึงมือ ต่อให้ไม่ต้องการกำจัดเชื้อพระวงศ์หนุ่ม อย่างไรเขาจำต้องสู้ด้วยฝีมือทั้งหมดที่มี ยามนี้การต่อสู้กับคนตรงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญกว่าการหนีออกจากอาณาเขตเวทแห่งนี้

อีกอย่าง กรินพอจะเดาความคิดของเมดินได้แล้ว ถึงกระนั้นเป็นเขาและชวิศาที่เดินเข้าไปหาโชคร้ายเสียเอง หรือไม่ คงเพราะเมดินต้องการกำจัดเขาด้วยเช่นกัน

“อยู่แต่ในเกราะป้องกันของมนตรา อย่าออกมายุ่มย่าม”กรินหันไปบอกชวิศาขณะที่เรียกดาบประจำตัวออกมาใช้ ดาบของเขาใช้วิธีการสร้างเดียวกับพลองยาว เป็นดาบสีดำสนิทที่คมกริบ ความยาวของดาบอยู่ที่เก้าในสิบของช่วงแขนซึ่งนับว่าค่อนข้างสั้น  น้ำหนักของมันมากจนผู้ใช้เวทและนักดาบทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ ปลายดาบเป็นขอบโค้งและขนาดกว้างกว่าด้านคอ ด้ามจับพันรัดด้วยหนังที่ทำให้กระชับมือ

“คุณจะฆ่าเจ้าชายจริง ๆ เหรอ”ชวิศาร้องถามซึ่งทำให้กรินแค่นหัวเราะ

ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าหากตนสามารถใช้มนตราได้ ความสามารถในการต่อสู้คงเทียบเคียงกับเจ้าชายผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ที่มีอายุมากกว่าเขาหลายสิบปี แต่หลังจากปะทะด้วยพลังเวทเมื่อครู่ เขารู้แล้วว่าตนสำคัญตัวผิด กระนั้นก็ไม่อาจหนี ถ้าไม่ใช่เขาหรือเจ้าชายคนใดคนหนึ่งที่ล้มลง เมดินคงไม่ยอมปรากฏตัวง่าย ๆ

“เจ้าแค่ดูอย่างเดียวอย่าเข้ามาสอดแล้วกัน”

กรินชิงลงมือก่อน เขาพุ่งตัวเข้าหาด้วยความรวดเร็ว ร่างกายแข็งแรงปราดเปรียวของเขาเข้าประชิดอีกฝ่ายภายในพริบตาพร้อมเหวี่ยงดาบใส่ ฝ่ายถูกโจมตียกท่อนแขนขึ้นกันแต่ร่างกายส่วนนั้นผสานพลังเวทเอาไว้ แรงปะทะอันหนักหน่วงของดาบทำให้คู่ต่อสู้เคลื่อนถอยไปอีกไกล

เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับรวดเร็วเช่นนั้น กรินยิ่งแน่ใจว่าว่าคนตรงหน้าไม่ใช่กิรานา หญิงสาวคนรักของเขาเป็นหญิงที่ไม่ฝักใฝ่การต่อสู้เนื่องจากถูกเลี้ยงดูปลูกฝังให้เป็นนักทำนายมาตั้งแต่กำเนิด เธออาจจะใช้เวทและอาวุธเพื่อการต่อสู้ได้ แต่กิรานาถนัดการใช้เวทระยะไกลมากกว่า

เขาตามเข้าไปซ้ำโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัว ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเป็นรองเรื่องพลังเวท หากทิ้งจังหวะรอเวลาให้ฝ่ายตรงข้ามได้มีโอกาสใช้มนตราเมื่อใด เขาเองจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ กระนั้นเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาที คู่ต่อสู้ของเขาก็ตั้งตัวได้ใช้ดาบมนตรารับการฟาดฟันจากเขา มืออีกข้างร่ายเวทช่วยเสริมประสานการต่อสู้ หากไม่ใช่เพราะดาบของกรินป้องกันการถูกพลังเวทกร่อนทำลาย เขาคงเสียทีไปนานแล้ว

พวกเขาใช้ดาบและอาวุธเวทโรมรันเข้าหากันหลายกระบวนท่า ด้วยเพราะทุ่มเทแรงกายเข้าประหัตประหารเอาเป็นเอาตาย ร่างกายจึงเหนื่อยล้าหมดแรงไปเรื่อย ๆ จนช่องว่างเปิดเผยบังเกิด กรินรีบร้อนเหวี่ยงดาบเข้าหา เขาจึงเสียท่าได้เลือดมาเช่นเดียวกัน กล้ามเนื้อช่วงสีข้างถูกบาดเป็นทางยาว

ศัตรูตรงหน้าล้มลงกับพื้นคล้ายหมดเรี่ยวแรง ทั้งเลือดสีแดงฉานก็ไหลรินออกมาเรื่อย ๆ ช่วงจังหวะนั้น อาณาเขตมนตราที่ครอบคลุมพื้นที่อยู่ได้ค่อย ๆ สลายไป รูปลักษณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายจึงปรากฏ กรินมองเห็นพระเนตรของเจ้าชายทานันศิระเบิกกว้างด้วยอารามตกใจ

พร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะได้ดังก้องขึ้น

“เจ้ามีฝีมือจริง ๆ ญาติข้า”เมดินเดินยิ้มร่ามาแต่ไกล  เขาปรากฏตัวฝ่าความมืดมิดและแสงจันทร์สลัวของค่ำคืนราวกับเป็นภูตผีปีศาจ “ถึงเจ้าชายทานันศิระจะอ่อนแรงเพราะการต่อสู้ก่อนหน้า แต่เจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยม”

เมื่อเมดินคลายคาถา ร่างที่นอนนิ่งอยู่ภายใต้ใบหน้าของสุดฟ้าจึงปรากฏใบหน้าที่แท้จริงด้วย

“คุณกริน องค์ราชา”ชวิศาร้องบอกพลางวิ่งถลาเข้าไปหาร่างนั้น กรินหันไปมองก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับญาติผู้พี่อีกครั้ง เขากัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด มือข้างหนึ่งถือดาบประจำตัวและผนึกดวงจิต มืออีกข้างกุมบาดแผลพร้อมเรียกใช้มนตรารักษา

“แค่นี้หรือที่เจ้าต้องการ”เขากวาดสายตามองรอบลานกว้าง ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขาทั้งห้าคน ระหว่างการต่อสู้เมดินคงใช้มนตราล่อลวงให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องในแผนหลงทิศไปทางอื่น ไม่แน่ว่าพลังเวทขององค์ราชาที่เขาจับสัมผัสได้นั่นก็อาจจะเป็นแผนของอีกฝ่าย

“ข้าไม่เข้าใจ ถ้าเจ้าสังหารองค์ราชาหรือเจ้าชายทานันศิระ แล้วเจ้าจะขึ้นเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านี้สาเหตุการสวรรคตขององค์ราชาก็ต้องได้รับสอบสวน”

“เอ๊ะ กรินผู้เฉลียวฉลาดหายไปไหนแล้วเล่า แค่นี้เจ้าเดาไม่ออกหรือ”

คนถูกถามนิ่งเงียบเพราะต้องการถ่วงเวลา แต่คนที่เกี่ยวข้องโดยอย่างเจ้าชายทานันศิระกลับพยายามประคองตัวลุกขึ้น

“เจ้ามันพวกมากเล่ห์ คิดรึว่าจะรอดพ้นไปได้”

“ข้าทำอันใดเล่า พระองค์ถึงคิดว่าข้าไม่อาจรอดพ้นไปได้”เมดินลอยหน้าลอยตาเอ่ยถามกลับไป

“เจ้าใช้เวทล่อลวงให้เรากับพระบิดาต่อสู้ห้ำหั่นกันเอง”

“ผิดแล้ว ๆ ทรงสัมผัสไอเวทอันใดรึถึงกล่าวหาข้าเช่นนี้”

“เจ้า!!!”ราชนิกุลหนุ่มทรงแสดงอาการฮึดฮัด ใช้มนตราเสกอาวุธเวทซัดเข้าใส่คู่อริ เมดินป้องกันอันตรายจากอาวุธได้อย่างง่ายดาย ส่วนผู้เป็นเจ้าของมนตราเวทกลับต้องทรุดตัวลงกับพื้นอีกครั้งเพราะฝืนใช้เรี่ยวแรงสร้างมนตรา

ส่วนกริน เขาก้มมองผนึกดวงจิตในมือ ไอควันสีเขียวภายในซีดจางลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่บาดแผลของเขาซึ่งแม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังมีเลือดซึม บาดแผลที่เกิดจากอาวุธเวทมักจะรักษายากและหนักหนาสาหัสกว่าบาดแผลทั่วไปเสมอ

“ผมจะเป็นพยานให้เจ้าชาย คุณเมดินต้องโดนจับเข้าคุก”ชวิศาร้องตะโกนพร้อมชี้หน้า

“ซี เจ้าเป็นพระสหายของเจ้าชาย คิดรึว่าจะมีคนเชื่อคำพูดของเจ้า”

“งั้นผมจะทำให้คุณรับสารภาพ”ชวิศาดึงกระดาษคาถาออกมาจากอัญมณีช่องว่างมิติ ถ่ายเทพลังเวทลงไป มันจึงเป็นค้อนปอนด์อันใหญ่ยักษ์ เขาฟาดใส่เมดินอย่างไม่ลังเล แต่เหมือนอีกฝ่ายจะคาดเดาได้ว่าเขาจะโจมตีอย่างไรเพราะเมดินแค่กระโดดหลบ หน่วงพลังเวทไว้ที่ฝ่ามือพร้อมฟันผลัวะลงไปที่หัวค้อน มันก็สลายไปอย่างรวดเร็ว

เมดินยิ้มขำ ส่วนชวิศายืนงงงัน และกรินได้ใช้โอกาสนั้นพุ่งตัวเข้าโจมตี ฝ่ายตรงข้ามป้องกันดาบของเขาด้วยดาบเวทที่ปรากฏขึ้นในมืออย่างฉับพลัน

“เจ้าคิดว่าจะต่อกรข้าได้หรือ”ญาติผู้พี่ถามเสียงเหี้ยม

“ไม่ลองก็ไม่รู้”กรินกระโดดถอยออกมาตั้งหลักก่อนพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง และเมดินยังรับดาบของเขาได้ทุกครั้ง

“ข้ายอมรับว่าเจ้าเฉลียวฉลาดเก่งกาจ แต่เจ้าคิดว่าจะสามารถเอาชนะคนที่เห็นทางดาบของเจ้ามาตลอดได้หรือ”

“ข้าถึงต้องลองดูอย่างไรเล่า”กรินรุกไล่หนักหน่วง เขาแกว่งดาบด้วยความคล่องแคล่วรวดเร็ว มุ่งหวังใช้ชั้นเชิญดาบที่เหนือกว่าจัดการอีกฝ่าย เมดินจึงตกเป็นฝ่ายรับมือกระนั้นชายหนุ่มมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ใช่ว่าจะพลาดพลั้งง่าย ๆ

“แต่ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดหันดาบใส่ข้า”พูดจบเขาก็ซัดเวทใส่ กรินที่ใช้พลังเวทจากผนึกดวงจิตไปจนพลังแทบไม่เหลือจึงไม่อาจสร้างเกราะป้องกันได้ทัน เขาโดนมนตราที่อยู่ในรูปของทรายร้อนเข้าไปเต็ม ๆ ความร้อนนั้นเผาไหม้ผิวเนื้อจนต้องกรีดร้องและดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน

“คุณกริน คุณกริน”ชวิศาวิ่งเขาไปหา แต่ไม่อาจจะแตะต้องตัวอีกฝ่ายได้เช่นเดียวกันเพราะผิวหนังของอีกฝ่ายร้อนจัดจนเหมือนไฟกำลังลุกไหม้

ในจังหวะนั้นเอง เหล่าทหารและองครักษ์ได้กรูมายังลานกลางเมืองจากหลายทิศทาง พร้อมคบเพลิงที่มีเปลวไฟลุกโชนทำให้ลานกว้างแห่งนั้นสว่างไสว และแสงสว่างนั้นทำให้ร่างของเมดินที่เลือนจางจนไม่อาจมองเห็น แม้ชวิศางุนงงกับเหตุการณ์แต่เมื่อเห็นวิโยมันอยู่ในครรลองสายตา เขาก็ส่งเสียงเรียกหาทันที

“ท่านวิโยมัน คุณกรินแย่แล้ว”น้ำตาของชวิศาไหลเป็นทาง

ทันทีที่วิโยมันก้าวมาถึง เขาไม่รอช้านิ่งนอนใจ หลังกวาดสายตาตรวจสอบจึงร่ายเวทเพื่อถอนคลายความร้อน อาการทุรนทุรายของกรินจึงสงบลง ร่างกายของชายหนุ่มนอนหลับตานิ่งอยู่บนพื้น ผิวหนังกลายเป็นสีดำและมีแผลเหวอะหวะหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม มนตราที่กรินได้รับกลับซับซ้อนมากกว่านั้น เพราะยามที่ความร้อนคลายไปผิวกายกลับพุพองและเสื่อมสลายลงอย่างรวดเร็ว

“ต้องรีบพาไปสำนักแพทย์”วิโยมันบอกก่อนจะตะโกนร้องเรียกทหารองครักษ์ ทว่าทันใดนั้นเอง กรินได้ยกมือขึ้นคว้าจับข้อมือของชวิศาไว้ เขาสัมผัสได้ถึงจักระของกรินที่แทรกแซงเข้ามา น่าแปลกที่ครั้งนี้ชวิศาสงบใจได้อย่างรวดเร็วและปล่อยให้กรินใช้พลังของเขา

เพียงแต่แทนที่กรินจะรักษาอาการบาดเจ็บกลับใช้มนตราพาเขามายังคฤหาสน์

“คุณกริน”ชวิศาเอ่ยเรียก น้ำเสียงของเขาอู้อี้เพราะน้ำมูกและน้ำตา เขากวาดสายตามองรอบตัว ร่างของกรินนอนอยู่ในวงเวทที่ดูเหมือนชายหนุ่มจะเขียนไว้ก่อนหน้า เขาเปลี่ยนมาจับประสานมือกับคนที่นอนอยู่บนพื้น

“วงเวทช่วยรักษาได้หรือครับ”

“เจ้าช่วยเขียนอักขระเพิ่มเติมให้ข้าที”

ชวิศาพยักหน้ารับ หันซ้ายหันขวามองหาถ่านดำที่กรินเคยใช้ และตรงเข้าไปจับมือกรินอีกรอบเพื่อถามรายละเอียดของอักขระที่ชายหนุ่มต้องการให้เพิ่ม แต่กระนั้นใช้ว่าเขาจะทำได้อย่างที่กรินต้องการเนื่องจากช่วงหลัง ๆ มานี้ เขาไม่ได้ฝึกการเขียนอักขระอีกเลย ด้วยเหตุนั้นจึงต้องเขียนและลบอยู่หลายรอบ

ในขณะที่ชวิศากำลังร้อนรน บานประตูได้ถูกเปิดผลัวะเข้ามา

“ท่านกริน”กิรานาร้องเรียกพร้อมถลาเข้ามาหา สภาพร่างกายของชายหนุ่มคนรักย่ำแย่เสียจนเกือบทำให้เธอเป็นลมล้มไปตรงนั้น ผิวหนังหลายส่วนเป็นรอยแดงเต็มไปด้วยเลือด เขานอนนิ่งไม่ลืมตาถ้าไม่เห็นแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอยู่เป็นระยะ เธอคงคิดว่าเขาไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยปากถามชวิศาเสียงเขียว

“เจ้าทำอันใด เขาถึงกลายเป็นอย่างนี้”

“เมดินเป็นคนทำ”พูดออกมาแล้วเขาอยากจะร้องไห้เสียงดัง ๆ แต่เพราะมีเสียงเรียกชื่อเขาที่ออกมาจากปากของกรินด้วยความยากเย็น ชวิศาจึงหันไปพูดกับกิรานาพร้อมยื่นถ่านดำไปให้

“คุณกิรานาช่วยเขียนอักขระให้หน่อย”

ชวิศาบอกเพิ่มเติมอีกว่ากรินต้องการให้เขียน หญิงสาวทำตามที่เขาพูด กระนั้นเธอยังคงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

เมื่อกิรานาเขียนอักขระเสร็จแล้วเขาจึงคว้าจับมือกรินอีกรอบ

“ซี ถ่ายเทพลังที่ตำแหน่งธาตุดิน และใช้พลังของเจ้าให้เต็มที่”

“คุณกิรานาถอยออกไปอยู่ข้างนอกครับ ผมจะถ่ายเทพลังเวทให้วงเวททำงาน”

ตั้งแต่เกิดมา หญิงสาวไม่เคยเห็นใครในฮัชดาลลาร์ใช้วงเวทเพื่อขับเคลื่อนมนตรา แม้จะเคยเห็นวงเวทบนกระดาษคาถาของกรินมาบ้าง แต่อักขระที่ระบุไว้เข้าใจง่ายกว่านี้และไม่มีขนาดใหญ่จนเกือบจะเต็มพื้นที่ในห้อง  เธอไม่ค่อยเข้าใจรูปแบบมากนัก ทว่าอักขระข้อความที่สลักอยู่บนพื้นทำให้เธอรู้สึกไม่ดี เธอออกไปยืนอยู่ด้านข้าง ไล่อ่านอักษรบนพื้นขณะที่ชวิศาเริ่มใช้พลังเวทของตนขับเคลื่อนมนตรา

‘เหล่าผู้หลั่งเลือดไร้ชีวิตผูกพันตัวข้า ทุกสิ่งแห่งหนในพื้นพสุธา ข้ามีอำนาจเหนือใคร แผ่นดินดำรงอยู่ ข้าดำรงอยู่ ผู้คนดำรงอยู่ ข้ายืนยงเหนือใคร เป็นใหญ่ในอาณาเขตมนตรา’

เนื่องจากกรินบอกให้ชวิศาใช้พลังให้เต็มที่ ขอบเขตพลังของเขาจึงขยายออกไปเกินจากขอบเขตเมืองหลวงของอาณาจักร กินเขตแดนของเมืองรอบนอกไปอีกหลายสิบเมือง เหล่าผู้ใช้เวทเป็นนิตย์ต่างรับรู้ถึงพลังที่เคลื่อนผ่านแพร่กระจายผ่านร่างกาย แม้จะเกิดคำถามแต่เพราะพลังนั้นไม่ได้มีกระแสคุกคามหรือก่อเกิดอันตราย จึงมีแค่ข้อกังขาถึงที่มาของพลังนี้อยู่ภายในใจ

ระหว่างนั้นร่างของกรินก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างจ้า สายลมอันเกิดจากการเคลื่อนที่ของพลังเวทกรรโชกโหมรุนแรง เคลื่อนไหวหมุนวนจนผ้าม่านในห้องปลิวสะบัด

ชวิศายังดึงพลังในร่างกายปล่อยเข้าสู่วงแหวนเวทอย่างต่อเนื่อง กระทั่งสัมผัสถึงความรู้สึกสะท้อนกลับเมื่อนั้นเขาจึงหยุดการใช้พลังเวท สายลมที่เคยพัดกระหน่ำรุนแรงจึงค่อย ๆ จางหายไปเหลือเพียงสายลมเย็นเบาบาง

ชายหนุ่มเอนตัวล้มนอนแผ่กับพื้นพลางอ้าปากหอบหายใจ

ปลายหางตามองเห็นว่ากิรานาเดินผ่านเขาไป เขาจึงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่และกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างของกรินได้หายไปแล้ว ไม่มีแม้แต่หยดเลือดบนพื้น ส่วนกิรานามีสีหน้าตื่นตระหนก แววตาเต็มไปด้วยความกังขาสงสัยแฝงด้วยความหวั่นวิตก ชวิศาจึงใจหายวาบ

หรือเขาทำอะไรผิดไป!?

อย่างไรก็ดี ครู่ต่อมาร่างของกรินได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งรูปกายภายนอกของเขาที่เป็นปกติทุกอย่าง และยังอยู่ในชุดสีขาวในพิธีเมื่อตอนเย็น

“ท่านทำอันใด”กิรานาเอ่ยถามพลางชูลูกแก้วในมือให้เขาเห็น

“ผนึกดวงจิต!!!”ชวิศาร้องอุทาน

หญิงสาวก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าหลากหลาย เธองงงันจับต้นชนปลายไม่ถูกทั้งรู้สึกเศร้าสลดเสียใจ เธอรู้จักผลึกเวทที่ถูกเรียกว่าผนึกดวงจิตจากชายหนุ่มคนรัก เขาเคยบอกเล่าถึงรายละเอียดวิธีการสร้างและคุณสมบัติของมัน นั่นเท่ากับเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว

“ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านทิ้งข้ากับลูกได้อย่างไร”

“ที่รัก ท่านใจเย็นก่อน ข้าไม่ได้มีความคิดที่จะทิ้งท่านกับลูกแม้แต่น้อย”กรินเดินเข้าไปหาหญิงคนรัก โอบประคองเธอไว้ นั่นยิ่งทำให้กิรานามีสีหน้าประหลาดใจ เธอใช้มืออีกข้างสัมผัสตัวของชายหนุ่ม เธอสามารถสัมผัสเขาได้และร่างกายของเขายังอุ่นคล้ายมีชีวิตเช่นคนปกติ

“ข้าไม่เข้าใจ”

ชวิศาก็มองคู่สามีภรรยาตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน เนื่องจากทีแรกเขาคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดจนส่งผลกระทบให้กรินหายไปเสียอีก แต่ที่เขาเห็นชายหนุ่มที่เขาคอยพึ่งพาอาศัยมาตลอดก็ปกติดีทุกอย่าง

“ร่างกายนี้เกิดจากมนตราเวท ผนึกนี้ต่างหากจึงจะเป็นร่างจริงของข้า”กรินกุมมือของกิรานาโดยให้เธอกุมผนึกดวงจิตไว้อีกที “หากผนึกแตกสลายนั่นหมายถึงชีวิตของข้าจะสูญสลายไปด้วย”

หญิงสาวพยักหน้าหน้ารับพร้อมกำผนึกไว้แนบอก “ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้”

“เพราะข้าพ่ายแพ้ต่อผู้ใช้มนตรา ต่อให้เก่งกาจทางดาบมากเพียงใด ถ้าไม่อาจใช้มนตราได้ข้าย่อมพ่ายแพ้ร่ำไป”

“แล้วเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผนึกมันทำให้คุณใช้พลังเวทได้เหรอ ไม่ใช่ว่าจะต้องผนึกผู้ที่มีพลังเวทเพื่อให้สามารถดึงพลังเวทมาใช้... ไม่ใช่เหรอ”ชวิศาถามด้วยความสงสัย เขาเคยเห็นผนึกดวงจิตมาสองชิ้นแล้ว ชิ้นแรกกรินเลิกใช้ไปเพราะมันไม่สามารถใช้ได้อีกและให้เขาเป็นคลายผนึกให้ ส่วนชิ้นที่สองซึ่งกรินยังถือไว้ ชวิศาคิดว่ามันก็ต้องมีปัญหาอีกเหมือนกัน ไม่เช่นนั้น กรินคงไม่โดนพลังเวทของเมดินทำร้ายเอาได้

“ข้าเขียนวงเวทให้ทุกแห่งหนที่พลังของเจ้าแผ่ขยายไปถึงเป็นอาณาเขตมนตรา จะเรียกได้ว่าข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตก็ได้ เพียงแต่ตัวข้าเป็นดวงจิตที่มีเจตจำนงเหนือสรรพสิ่งใดในอาณาเขตนี้ ข้าแค่ดึงพลังจากแผ่นดิน จากห้วงอากาศจากทุกสรรพสิ่งในอาณาเขตมาใช้” ทุกสรรพสิ่งที่เขากล่าวถึงนั้นรวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่อาศัยในเขตแดนด้วย ในยามนี้จะมีสิ่งที่ยกเว้นคงเป็นพลังเวทของชวิศาที่เป็นเจ้าของอาณาเขตที่แท้จริงเท่านั้น

“แล้วถ้าลูกแก้วไม่แตก คุณจะมีชีวิตตลอดไปเลยหรือเปล่า”

“ใช่”

ชายหนุ่มร่างเล็กซึ่งยังคงนั่งอยู่บนพื้นหันไปมองหน้ากิรานา จากนั้นได้พูดถามต่อไปว่า “เท่ากับว่าคุณต้องอยู่คนเดียวไปอีกยาวนานเลยนะ คุณกรินจะไม่เหงาหรือ”

“ข้าไม่รู้ เพราะมันยังมาไม่ถึงแต่เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถ้าเจ้าไปกลับไปยังยุคสมัยที่เจ้าจากมาแล้ว ถึงตอนนั้น เจ้าค่อยมาคลายคาถาให้ข้าก็ยังไม่สาย”จากนั้นจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ตอนนี้ข้ามีพลังมากพอแล้ว ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้าน”

“ไม่เอาหรอก ผมยังไม่รู้ผลสรุปเรื่องของคุณเมดินเลย ถ้ากลับไปต้องค้างคาใจมากแน่ ๆ”

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ได้มีเสียงกระดิ่งสำหรับผู้มาเยือนดังขึ้น

“ท่านบิดามา”กรินเอ่ยบอกและหันไปพูดกับกิรานา “ขอให้ท่านอยู่แต่ในคฤหาสน์ ข้าจะไปจัดการเรื่องที่คั่งค้างให้เสร็จเรียบร้อย”

หญิงสาวจับมือเขาไว้ นั่นทำให้ชายหนุ่มรับรู้ถึงกระแสความห่วงใยที่เธอส่งต่อมาให้ เขายกยิ้มพูดยืนยันให้เธอสบายใจ “ยามนี้ข้าไม่ด้อยกว่าผู้ใด”จากนั้นจึงดึงมือออกและหันไปพูดกับชวิศา

“ตามข้ามาถ้าเจ้าอยากรู้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้”

ชายหนุ่มทั้งสองจึงลงมายังชั้นล่างของคฤหาสน์ เมื่อเปิดประตูออกไปพวกเขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้มเรืองรองแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าในไม่ช้า

ที่หน้าประตูมีวิโยมันและทหารองครักษ์สี่นายยืนอยู่ เมื่อผู้เป็นบิดาเห็นหน้าบุตรชาย เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเนื่องจากอาการบาดเจ็บจวนเจียนร่อแร่ของบุตรชายนั้นได้หายไปสิ้น

“พลังเวทที่ข้าได้สัมผัสคือพลังที่รักษาเจ้า”

“ขอรับท่านบิดา”

“ดี ดีมาก ข้าดีใจที่เจ้ากลับมาแข็งแรงดุจเดิม”วิโยมันตรงเข้าสวมกอดบุตรชายคนเล็กไว้ เมื่อผละออกห่างจึงหันไปทางชวิศาพร้อมทั้งก้มศีรษะให้ “ข้าขอขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตบุตรชายไว้”

“ไม่เลยครับ”ชวิศาโบกมือปฏิเสธ “ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนใหญ่กรินเป็นคนจัดการเองทั้งหมดเลยครับ”

“ถึงกระนั้น ข้ายังต้องขอบคุณท่าน หากไม่ได้พลังอันยิ่งใหญ่ของท่าน เขาคงไม่หายดีรวดเร็วถึงเพียงนี้”

กรินก้าวเท้าเข้าไปแทรกระหว่างการสนทนาของทั้งคู่เพราะกลัวว่าบิดาและชวิศาจะเยินยอขอบคุณกันไปอีกนาน

“ท่านบิดา ที่มาหาข้าคงไม่ใช่เพราะเรื่องอาการบาดเจ็บอย่างเดียวใช่หรือไม่”

“อ้อ...ใช่ องค์ราชาเสด็จสวรรคตแล้ว”

แม้จะพอคาดเดาได้อยู่แล้วแต่กรินก็อดใจหายไม่ได้ ตอนที่พวกเขาถูกลวงตาให้มองเห็นพระองค์เป็นคนรักชวิศา องค์ราชาคงทรงมีพระอาการย่ำแย่อยู่แล้ว

“ตรวจสอบไอเวทและร่องรอยการต่อสู้แล้ว คนที่พระองค์ปะทะด้วยคงเป็นเจ้าชายทานันศิระ”

การประลองต่อสู้จนทำให้คู่ต่อสู้ถึงแก่ชีวิตถือเป็นความผิด ยามนี้เจ้าชายจึงน่าจะถูกคุมขัง “ท่านบิดาไม่คิดว่าผิดปกติบ้างหรือขอรับ รออีกหนึ่งเดือนก็จะถึงประเพณีมาดามายาแล้ว เจ้าชายจะทรงมุ่งปะทะกับองค์ราชาด้วยสาเหตุใด”

“คุณกรินก็บอกท่านวิโยมันไปสิครับว่าแผนทั้งหมดเป็นของคุณเมดิน”ชวิศาพูดโพล่งทะลุกลางปล้อง

“เมดิน?”วิโยมันถามซ้ำอย่างไม่แน่ใจ เมื่อชวิศาพยักหน้ารับเขาจึงหัวเราะและกล่าวออกมาว่า “คนสุภาพนอบน้อมซื่อตรงเช่นเมดินนะหรือจะทำเรื่องเช่นนั้น ท่านเข้าใจผิดแล้ว”

“ผมไม่ได้เข้าใจผิด ผมเห็นจริง ๆ เขาเป็นซัดเวทใส่คุณกรินด้วย”

“ท่านซี ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าสัมผัสได้ ไอเวทบนร่างของกรินยามที่เขาบาดเจ็บไม่ได้เกิดจากมนตราของเมดินแน่นอน”

“แต่...”

“เงียบเถอะ”กรินเอ่ยปรามชวิศา “ท่านบิดาข้าขออภัย เรื่องนี้ไว้ข้าอธิบายให้ท่านซีฟังอีกรอบ”

วิโยมันจึงพยักหน้ารับพร้อมกล่าวเสริมว่า “เมื่อคืนมีเหตุก่อจลาจลหลายจุดในเมือง  ทั้งปราชญ์ลำดับต่าง ๆ พนักงานเวท ทหารหรือเหล่าองครักษ์ต่างต้องไปช่วยกันรักษาความสงบและรักษาคนเจ็บ เมดินเองก็อาสาเข้าไปช่วยปราบปรามผู้ก่อเหตุซึ่งมีหลายคนเป็นพยานได้”

ชวิศาขมวดคิ้วอยากจะพูดเถียงแต่โดนกรินกระตุกมือห้าม เขาจึงต้องยอมหุบปากเงียบ กรินหันไปพูดกับบิดาอีกสองสามประโยคจากนั้นพวกเขาเคลื่อนขบวนไปยังอาคารตุลาการ โดยที่กรินและชวิศาเดินตามอยู่รั้งท้าย

“ทำไมเรื่องมันเป็นแบบนี้ล่ะ”ชวิศากระซิบถามกรินเสียงเบา

“เจ้าถามข้าแล้วข้าควรถามใครเล่า”

“คุณกริน!!!”เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความฉุนเฉียว “เล่าให้ฟังเลย อยากรู้เข้าใจปะเนี่ย”ชวิศาพูดตะโกนเสียงดังจนวิโยมันและทหารทั้งสี่นายชะงักหยุดเดิน พร้อมเหลียวกลับมามองพวกเขา

“ขอโทษครับ ไม่มีอะไรครับ ทุกอย่างปกติดี”ชายหนุ่มร่างเล็กรีบเอ่ยกลบเกลื่อนปฏิเสธ และเมื่อทุกละความสนใจจากเขาไปแล้ว ชวิศาจึงกระซิบพูดกับกรินต่อไปว่า “รีบเล่ามาเร็ว ๆ เลย ผมอยากรู้”

กรินหัวเราะทำกับท่าทางของชวิศา

“เมดินเป็นถึงเจ้าของสำนักศึกษา เจ้าคิดว่าเขาควรมีลักษณะภายนอกอย่างไรเพื่อให้ผู้คนเชื่อถือจนยอมมาสมัครเล่าเรียน”

“อืม...”ชวิศายกมือขึ้นเกาศีรษะพลางนึกย้อนไปถึงพวกครูใหญ่ในโรงเรียนที่เขาเคยเรียน แต่เขาไม่ใช่เด็กเรียนหรือเด็กกิจกรรมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับพวกครูเสียด้วยสิ “ดู... ทรงความรู้ นึกออกได้แค่นี้ รีบบอกมาเลยเถอะ”เขาคะยั้นคะยอ

“อย่างที่เจ้าว่า เมดินเป็นผู้ทรงความรู้ เป็นบุรุษที่สุภาพอ่อนน้อมและถ่อมตน เมื่อหลายปีก่อนบิดาของข้าได้ขอเกษียณอายุเพื่อให้เขาได้มาดำรงตำแหน่งปราชญ์อันดับหนึ่ง เขายังขอปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า ตนไม่ได้เก่งกาจเทียบเท่าบิดาของข้าทั้งไม่ได้ฝักใฝ่ในอำนาจ ขอเป็นเพียงผู้สั่งสอนถ่ายทอดความรู้ที่มีให้ชนรุ่นหลังต่อไปเท่านั้น”

“โฮ้ ฟังดูดี แล้วท่านวิโยมันทำอย่างไรต่อเมื่อโดนปฏิเสธ”

“ก็ต้องเป็นปราชญ์ต่อไปไงเล่า หากตำแหน่งว่างลงเพราะผู้ดำรงตำแหน่ง ณ ขณะนั้นเสียชีวิต ผู้ที่มีชัยในประเพณีมาดามายาลำดับถัดไปถึงจะมีโอกาสได้ดำรงตำแหน่งแทน”

“เอ้า อย่างนี้เจ้าชายทานันศิระก็ได้เป็นองค์ราชาสิครับ”

“ใช่เสียที่ไหน เจ้าชายทรงกลายเป็นผู้สงสัยในการสังหารองค์ราชาต่างหาก”

“โอ๊ะ เข้าใจล่ะ คนที่มีโอกาสได้ดำรงตำแหน่งราชาองค์ต่อไปก็คือ...”ชวิศายกนิ้วชี้ขึ้นมา “ก็คือ...”พูดคำนั้นซ้ำพลางเหล่ตามองชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้าง ๆ ซึ่งกรินแค่มองกลับมาเฉย ๆ คล้ายไม่อยากมีส่วนร่วมด้วย ชวิศาจึงต้องพึมพำเสียงเบาพร้อมลดมือลง

“ก็คือคุณเมดินนี่เอง”ชวิศานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้จึงพูดต่อ “แต่คุณเมดินบอกว่าไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ”

“ครั้งนี้เมดินจะพูดว่า เพื่อความสงบสุขของอาณาจักร ข้ายินดีรับทำหน้าที่นี้”

“คุณเห็นอนาคตเหรอ”

“เปล่าเลย ข้าเดา”กรินตอบ “ในเมื่อเขาพยายามสร้างเรื่องขึ้นมาถึงเพียงนี้ เมดินไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นฉวยโอกาสไปอยู่แล้ว”

“แล้วจะช่วยเจ้าชายได้อย่างไรล่ะ ผมไม่อยากให้เจ้าชายต้องรับผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อนะ”

“สิ่งที่เจ้าพูดไม่ถูกต้อง เจ้าชายทานันศิระทรงทำผิดจริง ทรงลงมือสังหารองค์ราชาจริง”

“แต่นั้นเป็นเพราะเวทลวงตาของเมดินไม่ใช่หรือไง”

“ที่ข้าสงสัย พระองค์ทรงไม่รู้เชียวหรือว่าหลงอยู่ในอาณาเขตมนตราของผู้อื่น”

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ไปถามรายละเอียดจากเจ้าชายกันเถอะ”ชวิศาพูดบอกพลางคว้าจับมือของกรินให้รีบเดินไปด้วยกัน



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//โดนบ่นว่าค้าง อยากจะบอกว่า เรารู้สึกผิดเลยนะเนี่ย แต่ถามว่ามายาวกว่าเดิมได้ไหม ไม่ได้อีกแหละ เหมือนจะตันอีกล่ะ//*
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเจ็ด 24/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 25-12-2017 00:01:56
ค้างคาใจสุดๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเจ็ด 24/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 25-12-2017 11:33:03
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :z3: :z3: :z3: ไปไม่สุดค้างงงงงงงงง(ง.งูยาวไปสุดขอบกาแล็คซี่เลยค๊าาาา) ปุ่มสคลิป ปุ่มสคลิป สร้างเสร็จย๊างงงงงง ขอหน่อยยยยย แง่มๆ :hao5:
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบแปด 31/12/2017 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 31-12-2017 05:25:34
ตอนที่สามสิบแปด



การที่วิโยมันมาหากรินถึงที่คฤหาสน์นั้นไม่ใช่เพียงแต่มาตรวจดูสอบถามอาการบาดเจ็บ แต่ยังต้องการให้เขาไปให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาด้วย ชายหนุ่มจึงให้รายละเอียดไปตามที่เขาพบเห็น

“ทำไมไม่บอกว่าอาณาเขตมนตราเป็นของคุณเมดินละครับ”ชวิศาพูดถามด้วยความขัดใจที่ชายหนุ่มไม่ยอมระบุตัวคนร้ายมาตามตรง

หลังจากเสร็จธุระ กรินจึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเข้าไปเยี่ยมเจ้าชายทานันศิระ

“เจ้าพนักงานเวทในหน่วยงานตุลาการยังไม่สามารถตรวจสอบได้เลยว่า มีผู้ใช้เวทสร้างอาณาเขตมนตราเมื่อคืน ถึงบอกไปเมดินย่อมต้องกล่าวหาว่าคำพูดของข้าเป็นเท็จ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ท้าสาบานสิ”

“เจ้านี่นะ”เสียงพูดของกรินเต็มไปด้วยความหน่ายระอา “อย่างที่เจ้ารู้ หากผิดคำสัตย์พระนางสิตาริกาจะประทานเภทภัยผลาญชีวิตคนผู้นั้น และผลของการกล่าวคำสัตย์จะผูกพันไปตราบสิ้นลมหายใจ ถ้าเป็นไปได้ เหล่าผู้ใช้เวทมักจะไม่ค่อยกล่าวคำสัตย์สาบานพร่ำเพรื่อนักหรอก”

“เกิดเหตุการณ์แบบนี้ยังเรียกว่าพร่ำเพรื่ออีกหรือครับ”

“ไม่ว่าจะกระทำการใดล้วนต้องมีผู้รับรู้ ล้วนต้องมีผลลัพธ์ ล้วนต้องมีสิ่งที่หลงเหลือ คนจากหน่วยตุลาการจะไปหาสิ่งเหล่านั้นเพื่อมาพิสูจน์เองแหละน่า”

“อย่างนี้ ไม่ใช่ว่ากว่าที่ผมจะได้กลับบ้านก็อีกนานหรอกหรือ”

“เช่นนั้นข้าส่งเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่”

“ไม่ล่ะ ผมต้องรู้ตอนจบของเรื่องนี้ก่อน”ชวิศาพูดอย่างมุ่งมั่น

พวกเขามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องจองจำเจ้าชายผู้ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักร

เจ้าชายทานันศิระทรงถูกจองจำอยู่ในที่ทำการของฝ่ายตุลาการ หลังจากทรงได้รับการดูแลเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บแล้ว ที่จองจำพระองค์เป็นห้องกว้างขนาดสิบหกตารางเมตรซึ่งลงมนตราไม่ให้คนที่อยู่ในห้องสามารถใช้พลังเวทของตนได้ ภายในมีโต๊ะเก้าอี้ชุดเล็ก และตั่งไม้พร้อมฟูกนอน อาจดูไม่หรูหราแต่ย่อมดีกว่าสถานที่จองจำของบุคคลทั่วไป

พระอากัปกิริยาของเจ้านายชั้นสูงที่ทรงแสดงออกให้พวกเขาเห็นนั้นสงบนิ่งจนน่าแปลกใจ ทรงประทับบนตั่งนอนและเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นว่าผู้ใดที่ผ่านประตูเข้ามา สีพระพักตร์มีแต่ความแปลกพระทัย

“เอ๋... ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะหายดีได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”ทรงกลอกพระเนตรนึกย้อน “คงเพราะพลังเวทนั่นสินะ”

กรินไม่รอให้อีกฝ่ายเชิญนั่ง เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ชวิศาจึงดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งที่ข้าง ๆ กัน

“ข้าจะหาหลักฐานมาช่วยเหลือท่าน เจ้าชาย”

“และเหตุใดท่านต้องช่วยเรา”

“ก็เพื่อจับคนผิดเข้าคุกไงล่ะครับ”ชวิศาโพล่งแทรกออกไป

“ท่านรู้รึว่าผู้ใดเป็นคนผิด”

“นั่นเป็นสิ่งที่ทรงต้องแจ้งแก่พวกข้าทั้งสอง”

“ใช่ ๆ เดี๋ยวพวกผมจะไปช่วยกันหาหลักฐานเอง”ชวิศากล่าวสนับสนุนคำพูดของกริน ทว่าเจ้าชายทานันศิระกับทรงแค่นพระสรวลจากนั้นทรงถอนพระปัสสาสะออกมาก่อนจะเอ่ยว่า “เราเป็นผู้ลงมือทำร้ายพระบิดาเอง ไม่มีผู้ใดบังคับ พวกท่านจะหาหลักฐานใดเพื่อแก้ต่าง”

“แต่ท่านทำเพราะโดนเวทหลอกลวงในอาณาเขตมนตรา ตอนนั้นท่านยังกล่าวว่าเมดินใช้เวทหลอกลวงเพื่อให้ท่านห้ำหั่นกับองค์ราชา”

“กริน ท่านเข้าใจผิดแล้ว เราเป็นผู้เดินเข้าสู่อาณาเขตมนตรานั้นเอง ท่านคิดหรือว่า อาณาเขตมนตราที่แม้แต่ตัวท่านยังสัมผัสได้ เราจะไม่รู้สึกถึงมัน”

“แต่ตอนที่พวกผมอยู่ในเขตแดนนั้น ผมก็เห็นเจ้าชายกับองค์ราชาเป็นคนอื่นนะครับ”

“อาณาเขตนั้นส่งผลให้ผู้ที่อยู่ภายในมองเห็นบุคคลที่พวกท่านห่วงหา”

“อ้าว แล้วอย่างนี้เจ้าชายเห็นใครหรือครับถึงได้พุ่งมาโจมตีพวกผม ถ้าห่วงหาก็ไม่น่าจะซัดอาวุธใส่ไม่ใช่เหรอ”ชวิศาถาม ทว่าคนที่ถูกถามกลับไม่ตอบคำ และหลังจากนั้นไม่ว่าพวกเขาจะเอ่ยสิ่งใด ก็ไม่มีแม้กระทั่งสุรเสียงตอบกลับมา เขาทั้งคู่จึงต้องระงับการพูดคุยไว้แค่นั้น

“คุณกรินว่า เจ้าชายทรงเห็นใครหรือครับ”ชวิศาเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเขาและกรินออกมาจากอาคารตุลาการแล้ว

“คนที่ทั้งรักมากและเกลียดมาก”

“รักมาก ก็น่าจะเป็นพี่สาวคุณกรินไม่ใช่เหรอ”

กรินหันมองพร้อมส่งสายตาถามว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น ชวิศาจึงตอบว่า “ก็เจ้าชายกำลังจะเสกสมรสกับพี่สาวของคุณกริน”

“แต่ข้าไม่เคยรู้สึกว่าเจ้าชายทรงรักพี่สาวของข้าสักนิด”

“อ้าว”ชวิศาร้องอุทาน ก่อนจะต้องออกอาการตื่นตระหนกเมื่อถูกกรินลากถูลู่ถูกังเข้าไปแอบในซอกซอยข้างอาคารแห่งหนึ่ง

“อะไร”เขาถามพลางชะเง้อชะแง้มองออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เมดินเดินผ่านมาทางนี้ ข้ายังไม่อยากให้เขาเห็นร่างของข้า”

“ทำไมล่ะ”

“ที่ข้าเคยบอกว่าดวงตาของเมดินสามารถมองเห็นพลังเวทในร่างกายของผู้อื่นได้ แล้วตอนนี้ร่างกายของข้าเป็นร่างมนตรา เขาต้องรู้อยู่แล้ว”

“เออ พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็สงสัย”ชวิศาพูด “ทำไมคนอื่นถึงไม่รู้ว่าร่างของคุณกรินตอนนี้ไม่ใช่ร่างจริง ๆ ล่ะ เวลาใช้มนตรามันจะมีไอเวทออกมาไม่ใช่เหรอ อย่างท่านวิโยมันกับเจ้าชายไม่น่าจะมองไม่ออกนะ”

“แสดงว่าเจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องไอเวท”

“แน่สิ ถ้าความรู้ผมถึงขั้นแอดวานซ์คงไม่สงสัยหรอก”ชวิศาพูดบ่น แต่กรินทำเมินไปเสียแล้วอธิบายว่า “ไอเวทเป็นผลตกค้างจากการใช้พลังเวท มันเกิดจากการที่เราดึงอำนาจธาตุมาสร้างมนตราและใช้ปริมาณอำนาจพลังธาตุเหล่านั้นไม่หมด จึงเหลือเป็นเศษปะปนกับธรรมชาติ แต่เนื่องจากพลังอำนาจเหล่านั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมกับสิ่งของหรือสถานที่นั้น ๆ เราจึงสามารถแยกความแตกต่างได้ แต่มันก็จะจางหายกลมกลืนไปกับธรรมชาติแวดล้อมภายในเวลาประมาณเจ็ดวัน”

ชวิศาอ้าปากค้าง ทั้งงุนงงทั้งไม่เข้าใจกับสิ่งที่กรินอธิบาย ชายหนุ่มถอนหายใจ

“เช่นนั้นข้าสรุปง่าย ๆ ว่า เราไม่ทางดึงพลังอำนาจธาตุแต่ละธาตุออกมาใช้ในปริมาณเท่ากับความต้องการในการสร้างมนตราได้พอดี ส่วนที่เหลือนั่นละถึงเรียกว่าไอเวท”

“อ้าว อย่างนั้นทำไมมนตราดวงเนตรโยฮาน่าถึงเป็นเวทสำหรับสอดแนมได้ล่ะครับ”

“เพราะคุณสมบัติของอำนาจธาตุโลหะ แต่ใช่ว่าใช้อำนาจธาตุโลหะเพียงอย่างเดียวจะซ่อนไอเวทได้ทั้งหมด”กรินพูดดักทางไม่ให้ชวิศาถามต่อ เพราะถ้าอธิบายว่าคุณสมบัติของอำนาจธาตุโลหะสามารถซ่อนไอเวทของธาตุอื่นได้ ชวิศาต้องคิดว่าเมดินใช้อำนาจพลังของธาตุนี้แน่นอน แต่ตอนนี้เขาคิดได้แล้วว่าเมดินใช้วิธีไหนสร้างอาณาเขตมนตราโดยไม่หลงเหลือไอเวทของตนให้ผู้อื่นตรวจสอบได้

“แล้วตกลงที่คนอื่นไม่เห็นไอเวทจากร่างของคุณกรินเพราะอะไร”ชวิศาย้อนกลับมาถมเรื่องที่สงสัย ขณะก้าวเท้าเดินตามกรินที่เดินออกจากซอยเมื่อเมดินผ่านจุดที่พวกเขาอยู่ไปไกลแล้ว

“เพราะพลังเวทที่สร้างร่างกาย ไม่แตกต่างจากสิ่งที่แวดล้อมร่างของข้าอยู่ หรือถ้าให้ตอบแบบตรงไปตรงมา เพราะอาณาจักรฮัชดาลลาร์เป็นเขตแดนที่ข้ามีอำนาจเหนือผู้ใด”

“โฮ้”ชวิศาร้องตาโต “อย่างนั้นคุณก็จับคุณเมดินเลย”

“ทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า”กรินร้องบอกและอธิบายต่อ “ผู้คนทั้งเมืองรู้จักข้า หากวันใดข้าแสดงถึงพลังอำนาจที่เหนือกว่าคนปกติจะทำได้ แทนที่ผู้คนจะสรรเสริญเยินยอคงไล่ล่าทำลายข้าเสียมากกว่า”

“คุณมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ทำไมทีองค์ราชาที่ทรงช่วยเปลี่ยนแปลงการปกครองถึงเป็นที่ยอมรับได้ล่ะ”

“เพราะก่อนหน้านั้นบ้านเมืองอยู่ในช่วงกลียุคอย่างไรเล่า ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือผู้คนย่อมต้องได้รับการนับถืออยู่แล้ว แต่ตอนนี้สภาพภายในอาณาจักรถือว่าเป็นปกติสุข หากแสดงอำนาจที่มีมากเกินไปจะโดนเพ่งเล็งเสียเปล่า ๆ ประเพณีมาดามายาเองก็ถูกจัดเพื่อให้ผู้คนเห็นพลังอำนาจของผู้อื่นจะได้ค่อย ๆ สร้างการยอมรับนับถือ”

กรินมาหยุดยืนที่ลานกว้างกลางเมือง เขากวาดสายตามองไปโดยรอบซึ่งในตอนนี้พื้นที่ลานกว้างได้ถูกกันไม่ให้ชาวเมืองสัญจรผ่าน เนื่องจากเหตุร้ายที่เกิดในค่ำคืนที่ผ่านมา

ปกติแล้ว แม้จะเป็นคืนที่มืดสนิทแต่ถนนหนทางภายในเมืองจะไม่ได้มืดมิดมากนัก นั่นเพราะทุกถนนในเมืองจะมีกระถางคบเพลิงซึ่งตั้งห่างกันเป็นระยะไว้คอยให้แสงสว่าง โดยเชื้อเพลิงที่ใช้เป็นหินติดไฟชนิดหนึ่ง รอบพื้นที่ลานกลางเมืองก็มีกระถางคบเพลิงเหล่านี้เหมือนกัน

กรินเดินตรงไปที่กระถางคบเพลิงเหล่านั้น

ในกระถางเหล่านั้นเหลือแค่เพียงเศษขี้เถ้าสีดำ กรินลองกอบมันขึ้นมาซึ่งพวกมันได้กลายเป็นเพียงซากที่ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าแต่ก่อนมันเคยเป็นหินชนิดใด

“มันทำไมหรือครับ”

“มีศิลาชนิดหนึ่งที่ถ้าหากลุกไหม้แล้วจะสามารถทำให้เกิดอาณาเขตมนตรา”

“งั้นที่พวกเขาตรวจไม่เจอไอเวทของคุณเมดินก็เพราะอย่างนี้สินะ”ชวิศาพูดอย่างตื่นเต้น “เราเอาเรื่องนี้ไปบอกพวกตุลาการกันเถอะ”

“เอาไปบอกแล้วอย่างไร พวกมันกลายเป็นซากขี้เถ้าไปหมดแล้ว”

“อ้าว ทำไมเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะ”ชวิศามีสีหน้าเสียดาย

“อ้อ กลิ่นแปลก ๆ เมื่อคืนเป็นเพราะเหตุนี้สินะ”เสียงบุคคลที่สามดังแทรกขึ้นเรียกความสนใจของพวกเขาให้หันไปมอง

“ดันกะ”

“สวัสดียามสายท่านกริน ท่านซี”

ชวิศามองบุคคลที่กรินเรียกว่าดันกะสลับกับมองหน้ากริน ยิ่งอีกฝ่ายรู้จักเขา ชายหนุ่มยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่

“ไม่คิดว่าการกลับมาที่เกิดเหตุอีกรอบจะได้ยินอะไรดี ๆ จากพ่อค้าศิลาเวทอันดับต้น ๆ ของอาณาจักร”

“ข้ายินดีที่ความรู้ของข้าเป็นประโยชน์ต่อท่าน”กรินโค้งศีรษะรับคำชมแต่โดยดี

“แต่น่าแปลก เหตุใดกลิ่นกายของท่านถึงเปลี่ยนไป เป็นกลิ่นที่หอมสดชื่นยิ่งนัก”ดันกะเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ ชวิศาหูผึ่งนึกอยากพิสูจน์ขึ้นมาด้วย จึงยื่นจมูกเข้าไปใกล้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมสูดกลิ่นฟุดฟิดก่อนโดนกรินดันใบหน้าของเขาให้ออกห่างด้วยท่าทางคล้ายรังเกียจ ถึงกระนั้นชวิศาก็ไม่ได้สนใจท่าทางดังกล่าวของกรินแต่พูดออกมาว่า

“ไม่เห็นได้กลิ่นเลย”

ทว่าคนที่จุดประกายความสงสัยให้ชวิศากลับเพียงแค่ยกยิ้มไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม

“ข้าคงต้องขอตัวก่อน ภรรยาของข้าไม่ค่อยสบายคงต้องขอตัวกลับไปดูแลนาง”กรินบอกลาและรีบหมุนตัวก้าวเท้าออกไป ทิ้งชวิศาให้ยืนงงหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่เจ้าตัวจะคิดได้และวิ่งตามกรินซึ่งสาวเท้าลิ่ว ๆ นำอยู่ด้านหน้า

“คุณกริน ทำไมไม่คุยกับเขาล่ะ เขากำลังสืบเรื่องการสวรรคตขององค์ราชาอยู่นี่”ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเดินตามมาทัน

“ข้าไม่อยากสนทนากับพวกที่มีสัมผัสพิเศษ เขาเหมือนกับเมดิน จมูกของเขาแยกแยะกลิ่นได้ดีกว่าสุนัขป่าเสียอีก”

“แต่เขาสามารถช่วยหาหลักฐานแก้ต่างให้เจ้าชายได้”

“เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เจ้าเลิกคิดไปเลย หากเจ้าชายทานันศิระไม่ทรงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา ก็ยากนักที่ใครจะช่วยพระองค์ได้”

ชวิศามีสีหน้าขัดใจ “ทำอะไรเลยไม่ได้หรือไง”เขาร้องตะโกนถาม กรินถอนหายใจหยุดยืนพร้อมหันกลับไปหาชวิศา “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ดันกะรู้เบาะแสแล้วเดี๋ยวเขาก็ไปจัดการสืบความต่อเองล่ะ ตอนนี้กลับบ้านก่อนเถอะ เจ้าไม่หิวข้าวหรือไร”

พอได้ยินอีกฝ่ายถาม ชวิศาก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาตงิด ๆ “อืม... หิว งั้นไปกินข้าวกันก่อนแล้วกัน”




อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ตะวันเคลื่อนคล้อยสู่ยามบ่ายเท่านั้น ชายหนุ่มผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในหน่วยตุลาการอย่างดันกะได้มาเยือนคฤหาสน์หลังงามของกรินอีกครั้ง กรินออกมาต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้มมีไมตรีแม้ในใจจะไม่อยากต้อนรับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ก็ตาม

ดันกะกวาดสายตามองการตกแต่งอย่างชื่นชมความงดงามที่ถูกจัดสรรอย่างลงตัว แต่ยิ่งกว่านั้นคือ “เป็นคฤหาสน์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังเวทที่แข็งแกร่งมหาศาลยิ่งนัก ข้านึกอยากขอให้ท่านซีไปช่วยสร้างคฤหาสน์ให้ข้าบ้างแล้วสิ”

“เรื่องนั้นคงต้องให้ท่านคุยกับท่านซีเอง”

ดันกะพยักหน้ารับ เดินตามกรินที่ผายมือเชิญเขาไปยังห้องรับรอง

ยามนั้นทั้งชวิศาและกิรานาต่างพักผ่อนอยู่แต่ในห้องของตัวเอง โดยเฉพาะชวิศาที่หลับเป็นตายตั้งแต่ทานอาหารเสร็จ แต่สำหรับกรินนั้น ด้วยเพราะกายเนื้อของเขาสูญสลายไปแล้วเหลือเพียงดวงจิตที่ถูกผนึกอยู่ในวัตถุที่คล้ายลูกแก้ว ร่างที่เกิดจากพลังมนตราซึ่งเขาปรากฏให้บุคคลอื่นเห็น จึงไม่จำเป็นต้องทานอาหารหรือพักผ่อน

“ข้าตรวจสอบเรื่องการซื้อขายศิลานีมแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ผู้ที่ซื้อมันจากร้านจำหน่ายศิลาเวทมีจำนวนห้าคน แต่ละคนซื้อในจำนวนไม่เกินสามดอน[1]”

‘นีม’ เป็นชื่อที่พวกเขาใช้เรียกหินหายากชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้างอาณาเขตมนตรา กระนั้นการทำให้หินชนิดนี้สร้างเขตแดนได้ย่อมต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน อีกทั้งศิลานีมยังถูกทางการสั่งควบคุมการซื้อขายเพื่อป้องกันผู้คนไม่ให้สร้างอาณาเขตมนตราในที่สาธารณะ เนื่องจากเขตแดนเวทนั้นเป็นการใช้พลังเวทกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการใดการหนึ่งโดยมีผู้ใช้พลังเป็นเจ้าของพื้นที่นั้น กฎข้อหนึ่งของอาณาจักรจึงระบุไว้ว่า ห้ามผู้ใดสร้างอาณาเขตมนตราโดยไม่มีเหตุจำเป็นอันสมควรหรือได้รับอนุญาต นั่นเท่ากับว่า กรินกำลังละเมิดกฎข้อนี้อยู่ เขาจึงไม่อยากให้ผู้ใดรับรู้ตัวตนของเขา

“ถ้าซื้อคนละสามดอน จำนวนห้าคนก็เท่ากับสิบห้าดอน” ทว่ามันก็ยังเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป

“ใช่ และทั้งห้าคนนั้นไม่มีความข้องเกี่ยวกันเลย”

“ศิลาเหล่านั้นอาจจะทำการซื้อขายผ่านตลาดมืด”เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่หินหายาก ราคาแพง และถูกทางการควบคุมจะมีการดำเนินการซื้อขายโดยผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามกรินกลับรู้สึกว่าตนเองได้ก้าวพลาดไปเสียแล้ว

“ข้าถึงได้มาหาท่าน เพื่อรบกวนให้ท่านช่วยในเรื่องนี้”

ชายหนุ่มอยากแสดงสีหน้าเหม็นเบื่อต่อหน้าแขกผู้มาเยือนก่อนจำใจถามกลับไปว่า “ท่านอยากได้รายชื่อผู้ที่ซื้อศิลานีมและจำนวนที่ซื้อใช่หรือไม่”

“แต่ถ้าท่านจะกรุณาเพิ่มเติมข้อมูลอื่น ก็ย่อมได้”

กรินอยากส่งแขกเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าอีกฝ่ายราวกับนกรู้

“วันนี้ข้ามารบกวนท่านนานแล้ว ข้าคงต้องขอตัวลา”ดันกะลุกขึ้นยืนโดยแทบไม่รอให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องเอ่ยปากไล่ กระนั้นกรินก็เดินไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตูตามธรรมเนียม

พ้นจากสายตาของดันกะ กรินจึงได้สลายร่างมนตราของตน

ด้วยเหตุที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของทุกสรรพสิ่งในเมือง ดวงจิตและการรับรู้ของกรินจึงแทรกอยู่ทุกแห่งหน เขาสามารถเห็นและทราบทุกสิ่งที่เกิดในอาณาเขตมนตรา เพียงแต่เขาไม่ใช่สสารที่สัมผัสได้อีกต่อไป กรินจึงมีชีวิตอยู่แค่ในช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่อาจเดินทางย้อนอดีตกลับไปดูกว่าก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น และไม่อาจเห็นได้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร

ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เฝ้าจับตามองการกระทำของผู้คน

ทว่าเมดินนั้นกลับระมัดระวังทุกย่างก้าวเป็นพิเศษ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติไปจากกิจวัตรอันพึงควรของผู้ที่เป็นเจ้าของสำนักศึกษาผู้หนึ่ง ฝ่ายผู้คนที่ค้าขายศิลาเวทในตลาดมืดก็เช่นกัน ทุกอย่างยังดูเป็นปกติเช่นครั้งที่เขาเคยไปเยือนยามที่มีกายเนื้อ

ซึ่งระหว่างนั้นเมดินได้มาเยี่ยมเยียนกรินที่คฤหาสน์อยู่สองสามครั้ง และทุกครั้งกิรานาจำต้องเป็นผู้ที่ออกมาต้อนรับ และคอยอ้างหลากเหตุผลเมื่อผู้มาเยือนไม่เคยได้พบกับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์เลยสักครั้ง นั่นพานให้ชวิศาต้องซ่อนตัวไปด้วย

“เขาทำกับคุณกรินขนาดนั้น ยังกล้ามาอีกเหรอเนี่ย”

“จะแปลกอันใด เขาเป็นญาติผู้พี่ของข้า ก็ต้องมาเยี่ยมเยียนเป็นปกติ”

ชวิศาขมวดคิ้วหันไปมองคนพูด “งง มาเยี่ยมแบบปกติได้ไง วันนั้นยังทำให้คุณกรินเกือบตาย”

กรินจึงระบายลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายไม่ต่อความอันใดอีก

กระทั่งเจ็ดวันผ่านไป ดันกะจึงกลับมาเยือนอีกครั้ง

“เห็นท่านเงียบหายไปเลย ข้าจึงมาเยี่ยมเยียน”ชายหนุ่มผู้เป็นแขกยกยิ้มราวกับพวกเขาเป็นสหายกันมาเนิ่นนาน

“ท่านคิดว่าจะมีเอกสารรายนามผู้ซื้อศิลาเวทในตลาดมืดเช่นนั้นรึ”กรินถอนหายใจ “ข้าว่าท่านลองสอบถามจากผู้ก่อจลาจลในวันนั้นดีกว่า ว่าใครเป็นผู้บงการ”

“ถ้าเจ้าพวกนั้นยอมบอกง่าย ๆ ข้าคงไม่ต้องลำบากหาหลักฐานอื่น ซ้ำมีอีกหลายคนที่ได้แต่บอกว่าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคืนนั้นทำสิ่งใดลง”

“ที่คนพวกนั้นไม่รู้ตัวเพราะโดนเวทควบคุม ท่านจงลองให้คนตรวจสอบดู”

หลังจากพูดคุยสอบถามกันอีกสองสามประโยค ดันกะจึงขอตัวลากลับ ชวิศาที่แอบฟังอยู่นานจึงเดินมาหากริน “ทำไมเราไม่ใช้พลังทำนายของคุณกิรานามาตรวจดูเพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นละครับ คุณกิรานาย้อนดูอดีตด้วยไม่ใช่เหรอ”

“นางตั้งครรภ์อยู่ ปกติพลังอำนาจธาตุพิเศษจะถูกส่งต่อให้กับบุตรในครรภ์ และถึงแม้ตอนนี้นางจะยังสามารถใช้พลังได้ ผู้คนอื่นย่อมต้องยกข้อนี้มาโต้แย้ง”

“แล้วคุณกรินใช้มนตราย้อนเวลากลับไปดูหรือใช้พลังเวทดูภาพนิมิตไม่ได้หรือครับ”

กรินสั่นศีรษะโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม

“นี่เท่ากับว่าเราต้องให้คนชั่วลอยนวลเหรอเนี่ย”ชวิศามีสีหน้าไม่ชอบใจ

“ข้าคิดว่าตอนนี้คงได้แต่รอเวลาเท่านั้น”ถ้าหากเจ้าหน้าที่หน่วยตุลาการไม่สามารถหาหลักฐานอื่นมาแย้งกับพยานหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเจ้าชายทานันศิระมีส่วนร่วมในการก่อจลาจลและสังหารองค์ราชา อีกไม่นานคงต้องมีพิธีราชาภิเษกกษัตริย์องค์ใหม่ เมื่อนั้นอาจจะทำให้คนร้ายตัวจริงปรากฏออกมา



ดันกะมาส่งข่าวอีกครั้ง คราวนี้เจ้าหน้าที่ในหน่วยตรวจสอบพบเวทควบคุมซึ่งถูกตราอยู่ในร่างของผู้ที่ถูกจับกุมจริง ๆ เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบอย่างละเอียดได้ว่า เวทที่ถูกผนึกนั้นเป็นของผู้ใด ดันกะจึงมาหากรินเพื่อให้ชายหนุ่มช่วยหาวิธีตรวจสอบให้

“เหตุใดต้องเป็นข้า นักเวทผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นมีอักโข”กรินกลอกตาทำหน้าหน่ายระอาใส่อย่างไม่คิดถึงมารยาท ทว่าดันกะกลับยิ้มระรื่นราวกับไม่เห็นอาการเช่นนั้น จนเป็นชวิศาที่ต้องกล่าวคะยั้นคะยอเชิงตำหนิ

“คุณกรินก็ช่วยเขาหน่อยสิครับ จะเล่นตัวทำไม”

ชายหนุ่มอีกคนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

“ข้าไม่ได้เล่นตัว แต่เรื่องพรรค์นั้นไม่ใช่หน้าที่ของข้าเสียหน่อย”

“แล้วผมต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ถึงจะจับคุณเมดินได้ล่ะ กว่าที่ผมจะได้กลับบ้านก็ยืดไปอีก”

“ข้าเคยบอกแล้ว ว่าข้าสามารถส่งเจ้ากลับได้ทันที เจ้าก็ไม่ยอมไป”

“อ้าว ก็ผมอยากรู้นี่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร กลับไปก่อนก็ไม่รู้เรื่องน่ะสิ”

ดันกะเห็นว่าทั้งสองคนต่างทุ่มเถียงนอกเรื่องไปไกล จึงได้กล่าวแทรกขัดจังหวะ “ขอท่านทั้งสองโปรดใจเย็นก่อน” จากนั้นเขาพูดว่า “ท่านกรินที่ข้ามาหาท่าน เพราะท่านข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนั้น ทั้งยังถูกทำร้าย แต่น่าแปลกที่ท่านไม่ได้กล่าวโทษเอาผิดผู้ใด เรื่องนี้หน่วยงานตุลาการเห็นว่าเป็นพิรุธ แต่เมื่อผู้เสียหายไม่เอาความ แม้พวกเราอยากดำเนินการตัดสินเอาโทษคนผิดก็ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งเป็นเพราะท่าน พวกเราถึงได้รู้ว่าคนที่ถูกจับกุมโดนตราเวทควบคุม”

“ถ้าเป็นบ้านเกิดของผมนะ ป่านนี้ก็จับคนร้ายได้แล้ว”ชวิศาพูดขึ้นมาบ้าง “ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ พวกตำรวจก็จะไปเปิดกล้องวงจรปิดดูหน้าตาคนร้ายแล้วก็ไปตามจับตัวมาเลย มีภาพเห็นชัด ๆ จะจะ ผู้ร้ายที่ไหนก็หนีไม่พ้น”

“กล้องวงจรปิด? มันคือสิ่งใดกัน”ดันกะถามอย่างใคร่รู้

“มันเป็นกล้องถ่ายวิดีโอที่รัฐติดไว้ในเมืองนะครับ จริง ๆ คนทั่วไปก็ติดไว้ได้ มันจะเก็บภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามสถานที่ที่มีกล้องน่ะ แล้วถ้าเกิดเรื่องเราก็จะเอาภาพที่บันทึกไว้มาเปิดดูอีกครั้ง”

“เป็นความคิดที่ดี”กรินพูด นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์มีแผนการ และหลังจากนั้นก็หันไปพูดกับดันกะว่า “ขอให้ท่านกลับไปก่อน เรื่องการตรวจสอบเวทควบคุมต้องให้ท่านรออีกสักเล็กน้อย ข้าคงต้องลองศึกษาตำราดูก่อน และข้ารับปากว่าครั้งนี้ พวกท่านจับคนร้ายได้อย่างแน่นอน”

ด้วยเหตุนั้นดันกะจึงเดินทางกลับและเมื่อเหลือเพียงพวกเขาแค่สอง ชวิศาจึงเอ่ยถาม “คุณกรินจะทำอย่างไรเหรอครับ”

กรินแบบมือ ใช้พลังเวทสร้างภาพการดำเนินชีวิตของผู้คนในเมืองใช้ชวิศาได้เห็น

“ว้าว เหมือนกำลังดูหนังเลย”ชายหนุ่มร้องอย่างตื่นเต้น

“หนัง?”กรินส่งเสียงถามพลางก้มมองผิวหนังของตนด้วยความสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับภาพจากมนตราอย่างไร

“อ้อ มันเป็นคำย่อของคำว่า ภาพยนตร์นะครับ แต่ไม่ต้องถามที่มากับผมนะว่าทำไมภาพยนตร์ถึงเรียกว่าหนัง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ชวิศายิ้มกว้าง แต่ถามต่อไปว่า “แล้วไอ้ภาพพวกนี้มันจะอย่างไรเหรอครับ”

“ข้าก็จะสร้างภาพเหตุการณ์ย้อนหลังในคืนนั้นจากพลังมนตรา แต่มีข้อแม้บางอย่างที่ต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ”

“ผม?”ชวิศาชี้นิ้วมือเข้าหาตัวเอง

“ข้าจะใช้พลังเวทอันแข็งแกร่งของเจ้าสร้างความน่าเชื่อถือให้กับภาพมนตราที่ข้ากำลังจะสร้างเพื่อจับคนร้าย”
 


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

[1] ดอน = หน่วยการชั่งน้ำหนัก 1 ดอนมีค่าประมาณ 1.492 กรัม

*//อืม... อาทิตย์นี้จะทำให้ผู้อ่านทุกท่านรู้สึกค้างคาใจอีกไหมนะ หรือไม่แน่บางท่านอาจจะรู้สึก ‘ทำไมมันอย่างนี้วะ’ ก็ได้ ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ ตอนที่เราเขียนก็รู้สึก ‘อ้าว...เฮ้ย!!! จบไม่ลงแหะ’ เหมือนกัน อุตส่าห์ดีใจที่ถึงตอนที่เฝ้ารอซะที (T T)
สุดท้ายขอขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าและขอให้ทุกท่านโชคดีกับปีใหม่ที่กำลังจะมาเยือนค่ะ //*
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเก้า 7/01/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 07-01-2018 07:11:27
ตอนที่สามสิบเก้า



กรินใช้เวลาศึกษาตำราเพื่อหาวิธีการดึงเวทผูกพันที่ถูกตราลงในร่างกายมนุษย์อีกสองสามวัน สลับกับเดินทางไปที่อาคารที่ตั้งของหน่วยตุลาการเพื่อทดลองใช้มนตรา เพียงแต่การไปที่แห่งนั้นไม่มีใครรับรู้การมาเยือนของเขาเนื่องจากมันเป็นส่วนหนึ่งของแผนจนกระทั่งมนตรานั้นสัมฤทธิผล เขาจึงได้เริ่มพูดคุยตกลงกับชวิศา

และครั้งนี้ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นตัวแสดงหลักในแผนการของเขาจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“เจ้าต้องแสดงท่าทางว่าเป็นคนใช้พลังเพื่อดึงระเบียนมนตราออกมาจากร่างของผู้ที่ถูกจับกุม”

ชวิศาพยักหน้ารับ

“ทีนี้เจ้าก็กล่าวอ้างตัวเป็นพยานเล่าเหตุการณ์ที่เจ้าเห็นในคืนนั้น”

“แต่พวกเขาไม่ยอมรับเพราะผมเป็นสหายกับเจ้าชาย”

“เจ้าก็เอาศิลามหาเวทออกมาให้ทุกคนดู”

“ศิลามหาเวทอีกล่ะ แล้วผมจะเอาของแบบนั้นมาให้คนอื่นดูได้ยังไง”

กรินแบมือออก ผนึกดวงจิตของตนก็พลันปรากฏบนฝ่ามือ เขาใช้พลังเวทส่งไปให้ชวิศาถือไว้ “เจ้าจงบอกว่าแก่ผู้อื่นว่า ใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนในการสร้างศิลานั้นขึ้นมา”

ชวิศาเอียงคอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ถ้าจำไม่ผิด “วิธีสร้างที่คุณกรินเขียนแจกให้ชาวเมืองไม่ใช่แบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

“เจ้ามีพลังเวทมหาศาลเหตุใดต้องใช้วิธีดาดาษตามตำราด้วยเล่า”กรินยกยิ้มมุมปาก “และที่จริงเจ้าใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นศิลาชิ้นนี้ก็เสร็จสมบูรณ์”

ชายหนุ่มตีสีหน้าปูเลี่ยน ๆ กรินจึงกล่าวย้ำไปว่า

“ก็เลือกเอา ว่าจะปล่อยให้เจ้าชายผู้มีใบหน้าคล้ายคนรักของเจ้าต้องรับโทษ หรือต้องการจับตัวผู้กระทำผิดตัวจริง”

“ต้องเป็นคนร้ายตัวจริงสิ”ชวิศาตอบทันควัน

“เช่นนั้นเจ้าจะกังวลอันใด”

“ก็เพราะผมใช้มนตราได้แย่มากไง ผมกลัวว่าตัวเองจะทำอะไรพลาด”เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาพลันนึกขึ้นได้อีกว่า มนตราต่อสู้ในรูปแบบค้อนอันใหญ่ยักษ์ของเขาโดนเมดินทำลายลงอย่างง่ายดาย

“มีข้าอยู่ทั้งคนเจ้าจะกลัวสิ่งใด อีกอย่าง เมืองหลวงของอาณาจักรฮัชดาลลาร์คืออาณาเขตมนตราของเจ้า ผู้ใดจะอยู่เหนือเจ้าได้”

“โฮ้!”ชวิศาร้องอย่างตื่นเต้นนัยน์ตาเป็นประกาย กระนั้นเขาก็รีบเอ่ยปากถามก่อนจะลืมไปเสียก่อน “เออ แล้วทำไมครั้งที่แล้ว เมดินถึงฟาดมือผลัวะทีเดียวค้อนของผมถึงหายไปเลยล่ะครับ”

“มันเป็นจุดอ่อนของการใช้กระดาษคาถา เพราะมนตรานั้นสร้างขึ้นจากวงเวทที่อยู่บนกระดาษ ถ้าทำลายกระดาษคาถาและวงเวทเสีย มนตราก็จะสลาย”

“อ้าว อย่างนี้ไม่มีวิธีป้องกันเลยเหรอ แล้วคุณกรินจะให้ผมไปลงประลองทั้งที่มันมีจุดอ่อนแบบนี้เนี่ยนะ”ประโยคหลังชายหนุ่มพูดออกไปเพราะเฉลียวคิดขึ้นได้

“กับเมดินคงยากเพราะเขารู้รายละเอียดมนตราที่เจ้าใช้ แต่ไม่ใช่กับทุกคนที่จะหาวิธีจัดการเจ้าได้ในครั้งแรกที่ปะทะกัน กระดาษคาถาไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเมือง คนที่รู้จุดอ่อนนี้จึงมีน้อย”กรินอธิบายก่อนจะพูดดึงให้คู่สนทนากลับมาสนใจประเด็นพูดคุยอีกครั้ง บอกเล่าสิ่งที่ชวิศาต้องทำเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขากำหนดไว้

กรินนัดหมายกับดันกะให้เชิญผู้เกี่ยวข้องให้มาร่วมเป็นพยานตรวจสอบหลักฐานที่ชวิศาพยายามหามานำเสนอ ผู้คนจึงมารวมตัวกันที่ศาลากลางเมือง อันเป็นอาคารอเนกประสงค์ที่ถูกใช้งานในหลายกิจกรรม ไม่เว้นแม้กระทั่งการไต่สวนคดีความ

นักโทษที่ถูกจับกุมในคืนวันเกิดเหตุถูกนำมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ นอกจากนั้นยังมีปราชญ์ทั้งแปด เจ้าพนักงานเวทในหน่วยตุลาการ ขุนพลและองครักษ์เวทระดับสูง พ่อค้านายวาณิชและเจ้าของสำนักศึกษาทั้งหลาย ชวิศาจึงได้สวมชุดเสื้อผ้าที่หรูหราดูดีอีกครั้ง

การจัดโต๊ะที่นั่งคล้ายกับการพิจารณาคดีหรือข้อพิพาทต่าง ๆ ปราชญ์ทั้งแปดและองค์ราชาถูกจัดให้นั่งบนบัลลังก์สูงทางฟากหนึ่งแต่คราวนี้ที่ประทับขององค์ราชาถูกเว้นว่างไว้ ทางซ้ายมือของบัลลังก์ปราชญ์ทั้งแปดเป็นที่คุมขังของจำเลย ทางฝั่งขวาเป็นฝ่ายโจทก์หรือผู้ร้องทุกข์ ซึ่งครั้งนี้เป็นที่นั่งของพนักงานเวทหน่วยตุลาการ เบื้องหน้าบัลลังก์เป็นที่นั่งของบุคคลทั่วไปที่มาชมการพิจารณาคดี เว้นที่ว่างตรงกลางไว้ประมาณหนึ่ง

ดันกะก้าวเท้าลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเมื่อถึงกำหนดเวลาที่เขานัดหมาย ออกไปยืนยังพื้นที่ว่างซึ่งถูกเว้นไว้และกล่าวถึงจุดประสงค์ที่นัดหมายผู้ที่มีคุณวุฒิทั้งหลายมารวมตัวกัน ขณะนั้นชวิศาได้กวาดสายตามองผู้คนที่มาเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อเห็นเมดินนั่งรวมอยู่กับชาวเมืองคนอื่นก็หันกลับมาให้ความสนใจที่ดันกะ

“ขอขอบคุณทุกท่านที่มารวมตัวกันในวันนี้ ตัวข้า ดันกะ ซารุมินี พนักงานเวทระดับสาม สังกัดหน่วยตรวจสอบ ภายใต้อำนาจความรับผิดชอบของปราชญ์แห่งตุลาการ เหตุที่เชิญทุกท่านให้มาพร้อมกันในที่นี้ เนื่องเพราะท่านซี นักเดินทางผู้ซึ่งมีพลังเวทอันยิ่งใหญ่ได้หาข้อพิสูจน์เพื่อระบุตัวผู้บงการในการก่อจลาจลและเป็นเหตุให้เจ้าชายทานันศิระห้ำหั่นกับองค์ราชาผู้เป็นบิดา”

หัวใจของชวิศาเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อดันกะผายมือมาทางเขา ครั้งนี้เขามาฉายเดี่ยวเพียงคนเดียว ส่วนกรินตามเขามาแค่เสียงเพราะเจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยร่างมนตราให้เมดินจับสังเกตได้อย่างแน่นอน และยังให้เหตุผลอีกว่า ถ้าเมดินรู้ว่า กรินไม่มีกายเนื้อเช่นมนุษย์ทั่วไป จากที่เป็นต่อ พวกเขาจะถูกปรามาสจนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเอง

“ไม่ต้องกังวล เจ้าแค่ทำตามที่ข้าบอก”เสียงของกรินดังขึ้นในหัว ชวิศายกยิ้มกว้างตั้งใจฟังสิ่งที่กรินกล่าวก่อนขยายคำพูดนั้นให้คนอื่นได้รับฟัง

“ผมได้ใช้พลังเวทสร้างศิลามหาเวทขึ้นมาครับ ศิลาชิ้นนี้ผมจะมอบให้เป็นสมบัติของอาณาจักรฮัชดาลลาร์”

เสียงฮือฮาจากผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนั้นจึงดังขึ้น และก็มีคนยกมือถามเรื่องวิธีการสร้างซึ่งแตกต่างจากกระดาษที่กรินเคยแจกไปก่อนหน้า ข้อความคำตอบจึงดังขึ้นในหัวของเขา

“ถ้าพวกคุณมีพลังเวทเท่าผม ก็สามารถสร้างศิลามหาเวทขึ้นได้โดยใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดวัน”

ผู้คนส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ ชวิศาจึงต้องส่งเสียงเพื่อให้ทุกคนอยู่ในความสงบอีกครั้ง “เรื่องวิธีการสร้างน่ะ ช่างมันเถอะครับ ที่ผมอยากให้ทุกคนสนใจคือศิลาชิ้นสามารถทำให้ความปรารถนาเป็นจริง และที่สำคัญมันทำให้พวกเรารู้ความจริงของการก่อจลาจลในคืนนั้น”

ชวิศากล่าวต่อไปว่า

“คืนนั้นผมเห็นเจ้าชายทานันศิระทรงต่อสู้อยู่กับองค์ราชา จึงหวังเข้าไปขัดขวางห้ามปรามแต่เมื่อเข้าไปในลานกลางเมือง พื้นที่บริเวณนั้นกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน”ชวิศาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอย่างละเอียดให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้ง

“ผมยืนยันได้ว่าคุณเมดินเป็นคนสร้างอาณาเขตมนตรานั้น และเขาก็ทำร้ายคุณกรินจนบาดเจ็บสาหัส”

“ซี เจ้าพูดเช่นนั้นออกจะเกิดไปสักหน่อย”คนถูกกล่าวหาลุกขึ้นยืนเพื่อแก้ต่างให้กับตน “คืนนั้นเหล่าทหารผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบในเมืองล้วนเป็นพยานให้กับข้าได้ ข้าก็อยู่ร่วมในขบวนแต่งงานของกริน ยามที่เกิดการโจมตีข้าได้พยายามใช้พลังเวทของตนปกป้องชาวเมืองคนอื่น และหลังจากนั้น พื้นที่ในเมืองส่วนอื่น ๆ ก็ถูกโจมตีก่อความวุ่นวายอีกหลายแห่ง ข้าได้ร่วมสมทบกับกลุ่มทหารเพื่อระงับเหตุรุนแรง และตั้งแต่เกิดเหตุจลาจลข้าไม่ได้แม้แต่จะเหยียบย่างเข้าไปสู่ลานกว้างเลยด้วยซ้ำ เจ้าว่าพื้นที่ลานกว้างมีเขตแดนเวทกางคลุมอยู่ ไม่ใช่ว่าตัวข้าที่เจ้าเห็นจะเป็นคนอื่นที่ใช้ใบหน้าของข้าหรอกหรือ”

ชวิศาชะงักงัน กรินจึงรีบส่งเสียงบอกคำแก้ต่าง “ผมแน่ใจว่านั่นเป็นคุณเมดินแน่นอน เพราะตอนนั้นพลังเวทของอาณาเขตมนตราคลายลงแล้ว” พร้อมกับยกศิลาในมือให้ทุกคนได้เห็น

“ผมรู้ว่าทุกคนคงไม่เชื่อคำพูดของผมด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ผมถึงได้สร้างศิลานี้ขึ้นมา และเพื่อความเป็นธรรม ผมขอความร่วมมือจากทุกท่านให้ช่วยพิสูจน์ว่าศิลานี้จะแสดงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นอย่างเป็นกลาง”

“ไม่มีทางที่ศิลาชิ้นนั้นจะแสดงภาพอย่างเป็นกลางได้”ใครคนหนึ่งที่ชวิศาไม่รู้จักร้องตะโกนแทรก ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนทั้งกล่าวต่อไปว่า “เพราะศิลาชิ้นนั้นเป็นท่านที่สร้างขึ้นมา”

ทว่าไม่จำเป็นต้องให้ชวิศากล่าวเถียงโต้ตอบ ปราชญ์ลำดับที่เจ็ด ปราชญ์แห่งตุลาการได้เป็นคนกล่าวปรามชายคนนั้นเสียเอง เสียงของชราได้ดังขึ้นอย่างเนิบช้า ทว่าเต็มไปด้วยอำนาจแห่งพลัง “กรุณาอยู่ในความสงบ แม้ศิลาชิ้นนี้จะถูกสร้างโดยคนผู้หนึ่ง แต่ศิลาย่อมคือศิลา ศิลาไม่อาจสร้างมนตราด้วยตัวเอง ย่อมต้องใช้จักระหรือพลังเวทให้การขับเคลื่อนให้เกิดมนตราเท่านั้น”

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของศิลามหาเวทลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกับบอกตัวเองให้ระมัดระวังปิดปากให้สนิทเรื่องที่ดวงจิตของกรินติดอยู่กับศิลาในมือ

“เราอนุญาตให้ทุกท่านร่วมพิสูจน์ตามที่ท่านนักเดินทางร้องขอ”

“แล้วจะหาหนทางพิสูจน์อย่างไร”

“ขอให้ผู้ที่ถูกจับกุมคนนั้นเป็นคนทดสอบ”เสียงของกรินดังมาให้เขาได้ยินอีกครั้ง ชวิศาหันไปมองคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน

“เขาเป็นคนที่พวกเราพบว่ากำลังสร้างลูกไฟเวทอยู่ภายในอาคาร”

ชวิศาจึงแจ้งออกไปตามที่กรินบอก เมื่อชายคนนั้นออกมายืนตรงหน้าเขาจึงยื่นศิลาทรงกลมโปร่งใสไปให้ อีกฝ่ายรับไปด้วยอาการเก้ ๆ กัง ๆ สั่นกลัว ใบหน้าซีดเจื่อนหม่นหมองจนเขารู้สึกสงสาร

เมื่อกรินสัมผัสร่างกายของชายคนนั้น จึงเริ่มอ่านและจำลองภาพเหตุการณ์ออกมาให้ผู้คนซึ่งอยู่ในที่แห่งนั้นได้เห็น ภาพที่ปรากฏเป็นแบบสามมิติที่ชวิศาคิดว่ามันยอดเยี่ยมกว่าการฉายภาพโฮโลแกรมในยุคของเขาเสียอีก

ก่อนหน้านี้กรินได้พยายามศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างภาพเหตุการณ์จากมนตราทำให้รู้ว่า สสารทุกสิ่งล้วนล่องลอยไปในกระแสกาลเวลาจากอดีตสู่ปัจจุบันไปยังอนาคต สัมพันธ์กับมนตราย้อนกาลที่เขาเคยศึกษาข้อมูล รวมกับการฝึกฝนจักระหรือพลังในกายที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับอำนาจพลังธาตุมาอย่างหนักตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้เขาสามารถสัมผัสถึงพลังบางเบาอันเป็นผลตกค้างของกระแสกาลเวลา หรือสิ่งที่มนุษย์เราเรียกว่าความทรงจำ

แต่ความทรงจำที่เขารับรู้และสัมผัสไม่ได้เกี่ยวพันความทรงจำที่ถูกบันทึกโดยสมองซึ่งอาจจะมีการบิดเบือนตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของบุคคลนั้น ๆ

ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ถูกแสดงย้อนถอยหลัง ดูคล้ายการกรอเทปถอยหลังกลับอย่างรวดเร็วในความคิดของชวิศา มันเริ่มตั้งแต่ที่จุดที่ชายคนนี้ยืนอยู่เดินย้อนถอยกลับไปนั่งยังที่ควบคุมตัวและเดินถอยหลังกลับไปที่อาคารของหน่วยตุลาการ ถูกจองจำ ถูกสอบสวน ถูกจับกุมทั้งที่เพิ่งฟื้นคืนสติจากมนต์นิทราของกริน กระทั่งถึงภาพที่ชายคนนั้นกำลังสร้างลูกไฟเวทโจมตีขบวนส่งบ่าวสาวของกรินและกิรานา ซึ่งเจ้าตัวมีท่าทางตกใจอยู่ไม่น้อย

กรินแสดงภาพเหตุการณ์ย้อนหลังของชายคนนั้นต่อไปอีกเล็กน้อย

เขาคนนี้มาร่วมงานสมรสของกรินเฉกเช่นชาวเมืองคนอื่น เขาดื่มกินกับเพื่อนและคนรู้จักอย่างสนุกสนานด้วยท่าทางรื่นเริงยินดีกับงานมงคลนี้เช่นปกติ

กรินหยุดการอ่านความทรงจำไว้แค่นั้น ก่อนใช้มนตราแสดงภาพวันงานสมรสซึ่งเกี่ยวข้องกับชายคนนี้อีกครั้ง โดยเดินภาพมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งทำให้สังเกตเห็นว่า เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับไปและความมืดเข้ามาเยือน ชายคนนี้มีอาการท่าทางแปลกจากปกติอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านกล่าวว่า ท่านไม่เคยทำการใดที่เป็นการก่อความวุ่นวาย แล้วท่านจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่”ชวิศาเอ่ยถาม ซึ่งคำถามนั้นก็เป็นคำถามที่กรินสั่งให้เขาพูด

“ข้าคิดว่า ตัวเองไม่ได้เมามาก แต่ข้าจำได้เพียงตนเองนั่งดื่มสุรากับกลุ่มสหายเท่านั้น”

“และภาพเหตุการณ์ในงานสมรสเป็นไปตามนั้นหรือไม่”

“ถูกต้องทุกประการ ข้ามาร่วมพิธีแต่เช้า ยืนรอชมการกล่าวคำสัตย์สาบานอยู่รอบนอก ตอนที่มีร่างเงาสีดำปรากฏขึ้นป่วนงาน ข้ายังจำได้ว่ามันปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาข้าเลย”

จากนั้น ชวิศาก็สุ่มให้ผู้ถูกจับกุมเพราะก่อความวุ่นวายในเมืองเมื่อคืนนั้นออกมาเพื่อตรวจสอบภาพเหตุการณ์ย้อนหลังตามที่กรินสั่ง เหตุที่กรินทำเช่นนั้นเพราะเขาต้องการหาความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับตัวผู้ทำผิด แม้จะปักใจเชื่อว่าเป็นการบงการของเมดิน แต่ถ้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน เมดินคงสามารถหาข้อโต้แย้งได้อย่างแน่นอน

“ข้ามีข้อสงสัย”ชายคนหนึ่งยกมือและยืนขึ้นหลังจากที่ชวิศาใช้พลังของศิลาตรวจสอบภาพเหตุการณ์ย้อนหลังในคืนนั้นไปสามถึงประมาณสี่คน ปราชญ์ลำดับที่เจ็ดจึงผายมือให้ชายคนนั้นเอ่ยออกมาได้

“ตามที่ท่านซีเคยแจ้งไว้ ศิลามหาเวทนั้นสามารถทำให้ทุกความปรารถนาเป็นจริงโดยใช้เพียงพลังเวทในการแลกเปลี่ยน แล้วอย่างในกรณีนี้เหตุใดศิลาถึงสร้างภาพเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นขึ้นมาได้ทั้งที่ผู้ที่ถูกจับกุมไม่ได้ใช้พลังเวทกันล่ะ”

ชวิศายืนนิ่ง รอคำตอบของกรินให้ดังขึ้น

“เจ้าเป็นผู้ใช้พลังเวท”

“ผมเป็นคนใช้พลังเวทของตัวเองครับ”เขาเงียบเพื่อรอฟังคำพูดต่อไปจากเสียงในหัว “ก่อนหน้าที่จะให้ผู้ถูกจับกุมทุกคนได้ถือศิลาในมือ ผมได้ส่งพลังเวทไว้ในศิลาแล้วครับ”

“เช่นนั้น ไม่ใช่ท่านเป็นคนกำหนดภาพเหตุการณ์เหล่านี้เองหรอกหรือ”ชายคนนั้นถามต่อ

“ผมจะทำได้อย่างไรล่ะครับ ให้เหตุการณ์ตรงกับที่แต่ละคนประสบในเมื่อวันนั้น หลังพิธีสาบานผมก็ไปนั่งเฝ้าเจ้าชายอยู่ที่วังส่วนพระองค์ แต่พวกคุณอาจจะพูดว่า เจ้าชายทรงไม่สามารถเป็นพยานได้เพราะคราวนี้ทรงถูกจับกุมเช่นกัน แต่ลองถามพวกเขาดูก็ได้ครับ ว่าวันนั้นเห็นผมอยู่ใกล้ ๆ หรือเปล่า”

“เจ้าลองบอกให้พวกเขาเสนอตัวเพื่อให้ศิลาอ่านความทรงจำดูสิ”

“พวกคุณใครก็ได้ ลองออกมาทดสอบดูสิครับ ผมเป็นผู้ใช้เวทที่ถือครองอำนาจธาตุพิเศษเช่นเดียวกับคุณกิรานา แม้ผมจะไม่ได้ศึกษาศาสตร์การทำนาย แต่คงไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมครับ ถ้าศิลามหาเวทของผมจะมีพลังของอากาศธาตุรวมอยู่ด้วย และไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นถ้าศิลาจะควบคุมกระแสกาลเวลาจนสามารถดึงความทรงจำจากคนหรือสิ่งของได้”

ทุกคนในที่นั้นเงียบนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนเสียงพูดคุยกันเองจะดังขึ้น หลังจากนั้นเมดินจึงลุกยืนขึ้นมาพร้อมก้าวเท้าออกมายังด้านหน้า “ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น ข้าควรเป็นผู้ทดสอบเป็นคนต่อไป”

ชวิศาพึมพำเสียงเบาว่าดีเลย ในขณะที่กรินเต็มไปด้วยความกังวล เมดินกล้ากล่าวเสนอตัวเองเขาย่อมต้องมีแผน

“ถ้าศิลาของเจ้าแสดงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นว่า ข้าไม่ได้เป็นผู้สร้างอาณาเขตมนตราทั้งยังไม่ได้เป็นผู้ทำร้ายกริน เจ้าคงยอมรับใช่หรือไม่”

“ไม่มีทางเป็นอย่างที่คุณพูด เพราะผมเห็นคุณด้วยตาของตัวเอง”

เมดินยกยิ้มไม่พูดโต้เถียงอะไรกลับไปอีก เขายื่นมือออกไปรับศิลาจากชวิศา เมื่อได้รับมันมาถือไว้ในมือก็ยืนนิ่งยื่นศิลาไว้เบื้องหน้า

ดวงจิตของกรินที่อยู่ศิลาเมื่อได้สัมผัสกับร่างกายของเมดิน เขาก็เข้าใจในทันทีว่าเหตุใดคืนนั้นเมดินถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่มีใครพบเห็น เมดินที่พวกเขาเห็นในคืนนั้นเป็นร่างแยกอันเกิดจากมนตราขั้นสูง และถ้าเขาไม่ได้ศึกษาวิธีดึงเวทผูกพันมาก่อนหน้า เขาเองอาจยังคงไม่รับรู้ว่าเมดินสามารถใช้มนตราดังกล่าวได้

อย่างไรก็ดี ก่อนที่กรินจะได้สร้างภาพมนตรา เมดินกลับได้ส่งพลังเวทของตนเองเข้ามาในศิลาราวกับรู้ว่าต้องทำอย่างไรศิลามหาเวทถึงจะสามารถสร้างภาพเหตุการณ์ในอดีตได้ กรินจึงทำได้แต่ใช้พลังเวทที่มีอยู่ต้านทานกลับไป ระหว่างนั้นพลันฉุกคิดขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนบอกว่าศิลามหาเวทสามารถบันดาลทุกสิ่งให้เป็นจริงเพียงใช้พลังเวทแลกเปลี่ยน จึงฉวยจับพลังนั้นมาเป็นของตน

กรินสร้างภาพมนตราย้อนถอยหลังแต่ครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องอ่านความทรงจำ แต่เขาได้สร้างภาพทุกอย่างขึ้นมาตามที่เขาต้องการ เมดินเห็นท่าไม่ดีจึงโยนลูกแก้วทรงกลมในมือลงกับพื้น

“ศิลานี่ถูกควบคุมอยู่จริง ๆ”

“เพราะคุณใช้พลังเวทของตัวเองควบคุมศิลาไม่ได้จึงอ้างว่า ศิลาถูกผู้อื่นควบคุมอยู่นะสิ”ชวิศาเอ่ยเถียงทันควัน

“หึ คำพูดของเจ้าก็แค่คำโต้เถียงข้าง ๆ คู ๆ”

“คนที่ไม่ได้ถือครองอำนาจธาตุพิเศษไม่มีทางเข้าใจเรื่องกระแสกาลเวลาหรอก”

“แล้วเจ้าเชี่ยวชาญนักหรือ ทั้งที่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเจ้ายังเป็นเพียงนักเวทฝึกหัดที่ไม่อาจแม้แต่ผ่านการประเมินผลขั้นพื้นฐาน”

“ผ... ผมเป็นอัจฉริยะหรอก เรียนไม่กี่เดือนก็รู้เรื่องแล้วทำไมผมต้องบอกคนอื่นว่าตัวเองเข้าใจทุกอย่างและใช้มนตราได้แค่ไหนด้วย ขนาดคุณเมดินยังซ่อนมนตราร่างแยกไว้ไม่ให้คนอื่นรู้เลย”

ตอนนี้ชวิศาเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก ๆ เนื่องจากทุกคำพูดของเขาก็แค่ปาหี่หลอกตาเท่านั้น พูดจบเขาก็ตรงดิ่งไปเก็บผนึกดวงจิตมาถือไว้ก่อน เพราะถ้าพลั้งพลาดเกิดเหตุให้ผนึกแตกร้าวไปจริง ๆ น่ากลัวว่าเขาจะซวยครั้งใหญ่

“โปรดอยู่ในความสงบ”ปราชญ์แห่งตุลาการส่งเสียงปรามที่ดังขึ้นด้วยอำนาจของเวทอีกครั้ง “หากท่านเมดินสามารถสร้างร่างแยกได้จริง คดีอาจมีการพลิกผัน”

ชวิศาไม่ทันได้ยกยิ้มดีใจ คนถูกกล่าวหาก็พูดยืนยันด้วยความหนักแน่นเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าไม่สามารถใช้มนตราร่างแยกได้”

“คุณโกหก คุณกล้ากล่าวคำสัตย์สาบานหรือเปล่าล่ะ”

“ท่านซี โปรดอยู่ในความสงบ”คราวนี้เป็นชวิศาที่โดนเอ่ยดุปราม คนโดนดุถึงกับหน้าง้ำลงทันควัน “ท่านเป็นผู้เดินทางผ่านมา อาจไม่รู้ธรรมเนียมการปฏิบัติของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ โปรดใช้สติไตร่ตรองอย่างระมัดระวัง”

โว้ย! ขัดใจ! ชวิศาร้องบอกตัวเอง เขาหัวเสียเพราะโดนบอกว่าเป็นคนนอกอีกแล้วทั้งที่เรื่องนี้เขาเกี่ยวข้องด้วยเต็ม ๆ

“เห็นได้ว่าศิลามหาเวทนั้นถูกควบคุมด้วยพลังของท่านซีผู้เป็นเจ้าของ ข้อเสนอในการให้ใช้ศิลาในการเป็นหลักฐานพิสูจน์ความจริงเป็นอันว่าตกไป”

“อ้าว!!!”

“ใจเย็นไว้ซี”

ชวิศาร้องอุทานด้วยความไม่พอใจเมื่อประโยคคำพูดของปราชญ์แห่งตุลาการดังขึ้น จนกรินต้องส่งเสียงเตือนให้เขาสงบสติอารมณ์ไว้

“ผมขอให้ตรวจสอบมนตราควบคุมกับผู้ที่ถูกจับกุมครับ”ชวิศาร้องบอก

“ต่อให้เจ้าดึงมนตราผูกพันออกมาได้ พวกเขาก็ไม่เชื่อถือหรอก”กรินพูดตอบกลับมาก่อนที่ปราชญ์ลำดับที่เจ็ดจะพูดตอบกลับมาในฐานะประธานของที่ชุมนุม

“ท่านซี ข้าเข้าใจว่าท่านมีใจอยากช่วยเหลือ แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ ขอให้ท่านอย่ามาข้องเกี่ยวดีกว่า”

“อย่างนี้มันใช้ได้ซะที่ไหน”ชายหนุ่มร่างเล็กพูดอย่างโมโห เขาพยายามเอ่ยเรียกร้องโดยไม่สนใจเสียงของกรินที่ดังกล่าวเตือนซ้ำ “คุณบอกว่าเป็นปัญหาภายในแต่วันที่เกิดเหตุผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย และผมก็เกือบตายด้วย พวกคุณจะรับผิดชอบยังไง”

“การสอบสวนหาตัวคนผิดในครั้งนี้ก็เพื่อหาตัวคนร้ายมาลงโทษและให้ชดใช้ต่อผู้ที่ต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างไรเล่า”

“ก็นั่น และผมที่เป็นหนึ่งในพยานที่อยู่ในเหตุการณ์บอกว่าเห็นหน้าคนร้ายว่าเป็นเมดิน ทำไมพวกคุณไม่จับกุมเขา”

“แต่มีทหารอีกหลายสิบคนที่ยืนยันว่าข้าอยู่กับพวกเขา”เมดินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แล้วมีใครกล้ายืนยันว่าเห็นคุณอยู่ในสายตาตลอดเวลาหรือเปล่า”

“ข้าเอง”นายทหารองครักษ์คนหนึ่งยกมือพร้อมก้าวออกมาจากแถว ชวิศาฮึดฮัดเพราะสมองตันคิดไม่ออกแล้วว่าจะไล่ต้อนเมดินอย่างไรให้ยอมรับสารภาพผิด

“ใจเย็น ๆ เถอะซี หากเมดินไม่เตรียมการมาล่วงหน้า เขาไม่กล้าทำการใหญ่แน่นอน”กรินพูดทักเตือนขึ้นอีกครั้ง

“ผมรู้ที่คุณวางแผนนี้ไว้เพราะอยากขึ้นเป็นราชาองค์ต่อไป”ชวิศายกนิ้วชี้หน้าเมดิน ไม่เมื่อทำอะไรไม่ได้เขาก็จะแฉให้หมดเปลือก “ตอนแรกคุณก็สร้างข่าวลือใส่ร้ายเจ้าชายทานันศิระว่าพระองค์กำลังคิดก่อกบฏ  อีกทางก็ให้ผมชิงชัยในประเพณีมาดามายาให้ได้ แต่เพราะว่ากิรานาท้องกับกรินเสียก่อนคุณเลยต้องเปลี่ยนแผน เป็นการสังหารราชาองค์ปัจจุบันและใส่ร้ายเจ้าชาย”

เมดินหน้าคล้ำเครียดขึ้นมา

“คุณกล้าพูดไหมว่าไม่ได้วางแผนนี้ กล้าพูดไหมว่าคุณจะไม่มีวันขึ้นครองราชย์เป็นราชาองค์ต่อไป”

คนที่ถูกกล่าวหายืนนิ่งอยู่อีกครู่ก็ยกยิ้มขึ้นมา “จินตนาการของเจ้าช่างเพ้อเจ้อผูกเรื่องราวได้น่าตลกยิ่งนัก” คำพูดนั้นทำให้ชวิศาของขึ้นทันควัน

“อย่ามาเบี่ยงเบนประเด็นนะ แน่จริงคุณก็ประกาศต่อหน้าทุกคนมาสิ ว่าคุณจะไม่เป็นราชาเด็ดขาด”

“ข้าจะมุ่งหวังเป็นราชาหรือไม่ แล้วเจ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย”

“ทุกคนได้ยินไหมครับ เขายอมรับออกมาแล้วว่าอยากเป็นราชา ทั้งหมดนี่เป็นแผนของเมดิน”

เจ้าของนามนั้นกลับทำเพียงส่ายศีรษะและถอนหายใจด้วยความสมเพช ขณะที่ชวิศายังร้องตะโกนว่าให้จับเมดินสิ เสียงโหวกเหวกนั้นทำให้ปราชญ์ทั้งแปดหันมองหน้ากัน ก่อนที่วิโยมันจะออกคำสั่ง

“ทหารกุมตัวท่านซีไว้”

ฝ่ายชวิศาที่เห็นทหารกรูล้อมเข้าหาจึงดึงกระดาษคาถาออกมา เรียกใช้ค้อนมนตราอันเบ้อเริ่มเทิ่ม แต่เหล่าทหารล้วนเป็นผู้ที่ฝึกฝนร่างกายเพื่อการต่อสู้ ดังนั้นจึงหลบการฟาดทุบจากอาวุธเวทของชวิศาได้อย่างง่ายดาย ค้อนในมือชวิศาจึงฟาดลงกับพื้นกลายเป็นหลุมบ่อใหญ่ ใครที่จะเข้ามาใกล้ เขาก็เหวี่ยงค้อนเข้าใส่ไม่ยั้งสร้างความเสียหายให้กับสิ่งของที่สัมผัสมนตราทุกครั้ง ทว่าการชุมนุมในวันนั้นรวมไว้ด้วยนักเวทผู้เชี่ยวชาญมนตราขั้นสูง ต่อให้ชวิศามีพลังเวทมากมายเพียงใดแต่หากไม่รู้จักวางแผนและใช้มนตราประยุกต์พลิกแพลง ชวิศาก็ไม่อาจรอดพ้นการจับกุมไปได้ ทั้งกรินและดันกะต่างรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

ดันกะที่ช่วงหลังสนิทสนมกับชวิศามากขึ้นอยากจะเข้าไปห้ามปรามช่วยเหลือ เพียงแต่เขาช้ากว่ากรินที่ใช้พลังเวททำให้ชวิศาหายร่างไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว พานให้เหล่าปราชญ์และทหารชะงักตะลึงงัน คงมีแค่ดันกะเพียงคนเดียวที่พอจะคาดเดาได้ว่าชวิศาจะไปปรากฏตัวที่ใด เขาจึงรีบสาวเท้าออกจากศาลากลางเมืองไปอย่างรวดเร็ว

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเก้า 7/01/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 07-01-2018 07:12:51
ชวิศามองไปรอบตัวด้วยความงงงันเนื่องจากจู่ ๆ เขาก็มายืนอยู่ในห้องซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของคฤหาสน์ที่เขาสร้างให้กรินโดยไม่รู้ตัว ค้อนใหญ่ยักษ์ในมือได้หายไปแล้ว พริบตาต่อมาชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของคฤหาสน์พลันปรากฏกายขึ้นตรงหน้า

“เอ๊ะ! เมื่อกี้ผมจำได้ว่ายังอยู่ที่ศาลากลางเมืองอยู่เลย”อาการโมโหโกรธาก็สลายไปเช่นกัน กรินแบมือเรียกผนึกดวงจิตกลับมาหาตัวพร้อมกล่าวบอกอีกฝ่าย

“ข้าพาเจ้ากลับมาเอง”

“อ้าว คุณกรินพาผมกลับมาทำไมล่ะครับ ผมต้องกลับไปจัดการคนพวกนั้น”ชวิศาโกรธขึ้งเมื่อนึกขึ้นได้

“ไม่จำเป็นแล้ว ข้าจะส่งเจ้ากลับ”คำพูดมาพร้อมวงเวทที่ปรากฏขึ้นบนพื้นรอบจุดที่ชวิศายืนอยู่ มันส่องแสงเรืองสว่างและค่อย ๆ ลอยสูงจากพื้น

“อะไรกัน ทำไมคุณกรินทำอย่างนี้ล่ะครับ”ชายหนุ่มร่างเล็กร้องถามอย่างไม่เข้าใจ หันรีหันขวางมองแสงสว่างรอบตัวที่เริ่มจัดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ

“เจ้าน่าจะเห็นตัวเองเมื่อครู่ที่ปล่อยให้ความโกรธเคืองไม่พอใจครอบงำจนคล้ายคนวิกลจริต”

“ผมไม่ได้บ้านะ”ใบหน้าของชวิศาบูดบึ้ง “มันน่าโมโหจริง ๆ นี่”

“เจ้ากลับไปเถิด ถ้าความอยากรู้ของเจ้ามันมากมายนัก ตัวข้าในห้วงเวลาของเจ้าคงบอกเล่าได้”หากเขาสามารถดำรงอยู่ได้ถึงตอนนั้น ประโยคสุดท้ายเป็นคำพูดที่กรินไม่ได้กล่าวออกไป

จบคำพูดของกรินแสงสีขาวสว่างจ้าก็ล้อมรอบร่างของชวิศาไว้จนมองไม่เห็นสิ่งใด แสงจ้านั้นพุ่งสูงขึ้นไปยังท้องฟ้าชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป

ดันกะที่เร่งเดินทางมายังคฤหาสน์ของกรินเห็นแสงเลือนรางนั้น จึงใช้มนตราช่วยเสริมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก ทันทีที่มาถึงหน้าประตูและดึงกริ่งเรียกผู้เป็นเจ้าของ ประตูตรงหน้าได้เปิดออกอย่างรวดเร็ว

“ท่านซีล่ะ”

“อ้อ... เจ้านั่นกลับบ้านไปแล้ว”





การเดินทางข้ามเวลาครั้งนี้ไม่มีภาพน่าเวียนหัวให้ชวิศาได้เห็น ทั้งยังไม่รู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนที่และเพียงแค่อึดใจเดียวแสงสว่างรอบตัวก็หายไปทั้งที่เขายังยืนนิ่งอยู่บนพื้น จนเขาคิดว่าอาจจะไม่ได้เดินทางกลับอย่างที่กรินบอก อย่างไรก็ตาม ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นกลับไม่ใช่ผนังห้องในคฤหาสน์ของกริน แต่กลายเป็นพื้นที่เละเทะ มีต้นไม้ใหญ่ล้มระเนระนาด มีซากปรักหักพังของบ้านเรือน แผ่นดินแยกเป็นทางยาวและบางจุดพื้นดินได้ทรุดหายไป

“ที่ไหนอีกล่ะเนี่ย”พลางคิดในใจ หรือคุณกรินจะส่งมาผิดที่ “เฮ้ย แล้วจะกลับได้ไหมอะ”

ชวิศาไม่ทันได้ร้องโวยวาย พื้นดินที่ยืนอยู่พลันทรุดเลื่อนลงต่ำจนเขาต้องกระโดดหนีเหย็ง ๆ กระทั่งได้มายืนในจุดที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว ชวิศาจึงได้ร้องตะโกนเสียงดัง

“คุณกริน มาพาผมกลับไปเดี๋ยวนี้น้าาาาาา!!!”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//อืม... อย่างที่อาทิตย์ก่อนพูดไว้ว่าจบไม่ลง  ตอนนี้จึงคิดนานมากเพราะเราให้เมดินเป็นตัวร้ายที่มีความคิดระดับเทพเหมือนกัน แล้วบังเอิญเรากำหนดให้ความฉลาดของชวิศาเป็นศูนย์ ส่วนกรินก็อายุน้อยกว่าเมดินหลายสิบปี ประสบการณ์มันต่างกันเยอะ เราจึงเล่นง่าย ๆ อย่างนี้แหละ ไม่งั้นยืดอีกนาน เดี๋ยวปล่อยให้ชวิศาเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้สุดฟ้าช่วยคิดวิเคราะห์ ส่วนอะไรที่เป็นปริศนาก็ปล่อยให้เป็นปริศนาต่อไป//*
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สามสิบเก้า 7/01/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 09-01-2018 13:34:07
 :a5: :a5:
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบ 17/01/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-01-2018 07:23:21
ตอนที่สี่สิบ




หลังจากตะโกนส่งเสียงเรียกอยู่สามสี่รอบและไม่มีเสียงตอบรับหรือใด ๆ ตอบกลับมา ชวิศาจึงยืนปลงอยู่ครู่หนึ่ง ที่จริงเขาอยากกลับไปบีบคอกรินแต่เพราะไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนจึงไม่รู้ว่าจะกลับไปหากรินอย่างไร ก่อนจะเฉลียวใจฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่ากรินเคยบอกเวทตามหาไว้ เขาดึงทั้งระเบียนมนตราและกระดาษคาถาสำหรับเวทตามหาออกมาจากอัญมณีช่องวางมิติ

ชวิศามีกระดาษเขียนวงเวทมนตราสำหรับตามหาคนอยู่เพียงใบเดียวทั้งยังต้องใช้คู่กับสิ่งของของผู้ที่เขาต้องการตามหา ชายหนุ่มจึงต้องเรียกใช้คาถาตามระเบียนมนตราอย่างช่วยไม่ได้ เวทตามหาคนที่กรินสอนให้เป็นมนตราที่ใช้คุณสมบัติประยุกต์ของธาตุไฟ น้ำและอากาศธาตุซึ่งทำให้หาคนที่ต้องการพบได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่ใดหรือห้วงเวลาใดก็ตาม

หลังจากพยายามจดจำคาถาอยู่ครู่หนึ่ง ชวิศาก็เก็บกระดาษระเบียนมนตราเข้าที่ จากนั้นประกบมือทั้งสองเข้าหากัน ตั้งจิตให้อยู่ในสมาธิรับรู้ถึงพลังเวทในกายพลางกำหนดเรียกใช้พลังอำนาจธาตุตามที่มนตราต้องการ และกำหนดจิตนึกถึงคนที่ต้องการตามหา เขาแบออกพร้อมลืมตาขึ้น ผีเสื้อสีน้ำเงินได้ปรากฏขึ้นในทันใด

“ไปเลยเจ้าผีเสื้อน้อย”เขาเอ่ยบอก นี่เป็นครั้งแรกที่ชวิศาใช้มนตรานี้ แต่เพราะตอนที่กรินแนะนำมนตราตามหาให้ใช้ ชายหนุ่มได้อธิบายว่ามันคล้ายกับมนตราส่งสารซึ่งใช้นกเวทส่งข้อความที่เขาเคยทดลองเรียกใช้อย่างสนุกสนาน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงใช้พลังเวทสร้างสัตว์นำทางเป็นผีเสื้อและสามารถทำให้มนตราสัมฤทธิ์ได้ง่าย ๆ

ทุกครั้งที่ผีเสื้อนำทางขยับปีกบินมันจะปล่อยละอองแสงสีแดงร่วงหล่นออกมาทุกครั้ง เขาจึงเผลอมองและลืมเหตุผลที่ตนสร้างมันขึ้นมาอยู่หลายครา

ผีเสื้อตัวนั้นบินช้า ๆ นำเขาเข้าไปในกองซากปรักหักพัง ผ่านจุดที่พื้นดินทรุดตัวเป็นหลุมลึก บางจุดเป็นช่องผาอันเกิดจากแผ่นดินแยก ชวิศาชะโงกหน้ามองช่องผานั้น เห็นมันลึกลงไปจนมองไม่เห็นก้นพลันนึกสงสัยว่าที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้ามองจากสภาพที่เห็นราวกับเพิ่งผ่านพ้นภัยพิบัติใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ทว่าที่น่าแปลกคือเขากลับไม่พบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลย และเมื่อกวาดสายตาไปรอบตัวก็ไม่พบแม้แต่ผู้คนด้วยซ้ำ

ชวิศายังเดินตามผีเสื้อนำทางไปกระทั่งมันหยุดเคลื่อนที่และบินวนเวียนอยู่ที่จุดเดียว เพียงแต่จุดนั้นถูกสุมกองไว้ซากไม้ อิฐปูนและกระเบื้องของอาคารบ้านเรือน

“ที่หยุดเนี่ย จะบอกว่าคุณกรินอยู่ตรงนี้อย่างนั้นเหรอ”ชวิศาคุยกับผีเสื้อน้อยตัวนั้น พลางหันมองกองไม้ซึ่งระเนระนาดกองสุมกันอยู่อีกครั้ง เขายกมือขึ้นเกาศีรษะ เริ่มไม่ค่อยเชื่อถือพลังเวทของตัวเองเสียแล้ว หรือไม่ที่มีปัญหาก็มนตราที่กรินแนะนำให้ใช้

“คุณกริน คุณกรินครับ อยู่แถวนี้หรือเปล่า”เขาร้องตะโกนเรียกอีกครั้ง รู้สึกงุนงงกับเรื่องที่เจอ สับสนกับสถานที่ซ้ำร้ายพลังเวทที่เคยรู้สึกว่ามันช่างสารพัดประโยชน์กลับไม่ได้เรื่องได้ราว

“คุณกรินครับ รีบออกมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้าคุณแกล้งจนกระทั่งผมหิวล่ะก็ ผมจะโกรธจริง ๆ แล้วนะ”ชวิศาส่งเสียงออกไปเพราะเริ่มคุ้นชินกับการโดนกรินทิ้งให้อยู่คนเดียวจึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับสถานการณ์แบบนี้ ชวิศาห่วงเฉพาะตอนท้องหิวอย่างเดียว เขาทำกับข้าวเป็นแต่หาวัตถุดิบเองไม่ได้หรอกนะ

ผีเสื้อตัวสีน้ำเงินยังคงบินวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ขณะที่ชวิศาร้องตะโกนไปสักพักก็เหนื่อย หิวน้ำและเจ็บคอ เขาจึงหยุด

“ทำไมไม่ไปทางอื่นบ้างล่ะเนี่ย”ชวิศาพูดกับผีเสื้อเวทเช่นเดิม “บินเหนื่อยหรือยัง พักบ้างก็ได้”กำลังเอื้อมมือออกไปแตะทว่าเสียงเรียกชื่อของเขาได้ดังขึ้นมาเสียก่อน

“คุณชวิศา”

เจ้าของชื่อหันไปมองตามทิศทางของเสียง เห็นชายหนุ่มสองคนกำลังบินตรงมาหา “คุณสเตบาสเตียน คุณมาริ”เขาร้องเรียกอย่างดีใจ และที่ตามหลังมาเป็นรถยนต์รูปร่างคุ้นตาของสุดฟ้า มาถึงตอนนี้เขาเชื่อจริง ๆ แล้วว่ากรินส่งเขากลับมายังประเทศฮัชดาลลาร์

ชวิศากระโดดโลดเต้นวิ่งเข้าหามาริเอะด้วยความดีใจทันทีที่ฝ่าเท้าของสองหุ่นยนต์ถึงพื้น

“ดีใจจังเลย”เขาร้องไห้อย่างไม่นึกอาย เขาลำบากตั้งมากมายเมื่อรับรู้ว่าได้กลับบ้านจริง ๆ น้ำตาจึงไหลออกมาไม่หยุด

“ซี”

เมื่อสายตาเหลือบเห็นญาติผู้พี่ก็ผละจากมาริเอะโผเข้าไปหาชายหนุ่มทันที เป็นครู่ใหญ่กว่าอาการดีใจจนน้ำตาไหลของชวิศาจะสงบ ตอนนั้นถึงนึกขึ้นได้

“คุณสุดฟ้าล่ะครับ”เขาถามพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำหูน้ำตา เสื้อผ้าไหมสีเทาที่เขาสวมมาตั้งแต่เช้าจึงเลอะเป็นดวง

“พวกเราต้องถามนายมากกว่า สุดฟ้าบอกว่าจะไปช่วยนาย แล้วไหงมายืนอยู่คนเดียวสุดฟ้าหายไปไหน”

“ชุดก็แปลก ๆ”สองพี่น้องฝาแฝดเอ่ยบอก

“หือ”ชวิศากะพริบตาปริบ ๆ “คุณสุดฟ้าไปช่วยเรา ไปช่วยที่ไหนอะ”

“ก็นายโดนจับตัวไปแล้วคุณวิญญาณก็บอกว่านายถูกจับอยู่ในมิติเวท สุดฟ้าก็เลยไปช่วยไง”คำบอกเล่าของธัชนันท์รวบรัดตัดความเสียจนชวิศาฟังด้วยความงุนงงเช่นเดิม ถึงกระนั้นเขากลับไปปะติดปะต่อว่า สุดฟ้าหลุดย้อนเวลาไปด้วย

“ต้องใช่แน่ ๆ เจ้าชายทานันศิระต้องคือคุณสุดฟ้าแน่ ๆ”ชวิศาพึมพำ ก่อนป้องปากร้องตะโกนขึ้นมาอีกว่า “คุณกรินส่งคุณสุดฟ้ากลับมาด้วย คุณกรินได้ยินหรือเปล่า”

“เดี๋ยวซี ใจเย็นก่อน”โยธินเอ่ย

“วิญญาณที่ชื่อกรินนั่นมันพาสุดฟ้าไปไหนเหรอ”ธัชนนท์เอ่ยถามตามไปติด ๆ

“ก็คุณกรินเขาส่งผมกลับมาคนเดียว คุณสุดฟ้ายังอยู่ที่นั่นอยู่เลยแถมโดนจับด้วย”

“ที่นั่นมันที่ไหนหรือครับ”สเตบาสเตียนและมาริเอะพูดถามขึ้นพร้อมกัน

“ก็ฮัชดาลลาร์นั่นแหละ แต่ปีไหนก็ไม่รู้ ย้อนไปไกล... ไกลมาก เนี่ยทีแรกนึกว่าจะกลับมาไม่ได้แล้ว”

คนที่ได้ฟังคำตอบมีแต่ความฉงน ฝาแฝดมองหน้ากันเองก่อนแฝดผู้พี่จะเอ่ยปากพูดถาม “เดี๋ยวนะ นายช่วยอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ หน่อยได้ไหม”

ชวิศาจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องที่ตัวเองย้อนเวลาไปอยู่ในยุคที่ฮัชดาลลาร์ยังเจริญรุ่งเรืองให้ทุกคนฟัง กระทั่งถึงตอนที่ตนเองถูกส่งกลับมาด้วยพลังเวทของกริน และใช้มนตราตามหาเพราะนึกว่าตนยังคงอยู่ในยุคนั้น

“ผีเสื้อตัวนั้นใช่ไหมที่น้องว่า”

“ใช่ครับ”

“สเตบาสเตียน มาริ เดย์ จัดการขุดกองไม้นั้นขึ้นมา”ธัชนนท์พูดสั่งการหุ่นยนต์ทั้งสาม

ใช้เวลาไม่นานนักซากปรักหักพังที่วางกองสุมกันอยู่ก็ค่อย ๆ ทยอยหายไป ทว่าเจ้าผีเสื้อกลับบินตามกล่องไม้ใบหนึ่งที่ถูกขว้างโยนทิ้ง

“มันไปนั่นแล้ว”เจ้าของผีเสื้อนำทางร้องบอก ธัชนันท์จึงวิ่งไปเก็บกล่องใบนั้นกลับมาและหันกลับมาหาทุกคนที่วิ่งตามมาสมทบ เมื่อเปิดฝากล่องออกปรากฏให้เห็นแผ่นไม้อันหนึ่งพร้อมผีเสื้อสีน้ำเงินได้บินหายเข้าไปในนั้น

“ลักษณะรูปลักษณ์คล้ายสิ่งที่เรียกว่าหมุดเวทครับ”สเตบาสเตียนเอ่ยบอก

“อย่างนั้น สุดฟ้าก็อาจจะอยู่ข้างในนี้”

“กลับไปหาเจ้าชายฟาลิฮ์หรือคุณยายของซีกันเถอะ ให้พวกท่านช่วยพาสุดฟ้าออกมา”ธัชนนท์พูด

“ผมว่าพวกเขาคงไม่ว่างจะมาช่วยหรอก แค่ช่วยชาวเมืองก็คงจะแย่แล้ว”

ได้ยินฝาแฝดคุยกันแบบนั้นแล้ว ชวิศาจึงเอ่ยถามว่า “เออ... ว่าจะถามเหมือนกัน ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ แล้วที่นี่ยังใช่ประเทศฮัชดาลลาร์อยู่หรือเปล่า”

“ใช่ แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงจนแผ่นดินแยก มีแผ่นดินทรุด พวกที่ตีกันอยู่เลยหยุดชะงักกะทันหัน ที่เขตนี้ยังดีคนอยู่น้อยเลยอพยพหลบหนีได้หมด พวกเขตเมืองใหญ่ คนอยู่เยอะเลยหนีไม่ทัน บาดเจ็บล้มตายกันระนาว ทางลงรถไฟใต้ดินถล่มมีคนติดอยู่เพียบ”ธัชนันท์ตอบคำถามพร้อมเล่าสถานการณ์คร่าว ๆ ภายในเมืองให้ฟัง

“อาจจะเกี่ยวกับที่ศิลาสารพัดนึกแตก แล้วก็มีวิญญาณคนที่ชื่อกรินหลุดออกมา”โยธินเอ่ย เขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่คุ้นเคยกับการใช้พลังเวทมากที่สุด อย่างน้อย ตอนที่ซียังเด็กเขาก็เคยเห็นอยู่เป็นประจำ และฟังจากที่น้องชายเล่า เขาจึงพอเชื่อมโยงได้ว่า ผนึกดวงจิตและศิลาสารพัดนึกน่าจะเป็นของชิ้นเดียวกัน

“แต่คุณกรินสามารถออกจากผนึกได้ ตอนที่ผมอยู่ที่นั่น เขาก็ใช้มนตราสร้างร่างได้อยู่แล้ว”คนเป็นน้องร้องค้าน “เอ๊ะ... เมื่อกี้พี่โยบอกว่าศิลาสารพัดนึกเหรอ คุณกรินบอกทุกคนว่ามันคือศิลามหาเวท”

“แต่คนที่นี่เรียกว่าศิลาสารพัดนึก ถูกสร้างด้วยพลังของมหาเวท”แฝดคนน้องบอก คนที่ใช้พลังสร้างศิลาจึงทำหน้าแปลก ๆ

“แต่พี่คิดว่ามันก็คือของชิ้นเดียวกันนั่นแหละ”

“พี่โยบอกว่ามันแตก ใครทำหรือครับ”

ชายหนุ่มทั้งสามจึงมองหน้ากันก่อนชี้มือไปยังเจ้าของคำถาม

“ผมงั้นเหรอ ได้ยังไงกันไม่เห็นจำได้เลย แล้วผมเคยคุยกับคุณกรินว่าจะช่วยคลายผนึกให้ด้วย”ชวิศาโวยวายด้วยอาการแตกตื่น เขาคว้าแผ่นไม้มาถือไว้พลางส่งเสียงเรียกชื่อ “คุณกริน คุณกรินได้ยินผมหรือเปล่า ออกมาหน่อย”ทว่าทุกอย่างเงียบกริบ จึงลองเอาแผ่นไม้แนบหูเผื่อจะได้ยินเสียงอะไรดังออกมาบ้าง

ทั้งโยธิน ธัชนนท์และธัชนันท์ต่างทำหน้าเหวอ ก่อนแฝดคนน้องจะเอ่ยปาก “ทำแบบนั้นแล้วได้ยินเสียงข้างในด้วยเหรอ”

“ไม่ได้ยินอะ”คนตอบสีหน้าเหยเกเศร้าใจที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรดังออกมาเลย ธัชนันท์จึงพึมพำเสียงเบา “ก็ว่าอยู่”

“เห็นพูดกันว่ามันคือมาร์กกิ้งของมิติเวท ต้องใช้พลังเวทแทรกเข้าไป น้องพอจะทำได้หรือเปล่าล่ะ”โยธินถาม ชวิศาเงยหน้ามองพี่ชาย อยากจะตอบว่าไม่ได้แต่เฉลียวคิดได้ว่า คนอื่นบอกว่าสุดฟ้าอยู่ในนี้ และมนตราตามหาคุณกรินก็หายเข้าไปในนี้ มีแต่ต้องลองดู เขาจึงพยักหน้าถึงจะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำอะไรได้หรือไม่ก็ตาม

อย่างไรก็ดี ชวิศายังยืนนิ่งจ้องมองแผ่นไม้ชิ้นนั้นอยู่อีกครู่ใหญ่ คนอื่นอาจจะมองอย่างแปลกใจ แต่ความจริงชวิศากำลังนึก เขาเคยให้กรินใช้พลังหายตัวเปลี่ยนสถานที่ตั้งหลายครั้ง ซึ่งนั้นเป็นพลังอำนาจของธาตุพิเศษแต่เขาไม่รู้ว่าในกรณีนี้ควรเอามาใช้อย่างไร ที่แน่ ๆ เขาเคยโดนกรินบ่นที่ส่งพลังเวทเข้าไปในร่างตรง ๆ ตอนที่เผลอหยุดเวลาทั้งเมือง เพราะฉะนั้นคงส่งพลังเวททั้งหมดเข้าไปในแผ่นไม้บาง ๆ ไม่ได้เช่นเดียวกัน

แต่แล้วภาพอันเกิดจากพลังการทำนายของกิรานาก็แว็บเข้ามา ภาพของสุดฟ้าที่นอนหลับอยู่ในสถานที่มืดมิด

เขาหลับตาสองมือถือแผ่นไม้ซึ่งเป็นหมุดเวทไว้ เมื่อไม่รู้คาถาที่ต้องใช้จึงดึงเรียกเฉพาะพลังอำนาจของอากาศธาตุพร้อมตั้งจิตมั่นว่าต้องการไปยังสถานที่มืดมิดที่สุดฟ้าอยู่ แต่แล้วเสียงร้องรอบตัวกลับทำให้เขาต้องลืมตาขึ้น

ชวิศาถูกพี่ชายกอดร่างเอาไว้ ขณะที่สองมือหายเข้าไปในแผ่นไม้

“ทำได้แล้ว”เขาร้องอย่างดีใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะสามารถใช้มนตราได้ง่ายดายขนาดนี้

“ซี”

“คุณกริน”เสียงที่ดังขึ้นมาในหัวนั้นเป็นเสียงที่เขาจำได้ดี

“คว้าจับโดยใช้อำนาจธาตุไม้”เสียงอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้งเพื่อกำกับสั่งการในสิ่งที่เขาต้องทำ เมื่อทำตามที่กรินสั่ง เขาก็รู้สึกว่ามือได้สัมผัสกับของบางสิ่งจริง

“ค่อย ๆ ดึงมือกลับ”

ชวิศาทำตามแม้จะแปลกใจเพราะของนั้นเบามากจนเหมือนไร้น้ำหนัก แต่ว่าเมื่อสองมือพ้นจากแผ่นไม้ออกมาแล้วกลับรู้สึกว่าของที่จับอยู่นั้นหนักมาก “ช่วยดึงหน่อย”

โยธินจึงดึงจับมือของน้องชายเพื่อช่วยออกแรงตามที่ถูกร้องขอ สิ่งที่พ้นจากแผ่นไม้ตามออกมาคือร่างกายมนุษย์

“สุดฟ้า”ฝาแฝดร้องเรียกชื่อเพื่อนสมัยเด็กพร้อมกันก่อนจะช่วยเข้าไปประคองชายหนุ่มเจ้าของชื่อและพยุงให้เอนตัวลงนอนบนพื้น สุดฟ้ายังคงหลับตานิ่งทุกคนจึงกรูเข้ารุมล้อม ธัชนนท์อังมือที่ปลายจมูกเมื่อพบว่ายังมีลมหายใจเข้าออก เขาก็โล่งใจ

“ยังหายใจอยู่”

วินาทีต่อมาร่างโปร่งใสของกรินได้ลอยออกมาจากร่างของสุดฟ้า

“คุณกริน”ชวิศาร้องเรียกด้วยความดีใจ แต่กรินทำเพียงมองหน้าชวิศาก่อนกวาดสายตามองรอบกาย ชายหนุ่มร่างเล็กจึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมที่นี่ถึงเป็นแบบนี้ไปได้”

“อาณาเขตของเจ้าสลายไปแล้ว ทุกสรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามวัฏจักรของมัน”

“ตกลงที่ฮัชดาลลาร์อุดมสมบูรณ์มาจนถึงทุกวันนี้ได้ทั้งที่รอบข้างกลายเป็นทะเลทรายไปหมดแล้วเป็นเพราะพลังของผมอย่างนั้นเหรอ”เจ้าของคำถามพูดด้วยความตื่นเต้น แต่อีกฝ่ายกลับดับความตื่นเต้นของเขาไปทันควัน

“ใช่เสียที่ไหน พลังของเจ้าจะดำรงอยู่มาถึงสองพันปีได้อย่างไร”

“อ้าว!!!”เสียงร้องอุทานดังออกมาจากปากของทุกคนที่นั่งฟังอยู่

“หลังจากที่ข้าส่งเจ้ากลับไปประมาณห้าสิบปีเขตแดนก็เริ่มเสื่อม หลังจากนั้นข้าจึงเฉลี่ยดึงเอาพลังเวทและจักระของคนในเมืองมาใช้ในการดำรงอาณาเขตมนตรา”

“แล้วทำไมคุณไม่ปล่อยให้อาณาเขตสลายไป”ฝาแฝดคนพี่เอ่ยถามขึ้นบ้าง

“เจ้าไม่รู้หรอก ว่าการมีพลังอยู่เหนือผู้อื่นมันสนุกแค่ไหน”กรินยกยิ้มราวกับตัวร้ายในละครจนชวิศาต้องชี้นิ้วเตือน “คุณกริน คุณเหมือนตัวโกงอีกแล้ว” กรินหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำว่ากล่าวนั้น

“ถ้าคุณสนุกแล้วทำไมถึงปล่อยให้ศิลาถูกขโมยไปล่ะ”

“สุดฟ้า/คุณสุดฟ้า”ทั้งฝาแฝดบ้านสุวราลักษณ์และชวิศาต่างร้องประสานเสียงเรียกชื่อออกมาพร้อมเพรียงกัน เจ้าของชื่อถึงกับต้องยกมือขึ้นอุดหู เมื่อกวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบเขาก็เดาสถานการณ์ได้ทันที จริง ๆ เขาพอจะคาดเดาได้ตั้งแต่ตอนที่ศิลาเป็นรอยร้าวและมีร่างวิญญาณของกรินออกมาจากศิลาแล้ว เพียงแต่เจ้าของบ้านอย่างเจ้าชายฟาลิฮ์ยังสนใจแต่การสู้รบตรงหน้า คนนอกอย่างเขาย่อมไม่มีเหตุต้องสนใจกับภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนกัน

“ตื่นเต้นอะไร ฉันแค่หลับไปเท่านั้นเอง”จากนั้นจึงหันไปถามร่างโปร่งใสด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง

“เจ้าอยากรู้เพราะนึกห่วงประเทศนี้ขึ้นมาอย่างนั้นรึ”กรินถามรวนกลับไป

“ที่ถามก็เพราะอยากรู้ อยากรู้ก็แค่อยากรู้ จะต้องมีเหตุผลอื่นหรือไง”

“อืม เห็นแก่ที่เจ้ามีส่วนทำให้ซีหลุดย้อนเวลากลับไป ข้าจะยอมบอกให้ฟังก็ได้”กรินยิ้มระรื่น

“เพราะข้าเบื่อแล้ว”

“คุณกรินทำหน้าเหมือนตัวร้ายอีกแล้ว”คนฟังทำเพียงหัวเราะไปกับคำว่ากล่าวนั้น “บางทีที่ข้าดำรงอยู่ อาจเพราะเพื่อรอเจอเจ้าก็เป็นได้กระมัง ซี”

“รอเจอผม?”

“ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยคลายผนึกให้แต่เพราะเผลอออกไปเที่ยวเล่นซะก่อน ปะเหมาะโดนเจ้าทำลายผนึกอย่างไม่รู้ตัว เรื่องมันจึงกลายเป็นเช่นนี้”

“ช่วยตอบความจริงมาซะทีได้ไหม”สุดฟ้ากลอกตาอย่างเบื่อหน่าย

“ข้าก็พูดความจริง”

“ใช่ ผมก็คิดว่าจริง”ชวิศาสนับสนุน “วัน ๆ คุณกรินไม่ค่อยชอบอยู่ว่างหรอก ไม่นั่งอ่านตำราเป็นตั้ง ๆ ก็ทดลองทำโน่นทำนี่อยู่ตลอด”

“ใช่ ตำราความรู้ การศึกษาทดลองเกี่ยวกับพลังเวทในฮัชดาลลาร์ข้าก็เรียนรู้จนทะลุปรุโปร่ง พอมีคนมุ่งหวังต้องการขโมยผนึกออกไปนอกฮัชดาลลาร์ ข้าจึงไปกับเขา ไม่นึกว่าซีจะโดนพวกพลังอ่อนด้อยควบคุมเอาง่าย ๆ ลำพังแค่ผนึกโดนพลังของผู้อื่นไม่มีทางทำให้ร้าวอยู่แล้ว”

“อืม...ตอนนั้นศิลาโดนมนตราทำให้ต้องดูดจักระของคนที่สัมผัสด้วยนี่นา”ธัชนันท์พูดขึ้นมาบ้าง

“หึ”กรินและสุดฟ้าส่งเสียงขึ้นจมูกพร้อมกัน

“มนตราแบบนั้นมันมีจริงซะที่ไหน”สุดฟ้าพูด

“ตัวข้าคือศิลาที่ผู้คนยกย่องว่าบันดาลได้ทุกสิ่ง หากไม่ทำให้คำขอนั้นเป็นจริง ก็ไม่ใช่ศิลาสารพัดนึกนะสิ”

“แล้วอย่างนี้ ศิลามันแตกได้ยังไง”ธัชนนท์ถาม

“เจ้าคนอ่อนด้อยผู้นั้นที่ควบคุมซีอยู่ บังคับให้ซีอัดพลังเวทใส่เข้าไปในศิลาอย่างเต็มที่ เมื่อโดนพลังที่เท่าเทียมกันซัดเข้าใส่ซ้ำ ๆ แม้ข้าจะพยายามดูดซับถ่ายเทพลัง สุดท้ายผนึกก็ทนรับพลังเวทขนาดนั้นไม่ได้”

อย่างไรก็ดี การสนทนาของพวกเขาถูกขัดจังหวะด้วยแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน พวกเขาศีรษะโยกตัวสั่นคลอนไปตามแรง จะมีก็แต่กรินเท่านั้นที่ลอยนิ่งอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน จนเมื่อแผ่นดินไหวหยุดลงแล้วชวิศาจึงได้ถามกรินว่า

“ไม่มีทางช่วยเลยหรือครับ”

“เจ้าจะช่วยอะไร”

“ก็ระงับเหตุการณ์แผ่นดินไหวอะไรนี่อย่างไรล่ะครับ”

“นี่คือสิ่งที่พวกเขาเลือก เจ้าจะช่วยเหลือไปทำไม”

“แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เลือกให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น”ธัชนันท์เอ่ยค้านความคิดของกริน

“แล้วอย่างไร เจ้าคิดว่าจะมีคนยอมผูกพันอยู่ในผนึกไปตลอดกาลหรือ”กรินถาม “หรือถ้ามี เจ้าคิดว่าคนผู้อื่นจะยอมอยู่ใต้อำนาจของศิลาอีกหรือ”

“ผมขอให้คุณหาทางช่วยก่อน ส่วนเรื่องนั้นก็ให้คนในประเทศนี้ตัดสินใจกันเอง”ชวิศาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ถึงพลเมืองในประเทศนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาและเขาไม่รู้จักใครเป็นพิเศษนอกจากเจ้าชายฟาลิฮ์ แต่ชวิศาก็ไม่สามารถปล่อยให้ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายไปได้

“ได้ ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น”กรินบอกให้ชวิศาเขียนวงเวท แต่ชวิศายังคงเป็นชวิศาที่ยังจำอักขระธาตุและสัญลักษณ์พลังเวทได้บ้างไม่ได้บ้าง

“คุณกรินมาเขียนเองไม่ได้เหรอ”ชายหนุ่มร่างเล็กโอดครวญ “หรือไม่ก็บอกคาถามาให้ผมใช้เลย”

“ข้าเหลือเพียงดวงจิตที่ไร้พลังจะหยิบจับสิ่งใดแล้ว จะบอกคาถาให้เจ้าแล้วกัน”

ชวิศาพยักหน้า

“จารันซา”

“ฮะ?”

“หยุดการเคลื่อนไหวของพื้นดินด้วยพลังประยุกต์วัฏสูญสิ้นของธาตุน้ำ”

“อ้อครับ”ชวิศาพยักหน้ารับ หยุดคิดไปอีกนิดแล้วเงยหน้าถามต่อว่า “คือ ทำยังไงถึงจะดึงพลังประยุกต์ออกมาใช้ได้ล่ะครับ”

“อ้าว”สุดฟ้ากับพี่น้องสุวราลักษณ์ต่างอ้าปากค้าง จะมีก็แต่โยธินที่กล่าวปกป้องญาติผู้น้องที่รักเสมือนน้องแท้ ๆ “คุณอธิบายยากเกินไปแบบนั้นไม่มีใครเข้าใจหรอก”

“เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าฟังด้วย ธาตุทั้งห้าและธาตุพิเศษล้วนมีคุณสมบัติหลักของตัวเอง”กรินเริ่มพูดบรรยายคุณสมบัติอำนาจธาตุโดยไม่สนใจการไหวของพื้นดินที่เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นอีกรอบ “ธาตุไม้คือมุ่งสู่ด้านบน ธาตุไฟคือแผ่ขยายและร้อนแรง ธาตุดินคือมุ่งสู่ศูนย์กลาง โลหะคือแข็งแกร่งและซ่อนตัว ธาตุน้ำคือไม่คงรูปและเคลื่อนไหว คุณสมบัติเหล่านี้แบ่งเป็นวัฏส่งเสริม ที่หมายถึงการก่อเกิด การกำเนิดขึ้น และวัฏสูญสิ้นที่หมายถึงการทำให้หายไปหรือสูญสลาย ส่วนคุณสมบัติหลักของธาตุพิเศษคือ กระแสเวลา ความว่างเปล่าไม่มีอยู่จริง

นอกจากคุณสมบัติหลัก อำนาจธาตุแต่ละธาตุยังสร้างสรรค์ได้ตามชื่อ เช่นเรียกใช้อำนาจพลังธาตุน้ำย่อมสามารถสร้างน้ำได้ ควบคุมน้ำได้ และคุณสมบัติประยุกต์คือการใช้อำนาจพลังธาตุในทางอื่นที่ไม่ตรงกับคุณสมบัติหลักเสียทีเดียว หลักการคิดให้นึกเปรียบเทียบกับทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติว่าสิ่งเหล่านั้นทำอะไรได้บ้าง อาทิ ต้นไม้นั้นเป็นยารักษาโรค มีพลังชีวิตของตัวเอง เวลารักษาอาการเจ็บป่วยจึงต้องใช้อำนาจพลังธาตุไม้เป็นหลัก เป็นต้น

ธาตุทั้งห้านั้นล้วนส่งเสริมและเป็นปฏิปักษ์กันเอง ธาตุดินเป็นปรปักษ์กับธาตุน้ำ แต่คุณสมบัติหลักของธาตุน้ำคือเคลื่อนไหว ถ้าเรียกใช้ด้วยวัฏสูญสิ้นคือทำให้ไม่เคลื่อนไหว กระนั้นต่อให้ตัวมันไม่เคลื่อนไหวก็ไม่อาจต้านทานแผ่นดินที่ทรุดสลายลงทุกขณะได้ พลังประยุกต์ที่ว่าคือการทำให้น้ำนั้นแข็งตัว”


“อ้อ”แต่ละคนที่ได้ฟังต่างส่งเสียงครางรับรู้

“แล้วจะทำให้น้ำมันแข็งตัวอย่างไรล่ะครับ”ชวิศายังถามต่อ

กรินกลอกตาด้วยความระอา

“เอาไปแช่ตู้เย็นไงซี”ฝาแฝดคนน้องพูดบอก แฝดผู้พี่จึงโบกศีรษะดังผลัวะ “มันใช่เวลามาพูดเล่นไหม”

“ก็สั่งด้วยความคิดนั่นแหละ”สุดฟ้าบอกชวิศา

“แล้วทำไมถึงสร้างดินขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ได้”ธัชนันท์ถามขึ้นมาอีก สุดฟ้าจึงแบมือไปตรงหน้าหุ่นยนต์พ่อบ้านร้องขอดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์พร้อมเอ่ยปากสั่งให้สเตบาสเตียนดึงภาพที่เขาเคยตรวจสอบไว้ออกมา

“นี่เป็นภาพแนวตัดขวางของฮัชดาลลาร์”

ภาพที่สุดฟ้าแสดงให้เห็นบนหน้าจอเป็นภาพระดับความต่างของพื้นที่นอกกำแพงภูเขากับพื้นที่ในเมือง พื้นดินในเมืองนั้นสูงกว่าพื้นทะเลทรายด้านนอกหลายเมตร

“ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”คำถามแสดงความสงสัยถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ก็น่าจะเป็นเพราะพลังเวท”สุดฟ้าพูดตอบก่อนหันไปถามกริน “ใช่ไหมครับ”

กรินพยักหน้า “ภูเขาหินที่ล้อมรอบเมืองอยู่ก็เป็นข้าที่สร้างขึ้นมา”

“แล้วจู่ ๆ มีภูเขาหินเกิดขึ้น ชาวเมืองไม่ตื่นเต้นกันเหรอ”ธัชนนท์ถาม

“ข้าควบคุมให้องค์ราชาในยุคสมัยนั้นประกาศเรื่องนี้แก่ชาวเมือง”

“เรื่องการทดลองเกี่ยวกับขอบเขตพลังของศิลาสารพัดนึกก็เป็นคุณด้วยที่บงการพวกเขา”สุดฟ้าพูดถามเมื่อได้ยินคำตอบของกริน

“ใช่”

“คุณถึงไม่แปลกใจที่มีชาวเมืองลุกฮือต่อต้าน ทั้งยังยอมออกจากเมืองไปง่าย ๆ”

กรินไม่ตอบคำถามนี้ที่สุดฟ้าเอ่ยถาม เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ข้าเคยตอบคำถามของเจ้าเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ไปแล้ว”

“เออ ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ กลับมาที่ทำไมถึงสร้างแผ่นดินขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ได้ดีกว่า”แฝดผู้น้องกลัวว่าเพื่อนสนิทจะตีกับวิญญาณไปเสียก่อน เขาจึงพูดออกไป

สุดฟ้าจึงเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข กดคำนวณพื้นที่ของเมืองให้ดู “ขนาดพื้นที่เท่านี้ยังไม่สำคัญเท่าไหร่เพราะชวิศาเคยสร้างอาณาเขตเวทมนตร์มาแล้ว แต่ที่ไม่รู้คือจะต้องสร้างพื้นดินลึกลงไปอีกเท่าไหร่การเคลื่อนตัวของหน้าดินจะหยุดลง อีกอย่างใต้พื้นดินมีสถานีรถไฟที่มีคนติดอยู่ด้วย ฉันเดาว่าการสร้างพื้นดินที่ว่าคงคล้ายกับการออกแบบในระบบคอมพิวเตอร์คือต้องยืดจากระนาบด้านบน”

“เท่ากับคนที่ติดอยู่ในรถไฟอาจจะโดนอัดจนเละไปด้วย”เจ้าของข้อสงสัยพยักหน้ารับรู้

“การใช้เวทมนตร์คือการตั้งสมาธิรวมกับการจินตนาการ ให้นายนึกถึงน้ำในดินจับตัวกันกลายเป็นน้ำแข็ง”สุดฟ้าหันไปแนะนำ ชวิศาผู้ซึ่งเป็นเจ้าของพลังเวทอันมหาศาลจึงสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมพยักหน้า เขาวางสองมือลงกับพื้นตั้งสมาธิทำตามที่สุดฟ้าบอก ทว่าแทนที่มนตรานั้นจะทำให้แผ่นดินหยุดทรุดตัวกลับปรากฏเป็นแผ่นน้ำแข็งปกคลุมผิวดินกระจายไปทั่ว

“เจ้าคงเป็นพี่ชายสินะ”กรินพูดกับโยธิน “เจ้าน่ารู้เช่นกันว่าน้องชายของเจ้ามีระดับมันสมองมากน้อยเพียงใด”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//หลังจาก ‘อะไรวะ’กับ ‘เล่นง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ’ จากตอนที่แล้วก็อย่าเพิ่งเลิกอ่านเรื่องนี้นะ//*
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบ 17/01/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 02-02-2018 10:07:47
ไรเตอร์หายไปไหนอ่าาาา คิดถึงงงงแล้วววว
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบเอ็ด 04/02/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-02-2018 00:24:02
ตอนที่สี่สิบเอ็ด



“ขอโทษครับ”ชวิศาหน้าหงอย แปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงเรียกใช้มนตราอย่างที่ต้องการไม่ได้อีกแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอก”สุดฟ้าพูด ฝาแฝดคนน้องจึงเสริมขึ้นมาว่า “ทำให้น้ำแข็งมันละลายได้ไหม รู้สึกว่ามันจะทำให้เย็นขึ้นหรือเปล่า”

เจ้าของเวทพยักหน้ารับวางมือลงกับพื้นดินที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งอีกครั้ง พร้อมคิดอยู่ในใจ เอ... ทำให้มันละลาย ให้กลายเป็นน้ำเหมือนเดิม ชวิศาหลับตาตั้งสมาธิ ทว่าแทนที่น้ำแข็งจะคลายความเย็นกลายเป็นน้ำอย่างเดิม กลับกลายเป็นว่าแผ่นดินใต้ฝ่าเท้าอ่อนตัวจนทรุดร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงไปอีก

“เหวอ!!!”ฝาแฝดสองพี่น้องร้องเสียงหลงรีบตะกายหาที่เกาะยึด โยธินกำลังจะเข้าไปช่วยน้องชายแต่เห็นสุดฟ้าคว้าตัวชวิศาไว้แล้วจึงมองหาพื้นที่มั่นเพื่อตั้งหลัก แต่ไม่ว่าจะเหยียบเท้าไปที่จุดไหนพื้นดินก็พร้อมใจกันยวบลงเป็นหลุม เสียงครืนโครมดังขึ้นทุกครั้งที่แผ่นดินทรุดตัวไล่ตามหลัง

ระหว่างนั้นสเตบาสเตียนได้เปิดใช้งานไอพ่นใต้ฝ่าเท้า พามาริเอะและเดย์ที่อยู่ใกล้ตัวลอยขึ้นสูงก่อนบินเข้าไปช่วยเจ้านายผู้สร้างพร้อมกับสั่งให้มอเตอร์สเปซลอยขึ้นจากพื้น จากนั้นพาทั้งสองไปปล่อยไว้บนหลังคาของยานยนต์ก่อนจะกลับไปช่วยอีกสามคนที่เหลือ

หลังผ่านช่วงหนีตายอย่างทุลักทุเลและพวกเขาสามารถหยุดยืนบนพื้นดินอันมั่งคงได้แล้ว ทุกคนต่างมองไปยังหลุมกว้างที่มีแต่สีดำมืดมองไม่เห็นก้น โชคดีว่ามนตรานั้น ชวิศาใช้พลังแค่เพียงเล็กน้อยพื้นดินที่ทรุดหายไปจึงกินบริเวณไม่กว้างนัก

ชวิศามีท่าทีซึมเศร้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ใช่ความผิดของน้องหรอก อย่าคิดมากเลย”โยธินกล่าวปลอบ

“ข้าขอบอกอีกครั้งว่า เจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือพวกเขา ผู้คนในฮัชดาลลาร์ล้วนใช้พลังเวทได้ทั้งนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวนี้ พวกเขาก็จะหาทางแก้ไขกันเอง”

“แต่ผมรู้สึกว่า ที่ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ก็เพราะผม”ชวิศาโต้แย้ง

“เจ้ากำลังคิดว่าการทำตามที่ข้าสั่งคราวนั้นเป็นความผิดของตัวเองอย่างนั้นรึ”กรินพูด “โง่เง่าเหลือเกิน”

“เกินไปแล้วนะ ซีกำลังเสียใจอยู่ คุณยังพูดแบบนี้อีก”โยธินออกโรงปกป้องน้องชาย

“เจ้าก็เป็นพี่ชายที่ไม่ได้ความ ปกป้องดูแลซีเสียจนเจ้านั่นทำอะไรไม่เป็น”

“พอเถอะครับ”ธัชนนท์ส่งเสียงดังห้ามปราม “ทะเลาะกันไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้พวกเราช่วยซีกับสุดฟ้าได้แล้ว พวกผมจะเดินทางกลับกันแล้วครับ”

“ไม่ใจดำไปหน่อยหรือไง”โยธินพูด

“ผมให้พนักงานที่บริษัทจัดหาถุงยังชีพส่งมาให้แล้วครับ พวกเราทำได้แค่นี้แหละ”

เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของแผ่นดินซึ่งกำลังถล่มดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาหันไปมองยังภูเขาหินที่เห็นอยู่ไกล ๆ มันกำลังทลายลงมาอย่างช้า ๆ

“ตรงนั้นคือกำแพงหินที่ล้อมเมืองไว้หรือเปล่า”

“น่าจะใช่”สุดฟ้าตอบขณะพยุงเจ้าของคำถามให้ลุกขึ้น

ยานพาหนะมีแค่มอเตอร์สเปซ ถ้าตัดสเตบาสเตียนที่มีไอพ่นบินได้กับมาริเอะออก ยังเหลือพวกเขาอีกหกคนที่ต้องเบียดกันไปในห้องโดยสาร

“เหมือนคุณบาซิมจะเคยบอกว่า ในภูเขาหินก็มีคนอยู่”

“ใช่ครับ เขตภูเขาหินก็มีการทำเหมืองและเกษตรกรรม”มาริเอะช่วยกล่าวเสริมความเข้าใจของชวิศา

“พื้นที่ที่เคยอยู่ในอาณาเขตมนตราจะต้องหายไปหมดเลยเหรอ”ธัชนันท์ถามแม้ไม่เจาะจงแต่กรินก็เป็นคนตอบคำถามนั้น

“ใช่ เมื่อตัวข้าสลายหายไปเมื่อไหร่ พื้นดินที่เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ก็จะหายไปด้วย”

ความจริงนั้นทำให้ทุกคนแตกตื่นสังเกตร่างของกรินที่โปร่งใสมากขึ้นเรื่อย ๆ  และเป็นฝาแฝดผู้น้องที่ถามอย่างร้อนรนอีกว่า “แล้วอีกนานแค่ไหนเนี่ย”

“ไม่รู้สิ”คนตอบคำถามยังทำหน้าระรื่น

“รีบกลับไปแจ้งเจ้าชายเถอะ”ธัชนนท์บอกกับทุกคน พวกเขารีบพากันเข้าไปในพาหนะและเพื่อไม่ให้ต้องเบียดเสียดกันเกินไป ธัชนันท์จึงนั่งที่เบาะด้านหลังโดยให้เดย์นั่งซ้อนตัก มีสุดฟ้าที่พยายามเกาะติดกับชวิศาตามเข้ามายังที่นั่งตอนหลังด้วย

พวกเขากลับไปเจ้าชายรัชทายาทของประเทศฮัชดาลลาร์โดยใช้เวลาไม่นาน และจริงดังที่กรินกล่าวไว้ ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่ล้วนใช้พลังเวทได้ ภัยพิบัติร้ายแรงจึงดูไม่หนักหนานัก แต่เพราะในตอนแรกทุกคนต่างตื่นตระหนกกับการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกับเกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่ทันตั้งตัว ทั้งฮัชดาลลาร์นั้นเป็นเมืองที่สงบสุขปราศจากภัยพิบัติร้ายมาเป็นพันปี

ตอนที่พวกเขาไปถึงผู้คนที่ติดค้างอยู่ในที่ต่าง ๆ ได้รับความช่วยเหลือเป็นส่วนใหญ่แล้ว คนที่รับบาดเจ็บได้รับการรักษา แม้จะมีคนล้มตายก็มีจำนวนน้อย พื้นที่โดยรอบที่เห็นมีการตั้งเต็นท์พยาบาลที่พักพิงกระจายไปทั่ว

“ซี!!!”พรลภัสร้องเรียกลูกชายพร้อมวิ่งตรงเข้ามาหา ชุดผ้าไหมของเธอยังดูสะอาดดุจเดิม จะมีเพียงแต่รอยเปื้อนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ที่ตามมาด้านหลังคือสุมุนตราและเจ้าชายรัชทายาท

“แม่”สองแม่ลูกโอบกอดกัน ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะผละตัวออกเพื่อตรวจดูบาดแผลความสมบูรณ์แข็งแรงของลูกชาย

“ปลอดภัยดีใช่ไหม”

“ครับ ผมปลอดภัยดี”

“จะเป็นอันตรายร้ายแรงได้อย่างไร พลังเวทของหลานแข็งแกร่งขนาดนั้น”สุมุนตราเอ่ยบอกลูกสาว คนที่ถูกเรียกว่าหลานจึงทำหน้าเหลอหลามองหญิงสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างกายมารดา

“นี่คุณยาย ซีอาจจะจำไม่ได้ เจอกันครั้งล่าสุดน่าจะตอนที่หนูอายุสักเจ็ดขวบ”

ได้ยินคำแนะนำอย่างนั้น ชวิศายิ่งแปลกใจ คุณยายยังสาวยังสวยกว่ามารดาเสียอีก ก่อนจะเอะใจว่ามันอาจจะเป็นพลังของมนตรา

“คุณยายใช้มนตราทำให้ยังดูสาวหรือครับ”

“แหม ก็รูปลักษณ์นี้มันดีต่อใจ”พูดจบก็คลายมนต์ ใบหน้าที่เคยสวยใสเต่งตึงค่อยหย่อนคล้อยเห็นริ้วรอย แต่กระนั้นเมื่อการคลายพลังเวทสิ้นสุด ใบหน้าของเธอกลับดูไม่แก่ชรามากนักดูคล้ายหญิงที่มีอายุสักห้าสิบถึงหกสิบปีเท่านั้น

“นี่คือคลายมนตราหมดแล้วใช่ไหมครับ”ชวิศาถามย้ำ ชายหนุ่มคนอื่น ๆ อย่างสุดฟ้า โยธิน ธัชนนท์และธัชนันท์มองด้วยอึ้งทึ่ง

“ใช่สิ ถ้าฝึกจักระและการใช้พลังเวทดี ๆ ก็จะช่วยคงรูปลักษณ์ให้อ่อนเยาว์ได้”เธอกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างมนตราประเภทเปลี่ยนรูปลักษณ์น่ะเปลืองพลังเวทจะตาย ถ้าจักระไม่แข็งแกร่งพอแค่คงมนตราไว้ก็หืดขึ้นคอแล้ว”

ชวิศาได้ยินคำอธิบายนั้นจึงหันไปหากริน “ที่องค์ราชาเสียทีในการต่อสู้กับเจ้าชายเพราะเหตุนี้หรือครับ”

กรินพยักหน้าพร้อมเอ่ยเตือนว่า “เจ้าไม่บอกเรื่องแผ่นดินนี้แก่ฟาลิฮ์แล้วหรือ”

“อ๊ะใช่ เจ้าชายครับ”คำเรียกขานชายสูงศักดิ์เขาเปลี่ยนมาใช้ภาษาอังกฤษ หลังจากที่พูดคุยกับมารดาและยายด้วยภาษาไทยมาตลอด

“ต้องรีบอพยพคนออกจากเมืองให้หมดเลยครับ อีกไม่นานแผ่นดินตรงนี้ก็จะไม่มีอีก”

“อ้อ...ขอบคุณครับ”ทรงกล่าวพลางเหลือบพระเนตรไปยังร่างที่เหลือแต่ดวงจิตของกริน ก่อนหันกลับมาคุยกับชวิศาอีกครั้ง“แต่เรื่องนั้นคุณชวิศาไม่ต้องเป็นห่วงครับ ตอนนี้นักเวทระดับสูงกระจายตัวไปประจำจุดต่าง ๆ รอบเมืองแล้ว พวกเราจะใช้มนตราบูรณะเมืองขึ้นมาใหม่”

“ทำได้ด้วยหรือครับ”สุดฟ้าถาม มันน่าตื่นตะลึงกับความคิดนั้นและฟังดูไม่น่าเป็นไปได้เช่นกัน

“ได้ไม่ได้ก็ต้องลองดูครับ”

“แล้วพวกกลุ่มจันทร์พยัคฆ์ล่ะครับ พวกเขาจะไม่มาขัดขวางหรือสร้างความวุ่นวายอีกหรือครับ”ธัชนนท์ถามด้วยความเป็นห่วง

“ตอนนี้ฮัชดาลลาร์ไม่มีศิลาสารพัดนึกแล้วนี่ครับ และแผ่นดินของประเทศนี้เองก็ไม่มีแร่มีค่าให้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้ว พวกเขาก็คงไม่อยากเป็นผู้ครอบครองแล้วละครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมขออาสาช่วยเจ้าชายด้วยครับ”ชวิศาพูดอย่างกระตือรือร้น

“ใช้มนตราร่วมกับผู้อื่นไม่ใช่สักแต่ส่งพลังเข้าไป แต่ต้องประสานพลังของตนเข้ากับพลังของผู้อื่น เจ้าที่เรียกใช้มนตราสัมฤทธิผลบ้าง ล้มเหลวบ้างเดี๋ยวก็พานทำให้แย่ยิ่งกว่าเดินหรอก”

“งั้นคุณกรินก็หัดมาช่วยบ้างสิ ที่เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณเลยนะ”ชวิศาร้องบอกอย่างโมโหฉุนเฉียว

“ไม่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองแล้วหรือไร”

“คุณกริน!!!”ชายหนุ่มร้องตวาด แต่กรินกลับทำเฉยลอยหน้าลอยตาไม่เดือดร้อน สุดฟ้าเห็นการต่อปากต่อคำของทั้งสองคนแล้วทะแม่ง ๆ จึงเข้ามาขวาง

“ปกติคุณให้ชวิศาใช้พลังเวทผ่านสิ่งที่เรียกว่าวงเวทหรือครับ”

“ใช่ครับ”ชวิศารีบตอบ

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยบอกวิธีการเขียนวงเวทให้ได้ไหม ที่นี่มีคนที่ใช้พลังเวทได้มากมายแค่คุณบอกให้เขียนวงเวทอย่างไร พวกเขาคงเขียนให้ได้”

การสื่อสารในช่วงที่ผ่านมาพวกเขาใช้ภาษาอังกฤษตลอด เจ้าชายฟาลิฮ์จึงรีบตรัสว่า “เรื่องวงเวทไม่ต้องห่วงครับ ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้มีการเรียนการศึกษาเกี่ยวกับวงเวทมาตลอด ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจัดการให้ครับ”จากนั้นสาวพระบาทไปหาทำเลในการเขียนวงเวทให้ชวิศา

เขตที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้เป็นเขตเมืองเก่าซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังซูบราฮ์ซึ่งภายหลังถูกบูรณะปรับเปลี่ยนให้เป็นมหาวิทยาลัยอินดราจาร์ หรือก็คือเมืองหลวงเดิมของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ และพระราชวังซูบราฮ์ก็คือคฤหาสน์ของกรินที่ชวิศาเป็นผู้เนรมิตขึ้น อาณาเขตมนตราของชวิศาจึงมีจุดศูนย์อยู่ที่คฤหาสน์แห่งนั้น ตอนที่กรินสร้างกำแพงรอบเมือง เขาก็ยึดจุดอ้างอิงจากคฤหาสน์เช่นเดียวกัน เนื่องจากการสร้างเขตแดนนั้นเป็นการใช้พลังกำหนดพื้นที่ที่อยู่ใต้อาณัติ การแผ่ขยายพลังกระจายไปรอบด้านเท่า ๆ กันย่อมทำได้ง่ายกว่าการกำหนดให้เป็นรูปทรงอื่น

“ที่จริงคุณก็เตรียมการสำหรับรับมือภัยพิบัตินี้ไว้แล้ว”สุดฟ้าพูดกับกริน

“เพราะข้าคิดว่าจะให้ซีคลายมนตราให้ ไม่ว่ามนตราจะเสื่อมคลายลงด้วยวิธีใด เมือง แผ่นดิน ความอุดมสมบูรณ์และทุกสิ่งที่เคยอยู่อาณาเขตก็ต้องเปลี่ยนแปลงสลายไป เพราะความสมบูรณ์พร้อมของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ดำรงอยู่ได้ด้วยพลังเวท”

“แล้วไม่มีทางจะทำให้คุณกลับมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิมเหรอ”ธัชนันท์ถาม

“ข้าก็เป็นเช่นคนตายที่ไม่อาจฟื้นคืนชีพได้”

“ผมขอโทษทั้งที่สัญญาว่าจะช่วยคลายเวทให้คุณแท้ ๆ”ชวิศาพูดด้วยใบหน้าสลด

“ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรข้าก็อยู่มานานเกินควรแล้ว นั่นฟาลิฮ์เรียกเจ้าแล้ว”ประโยคหลังเขาบอกเมื่อรัชทายาทหนุ่มเงยพระพักตร์จากพื้น ชวิศาและคนอื่น ๆ จึงก้าวตามไปหยุดที่พื้นที่ตรงนั้น

วงเวทของเจ้าชายฟาลิฮ์เป็นวงเส้นและอักขระสีฟ้าอันเกิดจากพลังเวท “ที่จริงแล้ว การที่ผมยังอยู่ที่นี่เพราะผมเป็นหนึ่งของผู้ที่ต้องใช้พลังจากจุดศูนย์กลาง รวมกับนักเวทสี่คนที่เหลือเพื่อเชื่อมโยงมนตราจากทุกทิศ”ทรงผายพระหัตถ์ไปทางนักเวทที่ทรงกล่าวถึง

“ให้เขียนตำแหน่งผู้ใช้เวทแต่ละทิศเพิ่ม”กรินเอ่ยบอก “ชวิศาเคยเป็นเจ้าของอาณาเขตมนตรามาก่อน เขาสามารถซ่อมแซมฟื้นฟูพื้นที่ได้ทั้งหมด”

“อ้าว ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณกรินไม่ให้เขียนวงเวทเพื่อใช้พลังของผมคนเดียวเลยล่ะครับ”

“หากเวลาผ่านไปและพลังของมนตราเสื่อมลง เจ้าจะมาช่วยซ่อมแซมให้อีกหรือ”

“แน่นอนสิครับ”ชวิศาตอบ สุดฟ้าจึงส่งเสียงพูดขัดออกไปว่า “ไม่ได้หรอก มันจะมีช่วงเวลาที่นายมาซ่อมแซมมนตราไม่ได้”

“ช่วงที่ผมมาไม่ได้?”ชายหนุ่มร่างเล็กหันกลับไปถาม

“ถ้าเจ้าไม่มีลมหายใจ พลังของมนตราจะหายไปทันที การสร้างมนตราโดยใช้พลังร่วมกับผู้อื่นจะทำให้มนตรานั้นยังคงอยู่แม้นักเวทคนใดคนหนึ่งจะเสียชีวิตไปก็ตาม”กรินอธิบาย

“อ้อ เข้าใจแล้วครับ”ชวิศาพยักหน้ารับรู้ เมื่อชายหนุ่มร่างเล็กไม่มีข้อสงสัยแล้ว กรินจึงพยักพเยิดให้เจ้าชายรัชทายาทเพิ่มเติมอักขระลงบนวงเวท

ชายหนุ่มซึ่งเคยใช้มนตราผ่านวงเวทมานับไม่ถ้วนจึงเดินไปหยุดยืนอยู่กลางวง กระนั้นองค์ชายหนุ่มก็ร้องบอกรั้งให้เขารอเวลาก่อน

เหตุการณ์พื้นดินสั่นสะเทือนเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือนเร่งเตือนให้พวกเขาดำเนินการเสียที เมื่อมันหยุดลง พวกเขายังต้องรออีกครู่ใหญ่กว่าเจ้าชายผู้เป็นรัชทายาทสืบต่อการปกครองเมืองจะส่งสัญญาณให้ชวิศาถ่ายเทพลังลงเข้าสู่วงเวทได้

ชวิศาปล่อยพลังเวททั้งหมดของตนเข้าสู่วงเวทนั้น พลังเวทของเขาไหลวนจนครบวัฏจักรก่อนจะแผ่ขยายออกไป พวกสุดฟ้าที่ไม่เคยเห็นการใช้เวทด้วยวิธีการนี้มาก่อนต่างอยู่ในอาการตกตะลึง มองแสงเรืองรองไหลเอ่อไปตามพื้นดิน

พลังเวทของชวิศาแผ่พุ่งไปประสานกับพลังของนักเวทคนอื่นที่ประจำอยู่แต่ละทิศ โดยมีองค์ราชาองค์ราชินีของฮัชดาลลาร์ประจำอยู่ทิศเหนือและใต้ มีปราชญ์ลำดับต่าง ๆ ประจำอยู่แต่ละทิศทั้งหก ซึ่งแม้ชวิศาจะไม่ทราบว่านักเวทที่ประจำแต่ละทิศเป็นใคร แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของบุคคลเหล่านั้นเช่นเดียวกัน

เมื่อพลังเวททุกสายบรรจบกันแล้ว สิ่งมหัศจรรย์ได้พลันบังเกิดขึ้นให้พวกสุดฟ้าตื่นตาอีกครั้ง ตึกอาคารบ้านเรือนที่เคยทลายลงมาเพราะแผ่นดินไหว สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ ถนนหนทางที่เคยเละเทะระเนระนาดค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมของมันที่พวกเขาเคยเห็นก่อนเกิดภัยพิบัติร้ายแรง

ธัชนนท์ ธัชนันท์ร้องว้าวอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เว้นแม้แต่สเตบาสเตียนและมาริเอะซึ่งเป็นหุ่นยนต์ ทั้งสองหันมองรอบตัวด้วยใบหน้าที่บ่งบอกถึงความทึ่งกับสิ่งที่เห็น

จะมีก็เพียงแต่ชีวิตมนุษย์และสัตว์เท่านั้นที่ชวิศาและนักเวทคนอื่นไม่อาจจะทำให้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้

เวลาผ่านไปไม่ช้าไม่นาน เมืองที่อยู่ในขอบเขตของกำแพงหินก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

ชวิศาล้มตัวลงนอนแผ่กับพื้น โยธินกับสุดฟ้าจึงตรงเข้าไปหา

“ไหวหรือเปล่า”คนเป็นพี่ชายถาม

“ไหวครับ แต่ขอผมพักแป๊บ”

“ขอบคุณคุณชวิศามาที่ให้การช่วยเหลือในครั้งนี้ คุณสุมุนตราและคุณพรลภัสด้วยครับ คุณสุดฟ้ากับทุกท่านด้วยเช่นกัน ต้องขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับการช่วยเหลือทุกอย่างครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงกล่าวในฐานะที่พระองค์เป็นตัวแทนของประชาชนของประเทศ

“ถ้าอย่างไร ผมขอเชิญทุกท่านไปพักผ่อนก่อน และตอนเย็นผมจะจัดเลี้ยงอาหารเป็นการขอบคุณอีกครั้ง”

“ตกลงครับ แต่พรุ่งนี้พวกผมคงต้องขอตัวเดินทางกลับเสียที”ธัชนนท์พูดตอบ

เจ้าชายรัชทายาททรงตรัสตอบตกลง

ขณะนั้นเอง กรินก็ได้ส่งเสียงเรียกชวิศาและเมื่อชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของนามหันกลับมาหา เขาเอ่ยว่า “ข้าก็คงต้องไปแล้วเช่นกัน”คำพูดนั้นเรียกความสนใจจากทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายฟาลิฮ์ที่หันมารวมกลุ่มด้วยความตกพระทัย เพราะแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ทรงเห็นรูปลักษณ์ของดวงจิตผู้พิทักษ์อาณาจักร แต่ทรงคิดอยู่เสมอดวงจิตนั้นเป็นอมตะไม่ติดอยู่ในวัฏสงสาร

“คุณกรินจะไปไหนหรือครับ”

“ก็ที่เขาเคยบอกไว้ว่า กำลังจะสลายไป”สุดฟ้าเอ่ยเตือน

“ไม่ใช่ว่า คุณกรินจะสลายไปถ้าพื้นดินถล่มหายไปหมดหรือครับ”

“การตีความของเจ้าก็มีปัญหาด้วยรึ”กรินยิ้มขำก่อนจะเปลี่ยนไปกล่าวอีกเรื่อง “ยังอยากรู้เรื่องราวของเมดินหลังจากที่เจ้ากลับมายังช่วงเวลานี้อยู่หรือเปล่า”

“อยากสิครับ”ชวิศารีบบอก นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความใคร่รู้คล้ายลืมเรื่องที่ดวงจิตของกรินต้องสลายไปชั่วขณะ

“ในพิธีมาดามายาปีนั้น เมดินก็ไม่ได้เป็นราชาอย่างที่หวังเพราะข้าสนับสนุนผู้อื่นให้ได้ครองราชย์”เนื่องจากใช้พลังเวทได้แล้ว เขาจึงใช้พลังของตนเพื่อสนับสนุนชายผู้มีนิสัยซื่อสัตย์คนหนึ่ง แลกกับการเก็บตัวเงียบไม่ให้ใครรับรู้เรื่องอาณาเขตมนตราและพลังที่มี

“เมดินจึงจำต้องยอมดำรงตำแหน่งปราชญ์ลำดับที่หนึ่งโดยอ้างเหตุผลว่าบ้านเมืองเพิ่งผ่านการสูญเสียและไม่มั่นคงสงบสุข”

ผู้ฟังพยักหน้ารับ

กรินนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น คงเป็นเพราะสนุกสนานกับการดักทางเปลี่ยนแปลงแผนการร้ายของเมดิน เขาจึงเลือกดูดซับพลังเวทของผู้คนในเมืองมาใช้แทนที่จะปล่อยให้อาณาเขตสลายไป

“เมดินมีชีวิตอยู่อย่างยาวนานเชียวล่ะ แต่เขาเต็มไปความเคร่งเครียดทุกข์ตรมที่ไม่ว่าคิดการใดก็ไม่สำเร็จดั่งใจหมาย ก่อนจะสิ้นลมไปด้วยโรคภัยที่รุมเร้ามากมาย”

“อ้าว แล้วเขาไม่ใช้เวทรักษาหรือครับ”

“โรคที่ยากต่อการรักษาย่อมต้องใช้พลังเวทมากตามไปด้วย โรคภัยที่เกิดจากกรำความคิดยิ่งรักษายากยิ่งกว่า เพราะเจ้าตัวไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ”

ชวิศาไม่ค่อยเข้าใจคำอธิบายนั้น จึงได้แต่ทำหน้าสงสัยแต่เพราะคำพูดประโยคถัดมาทำให้เขาละคำถามเพื่อขอคำอธิบาย

“ส่วนเจ้าชายผู้ซึ่งมีใบหน้าคล้ายชายผู้เป็นที่รักของเจ้า หลังจากที่เจ้าอาละวาดก่อเรื่อง พระองค์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย”

“ฮะ? เป็นไปได้อย่างไร”

“ข้าไม่รู้เหมือนกัน”

“หรือว่าคุณสุดฟ้าจะคือเจ้าชายทานันศิระจริง ๆ”

“ไม่ใช่ล่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก พวกเรารู้จักกับสุดฟ้ามาตั้งเกิด”สองพี่น้องฝาแฝดพูดพร้อมกัน จากนั้นธัชนันท์ได้พูดบอกแม้จะไม่รู้ว่าเจ้าชายทานันศิระคือใครก็ตาม แต่ฟังจากบทสนทนาน่าจะไม่ใช่บุคคลในยุคปัจจุบัน “ยังมีรูปตอนตัวกะเปี๊ยกที่ถ่ายด้วยกันเก็บไว้อยู่เลย”

“เป็นอันว่าเจ้าคงหายจากอาการอยากรู้แล้ว”

ชวิศาขมวดคิ้วฉับเพราะคำพูดนั้นเหมือนคำด่ากลาย ๆ

“คงถึงเวลาของข้าเสียที”

ในนาทีนี้ ชวิศากลับรู้สึกว่าไม่อยากให้กรินจากไป ขณะเดียวกันเจ้าชายฟาลิฮ์ได้สาวพระบาทเข้ามาให้พร้อมยกมือขึ้นประทับบนพระอุระอันเป็นท่าทางซึ่งแสดงออกถึงความเคารพตามธรรมเนียมของเมือง

“เราขอเป็นตัวแทนของประชาชนชาวฮัชดาลลาร์ทุกคน ขอกล่าวขอบคุณท่านที่ช่วยปกป้องแผ่นดินนี้มาเนิ่นนาน”ภาษาที่ทรงใช้เป็นภาษาประจำชาติ แต่เนื่องจากชวิศายังสวมแหวนที่ผนึกมนตราสื่อสารเขาจึงเข้าใจถ้อยคำนั้น

“ข้าไม่ได้ทำสิ่งยิ่งใหญ่อันใด ทุกสิ่งที่ทำล้วนเพื่อปกป้องตัวเอง”

“ถึงท่านจะกล่าวเช่นนั้น แต่เราก็ต้องขอขอบคุณท่านอยู่ดี”

กรินจึงยอมพยักหน้ารับ ร่างกายของเขาเริ่มเลือนรางมากขึ้นเรื่อย ๆ

“คุณกริน”ชวิศาร้องเรียกอีกครั้ง มองรอยยิ้มที่ส่งมาให้ด้วยใบหน้าเหยเก ภาพร่างกายของชายหนุ่มตรงหน้าค่อย ๆเลือนหายกลายเป็นแสงอย่างช้า ๆ

การที่ดวงจิตของเขาดำรงอยู่ผ่านกาลเวลายาวนานทำให้รับรู้เหตุผลที่ภาพนิมิตจากพลังการทำนายของกิรานามองเห็นความตายของเธอและเขา ทั้งที่ชวิศาไม่เกี่ยวข้องกับอันใดกับพวกเขาทั้งคู่ ในทีแรกกรินคิดว่าเพราะตนเองเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้อีกฝ่ายสามารถเดินทางกลับไปยังช่วงเวลาที่จากมาได้ แต่ความจริงนั้นไม่ใช่

ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไร ลูกชายของเขากลับมาสามารถเรียกใช้มนตราอันก่อเกิดจากพลังของอำนาจอากาศธาตุ ที่แต่เดิมไม่เคยปรากฏพลังนี้ในนักเวทที่เป็นบุรุษ และชวิศาเองก็เป็นทายาทสายหนึ่งของบุตรชายของเขา

เมื่อรับรู้เช่นนี้ กรินจึงไม่แปลกใจที่ตนจะรู้สึกถูกชะตาและชวิศาจะรู้สึกผูกพันกับเขา แม้ว่ามันอาจจะมาจากการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ตาม

“ขอให้เจ้าโชคดี”กรินกล่าวคำนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ทั้งร่างจะเพียงเหลือแสงระยิบระยับและล่องลอยหายไปในอากาศ

“คุณกริน!!!”ชวิศายื่นมือออกไปคว้าร่างกายของอีกฝ่ายพร้อมน้ำตาที่หลั่งออกมาเป็นสาย ถึงจะโดนบ่น โดนดุ โดนใช้งานแต่กรินก็ดูแลเขามาอย่างดีตลอด ต้องมาเห็นคนที่รู้จักจากไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เขาจึงทำใจไม่ได้ ผู้เป็นมารดาดึงเขาเข้าไปกอดปลอบ แม้จะเป็นช่วยระยะเวลาสั้น ๆ แต่ความทรงจำที่ชวิศาได้รับมามีมากมายเหลือเกิน

ตลอดช่วงเวลาก่อนถึงงานเลี้ยงชวิศาจึงมีท่าทีเศร้าซึมอยู่เช่นเดิม

“ซีต้องทำใจนะลูก เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดาของโลก”พรลภัสเอ่ยปลอบ บุตรชายพยักหน้ารับแต่กระนั้นท่าทางที่แสดงออกก็ไม่ได้ร่าเริงขึ้น มาริเอะซึ่งมีหน้าที่ดูแลชวิศาตามคำสั่งของสุดฟ้า จึงเอ่ยชวนคุย

“ผมได้ยินคุณชวิศาพูดถึงผู้ชายที่หน้าตาเหมือนคุณสุดฟ้า เขาเป็นใครหรือครับ”

“ทรงเป็นเจ้าชาย”ชวิศาจึงเริ่มเล่าเรื่องของเจ้าชายทานันศิระให้มาริเอะฟัง

พวกเขากลับมาพักผ่อนที่เรือนรับรอง ที่นั่งรวมกลุ่มอยู่ในห้องนั้นนอกจากมาริเอะยังมีมารดา สุมุนตรา และลูกพี่ลูกน้องอย่างโยธิน ส่วนสุดฟ้าขอปลีกตัวไปนอนปล่อยให้สเตบาสเตียนเก็บของ สองพี่น้องสุวราลักษณ์ยังคงอยู่ในเมืองเพื่อติดต่อเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับธุรกิจของตน

ก่อนหน้านี้ชวิศาบอกเล่าแค่เหตุการณ์คร่าว ๆ แต่เมื่อโดนมาริเอะถามเขาจึงได้เล่าเรื่องราวที่ตนได้มีโอกาสย้อนเวลากลับไปในอดีตของฮัชดาลลาร์โดยละเอียดอีกครั้ง

จากคำบอกเล่าของหลานชายทำให้สุมุนตราติดใจมนตราย้อนกาลที่ถูกกล่าวถึง ไม่ต่างกับโยธินที่สนใจการเดินทางข้ามเวลาของน้องชายเช่นเดียวกัน

“แล้วซีใช้มนตราที่ว่าไม่ได้หรือ”โยธินถาม ชวิศาสั่นศีรษะปฏิเสธ ถ้าเขาใช้คาถาบทนั้นได้เขาจะไม่ลังเลที่จะใช้มันเพื่อกลับไปช่วยกรินเลย ก่อนฉุกคิดบางอย่างและหันไปถามสุมุนตรา

“คุณยายละครับ คุณยายใช้มนตราย้อนกาลได้หรือเปล่า”

“ยายเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเนี่ยแหละ ปกติมนต์คาถาที่เกี่ยวกับช่องว่างมิติหรือการย่นย่อระยะทาง กว่าจะฝึกฝนจนสำเร็จหรือเรียกใช้ได้ก็ยากอยู่แล้ว นี่ครั้งแรกก็สามารถทำให้มนตราสัมฤทธิผลได้เลย”สุมุนตราพยักหน้าอย่างยอมรับนับถือ

“อืม เรื่องนั้นช่างมันเถอะ หลานอยากจะฝึกฝนการใช้พลังเวทต่อหรือเปล่า”

“อยากครับ”ชวิศารีบตอบทันควัน เพราะคิดแค่ว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปช่วยไม่ให้กรินต้องตายเท่านั้นโดยไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นอยู่ในหัว

“ดีเลยหลานรัก อย่างนั้นหลังงานเลี้ยงคืนนี้ เราเดินทางกันเลย”

“เดินทาง? ไปไหนหรือครับ”

“อ้าว! ก็ไปฝึกฝนการใช้พลังเวทอย่างไรล่ะ”

“อ้อ คุณมาริจะไปด้วยหรือเปล่าครับ”ชวิศาหันไปถามหุ่นยนต์ที่หน้าเหมือนตัวเอง ครั้งนี้ไม่ว่าจะไปไหน เขาจะเกาะมาริเอะแน่น ๆ เลย จะได้ไม่ต้องลำบากมากอย่างครั้งที่แล้วอีก

“ผมคงต้องขออนุญาตด็อกเตอร์ก่อนน่ะครับ”

“ยายไม่อนุญาตให้หลานพาคนอื่นไปด้วยหรอกนะ”สุมุนตราพูดแทรกเสียงขุ่น

“เอ๋!!! ถ้าอย่างนั้นผมไม่ไปหรอกครับ”ชายหนุ่มร่างเล็กกลับคำอย่างรวดเร็ว ถ้าต้องไปลำบากอยู่คนเดียวแถมไม่ได้เจอสุดฟ้าอีกละก็ เขาก็ไม่อยากฝึกมันแล้ว การใช้พลังเวทอะไรนั่น...


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//ขออภัยค่ะ พอดีอาทิตย์ก่อนโน้นที่บ้านเราไฟดับ เราจึงไปหยิบนิยายที่ซื้อเก็บไว้มาอ่าน หลังจากนั้นก็ติดงอมแงม
สำหรับนิยายตอนที่สี่สิบเอ็ดนี้ไม่ได้รวบตัดจบนะ เราตั้งใจให้เป็นประมาณนี้อยู่แล้ว ส่วนการต่อสู้ของกลุ่มที่เราให้ชื่อว่าจันทร์พยัคฆ์ มันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอกในเรื่องนี้อะ อย่างที่ฝาแฝดและสุดฟ้าแสดงจุดยืนมาตลอด//*
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบสอง 11/02/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 11-02-2018 21:35:24
ตอนที่สี่สิบสอง



เพราะชวิศายืนยันเสียงแข็งว่าจะไม่เดินทางไปที่ไหนอีกนอกจากเดินทางกลับบ้านพร้อมสุดฟ้า หลังงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนั้นจบลงและรุ่งเช้าวันใหม่มาเยือน สุมุนตราจึงตัดสินใจเดินทางกลับพร้อมหลานชาย ทั้งโยธินและพรลภัสจึงได้เดินทางกลับด้วยเครื่องบินลำเดียวกับพวกสุดฟ้า

องค์ราชา ราชินี เจ้าชายรัชทายาท และปราชญ์นักเวทอีกหลายคนต่างเดินทางมาส่งพวกเขากันอย่างพร้อมหน้า

“เราขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยือนฮัชดาลลาร์ในครั้งนี้”องค์ราชาทรงตรัสเป็นภาษาอังกฤษ “ทั้งยังให้การช่วยเหลือพวกเราหลายอย่าง”

“ไม่เป็นไรมิได้ครับ ต้องถือว่าเป็นเกียรติเสียมากกว่าที่พวกผมมีโอกาสได้ช่วยเหลือพระองค์”สุดฟ้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม แม้ใจจริงจะคิดว่าเป็นการตกกระไดพลอยโจน แต่จะให้บอกไปตามนั้นมันก็ดูไม่ดี

จากนั้นองค์ราชาทางหันไปสนทนากับสุมุนตรา โดยกล่าวขอให้กลับมาเยี่ยมเยียนฮัชดาลลาร์บ้าง เนื่องจากงานเลี้ยงเมื่อคืนมีนักเวทอาวุโสหลายท่านเข้าร่วมงานและมีการสอบถามสืบกลับที่มาที่ไปของเธอ กระทั่งทำให้ทราบว่า เธอเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคหนึ่งของเมือง ซ้ำยังมีการจารึกชื่อไว้ในประวัตินักเวทที่มีผลงานโดดเด่น

หลังจากกล่าวลากันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาทั้งสิบคนจึงเดินทางออกจากเมือง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของสนามบิน

ขากลับธัชนนท์ให้ขนมอเตอร์สเปซขึ้นเครื่องแทนที่จะปล่อยให้มันขับเคลื่อนอัตโนมัติกลับไปเอง

เมื่อผู้โดยสารก้าวเท้าขึ้นเครื่องบินกันครบ อากาศยานลำใหญ่ก็พร้อมขึ้นบิน ชวิศาทอดสายตามองผ่านหน้าต่าง อาคารสนามบินขนาดเล็กพ้นมุมมองสายตาไปอย่างรวดเร็วเมื่อเครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัวบนรันเวย์ กลายเป็นผืนทรายสุดลูกหูลูกตาและหมู่ภูเขาหินที่เห็นอยู่ไกลลิบ

สุดฟ้านอนหลับสนิทเฉกเช่นทุกครั้งที่ต้องเดินทางด้วยยานพาหนะประเภทนี้

ชวิศาเคยเดินทางไปต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง การพบผู้คน สถานที่ และอาหารอร่อยทำให้เขาตื่นตาตื่นใจเสมอ แต่ไม่มีการเดินทางครั้งไหนที่น่าตื่นเต้นได้เท่าครั้งนี้ เพราะนอกจากได้พบเจอเรื่องราวแปลกประหลาด เขายังมีโอกาสได้ค้นพบความสามารถที่ถูกซ่อนไว้ของตัวเองอีกอย่างหนึ่ง แม้ว่ามันจะมีประโยชน์บ้างไม่มีประโยชน์บ้างก็ตาม

เขาก้มมองกำไลข้อมือทำจากเงินซึ่งมีอัญมณีสีดำประดับอยู่กับแหวนที่นิ้วกลาง มันทำให้นึกถึงคนที่ให้ของสองสิ่งนี้มา

แต่เขาไม่ได้นอกใจสุดฟ้านะ แค่คิดถึงกรินในฐานะเพื่อนเท่านั้นเอง ชวิศาพูดย้ำอยู่ในใจ

“คุณชวิศารับของว่างหรือเครื่องดื่มไหมครับ”สเตบาสเตียนเดินมาถาม

หลังจากเครื่องบินทะยานสู่ระดับเพดานบิน ทุกคนก็ปลดเข็มขัดเซฟตี้และไปทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจ สองพี่น้องธัชนนท์และธัชนันท์กำลังดวลเกมอยู่ตรงหน้าจอโทรศัพท์จอยักษ์ เขาเห็นคุณยายกับคุณแม่นอนอยู่บนเตียงสปา กำลังให้มาริเอะมาร์กหน้า พี่โยธินนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ สุดฟ้าถูกย้ายที่ไปนอนบนเตียง

เขากลอกตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่นศีรษะปฏิเสธ ปลดเข็มขัดที่เก้าอี้ลุกขึ้นเดินไปล้มตัวนอนข้างสุดฟ้า และหลับตาลงเพื่อเข้าสู่นิทรา

ใช้เวลาเดินทางประมาณเก้าชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงประเทศไทย ที่สนามบินมีคนของธีรวัฒน์ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นอาของสองพี่น้องฝาแฝดบ้านสุวราลักษณ์มารอรับอยู่แล้ว แต่สุดฟ้ามีรถยนต์ซึ่งมีหมายเลขทะเบียนที่สามารถขับขี่บนท้องถนนได้ เขาจึงใช้รถยนต์ของตัวเอง

โยธิน พรลภัสและสุมุนตราขึ้นรถยนต์อีกคันซึ่งจะพาพวกเขาไปส่งยังบ้านพักที่ไม่ห่างจากบ้านของสุดฟ้านัก ส่วนธัชนนท์และธัชนันท์แยกขึ้นรถอีกคันเพื่อเดินทางกลับบ้านของตัวเอง ก่อนแยกย้ายก็ย้ำกับเพื่อนสนิทสมัยเด็กว่าจะไปหาวันพรุ่งนี้

แน่นอนว่าชวิศาเดินมาขึ้นรถยนต์คันเดียวกับสุดฟ้า แต่กว่ามารดาและคุณยายจะยินยอมก็โต้เถียงอธิบายกันอยู่นาน

ตอนที่มาถึงเป็นช่วงกลางดึก แต่เพราะสุดฟ้านอนหลับมาเต็มอิ่มจึงยังไม่ง่วง กระนั้นสารถีก็ยังคงเป็นพ่อบ้านสุดหล่ออย่างสเตบาสเตียนอยู่ดี

เมื่อรถยนต์มาจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าประตูบ้าน สุดฟ้าต้องเดินลงจากรถไปเปิดระบบการควบคุมของบ้านเป็นอันดับแรก เขาเสียบสายเชื่อมต่อระหว่างดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์เข้ากับแผงคอนโทรล ดึงโปรแกรมควบคุมและสั่งให้เก็บชัตเตอร์ขึ้น เปิดระบบไฟฟ้าภายในบ้าน และโอนถ่ายหน้าที่การเป็นแม่ข่ายคืนให้กับสเตบาสเตียน  ตอนที่เดินกลับไปยังหน้าบ้านจึงเป็นช่วงที่หุ่นยนต์พ่อบ้านนำรถยนต์เก็บในโรงรถใต้พื้นพอดี ส่วนมาริเอะและชวิศาก็กำลังลากกระเป๋าเข้าไปเก็บ

“ว่าจะถามตั้งหลายทีแหละ แหวนนั่นมันอะไร”สุดฟ้าเอ่ยถามเมื่อพวกเขาจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและพาตัวเองมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแล้ว

ขณะที่หุ่นยนต์พ่อบ้านได้ลงมือทำความสะอาดบ้านตามหน้าที่ของตน โดยเริ่มจากห้องนอนของผู้เป็นเจ้านาย

ชวิศายกมือข้างที่สวมแหวนเป็นเชิงถาม เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าจึงได้พูดว่า “แหวนของคุณกรินครับ” คนฟังถึงกับคิ้วกระตุกเพราะความไม่ชอบใจระหว่างความสัมพันธ์ของชวิศากับไอ้หมอนั่น ถึงมันจะสลายหายไปแล้วก็เถอะ แต่ไม่ชอบใจก็คือไม่ชอบใจอยู่ดี

“ทิ้งไปซะ ฉันไม่ชอบให้นายใส่แหวนของใครก็ไม่รู้”

“เอ๋!!! ไม่เอาหรอก แหวนนี่ดีมากแล้วนะครับ ต่อให้ใครพูดภาษาอะไรมาผมก็เข้าใจหมด”

“จริงดิ”สุดฟ้าถามซ้ำ ชวิศาจึงเล่าที่มาที่ไปของแหวนวงนี้ให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้ฟัง “นี่นะ กำไลนี่ก็ไม่ใช่กำไลธรรมดานะ อัญมณีตรงนี้บรรจุมนตราช่องว่างมิติไว้”คนพูดเล่าไปพลางสาธิตให้อีกฝ่ายดูไปพลาง จากนั้นก็ดึงของที่อยู่ข้างในออกมาให้สุดฟ้าได้ดู แน่นอนว่าคนฟังถึงกับตาลุกวาว

เนื่องจากสุดฟ้ายังไม่ทิ้งความฝันที่จะใช้เวทมนตร์ได้ แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ที่ฮัชดาลลาร์ต่อแล้วเหมือนกัน ยิ่งโดนบอกให้ไปฝึกสมาธิมาใหม่ด้วยนี่ เขายิ่งคับแค้นใจ ทั้งที่เขาฉลาดขนาดนี้ เขาต้องมีสมาธิดีเยี่ยมอยู่แล้วสิ!!!

และไม่จำเป็นต้องให้ชวิศาอธิบายเขาก็พอจะเดาได้ว่าอักขระบนกระดาษเหล่านี้คือระเบียนมนตราและวงเวท ต่อให้เขาเคยเห็นของจริงมาแค่ครั้งเดียวก็จำได้ บนกระดาษเหล่านั้นเขาเห็นตัวอักษรภาษาไทยที่เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยระบุชื่อมนตราอยู่ด้านบน

“ขอได้ไหม”

“เอ๊ะ... ถ้าเป็นระเบียนมนตราก็ได้ครับ แต่ถ้าเป็นกระดาษคาถาก็ไม่ได้หรอกนะ”

“กระดาษคาถา?”สุดฟ้าจึงดึงแยกกระดาษที่ขนาดเล็กกว่าและบนกระดาษมีวงเวทเขียนไว้ออกมา “นี่เหรอ”

“อืม มนตราบางบทผมต้องเรียกใช้ผ่านกระดาษคาถา เพราะฉะนั้นพวกนี้ผมไม่ยกให้หรอก”ชวิศารีบคว้ากลับมาถือไว้

“ช่วยลองสาธิตวิธีใช้ให้ดูหน่อยได้ไหม”

ชวิศาไม่มีปัญหากับคำขอร้องนั้นอยู่แล้ว เขาเลือกหยิบกระดาษคาถาสำหรับการสร้างค้อนยักษ์ออกมา ถือไว้ในมือพอสั่งให้พลังเวทของตนไหลเข้าไปในกระดาษ มันก็กลายเป็นค้อนยาวประมาณท่อนแขนทันที

“อันแค่นี้เองเหรอ เอาไว้ทำอะไรเนี่ย”สุดฟ้าถามอย่างสงสัยและกังขาในมนตราดังกล่าว

“ที่จริงมันก็ใหญ่กว่านี้ได้ครับ แต่ผมเห็นว่าอยู่ในบ้านก็เลยลดพลังลง มันเป็นเวทต่อสู้นะแหละ”คนพูดยกยิ้มแหย ๆ เพราะเวทต่อสู้ของเขาเคยโดนเมดินฟาดมือผลัวะเดียวก็สลายไปเลย

“แต่เวทบางอย่างผมก็เรียกใช้ได้เลยโดยไม่ต้องใช้กระดาษคาถา”ชวิศาประกบมือเรียกนกตัวเล็กซึ่งมีสีเหลืองออกมา ปล่อยให้มันบินไปตรงหน้าสุดฟ้า “อันนี้สำหรับติดต่อสื่อสาร”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเห็นมันวนเวียนอยู่ตรงหน้าตนจึงยื่นมือไปแตะ ก่อนจะต้องผงะตกใจเมื่อมันระเบิดกลายเป็นควันพร้อมเสียงพูดที่ดังออกมาว่า “สวัสดีครับ” และที่สำคัญมันยังเป็นเสียงของชวิศา

เจ้าของมนตราหัวเราะก่อนเรียกเจ้านกตัวสีเขียวออกมาอีกตัว ปล่อยให้มันบินไปตรงหน้าสุดฟ้าอีกครั้ง คราวนี้มันกลายเป็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่มีข้อความอยู่ด้านในเสียแทน

“ดูสะดวกดีเหมือนกันนะ”

“ไม่เลยครับ”คนพูดโบกมือบอกปฏิเสธ “เราต้องรู้ที่อยู่ของคนที่เราต้องการติดต่อครับ อาจไม่ต้องเป๊ะ ๆ แต่ต้องรู้คร่าว ๆ ว่าอยู่ที่ไหน เพราะมันถูกสร้างจากพลังเวทถ้าปล่อยให้มันเคลื่อนที่จนพลังเวทหมด มันก็สลายไปครับ”คำอธิบายดังกล่าวชวิศาพูดตามที่กรินเคยบอกไว้

สุดฟ้าพยักหน้ารับ จากนั้นจึงหันมาสนใจระเบียนมนตราในมือ เขาไล่กวาดสายตากระดาษแต่ละใบก่อนจะพบกระดาษใบหนึ่งที่เขียนวงเวทไว้และไม่มีชื่อมนตรากำกับ

“ใบนี้มันคาถาอะไรน่ะ”

ชวิศาทำท่านึก “น่าจะเป็นมนตราย้อนกาล”

“มันใช้ทำอะไรได้”สุดฟ้าถามเนื่องจากแต่ละครั้งที่ชวิศาเล่าเหตุการณ์มหัศจรรย์พันลึก เขาไม่เคยอยู่ด้วยเลยสักครั้ง

“คุณกรินว่ามันทำให้เดินทางข้ามเวลาได้”

“ฮะ!?”

ชวิศาจึงเท้าความตอนที่ตนหลุดไปอยู่ในยุคของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ และกรินบอกว่า มนตราบทนี้จะทำให้เขาเดินทางกลับมายุคปัจจุบันได้

สุดฟ้าฟังคำอธิบายด้วยความตื่นเต้น ถ้าวงเวทนี่สามารถทำให้เดินทางข้ามเวลาได้จริง มันก็ง่ายยิ่งกว่าการสร้างไทม์แมชชีนเสียอีก

“แล้วถ้าใช้พลังของนายกับวงเวทจะทำให้เดินทางข้ามเวลาได้เลยหรือเปล่า”

“ไม่ ๆ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ คุณกรินบอกว่าต้องเขียนตำแหน่งที่จะไปลงในวงเวทด้วยครับ ถ้ามันใช้ได้ง่าย ๆ ผมคงกลับมาได้นานแล้ว”

“ตำแหน่งอย่างนั้นเหรอ?”ถ้าพูดถึงตำแหน่งน่าจะหมายถึงพิกัดเวลากับสถานที่ สุดฟ้าคิดอยู่ในใจ แต่ตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษเป็นอักขระที่เขาไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าการที่จะเขียนพิกัดลงไปจะต้องยึดหลักการอะไร เขาจึงส่งกระดาษแผ่นนั้นไปให้มาริเอะซึ่งนั่งเงียบฟังพวกเขาคุยกันอยู่ได้ดู

“อ่านออกหรือเปล่า”

“ไม่ครับ มันเป็นอักษรโบราณที่ปัจจุบันยังไม่สามารถถอดความได้หมด”มาริเอะตอบกลับไปหลังจากตรวจสอบตัวอักษรเหล่านั้นเทียบกับฐานข้อมูลแล้ว

สุดฟ้าพยักหน้ารับ

“เท่าที่รู้ การเขียนวงเวทจะต้องเขียนวัฏจักรธาตุและเขียนคำสั่งตามมนตราน่ะครับ”ชวิศาเอ่ยก่อนจะอ้าปากหาว ถึงจะนอนกับสุดฟ้ามาบ้างแล้ว แต่ก็รู้สึกง่วงอีกแล้ว

“ด็อกเตอร์เข้านอนก่อนไหมครับ ผมทำความสะอาดห้องกับเปลี่ยนผ้าปูให้แล้ว”สเตบาสเตียนโผล่ออกมาที่พวกเขาไม่รู้เนื้อรู้ตัวและพูดบอก

“นั่นสิ ๆ ไปนอนกันเถอะครับคุณสุดฟ้า”ชวิศาขยับเข้าไปเกาะแขนพลางเอ่ยชวนพร้อมหาวโชว์อีกรอบ

ที่จริงสุดฟ้าอยากคุยเรื่องตัวอักษรที่ใช้เขียนในวงเวทต่อ แต่คนที่น่าจะมีความรู้ที่สุดในตอนนี้อย่างชวิศาทำท่าเหมือนไม่พร้อมจะให้ข้อมูล เขาจึงตัดสินใจว่าจะไปนอนด้วย

“ก็ได้”

ทันทีที่เขาลุกขึ้นยืน มาริเอะก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”สเตบาสเตียนกล่าวบอก

เป็นอันว่าคืนนั้น บนเตียงของสุดฟ้ามีทั้งชวิศาและมาริเอะมานอนด้วย ซึ่งมันเบียดเสียดมากเนื่องจากเตียงของสุดฟ้ากว้างพอสำหรับคนสองคนเท่านั้น แม้หลาย ๆ ครั้งพวกเขาจะนอนกอดนอนเกยกันเสียเป็นส่วนใหญ่ก็เถอะ

สุดฟ้านอนนิ่งอยู่บนเตียง เขายังไม่หลับเพราะสมองกำลังคิดทบทวนแผนการทำงาน เมื่อคิดถึงหัวข้อที่ปรับปรุงมาริเอะก็ลังเลใจว่าควรลบคำสั่งคนรักดีหรือไม่

“นอนไม่หลับหรือครับด็อกเตอร์”

ทั้งที่คิดว่าไม่ได้ขยับตัวหรือทำอะไรที่บ่งบอกว่ายังตื่นอยู่ แต่มาริเอะกลับรู้ได้ทันทีว่าเขาแค่เพียงนอนนิ่งอยู่เฉย ๆ

“ไม่ใช่หรอก เหมือนไม่ค่อยง่วงมากกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นผมช่วยไหมครับ ถ้าใช้แรงจนเหนื่อยอาจจะหลับง่ายขึ้น”มาริเอะยกศีรษะขึ้นมาซบบนแผงอกของเขาพร้อมลากมือป่ายไปถึงช่วงล่าง มืออุ่นร้อนของร่างหุ่นยนต์ปลุกเร้าเขาอย่างเชี่ยวชาญซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะสุดฟ้าเป็นคนเขียนโปรแกรมบรรจุความสามารถของมาริเอะเองกับมือ

และเขาก็ของขึ้นอย่างง่ายดาย!!!

ถึงอายุของสุดฟ้าจะเรียกว่าวัยรุ่นตอนกลางค่อนไปทางตอนปลาย แต่เรื่องพวกนี้เขายังเป็นเพียงหนุ่มรุ่นกระทง เพราะฉะนั้นความสามารถในการระงับยับยั้งจึงยังอ่อนด้อย อีกทั้งความกลัวว่าชวิศาจะรู้สึกตัวกลับทำให้เขาตื่นเต้นจนระงับไม่อยู่ รอบแรกสุดฟ้าจึงเสร็จไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นมาริเอะจึงปีนขึ้นมาบนตัวและจัดการรีดน้ำรอบที่สองอย่างรวดเร็ว เมื่อหุ่นยนต์คนรักเห็นว่าร่างกายของเขายังคงตื่นตัว การรีดน้ำครั้งที่สามและสี่จึงตามมา จนสุดฟ้าต้องร้องบอกให้หยุด มาริเอะถึงยอมลงมานอนอยู่ข้างกายเหมือนเดิม ในที่สุด เขาก็หลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อนอย่างที่มาริเอะบอกไว้

ทว่าสิ่งที่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมากลับเป็นเสียงท้องร้อง ที่สำคัญมันไม่ได้มาจากตัวเขา

“หือ”

“คุณสุดฟ้าตื่นแล้ว”เสียงร้องด้วยความดีใจดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่เด้งตัวลุกขึ้นนั่ง “ไปล้างหน้าแปรงฟันกันเถอะครับ จะได้ไปกินข้าวกัน”

สุดฟ้าลุกขึ้นนั่งพลางเอื้อมมือไปหยิบแว่นมาสวม “เมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงท้องร้อง”

“ของผมเองแหละ ผมหิวข้าวแล้ว”ชวิศายกมือลูบท้องตัวเอง เอ่ยบอกเสียงเบาด้วยท่าทางเขินอาย ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงหันไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง มันบอกเวลาเที่ยงกว่าไปแล้ว

“ถ้าหิวทำไมไม่ออกไปกินข้าว มาอดทนนอนหิวอยู่ทำไม”

“ก็คุณมาริเอะบอกว่า คุณสุดฟ้าชอบให้รอตื่นพร้อมกัน”

“คุณชวิศาพูดอย่างนี้จะโทษผมหรือครับ”มาริเอะเอ่ยถามกลับไปทันที

“เปล่า ๆ นะ”คนถูกกล่าวหารีบโบกมือปฏิเสธ “แต่ตอนนั้นที่ผมลุกจากเตียงออกไปก่อน คุณสุดฟ้าก็ทำเหมือนไม่พอใจจริง ๆ พอได้ยินสิ่งที่คุณมาริเอะบอกผมก็เข้าใจ”

ตอนนั้นของชวิศาคงหมายถึงช่วงแรก ๆ ที่สลับตัวเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ในฐานะของมาริเอะ ถ้าจำไม่ผิดเขายังไม่รู้ว่าเป็นชวิศาตัวจริงที่ไม่ใช่หุ่นยนต์ ถ้าไม่พอใจคงเพราะนึกว่าโปรแกรมผิดพลาดละมั้ง สุดฟ้าคิดในใจ

เออ... จะว่าไป อารมณ์ไม่ชอบใจแบบนี้ก็มีหลายครั้งเหมือนกันนี่นา

“ต่อไปไม่ต้องรอให้ฉันตื่นหรอก นายเองก็ด้วยมาริ”สุดฟ้าเอ่ยบอก ถ้าต้องปล่อยให้ชวิศาทนหิวก็เหมือนว่าเขาดูแลอีกฝ่ายไม่ดี ทั้งที่เคยพูดต่อหน้าครอบครัวของชวิศาไว้

ชวิศาพยักหน้ารับ

หลังจากใช้เวลาในการจัดการธุระส่วนตัวกันครู่ใหญ่จึงเดินออกจากห้องนอน และเมื่อประตูห้องเปิดออกพวกเขาก็พบแขกประจำของบ้านนั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ

“ตื่นแล้วเหรอ รีบมา ๆ สเตบาสเตียนทำกับข้าวไว้เยอะเลย”ธัชนันท์ส่งเสียงร้องเรียก พร้อมบอกว่าหิ้วของสดมาให้สเตบาสเตียนทำอาหารอย่างเต็มที่

“ทำไมว่างได้วะ พวกแกทิ้งงานไปตั้งนาน”

“แกไม่รู้จักนวัตกรรมที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตเหรอสุดฟ้า โลกสมัยนี้ อยู่ห่างกันแค่ไหนก็เหมือนใกล้กัน พวกฉันเป็นบริษัทผลิตสินค้าเทคโนโลยีนะเว้ย จะให้มาทำตัวโลเทคอยู่ได้ยังไง”

“อ้อ เออ”เมื่อได้ฟังเหตุผลแล้ว สุดฟ้าได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อเขาและชวิศาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ หุ่นยนต์พ่อบ้านประจำตัวก็นำจานข้าวมาเสิร์ฟ

ชวิศาลงมือทานข้าวโดยคิดจะเอ่ยทักทายพูดจากับใคร

“เมื่อไหร่น้ำของฉันจะซ่อมเสร็จ”ธัชนนท์เอ่ยถาม

“สองสามวัน”

“แกอัพเกรดให้ล้ำ ๆ เท่ามาริเลยได้ไหม”แฝดคนน้องพูดต่อ

“ได้”สุดฟ้าตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ถ้าพวกแกจ่ายมายี่สิบล้าน”

“กับเพื่อนกับฝูงไม่คิดจะลดราคาหน่อยเหรอวะ”แฝดน้องโวยวายต่อพร้อมไซโคอย่างต่อเนื่อง “พวกเราสนิทกันมากเลยนะเว้ย โตมาด้วยกันแล้วอย่างเหตุการณ์ที่ผ่านมา ลองคิดดูว่าถ้าความสามารถของเดย์กับน้ำเทียบเท่ากับมาริ เรื่องทุกอย่างมันจะแย่อย่างนั้นไหม”

สุดฟ้าโยนช้อนและส้อมในมือกระแทกกับจานดังเคร้ง คนที่กำลังเพลิดเพลินกับการกินอย่างชวิศาถึงกับสะดุ้งชะงักมือไปโดยอัตโนมัติ

“อ๊ะ ขอโทษ กินต่อเถอะ”สุดฟ้าพูดกับชวิศาก่อนหันไปหาธัชนันท์ เขาพูดเสียงแข็งปนความฉุนเฉียว “ฉันยังไม่ได้ชำระความที่พวกแกเอาหุ่นของฉันไปถอดสำรวจโดยไม่อนุญาตเลยนะ พวกแกยังกล้าพูดอีกเหรอ ถ้าไม่เพราะฉันมีหุ้นอยู่ในบริษัทด้วย พวกแกไม่ได้มานั่งอยู่ในบ้านของฉันหรอก”

สองพี่น้องหน้าซีด สบถอยู่ในใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“และอย่าตอแหลว่าไม่ได้ทำ”เขากล่าวต่อ ไม่ปล่อยให้คนทำพูดเถียง

“ก็... ของมันดีขนาดนี้ แกคิดว่าพวกฉันไม่ควรทำขายเหรอวะ”ธัชนนท์เอ่ย “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันลดสเปกเพื่อให้ราคามันถูกลงอยู่แล้ว ไม่มีใครบ้าซื้อหุ่นยนต์ฟลูออปชันไปทำเรื่องอย่างว่าหรอก”

“ที่จริงแกสร้างหุ่นยนต์ได้ขนาดนี้มันต้องเปิดตัวสินค้าใหม่ในตลาดได้แล้วนะเว้ย”

“พวกแกอาจจะเห็นว่ามาริกับสเตบาสเตียนดูสมบูรณ์ แต่ที่จริงไม่ใช่ มันมีอีกหลายส่วนที่ต้องปรับปรุง”

“นี่ยังไม่พออีกเหรอ”

สุดฟ้าอธิบายเรื่องการเก็บค่าประสิทธิภาพกับผลกระทบ ปัจจัยความเสี่ยงทั้งหลายแหล่ให้สองพี่น้องสุวราลักษณ์ฟังยาวเหยียด ชายหนุ่มสองคนที่จับงานด้านการบริหารจัดการมากกว่าการทดลองวิจัยจึงต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม

“เออ แล้วแต่... แต่ตอนนี้แกต้องซ่อมน้ำให้ฉันก่อน”

“รู้แล้วน่าไม่ต้องย้ำ”สุดฟ้าพูดอย่างนึกรำคาญ

ทว่าหลังจากที่ฝาแฝดสองพี่น้องกลับไปแล้ว เขากลับหยิบกระดาษที่เขียนระเบียนมนตราและวงเวทขึ้นมาคุยกับชวิศาต่อ เขาถามความหมายของอักขระสัญลักษณ์ แต่น่าเสียดายที่ชวิศาจำได้แค่ธาตุหลักทั้งห้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเคยเขียนคัดลอกถอดอักขระเมื่อครั้งที่กรินให้ฝึกคาถาด้วยตนเอง ชวิศาจึงนำกระดาษแผ่นนั้นออกมาให้สุดฟ้าด้วย

เพียงแต่อักขระที่ชวิศาถอดความไว้นั้น มันแค่เฉพาะมนตราบทเดียว

 “ที่จริงผมมีสมุดจดอีก แต่ไม่ได้เอามา มันอยู่ที่บ้านของคุณกริน พอดีว่าหลังจากที่คุณกรินคิดวิธีให้ผมใช้พลังเวทผ่านกระดาษคาถา ผมเลยไม่ค่อยได้สนใจอีก”

“นายบอกว่ามันเป็นอักษรโบราณที่ปัจจุบันยังไม่สามารถถอดความได้ทั้งหมดใช่ไหม”สุดฟ้าหันไปถามมาริเอะบ้าง “แล้วในกระดาษพวกนี้มีคำไหนที่นายอ่านออกบ้าง”

มาริเอะจึงทำการสแกนจับภาพอักขระบนกระดาษเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลและอัปโหลดส่งให้สุดฟ้า จากนั้นจึงเอ่ยแจ้งให้ชายหนุ่มตรวจสอบ

สุดฟ้าเปิดดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์ อ่านคำแปลที่มาริเอะทำมาให้ บางอักษรที่ถอดความเป็นภาษาปัจจุบันไม่ได้ มาริเอะได้ใช้อักษรตัวนั้นดังเดิม ซึ่งเมื่อดูโดยรวม สุดฟ้าคิดว่ามันพออ่านออกทำความเข้าใจได้ แต่ทำความเข้าใจได้กับใช้งานได้มันต่างกัน และเขาไม่คิดว่าการลองผิดลองถูกไปมั่ว ๆ จะทำให้สามารถใช้คาถาได้

“นายว่า คุณยายของนายจะอ่านอักขระพวกนี้ออกหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิครับ”

สุดฟ้าจึงหันทั้งตัวไปทางชวิศา ยกมือขึ้นประนมไหว้ก้มศีรษะลงต่ำพร้อมเอ่ยว่า “ขอร้องล่ะ ช่วยเอากระดาษพวกนี้ไปถามคุณยายของนายให้หน่อยสิ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบสาม 25/02/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 25-02-2018 20:35:14
ตอนที่สี่สิบสาม


ชวิศารู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่สุดฟ้ากล่าวขอร้องและพึ่งพิงเขา ถึงแม้ว่าเขาจะต้องนำกระดาษพวกนี้ไปถามคุณยายอีกทอดก็ตาม ด้วยเหตุนั้นตอนที่สุดฟ้าบอกจะให้สเตบาสเตียนไปเป็นเพื่อน เขาจึงกล่าวปฏิเสธเพราะคิดอยู่ในใจว่า ตอนนี้ตัวเองแข็งแกร่ง เนื่องจากเขามีพลังเวทที่โดนกรินเคี่ยวเข็ญจนอย่างน้อยที่สุดก็สามารถปกป้องตัวเองจากคนธรรมดาที่คิดร้ายได้อย่างสบาย ๆ ไม่มีกรณีต้องให้มาริเอะมาคอยปกป้องอีกแล้ว

นอกจากนี้ระยะห่างระหว่างบ้านพักของครอบครัวและบ้านสุดฟ้ายังไม่ไกลเท่าไหร่

เรื่องบังเอิญนี้ทำให้ชวิศารู้สึกว่าพรหมลิขิตมีจริง

เขาอยู่ที่บ้านหลังนี้กับครอบครัวของโยธินมาตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยนั้นมีทั้งคุณย่า คุณลุงคุณป้า แต่เมื่อธุรกิจของครอบครัวเติบโตขึ้น คุณลุงกับคุณป้าจึงต้องไปต่างประเทศบ่อยครั้งเพื่อดูแลกิจการ หลังจากคุณย่าเกษียณตัวเองออกจากงาน ท่านก็รอให้เขาเรียนจบก่อนจะพาเขาย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสด้วยกัน บ้านหลังนี้จึงถูกปิดไว้และมีคนเข้ามาดูแลในบางครั้ง

และเมื่อเขากลับมาประเทศไทยคราวนั้น ปรากฏว่า มีบ้านของสุดฟ้ามาตั้งอยู่ไม่ห่างกัน อย่างนี้ไม่เรียกว่าพรหมลิขิตแล้วจะเรียกว่าอะไร ชวิศาอมยิ้มยกมือกุมสองแก้ม

โอ๊ย!!! ดีต่อใจ

เขาเดินไปกระโดดตัวลอยไปพลางด้วยความรื่นเริง แม้แดดร้อนเปรี้ยงก็ไม่อาจทำให้เขาหงุดหงิดอารมณ์เสียได้

ตอนที่เปิดประตูเข้าไปในบ้าน ปรากฏว่าทั้งคุณแม่และคุณยายอยู่ครบทั้งคู่

“นึกว่าเจ้าจะสนใจแต่คนรักโดยไม่คิดจะมาหายายซะแล้ว”

ชวิศายิ้มเจื่อนเดินตรงเข้าไปหา ทำหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมตอนที่ดึงเอากระดาษจดระเบียนมนตราออกมาจากอัญมณีช่องว่างมิติ ฝ่ายสุมุนตราเห็นหลานชายใช้งานอัญมณีจึงต้องอุทานออกมาด้วยความสนใจ

“ไม่นึกว่าหลานจะมีอัญมณีช่องว่างมิติด้วย”

“คุณกรินให้มาครับ”

สุมุนตราจึงพูดย้ำให้หลานชายดูแลรักษาให้ดี เพราะอุปกรณ์เวทชิ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ซื้อหามาไว้ครอบครองได้ง่าย ๆ จากนั้นชายหนุ่มจึงพูดเข้าเรื่องที่ตนมาหาคุณยาย โดยกล่าวแค่ว่าอยากทบทวนเรื่องอักขระมนตราทั้งหลายซึ่งกรินเคยสอนไว้แต่ตอนนี้ลืมไปแล้วตามที่สุดฟ้าเขียนบทมาให้ เธอจึงยิ่งดีใจที่หลานฝักใฝ่เล่าเรียนการใช้พลังเวทที่มีติดตัว ก่อนบอกเล่าอธิบายให้ชวิศาได้จดข้อมูลลงกระดาษจนมือหงิก

ระหว่างที่ชวิศากำลังจดเนื้อหาการบรรยายการใช้มนตราตามที่สุมุนตรากำลังอธิบายให้ฟังอยู่นั้น สุดฟ้าได้พาตัวเองและหุ่นยนต์ทั้งสองเข้าไปในห้องทำงานเพื่อปรับปรุงโครงสร้างและประสิทธิภาพการทำงาน เขาซ่อมบำรุงมาริเอะก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากมาริเอะเคยโดยยำเสียเละตอนที่อยู่ฮัชดาลลาร์ โดยลืมเรื่องหุ่นยนต์ของแฝดพี่ที่โดนระเบิดหัวจนเหลือโครงสร้างตั้งแต่คอลงมาไปเสียสนิท

หลังเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นส่วนทั้งหลายเสร็จเรียบร้อย เขาพามาริเอะลงไปที่ชั้นใต้ดินซึ่งลึกลงไปอีกชั้น

โครงสร้างบ้านของสุดฟ้านั้น ส่วนเหนือพื้นดินจะมีลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียวแต่ลึกลงไปใต้ดิน ชายหนุ่มได้ขุดเจาะสร้างพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นอีกสามชั้น ที่ใต้ดินชั้นที่หนึ่งเป็นพื้นที่สำหรับวางเครื่องมือเครื่องจักรอุปกรณ์การทำงานทั้งแขนกลกัดแผงวงจร เครื่องตัดนาโน เครื่องกลึง เครื่องประกอบชิ้นส่วน ปั๊มลม เครื่องสำรองไฟ และเครื่องจักรอุปกรณ์จำพวกตรวจสอบทดสอบ

ใต้ดินชั้นที่สองเป็นพื้นที่สำหรับการทดสอบสมรรถนะประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่สุดฟ้าสร้างขึ้นและชั้นสุดท้ายเป็นพื้นที่สำหรับเก็บวัตถุดิบและวัสดุ

ครั้งก่อนหลังจากที่สุดฟ้าสร้างมาริเอะและปรับปรุงรูปลักษณ์ของหุ่นยนต์พ่อบ้าน เขาไม่คิดจะทำการทดสอบเพื่อเก็บค่าสมรรถภาพเพราะไม่เคยคิดจะเอาหุ่นยนต์ไปสู้กับใคร ด้วยวัสดุที่ใช้ทำโครงสร้างและกำลังมอเตอร์ที่ใช้ในการขับเคลื่อน หุ่นยนต์ของเขาก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว

แต่พวกเขากลับต้องไปปะทะกับคนที่ไม่ธรรมดา

สุดฟ้าจึงต้องปรับปรุงหุ่นยนต์ของตัวเองเสียใหม่ คราวนี้ทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนต้องเทพ ซูเปอร์เทพ และอภิมหาเทพเท่านั้น!!!

“ด็อกเตอร์ครับ คุณชวิศากลับมาแล้วครับ”

สุดฟ้าเงยหน้าขึ้น ตรงหน้าของเขาคือจอภาพซึ่งกำลังแสดงเส้นกราฟวัดผลต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับเซนเซอร์วัดการทำงานของมาริเอะในพื้นที่ควบคุมการทดลอง หุ่นยนต์หน้าตาคล้ายชวิศาอยู่ในห้องกระจกขนาดพื้นที่สามคูณสามตารางเมตร กำลังเตะต่อยกระสอบทรายรุ่นพิเศษสำหรับวัดแรงกระแทกด้วยกำลังมอเตอร์สูงสุด

“งั้นนายขึ้นไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันตามไป”เขาพูดก่อนจะหันไปกรอกเสียงใส่ไมโครโฟนเนื่องจากห้องทดลองที่ว่าแม้จะเป็นห้องกระจกแต่ถูกออกแบบให้ดูดซับเสียง ด้วยโครงสร้างกระจกสองชั้น ช่องว่างระหว่างแผ่นกระจกทั้งสองแผ่นเป็นพื้นที่สุญญากาศ “หยุดก่อนมาริ”

มาริเอะจึงหยุดยืนนิ่งเพื่อให้ระบบตรวจสอบความเสียหายของชิ้นส่วนอะไหล่ ประเมินผลการใช้พลังงาน สุดฟ้ามองดูค่าตัวเลขต่าง ๆ ที่ถูกส่งมายังหน้าจอ และสั่งเซฟเก็บลงในฮาร์ดดิสก์เพื่อรอให้เขากลับมาวิเคราะห์ทีหลัง

“เดี๋ยวกลับขึ้นไปข้างบนก่อนชวิศามาแล้ว”

มาริเอะจึงเดินเปิดประตูออกมาจากห้อง สภาพทั่วไปดูปกติไร้เม็ดเหงื่อไร้อาการเหนื่อยหอบเว้นแต่เสื้อผ้าที่ขาดเสียหายเล็กน้อยเพราะแรงเสียดสีจากการขยับตัวอย่างรวดเร็วเกินกำลังมนุษย์ธรรมดา

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”

“เปลี่ยนทำไมล่ะครับ แบบนี้ไม่เซ็กซี่เหรอ เสื้อผ้ารุ่ยนิด ๆ ขาดหน่อย ๆ”

สุดฟ้ากลอกตาวนไปวนอยู่สองสามรอบ “อย่าเลย เดี๋ยวชวิศาตกใจ” ก่อนจะเดินนำไปชั้นบน

ชวิศานั่งพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงราวกับเพิ่งผ่านสนามรบมาหมาด ๆ เมื่อเห็นสุดฟ้าเดินเข้ามาในห้องแล้วถึงได้ยันตัวนั่งดี ๆ พร้อมทั้งดึงกระดาษจดบันทึกออกมาจากอัญมณี เห็นจำนวนกระดาษที่ชวิศานำออกมาให้ดูแล้ว สุกฟ้าจึงพอเข้าใจได้ราง ๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ดูเหนื่อยล้านัก เนื่องจากมันมีจำนวนร่วมสิบกว่าแผ่น

“ขอบใจมาก”สุดฟ้ารับมันมาถือไว้ในมือพร้อมทรุดตัวลงนั่งและเริ่มต้นอ่านตัวอักษรที่อยู่บนหน้ากระดาษ ชวิศาจึงถลาเข้าไปหา กอดแขนเกยคางไว้บนไหล่กว้างของชายหนุ่ม

“แค่ขอบใจเองเหรอ ไม่มีของรางวัลหรือครับ”

“อยากได้ของรางวัลอะไรล่ะ”

เจ้าของใบหน้าสวยจึงทำปากจู๋ สุดฟ้าหัวเราะและแนบปากลงไปหา ชวิศาจึงร้องเอาอีก เอาอีก พลางเอียงแก้มซ้ายแก้มขวาให้อีกฝ่ายกดจมูกลงมา

มาริเอะไม่อยากน้อยหน้า ซูเปอร์หุ่นยนต์สมองกลเดินเข้านั่งกอดแขนสุดฟ้าไว้อีกข้างและเอ่ยขอรางวัลบ้าง ชายหนุ่มคนกลางจึงต้องหันไปทำตามข้อเรียกร้อง สองหนุ่มหน้าตาเหมือนกันจึงยิ่งได้ใจ ขอให้เขาจูบปากจูบแก้มไม่หยุด สุดท้ายสุดฟ้าจึงพูดออกไปว่า

“ไปนั่งเล่นกันตรงโน้นก่อนไป ฉันจะทำงาน”เขาโบกมือไล่สองคนหย็อย ๆ ฝาแฝดคนละสายพันธุ์จึงออกอาการหน้างอโดยพร้อมเพรียงกัน กระนั้นก็จูงมือกันเดินห่างจากคนที่บอกว่าจะทำงาน

เมื่อไร้คนวุ่นวายแล้วสุดฟ้าจึงได้อ่านข้อมูลในกระดาษได้อย่างเต็มที่ เขาเข้าใจความสัมพันธ์ของธาตุต่าง ๆ และการเขียนวงเวทเพื่อเรียกใช้มนตราเมื่ออ่านจบ ตอนนั้นจึงลองเรียกชวิศาให้เข้ามาใกล้เพราะถึงจะเข้าใจวงเวทแต่ใช่ว่าเขาจะดึงพลังเวทของตัวเองออกมาใช้ได้

เพียงแต่ชวิศากับมาริเอะพร้อมใจกันทำเมินเขา

“ขอโทษน่า อย่าเพิ่งงอนเลยนะ มาช่วยฉันทำงานให้เสร็จก่อน ถ้าฉันทำงานเสร็จแล้วจะได้อยู่กับพวกนายสองคนนาน ๆ ไง”

“เชอะ!!!”ทั้งสองคนต่างสะบัดหน้าหนีไปคนละทาง

สุดฟ้าจึงต้องเป็นฝ่ายลุกไปหาและโอบทั้งคู่ด้วยวงแขนคนละข้าง ตามด้วยกดจมูกลงบนผิวแก้มเนียนใสทั้งสองฝั่ง “หายงอนนะ”

เป็นชวิศาที่ยอมคืนดีก่อน แต่มาริเอะแค่เห็นชวิศางอนเจ้านายผู้สร้างเขาจึงทำตาม เพราะต่อให้เป็นหุ่นยนต์สมองกลที่ฟังก์ชันการเรียนรู้ลอกเลียนนิสัยให้ใกล้เคียงมนุษย์แค่ไหน มาริเอะยังคงต้องเชื่อฟังคำสั่งของสุดฟ้าอยู่ดี

“ผมน่ะ ต้องหลุดไปอยู่ที่ไหนคนเดียวตั้งหลายเดือน คุณสุดฟ้าไม่รู้หรอกว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน ลำบากมากด้วย อยากกลับบ้านก็กลับไม่ได้”ชวิศาร้องบอกพร้อมหันไปกอดสุดฟ้าไว้

ที่แรกชายหนุ่มกำลังรู้สึกหน่ายใจกับการมีคนรัก แต่ก่อนเขาไม่ต้องเสียเวลาทำงานมาคอยเอาใจใคร กระนั้นพอได้ฟังสิ่งที่ชวิศาพูดจึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เพราะถ้าคิดพิจารณาย้อนกลับไป ชวิศาก็ไม่เคยทำตัวมีปัญหาถ้าเข้าต้องทำงานข้ามวันข้ามคืน

หลังขอโทษขอโพยปรับความเข้าใจกันดีแล้ว ชวิศาจึงยอมให้ความร่วมมือช่วยเหลือเต็มที่

สุดฟ้าลองเขียนวงเวทมนตราง่าย ๆ เพื่อให้ชวิศาเรียกใช้สำหรับทดสอบความเข้าใจของตัวเอง แต่วงเวทบนกระดาษกลับไม่ทำงาน

“ไม่เข้าใจ ทำไมล่ะ”เขาบ่นกันตัวเอง ก่อนจะส่งกระดาษข้อมูลให้มาริเอะสแกนจับข้อความและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ดูบ้าง

“ลองเขียนบนกระดาษใบนี้ดูไหมครับ”ชวิศาเรียกกระดาษเปล่าซึ่งเป็นกระดาษคาถาที่กรินเคยให้ไว้ออกมาจากอัญมณี และปรากฏว่าวงเวทมนตราสร้างไฟที่สุดฟ้าเขียนกลับสามารถทำงานได้

“นึกว่าคุณสุดฟ้าจะเขียนวงเวทสร้างมนตรายาก ๆ เสียอีก”ชายหนุ่มเจ้าของพลังเวทพูดบ่น ก่อนจะลองเนรมิตเปลวไฟเล็ก ๆ ให้ลุกไหม้อยู่บนปลายนิ้วโดยไม่ต้องเพิ่งพาวงเวท

“ฉันเพิ่งลองเขียนวงเวทครั้งแรก ก็ต้องลองเขียนจากอะไรที่มันง่าย ๆ ก่อนสิ ทดลองดูว่าที่เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า”และเอ่ยปากขอกระดาษแบบที่ชวิศาส่งมาให้อีกแผ่น

“ฉันขอเอาไปวิเคราะห์หน่อยว่ามันต่างจากกระดาษธรรมดายังไง”

จากนั้นชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องทำงาน ออกมาอีกทีเวลาทำอาหารเย็นพร้อมผลการวิเคราะห์กระดาษคาถา

กระดาษแผ่นนั้นมีส่วนประกอบของเยื่อไม้ผสมกับโมเลกุลของธาตุบางชนิดที่เขาไม่รู้จัก เขาจึงส่งข้อความไปถามเจ้าชายของอาณาจักรฮัชดาลลาร์เกี่ยวกับการผลิตกระดาษนั่น และทำให้รู้ว่า คงต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าเขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้ ทั้งยังไม่สามารถประยุกต์ให้ชวิศาสามารถเรียกใช้เวทมนตร์ด้วยวิธีการง่าย ๆ

เมื่อเริ่มพบทางตัน ชายหนุ่มจึงหันมาให้ความสนใจกับงานอื่นที่เขาสามารถลงมือได้ก่อน อย่างปรับปรุงประสิทธิภาพของมาริเอะ สเตบาสเตียนและมอเตอร์สเปซ โดยหุ่นยนต์น้ำของธัชนนท์ไม่ได้อยู่ในตารางการทำงานอีกแล้ว

เมื่อผ่านไปสองสามวัน สองพี่น้องฝาแฝดสุวราลักษณ์ได้มาเยือนที่บ้านศิริกรตามที่สุดฟ้าเคยบอกกำหนดการไว้

คุณหุ่นยนต์พ่อบ้านออกมารับหน้าทั้งสองคนอีกเช่นเคย

ส่วนชวิศากลับไปบ้านที่มีมารดาและคุณยายอยู่อาศัยเนื่องจากสุดฟ้าไม่ว่างมาอยู่ด้วย มันทำให้เขาต้องอยู่คนเดียว ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าสวยจึงบอกว่าจะไปฝึกการใช้เวทกับคุณยาย ได้ยินอย่างนั้นเจ้าบ้านศิริกรยิ่งเห็นด้วยสนับสนุน

“ตกลงสุดฟ้ามันซ่อมน้ำเสร็จหรือยังเนี่ย”ธัชนนท์ถามสเตบาสเตียน

“ยังครับ”สเตบาสเตียนตอบตามตารางการทำงานที่สุดฟ้าได้บันทึกไว้

“อ้าว! ไหนมันบอกว่าสองสามวัน นี่มันทำอะไรอยู่ มันอยู่ไหนเนี่ย”

“ด็อกเตอร์กำลังปรับปรุงมอเตอร์สเปซอยู่ในห้องทำงานครับ แจ้งว่าไม่รับแขก ถ้าคุณไอซ์อยากพบต้องรอเวลาอาหารมื้อเย็นครับ”

ฝ่ายน้องชายจึงเข้ามาตบบ่าปลอบ “พี่จะเอายังไง รอมันไหม ผมว่ามันอาจจะเบี้ยวเล่นตัวเพื่อเก็บค่าแรงหรือเปล่า”

“ถ้ามันทำอย่างนั้นครั้งหน้าฉันก็จะยึดปันผลของมัน”

สองคนเดินตามกันทรุดนั่งที่โซฟาพลางพูดคุยปรึกษาหารือ

“หรือลองให้ฝ่ายดิวิล็อปที่โรงงานลองซ่อมให้ดี ครั้งก่อนก็ถอดวิเคราะห์ดูแล้ว พวกนั้นอาจจะซ่อมได้ก็ได้”ถึงธัชนันท์จะให้ทีมพัฒนาถอดชิ้นส่วนของหุ่นยนต์เพื่อลอกแบบโครงสร้าง แต่กระนั้นหุ่นยนต์รูปลักษณ์มนุษย์ที่พวกเขาต้องการผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายยังอยู่ในช่วงพัฒนาเนื่องจากโปรแกรมการทำงานที่เพื่อนสนิทสมัยเด็กของพวกเขาเขียนเพื่อควบคุมไม่ได้คัดลอกกันได้ง่าย ๆ ทั้งยังต้องแก้ไขลักษณะรูปลักษณ์ให้เป็นผู้หญิง นอกจากนั้นยังติดเรื่องระบบพลังงานที่ซับซ้อน

“เออ ก็ได้ลองดู เพราะขืนปล่อยไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เจ้าสุดฟ้าจะซ่อมให้”ธัชนนท์พูดตอบน้องชายอย่างที่รู้นิสัยสุดฟ้าเป็นอย่างดี กรณีที่เจ้านั่นไม่ลงตารางงานซ่อมหุ่นยนต์ของเขาไปด้วย คงมีแค่สองอย่าง ไม่ลืมก็กำลังเล่นแง่ จากนั้นจึงหันไปพูดกับสเตบาสเตียน

“ฉันขอพาน้ำกลับไปได้ไหม”

สเตบาสเตียนไม่ได้ตอบปฏิเสธทั้งยังไปพาหุ่นยนต์มีเหลือแต่ตัวมาให้ทั้งสองคน พวกเขาจึงแน่ใจว่าเจ้าสุดฟ้าคงลืมแน่ ๆ

เมื่อรับหุ่นยนต์มาแล้วสองพี่น้องจึงเดินทางกลับ

ขณะเดียวกันสุดฟ้าที่กำลังง่วนอยู่กับการเขียนแก้คำสั่งยานพาหนะ บนหน้าจอซึ่งแสดงหน้าต่างโปรแกรมเขียนโค้ดคำสั่งก็ปรากฏแจ้งเตือนอีเมลเข้า ซ้ำร้ายการแจ้งเตือนยังเกิดขึ้นไม่หยุด

“อะไรวะ สแปมหรือไงเนี่ย”สุดฟ้าบ่นกับตัวเองพลางเปิดหน้าต่างกล่องรับเข้าอีเมลขึ้นมา หัวจดหมายที่ถูกส่งเข้ามาระบุข้อความว่า ‘ด่วนที่สุด สำคัญที่สุด’ แต่ชายหนุ่มคิดว่าคงมีคนกำลังโจมตีระบบของเขาเสียมากกว่า เพราะจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกส่งมาหลายสิบฉบับเป็นหัวข้อเดียวทั้งหมด

“อยากลองดีเหรอ”เขาขยับนิ้วมือเรียกหน้าต่างเขียนโปรแกรมคำสั่งอีกโปรแกรมหนึ่งขึ้นมา กำลังจะกดแป้นพิมพ์เพื่อดักจับเจ้าของจดหมาย ทว่าหัวข้อของอีเมลเหล่านั้นกลับเปลี่ยนไปเสียก่อน

‘ถ้าไม่อยากให้พ่อแม่แกตาย อ่านอีเมลเดี๋ยวนี้’

ชายหนุ่มสบถออกมาไม่เป็นภาษา

และเพราะมั่นใจว่าระบบความปลอดของตนจะไม่ถูกเจาะทำลายได้ง่าย ๆ เขาจึงยอมคลิกเปิดอีเมล ในนาทีนั้นเอง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่เคยถูกส่งเข้ามาต่อเนื่องมากมายก็หยุดไปในฉับพลัน

เนื้อหาในจดหมายตรงไปตรงมาแสดงความต้องการที่ไม่ได้ปล่อยให้เขาปฏิเสธ มันเขียนไว้แค่ว่า “เอาแบบแปลนระเบิดมา แล้วพ่อแม่ของแกจะปลอดภัย”

สุดฟ้าอ่านทวนข้อความสั้น ๆ นั้นอยู่หลายนาที ทั้งในใจยังปรากฏหลายความรู้สึก

ว่ากันตามตรง เขาไม่ได้เจอพ่อแม่มานานหลายปี ครั้งล่าสุดคือเมื่อรับปริญญาตอนเรียนจบ พ่อและแม่มาแสดงความยินดีกับเขาด้วยสีหน้าชื่นมื่นเหมือนพ่อแม่คนอื่น หลังมาอยู่กับเขาครบอาทิตย์ทั้งสองคนก็หายตัวไปอีกซึ่งการกระทำนั้นไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นเดือดร้อนเพราะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของทั้งคู่ เขาจึงคิดเอาว่าบุพการีทั้งสองสบายดี

สุดฟ้าหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา กดโทรออกด้วยเบอร์ยาวเหยียดต่อสายไปต่างประเทศ ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงตู๊ดตู๊ดที่ไม่สามารถติดต่อปลายสายได้ เขาพ่นลมหายใจ

“เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยเว้ย”นั่นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาไม่มีโอกาสได้คุยกับบุพการีทั้งสอง เพราะโทรไปกี่ครั้งก็ไม่เคยติดต่อได้สักครั้ง ฉับพลันนั้นเขากลับฉุกคิดขึ้นได้ เขารีบกดโทรศัพท์หาฝาแฝดสองพี่น้องทันที

“ฉันมีเรื่องให้ช่วยหน่อย”

“ไม่ ช่วย เว้ย”ตอบกลับมาเช่นนั้นแล้วปลายสายก็ตัดไปอย่างรวดเร็ว

สุดฟ้าจึงสบถด่าอีกรอบพร้อมกดโทรออกซ้ำ เมื่อปลายสายกดรับ เขารีบกรอกเสียงลงไปว่า “ถ้าวางสายบ้านบึ้ม”

“เออ ๆ มีอะไรว่ามา”

“แกติดต่อพ่อแม่ของฉันได้หรือเปล่า”

“ไม่อะ”

“เลว!!! พวกแกหลอกฉันเหรอ”เขาจำได้ว่า ตอนที่อยู่ฮัชดาลลาร์แฝดพี่เอาชื่อพ่อแม่เขามาขู่ ทำท่าจะติดต่อหาพ่อแม่เขาได้เสียเดี๋ยวนั้น

“ไม่ได้หลอก”ธัชนนท์รีบตอบกลับ “พ่อแม่ฉันติดต่อได้”

“งั้นฝากถามคุณลุงคุณป้าหน่อย ตอนนี้พ่อแม่ฉันอยู่ไหน”

“อ้อ รออีกสองอาทิตย์นะ ตอนนี้พ่อกับแม่ฉันไปฮันนีมูนรอบที่สามสิบเลยติดต่อไม่ได้”

ชายหนุ่มได้ยินคำตอบจึงสบถด่าเสียงดังลั่น

“อะไรของแกเนี่ย อยู่ ๆ จะส่งสัตว์สงวนมาให้ฉันเพื่อ?”ธัชนนท์ที่อยู่ปลายสายเอ่ยถาม

“ทำไมถึงไปฮันนีมูนได้ถูกจังหวะขนาดนี้วะ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือไง”

“มีอีเมลเข้ามาบอกให้เอาแบบแปลนบอมบ์พินาศไปแลกกับพ่อแม่”

คราวนี้เป็นฝาแฝดสองพี่น้องที่สบถอุทานออกมาพร้อมกัน เขาทั้งคู่ยังอยู่บนท้องถนน กำลังเดินทางออกนอกเมืองไปยังที่ตั้งโรงงานเพื่อนำหุ่นยนต์น้ำไปให้ทีมพัฒนา

“แกหาต้นตอที่มาของอีเมลหรือยัง”เสียงที่พูดประโยคนี้เป็นของฝาแฝดคนน้อง และแฝดผู้พี่ก็พูดแทรกขึ้นมาอีกประโยคว่า

“คุณลุงกับคุณป้าเนี่ยนะโดนจับตัวไป”

“นั่นดิ จะมีคนเจอตัวท่านทั้งสองง่าย ๆ ด้วยเหรอวะ”


“ถึงจะเจอตัวยากแต่ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้มันมีแต่สองที่เปล่าวะ”สุดฟ้าพูดขึ้นบ้าง เท่าที่เขารู้แผนการเดินทางของบิดามารดา ท่านทั้งสองบอกแค่ว่าจะไปศึกษาเก็บข้อมูลการละลายตัวของน้ำแข็งแถวขั้วโลก

“ขั้วโลกนะเว้ย ไม่ใช่สยาม ขนาดหาคนที่สยามยังยากเลย ไปหาที่ขั้วโลกมันจะไม่ยากกว่าเหรอวะ เอ๊ะ...หรือว่ามันง่าย”ธัชนันท์พูดอย่างไม่แน่ใจ

“แทนที่จะมาคุยกันเองทำไมแกไม่ส่งข้อความไปถามคนที่ส่งอีเมลมาวะ หรือไม่ก็แฮ็กหาที่อยู่มันซะ”ธัชนนท์พูดขึ้นมาอีก

“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วเว้ย”สุดฟ้าพูดพลางพิมพ์ข้อความส่งกลับไปถามอีกฝ่าย ขณะเดียวกันนิ้วทั้งสิบก็กดรัวคำสั่งเพื่อหาต้นตอแหล่งที่มาของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์

“เออ งั้นแค่นี้ละกัน พวกฉันกำลังยุ่ง”

สุดฟ้าบ่นพึมพำอีกเล็กน้อยที่ฝาแฝดไม่นึกห่วงพ่อแม่ของเขาบ้างเลยหลังจากทั้งสองคนตัดสายไป แต่พูดถึงความคิดของเขาแรก ๆ ก็ยังรู้สึกว่าเหมือนการแกล้งกันเล่นมากกว่าเป็นเรื่องจริง ก่อนจะต้องชะงักไปชั่วครู่เมื่อไม่สามารถเจาะไปถึงต้นทางของอีเมลมากมายที่ส่งมาถึงเขาได้ พร้อมกันนั้น อีเมลที่ตอบกลับมาได้แนบรูปภาพบุพการีทั้งสองคนที่โดนมัดมือมันเท้าและมัดปิดปากส่งมาให้เขาดู

สุดฟ้ากะพริบปริบ ๆ มองภาพนั้นอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาเท่าไหร่นัก ทว่ากลับเริ่มลังเล

หรือข้อความพวกนี้จะเป็นเรื่องจริง!!!


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบสี่ 11/03/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 11-03-2018 06:22:33
ตอนที่สี่สิบสี่



สุดฟ้ากดโทรศัพท์หาฝาแฝดสองพี่น้องอีกครั้ง ครั้งนี้เขาถามหารูปภาพของพ่อและแม่ที่ทั้งสองคนมีเก็บไว้

“รูปพ่อแม่แก ทำไมมาถามพวกฉันวะ”

“แล้วรูปที่ถ่ายตอนรับปริญญาหายไปไหนวะ แกไม่ได้เก็บไว้เหรอ”


เมื่อสองพี่น้องพูดอย่างนั้นเขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ สุดฟ้าตัดสายการเชื่อมต่อก่อนรีบลุกออกจากห้องไปค้นหาภาพถ่าย ตู้กระจกที่เก็บอัลบั้มรูปภาพตั้งอยู่ติดผนังเป็นเครื่องเรือนที่ดูไร้ประโยชน์อย่างเดียวในบ้านในความคิดของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ แน่นอนว่าเขาไม่มีไฟล์ภาพอยู่ในเครื่อง ในเมื่ออัดใส่กระดาษไว้แล้วจะต้องเก็บไฟล์ไว้อีกทำไม รูปภาพไม่ใช่แบบแปลนสิ่งประดิษฐ์ของเขาเสียหน่อย

เขาเปิดหาภาพที่ต้องการ เมื่อพบจึงนำรูปใบนั้นออกมาจากเล่มถือกลับเข้าไปในห้องทำงาน วางบนเครื่องสแกนที่เขาสั่งซื้อมาทางอินเทอร์เน็ต สำหรับสิ่งของที่มีขายอยู่แล้วเขาไม่คิดหาความลำบากให้ตัวเองด้วยการสร้างมันขึ้นมาใหม่

เครื่องสแกนจับรูปภาพพ่อแม่เขาส่งเข้าไปในคอมพิวเตอร์ จากนั้นสุดฟ้าเปิดหน้าต่างโปรแกรมดึงชุดคำสั่งที่เคยเขียนไว้สำหรับเปรียบเทียบรูปใบหน้าคนขึ้นมา ทว่าหลังผ่านการคำนวณของโปรแกรมสมองกลแล้ว กลับกลายเป็นว่าภาพของบิดามารดาที่ถูกส่งมาข่มขู่มีส่วนคล้ายกับภาพที่เขามีอยู่ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์

“ทำยังไงดีวะ”สุดฟ้ารำพึงรำพันกับตัวเอง เขามั่นใจว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ แต่อัจฉริยะอย่างเขาก็มีเรื่องที่ชอบกับไม่ชอบ และเขาก็ไม่ชอบการคิดวางแผนไปจัดการกับมนุษย์คนอื่น เพราะนอกจากมนุษย์บางคนจะมีการคิดตัดสินใจที่ไม่สามารถอ้างอิงตามหลักเหตุผลในบางครั้ง เขายังต้องหาทางรับมือเป็นร้อยเป็นพันรูปแบบถ้าต้องการให้แผนสำเร็จจริง ๆ

เขากลอกตา จากนั้นเปิดหน้าต่างโปรแกรมข้อความเพื่อส่งข้อความคำสั่งให้หุ่นยนต์สมองกลทั้งสองตนมาหาเขา

เมื่อครู่ที่เขาออกไปด้านนอก เขาเห็นว่าสเตบาสเตียนกำลังทำงานพ่อบ้านอยู่ ส่วนมาริเอะอยู่ในห้องทดสอบเพื่อเก็บผลลัพธ์ค่าปริมาณการใช้พลังงานหลังจากที่เขาเปลี่ยนระบบแบตเตอรี่เป็นแบบใหม่

นั่งรอไม่นาน หุ่นยนต์ทั้งสองตนถึงได้มาปรากฏตัวยืนนิ่งรอคำสั่งอยู่ตรงหน้า

“มีใครก็ไม่รู้ส่งอีเมลว่า ตอนนี้พวกมันกำลังจับตัวพ่อแม่ของฉันไว้ และให้ฉันเอาแบบแปลนบอมบ์พินาศไปแลก”

พอพูดออกไปแล้ว สุดฟ้าถึงเพิ่งเอะใจนึกขึ้นได้ ‘ทำไมคนที่อยู่รอบตัวเขาถึงต้องโดนจับตัวไปหรือไม่ก็โดนลักพาตัวไปตลอดเลยนะ’

ครั้งแรกก็มาริเอะที่โดนชวิศากับพี่ชายลักพาตัวไป ถึงครั้งนั้นอาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการลักพาตัวอย่างเต็มปากเต็มคำก็เถอะ

ครั้งที่สองที่ฮัชดาลลาร์ ชวิศาและมาริเอะถูกจับตัวไปพร้อมกัน

ครั้งที่สามเป็นชวิศาคนเดียวทั้งที่เขาเพิ่งช่วยอีกฝ่ายออกมาได้ไม่นาน

และครั้งนี้ก็พ่อแม่ของเขา ถึงจะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าอย่างไร เขาต้องยืนยันว่าบุพการีทั้งสองยังปลอดภัย

“พบพิกัดที่จะเป็นต้นทางของอีเมลแล้ว ด็อกเตอร์จะให้แสดงผลไหมครับ”มาริเอะเอ่ยรายงาน

“เฮ้ย!!! จริงดิ”ชายหนุ่มร้องอุทานพร้อมคิดอยู่ในใจ ทำไมมันเร็วอย่างนี้ ถึงจะเป็นคนลงมือปรับปรุงมาริเอะด้วยตัวเอง ทว่าเขายังไม่อยากเชื่อว่าประสิทธิภาพของมาริเอะจะก้าวกระโดดไปถึงเพียงนี้

“เดี๋ยว ๆ ใจเย็นก่อน”เขาบอกจากนั้นเอ่ยถาม “ฝั่งนั้นรู้ตัวหรือยัง”

“ยังครับ”

“มันต้องคิดให้รอบคอบหน่อย ฉันยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่โดนจับตัวไปจริงหรือเปล่า”

คำถามนี้ไร้คำตอบจากหุ่นยนต์ทั้งสองตน

“ในฐานข้อมูลของสเตบาสเตียนมีไฟล์วิดีโอที่ด็อกเตอร์เคยใช้โปรแกรมวิดีโอคอลกับคุณสุดเขตและคุณปานฟ้าเก็บไว้ ถ้าให้เจ้าของอีเมลต้นทางส่งไฟล์วิดีโอของท่านทั้งคู่มาตรวจสอบเปรียบเทียบก็น่าจะได้ผลที่น่าเชื่อถือได้นะครับ”มาริเอะพูดเสนอ

“ได้! อนุมัติทำเลย”

“ส่งอีเมลเรียบร้อยครับ กำลังรอการตอบกลับ”มาริเอะรายงาน “ต่อไปคือต้องตรวจสอบว่าสถานที่ต้นทางของอีเมลกับที่ที่คนร้ายจับตัวคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้าไว้เป็นที่เดียวกันหรือไม่”

“เออใช่ พวกมันอาจจะพาพ่อแม่ฉันไปอยู่ที่อื่นก็ได้”ชายหนุ่มพูดอย่างเห็นด้วย

“เนื่องจากพิกัดตำแหน่งอยู่นอกพื้นที่แทรกแซงของสเตบาสเตียนผมจึงไม่สามารถตรวจสอบได้”

“แล้วพิกัดต้นทางของอีเมลอยู่ที่ไหน”

มาริเอะจึงบอกชื่อของตำแหน่งพิกัดนั้นซึ่งเป็นเขตหนึ่งในต่างประเทศ อย่างไรก็ดีพิกัดตำแหน่งที่ว่า มันห่างจากจุดที่พ่อแม่ควรอยู่ชนิดที่เรียกว่าข้ามทวีป กระนั้น ตัวเขาก็ไม่สามารถยืนยันได้อยู่ดีว่าตอนนี้บุพการีทั้งสองของเขาอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้กันแน่

“ตอนอยู่ฮัชดาลลาร์ ด็อกเตอร์เคยตามหาคุณชวิศาด้วยการใช้สิ่งของส่วนตัว”สเตบาสเตียนเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“นั่นมันเวทมนตร์แต่ไม่ใช่ความสามารถของด็อกเตอร์สักหน่อย”มาริเอะหันไปบอกหุ่นยนต์พ่อบ้าน ซึ่งสเตบาสเตียนก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดโต้แย้งเพียงแต่เก็บบันทึกข้อมูลนั้นไว้

เนื่องจากทั้งสองเป็นหุ่นยนต์ กล้องจับภาพที่ดวงตาจึงไม่สามารถจับภาพกรินได้ แต่มาริเอะรับรู้การมีอยู่ของกรินได้จากระบบเซนเซอร์

ฝ่ายสุดฟ้าที่ได้ยินมาริเอะพูดเช่นนั้นก็เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมา เพราะจนป่านนี้เขายังทำใจเรื่องที่ถูกติว่าสมาธิไม่ดีไม่ได้สักที

“ถ้าพูดถึงเวทมนตร์ อย่างนั้นให้คุณชวิศาช่วยก็ได้นี่ครับ”

“ชวิศาอาจจะช่วยไม่ได้เหมือนกัน”เมื่อนึกถึงผลลัพธ์การใช้เวทมนตร์ของชวิศาที่เคยเห็นแล้ว สุดฟ้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคนที่ถูกพูดถึงจะช่วยเขาได้

เขาถอนหายใจเพราะเริ่มเจอทางตันอีกแล้ว

“ถ้าฉันเอาแบบแปลนไปให้พวกมัน...”

“ที่พวกมันบอกว่าจับคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้าไว้ มีความเป็นไปได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าคิดในกรณีที่พวกนั้นจับท่านทั้งสองไปจริง ก็มีความเป็นไปได้ว่า หลังจากที่ด็อกเตอร์เอาแบบแปลนไปให้พวกมันแล้ว พวกด็อกเตอร์จะปลอดภัยโดยไม่บาดเจ็บกลับมาแค่สิบหกเปอร์เซ็นต์ ยังไม่นับรวมความเสี่ยงอันเนื่องจากไม่ทราบข้อมูลฝ่ายตรงข้ามด้วย”

สุดฟ้านิ่งคิด

ใช่ตามที่มาริเอะพูด เขาไม่มีข้อมูลใด ๆ ของฝ่ายตรงข้าม ขณะที่ฝ่ายนั้นน่าจะรู้ข้อมูลของเขาอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง มันถึงเป็นเรื่องยากในการต่อกรกับมนุษย์ด้วยกัน

แต่ไหนแต่ไรมา เขาได้แต่หมกตัวอยู่ในที่ปลอดภัยของตัวเอง ถ้าโดนโจมตีก็แค่ป้องกันไว้ซึ่งที่ผ่านมามีแต่พวกเจาะระบบเข้ามาขโมยข้อมูล หรือลอบเข้าบ้านเพื่อขโมยของ เขาไม่ต้องออกจากที่มั่นไปรบรากับคนอื่น เท่ากับว่าครั้งนี้พวกมันจับจุดอ่อนของเขาได้ชะงัดนัก

“ด็อกเตอร์ครับ ฝ่ายนั้นส่งอีเมลกลับมาแล้ว”สเตบาสเตียนแจ้งเตือน

“จัดการด้วยแล้วกัน”เขาเอ่ยสั่งขณะที่พยายามคิดหาหนทางที่ดีที่สุด ทว่ามาริเอะได้พูดขึ้นมาอีกว่า “ในกรณีนี้วิธีการที่ดีที่สุดคือถ่วงเวลาเพื่อสืบหาข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม”

“ถ่วงเวลาน่าจะไม่อยาก แต่จะสืบหาข้อมูลอย่างไร”

“ด็อกเตอร์ก็มีซูเปอร์หุ่นยนต์สมองกลอย่างพวกเราสองคนอยู่แล้วนี่ครับ”มาริเอะพูดพร้อมรอยยิ้ม “ครั้งก่อนตอนที่ผมทำหน้าที่คุ้มครองคุณชวิศา ถ้าได้ใช้อาวุธอย่างไรผมก็ไม่แพ้หรอก” อาวุธที่มาริเอะกล่าวถึงถูกระงับใช้งานจนกว่าจะมีการทดสอบ

สุดฟ้าติดอาวุธจำพวกปืนกลไว้ในร่างหุ่นยนต์ แต่เขาติดไว้เพื่อถ่วงน้ำหนักโครงร่างหุ่นยนต์ให้เหมือนมนุษย์

ทั้งโครงสร้าง ระบบขับเคลื่อนและระบบควบคุมภายใน เขาเลือกใช้วัสดุน้ำหนักเบา ดังนั้นหลังประกอบชิ้นส่วนทุกอย่างแล้ว น้ำหนักของมาริเอะและสเตบาสเตียนจึงเบากว่ามนุษย์จริง อีกประการ เขาวางแผนไว้เผื่อต่อยอด แน่นอนว่า เขาอุตส่าห์สร้างหุ่นให้เหมือนมนุษย์ เพราะฉะนั้น หุ่นยนต์สองตนต้องมีพิษสงมากพอที่ไม่จะไม่โดนใครที่ไหนมาขโมยไปง่าย ๆ 

“ผลการวิเคราะห์เสร็จแล้วครับ”สเตบาสเตียนแจ้งเตือนอีกรอบ และพูดรายงานผลต่อทันที “เสียงของสุดเขตและคุณปานฟ้ามีการตัดต่อ การขยับปากช้ากว่าเสียงพูดเหมือนมีการดีเลย์ของสัญญาณ”

“ก็มีความเป็นไปได้สองกรณี คนที่ส่งอีเมลมาให้ฉันอยู่คนละที่กับสถานที่ที่พ่อแม่ถูกจับตัวอยู่ กรณีที่สอง ตอนนี้พ่อแม่ของฉันยังปลอดภัยดี”

“แต่ก็ไม่แน่ว่า คุณสุดเขตกับคุณปานฟ้าอาจจะปลอดภัยอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกควบคุมอยู่ก็ได้”

“หือ?”ชายหนุ่มขานเสียงในลำคอด้วยความสงสัย ทว่าก็ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดออกมาจากมาริเอะ จากนั้นเขาหันหน้าเข้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เรียกเปิดไฟล์ข้อมูลเวทมนตร์ที่มาริเอะเคยจัดเก็บไว้ ไล่ดูเนื้อหาความสัมพันธ์เหล่านั้นอีกครั้ง และเปิดโปรแกรมออกแบบแผงวงจรขึ้นมา

“กลับไปทำงานของตัวเองได้แล้ว ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันเรียก”

สเตบาสเตียนรับคำสั่งพร้อมก้าวเท้าออกไปจากห้อง

“ให้ผมกลับไปทดสอบต่อหรือเปล่าครับ”มาริเอะเอ่ยถาม

“ไม่ต้องทดสอบเรื่องพลังงานแล้ว”สุดฟ้าตอบหลังจากเปิดกราฟข้อมูลที่ถูกบันทึกผลไว้ขึ้นมาดู ขณะเดียวกันทั้งสองมือก็พิมพ์คำสั่งเพื่อปรับเปลี่ยนห้องทดสอบ “ทดสอบหัวข้อการใช้งานอาวุธเลยก็ได้”

หลังจากนั้นเขาสับเปลี่ยนหน้าต่างกลับมาที่โปรแกรมออกแบบแผงวงจรเพื่อสร้างอุปกรณ์ที่จะช่วยทำให้ชวิศาใช้พลังเวทได้ง่าย ๆ

อุปกรณ์ที่เขาต้องการสร้างอ้างอิงแนวคิดตามการใช้งานกระดาษคาถาที่ชวิศาเคยใช้ ถึงจะเข้าใจหลักการวิธีเขียนวงเวท กระนั้นเขาก็มีความรู้ในการใช้พลังเวทอยู่ในระดับหางอึ่งเท่านั้น

หลังจากเขียนแบบแผ่นวงจรเรียบร้อย เขาลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน จัดการตัดแผงวงจรมาเข้าเครื่องและโหลดแบบวงจรที่เพิ่งเขียนเสร็จ สั่งให้โปรแกรมของแขนกลทำงานตามนั้น

ขั้นตอนต่อไปคือการทำกรอบพลาสติกด้านนอก

ที่เขาต้องการทำคือเครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก ใช้หน้าจอระบบสัมผัสรูปแบบคล้ายโทรศัพท์เช่นเดิม สุดฟ้ามีอะไหล่หน้าจอทัชสกรีนอยู่แล้ว เขาจะเชื่อมต่อมันเข้ากับแผงวงจร และใช้หัวพิมพ์ในรูปแบบการยิงความร้อนเนื่องจากกระดาษที่ใช้เป็นรูปแบบเฉพาะและเขาไม่ต้องการให้มีการใช้กล่องหมึก แม้ตอนแรกจะไม่ค่อยมั่นใจกับแนวคิดนี้ กระนั้นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ของเขาก็เสร็จเรียบร้อยในช่วงเย็น

สุดฟ้าจึงนำมันออกมาให้ชวิศาลองใช้ ทว่ามันมีปัญหาเกี่ยวกับการป้อนคำสั่งเพื่อให้อุปกรณ์ชิ้นนั้นสร้างวงเวท ผลของมนตราไม่ตรงกับความต้องการของชวิศา ซึ่งจากการสังเกตหลังให้ชวิศาทดลองป้อนคำสั่งไปสองสามครั้ง ทำให้เขารู้ว่าถ้าจะทำให้มันสำเร็จ เขาต้องวิเคราะห์รูปแบบวิธีการใช้คำของชวิศาเพิ่มมาอีกอย่าง

“คุณสุดฟ้าก็เขียนให้เลยไม่ได้หรือครับ”

“ถ้าฉันไม่อยู่กับนายหรือว่าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ฉันเขียนให้ไม่ได้ละ”

“อืม งั้นก็ให้คุณมาริเขียนให้”

สุดฟ้าจึงหันไปมองหุ่นยนต์ที่มีหน้าตาเหมือนชวิศา มาริเอะยกยิ้มให้อยู่เช่นเดิม เขาถอนหายใจส่งอุปกรณ์ที่เสียเวลาค่อนวันสร้างมันขึ้นมาไปให้สเตบาสเตียน

“เอามันไปเก็บไว้ในกล่องความล้มเหลว”

“กล่องความล้มเหลว?”ชวิศาเอ่ยถาม

เมื่อเห็นแล้วว่าเจ้าของกล่องใบนั้นไม่อยากให้คำตอบ มาริเอะจึงได้ผายมือไปผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลกล่องใบนั้น

“เป็นกล่องที่เก็บชิ้นงานล้มเหลวตามชื่อของมันครับ”

“ถ้าอย่างนั้นให้ผมลองใช้มันดูอีกครั้งก็ได้ครับ”

“ไม่ต้องฝืนหรอก”สุดฟ้ารีบบอก “ฉันเคยสร้างของไร้สาระไม่มีประโยชน์มาเยอะแยะแล้ว ไม่ต้องคิดมาก”

“แต่คุณสุดฟ้าอุตส่าห์ทำมาให้ผมใช้”

“อือ... งั้นไว้รอให้ฉันปรับปรุงมันให้ดีกว่านี้ก่อนแล้วกัน แต่ตอนนี้มาคุยเรื่องพลังเวทของนายดีกว่า เป็นอย่างไรบ้าง ช่วงที่ผ่านมานายได้ไปเรียนเวทมนตร์กับคุณยายมานี่”

“ฮะ ฮะ ฮะ”ชวิศาหัวเราะแห้งแล้ง แล้วต่อประโยคเสียงอ่อย “คุณยายก็ยอมแพ้ไปแล้วครับ ไม่กระเตื้องขึ้นสักนิด”

สุดฟ้าโคลงศีรษะรับรู้ เขาเป็นพวกพูดปลอบใจไม่เก่งจึงไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร กับฝาแฝดก็ได้แต่ด่ากันไปด่ากันมา “แต่นายยังใช้เวทจากกระดาษคาถาได้ ไม่เป็นไรหรอกและก็ทำอย่างที่นายว่า เดี๋ยวฉันหรือมาริจะเป็นคนเขียนวงเวทให้เอง”

ชวิศาพยักหน้ารับก่อนจะเอะใจคิดขึ้นได้ “คุณมาริก็เขียนวงเวทได้ด้วยเหรอ” ถึงมาริเอะจะเป็นซูเปอร์หุ่นยนต์สมองกลแต่เขาเพิ่งมาฉุกคิดว่า วงเวทมันยากจะตาย มาริเอะอาจจะเขียนไม่ได้ก็ได้

“วิธีการเขียนวงเวทมันก็เป็นระบบเหมือนกัน มีหลักการของการใช้คำสั่ง เพราะงั้นมาริต้องเขียนได้อยู่แล้ว” สุดฟ้าพูด “เดี๋ยวลองให้มาริเขียนวงเวทเพื่อก๊อบปี้กระดาษคาถาพวกนี้ดูก่อนละกัน”

หลังจากที่เจ้าชายฟาลิฮ์ติดต่อมาอีกครั้ง ทรงแจ้งว่ามีชาวเมืองครอบครัวหนึ่งได้สืบทอดวิธีการทำกระดาษคาถามารุ่นต่อรุ่น แต่เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนน้อย กระดาษเหล่านี้จะถูกทำขึ้นก็ต้องเมื่อมีการสั่งซื้อเท่านั้น เจ้าชายจึงทรงถามเขาว่ายังต้องการหินที่ใช้ผสมในกระดาษหรือกระดาษพวกนั้นด้วย สุดฟ้าจึงตอบกลับไปว่าต้องการทั้งสองอย่าง กระนั้นของที่สั่งต้องรอการขนส่งอีกสี่ถึงห้าวัน เขาถึงให้ลองก๊อบปี้พวกมันเพื่อสำรองให้งานไปก่อน

ขณะที่มาริเอะเขียนวงเวทเพื่อเพิ่มจำนวนกระดาษคาถา สุดฟ้าก็เขียนวงเวทเพื่อตามหาที่อยู่ของพ่อและแม่

เขาเคยเห็นเจ้าชายฟาลิฮ์เขียนวงเวทกับพื้น นั่นแสดงว่า วงเวทไม่ได้จำกัดการใช้อยู่แค่บนกระดาษคาถา แต่วงเวทของเจ้าชายนั้นทรงเขียนด้วยพลังเวท เมื่อลองเปรียบเทียบกับกระดาษคาถาที่ชวิศาใช้และการที่เขาใช้กระดาษธรรมดาแต่เวทมนตร์ไม่ทำงาน นั่นเพราะเส้นและอักขระข้อความของวงเวทเชื่อมโยงกันด้วยธาตุทั้งห้าหรืออย่างน้อยต้องธาตุใดธาตุหนึ่ง

กระดาษคาถาของชวิศามีขนาดเล็กเพียงประมาณฝ่ามือ เขาจึงนำมันมาวางเรียงซ้อนกัน ร้องบอกให้สเตบาสเตียนหยิบอัลบั้มรูปออกมาให้ ส่วนตัวเขาก็เขียนวงเวทบนกระดาษที่วางเรียงต่อกันเป็นกระดาษคาถาแผ่นใหญ่

ฝ่ายมาริเอะที่ลองเขียนวงเวทให้ชวิศาก๊อบปี้เพิ่มจำนวน ปรากฏว่ามันเพิ่มได้ในรูปแบบการคูณสองเท่านั้น หมายถึง หากต้นแบบเท่ากับหนึ่ง มันจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแผ่น ครั้งที่สองมาริเอะจึงให้ชวิศาถือกระดาษต้นฉบับสิบแผ่น หลังพลังของมนตราสิ้นสุดจึงมีกระดาษคาถาเป็นจำนวนยี่สิบแผ่น และทดสอบประสิทธิภาพของพวกมันด้วยวงเวทเพิ่มจำนวนกระดาษคาถาเช่นเดิม ตอนนี้พวกเขาจึงมีกระดาษคาถาเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณสามสิบแผ่น

“ชวิศามาทางนี้หน่อย”สุดฟ้าเอ่ยเรียกเมื่อเขาเขียนวงเวทเสร็จ ชายหนุ่มเจ้าของชื่อมองวงเวทที่ถูกเขียนอยู่บนกระดาษซึ่งวางซ้อนต่อกันอยู่ด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

“มีอะไรหรือ”

ชวิศารีบเอ่ยปฏิเสธ เขาไม่แน่ใจว่าการเขียนวงเวทบนกระดาษที่เรียงต่อกันแบบนี้จะใช้ได้ แต่เพราะตนเองก็ไม่ค่อยมีความรู้เช่นกัน จึงไม่กล้าเอ่ยแย้ง

“วงเวทสำหรับทำอะไรหรือครับ”

“ตามหาพ่อแม่ฉัน เอ่อ... แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ประมาณ... ดูว่าพวกท่านทั้งสองถูกจับไปจริง ๆ หรือยังอยู่สุขสบายดี”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ ถึงจะตีความอักขระในวงเวทไม่ออกแต่เพราะใช้งานวงเวทขนาดใหญ่มาหลายครั้ง เขาจึงพออนุมานการตั้งต้นจุดเริ่มเพื่อขับเคลื่อนวงเวทได้ ชวิศาเดินอ้อมไปวางมือระหว่างอักขระธาตุไฟซึ่งการกระทำนั้นเป็นรายละเอียดที่สุดฟ้าไม่รู้ ชายหนุ่มผู้เขียนวงเวทจึงเลิกคิ้วแต่ยังคงเงียบเสียงมองดู

ชวิศาถ่ายเทพลังเวทลงไป เมื่อพลังนั้นเคลื่อนที่วนบรรจบครบวัฏจักร รูปภาพของบุพการีทั้งสองของสุดฟ้าจึงลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง ทว่ามันกลับปรากฏให้เห็นภาพของพวกท่านทั้งสองที่ยังดูสุขสบายดีไม่ได้พบเจออันตรายอย่างที่ในอีเมลนั้นข่มขู่

หลังภาพถ่ายลุกไหม้หมด แผ่นกระดาษที่ใช้เขียนคาถาก็กลายเป็นเถ้าถ่านด้วยเช่นกัน

สุดฟ้านิ่งคิด เขาลังเลไม่แน่ใจว่าวงเวทที่ตนเขียนจะถูกต้อง แต่ผลลัพธ์การใช้เวทมันเกิดขึ้นแล้ว และผลลัพธ์นั้นกลับขัดกับสิ่งที่เขียนระบุไว้ในอีเมล เท่ากับว่าไม่สามารถยืนยันอะไรได้เลย

“อ๊ะ”สุดฟ้าร้องอุทานออกมา เขาทดลองวงเวทนี้โดยใช้ตรวจสอบพี่น้องฝาแฝดคู่นั้นก่อนก็ได้นี่นา

เขารีบเปิดหารูปของธัชนนท์และธัชนันท์ จากนั้นเริ่มลงมือเขียนวงเวทอีกครั้ง

ชวิศาได้แต่มองอยู่ใกล้ ๆ เพราะหันไปมองมาริเอะและสเตบาสเตียน ทั้งสองคนก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายปล่อยให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านทำสิ่งที่ตัวเองคิดไปตามลำพัง แต่เห็นสุดฟ้าเขียนวงเวทแล้ว เขานึกทึ่งมาก สุดฟ้าเพิ่งได้เห็นและรู้จักอักขระที่ใช้ในวงเวทเมื่อไม่กี่วันก่อนเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเขียนได้คล่องแคล่วเหมือนว่าจดจำทุกอย่างได้ขึ้นใจ

“ชวิศามาลองดูใหม่”

“อ้อ ครับ”เขาเดินตรงไปยังอักขระธาตุไฟเช่นเดิม

“เออ ว่าจะถามอยู่ ที่ไปวางมือตรงจุดนั้น มีเหตุผลหรือเปล่า”

“ถ้าจำไม่ผิด จะต้องถ่ายเทพลังเวทตามธาตุที่เป็นฐานของมนตรา ที่ผมเข้าใจ… เวทตามหาจะใช้คุณสมบัติของธาตุไฟเป็นหลัก”

“ ‘แผ่ขยาย’ สินะ”สุดฟ้าเอ่ยทวนความจำ ก่อนพยักพเยิดให้ชวิศาเริ่มลงมือได้

หลังรูปภาพของฝาแฝดสองพี่น้องถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิงที่เกิดจากพลังเวทจนปรากฏภาพนิมิตของทั้งคู่ให้เห็น สุดฟ้าจึงโทรศัพท์ไปหาสองคนนั้นซึ่งผลที่ได้ก็ตรงกับภาพนิมิตที่ถูกสร้างด้วยมนตรา

“มันใช้ได้”สุดฟ้าร้องบอก ชวิศาก็ยกยิ้มดีใจเช่นกัน กระนั้นมันก็มีสิ่งที่สุดฟ้าต้องคิดต่อไป “พวกที่ส่งอีเมลมาต้องโกหก แต่มันกล้าโกหกแบบนี้ได้ยังไง”

“พวกมันอาจรู้ว่าด็อกเตอร์ไม่สามารถติดต่อกับคุณสุดเขตและคุณปานฟ้าได้”มาริเอะเอ่ย

“ถ้าพวกมันรู้ ก็แสดงว่าพวกมันอยู่กับพ่อแม่นะสิ”

“อีกกรณีคือพวกมันมีสายอยู่ใกล้ ๆ ตัวด็อกเตอร์”

ชวิศาสะดุ้งโหยง ยกมือขึ้นโบกปฏิเสธพัลวันเมื่อสุดฟ้าตวัดสายตาหันมามองตน “ไม่ใช่ผมนะ ผมไม่รู้เรื่อง”

“ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”ชายหนุ่มร่างสูงยกยิ้ม ขยับเข้าไปดึงชวิศาเข้ามากอด

“ก็คุณสุดฟ้ามองแบบนั้น” ชวิศาสอดแขนกอดตอบอีกฝ่าย “ที่ผมเคยโกหกก็ตอนที่เข้ามาอยู่ในบ้านนี้แทนคุณมาริอย่างเดียวนะ ผมไม่เคยเป็นสายให้ใครหรือคอยสืบเรื่องของคุณไปบอกใครด้วย”

 มาริเอะเห็นทั้งคู่กอดกันจึงเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างสุดฟ้าพร้อมกอดชายหนุ่มไว้บ้างราวกับไม่อยากน้อยหน้า สุดฟ้าจึงต้องวาดแขนโอบร่างหุ่นยนต์ของมาริเอะไว้เช่นเดียวกันพลางกล่าวย้ำบอกชวิศาแม้จะเผลอคิดว่าชวิศาเป็นสายลับไปชั่วแว็บหนึ่งก็ตาม

“ฉันเชื่อ ไม่ต้องคิดมากนะ”

“แล้วอย่างนี้คุณสุดฟ้าจะทำอย่างไรล่ะครับ”

“ถึงจะรู้ว่าพ่อแม่ฉันไม่ได้โดนจับไปจริง ๆ แต่ก็ต้องตรวจสอบก่อนล่ะ ว่าตกลงมันมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่”

แต่สุดท้ายแล้ว ค่ำคืนนั้นพวกสุดฟ้าก็ทานอาหารมื้อเย็นและเข้านอนโดยพักเรื่องที่คิดว่าจะตรวจสอบไว้ทีหลัง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบห้า 18/03/2018 หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 18-03-2018 05:48:49
ตอนที่สี่สิบห้า



อีเมลข่มขู่ถูกส่งมาถึงสุดฟ้าอีกครั้งหลังจากที่เขาทำตัวเมินเฉยมันไปถึงหนึ่งสัปดาห์ จนชายหนุ่มรู้สึกว่าพวกผู้ร้ายกลุ่มนี้ก็ช่างใจเย็นมีความอดทนมากเหมือนกัน

รอบนี้เขาจึงตอบข้อความกลับไปว่า ‘กำลังเขียนแบบแปลนอันใหม่ให้อยู่ เนื่องจากแบบแปลนอันเก่าถูกทำลายไปแล้ว’

กระนั้นในระหว่างหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ก็ใช่ว่าเขาจะอยู่เฉย ๆ แต่ไม่ได้กำลังเขียนแบบแปลนอย่างที่ตอบอีเมลกลับไป เพราะเวลาที่ใช้สำหรับเขียนแบบแปลนสิ่งที่เคยสร้างสำเร็จไปแล้วครั้งหนึ่งนั้น เขาแค่เจียดเวลาสักแค่ชั่วโมงเดียวมันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว

ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ว่าหมดไปกับการปรับปรุงสเตบาสเตียน ซ่อมมอเตอร์สเปซ และช่วยให้ชวิศาใช้มนตราตรวจสอบสถานะของบุคคลเป้าหมายได้

พวกเขาทั้งหมดลงมาขลุกกันอยู่ที่ชั้นใต้ดิน กระทั่งเมื่อสองสามวันก่อนที่เก็บค่าประสิทธิภาพของหุ่นยนต์พ่อบ้านเสร็จแล้ว สเตบาสเตียนถึงได้กลับไปทำหน้าที่พ่อบ้านตามเดิม

“คุณมาริกับคุณสุดฟ้าคิดว่ายังไงบ้างล่ะครับ”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของคำถาม ก่อนหน้าคำถามนั้น ชวิศาเล่าเรื่องผู้ชายที่ชื่อเมดินกับแผนการกำจัดเจ้าชายทานันศิระที่มีหน้าตาเหมือนเขาและองค์กษัตริย์ของฮัชดาลลาร์ให้ฟัง แต่สุดฟ้าก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะช่วงที่ต้องลงโปรแกรมให้ระบบขับเคลื่อน เขาจะมุ่งสมาธิอยู่ที่โค้ตคำสั่งเพียงอย่างเดียว

“พูดกันตามจริง มันขาดรายละเอียดไปเยอะมากเลยครับคุณชวิศา ถ้าให้ตั้งสมมติฐานแบบคนนอก แม้แต่คุณกรินของคุณชวิศาก็เชื่อถือไม่ได้”มาริเอะเอ่ยตอบ

“คุณกรินไม่ใช่ของผมนะ”ชวิศาโวยวาย จากนั้นใบหน้าก็แดงเรื่อทำท่าเขินอายพร้อมพูดประโยคต่อไปด้วยความดังเสียงที่เบาลง “ผมรักคุณสุดฟ้าคนเดียว”

“โอ๊ะ น่ารักจัง มาจุ๊บที”สุดฟ้าเดินเข้าไปหาคนที่ยิ้มร่ารับคำชมทั้งยังเงยหน้าขึ้นรับจุมพิตของเขาอย่างว่าง่าย กระนั้นเมื่อเขาจูบชวิศาแล้ว จำต้องหันไปจูบมาริเอะด้วยไม่อย่างนั้นเขาจะต้องพบกับอาการหุ่นยนต์งอน

“แล้วคุณกรินเชื่อถือไม่ได้ยังไงล่ะ”ชวิศาหันไปให้ความสนใจกับหัวข้อที่พูดคุยค้างกันไว้อีกหน เขาและมาริเอะกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไม่ห่างจากจุดที่สุดฟ้ากำลังทำงานมากนัก

“ก็อย่างที่คุณชวิศาสงสัยนั่นแหละครับ วัน ๆ คุณกรินมัวแต่อ่านหนังสือในหอตำราจะไปรู้เรื่องราวความเป็นไปของคนอื่นได้อย่างไร แต่ถ้าคิดว่าคุณกรินก็มีสายสืบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนเรื่องที่คุณชวิศาเห็นคุณเมดินปรากฏตัวที่ลานกว้างหลังอาณาเขตมนตราคลายไปแล้ว ก็มีความเป็นไปได้อีกว่า คนคนนั้นอาจจะไม่ใช่คุณเมดิน”

“อ้าว ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”

“ถ้าสมมติฐานคือ มนตราสามารถทำได้ทุกสิ่ง ผู้ร้ายจะไม่สร้างภาพคุณเมดินให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เข้าใจผิดหรือครับ อีกประการหนึ่ง ถ้าคุณเมดินเป็นคนที่ทำร้ายคุณกรินจริง เขาจะยังกล้าไปหาคนที่ตนเองตั้งใจเอาชีวิตได้หรือครับ”มาริเอะเอ่ยตอบ

“ในฐานข้อมูลการวิเคราะห์รูปแบบนิสัยและปฏิกิริยาของมนุษย์ที่ผมเก็บไว้ คนร้ายอาจย้อนกลับไปหาเหยื่อหรือพยานอีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนย้อนกลับไปตรวจสอบว่าเหยื่อหรือพยานจะไม่พูดถึงตัวเองหรือไม่ก็ย้อนกลับไปเพื่อทำให้เหยื่อหรือพยานพูดไม่ได้อีก แต่ปฏิกิริยาของคุณเมดินที่คุณชวิศาเล่าให้ฟัง ผมวิเคราะห์ว่ามันค่อนข้างเฉื่อยชา เขาดูไม่เดือดร้อนกับการที่คุณชวิศาหรือคุณกรินยังมีชีวิตเดินไปเดินมาอยู่ในเมืองได้ ผลสรุปของผมจึงกลายเป็นว่า ทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่” มาริเอะยกยิ้มเมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย

ชวิศาทำหน้าตาแปลก ๆ คล้ายกับคิดตามไม่ทันก่อนจะหันไปถามสุดฟ้าซ้ำ “แล้วคุณสุดฟ้าคิดว่ายังไงบ้างล่ะครับ”

สุดฟ้ายิ้มแหย “ขอโทษนะ เรื่องเล่าที่ผ่านคนกลางมักจะถูกบิดเบือน มันจึงยากที่จะบอกว่าอะไรจริงอะไรเท็จ”

ชวิศาเอียงศีรษะขณะแปลคำพูดของชายหนุ่ม “อ๊ะ! คุณสุดฟ้าจะบอกว่า ผมพูดโกหกงั้นเหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อหันกลับไปโบกมือปฏิเสธ “ฉันหมายความว่า... เอ่อ... อาจจะเป็นไปได้ว่าสิ่งที่นายรับรู้มันถูกบิดเบือนไป นอกจากคำพูดของบุคคลอื่นแล้ว เราต้องสังเกตรายละเอียดสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยถึงจะพอคาดเดาได้เหตุการณ์หรือความเป็นไปที่เป็นจริงได้”

“ก็อย่างที่ผมบอกไปทีแรกนะแหละครับ เรื่องที่คุณชวิศาเล่าให้ฟังยังขาดรายละเอียดอีกเยอะ”

“งั้นไว้ครั้งหน้าผมจะสังเกตรอบตัวดี ๆ” ชวิศาพูดด้วยใบหน้ามุ่งมั่น

“อืม งั้นตอนนี้ลองเช็กพ่อแม่ฉันให้ดูหน่อย”ข้อความประโยคนั้นของสุดฟ้าหมายถึงให้ชวิศาใช้พลังเวทตรวจสอบสถานะความเป็นอยู่ของบิดาและมารดา

เพราะการเขียนวงเวทแต่ละครั้งต้องใช้เวลาพอสมควรและกระดาษคาถาที่ผ่านการเรียกใช้มนตราไปแล้วจะไม่สามารถใช้งานได้อีก เมื่อเป็นเช่นนั้นสู้ทำให้ชวิศาใช้พลังเวทได้ด้วยตัวเองเลยจะดีกว่า เขาเข้าใจวิธีการสร้างมนตราแต่เพราะไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เรียกว่าอำนาจพลังธาตุได้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเริ่มต้นด้วยให้ชวิศาเรียกใช้มนตราที่เจ้าตัวใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้กระดาษคาถา เขาพูดคุยสอบถามความคิดความรู้สึกขณะที่ชวิศาเรียกใช้พลังเวท และดูเหมือนว่าในกรณีของชวิศานั้น การไม่คิดกำหนดตั้งใจใช้อำนาจพลังธาตุใดเป็นพิเศษ อีกฝ่ายจะเรียกใช้มนตราได้สำเร็จมากกว่า

เพราะฉะนั้น เขาจึงให้ชวิศาทำเพียงตั้งสมาธิถึงสิ่งที่ต้องการเท่านั้น มันไม่สำเร็จในครั้งแรก แต่ก็ดีขึ้นในครั้งต่อมา จนในที่สุด ชวิศาก็สามารถเรียกงานมนตรานั้นได้คล่องแคล่ว

ชวิศาแบมือ ภาพพ่อแม่ของสุดฟ้าก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือข้างนั้น

หญิงชายวัยกลางคนในภาพนิมิตอยู่ในชุดป้องกันความหนาวเนื้อหนา ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังอยู่ในยานพาหนะซึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปที่ไหนสักแห่ง ทว่ายังไม่ทันได้สังเกตรายละเอียดอื่น ๆ ภาพที่ปรากฏเหนือฝ่ามือของชวิศาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว

ถึงชวิศาจะเรียกใช้มนตรานี้ได้คล่องแคล่วแต่เขาก็ยังไม่สามารถหน่วยพลังเวทที่ใช้ให้คงอยู่ได้ยาวนานอย่างที่ต้องการ

“หวา!!! หายไปแล้ว”

“แต่ครั้งนี้คุณชวิศาเรียกใช้มนตรานี้ได้นานกว่าเดิมตั้งสองวินาทีเลยนะครับ”

ชวิศาย่นจมูกเบ้หน้าด้วยท่าทางประหลาด ๆ

“ทำหน้าแบบนั้นจะดีใจหรือเสียใจกันแน่”สุดฟ้าเอ่ยถามพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“ผมก็ตัดสินใจไม่ถูกเหมือนกัน เวทมนตร์นี่เหมือนง่ายแต่ก็ยาก เหมือนยากแต่ก็ง่าย ...งง ไม่เข้าใจ คุณกรินบอกว่ามีแยกย่อยเป็นคำสาปด้วย”

“คำสาป?”สุดฟ้าเอ่ยถามด้วยความสนใจ

“ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน ให้อะไรย้อนกลับก็ไม่รู้”

ทว่ามันก็ไปจุดประกายความคิดของสุดฟ้าเข้าอย่างจัง เขายกยิ้มเพิ่มหัวข้อที่ต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมไว้ในหัว ก่อนจะพยายามพักความสนใจนั้นไว้เพื่อกลับมาสู่เรื่องที่ไอ้พวกใจกล้าเอาเรื่องพ่อแม่ของเขามาหลอกก่อน

“รออีกสองสามวัน ฉันก็จะปรับปรุงมอเตอร์สเปซเสร็จแล้ว เรื่องแผนจะเอาอย่างไรดีล่ะมาริ”

“ผมคิดว่าเราควรแยกเป็นสองกลุ่ม ด็อกเตอร์เอาแบบแปลนของปลอมไปให้พวกมัน อีกกลุ่มหนึ่งคอยไปอยู่คุ้มครองคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้า”

“อ้อ... ถ้าพวกมันรู้ว่าแบบแปลนเป็นของปลอม มันก็ต้องมาเล่นงานพวกเรา ทีนี้เราก็จะจัดการพวกมันให้สิ้นซาก”

“ใช่แล้วครับ ด็อกเตอร์ก็เตรียมของไปให้พร้อมล่ะ”

“ว้า... ฉันจะเอามอเตอร์สเปซไป ท่าทางจะขนของไม่พอ สงสัยต้องไปลิสต์รายการที่จำเป็นจริง ๆ ก่อนละมั้งเนี่ย”

“เอ่อ ถ้าจะขนของ มาฝากไว้ในนี้ก็ได้มั้งครับ”ชวิศาพูดแทรกพร้อมชี้มือไปยังอัญมณีสีดำที่ประดับอยู่บนกำไลข้อมือ




หลังปรับปรุงมอเตอร์สเปซเสร็จ สุดฟ้าใช้เวลาอีกหนึ่งวันในการขนของที่อยากเอาไปด้วย เก็บไว้ในอัญมณีช่องว่างมิติของชวิศา จากนั้นต้องตกลงเรื่องแบ่งกลุ่มซึ่งเกิดเป็นปัญหาน่าปวดหัวที่สุด

พวกเขามีสี่คน ถ้าแบ่งแบบลงตัวคือกลุ่มละสองคนแต่บังเอิญว่าทั้งชวิศาและมาริเอะต่างอยากไปกับเขา

“งั้นฉันอยู่กลุ่มเดียวกับสเตบาสเตียน”

“ไม่ตกลง”สองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันประสานเสียงตอบ

“อย่างนั้นก็เป่ายิ้งฉุบ”

“นั่นก็ไม่เอาเหมือนกัน ผมอยากไปกับคุณสุดฟ้า ถ้าผมแพ้เราก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ”ชวิศาพูดเสียงอ้อน เกาะแขนเขาไว้พร้อมส่งสายตาน่าสงสารมาให้

“ให้สเตบาสเตียนไปหาคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้าแค่คนเดียว ก็เห็นเป็นไรเลย ด็อกเตอร์จะไม่คิดถึงผมหรือครับ”มาริเอะถามอ่อย

“ไม่ได้หรอก เผื่อเกิดเรื่องผิดแผน”สุดฟ้าค้าน

“จะผิดแผนอะไร คุณสเตบาสเตียนเก่งจะตาย”

“ใช่ ๆ สเตบาสเตียนให้เป็นสุดยอดพ่อบ้านไม่ใช่เหรอ เกิดเรื่องอะไรสเตบาสเตียนก็รับมือได้อยู่แล้ว จริงไหมคุณซูเปอร์หุ่นยนต์พ่อบ้าน”ประโยคหลังมาริเอะหันไปถามหุ่นยนต์พ่อบ้านที่ยืนนิ่งไม่มีปากมีเสียง

“ไม่ทราบครับ แต่ตั้งแต่ที่ผมถูกสร้างมา ยังไม่มีเหตุการณ์ใดที่ผมรับมือไม่ได้ นอกจากระบบขัดข้องจนตัดการทำงานซึ่งกรณีนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของผม”

“นั่นไง ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นอีกมันควรมีตัวช่วยสำรอง”

“ด็อกเตอร์”

“คุณสุดฟ้า”

แฝดคนละฝาอย่างมาริเอะและชวิศาต่างส่งเสียงออดตะแง้ว ๆ สุดฟ้าที่โดนรบเร้าอย่างหนักถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกตีสีหน้าปูเลี่ยน ๆ กระทั่งชายหนุ่มเอ่ยปากยินยอมให้ทำอย่างที่ทั้งสองคนต้องการนั่นแหละ สองหนุ่มเจ้าของใบหน้าสวยที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วถึงหันไปตีมือกันเองและยอมเงียบเสียงลง

สุดฟ้ารู้สึกว่าตัวเองเสียทีให้กับทั้งคู่อย่างง่ายดายเหลือเกิน หรือเขาต้องเข้าสมาคมกลัวเมียแล้วหรือเนี่ย!?

สรุปว่า จะมีแค่สเตบาสเตียนที่ไปหาพ่อแม่ของเขา สุดฟ้าจึงคิดว่าเขาควรปรับแผนนิดหน่อย ด้วยการยกขบวนไปหาพ่อแม่ก่อน แล้วเขาค่อยไปจัดการธุระที่เหลือ

อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่ทันได้ออกเดินทาง ตัวป่วนอีกสองหน่อก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน ที่สำคัญเขาได้เห็นหุ่นยนต์น้ำในสภาพปกติ

“พวกแกทำได้ยังไงเนี่ย” เจ้าของดั้งเดิมร้องถาม

“ทำไม ทีมพัฒนาของบริษัทก็ไม่ใช่เล่น ๆ นะเว้ย มีคนเทพถึงขนาดซ่อมหุ่นยนต์ของแกได้แล้วกัน”ธัชนันท์พูดอวด

ไอ้เรื่องซ่อมกันเองได้ เขาไม่ห่วงหรอก แต่เขากังวลว่าระบบการทำงานของน้ำยังคงเชื่อมต่ออยู่กับเซิร์ฟเวอร์หลักหรือเปล่านี่สิเรื่องสำคัญ แต่สุดฟ้าไม่กล้าเอ่ยถามสเตบาสเตียนต่อหน้าฝาแฝด เพราะกลัวสองพี่น้องนั่นจะจับได้

“เออ ก็ดี”เขาพูดตอบรับไปแกน ๆ มองพี่น้องสุวราลักษณ์เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาและเปิดทีวีราวกับอยู่บ้านตัวเอง

“อ้าว ไฟดับเหรอวะ” เพราะเปิดโทรทัศน์ไม่ติดธัชนนท์จึงหันหน้ามาถาม

“ออ ก็ทำนองนั้น นี่ว่ากำลังจะออกไปเดินเที่ยวห้างกัน” สุดฟ้าโกหกเพราะตัดระบบไฟฟ้าในบ้านเตรียมตัวออกเดินทางกันแล้ว

“งั้นเหรอ อย่างนั้นบอกให้สเตบาสเตียนรีบทำกับข้าวเลย ไฟดับ ตู้เย็นคงไม่ทำงานใช่ไหม ต้องรีบทำกับข้าวนะ เดี๋ยวของสดเสีย”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านคิ้วกระตุก เขาจำได้ว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ที่สองพี่น้องสุดแสบมาที่บ้านของเขาก็ให้สเตบาสเตียนทำกับข้าวทุกที ยังมีหน้ามาอ้างเรื่องไฟดับ ทำเป็นห่วงเรื่องของสดในตู้เย็นของเขาอีก

“ไม่มีหรอก ก็เนี่ยไม่มีอะไรเหลือในตู้เย็นเลย ก็ว่าจะไปหาอะไรกินข้างนอกด้วย” สุดฟ้าพูดและรีบเอ่ยปากไล่ “พวกแกก็กลับไปได้แล้ว”

“อะไรวะ ทำไมวันนี้ถึงดูกระตือรือร้นอยากออกไปข้างนอกจัง”

“ใช่ ปกติถ้าไม่ใช่งานแฟนมีตติ้งคิขุแมน ต่อให้เอารถถังมาลาก แกก็แทบไม่ยอมก้าวออกจากบ้านเลยไม่ใช่หรือไง”

ถึงทุกอย่างจะเป็นจริงอย่างที่สองพี่น้องฝาแฝดพูด แต่ก็ไม่เห็นต้องย้ำเลย สุดฟ้าคิดในใจ

“ไม่ใช่ซะหน่อย ...ถ้ามีงานต้องทำฉันก็ยอมออกจากบ้านเหอะ หรือต่อให้ไม่ใช่เรื่องงาน ฉันก็ออกไปเที่ยวบ่อยจะตาย”

“อ๋อเหรอ”ธัชนนท์และธัชนันท์ต่างลากเสียงยาวพร้อมกัน

“แล้วครั้งนี้ แกไปเรื่องงานหรือไปเที่ยวล่ะ”ธัชนนท์ถามต่อ

“ไป...”สุดฟ้าชะงักพลันฉุกคิดว่า เขาไม่มีทางหลงกลหรอก “ฉันจะไปเดินเที่ยวห้างกับชวิศาและมาริ พวกแกอยากจะไปเป็นก้างขวางคอฉันเหรอ”

“อ้อ” สองพี่น้องขานเสียงรับพร้อมกันอีกครั้ง พวกเขาลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินทางกลับแต่โดยดี แต่สุดฟ้ายังไม่วางใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปส่งเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กที่หน้าประตู

“พวกฉันไม่ทำลายการไปเดตของแกอยู่แล้วล่ะน่า”ธัชนนท์เอ่ยย้ำ เขาและน้องชายยอมขึ้นรถกลับไปแต่โดยดี จากนั้นสุดฟ้าจึงหันไปถามสเตบาสเตียน

“น้ำยังคงเชื่อมต่อกับระบบเซิร์ฟเวอร์กลางอยู่หรือเปล่า” ถึงหุ่นยนต์ของสุดฟ้าจะมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์แต่เขาไม่ได้ออกแบบให้ระบบควบคุมอยู่ที่ศีรษะเหมือนมนุษย์ปกติ เขาติดตั้งระบบประมวลผลกลางไว้ที่กลางหน้าอกเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นจุดที่ดูปลอดภัยมากที่สุด

“ระบบการทำงานของน้ำถูกตัดขาดไปตั้งแต่ที่ชิ้นส่วนเสียหายครับ สถานะปัจจุบันก็ยังขาดการเชื่อมต่อเหมือนเดิม”

“แล้วเดย์ล่ะ”

“ยังอยู่ในการควบคุมครับ”

ตอนที่สุดฟ้ากำลังพูดคุยกับสเตบาสเตียน มาริเอะก็พาชวิศาออกมาจากห้องนอนหลังจากต้องหลบอยู่ภายในนั้นเป็นนานสองนาน

“ทำไมผมต้องซ่อนตัวด้วยล่ะ”ชวิศาถาม สุดฟ้าได้ยินคำถามจึงเป็นคนเอ่ยคำตอบด้วยตนเอง

“ฉันไม่อยากให้นายโดนเจ้าพวกนั้นซักไซ้”

ชวิศาทำหน้าฉงนยิ่งกว่าเดิม

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ พวกเราเดินทางกันดีกว่า” สุดฟ้าร้องบอกตัดบทพร้อมออกคำสั่งให้สเตบาสเตียนนำรถออก

การเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาไม่มีกระเป๋าสัมภาระพะรุงพะรัง ข้าวของทุกอย่างเก็บอยู่ในอัญมณีของชวิศา ทุกคนจึงเดินไปขึ้นพาหนะตัวเปล่า มีสเตบาสเตียนนั่งประจำที่นั่งคนขับเช่นเดิม สุดฟ้านั่งอยู่ด้านข้าง ส่วนชวิศาและมาริเอะนั่งอยู่ข้างหลัง

“ขับออกไปแบบปกติก่อน และตรวจสอบแผนที่หาจุดที่ไม่มีคนด้วย”

สุดฟ้าเห็นสองพี่น้องฝาแฝดสุวราลักษณ์ขึ้นรถกลับบ้านไปแล้ว แต่ด้วยความระแวงส่วนตัวเขาจึงต้องแสร้งทำเป็นว่ากำลังเดินทางไปห้างสรรพสินค้าตามที่เคยพูดไว้

“เราจะไปไหนหรือครับ ไม่ไปหาพ่อแม่คุณสุดฟ้าหรือ”ชวิศาถาม เมื่อเห็นว่ามอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ไปบนถนน

“ฉันอยากเช็กให้แน่ใจว่าเจ้าสองคนนั้นไม่ตามเรามา”

“หือ ไม่ใช่ว่าถ้าเราสั่งให้มอเตอร์สเปซลอยขึ้น ไอซ์กับอาทก็ตามพวกเรามาไม่ได้แล้ว ไม่ใช่หรือ”

“ถึงพวกนั้นจะตามพวกเรามาไม่ได้ในทันที แต่ก็คงหาทางตามที่อยู่ของฉันทันทีเหมือนกัน”

“ทำไมคุณสุดฟ้าต้องพยายามหนีฝาแฝดขนาดนั้นด้วย ต่อให้สองคนนั้นตามมาจริงก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

“จำที่ผมเคยตั้งข้อสันนิษฐานว่ารอบตัวของด็อกเตอร์อาจจะมีสายลับคอยรายงานความเคลื่อนไหวของด็อกเตอร์อยู่ได้ไหมครับ”มาริเอะพูด

“อ๊ะ คุณมาริคิดว่าเป็นสองคนนั้นเหรอ อย่างนั้นหรือครับคุณสุดฟ้า” ชวิศาส่งเสียงด้วยความตกใจปนความประหลาดใจเป็นอย่างมาก จากที่เขาเห็น สองคนนั้นไม่น่าจะเป็นสายให้กับพวกคนร้ายได้เลย

“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่แค่อยากให้การเดินทางครั้งนี้ของฉันมีคนรู้น้อยที่สุดเท่านั้นเอง”

“แย่แล้ว!!!” ชวิศาร้องอุทานออกมาอีกครั้ง ก่อนจะตีหน้าแหยพูดเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิด “ผมบอกคุณแม่ คุณยาย และพี่โยไปหมดแล้ว ว่าจะไปพบพ่อแม่คุณสุดฟ้า”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งชะงักงันไปทันที ทว่าสมองของเขากลับคิดหาทางออกได้อย่างรวดเร็ว

“งั้นต้องหลอกล่อกันหน่อย”



หลังจากธัชนนท์และธัชนันท์ออกจากบ้านของสุดฟ้ามาแล้ว ฝาแฝดคนพี่ที่นั่งอยู่ที่นั่งตอนหลังของรถยนต์คันหรูได้หยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก ส่วนคนน้องทำหน้าที่สารถีขับรถพาพวกเขาทั้งคู่กลับบริษัท

“พี่โยหรือครับ พอดีกว่าผมจะขอเบอร์โทรศัพท์ของซีนะครับ ...อืม ผมไปหาที่บ้านสุดฟ้าแล้วแต่บ้านปิด ...อ้อ ครับ ๆ เอาเบอร์ด้วย” ธัชนนท์ดึงปากกาที่หนีบอยู่กับกระเป๋าเสื้อออกมาถือ จังหวะนั้นน้ำก็ยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ มาตรงหน้าเขาจึงหันไปยิ้มให้ และลงมือจดหมายเลขที่ถูกแจ้งมาตามสาย

“โอเคครับ ขอบคุณมากนะครับพี่โย”เขาวางสายแล้วพูดบอกเล่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาให้น้องชายฟังต่อ

“พี่โยบอกว่า ซีกำลังจะเดินทางไปพบพ่อแม่ของสุดฟ้า”

“เฮ้ย ไอ้สุดมันรู้ด้วยเหรอว่าคุณลุงกับคุณป้าอยู่ที่ไหน” น้องชายส่งเสียงโต้ตอบกลับไป

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเราตามสัญญาณโทรศัพท์ของซี เราก็อาจจะรู้ว่าคุณลุงคุณป้าอยู่ไหน” ธัชนนท์พูดพลางกดเข้าแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ กดหมายเลขสิบตัวบนกระดาษลงในช่องค้นหา

“แล้วไอ้ที่เมื่ออาทิตย์ก่อน มันบอกว่าได้รับอีเมลที่คุณลุงคุณป้าถูกจับตัวไป มันอะไรกันวะพี่”

“ถามฉัน แล้วฉันจะรู้ไหม เจ้าสุดฟ้าเองก็เฉยไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย” เขามองภาพจุดตำแหน่งบนหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งกำลังเคลื่อนที่ ทิศทางของมันมุ่งตรงไปยังห้างสรรพสินค้าตามที่สุดฟ้าได้พูดไว้

“หรือว่ามันโกหก”

“บ้าเหรอ สุดฟ้ามันจะโกหกเราเพื่ออะไร”

“งั้นมีอย่างเดียวคือมันได้คุยกับคุณลุงคุณป้าแล้ว”

“ก็อาจจะเป็นไปได้”ธัชนนท์พูดตอบรับโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า คำสนทนาเหล่านั้นถูกบุคคลที่สามดักฟังอยู่ตลอดเวลา


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบหก 25/03/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 25-03-2018 08:57:52
ตอนที่สี่สิบหก



“ด็อกเตอร์ครับ สัญญาณโทรศัพท์ของคุณชวิศาถูกตรวจจับด้วยแอปพลิเคชันติดตามครับ” เสียงรายงานของสเตบาสเตียนทำให้สุดฟ้าหันไปมอง ก่อนเอี้ยวคอไปมองคนที่ถูกกล่าวถึงในประโยคนั้น

ชวิศาออกอาการตื่นเต้นรีบหยิบโทรศัพท์มือในความครอบครองออกมา นั่นทำให้สุดฟ้าเห็นว่า

“เครื่องที่ฉันเคยให้นาย”

โทรศัพท์เครื่องนั้นเป็นเครื่องที่สุดฟ้าเคยให้ชวิศาสมัยที่เจ้าตัวโมเมแกล้งเป็นหุ่นยนต์คนรักและเข้ามาอยู่ในบ้าน

“ก็คุณสุดฟ้าไม่ได้ขอคืน แล้วมันก็ใช้ดีด้วย” ชวิศาพูดบอกคล้ายจะแก้ตัว

“อือ ไม่ได้ว่าอะไร เพราะนายเก็บไว้นั่นแหละ เราถึงรู้ว่าสัญญาณโทรศัพท์ของนายโดนติดตาม” เนื่องจากสุดฟ้าได้ทำการดัดแปลงมันเพื่อให้ตัวเองสามารถดักฟังข้อความที่ชวิศาพูดคุยผ่านโทรศัพท์ได้ โทรศัพท์เครื่องที่ว่าจึงถูกเชื่อมโยงเข้ากับระบบเซิร์ฟเวอร์หลักที่มีสเตบาสเตียนคอยดูแลอยู่

สุดฟ้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ก็เปลี่ยนตำแหน่งสัญญาณสิครับ แบบนี้ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ จะหลอกให้ใครที่พยายามติดตามด็อกเตอร์ผ่านคุณชวิศาไปซ้ายหรือขวาก็ได้ทั้งนั้น”

“ได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

สุดฟ้ากดปุ่มที่อยู่แถวคอนโซลด้านหน้าฉับพลันพื้นที่ตรงหน้าก็มีแป้นคีย์บอร์ดยื่นออกมาพร้อมแสงไฟที่ถูกยิงขึ้นไปเป็นหน้าจอแสดงภาพหน้าต่างการทำงาน

ชายหนุ่มเรียกโปรแกรมเขียนคำสั่งเพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นจึงรัวนิ้วเพื่อเขียนโค้ดคำสั่ง มาริเอะจึงขยับมาเกาะที่ด้านหลังของเบาะที่นั่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งที่เจ้าตัวก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบกลางเพื่อตรวจสอบได้เช่นเดียวกัน และพอเห็นมาริเอะทำแบบนั้น ชวิศาจึงทำตามบ้างราวกับจะน้อยหน้าไม่ได้

ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีคำสั่งลวงตำแหน่งสัญญาณก็เสร็จเรียบร้อย

“หาพื้นที่ปลอดคนแล้วขึ้นบินได้เลย” สุดฟ้าหันไปสั่งสเตบาสเตียนให้มุ่งหน้าไปยังจุดหมายใหม่หลังจากที่กดเอนเทอร์ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดโปรแกรมติดตามสัญญาณโทรศัพท์ กรอกหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ของชวิศาลงไป

เขายกยิ้มเมื่อตำแหน่งของสัญญาณโทรศัพท์เป็นไปตามที่เขากำหนดไว้

“เรียบร้อยแล้ว หัวใสดีมาก” เขาหันไปเอ่ยชมมาริเอะ

“ถ้าอย่างนั้น ด็อกเตอร์ต้องให้รางวัลผมด้วย” หุ่นยนต์สมองกลอย่างมาริเอะไม่ปล่อยให้เสียโอกาส

“ได้ อยากได้อะไรล่ะ”

“หอมแก้มทีนึง”

คนที่ต้องให้รางวัลถึงกับส่งเสียงหัวเราะเพราะเป็นของรางวัลที่หาง่ายอย่างเหลือเชื่อ “มา ๆ เดี๋ยวแถมให้อีกสองทีเลย”

สุดฟ้าจึงขยับเอี้ยวตัวมากดจมูกบนแก้มของมาริเอะทั้งซ้ายขวาและแถมที่หน้าผากให้อีกที ก่อนจะหันไปหาชวิศา “ด้วยไหม”

“ไม่ครับ เพราะครั้งนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังสร้างปัญหาให้คุณสุดฟ้าตั้งหลายอย่าง”

“อย่าคิดมากไปเลยน่า” สุดฟ้าพูดปลอบ ชวิศาจึงตอบรับว่าจะไม่คิดมาก

มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ไปตามท้องถนนออกจากตัวเมืองเข้าสู่เขตปริมณฑล แล้วเลี้ยวอีกทีเข้าสู่ถนนเทปูนที่ดูเหมือนว่าเจ้าของที่ตั้งใจจะสร้างบ้านจัดสรร แต่อาจจะเจอพิษเศรษฐกิจหรือขาดเงินทุนเสียก่อน จึงต้องปล่อยทิ้งโครงการ ทำให้ที่ดินสองข้างทางกลายเป็นที่รกร้าง

สุดฟ้าเห็นว่าน่าจะปลอดคนแน่แล้วจึงเอ่ยว่า “เปลี่ยนโหมดได้”

สองมือของสเตบาสเตียนยังจับอยู่ที่พวงมาลัย ทว่าเมื่อระบบสมองกลรับคำสั่งเสียงมาแล้ว มันได้ควบคุมสั่งการต่อเนื่องให้ยานพาหนะที่ยังวิ่งอยู่บนพื้นเริ่มลอยตัวขึ้น

“โหมดอากาศยานเริ่มต้นทำงาน” เสียงประดิษฐ์ของระบบขับเคลื่อนดังออกมาจากลำโพงแจ้งเตือนขั้นตอนการทำงาน ก่อนมีเสียงเตือนอีกครั้งให้พวกเขาคาดเข็มขัดนิรภัย

ชายหนุ่มที่มีหน้าตาเหมือนกันสองคนซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งตอนหลังจึงดึงเข็มขัดออกมาพาดข้ามตัวแล้วกดลงในช่องตัวจับล็อก

ครั้งนี้มอเตอร์สเปซไม่ได้ลอยขึ้นในแนวดิ่งแต่มันบินขึ้นด้วยวิธีการเดียวกับเครื่องบินลำใหญ่ เพราะระบบขับเคลื่อนทำงานอยู่แล้วทั้งยังมีพื้นที่พอ ความเร็วในการเคลื่อนที่บินขึ้นจึงพุ่งพรวด

สุดฟ้ายกมือโบกให้สัญญาณกับสเตบาสเตียน ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นปิดปากเพราะรู้สึกมวนท้องพะอืดพะอมอยากจะขย้อนอาหารมื้อเช้าออกมาทางปาก หรืออีกความหมายหนึ่งคือ เขากำลังเมาเครื่อง!!!

หุ่นยนต์คุณพ่อบ้านก็ช่างรู้ใจดึงถุงกระดาษมาส่งให้อย่างรวดเร็ว  สุดฟ้าจึงจัดการถ่ายเทของเหลวจนกระทั่งหมดกระเพาะ ก่อนจะพิงศีรษะกับเบาะด้วยท่าทางหมดเรี่ยวแรง ขณะที่สเตบาสเตียนจัดการรับถุงอาเจียนมามัดปากถุงเสียแน่น พร้อมกันนั้นช่องวางของระหว่างที่นั่งตอนหน้าได้เปิดออกให้เห็นว่าข้างในกลวงเปล่า สเตบาสเตียนทิ้งของในมือลงไปในนั้น

“ไหวไหมครับ” ชวิศาเอ่ยถาม พนักพิงของสุดฟ้าค่อย ๆ เอนลงเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถให้ชายหนุ่มได้นอนอย่างสบายตัวมากขึ้น เห็นใบหน้าซีดเซียวของสุดฟ้าแล้วชวิศานึกสงสารขึ้นมาทันที

อีกพักใหญ่ ๆ ต่อมา มอเตอร์สเปซก็ถึงระดับเพดานบิน การเคลื่อนที่จึงนิ่งเงียบราวกับวิ่งอยู่บนพื้นและแม้ระดับเพดานบินที่ว่าจะอยู่สูงเหนือเมฆแต่กลับไม่รู้สึกถึงแรงกดอากาศจากภายนอก

“ยังพอทนได้ไหว” สุดฟ้าตอบทั้งที่ยังนอนหลับตา

“ผมต้องขอโทษด้วยครับ” สเตบาสเตียนเอ่ยขึ้นมาบ้าง เพราะทุกครั้งที่ใช้โหมดอากาศยาน มอเตอร์สเปซจะถูกสั่งให้ลอยขึ้นในแนวดิ่ง ระบบของสเตบาสเตียนจึงไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ แม้แต่สุดฟ้าเองก็ตาม เขาเข้าใจเพียงแค่ว่าตนเองเมาเครื่องบิน จึงได้สร้างยานพาหนะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศได้มาแทนที่ โดยไม่รู้ว่าวิธีการนำเครื่องขึ้นนั่นต่างหากที่ทำให้เขามึนศีรษะ

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ความผิดของนายเสียหน่อย”

“มีน้ำเย็นกับผ้าขนหนูบ้างไหม” ชวิศาเอ่ยถามอีกครั้ง ซึ่งคุณพ่อบ้านก็จัดสรรมาให้โดยมันถูกเลื่อนขึ้นมาจากช่องเก็บของระหว่างที่นั่งตอนหน้า จนชวิศาเริ่มแปลกใจว่า มันมีอะไรถูกเก็บไว้ภายในบ้าง

อย่างไรก็ดี ชวิศาได้ลงมือจัดการเทน้ำเย็นลงบนผ้า ขยำดูว่ามันพอหมาดแล้วซับลงบนใบหน้าของสุดฟ้า

“ขอบใจน้า”

“ทานยาดีไหมครับ มียาหรือเปล่าคุณสเตบาสเตียน” ชวิศาถามสุดฟ้าก่อนหันไปคุยกับคุณพ่อบ้าน เมื่อได้ยินคำถามที่ว่านั้น สเตบาสเตียนก็หยิบยาออกมาจากกระเป๋าทันทีซึ่งยาที่ว่าคือยานอนหลับที่สุดฟ้าต้องทานทุกครั้งก่อนขึ้นเครื่องบิน

“ด็อกเตอร์ อ้าปากครับ”

สุดฟ้าอ้าปากให้สเตบาสเตียนหย่อนเม็ดยาลงไป ชวิศาจึงพูดต่อ

“ทานน้ำหน่อยไหมครับ”

สุดฟ้าโบกมือปฏิเสธ “ไม่ล่ะ” แล้ววางมือประสานบนอก เงียบเสียงไม่พูดอะไรอีกเพียงครู่เดียวลมหายใจของชายหนุ่มก็ทอดยาวสม่ำเสมอ

“คุณสุดฟ้าหลับแล้วเหรอ” ชวิศากระซิบถามเสียงเบา ซึ่งมีสเตบาสเตียนเป็นคนตอบคำถามนั้น “ครับ ยานอนหลับตัวนี้ออกฤทธิ์เร็วมาก”

“คุณชวิศาไม่ต้องเป็นห่วงหรอก สเตบาสเตียนอยู่กับด็อกเตอร์มานานแล้ว เป็นคุณพ่อบ้านที่รู้ใจเจ้านายสุด ๆ” มาริเอะพูดแบบนั้นได้เพราะสามารถเข้าถึงล็อกไฟล์การทำงานของสเตบาสเตียนที่ถูกบันทึกอยู่ในระบบกลาง

“แต่คุณสเตบาสเตียนเพิ่งถูกเปลี่ยนมาอยู่ในรูปลักษณ์นี้เมื่อไม่นานเองนะ” ชวิศาเอ่ยแย้งแต่เสียงที่ใช้พูดเบาลงกว่าปกติเพราะไม่อยากรบกวนคนที่กำลังนอนหลับ

“เมื่อก่อนผมอยู่บนโทรศัพท์มือถือของด็อกเตอร์ด้วยครับ เป็นโปรแกรมที่มีหน้าตาประมาณเกมจีบหนุ่ม”

“เอ๋ งั้นคุณสเตบาสเตียนก็มีรูปลักษณ์หน้าตามาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วเหรอ”

“หน้าตาเหมือนคิขุแมนนะครับ” เสียงพูดของมาริเอะเหมือนทั้งเบื่อทั้งระอา

มนุษย์ที่เป็นคนฟังถึงกับหัวเราะ “คิขุแมนก็น่ารักดีออก” มาริเอะจึงย่นจมูก

“คุณชวิศาเนี่ยหลงด็อกเตอร์สุด ๆ เลย ด็อกเตอร์ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้แล้วเนี่ย”

“ถ้าสุภาษิตที่ถูกต้องมันคือ ชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนกครับ” คุณพ่อบ้านพูดแก้ ขณะที่ชวิศายังยกยิ้มขำขันฟังมาริเอะเถียงกลับไปว่า

“ก็ด็อกเตอร์ไม่มีทางเห็นนกเป็นไม้และเห็นไม้เป็นนกนี่ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องพาไปตรวจแล้ว ต้องเกิดอะไรผิดปกติขึ้นสักอย่างแน่”

“มันแค่เปรียบเทียบไงครับ” ชวิศาพูด “แต่ผมหลงคุณสุดฟ้าจริง ๆ แหละ หลงรักหมดใจเลย” พลางยกมือขึ้นมาประกบเป็นรู้หัวใจไว้กลางอก เอียงคอยิ้มหวานซ้ำยังขยิบตาให้ มาริเอะที่นิ่งมองกะพริบตาปริบ ๆ แต่การกะพริบตานั้นเป็นการจับภาพเพื่อลอกเลียนแบบ จากนั้นมาริเอะจึงทำท่าแบบนั้นออกมาบ้าง

“หลงรักหมดใจเลย”

“งุ้ย!!! ดีง่ะ คุณสเตบาสเตียนถ่ายรูปให้หน่อย” ชวิศารีบยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้คุณพ่อบ้าน ทว่าโดนคนที่หน้าเหมือนกันห้ามไว้ก่อน

“ไม่ต้องใช้กล้องโทรศัพท์หรอกครับ” แล้วมาริเอะก็พยักพเยิดให้ออกท่าออกทาง แม้จะประกบมือเป็นรูปหัวใจแต่ชวิศายังมีทีท่างุนงง อย่างไรก็ดีครู่ต่อมา มาริเอะได้บอกให้ชวิศาเปิดดูภาพในโทรศัพท์

“เฮ้ย! ทำได้ไงอะ”

“อย่าลืมสิครับ พวกผมเป็นซูเปอร์หุ่นยนต์มากความสามารถนะครับ” มาริเอะพูดตอบพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง

“งั้น ถ่ายอีก ถ่ายอีก ภาพเมื่อกี้ยังไม่ดีเลย”

หลังจากนั้น ชวิศาจึงเอ่ยปากบอกท่าทางแอ็กต์ท่าถ่ายรูปคู่กับมาริเอะอีกหลายภาพ พอได้ภาพมาอยู่ในโทรศัพท์มือถือก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ทำให้มาริเอะเอ่ยปากถาม

“คุณชวิศาดูมีความสุข ทั้งที่แค่ดูรูปตัวเองเท่านั้นเอง อย่างในซีรี่ส์ถ้านางเอกหรือพระเอก เปิดโทรศัพท์เพื่อดูรูปคนที่ชอบแล้วยกยิ้มมีความสุข ผมยังพอเข้าใจได้”

“ก็รูปมันน่ารัก”

“รูปตัวเองนะหรือ”

“อืม เพราะเราถ่ายรูปคู่กันด้วย ดูดิหน้าตาดีคูณสอง”

“อย่างนี้เขาเรียกว่าหลงตัวเองหรือเปล่า”

“ใช่เลย แต่หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” ชวิศาหัวเราะก่อนพูดตอบกลับไปอย่างมั่นใจ “พี่โยยังชอบให้ผมไปออกงานบ่อย ๆ ทั้งที่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่พี่ชายผมเขาบอกว่า ‘เอาไว้โชว์’ ดูดิโคตรใจร้ายทำอย่างกับเราเป็นของประดับ” กระนั้นเจ้าตัวกลับไม่มีทางทางเศร้าใจตามคำที่พูด

“ตอนที่คุณมาริอยู่กับพี่โยเป็นยังไงบ้างล่ะ”

มาริเอะเบะปากยักไหล่ “ไม่รู้สิครับ ชอบจ้องไม่วางตาเลย”

“ก็คงแปลกใจแหละว่าทำไมคุณถึงหน้าตาเหมือนผมนัก เออ... ว่าแต่พี่โยรู้หรือเปล่าว่าคุณมาริเป็นหุ่นยนต์”

“รู้ครับ ตั้งแต่แรกเลย เพราะด็อกเตอร์ต้องการให้ผมอยู่ที่บ้านนั้น ตอนช่วงที่แม่ของคุณชวิศากลับมา”

“หวา... เท่ากับว่าคุณสุดฟ้าจับโกหกผมได้ตั้งนานแล้วสิเนี่ย”

“จับได้ตั้งแต่วันแรกที่คุณชวิศาเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วครับ” สเตบาสเตียนพูดขึ้นมาบ้างเพราะไม่เคยได้รับคำสั่งว่าต้องปิดเป็นความลับ ซึ่งถ้าชวิศามีการถามถึงประเด็นนี้ก่อนหน้า หุ่นยนต์พ่อบ้านก็ยังจะตอบความจริงไปตามตรงอยู่ดี

“อะไรเนี่ย เพราะอะไรล่ะ”

“เพราะคุณชวิศาทานข้าวครับ”

“ฮะ?”

หุ่นยนต์ทั้งสองตนปล่อยให้ชวิศานิ่งคิดประมวลผล เป็นครู่ใหญ่ถึงจะเข้าใจคำพูดของสเตบาสเตียน “โธ่ ผมเป็นคน ไม่กินข้าวก็ตายสิครับ แล้วตอนนั้นใครจะไปคิดว่าคุณมาริเป็นหุ่นยนต์” จากนั้นพูดต่ออีกว่า ยังกังวลแทบตายที่คุณมาริหลับไม่ตื่นเป็นสัปดาห์ทั้งที่ดูเหมือนว่าหายใจปกติ

ชวิศายังซักถามสองหุ่นยนต์อีกหลายเรื่องและชวนพูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะถึงจุดหมาย ระหว่างทางสเตบาสเตียนได้นำอาหารกล่องอุ่นร้อนมาเสิร์ฟให้มนุษย์คนเดียวที่ยังตื่นอยู่

เมื่อท้องร้องชวิศาก็เกิดกังวลว่าสุดฟ้าจะหิวด้วยหรือไม่

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ปกติด็อกเตอร์ก็นอนเป็นวัน ๆ อยู่แล้ว” สเตบาสเตียนพูดอธิบาย ชายหนุ่มร่างเล็กจึงละความสนใจกลับมาอยู่กับการนำอาหารใส่กระเพาะตัวเอง

หลังทานอาหารเสร็จ ชวิศาก็เริ่มง่วงแต่เพราะพื้นที่ในมอเตอร์สเปซค่อนข้างคับแคบ ชายหนุ่มจึงได้เอนหลังพิงเบาะหลับตา ก่อนจะถูกดึงให้ไปวางศีรษะบนตักของมาริเอะ จากนั้นชวิศาก็หลับสนิทลงอย่างรวดเร็ว ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะหิวข้าวและคุณพ่อบ้านก็ช่างแสนรู้ใจ เตรียมข้าวกล่องอุ่น ๆ ไว้ให้พร้อม

“มีแต่ข้าวกล่องนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกินได้”

ก่อนหน้าเดินทางพวกเขาจัดการกำจัดของสดในตู้เย็นลงกระเพาะให้หมดเหมือนเมื่อครั้งที่เดินทางไปฮัชดาลลาร์ แต่เขากับสุดฟ้าไม่มีใครนึกถึงอาหารระหว่างการเดินทาง เพราะถ้าเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารก็ไม่จำเป็นต้องห่วงในเรื่องนี้ อย่างสุดฟ้าคงไม่ต้องเป็นห่วงนักเนื่องจากชายหนุ่มชอบหลับยาวตลอดการเดินทาง แต่ชวิศาดันลืมนึกถึงตัวเอง โชคดีที่คุณพ่อบ้านช่างละเอียดรอบคอบ เขาถึงไม่ต้องอดตาย

“ผมน่าจะเอาอาหารเก็บไว้ในอัญมณีช่องว่างมิติบ้างเนอะ” ชวิศาพูดออกมาลอย ๆ

“อัญมณีใช้เก็บพวกอาหารได้ด้วยหรือครับ” มาริเอะจึงเอ่ยถามเพื่อต่อบทสนทนา

“อืม... ไม่รู้อะ ผมไม่เคยลอง” เขาแค่รู้สึกว่ามันน่าจะเก็บได้ซึ่งถ้าทำได้จริงก็นับว่าสะดวกมาก เขาจะได้ไม่ต้องลำบากเวลาเดินทางไปไหนอีก ส่วนในตอนแรกที่เขาพูดออกมา นั่นหมายถึงอาหารสำเร็จรูปหรือพวกขนม

เมื่อได้ยินคำตอบแบบลังเลไม่แน่ใจ มาริเอะจึงเสนอว่า “อย่างนั้นทดลองง่าย ๆ ดูก่อนไหมครับ ว่ามันเก็บของพวกอาหารได้หรือเปล่า”

ชวิศาพยักหน้า มาริเอะจึงหันไปขอน้ำแข็งจากสเตบาสเตียนและมันก็ปรากฏออกมาจากช่องใส่ของนั่นอีกแล้ว เขารู้สึกว่าช่องใส่ของระหว่างที่นั่งตอนหน้ามันช่างเทพจริง ๆ จนสเตบาสเตียนอธิบายว่า

“มันไม่ได้พิเศษขนาดนั้นหรอกครับ แค่มีระบบทำน้ำร้อนน้ำเย็น และช่องว่างสำหรับสิ่งของอีกเล็กน้อย ที่ผมเตรียมไว้ก็พวกเครื่องดื่มกับอาหารเพราะเห็นว่าต้องใช้เวลาเดินทางนาน เผื่อด็อกเตอร์กับคุณชวิศาจะหิว”

ชวิศายิ่งทึ่ง

“แปลกอะไรละครับ สเตบาสเตียนเป็นพ่อบ้าน ด็อกเตอร์ลงโปรแกรมให้ดูแลเรื่องอาหารการกิน การทำความสะอาดดูแลความเรียบร้อยของบ้านเป็นหลัก ในระบบประมวลผลหลักก็มีแต่เรื่องพวกนี้” มาริเอะรีบพูดบอกเมื่อเห็นว่า ชวิศาส่งสายตาชื่นชมสเตบาสเตียนออกนอกหน้า

คุณพ่อบ้านจึงยิ้มรับ “ใช่ครับ ลำดับความสำคัญในการทำงานของผมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนั้นเป็นหลัก”

“คุณชวิศาเอาแก้วน้ำแข็งนี่ใส่ไว้ในอัญมณีนะครับ แล้วทิ้งไว้สักสองชั่วโมงค่อยนำออกมาดูว่าน้ำแข็งละลายหรือไม่”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อพยักหน้ารับ วางมือไว้บนอัญมณีสีนิล สายตาจ้องมองแก้วน้ำแข็งพลางกำหนดในใจว่า ‘เก็บ’ ฉับพลันนั้นมันก็หายไปจากมือของมาริเอะ

“ทานข้าวต่อเถอะครับ” มาริเอะเอ่ยอีกครั้ง กลิ่นหอมฉุยยั่วยวนทำให้ชวิศาลงมือทานอาหารอย่างไม่รอช้า จนอาหารหมดแล้วคนทานถึงเพิ่งรู้สึกว่า “กลิ่นกับข้าวหึ่งเลย”

“ไม่รู้สิครับ พวกผมรับกลิ่นไม่ได้”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเปิดระบบดูดอากาศให้นะครับ” สเตบาสเตียนพูด เพียงสองสามนาทีต่อจากนั้น อากาศภายในก็กลับมาสดชื่นดุจเดิม

อิ่มหนำสำราญทั้งยังเพิ่งตื่น ชวิศาจึงสดชื่นเต็มที่ เขากวาดสายตาหันมองรอบตัวถึงได้เห็นบรรยากาศภายนอกยานพาหนะ

ยานยนต์คันนั้นลอยอยู่เหนือเมฆจึงเห็นกลุ่มก้อนไอน้ำจับตัวกันมองคล้ายพื้นราบกว้างสุดสายตา ที่สุดขอบท้องฟ้ามีสีแดงอมส้มซึ่งแม้จะมองไม่เห็นพระอาทิตย์ดวงโตที่ใกล้ลาลับ ทว่าผืนฟ้าที่เห็นก็ดูสวยจับตา

ชวิศาจึงขยับตัวไปเกาะกระจก มองดูปุยเมฆสีขาวที่น่าล้มตัวลงนอนด้วยรอยยิ้ม นั่งนิ่งมองกระทั่งแสงสีส้มหายไปกลายเป็นสีน้ำเงิน

พวกเขายังต้องเดินทางกันอีกหลายชั่วโมง แต่ในระหว่างนั้นเมื่อครบสองชั่วโมงของการทดลองที่ชวิศาลืมไปแล้ว มาริเอะได้เตือนให้เขานำแก้วน้ำแข็งออกมาดู ปรากฏว่าน้ำแข็งนั้นยังไม่ละลาย

“โห เจ๋งสุด ๆ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวอดแล้ว” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของอัญมณีร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

“น่าแปลกนะครับ ตอนนั้นที่เราสองคนถูกจับ พื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์กลับสามารถให้มนุษย์อยู่อาศัยและมีอากาศหายใจได้”

ชวิศายิ้มแหยไม่มีความคิดเห็น

“อ้อ ไม่ต้องคิดมากครับ ผมแค่ลองตั้งข้อสังเกตเท่านั้น”

มอเตอร์สเปซยังเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางในความมืดมิด ด้วยระบบนำทางและการควบคุมการขับเคลื่อนด้วยหุ่นยนต์สมองกลทำให้ไฟส่องสว่างไร้ความจำเป็น นอกเหนือไปกว่านั้นเพราะมันบินอยู่สูงกว่าระดับการบินของเครื่องบินทั่วไป

และในที่สุด พวกเขาก็ถึงจุดหมายปลายทาง เสียงเตือนให้ตรวจสอบเข็มขัดนิรภัยดังขึ้นก่อนที่มอเตอร์สเปซจะเริ่มลดระดับลงเรื่อย ๆ

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของยานพาหนะยังคงหลับสนิทไม่หือไม่อืออยู่เช่นเดิม

และถึงชวิศาจะรู้ว่า ยานพาหนะกำลังลดระดับแต่ก็ใช้เวลาอีกร่วมชั่วโมงกว่าล้อทั้งสี่จะแตะพื้นดิน รอบด้านมืดสนิทไร้แสงใด ๆ กระนั้นชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของใบหน้าสวยก็ยังเหลียวซ้ายแลขวาด้วยอาการอยากรู้อยากเห็น และในตอนนั้น สุดฟ้าได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา

“เอายังไงดี” สุดฟ้าพูดก่อนหันไปถามชวิศา “คืนนี้ต้องนอนในรถนะ ได้ไหม”

“ผมไม่มีปัญหาครับ” เพราะนอนหลับมาตื่นแล้วเลยไม่มีปัญหาอะไรอีก

“เอาเป็นหาจุดที่มีสันเขาหน่อยแล้วกันจะได้บังลม เผื่อมีพายุหิมะจะได้ไม่ต้องผวา” สุดฟ้าออกคำสั่งกับสเตบาสเตียน ได้ยินอย่างนั้นชวิศาถึงเอะใจ

“จะมีพายุหิมะด้วยหรือครับ นี่เราอยู่ที่ไหนกันเหรอ” แต่ละครั้งที่เขาใช้มนตราเพื่อตรวจสอบสถานะความเป็นอยู่บุพการีทั้งสองของสุดฟ้า เขาก็พอเห็นว่าท่านทั้งสองอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวจัด แต่ยอมรับเลยว่าเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านทั้งสองอยู่ที่ไหนและไม่เคยเอ่ยถามด้วย พอเขาไม่เคยถาม สุดฟ้าก็ไม่เคยบอกเขาเช่นเดียวกัน

“ทวีปแอนตาร์กติกา”

“ทวีปแอนตาร์กติกา!!!” ชวิศาทวนคำตอบนั้นซ้ำด้วยความตื่นเต้น นี่เขามาถึงทวีปแอนตาร์กติกาเลยเหรอเนี่ยก่อนเอ่ยอีกคำถาม

“แล้ว ‘ทวีปแอนตาร์กติกา’ มันคือที่ไหนหรือครับ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบเจ็ด 08/04/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-04-2018 05:49:38
ตอนที่สี่สิบเจ็ด



ชวิศาเหมือนคุ้น ๆ ว่าเคยได้ยินชื่อ ‘ทวีปแอนตาร์กติกา’ อยู่เหมือนกันแต่เขานึกไม่ออกว่าอยู่ในประเทศอะไร

สุดฟ้าส่งเสียงหัวเราะดังลั่นเลยเมื่อเขาพูดแบบนั้นออกไป “เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว ประเทศเล็กกว่าทวีปนะ และแอนตาร์กติกาก็คือขั้วโลกใต้ที่ไม่มีประเทศใดเป็นเจ้าของ แต่มีการลงนานสนธิสัญญาเพื่อการสำรวจ พ่อแม่ฉันก็เป็นหนึ่งในคณะสำรวจที่อยู่ที่นี่”

หน้าแตกดังเพล้ง! เพล้ง! และดังเพล้ง! เลย

ชวิศายกสองมือขึ้นกุมใบหน้า อาการหน้าแตกทำให้เขาอายแทบแทรกแผ่นดินหนี สุดฟ้าส่งเสียงหัวเราะกระทั่งมาริเอะพูดปราม

“ด็อกเตอร์หัวเราะเยอะเกินไปแล้วครับ มนุษย์ทุกคนไม่ได้รู้ทุกเรื่องเสียหน่อยอย่างด็อกเตอร์เองก็เถอะ รู้จักใบกะเพรากับโหระพาหรือเปล่าเหอะ”

“ทำไมฉันต้องรู้จักด้วย ฉันมีหน้าที่กินก็ต้องกินอย่างเดียวอยู่แล้ว” สุดฟ้าตอบอย่างไม่ยี่หระ เขาทำโครงสร้างร่างกายให้สเตบาสเตียนเพื่อให้เป็นพ่อครัวทำอาหารได้ เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องรู้จักใบไม้สองชนิดนั่นอยู่แล้ว

ส่วนชวิศาเมื่อได้ยินมาริเอะพูดแก้ต่างเข้าข้างจึงใจชื้นขึ้นมา เขาไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างเสียหน่อย ชายหนุ่มคิดในใจพลางพยักหน้างึมงำกับตัวเอง

จากนั้นต่างก็นิ่งเงียบไปอีกร่วมสิบนาทีกว่าที่มอเตอร์สเปซจะจอดนิ่งสนิท แสงไฟภายในห้องโดยสารจึงสว่างขึ้น เมื่อเป็นแบบนั้น รอบข้างภายนอกหน้าต่างที่คล้ายกับไม่ได้มืดสนิทนั้นมืดมิดลงทันใด และถึงสุดฟ้าจะเคยพูดไว้ว่าต้องนอนในรถแต่ตัวเขาเองเพิ่งตื่น จะให้หลับอีกรอบก็ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องยาก

“ทำอะไรกันดี”

“เอ๋...  มาพูดชวนโต้ง ๆ แบบนี้ ด็อกเตอร์ทะลึ่งอ้ะ” มาริเอะพูดพร้อมทำท่าบิดไปบิดมา ทว่าสุดฟ้ากลับถามหน้าตาย

“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำท่าเหมือนไส้เดือนโดนขี้เถ้า”

“ใช่ครับคุณมาริ อย่าเอาใบหน้าที่เหมือนผมไปทำท่าทางแบบนั้นสิ มันดูแปลก ๆ น่ะ”

“เมื่อกี้ผมอุตส่าห์เข้าข้างคุณนะครับคุณชวิศา” มาริเอะรีบหันไปตอบกลับ

“ผมก็ไม่ได้ว่าคุณมาริ แต่ว่านะ ถึงเราสองคนจะหน้าตาดีมากแต่การแสดงออกท่าทางบางอย่างก็ไม่ได้เหมาะกับพวกเราเสมอไปนะครับ” คงเพราะโทนเสียงของชวิศาไม่ได้แฝงอาการประชดเหน็บแนม หลังจากวิเคราะห์ประมวลผลเรียบร้อย หุ่นยนต์อย่างมาริเอะจึงยอมเลิกราง่าย ๆ

“อีกอย่างฉันยังไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรที่ทะลึ่งเลยด้วย” สุดฟ้าพูดเสริม

“ก็ด็อกเตอร์พูดชวน มนุษย์ชอบบอกว่าหนาว ๆ อย่างนี้ต้องทำเรื่องพรรค์นั้นไม่ใช่หรือครับ”

“หนาวเหรอ ไม่เห็นจะหนาวเลย” ชวิศาแสดงความคิดเห็น

 “ตอนนี้อุณหภูมิข้างนอกติดลบสามสิบเก้าองศาเซลเซียสครับ” เสียงพูดประโยคนั้นเป็นของสเตบาสเตียน “ภายในห้องโดยสารอบอุ่นเพราะระบบปรับอากาศครับ”

“งั้นฉันนอนแล้วนะ” สุดฟ้าเปลี่ยนไปพูดความต้องการของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอน คิดในใจว่า เมื่อไม่รู้จะทำอะไรก็นอนเก็บแรงไว้เผื่อวันอื่นแล้วกัน

“คุณสุดฟ้านอนมาทั้งวัน ไม่รู้สึกหิวข้าวบ้างหรือครับ”

เมื่อโดนถาม ชายหนุ่มถึงเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาตงิด ๆ เขายกมือกุมท้องตัวเอง “ก็หิวนะ มีอะไรกินบ้างล่ะ” ประโยคสุดท้ายเขาหันไปถามสเตบาสเตียน

“มีข้าวกล่องอยู่ครับ” พร้อมกับที่วางของระหว่างเบาะคู่หน้าเปิดขึ้นให้เห็นกล่องข้าวถูกเลื่อนขึ้นมา สุดฟ้ารับไปจัดการเติมอาหารลงกระเพาะและปรับเบาะเอนตัวลงนอนหลังจากนั้น

ชวิศาถูกมาริเอะดึงตัวให้วางศีรษะบนตักอีกครั้งยังไม่ทันหลับตาไฟในห้องโดยสารก็ดับลง เขาจึงต้องหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกันนั้นทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนต่างก็เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน

มอเตอร์สเปซที่จอดนิ่งจึงกลายเป็นแค่เงาตะคุ่มท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน จนเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปดึกสงัด สเตบาสเตียนถึงได้ลืมตาและกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ห่างออกไปร่วมหนึ่งกิโลเมตรได้

“อะไร” มาริเอะก็ออกจากระบบประหยัดพลังงานเช่นกัน แต่การสื่อสารของพวกเขาทั้งสองเป็นการพูดคุยผ่านระบบช่องสื่อสารไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมารบกวนการนอนของมนุษย์ในห้องโดยสาร

“จู่ ๆ ก็มีกลุ่มสิ่งมีชีวิตปรากฏตัวขึ้นในเขตสัญญาณตรวจจับ ผมจะออกไปดู” เมื่อกล่าวจบประตูของมอเตอร์สเปซก็ถูกเปิดออกโดยที่สเตบาสเตียนไม่ได้สัมผัส ลมหนาวจากภายนอกกรูเข้าสู่ด้านในวูบหนึ่งก่อนที่ประตูของยานพาหนะจะถูกปิดลงอัตโนมัติ

สเตบาสเตียนมองตรงไป ระบบประมวลผลกำลังสั่งการให้กล้องที่ดวงตาเพิ่มกำลังขยายเพื่อตรวจสอบสิ่งมีชีวิตที่ตรวจจับได้ ภาพที่จับได้เป็นกลุ่มคนห้าคนภายใต้ชุดคลุมปิดหน้าปิดตาทว่าแค่พริบตาเดียวหนึ่งในห้าคนกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

หุ่นยนต์พ่อบ้านยกฝ่ามือขึ้นรับหมัดที่พุ่งตรงเข้าหาด้วยความว่องไวไม่แพ้กัน ปลายนิ้วชี้ของมือข้างซ้ายถูกปรับเปลี่ยนให้ปลายกระบอกปืนเพื่อโจมตีโต้กลับกระนั้นลูกกระสุนกลับโดนแรงสะท้อนที่มองไม่เห็น ขณะเดียวกันนั้น มอเตอร์สเปซได้ถูกสั่งให้ลอยขึ้น

แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ปล่อยให้เป้าหมายทำได้อย่างที่ใจคิด

ด้านบนเหนือศีรษะกลับปรากฏเป็นตาข่ายอันใหญ่ยักษ์ที่กำลังร่วงลงมา สเตบาสเตียนจึงดีดตัวขึ้นสูงพร้อมมืออีกข้างถูกเปลี่ยนเป็นใบมีดเลเซอร์ที่ตัดได้ทุกอย่าง เขาวาดมือกวัดแกว่งทำลายตาข่ายยักษ์ มืออีกข้างคอยยิงต้านศัตรูอีกสี่คนที่เหลือไม่ให้เข้ามารุมกลุ้ม ตลอดเวลานั้นทุกอย่างเงียบกริบไร้เสียงอัดอากาศยามที่ลูกกระสุนชนิดพิเศษที่สุดฟ้าผลิตขึ้นมาเองเคลื่อนพ้นปลายปล่องกระบอก มนุษย์ทั้งสองคนในห้องโดยสารจึงยังหลับสนิทไม่รู้เรื่อง ทั้งการเคลื่อนที่ของมอเตอร์สเปซก็ยังนุ่มนวลไม่ต่างจากเดิม

“ให้ช่วยไหม” มาริเอะส่งเสียถามผ่านระบบ

“คิดว่ายังจัดการได้ครับ”

อย่างไรก็ดี หลังจบข้อความสื่อสารตอบกลับของหุ่นยนต์พ่อบ้าน ยานพาหนะที่กำลังลอยขึ้นสูงจากพื้นดินกลับโดนลูกบอลแสงสีเหลืองหุ้มคลุมไว้ทั้งคัน ทำให้มันหยุดนิ่งไม่สามารถเคลื่อนที่ลอยขึ้นได้อีกคล้ายกำลังชนกำแพงที่แข็งแรงมากและการปะทะนั้นทำให้มอเตอร์สเปซสะเทือนจนสุดฟ้าและชวิศารู้สึกตัวตื่น

“เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของพาหนะสุดล้ำถามด้วยอาการงัวเงีย

“พวกเราโดนโจมตีครับ” มาริเอะรายงาน

“ฮะ!!!” สองเสียงประสานร้องด้วยความตกใจก่อนทั้งคู่จะแนบหน้าเข้ากับกระจกประตู

แค่เห็นแสงสว่างจ้าที่อยู่ด้านนอกนั่น ชวิศาก็รู้ได้ทันที “ผู้ใช้เวท” เขากล่าวต่อ “เราคงโดนขังอยู่ในม่านพลังเวท”

“ชวิศา กระดาษคาถา” สุดฟ้าร้องบอกพลางรื้อหาปากกา แต่เขากลับได้สิ่งที่มองหามาพร้อมกระดาษคาถาที่ชวิศาส่งมาให้

สุดฟ้าไม่ได้เชี่ยวชาญการอ่านไอเวทเช่นนักเวทที่ฝึกฝนมายาวนานจึงได้แต่เดาว่าม่านพลังที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่ควรก่อเกิดจากธาตุใด เขาเขียนวงเวทหักล้างจากธาตุโลหะเพราะคิดง่าย ๆ ว่าแสงสีเหลืองนี่มันควรเป็นธาตุดิน ก่อนส่งกระดาษใบนั้นให้ชวิศา

เมื่อชายหนุ่มผู้ใช้เวทรับกระดาษมาถือในมือก็ไม่รอช้า เรียกใช้พลังเวทในกายทำให้กระดาษคาถาในมือทำงาน ด้วยพลังที่มากกว่าม่านพลังที่กักขังพวกเขาอยู่พลันสลายไปอย่างรวดเร็ว

“เรียกสเตบาสเตียนกลับมา” สุดฟ้าออกคำสั่งกับมาริเอะขณะที่ลงมือเขียนวงเวทบนกระดาษอีกแผ่น แม้ภายในใจจะยังลังเลแต่มือของเขากลับเขียนอักขระต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว

ประตูตรงตำแหน่งที่นั่งคนขับเลื่อนลงหายไปในพื้นยานยนต์ซึ่งนั่นเป็นการออกแบบแก้ไขหลังจากที่สุดฟ้าพบปัญหาเมื่อครั้งก่อนกรณีที่ต้องการเข้าออกจากมอเตอร์สเปซเมื่อมันลอยอยู่เหนือพื้นดิน

เนื่องจากมอเตอร์สเปซยังลอยตัวสูงจากพื้นไม่มากนัก ห่างจากพื้นราว ๆ สามเมตร สเตบาสเตียนจึงใช้แค่แรงดีดตัวก็สามารถมาเกาะอยู่ที่ขอบประตูได้แล้ว เขายังยิงกระสุนอย่างต่อเนื่องแม้ว่ามันจะถูกแรงสะท้อนที่มองไม่เห็นทำให้ไม่สามารถทำอันตรายศัตรูได้เลยก็ตาม แต่อย่างน้อยมันทำให้ฝ่ายตรงข้ามชะงักช้าลงไม่เข้าประชิดตัวสุ่มสี่สุ่มห้า

สุดฟ้าส่งกระดาษที่เขียนวงเวทเสร็จแล้วให้ชวิศา “เราจะวาร์ป แต่ต้องให้แน่ใจว่าพวกเราจะไปด้วยกันทั้งหมด ไม่ใช่แค่นายคนเดียว”

ได้ยินอย่างนั้นชวิศาจึงเกิดอาการใจฝ่อ เขากล่าวปฏิเสธ “งั้นอย่าดีกว่า ใช้วิธีอื่นไม่ได้หรือครับ ให้มอเตอร์สเปซบินหนีไปเลยง่ายกว่านะ”

“อัตราเร็วในการบินขึ้นมันคงที่ ฉันสร้างมอเตอร์สเปซมาเพื่อแก้ปัญหาการเมาเครื่องและฉันไม่มีวันปรับความเร็วของโปรแกรมการนำเครื่องขึ้นในแนวดิ่งเด็ดขาด”

พูดคุยกันไม่ทันจบดียานพาหนะของพวกเขาก็เหมือนชนเข้ากับอะไรอีกแล้ว หันมองรอบข้าง พวกเขาจึงเห็นว่ายานยนต์ลอยได้ถูกกักอยู่ในม่านพลัง

“เหมือนพวกมันไม่ได้ตั้งใจฆ่าพวกเรา” มาริเอะพูด เขาเคยเห็นเวทที่มีพลังทำลายล้างแบบราบคาบมาแล้ว แม้กล้องจับภาพที่ดวงตาจะไม่สามารถจับภาพแสงที่เกิดจากพลังเวทชัดเจนแต่คลื่นพลังงานที่เซนเซอร์ตรวจจับได้ก็บ่งบอกว่ามันไม่แค่พลังงานความร้อนธรรมดา

“พวกมันไม่ได้ตั้งใจฆ่าฉัน ถ้าฉันตายมันจะเอาแบบแปลนจากที่ไหน” สุดฟ้าพูด

“แล้วถ้าปล่อยให้ถูกจับล่ะครับ” ระบบประมวลผลของมาริเอะกำลังให้วางเหยื่อล่อเพื่อดักกินฝ่ายตรงข้าม

“ฉันไม่อยากเสี่ยง”

“แต่วงเวทของคุณสุดฟ้าก็เสี่ยงเหมือนกันนะครับ” ชวิศาพูดขึ้นบ้าง แต่คนฟังกลับตีความไปอีกอย่าง “นายคิดว่าวงเวทของฉันมันผิดเหรอ”

“มอเตอร์สเปซกำลังถูกบังคับให้ลดระดับลง” เสียงรายงานของสเตบาสเตียนดังขึ้นแทรกขัดจังหวะการโต้ตอบของชวิศาเสียก่อน

“ระงับสถานะบินขึ้นให้คงไว้แต่การลอยตัว” ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหันไปเอ่ยสั่ง จากนั้นหันไปหาชวิศา “ฉันให้นายเลือก จะทำตามที่ฉันสั่งหรือให้ฉันส่งนายกลับบ้าน”

คนฟังถึงกับชะงักไป

“อ้อ... ตอนนี้ฉันคงไม่สะดวกส่งนายกลับบ้าน คงได้แต่ทิ้งนายไว้ที่นี่”

“โหดร้าย!!!” ชวิศาร้องบอกด้วยใบหน้าบูดบึ้ง คว้ากระดาษคาถามาคีบถือด้วยสองนิ้ว หลับตาตั้งสมาธิ อยากให้วาร์ป เขาก็อยากวาร์ปไปให้สุดโลกแต่ติดที่ชวิศากลัวว่าพลังของตนจะไม่ครอบคลุมยานพาหนะทั้งคันและเหมือนสุดฟ้าจะรู้ขอบเขตมนตราที่ชวิศาใช้ได้เช่นกัน

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของพลังเวทมหาศาลไม่มีปัญหาถ้าเป็นมนตราสำหรับการสร้าง แต่มีปัญหาถ้ามนตรานั้นเกี่ยวกับควบคุมหรือแปรผันปรับเปลี่ยน สุดฟ้าถึงได้กล่าวย้ำสิ่งที่ต้องระวัง

ทันทีที่ชวิศาปล่อยให้พลังเวทของตนขับเคลื่อนวงเวทให้ทำงาน สุดฟ้าสัมผัสได้ว่ามันเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงเสี้ยววินาทีที่เหมือนว่าพวกเขาถูกดูดเข้าไปในหลุมดำมืดไร้ซึ่งอากาศหายใจทั้งที่ยังอยู่ในห้องโดยสารของยานยนต์ ก่อนสภาพรอบด้านจะกลับมาอยู่ในสภาวะอากาศอบอุ่นของห้องโดยสารเช่นเดิม ต่างกันตรงที่ม่านพลังที่ห้อมล้อมพวกเขาหายไปแล้ว และกระดาษคาถาในมือของผู้ใช้เวทได้กลายเป็นเถ้าถ่านเช่นกัน

“เช็กตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน”

“ห่างจากพิกัดเดิมห้าเมตรครับ”

โครตสั้น!!! ชายหนุ่มผู้เขียนวงเวทอุทานในใจแต่เขาไม่มีเวลามาคิดวิเคราะห์ปัญหาที่ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างนี้ เขาออกคำสั่งอีกคำ

“ยกเลิกสถานะลอยตัว”

เมื่อสิ้นสุดคำสั่งนั้นมอเตอร์สเปซก็ร่วงลงพื้นแต่สุดฟ้าคำนวณไว้แล้ว ระยะความสูงแค่นี้ไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับโครงสร้างและระบบขับเคลื่อนนอกจากแรงกระแทกในห้องผู้โดยสารที่ทำให้พวกเขากระเด้งกระดอน

“วิ่งไปเลย เร่งความเร็วสูงสุด” ชายหนุ่มพูดสั่งอีกครั้งในจังหวะที่ล้อทั้งสี่ของยานพาหนะยังไม่สัมผัสพื้นดีด้วยซ้ำ และเมื่อยานยนต์ถึงพื้นดินประตูฝั่งคนขับจึงเคลื่อนปิดโดยอัตโนมัติ สองมือของเขาจับเบาะไว้แน่นพลางพยายามดึงเข็มขัดนิรภัยออกมาคาดข้ามตัว

และถึงจะออกคำสั่งให้มอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดกระนั้นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนยังต้องใช้เวลาสองสามนาทีเพื่อทำรอบ ทว่ามันเพิ่งเคลื่อนที่ไปได้ระยะทางไม่ไกลกลับเกิดเหตุการณ์ชนปะทะที่ทำให้มอเตอร์สเปซต้องหยุดนิ่งกับที่

ชวิศาที่ยังไม่ทันได้คาดเข็มขัดนิรภัยถึงกับพุ่งตัวไปข้างหน้าโชคดีที่มาริเอะคว้าจับได้ทันพร้อมกับดึงหัวเข็มขัดมากดเข้ากับแผ่นล็อก

“ชนอะไร”

“มนุษย์ครับ” สเตบาสเตียนกล่าวตอบพร้อมสั่งการระบบให้แสดงภาพจากกล้องอินฟราเรดบนกระจกหน้า

รอบข้างมืดสนิทจนมนุษย์ธรรมมองสิ่งใดไม่ชัดเจน แต่กลุ่มคนที่มาโจมตีพวกเขายังปรากฏตัวขวางเส้นทางการเคลื่อนที่ของมอเตอร์สเปซได้อย่างเหมาะเหม็ง ทว่าเพราะโครงสร้างของยานยนต์ที่ถูกผลิตมาจากวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทาน มอเตอร์สเปซจึงไม่เกิดการบุบสลายและฝ่ายศัตรูต้องกระเด็นถอยห่างออกไปหลายช่วงตัว กระนั้นช่วงเวลาที่พวกเขาหยุดชะงักก็นานพอให้อีกฝ่ายเข้ามาล้อมกรอบ

“ไปทางอื่น”

“ให้พวกผมลงไปถ่วงเวลาไว้ก่อนดีไหมครับ” มาริเอะเอ่ย

ศัตรูของพวกเขาสามารถปรากฏตัวตรงโน้นตรงนี้ได้ฉับพลันต่อให้พยายามหนีก็คงไม่สามารถหนีไปได้ง่าย ๆ “อย่างน้อยให้ด็อกเตอร์กับคุณชวิศาไปถึงสถานีวิจัยแล้วเราสองคนค่อยตามไปสมทบ”

“ก็ได้” สุดฟ้าตัดใจตอบตกลง

หุ่นยนต์สมองกลทั้งสองตนจึงลงจากยานยนต์เพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่รายล้อมอยู่รอบด้าน แต่เนื่องจากมาริเอะเป็นหุ่นยนต์ที่มีอุปนิสัยเฉพาะเป็นของตัวเอง เขาจึงยกยิ้มมองคนทั้งห้าซึ่งกระจายตัวล้อมกันระวังไม่ให้พวกเขาหลบหนี

“สวัสดีครับ ผมมีข้อสงสัยสักหนึ่งข้อที่อยากจะเอ่ยถาม” มาริเอะเอ่ยทักทายด้วยภาษาไทย เมื่อไม่ได้รับเสียงตอบรับจึงเปลี่ยนไปพูดภาษาของฮัชดาลลาร์

“ผมแค่อยากรู้ว่าพวกคุณต้องการอะไรกันแน่”

หนึ่งในห้านั้นส่งเสียงหัวเราะ “พวกเราแค่ต้องการเชิญเจ้านายของคุณไปคุยธุระ”

คำตอบฟังดูคุ้นเคยจนมาริเอะนึกอยากจะกลอกตามองบนอย่างที่พวกมนุษย์เขาทำกัน “มาเชิญแต่ใช้กำลังโดยไม่พูดไม่จากล่าวบอกล่วงหน้านะหรือครับ พวกคุณไร้มารยาทจัง”

“พวกแกจะไปกับพวกเราดี ๆ หรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่ก็ต้องลงมือ”

สิ้นสุดคำพูดประโยคนั้นก็เหมือนสัญญาณให้พวกเขาตะลุมบอนกัน มาริเอะและสเตบาสเตียนมีเป้าหมายที่จะดึงความสนใจของฝ่ายตรงข้ามให้ออกห่างจากมอเตอร์สเปซมากที่สุด จึงพุ่งตัวไปด้านหน้าพร้อมอาวุธหนักที่สุดฟ้าอนุญาตให้ใช้ได้เต็มที่

มาริเอะเปลี่ยนมือทั้งสองข้างให้กลายเป็นปลายกระบอกปืนและสาดกระสุนใส่ผู้ที่มุ่งเข้ามาโจมตีไม่ยั้ง ด้วยสังเกตเห็นตั้งแต่ที่หุ่นยนต์พ่อบ้านต่อสู้กับกลุ่มคนแปลกหน้าเมื่อไม่กี่นาทีก่อน อาวุธของพวกเขาทำอะไรฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ก็จริงแต่พวกนั้นก็ทำอันตรายพวกเขาไม่ได้เช่นกัน ราวกับว่ายามที่เรียกใช้กำแพงโปร่งใสป้องกันอาวุธที่มุ่งเข้ามาทำร้าย ฝ่ายนั้นจะไม่สามารถเรียกใช้มนตราอื่นได้ รวมกับความเร็วในการระดมยิงที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทำให้อีกฝ่ายต้องถอยร่นไปเรื่อย ๆ

เมื่อเห็นเป็นจังหวะเหมาะ ระบบประมวลผลของสเตบาสเตียนจึงสั่งให้มอเตอร์เคลื่อนที่ออกไปด้วยความเร็ว

ฝ่ายนั้นก็ราวกับจะรู้ตัวว่าโดนล่อลวง หนึ่งในนั้นที่น่าจะใช้มนตราเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้จึงพยายามที่จะเรียกใช้มนตราเพื่อตามไปแต่มาริเอะยิงสกัดไว้ทว่าก็โดนฝ่ายศัตรูอีกคนมาขวาง มาริเอะยังยกยิ้มขณะที่เจ้าของมนตราเคลื่อนย้ายหายไปภาพเบื้องหน้าแล้ว

“นายไปจัดการทางนั้น สี่คนที่เหลือฉันจัดการเอง” มาริเอะส่งข้อความสื่อสารผ่านระบบ พริบตาต่อมาสเตบาสเตียนก็หายไปจากตำแหน่งนั้น

ฝ่ายศัตรูจึงมีท่าทางชะงักไป

หลังการปรับปรุงครั้งล่าสุด พวกเขาสามารถเคลื่อนที่ได้เท่ากับความเร็วเสียงโดยไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างซึ่งมาริเอะไม่รู้ฝ่ายตรงข้ามจะรู้หรือไม่ว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์จริง ๆ ถึงได้ทำท่าเหมือนตกใจกับความสามารถนั้น

“ลองเอาจริงกันหน่อยไหนครับ” มาริเอะเอ่ยถาม ด้วยความสามารถที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวระบบประมวลผลประเมินว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะกระนั้นก็ยังมีเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำจากบันทึกความสามารถของผู้ใช้เวทที่เคยเจอมา มาริเอะจึงเป็นฝ่ายลงมือก่อน

เขาพุ่งตัวเข้าหาหนึ่งในสี่ที่ใกล้ตัวที่สุด วาดขาเตะสูงเป้าหมายอยู่ที่ก้านคอหวังเล่นทีเผลอแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ง่ายอย่างที่ต้องการ ฝ่ายนั้นยกแขนขึ้นกันได้อย่างฉิวเฉียดแต่ความสามารถของซูเปอร์หุ่นยนต์อย่างมาริเอะไม่ได้มีแค่นั้น เสี้ยววินาทีต่อมา เขากลับปรากฏตัวที่เบื้องหลังศัตรูอีกคนพร้อมลูกกระสุนที่พุ่งออกไปในระยะประชิด!!!

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบแปด 15/04/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 15-04-2018 09:53:28
ตอนที่สี่สิบแปด



ฝ่ายสุดฟ้าและชวิศาที่อยู่ภายในห้องโดยสารของมอเตอร์สเปซต้องผวารีบคว้าจับสายเข็มขัดนิรภัยอีกหนเมื่อยานพาหนะหักเลี้ยวกะทันหัน หน้าจอคำสั่งบริเวณคอนโซลที่สุดฟ้าเพิ่งเปิดเพื่อควบคุมการเคลื่อนที่ของมอเตอร์สเปซแสดงล็อกคำสั่งที่แทรกมาจากสเตบาสเตียน แต่ช่วงเวลาฉุกละหุกชายหนุ่มผู้ที่เป็นเจ้าของยานยนต์จึงยังไม่ทันสังเกตนอกจากภาพขาวดำที่แสดงผลบนกระจกหน้าซึ่งเขาเห็นเหมือนฝ่ายตรงข้ามมาปรากฏตัวขวางทาง กระนั้นมันก็เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นก่อนที่ภาพนั้นจะเปลี่ยนไปเพราะยานยนต์กำลังเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทาง

กระทั่งมอเตอร์สเปซขับเคลื่อนด้วยความนุ่มนวลดุจเดิมแล้ว สุดฟ้าจึงได้ให้ความสนใจกับหน้าจอโปรแกรมอีกครั้ง เขาเขียนคำสั่งดึงตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันบนแผนที่ออกมา ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะไปหาบิดามารดาช่วงเช้าหลังจากที่มีแสงสว่างแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เขาคงต้องเปลี่ยนแผน

ฝ่ายชวิศาก็ได้แต่นั่งลุกลี้ลุกลนใจไม่เป็นสุขอยู่ที่เบาะหลัง เห็นสุดฟ้าก้มหน้าง่วนอยู่กับคีย์บอร์ดและหน้าจอแสดงผลยิ่งไม่กล้าส่งเสียงรบกวน ภายในใจนึกเป็นห่วงกลัวสองหุ่นยนต์ที่สุดฟ้าสร้างจะเป็นอันตราย ถึงจะรู้ว่าทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์ที่มากความสามารถแต่เพราะครั้งก่อนมาริเอะยังแพ้ให้กับผู้ใช้เวทในฮัชดาลลาร์อยู่เลย

จนทนไม่ไหวแล้วนั่นล่ะ ชวิศาถึงได้ส่งเสียง

“คุณสุดฟ้า” แต่ดูท่าเสียงของเขาจะเบาเกินไปสุดฟ้าถึงยังก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มจึงเพิ่มความดังเสียงขึ้นอีกหน่อย ทว่าอีกฝ่ายกลับแค่ขานเสียงในลำคอตอบมาแล้วส่งเสียงถามซ้ำเมื่อยังไม่ได้ยินประโยคถัดไปจากเขา

“มีอะไรล่ะ”

“พวกเราไม่ต้องกลับไปช่วยคุณมาริกับคุณสเตบาสเตียนหรือครับ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเพิ่งปรับปรุงสองคนนั้นไปใหม่ก่อนเดินทางมา” ขณะเดียวกันตรงหน้าของชวิศาก็ค่อย ๆ มีจอภาพเลื่อนลงมา ภาพบนหน้าจอแสดงให้เห็นรูปโครงสร้างของร่างกายพร้อมเส้นกราฟเปอร์เซ็นต์ตัวเลขและชาร์ตสีที่เขาดูไม่รู้เรื่องอยู่แทบทุกจุดซึ่งนั่นคือรายงานประสิทธิผลการทำงานที่หุ่นยนต์สมองกลส่งกลับมาสู่เข้าระบบกลาง

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของหน้าจอเป็นภาพแผนที่ในระยะสิบกิโลเมตรรอบมอเตอร์สเปซ

ทวีปแอนตาร์กติกาไม่มีแผนที่อยู่บนเบราว์เซอร์ทั่วไปแต่สุดฟ้าแอบใช้ดาวเทียมของนาซ่าในการตรวจสอบพื้นที่ ถ้าเดินทางเข้ามาทวีปนี้อย่างปกติ นักบินคงพาพวกเขาลงสนามบินหลักและคงมีรถมารับพวกเขาถึงที่ แต่ในเมื่อครั้งนี้พวกเขาลักลอบแอบเข้ามาและเป็นการมาทวีปที่อยู่สุดขอบโลกเป็นครั้งแรก สุดฟ้าจึงต้องหาเส้นทางด้วยตัวเอง

ชวิศามองดูแผนที่ดาวเทียมด้วยความสนใจ “นี่มันอะไรหรือครับ”

สุดฟ้าหันไปเหลือบมองเพียงชั่วพริบตา “แผนที่ดาวเทียมบริเวณตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน”

คนฟังพยักหน้ารับ มองจุดสีน้ำเงินซึ่งกำลังเคลื่อนที่บนแผนที่ตาไม่กะพริบทว่าความสนใจของชวิศาต้องหยุดชะงักไปเมื่อมอเตอร์สเปซเกิดการชนกระแทกอีกครั้งและเหมือนว่าจะไม่ใช่การชนวัตถุแบบธรรมดา เพราะเขารู้สึกได้ว่าร่างกายซึ่งถูกยึดติดกับเบาะที่นั่งด้วยเข็มขัดนิรภัยกำลังลอยตัวไปด้านหน้า ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดลงและโดนแรงโน้มถ่วงของโลกดึงให้ร่วงมากระแทกกับพื้นอีกครั้ง

โชคดีว่าเข็มขัดนิรภัยทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม ร่างกายของเขาจึงถูกยึดนิ่งไว้กับเบาะตลอดเวลา

“อะไรวะ” สุดฟ้าสบถออกมาพยายามมองหาสาเหตุที่ทำให้ยานยนต์ประสบเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ภาพจากกล้องที่ถูกฉายให้ปรากฏบนกระจกหน้ากับสั่นพร่าคล้ายโทรทัศน์รุ่นเก่าที่ไม่มีสัญญาณ ทั้งรอบด้านที่ยังมืดมิดไร้แสงใดในเวลากลางคืน พวกเขาจึงเหมือนคนตาบอด

จากนั้นประตูยานยนต์ฝั่งที่นั่งข้างคนขับก็ถูกดึงกระชากด้วยแรงมหาศาลจนมันหลุดออกไป ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของยานพาหนะตื่นตระหนกกับความเสียหายที่เกิดขึ้นมากกว่าการปรากฏตัวของคนแปลกหน้า

“ลงมา” ชายคนนั้นพูดด้วยภาษาอื่นแต่ชวิศาเข้าใจประโยคนั้นด้วยอำนาจของแหวนที่สวมอยู่

“ไอ้บ้าเอ้ย ทำอะไรของแกวะ” สุดฟ้าร้องโวยวายแต่ไม่ใช่เพราะการฉุดกระชากลากถู เนื่องจากเจ้าตัวยังติดเข็มขัดนิรภัยซึ่งปลายด้านหนึ่งอยู่ในแผ่นล็อก เขาร้องโวยวายเสียใจกับการเห็นประตูมอเตอร์สเปซเสียหายไปต่อหน้าต่อตา

“ลงมา” ชายคนนั้นพูดเสียงเข้มซึ่งสุดฟ้ายังไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้นเหมือนเดิม อย่างไรก็ดีเขาได้สะบัดมือของอีกฝ่ายให้ออกห่าง ปลดล็อกอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยและลงไปเผชิญหน้า ตอนนี้สุดฟ้าโมโหมากที่อีกฝ่ายมาทำของของเขาพัง!!!

“แกเป็นใครวะ กล้าดียังไงมาดึงประตูรถของฉันจนหลุด”

ชวิศาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบออกไปข้างนอกบ้างนั่นเป็นช่วงจังหวะที่ชายหนุ่มคนรักกำลังถลากำหมัดเข้าไปชกอีกฝ่าย กระนั้นก็โดนฝ่ายตรงข้ามคว้าจับข้อมือบิดพลิกและกดสุดฟ้าลงกับพื้นได้อย่างง่ายดาย เขาจึงเรียกใช้กระดาษคาถาให้พลังเวทสร้างค้อนอันมหึมาฟาดใส่ อีกฝ่ายจึงต้องกระโดดถอยหนีไป

“คุณสุดฟ้าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชวิศาเอ่ยถามพลางช่วยพยุงสุดฟ้าให้ลุกขึ้น สายตาจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา

“ฉันไม่เป็นไรหรอก แต่รถของฉัน รถของฉัน” คนถูกถามได้แค่คร่ำครวญซ้ำไปซ้ำมาและดูเหมือนว่าสุดฟ้าจะไม่รู้สึกถึงอากาศเย็นเยียบจนร่างกายสั่นสะท้านนี่ด้วย

แต่ชวิศารู้สึก!!!

ออกมาจากมอเตอร์สเปซแค่ครู่เดียว ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าสวยก็ตัวสั่นงกปากและมือกลายเป็นสีเขียวซีด

“หนาวอะ”

ดูท่าว่าชายแปลกหน้าคนนั้นจะเข้าใจคำพูดของเขาด้วยเช่นกัน “อย่างนั้นก็ไปด้วยกันดีไหม พวกแกจะได้ไม่ต้องทนหนาวกับสภาพอากาศเลวร้ายนี้อีก”

“พวกแกเป็นใครก็แน่ ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้ด้วย” สุดฟ้าตวาดเสียงกร้าว

“เจ้านั่นมันพูดว่าอะไร” อีกฝ่ายเอ่ยถาม

“อ้าว... เอ๊ะ...” ชวิศามีสีหน้างุนงง “ฟังไม่ออกเหรอ”

“พวกแกต้องชดใช้ ฉันจะให้พวกแกจ่ายค่าเสียหายให้หมดตัวเลย”

“ที่โวยวายนั่น จะไม่ไปด้วยกันดี ๆ หรือไง บอกไว้ก่อน ต่อให้หักแขนหักขา ฉันก็จะจับตัวพวกแกไป”

“เดี๋ยว!!!” ชวิศารีบส่งเสียงปรามไว้ก่อน เขาฟังออกว่าทั้งสองคนพูดอะไรและเล่นพูดโต้ตอบกันไปมาอย่างนี้พานให้นึกว่าฟังคำพูดของฝ่ายตรงข้ามรู้เรื่องเสียอีก

“ตกลงที่พูดโต้ตอบกันไปมาเมื่อกี้ ฟังกันไม่รู้เรื่องใช่ไหม”

“ไม่รู้เรื่อง”

“ฉันจะเข้าใจได้อย่างไร”

ทั้งสองตอบออกมาพร้อมกันแต่เป็นคนละภาษากระนั้นชวิศาก็เข้าใจทั้งสองภาษาอยู่ดี

“เอาล่ะอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะเป็นล่ามแปลให้” ถึงจะพูดเช่นนั้น ชวิศาก็แค่พูดทวนประโยคที่แต่ละฝั่งพูดด้วยภาษาไทยเหมือนเดิม ดังนั้นแทนที่สุดฟ้าจะสนใจจุดประสงค์ที่ชายแปลกหน้าตามล่าพวกเขาไม่ปล่อยกลับสงสัยชวิศาเสียแทน

“ไหนบอกว่าจะเป็นล่ามไง เห็นพูดภาษาเดียวตลอด”

“อ้าว! ก็คุณตรงนั้นเขาเข้าใจนี่ครับ ใช่ไหมครับ”ประโยคสุดท้ายเขาหันไปถามอีกฝ่าย และบอกว่าถ้าเข้าใจที่พูดให้พยักหน้าสองครั้งซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตาม

“เห็นไหม” ชวิศาพูดย้ำ สุดฟ้ายังมีสีหน้าแปลกใจก่อนจะนึกได้ว่าชวิศาเคยเล่าเรื่องแหวนที่ได้จากกรินให้ฟัง เพราะเขาไม่เคยเห็นตอนที่ชวิศาใช้งานจึงไม่รู้ว่าประสิทธิภาพของมันยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้

“ชวิศายืมแหวนหน่อย” ซึ่งเจ้าของชื่อก็ใจง่ายถอดให้สุดฟ้ายืมแต่โดยดี ทว่าแหวนที่ชวิศาสวมนิ้วกลางกลับมีขนาดเล็กว่านิ้วของเขา จะสวมนิ้วนางก็คับจะใส่นิ้วก้อยก็หลวมไปนิดกระนั้นสุดฟ้าได้สวมมันไว้ที่นิ้วก้อย

“ฮัลโหล ฮัลโหลเทสต์ คุณตรงนั้นเข้าใจคำพูดของผมไหม”

“เข้าใจ” สุดฟ้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตอบกลับมาเป็นภาษาอะไรแต่เขาเข้าใจคำพูดของฝ่ายนั้น ทำให้ต้องยกมือขึ้นมามองแหวนอีกครั้ง เพราะมันช่างเยี่ยมยอดมากก่อนจะระงับอาการตื่นเต้นกับความยอดเยี่ยมของแหวนมาที่ประเด็นที่เขาควรจะพูดคุย

“แกทำประตูรถของฉันพัง เพราะฉะนั้นชดใช้ค่าเสียหายมาซะดี ๆ”

“หึ”

สุดฟ้าได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะ

“อ้อได้ แต่วันนี้ฉันไม่ได้เตรียมเงินมา แกต้องกลับไปพร้อมกับฉันแล้วกัน”

“ได้ แต่รอแป๊บนะ” แล้วหันไปพูดกับชวิศา “นายหนาวใช่ไหม เอาของเบอร์หนึ่งออกมาสิ”

ตอนที่สุดฟ้าเตรียมของ เขาพูดคุยกับชวิศามาก่อนแล้วว่าวิธีการเก็บหรือเรียกดึงของจากอัญมณีช่องว่ามิติของชวิศาต้องทำอย่างไรซึ่งมีทั้งเปิดช่องให้เขาหยิบเองได้ แต่ให้ชวิศาสั่งดึงออกมาเฉพาะสิ่งที่ต้องการจะง่ายกว่า สุดฟ้าจึงแพ็กของระบุหมายเลขเพื่อให้พวกเขาเข้าใจตรงกัน

ของที่ชวิศาดึงออกมาจากอัญมณียังอยู่ซองซิปมิดชิด เป็นซองแบนหนาประมาณสองนิ้ว เมื่อเขารูดซิปเปิดความหนาของซองจึงขยายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ด้านในเป็นสูทสวมทั้งตัวสีดำคล้ายชุดหมีของช่างเครื่องหรือก็คือสูทต่อสู้ที่สองพี่น้องฝาแฝดและโยธินเคยได้สวมนั่นเอง

“สวมเลย เนี่ยชุดนี้กันหนาวดีมาก” สุดฟ้าโฆษณาเพิ่มเติมขณะดึงชุดของตัวเองมาสวม

หลังจากที่ชวิศาสวมชุดนั้นเสร็จเรียบร้อย เขารู้สึกได้ว่าภายในชุดอุ่นมากและความหนาวเย็นของอากาศภายนอกทำอะไรเขาไม่ได้อีก ชุดนั้นคลุมร่างกายทั้งตัวไม่ว่าจะเป็นมือหรือเท้า ซ้ำยังมีหมวกคล้ายฮู้ดที่คลุมทั้งศีรษะ

“โอเค เสร็จแล้ว”

“ดีจะได้ไปกันเสียที” ชายคนนั้นพูดบ่นพร้อมเดินเข้ามาหา

คนยืนรอยืนนิ่งได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นโครมคราม แน่นอนว่าเขาไม่ยอมไปด้วยง่าย ๆ เขามีแผนอยู่ในใจ ดังนั้นจึงต้องพยายามปั้นหน้านิ่งทั้งที่เหงื่อเริ่มซึมเพราะความตื่นเต้น กระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้มากพอแล้วสุดฟ้าจึงชักปืนออกมาจ่อเตรียมยิง แผนของเขาก็ทื่อ ๆ แบบนี้แหละ

ชายคนนั้นชะงักไปชั่วครู่เหลือบมองอาวุธสีดำด้านในมือของสุดฟ้าและยกยิ้มออกมา

“เอาปืนของเล่นมาขู่ใครที่ไหนจะกลัว”

สุดฟ้ายกยิ้มเช่นเดียวกัน “จะลองดูก็ได้ แต่ปืนกระบอกนี้ฉันสร้างเองเลยใส่ลูกเล่นไว้เยอะ ยังไม่เคยลองลูกเล่นที่ว่านั่นสักที พอดีเลยแกมาเป็นหนูทดลองให้หน่อยละกัน”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ฝ่ายนั้นหัวเราะเสียงดัง “แกตลกดีนะ น่าจะทำธุรกิจร่วมกันได้ ไม่สนใจร่วมมือกันหน่อยเหรอ”

“แล้วแกใช่คนที่ส่งอีเมลเรื่องพ่อแม่ฉันมาขู่หรือเปล่า”

“ถึงไม่ใช่ฉันแต่คงปฏิเสธไม่ได้เต็มปากเหมือนกัน แต่พ่อแม่แกยังอยู่ดีนี่”

“เพราะฉันไม่แน่ใจถึงได้ต้องมาดูต่างหาก”

ฝ่ายนั้นยักไหล่ “เอายังไงเรื่องทำธุรกิจ”

“เมื่อกี้ยังบอกว่า ต่อให้หักแขนหักขาก็จะจับฉันไปให้ได้อยู่เลย”

“ก็แกมันเรื่องมาก เพื่อนฉันติดต่อไปตั้งหลายครั้งกลับไม่ตอบอะไรมาเลย”

สุดฟ้าถึงขั้นต้องกลอกตานึก “เหรอ ไม่เห็นจำได้”

คำตอบพานให้คนฟังบันดาลโทสะ เขาไม่กลัวลูกกระสุนหนึ่งแม็กกาซีน แต่ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้อาวุธสีดำที่เจ้าตัวบอกว่ามีลูกเล่นมากมายมาจ่ออยู่ตรงหน้า เขาคงไม่ยอมยืนนิ่งอยู่นานขนาดนี้ เนื่องจากต่อให้มีมนตราสร้างเกาะคุ้มกันร่างกายก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นอมตะ

“ตกลงเอาไง เห็นเพื่อนฉันบอกว่าแกรับจ้างทำงานสารพัด ทีงี้ทำไมคิดนานนักวะ”

“ก็ไม่อยากทำงานที่น่าเบื่อ”

“ยังไม่ลองคุยรายละเอียดเลย จะรู้ได้ยังไงว่าน่าเบื่อ”

“ลองคุยก็ได้” สุดฟ้าตอบอย่างขอไปที เขายอมลดอาวุธลงเสียบใส่ช่องเก็บที่สุดปลายมือก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา แม้ไม่ควรไว้ใจอีกฝ่ายแต่สุดฟ้าถือคติว่าเขาทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ คนว่าจ้างอุตส่าห์พยายามท่อมาคุยถึงที่ เขาจะลองคุยเนื้อหางานดูก่อน ไม่พอใจค่อยปฏิเสธก็ยังไม่สาย

“มีเบอร์ไหมล่ะ”

ถามออกไปอย่างนั้นแต่มือกดคำสั่งแจ้งยกเลิกการต่อสู้กับหุ่นยนต์ทั้งสอง พลางอ่านข้อความของมาริเอะที่ส่งตอบกลับมา

“คนของแกตายไปสองแล้วล่ะ”

คนฟังกัดฟันกรอด

ชวิศาเห็นท่าไม่ดีจึงก้าวเท้ามาบังสุดฟ้าไว้ เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่ตกลงเจรจากันเรื่องอะไรเพราะเข้าใจประโยคคำพูดของสุดฟ้าแต่เพียงฝ่ายเดียว กระนั้นก็พอเดาท่าทีไม่พอใจของฝ่ายตรงข้ามได้

ค้อนเวทในมือเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเล็กน้อย

กระดาษคาถาของกรินเขียนวงเวทให้มันใช้พลังของธาตุโลหะเป็นหลักทว่ายามนี้ลักษณะของมันกลับคล้ายค้อนที่ทำมาจากโลหะชัดเจน ส่วนปลายอีกด้านกลับมองคล้ายเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้

“ช่วยไม่ได้นี่ แทนที่จะเข้ามาคุยดี ๆ” สุดฟ้าตอบอย่างไม่ยี่หระ

ชายคนนั้นได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์ เมื่อเขาแบมือขึ้นพลันปรากฏเป็นลูกศรขนาดเล็ก นั่นทำให้ชวิศายิ่งกระชับค้อนเวทในมือเพียงแต่ลูกศรกลับพุ่งตัวไปที่อื่น

“วันนี้เราคุยกันแค่นี้ก่อนก็ได้แล้วฉันจะติดต่อมาทีหลัง”

“ก็แล้วแต่”

ชายแปลกหน้าหายไปหลังจากจบประโยคของตน สุดฟ้านึกว่าจะได้พะบู๊มากกว่านี้เสียอีกแต่เมื่อหันมาเห็นมอเตอร์สเปซเขาก็เหมือนหัวใจจะสลายอีกรอบ เมื่อสำรวจโดยรอบแล้วนอกจากประตูที่ถูกดึงจนเสียหาย กระโปรงหน้ายังยุบเป็นรอยอีกด้วย

เขายืนคร่ำครวญเสียใจอยู่ไม่นาน สเตบาสเตียนและมาริเอะก็ตามมาสมทบ

“ด็อกเตอร์เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” สเตบาสเตียนรีบเอ่ยถามทันทีที่มาถึง เขาเข้าถึงรายงานความเสียหายของยานยนต์แต่เพราะติดพันอยู่กับฝ่ายตรงข้ามจึงไม่สามารถกลับมาสมทบเพื่อให้การช่วยเหลือได้

“ฉันไม่เป็นไรหรอกแต่ดูมอเตอร์สเปซดิ ฮึกฮือ... เสียใจ...”

กระนั้นสองหุ่นยนต์กลับยืนนิ่งไม่มีปฏิกิริยาใดทั้งสิ้นและชวิศาเองก็ได้แต่ยืนทำหน้าแหย เนื่องด้วยรู้สึกว่าชายหนุ่มออกจะเศร้าโศกเกินควรไปมาก

อย่างไรก็ตาม สุดฟ้าใช้เวลาในการเสียใจเพียงไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนและบอกให้ชวิศาเก็บมอเตอร์สเปซใส่ไว้ในอัญมณีมิติเวทให้ด้วย

“แล้วเราจะเดินทางอย่างไรละครับ” เจ้าของอัญมณีที่มีคุณสมบัติเก็บของได้หลากหลายเอ่ยถาม

“ฉันเตรียมสกูตเตอร์ไฟฟ้ามาด้วย แต่ฉันว่าจะไม่ใช้” อีกฝ่ายพูดมาอย่างนั้นจนชวิศาอยากถามว่าแล้วจะพูดทำไมแต่เพราะสุดฟ้ากล่าวประโยคถัดมาเสียก่อน

“ฉันจะใช้พลังเวทของนาย แบบวาร์ปเดียวถึงศูนย์วิจัยเลย”

“ทำไมต้องไปศูนย์วิจัยอีกล่ะครับ ไม่ใช่คุณสุดฟ้าตกลงไปกับคนพวกนั้นแล้วหรือ”

“เอ๋... ตกลงเรื่องราวมันเป็นอย่างไรครับ” มาริเอะถามแทรก กระนั้นคุณพ่อบ้านกลับเอ่ยเสนอแนะขัดจังหวะทุกคนขึ้นมาอีกว่า “ถ้าต้องตกลงพูดคุยกัน ผมขอแนะนำให้ด็อกเตอร์หาที่ตั้งแคมป์ก่อนดีกว่าครับ”

เป็นอันว่าสุดฟ้าตอบตกลงกับข้อเสนอของสเตบาสเตียน

ชายหนุ่มเตรียมอุปกรณ์แคมป์ปิ้งมาพร้อมสรรพแต่ ที่แรกที่บอกให้ชวิศานอนในมอเตอร์สเปซเพราะมันอุ่นกว่าอากาศข้างนอกเนื่องจากเต็นท์สำหรับค้างแรมของเขาไม่มีระบบปรับอากาศ มันก็คือเต็นท์เดินป่าขนาดใหญ่แบบธรรมดา ๆ นั่นแหละ

หลังจากกางเต็นท์เรียบร้อยซึ่งคือที่เดิมที่พวกเขายืนคุยกันล่าสุด พวกเขาทั้งสี่ได้เริ่มประชุมเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และเมื่อมาริเอะได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับประโยคสนทนาของสุดฟ้ากับฝ่ายตรงข้าม เขาได้โวยวายออกมาว่า

“แล้วด็อกเตอร์ก็ตอบตกลงยอมไปกับพวกมันอยู่ดี อย่างนี้จะขัดขืนทำไมตั้งแต่แรก ที่มอเตอร์ต้องพังก็เป็นความผิดของด็อกเตอร์แหละครับ”

“ฉันเป็นคนทำพังซะที่ไหน เจ้าคนนั้นต่างหากที่กระโดดใส่รถแล้วก็ดึงประตูจนหลุด” สุดฟ้าโวยวายตอบกลับ

“ก็ถ้าด็อกเตอร์ยอมทำตามแผนของผมตั้งแต่แรก เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นไหมล่ะครับ”

“แล้วนายรู้เหรอว่าถ้ายอมไปกับพวกมันจะเจออะไรบ้าง ถ้ามันจับนายกับชวิศาไปปู้ยี่ปู้ยำ หรือจับพวกนายสองคนเป็นตัวประกันบังคับให้ฉันทำเรื่องเลว ๆ ขึ้นมาจะทำอย่างไร”

“คุณเป็นห่วงผมด้วยเหรอ” ชวิศาถามแต่หน้าตาของเขาเหมือนไม่ได้ซาบซึ้งกับความห่วงใยที่สุดฟ้ามีให้ หมดช่วงวิกฤตเขาจึงระลึกได้ว่าสุดฟ้าเคยพูดจาโหดร้ายอะไรไว้ “ตอนนั้นคุณยังบอกว่าจะทิ้งผมบ้างล่ะ ส่งผมกลับบ้านบ้างล่ะอยู่เลย”

“เอ้ย... เป็นห่วงสิ ที่พูดไปนั่นเพราะไม่อยากให้นายโดนลูกหลงไปด้วยหรอกนะ”

ชวิศากอดอกจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เชื่อถือ จนสุดฟ้าต้องกล่าวย้ำทำหน้าให้ซื่อและดูจริงใจที่สุด “จริง ๆ นะ ฉันพูดจริง”

“เรื่องที่พวกผมจะโดนทำอะไรนั่นน่ะ ด็อกเตอร์ควรห่วงตัวเองมากกว่านะครับ” มาริเอะพูด

“หมายความว่าไง”

“ในหมู่พวกเราทุกคน มีด็อกเตอร์คนเดียวที่... เอ่อ...เดี๋ยวนี้เขาใช้คำว่า ‘กาก’ ที่สุดนะครับ”

“มาริ๊!!!” สุดฟ้าร้องเรียกชื่อเจ้าของประโยคนั้นเสียงสูง สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างมากและพร้อมจะหาเรื่อง “ฉันกากยังไงไม่ทราบ”

“ผมเป็นหุ่นยนต์ซึ่งหลังจากที่ด็อกเตอร์ปรับปรุงอีกครั้ง ประสิทธิภาพของผมก็เพิ่มขึ้นและผลงานวันนี้ก็เป็นตัวพิสูจน์แล้ว ส่วนคุณชวิศา ผมยิ่งคิดว่ามันเป็นอะไรที่ยากมากที่จะมีอะไรทำอันตรายคุณชวิศาได้ เท่าที่คุณชวิศาเคยเล่าให้ฟัง ผมว่าคุณกรินสอนการใช้มนตราให้มากเพียงพอที่คุณชวิศาจะรักษาตัวรอดได้ นี่ยังไม่นับเรื่องคืนโกลาหลวันแต่งงานของคุณกรินอีกนะ”

สุดฟ้าเองก็จำเรื่องนั้นที่ชวิศาเล่าให้ฟังได้ ที่เจ้าตัวเผลอใช้เวทหยุดเวลาตอนที่ขบวนงานแต่งโดนโจมตี

“เท่ากับว่าในกลุ่มพวกเรามีเพียงด็อกเตอร์เท่านั้นที่เป็นมนุษย์ธรรมดาไม่มีความสามารถพิเศษใดนอกจากความฉลาดเหนือปุถุชนทั่วไป อย่างนี้ไม่เรียกว่า ‘กาก’ แล้วจะให้เรียกว่าอะไรครับ”

“ใช้คำว่า ‘อ่อน’ ก็ได้ครับ แต่คุณกรินชอบพูดว่า ‘อ่อนด้อย’ ผมว่ามันฟังดูดีกว่านะ” ชวิศาพูด

ซึ่งสุดฟ้าอยากจะตะโกนบอกว่า มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย!!!!!!!!!



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่สี่สิบเก้า 29/04/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 29-04-2018 07:06:24
ตอนที่สี่สิบเก้า



“ฉันไม่ได้ ‘กาก’ ไม่ได้ ‘อ่อน’ หรือ ‘อ่อนด้อย’ อะไรด้วย ถามสเตบาสเตียนได้ ก่อนที่ฉันจะสร้างนาย ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่มายี่สิบห้ายี่สิบหกปี ถ้าฉันไม่มีความสามารถจริง ฉันไม่มีชีวิตอยู่มาถึงป่านนี้หรอก” ชายหนุ่มโวยวายเสียงแข็งพลางนึกว่าบทสนทนามันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

“หยุดพูดเรื่องกากอะไรนี่ซะที เข้าเรื่องแผนการที่ฉันจะทำดีกว่า ในเมื่อนาย” สุดฟ้าชี้มือไปทางมาริเอะ “คิดว่าตัวเองเอาตัวรอดและคิดว่าชวิศาเอาตัวรอดได้ เพราะฉะนั้นฉันจะทำอะไรก็อย่ามีปัญหาเพราะฉันก็เอาตัวรอดได้เหมือนกัน”

“รับทราบครับ” มาริเอะตอบรับด้วยท่าทางขึงขังจนชายหนุ่มผู้สร้างคิ้วกระตุกแต่ก็บ่นอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงบอกตัวเองว่า นั่นคือหุ่นยนต์ที่เขาสร้างขึ้นมา ระบบประมวลผลโปรแกรมเรียนรู้ทั้งหลายเขาก็เป็นคนเขียนทั้งนั้น

“พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปหาพ่อกับแม่เพื่อดูให้แน่ใจว่าท่านทั้งสองสบายดี และรอเวลาที่พวกนั้นติดต่อมาอีกครั้ง ฉันจะลองคุยข้อธุรกิจที่ว่านั่นก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ”

ทุกคนได้แต่พยักหน้ารับ อย่างชวิศา เขาได้แต่ตามชายหนุ่มคนรักมา ไม่มีความคิดเห็นอะไรอยู่แล้ว

“กี่โมงแล้ว”

“สี่นาฬิกาสิบสองนาทีครับ” สเตบาสเตียนเอ่ยตอบ

“เออ… ฉันจะนอน หกโมงเช้าเมื่อไหร่ปลุกด้วย” พูดจบก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจใครอีก มาริเอะจึงหันไปคุยกับชวิศา

“คุณชวิศาจะนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้ครับ คงไม่มีเรื่องตื่นเต้นอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว”

“และถึงอย่างไรพวกผมก็คอยเฝ้าระวังอยู่” สเตบาสเตียนกล่าวเสริมขึ้นมาอีก ดังนั้นชวิศาจึงยอมล้มตัวลงนอนและเพราะยังสวมชุดกันหนาวของสุดฟ้า เขาจึงไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นและหลับสนิทลงอย่างรวดเร็ว

ครั้นเวลาหกโมงเช้ามาถึงสุดฟ้ากลับตื่นลืมตาขึ้นมาราวกับมีนาฬิกาปลุกอยู่กับตัว และเมื่อหนึ่งมนุษย์ขยับตัว หุ่นยนต์ทั้งสองก็ออกจากระบบประหยัดพลังงานทันทีเช่นเดียวกัน สุดฟ้าเปิดเต็นท์มองดูด้านนอกซึ่งท้องฟ้ายังเป็นสีน้ำเงินเข้มไร้แสงสีส้มของด้วยอาทิตย์ยามเช้า

“ให้ปลุกคุณชวิศาเลยไหมครับ” คุณพ่อบ้านเอ่ยถาม

“ยังไม่ต้องหรอกให้นอนต่อไปก่อน” เขาพูดพลางสั่งให้สเตบาสเตียนกางผ้าใบกันน้ำค้างให้ นอกจากเต็นท์แล้วพวกเขายังมีอุปกรณ์แคมป์ปิ้งอื่น ๆ ครบครัน

สุดฟ้าหิ้วตะเกียงดวงไฟมาเปิดให้แสงสว่าง กางโต๊ะพับเพื่อวางดิจิตอลไลต์มอเตอร์ เปิดการทำงานของอุปกรณ์เรียกโปรแกรมจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา ขณะที่สเตบาสเตียนเริ่มตั้งเตาเพื่อต้มน้ำร้อนและเนื่องจากมอเตอร์สเปซถูกเก็บเข้าคลังไปแล้วจึงไม่มีระบบอุ่นอาหารให้ใช้ คุณพ่อบ้านจำต้องเตรียมอาหารง่าย ๆ ให้แทน ส่วนมาริเอะที่ว่างงานได้แต่นั่งชมท้องฟ้าไปพลาง

หลังจากกู้จดหมายเก่า ๆ ขึ้นมาย้อนดูได้ไม่เกินสิบฉบับ ชายหนุ่มก็ล้มเลิกความตั้งใจและเปลี่ยนไปเปิดโปรแกรมเกมปลูกผักขึ้นมานั่งเล่นเสียแทน

“รับมื้อเช้าเลยไหมครับด็อกเตอร์”

“อืม... ได้” เมื่อรับคำ โกโก้อุ่นร้อนและขนมปังย่างกรอบเป็นสีน้ำตาลเหลืองสวยก็ถูกยื่นมาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า

“เอ้า เออ... ยังไม่ได้แปรงฟัน” ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเลี่ยงไปหาพื้นที่สำหรับล้างหน้าแปรงฟัน ช่างเป็นยามเช้าที่สงบสุขจนนึกว่าเรื่องเมื่อคืนอาจจะเป็นเพียงความฝัน

สุดฟ้ากลับมาละเลียดจิบเครื่องดื่มเพียงครู่เดียวชวิศาก็เดินงัวเงียออกมาจากเต็นท์ เขาจึงบอกให้อีกฝ่ายไปล้างหน้าเพื่อมาทานอาหารเช้า

เมื่อจัดการธุระและเติมพลังงานให้ร่างกายเรียบร้อย สุดฟ้าจึงสั่งให้เก็บของและให้ชวิศาเรียกพาหนะเดินทางฉุกเฉินออกมาจากอัญมณี

“ไหนว่าจะให้ผมวาร์ปไป” ชวิศาเอ่ยถาม

“ก็พอคิดได้ว่ามันสว่างแล้ว และจู่ ๆ ถ้าโผล่พรวดขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องตกใจนะสิ” สุดฟ้าตอบพร้อมกดปุ่มสตาร์ทพาหนะขนาดเล็ก ก่อนจะพูดเร่งให้ชายหนุ่มอีกคนขึ้นซ้อน

“มันจะวิ่งบนหิมะแบบนี้ได้หรือครับ” ชวิศายังถามอย่างไม่แน่ใจ มองมาริเอะและสเตบาสเตียนที่นั่งซ้อนอยู่บนสกูตเตอร์คันจ้อยอีกคัน

ที่จริงสุดฟ้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่จะทำอย่างไรได้ “ถ้ามันวิ่งไม่ได้แล้วจะให้เดินทางไปยังไง” เสียงของชายหนุ่มติดจะรำคาญอยู่ไม่น้อยซึ่งชวิศาก็รับรู้ได้ ใบหน้าสวยจึงง้ำลง ยืนนิ่งไม่ยอมขยับจนเกิดเป็นบรรยากาศอึดอัดหนักหน่วง และความฉุนเฉียวของสุดฟ้าก็เพิ่มขึ้นอีก

คนขับบิดคันเร่งออกตัวโดยไม่นึกอยากรออีกฝ่าย อารมณ์ของเขาประสมด้วยความขุ่นเคืองโมโหซึ่งอาจจะตกค้างมาตั้งแต่เมื่อวานทว่าเร่งเครื่องเคลื่อนตัวไปไม่ไกล สกูตเตอร์คันน้อยก็ไถลลื่นล้มลงกับพื้น

ชวิศารีบวิ่งเข้าไปดูชายหนุ่มคนรัก หุ่นยนต์ทั้งสองต่างก็ลงจากรถวิ่งเข้าไปหา

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ความไม่พอใจก่อนหน้าจางหายไปในพริบตา ชวิศาช่วยประคองสุดฟ้าให้ลุกขึ้นขณะที่สเตบาสเตียนยกสกูตเตอร์ขึ้นและเตะขาตั้งยันกับพื้น

“เจ็บนะสิถามได้!!!” ชายหนุ่มตวาดตอบเสียงดัง ชวิศาหน้าเสียในอกแปลบวาบทั้งเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม เพื่อข่มไม่ให้เสียงสั่นเครือเจ้าตัวจึงตะเบ็งเสียงกลับไป

“ทำไมต้องตะคอกด้วยล่ะ ตอบกลับมาดี ๆ ก็ได้”

“ที่ฉันต้องเจ็บตัวแบบนี้ก็เพราะนายไม่ใช่หรือไง ถ้าขึ้นมาซ้อนซะตั้งแต่แรกไม่ถามมากป่านนี้ก็ไปถึงไหนแล้ว”

“ความผิดของผมอย่างนั้นเหรอ” ถามออกไปเช่นนั้นก็จริงแต่ชวิศาไม่เข้าใจสักนิด

และยิ่งพวกเขาถกเถียงกัน ความโกรธเคืองก็เพิ่มพูนอยู่ในน้ำเสียงพร้อมกับความดังเสียงในแต่ละประโยค “มันความผิดของผมตรงไหน ผมแค่สงสัยว่าพื้นมันลื่นจะตาย ไอ้สกูตเตอร์บ้าบอของคุณมันสามารถทรงตัวได้แน่เหรอก็เท่านั้น แล้วดูสิแค่คุณขี่คนเดียวมันยังล้มเลยไม่มีทางที่จะให้ผมซ้อนไปด้วยได้อยู่แล้ว”

“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว ไม่โง่ขนาดนั้นหรอกน่า ฉันมีวิธีแล้วกัน นายแค่หุบปากแล้วทำตามที่ฉันสั่งไม่ได้หรือไง”

ชวิศาชะงักไม่ได้พูดอะไรอีก รับรู้แค่นัยน์ตากับโพรงจมูกที่ร้อนผ่าว เขาหมุนตัวหันหลังเดินหนีไปอีกทาง

“ชวิศา” สุดฟ้าร้องเรียกแต่เจ้าของชื่อก็ไม่หยุดเดิน

“ชวิศาจะไปไหน”

ไม่มีทั้งเสียงตอบทั้งปฏิกิริยาตอบรับ ชายหนุ่มร่างเล็กบางยังเดินต่อไปเรื่อย ๆ มันทำให้สุดฟ้าหัวเสียมากขึ้น เขาหันไปหันมาก่อนวิ่งตามไปคว้าท่อนแขนของชวิศาไว้ ดึงหันกลับมาก็เห็นน้ำตาที่ไหลท่วมบนใบหน้าเนียนใส

มาริเอะและสเตบาสเตียนได้แต่ยืนมองเป็นตัวประกอบ และแม้มาริเอะจะเป็นหุ่นยนต์ที่มีระบบความคิดเป็นของตัวเองแต่ในกรณีที่เจ้านายผู้สร้างกำลังหงุดหงิดขั้นสุดโดยสาเหตุที่ทำให้อารมณ์เสียไม่ได้เกี่ยวกับตนนั้น ระบบประมวลผลก็ตัดสินใจว่า เขาควรจะอยู่เฉย ๆ

กลับมาที่สุดฟ้า

พอเห็นอีกฝ่ายน้ำตานองความรู้สึกผิดก็บังเกิดขึ้นมาในทันใด คราวนี้เขาหันรีหันขวางด้วยอาการทำอะไรไม่ถูกของแท้ ก่อนที่ชวิศาจะรู้สึกตัวกระชากข้อมือที่โดนจับยึดไว้

“ปล่อย!!! ปล่อยเลยนะ ผมจะกลับแล้ว”

“กลับไปไหน จะบ้าเหรอ จะกลับยังไง”

“ผมจะกลับยังไงหรือกลับไปไหนมันก็เรื่องของผม คุณไม่เกี่ยว” คราวนี้ชวิศาเริ่มสะบัดมือแรงขึ้นหวังให้หลุดจากการจับกุมให้ได้

“อย่างี่เง่าน่าชวิศา นี่มันแอนตาร์กติกานะไม่ใช่พารากอน ถึงได้โมโหอยากกลับบ้านก็กลับได้”

ในประโยคยืดยาวนั้น คนฟังรับรู้แค่คำเดียว “ใช่สิ ผมมันงี่เง่านี่ โง่ด้วย ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง ดีแต่ถามอะไรไร้สาระแล้วก็สร้างปัญหา ไม่เคยทำอะไรถูกใจคุณอยู่แล้ว”

“ไปกันใหญ่แล้วเนี่ย ฉันยังไม่ว่านายแบบนั้นสักคำ”

“ไม่ว่าอะไร” ชวิศาเถียงกลับทันควัน “เมื่อกี้คุณยังพูดว่าผมงี่เง่าอยู่เลย”

“เออ ๆ ขอโทษ ฉันแค่พลั้งปากไป”

“พลั้งปาก? แสดงว่าคุณคิดว่าผมโง่งี่เง่าอยู่ตลอดเวลาเลยใช่ไหม”

ปัดโธ่! ที่อย่างนี้กลับเอามาผูกเชื่อมโยงกันซะเร็วเชียว สุดฟ้าคิดอยู่ในใจ อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวเริ่มสงบลงแล้ว หรือถ้าเรียกให้ถูกคือเขาเริ่มสำนึกผิดที่เอาความหงุดหงิดโมโหที่ตนมีไปลงกับอีกฝ่าย เขาจึงยอมเอ่ยปากออกไปง่าย ๆ

“เอาเป็นว่า ฉันขอโทษนะ ขอโทษที่เสียงดังใส่ ขอโทษที่พูดจาไม่ดี ยกโทษให้ฉันเถอะ”

ชวิศาเบะปากสะอึกสะอื้นพลางนิ่งคิดก่อนจะโถมเข้ากอดชายหนุ่มร่างสูงกว่า “ยกโทษให้ก็ได้” สรุปแล้วก็ยอมใจอ่อนคืนดีด้วยง่าย ๆ

สุดฟ้าจูงมือชวิศาพาเดินกลับมาหาสองหุ่นยนต์ที่ยืนนิ่งชมเหตุการณ์

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวนายไปซ้อนคันของสเตบาสเตียน แล้วมาริก็มาขี่คันนี้ ฉันจะเป็นคนซ้อนเอง”

“ตกลงมันวิ่งบนหิมะลื่น ๆ แบบนี้ได้จริงหรือครับ ไม่ใช่พากันไปล้มอีกล่ะ”

“การเคลื่อนที่ของพาหนะสองล้อมันขึ้นอยู่กับความสามารถในการทรงตัวของผู้ขับขี่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง”

“ถ้าตอบคุณชวิศาแบบนี้ไปตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาทะเลาะกันแล้วแท้ ๆ” มาริเอะพูดซึ่งทำให้สุดฟ้าตวัดสายตาไปมอง ชายหนุ่มเคยชินกับนิสัยปากเสียของตัวเองและคิดว่าหุ่นยนต์อย่างมาริเอะก็คงไม่ถือสาเก็บมาคิดมากอย่างชวิศา กระนั้นคำพูดของเขาก็จะกลายเป็นคำสั่งที่บันทึกลงระบบสมองกล เขาจึงต้องยั้งปากตัวเอง

“ขึ้นรถดิ จะได้ไปซะที”

เมื่อได้รับคำสั่งทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนต่างส่งเสียงตอบรับก้าวเท้าขึ้นคร่อมเบาะสกูตเตอร์ รอให้มนุษย์ทั้งสองคนขึ้นซ้อนท้ายจึงกดปุ่มสตาร์ทและบิดเร่งเครื่อง พาหนะสองล้อเคลื่อนที่ไปบนแผ่นหิมะซึ่งจับแน่นแข็งตัวอย่างราบรื่นจนชวิศาไม่แน่ใจว่ามันมีอาการไถลลื่นล้อฟรีแบบที่ควรเป็นหรือไม่

หุ่นยนต์ทั้งสองตนขับขี่ยานพาหนะไปตามเส้นทางที่สุดฟ้ากำหนดไว้ก่อนหน้า และใช้เวลาราว ๆ สามชั่วโมงพวกเขาทั้งสี่ก็ถึงจุดหมาย

อาคารศูนย์วิจัยตั้งอยู่บนเสาซึ่งยกสูงจากพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ตัวอาคารรูปทรงเรขาคณิตสีน้ำเงินตั้งเรียงต่อกันมองเห็นว่าแยกเป็นโมดูลอย่างชัดเจน

มาริเอะและสเตบาสเตียนขับขี่พาหนะตรงเข้าไปหารถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้อาคาร การมาถึงของสกูตเตอร์คันจ้อยสองคันคงสร้างความแปลกกลุ่มชายหญิงซึ่งยืนอยู่ใกล้รถยนต์ลุยหิมะได้เป็นอย่างดี

หลังมาริเอะจับคันเบรกห้ามล้อให้สกูตเตอร์จอดนิ่งสนิทแล้ว สุดฟ้าก็ลงจากรถเดินตรงเข้าไปหาคนกลุ่มนั้น

“สวัสดีครับ ผมมาหาคุณสุดเขตและคุณปานฟ้า” เขาพูดถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษ พวกเขาหันมองหน้ากันเองก่อนปล่อยให้ชายร่างสูงเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลทองเป็นคนพูดตอบ

“พวกคุณมาหามิสเตอร์สุดเขตและมิสปานฟ้าด้วยธุระอะไรหรือครับ”

“ผมเป็นลูกชาย อยากจะมาเยี่ยมพ่อกับแม่”

“ลูกชาย?”

เมื่อได้ยินคำตอบ ผู้หญิงอีกคนจึงหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาใกล้ริมฝีปากและกรอกเสียงพูดลง เนื้อหาใจความตามที่สุดฟ้าได้บอกออกไป ชายหนุ่มได้บอกชื่อของตนสำทับไปอีก

“ผมชื่อสุดฟ้า ศิริกรครับ”

ยืนรออยู่แค่ครู่เดียวก็ปรากฏร่างหญิงชายวัยกลางคนเดินลงมาจากบันไดของโมดูล

“สุดฟ้าลูกรัก” แม่ของเขาวิ่งมาหา ทันทีที่มาถึงตัวก็รวบเขาเข้าไปกอดรัด ชายหนุ่มทำหน้าเหนื่อยหน่ายฉายชัดจนเธอสังเกตเห็น

“อะไรกัน เจ้าลูกคนนี้ไม่เจอแม่ตั้งนานแทนที่จะทำหน้าดีใจ”

“เย้! ดีใจจัง ผมคิดถึงแม่มากเลยครับ” ทว่าน้ำเสียงและท่าทางกลับสวนทางกับคำพูดอย่างชัดเจน

“แหมเจ้าลูกคนนี้ไม่ต้องมาทำตัวซึน กับแม่เลยนะ” เธอพูดก่อนวาดมือตีแขนเขาดังป้าบสีหน้ารื่นเริงดีใจแม้จะได้เห็นท่าทางกับคำตอบแบบนั้นจากบุตรชายก็ตาม ขณะที่สุดฟ้าต้องยกมือขึ้นมาลูบตำแหน่งที่โดนทำร้ายป้อย ๆ

“มาหาพ่อแม่ถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่า” สุดเขตเอ่ยถามหลังได้ช่องโอกาสจากช่วงแสดงความรักของภรรยากับบุตรชาย

“เปล่า... ไม่มีอะไรครับ ผมแค่... คิดถึง” พูดออกไปแล้วสุดฟ้าถึงกับชะงักอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ หันไปทางมารดาที่ถึงกับทำตาโตปิ๊ง ๆ ใส่พร้อมสีหน้าเปี่ยมด้วยความปลื้มปริ่มอิ่มเอมใจ ก่อนจะถลาเข้ามากอดรัดเขาไว้อีกรอบ โชคดีว่าเขาตัวโตและสูงขึ้นมากไม่เช่นนั้นคงโดนรัดจนหายใจไม่ออกไปแล้ว

“คุณพาลูกขึ้นไปข้างบนดีกว่าไหม ข้างนอกนี่อากาศเย็นเดี๋ยวลูกจะไม่สบาย”

ปานฟ้าได้ฟังคำพูดของสามีเธอก็รีบผละตัวออกจากการกอดรัดบุตรชาย “เออนั่นสิ ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ เดี๋ยวแม่จะทำอะไรให้กิน”

หึ้ย!!!!!

สุดฟ้าสะดุ้งโหยงขนลุกเกรียวพลันนึกไปถึงประสบการณ์รสชาติอาหารฝีมือมารดาครั้งล่าสุดที่เคยได้ชิมซึ่งชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่รอดตายมาได้ เขาจึงรีบพูดปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกครับ ผมเกรงใจ อ้อ... อีกอย่างผมมีพ่อบ้านส่วนตัวมาด้วย” เขาดึงสเตบาสเตียนให้มายืนด้านหน้าพร้อมเอ่ยแนะนำให้บิดามารดารู้จัก

“จำที่ผมเคยเล่าเรื่องระบบเอไอที่ผมเป็นคนเขียนได้ไหมครับ” สุดฟ้าพูดพลางรุนหลังมารดาให้ออกเดิน บิดาจึงเดินนำไปยังทางขึ้นโมดูลโดยมีสเตบาสเตียน มาริเอะและชวิศาเดินตามมา ปิดท้ายด้วยกลุ่มนักสำรวจชาวต่างชาติที่สุดฟ้าคุยด้วยในทีแรก

 “ผมทำโครงสร้างโรบอตเพิ่มและเอาระบบที่เขียนใส่ลงไป ก็เลยกลายเป็นหุ่นยนต์พ่อบ้านที่ชื่อว่าสเตบาสเตียน”

พวกเขามาหยุดยืนที่โถงรับรองของโมดูลแรกซึ่งไม่เชิงว่า ควรถูกเรียกเป็นโถงรับรองเท่าไหร่นักแต่เพราะมันมีพื้นที่ว่างให้พวกเขายืนคุยกันได้สะดวก และเมื่อประตูของโมดูลถูกปิดลงก็ทำให้สัมผัสอากาศหนาวเย็นของอุณหภูมิภายนอกได้น้อยลง เว้นแต่สุดฟ้ากับชวิศาที่สวมชุดสูทดัดแปลงซึ่งมีความสามารถปรับอุณหภูมิภายในชุดให้ใกล้เคียงกับอุณหภูมิผิวหนังของผู้สวมใส่ เขาทั้งคู่จึงไม่อาจสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

หลังจบประโยคนำเสนอหุ่นยนต์ของบุตรชาย สุดเขตและปานฟ้าจึงหันไปให้ความสนใจกับหุ่นยนต์พ่อบ้าน พวกเขาจับยกแขนที่ห่มคลุมด้วยหนังเทียมเข้ามาดูใกล้ ๆ จับสเตบาสเตียนให้อ้าปาก เหลือกเปลือกตาเพื่อตรวจสอบ เลิกชายเสื้อชุดกันหนาวที่สเตบาสเตียนสวมใส่เพื่อมองช่องเสียบชาร์จกำลังไฟฟ้า

และคำถามเกี่ยวกับแบตเตอรี่ของหุ่นยนต์ก็ถูกส่งมา สุดฟ้าจึงอธิบายถึงระบบพลังงานที่เขาใช้ซึ่งเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิคจนชวิศานึกว่าตนกำลังอยู่ต่างดาวทั้งที่สวมแหวนแปลภาษาซึ่งไปรับคืนมาก่อนหน้า

“แล้วสองคนนี้ล่ะ” มารดาของสุดฟ้าหมายถึงชายหนุ่มสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว

“แฟนผมเอง” คำตอบของชายหนุ่มทำให้ชวิศาเขินอาย ขณะที่มาริเอะยกยิ้มรับการแนะนำตัวเช่นนั้น

“ทั้งสองคนเลยหรือ หรือคนใดคนหนึ่ง”

“ทั้งสองคนสิครับ ชวิศากับมาริเป็นฝาแฝดกัน บางครั้งนิสัยเหมือนจะไม่เหมือนกันแต่ก็ชอบอะไรเหมือนกัน เขาทั้งคู่แอบชอบผมมานานแล้ว ผมไม่อยากให้คนใดคนหนึ่งเสียใจเลยตอบรับเป็นแฟนกับทั้งคู่เลย”

ปานฟ้าฟังคำตอบแล้วรู้สึกว่ามันทะแม่ง ๆ มองใบหน้าฝาแฝดพี่น้องที่สุดฟ้าอุปโลกน์ขึ้นมาด้วยความกังขา คนหนึ่งยังยิ้มรับเช่นเดิมแต่อีกคนกลับทำท่าราวกับกำลังเจอเรื่องน่างุนงง

“หนูสองคนชอบลูกชายของน้าทั้งคู่จริงหรือจ๊ะ”

“ใช่ครับ” ชวิศาและมาริเอะตอบคำถามพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง

“แต่ว่าผมกับคุณมาริ...” ชวิศากำลังจะพูดต่อแต่โดนสุดฟ้าตรงเข้ามากอดคอพลางกล่าวแทรก

“เอ้อ... พ่อกับแม่พอจะมีที่พักให้พวกผมหรือเปล่าครับ พอดีเกิดปัญหาติดขัดหลายอย่างการเดินทางเลยทุลักทุเลไม่น้อย ผมจึงอยากพักสักหน่อยก่อนจะโทรแจ้งคุณธีรวัฒน์เพื่อให้ส่งเครื่องไอวีบีมารับกลับ”

“ได้เลยเดี๋ยวแม่ไปจัดการเรื่องห้องให้แล้วลูกทานอะไรมาหรือยังล่ะ”

“เรื่องอาหารผมขอยืมแค่ครัวกับของสดเท่านั้นก็พอ เดี๋ยวสเตบาสเตียนจัดการให้ผมเองครับ”

ปานฟ้าพยักหน้ารับก่อนหมุนตัวหันหลังเดินนำเข้าไปด้านใน ขณะที่ผู้เป็นบิดาชะลอฝีเท้าและส่งเสียงพูดคุยด้วยระดับความดังที่ถูกจำกัดความว่าเป็นการกระซิบ

“พี่น้องฝาแฝดคู่นี้แอบชอบผมมานานแล้ว ผมไม่อยากให้คนใดคนหนึ่งเสียใจเลยตอบรับเป็นแฟนกับทั้งคู่” สุดเขตทวนคำพูดของบุตรชาย “พ่อแม่เขารู้หรือเปล่าว่าลูกไปล่อลวงลูกเขามา”

“ผมไม่ได้ล่อลวง” สุดฟ้ากระซิบตอบ

“แต่พ่อบอกได้เลยว่าที่ลูกอ้างมาแม่เขาไม่เชื่อหรอก เขาต้องไปหาทางแอบซักฟอกทั้งสองคนแน่นอน”

“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะพ่อ หน้าตาอย่างผมไม่น่ามีคนมาแอบชอบขนาดนั้นเลยเหรอ” สุดฟ้าสงสัยทั้งที่เขาไม่ได้โกหกทั้งหมดเสียหน่อย ชวิศาแอบชอบเขามาตั้งนานแล้วจริง ๆ ถึงจะเพิ่งหายโกรธเขาไปไม่นานแต่คงไม่เลิกชอบเขาง่าย ๆ หรอกมั้ง

“ไม่ใช่เรื่องหน้าตา แต่ไม่รู้สิมันเป็นเซนส์ของพ่อแม่ล่ะมั้ง รู้สึกว่าประโยคที่ลูกพูดมาน่าจะโกหกแล้วยิ่งพยายามเปลี่ยนเรื่องด้วยแล้ว มันน่าสงสัย”

สุดฟ้าเริ่มคิดเสียแล้วว่า การที่มาหาพ่อแม่ครั้งนี้เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//แม้ช่วงนี้จะลงแบบอาทิตย์เว้นอาทิตย์แต่รับรองว่าจะพยายามไม่หายไปนาน ๆ บางอาทิตย์ที่ไม่ได้ลงเพราะติดอ่านนิยายประกอบกับถึงจะมีพล็อตคร่าว ๆ ในหัวแต่ยังลังเลใจอยู่ สถานการณ์ในนิยายเรื่องนี้เลยขึ้นอยู่สภาพการเขียน ณ ตอนนั้น ขอบคุณทุกท่านที่ยังติดตามค่ะ//*
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ห้าสิบ 13/05/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 13-05-2018 04:13:03
ตอนที่ห้าสิบ



เมื่อเปิดใช้งานดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์อีกครั้ง สุดฟ้าพบว่าอีเมลแจ้งนัดหมายส่งมาถึงแล้ว เขาเปิดอ่านรายละเอียดที่ถูกระบุไว้ด้านใน

ฝ่ายนั้นนัดหมายเวลาและเขียนระบุท้ายข้อความไว้ว่า ‘จะให้คนของทางตนมารับ’

แต่ใครจะยอมเป็นหมูในอวย ชายหนุ่มคิดในใจ ก่อนตอบกลับไปว่าจะเดินทางไปด้วยตัวเองตามวันและเวลาที่กำหนด แต่คิดไปคิดมาอีกที ทำไมเขาถึงไม่โทรศัพท์คุยให้รู้เรื่องไปเลยเล่า เมื่อคิดได้เขาจึงส่งอีเมลอีกครั้งเพื่อขอหมายเลขโทรศัพท์

ครู่หนึ่งต่อมา ข้อความแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ก็ส่งมาถึง

เขากดเรียกโปรแกรมดึงเรียกเบอร์โทรศัพท์ที่จะใช้โทรออก เมื่อกดปุ่มตกลงแล้วจึงล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาปลดล็อกหน้าจอเพื่อโทรออก

เขารอสายเพียงชั่วอึดใจเดียว ทางนั้นก็กดรับและกรอกเสียงกลับมา

“Hello”

สุดฟ้าจึงแนะนำตัวออกไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน อันที่จริง เขาพูดได้แต่ภาษาอังกฤษ ถึงจะยอมรับว่าตัวเองอัจฉริยะมาก แต่เขาไม่เคยสนใจเรียนภาษาที่สามหรือสี่ ห้า หก เพราะฉะนั้นเขาพูดได้แค่ภาษาอังกฤษกับภาษาไทยน่ะถูกแล้ว

“ที่ใจที่ได้คุยกับคุณครับ คุณสุดฟ้า ผมเคยพยายามหาทางติดต่อคุณตั้งหลาย...”

“ช่วยเข้าประเด็นสักที ถ้าไม่ต้องการคุยธุระผมจะได้วาง” สุดฟ้าพูดแทรกขึ้นไปอย่างไม่เกรงใจ เขาไม่ได้รำคาญนะแค่ขี้เกียจฟัง อีกประการหนึ่งคือมันเปลืองค่าโทรศัพท์ ถึงเขาใช้โปรแกรมแก้เบอร์โทรที่แสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ของอีกฝ่ายได้ แต่ถึงอย่างไรเบอร์ที่เขาใช้งานอยู่ยังต้องจ่ายเงินให้ผู้บริการเครือข่าย ส่วนการที่ตัวเขาอยู่แอนตาร์กติกาแต่ยังใช้โทรศัพท์ได้สัญญาณชัดแจ๋ว นั่นเพราะเขาทำให้โทรศัพท์ของตนใช้งานได้ทั่วโลกเท่านั้นเอง

“อ้อ” ฝ่ายนั้นลากเสียงเหมือนจะอารมณ์เสียซะแล้ว

“ผมนับแค่สาม... หนึ่ง...”

“ผมแค่ต้องการแบบแปลนระเบิดของคุณเท่านั้น”

“อย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มี”

“แต่คุณเคยสร้างให้เจ้าชายฟาลิฮ์”

“ผมสร้างมาแค่สามนัดซึ่งใช้ไปหมดตั้งแต่ที่ผมอยู่ฮัชดาลลาร์แล้ว”

“อย่างนั้นผมขอจ้างให้คุณเขียนแบบให้ใหม่”

“ถ้าคุณโอนเงินเข้าบัญชีให้ผมได้หนึ่งหมื่นล้านยูเอสผมจะส่งแบบให้คุณทันที” จบประโยคนั้นกลับมาแต่ความเงียบตอบกลับมาอยู่ร่วมนาที

“จะขูดเลือดขูดเนื้อไปหน่อยไหม” เสียงที่ดังจากปลายสายเหี้ยมเกรียมขึ้นทันควัน

“แล้วคุณคิดว่าจะสร้างกำไรจากระเบิดของผมได้เท่าไหร่ล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยลองเชิง เขาไม่คิดว่าจะมีใครบ้าซื้อระเบิดของเขาไประเบิดหินอยู่แล้ว อีกอย่างฝั่งนั้นพูดถึงเจ้าชายฟาลิฮ์และฮัชดาลลาร์ซึ่งสุดฟ้ายังจำได้ว่า ที่เจ้าชายหลอกล่อโน้มน้าวสร้างความน่าสงสารทั้งหมดทั้งปวงนั่นเพราะโดนข่มขู่ให้หาวิธีเอาบอมบ์พินาศจากเขาไปให้ได้

“แต่ถ้าต้นทุนสูงขนาดนั้น ใครที่ไหนจะมาซื้อของของผม”

“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องขายให้คุณ” เขาตัดสายทันทีที่พูดประโยคนั้นจบและที่สำคัญอีกฝ่ายจะโทรกลับหาเขาไม่ได้ในเมื่อเบอร์ที่โชว์บนหน้าจออีกฝั่งมันเบอร์ปลอม

ฝ่ายนั้นจึงส่งข้อความเข้ามาทางกล่องจดหมายอีกรอบว่าจะตกลงจ่ายเงินให้ เขาจึงส่งเลขบัญชีกลับไปและบอกว่าเขาเห็นยอดเงินเมื่อไหร่จะส่งแบบแปลนไปให้ทันที จากนั้นเปิดหน้าต่างสนทนาที่ไว้ใช้คุยกับสเตบาสเตียนและมาริเอะ เขียนคำสั่งลงไปว่า

‘ถ้ามีอีเมลเข้าให้รีบแจ้ง’

แล้วจึงปิดการทำงานของดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์ พุ่งตรงไปหาชวิศาที่นั่งคุยกับมาริเอะแถวเตียงนอน สอดแขนกอดเอวหนุ่มคนรัก ชวิศาถึงกับหันมองอย่างแปลกใจ

“อะไร”

“คุณสุดฟ้าน่ะแหละเป็นอะไรหรือเปล่า”

ชายหนุ่มเกยคางบนลาดไหล่ แนบแก้มกับใบหน้าเรียบเนียน ขยับศีรษะถูกไถไปพลาง

ในห้องแคบ ๆ สำหรับพักอาศัยคนเดียวนั้นมีเพียงเตียงนอน โต๊ะเขียนหนังและตู้ใส่เสื้อผ้า สีของเฟอร์นิเจอร์เป็นสีขาวตัดกับพื้นพรมสีฟ้า

หลังจากแยกกับมารดาโดยอ้างว่าขอเวลาพักผ่อน เขาก็ยังไม่อนุญาตให้ทั้งสองคนออกไปไหนเพื่อป้องกันไม่ให้มารดาของตนซักไซ้แฝดคนละฝาอย่างชวิศาและมาริเอะ

“ตัวเองรักเค้าไหม” สุดฟ้าถาม

“ผมรักด็อกเตอร์มากที่สุดในโลกเลยครับ” มาริเอะตอบกลับมาอย่างไม่ลังเลจนชายหนุ่มกลอกนัยน์ด้วยอาการเซ็ง เขารู้อยู่แล้วว่ามาริเอะต้องรักเขามากที่สุดในโลก ก็สุดฟ้าเป็นคนเขียนโปรแกรมคำสั่งเองกับมือ ต่อให้นิสัยผิดเพี้ยนจากที่ตั้งใจไปอย่างไร คำถามนี้ก็ถูกเข้ารหัสล็อกการเปลี่ยนแปลง

“ถามชวิศาล่ะมาริ”

“แต่ด็อกเตอร์หันหน้ามาทางผม”

บางครั้งสุดฟ้าก็รู้สึกว่ามาริเอะจงใจกวนประสาท

ชายหนุ่มตั้งคำถามอีกหน คราวนี้เขาทำเสียงหล่อพร้อมเอ่ยชื่อผู้ถูกถาม

“ชวิศา นายรักฉันหรือเปล่า”

“แล้วคุณล่ะครับ คุณสุดฟ้ารักผมบ้างหรือเปล่า”

สุดฟ้ายังเก๊กหน้าและดัดเสียงให้ฟังดูหล่อต่อไป “แรก ๆ ฉันอาจจะเฉย ๆ แต่ตอนนี้ฉันยอมรับตามตรงว่าฉันรักนาย”

มาริเอะเบ้ปาก ขอย้ำว่า ‘เบ้ปากมองบน’ จริง ๆ ก่อนพูดออกไปว่า “หมั่นไส้”

“อย่าเพิ่งขัดได้ไหม” เสียงสองหายไปทันควัน

“แล้วผมล่ะครับ ด็อกเตอร์ไม่รักผมเหรอหรือเห็นผมเป็นแค่ของเล่นชั่วครั้งชั่วคราว” ตัดพ้อไม่พอยังเสี้ยมเป่าหูชวิศาอีกด้วย “คุณชวิศาคิดดูนะครับ ผมยังจำได้วันที่สร้างผมขึ้นมาวันแรก ด็อกเตอร์ยังตระกองกอดพูดคุยกับผมกะหนุงกะหนิงด้วยความรัก แต่ดูวันนี้สิ ผมกลับกลายเป็นของไร้ค่าสำหรับด็อกเตอร์ไปเสียแล้ว” เพื่อให้คำพูดของตนน่าเชื่อมากขึ้น มาริเอะจึงแสร้งบีบน้ำตาอีกเล็กน้อย แล้วมีหรือที่ชวิศาไม่คล้อยตาม

“คุณมาริ” เขาเอ่ยเรียกเสียงอ่อนด้วยความสงสารเห็นใจ

สุดฟ้าขมวดคิ้วฉับ รู้สึกว่ามันชักเลยเถิดไปไกล “เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน ฉันว่ามันไม่ใช่แล้ว”

“ไม่ใช่อะไร!!!” แฝดคนละฝาประสานเสียงถามจนต้องแกล้งยกมือปิดหู แถมยังตีหน้าขึ้งโกรธเหมือนกันอีก

“เอาล่ะ” สุดฟ้าทำหน้าขึงขังจริงจังบ้าง “พวกเราควรเข้าเรื่องที่ควรพูดคุยกันเสียที”

“คุณสุดฟ้าจะบอกว่าที่ถามรักไม่รักนั่น แค่ถามเล่น ๆ หรือครับ”

จะผิดไหมเนี่ยถ้าเขาคิดว่าชวิศากำลังเหวี่ยงชวนหาเรื่องให้ทะเลาะกัน กระนั้นก็ตาม เขาได้แต่บอกให้ตัวเองสงบใจไว้เพื่อแสดงความเป็นผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วให้แฟนทั้งสองคนเชื่อถือ

“ไม่ใช่อย่างที่นายคิด ฉันถามเพื่ออยากรู้จริง ๆ” แค่เริ่มต้นพูดชายหนุ่มก็รู้สึกออร่าความเท่ที่พวยพุ่งออกมาพลั่ก ๆ

“แต่มันเป็นคำถามเกริ่นของเรื่องที่ฉันอยากจะพูดกับพวกนายสองคน”

เห็นทั้งสองคนตั้งใจฟังเขาจึงกล่าวต่อ

“อย่างที่ฉันบอกแม่ว่าพวกนายสองคนคือแฟนฉัน และฉันก็รักพวกนายสองคนจริง ๆ” สุดฟ้ารีบเอ่ยเมื่อเห็นสายตาจ้องจับผิดของทั้งคู่ “แต่แม่ของฉันไม่เชื่อและฉันก็ไม่อยากให้เรื่องที่มาริเป็นหุ่นยนต์หลุดออกไป”

“แล้ว?”

“ถ้าแม่ฉันมาชวนคุยถามโน่นถามนี้ ให้ตอบว่าพวกนายเป็นฝาแฝดกันจริง ๆ”

“คุณสุดฟ้าจะอยู่ที่นี่อีกนานเลยหรือครับ” ชวิศาถาม

“ฉัน…” สุดฟ้าลังเล เขาไม่ค่อยได้อยู่กับพ่อแม่ ความผูกพันแบบครอบครัวทั่วไปอาจน้อยกว่าคนอื่น แต่หญิงชายผู้เป็นบุพการีก็สำคัญต่อตนอยู่ดี

“ถ้าอยู่นาน ผมว่าเราไม่ควรอยู่ในโมดูลของสถาบัน” ชวิศาเอ่ยต่อ “ผมจะโทรบอกให้พี่โยส่งบ้านน็อคดาวน์มาให้”

ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ มาริเอะก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “ด็อกเตอร์ครับ สเตบาสเตียนแจ้งว่ามีอีเมลเข้าครับ”

“ขอโทษนะ ไว้ฉันกลับมาคุยต่อ แต่ช่วยเตี๊ยมกันเรื่องที่จะบอกแม่ฉันด้วย” สุดฟ้าบอกก่อนหันไปเปิดดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์เพื่อเช็กข้อความ ไม่ทันสนใจแฝดคนละฝาที่ขยับมาชะโงกหน้ามุงดูด้วย

ข้อความที่ส่งมาไม่ได้แจ้งว่าโอนเงินมาให้ตามที่บอกราคาไปแต่เป็นการเจรจาว่าจะโอนเงินให้ครึ่งหนึ่งก่อน และถ้าเขาส่งแบบแปลนให้แล้วจะโอนเงินอีกครึ่งหนึ่งมาให้

สุดฟ้าจึงส่งเสียงสบถ เขาขายของ… เงินไม่มาของก็ไม่ไปเหมือนกัน

ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก กรอกประโยคคำพูดภาษาอังกฤษลงไปทันทีที่ปลายสายกดรับ

“ผมไม่คิดเจรจาอะไรอีกทั้งนั้น ผมทำงานเพื่อเงิน ถ้าคุณไม่มีเงินผมก็ไม่อยากคุยกับคุณอีก” สุดฟ้ากำลังจะกดวางสาย เขาไม่คิดเสียเวลาคุยกับพวกที่หวังแต่ของต้นทุนต่ำแต่ปลายสายร้องเรียกไว้ก่อน

“ผมมีเงินจ่ายแต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณมีของจริง ไม่ได้คิดดูถูกแต่คุณเคยบอกว่าไม่มีแบบแปลน ถ้าผมโอนเงินไปแล้วคุณโกงผมจะเรียกร้องที่ใครได้”

“ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ผมอยากเห็นของก่อน”

คิดว่าเขาจะโง่ส่งให้ดูหรือไง อีกอย่างสุดฟ้าไม่ได้คิดอยากขายทว่าคนพวกนี้คงตามตื๊อไม่เลิก ขนาดกล้าเอาเรื่องพ่อแม่เขามาขู่ ซ้ำยังตามมาดักจับตัวพวกเขาถึงขั้วโลกใต้ได้อีก ความปรารถนาแรงกล้าขนาดนี้ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าจะต่อกรอย่างไรจริง ๆ

มาริเอะขยับไปตรงหน้าสุดฟ้ายกฝ่ามือขึ้นแตะกันเป็นรูปตัวที สัญลักษณ์ขอเวลานอกที่พวกโค้ชและผู้จัดการทีมฟุตบอลใช้กัน สุดฟ้าเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายจึงชี้นิ้วมาที่โทรศัพท์

“ถ้าคุณอยากเห็นก็ได้ เดี๋ยวผมส่งให้” จบประโยคชายหนุ่มก็ตัดสายทันที

“มีอะไรว่ามา”

“ด็อกเตอร์ไม่คิดที่จะส่งแบบแปลนบอมบ์พินาศของจริงไปให้ไม่ใช่หรือครับ” คำพูดของมาริเอะช่างตรงใจ เขาไม่เอาของอันตรายแบบนั้นให้ใครไปง่าย ๆ หรอก ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีสามัญสำนึกที่ดีอยู่

“ซึ่งถ้าฝ่ายนั้นมารู้ทีหลังว่ามันเป็นของปลอมคงตามรังควานไม่เลิก ด็อกเตอร์จะทำอย่างไรล่ะครับ”

“ก็…” ชายหนุ่มทำท่าคิด

“อย่างครั้งนี้พวกนั้นเอาเรื่องคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้ามาขู่ ด็อกเตอร์ก็ต้องถ่อมาถึงสุดขั้วโลก แล้วถ้าครั้งหน้าพวกมันจับทั้งสองท่านไปเป็นตัวประกันได้จริงจะทำอย่างไรล่ะครับ” มาริเอะพูดถามแม้ระบบจะคิดหาคำตอบได้แล้วก็จริง และดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้ที่สร้างหุ่นยนต์สมองกลแสนอัจฉริยะขึ้นมาก็รู้ตัวแล้ว

“อย่างนั้นพูดมาเลย ต้องการให้ฉันทำอย่างไร”

“อันดับแรกคือต้องหาที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัย สอง ด็อกเตอร์ต้องไปหาอีกฝ่าย ตอนนี้พวกเราพูดกับพวกนั้นผ่านตัวอักษรและสัญญาณโทรศัพท์ เท่ากับไม่รู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามคือใคร ไม่แน่ว่าพวกนั้นอาจมีค่าหัวที่รัฐบาลบางประเทศต้องการตัว”

เมื่อมาริเอะพูดออกมาอย่างนั้น สุดฟ้าก็เข้าใจได้ทันที ถ้าต้องการสลัดอีกฝ่ายให้หลุดเขาต้องจัดการให้เด็ดขาด แต่ประชาชนคนธรรมดาแบบเขาจะให้ควงปืนไปถล่มไล่ฆ่าแกงเจ้าพวกนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร

วิธีที่ควรทำคือแจ้งตำรวจทางการของประเทศที่ฝ่ายตรงข้ามมีปัญหาอยู่ แม้จะสลัดให้หลุดอย่างถาวรไม่ได้แต่มันน่าจะมีระยะเวลาเพียงพอที่ทำให้ใครต่อใครหาเขาไม่เจอ

ใช่! ตอนนี้สุดฟ้ามีความคิดที่จะเฟดตัวเองหายไปจากโลกนี้ ใช้คำว่าโลกนี้อาจจะเป็นโครงการที่ใหญ่ไปเสียหน่อย เขาตั้งใจแค่หายตัวไปแบบไม่ให้ใครหาเจอนั่นล่ะ

“แต่ตอนนี้ถ้าจู่ ๆ บอกว่าจะไปหา ฝ่ายนั้นคงสงสัย” มาริเอะพูดเตือนอีกประโยค

“อืม ฉันจะส่งไฟล์แบบแปลนไปให้พวกนั้นดูก่อน” ชายหนุ่มตัดบางส่วนในไฟล์และส่งอีเมลกลับไปให้

“แต่แบบแปลนที่ฉันเพิ่งเขียนขึ้นมาใหม่ก็ใช้งานไม่ได้อยู่แล้วละนะ”

“คนพวกนั้นคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงถ้ารู้ทีหลัง” ชวิศาพูดขึ้นบ้าง “แล้วเอาอย่างไรต่อดีละครับ”

“ฉันอยากได้เกาะร้างเป็นส่วนตัวสักเกาะ ถ้าย้ายไปอยู่ที่แบบนั้นคงไม่มีใครหาเจอ”

“อีกเรื่องหนึ่งครับ” มาริเอะพูดแทรกขึ้นมาอีก “ผมติดใจที่พวกผู้ใช้เวทตามพวกเราเจอ”

“เออใช่… ฝาแฝดน่ะตามสัญญาณโทรศัพท์ของฉันไม่ได้อยู่แล้ว” ซึ่งความจริง ไม่ว่าใครก็ติดตามที่อยู่ของสุดฟ้าจากสัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้อยู่แล้ว

“ส่วนสัญญาณโทรศัพท์ของชวิศาฉันก็จัดการเปลี่ยนตำแหน่งไปแล้ว เอ…แล้วมันยังไงกันนะ”

“สำหรับผู้ใช้เวทมันก็มนตราบางอย่างซึ่งสามารถหาตำแหน่งที่อยู่ของคนที่เราต้องการตามหาได้ อย่างผม คุณกรินก็เคยสอนให้ใช้มนตราประเภทนั้นมาบ้างเหมือนกัน”

“แล้วขอบเขตการตามหาจะกว้างไกลขนาดข้ามทวีปได้เลยเหรอ”

“มันก็… น่าจะไม่ได้นะ เหมือนว่า…ไม่ว่ามนตราอะไรขอบเขตการใช้งานก็ล้วนขึ้นอยู่กับพลังที่มีน่ะครับ” ชวิศาตอบอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยความกระตือรือร้นว่า

“เออ… เรื่องแบบนี้ถามเจ้าชายฟาลิฮ์ไม่ดีกว่าหรือครับ ผมว่าคงได้คำตอบแน่ชัดกว่าผมมาก”

“อืม อย่างนั้น มนตราตามหาจำพวกนั้นยึดหลักเกณฑ์อะไรในการจะหาใครสักคน”

“หลักเกณฑ์?” ดูท่าสิ่งที่สุดฟ้าถามจะยากเกินการทำความเข้าใจของชวิศา

“หมายถึงต้องทำอย่างไรถึงจะหาคนคนหนึ่งเจอ”

“อ้อ… ก็เรียกใช้พลังอำนาจธาตุตามที่มนตราระบุ และตั้งจิตนึกถึงคนที่จะตามหา”

“อย่างนั้นพอจะอนุมานได้แล้วละว่า พวกนั้นรู้จักหรือเคยเห็นนายกับฉัน” ชายหนุ่มหมายถึงตัวเองและชวิศา มาริเอะและสเตบาสเตียนเป็นหุ่นยนต์ซึ่งน่าจะไม่มีทางตามหาด้วยเวทมนตร์ได้อยู่แล้ว ก็ขนาดอาจารย์สูงวัยที่เจ้าชายพาพวกเขาไปพบเมื่อครั้งนั้น ยังบอกชัดเจนว่าไม่มีพลังชีวิตด้วยเสียงหนักแน่นแข็งขัน เหมือนจะไม่เกี่ยวกันแต่ชายหนุ่มคิดว่านี่คือเหตุผลรองรับความคิดของเขา

“ถ้าพูดถึงผู้ใช้เวทก็ต้องเกี่ยวพันกับฮัชดาลลาร์อยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” มาริเอะพูด

สุดฟ้าถอนหายใจ เขานึกว่าจะหลุดพ้นแล้วเสียอีก

“ด็อกเตอร์ครับมีอีเมลเข้าอีกแล้วครับ” มาริเอะแจ้งเตือนตามที่สเตบาสเตียนส่งข้อความผ่านระบบมาหา

สุดฟ้าจึงหันกลับไปมองหน้าจอไลต์มอนิเตอร์อีกครั้ง กดเรียกเปิดข้อความ รายละเอียดภายในบ่งบอกว่าโอนเงินให้เขาแล้ว ชายหนุ่มจึงเข้าเว็บไซต์ของธนาคาร จะเรียกว่าเป็นความเผอเรอของเขาเองก็ได้ หน้าเมนของธนาคารเป็นหน้าเว็บไซต์ของจริงแต่พอเขาคลิกเข้าหน้าเช็กบัญชีออนไลน์กลับลิงก์เข้าแอดเดรสที่เป็นของปลอม

มันแค่ชั่วพริบตาเดียวก่อนการเชื่อมต่อจะถูกตัดไปกลายเป็นหน้าจอที่บ่งบอกว่าไม่มีสัญญาณ

“เอ๊ะ”

“สเตบาสเตียนแจ้งมาว่า การเชื่อมต่อสัญญาณโดนแทรกแซงครับ”

คำว่า ‘แทรกแซง’ ของคุณพ่อบ้านหมายถึงการถูกแฮ็ก มันเป็นศัพท์ที่ตัวสุดฟ้าใช้เพราะคิดว่ามันค่อนข้างตรงกับสภาพการณ์ของเขามากกว่า มีความหมายตรงตัวว่า ‘โดนแทรกแซง’ จากภายนอก แต่คำว่า ‘แฮ็ก’ ในความเข้าใจของเขาคือโดนขโมยข้อมูลไปแล้วซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นจริง เขาคงชีช้ำและรู้สึกเหมือนโดนหยามมาก

“แทรกแซง?” สุดฟ้าทวนคำซ้ำ “เว็บของธนาคารเนี่ยนะ แฮกเกอร์ที่ไหนเนี่ย จะขโมยเงินในบัญชีฉันหรือไง”

“สักครู่ครับ” มาริเอะพูดพร้อมเดินไปเปิดประตูห้องและเป็นสเตบาสเตียนที่เดินเข้ามา

“ตำแหน่งไอพีที่เดียวกับอีเมลที่ส่งมาครับ”

“คือ? พวกนั้นจะขโมยเงินฉัน?”

ไม่มีใครตอบคำถามนั้นได้ มาริเอะจึงพูดขึ้น “อาจจะแค่ปรับยอดตัวเลขให้ด็อกเตอร์เห็นว่าโอนเงินมาแล้ว หรือพยายามหาตำแหน่งที่อยู่ของด็อกเตอร์”

“จะหาตำแหน่งของฉันทำไมในเมื่อพวกมันก็รู้ว่าฉันอยู่ไหน”

“จากวันที่เจอผู้ใช้เวท พวกเราเดินทางต่อโดยใช้สกูตเตอร์อีกร่วมหนึ่งร้อยกิโลเมตรนะครับ”

“เอ่อ… บางทีมนตราที่อีกฝ่ายใช้ อาจจะใช้ไม่ได้บ่อย ๆ ก็ได้ หรือไม่คนที่คุณมาริเอะทำให้เสียชีวิตอาจเป็นเจ้าของมนตรา” ชวิศากล่าวเสริมคำพูดของหุ่นยนต์ที่มีหน้าตาเหมือนตน

ง่ะ… นี่ไม่เท่ากับว่าเขาจะเป็นคนพาอันตรายมาให้บุพการีเหรอเนี่ย คิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก

“สวัสดีครับ ผมจะไปพบคุณ” สุดฟ้าไม่อ้อมค้อมกล่าวจบก็วางก่อนติดต่อหาอาผู้ชายของสองฝาแฝด

“พอดีมอเตอร์สเปซมันเสียหายนะครับ ผมอยากใช้เครื่องไอวีบี แต่ขอกำชับว่า ห้ามบอกอาทกับไอซ์เด็ดขาดนะครับ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//ไอวีบี ย่อมาจากอะไร เราก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ตอนที่หาชื่อก็ลืมจดไว้แต่น่าจะมาจากคำว่า invisible mobility เป็นพาหนะประเภทเครื่องบินที่สุดฟ้าร่วมออกแบบระบบการทำงานไว้เมื่อนานมาแล้ว//*
หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนที่ห้าสิบเอ็ด 27/05/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 27-05-2018 09:16:41
ตอนที่ห้าสิบเอ็ด



เครื่องบินขนาดเล็กลงจอดยังจุดที่ชายหนุ่มกำหนดไว้ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งห่างจากศูนย์วิจัยไปอีกหลายร้อยกิโลเมตร ลำตัวเครื่องสีขาวคาดฟ้าอ่อน ไม่มีหางเสือมีเฉพาะแพนหาง  ทำมุมเป็นรูปตัววี ที่นั่งภายในเคบินนอกจากนักบินสองคนแล้วรองรับผู้โดยสารได้อีกสี่ที่นั่ง มีประตูขึ้นเครื่องอยู่หน้าปีก แต่มันพิเศษตรงที่เป็นอากาศยานที่ไม่สามารถตรวจจับได้เช่นเดียวกับมอเตอร์สเปซในโหมดอากาศยาน

สุดฟ้าชื่นชอบภาพยนตร์การ์ตูนฮีโร่มาตั้งแต่เด็ก เขาจึงพยายามทำตัวเองให้ดูลึกลับเข้าไว้

เครื่องไอวีบีก็เป็นยานพาหนะลำดับแรก ๆ ที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบผลิตซึ่งขณะนั้นเป็นโปรเจกต์ในเครือของตระกูลสุวราลักษณ์ ด้วยแนวคิดสร้างความลึกลับ เขาจึงทำให้สัญญาณของเครื่องหายไปจากจอเรดาร์ของทางการและทำให้เครื่องหายไปจากวิสัยทัศน์ของผู้คน

แต่แม้จะเป็นเครื่องบินส่วนบุคคลขนาดเล็กกระนั้นมันก็ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะหาที่เก็บได้ รวมถึงเงินทุนครึ่งหนึ่งนั้นมาจากครอบครัวสุวราลักษณ์ เขาจึงตัดปัญหาโดยยกการดูแลและใช้งานให้บริษัทการบินที่อาผู้ชายของฝาแฝดเพื่อนซี้ดูแลอยู่เป็นผู้คอยดำเนินงานจัดการ

และแน่นอนว่าเครื่องบินลับ ๆ ลำนี้ ไม่เคยขึ้นบินอย่างถูกกฎหมายทว่ากลับมีคนยอมจ่ายเงินใช้บริการอยู่เนือง ๆ เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมาทีหลัง การนำเครื่องขึ้นแต่ละครั้งจึงต้องได้รับการอนุมัติจากตัวสุดฟ้า ธัชนนท์และธีรวัฒน์ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นอาของพี่น้องคู่แฝดผ่านแอปพลิเคชันเฉพาะที่สุดฟ้าเขียนไว้

ธัชนนท์ต้องรู้แน่ว่าพวกเขาจะนำเครื่องไปที่ไหนกระนั้นสุดฟ้าเชื่อว่า ธีรวัฒน์จะจัดการเก็บความลับนี้ให้เขาได้

หลังขึ้นมาบนเครื่อง สุดฟ้ากินยานอนหลับเช่นปกติพลางดึงผ้าปิดตาขึ้นมาคาดก่อนโบกมือให้นำเครื่องขึ้น หูได้ยินเสียงชวิศากับมาริเอะคุยกันเบา ๆ ชั่วครู่หนึ่งสรรพเสียงทุกอย่างก็หายไป

เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อร่างกายโดนเขย่าปลุก ตอนที่สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา สเตบาสเตียนได้เปิดประตูเครื่องและลงไปยืนลงที่พื้นแล้ว

สภาพด้านนอกซึ่งเห็นจากช่องประตูเป็นบรรยากาศยามค่ำคืนที่มืดมิดเห็นเพียงแสงดวงไฟ

สุดฟ้าขยี้ตาอ้าปากหาวพลางเดินตามทุกคนลงจากเครื่อง มารู้ตัวว่าประเทศที่เพิ่งเหยียบเท้าถึงพื้นอยู่ในฤดูหนาวก็ตอนได้สัมผัสปรอยหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า

“ยินดีต้อนรับครับ รถอยู่ทางนี้ เชิญครับ” ชายวัยสามสิบกลาง ๆ เดินตรงเข้ามาหา เขาผายมือดึงสายตาแขกผู้เยือนให้มองเห็นรถยนต์ลีมูซีนคันยาวซึ่งจอดอยู่ห่างออกไป ความหรูหราของรถยนต์ยิ่งขับเน้นให้เห็นความธรรมดาของลานปูนกว้างล้อมด้วยรั้วปิดทึบและอาคารที่เห็นเพียงเงาตะคุ่มให้ดูยิ่งโดดเดี่ยวเก่าร้าง

รถยนต์คันนั้นพาพวกเขาไปส่งยังโรงแรมหรูระดับห้าดาว

พวกเขาไม่ต้องทำสิ่งใดแม้กระทั่งการติดต่อห้องพัก มีคนเดินนำไปกดลิฟต์ให้ เปิดประตูห้องให้และค่ำคืนนั้นพวกเขาได้พักผ่อนอย่างปกติสุข

แต่เช้าขึ้นมา สุดฟ้ากลับได้พบสองศรีพี่น้องนั่งจิบกาแฟอยู่ในห้องพร้อมหุ่นยนต์ทั้งสองตน

“อรุณสวัสดิ์ เพื่อนรัก” ธัชนันท์ส่งเสียงทัก “เช้านี้จะทานอะไรดีฉันจะสั่งรูมเซอร์วิสมาให้”

“พวกแกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ฉันนั่งเครื่องและขับรถมา” ฝาแฝดคนพี่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม แฝดคนน้องพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า

“พอดีฉันกับพี่เคลียร์งานเสร็จแล้วเลยแวะมาเที่ยว”

“แล้ว?”

“ก็ไม่มีอะไร เมื่อคืนเห็นแกเดินเข้าโรงแรมเลยแวะมาทักทาย”

“บังเอิญจังเนอะ”

ระหว่างนั้นชวิศาที่จัดการธุระส่วนตัวเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้องนอน เขาส่งเสียงทักทายฝาแฝดสองพี่น้องด้วยความแปลกใจไม่ต่างจากแฟนหนุ่ม จากนั้นเอ่ยบอกว่าจะลงไปหาอะไรทาน มาริเอะจึงจับมือเดินตามกันไป

ก่อนธัชนนท์จะวกกลับมาไขความกระจ่างความบังเอิญที่สุดฟ้าทิ้งไว้

“อาอาร์มเขาไม่ได้พูดอะไร แต่คิดดู พวกฉันรู้ว่าแกอยู่ต่างประเทศ ยิ่งไม่บอกว่าไปไหน ทำไมพวกฉันจะไม่จับตาดูเป็นพิเศษ”

“แล้วเมื่อคืนขึ้นเครื่องอะ แกว่าไง บินนิ่งดีไหม” แฝดคนน้องถามต่อ

“อย่าบอกนะว่าแกขับ”

ธัชนันท์หัวเราะ “ไม่ถึงขนาดนั้น แต่เป็นนักบินที่สอง”

“ตกลงเกิดเรื่องอะไรแน่วะ เดี๋ยวไปโน่นเดี๋ยวไปนี่ แล้วได้เจอคุณลุงคุณป้าไหม”

“ไม่มีอะไร แค่เบื่อ ๆ” สุดฟ้าพูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำท่าทำทางว่ากำลังกดเล่นทว่าที่จริงแล้วกลับกดพิมพ์ข้อความบางอย่าง

“เบื่อเหรอ แกเพิ่งกลับมาอยู่บ้านเองเนี่ยนะ ปกติแกติดบ้านจะตาย ไม่เป็นอะไรแน่เหรอ” ธัชนันท์ถาม ฟังดูซอกแซกวุ่นวายแต่สุดฟ้าเข้าใจว่า ถ้าเป็นสองคนนั้นที่ทำตัวติดหนึบกับเขามาตั้งแต่ตอนอายุสิบแปดต้องสงสัยเป็นธรรมดา

“ระหว่างท่องเที่ยวฉันเจออะไรน่าสนใจด้วย” เขาส่งโทรศัพท์ซึ่งมีข้อความที่ตัวเองพิมพ์ไปให้พี่ชายคนโตบ้านสุวราลักษณ์ ฝ่ายน้องชายก็ชะโงกหน้ามาดูตามนิสัยที่ต้องรู้ทุกอย่างรอบตัว

“น่าสนใจดีนี่”

ธัชนนท์พยักหน้าพึมพำพร้อมส่งโทรศัพท์ไปให้น้องชาย

“ฉันไม่รู้ว่าพวกแกยังไว้ใจได้หรือเปล่า อาจจะมีคนสอดแนมฉันผ่านพวกแกเพราะตอนที่ท่องเที่ยวอยู่ มีคนไปตามล่าฉันด้วย”

“แกไปเจอที่ไหน” ธัชนนท์ยังถามต่อ

“ก็บอกว่าระหว่างเดินทาง”

“แล้วจะให้ทำยังไง”

แต่แฝดผู้น้องกลับพูดแทรกขึ้นมา “ฉันว่าน่าจะทำกำไรได้อยู่นะ หรือพี่ไอซ์ไม่คิดอย่างนั้น” และด้วยกระแสจิตสื่อสารอันแรงกล้าของฝาแฝด พวกเขาทั้งคู่ได้เข้าใจความคิดกันและกันพร้อมต่อประโยคได้อย่างลื่นไหล

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ควรปล่อยไป แกยกให้พวกฉันได้ไหมล่ะ” ธัชนนท์ถามด้วยรอยยิ้มมั่นใจ

“งั้นแล้วแต่”

“แล้วต้องไปไหนหรือเปล่า” อีกฝ่ายยังส่งคำถามมาต่อเนื่อง สุดฟ้าคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังเพราะถึงอย่างไรถ้าฝาแฝดสองพี่น้องอยากรู้ เจ้าพวกนั้นก็พยายามสืบหาจนได้

“ฉันมีเจรจาธุรกิจร้อยล้าน”

“หือ” สองคนนั้นขานเสียงออกมาพร้อมกัน จากนั้นธัชนันท์พูดว่า “มูลค่าเยอะขนาดนี้ไม่อยากได้บอดี้การ์ด นักกฎหมายหรือคนเจรจาแทนหรือไง”

“ไม่ต้องหรอก ไม่จำเป็น”




แม้ว่าจะตอบออกไปอย่างชัดเจนทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่อาจห้ามไม่ให้สองพี่น้องคู่นั้นตามมาได้ ทั้งคู่ยังทำเหมือนกำลังมาทัศนาจรไม่มีผิด

สุดฟ้าระบายลมหายใจเฮือก ไม่อยากพูดต่อว่าให้ตัวเองหงุดหงิดจึงได้เดินนำเข้าร้านอาหารโดยไม่คิดจะหันมองว่ามีใครตามมาหรือไม่

เจ้าภาพของเขาจองห้องอาหารส่วนตัวไว้ เมื่อแจ้งชื่อ พนักงานในชุดเครื่องแบบบริกรสีดำได้ผายมือพลางเดินนำเขาตรงเข้าไปด้านใน

ตอนแรกสุดฟ้าคิดว่าจะได้ไปเจออีกฝ่ายที่โกดังร้างหรืออะไรทำนองนี้เสียอีก

ห้องนั้นกว้างขวางสำหรับรับรองลูกค้าสิบถึงยี่สิบที่นั่งได้สบาย คู่ธุรกิจของสุดฟ้าก็พาคนมาเยอะแต่กระนั้นคนที่นั่งประจำเก้าอี้ของโต๊ะกลับมีแต่สองคน

ครั้นทั้งสองคนเห็นพวกเขาเปิดประตูเดินเข้าไปก็ลุกขึ้นยืนเดินมาต้อนรับ

“ผมยินดีมากที่คุณตอบรับการเชิญเสียที มิสเตอร์ศิริกร”

สุดฟ้าฝืนปั้นหน้ายกยิ้มตอบรับให้ชายตรงหน้า

ชายคนนั้นแนะนำตัวว่าชื่ออัลเบีย ฟาซองส์ สีผิวของเขาดูคล้ำแดด นัยน์ตาสีฟ้าเจ้าเล่ห์ทันคน ไว้หนวดเคราทิ้งเป็นไรบาง ๆ อายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี รูปร่างดูสมส่วนไร้ไขมันส่วนเกินภายใต้สูทสามชิ้นแบบสากล

ส่วนชายอีกคนเป็นผู้ใช้เวทที่เขาเคยเจอ ได้เห็นใบหน้าใต้แสงสว่างของดวงไฟชัดเจนอย่างนี้ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองหน้าชวิศาเปรียบเทียบ ไม่ใช่ว่าเหมือนกันราวกับโขกออกมา แต่โครงหน้าคล้ายกันจนบอกว่าเป็นญาติพี่น้องก็มีคนเชื่อ

แต่ชายคนนั้นไม่ได้มีท่าทีตื่นเต้นเมื่อเห็นชวิศา

สุดฟ้าเลือกเก้าอี้ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถัดไปคือแฝดคนละฝาอย่างชวิศาและมาริเอะ ที่ปิดท้ายเป็นของสองพี่น้องสุวราลักษณ์ที่พาตัวมามีส่วนร่วมอย่างถือวิสาสะ

“ผมสั่งอาหารไว้แล้ว” เขากดกระดิ่งทรงกลมสีเงินบนโต๊ะ ครู่ต่อมาบริกรเปิดประตูนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ

อัลเบียและชายผู้ใช้เวทดื่มไวน์แดง

สุดฟ้าและชวิศาแจ้งขอน้ำเปล่า ที่เสิร์ฟให้มาริเอะจึงเป็นน้ำเปล่าไปโดยปริยาย ส่วนของฝาแฝดเป็นไวน์แดงเช่นกัน

“ผมขอดูของได้ไหมครับ” อัลเบียเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อมทันทีที่บริกรพ้นจากห้องไป

“ผมยังไม่เห็นเงิน” ชายหนุ่มเอ่ยความต้องการของตนและเขาก็ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของธนาคารอีกเลย

กระเป๋าเดินทางสองใบซึ่งบรรจุธนบัตรชนิดหนึ่งร้อยดอลล่าสหรัฐจึงถูกนำมาวางตรงหน้าแต่ชายหนุ่มว่ามันไม่น่าจะใช่เงินทั้งหมดอย่างมากก็น่าจะไม่เกินสามสิบล้าน

“ผมบอกตามตรงเลยนะ ผมไม่มีเงินมากเท่าที่คุณต้องการหรอก”

อ้าว! สุดฟ้าส่งเสียงอุทานในใจ

“เพราะฉะนั้นผมอยากจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่ทั้งคุณและผมได้ประโยชน์”

“แต่…”

“ด็อกเตอร์ครับ ฟังที่คุณอัลเบียพูดสักหน่อยก็ไม่เสียหายนะครับ” มาริเอะรีบพูดแทรกเสียงหวาน

“นั่นสิ เจรจาธุรกิจน่ะมันต้องฟังเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงให้ครบถึงจะตัดสินใจรู้หรือเปล่า” ธัชนนท์รีบเอ่ยสนับสนุนขึ้นมาทันที

ชายหนุ่มที่โดนรบเร้าพูดกล่อมชักจูงกลอกตาทำหน้าเบื่อหน่าย ก่อนพยักพเยิดยอมให้อีกฝ่ายพรีเซนต์ข้อเสนอ

“ผมมีลูกค้าที่สนใจสั่งซื้อระเบิดการทำลายล้างสูงอยู่หลายราย ทีนี้ผมจะเป็นคนลงทุนด้านการผลิตให้ส่วนมิสเตอร์ศิริกรแค่รับส่วนแบ่งก็พอ ผมให้หกสิบเปอร์เซ็นต์ คุณสนใจไหมครับ”

“ทำไมสุดฟ้าต้องร่วมมือกับคุณในเมื่อเขาก็มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองอยู่แล้ว” ธัชนนท์โพล่งถาม

ช่างรู้ใจ สุดฟ้าจึงไปยกนิ้วโป้งชมเพื่อนสนิท

“แต่ผมมีลูกค้า”

“มิสเตอร์ฟาซองส์ คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” ฝาแฝดผู้พี่กล่าวต่อ “ถ้าสุดฟ้าคิดสร้างระเบิดเพื่อจัดจำหน่ายขึ้นมาจริงทำไมต้องผ่านคนกลาง ถึงเพื่อนผมคนนี้จะดูธรรมดาบ้า ๆ บวม ๆ แต่เขาก็ได้รับการยอมรับจากสถาบันวิจัยชั้นนำที่อยู่ในการสนับสนุนของประเทศมหาอำนาจ”

ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงมุ่นคิ้วฟังเหมือนดูดี แต่ฟังให้ชัดอีกทีเหมือนว่าเขาจะโดนด่าอย่างไรก็ไม่รู้

“ผมคิดว่าความจริงแล้ว สุดฟ้าไม่จำเป็นต้องลดตัวมาคุยกับคุณด้วยซ้ำ”

โอ้ย คำพูดนี้โดน สุดฟ้ายิ้มกริ่มจนคู่สนทนาจ้องเขม็งด้วยความไม่ชอบใจ

“ตกลงพวกแกตัดสินใจอยู่ข้างตระกูลอัสมานร์ละสิ” ชายผู้ใช้เวทเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ

“ตระกูลอัสมานร์?”

ชวิศาจึงกระซิบบอกว่าเป็นพระนามราชวงศ์เจ้าชายฟาลิฮ์

“เปล่า แค่รู้จักพูดคุยธรรมดา”

“ถึงขนาดเดินทางเข้าประเทศในฐานะแขกของราชวงศ์ ยังโกหกว่าแค่รู้จักธรรมดา”

“ถ้าฉันจะรู้จักสนิทสนมกับใครแล้วแกเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ” สุดฟ้าถามชวนทะเลาะและก็ได้อาวุธมีคมส่งมาให้ตามคำขอ แต่มาริเอะก็ไวมากพอที่จะหยุดคมมีดไว้ได้ก่อนจะถึงตัวชายหนุ่ม มาริเอะทรุดตัวลงนั่งเหมือนเดิมและเนียนซ่อนมีดไว้ในซอกรองเท้า

สุดฟ้าเข่นเขี้ยวหลังหายจากอาการใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“แบบนี้กะหาเรื่องกันเลยใช่ไหม” เขาตบโต๊ะข่มขู่แต่กลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมกับบริกรที่ยกอาหารเข้ามา ชายหนุ่มจึงลดมือลงไปไว้ใต้โต๊ะ

เขาเคยเห็นมุกตบโต๊ะและเจ็บมือในโทรทัศน์ แต่ไม่คิดว่ามันจะเจ็บจริง จนมาได้ทดลองตบเองซึ่งมันเจ็บมาก ๆ ด้วย

อารมณ์ฉุนเฉียวถูกขัดจังหวะโดยบริกรซ้ำร้ายยังมีจานอาหารวางตรงหน้า ชายหนุ่มตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าควรตัดสินใจอย่างไรต่อไป

ทว่าอีกฝ่ายกลับผายมือเชิญเขาทานอาหารเสียอย่างนั้น “เชิญทานได้เลยครับ ผมสั่งอาหารขึ้นชื่อของร้านไว้ให้พวกคุณเลยทีเดียว”

สุดฟ้าหันไปมองหน้าคนอื่นเพื่อดูว่าใครตัดสินใจอย่างไรบ้าง ที่แน่ ๆ มาริเอะหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาตักอาหารโดยไม่รอคำอนุญาตจากเขา ฝาแฝดธัชนนท์กับธัชนันท์ก็เหมือนกัน แต่ยังดีที่ชวิศาหันมามองหน้าเขาราวกับรอให้ตัดสินใจ

เออวะ… กินก็กิน

“กินก่อนเถอะ” สุดฟ้าบอกชวิศา

คู่เจรจาธุรกิจลงมือทานไปล่วงหน้าก่อนแล้ว อาหารในจานจึงพร่องไปเยอะ ว่ากันตามจริงนะ สภาพแบบนี้มันทะแม่ง ๆ ชอบกล รู้สึกราวกับมีเรื่องร้าย

“รสชาติแปลก ๆ” ชวิศาเอ่ยขึ้น ทำให้สุดฟ้าหันไปมอง ไม่ใช่แค่เขา ทุกคนเลยด้วยซ้ำ

“ทำไมเหรอ”

“อือ บอกไม่ถูกว่ามันเป็นรสชาติของวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงตัวไหน”

ทว่าชวิศายังงุนงงไม่ทันจบ สองฝาแฝดก็ล้มคว่ำหน้าลงกับโต๊ะ มาริเอะจึงฟุบหน้าลงตามทันที

“เฮ้ย!!!” ที่ร้องอุทานไม่ใช่เพราะตกใจกับการสลบของมาริเอะแต่ตกใจที่มันจะสลบไปกับพวกนั้นทำไม!!!

กระนั้นสุดฟ้ากลับไม่สามารถทำอะไรได้มาก เขาพยายามลุกขึ้นยืนแต่สารอะไรก็ตามที่ชายหนุ่มหลงกินเข้าไปกำลังออกฤทธิ์ ภาพตรงหน้าพร่ามัว เขามองเห็นสเตบาสเตียนส่งเสียงร้องเรียกโดยที่โดนฝ่ายตรงข้ามนำอาวุธเข้ามาคุมตัวไว้เหมือนกัน

ชวิศาล้มฟุบไปแล้ว

“แก!!!” สุดฟ้าพยายามเปล่งเสียง ในภาพยนตร์เวลาพระเอกหรือตัวร้ายโดนยาพิษต้องพูดอะไรได้อีกหลายคำสิ เขาเพิ่งอ้าปากพูดได้คำเดียวเองนะ ทำไมภาพตรงหน้ามันมืดดำรวดเร็วอย่างนี้ล่ะ

ฝากไว้ก่อนเถอะ… สุดฟ้าได้แต่คิดในใจก่อนสติจะดับวูบไป


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 10-06-2018 05:50:03
ตอนจบ



สุดฟ้าไม่แน่ใจว่าควรลืมตาหรือยังแม้ว่าเขาจะรู้สึกตัวแล้วก็ตามกระนั้นกลับนึกอยากรู้สภาพรอบตัวจนอดรนทนไม่ไหว ก่อนจะฉุกใจคิดว่าควรสำรวจสภาพร่างกายตัวเองเสียก่อน เขารู้สึกว่าตัวเองนอนอยู่แต่น่าจะนอนอยู่ในท่านี้มานานพอดูเพราะแขนขาชาไปทุกส่วน จึงแสร้งเป็นขยับตัวพลิกเปลี่ยนท่า

“ถ้ารู้สึกตัวแล้วก็ลืมตาขึ้นมาซะที” เสียงพูดประโยคนั้นเป็นของคนคุ้นเคย สุดฟ้าจึงลืมตาพรึบ

ภายในห้องนั้นมีสมาชิกในก๊วนอยู่กันครบ สองฝาแฝดสุวราลักษณ์ แฝดคนละฝาชวิศามาริเอะและสเตบาสเตียน ทุกคนถูกใส่กุญแจมือคล้องไว้กับโซ่ซึ่งโยงกับห่วงเหล็กบนผนัง ระยะโซ่คงสั้นจนไม่สามารถเดินมาหากันได้ สุดฟ้าประหลาดใจที่ฝ่ายตรงข้ามใจดีกับพวกเขาไม่น้อยเพราะนึกว่าจะได้แขวนต่องแต่งแบบในหนังเสียอีก

“นอนนานเว่อร์ แกควรจะกินเข้าไปน้อยกว่าพวกฉันไม่ใช่เหรอ” ธัชนันท์ถาม

เขากำลังจะอ้าปากด่าแต่แฝดคนโตพูดขึ้นมาอีกว่า

“ไอ้ของที่แกเจอระหว่างทางน่ะ ฉันรู้แล้วนะว่าเป็นอะไร”

สุดฟ้าใช้เวลานึกและแปลความหมายอยู่ชั่วพริบตา ก่อนส่งเสียงถามออกไป “แกรู้ได้ไง”

“ฉันเก่ง” ธัชนนท์ยิ้มยิงฟันอย่างน่าหมั่นไส้พานให้รู้สึกโมโหขึ้นมาอีก

“เก่งบ้าเก่งบออะไรวะเพราะพวกแกทำให้ฉันต้องโดนจับมาอย่างนี้ ส่วนนายก็เหมือนกันมาริเอะ ทำ…”

“ห้องนี้มีกล้องและมีไมโครโฟนด้วยนะครับ” มาริเอะพูดแทรก คนฟังได้แต่สบถ

“แล้วก็ดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์โดนพวกนั้นจิ๊กไปแล้วนะครับ ตอนที่ด็อกเตอร์ยังหลับอยู่มีคนมาจับมือด็อกเตอร์เปิดเครื่องด้วยป่านนี้คงเจอไฟล์แบบแปลนในเครื่องแล้วละมั้ง”

สุดฟ้าอยากสบถอีกหลาย ๆ คำ เพราะฟังที่มาริเอะรายงานแล้วยังต้องถอดความแปลภาษาอีก อะไรบ้างล่ะ พวกนั้นได้ดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์ไปแล้ว ...ป่านนี้คงเจอไฟล์ในเครื่อง

เขาค่อยโล่งอกขึ้นมาทันที

สรุปว่านี่อาจจะเป็นแผนของมาริเอะหรือหนึ่งในฝาแฝด

เขากังวลแค่ข้อมูลทั้งหลายทั้งแหล่แต่เหมือนว่ามาริเอะจะสั่งให้สเตบาสเตียนตัดการเชื่อมต่อระหว่างไลต์มอนิเตอร์กับแม่ข่ายหลักที่บ้านไว้แล้ว

“อ้อ” สุดฟ้าขานเสียงรับ ฝาแฝดสองพี่น้องถึงกับกลอกตาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายพร้อมกัน

“แกควรตื่นเต้นหน่อยไหม คอมพิวเตอร์… แบบนั้นควรเรียกว่าคอมพิวเตอร์หรือเปล่าวะ เออ…ช่างมันเถอะ พวกนั้นมันกำลังขโมยข้อมูลในเครื่องของแกนะเว้ย แกไม่เดือดร้อนหน่อยเหรอ”

“ทำไมฉันต้องเดือดร้อน ใน…”

“ต้องเดือดร้อนสิครับด็อกเตอร์ แบบแปลนบอมบ์พินาศกำลังจะถูกเอาไปแล้วนะ”

ก็แบบแปลนอันนั้นมันใช้ไม่ได้ สุดฟ้าพูดในใจนึกอยากจะเกรียนขัดคอเจ้าพวกนั้นอยู่แต่เห็นแก่ที่เขาตื่นขึ้นมาแบบมึน ๆ สมองยังคิดอะไรไม่ทันจะยอมเล่นตามน้ำละนะ

“อ๊ากกกกกก” ชายหนุ่มร้องตะโกนพานให้คนทั้งห้องสะดุ้งโหยง จนเจ้าตัวแอบคิดในใจว่า อ้าว! ไหนอยากให้ตื่นเต้นเดือดร้อน เขาชะงักไปชั่วพริบตาแต่เหมือนว่าแฝดคนพี่จะตั้งสติได้เร็ว รีบขยิบตาให้เขาแสดงอาการเดือดร้อนต่อ

“แบบแปลนของฉัน ไอ้เจ้าพวกบ้านั่นเอาของของฉันคืนมานะเฟ้ยยย” เขาพยายามเขย่ากุญแจมือโวยวาย ร้องเสียงลั่นอยู่ครู่หนึ่งประตูห้องก็ถูกเปิดออก

“หยุดส่งเสียงโวยวายได้แล้วมิสเตอร์ศิริกร”

“พวกคุณควรปล่อยพวกเราไปได้แล้ว ของที่คุณต้องการก็ได้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ” ธัชนันท์รีบพูดออกไป

“จับพวกเราไว้อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก” มาริเอะต่อบทสนทนาอย่างทันท่วงที

“อย่าคิดว่าฉันโง่ แบบแปลนนั่นมันใช้งานไม่ได้” อัลเบียพูดด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดขึ้นและประโยคคำพูดนั้นก็ทำให้สุดฟ้าประหลาดใจ เขาเขียนแบบของปลอมก็จริงแต่อีกฝ่ายควรจะรู้ว่ามันใช้งานไม่ได้ก็ต่อเมื่อสร้างตัวต้นแบบออกมาสิ ที่พวกเขาโดนจับมาน่าจะเพิ่งผ่านไปไม่นานเท่านั้นนั่นเท่ากับว่า

“พวกแกหักหลังฉันเหรอ” สุดฟ้าหันไปถามฝาแฝดสองพี่น้อง

“จะบ้าเรอะ” คนที่ถูกกล่าวหาประสานเสียงตอบพร้อมกัน

“ด็อกเตอร์ใจเย็นก่อนครับ ถ้าคุณธัชนนท์และคุณธัชนันท์หักหลังด็อกเตอร์จริงคงไม่โดนจับมาแบบนี้ด้วยหรอก” มาริเอะพูดไกล่เกลี่ย

“และอีกอย่างแบบแปลนบอมบ์พินาศก็มีแค่ฉบับเดียวที่ด็อกเตอร์ใช้งานอยู่ ไอ้ที่มิสเตอร์ฟาซองส์บอกว่าใช้งานไม่ได้มันจะใช่ได้อย่างไร”

ป้าดโถ่ เกือบแล้วไหมล่ะ สุดฟ้าสบถในใจ

“เออใช่ เอาอะไรมาบอกว่าใช้งานไม่ได้” สุดฟ้าจึงหันไปตามน้ำต่ออย่างฉลาดว่องไว

เนี่ยแหละน้าเพราะไม่รู้ว่าแผนการของเจ้าพวกนี้ ถ้าไม่ฉลาดอย่างเขาเนี่ยเนียนตามน้ำไม่ทันหรอก

“อย่าพยายามแถโกหกเลย”

“อะไรทำให้คุณคิดว่าผมโกหก”

“ตัวผมอย่างไรล่ะครับ” จู่ ๆ ก็มีตัวละครมาเพิ่ม

สุดฟ้าไม่รู้จักผู้ชายคนที่เพิ่งเดินเข้ามา เขาสวมเสื้อกาวน์ขาวสวมแว่นตากรอบหนาเหมือนเป็นพวกเนิร์ดแต่เพราะทรงผมอันเดอร์คัตไถข้าง ทำให้ดูเท่ไปอีก ชายหนุ่มที่เป็นแว่นเนิร์ดตัวจริงเกิดความอิจฉาขึ้นมาตงิด ๆ

“ฉันจะแนะนำให้รู้จัก หมอนี่ชื่อราเชน” ธัชนนท์พูดเป็นภาษาไทย “เคยอยู่ทีมดิวิลอฟที่บริษัท”

“ที่จริงผมชื่อราเชลครับท่านประธาน” ฝ่ายนั้นพูดแก้ด้วยรอยยิ้ม เปลี่ยนมาใช้การสื่อสารด้วยภาษาไทยเช่นเดียวกัน “ผมเป็นพนักงานที่ท่านประธานชื่นชมมากเลยทีเดียวล่ะ เพราะสามารถถอดประกอบหุ่นยนต์ของคุณสุดฟ้าได้โดยไม่ต้องใช้แบบแปลน”

“อ้อ นายนี่เองแล้วใช่คนที่ซ่อมน้ำด้วยหรือเปล่า”

“ใช่” ฝาแฝดคนพี่กล่าวตอบ สุดฟ้าจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ คนที่เพียงดูแบบแปลนบอมบ์พินาศแล้วบอกว่ามันใช้งานได้หรือไม่ก็คงเป็นหมอนี่เหมือนกัน

“แล้วน้ำ... ตอนนี้อยู่ที่ไหน” สุดฟ้าถามเมื่อนึกถึงหุ่นยนต์ที่ถูกตัดการเชื่อมต่อจากการดูแลของสเตบาสเตียน

“ไม่ต้องห่วงครับ ท่านประธานทิ้งไว้ที่โรงแรมก็ยังอยู่ที่โรงแรมครับ” ราเชลตอบและพูดต่อไปว่า “กลับมาคุยธุระของพวกเราต่อดีกว่า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วคุณสุดฟ้าส่งแบบตัวจริงมาให้พวกเราเถอะ คุณจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติของคุณ”

“พูดแบบนี้ราวกับว่าถ้าฉันให้แบบแปลนไป นายจะยอมปล่อยตัวฉันง่าย ๆ”

“แน่นอนครับ พวกเราร่วมมือทำธุรกิจก็เพื่อเงิน ไม่ได้คิดจะฆ่าแกงใครเสียหน่อย”

โอย... ถ้าคนพูดไม่ได้อยากได้แบบแปลนระเบิดเขาคงหลงเชื่อไปเต็มเปา

สุดฟ้าถอนหายใจ “พูดจริงนะ แบบแปลนบอมบ์พินาศน่ะไม่มีหรอก ถ้าพวกคุณรู้ ผมสร้างมันขึ้นมาตอนอายุสิบกว่า ๆ และทั้งแบบทั้งโปรแกรมก็โดนพ่อกับแม่ยึดไปหมด ล่าสุดผมถามแล้ว ของทุกอย่างโดนทำลายไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน และที่ผมทำให้เจ้าชายมันเป็นแค่ตัวจำลอง ยังไงดีล่ะ ผมแค่ทำให้เจ้าชายดูเฉย ๆ ว่ามันใช้งานยังไงซึ่งมีชิ้นเดียวที่ซัคเซส นอกนั้นคือเฟล” เขาอธิบายด้วยท่าทีจริงจัง

“คุณสร้างและทำมันได้ คุณแค่ทำมันขึ้นมาอีกครั้ง”

สุดฟ้านิ่งเงียบ ฉับพลันเขาส่งเสียงโวยวายขึ้นมาอีกรอบ “อ๊ากกกก ช่วยด้วย ผมปวดหัว ผมปวดหัวเหลือเกิน จะตายแล้วช่วยผมด้วย”

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกับพื้น ดิ้นทุรนทุรายคล้ายทรมานพานให้ทุกคนตื่นตกใจ

“คุณสุดฟ้าเป็นอะไรครับ” ชวิศาร้องอย่างตระหนก พยายามเข้าไปหาแต่ติดที่โซ่กุญแจซึ่งล่ามมืออยู่ เขากระชากดึงเมื่อไม่หลุดจึงใช้เวทสลาย ส่วนมาริเอะและสเตบาสเตียนกระชากทีเดียวสายโซ่ที่พันธนาการไว้ก็หลุดจากกัน

พวกเขาตรงเข้าไปหาสุดฟ้าที่ยังส่งเสียงร้องทรมานอยู่บนพื้น

ชายหนุ่มเห็นทั้งสามคนหลุดออกมาง่าย ๆ จึงลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางโมโหและไร้อาการเจ็บป่วย

“ฮ่วย!!! ดึงโซ่ได้ง่าย ๆ แบบนี้ทำไมไม่ทำแต่แรกฮะ”

ชวิศาชะงัก “ก็คุณมาริบอกให้อยู่เฉย ๆ”

“ก็แหมมันต้องมีการเตรียมการนี่ครับ”

ไม่ทันได้พูดคุยกลับเกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นฉับพลัน

อัลเบียกับราเชลที่ยืนอยู่หน้าห้องเห็นกลุ่มของสุดฟ้าหลุดจากกุญแจมือจึงส่งเสียงเรียกคนคุ้มกันทว่ากลับได้รับแจ้งว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายพยายามบุกเข้ามา

“จับตัวพวกมันไว้ก่อน” อัลเบียร้องบอกชายร่างยักษ์ถือปืนทว่าประตูบานนั้นกว้างขนาดมาตรฐาน ชายร่างยักษ์เหล่านั้นจึงสามารถผ่านเข้าประตูมาได้ทีละคนและเมื่อคนแรกผ่านเข้ามาก็โดนสเตบาสเตียนจัดการให้ลงไปนอนหมดสติบนพื้นอย่างง่ายดาย

คนอื่นที่อยู่ด้านนอกเห็นเหตุการณ์เป็นไปอย่างนั้นจึงได้จด ๆ จ้อง ๆ อย่างระวังตัวและนับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาที่ห้องนั้นเป็นห้องผนังทึบซึ่งถูกออกแบบเป็นที่คุมขัง ฝ่ายตรงข้ามจะสาดกระสุนเข้ามาก็ทำไม่ได้ง่ายอย่างใจคิด

“คุณชวิศาดูแลด็อกเตอร์ด้วยนะครับ” มาริเอะหันไปบอก แล้วขยับไปช่วยดึงโซ่ซึ่งลิดรอนอิสรภาพของสองพี่น้องสุวราลักษณ์ ขณะนั้นสเตบาสเตียนก็พุ่งออกไปนอกห้องเพื่อจัดการกับชายร่างยักษ์ทั้งหลาย

“ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง” ธัชนนท์ถาม

“เฮลิคอปเตอร์กำลังมาครับ คนของคุณไอซ์กับคุณโยธินกำลังจัดการพวกที่ขวางทางอยู่”

“ฝากกำชับด้วย ถ้าใครยอมแพ้ให้กุมตัวไว้”

“รับทราบครับ”

สุดฟ้าฟังประโยคสนทนาด้วยความมึนงง “เดี๋ยวนะ มารินี่นายกลายเป็นคนของไอ้ไอซ์ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ด็อกเตอร์เข้าใจผิดแล้วครับ ผมมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของคุณชวิศาและปกป้องคุ้มครองคุณเพราะฉะนั้นแผนการใดที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายผมเลือกใช้ทั้งนั้น”

“และที่ฉันกับพี่ชายเดือดร้อนคอยช่วยแกเพราะแกคือมันสมองของบริษัท ฉันมีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ เข้าใจไว้ด้วย” ธัชนันท์เอ่ย

“ถุย! ถึงพวกแกจะช่วยฉันด้วยจิตพิศวาส ฉันก็ไม่ซาบซึ้งหรอกเว้ย”

“อย่าเพิ่งกัดกันน่า พยายามออกไปให้ได้ก่อนเถอะ” แฝดผู้พี่ร้องปราม

พากันออกมาด้านนอกห้องคุมขังปรากฏว่าราเชลกำลังโดนสเตบาสเตียนจับกดลงกับพื้น รอบกายหุ่นยนต์พ่อบ้านเกลื่อนกลาดด้วยสารร่างของชายร่างยักษ์ที่อัลเบียส่งมาจัดการพวกเขา ขณะที่เจ้าตัวหายหน้าไปไหนแล้ว

สุดฟ้ารู้สึกสะใจที่อีกฝ่ายอ่อนแอเหมือนเนิร์ดทั่วไปโดยลืมไปเสียสนิทว่าประสิทธิภาพของสเตบาสเตียนเกินมนุษย์ปกติไปไกล

ธัชนันท์เดินเข้าไปหาราเชล “ตกลงว่าสวัสดิการของบริษัทฉันไม่ดีเหรอ ถึงต้องมาเข้ากับไอ้พวกบ้านั่น”

“ผมร่วมมือกับพวกเขาก่อนต่างหาก”

“ตอนจบของเรื่องมันควรแฮปปี้เอนดิ้งน่ะ เพราะงั้นเลิกยุ่งกับเจ้าพวกนั้นแล้วมาเข้ากับพวกฉันดีกว่า”

ราเชลไม่ตอบ ธัชนันท์จึงฝากให้สเตบาสเตียนแบกร่างของอีกฝ่ายไปด้วย มาริเอะจึงไปดึงโซ่ยาวจากในห้องมาส่งให้ คุณพ่อบ้านจัดการมัดราเชลและแบกขึ้นบ่า

“เฮ้ย!!! มอนิเตอร์ไลต์ของฉันอยู่ไหน มาริเช็กทีดิ”

“ยังจะมาห่วงอยู่อีก” แฝดน้องแค่นเสียงอย่างระอา “ไม่ใช่ว่ามันเข้าถึงข้อมูลของแกไม่ได้แล้วไม่ใช่เรอะ แล้วก็ไม่ต้องบอกว่าแพงมากด้วย ชิ้นเล็กแค่นั้นเสียเวลาแค่ออกแบบผังวงจรกับคิดโปรแกรมเท่านั้นแหละ” เขารีบพูดต่อเมื่อเห็นเพื่อนสมัยเด็กทำท่าจะเถียง

“เออ… แต่ฉันก็รักของฉันแหละ” สุดฟ้าตอบเสียงห้วนแล้วหันไปเร่งถามมาริเอะ

“มาริตกลงว่าอยู่ไหน”

“ทางนี้เลยครับ”

พอเจ้าของชื่อเอ่ยตอบสุดฟ้าจึงหันไปพูดกับแฝดน้อง

“พวกแกไปก่อนได้เลย เดี๋ยวฉันได้ของคืนแล้วจะตามไป” สุดฟ้าก้าวเท้าเดินตามการนำทางของมาริเอะ มีชวิศาเดินตามหลังมา พอแฝดพี่เดินตามไปแฝดน้องก็ต้องติดตามไปด้วยอย่างเสียไม่ได้และปิดท้ายขบวนด้วยสเตบาสเตียน

มาริเอะพาเดินผ่านเส้นทางในอาคารซึ่งฟากหนึ่งเป็นกระจกใส สุดฟ้าจึงเห็นว่าใต้หลังคาโรงเรือนสูงเป็นเครื่องจักรหลายชนิดแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาผู้คนคงเพราะเสียงปืนที่ดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ

จังหวะที่เดินมาถึงทางแยกบันไดกลับเป็นช่วงเหมาะเจาะที่คนของฝ่ายตรงข้ามเดินลงบันไดมาพอดี ทั้งสี่คนชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยกปืนขึ้นถือข่มขู่

“ไอ้พวกนี้คือศัตรู” ราเชลรีบร้องบอกพร้อมกับมาริเอะที่พุ่งตรงเข้าไปจัดการปืนในมือของชายทั้งสี่ เมื่อสังเกตให้ชัดจะเห็นว่าพวกเขาใส่เครื่องแบบคล้ายกันทั้งดูผอมแห้งแรงน้อย

“เอาละครับ ถ้าพวกคุณตอบคำถามมาตามตรงผมจะปล่อยพวกคุณไป พวกคุณกำลังจะไปไหนกัน”

“หนีนะสิถามได้ ตอนนี้โรงงานกำลังโดนตำรวจปิดล้อมหมดแล้ว ‘นาย’ เองก็บอกให้กำลังคนถอยหนีและตอนนี้ ‘นาย’ ก็กำลังจะหนีไปแล้วด้วย” ชายหนุ่มหนึ่งในสี่นั้นพูดบอกออกมาโดยไม่ต้องถามต่อ

สุดฟ้างุนงงตามเรื่องไม่ทัน

“งั้นพวกคุณก็รีบไปซะ” มาริเอะไล่ก่อนหันมาหาชวิศา “คุณชวิศาครับช่วยตามหามิสเตอร์ฟาซองส์ให้ที”

ถึงสเตบาสเตียนจะส่งพิกัดของดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์มาให้แต่มันไม่ใช่ตำแหน่งที่แน่ชัด มาริเอะแค่เพียงวิเคราะห์ผังอาคารเพื่อหาเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้เท่านั้น

ด้วยความสามารถของซูเปอร์คอมพิวเตอร์อย่างหุ่นยนต์พ่อบ้าน การสแกนและสร้างแบบจำลองผังอาคารหลังนี้จึงเป็นเรื่องง่ายเพียงแต่ต้องใช้เวลาเล็กน้อย ตั้งแต่ที่พวกเขาถูกพาตัวมาถึงสเตบาสเตียนก็เริ่มทำงานมาตลอด

หรือว่ากันตามจริงมาริเอะเริ่มทำตามแผนตั้งแต่ที่พบอัลเบียที่ร้านอาหาร

“ตามมันไปเลยครับ” ชวิศาพูดหลังใช้มนตราบันดาลให้เกิดผีเสื้อตัวน้อยคอยบินนำทางทว่าคราวนี้มันกลับเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าครั้งที่ตามหากรินและสุดฟ้ามากนัก

มันบินขึ้นไปชั้นบนและหยุดที่หน้าประตูห้องหนึ่ง มาริเอะเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่รอช้า ปรากฏว่าอัลเบียกำลังก้าวเข้าไปในวงเวทมนตราเพื่อหลบหนีพอดี

สเตบาสเตียนโยนร่างที่แบกอยู่ลงกับพื้นกระโจนตัวพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังร่ายเวท ครั้นฝ่ายนั้นเสียสมาธิวงแหวนเวทจึงหายไปและอัลเบียก็ถูกดีดกลับออกมาจากช่องว่างเคลื่อนที่ เป็นจังหวะเดียวกับที่มาริเอะเข้าไปประชิดตัวนำปืนจ่อศีรษะอีกฝ่ายไว้ วินาทีต่อมากลุ่มคนซึ่งถืออาวุธครบมือก็กรูเข้ามาในห้องทว่าพวกเขาตรงเข้าไปจับกุมอัลเบียและพวก

สุดฟ้าได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความงงงวยไม่เข้าใจ

มาริเอะเดินกลับมาหาพร้อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็ก เมื่อมันถูกยื่นส่งมาให้ สุดฟ้าก็รับไว้

“ฉันเตรียมเรือไว้ให้แล้ว” ธัชนนท์พูดพลางรุนหลังให้เขาเดินออกไปด้านนอกและเมื่อชวิศาเห็นพี่ชายจึงตรงเข้าไปหาเพียงแต่โยธินกลับตรงเข้ามาหาสุดฟ้าด้วยสีหน้าถมึงทึง

“ฉันไม่ประทับใจเลยนะที่นายพาน้องชายของฉันมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้”

“พี่โย คุณสุดฟ้าเขาไม่ตั้งใจหรอก”

“อีกอย่างนี่ก็เป็นแผนของผม” มาริเอะพูดเสริม โยธินถึงกับอึกอักจะต่อว่าก็ทำไม่ได้เต็มปาก

“เอ่อ... แบบนะ แบบว่า... ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยได้ไหมว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง คือต่อให้ฉันฉลาดแต่ก็ไม่ได้ขี้มโน มาแบบอย่างนี้คือไม่รู้เรื่อง”

“อ้าว! นี่แกยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอ” ธัชนันท์ทำหน้าตาเหลอหลาที่ดูออกว่ากำลังโกหกและขำขัน

สุดฟ้าจึงอ้าปากด่าแบบเต็มคำ

“ไอ้สถุล ไอ้ซกมก ##$$%%#@#$$” ธัชนันท์ด่ากลับไปยาวเหยียด

แฝดผู้พี่ยกมือขึ้นกุมขมับก่อนโบกมือห้ามทั้งคู่ “พอเถอะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้แกฟังเอง” เขารุนหลังให้น้องชายและสุดฟ้าเดินนำไป

“แต่คิดว่าแกก็น่าจะรู้คร่าว ๆ เพราะเห็นมาริบอกว่าคุยกับแกไว้แล้ว”

สุดฟ้าจึงหันไปหาหุ่นยนต์ของตน

“อย่างที่ผมบอกไว้ตอนแรกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร พอได้เจอหน้าผมก็สั่งให้สเตบาสเตียนจับภาพใบหน้าค้นหาเปรียบกับฐานข้อมูลทุกประเทศแล้วก็พบว่ามิสเตอร์ฟาซองส์เป็นผู้ผลิตอาวุธผิดกฎหมายรายใหญ่ แล้วส่งข้อมูลพวกนี้ไปให้คุณโยธินกับเลขาของคุณธัชนนท์”

“ทำไมฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

“แกเป็นนกต่อไง” ธัชนันท์ตอบ “ไม่รู้อะไรเลยแกจะได้เป็นตัวเองเต็มที่”

“แล้วเรือ?” สุดฟ้าถามต่อ

“มาริบอกพวกฉันว่า แกอยากเฟดตัวไปหาที่อยู่เงียบ ๆ พอดีว่าฉันมีเกาะส่วนตัวอยู่เลยจะยกเกาะนั้นให้แก ที่เกาะนั่นฉันสร้างบ้านพักไว้แล้วแต่ข้าวของอื่น ๆ ต้องรออีกหน่อยฉันจะทยอยขนไปให้” แฝดพี่พูดจบแฝดน้องจึงพูดต่อ

“ไม่ต้องห่วงนะ เกาะนั้นพวกฉันยกให้แลกกับหุ่นยนต์ที่แกสร้าง”

“เกาะมันถูกขนาดนั้นเชียว”

สองพี่น้องยกยิ้มหวานที่สุดฟ้ารู้สึกเสียวสันหลัง ก่อนโดนตัดบทด้วยการถูกรุนหลังให้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์และถึงธัชนนท์จะบอกว่าเตรียมเรือไว้ให้ อีกฝ่ายยังต้องพาเขาเปลี่ยนขึ้นเครื่องบินมาลงอีกที่แล้วถึงจะได้ขึ้นเรือ มิหนำซ้ำเกาะส่วนตัวที่ว่ายังไกลชนิดที่ต้องอยู่บนเรือเป็นสัปดาห์

“บ้าหรือเปล่าวะ ไกลขนาดนี้ถ้าอาหารการกินหมดจะทำยังไง” สุดฟ้าร้องถามหลังลงจากเรือเล็กมาเหยียบผืนทรายละเอียดสะอาดตา ทะเลต้นไม้สวยงามดีนะแต่วังเวงว่างเปล่าจนน่าเบื่อกระนั้นกลับมีคนที่ตื่นเต้นอยู่เหมือนกันอย่างเช่นชวิศา ที่วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด

“แกก็ซ่อมมอเตอร์สเปซดิ”

“ฉันไม่อยากอยู่แล้วว่ะ กลับดีกว่าอยู่ที่นี่จะไปงานคิกขุแมนเฟสติวัลก็ไม่ได้”

“ซีก็อยู่กับแก มันน่าจะมีเวทมนตร์ที่ทำให้เดินทางไปโน่นไปนี่ด้วยพริบตาเดียวอยู่ไม่ใช่เหรอ” ธัชนันท์เสนอความคิดเห็นพลางเดินนำไปตามทางเทปูนตรงไปสู่บ้าน

“สวยจัง” ชวิศาร้องบอก

“จ้างบริษัทของพี่โยมาทำให้” ธัชนนท์บอก

รูปทรงคล้ายกระท่อมไม้ชั้นเดียวแต่เสริมความโมเดิร์นด้วยกระจกใสที่ทำให้บ้านโล่งโปร่ง มีชานด้านนอกให้นั่งเล่นแบบใกล้ชิดธรรมชาติ แถมท้ายด้วยลานหินกรวดสำหรับแคมป์ปิ้ง

“คุณสุดฟ้าอยู่ที่นี่กันสักพักเถอะ ถ้าเบื่อเมื่อไหร่เราค่อยกลับกันนะครับ” ชวิศาพยายามอ้อนสุดฤทธิ์ สุดฟ้าจึงพยักหน้ารับอย่างจำยอม

ธัชนนท์จึงหันไปสั่งให้คนขนของสดขึ้นมาพร้อมกับพากลุ่มเพื่อนสนิทเดินชมบ้านซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งไฟฟ้า โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น รวมถึงอุปกรณ์ทำครัวทั้งหลายและเมื่อพามาชมถึงห้องครัว แฝดพี่สั่งให้สเตบาสเตียนทำอาหาร ขณะที่แฝดน้องพาสุดฟ้าไปนั่งหน้าจอโทรทัศน์พลางต่อสายเล่นเกม

กิจวัตรทุกอย่างไม่ต่างกับตอนที่เขาอยู่บ้าน ชายหนุ่มจึงรู้สึกวางใจและปล่อยตัวให้ผ่อนคลาย หลังสองพี่น้องสุวราลักษณ์ทานอาหารเสร็จพวกเขาไปขึ้นเรือเพื่อเดินทางกลับ

และเมื่อยามอาทิตย์อัสดงมาเยือนทั้งชวิศาและมาริเอะได้จูงมือเขาให้ไปดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน เว้นแต่สเตบาสเตียนที่โดนสั่งให้รออยู่ที่บ้าน

“ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ” ชวิศาพูดขณะกอดแขนซบศีรษะพิงหัวไหล่เขาไว้ ส่วนอีกข้างเป็นตำแหน่งของมาริเอะ

“นั่นสิ นั่นสิ”

“เหมือนมาฮันนีมูนเลย”

“คุณชวิศาพูดอะไรแบบนั้น” มาริเอะตอบกลับด้วยท่าทางเขินอาย “ไหน ๆ เกาะนี้ก็มีแต่พวกเรา มาลองทำแบบเอาต์ดอร์ดีไหมครับ”

“เฮ้ย!!!” สุดฟ้าร้องแต่ชวิศากลับบอกว่าจะดีเหรอด้วยเสียงอ้อมแอ้มเหมือนเห็นด้วย

“บ้าเหรอ ไม่อายผีสางเทวดาหรือไง” สุดฟ้าพูดขัด

“ด็อกเตอร์เชื่อเรื่องแบบนั้นด้วยหรือครับ”

“ไม่ล่ะแต่เกาะนี้เป็นของเจ้าพวกนั้น ไม่ใช่ว่ามันจะติดกล้องเกิ้งไว้”

“ถ้าอย่างนั้นในบ้านคงไม่ปลอดภัยเหมือนกัน” ชวิศาพูด

“ผมลองตรวจสอบดูแล้วครับ ไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ ถูกติดตั้งอยู่แถวนี้แน่ ทำนะครับ” มาริเอะอ้อนตาใสด้วยท่าทางที่ลอกเลียนมาจากชวิศาแทบทุกกระเบียดนิ้วก่อนผลักชายหนุ่มร่างสูงให้นอนลงกับผืนทรายพร้อมกดริมฝีปากจูบอย่างรวดเร็ว

“คุณมาริ” แฝดคนละฝาอย่างชวิศาร้องเรียกท่าทีขัดเขิน มาริเอะผละตัวออกขยับไปจัดการปลดอาภรณ์ท่อนล่าง

“เฮ้ย! ใจเย็น ๆ ก่อน” สุดฟ้าใช้แขนยันตัวลุกขึ้นห้ามปรามทว่ามาริเอะกลับสั่งให้ชวิศาขึ้นมานั่งคร่อมทับอกเขาไว้

“คุณชวิศาทับไว้ครับอย่าให้ด็อกเตอร์ลุกขึ้นมาได้” จากนั้นเขาก็โดนจัดการทั้งมือและปากแล้วสุดฟ้าจะขัดขืนอะไรได้นอกจากส่งเสียงคราง

“อ๊าง~”


-   จบละจ้า -

*//ทุกท่านอาจจะรู้สึก อ้าว! เฮ้ย! เอางี้เลยเหรอ อืม...แบบว่าเรากำลังหาทางจบ ในเมื่อจบได้ก็รีบจบซะ ขอบคุณทุกท่านค่ะที่ให้ความกรุณาติดตามอ่านมาจนถึงตอนจบ กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ//*
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 10-06-2018 22:20:34
ต่อก่อนได้ไหมคะ อย่าแพลนมุมกล้องฉากสุดท้าย :hao7:
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 14-06-2018 16:20:42
ตอนเห็นชื่อของนิยายเรื่องนี้ ก้อหลงคิดว่าแนวน่ารักขำขันเฉยๆ แต่มันไม่ใช่อ่ะ มันมีทุกแนวๆ เลยอ่ะ แล้วมันก็สนุกมากๆด้วย มี51ตอนให้อ่าน แต่ละตอนก็ยาวมากแต่ไม่เยินเยอ ชอบมากเลย ให้คะแนนเต็มเลยจ้า ใครที่ไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ ต้องอ่านเลยมีทุกรสชาติจริงๆ
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-08-2018 20:08:53
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 18-09-2018 09:30:43
 :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:51:52
 :pig4: