พิมพ์หน้านี้ - ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ExecutioneR ที่ 09-11-2007 22:21:49

หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 09-11-2007 22:21:49
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ



.::.กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ .::. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)





ตอนแรกว่าจะลงปีหน้าคับ แต่รู้สึกถ้าไม่มีไฟลนตูดมันเขียนไม่ออก  :m29:
เลยลงซะเลย เพื่อกระตุ้นตัวเอง

ต่อจากนี้อาจจะมีอะไรพลิกผัน และเนื้อหาคงจะต่างออกไปนะครับ
คงจะไม่เรียบง่ายสบายๆเหมือนเคย
แต่เมฆกับซันต้องเจอปัญหาและมีอะไรให้ขบคิดกันไม่น้อย
อยากให้ลองอ่านกันดูนะครับ ว่าทั้งสองคนจะทำยังไงต่อไป

 o14

ปล. ข้างล่างนี่ interlude คับ ตอนที่หนึ่งรออีกแป๊บ


หัวข้อ: Re: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... [ new ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 09-11-2007 22:23:07
ก่อนที่นาฬิกาจะหยุดเดิน.......



มันต้องเป็นแบบนี้จริงๆน่ะหรือ........

ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอดเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าความรักอย่างเดียวมันทำให้คนอยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วทำไมผมกับมันที่อยู่ด้วยกันมาตลอดสามสี่ปีถึงกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย ความรักเราก็มีให้กัน ความผูกพันเราก็มีไม่แพ้คู่ไหนๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วเรายังขาดอะไรอยู่กันอีก........

หรือบางทีผมอาจจะรู้ตัวแต่ไม่อยากยอมรับมันก็เป็นได้

“มึงจะเอาอย่างนี้จริงๆใช่มั๊ย เมฆ” ผมถามออกไปอีกครั้ง

“กูคิดว่ามันอาจจะดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้ว”

มันเป็นแบบนี้จริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเมฆเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าที่ผมและคนอื่นๆคิดอยู่เสมอ และในวันนี้ก็ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่ทำในสิ่งที่สถานการณ์และอารมณ์มันพาไป ส่วนเหตุผลคืออะไรน่ะหรือ ผมไม่รู้หรอก ผมมันโง่ ผมมันดิบ และหยาบกระด้าง ผมอาจจะทำพลาด ไม่สิ ผมมันทำพลาดไปเอง ผมจะโทษใครได้ ถ้าความรักและความสัมพันธ์ของเรามันจะจบลง ผมก็คงต้องทนยอมรับมันแต่เพียงเท่านั้น

เมฆค่อยๆดึงแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้ายช้าๆแล้ววางมันลงบนโต๊ะ ส่วนผมเองก็ทำเช่นเดียวกัน แหวนสองวงนี้เป็นแหวนของครอบครัวของมัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่มันจะกลับคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง มันไม่สมควรจะมาอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของผมอีกต่อไป

ผมรู้สึกว่าน้ำตาของผมมันกำลังก่อตัวอยู่ภายในอกจนผมต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไป ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น ผมไม่อยากจะให้เมฆเห็นความอ่อนแอของผม ผมเป็นท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่ ผมเป็นพระอาทิตย์ที่สาดแสง เพราะฉะนั้นผมก็ควรจะเป็นคนที่มั่นคงที่สุดสิ จนเมื่อแหวนหลุดออกมาจากนิ้วนางของผมแล้ว ผมก็วางมันลงบนโต๊ะข้างๆกับแหวนของมัน และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนที่ผมรัก ผมก็เห็นน้ำตาหยดใสๆกำลังไหลรินลงมาบนแก้มของเขา

ถึงเราจะกำลังนั่งกันอยู่ในร้านอาหารในห้างชื่อดังแห่งหนึ่ง ถึงรอบข้างของเราสองคนจะมีผู้คนเดินผ่านวนเวียนกันอยู่ไปมามากมาย ถึงเสียงรอบข้างจะจอแจและอื้ออึง แต่เมื่อผมเห็นน้ำตาของมันแล้ว ทุกๆสิ่งรอบตัวของผมเหล่านั้นมันก็ไม่ต่างจากอากาศธาตุที่อยู่ห่างไกลราวกับอยู่คนละมิติกับช่วงเวลาของเราสองคนในตอนนี้เลย

ผมค่อยๆเอื้อมมือออกไปช้าๆหมายจะจับมือของมันมากุมเอาไว้......... อาจจะเป็นการกุมมือครั้งสุดท้าย ผมไม่รู้หรอก และผมก็ภาวนาไม่ให้มันเป็นแบบนั้นด้วย แต่ทว่าเมฆก็ชักมือกลับไปเสียก่อน มันยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับสร้อยคอที่ห้อยอยู่รอบคอ ผมรู้ทันทีว่ามันกำลังจะทำอะไร และหัวใจของผมก็กำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ต่างจากเมื่อคราวที่ผมต้องเห็นใบหน้ายามหลับของมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะต้องขึ้นเครื่องบินจากคนที่ผมรักไปไกลเมื่อหลายปีก่อนนั้น

“เมฆ กูขอร้อง กูขอแค่เพียงอย่างเดียว อย่างสุดท้ายก็ได้ มึงอย่าเพิ่งถอดสร้อยเส้นนั้นออกมาจะได้มั๊ย” ผมรีบร้องห้าม

สร้อยคอเส้นนั้นเป็นสร้อยทำเองของเราสองคน จี้ของมันคือก้อนหินสีดำเนียนก้อนเล็กพอดีๆก้อนหนึ่งที่เราเก็บได้มาจากชายหาดเมื่อครั้งที่เราไปเที่ยวทะเลครั้งแรกหลังจากที่เรากลับมาถึงประเทศไทย ส่วนผมก็มีสร้อยคอแบบเดียวกันนั้นเช่นกัน เพียงแต่ของผมเป็นก้อนหินสีขาว แสดงให้เห็นถึงว่าผมมีมันที่เปรียบเป็นความขาวบริสุทธิ์อยู่ข้างกายตลอดเวลา ส่วนมันก็จะมีผมที่เป็นสีดำอันมั่นคงและอบอุ่นอยู่กับตัวเองตลอดเวลาด้วยเช่นกัน และไม่ว่ายังไงก็ตาม ถึงเรื่องของเรามันอาจจะจบ ถึงผมจะยอมถอดแหวนออก แต่ผมก็ยอมที่จะเห็นส่วนหนึ่งของผมที่อยู่เคียงข้างมันมาตลอดต้องพรากจากคนอันเป็นที่รักของผมไปตลอดกาลไม่ได้จริงๆ

“อย่างน้อยๆก็จนกว่าทุกอย่างมันจะชัดเจนนะ เมฆ ถือว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากกูแล้วกัน” ผมอ้อนวอนอีกครั้ง

“ก็ได้.......” เมฆลดมือลง ดวงตาของมันมีแววเจ็บปวด ซึ่งผมคิดว่าตอนนี้ จากเรื่องทุกอย่างทั้งหมดนี่ มันเองก็คงเจ็บปวดไปไม่น้อยกว่าผมสักเท่าไหร่หรอก ไม่สิ มันเองต่างหากที่เจ็บปวดมากยิ่งไปกว่าผมเสียอีก “กูรักมึงนะซัน มึงก็รู้ใช่มั๊ย.........”

“อืม กูรู้”

“กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ ซัน กูรักมึงจริงๆ.......” เสียงของเมฆเริ่มสั่นเครือ และน้ำตาก็เริ่มปริ่มอยู่ที่ขอบตาของมันอีกครั้ง

“กูก็รักมึง เมฆ.......” ผมพูดออกไป แต่เมฆกลับส่ายหัว “มึงไม่เชื่อกูงั้นเหรอ”

“กูไม่รู้...... กูไม่รู้จริงๆ กูไม่รู้ว่าเรามาเป็นแบบนี้กันได้ยังไง ทำไมระหว่างเรามันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย”

“กูก็เหมือนกัน...... แต่กูรักมึงจริงๆนะ ถึงยังไงๆกูก็รักมึง มันอาจจะฟังดูยากที่ให้เชื่อแบบนั้น แต่มันก็เป็นความจริง”

“พอเหอะ ซัน ตอนนี้เราสองคนอาจจะต้องการระยะห่างกันบ้างแล้ว เราคงอยู่ด้วยกันมามากเกินไป ถ้าหากว่าในแก้วมันมีน้ำใส่อยู่จนเต็มแล้ว ต่อให้มึงพยายามที่จะรินน้ำเพิ่มลงไปอีกสักเท่าไหร่มันก็คงมีแต่ล้นออกมาเท่านั้นเอง บางทีเราสองคนคงจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่เวลาของเราคงจะต้องไหลไปแบบไม่เท่ากันอีกครั้ง”

ผมก้มหน้าลงแล้วกำหมัดแน่น รู้สึกอยากจะร้องตะโกนแล้วกระโดดตึกลงไปตายซะตรงนี้ตอนนี้เลย แต่ผมก็รู้ว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดนั้นไม่ใช่ผม แต่เป็นไอ้เมฆคนนี้ต่างหาก

เมฆหยิบแหวนใส่กระเป๋าเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน ผมรีบเงยหน้ามองใบหน้าของมันอีกครั้งทันที และหวังว่านี่คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มองหน้ามันแบบนี้ด้วย

“เราจะได้เจอกันอีกครั้งใช่มั๊ย” ผมถามอย่างมีความหวัง

เมฆยิ้มน้อยๆให้แก่ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วเหลือเกิน และเป็นรอยยิ้มที่กรีดลึกเข้าไปจนถึงขั้วหัวใจของผมด้วยเช่นกัน

“เมื่อไหร่ที่ขอบฟ้าของเราคือขอบฟ้าเดียวกันอีกครั้ง เมื่อนั้นกูกับมึงก็คงจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ซัน”

เมื่อพูดจบ เมฆก็หันหลังกลับแล้วทำท่าจะเดินออกไป จนผมต้องรีบเรียกให้มันหยุดอีกครั้ง

“เดี๋ยวเมฆ........ กูขอถามอีกแค่คำถามเดียว”

เมฆหยุดอยู่กับที่ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองผมเลย

“มึงเชื่อมั๊ย ว่ากูรักมึง ไม่สิ กูรู้ว่ามึงก็เชื่อ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน และไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนับแต่วันแรกที่เราพบกัน กูก็ยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา และจะยังรักแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนด้วย........ แต่ว่ามึงจะยังคงเก็บรักษาความรักนั้นไว้ให้กูต่อไปได้มั๊ย เก็บมันไว้จนกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะได้ลอยอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง”

เมฆยืนนิ่งอยู่ราวๆหนึ่งนาที แต่ก็ดูยาวนานราวกับหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเขาก็หันกลับมามองผมด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น

“ตราบจนขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ซัน ตราบจนกว่าขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที...........”

เมื่อพูดจบ เมฆก็หันหลังเดินจากไป...... จากไปพร้อมกับลมหายใจและสายใยสุดท้ายของท้องฟ้าที่พยายามจะเหนี่ยวรั้งก้อนเมฆของมันเอาไว้

ผมนั่งซบหน้าของตัวเองลงบนฝ่ามือแล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลรินออกมาช้าๆ ผู้คนเดินผ่านไปมาแต่ผมไม่สนใจ ผู้คนที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นๆอาจจะสงสัย แต่ผมก็ไม่แคร์ ผมมันเลวเอง ผมมันเป็นท้องฟ้าที่เอาแต่ใจและไร้ความคิด กับไอ้แค่การเหนี่ยวรั้งความรักของผมเอาไว้ ผมก็ยังทำไม่ได้

และนับต่อจากนี้ ท้องฟ้าที่ไร้เมฆผืนนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน...............


หัวข้อ: Re: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... [ new ]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-11-2007 22:29:20
 :a5:  :a5:
เปิดเรื่องมาก็  o22 แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับศิลาและฟ้าคราม  :serius2: ทำไมดูเหมือนจะจากกันทั้งที่ยังรักกันอยู่  :sad2:  :sad2:
หัวข้อ: Re: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... [ new ]
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 09-11-2007 22:32:24
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
น้องต้นนนนนนนน ทำกับพี่อย่างนี้ได้งัย
มันเป็นเรื่องที่ซันฝันใช่มะ
ไม่ใช่เรื่องจริงใช่มั้ย
 :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: beer_comein ที่ 09-11-2007 23:54:55
ขนลุก ภาษาสวยมากครับ เนื้อเรื่องน่าจะสนุก จะติดตามครับ
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 10-11-2007 00:03:23
อ๊ากกกกก  พี่ต้นนนนน   


       อยากฆ่าตัวตาย   พี่ซันทำอะไรลงไปปปป  ฮือ~.............. :dont2:


ไม่นะ  :m15:   
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 10-11-2007 00:20:51
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2CBGC0PA0&Autoplay=0

บ้างครั้งจากในวันนี้ เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในวันหน้า ....เขียนซะซึ่งเลยครับบบบ   มาต่ออีกนะครับบบ  ชอบบบบมากครับบ
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 10-11-2007 09:19:44
พี่ต้นนน  :o12:

              มาต่อให้หนูหน่อย  หนูคิดถึงพี่ซันกับพี่เมฆ  มานเกิดอารายขึ้น ฮือ~........ :dont2:


 :o7:    :o7:    :o7:    :o7:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 10-11-2007 12:33:16
มารออ่านต่อ   :m1:

ซึ้งจริงๆ อะไรทำให้ต้องจากทั้งที่ยังรักกันนะ  :m15:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: eyukiz ที่ 10-11-2007 14:26:23
 :o
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: Pztor ที่ 10-11-2007 15:08:47
 :a3:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 10-11-2007 15:14:35
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 10-11-2007 16:00:29
ความหมายดีนะ ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที

แต่ว่า ... มันแปลว่าไรเหรอ  :m26:

บทนี้จะว่าด้วยเรื่องของระยะห่างที่หายไปมันทำให้ใครบางคนอึดอัดเหรอ  :m28:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 10-11-2007 19:41:37
ไม่ไหวแล้ว แง่ๆๆๆ  o9


พี่ต้นมาทำให้หวั่นไหวกับพี่เมฆกะพี่ซันอีกแล้ว :m15:



มาให้อยากแล้วจากไป  เคือง อิอิ :laugh:


มาลงต่อเร็วๆน่า พี่ก๊าบบ!!! :impress:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 11-11-2007 00:15:50


ชอบโดนลนตูดว่างั้น


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 11-11-2007 00:17:22


ชอบโดนลนตูดว่างั้น




โห.... เล่นงี้เลยหร๋อก๊าบๆๆ  :laugh:


มารอพี่เมฆกับพี่ซันต่อ  เห้อ  คิดถึง  :m17:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: No_ProMises ที่ 11-11-2007 14:02:36
เห้นชื่อเรื่องแล้วเกิดอาการสงสัย

เลยต้องเข้ามาอ่าน   ฮืออออ  เศร้าจิต !!

เป็นกำลังใจให้นะคับ


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 11-11-2007 15:45:50
วินาทีที่ 1


“เมฆ มึงว่าความรักของคนเรา มันจะสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหนวะ” ผมถามคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ

“กูก็ไม่รู้ว่ะ...... แต่กูว่านะ”

“ว่าอะไรวะ”

“กูว่า....... มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ถ้ามันจะสิ้นสุด มันก็คงสิ้นสุดในจุดเดียวกับที่มันเริ่มต้นนั่นแหละ”

คำตอบนั้นของมันไม่ได้ช่วยแก้ข้อสงสัยของผมเลยแม้แต่นิดเดียว แต่จะว่าไป ผมเองก็อาจจะไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรออกมาจากปากมันนักก็ได้

ทะเลในยามค่ำคืนที่ผมสองคนกำลังนั่งมองอยู่นี่ก็สวยงามไปอีกแบบที่ต่างกับในยามกลางวัน ทั้งลมที่พัดให้ความสดชื่น อากาศที่เย็นสบายกว่าตอนกลางวัน เสียงคลื่นที่ซัดชายฝั่งกับเสียงของลมที่พัดลู่ใบไม้ริมหาด ปราศจากเสียงผู้คนจอแจ ปราศจากกิจกรรมที่วุ่นวาย มีเพียงแสงไฟของเรือหาปลาที่กระพริบอยู่ลิบๆ ณ ริมขอบฟ้า จุดต่อของผืนน้ำอันกว้างใหญ่และผืนฟ้าที่ไม่สิ้นสุด และกระพริบแสงเล็กๆของดวงดาวที่พร่างพราวอยู่เต็มท้องฟ้า ทุกๆสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของทุกคนให้รู้สึกสงบลงได้เป็นอย่างดี และนี่คือเหตุผลที่คนหลายๆคนชอบออกมาเดินเล่นเงียบๆที่ชายหาดยามกลางคืน รวมถึงผมและคนข้างๆนี่ก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

“ไปเดินเล่นกันมั๊ย” ผมถามขึ้น พร้อมๆลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่รอคำตอบ

ไอ้เมฆเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งยิ้มให้ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกมาให้ผมช่วยดึงตัวมันขึ้น ผมดึงตัวมันขึ้นมาแล้วก็ใช้มือปัดทรายที่ติดอยู่ที่ก้นให้มันด้วย ไอ้เมฆยิ้มกว้างแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“ช่างกล้านะ ถ้าคนอื่นๆเห็นมันจะว่ายังไงกันวะเนี่ย”

“ก็ว่าไปสิ ไม่ดีรึไง เราจะได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปซะเลย” ผมยิ้มที่มุมปาก

“นี่มันงานเลี้ยงฉลองที่เรากลับมานะครับ ไม่ใช่งานฉลองเปิดตัวคู่รักสะท้านโลก”

“ก็ช่างมันสิ” ผมยักไหล่ “ไหนๆก็ฉลองแล้ว ก็ฉลองควบกันไปเลยทีเดียวไง”

เมื่อสี่ปีที่แล้ว ผมเป็นคนแรกที่ต้องบอกลาเพื่อนๆทุกคนและย้ายตามพ่อกับแม่ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ และอีกหนึ่งปีถัดมา เมฆก็เป็นคนถัดมาที่บินมาเรียนต่อที่เดียวกับผม เราสองคนเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนรัก เป็นเพื่อนแท้ เป็นเพื่อนตาย และต่อมาเราก็เพิ่มสถานะของการเป็นคนรัก เป็นชีวิต เป็นลมหายใจ และเป็นจิตวิญญาณของกันและกันเพิ่มขึ้นมาด้วย กว่าสามปีตลอดเวลาในชั้นมัธยมปลาย เราสองคนต่างก็มีกำแพงบางๆกั้นระหว่างความเป็นเพื่อนกับความเป็นคนรักเอาไว้อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อครั้งหนึ่งที่เราต้องสูญเสียและจากลากันและกันไปแล้ว กำแพงบางๆนั้นก็พังทลายลง เราสองคนต่างเดินตรงเข้ามาหากัน เปิดหัวใจที่เคยถูกลงกลอนเอาไว้แล้วคุยกัน เราสองคนจับมือกัน เดินเคียงคู่กัน และฟันฝ่าอุปสรรคหลายๆสิ่งที่เราจำต้องเผชิญร่วมกันมา จนมาถึงตอนนี้ ณ เวลานี้ เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็เรียนจบและสามารถที่จะออกเดินไปสู่โลกกว้างกันตามลำพังได้แล้ว เราจึงตัดสินใจที่จะกลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราอีกครั้ง และคราวนี้เราก็กลับมาพร้อมกับความรู้สึกและความสัมพันธ์ครั้งใหม่ที่ต่างไปจากเมื่อสี่ปีก่อนตอนที่เราต้องขึ้นเครื่องจากผืนดินแห่งนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

“ซันว่าพรุ่งนี้จะมีใครมามั่งอ่ะคับ” เมฆถามขึ้นขณะที่เรากำลังเดินเลียบหาดกันอยู่เงียบๆ

นานๆทีผมสองคนก็จะมีหวานๆกันด้วยเหมือนกันนะ ตอนแรกมันก็เริ่มมาจากการพูดหยอกเล่นกันสนุกๆเท่านั้น แต่พอนานๆไป เราก็เริ่มจะติดปากกันมากขึ้นเรื่อยๆจนเราต่างก็เริ่มจะชินกับมันมากขึ้นแล้ว ถึงบางทีมันจะยังคงฟังดูจั๊กจี้หูอยู่บ้างก็ตามที

“ไม่รู้สิ ก็คงหลายคนแหละมั๊ง เห็นไอ้ป๋อมกับไอ้กอล์ฟมันบอกมันเตรียมการไว้ตั้งนานแล้วนี่นะ” ผมยักไหล่

“แล้วคุณซันคิดว่าเพื่อนๆเราจะเป็นยังไงกันมั่งวะ มีคนแต่งงานมีลูกมีเมียมีผัวกันไปมั่งรึยังไม่รู้”

“ไม่รู้สิ คงยังหรอกมั๊ง เพิ่งจะแค่สี่ปีเองนะ ส่วนมากก็คงเพิ่งจะเรียนจบนั่นแหละ บางคนคงยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ ซึ่งก็นับว่าคุณเมฆเก่งและโชคดีนะคับเนี่ย ที่คณะของคุณเมฆมันเรียนแค่สามปี ส่วนของคุณซันเรียนสี่ปี คุณเมฆเริ่มเรียนช้ากว่าคุณซันปีนึง เราก็เลยจบพร้อมๆกันได้พอดีแบบนี้น่ะ ไม่งั้นไอ้คุณซันคงต้องนั่งเฉารอคุณเมฆที่อังกฤษไปอีกหนึ่งปีแน่ๆเลยนะคับ” พอผมพูดจบ ไอ้คุณเมฆตัวดีก็หัวเราะคิกคักๆทันที จนแม้ผมแต่ผมเองก็ยังอดรู้สึกเขินตัวเองไปด้วยไม่ได้

“ก็คงงั้นมั๊ง แต่กูก็รู้สึกไม่ดีค่อยนะ ที่ทิ้งแม่กุ้งกับพ่อเล็กมาแบบนี้น่ะ กูไปรบกวนบ้านพวกท่าน ไปอยู่ที่นั่นมาตั้งสามปี แต่พอเรียนจบปุ๊บก็กลับไทยปั๊บเลยแบบนี้มันจะดีเหรอวะ”

“นี่มึงยังจะมาคิดมากอะไรอีก จนกลับมาได้สามวันแล้ว แถมเราไม่ได้จบปุ๊บกลับปั๊บอย่างที่มึงพูดสักหน่อย แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่ของกูหรอกน่า ยังไงๆสักวันหนึ่งมันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้วล่ะ กูเองก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นไปตลอดอยู่แล้ว แถมที่นี่ก็ยังมีพ่อมึงกับไคล์อยู่อีกด้วย มึงน่ะนะ ชอบเป็นห่วงชอบคิดมากไม่เข้าเรื่องอยู่เรื่อย”

“เออๆ กูขอโทษ” ไอ้เมฆพึมพำออกมาแล้วถอนหายใจเบาๆ

เมื่อเห็นดังนั้นผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้งทันทีที่เผลอใช้น้ำเสียงเหมือนกับตำหนิมันเข้าอีกแล้ว ผมถอนหายใจออกยาวๆช้าๆให้กับตัวเอง แล้วเอื้อมมือไปคว้ามือของมันมากุมเอาไว้

“ซันขอโทษ ซันไม่ได้ตั้งใจจะว่าอะไรเมฆ เมฆก็รู้นี่”

“อืมมม เมฆรู้ เมฆไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นหรอก แต่ก็....... ไม่รู้สิ สงสัยมันยังไม่ชินเวลา ไม่ชินสถานที่อะไรแบบนี้มั๊ง เมฆเลยคิดมาก คิดทั้งเรื่องครอบครัวที่นั่น คิดถึงพีที่ต้องอยู่คนเดียว คิดถึงพ่อเอก คิดถึงเรื่องอนาคตของเรา....... ไม่รู้ว่ะ แม่งคิดมากเรื่อยเปื่อยเลย”

“พีน่ะ มันอยู่คนเดียวแค่ปีเดียวเอง เดี๋ยวปีหน้ามันเรียนจบมันก็บินกลับมาแล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก ซันบอกแล้วไง ซันอยู่กับเมฆตรงนี้แล้ว เมฆไม่ได้อยู่คนเดียวและจำเป็นต้องตัดสินใจอะไรคนเดียวอีกแล้วนะ.......” ผมเลื่อนมือขึ้นมาโอบบ่ามัน แล้วดึงตัวมันให้เข้ามาชิดกับผม

“เมฆรู้....... เมฆก็แค่........” ไอ้เมฆแหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า “เมฆก็แค่ไม่ชอบการจากลาล่ะมั๊ง”

“อืม ซันเข้าใจ ซันรู้นิสัยเมฆดี”

“แต่นี่ก็เป็นการเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งของชีวิตของเราสองคนล่ะนะ”

“ใช่ เอ๊า มึงเองก็รู้อยู่แล้วนี่ แล้วยังจะคิดมากอีกทำไมวะ” พอกันทีกับอารมณ์หวานๆ

“อืม รู้อยู่ตลอดแหละ เพียงแต่บางทีกูก็รู้สึกกลัวนิดๆเท่านั้นเอง กูแค่ไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลงน่ะ”

ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ผมรู้ดีเลยทีเดียว ถ้ามองเผินๆแล้ว คู่ของเราสองคนนั้นผมจะดูเป็นคนที่เข้มแข็งกว่า ดูเป็นผู้นำและดูเป็นคนที่ไม่หวาดกลัวกับเรื่องต่างๆง่ายๆมากกว่า ส่วนเมฆจะเป็นคนที่ดูเรียบร้อยและเป็นคนที่หวั่นไหวง่าย แต่จริงๆแล้วเราสองคนนั้นแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย หรือถ้าพูดให้ชัดๆในแบบที่ผมไม่ค่อยจะอยากยอมรับนักล่ะก็ นั่นก็คือ ในความสัมพันธ์ของเราสองคนนี้ เมฆต่างหากที่เป็นคนเข้มแข็งและแข็งแกร่งกว่าผมเยอะ ถึงภายนอกมันจะดูเปราะบาง แต่ภายในนั้น มันต่างหากที่เป็นผู้นำและคอยชี้ทิศทางในความสัมพันธ์ของเราสองคนมาตลอด หลายๆครั้งที่ถ้าไม่มีมัน ผมก็คงจะหลงทางไปแล้ว ส่วนความแข็งแรงของผมนั้นจริงๆแล้วมันก็เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น ถึงภายในผมจะไม่ได้อ่อนแอ แต่ยังไงๆไอ้เมฆก็ยังคงเข้มแข็งกว่าผมอยู่ดี เพียงแต่ว่าหลายๆครั้งผมจะต้องเป็นฝ่ายช่วยกระตุ้นและดึงส่วนนั้นของมันออกมาบ้างเท่านั้นเอง

และเพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้ไอ้เมฆคนนี้เป็นคนที่มีคนรักคนชอบมากมายเหลือเกิน เพราะความเป็นคนซับซ้อนแต่ก็เปิดเผย เป็นคนอบอุ่นแต่ก็เข้มแข็ง และความที่มันเป็นคนที่ดูเปราะบางแต่จริงๆแล้วก็พึ่งพาได้มากๆแบบนี้ และยิ่งบวกกับการที่มันไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามันนั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นชม และเป็นต้นแบบของคนอื่นๆมากขนาดไหนนี่แหละ ที่ทำให้มันยิ่งน่ารักและน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้นไปอีก

มันนั้นก็แข็งแกร่งและมั่นคงดั่ง ศิลา ตามชื่อจริงของมัน แต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนโยน และหวั่นไหวง่าย ตามชื่อเล่นที่ใครๆก็เรียกมันว่า เมฆ..........

“หนาวมั๊ย” ผมถามพลางดึงตัวของมันเข้ามาให้เบียดชิดกับผมมากขึ้น

“ไม่อ่ะ เฉยๆ ว่าแต่แถวนี้นี่เงียบดีเนอะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย

เราสองคนกำลังเดินเลียบชายหาดไกลออกจากบริเวณหาดส่วนตัวไปมากขึ้นเรื่อยๆ เราเพิ่งกลับมาถึงที่ประเทศไทยเมื่อสามวันก่อนนี่เอง และยังไม่ทัน และไม่มีทาง ที่เราจะบอกปัดหรือปฏิเสธได้ เราทั้งคู่ก็ถูกเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของศิลากับฟ้าครามที่ชายหาดแห่งนี้ซะแล้ว ที่นี่คือชายหาดส่วนตัวที่เป็นพื้นที่ของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง แต่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเรียกว่าหมู่บ้านแน่หรือเปล่า โดยหัวเรี่ยวหัวแรงของงานครั้งนี้นั้นก็คือไอ้วิท เพื่อนของพวกเราสองคนนี่เอง ส่วนหมู่บ้านแห่งนี้ ที่จริงจะเรียกว่าเป็นรีสอร์ทก็คงไม่ผิดนัก เพราะบ้านบางหลังนั้นก็ถูกซื้อไว้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่อีกหลายหลังนั้นเขาก็เปิดให้เช่าเป็นคืนหรือเป็นเดือนก็แล้วแต่อีกมากมาย ซึ่งก่อนที่เราจะมาที่นี่ ไอ้วิทก็เป็นคนจองบ้านไว้อีกหลังหนึ่งเป็นเวลาสามวันสองคืนสำหรับเราสองคนเอาไว้ก่อนแล้ว และวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่เพื่อนๆของเราจะมารวมตัวกันที่บ้านของมัน เพื่อเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพวกเรา

“ไม่รู้คนจะมากี่คนว่ะ ไอ้เหี้ยวิทก็ไม่เห็นบอกอะไรกูเลย” ผมพูดขึ้น

“ก็นั่นน่ะสิ กูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่กูว่าน่าจะเยอะนะ เพราะบางคนน่าจะพาแฟนๆของพวกเค้ามากันด้วย”

“อืมมม ตกลงมึงไม่สนใจเรื่องเปิดตัวเราสองคนจริงๆเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ

“ไม่ดีกว่ามั๊ง แค่พวกไอ้วิทรู้สี่ห้าคนนั่นก็พอแล้ว เอาไว้อีกหน่อยเหอะ กูไม่อยากทำคนเค้าตกใจกันทั้งๆที่เพิ่งได้เจอหน้าพวกเราอีกครั้งกันหรอกนะ และที่สำคัญ กูขี้เกียจตอบคำถามด้วยว่ะ”

“กูรู้ กูก็แค่พูดเล่นน่า” ผมพยักหน้าเบาๆ

ถึงปกติผมจะไม่แคร์กับสายตาและความคิดของคนอื่นๆเท่าใดนัก และผมก็รู้ว่าไอ้เมฆเองก็ไม่แคร์ด้วยเหมือนกัน แต่อย่างน้อยๆผมก็คิดว่าตอนนี้มันพูดถูก สักวันหนึ่งคนอื่นๆก็คงรู้เรื่องของพวกเรากันแน่ๆอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยๆก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพรุ่งนี้ และที่สำคัญ เราเคยคุยกันเอาไว้แล้วว่าถ้าใครจะรู้ก็ให้เขารู้ไป แต่ไม่ใช่ว่าเราจำเป็นต้องเปิดตัวป่าวประกาศเพื่อให้คนทั้งโลกมาสนใจในเรื่องส่วนตัวของเรา

เราสองคนเดินทอดน่องรับลมเย็นๆกันต่อไปอีกพักหนึ่งจึงตัดสินใจหันหลังกลับเพราะเราเริ่มเดินออกมาไกลมากแล้ว และมันก็มืดมากด้วย ผมเดินโอบบ่าของไอ้เมฆไปเรื่อยๆในขณะที่มันก็กำลังโอบเอวของผมอยู่เช่นกัน เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้วและไม่มีคนอีกด้วย เราจึงสามารถที่จะโอบกอดกันได้อย่างที่เราอยากทำ แต่จู่ๆทันใดนั้นเราสองคนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องเบาๆสั้นๆดังขึ้นมาจากความมืดเบื้องหน้า ผมกับไอ้เมฆสะดุ้งและผละออกจากกันทันที เราสองคนมองหน้ากันและกัน ไม่แน่ใจว่าเสียงๆนั้นมันคืออะไร และก่อนที่เราจะตัดสินใจทำหรือพูดอะไรออกมานั้น เสียงของผู้หญิงคนเดิมก็ร้องดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ยาวกว่าและดังขึ้นมากกว่าเดิม

ผมกับไอ้เมฆออกวิ่งไปเบื้องหน้าเกือบจะพร้อมๆกัน ไม่ถึงหนึ่งนาทีถัดมา เราสองคนก็เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าชัดเจนมากขึ้น

“เฮ้ย หยุดนะ!” ผมตะโกนออกไปก่อนที่จะวิ่งไปถึงกลุ่มคนตรงหน้าราวๆยี่สิบเมตร

เบื้องหน้าของพวกเรามีผู้ชายสามคนกำลังฉุดและดึงผู้หญิงสาวคนหนึ่งอยู่ ไอ้ผู้ชายสามคนนั้นก็ดูท่าทางจะเป็นคนในพื้นที่นี่แหละ แต่ผู้หญิงคนที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นและพยายามดึงแขนของตัวเองออกมาจากมือของผู้ชายคนที่ตัวใหญ่ที่สุดนั่นดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวที่บังเอิญมาอยู่ผิดสถานที่และผิดเวลาไปนิดหน่อยจริงๆ

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!!” ผู้หญิงคนนั้นร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเห็นเราสองคนวิ่งตรงเข้าไป

ผมกับเมฆวิ่งเข้าไปใกล้ชายสามคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมรีบประเมินสถานการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วตามที่ไอ้เมฆเคยสอนผมเอาไว้ ผมกวาดตามองคาดคะเนอายุของพวกนั้น น่าจะราวๆยี่สิบปลายๆหรือสามสิบกว่าๆ ดูร่างกายท่าทางจะแข็งแรงดี ผมมองจดจำหน้าตา สังเกตกล้ามเนื้อ และส่วนสูงของทุกคนคร่าวๆ ดูสภาพภายนอกว่าพวกมันกำลังเมาเหล้าหรือเมายาอยู่รึเปล่า พยายามคาดคะเนความอันตรายของสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไปภายในไม่กี่นาทีนี้ ผมพยายามจะทำและวิเคราะห์ทุกอย่างให้ได้แบบที่ไอ้เมฆเคยสอน แต่พูดจริงๆแล้วผมก็ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักหรอก เพราะผมรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรง เลือดที่สูบฉีด และความโกรธพร้อมๆกับอะดรีนาลีนที่กำลังพลุ่งพล่านออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

กลับกันกับไอ้เมฆที่ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าในหัวของมันนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมรู้แน่ๆว่าตอนนี้มันมองเห็นวิธีจัดการกับปัญหาทุกอย่างตรงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว มันดูนิ่งและสงบมาก ไอ้เมฆเดินตรงเข้าไปหาชายกลุ่มนั้นช้าๆ ในขณะที่อีกสองคนเดินออกมาขวางระหว่างผู้หญิงที่กำลังถูกจับข้อมือกับพวกเราสองคนเอาไว้

“เฮ้ย แล้วมึงมาเสือกอะไรวะ” คนแรกที่อยู่หน้าสุดพูดขึ้นใส่หน้าของไอ้เมฆ

“มึงอยากเจ็บตัวรึไงวะ หรือว่าอยากจะได้นังนี่เหมือนๆกัน ถ้างั้นก็ตามคิวสิเว้ย” อีกคนพูดขึ้นพร้อมๆกับเดินเข้ามาสมทบเพื่อนของมัน และดูจากท่าทางการพูดแล้วก็แปลว่าพวกมันเมาอยู่แน่นอน

ผมก้าวเดินออกไปหยุดอยู่ข้างๆไอ้เมฆ แต่มันก็ยื่นมือออกมาขวางผมเอาไว้

“มึงไปดูผู้หญิงซิ ซัน” ไอ้เมฆบอกผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย และสายตาของมันก็ไม่ได้ละไปจากสองคนตรงหน้านี่เลย

ผมพยักหน้าช้าๆ เพราะรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป การได้อยู่กับมันมาสามปีทำให้ผมเรียนรู้ตัวของมัน และเรียนรู้การรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ได้เยอะขึ้นมาก อย่างน้อยๆผมก็รู้จักจะใจเย็นและวางใจในตัวของไอ้เมฆได้มากขึ้นล่ะนะ

“เฮ้ย มึงจะไปไหนวะ” ผู้ชายคนแรกเดินเข้ามาขวางผมเอาไว้ ผมรู้สึกถึงกลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาจากตัวของมันชัดเจนทีเดียว

“อย่าน่า มึงไม่อยากจะเจ็บตัวหรือมีปัญหาหรอก ใช่มั๊ย”

“โอโห ปากดีนะมึง มึงคิดว่าจะทำอะไรพวกกูได้รึไง” มันเขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอีกเล็กน้อย

“ไม่ใช่กูหรอกที่จะทำ.........” ผมตอบพร้อมกับขยับตัวจะเดินเบี่ยงออกไป

ไอ้เมฆเดินเข้ามาขวางระหว่างผมกับไอ้หมอนั่นเอาไว้เพื่อให้ผมสามารถเดินผ่านไปได้ จากนั้นก็กระทุ้งเข่าเข้าที่ท้องของมันอย่างแรง แล้วจับแขนมันบิดพลิกกลับไขว้ไปทางด้านหลังแล้วกดมันให้นั่งลงบนพื้น ทำให้มันต้องร้องออกมาเสียงดังเพราะความเจ็บปวด

“ไอ้เหี้ย!! มึงหักแขนกู!!”

“ยังหรอก ถ้ามึงไม่ดิ้นไปมากกว่านี้” ไอ้เมฆพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

ผมวิ่งเหยาะๆผ่านเหตุการณ์เล็กๆตรงหน้านั้นไปเพื่อตรงเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ผู้ชายผมยาวคนที่ตัวใหญ่ที่สุดที่เคยจับแขนของเธอเอาไว้ก็ปล่อยมือออกพร้อมๆกับวิ่งตรงเข้าไปหาไอ้เมฆเพื่อช่วยเพื่อนของมัน ดังนั้นตอนนี้ทางด้านหลังของผมนั้นจึงกลายเป็นสามต่อหนึ่งไปโดยปริยายแล้ว ถึงจะรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง แต่ผมก็รู้ดีกว่าใครในที่นั้นว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะต้องเจ็บตัวคือใคร และสุดท้ายเหตุการณ์มันจะจบลงเช่นไร

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ผมรีบถามผู้หญิงคนนั้นแล้วพยุงเธอให้ยืนขึ้น

“ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือเพราะความตกใจ จากนั้นก็ร้องอุทานออกมาเบาๆพร้อมกับชี้ไปทางด้านหลังของผมด้วยสายตาเบิกโพลง

ผมรีบหันหลังกลับไปดูไอ้เมฆทันทีด้วยความตกใจและเป็นห่วงทันที

ไอ้เมฆเพิ่งจะกันหมัดของไอ้ผมยาวเอาไว้ได้พร้อมๆกับต่อยเข้าที่ท้องของมัน จากนั้นก็จับแขนของไอ้หมอนั่นที่ถูกบล็อกเอาไว้ได้เมื่อครู่บิดจนผิดรูป ทำให้มันต้องร้องออกมาเสียงดัง ส่วนผู้ชายสองคนแรกนั้นก็กำลังนอนกองและคืบคลานอยู่บนพื้นทรายท่าทางเจ็บปวด ผมรู้ว่าเวลาไอ้เมฆมันทำอะไร มันไม่เคยตอดเล็กตอดน้อยหรอก แต่มันมักจะเคลื่อนไหวน้อยๆ แต่กลับเล่นงานไปยังจุดที่ทำให้เจ็บหนักหรือเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวทั้งนั้น โดยเฉพาะที่บริเวณข้อต่อ ทั้งสองคนทำท่าพยายามกำลังจะลุกขึ้น แต่ผมเห็นคนหนึ่งในนั้นที่กำลังจะลุกขึ้นยืนและมีท่าทางจะพุ่งเข้าไปทำร้ายไอ้เมฆ ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปเตะเข้าที่กลางลำตัวของมัน แล้วกดมันลงไว้กับพื้นทันที

“ให้ช่วยมั๊ย เมฆ” ผมหันไปถามแฟนของผมทั้งๆที่ในใจลึกๆก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก” เมฆตอบกลับมาพร้อมกับบิดแขนของผู้ชายคนนั้นอย่างแรงจนผมสาบานได้ว่าผมได้ยินเสียงดังกร๊อบ จากนั้นมันก็เตะลงไปที่ข้อพับขา ทำให้ไอ้หมอนั่นล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น ขณะเดียวกับที่อีกคนหนึ่งกระโดดลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งเข้าไปหาไอ้เมฆ แต่เมฆก็ยังหลบได้และเตะเข้าไปที่กลางตัวของมันอย่างแรงพร้อมๆกับคว้าคอเสื้อแล้วจับทุ่มข้ามสะโพกลงไปหลังกระแทกบนพื้น

หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 11-11-2007 15:46:39

ผมลุกขึ้นยืนและปล่อยให้คนที่ผมล็อคไว้อยู่เป็นอิสระ ทั้งสามคนรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนแล้วก็รีบวิ่งหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงโอดครวญและเสียงสบถด่าอีกหลายคำ

“เมื่อกี๊มึงหักแขนมันไปแล้วเหรอ” ผมเดินตรงเข้าไปหาไอ้เมฆแล้วถามออกไปด้วยความรู้สึกตกใจเล็กน้อย

“แค่ไหล่หลุดน่ะ ไม่ได้หักหรอก”

“แล้วมึงเจ็บรึเปล่า โดนมันทำอะไรไปมั๊ย แม่งเอ๊ย กูไม่น่าปล่อยให้มึงโดนสามรุมหนึ่งเลย”

“ไม่เป็นไร แค่โดนต่อยชายโครงไปทีนึง ไม่ได้เจ็บอะไรมาก” ไอ้เมฆตอบแล้วก็เอามือลูบบริเวณที่โดนต่อยเบาๆ “และมันก็ชดใช้ด้วยแขนของมันไปแล้วด้วย เสียดายอย่างเดียวที่ไม่ใช่ข้างที่มันต่อยกู” ไอ้เมฆพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับมันเพิ่งจะตอบว่าเมื่อเช้ากินอะไรเป็นอาหารเช้ายังไงอย่างนั้น

“เดี๋ยวกลับบ้านไปมึงต้องให้กูดูด้วยนะว่าเป็นยังไงบ้างน่ะ เชี่ยเอ๊ย ไอ้พวกระยำ!” ผมสบถออกมาด้วยความโกรธ

“กูบอกว่ากูไม่เป็นไรไง........ แต่ว่าตอนนี้น่ะ........” เมฆมองเลยข้ามไหล่ผมไปยังผู้หญิงคนนั้น

เราสองคนเดินตรงเข้าไปหาผู้เธอที่กำลังมองพวกเราด้วยสายตาและท่าทางตื่นตระหนก ดูท่าทางเธอจะยังคงตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่หาย

“ปลอดภัยดีใช่มั๊ยครับ” ไอ้เมฆถาม

“ค่ะ...... ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” เธอตอบออกมา

“พวกมันทำอะไรคุณรึเปล่าครับ มีอะไรถูกขโมยไปรึเปล่า แล้วอยากไปโรงพักหรือโรงพยาบาลมั๊ย”

“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบพร้อมกับปัดทรายตามร่างกายออกเบาๆ

ผมสังเกตหน้าตาของเธอแล้วก็ดูท่าทางจะอายุมากกว่าพวกเรานิดหน่อย น่าจะราวๆยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกได้ และเมื่อดูจากการแต่งตัวที่ค่อนข้างจะดูดีแล้ว ก็ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเธอคงเป็นแขกที่มาท่องเที่ยวที่นี่ด้วยเช่นกันแน่นอน

“แล้วนี่พักอยู่ที่ไหนเหรอครับ มาคนเดียวรึเปล่า” ไอ้เมฆยังคงยิงคำถามต่อ

“พักอยู่ที่ตรงนี้เองค่ะ” เธอชี้ไปทางทิศเดียวกับบ้านพักของพวกเรา “เมื่อกี๊ตัดสินใจออกมาเดินเล่น แต่พอเดินไกลออกมาจากหาดหน้าหมู่บ้านได้หน่อย จู่ๆผู้ชายสามคนนั้นก็เริ่มเดินตามมา แล้วก็..........” เธอไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้ และผมก็สัมผัสได้ถึงความกลัวในน้ำเสียงและสีหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกเราสองคนเดินไปส่งก็แล้วกันนะครับ เพราะเราเองก็พักอยู่ที่นั่นเหมือนกัน” ผมพูดขึ้นบ้าง

“นั่นสินะครับ แต่ยังไงพวกนั้นคงไม่กล้ากลับมาแล้วล่ะ ไม่ต้องกังวลนะครับ อย่างน้อยๆเพื่อนมันคนนึงก็คงต้องไปหาหมอสักหน่อยแล้วล่ะ” ไอ้เมฆพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมรอยยิ้ม

จริงๆแล้วถ้าผมไม่ได้เคยชินกับการที่เราต้องบังเอิญเข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์อันตรายและไม่ได้คาดฝันแบบนี้ล่ะก็ ผมคงจะตกใจและแปลกใจทั้งกับตัวเหตุการณ์และหลังจากเรื่องราวทุกอย่างมันจบลงแบบนี้ไปแล้วก็ได้ แต่ว่านับตั้งแต่ที่ผมกับเมฆคบกันมาที่อังกฤษ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราบังเอิญต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันตราย และไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นไอ้เมฆเป็นแบบนี้ ครั้งแรกที่เราสองคนเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ด้วยกันนั้นเป็นตอนที่เราไปเที่ยวกันที่แกรนด์แคนยอน แล้วโดนฝรั่งตัวใหญ่สามคนเข้ามาหาเรื่องด้วย ซึ่งไอ้เมฆก็เป็นคนจัดการเจ้าพวกนั้นทุกคนไปซะอยู่หมัด แต่เรื่องครั้งนี้คู่กรณีของพวกเราเป็นคนไทยที่ตัวเล็กกว่าฝรั่งที่เราเคยชินกันอยู่เยอะ ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจเลยที่สุดท้ายแล้วตอนจบมันก็ออกมาเป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้

ถึงแม้ผมจะรู้สึกไม่ดี หงุดหงิด และผิดหวังในตัวเองที่ไอ้เมฆต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ก็เถอะ

เราสามคนเดินกับไปยังที่พักของพวกเรากันเงียบๆ สำหรับผู้หญิงคนนี้นั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ความคิดของไอ้เมฆมันผมก็ไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าผมรู้สึกโกรธและโมโหตัวเองมากที่ปล่อยให้เมฆมันต้องได้รับบาดเจ็บ ถึงเราจะเคยเจอเหตุการณ์อันตรายคล้ายๆกันนี้มาบ้างแล้วสามสี่ครั้ง และทุกๆครั้งเราทั้งคู่ต่างก็ปลอดภัยดีไม่เคยได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรงเลยสักหน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ โดยเฉพาะที่ไอ้เมฆมันชอบเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเหมือนเรื่องสนุกด้วยแล้ว  ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายมันมีมีดหรือมีปืนล่ะ ถ้าไอ้หมัดเมื่อกี๊มันไม่ใช่แค่หมัด แต่เป็นคมมีด ท่อนเหล็ก หรือลูกกระสุนล่ะ ผมจะทำยังไงดี

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่เข้ามาช่วยแอมป์ไว้”

ผมกับเมฆมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายเริ่มแนะนำตัว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ่ออ ผมเมฆครับ ส่วนนี่ซัน เราเองก็มาเที่ยวที่นี่เหมือนกัน ว่าแต่...... แอมป์...... พี่แอมป์......”

“แอมป์อายุยี่สิบห้าค่ะ ถ้าเมฆกับซันอายุน้อยกว่า จะเรียกว่าพี่ก็ได้”

“ครับ พี่แอมป์แน่ใจนะครับ ว่าไม่ได้รับอันตราย ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”

“ค่ะ ไม่เป็นอะไรค่ะ ว่าแต่เมฆนั่นแหละที่โดนต่อยเข้าไปด้วยไม่ใช่เหรอคะ” พี่แอมป์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ไม่หนักเท่าไหร่ครับ แค่นี้สบายมาก” ไอ้เมฆตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มละลายหัวใจคนอื่นอีกแล้ว นี่แหละคือความมีเสน่ห์ของมันที่ประทับใจใครไปแล้วหลายๆคน และเสน่ห์ตรงนี้ของมันก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยด้วยแม้แต่นิดเดียว ผมชักจะกังวลแล้วสิว่ามันจะเผลอทำให้สาวน้อยผู้เคราะห์ร้ายคนนี้ต้องหวั่นไหวไปกับรอยยิ้มและความอ่อนโยนของมันโดยไม่ได้ตั้งใจเอาอีกรึเปล่า

“ว่าแต่บ้านหลังไหนเหรอครับ ที่เป็นบ้านของพี่แอมป์” ผมถามขึ้นเมื่อเราเดินเข้ามาถึงตัวหมู่บ้านแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่เดินกลับไปเองก็ได้ แค่นี้เอง”

“ก็เพราะแค่นี้เองไงครับ พวกผมถึงเดินไปส่งให้ได้ ถึงมันจะไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วก็เถอะ แต่ว่ามันก็ปลอดภัยกว่านะครับ”

“อยู่คนเดียวรึเปล่าครับเนี่ย” ผมถาม

“เอ่ออ มากับน้องชายน่ะค่ะ แต่ป่านนี้ไม่รู้หลับไปแล้วรึยัง” เธอตอบแล้วเดินนำทางพวกเราไปยังบ้านพักของเธอ ผมเห็นแสงไฟยังคงส่องสว่างอยู่ในห้องนั่งเล่น และเมื่อเราทั้งสามคนเดินเข้าไปใกล้หน้าประตูบ้าน เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุน่าจะราวๆเดียวกับพวกผมหรือเด็กกว่านิดหน่อยก็เลื่อนประตูกระจกออก

“ไปไหนมาเนี่ย พี่ ผมเกือบจะนอนไปแล้วนะเนี่ย........ อ้าว” เขาชะงักไปเมื่อเห็นว่าพี่สาวของเขาไม่ได้กลับมาแค่คนเดียว

“อาร์ม พี่เกือบแย่ไปแล้วนะเนี่ย ดีนะที่ได้น้องสองคนนี้เค้ามาช่วยเอาไว้” แอมป์โผเข้าไปกอดน้องชายของตัวเองทันที จากนั้นก็หันมาหาพวกเราสองคนอีกครั้ง “เข้าไปนั่งในบ้านก่อนมั๊ยคะ ไปดื่มน้ำสักหน่อยก่อนก็ได้”

“อืมมม ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว น้องชายพี่แอมป์ก็ท่าทางจะง่วงมากแล้วด้วย แถมบ้านของพวกเราก็อยู่แค่ตรงนี้เอง ผมว่าพี่ไปพักผ่อนเถอะครับ” ไอ้เมฆตอบหลังจากที่หันมาสบตากับผมเล็กน้อย

“แต่ว่า...... แต่ว่าน้องสองคนอุตส่าห์มาช่วยชีวิตพี่เอาไว้นะคะ อยากตอบแทนอะไรให้จังเลย รู้สึกไม่ดีเลยที่จู่ๆก็ทำให้ต้องเข้ามาเจอเรื่องเจ็บตัวกันแล้วพี่ก็แค่พูดว่าขอบคุณแล้วหายไปเฉยๆแบบนี้” พี่แอมป์มีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย ส่วนอาร์มน้องชายของเธอก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า “ช่วยชีวิต” และคำว่า “เจ็บตัว”

“เอางี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยเจอกันใหม่ก็ได้ครับ พวกเรายังไม่รีบกลับกรุงเทพหรอก แถมอยู่ใกล้ๆกันแค่นี้เอง ไม่ได้เรียกว่าหนีไปไหนสักหน่อย พรุ่งนี้เช้าสักเวลาประมาณสิบโมง พวกเราจะมากดกริ่งเรียกเพื่อให้พี่ได้เจอหน้าแล้วค่อยมาคุยกันอีกที แบบนี้ดีมั๊ยครับ” ผมเสนอความคิดออกไป

“นั่นสิครับ ตอนนี้พี่แอมป์ไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกันนะครับ เจอเรื่องมามากแล้ว และน้องชายพี่ก็คงจะกังวลใจเต็มแก่แล้ว ยังไงพวกผมสองคนขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะมาหาใหม่ตอนสิบโมงก็แล้วกัน”

“แบบนั้นก็ดีค่ะ งั้นถ้ายังไงก็ขอบคุณจริงๆอีกครั้งนะคะสำหรับคืนนี้ ขอบคุณจริงๆ”

เราทั้งสองคนบอกลาเจ้าของบ้านแล้วเดินออกมาเพื่อกลับไปยังบ้านพักของตัวเอง ตลอดทางที่เราเดินกลับกันจนกระทั่งเดินเข้าไปในบ้านที่มืดสนิทนั้น ผมกับไอ้เมฆก็ไม่ได้พูดจาอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว จนเมื่อผมเดินเข้าห้องนอนและเริ่มถอดเสื้อผ้าให้เหลือแค่บ็อกเซ่อร์ตัวเดียว กำลังคิดอยู่ว่าจะอาบน้ำอีกรอบหรือจะนอนเลยดี ไอ้เมฆก็เดินตรงเข้ามากอดผมจากทางด้านหลัง

“โกรธเมฆเหรอครับ ที่รัก”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงของมันแบบนั้น ผมก็รู้สึกราวกับถูกกระแสไฟอ่อนๆช็อตไปทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว

“เปล่า แต่โกรธตัวเอง”

“โกรธทำมาย ก็เมฆบอกแล้วไงว่าเมฆไม่เป็นอะไรสักหน่อย”

“แล้วถ้าไอ้ที่โดนเข้าตรงชายโครงมึงนั่นมันไม่ใช่แค่หมัดแต่เป็นอย่างอื่นล่ะ จะทำยังไง” ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับมัน จากนั้นก็กดลงบริเวณที่มันโดนต่อยแรงๆ ไอ้เมฆถึงกับสะดุ้งทันที “เห็นมั๊ย แล้วบอกไม่เป็นอะไรมาก ไหนเอามาดูหน่อยซิ”

ผมนั่งลงบนขอบเตียงแล้วดึงตัวมันเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ดึงกางเกงของมันลง พร้อมกับเลิกชายเสื้อขึ้น ผมค่อยๆไล่นิ้วไปตามสีข้างของมันช้าๆและแผ่วเบา บริเวณที่โดนต่อยนั้นมีรอยช้ำเล็กๆแต่ก็ไม่ได้ดูหนักหนามากนัก ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งอกมากขึ้นเยอะ นี่ถ้ามันเกิดเป็นอะไรรุนแรงมากขึ้นล่ะก็ ผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่ๆ

“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่เป็นอะไรหรอก กูหลบทันน่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มหลังจากที่มันเห็นสีหน้าคลายกังวลของผมแล้ว และจริงๆผมก็รู้นั่นแหละว่ามันคงไม่เป็นอะไรมาก เพราะนอกจากไอ้เมฆมันจะรู้วิธีต่อสู้แล้ว มันยังรู้วิธีการรับหมัดและการลดความเสียหายจากการถูกทำร้ายลงได้อีกด้วย

“แน่ใจรึไง แล้วตรงอื่นล่ะ มีอีกรึเปล่า” ผมลูบมือขึ้นลงช้าๆไปตามส่วนอื่นๆบนตัวของมัน

“ไม่มีแล้ว กูบอกแล้วไงว่าถ้าเกิดกูเป็นอะไรกูจะบอกมึงตรงๆทุกครั้ง........ แต่ว่า”

“แต่ว่าอะไร”

“แต่ว่าตอนนี้ก็เริ่มจะรู้สึกเป็นขึ้นมานิดๆแล้วว่ะ..........”

“อะไร เจ็บตรงไหนอีก ตกลงนี่โดนไอ้พวกเหี้ยนั่นทำอะไรตรงส่วนอื่นอีกใช่มั๊ย”

“เปล่า แต่เริ่มรู้สึกปวดหนึบๆตรงนี้ขึ้นมาแล้ว........” มันชี้นิ้วลงไปที่เป้ากางเกงในของตัวเองที่ถูกดุนนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ขืนลูบแบบนั้นมากๆ ระวังเลือดเหนียวมันจะไหลเอานะครับ คุณซัน”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากับมัน “ไอ้ตัวขี้เงี่ยน”

“ใครกันแน่ ที่ขี้เงี่ยน พูดให้มันดีๆนะครับ ไอ้คุณซัน” สายตาของมันมองลงมายังกางเกงบ็อกเซ่อร์ของผม ทำให้เราสองคนหัวเราะเบาๆออกมาพร้อมๆกัน

“มึงก็รู้นี่ เวลากูเห็นมึงสวมบทโหดแบบนั้นหรือเจอเรื่องตื่นเต้นๆทีไร กูมักจะมีอารมณ์ขึ้นมาทุกทีเลย” ผมตอบพลางใช้มือลูบไล้ไปยังแก้มก้นของมัน

“ทีครั้งแรกล่ะกลัวจนขี้หด”

“แต่ถ้าตอนนี้คุณศิลาไม่หุบปาก แก้ผ้า แล้วกระโดดขึ้นมาบนเตียงกับผม ระวังอะไรบางอย่างมันจะหดไปซะก่อนนะครับ”

“หดแน่ แต่อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ภายในสิบห้านาทีนี้นะ.......... เอ๊ะ หรือว่าไม่ถึงวะ”

“ปากดีนะมึงงงง” ผมหัวเราะแล้วฉุดมันให้ลงมากลิ้งอยู่บนเตียง เราสองคนปล้ำเล่นกัน หัวเราะเสียงดังกันอยู่อีกสักพัก จากนั้นไอ้เมฆถึงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เดี๋ยวๆ กูว่าเบาเสียงหน่อยดีกว่า เดี๋ยวไคล์เขาจะได้ยินเอา”

“ก็เรื่องของมันสิ อยู่ตั้งห้องฝั่งตรงข้ามยังอุตส่าห์ได้ยินอีกก็ช่วยไม่ได้แล้ว แถมอีกอย่าง ไอ้พีแฟนมันก็ได้ยินเรามาตั้งหลายหนแล้ว คราวนี้ถึงตามันได้ยินมั่งก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่” ผมยิ้มกว้าง จากนั้นบนเตียงของเราก็เกิดการต่อสู้รัดฟัดเล็กๆขึ้นเป็นครั้งแรกนับจากที่เรากลับมาถึงประเทศไทย

“อา ครั้งแรกของเราที่ประเทศไทย...........”

หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 11-11-2007 16:07:29
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 11-11-2007 16:27:54
สงสัยเมฆจะเสน่ห์แรงเกินไปรึเปล่าหว่า  :m28:  :m28:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 11-11-2007 17:16:25


            ในที่สุดก็เอาภาคต่อมาลงแล้ว

            จะติดตามเรื่องนี้ไปเรื่อยๆนะคับ

             ชอบมากเลยคับเรื่องนี้

             แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างศิลากับฟ้าครามหรอคับพี่ต้น

            ทำไมต้องเลิกกัน.....แล้วเลิกกันเพราะอะไร

            ช่วยมาต่อเร็วๆด้วยนะคับอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่



             ปล. หวังว่าภาคนี้คงไม่จบแบบเศร้าหรอกใช่มั้ยคับ           


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 11-11-2007 17:26:42
เอาแค่สั้นๆ นะต้น ขอปัดมดก่อน มดขึ้นเต็มเลย

สองคนเนี่ย น่ารักมากเลย น่ารักจนคนอ่านใจละลายเป็นน้ำแล้ว
น้ำก็กลายเป็นน้ำหวาน

 :m3: :m18:

หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: No_ProMises ที่ 11-11-2007 17:47:30
เก่งๆ   จัดการคนร้ายซะอยุ่ :m4: :m4:

น่าร๊ากกกก


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 12-11-2007 15:19:06
จึ้กพี่ชายครั้งนึง :oo1:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 12-11-2007 17:53:53
เข้ามาปัดมดด้วยคน  พี่เมฆเก่ง พี่ซันหื่น เอิ๊กๆ  :m10:     :laugh:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-11-2007 18:34:56
วินาทีที่ 2


เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นมาหลังจากที่ไอ้เมฆมันขยับลุกขึ้นออกจากเตียงไปแล้ว เมื่อผมลืมตาขึ้นมากวาดสายตาไปรอบห้องพร้อมทั้งเงี่ยหูฟังและไม่ได้ยินเสียงใครอยู่ในห้องน้ำ ผมจึงสะบัดตัวออกจากผ้าห่ม เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินออกจากห้องนอนตรงไปยังห้องครัวที่โต๊ะกินข้าว ที่นั่น เมฆกับไคล์กำลังนั่งคุยกันรอผมอยู่แล้ว ผมจึงเดินเข้าไปหาทั้งคู่ทันที

“ตื่นแล้วเหรอครับ” เมฆทักผมหลังจากที่ผมเดินเข้าไปหอมแก้มเขา

“อรุณสวัสดิ์ ซัน เห็นว่าเมื่อคืนเจอเรื่องหนักมานี่” ไคล์ทักผมบ้าง

“อืมม นิดหน่อยน่ะ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่เหมือนเคย เมฆเล่าให้ฟังแล้วเหรอ” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเมฆ

“เอากาแฟมั๊ยครับ จะได้รู้สึกดีขึ้น”

“อืมม สักแก้วก็ดีเหมือนกัน” ผมพยักหน้า จากนั้นไคล์จึงลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป แล้วหันหน้าเข้าหาเคาน์เตอร์เพื่อชงกาแฟให้ผม

“แต่ทั้งสองคนนี่ก็ขยันมีปัญหาเหมือนกันนะ ขนาดเพิ่งกลับไทยมาได้แค่สามวันก็เจอเรื่องเข้าซะแล้ว” ไคล์พูดพร้อมกับเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ และส่งแก้วกาแฟของผมมาให้

“เฮ้ย เมื่อคืนนี้เราอยู่ของเรากันดีๆนะ ผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่เจอเรื่องน่ะ พวกเราแค่เข้าไปช่วยเอง” ผมยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบช้าๆ “เออ จะว่าไปนี่มันกี่โมงแล้ววะเมฆ”

“เพิ่งจะแปดโมงเอง ยังเหลือเวลาอีกเยอะแยะ”

“เวลาทำอะไรครับ” ไคล์ถาม

“เราสองคนนัดจะไปที่บ้านของพี่แอมป์..... ผู้หญิงคนเมื่อคืนนี้อีกครั้งน่ะ เขาอยากเจอพวกเราอีก พี่สองคนก็เลยนัดเค้าไว้ว่าเดี๋ยวสิบโมงจะไปหา”

“แต่กูก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรเท่าไหร่เลยนะ จริงๆกูก็ไม่ค่อยอยากจะไปอีกเท่าไหร่หรอก ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ แต่แค่ไม่อยากให้เขาเห็นมันเป็นเรื่องใหญ่โตเท่านั้นเอง” ผมพูด

“กูรู้ กูเห็นท่าทางมึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่พี่เขาก็คงแค่อยากจะขอบใจเราจริงๆนั่นแหละ ท่าทางเขาจะเป็นคนดีอยู่นะ แถมมึงลองคิดดูสิว่าถ้าเราไม่ไปช่วยเขาเอาไว้ ตอนนี้เขาจะเป็นยังไง แบบนั้นน่ะ สำหรับผู้หญิงบางคนแล้วมันแทบจะไม่ต่างไปจากความตายเลยนะ”

“ก็จริงของมึง” ผมพยักหน้า

“ว่าแต่หลังจากนั้นล่ะครับ ทั้งสองคนจะทำอะไรกันต่อ เพื่อนๆพี่จะมากันกี่โมงล่ะเนี่ย”

“จริงด้วย กูว่ากูจะโทรหาไอ้วิทมันอยู่พอดีเลย รึว่ามึงจะเป็นคนคุย แสบ”

“มึงคุยไปเหอะ กูยังไม่ตื่นดีเลย”

“ถ้างั้นกูไปโทรหามันเลยก็แล้วกันนะ” เมฆพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องนอนของเราสองคน

เมื่อเมฆลุกไปจึงเหลือแค่ผมกับไคล์นั่งคุยกันอยู่เท่านั้น ไคล์เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเอง เขาเป็นลูกครึ่งไทย – ฮิสแปนนิคที่มาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสาขาวิศวะอินเตอร์ที่ประเทศไทยนี่ เขามีแฟนเป็นคนไทยอยู่แล้วที่ตอนนี้กำลังเรียนต่ออยู่ที่อังกฤษชื่อว่าพี หรือที่ไคล์เรียกเขาว่า พีท พีเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าของพวกเราหนึ่งปี เราทั้งสี่คนถูกชักพาให้มาเจอกันด้วยโชคชะตา แต่เราก็สานต่อความสัมพันธ์นั้นด้วยเจตนาของเราเอง ความสัมพันธ์ของท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายน้ำ และปฐพี ส่วนไคล์ที่อายุน้อยกว่าพวกเราที่สุดถึงสามปีจึงตัดสินใจว่าเมื่อจบไฮสคูลจากที่อังกฤษแล้ว เขาจะมาเรียนต่อที่ประเทศไทยนี่เพื่อรอแฟนของเขากลับมา เพราะถ้าทำแบบนี้แล้ว เขาก็จะต้องอยู่ห่างกันแค่เพียงปีกว่าๆเท่านั้น และเมื่อพีเรียนจบปีหน้าแล้วกลับมาไทย เขาก็จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง โดยในช่วงที่ไคล์มาเรียนต่อนี้เขาก็พักอาศัยออยู่ที่หอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย แต่ว่าก็ยังมีพ่อของเมฆคอยเป็นผู้ปกครองดูแลให้อยู่ตลอด เรียกได้ว่าครอบครัวของทางฝั่งผมกับเมฆนั้นแทบจะเป็นปึกแผ่นเดียวกันไปแล้วจริงๆ

เราสองคนนั่งคุยกันเรื่องต่างๆสักพัก เมฆก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่ยังคงแนบอยู่ที่หู

“เออๆ กูไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้ามึงรีบมาหน่อยก็ดี กูมีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วย เอาเป็นว่ามึงมาถึงเมื่อไหร่แล้วก็โทรหากูก็แล้วกัน โอเค บายครับ แล้วเดี๋ยวเจอกัน” เมฆกดปุ่มวางสาย จากนั้นก็เดินกลับมานั่งที่เดิม

“ตกลงว่าไง มันจะมาถึงกี่โมงกัน และมันบอกมั๊ยว่าจะมากันกี่คนมั่ง”

“มันบอกมันคงมาถึงราวๆสิบโมงนี่แหละ มากับไอ้กอล์ฟแล้วก็ไอ้แป๊ะน่ะ แล้วก็บอกว่าเพื่อนๆเราก็คงทยอยมากันเรื่อยๆหลังเที่ยงเป็นต้นไปมั๊ง มันก็ไม่แน่ใจ แต่มันบอกอย่างเดียวว่าท่าทางจะมากันเยอะ เผลอๆเราอาจจะต้องอยู่ต่ออีกหนึ่งคืนก็ได้ ยังไม่คอนเฟิร์ม”

“แต่ถ้ามันมาตอนสิบโมง ตอนนั้นเราก็คงกำลังอยู่ที่บ้านพี่แอมป์น่ะสิวะ”

“ก็นั่นน่ะสิ แต่ก็คงต้องรอให้มันโทรมาหาอีกทีล่ะมั๊ง ค่อยรอดูว่าตอนนั้นจะเอายังไง” เมฆยักไหล่

“เดี๋ยวผมอยู่รอพี่วิทให้ก็ได้ครับ ผมเองก็ไม่ได้มีโปรแกรมจะทำอะไรอยู่แล้วด้วย” ไคล์เสนอ

“เออ จริง ถ้าไอ้วิทมาถึงตอนที่เรายังไม่กลับ ก็ให้ไคล์อยู่เจอมันไปก่อนก็ได้นี่เนอะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

ไคล์มาอยู่ที่ประเทศไทยนี่ได้ปีกว่าๆแล้ว และระหว่างนั้นเขาก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆของเราอยู่หลายคนเหมือนกัน และวิทก็เป็นหนึ่งนั้นด้วย แต่ถ้าพูดจริงๆต้องบอกว่า ไคล์มันสนิทกับวิทมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆของพวกเราเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าเขาสองคนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ถึงจะคนละคณะก็เถอะ

หลังจากมื้อเช้าง่ายๆและนั่งคุยกันต่ออีกสักพัก เราสามคนก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว โดยเฉพาะผมกับเมฆที่ต้องเตรียมพร้อมที่จะไปหาพี่แอมป์ที่บ้านอีกครั้ง จนเมื่อถึงเวลาอีกห้านาทีสิบโมง เราสองคนก็ฝากบ้านไว้กับไคล์ แล้วจึงเดินไปยังบ้านของพี่แอมป์ ถึงตอนกลางวันเราน่าจะหาบ้านของเขาได้ง่ายกว่า แต่เมื่อคืนมันก็มืดมากจนเราจำหลังที่แน่นอนไม่ได้ ผมกับเมฆเดินลังเลกันอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งสักพัก ไม่นานนักประตูบ้านหลังนั้นก็ถูกเปิดออก

“ซัน เมฆ เข้ามาเลยค่ะ กำลังรออยู่พอดีเลย” พี่แอมป์เดินออกมาต้อนรับเรา จากนั้นก็พาเราเดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก “ทานอะไรกันมารึยังคะ เอากาแฟรึอะไรหน่อยมั๊ย”

“ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลยครับพี่ พวกผมสองคนเรียบร้อยกันมาแล้ว” เมฆตอบ

“ว่าแต่เมื่อคืนหลับสบายดีมั๊ยครับ ยังรู้สึกกลัวหรือกังวลอยู่รึเปล่า”

“ไม่แล้วล่ะค่ะ ตอนแรกก็คุยกับน้องชายเหมือนกันว่าอาจจะไม่ค่อยกล้าออกไปเดินข้างนอกเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เพราะเวลากลางวันมันก็คงไม่กล้าทำอะไรเราหรอก และพี่ก็คงไม่ไปเดินที่ไหนไกลๆห่างตาคนคนเดียวแล้วล่ะ”

“ก็ดีแล้วครับ จริงๆก็ไม่ต้องกังวลมากหรอกครับ จะทำให้มาเที่ยวไม่สนุกซะเปล่าๆ และอีกอย่าง ผมว่าวันนี้ คืนนี้ ที่นี่มันคงจะไม่เงียบมากเหมือนเมื่อคืนแล้วล่ะครับ” ไอ้เมฆพูดพร้อมหันมายิ้มกับผม

“ว่าแต่น้องชายพี่ไปไหนล่ะครับ”

“อาบน้ำอยู่น่ะค่ะ เพิ่งตื่นมาเมื่อสิบห้านาทีก่อนนี้เอง”

“มาเที่ยวกันแค่สองคนเหรอครับ มาจากไหนกันครับเนี่ย”

“มาจากกรุงเทพเหมือนกันค่ะ เพิ่งมาถึงเมื่อวานกันนี่เอง ว่าจะอยู่สักสองสามคืนแล้วค่อยกลับ แล้วเมฆกับซันล่ะคะ มาเที่ยวกันแค่สองคนเหรอ”

“อ๋อ เปล่าหรอกครับ เรามากันสามคนน่ะ มีน้องชายของไอ้ซันมันอีกคนนึง ตอนนี้อยู่ที่บ้าน แล้วเดี๋ยวเพื่อนๆของเราก็จะตามมาอีกน่ะครับ”

“เหรอคะ มิน่า เมื่อกี๊ถึงบอกว่าวันนี้แถวนี้คงจะไม่เงียบเหมือนเมื่อวาน เพื่อนๆจะมากันหลายคนเหรอคะ”

“บอกตามตรงผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ เพราะไอ้เพื่อนผมมันก็ไม่ยอมบอกอะไรเราเลย ไม่รู้จะปิดบังอะไรนักหนาทำไม” เมฆยักไหล่

“พวกนั้นตั้งใจจัดงานเลี้ยงต้อนรับเรากลับมาน่ะครับ” ผมตอบออกไปเมื่อเห็นพี่แอมป์ทำหน้างงๆ “เราสองคนไปเรียนต่อที่อังกฤษมาน่ะครับ เพิ่งกลับมาเมื่อสามสี่วันก่อนนี่เอง เพื่อนๆเรามันก็เลยลากเรามาเลี้ยงฉลองที่นี่”

“อ๋ออ เข้าใจแล้วค่ะ ดีจังเลย”

สิ้นเสียงของพี่แอมป์ ประตูบานหนึ่งที่เป็นประตูห้องนอนทางด้านหลังของพวกเราก็ถูกเปิดออก เราสองคนหันไปมองที่มาของเสียงเกือบจะพร้อมๆกัน และคนที่เดินออกมาก็คืออาร์ม น้องชายของพี่แอมป์นั่นเอง เขาใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่รอบคอ

“สวัสดีครับ” เขาพูดพร้อมกับผงกหัวให้เราสองคน

“นี่น้องชายพี่เองค่ะ ชื่ออาร์ม อาร์ม นี่พี่เมฆกับพี่ซัน ที่ช่วยพี่เอาไว้เมื่อคืนไง ที่เล่าให้ฟัง”

“รู้แล้วๆ ผมจำได้น่า แต่ว่าอายุมากกว่าพี่แอมป์อีกเหรอครับ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เปล่า พี่อายุมากกว่า แต่เขาสองคนเพิ่งเรียนจบจากอังกฤษ นั่นก็คืออายุมากกว่าแกไง”

“อืมมๆ ถ้าไงพี่ๆคุยกันไปก่อนก็แล้วกันนะ ผมขอไปหาอะไรกินรองท้องก่อน” อาร์มพูด จากนั้นก็เดินเข้าไปเปิดตู้เย็นในห้องครัว

“ว่าแต่เมฆเป็นยังไงมั่งคะ ยังเจ็บตรงที่โดนต่อยเมื่อคืนรึเปล่า ต้องไปหาหมอมั๊ย เพราะพี่จะเป็นธุระให้เอง” พี่แอมป์หันกลับมาพูดกับเรา ส่วนอาร์มก็นั่งลงที่โต๊ะกินข้าวไม่ไกลจากเราเท่าไหร่ ผมสังเกตเห็นเขาก็ยังคอยมองพวกเราอยู่เหมือนกัน

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ จริงๆ แค่ช้ำนิดเดียวเอง อีกไม่กี่วันก็คงหาย ว่าแต่พี่แน่ใจนะครับ ว่าพี่เองไม่ได้เจ็บตรงไหน”

“ค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ โชคดีที่ทั้งคู่มาช่วยพี่ไว้ได้ทัน แต่พี่ก็ยังรู้สึกแย่มากๆเลยที่ทำให้ทั้งสองคนต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ วันนี้ก็เลยตั้งใจเอาไว้ว่าจะชวนทั้งคู่ไปทานข้าวเย็นด้วยกันน่ะค่ะ เพราะว่าพี่รู้จักร้านอร่อยๆ อย่างน้อยๆก็ขอให้ได้ตอบแทนบ้าง”

“อืมมม สงสัยจะไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะว่าเพื่อนๆเราก็จะมากันเย็นนี้อย่างที่บอกไป”

“นั่นสินะคะ งั้นถ้าเป็นมื้อกลางวันล่ะ”

“นั่นก็เหมือนกันครับ เพราะว่าเพื่อนของผมกำลังจะมาถึงที่นี่คนนึงแล้ว และคนอื่นๆก็กำลังตามๆกันมา แถมผมยังทิ้งน้องชายของผมไว้ที่บ้านอีกด้วย” ผมตอบ

“แต่ว่าพี่ไปหาพวกเราที่บ้านได้นะครับ เย็นนี้ไปกินข้าวกับพวกเราก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็”

“อืมมม ไอ้รังเกียจน่ะ ไม่ได้รังเกียจอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ว่ามันจะเป็นการไปรบกวนเมฆกับเพื่อนๆซะเปล่าๆน่ะสิ”

“ไม่หรอกครับ มันก็แค่งานเลี้ยงต้อนรับเรากลับมา แค่กินข้าวกันเฉยๆเอง ไม่ใช่งานใหญ่โตอะไร แค่เพื่อนๆมาเจอกัน คุยกัน กินข้าวกัน ไปเถอะนะครับ พาอาร์มไปด้วย เพราะว่าน้องชายของซันก็น่าจะอายุพอๆกับอาร์มนี่แหละ เขาเพิ่งมาจากอังกฤษได้ปีเดียว ไม่ค่อยรู้จักใครมาก และจะได้มีเพื่อนรุ่นเดียวกันคุยด้วย”

“ว่าไง อาร์ม” พี่แอมป์หันกลับไปถามน้องของเขา

“แล้วแต่พี่แอมป์ก็แล้วกันครับ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว” อาร์มตอบกลับมา

เราสามคนนั่งคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ผมก็สะกิดไอ้เมฆเพราะว่ามันน่าจะถึงเวลากลับได้แล้ว และรู้สึกแปลกใจด้วยว่าทำไมไอ้วิทถึงยังไม่ติดต่อมาอีก เราสองคนจึงขอตัวกลับก่อน และหลังจากเดินออกมาจากบ้านของพี่แอมป์ได้แค่สามก้าว โทรศัพท์ของเราก็ดังขึ้น ไคล์โทรมาบอกพวกเราว่าวิทกำลังรอเราอยู่ที่บ้านแล้วตอนนี้

“ไง พวกมึงสองตัวววววววว” ไอ้วิทเดินตรงเข้ามากอดพวกเราสองคนทีละคนอย่างแรงทันทีที่เราเดินเข้าไปในบ้าน “โทษทีนะเว้ยที่กูไม่ได้ไปรับพวกมึงที่สนามบิน มีใครไปมั่งวะ มึงสองคนนี่ดูไม่เปลี่ยนเลยเว้ย หล่อยังไงก็ยังเหมือนเดิม พ่อแม่มึงเป็นไงมั่งวะไอ้ซัน สบายดีรึเปล่า แม่กูเค้าฝากความคิดถึงไปให้พวกท่านด้วยนะ แถมกูว่ามึงไปเป็นนายแบบเหอะ หล่อเหลือเกิ๊นนน ไอ้สาดดด แล้วมึงล่ะไอ้เมฆ สบายดีป่าววะ พ่อเป็นไงมั่ง เรียนสามปีก็จบแล้วเหรอวะ เร็วชิบหาย แล้วที่ว่ามีเรื่องจะเล่าให้กูฟังน่ะ เรื่องอะไร”

“เดี๋ยวๆ มึงใจเย็นๆก่อน ไอ้วิท ทำยังกะไม่เคยได้คุยได้เจอกันเลยนะมึง” ผมหัวเราะ

“กูก็ว่างั้น เมื่อไม่กี่เดือนก่อนยังเพิ่งได้เจอกันอยู่เลย” ไอ้เมฆเสริม

“เชี่ย ครึ่งปีแล้วนะมึง ก็กูคิดถึงพวกมึงนี่หว่า ตกลงนี่จะกลับมาอยู่ไทยถาวรแล้วใช่มั๊ย มึงตกลงลงหลักปักฐานด้วยกันชัวร์แล้วสินะ”

“เออ ก็คงงั้นแหละ ว่าแต่ที่มึงถามๆมาเนี่ย มึงจำคำถามตัวเองได้หมดรึเปล่าวะ เพราะกูเองยังจำไม่ได้เลยว่ามึงถามอะไรมามั่งและกูควรจะตอบอันไหนก่อน”

“นั่นดิ่ ว่าแต่กูสองคนต่างหากที่อยากรู้ว่าเพื่อนเราคนอื่นๆเป็นไงมั่ง บางคนก็แทบไม่ได้เจอไม่ได้คุยเลย แล้ววันนี้จะมากันเยอะมั๊ยวะ ใครจะมามั่งก็ไม่รู้” ไอ้เมฆพูดแล้วนั่งลงบนโซฟา “ว่าแต่นี่มึงมาคนเดียวเหรอวะ ไหนว่าอีกสองตัวนั่นมาด้วยกัน”

“เออ ไอ้กอล์ฟกับไอ้แป๊ะคงใกล้จะถึงแล้วล่ะ ขับรถตามกันมาน่ะ แต่ว่ารถพวกมันดันมันมีปัญหานิดหน่อย กูก็เลยล่วงหน้ามาก่อน”

“เออ ก็ดี สงสัยเราต้องคุยกันยาวเลยว่ะเนี่ย แค่ตอบคำถามมึงก็คงกินเวลาชั่วโมงนึงแล้วมั๊ง ว่าแต่มึงกินอะไรมารึยัง” ผมถามพลางเดินไปรินน้ำเปล่าใส่แก้วมาให้มัน

“เรียบร้อยแล้ว งั้น เรามาเริ่มกันที่เรื่องของพวกมึงก่อน ไอ้เมฆ ที่มึงบอกกูว่ามึงมีเรื่องจะเล่าให้ฟังนั้นมันเรื่องอะไรวะ อย่าบอกนะว่ามึงท้อง”

“ทะลึ่งแล้วมึง” ไอ้เมฆหัวเราะ “ไคล์ก็มานั่งด้วยกันสิ พี่จะได้เล่าเรื่องที่คุยกับพวกพี่แอมป์เมื่อกี๊นี้ให้ฟัง แล้วก็จะได้คุยกันว่าเราจะทำอะไรยังไงกันมั่งดีไปเลยทีเดียว”

“ถ้างั้นตัวดีเล่าไปแล้วกันนะคับ แสบขอนั่งฟังเฉยๆพอ” ผมยื่นแก้วน้ำให้ไอ้วิท แล้วนั่งลงข้างๆเมฆพร้อมกับหอมแก้มมันด้วย ไอ้วิทมีหน้าสีตกใจพร้อมกับรอยยิ้มตลกๆทันที “ไม่เคยเห็นใช่มะ ไม่เคยเห็นพวกกูแบบนี้ล่ะสิ งั้นก็ดูอีกเยอะๆ แล้วทำตัวให้ชินเอาไว้ เพราะจากนี้ไปมึงจะต้องได้เห็นได้ยินอะไรอีกหลายอย่างเลยด้วย” ผมหันไปหอมแก้มเมฆอีกครั้งแล้วหัวเราะ

“ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย คบกับพวกมึงมาก็นาน รู้ทั้งรู้นะว่ามึงน่ะรักกัน แต่กูก็ไม่เคยเห็นพวกมึงเป็นแบบนี้เวลาอยู่ด้วยกันเลยจริงๆว่ะ สงสัยเรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะจริงๆด้วยซะแล้ว เพื่อนฝูง” ไอ้วิทยิ้มกว้าง


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-11-2007 18:48:42
ยังไม่เห็นแววว่าจะเลิกกันเลยแฮะ  :m17:  :m17:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-11-2007 19:31:42
วินาทีที่ 3


เมฆกับผมนั่งคุยกับวิทหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องของเราสองคน เรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องอดีตและอนาคต และเรื่องของเพื่อนๆ เราต่างก็ผลัดกันเล่า แลกเปลี่ยน และอัพเดตข้อมูลเรื่องราวต่างๆของกันและกันอย่างสนุกปาก จนเมื่อเมฆเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไอ้วิทก็มีสีหน้าตกใจแกมกังวลขึ้นมาทันที พวกเราจึงต้องรีบออกตัวว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจออะไรแบบนี้ แต่เราก็ไม่ได้พูดถึงความสามารถของไอ้เมฆมันมากนักว่ามันทำอะไรได้บ้าง เพราะผมรู้ว่าไอ้เมฆเองก็คงไม่ค่อยสะดวกใจที่จะให้ใครรู้และพูดถึงเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก

“งั้นแปลว่าวันนี้เดี๋ยวเราจะมีแขกพิเศษของมึงมาอีกสองคนใช่มั๊ย” ไอ้วิทถาม

“กูว่า ‘อาจจะ’ มีมากกว่าว่ะ กูบอกบ้านของเราไปแล้วว่าหลังไหน แต่กูก็ไม่รู้ว่าเขาจะมากันรึเปล่า แถมกูไม่รู้ด้วยว่ามึงจะจัดงานกันที่นี่หรือที่บ้านของมึงน่ะ บ้านมึงหลังไหนพวกกูก็ยังไม่รู้ แต่เขาบอกไว้ว่าถ้าเขาตัดสินใจจะมา เขาจะมาหาพวกเราที่บ้านนี้ตอนเย็นๆน่ะ”

“เออ เมฆ ว่าแต่เมื่อกี๊พี่เขาได้บอกรึเปล่านะ ว่าน้องชายของพี่เค้าอายุเท่าไหร่ กูไม่ค่อยมั่นใจว่าเค้าได้พูดถึงรึเปล่าน่ะ” ผมหันไปถามไอ้เมฆ

“เปล่านะ กูก็ลืมถามว่ะ แต่ก็น่าจะพอๆกับไคล์มั๊ง ถ้าเค้ามาจริงไคล์ก็คุยเป็นเค้าหน่อยแล้วกันนะครับ จะได้เป็นเพื่อนคุยกันและกันไปเลย อายุน่าจะใกล้ๆกัน” เมฆหันไปหาไคล์

“ผมน่ะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ” ไคล์ยิ้มตอบ “ถึงผมจะรู้จักเพื่อนๆพี่บางคนแล้วก็จริง แต่ถ้ามากันเยอะๆผมก็คงทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน มีคนวัยใกล้ๆกันมันก็เบาใจขึ้นอีกหน่อย”

“กูล่ะไม่อยากจะเชื่อมึงสองคนเลยจริงๆ ไอ้เมฆ ไอ้ซัน เชี่ยแม่ง เรียกกัน ‘เมฆว่าอย่างนั้น’ ‘ซันว่าอย่างนี้’ หวานกันซะไม่มีนะมึง ถึงจะรู้นะว่าพอคนเราคบๆกันไปเดี๋ยวมันก็จะต้องกลายเป็นแบบนี้จนได้ แต่........ กูอยากจะอ้วกรดหัวพวกมึงสองคนจริงๆเลยว่ะ บอกตรงๆ” ไอ้วิททำเสียงล้อเลียน “วันนี้จะเปิดตัวไปเลยมั๊ยวะเนี่ย หือ”

“ไม่อ่ะคับ วิท เมฆเกรงใจ” ไอ้เมฆหัวเราะ

“ว่าแต่พวกมึงเหอะ ได้บอกใครไปมั่งรึเปล่า”

“เปล่า ก็ยังรู้กันอยู่แค่พวกกลุ่มเราๆสี่ห้าคนนี่แหละ แต่ถ้ามึงไม่อยากให้ใครรู้ คืนนี้ก็ระวังมือระวังไม้ ระวังน้ำเสียงสายตาของพวกมึงเองกันหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวเพื่อนเรามันจะตกใจว่าหนีตามกันไปอังกฤษแค่สามสี่ปี กลับมาได้เสียกันไปแล้วซะอย่างนั้น........” ไอ้วิทพูด จากนั้นก็หยุดไปครู่หนึ่ง ผมเห็นคิ้วของมันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“กูก็ไม่ได้ปิดบังหรอก ใครจะรู้ก็รู้ ใครถามก็ตอบตามความจริง แต่แค่ไม่อยากไปป่าวประกาศให้รู้กันทั่วเหมือนถูกหวยเท่านั้นเอง และอีกอย่างถ้าเป็นเพื่อนๆเราล่ะก็ พวกกูไว้ใจว่ะ” ผมพูด

“เฮ้ย ไม่สิ กูว่า มึงสองคนยังไงๆก็คงปิดไม่มิดแล้วว่ะ............” ไอ้วิทมองผมสองคนด้วยแววตาประหลาดใจ แต่ทว่าสายตาของมันนั้นไม่ได้กำลังจับจ้องอยู่บนใบหน้าของเราทั้งคู่อยู่ แต่ว่าเป็นที่มือของเราสองคนต่างหาก “ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย กูเพิ่งสังเกต แหวนที่นิ้วนางมึงสองคนนั่น.........” เมื่อมันพูดจบ มันก็คว้ามือของผมกับไอ้เมฆขึ้นไปถือไว้ทันที

“เออว่ะ กูก็เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย” ผมหันไปมองหน้าไอ้เมฆ “ใส่จนชินไปแล้ว”

“นี่มึงสองคนไปถึงขั้นนี้กันแล้วเหรอวะ หมั้นหรือแต่งงานวะเนี่ย แล้วที่สำคัญ มึงซื้อมาเมื่อไหร่วะ ไอ้เมฆ ไอ้ซัน แพงมั๊ยวะเนี่ย” ไอ้วิทถามด้วยน้ำเสียงและสายตาทึ่งๆ

“เอ่ออ คืออ กูไม่ได้ซื้อเองว่ะ แต่เป็นแหวนของพ่อกับแม่กับกูเอง”

“ส่วนถ้าถามว่าหมั้นหรือแต่งงาน สงสัยจะเป็นแต่งงานว่ะ แต่เอาไว้อีกหน่อยจะจัดพิธีที่ดีๆกว่านี้”

ไอ้วิทเงยหน้าขึ้นมามองเราสองคนด้วยสีหน้าประหลาดใจ มันคงไม่รู้ว่าเราพูดเรื่องจริงหรือแค่ล้อเล่นกันแน่ โดยเฉพาะที่ผมพูดว่าเราแต่งงานกันแล้วและจะมีพิธีจริงๆอีกครั้ง แต่ว่าผมก็หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ เพราะผมตั้งใจเอาไว้นานแล้วว่าหลังจากที่เราทำงานและย้ายมาอยู่ด้วยกันสองคนได้สักพักแล้ว ผมกับเมฆจะทำแบบเมื่อครั้งที่มันมอบแหวนให้ผมในคืนที่เราฉลองครบรอบหนึ่งปีอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ผมอยากจะทำต่อหน้าพ่อกับแม่ของเราด้วย ไม่ใช่แค่พิธีที่เป็นความลับเล็กๆของเราอีกต่อไป แต่จะต้องมีสักขีพยานว่าผมจะรักมันไปตราบชั่วลมหายใจของผมจริงๆ......... แต่ว่าผมก็ยังไม่เคยได้พูดเรื่องนี้กับไอ้เมฆมันหรอก ก็แค่คิดเอาไว้คนเดียวเฉยๆเท่านั้นเอง

“เออ ช่างเหอะ แม่งน่าอิจฉาเว้ย..... ว่าแต่ไคล์ล่ะ เป็นยังไงบ้าง คิดถึงแฟนรึเปล่า” ไอ้วิทวางมือของเราสองคนลงแล้วหันไปยิ้มกับไคล์ จากนั้นก็หันกลับมาสบตากับผมสองคนอีกครั้ง “มึงสองคนรู้มั๊ย ตั้งแต่มันได้เป็นเดือนคณะนะ คนจีบเพียบ แต่คนแอบปลื้มยังตรึมยิ่งกว่า ทั้งผู้หญิงผู้ชายกะเทย ทั้งนอกคณะในคณะ แถมชื่อมันน่ะยังดังมาถึงคณะกูเลยอีกต่างหาก ไม่ดิ่ ถ้าพูดให้ถูกก็คือมันน่ะชื่อดังไปจะทั้งมหาลัยแล้ว นี่ถ้าสาวๆรู้ว่ามันมีแฟนเป็นผู้ชายนะ สงสัยได้อกฉีกกันเป็นแถบๆ แต่เกย์กะเทยหลายคนคงจะตีปีกกันอีกนับร้อย”

ผมกับไอ้เมฆหัวเราะชอบใจ แต่ไคล์กลับยิ้มอายๆ วิทนั้นเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของไคล์กับพี เพราะว่าผมเป็นคนกำชับมันไว้เองว่าให้คอยดูแลมันในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากพีนั้นค่อนข้างจะเป็นคนขี้กังวลอยู่แล้ว แถมตัวเขานั้นไม่ว่าจะเพื่อนหรือครอบครัวก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องพวกนี้เลย ดังนั้นจึงไม่มีใครช่วยเขาติดต่อดูแลไคล์ให้ได้เลยสักคนเดียว ดังนั้นพวกเราจึงเลือกวิทให้เป็นตัวแทนช่วยดูแลไคล์ในทุกๆเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องหัวใจหรือระแวงว่าจะมีใครมาเกาะแกะมันหรอก แต่ให้มันเป็นเหมือนผู้ปกครองคนนึงแทนพวกเราที่คอยดูแลช่วยเหลือทุกๆอย่างเลยต่างหาก

“ไม่ต้องบอกกูก็พอรู้ ก็น้องชายมันก็ย่อมต้องได้เชื้อพี่มันมาอยู่แล้วนี่”

“ปากดีนะคร้าบบบ ไอ้คุณซัน เออ ว่าแต่พูดถึงเรื่องมหาลัย นี่เพื่อนๆเราก็ทำงานกันหมดแล้วป่าววะ แล้วพวกมันจะมากันยังไง”

“บางคนก็ขับรถมากันเอง บางคนก็พาแฟนมาด้วย ส่วนบางคนก็นั่งรถตู้มาด้วยกันว่ะ บ่ายๆก็คงมาถึงแล้ว เนี่ยเดี๋ยวกูรอไอ้สองตัวนั้นมากูก็จะออกไปซื้อกับข้าวของสดไว้เหมือนกัน มึงจะไปกับพวกกูกันมั๊ย ส่วนบ้านกูมันอยู่หลังสุดท้ายติดทะเลพอดี เพราะงั้นคืนนี้ปาร์ตี้อาหารทะเลริมหาดว่ะ อาจจะทำบาร์บีคิวด้วย แต่ว่าบางคนก็ต้องมานอนที่บ้านมึงด้วยนะ แบบนั้นพวกมึงโอเคป่าววะ”

“ไม่มีปัญหาหรอก พวกเรายังไงก็ได้อยู่แล้ว ว่าแต่มึงจะขนของลงจากรถเลยมั๊ย มีขนสัมภาระอะไรมาจากกรุงเทพรึเปล่า”

“ซัน กูว่า เราไปนั่งเล่นที่บ้านของไอ้วิทกันดีมะ ไหนๆก็อยู่ว่างๆ แล้วพอไอ้สองคนนั้นมาเราก็ไปซื้อของด้วยกันเนอะ กูรู้ว่ามึงอยากกินกุ้งเผา เดี๋ยวเอาไว้กูจะทำน้ำจิ้มสูตรเด็ดให้กิน”

“น้ำจิ้มของมึงเหรอ....... อืมมม...... งั้นกูกินตอนนี้เลยได้ป่าว แค่ฟังก็ชักจะเปรี้ยวปากซะแล้ว” ผมหันไปงับหูไอ้เมฆเบาๆ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของไอ้วิทกระแอมออกมาดังๆ

“หยุดเลยพวกมึง กูจะอ้วก กูไม่ชินกับเรื่องพวกนี้นะเว้ย โดยเฉพาะยิ่งเห็นเป็นมึงสองคนทำด้วยแล้ว ขนมันลุก” ไอ้วิทนิ่วหน้า พลางยื่นแขนออกมาให้พวกเราดูขนที่ลุกชันของมัน “แถมไคล์ก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้ เกรงใจน้องมันหน่อย ไอ้หื่น ตะวันยังไม่ตกก็จะล่อกันซะแล้ว”

“ผมชินแล้วล่ะครับ พี่วิท ตอนอยู่อังกฤษนี่ยิ่งกว่านี้อีก แถมเมื่อคืนเขาก็ล่อกันไปแล้วด้วย เสียงดังข้ามห้องมาซะขนาดนั้น” ไคล์หัวเราะ “แต่เห็นแบบนี้แล้วก็นึกถึงตอนที่เราอยู่ด้วยกันครบสี่คนเหมือนกันนะครับ ซัน ศิลา”

“อะไร หมายความว่าไงวะ หมายความว่ามึงสี่คนเคย....... ด้วยกันเหรอ” ไอ้วิทถามด้วยสีหน้าตกใจ

“ทะลึ่งๆ ไอ้วิท เกินไปมึง เกินไป มันก็แค่ตอนเราอยู่ด้วยกันสี่คน เราไม่ต้องอายไม่ต้องฝืนอะไรแบบนี้ไง อยู่กันเป็นคู่ๆ จะจู๋จี๋จะกอดจูบจะจับอะไรก็ทำได้” ไอ้เมฆรีบอธิบาย

“รอดไปมึง กูก็นึกว่าพวกมึงจะไปถึงขั้นนั้นกันซะแล้ว....... อ้าว ไอ้กอล์ฟโทรศัพท์มาพอดี มึงเอาไปคุยหน่อยดิ๊ เมฆ บอกมันว่าบ้านมึงอยู่หลังไหน พวกมันจะได้แปลกใจเล่นที่ได้ยินเสียงมึง” ไอ้วิทยื่นโทรศัพท์มือถือที่ยังคงดังอยู่ให้กับเมฆ มันจึงรับมาและเริ่มต้นคุยกับคนในสายทันที ผมจึงหันกลับไปหาไอ้วิทอีกครั้ง

“นัทมาป่าววะ” ผมถามเบาๆ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบหรือปิดบังไอ้เมฆ แต่ก็ไม่อยากจะพูดเสียงดังจนดูเหมือนผมสนใจมากนักจนเกินไป

“มา.....” ไอ้วิทตอบสั้นๆพร้อมกับมองไปทางไอ้เมฆ ผมคิดว่าเมฆเองก็คงได้ยินแหละ แต่มันก็ไม่ได้ว่าอะไร ไอ้วิทจึงหันมาสบตากับผมต่อ “มากับแฟนเค้าน่ะ แต่ว่ามันก็มีปัญหาอยู่นิดหน่อยว่ะ”

“ปัญหาเหรอ ปัญหาอะไรวะ” ผมถามด้วยความสงสัยในน้ำเสียงของมัน

“คือ......” ไอ้วิทมีท่าทางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ไอ้เหี้ยนั่นมันนิสัยไม่ค่อยดีว่ะ ไม่รู้สิ พวกกูไม่มีใครชอบแม่งเลยสักคน รู้สึกเหมือนมันกำลังหลอกนัทอยู่ว่ะ แถมยังกวนตีนๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร”

ผมหันไปมองไอ้เมฆที่กำลังคุยอยู่กับไอ้กอล์ฟหรือไม่ก็ไอ้แป๊ะสักคนอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ผมรู้ว่ามันได้ยินทุกอย่างที่เราพูดกัน และผมว่ามันเองก็ต้องไม่สบายใจมากด้วยที่รู้เรื่องนี้

“คบกันมานานเท่าไหร่แล้ว” ผมหันกลับไปถามไอ้วิท “เออ ว่าแต่มันชื่ออะไรและเป็นใครวะ”

“คบกันมาได้ปีกว่าๆแล้วมั๊ง แต่ไอ้เรื่องที่ว่ามันเป็นใครมาจากไหนน่ะ รอจนพวกมึงเจอกันเองก็แล้วกัน เดี๋ยวนัทก็แนะนำให้รู้จักเองนั่นแหละ พวกกูก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอก”

“เออๆ รอแป๊บนึง.......” ไอ้เมฆพูดใส่โทรศัพท์มือถือของไอ้วิทเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่จะยื่นส่งคืนให้กับเจ้าของของมัน “อ่ะ ไอ้วิท ไอ้แป๊ะจะคุยด้วย”

เมื่อไอ้วิทรับโทรศัพท์ไป ผมก็หันกลับมาคุยกับไอ้เมฆทันที

“มึงได้ยินที่พวกกูคุยกันเมื่อกี๊แล้วใช่มั๊ย”

“อืม ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าพอจับใจความได้”

“แล้ว........” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“แล้ว........ ก็ไม่อะไรทั้งนั้นล่ะ เอาไว้เมื่อถึงเวลาค่อยว่ากัน ชีวิตเค้าก็เป็นของเค้า ชีวิตกูก็เป็นของกู แต่ถ้าเค้าคบกันแล้วนัทมีความสุข ต่อให้ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันจะเหี้ยขนาดไหนและกำลังหลอกนัทอยู่ก็เถอะ แค่มันไม่ได้ทำให้นัทต้องถึงกับร้องไห้และเจ็บปวดทุกๆวัน ก็ยังถือว่าดีล่ะวะ แต่ถ้ามันมากจนเกินไปนัก....... เราก็คงต้องรอดูเฉยๆอย่างทำอะไรไม่ได้เท่าไหร่หรอก นอกจากเค้าจะขอความช่วยเหลือจริงๆ ซึ่งกูก็หวังว่ามันจะไม่ต้องถึงกับมีวันนั้นหรอกนะ”

“ก็ดีแล้ว มึงคิดได้อย่างนี้ก็ดี เพราะกูรู้ว่ามึงเป็นคนห่วงใยคนอื่น โดยเฉพาะคนที่มึงแคร์และรักมากๆน่ะ แต่พอได้ยินมึงพูดแบบนั้นกูก็สบายใจหน่อย อย่างน้อยๆอยู่ด้วยกันมามึงก็ยังติดความใจแข็งมาจากกูมั่งล่ะวะ.......”

“ไอ้สองคนนั้นอยู่ปากทางเข้าแล้ว มันบอกอีกสิบวินาทีเจอกันหน้าประตู” ไอ้วิทกดปุ่มวางสายแล้วบอกพวกเรา

“ประตูบ้านมึงหรือประตูบ้านกู”

“มึงหันไปมองหน้าบ้านมึงก็รู้แล้วว่าประตูบ้านใคร ไอ้ซัน” ไอ้วิทหัวเราะเบาๆก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปหน้าระเบียง เราสามคนจึงลุกตามไปติดๆ รถเก๋งคนหนึ่งกำลังจะจอดที่หน้าบ้านของเราพอดี

ปฏิกิริยาที่สองคนนั้นได้เจอกับพวกเราก็ไม่ค่อยต่างจากไอ้วิทเมื่อครู่ใหญ่ๆนี้เท่าไหร่นัก เราสี่คนผลัดกันกอด ชกแขน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และหยอกล้อเล่นหัวกันครู่หนึ่ง และอีกครั้งที่ทั้งสองคนนี้ก็สังเกตเห็นแหวนของเราเช่นกัน ซึ่งถ้านึกดูดีๆก็คงไม่แปลก เพราะแหวนของเรานั้นเป็นแหวนทองที่มีเพชรประดับอยู่ด้านบนเหมือนๆกันทั้งสองวง แถมยังถูกสวมอยู่ในนิ้วนางข้างซ้ายเหมือนกันทั้งคู่ด้วย ผมกับไอ้เมฆอธิบายที่มาของมันให้ทั้งสองคนฟังสั้นๆ ก่อนที่ไอ้วิทจะเป็นคนเข้ามาตัดบทสนทนาแล้วเดินนำพวกเราไปยังบ้านของมัน

บ้านของไอ้วิทอยู่ห่างออกจากบ้านของเราไปแค่หกหลังเท่านั้นเอง เพียงแต่อยู่คนละซอย แถมยังเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่อยู่ติดกับทะเลอีกด้วย

“นี่บ้านกู เราจะทำอาหารอะไรที่ชายหาดกันก็ได้ แต่ต้องไม่ล้ำออกไปมากเกินไปนัก ห้ามส่งเสียงดัง ซึ่งกูว่าคงจะยาก แล้วก็ต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อยหลังกินเสร็จ นอกนั้นก็ไม่มีปัญหา แถมช่วงนี้คนมาพักก็ไม่เยอะเท่าไหร่ด้วย คิดว่าคงเต็มที่กันได้ในระดับหนึ่งล่ะวะ” ไอ้วิทอธิบายก่อนจะไขประตูบ้านนำเราเข้าไปยังด้านใน “เนี่ย บ้านกู ก็คล้ายๆบ้านมึงนั่นแหละ ไอ้เมฆไอ้ซัน แต่ว่าเฟอร์นิเจอร์เยอะกว่า แล้วกูก็มีพวกเครื่องนอนสำรองเอาไว้เยอะ เพราะงั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องที่นอนกัน”

ผมมองไปรอบๆบ้านชั้นเดียวหลังนั้นก็เห็นว่ามันมีโครงสร้างภายในไม่ต่างจากบ้านที่พวกเราเช่าเอาไว้เท่าใดนักจริงๆด้วย ไม่เหมือนกับบ้านของพี่แอมป์ที่ดูต่างออกไปนิดหน่อย แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นอยู่แล้วหรือว่าเขาต่อเติมเพิ่มเอาเอง

หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-11-2007 19:32:17
“งั้นคืนนี้จะแบ่งกันนอนยังไงดีวะ” ไอ้แป๊ะถาม

“กูกำลังคิดว่า พวกผู้ชายไปนอนที่บ้านไอ้เมฆมัน ส่วนผู้หญิงนอนที่บ้านกูก็คงโอเค ไม่ต้องมาแนวว่าใครจะนอนกับแฟนอะไรทั้งนั้นล่ะ เพราะห้องมันไม่มี ต้องนอนรวมๆกัน แต่ถ้าเกิดใครจะเอายังไงมันก็อีกเรื่องนึง ไว้ค่อยดูอีกที ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว พวกมึงคิดว่าไง”

“ได้ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวไคล์ก็กลับไปย้ายของของเรามาไว้ที่ห้องพวกพี่ก็แล้วกัน งั้นตอนนี้เราเดินกลับบ้านกูกันก่อนดีกว่า มึงสามคนรถสองคันก็ไปตัดสินใจเอาว่าจะเอากระเป๋าเพื่อนๆเราไปเก็บไว้ที่บ้านหลังไหนก่อน แล้วพอเสร็จแล้วเดี๋ยวเราออกไปซื้อของกันได้แล้ว เพราะว่ากูอยากกินน้ำจิ้มกุ้งเผาแซ่บๆไวๆ”

ไอ้กอล์ฟกับไอ้แป๊ะมองหน้ากันงงๆ แต่พวกเราสี่คนที่เหลือกลับหัวเราะชอบใจ และพอสองคนนั้นถามว่าที่ผมพูดมันหมายความว่ายังไง ไอ้วิทก็บอกแค่ว่า “มึงไม่อยากรู้หรอก” เท่านั้น

หลังจากเราใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการขนของและจัดเตรียมบ้านพักทั้งสองหลังเสร็จเรียบร้อย วิท แป๊ะ กับไคล์ก็ขับรถออกไปเพื่อซื้อของสด เครื่องดื่ม ขนม และของแห้งทั้งหลายกลับมาตุนเอาไว้ มันบอกให้ผมกับเมฆอยู่รอที่นี่เพื่อเจอและต้อนรับเพื่อนๆ เผื่อจะมีใครมาถึงไว ส่วนไอ้กอล์ฟก็คอยอยู่โยงแทนไอ้วิทมัน

ในบรรดาคนที่รู้ว่าผมกับเมฆเป็นแฟนกันนั้นก็มี วิท กอล์ฟ แป๊ะ ป๋อม แล้วก็เพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อ อีฟ เท่านั้น ดังนั้นเราสองคนจึงยังไม่ต้องคอยระวังตัวอะไรเท่าไหร่นักเมื่ออยู่กับไอ้กอล์ฟตามลำพังแบบนี้

“ว่าแต่ไอ้ป๋อมล่ะ มายังไงวะ มาถึงกี่โมง” ผมถามไอ้กอล์ฟขณะที่เรากำลังนั่งคุยและดูทีวีกันอยู่ที่บ้านของไอ้วิท

“มาบนรถตู้พร้อมคนอื่นๆน่ะ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้ว เมื่อกี๊มันเพิ่งโทรมาเอง”

“กูสงสัยมาตั้งแต่แรกและว่ะ ไอ้รถตู้ที่ว่าเนี่ย รถใครวะ เช่าเหมามาเหรอ แล้วจะมากันเต็มคันรถเลยมั๊ยน่ะ” ไอ้เมฆถามขึ้นบ้าง

“รถของบ้านไอ้แบ๊งค์น่ะ ส่วนมากันเต็มรถมั๊ย มึงก็คิดดูแล้วกันว่ากูกับไอ้แป๊ะต้องขับรถมากันเองอ่ะมึง แถมยังมีคนอื่นๆที่จะขับรถมาเองอีก ไม่อย่างงั้นกูก็ไม่ต้องมาเหนื่อยขับรถกันเองหรอก”

“โห มากันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ เกือบจะครึ่งห้องเลยดิ่เนี่ย เหมือนงานรวมนัดเจอกันสมัยก่อนเลยว่ะ”

“ช่ายยย ก็ประมาณนั้นแหละ พวกกูเตรียมงานกันนานนะมึง ก็เป็นการเลี้ยงต้อนรับมึงสองคนด้วย แล้วก็นัดเจอเพื่อนๆทุกคนด้วย คนส่วนมากก็เลยมากันน่ะ มาเยอะเท่าที่มาได้เลยล่ะ เพราะช่วงหลังๆมานี้ห้องเราไม่ค่อยได้นัดเจอกันแบบเยอะๆแบบนี้มานานแล้วไง ก็ประมาณสองปีกว่าเกือบสามปีได้แล้วมั๊งที่ไม่ได้นัดกันเต็มที่แบบนี้”

“ซัน เมฆชักหวั่นๆว่ะ ไอ้ได้เจอเพื่อนเมฆก็ดีใจนะ แต่ว่าไม่ได้เจอมานานอ่ะ กลัวเขินทำตัวไม่ถูกว่ะคับ”

ผมหันไปยิ้มให้มัน แล้วก็เหยียดแขนออกไปโอบมันเข้ามากอด “หน้าบางจังนะครับ คุณเมฆ คุณน่ะแค่สามปี แต่คุณซันอ่ะ สี่ปีนะครับ เพื่อนๆกันทั้งนั้น จะเขินทำมายยยย ฮึ”

“เฮ้ย มึงสองคน........” ไอ้กอล์ฟพูดขึ้น ทำให้เราสองคนหันไปหามันเกือบจะพร้อมๆกันทันที “จะให้กูเหมาเป็นงานวิวาห์ด้วยเลยมั๊ยวะ ไอ้สัตว์ หวานมากอ่ะมึง หวานจนกูจะอ้วก ขนลุก ไม่ชินเว้ย แม่งงง เห็นผู้ชายสองคนมาทำแบบนี้กันกูก็รู้สึกแปลกๆแล้ว ยิ่งเห็นเป็นมึงสองคนกูยิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่เลย เหี้ยเอ๊ย มึงคิดดู กูเห็นพวกมึงทุกวันๆมาตลอดสามปีนะเว้ย ไม่เคยคิดเลยว่าพวกมึงจะมาทำอะไรแบบนี้กันได้ โดยเฉพาะมึง ไอ้ซัน ไม่สิ มึงก็ด้วย ไอ้เมฆ โอ๊ยยยย บอกไม่ถูกเว้ย สับสนๆๆ มึงรักกันดีอย่างนี้มันก็ดีน่ะนะ แต่เกรงใจแขกอย่างกูนิดนึง กูทำใจลำบาก” ไอ้กอล์ฟพูด แต่ผมสองคนก็รู้ว่ามันไม่ได้ซีเรียสอะไรเท่าไหร่หรอก เพราะรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของมันนั้นแสดงความรู้สึกแท้จริงของมันออกมาได้อย่างชัดเจน

“ทำไมวะ เมื่อเช้าไอ้วิทก็คนนึงและ แล้วนี่มึงอีกคน แค่กอดแค่หอมแก้มแค่นี้พวกมึงทำเป็นรับกันไม่ได้ แล้วถ้ากูดูดลิ้นเลียตูดกันตรงนี้ มึงจะทำยังไงกันวะ”

“ไอ้ซันๆ เกินไปมึง พูดระวังๆหน่อย แต่กูว่าที่พวกมันพูดมาก็ถูกนะ เพราะขืนเราทำตัวเคยชินกันแบบนี้เกินไป ขืนยังเกาะๆแกะๆกันตลอดเวลาแบบนี้ ไม่รีบๆปรับตัวล่ะก็ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นหรืออยู่ในที่สาธารณะเราจะลำบากเอานะ ที่นี่มันประเทศไทย ไม่ใช่อังกฤษ ปัญหามันเยอะกว่าตอนเราอยู่ที่นั่นแน่ๆอ่ะ”

“อะไรวะ แค่นี้ต้องดุกันด้วยเหรอวะ แม่ง” ผมคลายวงแขนที่โอบบ่ามันอยู่ออก

“กูไม่ได้ดุ กูแค่พูดความจริง ตอนที่เราเดินโอบกันที่อังกฤษนั่นก็ยังเคยโดนพวกฝรั่งมันมาหาเรื่องแล้ว มึงจำไม่ได้เหรอ แต่นี่ที่ประเทศไทย มันอาจจะไม่รุนแรงขนาดนั้น แต่ว่าเรื่องวัฒนธรรมกับสายตาคนอื่นน่ะ....... คือ เรื่องนี้มันก็ลำบากนะ และที่สำคัญกูไม่ได้ว่ามึงคนเดียวหรอก กูหมายถึงตัวกูเองด้วย มึงก็รู้นี่”

ผมถอนหายใจเบาๆ “เออๆ กูรู้ กูก็คิดมาตั้งนานแล้ว ก่อนที่เราจะกลับมาที่ไทยนี่ซะอีก เพียงแต่ตอนนี้เราอยู่กับเพื่อน กูก็เลยไม่คิดว่าเราจะต้องฝืนอะไรมากมายนี่หว่า แถมที่สำคัญกูไม่อยากจะคบกับมึงแบบหลบๆซ่อนๆด้วย”

“กูเข้าใจ กูเองก็เหมือนมึงนั่นแหละ แต่เราก็ไม่ได้หลบๆซ่อนๆนี่ เพียงแต่เราต้องปรับตัวเรื่องการวางตัวเวลาอยู่ด้วยกันในสังคมนิดหน่อยเท่านั้นเอง แถมยังเวลาทำงานอีก กูรู้ว่ามึงเข้าใจว่ากูหมายความว่ายังไง ซัน ใจเย็นๆนะครับ อย่าคิดมากสิ” เมฆกุมมือผมแล้วยกขึ้นไปจูบเบาๆ

“อือๆ กูขอโทษ กูก็แค่ไม่ชินจริงๆอย่างที่มึงพูดนั่นแหละ” ผมหันกลับไปยิ้มให้มัน

ผมเข้าใจเรื่องที่มันพูดทุกอย่าง แต่ในใจผมมันก็ยังคงมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้างอยู่ดี ผมไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อใครที่ผมไม่รู้จักและไม่ได้มีส่วนอะไรในชีวิตของผมเท่าไหร่นัก แต่ถึงยังไงสิ่งที่ไอ้เมฆพูดมาก็ถูกหมดทุกอย่าง สภาพสังคมของที่นี่กับที่นั่นมันไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะที่ตอนนี้พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว จะทำอะไรตามใจแบบเด็กๆก็คงไม่ได้ และที่สำคัญ ตอนนั้นเราเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนที่ยอมรับและเข้าใจเรา นั่นก็คือครอบครัวของผมเอง แต่ตอนนี้ นับจากนี้ไปมันไม่ใช่อีกแล้ว เราต้องพึ่งพาคนแปลกหน้าคนอื่นๆอีกมาก และก็ถึงเวลาที่ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสมในฐานะผู้ใหญ่แล้วสักที

ดูท่าผมคงต้องหัดเรียนรู้และรู้จักการปรับตัว การทำตัวให้อ่อนลง และรู้จักยอมคนอีกมากขึ้นเยอะๆเลยซะแล้ว

“เอ้าๆ มึงอย่าเพิ่งเครียดกัน อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิวะ กูไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นสักหน่อย อย่าลืมว่าตรงนี้ก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น แถมทุกคนมันก็รู้กันอยู่แล้ว่ามึงสองคนสนิทกันขนาดไหน มึงจะจับจะต้องกันมั่งก็ไม่มีใครสงสัยหรอกน่า”

“เออๆ กูผิดเองแหละ กูชอบใจร้อนขี้หงุดหงิดแบบนี้อยู่เรื่องไปเอง ขอโทษทีว่ะ กอล์ฟ”

“ไม่ต้องๆ เลิกๆๆ เลิกซีเรียสได้แล้ว แต่จะว่าไปกูเองก็แปลกใจนะ ไอ้ซัน.....” ไอ้กอล์ฟมองหน้าผมแล้วยิ้มแปลกๆ จากนั้นก็หันไปมองหน้าไอ้เมฆ “กูต้องนับถือมึงเลยไอ้เมฆ ที่ทำให้ไอ้ซันมันเชื่องลงได้ขนาดนี้น่ะ แต่ก่อนนี้จะได้เห็นมันมีสีหน้าหรืออยู่ในสภาพแบบนี้ได้นี่แทบจะต้องฝันเอาอย่างเดียวเลยนะเว้ย สี่ปี ไม่สิ มึงไปอยู่กับมันแค่สามปี จากเสือเลยกลายเป็นแมวไปเลย” ไอ้กอล์ฟหัวเราะชอบใจ

“ไม่ใช่แมวธรรมดาๆนะมึง แต่เป็นลูกแมวในกำมือเลยด้วย” ไอ้ตัวดีหัวเราะเพราะเข้าทางมันเลยนี่

“ปากดีอีกแล้วนะค้าบบ คุณเมฆ ไอ้สัตว์” พอพูดจบผมก็บีบตรงชายโครงของมันที่ถูกต่อยมาเมื่อคืนแรงๆ ทำเอาไอ้เมฆร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับสะดุ้งจนสุดตัว “แล้วดูซิว่าตอนนี้ใครอยู่ในกำมือใคร”

เราสองคนเห็นไอ้กอล์ฟมีสีหน้าประหลาดใจกับอาการของไอ้เมฆ แต่เราก็ขี้เกียจจะอธิบายกันแล้ว เลยบอกมันไปว่าให้รอคนมาเยอะๆแล้วค่อยไปถามไอ้วิทเอาเองทีเดียว

“ว่าแต่ไอ้เรื่องงานวิวาห์เนี่ย คิดไปคิดมากูว่ามันก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะ.......” เมื่อสิ้นประโยคไอ้กอล์ฟ พวกเราสองคนก็มองหน้ามันด้วยความแปลกใจระคนตกใจทันที “เฮ้ย ไม่ถึงขนาดนั้น มึงสองคนอย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นดิ่ แต่หมายถึงมึงก็เปิดตัวหรืออะไรแบบนั้นไปเลยน่ะ ก็อย่างที่พวกมึงบอกไง เพื่อนๆกันทั้งนั้น แถมทุกคนก็รักพวกมึงกันมากด้วย นอกจากนั้นพวกเราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่ามึงอ่ะรักกันสนิทกันมากแค่ไหนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และนี่ก็ไปเรียนที่อังกฤษด้วยกัน ถ้าเกิดกลับมาแล้วมึงจะกลายมาเป็นแฟนกันแบบนี้ กูว่าพวกมันก็คงไม่ช็อคเท่าไหร่หรอกมั๊ง”

“นี่มึงพูดจริงเหรอวะ ไอ้วิท” ผมพูดขึ้นหลังจากมองหน้ากับไอ้เมฆเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง

“พูดน่ะจริง กูหมายความทุกอย่างแบบที่กูพูด แต่ทุกอย่างมันก็อยู่ที่มึงสองคนตัดสินใจเอาเอง นี่ไอ้ซันไอ้เมฆ มึงคิดดู ต่อให้มึงสองคนใส่แหวนนิ้วอื่นเพื่อปกปิดเอาไว้ด้วยแบบที่มึงกำลังทำอยู่นี่น่ะ แต่แหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงานเหี้ยอะไรของพวกมึงนี่มันเป็นแหวนทองนะเว้ย แถมมีเพชรอีกต่างหาก เด่นออกมาเลย และที่สำคัญ หน้าตาเหมือนกัน อยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายทั้งคู่ และมึงก็อยู่กันเป็นคู่ตลอด เพื่อนๆเราหลายคนน่ะไม่ได้เจอมึงมานานแล้ว บางคนไม่ได้เจอพวกมึงเลยด้วยซ้ำ พวกมันต้องสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกมึงทุกอย่างอยู่แล้วว่ะ นอกเสียจากมึงไม่อยากให้ใครรู้จริงๆ มึงก็ต้องถอดแหวนออกตลอดเวลาที่เหลืออยู่นี่จนกว่าจะกลับกรุงเทพ”

ผมกับไอ้เมฆหันมามองหน้ากันอีกครั้ง ถึงจะไม่มีคำพูดใดๆออกมาระหว่างเรา แต่ผมก็รู้ได้เลยว่ามันเองก็กำลังคิดหนักเหมือนกับผมอยู่เช่นกัน ตอนที่เราอยู่ที่อังกฤษนั้นเราแทบไม่เคยถอดแหวนออกจากนิ้วของพวกเราเลย เพราะเราไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน เพื่อนก็คนละกลุ่มกัน และถึงจะในกลุ่มๆเพื่อนสนิทที่เราสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยบ่อยๆ พวกนั้นก็รู้เรื่องของเราสองคนดีอยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่ได้ปิดบังอะไร เราแทบไม่เคยต้องฝืนหรือปกปิดตัวเองเลย เนื่องจากที่นั่นมันไม่ใช่สังคมของเราถาวร เราไม่ได้สนใจคำนินทาภาษาอังกฤษลับหลังพวกเราอยู่แล้ว และที่สำคัญคือคนส่วนมากที่นั่นไม่ใช่กลุ่มคนที่เราจำเป็นต้องแคร์ และพวกเขาก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวและผูกพันกับพวกเรามากเท่ากับเพื่อนๆของเราพวกนี้ด้วย

“มึงว่าพวกมันจะรับเรื่องของเราสองคนได้กันมั๊ยวะ” ไอ้เมฆถามผมหลังจากที่เราเงียบกันไปพักหนึ่ง

“ไม่รู้ว่ะ........ แต่กูว่าก็คงได้แหละ โตๆกันแล้วทั้งนั้น ที่สำคัญเราไม่ได้เจอพวกมันมาตั้งนานนะ เว้นแต่ว่าจะมีใครที่มันเป็นพวกแอนตี้เกย์หรือโฮโมโฟเบียแบบสุดๆและเราไม่เคยรู้มาก่อนน่ะนะ” ผมยักไหล่ แล้วหันไปมองหน้าไอ้กอล์ฟ “มีมั๊ยวะ คนแบบนั้นน่ะ”

“ไม่มีๆ” ไอ้กอล์ฟส่ายหน้า “เท่าที่รู้ไม่มี และที่สำคัญก็เป็นอย่างที่พวกมึงรู้ๆกันอยู่แล้วว่าพวกเราน่ะรักกันมากนะเว้ย และพวกมันก็รักมึงสองคนมากด้วย ทีพวกกูที่เป็นผู้ชาย แถมยังสนิทกับพวกมึงที่สุดรู้เรื่องเมื่อตอนมอหก กูว่าพวกกูน่ะน่าจะเป็นกลุ่มที่รับพวกมึงไม่ได้มากกว่าใครๆ และเป็นคนที่มึงน่าจะกังวลว่าพอเรารู้ความจริงแล้วกลัวจะเสียเพื่อนไปมากที่สุดด้วยซ้ำยังรับได้เลย แล้วนี่นับประสาอะไรกับคนอื่นวะ”

“กูไม่ค่อยอยากถอดแหวนออกอ่ะ ซัน กูงี่เง่าเปล่าวะ แบบว่าถ้าถอดแบบจำเป็นต้องถอดน่ะมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ถ้าจะให้ถอดเพราะว่ากลัวคนอื่นรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคนน่ะ กูยังทำใจไม่ค่อยได้ว่ะ เพราะว่าพ่อของกูก็ไม่เคยถอดแหวนออกจากนิ้วของท่านเลย กูโตมากับพ่อพร้อมๆกับสายตาที่เห็นแหวนวงนี้อยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายนิ้วนั้นมาตลอดนะ มันเป็นเหมือนตัวแทนความรักที่พ่อของกูมีให้แม่มาตลอดและตลอดไปจริงๆ ทั้งๆที่คนอย่างพ่อกูจะไปมีผู้หญิงคนอื่นหรือถอดมันออกเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนตอนไหนหรือเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ท่านก็ไม่เคยทำแบบนั้นเลย และตอนนี้ยี่สิบปีผ่านไปท่านก็ถอดมันออกมาให้กูเป็นครั้งแรก และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วด้วย คือ เพราะงั้นกูก็เลย.........” ไอ้เมฆก้มหน้าลงแล้วหมุนแหวนในนิ้วเล่นพร้อมกับสายตาที่เหม่อลอย

จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องถอดหรือใส่แหวนเอาไว้เท่าไหร่หรอก ผมเองก็ไม่ได้อยากจะถอดมันออกหรอกนะ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมเช่นกัน เพราะว่าสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันสำคัญที่จิตใจมากกว่าสิ่งของ และที่สำคัญการถอดแหวนด้วยเหตุผลแบบนี้มันก็ยังดีกว่าถอดเพราะต้องการจะปิดบังตัวเองว่ามีเจ้าของแล้วเพื่อจะเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองหรือเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามามากกว่า เพียงแต่ผมเองก็เข้าใจเหตุผลและความรู้สึกของไอ้เมฆได้ดีทีเดียว แหวนสองวงนี้มันไม่ใช่แค่วัตถุ แต่เป็น “สัญลักษณ์” ที่แสดงถึงความผูกพันและความรักที่มั่นคงและยืนยาวอันไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา..........

“ไม่เป็นไรเมฆ ซันเข้าใจ งั้นเราก็ไม่ต้องถอดก็แล้วกันนะ ก็ให้มันรู้ๆกันไปเลยว่าเรารักกัน ไม่ต้องถึงกับขั้นป่าวประกาศให้ทุกคนฟังหรอก แต่ถ้ามีใครถามก็บอกไปตามตรง และเดี๋ยวมันก็แพร่ไปเองนั่นแหละเนอะ ถ้าเมฆลำบากใจ เดี๋ยวซันเป็นคนพูดให้เอง เมฆอยู่เงียบๆเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องกังวลนะครับ”


..................................


เด๋วได้ปั่นต้นฉบับไม่ทันแหงๆ เอิ๊กกกก  o9


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-11-2007 20:09:14
จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องถอดหรือใส่แหวนเอาไว้เท่าไหร่หรอก ผมเองก็ไม่ได้อยากจะถอดมันออกหรอกนะ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมเช่นกัน เพราะว่าสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันสำคัญที่จิตใจมากกว่าสิ่งของ และที่สำคัญการถอดแหวนด้วยเหตุผลแบบนี้มันก็ยังดีกว่าถอดเพราะต้องการจะปิดบังตัวเองว่ามีเจ้าของแล้วเพื่อจะเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองหรือเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามามากกว่า เพียงแต่ผมเองก็เข้าใจเหตุผลและความรู้สึกของไอ้เมฆได้ดีทีเดียว แหวนสองวงนี้มันไม่ใช่แค่วัตถุ แต่เป็น “สัญลักษณ์” ที่แสดงถึงความผูกพันและความรักที่มั่นคงและยืนยาวอันไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา..........


อืม เริ่มมีลางมาแต่ไกลแล้ว  :m17:  :m17:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 12-11-2007 21:56:42
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 12-11-2007 23:07:25
เจ้าซันกับเมฆก็เรียนรู้กันมาถึงขนาดนี้
แต่อย่างว่าคนคบไปนานๆก็มีเบื่อ มีว๊อกแว๊กบ้างหล่ะนะ
เพียงแต่ปัญหาอาจหนักจนไม่อาจเยียวยา
 :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 13-11-2007 00:12:33
อ่านตอนแรกก็  :sad2:

ต้นใจร้าย คิดว่า ซันกะเมฆ จะรักกันไปได้แล้วนะ โผล่มาแบบนี้ เครียดเลย  :a5:

คืนนี้นอนไม่หลับแน่ กู  ไม่น่าโผล่มาอ่านก่อนนอนเลย  o22
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: wombat ที่ 13-11-2007 16:29:08
มาบอกว่า เด่ยวจะตามอ่านนะครับ
ต้องออกไปข้างนอกแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: kaporzung ที่ 13-11-2007 17:05:45
อ่านแล้วเคลิ้มค่ะ

ต่ออีกน้า  :impress:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-11-2007 21:05:28
วินาทีที่ 4


ตอนบ่ายโมงเป็นอะไรที่บ้ามากๆ เพราะเมื่อรถตู้มาถึง พวกเราสองคนก็ถูกรุมล้อมอย่างกับเป็นฮีโร่ผู้รอดชีวิตมาจากสงครามโลกยังไงอย่างนั้นเลยทีเดียว บนรถตู้นั้นมีเพื่อนๆของเราทั้งผู้หญิงและผู้ชายนั่งกันมาจนเต็มคันรถ ดังนั้นเมื่อรวมกับไอ้สามคนแรกที่มาถึงแล้ว ตอนนี้เราจึงมีกันอยู่ทั้งหมดสิบเก้าคนพอดี รวมทั้งผมสองคนกับไคล์ด้วย และอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงถัดมา เพื่อนของเราก็ขับรถตามมากันอีกสองคัน คันแรกนั้นมีเพื่อนของเราสองคนแต่มาด้วยกันทั้งหมดสี่ชีวิต นั่นก็เพราะเขาสองคนมากับแฟนของตัวเองด้วยนั่นเอง ส่วนรถคันสุดท้ายก็เป็นเพื่อนของเราที่มากับแฟนของเขาด้วยเช่นกัน

“ขาดนัทคนเดียวแล้วสินะ” ไอ้เมฆเดินเข้ามาพูดกับผมที่ถอยความวุ่นวายมายืนหลบมุมอยู่ที่นอกบ้าน

“เหรอ...... ว่าแต่มึงรู้ได้ไง นี่แปลว่าคนอื่นๆมากันหมดแล้วใช่มั๊ย”

“ใช่ เมื่อกี๊กูคุยกับไอ้ป๋อม มันบอกว่ามากันแค่นี้ แต่ก็เหลือนัทกับแฟนเค้าคู่เดียว เห็นว่าคงจะมาถึงเย็นๆน่ะ”

“อืมม งั้นก็ดี ว่าแต่มึงอยากจะคุยเรื่องนี้มั๊ย เมฆ มึงคิดมากรึเปล่า มึงเคยบอกกูว่ามึงไม่ได้คุยกับเขามาปีนึงแล้วนี่”

“ใช่ แต่ก็เพราะงั้นแหละ กูถึงคิดว่ามันไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก เค้าก็มีแฟนของเค้า กูก็มีแฟนของกู และยังเรื่องเรียนอีก เราก็เลยไม่ได้คุยกัน ซึ่งนั่นก็น่าจะดีที่สุดแล้วล่ะ แถมถึงยังไงๆเราสองคนก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่ดีไม่เปลี่ยนแปลงหรอก เรื่องนั้นกูมั่นใจ”

ผมยิ้มแล้วดึงเอวมันเข้ามากอดเบาๆ “มึงนี่มันมองโลกในแง่ดีจริงๆเลยนะ ทำไมแฟนกูมันถึงได้เป็นคนดีแบบนี้วะเนี่ย”

“หมายความว่าไงวะ พูดเหมือนมึงคิดว่าไอ้สิ่งที่กูคิดนี่มันผิดหรือมันไม่ดียังไงหยั่งงั้นแน่ะ” ไอ้เมฆพูดพร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ

“เปล่า ไม่ผิดหรอก แต่กูก็แค่คิดว่ากูคงคิดแบบมึงไม่ได้จริงๆว่ะ มึงดีเกินกว่าที่กูจะเป็นได้ขนาดนั้นจริงๆ และที่สำคัญ.......”

“เฮ้ยๆๆๆ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังของเราสองคน เราทั้งคู่จึงผละออกจากกันแล้วหันไปมองที่มาของเสียงทันที ไอ้ป๋อมตัวดีกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา “จะหวานกันไปถึงไหนวะ เดี๋ยวถ้ามีคนมาเห็นก็ได้กลายเป็นหัวข้อเมาท์หรอกพวกมึง”

“กูว่ากูจะบอกเพื่อนๆอยู่แล้วว่ะ คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร” ผมพูด

“กูรู้แล้ว ไอ้กอล์ฟบอกกูและ เพราะงั้นกูถึงได้ตามหาพวกมึงอยู่นี่ไง คือตอนนี้มันเพิ่งจะเป็นตอนบ่ายเอง กว่าเราจะเริ่มสังสรรค์กันก็เย็นๆค่ำๆ เก็บไฮไลท์ไว้ตอนสำคัญๆดีกว่ามั๊ยวะ กูจะบอกว่าให้พวกมึงสองคนถอดแหวนออกก่อน เก็บไว้ดีๆจะได้ไม่มีใครสังเกตเห็น ไปเล่นน้ำเล่นทรายทำอาหารด้วยกันให้เรียบร้อย แล้วดึกๆค่อยใส่อีกที เพราะไม่งั้นเดี๋ยวมันจะเลอะจะเปื้อน หรือเผลอๆจะหลุดหายไปซะเปล่าๆก็ได้ พวกมึงคิดว่าไง”

“อืมมม ก็จริงนะเมฆ กูก็คิดเหมือนมันว่ะ แหวนสำคัญของพ่อมึงด้วย เกิดหล่นหายในทรายหรืออะไรไปคงซวยชิบหายเลย แถมกูไม่ได้เที่ยวทะเลมาสามปีแล้ว อยากเล่นน้ำทะเลเหมือนกัน”

“ถ้างั้นก็ถอดดิ่ กูก็ไม่ได้หมายความว่ากูอยากจะใส่มันติดตัวตลอดขนาดนั้น แบบนี้มันก็จำเป็นต้องถอดจริงๆ ไม่ได้ถอดเพื่อหนีหรือโกหกใครด้วย เพราะงั้นกูไม่มีปัญหาหรอก”

“ว่าแต่ไอ้เมฆ นัทเค้ารู้เรื่องของมึงสองคนรึเปล่า” ไอ้ป๋อมถาม ซึ่งจะว่าไปผมเองก็ไม่เคยถามมันเรื่องนี้เลยเหมือนกัน

“นัทเหรอ.........” เมฆดูเงียบๆเหมือนหลงอยู่ในความคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันว่ะ เอาเป็นว่าถ้าเค้าสงสัยหรือแม้แต่รู้อยู่แล้วก็คงไม่แปลกก็แล้วกัน เพราะตอนที่กูไปเจอเค้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนบิน กูก็พูดถึงชื่อของมึงไปเหมือนกัน ซัน เพราะงั้นเค้าก็อาจจะปะติดปะต่ออะไรเอาเองได้ แต่ว่าเราก็ไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย กูก็เลยไม่ได้ยินจากปากของเขาว่าเขามั่นใจและรู้เรื่องของเราสองคนแค่ไหนน่ะ”

“ถ้างั้นเราสองคนกลับบ้านกันก่อนเถอะ เมฆ แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาใหม่ ฝากบอกคนอื่นๆด้วยแล้วกัน และถ้ามีใครอยากเอาของไปเก็บไว้ที่บ้านกู มึงก็บอกให้พวกมันขนของตามไปได้เลยนะ ไอ้ป๋อม”

“ได้ ไม่มีปัญหา”

ผมสองคนเดินออกจากบ้านของไอ้วิทแล้วตรงกลับไปยังบ้านของตัวเอง จากนั้นเราก็ถอดแหวนออกเก็บใส่กลองไว้ในลิ้นชัก และอีกไม่กี่นาทีถัดมา เพื่อนๆหลายคนของเราก็ขนกระเป๋าสัมภาระของพวกเขามาเก็บไว้ในบ้านของเราบ้าง บางคนก็บอกอยากจะนอนกลางวันสักหน่อย ส่วนบางคนก็นั่งคุยกับพวกเราเรื่องหลายๆเรื่อง และหลังจากนั้นไม่นาน เสียงรถยนต์ของไอ้วิทก็มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเรา

เมื่อผมแนะนำไคล์ให้เพื่อนๆรู้จัก เขาก็ตกเป็นเป้าความสนใจในทันที เพราะแทบไม่มีใครเคยรู้เลยว่าผมมีญาติหรือมีน้องชายอยู่ที่อังกฤษ แถมญาติคนนี้ยังเป็นหนุ่มลูกครึ่งที่หน้าตาดีมากอีกด้วย จากนั้นเมฆก็ย้ายไปที่บ้านของวิทเพื่อเตรียมอาหาร ตอนแรกผมก็จะขอตามไปด้วย แต่เมฆบอกผมว่าให้เราอยู่ห่างๆกันบ้างก็ดี คนอื่นจะได้ไม่ผิดสังเกตมากนัก และนอกจากนั้นเราจะได้พูดคุยและทักทายกับเพื่อนๆทุกคนได้ทั่วถึงมากกว่าที่จะไปไหนมาไหนตัวติดกันตลอดด้วย

รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ไอ้เมฆมันพูดแบบนี้ แต่ก็อีกครั้งที่มันพูดถูกและผมก็เข้าใจมันดี

หลังจากนั่งคุยกับเพื่อนหลายๆคนในบ้านตัวเองสักพักใหญ่ๆ ผมก็ขอตัวออกมาเดินเล่นที่ชายหาดคนเดียว เมื่อคืนนี้ผมกับไอ้เมฆเดินเลียบไปทางซ้ายแล้ว เพราะงั้นคราวนี้ผมจึงตัดสินใจที่จะเลี้ยวไปทางขวาบ้าง ผมเองก็ดีใจนะที่ได้เจอเพื่อนๆอีกครั้ง แต่ว่าผมเองก็ไม่ค่อยชอบการถูกซักถามและตอบคำถามอะไรมากมายนัก นี่แค่ถ้ามีไอ้เมฆอยู่ด้วยมันก็คงจะดีกว่านี้เยอะ

ขณะที่ผมเดินเท้าเปล่าเลียบชายหาดออกไปเรื่อยๆ ผมก็สังเกตเห็นผู้ชายสองคนอยู่เบื้องหน้าไกลๆ คนหนึ่งนั้นกำลังผลุบๆโผล่ๆอยู่ที่รกไม้ริมห่างออกไปราวๆร้อยเมตร และเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ผู้ชายคนนั้นก็เดินหายไปซะแล้ว ตอนแรกผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นหนึ่งในเพื่อนของเรารึเปล่า แต่เมื่อคิดดูดีๆมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ในเมื่อตอนนี้ทุกคนยังคงยุ่งอยู่กับการจัดของ พูดคุย และทำอาหารกันอยู่ที่บ้านอยู่เลย เพราะงั้นเขาก็คงเป็นชาวบ้านแถวนี้นั่นแหละ

ส่วนผู้ชายอีกคนนั้นกำลังแช่ตัวอยู่ในน้ำเลยออกไปอีกหน่อย เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เขากำลังเดินขึ้นมาจากน้ำพอดี จนเมื่อเราเดินมาอยู่ในระยะที่พอจะเห็นหน้ากันได้แล้ว ผมจึงจำเขาได้ทันทีว่าเขาคืออาร์มนั่นเอง เมื่อเราสบตากัน เขาก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้แก่ผม ส่วนผมเองก็ทำแบบนั้นตอบด้วยเช่นกัน

“เดินเล่นเหรอครับ” เขาตะโกนถามขึ้นมาจากน้ำ

“ครับ ว่าแต่ทำไมมาเล่นน้ำอยู่ไกลขนาดนี้ล่ะ แล้วพี่แอมป์ล่ะไปไหน อยู่บ้านเหรอ”

“พี่แอมป์ไปซื้อของข้างนอกครับ เย็นๆถึงจะกลับ เพราะว่าไม่อยากจะไปงานของพี่สองคนมือเปล่าน่ะครับ” เขาเดินขึ้นมาจากน้ำช้าๆ

ผมสังเกตใบหน้าของเด็กหนุ่มชัดๆก็เห็นว่าเขาเองก็หน้าตาดีไม่เบาเลยทีเดียวเหมือนกัน ผมที่ลู่น้ำลงมาปรกหน้าผาก คิ้วเข้มๆ ตาเป็นประกาย และที่สำคัญ เขากำลังใส่กางเกงขาสั้นแค่เพียงตัวเดียว แถมตอนนี้ในเมื่อเขาเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ มันจึงทำให้แทบไม่เหลืออะไรให้ต้องจินตนาการกันเลยทีเดียว

“แปลว่าคืนนี้มาชัวร์แน่แล้วนะครับ ดีเลย ไอ้เมฆมันจะได้ดีใจ”

“เมื่อคืนขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพี่แอมป์เอาไว้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แถมที่สำคัญ ส่วนมากแล้วคนที่เหนื่อยและช่วยจริงๆก็คือไอ้เมฆ ไม่ใช่พี่หรอก”

“พี่เมฆนี่เก่งแบบนี้ตลอดเลยรึเปล่าครับเนี่ย เห็นพี่แอมป์พูดให้ฟังแล้วผมยังทึ่งๆอยู่เลย แถมดูไม่ออกเลยนะครับว่าพี่เขาจะทำได้ขนาดนั้น”

“ปกติมันก็ไม่ได้เป็นคนแบบนั้นหรอก เฉพาะเวลาฉุกเฉินๆหรือมีเรื่องเท่านั้นแหละถึงจะได้เห็นมันเป็นแบบนั้น แต่มันก็เป็นคนที่พึ่งพาได้มากจริงๆ”

“งี้ใครได้พี่เมฆเป็นแฟนก็คงโชคดีมากเลยสิครับเนี่ย หน้าตาดีแถมยังเก่งอีกต่างหาก”

เมื่อได้ยินอาร์มพูดแบบนั้นและเห็นสีหน้าของเขาผมก็รู้สึกเอะใจนิดๆขึ้นมาทันที บางอย่างในแววตาของเขามันบอกผมว่าความหมายของสิ่งที่เขาพูดมันมีมากกว่าสิ่งที่ผมได้ยินอย่างบอกไม่ถูก

“อืมม ก็คงงั้นแหละมั๊ง แต่ว่าตอนนี้พี่ว่าพี่กลับก่อนดีกว่าครับ ถ้าเกิดหายตัวไปนานเกินแล้วเดี๋ยวเพื่อนๆจะด่าเอา”

“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวไว้ค่อยเจอกันนะครับพี่” อาร์มพูดพร้อมกับเดินกลับลงน้ำไป

ผมเองก็หันหลังกลับเดินไปยังบริเวณหน้าบ้านของไอ้วิทเช่นกัน เพื่อนบางคนก็เริ่มที่จะลงเล่นน้ำแล้ว ส่วนบางคนก็ยังคงนั่งเล่นพูดคุยถ่ายรูปกันอยู่ที่ริมหาด ถึงแดดตอนบ่ายสามโมงกว่าจะยังค่อนข้างแรง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้ใหญ่ใจเด็กพวกนี้เลยจริงๆ นึกๆดูมันก็น่าแปลกที่พวกเรานั้นก็เรียกได้ว่ากำลังจะเป็นวัยทำงานเต็มตัวที่ไม่ใช่แค่เด็กวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อมาได้อยู่รวมกลุ่มกันแบบนี้อีกครั้ง ภาพของสมัยที่เรายังเรียนชั้นมัธยมปลายด้วยกันกับภาพตอนปัจจุบันนี้มันก็ซ้อนทับกันพอดีแบบที่แทบจะแยกกันไม่ออกเลยทีเดียว ถึงเวลาจะเปลี่ยนไปแต่ยังไง ถึงเราจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดตอนนั้นมานานมากแล้วขนาดไหน แต่พวกเราก็คงจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเลยจริงๆ

“ไปไหนมาวะ ซัน กูก็ตามหามึงอยู่”

เมื่อผมหันกลับไปมองตามที่มาของเสียง ผมก็พบกับแบ๊งค์ที่กำลังยืนยิ้มรอผมอยู่แล้ว

“ไง ไอ้แบ๊งค์ ไม่ได้เจอกันสองปีแล้วสิเนี่ย รถตู้นี่ก็รถมึงไม่ใช่เหรอวะ เห็นเพื่อนๆบอก”

“สามปี ไม่ใช่สอง ถ้าสองปีก็ต้องบอกว่าสองปีกับอีกสิบเดือนน่ะนะ” แบ๊งค์ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ แต่อีกครั้งที่ผมรู้สึกว่ามันมีความรู้สึกแปลกๆแฝงอยู่ในรอยยิ้มของเขา คล้ายกับที่ผมรู้สึกกับอาร์มเมื่อครู่นี้ “ว่าแต่มึงเป็นไงมั่ง มึงดูไม่เปลี่ยนเลยนะ เปลี่ยนไปแค่อย่างเดียวก็คือเห็นพวกสาวๆมันคุยกันว่ามึงหล่อขึ้นว่ะ แถมกูว่าพวกมันพูดถูกด้วยนะเนี่ย”

“กูก็หล่อของกูมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชินแล้วว่ะ” ผมหัวเราะ “มึงเองก็ดูดีขึ้นเยอะเลยนะ แต่ก่อนยังตัวเล็กๆอยู่เลย เดี๋ยวนี้แม่งเล่นกล้ามเหรอวะ”

“นิดหน่อยว่ะ อยากจะตามมึงให้ทันเท่านั้นเอง แต่ก่อนมึงชอบล้อกูว่าไอ้แห้ง กูก็เลยปั๊มตัวเองสักหน่อย”

“สงสัยจะพอๆกับไอ้เมฆเลยนะมึงเนี่ย ตอนกูเจอไอ้เมฆครั้งแรกที่อังกฤษ หุ่นแม่งก็เปลี่ยนไปเยอะเลยเหมือนกัน แต่จะว่าไปตอนนั้นมันก็ไม่ได้ผอมเหมือนมึงอยู่แล้วนี่นะ”

“ว่าแต่ไอ้เมฆเป็นไงมั่ง กูยังไม่ได้เจอมันเลย เพิ่งจัดของเสร็จก็เห็นมึงเดินมาพอดีเลยเดินเข้ามาคุยกับมึงก่อน”

“ก็ดีแหละ เรื่อยๆทั้งคู่ แต่ถ้ามึงบอกกูหน้าตาดีขึ้นมึงต้องเห็นไอ้เมฆมัน กูก็ไม่รู้ว่ะ กูอยู่กับมันทุกวันเลยอาจจะชิน แต่กูว่ามันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลยนะ ไม่ได้ดูเด็กๆเหมือนแต่ก่อนแล้ว” ผมเดินนำแบ๊งค์ไปนั่งลงที่เก้าอี้ใต้ต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง

“แต่ไอ้เมฆมันก็หน้าตาดีของมันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ จริงๆแล้วพวกมันก็พูดกันนะว่ามึงสองคนน่ะดูดีขึ้นมากจริงๆ ทั้งคู่เลย เว้นแต่เมื่อไหร่มึงจะไว้ผมยาวบ้างก็เท่านั้นเอง ไอ้ซัน”

“อ๋อ กูเป็นเหมือนจัสติน ทิมเบอร์เลคน่ะ ค้นพบตัวเองก็ที่ผมทรงสกินเฮด”

“หน้าด้านได้อีกนะมึงเนี่ย ไอ้ซัน” ไอ้แบ๊งค์หัวเราะ

“แต่กูก็ติดแล้วนะ ไว้ผมเกรียนๆแบบนี้น่ะ........” ผมยกมือขึ้นลูบหัวของตัวเองเบาๆ “และไอ้เมฆมันก็บอกว่าแบบนี้ดูดีแล้วด้วย”

“เออ คือ กูมีเรื่องสงสัยนิดหน่อยว่ะไอ้ซัน....... ที่เค้าว่าไอ้เมฆมันไปเรียนที่นั่นเพื่อที่จะไปหามึงนั่นมันจริงรึเปล่าวะ” แบ๊งค์พูดด้วยน้ำเสียงซีเรียสจนทำให้ผมต้องถึงกับชะงัก

“ใครบอกมึงแบบนั้น” ผมหันไปถามมัน

ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะได้มาสนิทกับไอ้เมฆเสียอีก คนที่ผมคลุกคลีและไปไหนมาไหนด้วยบ่อยๆก็คือไอ้แบ๊งค์นี่แหละ ไม่ว่าจะก่อนที่ผมถูกรถชนหรือหลังจากที่ผมหายดีและหายไปจากไอ้เมฆช่วงหนึ่ง แบ๊งค์คือคนที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงแล้วมันก็เป็นความรู้สึกลึกๆที่ผมค่อนข้างจะมั่นใจและรู้สึกได้ว่าแบ๊งค์นั้นไม่ค่อยจะถูกกับเมฆเท่าไหร่นัก ตัวไอ้เมฆเองอาจจะไม่รู้สึกตัว และถึงแม้เจ้าตัวเองจะไม่แสดงออกหรือพูดออกมาให้ผมได้รู้ แต่ว่าเวลาที่เขารู้ว่าผมอยู่กับเมฆหรือทำอะไรๆกับเมฆ แบ๊งค์ก็จะมีอาการนิดๆหน่อยๆออกมาให้เห็นได้แทบทุกครั้งจริงๆ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นอาการของการแสดงความเป็นคู่แข่งนั่นเอง ตอนแรกนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ถึงจะรู้สึก แต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่คิดว่ามันจะมีอะไรมากมาย แต่เมื่อผมเริ่มชอบเมฆขึ้นมาจริงๆจังๆ ผมก็ยิ่งเห็นชัดว่าแบ๊งค์ก็คงจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงภายในใจของผมด้วย และนั่นจึงทำให้ผมเริ่มคุยกับเขาน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วงที่ผมกับเมฆทะเลาะกัน ผมก็แทบปิดตัวเองจากเขาไปเลย

น่าแปลกนะที่ตอนนั้นผมแทบไม่คิดเลยว่าเขานั้นจะแอบชอบผมอยู่ แต่พอได้เจอหน้าเขาแบบนี้อีกครั้งผมถึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์เหล่านั้นในตอนนั้นของเขามันไม่ใช่แค่อารมณ์หึงเพื่อนสนิท แต่คงเป็นอารมณ์หึงหวงคนรักเลยจริงๆมากกว่า

“เฮ้ย มึงอย่าเพิ่งซีเรียสสิวะ ก็แค่ตอนที่ไอ้เมฆมันไปตอนแรกๆ เขาก็แซวกันว่าพวกมึงนี่ตัวติดกันจริงๆเลยนะอะไรแบบนี้น่ะ ก็ใครๆเขาก็รู้ว่ามึงสนิทกัน แถมก่อนนั้นมึงยังมีปัญหากันอีก ก็เลยพูดกันขำๆน่ะ”

“ไอ้เมฆมันไม่ได้ไปหากูหรอก มันไปเรียน แต่ครอบครัวกูเองต่างหากที่ชวนให้มันมาเรียนที่เดียวกับกูและนอนบ้านกูด้วย”

“แล้วพ่อแม่มึงเป็นไงมั่งวะ สบายดีรึเปล่า”

“ก็ดีว่ะ เรื่อยๆเหมือนกัน ว่าแต่มึงเหอะมีแฟนรึยัง” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องให้ออกไปจากชีวิตส่วนตัวของผม

“ไม่มีว่ะ เคยลองคบคนนู้นคนนี้นะ แต่สุดท้ายแล้วกูก็ลืมรักครั้งแรกของกูไม่ได้ และบางทีกูก็อาจจะยังรอเขาอยู่ตลอดมาก็ได้.......” แบ๊งค์ก้มหน้าตลอดอยู่เวลาที่พูด แต่เมื่อถึงประโยคสุดท้ายเขากลับเงยหน้าขึ้นมามองผม และสายตานั้นของเขามันทำให้ผมต้องรู้สึกแปลกๆเป็นครั้งที่สามในคนที่สองของวัน

คนแรกคืออาร์มเมื่อไม่ถึงสองนาทีก่อนหน้านี้ คนที่สองคือแบ๊งค์ และมันยังทำให้ผมรู้สึกแปลกๆแบบนี้ได้ถึงสองครั้งเลยด้วย ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรจะอยู่คนเดียวแบบนี้อีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ตามลำพังกับคนที่ส่งความรู้สึกพิลึกๆแบบนั้นมาให้ผมโดยที่ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่แบบนี้แน่นอน

“กูขอตัวไปตามหาไอ้เมฆก่อนนะ มีเรื่องจะคุยกับมันหน่อยว่ะ” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่ได้รอคำตอบหรือหันกลับมามองแบ๊งค์อีกเลย

ผมเดินผ่านเพื่อนๆบางคนที่กำลังเล่นน้ำกันอยู่แล้วโบกมือให้พร้อมกับตะโกนบอกว่าเดี๋ยวจะมาเล่นด้วย ผมเดินผ่านคนที่นั่งคุยกันอยู่ที่ริมหาดแล้วบอกว่าเดี๋ยวจะมานั่งด้วย ผมเดินผ่านคนที่กำลังนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในบ้านของไอ้วิทแล้วบอกไปว่าเดี๋ยวจะมาคุยด้วยอีกเช่นกัน จนกระทั่งผมเจอไอ้เมฆกำลังง่วนอยู่ในครัว และมีอีฟ แป๊ะ ไคล์ และไอ้วิทอยู่ด้วย ผมจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมากที่มีแต่พวกเรากันเองเท่านั้น และเดินตรงเข้าไปโอบเอวของไอ้ตัวดีของผมพร้อมกับหอมแก้มมันฟอดใหญ่

ทำไมผมถึงได้รู้สึกสบายใจที่ได้เห็นหน้ามันมากขนาดนี้นะ

“เป็นอะไรมึง ไอ้แสบ เมาแดดเหรอวะ” ไอ้เมฆหัวเราะบาๆ ส่วนคนอื่นๆก็ส่งเสียงวี้ดวิ้วปนเสียงโห่แซวเล็กๆกันใหญ่

“เปล่า แค่พออยู่ข้างนอกแล้วรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยว่ะ”

“แปลกยังไงของมึงวะ ไอ้ซัน” อีฟถาม

“กูก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ะ....... เอาเป็นว่าขอกูอยู่กับพวกมึงในครัวด้วยก็แล้วกัน” ผมมองตาเมฆและเห็นแววตาสงสัยของมันฉายแววอยู่ลึกๆ ผมแทบไม่เคยโกหก ปิดบัง หรือซ่อนความรู้สึกอะไรให้พ้นจากมันได้เลยจริงๆ

“มึงมีอะไรอยากจะคุยรึเปล่า” เมฆถามผมเบาๆ

ผมส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ ไม่ใช่ว่าผมอยากจะโกหกมัน แต่ผมก็ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับมันยังไงเหมือนกันจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องความรู้สึกแปลกๆที่ผมได้รับจากอาร์ม ซึ่งนั่นก็เป็นไปได้สูงว่าผมอาจจะแค่คิดไปเอง และเรื่องไอ้แบ๊งค์ที่ผมคงไม่ได้คิดไปเองแน่ แต่ผมก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์ยังไงที่เมฆจะรู้ในตอนนี้

นอกจากเมฆจะสอนผมเรื่องศิลปะการต่อสู้เล็กๆน้อยๆและลากผมให้ไปเข้าคลาสเทควันโดกับมันด้วยแล้ว มันยังสอนให้ผมทำอาหารและลากผมให้เป็นลูกมือช่วยมันในหลายๆครั้งอีกด้วย บอกตามตรงว่าผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครที่สนใจทำอะไรหลายๆอย่างเป็นเหมือนกับงานอดิเรก และยังคงทำสิ่งเหล่านั้นต่อไปได้เรื่อยๆไม่เคยทิ้งจนเป็นนิสัยได้เหมือนกับไอ้เมฆแบบนี้เลย มันทั้งเรียนยูโด เทควันโด และไอคิโดอีกนิดหน่อย มันชอบอ่านหนังสือ ฟังเพลง ชอบทำอาหาร และยังกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้การทำอาหารตะวันตกสูตรอื่นๆอีกด้วย นอกจากนั้นก็ยังคงใส่ใจเรื่องการเรียน เล่นบาสเป็นประจำ ทำงานบ้าน เคยให้ผมสอนยิงปืน แถมหลังๆมานี้ยังเริ่มชอบการถ่ายรูปด้วยอีกต่างหาก

ซึ่งแน่นอนว่ารูปส่วนมากที่มันถ่ายก็คือรูปวิวทิวทัศน์ หรือรูปท้องฟ้านั่นเอง

ผมเป็นลูกมือป้วนเปี้ยนอยู่ในครัวได้ราวๆครึ่งชั่วโมง การเตรียมอาหารขั้นต้นก็จบลง ส่วนที่เหลือก็มีแค่ลงมือทำตอนก่อนงานจะเริ่มเท่านั้นเอง

“เมฆ นัทมาถึงแล้วนะ” เดียร์ เพื่อนของเราคนหนึ่งเดินมาพร้อมไอ้ป๋อมเพื่อบอกข่าว

ผมกับเมฆมองหน้ากันแล้วผมก็พยักหน้า หลังจากนั้นเมื่อเมฆหันไปมองคนคนอื่นๆ ทุกคนในห้องครัวก็พยักหน้าให้กับมันด้วยเช่นกัน เมฆหันกลับมาหาผมอีกครั้งแล้วก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

“มึงไม่ไปด้วยเหรอวะ ซัน” อีฟถาม

“ไม่อ่ะ ไปทำแกะอะไรวะ ไม่เห็นว่ากูจะจำเป็นเลยนี่หว่า แค่นัทมาแล้วไอ้เมฆออกไปรับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ แถมมันก็บอกกูแล้วว่ามันรับมือได้”

“แต่นัทมันมาพร้อมแฟนมันนะ” ไอ้แป๊ะพูดขึ้น

“เออ แถมเขามาในฐานะแขกที่มาต้อนรับการกลับมาของมึงสองคนนะ ไม่ใช่ไอ้เมฆคนเดียว กูว่ามึงออกไปด้วยเหอะ เดี๋ยวพวกกูเก็บล้างเสร็จแล้วจะรีบตามออกไป” อีฟพูดเสริม

ผมพยักหน้าเบาๆจากนั้นก็เดินออกจากห้องครัวตามไอ้เมฆออกไป และเมื่อผมเดินมาถึงหน้าบ้าน ผมก็พบเมฆกำลังยืนคุยอยู่กับนัท และคนที่ยืนอยู่ข้างๆนัทก็คงเป็นแฟนของเขานั่นเอง ผมมองไปรอบๆข้าง เพื่อนหลายคนกำลังมองมาที่ทั้งสามคนอยู่ และบางคนก็เดินเข้ามาคุยกับนัทนิดหน่อยแล้วก็เดินกลับไป ผมตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาทั้งสามคน และเมื่อนัทเห็นผม เขาก็ส่งยิ้มกว้างมาให้ผมเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับไม่ได้กำลังยิ้มให้แก่ผมไปด้วยเลยจริงๆ

“เป็นไงมั่ง ซัน คิดถึงจังเลย” นัททักผม จากนั้นก็หันไปหาแฟนของตัวเอง “พี่จ๊อบ นี่ซันเพื่อนนัท ไปอังกฤษก่อนเมฆปีหนึ่ง คนที่นัทเคยเล่าให้ฟังไง”

มันไปเล่าเรื่องผมอะไรให้แฟนมันฟังกันวะ

“สวัสดีครับ” ผมก้มหัวน้อยๆให้พี่จ๊อบ หน้าตาเขาก็ดูไม่เลวอยู่หรอก แต่ท่าทางการแสดงออกนี่สิที่เป็นปัญหา

“นี่พี่จ๊อบ แฟนนัท เป็นรุ่นพี่นัทสองปีตอนเรียนมหาลัยน่ะ เออ จริงสิ เมฆ ว่าแต่ตอนนี้เมฆมีแฟนรึยัง” นัทหันไปหาเมฆอีกครั้ง

“พี่จ๊อบกับนัทมีกระเป๋ารึเปล่าครับ ผมจะบอกให้ว่าเอาไปเก็บที่ไหน เพราะว่ามีบ้านสองหลังน่ะ หลังนี้ของไอ้วิทกับหลังของผมข้างในนั้น” ผมพูดขัดขึ้น

“ตอนแรกไอ้วิทบอกว่าให้ผู้ชายนอนหลังของเมฆน่ะนัท ส่วนผู้หญิงนอนหลังนี้ มันคงต้องนอนรวมๆกันน่ะนะเพราะคนเยอะ แต่ถ้านัทอยากนอนกับพี่จ๊อบก็คงไม่เป็นไร”

“ไปนอนบ้านของเมฆก็แล้วกันนะ นัท เผื่อนัทอยากนอนเร็วมันจะได้ไกลจากเสียงดังหน่อย” พี่จ๊อบหันไปพูดกับนัท

“ก็ได้ แล้วแต่พี่แหละ”

“งั้นพี่เอาของไปเก็บกับซันก่อนนะ ส่วนนัทก็คุยกับเมฆกับเพื่อนๆไปก่อนแล้วกัน รบกวนซันนำทางด้วยนะครับ” ประโยคหลังเขาหันมาพูดกับผม

“ได้ครับ” ผมพยักหน้า

ผมเดินนำพี่จ๊อบไปยังบ้านของตัวเอง แต่เนื่องจากตอนนี้เพื่อนทุกคนไปรวมตัวกันอยู่ที่บ้านของไอ้วิทกันหมด ทำให้ในบ้านไม่มีคนอยู่เลยสักคนเดียว และเมื่อผมบอกให้พี่เขาวางกระเป๋าลงในห้องแล้ว พี่จ๊อบที่เงียบมาตลอดก็เริ่มชวนผมคุย

“เมฆกับนัทนี่เขาเคยคบกันจริงๆใช่มั๊ยครับ ซัน”

“ครับ ผมคิดว่าพี่น่าจะรู้อยู่แล้วนี่”

“ก็รู้แหละครับ แต่นัทก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรเกี่ยวกับเมฆมากนักหรอก รู้แต่ว่าคบๆเลิกๆกันตลอดช่วงมอปลาย จนกระทั่งเมฆไปอังกฤษนั่นน่ะ”

“ก็ประมาณนั้นมั๊งครับ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจมากนัก

“แล้วตกลงเมฆตอนนี้มีแฟนรึยังครับเนี่ย ซันรู้รึเปล่า ไปอยู่ที่นั่นมาด้วยกันน่าจะสนิทกันนี่ ใช่มั๊ย”

“สนิทครับ สนิทมากด้วย แต่เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเมฆมัน ผมไม่อยากเป็นฝ่ายพูดเองน่ะครับ ถ้าพี่อยากรู้ผมว่าพี่ไปถามเจ้าตัวเขาเองดีกว่า”

“ปกป้องกันดีจังเลยนะ เป็นมากกว่าเพื่อนกันรึเปล่าเนี่ย” พี่จ๊อบพูดพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก

“ก็อาจเป็นได้นะครับ” ผมหันไปตอบพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากและเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วย ถ้าใครไม่ได้มาดีกับผม ผมก็ไม่คิดจะตอบกลับไปแบบดีๆเหมือนกัน และไอ้พี่จ๊อบคนนี้นี่ก็ท่าทางจะกวนตีนไม่เบาอย่างที่ไอ้วิทพูดจริงๆ “และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมันจะทำไมเหรอครับ พี่จ๊อบ”

“ก็ไม่ทำไมหรอก พี่ก็แค่สงสัยเฉยๆ เพราะว่าพูดตรงๆนัทเขาก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกัน เขาคงแค่รอให้ได้ยินจากปากเมฆเท่านั้นเองมั๊ง ส่วนพี่ก็เลยอยากได้ยินจากปากซันไง”

“ก็อย่างที่ผมบอกแหละครับพี่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเรา ถ้าผมหรือไอ้เมฆอยากให้ใครรู้ เราก็คงบอกออกจากปากเองว่าตกลงเราเป็นเพื่อนกันหรือแฟนกันหรือมีแฟนเป็นใครอะไรยังไง ถ้าแค่เพื่อนๆของเราก็ยังไม่เท่าไหร่หรอกครับ เพราะเราสนิทกันมากมานานแล้ว แต่กับพี่ที่ผมเพิ่งเจอหน้าแค่ไม่ถึงสิบนาทีเนี่ย ผมยังไม่สนิทใจขนาดนั้นหรอกนะ”

“โอโห ดุจริงเว้ย สมคำร่ำลืมจริงๆ” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ

พอเราสองคนเดินกลับมาถึงหน้าบ้านของไอ้วิท พี่จ๊อบก็เดินตรงเข้าไปหานัท ส่วนผมก็เดินตรงเข้าไปลากไอ้เมฆออกมา พอผมถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมั๊ย ไอ้เมฆก็ตอบว่าทุกอย่างโอเค ส่วนเมื่อมันถามผมว่าแล้วพี่จ๊อบล่ะเป็นยังไงบ้าง ผมก็อดไม่ได้ที่จะเล่าทุกสิ่งที่เราเพิ่งคุยกันไปให้มันฟัง จนเมื่อผมเล่าจบไอ้เมฆก็หาว่าผมใจร้อนเกินไปทันที แต่มันก็ยอมรับว่าท่าทางพี่จ๊อบจะกวนประสาทผมได้อยู่ไม่น้อยจริงๆเหมือนกัน

สรุปว่าวันนี้มีคนถึงสามคนแล้วที่สร้างความรู้สึกแปลกๆให้กับผมเวลาที่ผมคุยด้วย ผมหวังว่ามันจะเป็นอะไรที่ผมคิดมากไปเองนะ และก็หวังด้วยว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาในภายหลัง.........


แต่ตอนนั้นผมไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าลางสังหรณ์ของผมนั้นมันถูกต้อง และความหวังของผมมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเลย


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 13-11-2007 21:27:28
แหม ตัวละครแยะจริงหนา
มีคนมากก็มีปัญหามากตามมาแหงเลย
งึม.. งำ.. พยายามทำใจกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-11-2007 21:32:33
อืม มือที่สามบวกสภาพแวดล้อม  :m17:  :m17: จะมีอะไรเพิ่มเข้ามาอีกมั๊ย  :m13:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: No_ProMises ที่ 13-11-2007 23:20:48
ขอติดไว้ก่อนนะพี่ เด๊วมาอ่านต่อ หุหุ


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 14-11-2007 01:22:04
ยังอ่านภาคที่แล้วไม่จบ แต่ขอแวะเข้ามาหวัดดีคุณต้นก่อนครับผม
ว่าแล้วก็ย่องออกไปเงียบๆ  :m7:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 15-11-2007 22:59:24
วินาทีที่ 5


ในบรรดาคนสามคนที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆวันนี้ อาร์มเป็นคนเดียวที่ผมรู้สึกสบายใจด้วยมากที่สุด เพราะว่าแค่คำพูดประโยคเดียวของเขานั้นมันอาจจะเป็นอะไรที่ผมคิดมากไปเองก็ได้ อย่างมากเขาก็คงสงสัยว่าผมกับเมฆเป็นอะไรกันรึเปล่าก็เท่านั้นเอง ซึ่งสำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อยู่แล้ว ยังไงๆวันนี้คนอีกหลายสิบคนก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี แต่ไอ้แบ๊งค์กับพี่จ๊อบนี่สิที่เป็นปัญหา สายตาของทั้งคู่ที่มองมายังเราสองคนมันชักทำให้ผมรู้สึกรำคาญใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับเมฆ จะมีอยู่หลายครั้งมากที่แบ๊งค์มองมาทางเราด้วยสายตาแปลกๆ เป็นสายตาของคนที่กำลังสงสัยและมีแววตาของความข้องใจนิดๆอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าไม่ติดว่ามันเป็นเพื่อนของเราและผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของมันอยู่แล้วล่ะก็ ผมคงไม่ทนแบบนี้แน่ ส่วนพี่จ๊อบนั้นถึงจะอยู่กับนัทตลอดเวลา แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลายต่อหลายครั้งเขาถึงได้ชอบมองมาที่ผมกับไอ้เมฆนัก และผมรู้สึกว่าเป้าหมายสายตาของเขาส่วนมากแล้วก็คือไอ้เมฆซะด้วย

“มึงก็รู้ตัวใช่มั๊ย ไอ้เมฆ” ผมถามไอ้เมฆขณะที่เราเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาจังหวะคุยกันตามลำพังสองคน

“ก็นิดหน่อยว่ะ ทั้งพี่จ๊อบแล้วก็ไอ้แบ๊งค์........ กูก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะ แต่คือถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว พี่จ๊อบเนี่ยมันก็คงพอมีเหตุ แต่ไอ้แบ๊งค์นี่สิ.........” เมฆหันมามองผมด้วยแววตาสงสัย “มึงมีอะไรอยากจะบอกกูรึเปล่า”

นี่แปลว่าตลอดเวลาตอนมอปลายนั้นไอ้เมฆไม่เคยรู้สึกตัวหรือสงสัยเรื่องไอ้แบ๊งค์เลยจริงๆด้วย

“เปล่า ไม่มีหรอก มันอาจจะแค่สงสัยเราสองคนอยู่ก็ได้มั๊ง ไม่ใช่แค่ไอ้แบ๊งค์หรอก กูว่าไอ้พี่จ๊อบเองก็เหมือนกัน แถมยังเพื่อนคนอื่นๆอีกด้วยไม่ใช่แค่สองคนนั้น”

“อืมม มันก็จริงของมึง แต่ว่านี่ก็จะห้าโมงแล้ว มึงว่าเราจะบอกทุกคนยังไงตอนไหนดีวะ กูยังมองไม่เห็นช่องทางเลย”

“เมื่อเวลามาถึงเดี๋ยวเราก็รู้เองแหละ........” ผมมองหน้ามันที่กำลังก้มๆเงยๆเก็บของใส่ถุงอยู่ตรงเคาน์เตอร์แล้วก็เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที “นี่เมฆ กูถามไรหน่อยดิ่”

“หืมม” เมฆตอบกลับมาโดยไม่ได้หันมามองผม

“เมื่อตอนมอปลาย มึงคิดไงกะไอ้แบ๊งค์วะ”

“มึงหมายความว่าไง คิดยังไงกับไอ้แบ๊งค์” เมฆหยุดมือลงแล้วหันมามองผมตรงๆทันที

“ก็...... ไม่รู้ดิ่ กูมาคิดๆดู ตอนนั้นกูกับมันก็สนิทกัน แล้วมึงก็สนิทกับกู กูไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยจนมาวันนี้แหละ ว่าตอนนั้นมึงเคยหึงกูเรื่องไอ้แบ๊งค์หรืออะไรแบบนั้นมั่งรึเปล่า”

“อ๋อ เรื่องนั้นอ่ะเหรอ ก็ไม่นะ กูเฉยๆว่ะ ก็มีตงิดๆใจบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะไอ้แบ๊งค์มันก็ไม่ค่อยสนิทกับกูเท่าไหร่อยู่แล้ว กูก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากมายมั๊ง”

คำตอบของมันแทนที่จะทำให้ผมสบายใจว่านี่แหละคือไอ้เมฆ นี่แหละคือคนที่มองโลกในแง่ดีและรักคนอื่นอยู่เสมอๆ แต่ว่ามันมีอะไรบางอย่างในใจของผมที่ร้องเตือนว่า ถ้าไอ้เมฆยังคงมองโลกในแง่ดีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ความดีของมันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวมันเองเข้าให้ก็ได้

“นี่เมฆ มึงฟังกูนะ” ผมเดินเข้าไปจับไหล่มันให้หันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง “กูรักมึง มึงรักกู เรื่องนี้เป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว มึงเข้าใจใช่มั๊ย มึงรับปากกูได้มั๊ยว่าความรักของเราก็จะมีเพียงแต่เราสองคนเท่านั้นที่เข้าใจ ไม่เกี่ยวว่าสายตาของคนอื่นจะมองเราว่ายังไงก็ตาม”

เมฆมองตาผมแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าออกมา “อืม กูรับปาก กูรักมึงมานานเท่าไหร่แล้วซัน เราคบกันมาเจ็ดปีแล้วนะ เป็นแฟนกันมาก็สามปี มึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก........ เพียงแต่ว่าตอนนี้มึงต้องบอกกูได้แล้วว่าตอนนี้มึงเป็นอะไรอยู่กันแน่ มึงกำลังคิดมากเรื่องอะไร”

คราวนี้ถึงตาผมเป็นฝ่ายต้องนิ่งเงียบบ้างแล้ว แต่เมื่อผมกำลังอ้าปากจะพูดขึ้น พี่จ๊อบก็เดินเข้าในห้องครัวพอดี

“อ้าว ขอโทษนะครับ พี่ว่าจะเข้ามาหยิบเบียร์สักกระป๋อง” พี่จ๊อบพูดพร้อมรอยยิ้มแบบแปลกๆ สายตาของเขามองมายังมือของผมที่ยังคงวางอยู่บนหัวไหล่ของไอ้เมฆอยู่ แต่แทนที่ผมจะลดมือลง เมื่อผมเห็นสายตาแบบนั้นของเขาแล้วผมจึงตัดสินใจดึงตัวไอ้เมฆให้เข้ามาโอบเอวแทน

“อยู่ในตู้เย็นน่ะครับ พี่หยิบได้ตามสบายเลย” ไอ้เมฆตอบออกไป

พี่จ๊อบเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋อง แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไป เขาก็หันกลับมายิ้มให้เราสองคนอีกครั้ง........ แต่ถ้าพูดให้ถูกก็คือเขาหันกลับมายิ้มให้ไอ้เมฆซะมากกว่ายิ้มให้เราทั้งสองคน และนอกจากนั้นยังเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกชอบใจแม้แต่นิดเดียวเลยด้วย

“กูว่าเกลียดมันไปแล้วว่ะ กูเกลียดรอยยิ้มมัน” ผมพูดขึ้นเมื่อพี่จ๊อบเดินจากไปแล้ว

“ใจเย็นๆ ซัน กูพอเข้าใจมึงนะ แต่เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรเรานี่นา มึงอย่าไปสนใจเลย”

“ก็แล้วทำไมมันต้องมองมึงยิ้มให้มึงแบบนั้นวะ แบบนี้มันจงใจกวนโอ๊ยกูนี่หว่า”

“เอาน่า มึงใจเย็นๆ เมื่อกี๊มึงพูดเองไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นเรื่องของเราสองคนเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยวน่ะ ว่าแต่เมื่อกี๊มึงจะพูดอะไรนะ บอกกูอีกทีได้มั๊ยวะ ก่อนที่จะมีใครมาขัดจังหวะเอาอีก”

“เออ....... คือจริงๆกูก็ไม่ได้คิดมากหรอก แต่แค่กูจะบอกมึงสองอย่าง อย่างแรกเลยก็คือไอ้พี่จ๊อบนั่นแหละ กูรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจมันยังไงไม่รู้ มันอาจจะหาเรื่องมากวนตีนมึงเพราะว่ามึงเคยคบกับนัทมาก่อนก็ได้ กูไม่รู้หรอก กูแค่ไม่ชอบมัน ส่วนอีกเรื่อง........ เรื่องไอ้แบ๊งค์น่ะ กูเห็นมันมองมาที่เราแปลกๆ และกูจะบอกมึงว่ามันเองก็น่าจะสงสัยเราสองคนมาตั้งแต่ตอนมอปลายแล้ว แต่ที่มึงบอกกูมาเมื่อกี๊ก็แปลว่ามึงเคยไม่รู้ตัวเลย ส่วนนอกจากนั้นยังมีนัทอีก คือหลักๆก็ไอ้พวกเนี๊ยแหละ ที่กูไม่รู้ว่าพอเราเปิดตัวแล้วปฏิกิริยามันจะเป็นยังไงน่ะ”

“ซัน มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่ามันเป็นเรื่องของเราสองคน อย่าเพิ่งกังวลล่วงหน้าไปเลย รอดูว่ามันจะเป็นยังไงกันก่อนดีกว่า ถ้ามันเกิดปัญหาขึ้นมาเราก็ค่อยช่วยกันแก้ไง นะครับ” เมฆยิ้มกว้างแล้วชะโงกมาหอมแก้มผมเบาๆ

มันก็จริงอย่างที่เมฆพูด แต่ว่าเรื่องของไอ้แบ๊งค์มันไม่ได้มีเพียงแค่นั้นน่ะสิ แต่ก็เอาเถอะ ผมคงจะคิดมากไปเอง ถึงจะยังไงมันก็ผ่านไปตั้งสี่ปีแล้ว และมันเองก็คงไม่กล้าพอที่จะเปิดตัวว่ามันแอบชอบผมมานานแล้วในวันที่ผมเปิดตัวว่าเป็นแฟนกับไอ้เมฆแบบนี้หรอก และนอกเหนือจากนั้น ต่อให้มันชอบผมจริง แต่ถึงยังไงๆความเป็นไปได้ที่เรื่องอื่นๆมันจะเกิดขึ้นก็ยังคงต่ำมากอยู่ดี

สงสัยจริงๆแล้วลึกๆผมคงจะกังวลเรื่องในคืนนี้มากกว่าที่ผมรู้ตัวเสียอีก นี่แหละนะ ที่ผมถึงได้รู้สึกว่าจริงๆแล้วคนที่เข้มแข็งที่สุดในความสัมพันธ์ของเรานั้นมันก็คือไอ้เมฆต่างหาก ไม่ใช่ตัวผมเอง

“ไปเล่นน้ำกันเหอะ” ไอ้เมฆยิ้มกว้างแล้วก็ถอดเสื้อของตัวเองออกตรงนั้นเลย ผมเองก็ยิ้มกว้างแล้วก็ทำแบบนั้นด้วยเช่นกัน ถึงผมจะเห็นร่างกายของมันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ผมก็ยังอดปลื้มในร่างกายอันสมส่วนของมันไม่ได้จริงๆ แม้ว่ามันจะเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย แต่ว่าพอดูจากรูปร่างโดยรวมแล้ว มันก็แทบจะมีขนาดร่างกายไม่ต่างไปจากผมเลยแม้แต่นิดเดียว

เราสองคนพาดเสื้อไว้ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น จากนั้นก็เดินเปลือยอกออกจากบ้านไปพร้อมๆกัน ทำให้เพื่อนหลายคนซึ่งตอนนี้ส่วนมากแช่อยู่ในน้ำกันหมดแล้วหันมาแซวเราทั้งคู่กันยกใหญ่

“มาแล้วว้อยยยยย สองหน่ออออ”

“แถมตอนเข้าบ้านไปมีเสื้อผ้าอยู่ครบ แต่พอออกมากลับแก้ผ้าออกมาซะอย่างนั้นเลยเฮ้ย”

“หุ่นดีมาก สาดดดดด หมั่นไส้ว้อยยยยย!”

“หล่อ หล่อมากกกกก!! ไอ้พวกเลวว! กูเกลียดพวกมึ๊งงงงงง!!”

“จับพวกแม่งโยนลงน้ำเลย!!”

พอสิ้นเสียงคนสุดท้ายซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นใครตะโกนขึ้นมา บรรดาผู้ชายนับสิบคนก็กรูขึ้นมาจากน้ำแล้วก็เข้ามารุมจับ รัด และช่วยกันหามผมกับไอ้เมฆทันที ผมพยายามจะดิ้นแต่ก็ดิ้นไม่หลุด พอเหลือบตามองไปที่ไอ้เมฆก็เห็นมันกำลัง “แกล้ง” ทำท่าขัดขืนพร้อมกับหลิ่วตาให้ผมแบบรู้ทัน.......... นั่นล่ะนิสัยมันล่ะ ใครทำอะไรมันไว้จะต้องได้ชดใช้คืนทีหลังแน่

เราสองคนถูกเพื่อนๆจับเหวี่ยงลงน้ำพร้อมๆกัน เสียงหัวเราะดังครืนไปทั่ว และเมื่อเราสองคนโผล่พ้นน้ำมาแล้ว ผมกับไอ้เมฆก็ออกวิ่งไล่เพื่อนๆที่หามเราเมื่อกี๊ทีละคนทันที จากนั้นเราก็ช่วยกันปล้ำแบบสองต่อหนึ่งแล้วก็เอาทรายยัดใส่ลงไปในกางเกงของพวกมันทีละคนๆ

ช่างเป็นการแก้เผ็ดและเป็นการกระทำของคนที่สมกับโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ

นอกจากผู้หญิงแค่สามสี่คน แฟนๆของเพื่อนเราที่ผมไม่รู้จัก และพี่จ๊อบที่นั่งอยู่บนชายหาด พวกเราที่เหลือต่างก็ดำผุดดำว่ายกันอยู่ในทะเลกันอยู่นานพอสมควรทีเดียว พวกเราทั้งเล่นไล่จับ แกล้งเพื่อน ปาทรายใส่กัน และดำน้ำไปแอบดึงกางเกงคนอื่น เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในน้ำที่ทำให้เรารู้ว่าไม่ว่าจะสี่ปีก่อนหรืออีกสี่ปีต่อไป พวกเราก็คงจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนานแน่ๆ

เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรง เตาย่างบาร์บีคิวและเตาย่างอาหารทะเลที่เราเตรียมกันเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายก็พร้อมหมดทุกอย่าง และหลังจากที่เราเริ่มเอาอาหารออกมาปิ้งย่างกันได้ไม่นาน พี่แอมป์กับอาร์มก็เดินเข้ามาพอดี โดยคนแรกที่สังเกตเห็นทั้งคู่ก็คือไอ้เมฆนั่นเอง

“พี่แอมป์ อาร์ม ทางนี้เลยครับ” เมฆร้องเรียก

“นี่ค่ะ ของเล็กๆน้อยๆ พี่ไม่อยากจะมามือเปล่า” พี่แอมป์ยื่นกล่องแบล็คเลเบลให้กับเราสองคน พร้อมกับกับข้าวถุงใหญ่ๆอีกสองสามถุงด้วย

“ขอบคุณมากครับพี่ ว่าแต่ยังไม่ได้ทานอะไรกันมาใช่มั๊ยครับ หิวกันรึเปล่า หาที่นั่งได้ตามสบายเลยนะครับ จานกับแก้วก็อยู่ตรงนั้นเลย”

“ขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่เพื่อนมากันเยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย เห็นอาร์มพูดไว้เหมือนกันว่าคนเยอะ แต่พอมาเห็นเข้าจริงๆก็ตกใจไปเลยเหมือนกัน”

ผมหันไปมองอาร์ม แต่ว่าเขาไม่ได้กำลังมองมาที่เราสองคนอยู่ ผมคิดว่าเขาคงกำลังมองเลยไปยังกลุ่มเพื่อนๆของเราทางด้านหลังนั่นมากกว่า

“ก็นิดหน่อยน่ะครับ เออจริงสิ ผมมีคนๆนึงจะแนะนำพี่แอมป์กับอาร์มน่ะครับ น้องชายของไอ้ซันมันเอง อายุน่าจะใกล้ๆกันกับอาร์มนะ”

“เออใช่ ลืมไปเลยว่ะ” ผมหันกลับไปมองหาไคล์ และเมื่อเห็นเขากำลังยืนอยู่กับไอ้วิท ผมก็ตะโกนเรียกเขามา

“ว่าไง ซัน” ไคล์เดินมาหยุดอยู่ข้างๆเราสี่คน และเมื่ออาร์มกับไคล์เห็นหน้ากัน เขาทั้งสองคนก็มีท่าทางประหลาดใจขึ้นมาทันที

“อ้าว ไคล์จริงๆด้วย”

“อาร์ม”

ผม เมฆ และพี่แอมป์ยืนมองคนทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ถ้าเราเดาท่าทางของทั้งคู่ไม่ผิดนั่นก็แปลว่าพวกเขารู้จักกันอยู่แล้วอย่างนั้นน่ะหรือ

“น้องชายของคนที่ศิลากับซันช่วยไว้เมื่อวานคืออาร์มเองน่ะเหรอ” ไคล์พูดขึ้น จากนั้นก็หันมาหาผมสองคน “นี่เพื่อนผมที่คณะเองครับ ชื่ออาร์ม แต่ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะบังเอิญขนาดนี้”

“งั้นก็แปลว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วสินะเนี่ย”

“ใช่ ซัน แต่รู้อะไรมั๊ย มันทำให้ผมนึกถึงความบังเอิญเมื่อสี่ปีก่อนที่แกรนด์แคนยอนนะ” ไคล์พูดพร้อมด้วยแววตาแปลกๆที่ผมไม่เข้าใจ

“หมายความว่าไง ไคล์ เราตั้งใจจะพูดอะไรกับพี่กันแน่” ผมถาม

“ความบังเอิญมันเกิดขึ้นได้ ไคล์ ทุกสิ่งมันไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยสิ่งเดียวกันกับเมื่อสี่ปีก่อนนี้หรอก” เมฆเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง

“ก็นั่นสินะ เอาเถอะ เราไปนั่งกันตรงนั้นดีกว่า อาร์ม อย่างนี้ก็ดีเลย ผมจะได้มีเพื่อนคุย” ไคล์หันมายิ้มกว้างกับอาร์ม ตอนแรกผมก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าเวลาที่ไคล์พูดภาษาไทยกับเพื่อนของมัน มันจะใช้สรรพนามแทนตัวเองและคนอื่นๆว่ายังไง แต่ผมก็เคยบอกมันไว้แล้วว่าให้ใช้คุณกับผมให้ติดปาก และดูท่าทางมันก็จะทำตามที่ผมสอนไว้ได้อย่างดีเลยด้วย

“พี่แอมป์ งั้นผมไปกับเพื่อนผมนะ” อาร์มหันไปบอกพี่สาวของเขา และเมื่อพี่แอมป์พยักหน้า อาร์มก็หันมายิ้มให้ไคล์ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปพร้อมๆกัน

“เดี๋ยวไคล์” เมฆร้องเรียก และเมื่อไคล์หยุดเดินและหันกลับมา เมฆก็กวักมือเรียกให้เขาเดินกลับมา จากนั้นก็กระซิบอะไรบางอย่างกับไคล์ แวบแรกผมเห็นไคล์ทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ต่อมามันก็ยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้า จากนั้นก็เดินกลับไปหาอาร์ม

“มึงคุยอะไรกับไคล์มันวะ” ผมถาม

“ให้เขาทำหน้าที่ล่วงหน้านิดหน่อยน่ะ” เมฆตอบพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย

“แต่โลกก็กลมจริงๆนะคะเนี่ย ที่อาร์มกับไคล์เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว แบบนี้ก็ค่อยดีหน่อย เพราะจริงๆแล้วอาร์มเขาเป็นคนไม่ค่อยชอบออกงานใหญ่ๆคนแปลกหน้าเยอะๆเท่าไหร่น่ะค่ะ แต่จะว่าไป ซันกับน้องชายนี่ดูไม่คล้ายกันเท่าไหร่เลยนะคะเนี่ย คนนั้นเขาเป็นลูกครึ่งรึเปล่า พี่ว่าเขาหล่อแบบแปลกๆดี ดูไม่ค่อยเหมือนฝรั่งแต่ก็ดูไม่เหมือนคนเอเชียด้วย”

“เป็นญาติผมน่ะครับ ไม่ใช่น้องแท้ๆหรอก เค้าเป็นลูกครึ่งไทย – ฮิสแปนนิคน่ะ สีผิวหน้าตามันก็เลยแปลกๆหน่อย”

“เอ้อ พี่แอมป์ครับ คือจริงๆแล้ววันนี้นอกจากที่เพื่อนๆผมมันมาเลี้ยงรับผมสองคนแล้วเนี่ย พวกมันส่วนมากยังไม่รู้หรอกนะครับ และผมกับไอ้ซันก็เลยคิดกันไว้ว่าจะบอกให้พวกมันรู้กันได้แล้ว แต่พี่แอมป์เป็นแขก ผมก็เลยไม่มั่นใจว่ามันจะทำให้พี่ตกใจรึเปล่า”

ผมหันไปมองไอ้เมฆด้วยความตกใจทันที และเมื่อหันกลับมามองพี่แอมป์ เขาก็กำลังมองมันด้วยสายตาสงสัยอยู่แล้ว

“คือ ผมกับซันเป็นแฟนกันน่ะครับ ไม่รู้ว่าพี่จะรังเกียจรึเปล่า”

เมื่อไอ้เมฆพูดจบ พี่แอมป์ก็มีสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที เขามองเราสองคนสลับกันไปมา แต่ว่าเพียงไม่นานสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติพร้อมกับส่ายหัวช้าๆ และรอยยิ้มก็ค่อยๆฉายกว้างบนใบหน้าขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่เลยค่ะ ไม่เลย เรื่องธรรมดาจะตาย พี่แค่แปลกใจนิดหน่อยที่น้องพูดออกมาตรงๆแบบนั้น แถมทั้งสองคนยังดูไม่ออกแม้แต่นิดเดียวเลยด้วยว่าจะเป็น เอ่ออ.... เกย์ แต่ถึงยังไงก็ยินดีด้วยนะคะ”

“ขอบคุณมากครับ เอาล่ะ งั้นพวกผมแนะนำพี่ให้เพื่อนๆเรารู้จักเลยดีกว่านะ” ไอ้เมฆพูดพร้อมกับหันกลับไปหาเพื่อนๆของเรา

“เฮ้ยพวกมึงๆ ฟังกูหน่อย” ผมร้องตะโกน และเมื่อทุกคนหันมามองพวกเราเป็นตาเดียวกันแล้ว ผมก็สังเกตเห็นว่าพวกไอ้ป๋อมไอ้วิทกำลังมองหน้าผมด้วยความตกใจระคนแปลกใจ ผมจึงยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็เริ่มต้นพูดต่อ “กูกับไอ้เมฆจะแนะนำแขกของเราเพิ่มอีกสองคน นี่พี่แอมป์ กับน้องของเขา น้องอาร์ม ยืนอยู่กับไคล์น้องกูตรงนั้น” ผมชี้ไปที่อาร์มที่ยืนอยู่ตรงกลุ่มของไอ้วิท

“เมื่อคืนมันมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อยน่ะ ทำให้พวกกูรู้จักกัน แล้วกูก็เลยเชิญพี่เขามากินกับเราด้วย” ไอ้เมฆพูดเสริมขึ้น

“แต่ถ้าพวกมึงอยากรู้รายละเอียดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคืออะไร ก็ให้ไปถามไอ้วิทดูกันเอาเองก็แล้วกัน และเดี๋ยวมันจะเล่านิทานก่อนนอนให้พวกมึงฟังเอง” ผมหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นทุกคนหันไปมองไอ้วิทเป็นตาเดียวกัน ส่วนมันก็ชูนิ้วกลางตอบกลับมาให้ผมที่จู่ๆผมก็ผลักภาระไปให้มัน

“เพราะงั้นดูแลแขกพิเศษของกูสองคนดีๆนะพวกมึง นี่พี่เขาเอาแบล็คมาสมนาคุณด้วย พิเศษพอมั๊ย” เมื่อไอ้เมฆพูดจบ เสียงกู่ร้องแสดงความดีใจดังขึ้นรอบทิศทันที “แล้วก็สาวๆอย่าแทะโลมน้องชายเขามากนักเกินไปด้วยนะเว้ย แก่แล้วนะพวกมึงน่ะ”

“ส่วนน้องชายกู ไคล์ มาจากอังกฤษได้ปีนึงแล้ว พวกมึงหลายคนคงรู้จักอยู่แล้ว แต่กูขอแนะนำอีกที มันเป็นญาติกูเอง ชื่อไคล์ ริเวอร์ ไรออซ ลูกครึ่งไทย – อเมริกันเม็กซิกัน เรียนอยู่มหาลัยเดียวกับไอ้วิท กูฝากดูแลมันด้วยอีกคน”

“พอเลย ซัน หุบปากไปเลยยยย” ไคล์ร้องโอดครวญ และเพื่อนๆของเราก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่

“แล้วมึงไม่มีเรื่องอื่นจะประกาศอีกแล้วรึไง” เสียงของไอ้ป๋อมทะลึ่งขึ้นมา ทำเอามันโดนพวกไอ้วิทไอ้แป๊ะรุมเขกกบาลกันยกใหญ่

“อ๋ออ ก็ไม่มีอะไรหรอก.......” ผมพูดพร้อมยิ้มกว้างพลางดึงตัวไอ้เมฆเข้ามาโอบเอวด้วย และทันใดนั้นเองที่สายตาของผมไปหยุดอยู่ที่พี่จ๊อบที่กำลังยืนอยู่ข้างๆนัท ผมมองตาเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตากวาดไปทั่วบริเวณอีกครั้ง “มันอาจจะช๊อคพวกมึงบางคนนะ แต่ถึงยังไงๆพวกมึงก็ต้องรู้อยู่ดีนั่นแหละ คือว่า กูกับเมฆเป็นแฟนกันว่ะ”

เมื่อผมพูดจบ ทุกคนก็เงียบเสียงลงทันที แต่ก็แค่ไม่นานเท่านั้นเพราะจู่ๆพวกไอ้วิทก็ตบมือส่งเสียงเชียร์ขึ้นมาเสียงดังโหวกเหวก ทำให้ทั้งผมและไอ้เมฆอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้

“เออ พวกมันรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าใครมีอะไรอยากคุยอยากถามก็เข้ามาคุยกับพวกกูได้ หรือจะไปถามพวกมันก็ได้ ไม่มีอะไรปิดบังอยู่แล้วว่ะ เพื่อนกันใช่มั๊ยล่ะ ขอแค่อย่างเดียว กูไว้ใจบอกพวกมึงทุกคน นั่นก็หมายความว่าแค่พวกมึงที่อยู่ตรงนี้เท่านั้นนะเว้ย ขอบใจทุกคนมาก”

“เอ้า ดื่มให้ไอ้สองคนนั้นหน่อยเว้ย” ไอ้วิทพูดพร้อมกับชูแก้วขึ้น จากนั้นเพื่อนคนอื่นทุกคนก็ทำตาม

และเมื่อบรรยากาศช่วงที่พีคที่สุดค่อยๆจางลง ผมกับไอ้เมฆก็ถูกรุมล้อมเกือบจะในทันที ซึ่งก็นับว่าปฏิกิริยาตอบรับของพวกเขาทุกคนนั้นค่อนข้างจะดีมากทีเดียว ถึงทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่อยากจะเชื่อ แต่ประโยคที่พวกเราได้ยินมากที่สุดก็ยังคงเป็น “ตั้งแต่เมื่อไหร่” กับ “กูไม่แปลกใจเลยจริงๆ” อยู่ดี

ผมกับไอ้เมฆดูเหมือนจะสังเกตไปยังตำแหน่งที่นัทและพี่จ๊อบยืนอยู่แทบจะพร้อมๆกันทันที ท่ามกลางผู้คนมากมายและความวุ่นวายที่รายล้อมเราสองคนอยู่นั้น เมื่อสายตาของเราสี่คนประสานกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูราวจะหยุดลงไปในทันที หลังจากที่เมฆกับนัทสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง นัทก็วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะแล้วก็หันหลังเดินจากไป

“ตามไป เมฆ” ผมพูด

เมฆรีบเดินผ่านเพื่อนๆของเราแล้วมุ่งหน้าไปหานัททันที แต่ที่ผมไม่เข้าใจนั่นก็คือทำไมพี่จ๊อบถึงไม่ยอมตามนัทไป แถมยังปล่อยให้เมฆเดินผ่านหน้าเขาไปหาแฟนของตัวเองได้อย่างง่ายๆเลยด้วย จนเมื่อเมฆกับนัทเดินหายไปได้ราวๆห้านาที พี่จ๊อบก็เดินเข้ามาหาผม

“พี่ก็กะแล้วว่าเราสองคนน่าจะเป็นแฟนกัน”

“ก็อย่างที่ผมบอกไงครับ ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของผมสองคน ถ้าผมอยากจะบอกผมก็จะบอกเอง” ผมพูดโดยไม่ได้มองหน้าพี่เขา

“แต่ก็กล้าดีนะ เล่นเปิดตัวกลางงานเลี้ยงแบบนี้เลยเนี่ย” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆไปด้วย

“เรื่องนั้นน่ะช่างเหอะครับ ว่าแต่พี่เถอะ ทำไมถึงไม่ตามแฟนพี่ไป”

“ก็นั่นสินะ........” พี่จ๊อบหัวเราะแล้วยักไหล่ “อาจจะเป็นเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่พี่จะทำอะไรได้ก็ได้มั๊ง ก็บอกไปแล้วไงว่านัทน่ะเค้าก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่พอมารู้เข้าจริงๆก็คงจะทำใจลำบากอยู่หน่อยล่ะนะ ก็คนที่ตัวเองเคยคบเคยมีอะไรด้วยดันกลายเป็นเกย์ไปซะอย่างนั้นนี่ ความผิดพี่ซะเมื่อไหร่”

“พี่จะพูดยังไงก็เรื่องของพี่นะครับ” ผมหันไปเผชิญหน้ากับพี่จ๊อบ “พี่จะหาว่าเป็นความผิดของผมหรือไอ้เมฆก็ได้ แต่ว่าผมสองคนรักกัน เราไม่เคยคุยกันว่าเราเป็นเกย์ เพราะเราต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนๆกันทั้งคู่ และเผลอๆผมคิดว่าเราเป็นผู้ชายที่มีความเป็นลูกผู้ชายมากกว่าคนบางคนในที่นี้อีกด้วยซ้ำ” ผมจ้องตาเขานิ่ง และตอนนี้รอยยิ้มของพี่จ๊อบก็หายไปแล้ว “เราก็เป็นแค่ผู้ชายสองคนที่บังเอิญรักกันและแคร์ความรู้สึกของกันและกันมาก และนั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่เราเพิ่งบอกเพื่อนทุกคนไปในวันนี้”

ผมกับพี่จ๊อบมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะกลับฉายขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง

“ก็ดีครับ รักกันให้ได้นานๆก็แล้วกัน” เขาพูดพร้อมกับเดินจากไป

ผมมองพี่จ๊อบเดินหายไปยังทิศที่นัทกับเมฆเดินไป ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเดินตามไปด้วยอีกคนเหมือนกัน แต่ว่าถ้าทำแบบนั้นมันก็จะเท่ากับผมตามไปเป็นคนที่สี่ และยังเป็นคนนอกที่สุดอีกด้วย มันอาจจะไม่ใช่สถานการณ์เหมาะสมที่ผมจะเข้าไปยุ่งด้วยสักเท่าไหร่ คงต้องรอดูว่าถ้าอีกห้านาทีเมฆยังไม่กลับมา ผมก็คงต้องออกไปตามหาเพื่อดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยตัวเองซะแล้ว

“เป็นไงมั่งวะ ซัน มึงโอเครึเปล่า” ไอ้วิทกับไอ้แบ๊งค์เดินเข้ามาหาผม

“ก็โอเค ทำไมมึงถามอย่างนั้นวะ” ผมตอบกลับไปพร้อมกับอดสังเกตสีหน้าท่าทางของแบ๊งค์ไปด้วยไม่ได้

“ก็กูเห็นและได้ยินที่มึงกับพี่จ๊อบคุยกันเมื่อกี๊นิดหน่อยว่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วมึงคุยอะไรกันแน่ ก็เลยเป็นห่วงน่ะ ดูเหมือนจะตึงเครียดน่าดูเลยนี่”

“ไม่มีอะไรหรอก ไอ้วิท กูไม่ทำอะไรบ้าๆกลางวงเหล้าแบบนี้หรอก และที่สำคัญ มันเองก็ไม่กล้าทำอะไรด้วยเหมือนกันหรอกกูรู้ มันแค่พูดจากวนตีนนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“นี่มึงไม่ถูกกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย ดูท่าทางเหมือนมึงจะตั้งป้อมใส่มันเต็มที่แล้วนะ”

“ตั้งแต่แรกที่เจอกันเลย กูว่ามันพูดจากวนตีนว่ะ บุคลิกมัน ท่าทาง น้ำเสียง แล้วก็รอยยิ้มมันด้วย กูไม่ชอบ มันดูเหมือนกับว่ามันมีเจตนาไม่ดีๆมาที่กูกับไอ้เมฆอยู่ตลอดเวลา ดูมันจงใจกวนตีนอย่างไร้เหตุผล กูก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจงใจหาเรื่องหรือนิสัยมันเป็นแบบนั้นของมันเอง และนี่ถ้าอีกห้านาทีไอ้เมฆไม่กลับมา กูก็คงจะออกไปตามแล้วเนี่ย”

“เออ เท่าที่กูรู้นิสัยมันก็เป็นแบบนั้นด้วยแหละ แต่ปกติเท่าที่พวกกูเจอมามันก็จะเงียบๆไม่ค่อยมาสุงสิงอะไรกับพวกกูมากนักนะ” ไอ้วิทพูดพลางทำท่าครุ่นคิด “ถ้ายังไงมึงก็ใจเย็นๆก็แล้วกัน มีอะไรก็เรียกก็บอกพวกกูได้ พวกกูจะได้มาช่วยเป็นไม้กันหมาให้ อ้อ แล้วก็นี่ แหวนของพวกมึงสองคน” วิทพูดพร้อมกับล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นแหวนของเราสองคนออกมาให้ผม “ไอ้เมฆวานให้กูไปหยิบมาจากบ้านมึงให้เมื่อครู่ใหญ่ๆนี้ เพราะมันกะไว้แล้วว่ามันคงไม่มีเวลากลับไปหยิบเองแน่ๆ แต่แค่นี้มึงก็ไม่ต้องถอดมันเพื่อหลบใครแล้วนะ บางทีกูว่าเราต้องขอบใจไอ้ป๋อมมันว่ะ เพราะความทะลึ่งของมันเลยทำให้มึงมีโอกาสดีๆได้พูดไปแบบนั้นน่ะ”

“เออ จริงของมึง มันก็เป็นแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นะ” ผมหัวเราะเบาๆพร้อมกับรับแหวนมาถือเอาไว้

“ยินดีด้วยว่ะ ซัน กูก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน” แบ๊งค์พูดขึ้นเมื่อไอ้วิทขอตัวเดินจากไปแล้ว “เมื่อกี้กูเห็นแหวนแล้ว สวยมากเลยว่ะ มึงสองคนนี่โชคดีจริงๆนะ”

“อืม ขอบใจ” ผมตอบกลับไปสั้นๆ พร้อมกับสวมแหวนของตัวเองเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายเหมือนเดิม

“ไม่รู้กูจะมีวันได้โชคดีเหมือนไอ้เมฆมันมั่งรึเปล่าว่ะ แต่สงสัยจะฟาวล์” แบ๊งค์พูดพร้อมกับถอนหายใจ

“ทำไมต้องเหมือนไอ้เมฆวะ” ผมถามทั้งๆที่คิดว่ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“มึงเอง..........” แบ๊งค์หันมาสบตากับผม “ก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วนี่ หวังว่ามึงคงยังไม่ลืมนะว่าเราสองคนเคยสนิทกันมากแค่ไหนน่ะ”

“เออ กูไม่ลืมหรอก” ผมเบือนหน้าหนีก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “แต่ตอนนี้กูขอไปตามไอ้เมฆก่อนนะ เป็นห่วงมันว่ะ”

เมื่อพูดจบ ผมก็วางแก้วแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ผมเดินไปยังหน้าชายหาดแล้วเลี้ยวไปทางขวาตามทิศที่นัท เมฆ แล้วก็ไอ้พี่จ๊อบเดินหายไป และเมื่อผมเดินไปได้สักพัก ผมก็เห็นกลุ่มคนสี่ห้าคนหรือมากกว่านั้นอยู่เบื้องหน้าในความมืด ภาพของเหตุการณ์เมื่อคืนมันฉายซ้ำกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งโดยอัตโนมัติทันที ผมรู้สึกว่าเลือดในกายมันเริ่มเย็บเฉียบ และขาของผมก็เริ่มออกวิ่งจนเต็มกำลัง จนเมื่อผมเข้าไปใกล้กลุ่มคนกลุ่มนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมถึงได้ยินเสียงร้องที่ผมจำได้ดีดังขึ้นมา

“เมฆ!!” เสียงของนัทกรีดร้องขึ้น และมันก็ทำให้หัวใจของผมแทบหยุดเต้น เมื่อหนึ่งในกลุ่มคนตรงหน้านั้นกำลังทรุดตัวลงไปนอนกองอยู่บนพื้น

“ไอ้เมฆ!!!” ผมร้องออกมาสุดเสียงพร้อมกับเร่งฝีเท้าขึ้น ในใจก็ภาวนาขออย่าให้สิ่งที่ผมคิดเป็นจริงเลย


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-11-2007 23:55:58
 :a5: มากัน 5 คน เมฆจะรับมือไหวเรอะ  :a5: 
ดูท่าทางแล้ว ปัจจัยที่ทำให้เมฆห่างจากซัน ต้องไม่มีแค่สภาพแวดล้อม แล้วก็มือที่สามแน่  :m17: (หรือเราจะคิดมากไปเองวะ  :try2:)
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 16-11-2007 08:29:44
อือ เมฆจะเป็นอะไรหรือเปล่า :m5: :m5: :m5:


หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 16-11-2007 14:09:09
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 16-11-2007 19:40:34
ตามอ่านทันแล้วว เย้ ๆ  :m4:

เมฆจะเป็นอะไรรึเปล่า  หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ  แหวนก็ยังอยู่ที่ซัน  :m5:
หัวข้อ: Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: sun ที่ 16-11-2007 20:44:31
ตามอ่านทันแล่ว....

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกส์    :serius2:

เกิดอะไรขึ้น งึ่มๆ ง่ำๆ     :m16:

ดูท่า.... เรื่องของเมฆ กับ ซัน...จะกลายเป็นเรื่องของคนหลายคนไปซะแล่ะ

ดูท่า จะไม่ สงบเงียบ เรียบง่ายแล่ะล่ะ เหอๆ  น่ากลัวเจงๆ    :undecided:
หัวข้อ: Re: |[ 5 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: eyukiz ที่ 17-11-2007 11:48:41
 :o :o :o

เฮ้ย!!! เกิดไรขึ้นอ่ะเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: |[ 5 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-11-2007 21:02:54
ตอนที่ 6


เมื่อนัทได้ยินเสียงของผม เขาก็หันมาหาผมพร้อมกับพยายามจะวิ่งเข้ามาหาผมด้วย แต่ว่ามือของนัทก็กำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งจับเอาไว้อยู่ นัทร้องเรียกให้ผมช่วยพร้อมกับพยายามดิ้นอย่างสุดแรง จนเมื่อผมวิ่งเข้าไปใกล้ที่นั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงเห็นว่ามีผู้ชายสองคนกำลังนอนกองอยู่บนพื้น ส่วนผู้ชายอีกสี่คนรวมกับคนที่กำลังจับข้อมือของนัทอยู่ด้วยล้วนแต่ก็มีท่อนไม้และท่อนเหล็กถืออยู่ในมือทุกคน ส่วนคนที่กำลังยืนมือเปล่าอยู่เพียงคนเดียวนั่นก็คือ ไอ้เมฆ

“เมฆ มึงเป็นอะไรรึเปล่า” ผมร้องขึ้นด้วยความโล่งอกปนความกังวลกับเหตุการณ์ตรงหน้า

แต่เมฆก็ไม่ตอบ มันรีบพุ่งตัวเข้าไปหาคนที่จับข้อมือของนัทอยู่พร้อมกับเตะเข้าที่ข้อพับขาของหมอนั่น และเมื่อมันทรุดตัวลงแล้วไอ้เมฆก็เตะเข้าที่ข้อมือที่กำลังถือท่อนไม้อยู่ ทำให้อาวุธเพียงหนึ่งเดียวของมันหลุดกระเด็นไป จากนั้นเมฆก็เตะเข้าที่มือข้างที่จับแขนของนัทอยู่อย่างรวดเร็วอีกครั้ง ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก ไอ้เมฆเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่ยอมเสียเวลาในแต่ละวินาทีไปอย่างไร้ค่าเลย จนเมื่อมือของนัทถูกปล่อยเป็นอิสระ คนอีกสามคนที่ยังคงมีอาวุธอยู่ครบมือก็พุ่งเข้าหาไอ้เมฆพร้อมๆกันทันทีกับที่ไอ้เมฆเตะเสยคางเข้าที่ปลายคางของไอ้หมอนั่นเป็นครั้งสุดท้าย

ผมรีบกระโจนพุ่งเข้าไปถีบใส่สีข้างของหนึ่งในนั้นได้ทันพอดี ส่วนเมฆก็กลิ้งตัวหลบลงบนพื้นทรายทัน ทำให้รอดจากการถูกรุมตีและสามารถลุกขึ้นมาตั้งหลักได้อีกครั้ง

“นัท รีบไปตามคนมาช่วย เร็ว!” เมฆร้องตะโกนบอกนัทพร้อมๆกับจังหวะที่ชันตัวลุกขึ้นยืน “ไอ้ซัน ระวัง!”

ผมรีบก้มตัวลงต่ำทันทีที่ได้ยินเสียงร้องเตือนของเมฆ ทำให้หลบท่อเหล็กที่ถูกเหวี่ยงหมายจะฟาดเข้าที่หัวของผมได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และเมื่อผมได้ยินเสียงเท้าของนัทวิ่งออกไป ในที่นี้จึงเหลือเพียงผมกับเมฆสองคนยืนเผชิญหน้าอยู่กับผู้ชายมีอาวุธสี่คน เพราะคนที่ถูกเมฆเตะไปเมื่อครู่นี้มันฟื้นตัวขึ้นมาพอดีแล้ว ส่วนอีกสองคนที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นนั้นท่าทางจะมีอะไรสักอย่างในร่างกายหักไปคนละส่วนสองส่วนแล้วแน่ๆ

“มึงปลอดภัยดีรึเปล่า” ผมถามเมฆ

“ดีกว่าไอ้สองคนนั้นแน่ๆล่ะ” เมฆตอบกลับมาพร้อมเสียงหอบ ทำให้ผมรู้ว่านี่มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ

แต่ผมก็ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เพราะสิ่งถัดมาที่ผมรู้ก็คือคนสองคนที่พุ่งเข้ามาหาผมพร้อมกับเงื้ออาวุธของมันขึ้นสูง ผมจำหนึ่งในนั้นได้ทันที มันเป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้ามาทำร้ายพี่แอมป์เมื่อคืนนี่เอง และนี่ก็ทำให้ผมเริ่มเข้าใจอะไรๆมากขึ้นแล้วว่าทำไมเราถึงได้ถูกดักทำร้ายแบบนี้อีกครั้ง

ผมรีบเอี้ยวตัวหลบพร้อมกับก้มหยิบทรายขึ้นมาปาใส่หน้าของทั้งสองคน ทำให้ทั้งคู่ต้องคลายอาวุธทิ้งลงบนพื้นพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมดวงตาเอาไว้อย่างเจ็บปวด ผมจึงรีบฉวยโอกาสหยิบท่อนไม้ท่อนหนึ่งนั้นขึ้นมาแล้วก็เหวี่ยงไปที่ต้นขาของทั้งสองคนทันที ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะฟาดลงที่ต้นคอหรอกนะ แต่ถ้าทำแบบนั้นมันก็อาจจะถึงตายได้ และไอ้เมฆก็เคยบอกผมเอาไว้ว่าไม่ควรจะทำอย่างนั้นนอกเสียจากจะจวนตัวจริงๆ ผมจึงเลือกฟาดลงไปที่ต้นขาและที่ข้อเท้าเพียงเพื่อที่จะสร้างความเจ็บปวดและหยุดการเคลื่อนไหวเท่านั้นพอ

ทั้งสองคนที่พุ่งเข้ามาหาผมเมื่อครู่นี้ล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นพร้อมกับเสียงร้องโอดครวญเพราะความเจ็บปวด ผมเหวี่ยงไม้ซ้ำลงไปที่ข้อเท้าข้างที่ยังดีอยู่ของทั้งสองคนอย่างแรงอีกครั้ง เพื่อเป็นการย้ำว่าพวกมันจะไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้อย่างแน่นอน จากนั้นผมก็เขวี้ยงไม้ทิ้งลงบนพื้นพร้อมกับหอบหายใจเบาๆเพราะความเหนื่อยและความตื่นเต้นจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น และเมื่อผมหันไปหาไอ้เมฆ ผมก็เห็นว่ามันกำลังหมุนตัวยกผู้ชายคนหนึ่งลอยขึ้นจากพื้น แต่เนื่องจากการใช้ข้อศอกดันเอาไว้ในตำแหน่งที่อันตราย ทำให้เมื่อตัวของผู้ชายคนนั้นลอยสูงขึ้นและถูกทุ่มลงบนพื้น เสียงดังกร๊อบของกระดูกที่แตกออกก็ดังลั่นออกมาพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ส่วนผู้ชายอีกคนก็นอนหมดสติไปแล้วอยู่ไม่ไกลนั่นเอง

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบลง นอกเหนือจากเสียงร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวดของคนที่นอนกองอยู่บนพื้นแบบไม่หมดสติทั้งสามคน ผมยังสามารถได้ยินเสียงหอบของไอ้เมฆได้อย่างชัดเจนอีกด้วย

“เมฆ มึงเป็นอะไรรึเปล่า” ผมรีบวิ่งเข้าไปพยุงมันเอาไว้ในวงแขน ไอ้เมฆทิ้งน้ำหนักตัวลงมาพิงผมทันที

“แม่งมากันเยอะว่ะ แถมมาแบบไม่ได้ตั้งตัวด้วย” เมฆตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่ทว่าเสียงหอบนั้นกลับยิ่งดังยิ่งขึ้น

“เมฆ มึงเป็นอะไร มึงเจ็บตรงไหน” ผมร้องถามด้วยความตกใจ และทันใดนั้นเองตาของผมก็เหลือบไปเห็นว่ามือข้างขวาของมันกำลังกุมอยู่ที่บริเวณสีข้างข้างซ้ายของตัวเอง

ผมเหลือบไปเห็นว่าสองคนในนั้นกำลังพยายามจะลุกขึ้นหนี แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยให้มันหนีไปได้ง่ายๆแน่ อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่คราวนี้

“มึงจะไปไหน!” ผมตะโกนพร้อมกับผละออกมาจากไอ้เมฆแล้วกระทืบลงบนตัวของทั้งสองคน นอกจากนั้นยังหยิบไม้ที่วางอยู่บนพื้นฟาดลงไปบนหลังของคนพวกมันซ้ำด้วย เพื่อกันไม่ให้มันขยับตัวได้อีก “คราวนี้พวกมึงติดคุกแน่ ไม่ต้องหวังว่าจะรอดเหมือนเมื่อคืนเลยนะ ไอ้พวกสวะ!”

“ไอ้เมฆ ไอ้ซัน!” เสียงร้องของไอ้วิทดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของผม

“ไอ้วิท มึงมาเร็ว ไอ้เมฆเจ็บ” ผมโยนไม้ลงบนพื้นแล้วร้องตอบกลับไป จากนั้นก็วิ่งเข้าไปพยุงไอ้เมฆเอาไว้อีกครั้ง

นอกจากไอ้วิทแล้ว คนอื่นๆก็วิ่งตามมากันเกือบจะครบทุกคนเลยด้วย รวมทั้งไคล์และอาร์มก็มาด้วย ยกเว้นเพียงแค่พวกผู้หญิงเพียงบางคนเท่านั้นเอง

“นี่มันเกิดเหี้ยอะไรขึ้นวะ อย่าบอกนะว่าเหมือนกับเมื่อวานน่ะ” ไอ้วิทพูดพลางวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา และเมื่อมันมาถึงตรงที่เกิดเรื่อง มันก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ

“ไอ้พวกเหี้ยนี่มันก็กลุ่มเดียวกับเมื่อคืนนี่แหละ สงสัยแม่งมาแก้แค้น เชี่ยเอ๊ย เมื่อกลางวันกูก็นึกเอะใจอยู่แล้วเชียว พวกมึงทุกคนฟังกูนะ กูจะพาไอ้เมฆกลับไปที่บ้านก่อน ส่วนพวกมึงแจ้งตำรวจ มัดพวกแม่งไว้ อย่าให้มันหนีไปไหนได้”

เมื่อผมพูดจบ ไอ้วิทก็เริ่มสั่งการแจกจ่ายงานให้เพื่อนคนอื่นๆต่อทันที

“กูไม่เป็นอะไร ซัน” เมฆพูดขึ้นด้วยเสียงหอบพร้อมกับพยายามจะเดินด้วยขาของตัวเอง แต่มือของมันก็ยังคงกุมอยู่ที่สีข้างที่เดิมอยู่ “ว่าแต่นัทเป็นยังไงบ้าง”

“มึงเอาแผลมาให้กูดูเดี๋ยวนี้ ใครก็ได้เอาไฟฉายมาให้กูซิ” ผมรับไฟฉายมา จากนั้นก็ส่องไปยังบริเวณที่ไอ้เมฆกำลังกุมอยู่ และสิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมทั้งตกใจและก็โมโหมาก เพราะว่าผมเห็นเลือดกำลังซึมออกมาจากเสื้อเชิ้ตสีเขียวแก่ของมันอยู่ และนอกจากนั้นเลือดก็ยังคงไม่หยุดไหลเลยด้วย “ไอ้เมฆ มึงเลือดออกด้วย ไอ้พวกเหี้ยนั่นมันทำอะไรมึง!”

“โดนมีดว่ะ เฉี่ยวๆ แต่ก่อนนั้นเสือกโดนไม้ทุบเข้าไปเต็มๆเลย แผลเดิมด้วย ก็เลยจุกๆ......”มันหัวเราะแหะๆ “เฮ้ย ตกลงนัทเป็นไงบ้าง ตอนนี้เค้าอยู่ไหน”

“มึงไม่ต้องมาทำเป็นขำเลย ไอ้สัตว์นี่ เลือดหยดเป็นก็อกรั่วเลย ไม่ใช่น้อยด้วยนะมึง ส่วนนัทก็คงรออยู่ที่บ้านนั่นแหละ มึงไม่ต้องกังวลไปหรอก เอ้า กูให้มึงเลือกแค่สองอย่าง ข้างหน้ากับข้างหลัง มึงจะเอายังไง เพราะกูไม่ให้มึงเดินเองแน่นอน”

“เอ่ออ....... กูเดินไหวนะซัน กูอายเขาว่ะ”

“พูดมาก งั้นกูช้อนขึ้นหน้าเลยนะ” ผมก้มตัวลงไปทำท่าจะกวาดมือ แต่ไอ้เมฆก็รีบร้องห้ามซะก่อน

“เดี๋ยวๆๆ งั้นขึ้นหลังก็ได้ กูยังไม่ใช่เจ้าสาวมึงนะ”

“ดี ว่าง่ายๆซะก็จบ” ผมหันหลังให้ไอ้เมฆ จากนั้นก็มันก็ขึ้นคร่อมบนตัวของผม เมื่อไอ้เมฆเกาะแน่นดีแล้ว ผมก็อดหันไปถามมันด้วยวามเป็นห่วงอีกครั้งไม่ได้ “เจ็บรึเปล่า กระแทกหรือกระเทือนมั๊ย”

“เจ็บนิดหน่อย แต่ก็คงดีกว่าเดินเองมั๊ง เพราะถึงไงมึงก็ไม่ให้กูเดินเองอยู่แล้วนี่”

“ดี เฮ้ยนี่ พวกมึง” ผมหันไปหาเพื่อนๆคนอื่นๆ “ดูแลตรงนี้ด้วยนะ กูพาไอ้เมฆไปทำแผลก่อน และถ้ามีอะไรให้ติดต่อไปที่มือถือกูเลย อย่าให้พวกมันหนีไปได้นะเว้ย” ผมกำชับ

“เออๆ ไม่มีปัญหา มึงรีบๆไปดูแลมันเหอะ” ไอ้กอล์ฟตอบกลับมา

“อาร์ม กลับไปหาพี่แอมป์ซะนะครับ แล้วก็บอกพี่เขาด้วยเรื่องนี้น่ะ จะได้ให้ตำรวจเขาจัดการเรื่องเมื่อคืนไปด้วยเลยทีเดียว” ไอ้เมฆพูดขึ้น

“พวกผู้หญิงก็เหมือนกัน กลับไปกับกูเลย ตรงนี้ให้พวกผู้ชายจัดการ ส่วนไคล์ มากับพี่เถอะ อยู่ไปก็ไม่ได้อะไร มานี่จะได้ช่วยคุยกับพ่อไอ้เมฆด้วยว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“โอเคครับ”

“เดี๋ยวก่อน ไอ้ซัน ไอ้เมฆ” เพื่อนของเราคนหนึ่งทักขึ้น “นี่พวกมึงสองคนจัดการกันเองหมดนี่เลยเหรอวะ เจ็บสอง แขนหักหนึ่ง กับสลบสามแบบไม่รู้อาการนี่นะ”

“สองคนที่นอนใกล้ๆกันนั่นแขนขวาหักทั้งคู่ แต่คนทางซ้ายไหล่ซ้ายหลุดด้วย ระวังไอ้คนที่เลือดกลบปากนั่นหน่อยก็แล้วกัน ส่วนอีกคนที่นอนน้ำลายยืดอยู่นั่นไม่มีอะไรหัก ปลอดภัยดี อีกไม่นานก็คงฟื้น ส่วนไอ้ตัวแขนหักที่ไม่ได้สลบนั่นคงจะจุกไข่มันด้วยว่ะ เวลาเคลื่อนย้ายพวกมันก็ระวังๆหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวอาการมันจะแย่ไปมากกว่านี้” ไอ้เมฆตอบ

“อย่างที่มันว่านั่นแหละ ของกูแค่สองว่ะ ข้อเท้าคงจะเจ็บหน่อย แตกมั๊ยไม่รู้ ก็ไอ้สองตัวที่กำลังก้มหน้าอยู่นั่นแหละ ส่วนที่เหลือไอ้เมฆแม่งเล่นหมดคนเดียวเลย”

“เมฆ กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ.......” ไอ้กอล์ฟพูดขึ้นแบบทึ่งๆ

“เออๆ กูฝากพวกมึงด้วยนะ เดี๋ยวไอ้เมฆมันจะเลือดหมดตัวตายซะก่อน” ผมบอกทุกคน จากนั้นก็เดินพาไอ้เมฆกลับมาที่บ้าน และเมื่อผมวางไอ้เมฆลง เราสองคนก็ถูกรุมกันยกใหญ่ โดยเฉพาะนัทกับพี่แอมป์ที่จะดูมีอาการมากกว่าใครเพื่อน นัทนั้นก็คงจะเป็นห่วงเมฆมากอยู่แล้ว ส่วนพี่แอมป์ก็เอาแต่พูดว่าเป็นความผิดของพี่เขาเองอยู่ตลอด

“กูไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงหรอก” ไอ้เมฆพูดพร้อมกับถอดเสื้อของตัวเองออก ผมเห็นสีหน้าของมันตอนเหยียดแขนแล้วก็รู้เลยว่ามันคงจะเจ็บไม่เบาแน่

“ซี่โครงหักรึเปล่า” ผมถาม

“ไม่หัก ไม่ถึงขนาดนั้น คงแค่ช้ำน่ะ กับเจ็บจี๊ดๆตึงๆตรงแผลมีดเนี่ย”

“จี๊ดเหี้ยอะไร เลือดยังไม่หยุดไหลเลย” ผมสบถเบาๆพร้อมกับเอาผ้าสะอาดมาปิดแผลเอาไว้

“แผลไม่ลึกมากนะ แต่ก็ดูไม่ใช่ตื้นๆเล็กๆเลยนะเมฆ นี่มันไม่ใช่แค่เฉี่ยวหรือเฉียดๆแล้ว กูว่ามึงไปหาหมอเหอะ” อีฟพูดขึ้นพร้อมกับเสียงตอบรับแสดงความเห็นด้วยของทุกคน

“เมฆ นัทว่าเมฆไปหาหมอเถอะนะ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่านะเมฆ”

“ก็ได้......” ไอ้ตัวดีตอบพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “งั้น ซัน เราไปกันเถอะ ทุกคนฝากจัดการเรื่องที่นี่ด้วยนะ ถ้ามีอะไรก็โทรบอกไอ้ซันมันก็แล้วกัน กูขอโทษด้วยจริงๆที่ทำให้หมดสนุกกัน”

“มึงไม่ต้องมาทำปากดี ไอ้เมฆ รีบๆไปเลย เดี๋ยวกูจะไปกับมึงด้วย” อีฟพูด

“กูขับรถให้ เอารถตู้กูไปก็แล้วกัน จะได้นั่งสบายหน่อย” แบ๊งค์พูดขึ้นบ้าง

“ให้นัทไปด้วยนะ เมฆ”

“โอเค พอเลย เท่านี้พอ ใครจะไปกูก็ไม่ว่าหรอกนะ รู้ว่าเป็นห่วงมัน แต่อย่าให้มันหลายคนเกิน ไอ้เมฆมันไม่แย่ขนาดใกล้จะตายสักหน่อย กูอยากให้มีคนอยู่โยงทางนี้ด้วย ส่วนพี่แอมป์ครับ ผมรบกวนฝากพี่เคลียร์กับตำรวจตรงนี้ด้วยนะ”

พี่แอมป์พยักหน้าตอบ จากนั้นเราทุกคนก็ขึ้นรถตู้ของไอ้แบ๊งค์ไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลรอไอ้เมฆทำแผลและตรวจร่างกาย ผมก็คอยรับโทรศัพท์จากเพื่อนๆของเราอยู่เรื่อยๆ ในตอนแรกสำหรับตัวผมเอง เรื่องทุกอย่างก็เกือบจะออกมาเหมือนเดิมแล้ว นั่นก็คือผมกับเมฆคิดจะไม่แจ้งความเอาเรื่องไอ้เศษขยะพวกนั้น เพราะไม่อยากจะให้มันเป็นเรื่องวุ่นวายและขี้เกียจคอยตอบคำถามตำรวจด้วย แต่ทว่าก็โดนอีฟ นัท และไคล์กดดันจนผมต้องยอมคุยกับตำรวจอีกครั้งหนึ่ง ทำให้คราวนี้ไอ้หกเจ็ดคนนั่นเจอข้อหาหนักยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมซะอีก

“แต่ผมข้องใจอยู่อย่างนึงนะครับ” ผมพูดกับพี่จ๊อบที่มาพร้อมกับเราด้วยเมื่อนัทกับอีฟไปเข้าห้องน้ำ และถึงแม้แบ๊งค์กับไคล์จะยืนอยู่ไม่ไกลจากเรานัก แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอยู่แล้ว “พี่หายไปไหนมา ผมเห็นพี่เดินตามเมฆกับนัทไป แต่ทำไมตอนผมวิ่งตามไปอีกแค่ไม่กี่นาทีให้หลังพี่ถึงไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้วล่ะ”

“พี่ไม่ได้ตามสองคนนั้นไปน่ะ พอเดินไปได้หน่อยนึงแล้วพี่ก็เดินกลับไปที่รถของตัวเองเลย”

“แปลกนะครับที่ผมไม่เห็นว่าพี่เดินกลับมาตอนไหนเลยน่ะ”

“พี่ก็แค่เดินเลี่ยงสายตาคนอื่นไปหน่อยเท่านั้นเอง แต่พอพี่กลับมาที่หน้าบ้านก็เห็นนัทวิ่งหน้าตาตื่นกลับมาแล้วก็โวยวายใหญ่ พี่ก็เลยคอยปลอบเขาให้สงบๆลงน่ะ ทำไมเหรอ”

“นั่นมันก็ดีครับ นัทเองก็คงตกใจมาก แต่ผมกลับหลงคิดไปว่าพี่คงจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วเกิดกลัว ก็เลยหลบหนีเข้าป่าข้างทางไปซะอีก เพราะที่ขากางเกงกับที่เสื้อพี่มันมีเศษกิ่งไม้ใบไม้ติดอยู่น่ะ เพราะว่าถ้าเดินแค่ที่ชายหาดอย่างเดียวมันก็ไม่ควรที่จะมีของพวกนั้นติดอยู่ใช่มั๊ยล่ะ” ผมหันไปสบตากับเขาและคราวนี้สีหน้าของเขามันก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าการสันนิษฐานของผมถูกต้อง

“สงสัยมันจะติดมาตอนพี่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้มั๊ง” พี่จ๊อบรีบปัดเศษกิ่งไม้เหล่านั้นออก

“ก็เป็นได้ครับ.......... แต่มันก็เหมือนที่ผมพูดไปใช่มั๊ยล่ะ ว่าไอ้เมฆน่ะ มันเป็นลูกผู้ชายจริงๆ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปากเพราะความสมเพชในตัวของผู้ชายคนนี้จริงๆ

สุดท้ายบทสนทนาของเราก็ต้องจบลงเมื่อนัทกับอีฟเดินกลับมาจากห้องน้ำ แต่ผมก็ไม่ได้คิดอยากจะต่อความยาวสาวความยืดกับคนแบบนี้อยู่แล้วล่ะ ถึงจะโกรธที่มันทิ้งให้แฟนและเพื่อนของผมต้องตกอยู่ในอันตรายโดยไม่ลงมือทำอะไร แถมแฟนของมันกำลังได้รับอันตรายแท้ๆมันยังไม่กล้าจะเข้าไปช่วยเลย แต่ถึงจะโมโหไอ้คนพรรค์นี้ไปก็คงจะไร้ค่าและเสียเวลาเปล่าๆ

เมื่อเรื่องราวทุกอย่างในคืนอันแสนวุ่นวายนี้จบลง ผลที่ออกมานั้นก็คือไอ้เมฆเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ และมีดก็ไม่ได้เฉี่ยวไปอย่างที่มันบอกเลย แต่เฉือนเข้าไปเต็มๆเลยต่างหาก ยังดีที่มันเบี่ยงตัวหลบทัน หมอแนะนำให้มันนอนโรงพยาบาลหนึ่งคืน แต่เจ้าตัวยืนกรานไม่ยอม พ่อของไอ้เมฆก็เป็นห่วงลูกชายอย่างที่คาด แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงของไอ้เมฆแล้วเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะ ส่วนไอ้คนร้ายทั้งหมดก็ถูกตำรวจจับยัดใส่กรงขัง รวมถึงไอ้คนที่แขนหักเมื่อคืนและวันนี้ไม่ได้โผล่หน้าออกมาร่วมก๊วนกับเขาก็ไม่รอดด้วยเช่นกัน


หัวข้อ: Re: |[ 5 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-11-2007 21:03:30

เมื่อเรากลับมาถึงที่ชายหาดอีกครั้งก็เป็นเวลาราวๆเกือบห้าทุ่มแล้ว ซึ่งจะว่าดึกแล้วมันก็ใช่ แต่ถ้าจะบอกว่าดึกเกินไปที่จะทำให้งานเลี้ยงต้องเลิกรามันก็ยังไม่ใช่อีก ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงลงความเห็นทำตามคำขอร้องของไอ้เมฆที่ว่าให้ดื่มให้กินกันต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะดีกว่า เพราะไอ้เมฆบอกว่ามันไม่อยากทำให้เพื่อนๆต้องหมดสนุกกันเพราะการที่มันต้องมาเจ็บตัวนิดหน่อยนี่

“นิดหน่อยกับผีอะไรวะ ไอ้เมฆ เมื่อคืนกูบอกมึงแล้วใช่มั๊ยว่าถ้าไอ้ที่มึงโดนที่ชายโครงนั่นมันไม่ใช่แค่หมัดแต่เป็นมีดหรืออย่างอื่นน่ะจะเป็นยังไง แล้วดูซิ ดูวันนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ผมพูดขณะที่กำลังนั่งรอเพื่อนๆเริ่มอุ่นเริ่มทำอาหารขึ้นอีกครั้ง

“กูขอโทษจริงๆ ตอนนั้นมันเกิดขึ้นไวมากน่ะ กูแทบไม่รู้ตัวเลย เพราะตอนนั้นกูก็แค่เดินตามนัทไป กะว่าจะคุยกับเค้า แล้วจู่ๆไอ้พวกเหี้ยนั่นก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้แล้วก็ฟาดกูเข้าให้เลย”

“มึงเล่าให้กูฟังอีกทีได้มั๊ยวะ ตกลงตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ใช่ๆ พวกกูก็อยากรู้เหมือนกัน ไอ้เมฆ เอาทั้งหมดเลยนะเว้ย” เสียงของไอ้วิทดังขึ้น เมื่อเราสองคนเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นทั้ง วิท ป๋อม กอล์ฟ ไคล์ และอีฟเดินเข้ามาหาเรากันครบเลยทีเดียว

“เออๆ ก็ได้ แต่กูเล่าครั้งเดียวนะ กูไม่เล่าให้เพื่อนคนอื่นๆฟังอีกแล้วนะเว้ย พวกมึงไปเล่าต่อกันเองก็แล้วกัน”

“เออ กูจัดการเรียบร้อยแล้ว กูบอกพวกมันตั้งแต่ตอนมึงอยู่โรงบาลแล้วว่าอย่าไปเซ้าซี้มึงกับนัทมากนัก”

“ว่าแต่นัทอยู่ไหน”

“อยู่กับพี่จ๊อบในบ้าน เดี๋ยวก็คงออกมาน่ะ มึงไม่ต้องห่วงหรอก มันสบายดี เมื่อกี๊กูไปคุยกับมันมา มันก็คงมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ มันยังคิดเลยนะว่าที่มึงเจ็บตัวแบบนี้น่ะเป็นความผิดของมัน” อีฟตอบ

“ก็ไม่ใช่ความผิดเขาหรอก กูผิดเองแหละที่ประมาท”

“ตกลงมึงจะเล่าได้รึยัง ไอ้ตัวดี กูชักจะโมโหแล้วนะเนี่ย” ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

“ใจเย็นๆดิ่ ซัน คือตอนแรกเลยพอนัทเขาเดินไปใช่มั๊ยล่ะ กูก็เดินตามไปอย่างที่มึงบอก แต่พอกูเรียกเค้า เค้าก็ไม่หยุด แต่ก็ไม่ได้วิ่งหนีหรืออะไรหรอกนะ ตรงกันข้าม เค้าก็แค่บอกว่าแสดงความยินดีด้วยนะ ในที่สุดก็พูดออกมาได้สักทีอะไรประมาณนั้นน่ะ แต่พูดไปก็เดินหนีกูไป ไม่ยอมมองหน้ากูเลย จนเราไปไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ กูก็เลยคว้าข้อมือเค้าไว้ แล้วตอนนั้นแหละที่กูรู้สึกว่ามีคนโผล่มาจากด้านหลังแล้วเอาของแข็งมาฟาดกูที่แผลเดิม” ไอ้เมฆชี้ไปที่บริเวณผ้าพันแผล “แม่งจุกมากอ่ะ แต่มันน่าแปลกไงที่ปกติมันน่าจะทุบหัวหรือทุบหลังกู แต่นี่มันเหมือนกับจงใจเล่นงานแผลเก่ากู กูก็เลยค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นไอ้พวกเมื่อคืนแน่ๆ และถ้ามันมาแก้แค้น กูก็คิดว่าหนนี้มันคงต้องมากันเยอะแน่ กูโชคดีที่กูไม่ล้ม แค่เซ แล้วก็เลยหันกลับไปคว้าแขนมันมาหักทิ้งได้ทันก่อนที่มันจะฟาดซ้ำ แล้วก็เตะก้านคอมันจนมันหลับไป ปากกูก็บอกให้นัทวิ่งนะ แต่ก็ไม่ทันว่ะ ตอนนั้นแหละที่กูโดนล้อมด้วยผู้ชายห้าคนแถมถืออาวุธกันครบเลยด้วยแล้ว”

“แล้วมึงรอดมาได้ไงวะ ไอ้เมฆ ทำไมมึงไม่โดนมันทุบตายไปแล้ววะเนี่ย”

“ไอ้เหี้ย! นี่มึงอยากให้เพื่อนมึงตายรึไง ไอ้ป๋อม” ไอ้กอล์ฟเขกหัวมันแรงๆ

“กูขอโทษๆ กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น แต่คือมันก็แบบสุดยอดเลยอ่ะ สถานการณ์แบบนั้นคือมึงเจ็บอยู่แล้วโดนคนรุมอยู่ตั้งห้าคน กูก็เลย.......”

“เออ กูเข้าใจมึง แต่ตอนนั้นถึงกูจะจุกก็จริงนะ แต่ก็ยังพอตั้งหลักไหว แถมมันมีคนนึงวิ่งไล่นัทจะจับตัวเอาไว้ไม่ให้หนีไปได้ด้วย เพราะงั้นตรงนั้นจริงๆก็เลยเหลือแค่สี่”

“แล้วมีดล่ะ มึงโดนมันแทงเอาได้ยังไง”

“ก็พอมันล้มไปคนนึงใช่ป่ะ แม่งมากันเยอะ แถมนัทยังโดนจับอีก ปกติแล้วกูจะใจเย็นนะ แต่ตอนนั้นมันลำบากว่ะเพราะว่ามันไม่ทันได้ตั้งตัว กูก็เลยเผลอหลุดไปหน่อย พอกูบอกพวกมันว่าพวกเพื่อนๆกูอยู่ไม่ไกล ถ้ามันคิดจะทำอะไรบ้าๆพวกมันซวยแน่ แต่มันก็กลายเป็นยิ่งแย่ใหญ่ เพราะพวกมันคิดว่ามันกำลังถือไพ่เหนือกว่ากู นั่นก็คือถ้ากูไปตามใครมาช่วยไม่ได้ก็เท่ากับกูกับนัทจบเห่แน่ พวกมันก็เลยกะเล่นงานกูให้ปางตายเลยมั๊ง มันไม่เหมือนที่เราเจอๆมาน่ะซัน ไอ้พวกนี้มันวางแผนและตั้งใจมาหาเรื่องกับพวกเราอยู่แล้ว และมันก็รู้ด้วยว่าเราทำอะไรได้ขนาดไหน คราวนี้มันก็เลยเตรียมตัวมาพร้อมต่างกับกู แถมเวลาคนเยอะๆแบบนี้เนี่ย ยังไงๆมันก็ต้องคลุกวงในแล้วตะลุมบอนว่ะ มันไม่เหมือนในหนังที่จะดวลกันแบบเดี่ยวๆแบบนั้น มันเลี่ยงไม่ได้หรอก”

“แล้วไงต่อ” ผมถาม

“เอาย่อๆนะ คือคนแรกสลบไปแล้วหนึ่งนะ คนที่สองจับตัวนัทไว้ เหลืออีกสี่คนล้อมกูอยู่กำลังดูเชิงมั๊ง ไม่ก็คงตกใจที่เห็นเพื่อนมันหลับไปแล้วด้วยแหละ ไม่รู้สิ แต่ก็นี่แหละที่ทำให้กูมีเวลา กูเลยคว้าไม้บนพื้นปาใส่ไอ้คนที่จับนัทอยู่แล้วเล่นงานมันก่อน ไม่งั้นมันต้องใช้นัทเป็นตัวประกันแน่ๆ และพอนัทหลุด กูก็พุ่งเข้าไปเตะมัน กะจะให้มันอยู่ห่างๆนัทหน่อย แต่ปรากฏว่าพอหลังจากนั้น มันเกิดขึ้นเร็วมากว่ะ มีคนนึงแม่งควักมีดออกมาปาดเข้าที่สีข้างกูจากทางด้านหลัง” ไอ้เมฆลูบผ้าพันแผลของตัวเองเบาๆ “ไอ้พวกที่เหลือก็ขยับตัวไปพร้อมๆกันด้วย พอมันเห็นกูเจ็บ พวกมันก็พุ่งเข้ามาหากูพร้อมๆกันเลย แต่ถึงไงก็ยังเข้ามาแบบเป็นตามลำดับนะ ไม่ได้โหมมารวดเดียวเป็นกระจุก กูเลยยังพอรับมือไหว ไอ้ตัวที่จับนัทไว้ตอนแรกก็หันกลับไปจะจับตัวนัทเอาไว้อีก แล้วตอนนั้นแหละที่ไอ้ซันวิ่งมาพอดี พวกมันก็คงตกใจ กูก็เลยได้โอกาสรีบจัดการไอ้คนที่พุ่งเข้ามาเป็นคนแรกซะจนมันสลบน่ะ”

“เออ ใช่ ตอนนั้นกูเห็นคนล้มลงไปพอดี ตกใจชิบหาย นึกว่าเป็นมึง เมฆ เพราะนัทกำลังร้องชื่อมึงออกมาพอดี”

“ก็น่าอยู่หรอก เพราะเขาโดนคนนึงจับตัวเอาไว้ จังหวะเดียวกับที่กูเพิ่งโดนมีดปาดเอาด้วยนี่น่ะ เค้าคงเห็นแผลกูเข้าพอดีล่ะมั๊ง”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้นอีก แล้วมึงล่ะไอ้ซัน มึงทำอะไรบ้าง”

“กูก็วิ่งเข้าไปน่ะสิ ตอนนั้นมีคนยืนอยู่สามคน ส่วนอีกคนนึงกำลังจับนัทเอาไว้อยู่ ตอนนั้นไอ้เมฆมันก็คงได้ยินกูแหละ แต่มันก็กลับรีบพุ่งเข้าไส่ไอ้คนที่จับนัทอยู่ซะก่อน ไอ้เหี้ยนั่นก็เลยโดนเตะไปหลายดอก”

“ก็กูไม่อยากให้มีตัวประกันน่ะ อย่างที่บอก”

“และสุดท้ายก็เลยแบ่งกันสองต่อสอง แล้วสุดท้ายก็ออกมาเป็นอย่างที่พวกมึงเห็นนั่นแหละ นี่ ไอ้เมฆ ถ้าให้กูเดานะ ไอ้คนที่จับตัวนัทไว้ มึงทุ่มแล้วก็ทำมันแขนหักใช่มั๊ย ส่วนไอ้คนที่ใช้มีดกับมึงก็คือคนที่แขนหักแล้วก็ไหล่ซ้ายหลุดด้วย ใช่รึเปล่า”

“ช่ายย” ไอ้เมฆตอบหน้าตาเฉย

“มึงไม่ต้องมาทำเป็น ‘ช่ายย’ เลย ไอ้ตัวดีเอ๊ย นั่นมันหกต่อหนึ่งนะ ถ้ากูไม่เข้าไปช่วยมึงจะเป็นยังไง” ผมชักเริ่มโมโห

“ก็คงแย่แหละ เพราะมีนัทอยู่ด้วยมันก็ยิ่งลำบาก ไอ้เจ็บตัวนิดหน่อยน่ะกูไม่ว่าหรอก แต่ถ้าคนอื่นต้องมาเป็นอะไรไปด้วยนี่สิ......”

“นิดหน่อยเหี้ยอะไรของมึง มีดนะเว้ย ถ้ามึงหลบไม่ทันมึงโดนเสียบตายไปแล้วนะ!” ผมตะคอก

“ตอนนั้นน่ะ กูก็อยากจะวิ่งหนีนะ แต่มันหนีไม่ได้นี่ นัทก็โดนจับตัวไว้ แถมกูก็ไม่รู้ว่าทำไมนะ ซัน แต่ว่ากูรู้สึกได้ว่ามึงจะต้องมาช่วยกูแน่ๆน่ะ กูรู้สึกแบบนั้น เพราะงั้นตอนที่มึงวิ่งมากูก็เลยไม่แปลกใจ แล้วก็เลยไม่ได้กังวลอะไรมากนักตั้งแต่แรกแล้วด้วย.......” ไอ้เมฆพูดพร้อมก้มหน้า และเมื่อได้ยินมันตอบออกมาแบบนั้น อารมณ์ร้อนๆในใจผมมันก็เลยพาลเย็นลงไปเยอะเลยเหมือนกัน

“กูเป็นห่วงมึงนะ เมฆ กูไม่อยากเห็นมึงต้องเจ็บตัวแบบนี้ กูพูดไปร้อยรอบได้แล้วมั๊ง เชี่ยเอ๊ย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มอ่อนลง

“กูรู้ ถ้าเป็นไปได้กูก็ไม่อยากให้มึงต้องเจ็บตัวหรือมาอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพราะกูเหมือนกัน แต่มึงก็รู้นี่ว่าถ้านี่มันไม่ได้เล่นทีเผลอกับกูตั้งแต่แรก กูก็คงจะปลอดภัยดีมากกว่านี้น่ะ”

“กูไม่รู้หรอก....... ไอ้เหี้ยเอ๊ยย แต่กูรักมึงนี่ ไอ้เมฆ นี่ถ้ามีดเล่มนั้นมันปักลึกลงไปกว่านี้อีกแค่สองเซ็นต์ มึงรู้มั๊ยว่ามันจะเป็นยังไง”

“เราจะไม่กังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ใช่เหรอครับ ซัน ส่วนเรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป เราแค่ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ใช่มั๊ยล่ะ กูสัญญา คราวหน้ากูจะระวังตัวให้มากกว่านี้ ส่วนมึงก็ต้องไม่กังวลเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว โอเคมั๊ย” ไอ้เมฆพูดพร้อมกับวางมือลงบนแก้มของผม

“เออๆ ก็ได้วะ......” ผมถอนหายใจเบาๆ

“นี่ๆ พวกมึงสองคนลืมกันไปแล้วรึเปล่าว่าพวกกูยังยืนกันอยู่ตรงนี้น่ะ” ไอ้ป๋อมร้องทักขึ้น ทำเอาเราสองคนผงะออกจากกันแทบจะทันที

“แม่งลืมกันไปสนิทแล้วจริงๆด้วยว่ะ เข้าโลกส่วนตัวกันไปเรียบร้อยแล้ว” อีฟหัวเราะเบาๆ

“เป็นอย่างนี้ประจำล่ะครับ ทะเลาะๆกันอยู่ดีๆก็ดีกันซะเฉยๆ แล้วโลกนี้ก็จะมีแค่เขาสองคนไปเลย” ไคล์พูดพร้อมยิ้มกว้าง

“ว่าแต่แหวนไอ้เมฆล่ะ ไอ้ซัน” วิทพูด

“เออ จริงด้วย” ผมตกใจและรีบตบที่กระเป๋ากางเกงของตัวเองทันที และเมื่อล้วงมือลงไปดูแล้วก็พบว่ามันยังคงอยู่ดีไม่ได้หล่นหายไปตอนที่เราไปปล้ำกับไอ้พวกนั้นที่ชายหาด “เอ้านี่ เมฆ มึงใส่กลับไปได้แล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องถอดแล้ว” ผมยื่นแหวนคืนให้แก่มัน

“ใส่ให้กูสิ” ไอ้เมฆยิ้มกว้าง และพวกที่ยืนอยู่รอบๆเราก็ส่งเสียงโห่ออกมาทันที

“โอ๊ยยยย จะอ้วกเว้ย ไปเหอะพวกเรา กูทนดูไม่ได้ว่ะ อิจฉาด้วย ขนลุกด้วย”

“แบบนี้กูไปหาหอยมากินมั่งดีกว่าว่ะ ล้างเลี่ยนไส้กรอกอิมพอร์ตจากอังกฤษ มึงสนใจมั๊ย ไอ้กอล์ฟ”

“หอยที่มึงว่านี่หมายถึงหอยไหนวะ ไอ้ป๋อม เพราะแถวนี้แม่งมีแต่หอยเหี่ยวๆของเพื่อนเรากับหอยปิ้งบนตะแกรงเท่านั้นนะ”

“ผมเองก็ไปหาอะไรกินมั่งดีกว่า ซันกับศิลาก็กินอะไรสักหน่อยด้วยนะครับ ยังแทบไม่ได้กินอะไรกันเลยนี่”

“คอยเดี๋ยวนะมึง กูจะไปเอาปูมาหนีบจมูกพวกมึงให้ดู โทษฐานทำตัวน่าหมั่นไส้ รออยู่ตรงนี้แหละ ไอ้ซัน คอยดูแลแฟนมึงด้วยนะ คืนนี้พวกกูบริการเอง พ่อฮีโร่ทั้งสอง” อีฟพูดตบท้ายพร้อมกับเดินตามหลังคนอื่นๆจากไป

ผมกับเมฆหัวเราะเบาๆ จากนั้นเราก็หันกลับมามองหน้ากันเหมือนเดิม ผมมองดูใบหน้าของมันแล้วก็อดอมยิ้มออกมาอีกไม่ได้ ดวงตาใสซื่อที่ดำขลับ คิ้วที่เหยียดตรงจนขนานไปกับดวงตาอันอ่อนโยน หางตาและแววตาที่ดูแฝงความเศร้าเอาไว้เล็กน้อย จมูกเรียวยาวเป็นสันได้รูป ริมฝีปากบางๆที่มักจะเหยียดออกด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอๆ หลายต่อหลายครั้งที่ผมเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เป็นคนที่วิเศษมากขนาดนี้กันนะ ถึงเขาจะดูบอบบาง แต่แท้จริงแล้วเขากลับแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อทั้งร่างกายและจิตใจ ผมไม่เข้าใจเลยว่าผมทำอะไรลงไปถึงได้คู่ควรกับการได้มีคนๆนี้มาคอยรักและห่วงใยอย่างในทุกวันนี้

“มองอะไรของมึง” เมฆพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างอีกแล้ว รอยยิ้มที่ทำให้คนหลายต่อหลายคนแล้วเหลือเกินต้องหลงเสน่ห์

“มองแฟนของคนหล่อ”

“กูจะอ้วก ถุยๆๆๆๆๆ เหมือนทรายจะเข้าไปติดคอว่ะ แค่กๆ” ไอ้เมฆทำท่าขย้อน ผมจึงอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

เราสองคนเงียบกันไปพักหนึ่งก่อนที่ผมจะยื่นมือออกมาขยี้ผมสั้นๆของมันเบาๆ “กูรักมึงว่ะ เมฆ”

“กูก็รักมึง ฟ้าคราม” ไอ้เมฆยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างออกมาหยิกแก้มผมเบาๆด้วยเช่นกัน

“จูบเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากทางด้านข้างตัวของพวกเรา และพอเราหันไปมองก็เห็นทุกคนกำลังยืนมองและส่งเสียงเชียร์กันอยู่ยกใหญ่ เราสองคนไม่ทันได้สังเกตเลยแม้แต่นิดเดียวว่าพวกมันทั้งยี่สิบกว่าชีวิตมายืนมุงดูกันแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหน หรือว่ามันจะเป็นอย่างที่ไคล์พูดไว้จริงๆว่าเราสองคนชอบหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวกันอยู่เรื่อย

“ไม่เอาน่า ไอ้ป๊อดดด เวลาแบบนี้มึงต้องจูบนะเว้ยยย”

“เร็วๆๆๆ ยุงลงไปไข่ในเหล้าหมดแล้วเนี่ย วู้!”

เพื่อนของเราทุกคน แม้แต่นัท พี่จ๊อบ พี่แอมป์ และก็อาร์ม ก็ยังยืนอยู่ในฝูงคนที่กำลังส่งเสียงเชียร์พวกเราอยู่ด้วยเช่นกัน ทุกคนปรบมือและโห่ร้อง หลายคนเป่าปากและส่งเสียงยุให้ผมกับเมฆจูบกันไวๆ ถึงแม้ว่านัทจะมีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่เขาก็ดูรับสภาพได้ดีขึ้นกว่าเมื่อตอนหัวค่ำเยอะมากทีเดียว ส่วนแบ๊งค์เองก็ยังยืนตบมืออยู่ใกล้ๆคู่กับพี่จ๊อบ ซึ่งผมถือว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดี และเป็นตัวช่วยส่งความกล้าในสิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไปนี้ด้วย

ผมชะโงกหน้าเข้าไปจูบลงบนริมฝีปากของไอ้เมฆพร้อมกับเสียงโห่ร้องที่ดังกึกก้อง มันเป็นจูบเบาๆที่ริมฝีปาก แต่ก็ยาวนานและดูดดื่มมากพอที่จะแสดงความรักลงไปอย่างเต็มที่ และเมื่อผมถอนปากออก เสียงโห่ร้อง เสียงเป่าปาก เสียงแซว และเสียงปรบมือก็ยังคงดังอยู่ไม่จางหาย

“ยังกับงานแต่งงานเลยนะเนี่ย” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ

“เหลือก็แค่ส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอเท่านั้นเอง” ผมยิ้มกว้าง

“ปากดีนะมึง.....” ไอ้เมฆหัวเราะ “คราวนี้กูให้มึงเลือกแค่สองอย่างมั่งล่ะ จะป้อนปูกับกุ้งกูตอนนี้ เพราะกูหิวมากๆ หรือว่าจะเป็นเจ้าสาวให้กูในตอนหลัง เพราะกูก็อยากแบบสุดๆแล้วด้วยเหมือนกัน”

“อืมมม........” ผมทำท่านึก จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้าง “ถ้าหลังจากอิ่มแล้วเจ้าบ่าวยังมีปัญญาทำ.......” ผมจิ้มลงไปที่แผลของมันเบาๆ “กูก็จะยอมเป็นเจ้าสาวให้มึงก็ได้”


หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-11-2007 21:15:13
เมฆยังเก่งเหมือนเดิม  o13  ว่าแล้วทำใจต่อปายยยยย  :amen:  :amen:
หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 18-11-2007 22:57:36
คิดเหมือนคุณทิพย์เลย อ่านเรื่องนี้แล้วใจมันตุ๋ม ๆ ต้อมๆ

ต้องทำใจให้สงบก่อนอ่านอยู่เรื่อยเลย

อ่านจบตอนทีก็ถอนใจที อ้อ เมฆกะซันยังปกติสุขอยู่  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 19-11-2007 11:02:17
กำ พึ่งอ่านภาคสามจบ....ภาคใหม่ก็มาซะแหละ :m17:

แต่ก็ดี จะได้ไม่ต้องรอ  :m1:
หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 19-11-2007 13:30:51
โอ๊ย เครียดมากครับ  :serius2:
ยังผ่านภาคที่แล้วไม่จบเลยอ่ะ กะว่าต้องค่อยๆอ่าน ค่อยๆซึมซับอรรถรส
อย่างนี้เมื่อไหร่จะได้มาอ่านภาคใหม่เนี่ย  :sad2:
หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 19-11-2007 15:29:31
โอ๊ย เครียดมากครับ  :serius2:
ยังผ่านภาคที่แล้วไม่จบเลยอ่ะ กะว่าต้องค่อยๆอ่าน ค่อยๆซึมซับอรรถรส
อย่างนี้เมื่อไหร่จะได้มาอ่านภาคใหม่เนี่ย  :sad2:


งั้นแปลว่าต้องรีบๆซึมซับภาคที่แล้วให้ไวเลยคับ  :impress: อิอิ

ขอบคุณนะคับ

ทุกคนเลย

หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: eyukiz ที่ 19-11-2007 19:41:46
ตุ๊มๆต่อมๆจริงๆด้วยคู่นี้ :เฮ้อ:

แต่ยังอยู่ดีมีสุขเก๊าะแฮปปี้ค่า  :m13: 

ตื่นเต้นนนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 20-11-2007 16:15:49
คนอาร๊าย สมบูรณ์แบบได้ขนาดนั้น

ว่าแต่ ... ติดตามหาต้นเหตุแห่งความร้าวฉานด้วยคน

 :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 20-11-2007 20:41:02
เก่งกันจริงๆ  :m3:  :m3:

ว่าแล้วก็เข้าโลกส่วนตัว ... ของตัวเอง  เอิ๊กส์   o17
หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 21-11-2007 12:40:34
โดนบังคับมาดัน :เฮ้อ:

เชอะๆๆๆ o12

พี่ๆคับ ดูจิ้ ไอ้พี่ต้นมันบังคับมาอ่ะ :m17:

ยื่นคำขาดว่า ถ้าไม่ดัน ไม่ให้ไปนอนด้วย  :a12: :m29:
หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-11-2007 12:49:38
^
^

และใครชอบไอ้เมฆกะไคล์จะเป็นจะตาย  :เตะ1:




พี่ๆคับ ดูจิ้ ไอ้พี่ต้นมันบังคับมาอ่ะ :m17:

ยื่นคำขาดว่า ถ้าไม่ดัน ไม่ให้ไปนอนด้วย  :a12: :m29:

ฟังดูดีมากมายน้องชาย  :m29:

หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 21-11-2007 12:55:13
ก้อชอบเมฆอ่ะ

จะทำมัยยยยย  :m3: :m3:

ก้อคิดดูนะคับ (ได้เวลาแฉ)

ตาต้นให้ผมมาดัน เพราะว่า

ขี้เกียจเอามาลงตอนต่อไป คิดดู๊ๆๆๆ :m26: :m26:
หัวข้อ: Re: |[ 6 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 21-11-2007 15:17:53
ก้อชอบเมฆอ่ะ

จะทำมัยยยยย  :m3: :m3:

ก้อคิดดูนะคับ (ได้เวลาแฉ)

ตาต้นให้ผมมาดัน เพราะว่า

ขี้เกียจเอามาลงตอนต่อไป คิดดู๊ๆๆๆ :m26: :m26:




อูยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


ได้ดันตูดคนข้างบนแร่ะ  สบายใจจังเลย


ปล.  ไม่ค่อยอยากรับ  SMS  ตอนตีสองเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  แบบกำลังหลับสบายอ่ะ


หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-11-2007 16:23:25
^
^

ไม่ขึ้นมาโกด
ปล. ได้ตอนตีสองเหมือนกัน แม่มม กำลังเคลิ้มๆ เซ็งห่าน


..................................................


ตอนที่ 7


ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะถูกปลุกโดยไอ้เมฆ มันเขย่าตัวผมเบาๆและกระซิบที่หูของผม

“ซัน ตื่นเหอะ ไปกับกูหน่อย”

“ไปไหนวะ กี่โมงแล้วเนี่ย” ผมหยีตาแล้วมองไปรอบๆห้อง ทั่วทั้งห้องยังคงมืดอยู่เลย

ไคล์ยังคงนอนอยู่ข้างๆผม ผมพยายามนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนตอนหลังจากงานจบลง เราแบ่งบ้านกันเป็นสองหลัง และในห้องนอนใหญ่นี้ก็มีผม เมฆ กับไคล์นอนด้วยกันสามคน ส่วนตอนนี้หน้าบ้านบริเวณห้องรับแขกกับห้องนอนอีกห้อง ผมคิดว่าคงจะมีคนนอนระเกะระกะกันอยู่อีกหลายคนแน่ๆ

“ตีห้าจะครึ่งแล้ว เบาๆหน่อย เดี๋ยวไคล์ตื่น” เมฆจุ๊ปาก

“เพิ่งตีห้าแล้วมึงปลุกกูทำมายอ่า เมื่อคืนกว่าเราจะได้นอนก็เกือบตีสองแล้วนะ” ผมงัวเงีย

“ไปเดินเล่นกัน กูอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นกับมึงนะ”

คำว่า “กับมึง” ที่มันเพิ่งพูดทำให้ผมตื่นขึ้นเต็มตาเกือบจะในทันที

“อืมๆ ไปก็ไป มึงไม่สบายใจอะไรรึเปล่าเนี่ย” ผมลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง ไคล์ขยับตัวเล็กน้อย ทำให้ผมกับไอ้เมฆต้องหยุดเคลื่อนไหวลงทันที

“ไปล้างหน้าเถอะ เดี๋ยวกูรออยู่หน้าบ้านนะ” ไอ้เมฆพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปราวๆสิบวิ พร้อมกับเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ผมสังเกตเห็นว่ามันเองก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันตื่นขึ้นมาตั้งแต่กี่โมงกันแน่

ผมรีบล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินผ่านเหล่าทหารที่นอนตายกันเกลื่อนในสงครามเซียงกงราวๆห้าศพในห้องนั่งเล่นออกไปหาไอ้เมฆที่หน้าบ้าน เมื่อผมเดินออกไปก็เห็นไอ้เมฆที่ใส่กางเกงขาสั้นสีขาวกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนไม่ได้กลัดกระดุมยืนรออยู่แล้ว

“ป่ะ ไปเดินเล่นดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน” ไอ้เมฆหันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้ม

“ไอ้เดินน่ะเดินได้ แต่ไม่เอาเดินแล้วเจอเรื่องแบบครั้งก่อนๆแล้วนะครับ ศิลา”

ไอ้เมฆหัวเราะชอบใจ “ถ้าครั้งนี้ยังเจอเรื่องอีก กูว่าเราต้องไปทำบุญเจ็ดวัดล้างซวยซะแล้วว่ะ”

ตั้งแต่มาถึงที่นี่เราสองคนยังไม่เคยเดินชายหาดด้วยกันตามลำพังในตอนเช้ามืดแบบนี้เลย ผมนั้นเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย ส่วนไอ้เมฆก็เป็นคนที่ชอบความเงียบสงบ ถึงหลายๆสิ่งหลายๆอย่างในตัวเรามันจะแตกต่างกัน แต่ความเหมือนในจุดเล็กๆนี้ก็ช่วยหล่อหลอมให้เราสองคนให้เข้ากันได้อย่างดี และทะเลในยามเช้าตรู่ของที่นี่ก็แทบจะไม่ต่างไปจากเมื่อคืนหรือเมื่อคืนก่อนมากนัก มันช่วยมอบความสบายใจและความสดชื่นให้แก่เราทั้งคู่ได้อย่างดีทีเดียว ความมืดที่ยังคงปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นดินและผืนน้ำ กับแสงสว่างรำไรที่กำลังโผล่พ้นผืนน้ำราวกับลมหายใจแรกของพระอาทิตย์ ความอบอุ่นจากแสงแดดน้อยๆที่ค่อยๆคืบคลานสาดส่องไปทั่วเพื่อสร้างวันใหม่ให้ชีวิตของเรานั้น มันช่วยปลอบประโลมความกังวลและความเครียดจากเรื่องราวต่างๆที่เราเพิ่งจะเจอและต้องเผชิญหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดี พระอาทิตย์นี้ก็ช่างยิ่งใหญ่และรู้ใจมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราเหลือเกินที่ไม่พรากความหนาวเย็นไปจากเราในคราเดียว แต่กลับค่อยๆมอบความอบอุ่นให้แก่พวกเราทีละน้อยๆจนกว่ามันจะขึ้นสู่จุดสูงสุดบนท้องฟ้า

“คิดถึงพีเหมือนกันเนอะ” เมฆพูดขึ้นขณะที่เราสองคนยังคงเดินทอดน่องกันอยู่อย่างช้าๆ

“อืมม ถ้ามันรู้ว่าเราเจออะไรมาในช่วงสองสามวันนี้มันต้องเป็นห่วงมากแน่ๆเลยว่ะ ว่าแต่มึงเจ็บแผลรึเปล่า”

“ก็นิดหน่อยนะ คือ....... จริงๆแล้วเมื่อคืนกูก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยแหละ มันปวดๆแผลน่ะ”

“แล้วทำไมมึงไม่ปลุกกูวะ แบบนี้มึงก็อดนอนน่ะสิ เมฆ”

“ก็กูไม่อยากกวนมึง ปลุกมึงขึ้นมากูก็ไม่ได้หายเจ็บแผลนี่หว่า แถมมันไม่ได้เป็นมากขนาดนั้นหรอก กูก็แค่รำคาญๆเท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูทนไม่ไหวกูต้องบอกมึงแน่ๆ”

“ให้มันได้อย่างนั้นก็แล้วกัน........... แต่ถ้าไม่ไหวก็บอกก็แล้วกัน ไม่ใช่แค่เรื่องแผลนะ แต่หมายถึงถ้าง่วงด้วย มึงจะนอนจะงีบหลับอะไรเมื่อไหร่ก็บอกก็แล้วกัน เข้าใจรึเปล่า”

“ครับผม รับทราบครับ” ไอ้เมฆรับคำพร้อมรอยยิ้ม

เราสองคนต่างคนต่างเงียบกันไปอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ไอ้เมฆจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดออกมาอีกครั้งเบาๆ

“นี่ ซัน มึงชอบพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกมากกว่ากันวะ”

“กูเหรอ....... อืมมมม....... ก็คงเป็นพระอาทิตย์ตกมั๊ง อากาศที่ค่อยๆเย็นลง แสงแดดเศร้าๆสุดท้ายของพระอาทิตย์ กับบรรยากาศที่เหมือนกับกำลังจะกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้งน่ะนะ”

“แต่กูชอบพระอาทิตย์ขึ้นนะ แสงสีส้มที่ค่อยๆทอดผ่านพ้นน้ำออกมาช้าๆ ความหนาวเย็นค่อยๆจางหายไปเป็นความอบอุ่น และความเงียบสงบสุดท้ายที่เราจะสามารถซึมซาบได้ก่อนที่ความวุ่นวายของชีวิตจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง มันเหมือนกับว่าเป็นช่วงเวลาอันมีค่าที่สุดที่ธรรมชาติมอบให้แก่เราในช่วงเวลาเพียงอึดใจแค่ไม่กี่วินาทีที่เราต้องรีบตักตวงไว้น่ะ”

“อืม กูเข้าใจที่มึงพูด มึงรู้มั๊ยว่ามึงตอบสมกับเป็นมึงจริงๆเลยนะ” ผมโอบมันเข้ามาไว้ในเอวเบาๆ กลัวว่ามือจะไปโดนแผลเข้า “ว่าแต่นี่มึงยังไม่ได้ทำแผลเลยใช่มั๊ย”

ไอ้เมฆส่ายหน้า “นี่ แล้วมึงเคยคิดถึงขอบฟ้าบ้างมั๊ยวะ”

“ขอบฟ้าเหรอ” ผมนิ่วหน้า

“ช่าย ขอบฟ้าน่ะ เส้นต่อระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้า เส้นต่อระหว่างพื้นดินกับผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ มึงว่ามันเป็นยังไง”

“ไม่รู้ว่ะ อันนี้กูตามมึงไม่ทันแล้ว” ผมส่ายหัวเบาๆ

“ก็ไม่มีอะไรต้องตามหรอก ก็แค่ มึงคิดดูดิ่ มึงเป็นท้องฟ้า หรือแม้แต่ตัวพระอาทิตย์เองก็ตามน่ะนะ ไคล์เป็นผืนน้ำ สมมติว่าเป็นน้ำทะเลนี่ก็ได้ พีเป็นผืนดิน ส่วนกูก็เป็นก้อนเมฆ หรือเป็นแค่ก้อนหินที่ได้แต่มองพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกอยู่ทุกวัน เราทุกคนได้เห็นและได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาทุกช่วงเวลาของวัน ทั้งช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดของพระอาทิตย์ตก และช่วงเวลาที่ยินดีที่สุดยามพระอาทิตย์ขึ้น....... แต่เส้นขอบฟ้าล่ะ เป็นยังไง”

“แล้วมึงว่ามันเป็นยังไง”

“กูว่ามันก็คงจะเหนื่อยน่าดูล่ะมั๊งนะ” เมฆค่อยๆทิ้งตัวนั่งลงลนพื้นทราย สายตาจับจ้องไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นน้ำขึ้นมาช้าๆเบื้องหน้า

“เหนื่อยเหรอ ทำไมวะ” ผมนั่งลงข้างๆมัน

“ก็มึงดูสิ มันต้องรับภาระเป็นคนที่คอยแบ่งกั้นระหว่างความสุขและความเศร้าของวันเอาไว้นะ นี่ถ้าลองนึกง่ายๆ ถ้ามันเขยิบขึ้นไปสูงกว่านี้อีกสักหน่อย พระอาทิตย์ก็คงตกเร็วขึ้นและกว่าจะขึ้นก็คงช้าลงอีก ใช่มั๊ยล่ะ แถมถ้ามันไม่สามารถทอดยาวเคียงคู่ไปกับท้องฟ้าและพื้นน้ำได้แบบไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ล่ะก็ ความงดงามทั้งหมดนั้นมันก็คงจะไม่มี”

“กูพอจะเข้าใจแล้ว มึงหมายความว่าขอบฟ้านั้นก็มีความสำคัญในตัวของมันเองมากไม่แพ้ทุกๆสิ่ง แต่คนเรากลับไม่ค่อยได้คิดถึงมันกันใช่มั๊ย”

“ใช่ แต่ถึงจะสำคัญมากขนาดไหนนะ มันก็ยังไม่มากไปกว่าความสวยงามของช่วงเวลาสั้นๆยามพระอาทิตย์ขึ้นและตกอยู่ดีนั่นล่ะ......... นี่ และมึงลองคิดดูสิว่าทำไมมันถึงได้ถูกเรียกว่าขอบฟ้า ทำไมไม่เรียกว่าขอบดินหรือขอบน้ำ”

“เออ อันนี้น่าคิด แล้วมึงคิดไว้รึยังว่าทำไม กูว่ามึงต้องมีคิดเอาไว้แล้วด้วยแน่ๆใช่มั๊ย”

“ม่ายรู้สิ” ไอ้เมฆยักไหล่ “กูว่าอาจจะเป็นเพราะมันกั้นท้องฟ้ากับเบื้องล่างล่ะมั๊ง ไม่ได้สำคัญว่ามันกั้นท้องฟ้ากับน้ำหรือดินหรืออะไร แต่เป็นกั้นท้องฟ้ากับเบื้องล่างทั้งหมด”

“สรุปแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นท้องฟ้าอยู่ดี”

“ก็คงใช่แหละ คนเราน่ะทำลายทั้งพื้นดิน พื้นน้ำ และท้องฟ้า ทั้งน้ำเน่า ป่าไม้หมด แผ่นดินทรุด และยังขยะอีก แต่มีแค่มลภาวะทางอากาศเพียงอย่างเดียวนี่แหละที่แทบไม่สามารถทำลายความสวยงามของท้องฟ้าไปได้เลย แบบว่า ถ้าโอโซนโหว่ทีมึงก็ตายกันแบบไม่ต้องคิดกันเลยล่ะนะ เพราะตาเรามันมองไม่เห็นนี่”

“แล้วทำไมจู่ๆวันนี้เมฆถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะครับ ซันไม่ได้จะขัดคอนะ แต่แปลกใจตั้งแต่เห็นเมฆตื่นแต่เช้าขนาดนั้นแล้ว ทั้งๆที่เมฆน่ะน่าจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุด” ผมโอบบ่ามันแล้วใช้มือลูบหัวมันช้าๆ

ไอ้เมฆนั่งเงียบไปพักหนึ่ง ตอนนี้พระอาทิตย์ก็กำลังทอแสงโผล่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้าจนเกือบจะเต็มดวงแล้ว ความมืดมิดที่ปกคลุมเราอยู่ทั้งคู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นความสว่างสดใสและความอบอุ่นที่ค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาภายในใจของเราอีกครั้งหนึ่ง

“มึงรักกูมากมั๊ย ซัน” ไอ้เมฆถามขึ้น

“มาก มากเท่าๆกับที่มึงรักกูนั่นแหละ เมฆ”

“แล้วมึงมั่นใจมั๊ยว่ามึงจะไม่ทำอะไรให้กูต้องเสียใจ ไม่ทำอะไรให้กูต้องเจ็บช้ำอีก”

“ไม่มั่นใจเลยสักนิด ตอนอยู่ที่อังกฤษมันก็เรื่องนึงนะ แต่พอกลับมาไทยแบบนี้กูก็ยิ่งรับปากมึงไม่ได้เข้าไปใหญ่ กูเคยบอกแล้วนี่ว่ากูรักมึงมากก็จริง แต่ว่ากูก็สัญญาอะไรกับอนาคตมากไม่ได้ แต่กูจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเราทั้งสองคน”

“อืม กูก็เหมือนกัน........ ถ้ามึงถามคำถามเดียวกันกับกูน่ะนะ กูก็คงตอบแบบเดียวกันนั่นแหละ กูรักมึงมากจริงๆ กูไม่อยากทำให้มึงต้องเสียใจรึอะไรหรอกนะ แต่ว่ากูก็ไม่มั่นใจในตัวเองเลยว่าถ้ามันเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะ เราสองคนจะต้องเสียใจกันมากขนาดไหน กูอยากจะดีที่สุดสำหรับมึง ไม่อยากจะทะเลาะกับมึง แต่ในเมื่อตอนนี้เรากลับมาอยู่ในสังคมเดิมของเราแล้ว เราอยู่ในที่ๆพูดภาษาไทย ความคิดมุมมองแบบคนไทย และที่สำคัญเรามีกันและกันอยู่แค่นี้แล้ว ไม่มีพ่อแม่มึง ไม่มีพี และเผลอๆก็ไม่มีไคล์ด้วย เพราะเขาก็ต้องเรียนและใช้ชีวิตของเขาไป ส่วนพ่อกูก็แทบไม่เคยชินกับการเห็นเราอยู่ด้วยกันแบบนั้นเลย กูว่าจากนี้ไปเราคงต้องพึ่งพาตัวเองแบบสุดๆว่ะ ทั้งเรื่องชีวิตคู่ ชีวิตส่วนตัว เรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องเงิน และเรื่องอื่นๆอีกร้อยแปด”

“แต่กูรู้ว่ามึงทำได้ เมฆ กูมั่นใจ แล้วมึงน่ะก็ชอบทำพูดนั่นพูดนี่ แต่จริงๆแล้วมึงก็ผ่านอะไรต่ออะไรมามากตั้งเท่าไหร่แล้วไม่รู้ และไอ้เรื่องที่มึงพูดมาทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย ใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้น เอาล่ะ กูรู้ว่าจริงๆแล้วมึงไม่ได้กังวลเรื่องพวกนั้นมากขนาดนั้นหรอกใช่มั๊ย” ผมหันไปมองหน้ามันตรงๆ

“ก็......... ไม่เชิงหรอก” ไอ้เมฆตอบแล้วเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง

ผมถอนหายใจเบาๆ “นี่ มึงฟังกูนะ ตั้งแต่ที่เราคบกันมาเนี่ยเราสองคนเคยทะเลาะกันกี่หน”

“มึงพูดจริงหรือพูดเล่นวะที่ถามคำถามนี้” มันหัวเราะออกเบาๆ “เป็นร้อยได้มั๊ง ใครจะมานั่งนับ มึงจะบ้าเหรอ”

“ไม่ดิ่ เอาแบบทะเลาะกันจริงๆจังๆสิ แบบที่งอนกันโคตรๆ เครียดกันสุดๆ แบบแทบแตกหักกันไปเลยน่ะ”

คราวนี้ไอ้เมฆทำท่าคิดบ้างแล้ว “ถ้าถึงกับแตกหักนี่หายากนะ แต่ถ้าดูรวมๆก็คง........ ราวๆห้าหกครั้งได้มั๊ง”

“นั่นแหละคือเรื่องสำคัญ มึงคิดดู คบกันมาสามปีทะเลาะกันจริงๆจังๆห้าครั้งน่ะนะ เมฆ แล้วอะไรมันจะทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปได้อีก เรารักกัน มึงรักกูมาก กูใจร้อน แต่มึงใจเย็น บางครั้งกูยอมมึง บางครั้งมึงยอมกู เท่านี้เองที่ทำให้เรายังคงมีทุกวันนี้ เพราะงั้นมึงก็ไม่ต้องคิดมากอีกแล้ว เข้าใจรึเปล่า”

“กูเข้าใจ....... แล้วกูถามหน่อยว่าเมื่อคืนมึงโกรธกูจริงๆมั๊ยที่กูเจ็บตัวน่ะ”

“โกรธสิ โกรธมากด้วย แต่ถึงยังไงกูก็เป็นห่วงมึงมากกว่า แล้วก็รู้สึกขอบคุณมึงด้วยที่มึงไม่ขึ้นอารมณ์ใส่กูตอบน่ะ ไม่งั้นเราคงได้ทะเลาะกันจริงๆจังๆอีกครั้งแน่”

“ถ้าเป็นปกติกูก็คงเถียงมึงแหละนะ แต่ตอนนั้นมันเจ็บ แถมยังพอเห็นสีหน้ามึงทั้งสองคืนติดๆกันแบบนั้นแล้วกูก็เถียงมึงไม่ลง กูเองถึงจะเป็นคนใจเย็นกว่ามึง แต่เวลาปะทุแล้วกูก็แรงใช่มั๊ยล่ะ แต่ว่านะ ซัน กูกลัวจริงๆ กูกลัวว่าถ้าเมื่อวานกูต้องเจ็บหนักไปแล้วมันจะเป็นยังไง....... ไม่ใช่นะ กูไม่ได้กลัวเจ็บกลัวตายหรอก แต่กูกลัวว่าถ้ากูเป็นอะไรไปมึงจะทำยังไง มึงคงจะต้องโทษตัวเอง ทำร้ายตัวเอง และที่แย่ที่สุดก็คือเราสองคนอาจจะต้องเลิกกันไปเลยก็ได้ ใช่มั๊ย”

“ไม่เมฆ กูไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก ถึงกูจะโกรธตัวเองยังไงกูก็ไม่คิดจะเลิกกับมึง”

“ไม่จริงหรอกซัน” เมฆส่ายหน้า “มึงก็รู้ว่ามึงต้องเป็นแบบนั้น เริ่มแรกมึงจะพาลกูก่อน แต่เพราะว่ากูเจ็บมาก ได้รับบาดเจ็บโดยที่มึงช่วยอะไรไม่ได้ มึงก็จะกลับมาพาลตัวเอง โทษตัวเอง ทำร้ายตัวเองด้วยความคิด แล้วมึงก็จะเริ่มไม่คุยกับกู เพราะมึงรู้สึกแย่ จากนั้นอะไรๆมันก็จะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ และสุดท้าย.........”

ผมนั่งนิ่ง เพราะรู้ว่าไอ้เมฆพูดถูกทุกอย่าง มันเป็นคนที่เข้าใจผมได้ดีที่สุดจริงๆไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

“กูกลัว ซัน กูกลัวว่ามันจะเป็นแบบนั้น กูขอให้มึงสัญญากับกูสักข้อใหญ่ๆจะได้มั๊ย กูรู้ว่ามึงไม่ชอบสัญญา กูเองก็ไม่ชอบ แต่เรื่องนี้มันสำคัญกับกูมากจริงๆ”

“ก็ได้..... มึงลองพูดมาสิ ถ้ากูคิดว่ากูทำให้ได้และอยากพยายามที่จะทำ กูก็จะสัญญา”

“แต่ก่อนที่จะพูดเรื่องสัญญา มึงต้องเชื่อกูก่อนนะว่ากูจะดูแลตัวเอง กูพยายามแล้วที่จะไม่ทำให้มึงต้องเป็นห่วงอีก กูจะพยายามไม่เข้าไปยุ่งกับปัญหา แต่ถ้ามันมีปัญหาเกิดขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรน่ะนะ กูก็จะไม่ทำให้มึงต้องเป็นห่วงแน่นอน”

“ได้ กูเชื่อมึงเรื่องนั้น คือจะว่าไปปกติกูก็เชื่อมึงอยู่แล้วล่ะนะ แต่พอเจอเข้าจริงๆมันก็อดรู้สึกไม่ดีไม่ได้”

“กูเข้าใจ” เมฆพยักหน้า “และนั่นแหละที่กูอยากถามมึงก่อนสักข้อ มึงว่าถ้ามึงกับกูกลับสถานการณ์กัน กลายเป็นมึงได้รับอันตราย มึงคิดว่ากูจะเป็นห่วงมึงมากขนาดไหน”

ผมถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ของมัน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้หรือไม่เคยได้คาดคิดคำตอบมาก่อน แต่เป็นเพราะคำถามๆนั้นผมก็เคยถามตัวเองและเดาคำตอบไปเองหลายต่อหลายครั้งแล้วด้วยเหมือนกัน

“ใช่แล้ว ซัน กูก็คงจะไม่วิตกจริตมากเหมือนกับที่มึงเป็นหรอก และนั่นก็เป็นคำสุภาพของประโยคที่ว่า ‘กูไม่ได้เป็นห่วงมึงมากเท่าที่มึงเป็นห่วงกูนะ’ ด้วย...... คือ กูคิดว่ามึงคงรู้ดีว่ากูน่ะรักและเป็นห่วงมึงมากๆๆๆอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่มากขนาดนั้นเท่านั้นเอง ดูอย่างเวลาที่มึงไม่สบายสิ กูก็เป็นห่วงมึงมาก คอยดูแลมึงตลอดเวลา แต่มึงเองต่างหากที่จะไม่ค่อยสนใจกับเรื่องพวกนั้นมากนัก ใช่มั๊ยล่ะ เพียงแต่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่มันไม่ใช่แค่อาการเจ็บป่วย แต่เป็นอะไรเหมือนที่กูโดนเมื่อคืน มึงน่ะจะบ้าไปเลย ส่วนกูกลับจะรับมือได้ดีกว่ามาก มึงรู้มั๊ยว่าเป็นเพราะอะไร”

“คงเป็นเพราะ......... ไม่สิ ไม่รู้ว่ะ กูไม่แน่ใจ” ผมส่ายหน้า

“เวลามึงป่วยน่ะ กูจะคอยดูแลมึง แต่พอกูป่วย มึงจะรู้สึกเฉยๆเพราะมันก็แค่อาการป่วย เดี๋ยวกูก็หาย มึงจะเป็นแนวๆนั้น แต่พอเป็นเรื่องแบบเมื่อคืนและเมื่อคืนก่อน กูกลับจะรู้สึกเฉยๆส่วนมึงจะกลายเป็นตรงกันข้าม นั่นก็เป็นเพราะ กูน่ะ ไว้ใจมึง กูเชื่อว่ามึงดูแลตัวเองได้ และถ้ามึงได้รับบาดเจ็บขึ้นมา กูก็จะดูแลมึงไม่ต่างกับตอนที่มึงเป็นหวัดหรืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่ากูจะไม่พูดว่าทำไมมึงถึงได้รับบาดเจ็บมา มันไม่สำคัญสำหรับกูเท่าไหร่หรอก แต่มึงน่ะจะกลัวผลลัพธ์ของมันมากกว่า พอผลมันออกมาว่ากูได้รับบาดเจ็บแบบนี้ มึงก็จะโล่งใจขึ้นนิดหน่อยที่กูไม่ตาย แต่ก็จะบ่นเรื่องที่ผ่านไปแล้วแบบสุดๆ นั่นเป็นเพราะมึงยังคงไม่เชื่อใจกูว่ากูเอาตัวรอดได้มากเท่าที่กูเชื่อใจมึงเท่านั้นเอง กูพูดถูกมั๊ย”

ผมเงียบไปพักหนึ่ง พยายามกลั่นกรองสิ่งที่มันพูด “ก็อาจจะจริงของมึง...... กูขอโทษก็แล้วกัน ก็อย่างที่กูบอกนั่นแหละ กูไว้ใจมึงนะ ทุกครั้งเลย อย่างเมื่อตอนคืนแรกตอนก่อนเกิดเรื่องกูก็รู้อยู่แล้วว่ามึงจะต้องปลอดภัย ส่วนไอ้พวกเหี้ยนั่นนั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัว และสุดท้ายมันก็ออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ ถึงมึงจะเจ็บตัวนิดหน่อยก็เถอะ แต่กูก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และมึงก็ชอบกับการได้ตกอยู่ในสถานการ์อันตรายและกดดันแบบนั้นด้วยนี่นะ แต่ไม่ว่ากูจะพยายามสักเท่าไหร่ ลึกๆแล้วกูก็ยังกลัวอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ เมฆ แต่ต่อไปกูจะพยายามไม่คิดมากอีกก็แล้วกัน”

“กูเข้าใจมึงนะ เพราะกูก็กลัวเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ใช่ไม่กลัวเลย เรื่องแบบนั้นพลาดไปนิดเดียวมันก็ถึงตายได้ง่ายๆเลย กูเองก็เป็นห่วงมึงเท่าๆกับที่มึงห่วงกูนั่นแหละ ซัน และกูก็เป็นห่วงตัวเองด้วย เพียงแต่ว่าการแสดงออกของเรามันต่างกันเท่านั้นเอง......” ไอ้เมฆถอนหายใจออกเบาๆ “แต่คราวนี้เรามาพูดถึงคำสัญญากัน ซัน กูอยากให้มึงสัญญา สัญญาว่าจะรักตัวเองไม่น้อยไปกว่ารักกู สัญญาว่าจะรักขอบฟ้าที่คอยกั้นระหว่างความสุขและความเศร้านั้นให้ไม่น้อยไปกว่าที่มึงรักความเศร้าในยามพระอาทิตย์ตกดิน สัญญาที่จะเก็บรักษาขอบฟ้านั้นไว้เป็นขอบฟ้าเส้นเดียวกับกูตลอดไป และสัญญาว่าเวลาของเราสองคนจะเดินไปพร้อมๆกัน ไม่มีวันที่ขอบฟ้าจะยาวเกินไปกว่าเข็มวินาทีเด็ดขาด”

ผมเงียบไปอีกครู่หนึ่ง พยายามทำความเข้าใจกับคำสัญญาที่มันต้องการ และถึงแม้ผมจะไม่รู้ความหมายของคำทุกๆคำที่มันพูดออกมาอย่างแน่ชัดว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่อย่างน้อยๆผมก็คิดว่าผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันต้องการจะสื่ออะไรกับผม

เวลา ความผูกพัน ความรัก และเส้นขอบฟ้า..........

“ได้ กูสัญญา และกูขอเดิมพันด้วยขอบฟ้าของกูเลย”

ไอ้เมฆยิ้มกว้างแล้วชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผมเบาๆ แต่เมื่อมันผงะออกผมก็กลับประคองใบหน้าของมันให้เข้ามาใกล้แล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากของมันอีกครั้ง

เราสองคนลุกขึ้นยืนแล้วจับมือเดินทอดน่องกันต่อออกไปได้อีกสักหน่อย พลันสายตาของเราก็ไปสะดุดอยู่ที่ก้อนหินสองก้อนบนพื้นทรายตรงหน้า

“เมฆ เมฆดูนั่นดิ่” ผมชี้ให้มันดูก้อนหินสีขาวและสีดำผิวกลมเกลี้ยงขนาดเล็กที่วางอยู่เคียงคู่กันเบื้องหน้า

“มีคนจงใจวางไว้หรือมันบังเอิญมาหล่นอยู่คู่กันวะเนี่ย สวยดี” เมฆพูดพร้อมกับก้มลงไปหยิบมันมาถือเอาไว้ในมือ

“ก้มๆเงยๆเนี่ย ไม่เจ็บแผลเหรอ ไอ้ตัวดี จริงๆแสบเก็บให้ก็ได้นี่” ผมพูดแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักแล้วก็เดินเข้าไปโอบเอวมันเอาไว้

“ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่า เมฆจะเอาอันก้อนสีดำเนี่ยให้ซันเก็บไว้ ส่วนเมฆจะเก็บก้อนสีขาวเอาไว้เอง ดีมะ” ไอ้เมฆยื่นก้อนสีดำให้แก่ผม “เมฆรู้ว่าซันชอบสีดำ และซันก็เหมาะกับสีดำมากกว่าจริงๆด้วยว่ะ”

“ม่ายอาว กูจะเอาสีขาว” ผมพูด

“ทำไมอ่ะ มึงชอบสีขาวเหรอ เอ้า งั้นก็ได้” ไอ้เมฆสลับมือเป็นยื่นก้อนสีขาวให้ผมแทน

“เปล่า กูชอบสีดำอย่างที่มึงพูดนั่นแหละ มันเป็นตัวแทนของกูได้ดีกว่าสีขาวจริงๆ มึงนั่นแหละคือสีขาว เมฆ แต่เพราะงั้นไงกูถึงอยากได้มึงมาเก็บเอาไว้ แล้วกูก็อยากให้มึงเก็บกูเอาไว้กับตัวด้วย แบบนั้นดีมั๊ย”

ไอ้เมฆยิ้มกว้างอย่างพอใจ “มันจะเป็นของสำคัญชิ้นแรกที่เรามีคู่กันนอกเหนือจากแหวนของพ่อและแม่ของกูนะ รักษาเอาไว้ดีๆอย่าให้หายไปจากตัวล่ะ”

“กูมีไอเดียที่จะเก็บมันเอาไว้กับตัวตลอดด้วย แต่เอาไว้เราค่อยไปทำมันพร้อมๆกันทีหลังก็แล้วกัน” ผมหยิบหินสีขาวก้อนนั้นขึ้นมาหมุนมองดูช้า จากนั้นก็หันกลับไปมองไอ้เมฆที่กำลังพินิจมองดูก้อนหินในมือของมันอยู่เช่นกัน “นี่ เมฆ กูสัญญากับมึงไปแล้วนะ แล้วมึงจะไม่สัญญาอะไรกับกูบ้างเลยเหรอวะ”

ไอ้เมฆหันกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วก็คว้ามือข้างที่ผมถือก้อนหินก้อนนั้นอยู่ขึ้นไปถือไว้ในมือ จากนั้นมันก็ก้มลงมาจูบที่ก้อนหินสีขาวในมือของผมเบาๆ

“ซันครับ เมฆขอสัญญาด้วยก้อนหินก้อนนี้เลย ว่าเมฆจะรู้สึกทุกอย่างกับซันแบบเดียวกันกับที่ซันเพิ่งให้คำมั่นสัญญาเอาไว้กับเมฆ และเมฆก็จะขอเดิมพันด้วยเข็มวินาทีที่ไม่เคยมีวันหยุดเดินของเมฆเพิ่มไปอีกเลยด้วย”

หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 21-11-2007 16:29:07
^
^
^
^
^
จิ้มพี่ชายซักรอบ

หึหึหึ :oo1: :oo1: :oo1:

เหนว่า อยากลองนักหนิ :m14:
หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 21-11-2007 17:11:38
กลัวทำไมวันข้างหน้า วันนี้ได้เดินดูพระอาทิตย์ขึ้นมีความสุขเป็นไหนๆ
ซึมซับไว้ดีกว่า คิดมากปวดหัว
 :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-11-2007 18:07:20
อืมม ลืมแวะมาบอกว่า

ตอนแรกสุดนั้นไม่ใช่ตอนจบนะคับ

แต่เป็นตอนเริ่มแรกหลังจากที่ซันเล่าจบ เมฆจะกลับมาเล่าต่อเอง

ส่วนจะจบยังไงเกิดอะไรขึ้นกันแน่และจะแก้ไขยังไงได้มั๊ย

ก้อรออ่านต่อไปนะคับผม ^^

หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-11-2007 18:40:06
เหอ เหอ ถึงไม่ใช่ตอนจบ แต่ก็อ่านแล้วลุ้นทุกตอนอยู่ดี  :amen:   :amen:  :amen:
หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: eyukiz ที่ 21-11-2007 20:08:16
ลุ้นจนตัวโป่ง

เอ้ย


ตัวโก่ง

 :a6:
หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 21-11-2007 21:30:33
ใช่ ๆ อ่านแล้วต้องลุ้น ยังกะจะชิงรางวัลแน่ะ

แล้วต้นมีรางวัลหรือป่าวเนี่ย :m21:

รางวัลคนอ่านดีเด่
หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: นิลวัฒน์ ที่ 22-11-2007 15:28:02
ทำร้ายจิตใจจัง  :m15:
เกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมต้องเลิกกัน
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 22-11-2007 15:35:46
อ่านภาค 3 จบแล้วเฟ้ย !!!  :m11:
ทีนี้จะได้ลุยอ่านภาคนี้ซักที....


ที่จริงรู้สึกว่าตัวเองล้าหลังชะมัด คุณต้นลงมาตั้ง7ตอนแล้วเพิ่งเริ่มอ่าน  :m29:
หัวข้อ: Re: |[ 7 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-11-2007 16:40:46
คนแต่งเรื่องนี้  ช่างเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งดี
เข้าใจคิด เข้าใจผูกเรื่อง เข้าใจหาคำ  ซึ้งดี

รักกัน  ดูที่ปัจจุบัน  ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า
กลัวอนาคต ก็ไม่มีความสุขพอดี  มันจะเจ็บทีหลังก็คือ เจ็บ

แต่เรื่องนี้ไม่เจ็บหรอกม้างง  ตอนแรกไม่ใช่ตอนจบนิ  อิอิ

รออ่านต่อค้าบบ  หนุกๆๆๆ  :m3:  :m3:  :m3:
หัวข้อ: Re: |[ 8 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-11-2007 20:25:37
ตอนที่ 8


ตอนสายๆหลังจากที่พวกเราอันได้แก่ผม เมฆ พี่แอมป์ นัท และพี่จ๊อบกลับมาจากโรงพักอีกครั้ง นัทกับพี่จ๊อบก็เป็นกลุ่มแรกที่ขอตัวกลับกรุงเทพก่อน หลังจากมื้อเช้า นัทก็เดินเข้ามาหาเมฆแล้วบอกว่าขอคุยอะไรเป็นการส่วนตัวด้วยสักพักหนึ่ง และถึงผมจะไม่รู้แน่ชัดว่านัทนั้นอยากจะคุยอะไร แต่ผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าผมพอเดามันได้

และขณะที่ผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกในบ้านของไอ้วิทนั้น แบ๊งค์ก็เดินเข้ามาหาผม

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอวะ แล้วคนอื่นๆล่ะ” ผมทัก

“ยังตายกันเกลื่อนอยู่เลย เพิ่งจะสิบโมงเช้าเองนี่ เมื่อคืนหลังจากพวกมึงไปนอนกันก่อน พวกแม่งยังอยู่กันถึงตีสามกว่าแน่ะ” แบ๊งค์พูดพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาข้างๆผม “เมฆไปไหนล่ะ”

“ไปคุยกับนัทน่ะ พวกผู้หญิงแม่งตื่นกันเร็วชิบหาย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้กูหนีมานั่งดูทีวีที่นี่ได้ล่ะนะ”

“นั่นดิ่ แต่พวกไอ้ปองก็ตื่นแล้วนะ กำลังอาบน้ำกันอยู่ เห็นบ่นแฮ้งค์ๆกันใหญ่”

“แล้วมึงไม่เป็นอะไรกับเขามั่งเลยรึไง”

“นิดหน่อยว่ะ แต่กูไม่ค่อยแฮ้งค์หลังกินเหล้าอยู่แล้ว เมื่อคืนก็แค่เมากำลังดี”

“มึงเนี่ยนะเมากำลังดี” ผมหัวเราะหึๆในลำคอ “กูเห็นมึงเมาชิบหายตั้งแต่เที่ยงคืนแล้วนะ”

“นิดหน่อยว่ะ สงสัยเมาบรรยากาศ กูไม่ค่อยได้มากินกับเพื่อนๆเราแบบนี้นานแล้วด้วย” ไอ้แบ๊งค์หัวเราะเบาๆ

“อืม ก็ดีแล้ว กูยังแปลกใจเลยนะที่เพื่อนเรามากันได้ตั้งยี่สิบกว่าคนแบบนี้น่ะ มันทำให้พวกกูรู้สึกดีนะที่ยังเห็นทุกคนยังติดต่อแล้วก็เหนียวแน่นกันอยู่เหมือนเดิมแบบนี้น่ะ โดยเฉพาะไอ้เมฆมันยิ่งดีใจใหญ่ เพราะมันเป็นคนรักเพื่อนอยู่แล้ว มันน่ะพอไปอยู่ที่นั่นก็เอาแต่บ่นคิดถึงเพื่อนบ่อยจะตายห่าไป”

“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว........ กูอยากรู้ว่ะว่ามึงคบกันตั้งแต่ตอนไหนเหรอ”

“ประมาณช่วงเดือนนึงหลังจากที่ไอ้เมฆมันไปอยู่ที่บ้านกูได้นะ”

“งั้นกูขอถามอีกคำถามนึงได้ป่าววะ..........”

“ได้ ก็กูบอกแล้วไงว่าถ้าใครมีอะไรสงสัยก็มาถามพวกกูได้ ถ้าตอบได้ก็จะตอบ” ผมพูดพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวี

“มึงชอบกันมาตั้งแต่ตอนไหนวะ ตอนมอปลายน่ะเหรอ หรือไปรู้สึกชอบกันเอาตอนที่ต้องอยู่ด้วยกันที่นู่น”

“ตั้งแต่มอปลายแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีใครเริ่มทำอะไรจริงๆจังๆหรือแสดงอะไรออกมาก่อน” ผมตอบสั้นๆ ในใจก็นึกหวั่นๆความคิดของไอ้แบ๊งค์อยู่เหมือนกัน

“บางทีถ้ากูชอบใครแล้วคิดจะทำอะไรลงไปบ้างมันก็น่าจะดีว่ะเนอะ.........”

“นี่ไอ้แบ๊งค์” ผมหันหน้ากลับมามองหน้ามันตรงๆ แบ๊งค์มีสีหน้าตกใจนิดหน่อยทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงและเห็นสีหน้าของผมแบบนี้ “กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงหมายถึงใคร แต่มึงเป็นเพื่อนกู ตอนนั้นเราสนิทกันมาก แต่ว่าหลังจากที่กูไปอังกฤษเราก็แทบไม่ได้ติดต่อกันเลย ซึ่งก็นับว่าโชคดีของมึงที่กูยังคงรู้สึกดีๆกับมึงอยู่ ส่วนกูก็ยิ่งโชคดีที่ได้เป็นเพื่อนของมึง ไม่ใช่แค่มึงด้วย แต่เป็นพวกมึงทุกคนเลย เพราะงั้นกูถึงได้วางใจที่จะบอกเรื่องของกูกับเมฆให้พวกมึงรู้กันไง เพราะงั้นนะ เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปว่ะ ตราบเท่าที่มึงไม่อยากจะสูญเสียกูไป เราก็จะยังคงเป็นเพื่อนกันตลอดไป แบบนั้นโอเคมั๊ย”

แบ๊งค์ดูมีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะพูดคำๆนั้นออกไปตรงๆกับมันหรอก เนื่องจากมันไม่ได้เป็นคนพูดออกมาก่อนเอง และไม่ว่ายังไงจริงๆแล้วผมก็ไม่อยากจะได้ยินมันพูดออกมาก่อนด้วยซ้ำอยู่ดี ผมไม่อยากจะได้ยินหรือรับรู้คำๆนั้นออกมาจากปากของมัน

“กูคิดว่ามึงคงเข้าใจกูแล้วนะ หวังว่ากูคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มันชัดเจนไปมากกว่านี้” ผมย้ำอีกครั้ง

ไอ้แบ๊งค์เงียบไปพักหนึ่งเป็นคำตอบว่ารับรู้แล้ว ก่อนที่จะส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆและหัวเราะออกมาเบาๆ “มึงนี่ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆว่ะ ไอ้ซัน ทั้งสีหน้า น้ำเสียง และที่สำคัญ แววตาของมึงที่ยังคงสยบใครหลายๆคนได้”

ผมหันหน้ากลับไปมองยังจอทีวีอีกครั้ง

“เมื่อคืนพวกไอ้กอล์ฟมันพูดกันนะว่าไอ้เมฆมันกำราบเสือซะกลายเป็นแมวไปแล้ว แต่ดูท่าทางคงจะยังไม่จริงไปทั้งหมดว่ะ”

“ก็อาจจะถูกอย่างที่พวกมันพูดนะ แต่ถ้ากูจะเป็นแมว กูก็คงเป็นแมวสำหรับไอ้เมฆคนเดียวเท่านั้นล่ะว่ะ”

“บอกตามตรงนะซัน กูอิจฉาไอ้เมฆว่ะ....... มึง....... คงจะเข้าใจกูดีแล้วสินะ” ไอ้แบ๊งค์พูดแบบไม่ค่อยเต็มคำเท่าใดนัก

ผมพยักหน้า “ก็คงอย่างนั้นแหละ แต่กูคงให้มึงอย่างที่มึงต้องการไม่ได้ว่ะ เรื่องมันก็เท่านั้น”

“กูก็ไม่ได้คิดจะอยากได้อะไรของมึงในตอนที่มึงไม่อยากให้เหมือนกัน” คราวนี้ไอ้แบ๊งค์ตอบกลับมาอย่างเด็ดเดี่ยว

ผมหันกลับไปมองหน้าของมันอีกครั้ง และคราวนี้ไอ้แบ๊งค์ก็กำลังจ้องมองเผชิญหน้ารอรับสายตาของผมอยู่แล้ว และก่อนที่ผมจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมาอีก เมฆ นัท และพี่แอมป์ก็เดินเข้ามาในบ้านพอดี พร้อมๆกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆที่เดินออกมาจากในห้องนอนใหญ่ทางด้านในอีกสามสี่คน

“ทุกคน นัทกับพี่จ๊อบจะกลับแล้วนะ ส่วนพี่แอมป์บอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับเราสองคนหน่อยน่ะซัน” เมฆหันมาพูดประโยคหลังกับผม และผมสังเกตเห็นว่าสายตาของมันยังไปหยุดอยู่ที่ไอ้แบ๊งค์แวบหนึ่งด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าผมคิดไปเองรึเปล่า

“นัทจะกลับแล้วเหรอ ทำไมรีบกลับจัง” เดียร์พูดขึ้นจากหน้าห้องนอน

“พี่จ๊อบต้องรีบกลับไปทำงานน่ะ ถ้างั้นนัทขอไปเก็บของก่อนก็แล้วกันนะ เมฆ” นัทหันไปพูดกับเมฆ จากนั้นก็เดินเข้าห้องนอนไป

“แล้วพี่แอมป์มีอะไรเหรอครับ” ผมหันไปถามพี่แอมป์

“กูว่าเราไปคุยกับพี่แอมป์กันข้างนอกเถอะ ซัน ในนี้สาวๆมันเริ่มออกมาหากินกันแล้ว เสียงดังว่ะ” เมฆพูดขึ้น

“แกว่าใครออกมาหากินยะ ไอ้เมฆ คนนะเว้ย ไม่ใช่ชะนี!” เสียงของเพื่อนเราดังขึ้นจากทางในห้องครัว

“อย่าเผลอหยิบกล้วยเข้าปากไปก็แล้วกัน ไม่งั้นเดี๋ยวกูจะยิ่งสับสน” ไอ้เมฆสวนกลับไป ทำให้เรียกเสียงกรี๊ดและเสียงหัวเราะขึ้นได้อีกครั้ง

“งั้นก็ไปกันเถอะ” ผมพูดพร้อมลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินผ่านหน้าแบ๊งค์ออกไปหาเมฆกับพี่แอมป์ที่กำลังยืนรออยู่หน้าประตู

เราสามคนเดินออกจากหน้าบ้านไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นสนตรงริมหาด เนื่องจากเมื่อคืนนี้ก่อนที่พวกมันทุกคนจะแยกย้ายกันไปนอน พวกมันก็ช่วยกันเก็บกวาดกันไปจนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเช้าวันนี้จึงไม่มีขยะเหลือให้เห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เหลือก็เพียงแต่ร่องรอยของการจัดงานและผู้คนจำนวนมากที่มาดื่มกินกันอยู่แถวนี้เท่านั้น

“แล้วอาร์มล่ะครับ ยังไม่ตื่นเหรอ”

“ยังเลยซัน คือจริงๆก็ตื่นมาแล้วรอบนึงล่ะนะ แต่ก็กลับไปนอนต่อ เห็นว่าปวดหัวน่ะ”

“สงสัยเมื่อคืนจะยาวเหมือนกันแฮะคนนั้น” ผมหัวเราะเบาๆ

“ท่าทางจะอยู่กับไคล์ตลอดนะ กลับมาก็ราวๆตีสองกว่าได้มั๊ง พี่ก็ไม่แน่ใจนะเพราะว่าตอนนั้นพี่หลับไปแล้ว”

“ว่าแต่ขอบคุณมากเลยนะครับพี่แอมป์ สำหรับเมื่อวานที่อุตส่าห์มา แถมยังมีของขวัญถูกใจติดไม้ติดมือมาให้พวกเราอีกด้วย”

“ไม่เป็นไรค่ะ เมฆ พี่เองอยากจะให้อะไรมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เอาไว้กลับไปกรุงเทพแล้วไปทานข้าวกับพี่หน่อยก็แล้วกันนะคะ และคราวนี้ก็ห้ามเบี้ยวแล้วด้วยนะ”

“นี่พี่เรียกเราสองคนออกมาเพราะแค่จะชวนไปทานข้าวเนี่ยเหรอครับ” ผมถาม

“เปล่าๆ พี่แค่อยากจะคุยอะไรกับซันกับเมฆนิดหน่อยน่ะค่ะ คือ พี่เนี่ยอยากจะขอบคุณเมฆจริงๆ เมฆรู้มั๊ยเมฆนี่เป็นเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวของสาวๆเลยนะ คืนก่อนก็ช่วยพี่ไว้ แล้วเมื่อคืนก็ยังช่วยนัทอีก แถมตัวเองยังต้องพลอยมาเจ็บตัวแบบนี้อีกด้วย”

“พี่ว่าพระเอกขี่ม้าขาว แต่ผมว่ามันเป็นตัวซวยครับ อยู่ใกล้ใครคนนั้นเป็นต้องเจอเรื่อง” ผมหัวเราะ แต่ไอ้เมฆกลับหันมามองผมตาเขียว “เออออ กูล้อเล่นๆ ถ้ามึงเป็นตัวซวยจริงก็ต้องมีคนบาดเจ็บไปแล้วสิ แต่นี่มึงช่วยคนอื่นไว้ได้หมดทุกครั้ง นี่แหละที่เค้าเรียกว่าพระเอกของจริง” ผมยิ้มกว้างแล้วดึงตัวมันเข้ามาโอบ

“เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเนอะ คือพี่น่ะทำงานเกี่ยวกับพวกหนังสือน่ะค่ะ พี่เป็นนักเขียนแล้วก็ช่างภาพอิสระด้วย ที่มาเที่ยวที่นี่ก็มาเพื่อช๊าร์จแบตตัวเอง ทำหัวให้ปลอดโปร่ง แล้วก็เพื่อหาข้อมูลใหม่ๆด้วย จะพูดตรงๆเลยก็แล้วกัน คือพี่สนใจในตัวซันกับเมฆมากเลยค่ะ ทั้งสองคนทั้งหน้าตาดี ทั้งเก่ง แถมยังดูรักกันดีมากอีกด้วย ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากจะถามทั้งสองคนว่าสนใจที่จะเป็นนายแบบให้พี่รึเปล่า”

“นายแบบเหรอครับ” ผมกับเมฆพูดออกมาพร้อมๆกันด้วยความตกใจ

“ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ แต่พี่เองก็ยังไม่ได้อยากคอนเฟิร์มอะไรนะคะ เพราะว่าพี่อยากฟังความเห็นของทั้งสองคนก่อนที่จะเจาะลงรายละเอียด คือ ตัวพี่เองน่ะเป็นนักเขียนอิสระกับช่างภาพอิสระ พี่ก็เขียนหนังสือมั่งถ่ายภาพมั่ง แล้วก็อย่างที่บอกว่าพี่น่ะชอบทั้งสองคนมากจริงๆ แถมเราก็ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญเดินสวนกันแล้วพี่มาชวนน้องให้เข้าวงการด้วย คือพี่จะไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย แต่ยกเว้นว่าถ้าทั้งสองคนอยากจะเป็นนายแบบหรือเข้าวงการจริงๆ พี่ก็ช่วยได้เหมือนกันนะ เพราะพี่ก็มีเพื่อนทำงานอยู่ด้านนั้นเยอะเหมือนกัน”

“เดี๋ยวๆๆนะครับพี่แอมป์ สรุปนี่คือพี่จะชวนผมกับไอ้เมฆไปเข้าวงการอะไรแบบนั้นเหรอครับ”

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป พี่ก็แค่อยากจะถ่ายรูปซันกับเมฆเท่านั้นเอง พี่อยากให้ทั้งสองคนมาเป็นนายแบบให้พี่ถ่ายภาพน่ะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะคุยถึงเบื้องหลังของทั้งสองคนนิดหน่อยด้วย เผื่อเป็นไอเดียให้พี่เขียนหนังสือหรืออะไรแบบนั้นน่ะค่ะ อ้อจริงสิ นี่ค่ะ นามบัตรพี่” พี่แอมป์ล้วงลงไปในกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นนามบัตรมาให้พวกเรา “แต่พี่แค่บอกว่า ยกเว้นถ้าทั้งสองคนอยากจะออกทีวีหรือลงหนังสือจริงๆล่ะก็ พี่ว่าทั้งคู่ทำได้สบายมากๆเลยล่ะนะ”

เราสองคนยืนอ่านนามบัตรของพี่แอมป์นิ่งไปราวๆห้าวินาที ข้อมูลใหม่ที่พวกเราเพิ่งรู้และได้รับการเสนอมานี่มันทำให้เราทั้งคู่ตกใจ ประหลาดใจ และคาดไม่ถึงมากจริงๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะสนใจในเรื่องพวกนั้น และไม่เคยคิดเลยด้วยว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราสองคนได้จริงๆ

“อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจเลยค่ะ พี่ไม่ได้เร่งรัดหรืออะไร ขอย้ำอีกครั้งนะคะว่า ถ้าซันกับเมฆไม่สนใจก็แค่ปฏิเสธมา พี่ไม่ว่าเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ แต่พี่ก็แค่อยากจะถ่ายรูปของทั้งสองคนเก็บไว้เท่านั้น มันมีอะไรบางอย่างในตัวของทั้งสองคนนะที่พี่ว่ามันน่าดึงดูดมากๆ คนหนึ่งนั้นจะดูแข็งแกร่งและเป็นผู้นำ ส่วนอีกคนก็ดูอ่อนโยนมากกว่า แต่พอดูดีๆแล้วจะเห็นว่าข้างในของทั้งคู่นั้นมันมีอะไรบางอย่างที่กลับกันอย่างสิ้นเชิง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เมฆกับซันน่ะ ถ้านอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วล่ะก็ พี่ว่าทั้งคู่ดูราวกับเป็นแฝดต่างฝากันเลยทีเดียวนะ นอกจากหน้าตาที่ไม่เหมือนกันแล้ว พี่ว่าร่างกายของเมฆกับซันนั้นมันคล้ายกันมากๆเลย ทั้งโครงร่าง รูปร่าง และสีผิว เพียงแต่ซันจะสูงกว่ากับขาวกว่านิดหน่อยก็เท่านั้นเอง พี่ก็เลยอยากจะลองเก็บเอาความรู้สึก ความเหมือนความต่าง และก็ความน่าสนใจในตัวของทั้งสองคนที่พี่เจอมากับตัวเหล่านั้นบันทึกลงไปในภาพถ่ายดูน่ะค่ะ”

“ก็หมายความว่า ถึงเรื่องอื่นเราจะยังไม่ชัวร์ แต่พี่ก็อยากจะแค่ถ่ายรูปเราสองคนแน่ๆอย่างนั้นเหรอครับ” ไอ้เมฆถามขึ้นบ้าง

“และที่ว่าเป็นแบบถ่ายรูปนี่คือถ่ายแบบในสตูดิโอ โพสท่าเป็นเรื่องเป็นราวอะไรแบบนั้นเลยใช่มั๊ยครับ”

“ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ แบบนั้นก็ส่วนนึง แต่ไหนๆตอนนี้เราก็อยู่ที่ทะเลแล้ว พี่ก็เลยอยากได้รูปแบบอื่นด้วยมากกว่า” พี่แอมป์ยิ้ม “และจากที่พี่เห็นมาสองคืนเนี่ย เมฆน่ะเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมาก ส่วนซันก็สามารถอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยมากได้มากเช่นกัน พี่ว่านั่นมันเป็นเสน่ห์ของทั้งสองคนที่สุดยอดไปเลย ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากจะเขียนเรื่องราวอะไรประมาณนี้บ้างเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อทั้งคู่หรอกนะ เอาแค่เรื่องราวมาเป็นพล็อตเท่านั้น แต่ว่าถ้านั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเมฆกับซันมากเกินไป พี่ก็ไม่ว่าอะไรค่ะ แต่ถ้าได้ถ่ายรูปของทั้งสองคนเก็บไว้นี่พี่จะดีใจมากๆเลย”

“อืมมมมม.......... ซันคิดว่าไงครับ” เมฆหันมามองหน้าผมหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง

พูดตามตรงแล้วการได้เป็นแบบถ่ายรูปให้พี่แอมป์มันก็ฟังดูน่าสนใจดีอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าได้ถ่ายคู่กับเมฆด้วยมันก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ เพราะเราสองคนยังไม่เคยได้ถ่ายรูปคู่แบบเป็นเรื่องเป็นราวแบบนั้นกันมาก่อนเลย แถมหลังๆมานี่ไอ้เมฆมันก็สนใจเรื่องการถ่ายภาพอยู่แล้วด้วย การได้ไปเป็นนายแบบให้คนอื่นแทนที่จะคอยเป็นคนกดชัตเตอร์อยู่ด้านหลังก็คงจะทำให้มันรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ถ้าอะไรที่มันมากไปกว่าการถ่ายรูปแบบนั้น ผมก็คงต้องขอคิดดูก่อน เพราะผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวผมมากนัก และไอ้เมฆเองก็คงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่ถึงยังไงก็ตาม เราสองคนก็ชอบพี่แอมป์มาก เธอคนนี้ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าสำหรับเราสองคนอีกต่อไปแล้ว ผมจึงค่อนข้างที่จะไว้ใจและวางใจพี่แอมป์มากอยู่พอสมควร

เพราะฉะนั้นแล้วผมจึงทำแบบที่ผมมักทำเป็นประจำเวลาที่ต้องออกความเห็น.......

ผมเลิกคิ้วหนึ่งข้างแล้วก็ยักไหล่

หลังจากที่เราคุยกับพี่แอมป์ต่ออีกนิดหน่อยจนเสร็จเรื่อง นัทก็กำลังเตรียมขนของเพื่อที่จะกลับกรุงเทพพอดี พวกเราบางคนที่ตื่นอยู่จึงเดินไปส่งนัทกับพี่จ๊อบที่รถ นัทบอกลาเพื่อนๆคนอื่นๆสั้นๆและทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปทำธุระของตัวเองต่อ เหลือเพียงเมฆที่ยังคงยืนรออยู่กับผมเท่านั้น และเมื่อนัทขึ้นไปนั่งรอพี่จ๊อบในรถแล้ว พี่จ๊อบที่เพิ่งวางกระเป๋าใส่หลังรถเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามาหาเราสองคนพร้อมกับรอยยิ้มแบบเดิมๆ รอยยิ้มแบบที่ผมไม่เคยชอบนั่นเลยจริงๆ

“แล้วเราคงได้เจอกันอีกเร็วๆนี้นะ เมฆ ซัน” เมื่อพูดจบ เขาก็ขึ้นไปนั่งด้านคนขับ จากนั้นก็ขับรถออกไป ทิ้งให้ผมกับเมฆยืนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลกๆอยู่อย่างนั้น

“มันเอาอะไรส่วนไหนคิดว่าเราจะต้องได้เจอกันอีกวะ กูไม่ได้อยากจะเจอมันอีกเลยจริงๆนะเนี่ย” ผมพูด

“กูก็ไม่รู้ แต่ก็ช่างเหอะ กูว่าเราเองก็ไปเตรียมเก็บของกลับกันมั่งดีมั๊ย วันนี้ก็ต้องกลับแล้วนี่ หรือมึงอยากจะอยู่ต่ออีกสักคืน”

“ไม่อ่ะ กูกลัวว่าพ่อมึงจะเป็นห่วงว่ะ กูว่าบ่ายๆเรากลับเลยก็ดีเหมือนกัน”

“อือ กูก็คิดงั้นเหมือนกัน งั้นเราไปเก็บของกันเหอะ จะได้ดูด้วยว่าพวกผู้ชายมันตื่นรึยัง และจะได้บอกไคล์ให้เตรียมตัวเลยด้วย”

เราสองคนเดินกลับไปที่บ้านของตัวเองอีกครั้ง และเนื่องจากตอนนี้ก็เป็นเวลาจะสิบโมงแล้ว ดังนั้นเพื่อนๆเราจึงตื่นกันครบหมดแล้วทุกคน และก็กำลังจัดสรรห้องน้ำเพื่อทำธุระกันอยู่ยกใหญ่เลยด้วย ผมบอกให้ไอ้เมฆมันเข้าไปคุยกับไอ้วิทเรื่องที่เราจะกลับกันตอนบ่ายๆนี้ ส่วนผมก็เข้ามาในห้องนอนเพื่อเก็บของทุกอย่างให้เรียบร้อย และที่นั่นไคล์เองก็กำลังจะแพ๊คของๆเขาลงกระเป๋าอยู่ด้วยเหมือนกัน

“เออดีๆ พี่กำลังจะมาบอกพอดีว่าเรากลับกันวันนี้นะ บ่ายๆเย็นๆก็กลับแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวพ่อไอ้เมฆจะเป็นห่วงเอา” ผมเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วโยนเสื้อผ้าทั้งหมดลงบนเตียง

“ครับ ผมก็คิดอยู่เหมือนกัน ก็เลยจัดของเตรียมเอาไว้ก่อน”

“ว่าแต่เมื่อคืนเป็นไง อยู่กับอาร์มตลอดเลยรึเปล่า เออ จริงสิ ที่ไอ้เมฆมันลากเราไปคุยด้วยตอนแรกที่อาร์มมาถึงน่ะ คือเรื่องพี่กับมันใช่มั๊ย” ผมถามขณะที่กำลังยัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า

“ใช่ครับ ศิลาเค้าให้ผมมาบอกอาร์มล่วงหน้าน่ะ เค้าจะได้ไม่ตกใจทีหลัง”

“แล้วเป็นไง ปฏิกิริยาเขาเป็นไงมั่ง”

“ก็ดีนะผมว่า ดูงงๆหน่อย แต่ก็ไม่ได้อะไร เพียงแต่ว่า....... ผมสงสัยว่าเขาเองก็เป็นเกย์เหมือนกันนะ ซัน”

“ว่าไงนะ” ผมหันมามองหน้าไคล์ทันที “ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ หรือเค้าพูดอะไรมา” ใจของผมก็นึกย้อนไปถึงตอนที่ผมคุยกับเขาสองคนที่ชายหาดเมื่อวานตอนบ่ายๆนั่น

“เปล่าครับ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่จริงๆแล้วที่คณะผมก็เคยได้ยินคนบางคนสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าอาร์มน่ะเป็นเกย์รึเปล่า เพราะไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนผู้ชายเท่าไหร่ ดูเงียบๆ แล้วก็ไม่สนใจผู้หญิงเลยด้วย มีผู้หญิงมาจีบก็ไม่สนใจ”

“เฮ้ย แค่นั้นมันก็ไม่เกี่ยวนี่นา เราเองก็มีคนมาจีบเยอะแต่ก็ไม่ได้สนใจใครไม่ใช่เหรอ” ผมหันกลับไปเก็บของต่อ

“ช่าย เพราะผมบอกคนอื่นไปแล้วว่าผมมีแฟนน่ะ แถมหลายครั้งยังทำเป็นพูดไทยฟังไทยไม่ค่อยรู้เรื่องอีกต่างหาก ก็เลยรอดตัว” ไคล์หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เริ่มพูดต่อ “และสำหรับอาร์มแค่นั้นมันก็ยังไม่เกี่ยวหรอกครับ ถ้าเมื่อคืนเขาไม่ได้มีท่าทางเหม่อๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่สักอย่างบ่อยๆ และเขาก็ถามผมบ่อยมากๆด้วยว่าซันกับศิลาคบกันตอนไหน เริ่มยังไง พ่อแม่ว่าไงบ้าง ทุกอย่างเลยล่ะครับ ทุกอย่างจริงๆ ดูเขาสนใจเรื่องนี้มากจนน่าผิดสังเกต”

ผมพยักหน้าและคิดตามสิ่งที่ไคล์เพิ่งเล่าให้ฟัง ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็มันก็อาจจะน่าคิดอยู่เหมือนกันนะว่าทำไมเขาถึงต้องสนใจมากขนาดนี้ และเมื่อรวมกับความรู้สึกแปลกๆที่ผมรู้สึกเมื่อตอนนั้นแล้วมันก็พอจะเสริมให้สิ่งที่ไคล์สงสัยอยู่มันมีเค้ามากขึ้นจริงๆ

“และนอกเหนือไปจากนั้น เขายังหลุดพูดออกมาตอนที่เขาเมาด้วยว่า ถ้าเขาคิดจะมีแฟนล่ะก็ เขาก็อยากมีแฟนแบบศิลานะ”

“ว่ายังไงนะ” ผมหันกลับไปหาไคล์ทันที

“ก็ประมาณนั้นแหละ” ไคล์ยักไหล่ “แต่เขาพูดตอนเมานะ ไม่ได้พูดแบบนี้เป๊ะๆหรอก แต่ใจความก็ประมาณนี้แหละครับ”

ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กำลังคิดว่าไอ้เมฆกับอาร์มมันไปคุยกันแบบส่วนตัวสองต่อสองกันเอาตอนไหน และไอ้เมฆมันไปเผลอทำตัวน่ารักเข้าตอนไหนถึงได้ทำให้อาร์มมันมาหลงเสน่ห์เอาได้อีกคน แต่คำตอบที่ได้ก็คือไม่มีเลย เท่าที่ผมจำได้อาร์มก็ไม่เคยเข้ามาคุยหรือทำความรู้จักกันแบบจริงๆจังๆกับเมฆเลยสักครั้งเดียว เพราะฉะนั้นอาร์มก็อาจจะแค่พูดเปรยๆว่าอยากจะมีแฟน “แบบ” เมฆ ไม่ใช่ว่าอยากจะได้เมฆ “เป็น” แฟนก็เท่านั้นเอง

“เก็บของเสร็จกันรึยังคร้าบ หนุ่มๆ คนอื่นมันจะทยอยออกไปกินข้าวที่บ้านไอ้วิทกันหมดแล้วนะ และเดี๋ยวเราไปถ่ายรูปเล่นน้ำกันเหอะ จะกลับแล้วต้องเอาให้คุ้ม” ไอ้เมฆโผล่หัวเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

“เออๆ จะเสร็จแล้ว” ผมรีบๆยัดของลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว “แล้วจะเข้ามามั๊ยเนี่ย จะช่วยกูเก็บของรึเปล่า”

“คร้าบๆ เข้าครับ ดุจังเว้ย” ไอ้เมฆยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าห้องมานั่งลงบนเตียง “ว่าแต่แสบเล่าให้ไคล์ฟังรึยัง เรื่องที่พี่แอมป์คุยกับเราน่ะ”

“เออ ยังเลย กูก็ลืมไปเลยนะเนี่ย”

“มีอะไรเหรอครับ หรือว่าเรื่องของอาร์ม” ไคล์ถามด้วยความแปลกใจ

“เปล่าๆ ไม่เกี่ยวกับอาร์มหรอก” ผมบอก จากนั้นเราสองคนก็เล่าถึงสิ่งที่พี่แอมป์คุยกับเราเมื่อครู่นี้ให้ไคล์ฟัง และไคล์เองก็ดูมีท่าทางตื่นเต้นและสนใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินไปมากทีเดียว

“ก็ดีนี่ ไม่ได้ให้ไปออกทีวีหรืออะไรอย่างนั้นสักหน่อย แค่ถ่ายรูปเอง อาร์ทดีออก” ไคล์หัวเราะเบาๆ

“ก็นี่แหละ เดี๋ยวตอนบ่ายนี้พี่แอมป์จะมาหาอีกรอบ แล้วก็จะคอยเก็บภาพเราสองคนไปเรื่อยๆน่ะนะ”

“หมายความว่ายังไงครับ เก็บภาพไปเรื่อยๆ” ไคล์ถามด้วยสีหน้าสงสัย

“ไอ้ซันมันหมายความว่า วันนี้ตอนก่อนเรากลับน่ะ พี่แอมป์เขาจะมาถ่ายรูปพวกเราตอนกำลังทำไอ้นั่นไอ้นี่ของเราไปน่ะ เราจะว่ายน้ำ กินข้าว เล่นกับเพื่อนหรือทำอะไรก็ทำไป ส่วนพี่เขาอยากกดชัตเตอร์เมื่อไหร่ก็กด อะไรประมาณนั้นน่ะไคล์ เข้าใจยัง พี่แอมป์เค้าบอกว่าอยากได้ภาพแบบเป็นธรรมชาติๆของเราสองคน และพี่ว่ามันก็น่าสนุกดีออก คงเขินๆกันน่าดู แต่ก็ฟังดูแล้วน่าสนุกดี” ไอ้เมฆพูดอย่างอารมณ์ดี

“อ้อ โอเคครับ เข้าใจล่ะ ก็ฟังดูน่าสนุกดีจริงๆนะ” ไคล์พยักหน้า

“มิน่าล่ะ คุณเมฆถึงได้ดูอารมณ์ดีเหลือเกินนะครับ ตื่นเต้นล่ะสิมึง” ผมหัวเราะเบาๆ ขณะรูดซิปปิดกระเป๋า

“ใครบอกมึง กูไม่ได้ตื่นเต้นสักหน่อย ก็แค่รู้สึกว่ามันคงแปลกดีเฉยๆเท่านั้นเอง”

“มึงนี่มันเก็บอาการไม่เคยได้เลยจริงๆนะ แล้วชอบทำเป็นปากดี” ผมทำเป็นส่ายหน้าพร้อมกับจุ๊ปาก

“หยุดเลยทั้งสองคน ก่อนที่จะมาเถียงกันอีกยกในตอนนี้” ไคล์รีบขัดขึ้น “แล้วเพื่อนๆของทั้งสองคนล่ะ รู้รึยัง ไม่งั้นเขาจะไม่แปลกใจเอาเหรอที่อยู่ๆก็มีคนอื่นมาคอยถ่ายรูปทั้งคู่อยู่แบบนี้น่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพวกมันก็รู้กันเองแหละ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่นะ แถมคนมันหน้าตาดีทั้งคู่อยู่แล้วด้วย เลยไม่รู้จะกลัวไปทำไม” ผมดึงตัวไอ้เมฆเข้ามาโอบ “จริงมั๊ยจ๊ะ ที่รัก”

“กูจะอ้วก ไอ้ซัน หลงตัวเองไม่มีที่สิ้นสุด” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ

“กูไม่ได้หลงตัวเอง แต่กูพูดความจริงและยอมรับความจริงเว้ย เพราะว่ากูจะหน้าตาดีก็เฉพาะสำหรับมึงคนเดียว กับคนอื่นกูไม่แคร์ มึงก็เหมือนกัน หล่อให้กูคนเดียวพอ ไม่ต้องไปหล่อใส่คนอื่น เข้าใจป่ะ และที่สำคัญ เวลากูอยู่กับมึงมันก็เหมือนกับกูกำลังได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่งดงามที่สุดในโลกเลยด้วย เพราะงั้นเราสองคนจึงหน้าตาดีที่สุดเวลาที่อยู่ด้วยกันเท่านั้นไง แบบนี้โอเคมะคับ”

เมื่อผมพูดจบ ไอ้เมฆก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ผมล่ะชอบเวลามันเขินแบบนี้จริงๆ

หลังจากมื้อเที่ยง ตอนบ่ายๆพวกเราทุกคนก็วิ่งลงทะเลกันอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย แต่คราวนี้เราทั้งเล่นฟุตบอล วอลเลย์บอล และยังหากิจกรรม เกมส์ และหาเรื่องแกล้งเพื่อนเล่นสนุกๆกันอีกด้วย เพื่อเป็นการส่งท้ายช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเราทุกคนที่มีมาตลอดสองวันนี้ ยกเว้นแต่เพียงไอ้เมฆคนเดียวที่ไม่สามารถลงน้ำและเล่นอะไรแรงๆได้เนื่องจากยังคงเจ็บแผลอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าพี่แอมป์กับอาร์มก็มาร่วมวงกับพวกเราด้วยเช่นกัน โดยพี่แอมป์นั้นจะคอยถ่ายรูปเก็บภาพของพวกเราอยู่ตลอดเวลาแทบจะทุกอิริยาบถเลยทีเดียว โดยเฉพาะดูเหมือนว่าเวลาที่ผมกับไอ้เมฆอยู่ด้วยกัน กอดกัน หัวเราะ หรือหยอกล้อเล่นกันนั้นพี่แอมป์ดูจะไม่เคยพลาดจังหวะเหล่านั้นไปเลยสักครั้งจริงๆ ตอนแรกๆนั้นเราก็รู้สึกเขินและทำตัวไม่ค่อยถูกอยู่เหมือนกัน แต่พอช่วงหลังๆ เราทั้งสองคนก็เริ่มชินและกล้าเล่นกล้องและเล่นกันเองมากขึ้นจนดูกลายเป็นเรื่องตลกและเรื่องสนุกกันไปเลย และพี่แอมป์เองก็ดูจะชอบใจมากด้วยเช่นกัน

จนกระทั่งถึงเวลาสี่โมงกว่า พวกเราทุกคนต่างก็เตรียมพร้อมที่จะกลับกันเต็มที่ ส่วนพี่แอมป์กับอาร์มนั้นจะยังคงอยู่ต่ออีกหนึ่งคืน และก่อนที่พวกเราทั้งสามคนขึ้นรถและเป็นกลุ่มแรกที่จะกลับกรุงเทพก่อน เราก็ไม่ลืมคุยกับพี่แอมป์เรื่องรูปที่ถ่ายวันนี้อีกครั้ง และนัดแนะวันที่จะเจอกันอีกครั้งเร็วๆนี้ด้วย และหลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาของการบอกลาเพื่อนๆทุกคน

“แล้วเจอกันที่กรุงเทพเว้ย ทุกคน” ผมหันไปโบกมือให้ทุกคนอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังประตูฝั่งคนขับ ซึ่งทั้งเมฆและไคล์ต่างก็เข้าไปนั่งรอในรถกันหมดแล้ว และตอนนั้นเองที่แบ๊งค์กับไอ้แป๊ะเดินตรงเข้ามาหาผม

“บอกไอ้เมฆด้วยนะ ซัน ว่ามันไม่ต้องคิดมากเรื่องทำให้พวกเราหมดสนุกเลย แบบนี้แหละ สนุกสุดยอดแล้วว่ะ” ไอ้แป๊ะพูดพร้อมยิ้มกว้าง จากนั้นมันก็หันไปมองหน้าไอ้แบ๊งค์ก่อนที่จะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง มันส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะบอกลาผมอีกครั้งแล้วก็เดินกลับไป ทิ้งไว้แค่ไอ้แบ๊งค์คนเดียว

“กูขอบใจมึงมากนะ ซัน สำหรับทุกๆอย่าง.........”

ผมพยักหน้ารับ และกำลังจะเปิดประตูรถ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่มันพูดต่อมา

“กูยังไม่เคยเลิกรักมึงได้เลยนะ และก็ไม่รู้ด้วยว่าจะเลิกได้รึเปล่า.......... กูขอโทษทีแต่กูแค่ต้องพูดมันออกไปว่ะ”

ผมหันกลับไปมองหน้ามันอีกครั้ง ไอ้แบ๊งค์เองก็กำลังมองหน้าผมรออยู่แล้ว ผมกับมันสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะหันกลับมาเปิดประตูรถออก และสอดตัวเข้าไปบนที่นั่งคนขับพร้อมกับปิดประตูลงในจังหวะเดียวกับที่ไอ้แบ๊งค์เดินกลับเข้าไปในบ้านพอดี

“มีอะไรวะ ซัน ไอ้แบ๊งค์กับไอ้แป๊ะมันว่าไงวะ” ไอ้เมฆถามขึ้น

“เปล่า........” ผมส่ายหน้าช้าๆ “ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบ จากนั้นก็เข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งเพื่อมุ่งหน้ากลับเข้าสู่กรุงเทพ

หัวข้อ: Re: |[ 8 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-11-2007 20:27:57
มีแต่รางวัลดีโด่อ่ะคับ พี่น้ำค้าง  :m30:

ขอบคุณมากนะคับทุกคน

สุขสันต์วันลอยกระทงนะคับ ขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้า
อวยพรขอพรอะไรจากพระแม่คงคาก้อขอให้สมหวังหนา
ลอยสิ่งไม่ดีๆออกไปกันทุกคนเน้ออ

ปล. อย่าไปเผลอกลายร่างในที่สาธารณะกันซะล่ะคับ

 o13

หัวข้อ: Re: |[ 8 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-11-2007 20:45:44
อืม รู้สึกว่าคงมีปัญหามากกว่าที่เดาไว้นะเนี่ย  :a6:  :a6:  :a6:  :a6:  :a6:
หัวข้อ: Re: |[ 8 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 22-11-2007 21:40:37
ต้น..  นักสร้างปัญหาให้กับเมฆกะซัน

หาทางแก้ปัญหาให้ได้และให้ดีด้วยนะ

 :m20:
หัวข้อ: Re: |[ 8 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 23-11-2007 11:10:00
ดันห้ายพี่ชายยย

กระดึ๊บๆๆๆ :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: |[ 8 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 24-11-2007 10:11:53



ดันตูดคนข้างบนอีกรอบ




ส่วน  อันนี้  ผมโดนบังคับบบบบบบบบบบบบบ


ปล. ไม่ขึ้นมาจะโกดจิงๆด้วยแหละคราวนี้
หัวข้อ: Re: |[ 8 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-11-2007 20:23:14
มาดันด้วยโคนนน  หน้าเขียวไปยังอ่า  มีแต่คนมาดัน  o17
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-11-2007 00:46:29
ตอนที่ 9


ตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษผมก็อาศัยอยู่กับไอ้เมฆที่บ้านของมันมาตลอด ซึ่งจริงๆแล้วผมจะกลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองก็ได้ แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็จะต้องไปอาศัยอยู่กับลุงของผมและครอบครัวของเขาในฐานะของผู้อาศัยแทน เพราะว่าบ้านหลังนั้นมันก็ไม่ใช่ของครอบครัวของผมอีกต่อไปแล้ว พ่อของผมขายมันต่อให้แก่ลุงไปแล้วเรียบร้อยเพราะว่าเขาเพิ่งย้ายลงมาจากเชียงใหม่เพื่อมาทำงานในกรุงเทพนี่ ลุงคนนี้เป็นพี่ชายของพ่อของผมที่ผมไม่ค่อยจะสนิทด้วยเท่าไหร่นัก เนื่องจากเราไม่ค่อยได้เจอกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงเขาจะดีกับผมมากและยังบอกผมว่าผมสามารถกลับไปนอนที่บ้านหลังเดิมได้อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเมียของเขาต่างหากที่เป็นปัญหา ผมรู้สึกว่าเธอคนนั้นค่อนข้างที่จะเป็นโรคจิตอ่อนๆ และที่สำคัญเมื่อเธอรู้ว่าผมกับไอ้เมฆคบกันในฐานะที่มากกว่าเพื่อนแล้ว เธอก็กลัวว่าถ้าผมไปนอนที่บ้านหลังเดียวกับลูกๆของเธอ ผมอาจจะกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่เด็กๆได้

ไร้สาระที่สุด

ดังนั้นช่วงนี้ผมจึงยังอาศัยนอนกับเมฆที่บ้านของมันไปก่อน แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตาม ยังไงๆที่บ้านหลังนี้ก็ยังให้ความรู้สึกเป็นบ้านไปไม่น้อยกว่าบ้านหลังเก่าของผมเลย ถ้าไอ้เมฆเรียกพ่อและแม่ของผมว่าพ่อเล็กกับแม่กุ้ง ผมก็สามารถเรียกลุงเอกพ่อของมันว่าพ่อเอก หรือพ่อเล็ก เพื่อแทนความหมายของคำว่าพ่อคนที่สองได้อย่างเต็มปากด้วยเช่นกัน เมฆนั้นไม่มีแม่ แม่ของมันเสียไปตั้งแต่มันเพิ่งเกิดได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่มันไปเรียนอยู่ที่อังกฤษ พ่อเล็กจึงต้องอยู่คนเดียวตามลำพังมาตลอดเวลากว่าสามปีทั้งๆที่เขาเป็นครอบครัวสองพ่อลูกกันมาตลอด ดังนั้นเมื่อเรากลับมาที่ไทยอีกครั้ง พ่อเล็กจึงดีใจและดูมีความสุขมาก แต่ถึงยังไงผมก็ยังคงคิดถึงการออกไปใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกับไอ้เมฆสองคนอยู่ดี และมันก็เข้าใจผมในเรื่องนี้ดีด้วย

“รอให้อะไรๆมันลงตัวอีกสักหน่อยก่อนแล้วกันนะ ซัน กูสงสารพ่อน่ะ ไม่ค่อยอยากทิ้งพ่อเอกไว้คนเดียวอีกแล้ว กูรู้สึกว่าช่วงนี้พ่อเค้าดูสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เมฆพูดขึ้นเมื่อผมถามถึงเรื่องย้ายไปอยู่ที่คอนโดของพ่อผมที่เคยซื้อทิ้งเอาไว้

“กูก็รู้แหละ กูก็รู้สึกไม่ดีนะที่คิดแบบนั้น แต่จะให้อยู่กับพ่อมึงไปตลอดกูก็ไม่ไหวเหมือนกัน กูเกรงใจว่ะ เพราะเดี๋ยวกูก็ต้องซื้อรถอีก แถมไคล์มันก็รบกวนพ่อมึงมาตั้งนานแล้ว และมันก็ยังต้องซื้อรถของมันอีกด้วยเหมือนกัน แบบนี้บ้านมึงอย่างเดียวก็คงจะมีเนื้อที่ไม่พอหรอก ใช่มั๊ยล่ะ นอกจากนั้นพ่อแม่กูก็อนุมัติมาแล้วด้วย ที่เหลือก็แค่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเท่านั้นเอง”

“มันก็จริง แต่มึงไม่ต้องมาคิดมากเรื่องครอบครัวมึงมารบกวนครอบครัวกูเลยนะ กูไปรบกวนพวกมึงมาตั้งสามปี ลืมไปแล้วรึเปล่า อืมมม แล้วก็อีกอย่างนึง...... คือ มึงจะว่ากูติดพ่อก็ได้ว่ะ กูยอมรับว่ามันฟังดูไร้สาระนะ ทั้งๆที่เราก็แค่ซื้อคอนโดและทำให้มีช่องทางที่ได้อยู่กันแบบเป็นส่วนตัว ซึ่งเราก็ยังคงสามารถกลับมาเยี่ยมหรือมานอนบ้านได้ตลอดเวลาอยู่ดี แต่กูก็ยังตัดใจทิ้งพ่อกูไปตอนนี้ไม่ลงน่ะ ซัน กูอยากชดเชยเวลาสามปีที่กูหายไปซะก่อนว่ะ”

“กูไม่ว่ามึงหรอก กูเข้าใจ” ผมปิดหน้าเวบเพจที่เพิ่งดูอยู่ลง จากนั้นก็หันเก้าอี้คอมกลับมามองมันที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ห้องนี้เป็นห้องเก่าของมันที่มันเคยใช้นอนมาตลอดยี่สิบปีในบ้านของมันเองนั่นเอง “แต่ก็ไม่รู้สิ กูคิดเผื่อไปว่าหลังจากนี้ไคล์กับพีมันอาจจะได้มาอาศัยอยู่กับพวกเรามั่งก็ได้นะ อะไรแบบนี้น่ะว่ะ”

“อืมมม มันก็ใช่ แต่ว่าเอาไว้อีกหน่อยค่อยคิดอีกทีก็แล้วกัน ตอนนี้กูว่าเอาเรื่องงานของเราสองคนก่อน สรุปแล้ว........ เราจะเอายังไงกันดี”

ผมกับเมฆนั้นคุยกันมานานมากแล้ว และสุดท้ายเราก็ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้สักทีว่าเราจะตกลงเรื่องงานของเรากันยังไง พ่อของไอ้เมฆนั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง และแน่นอนว่าถ้าเมฆคิดจะเข้าทำงานที่นี่มันก็ไม่ยากเย็นเลยแน่นอน แต่ไอ้เมฆมันก็ไม่อยากที่จะเข้าไปทำงานในฐานะของ “เด็กเส้น” มันไม่อยากจะเริ่มทำงานโดยมีฐานะที่ต่างจากคนอื่นๆในบริษัท ทั้งๆที่ผมก็เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเรื่องแปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย แต่ไอ้เมฆมันก็ยังคงยืนกรานกับความไม่มั่นใจของมันในเรื่องนี้อยู่ดี

ส่วนผมนั้นก็สามารถเข้าไปทำงานในบริษัทเก่าของพ่อผมได้ไม่ยากเลยด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนแรกผมก็ชวนให้มันไปทำที่เดียวกับผมแล้ว แต่ไอ้เมฆก็คิดว่าถ้าเราสองคนเข้าไปทำงานด้วยกัน พร้อมกัน ในฐานะของคนที่เป็นแฟนกันแบบนี้มันคงจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก ซึ่งต่อให้เราพยายามปกปิดยังไง มันก็คงจะไม่เนียนเท่าไหร่อยู่ดี แถมพ่อของผมก็ลาออกไปแล้ว และสายตาของผู้ใหญ่และพนักงานคนอื่นๆมันก็คงจะมองเราไม่ค่อยดีด้วย แถมมันยังยกทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งส่วนมากจะเป็นข้อเสียของการทำงานด้วยกันที่เดียวกันมาให้ผมฟังอีกหลายข้อ จนผมชักจะเริ่มคล้อยตามกับมันไปด้วยแล้ว

แน่นอนว่าเราทั้งคู่ต่างก็อยากทำงานด้วยกัน อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ค่อยอยากจะอยู่ห่างสายตากันเท่าไหร่นัก แต่ในขณะเดียวกันคำว่าช่องว่างมันก็เป็นส่วนสำคัญในความสัมพันธ์ด้วยเหมือนกัน ถึงเราจะอยู่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลามานานกว่าสามปีแล้ว แต่ตลอดเวลาสามปีนั้นเราก็ต้องผิดใจและทะเลาะกันเพราะไอ้เรื่องของความใกล้ชิดแบบที่แทบไม่มีช่องว่างส่วนตัวกันเลยนี่ด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้แยกกันทำงาน ผมก็ไม่ค่อยจะไว้ใจมันเท่าไหร่นัก ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจในตัวมันหรอก แต่ผมไม่ไว้ใจไอ้คนที่เข้ามาหามันต่างหาก จะว่าผมขี้หึงก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ตัวไอ้เมฆเองยังไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้วผมแอบหึงมันอยู่ฝ่ายเดียวมากขนาดไหน และนั่นก็นับเป็นปัญหาใหญ่ของผมเลยด้วย

“กูว่านะ มึงไปทำงานที่เดียวกับพ่อมึงเถอะ แบบนั้นถ้าเวลาเราย้ายไปอยู่คอนโดแล้ว มึงจะได้ไม่ต้องห่างพ่อมึงมากด้วย ไม่ต้องสนใจไอ้เรื่องเด็กเส้นเหี้ยไรนั่นหรอก พ่อมึงเค้าก็ไม่ทำให้มึงดูเป็นอย่างนั้นแน่ๆอยู่แล้วล่ะ แถมกูว่าดีซะอีกที่ได้เริ่มงานแล้วได้รับการปฏิบัติดีๆมีตำแหน่งสูงๆหน่อยน่ะนะ”

“จะไปสูงได้ไงวะ จบแค่ปอตรี แถมมึงล่ะ จะไม่ทำที่เดียวกับกูแล้วใช่มั๊ย”

“อืม กูคงไปทำที่เก่าของพ่อกูแหละ พ่อกูก็ฝากให้ได้ เพื่อนพ่อกูที่รอให้กูไปทำด้วยก็มีอยู่ ว่าแต่มึงยังอยากจะเรียนต่ออยู่รึเปล่า เมฆ หรืออยากจะทำงานก่อน”

“กูอยากเรียนนะ มึงเองก็อยากใช่มั๊ยล่ะ เพราะว่าถ้าปล่อยไปนานๆเดี๋ยวมันจะขี้เกียจเอาซะก่อน แต่กูว่าถ้าเราเรียนพร้อมๆกันคงไม่เวิร์คว่ะ น่าจะสลับกัน หรือไม่ก็ให้ใครคนนึงเริ่มก่อน แล้วอีกคนค่อยเริ่มตาม ไม่รู้สิ ลองปรึกษาพ่อกูก่อนน่าจะดี”

“แบบนั้นก็ดีแล้ว ถ้างั้นตอนนี้เราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า ไปอาบน้ำแต่งตัวออกไปหาพี่แอมป์กันเถอะ กูอยากเห็นรูปเราสองคนไวๆแล้วว่ะ” ผมยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหามัน

วันนี้เป็นวันที่เรานัดพี่แอมป์ไปทานข้าวด้วยกันจริงๆอีกครั้ง และเป็นวันที่เราจะได้คุยเรื่องรายละเอียดอื่นๆ และได้เห็นรูปที่พี่แอมป์ถ่ายเมื่อวันสุดท้ายของเราที่ระยองด้วย หลังจากกลับมากรุงเทพแล้วเราสองคนก็ได้คุยหารือกันถึงข้อเสนอที่พี่แอมป์บอกเราอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเย็นนี้จึงถึงเวลาที่เราจะให้คำตอบกับพี่เขาสักที

โชคดีที่พ่อเล็กมีรถอยู่สองคัน ตอนนี้เราจึงสามารถขอยืมรถคันหนึ่งไปใช้เป็นการชั่วคราวได้ แต่จะว่าไปรถคันนี้ก็เป็นรถของไอ้เมฆมันเองนั่นแหละนะ ดังนั้นเราสองคนจึงสามารถนำออกมาใช้ได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ

หลังจากเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เราสองคนก็มาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่เรานัดพบกับพี่แอมป์เอาไว้ เราสองคนเดินไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นที่นัดหมายกันเอาไว้ทันที และที่นั่น พี่แอมป์ก็กำลังนั่งรอเราอยู่แล้วพร้อมกับซองสีน้ำตาลซองใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ หลังจากการทักทายพูดคุยถามไถ่เรื่องแผลของไอ้เมฆที่ดีขึ้นมากแล้ว เรื่องทั่วๆไป และพร้อมๆกับอาหารที่เริ่มจะถูกจัดการจนเกือบหมดโต๊ะแล้ว ผมก็เป็นฝ่ายเริ่มเข้าเรื่องก่อน

“ตกลงรูปเป็นไงมั่งครับพี่ ผมอยากเห็นแล้วนะ”

“มันก็ต้องสวยมากอยู่แล้วล่ะค่ะ ขนาดอาร์มเห็นมันยังชอบเลย และพอเพื่อนๆพี่เห็นพวกเขาก็ชอบกันใหญ่เหมือนกัน”

“เพื่อนๆพี่เห็นด้วยเหรอครับ” ไอ้เมฆถาม

“ค่ะ ก็ไม่หลายคนหรอกนะคะ เพราะพี่เห็นว่ามันออกมาดูดีน่ะ แล้วก็เลยอดเอาบางรูปไปให้เพื่อนพี่ช่วยออกความเห็นด้วยไม่ได้” พี่แอมป์พยักหน้าตอบพร้อมกับล้วงมือลงไปในซองสีน้ำตาลนั่น “นี่ไง รูปของทั้งสองคน...... แล้วก็คนอื่นๆด้วย”

ภาพแรกเป็นภาพที่เราสองคนกำลังนั่งกันอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นสน ผมจำมันได้ทันทีว่าตอนนั้นเป็นตอนที่ผมกำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้กับไอ้เมฆอีกครั้ง และเมื่อพี่แอมป์เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้ามากดชัตเตอร์รัวชนิดที่เรียกได้ว่าบ้าคลั่งเลยทีเดียว ตอนแรกนั้นเราสองคนก็รู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน แต่เราก็พยายามไม่ใส่ใจกับมันมากนักตามที่พี่แอมป์แนะนำ และในรูปนี่ก็เป็นตอนที่ผมเพิ่งจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ไอ้ตัวดีเสร็จและกำลังเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมันพอดี น่าแปลกที่นี่มันก็น่าจะเป็นแค่เพียงภาพถ่ายธรรมดาๆเหมือนกับที่เราถ่ายรูปเล่นกันอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าทั้งแสง ทั้งบรรยากาศ และความรู้สึกอบอุ่นแบบเดียวกับในช่วงเวลาจริงที่ผมสบตากับมันนั้นกลับถูกสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน

ชัดเจนมากจนผมถึงกับนั่งอึ้งไปเลยทีเดียว

“เป็นไงคะ รูปแรก นั่นน่ะเป็นหนึ่งในรูปโปรดของพี่เลยนะ พี่ชอบสายตาและรอยยิ้มของทั้งสองคนในรูปมากๆเลย แถมได้คนหน้าตาดีอย่างเมฆกับซันเป็นแบบให้แบบนี้นี่ อะไรๆมันก็ยิ่งดูสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมฆน่ะยิ้มสวยมากๆเลยนะ”

ผมหันไปเห็นไอ้เมฆหน้าแดงขึ้นอีกแล้ว

“พี่ครับ ผมไม่อยากจะพูดแบบนี้เลยนะพี่ แต่ว่านี่มันสวยสุดยอดไปเลย เหมือนไม่ใช่ผมกับไอ้ซันเลยอ่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเขินๆ

“หมายความว่าไงคะ ที่ว่าเหมือนไม่ใช่เมฆกับซัน”

“ก็...... ไม่รู้สิครับพี่ ดูดีเกินความเป็นจริงมั๊ง แถมยังความรู้สึกที่รู้สึกได้เวลามองรูปนี่อีกน่ะ คือ มันแปลกๆมั๊งครับ เพราะเราไม่เคยเห็นตัวเองในอารมณ์แบบนี้มาก่อนเลย” ไอ้เมฆตอบและผมก็พยักหน้าเห็นด้วยด้วยเช่นกัน

“อ๋อ เรื่องนั้นก็คงไม่แปลกหรอกค่ะ ถึงพี่จะแปลกใจนิดๆก็เถอะนะ” พี่แอมป์ตอบพร้อมหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี ผมกับไอ้เมฆจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่เขาพร้อมๆกัน “พี่น่ะเห็นด้วยเลยว่ารูปนี้ถ่ายทอดอารมณ์อบอุ่นๆออกมาได้ดีมาก ถ้าคนที่ไม่รู้จักทั้งสองคนเห็นรูปนี้นะ พวกเขาก็คงรู้สึกถึงความรักแบบเพื่อนและความอบอุ่นของมิตรภาพนี่ได้อย่างดีเลย แต่ว่าถ้าคิดและมองดูดีๆก็คงจะรู้สึกสงสัยได้เหมือนกันว่าระหว่างสองคนนี้มันอาจจะมีอะไรมากไปกว่านั้นรึเปล่า เพราะเพื่อนพี่ยังพูดเลยว่า ‘อย่าบอกนะว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน ไม่งั้นชั้นอกหักแน่ๆ’” พี่แอมป์หัวเราะ “เพียงแต่ว่าความรู้สึกพวกนั้นน่ะ เป็นอะไรที่ทั้งพี่และคนอื่นๆเห็นกันบ่อยมากแล้วตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันน่ะ ทั้งสองคนแสดงออกมันมาชัดเจนมาก ยกเว้นแต่เจ้าตัวเองเท่านั้นแหละที่ไม่รู้สึก”

เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็คิดย้อนไปถึงสิ่งที่ทั้งไอ้วิท ไอ้กอล์ฟ ไคล์ และคนอื่นๆเคยพูดเคยแซวเราเอาไว้ในทันที นี่แปลว่าเราสองคนไม่เคยรู้ตัวเลยจริงๆด้วยว่าเวลาเราอยู่ด้วยกันนั้นเราแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมามากและบ่อยแค่ไหน

“พี่ดีใจนะที่สามารถเก็บเอาความรู้สึกของทั้งคู่ลงภาพถ่ายได้แบบนี้น่ะ นี่ขนาดไม่ได้จัดฉากจัดแสงนะ แต่มันก็ยังออกมาดูเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพราะแบบนี้แหละ มันถึงยิ่งดูเป็นธรรมชาติมากๆเลย”

รูปต่อไปอีกเกือบสิบรูปที่เราดูก็มีทั้งรูปของพวกเราตอนพูดคุยกัน รูปตอนเล่นบอลและเล่นวอลเลย์บอล ตอนว่ายน้ำ และแม้แต่ภาพเปลือยอกก็ยังมีด้วย พี่แอมป์บอกว่ารูปพวกนี้เป็นรูปที่พี่เขาคัดมาแล้วเท่านั้น เพราะว่าจริงๆพี่เขากดชัตเตอร์ไปเยอะมากๆ ทำให้รูปทุกรูปที่เราดูผ่านไปนั้นมันสวยมากจริงๆ ทั้งบรรยากาศความสนุก และความสนิทสนมของพวกเรานั้นถูกถ่ายทอดลงไปในแต่ละภาพได้อย่างชัดเจนเลย และนอกเหนือไปจากรูปของพวกเราสองคนแล้วก็ยังมีรูปของเราพร้อมกับเพื่อนๆคนอื่นๆ และรูปของไคล์อีกหลายใบด้วย

“ไคล์หล่อมากเลยค่ะ ซัน พี่อดใจไม่ไหวเลยต้องขอเก็บภาพไว้สักหน่อยน่ะ คงไม่ว่าพี่นะ” พี่แอมป์พูดอายๆ “เพื่อนพี่ชอบไคล์มากเลย ถ้าน้องชายซันอยากเป็นนายแบบนะ พี่ช่วยได้สบายๆเลย และไม่ใช่แค่ไคล์ด้วยนะ ทั้งสองคนเลยก็ด้วยเหมือนกัน”

ผมกับเมฆหัวเราะเบาๆ ไอ้เรื่องผมกับเมฆไปเป็นนายแบบน่ะ ตัดทิ้งไปได้เลย เรายังไม่คิดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้หรอก แต่สำหรับไคล์นี่ผมว่ามันก็น่ามีลุ้นเหมือนกันนะ เพราะเท่าที่รู้มาไคล์เองก็ถูกคนมารุมสนใจอยู่หลายหนด้วยแล้วเหมือนกัน ด้วยโครงหน้ารูปไข่แบบฝรั่ง ผิวสีแทนอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์ของลูกครึ่งทั้งสี่ชาติ ได้แก่ ไทยจีนจากแม่ และอเมริกันเม็กซิกันจากพ่อ มันมีตาสีเขียวเข้มเป็นประกายและผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบจะดำสนิท นอกจากนั้นยังสูงถึงเกือบร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร แถมยังร่างกายกำยำสมส่วนแบบนักกีฬาของมันนั่นด้วยอีก จึงทำให้ไม่แปลกเลยที่ไคล์มักจะตกเป็นเป้าสายตาและความสนใจของคนอื่นทั่วๆไปอยู่ตลอดเวลา

“เห็นไอ้วิทเล่าว่าไคล์เองก็เคยถูกแมวมองมาชวนอยู่เหมือนกันนี่”

“ไม่รู้พีมันจะว่ายังไงนะ ถ้าไอ้ไคล์มันเกิดดังระเบิดขึ้นมาจริงๆน่ะ” ผมหันไปยิ้มกับเมฆ

“เค้าคงไม่ว่าอะไรหรอกมั๊ง แต่ก็คงจะแอบหึงน่าดูเหมือนกัน แค่เค้ารู้ว่าไคล์มีคนมาจีบเยอะแยะนี่เค้าก็อยากจะรีบกลับไทยจะแย่แล้ว” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ

พี่แอมป์มีท่าทางงงๆกับเรื่องที่เราพูด ผมกับเมฆจึงเล่าให้เขาฟังสั้นๆว่าไคล์มีแฟนอยู่แล้วที่อังกฤษและกำลังจะกลับมาไทยปีหน้านี้แล้ว ซึ่งก็ทำให้เขาต้องตกใจไปเลยเหมือนกันเมื่อรู้ว่าไคล์นั้นก็มีแฟนเป็นผู้ชาย แต่พี่แอมป์ก็สัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่กับอาร์มเองก็ตาม

“งั้นถ้าพี่ถามว่าแฟนไคล์หน้าตาดีเหมือนกันมั๊ยเนี่ย จะเสียมารยาทรึเปล่าคะ”

“เอาเป็นว่า...... ถ้าพี่จับผมสี่คนมาถ่ายรูปด้วยกันล่ะก็ พี่สามารถเอาไปขึ้นปกนิตยสารกระชากหัวใจสาวๆได้สบายๆเลยล่ะครับ” ผมหัวเราะพร้อมกับหยิบรูปต่อไปขึ้นมาดู และมันก็ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างออกมา

รูปใบนี้นั้นเป็นรูปของตอนที่ผมให้ไอ้เมฆขี่หลังและกำลังวิ่งขึ้นมาจากทะเลหนีพวกเพื่อนๆของเราที่เป็นฉากแบ็คกราวนด์เบลอๆอยู่ทางด้านหลัง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมรู้สึกชอบรูปนี้มากๆ มากพอๆกับรูปแรกเลย ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ดูมีความหมายลึกซึ้งอะไรเท่าไหร่นัก แต่ผมรู้สึกว่าอาจจะเป็นเพราะมันแสดงออกถึงความแข็งแรง ความห่วงใย และความรักที่ผมมีให้แก่ไอ้เมฆในรูปแบบของความมีชีวิตชีวา ความสนุกสนานในแบบเด็กๆ และความแนบแน่นในมิตรภาพของเราสองคนได้เป็นอย่างดีทีเดียวก็ได้

เราสองคนดูรูปไปเรื่อยๆช้าพร้อมกับคำอธิบายของพี่แอมป์เป็นระยะๆ และพวกมันก็สวยมากจริงๆ พี่แอมป์สามารถถ่ายภาพเก็บบรรยากาศดีๆมาได้เกือบทั้งหมดเลยทีเดียว จนกระทั่งมาถึงรูปใบสุดท้าย มันก็ทำให้ผมต้องถึงกับอึ้งไปเลย รวมทั้งไอ้เมฆเองก็ด้วย

“รูปใบสุดท้ายนี่เป็นรูปที่พี่ชอบที่สุดเลยค่ะ พี่คิดว่ามันบ่งบอกถึงทุกสิ่งทุกอย่างของทั้งสองคน ทุกสิ่งทุกอย่างของที่ทั้งคู่มีให้แก่กันได้อย่างดีที่สุดเลย”

ไม่น่าแปลกใจเลยที่พี่แอมป์จะเห็นและคิดเป็นแบบนั้น เพราะว่าแม้แต่ผมเองยังต้องรู้สึกเลยรูปนี้มันถ่ายทอดความรักและความผูกพันของเราสองคนออกมาได้ชัดเจนยิ่งกว่ารูปใบแรกเสียอีก เพราะมันเป็นรูปของผมที่กำลังนอนอยู่บนตักของไอ้เมฆบนพื้นทราย มือของผมทั้งสองข้างนั้นกำลังกุมมือของมันอยู่ โดยที่ไอ้เมฆนั้นกำลังก้มมองดูผมอยู่ด้วยสายตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยนพร้อมกับมือข้างซ้ายที่กำลังลูบอยู่บนหัวของผม ส่วนผมนั้นแม้จะกำลังหลับตาอยู่ แต่บนใบหน้าก็กำลังมีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผมกำลังมีความสุขอยู่มากขนาดไหน

“พี่ถ่ายรูปนี้ออกมาได้ยังไงครับเนี่ย” ผมถาม “ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่อยู่แถวนั้นน่ะ”

“โธ่ ซัน ทำไมพี่จะไม่อยู่ เราสองคนนั่นแหละที่หลงเข้าไปในโลกส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้วจนไม่รู้เลยว่ามีใครอยู่ใกล้ๆมั่งต่างหาก”

นี่เป็นหนึ่งในน้อยครั้งเลยที่ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอายอยู่ และไอ้เมฆก็ดูเหมือนจะรู้สึกถึงมันด้วยเช่นกัน

“พี่แอมป์ทำไอ้ซันอายนะครับเนี่ย พี่เชื่อมั๊ยขนาดผมเองยังไม่ค่อยได้เห็นเลยนะ” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ “นี่ แสบ เมฆชอบรูปนี้ว่ะ ชอบมากเลยด้วย”

“เออ กูก็ชอบ” ผมพยักหน้า “มึงยิ้มสวยมากเลยรูปนี้อ่ะ จะกี่ปีผ่านไปรอยยิ้มของมึงก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆนะเนี่ย”

“แล้วยังไงต่อครับพี่ คือ ผมสองคนคุยกันแล้วครับว่าเราจะตกลงเป็นแบบถ่ายรูปให้พี่ครับ ยิ่งมาเห็นภาพพวกนี้แล้วยิ่งตัดสินใจง่ายเลย เราสองคนไม่เคยถ่ายรูปออกมาดูดีได้ขนาดนี้จริงๆเลยนะครับเนี่ย”

“โดยเฉพาะถ้าพูดกันตรงๆแล้ว เราแทบไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเลยมากกว่าครับ มีแต่ถ่ายกันเล่นๆขำๆเท่านั้นเอง”

“และแบบนี้เราต้องจ่ายเงินซื้อรูปจากพี่มั๊ยครับ รวมทั้งรูปพวกนี้ด้วย”

“โอ๊ย ไม่ต้องเลยค่ะเมฆ เพราะว่าพี่เป็นคนอยากถ่ายเมฆกับซันเอง พี่สิที่ต้องจ่ายค่าตัวให้เราสองคนน่ะ รูปพวกนี้ถ้าเมฆอยากได้ก็เอาไปได้เลยค่ะ เพราะว่าพี่มีของพี่อีกเซ็ทอยู่ที่บ้านแล้ว ส่วนเรื่องถ่ายในสตูเนี่ย พี่ดีใจมากเลยที่ทั้งสองคนตอบตกลง แล้ว....... เรื่องอื่นๆล่ะคะ ว่าไง” พี่แอมป์ถามประโยคหลังอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

“ก็........ เราสองคนคิดว่าคงไม่มีปัญหามั๊งครับ ถ้าแค่เล่าให้พี่ฟังว่าเราคบกันยังไงผ่านอะไรมาบ้างใช่มั๊ยล่ะครับ แต่ผมก็แค่อยากจะเห็นว่าพี่จะเขียนอะไรออกมาในแนวไหนแบไหนก่อนที่พี่จะทำอย่างอื่นต่อน่ะครับ แบบนั้นพี่โอเคมั๊ยครับ”

“ยิ่งกว่าโอเคอีกค่ะ เมฆ ถ้าพี่อยากจะใช้เรื่องราวของทั้งสองคนเป็นพื้นล่ะก็ พี่ก็ต้องได้รับความยินยอมเห็นชอบจากทั้งคู่ก่อนอยูแล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” พี่แอมป์ยิ้มกว้าง

“ถ้างั้น....... ผมเก็บรูปพวกนี้ไปได้เลยใช่มั๊ยครับ”

“ได้เลยค่ะ ตามสบายเลย ส่วนมื้อนี้ให้พี่จ่ายแทนคำขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างเลยก็แล้วกันนะ ติดค้างมาตั้งแต่ตอนที่ระยองแล้วนี่”

หลังจากนั้นเราสามคนก็คุยกันถึงเรื่องการถ่ายภาพและเรื่องของไคล์อีกนิดหน่อย เพราะผมคิดว่าผมอยากจะลองยุให้ไคล์มันหันเหมาสนใจเส้นทางสายนี้ดูจริงๆก็อาจจะดีเหมือนกัน ผมรู้สึกว่ามันน่าสนุกดีออก แต่ถึงยังไงก็ต้องรอฟังความเห็นของเจ้าตัวกับของพีดูก่อนล่ะนะ

หลังจากกลับถึงบ้าน พ่อเล็กก็กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นพอดี และเมื่อเขาเห็นรูปถ่ายของเราสองคน เขาก็ชอบใจมาก ถึงขนาดจะขออัดภาพที่ผมเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เมฆเพิ่มเพื่อใส่กรอบเก็บไว้ในห้องนอนของตัวเองเลยด้วยซ้ำ และพอเราบอกว่าเราตัดสินใจตกลงจะเป็นนายแบบให้กับพี่แอมป์ เขาก็ยิ่งสนับสนุนความคิดของเราเข้าไปอีก

“พ่อชอบสร้อยคอของทั้งสองคนนะ ไปทำกันมาเมื่อไหร่ล่ะน่ะ” พ่อเล็กชี้ไปที่ก้อนหินก้อนเล็กสีดำที่ห้อยอยู่ที่คอของไอ้เมฆ

“เพิ่งทำเสร็จเมื่อวานนี้เองครับ ไอ้เดียของไอ้ตัวแสบมัน”

“เออดี เข้าใจคิดดี” พ่อเล็กพยักหน้า ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่อบอุ่นมากจริงๆ และถึงแม้ผมจะไม่ค่อยได้สนิทสนมกับพ่อของไอ้เมฆมันมาก่อนตั้งแต่สมัยที่เราเรียนอยู่มัธยมปลายเท่าไหร่นัก แต่พอช่วงที่ไอ้เมฆเข้าโรงพยาบาลนั้น ผมก็เกิดความรู้สึกนับถือคนๆนี้ขึ้นมามากเลยทีเดียว และยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความรักอันยิ่งใหญ่ของเขาคนนี้ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้แก่ไอ้เมฆมาตลอดเวลา และแถมยังเผื่อแผ่ความรักนั้นมาให้แก่ผมด้วย ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกรักและเคารพเขามากยิ่งขึ้นไปอีก

เราสองคนนั่งปรึกษากับพ่อเล็กถึงเรื่องงานและเรื่องแผนอยากจะเรียนต่ออีกพักใหญ่ๆก่อนที่พ่อเล็กจะขอตัวขึ้นห้องไปเตรียมตัวนอนก่อน ซึ่งหลังจากที่เขาเดินขึ้นชั้นสองไปแล้ว ผมก็สังเกตเห็นสีหน้าของไอ้เมฆที่ดูเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัดขึ้นมาทันที

“เป็นอะไรไป เมฆ”

“นี่มันเพิ่งสามทุ่มครึ่งเองนะ ซัน พ่อกูไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ถึงพ่อจะไม่พูด แต่กูก็รู้เลยว่าเค้ากำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆจริงๆ” ไอ้เมฆถอนหายใจเบาๆ

“กูเข้าใจมึงนะ แต่พ่อมึงก็ยังดูแข็งแรงดีอยู่นี่นา คนแก่ก็เป็นแบบนี้แหละ นอนเร็ว ตื่นเช้า นอนน้อย อะไรพวกนั้นน่ะ มึงอย่าเพิ่งคิดมากสิ” ขณะที่ผมปลอบมันผมก็อดคิดไปถึงพ่อและแม่ของผมที่อังกฤษเหมือนกันไม่ได้

“กูก็รู้นะ แต่กูก็อดกังวลไม่ได้ว่ะ บางทีกูก็รู้สึกเสียดายเวลาสามปีที่ไม่ได้ดูแลเค้าไปเหมือนกัน เพราะพ่อกูน่ะแทบจะไม่เคยบอกอะไรกูที่จะทำให้กูไม่สบายใจสักเท่าไหร่หรอก พ่อเค้าก็ชอบพูดอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ ‘ความสุขของเมฆก็คือความสุขของพ่อ ไม่สำคัญหรอกว่าความสุขของพ่อจะเป็นยังไง’ อะไรพวกนั้นน่ะ และมันก็ทำให้กูไม่ค่อยสบายใจเลย กูอยากให้พ่อมีความสุขจริงๆโดยที่มันไม่ต้องเกิดมาจากกูก่อนมากกว่าน่ะ”

“อืมม กูรู้ กูเข้าใจ แต่มึงไม่ต้องกังวลนะ พ่อของมึงน่ะรักมึงมาก และเค้าก็รู้ด้วยว่าถ้าเค้ามีอะไรหรือเป็นอะไรแล้วไม่บอกมึง มึงนั่นแหละที่จะไม่สบายใจ และเค้าก็ไม่อยากเห็นมึงไม่สบายใจใช่มั๊ยล่ะ เพราะงั้นมึงเชื่อใจพ่อเถอะ อย่าคิดมากไปเองเลย พ่อมึงก็แค่เหนื่อยแหละ เมฆ คนแก่แล้วส่วนมากก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น พ่อกูก็เป็น” ผมดึงตัวมันเข้ามาโอบแล้วลูบหัวมันเบาๆ ไอ้เมฆจึงขยับตัวเป็นนอนหนุนลงบนตักของผมแทน

“อืมมม กูขี้บ่นว่ะเนอะ มึงเบื่อมั๊ย”

“ไม่อ่ะ มึงไม่ได้ขี้บ่นหรอก แบบนี้เค้าเรียกว่ามึงเป็นคนที่เป็นห่วงเป็นใยคนอื่น และรู้จักแชร์ความรู้สึกของมึงให้แก่คนที่มึงรักและไว้ใจต่างหาก ถ้ามึงไม่ได้เป็นแบบนี้กูก็คงไม่รักมึงหรอก” ผมยิ้มกว้าง

เราสองคนยังคงนั่งและนอนอยู่ในท่านั้นเงียบๆต่อไปอีกพักหนึ่ง ก่อนที่โทรศัพท์มือถือของไอ้เมฆจะดังขึ้น มันลุกขึ้นนั่งแล้วก็มองชื่อคนโทรเข้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมามองผม มันกดปุ่มรับและหลังจากคุยอยู่สองสามคำถามว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มันก็ลุกขึ้นเดินออกไปคุยนอกบ้าน ซึ่งทำให้ผมแปลกใจมากว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อีกฝ่ายนั้นเป็นใครมันถึงต้องทำตัวผิดปกติแบบนี้ เพราะปกติแล้วมันจะไม่เคยมีท่าทีแบบนี้มาก่อนเลย จนหลังจากเวลาผ่านไปราวๆห้านาทีมันก็เดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง

“ใครโทรมาวะ” ผมถาม

“พี่จ๊อบ”

หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 27-11-2007 08:22:49
^
^
^
^
^
ดันพี่ชายอีกซักรอบ  :m19:
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 27-11-2007 08:34:17
ตัวละครแยะดีนะ มาใหม่อีกตัวแระ พี่จ๊อบ

อือ สองคนจะไปถ่ายแบบเหรอเนี่ย เด๋วคนก็รู้จักกันทั้งประเทศหรอก
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 27-11-2007 18:02:54
เย้!!! ตอนใหม่ๆๆๆ
เหอๆๆ บ้าไปงั้นแหละครับ ยังอ่านไม่ถึงเลย  :m29:
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 27-11-2007 18:34:47
พี่จ๊อบก็แฟนนัทมะใช่เหรอ น้ำค้าง

ชอบตอนบรรยายรูปภาพจัง
อ่านๆ ไปแล้วรู้สึกได้เลยรูปนั้นมันสวย มันสื่ออารมณ์จริงๆ

รออ่านต่อน้า  :m3:
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-11-2007 19:07:32
ฤาพี่จ๊อบจะติดใจเมฆ  :a5:  :a5:
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 29-11-2007 16:00:51
สงสัยยยยยย พี่จ๊อบโทรมาไม....เป็นแฟนนัท อย่าบอกว่าจะมาชอบเมฆนะ  :m28:

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้สองคนนี้เลิกกันสงสัย แบงค์กะจ๊อบนี่ละมั้งงงงงง ....เดา....

สงสัยมากมายยยยยย ..... o1
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-12-2007 14:32:37
ขอเวลาผมสักนิดนะครับ
ขอให้ได้ทบทวนเรื่องราวของผมกับมันสักหน่อย
ถ้าโชคดี ก็อาจจะมาต่อเรื่องให้ได้ไว
แต่ถ้าไม่ ผมกับมันก็คงต้องเลิกกัน..........

และคงใช้เวลานิดหน่อยกับการจัดระเบียบตัวเองอีกครั้ง

ขอโทษจริงๆนะครับ
จะพยายามทำใจและพาเมฆกับซันกลับมาให้อ่านอีกครั้งไวๆนะ

บ๊ายบายคับ


หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 03-12-2007 14:48:06
ขอเวลาผมสักนิดนะครับ
ขอให้ได้ทบทวนเรื่องราวของผมกับมันสักหน่อย
ถ้าโชคดี ก็อาจจะมาต่อเรื่องให้ได้ไว
แต่ถ้าไม่ ผมกับมันก็คงต้องเลิกกัน..........

และคงใช้เวลานิดหน่อยกับการจัดระเบียบตัวเองอีกครั้ง

ขอโทษจริงๆนะครับ
จะพยายามทำใจและพาเมฆกับซันกลับมาให้อ่านอีกครั้งไวๆนะ

บ๊ายบายคับ






ไม่ช่วงนี้มีแต่พวกจัดระเบียบว่ะ

กำลังจัดระเบียบตัวเองเหมือนกัน

ปล. รออีกสองสามชั่วโมงเหอะ  เรื่องสั้น ๆ  ใหม่ก็จะโพสต์แร่ะ  ทีของกรูมั่งล่ะ  อิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-12-2007 18:38:53
เข้ามาให้กำลังใจน้องต้น    :impress:
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 04-12-2007 04:05:10
 o13
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 04-12-2007 09:56:22


เมื่อวานไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร . .  .

แต่ . . . ตอนนี้  เวลานี้  รู้แล้ว

ณ ๐๙.๕๕  ตอนนี้อยู่  สนามบินกระบี่อ่ะ

หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 04-12-2007 11:30:00
^
^
^
^
จึ้ก คนข้างบน
 :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: |[ 9 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 06-12-2007 12:40:08
แวะเข้ามาเยี่ยมครับ...แต่ เอ ไหงมันกลับไปอยู่ที่ตอนที่ 9 อ่ะ


คิดถึงคุณต้นนิ่มครับ
หัวข้อ: Re: |[ 10 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 06-12-2007 13:35:40
วินาทีที่ 10


“มันโทรหามึงทำไม แล้วทำไมมึงถึงต้องออกไปคุยกับมันข้างนอกด้วย และที่สำคัญมันไปเอาเบอร์มึงมาจากไหน” ผมชักจะเริ่มหงุดหงิดซะแล้ว

“เดี๋ยว มึงใจเย็นๆก่อนได้มั๊ย” ไอ้เมฆพูดพร้อมกับเดินมานั่งลงบนโซฟา มันก้มหน้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม “ที่กูออกไปคุยข้างนอกน่ะ เพราะกูคิดว่าถ้ามึงรู้ว่าเป็นพี่จ๊อบโทรมา มึงจะไม่ให้กูคุยน่ะสิ และที่กูอยากคุยกับเขา ไม่สิ ไม่ใช่ว่ากูอยากคุย มันก็แค่พอรู้ว่าเป็นพี่เค้าโทรมา ความคิดแวบแรกของกูเลยก็คือมันน่าจะเกี่ยวกับนัท ดังนั้นกูก็เลยจำเป็นต้องคุยดูก่อนไง ว่าจริงๆแล้วเค้ามีเรื่องอะไรกันแน่”

“เออ มึงแคร์นัท กูยอมรับก็ได้ แล้วไง มันเอาเบอร์มึงมาจากไหน แล้วตกลงมันโทรมาเรื่องอะไร”

“เค้าก็บอกเอามาจากนัทนั่นแหละ......... ซัน พี่จ๊อบเค้าบอกว่าหลังจากกลับมาจากระยองแล้วนัทดูเปลี่ยนๆไปว่ะ ดูเงียบๆ ซึมๆ แล้วก็ไม่ค่อยจะคุยกับพี่เค้าเหมือนก่อน” ไอ้เมฆถอนหายใจเบาๆ

“ก็แล้วไงล่ะวะ แล้วมันโทษว่าเป็นความผิดของมึงรึไง”

“เปล่า พี่เค้าก็แค่โทรมาเล่าให้ฟังน่ะ ส่วนกูก็แค่บอกว่ากูคงทำอะไรไม่ได้ ยิ่งถ้าเรื่องนี้มันมีกูเป็นต้นเหตุ กูก็ยิ่งไม่ควรเข้าไปยุ่ง พี่เค้าเองนั่นแหละที่ควรจะดูแลนัทเอง แบบนี้มึงว่ากูเห็นแก่ตัวรึเปล่าวะ พี่เค้าก็อุตส่าห์โทรมาเล่ามาปรึกษากู และจริงๆกูก็อาจจะเป็นคนผิดด้วย”

“มึงอย่ามางี่เง่าน่าเมฆ มึงจะผิดได้ยังไง หรือมึงจะพูดว่าที่มึงรักกูนั้นมันผิด”

“เฮ้ย กูไม่ได้คิดแบบนั้นนะ” ไอ้เมฆรีบออกตัว “กูขอโทษ ซัน กูไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนั้น”

“เออ ก็ดีแล้ว มึงฟังกูนะ ถ้านัทรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ มันอาจจะถูกที่ว่ามึงมีส่วนในเรื่องนั้นด้วย แต่ถึงยังไงๆทั้งหมดนี่นัทเค้าก็ทำตัวเค้าเอง เค้าปล่อยให้ความรู้สึกให้อารมณ์มันเข้ามาครอบงำตัวเขาเอง มึงไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย เข้าใจมั๊ย อย่างที่มึงพูดนั่นแหละ มึงทำอะไรไม่ได้ และพี่จ๊อบเองก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยเหมือนกัน นัทนั่นแหละ ที่ต้องพิจารณาและทำใจให้ได้ด้วยตัวเอง”

ไอ้เมฆเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าออกมาช้าๆพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ

“กูขอโทษว่ะ กูไม่ได้ตั้งใจจะเครียดขนาดนั้นหรอกนะ แต่ไม่รู้สิ ไม่รู้ทำไมกูถึงได้รู้สึกแปลกๆแบบนี้เหมือนกันว่ะ”

ผมนั่งมองหน้ามันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พยายามไม่คิดไปในทางที่ไม่ดี แต่สุดท้ายมันก็อดที่จะถามในสิ่งที่คาใจผมมาตลอดไม่ได้

“นี่มึงรักนัทมากเลยใช่มั๊ย........”

ไอ้เมฆรีบหันกลับมามองหน้าผมทันที “นี่มึงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ซัน อย่าบอกกูนะว่ามึงคิดมากเรื่องนั้นน่ะ”

“กูจะคิดหรือไม่คิดก็คงต้องรอฟังคำตอบมึงก่อน เมฆ มึงบอกกูสิ ว่ามึงรักและแคร์นัทมากขนาดนั้นเลยใช่มั๊ย”

“ซัน กูรักมึง กูแคร์มึง ถ้าจะให้เทียบกับนัทนะ มันเทียบกันไม่ได้เลย นัทเป็นแค่แฟนเก่ากูและเป็นเพื่อนกู แต่มึงเป็นทั้งเพื่อน เพื่อนสนิท แล้วก็แฟนกูด้วย เพียงแต่ที่กูไม่สบายใจเนี่ย มันก็เป็นเพราะเหมือนกับว่ากูเป็นต้นเหตุสำหรับเรื่องทั้งหมดเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความกูแคร์นัทมากถึงขนาดจะยอมแลกอะไรๆกับความรู้สึกของมึงหรอกนะ เราเป็นแค่เพื่อนกัน เพื่อนที่ไม่ได้คุยกันมานานมากแล้วด้วย เพราะฉะนั้นห้ามมึงคิดแบบนั้นอีกเด็ดขาด เข้าใจรึเปล่า”

ผมยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าช้าๆเพื่อเป็นการยืนยันให้กับมัน และเพื่อยืนยันความคิดของตัวผมเองที่เคยมีอยู่แล้วให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย ถึงผมจะค่อนข้างแน่ใจและรู้อยู่แล้วว่าไอ้เมฆมันต้องคิดและตอบผมกลับมาแบบนี้ แต่ตลอดเวลาสามปีที่เราคบกันมา ผมกับมันแทบไม่เคยคุยถึงเรื่องอดีตเก่าๆที่เราต่างก็เคยมีใครๆก่อนจะมาคบกันเลย และผมเองก็ไว้ใจมันมากมาตลอดเวลาด้วย เพียงแต่ตั้งแต่กลับมาถึงประเทศไทยนี่ ดูเหมือนไอ้เมฆมันจะคิดมากและเป็นกังวลกับเรื่องของนัทมากซะจนผมเริ่มจะกังวลซะแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่ในที่สุดผมก็ได้ถามมันออกไป และก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ที่คำตอบที่ผมได้รับนั้นมันเป็นไปตามที่ผมคิดและต้องการจะได้ยิน..........

วันรุ่งขึ้นไอ้เมฆมันต้องเข้าบริษัทไปกับพ่อของมัน ส่วนผมเองจะมีนัดของตัวเองก็อาทิตย์หน้า ทำให้ผมต้องอยู่คนเดียวว่างๆอีกหนึ่งวัน และผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอยู่บ้านเฉยๆด้วย พอเกือบจะเที่ยงผมจึงตัดสินใจโทรหาไคล์และชวนมันออกไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งมันก็ตอบตกลงเพราะว่าตอนบ่ายมันไม่มีเรียนแล้ว

“อีกสี่วันจะถึงวันเกิดไอ้เมฆแล้วนะ ไคล์ เราคิดว่าเอาไงดี” ผมถามขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ในร้านไม่ไกลจากมหาลัยของมัน

“เออ จริงด้วย 22 สิงหา ผมเกือบลืมไปเลยนะเนี่ย”

“แต่พี่ลืมไม่ได้น่ะสิ ขืนลืมล่ะตายห่าแน่ ไอ้เมฆมันงอนตาย โชคยังดีที่พี่มีนัดเข้าบริษัทอาทิตย์หน้า เพราะงั้นพี่ก็เลยยังว่างอยู่”

“แล้วซันหมายความว่ายังไง ที่ถามว่า ‘เอาไงดี’ น่ะ” ไคล์หัวเราะเบาๆ

“ก็แปลว่าพี่ยังไม่รู้เลยน่ะสิว่าทำอะไรให้มันดี ก็อยากพาไปกินข้าวนะ แต่มันก็ซ้ำซากว่ะ”

“จัดเซอร์ไพรส์ปาร์ตี้ไปเลยสิ ไหนๆก็กลับมาที่ไทยแล้วนี่ เพื่อนๆทั้งคู่ก็มีอยู่ครบ พ่อของศิลาก็อยู่ ศิลาเองก็คงอยากจะฉลองวันเกิดกับพ่อเค้าด้วยเหมือนกันแหละ เพราะงั้นผมว่าไม่ต้องไปกินที่ไหนไกลหรอกครับ แค่ซันลงมือทำอาหารเองและชวนเพื่อนสนิทๆมาที่บ้านก็คงพอแล้ว ซันยังไม่เคยทำอาหารให้เขากินเลยนี่นา แถมมันยังตรงกับวันเสาร์พอดีเลยด้วย ผมว่าน่าสนใจดีออก” ไคล์พูดอย่างอารมณ์ดี

“ให้พี่ทำอาหารเนี่ยนะ จะบ้ารึเปล่า” ถึงผมจะเคยเป็นลูกมือให้ไอ้เมฆมันมาแล้วหลายครั้ง และถึงมันจะเคยสอนผมแล้วหลายต่อหลายหน แต่ถ้าให้ผมทำคนเดียวโดยไม่มีคนคอยช่วยหรือถ้าให้ผมทำอะไรยากๆล่ะก็ ไม่มีทางที่ใครจะกินอาหารของผมลงแน่นอน

“ไม่เอาน่า พ่อของศิลาก็อยู่นี่ ให้เค้าช่วยสิ แถมไม่ต้องทำอะไรยากๆหรือทำเองทั้งหมดหรอก แค่ไม่กี่อย่างก็คงพอ ทำเค้กเองก็ได้ ผมว่าน่ารักดีจะตาย ได้เห็นซันใส่ชุดกันเปื้อนทำอะไรแบบนั้น” ไคล์หัวเราะชอบใจ

“ตลกแล้วน้องชาย ตลกใหญ่แล้ว” ผมเองก็หัวเราะไปกับมันด้วย “ว่าแต่ไคล์คุยกับพีครั้งล่าสุดเมื่อไหร่”

“เมื่อคืนครับ ทำไมเหรอ”

“เปล่า ไม่มีอะไร พี่ก็แค่คิดถึงเรื่องที่พี่ไปคุยกับพี่แอมป์มาเมื่อวานน่ะ”

“เออใช่ เมื่อวานทั้งสองคนไปดูรูปมาแล้วนี่นา แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ....... เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมพี่ยิ้มแบบนั้นเนี่ย นี่มันมีอะไรกันแน่” ไคล์มีท่าทีระวังตัวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มของผม

ผมหัวเราะเบาๆ จากนั้นจึงหยิบรูปถ่ายของเราออกมาให้ไคล์ดู พร้อมกับเล่าความเป็นมาของรูปแต่ละรูปตามที่พี่แอมป์บอกเรามาด้วย และรูปหลายๆใบก็ทำให้ไคล์ต้องร้องว้าวออกมาไม่ต่างกับเราสองคนเมื่อวานนี้เลย

“เป็นไง ใช้ได้มั๊ย” ผมถาม

“นี่มันสุดยอดไปเลย ซัน รูปที่ทั้งสองคนนอนตักกันเนี่ย มันจะน่าอิจฉาไปหน่อยรึเปล่า”

“อืมม พี่แอมป์เค้าถ่ายรูปเก่งเนอะ........... แล้วเราไม่สนใจจะไปถ่ายด้วยกันมั่งรึไง” ผมยิ้ม และเมื่อเห็นสีหน้าของไคล์ ผมจึงเล่าเรื่องที่เราคุยกับพี่แอมป์เมื่อวานเกี่ยวกับการดันให้เขาลองไปถ่ายแบบเข้าโมเดลลิ่งจริงๆจังๆดู

“อืมมม ไม่รู้สิครับ ผมคงต้องถามพีทก่อนนะ.........” ไคล์ตอบกลับมาอย่างระมัดระวังเมื่อฟังสิ่งที่ผมพูดเสร็จ “แล้วก็พ่อแม่ผมด้วย......... แต่ถ้าเป็นแม่ของผมนี่ก็คงจะ........” ไคล์ยักไหล่

“ก็คงจะอนุมัติอย่างรวดเร็วเลยน่ะสิ เขายิ่งอยากให้ลูกชายเป็นดาราจะตายอยู่แล้วนี่ พี่ว่าถ้าเราบอกป้าแอ๊นท์นะ เผลอๆป้าแกจะบินกลับมาไทยเพื่อส่งเสริมเราทันทีเลยด้วยซ้ำ ไคล์” ผมหัวเราะ

“ช่าย เพราะงั้นก็คงเหลือพีทคนเดียว ผมไม่รู้เขาจะคิดยังไงน่ะสิ คือ บอกตามตรงนะซัน ผมน่ะถูกคนชวนเยอะมากแล้วล่ะ ทั้งเพื่อนพูดเล่นมั่งจริงมั่ง คนคณะอื่นมั่ง หรือแม้แต่เวลาที่ไปเดินเล่นกับเพื่อนตามห้างก็เคยมีนะ แต่พอผมบอกพีททีไร เขาก็จะบอกว่าให้แล้วแต่ผมตัดสินใจนั่นแหละ แต่เขาก็อยากให้ผมรอจนกว่าเขาจะกลับไปไทยก่อนอยู่ดี”

“แต่ตอนนี้พี่กับเมฆก็กลับมาดูแลเราได้แล้วนี่นา รับรองว่าพี่สองคนไม่มีทางปล่อยให้เราไปทำเจ้าชู้ใส่คนอื่นอยู่แล้วล่ะน่า”

“ไม่อาน่า ซัน พี่ก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้วใช่มั๊ยล่ะ พีทเขาก็แค่อยากจะรับรู้ได้ตลอดเวลาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจผมสักหน่อย”

“พี่รู้ๆ แต่ก็ลองคุยกับเขาดูก่อนก็แล้วกัน เพราะพี่ว่าพีเองก็ไว้ใจให้เมฆช่วยดูแลเราแทนตัวเขาเองมากอยู่แล้วนะ และอีกอย่าง มันไม่ใช่ว่าแค่ไปถ่ายรูปหรือเข้าโมเดลลิ่งอะไรแล้วจะดังเลยทันทีสักหน่อยนี่นา และที่สำคัญก็คือตัวไคล์เองนั่นแหละที่สนใจจะทำจริงๆรึเปล่า ก็แค่นั้นเอง คนอื่นไม่เกี่ยวหรอก”

“ช่าย อันนั้นผมก็รู้ เอางี้ เดี๋ยวผมจะคุยกับพีทแล้วก็กับพ่อแม่ของผมดูอีกทีก็แล้วกันครับ ได้คำตอบเมื่อไหร่แล้วผมจะบอกทั้งสองคนทีหลังแล้วกัน........” ไคล์พูดจบแล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง “นี่ ผมไม่เข้าใจนะว่าทำไมคนไทยถึงได้มองว่าผมหน้าตาดีขนาดนั้นเนี่ย ผมหมายถึง ตอนอยู่ที่อังกฤษผมก็ค่อนข้างจะเป็นจุดสนใจของคนอื่นอยู่เหมือนกันหรอกนะ แต่มันก็ไม่ได้มากมายขนาดนี้เลย ไม่นึกเลยว่าพอมาที่ประเทศไทยแล้วคนอื่นจะสนใจผมมากถึงขนาดนี้”

“ก็คงเป็นเพราะที่อังกฤษน่ะ คนหลายๆเชื้อชาติมันยังไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่มั๊ง ถึงเราที่มีผสมกันถึงสามสี่เชื้อแบบนี้จะดูเด่นกว่าคนอื่นหน่อย แต่ก็คงดูไม่ได้แปลกประหลาดอะไรขนาดนั้น เพราะเราน่ะยังดูเป็นฝรั่งมากกว่าคนเอเชีย แต่ที่ประเทศไทยเนี่ย คนไทยมักจะบ้าฝรั่งหรือพวกลูกครึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะงั้นก็ทำใจซะเถอะน้องชาย”

“เพื่อนผมก็พูดเหมือนกันนะว่าผมมันดูแปลกดี ทั้งสีผิวสีตา แถมยังสูงอีกต่างหาก......... เนี่ย อย่างตอนนี้ซันลองมองดูโต๊ะข้างๆหรือโต๊ะอื่นๆสิ ผมว่าเราสองคนถูกคนอื่นแอบมองอยู่หลายหนแล้วนะ”

“ก็ไม่เห็นแปลกนี่” ผมหัวเราะ “ก็คนหน้าตาดีสองคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันแบบนี้ ใครๆเค้าก็คงมองทั้งนั้นแหละ ยิ่งเดี๋ยวนี้เทรนด์คนหล่อเป็นเกย์ยิ่งมาแรง โต๊ะอื่นเค้าอาจจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนึกเสียดายอยู่ในใจก็ได้มั๊ง”

บ่ายวันนั้นผมกลับไปถึงบ้านแล้วก็โทรหาเพื่อนคนอื่นๆเพื่อปรึกษาเรื่องวันเกิดของเมฆทันที โดยทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความคิดของไคล์เนี่ยน่าสนใจที่สุดแล้ว แต่ปัญหาอย่างสุดท้ายก็คือผมต้องคุยกับพ่อเล็กเสียก่อนว่าผมจะรบกวนบ้านของเขาทำแบบนี้ได้รึเปล่า

เย็นนั้นหลังจากที่ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านแล้ว บนโต๊ะอาหารเราจึงนั่งคุยกันถึงเรื่องงานของเมฆที่กำลังจะได้เริ่มต้นทำเร็วๆนี้ ซึ่งก็นับว่าพ่อเล็กช่วยเราได้มากในการให้ไอ้เมฆเริ่มงานครั้งแรกในวันจันทร์ เพราะเค้าเห็นว่าวันเสาร์เป็นวันเกิดของไอ้เมฆแล้ว และก็ดูเหมือนจะรู้ด้วยว่าผมคงมีแผนที่จะทำอะไรสักอย่างด้วย ดังนั้นหลังจากที่ผมไล่ไอ้เมฆให้ขึ้นไปอาบน้ำแล้ว ผมจึงปรึกษาพ่อเล็กเรื่องงานเล็กๆที่ผมวางแผนเอาไว้ทันที และพ่อเล็กเองก็ชอบและสนับสนุนนความคิดของผมมาก

พอถึงคืนวันศุกร์ ผมกับเมฆก็ออกไปนั่งกินข้าวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งร้านๆนี้เป็นร้านที่เพื่อนของเราแนะนำมาว่าทั้งบรรยากาศและอาหารดีใช้ได้ พวกมันหลายคนมากันบ่อย ผมจึงเชื่อพวกมันและพาเมฆมาที่นี่เพื่อทำการการฉลองวันเกิดของมันเล็กๆล่วงหน้ากันสองคน ก่อนที่พรุ่งนี้เราอาจจะไม่ได้มีเวลาส่วนตัว ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปดีมาก ทั้งอาหารทั้งบรรยากาศของร้านถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของไอ้เมฆดังขึ้น และเมื่อมันกดรับ ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าอีกฝั่งหนึ่งของสายเป็นใคร

“ฮัลโหลครับ ก็....... ไม่ว่างเท่าไหร่หรอกครับ ผมกำลังทานข้าวอยู่น่ะครับพี่.........” ไอ้เมฆพูดตอบอีกฝ่ายไปด้วยท่าทางไม่ค่อยสบายใจ จากนั้นมันก็หันกลับมาทำปากบอกผมว่า “พี่จ๊อบ”

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นบ้าง และพอผมมองดูที่เบอร์โทรเข้ามันก็ทำให้ผมรู้สึกใจหายปนหงุดหงิดนิดหน่อยเหมือนกัน

“ว่าไง มีอะไรรึเปล่า” ผมกดรับสายหลังจากลังเลว่าจะรับดีหรือไม่อยู่ครู่หนึ่ง

“เปล่า ไม่มีอะไร กูแค่โทรมาถามว่าพรุ่งนี้มึงจะจัดงานวันเกิดให้ไอ้เมฆกันใช่มั๊ย” ไอ้แบ๊งค์ตอบกลับมา

“ใช่ พวกไอ้วิทบอกมึงแล้วเหรอ”

“อืมม กูเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง มึงจะจัดกันตอนเย็นๆน่ะเหรอ”

“ก็ใช่ เฮ้ย แล้วมึงมีอะไรรึเปล่า คือกูกำลังกินข้าวอยู่ว่ะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้เมฆก็เห็นว่ามันวางโทรศัพท์จากพี่จ๊อบเรียบร้อยแล้ว และก็กำลังนั่งมองหน้าผมอยู่ด้วย

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก มึงไปกินข้าวเหอะ แล้วเดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้” เมื่อพูดจบไอ้แบ๊งค์ก็วางสายไปทันที

“ใครโทรมาวะ” เมฆถามขึ้นเมื่อมันเห็นสีหน้าของผม

“ไอ้แบ๊งค์น่ะ มันโทรมาถามเรื่อง.........” ผมชะงัก เพราะไอ้เมฆยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้ผมกับพ่อของมันวางแผนจะจัดงานวันเกิดให้กับมัน

“เรื่องอะไร”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่พี่จ๊อบมันโทรมาทำไม” ผมบอกปัดพร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง แต่ไอ้เมฆก็ยังคงมีสีหน้าสงสัยและดูท่าทางไม่ค่อยไว้ใจอยู่ดี

“มึงอย่ามาทำเปลี่ยนเรื่อง เรื่องไอ้แบ๊งค์เนี่ย มึงทำตัวผิดปกติมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ทะเลแล้วนะ” ไอ้เมฆเริ่มมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่ามันจะยังคงติดใจเรื่องตอนที่อยู่ที่ระยองกันอยู่อีก แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้คิดว่าผมจะซ่อนความรู้สึกจากมันได้อยู่แล้วน่ะนะ

“ไม่มีอะไรหรอกน่า มึงเชื่อกูสิ......” ผมเองก็เริ่มจะหงุดหงิดขึ้นบ้างแล้วเหมือนกัน แต่ก็จำเป็นต้องควบคุมอารมณ์เอาไว้ เพราะเรื่องในคราวนี้ผมเป็นฝ่ายผิดเองที่พูดจาไม่ชัดเจน แต่จะให้บอกมันเรื่องงานวันเกิดที่เราแอบจัดในวันพรุ่งนี้ผมก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน “เอาเป็นว่า มันไม่มีอะไรจริงๆ กูเองก็ไม่ได้คุยอะไรกับมัน มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอ ถ้ามันเกิดมีอะไรสำคัญ กูก็จะบอกมึงเองก็แล้วกัน โอเคมั๊ย”

ไอ้เมฆมีท่าทางอึดอัดใจเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วพยักหน้ายอมรับ

“ดีมาก ซันขอโทษที่ทำให้ลำบากใจนะครับ แต่เมฆต้องเชื่อใจซันนะ” ผมยิ้ม แล้วก็ตักอาหารตรงหน้าไปวางไว้ในจานของมัน “เอ้า กินซะ จะได้โตไวๆ ไหนๆก็น้ำหนักใกล้จะเท่ากูแล้วนี่ ขุนอีกหน่อย พี่แอมป์จะได้ได้แฝดต่างฝาไปเป็นนายแบบอย่างที่พี่เขาบอกจริงๆซะเลยไง”

เราสองคนนั่งกินข้าวและพูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่ๆ จนดูเหมือนเราสองคนจะลืมเรื่องโทรศัพท์เมื่อสักครู่ไปแล้ว แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ผมเองก็ยังคงข้องใจมากอยู่ดีว่าพี่จ๊อบมันโทรหาไอ้เมฆทำไม แต่ถ้าถามไปตอนนี้มันก็คงเท่ากับไปรื้อฟื้นและทำลายบรรยากาศดีๆไปซะเปล่าๆ และถ้ามันเกิดมีอะไรไม่ดีขึ้นมาจริงๆ ไอ้เมฆก็คงจะบอกผมเองนั่นแหละ ผมเชื่อใจมันในเรื่องนี้ ส่วนอีกเรื่องที่รบกวนจิตใจของผมเกือบจะตลอดทั้งมื้ออาหารนั่นก็คือ คำพูดส่งท้ายของไอ้แบ๊งค์ที่บอกว่า “เจอกันวันพรุ่งนี้”

ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้มันมา แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังไว้ว่ามันจะมาหรือแม้แต่รู้เรื่องนี้ซะด้วยซ้ำ เพราะผมไม่มั่นใจเลยว่าสถานการณ์มันจะออกมาเป็นยังไง และที่สำคัญคือผมไม่อยากจะให้มีอะไรมาทำให้ผมเสียอารมณ์หรือรู้สึกไม่ดีๆในงานดีๆของคนที่ผมรักจริงๆ ถึงแม้ความเสี่ยงมันจะมีอยู่เพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ผมก็ยังคงไม่อยากที่จะเสี่ยงมันอยู่ดี............

หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 06-12-2007 13:40:23
วินาทีที่ 11


เช้าวันเสาร์ เราทั้งสามคน ซึ่งได้แก่ผม เมฆ และพ่อเล็ก ต่างก็ตื่นกันมาแต่เช้าเพื่อใส่บาตร ยกเว้นแต่ไคล์ที่เพิ่งกลับบ้านมาเมื่อคืนยังคงนอนหลับสบายใจอยู่คนเดียวในห้อง แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าวันนี้มันต้องมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือผมด้วย พอตอนสายๆผมกับพ่อเล็กก็ทำตามที่ตกลงกันไว้ นั่นก็คือพ่อเล็กจะชวนเมฆกับไคล์ออกไปซื้อของข้างนอก โดยพ่อเล็กจะแยกไปซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ทำอาหารวันนี้คนเดียว และให้ไคล์ไปเดินอยู่กับเมฆ จากนั้นพ่อเล็กจะทำเป็นมีธุระสำคัญต้องรีบกลับก่อน ในขณะที่ไอ้เมฆมันจำเป็นต้องอยู่ดูหนังอยู่กับไคล์เพราะโดนตื้อ ส่วนพ่อเล็กก็จะกลับมาช่วยผมทำอาหารและเตรียมบ้านให้เรียบร้อยเพื่อรองรับคนและงานในคืนเย็นนี้

พอถึงตอนบ่ายโมง พ่อเล็กก็กลับบ้านมาพร้อมกับวัตถุดิบถุงใหญ่หลายถุง และหลังจากการใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วโมงกับพ่อเล็กในครัวโดยที่ผมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงส่วนพ่อเล็กทำหน้าที่เป็นแค่ผู้ช่วย ผมก็รู้เลยว่าไอ้เมฆมันได้พรสวรรค์ด้านการทำอาหารมาจากใคร จนพอถึงเวลาประมาณสามโมงครึ่ง ไอ้เมฆก็โทรศัพท์เข้ามาหาผมตามที่คาดเอาไว้

“ซัน กูยังอยู่กับไคล์อยู่เลยนะ เพิ่งจะดูหนังจบเนี่ย แต่เดี๋ยวไคล์เค้าอยากจะกินข้าวกับกูก่อนด้วยว่ะ เค้าจะเลี้ยงวันเกิดให้กูน่ะ มึงกินอะไรรึยัง หิวรึเปล่า มึงรอกูอยู่รึเปล่าเนี่ย ขอโทษทีนะเว้ย”

“เออๆ ไม่เป็นไรหรอก มึงไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ ไหนเอาไอ้ไคล์มันมาคุยกับกูหน่อยซิ” ผมหัวเราะเบาๆกับตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงกระวนกระวายของมัน

“ว่าไง ซัน” ไคล์ทักผมอย่างอารมณ์ดี

“กินข้าวน่ะกินได้นะ แต่อย่ากินอะไรกันหนักมากนักก็แล้วกัน เหลือท้องไว้กลับมากินข้าวฝีมือพี่บ้าง เข้าใจรึเปล่า”

“หรือถ้าพูดอีกอย่างก็น่าจะเป็นให้พวกเราสองคนกินกันให้เยอะๆ เพราะว่าคืนนี้อาจจะกินอะไรไม่ลงมากกว่ามั๊ง” ไคล์หัวเราะ

“เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย ไอ้น้องชาย ไหนเอามันมาคุยกับพี่หน่อยซิ เดี๋ยวมันจะสงสัยเอา”

“โอเค ได้เลยครับ พี่ชาย” เมื่อสิ้นเสียงของไคล์ผมก็ได้ยินเสียงของโทรศัพท์ถูกเปลี่ยนมือ จากนั้นเสียงของไอ้เมฆก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ว่าแต่พ่อเอกล่ะซัน พ่อกลับไปบ้านรึยัง เมื่อกี๊กูโทรไปแล้วพ่อไม่รับโทรศัพท์ว่ะ เห็นว่ามีงานด่วนที่บริษัท”

“อ๋อ...... กำลังจะกลับมาแล้วล่ะ ใกล้จะถึงบ้านแล้ว เมื่อกี๊กูเพิ่งคุยกับเค้านี่เอง เออนี่เมฆ ตอนนี้กูยุ่งๆอยู่ว่ะ แค่นี้ก่อนก็แล้วกันนะ” ผมหันไปมองหน้าพ่อเล็ก และพ่อเล็กก็หัวเราะเบาๆพร้อมกับยักคิ้วให้แก่ผม

“ได้ๆ แล้วเดี๋ยวเย็นๆกูจะกลับแล้วกูโทรไปบอกอีกทีนะ”

ผมกดปุ่มวางโทรศัพท์ลง จากนั้นก็หันกลับมาสนใจสิ่งที่กำลังทำค้างอยู่อีกครั้ง และเมื่อเวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ๆ อาหารทุกอย่างก็เสร็จจนพร้อมหมดทุกอย่างแบบทุลักทุเลเล็กน้อย แต่ก็ออกมาดูดีใช้ได้ ซึ่งก็นับว่าเราสองคนทำเวลาได้ดีกว่าที่คาดเอาไว้มากทีเดียว

“วันนี้เพื่อนๆมากันเยอะมั๊ย ซัน” พ่อเล็กถามขึ้นขณะที่เรากำลังนั่งพักกันอยู่ในห้องรับแขก

“ผมก็ไม่รู้อีกเหมือนกันล่ะครับ น่าจะราวๆสิบคนได้มั๊ง ไม่น่าจะเกินนั้นนะครับ เพราะผมไม่ได้โทรบอกหลายคน แค่ให้เพื่อนมันบอกต่อๆกันไปเองเฉพาะคนที่สนิทๆกับไอ้เมฆมันเท่านั้นเอง”

“งั้นที่เราทำไว้นี่ก็น่าจะพอใช่มั๊ย”

“น่าจะพอครับ และผมก็บอกให้พวกมันซื้อของกินกันมาคนละนิดคนละหน่อยเผื่อไว้แล้วด้วยเหมือนกัน คือ ผมไม่ค่อยไว้ใจฝีมือตัวเองเท่าไหร่น่ะครับ” ผมหัวเราะแหะๆ

“อะไรกัน ซันก็เก่งออกนี่ เมฆเค้าเคยเล่าให้พ่อฟังว่าตอนอยู่ที่นู่นซันก็โดนเค้าลากเข้าครัวบ่อยๆอยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ครับ แต่ส่วนมากก็แค่หยิบนู่นหยิบนี่ให้มันเท่านั้นเอง ไม่เคยทำเองจริงๆจังๆสักที แต่เมฆน่ะ มันเก่งหลายอย่างนะครับ ทำนู่นทำนี่ได้ตั้งหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องอาหาร ยูโด เทควันโด บาสเก็ตบอล และอย่างอื่นๆอีก ผมเนี่ยไม่มีทางทำได้แบบนั้นแน่ๆ”

พ่อเล็กเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันมาสบตากับผมพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ

“นั่นแหละ ปัญหาล่ะ......... ซันรู้มั๊ยว่าทำไมเมฆเค้าถึงได้เรียนพวกศิลปะการต่อสู้เยอะขนาดนั้น และทำไมเมฆถึงได้ทำอะไรเป็นหลายๆอย่างแถมยังทุ่มเทกับทุกอย่างมากแบบนั้นด้วย”

“ไม่นะครับ...... ผมเองก็ไม่เคยถามมันเหมือนกัน แต่มันก็บอกผมแค่ว่ามันรู้สึกสนุกที่ได้ทำเท่านั้นเอง”

“เมฆน่ะ เริ่มเรียนเทควันโดเป็นอย่างแรกมาตั้งแต่ประถมแล้วล่ะ ตอนนั้นพ่อเองก็สนับสนุนเต็มที่นะ ก็เด็กผู้ชายมันก็ชอบของแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา ตอนนั้นพ่อยังคิดเลยว่าเดี๋ยวพอโตขึ้นแล้วเค้าก็คงจะเบื่อไปเอง แต่ปรากฏว่าเมฆกลับไม่เคยเบื่อเลย และซันรู้มั๊ยว่าเหตุผลจริงๆที่เค้าขอพ่อเรียนน่ะคืออะไร”

ผมส่ายหน้า รอฟังสิ่งที่พ่อเอกจะพูดต่อ

“ถึงมันจะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็เถอะ แต่พ่อก็ยังจำมันได้ดีจนถึงทุกวันนี้เลย ตอนนั้นเมฆน่ะยังเพิ่งสิบขวบเอง เค้าบอกพ่อพร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสาว่า ‘ผมอยากจะแข็งแรง แล้วก็จะได้สามารถปกป้องดูแลพ่อได้ไงครับ’ ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่คำพูดแบบเด็กๆนะ แต่มันก็ทำให้พ่อประทับใจมากจริงๆ........” พ่อเล็กเงียบไปอีกครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ “และนับจากนั้นมาเมฆก็ทุ่มเทให้กับหลายๆอย่างมากไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พ่อคิดว่ามันเป็นเพราะเค้าอยากจะเป็นฝ่ายดูแลพ่อให้ได้อย่างที่เค้าพูดไว้จริงๆนั่นแหละ ถึงแม้ว่าเมฆเองจะจำสิ่งที่ตัวเองเคยพูดเอาไว้ไม่ได้แล้วก็ตาม แต่มันก็เหมือนกับสิ่งเหล่านั้นมันฝังรากลึกลงไปในจิตใจของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวไปซะแล้ว”

ผมนั่งฟังแล้วก็คิดถึงช่วงเวลาหลายปีที่ผมรู้จักกับมันมา ตัวตนที่แท้จริงของมันนั้นมีเบื้องหลังความเป็นมาแบบนี้นี่เอง ไอ้เมฆมันเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบลึกๆที่ตัวมันเองอาจจะไม่เคยรู้ตัวเลยก็ได้ว่ามันมี และถ้าเป็นเด็กคนอื่นๆก็คงจะไม่รู้สึกและคงไม่เคยคิดแบบที่ไอ้เมฆคิดเลยก็เป็นได้ แต่มันกลับรู้สึกถึงภาระหน้าที่ที่ตัวเองมีได้ตั้งแต่ยังเล็ก และยังพร้อมที่จะทำตามความรู้สึกส่วนนั้นเพื่อที่จะทดแทนคุณของพ่อของมันอย่างเต็มความสามารถด้วย เมฆได้ทำหน้าที่เติมเต็มความรักและความสมบูรณ์ในส่วนที่ขาดหายไปของครอบครัวจากการสูญเสียแม่ของมันด้วยความเต็มใจและความสมัครใจจากเบื้องลึกของหัวใจของมันเลยทีเดียว..........

มันรักพ่อของมันมากจริงๆ

“เมฆพูดกับผมตลอดเวลาเลยครับ ว่ามันรักพ่อเล็กมาก และอยากจะอยู่ดูแลพ่อเล็กให้ได้ตลอดไป”

“พ่อรู้........ แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้พ่อเป็นห่วง” พ่อเล็กถอนหายใจอีกครั้ง “พ่อน่ะโชคดีอยู่อย่างนึงที่มีซันคอยดูแลเมฆให้พ่อได้ บอกตามตรงนะว่าตอนแรกพอพ่อรู้ว่าเมฆมันรักซันมากกว่าคำว่าเพื่อน พ่อเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่ว่าเราก็มีกันอยู่แค่สองคนพ่อลูกนี้ และคำว่าความรักมันก็คือความรัก และที่สำคัญก็คือ ยังไงๆเมฆก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเพราะไปรักผู้ชายคนอื่นอยู่แล้ว เมฆยังคงเป็นเมฆคนเดิมที่พ่อรักและเลี้ยงดูมาตลอดยี่สิบปี พ่อรักเมฆมาก มากด้วยหัวใจทั้งดวงของพ่อเลย ดังนั้นสำหรับพ่อแล้วเรื่องนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแม้แต่น้อย ยิ่งถ้าคนที่เมฆเลือกเป็นซันด้วยแล้วพ่อก็ยิ่งรู้สึกวางใจมากขึ้นไปอีก”

ผมรู้สึกตัวเองเขินเล็กน้อยที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ออกมาจากปากของพ่อของคนที่ผมรัก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พ่อเล็กพูดเรื่องพวกนี้กับผม และมันก็มีความหมายสำหรับผมมากจริงๆ ผมชักจะเข้าใจความรู้สึกของไอ้เมฆแล้วว่าตอนที่อยู่ที่อังกฤษและมันได้ยินพ่อกับแม่ของผมพูดอะไรทำนองนี้กับมันตลอดเวลา มันจะรู้สึกอย่างไร

“แต่สิ่งที่พ่อไม่สบายใจมากที่สุดก็คือความปลอดภัยของตัวเมฆเอง.........” พ่อเล็กหมุนแก้วน้ำในมือช้าๆด้วยสายตาที่เหม่อลอย “เหมือนตอนที่เมฆโดนแทงเอาที่ระยองนั่นแหละ เมฆน่ะไม่ค่อยจะเป็นห่วงตัวเองเท่าที่เขาเป็นห่วงคนอื่นหรอก อีกด้านนึงของไอ้นิสัยเรียบร้อยและเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นมากๆนั้นน่ะ มันแฝงไปด้วยความรุนแรงของอารมณ์และความเก็บกดจากการที่ต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เองอยู่คนเดียว และนั่นแหละที่ทำให้เมฆไม่เคยเกรงกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายๆอะไรเลย”

ผมมองหน้าของพ่อเล็กด้วยความรู้สึกตกใจระคนประหลาดใจ ผมไม่เคยคิดเลยว่าพ่อเล็กจะรู้เรื่องพวกนี้ และไม่คิดด้วยว่าพ่อเล็กจะกล้าพูดมันออกมาชัดๆแบบนี้กับผม เท่าที่ผมรู้ก็แค่ว่าไอ้เมฆมันรู้สึกไม่เกรงกลัวอะไรง่ายๆ และเผลอๆมันกลับจะรู้สึกชอบที่ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาวะกดดันด้วยซ้ำไป และที่ผมรู้นั่นก็เพราะว่ามันเคยบอกเรื่องพวกนี้แก่ผมเอง แถมที่สำคัญผมยังเห็นมันกับตามาหลายต่อหลายครั้งแล้วด้วย แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่านอกจากผมแล้วพ่อเล็กเองก็จะรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยเช่นกัน แถมคำพูดที่ว่า “อารมณ์รุนแรง” และ “เก็บกด” ที่เพิ่งออกมาจากปากของพ่อเล็กนั้นมันก็ทำให้ผมต้องช็อคไปเลยเหมือนกัน ผมไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งที่เมฆเป็นนั้นมันจะฟังดูรุนแรงและร้ายแรงมากขนาดนั้นมาก่อน

“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก พ่อรู้หมดนั่นแหละว่าเมฆเค้าเป็นยังไง” พ่อเล็กพูดออกมาราวกับอ่านใจของผมออก “ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไม่ว่าจะเวลาเล่นกีฬา หรือทำอะไรๆที่ต้องใช้ความกล้า เมฆจะเป็นคนแรกๆที่พร้อมลุยฝ่ามันไปเสมอๆ เพราะฉะนั้นมันจะยังแปลกอีกเหรอ ถ้าพ่อจะรู้น่ะว่าจริงๆแล้วเมฆนั้นเป็นคนยังไง” พ่อเล็กหัวเราะเบาๆ

“เมฆเป็นคนที่เข้มแข็งและกล้าหาญมากครับ เรื่องนั้นผมไม่เถียงเลย ผมจะเห็นมันบ่อยมากมาตั้งแต่สมัยตอนที่เรายังเรียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะเวลาที่มันต้องลงแข่งบาส” ผมพยักหน้าแล้วนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนๆตั้งแต่สมัยก่อนที่ผมจะคบกับมันในฐานะแฟนเสียอีก “พอมานึกๆดูก็แปลกนะครับ ตอนมอปลายนั้นผมสนิทกับมันมาก และนานๆทีก็จะได้เห็นมันทำอะไรที่ดูไม่ค่อยเหมือนจะเป็นตัวมันเองสักเท่าไหร่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่เคยนึกเอะใจเลยจนกระทั่งเราเจอพวกคนเมามันมาหาเรื่องตอนไปเที่ยวที่แกรนด์แคนยอนครั้งนั้นนั่นล่ะ”

“ใช่ เมฆน่ะไม่ค่อยจะได้แสดงด้านนั้นของตัวเองออกมาหรอก เพราะจริงๆแล้วเมฆเป็นคนที่ใจเย็นและอ่อนโยนมาก แต่บางครั้ง.............” พ่อเล็กส่ายหน้าเบาๆ “พ่อกับเมฆไม่เคยคุยเรื่องพวกนี้กันหรอกนะ แต่พ่อเลี้ยงเมฆมาตั้งยี่สิบปี ทำไมพ่อจะไม่รู้ และเมฆเองก็ไม่รู้ด้วยว่าพ่อรู้มากขนาดไหน......... มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงขนาดนั้นหรอกนะ ซัน ไม่ต้องกังวลไปหรอก ทุกอย่างนั้นมันก็เป็นแค่อีกด้านหนึ่งของคนที่ต้องแบกรับความรู้สึกทั้งหลายเอาไว้ในใจโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง ไม่ว่าใครๆมนุษย์คนไหนต่างก็มีด้านอีกด้านของตัวเองกันทั้งนั้นใช่มั๊ยล่ะ และที่สำคัญไอ้ความรู้สึกด้านนั้นของเมฆ มันมาจากความต้องการที่จะปกป้องคนอื่นๆ ความต้องการที่จะปกป้องคนที่เขารักมากเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม.........” พ่อเล็กหยุดพูดลงและมองหน้าผมด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ไอ้เมฆชอบใช้เลย “ซันต้องคอยดูแลเมฆให้ดีๆนะ เข้าใจมั๊ย ซันต้องพยายามที่จะระมัดระวัง ระวังอย่าให้เมฆต้องผลักดันตัวเองให้เข้าไปเจอกับเรื่องอันตรายๆมากนัก พยายามอย่าให้เมฆต้องเข้าไปอยู่ในด้านๆนั้นของตัวเองมากจนเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นแล้วสักวันหนึ่งเมฆอาจจะต้องบาดเจ็บหนักมากไปกว่าที่เคยเจอมาก็ได้ ทั้งร่างกายและจิตใจ พ่อรู้ว่าเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างไม่กลัวเจ็บตัวได้ทุกเมื่อเมื่อมันถึงเวลา และนั่นมันก็อันตรายมากเกินไป มันอันตรายมากเกินไปจริงๆ..........”

“ครับ ผมเข้าใจ และผมก็จะพยายามด้วยครับ พ่อเล็ก” ผมพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ผมเองก็เคยเตือนเคยบอกมันมาหลายหนแล้วเหมือนกัน ผมไม่อยากให้มันต้องเจ็บตัวเลย และไอ้เมฆเองก็รับปากกับผมแล้ว เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วครับ ตอนก่อนกลับมาจากระยองนั่นแหละ เพียงแต่ว่าถ้ามันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้เมฆมันจะบังคับตัวเองและดูแลตัวเองได้มากขนาดไหน แต่ผมสัญญาครับว่าผมจะดูแลลูกชายของพ่อให้ดีที่สุด”

“นั่นแหละ ที่เป็นหน้าที่ของเราล่ะ ซัน ขอบใจมากนะ.......” พ่อเล็กพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ จากนั้นก็หันมาสบตากับผมอีกครั้ง “ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่พ่ออยากจะคุยกับเราก็คือตัวของพ่อเอง............”

“หมายความว่ายังไงครับ” ผมนิ่วหน้า รู้สึกกังวลใจกับสิ่งที่จะได้ยินต่อไปนี้เล็กน้อย

“พ่อเองไม่สามารถมีชีวิตอยู่ไปตลอดกาลได้หรอกนะ ซัน เมฆเองก็รู้เรื่องนี้ แต่ถึงยังไงตอนนี้เขาก็ยังทำใจรับความจริงข้อนี้ไม่ค่อยได้อยู่ดี ยิ่งตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษ เมฆก็กลายเป็นเด็กติดพ่อไปเลย พ่อรู้ว่าเมฆเป็นห่วงพ่อและเมฆเองก็เป็นคนที่เข้มแข็งมาก แต่เขาก็เปราะบางเหลือเกินกับเรื่องง่ายๆพวกนี้ พ่อเองก็แก่ลงทุกวันๆ จะตายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น รับปากพ่อนะซัน ว่าซันจะต้องดูแลเมฆให้ดี ไม่ใช่แค่การมอบความรัก แต่ซันต้องเป็นทุกๆอย่างของเมฆ เพื่อที่จะช่วยให้เมฆผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ทั้งเรื่องของร่างกายและจิตใจ”

ผมรู้สึกเหมือนกับมีอะไรสักอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ ทำให้ไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรออกไปได้ ผมจึงพยักหน้าช้าๆแต่ก็หนักแน่นแทนคำสัญญาว่าผมจะรักและดูแลลูกชายของพ่อเล็กคนนี้ไปตลอดไปอย่างแน่นอน แต่ว่าสีหน้าและท่าทางของผมมันก็คงจะสื่อสิ่งที่ผมคิดและกังวลออกมาได้อย่างชัดเจน พ่อเล็กจึงยิ้มน้อยๆแล้วส่ายหน้าเบาๆก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

“ใจเย็นๆ ไม่ต้องกังวลไปนักหรอก พ่อก็แค่พูดสิ่งที่พ่ออยากจะพูดกับซันมานานแล้วให้ซันรู้เท่านั้นเอง ก็เราไม่ค่อยมีเวลาจะได้คุยกันตามลำพังแบบนี้เลยนี่นะ” พ่อเล็กส่งยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ

เมื่อบทสนทนาจบลง เราสองคนก็นั่งดูทีวีกันเงียบๆอีกครู่หนึ่งก่อนที่ ไอ้วิท แป๊ะ และไอ้ป๋อมพร้อมกับเพื่อนผู้ชายอีกสองคนมาถึง ตามมาด้วยอีฟ เดียร์ และเพื่อนผู้หญิงอีกสามคนที่นั่งรถอีกคันตามกันมาติดๆ โดยมีแฟนของเพื่อนคนหนึ่งของเราที่เราเจอกันแล้วที่ระยองเป็นคนขับรถให้ และเท่าที่ผมถามทุกคนดูก็ได้ความมาว่าน่าจะมีมากันเพียงเท่านี้ ถึงอีกหลายคนก็อยากจะมาด้วย แต่เนื่องจากมันค่อนข้างจะกะทันหัน ทำให้มีคนมาได้เพียงแค่นี้ ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นจำนวนที่กำลังดีแล้ว นอกจากนั้นก็มีไอ้แบ๊งค์ที่ผมไม่รู้ว่ามันจะเอายังไงกันแน่ แต่ผมก็ไม่ได้ถามพวกไอ้วิทด้วยเหมือนกันว่ามันจะมาแน่หรือเปล่า ผมถือว่าถ้ามันไม่มาก็เรียกได้ว่าดีไป แต่ถ้ามันมาเมื่อไหร่ผมก็คงจะเห็นเองนั่นแหละ และหลังจากที่ทุกคนไหว้และทักทายกับพ่อของไอ้เมฆกันครบแล้ว เราก็เริ่มต้นจัดโต๊ะเตรียมของกัน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้เมฆโทรมาบอกผมว่ามันกำลังกลับบ้านแล้วพอดี

“เฮ้ย ทุกคน ไอ้เมฆมันกำลังกลับมาแล้วนะ มันบอกว่าอีกราวๆครึ่งชั่วโมงก็คงจะมาถึง ทันใช่มั๊ยพวกมึง” ผมหันไปบอกเพื่อนๆที่กำลังจัดโต๊ะอาหารกันอยู่ที่สนามบ้าน

“เหลือเฟืออออ” ไอ้แป๊ะตอบกลับมา และเมื่อผมเห็นหน้าของมัน ผมก็คิดถึงบางสิ่งที่ผมเกือบจะลืมไปแล้วขึ้นมาได้ทันที

“นี่ไอ้แป๊ะ” ผมเดินตรงเข้าไปหามัน “กูขอคุยอะไรด้วยหน่อยดิ่วะ”

“เออ ว่าไง มีอะไร” มันตอบพร้อมกับเดินตามผมมาตรงที่ไม่มีคนเดินผ่าน

“ตอนก่อนที่กูจะกลับมากรุงเทพน่ะ มึงเดินเข้ามาหากูพร้อมไอ้แบ๊งค์...........” ผมหยุดไปนิดหนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของมัน และเมื่อดูจากสีหน้าของมันที่ถูกสื่อออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจนี้ก็บอกผมได้หลายอย่างแล้ว “สรุปว่ามึงรู้ใช่มั๊ย เรื่องของมันน่ะ”

“เออ ก็ใช่ กูเองก็เพิ่งรู้เมื่อคืนนั้นแหละ แม่งเมาเป็นหมา แล้วก็ลากกูไป........” ไอ้แป๊ะเงียบลงเหมือนกับไม่แน่ใจว่าจะพูดต่อยังไงดี

“ไปอะไร” ผมเร่ง

“ไปร้องไห้น่ะสิวะ นั่นแหละกูถึงได้รู้ว่ามันคิดยังไงกับมึง และตอนนั้นกูก็แค่เดินไปเป็นเพื่อนมันเท่านั้นนะเว้ย ไม่ได้คิดจะส่งเสริมมัน มึงอย่าเข้าใจกูผิดล่ะ กูเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะคุยอะไรกับมึง แต่กูก็ทิ้งมันไม่ได้เหมือนกัน มึงเข้าใจกูป่าววะ” ไอ้แป๊ะพูดออกมาด้วยท่าทางลำบากใจ “กูขอโทษก็แล้วกันถ้าทำให้มึงไม่สบายใจ แล้วก็ขอโทษแทนไอ้เหี้ยนั่นด้วย มึงอย่าไปใส่ใจมันมากเลยนะเว้ย”

“กูไม่โกรธมึงหรอก ที่กูถามมึงนี่ก็แค่อยากรู้เท่านั้นเองว่ามึงรู้เรื่องนี้แน่รึเปล่า แล้วก็รู้มากขนาดไหนก็แค่นั้น”

“บอกตามตรงกูไม่รู้อะไรเลยว่ะ รู้ก็แค่ที่มันมาระบายๆกับกูคืนนั้นเท่านั้นเอง และจริงๆกูก็ไม่อยากจะรู้ด้วย เพราะงั้นกูก็เลยไม่ได้คุยเรื่องนี้กับไอ้แบ๊งค์อีกเลยนับตั้งแต่นั้นมาน่ะ ว่าแต่มันมาพูดอะไรกับมึงมั่งวะ มันทำให้มึงไม่สบายใจรึเปล่า ถ้าไงกูไปปรามๆมันให้ได้นะเว้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก มึงไปคุยกับมันมากเดี๋ยวมันก็จะคิดว่ามันมีมึงเข้าข้างมันเอาได้ กูคิดว่าแบบนั้นถึงมึงจะพูดปรามมัน แต่ผลที่ออกมามันก็จะกลายเป็นมันมีคนให้ได้ระบายและทำให้มันไม่สามารปล่อยวางได้สักทีน่ะสิ ปล่อยๆไปเหอะว่ะ มันไม่ได้มาอะไรกับกูนักหรอก มันก็แค่มาบอกกูว่ามันชอบกูและยังคงตัดใจไม่ได้เท่านั้นเอง ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ต่างคนก็ต่างต้องเดินต่อไป กูไม่ใส่ใจหรอก”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี แต่ถ้ามันทำอะไรหรือพูดอะไรให้มึงไม่สบายใจล่ะก็ บอกกูนะเว้ย กูจะเตือนมันให้เอง เพราะมันก็ไม่มีใครจะพูดเรื่องนี้ด้วยได้น่ะนะ สงสารมันอยู่เหมือนกันว่ะ”

“นี่แปลว่าคนอื่นไม่รู้เลยใช่มั๊ย”

“ไม่เลย” แป๊ะส่ายหน้า “มันบอกกูแค่คนเดียว แล้วก็กำชับกูด้วยว่าห้ามบอกใครน่ะ”

“ก็ดีแล้ว ถ้าไงกูก็ฝากๆมึงเรื่องนี้ด้วยก็แล้วกัน อย่างน้อยๆกูก็จะได้รู้ว่าถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมากูจะหันไปหาใครได้”

แต่เมื่อผมพูดจบ ผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมผมถึงต้องคิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นด้วย ทั้งๆที่ผมเองยังเพิ่งจะพูดกับไอ้แป๊ะไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนนี้เองว่ามันไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องเป็นห่วง

หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 06-12-2007 13:41:02

หลังจากที่ผมกับไอ้แป๊ะคุยกันจบไม่นาน รถอีกคันหนึ่งก็ถูกขับเข้ามาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเรา และคนที่เดินลงจากรถมาก็คือพี่แอมป์และอาร์มนั่นเอง ทั้งๆที่ผมเพิ่งจะโทรบอกพี่เขาเมื่อวานซืนและค่อนข้างจะกะทันหันไปสักหน่อย แต่พี่เขาก็ยังอุตส่าห์มางานเล็กๆงานนี้ได้ และผมยังให้พี่เขารับหน้าที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งนอกจากการเป็นแขกของเราแล้ว ด้วยการเป็นช่างภาพพิเศษในงานให้แก่พวกเราไปด้วยเลยอีกด้วย ซึ่งพี่แอมป์ก็ยินยอมรับทำหน้าที่นี้ด้วยความเต็มใจทีเดียว

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่หมดแล้ว พร้อมกับเพื่อนๆของเราบางคนที่เริ่มต้นฉลองกันเองไปแล้วเรียบร้อย รถของไอ้เมฆก็มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านต่อท้ายรถของพี่แอมป์ และเมื่อไอ้เมฆลงจากรถมาพร้อมกับไคล์ มันก็ต้องประหลาดใจครั้งใหญ่เมื่อพบกับเสียงกู่ร้องคำว่าสุขสันต์วันเกิดและเสียงปรบมือต้อนรับเจ้าของงานอย่างยกใหญ่ ไอ้เมฆยิ้มกว้างด้วยความเขินปนความประหลาดใจ ซึ่งรอยยิ้มนั่นเองที่ทำให้ผมก็ต้องยิ้มออกมาด้วยความสุขและความอบอุ่นข้างในใจอย่างห้ามไม่ได้

“นี่มันเหี้ยอะไรกันเนี่ย” ไอ้เมฆตะโกนออกมาพร้อมๆกับรอยยิ้มกว้างเมื่อเดินเข้ามาในรั้วบ้าน “มิน่าล่ะ รถถึงมาจอดกันอยู่เยอะแยะ แล้วก็มิน่าทำไมไคล์ถึงได้ชวนกูอ้อยอิ่งอยู่ตั้งนานสองนาน” เมฆหันไปหาไคล์พร้อมทั้งต่อยเข้าที่หัวไหล่ของเขาเบาๆ

“สุขสันต์วันเกิดนะครับ ศิลา” ผมเดินเข้าไปหาเมฆแล้วก็หอมแก้มมันเบาๆพร้อมด้วยเสียงเป่าปากแซวจากเพื่อนๆ

“นี่ก็แผนมึงอีกใช่มั๊ยครับ ฟ้าคราม” ไอ้เมฆยิ้มกว้าง

“ก็ไม่เชิงหรอก.........” ผมยักไหล่ “ถ้าจะว่าไป จริงๆแล้วมันก็ไอเดียของไคล์มันน่ะนะ กูก็แค่ขอยืมมานิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“แสบทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ แล้วนี่พ่อก็เอากับเขาด้วยเหรอครับ” เมฆเดินตรงเข้าไปสวมกอดพ่อของตนที่ยืนยิ้มรออยู่แล้ว “ไอ้ที่ว่างานด่วนของบริษัทนั่นก็โกหกจริงๆด้วยสิเนี่ย”

“วันเกิดแรกของเมฆหลังจากผ่านไปสามปีนี่นา พ่อก็ขอเอากับเค้าด้วยหน่อยก็แล้วกัน” พ่อเล็กลูบหัวของเมฆเบาๆ และมันก็เป็นภาพที่ประทับใจผมมากจริงๆ ถึงแม้ไอ้เมฆมันจะโตขนาดนี้แล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังคงสวมกอดและแสดงความรักให้แก่กันและกันได้อย่างไม่มีการเคอะเขินเลยจริงๆ มันเหมือนกับผมกำลังมองดูพ่อเอกที่หนุ่มลงไปกว่านี้สักยี่สิบปีกำลังลูบหัวไอ้เมฆตัวน้อยๆอย่างเอ็นดูไม่มีผิด

“เอ้านี่ ของขวัญวันเกิด” พ่อเล็กพูดพร้อมกับหันไปหยิบกล่องของขวัญกล่องเล็กๆที่วางอยู่บนโต๊ะทางด้านหลังมายื่นให้แก่เมฆ

“ขอบคุณมากครับพ่อ” เมฆกราบลงบนบ่าของพ่อเล็ก

“ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะลูก และขอให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมที่จะฝ่าฟันทุกๆสิ่งไปได้ด้วยกำลังที่กล้าแข็ง ขอให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเข้มแข็งขึ้นไปอีกเรื่อยๆถึงแม้ว่าวันหนึ่งอาจจะไม่มีพ่ออยู่ข้างกายแล้วก็ตาม ขอให้เมฆรักตัวเองมากเท่าๆกับที่รักคนอื่น และที่สำคัญ พ่อขอให้เมฆได้พบกับความสุขที่เหลืออยู่ในชีวิตไวๆ และได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ไปกับมันตราบจนชั่วนิจนิรันดร์นะ ลูกชายคนเดียวที่รักของพ่อ.......” เมื่อพูดจบ พ่อเล็กก็จูบลงบนหน้าผากของไอ้เมฆเบาๆ ทำให้ไอ้เมฆต้องมีน้ำตาคลออยู่ที่เบ้าตา และสุดท้ายแล้วน้ำหยดเล็กๆหยดนั้นก็ค่อยๆไหลรินออกมาช้าๆ

“ขอบคุณครับพ่อ........ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วผมจะจำทุกสิ่งที่พ่อพูดเอาไปใช้ครับ ผมรักพ่อมากนะครับ” ไอ้เมฆพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือพร้อมกับสวมกอดพ่อเอกของมันอีกครั้ง และคราวนี้ยังกอดแบบแนบแน่นมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

และเมื่อผมหันไปมองคนอื่นๆรอบข้าง ทุกคนต่างก็กำลังยืนนิ่งมองดูภาพอันน่าประทับใจตรงหน้านี้ด้วยกันทั้งนั้น บางคนนั้นมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า ส่วนบางคนนั้นถึงกับร้องไห้ออกมาเลยด้วยซ้ำ และแม้แต่พี่แอมป์ที่คอยกดชัตเตอร์เก็บภาพตรงหน้านี้ไว้ก็ยังหยุดมือลงเพื่อใช้เช็ดน้ำตาที่ไหลปริ่มออกมาจากตาเล็กน้อยด้วย

“พ่อก็รักลูกเหมือนกัน..........” พ่อเล็กพูดพร้อมกับดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของลูกชายช้าๆ ก่อนที่จะยิ้มกว้างและพยักหน้ามาทางพวกเราทุกคน “ไปหาเพื่อนๆเถอะไป มีคนเค้ารอให้ของขวัญเราอยู่เหมือนกันนะ”

เมฆหันมามองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่แสนจะอบอุ่น จากนั้นมันก็เดินเข้ามากุมมือของผมเอาไว้

“ขอบใจมากนะซัน........” เมฆพูดกับผมเบาๆ จากนั้นจึงหันไปหาทุกคน “ขอบใจทุกคนด้วยนะเว้ย ที่อุตส่าห์มากัน ขอบคุณพี่แอมป์ด้วยนะครับ ขอบคุณอาร์มด้วย ขอบคุณจริงๆ”

“ของขวัญของกูอยู่ในห้องนะ เดี๋ยวเราขึ้นห้องแล้วค่อยไปเปิดดูพร้อมๆกันก็แล้วกันนะครับ” ผมกระซิบที่หูของมัน

เมฆพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงไม่จางหายไป มันเดินเข้าไปหาทุกคนจากนั้นก็ทักทายกับเพื่อนๆทีละคนจนครบ รวมทั้งพี่แอมป์และอาร์มด้วย ผมยืนมองดูมันพูดคุยและหัวเราะกับคนอื่นอย่างสนุกสนานแล้วก็รู้สึกมีความสุขไปกับมันด้วย ไม่ว่าจะทั้งในตอนนี้และตอนไหนๆ ขอแค่ผมได้เห็นรอยยิ้มของมันแค่นี้ผมก็รู้สึกมีความสุขมากแล้วจริงๆ เมฆเป็นคนๆเดียวที่ผมรู้สึกว่ามันมีรอยยิ้มที่อบอุ่นและจริงใจ เป็นรอยยิ้มที่มันพร้อมจะมอบให้ผู้อื่นเพื่อที่จะให้คนรอบข้างทุกคนมีความสุขไปพร้อมๆกับมันด้วยจริงๆ

ขณะที่เรากำลังกินข้าวและพูดคุยกันอยู่อย่างสนุกสนานและเป็นกันเองนั้น โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น และพอผมเห็นหมายเลขที่โทรเข้ามาผมก็รู้ทันทีว่าปลายสายนั้นเป็นใคร

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“พี่ซัน นี่พีนะครับ เป็นยังไงบ้าง” เสียงของพี รุ่นน้องของเราที่ตอนนี้กำลังอาศัยอยู่ที่บ้านของผมที่อังกฤษพูดตามสายมาอย่างอารมณ์ดี

“ก็ดี เนี่ย ไอ้เมฆมันอยู่ตรงนี้แหละ จะคุยกับมันเลยมั๊ย”

“ก็ได้ครับ แต่ผมคุยกับพี่ซันก่อนดีกว่า เราไม่ได้คุยกันตั้งนานแล้วนะครับ ว่าแต่พี่สองคนเริ่มงานรึยัง เห็นไคล์บอกว่าพี่เมฆเข้าบริษัทไปแล้วเหรอ”

“ยังเลย เริ่มอาทิตย์หน้านี่แหละ ทั้งคู่เลย ไอ้เมฆมันแค่เข้าไปดูงานกับพ่อเล็กเฉยๆเท่านั้นเอง ว่าแต่พีล่ะ เป็นยังไงมั่ง สบายดีรึเปล่า”

“ก็ดีครับ ปีสุดท้ายก็จะจบแล้วก็เลยอยากกลับบ้านไวๆแล้วเหมือนกัน จริงสิ เนี่ย พ่อสันต์กับแม่กุ้งก็อยากคุยกับพี่ทั้งสองคนด้วยนะครับ แต่เดี๋ยวขอผมคุยกับพี่เมฆก่อน ว่าแต่ไคล์อยู่ที่นั่นด้วยรึเปล่าครับ”

“อยู่ๆ ตกลงว่าไง จะคุยกับไคล์ก่อนหรือเมฆก่อน” ผมถาม

“กับพี่เมฆครับ เดี๋ยวไว้ผมค่อยโทรหาไคล์อีกทีตอนพ่อสันต์กับแม่กุ้งคุยกับพี่เมฆกับพี่ซันแล้วกัน”

“ได้เลยครับ น้องชาย” ผมหัวเราะเบาๆก่อนที่จะส่งโทรศัพท์มือถือให้กับไอ้เมฆ และเมื่อมันรู้ว่าอีกฝั่งเป็นใคร ไอ้เมฆก็ยิ้มกว้างทันที

พีหรือปฐพี เป็นเด็กรุ่นน้องของพวกเราคนละปีสมัยที่เรียนอยู่ตอนมัธยมปลาย ตอนแรกที่เราพบกันนั้น เขาเป็นคนยิ้มน้อยพูดน้อยและค่อนข้างที่จะดูอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาด้วยซ้ำ โดยแรกเริ่มนั้นเขาเคยแอบชอบไอ้เมฆอยู่ด้วยซ้ำไป แต่พอเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่แกรนด์แคนยอนแค่ไม่กี่วัน พวกเราทุกคนก็ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับอดีตของเขาที่เขาเคยต้องสูญเสียคนรักของเขามา พร้อมๆกับที่ไคล์เป็นคนที่สามารถเปิดประตูหัวใจของเขาได้อีกครั้ง และนับแต่นั้นมา เขาก็เริ่มยิ้มแย้มและพูดเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราทั้งสี่คนก็ได้กลายมาเป็นเหมือนพี่น้องและเพื่อนแท้ที่ถูกโชคชะตาชักพาให้มาเจอและคู่กัน เป็นท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายน้ำ และพื้นดินที่จะรักและมั่นคงในมิตรภาพของเราไปจนตราบนานเท่านาน

“ไอ้ซัน ใครมาอยู่ที่หน้าบ้านวะ กูว่ามึงไปดูหน่อยสิ” ไอ้วิทหันมาบอกผมขณะที่เมฆยังคงคุยโทรศัพท์อยู่กับคนที่ผมคิดว่าตอนนี้น่าจะเป็นพ่อหรือไม่ก็แม่ของผมแล้ว

ผมลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าประตูบ้าน และคนที่กำลังยืนอยู่ที่นั่นก็เป็นคนที่ผมไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่ที่นี่ได้......... ในเวลาพร้อมๆกันแบบนี้

“ไอ้แบ๊งค์ พี่จ๊อบ........ ทำไมพวกมึงถึงมาด้วยกันได้วะ” ผมเผลอร้องถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 06-12-2007 15:08:13
พ่อเล็กน่ารักจังเลย ซาบซึ้งจนน้ำตาซึม

ว่าแต่นายจ๊อบกะนายแบ๊งค์ เค้าจะร่วมมือกันทำไรรึป่าวเนี่ย :m21:

เป็นห่วงเมฆจังเลย สงสัยต้องเอายันต์ไปแปะที่ตัวเมฆ
แล้ว เผื่อว่าจะแคล้วคลาดจากคนปองร้าย
หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 06-12-2007 15:59:56
ดูท่าจะมีเฮนะงานนี้

ลุ้นกันต่อปาย
หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 06-12-2007 16:14:46


(http://img292.imageshack.us/img292/4482/0000ym2.jpg)

ขอบฟ้า . . . มีจริงหรือ  สั้นจริงหรือ  สงสัยต้องถามก้อนขี้เมฆแร่ะ

หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 06-12-2007 16:21:37

............ไม่ได้เข้ามาอ่านเป็นเดือนแล้วคราบ

............เพิ่งเข้ามาตามอ่านคราบ............. o13 o13
หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-12-2007 18:48:21
แบงค์กับจ็อบ ลางไม่ดีอีกแระ  :a6:  :a6:  :a6:
หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-12-2007 19:30:56
ซึ้งดี  :m1:

แต่... ทำไมทุกคนถึงคิดแต่เรื่องร้ายๆ เตรียมไว้ตลอดเวลาเลย  ทั้งๆที่ทุกอย่างมันดีถึงดีมากด้วยซ้ำ

รออ่านต่อ   :a2:
หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 06-12-2007 20:16:32
ขอบคุณคุณต้นนิ่มครับ เอามาลงต่อให้แล้ว  :m18:

แล้วก็ชอบรูปของคุณพี่ต้นสายจังครับ...ดูแล้วรู้สึก...
(รู้สึกยังไงก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าชอบละกันครับผม)  :undecided:
หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 06-12-2007 20:29:39
มาดันห้ายพี่ชายๆ
ขอบคุณคุณต้นนิ่มครับ เอามาลงต่อให้แล้ว  :m18:

แล้วก็ชอบรูปของคุณพี่ต้นสายจังครับ...ดูแล้วรู้สึก...
(รู้สึกยังไงก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าชอบละกันครับผม)  :undecided:

ระวังพี่ต้นสายหลอกเอานะคับ
รุปมันบอกอะไรได้ม่ะหมดร๊อก :m20:

ลป. ล้อเล่งหน่าพี่  :m14:
หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 07-12-2007 02:12:54
สองคนนั้นต้องร่วมมือกันแน่ๆ o22มาต่อไวๆนะครับ
หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 07-12-2007 09:46:04
(http://img502.imageshack.us/img502/9407/060703103427bg2kb0.th.jpg) (http://img502.imageshack.us/my.php?image=060703103427bg2kb0.jpg)

นี่ขอบฟ้าผม

แต่อยากจะแบ่งไปเป็นขอบฟ้าของหลายๆคนที่หน้าจอคอมด้วยคับ

อิอิ ใหญ่สะใจ

หัวข้อ: Re: |[ 11 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: นิลวัฒน์ ที่ 08-12-2007 17:02:42
ว่าแล้วเชียวสองคนนี้...มาด้วยกันอีก...
ความรักต้องมีมารมาผจญ...รักแท้ต้อฝ่าฟัน
เอาใจช่วยเมฆกับซันต่อไปครรับ
 :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: |[ 12 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 09-12-2007 18:36:59
วินาทีที่ 12


ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาในชีวิตของผมนั้น มีหลายครั้งที่ผมทำตัวตั้งป้อมหรือมีอคติกับใครคนอื่นไปก่อนที่ผมจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา และแม้แต่ไอ้เมฆเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่ถูกผมไม่ชอบหน้ามาตั้งแต่แรกพบแล้วด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมได้เรียนรู้อะไรๆมากขึ้น ความอคติและความที่เป็นคนปิดกั้นหัวใจของตัวเองเอาไว้มันก็เริ่มจะหายไปทีละน้อยๆ ผมเริ่มยอมรับตัวเองและผู้คนรอบข้างมากขึ้น เรียนรู้ที่จะไม่ตัดสินใครไปเสียก่อนที่จะได้รู้จักเขา และไอ้เมฆก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้แบบนั้น แต่ทว่าถึงอย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว ไอ้ความรู้สึกไม่ชอบหน้าหรือไม่ถูกชะตากับคนบางคนนี่มันก็ยังคงหลงเหลืออยู่จริงๆ ผมไม่ใช่ไอ้เมฆที่เป็นคนใจเย็นใจกว้างและมองโลกในแง่ดีได้ถึงขนาดนั้น ถึงแม้มันจะสอนให้ผมรู้จักใจเย็นลงและมองโลกในแง่ดีให้มากขึ้นแล้ว แต่ยังไงๆผมก็ยังคงไม่สามารถที่จะยอมรับในตัวผู้ชายคนนี้ได้เหมือนกับที่ไอ้เมฆทำได้เลยจริงๆ

“กูเจอพี่เค้าที่หน้าบ้านนี่น่ะ บังเอิญว่าเรามาถึงพร้อมกันพอดี พวกกูก็เลยเดินมาด้วยกัน” ไอ้แบ๊งค์พูดขึ้น

“เออๆ ขอบใจมึงมากก็แล้วกันที่มา ทุกคนอยู่ในสวนกันน่ะ เข้าไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” ผมหันไปพูดกับแบ๊งค์โดยพยายามที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจพี่จ๊อบมากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วผมก็ทำไม่ได้จริงๆ “แล้วพี่มาทำอะไรครับ มีธุระอะไรรึเปล่า” ผมหันไปถามพี่จ๊อบ

“พี่ก็มาแสดงความยินดีกับเมฆไงครับ วันเกิดเมฆนี่นา” พี่จ๊อบตอบโดยไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าของผมเลย ไอ้แบ๊งค์ที่ตั้งท่าจะเดินเข้าไปในงานแล้วยังถึงกับต้องชะงักแล้วหันกลับมามองพวกเราสองคนอีกครั้ง

“พี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไงครับ นัทบอกพี่งั้นเหรอ” ผมถาม แต่พี่จ๊อบกลับตอบผมกลับมาด้วยรอยยิ้มของเขาเท่านั้น

“อ้าว แบ๊งค์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” เสียงของไอ้เมฆดังขึ้น และมันก็กำลังเดินตรงเข้ามาทางพวกเราพร้อมด้วยโทรศัพท์มือถือของผมอยู่ในมือ และเมื่อมันเห็นผมกำลังยืนอยู่กับพี่จ๊อบ รอยยิ้มบนใบหน้าของมันก็จางหายไปโดยทันที “เอ่ออ ซัน แม่กุ้งจะคุยกับมึงว่ะ” เมฆยื่นโทรศัพท์คืนให้กับผม

“แบ๊งค์ มึงพาพี่จ๊อบไปนั่งก่อนไป แล้วถ้าจะเอาอะไรเพิ่มเติมก็ให้ไอ้พวกนั้นมันหาให้ก็แล้วกัน ส่วนเมฆ มึงมานี่กับกูหน่อย” ผมหันไปบอกไอ้แบ๊งค์ พร้อมๆกับรับโทรศัพท์คืนมาจากไอ้เมฆ

แบ๊งค์กับพี่จ๊อบเดินตรงเข้าไปในสนามหญ้าหน้าบ้าน ในขณะที่ผมกับเมฆเดินหลบเสียงดังเข้าไปในบริเวณลานจอดรถ ผมคุยกับทั้งพ่อและแม่ของตัวเองเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนที่จะวางสายไป และเมื่อผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงไปแล้ว ไอ้เมฆก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดในสิ่งที่ผมกำลังสงสัยอยู่ขึ้นมาทันที

“พี่จ๊อบมาได้ไงวะ เขามาพร้อมกับไอ้แบ๊งค์เหรอ”

“กูก็อยากจะถามมึงอยู่เหมือนกันว่ามันรู้เรื่องนี้ได้ไง แถมมันยังรู้จักบ้านมึงอีกต่างหาก นี่มึงบอกมันไปเหรอวะ”

“มึงจะบ้าเหรอ กูไม่ได้คุยเหี้ยอะไรกับเขาทั้งนั้นแหละ เมื่อวานพอเค้าโทรมากูก็บอกแค่ว่ากินข้าวอยู่แล้วก็วางไปเลย”

“ถ้างั้นมันจะรู้เรื่องนี้ได้ไง แถมยังมาบ้านมึงถูกอีกต่างหาก ตอนนี้กูนึกออกอยู่แค่สองอย่างนะ คือนัทเป็นคนบอกมัน กับมันมาพร้อมไอ้แบ๊งค์ แต่ไอ้แบ๊งค์ก็บอกว่าเพิ่งเจอกันหน้าบ้านนี่เอง และถ้ามันรู้เรื่องทั้งหมดนี่จากนัท แล้วทำไมนัทถึงไม่มาด้วยวะ และทำไมไม่เห็นนัทพูดอะไรเลย........ แล้วนี่นัทได้โทรมาหามึงมั่งรึยัง”

“อืมม โทรแล้ว........” เมฆพยักหน้าตอบพลางทำท่าใช้ความคิด “แต่นัทก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องพี่จ๊อบเลยนะ นัทเค้าก็แค่โทรมาอวยพรวันเกิดกูเฉยๆเท่านั้นเอง”

“กูข้องใจเรื่องมันมาบ้านเราถูกมากที่สุดว่ะเมฆ แบบนี้มันไม่น่าไว้ใจเลย” ผมส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

“กูก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้กูว่าเราอย่าเพิ่งคิดอะไรไปกันเองเลยดีกว่าว่ะ ซัน แบบนี้ก็มีแต่เครียดเปล่าๆนะ สู้ถามเขาให้รู้ความจริงก่อนแล้วค่อยมานั่งคิดกันยังจะดีซะกว่าอีก แถมที่สำคัญกูว่ามันคงไม่มีอะไรหรอก ถ้าไม่ถามเขา เราก็ถามนัทเอาก็ได้นี่หว่า”

“มึงนี่มันใจดีจริงๆเลยนะ” ผมส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อย และเมื่อไอ้เมฆเห็นรอยยิ้มของผม มันก็ดูโล่งใจขึ้นมาก

“ถ้าไม่ใจดีกูจะยอมเอามึงมาทำแฟนเหรอวะ” มันหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่กูก็ไม่เข้าใจอย่างนึงนะซัน ทำไมมึงถึงได้ไม่ชอบหน้าพี่เขามากขนาดนั้นวะ คือกูก็พอรู้ล่ะนะว่ามึงไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้ แต่กูก็นึกไม่ออกเลยจริงๆว่ามึงเคยเป็นแบบนี้กับใครมากขนาดนี้มาก่อนรึเปล่าน่ะ”

“ถ้านอกเหนือไปจากความกวนตีนของมันอย่างที่มึงรู้ๆอยู่แล้วล่ะก็ ที่เหลือก็คือกูแค่ไม่ถูกชะตากับมันน่ะเมฆ กูไม่ถูกชะตากับมันเลยจริงๆ...........” ผมส่ายหน้า

เราสองคนตกลงกันว่าจะยังไม่คิดและยังไม่คุยเรื่องนี้กันอีกในคืนนี้ ซึ่งผมก็อยากจะทำแบบนั้นด้วยอยู่แล้วเหมือนกัน เพราะวันนี้มันไม่ใช่วันของผม แต่เป็นวันดีๆของไอ้เมฆมันต่างหาก ผมอยากจะให้มันมีคืนที่ดีที่สุดคืนหนึ่ง และไม่อยากจะทำตัวมีปัญหาจนทำให้มันต้องไม่สบายใจ เราสองคนจึงพากันเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะอีกครั้ง และคราวนี้ผมก็พยายามที่จะทำเป็นไม่สนใจพี่จ๊อบและความรู้สึกแย่ๆภายในใจของตัวผมเองอย่างดีที่สุดด้วย ซึ่งปรากฏว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิดไว้เท่าไหร่นัก

ผมเริ่มจะรู้สึกสนุกและครึกครื้นมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเพื่อนๆของเราทุกคนต่างก็มีส่วนช่วยในการทำให้บรรยากาศในงานดีขึ้น และพี่จ๊อบเองก็ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายกับทั้งผมและเมฆเท่าไหร่นัก โดยส่วนมากแล้วคนที่นั่งพูดคุยอยู่กับเขาแทบจะตลอดเวลาก็คือไอ้แบ๊งค์นั่นเอง

“ซัน มึงทำอาหารเองเหรอเนี่ย” เมฆถามขึ้นขณะที่ผมกำลังเหม่อมองไปทางพี่จ๊อบที่กำลังคุยอยู่กับไอ้แบ๊งค์อยู่

“ช่าย เป็นไงมั่ง อร่อยมะ” ผมหันกลับมายิ้มให้กับมัน

“อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลยครับ” ไอ้เมฆยิ้มกว้างตอบกลับมา ทำให้เพื่อนๆที่นั่งอยู่รอบข้างทำท่าจะอ้วกคายของเก่าออกมากันใหญ่ “หมายถึงเท่าที่เคยกินที่ซันมันทำให้กูกินนะเว้ย” ไอ้เมฆหันไปพูดกับทุกคน

“งั้นก็กินเยอะๆนะครับ มานี่มา ซันป้อนนนน” ผมตักอาหารขึ้นมายกขึ้นไปจ่อที่ปากไอ้เมฆ และมันก็อ้าปากกินเข้าไปโดยง่าย ยิ่งทำให้คนอื่นๆส่งเสียงเชียร์กันมากขึ้นไปอีก

“กี่ปีแล้ววะ เมฆ ซัน กี่ปีแล้ว สามปีแล้วนะเว้ย และนี่มึงสองคนยังจะทำตัวแบบนี้กันอยู่อีกเหรอวะ” ไอ้วิทพูดขัดขึ้น

“จะกี่ปีผ่านไปกูก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเว้ย ถ้าจะเปลี่ยนก็มีแค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือกูรักมันเพิ่มขึ้นทุกๆวันทุกๆนาทีเท่านั้นเอง” ผมพูดเสียงดัง ทำให้ทุกคนยิ่งโห่ร้องกันดังมากขึ้นไปอีก และแม่แต่พ่อเล็กก็ยังหัวเราะชอบใจไปด้วย แต่เมื่อผมเหลือบไปมองที่แบ๊งค์กับพี่จ๊อบ ผมกลับเห็นไอ้แบ๊งค์นั่งก้มหน้ามองแก้วน้ำของตัวเองอยู่ ส่วนพี่จ๊อบก็กำลังยิ้มในแบบของเขาและมองมาที่ผมกับไอ้เมฆด้วยสายตาแบบเดิมๆอีกเช่นกัน

“และกูก็รักมึงมากไม่เคยลดลงเหมือนกัน ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างนะซัน บางทีกูก็นึกขอบคุณไอ้ตอนที่กูต้องหลับยาวในโรงพยาบาลตอนนั้นเหมือนกันนะ เพราะถ้าหากไม่มีวันนั้น เราทุกคนที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ก็คงไม่มีวันนี้ว่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้น จากนั้นมันก็หันไปมองหน้าเพื่อนๆทุกคน “ถ้ากูกับซันยังคงไม่คุยกันและถือทิฐิกันอยู่อย่างเมื่อตอนนั้น ตอนนี้ไอ้ซันก็คงไม่ได้กลับมาที่ไทย ทุกๆคนก็คงจะเสียเพื่อนไปหนึ่งคนเพราะระยะทาง และเสียอีกหนึ่งคนไปเพราะตัวตน กูคงจะไม่ได้มาเฮฮากับพวกมึงแบบนี้ และทุกคนก็คงไม่สามารถมีความสุขได้แบบนี้วันนี้เหมือนกัน เพราะงั้น...........” เมฆชูแก้วขึ้น และทุกคนก็ชูแก้วของตัวเองขึ้นตามด้วยเช่นกัน “ขอบใจสำหรับทุกๆอย่างนะเว้ย วันนี้กูมีความสุขมาก ไม่สิ กูมีความสุขมากมาตั้งแต่วันแรกที่กูกลับมาจากอังกฤษแล้ว ขอบคุณพ่อเอกที่เลี้ยงดูกูมา ขอบคุณโชคชะตาที่กูได้เพื่อนดีๆอย่างพวกมึง และขอบคุณท้องฟ้าของกู ที่มอบสถานที่ของกูให้กูได้พักพิง”

“เอ้า ชนแก้ววววว” เพื่อนของเราสองสามคนร้องขึ้น จากนั้นเราทุกคนบนโต๊ะก็ชนแก้วกันอย่างพร้อมเพรียง รวมทั้งพ่อเอกที่นั่งอยู่กับพี่แอมป์อีกโต๊ะก็ยังชูแก้วขึ้นด้วยเช่นกัน

หลังจากนั้นผมกับเพื่อนอีกสองคนก็แวบเข้าบ้านไปยกเค้กที่ผมกับพ่อเอกช่วยกันทำออกมา พวกเราทุกคนร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้ไอ้เมฆ โดยที่มันเองก็ไม่ลืมที่จะขอพรก่อนเป่าเทียนด้วย และเมื่อผมถามมันว่ามันขออะไร ผมก็หันมายิ้มกวนๆให้กับผม

“กูไม่บอกมึงหรอก ขืนบอกไปมันก็ไม่สมหวังอ่ะดิ่”

หลังจากที่เราตักเค้กแบ่งแจกได้ไม่นาน พ่อเล็กก็ขอตัวขึ้นไปนอนก่อนโดยมีไอ้เมฆเดินขึ้นไปส่งที่ห้อง และตอนนั้นเองที่พี่จ๊อบที่ผมพยายามเลี่ยงมาตลอดเพราะสัญญากับไอ้เมฆเอาไว้แล้วเดินตรงเข้ามาหาผม

“เดี๋ยวอีกสักพักพี่ก็คงจะกลับแล้วล่ะครับ”

“ครับ แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีนะว่าพี่มาที่นี่ได้ยังไงน่ะ” ผมสบตากับเขา

“ซันนี่เป็นคนมีแววตาทะลุทะลวงดีจริงๆเลยนะ เคยมีคนบอกมั๊ยเนี่ย” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ

“ก็คงงั้นมั๊งครับ” ผมยักไหล่ “ตกลงพี่มาได้ยังไงครับ ไม่สิ ผมหมายถึง พี่รู้ได้ยังไงว่าวันนี้วันเกิดไอ้เมฆ และพี่มาถูกได้ยังไง แล้วนัทล่ะ ทำไมถึงไม่มา”

“นัทเค้าไม่มาเพราะเค้าไม่ค่อยสบายน่ะ ส่วนที่พี่มาถูกก็เพราะพี่รู้มาจากเพื่อนของซันนั่นแหละว่าวันนี้วันเกิดของเมฆ แค่นี้ก็คงหายสงสัยแล้วใช่มั๊ยครับ”

ตรงกันข้ามเลยต่างหาก คำตอบของพี่จ๊อบมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดและสงสัยมากขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง สายตาของผมก็พลันเหลือบไปสบตาเข้ากับไอ้แบ๊งค์แวบหนึ่งก่อนที่มันจะหันหน้าหนีผมไปทางอื่น และไอ้เมฆเองก็เดินออกจากบ้านเข้ามาหาผมจากทางด้านหลังพอดี

“พี่จ๊อบ ซัน คุยไรกันอยู่”

“อ๋อ เปล่าหรอกครับ พี่ก็แค่เข้ามาบอกซันว่าพี่จะกลับแล้วเท่านั้นเอง” พี่จ๊อบชิงตอบขึ้นมาก่อน

“อ้าว พี่จะกลับแล้วเหรอครับ”

“ครับ นัทเองก็ฝากของขวัญมาให้เมฆด้วยนะ อยู่ในรถน่ะ เมฆเดินไปเอากับพี่หน่อยสิ พี่จะได้กลับเลยทีเดียวไง”

เมฆหันมาสบตากับผมครู่หนึ่ง ผมจึงพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงอนุญาต จากนั้นเมฆก็หันไปบอกทุกคนว่าพี่จ๊อบจะกลับแล้วเพื่อให้ทุกคนได้บอกลาพี่เขา และเมื่อทุกคนรับรู้กันถ้วนหน้าแล้วพี่จ๊อบกับเมฆก็เดินออกจากรั้วบ้านไป

“ซัน เดี๋ยวพี่ก็จะกลับแล้วเหมือนกันนะคะ” พี่แอมป์เดินเข้ามาหาผมหลังจากที่ไอ้เมฆกับพี่จ๊อบเดินลับหายไป

“อ้าว พี่จะกลับแล้วเหรอครับ เดี๋ยวรอเจอเมฆมันก่อนสิ มันไปเอาของขวัญที่รถพี่จ๊อบอีกแป๊บนึงน่ะครับ”

“อืม ค่ะ พี่ก็ตั้งใจจะรอเหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่ได้จะกลับหรอกนะคะ แต่ดูท่าทางถ้าพี่อยู่นานกว่านี้ อาร์มมันคงไม่ไหวแน่ๆ” พี่แอมป์พูดพร้อมกับหันไปมองน้องชายของตัวเองที่กำลังกินเหล้าอยู่กับไคล์และเพื่อนๆของเราอย่างสนุกสนาน “ดูเค้าเข้ากับไคล์แล้วก็เพื่อนๆของซันได้ดีนะ พี่ไม่ค่อยเห็นอาร์มเป็นแบบนี้เท่าไหร่หรอก”

“เพื่อนๆผมมันรั่วน่ะครับ แถมไคล์เองก็บ้าๆบอๆเข้ากับคนอื่นได้ดีอยู่แล้วด้วย” ผมหัวเราะเบาๆ

“เมฆกับซันได้เพื่อนดีนะคะ พี่เองยังชอบน้องๆทุกคนเลย แถมพ่อของเมฆเองก็รักเมฆมากเลยนะ ตอนที่ทั้งสองคนกอดกันเมื่อกี๊น่ะ พี่ร้องไห้เลยล่ะ”

“นั่นสินะครับ จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่สามารถจะเข้าใจได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า ความรักที่เมฆมีให้พ่อเอกกับที่พ่อเอกมีให้มันน่ะ จริงๆแล้วมันมากมายมหาศาลแค่ไหน เพราะทุกครั้งเวลาที่ผมคิดว่าผมเข้าใจและรู้ดีแล้วว่าเค้าสองคนรักกันมากขนาดไหนน่ะ แต่พอเอาเข้าจริงๆมันก็ไม่ใช่เลย ความรักของสองคนนี้นี่ผมว่าคนอื่นๆไม่สามารถที่จะเข้าใจและหยั่งถึงได้เลยจริงๆนะ และผมว่านั่นมันคงเป็นเพราะผมเองก็มีพ่อแม่อยู่ครบด้วยมั๊งครับ เลยไม่ค่อยรู้หรอกว่าการที่ต้องโตมาตามลำพังเพียงสองพ่อลูกน่ะมันเป็นยังไง”

“ก็คงแบบนั้นมั๊งคะ ตอนที่พี่นั่งคุยกับพ่อของเมฆ ท่านก็พูดเหมือนกันว่าเขาสองคนก็เลี้ยงดูดูแลอยู่กันมาแค่เพียงสองคนเท่านั้นเอง ลุงเอกยังบอกเลยว่าบางทีก็รู้สึกเหมือนมีเมฆเป็นพ่อแล้วตัวเองกลับกลายเป็นลูกเลยด้วยซ้ำ” พี่แอมป์หัวเราะเบาๆ แต่ต่อจากนั้นเสียงหัวเราะนั้นก็ค่อยๆกลายเป็นเพียงรอยยิ้มเศร้าๆ “พี่กับอาร์มก็เพิ่งจะเสียพ่อกับแม่ไปเมื่อสองปีก่อนนี่เอง........ และตั้งแต่นั้นมาอาร์มก็เลยกลายเป็นเด็กเงียบๆเก็บตัวไปเลย”

“เอ่ออ ผมเสียใจด้วยนะครับพี่”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เองก็ไม่น่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเลย ก็แค่พอเห็นลุงเอกกับเมฆแบบนี้แล้วมันก็รู้สึกดีน่ะ ความรู้สึกเก่าๆก็เลยกลับมานิดหน่อย........ อ้อ ส่วนของขวัญ เดี๋ยวพี่ติดไว้ก่อนแล้วกันนะคะ มันกะทันหันไปนิด พี่ก็เลยเตรียมไม่ทัน ไม่รู้ด้วยว่าเมฆชอบอะไร แต่ตอนนี้พี่คิดว่าพี่น่าจะรู้แล้วล่ะว่าควรจะให้อะไรเมฆดี”

“โอ๊ย พี่ไม่ต้องลำบากหรอกครับ ไอ้เมฆมันก็ไม่ได้อยากได้อะไรหรอก เชื่อผมสิ ขนาดตอนแรกผมเองยังไม่รู้จะให้อะไรมันเลย” ผมหัวเราะ

“ถ้างั้นแล้วตกลงซันซื้ออะไรให้เมฆล่ะ” พี่แอมป์ยิ้มกว้าง

“ความลับครับ รู้กันได้แค่สองคนเท่านั้น” ผมชะโงกไปกระซิบที่หูของพี่แอมป์เบาๆ และพี่แอมป์ก็หัวเราะออกมาอย่างเข้าใจ

ผมกับพี่แอมป์ยืนคุยกันอยู่ที่เดิมอีกไม่นาน ไอ้เมฆก็เดินกลับเข้าบ้านมาพร้อมกับถุงกระดาษใบใหญ่ ซึ่งข้างในก็คงเป็นของขวัญที่นัทฝากพี่จ๊อบมาให้นั่นเอง

“พี่แอมป์ใกล้จะกลับแล้วนะเมฆ” ผมเดินตรงเข้าไปบอกมันทันทีหลังจากที่มันวางของขวัญลงในห้องรับแขกในบ้านแล้ว

“เหรอ อืมมม งั้นเดี๋ยวกูตามออกไปก็แล้วกัน บอกพี่เค้าให้รอกูหน่อยนะ”

“ทำไมอ่ะ มึงจะทำอะไรก่อนเหรอ”

“เปล่าหรอก ก็แค่จะเข้าห้องน้ำน่ะ มึงออกไปก่อนเหอะ เดี๋ยวกูตามไป”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นจึงเดินออกไปนั่งที่เก้าอี้ที่เดิม ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าห้าทุ่มแล้ว และเพื่อนๆเราบางคนก็เริ่มจะมีอาการมึนๆแสดงออกมาให้เห็นแล้วเหมือนกัน โดยเฉพาะไอ้แบ๊งค์ที่ดูแย่กว่าใครเพื่อน และตั้งแต่ตอนเย็นที่มันเข้าบ้านมา ผมกับมันก็ยังแทบจะยังไม่ได้คุยอะไรกันเลยด้วย ซึ่งผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าเป็นแบบนี้แล้วมันจะดีหรือเปล่า

ผ่านไปครู่ใหญ่ๆไอ้เมฆก็ออกมาจากบ้านและเข้าไปบอกลาพี่แอมป์กับอาร์ม และในขณะเดียวกัน ไอ้แบ๊งค์ก็เดินเข้ามานั่งข้างๆผมด้วยเช่นกัน

“กูรักมึงนะ ซัน รักมานานแล้วด้วย” มันโน้มตัวเข้ามาพูดที่หูของผมเบาๆเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน

“มึงเมาแล้วล่ะ ไอ้แบ๊งค์” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“กูรู้ตัวว่ากูเมา แต่สิ่งที่กูพูดมันก็ไม่ได้ออกมาลอยๆนะเว้ย กูก็แค่รักมึง และรักมานานแล้วด้วย และที่สำคัญ กูจะไม่มีวันตัดใจจากมึงง่ายๆแน่นอน”

“มึงเมาแล้ว ไอ้แบ๊งค์ กูว่ามึงพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วว่ะ” ผมจับไหล่ทั้งสองข้างของมันแล้วดันตัวมันออกเบาๆ

“กูไม่อยากทำตัวเหี้ยๆเป็นเบี้ยใครหรอกนะ ไอ้ซัน แต่ถ้ามันจำเป็นจะต้องทำ ถ้ามันจะจำเป็น........”

“ไอ้แป๊ะ มึงมาดูไอ้แบ๊งค์หน่อยดิ๊ กูว่ามันเมามากแล้วว่ะ พูดจาไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย” ผมพูดเสียงดังขัดมันขึ้น และเมื่อไอ้แป๊ะที่ยังคงมีสติอยู่เกือบจะเต็มร้อยเห็นผมกับไอ้แบ๊งค์ มันก็พยักหน้าอย่างเข้าใจและรีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเราสองคนทันที

“ไอ้แบ๊งค์ กูว่ามึงไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเหอะ แล้วก็เลิกแดกได้แล้วมึง มึงจะไม่ไหวแล้วนะเว้ย เชี่ยแม่ง แดกเอาๆยังกะน้ำเปล่า เปลืองนะว้อยยย” ไอ้แป๊ะเดินเข้ามาพยุงไอ้แบ๊งค์ ผมจึงได้โอกาสลุกขึ้นเดินออกจากตรงนั้นไป

“ไอ้แบ๊งค์เป็นไรวะ” ไอ้เมฆถามขึ้นเมื่อผมเดินเข้าไปหาทั้งสามคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่

“เมาอ่ะดิ่ แต่ให้ไอ้แป๊ะดูแลให้แล้ว แต่จะว่าไป อาร์มก็ดูกำลังได้ที่เหมือนกันนะเนี่ย” ผมหันไปยิ้มให้กับอาร์ม

“ก็กำลังดีน่ะครับ พี่ซัน” อาร์มยิ้มตอบกลับมา “แต่ไคล์คอแข็งมากเลยนะเนี่ย ยังไม่ออกอาการเลย” อาร์มหันไปมองที่ไคล์ และเราทุกคนก็เลยหันไปหามองทางนั้นพร้อมๆกันด้วยเช่นกัน และเมื่อไคล์เห็นว่าเรากำลังมองตัวเองอยู่ มันก็โบกมือให้เราอย่างอารมณ์ดี

“แล้วจะขับรถไหวมั๊ยครับ” เมฆถามขึ้นบ้าง “หรือว่าพี่แอมป์จะเป็นคนขับ”

“พี่ว่าพี่คงขับเองแหละค่ะ ไม่อยากจะเสี่ยงไปกับมันหรอก” พี่แอมป์ถองสีข้างน้องชายตัวเองแรงๆ “ถ้าอย่างนั้นพี่กลับก่อนก็แล้วกันนะคะ เมฆ ซัน สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะเมฆ แล้วก็ฝากบอกลาลุงเอกด้วยนะคะ”

“ได้ครับพี่ ขอบคุณมากนะครับที่อุตส่าห์มาตั้งไกล”

“สุขสันต์วันเกิดนะครับ พี่เมฆ ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ” อาร์มพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง

เมื่อทั้งสองคนเดินจากไป ผมกับเมฆก็กลับมานั่งลงที่โต๊ะอีกครั้ง และตอนนี้ทั้งไอ้แป๊ะและไอ้แบ๊งค์ก็หายไปจากโต๊ะแล้ว แต่ไม่นานนักไอ้แป๊ะก็เดินออกมาจากในบ้านและมากระซิบบางอย่างที่หูของผมทำให้ผมต้องขอตัวลุกขึ้นเดินเข้าบ้านไป ไอ้แป๊ะเดินนำผมเข้าไปในห้องน้ำ ผมจึงได้เห็นสภาพของไอ้แบ๊งค์ที่เรียกได้ว่าเมาหมดสภาพแบบสุดๆเลยจริงๆ เพราะตอนนี้มันกำลังนั่งหลับตาคอพับดูไร้สติอยู่บนชักโครกอยู่

“เอาไงดีวะ กูอยากให้มันกลับบ้านแล้วว่ะ แต่แม่งก็คงขับรถไม่ไหวแน่ๆ” ไอ้แป๊ะถอนหายใจเบาๆ

“ก็กลับกับพวกมึงไง รถมันทิ้งไว้นี่ก่อนก็ได้ หรือไม่ก็ใครในพวกมึงน่ะ ขับรถมันไปส่งมันที่บ้านหรือหิ้วมันไปบ้านใครก่อนก็ได้”

“แต่กว่าพวกกูจะกลับกันนี่ดิ่วะ คงหลังเที่ยงคืนแน่ๆอ่ะ”

“เฮ้ย แต่จะให้มันนอนที่นี่ก็ไม่ไหวนะเว้ย นี่มันไม่ใช่บ้านกู กูตัดสินใจเองไม่ได้หรอก แถมจะถามไอ้เมฆนี่ยิ่งไม่ต้องเลย” ผมรีบออกตัว

“เออ กูก็เข้าใจ งั้นให้มันไปนอนพักในห้องนั่งเล่นก่อนได้มั๊ยวะ หรือมึงว่าไง”

“เออ แบบนั้นก็ดี” ผมพยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ไอ้แบ๊งค์มากขึ้น “เฮ้ย ไอ้แบ๊งค์ ตื่นๆ ไปนอนบนโซฟาดีๆ ไปเร็ว” ผมใช้หลังมือตีแก้มมันเบาๆ แต่ก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอยู่ดี ผมจึงหันกลับมาหาไอ้แป๊ะอีกครั้ง “สงสัยมึงต้องช่วยกูยกแล้วว่ะ”

เราสองคนช่วยกันพยุงไอ้แบ๊งค์มานอนลงบนโซฟาในห้องรับแขกอย่างทุลักทุเล แต่ไอ้แป๊ะก็ช่วยยืนยันให้ผมมั่นใจได้อีกครั้งว่าไอ้แบ๊งค์มันอ้วกออกไปแล้วรอบหนึ่ง เพราะงั้นมันไม่น่าจะอ้วกรดเฟอร์นิเจอร์อะไรอีกครั้งแล้วแน่นอน จนเมื่อเราวางไอ้แบ๊งค์ที่หมดสภาพสุดๆลงบนโซฟาได้เรียบร้อยแล้ว ไอ้เมฆก็เดินเข้ามาในบ้านพอดีเหมือนกัน

“โห หมดสภาพเลยเหรอวะเนี่ย” ไอ้เมฆเดินเข้ามามองดูไอ้แบ๊งค์ใกล้ๆ

“ก็นั่นน่ะสิ กูว่ามันจะตื่นมาขับรถกลับบ้านไหวเหรอวะเนี่ย” ผมพูด

“เฮ้ย มึงจะให้มันขับรถเหรอวะ ซัน” เมฆร้องขึ้น

“เปล่าๆ กูหมายถึงว่ากูจะให้มันกลับกับพวกไอ้แป๊ะนี่แหละ แต่ว่ามันจะตื่นขึ้นมาอีกหนไหวมั๊ยเท่านั้นเอง”

“ไม่ไหวพวกกูก็แบกมันกลับกันเองแหละ คงต้องทำทุกวิธีทางว่ะ” ไอ้แป๊ะพูดขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ

หลังจากนั้นอีกกว่าสองชั่วโมง งานเลี้ยงของเราก็เริ่มปิดฉากลง พวกเราทุกคนทั้งคนที่เมาและไม่เมาต่างก็ช่วยกันเก็บกวาดของทุกอย่างทั้งหมดจนเกือบจะเรียบร้อยทุกอย่าง ซึ่งก็นับว่าโชคดีมากที่พวกมันทุกคนต่างก็กินกันไปไม่หนักมากนัก ซึ่งคนที่ดูเลวร้ายที่สุดก็คือไอ้แบ๊งค์ที่ยังคงหลับไม่ได้สติอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นนั่นเอง และเมื่อพวกเราเข้าไปปลุกมัน มันก็ตื่นขึ้นมาแบบสะลึมสะลือ และยอมเดินตามพวกไอ้แป๊ะออกไปแต่โดยดี โดยผมเองก็รู้สึกโล่งใจขึ้นนิดหน่อยที่มันยอมเดินกลับไปเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไรแบบที่มันเพิ่งบอกผมมาต่อหน้าไอ้เมฆและทุกคนออกมาอีกครั้ง

จนเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบลง และรถคันสุดท้ายถูกขับออกไป ผมกับเมฆและไคล์ก็ปิดบ้านและเตรียมตัวที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องนอนกันไป

“ขอบคุณมากนะครับ ศิลา” ไคล์หันมายิ้มให้พวกเราอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับเดินตรงเข้ามาจูบลงบนริมฝีปากของไอ้เมฆเบาๆเมื่อเราเดินมาถึงบริเวณหน้าห้องนอนของเขา

“เพื่ออะไร ขอบคุณพี่เรื่องอะไรเนี่ย” ไอ้เมฆถามกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“สำหรับทุกอย่างครับ สำหรับการเป็นพี่ชายที่ดีของผมอีกคนหนึ่ง” ไคล์ตอบ จากนั้นก็หันมาหาผม แล้วก็จูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆด้วยเช่นกัน “ราตรีสวัสดิ์นะซัน แล้วก็ขอบคุณมากๆด้วยเหมือนกันนะครับ” เมื่อพูดจบ ไคล์ก็หันหลังเดินเข้าห้องของตัวเองไป

ผมกับเมฆมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เดินเข้าห้องของเราไป และเมื่อผมปิดประตูห้องลง ไอ้เมฆก็เดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เป็นอะไรเมฆ เหนื่อยเหรอ” ผมเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของมัน

“นิดหน่อยว่ะ แต่ก็สนุกดี ขอบใจมากนะซัน อาหารอร่อยมาก แถมเค้กก็อร่อยด้วย” ไอ้เมฆยิ้มตอบ

“ก็ลองคุณเมฆบอกไม่อร่อยสิครับ รับรองคนบางคนได้ต้องวิ่งออกไปหาซื้ออย่างอื่นมากินกันแน่ๆ”

“อย่างนั้นเลยเหรอ” เมฆหัวเราะเบาๆ “แต่อร่อยจริงๆนะ ถึงพ่อจะช่วยทำซะส่วนมากก็เถอะ แต่แค่ซันทำแบบนี้ให้เมฆ เมฆก็ดีใจมากแล้วครับ” เมฆชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผม

“แล้วไม่อยากได้ของขวัญเหรอ ทำไมไม่เห็นทวงเลย”

“อ้าว เตรียมไว้เหมือนกันหรอกเหรอ คิดว่าไม่ได้ซื้อไว้ให้น่ะ ก็เลยไม่ได้สนใจมาก” เมฆเลิกคิ้วท่าทางแปลกใจจริงๆ

“โห เห็นแฟนตัวเองเป็นคนยังไงวะเนี่ย มีเหรอที่ซันจะไม่ให้ของขวัญเมฆน่ะ” ผมแกล้งทำเสียงน้อยใจ

“ขอโทษๆค้าบ อย่าเพิ่งงอนเด่ะ ถ้างั้นตกลงซื้ออะไรให้เมฆล่ะ” ไอ้เมฆแบมือ

“หลับตาก่อน”

“หลับตาเหรอ เอ้า ก็ได้วะ” ไอ้เมฆตอบพร้อมกับหลับตาลง ผมจึงรีบถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว

“แม่งง คันไปทั้งตัวแล้วเนี่ย รออยู่ตั้งนานว่าเมื่อไหร่จะได้ให้สักที” ผมพูดพลางปลดเข็มขัดกางเกงออกด้วย

“คันเนี่ยนะ” เมฆนิ่วหน้าทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

“เออดิ่ เอ้า ลืมตาได้แล้ว แต่ช้าๆนะ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง และเมื่อผมเห็นสีหน้าของไอ้เมฆหลังจากที่มันเห็น “ของขวัญ” ของมันแล้ว ผมก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆกับเมฆที่ขำจนลงไปกลิ้งอยู่บนเตียงตามผมมาติดๆ “ทำไม ไม่เอารึไง ‘ของขวัญ’ น่ะ” ผมพูดพร้อมกับกระโดดขึ้นไปคร่อมมันบนเตียง

“เข้าใจคิดนะ ไอ้แสบ อย่าบอกนะว่าไอเดียไคล์อีกเหมือนกันน่ะ” ไอ้ตัวดีหัวเราะชอบใจ

“เปล่า กูคิดเอง ดีนะที่มึงยังขำ ไม่งั้นถ้าเกิดแป้กเนี่ย กูอายตายห่าเลย”

“แล้วไง จะให้กูทำไงต่อล่ะ” เมฆยังคงหัวเราะหึๆในลำคออยู่

“ได้ของขวัญแล้วก็ต้องแกะริบบิ้นออกสิครับ แล้วต่อจากนั้นก็ค่อยๆแกะห่อออกอย่างช้าๆและเบามือ”

ไอ้เมฆค่อยๆเอื้อมมือต่ำลงไปที่ขอบกางเกงในของผมช้าๆ และที่นั่นก็มีริบบิ้นสีแดงเส้นเล็กพันรอบเอวของผมเอาไว้อยู่ พร้อมกับไม่ลืมที่จะผูกโบว์เอาไว้ตรงกลางกล่องดวงใจดวงน้อยของผมด้วย

“แค่ได้ของขวัญแค่นี้นี่ต้องถึงกับมือสั่นเลยเหรอครับ” ผมยิ้ม

“ก็กลัวของขวัญในห่อมันจะแตกน่ะ ถ้าเกิดพังไปก่อนที่จะได้ใช้งานก็แย่เลยสิ” ไอ้เมฆตอบ พร้อมกับเลื่อนมือทั้งสองข้างมาดึงริบบิ้นทางดานหน้าออกช้าๆ และชะโงกหน้าขึ้นมาจูบปากกับผมอย่างดูดดื่ม

“สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะครับ ศิลา........ หวังว่าจะชอบของขวัญนะ” ผมกระซิบที่หูของมันหลังจากถอนปากออก พร้อมกับริบบิ้นที่ถูกดึงออกเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้กระดาษห่อของขวัญสีขาวผืนบางชิ้นสุดท้ายก็กำลังจะถูกดึงออกไปอย่างช้าๆแล้วด้วยเหมือนกัน


หัวข้อ: Re: |[ 12 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 09-12-2007 18:40:24
บทอัศจรรย์มั๊ย??  :try2:

ยังไม่ได้แต่งเลย แหะๆ

ภาคนี้นี่ ยิ่งแต่งยิ่งหักมุมแฮะ คนละแนวกับที่ผ่านๆมาเลย

(เหนื่อยยย สุดๆๆๆๆ ไม่เคยแต่งนิยายเหนื่อยเท่านี้มาก่อน  :sad2: )

หัวข้อ: Re: |[ 12 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-12-2007 21:57:57
55 อ่านแล้วก็เดานะว่าของขวัญต้องออกมาแนวนี้ แต่ไม่คิดว่าจะแต่งออกมาแบบนี้จริง ๆ  :m20:  :m20:  :m20: :m20:
เอาตัวเองผูกริบบิ้น โถช่างกล้า  :m20:  :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: |[ 12 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 09-12-2007 22:57:12
ฮ่า ฮ่า ไม่น่าเชื่อ ซันทำแบบนี้เป็นด้วย
หัวข้อ: Re: |[ 12 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 10-12-2007 13:54:05
สงสารแบงค์จัง :o11:
หัวข้อ: Re: |[ 12 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 11-12-2007 14:11:25
เหอๆๆ ของขวัญเข้าท่ามั่กๆ
'ไมไม่มีใครเอาของขวัญแบบนี้มาให้ผมบ้างน๊า  o17 o17
หัวข้อ: Re: |[ 12 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 11-12-2007 15:31:05
แวะมาดันพี่ชายๆ

ลป. พี่ชายๆ อยากไปดูรักแห่งสยามรอบคริสต์มาสอ้ะ :m17:
ลป2. พี่ชายๆ วันนี้เมื่อสาม ชม. ก่อน นั่งกินข้าวโต๊ะตรงข้ามกะพิชชี่   :m3: มีความสุขที่ซู้ดเยยยย
หัวข้อ: Re: |[ 13 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-12-2007 09:12:23
วินาทีที่ 13


เช้าวันอาทิตย์ ผมตื่นขึ้นมาก็เพราะเสียงดังกุกกักๆภายในห้อง และต้นตอของเสียงนั้นก็คือไอ้เมฆที่กำลังเอาของขวัญที่ได้มาจากเมื่อคืนขึ้นมาเก็บไว้ในห้องนอนนั่นเอง

“นัทซื้ออะไรให้มึงวะ เมฆ” ผมหยีตาขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง

“ตุ๊กตาน่ะ เป็นแบบเดียวกับที่กูเคยซื้อให้เค้าเมื่อวันเกิดปีก่อนนั้นเลย” เมฆหยิบตุ๊กตาหมีใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินชูขึ้นให้ผมดู

“ตัวแค่เนี๊ยนะ ต้องใส่ถุงซะใหญ่เบ้อเริ่มขนาดนั้น” ผมแปลกใจ เพราะเมื่อเทียบขนาดตุ๊กตาตัวสูงเท่าข้อศอกกับถุงกระดาษใบใหญ่เท่ามุ้งที่มันถือเมื่อวานนี้แล้ว มันดูไม่เหมาะกันเลยจริงๆ “ขอกูดูหน่อยดิ่” ผมยื่นมือออกไปรับตุ๊กตาหมีมาพิจารณาดูใกล้ๆ

หมีตัวนี้เป็นหมีผู้ชาย ใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินอย่างที่ไอ้เมฆบอก ซึ่งทำให้มันดูแปลกตาเล็กน้อยสำหรับชุดกะลาสีที่มีสีน้ำเงิน บนชุดของมันนั้นมีปักอักษร ‘เอ็ม แอนด์ เอ็น’ เอาไว้ด้วย ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมาจากอะไร

“เมฆ กับ นัท งั้นเหรอ....... แล้วเค้าตั้งใจจะหมายถึงอะไรรึเปล่าวะ นัทเนี่ย เค้าตั้งใจจะให้มันเป็นคู่กับหมีอีกตัวของเขาที่มึงเคยซื้อให้อย่างนั้นน่ะเหรอ”

“กูลับไม่คิดแบบนั้นนะ กูกลับคิดว่า........ ไม่รู้สิ มันเหมือนกับเค้าอยากจะให้กูได้รับของขวัญชิ้นสุดท้ายที่หน้าตาเหมือนกับของที่กูเคยมอบให้เค้ามั๊ง คือ ถ้าพูดตรงๆ กูรู้สึกเหมือนกับกูถูกเค้าเอาของที่กูเคยซื้อให้เขาคืนกลับมาน่ะ เพียงแต่เป็นคนละตัวเท่านั้นเอง”

“แล้วถ้าแบบนั้นมึงรู้ได้ไงว่ามันเป็นคนละตัว รู้ได้ไงว่านี่ไม่ใช่ตัวที่มึงเคยซื้อให้เขาน่ะ”

“รู้ดิ่ เพราะเขาเคยบอกกูเองว่าหมีของกูมันหายไปแล้วน่ะ” เมฆหัวเราะในลำคอเบาๆ “แถมที่สำคัญมึงลองดูที่หน้าอกเสื้อด้านซ้ายของหมีดูสิ ว่ามีรอยหรือมีรูอะไรอยู่รึเปล่า”

ผมเพ่งมองดูตำแหน่งที่ไอ้เมฆบอกพร้อมกับใช้นิ้วมือลูบไปด้วยเบาๆ “ไม่มีนะ ไม่เห็นมีอะไรเลย”

“ใช่ แต่ตัวที่กูเคยซื้อให้เขาน่ะ กูติดเข็มกลัดที่ซื้อให้เป็นของขวัญเขาเอาไว้ด้วย และกูจำได้ว่าเสื้อตรงนั้นก็เลยมีรูถูกเจาะอยู่หน่อยนึงเพราะกูไม่ได้ระวัง แต่ว่าตัวนี้มันไม่มี เพราะงั้นกูเลยค่อนข้างมั่นใจไงว่านี่คือตัวใหม่ที่เขาซื้อมาให้กูโดยเฉพาะ”

“งั้นเหรอ........ อืมมม แล้วมีอะไรอีกมั๊ย นัทถึงต้องใส่ถุงใบเบ้อเริ่มซะขนาดนั้นมาให้มึงน่ะ”

“คือ...... จริงๆแล้วในถุงนั้นมันมีของขวัญอีกกล่องที่พี่จ๊อบเค้าซื้อมาให้กูด้วยว่ะ”

“มันซื้อของขวัญให้มึงด้วยงั้นเหรอวะ มันซื้ออะไรล่ะ ไหนขอกูดูหน่อยดิ๊”

“ไม่รู้เหมือนกัน กูยังไม่ได้เอาออกมาแกะดูเลย อยู่ในถุงที่มุมห้องเหมือนเดิมนั่นแหละ”

“งั้นก็เอาไปทิ้งซะ”

เมฆเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าออกมา “กูก็รู้อยู่แล้วว่ามึงต้องพูดแบบนี้”

“อืม มันไม่ใช่แม้แต่เพื่อนของเราด้วยซ้ำนะ แล้วทำไมถึงต้องมายุ่งวุ่นวายกับแฟนคนอื่นแบบนี้ด้วยวะ กูไม่ชอบ”

“กูเข้าใจมึงนะ แต่มึงจะคิดมากไปรึเปล่า พี่เค้าก็คงแค่อยากเอามาให้กูเพราะมันเป็นวันเกิดกูจริงๆนั่นแหละ แถมเขายังคบกับนัทอยู่ด้วยนะเว้ย และเราก็เคยไปเที่ยวด้วยกันที่ทะเลมาแล้ว เค้าก็คงมีสิทธิ์ที่จะให้ของขวัญกูเหมือนกับคนอื่นๆนั่นแหละมั๊ง”

“แล้วมึงเองล่ะ ลืมไปรึเปล่าว่าจู่ๆมันก็โผล่มาที่บ้านมึงนะเมฆ แบบนี้มันไว้ใจได้เหรอวะไอ้พี่จ๊อบเนี่ย ถ้ามึงพูดว่ามึงเข้าใจกู มึงก็ต้องอย่ามองโลกในแง่ดีมากเกินไปขนาดนั้น กูรู้ว่ามึงเองก็คิดเหมือนกูนั่นแหละ ใช่มั๊ยล่ะ ไอ้เหี้ยนี่แม่งมีแต่อะไรที่ดูไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น เพราะงั้นถ้ามึงเองก็คิดเหมือนกูและเห็นด้วยกับกู มึงก็พยายามเลี่ยงๆมันเอาไว้ซะ และถ้ามีอะไรก็ต้องคอยบอกกูเรื่อยๆด้วย เข้าใจรึเปล่า”

“กูก็คิดอยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเผื่อมันจะทำให้มึงสบายใจขึ้นนะซัน กูก็จะบอกความจริงมึงเหมือนกันว่ากูเองก็ไม่ได้ชอบและไว้ใจพี่เค้าเท่าไหร่เหมือนกันหรอก พี่เค้าทำตัวแปลกๆมาหลายครั้งแล้ว และที่สำคัญ........ ยิ่งถ้าเค้าทำตัวเหี้ยๆกับนัทอย่างที่พวกไอ้วิทบอกจริงๆ หรือถ้ายิ่งไปกว่านั้นคือทำให้นัทต้องเสียใจล่ะก็ กูเองก็คงจะไม่ทนเค้าด้วยเหมือนกัน”

วันจันทร์เป็นวันแรกที่เมฆต้องเริ่มทำงาน ส่วนผมเองก็ต้องเข้าบริษัทไปพบกับเพื่อนของพ่อที่ชื่อลุงกิตเหมือนกัน ลุงกิตเป็นเพื่อนของครอบครัวของผมมาตั้งแต่ผมจำความได้แล้ว และผมเองก็ต้องทำงานขึ้นตรงกับลุงกิตคนนี้โดยตรงเลยด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสดีๆที่คงไม่ได้เกิดขึ้นกับใครหลายๆคนได้บ่อยมากนัก เพียงแต่ว่าถ้าเป็นไอ้เมฆ มันเองก็คงจะรู้สึกลำบากใจนิดหน่อยแน่นอน แต่สำหรับผมแล้วผมกลับมองว่านี่คือโอกาสที่เราได้รับมาและเป็นอะไรที่เราจะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเราเหมาะกับงานนี้และเราก็สามารถทำมันได้ดีด้วย

และเมื่อถึงวันพุธ เราก็ได้รับข่าวดีจากพีว่าสุดสัปดาห์นี้มันคอนเฟิร์มแล้วว่าจะกลับมาประเทศไทยแน่นอน และคงพักอยู่ที่บ้านราวๆสี่วัน เนื่องจากพ่อของมันไม่ค่อยสบาย มันจึงอยากกลับมาดูอาการนิดหน่อย ถึงแม้ว่าพ่อของมันจะไม่ได้เป็นอะไรมากมายนักก็ตาม ซึ่งดูๆไปแล้ว คนที่ดูจะดีใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นไคล์ ไอ้น้องชายตัวดีของผมนี่เอง

“ว่าแต่ไคล์ได้คุยกับพีรึยัง เรื่องนั้นน่ะ” ผมถามไคล์ขึ้นในขณะที่เราสามคนกำลังนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

“คุยแล้วครับ เพิ่งจะคุยกันเมื่อสองสามวันก่อนนี่เอง แต่พีทบอกว่าเอาไว้เจอกันแล้วค่อยคุยทีเดียวดีกว่าน่ะ”

“เรื่องถ่ายรูปน่ะเหรอ” เมฆถามขึ้น

“ช่ายครับ ว่าแต่ตกลงว่าพี่แอมป์เขานัดเมื่อไหร่นะ ศิลา ใช่วันเสาร์หรือวันอาทิตย์นี้รึเปล่านะ”

“เสาร์หรืออาทิตย์ก็ได้ อยู่ที่พวกเรานั่นแหละ” ผมตอบ “ซึ่งพี่ว่าก็ดีเลยนะ พีมันกลับมาวันศุกร์ตอนกลางคืนใช่มั๊ยล่ะ วันเสาร์ก็ให้มันอยู่ที่บ้านมันไป ส่วนวันอาทิตย์เราก็ลากมันไปด้วย แบบนี้ดีมั๊ยล่ะ”

“และตกลงเราจะไปรับเค้าที่สนามบินมั๊ย แสบ หรือจะรอเจอเค้าวันอาทิตย์ไปเลยทีเดียว”

“ไปครับ ยังไงๆผมก็จะไป” ไคล์รีบตอบขึ้นมาทันที

“รู้แล้วๆน่า ไปก็ไป” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ “จะได้เจอแม่พีไปด้วยเลยไง ไม่ได้เจอท่านมานานแล้วนี่ ตั้งแต่เรากลับไทยมาก็ยังไม่ได้ไปไหว้ท่านเลยนะ ซัน”

“นั่นมันก็จริง แต่ลำพังแค่พวกเราน่ะมันไม่เท่าไหร่หรอก ติดอยู่ที่ไคล์นี่สิ ถ้าพอมันได้เจอหน้ากันปุ๊บก็จับกอดจับหอมแก้มปั๊บเนี่ย กูว่าแม่ไอ้พีมันมันได้หัวใจวายตายกลางสนามบินแน่ๆเลยว่ะ” ผมหัวเราะ

“ผมจะพยายามควบคุมตัวเองครับ ผมสัญญาเลย” ไคล์ตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางหนักแน่นเกินจริงจนน่าขำทำให้พวกเราต้องหัวเราะออกมา

คืนวันศุกร์ เราสามคนขับรถมุ่งหน้าไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อไปรับพี โดยที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเรากำลังจะไปหา และเมื่อไปถึงพวกเราก็พบกับแม่ของพีที่กำลังยืนรออยู่พอดีด้วยเช่นกัน ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน กว่าที่เราจะได้รู้จักกับแม่ของพีก็ปาเข้าไปตอนที่มันมาอยู่ที่บ้านของผมแล้วตั้งเกือบปีนึงเต็มๆ และก็เป็นอย่างที่พีเคยบอกไว้จริงๆว่าแม่ของมันนั้นเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะซีเรียสและเคร่งครัดอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งพีเป็นเพียงคนเดียวในหมู่พวกเราที่จะให้พ่อและแม่รู้เรื่องที่มันมีแฟนเป็นผู้ชายไม่ได้เด็ดขาด และแม้แต่เรื่องที่มันไปนอนที่บ้านของผมนั้นก็ยังให้รู้ไม่ได้ด้วยเช่นกัน โดยสิ่งที่แม่ของพีรู้เกี่ยวกับพวกเราก็มีเพียงพวกเราเป็นกลุ่มคนไทยที่ไปเรียนที่นั่นและเป็นเพื่อนสนิทกับลูกชายของเขาก็เท่านั้นเอง

พวกเรารอพีอยู่ประมาณสิบนาที คนกลุ่มใหญ่ก็ทยอยกันเดินออกมาจากเกท และสายตาของเราทุกคนก็ประสานเข้ากับพีที่กำลังเดินออกมาพร้อมๆกันพอดี ผมอดสังเกตเห็นไม่ได้ว่าเมื่อพีเห็นว่าคนที่มารอรับมันนั้นไม่ได้มีเพียงแม่ของมันแค่คนเดียว แต่มีพวกเรารวมทั้งไคล์อยู่ด้วย มันก็ดูดีใจมากเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าท่าทางภายนอกของมันจะไม่ได้แสดงออกออกมาอย่างชัดเจนนักก็ตาม แต่แววตาคู่นั้นที่กำลังมองมาที่ไคล์นั่นก็สื่อความหมายออกมาอย่างเต็มเปี่ยม

“พี่เมฆ พี่ซัน ไคล์ มาด้วยเหรอครับ ไหนบอกจะไม่มาเพราะมันดึกแล้วไง” พีหันมาหาพวกเราหลังจากกอดแม่ของตัวเองเสร็จแล้ว

“ก็มีคนอยากมาน่ะ มันอดไม่ได้” ผมหัวเราะเบาๆ แต่ก็โดนไอ้เมฆเอามือตบลงบนบ่าเบาๆ ผมเลยต้องรีบแก้ตัว “ก็ไอ้เมฆเนี่ยแหละ มันบอกอยากมาเซอร์ไพรส์น่ะ ก็เลยแกล้งพูดไปอย่างนั้นเองว่าจะไม่มา”

“ว่าแต่พ่อเป็นยังไงมั่งครับแม่ ทำไมถึงไม่มาด้วยกันล่ะ” พีหันกลับไปหาแม่ตัวเองอีกครั้งหลังจากสบตากับไคล์แวบหนึ่ง

“ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ก็นอนอยู่ที่คอนโดของเค้านั่นแหละ แต่กินยาไปก็คงหลับน่ะนะ ว่าแต่พีเหนื่อยรึเปล่า กินอะไรก่อนกลับบ้านดีมั๊ย พาเพื่อนๆไปกินด้วยกันเลยเป็นไง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าพีกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ ไม่ได้เจอคุณป้ามานานแล้วก็คงมีเรื่องอยากจะคุยกันเยอะแยะ” เมฆพูดขึ้น

“เอางั้นเหรอพี่เมฆ........” พีพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก และสายตาของเขาก็จับอยู่ที่ใบหน้าของไคล์ที่กำลังยิ้มแหยๆอยู่ด้วย

“ช่ายย พี่ก็ว่างั้นแหละ กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันอีกทีวันหลังก็ได้” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

ตอนนี้พ่อและแม่ของพีนั้นแยกกันอยู่แบบถาวรมาได้สองปีกว่าแล้ว และพวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่าจริงๆแล้วพีนั้นอยากจะใช้เวลาอยู่กับพวกเรามากกว่าอยู่กับครอบครัวของตัวเองมากแค่ไหน เพราะมันเป็นคนคิดมากและไม่สามารถลืมอดีตของตัวเองได้ง่ายๆ การที่มันต้องเผชิญหน้าและใช้เวลาอยู่กับแม่ของตัวเองโดยที่แม่ต้องพูดถึงเรื่องของพ่อขึ้นมาแน่ๆนั้น ก็ไม่ต่างกับการไปสะกิดแผลเก่าของมันให้เปิดขึ้นมาอีกครั้งแน่นอน

“แล้วเดี๋ยวเอาไว้เราค่อยคุยกันก็แล้วกันนะครับ เอาไว้ไปเที่ยวด้วยกันดีกว่านะ ตอนนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ไคล์พูดขึ้นบ้าง

“ถ้างั้น.........” พีหันกลับไปมองหน้าแม่ของตัวเอง “พีขอไปห้องน้ำก่อนแป๊บนึงก็แล้วกันนะครับ แม่รออยู่ที่นี่ก่อนนะ”

“พอดีเลย งั้นขอผมไปด้วยนะ ศิลากับซันไปมั๊ย” ไคล์รีบพูดขึ้นทันที

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวพี่สองคนรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” เมฆพยักหน้าเบาๆ

ไคล์กับพีเดินหายไปที่ห้องน้ำกันสองคนราวๆเกือบสิบนาที ซึ่งที่ใช้เวลานานนั้นก็คงไปเพื่อพูดคุยหรือถูกเนื้อต้องตัวกันนิดหน่อยพอเป็นพิธีให้ได้หายอยากกันนั่นแหละนะ และเมื่อมันทั้งคู่กลับมา ทั้งสองคนต่างก็ดูมีสีหน้าสดใสขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้จริงๆ ก็เอาเถอะ อย่างน้อยๆการที่มีแม่ผู้เข้มงวดมาคอยคุมเข้มอยู่ด้วยแบบนี้ ได้ช่วงเวลาดีๆสั้นๆเพียงเท่านี้ก็ดีถมไปแล้ว

เช้าวันอาทิตย์ หลังจากที่เมื่อวานไคล์กับพีหนีไปกินข้าวเย็นกันตามลำพังมาแล้ว เราก็นัดให้พีมาหาที่บ้านของเราตั้งแต่แปดโมงเช้าอีกครั้งเพื่อที่จะไปหาพี่แอมป์ที่คอนโดของพี่เขาพร้อมๆกัน พี่แอมป์บอกพวกเราทั้งสี่คนให้เตรียมเสื้อผ้าอย่างที่เราอยากจะใส่ไป พร้อมกับให้เอาชุดที่พี่เขาบอกให้เอาสำรองไปด้วย และคนที่จะถ่ายรูปของเรานั้นก็คือตัวพี่เขาเองกับเพื่อนของพี่แอมป์อีกคนนึง โดยสถานที่ที่จะใช้เป็นโลเกชั่นก็คือภายในคอนโดของพี่เขานั่นเอง

เราทั้งสี่คนพร้อมกับพ่อเล็กนั่งกินข้าวเช้าด้วยกันที่บ้านของไอ้เมฆอย่างพร้อมหน้า ก่อนที่ผมจะรับหน้าที่เป็นคนขับรถพาเราทุกคนไปยังคอนโดของพี่แอมป์ และเมื่อเราไปถึงที่นั่น พี่แอมป์ก็ออกมาต้อนรับเราทั้งสี่คนพร้อมกับเพื่อนผู้ชายของพี่เขาอีกคนที่ชื่อว่า พี่บอล

“เนี่ยน่ะเหรอ พี หล่ออีกคนและนะเนี่ย พี่ว่าสี่คนนี้นี่สี่สไตล์เลยนะ ดูดีกันไปคนละแบบจริงๆ” พี่แอมป์พูดขึ้นหลังจากที่เรานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว

คอนโดของพี่แอมป์มีเนื้อที่ใช้สอยค่อนข้างมาก และนอกจากนั้นยังถูกตบแต่งและจัดวางของทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบมากอีกด้วย ทั้งของวางโชว์และเครื่องใช้ทุกชิ้นล้วนดูสะอาด เป็นระเบียบ และสวยมากจริงๆ มันดูออกแนวโมเดิร์น แต่ก็ยังดูร่วมสมัยได้อย่างลงตัว

“คอนโดพี่สวยดีนะครับ” ไอ้เมฆพูดสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ในใจขึ้นมาพอดี

“แล้วก้อนเมฆไม่อยากได้แบบนี้บ้างรึไงครับ” ผมเขยิบไปกระซิบที่หูของมัน แต่มันกลับกระทุ้งศอกใส่ผมให้กลับมานั่งดีๆเหมือนเดิมแทน

“พี่ก็จัดๆให้มันเป็นระเบียบมากกว่าเดิมด้วยแหละค่ะ เพราะอย่างที่พี่บอกไงว่าเราจะถ่ายกันในนี้ซะส่วนมาก แล้วพี่ก็อยากให้มันดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดด้วย เหมือนรูปตอนที่ทะเลไง”

ผมกับเมฆพยักหน้าช้าๆ เพราะรายละเอียดส่วนมากเราก็มีได้คุยกับพี่แอมป์ทางโทรศัพท์มาบ้างแล้วเหมือนกัน แต่เมื่อผมหันไปสบตากับไอ้ตัวดีก็เห็นได้ถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ได้อย่างชัดเจนทีเดียว และดูเหมือนคนอื่นๆในห้องนั้นก็จะรู้สึกถึงมันได้ด้วยเหมือนกัน

“ไม่ต้องเครียดไปครับเมฆ ทำตัวสบายๆเหมือนตอนปกตินั่นแหละ พี่เห็นรูปของเมฆกับซันที่ทะเลแล้วนะ พี่ว่าแบบนั้นน่ะสุดยอดเลย เป็นธรรมชาติดีมากๆ เพียงแต่ว่าวันนี้พี่กับแอมป์จะช่วยแต่งหน้าให้นิดหน่อย จัดท่าทางอีกนิดนึงพอเป็นพิธี แต่นอกเหนือจากนั้นก็อยู่ที่ทั้งสองคนเองนั่นแหละ” พี่บอลพูดขึ้น

“ใช่ค่ะ เดี๋ยววันนี้เราจะมีกล้องสองตัว คือพี่จะเป็นคนถ่ายเมฆ ส่วนซันก็ให้พี่บอลเป็นคนถ่ายไป แต่พอถึงรูปคู่ เราก็จะช่วยๆกันลองหลายๆมุมดู จะไม่จัดแสงจัดฉากอะไรมากนัก พี่อยาให้อารมณ์โดยรวมออกมาดิบๆหยาบๆหน่อย เพราะถึงยังไงพี่ก็คิดว่าเดี๋ยวทั้งสองคนก็คงถ่ายทอดความรู้สึกอารมณ์อื่นๆออกมาได้เอง เพียงแต่ว่าทั้งสองคนจะต้องไม่เกร็งจนเกินไปเท่านั้นพอ”

“แล้วไคล์กับพีล่ะครับ” ผมถามขึ้น

“มีบทด้วยแน่นอน ไม่ต้องห่วงเลย และนอกจากพี่สองคนแล้วก็ยังจะมีผู้ช่วยมือสมัครเล่นมาช่วยอีกคนนึงด้วยนะ” พี่บอลตอบ

“ใครเหรอครับ”

“ก็เพื่อนเรานั่นแหละ ไคล์ แต่ว่าเมื่อกี๊มันยังไม่ตื่นเลย พี่เพิ่งไปปลุกมันมาเนี่ยแหละ สิบโมงมันคงเช้าไปหน่อยสำหรับน้องพี่น่ะ” พี่แอมป์ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“แบบนี้มันจะดีแน่เหรอครับ พี่เมฆ ผมว่าผมไม่เอาด้วยดีกว่ามั๊ง ผมรู้สึกแปลกๆน่ะ” พีพูดขึ้นแบบเกรงๆ “ผมไม่มั่นใจเลยว่าจะทำอะไรแบบนี้ได้น่ะ มันแปลกจริงๆนะครับพี่ แถมถ้าแม่ผมรู้ล่ะก็จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้เนี่ย”

“อ้าว ปรากฏว่าน้องคนนี้ดูเครียดมากกว่าเมฆอีกแฮะ” พี่บอลหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องกังวลไปนะครับพี เราคุยเราทำงานกันแบบเป็นกันเองน่ะนะ ไม่ต้องซีเรียส ถ้าน้องกังวลเรื่องแม่น้อง แม่ของน้องก็ไม่ต้องเห็นสิ แบบนั้นดีมั๊ย พี่ไม่เอารูปของพวกเราทุกคนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว”

“ใช่แล้วค่ะ แถมพี่ว่าพีน่ะหล่อไม่แพ้สามคนนี้เลยนะ ถึงเราจะเพิ่งเคยเจอกัน แต่พี่ว่าพีน่ะเป็นคนมีเสน่ห์ออก แถมลักยิ้มก็สวยด้วย”

พีก้มหน้าแล้วยิ้มอายๆพร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาเกาที่แก้มอีกครั้งตามแบบที่มันชอบทำเป็นประจำ ไคล์จึงหัวเราะเบาๆพร้อมกับยื่นแขนออกไปดึงตัวแฟนของตัวเองเข้ามากอด

“ถ้าคุณไม่อยากทำผมก็โอเคนะครับ พีท ผมก็ไม่ทำเป็นเพื่อนก็ได้ แบบนั้นโอเคมั๊ย” ไคล์หันไปพูดกับพีเป็นภาษาอังกฤษ

“ไม่ๆครับ ไคล์ ทุกคนรับปากพี่เขาไปแล้ว ผมไม่อยากให้ผิดสัญญานะ ไม่เป็นไรหรอก ผมตกลงถ่ายครับ ก็แค่ทำตัวตามสบายไม่ต้องซีเรียสใช่มั๊ยล่ะ”

“ใช่แล้วค่ะ จริงสิ พีเห็นรูปถ่ายของพวกเมฆตอนที่ระยองรึยังล่ะ”

“ยังเลยครับ” พีส่ายหน้า “ไคล์เคยบอกผมนะ แต่ผมยังไม่เคยเห็นเลย”

“เออจริงด้วย เมื่อเช้าพวกพี่ก็ลืมเอาให้ดู”

“ไม่เป็นไรค่ะซัน งั้นเอางี้ บอล แกพาไคล์กับพีไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวก็ได้ เอารูปให้น้องเขาดูแล้วก็อธิบายให้เค้าสองคนฟังด้วยว่าวันนี้เราจะถ่ายกันยังไง ส่วนตรงนี้เดี๋ยวชั้นคุยกับเมฆกับซันเอง”

พี่บอลพยักหน้าให้กับพีและไคล์ พร้อมกับลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะเดินนำทั้งสองคนไปยังโต๊ะกินข้าวที่อยู่ห่างออกไป

“นี่ ซัน เมฆ พี่ถามจริงๆนะ ทั้งสองคนคิดว่าใครหล่อสุดในกลุ่มของเราสี่คนเนี่ย” พี่แอมป์หันกลับมาถามพวกเราสองคน

ผมกับเมฆหันมามองหน้ากันก่อนจะตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “ไคล์ครับ”

“พี่ก็ว่างั้นนะ แต่ซันไม่คิดว่าเมฆหล่อที่สุด หรือเมฆไม่คิดว่าซันหล่อกว่าอะไรอย่างนี้เหรอ” พี่แอมป์ยิ้ม

“ถ้าพี่ถามผมแบบนั้นผมก็คงตอบว่าไอ้เมฆแหละครับ แต่นี่ถ้าตามความเป็นจริง ยังไงผมก็คิดว่าไคล์มันหล่อกว่าอยู่ดี ไอ้เมฆมันหน้าเด็ก แถมยังออกแนวน่ารักหน้าหวานมากกว่าหล่อมั๊ง ผมว่า”

“ก็เหมือนกันครับ คือ ผมว่าไอ้ซันน่ะมันหล่อนะ แต่เอาจริงๆผมว่าไคล์ก็ยังหล่อกว่าอยู่ดี หน้าตาแบบลูกครึ่งๆนี่แหละที่โดดเด่น และที่สำคัญผมว่ามันแล้วแต่คนมองคนชอบมั๊งครับ”

“ก็นั่นสินะ แล้วทั้งสองคนคิดว่าไงสำหรับพีล่ะ”

“ผมว่า พีมันน่ารักนะ หน้าเด็ก ตัวเล็ก ขาว ใส แถมที่สำคัญก็คือบุคลิกของมัน........”

“เค้าจะเป็นคนขี้อายแล้วก็เงียบๆ พูดน้อยน่ะครับ ถ้าไม่ใช่กับคนคุ้นเคย พีจะเงียบมากๆ จนบางทีดูเหมือนชอบหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวเอาซะบ่อยๆด้วยซ้ำ ซึ่งผมว่านี่เขาก็ดีขึ้นมากแล้วนะเนี่ย อย่างน้อยๆเค้าก็ยังยอมมาที่นี่กับพวกเราน่ะนะ”

“พี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน พี่ว่าทั้งสี่คนน่ะมีบุคลิกโดดเด่นเป็นตัวของตัวเองมาก ตอนนี้บอลเองก็คงกำลังคุยกับสองคนนั้นแบบนี้อยู่เหมือนกัน คือเรื่องของเรื่องนะคะ พี่อยากจะให้ทั้งสี่คนเป็นตัวของตัวเองเท่านั้นพอ โดยเฉพาะซันกับเมฆที่เป็นเป้าหมายหลักของพี่ พี่อยากให้มันดูเป็นแบบว่า เริ่มต้นที่กิจวัตรประจำวันตั้งแต่เช้าของทั้งสองคนเลย เริ่มจากเมฆที่อยู่ในห้องนอน ซันอยู่ในห้องน้ำ พี่กับพี่บอลจะแยกกันถ่ายคนละคน จนกระทั่งซันเดินเข้ามาปลุกเมฆ ทำธุระส่วนตัว เช่นล้างหน้า แปลงฟัน แต่งตัวอะไรพวกนี้ จากนั้นก็กินข้าว ดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์อะไรก็แล้วแต่ด้วยกัน ถัดมาก็คือพีกับไคล์มาหา แล้วจากนั้นก็ไปถ่ายข้างนอกกันถ้าเป็นไปได้ อะไรประมาณนี้น่ะคะ แบบนี้เมฆจะรู้สึกสบายใจขึ้นมั๊ย”

“ก็.......... ไม่รู้สิครับ มันฟังดูปกติดีอยู่ก็จริงนะ แต่นั่นแหละที่มันอาจจะทำให้ผมเกร็ง แต่ว่าก็ยังโอเคแหละครับ ไม่ลองก็ไม่รู้”

“แล้วซันล่ะคะ โอเครึเปล่า” พี่แอมป์หันมาถามผม

“โอเคครับ ผมยังไงก็ได้ ก็ท่าทางน่าสนุกดี มิน่าพี่แอมป์ถึงได้ให้เตรียมชุดมาหลายๆชุดดูใช่มั๊ยครับ”

“ก็ใช่ค่ะ แต่ที่บอกว่าโอเคมั๊ยเนี่ย พี่หมายถึง..........” พี่แอมป์หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับท่าทางลังเลที่จะพูดประโยคต่อไปออกมานิดหน่อย “มันจะโอเคมั๊ย ถ้าพี่อยากได้รูปเปลือยของทั้งสองคนด้วยนะคะ โดยเฉพาะฉากที่ซันอยู่ในห้องน้ำและให้บอลเป็นคนถ่ายน่ะ”


หัวข้อ: Re: |[ 13 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 12-12-2007 12:20:42
นี่ๆ  ตาต้น  น้อยๆ หน่อยเถอะ จะให้ซันไปถ่ายรูปตอนแก้ผ้าอาบน้ำ  พี่หวงนะจะบอกให้  :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: |[ 13 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 12-12-2007 17:45:54
 :m24: .... :m4:
หัวข้อ: Re: |[ 13 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 12-12-2007 18:01:26
 :m10:
หัวข้อ: Re: |[ 13 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 12-12-2007 19:07:57
มากไปหรือเปล่าอ่ะ
หัวข้อ: Re: |[ 13 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-12-2007 20:24:50
 :m24:  :m24:  :m24:  :m24:  :m24:
หุหุ ตอนนี้เดาอะไรไม่ถูกแล้ว  :try2:  :try2:
หัวข้อ: Re: |[ 13 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 13-12-2007 12:45:57
 :a5: :a5: :a5:

พี่ชาย อย่ามาหื่นใส่พี่เมฆป๋มนะ

ป๋มม่ะยอมนะเนี่ย

 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: |[ 13 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)
เริ่มหัวข้อโดย: นิลวัฒน์ ที่ 13-12-2007 15:58:31
เล่นอะไรกัน งง  :m28: :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: |[ 14 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-12-2007 17:41:20
วินาทีที่ 14


ถึงพี่บอลจะไม่ได้แสดงออกอย่างเห็นได้ชัด แต่แค่ผมมองเห็นเขาแวบแรกผมก็รู้แล้วว่าพี่เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงแน่นอน และเท่าที่คุยๆกัน พี่เขาก็ดูเป็นกันเองดีในระดับหนึ่งด้วย และนอกจากนั้นถึงแม้พี่แอมป์จะยังพูดย้ำเตือนเราสองคนอีกหลายต่อหลายหนว่ามันเป็นงานศิลปะ และรูปพวกนั้นจะไม่มีทางหลุดออกไปข้างนอกเด็ดขาด พี่แอมป์บอกว่าพี่เขาต้องการแค่ด้านข้างหรือด้านหลัง ไม่ได้ต้องการด้านหน้าที่เห็นเจ้าซันน้อยของผมเต็มๆ แต่ความคิดของการต้องมาเปลือยกายถ่ายรูปต่อหน้าคนที่ผมไม่ได้รู้จักดีก็ทำให้ผมตกใจไปเลยเหมือนกัน

“จริงๆพี่ก็อยากได้รูปของเมฆด้วยนะคะ อยากได้ของทั้งสองคนเลย เพราะอย่างที่พี่บอกไงว่ารูปร่างของทั้งสองคนดีมากๆ แถมยังคล้ายกันมากด้วย พี่ก็เลยอยากจะเก็บภาพพวกนั้นเอาไว้” พี่แอมป์อธิบายต่อ

“เฮ้ยพี่ คือแบบว่ามันจะดีเหรอครับ” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่นนิดๆ “ไอ้อายน่ะ ผมไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่ว่า....... ถ่ายรูปครั้งแรกก็จะเล่นแบบนี้เลยเหรอครับ”

“ถ้าซันกับเมฆไม่อยากก็ไม่เป็นไรค่ะ พี่เข้าใจ มันก็เกินไปจริงๆพี่เองก็รู้ แต่ว่าพี่ก็แค่แอบหวังไว้นิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“ใส่กางเกงในจะเป็นอะไรมั๊ยครับ ถ้าแค่นั้นจะพอไหวมั๊ยล่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้น ทำเอาผมหันไปหามันแทบจะทันทีที่มันพูดจบทีเดียว และเมื่อมันเห็นสายตาของผม มันก็ยักไหล่เบาๆ “ก็นะ ก็ไม่เห็นจะเสียหายมั๊ง มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่ามึงไม่อายน่ะ”

“มันก็ใช่ แล้วมึงล่ะเมฆ ไม่อายรึไง”

แม้แต่พี่แอมป์เองก็ยังดูแปลกใจกับคำพูดของไอ้เมฆด้วยเลยเหมือนกัน เพราะพี่เขาก็คงคาดหวังไว้ว่าเมฆน่าจะเป็นคนที่ขี้อาย และรับเรื่องนี้ไม่ได้มากกว่าผมแน่ๆ

“ก็คงไม่ต่างกับใส่กางเกงว่ายน้ำหรอกใช่มั๊ยละ หรือแม้แต่ตอนเข้ายิมหรือตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าแก้ผ้าต่อหน้าฝรั่งมาแล้วตั้งหลายคนหลายหน เรายังทำกันมาแล้วเลย”

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็ใช่......... สำหรับกูนะ แต่กูไม่คิดว่ามึงจะโอเคด้วยนี่หว่า” ผมพูดด้วยความรู้สึกอึ้งๆ “คือโอเค มึงอาจจะไม่อายตัวมึงเอง แต่แบบว่า มึงแน่ใจว่าจะโอเคเหรอวะ ถ้าคนอื่นจะเห็น........ เอ่ออ กูแบบนั้นน่ะ”

“คนอื่นที่ไหน ก็มีกันอยู่แค่นี้ แถมกูคิดว่าถ้าเราปฏิเสธมันก็เท่ากับเราไม่เชื่อใจพี่แอมป์น่ะสิ” ไอ้เมฆหันกลับไปมองหน้าพี่แอมป์พร้อมรอยยิ้มแสนเสน่ห์ของมันอีกครั้ง แต่ผมรู้ดีว่าคำพูดนี้ของมันไม่ใช่เพียงคำพูดที่ทำให้พี่แอมป์ฟังแล้วรู้สึกดีและสบายใจในตัวเองเท่านั้น แต่มันยังแฝงไปด้วยความต้องการจะตอกย้ำและกดดันพี่แอมป์อีกด้วย เพียงแต่ว่าพี่แอมป์จะเข้าใจนัยแฝงที่ไอ้เมฆจงใจซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มของมันนั่นหรือไม่เท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าพี่เขาจะเข้าใจความหมายของมันได้โดยตรงหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้พี่เขาก็คงต้องรู้สึกถึงความรับผิดชอบและภาระที่พี่เขาต้องรับและดูแลไปแล้วโดยปริยายอย่างแน่นอน

“ขอบคุณค่ะเมฆที่เชื่อใจพี่ แต่ว่าถึงยังไงถ้ามันลำบากใจก็ไม่จำเป็นต้องทำจริงๆนะ พี่ไม่อยากบังคับทั้งสองคนหรอก”

“ไม่เป็นไรครับพี่ ถ้าไอ้เมฆโอเค ผมก็โอเค แต่บอกตามตรง ผมก็แค่ไม่ค่อยรู้สึก คือ....... ไม่รู้สิครับ แบบว่า กับพี่บอลเพื่อนพี่น่ะ”

“พี่เข้าใจค่ะ เรื่องไอ้บอลน่ะ” พี่แอมป์หัวเราะเบาๆ “คือถ้าเป็นเรื่องรูป มันจะอยู่เฉพาะในบ้านพี่เท่านั้น ซันกับเมฆไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะให้บอลมันกลับไปแค่ตัวกับความทรงจำเท่านั้นพอ อย่างอื่นไม่มี ไม่มีเด็ดขาดเลย แถมบอลมันก็เชื่อใจได้ด้วย พี่เชื่อใจมันนะ ไม่งั้นพี่ก็ไม่เรียกใช้มันหรอก” พี่แอมป์พูดอย่างหนักแน่น “เอ้อ จริงสิ ของขวัญวันเกิดของเมฆ ที่พี่บอกไว้ว่าติดเอาไว้ก่อน มันอาจจะไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย แต่ก็หวังว่าเมฆน่าจะชอบนะคะ”

เมื่อพูดจบพี่แอมป์ก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นกรอบรูปที่วางนอนอยู่บนเคาน์เตอร์ใกล้ๆชั้นวางทีวีมายื่นให้กับเมฆ และประกฎว่ามันก็คือนาฬิกากรอบรูปที่เต็มไปด้วยรูปของไอ้เมฆกับผมตอนที่อยู่ที่ทะเลด้วยกันนั่นเอง โดยบางรูปเป็นรูปที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ถึงยังไงรูปที่เด่นที่สุดก็ยังคงเป็นรูปที่ผมนอนตักไอ้เมฆอยู่ดีนั่นเอง

หลังจากการเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าบางๆของเราทั้งสี่คนเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาร์มที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องของตัวเองได้ครู่ใหญ่ๆก็พาพีกับไคล์ออกไปข้างนอก ผมคิดว่าคงจะพาทั้งสองคนไปเดินเล่นและอาจจะถ่ายรูปเล่นไปด้วยพร้อมๆกัน

“เอาล่ะ เมฆไปนอนลงบนเตียงในห้องพี่เลย ส่วนซันไปกับบอลเลยนะคะ” พี่แอมป์พูดขึ้น

“ห้องพี่เลยเหรอครับ” ไอ้เมฆถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “มันจะดีเหรอครับพี่ ผมเกรงใจนะเนี่ย”

“ไม่ต้องเลยค่ะ พี่จัดห้องเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องกังวลเลย คนกันเอง แถมถ้าเป็นเมฆกับซันนี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว และที่สำคัญ ไอ้อาร์มมันยังชอบมานอนเล่นห้องพี่ออกบ่อยไป ตอนแรกพี่ก็กะจะใช้ห้องนอนแขกเหมือนกัน แต่พี่ว่ามันเรียบไปหน่อย ห้องพี่น่าจะดีที่สุด เอาล่ะ ไปกันเถอะค่ะ ถ้าเสร็จเร็วจะได้กินข้าวเที่ยงกัน เดี๋ยวจะหิวกันซะก่อนนะ”

เมฆหันมามองหน้าผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินตามพี่แอมป์เข้าไปในห้องนอนใหญ่

“งั้นซันก็ถอดเสื้อผ้าเลยก็แล้วกันครับ” พี่บอลหันมาบอกผม

“ตรงนี้เลยเหรอครับพี่” ผมถามกลับ เพราะที่ๆเรานั่งอยู่นี้มันเป็นห้องนั่งเล่น แถมยังไม่ใช่ห้องนั่งเล่นในบ้านของผมเองอีกด้วย และถึงแม้พี่บอลจะไม่ได้เป็นเกย์ออกสาวหรือแสดงออกอะไรเลย แต่ว่าผมก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่อยู่ดี “ผมว่าไปในห้องน้ำดีกว่ามั๊งครับ หรือไม่ก็ผมถอดเสร็จแล้วค่อยเรียกพี่มาอีกทีไม่ได้เหรอ”

“เออจริงด้วย เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ งั้นซันไปถอดในห้องน้ำก็ได้ เหลือกางเกงในไว้ตัวเดียว แล้วเอาผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำนั่นแหละมาพันเอาไว้ แอมป์มันคงเตรียมเอาไว้แล้ว พอเสร็จแล้วก็ค่อยเรียกพี่ก็แล้วกัน”

ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าที่ใส่มาทั้งหมดออกเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว และเมื่อผมพันผ้าขนหนูรอบเอวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับถือเสื้อผ้าที่เพิ่งใส่มาไว้อยู่ในมือ

“เรียบร้อยแล้วครับพี่ เสื้อนี่จะให้ผมทำไง”

พี่บอลหันมามองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากตอนแรกแทบจะในทันที “เอ่อ เออๆ วางไว้บนโซฟาก็ได้มั๊ง แต่อย่าพับนะ เดี๋ยวมันจะยับซะเปล่าๆ พาดๆไว้แถวนี้แหละ”

ผมทำตามที่พี่เขาบอก จากนั้นพี่บอลก็พาผมเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ซึ่งห้องน้ำห้องนี้มีขนาดค่อนข้างกว้างพอสมควรเลยทีเดียว ทำให้ผู้ชายสองคนสามารถยืนกันอยู่ได้แบบไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นทั้งแสงไฟสีส้มและการตบแต่งก็ยังดูดีมากอีกด้วย ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่แอมป์ถึงได้เลือกใช้คอนโดของตัวเองเป็นที่ๆใช้ถ่ายรูปของพวกเราในวันนี้

“พี่อยากได้รูปตอนซันตัวแห้งๆก่อนนะ จากนั้นค่อยตัวเปียก แล้วเดี๋ยวเราก็ลองดูกันหลายๆอิริยาบถก็แล้วกัน เริ่มที่อ่างล้างหน้านี่ก่อนเลย ส่องกระจกเลยซัน ทำหน้าเหมือนเพิ่งตื่นนอนให้พี่หน่อย และปกติอยู่บ้านทำอะไรก็ทำไปเลย ไม่ต้องสนใจพี่ เดี๋ยวพี่จะคอยเบรกหรือกำกับให้เองถ้าจำเป็น”

ผมยืนนิ่งงงๆทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจกพร้อมกับเสียงกดชัตเตอร์จากทางด้านข้าง ผมจึงค้างท่าเอาไว้นิดหน่อย จากนั้นก็เริ่มต้นล้างหน้าช้าๆ หยิบแปรงสีฟันพร้อมกับยาสีฟันขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่พี่บอลบอกให้ค้างท่านั้นเอาไว้ ผมเริ่มเข้าใจอะไรๆมากขึ้นว่า ผมก็คงต้องทำอย่างที่อยากจะทำไปตามธรรมชาติก็เท่านั้น แต่เพียงแค่พยายามทำช้าๆและค้างท่าเอาไว้บ้าง เพราะพี่บอลจะไม่ค่อยบอกให้ผมทำท่านั้นท่านี้มากนัก เขาแค่อยากได้แบบธรรมชาติๆจริงๆอย่างที่พี่แอมป์เคยพูดเอาไว้

“ยกแขนขึ้นนิดนึงครับ น่านแหละ ก้มหน้าหน่อย เอียงไปทางซ้ายนิดนึง คราวนี้มองกล้องผ่านทางกระจกหน่อย........” พี่บอลคอยพูดประโยคเหล่านี้อยู่ตลอดเวลากว่าสิบห้านาทีที่หน้ากระจกของผม

“ผมคงไม่ต้องแปรงฟันจริงๆใช่มั๊ยพี่” ผมหันไปถามพี่เขา

“ไม่ต้องหรอก พี่ขอภาพแบบเต็มตัวอีกนิดหน่อยก็แล้วกัน” พี่บอลพูดพร้อมกับถอยหลังออกไปและหามุมกดชัตเตอร์อีกสามสี่ครั้ง “เอาล่ะ ต่อไปก็อาบน้ำ......... จะไหวมั๊ยเนี่ย”

“พี่อย่าลืมกดชัตเตอร์ก็แล้วกัน” ผมปลดผ้าขนหนูที่พันรอบเอวอยู่ จากนั้นก็แขวนมันไว้บนราวแขวนผ้า และเมื่อผมเห็นสีหน้าของพี่บอลแล้วผมก็อดยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อยไม่ได้จริงๆ พี่เขาดูเหมือนจะหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งไปเลย และราวๆสามวินาทีถัดมาพี่เขาจึงจะตั้งสติได้และหันกลับมามองผมผ่านเลนส์กล้องอีกครั้ง

“ค้างก่อนซัน ค้างไว้ก่อน พี่ขอตอนถอดผ้าเช็ดตัวออกมาอีกครั้งนึง เอาตอนแขวนผ้าด้วยนะ”

ผมทำตามที่พี่บอลบอกทุกอย่าง จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยืนข้างใต้ฝักบัว พร้อมกับเปิดน้ำอุ่นให้ไหลผ่านตัวไปอย่างช้าๆ และเมื่อผมเห็นว่าพี่เขาเริ่มจะชินกับภาพตรงหน้าแล้ว ผมก็ตัดสินใจหันหลังให้พี่เขา พร้อมกับดึงกางเกงในปราการด่านสุดท้ายของตัวเองออกและโยนมันลงไปกองลงตรงหน้าของพี่เขา

“ผมบอกให้พี่อย่าลืมกดชัตเตอร์ไงครับ” ผมเตือนพี่บอลเมื่อเห็นว่าพี่เขายืนถือกล้องค้างอยู่ในมือเฉยๆ และสายตาก็จับอยู่ที่เจ้าซันน้อยของผม “จะให้ผมทำไงก็บอกก็แล้วกัน แต่พี่แอมป์บอกแล้วนะว่าจะไม่มีรูปน้องชายผมหลุดออกไปน่ะ ถ้าจะเอาเต็มตัวก็แค่หันหลังกับด้านข้างแบบไม่เห็นตรงนั้นนะครับ ถ้าจะถ่ายด้านหน้าก็ห้ามต่ำกว่านั้นเด็ดขาด” ผมย้ำ

“ได้ๆ” พี่บอลพยักหน้าดึงสติของตัวเองกลับมาพร้อมกับกำกับให้ผมหันซ้ายหันขวา เอียงคอ หันหลัง หลายท่ามากๆจนผมเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา จึงขอพี่บอลว่าพอได้แล้วล่ะ ก่อนที่ผมจะกลายเป็นลูกพรุนเปื่อยๆไปซะก่อน พี่บอลยื่นผ้าเช็ดตัวคืนมาให้แก่ผม และก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปผมตอนกำลังเช็ดตัวด้วย “เสร็จแล้วพี่ไปดูแอมป์กับเมฆก่อนนะ ซันรออยู่ในนี้ก่อนก็แล้วกัน”

ผมเช็ดตัวและหัวจนแห้งแล้วก็ยืนรอพี่บอลอยู่ราวๆสองสามนาที ก่อนที่พี่เขาจะเดินกลับเข้ามาในห้อง และบอกให้ผมเอาผ้าขนหนูผืนเล็กพันรอบคอและเดินไปในห้องนอนใหญ่ที่พี่แอมป์กับเมฆกำลังรอผมอยู่ได้เลย ผมทำตามที่พี่เขาบอก และเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องนอนของพี่แอมป์ ผมก็เห็นเมฆที่ใส่กางเกงชุดนอนขายาวตัวเดียวกำลังนอนคว่ำกอดหมอนอยู่บนเตียงอยู่ พร้อมกับพี่แอมป์ที่ลงทุนถึงขนาดปีนขึ้นไปกดชัตเตอร์อยู่บนตู้เสื้อผ้ากันเลยทีเดียว

และเมื่อไอ้เมฆได้ยินเสียงผมเดินเข้าไปในห้อง มันก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอี้ยวตัวหันกลับมายิ้มให้ผม “ได้ยินว่ามึงโชว์ของดีเลยเหรอวะ ไหนตอนแรกบอกไม่อยากทำไง”

“ดีรึเปล่านี่ต้องถามพี่บอลว่ะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมยิ้มแล้วยักไหล่ “แต่มึงนั่นแหละที่น่าจะรู้ดีกว่าใครนะ”

“เมฆนอนไปก่อนนะคะ คราวนี้พี่อยากได้ตอนซันไปปลุกเมฆน่ะ ทนหนาวอีกแป๊บนึงนะซัน” พี่แอมป์พูดตัดบท

“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหาไอ้เมฆที่ฟุบหน้ากลับลงไปบนเตียงเหมือนเดิมเรียบร้อยแล้วอย่างช้าๆ

หลังจากถ่ายรูปตอนที่ไอ้เมฆเพิ่งตื่นเสร็จแล้ว เราก็ตัดไปยังฉากที่ผมยืนส่องกระจกในห้องน้ำขณะที่ไอ้เมฆกำลังอาบน้ำอยู่ โดยครั้งนี้มีพี่บอลเป็นคนคอยถ่ายภาพคู่เราของทั้งสองคนแบบเปลือยทั้งตัวอีกครั้ง เพราะว่าไอ้เมฆเองก็กล้าที่จะถอดกางเกงในออกจนหมดด้วยเหมือนกัน ผมรู้สึกได้เลยว่ามันกำลังรู้สึกสนุกอยู่จริงๆ โดยเฉพาะสนุกกับการได้แกล้งปั่นหัวพี่บอลเล่นนิดๆแบบนี้

“ถ้าถ่ายติดตรงนั้นไปก็ไม่เป็นไรนะครับพี่ แต่ถ่ายออกมาให้มันดูใหญ่กว่าความเป็นจริงหน่อยก็แล้วกัน” ไอ้เมฆแกล้งแซว ทำให้ผมยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เราสองคนถูกทั้งพี่แอมป์และพี่บอลช่วยกันแต่งหน้าให้อีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มถ่ายช็อตต่อไปซึ่งเป็นตอนที่เรากำลังแต่งตัว หลังจากนั้นก็เป็นตอนนั่งกินกาแฟที่โต๊ะอาหาร ซึ่งช่วงหลังๆนี้พี่ทั้งสองคนจะคอยกำกับบอกท่าให้เราทั้งคู่มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ให้ความรู้สึกที่สนุกแปลกๆดีไปอีกอย่าง เพราะมันก็ไม่ได้เคร่งอะไรมากมายนัก ทั้งผมและเมฆต่างก็ยังสามารถพูดคุยหัวเราะกันได้เหมือนกับเวลาปกติ โดยที่เรามักจะตั้งเป้าไปหยอกล้อไปที่พี่แอมป์กับพี่บอลมากเป็นพิเศษ ทำให้พี่ทั้งสองคนก็รู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นตามไปด้วย

“ซันโทรหาน้องๆบอกให้กลับมาได้แล้วล่ะค่ะ รบกวนหน่อยนะ แต่ว่าพี่อยากให้ซันลุกขึ้นไปยืนคุยที่หน้าหน้าต่างบานใหญ่นั่นนะ แล้วก็หันข้าง ทำเป็นมองออกไปทางด้านนอกด้วย”

ผมพยักหน้ารับ และทำตามอย่างที่พี่แอมป์บอกทุกอย่าง จากนั้นไม่นานไคล์ พี และอาร์มก็กลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับถึงเวลาพักที่พวกเราจะได้กินข้าวเที่ยงกันก่อนจะเริ่มถ่ายรอบต่อไป โดยมื้อเที่ยงของพวกเราในวันนี้ก็คือพิซซ่าที่โทรสั่งมากินกันง่ายๆและเป็นกันเอง ซึ่งช่วยทำให้พีเริ่มคุ้นเคยกับทุกคนมากขึ้นด้วย

“ได้อะไรมามั่งล่ะ อาร์ม” พี่แอมป์ถามน้องชายของตัวเอง

“ไม่ได้อะไรหรอก ส่วนมากก็นั่งคุยกัน เดินเล่น แล้วก็ถ่ายรูปนิดหน่อยเอง”

“เดี๋ยวกินเสร็จแล้วพี่บอลรับไคล์ไปถ่ายเดี่ยวๆต่อเลยนะ ส่วนเมฆกับซันขอพี่อีกนิดนึง แล้วจากนั้นเราค่อยถ่ายทั้งสี่คนพร้อมหน้า”

“แล้วพีล่ะครับ ไม่ถ่ายมันเดี่ยวๆบ้างเหรอ” ผมถาม

“โอ๊ย ไม่ล่ะครับ พี่ซัน แค่นี้ก็พอแล้ว” พีรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที

พอตอนบ่ายหลังจากกินข้าวและเก็บล้างกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับเมฆก็ถูกพี่แอมป์ถ่ายทั้งรูปเดี่ยวบ้างคู่บ้างอีกนิดหน่อย โดยที่ไคล์เองก็มีพี่บอลรับหน้าที่เป็นตากล้องส่วนตัวชั่วคราวให้ด้วยเช่นกัน และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราทั้งสี่คนก็ถูกจัดฉากอีกครั้งทันที โดยที่ไคล์กับพีจะเป็นแขกที่มาหาพวกเราและชวนพวกเราไปเล่นบาสกันข้างนอก ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งสามคน ได้แก่ ไคล์ พี และ ไอ้ตัวดีของผม แทบจะตีปีกกันเลยทีเดียว

“แต่มันจะร้อนหน่อยนะ ถ้าไปตอนบ่ายสามแบบนี้น่ะ” พี่แอมป์ท้วงขึ้น

“ไม่เป็นไรครับพี่ พวกผมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว” ไอ้เมฆรีบตอบ และอีกสองคนก็พยักหน้ารับอย่างแข็งขันด้วยเช่นกัน

“ในที่สุดก็ได้ถ่ายรูปแบบที่ถนัดๆแถมยังไม่ต้องเกร็งแล้วสักที” ไคล์พูดอย่างอารมณ์ดี

เราทุกคนเปลี่ยนชุดและเคลื่อนย้ายพลลงไปยังสนามบาสทางด้านล่างของคอนโด และเริ่มต้นเล่นเกมส์แบบสองต่อสองทันที ครั้งนี้ทั้งพี่บอลและพี่แอมป์จะไม่บอกบทอะไรพวกเราอีกแล้ว เรามีหน้าที่แค่เล่นบาสกันแบบธรรมดาๆเท่านั้น ซึ่งถึงบาสเก็ตบอลจะไม่ใช่กีฬาถนัดของผม แต่เมื่อผมอยู่กับคนบ้าบาสตั้งสามคนมาหลายปีขนาดนี้ มันก็ทำให้ผมซึมซับและฝึกฝนตัวเองไปในตัวได้มากเหมือนกัน

เราสี่คนแบ่งทีมโดยที่ผมคู่กับไคล์ ส่วนเมฆคู่กับพี และก็เป็นอย่างทุกครั้งนั่นคือถ้ามีการแข่งขันเกิดขึ้น ไอ้เมฆก็จะไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆเลยสักครั้งเดียว มันจึงเล่นอย่างเต็มที่มาก และมันก็ทำให้พวกเราทุกคนเล่นกันอย่างสนุกสนานมากขึ้นด้วย จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง เราทุกคนก็ถูกเรียกให้หยุดโดยพี่บอล

“พอแล้วๆ หนุ่มๆ พวกพี่กดชัตเตอร์กันจนเมื่อยแล้ว เรากลับขึ้นห้องกันเถอะ จะได้ไปดูรูปกัน” พี่บอลพูดพร้อมกับเก็บของไปด้วย จากนั้นพี่แอมป์กับอาร์มก็เดินนำออกไปก่อน

“เจ็บแผลรึเปล่าเมฆ”ผมถามมันขณะที่เรากำลังเช็ดเหงื่อกันอยู่

“ไม่แล้ว ตึงๆนิดหน่อยนะ แต่มันก็หายดีแล้วล่ะน่า เออใช่ จะว่าไปมันมีรอยแผลเหลืออยู่นิดนึงด้วยนะ พี่แอมป์เค้าจะเก็บมันไว้รึเปล่าวะ” เมฆชี้ไปที่รอยแผลยาวราวสามนิ้วที่สีข้างของตัวเอง

“ไม่รู้ว่ะ แต่งรูปเอาก็หายมั๊ง ยกเว้นแต่มึงอยากจะให้พี่เขาเก็บไว้น่ะนะ”

“แล้วแต่พี่เค้าก็แล้วกัน กูไงก็ได้อยู่แล้ว”

“เออ ว่าแต่ไคล์......” ผมหันไปเรียกไคล์ที่กำลังยืนคุยกับพีอยู่ใกล้ๆ “อาร์มมันรู้เรื่องเรากับพีแล้วเหรอ”

“รู้ตั้งแต่ตอนงานวันเกิดพี่เมฆนั่นแหละครับ ผมบอกเขาเอง เพราะปิดบังไปยังไงเดี๋ยวก็คงรู้อยู่ดี”

“แล้วแน่ใจมั๊ยว่ามันจะเก็บเป็นความลับเอาไว้ได้น่ะ”

“ได้ครับ ผมค่อนข้างเชื่อนะ” ไคล์พยักหน้า

“แล้วพีล่ะ คิดว่าไง สำหรับวันนี้” เมฆหันไปถามพีบ้าง

“ก็ดีครับพี่เมฆ แปลกดี แต่ก็สนุกไปอีกแบบ”

“ไว้รอให้ไอ้ไคล์มันเกิดดังขึ้นมาจริงๆก่อนเหอะ สงสัยได้สนุกกว่านี้แน่นอน” ผมหัวเราะ

“ไม่หรอกพี่ซัน ผมเชื่อใจไคล์นะ” พีหันไปมองหน้าไคล์ จากนั้นก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง “แต่ถ้าเกิดมันเจ้าชู้ขึ้นมาล่ะก็ ผมตัดทิ้งเอาไปโยนให้เป็ดกินแน่ๆ ให้มันกลายเป็นชันทีไม่ต้องเหลือเอาไปใช้กับใครอีกเลย คอยดู”

และก็เป็นอีกครั้งที่พวกเราสามคนหัวเราะชอบใจ ในขณะที่ไคล์ไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งที่พีพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร


หัวข้อ: Re: |[ 14 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 13-12-2007 20:54:20
กลายเป็นนายแบบกันไปหมดแล้ว สี่คนเลย :m26:

ตอนนี้มีความสุขกันจัง :m18: :m18:

หัวข้อ: Re: |[ 14 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 13-12-2007 21:22:07
บอกตามตรงไม่ค่อยไว้ใจพี่แอมป์คนนี้เลยแฮะ ตรูคิดมากไปรึเปล่าเนี่ย  :a6:  :a6: :a6:
หัวข้อ: Re: |[ 14 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 14-12-2007 13:08:04
หุหุหุ... ตอนนี้น่าร๊ากกกก  :m3:


แต่ลึกๆก็เริ่มกังวลใจนะครับ
ก็คุณต้นนิ่มเล่นบอกว่า "....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)" อ่ะ :m17:
หัวข้อ: Re: |[ 14 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 14-12-2007 17:49:57
  :m24: ตอนอาบน้ำ :m25:
หัวข้อ: Re: |[ 14 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 15-12-2007 12:20:29
 :m3:
อยากเห็นรูปถ่าย 4 นายแบบมั่งจังเลยยยยยยย 
โหหหห พี เห็นเรียบร้อยงี้แอบโหดแฮ๊ะ ไคลน์จะรอดมะเนี่ยยยยย
บรรยากาศน่าจะสนุกสนานอบอุ่น แต่ทำไมกลับไม่รู้สึกงั้นเลยนะ
ก็ดันเปิดเรื่องงงงโหดร้ายขนาดนั้น..... o1
 :o11:
หัวข้อ: Re: |[ 14 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 15-12-2007 16:37:18
 :sad2: :sad2: :sad2:

พี่ชายม่ะโทรหาบ้างเรยนะ

 :sad2: :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: |[ 14 ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... (ทุกอย่างกำลังจะพลิกผัน)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 16-12-2007 21:47:03
วินาทีที่ 15


เมื่อถึงช่วงสุดท้ายของวัน พวกเราทุกคนต่างก็สนุกแล้วก็เอ็นจอยกับสิ่งที่ทำกันวันนี้มาก ถึงแม้พี่แอมป์กับพี่บอลจะเหนื่อยกว่าคนอื่นมากหน่อย และเขาสองคนยังมีงานแต่งภาพที่ต้องทำอีก แต่พี่ทั้งสองคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวันนี้เป็นวันที่พี่เขาทำงานอย่างมีความสุขมาก และรูปของพวกเราสี่คนนั้นจะเสร็จพร้อมให้พวกเราดูอย่างเร็วที่สุด ซึ่งแน่นอนว่ามันจะยังไม่ถูกเผยแพร่ไปที่ไหนก่อนแน่นอน รวมถึงรูปของไคล์ด้วย ถึงแม้ว่าพี่บอลบอกว่าพี่เขาจะเป็นคนไปเสนอโมเดลลิ่งให้เองด้วยก็ตาม

ในขณะที่คนอื่นกำลังนั่งคุยและเก็บของกันอยู่ด้านนอก ผมที่แอบย่องไปทางด้านหลังของพี่แอมป์ที่นั่งอยู่หน้าคอมก็มีโอกาสได้เห็นรูปฉากเปลือยแบบเต็มตัวของผมและของเมฆก่อนใครๆ และผมก็กำชับกับพี่แอมป์เอาไว้แล้วว่าอย่าเพิ่งลบรูปพวกนั้นทิ้งไป เพราะผมจะขอเก็บเอาไว้เอง

“ซันแน่ใจเหรอคะ” พี่แอมป์ถามด้วยน้ำเสียงอายๆและใบหน้าที่แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเราสองคนกำลังดูรูปอยู่พร้อมๆกัน

“แน่ดิ่ครับ แต่ผมขอพี่แค่อย่างเดียวก็คือ ผมไม่อยากให้พี่ก๊อปไฟล์รูปพวกนี้ไว้น่ะครับ ผมอยากจะขอเก็บไว้แค่คนเดียวพอ เอาไว้ดูเล่นน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ

เมื่อถึงวันที่พีต้องบินกลับไปอังกฤษ ก็มีเพียงไคล์กับเมฆเท่านั้นที่ไปส่งมันได้ ส่วนผมต้องออกไปกินข้าวเย็นกับลุงกิตและลูกค้า ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องออกไปเร็วขนาดนี้เพราะว่าผมเพิ่งจะเริ่มทำงานได้เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง แต่เมื่อผมพบกับลูกค้าของเรารายนี้ ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมผมจึงจำเป็นต้องมาด้วย เพราะว่าลูกค้ารายนี้นอกจากจะเป็นเพื่อนของลุงกิตแล้ว เขายังเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของพ่อของผมคนหนึ่งอีกด้วย

และถึงมื้อเย็นมื้อนั้นจะเป็นไปได้ด้วยดีมาก แต่ทว่าสภาพจิตใจของผมนั้นกลับว้าวุ่นอย่างที่สุด และเรื่องนี้มันก็สืบเนื่องมาจากกล่องของขวัญที่ผมเพิ่งได้รับเมื่อตอนกลางวันในที่ทำงานนั่นเอง

ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่วันก่อนผมยังมีความสุขดีมากอยู่เลย และสองวันแรกของการทำงานของผมก็เป็นไปได้ดีมาก ผมเข้ามาเริ่มทำงานในตำแหน่งที่ค่อนข้างจะสูง และได้เครดิตในฐานะของลูกชายของหัวหน้าระดับสูงคนเก่าคนหนึ่งของบริษัทด้วย ซ้ำยังเป็นคนรู้จักและเป็นที่เอ็นดูของลุงกิตอีกต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นพนักงานทุกคนก็ยังต้อนรับผมดีมาก ไม่มีใครแสดงท่าทีต่อต้านหรือไม่พอใจกับผมเลย และถ้าเชื่อตามที่ผมได้ยินมา ผมก็ค่อนข้างจะเนื้อหอมอยู่พอตัวเหมือนกันด้วยซ้ำ

ทุกอย่างดำเนินผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่งมาถึงวันนี้ในตอนบ่ายหลังจากพักเที่ยง พี่กบที่เป็นเลขาของลุงกิตก็เดินเอากล่องของขวัญกล่องนั้นเข้ามาให้แก่ผมที่โต๊ะ

“นี่จ๊ะ สุดหล่อ มีคนฝากของขวัญมาให้น่ะ” พี่กบวางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

“อะไรอ่ะครับพี่”

“อยากรู้ก็เปิดดูสิคะ มาถามพี่พี่จะรู้ได้ไงล่ะ แหม” พี่กบยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมเจอพี่กบ ผมก็แทบยังไม่เคยเห็นใบหน้าของพี่เขาแบบปราศจากรอยยิ้มเลยสักครั้ง ผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนอารมณ์ดีและมีอัธยาศัยที่สุดยอดเลยจริงๆ

“แล้วใครฝากมาล่ะครับพี่” ผมหยิบกล่องขึ้นมาถือดูใกล้ๆ ไม่รู้เลยจริงๆว่าใครจะเป็นคนฝากมาให้แก่ผม

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ เมื่อตอนกลางวันพี่ไปกินข้าวกับพวกพี่อ้นพี่แตงพวกนั้นน่ะ แล้วลุงยามหน้าออฟฟิศค้าบอกว่ามีคนฝากกล่องนี้มาให้คุณฟ้าคราม ชัยศักดิ์มงคล แต่ถึงยังไงคนชื่อฟ้าครามทั้งตึกก็มีอยู่แค่คนเดียวแหงอยู่แล้วใช่มั๊ยล่ะ พี่ก็รับมา แล้วก็เอามาให้ซันนี่แหละค่ะ”

“แปลว่ากล่องนี้มาจากคนนอกงั้นเหรอครับ”

“ก็คงใช่นะคะ แหม ไปเนื้อหอมใส่ใครเข้าล่ะเนี่ย ขนาดคนในออฟฟิศนี้ก็แย่แล้วนะ มาทำงานได้สามวันคนยังรู้จักกันไปแทบจะทั้งตึก และนี่ยังอุตส่าห์แอบไปโปรยเสน่ห์ใส่สาวออฟฟิศอื่นอีกงั้นเหรอจ๊ะ” พี่กบแซว

“บ้าน่าพี่ ไม่มีหรอก แต่ยังไงก็ขอบคุณพี่มากนะครับ” ผมหัวเราะเบาๆ และเริ่มจะรู้แล้วว่าคนที่ส่งกล่องนี้มาให้แก่ผมเป็นใคร

“ไม่เป็นไรจ้า ยังไงก็อย่ามัวแลแต่สาวนอกบริษัทนะ ดูคนข้างในซะบ้าง จะบ้าตายกันไปหลายคนแล้วนั่นน่ะ” พี่กบหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินจากไป

ผมหัวเราะแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนที่จะหมุนกล่องของขวัญตรงหน้าดูรอบๆ ตอนนี้คนที่รู้ที่ทำงานของผมก็มีเพียงแค่ห้าหกคนเท่านั้นเอง นั่นก็คือ ไอ้เมฆ พ่อเล็ก ไคล์ และเพื่อนของเราแค่ไม่กี่คน ตัวไคล์นั้นถึงมันจะรู้ว่าผมทำงานที่ไหน มันก็ไม่มีปัญญาและไม่คิดจะส่งอะไรแบบนี้มาให้ผมแน่นอน รวมทั้งเพื่อนของเราคนอื่นๆด้วย ดังนั้นความน่าจะเป็นจึงมีเหลือแค่เพียงคนเดียว นั่นก็คือไอ้ตัวดีของผมนั่นเอง

ผมนึกขำอยู่ในใจว่าอะไรเข้าสิงมันให้มันทำแบบนี้ให้ผม ตอนแรกผมก็คิดจะกดโทรศัพท์หามันอยู่เหมือนกัน แต่ว่าผมก็อยากจะลองดูของข้างในกล่องซะก่อนว่ามันคืออะไร และเมื่อผมเปิดฝากล่องออกมา ของที่อยู่ข้างในนั้นก็ทำให้ผมถึงกับลมหายใจขาดช่วงไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว

“ซัน เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูหน้าซีดๆล่ะ หรือว่าไม่สบายตรงไหน” ลุงกิตถามขึ้นเมื่อเห็นว่าผมพูดน้อยกว่าปกติ และมันก็ทำให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์ในทันที

“แต่ปกติซันก็เป็นคนพูดน้อยแบบนี้อยู่แล้วนี่นา” ลุงเอนกพูดขึ้นบ้าง “เครียดอะไรอยู่รึเปล่า เอ๊ะ หรือว่าจริงๆแล้วมัวแต่คิดถึงแฟนอยู่รึไง”

“เปล่าหรอกครับ ขอโทษนะครับ คือผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆน่ะครับ และก็คงเครียดหน่อยๆด้วย” ผมพยายามฝืนยิ้มออกไป ทั้งๆที่ภาพของสิ่งที่อยู่ในกล่องของขวัญกล่องนั้นยังคงติดตาของผมอยู่ “ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ แต่ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ”

ผมขอตัวลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารอย่างสุภาพ จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในห้องน้ำชายพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาไอ้เมฆทันที แต่ก็ไร้ผล ผมพยายามจะโทรหามันทุกครั้งที่ผมมีเวลามาตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายแล้ว แต่โทรยังไงผมก็โทรไม่ติด โทรศัพท์ของมันถูกปิดเครื่อง และตอนนี้แม้แต่โทรศัพท์ของไคล์ก็ยังปิดเครื่องอีกด้วยเช่นกัน

“ปิดเครื่องทำไมวะ ไอ้เมฆ!” ผมกัดฟันคำรามออกมาเบาๆ

ย้อนกลับไปเมื่อตอนบ่าย หลังจากที่ผมเห็นสิ่งที่วางอยู่ในกล่องของขวัญใบนั้นแล้วผมก็รีบคว้าโทรศัพท์มากดหาไอ้เมฆทันที

“เมฆ มึงทำอะไรอยู่” ผมนั่งบนเก้าอี้และมองกล่องของขวัญที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยหางตา

“ทำงานดิ่ว่ะครับที่รัก มีอะไรรึเปล่า เสียงมึงฟังดูแปลกๆนะ”

“ก็นิดหน่อยว่ะ แต่กูก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน........” ผมอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้จะเริ่มเล่าเรื่องของที่ผมเพิ่งได้รับมานี่ยังไง

“นี่มีปัญหาอะไรรึเปล่าวะ......... เฮ้ย เวรและไง ซัน แค่นี้ก่อนนะ กูยุ่งๆอยู่ว่ะ เดี๋ยวเลิกงานแล้วกูโทรไปหานะ” เมื่อพูดจบ ไอ้เมฆก็วางโทรศัพท์ไปทันที และพอมันเลิกงาน มันก็โทรกลับมาหาผมจริงๆเพื่อบอกผมว่ามันกำลังจะไปเจอไคล์เพื่อไปส่งพีที่สนามบิน ซึ่งในตอนนั้นผมเองก็กำลังติดงานอยู่เหมือนกันเลยทำให้คุยกับมันไม่ได้ แต่ว่านับจากนั้นเมื่อผมโทรกลับไปหามัน ผมก็โทรไม่ติดอีกเลย จนกระทั่งถึง ณ เวลานี้

นี่มันมีอะไรสักอย่างผิดปกติแล้ว มีอะไรบางอย่างกำลังผิดปกติจริงๆ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับน้อง” ชายแปลกหน้าคนหนึ่งถามผมขึ้นขณะที่เขากำลังเดินออกจากห้องน้ำ ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะเขาเห็นสีหน้าของผมนั่นเอง

“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้าตอบ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาไอ้เมฆอีกครั้ง ชายคนนั้นมองหน้าผมอีกครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกไป

และอีกครั้งที่ความพยายามของผมไร้ผล ตอนนี้ไอ้เมฆกับไคล์ก็คงอยู่ที่สนามบินและกำลังจะส่งพีขึ้นเครื่องบินแล้ว แต่ทำไมล่ะ ทำไมทั้งสองคนถึงต้องปิดมือถือด้วย ผมคิดจะโทรเข้าบ้านเพื่อถามพ่อเล็ก แต่ถ้าหากทำอย่างนั้น พ่อเล็กก็คงต้องกังวลใจไปด้วยแน่ๆ

“เชี่ยเอ๊ยย! มึงไปไหนของมึงวะ ไอ้เมฆ!” ผมสบถออกมาเบาๆอีกครั้ง พร้อมกับสะบัดหัวลบภาพของสิ่งที่ตอนนี้ถูกวางอยู่บนเบาะหลังรถทิ้งไป

ผมถอนหายใจเบาๆ พยายามตั้งสติให้อยู่กับเนื้อกับตัวและพยายามไม่คิดมาก มันก็คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ใช่ แค่เรื่องบังเอิญ เพราะถ้าไม่มีไอ้กล่องของขวัญบ้านั่นส่งมาที่โต๊ะของผม กะแค่เรื่องไอ้เมฆปิดมือถือ ผมจะคิดมากขนาดนี้มั๊ย คำตอบก็คงเป็นคำว่า ไม่ ถึงมันจะไม่เคยปิดมือถือนานแบบนี้ แต่ผมก็คงไม่วิตกจริตขนาดนี้หรอก เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมดนี้มันก็คงเป็นแค่เรื่องบังเอิญและการเล่นตลกอย่างร้ายกาจของใครบางคนเท่านั้นเอง ใช่แล้ว มันก็แค่การเล่นตลกร้ายของใครคนหนึ่ง........

และอย่าให้ผมรู้นะว่าใครมันกล้าเล่นกับผมแบบนี้

“ซัน เป็นอะไรรึเปล่า หายไปนานเลย” เสียงของลุงกิตดังขึ้นที่หน้าห้องน้ำ ทำเอาผมถึงกับสะดุ้งออกมาเล็กน้อย

“อ๋อ เปล่าครับ ขอโทษครับ ผมกำลังจะออกไปพอดีเลย”

“ไหวรึเปล่า หน้าซีดจริงๆนะเราน่ะ”

“ไหวครับไหว ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นห่วง” ผมเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างมือ

“ไอ้เป็นห่วงน่ะ แน่นอนอยู่แล้วล่ะ........ ในฐานะของหลานชายของลุงคนนึงนะ” ลุงกิตเดินเข้ามาวางมือลงบ่าข้างซ้ายของผม “แต่ถ้าในฐานะเจ้านายกับลูกน้อง ลุงก็ต้องเตือนซันนิดหน่อยว่า ตอนนี้เราออกมาทำธุระกับลูกค้า ถึงการกินข้าววันนี้มันจะเป็นกันเองมากและลูกค้าคนนี้ก็เป็นคนที่เราต่างก็รู้จักดี แต่ถึงยังไงมันก็คือธุรกิจ และมันก็นับว่านี่เป็นหน้าที่ของซันที่ซันต้องทำ เข้าใจมั๊ย ถือซะว่านี่เป็นการทดสอบเล็กๆน้อยๆก่อนต้องลงสนามของจริงก็แล้วกัน เพราะต่อจากนี้ไปซันจะต้องออกไปไหนมาไหนกับลุงอีกเยอะเลยด้วย เข้าใจนะ”

ผมหันกลับมาพยักหน้าให้กับลุงกิตแทนคำตอบ

“เอาล่ะ ตกลงไหวรึเปล่า แต่ถึงไม่ไหวยังไงก็ต้องทนเอาไว้ก่อนอยู่ดี ซันเข้าใจใช่มั๊ย”

“ผมไหวครับ แล้วก็ต้องขอโทษลุงกิตด้วยนะครับที่ผมทำตัวงี่เง่าแบบนี้”

“ไม่หรอก ไม่ใช่เรื่องน่าขอโทษเลย” ลุงกิตส่ายหน้า “แต่ตกลงไหวแน่นะ” ผมถูกถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของลุงกิตก็บ่งบอกว่าเขาเป็นห่วงผมมากจริงๆ

“ครับ” ผมรับคำอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินตามลุงกิตออกไปที่โต๊ะ

หลังจากนั้นอีกกว่าสองชั่วโมง ผมก็เริ่มทำใจลืมสิ่งที่รบกวนใจผมมาตลอดครึ่งวันได้ และตั้งสมาธิไปที่ ‘งาน’ ของผมตรงหน้านี้ จนหลังจากที่อาหารมื้อนี้จบลงและผมเดินไปส่งทั้งลุงกิตและลุงเอนกที่รถเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินกลับมาที่รถของไอ้เมฆซึ่งตอนนี้กลายเป็นของรถผมชั่วคราว โดยมันอาศัยไปทำงานพร้อมกับพ่อเล็ก ผมนั่งลงข้างหลังพวงมาลัย หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของมันอีกครั้ง แต่ผลก็ยังคงออกมาเป็นเหมือนเดิม ผมเหวี่ยงโทรศัพท์ลงไปที่เบาะฝั่งคนนั่งด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็เอี้ยวตัวหันไปมองกล่องของขวัญที่ถูกวางอยู่บนเบาะหลังอีกครั้ง

ผมถอนหายใจเบาๆพร้อมกับยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาถือไว้บนหน้าตัก ลักษณะของกล่องภายนอกนั้นก็ดูมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับกล่องของขวัญธรรมดาๆทั่วไป กล่องกระดาษแข็งสีน้ำตาลลายสวย ไม่จำเป็นต้องมีกระดาษห่อของขวัญห่อให้แกะกะ ฝากล่องมีลายริบบิ้นสีฟ้าพาดทั้งสี่ด้าน ส่วนฝากล่องทางด้านบนก็มีโบว์แปะประดับเอาไว้และสามารถเปิดออกได้โดยง่าย เนื่องจากฝาไม่ได้ถูกห่อหรือปิดผนึกเอาไว้

ผมค่อยๆเปิดฝากล่องขึ้นอย่างช้าๆราวกับกลัวของที่อยู่ข้างในมันจะกระโจนออกมากัดคอผม แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นมันก็แทบไม่ต่างกัน เพราะสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นมันได้กัดกินหัวใจของผมไปตั้งแต่นาทีแรกที่ผมเห็นมันแล้ว........

มันคือตุ๊กตาหมีใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินที่ผมคุ้นตา เพียงแต่ว่าตุ๊กตาตัวนี้ส่วนหัวและส่วนตัวของมันนั้นไม่ได้อยู่ติดกันอย่างที่ควรจะเป็นอีกแล้ว ครั้งแรกที่ผมหยิบมันขึ้นมาออกจากกล่อง ส่วนหัวของมันที่ติดอยู่กับส่วนลำตัวอย่างหมิ่นเหม่ก็ร่วงหลุดออกมากลิ้งหล่นลงไปบนพื้นแทบจะในทันที แถมตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของมันก็ยังเต็มไปด้วยรอยถูกกรีด รอยฉีกขาด และเปื้อนไปด้วยรอยสีแดงเข้มรอยใหญ่บ้างเล็กบ้างอีกหลายจุด และไม่ต้องสงสัยเลยว่ารอยเปื้อนเหล่านั้นมันก็คือ.......... เลือด


หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 16-12-2007 21:54:50
 :sad2:

เฮ้ออออ..........

 :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 16-12-2007 21:56:59



เป็นไรมากป่ะน้อง . . .

ไม่ชอบเลือด . . . กลัวสีแดง

ปล.  กูพี่มึงนะ  เซเว่นอ่ะรู้จักป่ะ  เพื่อนที่ไม่เคยหลับ

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 16-12-2007 22:00:50
แต่ตอนนี้อยากหลับไม่อยากตื่น.......

"ความฝันกับความจริงมันจะต่างกันตรงไหน ถ้าตอนหลับเราไม่รู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่........ หรือเราอยากให้ตอนตื่นมันเป็นเพียงความฝัน"

ประโยคเดิม เอามาอแด๊ปนิดหน่อย

และก้อไปนอนซะ ไอ้ต้น............

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 16-12-2007 22:05:35


ปัญหา . . . มีไว้แก้

แก้ไม่ได้ . . . เอามีดไป๊  ตัด

. . . ฉับ . .  .

เอาน่า  คนเราเกิดมาก็เท่านี้  ลองมองอีกด้านนึง  อาจสวยกว่าที่เป็นอยู่






หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 16-12-2007 22:09:26
ต้น พี่อ่านจบตอนนี้แล้ว ลำไส้มันเริ่มบิดเป็นเกลียวแล้วนะ รู้สึกปวดท้องจัง
รู้สึกว่ามันจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นหรือเปล่านี่ :m29:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-12-2007 22:20:55
เริ่มออกแนวโรคจิตซะงั้น  :try2:

เป็นกำลังใจให้น้องต้นจ้า  :a1:  :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 16-12-2007 22:22:35
 :m15: :m15: :m15:

เย้ยยย พี่ชาย

ทำอะไรเนี่ยยยยยยย

 :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 17-12-2007 01:28:13
เฮ้ย...'ไรอ่ะครับ  :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 17-12-2007 12:24:11
 :serius2:
อารายเนี่ยยยย ทำไมมมมชอบสร้างปัญหาให้ซันกะเมฆจังงงงง  :m16:
ครายเล่นอารายอีกอ่ะ.....หงุดหงิด ๆๆๆๆๆ
 :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 17-12-2007 23:24:06
เข้ามานั่งรอพี่ชาย . . .

ลป. เป็นห่วงน้าค้าบพี่ชายยยยยยย มีรายก้อโทรหาน้องด้ายน้า
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-12-2007 11:39:55
วินาทีที่ 16


ผมขับรถกลับบ้านด้วยจิตใจอันว้าวุ่น ทั้งสับสนและกังวลกับทุกๆเรื่องที่ผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าเบอร์ของเมฆอีกครั้ง แต่ก็ไร้ผลเช่นเคย ผมสบถออกมาเบาๆอีกหน ก่อนที่จะกดเบอร์อีกเบอร์หนึ่งขึ้น และเป็นเบอร์ที่ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากจะโทรไปเลยจริงๆ

“ไอ้แบ๊งค์ นี่มึงอยู่ไหนทำอะไรอยู่” ผมพูดออกไปอย่างวดเร็วทันทีที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์

“หา เอ่อ กูอยู่บ้าน ไม่ได้ทำไร มึงมีอะไรวะ” เสียงของมันสั่นและฟังดูไม่มั่นคงเล็กน้อย นั่นก็คงเป็นเพราะมันตกใจกับน้ำเสียงของผมนั่นเอง

“กูอยากจะขอเบอร์พี่จ๊อบจากมึงหน่อยว่ะ มึงมีเบอร์มันใช่มั๊ย กูรู้ว่ามึงต้องมี”

“เฮ้ย มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะ ซัน มึงใจเย็นๆก่อนดิ่วะ”

“กูไม่ได้เป็นเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละ กูก็แค่โทรมาขอเบอร์พี่จ๊อบจากมึงเท่านั้น อ้อ เบอร์นัทด้วยก็ดี แต่ถ้ามึงไม่ให้ กูก็จะไปขอจากคนอื่นเอง ตกลงมึงจะเอาเบอร์พวกมันมาให้กูได้รึยัง”

“เออๆ ก็ได้ๆ มึงรอกูแป๊บนึงนะ” ไอ้แบ๊งค์ตอบรับ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงขยับโทรศัพท์และกดปุ่มจากอีกฝั่ง แต่ตอนนั้นเองโทรศัพท์ของผมก็มีสายซ้อนเข้ามา และเบอร์ที่โชว์อยู่นั้นก็คือเบอร์ของไอ้เมฆนั่นเอง ผมจึงรีบกดปุ่มสลับสายทันที

“ฮัลโหล เมฆ มึงอยู่ไหนเนี่ย และทำไมถึงปิดเครื่อง กูโทรหามึงทั้งเย็นเลยนะมึงรู้รึเปล่า เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าวะเนี่ย”

“ใจเย็นๆซัน กูขอโทษ พอดีแบตกูมันหมดน่ะ และของไคล์ก็เหมือนกัน แถมมันยุ่งๆด้วยกูก็เลยไม่ได้โทรบอกมึง ไม่คิดว่ามึงจะเป็นห่วงขนาดนี้ กูขอโทษจริงๆ”

“เชี่ยเอ๊ยยย ตกลงนี่คือมึงถึงบ้านแล้วใช่มั๊ย”

“ใช่ พอมาถึงปุ๊บกูเสียบแบตแล้วก็โทรหามึงปั๊บเลยเนี่ย มึงกำลังกลับบ้านรึยัง”

“เออ กำลังกลับแล้ว โธ่เว้ย ไอ้เมฆเอ๊ยยย มึงอย่าทำให้กูเป็นห่วงนักได้เปล่าวะ แม่งงง........” ผมถอนหายใจเอามาแรงๆ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าไอ้แบ๊งค์ยังคงถือสายรออยู่เลย “เมฆ มึงถือสายรอกูแป๊บนึงนะ อย่าเพิ่งวางล่ะ”

ผมกดสลับสายกลับไปหาไอ้แบ๊งค์อีกครั้ง “เฮ้ย ไม่ต้องแล้วว่ะ แบ๊งค์ ขอโทษทีที่กวน”

“อ้าว ทำไมวะ” ไอ้แบ๊งค์ตอบกลับมาแบบงงๆ

“ไม่มีไร เออ กูติดสายอยู่ กำลังยุ่งๆว่ะ ขับรถอยู่ด้วย แค่นี้ก่อนนะ” เมื่อพูดจบ ผมก็กดปุ่มสลับสายกลับมาหาไอ้เมฆอีกครั้งทันที “เออ กูกลับมาแล้ว ตกลงนี่มึงอยู่บ้านและแบตหมดใช่มั๊ย แน่ใจนะว่ามันแค่นั้นไม่ได้มีอย่างอื่น”

“เออ แน่ใจดิ่ มึงเป็นอะไรรึเปล่าวะซัน ทำไมมึงถามอย่างนั้นล่ะ”

“ก็..... เปล่า ไม่มีอะไรหรอก กูเป็นห่วงมึงเฉยๆ ว่าแต่นี่ไคล์กับพ่อเล็กล่ะ ทำอะไรกันอยู่” ผมถอนหายใจยาวๆแล้วก็เริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้นิดหน่อย

“พ่อกูหลับไปแล้ว ไคล์ก็อยู่ในห้องของมัน เดี๋ยวกูลงไปนั่งรอมึงข้างล่างเอง อีกนานมั๊ยล่ะกว่ามึงจะมาถึงน่ะ”

“ไม่นานหรอก อีกราวๆไม่เกินยี่สิบนาที มึงรอกูก่อนนะเมฆ อย่าเพิ่งนอนล่ะ”

“คร้าบ รู้แล้วครับที่รัก ขับรถดีๆก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวเจอกัน”

เมื่อผมได้ยินเสียงของมันแล้วผมถึงได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงมืดแปดด้านอยู่ดีว่าจะเริ่มพูดเรื่องนี้กับมันยังไงดี หรือแม้แต่ว่าผมควรจะเล่าให้มันฟังดีรึเปล่า เพราะถ้าไอ้เมฆรู้เรื่องนี้เข้า มันก็ต้องกังวลใจและไม่สบายใจมากด้วยแน่ๆ

เมื่อผมกลับมาถึงบ้านและจอดรถดับเครื่องยนต์เรียบร้อยแล้ว ผมก็มองเข้าไปในตัวบ้านเห็นว่าไฟในห้องนั่งเล่นยังคงเปิดอยู่ และที่นั่น ไอ้ตัวดีของผมก็คงกำลังนั่งรอต้อนรับผมเดินเข้าไปนั่นเอง แต่ว่าผมยังไม่พร้อมเลย ผมไม่พร้อมเลยจริงๆว่าผมจะเริ่มต้นเรื่องนี้ขึ้นมายังไง ถึงเราสองคนจะเคยผ่านอะไรมาด้วยกันก็มาก แต่เราก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย ไม่มีเลยจริงๆ

“เหนื่อยมั๊ย และนี่อิ่มมาแล้วใช่มั๊ยครับ ยังอยากกินอะไรอยู่อีกรึเปล่า” ไอ้เมฆที่นั่งดูทีวีอยู่หันมาส่งยิ้มให้แก่ผม และให้ตายสิ ผมไม่เคยเบื่อรอยยิ้มของมันเลยจริงๆ มันเป็นอย่างที่ไคล์และพีพูดไว้ทุกอย่างเลย เวลาที่ไอ้ตัวดีของผมยิ้มนั้น มันไม่ใช่แค่เพียงรอยยิ้ม แต่ว่ายังเป็นทั้งสายตาและความรู้สึกที่มันส่งผ่านออกมาให้แก่ผม หรือให้แก่คนรอบข้างทุกๆคนอีกด้วย

“เหนื่อยด้วย หิวด้วย แต่ไม่อยากกินอะไรแล้วว่ะ แค่เห็นหน้ามึงก็อิ่มอกอิ่มใจแล้ว” ผมยิ้มกว้าง

“อะไรของมึง ผีเข้ารึไง” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆพลางขยับตัวให้ผมนั่งลงข้างๆมันด้วย “ว่าแต่ทำไมหิววะ ไปกินข้าวกับเจ้านายมาแล้วนี่นา หรือว่าเครียดเหรอ เห็นเมื่อกลางวันยังเสียงเครียดๆอยู่เลย”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วภาพของตุ๊กตาตัวนั้นมันก็วนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งทันที

“เมฆ ซันอยากกินสปาเก็ตตี้น่ะ ทำให้กินหน่อยดิ่ แล้วเดี๋ยวซันไปอาบน้ำก่อน พอเสร็จแล้วจะได้ลงมากินพอดี ได้มะ”

ไอ้เมฆทำหน้างงๆนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มรับแล้วลุกออกไป ส่วนผมก็เดินขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย อย่างน้อยๆผมก็หวังว่าการได้ยืดเวลาออกไปบ้างพร้อมกับสายน้ำอุ่นๆ มันก็น่าจะช่วยให้สมองของผมปลอดโปร่งขึ้นได้บ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วเวลาสิบห้าหาทีผ่านไป ผมก็ยังคงนึกอะไรไม่ออกอยู่ดี นอกเสียจากว่า หนึ่ง ผมจะต้องบอกไอ้เมฆออกไปตรงๆ สอง ไม่บอกอะไรมันเลยเพื่อไม่ให้มันต้องไม่สบายใจ กับสาม เล่าให้มันฟังแค่บางส่วน มันจะได้รู้เรื่องบ้างเฉพาะเนื้อๆแต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป

ผมตัดสินใจจะเลือกทางเลือกสุดท้าย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มันฟังโดยไม่เล่าออกไปหมดทุกอย่างได้ยังไง

“ไหน ตกลงมีอะไร เล่ามาให้กูฟังซิ” ไอ้เมฆพูดขึ้นขณะที่ผมกำลังลงมือจัดการกับสปาเก็ตตี้ฝีมือของมันตรงหน้าอยู่

“กูก็ไม่รู้ว่ะ.......... คือจริงๆมันก็ไม่ได้มีอะไรหรอกนะ แต่กูก็แค่อยากรู้ว่าตอนนี้ตุ๊กตาหมีที่นัทให้มึงมาน่ะ ยังอยู่รึเปล่าวะ”

“อือ ยังอยู่ดิ่ อยู่บนห้องนั่นแหละ ทำไมวะ”

“แล้วตัวที่มึงให้นัทไปล่ะ มึงบอกกูว่าเค้าทำหายไปแล้วใช่มั๊ย ตกลงมันหายไปได้ยังไง”

“เห็นเค้าเคยบอกว่าตอนนั้นมีน้องๆญาติๆมาเที่ยวที่บ้านน่ะ แล้วเด็กมันก็คงหยิบติดมือกลับไปด้วยรึไงนี่แหละ”

“นานรึยัง”

“เพิ่งช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมานี่แหละมั๊ง ช่วงที่ญาติๆเค้ามาเที่ยวบ้านน่ะ”

“ไม่ๆ กูหมายถึงว่าเค้าบอกมึงมานานแล้วรึยัง”

“อ๋อ ก็ที่ทะเลน่ะแหละ วันสุดท้ายตอนก่อนเค้ากลับน่ะ เฮ้ย ทำไมวะเนี่ยซัน ทำไมอยู่ดีๆมึงถึงได้มาอยากรู้เรื่องตุ๊กตาหมีพวกนี้วะ” ไอ้เมฆนิ่วหน้า ท่าทางสงสัยผมเต็มที่

“ก็ได้ กูเล่าให้มึงฟังก็ได้.........” ผมตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังอย่างใจเย็นในขณะที่ปากกับมือก็กำลังกินไปด้วย โดยหวังว่าถ้าผมไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์อะไรมากมายนักมันก็อาจจะทำให้ไอ้เมฆไม่ต้องรู้สึกเป็นกังวลมากนักไปด้วยเหมือนกัน จนเมื่อผมเล่าจบ ไอ้เมฆก็มีสีหน้าสงสัยและเป็นกังวลฉายแววขึ้นมาทันที “เพราะงั้นไง กูถึงได้กังวลว่าตอนนั้นมึงจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า แต่ก็อย่างที่บอก กูคงคิดมากไปเองนั่นแหละ ว่าแต่มึงแน่ใจใช่มั๊ยว่าตุ๊กตาของมึงมันยังอยู่น่ะ”

“ยังอยู่ดิ่ ก็อยู่ในห้องนั่นแหละ แล้วมึงได้เช็คดูที่หน้าอกเสื้อของหมีรึยัง”

“ดูแล้ว แต่ดูไม่ออกว่ะ อย่างที่บอกไงว่าเสื้อมันขาดหลายจุด และตรงหน้าอกก็ด้วย แถมแม่งยังเปื้อนเลือดอีกต่างหาก เลยดูไม่ออกเลย”

“กูขอดูหน่อยได้มั๊ยวะ หมีน่ะ อยู่ในรถใช่มั๊ย” ไอ้เมฆพูดพลางทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ถูกผมจับข้อมือให้หยุดเอาไว้เสียก่อน

“มึงอย่าดูเลยเมฆ” ผมส่ายหน้า “กูไม่อยากให้มึงไม่สบายใจ บอกตามตรงนะ ตอนแรกกูกะจะไม่บอกมึงด้วยซ้ำ เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกทีนะ แต่ตอนนี้กูยังไม่อยากจะไปวุ่นวายอะไรกับมันอีกแล้วว่ะ กูเหนื่อย”

ไอ้เมฆมองหน้าผมด้วยสายตาอ่อนโยน จากนั้นพยักหน้าอย่างเข้าใจ “กูเข้าใจนะ แล้วก็รู้สึกดีด้วยที่มึงเป็นห่วงกูมากขนาดนั้น เอาเป็นว่าตอนนี้กูจะยังไม่เซ้าซี้มึงเรื่องตุ๊กตาอีกก็ได้ แต่บอกตามตรง กูกลับรู้สึกไม่สบายใจเรื่องนัทเลย มันจะเป็นไปได้มั๊ยว่านั่นมันหมายถึงมีอะไรเกิดขึ้นกับนัทนะ ไม่ใช่กู เพราะตอนนี้เราก็รู้แล้วนี่ว่ากูไม่ได้เป็นอะไรน่ะ”

“ก็อาจะเป็นไปได้” ผมพยักหน้า “แต่ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ตุ๊กตาตัวนั้นก็ควรจะถูกส่งไปที่มึงสิ ไม่ใช่กู และที่สำคัญ ใครจะมาทำอะไรนัทเรื่องอะไรวะ แถมถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นจริงนะ ผ่านมาแล้วตั้งหลายชั่วโมงขนาดนี้ ป่านนี้เราคงต้องรู้อะไรเพิ่มเติมกันมาบ้างแล้วสิ ไม่ใช่เงียบไปหมดไม่มีอะไรอีกเลยแบบนี้ เพราะงั้นตอนนี้กูจึงเริ่มมั่นใจแล้วว่าไอ้ตุ๊กตาหมีตัวนั้นมันจงใจถูกส่งมาให้กูจริงๆนั่นแหละ และคนส่งก็คงจงใจจะกวนตีนกูมากๆเลยด้วย”

ไอ้เมฆพยักหน้าเห็นด้วย และสีหน้าของมันก็คลายกังวลลงเยอะแล้วด้วยเช่นกัน “สรุปแล้วก็คือ มึงสงสัยพี่จ๊อบงั้นเหรอวะ”

“ก็คงงั้นมั๊ง........” ผมพยักหน้า และตัดสินใจไม่บอกมันเรื่องที่ผมโทรไปขอเบอร์พี่จ๊อบกับไอ้แบ๊งค์มา “ก็พอนึกๆดูแล้วมันจะมีใครน่าสงสัยไปกว่ามันล่ะ แต่กูก็ยอมรับนะว่าจะฟันธงไปแบบนั้นเลยก็ไม่ถูกว่ะ เพราะกูไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ไอ้ครั้นจะเอาแค่เรื่องกูไม่ชอบหน้ามันแล้วไปโยนความผิดให้มัน มันก็คงเหี้ยไปหน่อย แต่บอกตามตรง กูคิดว่ามันชอบมึงว่ะเมฆ กูเลยไม่ไว้ใจมันเลยแม้แต่นิดเดียว”

“จริงๆเรื่องนี้จะว่าไปแล้วกูก็เหมือนจะรู้ตัวนะ แต่ว่ากูก็ไม่อยากคิดแบบนั้นว่ะ กูพี่เขาเป็นแฟนนัทอยู่ เค้าจะมาอะไรกับกูได้ไงวะ กูไม่เข้าใจ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ แต่คนสมัยนี้นะ แม่งเดาไม่ได้หรอก เดาไม่ได้เลยจริงๆ..........”

วันเสาร์ถัดมาผมก็ติดรถไปเข้าคลาสยูโดกับไอ้เมฆด้วย โดยจะว่าไปแล้วก็คือผมกึ่งๆโดนมันบังคับมานั่นเอง ซึ่งผมเองก็เคยเข้าไปร่วมเรียนร่วมซ้อมทั้งยูโดและเทควันโดกับมันบ้างเหมือนกันมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่อังกฤษแล้ว และครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับประเทศไทยมาที่ผมได้กลับมาทำอะไรแบบนี้ร่วมกับมันอีกครั้ง และถึงนี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาที่แห่งนี้ แต่ก็เป็นครั้งที่สามของไอ้เมฆแล้วตั้งแต่กลับไทยมา

สถานที่ที่เมฆขับรถพาผมมานี้เป็นยิมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนตึกสูงตึกหนึ่ง โดยที่แห่งนี้นั้นมีคลาสสอนทั้งสามคลาส ได้แก่ยูโด คาราเต้ และก็เทควันโด โดยไอ้เมฆคนเดียวก็เล่นเหมาได้สายดำไปทั้งสองอย่างแล้ว แถมเท่าที่มันเล่าให้ผมฟัง อาจารย์ที่สอนยูโดของมันนั้นยังอยากจะให้มันมาเป็นครูสอนให้แก่เด็กๆที่มาเรียนที่นี่อีกด้วย

“แล้วมึงไม่ตกลงเหรอวะ เรื่องมาสอนที่นี่น่ะ” ผมถามมันขณะที่เราสองคนกำลังวอร์มร่างกายด้วยกันอยู่

“จะเอาเวลาที่ไหนวะ แค่มาเล่นที่นี่อย่างมากกูยังมาได้แค่อาทิตย์ละหนสองหนเลย”

“แต่ท่าทางมึงจะดังไม่เบาเลยนะ เห็นมีคนรู้จัก มีคนเข้ามาทักหลายคนเลยนี่” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆก็เห็นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่บางคนยังคงมองมาทางเราสองคนอยู่เลย

“ก็กูเล่นที่นี่มาตั้งแต่หลายปีแล้ว แทบจะตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นคนส่วนมากถ้ามาประจำก็คงรู้จักกูกันอยู่แล้วล่ะ แถมนี่กูหายไปตั้งสี่ปี คนที่รู้จักกันก็เลยเข้ามาทัก ส่วนคนที่อาจจะแค่เคยเจอหน้ากันบ้างก็คงงงๆมั๊งว่ากูหายไปไหนมาตั้งนานอะไรแบบนี้น่ะ ไม่รู้สิ”

“เมฆ มาจับคู่ซ้อมกับครูหน่อยมั๊ย” เราสองคนหันไปตามเสียงเรียก และคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเราก็คือครูวิชญ์ ครูสอนยูโดของที่นี่นั่นเอง

ครูวิชญ์เป็นผู้ชายวัยกลางคน อายุน่าจะราวๆสักสี่สิบปีได้ ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันเพราะผมไม่เก่งเรื่องเดาอายุคนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาคนนี้ก็ยังดูแข็งแรงบึกบึนสมกับเป็นครูฝึกยูโดมาก หากลองดูและประเมินด้วยสายตาแล้ว เขาน่าจะสูงสักราวๆเกือบๆร้อยแปดสิบเซนติเมตรได้ ซึ่งก็คือพอๆกับไอ้เมฆ แถมน้ำหนักดูน่าจะไม่ต่ำกว่าแปดสิบกิโลกรัมแบบที่หนักไปทางกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน สรุปคือเรียกได้ว่าเป็นผู้ชายประเภทที่ถ้าคุณไม่บ้าก็คงตาบอดแน่ๆถึงจะกล้าเข้าไปมีเรื่องด้วย

“ก็ได้ครับ แต่ขอผมยืดเส้นอีกพักนึงนะ” ไอ้เมฆหันไปพยักหน้าให้กับเขา จากนั้นมันก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง “กูว่าแล้วเชียวว่าต้องโดน แม่งงง ครูวิชญ์อ่ะ เคยไปแข่งระดับชาติมาด้วยนะเว้ย ซวยจริงกู”

“แล้วไงวะ เค้าเก่งกว่ามึงมากเลยเหรอ มึงกลัวเค้ารึไง ตอบกูมาตามจริงนะ ไอ้ตัวดี”

ไอ้เมฆยิ้มอายๆนิดหน่อย “กูก็ไม่รู้ว่ะ ไอ้กลัวน่ะคงไม่กลัวหรอก เล่นกับครูมันก็สนุกดี และถ้าพูดจริงๆ ครูเค้าก็เคยบอกเหมือนกันว่ากูมีแววนะ แต่เค้าไม่รู้ไงว่าจริงๆแล้วกูไม่ชอบเล่นหรือใช้แต่ยูโดอย่างเดียวน่ะ มึงพอนึกออกป่ะ”

“เออ นึกออก และไม่ใช่แค่นึกด้วย แต่เห็นด้วยตาตัวเองมาหลายหนแล้ว” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆอีกครั้ง “นี่เมฆ ตกลงมึงคิดว่าไงวะ เรื่องตุ๊กตาหมีตัวนั้นน่ะ มึงได้คุยกับพี่จ๊อบหรือนัทมั่งรึเปล่า”

“สามหน” ไอ้เมฆพยักหน้า และเมื่อมันเห็นสีหน้าของผมมันก็เลยรีบพูดต่อขึ้นมาอีก “กูหมายถึง นับจากวันนั้นน่ะ พี่จ๊อบเค้ามีโทรมาหากูสามหน แต่กูไม่ได้รับโทรศัพท์เค้าเลย ล่าสุดก็เมื่อเช้าตอนกูอาบน้ำมั๊ง”

“แล้วกับนัทล่ะ ได้คุยรึเปล่า”

“กูโทรไปรอบนึง แต่เค้าไม่ได้รับโทรศัพท์ แล้วก็ไม่ได้โทรกลับด้วย กูก็เลยไม่ได้ทำอะไรต่อ........ เฮ้ย อย่าเพิ่งน่า มึงอย่าเพิ่งเครียดเลย กูอุตส่าห์ลากมึงมาที่นี่ก็เพื่อออกกำลังได้ระบายๆความเครียดออกไปมั่งนะเว้ย เอางี้ ตอนนี้มึงวอร์มๆไปก่อนแล้วกัน นั่งดูกูก็ได้ แล้วอีกสิบห้านาที ไม่สิ เชี่ย นานไป ตายห่าพอดี เอาแค่ไม่เกินสิบนาที กูจะกลับมาจับคู่กับมึงเอง”

ผมพยักหน้าตอบ จากนั้นไอ้เมฆก็ลุกขึ้นเดินออกไปหาอาจารย์ของมัน และทั้งคู่ก็เดินมาหยุดอยู่ที่กลางห้อง ผมยืนมองไอ้เมฆกับอาจารย์วิชญ์ผลัดกันรุกและรับจนลืมเวลาไปเลยทีเดียว ทั้งสองคนเก่งและสูสีกันมาก และถ้าสายตาของผมมองไม่ผิด ทั้งคู่นั้นเล่นกันแบบเอาจริงเอาจังมากทีเดียว ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็น่าจะเกิดมาจากไอ้เมฆที่มักเอาจริงเอาจังอยู่เสมอนั่นเอง แต่ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของมันก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังมีความสุขและสนุกมากขนาดไหน

ผมยืนมองทั้งสองคนผลัดกันทุ่มและถูกทุ่มจนเพลิน และเมื่อผมรู้สึกตัวอีกที ไอ้เมฆก็กำลังบอกขอบคุณอาจารย์วิชญ์และเดินตรงเข้ามาหาผมแล้ว

“ไง เครื่องเย็นไปรึยัง” ไอ้เมฆถามพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“แล้วมึงเครื่องร้อนพอรึยังล่ะ”

“พร้อมจะถูกกูทุ่มรึยัง”

“แล้วมึงพร้อมจะเหนื่อยเป็นหมาหอบแดกรึยังล่ะครับ ก้อนเมฆ”

เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน จากนั้นไอ้เมฆก็ดึงข้อมือผมไปที่กลางห้อง “สามนาที กูให้มึงทุ่มกูได้เต็มที่เลยสามนาที กูจะตบเบาะอย่างเดียว”

ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความประหลาดใจ “ตลกและ ไอ้ตัวดี จะดูถูกกูไปหน่อยแล้วม๊าง แล้วแบบนี้มันจะไปสนุกอะไรวะ มึงเล่นไม่ขัดขืนเนี่ย” ผมตบหัวมันเบาๆ

“ขัดขืนเด่ะ แต่กูจะหลับตาด้วย ให้มึงได้ระบายความเครียดให้เต็มที่เลยไงครับ ไอ้แสบ และหลังจากนั้นมึงจะได้ไม่ต้องมาบ่นว่าโดนกูทุ่มอยู่ฝ่ายเดียวเลยไง”

“โห ดูถูกกันเกินไปมั๊งครับ ไอ้ตัวดี มึงพูดเองนะ เพราะงั้นอย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกันนะเว้ย”

แต่ปรากฏว่าสามนาทีที่ผมควรจะเป็นต่อกลับไม่ง่ายอย่างที่ผมคิดเลย ถึงทุกครั้งที่ผ่านมาการมีไอ้เมฆเป็นครูฝึกส่วนตัวให้จะค่อนข้างได้เปรียบกว่าการที่ผมไปเข้าคอร์สเรียนเดี่ยวๆ นั่นก็คือ ถึงผมจะไม่ได้เรียนตามสเต็ป ไม่ได้เรียนตามขั้นตอนของสายสีโดยต้องมานั่งเริ่มต้นจากพื้นฐานใหม่ แต่ผมก็ได้ฝึกในแบบที่คนอื่นๆไม่ได้ฝึกด้วยเช่นกัน เช่นเทคนิคการเข้าจับยึด การทุ่มท่ายากๆ และการนำไปใช้จริง แต่ว่าผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจริงๆแล้วไอ้เมฆมันเก่งมากขนาดไหน ถึงผมจะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันมีฝีมือ แต่ก็ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับเวลาสามนาทีที่ผมจับคู่กับมันอยู่นี่ได้เลย และนี่ขนาดมันหลับตาและปล่อยให้ผมบุกได้ตามใจชอบแล้วนะ ผมยังทุ่มมันลงเสื่อแบบเต็มๆตัวเต็มๆหลังได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง

และหลังจากหมดเวลาสามนาทีตามที่ตกลงกันไว้แล้ว อีกเกือบสิบนาทีถัดมา ผมก็โดนมันจับทุ่มซะจนจุใจเลย

“หลังจากนี้แล้วจะไปต่อที่คลาสเทควันโดอีกมั๊ยครับ ท้องฟ้า” ไอ้เมฆก้มหน้าลงมาถามผมพร้อมเสียงหอบเบาๆทั้งๆที่ยังคงยึดจับแขนเสื้อผมเอาไว้ ส่วนผมก็นอนเหงื่อแตกหงายหลังแผ่หลาอยู่บนพื้น ไร้ซึ่งความอายต่อสายตาของคนรอบข้างอีกต่อไป

“มึงจะได้เตะกูเป็นกระสอบทรายอีกอ่ะดิ่ แม่งงงง” ผมหอบพร้อมกับชันตัวลุกขึ้นยืน และเดินนำมันออกจากกลางห้องไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง “ฝากไว้ถึงคืนนี้ก่อนก็แล้วกันมึง แล้วจะได้รู้กัน ไอ้ตัวดี”

ไอ้เมฆหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วเหวี่ยงขาขึ้นมาเตะกลางลำตัวผมเบาๆหนึ่งที “งั้นตอนบ่ายตกลงเราจะไปกันชัวร์ใช่มั๊ย แต่มันจะได้อะไรขึ้นมารึเปล่าวะ กูไม่ค่อยแน่ใจเลย”

“แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรว่ะ เพราะมึงบอกกูเองไม่ใช่เหรอว่าตุ๊กตาหมีตัวนั้นมันเป็นแบบสั่งทำ เพราะงั้น เราลองไปดูที่ร้านกันดูก่อนดีกว่าว่ามีคนเคยมาสั่งอะไรเอาไว้มั่งมั๊ย แล้วค่อยดูกันอีกทีว่ามันจะเป็นอย่างที่กูคิดรึเปล่า”

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 18-12-2007 12:30:31
ขอบคุณครับ น่าติดตามสุดสุด

ผมจะนอนรอตอนต่อปายยยย  :a4:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 18-12-2007 13:43:58
ขอบคุณครับผม....
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 18-12-2007 17:34:17
บททดสอบกับตลกร้ายของใครบางคน

หรือนี่จะเป็นหนึ่งในต้นเหตุของความร้าวฉาน
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 18-12-2007 19:35:45
เล่นอารายกันอยู่เนี่ย สงครามจิตวิทยาแบบนี้ น่าปวดหัวแทนจัง

 :a6:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 19-12-2007 00:48:28
เข้ามาดันให้พี่ชาย ๆ  :m13:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 19-12-2007 23:32:21
 :oni2: อยากทำกิจกรรมกับแฟนบ้างจังถ้ามี :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-12-2007 08:27:17
วินาทีที่ 17


ผมกับเมฆจอดรถที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าที่เมฆบอกผมว่าเป็นที่ที่มันเคยซื้อตุ๊กตาหมีตัวนั้นให้นัทเมื่อกว่าสี่ปีก่อน เราสองคนเดินตรงไปยังชั้นใต้ดินเพื่อไปถามข้อมูลเกี่ยวกับตัวตุ๊กตาและคนที่มาเป็นลูกค้าของร้านกับเจ้าของร้านผู้หญิงหน้าตาใจดีคนหนึ่งทันที

“มันก็ใช่ค่ะว่าร้านเราไม่ได้ทำตุ๊กตาสำเร็จออกมาแล้วมาวางขายให้คนเลือกซื้อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหมีทุกตัวนั้นแฮนด์เมคขึ้นมาหมดนะคะ มันก็แค่ชุดแต่ละชุดหรือหน้าตาเครื่องประดับของตุ๊กตาเท่านั้นเองที่ลูกค้าจะสามารถเลือกเองหรือแม้แต่สั่งเราทำได้” เจ้าของร้านตอบกลับมา

“หมายความว่า นอกจากชุดนักเรียน ตำรวจ หรือชุดทหารพวกนี้แล้ว......” ผมชี้ไปยังเหล่าตุ๊กตาที่ตั้งเรียงกันอยู่หน้าร้าน “เราสามารถบอกได้ใช่มั๊ยครับ ว่าอยากให้ชุดมันเป็นยังไง สีไหน หรือเพิ่มเติมอะไรลงไป”

“ใช่ค่ะ อย่างเช่นสัญลักษณ์ ชื่อย่อ เครื่องประดับอะไรพวกนั้นก็จะแล้วแต่คนที่สั่งมา หรือบางคนถึงขนาดเอาพวกเครื่องประดับจริงๆมาให้พี่ติดเข้ากับชุดหรือตัวตุ๊กตาเองเลยด้วยซ้ำ”

ผมกับเมฆหันมาสบตากันและพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เราสองคนคิดกันเอาไว้นั้นมันไม่ผิดเลยจริงๆ

“งั้นมันก็เป็นไปไม่ได้สินะครับ ถ้าตุ๊กตาสองตัวมันจะออกมาเหมือนกันเป๊ะ ไม่ว่าจะสี รูปร่าง หน้าตา ขนาด และเสื้อผ้า เว้นแต่จะมีคนเอาแบบมาให้ที่ร้านแล้วก็สั่งทำให้มันออกมาเหมือนกันเป๊ะๆน่ะ” ไอ้เมฆถาม

“ก็....... ใช่ค่ะ คือจริงๆแล้วจะบอกปากเปล่าก็ได้ว่าอยากจะให้ทำแบบไหน แต่ถ้าอยากจะให้เหมือนกันจริงๆมันก็คงต้องมีแบบหรืออย่างน้อยๆก็รูปถ่ายให้ดูน่ะค่ะ”

“แล้วมีมั๊ยครับ” ผมถาม และเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของเจ้าของร้าน ผมจึงอธิบายต่อ “ผมหมายถึงว่า แล้วมีใครที่ทำอะไรแบบนั้นรึเปล่าครับ เอาต้นแบบหรือรูปถ่ายอะไรมาให้พี่ทำหมีอีกตัวนึงขึ้นมาน่ะ”

เจ้าของร้านสาวทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

“มีงั้นเหรอครับ ถ้างั้นผมถามได้มั๊ยครับ ว่าเค้าเอาหมีแบบไหนมาให้ทำ” ผมถาม เริ่มรู้สึกตื่นเต้นกับคำตอบที่กำลังจะได้รับ

“เป็นหมีสวมชุดกะลาสีค่ะ แต่ถ้าถามรายละเอียดแล้ว...... พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะ เพราะมันก็ผ่านมากว่าสองอาทิตย์แล้วน่ะ”

“ถ้างั้นคนที่มาสั่งให้ทำนั่นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ” ไอ้เมฆถามขึ้นบ้าง และคราวนี้เจ้าของร้านก็ตอบกลับมาโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว

“ผู้ชายค่ะ”

เย็นนั้นหลังจากที่ผมกับไอ้เมฆกลับบ้าน และเนื่องจากพ่อเล็กยังคงออกไปธุระนอกบ้านยังไม่กลับ เราสองคนจึงเอาตุ๊กตาหมีเจ้าปัญหาตัวเดิมมาตั้งไว้ที่กลางโต๊ะกินข้าว แล้วเราก็นั่งคุยกันถึงเรื่องราวและข้อมูลทั้งหมดที่เรามีในตอนนี้

นับจากวันแรกที่ผมได้รับเจ้าหมีตัวนี้มามันก็ผ่านมาแล้วหลายวัน และตอนนี้สภาพของตุ๊กตาตัวนี้ก็ดูแย่ยิ่งกว่าวันแรกที่ผมได้รับมันมาเสียอีก ทั้งนุ่นด้านในที่หลุดทะลักออกมาแทบจะตลอดเวลาเนื่องจากส่วนหัวที่ขาดออก ลำตัวที่ถูกกรีด เสื้อผ้าที่ขาดวิ่นและเริ่มมีรอยเปื้อน และรอยเลือดที่แห้งกรังจนเป็นสีคล้ำในบางจุดก็ยิ่งส่งให้ผมรู้สึกขยะแขยงเจ้าหมีตัวนี้มากขึ้นไปอีก

“ตกลงก็คือ ตอนนี้ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของมึงก็คือพี่จ๊อบใช่มั๊ย” ไอ้เมฆหยิบส่วนหัวของตุ๊กตาขึ้นมาถือเล่นอยู่ในมือ

ผมพยักหน้า “แล้วมึงคิดว่าไง”

“ไม่รู้ว่ะ ถ้าตัดสินจากที่ถามมาจากที่ร้านมันก็น่าจะเป็นแบบนั้นได้อย่างเดียวนะ แต่ที่สุดแล้วมึงคิดว่าพี่เขาทำไปทำไมวะ”

“จงใจแกล้งกูมั๊ง กูคิดออกแค่นี้เอง” ผมยักไหล่ “ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไม มันอาจจะแค่ทำเพื่อให้กูไม่สบายใจเล่นเฉยๆก็ได้ ซึ่งกูคิดว่ามันเป็นวีธีที่ไม่ใช่ลูกผู้ชายเลยจริงๆว่ะ แถมที่สำคัญวันนั้นมึงก็ยังเสือกปิดมือถืออีกซะนี่ กูก็เลยยิ่งกังวลหนักมากเข้าไปใหญ่ เลยเข้าทางมันไปเลยพอดี”

ไอ้ตัวดีทำปากขมุบขมิบพึมพำออกมาเบาๆเป็นทำนองว่า “ก็แบตมันหมดนี่หว่า”

“แต่ถึงงั้นก็เหอะ มึงคิดว่าไงล่ะ........” ผมมองไปทางตุ๊กตาไร้หัวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ “คนที่รู้เรื่องตุ๊กตาหมีตัวนี้น่ะ ไม่สิ กูหมายถึง ตุ๊กตาแบบนี้ที่มึงซื้อมาตอนแรกนี่น่ะ มันก็น่าจะมีอยู่แค่สี่คน นั่นก็คือ มึง นัท ไอ้พี่จ๊อบ และกู ถูกมะ นี่กูเรียงตามลำดับเวลาด้วยนะ มึงซื้อตุ๊กตาให้นัท นัทได้รับ พี่จ๊อบเป็นแฟนนัทและคงเคยเห็นมันบ้างที่ห้องของนัท สุดท้ายก็คือกูที่เพิ่งรู้ว่ามึงเคยซื้ออะไรแบบนี้ให้นัทเท่านั้นเอง” ผมพูดพลางหยิบส่วนหัวของตุ๊กตาออกมาจากมือของไอ้เมฆ แล้ววางมันกลับลงไปบนคออันควรจะเป็นที่ตั้งของมัน แต่มันก็หลุดหล่นลงมากลิ้งอยู่ข้างๆส่วนลำตัวเหมือนเคย

“พี่จ๊อบมันจะกล้าเข้าบ้านนัทเหรอวะ” เมฆหัวเราะเบาๆ “กูว่าพี่เค้าคงต้องใจกล้า และเป็นแฟนที่ดีสุดๆเลยว่ะถึงจะทำได้ขนาดที่เข้าไปในห้องนอนของนัทน่ะ หรือถ้าพูดจริงๆแล้วเนี่ย ภาพลักษณ์ของพี่จ๊อบในฐานะแฟนของนัทต้องออกมาดูดีมากๆโคตรๆเลย”

“ทำไมวะ”

“มันก็มีอยู่สองเหตุผลน่ะนะ”

“สองเหตุผลเหรอ” ผมนิ่วหน้า “ยังไงวะ”

“ก็พ่อนัทเป็นตำรวจ มึงจำไม่ได้เหรอ ตำรวจใหญ่ด้วย ขนาดกูเองแต่ก่อนนี้นะ จะเข้าบ้านเค้าทียังเกร็งแทบตายห่าเลย พ่อนัทแม่งดุมากกกก” ไอ้เมฆลากเสียง “แต่ถึงอย่างนั้นเค้าก็ยังค่อนข้างโอเคกับกูนะ ถึงจะดุ แต่ก็ยอมรับกูในระดับหนึ่ง กูก็เลยไม่มีปัญหาอะไรมาก แถมกูก็ไม่ได้ไปบ้านนัทบ่อยด้วย เข้าไปข้างในนี่นับหนได้ ส่วนขึ้นห้องนอนนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย........ แต่หลังจากที่กูทิ้งลูกสาวเค้าไปอังกฤษนี่ กูก็ไม่รู้แล้วว่าว่าพ่อเค้าจะยังโอเคกับกูอยู่รึเปล่าน่ะ” ไอ้เมฆหัวเราะในลำคอเบาๆ

“แต่ไอ้พี่จ๊อบมันก็ดูดีในระดับหนึ่งน่ะ กูว่ามันดูเป็นผู้ชายกะล่อนๆดี ทั้งท่าทาง หน้าตา และน้ำเสียงของมัน ดูท่าทางว่าถ้ามันอยากจะประจบใครก็คงทำได้ไม่ยากหรอก” ผมพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆพร้อมกับยิ้มเหยียดๆเมื่อถึงหน้าตาท่าทางของไอ้ปลาไหลนั่น “ขนาดนัทเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยนี่ ว่าถูกมันหลอกแดกเอาน่ะ”

“ก็คงเป็นกันทั้งตระกูลมั๊ง” ไอ้เมฆยักไหล่ และเมื่อมันเห็นสีหน้าสงสัยของผมมันก็รีบอธิบายต่อ “นี่แหละ คือเหตุผลข้อที่สองที่มึงยังไม่รู้ บ้านพี่จ๊อบน่ะ ไม่สิ พ่อเค้าน่ะเล่นการเมืองด้วย อืมม....... ก็ไม่ได้เล่นระดับประเทศหรอก แค่ระดับเขตระดับพื้นที่น่ะ แต่นามสกุลของเค้าก็มีชื่อเสียงอยู่พอตัวในระดับหนึ่งเลยเหมือนกัน เห็นว่ามีทั้งเงินและอิทธิพลไม่เบา”

“แปลว่ามันไม่ค่อยจะสะอาดเท่าไหร่สินะ”

“ไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่” ไอ้เมฆส่ายหน้า “แต่กูก็ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมากหรอกนะ”

“แล้วมึงรู้เรื่องนี้มาจากไหนวะ ทำไมกูไม่เห็นรู้ล่ะ”

“กูเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง หลังจากที่มึงเล่าให้กูฟังเรื่องตุ๊กตาหมีนี่น่ะแหละ แต่กูยังไม่มีโอกาสได้บอกมึงเท่านั้นเอง เพราะกูรอจังหวะที่เราจะได้คุยกันแบบนี้อยู่น่ะ เรื่องของเรื่องก็คือกูลองสืบๆเสาะๆหาข้อมูลของนัทกับพี่จ๊อบมานิดหน่อยน่ะ แล้วก็เลยได้อะไรๆน่าสนใจมาหลายอย่าง”

“เช่นอะไรวะ” ผมขยับตัวเป็นนั่งหลังตรง

“ตอนแรกเลยกูก็ว่าจะถามๆรายละเอียดมาจากเพื่อนๆเราอย่างพวกไอ้วิท ไอ้กอล์ฟอะไรพวกนั้นน่ะนะ แต่กูคิดว่ามันอาจจะสงสัย และกูคิดว่ามึงเองคงยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ กูก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเป็นถามคนสองคนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดแทน”

“สองคนงั้นเหรอ” ผมสงสัย เพราะทั้งๆที่มันเพิ่งบอกว่ามันรู้ว่าผมไม่อยากให้ใครรู้ แต่นี่มันกลับถามคนถึงสองคนแทนที่จะถามคนๆเดียวเพื่อกันไม่ให้เรื่องรั่วไหลนี่นะ

“คนแรกก็คืออีฟ กูก็แค่ถามเรื่องทั่วๆไปของนัทกับพี่จ๊อบธรรมดาๆเอง เพราะคืนวันเกิดกูนั้นมันเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าพี่จ๊อบเขามาที่บ้านกูได้ยังไง มันก็เลยไม่ได้สงสัยอะไรกูมากนัก แน่นอนว่ากูไม่ได้บอกมันเรื่องตุ๊กตาหมีนี่หรอก และสิ่งที่กูได้มาก็คือ นัทกับพี่จ๊อบคบกันมาตั้งแต่หลังจากกูบินไปอังกฤษได้ราวๆปีนึง และหลังจากนั้นเค้าก็คบกันมาตลอด แต่ว่าไม่ค่อยมีคนรู้เรื่องภายในของเขาทั้งสองคนมากนัก นอกจากที่รู้ว่าพี่จ๊อบมันค่อนข้างจะเที่ยวเก่งและเจ้าชู้เท่านั้นเอง”

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้าเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ไอ้เมฆเล่าต่อ

“กูว่าแล้วว่ามึงต้องสงสัย คือ คำว่าเรื่องภายในที่กูพูดน่ะ มันหมายถึงว่า เค้าดีกันแค่ไหน ทะเลาะกันบ่อยมั๊ย และสนิทกับครอบครัวของแต่ละฝ่ายยังไง อะไรทำนองนั้นน่ะ คือ ไอ้เรื่องทะเลาะกันน่ะก็มีบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็มีน้อยคนจริงๆที่จะรู้เรื่องราวเบื้องลึกของทั้งสองคนนะ ซึ่งกูว่าก็คงไม่ค่อยแปลก เพราะเพื่อนๆเรามันก็ต่างคนต่างอยู่กันมาตั้งนานแล้ว มีแค่นานๆได้เจอได้คุยกันถึงได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวกันก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเท่าที่เพื่อนเรามันจะรู้กันได้ก็คงมีไม่มากเท่าไหร่แบบนี้แหละ กูก็เลยไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อมากมาย” ไอ้เมฆยักไหล่

ผมยังคงรู้สึกสะกิดใจเล็กน้อยกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา แต่ก็พยักหน้าออกไป “แล้วอีกคนที่มึงโทรหาล่ะ”

“มึงจำไอ้เอ็นได้มั๊ย” ไอ้เมฆยิ้มออกมา “ซี้กูตอนมอต้นไง ที่พอขึ้นมอสี่แล้วมันอยู่ห้องข้างๆเรา”

“จำได้ดิ่ ตอนนั้นมันก็เล่นบอลกับพวกเราอยู่บ่อยๆนี่ เอ้อ หมายถึงเล่นบอลกับพวกกูน่ะ แต่ว่ากูรู้สึกเหมือนไม่ได้คุยกับมันมานานมากแล้วเลยว่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะ อืมมมม รู้สึกว่ากูจะแทบไม่ได้คุยกับมันเลยมาตั้งแต่........”

“ใช่ ตั้งแต่มันไปหนีไปเป็นตำรวจนั่นแหละ” ไอ้เมฆพยักหน้าและต่อประโยคให้จนจบ “พอจบมอสี่มันก็ออกจากโรงเรียนเราไปเข้าเตรียมฯแล้ว และมึงก็เลยไม่ค่อยได้เจอได้คุยกับมันไง มึงจะรู้สึกว่ามันนานก็ไม่แปลก”

“ก็คงใช่” ผมพยักหน้า “แล้วไง อย่าบอกนะว่ามึงไปคุยกับมันมาน่ะ เรื่องของนัทกับพี่จ๊อบเนี่ยนะ”

“ทั้งใช่และไม่ใช่ว่ะ” ไอ้เมฆหันไปมองตุ๊กตาหมีบนโต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาสบตากับผม “ใช่ กูโทรไปคุยกับมันมา เพราะตั้งแต่มันออกจากโรงเรียนไปแล้วกูก็ยังคงติดต่อกับมันมาเรื่อยๆในระดับหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ กูไม่ได้คุยกับมันเรื่องนัทกับพี่จ๊อบหรอก แต่กูคุยกับมันเรื่องของพี่จ๊อบอย่างเดียวเลยต่างหาก”

“หมายความว่าไงวะ”

“มันน่ะ เป็นตำรวจ และไม่ใช่แค่มันด้วย พี่ชายมัน พี่เอ็มน่ะ ที่เคยเป็นรุ่นพี่เราที่โรงเรียนก็เป็นตำรวจเหมือนกัน ส่วนพ่อมันก็เป็น เรียกได้ว่าเป็นกันทั้งบ้านเลย เหลือน้องมันคนเดียวที่ยังเรียนนิติอยู่ แต่ช่างเหอะ คือเรื่องของเรื่องคือ หลังจากกูรู้มาจากอีฟว่าพ่อพี่จ๊อบเค้าทำงานอะไรและรู้ว่าบ้านเค้าอยู่แถวไหน กูก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าบ้านของไอ้เอ็นน่ะอยู่แถวๆบ้านของพี่จ๊อบพอดี แถมบ้านเพื่อนเราก็ยังเป็นตำรวจกันทั้งบ้านด้วย กูก็เลยคิดว่ามันอาจจะพอรู้อะไรบ้าง เพราะงั้นกูก็เลยโทรไปหามันไง”

“แล้วสรุปได้เรื่องว่าไงบ้างล่ะ”

“มึงต้องไม่อยากเชื่อแน่ๆว่าไอ้เอ็นมันตอบกูมาว่ายังไง” เมฆหัวเราะหึๆพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “มันบอกกูว่า ‘ถ้ามึงอยากมีความสงบสุขในชีวิตนะเมฆ มึงต้องไม่ไปข้องเกี่ยวกับไอ้ตระกูลนี้เด็ดขาด ก่อนที่มึงจะกลายเป็นอาหารสัตว์เลี้ยงของพ่อมันที่สวนหลังบ้านน่ะ’”

มีความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนเล็กน้อยหลังจากที่ไอ้เมฆพูดจบ ก่อนที่ผมจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“แล้วไง พ่อมันเลี้ยงอะไรเอาไว้ที่บ้านล่ะ” ผมถาม พลางเอื้อมมือไปคว้าส่วนหัวของตุ๊กตาหมีขึ้นมาถือเอาไว้ในมือแต่ก็ถูกไอ้เมฆดึงมันออกไปจากมือของผม

ไอ้เมฆถือหัวของตุ๊กตาหมีไว้ในมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ใช้มือขวาประคองมันไว้ด้วยท่าทางที่มันคุ้นเคย และผมเองก็เห็นมันทำท่าทางแบบนี้มาไม่รู้ตั้งกี่ร้อยกี่พันหนแล้ว มันตั้งข้อศอกขวาขึ้นตั้งฉากกับพื้นห้อง ยกมือที่ถือตุ๊กตาอยู่ขึ้นไว้ที่เหนือหัว สายตาของมันเล็งเลยไปทางด้านหลังของผมอันเป็นที่ตั้งของตะกร้าหวายทรงสูง เมฆเหลือบมาสบตากับผมอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่จะปาของในมือออกไปแบบเดียวกับท่าทางตอนกำลังชู๊ตลูกบาสออกจากมือ

“จระเข้น่ะ”

เสียง ‘ตุบ’ เบาๆที่ดังขึ้นทางด้านหลังของผมบอกให้รู้ว่า ตอนนี้ส่วนหัวของหมีเปื้อนเลือดที่น่าสงสารตอนนี้ลงไปนอนกลิ้งอยู่ที่ก้นตะกร้าหวายใบนั้นเรียบร้อยแล้ว


หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นก&#
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 20-12-2007 08:28:45
 :mc4: :m1: สืบสวนสอบสวนชองจริงแนวนี้
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 20-12-2007 10:40:34
ตกลงบ้านคุณพี่จ๊อบนี่เป็นโรคจิตกันช่ายยยยยมะ....  :angry2:
ทำไมต้องเอาเมฆกะซันไปเกี่ยวกะพวกโรคจิตบ่อยจังงงงง
จับได้ตืบบบบบให้ตายยยยยย  :เตะ1:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 20-12-2007 11:15:10
ดูท่าเป็นโรคจิตกันทั้งบ้าน น่ากลัวนะถ้าซันหลงเข้าไปในบ้านนี้สงสัยเสร็จแหงเลย

ซันระวังตัวหน่อยนะจ๊ะ เป็นห่วงอ่ะเด๋วจะเป็นเหยื่อตะเข้

ส่วนเมฆถ้าหลงเข้าไปสงสัยเป็นเหยื่อเหมือนกัน แต่เป็นเหยื่อไอ้จ๊อบ
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 20-12-2007 11:18:59
โหดล่ะ

เริ่มมีทั้งมีด เลือด และ เออออ..... จระเข้  :m30:

ขออย่าให้เรื่องมันร้ายเเรงมากเลยนะ ต้น คนอ่านบีบหัวใจน่ะ
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-12-2007 21:04:10
เหอ เหอ ตามหลักการของเรื่องลึกลับ บุคคลที่น่าสงสัยที่สุด อาจจะไม่ใช่คนร้ายก็ได้  :m21:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ^^sky^^ ที่ 21-12-2007 12:53:57
เข้ามาให้กำลังใจก่อนคับ
จะรีบๆ ตามอ่านให้ทันๆๆๆ
 :m1:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-12-2007 23:42:11
วินาทีที่ 18


“จระเข้งั้นเหรอ” ผมทวน

“ใช่ จระเข้” ไอ้เมฆยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า

“นี่มึงพูดจริงพูดเล่นวะ ทั้งมึงทั้งไอ้เอ็นเลย เลี้ยงจระเข้เนี่ยนะ ทำเหมือนเป็นนักเลงต่างจังหวัดไปได้มึง” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมกับหัวเราะเบาๆแบบไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้าและรอยยิ้มของไอ้เมฆแล้ว ผมก็ต้องหยุดหัวเราะลง “นี่ เมฆ มึงอย่าบอกนะว่ามึงเชื่อเรื่องนั้นจริงๆน่ะ”

“ไม่รู้สิ แต่กูเชื่อแน่ๆอยู่อย่างนึงว่า นักการเมืองน่ะ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน มันย่อมต้องมีด้านอีกด้านที่คนทั่วไปไม่เคยรู้ หรือถึงจะรู้ก็คงไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแน่ๆอยู่แล้วว่ะ”

เกิดความเงียบระหว่างเราสองคนขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ผมก็เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศหนักๆที่กำลังหมุนวนอยู่รอบตัวเราทั้งคู่ด้วย หรือบางทีมันอาจจะเป็นความหนักความกังวลที่ผมรู้สึกอยู่ภายในใจเพียงคนเดียวก็ได้ และผมก็รู้ตัวดีว่าความรู้สึกกังวลนั้นมันไม่ได้มาจากเรื่องราวที่ผมเพิ่งได้รับรู้เกี่ยวกับตัวพี่จ๊อบสักเท่าไหร่เลย แต่มันเป็นความกังวลที่ผมรับรู้ได้จากความรู้สึกแปลกๆที่มันแผ่ออกมาจากแววตา รอยยิ้ม และคำพูดของไอ้เมฆนี่ต่างหาก และทันใดนั้นเอง ผมก็ย้อนนึกไปถึงคำพูดที่พ่อเล็กเคยพูดฝากไว้กับผมเมื่อวันเกิดไอ้เมฆที่ผ่านมานี่ขึ้นมาทันที

“นี่ เมฆ มึงคิดจริงๆรึเปล่าว่าเรื่องราวทั้งหมดมันจะแย่ลงเรื่อยๆได้จนถึงจุดๆนั้นน่ะ มึงคิดรึเปล่าว่าเราสองคนจะต้องเข้าไปพัวพันกับไอ้อำนาจเหี้ยๆของพ่อของไอ้พี่จ๊อบจนอาจมีเรื่องไม่ดีๆเกิดขึ้นมาน่ะ”

“ไม่หรอก กูไม่ได้คิดไปถึงขนาดนั้นฃ” ไอ้เมฆส่ายหน้า “ตอนนั้นกูก็ถามไอ้เอ็นเหมือนกันว่าตกลงแล้วบ้านของพี่จ๊อบมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ว่าคำตอบก็คือ มันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ตัวมันเองก็ไม่ได้รู้อะไรมาก อย่างไอ้เรื่องจระเข้นั่นมันก็เป็นแค่คำร่ำลือแบบปากต่อปาก และ เป็นเรื่องที่ไอ้พวกปลายแถวมันพูดกันเพื่อเสริมอำนาจมั๊งนะ มันอาจจะเป็นแค่เพียงคำเปรียบเทียบก็ได้ และที่สำคัญ ถ้าหากครอบครัวนั้นมันสกปรกถึงขนาดนั้นจริง ตำรวจก็คงไม่อยู่เฉยหรอก”

“แต่เรื่องของไอ้ตำรวจรึอะไรแบบนั้นมันก็.........”

“มันก็เชื่อถือไม่ได้มากใช่มั๊ยล่ะ ถ้าคนเรามันมีทั้งอำนาจทั้งเงินล่ะก็ อะไรๆมันก็สามารถถูกสร้างหรือถูกลบทิ้งได้ทั้งนั้น” ไอ้เมฆพยักหน้า “แต่กูเชื่อเพื่อนของกูว่ะ เรื่องมันก็แค่นั้น”

“ก็ดี..........” ผมพูดขึ้นหลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง “ถ้าไอ้เอ็นมันบอกว่าไม่มีอะไร มันก็คงไม่มีอะไรใช่มั๊ยล่ะ แต่ถึงยังไงมันก็บอกมึงว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้พวกนี้อยู่ดีนี่หว่า”

“ใช่ สรุปก็คือ ถึงแม้มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น แถมต้องอย่าลืมว่าคนที่มีอำนาจคือตัวพ่อ ไม่ใช่ตัวลูก แต่เอ็นมันก็แค่เตือนเราว่าถ้าเราคิดจะมีเรื่องกับใครน่ะ อย่าไปมีเรื่องกับไอ้พวกนักการเมือง ไอ้พวกมีเบื้องหลังอะไรแบบนั้นเลยจะดีที่สุดน่ะ เอางี้ กูบอกไอ้เอ็นมันไปแล้วว่าไว้วันหลังมึงจะโทรไปคุยกับมันเอง เพราะให้กูบอกต่อทั้งหมดก็คงไม่ไหว และมึงเองก็คงไม่มั่นใจเท่าได้ยินจากปากมันใช่มั๊ยล่ะ มึงสงสัยอะไรก็ถามไปได้เลย กูวานให้มันช่วยสืบๆเรื่องของพี่จ๊อบมาเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วด้วย”

ผมพยักหน้า “รู้เขารู้เราสินะ กันไว้ดีกว่าแก้ใช่มั๊ย”

“ใช่แล้ว คือบอกตามตรงนะ ตอนนี้กูยังไม่กังวลอะไรหรอก แต่เราก็ต้องรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายเอาไว้เหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ อย่างน้อยๆตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าถ้าหากพี่จ๊อบเขาต้องการอะไรขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เค้าก็อาจจะมีความสามารถและอิทธิพลในการได้มาในสิ่งที่อยากได้ก็ได้”

“แต่แบบนั้นมันก็แปลกนะ........” ผมใช้คิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเบาๆ “ถ้าตัวไอ้พี่จ๊อบเองมันมีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจ และความสามารถในการได้มาในไม่ว่าอะไรก็ตามที่มันต้องการ มันจะยังมาหลอกใช้หลอกคบนัทอยู่ทำไมวะ”

“เรื่องนี้กูก็คิดอยู่เหมือนกันนะ...... ซึ่งกูคิดได้สามอย่าง ก็คืออย่างแรกเลย พี่จ๊อบอาจจะเข้าไปตีสนิทกับนัทในเรื่องของการถ่วงดุลอะไรสักอย่างก็ได้ อาจจะเพื่อถ่วงหรือเพื่อเสริม กูก็ไม่รู้หรอก เพราะพ่อเค้าเล่นการเมือง ส่วนพ่อนัทก็เป็นตำรวจ” ผมพยักหน้ารับ จากนั้นไอ้เมฆจึงเริ่มพูดต่อ “อย่างที่สอง พี่จ๊อบคงไม่ได้หลอกใช้อะไรนัทหรอก เพื่อนๆเรานั่นแหละที่มองไปแบบนั้นเอง เพราะกูคิดว่าคงไม่มีใครที่รู้เรื่องเบื้องหลังของพี่จ๊อบเหมือนที่เรารู้หรอกมั๊ง และนี่ถ้ากูไม่รู้เรื่องนี้จากไอ้เอ็น กูเองก็คงไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้เหมือนกัน เรื่องทั้งหมดมันก็อาจจะแค่ว่าพี่จ๊อบมันเป็นเพลย์บอย คุณหนู กะล่อนเป็นปลาไหลอย่างที่มึงบอก แต่ว่ามีเพียงนัทคนเดียวที่ดูไม่ออกก็เท่านั้น.........”

“ถ้างั้นแล้ว อย่างสุดท้ายที่มึงคิดก็คือ.........”

“ไม่มีอะไรอยู่ในกอไผ่เลย” ไอ้เมฆตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวลนิดๆ “และนั่นคือสิ่งที่กูกลัวมากที่สุดว่ะ นั่นก็คือไม่มีอะไรอยู่ในกอไผ่เลยแม้แต่นิดเดียว เรื่องทุกเรื่องมันเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ากลัว พ่อของนัทบังเอิญเป็นตำรวจ พ่อพี่จ๊อบบังเอิญเป็นนักการเมือง ทั้งสองคนรู้จักกันแบบธรรมดาๆ คบกันแบบธรรมดาๆ อาจจะทะเลาะกันบ้างแบบธรรมดาๆ แต่มันจะไม่ธรรมดาก็ตรงที่ถ้ามันเกิดเป็นอย่างที่เรากลัวกัน นั่นก็คือ พี่จ๊อบเสือกบังเอิญเป็นเกย์ หรือเป็นไบก็แล้วแต่ แล้วดันมาชอบกู......... นั่นแหละ ที่จะทำให้เรื่องทุกอย่างมันพลิกผันไปหมด”

“และที่สำคัญที่สุดที่กูคิดก็คือ เรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่จ๊อบเท่าไหร่เลย กูไม่รู้ว่ะว่ามันเป็นคนประเภทอยากได้อะไรต้องได้แบบที่เราคุยกันรึเปล่า ถ้าไม่ใช่มันก็ดีไป ถ้าเรื่องของพ่อมันไม่ได้เหี้ยและน่ามีปัญหามาก ก็ยิ่งดีใหญ่ และยิ่งถ้ามันไม่ได้มาชอบมึงและถึงขนาดทำทุกอย่างเท่าที่มันทำได้เพื่อเอามึงไปจากกูล่ะก็ จะยิ่งดีที่สุด”

ไอ้เมฆยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับดึงมือของผมไปกุมเอาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับเป็นคำมั่นสัญญาว่ามันจะไม่มีวันทิ้งผมไปไหนเด็ดขาด “เรื่องนั้นมึงไม่ต้องกลัวหรอก กูไม่มีทางเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีร่วมกันมาไปแลกกับไอ้บ้าที่มีดีแค่บ่อจระเข้ที่หลังบ้านบ่อเดียวหรอก เชื่อกูสิ”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก็บีบมือของมันเบาๆแทนคำขอบคุณ

“แล้วตกลงมึงจะเอาไงเรื่องตุ๊กตาหมี จะปล่อยมันไปแบบนี้มั๊ย หรือจะสืบหาต้นตอจนถึงที่สุด”

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง ใคร่ครวญถึงเรื่องราวทั้งหมด ก่อนที่จะส่ายหน้าออกมา “ไม่ว่ะ ช่างมันเถอะ ตอนนี้คงยังทำอะไรไม่ได้ และทำอะไรไปก็คงไร้ประโยชน์ ที่สำคัญคือกูมั่นใจว่ามึงจะไม่มีวันทิ้งกูไปไหนกะอีแค่เพราะตุ๊กตาหมีหรือจระเข้ไม่กี่ตัวอยู่แล้ว ดังนั้นมันจะทำอะไรก็ปล่อยให้มันทำไปเถอะ กูเชื่อใจมึง มึงเชื่อใจกู เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” ผมยิ้มตอบให้กับมัน “เสียแค่เพียงอย่างเดียวจริงๆ คือเรายังไม่มั่นใจอะไรสักอย่างเลย ตอนนี้เหมือนเราจะมีข้อมูลเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมามากแล้วนะ แต่สุดท้ายมันก็เป็นเหมือนแค่เม็ดทรายว่ะ ยังไม่สามารถก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างได้เลย ส่วนมากแล้วเราก็แค่คิดไปเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องที่ไอ้ปลาไหลนั่นมันชอบมึงรึเปล่า เรื่องตุ๊กตาหมี เรื่องความสัมพันธ์ของมันกับนัท และเบื้องหลังเจตนาของมันที่เข้ามาคบกับนัทในฐานะแฟน ถึงกูจะยอมรับว่ากูรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับตัวมันและไม่ชอบหน้ามันโคตรๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ตาม”

ไอ้เมฆถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะคลายมือที่กุมมือของผมเอาไว้ออก “เรื่องนี้กูก็คงต้องยกคำพูดมึงขึ้นมาพูดว่ะซัน....... เราไม่มีทางรู้เลย ยิ่งกับคนสมัยนี้เดี๋ยวนี้นะ เราไม่มีทางรู้ได้เลยจริงๆ.........”

หลังจากนั้นไม่นานพ่อเล็กก็กลับมาถึงบ้านพร้อมกับไคล์ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้ ทำให้ผมกับไอ้เมฆต้องรีบช่วยกันเก็บทั้งหมีและส่วนหัวของมันขึ้นห้อง เพื่อที่ทั้งคู่จะได้ไม่ต้องสงสัย และตลอดทั้งมื้ออาหาร ทั้งผมและเมฆต่างก็เงียบกันจนผิดปกติจนทำให้พ่อเล็กต้องถามเราหลายต่อหลายครั้งว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า และเราทั้งคู่ต่างก็ช่วยกันออกตัวกลบเกลื่อนกันไป ซึ่งก็คงไม่สามารถตบตาทั้งสองคนได้มากนักหรอก ส่วนตัวผมเองผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้เมฆมันคิดอะไรบ้าง แต่ผมนั้นเริ่มจะสับสนซะแล้ว ว่าข้อมูลที่เราได้มาจากเจ้าของร้านตุ๊กตาแต่เพียงอย่างเดียวนั้นมันจะเพียงพอที่จะสรุปเรื่องราวทั้งหมดได้จริงๆอย่างนั้นหรือ

“เมฆ โทรหานัทเถอะ” ผมบอกเมฆ เมื่อเราสองคนกินข้าวเสร็จและขึ้นห้องนอนมากันเรียบร้อยแล้ว

“ทำไมวะ ให้กูโทรหาเค้าเรื่องอะไรล่ะ”

“ถามเค้าเรื่องหมีน่ะ กูอยากได้ข้อมูลจริงๆอีกครั้งนึง แล้วหลังจากนั้นก็อยากให้มึงคุยกับพี่จ๊อบดูด้วย ลองเลียบๆเคียงๆถามมันดู”

“แล้วไหนตอนแรกมึงบอกว่ามึงจะปล่อยๆไปไง”

“มันก็ใช่ แต่ที่ปล่อยไปก็คือ กูจะยังไม่หาเรื่องเอาเรื่องหรือสรุปคนผิดลงไปที่ใคร แต่กูก็ต้องการรู้ความจริงอยู่ดีว่ะ โธ่ มึงเองก็รู้นิสัยของกูดีนี่นา” ผมมองตาของไอ้เมฆ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมแพ้สายตาของมันจนได้ “ก็ได้ๆ...... คือจริงๆแล้วกูรู้สึกแปลกๆว่ะ มันมีอะไรหลายอย่างจากที่มึงเล่าให้กูฟังเมื่อกี๊ที่มันฟังดูขัดๆกัน ถึงกูจะยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรนะ แต่กูก็ไม่อยากปล่อยมันทิ้งไปว่ะ”

“ก็คงใช่” ไอ้เมฆพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “มึงอาจจะมีเหตุผลของมึง ส่วนกูเองก็มีลางสังหรณ์เหมือนกัน เพราะงั้นไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราลองรวบรวมข้อมูลจากทุกทางเท่าที่ทำได้กันดูเลยก็แล้วกัน”

เมฆล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของมันออกมาจากกระเป๋า ส่วนผมก็เดินไปล็อกประตูห้องเอาไว้ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองมากดปิดเสียง และจากนั้นก็เดินกลับมานั่งลงบนเตียงใกล้ๆกับมันอีกครั้ง

“เปิดลำโพงให้กูได้ยินด้วยนะ” ผมบอก ส่วนไอ้เมฆก็พยักหน้ารับ

หลังจากที่เราสองคนนั่งฟังเสียงเพลงรอสายไม่นาน นัทก็กดรับโทรศัพท์ขึ้น

“ฮัลโหล ว่าไงเมฆ ขอโทษนะที่วันก่อนนัทไม่ได้รับโทรศัพท์เมฆน่ะ”

“อืมม ไม่เป็นไรหรอก แล้วนี่นัททำอะไรอยู่รึเปล่า เมฆกวนรึเปล่าเนี่ย กินข้าวรึยัง”

“ไม่ได้ทำอะไรหรอก เพิ่งกินข้าวเสร็จเดี๋ยวนี้เอง ขึ้นห้องมาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังพอดี พอดีว่านัททิ้งโทรศัพท์เอาไว้ในห้องน่ะ”

ผมฟังจากน้ำเสียงของนัทแล้วก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้มีวี่แววของความเศร้า ความทุกข์ ความลังเลหรืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียว น้ำเสียงของนัทดูเป็นปกติดีมากๆ และเผลอๆจะฟังดูกำลังมีความสุขมากในระดับหนึ่งอยู่ด้วยซ้ำไป แต่ผมเชื่อว่าไอ้เมฆเองก็คงสังเกตเรื่องนี้อยู่แล้วด้วยเหมือนกัน ผมจึงพยักหน้าเป็นเชิงส่งสัญญาณว่าให้มันเริ่มเข้าเรื่องได้แล้ว

“คือเมฆจะโทรมาบอกขอบคุณเรื่องของขวัญวันเกิดน่ะ แปลกใจเหมือนกันที่ได้ตุ๊กตาหมีแบบนั้นมา ตอนแรกเมฆยังคิดเลยว่านัทเอาตัวเก่าที่เมฆให้นัทไปมาคืนเมฆรึเปล่านะ”

“จะบ้าเหรอ ก็ตุ๊กตาของนัทมันหายไปแล้วไง นัทบอกเมฆแล้วไม่ใช่เหรอ น้องของนัทมันหิ้วติดมือกลับต่างจังหวัดไปด้วยน่ะ ขอโทษจริงๆนะเมฆ เนี่ยนัทก็เลยซื้อใหม่แบบเดิมคืนให้เมฆ มันก็เท่านั้นเอง เพราะบอกตามตรงนะ......” นัทหัวเราะเบาๆ “นัทไม่รู้จะซื้ออะไรให้เมฆดีน่ะสิ”

เราสองคนมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนที่เมฆจะพูดตอบกลับไป

“แล้วนัทเป็นคนบอกพี่จ๊อบเรื่องงานเลี้ยงที่บ้านเมฆเหรอ พี่เขาถึงได้มาถูกน่ะ”

“อืมม ก็ใช่แหละ ทำไมเหรอ” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มสังเกตได้ถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“อ๋อ เปล่าหรอก ก็แค่สงสัยว่าทำไมนัทถึงไม่มาน่ะ เมฆก็เลยคิดว่านัทจะโกรธเมฆหรืออะไรแบบนั้นรึเปล่า” ไอ้ตัวดีของผมลดเสียงต่ำลงและพูดช้าลงเล็กน้อย

“เปล่าหรอกเมฆ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ นัทเองก็มีพี่จ๊อบอยู่แล้ว ส่วนเมฆเองมีความสุขดี ก็ดีแล้วนี่นา”

ผมนิ่วหน้าเล็กน้อยกับคำตอบที่เพิ่งได้ยิน

“แล้วตอนนี้นัทกับพี่จ๊อบก็โอเคกันดีอยู่ใช่มั๊ย ยิ่งหลังจากกลับมาจากทะเลน่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันใช่รึเปล่า”

“ก็ไม่มีนะ คือ ก็มีทะเลาะงอนๆกันบ้างแหละ พี่จ๊อบเค้าไม่ค่อยมีเวลาน่ะ แต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรนี่ ทำไมเหรอ”

“อ๋อ เปล่าหรอก คือ ถ้านัทมีปัญหาอะไรหรือไม่สบายใจอะไรล่ะก็ เมฆก็แค่อยากบอกว่านัทสามารถปรึกษาเมฆได้นะ อยากให้นัทคิดถึงเมฆบ้างก็แค่นั้นเอง เมฆไม่อยากให้นัทเก็บเรื่องไม่สบายใจเอาไว้คนเดียวน่ะ”

“อืมม ได้ ขอบใจมากนะเมฆ” อีกครั้ง ที่ผมต้องนิ่วหน้าเพราะคำตอบที่ได้ยิน “ถ้าไงนัทขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ เพราะเดี๋ยวจะต้องออกไปข้างนอกกับพี่จ๊อบน่ะ เค้ากำลังจะมารับนัทที่บ้านแล้วเนี่ย”

“อืมๆ ได้ครับ งั้นโชคดีนะนัท แล้วเดี๋ยวเอาไว้ค่อยคุยกันใหม่”

“ขอบใจมากนะเมฆ ที่โทรมา บ๊ายบาย” นัทตอบ ก่อนจะวางสายไป

เมฆกดปุ่มวางสายแล้วหันมามองหน้าผมอีกครั้ง “ได้อะไรมั๊ย”

ผมพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นส่ายหน้า “มึงโทรหาพี่จ๊อบก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกันทีเดียว”

เมฆมองโทรศัพท์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มกดหาเบอร์พี่จ๊อบ ซึ่งผมคิดว่ามันคงนิ่งเพื่อที่จะนึกเรื่องที่จะโทรไปหาพี่เค้านั่นเอง และหลังจากเสียงเพลงรอสายครู่หนึ่ง พี่จ๊อบก็กดรับโทรศัพท์ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้ยินเสียงของมันผ่านทางโทรศัพท์ด้วย

“สวัสดีครับเมฆ เป็นไงบ้าง นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าจะเป็นฝ่ายโทรมาหาพี่ก่อน แบบนี้ซันจะไม่ว่าเอาเหรอ” ไอ้หน้าปลาไหลนั่นหัวเราะในลำคอเบาๆไปด้วยขณะที่พูด ทำเอาผมอยากจะเอื้อมมือไปกดปุ่มวางสายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยทีเดียว

“ซันมันไม่ว่าอะไรหรอกครับ ผมก็แค่โทรกลับมาหาพี่ที่พี่โทรมาหาผมตั้งหลายครั้งเท่านั้นเอง ว่าจะถามพี่ว่ามีธุระอะไรรึเปล่าเท่านั้นน่ะครับ”

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่คิดถึง อยากโทรไปคุยเฉยๆ”

ผมกับเมฆสบตากันอีกครั้ง และคราวนี้ผมเริ่มจะรู้สึกเกลียดผู้ชายคนนี้มากขึ้นจริงๆแล้วด้วย

“แค่นี้น่ะเหรอครับ ที่พี่โทรหาผม”

“ก็ประมาณนั้นแหละครับ แต่จริงๆพี่ก็อยากจะนัดเจอเมฆด้วยน่ะ พี่อยากคุยอยากปรึกษาเรื่องของนัทด้วยนิดหน่อยน่ะครับ ช่วงนี้พี่มีปัญหากับเค้าบ่อยมากเลย นัทเค้าก็เอาแต่เปรียบเทียบพี่กับเมฆ ว่าทำไมพี่ไม่หัดคิดหัดทำตัวให้ได้แบบเมฆบ้าง อะไรแบบนั้นน่ะ เหนื่อยโคตรๆเลย พูดตามตรง”

“หมายความว่าไงครับ นี่หมายความว่าพี่หาว่าผมเป็นต้นเหตุรึเปล่าครับเนี่ย” ไอ้เมฆเหลือบมาสบตากับผมแล้วนิ่วหน้า

“เฮ้ย เปล่าหรอก พี่ไม่ได้ว่าเมฆ พี่ก็แค่พูดอย่างที่นัทพูดให้ฟังเฉยๆเอง พี่รู้ว่าเมฆเป็นคนดี พี่เองยังชอบเลย แล้วพี่จะโทษเมฆทำไมล่ะครับ” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ “ถ้าพี่จะโทษเมฆ พี่ไม่โทรไปเพื่อแค่จะบอกเมฆว่าคิดถึงหรอกนะ”

“เอ่ออ ช่างมันเหอะครับพี่ ผมว่าพี่ดูแลแฟนพี่ดีๆเถอะนะครับ และที่สำคัญตอนที่ผมกับนัทคบกัน เราก็ไม่ได้เดินบนกลีบกุหลาบอยู่ตลอดหรอก เราก็ทะเลาะกันบ่อยเหมือนกันนั่นแหละ นัทเค้าค่อนข้างจะแปรปรวนนิดหน่อยเท่านั้นเอง ง้อๆเค้าหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“สงสัยจะจริงนะ เนี่ยเค้าไม่ยอมเจอพี่มาสองสามวันแล้ว ตอนแรกวันนี้นัดจะไปกินข้าวไปดูหนังด้วยกันอยู่เลย สุดท้ายเค้าก็ไม่ไป บอกว่าไม่สบาย พี่ก็เลยนอนกลิ้งอยู่บ้านเฉยๆทั้งวันเลยเนี่ย........ แล้วเมฆล่ะ ทำอะไรอยู่ ว่างมั๊ย ออกไปเที่ยวไปกินเหล้าด้วยกันหน่อยดีมั๊ยครับ”

เมฆเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพร้อมนิ่วหน้าและส่ายหัวเบาๆ ส่วนผมเองก็อดพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆไม่ได้

“ไม่ดีมั๊งครับพี่ ผมว่าพี่ไปง้อนัทเถอะ ถ้าผมเดาไม่ผิด ผมคิดว่าพี่คงกำลังทะเลาะกันอยู่ใช่มั๊ยล่ะครับ”

“ก็งอนๆกันนิดหน่อยน่ะนะ แต่ก็คงไม่ได้มีอะไรมากหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงหายเองแหละมั๊ง”

ไอ้เมฆเงียบไปพักหนึ่งท่าทางกำลังใช้ความคิด

“พี่จ๊อบ ผมขอถามอะไรพี่ตรงๆอย่างสิครับ”

“อะไรล่ะครับ ถามมาดูสิ”

“พี่เป็นคนส่งหมีตัวนั้นมารึเปล่าครับ”

ผมเองยังต้องตกใจไปด้วยเลยเมื่อได้ยินไอ้เมฆพูดออกมาแบบนั้น แต่เมื่อผมได้สบตากับมัน ผมก็เริ่มตั้งหลักได้ และหันมาให้ความสนใจกับคำตอบที่กำลังจะได้ยินแทน

“หมีเหรอ หมีไหนครับ ก็นัทไม่ใช่เหรอที่ซื้อตุ๊กตาหมีให้เมฆเป็นของขวัญวันเกิดน่ะ”

ผมกับเมฆมองหน้ากันอีกครั้ง และคราวนี้มันก็เป็นสัญญาณว่าเราสองคนไม่เห็นถึงความผิดปกติทั้งในน้ำเสียง ในจังหวะการพูด และการเว้นช่วงคำในคำตอบของพี่จ๊อบเลย ดูเหมือนกับว่ามันกำลังสงสัยในคำถามของไอ้เมฆจริงๆ ซึ่งนั่นก็แปลได้ว่ามันไม่ใช่ตัวการอย่างนั้นน่ะเหรอ...........

แต่ก็นั่นแหละ กับผู้ชายคนนี้แล้ว จะเชื่อถือหรือเอาอะไรแน่นอนกับมันมากนักก็คงไม่ได้

“พี่เคยเห็นหมีที่นัทซื้อให้ผมเหรอครับ”

“อ้าว เคยสิ ก็พี่ไปซื้อพร้อมเขาเอง หมีแบบเดียวกับที่อยู่ในห้องเค้าใช่มั๊ยล่ะ”

“พี่เคยเห็นหมีในห้องนัทด้วยเหรอ เมื่อไหร่ครับ” ไอ้เมฆถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจนิดๆ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่ามันแปลกใจจริงหรือแกล้งแปลกใจกันแน่ แต่ถ้ามันแกล้งทำ ก็ต้องบอกเลยว่ามันทำได้แนบเนียนจริงๆ

“หมีตัวที่เมฆเคยซื้อให้นัทใช่มั๊ย ทำไมพี่จะไม่เคยเห็นล่ะ ก็ตั้งอยู่บนหัวเตียงของเค้านั่นแหละ”

“ตอนนี้ก็ยังอยู่เหรอครับ” คราวนี้ไอ้เมฆเริ่มจะแปลกใจจริงๆแล้ว รวมทั้งผมด้วย

“ไม่รู้สิ ก็พี่ไม่ได้ขึ้นห้องของนัทมาสักสองอาทิตย์ได้แล้วนะ ทำไมเหรอครับ”

“อ๋ออ เปล่าหรอกครับ คือผมแค่แปลกใจนิดหน่อยน่ะ เพราะว่าพ่อนัทดุจะตาย ผมเลยไม่คิดว่าเค้าจะปล่อยให้พี่ขึ้นไปห้องนอนนัทได้เลย”

“ก็จริงนะ” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ “พ่อของนัทก็ดุจริงๆนั่นแหละ กว่าพี่จะเข้าบ้านได้ก็ตั้งนานเลยเหมือนกัน ยิ่งกว่าจะขึ้นห้องนัทได้นี่ยิ่งนานใหญ่”

“ก็นั่นสินะครับ........” เมฆเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมอีกครั้งด้วยสีหน้าข้องใจ

“แล้วของขวัญที่พี่ซื้อให้ล่ะครับ ชอบรึเปล่า”

“ก็ดีครับ ขอบคุณมากนะครับพี่” ไอ้เมฆสบตากับผมอีกหน แต่ผมก็ยักไหล่ตอบมันกลับไป “แต่บอกตามตรงนะครับ ผมยังไม่เห็นมันเลย เพราะพอซันรู้ว่าพี่ซื้อมาให้ผม มันก็โกรธใหญ่ แล้วมันก็เลยไปอยู่ในถังขยะเรียบร้อยแล้ว ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ แต่ผมก็ไม่อยากจะโกหกพี่น่ะ”

พี่จ๊อบเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมา “เออ ไม่เป็นไรครับ ช่างมันเถอะ ซันเค้าคงหึงน่าดูสินะ”

“โคตรๆเลยล่ะครับ”

“แต่พี่ไม่เข้าใจนะว่าทำไมเค้าต้องทำถึงขนาดนั้น” น้ำเสียงของพี่จ๊อบดูเหมือนจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว “มันไม่มีเหตุผลเลย หรืออย่างน้อยๆก็ให้เมฆเอามาคืนพี่ก็ได้นี่ ไม่เห็นจำเป็นต้องทิ้งไปเลยแบบนั้นนี่นา”

“และถ้าเอาไปคืนมึง มึงจะรับคืนมั๊ยล่ะ ไอ้ห่า” ผมพูดออกมาเบาๆ

“ผมขอโทษอีกครั้งแล้วกันนะครับ แต่พี่อย่าไปโทษมันเลย มันก็เป็นคนใจร้อนแบบนี้แหละ มันไม่ได้เจตนาไม่ดีอะไรหรอก” ไอ้เมฆตอบพี่จ๊อบ

“ก็ได้ครับ พี่ไม่ติดใจก็ได้ ว่าแต่ตกลงเมฆไม่ไปกับพี่จริงๆเหรอครับ คืนนี้น่ะ เดี๋ยวพี่ไปรับก็ได้นะ”

“เอ่ออ ไม่ดีกว่าครับพี่ มันคงไม่ดีหรอก ผมบอกแล้วไง พี่ไปดูแลแฟนพี่เถอะครับ ป่านนี้นัทเค้าคงกำลังรอโทรศัพท์พี่อยู่ด้วยซ้ำมั๊ง และที่สำคัญ ถ้าเกิดซันรู้ว่าพี่ชวนผมออกไปแบบนี้ล่ะก็ มันต้องยิ่งไม่ชอบใจมากแน่ๆ และผมเองก็รู้ว่าพี่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ชอบพี่ โดยเฉพาะถ้าพี่มาอะไรกับผมมากๆน่ะครับ แถมผมเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าพี่เองก็ไม่ได้ชอบไอ้ซันสักเท่าไหร่อยู่แล้วด้วยเหมือนกัน จริงมั๊ยล่ะครับ”

“อ้าว ทำไมเมฆถึงคิดว่าพี่จะต้องไม่ชอบเค้าหรือเค้าไม่ชอบพี่ล่ะครับ” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆอีกครั้ง

“ไม่รู้สิครับ แล้วพี่คิดว่าทำไมล่ะ” ไอ้เมฆย้อนถามด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและราบเรียบ “พี่จ๊อบครับ ผมว่าผมคงต้องวางแล้วล่ะ ไอ้ซันคงใกล้จะอาบน้ำเสร็จแล้ว เดี๋ยวมันจะไม่พอใจเอา”

“แอบแฟนมาคุยกับผู้ชายคนอื่นเหรอเนี่ย หึหึ ไม่เบาเหมือนกันนี่เรา”

“แต่ถึงไงแฟนผมก็เป็นผู้ชาย และผู้ชายคนอื่นที่ผมคุยด้วยก็เป็นแค่ ‘คนอื่น’ จริงๆนี่ครับ และที่สำคัญผมไม่ได้แอบด้วย ถึงยังไงมันก็ต้องรู้ว่าเราคุยกันอยู่ดี” ไอ้เมฆตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดจนทำให้พี่จ๊อบต้องเงียบลงทันที และเมื่อพี่จ๊อบกลับมาตั้งหลักได้ มันจึงเริ่มหัวเราะเบาๆแบบเดิมๆเป็นการตอบกลับมาอีกครั้ง

“ทำไมเมฆถึงใจร้ายกับพี่นักล่ะครับ” พี่จ๊อบแสร้งทำน้ำเสียงน้อยใจ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกอยากจะอ้วก “พี่ก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง พี่อยากจะเป็นเพื่อนของเมฆนะครับ อย่าดุกับพี่นักสิ แบบนั้นมันดูเหมือนเป็นซันมากกว่าเมฆนะ แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอกครับ และสักวันนึงเมฆก็จะเห็นเองว่าพี่กับซันน่ะ ต่างกันยังไง”

ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือของไอ้เมฆที่วางอยู่บนเตียงมากดปุ่มวางสายลงซะเอง เพราะผมไม่สามารถทนฟังไอ้กะล่อนนี่มันมาต่อความยาวสาวความยืดไร้สาระ และพูดจาเหวี่ยงแหใส่แฟนผมมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว และเมื่อห้องของเราตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง ไอ้เมฆที่มองหน้าของผมนิ่งมาครู่หนึ่งก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น

“สรุปตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า............”

“มีคนอย่างน้อยหนึ่งคนที่กำลังโกหกพวกเราอยู่” ผมพยักหน้า


หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-12-2007 23:46:30
ตอนสุดท้ายของปีครับ  :mc4:

ขอให้มีความสุขกันมากๆนะครับ ไปเที่ยวกันก็ระมัดระวังตัวเน้อออ
และไหนๆก็ไหน ถ้าจะให้อวยพรให้สมกับเป็นกระทู้ของท้องฟ้ากับก้อนเมฆแล้วล่ะก็

ผมก็ขอบอกว่า.......

"ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกคนที่ยังไม่เคยรู้ถึงความงดงามของท้องฟ้า ได้เห็นถึงความสวยงามและยิ่งใหญ่ของมันนะครับ และที่สำคัญ ขอให้คุณมีคนที่จะร่วมแชร์ความยิ่งใหญ่และความงามของมันไปพร้อมๆกันด้วยนะ ขอให้ทุกคนมีท้องฟ้าเป็นของตัวเอง และได้ใช้เส้นขอบฟ้าร่วมกับคนที่คุณรักนะคร้าบบบบบ  ---  จากใจ ติ้มนุ่มน่น"

เจอกันปีหน้าครับผม  :pig3: :pig3: :pig3:

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 22-12-2007 03:15:52
 :m4: งานนี้ไม่นัทก็พี่จ๊อบ :o
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 22-12-2007 12:31:42
งานนี้ทั้งนัทกะพี่จ๊อบนั่นแหละ ตัวปัญหาทั้งคู่เลย

ท้องฟ้ากะก้อนเมฆ ระวังตัวหน่อยนะจ๊ะ เป็นห่วงจ้ะ

สวัสดีปีใหม่น้องต้นด้วยนะจ๊ะ ขอให้มีความสุขมากๆ 

ความทุกข์ความโศกความเศร้าทั้งหลายทั้งปวงจงมลายหายไปจากชีวิตของต้นด้วยเทอญ :pig3:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 22-12-2007 13:01:33
กลิ่นทะแม่ง ๆ ไม่อยากเชื่อเลยยยยว่านัทจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
ทั้งโกหกเรื่องหมี โกหกว่านัดกับพี่จ๊อบ....เพื่ออะไรอ่ะ ไม่เข้าใจ
เมฆช่วยนัทไว้นะ.... :m16:       มันน่าปล่อยให้โดนข่มขืนจังงง
ยังมีไอ้พี่จ๊อบ กะแบงค์อีก.....แค่คิดก็เหนื่อยซะละ..... :serius2:
เมฆ กะ ซัน สู้ สู้  :a2:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 22-12-2007 14:38:05
คนนึงก็อยากดึงกลับไป

คนนึงก็อยากเข้ามาแทนที่


แล้วใครกัน ... ที่โกหก
หรือจะโกหกกันทั้งสองคน  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 26-12-2007 10:44:30
เง้อออออ

พี่ชาย ปีใหม่อยากปายเที่ยวด้วยกันอ้ะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 26-12-2007 11:53:51
รออ่านปีหน้าเลยหรอ  :a5: อีกตั้งนานนนนนนนนน

แต่ต้นบอกให้ รอ เราก็รอ  o7
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 26-12-2007 16:18:18
แหะๆๆ ไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนานไปถึงไหนแล้วเนี่ย  :m29:


ขอบคุณสำหรับคำอวยพร แล้วก็ขอให้สิ่งที่ดีๆเข้ามาในชีวิตคุณต้นด้วยเหมือนกันนะครับผม
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-01-2008 09:38:17
กลับมาแล้วค้าบบ

มีความสุขสนุกตามสมควร ไม่ได้เค้าดาว แต่ก้อโอเคดี (เอิ๊กๆ)

ทุกคนเปนไงกันบ้าง

ไอ้ต้นโสดรับปีใหม่ครับ แรดกะจาย 5555

แต่ตอนนี้กลับมามีแฟนเหมือนเดิมแว้ว เซ็งเลย  :sad2:

สองสามวันก่อน หัวใจถูกแบ่งไปอยู่ทุกภาคของประเทศไทยเลย 555 เป็นคนหัวใจกระดาษษษษษ ~

ยังไงก้อขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆอีกครั้งนะครับ

แล้วก็ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียและการสิ้นพระชนม์ของพระพี่นางด้วยครับ..........

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-01-2008 09:39:02
วินาทีที่ 19


วันอาทิตย์ ผมกับเมฆใช้เวลาเกือบทั้งวันครุ่นคิดถึงคำพูดของทั้งพี่จ๊อบและของนัท ซึ่งสิ่งที่เราไม่เข้าใจมากที่สุดก็คงจะเป็น มันมีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนนั้นต้องโกหกเรา โดยเฉพาะเมฆที่ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่นัทพูดเป็นเรื่องโกหก แต่มันเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่พี่จ๊อบพูดนั้นก็มีน้ำหนักใช้ได้ในระดับหนึ่งเหมือนกัน สรุปแล้วเราทั้งสองคนต่างก็สับสนและวุ่นวายใจ และสุดท้ายแล้วเราจึงตัดสินใจปล่อยให้เรื่องนี้มันจบลงไปโดยไม่พยายามจะไปคิดถึงมันมากเกินไปอีก

เย็นวันนั้นไอ้แบ๊งค์โทรเข้ามาหาผมและชวนผมออกไปกินข้าวเย็นด้วยกัน มันบอกว่าเป็นแค่การกินข้าวแบบเพื่อนฝูง ไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น แต่ว่าผมอยู่บ้านกับไอ้เมฆ พ่อเล็ก และไคล์พร้อมหน้า แถมยังกำลังจะกินข้าวเย็นด้วยกันอยู่แล้ว บวกกับการที่ผมไม่อยู่ในอารมณ์อยากจะสังสรรค์กับมันสักเท่าไหร่นัก ผมจึงปฏิเสธไป

“โทษที แบ๊งค์ กูไม่ว่างว่ะ เย็นนี้ต้องไปธุระ แล้วก็มันกะทันหันไปหน่อยน่ะ เอาไว้คราวหน้าได้มั๊ยวะ หรือถ้าจะให้ดีนัดล่วงหน้าหน่อยก็โอเค”

“อืมมม กูเข้าใจ แต่มึงอย่าคิดมากนะเว้ย กูก็แค่อยากจะขอโทษมึงหลายๆอย่างเท่านั้นเอง”

“ขอโทษกูงั้นเหรอ”

“ใช่ ขอโทษมึง กูอยากจะเริ่มต้นกับมึงใหม่น่ะ เอ่ออ หมายถึงฐานะเพื่อนน่ะนะ อย่างน้อยๆกูก็อยากจะให้ช่วงเวลาๆที่เราเคยใกล้ชิดกัน เป็นเพื่อนรักกันแบบเมื่อหลายปีก่อนนี้กลับมาเหมือนเดิมน่ะ”

“กูเข้าใจ........ เอางี้ ไว้ประมาณวันพุธหรือวันพฤหัสมึงโทรมาหากูอีกทีก็แล้วกัน ตอนเย็นหลังเลิกงานกูน่าจะว่าง แล้วไงเดี๋ยวกูค่อยให้คำตอบมึง โอเคมั๊ย”

“ได้ๆ ขอบใจมากนะซัน ครั้งนี้กูเลี้ยงเอง แล้วก็ กูขอแค่เพียงอย่างเดียวนะ ขอให้คิดกับกูในฐานะเพื่อนที่เราเคยไปไหนมาไหนด้วยกันแบบแต่ก่อนเท่านั้นก็พอ....... ขอแค่........ มึงอย่ารังเกียจกูเพราะเรื่องเหี้ยๆที่กูพูดออกไป”

“ได้ กูเข้าใจมึง” ผมรับคำ และเวลาที่เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงของวันนั้น ผมก็มีเรื่องใหม่ให้คิดเข้ามาแทนที่เรื่องของไอ้ตุ๊กตาหมีผีตัวนั้น ซึ่งเรื่องใหม่ที่เข้ามาวิ่งอยู่ในสมองของผมนี้ก็ถือว่าค่อนข้างจะผ่อนคลายมากกว่าความน่าสับสนของไอ้หมีนรกนั่นมากเลยทีเดียว

และแน่นอนว่าผมบอกไอ้เมฆแล้ว ซึ่งมันก็ไม่ว่าอะไรผมเลย ผมคิดว่าเรื่องนี้ถือเป็นข้อดีของเราสองคนอยู่อย่างนึง นั่นก็คือไอ้เมฆนั้นจะไม่ค่อยหึงหวงผมเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หรือเรื่องของผมกับเพื่อนคนอื่นๆ เนื่องจากสมัยตอนที่เราอยู่มัธยมปลาย เมฆมันก็คงเคยชินกับการเห็นผมต้องไปข้องเกี่ยวกับคนนั้นคนนี้มาตลอดอยู่แล้ว แต่ผมรู้ว่าลึกๆแล้วถ้าหากมันมาถึงจุดที่อันตรายเกินไป ไอ้เมฆก็คงจะต้องพูดออกมาจนได้ว่ามันหึงผม กลับกันกับผมที่ผมเป็นคนที่หึงหวงมันมากกว่าแบบสุดๆ ผมแสดงออกชัดเจนมากว่าผมหวงมัน แต่ลึกๆแล้วผมกลับไว้ใจมันมากและไม่คิดเลยว่ามันจะมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เราต้องมีปัญหากันอันเนื่องมาจากตัวมัน ซึ่งก็เรียกได้ว่านั่นเป็นความเหมือนในความต่าง หรือความต่างในความเหมือน หรือความกลมกลืนที่เราสองคนมีให้กันเป็นอย่างดี

และเมื่อวันเวลาผ่านไป ผมกับเมฆต่างก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องตุ๊กตาและเรื่องของทั้งนัทและพี่จ๊อบขึ้นมาอีกเลย และดูเหมือนตัวพี่จ๊อบเองก็จะรู้ว่าอะไรที่ควรทำและไม่ควรทำอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะหลังจากคืนวันเสาร์นั่นแล้ว มันก็ยังไม่ได้โทรมาหาเมฆอีก ส่วนแม้แต่ตัวของผมก็ยังคิดถึงคำสัญญาที่รับปากเรื่องไอ้แบ๊งค์ได้แค่เพียงคืนเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นมาผมก็ไม่ได้คิดถึงมันอีกเลย

แต่ทุกๆสิ่งก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อมาถึงวันพุธ ขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองหลังจากขึ้นมาจากพักกลางวัน ผมย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องที่เมฆเล่าให้ผมฟังที่โต๊ะกินข้าวเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลของพี่จ๊อบ และคำสัญญาว่าผมจะโทรหาคนๆหนึ่ง ผมจึงหยิบโทรศัพท์มากดหาเบอร์ของเอ็น และตัดสินใจโทรไปหามันเพื่อถามถึงข้อมูลที่เหลืออยู่ที่ผมอยากจะรู้และควรที่จะรู้

“ฮัลโหล นี่ซันนะครับ เอ่ออ เพื่อนของเมฆน่ะ นั่นใช่เอ็นรึเปล่า” ผมทักออกไปหลังจากที่มีคนรับโทรศัพท์

“อ๋อ ไอ้ซันเหรอ เฮ้ยเป็นไงวะ ไม่ได้คุยกันตั้งนาน” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างเป็นกันเอง ทำให้ผมเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น

“เออ ก็ดีว่ะ แล้วมึงล่ะเป็นไงบ้าง ไอ้เมฆมันได้บอกไว้รึเปล่าว่ากูจะโทรหามึงน่ะ”

“บอกแล้วๆ เชี่ยเอ๊ย นี่กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกมึงไปข้องเกี่ยวกับไอ้ลูกชายตัวดีของบ้านนั้นได้ยังไงน่ะ แต่กูบอกตามตรงว่าบ้านกูไม่มีใครชอบพวกแม่งเท่าไหร่หรอกนะเว้ย”

“ทำไมวะ มันเหี้ยมากเลยเหรอ จระเข้บ้านมันดุมากเลยเหรอวะ”

ไอ้เอ็นหัวเราะชอบใจ “ก็ไม่เชิงหรอก แต่มึงรู้รึเปล่า ว่าถ้ามึงโยนไก่ทั้งตัวลงไปในบ่อจระเข้น่ะ มันจะกินไม่เหลือแม้แต่กระดูกเลยนะเว้ย เพราะงั้น มึงจะไม่เหลือซากหรือร่องรอยอะไรให้ตามได้เลย”

ผมเงียบแทนคำตอบ

“กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าบ้านมันมีบ่อจระเข้จริงๆรึเปล่าน่ะ คงไม่มีใครกล้าไปด้อมๆมองๆหลังบ้านมันเท่าไหร่หรอก กูลองคุยเรื่องนี้กับพ่อกับพี่กูดูแล้ว ได้ความมาว่า เจ้าตัวพ่อน่ะมันก็มือสะอาดอยู่พอตัวเลยเหมือนกัน เพราะเห็นว่าตั้งใจจะไปให้สูงกว่าแค่ในระดับเขตระดับพื้นที่แบบที่เป็นอยู่นี้ให้ได้ ช่วงหลังๆมานี่ก็เลยต้องพรีเซ็นท์ตัวเองดีๆหน่อย แต่ปัญหามันก็มีอยู่ที่ว่า ก่อนหน้าที่มันจะมาจุดนี้ได้น่ะ พ่อกูบอกว่ามันผ่านอะไรมาไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนพี่ก็กูบอกว่า ถึงเบื้องหน้ามันจะสะอาดยังไง คนเรามันก็ลบเงาด้านหลังของตัวเองทิ้งไปไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะพยายามซ่อนเอาไว้แค่ไหนก็ตาม มึงพอจะเข้าใจใช่มั๊ยวะ”

“งั้นแปลว่าปัญหาสำคัญของกูตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวลูกงั้นเหรอวะ”

“ก็ไม่เชิงอีกนั่นแหละ เพราะกูไม่รู้ไงว่ามึงไปมีปัญหาอะไรระดับไหนกันแน่........” อีกฝ่ายเงียบรอให้ผมเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน แต่ผมไม่ตกหลุม ไอ้เอ็นจึงเริ่มต้นพูดต่อหลังจากถอนหายใจเบาๆ “คือ ไอ้จ๊อบน่ะ มันรุ่นใกล้ๆกับพี่กู พี่กูก็เลยพอได้ยินชื่อเสียงมันอยู่บ้าง ไอ้เนี่ย มันเพลย์บอย กะล่อน ถึงจะไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย มึงงงมั๊ยวะ”

“งงดิ่ ไอ้เหี้ย พูดอะไรของมึงวะ แม่งขัดกันเอง”

“เอาเป็นว่า มันน่ะ เปลี่ยนแฟนบ่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเหี้ยจนไม่มีคนทนมันได้ หรือเพลย์บอยจนไม่เลือกหน้า แต่พี่กูบอกว่าเพราะคนที่มาคบกับมันน่ะ ผ่านพ่อมันไม่ได้สักคน มีน้อยคนมากๆที่พ่อมันเห็นชอบด้วย และกูได้ข่าวมาว่าคนล่าสุดที่มันเพิ่งเลิกไปก็คือนัท แฟนเก่าไอ้เมฆนี่ ใช่มั๊ย”

“อันนี้ข่าวมึงผิดแล้วล่ะ มันสองคนยังคบกันอยู่เลย เมื่อตอนพวกกูกลับมาและไปเที่ยวทะเลกัน มันก็ยังไปด้วยกันกับพวกกูอยู่เลยว่ะ”

“อ้าวเหรอ เออ งั้นสงสัยข่าวกูจะผิดหรือไม่ก็เก่าไป เพราะจริงๆไอ้จ๊อบเนี่ย มันไม่ได้เลวถึงแก่นขนาดนั้นหรอก มันก็แค่เที่ยวเก่ง และด้วยหน้าตาที่ไม่ถึงกับเหี้ยแดก บวกกับเงินที่มีเป็นถุงเป็นถัง ก็เลยทำให้ดึงสาวๆได้มากพอตัวเหมือนกัน และมันก็ไม่ค่อยจะปฏิเสธคนที่เข้าหามันสักเท่าไหร่ซะด้วย สุภาพบุรุษมั๊ยล่ะ”

“ไอ้สุภาพบุรุษแบบนั้นนั่นแหละ ที่เรียกว่าเลวน่ะ”

“เออ ก็คงงั้นมั๊ง แต่ที่น่าสนใจก็คือ พ่อมันน่ะ ก็เคยเอือมๆมันเหมือนกันแนะ เพราะตัวลูกน่ะใช้เงินเยอะ เที่ยวเก่ง แต่ยังดีที่มันประจบพ่อประจบแม่เก่ง มันก็เลยรอด แถมตั้งแต่มันมีงานมีการทำเป็นของตัวเอง พ่อมันก็เลยเลิกจุกจิกอะไรมากแล้ว”

“อืมมมม...... ตอนนี้กูสงสัยอยู่สองสามอย่างว่ะ ไม่รู้ว่ามึงพอจะรู้รึเปล่า” ผมเงียบไปพักหนึ่ง พอรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่ไอ้เอ็นก็เงียบตอบกลับมาเพื่อรอให้ผมเป็นฝ่ายพูดต่อขึ้นมาก่อนอีกเช่นกัน “กูอยากรู้ว่าไอ้จ๊อบเนี่ย มันใช้บารมีพ่อได้ขนาดไหน มันเป็นพวกอยากได้อะไรต้องได้รึเปล่า และที่สำคัญคือ มันเป็นเกย์มั๊ย”

“มึงว่าไงนะ” ไอ้เอ็นที่ท่าทางกำลังสำลักอะไรสักอย่างอยู่ที่ปลายสายตอบกลับมา ผมได้ยินเสียงไอโขลกๆดังอยู่แว่วๆ ก่อนที่มันจะตั้งหลักได้ “เมื่อกี๊มึงถามกูว่าไงมั่งนะไอ้ซัน เชี่ยเอ๊ยย สำลักกาแฟเลยกู”

“กูถามว่า มันมีบารมีมากขนาดไหน มันเป็นประเภทลูกคนหนูเอาแต่ใจมั๊ย และข้อสุดท้าย มันเป็นเกย์หรือมีประวัติว่าเคยไปเจ๊าะแจ๊ะเคยผ่านอะไรกับผู้ชายมามั่งรึเปล่า”

ไอ้เอ็นเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเคลียร์ลำคอและตอบผมกลับมา “อย่างแรกนะ มันเองก็มีลูกน้องอยู่พอตัวเหมือนกัน ก็ลูกน้องพ่อมันนั่นแหละ เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัย ไอ้โลกเบื้องหลังของไอ้คนจำพวกนี้น่ะ มึงไม่อยากจะรู้รายละเอียดนักหรอก ส่วนนิสัยส่วนตัวของมัน เรื่องนี้กูไม่ชัวร์ว่ะ....... โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวโคตรๆแบบนั้นน่ะ”

“มึงช่วยสืบให้กูหน่อยได้มั๊ยวะ รบกวนหน่อย”

“อืมมม.........” อีกฝ่ายเงียบไปอีกอึดใจหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจ “ก็ได้ กูจะทำเท่าที่ทำได้นะ แต่มีข้อแลกเปลี่ยน นั่นก็คือ มึงสองคนต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กูฟัง และกูหมายความว่าหมดแบบหมดเปลือกจริงๆนะเว้ย ไม่งั้นกูก็คงช่วยอะไรมึงไม่ได้”

“ก็ได้ ไม่มีปัญหา..........” ผมตอบ และทันใดนั้นผมก็สังเกตเห็นพี่กบที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาผม พร้อมกับกล่องของขวัญหนึ่งกล่องในมือ ผมรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองขาดช่วง และหัวใจกระตุกไปวูบหนึ่งทันที “มึงถือสายรอกูแป๊บนึงนะ ไอ้เอ็น”

พี่กบเดินยิ้มเข้ามาวางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะของผม และเมื่อพี่เขาเห็นผมกำลังติดสายอยู่ เขาจึงแค่ยิ้มแบบขี้เล่นและพยักหน้าให้ผมก่อนจะตั้งท่าเดินกลับออกไป

“เดี๋ยวครับพี่กบ นี่อะไรอ่ะครับ ของขวัญอีกแล้วเหรอ” ผมรีบถาม ทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“ค่ะ เสน่ห์แรงอีกแล้วนะ มาจากคนนอกอีกแล้วล่ะ ท่าทางคนนี้จะเอาจริงนะเนี่ย” พี่กบหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินจากไป

ผมวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะข้างๆกล่องของขวัญนั้น และใช้มือทั้งสองข้างเปิดฝากล่องออกอย่างเบามือ เมื่อฝากล่องถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นสิ่งที่ถูกวางอยู่ข้างในได้อย่างชัดเจน บริเวณส่วนหัวของตุ๊กตาหมีโผล่ออกมาเล็กน้อย ผมจึงค่อยๆใช้มือประคองมันออกมาจากกล่องอย่างเบามือ และมันก็คือตุ๊กตาหมีที่มีหน้าตาและเสื้อผ้าเป็นชุดกะลาสีสีน้ำเงินแบบเดียวกับตุ๊กตาหมีตัวที่กำลังเป็นปัญหาของเราสองคนอยู่นั่นเอง เพียงแต่เจ้าตัวนี้ไม่ได้มีรอยกรีด รอยฉีกขาด และเลือดที่เปื้อนตามตัวแต่อย่างใด

ผมคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบที่หูอีกครั้ง “เฮ้ย ไอ้เอ็น กูว่ากูคงต้องพึ่งมึงอีกหนแน่ๆว่ะ กูสัญญาว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้มึงฟังเอง เพราะกูชักมั่นใจแล้วว่ากูคงต้องขอความช่วยเหลือจากมึงอีกเร็วๆนี้แน่”

ผมบอกลาและนัดเวลาที่จะคุยกับไอ้เอ็นอีกครั้งก่อนจะกดปุ่มวางสายไป ผมหยิบตุ๊กตาหมีตัวตรงหน้านี้ขึ้นมาพินิจดูใกล้ๆอีกครั้ง พลันหัวสมองของผมก็เริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว

ครั้งแรกตุ๊กตาหมีใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินแบบนี้นั้นน่าจะมีอยู่แค่เพียงตัวเดียวในโลกเท่านั้น นั่นก็คือที่ห้องนอนของนัท และหลายปีผ่านไปมันก็หายไป นัทจึงไปสั่งทำมันขึ้นมาอีกหน ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะถ้ามันเป็นหมีที่อยู่ในห้องของเขามาหลายปี เขาย่อมจะจำมันได้หรือมีรูปถ่ายเป็นต้นแบบให้ทางร้านอยู่แล้ว และต่อมาตุ๊กตาตัวนั้นก็มาตกอยู่ที่ไอ้เมฆในฐานะของของขวัญวันเกิดจากนัท ถัดจากนั้นมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ผมก็ได้รับตุ๊กตาหมีแบบเดียวกันในสภาพยับเยินจากคนแปลกหน้ามาส่งให้ที่ทำงานที่นี่ ในเวลาเดียวกันนี้ และจากการสอบถามจากร้านขายตุ๊กตา คนที่ทำตุ๊กตาบอกว่าย้อนกลับไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อนก็มีผู้ชายคนนึงนำหมีแบบนี้ ที่ ณ เวลานั้นควรจะมีอยู่แค่เพียงตัวเดียวก็คือตัวที่ห้องของไอ้เมฆมาเป็นแบบให้ทางร้านทำก๊อปปี้ขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งถ้าจะมีโอกาสเป็นไปได้ว่าตอนนั้นจริงๆแล้วหมีกะลาสีนี่ไม่ได้มีอยู่เพียงตัวเดียว แต่จริงๆแล้วยังมีอีกตัวหนึ่ง มันก็จะไปสอดคล้องกับที่พี่จ๊อบบอกว่าเขาเห็นมันมาตลอดในห้องของนัท ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะขัดแย้งกับที่นัทบอกว่าเขาทำหายไปแล้วตั้งแต่ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมานี่ก็ตาม และในตอนนี้ ณ เวลานี้ ก็กลับมีหมีกะลาสีอีกหนึ่งตัวโผล่มานั่งยิ้มแป้นอยู่บนโต๊ะทำงานของผม

แต่ทว่าผมกลับขนลุกและรู้สึกสับสนจนไม่รู้จะคิดยังไงอะไรต่อไปดีแล้ว

ผมหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาดู และก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าข้างในกล่องนั้นยังคงมีสิ่งๆหนึ่งวางอยู่ที่ก้นกล่องด้วย ผมล้วงมือไปหยิบมันออกมา และปรากฏว่ามันก็คือแผ่นซีดีรอมแผ่นหนึ่งที่ถูกใส่อยู่ในซองพลาสติกใส ผมพลิกมันดูด้านหน้าด้านหลังอย่างจนปัญญา หวังว่าจะหาต้นตอของที่มาของคนที่มาส่งมันได้ แต่ปรากฏว่าก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมอยู่ดี

ผมเลื่อนเก้าอี้ไปหยุดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และตัดสินใจเสี่ยงดวงสอดแผ่นซีดีลงไปในเครื่อง เมื่อเครื่องออโต้รันขึ้นมา ผมก็คลิกเลือกที่เปิดโฟลเดอร์ขึ้น และในโฟลเดอร์นั้นก็มีไฟล์วีดีโอเล็กๆอยู่เพียงไฟล์เดียว ส่วนชื่อไฟล์ก็คือชื่อวันที่ 5 สิงหาคม ซึ่งก็คือเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง

ผมคลิกเล่นไฟล์วีดีโอนั้น และเนื่องจากคลิปวีดีโอนี้มีขนาดเล็ก ทำให้ภาพของมันที่กำลังเล่นอยู่ในโปรแกรมเรียลเพลย์เยอร์จึงถูกบีบขนาดเหลือเพียงหน้าจอเล็กๆเท่านั้น ดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นวีดีโอที่ถ่ายด้วยกล้องจากโทรศัพท์มือถือ ในวีดีโอนั้นเป็นภาพของผู้ชายสองคนที่ดูคุ้นตากำลังเดินอยู่เคียงข้างกันออกจากลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเข้าไปในตัวห้าง

ผมรีบหยิบมือถือมากดเบอร์ของไอ้เมฆทันที

“ฮัลโหล เมฆ มึงมีอะไรจะบอกกูรึเปล่า” ผมพูดออกไปทันทีที่ไอ้เมฆรับโทรศัพท์ และแม้แต่ผมเองก็ยังตัวไม่รู้เลยว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้นออกไป เพียงแต่ ณ วินาทีนั้น ผมเกิดลังเลขึ้นมาว่าผมจะเป็นฝ่ายเดียวที่ได้รับพัสดุปริศนานี่เพียงคนเดียวรึเปล่า และทางฝ่ายนั้นมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นเหมือนที่ผมเจอบ้างมั๊ย ผมจึงหลุดปากถามอะไรพิลึกๆแบบนั้นออกไป

“ไม่มีนี่ มึงเป็นอะไรวะ ซัน” ไอ้เมฆตอบกลับมาแบบงงๆ และมันก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมคงเป็นเพียงคนเดียวที่เจอเรื่องนี้นั่นเอง

ทันใดนั้นเอง ภาพในวีดีโอก็ถูกตัดไปเป็นภาพด้านหลังของชายสองคนนั้นที่กำลังหยุดยืนอยู่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้า

“เป็นแน่ว่ะเมฆ มึงจำที่เราคุยๆกันมาได้มั๊ย เรื่องของไอ้ตุ๊กตาหมีนี่น่ะ”

“เออ ทำไมวะ มึงคิดอะไรได้งั้นเหรอ หรืออย่าบอกนะว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกแล้วน่ะ” น้ำเสียงของไอ้เมฆร้อนรนขึ้นมาทันที ผมนึกภาพของมันที่กำลังนั่งเอนหลังพิงพยักเก้าอี้ดีดตัวขึ้นมาเป็นนั่งหลังตรงได้อย่างชัดเจนทีเดียว

“เราคิดกันผิดหมด เมฆ ผิดหมดทุกอย่างเลย เราต้องกลับมาเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์ใหม่ทั้งหมด..........” ผมตอบ และภาพในวีดีโอนั้นก็กำลังเป็นตอนที่ผู้ชายสองคนนั้นกำลังยืนพูดคุยอะไรบางอย่างกับเจ้าของร้านอยู่ แต่เนื่องจากมันอยู่ค่อนข้างไกล และคุณภาพของไฟล์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก บวกกับมันเป็นภาพที่ถ่ายจากทางด้านหลัง จึงอาจจะทำให้คนดูดูไม่รู้ว่าสองคนนั้นเป็นใครและเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ แต่แน่นอนว่าผมย่อมต้องรู้ดีเลยทีเดียว

เพราะผู้ชายสองคนนั้นก็คือผมกับไอ้เมฆนั่นเอง


หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 02-01-2008 11:45:32
ทำไมบรรยากาศมันลุ้นๆ หลอนๆแบบนี้นะ

ปวดกะโหลกแทน ซัน กะ เมฆ  :a6:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 02-01-2008 12:52:16
เห็นด้วย ออกแนวโรคจิตไปเลยอ่ะ    :m29:  :m29:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 02-01-2008 16:07:25
 o2รอลุ้นครับ
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 02-01-2008 19:01:30
แปลกดีจ้า ต้น เรื่องนี้เริ่มออกแนวโหดแบบปริศนาฆาตกรรมโรคจิต ดีไปอีกแบบนึง

ขอแค่ให้เมฆกะซันอยู่ด้วยกันก็พอใจแล้ว  ปัญหาอะไรจะเกิดก็ค่อยๆ แก้ไปเหอะ :m12:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 02-01-2008 19:27:00
555 ออกแนวโรคจิตซะแล้วคุณต้นนิ่ม ...  :o
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-01-2008 11:44:55
วินาทีที่ 20

ผมนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนที่ลุงกิตจะเข้ามาเรียก ทำให้ผมต้องสะดุ้งจนเกือบสุดตัว

“ซัน เดี๋ยวคุณเข้าไปพบผมที่ห้องหน่อยนะ” เมื่อถึงเวลางาน สรรพนามของผมกับลุงกิตก็จะเปลี่ยนไปทันที

“อ๊ะ เอ่อครับ ได้ครับบอส”

ลุงกิตนิ่วหน้าเล็กน้อย “เป็นอะไรไปล่ะเรา กำลังเหม่อถึงเจ้าของกล่องของขวัญนั่นรึไง”

ผมเหลือบมองตามสายตาของลุงกิตไปยังกล่องของขวัญที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบมันลงมาวางไว้บนพื้นข้างใต้โต๊ะทำงานแทน “อ๋อ เปล่าหรอกครับ ผมก็แค่คิดอะไรเพลินๆนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวผมจะรีบตามเข้าไปนะครับ”

ลุงกิตยิ้มจางๆและพยักหน้าให้ก่อนจะเดินจากไป ผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งข้อความเข้าไปหามือถือของเอ็นเพื่อบอกให้มันช่วยสืบเรื่องๆหนึ่งเพิ่มให้ผมอีกนิดหน่อย

จนถึงยามตกบ่ายแก่ๆอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เวลาเลิกงาน โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น และเมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ผมก็อดโอดครวญกับตัวเองออกมาเบาๆไม่ได้

“ว่าไงแบ๊งค์” ผมทัก รู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะตามมาคืออะไร

“มึงว่างมั๊ย เย็นนี้น่ะ”

“อืมม....... ไอ้ว่างมันก็ว่างนะ แต่กูไม่แน่ใจว่ะแบ๊งค์ ว่ากูจะไปได้รึเปล่า”

“ทำไมวะ มึง....... ไม่อยากไปเหรอ คือ ถ้ามึงไม่อยากไปมึงก็บอกกูมาตรงๆได้นะเว้ย กูไม่ถือ” ไอ้แบ๊งค์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงผิดหวัง และมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปล๊บในอกไปเลยเหมือนกัน

“เปล่า กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่พอดีกูมีเรื่องนิดหน่อยว่ะ กูก็เลยอยากจะรีบกลับบ้านไปคุยกับไอ้เมฆ”

“มึงมีปัญหากับมันเหรอวะ”

“เปล่าๆ แต่มันก็......... เออ เอาวะ เอางี้ กูขอโทรไปหาไอ้เมฆก่อนนะเว้ย แล้วเดี๋ยวกูโทรกลับ”

“ก็ได้ๆ แล้วกูจะรอนะ”

ผมกดวางสายจากไอ้แบ๊งค์ จากนั้นก็โทรไปหาไอ้เมฆทันที

“เมฆ วันนี้ซันต้องไปกินข้าวกับไอ้แบ๊งค์อ่ะ เอาไงดี รับปากมันไปตั้งแต่คืนนั้นแล้วด้วย”

“อ้าว แล้วเรื่องปัญหาที่เราจะคุยกันล่ะ ไหนมึงบอกมึงอยากรีบกลับไปคุยกับกูไง”

“ก็นั่นน่ะสิ...... เอาไงดีวะ จริงๆกูก็ไม่ได้อยากจะไปหามันหรอกนะ อยากจะรีบๆกลับไปคุยกับมึงก่อนโคตรๆ ตอนนี้กูแม่งรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย........” ทันใดนั้นผมก็คิดอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ “เออ เมฆ เอางี้ได้มั๊ย มึงตามไปหากูทีหลังได้รึเปล่า แบบนั้นกูจะได้คุยกับมึงได้ด้วย แล้วก็กูก็จะได้ไม่ต้องอยู่กับไอ้แบ๊งค์แค่สองคนไง แถมที่สำคัญมันอาจจะช่วยกูในเรื่องที่กูไม่สบายใจอยู่ตอนนี้ก็ได้”

“อะไรจะช่วยมึงยังไงวะซัน กูงงไปหมดแลวเนี่ย แล้วถ้ากูไปกับมึงแบบนั้นมันจะดีเหรอ มึงนัดกินกันแค่สองคนนะ”

“เอางี้ก็แล้วกัน กูจะไปกินข้าวกับไอ้แบ๊งค์ก่อน ส่วนมึงก็กินข้าวหรือหาอะไรรองท้องมาก่อนก็ได้ แล้วค่อยตามมาหากูทีหลังหลังจากกูเสร็จธุระกับมันแล้ว แบบนั้นดีมั๊ย นะเมฆ มึงมาหากูหน่อยนะ นั่งรถเมล์หรือแท็กซี่มาก็ได้ แล้วขากลับค่อยกลับพร้อมกู เราจะได้คุยกันได้สะดวกๆไง”

ไอ้เมฆตอบตกลง และผมก็ยังคงยืนยันไม่เล่าเรื่องของขวัญชิ้นล่าสุดที่ผมเพิ่งได้มาวันนี้ให้มันฟังอยู่ดดี รวมทั้งไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่ผมอยากจะไปพบไอ้แบ๊งค์โดยให้มันตามผมไปทีหลังด้วย เพราะตอนนี้ผมยังไม่รู้และไม่มั่นใจอะไรสักอย่างเลยแม้แต่นิดเดียว และผมก็อยากจะลองฟังความคิดเห็นของไอ้เมฆแบบคุยกันต่อหน้ามากกว่าคุยผ่านโทรศัพท์ด้วย

หลังจากวางสายจากเมฆแล้ว ผมจึงโทรกลับไปหาไอ้แบ๊งค์อีกครั้ง เพื่อยืนยันนัดของเราในเย็นนี้

และความบังเอิญมันก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเวลา และทุกสถานที่ โดยไม่มีใครสามารถคาดเดาหรือรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเกิดขึ้นก่อนได้เลยจริงๆ

หลังเลิกงานผมก็โทรไปนัดสถานที่และเวลากับไอ้ตัวดีของผมอีกครั้ง ก่อนที่จะขับรถไปหาไอ้แบ๊งค์ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวกับที่ผมเพิ่งไปกับไอ้เมฆมาเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว......... ห้างเดียวกับที่ผมและมันโดนคนแปลกหน้าถ่ายคลิปวีดีโอของเราเอาไว้ และส่งมันกลับมาให้ผมดูราวกับเพื่อจะตอกย้ำหรือเตือนผมว่า ‘กูรู้นะว่ามึงกำลังทำอะไรอยู่บ้าง’

หลังจากจอดรถเสร็จ ผมก็กดโทรศัพท์เข้าหาไอ้แบ๊งค์เพื่อถามมันว่าจะให้ผมไปหาที่ไหน และหลังจากที่ก้าวขาลงจากรถแล้ว ผมก็ยังอดที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆตัวไม่ได้ พร้อมๆกับหยิบมือถือออกมากดอีกครั้ง

“เมฆ กูมาถึงแล้วนะ กำลังจะเดินไปหาไอ้แบ๊งค์” ผมโทรหาไอ้เมฆขณะที่กำลังเดินเข้าไปในห้าง

“อืมๆ ดีแล้ว นี่กูกำลังขับรถพาพ่อกลับบ้านน่ะ แล้วกูคงกินข้าวกับพ่อก่อนเลยว่ะ จากนั้นค่อยออกไปหามึง”

“เออ แบบนั้นก็ดี........” ผมเหลียวมองซ้ายขวาอีกครั้ง เพื่อหาว่ามีคนเดินตามผมอยู่รึเปล่า จนผมรู้สึกว่าตัวเองชักจะประสาทกินเกินไปเสียแล้ว “เมฆ กูขอถามอะไรแปลกๆมึงหน่อยดิ่”

“เออ ว่าไงคับ” ไอ้เมฆเคลียร์ลำคอของตัวเองเบาๆจากนั้นก็ลดเสียงลงเล็กน้อย “แฮ่ม แต่อย่าแปลกมากนะ เพราะว่าพ่อกูนั่งอยู่ข้างๆ”

“ทะลึ่งๆ กูไม่ได้จะถามอะไรแบบนั้นเว้ย คือ.........” ผมเองก็เบาเสียงของตัวเองลงเช่นกัน “หลังๆนี้ลางสังหรณ์ของมึงมันมีกระด่งกระดิกมั่งมั๊ยวะ”

“มึงหมายความว่าไงวะ”

“ก็ไม่รู้ดิ่ แบบว่า...... มึงมีรู้สึกแปลกๆมั่งมั๊ย ว่าช่วงนี้มันอาจจะมีเรื่องไม่ดีๆเกิดขึ้น หรือมีใครจงใจพยายามหาเรื่องเราอะไรแบบนั้นน่ะ”

ไอ้เมฆเงียบไปพักหนึ่ง “ก็ไม่เชิงนะ แต่ไม่ใช่ว่าจู่ๆมันจะมีก็มี มันมีก็เพราะตุ๊กตาของมึงตัวนั้นนั่นแหละ” ไอ้เมฆตอบแบบเลี่ยงๆ “คือมันก็อดคิดไม่ได้น่ะนะ ถึงจะไม่อยากคิดมากก็เถอะ........ ว่าแต่ทำไมจู่ๆมึงถึงถามแบบนั้นวะ มีอะไรรึเปล่า”

“ก็ไม่เชิงหรอก........ เอาไว้มึงมาถึงแล้วกูค่อยคุยกับมึงทีเดียวก็แล้วกัน”

“อืมม มึงอย่าทำให้กูไม่สบายใจสิวะ........ อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไรครับพ่อ” ไอ้เมฆคงหันไปพูดกับพ่อของตัวเอง ก่อนจะกลับมาพูดกับผมอีกครั้ง “เออ ซัน ไงกูขอขับรถก่อนนะ แล้วเดี๋ยวกูโทรกลับอีกที”

“เออ ก็ดีแล้ว มึงขับรถไปเถอะ เนี่ย กูเจอไอ้แบ๊งค์พอดีเลย” ผมเดินมาจนถึงจุดที่นัดกับไอ้แบ๊งค์เอาไว้ แล้วก็เห็นมันกำลังยืนหันหลังพิงกำแพงอยู่ข้างๆร้านขายเสื้อผ้ายี่ห้อหนึ่ง และเมื่อมันเห็นผมกำลังเดินมา มันก็หันมายิ้มให้ผมทันที “งั้นเอาไว้ค่อยคุยกันอีกทีแล้วกันนะ เมฆ กลับบ้านดีๆล่ะ” ผมวางสายไปหลังพูดจบ แล้วก็โบกมือทักมายตอบไอ้แบ๊งค์

“หิวรึยัง” ไอ้แบ๊งค์ทัก

“ก็นิดหน่อยว่ะ หวังว่ามึงจะคิดไว้แล้วนะ ว่าจะกินอะไรน่ะ กูไม่อยากมามัวนั่งเสียเวลาเลือกอีก”

“อ่า เอ่ออ ก็ประมาณนั้นแหละ” มันดูอึกอักๆนิดหน่อย ซึ่งก็คงเป็นเพราะมันยังไม่ได้คิดเอาไว้นั่นเอง “แต่มึงไม่อยากเลือกเหรอว่าจะกินอะไรน่ะ”

“มึงเป็นคนเลี้ยงนี่ มึงก็ตัดสินใจไปเองเลยดิ่วะ” ผมส่ายหัว

“เอ่ออ งั้นไปกินอาหารญี่ปุ่นกันแล้วกันนะ มึงกินได้ป่าววะ”

“กูกินได้หมดแหละ” ผมพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองหน้ามันเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราเจอกัน “แต่มึงยังจำได้ใช่มั๊ย ที่กูบอกว่าเดี๋ยวไอ้เมฆมันจะมาหากูน่ะ กูอาจจะอยู่นานไม่ได้นะ”

ไอ้แบ๊งค์พยักหน้าโดยไม่ได้สบตากับผมตอบ “อืม กูจำได้ ไม่เป็นไรหรอก กูเข้าใจว่ามึงมีธุระกัน”

ผมกับไอ้แบ๊งค์เดินไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรก แต่ปรากฏว่าเนื่องจากเป็นช่วงเวลาหัวค่ำและคนเพิ่งเลิกงานกัน ทำให้เราต้องรอคิวนานมากจนผมไม่อยากรอ เราเดินเปลี่ยนไปยังร้านอีกร้านหนึ่ง แต่ก็ค่าเท่ากัน ไม่ว่าร้านไหนๆก็คนเยอะแทบจะไม่ต่างกัน แต่ว่าห้างนี้ยังมีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่อีกร้านหนึ่ง เราสองคนจึงเดินไปที่นั่นและตัดสินใจแล้วว่าจะกินร้านนี้ไม่ว่าจะต้องรอนานแค่ไหนก็ตาม และในขณะที่ผมกำลังยืนรอไอ้แบ๊งค์เข้าไปจองคิวอยู่นั้น สายตาของผมก็ไปหยุดอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างโต๊ะหนึ่งที่มีคนสองคนกำลังนั่งกินด้วยกันอยู่ และมันก็ทำให้ผมตกใจมาก จนถึงกับต้องเดินเลี่ยงหนีไปทางอื่นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของไอ้เมฆทันที

“เมฆ กูเจอนัทกับพี่จ๊อบ”

“จริงเหรอวะ ที่ไหน มึงเข้าไปคุยกับเค้าสองคนแล้วเหรอ”

“ยัง เจอที่ร้านอาหารน่ะ กูบังเอิญเห็นเค้าก่อน แต่ว่าทั้งสองคนยังไม่เห็นกู แล้วกูก็โทรมาหามึงนี่แหละ” ผมพูดลงโทรศัพท์โดยอดไม่ได้ที่จะเบาเสียงของตัวเองลง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไม และตอนนั้นเองที่ไอ้แบ๊งค์ที่รับบัตรคิวเสร็จแล้วกำลังมองหาผมอยู่ ผมจึงโบกมือบอกให้มันรู้ว่าผมยืนอยู่ตรงไหน

“ทำไมมึงมายืนตรงนี้วะ เราต้องรออีกประมาณสิบนาทีนะ” ไอ้แบ๊งค์บอก

“ไอ้แบ๊งค์ก็อยู่แถวนั้นเหรอ” ไอ้เมฆถาม

“อืม อยู่” ผมตอบ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้ไอ้แบ๊งค์เป็นสัญญาณว่าให้รอแป๊บนึง “เข้าไปดีมั๊ย”

“เดี๋ยวนะ.........” ไอ้เมฆเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด “ซัน มึงดูดิ๊ว่าเค้านั่งกันอยู่ยังไง”

“ยังไงเหรอ........”ผมหันกลับไปมองยังตำแหน่งที่นัทกับพี่จ๊อบนั่งอยู่อีกครั้ง และตอนนั้นเองที่ไอ้แบ๊งค์ก็เพิ่งสังเกตเห็นทั้งคู่เช่นกัน “จะว่ายังไงดีวะ....... ก็ปกติอ่ะ นั่งตรงข้ามกัน ท่าทางก็ดูปกติดี บอกไม่ได้ว่าเป็นยังไง”

ไอ้เมฆเงียบลงอีกครั้ง และคราวนี้มันก็เงียบไปนานกว่าเดิมด้วย

“ฮัลโหล เมฆ”

“ซัน ที่มือซ้ายของนัทมีพลาสเตอร์หรือผ้าพันแผลอะไรอยู่รึเปล่า”

ผมนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจกับคำถาม แต่ก็หันกลับไปมองที่มือของนัทอีกครั้ง และมันก็เป็นอย่างที่ไอ้เมฆพูดจริงๆด้วย ที่มือข้างซ้ายของนัทมีผ้าพันแผลพันอยู่จริงๆ

“นี่มึงรู้ได้ยังไงวะ เมฆ” ผมถามอย่างประหลาดใจ

“เหี้ยเอ๊ยยย.........” ไอ้เมฆสบถออกมาเบาๆ ก่อนจะเว้นช่วงไปอีกหน “ซัน คือ เอางี้ ตอนนี้มึงไปกินข้าวกับไอ้แบ๊งค์ก่อนเถอะ ไม่ต้องกังวล แล้วเดี๋ยวกูจะรีบไปหานะ นี่กูเพิ่งกลับถึงบ้านได้พักนึงเนี่ย”

“ได้ๆ ดีแล้ว มาแล้วก็โทรบอกกูแล้วกัน”

“อ้อ อีกอย่างนะซัน สองคนนั้นเค้ากินกันไปเยอะรึยัง ใกล้จะกลับกันรึยังน่ะ มึงดูออกมั๊ย”

“ไม่น่านะ เหมือนอาหารเพิ่งจะมาถึงเองมั๊ง ไม่รู้สิ”

“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน กูจะพยายามรีบไป”

ผมตอบตกลง จากนั้นก็กดปุ่มวางสาย แล้วก็หันไปหาไอ้แบ๊งค์ “โทษที คุยกับไอ้เมฆน่ะ”

“ไม่เป็นไร อีกสองคิวก็คิวเราแล้วนะ ว่าแต่ นั่นนัทกับพี่จ๊อบนี่ มึงทักเค้ารึยัง”

“ยังอ่ะ ทำไมวะ”

“เปล่า ก็เมื่อกี๊กูโบกมือให้ทั้งสองคนไปแล้วน่ะสิ มึงหันกลับไปมองดิ่ นัทก็มองมาหาเราอยู่เนี่ย”

ผมหันกลับไปมองยังทั้งสองคนอีกครั้ง เห็นนัทกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แต่สายตาของเขาก็กำลังมองมาทางเราสองคนด้วย พี่จ๊อบเองก็เช่นกัน และเนื่องจากครั้งนี้ทั้งสองคนกำลังมองมาที่เราอยู่ ผมจึงไม่ลืมที่จะโบกมือกลับไปให้พวกเขาตอบ และตอนนั้นเองที่พนักงานหน้าร้านเรียกชื่อของไอ้แบ๊งค์ เราสองคนจึงเดินเข้าไปในร้านพร้อมๆกัน และความบังเอิญที่สองที่เกิดขึ้นเย็นนี้ก็คือ ที่นั่งของเราที่พนักงานจัดให้ก็คือโต๊ะตัวที่อยู่ติดกับโต๊ะของนัทกับพี่จ๊อบนั่นเอง

เมื่อเราเดินผ่านทั้งสองคน เราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกนอกจากยิ้มกับพยักหน้าให้กันเท่านั้น ส่วนไอ้แบ๊งค์ก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะที่หันหลังชนกับนัท ทำให้ผมต้องไปนั่งฝั่งตรงข้ามที่หันหน้าเข้าหาพี่จ๊อบอย่างช่วยไม่ได้

“ว่าไง มากันแค่สองคนเหรอ” นัทชะโงกหน้ามาคุยกับพวกเรา “แล้วเมฆไปไหนล่ะ ซัน”

“อยู่บ้านน่ะ กลับไปส่งพ่อเล็ก..... พ่อเอกน่ะ แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็ตามมา” ผมตอบ

“อ๋ออ แล้วแบ๊งค์ล่ะ เป็นไงมั่ง”

“ก็ดีว่ะ เรื่อยๆเหมือนเดิม” ไอ้แบ๊งค์ตอบ ผมแอบเห็นว่าสายตาของมันชำเลืองมองเลยไปทางพี่จ๊อบด้วย

“แล้วว่าแต่นัทน่ะ มือไปโดนอะไรมา” ผมถาม

“อ๋อ นี่น่ะเหรอ” นัทยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมา “คัตเตอร์น่ะ ซุ่มซ่ามไปหน่อย....... เอ้า งั้นทั้งสองคนสั่งอาหารเถอะ เราไม่กวนและดีกว่า” นัทยิ้มให้เราสองคนอีกครั้งก่อนจะหันกลับไป

หลังจากที่เราสองคนสั่งอาหารกันเสร็จ เราทั้งคู่ต่างก็นั่งเงียบไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย ซึ่งตัวผมเองนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้แบ๊งค์นั้นมันจะคิดยังไงกันแน่

“ไหนมึงบอกว่ามึงอยากชวนกูมากินข้าวในฐานะเพื่อนไง แล้วมาถึงมึงก็นั่งเงียบแบบนี้น่ะเหรอวะ” ผมเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นหลังจากเรานั่งเงียบกันไปได้ราวๆห้านาที “แต่กูก็ไม่ว่าอะไรนะ เราจะกินข้าวกันเงียบๆก็ได้ แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน กูน่ะเฉยๆอยู่แล้ว”

“เปล่าๆ เอ่อ กูขอโทษที” ไอ้แบ๊งค์ก้มหน้าแล้วเกาหัวตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วชะโงกหน้าเข้ามาหาผม พร้อมกับลดเสียงพูดของตัวเองให้เบาลงเล็กน้อย “กูน่ะก็อยากจะคุยกับมึง แต่นี่เล่นนั่งโต๊ะติดกับนัทเลย มันก็เลย........”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายชะโงกหน้าเข้าไปหามันบ้าง และจงใจลดเสียงของตัวเองลงให้เบายิ่งกว่ามันเมื่อครู่นี้อีก “มึงไม่อยากให้นัทได้ยิน หรือ......... มึงไม่อยากให้พี่จ๊อบได้ยิน”

ไอ้แบ๊งค์มีปฏิกิริยาเล็กน้อยหลังจากคำพูดของผม แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะไอ้เรื่องดูคนหรือจับพิรุธคนนี้ไอ้เมฆต่างหากที่เป็นฝ่ายเก่งกว่าผมเยอะ

และตอนนั้นเองที่เสียงเมสเสจเข้าของโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมจึงผงะออกพร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมากดดู ปรากฏว่ามันเป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากเบอร์ของไอ้เมฆ และเนื้อหาในข้อความก็มีสั้นๆแค่ว่า

“คุยกับนัท อย่าเพิ่งให้พวกเขากลับก่อนที่กูจะไปถึง”


หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-01-2008 11:50:52
บอกตามตรงคับ ว่าเริ่มเซ็งและหมดกำลังใจนิดหน่อย
ภาคนี้นี่ผมคิดหัวแทบระเบิด ไม่ว่าจะเนื้อหา เนื้อเรื่อง และที่สำคัญ แกนเรื่อง หรือก็คือคีย์เวิร์ดคำว่า "เส้นขอบฟ้า" นั่นเอง
สองภาคแรก จะเน้นเรื่อง "เวลา" ที่หยุดลงของ ท้องฟ้ากับก้อนเมฆ
ภาคสาม ก็เน้นที่ การดำเนินต่อของเวลา และชะตากรรมความผูกพันของตัวละคร ไม่ว่าจะ ท้องฟ้า ก้อนเมฆ พื้นดิน สายน้ำ
ภาคนี้ ผมก็เพิ่มตัวละคร เพิ่มปม เพิ่มแก่นของเรื่อง และอีกหลายๆอย่างลงไป โดยเน้นที่ขอบฟ้า และก็ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องของเวลาด้วย
ถึงมันจะดูโหดๆ ไซโคๆ แต่ผมก็ไม่ทิ้งเรื่องความรักหรอกครับ นั่นน่ะ เรื่องสำคัญของสองคนนี้เลยแหละ

แต่ที่บอกว่าเริ่มเซ็งๆก็เพราะ รู้สึกเหมือนโดนก๊อปยังไงไม่รู้สิครับ เลยเบื่อๆ เหนื่อยๆ
เอาเป็นว่าไม่เจาะลงรายละเอียดแล้วกัน ไม่โทษใคร ไม่ว่าอะไรด้วย แต่แค่เซ็งๆกับเสียอารมณ์
เอาไว้ดีขึ้นแล้วจะมาบอกและกันนะครับ ช่วงนี้อาจจะมาต่อได้ไม่บ่อย เพราะหมดอารมณ์มากมาย

เฮ้อออ......


ปล. ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้มั๊งครับ กูผิดเองอ่ะแหละ ไรงี้๊
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: 13th Devil ที่ 08-01-2008 12:09:29
เป็นกำลังใจให้คุณต้นนิ่มนะครับ  :m13:


ถ้าเหนื่อย ถ้าเบื่อ ก็พักก่อนก็ได้ครับ
ผมคิดว่าแฟนๆรอได้ครับ ... (หรือเปล่าหว่า?:m23:)
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 08-01-2008 12:39:32
เป็นกำลังใจให้น้องต้นค่ะ   ถ้าเบื่อ หรือ เหนื่อย ก็พักก่อนก็ได้
ถ้าคิดว่าถูกก๊อปเรื่อง ก็แจ้งมาที่ โมฯ ได้นะ จะช่วยดูแลให้ (อยู่ในบอร์ดนี้รึเปล่า)    :m16:

ปล. ยังไงก็รอน้า  :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 08-01-2008 15:34:30
เป็นกำลังใจให้ต้นเหมือนกัน อย่างเพิ่งเหนื่อย อย่าเพิ่งท้อไปเลยนะจ๊ะ

ต้นทำดีที่สุดแล้วละ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหรืออะไรๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้

เรื่องก๊อปอะไรนั้น ช่วยให้พี่ทิพย์ดูให้สิ 

ส่วนเรื่องนี้จะรอซักพักนึงก็ได้ ทำใจให้สบายแล้วค่อยลงต่อก็ได้ รอได้จ้า ไม่ว่ากัน

ความสบายใจของต้นสำคัญที่สุด เพราะจะได้แต่งเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ และราบรื่นจนจบไงจ๊ะ

พี่เป็นกำลังใจให้เสมอนะ



หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 09-01-2008 15:41:00
เป็นกำลังใจให้ครับจะรอตอนต่อไปครับ :m4:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 11-01-2008 10:05:11
ยังไงก็จะรอ

ถ้าท้อพักก่อนก็ได้ ยังมีกำลังใจให้เสมอครับ  :mc4:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 11-01-2008 10:24:24
เป้นกำลังใจให้ครับ ยังตามอ่านอยุ่เสมอ  :m1:(แม้ว่าจะตามอ่านไม่ค่อยทันก็เตอะ แฮะ ๆ)
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-01-2008 19:57:19
วินาทีที่ 21


“คุยกับนัท อย่าเพิ่งให้พวกเขากลับก่อนที่กูจะไปถึง”

ผมอ่านข้อความที่เพิ่งได้รับมาจากไอ้เมฆซ้ำอีกถึงสองหน และถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจความคิดของมันนัก แต่ผมก็ตัดสินใจว่าผมจะพยายามทำอย่างที่มันบอก

“แป๊บนึงนะแบ๊งค์” ผมขอตัวแล้วลุกขึ้นเดินไปยังโต๊ะของนัท โดยมีสายตาของไอ้แบ๊งค์คอยมองตามด้วยความสงสัยอยู่ไม่ขาด

“มีอะไรเหรอครับ ซัน” พี่จ๊อบถามขึ้นเมื่อมันเห็นผมลุกขึ้นมาหา

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากถามนัทว่านัทกับพี่จ๊อบจะรีบกลับรึเปล่าเท่านั้นเอง เพราะเดี๋ยวเมฆมันก็จะมาแล้ว เผื่อจะได้รอเจอมันก่อนไง”

“ก็ได้นี่ พี่เองก็อยากเจอเมฆเหมือนกัน” พี่จ๊อบชิงตอบขึ้นมาก่อน ในขณะที่มือของเขาก็กำลังกดมือถือไปด้วย

“แล้วอีกนานมั๊ยล่ะกว่าเมฆจะมาน่ะ” นัทถาม

“ก็คงอีกพักนึงล่ะ เห็นว่าจะรีบออกมานะ น่าจะราวๆสักครึ่งชั่วโมงมั๊ง ไม่รู้สิ”

“ถ้างั้นซันกับแบ๊งค์มานั่งโต๊ะเดียวกับพวกพี่เลยมั๊ยล่ะ จะได้ประหยัดโต๊ะไง แล้วก็จะได้คุยกันได้สะดวกๆด้วย” พี่จ๊อบเสนอ

“ไม่ดีกว่าครับพี่ ผมเกรงใจ แค่นี้อาหารพวกพี่ก็จะเต็มโต๊ะอยู่แล้ว” ผมกับพี่จ๊อบสบตากัน และผมก็เห็นได้ทันทีเลยว่าสายตาของพี่จ๊อบนั้นแฝงหมายความบางอย่างเอาไว้ ถึงสีหน้าและคำพูดของมันอาจจะไม่ได้สื่อออกมาโดยตรง แต่ผมก็มั่นใจว่าตอนนี้ในหัวของมันต้องกำลังคิดถึงเรื่องของขวัญที่มันซื้อมาให้เมฆแล้วผมเป็นคนสั่งให้เอาไปทิ้งแน่ๆ

“งั้นไม่เป็นไรหรอกซัน เดี๋ยวเรากับพี่จ๊อบนั่งกินกันไปเรื่อยๆรอเมฆก็แล้วกัน”

“แหม แต่ก็บังเอิญจังเลยนะเนี่ย ที่ได้มาเจอกันวันนี้น่ะ” พี่จ๊อบยิ้ม และผมก็ยิ้มตอบกลับไปด้วย แต่เราสองต่างก็รู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มาจากใจหรือยิ้มเพราะความพิศวาสใดๆเลยแม้แต่น้อย จากนั้นผมก็หันหลังกลับเดินไปนั่งลงที่เบาะของตัวเองเหมือนเดิม

ระหว่างที่ผมกับไอ้แบ๊งค์กำลังกินอาหารอยู่ด้วยกัน ผมก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกับมันเลย ส่วนมากแล้วพอมันถามอะไรมา ผมก็จะตอบไปเพียงแค่ ใช่ ไม่ใช่ หรือ อือๆอาๆไปตามเรื่องเท่านั้น เพราะในหัวของผมมันมีแต่เรื่องให้คิดอยู่มากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเรื่องของตุ๊กตาหมีตัวเก่านั้น เรื่องหมีตัวใหม่ที่ได้มาในวันนี้ แถมยังมาพร้อมกับหลักฐานแปลกๆที่ชวนให้คิดว่าผมกำลังถูกจับตาดูอยู่ด้วย เรื่องความบังเอิญอันน่าอึดอัดใจที่ว่าทำไมผมถึงต้องมาบังเอิญเจอกับสองคนนี้เอาในเวลาอย่างนี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องที่ไอ้เมฆเพิ่งพูดกับผมไปเมื่อครู่ใหญ่ๆนี้ที่เกี่ยวกับนัทและพี่จ๊อบนั่นเอง โดยเฉพาะน้ำเสียงของมันที่บ่งบอกให้ผมรู้อย่างชัดเจนเลยว่าตอนนี้มันคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว แต่ทว่าสิ่งๆนั้นมันคืออะไรกันล่ะ ทำไมมันถึงต้องถามว่านัทกับพี่จ๊อบนั่งกันยังไง และที่น่าแปลกใจที่สุดคือมันรู้ได้ยังไงว่ามือของนัทนั้นมีแผลอยู่ ผมพยายามคิดหาคำตอบของคำถามทั้งหมดนี้จนสุดท้ายผมก็เกือบจะไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ไอ้แบ๊งค์พูดเลยสักนิดเดียว

“ซัน.......... ไอ้ซัน............”

“หา ว่าไงนะ” ผมตื่นขึ้นจากภวังค์เมื่อถูกไอ้แบ๊งค์แตะเข้าที่ข้อมือเบาๆ

“มึงเป็นไรวะ พอกูพูดกับมึง มึงก็ไม่ได้ฟังซะอย่างงั้นน่ะ” ไอ้แบ๊งค์นิ่วหน้า

“โทษทีว่ะ พอดีกูคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปหน่อยน่ะ ว่าแต่เมื่อกี๊มึงว่าไงนะ”

“เอ่ออ ช่างมันเหอะ” ไอ้แบ๊งค์ถอนหายใจเบาๆ “แต่อันสุดท้ายน่ะ กูถามว่าเมฆมันจะมาถึงกี่โมง นี่เราก็กินกันไปเยอะแล้วนะ”

“นั่นสินะ...... แต่ก็คงใกล้จะถึงแล้วล่ะ กูก็ไม่ค่อยอยากจะโทรไปเร่งมันเท่าไหร่ด้วย”

“ซัน แล้ว........ เมฆมันรู้รึเปล่าวะ เรื่องที่กู เอ่ออ คุยกับมึงเมื่อตอนงานวันเกิดมันน่ะ”

“เรื่องอะไรวะ กูลืมไปหมดแล้ว” ผมคีบปลาดิบเข้าปากอีกหนึ่งชิ้น

“ก็เรื่อง........ เรื่องที่กูพูดกับมึงทะเล แล้วก็เรื่องที่กูเมาแล้วพูดออกไปตอนอยู่ที่บ้านของไอ้เมฆมันน่ะ” ไอ้แบ๊งค์มีท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“มึงพูดอะไรของมึงวะ กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ผมยังคงปฏิเสธอยู่ และในที่สุดก็ดูเหมือนไอ้แบ๊งค์จะเข้าใจความหมายของผมจนได้

“เอ่อ งั้นก็ไม่เป็นไร กูขอโทษที” ไอ้แบ๊งค์ก้มหน้ากลับลงไปที่จานของตัวเองเล็กน้อย พอเห็นแบบนี้แล้ว ผมก็อดรู้สึกว่ามันก็น่าสงสารอยู่เหมือนกันไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางของมันแบบนี้แล้วก็ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผมเคยใช้อยู่กับมันเมื่อสมัยก่อนได้อีกหลายๆอย่างทีเดียว พอมาคิดๆดูแล้วผมก็ถึงนึกขึ้นได้ว่า คนที่คอยอยู่เคียงข้างผม ตามใจผมเอาใจผมทุกอย่าง และเป็นคนที่ยอมผมในทุกๆเรื่อง ก็คงจะมีเพียงไอ้แบ๊งค์คนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ต่างกับไอ้เมฆที่ตอนนั้นเรากลับทะเลาะกันบ่อยโคตรๆลิบลับ......... นึกๆแล้วก็น่าแปลกใจนะว่าทำไมตอนนั้นผมถึงได้ไม่ดูไม่ออกเลยว่ามันเองก็แอบชอบผมอยู่เหมือนกัน

ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น และคนที่โทรเข้ามาก็คือไอ้เมฆนั่นเอง มันบอกว่ามันมาถึงแล้ว และผมก็บอกมันว่าผมจะเดินออกไปรอรับมันที่หน้าร้าน จากนั้นอีกไม่ถึงห้านาทีถัดมา ไอ้เมฆก็เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับถุงใบใหญ่ใบหนึ่งในมือ

“เอาอะไรมาด้วยวะเมฆ” ผมถาม และเมื่อผมเห็นแววตาของมันแล้ว ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่ามีอะไรอยู่ในถุงใบนี้ “อย่าบอกนะว่ามึงเอามันมาด้วยน่ะ”

ไอ้เมฆไม่ตอบนอกจากพยักหน้ารับผมเบาๆ “ไปข้างในกันเถอะ กูเริ่มหิวแล้วเหมือนกันว่ะ”

ผมเดินนำไอ้เมฆเข้าไปในร้านด้วยความรู้สึกปั่นป่วนภายในอกเล็กน้อย ดูเหมือนไอ้เมฆเองก็คงคาดหวังเอาไว้เหมือนกันว่าผมน่าจะเข้าใจอะไรๆบ้างแล้ว แต่ความเป็นจริงก็คือผมยังไม่เข้าใจอะไรสักนิดเลย

“ว่าไงเมฆ หิ้วอะไรมาด้วยน่ะ” พี่จ๊อบทักไอ้เมฆ ส่วนผมก็เดินเลยไปนั่งลงยังที่นั่งของตัวเองก่อน

“นิดหน่อยน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก” ไอ้เมฆตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน “นัทเป็นไงบ้าง ขอโทษทีนะที่เมฆมาช้า เลยทำให้ต้องรอไปด้วยแบบนี้”

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่กินอะไรมารึยัง” นัทถามกลับ

“รองท้องมาแล้วกับพ่อนิดหน่อยน่ะ แต่ก็หิวอยู่เหมือนกัน ถ้างั้นเมฆขอไปนั่งก่อนนะ แล้วเดี๋ยวค่อยคุยกัน” ไอ้เมฆยิ้มให้นัทอีกครั้งก่อนที่จะเดินตรงเข้ามาหาผม แต่ผมเห็นบางอย่างในแววตาของมัน ผมสาบานได้ว่าผมเห็นมันจริงๆ และนั่นมันก็ทำให้ผมเริ่มได้คิด.............

“ไงไอ้แบ๊งค์ วันนั้นเมาเป็นหมาเลยนะมึง จำได้มั๊ยวะน่ะว่ากลับบ้านไปยังไง” ไอ้เมฆทักไอ้แบ๊งค์ขึ้นพร้อมๆกับที่นั่งลงข้างๆผมและรับเมนูมาจากพนักงาน

“เฮ้ยมึงอย่าพูดแบบนั้น กูเขินนะเนี่ย โทษทีว่ะที่ทำให้พวกมึงหมดสนุกกัน แถมยังไปกวนบ้านมึงเอาไว้อีก วันนี้กูเลี้ยงเอง มึงกินให้เต็มที่เลยนะเว้ย แทนทั้งคำขอบคุณแล้วก็คำขอโทษของในวันนั้น”

หลังจากนั้นไอ้เมฆก็เริ่มสั่งอาหาร และทั้งสองคนก็พูดคุยโต้ตอบกันอีกนิดหน่อย แต่ผมไม่ได้ฟังพวกมันแล้ว สมองของผมกำลังทำงานอย่างหนักที่สุดเพื่อประมวลข้อมูลทั้งหมดที่ผมมี และอะไรบางอย่างมันก็ดูเหมือนจะเริ่มลงล็อกตั้งแต่เมื่อวินาทีแรกที่ไอ้เมฆขยับตัวมานั่งลงข้างๆผม ใช่แล้ว อย่างแรกที่ไอ้เมฆถามถึงก็คือทั้งสองคนนั่งกันอยู่ยังไง ซึ่งคำถามนั่นไม่ได้หมายความว่าทั้งสองคนนั้นนั่งกันอยู่ท่าไหน หรือว่าการแสดงออกของทั้งคู่เป็นยังไง แต่จุดประสงค์ของไอ้เมฆก็คือจงใจถามว่าเค้าสองคนนั้นนั่งที่เบาะเดียวกันฝั่งเดียวกัน หรือนั่งฝั่งตรงข้ามกันแบบนี้ตอนนี้ต่างหาก

ใช่แล้ว นัทต่างหากที่เป็นฝ่ายโกหก และถ้าคิดแบบนี้ทุกอย่างมันก็เริ่มลงตัวพอดี

ถึงผมจะไม่ได้รู้จักนิสัยของนัทดีเท่าไอ้เมฆ แต่ผมก็เคยรับฟังปัญหาของไอ้เมฆกับนัทตอนที่ทั้งคู่คบกันอยู่มาบ่อยพอสมควรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจึงค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าผมคิดไม่ผิด......... เพราะฉะนั้นปัญหาก็เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวแล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับตุ๊กตาหมีคอขาดนั่นยังไง

“เฮ้ย ไอ้ซัน” เสียงของไอ้แบ๊งค์ปลุกผมจากภวังค์ขึ้นอีกครั้ง “เหม่ออีกแล้วนะมึง เป็นไรของมึงวะวันนี้น่ะ”

“โทษที กูกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่น่ะ” ผมหันไปมองหน้าไอ้เมฆ และมันเองก็กำลังสบตาผมรออยู่แล้ว

“คิดอะไรอีกวะ สองครั้งแล้วนะ แถมคิดเพลินๆที่มึงว่าน่ะ หน้ายุ่งเชียวนะเว้ย กำลังเครียดอะไรอยู่รึเปล่า” ไอ้แบ๊งค์ถามด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย

“เปล่าหรอก กูไม่ได้เป็นอะไร..........” ผมวางมือของซ้ายลงบนขาของไอ้เมฆโดยที่ไม่ให้ไอ้แบ๊งค์รู้ “ตอนนี้กูก็หาคำตอบไปได้ส่วนนึงแล้วล่ะว่ะ เหลืออีกแค่นิดหน่อยเท่านั้นเองที่ยังติดอยู่”

“มึงคิดเรื่องอะไรวะ เรื่องงานเหรอ” ไอ้แบ๊งค์ยังคงถามอยู่

“ก็ประมาณนั้นแหละ กูนิสัยเสียน่ะ ชอบเอางานกลับมาที่บ้านด้วยอยู่เรื่อย และไอ้ที่กูยังคิดๆอยู่เนี่ย ก็เป็นงานตั้งแต่ของเมื่อวันพุธที่แล้วด้วยซ้ำ”

“เอาน่า มึงอย่าเพิ่งคิดมากดิ่ เรื่องมันอาจจะไม่ยากขนาดนั้นก็ได้” ไอ้เมฆพูดขึ้นบ้าง “ถ้ามึงรู้ตั้งแต่พื้นฐานและแก้ปัญหาของไอ้ส่วนแรกได้แล้วน่ะนะ ส่วนที่สองมันก็จะตามออกมาเองนั่นแหละ......... บางทีคำตอบมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่มึงคาดคิดไว้ตั้งแต่แรกก็ได้ มันอาจจะเป็นอะไรที่มันไม่น่าเชื่อหรือเกินจากที่มึงเดาเอาไว้ไปสักหน่อย มึงก็เลยคงต้องใช้เวลาคิดพิจารณาดูนานสักหน่อยน่ะ แต่กูเชื่อว่ามึงทำได้” ไอ้เมฆพูดออกมาเป็นลักษณะของคำใบ้ และไอ้แบ๊งค์ก็ทำหน้างงๆกับบทสนทนาของเราทั้งคู่ แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะมองเห็นคำตอบลางๆแล้ว

ผมขอตัวทุกคนลุกออกไปเข้าห้องน้ำ และใช้เวลาที่มีอยู่ตามลำพังเพียงแค่ไม่กี่นาทีคิดถึงคำพูดทุกอย่างของไอ้เมฆ และทันใดนั้นเองทุกอย่างมันก็ลงตัวพอดี ในที่สุดผมก็หาคำตอบที่เราทั้งสองคนเฝ้าครุ่นคิดกันมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ได้แล้ว ถึงจะช้ากว่าไอ้เมฆและต้องอาศัยให้มันช่วยใบ้ให้ แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าผมคิดไม่ผิด เพราะฉะนั้นปริศนาเดียวที่เหลืออยู่ก็ก็เพียงตุ๊กตาหมีตัวที่สองที่ผมเพิ่งได้รับมาในวันนี้เท่านั้น และผมก็ยังไม่เห็นเลยว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของตุ๊กตาหมีตัวแรกยังไง

แต่ทว่าตอนนี้ผมกลับรู้สึกโกรธและหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว ถ้าสิ่งที่ผมคิดได้นี่มันเป็นความจริง ถ้าหากว่าผมคิดมันไม่ผิดแล้วล่ะก็......... นี่ผมต้องถูกไอ้บ้านั่นมันแกล้งปั่นหัวเอาก็เพราะเรื่องงี่เง่าแค่นี้น่ะหรือ ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์เอาซะเลยจริงๆ

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-01-2008 19:57:49


ผมพยายามสงบสติอารมณ์ลงและคิดถึงไอ้เมฆเข้าไว้ จากนั้นก็เดินกลับมาที่ร้านเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อไอ้เมฆมองหน้าผม ผมก็พยักหน้าให้กับมันเป็นทำนองว่าผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว และมันเองก็พยักหน้าตอบผมกลับมาพร้อมแววตาแบเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อตอนแรกด้วยเช่นกัน จนหลังจากที่ไอ้เมฆจัดการอาหารของตัวเองที่สั่งมาทีหลังสุดหมดแล้ว รวมทั้งนัทและพี่จ๊อบเองที่ก็กินเสร็จไปหมดได้สักพักแล้วด้วยเช่นกัน เราทั้งสองโต๊ะจึงจัดการเช็คบิล และเดินออกมาจากร้านพร้อมๆกัน

“นัท พี่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ ถ้าจะไปเดินเล่นที่ไหนกันก็ไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวพี่ตามไปอีกที” พี่จ๊อบพูดขึ้น และมันก็เป็นโอกาศของผมพอดีเลยด้วยเช่นกัน

“พอดีเลย ไอ้แบ๊งค์ กูขอโทษทีนะ แต่กูขอคุยอะไรส่วนตัวกับนัทแป๊บนึงสิ” ผมพูดขึ้น และนอกจากไอ้แบ๊งค์แล้ว นัทเองก็ดูมีท่าทีแปลกใจมากเช่นกัน

“อ๊ะ เอ่ออ....... งั้นกูไปห้องน้ำด้วยเหมือนกันดีกว่า ว่าจะเข้าอยู่เหมือนกันแหละ”

“อืมม กูก็เหมือนกัน กูไปด้วย” ไอ้เมฆพูดขึ้นพร้อมกับยื่นถุงที่ใส่ตุ๊กตาหมีไว้ให้แก่ผม “ถ้างั้นกูฝากของไว้ที่มึงก็แล้วกันนะซัน”

“จะเอางั้นเหรอ” ผมถาม ไม่คิดว่ามันจะไม่อยู่กับผมตรงนี้ด้วย

“อือ ปวดฉี่ว่ะ จะไม่ไหวแล้วเนี่ย” ไอ้เมฆตอบพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นมันก็หันไปพยักหน้าให้กับไอ้แบ๊งค์ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไป

“แล้ว.........” นัทเริ่มพูดขึ้น “ซันมีอะไรจะพูดกับเราเหรอ”

“ก่อนอื่นเราว่า เราไปนั่งกันตรงนั้นดีกว่า ดีกว่ามายืนคุยกันอยู่หน้าร้านแบบนี้น่ะ” ผมชี้ไปทางม้านั่งยาวที่ว่างอยู่ไม่ไกลจากที่เรากำลังยืนอยู่มากนัก และเมื่อนัทนั่งลงแล้ว ผมกลับยังคงเป็นฝ่ายยืนอยู่เสียเอง “เราจะพูดตรงๆสั้นๆเลยก็แล้วกันนะนัท......... เมื่อวันพุธที่แล้วมีคนจากข้างนอกฝากของชิ้นนึงมาให้เราที่บริษัทน่ะ และปรากฏว่าของที่อยู่ในกล่องของขวัญนั่นก็ทำให้เราต้องตกใจมาก นัทพอจะเดาออกมั๊ยว่ามันคืออะไร”

“แล้วมันอะไรล่ะ เราจะรู้มั๊ยเนี่ย ซัน”

“มันคือตุ๊กตาหมีใส่ชุดกะลาสีสีน้ำเงินน่ะ ฟังดูคุ้นๆมั๊ยถ้าเราพูดแบบนี้” ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย และตอนนั้นเองที่สีหน้าของนัทเริ่มเปลี่ยนไป “ซึ่งก็แปลก เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านั้นไอ้เมฆก็เพิ่งจะได้รับมันมาจากนัทเป็นของขวัญวันเกิดผ่านทางพี่จ๊อบนั่นเอง......... จริงสิ ถ้าจะว่าไปแล้ว ทำไมวันนั้นนัทถึงไม่ได้ไปงานวันเกิดของไอ้เมฆด้วยตัวเองล่ะ”

“เราไม่ค่อยสบายน่ะ ก็เลยไปไม่ได้” นัทตอบ แต่ไม่ยอมสบตากับผม

“ไปไม่ได้หรือไม่อยากไปกันแน่” ผมล้วงมือลงในถุงและหยิบกล่องของขวัญเจ้าปัญหานั้นขึ้นมา รู้สึกว่าความอดทนของตัวเองกำลังจะหมดลง “ตอนแรกเราก็ไม่รู้เลยจริงๆนะ นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นแบบนี้ได้........... นัทลองดูสิว่าอะไรอยู่ในกล่อง” ผมวางกล่องของขวัญลงข้างๆนัท และเปิดฝาของมันออก เผยให้เห็นด้านบนของตุ๊กตาหมีที่หัวหลุดออกจากคออยู่ข้างใน

“ซันพูดอะไรน่ะ เราไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เสียงของนัทเริ่มสั่นเล็กน้อย และก็หลบสายตาไปจากหมีที่น่าสางสารตัวนั้นอย่างรวดเร็ว

“ก็คงเป็นอย่างนั้น ถ้าหมีตัวนี้ไม่ใช่หมีตัวที่เมฆซื้อให้นัท และนัทเป็นคนที่ทำลายมันและส่งมันมาให้เราเองกับมือ” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพยายามทำใจให้เย็นเข้าไว้ “เรื่องทั้งหมดมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ถ้านึกดูดีๆที่นัทอุตส่าห์บอกไอ้เมฆเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ทะเลแล้วว่าหมีตัวนี้มันหายไปเพราะน้องๆหลานๆเอาไปอะไรนั่นน่ะ มันเพื่ออะไรกัน คำตอบมันก็มีอยู่แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือนัทวางแผนเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว หรืออาจจะนานกว่านั้นอีกก็ได้ ใครจะไปรู้” ผมเว้นช่วงเล็กน้อย นึกแปลกใจว่าทำไมทั้งสามคนยังไม่กลับมากันอีก ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเพราะไอ้เมฆมันช่วยถ่วงเวลาเอาไว้ให้ก็เป็นได้

“พอแล้ว เราไม่รู้เรื่องอะไรสักนิดเดียว ซันพูดเรื่องอะไรน่ะ เราไม่รู้เรื่อง” เสียงของนัทเริ่มสั่นเครือมากขึ้นและนัทเองก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืนด้วย แต่ก็ถูกผมยืนขวางเอาไว้ก่อน นี่แหละคือข้อดีของการที่ผมไม่นั่งลงไปกับนัทด้วยตั้งแต่ตอนแรก

“ห้ามไปไหนทั้งนั้นล่ะ ถ้านัทลุกไปจากตรงนี้แม้แต่ก้าวเดียว เรื่องไม่จบลงแค่เราสองคนคุยกันตรงนี้แน่” ผมพูดจนเหมือนกับจะเป็นการขู่

“แล้วไง ซันจะทำอะไรเรารึไง” นัทแหวใส่ผม แววตาทอแสงไฟเป็นประกายไปด้วยน้ำตา

“นัททำลายตุ๊กตาหมีตัวนี้เพราะความแค้น ความโกรธ หรือจะความเกลียดชังอะไรก็แล้วแต่ เราไม่รู้ และเราก็ไม่แคร์ด้วย”ผมพูดต่อ ไม่สนใจสิ่งที่นัทพูด และนัทเองก็นั่งเอามือปิดหน้าก้มหน้าอยู่ที่เดิม ท่าทางคงจะร้องไห้ แต่ผมก็ยังคงไม่สนใจอยู่ดี “นัทคงนึกโกรธที่เรากับไอ้เมฆไปด้วยกันได้ดีในขณะที่ตัวเองกลับมีปัญหากับพี่จ๊อบแทบจะทุกๆวันก็เป็นได้ และก็เพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้นัทต้องโกหกไอ้เมฆว่านัทยังคบกับพี่จ๊อบดีอยู่ นั่นมันเป็นเพราะนัทอายใช่มั๊ยล่ะ ที่แฟนเก่าของตัวเองมีความสุข ในขณะที่ตัวเองกลับมีความทุกข์ เพราะว่านัท......... ไม่สามารถลืมมันได้”

“ทำไมซันถึงคิดว่าเราทำ” นัทถามทั้งๆที่ยังคงไม่กล้าสบตาผม

“เพราะนัทนั่งคนละฝั่งกับพี่จ๊อบไง........ ไอ้เมฆเป็นคนฉุกใจคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก่อน และมันก็ยังเคยบอกเราด้วยว่าวันสุดท้ายที่ทั้งสองคนเจอกันก่อนไอ้เมฆจะไปอังกฤษน่ะ นัทก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับไอ้เมฆ แถมเมื่อก่อนเราก็ยังเคยเห็นมันด้วยตาตัวเองมาหลายครั้งแล้วด้วยว่าปกติแล้วนิสัยของนัทก็คือนัทมักจะนั่งฝั่งเดียวกับแฟนเสมอๆ นึกๆดูเราก็น่าจะฉุกใจคิดได้เร็วกว่านี้นะ แต่นี่วันนี้มันไม่ใช่ นัทนั่งตรงข้ามกับพี่จ๊อบ มันจึงทำให้เรารู้ว่านัทโกหก จริงๆแล้วทั้งสองคนคงจะกำลังอยู่ในช่วงที่มีปัญหากันจริงๆอย่างที่พี่จ๊อบมันพูดนั่นเอง เพราะฉะนั้น ถึงมันจะค่อนข้างยากที่จะเชื่อน่ะนะ แต่มันก็เป็นไปได้ว่านัทก็อาจจะโกหกพวกเราเรื่องอื่นๆด้วย........” ผมสูดลมหายใจเข้า แล้วค่อยๆผ่อนมันออกมาเบาๆ “และถ้ามันเหี้ยมากๆน่ะนะ ไอ้เลือดตามตัวของตุ๊กตาหมีตัวนี้มันก็เกิดมาจากนัทตั้งใจจะกรีดตัวเองนั่นเอง แต่ถ้าไม่ใช่ ซึ่งเราก็หวังว่ามันคงจะไม่ใช่ ก็คือมันเป็นแค่อุบัติเหตุ ทำให้นัทกรีดโดนมือของตัวเองและเลือดมันเลยไปเปรอะอยู่ตามตัวและเสื้อผ้าของตุ๊กตาแบบนี้ และสุดท้ายแล้วแบบนั้นมันก็อาจจะยิ่งดีใหญ่ก็ได้เพราะมันก็ทำให้ดูน่ากลัวน่าสยดสยองมากขึ้น แถมยังทำให้เราเป็นกังวลมากได้จริงๆด้วย เรียกได้ว่านัทเองก็ทำได้สำเร็จตามแผนอย่างที่ต้องการหมดเกือบจะทุกอย่าง”

ผมเอื้อมมือไปปิดฝากล่องและหยิบกล่องใส่ตุ๊กตาหมีนั้นวางลงในถุงพลาสติกเหมือนเดิม ส่วนนัทก็ยังนั่งเอาฝ่ามือซบหน้าของตัวเองพร้อมเสียงสะอื้นเบาๆ

“เมฆมันเอาสิ่งนี้มาก็คงเพื่อเอามาคืนนัทนั่นแหละ มันเป็นคนที่คิดขึ้นมาได้หลังจากที่รู้ว่านัทกับพี่จ๊อบไม่ได้นั่งอยู่ที่เบาะเดียวกันอย่างที่เคยเป็นและควรจะเป็น......... เราเองก็คงไม่มีวันรู้หรอกว่านัทคือตัวการทั้งหมดนี่ เพราะเราเองก็ไม่ได้รู้จักนิสัยนัทดีเท่าไอ้เมฆมัน แต่นัทอย่าลืมว่าเราอยู่ห้องเดียวกันมาสามปี และเราเองก็รับรู้ปัญหาแทบทุกอย่างที่เมฆกับนัทเคยมีมาตลอดช่วงนั้นนะ........” ผมถอนหายใจออกเบาๆ “นัทเป็นเพื่อนเรานะ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนก็ตาม เราไม่เข้าใจว่าทำไมนัทถึงต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย”

“เรา....... เรา........ เราขอโทษ........” นัทพูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมทั้งๆที่น้ำตาอาบแก้ม “เราเสียใจ เราโกรธตัวเอง เราก็แค่อยากจะทำให้เมฆกับซันรู้สึกสับสน กลัว แล้วก็กังวลเหมือนกับเราบ้างเท่านั้นเอง เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราทำอะไรลงไป” นัทส่ายหน้า

ผมคุกเข่าลงข้างหนึ่งและคว้ามือข้างที่เป็นแผลของนัทขึ้นมากุมไว้ในมือ “นัททำร้ายตัวเองนะ ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ นอกจากนั้นนัทยังทำร้ายคนที่รักนัทอีกด้วยรู้มั๊ย ไอ้เมฆมันเสียใจมากนะที่รู้ว่านัททำเรื่องแบบนี้ มันหวังดีกับนัทด้วยใจ แต่นัทกลับตอบแทนมันแบบนี้น่ะเหรอ วันนี้ตอนมันเดินมาหาเราที่หน้าร้าน เรามองตามันเราก็รู้แล้วว่ามันเจ็บปวดกับเรื่องนี้มากแค่ไหนน่ะ”

“เราขอโทษ........ เราขอโทษจริงๆ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเราถึงคิดทำแบบนี้ลงไปได้ ทั้งๆที่ตุ๊กตาหมีตัวนี้มันก็มีความสำคัญกับเรามากแท้ๆ มันคือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เราได้รับมาจากเมฆ แต่เรากลับทำร้ายมันได้ลงคอ” นัทเริ่มร้องไห้หนักมากขึ้น

ผมหันไปมองทางด้านขวามือของตัวเอง ก็เห็นเมฆ แบ๊งค์ และพี่จ๊อบกำลังเดินตรงมาทางพวกเราอยู่ ผมจึงปล่อยมือของนัทออก พร้อมกับประคองตัวนัทให้ยืนขึ้นตามไปด้วย

“อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปก็แล้วกัน เราพูดปลอบใจคนไม่เก่งหรอกนะ แต่จำคำเราเอาไว้ว่า นัทยังคงมีเมฆอยู่เสมอ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มันก็ยังคงเป็นคนหนึ่งที่รักและห่วงใยนัทมากกว่าใครๆ เข้าใจนะ”

“นัทเป็นอะไรน่ะ” พี่จ๊อบถามพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาเราสองคน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย” ไอ้แบ๊งค์ถามขึ้นอีกคน ส่วนไอ้เมฆกลับยืนมองหน้าผมสลับกับนัทนิ่งๆ

“ไม่มีอะไรหรอก พี่จ๊อบ ไม่มีอะไรจริงๆ” นัทพูดขึ้น จากนั้นก็หันมามองหน้าผมสลับกับเมฆ “ซัน เมฆ เราอยากจะขอมันคืนได้มั๊ย”

ผมมองหน้าไอ้เมฆ และเดินหลบออกไปสองก้าวให้มันเดินเข้ามาหานัทแทน

“ได้สิ ก็มันเป็นของนัทนี่นา” ไอ้เมฆพูดขึ้นพร้อมกับหยิบถุงขึ้นมาจากม้านั่งแล้วยื่นให้นัท “เมฆขอโทษนะ ที่ทำให้นัทต้องลำบากใจ”

นัทไม่ตอบ นอกจากรับถุงนั้นไปแล้วก็ส่ายหน้าทั้งๆน้ำตา ก่อนที่จะเดินจากไปโดยมีพี่จ๊อบเดินตามหลังไปติดๆ ผมจึงเดินเข้าไปโอบบ่าไอ้เมฆเอาไว้แล้วบีบลงบนหัวไหล่ของมันเบาๆ

“มึงโอเคนะ” ผมถาม

“อืมม ไม่เป็นไรหรอก แต่กูก็หวังนะ ว่าหลังจากนี้ไปทุกอย่างมันก็น่าจะดีขึ้น”

“โทษทีนะไอ้แบ๊งค์” ผมหันไปหาไอ้แบ๊งค์ที่กำลังยืนงงอยู่คนเดียวในตอนนี้ “มึงคงงง แต่กูก็ไม่อยากให้มึงถามอะไรเหมือนกัน อะไรที่มันจบไปแล้วกูก็อยากให้มันจบน่ะ”

“เออออ ก็คงใช่ กูก็ไม่อยากถามหรอก เพราะดูๆแล้ว เครียดๆแบบนี้กูไม่รับรู้น่าจะดีที่สุดว่ะ”

“ขอบใจมากนะแบ๊งค์” ไอ้เมฆหันไปยิ้มให้กับมัน “แล้วก็ขอบใจที่เลี้ยงด้วย มึงเลยต้องมาเสียเงินเพิ่มเพราะกูเลย แถมยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกต่างหาก”

“ไม่เป็นไรหรอก........ แต่นี่ก็แปลว่างานเลี้ยงจบลงแล้วสินะเนี่ย ดูจากสถานการณ์แล้วก็คงถึงคราวที่กูคงต้องกลับได้แล้วมั๊ง ใช่มั๊ย”

เราทั้งสามคนหัวเราะเบาๆก่อนจะโบกมือลากันแบบพอเป็นพิธี แต่เมื่อผมกับเมฆหันหลังเดินจากมา อะไรบางอย่างมันก็ทำให้ผมต้องวิ่งกลับไปหาไอ้แบ๊งค์ที่เดินแยกไปอีกทางอีกครั้ง

“เดี๋ยว ไอ้แบ๊งค์” ผมเรียกเพื่อหยุดมันเอาไว้ ไอ้แบ๊งค์จึงหันกลับมามองผมงงๆ “เรื่องวันนี้ กูขอโทษนะเว้ย ที่ทำตัวเป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยดีกับมึงเท่าไหร่ กูหมายถึง เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารที่ดีน่ะนะ”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูรู้ว่ามึงเครียดๆกันอยู่ ถึงตอนแรกกูจะงงๆหน่อยก็เถอะนะ”

“แต่กูก็ผิดเองที่หาเรื่องมาให้มึงแบบนี้น่ะ นี่ถ้าเราไม่บังเอิญมาเจอนัทกับพี่จ๊อบ เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้........ แต่ก็ดีแล้วล่ะที่มันจบลงได้แล้ว” ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “เอาเถอะ เอาไว้ครั้งหน้าเราค่อยไปกินกันใหม่แบบที่ไม่มีปัญหาก็แล้วกัน แบบนั้นดีมั๊ยวะ” เมื่อผมพูดจบ ไอ้แบ๊งค์ก็ยิ้มออกทันที เป็นรอยยิ้มจริงๆ ไม่ใช่รอยยิ้มแบบที่ผมเห็นมาตลอดทั้งเย็นนี้ด้วย “กูหมายถึงว่า ในฐานะเพื่อนที่ทำให้เย็นนี้ของมึงต้องเสียเงินเยอะขึ้นและเสียอารมณ์ไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่มึงไม่เข้าใจน่ะนะ”

“ได้เลย ถ้าสำหรับมึงล่ะก็กูว่างเสมออยู่แล้ว” ไอ้แบ๊งค์รับคำ

ผมตบบ่ามันเบาๆ จากนั้นก็เดินกลับมาหาไอ้เมฆที่ยืนรออยู่ไม่ไกลอีกครั้ง แล้วเราสองคนก็เดินกลับมาที่รถกันแบบเงียบๆ ผมคิดว่าผมรู้จักมันและเข้าใจมันดีพอที่จะยังไม่พูดอะไรออกไปในตอนนี้ และเป็นฝ่ายรอ ว่าเมื่อไหร่ที่มันพร้อม มันก็คงจะเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง จนกระทั่งเมื่อเราสองคนเข้ามานั่งอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว ไอ้เมฆก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ

“ขอบใจมึงมากนะซัน ที่ทำแบบนั้นให้กู”

ผมพยักหน้าตอบ โดยไม่รู้ว่าจะหาคำพูดอะไรมาพูดออกไปได้

“กูยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยว่านัทเค้าจะทำแบบนี้ได้ ตอนแรกนะพอกูรู้ว่านัทมีแผลที่มือจริงๆ กูก็ใจแป้วเลย กูรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องแล้วดูรอยเลือดทันทีเลยว่ามันเป็นยังไง และสุดท้ายมันก็แค่ใช่....... กูคิดถูก และกูผิดเองที่มัวแต่มองโลกในแง่ดีจนมองข้ามเรื่องง่ายๆแบบนั้นไปน่ะ”

“หมายความว่าไงวะ เรื่องง่ายๆที่มึงว่า”

“ก็เรื่องนิสัยของนัทไง........ กูก็รู้อยู่แล้วว่าเค้าเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆลงๆและค่อนข้างจะรุนแรงอยู่บ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่นึกเลยว่ามันจะเลยเถิดขนาดนี้..........”

“มึงก็แค่ปกป้องนัทโดยที่มึงไม่รู้ตัวเท่านั้นเองแหละ ใครจะไปคิดล่ะ กูเองยังไม่คิดเลยว่านัทจะทำอะไรแบบนี้ได้น่ะ”

“อืมมม” ไอ้เมฆพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“มึงอย่าคิดมากเลยเมฆ เรื่องแค่นี้เอง มันจบแล้วก็ให้มันจบไปเถอะว่ะ นะ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ” ไอ้เมฆส่ายหน้า “มันก็คงเป็น ‘เรื่องแค่นี้’ อย่างที่มึงบอกกูนั่นแหละ กูกำลังคิดนะว่า มันก็คงเป็นเหมือนในเอ็มวีหรือในละครที่พอผู้หญิงไม่พอใจอะไรแฟนตัวเอง พอต้องเลิกกับแฟนแล้วเค้าก็เลยทำลายข้าวของของที่แฟนเคยซื้อให้อะไรแบบนั้น โดยเฉพาะยิ่งเป็นนัทกูก็ยิ่งไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะเขาก็ดูเป็นอะไรแนวๆนี้อยู่แล้ว........” ไอ้เมฆเว้นช่วง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เฮ้อออ แต่พอเจอเข้ากับตัวแล้วมันก็ช็อกน่ะนะ เพราะว่าถึงไงกูก็ยังรักเค้าและเวลาคิดถึงเค้าก็ยังคงเห็นภาพเค้าพร้อมรอยยิ้มนั่นอยู่ในใจของกูเสมอๆ”

ผมพยักหน้ารับ พยายามที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่นัททำถึงขนาดลงทุนส่งหมีตัวนั้นมาก่อกวนผมถึงที่ออฟฟิศของผมเลยทีเดียว เพราะถึงนัทจะขอโทษและพูดออกมาแบบนั้นแล้วก็ตาม แต่ผมก็รู้ดีว่าเป้าหมายหลักของเขาจริงๆแล้วก็คือตัวผม ไม่ใช่ไอ้เมฆ

“แรงรักแรงแค้นแรงหึงนี่มันแรงจริงๆเนอะ ทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้แบบที่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” ผมส่ายหน้าเบาๆ

“แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยตอนนี้ปัญหาทุกอย่างมันก็จบแล้ว และหลังจากนี้ก็คงจะไม่มีอะไรเหี้ยๆแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วนะ”

“อืมม กูก็ว่างั้น.......” ผมพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับสต๊าร์ทรถ และในช่วงเวลาแค่ไม่กี่นาทีตรงนั้นเอง ที่ผมลืมปัญหาชิ้นต่อไปที่ผมเพิ่งได้รับมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เองที่วางอยู่ในกระโปรงหลังไปเสียสนิท “ถ้าเป็นไปได้ กูก็อยากจะให้มันหมดเรื่องแค่นี้แล้วจริงๆเหมือนกัน”



หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-01-2008 20:30:31
ได้อ่านต่อแล้วว เย้  :oni2: :oni2: :oni2:  :oni2:
ปริศนาของตุ๊กตาตัวแรกเฉลยแล้ว ตัวที่สองนี่ ขอเดาว่าเป็นแบงค์อ่ะ    :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 14-01-2008 22:40:26
เคยคิดแค่นัทเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด... แต่ดันเป็นตัวการซะเอง  :o
หมดไปหนึ่ง...เหลืออีกตัว...มันจะอารายกันนักหนาละเนี่ยยย
วุ่นวายอะไรกับเมฆกะซันจังงงงงงง  :serius2:
เอาใจช่วยเมฆกะซันน๊า.....

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 15-01-2008 09:00:26
เอาใจช่วยต่อไปเหมือนกันเลยจ้า

รักเมฆกะซันจังเลย :m1:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 15-01-2008 15:11:55
คนที่มีอารมณ์รุนแรงแบบนัทเนี่ย น่ากลัว เพราะทำอะไรไม่ค่อยรู้ตัวเอง

แต่ VCD กะตัวที่ 2 นี่ดิ  :serius2:

โอ๊ยยย สับสน
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-01-2008 14:49:00
วินาทีที่ 22


หลังจากเราที่เคลียร์กับนัทเสร็จหมดแล้ว ผมก็ตัดสินใจว่าผมจะไม่บอกไอ้เมฆเรื่องของพัสดุชิ้นที่สองที่ผมได้รับมา อย่างน้อยๆก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะผมไม่อยากจะให้มันต้องไม่สบายใจจริงๆ แต่ถึงยังไงก็ตาม วันเสาร์ที่จะถึงนี้ก็เป็นวันที่ผมนัดเจอกับไอ้เอ็นเพื่อไปคุยเรื่องที่ผมวานให้มันทำให้ และเป็นวันที่ผมต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มันฟังอย่างละเอียดอีกด้วย และวันนั้นก็ยังเป็นวันที่พี่แอมป์นัดพวกเราให้ไปเอารูปอีกเช่นกัน ผมจึงจำเป็นต้องให้เมฆกับไคล์ไปหาพี่แอมป์กันแค่สองคน ส่วนผมก็จะไปเจอไอ้เอ็นเพียงคนเดียว

“ทำไมไม่ไปด้วยกันวะ มึงจะไปไหนเหรอ” ไอ้เมฆถามขึ้นเมื่อผมบอกมันว่าผมตัดสินใจยังไงในคืนวันศุกร์ “แล้วทำไมไม่บอกกูล่วงหน้าวะ เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้เนี่ยนะ”

“โทษที ก็กูมัวแต่ตัดสินใจอยู่น่ะว่าจะเอายังไง แถมกูก็เพิ่งจะถูกนัดเมื่อวานนี้เองด้วย” ผมตอบแบบเลี่ยงๆ “เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้เห็นรูปของตัวเองพร้อมๆมึงน่ะ”

“นัดอะไรวะ มึงจะไปไหนแล้วเสร็จกี่โมงล่ะ”

“ก็.........” นี่แหละ คือข้อเสียของการที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาและรู้เรื่องราวของกันและกันแทบจะทุกๆอย่าง ทำให้ไม่มีช่องว่างเหลือให้สำหรับความลับหรือการโกหกอะไรได้เลยจริงๆ ซึ่งในกรณีนี้ก็ต้องยอมรับเลยว่ามันแย่มาก “นัดกับเพื่อนที่บริษัทน่ะ ไปกินข้าวกันเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”

ไอ้เมฆมองผมด้วยสายตาแบบรู้ทัน และก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา จนสุดท้ายผมจึงเป็นฝ่ายที่แพ้ทาง

“เออๆ ก็ได้วะ คือจริงๆแล้วกูนัดไอ้เอ็นเอาไว้ว่าจะไปคุยกับมันน่ะ แต่ว่ากูไม่อยากบอกมึงเพราะไม่อยากให้มึงไม่สบายใจ กูขอโทษ”

“มึงจะไปคุยอะไรกับไอ้เอ็นวะ”

“ก็หลายๆอย่างน่ะ หลักๆแล้วก็คงเป็นเล่าเรื่องของเราสองคนให้มันฟังมั๊ง เพราะมันบอกว่ากูต้องเล่าเรื่องทั้งหมดเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยให้มันสืบเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้น่ะ และกูก็สัญญาไปแล้วด้วย..........” ผมจ้องตาของมัน และมันก็จ้องตาผมตอบกลับมาด้วยเหมือนกัน “มึงคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันจบหมดแล้วจริงๆรึเปล่าวะเมฆ”

ไอ้เมฆไม่ตอบแต่กลับหันหน้าหนีไปมองทางอื่นแทน มันเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนที่จะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “พรุ่งนี้ถ้ามึงเสร็จธุระเร็วและพอจะเป็นไปได้ล่ะก็....... มึงตามกูไปที่ยิมนะ”

เช้าวันต่อมา ไอ้เมฆกับไคล์ก็ออกจากบ้านไปตั้งแต่หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ส่วนผมที่มีนัดกับไอ้เอ็นมันตอนมื้อเที่ยงก็เลยลองเอาเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นช่วงหลังๆนี้มาเรียบเรียงและจดมันลงสมุดบันทึกของผมแบบเป็นเรื่องเป็นราวดูสักครั้ง โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่เราไปทะเลว่ามันมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับนัทและพี่จ๊อบอะไรเกิดขึ้นบ้าง จากนั้นก็ไล่มาจนถึงเหตุการณ์ล่าสุด ซึ่งนั่นก็คือเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี่เอง ผมลองเขียนวัน วันที่ เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประเด็นต่างๆที่ผ่านเข้ามาในสมองของผมเป็นระยะๆลงไป ไม่ว่าจะทั้งคำพูด ท่าทาง หรือแม้แต่ลางสังหรณ์ของผมที่ผมรู้สึกแปลกๆเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด และแน่นอน ผมยังไม่ลืมที่จะจดสิ่งที่ผมอยากจะรู้และยังข้องใจอยู่ลงไปอีกด้วย

แต่มันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้เลย

ผมนั่งคิดย้อนไปย้อนมา เอาคลิปวีดีโอนั้นมาเปิดดูอีกไม่รู้กี่หนต่อกี่หน จนสุดท้ายเกือบจะได้เวลาที่ต้องออกจากบ้านแล้ว ผมจึงรีบแต่งตัวและขับรถไปหาไอ้เอ็นยังสถานที่ที่นัดเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว และเนื่องจากผมเพิ่งจะดูไอ้คลิปแอบถ่ายแอบตามผมกับไอ้เมฆนั่นมา มันก็เลยทำให้ผมอดกังวลไม่ได้ว่าถ้าคลิปนั้นมันหมายความว่ามีคนกำลังตามผมอยู่แล้วจริงๆแล้วล่ะก็ ตอนนี้ไอ้คนๆนั้นมันก็คงจะรู้ที่อยู่ของไอ้เมฆไปด้วยแล้วน่ะสิ

เมื่อเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมา ผมก็รู้สึกใจหายขึ้นมากเลยทีเดียว และผมก็รู้แล้วว่าผมต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วที่สุด ถึงแม้มันอาจจะเริ่มต้นช้าไปหน่อยแล้วก็ตาม แต่ก็คงดีกว่าที่จะไม่ลงมือทำอะไรเลย

ผมจอดรถที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากผมจำหน้ามันไม่ได้ ผมจึงจำเป็นต้องโทรบอกมันให้ออกมารับผมที่หน้าร้าน และเมื่อผมเห็นมัน ผมก็ต้องรู้สึกประหลาดใจทีเดียว เพราะโครงหน้าของมันก็ดูคุ้นๆเหมือนกับใครสักคนที่ฝังอยู่ในความทรงจำของผมส่วนหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่ว่าภาพในความทรงจำของผมนั้นจะตัวเล็กกว่านี้ หน้าเด็กกว่านี้ ผอมกว่านี้ และที่สำคัญ ไม่ได้ดูดีเท่านี้เลย

“เป็นไงมั่งไอ้ซัน มึงนี่ไม่ค่อยเปลี่ยนเหมือนกันนะ สูงขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น แต่ยังหล่อเหมือนเดิม” ไอ้เอ็นตบต้นแขนผมเบาๆ

“ขอบใจ มึงก็เหมือนกัน บอกตามตรงตอนแรกกูก็จำมึงไม่ได้นะเนี่ย คือชื่อน่ะจำได้ แล้วก็จำได้ว่ามึงเป็นใคร แต่ว่าจำหน้าไม่ได้ว่ะ แต่แล้วพอมาเจอแบบนี้นี่กูก็จำได้ทันทีเลย โครงหน้ามึงก็ไม่ค่อยเปลี่ยนไปมากหรอก แต่ว่ามึงดูดีขึ้นเยอะว่ะ ท่าทางจะฝึกมาเยอะเจอมาเยอะสินะเนี่ย”

ไอ้เอ็นหัวเราะ และเดินพาผมไปนั่งที่โต๊ะ “ขอบใจ ก็ตามภาษาเด็กนายร้อยแหละวะ เข้าไปแค่ปีเดียวก็เปลี่ยนเป็นคนละคนแล้ว แต่กูน่ะไม่เหมือนมึงหรอก ตอนนั้นมึงมันก็ดังอยู่แล้ว ใครจะไม่รู้จักมึงวะ แต่กูก็ความจำค่อนข้างดีด้วยแหละมั๊ง ถ้าเราเดินกันตามถนนแล้วเผอิญสวนกันนี่กูก็คงจำมึงได้นั่นแหละ”

“เออ ดีเลย เผื่อมึงจะได้ใช้ความจำและสมองของกูช่วยเหลือกูได้บ้าง”

“ซีเรียสเหรอวะ” ไอ้เอ็นยกถ้วยกาแฟของมันขึ้นจิบ ส่วนผมก็พยักหน้า และเมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินตรงเข้ามายื่นเมนูให้แก่เรา มันก็พยักหน้าเบาๆพร้อมรอยยิ้มที่ดูจริงจังมากกว่ายิ้มเพราะอารมณ์ดี “แล้วไอ้เมฆล่ะ มันว่ายังไงบ้าง”

“มันรู้ว่ากูมาคุยกับมึง แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องทั้งหมด...........” ผมพลิกเมนู และสั่งอาหารมาสองอย่าง ไอ้เอ็นก็เช่นกัน จากนั้นเราทั้งคู่ต่างก็ยื่นเมนูคืนให้แก่พนักงาน และเมื่อเขาเดินออกไป ผมก็หันกลับมาพูดกับมันต่อ “ซึ่งกูเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากูควรจะให้มันรู้หมดทุกเรื่องมั๊ย ทั้งๆที่รู้ว่ามันน่ะฉลาดกว่ากูและน่าจะคิดเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่ากูนะ แต่กูก็ไม่อยากให้มันคิดมาก แถมที่สำคัญ กูเองก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก เพียงแต่กูต้องการความช่วยเหลือบ้างเท่านั้นเอง”

ไอ้เอ็นนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด “นี่มันค่อนข้างจะช็อกกูอยู่เหมือนกันนะไอ้ซัน คือ กูแปลกใจเหมือนกันนะเนี่ยพูดจริงๆ”

“เรื่องอะไรวะ” ผมถาม

“ก็เรื่องมึงกับไอ้เมฆน่ะสิวะ มึงเล่นพูดออกมาแบบเมื่อกี๊ก็แปลว่ามึงกับไอ้เมฆไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันใช่มั๊ยเนี่ย มึงอย่าบอกนะว่ามึงไม่รู้ตัวว่ามึงพูดอะไรออกไปน่ะ”

“เออ ใช่ กูกับมันเป็นแฟนกัน” ผมพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “คือกูก็ไม่ได้เผลอถึงขนาดหลุดออกไปให้มึงจับได้หรอกนะ แต่กูตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วน่ะว่าจะบอกมึง มันก็เลยพูดออกไปได้แบบไม่ต้องระวังไม่ต้องยั้ง ไม่ต้องกังวลว่ามึงจะตีความถูกหรือผิดอะไรแบบนั้นน่ะเพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ กูกับมันเป็นแฟนกัน...... และเป็นมาสามปีแล้วด้วย” ผมพูดเสริมเมื่อเห็นสีหน้าของมัน

“อย่างแรกที่กูจะพูดเลยนะ ไอ้ซัน......” ไอ้เอ็นเอามือลูบคางของตัวเองที่มีร่องรอยของหนวดที่ไม่ได้ผ่านการโกนมาแล้วอย่างน้อยๆสองสามวันเบาๆ “นั่นก็คือกูแปลกใจจริงๆว่ะ เฮ้ย กูพูดไปแล้วนี่หว่า เออช่างมันเหอะ คือประเด็นของกูน่ะ กูคิดว่า ‘ในที่สุดมันก็เป็นแฟนกันจริงๆจนได้งั้นเหรอวะ’ น่ะ” เมื่อมันพูดออกมาแบบนี้ ผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เออน่า ถึงกูจะเตะบอลกับมึงไม่นาน แต่กูก็พอดูออกแหละ ว่ามึงสนิทกันมากขนาดไหน แถมกูยังได้ยินข่าวของพวกมึงสองคนอยู่เรื่อยๆด้วย เพราะกูไปเรียนอยู่ในนั้นน่ะมันก็มีแต่ผู้ชาย กูก็เลยพอเดาระดับความสนิทสนมและความสัมพันธ์ของพวกมึงออก ไม่ใช่ว่ากูฟันธงไปว่ามึงสองคนเป็นเกย์หรอกนะ กูก็แค่คิดว่ามันคงไม่แปลกเท่านั้นเอง แต่สุดท้ายกูก็แปลกใจจริงๆว่ะ แบบว่า ‘เชี่ยยย ในที่สุดมันก็เป็นอย่างที่กูคิดจนได้’ น่ะ”

“โอเคๆ อันนั้นกูรู้แล้ว ก็เห็นมีแต่คนพูดแบบมึงกันทั้งนั้นนั่นแหละ” ผมเบรกมันเอาไว้ก่อน “แล้วมีอะไรอีกมั๊ย นอกจากความแปลกใจว่า ‘ในที่สุดกูก็เป็นแฟนกับไอ้เมฆจนได้หลังจากผ่านมาหลายปี’ น่ะ”

“เออ โอเค อย่างที่สองก็คือ กูไม่แน่ใจนะว่ากูจะช่วยเหลือมึงได้ขนาดไหน และที่สำคัญก็คือ กูไม่รู้เลยว่าปัญหาของมึงมันคืออะไร โดยเฉพาะไอ้เรื่องสุดท้ายที่มึงวานให้กูไปช่วยตรวจสอบน่ะ กูว่ามันแปลกมากๆเลยว่ะ”

“อืมมม กูรู้” ผมพยักหน้า “นี่ตอนแรกกูกะว่ามันคงจะใช้เวลาไม่นานนะเนี่ย แต่ดูไปดูมาถ้าให้เล่าทั้งหมดเลยนี่ก็ท่าทางจะยาวว่ะ มึงพอมีเวลาใช่มั๊ยวะ”

“อืม วันนี้กูว่างทั้งวัน” ไอ้เอ็นพยักหน้า “และกูเองก็อยากรู้เรื่องราวทั้งหมดด้วยเหมือนกัน”

ผมเริ่มต้นเล่าตั้งแต่ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้เมฆ โดยที่ตอนแรกผมตั้งใจจะเล่าแค่ย่อๆว่าผมคบกันมานานเท่าไหร่แล้วและมีความสัมพันธ์มีความไว้ใจกันอะไรยังไงในระดับไหน แต่ปรากฏว่าไอ้เอ็นก็คอยซักผมตลอดตั้งแต่เริ่มต้นยังไง ราบรื่นมั๊ย ทะเลาะกันแค่ไหน นิสัยของใครและใครเป็นยังไงบ้าง พ่อแม่รู้รึเปล่า ปกติวางตัวกันยังไง จนเลยไปถึงกระทั่งเรื่องของพีกับไคล์ด้วยด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะมันสนใจเรื่องของผมกับไอ้เมฆมากจริงๆ เพราะมันเป็นคนอยากรู้อยากเห็น หรือเพราะเป็นนิสัยอันเนื่องมาจากหน้าที่การงานของมันที่ต้องละเอียดรอบคอบเก็บทุกรายละเอียดถึงขนาดนี้กันแน่ และเมื่อผมเล่าเรื่องทุกอย่างจบแบบหมดเปลือก อาหารที่เราสั่งกันเอาไว้ก็มาถึงพอดี

“กูขอพักหน่อยก็แล้วกันนะไอ้เอ็น ช่วงกินข้าวนี่ตามึงเล่าเรื่องชีวิตมึงมั่งก็แล้วกันนะ ส่วนประเด็นหลักของเราจริงๆวันนี้ค่อยคุยกันหลังกินเสร็จดีกว่า” ผมเสนอ และระหว่างที่เราสองคนกินข้าวกัน ผมก็กลายเป็นฝ่ายนั่งฟังมันเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวของมันบ้าง โดยเริ่มนับตั้งแต่มันออกจากโรงเรียนไปเลยทีเดียว ซึ่งผมก็ได้ความมาว่า ตอนนี้มันยังโสดอยู่ แต่พี่ชายของมันแต่งงานไปแล้วเมื่อปีที่แล้วนี่เอง หน้าที่การงานก็ราบรื่นดี เพื่อนฝูงก็มีอยู่พอตัวทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เนื่องจากอิทธิพลของพ่อมันนั่นเอง แต่มันก็ยืนยันว่าบ้านมันนั้นไม่ใช่ “ตำรวจเลว” อย่างแน่นอน

“กูทนไม่ได้ว่ะ ถ้าต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้เรื่องแบบนั้น พ่อกูพี่กูก็เหมือนกัน คือมึงเข้าใจป่ะ รู้ไว้น่ะดี รู้จักไว้ยิ่งดีใหญ่ แต่มึงจะจัญไรแน่ ถ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือกลายไปเป็นหนึ่งในพวกเดียวกับมันน่ะ” ไอ้เอ็นอธิบาย

เมื่ออาหารของเราตรงหน้าหมดลง พร้อมๆกับไอ้เอ็นที่เล่าเรื่องของมันจบแล้ว ผมก็เริ่มต้นเล่าเท้าความไปถึงตั้งแต่ตอนที่เราไปทะเลกันเลยทีเดียว และคราวนี้ผมก็เล่าไปถึงเรื่องที่ไอ้เมฆไปช่วยทั้งพี่แอมป์และนัทเอาไว้ด้วย เพราะผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่เล่าละเอียดๆ มันก็จะต้องถามผมอีกอยู่ดี หรือไม่งั้นถ้ามันมารู้ทีหลังว่าผมข้ามเรื่องไหนไป มันก็คงจะต้องโวยผมแน่ๆ ผมพยายามเรียงเรียงลำดับเหตุการณ์ให้ตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดตามที่ผมได้ลองไล่ลำดับดูเมื่อตอนอยู่ที่บ้านเมื่อเช้านี้ โดยมีไอ้เอ็นคอยทำหน้าแปลกใจ ตกใจ และถามคำถามแทรกอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งผมเล่าจบ

“และเรื่องของเมื่อคืนวันพุธก็จบลงแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็อย่างที่มึงรู้ว่าไอ้เมฆก็ยังคงไม่รู้เรื่องหมีตัวที่สองกับแผ่นซีดีแผ่นนั้นอยู่ดี และวันนี้กูก็มาหามึง มาเล่าทุกอย่างให้มึงฟังอย่างหมดเปลือกแบบนี้นี่แหละ”

“มึงยังไม่น่าคืนหมีนัทไปเลยว่ะ น่าเสียดาย..........” ไอ้เอ็นหลุบตาลงต่ำและลูบคางของตัวเองเบาๆแบบใช้ความคิดอีกครั้ง “และถ้ามีคนตามมึงอยู่จริงๆนี่ก็น่าสนุกเลยว่ะ” มันหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่นี่มึงเอาหมีอีกตัวมาด้วยรึเปล่า แล้วก็ไอ้แผ่นที่มึงว่าด้วย กูอยากดูสักหน่อยน่ะ”

“แน่นอน อยู่ในรถน่ะ กูก็กะว่าจะเอามาให้มึงดูอยู่แล้วด้วยเหมือนกัน แต่ก่อนอื่นมึงต้องตอบกูมาก่อนว่า พอกูเล่าเรื่องทั้งหมดให้มึงฟังแบบนี้แล้วเนี่ย มึงพอจะนึกอะไรออกมั่งมั๊ย เมื่อเทียบกับข้อมูลที่มึงมีอยู่น่ะ”

“กูก็ไม่รู้ว่ะ.........” ไอ้เอ็นส่ายหัวเบาๆ “กูพูดตามตรงนะ กูเองก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกว่ากูจะทำอะไรได้บ้าง แต่กูก็จะพยายามอย่างดีที่สุดล่ะวะ เพราะกูมันยังกระจอกอยู่เลย แต่กูมั่นใจว่าพี่กูหรือพ่อกูคงช่วยกูได้บ้าง ไม่สิ ถ้าเอาเข้าจริงๆนะ นามสกุลของกูมันก็น่าจะให้กูได้อะไรขึ้นมาบ้างแหละ”

ผมส่ายหน้า “มึงใจเย็นๆก่อน ขอกูทำความเข้าใจกับมึงนิดนึงนะไอ้เอ็น กูไม่ได้อยากทำให้มึงเดือดร้อน กูไม่ได้อยากรบกวนเวลามึง โดยเฉพาะกวนกระทั่งเรื่องงานของมึงด้วยน่ะ ยิ่งถ้าไปรบกวนพ่อมึง พี่มึง หรือนามสกุลมึงนี่ยิ่งแล้วใหญ่ กูก็แค่ต้องการข้อมูลนิดหน่อย กับคนที่ช่วยกูคิดเรื่องพวกนี้ได้บ้างเท่านั้นเอง หรือสรุปง่ายๆก็คือ กูต้องการมันสมองกับความสามารถของมึงน่ะ และต้องการเฉพาะเท่าที่กูต้องการ เฉพาะเวลาที่กูต้องการเท่านั้นด้วย กูไม่ได้ต้องการจะไปวุ่ยวายมึงถึงขนาดนั้น”

“กูเข้าใจ” ไอ้เอ็นพยักหน้า “กูอาจจะพูดเกินไปหน่อย แต่ว่าความหมายของกูมันก็คือกูเต็มใจและเต็มที่ที่จะช่วยเหลือมึงเท่านั้นแหละไอ้ซัน อะไรที่กูช่วยได้กูก็จะช่วย แต่ตอนนี้กูคิดว่าถึงตากูต้องเล่าเรื่องทางฝั่งกูให้มึงฟังบ้างแล้วสินะ และที่สำคัญ กูอยากจะดูของขวัญจากหนึ่งในผู้ที่กำลังแอบชื่นชอบมึงอยู่คนนี้แล้วด้วยสิ แต่ที่นี่ก็คงจะไม่เหมาะอีก กูอยากย้ายที่ว่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเราควรจะไปที่ไหนดี”

“ถ้าอย่างนั้นกูรู้ที่นึงที่ดีๆ” ผมยิ้ม

“ที่ไหนวะ บ้านไอ้เมฆเหรอ”

“เปล่า........” ผมส่ายหน้า “ที่คอนโดของกูเอง”


หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 17-01-2008 21:36:45
ต้นน่ะ ทำไมวันนี้ลงสั้นจังเลย
อ่านยังไม่ทันหายอยากเลยจบตอนซะแระ :m20:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-01-2008 22:12:53
555 ไปที่คอนโดเรอะ   :m24:  :m24: เตรียมถ่ายรูปฟ้องเมฆ  :m24:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-01-2008 13:19:14
เหนื่อยๆๆๆ คับ

ขอบ่นหน่อย T__T

เด๋วไป ตจว อีกแล้ว
ฮืออออ
นั่งนานๆบ่อยๆแบบนี้ ตูดด้านแน่เลยย

 :sad2:

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 18-01-2008 15:11:03
ต้องไปที่คอนโดเลยหรอ

เนี่ย .... ตัวแปรที่ต้องคืนแหวนกันรึเปล่าน๊า ไม่อยากคิดเลย

ต้นอ่ะ มาต่ออีกหน่อยดิ :m13:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 19-01-2008 01:03:14
อ่านเรื่องนี้เเล้วรู้สึกกลัวเหมือนกับดูหนังผี

หรือมันเป็นเพราะอ่านยามค่ำคืนกันแน่

เรื่องมันดูลึกลับซับซ้อนมีเงื่อนงำเต็มไปหมด

ถึงจะแก้จุดๆนึงได้เเล้ว ก็มีปมใหม่ขึ้นมาอีก

เป็นเรื่องที่เดาไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ

เพราะเป็นแบบนี้เลยให้ความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างตื่นเต้นมากๆ ใจสั่นเลย o2
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 19-01-2008 09:05:14
ปัญหาไม่รู้จบจริง ๆ ... เอาใจช่วยเมฆกะซันต่อไปปปปปปป
 :m29:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: Angle Froze ที่ 19-01-2008 14:02:27
สนุกมากเลยๆ ซับซ้อนจริงๆ อ่านแล้วลุ้นเรื่องไปได้เรื่อยๆ  :m4:

แต่ก็แอบเครียด(อ่าว?)

มาอัพเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 19-01-2008 14:12:56
อ่านเรื่องนี้เเล้วรู้สึกกลัวเหมือนกับดูหนังผี

หรือมันเป็นเพราะอ่านยามค่ำคืนกันแน่

เรื่องมันดูลึกลับซับซ้อนมีเงื่อนงำเต็มไปหมด

ถึงจะแก้จุดๆนึงได้เเล้ว ก็มีปมใหม่ขึ้นมาอีก

เป็นเรื่องที่เดาไม่ออกเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ


เพราะเป็นแบบนี้เลยให้ความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างตื่นเต้นมากๆ ใจสั่นเลย o2

อย่าว่าแต่คนอ่านเลยครับ คนแต่งยังไม่รู้เลย (ฮา)

วันนี้ไม่ต้องไป ตจว แล้วครับ เปื่อย เลยนอนอยู่ในห้อง

แต่มันเครียดประมาณนั้นเลยเหรอเนี่ย แหะๆ

เปลี่ยนแนวสุดชีวิต จากเศร้า --> หวาน --> ล่าสุดกลายเป็นหล็อนซะงั้น

ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับผม ^^

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 19-01-2008 19:04:02
 :m22: มารอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 20-01-2008 18:12:17
วินาทีที่ 23


ไอ้เอ็นแปลกใจนิดหน่อยว่าถ้าผมมีคอนโดแล้วทำไมผมถึงยังต้องไปนอนอยู่ที่บ้านของไอ้เมฆอีก ผมจึงอธิบายคร่าวๆให้มันฟัง จากนั้นเราก็ตัดสินใจจะย้ายที่ไปคุยกันต่อที่คอนโดของผมกัน โดยที่ผมจะขับรถนำ ส่วนมันก็ขับรถของมันตามไป ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาถึงที่ไทยเลยด้วยที่ผมจะได้เข้าไปยังคอนโดของตัวเอง และแม้แต่ไอ้เมฆเองก็ยังไม่เคยมาเลยด้วยซ้ำ

อีกครึ่งชั่วโมงถัดมานับจากที่เราออกมาจากร้านอาหาร ผมก็พามันมาถึงยังคอนโด ผมเดินนำพามันขึ้นไปที่ห้อง และเมื่อไขกุญแจเข้าไป ผมก็พามันเดินทัวร์รอบๆนิดหน่อยพอเป็นพิธี

คอนโดแห่งนี้ไม่ใช่คอนโดใหญ่โตโอ่อ่าอะไรมากนัก มันมีทั้งหมดสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องรับแขก แต่ก็มีระเบียงยื่นออกไปด้านนอก มีพื้นที่ใช้สอยที่เยอะ โปร่งโล่งสบาย วัสดุและการออกแบบที่ดี ซ้ำยังมีระบบความปลอดภัยรวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่ดีและครบครันอีกด้วย พ่อของผมที่มองการณ์ไกลเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่หลายปีก่อนนั้นแล้วคงเห็นว่าบ้านหลังเล็กๆแห่งนี้อาจจะมีความจำเป็นในอนาคต เขาถึงได้ซื้อทิ้งเอาไว้ และตอนนี้ความจำเป็นที่ว่านั่นก็มาถึงแล้วจริงๆซะด้วย

“มึงบอกว่าไอ้เมฆก็ยังไม่เคยมาเลยใช่มั๊ย”

“ใช่ มึงนี่แหละ คนแรก แต่อย่าว่าแต่ไอ้เมฆเลย นี่กูเองก็มาเป็นครั้งแรกเหมือนกันตั้งแต่กลับมาถึงไทยน่ะ”

“อ้าว แล้วมึงเอากุญแจมาจากไหนวะ แถมห้องมันก็ยังดูสะอาดดีอยู่ด้วยนี่หว่า เฟอร์นิเจอร์ก็มี เพียงแต่ยังโล่งๆไปหน่อยเท่านั้นเอง” เอ็นหยิบตุ๊กตาหมีออกมาจากกล่องแล้วนั่งพิจารณามันไปด้วยขณะที่พูดกับผม

“กุญแจมันอยู่ที่ลุงกูน่ะ เค้าเป็นคนจัดการเรื่องดูแลทำความสะอาดที่นี่ให้มาตลอด พอกูกลับมากูก็ไปเอากุญแจที่บ้านเค้าไว้ตั้งแต่ตอนแรกๆแล้ว เพียงแต่กูยังไม่เคยมีโอกาสพาไอ้เมฆมันมาเลยก็เท่านั้นเอง” ผมยกคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะรับแขก จากนั้นก็เปิดเครื่อง และเมื่อเครื่องบู๊ทเสร็จแล้ว ผมก็หยิบแผ่นซีดีออกมาจากในซอง “พร้อมรึยัง หรือมึงจะเล่าเรื่องของมึงให้กูฟังก่อน”

“กูเล่าก่อนก็แล้วกัน สรุปแล้วเรื่องพี่จ๊อบของมึงน่ะ มันก็ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมเท่าไหร่หรอก เรื่องหลักๆก็อย่างที่กูบอกมึงไป แต่เรื่องสามเรื่องที่มึงอยากรู้เป็นพิเศษที่ว่า มันใช้บารมีพ่อได้ขนาดไหน มันเป็นพวกอยากได้อะไรต้องได้มั๊ย กับมันเป็นเกย์รึเปล่าเนี่ย กูก็พอได้อะไรน่าสนใจมาอีกหน่อย โดยเฉพาะพอกูรู้เรื่องของมึงกับไอ้เมฆและสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว กูก็เริ่มเห็นภาพแล้วว่ะ”

“ว่ามาเลย กูฟังอยู่”

“อย่างแรก เรื่องบารมีพ่อมันน่ะ เท่าที่กูรู้มาตอนมันอยู่มัธยมกับมหาลัยน่ะ มันก็ใช้เงินของมันนั่นแหละเป็นใบเบิกทางให้หลายๆอย่างบ้างเหมือนกัน และถ้ามีปัญหาถึงตำรวจ พ่อมันก็ช่วยมันออกมาได้ทุกครั้ง อย่างพวกเมาแล้วขับ อุบัติเหตุ หรือทะเลาะวิวาทนิดๆหน่อยน่ะนะ ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเท่าไหร่ ดูเผินๆก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป อย่างที่สองที่ว่ามันอยากได้อะไรต้องได้รึเปล่า พี่กูบอกมาว่า ประมาณนั้นว่ะ เช่นเรื่องชกต่อยที่มหาลัย มันก็เคยมีเพราะเรื่องแย่งแฟนเมื่อตอนมันอยู่ราวๆปีหนึ่งรึปีสองนี่แหละ........ ซึ่งอันนี้กูว่ามันน่าสนใจที่สุดสำหรับมึง แต่ว่าบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่ามันน่ะเป็นฝ่ายโดนต่อยก่อน แน่นอนว่าเพราะไปแย่งแฟนเค้า แต่อีกไม่กี่วันถัดมา ไอ้คนที่ต่อยมันกับเพื่อนๆ ก็โดนนักเลงที่ไหนไม่รู้รุมกระทืบชิงทรัพย์เข้าโรงบาลไปเลย  ส่วนข่าวก็ไม่มี ซึ่งกูว่ามันค่อนข้างลงตัวไปหน่อยเนอะ มึงว่ามั๊ย”

ผมพยักหน้า รู้สึกว่าขนของตัวเองกำลังลุกเกรียว เพราะเมื่อนึกถึงหน้ายิ้มๆของมันแล้ว ผมก็นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่ามันจะทำได้ถึงขนาดนี้

“ส่วนอย่างสุดท้าย เรื่องผู้ชาย........” ไอ้เอ็นส่ายหน้าเบาๆพร้อมรอยยิ้ม “นอกจากมันจะเจ้าชู้แล้ว สมัยมหาลัยมันก็เคยมีคนพูดถึงอยู่เหมือนกันว่า มันน่ะ ขอให้หน้าตาดีไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ได้หมด หรือไม่ก็จริงๆมันคงชอบผู้ชายนั่นแหละ แต่ก็เอาหญิงได้อาจจะไว้บังหน้า ซึ่งคนที่รู้เรื่องนี้ส่วนมากแล้วจะเป็นพวกแฟนเก่าของมันไม่กี่คน หรือไม่ก็เพื่อนๆในกลุ่มมันนั่นแหละ ซึ่งเพื่อนๆก็รับได้ หรือไม่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ส่วนผู้หญิงน่ะบางคนพอรู้แล้วก็คงอึ้ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกเหมือนกัน เรื่องมันก็แค่นั้น และที่สำคัญ ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็ไม่ได้ใส่ใจให้มันเป็นความลับอะไรเท่าไหร่ด้วย ไม่งั้นกูคงไม่ได้ข้อมูลนี้มาง่ายๆ”

“กูว่าแล้ว........ งี้ที่กูคิดไว้มันก็ถูกน่ะสิวะ ว่ามันคิดจะมาอะไรกับไอ้เมฆจริงๆน่ะ”

“ก็คงใช่” ไอ้เอ็นพยักหน้า “แต่เท่าที่กูรู้มาเรื่องทั้งหมดมันก็อยู่แค่ในช่วงมัธยมจนถึงสมัยมหาลัยตอนต้นๆนะ หลังจากนั้นมาก็ไม่ค่อยมีอะไรแล้ว ซึ่งก็น่าเอามาคิดเหมือนกันว่าทำไม และเพราะอะไร มันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆรึเปล่า รึพ่อมันเอือมกับมันสุดๆแล้วใช่มั๊ย หรือว่ามันต้องคอนโทรลตัวเองเนื่องจากพ่อมันกดดันมา อันนี้ก็คงไม่มีใครรู้ได้”

“เข้าใจล่ะ โอเค ขอบใจมากเว้ย ช่วยกูได้เยอะเลย”

“แล้วมึงจะโอเคมั๊ยวะ ถ้ามึงต้องเข้าไปพัวพันกับไอ้พวกนักเลงขึ้นมาจริงๆน่ะ”

ผมหัวเราะเบาๆ “มึงรู้จักไอ้เมฆน้อยไปหน่อยว่ะ”

ไอ้เอ็นมองหน้าผมงงๆเล็กน้อย แต่สุดท้ายมันก็ส่ายหน้าเบาๆ “กูหมายถึง ‘มึง’ นะ ไม่ใช่แค่ไอ้เมฆ”

“กูคิดว่ากูเอาตัวรอดได้ว่ะ มึงไม่ต้องห่วงหรอก” ผมตอบหลังจากเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ มึงพร้อมสำหรับเรื่องสุดท้ายที่มึงควรรู้รึยัง” ผมชูแผ่นซีดีขึ้น

ไอ้เอ็นพยักหน้าและวางตุ๊กตาหมีลงบนโซฟา จากนั้นมันก็เขยิบเข้ามานั่งชิดกับผมมากขึ้นเพื่อที่จะได้ดูภาพในจอได้ชัดๆ

“มึงไม่ต้องเบียดขนาดนั้น เอ้า มึงใส่เองเลยก็แล้วกัน จะดูกี่รอบก็ได้ ตามใจ” ผมยื่นแผ่นซีดีให้กับมัน จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปยังห้องครัว และหยิบน้ำเย็นออกมารินใส่แก้วสองใบ

“ภาพไม่ชัดนะ” ไอ้เอ็นพูดขึ้น “ใช้กล้องมือถือ.........”

“ใช่ กล้องมือถือ” ผมตอบ แล้วก็ยกแก้วทั้งสองใบเดินกลับมายังโต๊ะรับแขก “แล้วมึงคิดว่าไง” ผมถามขึ้นหลังจากที่ไอ้เอ็นเงยหน้าขึ้นมาจากจอคอมแล้ว

“ที่มึงสงสัยไว้ว่ามีคนตามดูมึงอยู่นั้นก็เป็นไปได้สูงทีเดียวว่ะ” ไอ้เอ็นพยักหน้า “แต่ที่น่าคิดก็คือ มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะมาเฝ้าตามมึงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โอเค เราไม่ได้พูดถึงความโอเว่อร์เกินจริงเหมือนในหนัง และบอกว่า ‘เฮ้ย นี่มันชีวิตจริง แบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันจะลงทุนไปมั๊ง’ อะไรทำนองนั้นหรอกนะ แต่กูกำลังพูดถึงความเป็นไปได้ว่า คนที่ตามมึงน่ะ จะตามติดชนิดที่ว่าไม่ปล่อยให้คาดสายตาเลยมันเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างแรกเลยคือ หมู่บ้านของไอ้เมฆ คนนอกเข้าไม่ได้อยู่แล้วใช่มั๊ยล่ะ สอง มึงทำงานในออฟฟิศแบบนั้น มันไม่ใช่ว่าใครจะเข้าก็เข้าออกก็ออกกันได้ง่ายๆ แถมช่วงที่มึงทำงาน มันจะไปไหนล่ะ นั่งเฝ้ามึงอยู่นอกตึกเรอะ แบบนั้นมันก็เกินไป ทั้งสะดุดตา ทั้งไร้จุดหมาย และคนอย่างไอ้หมอนี่ก็คงไม่มีปัญญาทำได้ขนาดนั้นหรอก”

“ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้นวะ” ผมสงสัยกับคำพูดสุดท้ายของมัน

“มึงดูที่คุณภาพของกล้องสิ ห่วยแตกซะขนาดนั้น มันมือถือรุ่นไหนราคาเท่าไหร่ หรือมันเก่ามาตั้งแต่เมื่อกี่ปีมาแล้ว” ไอ้เอ็นพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกนิดๆ แต่เมื่อมันเห็นสีหน้าของผม มันจึงอธิบายต่อ “นี่แปลว่ามึงไม่ได้ติดตามเรื่องราวของเทคโนโลยีมือถือกับเค้ามั่งเลยรึไงวะ”

“ไม่อ่ะ ไม่ได้สนใจอะไรเลย” ผมส่ายหน้า

“นี่มึงไปอยู่ไหนมาวะเนี่ย ถึงได้ตกยุคขนาดนี้”

“อังกฤษ”

“เออๆ กูขอโทษ กูลืมไป งั้นมือถือเครื่องนี้ล่ะ ทำไมมึงถึงได้เลือกซื้อรุ่นนี้” ไอ้เอ็นชี้มายังมือถือของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ

“กูเอง ก็ไปซื้อพร้อมไอ้เมฆนั่นแหละ อ้อ ไปกับไคล์ด้วย มันสองคนก็จิ้มๆเลือกๆให้กู กูไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว อันไหนสวยกูก็พยักหน้า อันไหนสเป๊กดี กูก็เห็นชอบด้วย และรุ่นนี้มันก็โอเคอยู่นี่ กูเห็นโฆษณาในทีวี”

“ใช่ เรื่องนั้นกูไม่เถียง มือถือมึงน่ะมันเวิร์คมากเลยทีเดียว ทั้งความสามารถในการใช้งานทั่วไป ทั้งเรื่องของการใช้งานในเชิงธุรกิจ และเรื่องของการฟังเพลงหรือการถ่ายรูป”

“เอาล่ะๆ โอเค ตกลงมึงจะเข้าเรื่องได้รึยัง” ผมนึกสงสัยว่านี่ถ้าไอ้ไคล์มันพูดภาษาไทยเก่งๆล่ะก็ ไอ้สองคนนี้มันคงคุยกันแบบน้ำไหลไฟดับแน่นอน

“ก็นี่ไง กูกำลังพูดถึงอยู่นี่แหละ มึงฟังนะ มือถือมึงน่ะ ราคาตกอยู่ที่ประมาณสองหมื่นใช่มั๊ย มึงคงเคยเอามันมาถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอมั่งแล้วล่ะ กูมั่นใจ และมันก็ออกมาชัดดีใช่มั๊ยล่ะ ชัดโคตรๆเลยด้วย แต่ว่ามันไม่ใช่ไง เดี๋ยวนี้น่ะ มันไม่จำเป็นเลยว่ามือถือต้องราคาแพงๆถึงจะถ่ายรูปถ่ายวีดีโอชัดๆ หมื่นเดียวหรือไม่ถึงก็ซื้อได้แล้ว กล้องสองล้านพิกเซลอะไรพวกนั้นน่ะ” ไอ้เอ็นยกมือขึ้นปัดไปมาเบาๆในอากาศ “และมันไม่ได้เพิ่งเป็นแบบนี้มาตอนวันแรกที่มึงกลับมาจากอังกฤษหรอกนะ แต่เป็นมาได้สักเกือบสองปีแล้วมั๊งที่ตลาดการแข่งขันมือถือมันสูง ราคามันก็เลยตกตามน่ะ เข้าใจรึยัง ยิ่งถ้ามึงไปซื้อรุ่นดีๆความสามารถสูงๆมาใช้แต่เป็นพวกมือสองน่ะ ไม่ถึงหมื่นก็ยังพอหาได้เลย แต่มึงลองดูกล้องของไอ้เหี้ยนี่สิ คุณภาพเลวมาก เลวขนาดที่กูพูดได้เลยว่ามันเป็นมือถือรุ่นที่มีกล้องไว้แค่ให้ได้ชื่อว่ามือถือติดกล้องน่ะ”

ผมชะโงกหน้าไปดูยังหน้าจอที่ไอ้เอ็นกำลังชี้อยู่ ภาพของผมกับไอ้เมฆกำลังเดินเข้าไปในห้างเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง “แล้วมันบอกนิสัยคนถ่ายยังไงวะ”

“แค่นั้นยังไม่จบ กูน่ะทำงานอยู่กับพวกกล้องมือถือเหมือนกันนะ ไอ้พวกที่ถ่ายรูปถ่ายคลิปมาเป็นหลักฐานอะไรพวกนั้นน่ะ เพราะงั้นมึงดูนี่ นอกจากพิกเซลยังต่ำแล้ว หน้าจอก็เล็กเว่อร์ สีก็ไม่ชัด แถมยังกระตุกโคตรๆ พอขยายดูนี่มองอะไรแทบไม่เห็นเลย ถ้าให้กูวิเคราะห์ง่ายๆจากตรงนี้นะ ก็คือไอ้เหี้ยนี่คงไม่ได้ทำหน้าที่จับตาดูมึงเพื่อถ่ายภาพคอยแบล็คเมล์มึงอะไรงั้นหรอก”

“อืมม กูเริ่มจะเข้าใจความคิดมึงขึ้นมานิดนึงแล้วว่ะ นั่นก็หมายความว่าถ้าไอ้เจ้าตัวคนที่ตามกูมันอยากจะได้ภาพกูไปเพื่อทำอะไรสักอย่าง มันก็น่าจะใช้กล้องที่มีคุณภาพดีกว่านี้สินะ”

“ใช่ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นน่ะนะ คือ กูคิดว่าไอ้คนที่ตามถ่ายภาพมึงเนี่ยมันคงจะถูกจ้างมาอีกที และจู่ๆพอเห็นมึงเข้าไปในห้างนั่น มันก็เลยรีบถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ อาจจะทำตามคำสั่งตั้งแต่แรกของนายมัน หรือไม่ก็นายมันบอกให้ทำตอนรู้ว่ามึงไปถึงที่นั่นก็ได้ ส่วนเหตุผล กูไม่รู้ว่ะ” ไอ้เอ็นพูด

ผมลุกขึ้นยืน และเดินวนรอบห้องช้าๆอยู่ครู่หนึ่ง “ตอนนี้กูพอจะนึกอะไรออกอีกหลายๆอย่างแล้วล่ะ แต่ว่ากูก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่ะ ที่มึงบอกว่าไอ้นี่คงไม่มีปัญญาเฝ้ากูได้ขนาดนั้น แต่นี่มันถ่ายกูมาตั้งแต่ลานจอดรถเลยนะเว้ย ก็แปลว่ามันก็ต้องตามกูมาตลอดทั้งวันเลยน่ะสิ”

“ก็อาจใช่ แต่นั่นหมายถึงถ้ามันมีเพียงคนเดียว กับ ถ้ามันตามมึงทั้งวันทุกวันน่ะนะ”

“มึงคิดว่ามันอาจจะมีมากกว่าคนนึงอย่างนั้นเหรอ”

“ก็แค่ความน่าจะเป็นน่ะ เอาล่ะ มึงฟังกูดีๆ ตอนนี้มึงก็คงคิดเหมือนกูว่ามึงอาจจะโดนคาดเดาการกระทำล่วงหน้าเอาไว้ได้แล้ว คือกูหมายถึงในตอนนั้นน่ะนะ เพราะงั้นพวกมันก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องคอยตามติดมึงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีทางเป็นไปได้ว่ามึงจะไม่เกิดอาการหุนหันรีบบึ่งรถไปยังร้านตุ๊กตาซะตั้งแต่วันแรกที่มึงได้ไอ้หมีนั่นมา......... หรือแม้แต่วันถัดไป” ไอ้เอ็นรีบพูดเสริมเมื่อมันเห็นผมอ้าปากจะพูด “เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะเป็นไปได้ที่มีคนๆนึงคอยจับตาดูที่ร้านตุ๊กตานั่นเอาไว้ในตอนเย็นหลังมึงเลิกงาน แต่นั่นก็ยังไม่ชัดเจนนัก ถ้าแค่ไอ้คนที่ตามมึงมันคอยดูมึงแค่หลังเวลาเลิกงาน และดูรถมึงว่ามึงกลับถึงบ้านแล้วก็คงพอ ไม่จำเป็นต้องใช้คนเปลืองและเปลืองเวลาอะไรมากมาย แต่ที่กูคิดว่ามันอาจจะมีสองคนน่ะ มันเป็นเพราะการตัดต่อในคลิปนี่ต่างหาก”

“อ้ออ กูพอจะเข้าใจ” ผมพยักหน้า “เพราะถ้าหากไอ้นี่มันเป็นมือสมัครเล่น หุนหันขนาดรีบถ่ายพวกกูไว้ตั้งแต่ตอนออกจากรถ จนมันต้องไปตัดภาพทิ้งให้สั้นลง แถมยังมีแนวโน้มว่ามันเป็นแค่คนธรรมดาทั่วๆไปที่มือถือยังบอกยี่ห้อห่วยซะขนาดนี้ มันก็ไม่น่าจะตัดต่อภาพเองเป็นสินะ”

“ก็คงใช่มั๊ง ยกเว้นแต่ว่ามันส่งภาพไปให้คนที่จ้างวานมันตัดให้น่ะ และมึงเดาผิดไปนิดหน่อย ตรงที่ไฟล์วีดีโอนี้น่ะ อาจจะไม่ใช่วีดีโอยาวๆแล้วเอามาตัดทิ้งหรอก แต่กูดูๆแล้วมันเหมือนจะเกิดจากคลิปสั้นๆสองคลิปเอามาต่อกันต่างหาก”

“อันนั้นกูก็มีคิดอยู่เหมือนว่า แต่ก็ไม่ได้แน่ใจนักน่ะ........ งั้นตอนนี้กูก็พอจะรู้แล้วว่า หนึ่ง ไม่ว่าไอ้เหี้ยนี่มันเป็นใคร มันถูกคนๆนึงจ้างมา และรับหน้าที่ในการจับตาดูการเคลื่อนไหวของกูว่าเป็นไปตามที่คนจ้างมันคิดไว้รึเปล่า มันเป็นมือใหม่ กระจอก และไม่ฉลาดเท่าที่ควร อีกอย่างคือไอ้เหี้ยนี่มันไม่ได้ตามกูทุกวัน แต่น่าจะตามถึงแค่วันเสาร์ที่ผ่านมาเท่านั้น เพื่อดูว่าการที่มันส่งตุ๊กตามาให้กูนั้นมันได้ผลมั๊ย และเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้านายมันคิด มันก็เลยอาจจะถูกสั่งให้อัดคลิปเอาไว้เป็นหลักฐานไว้ย้อนรอยกูอีก หลังจากนั้นมันก็เลยส่งหมีอีกตัวพร้อมคลิปนี่มาให้กูเพื่อตอกย้ำและตอกหน้ากูว่าสิ่งที่กูคิดไว้ทั้งหมดมันผิดถนัด และมันรู้นะว่ากูกำลังคิดอะไรอยู่ แบบนั้นสินะ....... และที่สำคัญคือ ความเป็นไปได้ที่ตอนนี้กูจะยังคงถูกตามอยู่ก็คงไม่มีแล้วด้วย ใช่มั๊ย”

“อย่างน้อยๆวันนี้ก็ไม่มี ตอนกูขับรถตามมึงมากูดูให้มึงแล้ว” ไอ้เอ็นพยักหน้า “แต่ก็ใช่มั๊ง ตอนนี้มึงคงเข้าใจทุกอย่างได้พอๆกับที่กูกำลังคิดอยู่แล้วล่ะ หลักๆรวมๆแล้วมันก็คงจะประมาณนี้ แต่ว่าถึงกูจะไม่คิดว่าไอ้เหี้ยนี่จะมาเป็นอันตรายกับมึงเท่าไหร่นะ กูก็ยังไม่อยากให้มึงวางใจอยู่ดี ซัน ต่อจากนี้ไปมึงคงต้องระวังตัวและสังเกตรอบข้างมากขึ้นอีกหน่อยว่ะ”

“กูเข้าใจ แต่กูก็ไม่ได้เก่งเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ด้วยสิ ถ้าเป็นไอ้เมฆล่ะก็ มันก็คงจะรอบคอบมากกว่ากูเยอะ” ผมเดินกลับมานั่งลงบนโซฟา

“และนั่นก็คืออีกเรื่องนึงว่ะ มึงคิดจะบอกไอ้เมฆมั๊ย เรื่องนี้”

“คิดว่ายังว่ะ กูคิดว่ากูคงจะไปคุยกับนัทก่อนให้มันรู้เรื่องไปเลย ว่าทำไมแม่งต้องทำเหี้ยอะไรแบบนี้ด้วย แล้วค่อยจัดการอย่างอื่นทีหลัง รอดูปฏิกิริยาของมันก่อน” ผมพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด และเมื่อคิดถึงน้ำตาของนัทเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้แล้วก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ นี่ผมกำลังโดนยายนั่นปั่นหัวเอาอยู่งั้นสินะ

“แต่กูกลับไม่คิดว่าเป็นนัทนะ” ไอ้เอ็นพูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทำให้ผมต้องมองมันด้วยความแปลกใจ “ทุกอย่างมันลงตัวเกินไป มึงเข้าใจป่ะ มันไม่แปลกเหรอวะ นัทเค้าจะมาทำอะไรแบบนี้เพื่อให้ตัวเองถูกจับได้ทำไม นี่มันชัดมากๆเลยนะเว้ย มึงก็ลองคิดดูดิ่ นี่พอเราคิดๆอะไรออกมาได้แบบนี้แล้ว ชื่อของนัทก็เด้งขึ้นมาใส่หัวมึงเลย และเค้าก็น่าจะรู้ว่ามึงไม่ได้โง่ขนาดนั้น แถมที่สำคัญ เรื่องทั้งหมดที่เราพูดกันไปมันก็ยังเป็นเพียง ‘สมมติฐาน’ เท่านั้นด้วย”

“เรื่องนั้นมันก็.........” ผมนิ่งไปพักหนึ่ง “แต่นัทมันอาจจะทำอะไรไม่รอบคอบเองก็ได้นี่หว่า มันคงไม่คิดมั๊งว่ากูจะจับได้แบบนี้น่ะ”

“แต่มึงได้ตุ๊กตาหมีตัวที่สองนี้วันเดียวกับวันที่มึงเคลียร์กับนัทมาแล้วนะ ถ้าไม่งั้นตอนนั้นนัทจะทำเงียบให้มึงไปโวยอีกทีทีหลังทำไมวะ” ไอ้เอ็นขมวดคิ้ว “เรื่องมันไม่ลงตัวเอาซะเลยว่ะ......... กูขอสารภาพตรงๆว่าที่กูพูดๆไปน่ะกูก็แค่เดาเอาทั้งนั้น ปกติกูก็คงไม่พูดออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นหรอก แต่นี่กูคิดว่ามึงคงอยากฟังก็เลยลองพูดๆออกไปเหมือนเราลองคุยกันมากกว่าที่จะฟันธงอะไรลงไปน่ะ ดังนั้นเปอร์เซ็นต์ที่กูจะผิดพลาดมันก็มีอยู่สูงมาก”

“ว่าแต่มึงยังไม่ได้บอกกูเลยนะ ว่าเรื่องสุดท้ายที่กูส่งเมสเสจไปบอกมึงให้มึงช่วยตรวจสอบให้น่ะ ผลเป็นยังไง”

“เรื่องพ่อของนัทใช่มั๊ย......... อืมมมม........” ไอ้เอ็นเว้นช่วง “จริงๆกูก็แทบไม่ต้องตรวจสอบอะไรมากมายหรอกนะ เพราะพ่อของนัทน่ะมียศสูง มีชื่ออยู่พอควร แต่ที่มึงต้องการรู้ก็ออกแนวคล้ายๆของพ่อพี่จ๊อบ นั่นก็คือ ‘อิทธิพล’ เพราะงั้นกูก็ตอบได้ง่ายๆเลยว่า มีแน่ แต่คนละขั้วกับพ่อของพี่จ๊อบมันเท่านั้นเอง”

“โอเค........ กูจะเอามันเข้ามาประกอบความคิดของกูด้วย เพราะงั้นมึงลองบอกกูทีดิ๊ว่ามันจะเป็นใครไปได้วะ ไอ้คนที่ทำเรื่องแบบนี้น่ะ”

“เรื่องนี้กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ไอ้ซัน แต่กูบอกมึงได้แน่แค่สองอย่าง อย่างแรกเลยนะ เรื่องนี้น่ะ มันอาจจะซับซ้อนกว่าที่เราคิดมาก ซึ่งตรงกันข้ามกับปัญหาที่มันมีอยู่เยอะมากมายเลย เพราะมันกลายเป็นว่าตอนนี้ช่องโหว่มันเยอะมาก เยอะมากเกินไปจนเราไม่สามารถมองเห็นภาพรวมอะไรได้เลย ที่เราพูดๆกันไปมันก็เป็นแค่แนวทางความคิดและความน่าจะเป็นเท่านั้น และอย่างที่สองก็คือ มึงห้ามตัดใครทิ้งไปทั้งนั้น ไม่ว่าคนที่เข้ามาหามึงกับไอ้เมฆตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษนั้นจะมีใครบ้าง มึงห้ามตัดทุกคนทิ้งออกจากผู้ต้องสงสัยเด็ดขาด” ไอ้เอ็นเน้นคำพูดสุดท้ายอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 20-01-2008 18:31:26
 มึงห้ามตัดทุกคนทิ้งออกจากผู้ต้องสงสัยเด็ดขาด

หุหุ รวมถึงตัวคนพูดด้วยรึเปล่าหว่า   :m21: :m21:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 20-01-2008 19:04:40
 :m4: ยิ่งอ่านยิ่งตื่นเต้น
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 20-01-2008 19:15:30
 :serius2:
กลายเป็นสืบสวนสอบสวนกันไปละ...เครียด ๆๆๆ
ไม่พี่จ๊อบก็แบงค์แหง๋ ๆๆๆๆ  :m23:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 20-01-2008 19:22:03
ยิ่งอ่านยิ่งตื่นเต้น ลึกลับซับซ้อน น่าค้นหาติดตามจริงๆ
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-01-2008 16:55:06
วันนี้ไม่เสบยคับ T__T
สะอึกตั้งกะเช้ายันเย็น อ้วกหมดไส้หมดพุง
เจ็บหน้าอก แสบคอ แสบท้องไปหมด
ตอนเจ็บมากๆอยากจะเอามีดมาแทงหน้าอกมันซะให้รู้แล้วรู้รอด

 :sad2:

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-01-2008 17:00:14
วินาทีที่ 24


พอตกบ่าย ผมก็นั่งรถของไอ้เอ็นไปยังยิมที่เมฆกับไคล์กำลังซ้อมกันอยู่ เพื่อพามันไปพบเมฆด้วยพร้อมๆกัน และระหว่างทางเราก็คุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกันไปตลอด โดยส่วนมากแล้วเราก็ยังหนีไม่พ้นที่จะคุยกันเรื่องของผมกับไอ้เมฆกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี่มากกว่า

“กูว่ามึงไม่ต้องคิดมากหรอกว่ะ ซัน มันก็อาจจะแค่มีคนมาแกล้งมึงก็ได้ เรื่องมันก็แค่นั้น ยังไม่จำเป็นต้องไปกังวลอะไรมากมายนักหรอก” ไอ้เอ็นบอกผม

“กูก็พยายามคิดแบบนั้นนะเว้ย แต่ว่าถ้ามันกลายเป็นแกล้งไปแกล้งมาแล้วผลลัพธ์มันทำให้ไอ้เมฆต้องไปจากกูหรืออะไรพวกนี้น่ะ กูก็เฉยไม่ไหวเหมือนกัน”

“มึงก็เชื่อใจมันสิวะ อยู่กันมาตั้งสามปีแล้วนี่”

“กูน่ะเชื่อใจมันอยู่หรอก แต่กูไม่เชื่อใจคนที่เข้ามาหามันนี่หว่า ไม่รู้ว่ะ ของแบบนี้มันพูดยากนะ ยิ่งถ้าไอ้ปลาไหลนั่น...... เอ่อ กูหมายถึง ไอ้พี่จ๊อบน่ะ มันเป็นประเภทที่ถ้าอยากได้ไอ้เมฆแล้วยังไงมันก็ต้องเอาให้ได้ขึ้นมาจริงๆล่ะก็ กูก็คงวางใจไม่ได้ง่ายๆหรอกใช่มั๊ยล่ะ”

“ก็คงจริงของมึง.......” ไอ้เอ็นพยักหน้า “แต่เท่าที่กูรู้เรื่องมาจากมึงเนี่ย กูกลับคิดว่าพี่จ๊อบมันดูพูดจริงและจริงจังจริงใจมากกว่านัทอีกนะ ก็อย่างเรื่องที่มึงให้ไอ้เมฆคุยกับพี่จ๊อบวันนั้น สรุปแล้วคนที่โกหกก็คือนัทนี่หว่า ไม่ใช่มัน”

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริง.........” ผมพยักหน้าตอบอย่างเสียไม่ได้ เพราะถ้ามานึกๆดูแล้วเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเท่าที่เราพอสรุปได้ตอนนี้ก็คือคนที่โกหกเรานั้นก็คือนัทเพียงคนเดียว หรือถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ ไอ้พี่จ๊อบมันยังไม่เคยโกหกอะไรเราสองคนเลยแม้สักครั้ง “แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่ว่ายังไงๆมันก็จะมาแย่งแฟนกูอยู่ดีนี่หว่า”

“ก็คงใช่มั๊ง......... มึงก็แค่ต้องแยกระหว่างเรื่องสองเรื่องนี้ให้มันดีๆเท่านั้นเอง อย่าเอามาปนกัน ไม่งั้นเรื่องมันจะยิ่งแย่ไปใหญ่ และที่สำคัญ จะทำอะไรก็ระวังๆไอ้เมฆมันด้วย”

“กูรู้แล้ว แต่กูก็ยังไม่ค่อยอยากบอกไอ้เมฆว่ะ กูอยากจะให้อะไรๆมันชัดเจนซะก่อนก่อนที่กูจะทำอะไรลงไปน่ะ และถ้าเรื่องมันไม่ชัดเจนสักทีกูก็จะเป็นฝ่ายลงมือทำให้มันชัดเจนเอง”

“มึงนี่ใจร้อนจริงๆว่ะ แต่ก็เอาเถอะ กูจะคอยหนุนหลังมึงอยู่ให้เอง มีอะไรก็บอกกูก็แล้วกัน แล้วก็ที่สำคัญก็คือระวังตัวนะเว้ย อย่าทำอะไรผลีผลาม มีอะไรก็ปรึกษากูได้เสมอ หรือถ้าจะให้ดี บอกกูล่วงหน้าด้วย เข้าใจมั๊ย”

“อืมม ขอบใจมาก”

“จะว่าไปตอนนี้พี่จ๊อบมันทำอะไรกับมึงหรือไอ้เมฆแล้วเหรอวะ เท่าที่กูฟังมึงมานี่มันก็ยังไม่ค่อย.........”

“ยังไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอก นอกจากตอดเล็กตอดน้อยน่ะนะ แต่ก็อย่างที่บอกไปไงว่ามันรู้แล้วว่ากูเป็นคนสั่งไอ้เมฆให้เอาของขวัญมันไปทิ้ง เพราะงั้นหลังจากนี้ไปมันก็คงไม่อยู่เฉยๆแล้วล่ะมั๊ง”

“นี่แหละ กูถึงได้บอกว่ามึงต้องใจเย็นๆอย่าผลีผลามน่ะ........ ว่าแต่ ไอ้เมฆมันรู้มั๊ยเนี่ยว่ากูกำลังจะไปหามันด้วย”

“ไม่รู้ กูไม่ได้บอกน่ะ บอกแค่ว่ากำลังจะไป ป่านนี้มันก็คงกำลังเรียกเหงื่อได้ที่แล้วล่ะมั๊ง....... หึหึ ดีเลย มึงจะได้เห็นว่าไอ้เมฆน่ะ มันดูแลตัวเองได้ดีขนาดไหน และมึงจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อตอนที่ระยองมันถึงได้กลายเป็นฮีโร่ของทุกคนขนาดนั้นน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ

เมื่อมาถึงที่ตึก ผมก็พาไอ้เอ็นเดินขึ้นไปหาไอ้เมฆ ผมพามันเดินเข้าไปในคลาสยูโด และที่นั่นไคล์ก็กำลังนั่งรอพวกเราอยู่แล้ว ส่วนไอ้เมฆก็กำลังจับคู่ซ้อมอยู่กับครูวิชญ์อยู่เหมือนเคย

“ซัน มาดูรูปสิ สวยมากๆเลยนะ” ไคล์เรียกพวกเราด้วยท่าทางอารมณ์ดี “อ้าว แล้วนี่เพื่อนซันเหรอ สวัสดีครับ” ไคล์ยกมือไหว้ไอ้เอ็นแบบคนไม่คอยเคย แต่ดูๆแล้วก็น่ารักดี

“สวัสดีครับ นี่น่ะเหรอน้องมึง ไอ้ซัน หล่อนี่หว่า” ไอ้เอ็นกระทุ้งสีข้างผมเบาๆ “ว่าแต่รูปนี่คือรูปที่มึงไปถ่ายกับคนที่ชื่อแอมป์มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน่ะเหรอ”

“ใช่ เอ้อ ไคล์ แล้วนี่ไอ้เมฆมันจับคู่กับครูวิชญ์มานานรึยัง”

“ก็ได้สักสิบห้านาทีแล้วมั๊ง”

“อืมมม งั้นไคล์มานั่งคุยกับเพื่อนพี่ไปก่อนนะ ส่วนเอ็น มึงก็ดูรูปกับคุยกับน้องกูไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวกูขอไปเปลี่ยนชุดก่อน เดี๋ยวออกมาหาอีกที”

ผมเดินแยกไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดฝึก จากนั้นก็เดินออกมารวมกับสองคนเมื่อครู่อีกครั้ง และเมื่อผมเดินกลับมาหาไอ้เอ็นกับไคล์ที่กำลังนั่งดูรูปอยู่ด้วยกันแล้ว ส่วนไอ้เมฆก็ซ้อมเสร็จแล้วพอดีและกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเราอยู่เช่นกัน

“ไอ้เอ็น มาด้วยเหรอวะ” ไอ้เมฆเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา “ไอ้ซันไม่เห็นบอกกูเลยว่ามันจะพามึงจะมาด้วยน่ะ”

“ก็แวะมาเยี่ยมมึงนั่นแหละ ตั้งแต่มึงกลับมากูก็ยังไม่ได้เจอมึงเลยนี่หว่า” ไอ้เอ็นเงยหน้าขึ้นมาจากรูปถ่ายในมือแล้วยิ้มให้ไอ้เมฆ “ว่าแต่ ไอ้เมฆ ไอ้ซัน........ รูปพวกนี้นี่แม่งสุดยอดเลยว่ะ”

“สวยดีมั๊ย กูเองก็ชอบน่ะ พี่แอมป์กับพี่บอลถ่ายรูปสวยจริงๆนั่นแหละ” ไอ้เมฆยิ้มกว้าง

“กูยังไม่เห็นเลย แต่ว่านี่คือทั้งหมดแล้วใช่มั๊ยวะ เมฆ” ผมหันไปถามไอ้เมฆ

“อื้มม แล้วก็มีที่พี่แอมป์ฝากมาให้มึงอีกนิดหน่อยน่ะ พี่เค้าไรท์ลงซีดีมาให้ อยู่ในรถ” ไอ้เมฆหันมายิ้ทให้ผมอย่างรู้กัน

“ซัน เมฆ กูถามอะไรหน่อยดิ่ คือ....... ไอ้รูปพวกนี้น่ะ มึงถอดหมดเลยจริงๆรึเปล่าวะ” ไอ้เอ็นถาม

ผมกับเมฆมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ

“โดยเฉพาะรูปนี้น่ะมึง” ไอ้เอ็นหยิบรูปขาวดำที่เป็นรูปผมกับไอ้เมฆยืนหันหน้าเข้าหากัน กึ่งๆจะจูบกันอยู่ใต้ฝักบัวให้พวกเราดู “กูสาบานได้ว่ากูเห็นอะไรดำๆตรงนั้นนะเว้ย นี่ถ้าต่ำลงมาอีกนิดนึงมันก็คง.........”

ผมเอื้อมมือไปหยิบรูปนั้นมาดูใกล้ๆแล้วก็อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้ นี่เป็นหนึ่งในรูปภาพที่สวยแล้วก็ดูเซ็กซี่มากที่สุดรูปหนึ่งที่ผมเคยดูมาเลย โดยเฉพาะเมื่อคนในรูปนั้นเป็นผมกับไอ้ตัวดีของผมด้วยแล้ว เพราะรูปนี้พี่บอลจัดท่าให้เราสองคนยืนหันหน้าเข้าหากันข้างใต้ฝักบัว เอาหน้าผากเข้ามาใกล้จนเกือบจะชนกัน ใช้แขนกระหวัดกันเล็กน้อย ทำเหมือนเรากำลังจะกอดกันธรรมดาๆ แต่ก็สามารถมองเหมือนว่าเรากำลังจะจูบกันได้ด้วย และมันก็เลยออกมาดูสุดยอดมากจริงๆ

“กูชอบมากเลยว่ะ เมฆ มีรูปแนวๆนี้อีกเยอะมั๊ยวะ กูจำได้ว่าพี่บอลเค้าถ่ายไปหลายรูปเหมือนกันนะ ตอนฉากในห้องน้ำน่ะ ใช่มั๊ย”

“แบบเปลือยคู่น่ะ มีแค่สามรูป แต่ถ้าในห้องน้ำทั้งหมด ไม่ว่าจะมีเสื้อผ้าหรือไม่มีน่ะ ก็ประมาณเจ็ดรูปได้ พี่แอมป์บอกว่าบางรูปมันไม่ค่อยสวยน่ะ พี่เค้าก็เลยไม่ได้อัดออกมา แต่รูปทั้งหมดก็อยู่ในแผ่นแหละ ไว้ค่อยกลับบ้านไปดูก็ได้”

“ตกลงคือมึงถอดกันจริงๆใช่มั๊ยวะเนี่ย” ไอ้เอ็นพูดขึ้น “กล้าเนอะ พวกมึงเนี่ย เชี่ยแม่ง แก้ผ้าให้ผู้หญิงถ่ายรูป” ไอ้เอ็นก้มหน้าลงดูรูปถ่ายของพวกเราอีกครั้ง และผมสาบานได้ว่าผมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงบริเวณส่วนนั้นภายใต้กางเกงของมันด้วย และมันก็ทำให้ผมต้องแปลกใจไปเลยเหมือนกัน

“เกย์ ไม่ใช่ผู้หญิง” ไอ้เมฆหัวเราะ “รูปที่พวกกูถอดเสื้อผ้ากัน พี่บอลที่เป็นเกย์ถ่ายให้ ไม่ใช่พี่แอมป์น่ะ”

“เอาเถอะๆ เดี๋ยวกูค่อยกลับไปดูรูปทั้งหมดที่บ้านก็แล้วกัน ว่าแต่มึงเหนื่อยรึยังเมฆ มาช่วยกูวอร์มหน่อยมั๊ย”

ไอ้เมฆพยักหน้า จากนั้นเราสองคนก็วอร์มร่างกายด้วยกัน และผมก็เล่าเรื่องที่ไปคุยกับไอ้เอ็นมาให้มันฟังคร่าวๆด้วย แต่ก็ยังตัดส่วนที่เกี่ยวกับตุ๊กตาหมีตัวใหม่ออกไปก่อน ซึ่งไอ้เมฆก็รับฟังแถมยังดูไม่ค่อยซีเรียสกับมันเท่าไหร่นักด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเราสองคนจึงเริ่มต้นจับคู่กันซ้อมโดยมีไคล์กับเอ็นนั่งดูอยู่ไม่ไกล

“ว่าแต่มึงทำอะไรมาบ้างแล้วเนี่ย” ผมถามขึ้นขณะที่ยื้อยึดอยู่กับไอ้เมฆได้สักพักใหญ่ “ได้ไปที่คลาสเทควันโดมารึยัง”

“ไปมาแล้ว ได้ไคล์ช่วยถือเป้าให้ด้วย” ไอ้เมฆตอบพร้อมกับบิดตัวเหวี่ยงผมลงไปนอนอยู่บนพื้น

“อั๊กกก!” ผมร้องออกมา “แล้ว...... จะซ้อมอยู่อีกนานมั๊ย กูมีที่อีกทีนึงที่อยากพามึงกับไคล์ไปน่ะ” ผมดันตัวลุกขึ้น แล้วก็หมุนตัวอย่างรวดเร็วเพื่อทุ่มไอ้เมฆด้วยท่าเดียวกับที่มันเพิ่งใช้กับผมไป และคราวนี้ก็เป็นฝ่ายมันที่ต้องลงไปนอนแผ่อยู่บนพื้นบ้างแล้วเหมือนกัน

“ไปไหนวะ” ไอ้เมฆตอบพร้อมเสียงหอบ พร้อมๆกับเอื้อมแขนมาดึงตัวผมให้ลงไปนอนลงกับมัน และด้วยความรวดเร็ว มันก็จับผมกดล็อคทั้งคอและแขนเรียบร้อยไปแล้ว

“โอ๊ยยย เชี่ยยย เบาๆหน่อยมึง” ผมร้องออกมาเมื่อรู้สึกถึงเสียงร้องของกระดูกข้อต่อที่ลั่นออกมา “ไปคอนโดกูไง แล้วพรุ่งนี้กูก็จะชวนพวกเรากับพ่อเล็กไปเดินซื้อของเข้าคอนโดด้วยเหมือนกัน” ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากท่ากดล็อค แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนในที่สุดผมก็ต้องยอมแพ้

“มึงตัดสินใจแน่นอนแล้วเหรอ” ไอ้เมฆถามขณะที่ดันตัวเองขึ้นและอยู่ในท่ากำลังนอนคร่อมผมอยู่ ผมจึงฉวยโอกาสนั้นรีบพลิกตัว แล้วจับมันกดล็อคบ้างเช่นกัน

“อืมม อย่างน้อยๆกูก็อยากพามึงไปเห็นมันก่อนน่ะนะ แต่กูยังไม่ได้คิดอะไรมากหรอก ก็แค่จะเริ่มลงมือทำอะไรกับมันบ้างแล้วเท่านั้นเอง” เมื่อผมพูดจบ ไอ้เมฆก็หัวเราะออกมาเบาๆ “หัวเราะอะไรวะ”

ไอ้เมฆใช้ขาถีบขาของผมที่กำลังคร่อมมันอยู่ให้ลื่นหลุดออก ทำให้ผมเสียการทรงตัว และมือที่ล็อคมันเอาไว้ก็เลยพลอยคลายออกไปด้วย จากนั้นมันจึงใช้แขนทั้งสองข้างที่ถูกปล่อยเป็นอิสระแล้วมาล็อคคอของผมเอาไว้ แล้วก็ใช้ขาตวัดขึ้นมาคร่อมรัดผมเอาไว้ด้วย

“กูหัวเราะไอ้นี่ไง” ไอ้เมฆพูดเบาๆ

“กู.... ยอมม.... แพ้แหล่วว.........” ผมพูดออกมาอย่างยากลำบาก แต่ไอ้เมฆก็ยังไม่ยอมปล่อยอยู่ดี มันแค่คลายล็อคออกให้ผมหายใจได้คล่องขึ้นเท่านั้น “........จริงๆ”

“ดีมาก เพราะกูก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน” ไอ้เมฆคลายแขนออก

ผมที่เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระจึงรีบกลิ้งตัวลงมานอนแผ่อยู่ข้างๆมัน แล้วสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ๆทันที ไอ้เมฆชันตัวขึ้นนั่งแล้วเอามือมาลูบหัวผมเบาๆก่อนที่จะลุกขึ้นยืน และยื่นมือมาให้ผมจับเพื่อช่วยดึงผมขึ้นด้วย

“ซันว่าไงก็ว่าตามกันครับ เมฆยังไงก็ได้อยู่แล้ว” ไอ้ตัวดีของผมยิ้มให้ และเมื่อเห็นรอยยิ้มและแววตาของมันแล้ว ผมก็รู้สึกอยากจะโผเข้าไปกอดแล้วก็หอมแก้มมันซะตรงนี้เลยจริงๆ

แต่สุดท้ายเราทั้งสองคนก็ตองแยกจากันเมื่อไคล์เดินเข้ามาหาพวกเราแล้วจูงแขนของเราสองคนเดินกลับไปหาไอ้เอ็นที่นั่งรออยู่ตรงริมห้อง

“ปล่อยให้กอดให้ฟัดกันสักแป๊บนึงไม่ได้เลยจริงๆ สองคนนี้นี่” ไคล์พูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ “รู้มั๊ยว่าคนเค้ามองกันเต็มไปหมดแล้ว ถ้ารออีกแค่แป๊บเดียวป่านนี้ซันโผเข้าไปหอมแก้มศิลาแล้วมั๊ง ผมว่า”

เราสองคนหัวเราะเบาๆ แต่ไอ้เอ็นกลับไม่หัวเราะไปด้วย ผมรู้สึกว่าผมเห็นว่ามันกำลังหน้าแดงอยู่ด้วยซ้ำไป

“เป็นอะไรวะไอ้เอ็น มึงเขินแทนกูสองคนงั้นเหรอ” ผมพูด

“เปล่าๆ ไอ้เหี้ย กูก็แค่........ ไม่ชินมั๊ง..........” ไอ้เอ็นตอบ หน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“แล้วไหนมึงว่ามึงคุ้นภาพกะพวกนักเรียนนายร้อยที่มันสนิทๆกันดีไง กูไม่เชื่อนะว่ามึงจะไม่เคยเห็นภาพผู้ชายสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันแบบเมื่อกี๊น่ะ”

“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น........” ไอ้เอ็นหน้าแดงมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก จนผมเองก็ชักจะมั่นใจแล้วว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่แน่ๆ “เรื่องนั้นช่างมันเหอะ ว่าแต่พวกมึงเสร็จกันรึยัง กูดูไอ้เมฆมันเหนื่อยมากแล้วนะเนี่ย”

“ก็กูเล่นทั้งสองอย่างมาตั้งเกือบสองชั่วโมงแล้วนี่หว่า แต่ที่สำคัญกูว่าไคล์คงหิวแล้วด้วยมั๊งเนี่ย” ไอ้เมฆตอบ

“งั้นเรากลับกันเลยก็ได้มั๊ง กูนั่งรถไอ้เอ็นมันมาน่ะเมฆ เดี๋ยวมึงขับรถตามพวกกูไปก็แล้วกันนะ”

“ว่าแต่นี่มึงมาเพื่อถูกทุ่มแค่สิบนาทีแล้วมึงก็จะกลับแล้วเหรอวะ ไอ้ซัน” ไอ้เอ็นถาม

“หรือมึงอยากให้กูถูกมันทุ่มสักยี่สิบนาทีล่ะ ไอ้เชี่ยนี่ แค่นี้กูก็จะแย่แล้ว”

เมื่อผมกับไอ้เมฆเปลี่ยนชุดเสร็จ เราสี่คนก็เดินออกจากยิมไปโดยมีไอ้เมฆกับไคล์เดินนำหน้า และผมกับไอ้เอ็นก็เดินคู่กันตามหลังสองคนนั้นไปติดๆ ผมจึงได้โอกาสลากมันให้เดินช้าลงหน่อยแล้วคุยกับมันแบบไม่ให้ไอ้เมฆได้ยิน

“ที่กูบอกมึงไปว่าไอ้เมฆมันดูแลตัวเองได้น่ะ มึงพอจะเข้าใจรึยังล่ะ” ผมพูด

“อืมม กูเข้าใจแล้ว และกูก็เลยยิ่งเป็นห่วงมึงเข้าไปใหญ่เลยน่ะสิวะ คราวนี้น่ะ” ไอ้เอ็นหัวเราะ

“ไอ้ห่า ก็ถ้าคนที่จับคู่กับกูไม่ใช่ไอ้เมฆ กูก็คงไม่เหี้ยถึงขนาดนี้หรอกน่า แถมกูก็ไม่ได้ถนัดเท่าไหร่อยู่แล้ว ไอ้ยูโดอะไรเนี่ย” ผมแกล้งตบก้นมันเบาๆ ทำเอาไอ้เอ็นสะดุ้ง “หืมมม มีปฏิกิริยาตอบกลับรุนแรงผิดปกติไปหน่อยนะเนี่ย แค่ตีตูดเบาๆทำไมต้องสะดุ้งขนาดนั้นด้วยวะ” ผมหัวเราะ

“เล่นเหี้ยอะไรบ้าๆ ไอ้ซัน” ไอ้เอ็นผลักไหล่ผมเบาๆ “ทะลึ่งแล้วนะมึง จะทำอะไรแบบนี้ก็ไปทำกับไอ้เมฆนู่น”

“หือ กูทำไมนะ” ไอ้เมฆหันกลับมาหาพวกเราสองคน

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร มันก็แค่บอกว่าถ้าซันอยากจับตูดมัน ก็ให้ไปจับตูดเมฆแทนน่ะ”

“เฮ้ย!!” ไอ้เอ็นร้อง

“แล้วซันไปจับตูดมันทำไม มานี่เลยครับมานี่เลย ไอ้แสบ” ไอ้เมฆหัวเราะพร้อมกับหยุดเดินรอให้ผมเดินเข้าไปหา

“นิดๆหน่อยๆเองอ่ะ ไม่เห็นจะสึกหรอ” ผมเดินไปโอบเอวไอ้เมฆไว้

“มันสึกหรอที่ความรู้สึกว้อย ไอ้เหี้ยซัน” ไอ้เอ็นโวย “แม่ง เล่นห่าอะไรไม่รู้เรื่อง” หลังจากนั้นมันก็ยังทำบ่นอุบอิบๆแก้เขินไปตลอดทางจนกระทั่งเราแยกกันขึ้นรถแล้ว ผมจึงเริ่มต้นแหย่มันต่อ

“ทำไมมึงไม่มีแฟนวะ ไอ้เอ็น” ผมถาม หลังจากที่มันเริ่มออกรถได้ไม่นาน

“ทำไมวะ กูก็เคยบอกไปแล้วไงว่ามันไม่มีเวลา ไม่อยากมีด้วย” ไอ้เอ็นตอบ แต่คราวนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำตอบแบบป้องกันตัวหน่อยๆ

“บอกกูมาตามตรงดีกว่า ว่าไอ้ที่มึงบอกว่ามึงคุ้นเคยกับความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันของผู้ชายสองคนน่ะ มันเป็นยังไงกันแน่วะ........ ไม่สิ กูขอถามเป็นว่า ‘มึง’ เคยสนิทสนมกับผู้ชายมากถึงในระดับไหนดีกว่า”

“มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง” ไอ้เอ็นพูด และก็หน้าแดงอีกแล้ว “ไร้สาระน่าไอ้ซัน เปลี่ยนเรื่องคุยได้แล้ว มึงนี่มันจะออกนอกเส้นทางไปเยอะแล้วนะ”

“ไม่เอาน่า ไอ้เอ็น ถึงกูจะเพิ่งได้คุยกับมึงเป็นครั้งแรก...... ในรอบกี่ปีวะ หกปีใช่มั๊ย แต่กูก็บอกมึงเรื่องของกูทุกอย่างนะเว้ย ไม่ใช่เพราะกูจะขอความช่วยเหลือจากมึง แต่มันเป็นเพราะกูไว้ใจมึงต่างหาก” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ไอ้เอ็นเองก็เงียบไปเลยเช่นกัน “และถ้าเราจะต้องพูดคุยและร่วมมือกันอีกบ่อยๆน่ะ เราก็ควรจะไว้ใจกันได้สิวะ จริงมั๊ย”

เมื่อผมพูดจบ ไอ้เอ็นก็เงียบลงไปอีกครั้ง ผมเองก็ไม่ได้คิดจะเร่งเร้าอะไรมันอีก ก็เลยปล่อยให้เรื่องมันจบลงตรงนั้นไป แต่เมื่อเราต่างคนต่างเงียบไปได้ราวๆห้านาที มันก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นเสียเอง

“เมื่อตอนกูเข้าไปเรียนเตรียมฯใหม่ๆน่ะ กูมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึง มันมาจากเชียงใหม่ และเราก็เข้ากันได้ดีมาก กลายเป็นคู่หูกันไปเลย ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ไม่ว่าจะกิน นอน เรียน เล่น เที่ยว อะไรก็แล้วแต่ เรามักทำด้วยกันเสมอๆ กูยังเคยไปบ้านมันที่เชียงใหม่เลยด้วยซ้ำ แต่พอเวลาผ่านไปสองปี วันนั้นกูก็นอนอยู่กับมัน มันร้องไห้เสียใจเพราะว่าแฟนมันขอเลิก กูก็ปลอบๆมันไป มันก็พร่ำเพ้อใหญ่เลย ว่ามันรักเค้าอย่างนั้น เคยคบกันดีอย่างนี้ แต่สุดท้ายก็เป็นเพราะระยะทางและเวลาที่ทำให้แฟนมันเปลี่ยนไป มันก็บ่นก็คร่ำครวญว่าทีมันมันยังรอและยังทนได้เลย แต่ทำไมฝ่ายนั้นถึงทำไม่ได้............” ไอ้เอ็นเล่าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและน้ำเสียงที่ราบเรียบ “กูก็ปลอบมันไปเรื่อยๆนะ เพราะตอนนั้นมันแย่มากๆ แต่ว่านอกเหนือไปจากที่มันบ่นเรื่องแฟนมันแล้วนะ มันก็ยังบอกขอบคุณกู บอกรักกู บอกกูว่ากูเป็นเพื่อนที่มันรักมากแค่ไหน บอกว่ากูดีกับมันมากยังไง บอกว่ากูไม่เคยทิ้งมันเลยซ้ำแล้วซ้ำอีก และแล้ว พอกูรู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากของเรามันก็เขยิบเข้ามาใกล้กันมาก แล้วสุดท้าย..........”

ไอ้เอ็นเงียบลงอีกครั้ง ผมจึงต้องเป็นฝ่ายต่อประโยคให้จนจบ “มึงก็จูบกัน.........”

“ใช่ เราจูบกัน” ไอ้เอ็นพยักหน้า “ไม่ใช่แค่ ‘มันจูบกู’ หรือ ‘กูจูบมัน’ นะ มึงเข้าใจมั๊ย แต่เป็น เราต่างก็จูบกันว่ะ แต่มันก็เป็นจูบสั้นๆเท่านั้นเอง พอกูรู้สึกตัวกูก็รีบผละออกจากมัน มันองก็ตกใจ กูเองก็ช็อก แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นนะ มึงอาจจะคิดว่าพอเราจูบกันปุ๊บ อารมณ์มันก็เลยพาไปอะไรแบบนั้นใช่มั๊ยวะ คือโอเค กูก็เคยเห็นมันแก้ผ้าออกบ่อย ไม่สิ เราก็เคยเห็นกันและกันออกบ่อยไป ชักด้วยกันยังเคยทำมาแล้ว แต่ว่าตอนนั้นมันเป็นอะไรที่ตกใจมากน่ะ เราสองคนไม่เคยแตะตัวกันและกันในแง่นั้นมาก่อนเลยนะเว้ย เราอาจจะเคยปล้ำกัน เล่นกัน แต่เราไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นเลยจริงๆ มันเหมือนเราก้าวข้ามเส้นนั้นไปแล้วว่ะ เส้นที่กูไม่รู้เลยว่าเคยมี....... ตอนนั้นกูไม่ได้เคยคิดอะไรแบบนั้นกับผู้ชายเลยจริงๆ แต่ว่ามัน..........”

“........แล้วไงต่อวะ อย่าบอกกูนะว่าพอหลังจากนั้นมึงก็ไม่คุยกันอีกเลยน่ะ”

“หึ ความเป็นจริงแม่งเหี้ยกว่านั้นอีก........” ไอ้เอ็นส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยแกมด้วยความขมขื่นอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ “กูกับมันก็ไม่ใช่ไม่คุยกันอีกเลย เพราะกูรักมันมากกว่าที่จะทำร้ายมันแบบนั้น มันเองก็รักกูมากกว่าที่จะยอมเสียกูไปเหมือนกัน ทำให้เราสองคนก็ยังคุยกันอยู่เรื่อยๆนะ แต่ว่า จากไอ้ที่กูไม่เคยเห็นเส้นบางๆที่กั้นช่องว่างระหว่างเรามาก่อนน่ะ มันกลับกลายเป็นมีกำแพงอันใหญ่เกิดขึ้นตรงกลางระหว่างเราสองคนไปเลย เรายังคุยกัน ยิ้มให้กัน ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่นะ แต่มันไม่ใช่ว่ะซัน มึงเข้าใจมั๊ยว่ามันไม่ใช่ โดยเฉพาะที่หลังจากนั้นแล้วเราก็แทบไม่เคยอยู่กันตามลำพังสองคนอีกเลย เราจะต้องมีเพื่อนอยู่ด้วยตลอดเวลา และที่เหี้ยก็คือ ไม่ว่าตอนไหนถ้ามันอยากจะขอเวลาอยู่กับกูแค่สองคนนะ กูจะเลี่ยงมันตลอด กูไปฟันหญิงกับเพื่อน กูก็ไม่บอกมัน กูไปจีบใครไปมีใคร มันก็ไม่เคยรู้เรื่องของกูอีกเลย กูเป็นฝ่ายเริ่มทิ้งระยะห่างออกมาเอง........ จนเวลาผ่านไป และถึงวันที่เราได้กลับบ้าน ครั้งนี้มันก็ชวนกูไปเชียงใหม่อีกเหมือนกัน แต่แน่นอน ว่ากูไม่ไป”

“แล้วยังไงต่อ” ผมถาม นึกกลัวคำตอบอยู่ในใจ และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น ผมเริ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องราวของพีกับบาดแผลในอดีตของมันแล้วด้วยเหมือนกัน

“หลังจากนั้นพอเปิดเทอม มันก็ไม่ได้กลับมาเรียนอีกเลย..........”

“ทำไมวะ” ผมถามออกไปทั้งๆที่หัวใจเริ่มจะหวั่นไหว

“มันโดนนักเลงรุมกระทืบตายน่ะ มันไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วเมา จนไปมีเรื่องกับพวกอันธพาลและโดนไม้หน้าสามกระหน่ำเข้าจนปางตาย มันต้องนอนโคม่าอยู่สามวัน พอออกจากโคม่าได้ก็กลับต้องมาทรมานอยู่อีกกว่าหนึ่งอาทิตย์ ก่อนที่จะจากไปทั้งๆที่กูยัง..... ยัง..........”

“ยังไม่ได้บอกมันออกไปเลย ว่ามึงรักมันมากแค่ไหน.......... ไม่ว่าจะในฐานะไหนก็ตาม” ผมพูดต่อ

ไอ้เอ็นพยักหน้า พร้อมกับน้ำใสๆที่หยดลงมาจากหางตาช้าๆ “แต่ที่แย่กว่านั้นนะ กูน่าจะรู้ตัวมาตั้งนานแล้วว่ากูชอบมัน....... ว่ากูรักมันมากเหมือนกัน ไม่ใช่มารู้เอาในวันที่กูเสียมันไปแล้วแบบนี้ กูมัวแต่คิดว่ากูเป็นผู้ชาย กูไม่ใช่เกย์ และกูไม่........” น้ำเสียงของไอ้เอ็นเริ่มสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างไปจากมือที่กำลังจับพวงมาลัยอยู่ของมัน “และที่เหี้ยที่สุดนะ กูเพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่าจริงๆแล้วในคืนนั้นกูเองก็ต้องการมันแค่ไหน ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าตลอดเวลาที่กูอยู่กับมันมา ก็ไม่ใช่ว่ากูไม่เคยรู้สึกถึงมันเลยด้วยซ้ำ แต่กูแม่งมัวแต่โกหกตัวเอง มัวแต่ปิดกั้นตัวเอง จนสุดท้ายมันก็จากกูไป......... กูสับสนว่ะซัน กูบอกตามตรงว่ากูสับสนมาก”

“เอ็น...... มึงจอดรถเถอะ เดี๋ยวกูขับให้เอง” ผมบอก และไอ้เอ็นก็ทำตาม เราสองคนจอดรถข้างทาง และรีบวิ่งสลับที่กัน ผมย้ายมานั่งอยู่ทางด้านหลังพวงมาลัยแทน ส่วนไอ้เอ็นก็นั่งอยู่ข้างๆผมและเงียบลงไปอีกครั้ง

“ขอบใจมาก ซัน” ไอ้เอ็นพูดขึ้น

ผมพยักหน้า “มึงอยากจะเล่าต่อมั๊ย”

“กูไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะเว้ย เรื่องนี้น่ะ ไม่เคยมีใครรู้เลย กูเก็บมันไว้กับตัวมานานมาก กูร้องไห้แค่ครั้งเดียวเมื่อตอนที่กูรู้ข่าวว่ามันจากกูไปแล้วเท่านั้นเอง และหลังจากนั้นกูก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาออกมาอีกเลย.........”

“มึงไม่ได้ร้องไห้หรอก ไอ้เอ็น มึงก็แค่หลั่งน้ำตาให้กับความทรงจำดีๆที่มึงกับเขาคนนั้นเคยมีให้กันเท่านั้นเอง แต่มึงไม่ได้ร้องไห้ให้กับการจากไปของเค้า จำไว้ น้ำตาของมึงมันก็คือสิ่งเตือนใจว่ามึงจะไม่มีวันลืมเค้าและช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นไปจากใจของมึงเด็ดขาด มันก็เท่านั้นเอง”

เมื่อผมพูดจบ ไอ้เอ็นก็เอนหัวไปพิงกับเบาะรถพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดหน้าและสะอื้นเบาๆ ผมเหลือมองมันด้วยหางตาก็เห็นน้ำตาของมันกำลังไหลออกมาจากช่องวางของฝ่ามือไล่ลงมาตามใบหน้าของมันช้าๆ

“กูน่ะ ไม่เคยลืมมันได้เลย กูไม่เคยยกโทษให้ตัวเองเลยที่กูไม่เคยถามใจตัวเองให้ดีกว่านั้น ที่กูผลักไสมันออกไปจากชีวิตของกู และสุดท้ายกูก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลังให้กับคนที่เค้าจากไปแล้ว”

“และมึงก็เลยลงโทษตัวเองด้วยการไม่เปิดใจให้ใครอีกเลยน่ะเหรอ”

“กูไม่รู้...... กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ กูก็เคยคบคนนั้นคนนี้นะบ้างนะ เอ่ออ ผู้หญิงน่ะนะ แต่ก็ไม่รู้สิ........” ไอ้เอ็นส่ายหน้า “มันเหมือนกับกูไม่กล้าที่จะรักใครแล้วมั๊ง ไม่สิ กูไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะรักใครได้อีกเลยด้วยซ้ำ มันเหมือนว่าความผูกพันของกูกับนนท์มันฝังรากลึกลงไปแล้วว่ะ และที่สำคัญ กูไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ากูเป็นอะไร หรือว่ากูชอบแบบไหน............”

“สักวันนึงมึงจะรู้ ไอ้เอ็น กูจะบอกให้นะ ทั้งกู เมฆ และไคล์ ต่างก็ไม่ได้เป็นเกย์มาตั้งแต่จำความได้หรอกนะ แต่ว่าพวกเราทุกคนล้วนรู้สึกถึงความรักและความผูกพันให้กับคนๆนึง และก็บังเอิญที่ว่าคนๆนั้นก็เป็นผู้ชายเหมือนกันมันก็เท่านั้น มึงจะเป็นอะไรยังไง มึงก็คือมึง ความรักก็คือความรัก และมันก็ไม่มีวันหดหายไปจากใจของมึงหรอก ที่ผ่านมามึงก็แค่ไม่กล้าที่จะเอื้อมมือไปแตะต้องมันอีกครั้งเท่านั้นเอง”

ไอ้เอ็นเงียบไปพักหนึ่ง “เมื่อตอนพี่กูแต่งงานน่ะ กูเจ็บแปล๊บเลยนะเว้ย กูน่ะดีใจกับพี่กูนะ แต่อีกใจกูก็......... ไม่รู้ว่ะ มันเหมือน ‘ทำไมกูไม่มีอย่างนั้นบ้าง’ มั๊ง แต่ไม่ใช่ความหมายของที่ว่า ‘ทำไมกูไม่มีแฟน’ อะไรแบบนั้นหรอกนะ มึงพอนึกออกมั๊ยวะ”

“กูคิดว่ากูเข้าใจนะ” ผมพยักหน้า

“แต่พอกูเห็นมึงกับไอ้เมฆแล้ว........ มันบอกไม่ถูกว่ะ” ไอ้เอ็นหันมายิ้มให้กับผม “กูคงรู้สึกดีมั๊งที่ได้เห็นพวกมึงแบบนี้น่ะ และมึงก็เป็นคนแรกเลยด้วยที่กูพูดเรื่องนี้ด้วยน่ะ”

“พูดออกมาเหอะ ทั้งกูทั้งไอ้เมฆยินดีรับฟังมึงเสมออยู่แล้ว การที่มึงเก็บไว้กับตัวเองมากๆนานๆเข้า มันก็จะกัดกินมึงได้นะ”

“ก็อาจจะเป็นไปได้.......... แต่บอกตามตรงนะซัน พอกูเห็นพวกมึงสองคน และพอได้รู้เรื่องราวที่ผ่านมาของพวกมึงแล้วเนี่ย..........” ไอ้เอ็นยิ้ม “มันเหมือนกูมีความหวังอีกครั้งยังไงไม่รู้ว่ะ กูเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ต่างจากที่กูเห็นพี่กูกับแฟนเค้าเยอะเลยว่ะ”

“หึหึ กูจะบอกอะไรให้เหมือนกันนะ เอ็น มึงยังไม่รู้เรื่องของกูกับไอ้เมฆ หรือแม้แต่เรื่องของไคล์กับพวกกูอีกเยอะ” ผมหัวเราะเบาๆ “และพวกกูก็ยินดีที่จะเล่าให้มึงฟังทั้งหมดเลยด้วย ถ้าเผื่อมันจะช่วยให้มึงรู้สึกดีขึ้นได้นะ เพราะกูเชื่ออยู่อย่างนึง.......... กูเชื่อว่า คนเราทุกคนน่ะ มีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ เอ็น ไม่ว่าสิ่งๆนั้นจะเป็นอะไร หรือ คืออะไรก็ตาม”

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ^^sky^^ ที่ 22-01-2008 20:45:00
เข้ามาให้กำลังใจคับ
ขอบคุณที่ตามอ่านไอ่ป๊อบ กับ ไอ่ร๊อคทุกตอนเลย

ผมบอกตามตรงว่ายังไม่มีเวลาอ่านของนายเลยอ่ะ  แต่สัญญาน่ะด้วยเกียรติของลูกเสือวิสามัญเลย
จะอ่านแน่นอน  เมื่อทุกอย่างในชีวิตช่วงนี้มันโอเค
ขอบคุณน่ะคับ
สู้ๆๆ  แล้วจะตามอ่านให้ทัน

 :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-01-2008 20:53:37
 :เฮ้อ: ใครเล่าจะจักย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้  :เฮ้อ:
ปล. หายไวไวนะ  :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 22-01-2008 21:35:19
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-01-2008 23:05:22
เจ็บจนเหมือนหนังหัวใจจะฉีก!!!!


หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-01-2008 23:18:46
ต้นเป็นไรมากป่าว ไปหาหมอเถอะ  :m13:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 22-01-2008 23:29:11
ความหลังของเอ็น ???

น่าสนใจแฮะ ตามลุ้นต่อ อิอิ

 :m23:  :m23:  :m23:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-01-2008 11:20:03
ต้นเป็นไรมากป่าว ไปหาหมอเถอะ  :m13:

เมื่อคืนอุตส่าห์หายแล้ว แต่จู่ๆมันก็กระตุกขึ้นมาอ่ะครับ
เหมือนหนังหัวใจจะฉีกเลย เจ็บมากกกกกกกกก!!!!
T___T

และสุดท้ายก็สะอึกอีก อ้วกอีก ทรมานอีก
เมื่อเช้าตีห้าก็อีก ชม นึง อ้วกอีก อ้วกทั้งๆไม่มีอะไรในกระเพาะนั่นแหละ
ตอนนี้เลยแย่หน่อย เจ็บหน้าอกมากกก แถมไม่กล้าพูดไม่กล้ากลืนน้ำลายหรือกระแอมเลย
กลัว T___T

หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 23-01-2008 17:56:56
เรื่องที่เจอน่าสงสารจัง คงอึดอัดน่าดู
ยิ่งอยู่ในสังคมนายร้อยแบบนั้น  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 24-01-2008 11:02:05
เย้ยยย
พี่ชายเป็นอะไรอ่ะ

ปล.โทหาผมม่ะด้าย ก้อไว้คุยกันผ่าน pm ก้อได้นะ  :o12:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 24-01-2008 12:40:41
อ้างถึง
กูเชื่อว่า คนเราทุกคนน่ะ มีที่ว่างสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหาเจอ ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าง หรือ สิ่งที่ดีที่สุด


เรื่องนี้ดูท่าจะเป็นแนวสืบสวนสอบสวนซะแล้ว และดูเหมือนว่าผู้ต้องสงสัยที่เหลือจะเป็นพี่จ๊อบกับแบงค์นั่นละร่วมมือกัน
เอ็นก็น่าสงสัย แต่เอ็นจะทำไปเพื่ออะไร ... แย่งชิงเมฆหรือซันก็ไม่น่าจะใช่ เพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับพี่จ๊อบหรือแบงค์ที่ดูจะมีน้ำหนักในการแย่งชิงมากกว่า

แอบคิดนะว่าจริง ๆ แล้วร่วมมือกันสามคนกับนัทด้วย และตุ๊กตาตัวที่เป็นของนัทคือตัวล่าสุดที่ส่งมาให้ซัน ไม่ใช่เป็นตัวแรกที่ส่งให้ ไอ้ตัวแรกที่ส่งให้น่ะคือตัวที่สั่งทำใหม่
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-01-2008 19:24:10
เหอ เหอ สงสัยน้องต้นไม่ชอบไปหาหมอเนอะ แบบว่าปล่อยไว้ให้หายเอง
เหมือนพี่เลย  :m23:
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 24-01-2008 19:56:18
เหอ เหอ สงสัยน้องต้นไม่ชอบไปหาหมอเนอะ แบบว่าปล่อยไว้ให้หายเอง


ประมาณนั้นคับ ตอนนี้ก้อดีขึ้นมากแล้ว เมื่อคืนน่าจะเป็นมรสุมลูกสุดท้าย
ตอนนี้เลยเหลือแค่เจ็บหน้าอก เวลากินอะไรก้อลำบากหน่อย คิดว่าพรุ่งนี้คงดีขึ้นคับ
^^

ปล. ตอนที่ 26 (ตอนหน้า) มีเซอร์ไพรส์เล็กๆนะคับ  :mc3:


........................................................


วินาทีที่ 25


เมื่อเราทั้งสี่คนกลับเข้ามาในคอนโดอีกครั้ง ไคล์กับเมฆที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกก็เลยเดินสำรวจห้องแต่ละห้องกันยกใหญ่

“คิดว่าไงครับ เมฆ” ผมเดินเข้าไปโอบเอวมัน

“ก็ดีนี่ เมฆว่าน่าอยู่ดี แต่ว่า.........”

“อืมม ซันรู้ เรายังไม่ย้ายมาตอนนี้หรอกครับ แต่ซันก็แค่อยากจะเตรียมให้มันพร้อมไว้เท่านั้นเอง และบางทีซันก็อาจจะมานอนที่นี่มั่งก็ได้ เพราะว่ามันใกล้ที่ทำงานซันมากกว่าด้วยน่ะ เมฆจะว่าอะไรรึเปล่า”

“ไม่หรอก ก็แล้วแต่ซันนั่นแหละ.........” ไอ้เมฆตอบ แต่ผมรู้เลยว่ามันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นด้วยจริงๆ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้อยากจะแยกกันอยู่กับมันหรอก เพียงแต่ว่าถ้าสถานการณ์มันยังไม่ดีอยู่แบบนี้ และผมอาจจะทำให้ไอ้เมฆหรือโดยเฉพาะพ่อเล็กต้องลำบากไปด้วยล่ะก็ ผมคิดว่าถ้าผมเลือกแบบนี้มันอาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้

เย็นวันนั้นเราเชิญไอ้เอ็นกลับบ้านไปกินข้าวเย็นพร้อมกับพวกเราด้วย ซึ่งพ่อเล็กก็ต้อนรับมันเป็นอย่างดีเช่นกัน ส่วนตัวไอ้เอ็นเองก็ดูจะชอบใจมากด้วยที่เห็นครอบครัวของเราเป็นแบบนี้ เพราะหลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จ มันก็ยังเอ่ยปากชมพ่อเล็กและความโชคดีของเราไม่หยุดปาก

“พ่อมึงน่ารักมากเลยว่ะไอ้เมฆ และก็ดูท่านรักไอ้ซันกับไคล์มากโคตรๆเลยด้วยเหมือนกันนะ” ไอ้เอ็นพูดเมื่อเราสามคนนั่งกันอยู่ตามลำพังในห้องรับแขก

“อืม กูรู้ กูถึงได้คิดอยู่ตลอดเลยไงว่ากูโชคดีมากโคตรๆขนาดไหนที่ได้พ่อเอกเป็นพ่อน่ะ........ แต่ไม่ใช่แค่พ่อกูเท่านั้นหรอกนะที่ดีกับกูมากๆน่ะ พ่อแม่ไอ้ซันกับพ่อแม่ไคล์ก็ดีกับกูมากเหมือนกัน”

“พวกมึงนี่โชคดีว่ะที่มีพ่อแม่เข้าใจน่ะ”

“ใช่ อย่างน้อยๆนี่ก็คือสิ่งหนึ่งที่พวกกูคิดกันมาตลอดว่าเราสองคนโชคดีมากที่มีครอบครัวเข้าใจและคอยซัพพอร์ทเราอยู่ตลอดเวลาน่ะ และไม่ใช่แค่ครอบครัวด้วยนะ แต่มันยังรวมไปถึงเพื่อนของเราหลายๆคนด้วย”

ไอ้เอ็นก้มหน้าเงียบแล้วหมุนแก้วเบียร์ในมือเล่นอยู่ครู่หนึ่ง ผมกับไอ้เมฆที่รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วก็มองหน้ากัน ก่อนที่ผมจะพยักหน้าให้มัน และมันก็เลยย้ายไปนั่งข้างๆไอ้เอ็น

“มึงมีพวกกูนะ ไอ้เอ็น ถ้ามีอะไรก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้คนเดียวอีกต่อไปแล้ว มึงเชื่อใจพวกกูได้ว่าเรื่องมันจะไม่หลุดออกไปไหนแน่นอน” ไอ้เมฆวางมือลงบนบ่าของไอ้เอ็นเบาๆ

“เปล่าหรอก กูไม่ได้กำลังคิดถึงเรื่องนั้น” ไอ้เอ็นส่ายหน้า

“และมึงก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาตัวเองตอนนี้หรอก” ไอ้เมฆพูดต่อ และไอ้เอ็นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับมันทันที “มึงมีชีวิตดีๆให้ใช้ มึงมีขาสองข้างที่ยังเดินต่อไปได้ มึงก็แค่เดินต่อไป และเมื่อไหร่ที่มึงเจอสิ่งที่คิดว่าใช่สำหรับมึง มึงก็จะรู้เองนั่นแหละ เพียงแต่มึงต้องไม่ลืมว่านับจากวินาทีนี้ไป มึงมีพวกกูคอยรับฟังและคอยให้คำปรึกษาด้วยแล้ว มึงไม่จำเป็นต้องเก็บมันเอาไว้คนเดียวอีกหลายปีหรือต่อไปจนตลอดชีวิตของมึงอีกต่อไปแล้ว มึงเข้าใจนะ”

ไอ้เอ็นมองหน้าของไอ้เมฆนิ่งๆ จากนั้นก็หันมาหาผมพร้อมรอยยิ้ม แล้วก็หันกลับไปหาไอ้เมฆอีกครั้ง “กูพอจะรู้แล้วว่าทำไมไอ้ซันมันถึงได้รักและหวงห่วงมึงมากนักน่ะ เอาเถอะ กูก็คงพูดได้แค่ว่าขอบใจมึงมากนะเว้ย ทั้งสองคนเลย และกูก็ขอบอกพวกมึงไว้ตรงนี้เลยเหมือนกันนะว่า ต่อจากนี้ไป กูก็จะช่วยเหลือพวกมึงทุกทางเท่าที่กูทำได้เหมือนกัน ขอให้มึงเชื่อใจกูได้เลย”

คืนนั้นหลังจากที่ไอ้เอ็นกลับไป ผมกับเมฆก็นั่งดูรูปที่ไปถ่ายมาด้วยกัน และทุกๆรูปนั้นก็สวยมากจริงๆ โดยเฉพาะถ้าตัดรูปที่ผมกับไอ้เมฆเปลือยกายถ่ายด้วยกันในห้องน้ำนั่นออกไปแล้ว ผมก็ยังชอบรูปที่มีเราทั้งสี่คนพร้อมหน้านั่งกันอยู่ที่โต๊ะกินข้าวมากๆด้วย มันดูราวกับผมได้ยินเสียงหัวเราะและรับรู้ได้ถึงความมีชีวิตชีวาในช่วงเวลานั้นออกมาจากรูปถ่ายเลยจริงๆ

“พี่บอลฝากบอกมาว่า เพื่อนพี่บอลชอบรูปของพวกเรามากเลยนะ โดยเฉพาะรูปของไคล์น่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้น

“แล้วมันจะเอาไงล่ะ” ผมถาม

“อืมมม ไคล์มันบอกว่า มันก็ไม่ได้สนใจจะทำอะไรแบบนั้นเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าให้ทำเล่นๆก็โอเค อะไรแบบนี้น่ะ”

“งั้นมึงก็จัดการดูแลมันไปเลยแล้วกันนะ กูยกให้มันเป็นน้องชายมึงไปเลย จัดการเอาตามสะดวก”

“อ้าว แล้วมึงจะไม่สนใจเลยรึไง”

“สนดิ่ แต่กูยกให้มึงคอยดูแลมันไง ตัดสินใจกันไปเลยไม่ต้องเกรงใจกู มีอะไรก็ค่อยบอก แล้วก็กูจะรอดูผลงานมันเอง”

“ก็ได้ ถ้ามึงว่าอย่างนั้นน่ะนะ........” ไอ้เมฆยักไหล่ “แต่กูก็ให้พี่แอมป์เค้าดูแลให้อีกทีอยู่ดีแหละว่ะ กูไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนักหรอก แต่นี่กูก็คิดจะบอกไอ้วิทเอาไว้เหมือนกัน เผื่อวันไหนหรือกูติดอะไรขึ้นมา มันจะได้ช่วยเราได้ แบบนั้นมึงว่าดีมั๊ย”

“ก็ดีแล้ว จะได้ช่วยๆกันดู ไม่ต้องให้มันไปเปลืองตัวอะไรเพื่อที่จะได้งาน”

“อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วว่ะ ไคล์มันรู้แล้วก็ตัดสินใจเอาเองได้อยู่แล้ว”

“ว่าแต่พรุ่งนี้น่ะ..........” ผมพลิกตัวเป็นนอนหงายแล้วจับมือของมันขึ้นมากุมไว้ในมือ “เมฆไปซื้อของเข้าคอนโดกับซันนะ แล้วซันจะให้เมฆเลือกได้ทุกอย่างเลยว่าเมฆอยากให้มันออกมาเป็นแบบไหนนะครับ”

ไอ้เมฆยิ้มรับแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากของผมเบาๆ..........

เช้าวันต่อมา ไคล์ก็บอกพวกเราว่ามันไปกับเราไม่ได้เพราะว่าเพื่อนโทรมาชวนออกไปดูหนังเมื่อคืน พวกเราก็เลยต้องไปกันแค่สามคน โดยผมรับหน้าที่ขับรถพาพ่อเล็กไปดูที่คอนโดก่อน และไอ้เมฆจะขับรถอีกคันตามหลังมา เพื่อที่ว่าเผื่อเราต้องซื้อของหลายอย่างเราจะได้ใช้รถสองคันขนได้ทีเดียวไปเลย ไม่ต้องขับรถวนไปกลับหลายรอบ

“พ่อครับ ถ้าเกิดผมจะชวนเมฆย้ายออกมาอยู่กับผม......... พ่อจะว่าอะไรมั๊ยครับ” ผมถามพ่อเล็กขณะที่เราอยู่ในรถกันสองคน

“อ้าว พ่อจะไปว่าอะไรได้ล่ะ” พ่อเล็กหันมามองหน้าผม

“เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น คือผมไม่ได้จะย้ายออกมาเร็วๆนี้หรอกครับ แล้วก็ไม่ได้คิดจะชวนไอ้เมฆมันย้ายออกมาเร็วๆนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ผมก็แค่บอกเอาไว้ก่อนน่ะครับ ว่าหลังจากนี้ไป อาจจะสักปีนึง สองปี หรือห้าปี ผมก็คงจะขอลูกชายพ่อให้ออกมาจากเรือนสักวันแน่ๆ อะไรแบบนั้นน่ะครับ”

พ่อเล็กหัวเราะชอบใจ “ฮ่าๆๆ เออๆ ก็ดีนี่ เข้าใจพูดดี เอาเถอะ ซันกับเมฆตัดสินใจยังไงก็เอาเลย ชีวิตมันเป็นของลูกทั้งสองคนอยู่แล้วนี่ โตๆกันแล้ว พ่อว่าดีซะอีก เมฆมันจะได้ไม่ดูเป็นลูกติดพ่อมากเกินไปนัก มันน่ะนะ ชอบเป็นห่วงพ่อมากมายไม่เข้าเรื่องอยู่เรื่อย”

“มันก็เคยบอกผมครับว่ามันอยากอยู่กับพ่อเล็กก่อนสักพักใหญ่ๆค่อยคิดเรื่องย้ายออก แต่ผมก็เกรงใจ...... คือ ไม่ได้เกรงใจแบบนั้นหรอกครับ” ผมรีบพูด เมื่อรู้สึกว่าพ่อเล็กกำลังมองผมอยู่ “แต่ผมเกรงใจที่ผมยังต้องใช้ของทุกอย่างของพ่อเล็กอยู่เลยน่ะครับ ทั้งรถ ทั้งบ้าน....... ทั้งลูกชาย” เมื่อดิ้นอย่างนั้นพ่อเล็กก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง “คือมันไม่ใช่แค่ผมไงครับ ยังมีไคล์อีก ผมก็เลยอยากจะมีอะไรที่เป็นของตัวเองให้เป็นสัดส่วนบ้าง และเพื่อเป็นการตอบแทนพ่อเล็กได้ไปในอีกทางด้วย”

“อืมม พ่อเข้าใจ ซันเองก็เหมือนวันรุ่นทั่วไปทุกคนนั่นแหละ ที่พอเรียนจบมีงานทำแล้ว ก็อยากจะสร้างทางเดินของตัวเอง....... เอาเลย อยากทำอะไรก็ทำ พ่อไม่ว่าหรอก ถ้าอยากจะตอบแทนบุญคุณพ่อนะ ก็ดูแลลูกชายพ่อ ดูแลตัวเองดีๆ รักกันให้ดีๆก็พอแล้ว พ่อขอเพียงเท่านี้แหละ”

วันนั้นทั้งวันผมกับเมฆและพ่อเล็ก ต่างก็วุ่นอยู่กับการเดินเลือกซื้อของใช้และขนของเข้าคอนโดกันยกใหญ่ และพอตกบ่ายแก่ๆ ไคล์ก็กลับมาช่วยพวกเราด้วยอีกแรง ทำให้งานทั้งหมดเสร็จเร็วขึ้นได้กว่าปกติอีกราวๆสองชั่วโมง ก็เป็นอันว่าวันนี้ของเราก็ควรจะจบลงแต่เพียงเท่านี้ เว้นเสียแต่ว่าผมได้รับโทรศัพท์ชวนให้ไปกินเหล้ากับพวกไอ้วิทและเพื่อนเอาเสียก่อน

“ทำไมมึงเพิ่งมาชวนกูเอาวันนี้ตอนนี้วะ ไอ้บ้า” ผมบอกมันไปหลังจากคำชวนแรกของมัน “นี่มันจะห้าโมงแล้วนะเว้ย”

“เอาน่า ตอนแรกพวกกูก็ไม่ได้ตั้งใจจะนัดกินเหล้าเหี้ยอะไรกันหรอก แต่นี่เมื่อเช้ากูตั้งใจจะมานั่งเล่นบ้านไอ้อีฟมัน แต่ปรากฏว่าไอ้เดียร์ก็กำลังจะมาเที่ยวอยู่แล้ว แถมแน่นอนว่าไอ้ป๋อมก็มาด้วย ตอนนี้ก็เลยมีกันอยู่สี่คน และพวกกูก็เลยโทรชวนคนอื่นๆมาด้วยเลยไง แค่กินข้าวกัน ไม่ได้มีอะไรหรอก”

“เดี๋ยวขอกูถามไอ้เมฆก่อนก็แล้วกัน เพราะตอนนี้พวกกูไม่ได้อยู่บ้าน กูเพิ่งซื้อของเข้าคอนโดกูกันเสร็จน่ะ นี่พ่อเล็กกับไคล์ก็อยู่ด้วยนะเนี่ย”

“อ้าวเหรอ เออ มึงลองไปถามไอ้เมฆดูก่อนแล้วกัน ถ้ามาได้ก็มา มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูแดกเผื่อ” ไอ้วิทหัวเราะ จากนั้นมันก็วางสายไป ผมจึงเดินเข้าไปหาไอ้เมฆที่กำลังนั่งคุยกับไคล์อยู่ที่ห้องรับแขก

“อ้าว แล้วพ่อเอกล่ะ” ผมถามพลางนั่งลงข้างๆมัน

“เข้าห้องน้ำน่ะ ว่าแต่จะกลับกันยัง จะกินข้าวบ้านหรือกินเข้าไปเลยดี ไคล์หิวอีกแล้วนะ”

“อะไรวะ หิวอีกแล้วเรอะ” ผมหันไปมองหน้าไคล์ “เออ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจล่ะนะ เราก็หิวได้ทุกๆชั่วโมงอยู่แล้วนี่”

“วัยกำลังโตน่ะ มันช่วยไม่ได้” ไคล์ยักไหล่

“แต่ซันมีอีกข้อเสนอมาให้เมฆนะ” ผมหันกลับมาหาไอ้เมฆ “เมื่อกี๊ไอ้วิทโทรมาว่ะ แล้วมันชวนเราสองคน ไม่สิ ทั้งสามคนเลยไปกินข้าวที่บ้านไอ้อีฟน่ะ นัดกันแบบฉุกละหุกนิดหน่อย ตอนนี้ที่นั่นก็มีอีฟ เดียร์ มัน แล้วก็ไอ้ป๋อมแค่นั้นมั๊ง เดี๋ยวคนอื่นๆก็คงจะตามกันไปอีกแต่ไม่รู้มีใครบ้าง มึงเอาไงอ่ะ”

“อืมมม....... กูว่ากูผ่านดีกว่าว่ะ ขอพาพ่อเอกกลับบ้านไปพักดีกว่า เพราะดูท่าทางพ่อจะเหนื่อยมากแล้ว มึงไปเหอะ ฝากทักทายพวกมันด้วยก็แล้วกัน แต่อย่าเมามากแล้วหนีไปแรดไหนต่อไหนกับพวกมันนะเว้ย ไม่งั้นกลับบ้านมาแล้วคุณซันโดนคุณเมฆเล่นงานแน่นะครับ” ไอ้เมฆหันมายิ้มให้กับผม และผมก็ชะโงกหน้าเข้าไปประทับจูบของผมลงบนริมฝีปากคู่นั้นเบาๆโดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มสดใสในครั้งนี้ของมันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของรอยทางแห่งน้ำตาที่เราสองคนใกล้จะต้องเผชิญ.........

เย็นวันนั้นหลังจากที่ไอ้เมฆ พ่อเล็ก และไคล์ขับรถออกจากคอนโดไปแล้ว ผมก็ขับรถแยกไปยังบ้านของอีฟที่เป็นจุดนัดหมายของพวกเราตามลำพัง เมื่อผมไปถึงที่นั่น เพื่อนๆของเราหลายคนก็กำลังนั่งกินเหล้าสังสรรค์กันอยู่แล้ว และหนึ่งในนั้นก็มีไอ้แบ๊งค์ที่ท่าทางจะเมากว่าคนอื่นๆอยู่หน่อยอยู่แล้วด้วยเช่นกัน

“นี่มึงมันคออ่อนหรือขี้เหล้ากันแน่วะ ไอ้แบ๊งค์ กูเจอมึงทีไรก็เห็นเมาเป็นหมาทุกที” ผมทัก

“ก็ถ้าเมาแล้วมันมีความสุขกูก็อยากจะเมานี่หว่า” ไอ้แบ๊งค์ตอบ

ผมส่ายหน้าเบาๆให้กับมันก่อนจะเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ว่างถัดจากมันมาพอสมควร และคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมแล้วก็คือไอ้วิทนั่นเอง

“ทำไมไอ้เมฆไม่มาวะ ซัน”

“กลับบ้านไปส่งพ่อเล็กกับไคล์น่ะ ท่าทางพ่อเค้าจะเหนื่อยแล้ว ไอ้เมฆมันก็เลยอยากให้เค้ากลับไปพักผ่อนไวๆ แต่มันก็ฝากความคิดถึงมาให้พวกมึงทุกคนด้วยนะ เออ แล้วก็มันฝากกูมาบอกมึงว่าเวลามึงว่างๆก็ให้โทรไปคุยกับมันที มันมีเรื่องอยากจะคุยด้วยว่ะ”

“เอ้า เรื่องอะไรวะ มึงก็ไม่รู้เหรอ”

“เรื่องไคล์มั๊ง เอาเหอะ มึงก็โทรไปคุยกับมันหน่อยก็แล้วกัน” ผมยกแก้วเหล้าที่ไอ้วิทเพิ่งชงให้ขึ้นจิบ “ว่าแต่นัทไม่มาเรอะ” ผมหันมองไปรอบๆท่ามกลางเพื่อนๆหลายคนที่สนามหญ้าหน้าบ้านนี่ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของนัทอยู่เลย

“มาไม่ได้มั๊ง เห็นว่าติดธุระอะไรสักอย่าง ต้องถามอีฟดูว่ะ”

“ก็ดีแล้วล่ะ” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ทำเป็นไม่สนใจกับสีหน้าสงสัยของไอ้วิทมัน

จนเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ไอ้แบ๊งค์ก็ยังคงไม่ได้เข้ามาวุ่นวายหรือพูดคุยกับผมเลย อาจจะเนื่องจากเพื่อนๆเราที่มากินกันคืนนี้ก็ปาเข้าไปจะสิบห้าคนแล้วก็ได้ ทำให้ส่วนมากแล้วใครนั่งอยู่ตรงไหนก็จะนั่งติดที่ แล้วก็จะได้พูดคุยกันเฉพาะคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันมากกว่า รวมทั้งเมื่อตัวผมเองย้อนนึกไปถึงคำพูดของไอ้เอ็นที่บอกว่าอย่าเพิ่งไว้ใจใครทั้งนั้น บวกกับสิ่งที่ผมรู้อยู่แล้วว่ามันชอบผม คำพูดของมันที่เคยพูดออกมา และการกระทำของมันที่จู่ๆก็โผล่มาที่บ้านของไอ้เมฆพร้อมพี่จ๊อบในวันนั้น มันก็ทำให้ผมอดรู้สึกกังวลและข้องใจในตัวของมันไปด้วยไม่ได้....... แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงไม่สามารถลืมคำพูดของตัวเองที่บอกมันไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ว่าจะไปกินข้าวกับมันสองคนอีกครั้ง กับรอยยิ้มดีใจแบบเด็กๆ รอยยิ้มซื่อๆของมันหลังจากที่ผมพูดแบบนั้นออกไปไม่ได้จริงๆ

“กูว่ามึงดูเครียดๆนะ” ไอ้วิททักผม

“งั้นเหรอวะ ทำไมมึงคิดงั้นล่ะ”

“ก็ดูมึงกินหนัก แล้วก็เงียบด้วย ไม่สิ เงียบอย่างเดียวไม่พอ หน้ามึงเหมือนมึงกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาเลยด้วยว่ะ เพลาๆลงหน่อย อย่าลืมนะว่ามึงต้องขับรถน่ะ” ไอ้วิทปรามผมพร้อมกับดึงแก้วเหล้าผมออกจากในมือ “แต่ก่อนมึงไม่เป็นงี้นะ ปกติกูไม่ค่อยเห็นมึงกินแบบนี้เท่าไหร่เลย มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าวะ”

“หึ ไม่มีอ่ะ กูก็แค่คิดอะไรเพลินๆ แล้วเหล้ามันอยู่ในมือก็เลยกระดกเอาๆแค่นั้นเอง” ผมยิ้มออกมา “แต่ยังไม่เมาหรอก มึงไม่ต้องห่วง กูดูแลตัวเองได้”

“ก็นั่นน่ะสิ แต่กูว่าไอ้เหี้ยนั่นท่าทางจะไม่ไหวแล้วนะน่ะ” ไอ้วิทพยักเพยิดไปทางไอ้แบ๊งค์ “ปกติมันก็คออ่อนอยู่แล้วนะ แล้วแม่งยังเลือกทำเก่ง”

“ปล่อยๆมันไปเหอะ นานๆที” ผมหันไปมองไอ้แบ๊งค์ที่หัวเราะร่วนอยู่กับเพื่อนๆ จากนั้นก็หันกลับมาหาไอ้วิท “ขอกูไปเติมน้ำแข็งก่อนนะ แล้วจากนี้ไปกูสัญญาว่าจะเหลือแค่น้ำส้มอย่างเดียวแล้วว่ะ”

“มึงไม่ต้องมาสัญญากู ไอ้ห่า กูไม่ใช่ไอ้เมฆแฟนมึง”

ผมหัวเราะและลุกขึ้นเดินไปเติมน้ำแข็งซึ่งก็ต้องเดินผ่านตรงที่พวกไอ้แบ๊งค์กำลังนั่งกันอยู่ ทำให้ผมบังเอิญได้ยินประโยคที่พวกมันกำลังคุยกันเข้าพอดี

“ทำไมมึงดูอารมณ์ดีจังวะ ไอ้แบ๊งค์ มีอะไรดีๆรึไง”

“ก็นิดหน่อยว่ะ กูก็แค่เจอของที่กูทำหายไปเมื่อนานมาแล้วน่ะ” ไอ้แบ๊งค์ตอบ เพราะท่าทางมันจะไม่รู้ว่าคนที่เดินผ่านข้างหลังมันคือผม ทำเอาผมถึงกับต้องสะดุด “ถ้าอะไรๆมันดีได้ไปตลอด มันก็คงจะดีว่ะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามน่ะนะ”

“น้ำแข็งจะหมดแล้วนะ อีฟ” ผมแกล้งพูดขึ้นมาเสียงดัง “จะให้กูออกไปซื้อให้มั๊ย”

“เออๆ ก็ดีเหมือนกัน เอ้าพวกมึง ผู้ชายเปล่าวะ ไปช่วยไอ้ซันมันคนนึงดิ่ เดี๋ยวขี่รถกูไปนี่แหละ”

ผมรับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์มาจากอีฟ จากนั้นก็เดินไปที่รถของมันโดยที่มีคนวิ่งตามหลังผมมาติดๆ ตอนแรกนั้นผมยังไม่รู้ว่าเป็นใครจนกระทั่งผมหันไปมองนั่นแหละถึงได้เห็นว่าคนที่อยู่ข้างหลังผมนั้นก็คือไอ้แบ๊งค์

“มึงจะไปกับกูเรอะ” ผมถาม

“อือ อยู่ห่างๆเหล้าหน่อยก็ดี จะได้สร่างๆหน่อย ไม่งั้นไม่ไหวว่ะ เดี๋ยวเป็นอย่างคืนนั้นที่บ้านไอ้เมฆอีก” มันตอบเสียงอ้อแอ้

“ก็ดีแล้ว เอ้า งั้นก็ขึ้นมา” ผมสต๊าร์ทรถ และเมื่อไอ้แบ๊งค์ขึ้นซ้อนท้ายผมแล้ว ผมก็ขี่รถออกจากบ้านของไอ้อีฟไปยังหน้าปากซอยแล้วจอดรถที่หน้าร้านขายของที่ติดอยู่กับร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ที่เป็นรถเข็นร้านหนึ่ง ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของผมดังขึ้น และคนที่โทรเข้ามาก็คือไอ้เมฆนั่นเอง มันโทรเข้ามาถามผมว่าผมจะกลับไปกินข้าวที่บ้านอีกหรือเปล่า

“ไอ้เมฆโทรมาตามแล้วเหรอ ทำไมดูอารมณ์ดีจังวะ” ไอ้แบ๊งค์ถามหลังจากผมวางโทรศัพท์ไปเรียบร้อยแล้ว

“เปล่าหรอก มันแค่โทรมาถามว่ากูจะกลับไปกินข้าวบ้านอีกรึเปล่าน่ะ เออ เดี๋ยวกูจะนั่งกินก๋วยเตี๋ยวหน่อยนะ มึงจะกินด้วยรึเปล่า”

“ก็ได้ กูนั่งเป็นเพื่อนมึงก็ได้ แต่กูไม่กินนะ ไม่ไหวแล้วว่ะ” ไอ้แบ๊งค์ส่ายหน้า

หลังจากที่เราสองคนนั่งลงที่โต๊ะจนผมเริ่มต้นกินก๋วยเตี๋ยวของผมแล้ว ไอ้แบ๊งค์ก็ยังคงนั่งจ้องหน้าผมเงียบอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดปนรำคาญเล็กน้อย

“มองห่าอะไรนักวะ” ผมพูด

“เปล่า ก็แล้วมึงจะให้กูมองอะไรล่ะ ก็กูเมานี่หว่า”

“มองเหี้ยอะไรก็มองไปดิ่ ไม่เห็นต้องมานั่งจ้องตอนกูแดกแบบนี้เลยนี่หว่า” ผมส่ายหน้าช้าๆก่อนจะก้มหน้าลงกินก๋วยเตี๋ยวต่อ “เออ แล้วนี่มึงมายังไงเนี่ย ขับรถมารึเปล่า จะกลับไหวเหรอวะ”

“มึงเป็นห่วงกูด้วยเหรอ” ไอ้แบ๊งค์ยิ้ม แต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกไป “คือ กูก็นั่งแท็กซี่มาว่ะ แล้วเดี๋ยวก็คงนั่งแท็กซี่กลับนั่นแหละ ไม่มีปัญหาหรอก”

ผมพยักหน้าตอบ แล้วเราสองคนก็เงียบกันลงไปอีกจนกระทั่งผมกินเสร็จ และหลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปซื้อน้ำแข็งออกมาสามถุงใหญ่ๆ จากนั้นไอ้แบ๊งค์ก็ขึ้นมานั่งซ้อนท้ายผมเหมือนเดิม

“เออ ไอ้แบ๊งค์ กูมีอะไรอยากจะบอกมึงว่ะ” ผมพูดขึ้นก่อนจะออกรถ

“หือ เรื่องอะไรวะ”

“ที่กูเคยนัดมึงไปกินข้าวอีกครั้งอ่ะ กูขอแคนเซิ่ลได้มั๊ยวะ ช่วงนี้กูมีปัญหานิดหน่อยว่ะ เลยคงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”

“อ้าวงั้นเหรอ........” เสียงของไอ้แบ๊งค์ดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “เออ ไม่เป็นไรหรอก กูเข้าใจ”

“กูขอโทษทีนะเว้ย คิดซะว่ามากินที่บ้านไอ้อีฟคืนนี้เป็นนัดแบบผิดแผนของกูไปหน่อยก็แล้วกันนะ เพราะหลังจากนี้แล้วกูก็ไม่แน่ใจแล้วว่ะว่าจะได้ไปไหนมาไหนแบบนี้อีกรึเปล่าน่ะ”

“อืม ไม่เป็นไรหรอก เฮ้ย กูว่าเรารีบกลับเถอะว่ะ เดี๋ยวพวกมันจะรอน้ำแข็งนาน”

ผมพยักหน้า จากนั้นก็สต๊าร์ทรถและเริ่มขี่รถออกไป และระหว่างทางขณะที่ไอ้แบ๊งค์กำลังซ้อนท้ายผมอยู่นั้น ก่อนจะถึงหน้าบ้านของอีฟไม่นาน ผมก็รู้สึกได้ว่าไอ้แบ๊งค์มันเอาหัวของมันมาพิงอยู่บนหลังของผม และมือข้างหนึ่งของมันก็ค่อยๆเขยิบมาโอบเอวผมเอาไว้อย่างช้าๆด้วย

“กูขอโทษว่ะ.......” ไอ้แบ๊งค์พึมพำออกมาเบาๆ แต่มันคงไม่รู้ว่าที่จริงแล้วผมได้ยินสิ่งที่มันพูดออกมาทุกคำ




หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 24-01-2008 20:13:51
แบงก์น่าสงสัยอันดับแรกเลยตอนนี้
หัวข้อ: Re: ]| twisted |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที.......
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 24-01-2008 20:28:08
นี่ก็น่าสงสัยอีกคน

 :a11: งง ๆ ใครน๊า เต้นหาคำตอบ
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 24-01-2008 22:09:29
โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มสดใสในครั้งนี้ของมันนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของรอยทางแห่งน้ำตาที่เราสองคนใกล้จะต้องเผชิญ

มัวแต่ลุ้นเรื่องสืบสวนเพลิน จนเกือบลืมตอนเริ่มเรื่องแล้วสิ   :m13:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 25-01-2008 04:48:51
 :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 25-01-2008 07:58:52
คาดว่า แบ๊งค์ คงเป็นสาเหตุแน่เลย  :m13:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-01-2008 18:28:46
รู้นะว่าอ่าน (ฮา)






















































































































































































แน๊ะ! ยังจะอ่าน!
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 25-01-2008 21:56:21
 o2 o2 o2
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 27-01-2008 02:56:28
มานอนรอพี่ชาย

ใจเย็นๆนะคับพี่

ทุกๆอย่างมีทางแก้เสมอ (รึป้ะ?)
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-01-2008 15:50:31

ถ้าหากเพียงแค่เราสามารถสรรสร้างวาดแต่งท้องฟ้าของเราเองได้
ก็คงจะไม่มีใครต้องทนเปียกปอนเพราะความหนาวเหน็บจากน้ำฝน
และหม่นหมองใจ จากเงามืดของก้อนเมฆสีดำที่ปกคลุมนั่น

ถ้าหากเพียงแค่เราสามารถรังสรรค์ความงามของแสงอรุณ
ความมืดทั้งหลายก็คงจะไม่คืบคลาน
และความเหงา ก็คงไม่ต่างจากเงาดำของท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์

ขอแค่สักครั้งในชีวิต ที่สองมือนี้จะได้ปั้นแต่ง วาดภาพที่สวยงามที่สุดในชีวิตขึ้นในจิตใจ
โดยไม่ต้องใช้ความทุกข์เศร้าเป็นผืนผ้า และใช้น้ำตาแทนหมึกวาด. . . . .


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . .




วินาทีที่ 26


“ซัน มึงจะกลับมากินข้าวที่บ้านอีกรึเปล่า กูจะได้เผื่อไว้ให้” ผมโทรไปถามไอ้แสบของผม เพราะวันนี้มันออกไปกินเหล้าเจอเพื่อนๆที่บ้านของอีฟกัน แต่ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะว่าอยากจะพาพ่อเอกกลับมาพักผ่อนนั่นเอง

“อ๋อ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูกินที่นี่แหละ ไม่ต้องห่วงนะ”

“อืมๆ ก็ดีแล้ว และนี่คนไปเยอะเปล่าวะ แล้วจะกลับกี่โมง”

“ก็พวกๆเราแหละ ไม่เยอะมากหรอก ส่วนเรื่องกลับ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ น่าจะราวๆเที่ยงคืนได้มั๊ง มึงนอนก่อนเลยก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงกู”

“เอางั้นเหรอ ว่าแต่มึงมีกุญแจบ้านรึเปล่าล่ะ”

“มีๆ อยู่ในรถน่ะ เออนี่ เมฆ แบตกูจะหมดแล้วว่ะ เหลืออีกจึ๋งเดียวเอง กูขอวางก่อนนะ และถ้าเกิดมึงโทรมาไม่ติด ก็รู้ไว้เลยนะว่ามันเป็นเพราะแบตกูหมดน่ะ ไม่ต้องกังวลไปล่ะ เข้าใจรึเปล่า”

“คร้าบ เข้าใจแล้ว ยังไงก็อย่าเมามากก็แล้วกัน ขับรถดีๆ เข้าใจมั๊ย”

“คร้าบบ เข้าใจแล้วคร้าบบ รักมึงนะ ไอ้ตัวดี”

ผมอดอมยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้ “รักมึงเหมือนกับครับ ไอ้ตัวแสบ”

“อื้อ งั้นแค่นี้ก่อนนะ แล้วกูจะรีบกลับ” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางสายไป

ผมยิ้มให้กับตัวเองนิดๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟา โดยมีไคล์นั่งดูทีวีอยู่ข้างๆ

“ยิ้มอะไรน่ะ” ไคล์หันมาถามผม “ทำท่าทางหน้าตาน่าอิจฉาเชียว”

“เปล่า ไม่มีอะไร แค่อารมณ์ดีนิดหน่อยน่ะ นานๆจะเห็นไอ้พี่ชายของเราพูดจาแบบนั้นซักที” ผมตอบ พลางเขยิบหัวขึ้นไปนอนหนุนตักของไคล์ “ว่าแต่วันนี้ได้คุยกับพีรึยัง”

“ยังเลย แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็จะขึ้นไปออนไลน์แล้วล่ะ”

“อื้มม ก็ดีแล้ว”

“นี่ ศิลา พี่ได้บอกซันเรื่องนั้นรึยัง”

ผมเงียบไปราวๆห้าวินาที ก่อนจะชันตัวขึ้นนั่ง และหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดู

“ยังเลย และคงไม่บอกหรอก ช่างมันเถอะ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ แถมไอ้ซันมันใจร้อนจะตายไป เกิดมันคิดมากและทำอะไรแรงๆขึ้นมาอีกมันจะยุ่งน่ะ และที่สำคัญที่สุดก็คือ อีกฝ่ายเค้าก็คงไม่ได้คิดอะไรมากมายนักหรอก จะฟันธงอะไรไปตอนนี้เลยก็คงไม่ได้”

“แน่ใจนะ เพราะว่าผมก็คงทำอะไรเรื่องนี้มากไม่ได้ด้วยสิ”

“นั่นน่ะดีแล้วล่ะ” ผมพยักหน้า “ไคล์ไม่ต้องทำอะไรหรอก และถ้าพี่อยากให้ไคล์ช่วยอะไรพี่จะบอกเอง เพราะมากคนมันก็มากความ พี่จะจัดการเรื่องตรงนี้เอง แบบนั้นดีกว่ามั๊ย”

“แล้วแต่ศิลาครับ ผมยังไงก็ได้ เพราะผมเชื่อใจพี่ทั้งสองคนอยู่แล้ว”

ผมหันไปยิ้มให้กับไคล์อีกครั้ง ก่อนจะขอตัวลุกขึ้นเดินขึ้นห้องไป แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะทันได้เปิดประตูห้อง โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นมาอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ

“หวัดดีครับ ทำอะไรอยู่รึเปล่า ผมกวนรึเปล่าครับเนี่ย”

“หึๆ แล้วถ้าพี่บอกว่ากวนเนี่ย อาร์มจะทำยังไงครับ”

“ก็วางน่ะสิครับ ผมไม่อยากกวนเวลาพี่เมฆหรอก”

“อืมม พี่เข้าใจครับ แต่ว่าตอนนี้พี่ยุ่งๆอยู่จริงๆน่ะ เอาไว้เราค่อยคุยกันอีกทีวันหลังก็แล้วกันนะครับ ขอโทษทีนะ” ผมตัดสินใจโกหกออกไป

“อ้าวเหรอครับ อืม งั้นก็ไม่เป็นไร ถ้างั้นแค่นี้ก็ได้ครับ เอ่ออ.......”

“อะไรเหรอครับ”

“ก็........ คือ........คืนนี้นอนฝันดีนะครับพี่ บ๊ายบายครับ” เมื่อพูดจบเขาก็วางสายไปทันที

ผมถอนหายใจแล้วก็ส่ายหัวเบาๆ นับตั้งแต่วันที่เราไปถ่ายรูปกันที่บ้านของพี่แอมป์ ถึงมันจะไม่มากนัก แต่ผมก็สังเกตและรู้สึกได้เลยว่าอาร์มกำลังพยายามที่จะหาเรื่องมาคุยกับผมบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องพี่สาวของเขา เรื่องรูปถ่าย เรื่องการถ่ายรูป เรื่องของไคล์ หรือเรื่องการออกกำลังต่างๆนาๆ ถึงมันจะดูเป็นการโทรมาคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ไม่ได้แสดงออกจุดประสงค์อะไรมากมายนัก แถมยังไม่ได้โทรมาทุกวัน แต่ทว่าใครก็คงดูออกได้แบบไม่ยากเย็นเช่นกันว่าเขากำลังพยายามที่จะทำตัวสนิทสนมกับผมมากขึ้นเรื่อยๆ และถึงแม้ตอนแรกๆผมจะคิดว่ามันคงเป็นแค่ในระดับของพี่น้องหรือเพื่อนกัน แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปมากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นตามลำดับด้วยว่าอาร์มเองอาจจะไม่ได้ต้องการหยุดอยู่เพียงเท่านั้นแน่นอน และที่สำคัญก็คือ เรื่องนี้คงจะให้ไอ้ซันรู้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าเกิดมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นตามมาแล้วล่ะก็ พวกเราคงจะวางตัวกับพี่แอมป์ได้ลำบากขึ้นแน่ๆ

นอกจากนั้นแล้ว เรื่องสำคัญและปัญหาใหญ่ที่ผมคงจะต้องรีบจัดการก่อนที่ไอ้ซันมันจะรู้และโวยวายเข้า นั่นก็คือเจ้าสิ่งๆนี้ที่ผมเพิ่งได้รับมาเมื่อเย็นนี้เอง ในห้องนอนของผมกับไอ้ซันนั้น ที่ตรงมุมห้องจะมีตู้เก็บหนังสือตู้เล็กๆอยู่ตู้หนึ่งเอาไว้ใช้สำหรับวางหนังสือการ์ตูนตั้งแต่สมัยผมยังเด็กๆ และด้านบนก็ยังใช้วางของใช้ของตบแต่งได้อีกนิดหน่อยด้วย และในวันนี้ บนตู้ๆนั้นก็กำลังมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่วางเอาไว้อยู่ ผมเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมาถือเอาไว้ในมือแล้วก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้

การ์ดที่ติดมากับช่อดอกไม้ช่อนี้ มีข้อความสั้นๆที่เขียนเอาไว้ว่า

“ให้แทนของขวัญวันเกิดนะครับ คิดถึงเสมอ”

และแน่นอนว่าชื่อที่ลงท้ายเอาไว้ก็คือ............. จ๊อบ



หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 28-01-2008 16:28:34
 :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 28-01-2008 19:39:53
โอ้วววว พี่ชาย

ผมได้เบอร์ใหม่แร้วนะ

โทรมาหากันบ้างล่ะ  :m13:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-01-2008 23:14:23

นานมาแล้ว มีก้อนหินก้อนหนึ่งในป่าใหญ่ที่ตกหลุมรักท้องฟ้า

มันไม่มีปาก ไม่มีตา และไม่มีหู

มันพูดไม่ได้ มองไม่เห็น และไม่เคยได้ยิน

แต่ทว่ามันมีหัวใจ

หัวใจที่มอบให้ท้องฟ้าที่อยู่สูงเหลือคณา แต่ก็ใกล้ใจกว่าสิ่งไหนที่รายล้อม

วันหนึ่ง นางฟ้าจากสวรรค์เดินทางลงมายังโลก และจะบันดาลพรให้แก่ก้อนหินเพียงหนึ่งประการ

นางถามว่า “ระหว่าง ตา หู กับ ปาก เจ้าต้องการสิ่งใดเพียงสิ่งเดียว”

ก้อนหินตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นบอกฉันก่อนได้ไหมเล่าว่า ถ้ามีตา หู หรือปากแล้ว มันใช้ทำอะไรได้บ้าง เพราะฉันไม่เคยมีสิ่งเหล่านั้นเลย”

“ถ้าเจ้ามีตา เจ้าก็จะสามารถมองเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสีได้ ถ้าเจ้ามีหู เจ้าก็จะสามารถได้ยินเสียงร้องของท้องฟ้าได้ ถ้าเจ้ามีปาก เจ้าก็จะสามารถเอ่ยพรรณนาความรักที่เจ้ามีต่อท้องฟ้าได้ เจ้าจะเลือกสิ่งใด”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอมีหัวใจดวงนี้แค่ดวงเดียวที่มั่นคงในรักของฉันก็เพียงพอแล้ว”

“เพราะอะไรกันเล่า” นางฟ้าถามด้วยความแปลกใจ

“เพราะถ้าฉันมีตา ฉันก็คงต้องมองเห็นท้องฟ้าในยามโศกเศร้า แต่ฉันจะไม่สามารถได้ยินเสียงสะอื้น และเอ่ยคำปลอบใจให้แก่เขาได้ และถ้าฉันมีหู ฉันก็คงจะได้ยินเสียงของท้องฟ้าเฉพาะยามที่เขาเศร้าใจ หรือยามเกรี้ยวกราดแต่เพียงเท่านั้น และถ้าฉันมีเพียงปาก ฉันก็ไม่รู้อยู่ดี ว่าจะเอ่ยคำใดในยามที่เหมาะสมเช่นไร เพราะฉันมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ฉันขอแค่มีใจที่ได้รักท้องฟ้าที่โอบอุ้มฉันเอาไว้มาเนิ่นนานแต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

นางฟ้าพยักหน้า และเสกพรวิเศษออกมาให้แก่ก้อนหิน นั่นก็คือหัวใจบริสุทธิ์ ที่จะรักท้องฟ้าตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

“เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าต้องการแบบนี้ เพราะเจ้าก็จะต้องทนรักท้องฟ้าฝ่ายเดียวตลอดไป ต้องเปียกปอน ในยามที่ฝนตก ต้องเหน็บหนาว ในยามที่ท้องฟ้ามืดลง และอาจต้องแตกสลาย ถ้าท้องฟ้าเกิดเกรี้ยวกราดและส่งสายฟ้ามาทำลายเจ้า”

“แต่ความรักที่ฉันมีให้ท้องฟ้า ก็จะยังมั่นคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

“ถ้าเช่นนั้นแล้ว..........” นางฟ้าเสกตา ปาก และหู ให้แก่ก้อนหินทั้งสามอย่างพร้อมๆกัน นอกจากนั้นยังเสกให้ก้อนหินมีปีกสีขาวบริสุทธิ์งอกออกมาด้วย “ข้ามอบโอกาสให้แก่เจ้าแล้ว คราวนี้ก็อยู่ที่เจ้าแล้วว่าจะทำอย่างไรกับโอกาสที่ข้ามอบให้นี้ต่อไป........... แต่จงจำเอาไว้ว่า สักวันหนึ่ง ดวงตาของเจ้าอาจจะต้องมืดบอด หูของเจ้าอาจจะตื้อตัน เสียงของเจ้าอาจจะต้องหมดลง และปีกสีขาวนั้น ก็คงจะต้องอ่อนแรงลงสักวัน ขึ้นอยู่กับภาระการใช้งานของมัน เจ้าจงใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุดล่ะ” นางฟ้ากล่าวก่อนจะบินจากไป

ก้อนหินนึกยินดีและขอบคุณนางฟ้าอยู่ในใจ ก่อนจะมองสูงขึ้นไปเบื้องบน เชยชมกับความงามของท้องฟ้าสีคราม เงี่ยหูรับฟังเสียงลม ชื่นชมกับความอ่อนไหว และเอ่ยคำพูดคำแรกในชีวิตออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า...........



“ผมรักคุณ”



หลังจากนั้นก้อนหินก็ไม่เคยพูด และไม่เคยคิดที่จะสยายปีกออกเพื่อบินขึ้นไปหาท้องฟ้าของเขาอีกเลย.............


   
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 28-01-2008 23:50:23
อะไรจะโรแมนติคขนาดนั้นอ่ะพี่ต้นนิ่ม คริคริ  :mc4:  :mc4:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-01-2008 00:03:08
อะไรจะโรแมนติคขนาดนั้นอ่ะพี่ต้นนิ่ม คริคริ  :mc4:  :mc4:

อ๊ะแน่นอนคับ อ่ะ คุ คุ คุ

ปล. แอบเหงาๆนิดหนอยน่ะ เลยแต่งนิทานเล่น

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 29-01-2008 00:05:58
อะไรจะโรแมนติคขนาดนั้นอ่ะพี่ต้นนิ่ม คริคริ  :mc4:  :mc4:

อ๊ะแน่นอนคับ อ่ะ คุ คุ คุ

ปล. แอบเหงาๆนิดหนอยน่ะ เลยแต่งนิทานเล่น



ที่แอบเหงาเนี่ย เพราะพี่ทึ่มเป่าคับ อิอิ :m23:  :m23:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-01-2008 00:12:57
อะไรจะโรแมนติคขนาดนั้นอ่ะพี่ต้นนิ่ม คริคริ  :mc4:  :mc4:

อ๊ะแน่นอนคับ อ่ะ คุ คุ คุ

ปล. แอบเหงาๆนิดหนอยน่ะ เลยแต่งนิทานเล่น





ที่แอบเหงาเนี่ย เพราะพี่ทึ่มเป่าคับ อิอิ :m23:  :m23:

ทำมาเป็นรู้ดีรู้ใจ เดี๋ยวปั๊ดจับมานอนหอมแก้มซะเลยนิ!

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 29-01-2008 00:25:36
ฮึ๋ยๆ ไม่เอาอ่ะ กลัวพี่ทึ่มบุกมาถึงที่  o2

ละก้ออีกอย่าง เดี๋ยวไอ้คนข้างๆ เนี่ย จะงอนเอาอีก ง้อยากคับ 555+  :m25:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 29-01-2008 00:27:07
 :m4: โรแมนติกมากครับ
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-01-2008 18:09:24
วินาทีที่ 27


มันอาจจะเป็นเพียงความกังวลของผมแค่เพียงฝ่ายเดียวก็ได้ แต่ว่าบางครั้งผมก็เกิดรู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆเวลาที่ผมไปไหนมาไหนกับไอ้ซันนอกบ้านอยู่เหมือนกัน และไอ้ความรู้สึกเหล่านั้นมันก็เริ่มจะส่งผลกับผมมากขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วย อย่างเช่นว่า ผมเคยคิดจะชวนมันไปสมัครที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งแล้วหาเวลาไปเล่นด้วยกันบางวันหลังจากเลิกงาน แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังไม่ได้เอ่ยปากชวนมันเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะความไม่แน่ใจในสิ่งที่ผมกำลังกังวลอยู่นั่นเอง และอย่างล่าสุดก็คือเมื่อเย็นนี้นี่เอง หลังจากที่เราสามคนแยกกับไอ้ซันที่คอนโดและกลับมาถึงบ้านแล้ว ผมก็ต้องประหลาดใจครั้งใหญ่เมื่อเจอรถคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าบ้าน และคนที่กำลังรอผมพร้อมกับช่อดอกไม้ช่อใหญ่อยู่นั้นก็คือ พี่จ๊อบ

“ให้เป็นของขวัญวันเกิดแทนอันที่ถูกทิ้งไปก็แล้วกันนะครับ อย่าคิดมากล่ะ แต่ว่าพี่ก็......... อยากให้เมฆลองคิดถึงพี่ดูบ้างเหมือนกัน ถ้าวันไหนที่เมฆต้องเสียใจเพราะซันล่ะก็ คิดถึงพี่ชายคนนี้ได้นะครับ” คือคำพูดทิ้งท้ายของพี่จ๊อบ ก่อนที่เขาจะขับรถออกไปโดยที่ผมไม่ทันแม้แต่จะได้อ้าปากพูดอะไรตอบกลับไปเลยแม้แต่นิดเดียว

และตอนนี้ ผมก็กำลังนั่งถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่นั้นเอาไว้ในมือ ในใจก็นึกครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผมกำลังกังวลและควรจะทำเพื่อแก้ไข เพราะว่าถ้าหากสิ่งที่ผมกังวลนั้นเป็นความจริงแล้วล่ะก็ ผมก็คงจะปล่อยมันผ่านไปเฉยๆไม่ได้แน่นอน........

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดส่งเมสเสจไปยังเบอร์ๆหนึ่ง ก่อนที่จะเดินเอาดอกไม้ไปจัดลงแจกัน วางไว้ที่ชั้นวางของ และกลับขึ้นมานั่งเล่นอินเตอร์เน็ตบนห้องของตัวเอง แต่ว่าหลังจากนั่งเล่นไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์หาไอ้ซันอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ผมโทรไม่ติดแล้ว และนั่นก็คงเป็นเพราะโทรศัพท์ของมันแบตหมดอย่างที่มันบอกผมเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วนั่นเอง แต่เนื่องจากความเพลียจากการซื้อของขนของในวันนี้ บวกกับความเหนื่อยใจหนักใจกับเรื่องที่มีให้คิดมากมาย จึงทำให้ผมตัดสินใจที่จะปิดคอมและลุกไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอนเลยโดยไม่ได้รอจนกว่าไอ้ซันจะกลับมาที่บ้านเสียก่อน

ผมนอนลืมตาในความมืด พลิกตัวไปมาอยู่หลายครั้ง พยายามไล่เลียงลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดและบอกตัวเองหนแล้วหนเล่าว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมนอนคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่หลายอย่าง ปล่อยจิตใจให้มันล่องลอยไปกับความนึกคิด ความทรงจำ และจินตนาการต่างๆนาๆ จนกระทั่งเสียงของพี่จ๊อบเริ่มค่อยๆดังก้องขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง

“.......ถ้าวันไหนที่เมฆต้องเสียใจเพราะซันล่ะก็ คิดถึงพี่ชายคนนี้ได้นะครับ.......”

“ไม่มีทางหรอก เราคบกันมาตั้งสามปีแล้ว มันไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ

“.......เมฆ” เสียงของไอ้ซันดังขึ้นเบาๆ ผมหันไปมองตามเสียง ก็เห็นว่ามันกำลังยืนอยู่ไม่ไกล

“กลับมาแล้วเหรอ” ผมยิ้มและเดินตรงเข้าไปหามัน แต่ทว่ามันกลับถอยหลังหนีผมไปเรื่อยๆ “ทำไมวะ นี่มึงจะถอยหนีกูทำไม มีอะไรรึเปล่า”

ใบหน้าของไอ้ซันที่สงบนิ่งมาตลอดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่แสดงความผิดหวังออกมาทีละน้อย จากนั้นมันก็ชูช่อดอกไม้ช่อหนึ่งขึ้นมาตรงหน้า “นี่มันหมายความว่ายังไง มึงโกหกกูอย่างนั้นเหรอ”

“เปล่าสักหน่อย กูไม่ได้โกหกอะไรมึงเลยนะ” ผมปฏิเสธ

“ถ้างั้นแล้วนี่มันเหี้ยอะไร” ไอ้ซันพูดเสียงดังขึ้นจนเกือบจะเป็นการตะคอก แต่ทว่าก็ยังเป็นเสียงที่ฟังดูราวกับดังแว่วมาจากสถานที่อื่นอันแสนห่างไกลเสียเหลือเกิน “มึงโกหกกู มึงปิดบังกู เพื่อที่ว่ามึงจะได้ไปมั่วกับมันอย่างนั้นสินะ”

เมื่อได้ยินอย่างนั้น อารมณ์ของผมก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีเช่นกัน “แล้วมึงล่ะ คนอย่างมึงมีสิทธิ์มาว่าอะไรกู ไอ้สัตว์!” ผมตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด เป็นอารมณ์โกรธที่แม้แต่ตัวผมเองยังต้องประหลาดใจเลย “อย่างมึงมันจะรู้อะไรบ้าง มึงคิดว่ามึงทำดีมากพอแล้วรึไงทุกวันนี้น่ะ อย่าให้กูต้องพูดเรื่องไอ้แบ๊งค์มันขึ้นมานะ ไอ้ซัน! มึงอย่าให้กูเริ่มนะเว้ย!”

ไอ้ซันส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากผมไปอย่างช้าๆ

“มึงจะไปไหน ซัน” ผมรู้สึกว่าเสียงของผมเริ่มสั่นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงแทบไม่ได้ลดความรุนแรงลงเลย “นั่นมึงกำลังจะไปไหน!”

“ไปในที่ๆมึงอยากให้กูไปไง” ไอ้ซันหันกลับมาตอบผม จากนั้นก็เดินต่อไปโดยไม่หันมามองผมอีกเลย.......

“ไอ้ซัน!” ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่คลออยู่ที่ขอบตาและเหงื่อที่ไหลจนโซมกาย ผมลุกขึ้นนั่งแล้วเอามือปาดเหงื่อพลางมองไปรอบๆห้องที่มืดสนิท ไม่มีทั้งวี่แว่วของพี่จ๊อบ ไม่มีช่อดอกไม้ช่อนั้นอยู่ที่มุมห้อง และแน่นอน ว่าไม่มีมัน......... ผมเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียงแล้วหรี่ตามองหน้าปัดนาฬิกา ตีสามครึ่งแล้ว แต่เตียงข้างกายผมก็ยังคงว่างเปล่า ไอ้ซันยังคงไม่กลับบ้าน ผมเอื้อมมือไปกดรีโมทแอร์ที่ผมลืมเปิดเมื่อตอนผล็อยหลับไป แล้วก็คว้าหินสีดำก้อนนั้นขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ ผมนั่งมองมันและนึกถึงคำพูดเมื่อวันนั้น คำสัญญาที่เราสองคนมีให้แก่กัน คำสัญญาของท้องฟ้าและก้อนเมฆที่มีต่อเส้นขอบฟ้าที่ทอดยาวอันเป็นนิรันดร์......... ผมกำก้อนหินก้อนเล็กๆนั่นแน่น ก่อนที่จะหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของไอ้ซันอีกครั้ง แต่ทว่ามันก็ยังคงเป็นความพยายามที่ไร้ผลอยู่ดี ผมจึงวางของทั้งสองอย่างกลับลงไว้ที่เดิม ถอนหายใจอย่างไม่สบายใจทิ้งหนึ่งครั้ง และลุกขึ้นเดินออกจากห้องลงไปเปิดตู้เย็นในห้องครัวเพื่อหยิบน้ำเย็นมารินใส่แก้วให้แก่ตัวเอง

“นอนไม่หลับเหรอ เมฆ” เสียงของพ่อดังขึ้นจากทางประตูครัว

“เปล่าหรอกครับ เมื่อกี๊ฝันไม่ค่อยดีน่ะ แล้วก็ดันลืมเปิดแอร์ด้วย มันก็เลยตื่นขึ้นมาเอาตอนนี้” ผมหยิบแก้วมารินน้ำเย็นลงไปเพิ่มอีกหนึ่งใบแล้วเดินไปยื่นให้กับพ่อ “แล้วพ่อล่ะ ลุกมาทำอะไรดึกๆดื่นๆครับ”

“คนแก่ก็แบบนี้แหละ นอนน้อยตื่นง่าย” พ่อรับแก้วน้ำไปแล้วเดินนำผมไปนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว “แล้วว่าไงล่ะ เจ้าซันกลับมารึยัง”

นี่ต่างหากคือเหตุผลจริงๆที่พ่อลุกขึ้นมากลางดึกแบบนี้ พ่อเอกเองก็คงจะเป็นห่วงไอ้ซันจนนอนไม่หลับอยู่ด้วยเหมือนกัน และพ่อก็คงจะได้ยินเสียงของผมที่เดินออกจากห้องมา ถึงได้ลุกออกมาเพื่อนั่งเป็นเพื่อนผมแบบนี้นี่เอง

ผมส่ายหน้า “ยังเลยครับ”

“สงสัยจะนอนบ้านเพื่อนมั๊ง โทรติดต่อไปรึยังล่ะ”

“แบตมันหมดน่ะครับ แต่ว่า......... มันคงไม่ใช่อุบัติเหตุใช่มั๊ยพ่อ ผมชักจะกังวลแล้วนะเนี่ย” ผมมองดูนาฬิกาอีกครั้งอย่างกังวลใจ

“โทรไปหาเพื่อนเราสิ คนที่ไปเที่ยวด้วยกันน่ะ ลองถามเค้าดูว่าซันไปนอนไหนหรือว่ากลับออกมาแล้วรึเปล่าแบบนั้นน่ะ”

“เออ จริงด้วยแฮะ ลืมคิดไปได้ไงวะเนี่ย” ผมเดินไปหยิบโทรศัพท์บ้านขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ของอีฟทันที “เออ อีฟ โทษทีนะเว้ยที่โทรมาดึกๆ แต่ว่าไอ้ซันมันยังไม่กลับบ้านเลยว่ะ นี่มันไปนอนบ้านมึงหรือบ้านใครรึเปล่า....... อ้าว....... งั้นเหรอ มันเกิดอะไรวะ....... แล้วนานรึยัง.......” ผมหันกลับมามองพ่อเอกด้วยใจกังวล แต่ก็พยายามจะเก็บสีหน้าให้ดีที่สุด แต่ดูเหมือนว่าผมจะทำได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่ผมได้ยินนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้ใจของผมมันสงบลงเลยแม้แต่นิดเดียว “.......มึงหมายความว่าไงวะ....... เหรอ....... เออๆ อืม ไม่เป็นไร กูเข้าใจแล้ว ยังไงก็ขอบใจมากนะเว้ย แล้วก็ขอโทษด้วยที่โทรมากวนดึกๆดื่นๆแบบนี้ อื้อ ไม่เป็นไรๆ อือ ไม่เป็นไรหรอก ฝันดีก็แล้วกัน......... อืมมมม ได้ แล้วกูจะโทรไปบอกอีกที มึงไม่ต้องห่วง ฝันดีนะครับ”

“ว่ายังไงล่ะ เจ้าตัวแสบของเราไปนอนไหนซะล่ะคืนนี้” พ่อถามขึ้นทันทีที่ผมวางโทรศัพท์ลง

“อีฟบอกว่ามันไปนอนที่คอนโดน่ะครับ เพราะเห็นว่ามีเรื่องนิดหน่อย”

“อ้าว แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ”

“ผมก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรมากนะครับ มันเองก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะมันหลับอยู่ ดูละเมอๆยังไงไม่รู้ แต่ที่ผมมั่นใจและฟังดูแล้วไม่ผิดแน่ๆก็คือ ไอ้ซันมันกลับไปนอนที่คอนโดของมันกับไอ้แบ๊งค์สองคนน่ะครับ........”


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 29-01-2008 19:43:29
ขอเหตุผลที่ดีที่สุดนะซัน สำหรับเรื่องที่ไม่กลับบ้านดันไปนอนที่คอนโด แถมนอนกะไอ้แบงก์สองคนอีกเนี่ย เพราะถ้าคำตอบไม่เป็นที่พอใจละก้อ  พี่จะช่วยเมฆตื้บซันให้จมธรณีเลย
แต่ก่อนฟังเหตุผล ก็ขอซักทีละกัน โทษฐานที่ทำให้พี่โกรธอย่างแรง :เตะ1: :เตะ1:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-01-2008 20:01:11
เข้าเล้าไม่ได้ไปนาน  เลยตามไม่ทันเลย
วันนี้น้ำค้างบอกว่าให้อ่าน  อิอิ

เข้ามาบอกน้องต้นว่าตามอ่านอยู่น้า  จุ๊บๆ  :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 30-01-2008 07:27:43
ไปนอนที่คอนโดด้วยกัน หวังว่าคงไม่ใช่อย่างที่คิดนะ  :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 30-01-2008 14:54:04
อย่าพึ่งเข้าใจผิดกันนะ เครียกันก่อน

ปล.คุณต้น ผมไม่ยอมจริงๆนะถ้าให้เรื่องนี้ จบด้วยน้ำตา

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 30-01-2008 15:57:34
ฤาจะเป็นแผนแยกกัน เราอยู่   :a5:  :a5:  :a5:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 30-01-2008 16:01:22
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 31-01-2008 09:55:41
 :เฮ้อ:

พี่ชายเร็วๆเซ่ะ

ปล. คิดถึงพี่ชายนะ ว่างๆจะไปนอนด้วย  :m1:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 31-01-2008 09:58:52


ปล. คิดถึงพี่ชายนะ ว่างๆจะไปนอนด้วย  :m1:

กลัวว่าถ้ามานอนแล้วจะกลายเป็นไม่ว่างน่ะเส่ะ

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 31-01-2008 10:00:59
วินาทีที่ 28


“แบ๊งค์คือใคร” พ่อเอกถาม

“เพื่อนของเราน่ะครับ คนที่มางานวันเกิดผมวันก่อนแล้วเมามากๆนั่นไง.......... คนที่มาพร้อมพี่จ๊อบน่ะ” ผมอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของพ่อ

“อ๋อ คนที่มาทีหลังพร้อมไอ้ลูกนักการเมืองคนนั้นน่ะเหรอ แล้วไง แล้วทำไมเค้าต้องไปนอนด้วยกันด้วยล่ะ” ผมเคยเล่าให้พ่อฟังเรื่องของพี่จ๊อบนิดหน่อย และแน่นอนว่าพ่อของผมเองก็ไม่ได้ชอบชื่อเสียงของพ่อของพี่จ๊อบอยู่แล้วด้วยนิดหน่อยเหมือนกัน

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ........” ผมเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆพ่อเอกเหมือนเดิม “พ่อว่าผมงี่เง่ามั๊ย ถ้าผมบอกว่าผมรู้สึกหึงเนี่ย”

“ไม่หรอก มันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ เพียงแต่ว่า เมฆน่ะ ต้องนึกให้ดีๆว่ามันสมควรที่เราจะคิดมากแล้วรึยังก็เท่านั้น พ่อว่าตอนนี้เมฆควรจะสบายใจที่รู้ว่าซันไม่ได้เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางกลับบ้านสิ ถึงจะถูก ส่วนเรื่องอื่นก็ค่อยรอฟังจากปากของเจ้าตัวเสียก่อนก่อนที่จะตัดสินอะไร แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือฟังเสียงความรู้สึกของตัวเราเองว่าเราน่ะไว้ใจและเชื่อใจเขามากแค่ไหน”

“ผมก็รู้ครับ พ่อ แต่ว่า....... ไม่รู้สิ เรื่องไอ้แบ๊งค์เนี่ยมัน........” ผมนึกไปถึงความฝันเมื่อสักครู่ “มันพูดยากนะ ผมว่า คือ ไอ้แบ๊งค์เองมันก็ท่าทางจะชอบไอ้ซันอยู่แล้วด้วย ผมน่ะพอรู้สึกได้ ถึงไอ้ซันจะไม่ได้บอกผมออกมาตรงๆก็ตาม แถมยัง..........” แถมยังคำพูดของพี่จ๊อบเมื่อตอนเย็นนี้อีกด้วย ผมต่อประโยคของตัวเองจนจบในใจ เพราะไม่อยากให้พ่อต้องรู้สึกไม่สบายใจไปมากกว่านี้แล้ว

“พ่อว่านะ..........” พ่อนั่งเงียบไปครู่หนึ่งท่าทางครุ่นคิด “พรุ่งนี้เมฆหาเวลาว่างๆโทรไปหาพี่วินหน่อยก็ดีนะ”

“พี่วินเหรอครับ” ผมถามด้วยความตกใจเล็กน้อย “พ่อจะให้ผมโทรไปหาพี่เค้าเรื่องอะไร”

“ก็โทรไปเล่าเรื่องของเมฆกับซันให้พี่เค้าฟังนั่นแหละ ถ้าเค้าช่วยอะไรได้ก็ให้เค้าช่วย พ่อรู้ว่าเมฆเข้าใจที่พ่อพูด แต่ว่าจะที่สุดยังไงก็อยู่ที่เมฆนั่นแหละ ว่าอยากจะให้พี่เค้ารู้เรื่องมากขนาดไหนและต้องการความช่วยเหลือจากเค้าในเรื่องอะไรบ้าง”

“มันต้องถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ...... คือ อย่าเข้าใจผิดนะครับพ่อ ผมน่ะรักแล้วก็ไว้ใจพี่เขามากๆอยู่หรอกนะ แต่ว่า........”

“เรื่องนั้นพ่อรู้ เพราะพ่อเองก็เหมือนกันนั่นแหละ” พ่อพยักหน้า และผมก็เห็นความหวั่นไหวเล็กน้อยภายในแววตาของพ่อเช่นกัน “เอาเถอะ ลองโทรไปคุยกับพี่เขาดูก่อน แล้วเรื่องอื่นก็ค่อยว่ากัน” พ่อเอกลุกขึ้นยืนแล้วบีบไหล่ผมเบาๆ “แต่พ่อว่าตอนนี้เราไปนอนกันเถอะ อย่าเพิ่งคิดมากเลย มันยังไม่จำเป็นต้องคิดอะไรตอนนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงให้คิดนะ รีบๆไปนอนซะ เดี๋ยวตอนเช้าจะตื่นไม่ไหว”

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปเห็นรอยยิ้มให้กำลังใจของพ่อแล้ว ผมก็อดที่จะรู้สึกดีขึ้นและยิ้มตอบกลับไปไม่ได้ “ครับพ่อ พ่อว่าไงผมก็ว่าตามนั้นอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวขอผมเก็บแก้วปิดฟืนปิดไฟก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะขึ้นไปเองครับ ไม่ต้องห่วงนะ พ่อขึ้นไปนอนก่อนเถอะ”

พ่อเอกพยักหน้าให้ผมก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป ผมนั่งอยู่คนเดียวตรงนั้นอีกสักพักและคิดถึงสิ่งที่พ่อเอกเพิ่งบอกออกมา........

ถ้าลองมานึกดูผมก็คงจะรู้จักพี่วินมาตั้งแต่ผมจำความได้แล้ว และเขาก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งของครอบครัวเราสองพ่อลูกมาตลอด มาลองนับๆดู ตอนนี้พี่วินก็น่าจะอายุสักราวๆสามสิบห้าได้แล้ว และผมกับพี่เขาก็ไม่ได้คุยกันมาหลายปีแล้วด้วยสิ แต่ผมรู้ดีว่าพี่เขาก็ยังคงติดต่อกับพ่อเป็นระยะๆและรู้ข่าวคราวของผมอยู่ตลอดเวลาและทุกอย่างแน่นอน เพราะว่าพี่เขาเป็นคนแบบนั้นนั่นเอง....... เป็นคนที่ไม่เคยทิ้งคนที่เขารัก ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลหรือไม่ได้พูดคุยกันเนิ่นนานแค่ไหนก็ตาม

“ทุกความสัมพันธ์ต้องมีระยะห่างเพื่อเป็นระยะปลอดภัย” คือคติประจำใจของพี่วินเขาล่ะ

เมื่อสมัยผมเป็นเด็ก ผมจำได้ว่าพี่วินเคยมาอาศัยอยู่ที่บ้านของเราได้ราวเดือนกว่าๆเกือบสองเดือน แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรมากมายนัก เช่นว่าเพราะอะไรหรือทำไม แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ผมรู้นั่นก็คือพี่วินนับถือพ่อของผมมาก และเขาก็รักผมมากด้วย เรื่องนี้ผมรู้ดี รู้ดีทีเดียว......... ย้อนไปในตอนนั้นผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวพี่เขามากนัก ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เรื่องเรียน หรือเรื่องการงาน และไม่ว่าผมจะถามพ่อผมสักเท่าไหร่ พ่อก็ไม่เคยยอมบอกอะไรผมเลย และถ้าหากผมไปถามพี่วิน คำตอบที่ผมมักได้รับกลับมาก็จะมีแต่เพียงว่า........

“เรื่องของพี่น่ะไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่พี่รักเมฆกับพ่อเมฆมาก ครอบครัวของเมฆต่างหากที่สำคัญและมีความหมาย ดังนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เมฆต้องการความเชื่อเหลือ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พี่ก็จะทำให้เมฆทุกๆเรื่อง แต่มีข้อแม้เดียวก็คือพี่ขอเลือกที่จะตอบคำถามของเมฆแค่เพียงบางข้อ แบบนั้นโอเคมั๊ย”

และแน่นอนว่าผมก็ฉลาดพอที่จะไม่ถามอะไรพี่เขาอีกเลย จนกระทั่งผมโตขึ้นเรื่อยๆ พี่วินที่เป็นเหมือนพี่ชายเงาของผมก็ยังคงอยู่ใกล้ๆผมเสมอ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้เจอและพูดคุยกับพี่เขาก็ตาม แต่ผมก็สามารถรู้สึกถึงความรักความคิดถึงจากพี่เขาได้อยู่เสมอๆ เพราะไม่ว่าจะตอนผมเรียนได้คะแนนดีๆ วันเกิดผมกับพ่อในทุกๆปี วันปีใหม่ วันครอบครัว งานสำคัญๆ ช่วงเวลาดีๆของครอบครัวเรา หรือแม้แต่เมื่อตอนผมเรียนจบมอปลาย พี่วินก็จะส่งของขวัญมาให้เราที่บ้านเสมอๆ และแน่นอนว่าบางครั้งพี่เขาก็จะเข้ามาเยี่ยมพ่อและผมที่บ้านด้วยตัวเองด้วย

“พี่เค้าคิดกับเมฆเป็นเหมือนน้องชายเค้าเลยนะ ถึงพ่อจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าพ่อเองก็คิดกับเค้าเหมือนเป็นลูกชายคนนึงของพ่อก็เถอะ แต่ว่าเพราะเหตุผลหลายๆอย่างทำให้พี่เค้าต้องเป็นและทำแบบนี้ แต่ถึงยังไงเค้าก็เป็นคนนึงในโลกนี้ที่ทั้งพ่อและเมฆสามารถไว้วางใจและขอความช่วยเหลือได้มากที่สุด เรื่องนี้ขอให้เมฆรู้เอาไว้เลย และสักวันหนึ่งเมื่อเมฆโตขึ้นเมฆก็จะเข้าใจได้เองว่าทำไม..........”

คำพูดที่พ่อเคยบอกกับผมเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนดังก้องขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง และก็จริงอย่างที่พ่อพูด ตอนนี้ผมไม่สงสัยอีกแล้วว่าเรื่องของพี่วินนั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงแม้ว่าผมจะยังคงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องงานและชีวิตของพี่เขามากนัก แต่การที่ได้รู้เพียงเท่าที่ผมรู้อยู่แล้วนั้นก็เพียงพอที่จะอธิบายสิ่งต่างๆได้มากเกินพอแล้ว

พี่วิน คนที่ผมไม่เคยรู้ว่าอดีตของเขาเป็นอย่างไร แต่ผมรู้ว่าในปัจจุบันนี้ เขาเป็นผู้ดูแลและบริหารธุรกิจขนาดใหญ่ของครอบครัวด้วยตัวเองเพียงลำพัง และนอกจากนั้นยังเป็นผู้อิทธิพลและความสามารถหลายอย่างรอบด้านมาก ทั้งความสามารถด้านการงานและความสามารถส่วนตัว....... และผมขอเน้นคำว่า “รอบด้าน” จริงๆ

พี่วินมีทั้งความสามารถด้านการงานอันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง มีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจ อิทธิพล และเส้นสายในแทบทุกๆทางอย่างที่ยากจะเชื่อได้ และที่สำคัญนอกจากนั้นแล้วพี่วินยังเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจชนิดหาตัวจับยาก เป็นนักสู้ และนักเลงในบางวงการชนิดที่เมื่อคนบางคนได้ยินชื่อพี่วินแล้วยังต้องรู้สึกกลัวถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเจอหน้าพี่วินเลยก็ตามที เพราะฉะนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรปัญหาใหญ่ขนาดไหนเท่าที่คนๆหนึ่งจะพึงมีได้ พี่วินเป็นคนๆเดียวที่ผมรู้จักที่จะสามารถหาทางออกได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม

ผมเดินเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างในห้องนั่งเล่นแล้วเหม่อมองออกไปยังสนามหญ้าหน้าบ้าน คิดถึงคำพูดที่พี่วินเคยพูดกับผมอยู่บ่อยๆและจุดประสงค์ของพ่อที่แนะนำเรื่องนี้ขึ้นมา........

“โทรไปหาพี่วินเค้าหน่อยนะ โทรไปเล่าเรื่องให้พี่เค้าฟังนั่นแหละ ถ้าเค้าช่วยอะไรได้ก็ให้เค้าช่วย พ่อรู้ว่าเมฆเข้าใจ........”

“ถ้าโตมาแล้วเมฆมีอะไรให้พี่ช่วยเหลือล่ะก็ บอกพี่เลยนะ เข้าใจรึเปล่า พี่จะรีบเข้าไปช่วยเมฆทันทีเลยไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม........”

ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ผนังเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะตัดสินใจบางอย่างเงียบๆภายในใจแล้วก็เดินกลับขึ้นห้องนอนไป.......

เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่หกโมงเช้าเหมือนปกติ แต่จะเรียกว่า “ตื่น” ขึ้นมาก็ไม่ถูกเสียทีเดียวในเมื่อผมแทบจะไม่ได้หลับตาลงไปอีกเลยนับตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเมื่อกลางดึกนั่น และแน่นอนว่าทันทีที่ผมลืมตาตื่นขึ้นผมก็หยิบมือถือมากดหาไอ้ซันทันที แต่ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม จนกระทั่งผมอาบน้ำเสร็จนั่นแหละจึงจะได้ยินเสียงรถยนต์ที่คุ้นหูมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน

“พ่อครับ ไอ้ซันกลับมาแล้วเหรอ” ผมตะโกนลงไปถามพ่อที่กำลังทำครัวอยู่ชั้นล่าง

“น่าจะอย่างนั้นนะ แล้วเราน่ะแต่งตัวเสร็จรึยัง”

“เพิ่งอาบน้ำเสร็จครับพ่อ” ผมตอบกลับไป

“อ้าว ซันเพิ่งกลับหรอกเหรอเนี่ย” ไคล์เดินออกมาจากห้องของตัวเองในชุดนักศึกษา

“อืมม” ผมพยักหน้าให้ไคล์ จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง และในขณะที่ผมกำลังแต่งตัวอยู่นั้น ไอ้ซันก็เปิดประตูห้องเข้ามา

“โทษทีนะเมฆ มึงโกรธกูรึเปล่า” ไอ้ซันพูดพลางถอดเสื้อของตัวเองที่ใส่มาตั้งแต่เมื่อวานออก ดูมันเองก็มีท่าทางร้อนรนไม่น้อยเลยทีเดียว

“มึงไปไหนมา ทำไมกลับซะเช้าแบบนี้วะ มึงรู้รึเปล่าว่าเมื่อคืนนี้ทั้งกูทั้งพ่อเอกนอนกันไม่หลับเลยนะเว้ย” ผมหันไปหามัน สบตากับมันครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาส่องกระจกตามเดิม “ถ้ามึงมีคำอธิบายดีๆ ก็พูดออกมาซะตอนนี้เลยดีกว่า”

“มึงโกรธกูเหรอวะ กูบอกแล้วไงว่ากูขอโทษ” ไอ้ซันพูดเสียงอ่อยลงก่อนจะเดินเปลือยอกมานั่งลงบนเตียง

“กูไม่ได้โกรธ กูแค่เป็นห่วงมึงมาก แต่ว่าตอนนี้น่ะ กูต้องรู้ก่อนว่าเมื่อคืนมึงไปไหนมาและทำอะไรมาบ้าง” ผมเช็คความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันกลับมามองหน้ามัน และถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าผมก็อดไม่ได้ที่จะมองหาความผิดสังเกตจากสีหน้า ท่าทาง และคำพูดของมันอยู่ดี

ไอ้ซันเงียบลงไปพักหนึ่งก่อนจะยกข้อมือซ้ายของตัวเองขึ้นมาดูนาฬิกา “กูต้องขอโทษจริงๆที่ทำให้ทั้งมึงทั้งพ่อเล็กเป็นห่วง แต่ว่าเมื่อคืนโทรศัพท์กูมันแบตหมดจริงๆ แล้วก็........”

“เมฆ ใกล้เสร็จรึยัง เดี๋ยวเราต้องออกไปส่งไคล์ก่อนด้วยนะ” เสียงของพ่อเอกดังขึ้นที่หน้าประตูห้องผม

“เสร็จแล้วครับ ขอเวลาผมอีกแป๊บเดียว” ผมตอบกลับไปโดยที่สายตายังคงจับอยู่ที่ใบหน้าของไอ้ซันอยู่

“แล้วซันล่ะ อาบน้ำอาบท่ารึยัง เดี๋ยวจะไปทำงานไม่ทันนะ”

“ครับพ่อ ผมกำลังจะออกไปอาบน้ำแล้วครับ” ไอ้ซันตอบกลับไปพร้อมกับลุกขึ้นยืน จากนั้นมันก็หันมาสบตากับผมอีกครั้ง “กูต้องไปอาบน้ำก่อนแล้วล่ะ เมฆ เดี๋ยวจะไปทำงานสาย”

“เออ งั้นมึงก็ไปอาบน้ำซะเหอะ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงมันออกไปที่ประตู แต่ก่อนที่ผมจะได้จับลูกบิดประตูไอ้ซันก็คว้าข้อมือของผมเอาไว้เสียก่อนแล้ว

“กูรักมึงนะ มึงก็รู้ใช่มั๊ย”

ผมยืนหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะสามารถตอบออกมาได้ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ผมต้องหยุดคิดก่อนที่จะตอบคำถามนั้นของมันออกมาได้ ภาพของไอ้ซันกับไอ้แบ๊งค์นอนอยู่คู่กันบนเตียงมันผุดขึ้นมาในหัวของผมอย่างช่วยไม่ได้

“อือ กูรู้........”

หลังจากไปส่งไคล์ที่มหาลัยแล้ว ผมกับพ่อก็ขับรถไปทำงานทั้งๆที่ผมยังไม่ได้คุยกับไอ้ซันเรื่องเมื่อคืนเลย และมันเองก็ไม่ได้โทรมาหาผมอีกด้วย และที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้นั้นผมรู้สึกอย่างไรกันแน่ ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลัง หวง ห่วง หึง โกรธ น้อยใจ หรืออะไรกันแน่ ผมรู้แต่เพียงว่าผมไม่สบายใจเอาเสียเลย แต่ทว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมควรจะทำตัวยังไงหรือพร้อมแค่ไหนที่จะรับฟังเหตุผลของมันอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะผมกลัวว่าคำตอบที่ผมจะได้ยินจากปากของมันนั้นจะไม่เหมือนกับที่ผมได้ยินมาจากอีฟก็เป็นได้

หลังจากผมนั่งทำงานอย่างเซ็งๆไปจนถึงช่วงก่อนพักเที่ยง ไอ้ซันก็โทรเข้ามาหาผมจนได้

“ฮัลโหล ว่าไง” ผมรับ

“มึงลงมาหากูที่หน้าตึกหน่อยสิ ไปกินข้าวกัน”

“เฮ้ย มึงว่าไงนะ” สิ่งที่มันพูดทำเอาผมตกใจจนแทบลืมความขุ่นข้องใจที่มีไปเสียหมดเลย “มึงอยู่หน้าตึกกูแล้วเหรอ แล้วนี่มึงไม่ทำงานแล้วรึไง”

“อือ มึงลงมาหากูก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวอย่างอื่นค่อยว่ากัน” พอพูดจบ ไอ้ซันก็กดปุ่มวางสายไปทันที ผมจึงต้องเดินลงไปหามันอย่างไม่มีข้อแม้ ถึงแม้ว่าภายในใจจะยังคงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่ทว่าแค่วินาทีแรกที่ผมได้เห็นมันที่กำลังนั่งใส่แว่นหัวเกรียนดูดกาแฟรอผมอยู่นั่น ผมก็กลับรู้สึกใจเย็นลงขึ้นมาได้อย่างประหลาดเลยทีเดียว

“ทำไมมึงมาที่นี่ได้วะ แล้วที่ทำงานล่ะ มึงจะกลับไปทันเหรอ” ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆมัน

“เด็กเส้นสักอย่าง แค่นี้จิ๊บจ๊อยว่ะ” ไอ้ซันยิ้มกวนๆ ทำให้ผมเองก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว รอยยิ้มของมันก็ยังคงเป็นรอยยิ้มที่ประทับใจผมได้อยู่เสมอและตลอดเวลาจริงๆ ถึงแม้ว่ามันเองจะเป็นฝ่ายชอบชมว่าผมยิ้มสวยที่สุดแล้วก็เถอะ

“ปากดีนะมึง เอาจริงๆดิ่ แล้วนี่ลุงมึงเค้าจะไม่ว่าอะไรรึไง”

“ไม่หรอก กูลาครึ่งวันน่ะ ลาป่วย ไปหาหมอ”

“ตอแหลนะมึงเนี่ย แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องเอาใบรับรองแพทย์ไปให้เขารึไง มึงจะไปหาหมอเรื่องอะไร จะไปบอกหมอขอใบรับรองแพทย์ว่าเป็นโรคหลงตัวเองรึไงครับ ไอ้แสบ”

“เปล่า แต่เป็นโรคหลงแฟนจนโงหัวไม่ขึ้น” ไอ้ซันทำหน้าทะเล้น ผมเลยตบหัวมันไปเบาๆ “โอ๊ย เปล่า กูไม่ได้ตอแหล กูพูดจริงๆ”

“พูดจริงๆเรื่องอะไร เรื่องจะไปหาหมอเพราะโรคหลงแฟนของมึงเนี่ยนะ”

“เปล่า แต่กูจะไปหาหมอเพราะไอ้นี่ต่างหาก” ไอ้ซันถกขากางเกงข้างซ้ายของตัวเองขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลสดที่ท่าทางจะเจ็บไม่เบา ยาวตั้งแต่ครึ่งหน้าแข้งลงไปจนหายเข้าไปในถุงเท้าเลยทีเดียว

“เฮ้ย นี่มึงไปโดนอะไรมาวะ” ผมถามด้วยความตกใจ

“ก็เรื่องเมื่อคืนนั่นแหละ........” ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม และเมื่อเราสองคนสบตากัน แววตาแปลกๆของมันนั่นก็ทำให้เกิดความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนเล็กน้อย “ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวกูจะค่อยๆเล่าให้ฟัง”

“เออ........ อืมม เอางั้นก็ได้” ผมพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน แต่ไอ้ซันกลับยังไม่ยอมยืนตามผมขึ้นมา มันยังคงนั่งจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น “อะไร มึงมีอะไร”

“ก็..........” มันยิ้มแล้วทำตาเป็นประกาย “มึงหายโกรธกูแล้วนี่ ใช่มั๊ย”

ผมยิ้มตอบพร้อมกับยื่นมือให้มันจับแล้วดึงตัวมันขึ้นเบาๆ เราสองคนเดินออกไปนอกตึกแล้วนั่งลงที่ร้านอาหารข้างทางร้านหนึ่ง ระหว่างทางที่เราเดินมายังร้านอาหาร ผมก็อดสังเกตไม่ได้ว่ามันเองก็เดินกะเผลกๆอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อเช้านี้พอกลับมาถึงในห้องมันก็นั่งลงบนเตียงเลย แถมผมก็ไม่ได้อยู่จนเห็นถึงตอนมันถอดกางเกงออกหรือตอนเปลี่ยนชุด ผมก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันกำลังเป็นแผลและเจ็บขาอยู่แบบนี้ แถมดูท่าทางว่าจะเจ็บไม่น้อยเลยเหมือนกันด้วย

“เจ็บมากรึเปล่าวะ ทำไมถึงไม่ทำแผลพันแผลให้มันดีๆ” ผมถามหลังจากที่เราสั่งอาหารกันเสร็จ

“มึงก็พูดอย่างกับกูทำเป็น แถมเมื่อเช้ากูก็ไม่มีเวลาแล้วด้วย น้ำก็ไม่ได้อาบเนี่ย เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกมาเลย ไม่อยากโดนน้ำว่ะ มันแสบ”

“แล้วนี่ตกลงว่ามึงไปโดนเหี้ยอะไรมา”

ไอ้ซันก้มหน้าลงมองบนพื้นแล้วเงียบลงไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมอีกหน “ก็เมื่อคืนหลังจากคนอื่นๆมันทยอยกลับกันไปแล้วจนเหลืออยู่แค่ไม่กี่คนน่ะ กูเองก็กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน แต่ว่าไอ้แบ๊งค์มันเมามาก แล้วก็....... เอ่ออ........ มันเฮิร์ทๆน่ะ แล้วโวยวายนิดหน่อยจนเกือบจะถูกรถชนเอา กูไปช่วยมันเอาไว้ ก็เลยได้แผลนี่มาหน่อยนึง ส่วนมันก็ข้อเท้าแพลง เป็นแผลที่แขนกับหน้าผากอีกนิดหน่อย กูก็เลย....... เอ่อ คือเมื่อคืนมันก็ดึกมากแล้วน่ะ กูก็เลยต้องลากมันกลับไปนอนที่คอนโดด้วย อย่างที่มึงรู้นั่นแหละ”

นี่ก็แปลว่าไอ้เพื่อนตัวดีของผมมันม้าเร็วรีบคาบข่าวที่ผมโทรไปถามมันเมื่อคืนมาบอก หรือไม่ก็มาเตือนไอ้ซันเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วล่ะสิเนี่ย

“แล้วมันเฮิร์ทเรื่องอะไรของมัน”

“ก็เรื่อง.......” ไอ้ซันหลบสายตาผมเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจเบาๆ “เรื่องกูกับมึงนั่นแหละ มันสารภาพมาว่ามันชอบกูน่ะ แต่กูก็ไม่ได้เล่นด้วยไง เมื่อคืนมันก็เลยเฮิร์ทหนักหน่อย”

“เอาให้แน่ ซัน มันบอกว่ามันชอบมึงเมื่อวานงั้นเหรอ” ผมถามอีก และคราวนี้ไอ้ซันก็ดูลังเลอยู่แว่บหนึ่งจริงๆ

“เปล่า...... คือจริงๆก็เปล่าหรอก แต่เมื่อคืนกูก็ดับความหวังมันไปอีกรอบไง มันก็เลยแย่เลย เมาหนักยิ่งกว่าเมื่อตอนงานวันเกิดมึงอีกมั๊ง”

ผมถอนหายใจเบาๆ “กูจะไม่ถามมึงก็ได้ ซัน ว่าทำไมมึงถึงไม่บอกกูเรื่องไอ้แบ๊งค์มาตั้งนานแล้ว ทั้งๆที่ทีเรื่องของพี่จ๊อบมึงยังต้องการจะรับรู้ทุกๆอย่างจากกูน่ะ.........” ไอ้ซันเบือนหน้าหนีผมไปเล็กน้อย “แต่กูขอถามมึงหน่อยก็แล้วกัน ซึ่งจริงๆกูก็คงไม่น่าถามหรอก แต่ถึงไงกูก็คงต้องถามเพื่อความสบายใจว่ะ มึงเข้าใจกูใช่มั๊ย”

“กูไม่ได้มีอะไรกับมัน” ไอ้ซันรีบตอบขึ้นมาทันที “นี่คือเรื่องจริง กูไม่ได้มีอะไรกับมันทั้งนั้น และกูก็ไม่อยากให้มึงสงสัยกูในเรื่องนั้นด้วย” มันเริ่มทำน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย

“ก็แล้วกูมีสิทธิ์ที่จะสงสัยมั๊ยล่ะ ถ้าโทรศัพท์มึงแบตหมด มึงก็เอาโทรศัพท์ไอ้แบ๊งค์โทรมาบอกกูก็ได้ ใช้ของไอ้อีฟหรือเพื่อนคนไหนก็ได้ หรือถ้ามันไม่มีจริงๆ มึงก็แค่เสียเวลาซักสามนาทีจอดรถข้างทางโทรหากูไม่ได้เหรอวะ กูน่ะนอนก็ไม่หลับเพราะเป็นห่วงว่ามึงจะเจออุบัติเหตุรึเปล่าก็ไม่รู้นะไอ้ซัน”

“กู....... กูขอโทษ” ไอ้ซันหลับตาลงแล้วส่ายหน้า “แต่เมื่อคืนมันวุ่นๆน่ะ กูเองก็เบลอๆ...... แถมยังไม่แน่ใจด้วยว่าควรจะทำยังไงดี”

ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจความคิดของมันนิดหน่อย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ความคิดที่ผมอยากจะยอมรับได้นักก็ตามที “เอาเหอะ ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น มึงเล่าให้กูฟังแบบละเอียดๆได้มั๊ย และตอนนี้ตกลงไอ้แบ๊งค์เป็นยังไงบ้าง มันกลับบ้านมันไปรึยัง กูว่ามึงเล่าเรื่องทั้งหมด ไม่มีปิดบัง ไม่มีบิดเบือนให้กูฟังเดี๋ยวนี้ตอนนี้จะเป็นการดีกับมึงมากกว่าว่ะ”

“กูก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้ว...... คือ.........” ไอ้ซันตั้งท่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง แต่จู่ๆมันก็ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่ออาหารที่สั่งไว้ของเราสองคนมาถึง

“มีอะไรวะ” ผมหันหลังกลับมองไปยังจุดที่มันมอง แต่ก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่ามันมองอะไร

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” ไอ้ซันสะกิดให้ผมหันกลับมามองมันอีกครั้ง จากนั้นมันก็เริ่มต้นเล่าไปกินไป “คือ เมื่อคืนน่ะ กูคงทำร้ายจิตใจไอ้แบ๊งค์มันไปแหละ แล้วมันก็เลยกินเหล้าหนักโคตรๆ จนเพื่อนๆกลับกันไปเรื่อยๆแล้วมันก็ยังไม่ยอมกลับ เหลือแค่กู ไอ้แป๊ะ อีฟ แล้วก็มัน คราวนี้ตอนมันจะกลับน่ะ กูกับไอ้แป๊ะก็เดินไปส่งมันให้มันขึ้นแท็กซี่ แต่ไอ้เหี้ยนี่ก็เมาเกินจนเกือบโดนรถเฉี่ยว แล้วกูก็กระโดดไปดึงตัวมันไว้ได้ทัน แต่ว่าเสือกล้มลงไปทั้งคู่ แล้วก็เลยเจ็บกันมาแบบที่มึงเห็นนี่แหละ”

“อ้าว แล้วไปๆมาๆมันไปจบด้วยการไปนอนที่คอนโดมึงได้ยังไง แล้วนี่ได้ไปหาหมอกันมารึเปล่า”

“เปล่าว่ะ ก็แค่กลับไปทำแผลที่บ้านไอ้อีฟกันรอบเดียวเอง เพราะมันไม่เป็นอะไรกันมากไง แล้วคราวนี้ไอ้แบ๊งค์มันก็อาการแย่มาก ทั้งเรื่องเหล้า เรื่องแผล แล้วก็....... จิตใจน่ะนะ” ไอ้ซันถอนหายใจ “กูก็เลยต้องหิ้วมันกลับมาด้วย เพราะที่บ้านไอ้แป๊ะมันก็ไม่สะดวก เห็นมันบอกว่ามันดึกเกิน แล้วก็มีญาติๆมันมานอนด้วยอยู่แล้วน่ะ ส่วนไอ้อีฟนี่ตัดทิ้งเลยเพราะมันเป็นผู้หญิง เพราะงั้นก็เหลือเลยแค่กู แล้วคอนโดกูมันก็อยู่ใกล้กว่าบ้านมึงด้วย”

“แล้วสรุปตอนนี้ไอ้แบ๊งค์เป็นยังไงบ้างแล้ว” ผมถาม

“น่าจะกลับบ้านไปแล้วมั๊ง เห็นมันส่งเมสเสจมาเมื่อตอนสายๆว่าขอบใจ เพราะกูออกจากคอนโดไปก่อนที่มันจะตื่นอีกน่ะ” ไอ้ซันเหม่อไปทางด้านหลังของผมราวกับกำลังใช้ความคิด “เอาเหอะ รีบๆกินข้าวกันเถอะว่ะ แต่บ่ายนี้กูก็คงไม่กลับไปทำงานแล้วล่ะนะ คงไปหาหมอทำแผลแล้วก็กลับบ้านไปนอนเลย แล้วมึงล่ะ วันนี้กลับดึกรึเปล่า ต้องออกไปข้างนอกมั๊ย”

“กูคิดว่าไม่นะ วันนี้น่าจะนั่งโต๊ะทั้งวัน”

“อืมม อย่างนั้นก็ดี” ไอ้ซันใช้ช้อนในมือเขี่ยข้าวในจานไปมาเล็กน้อย ส่วนสายตาของมันก็ดูเหม่อๆชอบกล ท่าทางมันดูแปลกไปจริงๆด้วย

“มึงเป็นอะไรกันแน่วะ ไอ้ซัน”

“ไม่มีอะไรหรอก....... แต่ว่า........” ไอ้ซันมองดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะวางช้อนส้อมลง “กูคงอิ่มแล้วว่ะ มึงใกล้อิ่มรึยัง”

“เออๆ อิ่มแล้วก็ได้ นี่มึงมีอะไรกันแน่วะ”

“งั้นเราไปกันเถอะ” ไอ้ซันควักกระเป๋าเงินออกมาแล้วก็จ่ายตังค์ให้แก่แม่ค้า จากนั้นมันก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านทันที ผมเลยต้องรีบเดินตามมันให้ทัน “กูจอดรถไว้ข้างนอกนู้นว่ะ มึงกลับขึ้นไปทำงานเลยก็ได้ แล้วเดี๋ยวว่างๆมึงโทรหากูหน่อยนะ”

“เออ เอางั้นก็ได้ แล้วแต่มึง” ผมยังคงงงๆกับการกระทำของมันเล็กน้อยที่จู่ๆท่าทีของมันก็ดูเปลี่ยนไป แต่ผมมีความรู้สึกลึกๆว่านี่คงไม่ใช่แค่เรื่องของไอ้แบ๊งค์แน่ๆ และผมคิดว่าเมื่อกลับถึงบ้านแล้วมันก็คงจะเล่าให้ผมฟังอีกทีอยู่ดี เพราะฉะนั้นผมจึงไม่คิดที่จะไปเซ้าซี้อะไรกับมันอีก

“กูรักมึงนะ เมฆ” ไอ้ซันกระซิบบอกผมตอนที่เราสองคนเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตึกแล้ว

“อืม กูก็เหมือนกัน” ผมตอบกลับมันไป และคราวนี้ผมก็ไม่ต้องคิดมากก่อนที่จะตอบด้วย

ไอ้ซันยืนยิ้มให้กับผมจนกระทั่งผมเดินเข้าประตูตึกไป และเมื่อผมหันกลับมาอีกครั้ง มันก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและใช้มือขวาหยิบก้อนหินสีขาวของเราออกมากุมเอาไว้ มันยิ้มและโบกมือให้กับผมอีกครั้ง ผมเองก็กำก้อนหินของผมพร้อมกับโบกมือน้อยๆให้กับมันเช่นกัน จนเมื่อผมเดินไปจนถึงหน้าลิฟต์และหันกลับมาเพื่อมองหามันเป็นครั้งสุดท้าย ไอ้ซันก็หายไปจากตรงนั้นซะแล้ว.............


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 31-01-2008 11:15:51
สงสัยว่าจะมี Paparazzi ซะแล้วสิ  :m24:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ~ScAreD:SAcreD~ ที่ 31-01-2008 11:59:48
ชักแปลกซะแล้วสิ

เป็นคนเสน่ห์แรงกันทั้งคู่ซะด้วย เรื่องแบบนี้ก็ต้องน่ากังวลเป็นเรื่องธรรมดา

ซันกะเมฆ ขอให้ทั้งคู่เข้มแข็งนะครับ ในทุกๆเรื่อง
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 31-01-2008 19:14:28
ทิ้งท้ายแบบมีลาง  :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 31-01-2008 21:14:11
หวังว่ากลับไปบ้านแล้วซันคงจะบอกเมฆทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องซีดีกะตุ๊กตาหมีซะทีนะ
ไม่รู้เก็บเอาไว้ทำไมคนเดียว :m20:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 01-02-2008 15:14:29
จากที่เคยรู้กันเกือบทุกอย่างทุกเรื่อง
ก็เริ่มมีปิด มีซ่อน มีเลือกที่จะไม่ให้รับรู้

แล้วสุดท้าย ............
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 01-02-2008 15:36:32
ซันมีไรปิดบังอีกอ่า.......
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-02-2008 19:20:59
อ๊ายยยยย พิมไม่ทันน!!!  :sad2: o2 :a6:


วินาทีที่ 29


หลังกลับเข้าออฟฟิศได้ไม่นานโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ในตอนนั้นผมรู้สึกดีใจลึกๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเพราะคิดว่าจะเป็นไอ้ซันโทรมาลาผมก่อนกลับบ้านหรืออะไร แต่เมื่อหยิบมือถือออกมาดูถึงเห็นว่าจริงๆแล้วคนที่โทรเข้ามาก็คือไอ้เอ็นนั่นเอง

“เออ กูลืมไปเลยว่ะว่ากูส่งเมสเสจไปหามึงเมื่อคืนให้มึงโทรหากูวันนี้น่ะ” ผมพูดออกไปหลังจากกดปุ่มรับสาย

“อ้าว ไอ้นี่ แล้วตกลงมึงมีเรื่องอะไรวะ ถ้าให้กูเดาก็เรื่องไอ้ซันใช่มั๊ย”

“ก็ประมาณนั้นว่ะ ตกลงมึงคุยกับมันแล้วว่าไงกันบ้างล่ะ ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มมั๊ย แล้วมันเป็นอย่างที่กูคิดจริงๆรึเปล่า” ผมยิงคำถามใส่มันทันที

“ใช่ กูเองก็กำลังสงสัยอยู่ว่าไอ้ซันมันเคยถูกคนตามอยู่จริงๆ”

ผมเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะสองสามที “แล้วไอ้ซันมันรู้ตัวรึเปล่า.........”

“อืมมม.......” ไอ้เอ็นเงียบลงแบบใช้ความคิด “ก็รู้นะ จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“มึงหมายความว่ายังไงของมึงวะ”

“ก็คือ มันไม่ได้รู้ตัวเหมือนที่มึงรู้น่ะ แต่ว่ามันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แล้วพอกูพูด มันก็เลยบอกว่ามันเองก็มีรู้สึกอยู่บ้างนิดหน่อยน่ะ”

ผมถอนหายใจเบาๆ ผมน่ะรู้สึกว่าเราสองคนโดนคนเดินตามมาสักครั้งหรือสองครั้งแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจมากขึ้นนั้นก็คือเรื่องเมื่อวานนี้นั่นเอง “แล้วตกลงไอ้ซันมันคุยอะไรกับมึงมั่งวะ เรื่องทั้งหมดมันมีแค่ที่กูรู้รึเปล่า”

“เอ่ออ....... ก็ประมาณนั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก........”

“งั้นเหรอวะ........” ผมพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ แต่ทันใดนั้นเองผมก็ฉุกคิดถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาได้ “ไม่ใช่และ ไอ้สัตว์ มึงโกหกกูนี่หว่า จริงๆมันมีมากกว่านั้นใช่มั๊ย ไอ้เอ็น”

“เฮ้ยๆ ไม่มีสักหน่อย” ไอ้เอ็นออกตัว

“พอเลย กูจับพิรุธมึงได้ไปแล้วว่ะ มึงไม่ต้องเครียดมากหรอกน่า กูไม่ได้จะเค้นเอาความจริงจากมึงหรอก ถ้าไอ้ซันไม่อยากให้กูรู้ กูก็ไม่อยากรู้ก็ได้ เพราะกูรู้อยู่อย่างนึงว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เรื่องสำคัญมากๆ หรือเป็นอะไรที่กูควรจะรู้ล่ะก็ ไม่มึงก็มันก็คงจะบอกกูอยู่ดีนั่นแหละ โดยเฉพาะมึงน่ะต้องบอกกูแน่ๆอยู่แล้ว ใช่มั๊ยล่ะ” ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “แต่กูก็แค่อยากรู้ว่า ‘มันมีอะไรอีกรึเปล่า’ เท่านั้นเอง มึงก็แค่ตอบมาว่า ใช่หรือไม่ใช่ก็พอ กูสัญญาว่ากูไม่โกรธไม่ไปว่าอะไรไอ้ซันมันหรอก กูเข้าใจและรู้นิสัยมันดีพอน่า”

“เออๆ ก็ได้วะ ก็มีเรื่องอื่นอยู่บ้างอีกหน่อยน่ะ แต่กูก็รับปากมันไปแล้วว่ากูจะช่วยดูแลช่วยเหลือมันให้เอง เพราะมันไม่อยากบอกมึงให้มึงไม่สบายใจ และที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักด้วย” ไอ้เอ็นตอบ

“มันก็แค่อยากจะแก้ปัญหาให้ได้ด้วยตัวเองมากกว่า กูรู้หรอก แต่ก็เอาเถอะ มึงก็ดูแลมันหน่อยก็แล้วกัน เพราะถ้าเกิดไอ้คนที่แอบตามไอ้ซันอยู่มันยังคงตามอยู่ล่ะก็ กูว่าเราก็ต้องจัดการแล้วว่ะ ต้องหาตัวการให้ได้แล้วก็จับๆแม่งไปสักที นี่มันผิดกฎหมายชัดๆ”

“กูรู้ แต่ไอ้ซันมันก็ยังไม่อยากทำแบบนั้น เพราะมันอยากจับตัวคนนั้นให้ได้คาหนังคาเขาด้วยตัวเอง กับอยากให้มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก่อนมากกว่าน่ะ”

“นั่นล่ะนิสัยมันล่ะ” ผมก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ “เออ ไอ้เอ็น ขอบใจมากนะเว้ย แต่เดี๋ยวกูต้องไปโทรไปธุระที่อื่นต่ออีกว่ะ เอาไว้เราค่อยคุยกันอีกทีก็แล้วกันนะ”

“เออๆ ได้ เออว่าแต่ ไอ้เมฆ....... เรื่องพี่จ๊อบน่ะ มึงระวังๆไว้หน่อยก็ดีนะเว้ย อย่าให้มันเป็นเรื่องแคลงใจกับไอ้ซันเอาได้ล่ะ กูดูๆแม่งขี้หึงแล้วก็ใจร้อนใช้ได้เลย”

“อือ กูรู้ ขอบใจมึงมาก มึงมีอะไรก็บอกกูมั่งด้วยก็แล้วกัน ฝากดูแลมันที แล้วเดี๋ยวถ้ามีอะไรกูจะโทรไปหามึงเองอีกทีก็แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะไอ้เอ็น”

หลังจากกดปุ่มวางสายจากไอ้เอ็นไป ผมก็กดเบอร์ของพี่วินขึ้นมาทันที

“สวัสดีครับพี่วิน จำผมได้รึเปล่าครับ”

“หึหึ พี่จะลืมน้องชายพี่ไปได้ยังไงครับ แต่น่าแปลกนะเนี่ยที่เมฆโทรมาหาพี่น่ะ มีอะไรรึเปล่า” เสียงนุ่มๆของพี่วินดังขึ้นจากปลายสาย และใบหน้าหล่อๆพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นของพี่เขาก็ผุดขึ้นมาใจของผมทันที

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมก็แค่โทรมาทักทายน่ะ ตั้งแต่กลับมาผมยังไม่ได้คุยกับพี่เลยนี่ครับ แล้วนี่พี่เป็นยังไงมั่ง สบายดีรึเปล่า”

“ดีครับ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม” พี่วินตอบประโยคเดิมแบบที่มักใช้ตอบเวลาถูกถามด้วยคำถามแบบนี้เหมือนทุกครั้ง“ว่าแต่ได้ของขวัญที่พี่ส่งไปให้มั๊ย เมื่อตอนกลับมากับเมื่อวันเกิดที่ผ่านมาน่ะ”

“ได้ครับพี่ วันนี้ผมก็ใส่นาฬิกาข้อมือเรือนนั้นมา แต่กระเป๋าตังค์ผมยังไม่ได้ใช้อ่ะครับ รอของเก่ามันพังก่อนค่อยเปลี่ยน”

“ดีแล้วล่ะ เอ้า ว่าแต่ว่า พูดธุระของเรามาได้แล้วมั๊ง มีเรื่องอะไรจะบอกพี่ครับ”

“เอ่ออ ก็นิดหน่อยน่ะครับ คือว่า..............” ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่วินฟังคร่าวๆ พยายามเน้นเฉพาะเนื้อๆและพยายามไม่ให้พลาดรายละเอียดตรงส่วนไหนไป รวมทั้งยังไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องที่ผมกำลังสงสัยอยู่ให้พี่เขาฟังด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าพี่วินเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พี่วินเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมกับไอ้ซันเป็นแฟนกัน ดังนั้นการเล่าเรื่องทุกอย่างมันก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีก

“อืมมม........ เดี๋ยวพี่จะดูให้ก็แล้วกันว่าควรจะทำอะไรบ้างน่ะ และก็วันเสาร์นี้พี่อยากเจอเมฆกับซันที่คลาสยูโดของเมฆด้วยนะ เอาเวลาเดิมอย่างที่เมฆไปประจำก็ได้”

“อ้าว แล้วพี่รู้ด้วยเหรอครับว่าผมไปที่ไหนแล้วก็กี่โมงน่ะ...........” ผมถามออกไป แต่พี่วินก็ไม่ได้ตอบกลับมา ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็ไม่น่าจะถามเลยเหมือนกัน เพราะถึงยังไงมันไม่ก็ไม่แปลกที่พี่วินจะรู้เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้อยู่แล้ว “เออ ไม่น่าถามเลยเนอะ ก็ได้ครับพี่ แต่ว่าพี่จะทำอะไรบ้างอ่ะครับ คือ อย่าทำอะไรหนักมากเกินไปหน่อยนะครับพี่ ผมไม่ค่อยอยากให้เรื่องมันวุ่นวายขนาดนั้นน่ะ”

“พี่เข้าใจ ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้พี่จะไม่ทำอะไรโดยพลการ และพี่จะเป็นคนคอยดูแลและจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง แบบนั้นโอเคมั๊ยล่ะ เพราะอย่างน้อยๆพี่ก็เชื่อว่าเมฆดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”

“ขอบคุณมากครับพี่” ผมบอกขอบคุณออกไป แต่ลึกๆแล้วผมก็ยังแอบรู้สึกไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการที่พี่วินออกปากว่าจะดูแลผมด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ดีแน่แล้วหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจขึ้นได้มากจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอชื่อ นามสกุล และที่ทำงานของซันมาให้พี่หน่อย เดี๋ยวส่งเป็นเมสเสจมาให้พี่ก็ได้เพราะตอนนี้พี่ไม่มีกระดาษกับปากกาอยู่กับตัวเลย ส่วนรถนี่เค้ายังใช้รถคันเดิมของพ่อเอกอยู่ใช่มั๊ย”

“ใช่ครับ”

“โอเค ไม่ต้องห่วง และเรื่องไอ้จ๊อบอะไรนั่น พี่เองก็พอจะรู้จักมันอยู่บ้าง เพราะงั้นเมฆวางใจได้เลย” พี่วินหัวเราะออกมาเบาๆ และผมก็ไม่ค่อยจะรู้สึกสบายใจสักเท่าไหร่เลยด้วยทั้งๆที่ถึงแม้ผมจะวางใจในตัวพี่เขามากถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มอยู่แล้วก็ตาม

เย็นนั้นหลังเลิกงาน พ่อของผมต้องออกไปธุระเรื่องงานต่ออีกนิดหน่อยและจะไม่กลับไปทานข้าวที่บ้าน ผมจึงต้องขับรถกลับเพียงคนเดียว และเนื่องจากเมื่อคืนนี้หลังจากตื่นขึ้นมารอบนึงแล้วผมก็แทบจะไม่ได้นอนต่ออีกเลย บวกกับเป็นห่วงไอ้ซันที่กำลังรออยู่ที่บ้านด้วย ผมจึงตัดสินใจที่จะตรงกลับบ้านเลยทันที แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็มีเหตุให้ผมทำอย่างนั้นไม่ได้จนได้ เมื่อผมได้รับโทรศัพท์จากคนๆหนึ่งที่คาดไม่ถึงว่าเขาจะโทรหาผมในวันและเวลาแบบนี้........... และคนๆนั้นก็คือนัทนั่นเอง

“มีอะไรเหรอ นัท” ผมกดปุ่มรับโทรศัพท์ขณะที่กำลังเลี้ยวรถออกจากตึกพอดี

“เมฆ...... เมฆมาหานัทหน่อยได้มั๊ย........” เสียงของนัททั้งสั่นและสะอื้น และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาโดยทันที

“นัทเป็นอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น นี่กำลังร้องไห้อยู่เหรอ”

“เมฆมาหานัทหน่อยนะ........ นัทไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”

“พี่จ๊อบเหรอนัท นี่ใช่เรื่องพี่จ๊อบรึเปล่า” ผมถามอย่างร้อนรน แต่นัทก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเลย “ก็ได้ เมฆจะไปหานัท ตอนนี้นัทอยู่ที่ไหน”

“อยู่ที่เดิมที่เราเคยไปกินไอติมด้วยกันก่อนเมฆจะไป จำได้มั๊ย แต่ว่าตอนนี้นัทอยู่ในห้องน้ำ”

ผมพยายามฟังเสียงรอบข้างจากอีกฝั่ง มันค่อนข้างเงียบ แต่ก็ยังพอได้ยินเสียงผู้คนรอบข้างพูดคุยกันแบบเบาๆได้อยู่เหมือนกัน “ก็ได้ รอหน่อยก็แล้วกันนะ แล้วเมฆจะไปถึงที่นั่นในอีกสามสิบนาที”

ผมวางโทรศัพท์และกดเบอร์เข้าหาไอ้ซันทันที แต่ทว่าไม่ว่าผมจะรอจนมันตัดไปและพยายามโทรเข้าหามันใหม่อีกสักกี่หน มันก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมสักที จนกระทั่งมาถึงความพยายามครั้งที่แปด ผมจึงเลิกล้มความตั้งใจและเปลี่ยนเป็นโทรเข้าเบอร์บ้านของตัวเองแทน และเมื่อสิ้นเสียงรอสายครั้งที่สี่ ไอ้ซันก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นจนได้

“สวัสดีครับ”

“ทำไมมึงไม่รับโทรศัพท์กูวะ” ผมถามออกไปทันที

“อ้าวเมฆ มึงโทรมาเหรอ ขอโทษที เมื่อกี๊กูอยู่ในครัวน่ะ แล้วมือถือกูก็เสือกวางเอาไว้บนห้อง”

“กูก็นึกว่ามึงเป็นห่าอะไรไปแล้วซะอีก วันนี้ทั้งวันไม่เห็นโทรมาหากูเลย”

“ก็กูรู้ว่ามึงทำงาน แล้วกูก็อยู่บ้านเฉยๆก็เลยไม่อยากจะโทรไปกวนมึงเปล่าๆน่ะ แต่นี่ก็กะจะโทรหามึงอยู่พอดีนะ เพราะว่ากูกำลังทำกับข้าวให้มึงกินอยู่เลย” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ “กะจะเซอร์ไพรส์สักหน่อยนะเนี่ย แต่เห็นที่รักอารมณ์บูดแบบนี้แล้วเลยสงสัยว่ารีบๆบอกความจริงออกไปซะท่าจะดีกว่าว่ะ”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็อดอมยิ้มเล็กน้อยให้กับตัวเองไม่ได้ แต่ทว่ารอยยิ้มรอยนั้นก็กลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว “เอ่อ ซัน คือวันนี้กูคงกลับเย็นหน่อยนะ แล้วก็พ่อกูเค้าก็ไม่ได้กลับไปกินข้าวด้วยว่ะ”

“อือ ไอ้เรื่องพ่อมึงน่ะกูรู้แล้วล่ะ เมื่อกี๊เค้าโทรมาบอกกูแล้ว ว่าแต่ทำไมมึงถึงจะกลับเย็นวะ”

“มีธุระนิดหน่อยว่ะ แต่เอาไว้กลับไปถึงแล้วกูค่อยเล่าให้มึงฟังอีกทีก็แล้วกัน โอเคมั๊ย” ผมตอบออกไป และตัดสินใจที่จะเลี่ยงชื่อของนัทกับพี่จ๊อบออกไปก่อนดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นไอ้ซันจะต้องอารมณ์ขึ้นอีกแน่

“ก็ได้ แล้วแต่มึงก็แล้วกัน แต่ว่ากูรอกินข้าวเย็นนะ”

“อื้อ เก็บไว้เผื่อกูด้วยก็แล้วกันนะครับ ท้องฟ้า” ผมแกล้งทำเสียงเย้าเล่นเล็กน้อยเพื่อให้มันอารมณ์ดี แต่สุดท้ายมันก็วางสายไปโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกเลย

ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงข้างๆเกียร์ “เอาไว้กูค่อยกลับไปเล่าให้มึงฟังก็แล้วนะซัน เพราะตอนนี้กูก็ยังไม่รู้เลยว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกันแน่........”

เมื่อผมขับรถมาจนถึงลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าที่ผมนัดกับนัทเอาไว้ ผมก็โทรกลับเข้าหาเขาอีกครั้งทันที

“นัทอยู่ที่ไหน เมฆมาถึงแล้วนะ”

“นั่งอยู่ในฟู้ดเซ็นเตอร์น่ะ เมฆเดินมาหานัทหน่อยนะ นัทนั่งอยู่ตรงมุมๆน่ะ หาไม่ยากหรอก” เสียงของนัทฟังดูดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว และมันก็ค่อยทำให้ผมโล่งอกขึ้นอีกนิดนึงด้วย

ผมรีบเดินไปหานัทตรงที่ๆนัทบอกด้วยความรวดเร็ว ถึงในใจจะยังคงมีความกังวลหลงเหลืออยู่บ้าง แต่หัวใจส่วนที่คิดว่านัทเค้าคิดถึงผมเป็นคนแรกเวลามีปัญหามันก็ยังคงมีมากกว่า ทั้งน้ำเสียง และความรู้สึกที่ผมรู้สึกได้ผ่านทางโทรศัพท์นั้นมันดูเป็นของจริงเหลือเกิน และนั่นก็ทำให้ผมไม่สามารถทิ้งเค้าไปได้เลยจริงๆ

เมื่อผมเดินเข้าไปในฟู้ดเซ็นเตอร์และเดินสอดส่ายสายตาหานัทอยู่ไม่นาน ผมก็เห็นนัทกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งตรงเกือบจะมุมห้องในส่วนที่คนน้อยที่สุดอยู่เพียงลำพัง และดูท่าทางเค้าก็จะยังไม่เห็นผมที่เพิ่งมาถึงด้วย ผมจึงเดินตรงเข้าไปหานัททันที

“เกิดอะไรขึ้น นัท” ผมเลื่อนเก้าอี้ออกและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนัท

“เมฆ........ นัทจะทำยังไงดี” สีหน้าของนัทตอนนี้แย่มาก ถึงจะพยายามกลบเกลื่อนด้วยเครื่องสำอางมากขนาดไหน แต่มันก็ยังดูออกอยู่ดีว่าเขาเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาเมื่อไม่นานมานี้ “นัทไม่รู้จะทำยังไงดีจริงๆ เมฆ นัทรู้ว่านัทไม่ควรจะโทรหาเมฆอีก แต่ว่านัทก็ไม่มีใครแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ นัทขอโทษ.......” นัทเริ่มต้นร้องไห้เบาๆออกมาอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรนัท เมฆอยู่ตรงนี้แล้วนะครับ ค่อยๆเล่าให้ฟังทีซิว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น นัททะเลาะกับพี่จ๊อบอย่างนั้นเหรอ” ผมเอื้อมมือไปกุมมือของนัทเอาไว้เบาๆ แต่นัทกลับชักมือของตัวเองออก

“เมฆต้องเกลียดนัทแน่ๆ นัทรู้” นัทยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองเอาไว้แล้วส่ายหัวเบาๆ “นัทจะทำยังไงดี.........”

“บอกเมฆมาก่อนสิ ถ้าเมฆช่วยได้เมฆก็จะช่วย เมฆสัญญา เมฆไม่ได้เกลียดนัทหรอกนะ และจะไม่มีวันเป็นอย่างนั้นด้วย”

นัทลดมือลงจากใบหน้าของตัวเองและเงียบไปอีกพักใหญ่ๆ ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ผมควรจะพูดอะไรออกไปทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงได้แต่รอจนกว่าเขาจะพร้อมด้วยตัวของเขาเอง

“เมฆโกรธและเกลียดนัทมั๊ยที่นัททำเรื่องนั้นลงไป”

ผมส่ายหน้า “เมฆแค่เสียใจนิดหน่อยนะ แต่เมฆก็คิดว่ามันเป็นเพราะนัทรักเมฆมากต่างหากถึงได้ทำอะไรแบบนั้นลงไป และเมฆก็คิดว่าถึงยังไงมันก็ยังดีกว่านัทเกลียดเมฆและเลิกคุยเลิกคบเมฆไปเลยมากกว่าอยู่ดี”

นัทก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ และเมื่อเขาตั้งสติได้แล้ว นัทก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเอื้อมมือไปควานหาของบางอย่างในกระเป๋าถือของตัวเอง ผมเองก็นั่งมองนิ่งๆไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งนัทหยิบซองสีน้ำตาลซองเล็กๆซองหนึ่งออกมาและมีท่าทางระแวงคนรอบข้างจะเห็นสิ่งๆนี้เหลือเกิน ผมจึงเริ่มขยับตัวด้วยความสงสัยเล็กน้อย

“นัทเชื่อใจเมฆนะ....... นัทไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ถ้ามีแค่สักคน ใครสักคนเดียวที่รู้เรื่องนี้........ นัทเลือกที่จะขอตายดีกว่า” น้ำตาของนัมเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง

“เมฆไม่บอกใครหรอก เมฆสัญญา”

“มันไม่ใช่แค่เมฆน่ะสิ.......” นัทส่ายหน้า แล้วพูดต่อด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก “เอาสิ เมฆหยิบมันออกมาดู แล้วเมฆจะข้าใจ” นัทเลื่อนซองสีน้ำตาลนั้นมาไว้ตรงหน้าของผม

ผมนิ่วหน้าด้วยความสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบซองนั้นขึ้นมาถือเอาไว้อย่างระวังเพื่อไม่ให้ใครที่อยู่ใกล้ๆเห็น ผมเปิดซองออกและหยิบของข้างในออกมาดู ภายในซองเหล่านั้นเป็นรูปถ่ายทั้งหมดห้าใบ และถึงแม้ผมจะเพิ่งเห็นแค่รูปใบแรกเพียงใบเดียว แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังหน้าซีดลงไปมากแค่ไหน หัวใจของผมมันแทบหยุดเต้น และไม่กล้าแม้แต่จะพลิกดูรูปใบอื่นๆต่อไปว่ามันคือรูปอะไร เพราะว่ารูปที่ผมกำลังมองดูอยู่นั้นมันเป็นรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนอนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นทุกส่วนสัดของร่างกายของตนเองอยู่บนเตียง และถึงศีรษะของเธอคนนี้จะหันตะแคงข้าง แต่ว่ามันก็ดูออกได้อย่างชัดเจนเลยว่าผู้หญิงในรูปถ่ายใบนี้ก็คือคนที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงหน้าของผมนี่เอง................


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 02-02-2008 19:30:48
^
^
^
^
จิ้มตูดพี่ชาย  :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 03-02-2008 01:27:31
อย่าบอกนะพี่ต้น ว่า ...

มันเป็นรูปเปลือยของนัทกับซัน ที่มีคนจัดฉากน่ะ   :m24:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 03-02-2008 02:58:15
 :o................
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 03-02-2008 13:34:40
แป่วๆๆๆ  :o  ... ไม่ได้โม้นะ ไม่ได้โม้ แต่เพิ่งรู้จริงๆว่าต้นเขียนเรื่องศิลากับฟ้าครามภาคใหม่แล้ว 555+ :m23: โทดทีๆที่มาตามช้าไปหน่อย ... พอดี 2 เดือนที่ผ่านมางานยุ่งๆด้วย ไม่ค่อยได้เข้ามาเล้าเลย อืมม ..... แต่ก็ยังเขียนได้น่าสนุกและน่าติดตามดีเหมือนเดิมนะคร้าบบบ  o13

แต่ว่านะ เออ....  o7 เริ่มต้น Season นี้ได้ระทึกใจและชวนหดหู่มากเลยยยยย  :serius2:  .... เหมือนหลายคนบอก ... อ่านไปลุ้นไปว่า ... เออ... ตอนนี้มันยังดีกันอยู่เว้ย (ครือตอนนี้เพิ่งอ่านหน้า 2 นะ ไม่รู้ตอนนี้เรื่องถึงไหนและ)

มาอัพต่อเรื่อยๆเน้อ เป็นกำลังใจให้ค้าบบบบ  :m4:

ปล.ว่าแต่นี่เอาแฟนมาช่วยดันด้วยเหรอ อิอิ  :m12:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 03-02-2008 22:12:34
เอาละซี งานนี้อาจเป็นแผนซ้อนแผน  :m12: :m12:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 03-02-2008 22:43:33
แผนสลับซับซ้อนชวนให้งงจริงๆ
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: pae_tekung ที่ 03-02-2008 23:47:03
เดี๋ยวขอตามอ่านตั้งแต่ตอนที่เป็นเรื่องสั้นก่อนนะคับ

แล้วเดี๋ยวมาเม้นท์
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-02-2008 12:57:00
เดี๋ยวขอตามอ่านตั้งแต่ตอนที่เป็นเรื่องสั้นก่อนนะคับ

แล้วเดี๋ยวมาเม้นท์

^_^ อิอิ จุ๊บๆ

ปล. มีลางว่าจะได้หายหน้าไปยาวอีกด้วยเหมือนกันคับ T__T อย่างต่ำก้อหนึ่งอาทิตย์  :sad2: ถ้าไงก้อดันรอกันไปก่อนและกันนะ ก่อนไปจะแปะให้อีกตอนคับ



หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-02-2008 13:26:51

Just go on
Just go on
There’s still so many things
I wanna to say to you
But go on
Just go on
We’re bound by blood that’s moving
The moment that we started
The moment that we started. . .

http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2BD7GC7PAD&Autoplay=1

ลา ล้า หล่า ~

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-02-2008 19:35:48
รับทราบ  :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-02-2008 23:01:15
วินาทีที่ 30


ถ้าจะพูดกันตามตรงแล้ว นัทก็คือแฟนคนแรกของผม และถึงจะไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่ผมเคยมีใจให้ แต่ก็เป็นผู้หญิงคนแรก เพียงคนเดียว และคนสุดท้ายที่ผมเคยมีอะไรด้วย แต่หลังจากที่ผมเลิกกับนัทแล้ว ผมก็ไม่เคยคิดกับนัทในแง่นั้นอีกเลย แต่ทว่าตอนนี้ ต่อหน้าผู้หญิงของคนที่ผมเคยรัก เคยผูกพัน และเป็นคนๆเดียวที่ผมเคยได้สัมผัส ผมกลับต้องมาเห็นภาพที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในภาพที่บาดตาและบาดใจที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยทีเดียว ภาพเรือนร่างของนัทที่เปลือยเปล่าที่กำลังนอนโชว์ส่วนสัดอยู่บนเตียง และมันก็ดูออกได้ไม่ยากเลยว่ารูปเหล่านี้เป็นรูปที่ถูกถ่ายหลังจากที่คนในรูปเพิ่งทำอะไรลงไป..........

มือของผมสั่นไหว และใบหน้าของผมก็ร้อนผ่าว ผมไม่สามารถแม้แต่ที่จะเปิดดูรูปถัดไปได้ เพราะกลัวสิ่งที่จะต้องได้เห็นอีกต่อไปเหลือเกิน......... กลัวที่จะต้องเห็นว่ารูปถัดไปนั้นไม่ใช่รูปของนัทแค่เพียงคนเดียว แต่มีคนอื่นนอนอยู่ข้างๆเขาด้วย

“เมฆ..........” เสียงของนัทเรียกผมให้ขึ้นมาจากภวังค์

“พี่จ๊อบเป็นคนถ่ายงั้นเหรอ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ฟังดูเป็นปกติที่สุด พร้อมๆกับเปิดดูรูปต่อๆไปแบบผ่านๆด้วย และในที่สุดผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้อีกนิดหน่อยที่รูปที่เหลือไม่ได้มีรูปของพี่จ๊อบติดอยู่ด้วยแบบที่ผมกลัว รูปทั้งหมดห้าใบเป็นเพียงรูปเปลือยของนัทคนเดียวเท่านั้น

“นัทไปเจอรูปนี้เข้าที่ห้องของพี่จ๊อบน่ะ นัทกลัวมากเลย เมฆ นัทกลัวว่ามันจะมีอะไรมากยิ่งกว่านี้ นัทกลัวว่าถ้าเกิดเค้าเอาไปให้คนอื่นดูล่ะก็............”

ผมนั่งเงียบลงไปอีกครั้งหลังจากที่เก็บรูปกลับเข้าไปในซองแล้ว

“เมฆเก็บไว้เถอะ” นัทยื่นมันกลับคืนมาให้แก่ผม “นัทไม่อยากเก็บมันไว้กับตัวหรอก นัททนไม่ได้”

“นัทก็ทิ้งมันไปสิ จะเก็บไว้ทำไม” ผมนิ่วหน้า

“จะให้จู่ๆนัททิ้งมันลงถังขยะไปเหรอเมฆ แล้วถ้าเกิดว่ามีใครมาเห็นมาเจอเข้าล่ะจะทำยังไง แถมที่สำคัญ ถ้าเกิดพี่จ๊อบรู้แล้วว่ารูปพวกนี้มันหายไป เค้าก็ต้องสงสัยขึ้นมาแน่ๆ แถมนัทก็ไม่รู้ด้วยว่ามันยังมีอย่างอื่นอยู่อีกรึเปล่าน่ะ..........” นัทสะอื้นออกมาเล็กน้อย “นัทน่ะคิดว่าถ้านัทมีรูปพวกนี้เก็บไว้ มันก็คงจะใช้เป็นหลักฐานหรือเอาไว้ต่อรองหรืออะไรกับพี่จ๊อบได้บ้าง แต่นัทไม่อยากเก็บมันไว้กับตัวน่ะ นัททนไม่ได้ นัทกลัว กลัวมากด้วยเมฆ นะ เมฆช่วยนัทหน่อยได้มั๊ย”

“แล้วนัทจะให้เมฆเก็บมันไว้ที่บ้านเนี่ยนะ”

“ใช่ แต่ว่าเมฆอย่าบอกใครนะ รวมทั้งซันด้วย นัทรู้ว่าตอนนี้ซันก็คงเกลียดนัทไปแล้ว และที่สำคัญ เรื่องนี้นัทให้ใครรู้ไม่ได้หรอก ไม่ได้จริงๆ นัทเชื่อใจเมฆแค่เพียงคนเดียวแล้วตอนนี้........... สัญญานะ เมฆ สัญญาว่าจะไม่บอกใครเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม รวมทั้งซันด้วย นะเมฆ เมฆทำให้นัทได้มั๊ย คิดซะว่านี่เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากนัท นะ” นัทอ้อนวอน

ผมถอนหายใจแล้วนั่งเงียบลงไปอีกครั้ง ผมรู้ว่าเรื่องแค่นี้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับผมมากนัก แต่ว่าเรื่องที่ใหญ่กว่าก็คือปัญหาระหว่างนัทกับพี่จ๊อบนี่ต่างหาก เพราะอย่างน้อยๆผมก็คิดว่าการที่นัทเรียกผมออกมาวันนี้มันคงจะไม่ใช่แค่ขอร้องให้ผมช่วยเก็บรูปเหล่านี้ไว้แค่นี้แน่นอน

“แล้วนัทจะเอายังไงต่อไป.......” ผมถาม

“นัทว่านัทจะรอพี่จ๊อบพูดขึ้นมาก่อนน่ะ.........” นัทถอนหายใจเบาๆ “เพราะนัทคิดว่าต่อให้นัทโวยวายไป มันก็คงจะมีแต่แย่ลง เพราะตอนนี้เค้าถือไพ่เหนือกว่านัทนี่ แต่ว่ายังไงๆนัทก็คงเลิกแน่ๆแหละ เมฆ นัทไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้อีกแล้ว นัทไว้ใจเค้าไม่ได้อีกแล้ว”

“นัทลองปรึกษาพ่อแม่ดูรึยัง เพราะถึงยังไงๆพ่อนัทก็เป็นตำรวจนี่”

“หึหึ แล้วเมฆไม่รู้เหรอว่าพ่อพี่จ๊อบมีอาชีพอะไร แค่ทุกวันนี้นัทกับพี่จ๊อบคบเป็นแฟนกันได้แล้วพ่อนัทไม่บ่นไม่ด่าทุกวันๆก็บุญโขแล้ว แต่ก็เถอะ ถึงยังๆไงมันก็คงจะไม่มีอีกแล้วล่ะ นัทคงจะค่อยๆห่างออกมาจนเราเลิกกันไปนั่นแหละ และถ้าพี่จ๊อบพูดเรื่องรูปขึ้นมา นัทก็คงจะต้องแก้ปัญหาไปอีกที เค้าอยากได้อะไร นัทก็คงต้องให้เค้าทุกอย่าง ก็แล้วนัทจะไปทำอะไรได้ล่ะ จริงมั๊ย”

“แล้วนัทอยากให้เมฆช่วยอะไรรึเปล่าครับ นัทบอกเมฆได้นะ” ผมถาม

“ไม่เป็นไรหรอกเมฆ” นัทส่ายหน้า “แค่เมฆมาอยู่ที่นี่ รับคำขอร้องจากนัท รับฟังนัท และให้คำปรึกษานัท นัทก็ดีใจมากแล้ว เมฆไม่รู้จักพี่จ๊อบดีพอหรอก เมฆคงช่วยพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว........ แค่นี้นัทก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว ขอบคุณมากนะ เมฆ” นัทฝืนยิ้มให้ผมอย่างอ่อนแรง

“ไม่เป็นไร แต่เอาเป็นว่า ถ้าเกิดนัทมีปัญหาอะไรให้เมฆช่วยล่ะก็ รีบบอกเมฆเลยนะ เข้าใจมั๊ย เมฆพร้อมจะช่วยเหลือนัทตลอดเวลาจริงๆ”

“อื้อ....... ถ้างั้น ตอนนี้ขอนัทไปเข้าห้องน้ำก่อนก็แล้วกันนะ”

“ถ้างั้นเมฆก็ขอตัวกลับเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวมันจะเย็นมากน่ะ ไอ้ซันมันก็รอกินข้าวอยู่” ผมตอบ ส่วนนัทก็พยักหน้ารับพร้อมกับลุกขึ้นยืน “อ้อ นัท........” ผมเรียกนัทเอาไว้ “เมฆอยากให้นัทรู้ไว้อย่างนึงนะว่า ไอ้ซันมันไม่ได้เกลียดนัทหรอกนะครับ”

นัทมองหน้าผมนิ่งครู่สั้นๆ ไม่มีทั้งรอยยิ้มหรือการพยักหน้าใดๆกลับมา ก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีกเลย..........

ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน ผมก็นั่งคิดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ไปด้วย เพราะถ้าว่ากันตรงๆแล้วเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว ยิ่งถ้าเกิดว่ารูปเหล่านี้นั้นมันกลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแบล็คเมล์แล้วล่ะก็ มันก็เท่ากับเป็นอาชญากรรมที่สามารถทำลายชีวิตของคนๆนึงได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะสิ่งที่คาใจและสร้างความสับสนให้แก่ผมมากที่สุดก็คือคำพูดของนัทที่บอกว่า “ถ้ามันมีอย่างอื่นอีกล่ะก็......” นั่นมันก็เหมือนเป็นคำพูดกลายๆของประโยคที่ว่า “นัทกับพี่จ๊อบเคยทำอย่างอื่นด้วยกันมากกว่าแค่การถ่ายรูปเอาไว้อีกด้วย” นั่นเอง และแน่นอนว่าผมไม่รู้สึกสบายใจเอาซะเลยจริงๆ ตอนนี้ปัญหาหลักๆของเรื่องนี้ก็คงมีอยู่สองอย่างว่า ในสถานการณ์แบบนี้ จุดยืนและสิ่งที่ผมควรทำมันอยู่ตรงไหน กับพี่จ๊อบเค้าทำอย่างนี้เพราะต้องการสิ่งใดกันแน่

“หวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่กูกำลังคิดอยู่นะ.............” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ และตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดู “ไม่โชว์เบอร์งั้นเหรอ..........” ผมนิ่วหน้าด้วยความสงสัย แต่ก็ตัดสินใจกดปุ่มรับสายไป

“อยากได้คนไปช่วยทำความสะอาดบ้านซักคนมั๊ย” เสียงของพี่วินถามขึ้นทันทีที่ผมกดปุ่มรับสาย

“หา เอ่อ อ๋อ ไม่ต้องก็ได้ครับพี่วิน แค่นี้ผมกับพ่อก็พอดูแลกันไหว แถมไอ้ซันเองก็ยังช่วยด้วย นอกจากนั้นยังมีไคล์อีก ก็ช่วยๆกันน่ะครับ”

“แน่ใจนะว่าเมฆไม่อยากให้มีคนไว้ช่วยดูแลบ้านน่ะ” พี่วินถามอีก และนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรๆมากขึ้น

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไม่ค่อยอยากให้พ่อเค้าคิดมากหรือสงสัยเอาน่ะ”

“แบบนั้นก็ได้ แล้วแต่เมฆก็แล้วกัน แต่พี่คิดว่าบางทีเราอาจจะต้องเลื่อนวันนัดเจอกันให้เร็วขึ้นอีกหน่อยนะ”

“ก็ได้ครับ พี่โทรมาบอกผมก็แล้วกัน”

“แล้วเจอกันครับ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” พี่วินพูดก่อนวางสายไป

เมื่อผมกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว และเมื่อผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นไอ้แสบของผมกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟารับแขก โดยที่หนังสือที่มันอ่านค้างเอาไว้ยังคงกางอยู่บนหน้าอกของมันอยู่เลย แถมแว่นก็ยังไม่ได้ถอดออกอีกด้วย ผมหัวเราะให้กับตัวเองออกมาเบาๆ แต่ว่าตัดสินใจที่จะยังไม่ปลุกมันในตอนนี้ ผมเดินผ่านมันไปยังโต๊ะกินข้าว ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้งที่เห็นกับข้าวหลายอย่างวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นผัดผักที่มันชอบกิน แกงข่าไก่ของโปรดของผม ยำปลากระป๋องของชอบของเราทั้งคู่ ไข่ตุ๋น และยังมีองุ่นพวงใหญ่สีสวยน่ากินหลายพวงวางรออยู่ด้วย

นี่ขนาดว่ามันทำกับข้าวไม่เป็นนะเนี่ย และแบบนี้จะไม่ให้ผมรู้สึกรักมันแทบตายได้อย่างไรกัน............

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เมื่อใดที่มีความรักมากมายก่อตัวขึ้น ความกลัวความสูญเสียและความเจ็บปวดที่ถูกเส้นด้ายแห่งความไว้วางใจกั้นเอาไว้บางๆมันก็รอคอยพร้อมที่จะเข้ามาแทนที่อยู่แล้วเช่นกัน ถ้าหากเมื่อไหร่ที่ความไว้วางใจตรงนั้นมันขาดลงไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความเจ็บปวด ความเสียใจ และบางทีอาจจะความเกลียดชังด้วย มันก็จะไหลทะลักเข้ามาท่วมท้นแทนที่ความรักที่เคยมีอยู่จนเต็มหัวใจนั้นไปจนหมด และนั่นก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุดที่คนเราควรจะต้องระวังในการประคับประคองความสัมพันธ์ให้ยั่งยืนจริงๆ

ผมล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบซองสีน้ำตาลซองนั้นออกมา และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของปัญหาของความไม่ไว้วางใจกันที่สร้างความร้าวฉานให้แก่ชีวิตคู่นั่นเอง

ผมส่ายหน้า ถอนหายใจ และเดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆเพื่อจะเก็บรูปพวกนั้นเอาไว้ในลิ้นชักใส่ของส่วนตัวของผม ตรงมุมของชั้นวางทีวีในห้องนอนของผม ผมจะมีลิ้นชักลับของผมที่ผมใช้ใส่ของส่วนตัวและของสำคัญๆเอาไว้อยู่อันหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรมากมายนักหรอก เพียงแต่มันเป็นลิ้นชักที่ผมใช้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วเท่านั้น ภายในลิ้นชักนั้นมีทั้งของขวัญที่ผมได้รับมาจากแฟนสมัยปอสอง เพื่อนที่ย้ายบ้านไปตอนปอสี่ รูปถ่ายของผมตอนเด็กๆ และสร้อยข้อมือที่นัทกับผมเคยทำให้กันและกันผมตอนที่เขามาเที่ยวที่บ้านก็ยังถูกเก็บมันเอาไว้ในนี้ด้วยเหมือนกัน ผมใส่ซองจดหมายซองนั้นลงไปปนกับของเก่าๆที่ผมเก็บเอาไว้มาตั้งแต่ยังเด็ก จากนั้นก็เดินกลับลงไปยังชั้นล่างและเดินตรงเข้าไปหาไอ้ซันที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ ดูท่าทางว่ามันคงจะเหนื่อยจากเรื่องเมื่อวานมากจริงๆ ถึงขนาดผมเข้าบ้านมาแบบนี้แล้วมันยังคงไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ผมใช้มือลูบที่ใบหน้าของมันช้าๆ ก่อนที่จะค่อยๆประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากเรียวบางที่กำลังเผยอขึ้นเล็กน้อยของมัน พร้อมๆกับเลื่อนมือต่ำลงมาเรื่อยๆ ผมค่อยๆลูบไล้แก้มของมัน ไล่ลงไปยังคอ หน้าอก และเรื่อยลงไปจนถึงบริเวณหน้าท้องที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ..........

“อืมมม เล่นลักหลับกันแบบนี้มันขี้โกงนี่หว่า” ไอ้ซันกระซิบและค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ

“แล้วไม่ชอบรึไง” ผมยิ้ม พร้อมกับเลื่อนมางับที่ติ่งหูของมันเบาๆ

ไอ้ซันไม่ตอบ แต่กลับดึงตัวผมให้กลิ้งลงไปทับอยู่บนตัวของมันแทน “จะไม่ชอบมากกว่านี้ถ้าไม่ยอมทำต่อ”

เราสองคนจูบปากกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเป็นไปอย่างเร่าร้อนและรุนแรง ต่างจากเมื่อตอนผมจูบมันแบบแผ่วเบาเมื่อครั้งแรก และอีกไม่กี่นาทีถัดมาเสื้อผ้าของเราทั้งสองคนก็หลุดออกจากร่างกายแล้ว

“เดี๋ยว ซัน นี่มันที่ห้องรับแขกนะ” ผมดันตัวมันออก

“ก็แล้วไงล่ะ” ไอ้ซันโน้มตัวเข้ามาจูบผมอีกครั้ง จากนั้นมันก็เลื่อนตัวต่ำลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเจอเป้าหมายที่มันต้องการ..........

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมกับซันเคยมีอะไรกันจนถึงในวันนี้ ความรู้สึกของเราสองคนที่มีให้แก่กันมันก็ยังคงไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยๆผมก็รู้สึกแบบนั้นน่ะนะ เมื่อก่อนนี้บางครั้งผมก็เคยถามมันบ้างเหมือนกันว่ามันต้องการที่จะไปมีอะไรกับใครคนอื่นนอกจากผมบ้างรึเปล่า มันก็ตอบออกมาอย่างไม่ลังเลเลยว่า ไม่ และเหตุผลที่มันบอกผมก็คือมันรู้สึกมีอารมณ์กับผู้ชายกับผมเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าหลังจากที่เราคบกันไปสักพักแล้วมันชักจะเริ่มชี้ให้ผมดูผู้ชายหน้าตาดี หรือชมคนหล่อๆให้ผมได้ยินอยู่บ้างก็ตามที และถ้าหากผมถามมันว่า กับผู้หญิงล่ะ คิดจะมีอีกรึเปล่า มันก็ยังคงตอบว่าไม่อีกเหมือนกัน เพราะว่าเซ็กส์ระหว่างเราสองคนมันก็ดีมากพอแล้ว ไม่จำเป็นที่มันจะต้องไปหาความสนุกตื่นเต้นจากคนอื่นที่ไหนอีก ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีมาก ไม่ใช่รู้สึกดีที่ว่ามันไม่คิดจะนอกใจผม แต่รู้สึกดีที่คำตอบของมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มันยังรักและต้องการในตัวผมอยู่แค่เพียงคนเดียวมากขนาดไหนนั่นเอง

แต่พอมาลองคิดๆดู เมื่อตอนที่เราอยู่อังกฤษ ไอ้ซันมันแทบจะไม่มองฝรั่งคนไหนเลย แต่พอกลับมาไทยปุ๊บ มันกลับชมคนนั้นคนนี้ให้ผมฟังมากขึ้น......... หรือนั่นจะหมายความว่า ที่มันเคยพูดว่ามันไม่มีอารมณ์กับผู้ชายคนอื่นๆนั้นจะใช้ได้แต่กับเฉพาะ “ฝรั่งคนอื่น” แต่ไม่นับ “ผู้ชายไทยคนอื่นๆ” รึเปล่า..........

“ขำอะไร” ไอ้ซันถามขึ้นเมื่อเรานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ ทำให้ผมต้องหยุดความคิดของตัวเองลง

“เปล่า คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ว่าแต่นี่เป็นไงมั่งแล้ว รู้สึกดีขึ้นมั่งรึยัง”

“ก็ดีแล้วล่ะ ได้นอนพักผ่อนไปมันก็ดีขึ้นเยอะ เพราะจริงๆแผลกูก็ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่หรอก แต่มันแค่ง่วงกับเพลียจากเรื่องเมื่อคืนมากกว่าว่ะ” ไอ้ซันตอบพลางเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ “ว่าแต่กูมีเรื่องจะบอกมึงว่ะ แต่ว่ามึงต้องเล่าให้กูฟังก่อนว่าวันนี้มึงไปไหนมา”

“อืมมม........ กูไปหานัทมา” ผมแอบเหลือบตาขึ้นจากจานข้าวเพื่อมองดูปฏิกิริยาของมันไปด้วย และสีหน้าแววตาของมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ “ไม่มีอะไรหรอก เค้าทะเลาะกันน่ะ และเห็นว่า........ อาจจะเลิกกัน”

“เชี่ยและ แล้วแบบนี้ไอ้พี่จ๊อบมันยิ่งไม่จีบมึงหนักเข้าไปใหญ่รึไง”

นั่นแหละ เรื่องที่ผมกังวลมากเป็นอันดับหนึ่งเลย “มันก็แค่อาจจะน่ะ ซัน ยังไม่แน่หรอก” ผมโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้มันไม่สบายใจมากไปกว่านี้ “และที่สำคัญก็คือกูแค่ไปคุยกับเค้าเฉยๆ ไปรับฟัง และถ้าเกิดกูช่วยให้เค้าไม่ต้องเลิกกันได้ กูก็คงจะช่วยแหละ แต่ว่ามึงต้องเชื่อใจกู เข้าใจรึเปล่า เพราะถ้ามึงโวยวายไม่เชื่อใจกู มัวแต่ระแวงพี่จ๊อบโดยไม่คิดถึงหัวอกกูเลยเนี่ย กูก็คงน้อยใจแน่ๆว่ะ”

“เออๆ กูก็แค่ไม่ไว้ใจสองคนนี้เท่าไหร่เลยแค่นั้นเอง” ไอ้ซันส่ายหน้า “แต่ถ้ามึงมีอะไรแล้วคอยบอกกูอยู่เรื่อยๆล่ะก็ มันก็คงไม่มีปัญหาหรอก”

“มึงหมายถึง ถ้า ‘เราสองคน’ คอยบอกกันอยู่เรื่อยๆต่างหาก” ผมแย้ง

สีหน้าของไอ้ซันยังคงนิ่งเฉยอยู่เหมือนปกติ และมันก็เป็นคนที่ตีหน้าตายได้นิ่งมากจริงๆ แต่ว่าตอนนี้หลังจากที่เราคบกันมานานหลายปี ทั้งตอนแรกในฐานะเพื่อน และตอนหลังในฐานะแฟน ผมเองก็สามารถดูออกได้แล้วว่านี่เป็นสีหน้าของมันที่กำลัง “ทำเป็น” นิ่งเฉยอยู่ต่างหาก แต่เอาเถอะ ถึงยังไงมันก็เป็นแค่เซ็นส์ของผมที่ผมรู้สึกได้เท่านั้นเอง ผมไม่คิดที่จะไปจับผิดอะไรมันมากนักหรอก และผมก็ไม่ได้คิดที่จะไปคาดคั้นเอาความจริงอะไรจากมันด้วย เพราะผมรู้ว่าในตอนนี้ความเชื่อใจที่เราสองคนต้องมีให้แก่กันนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และผมก็ยังเชื่อใจมันด้วยว่าถ้าหากมีเรื่องอะไรที่สำคัญจริงๆ มันก็จะต้องมาบอกผมด้วยปากของมันเองอย่างแน่นอน

“ว่าแต่มึงมีอะไรจะบอกกูล่ะ” ผมถาม

“ก็ อย่างแรกเลยคือ พี่แอมป์เค้าโทรมาหากูน่ะ บอกว่ามีงานเข้ามาให้ไอ้ไคล์แล้วนะ เห็นว่าถ่ายแบบถ่ายปกลงหนังสืออะไรสักอย่างนี่แหละ”

“อ้าว ก็ดีนี่ แล้วเจ้าตัวรู้รึยัง”

“รู้แล้ว กูโทรไปบอกมันแล้วล่ะ และหลังจากนี้กูก็บอกให้พี่แอมป์โทรไปบอกมันตรงๆได้เลยด้วย ไม่ต้องผ่านกูก่อน”

“แต่จะว่าไปก็เร็วเหมือนกันนะ แป๊บๆก็ได้งานแล้วเนี่ย”

“เส้นใหญ่มั๊ง ไม่รู้สิ” ไอ้ซันยักไหล่ “แถมพี่แอมป์บอกว่าหลังจากนี้ก็คงมีมาอีกเรื่อยๆเลยด้วยแหละ ต่อไปก็เห็นว่าเป็นโฆษณากับเอ็มวีมั๊ง ท่าทางจะมีมาอีกเยอะเลยว่ะ เพราะว่าพี่เค้าช่วยเหลือเราเต็มที่เลย แถมพี่แอมป์บอกว่า คนชอบไคล์น่ะมีเยอะมากกกก” ไอ้ซันลากเสียง “แถมปกติตั้งแต่มันอยู่ปีหนึ่งมันก็เคยโดนชวนมาหลายครั้งอยู่แล้วด้วยเหมือนกันนะ”

ผมพยักหน้า “ก็อยู่ที่ไคล์เองล่ะนะว่าอยากจะทำอะไรไม่อยากจะทำอะไรบ้าง แต่เดี๋ยวกูจะย้ำเรื่องนี้กับไอ้วิทให้อีกที คนยังไม่มีงานทำมันก็คงจะว่าง ช่วยๆหางานให้มันหน่อยก็ท่าจะดี” ผมหัวเราะ

“นอกจากนั้นพี่แอมป์ยังถามด้วยนะว่าเราสองคนสนใจมั่งรึเปล่าน่ะ.......”

ผมแทบจะสำลักน้ำแกงข่าไก่สำเร็จรูปที่ไอ้ซันทำ “เดี๋ยวดิ๊ มึงว่าไงนะ เราสองคนน่ะเหรอ”

“อือ เพื่อนๆพี่เค้าในโมเดลลิ่งเห็นรูปพวกเราน่ะ แล้วเสือกชอบมากกกกก” ไอ้ซันลากเสียงอีกครั้ง “โดยเฉพาะพี่บอลน่ะที่เอาไปพูดไปชมซะเยอะ เค้าก็เลยถามกูมาแบบนี้”

“ไอ้เหี้ย ไม่เอาอ่ะ ไม่ใช่เด็กๆวัยรุ่นแล้วนะเว้ย แถมจะเอาเวลาที่ไหนไปวะ ทำงานแม่งห้าวันเช้าจรดเย็น นี่ขนาดเวลาจะไปเข้าฟิตเนสยังไม่มีเลย”

“กูก็ว่างั้นแหละ แล้วก็กะแล้วว่ามึงต้องพูดแบบนี้ แต่ว่า...........” ไอ้ซันอมยิ้ม

“แต่อะไรของมึง”

“กูอยากมีแฟนเป็นนายแบบเหมือนกันนะ หรือมึงไม่อยากมีแฟนเป็นนายแบบมั่งรึไง”

ผมหัวเราะ “ไม่เอาอ่ะ ไม่ทั้งอยากมีแฟนเป็นนายแบบ และเป็นนายแบบให้แฟนอะไรทั้งนั้นล่ะ อยู่เฉยๆแบบนี้ก็ดีแล้ว ดูไคล์มันก่อนก็แล้วกัน คอยดันๆดูแลน้องมันไปก่อน อย่างอื่นเราค่อยว่ากันทีหลัง”

“กูก็คิดแบบนั้นแหละว่ะ พี่แอมป์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร เค้าก็คงจะแค่แหย่ๆเราเล่นนั่นแหละมั๊ง กูว่า” ไอ้ซันยักไหล่ “ส่วนอีกเรื่องนึงที่กูจะบอกมึงก็คือ...........” มันเว้นช่วง “กูจะซื้อรถแล้วนะ ทั้งกูทั้งไคล์เลย วันนี้กูคุยกับแม่แล้ว ไฟเขียวเรียบร้อย”

“อ้าว มึงคิดดีแล้วเหรอ ตอนนี้มึงก็ยังใช้รถพ่อกูไปก่อนก็ได้นี่นา”

“แล้วอย่างวันนี้พ่อเล็กก็ต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านเองน่ะเหรอ ไม่เอาแล้วว่ะ กูเกรงใจจริงๆ ยิ่งพอกูบอกแม่กูเรื่องนี้แม่กูก็รีบอนุมัติทันทีเลยด้วย”

“แล้วจะเอารถไปจอดที่ไหนวะ ตั้งสี่คัน ไอ้บ้า”

“ก็นั่นน่ะสิ” ไอ้ซันหัวเราะ “แต่ไม่เป็นไรนี่ เพราะว่ารถกูก็จอดอยู่หน้าบ้าน ส่วนรถไอ้ไคล์ปกติมันก็คงจอดอยู่ที่หอมันอยู่แล้วนี่ จริงมั๊ยล่ะ ไม่น่ามีปัญหาหรอก แต่ถ้ามันแน่นจริงๆก็เอามาจอดในสนามหน้าบ้านคันนึงคงไม่เป็นไรหรอกมั๊ง เว้นแต่ว่า..........”

“เว้นแต่ว่าอะไร” ผมถาม รู้สึกแปลกใจกับแววตาเป็นประกายของมันเล็กน้อย

“เว้นแต่ว่ามึงกับกูจะย้ายไปอยู่ที่คอนโดด้วยกันน่ะ แบบนั้นมันก็จะไม่มีปัญหาเลย จริงมั๊ย”

“ซัน........ กูบอกแล้วไงว่ากูยังไม่พร้อม” ผมส่ายหน้า “กูขอโทษ แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องกูติดพ่อห่าเหวอะไรพวกนั้นแล้วนะ แต่ว่ามันยังติดอะไรอยู่อีกหลายๆอย่างว่ะ ขอเวลากูอีกหน่อยไม่ได้เหรอ”

“กูไม่ได้จะบอกให้มึงย้ายพรุ่งนี้มะรืนนี้เลยสักหน่อย แต่แค่บอกมึงเอาไว้ว่าจะช้าหรือเร็วเราก็ต้องทำแบบนั้นอยู่ดี แต่ถ้าเร็วหน่อยมันก็คงจะดี หรือถ้าไม่แบบนั้นกูอาจจะต้องย้ายออกไปคนเดียวก่อนก็ได้........”

“ไอ้ซัน” ผมนิ่วหน้า “นี่มึงหมายความว่ายังไง”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” มันส่ายหัวช้าๆพลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบ “กูก็แค่พูดเฉยๆเท่านั้นเอง เพราะมันก็แค่เป็นอีกแนวทางนึงที่อาจจะเป็นไปได้ไง จริงมั๊ย”


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-02-2008 23:53:23
ทำไมนะ ทั้งๆที่ทั้งคู่ก็ยังรักกันดี แต่กลับรู้สึกถึงรอยแยกเล็กของทั้งสองคน  :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 05-02-2008 01:02:04
ความสัมพันธ์ เริ่มก่อความร้าวฉานขึ้นเรื่อยๆ แล้ว  :m15:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 05-02-2008 06:15:23
 :เฮ้อ:........ยังไงก็ไม่ไว้ใจนัทอยู่ดี
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 05-02-2008 21:09:53
รู้สึกปัญหามันแยะจังเนอะ
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-02-2008 11:23:08
วินาทีที่ 31


พอถึงวันพุธ พี่วินก็นัดให้ผมกับไอ้ซันไปหาเค้าที่คลาสยูโดของผม ซึ่งตอนแรกผมก็ต้องอธิบายให้ไอ้ซันฟังอยู่เหมือนกันว่าทำไมและเพื่ออะไร เพราะแม้แต่ไอ้ซันเองก็ยังรู้จักชื่อและเรื่องราวเกี่ยวกับพี่วินน้อยมาก ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เท่าที่มันรู้ก็คงจะมีเพียงว่าพี่วินเป็นเหมือนรุ่นน้องของพ่อของผมและสนิทสนมกับที่บ้านของผมมากก็เพียงเท่านั้นเอง

“แล้วทำไมกูไม่ค่อยได้ยินมึงหรือพ่อเล็กพูดถึงพี่เค้าเลยวะ” ไอ้ซันถามผมทางโทรศัพท์ ระหว่างที่เราโทรหากันตอนกลางวัน

“ก็ไม่รู้จะพูดอะไรนี่หว่า ขนาดกูเองก็ยังไม่ค่อยจะได้เจอพี่เค้าเลย เพราะพี่เค้างานยุ่งน่ะ”

“งั้นแล้วทำไมตอนนี้จู่ๆพี่เค้าถึงจะอยากเจอเราสองคนล่ะ” มันยังคงสงสัยอยู่

“ไม่ใช่ว่าพี่เค้าอยากเจอเราสองคนหรอก แต่เราสองคนนั่นแหละที่ควรจะไปเจอพี่เขาสักที โดยเฉพาะกูน่ะที่อยากเจอและสมควรจะไปเจอพี่เค้าได้แล้ว เพราะว่ามึงก็เห็นนี่ ตั้งแต่วันแรกที่เรากลับมาพี่เค้าก็ส่งของมาให้กูที่บ้าน แล้วเมื่อตอนวันเกิดกูพี่เค้าก็ยังส่งของขวัญมาให้อีก แต่นี่เรากลับมากันตั้งนานแล้วกูยังไม่ได้ไปไหว้ไปขอบคุณพี่เขาด้วยตัวเองเลยนะ”

สุดท้ายไอ้ซันก็ต้องตามผมไปโดยสมยอม เพราะมันเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว และที่สำคัญคือมันเองก็คงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรมากมายอยู่แล้วด้วย เพราะการนัดครั้งนี้มันก็เหมือนนัดเจอพูดคุยกันทั่วไปเท่านั้นเอง แต่จะต่างไปแค่ว่าแทนที่เราจะนัดเจอกันที่ร้านอาหารหรือที่อื่นที่มันเหมาะที่จะใช้พูดคุยกัน เรากลับนัดเจอกันที่ห้องเรียนยูโดเท่านั้นเอง

ผมกับไอ้ซันสองคนตัดสินใจแยกขับรถไปกันคนละคันหลังเลิกงาน ซึ่งผมที่มีที่ทำงานอยู่ใกล้กว่าก็คงไปถึงได้ไวกว่าอยู่แล้ว แต่ว่าผมก็ไม่อยากและไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้พ่อนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านคนเดียว เพราะในเมื่อผมสามารถกลับพร้อมกับไอ้ซันได้ ผมจึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปหาพี่วินแทน โดยทิ้งรถไว้ให้พ่อใช้ขับกลับบ้านเองก่อนเลย

พอถึงตอนเย็นหลังเลิกงานผมก็เรียกแท็กซี่ไปยังยิมทันที และเมื่อผมไปถึงที่นั่นและเปลี่ยนเป็นชุดฝึก เริ่มต้นวอร์มร่างกายไปตามปกติได้สักราวๆเกือบๆสิบนาที ครูวิชญ์ก็เข้ามาทักทายผมเหมือนอย่างเคย

“อ้าว วันนี้ครูยังไม่กลับอีกเหรอครับ”

“โอ๊ย ยังหรอก เดี๋ยวนี้ครูแทบจะกินนอนอยู่ที่นี่อยู่แล้ว” ครูวิชญ์หัวเราะ “ว่าแต่เราเถอะ ทำไมวันนี้ถึงมาได้ล่ะ ปกติเห็นมาแค่เสาร์อาทิตย์ไม่ใช่รึไง”

“อ๋อ ผมนัดคนไว้น่ะครับ พี่ชายผมเอง แต่ดูท่าทางคงยังมาไม่ถึง”

“หืออ ใครงั้นเหรอ แล้วเค้าเป็นสมาชิกอยู่ที่นี่ด้วยรึไง”

“เอ่ออ ก็นั่นสินะครับ” ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะถึงผมจะรู้ว่าพี่วินนั้นเป็นทั้งคาราเต้และยูโด ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ตอนเด็กๆผมเลือกที่จะเรียนยูโดด้วยนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้เลยจริงๆว่าพี่เขาเป็นสมาชิกของที่นี่ด้วยรึเปล่า

“ถ้าเค้าเป็นสมาชิกล่ะก็ ครูก็น่าจะรู้จักสินะ พี่เราเค้าชื่ออะไรล่ะ” ครูวิชญ์นอกจากจะเป็นครูและเป็นโค้ชประจำที่นี่แล้ว เขายังเป็นหนึ่งในเจ้าของของยิมแห่งนี้ด้วย ดังนั้นครูจึงรู้จักและสามารถจำนักเรียกในคลาสยูโดได้เกือบหมดทุกคน

“พี่วินน่ะครับ สายดำ ชื่อจริงชื่อ ภาสกรณ์” ผมตอบ และทันใดนั้นเองผมก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแววตาของครูได้ทันที

“วินเป็น............” คิ้วของครูวิชญ์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เมฆมีพี่ชายด้วยเหรอ”

“พี่ไม่แท้น่ะครับ” ผมส่ายหน้า “คือเป็นคนรู้จักกัน ว่าอย่างนั้นดีกว่า”

“อ้อ อย่างนั้นเหรอ” ครูวิชญ์พยักหน้า “ถ้างั้นเมฆวอร์มไปก่อนก็แล้วกัน ครูขอตัวไปดูเด็กๆตรงนั้นหน่อย”

ผมพยักหน้าตอบ และครูวิชญ์ก็เดินจากไป

ผมยืนๆนั่งๆนอนๆยืดเส้นบิดตัวไปมาอยู่ได้อีกราวๆห้านาที ก็รู้สึกได้ว่ามีคนๆหนึ่งกำลังเดินเข้ามาทางด้านหลัง และแน่นอนว่าตอนแรกผมก็คิดว่าคนๆนั้นคือไอ้ซัน แต่ทว่าเมื่อผมหันกลับไปมันก็กลับกลายเป็นคนที่ผมนึกไม่ถึงจริงๆว่าผมจะมาพบเขาที่นี่ได้

“โห ตัวอ่อนโคตรๆเลย พี่เมฆ” อาร์มยืนยิ้มให้กับผม

“อ้าว อาร์ม มาได้ไงเนี่ย” ผมยืนขึ้นและสังเกตเห็นว่าอาร์มกำลังใส่ชุดยูโดสีขาวล้วนอยู่ ซึ่งแน่นอนว่ารวมทั้งสายคาดเอวนั่นก็ด้วย

“แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้สายดำแบบพี่มั่งล่ะเนี่ย” อาร์มเอื้อมมือมาจับที่สายคาดเอวของผมเบาๆแล้วหัวเราะ “รู้สึกอายๆยังไงไม่รู้อ่ะครับ คาดสายขาวแบบนี่เนี่ย”

“เดี๋ยวๆ พี่งงมากเลยนะเนี่ย นี่ตกลงอาร์มมาเป็นสมาชิกของที่นี่แล้วด้วยเหรอ”

“ครับ ก็ที่เคยคุยกับพี่ไงว่าผมอยากเล่นบ้าง แล้วก็เลยเพิ่งมาสมัครเมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อวันก่อนที่โทรไปก็จะโทรไปบอกพี่เรื่องนี้นั่นแหละ”

“อ้าวเหรอ แล้วนี่มันก็เย็นแล้วนี่ นี่มาจากมหาลัยเหรอ แล้วไคล์รู้รึเปล่า”

อาร์มส่ายหน้า “ไม่รู้หรอกครับ ผมไม่ได้บอกใครเลย เพราะอายเขาอ่ะ สายขาวเนี่ย แต่ว่าวันนี้ผมมีเรียนเช้าอย่างเดียว ก็เลยมาที่นี่ได้ คือจริงๆแล้วคลาสผมมันจบไปแล้วล่ะครับ แต่ว่ารอพวกพี่แอมป์มารับอยู่ ก็เลยยังไม่ได้กลับ และเมื่อกี๊เพิ่งจะเห็นพี่เมฆ ผมก็เลยเดินเข้ามาทัก”

“อ๋อ ครับ........ แต่จะว่าไป ถ้าเกิดวันนี้พี่ไม่ได้เข้ามาที่นี่แต่เป็นห้องเรียนเทควันโดล่ะ คือ อาร์มก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่ไม่ได้เรียนแค่ยูโดอย่างเดียวน่ะ”

“ครับ แต่ว่าคุยๆดูผมก็รู้แล้วว่าพี่เมฆท่าทางจะชอบยูโดมากกว่าน่ะ ผมก็เลยเลือกยูโด”

“อ๋อ อืมมม......” ผมพยักหน้า “ว่าแต่พี่แอมป์จะมารับกี่โมงล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะครับ แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก เพราะเห็นเมื่อกี๊ก็บอกอยู่บนถนนแล้ว ว่าแต่........” อาร์มหันไปมองรอบๆตัว “นี่พี่ซันไม่ได้มาด้วยกันเหรอครับ”

“อ๋อ เดี๋ยวมันตามมาน่ะครับ เพราะว่าออฟฟิศพี่มันใกล้กว่า พี่ก็เลยมาถึงก่อนน่ะ”

“อ๋อครับ ถ้างั้นพี่เมฆซ้อมกับผมหน่อยมั๊ย ผมอยากลองจับคู่กับพี่ดูน่ะครับ”

“เอ่ออ ไม่ดีมั๊งครับ อาร์ม เพราะว่าพี่ไม่ค่อยคุ้นกับการจับคู่กับ เอ่ออ สายขาวน่ะ และพี่ไม่รู้ด้วยว่าอาร์มเรียนไปถึงไหนแล้ว ถ้าเพิ่งสมัครไม่นานก็น่าจะยังไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่เลยไม่ใช่เหรอ”

อาร์มมีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที

“ถ้างั้นให้น้องเค้าดูเราจับคู่กันหน่อยดีมั๊ยล่ะ” เสียงทุ้มๆนุ่มๆที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลังของผม “การดูมันก็เป็นการเรียนรู้อย่างนึงนี่นา จริงมั๊ย”

“พี่วิน!” ผมร้องออกมา “พี่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย ทำไมผมไม่เห็นพี่เลย”

“ก็นานพอควรแล้วล่ะ” พี่วินตอบพร้อมรอยยิ้มแสนเสน่ห์ของพี่เขาเหมือนเคย

ถ้าดูแค่ที่หน้าตาแล้วก็ต้องบอกเลยว่าพี่วินเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่งเลยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าพี่เขาจะไม่ใช่คนตัวสูงมากนัก แต่ก็เป็นคนหน้าตาดีคนละแบบกับไอ้ซันหรือไคล์ เพราะพี่วินจะมีหน้าตาและบุคลิกลักษณะที่ดูออกเลยว่าเป็นคนมีฐานะ มีความภูมิฐาน และดูมีอำนาจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเพราะด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจนถึงวัยที่มาถึงเลขสามของพี่เขาแล้ว บวกกับการงาน และการเลี้ยงดูที่พี่เขาได้รับมาแต่เด็กก็เป็นได้ และมันก็ไม่ใช่ความหล่อแบบผู้ใหญ่มีอายุแบบที่คนส่วนใหญ่อาจจะเป็นด้วย เพราะว่าถ้าให้คนอื่นๆลองเดาอายุของพี่เขาล่ะก็ คนส่วนมากก็คงจะประเมินสูงไปอย่างต่ำก็ห้าปีเลยทีเดียว

“อ้าว พี่วินก็รู้จักกับพี่เมฆเหรอครับ” อาร์มถามขึ้น ทำให้ผมต้องหันไปหาเขาด้วยความสงสัยทันที และจากนั้นผมก็หันกลับมาขมวดคิ้วใส่พี่วินแทน

“ครับ” พี่วินตอบพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง “เอาล่ะเมฆ วอร์มพร้อมแล้วใช่มั๊ย ขอดูฝีมือหน่อยซิ พี่เองก็จะได้ปัดสนิมตัวเองด้วย”

ผมพยักหน้าแบบงงๆแต่ก็ออกเดินตามพี่วินโดยทิ้งอาร์มเอาไว้ทางด้านหลังแต่โดยดี

“พี่วินรู้จักอาร์มด้วยเหรอครับ” ผมถามขณะที่เราเข้าคู่และเริ่มออกแรงยื้อกันไปมา “ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”

“ตั้งแต่วันแรกที่พี่มีโอกาสไง” พี่วินเหวี่ยงตัวจะทุ่มผม แต่ผมก็ฝืนกันเอาไว้ได้ แต่ในพริบตานั้นเองที่ผมโดนที่เขาขัดขาจากทางด้านในจนล้มลง “เอ้า มีสมาธิหน่อยสิ”

“จะให้มีสมาธิอยู่ได้ไงล่ะครับพี่” ผมลุกขึ้นยืน “อะไรเป็นอะไรนี่ผมงงไปหมดแล้วนะเนี่ย แถมที่สำคัญ....... นี่พี่กำลังทำอะไรอยู่ครับ พี่เรียกผมมาที่นี่นี่ทำไมกันแน่”

“อีกไม่นานเมฆก็จะรู้แล้ว........ และถ้าเป็นไปได้” พี่วินหมุนตัวเหวี่ยงอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกันไว้ได้และพยายามจะทุ่มพี่เขากลับคืนด้วย ทว่าพี่วินก็ยังคงหลบผมโดยการดึงแขนออกได้ทันอยู่ดี “ซันก็น่าจะมาถึงไวๆนะ จะได้รู้พร้อมๆกันไปเลยทีเดียวทั้งสองคน”

เราสองคนผละห่างออกจากกันโดยที่แขนซ้ายของผมยังคงยึดจับปลายแขนเสื้อซ้ายของพี่เขาเอาไว้อยู่ “พี่หมายความว่าไงครับ”

พี่วินยิ้ม และแทนที่จะตอบออกมาเป็นคำพูด พี่เขากลับตอบผมกลับมาด้วยหน้าแข้งข้างขวาโดยการเตะสูงขึ้นมาเกือบถึงระดับเอวของผมแบบเต็มแรง แต่โชคดีที่ผมไหวตัวทันก็เลยสะบัดมือออกมากันเอาไว้ได้ แต่ว่าพี่วินก็ยังไม่ยอมหยุด เพราะในจังหวะเดียวกับที่พี่เขาลดขาลง เขาก็หมุนมือที่ยึดจับผมอยู่นั้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าวเพื่อพยายามจะบิดล็อกแขนข้างขวาของผม พี่วินยกมือข้างขวาที่ปล่อยวางอยู่ข้างตัวในท่าพักเมื่อครู่ขึ้นมาอย่างว่องไวเพื่ออ้อมมาจับทางด้านหลังต้นแขนของแขนซ้ายผมเอาไว้ แต่ว่าผมก็ยังหลบได้โดยการปล่อยมือออกจากปลายแขนเสื้อข้างขวาของพี่เขาแล้วสะบัดมือและรีบหมุนตัวหนีอย่างรวดเร็ว

“พี่วินทำอะไรเนี่ย!” ผมถามพร้อมกระโดดถอยไปทางด้านหลังหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง แต่ว่าพี่วินก็หมุนตัวหนึ่งครั้งแล้วเหวี่ยงขาขวาเตะสูงขึ้นมาอีกหนอย่างรวดเร็ว และคราวนี้เป้าหมายของเค้าก็อยู่ที่ลำคอของผมเลยด้วย ผมจึงต้องรีบยกแขนขึ้นมากันและเผลอตัวเตะสวนพี่เขากลับไปเช่นกัน

“ยังๆ ยังไม่หมด” พี่วินลดแขนที่กันลูกเตะของผมลง พร้อมกับเหวี่ยงขาซ้ายขึ้นมาจะเตะต่ำเข้าที่หน้าแข้งของผม ผมจึงต้องรีบป้องกันตัวโดยการพุ่งตัวเข้าไปหาเขา เพื่อเป็นการลดแรงกระแทกที่จะมาถึงตัวผมจากขาทั้งขาให้เหลือแค่เพียงต้นขาของพี่วินเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าพี่วินจะรู้อยู่แล้วว่าผมต้องทำแบบนี้ เพราะตอนนั้นเองที่ผมถูกพี่วินยึดจับแขนข้างซ้ายด้วยมือทั้งสองข้าง แต่ทว่าแขนข้างหนึ่งของเขากลับสอดอยู่ใต้รั้กแร้ของผม ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงทั้งความตกใจและความกลัวที่แผ่ซ่านขึ้นมาจากกระดูกสันหลังทันที เพราะถ้าผมไม่รีบหาทางหลุดหนีก่อนจะถูกทุ่มไปให้ได้ล่ะก็ แขนซ้ายของผมจะต้องหักแน่ๆ และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่พี่วินออกแรงบิดแขนของผมอย่างรุนแรงพร้อมๆกับหมุนตัวในท่าทุ่มสะโพกด้วยความว่องไว

ผมรีบบิดเอวตามจังหวะหมุนตัวของพี่วินและกระโดดหมุนตัวไปตามทิศทางของแรงหวี่ยง โดยพยายามหักล้างแรงบิดล็อกแขนออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทำให้พี่วินทุ่มผมลงได้เพียงแค่ทางด้านข้างเท่านั้น แต่นั่นมันก็ทำให้กระดูกที่ข้อต่อแขนของผมร้องเปรี๊ยะเลยเหมือนกัน

ผมกัดฟันเพราะความเจ็บปวดและกวาดขาเตะเข้าที่ข้อเท้าของพี่วิน ทำให้พี่วินเสียหลักและล้มลงมานั่งอยู่บนพื้นใกล้ๆกับผมที่กำลังนอนตะแคงจับแขนของตัวเองอยู่

“โธ่เอ๊ย ล้มจนได้” พี่วินยิ้ม และปล่อยมือทั้งสองข้างที่ยึดจับผมเอาไว้ออกพร้อมกับยืนขึ้น “ใช้ได้เลยนี่ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย”

ผมรีบยืนขึ้นและตั้งท่าเตรียมพร้อมรับการบุกและพร้อมจู่โจมต่อตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อเห็นพี่วินลดการ์ดและแขนทั้งสองข้างลงข้างลำตัวในลักษณะผ่อนคลาย ผมจึงค่อยๆลดมือลงด้วยเช่นกัน

“พี่ทำอะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าแค่แหย่ผมเล่นน่ะ” ผมถามออกไปด้วยความโกรธเล็กน้อย เพราะเมื่อครู่นี้ถ้าผมแก้ท่าไม่ทันล่ะก็ ผมคงต้องเสียแขนไปข้างนึงจริงๆแน่ แต่แล้วพี่วินกลับไม่ยอมตอบอะไรผมกลับมาเลยนอกจากรอยยิ้มที่........เอ่อ จะเรียกว่ารอยยิ้มที่อ่อนโยนก็คงได้ล่ะมั๊ง “เล่นแรงนะครับพี่ นี่กะเอาถึงตายเลยนี่นา ทั้งชายโครงงี้ ก้านคองี้ แขนซ้ายงี้ นี่ถ้าผมหลบไม่ทันจะเป็นยังไงครับเนี่ย”

“พี่ไม่มีทางทำให้เมฆต้องเจ็บหนักขนาดนั้นหรอก และที่สำคัญคือพี่รู้ว่าเมฆต้องเอาตัวรอดได้อยู่แล้วแน่ๆไง” พี่วินหัวเราะเบาๆ “แต่แค่นี้ก็โอเคแล้ว เก่งขึ้นเยอะเลยนี่ มิน่าล่ะ อาร์มถึงได้ทึ่งนักทึ่งหนา อย่างนี้ก็แปลว่าเรื่องที่อาร์มเคยเล่าให้พี่ฟังว่าเมฆไปสร้างวีรกรรมเอาไว้ที่ระยองนั่น ก็ดูท่าจะไม่ใช่แค่เรื่องเล่าสนุกๆเฉยๆจริงๆด้วยสินะ”

“วิน เมฆ ทั้งสองคนทำอะไรกันน่ะ!” ครูวิชญ์รีบเดินตรงเข้ามาหาพวกเราอย่างรวดเร็ว “ทำไมทำกันแบบนั้น ที่นี่มันคลาสยูโดนะ ไม่ใช่เทควันโด! ให้ความเคารพสถานที่กันหน่อยสิ! แถมเมื่อกี๊ ถ้าเกิดบาดเจ็บไปจะเป็นยังไง!”

“ขอโทษด้วยครับ ครู” ผมเอ่ยขอโทษ และเหลือบไปเห็นอาร์มที่กำลังยืนมองอยู่ด้วยแววตาทึ่งๆด้านหลังครูวิชญ์พอดี

“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ครับ” พี่วินพูดขึ้นพร้อมกับเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ทำให้ครูวิชญ์ดูมีปฎิกิริยาเล็กน้อยขึ้นมาทันที “ผมก็แค่วอร์มร่างกายกับเมฆแค่นิดหน่อยเอง และยูโดก็เป็นหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ ท่าเท้าก็เป็นศิลปะการต่อสู้ ผมไม่คิดว่าถ้าผมไปทุ่มใครในห้องเรียนข้างๆแล้วเค้าจะว่าหรอกนะครับ ครู”

“แต่มันก็ยังไม่สมควรอยู่ดี ที่นี่เด็กๆก็มีกันหลายคน มันอาจจะเป็นอันตรายได้” ครูวิชญ์ยังคงแย้งอยู่ ถึงแม้จะดูมีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมากแล้วก็ตาม

“คนบางคนอาจจะมองว่านี่เป็นกีฬา แต่ครูเองก็น่าจะรู้ดีกว่านั้นนะครับว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่ คนที่สามารถเอาตัวรอดได้ในการต่อสู้จริงๆต่างหากถึงจะถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือจริงๆ ไม่ใช่แค่เก่งแต่ในสังเวียนหรือบนเวที.........” พี่วินมองลงไปที่ขาของครูวิชญ์ “และที่สำคัญ สิ่งที่ผมกับเมฆทำไปเมื่อกี๊ก็เป็นเหมือนแค่โชว์อุทาหรณ์เล็กๆน้อยๆให้คนอื่นได้เห็นเท่านั้นเอง ว่าถ้าเกิดต้องต่อสู้จริงกันขึ้นมาอะไรๆมันก็สามารถเกิดขึ้นได้ และเราควรจะรับมือกับมันยังไง จริงมั๊ยล่ะครับ และอีกอย่าง ผมคิดว่า.......... ครูเองน่าจะรู้ถึงเรื่องนี้ดีที่สุดนะครับ” พี่วินพูดอย่างเยือกเย็นและยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเช่นเคย

ใบหน้าของครูวิชญ์เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย ซึ่งก็ทำให้ผมต้องรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะนี่แปลว่าครูวิชญ์กับพี่วินเองก็คงรู้จักกันอยู่แล้วจริงๆ และที่สำคัญเมื่อดูจากปฏิกิริยาของครูวิชญ์แล้ว มันเหมือนกับว่าครูเองก็คงรู้จักพี่วินดีในระดับหนึ่งเลยด้วยเช่นกัน

“ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าใจไม่ถึงพอ มันก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้อยู่ดีนั่นล่ะ........” พี่วินพูดขึ้นลอยๆ ก่อนที่จะหันมาหาผม “ซันจะใกล้มาถึงรึยัง”

ผมแหงนหน้าขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนัง “น่าจะใกล้แล้วครับ เพราะมันบอกว่าจะมาถึงไม่เกินหกโมงครึ่ง นี่ก็ใกล้ได้เวลาพอดี........... อ้าวนั่นไง มานั่นแล้ว” ผมชี้ไปทางประตู และเมื่อไอ้ซันเห็นผม มันก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเราทันทีเลยด้วยเช่นกัน

“อ้าว อาร์ม อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” ไอ้ซันทักอาร์มด้วยความแปลกใจ

“หวัดดีครับพี่ซัน” อาร์มยกมือไหว้ “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปเปลี่ยนชุดแล้วโทรหาพี่แอมป์ก่อนนะครับ ไม่รู้ใกล้จะมารึยัง” เมื่อพูดจบ เขาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทันที ทำให้เหลือเพียงพวกเราสามคนเท่านั้น

“ซัน นี่พี่วิน พี่กู” ผมบอกซัน และไอ้ซันก็ยกมือไหว้พี่วินอย่างว่าง่าย

“อืม สวัสดีครับ พอดูใกล้ๆแล้วก็เห็นว่าหน้าตาดีจริงๆนั่นแหละ เอาล่ะ พี่ขอตัวไปทำธุระแป๊บนึงก่อนนะ เดี๋ยวพี่กลับมา” พี่วินยิ้มให้เราสองคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปอีกคน

“อ้าว และนี่พี่เค้าเรียกพวกเรามาทำไมวะ” ไอ้ซันถามขึ้น

“กูก็ไม่รู้ เมื่อกี๊กูได้แค่จับคู่ซ้อมกับพี่เค้าไปแค่ห้านาทีเองมั๊ง แล้วมึงก็โผล่มาเนี่ย ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรกันเลย”

“อืมมม แต่กูหิวว่ะ เมฆ แล้วนี่เราจะเอาไงต่อดี”

“เอาไงอะไรล่ะ กลับไปกินข้าวกับพ่อดิ่ แถมยังไม่ได้คุยกับพี่วินเลย รอพี่เค้ากลับมาก่อน”

“อืมมม จะว่าไป นี่มึงบอกมึงเล่นมาได้แค่ราวๆห้านาทีและหลังจากนั้นกูก็โผล่มา แต่ทำไมมึงเหงื่อโชกเลยวะ ดูดิ๊เนี่ย” ไอ้ซันจับคอเสื้อของผมตรงรอยเหงื่อ “แหม อยากให้ตอนนี้อยู่ที่บ้านจริงว้อยยยยย”

“ทะลึ่งๆ อย่ามาทำเป็นหื่นกลางที่สาธารณะ.......” ผมแบมือออกและก็เห็นว่าฝ่ามือของผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งสองข้างเลยทีเดียว “สงสัยเมื่อกี๊กดดันไปหน่อยว่ะ นานๆจะเจอของจริงสักที..........” ผมนึกถึงสีหน้ายิ้มๆของพี่วินและบรรยากาศตอนที่เขาเตะและพยายามจะหักแขนของผมอีกครั้ง ซึ่งมันก็ทำให้ผมต้องสั่นสะท้านออกมาน้อยๆเลยทีเดียว ถึงนั่นจะเป็นแค่การทดสอบหรือการแหย่เล่นเล็กๆน้อยๆของพี่เขา แต่ว่าความรู้สึกในตอนนั้นสำหรับผมแล้วมันเป็น “ความกลัว” อย่างที่ผมไม่ได้รู้สึกมานานแล้วจริงๆ

“พี่ซัน พี่เมฆ พี่แอมป์มาแล้วล่ะครับ” อาร์มเดินกลับเข้ามาบอกพวกเรา “งั้นเดี๋ยวผมก็คงกลับแล้วล่ะครับ”

“อ้าว แล้วพี่เค้าจะขึ้นมารึเปล่า พี่ไม่ได้เจอพี่แอมป์ตั้งนานแน่ะ” ผมถาม

“มาครับ นี่ก็กำลังขึ้นลิฟท์มากับพี่บอลกับพี่จ๊อบแล้ว”

“ว่าไงนะ!” ผมกับไอ้ซันหันไปถามอาร์มเสียงหลงด้วยความงงสุดขีดพร้อมๆกัน


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 14-02-2008 11:57:51
ไมมันเริ่มซับซ้อนขึ้นไปอีกฟะ เดาไม่ถูกแล้วนะ

ว่าแต่ จากวินาทีที่ 30
อ้างถึง
.............
“หวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่กูกำลังคิดอยู่นะ.............” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ และตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดู “ไม่โชว์เบอร์งั้นเหรอ..........” ผมนิ่วหน้าด้วยความสงสัย แต่ก็ตัดสินใจกดปุ่มรับสายไป

“อยากได้คนไปช่วยทำความสะอาดบ้านซักคนมั๊ย” เสียงของพี่วินถามขึ้นทันทีที่ผมกดปุ่มรับสาย

“หา เอ่อ อ๋อ ไม่ต้องก็ได้ครับพี่วิน แค่นี้ผมกับพ่อก็พอดูแลกันไหว แถมไอ้ซันเองก็ยังช่วยด้วย นอกจากนั้นยังมีไคล์อีก ก็ช่วยๆกันน่ะครับ”

“แน่ใจนะว่าเมฆไม่อยากให้มีคนไว้ช่วยดูแลบ้านน่ะ” พี่จ๊อบถามอีก  และนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรๆมากขึ้น

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไม่ค่อยอยากให้พ่อเค้าคิดมากหรือสงสัยเอาน่ะ”

“แบบนั้นก็ได้ แล้วแต่เมฆก็แล้วกัน แต่พี่คิดว่าบางทีเราอาจจะต้องเลื่อนวันนัดเจอกันให้เร็วขึ้นอีกหน่อยนะ”

“ก็ได้ครับ พี่โทรมาบอกผมก็แล้วกัน”

“แล้วเจอกันครับ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” พี่วินพูดก่อนวางสายไป
..........

พี่จ๊อบมาได้ไงอ่ะ ???
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-02-2008 12:02:39
แง้ว พิมผิด

5555

เบลอๆ

ขอบคุณค้าบบ
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 14-02-2008 12:10:59


(http://i223.photobucket.com/albums/dd277/akapong/Love/07-02-2008_03.gif)
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-02-2008 19:15:33
เดาไม่ถูกแล้ว  :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 14-02-2008 22:01:04
จะเดาไปทำไมล่ะพี่ทิพ

ตั้งหน้าตั้งตาอ่านตอนต่อไปจะดีกว่า เร้าใจดีออก

ตะละคนออกมาทั้งเก่งทั้งหล่อกันทั้งน้าน

มีแต่หนุ่มหล่อๆ  ต้นขอทิชชูซับน้ำลายหน่อย งือ น้ำลายหกอ่า

 :c1: นะน้อง :L1: :
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 15-02-2008 06:57:48
เหอๆ ไอ้พี่จ๊อบไปรู้จักกับพวกพี่แอมป์ได้ไงอ่ะ งงเต๊ก

แบบนี้รูปของเมฆกับซันที่ถ่ายเปลือย จะตกไปอยู่ในมือของไอ้จ๊อบไหมเนี่ย

ชักเป็นห่วงแล้วสิ คงไม่ธรรมดาแน่นอน

แล้วยังความสัมพันธ์ของพี่วินกับครูวิชญ์นั่นอีก คลุมเครือ 555+

แล้วก็ตามลุ้นกันต่อ ครับ

 :c1:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-02-2008 14:33:38
เข้ามาลาอีกรอบคับ  :o12:
อีก 7 วัน (ฌป็นอย่างน้อย) เจอกันใหม่

 o7

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-02-2008 14:34:17
วินาทีที่ 32


“เฮ้ย ทำไมพี่แอมป์กับไอ้ปลาไหลนั่นเค้าถึงได้รู้จักกันได้วะ” ไอ้ซันลากผมออกไปคุยตรงมุมห้องที่ห่างจากอาร์มออกมาพอควร “คือ กูก็รู้นะว่าเค้ารู้จักกัน แต่จู่ๆก็มารับอาร์มพร้อมกันเนี่ยนะ เค้ามาด้วยกันได้ไง”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมส่ายหัวด้วยความรู้สึกที่ทั้งงงและแปลกใจที่คงไม่ต่างไปจากไอ้ซันในตอนนี้สักเท่าไหร่ “คือคิดๆดูแล้วเนี่ย เค้าก็น่าจะรู้จักกันในระดับนึงอยู่หรอกนะ แต่ว่าไอ้การที่มาที่นี่ด้วยกันเนี่ย....... กูก็ไม่รู้จริงๆว่ะ”

“หรือว่าจะบังเอิญเจอกันอีกแบบตอนที่มันไปงานวันเกิดบ้านมึง”

“ถ้าแบบนั้นกูก็ยอมรับเลยว่ามันน่าขนลุกเกินไปจริงๆว่ะ” ผมนิ่วหน้าแล้วหันไปมองอาร์ม จากนั้นก็หันกลับมาหาไอ้ซันอีกครั้ง ภาพความฝันเรื่องช่อดอกไม้ในคืนนั้นมันวิ่งเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “มึงจะใจเย็นได้รึเปล่าวะซัน คือ....... มึงจะไม่พูดไม่ทำอะไรใจร้อนได้รึเปล่า กูกลัวพี่แอมป์กับคนอื่นๆจะตกใจน่ะ”

“ก็อยู่ที่มันนั่นแหละ ถ้ามันไม่พูดไม่ทำอะไรเหี้ยๆออกมาก่อน กูก็ไม่คิดจะไปหาเรื่องมันก่อนหรอก”

ใช่แล้ว....... ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน

“พี่แอมป์มาแล้วนะครับ” อาร์มเรียกพวกเราสองคน เราจึงหันกลับไปทางเขา และก็เป็นอย่างที่อาร์มบอกจริงๆว่าพี่จ๊อบนั้นมากับพี่แอมป์ด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีพี่บอลมาด้วยอีกหนึ่งคน แต่พี่บอลนี่ก็คงไม่น่าแปลกเท่าไหร่ เพราะว่าเขากับพี่แอมป์ก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว แต่ว่าพี่จ๊อบนี่สิที่เป็นปัญหา

“สวัสดีครับ พี่แอมป์ พี่บอล พี่จ๊อบ” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่แอมป์กับพี่บอล แต่ก็ทำใจให้หันไปไหว้พี่จ๊อบไม่ได้จริงๆ ยิ่งโดยเฉพาะหลังจากที่ผมรู้สิ่งที่เขาทำกับนัทแบบนี้ด้วยแล้ว

“หวัดดีครับพี่” ไอ้ซันพูดขึ้นบ้าง

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะทั้งสองคน สบายดีมั๊ย แล้วไคล์ล่ะเป็นไงบ้าง” พี่แอมป์ทักอย่างอารมณ์ดี

“ก็ดีครับ ยังปกติดีทุกอย่าง” ผมยิ้มตอบ “แล้วพี่ล่ะ เป็นไงมั่งครับ”

“ก็เหมือนเดิมแหละค่ะ แต่เนี่ย เมฆรู้มั๊ย อาร์มเค้าบอกอยากมาเรียนยูโดที่นี่ก็เพราะว่าเรื่องที่เมฆช่วยพี่เอาไว้ที่ระยองแท้ๆเลยนะเนี่ย”

“พี่แอมป์ พูดมากน่า!” อาร์มหันไปนิ่วหน้าใส่พี่สาวของตัวเอง “ถ้างั้นผมไปรอข้างนอกนะ คุยกันเสร็จแล้วก็ตามไปก็แล้วกัน ผมไปก่อนนะครับ พี่เมฆ พี่ซัน” อาร์มหันมาไหว้เราสองคน ผมกับไอ้ซันจึงพยักหน้ารับ และหลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปเลย

“เขินล่ะมั๊ง” พี่บอลหัวเราะ “เห็นบอกว่าที่มาเรียนวันนี้ก็เพราะไม่ค่อยอยากเจอเมฆด้วยแหละ มันเคยบอกพี่ว่ามันอยากเรียนให้พ้นสายขาวก่อนค่อยย้ายไปเรียนวันเดียวกับเมฆน่ะ”

“อย่างงั้นเหรอครับ”

“เสน่ห์แรงจริงน้า เมฆเนี่ย” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ และมันก็ทำให้ไอ้ซันชักสีหน้าเลยทีเดียว แต่ว่าโชคดีที่พี่วินเดินตรงเข้ามาหาพวกเราได้แบบจังหวะพอดี

“เมฆ ซัน ใกล้จะกลับกันรึยัง”

“ก็กลับเลยก็ได้มั๊งครับ พ่อคงรอกินข้าวอยู่ด้วย อ้อ พี่วิน นี่พี่จ๊อบครับ แล้วนี่พี่แอมป์กับพี่บอล พี่ๆครับ นี่พี่จ๊อบ เป็น เอ่อออ พี่ชายเมฆ รุ่นพี่เมฆ เป็นเพื่อนพ่อ คือ อะไรประมาณนั้นนั่นแหละครับ”

ทั้งสี่คนทักทายกันพอเป็นพิธี ก่อนที่พี่วินจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “พอจะรู้รึยัง เมฆ เรื่องที่เราคุยค้างกันเอาไว้น่ะ”

“เอ่ออ ไม่ค่อยอ่ะครับพี่ ยังงงๆอยู่เลยเหมือนกัน” ผมตอบไปตามความจริง

“ก็ไม่แปลกหรอก แต่พี่ก็แค่อยากให้รู้ตัวเอาไว้เท่านั้นเอง ที่เหลือพี่จัดการให้เอง อย่างที่คุยกันไว้นั่นแหละ” พี่วินยิ้ม ส่วนไอ้ซัน พี่แอมป์และคนอื่นๆก็มองเราสองคนด้วยสีหน้างงๆ

“ก็ได้ครับพี่” ผมพยักหน้ารับ

“อืมม ถ้างั้นพี่กลับก่อนแล้วกันนะคะ เดี๋ยวอาร์มมันจะรอนานแล้วงอนเอาอีก เอาไว้เดี๋ยวเราค่อยคุยกันวันหลังนะคะ เมฆ ซัน”

“พี่เองก็กลับด้วยดีกว่า ขอไปคุยกับครูวิชญ์แป๊บหนึ่งแล้วก็คงจะกลับเลยล่ะ” พี่วินพูดขึ้น ก่อนจะชะโงกเข้ามากระซิบที่หูของผมเบาๆ “พยายามอย่าอยู่ตัวคนเดียวล่ะ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความงงเล็กน้อย แต่พี่วินก็ยังคงเอาแต่ยิ้ม ก่อนที่จะหันไปบอกลาทุกคนและเดินจากไป ส่วนไอ้ซันตอนนี้ก็คงหงุดหงิดจากความไม่รู้เรื่องอะไรเลยเต็มแก่แล้วด้วยมั๊ง เพราะสีหน้าของมันบ่งบอกออกมาได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

“พี่แอมป์ครับ ผมขอคุยอะไรกับพี่แป๊บนึงสิครับ” ไอ้ซันพูดขึ้น “อืมมม ก็เรื่องไคล์ด้วยน่ะครับ”

“อ๋อ ก็ได้ค่ะ”พี่แอมป์พยักหน้า แต่ว่าก็ยังไม่มีใครขยับตัว และไอ้ซันเองก็ไม่ยอมเริ่มพูดอะไรอีกด้วยเช่นกัน เราห้าคนยืนจ้องหน้ากันนิ่งๆอยู่ชั่วอึดใจ จนในที่สุดพี่บอลก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น

“เอออ....... งั้นกูไปรอข้างนอกกับอาร์มนะ”

“ถ้างั้นผมขอคุยกับพี่จ๊อบแป๊บนึงก็แล้วกันนะครับ” ผมหันไปพูดกับพี่จ๊อบโดยที่ไม่ได้สังเกตสีหน้าของไอ้ซันก่อน แต่ผมก็เดาเอาเองว่ามันน่าจะเข้าใจผม ผมจึงเดินฉากออกมาเองก่อนเลย โดยมีพี่จ๊อบก็เดินตามผมมาติดๆ

“ชอบดอกไม้มั๊ยครับ” พี่จ๊อบถามขึ้นทันทีที่เราสองคนอยู่ห่างจากซันและพี่แอมป์พอสมควรแล้ว

“เอาเป็นว่าผมรับน้ำใจของพี่ไว้ก็แล้วกันนะครับ แต่ว่าผมไม่อยากให้พี่ทำแบบนี้เท่าไหร่เลย ผมไม่สบายใจเลยจริงๆนะครับ โดยเฉพาะที่พี่เองก็มีนัทอยู่แล้ว” ผมพยายามจะโยงเข้าเรื่องที่กำลังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในตอนนี้ เพราะหลังจากวันนั้น ไม่ว่าผมจะพยามโทรไปหานัทกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พยายามถามเขาว่าสถานการณ์เป็นยังไงแล้วบ้าง และเพื่อดูว่าเขาสบายใจขึ้นหรือยัง แต่ทว่านัทก็ยังคงดูเป็นทุกข์มากเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แถมยังดูสับสนมากๆเลยอีกด้วย

“ถ้าเมฆจะให้พี่เลิกกับนัทพี่ก็จะเลิก เพราะถึงยังไงพี่ก็อยากแสดงออกให้เมฆเห็นว่าพี่จริงจังมากแค่ไหนอยู่แล้ว”

“พี่จะบ้าเหรอครับ” ผมตอบกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “นัทเค้าเป็นคนนะครับ ไม่ใช่ตุ๊กตาที่คิดจะทิ้งขว้างกันได้ง่ายๆ พี่อย่าพูดลพล่อยๆแบบนี้ต่อหน้าผมอีกนะครับ เพราะถ้าพี่ทำให้นัทต้องเสียใจล่ะก็ ผมจะไม่มีวันยกโทษให้พี่แน่”

“ใจเย็นๆสิครับ อย่าเพิ่งโมโห” พี่จ๊อบรีบออกตัว “พี่ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เพาะพี่อยากแสดงให้เมฆเห็นนี่ ว่าพี่จริงจังมากนะ พี่เองกับนัทก็ดูท่าจึงเวลาต้องเลิกกันมานานอยู่แล้วด้วย ไอ้ที่อยู่ด้วยกันตอนนี้มันก็แค่อยู่ๆกันไปอย่างนั้นเอง เราต่างคนก็ต่างเบื่อกันจะแย่อยู่แล้ว”

“พี่พูดอะไรน่ะ นัทเค้ายังรักพี่อยู่มากนะ” ผมแย้ง เพราะภาพน้ำตาและความเสียใจของนัทในวันนั้นมันผุดขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง

“ไม่หรอก ตอนนี้ความซาบซ่ามันหายกันไปหมดแล้ว” พี่จ๊อบส่ายหน้า “แต่พอดีพี่มาเจอเมฆ พี่ก็รู้เลยว่าคนที่ใช่สำหรับพี่จริงๆมันคือใคร.........” พี่จ๊อบยิ้ม

“ผมรู้นะครับว่าพี่ทำอะไรลงไป” ผมพูดออกมาด้วยความโมโห แต่ก็ยังคงพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้บ้างไม่ให้มันหลุดออกมามากเกินไป “จริงๆมันคงไม่ใช่เรื่องของผม แต่ไอ้สิ่งที่พี่ทำลงไปมันทุเรศเกินไปจริงๆ ถือซะว่าผมขอร้องล่ะ พี่อย่าทำแบบนี้กับนัทเลย”

“เมฆพูดถึงเรื่องอะไรกัน พี่ไม่เข้าใจ”

“นัทเค้ารู้แล้วนะครับ พี่จ๊อบ ไอ้เรื่องรูปถ่ายพวกนั้นน่ะ แล้วเค้าก็เสียใจมากด้วย เค้ามาร้องไห้เสียใจกับผมว่าทำไมพี่ถึงทำกับเค้าแบบนั้น เค้ารักและไว้ใจพี่มากมาโดยตลอด แต่ว่าพี่กลับทำร้ายเค้าแบบนั้นได้ลงคอ ไอ้การจะแบล็คเมล์คนอื่นน่ะ มันเหี้ยเกินไปหน่อยนะครับพี่ ผมว่า”

พี่จ๊อบดูตกใจเล็กน้อยที่ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ว่าเขาก็ยังคงดูมีท่าทางไม่ค่อยยี่หระเท่าไหร่อยู่ดี “เมฆถามว่าทำไมพี่ถึงทำกับเค้าแบบนั้นใช่มั๊ยครับ......... ก็ได้ พี่จะบอกเมฆให้ก็ได้ว่าทำไม แต่พี่บอกไว้เลยนะว่าพี่เองก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก และพี่ก็ไม่ได้คิดที่จะแบล็คเมล์ใครด้วย แต่ว่ามันก็เป็นเพียงอีกหนึ่งทางเลือกของพี่ที่พี่ไม่ได้อยากจะเลือกสักเท่าไหร่เท่านั้นเอง”

“ผมไม่เข้าใจ”

“ไม่จริงมั๊ง” พี่จ๊อบยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาในอกอย่างบอกไม่ถูก “ใช่แล้ว เมฆนั่นแหละ ที่เป็นคนที่ทำให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น” พี่จ๊อบตอบแบบไม่เหลือทางหนีให้แก่ผมเลย “พี่ชอบเมฆ และอยากจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของเมฆ แต่ในเมื่อเมฆติดใจกับเรื่องของนัทเหลือเกิน พี่ก็ไม่มีทางเลือกนี่ จริงมั๊ยล่ะ” พี่จ๊อบยิ้มอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกอยากจะหักแขนของเขาคนนี้ทิ้งสักข้างจริงๆ

ผมกัดฟันและกำหมัดแน่น พยายามสงบจิตใจให้มากที่สุด เพราะถ้าเกิดผมเผลอใส่อารมณ์มากเกินไปล่ะก็ เรื่องราวมันก็คงต้องยิ่งแย่ลงกว่านี้แน่ๆ “พี่ต้องการอะไรกันแน่”

“พี่บอกแล้วว่าพี่กับนัทน่ะ ยังไงก็ไปกันไม่รอดอยู่แล้ว แต่ว่าเมฆไม่เคยเชื่อพี่ และพี่เองก็แค่ยากจะให้เมฆเชื่อใจพี่บ้างเท่านั้นเอง ก็ได้...... พี่ยอมรับว่าพี่ทำไม่ดี สิ่งที่พี่ทำมันผิด และพี่ก็พร้อมจะพิสูจน์ตัวเองให้เมฆเห็นด้วย” พี่จ๊อบเว้นช่วง แต่ว่าผมก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป เขาจึงเริ่มพูดต่อ “พี่จะคืนรูปทุกใบให้แก่เมฆ และแน่นอน ว่าพี่จะไม่ทำร้ายนัทด้วย ไม่ว่าจะในทางไหนก็ตาม.........”

เข้าใจพูดนี่....... “ไม่ทำร้ายนัท ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม” อย่างกับว่ามันยังไม่ได้เกิดขึ้นงั้นล่ะ

 “พี่จะไม่ไปถามนัท ไม่ไปว่านัทที่นัทเอาเรื่องนี้มาบอกเมฆ พี่พร้อมจะแสดงความบริสุทธิ์ใจให้เมฆเห็นทุกอย่าง ให้รู้ว่าพี่จริงใจกับเมฆมากจริงๆ แต่ว่าพี่ก็มีข้อแลกเปลี่ยนที่ต้องการอยู่บ้างเหมือนกัน........”

“พี่ต้องการอะไร”

“โอกาสครับ.......... โอกาสจากเมฆ”

“พี่อย่ามาทำเล่นลิ้นกับผม มีอะไรจะก็พูดออกมาตรงๆเลยดีกว่า” ผมเริ่มแสดงความหงุดหงิดออกมาให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆอย่างควบคุมไม่ได้

“อยู่ห่างจากซันสักพัก” พี่จ๊อบพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากเล็กน้อย “พี่รู้ว่าซันมีคอนโดอยู่ด้วยนี่ เพราะงั้นมันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อยู่แล้ว จริงมั๊ยล่ะ” สิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินมันกำลังบิดหัวใจของผมจนเป็นเกลียว

“แล้วพี่คิดเหรอครับว่าเมื่อพี่ทำแบบนี้แล้วจะทำให้ผมหันมาสนใจพี่ได้น่ะ” ผมกำหมัดแน่น

“บางทีเรื่องนั้นมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพี่มากเท่าไหร่แล้วก็ได้มั๊งครับ......... แต่ว่าพี่รู้แน่ๆอยู่อย่างนึงล่ะว่า ถ้าเกิดเมฆปฏิเสธล่ะก็........ พี่ก็คงต้องใช้รูปพวกนั้น ถึงแม้ว่าพี่จะไม่อยากทำแบบนั้นสักเท่าไหร่ก็ตาม”

“นี่แปลว่าพี่ไม่รู้ใช่มั๊ยครับ ว่ารูปพวกนั้นมันอยู่ที่ผมน่ะ” ผมพูดออกไป แต่คิดว่าจริงๆผมเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

“และเมฆก็คงไม่รู้ใช่มั๊ยครับ ว่ารูปพวกนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เท่าที่เมฆมีน่ะ”

ผมไม่สามารถตอบกลับอะไรไปได้นอกจากนิ่งเงียบ แบบนี้มันเกินกว่าที่ผมจะรับไหวจริงๆ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดคาดการณ์เอาไว้เลยว่ามันจะเกิดขึ้น สถานการณ์ที่ผมต้องเลือก เลือกระหว่างความสุขของผมกับความถูกต้องที่ผมควรจะทำ

“นัทเค้าจะเสียหายมากนะ”

“เมฆก็อย่าทำให้เค้าต้องเสียหายสิ”

ผมกัดฟันและเงียบลงอีกครั้ง

“ไม่ต้องรีบตัดสินใจก็ได้ครับ พี่จะขอคำตอบจากเมฆอีกทีวันเสาร์ก็แล้วกัน” พี่จ๊อบยิ้มให้ผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังไป

“เดี๋ยว” ผมรีบเรียกให้พี่เขาหยุด “ผมขอถามอะไรพี่เป็นอย่างสุดท้าย”

“ว่าไงครับ” พี่จ๊อบหันกลับมามองหน้าผมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่แสดงออกถึงชัยชนะเล็กน้อย

“ทำไมวันนี้พี่ถึงได้มากับพี่แอมป์ได้”

“พี่มาก็เพราะว่าพี่ต้องมาน่ะสิครับ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนี่........” พี่จ๊อบหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะเดินจากไป

ผมไม่เคยรู้สึกหัวเสียรุนแรงแบบนี้มานานมากแล้วจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีทีเดียวที่ผมรู้สึกโกรธมากขนาดนี้ แต่ทว่าผมก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย ผมไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ของผมได้จริงๆ เพราะถ้าเกิดผมคิดจะระบายมันออกมาล่ะก็ มันก็คงมีอยู่วิธีเดียวนั่นก็คือเดินตรงเข้าไปกระชากตัวพี่จ๊อบเอาไว้แล้วต่อยหน้าเขาสักทีก่อนที่จะหักแขนข้างขวาข้างที่ใช้ถ่ายรูปพวกนั้นทิ้งซะ แต่ทว่าผมก็ทำไม่ได้......... ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรแบบนั้นกับพี่จ๊อบได้เลยแม้แต่นิดเดียว ผมไม่สามารถแตะต้องเขาได้เลย

ผมหันไปมองพี่จ๊อบที่กำลังเดินออกจากยิมไปอีกครั้ง แต่ทว่าสิ่งที่สะดุดสายตาของผมก็คือพี่วินในชุดไปรเวทที่กำลังยืนเอาหลังพิงกำแพงมองดูผมอยู่อยู่ตรงประตูทางออก ผมไม่รู้เขายืนอยู่ตรงนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว แต่เมื่อพี่จ๊อบเดินสวนพี่วินออกไป เราสองคนก็สบตากันเข้า พี่วินส่ายหัวให้กับผมเบาๆ เป็นเหมือนการปรามราวกับว่าเขารู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

“เมฆ ไปเปลี่ยนชุด” ไอ้ซันเดินเข้ามาสั่งผม ผมหันไปมองรอบๆตัวของมันก็ไม่เห็นพี่แอมป์แล้ว “พี่แอมป์กลับไปแล้ว แต่มึงน่ะไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว กูว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยว่ะ”

ผมพยักหน้าแล้วหันไปหาพี่วินอีกครั้ง แต่คราวนี้พี่เขาก็หายไปอีกคนแล้วด้วยเช่นกัน ผมจึงรีบเดินไปเปลี่ยนชุดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู ปรากฏว่ามีข้อความเข้ามาจากเบอร์ที่ผมไม่รู้จักหนึ่งฉบับ มันเขียนเอาไว้ว่า

“สี่ทุ่มครึ่ง โทรมาที่เบอร์นี้ – วิน”

ผมไม่รู้จริงๆว่าตกลงพี่วินมีเบอร์โทรศัพท์อยู่กี่เบอร์กันแน่ แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อมากไปกว่านั้น ไอ้ซันก็เข้ามาเร่งผมอีกครั้ง ผมจึงรีบเก็บของแล้วเดินตามมันไปที่รถ และขณะขับรถเราทั้งสองคนต่างก็นั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดไอ้ซันก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้นมาก่อน

“มึงเล่าเรื่องทั้งหมดมาให้กูฟังเดี๋ยวนี้เลย”


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 17-02-2008 17:34:29
จ๊ากกกก  ไหงสถานการณ์เปลี่ยน ไอ้รูปนั่น

แทนที่พี่จ๊อบจะแบล็กเมล์นัท กลายเป็นเอามาขู่เมฆไปซะงั้น

ยอมได้ไงกันเนี่ย  :angry2: :angry2:

ไอ้พี่จ๊อบเนี่ย ต้องโดนตรีน :เตะ1: :เตะ1:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-02-2008 20:12:31
แถมอีกตอนก่อนไป

วินาทีที่ 33


“มึงอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”

“มึงก็รู้ว่ามึงควรจะเล่าอะไรให้กูฟังบ้าง อย่ามาโยกโย้กับกู ไอ้เมฆ กูไม่ชอบเวลาที่ต้องมารู้สึกแบบนี้นะเว้ย” ไอ้ซันพูด

“แล้วมึงคิดว่ากูชอบรึไง” ผมสวนกลับทันควัน “กูขอร้องไอ้ซัน มึงอย่าเพิ่งมาทำอารมณ์เสียใส่กู เพราะตอนนี้กูกำลังหงุดหงิดมาก มึงไม่ชอบให้กูเป็นแบบนั้นหรอก กูรู้ เพราะฉะนั้นมึงหุบปากแล้วใจเย็นๆ อย่าเพิ่งทำให้กูรู้สึกแย่ยิ่งไปกว่านี้”

“มึงอย่าเพิ่งใส่อารมณ์จะได้เปล่าวะ กูถามมึงดีๆนะเว้ย” ไอ้ซันพูดว่ามันถามผมดีๆ แต่น้ำเสียงของมันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย “มึงคิดดูดิ๊ กูไปยืนอยู่ตรงนั้น แล้วไม่รู้ห่าอะไรเลย ทั้งเรื่องพี่จ๊อบ เรื่องอาร์ม แล้วยังเรื่องพี่วินอะไรของมึงนั่นอีก”

“มึงอย่าเพิ่งมาหึงมั่วซั่วตอนนี้ได้มั๊ยวะ ไอ้ซัน พี่วินเป็นพี่กู เป็นเพื่อนของครอบครัวกูมาตั้งแต่กูจำความได้แล้วไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น มึงหัดเชื่อใจกูหน่อยจะได้มั่งมั๊ยเนี่ย อะไรของมึงวะ”

“งั้นมึงก็บอกมาสิว่าไอ้พี่วินนั่นเค้าไปกระซิบอะไรที่ข้างหูมึง แล้วเรื่องที่ไอ้พี่จ๊อบมันพูดถึงอาร์มมันหมายความว่ายังไง แถมยังที่มึงไปคุยกับไอ้เหี้ยจ๊อบกันแค่สองคนด้วย กูถูกมึงลากมาที่นี่แล้วไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลยนะเว้ย”

“กูว่าถ้ามึงยังไม่ใจเย็นลงนะ เราก็ยังไม่มีเรื่องจะต้องพูดกันว่ะ”

“มึงบอกตัวมึงเองเหอะ ไอ้เมฆ อยู่ดีๆก็มาแว้ดๆใส่กู ไอ้เหี้ยเอ๊ยย” ไอ้ซันสบถ

“ถ้ากูมันเหี้ยมากนัก ทำไมมึงไม่เลือกไอ้แบ๊งค์ไปซะเลยเล่า ไอ้สัตว์! มึงจอดรถเลย! กูขอลงตรงนี้แหละ ต่างคนต่างไปดีกว่าว่ะไอ้ซัน ขืนมึงกับกูยังอยู่ในรถคันเดียวกันต่อไป มีหวังเราสองคนได้ฆ่ากันตายก่อนถึงบ้านแน่ กูบอกแล้วนะว่ากูกำลังอารมณ์เสียมาก มึงอย่ามาชักใบให้เรือเสีย”

“ได้ งั้นมึงลงไปเลย!” ไอ้ซันกระชากเสียงพร้อมกับหักพวงมาลัยเข้าข้างทางทันที ทำเอารถคันข้างหลังบีบแตรด่ากันระงม “ถ้ามึงเลือกที่จะทำอย่างนั้นก็ได้เลย ตามสบาย”

พอผมออกจากรถและปิดประตูปุ๊บไอ้ซันก็ออกรถไปอย่างรวดเร็วทันที ทิ้งให้ผมยืนอยู่ข้างถนนคนเดียวตามลำพัง แต่อารมณ์ของผมในตอนนี้นั้นมันไม่ใช่แค่หงุดหงิดอย่างเดียวแล้ว เพราะผมทั้งโกรธ ทั้งเหนื่อย ทั้งสับสนไปหมดในทุกๆเรื่อง แต่ที่ผมรู้สึกแย่มากที่สุดก็คือว่าทำไมสุดท้ายผมถึงต้องมาลงเอยด้วยการทะเลาะกับไอ้ซันแบบนี้ด้วย จนถึงตอนนี้ความคิดที่ว่าเราสองคนควรแยกกันอยู่ก็ดูกลับกลายเป็นความคิดที่ดีขึ้นมาไปทันที เพราะถ้าหากเรายังตัวติดกันใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากเกินไปแบบนี้เรื่อยๆ เวลาที่เราต้องทะเลาะกันทีไรมันก็มักจะจบลงด้วยเหตุการณ์แรงๆแบบนี้เสมอจริงๆ

และผมเองก็ชักจะเริ่มทนไม่ไหวแล้วด้วยเหมือนกัน

“แม่งเอ๊ย!” ผมสบถออกมาแล้วต่อยเข้าที่เสาไฟฟ้าอย่างแรง เลือดที่ไหลออกมาซิบๆกับความเจ็บปวดที่สันหมัดช่วยทุเลาความโกรธของผมลงได้บ้างเล็กน้อย ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาพี่วินทันทีถึงแม้มันจะยังไม่ถึงเวลาที่พี่เขานัดให้โทรกลับไปก็ตาม

“ทะเลาะกันงั้นเหรอ” พี่วินรับสายและถามขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับกำลังรอโทรศัพท์จากผมอยู่แล้ว

“ก็........ ครับ พี่รู้ได้ไงน่ะ” ถึงพี่วินจะรู้เรื่องแทบทุกอย่างของผมได้จริงๆก็เถอะ แต่เรื่องที่ผมเพิ่งจะทะเลาะกับไอ้ซันเมื่อสองนาทีก่อนนี่มันก็คงเกินความสามารถของพี่วินที่จะรู้ได้ไปหน่อยจริงๆ

“ขึ้นรถมาก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งถามอะไรเลย” พี่วินกดปุ่มวางสายไป และตอนนั้นเองที่รถฟอร์ดคันหนึ่งค่อยๆชะลอความเร็วลงและมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม

“พี่วิน” ผมถามด้วยความประหลาดใจเมื่อกระจกทางฝั่งคนนั่งลดต่ำลงเผยให้เห็นใบหน้าของพี่วินที่เป็นคนขับรถ

“ขึ้นมา เร็ว”

ผมเปิดประตูรถและกระโดดขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็วตามที่พี่วินบอก “นี่พี่วินขับตามผมมาเหรอครับเนี่ย”

“ใช่” พี่วินพยักหน้า “ไม่งั้นพี่จะเห็นเหรอว่าซันจอดรถทิ้งให้เมฆลงกลางทางแบบนี้น่ะ”

“แต่........ ทำไม.......”

“พี่มีเหตุผลของพี่ก็แล้วกัน” พี่วินตัดบท “แล้วทำไมถึงต้องทะเลาะกันด้วย พี่ว่าปกติเมฆน่าจะใจเย็นได้ดีกว่านี้นะ”

“ปกติมันก็คงใช่แหละครับ” ผมถอนหายใจ “แต่เมื่อกี๊นี้ตอนผมคุยกับพี่จ๊อบ........... พี่วินรู้เรื่องแล้วรึยัง” ผมถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก

“พี่จะไปรู้ได้ไงล่ะ” พี่วินหัวเราะเบาๆ “พี่ไม่ได้มีหูทิพย์ตาทิพย์นะ แต่แค่ตอนนั้นพี่เห็นสีหน้าของเมฆก็พอจะรู้แล้วว่าท่าทางมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เอาล่ะ ไหนเล่ามาให้พี่ฟังซิ”

“เรื่องมันเริ่มมาจากนัทเมื่อวันจันทร์น่ะครับ..............” ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่ที่นัทโทรเรียกผมออกไปเล่าเรื่องรูปให้ผมฟังจนมาถึงเรื่องที่พี่จ๊อบเสนอให้ผมเมื่อเย็นนี้ พี่วินนั่งฟังอย่างตั้งใจและไม่ได้พูดหรือถามอะไรออกมาเลยสักคำจนกระทั่งผมเล่าจบ

“มันชักจะเกินไปแล้วจริงๆ” พี่วินส่ายหน้าเบาๆ

“จะว่าไป....... พี่วินบอกว่าพี่รู้จักพี่จ๊อบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ แต่ทำไมดูไม่เห็นเหมือนพี่จ๊อบจะรู้จักหรือจำพี่ได้เลยนี่”

“พี่รู้จักมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะรู้จักพี่นี่”

“แล้วเรื่องที่พี่วินบอกตอนเราจับคู่ซ้อมกันอยู่ล่ะ พี่หมายถึงเรื่องที่ผมจะได้เจอกับพี่จ๊อบมาพร้อมพี่แอมป์ใช่มั๊ยครับ แล้วยังเรื่องที่พี่รู้จักกับอาร์มอีก แถมผมยังสงสัยเรื่องที่พี่พูดกับครูวิชญ์อีกด้วยนะ นี่ผมงงไปหมดแล้วนะครับพี่ ผมเริ่มจะเครียดจริงๆจังๆแล้วนะ มันเยอะแยะไปหมดจนผมชักจะรับไม่ทันอยู่แล้ว”

“ใจเย็นๆเมฆ ก็ได้ พี่จะบอกให้ก็ได้ว่านับตั้งแต่วันแรกที่เมฆคุยกับพี่ พี่ก็จับตาดูทุกคนที่เมฆเอ่ยชื่อมาทั้งหมดอยู่ตลอด แน่นอนว่าโดยเฉพาะไอ้จ๊อบ และแค่นั้นมันก็บอกพี่ได้หลายๆอย่างแล้ว พี่ก็แค่พยายามคิดอะไรล่วงหน้าและไม่ขวางกระแสน้ำที่มันกำลังไหลอยู่เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้พี่คิดว่าพี่คงต้องเริ่มทำอะไรบ้างแล้วเหมือนกันก่อนที่เมฆจะมีปัญหามากไปกว่านี้”

“พี่คิดจะทำอะไรครับ”

“หาความจริง” พี่วินตอบกลับมาสั้นๆ

พี่วินส่งผมลงแค่ถนนแถวบ้านแล้วให้ผมนั่งแท็กซี่เข้าไปเองเพราะไม่อยากให้ผมมีปัญหากับซันมากไปกว่านี้ แต่ว่าแค่นี้ผมก็ไม่รู้แล้วล่ะว่าเราจะสามารถทะเลาะหรือมีปัญหาอะไรกันไปได้ยิ่งกว่าตอนนี้อีก เพราะแค่นี้ผมก็ไม่รู้แล้วว่าผมจะรับมือกับมันยังไง สงสัยไม่ใครสักคนคงต้องหนีไปนอนห้องของไคล์เหมือนเมื่อตอนอยู่อังกฤษที่พีต้องรับภาระดูแลพวกเราคนใดคนหนึ่งแทนอีกแล้วล่ะมั๊ง

“เกิดอะไรขึ้น” พ่อเอกถามผมทันทีที่ผมเปิดประตูบ้านเข้าไป “ทำไมถึงไม่ได้กลับมาพร้อมกันล่ะ มีปัญหากันอีกแล้วหรือไง”

“ก็นิดหน่อยครับพ่อ พ่อไม่ต้องคิดมากหรอก” ผมเดินไปนั่งลงที่โซฟาข้างๆพ่อ “ว่าแต่นี่พ่อกินข้าวรึยัง”

“ยังเลย ก็รอเราสองคนนี่แหละ แต่ซันบอกว่าเค้าไม่หิวแล้วและจะขอตัวนอนเลย ไหน มีปัญหาอะไรอยากจะเล่าให้พ่อฟังรึเปล่า”

ผมถอนหายใจเบาๆด้วยความเหนื่อยใจ “ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ เรื่องงี่เง่าๆน่ะ ผมขอโทษนะครับ แต่ถ้าเกิดผมพูดออกมาอีก ผมก็คงจะต้องโมโหออกมาอีกแน่ๆน่ะ นี่ผมก็อุตส่าห์เย็นลงไปเยอะแล้ว”

“ก็แล้วแต่เราก็แล้วกัน พ่อก็แค่ไม่อยากเห็นลูกสองคนทะเลาะกันเลย โดยเฉพาะเมฆน่ะ.........”

“ผมเหรอครับ” ผมสงสัย

“ใช่ พ่อไม่อยากเห็นเมฆต้องโมโห เพราะพ่อรู้ว่าเราน่ะโมโหแรงแล้วมักจะไม่ค่อยยอมฟังใครนักหรอก ส่วนซันก็เป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นส่วนมากแล้วเมฆจึงเป็นคนที่ต้องรับหน้าที่เหมือนเป็นน้ำเย็นนะ เข้าใจมั๊ย”

“ผมเข้าใจครับพ่อ แต่บางทีมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน” ผมส่ายหน้า “มันเองก็เอาแต่ร้อน ไม่ยอมฟังอะไรผมเลย ผมเองก็คนนะ เย็นไม่ได้ตลอดเวลานักหรอก”

“เมฆเองก็รู้ว่าซันไม่ได้เอาแต่ร้อนตลอดเวลาขนาดนั้น ลองถามตัวเองดูดีๆสิ” พ่อเอกตบบ่าของผมเบาๆแล้วมองตาของผม “เมฆจำได้รึเปล่าว่าเมฆเคยบอกพ่อว่าเมฆอยากจะเป็นคนดูแลพ่อถึงได้ขอเรียนเทควันโด และ พ่อเองก็เคยสอนเมฆว่า เมฆจะต้องใช้ความสามารถที่เมฆมีเพื่อช่วยคนอื่น ไม่ใช่เอาไปทำร้ายคนอื่น......... หรือแม้แต่ทำร้ายตัวเอง” พ่อยกมือข้างขวาของผมที่มีแผลอยู่ขึ้นมา “เมฆเคยรับปากพ่อไว้แล้วนะ”

“ผม..... ผมขอโทษครับ คือ ตอนนั้นมันก็.........”

“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ พ่อว่าเราไปกินข้าวกันได้แล้วล่ะ เดี๋ยวเหลืออะไรไว้ให้ซันเค้าหน่อยก็แล้วกัน เพราะถ้าดึกๆเค้าเกิดหิวขึ้นมาก็จะได้ลงมาหาอะไรกินได้”

ผมกับพ่อเอกนั่งกินข้าวด้วยกันสองคน เราพยายามหลีกเลี่ยงไม่ได้คุยถึงปัญหาของผมกับซันมากนัก และพ่อเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมากมายด้วย ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกใจเย็นลงได้มากขึ้นเช่นกัน แต่ว่าถึงยังไงก็ตาม จิตใจของผมมันก็หมกมุ่นไปอยู่กับไอ้คนที่กำลังนอนอยู่บนชั้นสองเรียบร้อยแล้ว

“ไปซะ คุยกันให้ดีๆ แล้วก็ใจเย็นๆ เข้าใจมั๊ย” พ่อเอกกำชับผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะแยกย้ายกันขึ้นห้อง

ผมเดินขึ้นไปหยุดอยู่หน้าห้องเห็นไฟในห้องปิดหมดแล้ว ผมเลยเปิดประตูเข้าไปช้าๆ และก็เป็นอย่างที่คิด นั่นก็คือเห็นไอ้ซันกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงท่าทางจะไม่รู้ตัวเลยว่าผมกลับมาแล้ว แต่ผมรู้ว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่ ผมจึงเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้นและหันไปปิดล็อกประตู

“พี่วินเป็นพี่ที่สนิทกับพ่อกูมาก และพ่อกูก็เป็นคนที่บอกให้พี่วินเข้ามาช่วยกูจัดการและดูแลในเรื่องนี้ด้วย นั่นก็คือเรื่องพี่จ๊อบนั่นแหละ ส่วนเรื่องอาร์มมันก็จะไปมีห่าอะไร ไอ้พี่จ๊อบมันก็ปากดีไปเท่านั้นเอง อยากหาทางให้กูกับมึงทะเลาะกันใจจะขาดแล้ว และสุดท้ายมันก็ทำสำเร็จด้วยสิ.........” ผมยืนเอาหลังพิงประตูแล้วพูดขึ้น “ตอนนี้นัทก็บอกกูออกมาแล้วว่าพี่จ๊อบกำลังพยายามจะหาทางเลิกกับนัทอยู่ ซึ่งแน่นอนว่ากูก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความไว้วางใจกัน กูเองก็อยากให้มึงไว้ใจกูนะ แต่ดูเหมือนมันจะยากเกินไปจริงๆ.........”

ยังไม่คงมีเสียงตอบกลับมาจากไอ้ซัน

“กูถามพี่จ๊อบแล้ว และมันก็ยอมรับออกมาแล้วด้วยว่ามันกำลังอยากจะเลิกกับนัทจริง เพราะฉะนั้นกูถึงได้กำลังเครียดมาก กูไม่รู้จะทำยังไงดี กูหวังว่ามึงจะเข้าใจกู......... แต่ดูท่าทางแล้วมันคงจะยากสินะ ซัน..........” เมื่อพูดจบผมก็เปิดประตูห้องออกไปแล้วเดินเข้าไปยืนพิงประตูอยู่ในห้องน้ำ ถอนหายใจ และสับสนว่าผมพูดกับไอ้ซันไปอย่างนั้นมันจะดีแล้วจริงๆหรือเปล่า เพราะถึงยังไงผมก็ไม่สามารถบอกมันเรื่องรูปถ่ายของนัทได้จริงๆ และถ้าบอกเรื่องรูปถ่ายของนัทไม่ได้ ผมก็ยิ่งพูดเรื่อง “ข้อเสนอ” ที่พี่จ๊อบยื่นให้ผมวันนี้ไม่ได้เข้าไปใหญ่

ตอนนี้ตัวเลือกของผมดูเหมือนจะมีแค่เพียงสองทางเท่านั้น นั่นก็คือระหว่างถ้ายังอยู่กับไอ้ซัน รูปถ่ายของนัทก็จะถูกนำไปใช้ในทางไหนที่ผมก็สุดที่จะเดาได้ กับ ผมต้องเริ่มห่างจากซันมากขึ้น โดยการที่บอกให้มันไปนอนที่คอนโดคนเดียวก่อน แต่ถ้าทำแบบนั้น ผมก็ไม่รู้อีกว่าเวลาเราห่างตากัน มันจะมีเหตุการณ์อะไรมาสั่นคลอนความเชื่อใจกันและกันของเราอีกบ้าง เพราะพี่จ๊อบเองก็คงไม่ได้พอใจกับเรื่องแค่นี้แน่นอน ที่สำคัญคือถ้าผมยอมทำตามเงื่อนไขนี้แล้ว ผมมั่นใจว่ามันจะต้องมีเงื่อนไขอื่นๆมามัดมือปิดปากผมต่ออีกแน่นอน

ผมกำหมัดแน่น รู้สึกถึงความโกรธที่เริ่มปะทุขึ้นมาในใจอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่ผมเริ่มมองเห็นทางออกที่สามที่มันพอจะเป็นไปได้ นั่นก็คือ..... พี่วิน

ใช่แล้ว ถ้าพี่วินเป็นคนจัดการเรื่องนี้ล่ะก็........ ถ้าพี่วินช่วยผมดูแลเรื่องพี่จ๊อบรวมถึงเรื่องรูปถ่ายทั้งหมดให้ล่ะก็..........

“ไม่ได้!” ผมสะบัดหัว “มันอันตรายเกินไป ถ้าพีวินลงมือด้วยตัวเองล่ะก็ มันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ แถมนี่มันเป็นปัญหาที่เราต้องจัดการด้วยตัวเองด้วย เราจะไปพึ่งพาใครคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด”

“เมฆ” เสียงไอ้ซันดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูห้องน้ำ ผมจึงหันไปเปิดประตูออก และทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ไอ้ซันก็ก้าวเข้ามาในห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่ในมือทันที

“อะไรของมึงเนี่ย”

“มึงจะอาบน้ำแต่ไม่เอาผ้าเช็ดตัวเข้ามา แล้วมึงจะอาบยังไง” ไอ้ซันพูดไปพลางถอดเสื้อออกไปพลาง “เอ้า รีบๆถอดดิ่ กูง่วงแล้ว อยากนอน”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “แล้วมึงจะไม่กินข้าวรึไง”

“ไม่กินแล้ว กินอย่างอื่นแทนดีกว่า.........” ไอ้ซันเดินเข้ามากอดผมแล้วจูบลงที่หน้าผากผมเบาๆ เราสองคนสบตากันเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง “กูขอโทษนะ”

ผมยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับมัน “ไปอาบน้ำกันเถอะ...........”

หลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จและขึ้นมานอนอยู่บนเตียงด้วยกันแล้ว ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมเราทั้งสองคนอีกครั้ง ถึงจะไม่ต้องพูดออกมา แต่ผมก็รู้ดีว่าในใจของมันเองตอนนี้ก็คงว้าวุ่นไม่แพ้ผมเช่นกัน หลากหลายความคิด หลากหลายความสับสนล้วนแต่วิ่งผ่านเข้ามาในใจของผมจนผมเริ่มรู้สึกอึดอัด ความไม่แน่นอนและปัญหาที่ดูราวกับไร้ทางแก้ไขที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมันชักทำให้จิตใจของผมเริ่มหม่นหมองและเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจและไม่เคยสับสนเลยนั่นก็คือ ผมรักไอ้ซันมากมายเหลือเกิน.......

ผมหันไปมองหน้ามันที่กำลังนอนลืมตาอยู่ในความมืดและยิ้มออกมาจางๆ ถึงตอนนี้เราสองคนจะดูมีปัญหาให้ต้องแก้ไขจัดการมากเหลือเกิน แต่ทว่าสิ่งๆหนึ่งที่ผมรู้สึกสบายใจและวางใจมากที่สุดก็คือ ความรักที่เราสองคนมีให้แก่กัน....... ผมรู้ดีว่ามันเองก็กำลังรู้สึกเช่นเดียวกันนี้กับผมด้วยเหมือนกัน เพราฉะนั้นผมจึงมั่นใจว่าไม่ว่าปัญหาที่เข้ามามันจะยากเย็นหนักหนามากสักเพียงใด ตราบเท่าที่เรามีกันและกัน ตราบเท่าที่เรายึดมั่นในความรัก คำสัญญา และยังคงมีความไว้วางใจมอบให้กันอยู่ตอลดเวลา เราจะต้องผ่านพ้นมันไปได้แน่ๆ

ใช่เ ราจะต้องผ่านพ้นมันไปได้ ผมรู้ดี....... ถ้าหากความรักของเราสองคนเปรียบเป็นดั่งก้อนเมฆที่รักท้องฟ้า และท้องฟ้าที่คอยโอบอุ้มหมู่เมฆ ความสำคัญที่เรามีกันและกัน มันก็คงไม่ต่างไปจากความเป็นนิรันดร์ที่ท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะต้องลอยอยู่เคียงคู่กันไปตลอดเวลา ไม่มีวันที่สิ่งอื่นสิ่งใดจะมาทำลายเราสองลงได้ ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าของท้องฟ้าที่ต้องลาจากแสงอาทิตย์ในยามเย็น ความหนาวใจของหมู่เมฆท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน หรือความร้อนแรงแผดเผาของแสงแดดที่ส่องทะลุฟ้าที่ไร้เมฆลงมายังพื้นดิน....... ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญไปกว่าทุกๆวินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน ไม่มีความสวยงามและความยิ่งใหญ่ใดจะมาสำคัญไปกว่าความผูกพันที่เรามีให้กันและกัน และไม่มีความงดงามใดที่จะแบ่งกั้นทุกข์สุขของเราสองคนออกจากกันได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเส้นขอบฟ้าที่สวยงามและมีบทบาทอย่างใหญ่หลวงของท้องฟ้ากับทุกสรรพสิ่งก็ตาม

เพราะว่าเราสองคนคือท้องฟ้ากับก้อนเมฆที่จะไม่มีวันจากกัน ไม่ว่าวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆไปจะเป็นเช่นไรก็ตาม.......

“กูไปคุยกับพี่แอมป์มาว่าทำไมเค้าถึงมากับพี่จ๊อบได้น่ะ” ไอ้ซันเป็นฝ่ายเริ่มทำลายความเงียบลงก่อน “พี่เค้าบอกว่าพี่จ๊อบเองนั่นแหละที่เป็นคนพาอาร์มไปสมัครที่นั่นตั้งแต่แรก แล้วเค้าก็ตั้งใจจะไปหาอาร์มอยู่แล้วมั๊ง ก็เลยนัดพี่แอมป์ออกไปพร้อมๆกัน”

“พี่จ๊อบเป็นคนพาอาร์มไปสมัครที่นั่นงั้นเหรอ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ พี่แอมป์เค้าบอกมาแบบนั้นนะ คือ พี่เค้าเองก็บอกว่าเค้าก็ไม่ได้รู้จักได้คุยอะไรกับพี่จ๊อบนักหรอก แต่ไอ้ตอนวันเกิดมึงนั่นแหละ ที่เค้ากับอาร์มได้คุยกับพี่จ๊อบมากขึ้นนิดหน่อย แล้วหลังจากนั้นก็มีติดต่อกันนิดนึง แต่ส่วนมากก็จะเป็นอาร์มแหละมั๊ง เพราะพี่จ๊อบเป็นคนเสนอพาอาร์มไปสมัครเรียนที่เดียวกับมึงตั้งแต่คืนวันเกิดมึงคืนนั้นแล้ว”

“กูไม่รู้เรื่องเลยว่ะ คือ....... กูไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จากปากอาร์มเลยนะ” ผมนิ่งหน้าในความมืดเล็กน้อย “เรื่องนี้มันก็แปลกดี.......”

“ก็นั่นน่ะสิ” ไอ้ซันเห็นด้วย “แล้วมึงล่ะ คุยอะไรกับมัน แล้วเรื่องอาร์มน่ะ มึงบอกกูได้มั๊ยว่ามันยังไงกันแน่”

“กูก็ถามพี่จ๊อบมันเหมือนกันว่ามาได้ยังไง แต่แม่งไม่ตอบ เสือกตอบแบบกวนตีนๆกู กูก็เลยโมโหดิ่ แถมยังพูดจาเรื่องนัทแบบเหี้ยๆอีก เหมือนแบบอยากเลิกเหลือเกินแล้วอะไรของแม่งน่ะ กูก็เลยยิ่งฉุนหนัก”

“ที่มึงไปหานัทเมื่อวันก่อนน่ะเหรอ”

“ใช่ ส่วนเรื่องอาร์มน่ะ ก็ไม่ได้มีเหี้ยอะไรจริงๆ นานๆทีอาร์มเค้าก็จะโทรมาคุยกับกูบ้างเท่านั้นเอง ไคล์เองก็รู้ ดูเหมือนน้องมันจะติดตาติดใจกูตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ระยองแล้วน่ะ แต่ก็คงไม่ได้คิดอะไรกับกูถึงขนาดนั้นหรอกมั๊ง ออกแนวปลื้มๆมากกว่า อันนี้กูค่อนข้างมั่นใจว่ะ”

“มึงแน่ใจนะ”

“อืมม แล้วก็ถึงเค้าจะคิดอะไรกับกูมากมายเกินคำว่าพี่น้อง มันก็ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นอยู่แล้วอ่ะ ก็มันเห็นๆกันอยู่ว่ากูยังมีมึงแบบนี้ แถมถ้าไคล์มันรู้อะไร มันก็ต้องช่วยพูดช่วยห้ามอยู่แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้อาร์มมันก็สนิทกับไคล์มากขึ้นเยอะแล้วด้วย”

“สรุปคือกูคิดมากไปเองใช่มั๊ย กูไม่ต้องกังวลอะไรใช่มั๊ย เมฆ”

“มึงไม่ต้องกังวลอะไรหรอก.......” ผมเขยิบเข้าไปหอมแก้มมันเบาๆ “ท้องฟ้าจะเชื่อใจก้อนเมฆเหมือนที่ก้อนเมฆเชื่อใจท้องฟ้าได้มั๊ยล่ะครับ ฮึ”

“ซันเชื่อใจเมฆครับ....... แต่ว่า.......”

“ไม่ต้องมีแต่แล้ว” ผมรีบแย้ง “ตราบใดที่เราซื่อสัตย์ต่อกันและกัน ปัญหามันก็จะไม่มี จริงมั๊ยครับ”

ไอ้ซันพยักหน้าออกมาเบาๆเป็นคำตอบ

“เออ จะว่าไปวันนั้นที่ซันไปหาเมฆที่ออฟฟิศอ่ะ แล้วตอนเรากินข้าวกัน ซันเป็นไรวะ ทำไมดูท่าทางแปลกๆ”

“อ๋อ ตอนนั้น.........” ไอ้ซันทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย “ก็คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ แล้วก็ ไม่รู้สิ....... จู่ๆมันก็คิดอะไรขึ้นมาได้น่ะ ก็เลยอยากรีบกลับ และเลยจะได้รีบมาทำกับข้าวให้มึงกินด้วยไง”

“นี่ มึงไม่ต้องปิดบังกูแล้วได้มั๊ย ซัน........ บอกความจริงกูมาเถอะ นี่เราก็คุยเปิดอกกันหมดแล้วนะ”

“มันก็ไม่ได้มีอะไรหรอก สุดท้ายแล้วกูก็แค่คิดไปเองน่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องใส่ใจหรอก เมฆ” ไอ้ซันหันตะแคงตัวมากอดผม

“แต่กูก็อยากให้มึงบอกความจริงกูจริงๆซักทีแล้วเหมือนกันนะ เพราะว่าถ้ามีอะไรเราก็จะได้ช่วยกันแก้ไขได้ไง”

“นี่แหละกูกำลังบอกความจริงมึงไปหมดทุกอย่างแล้ว” ไอ้ซันหอมแก้มผม “ถ้ามันมีอะไรร้ายแรงหรือไม่ไหวจริงๆ มีหรือที่กูจะไม่บอกมึงน่ะ ฮึ”

เมื่อได้ยินอย่างนั้น คำพูดที่ผมเคยคุยกับไอ้เอ็นเอาไว้ก็ดังก้องขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้งทันที ใช่แล้ว ผมเคยพูดไว้แล้วนี่นะว่าผมจะไม่เร่งรัดอะไรมัน ผมพูดเอาไว้ทั้งกับไอ้เอ็นและตัวผมเองแล้วว่าผมจะรอจนกว่ามันจะพร้อม และผมจะเชื่อใจมันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม..........


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-02-2008 22:19:54
เอาละซี แต่ละคนน่าสงสัยทั้งนั้น
แต่จ๊อบนี่ท่าทางจะออกนอกหน้าเลยนะ  :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 21-02-2008 01:23:11
มาดันพี่ชายๆๆๆ

น้องชายจะตายอยุ่แร้ว หลายเรื่องมากมายเรยอ้ะพี่  :serius2:

โดยเฉพาะเรื่องเรียน ฟิสิกส์อ้ะ เป็นครั้งแรกที่ตกมีนมา 18.2 คะแนน

อ๊าากกกกซ์ซ์ น้องจะตายแล้วพี่ ช่วยด้วย  :o12:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 22-02-2008 00:57:01
อืมมม เรื่องราวสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ... ไอ่พี่จ๊อบก็กวนตรีนซะเหลือเกิน  o12 เลวซร้า

... แล้วตกลงว่า .... การมีความลับต่อกัน เล็กๆน้อยๆ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากเนี่ย มันดีหรือไม่ดีกันแน่หว่า?

ไอ่แบงค์ ... ไอ้น้องอาร์ม ... ไอ่พี่จ๊อบ .... พี่วิน ... อืมมม คนเยอะเรื่องแยะนิ จะเป็นไงต่อเนี่ย ...

เอาเป็นว่า .... ขอให้ต้นกะทึ่มมีความสุขมากๆละกันนะ 555+ โยงมาได้ไงเนี่ย .... ต้นไม่อยู่หลายวันคงคิดถึงแย่ แล้วกลับมาเขียนเร็วๆเน้อ  :oni1:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 22-02-2008 01:14:49
แวะมาดันกระทู้พี่ชายเล่นๆ
รึว่าพี่ชายอยากให้ดันอย่างอื่น  :m20:

อย่ามัวแต่แรดนานล่ะ
สงสารพี่ทึ่มสุดรักของผม
555+  :m20:

แร้วจาได้กลับมาวันไหนเนี่ย
- -"

ปล. ช่างกล้านะพี่ชาย "เช็ดโด้" เนี่ยยยยยยยยย  :m16:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 24-02-2008 21:05:22
วินาทีที่ 34


วันถัดมาหลังจากที่เรานัดเจอพี่วิน ไอ้ซันก็ซื้อรถคันใหม่ให้ตัวเองอย่างที่มันตั้งใจเอาไว้ โดยที่มันเอารถไปจอดไว้ที่คอนโดของตัวเองก่อน และยังคงใช้รถของพ่อเอกอยู่เหมือนเดิม นอกจากนั้นผมกับมันก็ไปสมัครที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งด้วยกันและตั้งใจไว้ว่าถ้าตอนเย็นเราว่างตรงกันเราก็จะมาเจอกันที่นี่ก่อนกลับบ้าน ถึงแม้ว่าการที่ผมทำแบบนี้มันจะยิ่งดูเหมือนผมปฏิเสธข้อเสนอของพี่จ๊อบเข้าไปใหญ่ แต่ตัวพี่จ๊อบเองก็ไม่ได้ติดต่อ เรียกร้อง หรือออกมาโวยวายอะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงดูเหมือนกับว่าน่าจะกลับมาเป็นปกติดีแล้ว

จนกระทั่งคืนวันศุกร์มาถึง.......

“ตอนนี้น่ะเหรอ” ผมใช้หัวไหล่หนีบโทรศัพท์มือถือเอาไว้ขณะที่เดินไปคว้ากางเกงยีนส์มาสวมอย่างเร่งรีบ “แล้วเค้าว่ายังไงบ้าง ทุกอย่างโอเครึเปล่า”

“ก็ปกติดี แต่ว่านัทมันพูดอารมณ์แบบว่าอยากเจอมึงน่ะสิ กูถามอะไรมันก็ไม่ตอบ กูก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน” อีฟบอกผมผ่านทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงกังวลใจ “มันเกิดอะไรขึ้นวะ เมฆ”

“กูก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้มึงดูนัทไปก่อนก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวกูจะรีบไปหา มึงไม่ต้องกังวลไปหรอก”

“มึงแน่ใจนะว่ามึงมาได้น่ะ ไอ้ซันมันจะไม่ว่าอะไรเอาเหรอ แล้วยังพ่อมึงอีก”

ผมเงยหน้าขึ้นมองดูนาฬิกาบนผนัง “ไม่เป็นไรหรอก มันก็เพิ่งจะทุ่มเดียวเอง ไม่น่ามีปัญหา และที่สำคัญคือกูจะปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆก็ไม่ได้ใช่มั๊ยล่ะ”

“อืมม ถ้างั้นกูก็ขอบใจจริงๆนะเว้ยที่มึงอุตส่าห์จะมา แล้วก็ขอโทษด้วยที่กูช่วยอะไรไม่ได้เลย แถมยังทำให้มึงต้องลำบากอีก”

“ไม่ต้องขอโทษขอบใจอะไรทั้งนั้นแหละ กูนั่นแหละที่ต้องขอบใจมึงที่ช่วยดูแลนัทเค้าให้ ยังไงก็ฝากเค้าไว้ก่อนจนกว่ากูจะไปถึงก็แล้วกันนะ อีฟ”

ผมกดปุ่มวางสายและรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินลงมาชั้นล่างซึ่งพ่อกับไอ้ซันกำลังนั่งดูทีวีและพูดคุยกันอยู่

“อ้าว จะไปไหนล่ะเมฆ” พ่อเอกถามขึ้น “ไม่กินข้าวที่บ้านเหรอ”

“พอไคล์กลับมาถึงแล้วพ่อกับซันก็กินข้าวไปก่อนเลยก็ได้ครับ ผมคงกลับดึกหน่อยนะ” ผมตอบ จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซัน “เมื่อกี๊อีฟโทรมาแล้วบอกว่ามีเรื่องนิดหน่อยว่ะ กูก็เลยจะออกไปหามันนะ”

“เรื่องอะไรวะ จะให้กูไปด้วยรึเปล่า” ไอ้ซันพูดพลางขยับตัว

“เรื่องนัทน่ะ”

ไอ้ซันที่ตอนแรกทำท่าจะลุกขึ้นยืนกลับหยุดค้างอยู่กับที่และทิ้งตัวลงนั่งเหมือนเดิม “ถ้างั้นตามใจมึงก็แล้วกัน”

“แล้วกูจะรีบกลับนะ มึงไม่ต้องเป็นห่วงล่ะ”

“เออ มึงไปเหอะ” ไอ้ซันตอบโดยไม่ได้มองหน้าผมและหยิบมือถือที่วางอยู่ขึ้นมากดด้วย

“งั้นกูไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวกูจะโทรหาอีกที” ผมบอกมันก่อนจะหันไปหาพ่อเอก “งั้นผมไปก่อนนะครับพ่อ”

พ่อเอกพยักหน้าให้กับผมเล็กน้อย ผมจึงเดินออกจากบ้านมาที่โรงรถ และขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูรถนั่นเอง เสียงของพ่อก็ดังขึ้น

“เดี๋ยวก่อน เมฆ”

“ครับพ่อ”

พ่อเอกเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงดูออกว่ามันเป็นสีหน้าที่แสดงความห่วงใยเหนือสิ่งอื่นใดนั่นเอง “การที่เราจะมองย้อนไปทางด้านหลังน่ะ มันก็ไม่ได้ผิด แต่ก็อย่าลืมด้วยว่าใต้ฝ่าเท้าของเรามันคืออะไร และเบื้องหน้าของเรามันคือสิ่งไหน จำเอาไว้ให้ดีล่ะ........”

“ครับพ่อ.........”

ผมบอกขอบคุณพ่อเอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขับรถออกมา จากบ้านของผมไปบ้านของอีฟนั้นใช้เวลาประมาณสามสิบนาที ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เรียกว่าอยู่ไกลกันมากสักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากที่นี่คือกรุงเทพและแถมยังเป็นคืนวันศุกร์อีกด้วย จึงทำให้การจราจรบนท้องถนนค่อนข้างหนาแน่นพอสมควร และมันก็ทำให้จิตใจของผมว้าวุ่นมากขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย ไม่ใช่แค่เพราะผมเป็นห่วงนัท แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้สำหรับผมก็คือ ผมอยากจะรีบๆทำธุระให้เสร็จ อยากจะรู้เร็วๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็จะได้รีบกลับบ้านไปหาไอ้ซันเพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากนั่นเอง

เมื่อผมไปถึงที่บ้านของอีฟ อีฟก็รีบเดินเข้ามารับผมที่หน้าบ้านทันที “นี่มันเรื่องอะไรกันวะเมฆ ทำไมนัทถึงดูแย่ขนาดนั้นล่ะ”

“แล้วนี่นัทอยู่ไหน”

“อยู่ในบ้านกับไอ้แบ๊งค์แน่ะ โชคดีนะเนี่ยที่วันนี้บ้านกูไม่มีใครอยู่”

“แบ๊งค์มาด้วยเหรอ” ผมถามขณะที่เราสองคนกำลังเดินตรงเข้าไปในบ้าน

“อืม มาถึงตอนหลังกูวางโทรศัพท์จากมึงไปแป๊บเดียวเอง มันมาแถวนี้พอดีน่ะ ก็เลยเข้ามาเยี่ยม แล้วพอมันรู้ว่านัทอยู่ที่นี่แถมท่าทางไม่ค่อยดี มันก็เลยอยากเข้ามาดูอาการมาช่วยปลอบนัทด้วย”

ผมไม่ตอบอะไรแต่เดินตรงเข้าไปในบ้าน และที่ห้องนั่งเล่นนั่นผมก็เห็นนัทที่กำลังนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนโซฟา ส่วนไอ้แบ๊งค์เองก็นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวไม่ไกลกันนัก เมื่อทั้งสองคนเห็นผมเดินเข้าไป ไอ้แบ๊งค์ก็พยักหน้าเบาๆให้กับผม ส่วนนัทก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้ามากอดผมทันที

“เมฆ......... นัทไม่รู้จะทำยังไงดี นัทเครียดไปหมดแล้วจริงๆนะ...........” นัทพูดพร้อมกับร้องไห้ออกมา

“ใจเย็นๆก่อนนะนัท” ผมปลอบนัทพร้อมกับลูบหัวของนัทเบาๆ “ใจเย็นๆก่อนนะครับ”

“พ่อกับแม่นัทก็เริ่มถามแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเค้าดูออกแล้วว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกไป พวกเค้าต้องรู้แน่เลยเมฆ เค้าต้องรู้แน่ๆเลย”

“ไม่หรอก มันจะเป็นไปได้ยังไง นัท มันเป็นไปไม่ได้หรอก นัทก็รู้นี่ จริงมั๊ย” ผมดึงตัวนัทออกแล้วใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้นัทเบาๆ จากนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากตัวของนัท “นี่นัทกินเหล้าด้วยเหรอ”

นัทพยักหน้า “นิดหน่อยน่ะ”

ผมมองไปบนโต๊ะรับแขกก็เห็นทั้งขวดเหล้า ขวดโซดา โค้ก และน้ำแข็งวางอยู่ครบเลยทีเดียว จากนั้นจึงหันมามองหน้าอีฟเป็นเชิงตำหนิเล็กน้อย แต่อีฟเองก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“กูเป็นคนยกมาเองแหละ อย่าไปว่าอีฟเลย” ไอ้แบ๊งค์พูดขึ้น

“ก็นัทอยากกินนี่ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” นัทพูดขึ้นบ้าง

“แล้วกินไปมากรึยัง” ผมถาม “เพราะไม่งั้นแล้วนัทจะขับรถกลับบ้านไหวเหรอ”

“ไม่มากหรอก กูคอยดูอยู่เหมือนกัน” อีฟตอบ “เอางี้ ตอนนี้มึงสองคนคุยกันไปก่อนก็แล้วกันนะ นัท มีอะไรก็ใจเย็นๆล่ะ เข้าใจมั๊ย อย่าลืมล่ะว่าแกยังมีเราอยู่ตรงนี้น่ะ”

แบ๊งค์เดินเข้ามาตบบ่านัทเบาๆก่อนจะเดินตามหลังอีฟออกไปจากห้องนั่งเล่น ทิ้งเราสองคนเอาไว้ตามลำพัง และเมื่อสองคนนั้นเดินออกไปจนน่าจะไม่ได้ยินเสียงของเราแล้ว นัทก็เริ่มต้นเล่าให้ผมฟัง

“เมื่อวานนี้พี่จ๊อบโทรมาขอเลิกกับนัท.......”

“แล้วนัทว่ายังไง”

“นัทก็ตอบตกลงน่ะสิ” นัทพูดพร้อมกับเดินกลับไปนั่งลงบนโซฟา และเริ่มยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นจิบอีกครั้ง “ง่ายๆเลยด้วย เพราะถึงยังไงนัทก็ทนคบกับคนๆนี้ต่อไปไม่ได้อยู่แล้ว ถึงนัทจะแปลกใจนิดหน่อยก็เถอะนะ เพราะตอนแรกนัทคิดว่าที่เค้ามีรูปถ่ายพวกนั้นมันจะเพราะเค้าไม่อยากให้นัทเลิกกับเค้าต่างหาก”

ผมนึกถึงคำพูดที่พี่จ๊อบพูดกับผมเมื่อวันพุธที่ผ่านมาอีกครั้ง

“พ่อของพี่จ๊อบน่ะ อยากจะให้เราสองคนแต่งงานด้วยกันจะตาย แต่ก็ดีแล้ว ไหนๆเค้าก็บอกเลิกแล้ว นัทก็เลยตอบตกลงไปง่ายๆเลย แต่ว่า......... แต่ว่ารูปพวกนั้นมันก็ยังอยู่ที่พี่จ๊อบอยู่ดีนี่ คือนัทก็ไม่รู้หรอกว่ามันยังมีอีกรึเปล่า และนัทก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่จ๊อบรู้เรื่องที่รูปหายไปรึยัง แต่เมฆเข้าใจมั๊ยว่ามันเป็นไปได้ทั้งสองอย่างเลย และพอเป็นแบบนี้แล้วนัทจะสบายใจได้ยังไง นัทจะรู้มั๊ยว่าวันนึงเรื่องพวกนี้มันจะไม่หวนกลับมาทำร้ายนัทเข้าให้จนได้ เมฆ นัทจะทำยังไงดี ตอนนี้เราก็เลิกกันไปแล้ว แต่จะให้นัทบอกไปว่านัทอยากได้รูปพวกนั้นที่เหลือคืนมันก็ทำไม่ได้ และต่อให้นัททำได้ เค้าก็จะยอมคืนให้นัทรึเปล่านัทก็ไม่รู้อยู่ดี แล้วนัทจะทำยังไงล่ะ เมฆ นัทควรจะทำยังไงดี.........”

ผมอยากจะบอกนัทเหลือเกินว่าพี่จ๊อบรู้เรื่องหมดแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องที่นัทรู้เรื่องรูปถ่ายทั้งหมด และเรื่องที่พี่จ๊อบขอเลิกกับนัทก็เช่นกัน รูปถ่ายพวกนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อมัดมือนัทให้เลิกกับเขาเพียงอย่างเดียว แต่มันยังใช้ในการมัดมือของผมให้ตกลงแยกทางกับไอ้ซันด้วย และนั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการมีอยู่ของรูปถ่ายเหล่านั้น สรุปแล้ว นัทก็แค่ตกเป็นเครื่องมือของพี่จ๊อบในการที่จะแย่งผมมาจากไอ้ซันเท่านั้นเอง และต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด มันก็คือผมเพียงคนเดียว..........

เราสองคนนั่งคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ส่วนมากแล้วผมก็ทำได้แค่ปลอบใจนัทนิดหน่อยเท่านั้นเอง เพราะผมก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรมากไปกว่านั้นได้นัก เพราะสรุปแล้วนัทก็เป็นเหมือนแค่ตัวเบี้ยที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับพี่จ๊อบเลย หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ผมต้องตอบ “ตกลง” ให้กับข้อเสนอของพี่จ๊อบเพียงอย่างเดียว

คืนนั้นกว่าผมจะได้กลับบ้านก็ดึกมากแล้ว ดึกกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลยทีเดียว เพราะผมมัวแต่นั่งปลอบนั่งคุยกับนัท และดูแลไม่ให้นัทดื่มมากยิ่งไปกว่านั้น แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เพราะพอถึงสี่ทุ่มนัทก็เมามากจนขับรถเองไม่ไหว สุดท้ายนัทก็เลยต้องนอนที่บ้านของอีฟหนึ่งคืน

“จะห้าทุ่มแล้ว มึงรีบกลับเถอะไอ้เมฆ เดี๋ยวซันมันจะเป็นห่วงเอา” อีฟบอกผมหลังจากพานัทเข้าห้องนอนเรียบร้อยแล้ว

“จะว่าไปก็ไม่เห็นซันจะโทรตามเลยนี่ กูว่าแปลกดีนะ” ไอ้แบ๊งค์ตั้งข้อสังเกต

“ไม่แปลกหรอก นี่แหละมันล่ะ”

“อืม ก็คงจริงล่ะมั๊ง” อีฟพยักหน้าเห็นด้วย

“ไม่ใช่หรอก จริงๆปกติมันก็ต้องโทรมานั่นแหละ แต่ว่าวันนี้มันจะต่างออกไปจากปกติหน่อยน่ะ.......” ผมถอนหายใจเบาๆ เพราะผมรู้ดีว่าการที่มันไม่โทรมาตามหาผมนั้นเป็นเพราะมันกำลังไม่ค่อยพอใจผมอยู่นั่นเอง ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่ตัวผมหรอกที่มันไม่พอใจ แต่มันคงไม่พอใจกับสถานการณ์ทั้งหมดนี้มากกว่า “เอาเหอะ ถ้างั้นกูกลับก่อนเลยแล้วกันนะ ฝากดูแลนัทด้วยล่ะอีฟ ถ้ามีอะไรก็โทรบอกกูก็แล้วกัน โอเคนะ”

“ได้ๆ มึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“แล้วมึงล่ะกลับยังไง ไอ้แบ๊งค์”

“อืมมม ก็คงนั่งแท็กซี่ว่ะ กูไม่ได้ขับรถมาด้วยดิ่”

“งั้นมึงออกไปกับกูเลยก็ได้ เดี๋ยวกูไปส่ง จะลงตรงไหนก็บอกก็แล้วกัน” ผมบอก

เราสองคนบอกลาอีฟและนั่งรถออกมาด้วยกันเงียบๆครู่ใหญ่ๆ ผมรู้ว่าบ้านของไอ้แบ๊งค์มันอยู่ที่ไหน และเริ่มต้นจากบ้านของอีฟไปมันก็จะเป็นทางเดียวกับทางกลับบ้านของผมราวๆครึ่งทาง เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วไอ้แบ๊งค์มันก็ไม่จำเป็นต้องบอกผมก็ได้ว่ามันจะลงตรงไหน แต่ว่าผมก็ไม่ค่อยอยากจะนั่งเงียบๆอยู่กับมันแบบนี้สักเท่าไหร่จริงๆ

“มึงลงตรงก่อนถึงสามแยกเหมือนเดิมใช่มั๊ย” ผมถามขึ้น

“อืม ใช่ๆ มึงจำได้ด้วยเหรอ”

“จะว่าไปกูว่ากูก็จำบ้านพวกมึงได้เกือบหมดทุกคนนะ แปลกดีเหมือนกัน”

“ไม่แปลกหรอกมั๊ง เพราะว่ามึงเป็นคนแคร์คนอื่นมากไง มึงเลยจดจำรายละเอียดของคนอื่นๆได้เยอะน่ะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกว่ะ”

“กูว่าก็จริงนะ ดูอย่างวันนี้สิ พอมึงรู้ว่านัทกำลังไม่สบายใจ มึงก็รีบมาหานัทเลยแบบเนี๊ย กูว่านัทคงดีใจน่าดู แต่จะว่าไปกูก็นึกไม่ออกเลยนะว่าตอนที่มึงคบกันทำไมมึงถึงทะเลาะกันบ่อย และทำไมมึงถึงเลิกกันได้น่ะ”

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปฟื้นฝอยมันเลย แบ๊งค์”

“โทษทีๆ กูไม่ได้ตั้งใจ....... ว่าแต่แล้วซันรู้รึเปล่าว่ามึงออกมาหานัทน่ะ”

“รู้ กูบอกมันแล้ว ปกติมีอะไรกูก็บอกมันตลอดทุกเรื่องอยู่แล้วว่ะ เพราะกูไม่อยากจะมาผิดใจกันทีหลังมากกว่า”

“อืมมม งั้นเหรอ.........” แบ๊งค์เงียบลงไปท่าทางใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “จริงๆก็น่าอิจฉามึงเหมือนกันเนอะ”

“มึงจะอิจฉากูทำไม สักวันนึงมึงก็ต้องมีคนของมึงเหมือนที่กูมีนั่นแหละ ไอ้แบ๊งค์”

“เฮ้ย กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น คือกูไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้มันฟังดูเหมือนกูอิจฉามึงและอยากได้แฟนแบบไอ้ซันอะไรแบบนั้นนะ”

“กูรู้..........” ผมพูดออกไปแบบแปลได้ทั้งสองความหมาย “เอาล่ะ มึงลงตรงนี้ก็แล้วกันนะ ถึงแยกพอดี โทษทีนะที่กูไปส่งมึงใกล้กว่านี้ไม่ได้ เพราะกูรีบว่ะ”

“ไม่เป็นไร กูเข้าใจ ขอบใจมากนะเมฆ”

“กลับบ้านดีๆก็แล้วกัน” ผมพูดพร้อมกับหยุดรถลงที่ข้างทางก่อนถึงทางสามแยกที่ผมต้องขับตรงเลยไปข้างหน้า ส่วนไอ้แบ๊งค์ต้องเลี้ยวขวา โชคดีที่ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ผมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องรถข้างหลังมากนัก

หลังจากที่ไอ้แบ๊งค์ลงจากรถไปแล้ว ผมก็กดมือถือโทรเข้าเบอร์ของพี่จ๊อบทันที และหลังจากนั่งฟังเสียงเพลงรอสายอย่างอดทนอยู่พักหนึ่ง พี่จ๊อบก็รับสายด้วยน้ำเสียงที่พอได้ยินแล้วผมก็รู้ชัดแจ้งแก่ใจเลยว่าทำไมไอ้ซันถึงเรียกเขาว่า “ไอ้ปลาไหล”

“ว่าไงครับ เมฆ มีธุระอะไรสำคัญรึเปล่า โทรมาซะดึกเชียว”

“ผมโทรมาเรื่องคำตอบ...........”

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 24-02-2008 21:07:07
เฮ้ออ เหนื่อยจัง T__T

ใกล้และนะคับ อีกไม่กี่ตอนก้อถึงตอนสำคัญแล้ว
และใบ้ให้นิดนึงก่อนอ่านว่า มันจะเปลี่ยนๆไปนิดหน่อบนะคับ ถ้าอ่านแล้วงงๆก้ออย่างงล่ะ (เอ๊ะ ยังไง)

^__^

ไปนอนดีกั่ว เหนื่อยมากมายยยย  :sad2:

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 24-02-2008 21:11:29
จิ้มตูด....ต้นน้องรักก่อนเลย :m1: :m1: :m1:

ให้รอซะหลายวันเชียวนะ

คิดถึงจัง..จุ๊ฟฟฟฟฟฟ

ปล..เหนื่อยนักก็พักก่อน  เดี๋ยวพี่ดูแลเจ้าทึ้มให้   อิอิ

แล้วคืนนี้จะมีแรงเหรอน้องรัก
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 24-02-2008 23:20:10
จิ้มตูด....ต้นน้องรักก่อนเลย :m1: :m1: :m1:

ให้รอซะหลายวันเชียวนะ

คิดถึงจัง..จุ๊ฟฟฟฟฟฟ

ปล..เหนื่อยนักก็พักก่อน  เดี๋ยวพี่ดูแลเจ้าทึ้มให้   อิอิ

แล้วคืนนี้จะมีแรงเหรอน้องรัก

บร้าา พูดเหมือนรู้ใจ
เอาไว้ค่อยโทรไปเม้าถ้าสำเร็จ (ฮา)

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ryuse ที่ 25-02-2008 15:37:19
ถึง คุณเพชรฌฆาต


ตามอ่านมาตั้งแต่เมื่อคืน พึ่งจบตอนล่าสุดไปหมาดๆ อยากถามแบบสุดใจแค่คำถามเดียว

อยากรู้ว่าแบ๊งนอนกับซันหรือเปล่า ช่วยตอบทีเถอะ ถ้าเกิดคำตอบจะมีอยู่ในตอนต่อๆไปก็

รบกวนบอกทีครับ คาใจมันอยู่เรื่องเดียวเนี่ยแหละ เพราะเรื่องที่แฟนตัวเอง

ไปมีอะไรกับคนอื่นที่ถึงแม้จะทำไปเพราะความเมา ผมก็ไม่เคยจะชอบเลยมีแต่คำว่า 'เสียใจ' เป็นคำตอบ

ให้กับคำขอโทษที่เขาพูดมา :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-02-2008 19:02:38
เอาละซี สงสัยคงต้องตอบตกลงกับพี่จ๊อบละมั้ง  :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-02-2008 19:15:02
วินาทีที่ 35


หลังจากผมวางโทรศัพท์จากพี่จ๊อบแล้ว ผมก็กดโทรศัพท์เข้าหาพี่วินเพื่อที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอีกครั้งเพราะผมเคยสัญญากันเอาไว้แล้วว่าผมจะต้องคอยเล่าเรื่องต่างๆให้พี่เขาฟังตลอดเวลา และเมื่อผมเล่าจบ พี่วินก็พูดออกมาเพียงประโยคเดียวก่อนจะวางสายไปว่า.......

“รีบกลับบ้านซะ”

เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็เล่าให้ไอ้ซันฟังว่าผมไปทำอะไรมาบ้าง และบอกมันไปว่านัทกับพี่จ๊อบกำลังจะเลิกกันจริงๆแล้ว ซึ่งไอ้ซันก็รับฟังและไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมามากนัก แต่สิ่งที่มันรู้สึกกังวลจริงๆก็คงจะมีอยู่เพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือเรื่องของพี่จ๊อบนั่นเอง

“กูสัญญา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กูกล้าพูดได้เต็มปากแบบสุดๆเลยว่า กูไม่มีทางคิดเหี้ยอะไรกับมันแน่ กูเกลียดมัน และกูก็เข้าใจดีแล้วด้วยว่าทำไมมึงถึงได้ไม่ชอบมัน ดังนั้นไม่มีวันที่กูจะไปลงเอยหรือทำอะไรให้มึงไม่สบายใจเด็ดขาด ซัน..........”

เช้าวันต่อมา ผมก็โทรหาอีฟเพื่อถามว่านัทเป็นยังไงบ้างแล้ว แต่คำตอบที่ผมได้รับก็ต้องทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้งเมื่ออีฟบอกว่านัทกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วโดยเรียกแท็กซี่กลับไปเองหลังจากผมกับแบ๊งค์ออกไปได้ไม่นาน

“แล้วเค้ากลับไปได้ไงวะ ทำไมมึงไม่ให้เค้านอนที่บ้านมึง”

“กูก็บอกมันแล้ว” อีฟเถียงกลับ “แต่มันบอกว่าถ้าเกิดมันไม่กลับ พ่อมันเอาตายแน่ แถมมันบอกว่ามันไม่ได้เมามากด้วย มันก็เลยขึ้นแท็กซี่กลับไปเองน่ะ ส่วนรถเดี๋ยวมันค่อยกลับมาเอาวันนี้ตอนบ่ายๆเย็นๆมั๊ง”

“แล้วมึงได้โทรไปเช็ครึเปล่าว่านัทกลับถึงบ้านปลอดภัยมั๊ยน่ะ”

“โทรแล้ว ก็ปลอดภัยดี

“เออ ถ้างั้นก็คงโอเคแล้วมั๊ง งั้นเดี๋ยวกูลองโทรไปหาเค้าดูอีกทีดีกว่า”

“ไม่ต้องหรอก ไอ้เมฆ นี่มันเพิ่งจะแปดโมงเช้าเองนะเว้ย โทรไปกวนมันเปล่าๆ แถมที่สำคัญเมื่อคืนมันกลับถึงบ้านมันก็พอแล้ว มึงไม่ต้องไปอะไรกับมันมากนักหรอก บอกตามตรงนะ มึงดูเหมือนถ่านไฟเก่าจะรีเทิร์นมากๆเลยนะ รู้ตัวมั่งรึเปล่า”

“มึงพูดเหี้ยอะไร ไอ้บ้า”

“มึงอาจจะไม่รู้ตัว แต่นี่มันเป็นสิ่งที่คนนอกเห็นนะ เมฆ คือกูรู้ว่ามึงเป็นคนใจดีแคร์เพื่อนๆ และมึงเองก็บริสุทธิ์ใจมากด้วย กูไม่สงสัยหรอก แต่มึงก็ระวังไว้หน่อยด้วยว่าจุดยืนของมึงอยู่ตรงไหน มึงมีซันแค่คนเดียว แต่นัทมันยังมีเพื่อนอีกหลายคนนะเว้ย รวมทั้งกูด้วย เพราะงั้นมึงคิดดูให้ดีๆว่ามึงควรจะเลือกที่จะปฏิบัติตัวยังไงมันถึงจะกำลังดี”

หลังจากวางโทรศัพท์จากอีฟแล้วผมก็ได้กลับมานั่งคิดทบทวนอีกครั้ง ทั้งๆที่ใจและเจตนาของผมมันบริสุทธิ์มากๆแท้ สิ่งที่ผมมีและทำให้นัทมันไม่ได้มีอะไรมากเกินกว่าคำว่าเพื่อนเลยแม้แต่น้อย แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้ยินคำเตือนออกจากปากคนอื่น........ ไม่สิ อาจจะเป็นครั้งที่สามแล้วด้วยซ้ำ ถ้านับคำพูดสั้นๆแต่ได้ใจความของพี่วินที่บอกให้ผมรีบกลับบ้านเมื่อคืนเข้าไปด้วย

หรือว่าผมกำลังจะข้ามเส้นๆนั้นไปโดยไม่ได้เจตนาและไม่รู้ตัวเลยจริงๆ ความเป็นคนใจอ่อนของผมมันจะส่งผลร้ายให้แก่ผมได้มากถึงเพียงนั้นเลยจริงๆหรือ

“ศิลา” เสียงของไคล์เรียกผมให้หลุดออกมาจากห้วงความคิด

“หือ ว่าไง”

“ตกลงวันนี้ใครจะพาผมไปล่ะ ซันหรือศิลา”

“หา ไปไหนเรอะ” ผมถาม

“ไปที่โมเดลลิ่งตอนบ่ายไง ไปหาพี่บอลกับพี่แอมป์ด้วยมั๊ง” ไอ้ซันที่เดินออกมาจากในครัวตอบ “ไปถ่ายรูปให้หนังสือเพื่อนพี่แอมป์ไง นี่มึงลืมไปแล้วเหรอเนี่ย”

“เออว่ะ ลืมสนิทเลยจริงๆด้วย อืมมม แล้วไอ้วิทล่ะ ได้บอกมันรึยัง”

“บอกแล้ว แต่กูก็ไม่อยากกวนมันเท่าไหร่หรอก ว่าแต่มึงเถอะ ต้องไปไหนรึเปล่า เห็นบอกว่านัดพี่วินเอาไว้ใช่มั๊ย”

“อืม ก็ใช่นะ แต่ถ้าเรื่องของไคล์มันสำคัญกว่าแบบนี้ กูเลื่อนนัดพี่วินไปก็ได้มั๊ง พี่เค้าคงไม่ว่าอะไรหรอก”

“ไม่ต้องหรอก มึงไปเหอะ ปกติงานของพี่วินเค้าก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างอยู่แล้วด้วยนี่ เดี๋ยวกูพาไคล์ไปเอง ตอนเช้านี่จะได้พามันไปที่โชว์รูมแล้วพอเสร็จหรือไงกูคงจะได้เลยไปเข้าดูแลที่คอนโดด้วยเลย”

“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าพี่วินทำงานอะไรถึงรู้ว่าพี่เค้าไม่ค่อยมีเวลาว่างมากน่ะ”

“กูคุยกับพ่อเล็ก”

“อ๋ออ โอเค ถ้างั้นเอางั้นก็ได้มั๊ง ซันก็ไปเป็นเพื่อนไคล์ ส่วนกูไปหาพี่วิน แล้วมันเป็นยังไงก็อย่าลืมโทรมาบอกกูมั่งล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงยังไงมันก็น้องกู กูจะฝากคนอื่นดูแลมากไปก็คงไม่ดีเท่าไหร่” ไอ้ซันตอบแล้วเดินไปหอมแก้มไคล์เบาๆ ซึ่งก็เป็นภาพที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วเหมือนกัน “มึงเองเถอะเมฆ เสร็จธุระเมื่อไหร่ก็บอกกูแล้วกัน เผื่อเราจะไปกินข้าวข้างนอกหรือไปที่คอนโดด้วยกัน”

“ก็ได้” ผมพยักหน้าแล้วรับคำ “งั้นตกลงตามนี้”

ตอนบ่ายโมงหลังจากกินข้าวเย็นกับพ่อเสร็จผมก็ขับรถเพิ่อไปหาพี่วินที่บ้านของเขา โดยอันที่จริงแล้วเมื่อก่อนผมเองก็เคยไปบ้านหลังนี้กับพ่ออยู่บ้างสองสามครั้งเหมือนกัน เพราะว่ามันไม่ใช่บ้านจริงๆของพี่วินที่พ่อแม่พี่วินอาศัยอยู่ แต่เป็นบ้านหลังเล็กๆที่พี่วินซื้อแยกเอาไว้ใช้อยู่คนเดียว แต่จะว่าไปผมก็ไม่ค่อยรู้อยู่ดีว่าตอนนี้เรื่องครอบครัวของพี่วินเป็นยังไงบ้างแล้ว และผมก็ไม่คิดและไม่กล้าพอที่จะถามด้วย

ขณะที่รถของผมกำลังติดอยู่บนถนนอยู่นั้น โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น และคราวนี้ชื่อที่หน้าจอมันบอกว่าคนที่โทรเข้ามาก็คือพี่วินนั่นเอง

“เมฆกำลังถูกตาม” พี่วินพูดขึ้นทันทีที่ผมรับสาย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวพอดี

“ว่าไงนะครับพี่”

“รถเก๋งสีบรอนซ์ข้างหลังเมฆไปสองคันอยู่เลนข้างๆ ป้ายทะเบียน ทด 165” พี่วินบอก ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่กระจกมองหลังเพื่อหารถคันที่วินเพิ่งอธิบายพร้อมๆกับเริ่มเหยียบคันเร่งไปด้วย “คนขับใส่เสื้อสีน้ำตาล ผมสั้นเกรียน หุ่นตันๆ สูงราวๆร้อยเจ็ดสิบ ส่วนอีกคนผมยาว เซอร์ๆ หน้าโจรๆหน่อย แต่ผอมสูง”

“เดี๋ยวนะๆพี่วิน นี่พี่ขับรถตามผมมาอีกแล้วเหรอครับ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วไอ้เหี้ยที่ขับรถตามผมอยู่นั่นมันใครกันแน่”

“พอถึงเซเว่นข้างหน้าให้ชิดซ้ายแล้วเลี้ยวเข้าซอยถัดไปนะ ตรงไปประมาณห้าร้อยเมตรจะมีร้านอาหารร้านนึงอยู่ทางซ้ายมือ เข้าไปจอดที่นั่นแหละ แล้วเดี๋ยวเจอกัน” พี่วินพูดก่อนวางสายไป

เมื่อขับไปได้อีกไม่ถึงห้านาทีผมก็เห็นเซเว่นอยู่ทางซ้ายมือ ผมจึงเลี้ยวรถเข้าซอยถัดไปและไปจอดอยู่ที่ร้านอาหารขนาดกลางๆร้านหนึ่งตามที่พี่วินบอก และพอผมไปถึงแล้วผมก็เข้าไปนั่งในร้านเพื่อรอจนกว่าพี่วินจะโทรเข้ามา แต่ว่าอีกประมาณสิบนาทีถัดมาพี่วินก็เดินเข้ามาในร้านเลยโดยไม่ได้โทรมาบอกผมก่อนว่าจะมาถึงหรือยัง ซึ่งจะว่าไปก็นับว่าพี่วินใช้เวลาอยู่นานพอสมควรเหมือนกันในเมื่อเขาเองก็ขับรถตามผมมาติดๆแบบเมื่อครู่นี้

“ขับวนเล่นนิดหน่อยน่ะ จะได้ไม่มาถึงพร้อมกันเกินไป และเลยจะได้เช็คดูป้ายทะเบียนรถด้วย” พี่วินพูดขึ้นราวกับจะอ่านใจผมออก

“นี่มันอะไรกันครับพี่ ไหนพี่นัดให้ผมไปหาที่บ้านไง แล้วทำไมจู่ๆถึงได้ขับรถตามหลังผมมาได้ซะอย่างนั้นล่ะ แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่เนี่ย”

“เมฆเคยรู้ตัวรึเปล่าว่าถูกตาม” พี่วินถามกลับโดยไม่ได้ใส่ใจที่จะตอบคำถามของผม

“ก็...... ก็มีสงสัยบ้างครั้งสองครั้งน่ะครับ แต่ก็ไม่ได้แน่ใจอะไรนัก แล้วที่สำคัญผมไม่รู้ด้วยว่ามันตามผมหรือซันกันแน่”

“แล้วคิดว่ารู้มั๊ยว่าใครตามหรือตามเพื่ออะไร”

“ไม่แน่ใจครับ” ผมส่ายหน้า “แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถูกตามอยู่มาสักพักนึงแล้วนะ หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้สังเกตเองก็ได้”

“เมฆคงไม่ได้สังเกตเองมากกว่า......... แล้วไอ้สองคนนี้มันก็ไม่ได้โง่เท่าไอ้หมอนั่นด้วย” พี่วินพูด จากนั้นก็หันไปสั่งอาหารกับพนักงานเสิร์ฟ “เอาอะไรรึเปล่า กินข้าวมาแล้วนี่ ใช่มั๊ย”

ผมพยักหน้า “งั้นผมขอกาแฟเย็นแก้วนึงครับ”

“อืมม........ แต่จะว่ากันก็ไม่ได้ เพราะการขับรถตามเนี่ย ถ้าไม่สังเกตดีๆก็คงจับได้ยากกว่าคนเดินตามอยู่แล้ว โดยเฉพาะในกรุงเทพแบบนี้ด้วยน่ะนะ”

“งั้นผมขอให้พี่อธิบายให้ผมฟังด้วยครับ ทั้งหมดเลย” ผมชะโงกหน้าเข้าไปหาพี่วินนิดหน่อยก่อนจะผงะออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง “แล้วจะว่าไปมันตามเข้ามาในร้านนี้ด้วยรึเปล่าเนี่ย”

“เปล่า มันไปจอดเลยออกไปอีกหน่อย ก็ถือว่าฉลาดไม่เบา แต่ก็ยังโง่อยู่ดีที่ปล่อยให้พี่ตามย้อนรอยมันได้แบบนี้ และเท่าที่รู้คือมันไม่ใช่พวกนักสืบเอกชนด้วย เพราะงั้นก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่”

“แล้วสรุปมันยังไงกันแน่ครับ”

“พี่ไปรอเมฆตั้งแต่มืดแล้ว ก็ไปถึงไวกว่าพวกมันนิดหน่อยน่ะ ก็เลยเห็นมันตั้งแต่การเคลื่อนไหวแรกๆเลย พี่ว่าดูท่าทางพวกมันจะตั้งใจตามเมฆกับซันในวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้เป็นพิเศษกว่าวันอื่นนิดหน่อยนะ”

“เดี๋ยวนะ พี่บอกว่า ‘พวกมัน’ เหรอครับ”

“ใช่ วันธรรมดาน่ะ เป้าหมายหลักของมันก็คือเรา เมฆ แต่พอวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้ ซันก็คงจะโดนด้วย แต่ถึงยังไง เมฆก็ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของมันอยู่ดี”

“แปลว่าตอนนี้ไอ้ซันก็กำลังถูกตามอยู่เหรอครับ” ผมถามอย่างตกใจ และรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของมันกับไคล์ขึ้นมาทันที

“ไม่ต้องห่วงหรอก ทางฝั่งซันพี่โทรบอกเด็กพี่ให้ไปช่วยดูแลให้แล้ว ไว้ใจได้แน่นอน และที่สำคัญพี่คิดว่าเป้าหมายของพวกมันก็ไม่ได้อยู่ที่อยากจะทำอันตรายใครหรอก” พี่วินบอกเพื่อให้ผมใจเย็นลง “จะว่าไป เมฆกับซันมีเพื่อนเป็นตำรวจใช่มั๊ย ที่ชื่อเอกรัตน์ สุขเลิศ”

“ใช่ครับ” ผมพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกสงสัยที่พี่วินรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ โดยเฉพาะที่รู้ไปถึงชื่อและนามสกุลของไอ้เอ็นด้วย “ผมคงลืมเล่าให้พี่ฟังไปว่าผมเคยฝากไอ้เอ็นให้ดูแลซันด้วย โดยเฉพาะเรื่องพวกนี้น่ะ”

พี่วินพยักหน้า “ไม่เป็นไร ก็ดีแล้วล่ะ แต่แค่ไม่มาทำอะไรขัดกันกับพี่หรือคนของพี่ก็คงพอ แต่ว่าพี่รู้จักพ่อเพื่อนเรานะ ถึงไงก็คงไม่มีปัญหาอยู่ดี”

“แล้วเมื่อกี๊ที่พี่วินพูดว่า ‘เป้าหมาย’ มันหมายถึงเป้าหมายอะไรของใครครับ และทั้งหมดนี่มันทำไปเพื่ออะไร พี่วินรู้แล้วใช่มั๊ย”

“ยังไม่รู้หรอก” พี่วินส่ายหัว “แต่ก็ใกล้จะรู้เต็มทีแล้ว เพราะถ้าพี่คิดไม่ผิด กระแสน้ำมันจะไหลเชี่ยวที่สุดก็ช่วงนี้แหละนะ และถึงถ้าไม่ใช่ พี่ก็จะเป็นคนหยุดมันเอง”

ระหว่างที่พี่วินกินข้าวนั้นเราสองคนก็คุยกันเรื่องอื่นๆอีกหลายอย่าง ซึ่งพี่วินเองก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องพวกนั้นขึ้นมาอีก ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือร้ายแรงจนน่าเป็นห่วงอะไร และเมื่อเห็นท่าทางไม่ร้อนใจของพี่วินแบบนี้แล้ว มันก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกสบายใจและวางใจมากขึ้นอีกเยอะเลยด้วยเช่นกัน

“บ่ายสามงั้นเหรอ..........” พี่วินดูนาฬิกาข้อมือหลังจากกินข้าวเสร็จ “ถ้างั้นเราไปขับรถเล่นกันหน่อยดีกว่า”

“ไปไหนครับพี่”

”ไปไหนก็ได้ ฆ่าเวลาไปเรื่อยๆน่ะ แต่ต่างคนต่างไปนะ มันจะได้ไม่สงสัย อืมมม ไปที่ยิมก็ได้ ไปออกกำลังกันสักหน่อยก็ดี ถือว่าเป็นการวอร์มไปในตัว”

“ฆ่าเวลา.......” ผมสงสัย “เพื่ออะไรครับ เพื่อจะหนีให้หลุดจากไอ้คนที่ตามผมอยู่งั้นเหรอ”

“เปล่าหรอก พี่ก็แค่อยากหาที่อื่นไปเพราะไม่อยากให้มันรู้จักทางไปบ้านพี่ก็เท่านั้นเอง” พี่วินยิ้มที่มุมปาก “ขี้เกียจเก็บกวาดน่ะ”

ผมกับพี่วินใช้เวลาอยู่ที่ยิมด้วยกันเกือบสามชั่วโมง ซึ่งเป็นสามชั่วโมงที่ครูวิชญ์กับพี่วินหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันอย่างเห็นได้ชัด แต่จะว่าไปแล้วก็คงเป็นครูวิชญ์เพียงฝ่ายเดียวมากกว่าที่คอยพยายามเลี่ยงพี่วินอยู่ตลอด จนกระทั่งก่อนเราจะกลับกันซึ่งผมเห็นว่ามันเริ่มเย็นมากแล้ว ผมจึงโทรหาพ่อเพื่อบอกว่าผมคงกลับบ้านดึกหน่อย แต่เมื่อผมถามถึงไอ้ซัน พ่อก็บอกว่าซันออกไปไหนไม่รู้หลังจากกลับบ้านมาแล้วรอบหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ผมประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ผมจึงโทรเข้าไปยังมือถือของมัน แต่ว่ามันก็กลับปิดเครื่องไปเสียอีก..........

“เอาล่ะ กลับกันเถอะ” พี่วินเดินเข้ามาบอกผม “จะได้จัดการธุระให้เสร็จๆไปสักที”

ผมพยักหน้าพร้อมกับเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงและเดินตามพี่วินไปยังลาดจอดรถ แต่ว่าคราวนี้เราจะทำอย่างที่คุยกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ นั่นก็คือผมจะเป็นคนขับรถของพี่วิน และพี่วินจะเป็นคนขับรถของผม เราจะขับรถตามกันไปแบบห่างๆจนถึงสถานที่ที่พี่วินบอกผมล่วงหน้าเอาไว้แล้ว เพื่อดูว่าคนที่สะกดรอยตามผมจะยังคงตามอยู่รึเปล่า.........

และหลังจากที่เราขับรถออกจากตึกได้ไม่นาน พี่วินก็โทรเข้ามาหาผมเพื่อตอบคำถามนั้นอย่างที่ผมคิดเอาไว้

“มันยังคงตามอยู่ว่ะเมฆ เมฆจะอายังไง จะกลับบ้านไปก่อนเลยก็ได้นะ หรือจะตามพี่ไปก็แล้วแต่ เลือกเอาก็แล้วกัน” พี่วินถาม

ผมใช้เวลาตัดสินใจครั้งสุดท้ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป “ผมไปด้วยครับ”

ระหว่างที่ผมขับรถตามพี่วินอย่างห่างๆไปยังแถวๆนอกเมืองตามที่พี่วินบอกนั้น ผมก็อดรู้สึกถึงความตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้านี้ไม่ได้ ถ้าทุกอย่างมันง่ายและราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็นมันก็คงไม่มีอะไรน่ากังวลมากนัก แต่ถ้าโอกาสหนึ่งในสิบมันเกิดอะไรขึ้นอย่างที่ผมกำลังคิดอยู่ล่ะก็..........

“มันไม่ใช่นักสืบเอกชน นั่นก็ง่ายหน่อยล่ะ.........” ผมนึกถึงคำพูดที่พี่วินเคยพูดทิ้งเอาไว้เมื่อตอนบ่ายอีกครั้ง “เพราะนั่นก็แปลว่าพวกมันก็คงเป็นแค่ไอ้พวกลูกน้องที่ถูกนายมันจ้างมา เป็นพวกนอกกฎหมายที่ทำให้เราไม่ต้องกังวลอะไรมากนักเวลารับมือด้วย แต่ถ้าพูดอีกแง่นึงนั่นก็คือ ถ้านายจ้างมันฉลาดและรอบคอบหน่อย ไอ้พวกนี้ก็น่าจะมีฝีมืออยู่พอตัวทีเดียวเพื่อที่พวกมันจะได้เอาตัวรอดในเวลาคับขันได้......... แต่ก็นะ นั่นหมายถึงตัวพี่นะ เพราะเวลาพี่จะส่งใครไปทำงานอะไร พี่ก็ไม่เคยเอาไอ้พวกชั้นล่างๆไปเสนอหน้าอยู่แล้ว ยิ่งงานที่ต้องใช้สมองกับความสามารถแบบนี้ด้วยแล้ว........”

ผมใช้สองมือกำพวงมาลัยแน่น รู้สึกถึงความหนาวเย็นวาบที่แล่นผ่านทางกระดูกสันหลังขึ้นไปจนถึงบริเวณต้นคอ ซึ่งมันก็คือความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนทุกครั้งที่ผมต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงแบบนี้นั่นเอง

เมื่อใกล้ถึงสถานที่เป้าหมาย ผมก็ชะลอรถให้ช้าลงเพื่อที่จะได้ห่างจากพี่วินมากขึ้นอีกหน่อย เพราะทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไปนั้นเป็นซอยเล็กๆที่ค่อนข้างเปลี่ยวและไม่ค่อยมีคนใช้สัญจรมากนัก ดังนั้นถ้าผมขับรถตามพี่วินไปติดๆแบบนี้ อีกฝ่ายก็คงจะต้องรู้ถึงความผิดปกติแน่ๆ

“จำไว้ให้ดีๆนะเมฆ พอใกล้ถึงทางเข้าซอยตรงนั้นแล้วเมฆต้องชะลอรถลงและขับห่างจากพี่ให้มากหน่อย เพราะถึงซอยนั้นมันจะค่อนข้างเงียบเพราะเป็นทางลัดที่คนไม่ค่อยรู้จักกัน แต่มันก็มีบ้านคนอยู่ข้างทางเรื่อยๆ เพราะงั้นพวกมันคงไม่ผิดสังเกตมากนักว่าเมฆมาทำอะไรแถวนี้ มันอาจจะคิดว่าเมฆมาหาเพื่อนหรืออะไรก็ได้ แต่ตอนนี้แหละที่พี่จะจอดรถเพื่อดึงพวกมันให้ออกมาเจอหน้ากันสักหน่อย และหลังจากนั้นเมื่อเมฆมาถึง เมฆก็จะเห็นทุกอย่างเอง”

ผมเลี้ยวรถเข้าซอยไปตามทางที่พี่วินบอก และมันก็เป็นอย่างที่พี่วินบอกเอาไว้จริงๆว่าซอยนี้ตอนต้นซอยจะค่อนข้างพลุกพล่านพอสมควร แต่เมื่อขับลดเลี้ยวตามทางไปเรื่อยๆ บ้านของผู้คนที่อยู่รายทางก็เริ่มจะลดน้อยลงและปลูกห่างกันมากขึ้น แต่ว่าก็ดูมีขนาดใหญ่มากขึ้นด้วยเช่นกัน และในขณะที่ผมกำลังขับรถไปเรื่อยๆนั้น ผมก็เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง ซึ่งก็เรียกได้ว่าเกือบจะจอดขวางอยู่กลางทางเลยทีเดียวเนื่องด้วยถนนที่มีขนาดไม่กว้างมากนักนั่นเอง และเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือ ผมจำลักษณะของรถคันนั้นได้ทันที

“รถเก๋งสีบรอนซ์ ทะเบียน ทด 165..........” ผมพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะจอดรถต่อทายรถคันนั้นห่างๆและก้าวเดินออกจากรถมาด้วยหัวใจที่เต้นรัว

หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-02-2008 19:15:36
ภาพตรงหน้าของผมคือพี่วินที่กำลังยืนกอดอกมองหน้าผู้ชายสองคนอยู่ โดยเมื่อคนที่สะกดรอยตามผมทั้งสองคนนั้นเห็นว่าคนที่เพิ่งเดินออกมาจากรถที่เพิ่งขับมาจอดต่อท้ายรถของพวกมันเป็นใคร มันก็มีท่าทางแปลกใจฉายออกมาบนสีหน้าทันที โดยคนที่ไว้ผมสั้นเกรียนที่พี่วินเคยบอกว่าเป็นคนขับรถดูจะมีท่าทางหงุดหงิดและสับสนมากพอสมควรทีเดียว ในขณะที่คนผมยาวกลับดูจะควบคุมอารมณ์ได้มากกว่า

“ใช่จริงๆ..........” ผมได้ยินไอ้คนผมยาวพึมพำออกมาเบาๆขณะผมเดินผ่านหน้าของมันไป แต่ก็ไม่ได้แน่ใจนักว่ามันพูดออกมาแบบนี้รึเปล่า

“เอาล่ะ ตอบคำถามของกูมาได้แล้ว” พี่วินพูดขึ้นทำให้ทั้งสองคนนั้นหันกลับไปหาที่พี่วินอีกครั้ง และผมเองก็เดินผ่านพวกมันไปหยุดอยู่ใกล้ๆพี่วินด้วยแล้วเหมือนกัน “ใครเป็นคนสั่งให้พวกมึงมา”

“มึงพูดเรื่องอะไร กูไม่เข้าใจ” คนหัวเกรียนที่ตัวเตี้ยกว่าตอบ

พี่วินยิ้มแล้วส่ายหน้า “พวกมึงทำพลาดไปสามอย่างนะ........ ข้อแรก พวกมึงใช้รถคันเดียวกันในการติดตามคนๆเดียวตั้งหลายวัน ข้อสอง พวกมึงไม่เคยรู้ตัวว่ามึงเองก็ถูกกูตามดูอยู่มาตลอดหลายวันแล้วด้วยเหมือนกัน และข้อสาม ข้อนี้สำคัญที่สุด นั่นก็คือพวกมึงประเมินกูและน้องชายของกูต่ำเกินไป” เมื่อพี่วินพูดจบ ทั้งสองคนนั้นก็ยังคงเงียบอยู่ จนในที่สุดพี่วินก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาต่อ “ป้ายทะเบียนของพวกมึงอยู่ในมือลูกน้องของกูแล้ว และเมื่อกี๊นี้กูก็ได้ชื่อเจ้านายของพวกมึงมาแล้วด้วย น่าเสียดายนะ แต่ถึงพวกมึงจะไม่ยอมพูดอะไร กูก็รู้แล้วว่าใครคือตัวการของเรื่องทั้งหมด และกูก็หวังนะว่าเมื่อพวกมึงกลับไป เจ้านายพวกมึงคงจะตบรางวัลพวกมึงที่ทำพลาดกันแบบนี้ให้อย่างงามแน่”

เมื่อพี่วินพูดถึงเจ้านายและความผิดพลาดของพวกมันแบบนี้แล้ว สีหน้าของมันทั้งสองคนก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

“พี่วินรู้แล้วงั้นเหรอว่าใครจ้างพวกมันมาน่ะ” ผมถาม “ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ”

“เมื่อไม่นานมานี้เอง ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่พี่ไม่ได้เป็นคนลงมือจัดการเองตั้งแต่แรกน่ะ ไม่งั้นมันก็คงจะเร็วกว่านี้มากแล้ว........ นี่แหละนะ พอใช้ลูกน้องไปจัดการงานใหญ่ๆที่ต้องผ่านหลายๆคน มันก็ยิ่งช้าเป็นธรรมดา”

“นี่มึงเป็นใครกันแน่!” คนที่ตัวเล็กกว่าถามออกมา

“ภาสกรณ์ ตัณจริยรัตน์” พี่วินยิ้มด้วยสีหน้าภูมิใจ แต่เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับมาจากอีกฝ่ายอย่างที่พี่เขาคาดหวังเอาไว้ พี่วินก็ทำชักสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที “ว้า........ นี่มึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยเหรอเนี่ย”

“กูว่ากูรู้จักนะ.......” คนที่ตัวสูงผมยาวพูดขึ้นมาบ้าง “แต่นึกไม่ถึงจริงๆเลยนะเนี่ยว่าคนที่นายหมายตาไว้จะเป็นคนรู้จักกับไอ้ลูกคุณหนูคนนี้ได้”

พี่วินดูมีสีหน้าพอใจขึ้นมาอีกครั้งทันที

“คุณหนูงั้นเหรอ!” คนตัวเตี้ยกว่าร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ “ไอ้เหี้ยนี่น่ะนะ คือไอ้ลูกคุณหนูนั่น”

“ใช่ กูนี่แหละ ‘ไอ้ลูกคุณหนู’ ที่พวกมึงหมายถึงกัน” พี่วินชิงตอบขึ้นก่อน “เอาล่ะ ในเมื่อคำถามแรกมันยากสำหรับพวกมึงมากเกินไป งั้นคราวนี้กูขอเปลี่ยนคำถามให้ง่ายลงเป็น ‘พวกมึงต้องการอะไร’ ก็แล้วกัน........ อ้อ และถ้าคราวนี้มึงไม่ยอมพูดกันอีกล่ะก็ กูก็คงต้องทำทุกอย่างให้พวกมึงต้องพูดออกมาซะแล้วล่ะนะ” พี่วินพูดพร้อมกับเดินเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทำให้ไอ้คนตัวเตี้ยกว่ารีบล้วงมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ของมันทันที

“กูไม่มีทางบอกพวกมึงหรอก!” ไอ้หัวเกรียนพูดพร้อมกับชูมีดออกมาข้างหน้าด้วยท่าทางระมัดระวัง แต่ผมกลับสามารถมองเห็นถึงความหวาดกลัวในแววตาของมันได้อย่างชัดเจน

ผมเริ่มรู้สึกถึงความตื่นเต้นและความกลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากทุกรูขุมขนของร่างกาย แต่มันไม่ใช่ความกลัวในภัยอันตราย แต่หากเป็นความกลัวที่ทำให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของผมพร้อมที่จะขยับตัวและตอบโต้ในทุกๆวินาทีที่จำเป็น

“มีดพกงั้นเหรอ งั้นกูก็คงไม่จำเป็นต้องใช้ไอ้นี่สินะ...........” พี่วินพูดพลางล้วงหยิบปืนที่มีที่เก็บเสียงติดเอาไว้พร้อมอยู่แล้วออกมาจากด้านหลังของกางเกง ทำให้ผมยิ่งเห็นสีหน้าตกใจของไอ้หัวเกรียนชัดเจนมากขึ้นไปอีก แต่จากนั้นพี่วินก็กลับวางปืนกระบอกนั้นลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง ทำให้สีหน้าของไอ้ผมเกรียนเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“ไอ้โง่! มึงทิ้งปืนแบบนี้ก็ควายดีๆนี่เอง!” ไอ้ผมเกรียนพูดออกมาอย่างมีชัย

“ไม่หรอก.......” คนตัวสูงผมยาวพูดขึ้น “ถ้าเขาคนนี้คือไอ้ลูกคุณหนูนั่นจริงล่ะก็ กะไอ้แค่มีดเล่มเล็กๆของมึงคงทำอะไรเค้าไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ” มันเดินออกมาข้างหน้าแล้วยื่นมือออกมาขวางเพื่อนของมันไว้ “เราจะต่างคนต่างไปไม่ได้หรือครับ คุณไป ผมไป ต่างคนต่างไป ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ แบบนั้นไม่ดีกว่าหรือ” ไอ้ผมยาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่มราวกับหลุดออกมาจากโฆษณาทีวีเลยทีเดียว

“มึงนี่ก็เหมือนจะพูดจารู้เรื่องนะ แต่ก็ยังฉลาดไม่พออยู่ดี” พี่วินตอบพร้อมรอยยิ้ม “ทางเลือกของพวกมึงมีอยู่แค่เพียงสองทางเท่านั้น นั่นก็คือ หนึ่ง มึงยอมตอบคำถามของกูมาซะดีๆเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว กับสอง มึงตอบคำถามของกูออกมาดีๆ แต่หลังจากต้องเจ็บตัวเสียเลือดเสียเนื้อแบบที่มึงว่าแล้ว”

ผมที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลพยายามควบคุมสีหน้าและท่าทางให้เป็นปกติมากที่สุดและปล่อยให้พี่วินเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดเองตามลำพัง ตอนนี้ฐานะของผมก็คงมีเพียงแค่เป็นคนดูและรับฟังเรื่องราวทั้งหมดแต่เพียงเท่านั้น เพราะผมรู้ดีว่าพี่วินเองก็ไม่ได้อยากให้ผมยื่นมาเข้ามายุ่งในเรื่องนี้เท่าไหร่ และเหตุผลหลักๆของมันก็คงเป็นเพราะเพื่อความปลอดภัยของตัวผมเองนั่นเอง

“งั้นถ้าทางเลือกที่สามล่ะ........” ไอ้ผมยาวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “นั่นก็คือพวกผมต้องใช้กำลังกับพวกคุณเพื่อให้ตัวเองกลับไปบอกนายของเราเรื่องตัวแปรที่ไม่คาดคิดที่เพิ่มเข้ามา....... ซึ่งนั่นก็คือคุณ ส่วนพวกคุณก็จะไม่ได้ข้อมูลอะไรจากพวกเรากลับไปเลยนอกจากอาการบาดเจ็บเท่านั้นเอง” ไอ้ผมยาวเดินเข้ามาใกล้พี่วินมากขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงห้าก้าวแล้ว และบางอย่างในตัวผมมันก็ร้องเตือนว่าไอ้หมอนี่แหละคือคนที่อันตรายจริงๆ ไม่ใช่ไอ้คนหัวเกรียนนั่น

“น่าสนใจดีนี่” พี่วินหัวเราะเบาๆพร้อมกับล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงในท่าที่ดูผ่อนคลายราวกับกำลังท้าทายฝ่ายตรงข้าม “ถ้าไม่ลำบากเกินไปนักล่ะก็ ลองแสดงให้กูดูหน่อยซิว่ามันจะเป็นแบบตัวเลือกที่สามของมึงได้ยังไงกัน”

“ก็แบบนี้ไง” ไอ้ผมยาวตอบพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในเสื้อแจ๊กเก็ตที่มันสวมอยู่แล้วหยิบปืนที่ซ่อนอยู่ออกมาเล็งเข้าที่หน้าผากของพี่วินอย่างรวดเร็ว “คุณประมาทเกินไปหน่อยนะครับ คุณหนู.........”

ทันทีที่ไอ้ผมยาวขยับตัว ผมเองก็เริ่มขยับตัวนิดหน่อยไปตามสัญชาติญาณด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อผมเห็นปืนที่ถูกล้วงออกมาและกำลังจ่ออยู่ที่หน้าผากของพี่วินแล้ว ผมก็กลับต้องชะงักอยู่กับที่พร้อมด้วยหัวใจที่เต้นแรงและเหงื่อที่ไหลซึมออกมาจากส่วนต่างๆของร่างกายเพราะความกลัวทันที แต่ทว่าถึงอย่างนั้นสีหน้าของพี่วินก็ยังคงนิ่งเฉยมาก ราวกับว่าสิ่งที่กำลังจ่ออยู่บนหน้าผากของเขานั้นคือแท่งอมยิ้มธรรมดาๆเท่านั้นเอง

“ผิดแล้ว” พี่วินตอบ พร้อมกับชักมือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็วยิ่งหว่าไอ้คนผมยาวเสียอีก แต่ทว่ามือขวาที่เพิ่งโผล่พ้นออกมาจากกระเป๋ากางเกงนั้นกลับไม่ได้มีเพียงมือเปล่าๆ แต่มีมีดพกที่ถูกดึงใบมีดออกมารอเอาไว้แล้วอยู่ด้วย และด้วยความว่องไวชนิดที่ผมยังมองตามแทบไม่ทัน มีดพกอันนั้นก็ถูกปาไปปักอยู่ที่ต้นขาของไอ้ผมยาวเข้าแล้ว “มึงต่างหากที่ประมาท”

“อ๊ากกกกกกกกก!!!” ไอ้ผมยาวกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และในจังหวะที่ปืนของมันถูกลดลงจากหน้าผากของพี่วินนั่นเอง พี่วินก็คว้าข้อมือและแขนข้างขวาของมันไว้และใช้ข้อศอกดันที่ใต้รักแร้เอาไว้ด้วย ซึ่งนั่นเป็นท่าเดียวกับที่ผมเพิ่งจะโดนไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง และสิ่งถัดมาพี่ผมได้ยินก็คือเสียงดังกร๊อบของกระดูกที่แตกออก เสียงดังพลั่กของแผ่นหลังที่กระแทกเข้ากับพื้นถนน และเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของไอ้ผมยาวคนนั้นนั่นเอง

“ไอ้เหี้ยยยย!!” เสียงของไอ้หัวเกรียนร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่มันร้องออกมานั่นหมายถึงมันสบถด่าหรือว่ามันกำลังร้องเรียกชื่อของเพื่อนมันกันแน่

ไอ้หัวเกรียนพุ่งเข้าไปหาพี่วินอย่างรวดเร็ว ในจังหวะเดียวกับที่พี่วินก้มไปคว้าปืนของไอ้ผมยาวมาถือเอาไว้ ผมจึงก้าวออกไปขวางมันเอาไว้ไม่ให้มันเข้าไปถึงตัวพี่วินได้ และด้วยความเร็วที่มันพุ่งตัวเข้ามาเป็นแรงส่งบวกกับตำแหน่งของเท้าที่ผมยืนอยู่อย่างพอเหมาะ ผมจึงสามารถเข้าท่าคว้าแขนเสื้อและคอเสื้อของมันเอาไว้ได้อย่างพอดีและถนัดมือ จนสามารถทุ่มมันลงไปนอนกองอยู่ไม่ไกลจากเพื่อนของมันเข้าด้วยเหมือนกัน และทันทีที่มันลงไปนอนหงายอยู่กับพื้น ผมก็ก้มลงนั่งคุกเข่าและบิดข้อต่อแขนของมันซ้ำอีกครั้งเพื่อกันไม่ให้มันหนีและเล่นลูกไม้อะไรอีก ทำให้ตอนนี้รอบบริเวณของเรานั้นมีแต่เสียงร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวดของผู้ชายสองคนกลบความเงียบยามค่ำคืนไปจนหมด

และเมื่อผมรู้สึกตัวอีกครั้ง ผมก็เงยหน้าหันไปมองพี่วินที่กำลังยืนยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ ผมจึงปล่อยมือออกจากแขนของไอ้ผมเกรียนและยืนขึ้น

“กูบอกแล้ว ว่ามึงประมาททั้งกูและน้องชายกูมากไป” พี่วินเหยียบซ้ำลงบนมือข้างขวาที่ไอ้ผมเกรียนเคยใช้ถือมีด จากนั้นเขาก็หันมามองผม “แต่พี่บอกเมฆแล้วนี่ว่าให้อยู่เฉยๆน่ะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“ก็ คือ...... แบบว่ามันเผลอขยับไปเองน่ะครับ เพราะพอผมรู้ว่าไอ้นี่มันต้องพุ่งเข้าหาพี่วินแน่ๆ ผมก็เลยจะเข้าไปขวางเอาไว้ แล้วมันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้น่ะ” ผมตอบ “ผมขอโทษนะครับพี่.......”

“ใครว่าพี่ว่าเมฆเล่า พี่กำลังชมอยู่ต่างหาก”พี่วินหัวเราะเบาๆก่อนจะปลดกระสุนปืนของไอ้ผมยาวออกแล้วก้มลงยัดปืนเปล่าๆกลับลงไปในกระเป๋าของเจ้าของเหมือนเดิม ส่วนผมก็เตะมีดพกของไอ้ผมเกรียนให้กระเด็นไปไกลๆ “ไม่ใช่แค่ยูโดกับเทควันโดใช่มั๊ยล่ะ พี่ว่าพี่สังเกตมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ยิมแล้ว และยังท่าบิดข้อต่อเมื่อกี๊อีก” พี่วินพูดพลางหยิบปืนของตัวเองขึ้นมาเล็งไปที่คนผมยาวที่กำลังนอนตะแคงจ้องพี่วินอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“ตอนอยู่ที่นั่นผมเคยเรียนไอคิโดนิดหน่อยน่ะครับ” ผมตอบ

“มึงจะทำอะไร!” ไอ้ผมยาวถาม

“อ้าว ไม่พูดเพราะๆกับกูแล้วเหรอ” พี่วินหัวเราะเบาๆ “แต่เอาเถอะ ขอให้แค่มึงตอบคำถามของกูมาก็พอ ว่ามึงต้องการอะไร และมึงได้อะไรไปแล้วบ้าง ไม่อย่างนั้นล่ะก็.........” พี่วินเลื่อนปืนที่จ่อไอ้คนผมยาวไว้ไปยังคนผมสั้นแทน “มึงคงรู้นะว่ากูจะทำอะไร”

“กูไม่บอก!” คนผมยาวตอบ และเมื่อสิ้นเสียงของมันปุ๊บ พี่วินก็ยิงเข้าที่แขนซ้ายของไอ้หัวเกรียนทันที และแถมยังไม่ยอมยกเท้าของตัวเองออกจากมือของมันด้วย ทำให้มันต้องร้องและดิ้นทุรนทุรายออกมาเพราะความเจ็บปวด เลือดสดๆที่ไหลพรั่งพรูออกมาจากแผลจึงกระเด็นไปทั่วตัวของมัน รวมทั้งยังกระเด็นมาโดนที่ขาและเท้าของผมกับพี่วินด้วย

ผมกลืนน้ำลายและเขยิบถอยหลังออกมาเล็กน้อย รู้สึกไม่อยากจะยืนเกะกะหน้าที่และความสนุกของพี่วินสักเท่าไหร่

“ว่าไง จะบอกได้รึยัง”

“ได้เหี้ยเอ๊ย!! ทำไมมึงไม่บอกวะ! บอกแล้วๆ กูยอมบอกแล้ว!!” ไอ้หัวเกรียนตอบกลับมาพร้อมน้ำตาที่ไหลรินอาบหน้า “พวกกูไม่รู้อะไรจริงๆ! พวกกูก็แค่ถูกขอให้ตามไอ้ตุ๊ดหน้าอ่อนนี่เพื่อจะดูว่ามันกำลังทำอะไรกับผัวของมันบ้างก็เท่านั้น!”

พี่วินหันปืนไปทางไอ้คนผมยาวแล้วยิงออกมาอีกหนึ่งนัดที่หัวไหล่ของมันทันที

“พูดให้มันดีๆ” พี่วินพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย และผมก็เคยเห็นสีหน้าแบบนี้มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนั่นก็คือสีหน้าเวลาโกรธจริงๆของพี่วินนั่นเอง

“ไอ้สัตว์เอ๊ย!! มึงพูดให้มันดีๆหน่อยสิวะ!!” ไอ้คนผมยาวเรียกเพื่อนของมันบ้าง

“อืมมม...... ก็เหมาะกันดีนะ คนนึงชื่อไอ้เหี้ย อีกคนนึงชื่อไอ้สัตว์ ก็สมกับเป็นคู่หูกันดี” ผมพูดขึ้นลอยๆ แต่พี่วินที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็ได้ยินและหัวเราะชอบใจออกมา

“กูไม่รู้อะไรเลยจริงๆ กูมีหน้าที่แค่คอยตามพวกมันสองคนแล้วบอกให้นายรู้เท่านั้นเองว่ามันทำอะไร ไปไหนกันบ้าง และทะเลาะกันรึเปล่า อะไรพวกนี้ เพราะทุกอย่างจะได้เป็นไปตามแผนที่นายวางไว้มั๊ง! กูไม่รู้อย่างอื่นแล้ว กูรู้แค่นี้จริงๆ!” ไอ้หัวเกรียนตอบ

“แล้วตอนนี้มึงได้อะไรไปแล้วบ้าง พยายามบอกมาให้หมด อย่าให้กูต้องยิงออกไปอีกหนึ่งนัด” พี่วินถาม

“กูรู้แค่ว่าตอนนี้การเคลื่อนไหวของไอ้หน้าอ่อน...... ของไอ้เมฆนี่เป็นไปตามที่นายกูเค้าต้องการทุกอย่างเท่านั้นเอง”

“แล้วเรื่องของคนที่ตามซันอยู่ล่ะ มึงคิดจะพูดเองมั๊ย” พี่วินถามพร้อมกับทำท่าจะเหนี่ยวไก “หรือจะให้กูถาม”

“เดี๋ยวๆๆ! กูกำลังจะบอกอยู่แล้วนี่ไง!” ไอ้หัวเกรียนรีบพูดเมื่อเห็นปืนที่ถูกเลื่อนมาเล็งอยู่ที่หัวไหล่อีกข้างของตัวเอง “เพื่อนกูมันบอกมาแล้วว่าตอนนี้แฟนของมัน ไอ้คนที่ชื่อซันน่ะ ขนของออกจากบ้านไปแล้ว แต่นอกนั้นกูก็ไม่รู้แล้วจริงๆ! กูสาบาน!!”


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ryuse ที่ 25-02-2008 20:00:11
เลว!  :angry2:

ชั่ว!  :angry2:

อย่าให้รู้นะว่าใคร จะเจี๋ยนซะ แล้วเอาสมองมาทอดกิน o18
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 25-02-2008 20:57:35
อ้าวซัน ขนของออกจากบ้านจริงอ่ะ
ทำไมถึงทำงี้ล่ะ  o12 ใจคอจะไม่คุยกะเมฆก่อนเลยเหรอ
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 26-02-2008 14:13:20
 :serius2:
อ๊า พี่ชาย ขอตอนต่อไปโดยด่วน
-*-
ถ้าจะให้ดี ส่งไฟล์มาเรย ๆ :m23:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 26-02-2008 14:52:39
พี่ชายฮะ..ยังตามอ่านไม่หมดเลย...เยอะโคตรๆๆๆๆๆ

แต่ก็จะอ่านต่อไป

พี่ทึ่มสู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: BEta-K ที่ 26-02-2008 18:52:33
เข้ามาลงชื่อ แล้วรอให้จบ แล้วค่อยมาอ่านรวดเดียว เพราะกลัวจิตตกระหว่างอ่าน ฮี่ๆ :sad2:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-02-2008 19:44:21
อ้าว เมฆเก็บของไปตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ  :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 26-02-2008 21:53:11
ลงบ่อยๆ เด๊ววววว ก้อได้ปั่นไม่ทันอีก  :serius2:



วินาทีที่ 36


ผมรีบขับรถกลับบ้านด้วยหัวใจอันร้อนรน ในขณะเดียวกันผมก็พยายามกดมือถือเข้าหาไอ้ซันหลายต่อหลายครั้ง แต่ทว่าผลก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม  และมันก็ยิ่งทำให้ผมยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก เพราะสุดท้ายแล้วผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะใครและต้องการอะไรกันแน่

ผมขับรถมาถึงสี่แยกไฟแดง ซึ่งในสถานการณ์ที่ผมกำลังเผชิญอยู่แบบนี้แต่กลับต้องมาติดแหงกให้กับไฟแดงในกรุงเทพแบบนี้มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของผมดีขึ้นเลย แต่มันกลับทำให้ผมยิ่งร้อนรนใจมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ผมเอาหน้าผากโขกกับพวงมาลัยรถเบาๆแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆในซอยแห่งนั้น

“เมฆกลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการต่อเอง.......” พี่วินพูดขึ้นเมื่อเขาเห็นสีหน้าของผมหลังจากที่ไอ้หัวเกรียนมันยอมสารภาพความจริงออกมาแล้ว

“มึงหมายความว่ายังไง!” ผมตะคอกใส่มันโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่พี่วินบอกผมเลย “มึงบอกว่าไอ้ซันมันทำไมนะ! นี่พวกมึงทำอะไรกับแฟนกูกันแน่!”

“มึงนั่นแหละที่ทำตัวเอง ไอ้โง่!” ไอ้หัวเกรียนตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มสะใจเล็กน้อยทั้งๆที่ใบหน้ายังคงมีคราบน้ำตา “กูบอกแล้วไงว่ากูก็แค่คอยจับตาดูพวกมึงสองคน แต่ถ้าอะไรๆมันจะเหี้ยไป มันก็เกิดมาจากพวกมึงทำตัวเองกันทั้งนั้นแหละ ไอ้ควาย!”

ผมที่ขยับตัวเร็วกว่าพี่วินเดินตรงเข้าไปเหยียบลงบนแผลของมันที่เพิ่งถูกพี่วินยิงทันที ทำให้มันต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“เมฆ กลับบ้านไปก่อน” พี่วินพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบีบหัวไหล่ของผมแรงพอที่จะดึงสติของผมกลับมา “และปล่อยให้พี่จัดการตรงนี้เอง กลับไปดูซะว่ามันเกิดอะไรขึ้นและมีอะไรผิดปกติบ้าง จากนั้นให้โทรมาบอกพี่ เข้าใจมั๊ย”

ผมพยักหน้าช้าๆทั้งๆที่ตายังคงมองไอ้หัวเกรียนกับไอ้ผมยาวอยู่อย่างโกรธแค้น แต่เมื่อผมนึกถึงคำพูดที่น่าจะแฝงความนัยของพี่วินอีกครั้ง ผมก็รีบไปขึ้นรถและขับออกมาจากที่แห่งนั้นทันที.............

“ไอ้ซัน......... นี่มันเกิดอะไรขึ้น มึงจะคุยกับกูก่อนไม่ได้รึไง” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเริ่มเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งเมื่อไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวอีกครั้งพอดี

ทันทีที่ผมกลับถึงบ้าน ผมก็รีบตรงขึ้นห้องนอนของตัวเองทันที ผมเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็เห็นว่าเสื้อผ้าของไอ้ซันมันหายไปหลายชุดจริงๆ นอกจากนั้นของใช้ส่วนตัวบางอย่างของมันก็ยังไม่อยู่ในที่ๆเดิมแล้วด้วย ผมเดินออกจากห้องไปเคาะที่ห้องของไคล์เพื่อถามว่าเขารู้มั๊ยว่าซันไปไหน แต่ไคล์ก็ไม่รู้ แถมยังถามคำถามผมกลับมาอีกด้วยว่าทำไมจู่ๆซันถึงได้เรียกแท็กซี่ออกจากบ้านไปแบบนั้นและยังคำถามอื่นๆอีก ผมจึงต้องเลี่ยงเขาออกไปโดยบอกว่าเราทะเลาะกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ทว่าคนที่ผมไม่สามารถโกหกได้เลยก็คือพ่อเอกนั่นเอง

“เกิดอะไรขึ้น เมฆ” พ่อเอกถามผมหลังจากที่ผมเดินออกมาจากห้องของไคล์แล้ว

“ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ พ่อไปนอนเถอะ” ผมตอบ

“แล้วทำไมเสื้อผ้าถึงได้เป็นแบบนั้น”

ผมก้มลงมองดูเสื้อผ้าตัวเองก็เห็นว่าตอนนี้ผมอยู่ในสภาพที่โทรมมากจริงๆ โดยเฉพาะรอยเลือดที่ยังคงเลอะอยู่ตรงปลายขากางเกงของผม “ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ วันนี้ผมไปเข้ายิมมาน่ะ”

“แล้วซันล่ะ รู้รึยังว่าเขาไปไหน”

ผมส่ายหน้า “ยังครับ แต่ก็จะรู้ให้ได้เร็วๆนี้แหละ” ผมตอบก่อนจะเดินผ่านพ่อเอกไปก่อนที่จะโดนซักไปมากกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ยังถูกหยุดเอาไว้อีกครั้งจนได้

“เดี๋ยว”

ผมหันกลับมามองหน้าพ่อแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้เมื่อเห็นแววตาแห่งความกังวลฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้นอย่างเต็มเปี่ยม

“วินเข้ามาช่วยแล้วใช่มั๊ย.......” และเมื่อพ่อเห็นผมพยักหน้าตอบ พ่อก็ถอนหายใจเบาๆก่อนจะพูดต่อ “วันนี้ก็ด้วยใช่มั๊ย”

“ครับ” ผมพยักหน้าอีกครั้ง

พ่อเอกหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นมามองผมอีกครั้งอย่างห่วงใยและเป็นกังวล “ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

ผมพยักหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและพยายามหาว่าไอ้ซันทิ้งโน้ตเอาไว้ให้ผมบ้างรึเปล่า แต่นั่นก็ดูจะไม่ใช่นิสัยไอ้ซันจริงๆ จนกระทั่งความคิดความคิดหนึ่งมันกระแทกเข้าที่หัวของผมอย่างจัง ผมจึงรีบกระโดดไปที่มุมห้องและไขกุญแจที่ลิ้นชักของผมที่ผมเก็บรูปเอาไว้ และในที่สุดผมก็เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นั่นก็คือ รูปถ่ายของนัทที่ถูกดึงออกมาจากซอง และรูปถ่ายคู่ในห้องน้ำของเราสองคนที่ถูกฉีกออก......... ซึ่งเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเองได้

“ไอ้ซัน!” ผมทรุดตัวลงนั่งบนเตียงก่อนจะหยิบรูปถ่ายคู่ของเราสองคนขึ้นมาถือไว้ในมือ ทันใดนั้นเองสิ่งต่อมาที่ผมคิดได้คือแหวนของเราสองคนและก้อนหินสีขาวของมัน ผมรีบลุกขึ้นเดินไปทั่วห้องเพื่อหาของสองสิ่งนั้นอีกครั้งทันที ไอ้ซันมันคงไม่ทำถึงขนาดทิ้งแหวนที่เป็นของๆพ่อกับแม่ของผมไปแน่นอน ดังนั้นอย่างร้ายแรงที่สุดก็คือมันต้องถอดวางคืนเอาไว้ให้แก่ผม และก้อนหินก้อนนั้นก็ด้วยเช่นกัน

ผมใช้เวลากว่าห้านาทีหาตามส่วนต่างๆของห้องนอนไม่ว่าจะในตู้ ในเก๊ะ หรือบนชั้นวางของตามหลืบตามมุมต่างๆทั้งหมดแต่ก็ไม่พบเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอีกนิดหน่อยว่าผมยังคงมีโอกาสอยู่.........

โอกาสที่ผมจะได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้มันเข้าใจ


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 27-02-2008 17:06:21
เข้ามาฉลองกระทู้ที่ 300 ของตัวเอง

เป็นกำลังใจให้น้องชายคนนี้เสมอนะครับ...รักษาสุขภาพด้วย :L2: :L2: :L2: :L2:

อยากบอกว่า..รักน้องทึ่มจัง อิอิ ( เบื่อเมื่อไหร่บอกพี่นะ )  :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-02-2008 17:11:03
เข้ามาฉลองกระทู้ที่ 300 ของตัวเอง

เป็นกำลังใจให้น้องชายคนนี้เสมอนะครับ...รักษาสุขภาพด้วย :L2: :L2: :L2: :L2:

อยากบอกว่า..รักน้องทึ่มจัง อิอิ ( เบื่อเมื่อไหร่บอกพี่นะ )  :m20: :m20: :m20:

งั้นบอก ณ บัดนาวเลย (ฮา)

ยืมไอ้ลักยิ้มมาแลกแก้เบื่อสักอาทิดสองอาทิดดิ่  :m13:

ปล. อย่าลืมๆๆ วันศุกร์ๆ  :oni3:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 27-02-2008 17:20:00
งั้นบอก ณ บัดนาวเลย (ฮา)

ยืมไอ้ลักยิ้มมาแลกแก้เบื่อสักอาทิดสองอาทิดดิ่  :m13::oni3:

เอาไปเลย เดี๋ยวแถมข้าวสารให้ 2 กระสอบ  กะปิ  น้ำปลา พร้อมเลยน้อง

ปล. อย่าลืมๆๆ วันศุกร์ๆ  :oni3:

เสียใจน้องรัก  วันศุกร์ที่ โรงเรียนเลี้ยงส่งพี่ อิอิ  มาด้วยกับป่าวละ เอาไอ่ทึ่มมาด้วย อิอิ 
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ryuse ที่ 27-02-2008 18:04:23


อ่านเรื่องนี้แล้วทรมานหัวใจตัวเองทุกที ทั้งๆที่เป็นเรื่องนอกตัวแท้ๆ แต่ปองทรมานแทน... o7

เจ็บมากมาย... :dont2: :o7: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 27-02-2008 18:32:45
 :m1:เกือบถึงสามร้อย reply แว้วววววว  :oni2:
หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-02-2008 13:31:48
วินาทีที่ 37


“ที่คอนโด” ผมพูดกับตัวเองและรีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ถึงผมจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาแล้วว่าไอ้ซันยังคงเก็บแหวนเอาไว้กับตัว แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในขั้นที่เรียกว่า “เลวร้ายสุดๆ” อยู่ดี เพราะว่าที่ผ่านมาไม่ว่าเราจะทะเลาะกันยังไงหรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแบบไหนก็ตาม ไอ้ซันก็ไม่เคยตัดสินใจหรือทำอะไรรุนแรงแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

ผมหยิบมือถือขึ้นมากดหาพี่วินและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว ซึ่งพี่วินก็ฟังอย่างใจเย็นและไม่ได้พูดอะไรขัดออกมาอีกเหมือนเดิม “ว่าแต่เรื่องทางนั้นเป็นยังไงมั่งครับพี่”

“ไม่ต้องสนใจเรื่องไอ้สองคนนี้หรอก ตอนนี้สนใจเรื่องทางฝั่งนั้นดีกว่า และเด็กพี่เองก็ยังตามจับไอ้คนที่ตามซันไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะมันดันไหวตัวทันซะได้น่ะสิ ดูเหมือนไอ้คนผมยาวมันจะติดต่อไปหาทางฝั่งนั้นทันก่อนที่มันจะลงจากรถมาเจอพี่พอดี” พี่วินบอก “ส่วนเรื่องของตัวการทั้งหมดน่ะ ยังไม่ได้หรอกนะ พี่โกหกมันออกไปเพื่อเค้นถามมันเท่านั้นเอง เพราะไอ้คนที่มันเรียกว่านายๆนั่นน่ะ มันมีสองคน คนที่มันทำงานให้ก็เป็นแค่ลูกน้องที่ทำงานให้อีกคนนึงที่น่าจะเป็นตัวใหญ่อีกที แต่อีกไม่นานก็คงจะได้จริงๆแล้วล่ะ พี่แค่ต้องลงไปจัดการด้วยตัวเองอีกนิดหน่อยเท่านั้น” พี่วินอธิบายราวกับจะอ่านใจผมออกว่าผมอยากจะถามอะไร

“ก็ได้ครับพี่ แต่ว่า........”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ตอนนี้เมฆสนใจเรื่องของซันอย่างเดียวเท่านั้นพอ เข้าใจมั๊ย ส่วนเรื่องอื่นๆพี่ดูแลให้เอง” พี่วินพูดสวนขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดจบ “พี่เองก็ไม่เข้าใจไอ้เรื่องของความรักอะไรสักเท่าไหร่หรอกนะ โดยเฉพาะเรื่องของผู้ชายสองคนด้วยแล้ว และพี่ก็ไม่ได้รู้จักซันดีด้วย แต่ว่าพี่รู้จักเมฆ และพี่เชื่อใจเรา เพราะฉะนั้นจงเชื่อใจพี่ เข้าใจมั๊ยครับ”

ผมรับคำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางสายไป........ ใช่แล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมก็คือเรื่องของไอ้ซัน ทุกอย่างมันกำลังจะดำเนินไปในทางที่ผิดหมดแล้ว ไอ้ซันมันกำลังเข้าใจผมผิด และเรื่องทั้งหมดมันก็ผิดที่ผมเอง เพราะฉะนั้นขอสักครั้งเถอะ....... ขอโอกาสอีกสักครั้งให้ผมได้อธิบายเรื่องราวความจริงทั้งหมดให้มันฟัง ขอโอกาสให้มันยอมรับฟังผมและกลับมาเป็นเหมือนเดิม ขออย่าให้เราต้องมาเลิกกันหรือมีปัญหากันเพราะไอ้เรื่องเข้าใจผิดงี่เง่าๆแบบนี้เลย

ผมรีบขับรถออกจากบ้านอีกครั้งอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปหาไอ้ซันที่คอนโด ทันทีที่ผมเลี้ยวรถเข้าไปในอาคารจอดรถและตรงไปยังที่จอดรถของไอ้ซัน ผมก็เห็นรถเก๋งป้ายแดงคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งนี่ก็เป็นรถของไอ้ซันนั่นเอง แต่ทว่าที่จอดรถข้างๆที่ควรจะว่างอยู่ก็กลับมีรถเก๋งอีกคันจอดอยู่ด้วยเหมือนกัน แถมยังเป็นรถที่ผมไม่เคยเห็นและไม่เคยคุ้นตามาก่อนเลยด้วย

ผมขับรถเลยไปจอดอยู่ตรงที่ว่างที่หนึ่งด้วยความจำเป็น จากนั้นก็เดินลงไปสำรวจดูที่รถทั้งสองคัน แต่ทว่าผมก็ไม่สามารถบอกอะไรจากรถที่ว่างเปล่าทั้งสองคันนั้นได้เลย ผมจึงตัดสินใจเดินตรงไปที่ประตูทางเข้าเพื่อขึ้นไปยังห้องของไอ้ซันพร้อมกับลุงคนหนึ่ง เราสองคนอยู่ในลิฟต์เงียบๆด้วยกันอย่างน่าอึดอัดใจครู่ใหญ่ๆซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะจิตใจที่กำลังร้อนรนอย่างสุดๆของผมนั่นเอง จนกระทั่งเมื่อมาถึงชั้นที่ผมต้องลง ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ผมก็รีบพุ่งตัวออกไปด้วยความรวดเร็วทันที

ผมเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องของไอ้ซัน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเคาะประตูลงไปสามสี่ครั้ง แต่ทว่าอีกฝั่งก็ไม่ยอมตอบกลับมา ผมจึงเคาะลงไปอีก และพยายามส่องเข้าไปที่ตาแมวราวกับมันจะช่วยให้ผมเห็นคนที่กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของประตูได้

“ไอ้ซัน” ผมพูดชื่อมันพร้อมกับรัวกำปั้นลงไปที่ประตูอีกครั้ง ถึงมันจะผิดวิสัยของผมที่ผมจะมาทำอะไรแบบนี้ แต่ว่าผมก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ “มึงอยู่รึเปล่า เปิดให้กูเข้าไปหน่อยได้มั๊ย มึงมาคุยกับกูก่อนดิ่วะ มึงเข้าใจอะไรผิดไปใหญ่แล้วนะเว้ย” ผมพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหยุดมือที่เคาะประตูลง “ไอ้ซัน กูขอโทษ..........”

“เค้าไม่อยู่หรอก หนุ่ม” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นข้างๆตัวผมไม่ไกล ผมจึงหันกลับไปมองที่มาของเสียงทันที และลุงคนที่ขึ้นลิฟต์มากับผมเมื่อกี๊นี่เองที่กำลังพูดกับผมอยู่ “ลุงเห็นเค้ากลับมาตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว และสักพักนึงก็เห็นออกไปกับเพื่อนอีกคนนึงน่ะนะ”

“ลุงหมายถึงตอนนี้เจ้าของห้องห้องนี้ไม่อยู่เหรอครับ แต่ว่าผมเห็นรถมันก็จอดอยู่นี่”

“เค้าคงไปกับรถเพื่อนเค้ามั๊ง หรือไม่ก็คงนั่งแท็กซี่น่ะ”

ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเอาหลังพิงกับประตูด้วยความท้อแท้และเหนื่อยอ่อน ถ้าเกิดว่ามันไม่อยู่ที่นี่ ผมก็ไม่รู้แล้วว่าผมจะไปตามหามันที่ไหนได้อีก แบบนั้นมันก็จะเหมือนกับงมเข็มในทะเลเกินไป............

“แล้วนี่กูจะทำยังไงดี.......... มึงจะให้กูไปตามหามึงที่ไหนอีก ไอ้ซัน” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ และทันใดนั้นเองที่ผมนึกถึงคนๆหนึ่งขึ้นมาได้ ผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของคนๆนั้นทันที

“เออ ว่าไง” อีกฝ่ายรับสายเกือบทันทีที่ผมโทรเข้าไป

“ไอ้เอ็น มึงรู้มั๊ยว่าไอ้ซันไปไหน”

“หา ไอ้ซันเนี่ยนะ ไม่รู้ว่ะ เกิดอะไรขึ้นวะ” ไอ้เอ็นถามกลับมา

“ก็มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ คือก็ไม่นิดหรอก แต่มันกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย กูจะทำไงดีวะ นี่กูมาหามันที่คอนโดมันก็ไม่อยู่ไม่รู้ไปไหนกับใคร มึงไม่รู้จริงๆเหรอวะว่ามันไปไหนน่ะ ไอ้เอ็น มันไม่ได้บอกอะไรมึงเลยเหรอ”

“เปล่าเลย คือวันนี้กูเข้าเวรว่ะ ก็เลยไม่ได้คุยกับมัน คือมันก็โทรมาหากูนะเมื่อตอนบ่ายๆน่ะ แต่กูไม่ได้รับแล้วก็ลืมโทรกลับด้วย มัวแต่ยุ่งๆอยู่ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นวะเมฆ”

“เรื่องมันยาวว่ะ ยาวมาก แต่ว่าไอ้เรื่องที่เราเคยคุยกัน จำได้มั๊ย ที่สงสัยว่าเหมือนถูกตามนั่นน่ะ มันเป็นจริงๆว่ะ วันนี้กูจัดการเรียบร้อยไปส่วนนึงแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหี้ยอะไรเท่าไหร่เลย แถมนี่ไอ้ซันยังมาเข้าใจกูผิดแล้วเก็บข้าวของออกจากบ้านไปแบบนี้อีก และที่แย่ที่สุดก็คือตอนนี้แม่งไปไหนกับใครก็ไม่รู้ด้วย ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย” ผมขบกรามด้วยความเครียด และในที่สุดโทรศัพท์ของผมมันก็ส่งเสียงร้องเตือนแบตเตอร์รี่อ่อนขึ้นมาจนได้ “เชี่ยเอ๊ย แม่ง! แบตกูก็เสือกจะหมดอีก!”

“เอางี้เมฆ มึงใจเย็นๆก่อน ถ้าไอ้ซันมันติดต่อมากูจะช่วยคุยให้ แต่ตอนนี้มึงกลับบ้านไปก่อนก็ได้มั๊ง ไปพักผ่อนทำใจให้สงบๆก่อนเหอะ กูรับปากมึงไปแล้วว่ากูจะช่วยมึง เพราะงั้นถ้ากูว่างจากตรงนี้ไปได้เมื่อไหร่ล่ะก็ กูไปช่วยมึงแน่ อย่างน้อยๆกูก็จะช่วยพูดกับไอ้ซันให้เอง”

“แต่ตอนนี้มึงต้องบอกกูแล้วนะไอ้เอ็น ว่ามึงกับมันคุยและทำอะไรกันไปแล้วบ้าง เพราะตอนนี้มันมีมืออื่นๆอีกหลายมือเข้ามายุ่งจนวุ่นไปหมดแล้วนะ”

“กูเข้าใจ กูเองก็รู้เรื่องพี่วินของมึงมาได้สักพักแล้วด้วยเหมือนกัน ก็ได้ กูจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้มึ..........”

“ฮัลโหล ฮัลโหล! ไอ้เอ็น!” ผมพูดใส่โทรศัพท์ที่จู่ๆก็เงียบไป และเมื่อผมมองดูที่หน้าจอก็เห็นว่าโทรศัพท์ของผมมันดับสนิทไปซะแล้ว “ไอ้เหี้ยเอ๊ย!”

ผมยกมือขวาขึ้นมาปิดหน้าก่อนจะสอดมือถือเก็บเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม และเมื่อผมเอามือออกเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าลุงคนเมื่อกี๊ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“ดูท่าทางจะมีเรื่องด่วนนะ ใช้โทรศัพท์ของลุงก่อนมั๊ย”

ผมส่ายหน้า “ขอบคุณครับ แต่ว่าผมจำเบอร์เพื่อนไม่ได้น่ะ เพราะงั้นก็ไม่มีประโยชน์.......”

“งั้นเหรอ........ เอาเถอะ งั้นลุกขึ้นมาไปที่ห้องลุงก่อนเถอะ นั่งตรงนี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผม..........” ผมชั่งใจระหว่างกลับบ้านไปอย่างที่ไอ้เอ็นแนะนำกับรอไอ้ซันอยู่ที่นี่ และสุดท้ายตัวเลือกของผมมันก็ดูเหมือนจะมีแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น “ผมนั่งรออยู่ที่นี่จนกว่าเพื่อนของผมจะกลับมาดีกว่า”

“มาเถอะน่า ห้องของลุงก็อยู่ติดกันนี่เอง ไปเถอะ ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยก็ยังดี” เขายังคงเสนออยู่

“แต่ว่า.........”

“มาเถอะ รับรองได้ว่าลุงไม่ใช่คนไม่น่าไว้ใจหรอก” เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป

ผมหันกลับไปมองประตูห้องของไอ้ซันอีกครั้งก่อนจะก้มมองดูสภาพเสื้อผ้าของตัวเอง จริงๆแล้วห้องของลุงคนนี้ก็อยู่ติดกับไอ้ซันเลย และถ้าเกิดมีใครเดินผ่านหน้าห้องล่ะก็ ถ้าหากสังเกตดีๆก็น่าจะพอได้ยินอยู่บ้าง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจยืนขึ้นและเดินตามลุงคนเมื่อครู่ไป เพราะถึงยังไงลุงคนนี้ก็ดูไม่ใช่และไม่มีทางเป็นมิจฉาชีพอะไรอย่างนั้นได้อยู่แล้ว ในเมื่อเขาเองก็อาศัยอยู่ในคอนโดแห่งนี้เช่นเดียวกัน

ผมเดินตามเขาเข้าไปในคอนโดและกวาดสายตามองไปรอบๆห้องนั่งเล่นก็ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่อาศัยเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง และเมื่อประเมินจากอายุแล้ว ผู้ชายอายุหกสิบกว่าๆมาอาศัยอยู่ในคอนโดกลางเมืองคนเดียวแบบนี้ผมว่ามันก็ค่อนข้างจะดูแปลกนิดหน่อยสำหรับผมอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อสังเกตดูดีๆก็จะเห็นพวกเครื่องใช้ ของวางโชว์ และเครื่องประดับบางอย่างที่ดูค่อนข้างผิดตาไปอยู่นิดหน่อย และเมื่อผมรู้สึกตัวผมก็ถูกทิ้งให้ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียวแล้ว ผมจึงถือโอกาสนี้สำรวจรอบห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่สายตาของผมมันไปสะดุดอยู่ที่กรอบรูปรูปหนึ่งที่วางคว่ำเอาไว้บนตู้โชว์ตรงมุมห้อง

“ลูกชายลุงเพิ่งเสียไปเมื่อครึ่งปีก่อนน่ะ” ลุงพูดขึ้นเมื่อเดินกลับเข้ามาพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวผืนหนึ่ง “ตอนนี้ลุงก็เลยอยู่คนเดียวแบบนี้แหล่ะ”

“เสียใจด้วยนะครับ.......” ผมพูด “ว่าแต่ คือ.......”

“เอ้า ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ อาบน้ำเลยก็ดี ดูท่าทางวันนี้จะเจอมาเยอะอยู่เหมือนกันนี่” เขาพูดพร้อมกับยื่นผ้าผืนนั้นมาให้ผม “ห้องน้ำอยู่ทางนั้นนะ ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวลุงเตรียมไว้ให้เอง ไปเถอะ จะได้สดชื่น”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเกรงใจ ขอแค่ล้างหน้าล้างตาหน่อยก็พอแล้ว”

“ไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ พูดก็พูดเถอะ เลอะไปหมดทั้งเหงื่อทั้งเลือดทั้งฝุ่นแบบนี้ มันคงไม่สบายตัวนักหรอก แล้วก็คงไม่สบายใจด้วยใช่มั๊ยล่ะ เพราะงั้น ไปอาบน้ำซะ” เขาพูดจบประโยคด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีอำนาจและดูเป็นการออกคำสั่งเล็กน้อย และนั่นก็แสดงให้ผมเห็นและรู้สึกถึงอะไรบางอย่างลึกๆแบบแปลกๆบอกไม่ถูก ผมจึงยอมทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี

หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยพันผ้าขนหนูผืนนั้นเอาไว้ที่เอว และที่หน้าห้องน้ำนั้นก็มีเสื้อผ้าลำลองอยู่ชุดหนึ่งพับวางรอไว้ให้อยู่

“ใส่สะซิ แล้วก็ออกมานั่งกินอะไรสักหน่อย” ลุงพูดขึ้นเมื่อเห็นผมเปิดประตูห้องน้ำออก ผมจึงพยักหน้าแล้วหยิบชุดนั้นกลับเข้าไปใส่ มันเป็นเสื้อยืดสีขาวล้วนกับกางเกงยาขาวสีครีมธรรมดาๆ แต่ว่าก็ใส่ได้พอดีตัวของผมเลยเหมือนกัน

ผมเดินกลับออกมาจากห้องน้ำและมาหยุดอยู่ตรงโซฟาที่ลุงกำลังนั่งดูทีวีอยู่ และเมื่อเขารู้สึกว่าผมยืนอยู่ข้างหลัง เขาก็หันมามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว แต่เป็นการมองเพื่อดูว่าผมใส่ชุดที่เขาเตรียมไว้ให้พอดีหรือเปล่ามากกว่ามองแบบสำรวจรูปร่างหน้าตาของผม และเมื่อเขาพูดขึ้น มันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ

“ใส่ได้พอดีเลยนี่” ลุงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างยินดี “เสื้อของลูกชายลุงเอง ไม่คิดเหมือนกันนะว่าจะมีวันที่ได้เอามันออกมาจากตู้อีกครั้งแบบนี้”

“นี่เสื้อของลูกลุงเหรอครับ” ผมถาม “เอ่ออ แล้วมันจะดีเหรอครับ ลุง คือ........”

“ไม่หรอกๆ ดีแล้วล่ะ หรือว่าเรากลัว”

“ไม่ใช่หรอกครับ ไม่ใช่เลย คือผมเกรงใจมากกว่านะครับ....... หลายๆอย่างเลยด้วย” ผมมองไปบนโต๊ะรับแขกที่มีทั้งแก้วน้ำและขนมเค้กชิ้นหนึ่งวางรอผมเอาไว้อยู่

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก อย่างน้อยๆวันนี้ลุงก็มีเพื่อนมานั่งคุยสักหน่อยล่ะนะ อืมมม ว่าแต่เราชื่อ.........”

“เมฆครับ” ผมเดินอ้อมไปนั่งลงบนโซฟา

“ลุงชื่ออี๊ด เรียกลุงอี๊ดก็ได้ เอ้า กินซะสิ หรือจะเอาอย่างอื่นที่หนักท้องกว่านี้ก็มีนะ กินอะไรมารึยังล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วครับ” ผมตอบพลางเริ่มรู้สึกถึงความหิวที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในท้องมากขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วยเหมือนกัน เพราะวันนี้ทั้งวันตั้งแต่เที่ยงก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องของผมเลยจริงๆ พอความเครียดกับความตื่นเต้นเริ่มจางหายไป ความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ที่จิตใจไม่สามารถความคุมได้อย่างความง่วง ความหิว และความเหนื่อยอ่อนก็เริ่มเข้ามาครอบงำผมทันที

“กินเข้าไปเถอะ พักผ่อนหน่อยก็ได้ รอจนเจ้าของห้องนั้นเขากลับมาก่อนแล้วค่อยไปคุยกันก็ไม่เป็นไรหรอก” ลุงอี๊ดบอกผม

“ว่าแต่ลุงเห็นเพื่อนของผมออกไปเมื่อตอนเย็นจริงๆเหรอครับ ประมาณกี่โมง จำได้มั๊ยครับ” ผมถาม

“ก็น่าจะราวๆทุ่มกว่าๆได้นะ แต่กว่ากี่โมงแบบเป๊ะๆนี่ลุงก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

ทุ่มกว่าๆก็คงเป็นช่วงที่ผมออกจากยิมและกำลังอยู่บนถนนพอดี........

“แล้ว......เอ่ออ ลุงพอจำได้มั๊ยครับว่าเพื่อนเขาคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง”

“ไม่ได้หรอก” ลุงอี๊ดส่ายหน้า “ลุงก็เห็นแว้บๆตอนกลับมาจากซื้อของเท่านั้นเอง แต่พอหนุ่มคนนี้รู้สึกจะชื่อซันใช่มั๊ย ลุงจำได้ว่าเคยเห็นพวกเรามาขนของกันอยู่เมื่อไม่นานมานี้นี่”

ผมนึกย้อนไปถึงวันที่พวกเราขนของเข้าคอนโดของไอ้ซันแล้วก็เริ่มคลับคล้ายคลับคลาขึ้นมาทันที “อ๋ออ งั้นผมก็พอจำลุงได้แล้วล่ะครับ ขอโทษทีนะครับที่วันนั้นพวกเราทำเสียงดังรบกวนกันซะเยอะเลย”

“ไม่หรอก เพราะลุงเองก็ไม่ได้อยู่บ้านเหมือนกัน ตอนนั้นลุงก็กำลังออกไปธุระข้างนอกพอดีน่ะ” ลุงอี๊ดยิ้มน้อยๆก่อนจะจ้องตาของผมและพินิจใบหน้าของผมแทบทุกส่วน “ชื่อเมฆใช่มั๊ย.........”

“ครับ” ผมพยักหน้า

ลุงอี๊ดลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบกรอบรูปที่วางคว่ำไว้มาจากบนตู้โชว์แล้วยื่นให้ผมดู  และมันก็ทำให้ผมต้องตกใจมากไปเลยเหมือนกัน เพราะรูปชายหนุ่มที่ยืนยิ้มอยู่ในรูปนั้นมัน.........

“รูปลูกชายของลุงเอง เค้าเป็นทหารน่ะ ชื่อโอ๊ต เป็นไง หล่ออยู่เหมือนกันมั๊ย...........”

“ลูกชายลุงเค้า........” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ้าปากค้างเล็กน้อย เสียงที่กำลังเปล่งออกมาจากลำคอจู่ๆก็เหือดหายไปจนหมดสิ้น

“ใช่” ลุงอี๊ดพยักหน้า “หน้าคล้ายเรามากเลยใช่มั๊ยล่ะ”

ผมก้มหน้าลงมองดูรูปของชายหนุ่มที่ชื่อโอ๊ตคนนี้อีกตกครั้งด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง รูปถ่ายใบนี้เพิ่งจะถ่ายเมื่อปีที่แล้วนี่เองเพราะวันที่ที่อยู่ตรงมุมรูปมันบอกเอาไว้ และในรูปก็เป็นรูปของผู้ชายสองคนกำลังยืนกอดคอกันอยู่ด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขมากบนใบหน้าทั้งคู่ โดยคนทางซ้ายจะสูงกว่าและหนุ่มกว่าอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคนทางขวาก็คือลุงอี๊ดนั่นเอง และถึงจะเพิ่งเป็นรูปถ่ายของปีที่แล้ว แต่ว่าลุงอี๊ดในรูปก็ดูหนุ่มกว่าตอนนี้มากราวกับย้อนไปสักสี่ห้าปีเป็นอย่างน้อยทีเดียว และแน่นอนว่าทั้งสองคนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าคนตัวสูง หรือลุงอี๊ดในฉบับคนหนุ่มที่สวมเครื่องแบบทหารนั้นกลับมีหน้าตาคล้ายผมอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะดวงตาและรอยยิ้มนั่น และนี่ขนาดตัวผมเองยังเห็นเป็นแบบนี้ ถ้าคนอื่นมาเห็นล่ะก็คงไม่แคล้วคิดว่าผมมีฝาแฝดแน่ๆ

“เมฆอายุเท่าไหร่” ลุงอี๊ดถามขึ้น

“อ๋อ ก็ เพิ่งจะยี่สิบสามไปไม่นานนี่เองครับ”

“งั้นก็อายุน้อยกว่าโอ๊ตสองปี....... แล้วไง เห็นรูปโอ๊ตแล้วคิดว่าไง” ลุงอี๊ดยิ้ม

“คือพี่เค้า....... คล้ายผมมากเลยนะครับ ต่างกันแค่เค้าจะดูผมหยิกๆกับหน้าเข้มกว่าผมหน่อยเท่านั้นเอง”

“ก็นั่นน่ะสินะ.......” ลุงอี๊ดพยักหน้าแล้วหยิบรูปคืนไปถือเอาไว้ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เฮ้อออ ก็แปลกนะ ที่บางทีคนเราพอยิ่งอยากจะลืม มันก็กลับยิ่งจะจำ ไม่ว่าจะทำยังไงก็วิ่งหนีอดีตและข้อผิดพลาดของตัวเองไปไม่ได้สักที”

ผมก้มหน้าเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี แต่สุดท้ายลุงอี๊ดก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“แล้วแฟนเราล่ะ อายุเท่าไหร่”

“ก็เท่าๆกับผมล่ะครับ แต่อ่อนเดือนกว่า อืมมม จะว่าไปก็อ่อนกว่าเกือบปีล่ะครับ”

“แล้วไปทะเลาะอะไรกันเข้าล่ะ ถึงได้ดูเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ได้”

“ก็เข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะครั..........” ผมชะงัก “เอ่อ คือ........”

“ลุงรู้อยู่แล้วล่ะ ก็พอเดาๆได้น่ะนะ” ลุงอี๊ดพยักหน้าพร้อมกับวางรูปของเขากับลูกชายลงบนโต๊ะรับแขก “ไม่เป็นไรหรอก ลุงไม่ได้แอนตี้หรือไม่ชอบพวกเกย์อะไรพวกนี้แล้วล่ะ แต่จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องของลุงที่จะถามอยู่แล้วหรอก แต่ว่า........” เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “เพราะว่าลูกชายลุง ไอ้เจ้าโอ๊ตมันก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน และมันก็เป็นความผิดพลาดเดียวของลุงที่ตอนนั้นลุงก่อขึ้น และลุงก็จะไม่ทำพลาดอีกแล้ว........ มันต้องจากลุงไปก็เพราะความผิดของลุงคนเดียวแท้ๆ.........”

เวลาล่วงเลยไปกว่าสี่ทุ่มแล้ว และผมก็นั่งฟังลุงอี๊ดเล่าเรื่องของโอ๊ต ลูกชายของเขาอย่างตั้งใจ ลุงอี๊ดเล่าว่าทั้งเขาและโอ๊ตต่างก็เคยเป็นทหารด้วยกันทั้งคู่ และภรรยาของลุงก็เสียไปตั้งแต่โอ๊ตยังเล็กมากอยู่เลย จึงทำให้เขาต้องเลี้ยงลูกขึ้นมาตามลำพัง และด้วยนิสัยทหารของเขาก็ทำให้เขาเป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ แต่ถึงอย่างนั้นสองคนพ่อลูกก็ยังคงรักใคร่กันดีมาก และโอ๊ตเองก็เจริญรอยตามพ่อของเขาด้วยการรับราชการทหารด้วยเหมือนกัน ครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้ก็ดูมีความสุขดีทุกอย่าง จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ ลุงอี๊ดเกิดสงสัยว่าทำไมโอ๊ตที่ทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครให้กับสถาบันที่เกี่ยวกับผู้ป่วยเป็น HIV ถึงได้ดูมีพฤติกรรมแปลกไป จนกระทั่งเขาได้พบว่าลูกชายของตัวเองกำลังมีความรักให้กับผู้ป่วยชายคนหนึ่งที่เขาคอยดูแลอยู่ และนั่นก็ทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันรุนแรงมาก จนกระทั่งวันหนึ่งไม่นานหลังจากการทะเลาะกันครั้งใหญ่ โอ๊ตก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะขับรถออกจากบ้านไปหาคนรักของเขา และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ หลังจากที่คนรักของเขารู้ว่าโอ๊ต ความหวังและชีวิตที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของเขาจากไป เขาก็ฆ่าตัวตายตามไปด้วย นั่นจึงทำให้ลุงอี๊ดไม่เคยทำใจและให้อภัยตัวเองกับความผิดพลาดที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจก่อได้เลย ความผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขาที่พรากชีวิตของคนดีๆไปถึงสองคน

“โอ๊ตเป็นเด็กดีมากมาตลอด เค้าทั้งขยัน ทั้งรักเรียน รักดี และรักคนอื่นๆมาก เพราะงั้นเขาถึงได้อาสาสมัครและเอาเงินเอาเวลาว่างไปช่วยเหลือผู้ป่วยเหล่านั้นประจำ แต่ว่าลุงมันผิดเองที่เผลอพูดอะไรทำร้ายจิตใจเขาออกไป ทั้งๆที่จริงๆแล้วโอ๊ตก็ยังคงเป็นโอ๊ตที่รักของลุงมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลงแท้ๆ........ จริงๆแล้วลุงไม่เคยเกลียดคนเหล่านั้นเลยนะ เพียงแต่ตอนนั้นพอรู้ว่าลูกชายของตัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย มันก็เลย....... ลุงก็เลย........” ลุงอี๊ดเล่าไปพร้อมทั้งน้ำตาลูกผู้ชายที่ค่อยๆไหลออกมาหยดเล็กๆที่หางตา

ผมยื่นมือออกไปบีบมือของเขาเบาๆ ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง “ผมเองก็เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อเอก และแม่ของผมก็เสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กมากเหมือนกันครับ เราสองคนมีกันแค่สองคนพ่อลูก และพอพ่อรู้ว่าผมเป็นแบบนี้ พ่อเองก็ยอมรับและเข้าใจผมได้ ถึงพ่อเองจะยอมรับว่าตกใจบ้างเหมือนกันก็เถอะ แต่เหตุผลที่พ่อเอกของผมยังคงรักในตัวผมและเข้าใจผมเรื่อยมาก็คือเหตุผลเดียวกับลุงนั่นแหละครับ นั่นก็คือ พ่อผมรู้ว่าผมรักท่านมากแค่ไหน และท่านก็รู้ว่าท่านไม่เคยเสียตัวตนที่แท้จริงของผมไปเพราะแค่เพียงผมเลือกที่จะรักใคร........ และมันอาจจะเป็นอะไรที่ดูอวดดีไปหน่อยที่ผมจะพูดแบบนี้นะครับ แต่ถ้าในเมื่อผมกับพี่เขาคล้ายกันมากขนาดนี้ และพี่เขายังเป็นคนดีถึงขนาดนั้นด้วย ผมมั่นใจว่าพี่โอ๊ตเองก็ต้องเข้าใจทุกอย่างที่ลุงรู้สึกเหมือนกันครับ ผมมั่นใจว่าพี่เขาไม่ได้จากไปเพราะความรู้สึกแย่ๆอย่างที่ลุงคิดหรอก มันแค่เป็นเรื่องโหดร้ายอย่างร้ายกาจของโชคชะตาที่พี่เขาต้องมาด่วนจากไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับลุงอีกครั้งเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม พี่เขาก็ยังคงรักลุงมากมาตลอดไม่ว่าจะตอนนี้ ตอนไหน หรือตลอดไปก็ตาม..........”

ลุงอี๊ดยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน แต่ก็ยังคงดูเข้มแข็ง เขาเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งมากจริงๆ เพราะถึงขนาดเขาจะเพิ่งเล่าเรื่องความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาให้ผมฟังแบบนี้ และแถมมันยังเพิ่งไม่นานมานี้เองด้วย เขาก็ยังคงเด็ดเดี่ยวและมั่นคงมาก มีเพียงประกายหยดน้ำตาแห่งความหลังที่ปริ่มอยู่ขอบตาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่แสดงด้านที่อ่อนไหวออกมา แต่นอกจากนั้นแล้วผมก็มองไม่เห็นสัญญาณของความอ่อนแอทางจิตใจอย่างอื่นอีกเลย

“ขอบใจมากนะเมฆ.........” ลุงอี๊ดพูด “เฮ้ออ แปลกดีนะที่ลุงมาพูดเรื่องแบบนี้ให้เราฟัง ทั้งๆที่เราเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ”

แต่ผมคิดว่าเราทั้งสองคนต่างก็รู้ดีว่าเพราะอะไร........ ผมเหลือบไปมองรูปของลูกชายอันเป็นที่รักคนนั้นที่หน้าตาคล้ายผมมากอีกครั้ง ผมนึกขอบคุณเขาบางอย่างในใจและหวังให้เขาพักผ่อนอยู่ในโลกหน้าอย่างสงบสุข หวังให้เขารู้ว่าพ่อของเขาคนนี้ยังคงรักและคิดถึงเขาอยู่มากจริงๆ.........

“เอาล่ะ พักผ่อนตามสบายก็แล้วกันนะ ลุงขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า ถ้าจะไปเมื่อไหร่ก็ไปได้เลยล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ของกินมีอยู่ในครัวเยอะแยะ ไม่ต้องเกรงใจ คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง” ลุงอี๊ดพูดพร้อมลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณมากครับ แต่ผมคงไม่รบกวนนานหรอกครับ แค่รอจนเพื่อน........ เอ่อ รอจนแฟนผมมันกลับมา แล้วผมก็คงไปแล้วล่ะครับ แต่ว่า........ ตอนนี้ผมรบกวนอะไรสักอย่างได้มั๊ยครับ”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ผมขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้มั๊ยครับ”

ลุงอี๊ดพยักหน้าพร้อมกับชี้ไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆทีวีตรงข้ามกับโซฟาที่พวกเรานั่งกันอยู่ จากนั้นเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เมื่อผมคิดว่าลุงอี๊ดคงจะไม่ออกมาอีกและไม่ได้ยินเสียงผมแล้ว ผมจึงลุกขึ้นไปกดโทรศัพท์เข้าหาพ่อของผม

“พ่อครับ.........” ผมพูดเมื่อได้ยินเสียงของพ่อที่ปลายสาย “วันนี้ ผมคงจะกลับดึกหน่อยนะครับ ดึกเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วมือถือผมก็แบตหมดด้วย แต่พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแน่นอน ผมสัญญา......... ครับ ใช่ครับ........ ไม่เป็นไรครับพ่อ พ่อนอนได้เลยครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมกับไอ้ซัน” ผมตอบคำถามของพ่อเอกจนครบ และจากนั้นผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำให้เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคนครู่สั้นๆก่อนที่เสียงของผมจะถูกเปล่งออกไป “แล้วก็........... ผมรักพ่อนะครับ รักมากด้วย ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้แก่ผมมาตลอดยี่สิบสามปี ขอบคุณสำหรับทุกความเหนื่อยยากของพ่อที่ต้องทำต้องทนเพื่อผม ในโลกนี้ไม่ว่าใครจะเป็นยังไงหรือเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พ่อคือคนเดียวเพียงหนึ่งเดียวของผมครับ และผมจะไม่มีวันทำให้พ่อต้องเสียใจเด็ดขาด ผมสัญญา.........”


หัวข้อ: Re: ]| light cloud |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ryuse ที่ 28-02-2008 14:36:30
อ่านตอนนี้จบแล้วนึกถึงเพลงของ 2daysagokid เลย

ชื่อเพลง "กลับมา" หรือเปล่าไม่แน่ใจ ไว้จะหามาให้ฟังฮับ :oni2:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 28-02-2008 20:12:52
ชอบตอนนี้จังครับอบอุ่นดี
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 28-02-2008 22:57:11
ซันไปไหนอ่ะ แล้วไปกะใคร อยากรู้จัง o12
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 28-02-2008 22:58:33
ต้นนะต้น ทำไมถึงได้กดดันเมฆขนาดนี้ล่ะ ใจร้าย :m15:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 29-02-2008 16:09:39
 :a5:
ไม่ใช่ว่าซันไปกะแบงค์...กลับมากะแบงค์ เมฆเห็น ...  :serius2:
ไมมันวุ่นวายดีแท้น้ออออออ อ่านแล้วเหนื่อยยยยยยย
งี้ต้อง  :เตะ1:      ฆ่ามานนนนน  :m16:

ซันกะเมฆสู้ ๆๆๆๆๆ คืนดีกันไวไว ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-03-2008 00:00:31
ชุลมุนวุ่นวายไปหมดแล้ว   :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 01-03-2008 20:56:10
วินาทีที่ 38


เลยเที่ยงคืนไปแล้วผมก็ยังคงนั่งรอไอ้ซันอยู่ในห้องของลุงอี๊ดเหมือนเคย มีอยู่สองครั้งที่ผมลองเดินไปเรียกไอ้ซันที่หน้าห้องของมันดูอีกบ้าง แต่ว่ามันก็ยังคงไร้วี่แว่วเช่นเคย ผมจึงเลิกเข้าๆออกๆและตัดสินใจนั่งรอมันอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยดีกว่า และโชคดีที่โซฟาในห้องนั่งเล่นของลุงอี๊ดอยู่ไม่ห่างจากประตูมากนัก ทำให้ถ้ามีเสียงใครเดินอยู่ข้างนอกล่ะก็ ผมก็น่าจะรู้ตัวได้ไม่ยาก แต่เมื่อความเหนื่อยอ่อนจากหลายๆอย่างเริ่มถาโถมเข้าหาผม มันจึงทำให้ผมเผลอผล็อยหลับไปในที่สุด ทว่าถึงอย่างนั้นก็ตาม โสตประสาทของผมก็ยังคงทำงานอย่างไม่หยุดพัก ไม่ว่าจะเสียงอะไรเล็กน้อยแค่ไหนผมก็สามารถได้ยินและมีปฏิกิริยาขึ้นมาได้ทันที และแน่นอนว่าแม้แต่เสียงเปิดประตูห้องนอนของลุงอี๊ดที่ชะโงกหน้าออกมาเช็คดูผมขณะแสร้งทำเป็นหลับอยู่ก็ด้วยเช่นกัน จนกระทั่งเวลาราวๆตีสองผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆเดินอยู่นอกห้อง ผมจึงลุกขึ้นมาและลอบส่องมองที่ตาแมวออกไปจึงเห็นว่า จริงๆแล้วมันเป็นเพียงเสียงฝีเท้าตรวจตรายามดึกของพนักงานรักษาความปลอดภัยเท่านั้นเอง

ผมสะดุ้งสุดตัวขึ้นมาอีกครั้งตอนตีสี่นิดๆเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆมากกว่าหนึ่งคน และเสียงพูดคุยกันเบาๆผ่านหน้าห้องของลุงอี๊ดไป ผมจึงรีบลุกขึ้นมาเอาตาแนบทางตาแมวดูอีกครั้ง และคราวนี้หัวใจของผมมันก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก เมื่อผมเห็นคนที่เดินผ่านหน้าของผมไปอย่างชัดเจน และคนๆนั้นก็คือไอ้ซันนั่นเอง แต่ทว่ามันที่เดินอยู่ทางฝั่งนี้ก็บังคนที่เดินโอบบ่ามันอยู่ข้างๆไปจนหมด

ผมรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่เพิ่มสูงขึ้นที่สุดในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเลยทีเดียว ความรู้สึกในตอนนี้นั้นมันเทียบกับเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งผ่านมากับพี่วินไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ผมทั้งกังวลและสับสนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี และแน่นอนว่าผมยังกลัวมากด้วยว่าอะไรๆมันจะแย่ลงไปกว่านี้อีกมั๊ย ผมจึงยืนสับสนอยู่คนเดียวอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจได้ว่าถ้าผมไม่ลงมือทำอะไรลงไปเลยนั่นแหละ มันถึงจะไม่มีอะไรดีๆเกิดขึ้นมาเลย และสุดท้ายผมก็คงจะต้องสูญเสียมันไปทั้งๆที่มันยังเข้าใจผมผิดอยู่แบบนี้ ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องออกอย่างช้าๆเพื่อชะโงกหน้าออกไปตรงทางเดินเพื่อลอบมองไอ้ซันเป็นครั้งสุดท้ายแบบไม่ให้มันรู้ตัวก่อนที่จะเดินออกไปคุยกับมัน

ผมก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องของลุงอี๊ด ก่อนที่จะหันไปยังทิศของห้องของไอ้ซัน แต่ทว่าภาพที่ผมเห็นก็กลับทำให้ผมต้องหยุดยืนอยู่กับที่ด้วยลำตัวที่แข็งทื่อ ความสับสน ความกังวล และความรู้สึกต่างๆ คำพูดที่คิดอยากจะอธิบายให้มันฟังให้มันเข้าใจพลันหายไปจากจิตใจของผมจนหมดสิ้น เมื่อผมเห็นไอ้ซันที่กำลังค่อยๆโน้มตัวไปจูบปากกับไอ้แบ๊งค์ที่ยืนเอาหลังพิงประตูห้องเอาไว้อย่างดูดดื่ม

ใช่แล้ว.......... อย่างดูดดื่ม

มันดูเหมือนกับผมกำลังดูหนังที่กำลังฉายแบบสโลว์โมชั่นเลยทีเดียว ผมเห็นตั้งแต่วินาทีแรกที่ไอ้ซันดันไหล่ของไอ้แบ๊งค์เข้าไปชิดกับประตูห้อง ก่อนที่จะค่อยๆโน้มใบหน้าของตัวเองเข้าไปหามันช้าๆ และประกบริมฝีปากของตัวเองลงไป สายตาของผมจับจ้องและเห็นทุกจังหวะที่ผมริมฝีปากและลิ้นของทั้งคู่ขยับเคลื่อนไหวได้ในทุกๆวินาที

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะถูกตบหน้าฉาดใหญ่ๆเลยทีเดียว

ผมยื่นตัวแข็งทื่อ ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้เห็นและเป็นสักขีพยานเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งทั้งสองคนถอนปากออกจากกันก็ยังดูไม่มีท่าทีว่าใครจะสังเกตเห็นผมยืนอยู่ตรงนี้สักคนเดียว จนเมื่อไอ้แบ๊งค์โน้มตัวดึงไอ้ซันเข้ามากอดและหันมาเห็นผมนั่นแหละ สติของผมจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้งพร้อมๆกับที่มันรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่กับไอ้ซันแค่ตามลำพัง

“เมฆ!” ไอ้แบ๊งค์ร้องอุทานขึ้นก่อนจะดันตัวไอ้ซันออก ทำให้ไอ้ซันที่ผมเพิ่งเห็นว่าคงจะกำลังเมาไม่น้อยหันมามองยังผมด้วยเช่นกัน

สายตาของเราสองคนประสานกัน โดยที่ไม่มีใครยอมหลบตาให้แก่กันเลยแม้แต่นิดเดียว แว่บแรกผมก็มองเห็นความประหลาดใจจากดวงตาเฉียบคมคู่นั้นได้อยู่เหมือนกัน แต่เพียงแค่หลังจากนั้นไม่นาน มันก็กลับมาเป็นไอ้ซันคนเดิม ไอ้ซันคนที่สามารถซ่อนความรู้สึกนึกคิดต่างๆไว้ภายใต้ดวงตาคู่นั้นได้อย่างแนบเนียน

ผมนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าผมควรจะพูดอย่างไรออกไป คำพูดต่างๆที่ผมนั่งนึกนั่งคิดมาตลอดทั้งคืนมันดูราวกับถูกหลุมดำดูดกลับคืนหายไปเสียจนหมดพร้อมๆกับความรู้สึกต่างๆที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันด้วยเช่นกัน ผมทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ทั้งสับสนชนิดที่ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนี้มาก่อน ผมรู้สึกถึงร่างกายของตัวเองที่สั่นเทา และริมปากที่สั่นระริก ก่อนจะได้ยินเสียงของตัวเองพูดออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับผมกำลังยืนอยู่ห่างจากที่นี่ไปสักล้านปีแสงว่า...........

“กู...... ขอโทษ”


หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 01-03-2008 21:03:37
อะไรกัน แบงค์กับซัน  :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 02-03-2008 17:34:08
 :serius2: :o12:............
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 03-03-2008 01:44:28
พี่ชายยยย มีโกดอ่ะ
 :sad2:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: artkung ที่ 03-03-2008 08:06:57
อ้าว ทำไมซันทำแบบนั้นล่ะ เริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่โปรยไว้ตั้งแต่แรกแล้วสิเนี่ย

พี่ต้น อย่าจบเศร้านักนะคร้าบ ฮืออออ  :m15:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-03-2008 13:16:24
วินาทีที่ 39 : “ขอโทษ........”


“กูขอโทษ.............” ผมพูดออกมาก่อนจะหันกลับเข้าไปในห้องของลุงอี๊ดและปิดประตูลง

ประตูที่ปิดลงพร้อมกับคำสัญญาและความไว้วางใจทั้งหมดที่ผมเคยมี............

ผมนั่งลงเอาหลังพิงกำแพงแล้วร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ภาพที่ผมเพิ่งเห็นมันทำให้ใจของผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เรื่องรูปถ่ายของนัทนั้นแน่นอนว่าไอ้ซันเป็นฝ่ายเข้าใจผิด แต่ทว่าสิ่งที่ผมเห็น การที่มันไปจูบกับไอ้แบ๊งค์นั้น จะบอกว่าผมเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ......... จะบอกว่านั่นเป็นอุบัติเหตุหรือว่ามันไม่ได้ตั้งใจหรือยังไงกัน

ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาอาบหน้าของผมไปเรื่อยๆ ปล่อยให้มันช่วยชำระล้างความเสียใจออกไป และหวังว่ามันจะช่วยทุเลาความเจ็บปวดตรงหน้าอกข้างซ้ายนี้ไปได้บ้าง........ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะความเจ็บปวดมากมายถึงเพียงนี้ และนานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกหักหลังมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แต่ถึงผมจะโกรธและเกลียดสิ่งที่ผมเพิ่งเห็นไปมากเท่าไหร่ก็ตาม ผมก็ไม่สามารถห้ามความคิดงี่เง่าๆที่หวังจะได้ยินเสียงเคาะประตูและเสียงของไอ้ซันร้องเรียกให้ผมกลับไปฟังมันอธิบายบ้างไม่ได้ ถึงผมจะไม่ต้องการรับรู้และรับฟังอะไรจากมันอีกแล้วในตอนนี้ แต่การที่ไม่มีเสียงเรียกชื่อผมหรือปฏิกิริยาที่จะตามผมกลับไปเพื่ออธิบายอะไรสักนิดเลยมันก็ทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่มากไปกว่าเดิมได้อีกเช่นกัน

ผมเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนกลับเป็นชุดของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเขียนโน๊ตขอบคุณลุงอี๊ดสั้นๆทิ้งเอาไว้และเปิดประตูคอนโดออก ผมหันไปมองทางห้องของไอ้ซัน ไม่เห็นแม้วี่แว่วของทั้งสองคนอยู่ที่นั่นอีกแล้ว และไม่มีแม้วี่แว่วที่ไอ้ซันจะคิดมาตามตัวผมกลับไปอีกด้วย ภาพของไอ้ซันที่เดินเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกับไอ้แบ๊งค์มันทำให้ผมต้องรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกอีกครั้ง ผมจึงหันหลังและเดินจากมาเพื่อหนีไปให้ไกลจากที่นี่มากที่สุดเท่าที่ทำได้.........

ขณะที่ขับรถ ผมก็คิดถึงพ่อของผมขึ้นมาทันที ผมจึงตัดสินใจจะกลับบ้านไปหาพ่อแทนที่จะขับไปที่อื่นๆตามที่ใจต้องการ แหวนของพ่อที่ผมสวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายส่องประกายสะท้อนกับแสงไฟจากหน้ารถคันที่ขับผ่านไป มันทำให้ผมเริ่มน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ผมจอดรถลงที่ข้างทางและหยิบรูปแม่ของผมออกมาเปิดดู ใบหน้ายิ้มแย้มของแม่ที่กำลังอุ้มเอาตอนเป็นเด็กทารกเอาไว้มันกลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกถึงความสูญเสียมากขึ้นไปอีก

“ผมขอโทษนะครับแม่......... ผมอ่อนแออีกแล้ว และตอนนี้แหวนของแม่กับพ่อ ก็ดูท่าจะไม่ได้อยู่คู่กันเหมือนอย่างที่มันควรจะเป็นซะแล้วล่ะครับ.......” ผมวางรูปลงพร้อมๆกับถอดแหวนออกและเก็บมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมๆกับความเจ็บปวดและน้ำตาที่ไหลรินขึ้นมาจนท่วมท้นหัวใจ

แล้วตอนนี้แหวนอีกวงนึงนั้นมันจะยังคงถูกสวมอยู่บนนิ้วนางของไอ้ซันรึเปล่านะ.........

ผมขับรถกลับมาถึงที่หน้าหมู่บ้านและเห็นว่ายามที่เฝ้าหมู่บ้านกำลังหลับอยู่ ก็เลยต้องบีบแตรเรียกให้เขาตื่นขึ้นมาเปิดประตูให้ และเมื่อผมเลี้ยวรถมาถึงหน้าบ้าน ผมก็เห็นถึงความผิดปกบางอย่างขึ้นมาทันที เพราะผมเห็นแสงไฟลอดออกมาจากห้องนอนของพ่อบนชั้นสองกับที่ห้องนั่งเล่นด้วย

ผมจอดรถไว้ที่หน้าบ้านแล้วเดินตรงเข้าไปจะไขกุญแจเข้าบ้าน แต่ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อพบว่าประตูหน้าบ้านไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้อยู่อย่างที่มันควรจะเป็น

“กลับมาแล้วเหรอ เมฆ” พ่อเอกทักผมทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในบ้าน และนอกจากพ่อแล้ว ไคล์ก็ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกข้างๆพ่อด้วยเหมือนกัน

“ทำไมทั้งสองคนยังไม่นอนอีกล่ะครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนผนังเพราะผมลืมคาดนาฬิกาข้อมือของตัวเองกลับมาด้วย “นี่มันก็ดึกมากแล้วนี่.......” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่อนแอมาก และยังไม่ต้องการที่จะตอบปัญหาหรือเผชิญหน้ากับใครหรืออะไรในตอนนี้ทั้งนั้นเลยจริงๆ

“ตีห้าแล้วนะศิลา เราสองคนตื่นกันแล้วต่างหาก”

“อ้อ........ ถ้างั้นผมขอตัวไปนอนหน่อยก่อนก็แล้วกันนะครับ” ผมพูดพร้อมกับเดินผ่านทั้งสองคนไป

“เดี๋ยวเมฆ” เสียงของพ่อเรียกให้ผมหยุดเอาไว้ และช่วงเวลาที่ผมไม่ต้องการจะเผชิญมากที่สุดก็ใกล้เข้ามาแล้ว ถึงจะเป็นพ่อก็เถอะ แต่ผมก็ไม่พร้อมที่จะคุยอะไรในตอนนี้เลยจริงๆ “กินอะไรมารึยัง ก่อนนอนก็ไปหาอะไรกินสักหน่อยก่อนมั๊ย พ่อเตรียมข้าวต้นร้อนๆไว้ให้กินแล้วนะ”

เมื่อได้ยินเพียงเท่านั้น น้ำตาของผมมันก็เริ่มจะไหลรินออกมาทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พ่อก็ยังเป็นพ่อคนคนที่รัก เข้าใจ และเป็นห่วงผมมากที่สุดกว่าใครๆอยู่เสมอจริงๆ มีแต่ผมเองคนเดียวที่เอาแต่บิดเบือนความหวังดีของพ่อไปด้วยความเห็นแก่ตัวของผมเอง

“ขอบคุณนะครับพ่อ........” ผมตอบพลางใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบที่หัวตาทั้งสองข้างเบาๆเพื่อบังคับไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา “ผมขอโทษนะครับ”

“ไปเถอะ ไปหาอะไรกินสักหน่อย นะ ท่าทางเราจะเหนื่อยมากแล้วนี่ เดี๋ยวพ่อจะพาไคล์ออกไปใส่บาตรที่วัดสักหน่อย ฝากบ้านด้วยก็แล้วกันนะ เมฆ”

เนื่องจากผมยืนหันหลังให้กับทั้งสองคนอยู่ ทั้งคู่จึงไม่สามารถเห็นสีหน้าของผมในตอนนี้ได้ แต่ว่าผมเองก็ไม่สามารถห้ามอาการตัวสั่นเทาที่เกิดการร้องไห้ในตอนนี้ของตัวเองได้เหมือนกัน พ่อเป็นพ่ออย่างนี้เสมอจริงๆ เป็นคนที่เข้าใจผมมากที่สุด เป็นคนที่อบอุ่นและสามารถแสดงความรักและความห่วงใยออกมาได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด โดยไม่ทำให้ผมต้องรู้สึกแย่หรือเขินอาย และถึงพ่อจะไม่พูดมันออกมา แต่ว่าความรักความห่วงใยของพ่อก็ถูกส่งออกมายังผมได้อย่างเต็มเปี่ยม

“ครับ..... ผมขอโทษนะครับ.........” ในตอนนี้แม้แต่ตัวผมเองก็ยังสามารถได้ยินเลยว่าเสียงของตัวเองมันสั่นเครือมากขนาดไหน

“งั้นพ่อกับไคล์ไปก่อนนะ อย่าลืมกินข้าวสักหน่อยล่ะ” พ่อเอกพูดก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงของทั้งสองคนลุกขึ้นจากโซฟาและประตูบ้านที่เปิดออก และตอนนั้นเองที่ผมถูกคนๆหนึ่งกอดเข้าจากทางด้านหลัง

“ไม่เป็นไรนะครับ ศิลา พี่คือพี่ชายของผมเสมอนะ ผมรักพี่นะครับ” ไคล์พูดสั้นๆ ก่อนจะหอมแก้มผมแล้วเดินจากไป

หลังจากที่ผมได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถค่อยๆจากออกไป สิ่งที่เหลืออยู่ในบ้านตอนนี้ก็มีเพียงความว่างเปล่า ความเงียบเหงา และผมที่ต้องอยู่กับมันให้ได้เท่านั้นเอง

ผมเช็ดน้ำตาออกและเดินไปสำรวจข้าวเช้าที่พ่อทำเตรียมไว้ให้ผม พ่อเตรียมข้าวต้มกระดูกหมูเอาไว้ให้ผมโดยไม่ลืมที่จะเปิดไฟอุ่นเลี้ยงให้มันยังร้อนอยู่เสมอ เพื่อที่ผมจะได้กินมันตอนร้อนๆไม่ว่าผมจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ตาม และเมื่อผมเปิดตู้เย็น ผมก็เห็นนมที่ถูกรินจนเต็มแก้วเอาไว้แก้วหนึ่งพร้อมกับโน้ตให้กำลังใจที่แปะเอาไว้ด้วยลายมือของไคล์เป็นภาษาอังกฤษว่า “Be strong, bro”

ผมเอื้อมมือไปหยิบมันออกมาถึงรู้สึกว่าแก้วนั้นเย็นเจี๊ยบเลยทีเดียว และพอผมลองเปิดช่องแช่แข็งและดูกระดูกหมูส่วนที่เหลือจากการเอามาทำข้าวต้มนี้ ผมก็เห็นว่ามันเองก็แข็งโป๊กจนเป็นน้ำแข็งเหมือนเดิมไปแล้วเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็แปลว่าทั้งสองคนคงจะตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารและรอผมอยู่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วแน่ๆ

“ผมขอโทษนะครับพ่อ........... พี่ขอโทษนะ ไคล์ แต่ว่า.......... แต่ว่า............” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ น้ำตาค่อยๆไหลรินออกมาอย่างช้าๆ “มันคงจะจบแล้วล่ะ ในเมื่ออีกคนนึงเค้าก็ไม่ได้ต้องการจะพูดคุยกับพี่อีกต่อไปแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้น........... ทุกอย่างมันจบลงแล้ว.......... ทุกสิ่งทุกอย่างของเรามันจบลงแล้ว”

..................................

ผมนอนไม่หลับเลยจริงๆ ถึงผมจะเพิ่งไปเที่ยวไปกินเหล้าข้างนอกมาจนเกือบจะเช้าแบบนี้ แต่ผมก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้เลย....... แต่ก็แหงล่ะ เวลาแบบนี้ เพิ่งเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา ใครมันจะไปหลับลงกัน

ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงช้าๆ หันไปมองเห็นไอ้แบ๊งค์ที่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง มันก็คงจะหลับไปแล้ว เพราะว่าวันนี้มันเองก็เหนื่อยกับผมมามาก ผมจึงค่อยๆเดินย่องออกจากห้อง และไปทิ้งตัวนอนลืมตาอยู่บนโซฟาท่ามกลางความมืด ปล่อยให้ความเหงาและความเจ็บปวดมันค่อยๆกัดกินหัวใจของผมต่อไปทีละน้อยๆ.........

ถึงตอนนี้มันใกล้จะถึงเวลารุ่งเช้าแล้ว แต่ว่าทั่วทั้งห้องที่ยังคงปิดไฟทุกดวงเอาไว้จนมืดสนิท บวกกับผ้าม่านสีน้ำเงินเข้มที่ถูกรูดปิดอย่างมิดชิดก็ไม่ปล่อยให้แสงตะวันอ่อนๆยามเช้าที่ปลายฟ้าเล็ดลอดเข้ามาได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ลมหายใจแรกของพระอาทิตย์ที่จะส่องสว่างให้โลกทั้งโลกกลับมาสู่ความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง........ แสงอันอ่อนโยนที่เป็นพลังและมอบความสดชื่นให้แก่มนุษย์ตัวเล็กๆทุกคน แสงแห่งความมีชีวิตชีวาและอบอุ่นจากดวงอาทิตย์อันยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลเหนือทุกสิ่ง แสงที่นอกจากตอนมันลาลับขอบฟ้าแล้วก็จะมีเพียงแค่ไม่กี่นาทีในช่วงเช้าอย่างนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถสัมผัสถึงมันได้...........

พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า........... ช่วงเวลาที่ไอ้เมฆชอบมากที่สุดนั่นเอง

เมื่อคิดถึงมันขึ้นมา ภาพใบหน้าของมันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ผมเห็นตรงหน้าประตูห้องนี้ก็ทำให้ผมต้องรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกอีกครั้ง น้ำตาที่ผมร้องจนแห้งเหือดเหลือเป็นเพียงคราบจางๆบนใบหน้า ก็ดูจะชุ่มชื้นขึ้นมาอีกทันทีเมื่อน้ำหยดใสๆเริ่มก่อตัวขึ้นที่ดวงตาทั้งสองของผมอีกครา

ผมได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กเบาๆลอดออกมาจากในห้องนอนของผม นี่ก็แปลว่าไอ้แบ๊งค์เองก็คงจะตื่นแล้วหรือไม่จริงๆแล้วมันก็คงจะนอนไม่หลับเหมือนๆกัน ผมใช้นิ้วปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่ามันจะเดินออกมาตามหาผมและเห็นผมแบบนี้เข้าได้ เพราะนี่ผมก็อุตส่าห์เดินหนีมันออกมานอนอยู่บนโซฟาคนเดียวแบบนี้แล้วนี่นะ แต่ทว่าความเจ็บปวดกับหนทางที่ผมได้เลือกทำลงไป มันก็ไม่สามารถช่วยเยียวยาหัวใจที่กำลังร้องไห้อยู่ภายในอกข้างซ้ายของผมได้เลยแม้แต่น้อย.........

“กูขอโทษ เมฆ.......... แต่ว่า หลังจากนี้ เราสองคนมันก็คงต้องเป็นได้เพียงแบบนี้เท่านั้นแล้ว........ ใช่มั๊ย”

ผมกำก้อนหินสีขาวของผมเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะแตกสลายเป็นผุยผงลงตรงหน้าของผม
ผมกำมันเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะกลิ้งหนีหายผมไปและไม่มีวันคืนกลับมา
ผมกำมันเอาไว้แน่น........... ราวกับมันเป็นหัวใจเพียงหนึ่งเดียวของผมที่ผมมีเหลืออยู่

และแหวนวงนั้น ที่ผมยังมีค่าพอที่จะยังคงสวมมันเอาไว้อยู่อีกหรือ.............


..................................

ผมได้ยินเสียงของไอ้ซันลุกขึ้นใส่เสื้อแล้วเดินออกจากห้องไป...........

ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด.......... แต่ว่าผมมีทางเลือกด้วยหรือ
ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันเลว.......... แต่ว่าทางเลือกไหนล่ะ ที่ผมจะมีสิทธิ์เลือก

ความรักที่ผมมีนั้นมันไม่เคยเป็นไปได้มาตลอดหลายปี และถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้อีกหลายสิบปีนับจากนี้ไปมันก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้เหมือนกัน แต่ว่าผมก็ยังคงดิ้นรนเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด ดิ้นรนเพื่อที่ตัวเองจะได้หลีกหนีความจริงที่ไม่อาจเลี่ยงได้

ทว่าตอนนี้ผมได้ก้าวเดินไปในเส้นทางที่ผมไม่ควรเดินแล้ว

และสุดท้ายแล้วสิ่งที่มีค่าของมันคืออะไร
และสุดท้ายแล้วผมจะยังคงเหลืออะไรอยู่อีกไหม...........

นับตั้งแต่นาทีแรกที่ผมเห็นหน้าไอ้ซันอีกครั้ง หัวใจของผมก็เริ่มหวั่นไหวขึ้นมาอีกครา ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ใช่คนของผมอีกต่อไป ทั้งๆที่รู้ว่าเขาจะเป็นได้เพียงคนในความทรงจำของผมเท่านั้น แต่ว่าทำไมสุดท้ายแล้วหัวใจของผมมันจึงไม่สามารถเลิกดิ้นรนได้ง่ายๆ..........

จนท้ายที่สุดทางเดินของผมมันก็เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว

ผมเอามือแตะที่ริมฝีปากเบาๆ........ สัมผัส รสชาติ ความนุ่มนวล และความอ่อนโยนจากจูบแรกของคนที่ผมเฝ้ารักและรอคอยเขามาตลอดยังคงเหลือติดอยู่ที่ปลายลิ้น ความหวังและความฝันทั้งหมดของผมได้เกิดขึ้นจริงแล้วเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้นี่เอง..........

“ไอ้ซัน........... ขอบใจนะ กูรักมึงจริงๆ และไอ้เมฆ........ กู......... ขอโทษ”


..................................

ความรักคือการครอบครอง และการได้ครอบครองก็คืออำนาจ และแน่นอนว่าอำนาจก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีในชีวิต ดังนั้น ความรักจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดของชีวิต และมันก็ไม่สำคัญด้วยว่าผมจะได้มันมาครองด้วยวิธีการใดก็ตาม.......

ความท้าทายของความปรารถนาก็คือวิธีการ และความท้าทายของวิธีการก็คือตัวเป้าหมายเอง และตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เห็นเมฆ ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเป้าหมายในครั้งนี้ของผมมันน่าท้าทายมากขนาดไหน เขาเป็นคนหน้าตาดี อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว แต่นอกจากนั้นแล้วเขายังเป็นคนดีมากแบบไม่น่าเชื่ออีกด้วย เป็นคนดีที่ทั้งเก่งและมีความสามารถซึ่งหาได้ยากยิ่งในสมัยนี้

และนั่นมันก็ยิ่งทำให้ผมอยากครอบครองเขามากขึ้นไปอีก

“ขอโทษทีนะซัน แต่ว่าพี่ชอบเมฆจริงๆว่ะ และไม่ว่ายังไง พี่ก็จะต้องทำให้เมฆเป็นของพี่ให้ได้ด้วย”

ไม่มีสิ่งไหนที่ผมอยากได้และไม่เคยได้ ไม่มีใครที่เคยขัดขวางผมจากสิ่งที่ผมต้องการ แม้แต่พ่อหรือแม่ของผมก็ตามที.........


..................................

“ขอโทษนะเมฆ......... แต่ว่านัทไม่มีทางเลือกจริงๆ”

ใครจะเข้าใจบ้างไหม ว่าความเจ็บปวดของการถูกทิ้ง ความเจ็บปวดของการถูกบอกลามันทำร้ายลึกมากถึงเพียงใด โดยเฉพาะความรู้สึกของการถูกคนที่เรารักหักหลังนั้นมันทำร้ายจิตใจและฝังรากลึกลงไปได้มากขนาดไหน.......

หนึ่งมิตรภาพ
หนึ่งความรัก
หนึ่งความเจ็บปวด

ฉันยังจำเป็นต้องเลือกเลยใช่ไหม จะมีทางไหนบ้างที่ฉันจะเดินต่อไปโดยไม่ทำให้ใครต้องมาเจ็บปวด หรือแม้แต่สร้างบาดแผลให้ตัวเองอยู่อย่างนี้........

ทั้งๆที่รัก ทั้งๆที่ไว้ใจ แต่สุดท้ายฉันก็ถูกหักหลัง
ความอัปยศ ความอดสู ที่ฉันอาจจะต้องเผชิญอีกต่อไปข้างหน้า มันทำให้ฉันต้องทรมานราวกับตกนรกทั้งเป็น

น้ำตาและความเสียใจที่เคยมีก็พลันจะเหือดแห้ง จนเหลือเพียงความหลังอันเลวร้ายให้ฝังแน่นอยู่ในใจราวกับแผลเป็นที่ไม่มีทางรักษาหาย และสุดท้าย....... คนที่ฉันเคยรักก็ต้องมาเจ็บปวดแทนฉันอีกครั้งจนได้

ใครบ้าง ที่จะอยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้.............
และใครบ้าง ที่มันอยากจะเสียใจ............


หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 03-03-2008 13:22:21
แอร๊ยยยส์ส์!! โดนบังคับให้มาโพสตอนต่อไปโดยไว จะพิมตอนต่อไปไม่ทันแว้วคับเนี่ยยย !!

T__T

55555

หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 03-03-2008 13:36:26
แหม เรื่องนี้แข่งกันเจ็บปวดนะ
แล้วตกลงใครจะเจ็บมากกว่ากันนะนี่
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 03-03-2008 14:32:02
 :o
สามคนหลังน่าสงสารตรงไน๋กัน...ที่น่าสงสารคือเมฆกับซันต่างหาก
ต้องมาวุ่นวายกับความเห็นแก่ตัวของสามคนหลัง  โดยไม่รู้เรื่องราว

แต่งเก่งขึ้นเรื่อย ๆ อ่านแล้วอึดอัดแทบบ้า...ขนาดเดาถูกแล้วนะว่าจะ
เป็นแบบนี้แต่ก็ยังต้องร้องไห้...สงสารเมฆจัง...เป็นงี้ทุกคนไม๊....
เวลาเมา...นึกจะกอดจะจูบกับใครก็ได้งั้นเหรอ...แล้วความไว้ใจอยู่ไน๋
ทำไปแล้วจะมานั่งร้องไห้ทำบ้าไร...ทำให้คิดไปอีกว่าคืนก่อนที่ค้างกับ
ไอ้เจ้าแบงค์ไม่เรียบร้อยไปแล้วรึ...ถ้าจะเลิกกันก็สมควร... :เตะ1:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ryuse ที่ 03-03-2008 16:41:06
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

ทนไม่ไหวแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

และแล้วซันก็มีอะไรกับแบ็งค์จนได้ . . . คือ . . . อื้อหือ . . . พูดไม่ออกอ่ะ

จะบอกว่าแบ็งค์คือคนๆเดียวที่ทำให้ปองเกลียดขี้หน้าได้ ขนาดแฟนนัทปองยังไม่เกลียดเท่าไอ้เวรนี่เลย

เลว เห็นแก่ตัว ต่ำ รู้ว่าผิดก็ยังทำ ชั่วไม่มีที่สิ้นสุด :angry2: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 04-03-2008 09:41:33
อ๊าก พี่ชาย
ไม่ต่อโดยด่วนมีเคืองอ้ะ
น้องจะสอบพุ่งนี้แร้ว  :m15:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-03-2008 09:45:31
อ๊าก พี่ชาย
ไม่ต่อโดยด่วนมีเคืองอ้ะ
น้องจะสอบพุ่งนี้แร้ว  :m15:

คุณคือจุดอ่อน.....
เชิญค่ะ!!

(ฮา)


หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 04-03-2008 19:19:55
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

ม่ายจริงงงงงง  :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-03-2008 08:39:45
เหล่าเสียงกระซิบจากสายลม.......


เอ็น

“มึงว่าไงนะ! นี่มึงพูดจริงงั้นเหรอ ไอ้ซัน!” ผมถามมันออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “นี่มึงกับไอ้เมฆกำลัง........... มึงพอเลย แล้วทำไมมึงไม่คุยกับมันให้รู้เรื่อง มึงตอบกูมาเดี๋ยวนี้ว่ามึงทำแบบนั้นลงไปจริงๆรึเปล่า........”

หลังจากที่ไอ้เมฆมันโทรมาบอกผมว่าไอ้ซันกำลังเข้าใจมันผิดอยู่และพยายามติดต่อหาไอ้ซันทุกวิถีทาง ผมก็คอยพยายามโทรหาไอ้ซันอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเช้าวันต่อมามันถึงได้เปิดมือถือขึ้น และผมก็ต้องได้ยินเรื่องราวที่ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเข้าจนได้ มันเป็นเรื่องที่ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะเลยเถิดมาได้ถึงขั้นนี้

“มึงจูบไอ้แบ๊งค์ แล้วไอ้เมฆก็มาเห็น! แล้วมึงทำแบบนั้นไปทำไมวะ............ มึงตอบกูสิวะ ไอ้ซัน ทำไมมึงถึงทำแบบนั้น อย่าเงียบสิวะ! ไอ้เหี้ยเอ๊ยย! แล้วอย่างนี้มึงกับไอ้เมฆก็........... ไม่ กูไม่ยอมรับหรอก ไอ้ซัน กูไม่รู้นะเว้ยว่ามึงเป็นเหี้ยอะไรของมึง แต่มึงต้องคุยกับไอ้เมฆอีกครั้ง ไม่ มึงไม่ต้องพูดอะไรเลย มึงไม่ต้องบอกอะไรกับกูก็ได้ กูรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่มึงต้องไปอธิบายและคุยกับไอ้เมฆให้เข้าใจ จากนั้นจะเป็นยังไงต่อไป ก็เรื่องของมึง มึงจำไว้เลยนะ กูไม่มีทางยอมให้ไอ้คนสองคนที่มันสอนให้กูรู้จักความรักต้องมาจมน้ำตายเพราะความรักของพวกมันเองหรอกนะเว้ย!”


ไคล์กับพี

ตอนนี้ผมรู้ว่าคนที่ผมรักสองคนกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของพวกเขาทั้งคู่ ช่วงเวลาที่จะพิสูจน์ความรักและความจริงใจของคนสองคน ช่วงเวลาที่จะตัดสินว่าความรักหรือความผูกพันจะเป็นฝ่ายเลือกให้คนทั้งคู่ได้เคียงคู่กันไปจนถึงวินาทีสุดท้าย.......

แต่ผมคงไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขามีปัญหาอะไรกัน ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรหรือไม่ได้คุยอะไรกันไปบ้าง และผมก็ไม่รู้ด้วย ว่าบททดสอบในครั้งนี้ของพวกเขานั้นเป็นอย่างไร

แต่ผมเชื่อว่าความรักของทั้งสองคนจะต้องฟันฝ่ามันไปได้อย่างแน่นอน.......... ผมเชื่อในตัวของพี่ชายทั้งสองที่ผมรู้จักดีจากเบื้องลึกของจิตใจ

“พีท ผมไม่รู้จริงๆนะว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป ซันก็ไม่ค่อยจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังอยู่แล้ว ช่วงหลังๆศิลาเองก็เงียบลงไปตั้งเยอะ เหมือนเค้ามีเรื่องให้คิดอยู่ตลอดเวลายังไงไม่รู้” ผมถามพีทแฟนของผมทางโทรศัพท์หลังจากที่ผมกับลุงเอกออกมาจากบ้านในตอนเช้า และผมได้อยู่ตามลำพังแล้ว

“ผมว่าไคล์อย่าคิดมากเลย ผมเองก็เป็นห่วงพวกเค้าสองคนนะ แต่ไคล์จำได้มั๊ยว่าคนที่ช่วยเหลือเราและสนับสนุนเราสองคนมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันนั้นคือใคร”

“จำได้สิครับ ผมจะลืมได้ยังไง.......”

“ใช่แล้ว ทั้งสองคนน่ะเข้มแข็งมาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำได้คือเชื่อมั่นในตัวพวกเขา และคอยเป็นเหมือนกำลังใจที่จะผลักดันพวกเขาอยู่ห่างๆเท่านั้นเอง ผมเองคงทำอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่เพราะผมอยู่ไกลถึงขนาดนี้ แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยๆสิ่งที่ไคล์ทำได้ในตอนนี้คือ ทำยังไงก็ได้ให้เขาได้คุยกันให้เข้าใจ หรือถ้าเขาจะไม่เข้าใจกันเราก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่ว่า......”

“แต่ว่าถ้าไม่มีการพูดคุยกัน มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย....... ครับ ผมเข้าใจ” ผมพยักหน้าให้กับตัวเองเบาๆ “และผมก็ทำไปแล้วล่ะ ตอนนี้ศิลากลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว แต่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ผมโทรหาซันยังไงก็โทรไม่ติด แต่ว่าพอเขาเปิดเครื่องปุ๊บ เขาจะต้องเห็นเมสเสจของผมทันทีแน่..........”


อีฟกับวิท

“มึงรู้เรื่องแล้วของไอ้ซันกับเมฆแล้วใช่มั๊ย อีฟ”

“อืมม รู้แล้ว กูเพิ่งรู้จากไอ้เมฆเมื่อกี๊นี้เอง มันโทรมาเล่าให้กูฟังคร่าวๆแล้ว ดูมันแย่มากๆเลยว่ะ แล้วมึงล่ะรู้จากไหน นี่กูก็คิดจะโทรไปหามึงอยู่พอดีเลยเหมือนกัน วิท”

“ไคล์มันโทรมาบอกกูแต่เช้าเลย มันบอกว่ามันไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะไอ้ซันก็พี่มัน ส่วนไอ้เมฆมันก็รักโคตรๆ แต่ไอ้ซันดันเสือกหนีออกจากบ้านไปแบบนี้และไม่บอกอะไรมันสักคำ แถมมันก็ยังคงอาศัยอยู่บ้านไอ้เมฆอยู่ มันก็เลยเครียดและทำตัวไม่ถูกนั่นแหละ....... โธ่ ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย สุดท้ายแม่งก็เป็นแบบนี้จนได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กูไม่เห็นจะรู้เลยนะเว้ยว่ามันจะมีแวว”

“กูก็ไม่คิดหรอกนะ แต่กูก็ตงิดๆอยู่เหมือนกัน นี่กูยังเพิ่งจะเตือนๆไอ้เมฆเรื่องนัทไปเอง ว่าอย่าทำให้ไอ้ซันมันต้องคิดมากนักน่ะ แต่สุดท้ายนี่มันก็เกิดจากเพราะอะไรกันแน่ กูก็ไม่รู้ว่ะ มึงจะเอาไงดีวะ กูไม่อยากอยู่เฉยๆแล้วเห็นมันเป็นแบบนี้เลย ไอ้วิท”

“กูเองก็เหมือนกันนั่นแหละ เอางี้ กูจะลองเข้าทางไอ้ซันเอง แต่ก็นะ คนอย่างไอ้ซัน กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูจะทำอะไรได้บ้าง ส่วนมึงก็.........”

“อืม เดี๋ยวกูดูไอ้เมฆให้ แต่กูว่าเราอย่าเพิ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเลยก็แล้วกันนะ”

“กูก็ว่างั้นแหละ เพราะถ้าเกิดคนอื่นรู้ว่ามันสองคนมีเรื่องถึงเลิกกันแบบนี้ พวกมันจะตกใจและเป็นห่วงพวกมันมากขนาดไหน แต่ก็แค่ไอ้สองคนนี้มันไม่ค่อยจะรู้ตัวเลยก็เท่านั้น.........”

“ใช่ มันไม่ค่อยรู้หรอกว่ามันมีเพื่อนๆรักมันกันอยู่มากแค่ไหน พูดจริงๆนะ กูรักพวกมันโคตรๆเลยโดยเฉพาะไอ้เมฆน่ะ และกูก็จะไม่ยอมปล่อยให้พวกมันเลิกกันง่ายๆแบบนี้แน่นอนด้วย”

“ใช่ กูก็เหมือนกัน อีฟ กูก็เหมือนกัน..........”


วิน

“อย่างนั้นหรอ เมฆ...........” ผมได้รับโทรศัพท์จากเมฆตอนหกโมงเช้านิดๆและได้ยินข่าวร้ายที่ผมกลัวมาตลอดว่ามันจะเกิดขึ้นจนได้......... ผมคงจะลงมือช้าเกินไป

ที่จริงผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจไอ้เรื่องความรักความคาดหวังของคนรักอะไรนี่เท่าไหร่นักหรอก ถ้าถามผมตรงๆและถ้าหากผมเป็นเมฆล่ะก็ ผมคงจะไม่รู้สึกเสียใจอะไรมากเท่านี้แน่ๆ และถึงเมฆจะไม่ได้พูดออกมาว่าเขาเสียใจมากหรือไม่ได้ร้องไห้ออกมาให้ผมเห็นต่อหน้าหรือแม้แต่ทางโทรศัพท์เมื่อครู่ ผมก็ยังคงรับรู้ได้จากทุกคำพูดของเขาเลยทีเดียวว่าเขาเสียใจกับมันมากแค่ไหน

ถ้าเกิดว่ามันเป็นผมที่ต้องไปเห็นคนรักของผมทำเรื่องแบบนั้นกับตาขึ้นมา ผมก็คงจะปล่อยมันไปก็เท่านั้นเอง เพราะถ้าหากมันอยากจะมีชีวิตที่มันเลือกและคิดว่าดีแบบนั้นแล้วละก็........ เชิญเลย เพราะผมไม่เคยเชื่อในความรักของหนุ่มสาวหรืออย่างน้อยๆก็ความรักที่เกิดจากความใคร่พวกนี้อยู่แล้ว

สิ่งเดียวที่ผมเชื่อก็คือความรักความห่วงใยจากเพื่อนที่ผมเลือกมีแค่เพียงหยิบมือ และความรักจากครอบครัววัฒณประเสริฐกุล.......... ความรักจากพ่อของเมฆและเมฆที่มีให้แก่ผมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความสุขของคนสองคนนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด และผมจะไม่ยอมให้คนที่ผมรักต้องทนทุกข์ใจเศร้าใจแบบนี้แน่นอน

“พี่เคยรับปากเมฆเอาไว้แล้วว่าพี่จะช่วยเหลือเมฆ และพี่ก็เคยรับปากพ่อของเมฆเอาไว้แล้วว่าพี่จะรักและดูแลเมฆให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นอย่างไรหรือเมื่อไหร่ก็ตาม และพี่ไม่เคยผิดสัญญา ดังนั้นพี่ก็จะทำหน้าที่ของพี่ให้ดีที่สุด ไม่มีอะไรจะมาขวางพี่ได้ แต่พี่จะต้องขอเมฆเพียงอย่างเดียว อย่างเดียวที่พี่ไม่เคยเข้าใจและไม่สามารถทำแทนเมฆได้ นั่นก็คือ เข้าไปคุยกับซันซะ จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่าพี่ไม่รู้ แต่พี่เชื่อในตัวเมฆ พี่เชื่อในความใจกว้างและให้โอกาสตัวเองอีกครั้งของเมฆ เรื่องนี้เท่านั้นที่พี่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเมฆจะทำด้วยตัวของตัวเอง พี่จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับซัน แต่ส่วนที่เหลือพี่ขอให้เมฆปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของพี่เอง..............”

ผมวางโทรศัพท์ลงพร้อมกับเตรียมตัวที่จะเริ่มต้นจัดการปัญหาและไอ้ตัวปัญหาที่เหลืออยู่ให้เรียบร้อยเสียที


หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 05-03-2008 09:14:09
 :serius2: :serius2:

 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 05-03-2008 12:45:19
รับรู้ความปรารถนาดีของคนรอบข้างซักพันคน

ก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยยยยยยยย

เมฆ กะ ซัน เป็นไงบ้างน๊า....... :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-03-2008 17:53:49
วินาทีที่ 40 : วินาทีสุดท้าย.......


หลังจากผมวางโทรศัพท์จากทุกคน ความเหนื่อยอ่อนและความอ่อนเพลียก็เข้ามาเล่นงานผมทันที แต่ว่าผมก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะนอนจริงๆ และถึงผมจะมีเวลา ผมก็คงจะนอนไม่หลับอยู่ดี ผมจึงตัดสินใจขับรถไปหาอีฟที่บ้านอย่างที่มันชวนแกมบังคับ แต่พอผมไปถึงปุ๊บ อะไรๆมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด นั่นก็คืออีฟไม่ได้ซักไซ้หรือถามรายละเอียดอะไรผมเลย และผมเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะอยากเล่าอะไรให้ใครฟังเหมือนกัน แต่มันสำคัญก็ตรงที่ความรู้สึกดีๆที่ได้มีเพื่อนอยู่ข้างกายในเวลาแบบนี้เท่านั้นเอง

“เราว่าแกพักผ่อนหน่อยเถอะ นอนที่โซฟานี่แหละ เดี๋ยวเราออกไปซื้อของกลับมาทำข้าวเที่ยงให้แกกินเอง” อีฟบอกผมเมื่อมันเห็นผมมีท่าทางเพลียเต็มแก่แล้วจริงๆ

“ก็ได้ ขอบใจนะเว้ยที่อุตส่าห์คิดถึงกู” ผมพูดพร้อมกับเอนหลังลงนอน และเนื่องจากพ่อกับแม่ของมันไม่อยู่บ้านวันนี้ แถมพวกท่านเองก็รู้จักผมดีและไว้ใจผมมากอยู่แล้ว ผมจึงไม่ต้องรู้สึกเกรงใจอะไรมากมายนัก

“พวกเราก็คิดถึงแกเสมอแหละ ไอ้บ้า” อีฟเดินเอาหมอนอิงมาตีลงบนหน้าผมเบาๆหนึ่งที “นอนไปซะ เดี๋ยวเราทำกับข้าวอะไรเสร็จแล้วเรามาเรียก”

“อืมม รบกวนหน่อยก็แล้วกัน เมื่อวานแม่งเจอมาเยอะว่ะ ไปนั่นไปนี่ แถมยังไม่ค่อยได้นอนอีก”

“เราเข้าใจ แต่ว่าแกฟังเรานิดนึงนะเมฆ เรารู้ว่าแกยังไม่อยากคุยเรื่องนี้ และเราก็ไม่ได้คิดจะคุยอะไรกับแกหรอก แต่ว่าเราอยากให้แกคุยกับไอ้ซันมันนะ เพราะนิสัยแกมันก็ไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า แกน่ะต้องคุยให้รู้เรื่องก่อน แล้วถึงจะตัดสินใจทำอะไรลงไป จริงมั๊ยล่ะ”

“........ก็คงอย่างนั้นมั๊ง” ผมตอบออกมาเบาๆ

“เอาเถอะๆ ตอนนี้นอนไปก่อนเถอะ คิดมากแล้วเดี๋ยวจะพลอยนอนไม่หลับเอาอีก” อีฟบีบหัวไหล่ผมเบาๆก่อนจะเดินออกไป

และด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ทับถมกันมาตั้งแต่เมื่อวาน ในที่สุดผมก็ผล็อยหลับลงไปจนได้...........

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น ผมหันไปมองรอบๆห้องหานาฬิกา ผมจึงรู้ว่าผมหลับไปแล้วเกือบชั่วโมงนึงเลยทีเดียว จากนั้นผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาดูว่าใครที่เป็นคนโทรเข้ามา และชื่อคนที่โทรเข้ามานั้นก็ทำให้ผมต้องหันไปรอบห้องเพื่อดูว่าอีฟอยู่ใกล้ๆหรือเปล่า และพอผมเห็นเงาของมันที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในครัวแว้บๆ ผมจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกบ้านพร้อมกับกดปุ่มรับสาย

“ฮัลโหล..........”


..................................

หลังจากผมเปิดเครื่องปุ๊บ ไอ้เอ็นก็โทรเข้ามาหาผมทันที ผมจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดให้มันฟัง ดูท่าทางมันเองก็ไม่พอใจในตัวผมมากเลยเหมือนกัน ไม่พอใจทั้งสิ่งที่ผมทำลงไปและไม่พอใจทั้งที่ผมไม่ยอมอธิบายอะไรให้มันฟังด้วย และพอหลังจากวางสายจากมันไป ผมก็เปิดเมสเสจที่เพิ่งได้รับเข้ามาอ่าน อันแรกเป็นของไคล์ที่บอกว่าเขารักผมมาก และอยากให้ผมทำอะไรเพื่อเขาสักอย่าง นั่นก็คือให้ผมไปคุยกับเมฆให้เรียบร้อย เพราะถ้าเป็นแบบนี้เขากับพีคงไม่สบายใจไปจนวันตายแน่ ส่วนอีกอันมาจากไอ้วิท มันบอกว่ามันมีเรื่องสำคัญมากที่จะคุยกับผม ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะรู้เรื่องของผมกับเมฆแล้วด้วยเหมือนกัน ผมจึงตัดสินใจไม่สนใจมันซะ เพราะถึงยังไงตอนนี้ผมก็ไม่มีอารมณ์จะไปพบไปคุยอะไรกับใครทั้งนั้นแล้ว

“ซัน” ไอ้แบ๊งค์ที่เดินออกมาจากห้องนอนเรียกผมจากหน้าประตู

“ว่าไง”

“มึงจะเอายังไงต่อไป.........”

“กูจะเอายังไงต่อน่ะเหรอ........” ผมแค่นยิ้ม “มึงพูดเหมือนกับกูเลือกได้งั้นแหละนะ”

ไอ้แบ๊งค์ก้มหน้าและหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเหมือนเคย ผมเองก็หลับตาลง และเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาตัวเองเหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็เดินมาเปิดม่านออกให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้อง

“จะสิบโมงแล้ว.........” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ นึกสงสัยว่าตอนนี้ไอ้เมฆมันจะเป็นยังไงมั่งนะ เมื่อคืนผมกับมันก็เจอกันด้วยสภาพที่เรียกได้ว่าเลวร้ายที่สุดเลยทีเดียว อาการปวดหัวเพราะการเมาค้างและอดนอนเริ่มเข้ามาทำร้ายผมทีละน้อยๆ ผมจึงเดินไปหยิบพาราออกมากินสองเม็ด ก่อนกลับมาล้มตัวลงไปนอนบนโซฟาเหมือนเคย

“งั้นกูขอตัวกลับก่อนนะ ซัน” ไอ้แบ๊งค์ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากในห้องนอน “ถ้าเกิดมึงมีอะไร..........”

“อืม กูรู้แล้ว มึงกลับไปเถอะ” ผมตอบทั้งๆที่ยังคงหลับตาอยู่ ภาพที่เราสองคนจูบกันเมื่อคืน......... ไม่สิ ภาพที่ผมจูบมันไปเมื่อคืนฉายซ้ำขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง ตามมาด้วยสีหน้าของไอ้เมฆที่เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ส่วนหลังจากนั้นก็.........

“กูรักมึงนะ ซัน.........” ไอ้แบ๊งค์พูดทิ้งท้าย แต่คราวนี้ผมไม่ได้ตอบกลับไป และสิ่งถัดมาที่ผมได้ยินก็คือเสียงประตูคอนโดที่ถูกปิดลง เหลือเพียงความเงียบและความว่างเปล่าอยู่ในห้องกับผมตามลำพังเท่านั้น แต่ทว่าภายในใจของผมนั้นมันกลับสับสนไปด้วยปัญหาและคำถามต่างๆมากมายเหลือเกิน........

ถึงตอนนี้มันอาจจะยังเช้าอยู่มากและอาจจะเช้าเกินไปด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยให้ความสงสัยและความกังวลของผมผ่านไปเฉยๆได้ ผมจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและเดินออกจากห้องไปยังห้องข้างๆทันที และหลังจากเคาะประตูอยู่สามสี่ครั้ง ลุงคนนั้นที่ผมไม่รู้จักชื่อก็เปิดประตูออก

“อ้าว เข้ามาก่อนสิ ซัน........”


..................................

“ครับ พี่จ๊อบ” ผมรับโทรศัพท์พร้อมกับถอนหายใจ “พี่มีธุระอะไรกับผม”

“ก็นิดหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งทำเสียงแบบนี้สิ พี่ก็แค่ยังข้องใจเรื่องคำตอบของเมฆที่บอกพี่มาเมื่อวันก่อนนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

ผมหลับตาแล้วเม้มริมฝีปากตัวเองเบาๆ “คำตอบงั้นเหรอครับ..........”

“ใช่ครับ คือ พี่ว่ามันก็แปลกๆนะ ที่เมฆปฏิเสธเงื่อนไขพี่ แต่ก็ยังบอกพี่ว่าขอเวลาเมฆอีกนิดหน่อยน่ะ มันเหมือนเมฆจะถ่วงเวลาพี่ทั้งๆที่คิดจะปฏิเสธพี่นะ และที่สำคัญพี่อยากรู้ด้วยว่าพี่จะต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่น่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นพี่ก็คงต้อง...........”

“พี่ไม่ต้องรอแล้วครับ” ผมพูดแทรกขึ้น “ไอ้ซันย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดแล้ว ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่พี่ต้องการแล้วทุกอย่าง พอใจรึยัง”

“งั้นเหรอ ถ้างั้นพี่ก็ขออะไรเมฆอีกนิดหน่อยก็แล้วกันนะครับ.............” พี่จ๊อบพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงชัยชนะเล็กน้อย

นี่ผมจะต้องเดินไปในเส้นทางนี้จริงๆอย่างนั้นหรือนี่............

พี่วินครับ........ ผมชักเริ่มรู้สึกอยากให้พี่ช่วยจัดการไอ้คนๆนี้ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวให้กับผมหน่อยเหลือเกินแล้วจริงๆ


..................................

“เมื่อวานลุงเป็นคนให้เมฆเค้ามาพักอยู่ที่นี่เองน่ะ เพราะเค้ายืนยันว่าเค้าจะรอซันกลับมาให้ได้ ลุงก็เลยไม่อยากให้เค้าไปนั่งรออยู่ที่หน้าประตูแบบนั้น แถมเมื่อวานเมฆเองก็ดูแย่มากเลยด้วย ทั้งเลือด ทั้งฝุ่น ทั้งเหงื่อ เต็มไปหมด”

“เลือดงั้นเหรอครับ” ผมถามด้วยความตกใจ “มันบาดเจ็บมาเหรอครับ”

“ดูเหมือนจะไม่ใช่นะ” ลุงอี๊ดส่ายหัวพลางยกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นจิบก่อนจะถามขึ้นอีก “ว่าแต่เราสองคนได้คุยกันรึยังล่ะ”

“............นั่นมันนาฬิกาของไอ้เมฆนี่ครับ” ผมไม่ตอบ แต่ชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกทางฝั่งของลุงอี๊ด

“อ๋อ ใช่ ท่าทางเมฆเค้าจะลืมไว้น่ะ งั้นลุงฝากซันไปคืนเลยก็แล้วกันนะ”

ผมนั่งนิ่งไม่ได้ยื่นมือออกไปรับนาฬิกาที่ลุงอี๊ดยื่นให้แก่ผมมา

เวลา........
ท้องฟ้า.........
ความผูกพัน.........

ทุกอย่างมันอาจจะถึงเวลาที่นาฬิกาของเราสองคนกำลังจะหยุดเดินแล้ว นับจากนี้ไป ท้องฟ้าก็คงต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง และเวลาที่เราสองคนเคยมีก็คงจะหยุดลงและไม่สามารถเดินร่วมกันต่อไปได้อีก......... อย่างนั้นจริงๆน่ะหรือ

“ลุงว่านะ.......” ลุงอี๊ดพูดพร้อมกับวางนาฬิกาลงเมื่อเขาเห็นว่าผมไม่ได้ยื่นมือไปรับมันมา เพราะถึงยังไง ผมก็คงไม่มีหน้าจะไปเจอมันและเอาของไปคืนมันได้อยู่แล้ว “ซันไปคุยกับเมฆก่อนเถอะ อย่าให้อะไรๆมันทำร้ายตัวเองด้วยการวิ่งหนีปัญหาเลย.......... การพูดคุยกันให้รู้เรื่องน่ะ สำคัญมากนะ ความเข้าใจผิดกันและไม่ได้แก้ให้มันเป็นถูก มันสามารถส่งผลเสียได้อย่างที่ซันคิดไม่ถึงเลยทีเดียว..........”

“ลุงหมายความว่ายังไงครับ”

“ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก” ลุงอี๊ดเหลือบมองไปทางกรอบรูปตรงมุมห้องที่วางหันหน้าออกไปทางหน้าต่างเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “แต่เมฆเค้าบอกลุงนะว่าซันน่ะเข้าใจเค้าผิด แล้วเราก็ออกจากบ้านมาก่อนที่จะยอมฟังอะไรเค้าซะอีก ก็เลยยังไม่ทันได้คุยกันให้รู้เรื่อง”

ไม่หรอก ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดดีหมดแล้ว ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย มันก็แค่ผมถึงเวลาที่จะต้องเลือกแล้วว่าผมจะเดินต่อไปในหนทางไหนดีก็เท่านั้นเอง.......... แต่ว่ามันต่างหากที่ยังคงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ทางฝั่งผมบ้าง........ ยังคงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา

ความผิดพลาดที่ผมทำลงไปและไม่สามารถชดเชยให้กับความรักที่มันมีให้แก่ผมได้

“ก็ได้ครับ ถ้ามันจำเป็นมากนักที่ผมจะต้องพูดกันให้รู้เรื่อง งั้นผมก็คิดว่าผมคงต้องคุยกับมันจริงๆ”


..................................

ผมบอกลาและขอโทษอีฟที่ไม่สามารถอยู่กินข้าวเที่ยงกับมันได้ แต่เหตุผลที่ผมบอกมันไปก็กลับทำให้มันยิ่งเร่งให้ผมรีบออกจากบ้านมันให้เร็วๆมากขึ้นไปอีก

“ใจเย็นๆนะเมฆ เดินทางดีๆ แล้วก็อย่าใจร้อน เข้าใจมั๊ย แกยังมีพวกเราอยู่นะ” อีฟพูดย้ำเป็นครั้งที่สองเมื่อเดินมาส่งผมที่รถ

“อืม ขอบใจมาก แล้วเอาไว้เดี๋ยวเราโทรหาแกเองนะ” ผมบอกลามันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขับรถออกจากบ้านของมันไปยังสถานที่นัดหมาย

สถานที่ที่ไอ้ซันเพิ่งโทรมานัดให้ผมออกไปคุยกับมัน


..................................

เราสองคนนัดเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งเดิมที่เราไปกันประจำ ท้องไส้ของผมเริ่มปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อใกล้จะถึงเวลานัด หัวใจของผมมันเริ่มบิดเป็นเกลียวเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องพูดความจริงและเผชิญหน้ากับมัน แต่นี่ก็เป็นเพราะเราจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนี้นี่เอง ผมจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้ และมันก็จะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าเราใช้โทรศัพท์เป็นตัวกลางในการปิดกั้นความรู้สึกและสีหน้าที่แท้จริงเอาไว้

ผมคาดหวังเอาไว้ในส่วนเล็กๆของหัวใจว่ามันจะเข้าใจว่าผมเองก็รู้สึกแย่และลำบากใจแค่ไหนเช่นกัน......... ความหวังลมๆแล้งๆที่มันจะเข้าใจผมและเราไม่จำเป็นต้องจบลงแบบนี้............

ผมนั่งหมุนแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายเล่นอย่างกังวลขณะที่รอมัน และก้อนหินสีขาวก้อนนั้นก็ยังคงห้อยอยู่ที่หน้าอกของผมเหมือนเดิม

ผมไม่อยากจะจากลาของสองสิ่งนี้ไปเลย..........


..................................

ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองในตอนนี้กำลังเปราะบางแค่ไหน แต่ผมก็รู้ดีด้วยว่าแท้จริงแล้วผมควรจะเข้มแข็งมากให้ได้เพียงใดเพื่อที่จะได้เท่าเทียมกับไอ้ซัน ผมบอกกับตัวเองอยู่เงียบๆว่าผมจะต้องไม่ร้องไห้ออกไปเด็ดขาดไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แต่ทว่าเมื่อผมได้เห็นใบหน้าของไอ้ซัน ใบหน้าและสีหน้าที่ดูราวมันกับมันพร้อมที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆอยู่ได้ทุกเมื่อของมันที่ผมคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นนั่น.........

ความอ่อนไหวก็เริ่มกลับเข้ามาครอบคลุมจิตใจของผมอีกครั้งทันที

ผมรู้ว่ามันรักผม และผมรู้ดีอยู่แก่ใจเลยว่าผมเองก็รักมันมากและระหว่างเราก็ไม่จำเป็นต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย แต่ทำไม แต่ทำไมกัน.......

“ซัน” ผมเรียกชื่อมันพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้ามกับที่มันกำลังนั่งอยู่ “กูมาถึงแล้ว.......”


..................................

“กูไปคุยกับลุงอี๊ดห้องข้างๆมา.......... เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าเมฆ มึงเป็นอะไรรึเปล่า” ผมถามออกไป แต่แล้วก็มารู้ตัวหลังจากพูดจบว่าว่าคำถามของผมนี้มันช่างงี่เง่าสิ้นดี

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก มีเรื่องนิดหน่อยแค่นั้นเอง........... ถ้ามึงหมายถึงเรื่องก่อนที่กูจะไปคอนโดของมึงน่ะนะ”

“กูคิดว่าเราต้องคุยกัน......... ลุงอี๊ดเองก็บอกว่ามึงคิดว่ากูเข้าใจมึงผิด”

“ใช่....... ถ้าเรื่องนั้นมันยังสำคัญอยู่นะ” ผมเห็นสีหน้าปวดร้าวที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ดวงตาคู่นั้นได้เป็นอย่างดี ไอ้เมฆเองก็ไม่ได้เก่งเรื่องซ่อนความรู้สึกของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ผมเชื่อว่ามันเองก็คงต้องเห็นสิ่งเดียวกันจากแววตาของผมด้วยเช่นกัน เพราะในวันนี้ผมไม่คิดจะซ่อนไอ้สิ่งเหล่านั้นไว้เลยแม้แต่นิดเดียวถ้าไม่จำเป็นจริงๆ...........

ผมหวังอย่างลมๆแล้งๆเหลือเกินว่ามันจะเข้าใจผมได้.........


..................................

ผมรู้สึกแย่จริงๆ......... หัวใจของผมมันยิ่งกำลังถูกบีบคั้นมากขึ้นไปเรื่อยๆในทุกๆคำที่เราพูดกันออกมา และยิ่งพอได้เห็นสีหน้าปวดร้าวของไอ้ซันแบบนี้ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเข้าไปอีก ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเราถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเราสองคนถึงต้องมานั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้แบบนี้

“กูขอร้องล่ะซัน กูทนไม่ไหวอีกแล้ว มึงบอกกูมาเถอะ ว่าไอ้สิ่งที่กูเห็นนั่นมันหมายความว่ายังไง ทำไมมึงถึงทำแบบนั้นลงไป มึงทำไปเพราะเพื่อที่จะประชดกูอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเป็นเพราะมึงเมา มันยังไงกันแน่”

ใช่แล้ว ถ้ามันเป็นเพราะเหตุผลนี้ ผมก็อาจจะยังพอรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง ถึงจะแค่นิดหน่อยก็เถอะ

“เปล่า กูไม่ทำอะไรลงไปเพราะประชดหรอก มึงก็รู้นิสัยกู” ไอ้ซันส่ายหน้า และผมก็รู้สึกถึงน้ำตาของตัวเองที่เริ่มเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไปไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้มันเห็น “และก็ไม่ใช่เพราะกูเมาด้วย..........”

“มึงบอกกูว่ากูรู้นิสัยมึงอย่างนั้นเหรอ ไอ้ซัน ถ้ากูรู้จริง ตอนนี้กูจะมานั่งถามประโยคเมื่อกี๊กับมึงอยู่มั๊ย” ผมถามออกไปและพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด “มึงเห็นแหวนวงนี้มั๊ย ซัน” ผมชูแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมขึ้น “มึงรู้มั๊ยว่ากูถอดมันออกไปครั้งหนึ่งแล้วด้วยซ้ำนะ แต่สุดท้ายกูก็สวมมันกลับลงไปอีกพร้อมกับความหวังที่กูจะได้ยินคำตอบที่แตกต่างออกไปจากนี้ แล้วมึงล่ะ มึงยังคงทำเรื่องแบบนั้นได้ทั้งๆที่มึงก็สวมแหวนของแม่กูอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ”

“กูขอโทษ เมฆ แต่ว่ากู..........” ไอ้ซันนิ่งเงียบลงไปเหมือนกับไม่รู้จะหาคำมาอธิบายความรู้สึกของตัวเองหรือสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ยังไง

“แต่ว่ามึงทำไม......... มึงบอกกูมาสิว่ามึงคิดยังไงอยู่กันแน่ มึงรักกูบ้างมั๊ยซัน กูขอร้องล่ะนะ มึงบอกความจริงกูมาเถอะ อย่าทรมานกูอยู่อย่างนี้เลย” ผมพูดออกไปอย่างอ่อนใจ “มึงคิดยังไงกับไอ้แบ๊งค์กันแน่ มึงชอบมันจริงๆอย่างนั้นเหรอ”

ไอ้ซันเบือนหน้าหนีผมไปเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากับผมด้วยสายตาที่ปวดร้าวแต่ก็แลดูมุ่งมั่นในขณะเดียวกัน “บางทีมันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ได้..........”


..................................

ผมมันทำพลาดไปเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเลย......... ผมไม่น่าจะทำร้ายจิตใจของไอ้เมฆเพราะเรื่องนี้เลยจริงๆ และผมก็ไม่สามารถห้ามความคิดชั่วๆของตัวเองที่ว่า ถ้าแค่มันไม่มาเห็นตอนที่ผมจูบกับไอ้แบ๊งค์นั่นล่ะก็........ เรื่องทุกอย่างมันก็อาจจะง่ายกว่านี้เยอะแล้วก็ได้

ใช่......... ผมอาจจะเป็นฝ่ายเดินจากมันไปได้ง่ายกว่านี้ก็เป็นได้

“กูไม่ได้ตั้งใจจะให้มึงมาเห็นไอ้สิ่งที่มึงเห็นเลยจริงๆ”

ไอ้เมฆนั่งนิ่งไปด้วยสีหน้าแบบเดียวกับตอนที่มันเห็นผมจูบกับไอ้แบ๊งค์เมื่อคืนนี้อีกครั้งทันที แต่ทว่าก็ยังคงเป็นสีหน้าที่มั่นคงและสงบนิ่งที่สุดเท่าที่ผมเห็นมาวันนี้เลยทีเดียว

“มึงไม่ได้ตั้งใจให้กูเห็นอย่างนั้นเหรอ..........” ทันทีที่มันพูดขึ้น ความเจ็บปวดทั้งหมดที่หายไปครู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งทั้งในแววตาและนำเสียงของมันอีกครั้ง

และมันก็กำลังฉีกหัวใจของผมออกเป็นชิ้นๆเช่นกัน

“มึงหมายถึงว่าถ้ากูไม่รู้เรื่องพวกนี้ มึงกับมันก็คงจะ..........” ไอ้เมฆหยุด หลับตาและก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อรวบรวมบางอย่างข้างในออกมาก่อนจะพูดต่อ “ก็คงจะมีความสุขกันไปมากกว่านี้แล้วสินะ มึงก็คงจะมีอะไรกับมันได้โดยไม่ต้องมาคิดถึง ไม่ต้องมาพะวงถึงความรู้สึกของกูแบบนั้นใช่มั๊ย”

“กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” ผมปฏิเสธ

“แต่มึงยืนยันว่าที่มึงทำนั้นมึงทำลงไปเพราะความเต็มใจ มึงทำลงไปทั้งๆที่รู้ตัว และสิ่งที่มึงพูดมาก็เป็นความจริงทั้งหมดอย่างนั้นใช่มั๊ย”

ผมนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าออกมา รู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังจะมาถึงนั้นคืออะไร และน้ำตาที่ถูกเก็บเอาไว้ภายในก็เริ่มจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วยเช่นกัน...........

ในที่สุดช่วงเวลานี้ก็มาถึง.......... แต่ว่าผมไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นเลยจริงๆ

ใครเล่าจะรู้บ้างว่าเมื่อยามที่ท้องฟ้าและพระอาทิตย์ต้องร่ำไห้ให้กับการสูญเสียก้อนเมฆอันเป็นที่รักนั้น มันเจ็บปวดมากเพียงใด.............



................................................................................................

เธอจะมองสายตาของฉันนานๆได้ไหม แฝงอะไรข้างใน
อยากให้เธอค้นหา  เธอนั้นก็จะเข้าใจว่า ฉันกำลังปวดร้าว
เมื่อจะไม่ได้เห็นเธอ เพราะเธอจะทิ้งฉันไปหาเขา
และก็คงไม่เหลือแม้เงา ต้องมองดูเธอเดินไป ด้วยดวงใจที่บอบช้ำ

อยากให้เธอรู้ ให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อยามไม่มีเธอ
อยากให้เธอรู้ ได้ยินไหม หากฉันต้องขาดเธอก็คงต้องเสียใจ เพราะรักเธอ..........

หากเธอมองสายตา แล้วย้อนเวลากลับไป ถึงที่เคยผูกพัน
ที่เราเคยรักกัน เธอนั้นก็จะเข้าใจ ว่าฉันกำลังปวดร้าว
เมื่อจะไม่ได้เห็นเธอ เพราะเธอจะทิ้งฉันไปหาเขา
และก็คงไม่เหลือแม้เงา ต้องมองดูเธอเดินไป ด้วยดวงใจที่บอบช้ำ

อยากให้เธอรู้ ให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อยามไม่มีเธอ
อยากให้เธอรู้ ได้ยินไหม หากฉันต้องขาดเธอ ก็คงต้องเสียใจ
อยากให้เธอรู้ ให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อยามไม่มีเธอ
อยากให้เธอรู้ ได้ยินไหม หากฉันต้องขาดเธอ ก็คงต้องเสียใจเพราะรักเธอ..........


................................................................................................


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2B7C70FP0&Autoplay=1


หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-03-2008 19:25:35
และแล้วเวลานี้ก็มาถึง  :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 05-03-2008 19:37:51
ดูท่าทางเรื่องจะไปกันใหญ่แล้วนะ
แบบนี้ต่อให้เจอคนบงการก็คงช่วยอะไรไม่ได้

และจากการอ่านรวบยอด จากวินาทีที่ 35
อ้างถึง
“แล้วตอนนี้มึงได้อะไรไปแล้วบ้าง พยายามบอกมาให้หมด อย่าให้กูต้องยิงออกไปอีกหนึ่งนัด” พี่วินถาม

“กูรู้แค่ว่าตอนนี้การเคลื่อนไหวของไอ้หน้าอ่อน...... ของไอ้เมฆนี่เป็นไปตามที่นายกูเค้าต้องการทุกอย่างเท่านั้นเอง”

“แล้วเรื่องของคนที่ตามซันอยู่ล่ะ มึงคิดจะพูดเองมั๊ย” พี่จ๊อบถามพร้อมกับทำท่าจะเหนี่ยวไก “หรือจะให้กูถาม”

“เดี๋ยวๆๆ! กูกำลังจะบอกอยู่แล้วนี่ไง!” ไอ้หัวเกรียนรีบพูดเมื่อเห็นปืนที่ถูกเลื่อนมาเล็งอยู่ที่หัวไหล่อีกข้างของตัวเอง “เพื่อนกูมันบอกมาแล้วว่าตอนนี้แฟนของมัน ไอ้คนที่ชื่อซันน่ะ ขนของออกจากบ้านไปแล้ว แต่นอกนั้นกูก็ไม่รู้แล้วจริงๆ! กูสาบาน!!”

เอ้อ เหตุการณ์นี้ ... เมฆกะพี่วินมะใช่เหรอ ... พลาดอีกแระนะ  :m12:


ปล. มันยังจะมีอะไรมาพลิกผันอีกมั๊ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-03-2008 19:51:57
^
^

แอ๊ยยยย ขอโทษคับ พลาดอีกแล้ว!!

เสือกเอาของเก่าในคอมมาโพส ไม่ใช่ใน flash drive

 :serius2: :serius2: :serius2:

อายยๆๆๆๆ

 :a6: :a6: :a6: :a6:

หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ryuse ที่ 06-03-2008 01:42:43
เฮ้อ...........................................................................................

ขอบคุณครับ คุณเพชรฌฆาต

คำถามปองได้คำตอบแล้ว

วินาทีสุดท้ายก็จริง แต่ . . . สุดท้ายจริงเหรอครับ :a6:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 06-03-2008 02:00:58
พี่ช๊ายยยยยย
มาทิ้งระเบิดไว้อีกนะ
เกลียดดดดดๆๆๆๆๆๆๆ :m16:

อย่ามาทำให้พี่เมฆของผมต้องเปนแบบนี้นะ
เกลียดเว้ยยยยยยยยยยยย

ปล. ทำไมชอบไปเที่ยวกานตอนน้องสอบฟร้าาาาาาาาาาาา
โอ๊ยๆๆๆ อารมณ์เสียๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 06-03-2008 08:15:30
เฮ้อ อ่านแล้วปวดหัวใจ ปวดตับลามไปถึงม้ามเลย :o12:

กลุ้มใจจัง :o12:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 06-03-2008 11:34:06
ต่อมรับรู้ภาษาไทยฉานผิดพลาดรึเปล่า    :a5:
จับใจความได้ว่าซันตั้งใจจูบแบงค์....ไม่มีอะไรแก้ตัว
แล้วมันคืออะไร ... กำลังทำอะไรกันแน่...
 :serius2:    คนอ่านหรือเมฆจะตายก่อนว้า.... :m15:
หัวข้อ: Re: ]| "ขอโทษ" |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... กับสายสัมพันธ์ที่ถูกทดสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 06-03-2008 11:52:39
ก่อนที่นาฬิกาจะหยุดเดิน.......


ความในใจของท้องฟ้า
ความเจ็บปวดของก้อนเมฆ
ความเสียใจของพระอาทิตย์
ความสูญเสียของก้อนหิน..........

และ “น้ำตา” ที่พาทุกสิ่งไปสู่จุดสุดท้ายของการเดินทาง

.
.
.

มันต้องเป็นแบบนี้จริงๆน่ะหรือ........

ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอดเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าความรักอย่างเดียวมันทำให้คนอยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วทำไมผมกับมันที่อยู่ด้วยกันมาตลอดสามสี่ปีถึงกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย ความรักเราก็มีให้กัน ความผูกพันเราก็มีไม่แพ้คู่ไหนๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วเรายังขาดอะไรอยู่กันอีก........

หรือบางทีผมอาจจะรู้ตัวแต่ไม่อยากยอมรับมันก็เป็นได้

“มึงจะเอาอย่างนี้จริงๆใช่มั๊ย เมฆ” ผมถามออกไปอีกครั้ง

“กูคิดว่ามันอาจจะดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้ว”

มันเป็นแบบนี้จริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเมฆเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าที่ผมและคนอื่นๆคิดอยู่เสมอ และในวันนี้ก็ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่ทำในสิ่งที่สถานการณ์และอารมณ์มันพาไป ส่วนเหตุผลคืออะไรน่ะหรือ ผมไม่รู้หรอก ผมมันโง่ ผมมันดิบ และหยาบกระด้าง ผมอาจจะทำพลาด ไม่สิ ผมมันทำพลาดไปเอง ผมจะโทษใครได้ ถ้าความรักและความสัมพันธ์ของเรามันจะจบลง ผมก็คงต้องทนยอมรับมันแต่เพียงเท่านั้น

เมฆค่อยๆดึงแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้ายช้าๆแล้ววางมันลงบนโต๊ะ ส่วนผมเองก็ทำเช่นเดียวกัน แหวนสองวงนี้เป็นแหวนของครอบครัวของมัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่มันจะกลับคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง มันไม่สมควรจะมาอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของผมอีกต่อไป

ผมรู้สึกว่าน้ำตาของผมมันกำลังก่อตัวอยู่ภายในอกจนผมต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไป ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น ผมไม่อยากจะให้เมฆเห็นความอ่อนแอของผม ผมเป็นท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่ ผมเป็นพระอาทิตย์ที่สาดแสง เพราะฉะนั้นผมก็ควรจะเป็นคนที่มั่นคงที่สุดสิ จนเมื่อแหวนหลุดออกมาจากนิ้วนางของผมแล้ว ผมก็วางมันลงบนโต๊ะข้างๆกับแหวนของมัน และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนที่ผมรัก ผมก็เห็นน้ำตาหยดใสๆกำลังไหลรินลงมาบนแก้มของเขา

ถึงเราจะกำลังนั่งกันอยู่ในร้านอาหารในห้างชื่อดังแห่งหนึ่ง ถึงรอบข้างของเราสองคนจะมีผู้คนเดินผ่านวนเวียนกันอยู่ไปมามากมาย ถึงเสียงรอบข้างจะจอแจและอื้ออึง แต่เมื่อผมเห็นน้ำตาของมันแล้ว ทุกๆสิ่งรอบตัวของผมเหล่านั้นมันก็ไม่ต่างจากอากาศธาตุที่อยู่ห่างไกลราวกับอยู่คนละมิติกับช่วงเวลาของเราสองคนในตอนนี้เลย

ผมค่อยๆเอื้อมมือออกไปช้าๆหมายจะจับมือของมันมากุมเอาไว้......... อาจจะเป็นการกุมมือครั้งสุดท้าย ผมไม่รู้หรอก และผมก็ภาวนาไม่ให้มันเป็นแบบนั้นด้วย แต่ทว่าเมฆก็ชักมือกลับไปเสียก่อน มันยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับสร้อยคอที่ห้อยอยู่รอบคอ ผมรู้ทันทีว่ามันกำลังจะทำอะไร และหัวใจของผมก็กำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ต่างจากเมื่อคราวที่ผมต้องเห็นใบหน้ายามหลับของมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะต้องขึ้นเครื่องบินจากคนที่ผมรักไปไกลเมื่อหลายปีก่อนนั้น

“เมฆ กูขอร้อง กูขอแค่เพียงอย่างเดียว อย่างสุดท้ายก็ได้ มึงอย่าเพิ่งถอดสร้อยเส้นนั้นออกมาจะได้มั๊ย” ผมรีบร้องห้าม

สร้อยคอเส้นนั้นเป็นสร้อยทำเองของเราสองคน จี้ของมันคือก้อนหินสีดำเนียนก้อนเล็กพอดีๆก้อนหนึ่งที่เราเก็บได้มาจากชายหาดเมื่อครั้งที่เราไปเที่ยวทะเลครั้งแรกหลังจากที่เรากลับมาถึงประเทศไทย ส่วนผมก็มีสร้อยคอแบบเดียวกันนั้นเช่นกัน เพียงแต่ของผมเป็นก้อนหินสีขาว แสดงให้เห็นถึงว่าผมมีมันที่เปรียบเป็นความขาวบริสุทธิ์อยู่ข้างกายตลอดเวลา ส่วนมันก็จะมีผมที่เป็นสีดำอันมั่นคงและอบอุ่นอยู่กับตัวเองตลอดเวลาด้วยเช่นกัน และไม่ว่ายังไงก็ตาม ถึงเรื่องของเรามันอาจจะจบ ถึงผมจะยอมถอดแหวนออก แต่ผมก็ยอมที่จะเห็นส่วนหนึ่งของผมที่อยู่เคียงข้างมันมาตลอดต้องพรากจากคนอันเป็นที่รักของผมไปตลอดกาลไม่ได้จริงๆ

“อย่างน้อยๆก็จนกว่าทุกอย่างมันจะชัดเจนนะ เมฆ ถือว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากกูแล้วกัน” ผมอ้อนวอนอีกครั้ง

“ก็ได้.......” เมฆลดมือลง ดวงตาของมันมีแววเจ็บปวด ซึ่งผมคิดว่าตอนนี้ จากเรื่องทุกอย่างทั้งหมดนี่ มันเองก็คงเจ็บปวดไปไม่น้อยกว่าผมสักเท่าไหร่หรอก ไม่สิ มันเองต่างหากที่เจ็บปวดมากยิ่งไปกว่าผมเสียอีก “กูรักมึงนะซัน มึงก็รู้ใช่มั๊ย.........”

“อืม กูรู้”

“กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ ซัน กูรักมึงจริงๆ.......” เสียงของเมฆเริ่มสั่นเครือ และน้ำตาก็เริ่มปริ่มอยู่ที่ขอบตาของมันอีกครั้ง

“กูก็รักมึง เมฆ.......” ผมพูดออกไป แต่เมฆกลับส่ายหัว “มึงไม่เชื่อกูงั้นเหรอ”

“กูไม่รู้...... กูไม่รู้จริงๆ กูไม่รู้ว่าเรามาเป็นแบบนี้กันได้ยังไง ทำไมระหว่างเรามันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย”

“กูก็เหมือนกัน...... แต่กูรักมึงจริงๆนะ ถึงยังไงๆกูก็รักมึง มันอาจจะฟังดูยากที่ให้เชื่อแบบนั้น แต่มันก็เป็นความจริง”

“พอเหอะ ซัน ตอนนี้เราสองคนอาจจะต้องการระยะห่างกันบ้างแล้ว เราคงอยู่ด้วยกันมามากเกินไป ถ้าหากว่าในแก้วมันมีน้ำใส่อยู่จนเต็มแล้ว ต่อให้มึงพยายามที่จะรินน้ำเพิ่มลงไปอีกสักเท่าไหร่มันก็คงมีแต่ล้นออกมาเท่านั้นเอง บางทีเราสองคนคงจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่เวลาของเราคงจะต้องไหลไปแบบไม่เท่ากันอีกครั้ง”

ผมก้มหน้าลงแล้วกำหมัดแน่น รู้สึกอยากจะร้องตะโกนแล้วกระโดดตึกลงไปตายซะตรงนี้ตอนนี้เลย แต่ผมก็รู้ว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดนั้นไม่ใช่ผม แต่เป็นไอ้เมฆคนนี้ต่างหาก

เมฆหยิบแหวนใส่กระเป๋าเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน ผมรีบเงยหน้ามองใบหน้าของมันอีกครั้งทันที และหวังว่านี่คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มองหน้ามันแบบนี้ด้วย

“เราจะได้เจอกันอีกครั้งใช่มั๊ย” ผมถามอย่างมีความหวัง

เมฆยิ้มน้อยๆให้แก่ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วเหลือเกิน และเป็นรอยยิ้มที่กรีดลึกเข้าไปจนถึงขั้วหัวใจของผมด้วยเช่นกัน

“เมื่อไหร่ที่ขอบฟ้าของเราคือขอบฟ้าเดียวกันอีกครั้ง เมื่อนั้นกูกับมึงก็คงจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ซัน”

เมื่อพูดจบ เมฆก็หันหลังกลับแล้วทำท่าจะเดินออกไป จนผมต้องรีบเรียกให้มันหยุดอีกครั้ง

“เดี๋ยวเมฆ........ กูขอถามอีกแค่คำถามเดียว”

เมฆหยุดอยู่กับที่ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองผมเลย

“มึงเชื่อมั๊ย ว่ากูรักมึง ไม่สิ กูรู้ว่ามึงก็เชื่อ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน และไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนับแต่วันแรกที่เราพบกัน กูก็ยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา และจะยังรักแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนด้วย........ แต่ว่ามึงจะยังคงเก็บรักษาความรักนั้นไว้ให้กูต่อไปได้มั๊ย เก็บมันไว้จนกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะได้ลอยอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง”

เมฆยืนนิ่งอยู่ราวๆหนึ่งนาที แต่ก็ดูยาวนานราวกับหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเขาก็หันกลับมามองผมด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น

“ตราบจนขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ซัน ตราบจนกว่าขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที...........”

เมื่อพูดจบ เมฆก็หันหลังเดินจากไป...... จากไปพร้อมกับลมหายใจและสายใยสุดท้ายของท้องฟ้าที่พยายามจะเหนี่ยวรั้งก้อนเมฆของมันเอาไว้

ผมนั่งซบหน้าของตัวเองลงบนฝ่ามือแล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลรินออกมาช้าๆ ผู้คนเดินผ่านไปมาแต่ผมไม่สนใจ ผู้คนที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นๆอาจจะสงสัย แต่ผมก็ไม่แคร์ ผมมันเลวเอง ผมมันเป็นท้องฟ้าที่เอาแต่ใจและไร้ความคิด กับไอ้แค่การเหนี่ยวรั้งความรักของผมเอาไว้ ผมก็ยังทำไม่ได้

และนับต่อจากนี้ ท้องฟ้าที่ไร้เมฆผืนนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน...............


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 06-03-2008 11:55:21
ก่อนที่นาฬิกาจะหยุดเดิน.......


ความในใจของท้องฟ้า
ความเจ็บปวดของก้อนเมฆ
ความเสียใจของพระอาทิตย์
ความสูญเสียของก้อนหิน..........

และ “น้ำตา” ที่พาทุกสิ่งไปสู่จุดสุดท้ายของการเดินทาง

.
.
.

“มึงจะเอาอย่างนี้จริงๆใช่มั๊ย เมฆ” ไอ้ซันถามผมอีกครั้งหลังจากที่ผมบอกเส้นทางสุดท้ายที่เราควรจะก้าวเดินต่อไปให้มันฟังแล้ว

“กูคิดว่ามันอาจจะดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้วก็ได้”

มันจะรู้บ้างไหม ว่าทุกๆคำที่ผมพูดออกไปมันทำร้ายผมมากขนาดไหน ความรักที่ผมมีให้แก่มันก็ไม่เคยลดลงไปเลยแม้แต่น้อยนับจากวินาทีแรกที่เรารู้จักกันไปจนถึงวินาทีแรกที่ผมเห็นมันจูบกับไอ้แบ๊งค์ ความผูกพันเราก็มีให้แก่กันไม่น้อยหน้าใครคู่ไหนๆ แต่ทำไม.......... ทำไมผมจะต้องตัดสินใจทำอะไรในสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะทำนี่เลยด้วย

ผมค่อยๆดึงแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายออกต่อหน้าของมันอย่างช้าๆ ส่วนมันก็ทำตามผมเช่นเดียวกัน และเมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว น้ำตาของผมมันก็เริ่มไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป สีหน้าเจ็บปวดของมัน ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาของมันนั่นพูดสิ่งที่อยู่ในใจของมันในวันนี้แต่มันกลับเลือกที่จะไม่พูดออกมาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมรักมัน มันเองก็รักผม ผมมั่นใจในเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้วความรักอย่างเดียวมันก็อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาวไปจนตลอดรอดฝั่งไม่ได้.......... แต่ความไว้วางใจก็เป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดด้วยเช่นกัน

และถึงมันจะยังไม่ได้ถูกทำลายไปจนหมด แต่ความเชื่อใจของผมที่มีให้แก่มันก็เริ่มถูกกัดกินไปทีละน้อยๆนับตั้งแต่เมื่อคืนนี้เป็นครั้งแรกแล้ว และมาในตอนนี้ มันก็เริ่มถูกทำลายมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วยคำพูดที่มันพูดออกมาและสิ่งที่มันยังคงเก็บงำไว้ในใจ ทั้งๆที่นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราสองคนจะได้คุยกันแบบนี้แล้วแท้ๆ

ผมเอื้อมมือออกไปวางแหวนของผมวางไว้ใกล้ๆแหวนของมัน และไอ้ซันก็ทำท่าจะกุมมือของผมเอาไว้ด้วยเช่นกัน แต่ว่าผมไม่อยากจะรู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่านี้อีกแล้ว ผมจึงชักมือกลับและยกขึ้นมาจับที่สร้อยคอที่ผมห้อยคอมาด้วยในวันนี้

สร้อยคอแห่งคำสัญญาของเราสองคน.........

“เมฆ กูขอร้อง กูขอแค่เพียงอย่างเดียว อย่างสุดท้ายก็ได้ มึงอย่าเพิ่งถอดสร้อยเส้นนั้นออกมาจะได้มั๊ย” ไอ้ซันร้องห้ามด้วยสีหน้าที่ราวกับมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆลงในตอนนี้ไม่ว่าวินาทีไหนก็ตาม “อย่างน้อยๆก็จนกว่าทุกอย่างมันจะชัดเจนนะ เมฆ ถือว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากกูแล้วกัน”

“ก็ได้.......” ผมลดมือลง แววตาที่เจ็บปวดขณะที่ร้องขอผมนั้นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีกว่าเราสองคนมาอยู่ในสถานะอย่างตอนนี้ได้ยังไง “กูรักมึงนะซัน มึงก็รู้ใช่มั๊ย.........”

“อืม กูรู้”

“กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ ซัน กูรักมึงจริงๆ.......” ผมพูดพร้อมๆกับน้ำตาที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ภาพของมันที่จูบกับไอ้แบ๊งค์ และคำพูดของมันที่ไม่ปฏิเสธความสัมพันธ์ของพวกมันสองคนแถมยังยอมรับออกมาอีกนั่นมันก็ทำให้ผมเจ็บปวดมากจริงๆ

ผมรู้สึกเหมือนผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเชื่ออะไรอีกต่อไปดีแล้ว........ มันเป็นเหมือนความรู้สึกของก้อนเมฆที่ลอยอยู่ค้างฟ้าและกำลังจะร่วงหล่นลงมาได้ไม่ว่าในวินาทีไหนก็ตาม เพราะไม่มีสิ่งใดและความเชื่อมั่นใดๆเหลือให้ก้อนเมฆใช้ยึดเหนี่ยวเพื่อลอยอยู่เคียงคู่ท้องฟ้าสีครามอีกต่อไป

“กูก็รักมึง เมฆ....... มึงไม่เชื่อกูงั้นเหรอ” ไอ้ซันพูดแต่ผมกลับส่ายหน้า

“กูไม่รู้...... กูไม่รู้จริงๆ กูไม่รู้ว่าเรามาเป็นแบบนี้กันได้ยังไง ทำไมระหว่างเรามันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย”

“กูก็เหมือนกัน...... แต่กูรักมึงจริงๆนะ ถึงยังไงๆกูก็รักมึง มันอาจจะฟังดูยากที่ให้เชื่อแบบนั้น แต่มันก็เป็นความจริง”

“พอเหอะ ซัน ตอนนี้เราสองคนอาจจะต้องการระยะห่างกันบ้างแล้ว เราคงอยู่ด้วยกันมามากเกินไป ถ้าหากว่าในแก้วมันมีน้ำใส่อยู่จนเต็มแล้ว ต่อให้มึงพยายามที่จะรินน้ำเพิ่มลงไปอีกสักเท่าไหร่มันก็คงมีแต่ล้นออกมาเท่านั้นเอง บางทีเราสองคนคงจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่เวลาของเราคงจะต้องไหลไปแบบไม่เท่ากันอีกครั้ง”

ผมนึกถึงคำสัญญาของเราสองคนที่ทะเลขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดตอนนี้ขอบฟ้าของเรามันก็มีอิทธิพลเหนือความสัมพันธ์ที่ข้ามพ้นกลายเวลาของเราสองคนไปซะแล้ว ดังนั้นมันคงไม่มีอะไรที่ความผูกพันที่เรามีให้แก่กันและกันมันจะทำได้อีกต่อไปแล้ว.........

เมื่อผมพูดจบและไอ้ซันก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแล้ว ผมจึงหลับตาลงและเบือนหน้าหนีไปจากใบหน้าของมัน ผมไม่อยากจะเห็นสีหน้าของมันในตอนนี้อีกแล้ว ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะเห็นหน้าของมันอีก แต่ผมทนดูสีหน้าเจ็บปวดของมันนี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ ผมไม่อยากจะทนรับความจริงที่ว่าผมกำลังทำให้มันต้องเจ็บปวด ในขณะที่ผมเองก็เจ็บปวดมากไม่แพ้กันแบบนี้..........

ผมหยิบมาแหวนทั้งสองวงขึ้นมาใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน ผมไม่อยากจะมองหน้าของมันอีกแล้ว ผมไม่อยากจะให้สีหน้าของมันแบบนี้เป็นใบหน้าสุดท้ายในความทรงจำที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของผม

“เราจะได้เจอกันอีกครั้งใช่มั๊ย” ไอ้ซันถามขึ้น

ผมหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้กับมัน “เมื่อไหร่ที่ขอบฟ้าของเราคือขอบฟ้าเดียวกันอีกครั้ง เมื่อนั้นกูกับมึงก็คงจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ซัน” เมื่อพูดจบ ผมก็หันหลังกลับแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่แล้วผมก็ถูกเรียกให้หยุดลงอีกครั้ง

“เดี๋ยวเมฆ กูขอถามอีกแค่คำถามเดียว........ มึงเชื่อมั๊ย ว่ากูรักมึง ไม่สิ กูรู้ว่ามึงก็เชื่อ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน และไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนับแต่วันแรกที่เราพบกัน กูก็ยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา และจะยังรักแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนด้วย........ แต่ว่ามึงจะยังคงเก็บรักษาความรักนั้นไว้ให้กูต่อไปได้มั๊ย เก็บมันไว้จนกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะได้ลอยอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง”

มึงอย่าพูดแบบนี้ได้มั๊ย ซัน.......... นี่มันไม่ใช่สิ่งที่กูอยากจะได้ยินเลยจริงๆ แต่ทว่าถึงอย่างนั้น คำว่ารักจากปากของมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นพร้อมๆกับความเจ็บปวดที่ยิ่งทิ่มแทงหัวใจมากขึ้นไปอีกอย่างแสนสาหัสพร้อมๆกันด้วย ผมไม่เคยรู้เลยว่าการที่ได้รู้ว่าการที่มันรักผมนั้นมันจะทั้งทำให้ผมดีใจและเจ็บปวดเจียนตายได้มากถึงเพียงนี้

ผมไม่สามารถห้ามน้ำตาของผมได้อีกต่อไปแล้ว.........

“ตราบจนขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ซัน ตราบจนกว่าขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที...........”

เมื่อพูดจบผมก็เดินจากออกมา พร้อมกับทิ้งความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมอีกครั้งเอาไว้เบื้องหลัง ตอนนี้ก้อนเมฆเดินจากออกไปจากท้องฟ้าอันเป็นที่พักพิงของมันแล้ว และนับจากนี้ไป มันก็คงจะเป็นได้แค่สายฝนแห่งน้ำตาที่ไหลลงสู่พื้นดินอย่างเจ็บปวด และคงไม่สามารถลืมความสุขในยามที่มันเคยมีร่วมกันกับท้องฟ้าและพระอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามดวงนั้นได้เลย

น้ำตาแห่งความเสียใจใดจะเท่ากับน้ำตาของการจากลาทั้งๆที่ยังรักและโหยหาอยู่มากมายถึงเพียงนี้...........



..............................................................................................


“เมื่อก้อนเมฆต้องเศร้าสร้อย ความเสียใจทุกหยดในหัวใจ ถูกกลั่นออกมาเป็นสายฝน จนตัวตาย แตกสลาย และร่วงหล่น ลงสู่พื้นดิน..........”


“เมื่อท้องฟ้าต้องเสียใจ ความสูญเสีย เปลี่ยนสีฟ้าคราม ให้กลายเป็นสีแดงฉานราวกับสีเลือด เมื่อก้อนเมฆอันเป็นที่รักลาจาก ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เหลือไว้เพียงความเสียใจ ที่ไร้ค่า และไม่มีใครคิดจะเห็นใจ..........”


..............................................................................................

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 06-03-2008 11:57:31
ต้นไปบ้านนอกอีกและนะคับ ยังไม่รู้กำหนดกลับเยยย  :sad2:

ขอบคุณทุกคนมากนะคับ และก้อขอโทษด้วยถ้ามันบีบหัวใจไปนิด  :o12:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 06-03-2008 14:57:34

เดินทางโดยสวัสดิภาพนะน้อง.....

 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-03-2008 16:29:13
และแล้วก็ถึงตอนที่เริ่มไว้ตั้งแต่แรก  :o12: :o12: :o12: :o12:

แล้วเมื่อไหร่ขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาทีละ   :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 06-03-2008 19:22:36
ในที่สุดก็มาถึงวันนี้จนได้

จะรอวันที่ก้อนเมฆได้ลอยคู่กับท้องฟ้าต่อไป :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Ryuse ที่ 06-03-2008 22:10:13
รอวันที่ก้อนเมฆจะกลับคืนสู่อ้อมกอดของฟ้าครามอีกครา

อย่าให้นานเกินรอนะ คนอ่านขาดใจขึ้นมา จะตามมาหลอกมาหลอนลากไปอยู่เป็นเพื่อนด้วย

 o18 o18 o18 o18 o18 o18 o18 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 07-03-2008 09:25:02
อ้างถึง
“พอเหอะ ซัน ตอนนี้เราสองคนอาจจะต้องการระยะห่างกันบ้างแล้ว เราคงอยู่ด้วยกันมามากเกินไป ถ้าหากว่าในแก้วมันมีน้ำใส่อยู่จนเต็มแล้ว ต่อให้มึงพยายามที่จะรินน้ำเพิ่มลงไปอีกสักเท่าไหร่มันก็คงมีแต่ล้นออกมาเท่านั้นเอง บางทีเราสองคนคงจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่เวลาของเราคงจะต้องไหลไปแบบไม่เท่ากันอีกครั้ง”

ต่อให้มันเป็นเข็มนาฬิกาบนเรือนเดียวกัน มันก็เดินทางไม่เท่ากันนะ
กว่าที่มันจะซ้อนกันสนิทก็ต้องใช้การเดินทาง
และมันก็ขึ้นอยู่กับว่า เราเปรียบเทียบระหว่างเข็มอะไร (ก็มันมีตั้งสามเข็มอ่ะ)
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 08-03-2008 00:12:51
เลวร้ายมากอ้ะพี่ชาย  :angry2:

ไว้สอบเสดจะไปหาที่บ้านนอกนะ  :a3:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: pae_tekung ที่ 08-03-2008 03:14:34
อ่านจบถึงภาค 3 แล้วครับ

ยอดเยี่ยมมากครับ ชอบมากเลย ชอบความสัมพันธ์ของทุกตัวละคร คำพูด แล้วความรู้สึกนึกคิดที่คุณต้นใส่ลงไป


แอบอ่านภาค 4 ไปนิดนึงแล้วล่ะ ต้องเศร้าแน่ๆ เลย  :m15:

ผมว่าผมไปดื่มด่ำกับความรักของซันกับเมฆก่อนสักพักดีกว่า ถ้าอ่านต่อตอนนี้ดูเมื่อจะทำร้ายจิตใจตัวเองเกินไปอ่ะ (จริงๆ นะ)

แล้วจะเข้ามาอ่านแน่นอนครับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-03-2008 21:03:58
^
^

ขอบคุณมากมายคับ อ่านแล้วรู้สึกชื่นใจจังเยยยอ่ะ  :o8:

.................................


ก้าวแรกสู่ปลายทางสุดท้าย


“เดี๋ยวเมฆ กูขอถามอีกแค่คำถามเดียว........ มึงเชื่อมั๊ย ว่ากูรักมึง ไม่สิ กูรู้ว่ามึงก็เชื่อ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน และไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนับแต่วันแรกที่เราพบกัน กูก็ยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา และจะยังรักแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนด้วย........ แต่ว่ามึงจะยังคงเก็บรักษาความรักนั้นไว้ให้กูต่อไปได้มั๊ย เก็บมันไว้จนกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะได้ลอยอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง”

ด้วยดวงใจที่แตกสลาย และความเชื่อมั่นที่พังทลายลง ผมตอบมันออกไปเป็นครั้งสุดท้ายว่า.......

“ตราบจนขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ซัน ตราบจนกว่าขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที...........”

ทั้งๆที่เราสองคนเคยมีความยึดมั่นและความผูกพันสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดแล้วแท้ๆ ทั้งๆที่เราเคยสัญญากันไว้แล้วว่าระหว่างเราจะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าทุกๆวินาทีที่เรามีและใช้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผ่านมาหรือนับจากนี้ไป....... แต่ว่าสุดท้ายแล้ว มันก็เลือกความสวยงามที่มันสัมผัสได้เพียงครั้งคราว เหมือนกับความงามของเส้นขอบฟ้ายามพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกแต่เพียงเท่านั้นไปจนได้

ผมเองก็ชอบมองดูเส้นขอบฟ้าและความยิ่งใหญ่ของมันไม่ต่างไปจากท้องฟ้าสีครามที่ผมเคยชื่นชมมันอยู่เสมอๆหรอก แต่ถ้าเพียงแค่ความงามอย่างเดียวก็สามารถทำให้คนตกหลุมรักและลืมความผูกพัน ลืมความสำคัญของช่วงเวลาทุกๆวินาทีที่เราข้ามผ่านพ้นมาได้แล้วล่ะก็...........

ผมก็ขอเลือกที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแต่เพียงลำพังคนเดียวดีกว่า

ผมเดินไปขึ้นรถและขับรถออกจากห้างแห่งนั้นไปทันทีอย่างรวดเร็ว ไปยังจุดหมายปลายทางแห่งเดียวกับที่ที่คำสัญญาของเราเริ่มต้นขึ้น สถานที่ที่เราแลกเปลี่ยนคำมั่น ความผูกพัน และตัวตนของเราสองคน..........

ผมกำก้อนหินสีดำที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกเอาไว้แน่น.............. สิ่งๆเดียวที่แสดงถึงเยื่อใยสุดท้ายที่เชื่อมเราสองทั้งคู่เอาไว้ด้วยกัน

ระหว่างที่ขับรถไประยอง ผมก็พยายามควบคุมสติและจิตใจของตัวเองให้มั่นคงมากที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ทว่าเมื่อผมเปิดแผ่นซีดีเพลงที่ค้างอยู่ในรถขึ้น เพราะอยากจะให้เสียงเพลงช่วยทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดลงไปบ้าง เพลงแรกที่ผมได้ยินมันก็ทำให้น้ำตาของผมไหลออกมาอีกครั้งจนได้..........

คงเป็นที่ฟ้าเบื้องบน เป็นคนขีดโชคชะตา สั่งฉันและเธอให้มา ให้ได้พบเจอกัน
ให้ฉันได้มีโอกาส ลิ้มรสในความชื่นบาน ให้เรามีกัน มีวันเวลาที่ดี.........
และเป็นที่ฟ้าเบื้องบน เป้นคนพรากเราเช่นกัน ให้เวลาเพียงแค่นั้นกลับต้องเสียเธอไป
ฉันรู้ว่าไม่มีหวังจะเหนี่ยวและรั้งเธอไว้ข้างกาย
จะทำยังไงก็คงไม่มีหนทาง

หากชีวิตฉันต้องขาดเธอไป จะเป็นยังไง........
ชีวิตคงไร้ความหมายและเหมือนไร้พลัง
ร่างกายที่เคยอดทน ก็คงไม่มีกำลัง........ ไม่มีความหวังให้ฉันได้ชื่นหัวใจ
แค่เพียงพรุ่งนี้ถ้าตื่นมามองไปไม่เจอเธอ แค่นึกก็ทำให้เผลอหวั่นและไหวในใจ
ถ้าเราจะต้องจากกัน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด....... คงรู้ใช่ไหมว่าฉันจะต้องเสียใจ
เสียใจจนตาย.............


“ไอ้ซัน............ กูรักมึงจริงๆนะ จะมีวันไหนมั๊ย ที่เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง วันที่มึงกับกูจะได้เดินร่วมทางเดินเดียวกันอีก......... เพราะในตอนนี้กูมองไม่เห็นเลยว่าถ้าระหว่างเรามันยังคงมีกำแพงที่มองไม่เห็นอันใหญ่ขวางกั้นอยู่แบบนี้ เราก็คงจะไม่มีวันได้กลับมาเป็นเข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดเดียวกันอีกแล้วก็ได้ และกูก็ไม่รู้อยู่ดีว่าไอ้กำแพงเหี้ยนั่นมันมาจากไหน ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา มึงหรือกู และไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กูรู้เพียงอย่างเดียวว่า กูจะไม่มีวันรักใครเท่ากับที่กูรักมึงอีกแล้ว........... ไม่มีใครที่จะรักท้องฟ้าสีครามไปมากกว่าก้อนเมฆสีขาวก้อนเล็กๆก้อนนี้อีกแล้ว”

ผมจอดรถลงข้างทางและพิมพ์ประโยคเหล่านั้นลงในมือถือพร้อมทั้งน้ำตา ผมคิดจะส่งอีเมล์ให้มันเป็นครั้งสุดท้าย ส่งความในใจที่ผมมีทั้งหมดให้มันได้รับรู้และเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริงของผม.......... แต่ทว่าสุดท้ายแล้วเมื่อผมพิมพ์เสร็จ ผมก็กลับกดปุ่มดีลีทลบมันทิ้งไปจนหมด

“มันคงจะไม่มีความหมายอะไรสำหรับมันอีกแล้วล่ะ มึงเลิกทำอะไรงี่เง่าๆได้แล้ว ไอ้เหี้นเมฆ” ผมพูดกับตัวเอง ก่อนตัดสินใจที่จะปิดเครื่องทิ้ง แต่ทว่าก่อนที่มือถือของผมจะดับลงนั้น ผมก็ได้รับเมสเสจเข้ามาในวินาทีสุดท้ายพอดี ผมจึงเปิดอ่านมันก่อนที่จะตัดการติดต่อจากคนอื่นเพื่อจะได้มีเวลาคิดทบทวนอะไรต่างๆคนเดียวตามลำพัง และคนที่ส่งเมสเสจนั้นมาก็คือไอ้ซันนั่นเอง.........

“กูขอโทษ และกูก็หวังสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมึงนะ ท้องฟ้าจะคิดถึงก้อนเมฆของมันตลอดไป”

ผมอ่านข้อความสั้นๆนั่นแล้วน้ำใสๆจากดวงตาก็หยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมทันที

“ไอ้ซัน......... นี่แปลว่ามึงไม่คิดว่าเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งแล้วใช่มั๊ย แต่มึงรู้มั๊ยว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับกูก็คือทุกๆวินาทีที่กูมีมึงอยู่ข้างกายกูนะ ไอ้เหี๊ยเอ๊ย.........”

ผมกดปุ่มปิดเครื่องแล้วขับรถมุ่งต่อไปยังจุดหมายปลายทางของผมทั้งๆน้ำตา............

เมื่อไปถึงที่ระยอง จิตใจของผมก็เริ่มดีขึ้นมาก ความเงียบสงบของชายหาดที่ไร้ผู้คนบวกกับเสียงดังของคลื่นที่กระทบฝั่ง และเสียงของสายลมที่พัดพาอย่างไม่หยุดพักก็ช่วยปลอบประโลมจิตใจของผมให้เย็นลงได้อีกเยอะ ผมเดินเท้าเปล่าเลียบชายหาดไปเรื่อยๆจนไปโผล่ที่หาดอีกแห่งหนึ่งที่เริ่มมีคนพลุกพล่านมากขึ้น แต่เป้าหมายของผมไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าจริงๆแล้วเป้าหมายของผมมันยังไม่ใช่สิ่งนี้ต่างหาก

ผมไปนั่งที่ร้านอาหารริมหาดแห่งหนึ่งแล้วสั่งข้าวผัดปูมากิน ตั้งแต่มื้อเช้าของพ่อตอนนั้นแล้วผมก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลย แถมความเหนื่อยอ่อนที่ทับถมกันมาในช่วงหลายชั่วโมงนี้ บวกกับความเพลียทั้งจากการร้องไห้และทางใจมันก็ทำให้ผมรู้สึกต้องการพลังงานมาเติมให้ร่างกายอีกมากเลยเหมือนกัน

เมื่อผมกินข้าวและจ่ายเงินเสร็จ ผมก็ออกเดินต่ออีกครั้ง แต่คราวนี้ผมมุ่งหน้ากลับไปยังชายหาดที่ผมเพิ่งจะเดินผ่านมา ชายหาดที่ผมกับมันได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเป็นครั้งแรกเมื่อครั้งกลับมาถึงที่ประเทศไทย แต่ทว่าคราวนี้สิ่งที่ผมรอคอยมันไม่ใช่พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเมื่อคราวที่แล้ว แต่หากเป็นพระอาทิตย์ตก ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังบอกลาท้องฟ้า ก้อนเมฆ ผืนดิน และพื้นน้ำ........

ช่วงเวลาที่ไอ้ซันชอบมากที่สุดนั่นเอง

ผมนั่งลงบนพื้นทรายในจุดที่ลับตาคน แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ว่าชายหาดตรงช่วงนี้ก็ไม่ค่อยจะมีคนเดินผ่านเท่าไหร่อยู่แล้ว ผมจึงสามารถนั่งรอช่วงเวลาที่ผมรอคอยเพียงคนเดียวได้อย่างไม่ต้องกังวลว่าใครจะเดินผ่านไปผ่านมา

ผมทอดสายตามองยาวออกไปยังพื้นน้ำที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา คลื่นลูกน้อยใหญ่กระทบหาดทรายครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อ และท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มจะเปลี่ยนสีหลังจากดวงอาทิตย์ดวงนั้นเริ่มคล้อยต่ำจนลงมาเกือบถึง ณ เส้นขอบฟ้า.......... บรรยากาศแบบนี้ ภาพตรงหน้าของผมแบบนี้ มันชวนให้ผมนึกถึงเพลงๆหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนนี้เหลือเกิน

มองดูฟ้า มันเปลี่ยนสี ไม่เคยซ้ำ เนิ่นนานแล้ว แต่ใจฉันมันยังซ้ำ อยู่........... ที่เธอ
เธอเห็นไหม คลื่นที่ซัด หาดทรายขาว มานานแล้ว ดั่งใจฉัน ยังคงซัด เธอ............ นิรันดร์

ทะเลเวลาที่หมุนผ่าน ผลักชีวิตมาจนป่านนี้ เก็บชีวิตเก็บใจที่ดีที่มีเพื่อเธอ..........

ชีวิตที่เหลืออยู่นี้อยากใช้มันเคียงข้างเธอ
ชีวิตของฉันจากนี้จะไม่ไปไหน.........
ชีวิตของเธอจากนี้ อยากใช้ข้างฉันรึเปล่า
ให้ชีวิตของเราจากนี้มีใจเดียวกัน............


ผมถอนหายใจยาวๆ ภาพความทรงจำหลายๆอย่างที่เคยมีกับมันมาผ่านเข้ามาในความทรงจำของผมอีกครั้ง ราวกับจะคอยย้ำเตือนผมอยู่เสมอว่า ช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิตของผมนั้นมันเป็นอย่างไร และผมได้ใช้มันไปอยู่กับใคร

ผมนั่งอยู่ที่ตรงนั้นจนรอบตัวของผมเริ่มมืดลงเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าไปได้ ผมไม่สามารถมองเห็นความงดงามของดวงอาทิตย์ที่กำลังบอกลาท้องฟ้าและก้อนเมฆไปได้เลย ก้อนเมฆน้อยใหญ่สีดำครึ้มหลายก้อนที่ลอยมาปกคลุมท้องฟ้า บอกสัญญาณของฝนที่ใกล้จะตกลงมาบดบังดวงอาทิตย์ของผมไปจนหมด

“ขนาดกูจะขอดูความเศร้าและแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ ก่อนที่จะปล่อยให้ความเหงาและความหนาวเหน็บในตอนกลางคืนมาแทนที่ กูยังไม่มีสิทธิ์เลยใช่มั๊ย.........” ผมพูดออกมาคนเดียวก่อนจะนั่งก้มหน้าอยู่อีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อผมรู้สึกตัวอีกทีบรรยากาศรอบตัวผมก็เริ่มมืดลงมากแล้ว และนอกจากนั้นลมแรงๆที่พัดปะทะตัวผมก็ยังเตือนผมอีกด้วยว่าพายุฝนกำลังจะโหมกระหน่ำในอีกไม่ช้านี้แล้ว ผมจึงลุกขึ้นยืนและปัดทรายออกจากกางเกงอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนที่เสียงฟ้าร้องจะดังเปรี้ยงขึ้นบนท้องฟ้าสีครึ้มเหนือผืนน้ำสีดำตรงเบื้องหน้า

“เออๆ กูรู้แล้ว ไม่ต้องไล่กูนักหรอก” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปยังรถของตัวเอง................


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 10-03-2008 21:28:26
โถ ๆ สงสารเมฆจังเลย
 :m15: :m15: :m15:
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 10-03-2008 21:45:59
ฤา จะไม่มีทางที่เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม  :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 11-03-2008 01:34:16
 :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:
 :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:
 :serius2: :serius2: :serius2:
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Ryuse ที่ 11-03-2008 01:57:17
เมฆคิดมาก ซันอาจจะไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นก็ได้

แต่วันเองก็คงคิดเหมือนกันล่ะมั้ง (คิดว่า)

เจ็บก็จะรออ่านฮะ อยากรู้ว่าสิ่งที่เราเจอกับเมฆเจอมันจะออกมาเหมือนกันมั้ย

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 11-03-2008 12:27:35
อ่านไปอ่านมา ชักรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย
ไม่ว่าจะเป็นความอึดอัด ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ถูกทำลาย หรือแม้แต่มือที่สามหรือสี่

สิ่งที่มีมันคือ การคิดไปเอง และเมื่อรวมกับความห่วงใยที่ต้องการให้ใครอีกคนมีความสุข

มันก็เลยไปกันใหญ่


จริง ๆ แล้ว ถ้าทั้งสองคนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ซะ
มันก็จะไม่มีเรื่องอะไรเลย ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 12-03-2008 12:46:23
ด้วยหัวใจที่มีให้
ขอเป็นกำลังใจให้ต้นก้าว
หนทางแสนไกลสู่ดวงดาว
ร้อนหนาวอย่างไรให้ฝ่าฟัน

ยามต้นท้อ พี่ขออยู่เคียงข้าง
ยามต้นอ้างว้าง พี่ขออยู่ตรงหน้า
ยามต้นร้อง พี่ขอซับน้ำตา
ยามต้นเหว่หว้า พี่ขอให้กำลังใจ  


เป็นกำลังใจให้น้องชายเสมอครับ   :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

ฉลองกระทู้ที่ 400 ให้ ต้นน้องรัก :mc4: :mc4:

รักน้องเสมอ...จุ๊ฟฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-03-2008 14:44:58
นิทาน ปาฏิหาริย์กาลครั้งหนึ่งของความรัก " จากก้อนดินสู่ปลายฟ้า "   ชื่อเรื่องโดยอาจารย์สีฟ้าและลักยิ้ม


ถ้าพี่เป็นดั่งท้องฟ้า ผมก็คงเป็นแค่ก้อนดิน
แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทุกวันและก็รู้สึกชอบขึ้นในทันที
และเมื่อเวลาผันผ่าน จากความชอบก็เปลี่ยนเป็นความหลงใหล และท้ายที่สุดก็งอกเงยจนกลายเป็นความรัก

แต่ถ้าพี่คือท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น
ผมก็คงเป็นได้แค่ก้อนดินที่มีความรักอยู่เต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่สามารถยื่นมือออกไปสัมผัสกับความงดงามนั้นได้เลย…….

เมื่อท้องฟ้าสดใส ผมก็แอบอมยิ้มอยู่ในใจ แต่ท้องฟ้าก็คงไม่เคยแลมอง
เมื่อท้องฟ้ามืดครึ้ม ผมก็เป็นกังวล อยากจะช่วยปัดเป่าเมฆดำเหล่านั้นให้จางหาย แต่ท้องฟ้าก็ไม่เคยสนใจ
เมื่อท้องฟ้าร่ำไห้ ความเสียใจกลายเป็นสายฝน ชะล้างทุกสิ่งบนพื้นโลก ก้อนดินก้อนเล็กๆก้อนนี้ ก็แอบร่ำไห้ไปกับท้องฟ้า น้ำตาไหลรวมไปกับสายฝน ผิวกายหนาวเหน็บจนเจียนตาย

แต่ท้องฟ้าก็ยังคงไม่เคยรับรู้เลย.........

จนวันหนึ่งเสียงของผม ก็ถูกส่งขึ้นไปถึงยังเบื้องบน ท้องฟ้าได้รับรู้ความในใจของก้อนดินก้อนนี้แล้ว
แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นมันก็น่าเจ็บปวดนัก
เมื่อก้อนดินด้อยค่าก้อนนี้ ไม่มีค่าแม้แต่ท้องฟ้าจะยอมเห็นใจ ไม่มีค่าแม้แต่ท้องฟ้าจะชายตามอง
ซ้ำยังส่งสายฟ้าฟาดลงมา ทำลายก้อนดินจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ครั้งแล้วครั้งเล่า
ซ้ำแล้วซ้ำอีก

สายฝนที่หนาวเหน็บ พัดพาเอาเศษเสี้ยวของหัวใจดวงน้อยๆของก้อนดินลอยหายไปอย่างซ้ำๆ
แต่ก็ไม่เคยที่จะพัดพาความรักของมันจากไปได้ด้วยเลย

ถึงจะเจ็บปวด แต่ก้อนดินก็เชื่อมั่นในความรักของมัน
และเหนือสิ่งอื่นใด คือมันรับรู้...........
รับรู้ถึงความเหงา และความเจ็บปวดของท้องฟ้าที่อ้างว้างและโดดเดี่ยว
รับรู้ได้ผ่านทางสายฝน สายฟ้า และทั้งสายตาที่คอยหลบหนีมันอยู่ร่ำไป
และมันยังรับรู้ ถึงความรักและความอบอุ่นลึกๆให้ดวงใจที่ถูกเก็บเอาไว้ของท้องฟ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าหวั่นเกรง

ก้อนดินก้อนนี้จึงยังคงตั้งหน้าตาตั้งตามอบความรัก ความห่วงใย และความหวังดีให้แก่ท้องฟ้าของมันต่อไปอย่างไม่เคยหวาดหวั่นและย่อท้อ

เพราะต่อให้มันต้องเจ็บปวด แต่ทุกๆวินาทีที่มันได้ส่งผ่านความรัก นั่นก็คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของมันแล้ว.......

จนในที่สุด ความรักของก้อนดินก็เอาชนะใจของท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงนั้นได้

ผมได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ และได้รับความรักที่อบอุ่น
ผมได้รับสิ่งที่ผมรู้มาตลอดว่ามันมีอยู่จริง
ผมได้รับสิ่งที่ผมรอคอยมานานแสนนาน.........

รอคอยวันที่ท้องฟ้าของผมจะยอมเปิดหัวใจและเปิดประตูรับผมไปอยู่เคียงข้างเขาสักครั้ง

และตอนนี้ผมก็ไม่ใช่เพียงก้อนดินที่แอบหลงรัก และแหงนหน้ามองท้องฟ้าอันสวยงามผืนนี้อยู่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป

แต่ผมคือสายลมที่พัดพาอยู่เคียงข้างท้องฟ้าสีครามของผมไปชั่วนิรันคร์

ถ้าพี่เป็นท้องฟ้าที่โอบอุ้มความสุขและความหวังดีเอาไว้ เพื่อที่จะให้ทุกคนที่แหงนหน้ามองท้องฟ้ามีความสุขแล้วล่ะก็.......
ผมก็จะเป็นสายลม ที่ช่วยพัดพาเอาความทุกข์ทุกอย่างของพี่ให้จางหายไป
ผมจะโอบอุ้มความรักที่ไม่มีวันหมดนี้ลอยอยู่เคียงข้างพี่ และจะแบกรับความเหนื่อยล้าที่ท้องฟ้าไม่อยากให้ใครเห็นไว้กับตัวไปตราบนานเท่านาน

และถ้าเมื่อใดที่ยามกลางวันเปลี่ยนเป็นยามกลางคืน ท้องฟ้าต้องมืดมิด จนไม่สามารถมองเห็นแสงใดๆ
ผมก็จะเป็นดวงดาวที่ส่องสว่างนำทางให้แก่พี่
ผมจะเป็นดาวประดับฟ้า ที่ทำให้คนสามารถชื่นชมความงามของท้องฟ้าได้ทั้งยามกลางวันและกลางคืน
ดวงดาวที่จะลอยอยู่เคียงคู่กับท้องฟ้าไปตลอดชั่วชีวิตจนกว่ามันจะดับแสงลง

และไม่ว่าพี่จะเป็นอย่างไร และผมจะเป็นใครในสายตาของพี่หรือคนอื่นๆ
แต่ผมก็จะยังคงเป็นผม ที่มีความรักอันยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ พร้อมจะมอบและยืนอยู่เคียงข้างพี่ไปตลอดกาล

ความรักของก้อนดิน ที่ถูกความอบอุ่นและความงดงามของท้องฟ้าช่วยเจียระไน จะไม่มีวันจางหายไปกับกาลเวลา



ขออีกสักกระทู้ เผื่อคนที่ไม่ได้คลิกสองอันนั้น.....
เรื่องนี้แต่งให้ "ลักยิ้มสีฟ้า" เนื่องในวันเกิดของไอ้ลักยิ้มคับ ^_^
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-03-2008 20:46:58
อูย ต้นแต่งดี เห็นภาพเลย   o7 o7 o7 o7    ขนลุกเลยนะนี่  :m13:  :m13:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 12-03-2008 21:03:43
เอ๊ะ ต้นเรียนผิดคณะหรือป่าวเนี่ย  :m13:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 13-03-2008 02:06:39

เรื่องหลักยังอ่านไม่จบ

แต่มาแปะว่าอ่านเรื่องรองแล้ว (เรื่องก้อนดินฯ อ่ะ)  :m23:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-03-2008 09:56:49
ตอนสุดท้ายก่อนไป ตจว คับ ^_^
รถออกสองโมง ไปถึงหัวค่ำๆ


ก้าวที่สองสู่ปลายทางสุดท้าย


หลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมก็ขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยหัวใจที่เหนื่อยอ่อนและท้อแท้ชนิดที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มานานหลายปีมากแล้วจริงๆ ความรู้สึกของคนที่อกหักและเลิกกับแฟนมันเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง ขนาดตอนกับนัทผมยังไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้เลยนะ มันเป็นความเจ็บปวดคนละแบบกับเมื่อตอนที่ไอ้ซันบินไปอังกฤษเมื่อครั้งนั้น แต่ทว่าก็ทรมานหัวใจของผมได้ไม่ต่างกันเลย

ครั้งหนึ่งเมื่อเรายังไม่ได้ครอบครอง กับครั้งนี้ที่เราได้ครอบครองและกำลังจะสูญเสียมันไป............

เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ทั้งพ่อกับไคล์ต่างก็ยังคงนั่งรอผมอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเคย และคราวนี้ผมก็คงไม่สามารถเลี่ยงทั้งคู่ได้แล้วจริงๆ ผมจึงตัดสินใจนั่งลงและเล่าเรื่องการตัดสินใจของผมกับไอ้ซันให้พวกเขาฟัง....... เกือบทั้งหมด

“เอาเถอะ ถ้ามันเป็นการตัดสินใจของลูกสองคนแน่นอนแล้ว พ่อก็คงพูดหรือห้ามอะไรไม่ได้” พ่อพูดขึ้นหลังจากฟังผมเล่าจนจบ โดยที่ผมก็ไม่ได้เอ่ยชื่อของแบ๊งค์หรือเรื่องของนัทออกไปอยู่ดี “แต่อะไรๆมันก็คงต้องเป็นแบบนี้นั่นแหละนะ ก็แค่ว่า ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายมันก็อยู่ในอนาคตของเราสองคนเท่านั้น สำคัญเพียงแต่ในตอนนี้เมฆกับซันเลือกที่จะทำยังไงกับปัจจุบัน....... มันก็เท่านั้นเอง”

“พ่อคิดว่าเราสองคนจะยังกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันได้อย่างนั้นเหรอครับ”

“พ่อไม่รู้หรอก แต่พ่อก็แค่อยากจะเห็นทั้งสองคนพยายามก่อนก็เท่านั้นเอง” พ่อเอกส่ายหน้า “เพราะทั้งสองคนก็ยังไม่เคยต้องเผชิญเรื่องราวแบบนี้ด้วยกันเลยสักครั้งนี่นะ เรื่องราวที่จะมาทดสอบความรักและความผูกพันของเราทั้งคู่........”

ผมส่ายหน้าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป พ่อจึงตบลงบนบ่าของผมแล้วออกแรงบีบเบาๆ

“พ่อไปนอนก่อนนะ พักผ่อนซะมั่งล่ะ พ่อรู้ว่าลูกๆต้องผ่านพ้นมันไปได้” พ่อพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินจากไป และหลังจากที่พ่อเดินขึ้นห้องไปแล้ว ไคล์ก็เขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆผมมากขึ้น

“ศิลา........”

“หืมม”

“มันจะต้องเป็นแบบนี้จริงๆนะเหรอ ผมหมายถึง ผมไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ แต่ว่าผมเองก็ไม่อยากให้ทั้งสองคนเป็นแบบนี้ ผมรักทั้งคู่มากนะ” ไคล์พูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเมื่อดูจากสถานะของไคล์ในตอนนี้ เขาก็คงต้องลำบากใจและวางตัวไม่ถูกมากจริงๆ

“พี่เข้าใจเรานะ แต่ว่าพี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน ขอโทษนะไคล์ ที่พี่ทำให้เราต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้” ผมก้มหน้า

“ไม่ใช่” ไคล์พูดพร้อมกับช้อนคางของผมขึ้นมาเพื่อให้ผมสบตากับเขา เราสองคนสบตากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ไคล์จะโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆแล้วก็จูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆ ไม่ใช่การจูบแบบเสน่ห์หา แต่เป็นจูบอ่อนโยนเบาๆที่ไคล์ชอบทำกับพวกเราอยู่เรื่อยเป็นปกติอยู่แล้ว “ให้ตายสิ......... ทำไมสองคนนี้นี่ถึงไม่รู้จักจำเลยนะ” เขาพูดขึ้นหลังจากถอนปากออกไปแล้ว “ผมเคยบอกทั้งสองคนไปล้านรอบได้แล้วมั๊งว่าผมรักทั้งคู่มากจริงๆ โดยเฉพาะศิลาน่ะ ทำไมต้องคิดถึงแต่คนอื่นมากขนาดนั้นด้วย ผมไม่เข้าใจ ตอนนี้พี่กำลังเผชิญปัญหา ผมก็มีหน้าที่ที่ช่วยสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ เรื่องอื่นน่ะ ไม่ต้องสนใจหรอก เข้าใจมั๊ย ผมกับพีทมีได้คุยกันบ้างแล้ว เขาก็เป็นห่วงทั้งซันและศิลามากเหมือนกัน และเขาก็ฝากกำลังใจมาให้ทั้งสองคนด้วยว่าเขายังคงเชื่อมั่นในตัวพี่ทั้งคู่อยู่นะ แต่ในขณะเดียวกันพวกเราก็เคารพการตัดสินใจของทั้งคู่ด้วย เข้าใจรึเปล่า”

ผมยิ้มจางๆแล้วก็ชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาเบาๆ “ขอบใจนะ”

“แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น........” ไคล์พูดต่อ “คือตอนนี้ผมบอกพีทไปแค่คนเดียว แต่ยังไม่ได้บอกคนอื่นๆที่อังกฤษนะ แล้วพีทเองก็บอกว่าจะไม่บอกใครที่นั่นด้วยเหมือนกัน จนกว่าไม่ซันก็ศิลาจะแน่ใจและเป็นฝ่ายพูดเองน่ะ”

ผมพยักหน้าเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นคนที่มีสิทธิ์จะพูดเรื่องนี้มันก็คือไอ้ซันไม่ใช่ผมอยู่ดี “แต่บอกตามตรงพี่ก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้หรอกนะ พี่น่ะรักมัน ไม่อยากจะเลิกกับมัน แต่มันต่างหาก ที่ดูท่าทางเหมือนกับว่าอยากจะเดินออกจากพี่ไปจริงๆ และมันเองก็ดูไม่ได้มีท่าทางอยากจะอธิบายอะไรให้มันชัดเจนหรือแม้แต่จะยื้อความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ในตอนที่พี่เดินจากมาเลยด้วย” เมื่อผมพูดจบ ไคล์ก็ดูมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย “มีอะไรเหรอครับ”

“คือ........ จริงๆแล้วมันมีอีกอย่างที่ผมต้องบอกพี่นะ คือเมื่อตอนเย็นซันเค้าโทรมาบอกผมให้ผมช่วยเอาของที่เหลือของเขาออกไปให้หน่อย ซึ่งก็โชคดีที่เขาไม่ได้มีสัมภาระเยอะมากนัก ไอ้ส่วนที่เหลืออยู่มันก็เลยมีแค่นิดเดียว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหรอก ที่ผมตั้งใจจะบอกศิลาก็คือ ผมได้คุยกับซันนิดหน่อย ตัวซันเองก็ไม่ค่อยยอมบอกอะไรผมเหมือนกัน จริงๆแล้วไอ้เรื่องที่ศิลาเพิ่งบอกลุงกับผมมาเนี่ย ผมเองก็รู้มาจากซันบ้างแล้ว และลุงเองก็รู้จากผมแล้วเหมือนกัน แต่ว่าเราสองคนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเรื่องนี้มันมีจากต้นเหตุอะไรจริงๆกันแน่ อะไรที่ทำให้ทั้งสองคนจะไม่ยอมพูดคุยให้เข้าใจกันอีกเลย...........”

“มันก็........... ไม่มีอะไรหรอก ซันเองมันยังไม่อยากบอกพี่เลย แล้วพี่ก็เลยไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน มันก็คงเท่านั้นมั๊ง”

“ผมยอมรับนะ........ ว่าซันดูแปลกๆจริงๆ เขาไม่ยอมบอกอะไรผมเลย บอกแต่ว่ามันเป็นทางที่เค้าเลือกแล้ว และมันก็จะต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น แต่ว่าศิลา.........” ไคล์พูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดเมื่อเขาจะร้องไห้ออกมาเมื่อใดก็ได้แล้วในตอนนี้ “แต่ว่าผมไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้เลย ซันดูแปลกไปมาก เขาดูเจ็บปวดแบบสุดๆ และตัวพี่เองก็เหมือนกัน ทำไมคนที่พวกเรารักมากต้องมาลงเอยแบบนี้ด้วย ทั้งๆที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องเจ็บปวด แล้วทำไมถึงยังต้องเป็นแบบนี้ และทั้งๆที่เมื่อครั้งแรกที่เราสี่คนได้เจอกัน มันยังไม่เห็นว่าพวกพี่จะต้องกลายมาเป็นแบบนี้ได้เลยนี่นา ผมขอร้องล่ะนะ ศิลา ผมขอร้องจากใจเลย อย่าเพิ่งยอมแพ้ อย่าเพิ่งถอดใจจากความรักครั้งนี้นะ พวกผมยังเชื่อในตัวพี่เลย เพราะฉะนั้นพี่เองก็ต้องเชื่อในตัวเองด้วยเหมือนกัน ได้มั๊ยครับ”

ผมไม่ตอบ แต่โผเข้าไปดึงตัวของไคล์มากอดและลูบหัวของเขาเบาๆ รู้สึกว่าน้ำตาของตัวเองกำลังจะไหลออกมาช้าๆ ส่วนตัวไคล์เองก็กำลังสั่นน้อยๆเหมือนกัน และมันก็ยิ่งทำให้ผมสับสนมากขึ้นไปอีก ว่าสุดท้ายแล้วทำไมผมกับไอ้ซันถึงต้องมาลงเอยแบบนี้ด้วยนะ และผมกับมัน........ ไม่สิ และผมจะยังคงเชื่อมั่นในความรักที่เราเคยมีให้กันมาได้อีกต่อไปอย่างนั้นหรือ

ผมจะยังเหลือความหวังในการรอคอยและความเชื่อมั่นในความผูกพันครั้งนี้อยู่ต่อไปไหม..........

หลังจากนั้นไม่นาน อีฟก็โทรเข้ามายังโทรศัพท์บ้านของผมเพราะว่าผมยังคงไม่ได้เปิดมือถือนั่นเอง ตอนแรกผมก็ยังไม่ค่อยอยากจะคุยอะไรกับใครสักเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ไม่อยากให้ใครต้องมารู้สึกเป็นห่วงอะไรผมมากด้วยเหมือนกัน ผมจึงตัดสินใจจะคุยกับมันอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทว่า...........

“มึงต้องมานะเว้ย นี่พวกกูก็อยู่กันครบแล้ว” อีฟชวนผมออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกันด้วยน้ำเสียงร่าเริงและดูชักชวนจนเกินปกติไปเล็กน้อย

“แต่กูเพิ่งกลับมาถึงบ้านสักพักเองนะ แถมยังกินข้าวมาแล้วด้วย”

“มาเหอะน่า นะเมฆ” อีฟคะยั้นคะยอ แต่ก็มีความไม่มั่นใจความเกรงใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงด้วยเหมือนกัน “เอ่อออ แก รอแป๊บนึงนะ”

ผมรอสายสักพัก ก็มีคนอีกคนหนึ่งเข้ามาคุยกับผมแทนอีฟ และคนๆนั้นก็คือไอ้วิทนั่นเอง

“ไอ้เมฆ มึงออกมาเลย เร็ว อย่ามายึกยัก”

“อะไรของมึง มึงมารับกูมั๊ยล่ะ กูขี้เกียจไปแล้ว ไม่ค่อยมีอารมณ์ด้วย” ผมบอกปัด

“แต่พวกกูเป็นห่วงมึงนะ ไอ้สัตว์” ไอ้วิทพูดขึ้นตรงๆ ทำให้ผมต้องสะอึกไปนิดนึงเลยเหมือนกันที่ผมเหมือนเพิ่งพูดจาตัดเยื่อใยมันไปเมื่อกี๊นี้ “กูกับอีฟไม่อยากเห็นมึงเครียดนะ มึงอย่าลืมสิว่าอย่างน้อยๆมึงก็มีพวกกูที่เข้าใจมึงนะเว้ย หรือมึงคิดจะปฏิเสธพวกกู........”

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง และตอนนั้นเองที่เสียงจากปลายสายก็เปลี่ยนกลับมาเป็นอีฟอีกครั้ง

“ใช่ๆเมฆ ให้เวลาพวกเราได้ชดเชยช่วงเวลาที่แกหายไปตลอดสามปีหน่อยสิวะ นะ”

“งั้นก็ได้........” ผมยอมแพ้ “ขอเวลาเราแป๊บนึงก็แล้วกัน”

หลังจากวางสายและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ผมก็เปิดมือถือขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ผมขับรถออกจากกรุงเทพไปยังระยองเมื่อตอนบ่าย และก็เป็นอย่างที่ผมคิด มีคนหลายคนโทรเข้ามาหาผมหลายครั้งมาก ไม่ว่าจะเป็นเบอร์บ้าน เบอร์ของพ่อ เบอร์ไคล์ เบอร์พี่วิน ไอ้วิท อีฟ ทั้งหมดคนละไม่ต่ำกว่าสองสามครั้ง และนอกจากนั้นยังมีเบอร์จากเพื่อนที่ทำงานของผม กับเบอร์ของพี่จ๊อบอีกหนึ่งครั้งด้วย

ผมบอกลากพ่อของผมและบอกท่านไปว่าไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนจะขับรถออกจากบ้านไปยังร้านเดิมของพวกมันที่เคยไปกันเป็นประจำตั้งแต่เข้ามหาลัยกันแล้ว เพียงแต่ผมกับไอ้ซันดันหนีไปอยู่ที่อังกฤษด้วยกันก่อนเท่านั้นเอง และเมื่อผมไปถึงที่นั่นผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ที่นั่นไม่ได้มีเพียงแค่อีฟกับไอ้วิท แต่ยังมีนัท ป๋อม เดียร์ ปู และไอ้แป๊ะอีกด้วย

“อ้าว มาแล้วๆ” ไอ้วิทลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้ามารับผม

“อยู่กันเยอะนี่หว่า”

“ใช่ ก็ตอนแรกมีนัทกับอีฟแล้วก็กูน่ะ แล้วนัทก็เลยบอกให้ชวนๆกันมา ใครมาได้ก็มา แต่มึงน่ะมาไม่ได้ก็ต้องมา เอ้า นั่งๆ” ไอ้วิทพาผมมานั่งลงตรงกลางระหว่างมันกับอีฟ ส่วนนัทนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมพอดี เราสบตาและยิ้มให้กันเล็กน้อย ผมภาวนาในใจว่าขออย่าให้นัทดูความผิดปกติของผมออกเลยด้วยเถอะ

“แล้วซันล่ะ เมฆ” นัทถามขึ้น

“อยู่คอนโดน่ะ” ผมตอบกลับไปสั้นๆด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูเป็นปกติที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า เพราะอีฟกับไอ้วิทเองก็ดูมีท่าทางไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาทันที

“เฮ้ย สั่งอาหารๆ กินๆๆเร็ว เมฆมึงจะกินอะไรรึเปล่า สั่งอะไรมากินเล่นก็ได้นะเว้ย เฮ้ยไอ้ป๋อมมึงชงมาให้ไอ้เมฆแก้วดิ๊” ไอ้วิทพูดขึ้น

“อีฟ กูดูแย่มากเปล่าวะ ถามจริงๆ” ผมหันไปหาอีฟแล้วกระซิบกับมันเบาๆ “ทั้งท่าทาง ดวงตา อะไรหลายๆอย่าง”

“ก็........ มึงก็ดูซึมๆแหละ ตาช้ำๆหน่อย แต่ว่าถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็นหรอก เพราะนี่มันก็มืดๆด้วย อย่าคิดมากเลยเมฆ ตอนนี้อยู่กับพวกกูก็ทำใจให้สบายก่อนเถอะนะ”

ผมพยักหน้า แล้วก็เริ่มต้นดื่มกินไปตามปกติเท่าที่ทำได้ และถึงจะไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ผมก็รู้สึกว่าเหล้ามันไหลผ่านลงคอของผมไปได้ง่ายกว่าในทุกๆครั้งมาก จนอีฟต้องคอยเตือนผมให้ผมเพลาลงอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังดีที่ผมยังมีสติอยู่ และก็ไม่ได้คิดที่จะดื่มจนเมามายอะไรอยู่แล้ว เพราะผมไม่อยากจะทำให้พ่อต้องเป็นห่วง เพราะฉะนั้นอย่างมากที่สุดผมจึงแค่รู้สึกตึงๆนิดหน่อยเท่านั้นเอง

อีฟเล่าให้ผมฟังว่าเริ่มแรกเลยคือนัทมาหาอีฟที่บ้านแล้วก็คุยกัน จากนั้นไอ้วิทก็โทรมาคุยกับอีฟเรื่องของผม แล้วก็เลยมาหาอีฟที่บ้านด้วยอีกเหมือนกัน นัทก็เลยออกไอเดียชวนผมกับคนอื่นๆให้ออกมากินข้าวด้วยกัน ซึ่งทั้งอีฟและไอ้วิทก็ยิ่งเห็นด้วยเข้าไปใหญ่เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้ แต่มันโทรหาผมยังไงก็โทรไม่ติด สุดท้ายก็เลยต้องโทรเข้าบ้านเพื่อลากผมออกมาแบบนี้จนได้

“แล้วไอ้ซันล่ะ พวกมึงไม่คิดจะชวนมันมามั่งรึไง” ผมถาม

“คิดสิวะ” ไอ้วิทตอบ “บอกตรงๆเลยก็ได้ ตอนแรกกูก็จะให้อีฟมันชวนมึงออกมา ส่วนกูจะเป็นฝ่ายไปหาไอ้ซันนั่นแหละ พวกมึงสองคนคือเพื่อนกูนะเว้ย กูไม่อยากเลือกใครทั้งนั้นแหละ แต่กูโทรหาไอ้ซันไม่ติดเลย บ้านมันก็ไม่อยู่แหงอยู่แล้ว ส่วนคอนโดมันอยู่ที่ไหนกูก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ด้วย เพราะงั้นกูก็ไม่รู้จะทำยังไง นี่ก็เป็นห่วงมันอยู่เหมือนกัน แต่ก็นะ กูจะไปทำอะไรได้ โดยเฉพาะกับไอ้ซันด้วยแล้ว ถ้ามันคิดจะไม่เอาใครมันก็ไม่เอาเลยจริงๆ........”

ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “ไม่หรอก จริงๆมีอยู่คนนึงที่รู้นะ คอนโดไอ้ซันน่ะ..........”

“ใครวะ” ทั้งอีฟกับวิทถามขึ้นพร้อมๆกัน

“เอาเหอะ ถึงไงมันก็คงไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก มึงเชื่อกูเถอะ กูไม่ได้ประชดนะ แต่มันคงไม่เป็นไรมากหรอกมั๊ง กูมีพวกมึง มีพ่อ มีไคล์ มันเองก็มียังคงมีไคล์ มีเพื่อนของมัน มีคนที่มันเลือก........” ผมหันไปเห็นสีหน้าของทั้งคู่แล้วจึงรีบพูดต่อ “ให้อยู่กับมัน เพราะฉะนั้น.........” ผมไม่ได้พูดต่อประโยคจนจบ แต่กระดกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นรวดเดียวจนหมดแก้ว “ขอกูไปห้องน้ำหน่อยนะ”

ผมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วก็เจอนัทกำลังยืนรอผมอยู่

“เมฆ ขอบใจมากนะ”

“เรื่องอะไร นัท”

“ก็ทุกเรื่องเลย เรื่องพี่จ๊อบก็ด้วย ตอนนี้นัทรู้สึกว่าอะไรๆมันกำลังจะดีขึ้นแล้วล่ะ” นัทยิ้ม แต่เขาไม่รู้เลยว่าสำหรับผมแล้ว ตอนนี้อะไรๆมันกำลังจะแย่ลงไปแบบสุดๆต่างหาก

“แบบนั้นก็ดีแล้ว” ผมตอบก่อนจะตั้งท่าเดินต่อ

“แล้วเมฆจะกลับยังไง ไหวมั๊ยเนี่ย แล้วจะกลับดึกรึเปล่า นี่มันก็........ จะตีหนึ่งแล้วนะ” นัทถาม ทำให้ผมยังคงหยุดอยู่ที่เดิมอีกครั้ง

“คงอีกสักพักแหละครับ เมฆไม่ได้เมามากหรอก แค่ตึงๆนิดหน่อยเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“จะให้ไม่ห่วงได้ไงล่ะ ห่วงมากเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าเกิดว่ามีอะไรที่มันผิดพลาดไปเกิดขึ้นล่ะก็ จะทำยังไง”

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องห่วง แค่นี้เมฆสบายมาก” ผมหันไปยิ้มให้กับนัท “ขอบใจมากนะ นัท..........” ผมพูด ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้นัทมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ริมฝีปากของเราสองคนก็ประสานกัน

ผมจูบนัทอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปและรีบถอนปากออก จากนั้นก็ถอยห่างออกมาหนึ่งก้าว ซึ่งสีหน้าของนัทเองก็ดูแปลกใจและตกใจมากไม่แพ้กัน แต่ไม่รู้ว่าทำไม ผมกลับไม่รู้สึกผิดหรือรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เพิ่งทำลงไปเลยแม้แต่น้อย

“นัท........ เรา.........  คือ เมฆ.........” ผมพูดออกไปแบบติดขัด ก่อนที่จะหันไปเห็นเพื่อนๆของเราเกือบทั้งโต๊ะกำลังมองมาที่พวกเราอยู่ และยังไม่นับสายตาของคนในร้านอีกหลายคู่ด้วย

“ช่างมันเถอะเมฆ ไม่เป็นไรหรอก” นัทตอบก่อนจะเดินก้มหน้าเข้าไปในห้องน้ำ

ผมส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเดินผ่านโต๊ะของตัวเองออกไปยังหน้าประตูร้านโดยไม่ได้สบตากับใครเลย

“เดี๋ยวไอ้เมฆ นั่นมึงจะไปไหน” ไอ้วิทรีบลุกเดินตามผมออกมาหน้าร้าน

“กูขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน ขอโทษทีนะ ไอ้วิท ขอโทษจริงๆ” ผมตอบ ก่อนจะเดินไปยังรถของตัวเองโดยไม่ได้สนใจกับเสียงทัดทานและเสียงเรียกของไอ้วิทที่ดังไล่หลังมาอีกเลย


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 13-03-2008 12:30:07
เหมือนต่างคนต่างเริ่มชีวิตใหม่เลยนะ ทางใครทางมัน  :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-03-2008 20:20:13
เมื่อไหร่หนอ ขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที  :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 16-03-2008 04:04:09
คิดถึงพี่ชายอ่ะ  :sad2:
ไว้จาปายนอนด้วยอีกนะ  :o8:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 18-03-2008 19:59:27
คิดถึงน้องชายจัง...เมื่อไหร่จะกลับจ๊ะ...มีเรื่องเม้าท์มากมายอ่ะ :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 20-03-2008 08:11:22
คิดถึงต้นจังเลย  หายไปตั้งหลายวันแล้ว  คิดถึงมากกว่านิยายของต้นอีกนะ :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 22-03-2008 12:31:20
เหวยๆๆๆ เรื่องราวระทึก+บานปลายสุดๆ  :เฮ้อ:  อาไรกันก็ไม่รู้ แงๆๆๆ

จะรอต้นมาอัพต่อเน้อ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 24-03-2008 19:00:57
กลับมาต่อเร็ว ๆ นะค้าบบบบ  :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 24-03-2008 23:54:29


สุขสันต์วันแก่อ่ะ . . . .

เดี๋ยวค่อยเลี้ยงย้อนหลัง . . . ที่ไหนดีหว่า

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 29-03-2008 16:39:51
    พอดีได้รับสายตรงมาจากเพรชบูรณ์ ครับ น้องต้น (ExecutioneR ) ฝากมาบอกว่า ขอบคุณเพื่อน ๆทุกคนที่ยังคิดถึงกัน และต้องขอโทษด้วยที่ตอนนี้ไม่สามารถลงเรื่องต่อได้ เนื่องจากติดภาระกิจ และอุปสรรคหลายๆ อย่าง ( คาดว่าติดภาระกิจในการกินเด็กๆ    :laugh: ) แต่จะพยายามมาลงต่อโดยเร็วที่สุด เพราะตอนนี้น้องต้นก็เริ่มจำเรื่องไม่ได้แล็วเหมือนกัน ( กำ )  ขอบคุณอีกครั้งครับ ที่ยังติดตามกันเสมอมา   

     ปล.ต้นน้องรัก ทำอะไรก็นึกถึงน้องทึ่มบ้างนะ    อิอิ


     อาจารย์สีฟ้า     ณ  สวนส้ม
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 29-03-2008 23:00:40
ต้นไม่อยู่ งั้นให้ทึ่มมาเขียนแฉต้นไปพลางๆก่อนดีป่ะ 555+ :mc4:

ขอให้เสร็จภารกิจอย่างไร้อุปสรรคนะคร้าบต้น

โชคดีๆทุกคน รออ่านตอนใหม่อยู่เน้อ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Ex'ecuzě ที่ 02-04-2008 17:47:18
พี่ชายยยยยยยย หายหัวเรยนะ  o12 o12 o12

กลับมา กทม. แร้วไม่ใช่รึง๊ายยยยยย  :m16: :m16: :m16:

เอามาลงเซ่ะ ถ้าไม่ลง ก้อส่งมาให้อ่านหลังไมค์ก้อด้ายยยยย

อย่างนี้ เด๋วว่างๆชวนพี่ทึ่มออกปายแรดกลางคืนหรอก   :m14:

ว่าแล้ว ก้อเด๋วชวนเรยดีก่ะ เชอะๆๆๆ

 :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 05-04-2008 23:53:00
ขอเป็นแฟนคลับของเมฆกับซันด้วยคนนะคะ
ตามอ่านมาตั้งแต่๓คแรกแล้วทำเอานำตาไหลไปหลายเชียว  o7
ขอชมว่าแต่งได้ดีมากๆเลยค่ะ  ภาษาที่เขียนก็ดีมากเลย
ผูกเรื่องได้ดีน่าติดตามด้วย
แต่ภาคนี้ใจร้ายจังอ่านแล้ว...... :sad2:
จะติดตามอ่านต่อไปนะคะ


ว่าแต่......หายไปนานแล้วนะเมื่อไหร่จะกลับมาต่อสักทีล่ะคะ o12
คนรอใจจะขาด คิดถึง เมฆ กับ ซันจังเลย  เฮ้อ.... :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 06-04-2008 12:03:54
มาเจาะไข่รีบน  ในฐานะที่เป็นแฟนคลับเมฆกับซันเหมือนกัน

รักเมฆกะซันจังเลย :o8:

เฮ้อ คิดถึงสองคนนั้นจัง เมื่อไหร่จะมา.... หือ น้องต้น  :angry2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-04-2008 20:09:05
หุหุ ข่าวดีเหมือนกัน คนอ่านจะลืมเรื่องนี้แล้ว  :a6: :a6: :a6: :a6:
คาดว่าคงต้องอ่านใหม่ทั้งหมด  :sad2: :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 06-04-2008 20:47:20
วันนี้ก็มานั่งรอเมฆกับซันอย่างเงียบเหงา.... :sad2:
เมื่อไหร่กัน...ที่เค้าจะพาเมฆและซันกลับมา.......คิดถึง
กลับมาซะทีเซ่ o12



 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
จะแย่แล้วน้าเพ่.... :angry2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: อาจารย์..สีฟ้า ที่ 08-04-2008 22:51:23
เข้ามาบอกว่าคิดถึงเจ้าของเรื่องแหละ

ปล.อยากจะรู้จริงๆ พชบ. มันมีอะไรดี ถึงไม่กลับสักที..ทำอะไรก็คิดถึงน้องทึ่มของพี่บ้างหนา



จุ๊ฟฟฟฟฟฟฟ  :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 09-04-2008 13:41:57
นั่งชะเง้อรอคอย ๆ ๆ  :m15:

มาต่อเร็ว ๆ นะก๊าบบบบบ  o7
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 11-04-2008 23:32:50
แง็วๆๆๆ เมื่อไหร่ต้นจะมาสักทีคร้าบ  :serius2:

อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ  :m13:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-04-2008 11:36:26
กลับมาแล้ว กลับมาแล้วค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!

ดีใจมากก ไม่ได้เล่นเน็ตมานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย

ขอโทษนะคับที่หายหัวไปเลย พอดีไปสอนหนังสืออยู่ ตจว น่ะ ยุ่งมากมายยยย เหนื่อยโคดๆ

แต่ได้งาบเด็กมอปลายหวานกรอบมาคนนึงก้อคุ้มล่ะเนอะ เอิ๊กกกก (ฮา)

ตอนนี้คงมาต่อได้หน่อยนึง แต่ว่าหลังจากนี้พอกลับไปก้อคงไม่ได้มาต่ออีกสักพัก อย่างน้อยๆก้อคงจนกว่าที่นั่นจะติดเน็ต
(และแน่นอนว่าต้องมีเวลาเล่นด้วย T__T)

ยังไม่ได้อ่านรีของแต่ละคนเลยคับ มัวแต่ดีใจ
ยังไงก้อขอแปะก่อนและกันแล้วเดวจะมาอ่านหนา จุ๊บๆๆๆๆ คิดถึงทุกคนคับบ

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-04-2008 11:36:49
ก้าวที่สามสู่ปลายทางสุดท้าย


เวลาตีหนึ่งสิบนาที ผมขับรถออกจากร้านอาหารกลับบ้านด้วยความรวดเร็ว และนอกจากนั้นผมก็ยังกดปุ่มปิดโทรศัพท์ทิ้งหนีจากทุกคนอีกครั้งด้วย

ทำไมผมถึงได้ทำแบบนั้นลงไปกันนะ........ ผมถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าขณะขับรถ มันเกิดจากเพราะความเมาอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่ ผมไม่เคยเมาถึงขนาดควบคุมความคิดและการกระทำของตัวเองไม่ได้มาก่อน และครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เมาเลยด้วย ผมก็แค่รู้สึกตึงๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์นิดหน่อยเท่านั้นเอง หรือจะเป็นเพราะผมประชดไอ้ซันที่มันไปจูบไอ้แบ๊งค์ ก็คงไม่ใช่อีก ถึงภาพในตอนที่มันสองคนกำลังจูบกันจะฉายกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้ง ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ผมจะจูบลงบนริมฝีปากของนัทก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้ทำลงไปเพียงเพราะเพื่อจะประชดคนที่มันไม่ได้เห็น ไม่ได้รับรู้ และไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อครู่เลยจริงๆ หรือจะเป็นเพราะผมเริ่มหวั่นไหวกับความรู้สึกเก่าๆที่ผมกับนัทเคยมีให้กัน ความห่วงใยที่ผมได้รับมาในช่วงเวลาที่รู้สึกอ่อนแอสุดๆ มันจะทำให้ผมเผลอใจไปอย่างนั้นน่ะหรือ........... ผมไม่รู้ ผมไม่รู้คำตอบ ผมไม่รู้เลยว่าผมทำแบบนั้นลงไปเพราะอะไร

และไม่ว่าจะมีข้อแก้ตัวใดๆ สิ่งที่ผมทำลงไปมันก็คือความผิดและความผิดพลาด ที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาลบล้างได้อยู่ดี........

เมื่อผมกลับมาถึงที่หมู่บ้าน ยามคนนั้นก็กำลังหลับอยู่เหมือนทุกครั้งอีกแล้ว แต่คราวนี้เขาเปิดทางกั้นเข้าหมู่บ้านทิ้งเอาไว้เลย ผมจึงไม่จำเป็นต้องบีบแตรปลุกให้เขาตื่นมาเปิดรับผมเหมือนครั้งก่อนๆ ผมขับรถไปจอดอยู่หน้าบ้านและดับเครื่อง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรั้ว แต่ก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ เพราะว่าก่อนที่ผมจะออกมาผมลงกลอนและล็อคมันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ผมเดินเข้าไปในบ้านด้วยความสงสัยเล็กน้อย ก่อนที่ความสงสัยเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เมื่อผมเห็นร่องรอยของประตูหน้าบ้านที่ถูกงัด

ผมรีบหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเปิดเครื่องก่อนจะกดปุ่มโทรเข้าเบอร์มือถือของไคล์อย่างรวดเร็ว ในขณะที่รีบย่องไปทางประตูหลังบ้าน แต่ทว่าไคล์ก็ไม่ได้เปิดเครื่อง ผมจึงลองโทรเข้าเบอร์ของพ่อดู แต่ทว่าก็ไร้ผลเช่นกัน ผมสอดมือถือกลับลงไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะได้ยินเสียงเหมือนอะไรหล่นหรือกระแทกดังมาจากในตัวบ้าน ตามมาด้วยเสียงร้องของผู้ชายมากกว่าหนึ่งคน ซึ่งผมจำหนึ่งในเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี

“พ่อ!” ผมรีบไขกุญแจประตูหลังแล้วผลักเข้าไปอย่างรวดเร็ว ประตูนี้เป็นประตูเพียงหนึ่งเดียวที่จะออกมาจากตัวบ้านได้นอกจากประตูหน้าผ่านทางห้องครัว และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมโจรคนนี้มันถึงไม่งัดประตูหลังเข้าไปแบบปกติมากกว่าเดินเข้าไปประตูหน้าไปตรงๆแบบนั้น และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ไอ้โจรคนนั้นมันจะเผ่นหนีออกไปทางประตูหน้าแล้วด้วยรึเปล่า แต่ผมรู้แต่เพียงว่า เมื่อผมได้ยินเสียงของพ่อดังขึ้นมาแบบนั้น ผมก็ต้องรีบเข้าไปดุเหตุการณ์ในบ้านอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว

เมื่อผมผลักประตูเปิดเข้าไปในบ้าน ผมก็รีบพุ่งผ่านห้องครัวเข้าไปยังห้องกินข้าว และจากตรงนั้นเองที่ผมเผชิญหน้าเข้ากับผู้ชายสองคนที่สวมหมวกปิดหน้าตาเอาไว้เข้าพอดี

“ชิบหายแล้ว!” หนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้นพร้อมกับตั้งท่าจะวิ่งหนีออกไปทางหน้าบ้าน

“เฮ้ย ไปเร็ว!” คนที่อยู่ใกล้กับผมและสะพายกระเป๋าเป้สีดำร้องตะโกนขึ้น “มันกลับมาแล้ว!”

“เฮ้ย หยุดนะเว้ย!” ผมรีบกระโจนเข้าไปหาทั้งสองคนอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะทันพูดจบประโยคเสียอีก แต่ทว่าทันใดนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงฝีเท้าจากบนชั้นสองของบ้าน ทำให้ผมต้องรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาเมื่อคิดว่า พวกมันอาจจะมีด้วยกันทั้งหมดสามคนหรือมากกว่านั้น แต่ผมมีเพียงคนเดียวแบบนี้คงแย่แน่ และที่สำคัญผมไม่รู้เลยว่าพวกมันมีอาวุธหรือเปล่าและมีฝีมือมากขนาดไหน ถ้าเป็นแค่โจรธรรมดาๆก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไรมากนัก แต่ถ้ามันมีกันสามคนจริงและยังมีอาวุธอีกด้วยล่ะก็ พ่อกับไคล์ก็คง...........

“พ่อ! ไคล์!” ผมร้องขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเสียงร้องเมื่อครู่ที่ผมได้ยินก่อนจะเข้าบ้านมาเป็นเสียงของพ่อ และเริ่มรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของทั้งสองคนขึ้นมาทันที

ในเสี้ยววินาทีขณะที่ผมกำลังลังเลและชะงักไปอยู่นั้น ผมก็ถูกไอ้คนที่อยู่ใกล้ผมมากที่สุดต่อยเข้าที่ใบหน้าอย่างแรงจนผมถึงกับทรุดลงไปนั่งคุกเข่า และเป็นจังหวะเดียวกับที่มันเตะซ้ำเข้ามาที่ท้องของผมด้วย

“อั้กก!!” ผมร้องออกมา

“เฮ้ย รีบไปเถอะน่า!” เพื่อนของมันร้องห้ามและเร่งให้รีบหนีกันไปไวๆ แต่ผมไม่ได้สนใจพวกมันอีกแล้ว ตอนนี้ในหัวของผมมีเพียงพ่อกับไคล์ที่ผมยังไม่เห็นตัวเท่านั้น

“แล้วไอ้หนึ่งล่ะ!” ไอ้คนที่เตะผมร้องถามเพื่อนของมัน

“ช่างมันเหอะน่า ได้ของแล้ว รีบไปก่อนเถอะ ไปรอที่รถ เดี๋ยวมันก็ตามไปเองแหละ!”

“กูเรียบร้อยแล้ว กำลังจะลงไป!” เสียงของคนอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางชั้นสอง เป็นสิ่งยืนยันว่าพวกมันมีกันสามคนจริงๆ แต่ผมก็ไม่มีเวลาจะมาลังเลอีกต่อไปแล้ว........

ในจังหวะที่ไอ้คนที่เตะผมหันหลังกลับ ผมก็รีบลุกขึ้นและคว้าแขนของมันเอาไว้และออกแรงบิดกลับหลังอย่างเต็มแรงทันที ทำให้มันต้องกรีดร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับทรุดลงไปนอนกุมหัวไหล่ที่หลุดออกจากข้อต่อเดิมของมันบนพื้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมได้ยินเสียงของคนเดินลงมาจากตรงบันได้อย่างเร่งรีบ แต่ผมก็ไม่มีแม้โอกาสที่จะหันกลับไปมอง เมื่อไอ้คนแรกมันก็พุ่งตัวเข้ามาหาผมด้วยอีกเหมือนกัน ผมจึงรีบหลบพร้อมกับเตะสวนกลับเข้าไปที่สีข้างของมัน ทำให้มันล้มลงไปนอนตัวงออยู่บนพื้น แต่ผมรู้ดีว่าแค่นี้มันคงยังไม่สิ้นฤทธิ์ ผมจึงเดินไปกระทืบลงบนหว่างขาของมันอย่างแรงส่งท้ายอีกครั้ง

“อ๊ากกกกกกก!!!” มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวด พร้อมกับทำปากพะงาบๆสูดหายใจเข้าท้องอย่างติดขัด และในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บแสบที่แล่นแปล๊บไล่ขึ้นมาจากบริเวณแผ่นหลัง ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคืออะไรโดยไม่ต้องหันกลับไปมอง ผมจึงรีบก้มตัวลงต่ำพร้อมกับกวาดขาไปทางด้านหลัง ทำให้ไอ้โจรคนที่สามล้มลง จากนั้นผมก็ลุกขึ้นแล้วเตะมันเข้าไปที่ท้องอย่างเต็มแรง

“ไอ้เหี้ยเอ๊ยย!!” ผมสบถหลังจากเตะมันที่กำลังนอนคู้ตัวอยู่บนพื้นแล้วซ้ำเข้าไปอีกครั้ง แล้วก็จัดการคว้าข้อเท้าของมันขึ้นมาล็อคและบิดอย่างรวดเร็ว ทำให้เสียงของกระดูกข้อเท้าที่แตกออกและลั่นดังเปรี๊ยะออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด “ทีนี้ก็นอนนิ่งๆได้แล้ว!”

“ศิลา!” เสียงของไคล์ร้องเรียกผมมาจากบนชั้นสอง “ศิลา นั่นพี่ใช่มั๊ย รีบขึ้นมานี่เร็วเข้า!”

“ไคล์ ปลอดภัยใช่มั๊ย!” ผมตะโกนกลับขึ้นไป และเมื่อผมรู้ตัวอีกที ผมก็โดนมีดในมือของไอ้คนที่สามปาดเข้าที่หน้าแข้งของผมอีกครั้ง แต่โชคดีที่ผมกระโดดหลบทันมันจึงโดนแค่เฉียดๆเท่านั้น ผมเตะเข้าที่มือของมันทำให้มีดเล่มนั้นกระเด็นไปทางด้านหลังก่อนจะเตะซ้ำเสยเข้าที่หน้าของมัน ทำให้เลือดกำเดาไหลพุ่งออกมาเป็นสายพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจนกบปาก “ไอ้สัตว์! ฤทธิ์มากนักนะมึง!” ผมจับแขนของมันบิดแล้วเหยียดออก และใช้ข้อศอกของตัวเองกดทับลงไปที่ข้อศอก

“อ๊ากกกกกกก!!”

“ไม่ต้องมาทำเป็นร้อง! แค่แขนหักแค่นี้ เทียบกับที่มึงกล้าบุกเข้ามาในบ้านกูได้เหรอ ไอ้สัตว์!” ผมยืนขึ้นและได้ยินเสียงกระแทกประตูดังขึ้นจากทางด้านหลัง พอผมหันกลับไปมองก็เห็นว่าไอ้คนที่โดนเตะไปตอนนั้นกำลังจะหนีออกจากบ้านไปแล้ว ตอนแรกผมก็คิดว่าจะวิ่งตามมันออกไป แต่เสียงเรียกของไคล์ก็ดึงให้สัมปชัญญะของผมกลับเข้ามาอีกครั้ง

“ศิลา! พี่ปลอดภัยดีรึเปล่า!”

“อย่าลงมานะไคล์!” ผมรีบร้องห้ามเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของไคล์ “เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอง!”

ผมหมุนตัวไปทางบันได แต่ก็เห็นความเคลื่อนไหวผิดปกติของไอ้คนแรกที่โดนผมดึงหัวไหล่หลุดได้จากทางหางตา มันใช้แขนข้างที่ยังดีอยู่ของมันล้วงเข้าไปในเสื้อทั้งๆที่กำลังนอนคู้ตัวอยู่ และเมื่อผมหันไปหามันก็เห็นมันล้วงปืนออกมาและกำลังยกขึ้นเล็งมาที่ผมแล้ว ผมจึงรีบพุ่งเข้าไปหามันแล้วเตะเข้าที่แขนของมันอย่างแรง ทำให้ปืนกระเด็นหลุดจากมือของมันไป

“ยังอุตส่าห์มีปืนซุกเอาไว้อีกนะ! แล้วจากนี้จะยังมีเหี้ยอะไรอีกมั๊ย!” ผมเตะซ้ำเข้าที่หัวไหล่ของมันข้างที่เพิ่งโดนผมดึงหลุดไป ก่อนจะหันไปหาอีกคนที่นอนร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดอยู่ทางด้านหลัง “มึงก็ด้วย!!”

ผมรีบก้มลงค้นตัวพวกมันทั้งสองคนอย่างรวดเร็วเพื่อหาอาวุธและหลักฐานการยืนยันตัวของมัน แต่นอกจากมีดและปืนเมื่อกี๊แล้วผมก็ไม่พบอะไรอย่างอื่นที่น่าจะเป็นอันตรายอีกเลย นอกจากกระเป๋าสตางค์อีกหนึ่งใบเท่านั้น ผมจึงเก็บของทั้งหมดเอาไว้และตัดสินใจทิ้งพวกมันเอาไว้ข้างล่างแบบนี้ก่อน แล้วรีบพุ่งขึ้นไปชั้นสองเพื่อดูความปลอดภัยของพ่อกับไคล์อย่างรวดเร็ว

เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบนผมก็เห็นห้องนอนของผมถูกเปิดไฟและประตูทิ้งเอาไว้ และยังเห็นด้วยหางตาอีกด้วยว่ามันถูกรื้อค้นจนเละเทะ แต่เสียงของไคล์นั้นดังมาจากทางห้องนอนของพ่อของผม ผมจึงรีบหมุนตัวไปยังห้องของพ่อที่เปิดไฟสว่างจ้าและมีสภาพถูกรื้อค้น หรืออาจจะเป็นร่องรอยของการต่อสู้ก็ไม่แน่ชัดด้วยนิดหน่อยเหมือนกัน

“พ่อ!” ผมรีบทรุดไปนั่งลงบนพื้นข้างๆไคล์ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

“ผมขอโทษ ศิลา ผมขอโทษ” ไคล์พร่ำคำว่าขอโทษออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด

ผมช้อนตัวพ่อขึ้นมากอดเอาไว้แล้วเขย่าตัวของพ่อเบาๆ เลือดสดๆที่กำลังไหลออกมาจากตรงมุมหน้าผากมันทำให้ผมใจหายวาบ และนอกจากนั้นก็ยังมีรอยถูกมีดปาดตรงบริเวณต้นแขนด้วย

“ผมขอโทษ ศิลา ผมขอโทษที่มาช่วยลุงไม่ทัน” ไคล์ที่มีท่าทางทำอะไรไม่ถูกมองหน้าผมด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้

“ช่างมันเถอะน่า แล้วเราล่ะเป็นอะไรรึเปล่า บาดเจ็บตรงไหนมั๊ย” ผมถอดเสื้อของตัวเองออกเพื่อจะเอามาซับเลือดของพ่อ

“ไม่ครับ ผมไม่เป็นอะไร เมื่อกี๊ผมจะเข้ามาช่วยลุงแล้ว แต่ว่าผมโดนพวกมันตีเข้าทางด้านหลังเลยสลบไปซะก่อน จนพอตื่นมาอีกทีก็..........” ไคล์ที่หน้าซีดอยู่แล้วยิ่งมีสีหน้าซีดเผือดเข้าไปใหญ่จนดูเหมือนเขาจะเป็นลมไปได้ทุกเมื่อแล้วในตอนนี้ “ศิลา........ นั่นมันเลือด! พี่บาดเจ็บนี่!”

ผมก้มลงมองตามสายตาของไคล์ก็เห็นว่าเสื้อสีขาวของตัวเองกำลังแดงฉานไปด้วยเลือด และในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บแสบที่เพิ่มมากขึ้นทางแผ่นหลัง และก็ได้ยินเสียงของประตูรั้วบ้านที่ถูกกระแทกด้วย นี่ก็แปลว่าพวกมันคงจะหนีไปกันหมดแล้วแน่ๆ

“แม่งเอ๊ยยย!” ผมสบถออกมาเบาๆก่อนที่จะหันกลับมามองหน้าของไคล์อีกครั้ง “พี่ไม่เป็นไรหรอก อย่าสนใจเลย” ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ว่าความเจ็บปวดที่แผ่นหลังนั้นมันก็เริ่มจะส่งผลต่อร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ มือของผมเริ่มสั่นเทา และเหงื่อของผมก็เริ่มไหลออกมามากขึ้น นี่แปลว่าแผลในครั้งนี้คงจะลึกไม่เบาเลยเหมือนกัน “พี่จะพาพ่อไปโรงพยาบาลก่อน ไคล์อยู่ที่นี่ แจ้งตำรวจ เข้าใจมั๊ย” ผมใช้เสื้อของผมซับที่หน้าผากของพ่อเบาๆพร้อมกับพยายามเรียกชื่อพ่ออีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล พ่อยังคงไม่ได้สติอยู่ดี ผมจึงอุ้มพ่อขึ้นในวงแขนแล้วลุกขึ้นยืน “อย่าเป็นอะไรไปนะครับพ่อ อดทนหน่อยนะครับ”

“ศิลา อย่าเพิ่ง!” ไคล์ร้องเรียกพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เรียกรถพยาบาลกับตำรวจให้มาที่นี่ดีกว่ามั๊ย ผมไม่อยากอยู่คนเดียวน่ะ แถมที่สำคัญพี่บาดเจ็บขนาดนั้นจะขับรถไหวได้ยังไง”

ผมยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้ววางพ่อกลับลงบนเตียง คิดดูอีกทีมันก็คงเป็นอย่างที่ไคล์พูด ผมจะทิ้งเขาเอาไว้ที่นี่คนเดียวก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ไคล์เองก็ไม่ใช่ว่าจะสื่อสารภาษาไทยได้เต็มร้อย ยิ่งเป็นการพูดคุยกับตำรวจด้วยแล้ว แถมยังเรื่องบอกที่อยู่อีก และไคล์เองก็คงจะกำลังเสียขวัญมากอยู่อีกด้วย การทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวหลังจากเพิ่งเกิดเรื่องแบบนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ แถมนอกจากนั้นผมเองก็ต้องยอมรับเลยว่าตอนนี้ผมก็กำลังรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆเลยทีเดียว เมื่ออะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาท่วมท้นเมื่อครู่เริ่มจะจางหายไป ความเจ็บปวดก็เริ่มเข้ามาแทนที่อย่างห้ามไม่ได้ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจทำอย่างที่ไคล์ว่าก็คือโทรไปแจ้งตำรวจด้วยตัวเอง........

อีกไม่กี่นาทีถัดมารถพยาบาลก็มาถึงพร้อมกับตำรวจหลายนาย พ่อถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วทั้งๆที่ยังไม่ได้สติ ซึ่งมันก็ทำให้ผมเป็นห่วงมากเพราะพ่อก็แก่มากแล้ว และแถมการที่ไม่รู้สึกตัวมานานขนาดนี้ไม่ว่าผมจะเรียกสักเท่าไหร่ มันก็ทำให้ผมเป็นกังวลมากด้วยเหมือนกัน ส่วนผมก็ถูกปฐมพยาบาลพลางตอบคำถามของตำรวจไปด้วย ก่อนที่จะถูกพาไปส่งที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อเช็คอาการที่แน่นอน เพราะว่าบาดแผลครั้งนี้มันก็ค่อนข้างจะลึกมากจริงๆ

สรุปว่าห้องที่โดนรื้อค้นมากที่สุดก็เป็นห้องของผม เพราะว่าเป็นห้องๆเดียวที่ไม่มีใครอยู่ ส่วนเรื่องทั้งหมดเท่าที่ฟังดูจากที่ไคล์เล่าให้ผมฟังก่อนตำรวจจะมาก็คือ เขาได้ยินเสียงดังแปลกๆออกมาจากนอกห้อง ตอนแรกก็คิดว่าพ่อของผมจะลุกออกมากลางดึกเหมือนปกติหรือไม่ก็เป็นเสียงของผมที่กลับมาแล้ว เขาก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงล้มดังตึง เขาจึงลุกออกจากห้องเพื่อเดินออกมาดู และก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นประตูห้องนอนของผมกับพ่อเปิดแง้มเอาไว้ เขาก็เลยเดินเข้าไปดูจึงพบเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังกอดรัดกับพ่ออยู่ ไคล์จึงรีบกระโจนเข้าไปปลุกปล้ำกับเจ้าหมอนั่นเพื่อช่วยพ่อของผม แต่ยังไม่ทันไรก็ถูกอีกคนที่โผล่มาเมื่อไหร่ไม่รู้ทุบเข้าจางทางด้านหลังจนสลบไป และรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงของผมกำลังต่อสู้กับอีกสองคนดังมาจากทางชั้นล่างนั่นเอง และเขาก็ต้องตกใจมากเมื่อหันไปเห็นพ่อเอกที่ล้มหัวฟาดกับมุมโต๊ะจนเลือดอาบสลบอยู่ข้างๆตัวเขา

หลังจากความวุ่นวายทั้งหมดที่บ้านเริ่มซาลง ผมกับไคล์ก็มานั่งกันอยู่ที่โรงพยาบาลข้างๆเตียงของพ่อเอกที่กำลังหลับอยู่บนเตียง ตอนนี้ที่หัวของพ่อถูกพันด้วยผ้าพันแผลสะอาดๆเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งแผลบาดที่ต้นแขน และรวมถึงตัวของผมก็ด้วยเช่นกัน ผมหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาไอ้เอ็นและเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง มันเองก็ตกใจมากและบอกว่าจะรีบมาหาผมที่โรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ ส่วนคนถัดมาที่ผมโทรไปเล่าเรื่องของเมื่อคืนนี้ให้ฟังก็คือพี่วินนั่นเอง และเขาก็บังคับให้ผมเล่าทุกอย่างหฟังอย่างละเอียดที่สุดด้วย จนเมื่อผมเล่าจบ พี่วินก็พูดออกมาสั้นแต่เพียงว่า

“พี่จะไปถึงที่นั่นในอีกสิบห้านาที”

“ซันกำลังทำอะไรอยู่นะ..........” ไคล์พูดขึ้นหลังจากผมกดปุ่มวางสายและเดินมานั่งลงข้างๆเขา “ผมโทรไปยังไงเขาก็ไม่ยอมเปิดเครื่องเลยสักที”

“นั่นสินะ........” ผมตอบหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “พี่ขอโทษนะไคล์ นี่ถ้าพี่อยู่บ้าน เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้”

“อย่าโทษตัวเองสิ ศิลา ผมเองต่างหากที่ผิดที่ช่วยดูแลบ้านของพี่ไม่ได้เลย แถมยังปกป้องลุงไม่ได้เลยอีกด้วย”

“ไม่ต้องโทษตัวเองกันทั้งคู่นั่นแหละ” พ่อเอกพูดขึ้นเบาๆ ทำให้ผมกับไคล์ต่างก็รีบลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้างๆเตียงของพ่อทันที

“พ่อตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ แล้วเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่มั๊ย” ผมถาม

“ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าพ่อขอน้ำหน่อยสิ”

ไคล์รีบรินน้ำลงแก้วแล้วใส่หลอดลงไปจากนั้นก็ยื่นมันให้แก่ผมทันที ผมค่อยๆประคองหัวของพ่อขึ้นเล็กน้อย แล้วเอาหลอดไปจ่อที่ปากให้พ่อดูดน้ำได้สะดวกๆ และเมื่อพ่อพอแล้ว ผมก็ยื่นแก้วน้ำให้ไคล์เอากลับไปวางไว้ที่โต๊ะเหมือนเดิม จากนั้นพ่อก็ดูมีท่าท่างเลื่อนลอยเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“เมฆบาดเจ็บนี่ เป็นอะไรมากรึเปล่า” พ่อเอกถามผมจากนั้นก็หันไปหาไคล์ “แล้วเราล่ะ เป็นอะไรรึเปล่า ซันล่ะ ซันบาดเจ็บมั๊ย แล้วตกลงมันได้อะไรไปบ้าง...........”

นี่แปลว่าพ่อเองก็คงยังเบลอๆอยู่แน่ๆ “ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ได้แผลมาตอนสู้กับพวกมันนิดหน่อย ส่วนไคล์เองก็ไม่เป็นอะไร พ่อไม่ต้องกังวลนะครับ ส่วนไอ้ซัน..........”

“ตอนนั้นซันไม่ได้อยู่ที่บ้านครับ เขาปลอดภัยดี” ไคล์ตอบแทนผม

“งั้นเหรอ.........” พ่อเอกหลับตาลง

“ส่วนของที่มันได้ไปก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ของในเซฟทั้งหมดยังอยู่ดี ก็มีแค่สร้อยคอ นาฬิกา แล้วก็ของโชว์ ของที่เก็บอยู่ในลิ้นชักอะไรพวกนั้นนิดหน่อย โชคดีที่ศิลาเค้ากลับมาทัน ก็เลยไม่ได้โดนไปมากกว่านี้”

“ผมว่าพ่อพักผ่อนเถอะครับ อย่าเพิ่งสนใจเรื่องพวกนั้นเลย เดี๋ยวผมเรียกพยาบาลกับหมอมาดูอาการให้นะ”

“พ่อขอโทษทีนะ เมฆ.........” พ่อพูดขึ้นทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

“พ่อจะขอโทษเรื่องอะไรกันครับ ผมสิต้องขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลปกป้องพ่ออย่างที่ผมควรจะทำ”

“แบบนี้น่ะดีแล้วล่ะ เพราะถ้าเมฆต้องเป็นอะไรไปล่ะก็ พ่อคงทำใจไม่ได้แน่ๆ”

“ไม่ดีครับพ่อ! เพราะพ่อต้องมาเป็นแบบนี้ผมก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน!” ผมตอบด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ “เย็บตั้ง 4 เข็มนะครับพ่อ.......... และถ้าเกิดพ่อเป็นอะไรไปล่ะก็ ผมจะทำยังไง.........”

“แต่พ่อก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่นา มันก็แค่ได้เงินไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง แบบนี้น่ะดีแล้วล่ะ ถือซะว่าฟาดเคราะห์นะ”

ผมกุมมือของพ่อแล้วส่ายหน้าเบาๆ นี่มันไม่ใช่โชคดี นี่มันไม่ใช่การฟาดเคราะห์ แต่มันเป็นความผิดพลาด! ความผิดพลาดของผมเอง!

หลังจากนั้นไม่นานพี่วินก็มาถึง เขารีบเข้ามาเยี่ยมพ่อเอกทันทีอย่างที่ผมคิดเอาไว้ พี่วินรักพ่อเอกของผมมาก และผมก็รู้เรื่องนี้ดีที่สุดเช่นกัน ดังนั้นตอนที่พี่วินกำลังคุยกับพ่อเอกอยู่นั้น ผมกับไคล์จึงเดินออกมาจากห้องเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับทั้งสองคน เราสองคนมานั่งคุยกันอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาลทั้งๆที่ผมพันผ้าพันแผลอยู่ทั้งตัว แต่ว่าผมไม่อยากนอนอยู่บนเตียง และผมก็ไม่อยากจะนั่งอยู่เฉยๆด้วย ถึงแม้หมอกับพยาบาลจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักก็ตามที

และอีกไม่ถึงสิบนาทีที่ผมกับไคล์นั่งคุยกันอยู่ ผมก็เห็นไอ้เอ็นเดินเข้ามาในโรงพยาบาลพร้อมกับคนอีกคนหนึ่ง....... คนที่ผมไม่คิดว่าผมจะอยากเจอหน้ามันในตอนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ไอ้เมฆ! เป็นไงมั่งวะ พ่อมึงเป็นไงมั่ง แล้วไคล์ล่ะ เป็นอะไรรึเปล่า โดนเอาไปเยอะเปล่าวะ ตอนนี้จัดการเรียบร้อยแล้วรึยัง” ไอ้เอ็นเดินตรงเข้ามายิงคำถามใส่ผมทันทีที่เห็นผม “เฮ้ย มึงเจ็บหนักเลยนี่หว่า ไหวเปล่าวะ”

“โทษทีว่ะเอ็น เรื่องคดีน่ะ กูยังไม่ค่อยอยากคุยเท่าไหร่เลย กับตำรวจกูก็พูดไปหลายรอบแล้ว เหนื่อยมากๆเลยว่ะ แต่ถ้าถามอาการพ่อกูล่ะก็ ตอนนี้เค้าก็ดีขึ้นเรื่อยๆแล้ว ส่วนไคล์ก็โอเคดี ปกติดีทุกอย่าง หมอบอกคงเจ็บไปอีกสองสามวัน แต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไร” ผมตอบโดยพยายามไม่มองหน้าไอ้ซัน จึงไม่รู้ว่ามันเองก็กำลังมองผมอยู่รึเปล่า “ส่วนกูโดนฟันที่หลังไปหน่อยนึง แผลยาวประมาณคืบกว่าๆได้มั๊ง ไม่เป็นไรมากหรอก”

“มึงแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร ทำไมมึงไม่นอนพักผ่อนให้มันดีๆ แล้วทำไมมึงไม่บอกกูตั้งแต่ในโทรศัพท์ว่ามึงโดนเยอะขนาดนี้” ไอ้เอ็นแสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจ “ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย กูต้องรู้ให้ได้ว่าไอ้พวกเหี้ยนั่นเป็นใคร กูจะต้องคุยกับคนที่ดูแลเรื่องนี้ให้ได้เลย”

“เออ เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ ไม่มีใครบาดเจ็บร้ายแรงอะไรก็ดีถมไปแล้ว กูผิดเองที่น่าจะอยู่บ้าน ไม่งั้นเรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้ แต่จะว่าไปของที่โดนขโมยไปมันก็ไม่ได้มีอะไรนักหนาน่ะนะ ก็ถือว่ายิ่งโชคดีเข้าไปใหญ่”

“นี่มึงจะมองโลกแง่ดีไปถึงไหน ไอ้เมฆ โดนโจรขึ้นบ้านมันก็โชคร้ายแล้ว แถมนี่ยังโดนทำร้าย พ่อนอนโรงบาล มึงโดนฟัน แล้วยังโดนขโมยของไปอีก มึงยังใจเย็นอยู่ได้ยังไงเนี่ย”

“ก็กูไม่ได้สนใจเรื่องอื่นนอกจากความปลอดภัยของคนที่กูรักนี่หว่า” ผมถอนหายใจ “เพราะงั้นเรื่องที่กูเสียใจที่สุดก็คือการที่พ่อกับไคล์ต้องมาบาดเจ็บแบบนี้เท่านั้นเอง”

“ไคล์บาดเจ็บด้วยเหรอ” ไอ้ซันถามขึ้น

“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงผมหรอก” ไคล์รีบแย้ง “ศิลาต่างหากที่เจ็บหนัก แต่ก็ดื้อไม่ยอมนอนเตียงดีๆ”

“ว่าแต่ตอนนี้พ่อมึงหลับอยู่รึเปล่า” ไอ้เอ็นถาม

“เพิ่งตื่นน่ะ คงกำลังคุยอยู่กับพี่วิน แต่ก็ไม่รู้หลับไปอีกครั้งแล้วรึยังนะ มึงจะขึ้นไปเลยมั๊ยล่ะ”

“เออ เอางั้นก็ได้ เพราะเดี๋ยวกูจะเข้าไปที่โรงพักอีก” ไอ้เอ็นพยักหน้า ผมกับไคล์จึงลุกขึ้นยืน และจนถึงตอนนี้ไอ้ซันก็ยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรกับผมออกมาเลยสักคำ แต่จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้อยากได้ยินคำพูดใดๆออกจากปากของมันอยู่แล้วด้วยเหมือนกัน

แต่ทว่าทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บแปลบในอกมากกว่าเจ็บที่แผลกลางหลังนี่อีกนะ และทำไม.......... ทำไมผมถึงต้องรู้สึกเหมือนกับว่าน้ำตามันกำลังจะไหลออกมาแบบนี้ด้วย...........
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-04-2008 11:40:19
แถมอีกตอน (ตอนสุดท้ายในสต๊อกแย้ว T__T ยังไม่มีเวลาแต่งต่อเยยย)

ก้าวที่สี่สู่ปลายทางสุดท้าย


ระหว่างที่เราสี่คนเดินไปที่ลิฟต์เพื่อกลับไปหาพ่อเอก ไม่รู้ว่าเพราะความบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ไอ้เอ็นกลับเดินนำหน้าและคุยกับไคล์ ทำให้ผมต้องเดินล้าหลังอยู่กับไอ้ซัน และจนถึงตอนนี้เราสองคนก็ยังไม่ได้มองหน้าไม่ได้สบตากันเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เราสองคนเดินเคียงกันแบบห่างๆไปจนกระทั่งถึงหน้าลิฟต์ และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก รวมทั้งเมื่อทั้งไคล์และเอ็นเดินเข้าไปอยู่ในตัวลิฟต์แล้ว ในที่สุดมันถึงได้พูดขึ้น

“เอ็น ไคล์ เดี๋ยวพี่ตามขึ้นไปนะ” มันพูดพร้อมกับหยุดยืนขวางอยู่หน้าลิฟต์ ทำให้ผมไม่สามารถเดินเข้าไปข้างในได้ด้วย

“อ้าว มึงจะไปไหนวะ” ไอ้เอ็นถาม

ไอ้ซันไม่ตอบ แต่หันกลับมาสบตากับผมในขณะที่ประตูลิฟต์กำลงจะปิดลง

“เดี๋ยว ไอ้เอ็นรอกูด้วย” ผมพูดพลางเดินเบี่ยงมันไปจะขวางประตูลิฟต์เอาไว้ แต่ก็ถูกไอ้ซันยื่นมือมากั้นเอาไว้อีก

“เดี๋ยว”

และแล้วประตูลิฟต์ก็ปิดลงไปพร้อมด้วยสีหน้าเป็นกังวลทั้งของไอ้เอ็นและของไคล์

“มึงมีอะไร” ผมถาม

ไอ้ซันไม่ตอบ แต่กลับดึงตัวผมเข้าไปกอดตรงนั้นเลย มันไม่ได้กอดแบบแนบแน่นมากนักเพราะแผลที่หลังของผม แต่ก็ไม่ใช่กอดหลวมๆที่ผมจะดิ้นหลุดง่ายๆได้ด้วยเช่นกัน คนหลายคนมองมาที่เราสองคน แต่มันก็ไม่สนใจ หากแต่เป็นผมเองต่างหากที่รู้สึกอายและลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก ผมจึงพยายามดันตัวเองออก แต่ว่าอาการเจ็บแผลที่กลางหลังมันก็ทำให้ผมไม่มีแรงพอที่จะขืนมันได้ ผมจึงปล่อยให้มันกอดผมอยู่อย่างนั้นจนกว่ามันจะพอใจ

แต่ในหัวใจของผมมันกำลังร่ำไห้..........

“กูขอโทษนะเมฆ กูขอโทษจริงๆ........” ไอ้ซันพูดขึ้น จากนั้นมันก็ดันตัวผมออกเบาๆ ผมเพิ่งจะได้เห็นหน้ามันชัดๆเป็นครั้งแรก ขอบตาของมันดำคล้ำมากเลยทีเดียว แถมหนวดและเคราก็ยังไม่ได้โกน นอกจากนั้นมันยังดูเหนื่อยล้ามากเลยด้วย แต่ว่ามันก็คงจะไม่ต่างกับผมในตอนนี้เท่าไหร่นักหรอก

“มึงจะขอโทษกูเรื่องอะไร มึงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องโจรขึ้นอยู่แล้วนี่”

“กู.........” ไอ้ซันมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที

“กูเองต่างหากที่ผิด นี่ถ้ากูอยู่บ้าน พ่อกับไคล์ก็คงไม่ต้องบาดเจ็บแบบนี้ กูไม่ได้จะบอกว่ากูจะจัดการพวกแม่งสามคนได้อยู่หมัดคนเดียวหรอก แต่อย่างน้อยๆ มันก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแน่นอน”

“แต่มึงบาดเจ็บ ไคล์บาดเจ็บ พ่อเล็กบาดเจ็บ ทั้งหมดมันเกิดมาจากการที่กู...... กู.......”

“มึงอย่าเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองเลย ซัน” ผมชิงพูดขึ้นมาก่อน “มึงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก อย่าคิดมากเลย” ผมตอบ พร้อมกับเดินเลี่ยงมันไปกดปุ่มที่ลิฟต์ และระหว่างที่เราสองคนอยู่ในลิฟต์ ก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรกันออกมาอีกเลย

เมื่อผมกับไอ้ซันเดินเข้ามาในห้องแล้ว เราก็เห็นไคล์กับไอ้เอ็นกำลังนั่งคุยกับพ่ออยู่ แต่ไม่มีวี่แววของพี่วินเลย

“อ้าว พี่วินล่ะครับ” ผมถาม

“กลับไปแล้วน่ะ เห็นบอกว่ามีธุระจะต้องไปจัดการ......... ไง ซัน กลับมาแล้วเหรอลูก”

ไอ้ซันเดินตรงเข้าไปที่เตียง เอ็นจึงถอยออกมายืนข้างๆผมที่ริมห้อง “ผมขอโทษนะครับ พ่อ...........”

“ขอโทษเรื่องอะไรกันล่ะ พอกันเลยนะ สองคนนี้นี่........”

เมื่อพ่อพูดจบก็เกิดความเงียบขึ้นในห้องอีกครั้ง จนในที่สุดไอ้เอ็นก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น “งั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะครับ คุณลุง เดี๋ยวต้องไปจัดการธุระอีก แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะช่วยดูแลเรื่องนี้ให้อย่างดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้เลย”

“ขอบใจมากนะ แต่ก็ไม่ต้องคิดมากอะไรไปนักล่ะ อะไรที่แล้วไปแล้วก็แล้วไปเถอะ”

“ไม่ได้หรอกครับ คนชั่วมันก็ต้องถูกจับมาลงโทษ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว” ไอ้เอ็นยืนกราน “ถ้างั้น ผมขอตัวกลับเลยนะครับ กูกลับก่อนนะ เมฆ ซัน พี่กลับก่อนนะ ไคล์”

“งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งครับ” ไคล์พูดขึ้น

“กูไปด้วย เอ็น กูมีเรื่องอยากคุยกับมึงนิดหน่อยพอดี” ผมพูดและสบตากับพ่อครู่หนึ่ง จึงเห็นพ่อพยักหน้าให้แก่ผมพร้อมด้วยรอยยิ้มจางๆ ส่วนไอ้ซันนั้นก็ยังคงยืนหันหลังให้แก่พวกเราเหมือนเดิมอยู่ดี

“มึงมีอะไรวะ” ไอ้เอ็นพูดขึ้นหลังจากที่เราเดินออกมาจากห้องแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอก กูก็แค่หาเรื่องให้พ่อกูได้คุยกับไอ้ซันสองคนเท่านั้นเอง”

“มึงแน่ใจนะว่ามึงไม่อยากถามอะไรกูเลย ทั้งเรื่องไอ้ซัน เรื่องตุ๊กตาหรืออย่างอื่น”

“ไม่อ่ะ” ผมส่ายหน้า “บอกตามตรงว่าตอนนี้กูคิดอะไรไม่ออกแล้ว และกูก็ไม่นึกสนใจอะไรอีกแล้วด้วยว่ะ กูรู้สึกมันมากเกินไปที่กูจะรับไหวแล้วจริงๆ.........”

“แล้วเรื่องไอ้แบ๊งค์ล่ะ”

“มึงรู้จักมันเหรอ”

“รู้ดิ่ว่ะ ถึงจะไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ในมือถือกูก็ยังมีเบอร์มันอยู่เลย ได้มาจากงานเลี้ยงรุ่นเมื่อครั้งล่าสุดน่ะ.......”

ผมนิ่งไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะเห็นสีหน้าสงสัยของไคล์ “ไม่ล่ะ กูไม่ได้สนใจแล้ว ไอ้แบ๊งค์มันก็แค่ชอบไอ้ซัน มันไม่ผิดหรอก ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังอยู่แล้ว” ผมตอบแล้วเดินเข้าไปโอบเอวไคล์ “เอาล่ะ ถึงหน้าประตูแล้ว มึงกลับดีๆก็แล้วกัน พวกกูคงไม่เดินไปส่งถึงที่รถนะ”

“กูจะต้องสืบเรื่องทั้งหมดให้รู้ความจริงให้ได้ ไม่มีวันทิ้งเรื่องทั้งหมดนี้ไปเฉยๆแน่” ไอ้เอ็นพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกจากประตูไป

“เรื่องตุ๊กตาเหรอครับ.........” ไคล์สงสัย “แล้วเรื่องของเพื่อนศิลากับซันที่ชื่อแบ๊งค์อีก......... นี่หมายความว่าตอนนี้ซัน........”

“ไม่รู้สิครับ” ผมตอบ “และพี่เองก็ยังไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้นด้วย ตอนนี้ขอพี่สนใจเรื่องของพ่ออย่างเดียวก่อนดีกว่า ทางเดินน่ะ เราต้องสร้างมันขึ้นมาก็ต่อเมื่อเรากำลังมองตรงไปด้านหน้าเท่านั้น ไม่ใช่การหันไปมองด้านหลังในสิ่งที่ผ่านไปแล้วอยู่ และตอนนี้พี่ก็จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าในเส้นทางของพี่แล้วเหมือนกัน” ผมบอกไคล์ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ทว่าภายในใจลึกๆแล้วผมก็ไม่สามารถโกหกตัวเองได้อยู่ดีว่าผมกำลังหวั่นไหวอยู่มากถึงเพียงไหนในตอนนี้ “ไคล์ขึ้นไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป”

ไคล์พยักหน้าแล้วก็เดินจากไป ส่วนผมเดินไปยังห้องน้ำ แล้วขังตัวเองอยู่ในนั้นพร้อมกับปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาอาบหน้า ความทุกข์ ความเศร้า ความเจ็บปวดทั้งหมดมันไม่สามารถถูกเก็บกั้นเอาไว้ในใจได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ.......

ผมรู้สึกเหมือนผมไม่เหลืออะไรจะเอาไว้ใช้ยึดเหี่ยวอีกต่อไปแล้ว ผมต้องเผชิญกับปัญหามากมายหลายอย่าง ต้องทะเลาะกับไอ้ซัน จนกระทั่งในที่สุดมันก็เลือกจะจากผมไปหาคนอื่นแล้ว ต่อมาก็บ้านถูกขโมยขึ้น ตัวเองบาดเจ็บ ไคล์ถูกทำร้าย และที่ร้ายที่สุดก็คือ พ่อเอกต้องมานอนโรงพยาบาลเพราะความไม่ได้เรื่องของผมคนเดียวแบบนี้

ผมมันช่างไร้ค่าและอ่อนแออย่างที่สุดจริงๆ..............

ผมนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวเงียบๆอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ เสียงของผู้คนเดินเข้าและออกจากห้องน้ำอยู่เรื่อยๆผมก็ไม่สนใจ จนกระทั่งผมเริ่มเช็ดน้ำตาของตัวเองและรอจนคนที่อยู่ในห้องน้ำคนสุดท้ายเดินออกไปซะก่อน ผมถึงจะออกไปล้างหน้าล้างตาก่อนกลับขึ้นไปหาพ่อกับไคล์ แต่ทว่าจู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือของผู้ชายคนข้างนอกก็ดังขึ้น และเมื่อเขารับโทรศัพท์ ผมก็ต้องรู้สึกถึงหัวใจที่กระตุกวูบ

“ว่าไง แบ๊งค์” ไอ้ซันพูดขึ้น และผมก็รู้สึกถึงมือทั้งสองข้างที่เริ่มสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง ผมกำหมัดแน่น หลับตาลง และคอยฟังสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อไปอย่างปวดใจ “แล้วไง........ กูมาธุระน่ะ มึงไม่ต้องสนใจหรอก” ไอ้ซันพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เรียบจนทำให้ผมอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ “ไม่........ ไม่........ ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ไปไม่ได้แล้วก็ไม่เป็นไร........ อืม ดีแล้วล่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะ”

เมื่อสิ้นเสียงคำพูดสุดท้าย ผมก็ได้ยินเสียงของประตูที่ถูกเปิดออกและปิดลง ผมจึงเดินออกมาจากห้องน้ำและเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าล้างตาของตัวเองพร้อมกับใช้ความคิดกับสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินไปด้วย

“จะยังต้องคิดอะไรอีก เลิกคิดได้แล้ว ไอ้เมฆ มันไม่เกี่ยวกับมึงแล้วนะ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนห้องของพ่อ และเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป พ่อเอกก็หลับลงไปแล้ว

“เมื่อกี๊มีตำรวจโทรมามือถือของพี่นะ” ไคล์บอกผม “พี่ลืมหยิบมือถือติดตัวลงไปด้วยน่ะ ผมคุยให้แล้ว แต่เขาก็อยากให้พี่ติดต่อกลับไปอีกทีนะครับ”

“อืม ได้ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” ผมเดินมานั่งลงข้างๆไคล์ “ซันกลับไปนานแล้วเหรอ”

“เพิ่งเมื่อกี๊นี้เอง น่าจะสวนกับพี่พอดีนะ เห็นว่าต้องไปธุระต่อน่ะ”

“งั้นเหรอ” ผมพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ และเราสองคนก็นั่งอยู่เงียบๆกันต่อไปอีกครู่ใหญ่ๆ เพราะผมเองก็อดคิดมากกับสิ่งที่ผมเพงได้ยินมาอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นอีกครั้ง

“เออจริงสิ.......” ผมพูดขึ้นขณะลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ “ไคล์ได้บอกพ่อแม่รึพีทเรื่องนี้แล้วหรือยัง”

ไคล์พยักหน้า “บอกแล้วครับ....... แล้วก็....... ทุกคนบอกว่าอาจจะกลับมาเยี่ยมพ่อพี่เร็วๆนี้ด้วยนะ”

“ว่าไงนะ” ผมอุทานเบาๆ ก่อนจะชูนิ้วชี้ขึ้นเป็นสัญญาณว่าขอเวลาผมแป๊บนึง แล้วก็กดปุ่มรับสายโดยลืมดูชื่อคนที่โทรเข้ามาว่าเป็นใคร “ฮัลโหล ครับ”

“พร้อมที่จะรู้ความจริงรึยัง..........” พี่วินถามผมทันทีที่ผมรับสาย


ปลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล. ผมไม่มีอะไรกะใครที่ พชบ ทั้งนั้นแหละค้าบบบบบบบบบบบ ยังรักไอ้ทึ่มคนเดียววววววววววววววว

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 13-04-2008 13:15:39
 :m1:

และแล้วผมก็มาจิ้มคนเขียนอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 13-04-2008 15:21:22
 :m4:มาแว้ว มาแว้ว..ดีใจจัง
ยังงัยก็มาต่ออีกนะคะ จะรอค่ะ เป็นกำลังใจให้ด้วยค่ะ :L2:
งั้น...ขอไปอ่านก่อนดีก่า...  :m1: :m1: :m1:




  :o :serius2: :o
ความจริงอะไรง่ะ?
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 13-04-2008 15:29:46
ต้นจะกลับไปพชบ.อีกแล้วเหรอ พี่คิดถึงแย่เลย
แถมยังไม่มีเวลาแต่งเรื่องต่ออีก เศร้ายกกำลังสองเลย
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออ&#
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 13-04-2008 23:05:35
 :oni1:  ดีใจๆๆ ที่ต้นมาต่อซะที กะลังตื่นเต้นสนุกมากสุดๆ
 :o12:   เสียใจที่ต้นอาจจะไม่ค่อยได้มาอัพแล้วอ่ะ แงๆๆ    o7 พยายามมาอัพต่อเร็วๆน้า

โอยยยๆๆๆๆ  :serius2: อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆๆๆอ่ะ กะลังมันส์สุดๆ

ว่าแต่ ... หุหุ ... น้องๆหวานกรอบจริงเหรอ .... แล้วตกลงไม่มีไรกะใครช่ายป่ะ อิอิ ... ดีแล้วๆ รักนายทึ่มคนเดียว ถ้าไม่รักเนี่ย มีคนรอปลอบใจนายทึ่มหลายคนแน่ๆคร้าบ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 16-04-2008 08:39:28
กลับบ้านนอกแระนะค้าบ  :o12:

เจอกันอีกที เมื่อพิมนิยายทัน เอิ๊กกก

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 16-04-2008 09:44:55
 o12 
หลอกกันนี่นา...นึกว่ามาต่อ  :o12: :o12: :o12:
รีบกลับมาต่อน๊า....และก็เดินทางโดยสวัสดิภาพ
 :สงกรานต์1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-04-2008 13:02:43
รู้สึกว่าซันจะรู้อะไรมากกว่าที่คิด  :m13: :m13: :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-04-2008 15:56:15
โทดทีคับ รออีกจิ๊ดด  :m23:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: dimple ที่ 23-04-2008 16:08:43
เข้ามาให้กำลังใจพี่ชายคับ   :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 23-04-2008 18:51:20
รอ ร้อ รอ   :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 23-04-2008 18:56:29
ยังรออยู่เน้อ
มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-04-2008 12:42:51
ก้าวที่หกสู่ปลายทางสุดท้าย

“ความจริงเหรอครับ” ผมถามซ้ำ พร้อมกับเหลือบมามองสีหน้าอยากรู้ของไคล์ด้วยความกังวลนิดๆ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง “พี่วินรู้คำตอบของเรื่องทั้งหมดแล้วหรอครับ”

“น่าเสียดายนะ ที่พี่ต้องตอบว่ายัง” พี่วินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เผยความหงุดหงิดออกมาเล็กน้อย “แต่ว่า.............”

ผมยืนคุยอยู่กับพี่วินอีกพักหนึ่ง พร้อมกับบอกการตัดสินใจของผมให้พี่วินฟัง หลังจากนั้นก็กลับเข้ามานั่งในห้องอยู่ข้างๆไคล์ดังเดิม

“เป็นอะไรไป ศิลา”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ผมส่ายหัวช้าๆพร้อมกับมองไปทางพ่อเอกที่กำลังหลับอยู่บนเตียง “ไม่มีอะไร......”

ผมหลับตาลงพร้อมกับถอนใจออกมายาวๆ เมื่อเห็นดังนั้น ไคล์จึงดึงหัวของผมไปให้พิงลงบนบ่าของเขาอย่างช้าๆและแผ่วเบา

“พักหน่อยก็ได้ ศิลา แล้วเมื่อตื่นขึ้นมา อะไรๆมันก็จะดีขึ้นเองนะครับ”

ผมยิ้มน้อยๆตอบ จากนั้นก็ล้มตัวลงตามแรงแขนของไคล์ไปหนุนอยู่บนหน้าตักของเขาก่อนที่จะหลับตาลง และอีกไม่กี่นาทีถัดมา ผมก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าและเงียบสงบที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา

“หากมึงจะหลับ ก็ขอให้ได้หลับฝันดีในทุกๆครั้ง........” เสียงของไอ้ซันดังก้องขึ้นมาเบาๆในขณะที่สัมปชัญญะของผมกำลังล่องลอยไปสู่นิทรา และน้ำตาของผมก็เริ่มไหลรินออกมาช้าๆ...........

..................................

ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก ในขณะที่เมฆกำลังเดินกลับไปที่ห้องผู้ป่วยที่พ่อของเขานอนพักอยู่นั้น ชายคนหนึ่งก็กำลังเดินออกมาจากบ้านของผู้มีพระคุณของเขาพอดี บ้านสองชั้นขนาดกลางที่เพิ่งจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง

เขาเปิดประตูรถและนั่งลงด้วยความหงุดหงิดและขุ่นเคืองใจ ถึงแม้ปกติแล้วภายนอกของเขามักจะดูสงบนิ่งจนยากที่จะรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ก็ตาม แต่ในตอนนี้ แม้ท่าทางของเขาจะยังคงนิ่งสงบ หากแต่ภายในนั้นกลับกำลังเดือดดาลอย่างที่สุด ซึ่งนี่ก็เป็นความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้รู้สึกมานานด้วยแล้วเหมือนกัน

“แม่งเอ๊ย” วินสบถออกมาเบาๆขณะที่มองกลับเข้าไปในตัวบ้าน และตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรเข้าแล้วก็กดปุ่มรับสายอย่างรวดเร็วทันที “ว่าไง กรณ์ ได้เรื่องมั๊ย”

“ตอนนี้ผมว่ายังไม่มีอะไรที่ต้องสนใจเป็นพิเศษนะครับ ทุกอย่างก็ยังคงเป็นอย่างที่พี่เคยคิดและบอกผมเอาไว้อยู่ ว่าแต่พี่ล่ะครับ ทางนั้นเป็นยังไงแล้วบ้าง” อีกฝ่ายถามกลับมา

วินเป็นคนที่ชีวิตอยู่ในโลกทั้งสองด้าน เขามีเบื้องหน้าอันเป็นที่เชิดหน้าชูตา ไม่ว่าจะทั้งชื่อเสียง ตำแหน่งหน้าที่การงาน รวมทั้งหน้าตา ฐานะเงินทอง และครอบครัว แต่ทว่าเขาก็มีชีวิตอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในโลกเบื้องหลังที่สืบทอดมาให้กับเขาในฐานะของลูกชายคนโตของตระกูล ตัณจริยรัตน์ อันโด่งดังในหมู่นักธุรกิจ และนั่นก็เป็นเหตุให้เขามีทั้งความรู้และความสามารถทุกอย่างในเรื่องของการใช้ชีวิตรอดในสังคมที่ทั้งโสมม สกปรก และเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม การหลอกลวงสารพัดอย่าง ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่คิดจะดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่ของตัวเองให้อยู่รอดเช่นเดียวกับครอบครัวของเขา แต่นอกจากนั้นแล้วเขายังมีความสามารถด้านอื่นที่เก่งกาจเหนือไปยิ่งกว่ามันสมองของเขานั่นอีก และสิ่งนั้นก็เป็นความสามารถที่ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังมากในหลายๆวงการ จนเกิดชื่อเล่นแปลกๆติดปากในหมู่ของคนที่เคยได้ยินเรื่องเล่าและวีรกรรมของเขา ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเคยพบเขา รู้จักเขาจริง หรือเพียงแต่ได้ยินชื่อเสียงของ ภาสกรณ์ ตัณจริยรัตน์ มาก็ตามแต่ พวกเขาเหล่านั้นเรียกวินว่า “ลูกคุณหนู” หรือ “คุณหนู” นั่นเอง

วินเองก็ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่ชอบใจชื่อเล่นตลกๆนี้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากับรู้สึกชอบใจเล็กๆด้วยซ้ำ ที่ไม่ว่าจะคนที่มีอาชีพตำรวจ ทหาร ผู้บริหาร นักการเมือง หรือแม้แต่พวกไร้อาชีพ ไร้สังกัด พวกลูกน้องของคนใหญ่คนโตทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งพวกคนข้างถนน หากใครก็ตามที่เคยคลุกคลีหรืออยู่ในวงการที่ต้องเปื้อน “เลือด” ล่ะก็ จะต้องเคยได้ยินชื่อเล่นตลกๆนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย

ไม่มีใครรู้ว่าวินได้ฉายานั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครเป็นคนแรกที่เริ่มต้นเรียกเขาแบบนี้ และที่สำคัญ เขามีความเก่งกาจและความเยือกเย็นที่น่าเกรงขามนี่มาได้อย่างไร อะไรที่หล่อหลอมให้เขาโตขึ้นมาเป็นอย่างนี้ ชีวิตของเขานั้นมีความลับซ่อนอยู่มากมายนัก และนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งนอกเหนือจากนิสัยส่วนตัวของเขา ที่ทำให้เขาเลือกที่จะคบเพื่อนและมีลูกน้องที่ไว้ใจจริงอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น และกรณ์ ก็เป็นทั้งลูกน้อง เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และรุ่นน้องที่ซื่อสัตย์ ที่คบกับเขามาตั้งแต่ทั้งคู่อยู่ชั้นมัธยมปลายแล้วนั่นเอง

“คุณอาเป็นยังไงบ้างแล้วครับ พี่” กรณ์ถามซ้ำ

“ปลอดภัยแล้วล่ะ แล้วก็บอกให้พี่ถอนตัวจากเรื่องนี้เหมือนเคย ยังคงห่วงเรื่องความปลอดภัยของคนอื่นๆอยู่ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ”

“สมกับเป็นคนที่พี่วินนับถือนะครับ ท่านคงรักพี่วินมากจริงๆ”

“ไม่เคยเปลี่ยนเลยล่ะ” วินถอนหายใจเบาๆ “บุญคุณของคุณอาน่ะ พี่จะใช้คืนยังไงก็คงไม่หมดหรอก........ และแน่นอนว่าพี่ก็จะไม่ปล่อยให้ไอ้คนที่ทำแบบนี้กับคุณอาได้ลอยนวลสบายใจอยู่เฉยๆแน่นอน”

กรณ์เองก็รู้ถึงข้อนี้ดี ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้รู้ถึงรายละเอียดว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองครอบครัวนี้มากนักก็ตามที เพราะถึงจะเป็นคนสนิทอย่างตัวเขาเอง เขาก็ยังคงมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดหรือถามวินออกไปได้ด้วยเช่นกัน

“ว่าแต่พ่อเค้าเป็นยังไงบ้าง” วินเอ่ยถามขึ้น

“ท่านรู้เรื่องแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เว้นแต่ว่า.........”

“แต่อะไร”

“ท่านฝากผมมาบอกพี่วินว่าให้สนใจเรื่องงานที่ท่านฝากให้ดูแลด้วยน่ะครับ”

“เฮอะ เข้าใจพูดนี่ ‘งานที่ฝากให้ดูแล’ งั้นเหรอ” วินแค่นหัวเราะ “เจ้าหมอนั่นก็ห่วงแต่หน้าตากับเงินทองของตัวเองเท่านั้นแหละ ช่างเถอะ ฝากบอกเค้าด้วยล่ะว่า พี่จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง ขอแค่มันไม่ต้องเข้ามายุ่มย่ามก็พอ”

“ครับ”

“อ้อ จริงสิ ถ้าทุกอย่างมันเป็นอย่างที่พี่คิดไว้ล่ะก็ หลังจากนี้เราคงมีเรื่องต้องทำกันอีกเยอะแน่ เตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อมเสมอล่ะ”

“ครับ ได้ครับ”

“แล้วอีกอย่างนึง.......” วินพูดขณะที่เริ่มสต๊าร์ทรถของตัวเอง “กรณ์ หลังจากนี้แกช่วยไปตามดูท้องฟ้าของเราสักหน่อยจะได้มั๊ย”

“ได้ครับ แล้วพี่จะให้ผมเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ดี”

“ตั้งแต่ตอนนี้เลย”

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-04-2008 12:47:38

ตะวันลับฟ้า ท้องฟ้ามัวหมอง ขอบฟ้าอาวรณ์ ... มวลเมฆร่วงโรย


ฝนตก รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ จุ๊บๆ

ปล. บรรยากาศเหงาจริง

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-04-2008 19:07:42
ปลายทางสุดท้าย จะมีใครอยู่ที่นั่นหนอ  :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 25-04-2008 20:16:23
ดีใจจังที่ต้นอุตส่าห์มาต่อให้พอจะหายคิดถึงเมฆไปได้หน่อยนึง

ตอนนี้อากาศไม่ดี ฝนตกสลับกับร้อนจัด รักษาสุขภาพหน่อยนะน้องต้น
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 25-04-2008 23:35:56
 :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-04-2008 17:49:12
ก้าวที่ห้าสู่ปลายทางสุดท้าย : วิน


หลังจากสั่งงานให้กับกรณ์แล้ว ผมก็กดโทรศัพท์เข้าหาเมฆทันที

“ฮัลโหลครับ”

“พร้อมที่จะรู้ความจริงรึยัง เมฆ.........” ผมถามทันทีที่เขารับสาย “เรื่องทั้งหมดที่เราเคยสงสัยและค้างคากันไว้ ตอนนี้เมฆพร้อมที่จะได้คำตอบรึยัง”

“ความจริงงั้นหรือครับ.......” เสียงจากปลายสายเงียบลงไปพักหนึ่ง และหลังจากผมได้ยินเสียงฝีเท้าและประตูที่ถูกปิดลง เมฆก็ตอบกลับมาอีกครั้ง “พี่วินรู้คำตอบของเรื่องทั้งหมดแล้วเหรอ”

“น่าเสียดายนะที่พี่ต้องตอบว่ายัง” ผมตอบ พร้อมกับเริ่มขับรถออกมาจากหมู่บ้านของคุณอา “แต่ว่าพี่ก็จะไม่รออีกต่อไปแล้ว ตอนนี้พี่กำลังคิดจะ........”

“พี่วินครับ” เมฆชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะทันได้พูดจบ “ผมขอบคุณพี่มากจริงๆนะครับ แต่ว่าผมไม่รู้แล้วว่าผมจะต้องการอะไรต่อไปอีก ผมไม่รู้แล้วว่าผมจะต้องการคำตอบมันไปเพื่ออะไร บอกตามตรงนะครับพี่ ผมเหนื่อยมากเลย....... เหนื่อยจริงๆนะครับ ทั้งทางร่างกายและจิตใจเลย ผม...... ผมรู้สึกว่าผมอยากพักจริงๆนะ” เมฆตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า แต่ผมก็พอเข้าใจเขาอยู่เหมือนกันจริงๆ ในเมื่อสองสามวันนี้เขาต้องเทียวไปเทียวมาและอดนอนตลอด แถมยังมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับเขาติดๆกันหลายๆเรื่องแบบนี้ มันก็ไม่น่าแปลกที่คนคิดมากอย่างเมฆจะยิ่งรู้สึกตัวเองกำลังแบกรับอะไรมากกว่าปกติเป็นเท่าตัวอยู่แล้ว

“พี่รักพ่อของเมฆกับเมฆมากนะ เมฆก็รู้ใช่มั๊ย” ผมพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง “พี่รู้ว่าตอนนี้เมฆกำลังท้อแท้ กำลังเสียใจ โดยเฉพาะเรื่องของซัน แต่ว่าเมฆจะยอมรับให้เรื่องพวกนี้มันเข้ามาทำร้ายเมฆ ทำร้ายคนที่เมฆรัก ทำร้ายพ่อแม้ๆของเมฆง่ายๆแบบนี้นะเหรอ”

เมฆเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบออกมาเสียงอ่อยๆ “คือผม.........”

“มันมีอะไรหลายอย่างนะ ที่ผิดปกติและน่าสงสัย นี่พี่ก็เพิ่งจะเดินออกมาจากบ้านเมฆเดี๋ยวนี้เอง แต่เรื่องพวกนั้นจะยังก็ช่างก่อนเถอะ เพราะถึงยังไงพี่ก็มีเหตุผลที่พี่จะหยุดอยู่แค่ตรงนี้ไม่ได้อยู่แล้ว”

“ผมว่าผมเข้าใจนะครับ ผมเองก็ไม่ได้อยากที่จะ........ แต่ว่ามัน........ คือผม.........”

“พี่เข้าใจ ก็ได้ เอาเป็นว่าตอนนี้เมฆอยากพัก เมฆก็พักเถอะ พี่บอกไปแล้วว่าพี่จะดูแลจัดการให้เมฆเอง ดังนั้นพี่ก็จะทำ และที่สำคัญ พี่ไม่มีวันให้อภัยไอ้คนที่ทำร้ายคุณอากับเมฆแบบนี้แน่ ไม่ว่ามันจะเป็นใครหรือจะมีสักกี่คนก็ตาม”

หลังจากนั้นผมก็กลับเข้าออฟฟิศไปเคลียร์งานที่สำคัญๆของผมให้เรียบร้อยจนเสร็จก่อนเที่ยง กรณ์ไม่ได้รอผมอยู่ที่นั่น ซึ่งก็แปลว่าเขาคงจะออกไปจัดการธุระให้ผมอย่างที่ผมสั่งเอาไว้อยู่แน่ๆ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อไหร่ กรณ์ก็เป็นน้องชายและเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวของผม และผมมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำให้ผมผิดหวังอย่างแน่นอน

และผมก็คิดไม่ผิดจริงๆ เพราะตกบ่ายแก่ๆ กรณ์ก็โทรเข้ามาหาผมเพื่อรายงานผลอย่างที่ผมกำลังรออยู่พอดี

“พี่วิน ตอนนี้ผมกำลังขับรถตามซันอยู่นะครับ แต่ผมว่ามันแปลกๆนะพี่”

“ยังไง”

“ก็เท่าที่เรารู้คือ ซันกับจ๊อบมันไม่น่าจะถูกกันไม่ใช่เหรอครับ”

“ใช่ มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”

“แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงกำลังขับรถตามซันที่มีคนของไอ้จ๊อบมันเป็นคนขับให้ล่ะ แถมดูท่าจะยังมุ่งหน้าไปยังบ้านของไอ้หมอนั่นด้วยนะพี่”

ผมเริ่มประมวลผลในหัวของตัวเองอย่างว่องไว “อย่างนั้นเหรอ”

“พี่จะให้ผมทำยังไงต่อครับ”

“อืมม..... ตามต่อไปก็แล้วกัน ยังไงก็แล้วแต่ เรื่องนี้มันคงไม่ได้จะดูออกได้ง่ายๆแค่เพียงสิ่งที่เห็นอยู่แล้ว”

“ไปที่บ้านของไอ้จ๊อบเลยน่ะเหรอครับ”

“ใช่ คิดว่าไหวมั๊ยล่ะ”

“น่าจะนะครับ ไม่ต้องห่วง ผมจะระวังตัว”

“ดีแล้ว ระวังตัวด้วยแล้วกัน อย่าบุ่มบ่าม เข้าใจมั๊ย และที่สำคัญ อย่าให้ใครรู้ตัวเด็ดขาดล่ะ”

“เข้าใจครับครับ ว่าแต่แล้วพี่จะเอายังไงต่อไป”

“พี่จะไปจัดการส่วนที่เหลือที่ยังมองไม่เห็นเอง อืม ว่าแต่ กรณ์.........”

“ครับ”

“แกพกปืนอยู่รึเปล่า”

“ไม่เคยห่างครับ”

“งั้นก็ดีแล้ว”

หลังจากวางโทรศัพท์ไป ผมก็นั่งครุ่นคิดถึงข้อมูลต่างๆที่ผมได้รับมาอีกครั้ง นับตั้งแต่ความสัมพันธ์แปลกๆของเหล่าคนหลายคน ทั้งจ๊อบ นัท เมฆ และซัน ไปจนถึงเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ตุ๊กตาหมีอาบเลือดตัวนั้น มาจนถึงเหตุการณ์โจรขึ้นบ้านคุณอาครั้งล่าสุดนี้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกันรึเปล่า และตอนนี้ผมยังต้องผนวกตัวแปรสำคัญอื่นๆทั้ง เพื่อนของเมฆที่ชื่อเอ็ม และเพื่อนของซัน ที่ตอนนี้ดูจะเกินเลยไปกว่าคำๆนั้นไปซะแล้ว ที่ชื่อว่าแบ๊งค์ เข้าไปด้วยอีก นอกจากนั้นแล้ว หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงเวลานับแต่ที่เมฆกับซันกลับมาจากทะเลนี้ มันทำให้ความสัมพันธ์ของกลุ่มคนเหล่านี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างแล้วอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ ซันกับจ๊อบ กำลังจะทำอะไรกัน หรือว่าตัวซันเอง กำลังคิดที่จะทำอะไรอยู่กันแน่

ผมคว้ากุญแจรถขึ้นมาจากโต๊ะ จากนั้นก็เดินออกจากออฟฟิศมุ่งหน้าไปที่รถของตัวเอง และขับมันออกจากที่ทำงานไปยังเป้าหมายใหม่ของผมทันที

สองชั่วโมงถัดมาผมก็เจอคนที่ผมกำลังรอคอยอยู่ เมื่อผมเห็นเขากำลังเดินใกล้เข้ามา ผมก็ไม่รอช้า และรีบเดินตรงเข้าไปทักทายเขาทันที

“สวัสดีครับ ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยนึงสิ”


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 29-04-2008 19:22:59
ใครล่ะ บุคคลนั้น  o2 o2 o2 เดาไม่ออกเลย  o2
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 29-04-2008 20:07:19
อ่านแล้วอึดอัดขัดจายชะมัด มันช่างลึกลับซับซ้อนจริงๆนะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 29-04-2008 20:36:43
 :serius2: :serius2:ง๊า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ค้างงงงงงง
ซันจะทำอะไรอ่ะ เข้าถ้ำเสือซะงั้น!! o2
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 03-05-2008 01:08:21
thankๆ ต้นมาต่อแล้วเฟร้ยยยย  :m4:

โหยยย เรื่องราวก็เข้มข้นเรื่อยๆจริงๆ .... ติดตามแบบพลาดไม่ได้ ....

หวังว่าจะได้อ่านตอนต่อไปเร็วๆนี้นะคร้าบบบ  :m13:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 05-05-2008 12:14:05
ใกล้และค้าบบบ กลับมากทมแย้ววว จะพยายามรีบๆๆให้นะ

 :bye2:


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 05-05-2008 15:40:05
นอนรอ  :a12: :a12: :a12: มาแล้วปลุกด้วยนะ  :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 07-05-2008 12:02:13
มารอจ้า :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 10-05-2008 14:12:02
 :L1: :L2:
สวัสดีครับ ขอสมัครเป็นสมาชิกใหม่ ด้วยคนนะครับ แฮะ ๆ แอบอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว ชอบมั่ก ๆ ครับ

มารอครับ อย่าลืมมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 10-05-2008 14:32:16
^
^
หุหุ ได้เจาะไข่เด็กใหม่บ้างแล้วดีจายๆ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ~Brand New Beat~ ที่ 11-05-2008 02:01:43
แลดูแล้วหาหนทางไม่เจอเลย มืดมิดเหลือเกิน

จะอึดอัดไปไหนเนี้ยครับ  :a6:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-05-2008 11:10:28
โทดทีหนาาา อ่าน นี่ (http://www.thaiboyslove.com/wboard/index.php?topic=2601.new#new) ไปก่อนและกันนะคับ  :sad2:

 :a6: :a6: :a6: :a6: :a6:


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 18-05-2008 11:28:34
น้องต้นอย่าเครียดมากนักนะคะ เป็นห่วง
 :L2: :L2: :L2:
เอากำลังใจไปเน้อ!!!
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: mobilejom ที่ 20-05-2008 17:18:20
ต้นฝากบอกว่าไม่ได้หาย,ไม่ได้ลืม และไม่ทิ้งแน่นอน .... แต่ตอนนี้ยุ่งมาก ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน  :m23:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 28-05-2008 22:26:29
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณมากมาย ครับที่ยังยืนยันว่าไม่ลืม

รอ รอ และ จะรอตอนต่อไปนะครับ

เป็นกำลังใจให้มาต่อเร็ว ๆ นะครับ

 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 29-05-2008 20:04:24
โอ้ววววววววววววววววววววววววววววว

ต้นยังไม่ลืมเล้าฯ

 o13
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 01-06-2008 12:29:32
 :m22: :m22: :m22: :m22:

แอบเข้ามาดูว่ามาหรือยัง เอ๊ะ ยังไม่มา

ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับเข้ามาใหม่ ฮิฮิ ไปล่ะ

 :m32: :m32: :m32: :m32:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 03-06-2008 17:50:27
เห็นชื่อน้องต้นแว๊บๆ เข้ามาทัก
เข้ามารอ.......................
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
อย่าเครียดมากนะน้อง เปงห่วงเน้อ....
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 07-06-2008 21:37:53
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!

คิดถึงทุกคนมากมายยยยยยยยยยยยย!!

ยุ่งมากมายเลยค้าบบบบบบบบบบบบบ เครียดด้วยยยยยยยยย  :sad2: :sad2: :sad2:

นี่ก้อแว้บมานะเนี่ย โอยยๆๆ ไม่ไหวและ คิดถึงเมฆกะซันใจจะขาด

ขอโทษจริงๆๆๆคับที่ดองไว้นานเลย อย่าเพิ่งหนีผมกะมันสองตัวไปไหนหนาาาา

มิสยูๆๆจุ๊บๆๆๆ

 :กอด1:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 07-06-2008 21:42:23
ก้าวที่เจ็ดสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าในห้องนั้นมืดหมดแล้ว ทั้งพ่อและไคล์ต่างก็หลับไปหมดแล้วทั้งคู่ ผมจึงลุกขึ้นช้าๆและหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเพื่อจะดูเวลา แต่ก็เห็นว่ามันถูกปิดเครื่องไปแล้ว ไคล์คงจะเป็นคนปิดมันลงเพื่อที่จะให้ผมได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ก็เป็นได้

ผมลุกขึ้นเดินอย่างเงียบเชียบไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ และเมื่อเดินกลับออกมา เสียงของพ่อก็ดังขึ้นเบาๆ

“ตื่นแล้วเหรอเมฆ”

“ครับพ่อ” ผมเดินไปนั่งลงข้างๆเตียง “พ่อจะเอาอะไรรึเปล่าครับ หิวรึอยากกินอะไรมั๊ย”

“ไม่ล่ะ แล้วเป็นยังไงมั่ง รู้สึกดีขึ้นมั่งรึยัง”

“ดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ ได้นอนไปหน่อยก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ” ผมยิ้มตอบ

“แล้วจิตใจล่ะ”

“ผม.........” ผมเบือนหน้าหนีสายตาของพ่อมองไปทางไคล์ที่กำลังหลับอยู่ นาฬิกาติดผนังบนหัวของไคล์ที่ยังคงหลับอยู่บอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว

“ทำอย่างที่เมฆอยากทำเถอะ” พ่อพูดขึ้น

“อะไรนะครับ”

“พ่อบอกว่า เมฆทำอย่างที่เมฆอยากทำเถอะ เมฆต้องเลือกระหว่างการฝ่าฟันไปสู่ทางออกที่มีความหมาย กับการสร้างเกาะป้องกัน เพื่อความสุขที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าจะทางไหน ไม่มีอะไรที่ผิด แต่พ่อแค่อยากให้เรามีความสุขกับการตัดสินใจของตัวเอง มันก็เท่านั้นเอง”

ผมคว้ามือของพ่อมากุมเอาไว้เบาๆ ก่อนจะพยักหน้า และพ่อเอกก็หลับตาลงไปอีกครั้ง ผมนั่งกุมมือพ่ออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงพ่อกรนออกมาเบาๆ ผมจึงคลายมือออก เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็เขียนโน้ตสั้นๆทิ้งเอาไว้ให้ไคล์ และเดินออกจากห้องไป.........

เช้าวันต่อมา ผมขับรถไปหาคนๆหนึ่งตามที่นัดกันเอาไว้เมื่อคืนหลังจากผมกลับถึงบ้าน เรานัดเจอกันที่ร้านแม็คโดนัลด์แห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าใหญ่กลางเมือง แต่เนื่องจากเรานัดกันตั้งแต่สิบโมงครึ่ง ดังนั้นในร้านจึงยังไม่ค่อยมีลูกค้ามากนัก ซึ่งก็ตรงตามที่เราทั้งคู่ โดยเฉพาะผม ต้องการอยู่พอดี และหลังจากที่ผมนั่งรออยู่ราวๆสิบนาที พี่จ๊อบก็เดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้า ท่าทาง และรอยยิ้มแบบเดิม

“พ่อเป็นยังไงมั่งครับ เมฆ” พี่จ๊อบพูดพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ก็ดีขึ้นแล้วครับ อีกไม่นานก็คงออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว......” ผมตอบ แต่ทันใดนั้นอะไรบางอย่างมันก็แวบเข้ามาในหัวของผมทันที “แล้วพี่จ๊อบรู้ได้ยังไง ว่าพ่อของผมเข้าโรงพยาบาล”

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับว่าพี่รู้ได้ยังไง แต่นี่พี่ยังตั้งใจว่าจะเข้าไปเยี่ยมท่านอยู่เลยนะ”

“พี่ตอบคำถามผมมาดีกว่าว่าพี่รู้ได้ยังไง” ผมเริ่มขึ้นเสียงขึ้นเล็กน้อย “พ่อเพิ่งนอนโรงพยาบาลแค่คืนเดียว และผมก็ยังแทบไม่ได้บอกใครเลยสักคน ผมไม่เห็นว่าพี่จะรู้เรื่องนี้ได้จากไหนด้วยซ้ำ แล้วนี่พี่รู้ได้ยังไง!”

“นี่ๆ ใจเย็นๆก่อนสิครับ มันไม่ใช่อย่างที่เมฆคิดหรอกนะ” พี่จ๊อบยกมือขึ้นปราม

“แล้วพี่คิดว่าผมคิดอะไรอยู่” ผมกัดฟันพูด พยายามข่มอารมณ์โกรธให้ได้มากที่สุด “นี่พี่ชักจะเข้ามาวุ่นวายกับครอบครัวของผมมากเกินไปแล้ว”

พี่จ๊อบชักสีหน้าเล็กน้อยเมื่อผมพูดจบ แต่แค่เพียงไม่กี่เสี้ยววินาทีถัดมา ริมฝีปากบางๆนั้นก็กลับมีรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “พี่ไม่ได้ยุ่มย่ามอะไรทั้งนั้น และพี่ก็คงจะไม่ได้รู้เรื่องของพ่อเมฆอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเมื่อวานซันไม่ได้เป็นฝ่ายมาบอกพี่เองล่ะก็นะ”

ความโกรธความสับสนที่ผมเพิ่งรู้สึกอยู่เมื่อครู่พลันหายไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ “เมื่อกี๊พี่พูดว่ายังไงนะ”

พี่จ๊อบฉีกยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม “พี่บอกว่าซันเป็นคนบอกพี่เอง เมื่อวานนี้เอง” เมื่อเขาพูดจบก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคน “เอาน่า อย่าคิดมาไปเลยนะครับ” พี่จ๊อบพูดพร้อมกับยื่นมือออกมาจะกุมมือของผมเอาไว้ ผมจึงรีบชักมือกลับโดยอัตโนมัติ แต่ก็ยังคงช้าเกินไป

“พี่จ๊อบ!” ผมพยายามขืนดึงมือออก

“เมฆลืมไปรึเปล่าว่าเรามาที่นี่กันเพราะอะไรน่ะครับ” พี่จ๊อบพูด ทำให้ผมต้องผ่อนแรงลงและปล่อยให้เขาจับมือของผมเอาไว้อย่างนั้น ถึงแม้ว่าในใจของผมมันจะรู้สึกขยะแขยงมากแค่ไหนก็ตาม “หึๆ เอาเถอะ เรามาคุยธุระของเราก่อนกันก่อนก็ได้” พี่จ๊อบปล่อยมือของผมออก แล้วล้วงไปหยิบของสิ่งหนึ่งในกระเป๋าของเขาออกมา มันคือซองเอกสารสีน้ำตาลซองหนึ่ง และของข้างในนั้นก็คือสิ่งที่เป็นต้นตอของหนึ่งในปัญหาทั้งหมดที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ด้วย “นี่คือรูปของนัททั้งหมดที่พี่มี และพี่ก็เอามันมาคืนให้เมฆตามสัญญาแล้วนะ”

ผมนั่งนิ่ง ไม่ได้ทั้งยื่นมือออกไปหรือสบตากับพี่จ๊อบ นึกถึงคำว่า “สัญญา” ที่เพิ่งได้ยิน

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

“เท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ กับสิ่งที่พี่ต้องการ” พี่จ๊อบยิ้มพร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ พี่เข้าใจว่าเมฆคงมีธุระอีกเยอะและคงอยากจะกลับไปเยี่ยมพ่อด้วย เพราะงั้นพี่ไม่กวนเราดีกว่า”

“เดี๋ยว” ผมคว้าข้อมือของพี่จ๊อบเอาไว้ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา ผมก็รีบชักมือกลับทันที “แล้วผมจะรู้ได้ยังไง ว่าพี่พูดความจริง แถมผมจะรู้ได้ยังไงว่านี่คือทั้งหมดแล้ว”

“พี่ก็คงขอได้แค่ให้เมฆเชื่อใจพี่เท่านั้นแหละครับ ส่วนเมฆจะทำยังไงกับมันต่อมันต่อก็ขึ้นอยู่กับเมฆแล้ว เพียงแต่ว่าอย่าลืมก็แล้วกัน ว่าตอนนี้พี่เองก็มีสิทธิ์ในตัวของเมฆมากขึ้นแล้วนะ ไม่สิ คงต้องบอกว่าพี่เป็นคนแรกที่มีสิทธิ์ในตัวของเมฆมากกว่าใครๆแล้ว จริงมั๊ย” พี่จ๊อบยิ้มบางๆก่อนจะเดินจากไป

“มีสิทธิ์ในตัวกูงั้นเหรอ” ผมขบกรามและกำหมัดแน่น สายตาก็มองตามแผ่นหลังของผู้ชายที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะรู้สึกเกลียดใครได้มากเท่าคนๆนี้มาก่อน

ผมนั่งเหม่ออยู่คนเดียวอีกราวๆสิบนาที ก่อนจะเดินกลับมาที่รถพร้อมกับซองสีน้ำตาลนั้นในมือ ทั้งๆที่ในใจก็รู้สึกโกรธ กลัว ขยะแขยง และเป็นกังวลกับสิ่งที่อยู่ภายใน แต่อีกใจผมก็ต้องพยายามต่อสู้กับความรู้สึกอยากเปิดมันออกมาดูอย่างสุดความสามารถเช่นกัน

ภายในบริเวณลานจอดรถเองนั้นก็ไม่ค่อยต่างจากข้างในตัวห้างมากนัก นั่นก็คือโดยรวมแล้วดูจะยังไม่ค่อยมีรถมาจอดและมีผู้คนมากนัก แต่ว่าบริเวณแถวที่รถของผมจอดที่เคยเป็นที่ว่างเมื่อตอนผมมาถึงก็กลับมีรถคันอื่นมาจอดเทียบอยู่จนเต็มแล้วด้วยเช่นกัน เมื่อผมเดินไปหยุดอยู่ข้างรถตัวเองและล้วงมือลงไปหยิบกุญแจรถของตัวเองในกระเป๋ากางเกงออกมา ผมก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“แล้วเมฆจะเอายังไงต่อ”

ผมรีบหันไปมองที่มาของเสียงทันที “พี่วิน........ พี่กรณ์”

นานมาแล้วทีเดียวที่ผมไม่ได้เจอพี่กรณ์ และยิ่งนานมากจนผมแทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นพี่วินกับพี่กรณ์อยู่ด้วยกันนั้นมันเมื่อไหร่

พี่วินหันไปหาพี่กรณ์แล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่พี่กรณ์จะสบตากับผมด้วยแววตาที่ดูเศร้าสร้อยเล็กน้อย พยักหน้าทักทายให้กับผมเบาๆหนึ่งที และหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกลจากที่ทั้งคู่ยืนอยู่ ส่วนพี่วินก็เดินตรงเข้ามาหาผมช้าๆ ถ้าผมยังคงเชื่อมั่นในสัญชาติญาณและความสามารถในการอ่านแววตาผู้อื่นของตัวเองอยู่ล่ะก็ ถึงอีกฝ่ายจะเป็นพี่วิน แต่ผมก็มั่นใจเลยว่าบางสิ่งที่สะท้อนอยู่ในแววตาสีดำสนิทคู่นั้น มันกำลังสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่เปราะบางมากที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัสมาจากตัวพี่วินเลยทีเดียว

“พี่ถามว่าเมฆคิดจะทำยังไงกับมันต่อ” พี่วินพยักเพยิดมาที่มือของผม

“ผม......” ผมอ้าปากอยากจะถามพี่วินกลับไปว่าพี่รู้ได้ยังไงว่าสิ่งนี้มันคืออะไร พี่รู้ได้ยังไงว่าผมมาที่นี่วันนี้ และพี่วินเห็นและได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทั้งหมดเลยรึเปล่า แต่สุดท้ายแล้วผมก็รู้ว่าคำถามทั้งหมดเหล่านั้นมันไร้ประโยชน์มากเพียงใด “ผมจะทำลายมันครับ คงจะกลับไปเผามันที่บ้าน อย่างน้อยๆมันก็คงเป็นอย่างเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้”

ผมเห็นพี่วินถอนหายใจเบาๆและเดินเข้ามาคว้าข้อมือของผมขึ้นมา “เมฆรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่”

ผมมองหน้าของพี่วินด้วยความแปลกใจระคนตกใจเล็กน้อย

“พี่ถามว่าเมฆรู้ตัวรึเปล่าว่าเมฆกำลังทำอะไรอยู่....... เมฆรู้มั๊ยว่าเมฆกำลังทำสิ่งนี้เพื่ออะไร เพื่อใคร และที่สำคัญ เมฆได้อะไรจากการทำมันลงไปบ้าง”

“พี่วินหมายความว่ายังไงครับ”

“พี่แค่อยากให้เมฆแน่ใจ ว่าเมฆรักตัวเองไม่น้อยไปกว่ารักคนอื่น และที่สำคัญเมฆรู้ตัวว่าคนที่รักเมฆและเมฆรักน่ะ คือใคร”

ผมจ้องตาพี่วินกลับและพยักหน้าออกไปช้าๆ “ครับพี่ ผมรู้ว่าผมรักใครและใครรักผม และผมก็รู้ด้วยว่าผมควรจะทำอะไรเพื่อใคร แต่ตอนนี้นี่ก็เป็นสิ่งๆเดียวที่ผมทำได้และจำเป็นต้องทำเหมือนกัน”

พี่วินปล่อยข้อมือของผมและเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับรถออก “ขึ้นรถสิ แล้วไปกับพี่หน่อย พี่ขับเอง”

“พี่จะไปไหนครับ” ผมถามหลังจากปิดประตูรถลงแล้ว

“ไปหาความจริงไง”

ผมกลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผากจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “พี่วินครับ ผม........”

“เมฆพร้อมรึยัง”

“ผม....... ผมต้องกลับไปเยี่ยมพ่อนะครับ แถมผมยังทิ้งไคล์ไว้ที่บ้านคนเดียวอีกด้วย”

“พี่ถามว่าเมฆพร้อมรึยัง” พี่วินหันมาสบตากับผม และเมื่อเราสองคนสบตากัน จะด้วยความมุ่งมั่นในแววตาของพี่วิน หรือความแน่วแน่ในใจของผมที่ถูกสายตาแข็งกร้าวที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนคู่นั้นกระตุ้นขึ้นมาก็ไม่รู้ได้ แต่สุดท้ายแล้วผมก็พยักหน้าออกไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่มุ่งมั่น และผมคิดว่าแววตาของผมมันก็แสดงออกถึงสิ่งๆนั้นไปด้วยเช่นกัน

“ครับ”

“เยี่ยมมาก” พี่วินยิ้มอย่างพอใจจากนั้นก็หัวเราะในลำคอเบาๆอย่างอารมณ์ดี “เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่พี่ได้เมฆคนเดิมกลับคืนมา”

หลังจากขับรถอกมาจากลานจอดรถ พี่วินก็เอื้อมมือไปกดปุ่มเล่นเพลงจากซีดีที่ค้างอยู่ในเครื่องเล่น เราสองคนนั่งฟังเพลงแนวบอสซาโนว่ากันเงียบๆไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ส่วนผมเองถึงจะรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงรู้สึกสบายใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของตัวเองมากด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงเป็นเพราะคำพูดของพ่อเมื่อคืนนี้ บวกกับคนที่กำลังขับรถให้ผมอยู่นั้นคือพี่วินก็เป็นได้ เนื่องจากครั้งผมไม่ได้ตัดสินใจลงไปเองตามลำพัง และผมไม่ได้กำลังจะทำอะไรด้วยตัวเองเพียงคนเดียว แต่ผมมีพี่ชายที่ไว้ใจและพึ่งพาได้อย่างแน่นอนอยู่ข้างๆ และผมมั่นใจว่าเขาจะอยู่ช่วยเหลือผมด้วยทั้งชีวิตและหัวใจของเขาอย่างแน่นอนด้วย

เกือบทันทีหลังจากที่เพลงแทร็คที่สองจบลง โทรศัพท์มือถือของพี่วินก็ดังขึ้น พี่วินกดปุ่มรับสายและไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้ากับตัวเองเบาๆและตอบกลับไปว่า “อือ” สองสามครั้ง ก่อนจะปิดท้ายด้วยคำว่าขอบใจมากและวางสายไป

“เมฆ”

“ครับ”

“เราจะไปบ้านไอ้จ๊อบกัน”

“บ้านพี่จ๊อบเหรอครับ” ผมถามออกไปอย่างประหลาดใจ “ตอนนี้น่ะเหรอครับ”

“พรุ่งนี้น่ะ วันนี้คงยังไม่ได้”

“ถ้างั้น.......”

“เพราะว่า.......” พี่วินชิงพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน “ตอนนี้พี่มีที่ที่นึงที่อยากให้เมฆไป และพี่มีคนๆนึงที่อยากให้เมฆไปคุยกับเค้าก่อน”

ผมปิดปากและพยักหน้าเงียบๆเป็นคำตอบ ถึงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ผมจะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้มันชัดเจนไปเสียที ไม่ว่ามันจะคืออะไร และใครจะเป็นคนพาผมเดินไปในทิศทางไหนก็ตาม........

ผมนั่งมองทิศทางที่พี่วินขับรถพาผมมาแล้วก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เพราะนี่มันเป็นเส้นทางหนึ่งที่มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของผมเอง และเมื่อใกล้จะถึงสี่แยกที่ผมเคยใช้สัญจรผ่านเป็นประจำ ผมก็อดถามขึ้นไม่ได้

“นี่มันทางกลับบ้านผมนี่ครับ”

“เกือบใช่” พี่วินตอบ “แต่บ้านของเมฆเลี้ยงขวา แต่ว่าวันนี้........” พี่วินหักพวงมาลัย “เราเลี้ยวซ้าย”


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 07-06-2008 21:43:56
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!

คิดถึงทุกคนมากมายยยยยยยยยยยยย!!

ยุ่งมากมายเลยค้าบบบบบบบบบบบบบ เครียดด้วยยยยยยยยย  :sad2: :sad2: :sad2:

นี่ก้อแว้บมานะเนี่ย โอยยๆๆ ไม่ไหวและ คิดถึงเมฆกะซันใจจะขาด

ขอโทษจริงๆๆๆคับที่ดองไว้นานเลย อย่าเพิ่งหนีผมกะมันสองตัวไปไหนหนาาาา

มิสยูๆๆจุ๊บๆๆๆ

 :กอด1:







แอบแร่ดเชียวแก . . .


นั่งรถข้ามโลกไปเรียนสนุกมะ . . . เหมือนตรูเลย  ขับรถข้ามโลกไปทำงาน


ปล.  อยากกินเหล้าอ่ะ  อยากมอมคนบางคน

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 07-06-2008 22:22:46
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
มาแล้วๆๆๆๆๆๆๆ :oni2: :oni2:
ไปอ่านก่อน....... :oni1:


น้องต้น ตอนเดียวเองเหรอ หายไปตั้งนานตอนเดียวเนี่ยนะ :serius2:
            ใจร้าย
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 07-06-2008 22:38:30




แอบแร่ดเชียวแก . . .


นั่งรถข้ามโลกไปเรียนสนุกมะ . . . เหมือนตรูเลย  ขับรถข้ามโลกไปทำงาน


ปล.  อยากกินเหล้าอ่ะ  อยากมอมคนบางคน



อ๋อ เหรอ
เก่งขนาดมอมคนอื่นได้เลยเหรอ
สำคัญตัวเองผิดไปป๊าวววว 5555


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 07-06-2008 23:12:09
 :serius2:
ทำไมจบค้างไว้อย่างงี้... :a6:
ใจร้ายยยยยยยยยยยย
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 07-06-2008 23:19:28
เกลียดไอ้พี่จ๊อบมาก

ตอนต่อไปขอให้ยาวกว่านี้ซักสามเท่านะน้องต้น

อ่านจบก็ยังไม่หายคิดถึงเมฆเลย
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 08-06-2008 03:51:07
 :serius2:  อ๊ากกกก ต้นสั้นมากๆๆๆ (อะไรหว่า อุอุ)

มาต่อนิดเดียวเองอ่ะ ว้าๆๆๆ

แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคร้าบบบ ที่ยุ่งกะหลายเรื่อง ยังอุตส่าห์มาต่อให้  :m4:

อย่าหักโหมเกินหล่ะ พักผ่อนด้วยเน้อ  o13
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 08-06-2008 17:05:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณนะครับที่มาต่อให้ แต่อยากจะบอกว่่า อย่าทำให้

อยากแล้วจากไปอย่างนี้สิครับ มาต่อให้เสร็จซะดี ๆ นะ

 :a12: :a12: :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 15-06-2008 06:46:50
วันนี้ถ้าว่างๆจะมาต่อให้นะค้าบบ โทดทีหนา ยุ่งมากเลย แถมมีปัญหานิดหน่อยด้วย ขอเวลาสักเล็กน้อยรวบรวมสติสตังตัวเองนิดนึง  :เฮ้อ:


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 15-06-2008 11:59:41
ไม่เป็นไรจ้าต้น พี่รอต้นได้เสมอ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 17-06-2008 12:09:46
  :m22: :m22: :m22: :m22:

ถ้าว่าง อย่าลืมมาต่อน้า

 :m32: :m32: :m32: :m32:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 17-06-2008 20:28:42
ตัดตอนได้ค้างมาก  :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 18-06-2008 05:41:06
ยังงัยก็รอจ้า
 :L2: :กอด1: :L2: :กอด1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 19-06-2008 07:35:07
 :m22: :m22: :m22: :m22:

ยังไม่มา ไปก่อนดีกว่า

แล้วค่อยมาใหม่

 :m32: :m32: :m32: :m32:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 19-06-2008 16:11:09
ไม่สงสารคนรอเลยเหรอ  ยังไม่มาอีก

 o7 o7 o7
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 22-06-2008 10:10:18
มานอนรอ

 :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-06-2008 17:34:41
ขอโทษๆจ้าา มีปัญหานิดหน่อยน่ะค้าบบบ
ตอนนี้เคลียร์แล้ว แต่ถึงงั้น ผมก้อยังคงยุ่งกับภาระกิจมากมายอยู่ดี ไม่มีข้อแก้ตัวคับ สำนึกผิด T__T


ก้าวที่แปดสู่ปลายทางสุดท้าย


พี่วินขับรถพาผมเลี้ยวเข้าไปในซอยที่ผมไม่รู้จักเป็นระยะทางได้ราวๆห้านาที จากนั้นก็พาผมเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ยามที่หน้าหมู่บ้านปล่อยผ่านให้เราเข้าไปอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องแลกบัตรหรือไม่แม้แต่จะชะเง้อมองเข้ามาข้างในรถเลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็อาจจะไม่แปลกสำหรับหมู่บ้านที่ค่อนข้างใหญ่ พลุกพล่าน และมีรถวิ่งเข้าวิ่งออกตลอดเวลาซึ่งต่างไปจากหมู่บ้านของผมแบบนี้ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงความเลินเล่อของยามหมู่บ้านของผมเองและมันก็ทำให้ผมอดรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกอีกครั้งไม่ได้

“ไม่ต้องกังวลเรื่องลุงกับไคล์หรอก ตอนนี้กรณ์ไปดูแลทั้งสองคนแล้ว” พี่วินพูดขึ้นราวกับจะอ่านใจของผมออก

ผมอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ “ผมอยากถามมาตั้งนานแล้วนะครับเนี่ย ว่าทำยังไงพี่ถึงได้รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ไปหมดขนาดนี้ แม้กระทั่งอ่านใจคนอื่นได้อีกด้วยเนี่ย”

“เอาเป็นว่า......” พี่วินยิ้ม “พี่เป็นคนช่างสังเกตล่ะมั๊ง”

“เหมือนวันนี้ที่พี่มาเจอผมที่ลานจอดรถ และตอนนี้ที่พี่กำลังพาผมมาที่ไหนบ้านใครก็ไม่รู้น่ะเหรอครับ”

“ก็ประมาณนั้น” พี่วินยักไหล่

“พี่....... แล้วพี่จะให้ผมไปหาใคร แล้วพี่จะให้ผมจะทำตัวยังไงพูดอะไรยังไงล่ะครับเนี่ย”

“ก็........” พี่วินพูดพร้อมกับชะลอลดและจอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง “พูดเรื่องที่อยากพูด แต่ต้องฟังแม้เรื่องที่อาจจะไม่อยากฟังด้วย...... ก็เท่านั้น”

ผมมองไปยังหลังคาบ้านสีน้ำเงินเข้ม แต่เนื่องจากกำแพงที่ค่อนข้างสูงและต้นไม้ที่หนาครึ้มจึงทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นข้างในรั้วบ้านได้

“พี่ไม่เข้าไปเหรอครับ” ผมถามเมื่อเห็นพี่วินยังคงนั่งนิ่ง

“มันไม่ใช่ธุระของพี่แล้วนี่”

ผมก้าวลงจากรถและยืนละล้าละลังอยู่หน้าบ้านครู่หนึ่ง จนกระทั่งพี่วินกระแอมออกมาเบาๆ ผมจึงถอนหายใจและเอื้อมมือไปกดกริ่งหน้าบ้าน และหลังจากสิ้นเสียงกริ่งลง ราวๆหนึ่งนาทีถัดมาก็มีคนมาเปิดประตูรั้วให้แก่ผม

“ไง เมฆ”

“ไอ้แบ๊งค์” ผมนิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่บ้านมึงหรอกเหรอ” ผมหันกลับไปมองที่รถอีกครั้ง แต่ตอนนี้พี่วินกลับปิดกระจกรถหนีผมไปเสียแล้ว

“เข้ามาก่อนสิ” แบ๊งค์พยักหน้าเบาๆบอกให้ผมเข้าไปข้างใน จากนั้นมันก็เดินเลยผมไปปิดประตูรั้วลง และเมื่อผมเข้ามายังด้านใน ผมจึงเพิ่งสังเกตเห็นรถคันหนึ่งที่ผมคุ้นตาจอดอยู่ถัดจากรถตู้คันที่เคยไปส่งพวกเราที่ระยองมาแล้วด้วย และตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถของผมขับออกไป ผมจึงรีบหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อจะโทรหาพี่วิน แต่เมื่อผมควักมันออกมาจากกระเป๋า ผมก็ได้รับเมสเสจสั้นๆจากพี่วินพอดีว่า ‘เดี๋ยวพี่มารับ’

“ไอ้เมฆ”

ผมเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย และมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก

“ไอ้เชี่ยเอ็น” ผมมองหน้าของมันสลับกับแบ๊งค์ด้วยความงุนงง

“เออ กูก็พอจะเข้าใจมึง แต่ตอนนี้มึงเข้ามาในบ้านก่อนเถอะ” ไอ้เอ็นกวักมือเรียกผม ผมจึงค่อยๆเดินตรงเข้าไปหามันอย่างงงๆ “มึงก็ด้วย แบ๊งค์ เข้ามาได้แล้ว”

เราสามคนนั่งลงบนโซฟารับแขกโดยที่ผมนั่งที่โซฟายาวคู่กับไอ้เอ็น ส่วนไอ้แบ๊งค์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เราสามคนไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยราวๆครึ่งนาที แต่มันก็ยาวนานราวกับครึ่งชั่วโมงที่แสนน่าอึดอัดใจ จนกระทั่งในที่สุดไอ้แบ๊งค์ก็เป็นฝ่ายที่ลุกขึ้น

“เดี๋ยวกูไปเอาน้ำมาให้”

เท่ากับว่าผมได้คำตอบที่แน่นอนแล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของใครกันแน่ หลังจากที่ต้องสับสนไปสับสนมาอยู่ถึงสองสามรอบได้

“กูรู้ว่ามึงคงยังงงๆ แต่กูจะบอกตามตรงว่ากูเองก็งงไม่แพ้มึงหรอก กูยังเพิ่งจะรู้เรื่องทั้งหมดเมื่อวานนี้เอง” ไอ้เอ็นเริ่มพูดขึ้นหลังจากที่ไอ้เอ็นเดินหายเข้าไปในห้องครัว

“มึงรู้อยู่แล้ว....... มึงสองคนรู้อยู่แล้วว่ากูจะต้องมาที่นี่” ผมเพิ่งจะเข้าใจ ทั้งการกระทำของพี่วิน สีหน้าของพวกมันทั้งสองคนเมื่อตอนที่ผมมาถึงเมื่อครู่ และรวมไปถึงบรรยากาศแปลกๆทั้งหมดนี่ด้วย

ไอ้เอ็นพยักหน้า “ใช่ เมื่อคืนนี้น่ะ....... นี่ไอ้เมฆ มึงกูหน้ากูสิ ดูขอบตากูดีๆ” ไอ้เอ็นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมและใช้นิ้วชี้ชี้ไปที่เบ้าตาของตัวเอง “ดำปี๋เลยมั๊ยมึง ผลจากการอดนอนมาราธอน”

“กูขอโทษ เรื่องของกูคงทำให้มึงลำบากมานานแล้ว กูขอโทษจริงๆ”

“ไม่ใช่ มึงอย่าพูดอย่างนั้น อย่างน้อยๆ........” ไอ้เอ็นหันหน้าไปทางห้องครัว จากนั้นก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง “อย่างน้อยๆที่เมื่อคืนนี้กูไม่ได้นอนก็ไม่ใช่เพราะมึง”

“งั้นมึงบอกกูหน่อยซิว่าทำไมพี่วินถึงพากูมาที่นี่”

“เรื่องนั้นมึงรอไอ้แบ๊งค์เป็นคนมาพูดดีกว่า” ไอ้เอ็นพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวกูไปตามมันมาให้”

หลังจากที่ไอ้เอ็นเดินหายไปในครัวอีกคน ผมก็นั่งใช้ความคิดตามลำพังอีกครั้ง พยายามโยงเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน นึกถึงทั้งการกระทำ เหตุการณ์ของหลายๆคนหลายๆสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด รวมทั้งคำพูดแปลกๆของพี่วินเมื่อเช้านี้ด้วย และทันใดนั้นเองที่ผมรู้สึกราวกับร่วงหล่นลงไปในหุบเหวลึกที่ไร้ก้น ความหวาดกลัวและหวาดหวั่นเริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจของผมอีกครั้ง

ความกลัวต่อความเป็นจริงที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน..........

“เรื่องทั้งหมดกูเป็นคนผิดเอง......” ไอ้แบ๊งค์พูดขึ้นหลังจากกลับมานั่งพร้อมกับไอ้เอ็นแล้ว และเมื่อมองดูสีหน้ามันดีๆผมถึงได้เห็นว่าจริงๆแล้วมันมีสภาพย่ำแย่ยิ่งกว่าไอ้เอ็นหรือแม้แต่ตัวของผมเองเสียอีก แต่ประโยคที่ผมได้ยินมันพูดออกมานั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกสงสารมันมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย ภาพที่ผมเห็นในคืนนั้นที่หน้าห้องของไอ้ซันมันทำให้ผมรู้สึกกระตุกวูบจนต้องกำหมัดของตัวเองเอาไว้แน่น “กู...... กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจให้มึงต้องเจอเรื่องแบบนี้เลย แล้วกูก็ไม่ได้ตั้งใจให้มึงสองคนต้องเลิกกันด้วย”

“มึงพูดอะไรของมึง ไอ้แบ๊งค์” ผมนิ่วหน้าและพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ

“กูเองที่เป็นต้นเหตุให้ไอ้ซันต้องทำแบบนั้นลงไป กูเองที่ทำให้มึงต้องทะเลาะกัน ทั้งหมดกูผิดเอง เมฆ กูขอโทษ........” ไอ้แบ๊งค์พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

ผมแค่นยิ้มและและหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ “ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็กูรู้อยู่แล้ว กูรู้อยู่แล้วว่าคืนนั้นกูเห็นอะไร และเผลอๆอาจจะก่อนหน้านั้นด้วยที่กูเองก็รู้มาตลอด นี่น่ะเหรอที่มึงพยายามจะบอกกู”

“ใจเย็นๆก่อน เมฆ กูรู้ว่ามึงโกรธมัน แต่.......” ไอ้เอ็นปราม

“เย็นบ้าเย็นบออะไร! นี่พวกมึงกำลังเล่นเหี้ยอะไรกันอยู่ นี่กูต้องถ่อมาถึงที่นี่เพื่อมาฟังมันขอโทษกูเนี่ยนะ!” ผมลุกขึ้นยืนและชี้ไปที่ไอ้แบ๊งค์ “เผื่อพวกมึงจะไม่รู้นะ ตอนนี้พ่อของกูกำลังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล และตอนนี้แทนที่กูจะได้ไปเยี่ยมพ่อกู แต่กูเสือกกลับต้องตะกายมาฟังไอ้คนที่ทำร้ายกูอย่างมันพูดคำว่าขอโทษเนี่ยนะ!” ผมตะคอกออกไปอย่างเดือนดาล “มึงเองก็เหมือนกัน ไอ้เอ็น กูคิดว่ามึงจะเข้าใจกูซะอีก”

“กูบอกให้มึงใจเย็นๆไง” ไอ้เอ็นลุกขึ้นบ้าง “ปกติมึงจะเป็นคนใจเย็นกว่านี้ไม่ใช่เหรอวะ มึงฟังสิ่งที่พวกกูกำลังจะบอกมึงก่อนได้มั๊ยเล่า

“กูไม่คิดว่ากูอยากจะฟัง”

“แต่มึงต้องฟัง ไม่ว่ามึงจะอยากได้ยินหรือไม่ก็ตาม” ไอ้เอ็นสวนกลับทันควัน และมันก็ทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย “มึงไม่สงสัยบ้างเลยรึไงว่าทำไมวันนี้กูถึงมาอยู่ที่นี่ และทำไมจู่ๆพี่วินของมึงถึงไปรับมึงมาที่นี่แบบนี้ กูรู้ว่ามึงกำลังหงุดหงิด สับสน โกรธ แล้วก็เสียใจ แต่ตอนนี้มึงต้องฟัง ถึงเวลาแล้วที่มึงต้องรู้อะไรอีกหลายๆอย่างที่มึงอาจไม่รู้”

ผมมองหน้าของไอ้เอ็นสลับกับแบ๊งค์จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟาเหมือนเดิม “ก็คงจริงของมึง........ แต่กูขอร้องล่ะว่า กูไม่อยากจะฟังคำแก้ตัวในเรื่องของคืนนั้น กูยังไม่อยากนึกถึงมัน”

ไอ้เอ็นเองก็กลับมานั่งลงเหมือนเดิมเช่นกัน “ขอบใจมาก เมฆ”

“มึง........ อาจจะไม่ให้อภัยกู” จู่ๆไอ้แบ๊งค์ก็พูดขึ้น “ซึ่งกูก็คงไม่ได้ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน กูยอมรับว่ากูชอบไอ้ซัน มึงเองก็คงจะพอรู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กูอิจฉามึงอยู่ตลอดเวลาที่ไอ้ซันมันเลือกมึง ตลอดเวลาสมัยมอปลาย กูเองก็ได้แต่มองพวกมึงสองคนสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงกูจะพยายามเป็นให้เป็นได้แค่อย่างน้อยๆก็คือเพื่อนสนิทของมัน มันก็ยังคงมีกำแพงอะไรบางอย่างที่กูไม่รู้ว่ามันคืออะไร และไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ยู่ดี ตอนนั้นกูเองและคนอื่นๆก็ไม่ได้รู้หรอกว่ามึงเป็นอะไรกัน และนั่นก็ยิ่งทำให้กูเครียดและสับสนมากเข้าไปอีก มึงอาจจะไม่รู้ตรงจุดนี้ เพื่อนคนอื่นๆก็คงไม่รู้สึก แต่สำหรับกูแล้ว มันเป็นอะไรที่อึดอัดและทรมานมากนะเว้ย”

ผมนั่งฟังโดยไม่ได้พูดอะไร......... และพยายามที่จะไม่คิดอะไรด้วย

“ตอนมันไปที่อังกฤษ กูก็หลุดไปเลยเหมือนกัน และถึงกูจะยังพอได้คุยกับมันอยู่เรื่อยๆบ้าง กูก็พยายามจะตัดใจไปด้วย นั่นเป็นครั้งแรกที่กูรู้ตัวว่ากูชอบมันจริงๆ แต่พอปีนึงผ่านไป พอกูเริ่มตัดใจได้ เริ่มคุยกับมันน้อยลง เริ่มลองคบหากับอื่นดู มึงก็บินตามมันไป และนั่นก็ยิ่งทำให้กูรู้แล้วว่า กำแพงอันนั้นมันคืออะไร และมึงเป็นอะไรกัน ถึงกูจะยังไม่มั่นใจ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้กูเป็นคน ‘อกหัก’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่หลังจากนั้นไม่นานกูก็ฟื้นตัวขึ้น แต่มึงรู้มั๊ยว่ากูกลับต้องมาเจ็บปวดอีกครั้ง และครั้งนี้มันก็หนักหนากว่าครั้งไหนๆด้วย นั่นก็คือ.........”

“ตอนที่กูกลับมาพร้อมกับมัน” ผมพูดต่อ

“ใช่.....” ไอ้แบ๊งค์พยักหน้าด้วยสีหน้าและแววตาที่เจ็บปวด “คืนนั้นที่มึงสองคนประกาศว่าเป็นแฟนกัน ถึงกูจะพอรู้อยู่แล้ว แต่กูก็ยังคงเจ็บ เจ็บอย่างที่กูไม่คิดว่ากูจะเป็นได้ เพราะกูคิดว่ากูทำใจได้มานานแล้ว และกูก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นอีกที่เพิ่งรู้ว่าพวกไอ้กอล์ฟหรือไอ้ป๋อมมันก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่กูกลับไม่รู้ และที่มันเจ็บมากยิ่งไปอีกนั่นก็คือเมื่อกูเห็นทุกคนยอมรับในตัวมึง สนับสนุนพวกมึง แต่ในขณะเดียวกันที่ความรู้สึกของกูนี้กลับไม่เคยมีใครรับรู้ เหลียวแล และไม่มีใครเคยเข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว” เมื่อมันพูดจบ บ้านทั้งบ้านก็เงียบลงอีกครั้ง ไอ้แบ๊งค์ยกแก้วน้ำของตัวเองขึ้นจิบ ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ “แต่มีคนๆหนึ่งในตรงนั้นที่ดูออกว่ากูเป็นอะไรและเข้าใจกู”

“ใคร พี่จ๊อบรึไง” ผมข้องใจ เพราะถ้าหากว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันมีตัวต้นเหตุมาจากคนๆนี้จริงๆ ผมก็คงจะไม่แปลกใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“ไม่ใช่........ นัทต่างหาก”

“นัทเนี่ยนะ” ผมสงสัย “ถ้างั้นเค้ามาพูดอะไรกับมึงบ้าง”

“เปล่า ไม่ได้พูดอะไรเลย ก็แค่ถามกูว่าจริงๆแล้วกูชอบซันใช่มั๊ย เท่านั้นเอง แล้วก็มีพูดติดตลกนิดหน่อยว่า ดูสิ แฟนเก่าเค้ากลายไปเป็นแฟนของผู้ชายคนอื่นไปซะแล้ว อะไรแบบนี้น่ะ”

“แล้ว......... ไง”

“แต่หลังจากนั้น ก็ยังคงมีคนอีกคนที่เค้ารู้ว่ากูคิดยังไง นั่นก็คือพี่จ๊อบอย่างที่มึงคิดตอนแรกนั่นแหละ ซึ่งกูก็ไม่รู้ว่าเค้ารู้เอง หรือนัทไปบอกหรอกนะ แต่จะเป็นยังไงมันก็คงไม่แปลก เพราะกูเองก็รู้จักพี่เค้ามานานแล้วเหมือนกัน ก็ตั้งแต่ทั้งสองคนคบกันใหม่ๆนั่นแหละ ถึงจะไม่ได้สนิทสนมอะไรมากมายก็เถอะ และหรือว่าต่อให้นัทเป็นคนไปบอก กูเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายอยู่แล้วด้วย”

“ก็แล้วยังไงต่อล่ะวะ” ผมเร่ง

“ประเด็นมันก็อยู่ที่ตรงนั้นแหละ เมฆ” ไอ้เอ็นพูดต่อ “มึงเองก็รู้อยู่แล้วว่าพี่จ๊อบมันชอบมึง........ ไม่สิ ใช้คำว่า ‘ต้องการ’ มึงดีกว่า และมันน่ะ เป็นประเภท ถ้าอยากได้อะไรแล้วต้องได้ ยิ่งยาก ยิ่งจะเอา ดังนั้นไม่ว่ามันจะรู้เรื่องของไอ้แบ๊งค์มาได้ยังไง พอมันรู้แบบนั้นแล้ว มันก็สามารถหาประโยชน์จากตรงจุดนี้ได้สบายๆ”

“แปลว่ามึงสองคนกำลังจะบอกกูว่า........ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มีเหตุมาจากความต้องการของคนเพียงคนเดียว นั่นก็คือ พี่จ๊อบอย่างนั้นใช่มั๊ย”

ไอ้เอ็นพยักหน้า “ตอนนี้กูคิดได้แบบนี้เท่านั้น คือ มึงต้องเข้าใจนะเมฆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลายๆอย่าง และผลลัพธ์ของมันที่มาตกอยู่ที่พวกมึงทุกคน มันคงเป็นไปตามสิ่งที่ไอ้พี่จ๊อบมันต้องการแทบทุกอย่างแล้วในตอนนี้”

“อย่างเช่นการที่กูต้องเลิกกับซัน ทำให้มันมีโอกาสได้เข้ามาวุ่นวายกับกูมากขึ้นอะไรแบบนี้ใช่มั๊ย” ผมถอนหายใจเบาๆและส่ายหน้า “ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็กูคิดว่ากูรู้อยู่แล้วว่ะ”

“มึงรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ” ไอ้เอ็นถาม ดูท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย

“ก็คงงั้น” ผมพยักหน้า “ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่กูก็พอรู้ว่ามันนั่นแหละที่เป็นคนคอยควบคุมอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลัง กูเองก็มีรู้อะไรมาบ้างเหมือนกันนะไอ้เอ็น ก็เหมือนกับที่มึงเคยรู้อะไรกันอยู่บ้างกับไอ้ซันนั่นแหละ”

“งั้นมึงก็เข้าใจใช่มั๊ย ว่าสิ่งที่ไอ้แบ๊งค์ทำลงไปน่ะ มัน.......”

“ทั้งใช่และไม่ใช่” ผมพูดแทรกขึ้น จากนั้นก็หันไปมองหน้าไอ้แบ๊งค์ “ถ้ามึงจะพูดว่า ‘สิ่งที่ไอ้แบ๊งค์ทำลงไปนั่นมันเพราะความจำเป็น’ ล่ะก็ คำตอบของกูก็คงเป็นแบบเมื่อกี๊ เพราะถึงแม้กูจะพอเข้าใจ แต่กูก็ยังไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด และถึงกูจะพอรู้แล้วว่ากูมานั่งอยู่ที่นี่ เพื่ออะไร คือ..... กูไม่รู้หรอกนะว่าเจตนาของมึงสองคนกับพี่วินจะเหมือนกันรึเปล่า แต่สำหรับมึง ไอ้เอ็น กูเข้าใจว่ามึงอยากให้กูรับฟังเพื่อที่จะเข้าใจเรื่องราวและให้อภัยไอ้แบ๊งค์กับสิ่งที่มันทำลงไป ‘โดย ไม่ ได้ ตั้ง ใจ’” ผมเน้นคำ จากนั้นก็หันกลับมาหาไอ้แบ๊งค์อีกครั้ง “มึงอาจจะถูกบังคับหรืออะไร กูก็ยังไม่รู้ แต่กูขอถามมึงแค่เพียงคำเดียว ไอ้แบ๊งค์.........” ผมจ้องตามันไม่กะพริบ “คืนนั้น มึงจูบกับไอ้ซัน เพราะถูกพี่จ๊อบบอกให้ทำอย่างนั้นรึเปล่า”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสามคนอีกครั้ง และในที่สุดไอ้แบ๊งค์ก็ก้มหน้าหลบสายตาของผมไปและส่ายหัวช้าๆ “เปล่า คืนนั้น......... มันเกิดขึ้นเอง”

“และมันก็เป็นฝ่ายจูบมึงด้วย ไม่ใช่มึงจูบมัน กูคิดว่ากูเห็นไม่ผิดหรอก”

“แต่ว่า ไอ้เมฆ มึง.........” ไอ้เอ็นพูด

“ไม่มีแต่หรอก” ผมขัด “มึงจะให้กูฟังอะไรกูก็ฟังได้หมดนะ ดีซะอีกที่กูจะได้รู้ความจริง แต่กูอยากจะรู้ว่านอกจากเรื่องนี้แล้ว มึงรู้แล้วรึยัง ว่าใครที่เป็นคนทำเรื่องตุ๊กตาหมีตัวนั้นขึ้นมา และถ้านั่นเป็นฝีมือพี่จ๊อบจริง มันทำขึ้นมาทำไม” ผมพูดโดยสำรวจสีหน้าและแววตาของไอ้แบ๊งค์ไปด้วย

ไอ้เอ็นส่ายหน้า “เรื่องนั้น กูก็ยังจนปัญญาว่ะ........”

“กูเดาว่ามึงเองก็คงไม่รู้เรื่องนี้สินะ ไอ้แบ๊งค์” ผมถอนหายใจ “กูสามารถเข้าใจทุกอย่างได้นะ ขอแค่พวกมึงเล่าออกมาให้กูฟัง แต่กูก็อยากจะบอกให้พวกมึงเข้าใจไว้ด้วยเลยเหมือนกันว่า ตอนนี้สิ่งที่กูเสียใจ ไม่ใช่ตัวเรื่องราวหรือสาเหตุอะไรอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือการตัดสินใจของตัวไอ้ซันเองต่างหาก เพราะอย่างน้อยๆ......... ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้น การตัดสินใจทั้งหมด และคำพูดที่มันบอกกูนั้น มันก็คือความจริง” เมื่อผมหวนนึกถึงภาพฉากจูบในคืนนั้น และคำพูดที่ไอ้ซันพูดกับผมเป็นครั้งสุดท้ายว่ามันคิดยังไงแล้ว น้ำตาของผมมันก็จะไหลออกมาอีกครั้งจนได้ ผมจึงต้องรีบกลืนมันกลับเข้าไปเหมือนเดิม “แต่ว่าตอนนี้เรื่องนั้นช่างมันเถอะ มึงมีอะไรอยากจะพูดก็รีบๆพูดออกมาได้แล้วล่ะ บอกกูมาว่าแผนการที่ไอ้พี่จ๊อบมันทำลงไปและมันใช้งานมึงยังไงคืออะไรบ้าง เพราะหลังจากนี้กูเองก็มีแผนเอาไว้แล้วเหมือนกันว่า พวกกูตั้งใจจะไปทำอะไรกันต่อ...........”



หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 22-06-2008 17:57:38
ดีใจจังค่ะที่เมฆกับซันกลับมาแล้ว(นานๆทีก็เหอะ)
แล้วก็ดีใจแทนน้องต้นที่"เคลียร์"ปัญหาได้แล้ว
ถึงยังยุ่งอยู่แต่ก็ยังไม่ลืมกันอันนี้ดีใจกว่านะ :m1: :m1:
ยังงัยก็เป็นกำลังใจให้น้องต้นต่อไปนะคะ :L2: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 22-06-2008 22:40:54
สู้ๆ นะ น้องต้น

พี่เป็นกำลังใจให้เสมอจ้ะ :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 25-06-2008 20:23:56
เป็นกำลังใจให้นะคะ :L2:

ไม่ต้องรีบก็ได้น้า
ยังรอได้ :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 25-06-2008 21:52:10
ขอ :เตะ1:ไอ้จ๊อบก่อน

อย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหานะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

                     
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: lonelyfairy ที่ 26-06-2008 17:01:48
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: ค้างมากมาย

ในที่สุดก็ตามอ่านหมดทั้ง4ภาคซะที เรื่องนี้อ่านไปลุ้นไปตลอดเลยแฮะ

กลับมาต่อเร็วๆนะคะ  :oni2:

และ ขอ :เตะ1: :เตะ1: :เตะ1:จ๊อบซักหลายๆที เลวจริงๆ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 26-06-2008 19:19:58
วันนี้ผมเพิ่งมีโอกาสได้เปิดเวบแล้วก้อเห็นว่าได้รับข้อความหลังไมมาสอข้อความ จาก
คุณ lonelyfairy     กะ
คุณ osaru

ต้องขอบคุณมากๆๆๆๆเลยนะครับ เป็นกำลังใจให้ผมได้มากจริงๆ
แล้วก็ดีใจด้วย ที่มีคนชอบถ้อยคำและความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมอบให้ในทุกๆตัวหนังสือที่พิมลงไป

ขอบคุณจริงๆๆๆครับ m(_ _)m

ปล.1 ขอโทษนะครับ ที่ไม่ได้ตอบหลังไมแบบเป็นเรื่องเป็นราว มันตื้นตันจนบอกไม่ถูก เลยขอมาพูดรวมๆเลยแล้วกัน  :oni2:
ปล.2 ขอโทษอีกทีครับ ยังไม่ว่างมาต่อเลย ช่วงนี้กำลังยุ่งแสดๆๆๆ  :sad2:


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 26-06-2008 19:29:56



คน . . .   แปลว่ายุ่ง

กรูก็ยุ่งชิบ . . . บริษัทส่งมากระบี่ได้สี่วันแร่ะ  แมร่งเอ้ย  ตื่นเช้าขับรถไปทำงานกระบี่  ตกเย็นขับกลับมาสุราด  ท่านย่าเด่ะ  ล้มกระดูกสะโพกหัก  เลยต้องมาให้เห็นหน้าในฐานะหลานที่ดี

เวรกรรมกรูจริงขับรถทำงานข้ามจังหวัดขนาดนี้ จากอันดามันมาอ่าวไทยเลยนะเนี่ย . . .

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-06-2008 21:26:20
ยังไม่อ่านน้า ติดไว้ก่อน  :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 27-06-2008 22:26:58
มารอน้องต้น  ว่างๆ เจาะไข่น้อง lonelyfairly ดีกว่า.. จึ๊ก
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 28-06-2008 17:15:46
มานอนรอน้องต้น  :a12:

>>รอ

>>รอ

>>รอ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 12-07-2008 02:17:08
เย้ๆๆ ต้นมาต่อแล้ววววว

ขอบคุณมากเลยเน้อที่ไม่ลืมแฟนๆ มาต่อทั้งๆที่ยังยุ่งกับเรื่องส่วนตัวอยู่ ถ้ามีอะไรพอช่วยได้ก็บอกได้เน้อ ตอนนี้เอากำลังใจไปอย่างเดียวก่อนละกัน เหอะๆๆๆ

โหหยยยย เรื่องคราวนี้ก็ยังซับซ้อนเหมือนเคย ตกลงใครทำอะไร วางแผนอะไร เริ่มงงๆไปหมดและ 555+

รอตอนใหม่เมื่อต้นว่างคร้าบบบบ

โชคดีๆ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 12-07-2008 15:48:53
ไม่ได้อ่านนาน คิดว่าจบไปแล้ว
แต่ ... ไม่เป็นไร คิดซะว่าทางมันไกล เลยไม่ถึงปลายทางซะที  :oni1:

ปล. คงจะเหนื่อยเหมือน ๆ กันแหละ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 12-07-2008 21:00:46
ถ้าว่างแล้วก็มาอัพต่อซะที่นะ รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-07-2008 22:04:19
ก้าวที่เก้าสู่ปลายทางสุดท้าย : วิน


“พี่วินคิดว่าผมควรจะโกรธใครครับ” เมฆพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับพูดขึ้นมาลอยๆหรือกำลังพูดอยู่กับตัวเองมากกว่าที่จะกำลังถามผมอยู่จริงๆ “ระหว่างไอ้ซัน คนที่มันเลือกว่าจะไป กับพี่จ๊อบ คนที่เป็นต้นเหตุให้ไอ้ซันเลือกที่จะไป คนที่เป็นตัวการทั้งหมด ผมควรจะรู้สึกโมโหใครมากกว่ากันกันแน่นะ”

ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แต่เมื่อหันไปมองเขา ก็เห็นว่าเมฆเองก็หันหน้าจากที่มองนอกหน้าต่างรถมาตลอดมามองผมรออยู่แล้ว ผมจึงยักไหล่เบาๆ “เปลี่ยนเป็นถามว่า ‘เมฆจะยกโทษให้ไอ้พี่จ๊อบมั๊ย’ ดีกว่ามั๊ยล่ะ” ผมค่อยๆชะลอรถเมื่อไฟเหลืองที่สัญญาณไฟตรงสี่แยกข้างหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นไฟแดง “ถ้าพี่ถามเมฆแบบนั้นหรือเมฆถามพี่มาแบบนั้น คำตอบมันอาจจะง่ายกว่าก็ได้มั๊ง”

เมฆหันกลับไปมองนอกหน้าต่างรถอีกครั้งก่อนที่จะส่ายหน้าออกมาช้าๆ

“ดีแล้ว เพราะไม่งั้นพี่ก็คงเซ็งแย่”

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ” เมฆพูดขึ้น

“ถ้างั้นหมายความว่ายังไง” ผมถาม

“ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ยกโทษให้พี่จ๊อบ เพราะมันไม่มีอะไรที่ผมจะต้องไปยกโทษให้เค้า”

“นี่เมฆกำลังจะบอกพี่ว่าเมฆไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรไอ้จ๊อบเลยรึไง” ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย “แล้วไหนเมื่อกี๊เพิ่งถามออกทาไม่ใช่รึไงว่าเมฆควรจะโกรธใครดีน่ะ”

“ไอ้โกรธน่ะโกรธอยู่แล้ว โกรธมากด้วย เค้าทำร้ายและทำลายทั้งชีวิตและอนาคตของผมไปแทบจะทั้งหมดเพียงเพื่อความต้องการเหี้ยๆของตัวเองนะครับ” เมฆหันมาสบตากับผม และผมก็เห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังลุกโชนอยู่ในแววตาสีดำขลับคู่นั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนมันจะหายไป นั่นคงจะเป็นสิ่งที่คุณอาเคยบอกผมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วก็ได้ และไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกชอบใจมากขนาดนี้กันนะ “เพียงแต่ว่า...................”

“อะไร” ผมถาม หลังจากที่เมฆเว้นช่วง และแววตาคู่นั้นของเขาก็กลับมาเป็นดวงตาที่อ่อนโยนและดูเจือไปด้วยความเศร้าเล็กน้อยคู่เดิม

เมฆชี้ไปที่สัญญาณไฟข้างหน้า “จะไฟเขียวแล้วนะครับ” ผมจึงเริ่มเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งทีละน้อย จนในที่สุดเราก็ทะยานออกจากสี่แยก ตรงไปยังบ้านของเมฆที่อยู่ห่างออกไป “แต่ว่าผมไม่อยากจะอาฆาตพยาบาทเค้าเพราะสิ่งที่เค้าทำกับผม แต่ผมยอมไม่ได้กับสิ่งผิดๆที่เค้าทำลงไปนั่นต่างหาก”

ผมยิ้มน้อยๆแล้วพยักหน้าเข้าใจ สมกับเป็นลูกชายของคุณอาจริงๆ

“และอีกอย่าง ในเมื่อเค้ายังไม่ได้เข้ามา ‘ขอโทษ’ ผม ผมก็ไม่มีอะไรที่ต้อง ‘ยกโทษ’ ให้” เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วผมก็รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มน้อยๆของเมฆได้ทันที แม้ว่าผมจะไม่ได้หันไปมองเขาก็ตาม “แถมนิสัยของผม ผมก็ไม่คิดจะหยุดสิ่งที่ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำไปแล้วด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมไม่อยากจะทรยศความหวังดีแรงกายและกำลังใจของคนหลายคนที่ช่วยเหลือผมมาตลอดมากกว่าน่ะครับ ดังนั้นตอนนี้ผมคงพูดได้เพียงอย่างเดียวว่า เรื่องในคราวนี้มันควรจะต้องจบลงได้แล้ว และมันจะต้องจบเร็วๆนี้ด้วย”

ผมยิ้มออกมาอย่างเต็มที่เมื่อได้ยินอย่างนั้น “มันไม่ใช่แค่เพียงความหวังดีของพี่หรอก............... แต่เป็นความสะใจและความสนุกส่วนตัวของพี่ต่างหาก”

หลังจากที่ส่งเมฆถึงหน้าบ้านแล้ว ผมก็ถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมคุณอาอีกครั้ง เพื่อเป็นการฆ่าเวลารอให้กรณ์มารับผมด้วย เราสองคนคุยกันตามลำพังด้วยเรื่องทั่วๆไปอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งหลังจากที่เราสองคนเงียบกันไปครู่สั้นๆ คุณอาก็ยกเรื่องที่คาใจท่านตลอดขึ้นมาถาม

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั๊ย วิน”

“ครับ”

“นึกๆดูมันก็แย่นะ บางทีถ้าตั้งแต่ตอนแรกพ่อสนับสนุนให้ทั้งสองคนทำงานอยู่ที่เดียวกันล่ะก็ เรื่องมันก็อาจจะไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้”

“เมฆเค้าเป็นผู้ใหญ่มากนะครับ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เค้าจะตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง”

คุณอาพยักหน้า แต่หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “เมฆน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะมันทำงานอยู่กับพ่อ แต่ซันนี่สิ ไปอยู่ห่างหูห่างตา พ่อเองก็ไม่ได้รู้จักใครที่นั่นเลย เลยจะฝากใครให้ช่วยดูแลก็ไม่ได้”

“ซันเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วเหมือนกันแหละครับ มันเป็นการตัดสินใจของทั้งสองคนเอง เราไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายหรอก และอีกอย่าเท่าที่ผมจำได้ ซันเองก็ไปทำงานกับบริษัทเก่าของพ่อเขาโดยผ่านทางเพื่อนพ่อเค้านี่ครับ”

“ใช่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พอเห็นทั้งสองคนเป็นแบบนี้แล้ว คนเป็นพ่อมันก็อดคิดมากไม่ได้นี่นะ ก็ ตามประสาคนแก่นั่นแหละ อย่าถือสาเลย” คุณอาถอนหายใจอีกครั้ง

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เมฆเป็นเด็กดี และผมก็รับปากไปตั้งนานแล้วว่าผมจะดูแลเค้าอย่างดีที่สุด”

คุณอาหันมาสบตากับผม “วินคิดว่าเมฆเป็นยังไง”

“ถ้าคุณอากำลังพูดถึงสภาพจิตใจ ผมก็คงตอบว่าน่าจะกำลังดีขึ้นเรื่อยๆมั๊งครับ แต่ถ้าหมายถึงตัวของเมฆ ผมคิดว่าเค้าเป็นคนเข้มแข็งกว่าที่คิดมากครับ ทั้งมั่นคง บริสุทธิ์ แล้วก็อ่อนโยนมากๆ ในหลายๆอย่างผมคิดว่า............ เค้าคล้ายคุณอาผู้หญิงมาก”

คุณอายิ้มน้อยๆและพยักหน้าเห็นด้วย “โดยเฉพาะความอ่อนโยน แล้วก็ความใจดีน่ะนะ แต่ฟ้าเองก็เป็นคนเข้มแข็งมากๆด้วยเหมือนกัน เผลอๆจะมากถึงขนาดเรียกได้ว่าหัวดื้อทีเดียว” คุณอาหัวเราะเบาๆ แต่สุดท้ายเสียงหัวเราะและรอยยิ้มนั่นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เจอความเศร้า “เฮ้ออ ทั้งๆที่เมฆไม่เคยได้เห็นหน้าแม่ของตัวเองเลยสักครั้งนอกจากในรูปนะ หรือไม่แม้แต่จะรู้รึได้สัมผัสเลยสักนิดด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วแม่เค้าเป็นคนยังไง เค้าก็ยังโตมาเหมือนแม่ได้มากถึงขนาดนี้ทีเดียว............ ทุกครั้งที่พ่อมองหน้าเมฆ วินรู้มั๊ยว่าพ่อเห็นอะไรอยู่ในรอยยิ้มและดวงตาคู่นั้น”

“เมฆเองก็มีส่วนคล้ายคุณอามากเหมือนกันนะครับ ไม่ว่าจะความใจดี ความอ่อนโยน ความหนักแน่น หรือแม้แต่บุคลิกของเขา.......... เพียงแต่ว่า ในขณะเดียวกันเมฆก็ยังเป็นคนที่ อ่อนไหวง่าย บางทีก็คิดมาก และที่พิเศษคือผมรู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งจากข้างในที่แม้แต่ตัวเค้าเองก็คงไม่รู้อยู่ด้วย...........”

“วินหมายถึง.......”

“ครับ”

“สิ่งที่อาเคยกังวลและคุยกับวิน..........”

“ใช่ครับ”

คุณอาถอนหายใจเบาๆ “วินเห็นมันแล้วใช่มั๊ย”

 “ครับ”

“อาคิดมากไปเองรึเปล่า”

ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้นตรงๆ “ตั้งแต่คืนนั้นที่เราสองคนถูกตามและผมต้องลงไปจัดการ ผมก็เห็นและเริ่มเข้าใจแล้วครับ ว่าสิ่งที่คุณอาเคยกังวลและฝากผมให้ ‘ดูแล’ เมฆนั้นหมายความว่ายังไง”

“พ่อห่วงมาตลอด ว่าสักวันด้วยนิสัยที่อยากจะปกป้องพ่อและไม่ยกโทษให้กับสิ่งที่ผิดที่เค้าเห็นตรงหน้านี่ มันจะพาเขาไปสู่อันตราย”

“ไม่ใช่หรอกครับ” ผมแย้ง “เมฆไม่ใช่เด็กที่จะพาตัวเองไปสู่อันตราย แต่เป็นคนที่เมื่อมีอันตรายมาถึงตัว เค้าก็กล้าและสามารถที่จะเผชิญหน้ากับมันต่างหาก อย่างคืนนั้นเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอันตรายกับตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนมากแล้วเค้าก็แค่ยืนดูอยู่เฉยๆอย่างที่ผมบอกเท่านั้น”

“แต่คราวก่อนวินเล่าว่าเมฆมันพุ่งเข้าไป........”

“ไม่ใช่ว่าพุ่งเข้าไปหาอันตรายหรอกครับ เค้าคงแค่เห็นว่าผมกำลังจะมีอันตราย ก็เลยพุ่งไปขวางทางเอาไว้แล้วชิงลงมือก่อนเท่านั้นเอง ผมเองก็ตกใจนิดหน่อยอยู่เหมือนกัน แต่เค้าก็ทำได้ดีทีเดียวครับ สามารถดูแลตัวเองและคนอื่นๆได้สบาย” ผมพยายามไม่พูดถึงว่านอกจากที่ผมจะตกใจนิดหน่อยแล้ว ผมยังชื่นชมนิสัยนี้ของเมฆไม่น้อยเลยด้วย

“บางทีเมฆมันก็เป็นคนใจร้อน”

“มนุษย์ทุกคนก็เป็นทั้งนั้นแหละครับ”

“แต่ถึงยังไงพ่อก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี”

ผมส่ายหน้า “ผมบอกคุณอาแล้วนี่ครับ..........” โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของผมสั่นขึ้น ผมจึงหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านเมสเสจที่ถูกส่งมาจากกรณ์ “ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเมฆหรอก ผมรับปากแล้วว่าจะดูแลเขา ผมก็จะดูแลอย่างดีที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย แต่เป็นทุกๆอย่าง อย่างที่ผมเคยรับปากคุณอาไว้ตั้งแต่สมัยที่เค้ายังเรียนอยู่มัธยมแล้ว” ผมพูดพร้อมกับยืนขึ้น “ผมต้องไปแล้วล่ะครับ กรณ์มารออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว”

“พ่อรู้ว่าลูกผู้ชายบางครั้งมันก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเส้นทาที่อันตรายบ้าง........”

“แต่เมฆจะไม่มีวันต้องเดินเข้าไปในเส้นทางนั้นตามลำพังครับ” ผมหันหลังและเดินไปจับลูกบิดประตูเปิดออก และก่อนที่จะก้าวพ้นออกจากประตู ผมก็หันกลับมาหาคุณอาอีกครั้ง “ในตอนนี้สิ่งที่ผมเห็นในตัวเมฆก็คือคนดีที่รักและห่วงใยคนรอบตัวเค้ามากกว่าสิ่งไหนทั้งหมดเท่านั้นครับ คุณอาวางใจเถอะครับว่าเมฆจะไม่มีวันเป็นแบบผมแน่นอน” ผมก้มหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงบอกลา ก่อนจะเดินออกจากห้องปิดประตูลง

ใช่แล้ว เมฆก็แค่หนุ่มวัยรุ่นที่บ้างที่จะรู้สึกเลือดร้อนและทำอะไรหุนหันไปบ้าง แต่นั่นมันก็ยังเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยของหนึ่งในอารมณ์หลายอย่างของมนุษย์ และมันก็เกิดขึ้นจากการที่ถูกสิ่งอื่นมากระตุ้น ไม่ใช่เกิดจากการเอาความต้องการของตัวเองไปกระตุ้นเพื่อที่จะได้ใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นอาวุธ ตราบใดที่เขายังคงรักและถูกรักอยู่มากมายขนาดนี้ต่อไปล่ะก็ เมฆก็คงเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเพียบพร้อมและสมบูรณ์ที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

“พี่วินจะกลับแล้วเหรอครับ” เมฆถามขึ้นเมื่อผมเดินลงบันไดไปถึงห้องนั่งเล่นที่เขากำลังนั่งดูทีวีกับไคล์อยู่

“อืม กรณ์มารับพี่แล้ว และพี่ก็ต้องไปจัดการธุระต่อด้วย”

“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งหน้าบ้านนะครับ”

“ไม่เป็น............” ผมชะงักไปครู่หนึ่งเพราะตอนแรกตั้งใจจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายแล้วก็เปลี่ยนใจ “อืมมม ก็ดีเหมือนกัน”

เมฆลุกขึ้นยืน และไคล์ก็ยกมือขึ้นไหว้ผม ผมจึงรับไหว้เขาก่อนจะเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับเมฆ และเมื่อเรามาถึงหน้าประตูรั้วบ้านแล้ว เมฆที่ไม่เห็นรถจอดอยู่หน้าบ้านก็ถามขึ้น

“อ้าว ไหนล่ะพี่กรณ์”

“จอดอยู่ซอยข้างๆน่ะ ก็แบบนี้ประจำแหละ”

เมฆพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจและเปิดประตูรั้วให้ผม “ขอบคุณมากนะครับพี่วิน สำหรับทุกอย่าง”

ผมไม่ตอบแต่กลับมองหน้าเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเองก็รู้สึกชอบใจเหมือนกันที่เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆหน้าหวานๆที่ผมเคยเลี้ยงเคยเล่นด้วยมาตั้งแต่ยังเล็กๆเติบโตขึ้นเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งได้ขนาดนี้ และที่สำคัญ มันยังอดตื่นเต้นไม่ได้อีกด้วยเมื่อรู้ว่าเขาคนนี้ก็ได้รับสืบทอดนิสัยบางอย่างของผม นอกจากนิสัยของพ่อและแม่ของเขาเองมาด้วยเหมือนกัน

“มีอะไรครับพี่”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “เปล่าหรอก.......... จริงสิ เมฆ พี่ขอถามอะไรหน่อย”

“อะไรครับ”

“ข้อแรก เมฆจำเรื่องตอนเด็กๆที่เราเคยอยู่ด้วยกันได้มั๊ย”

เมฆมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าครุ่นคิด “อืมมม ก็นิดหน่อยนะครับ แต่จำได้ดีเลยว่าตอนนั้นเราสนิทกันมาก พี่วินเข้าบ้านผมมาตอนผมยังเด็กมากๆอยู่เลย สักอนุบาลไม่ก็ประถมต้นๆได้มั๊ง”

ผมพยักหน้า............ นั่นสินะ ก็คงจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว “งั้นคำถามข้อที่สอง จริงจังหน่อยนะ พี่อยากให้เราตอบพี่มาตามความเป็นจริง”

“ครับ”

“คืนนั้น เมฆกลัวมั๊ย”

เมฆพยักหน้าโดยไม่ต้องคิดมากเลยว่าผมหมายถึงคืนไหน “กลัวครับ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเผชิญหน้ากับปืนแบบนั้นเลยนะครับ แถมยังกับคนอันตรายจริงๆแบบนั้นด้วย แต่จริงๆแล้วผมก็รู้สึกปลอดภัยมากด้วยเหมือนกัน ไม่รู้สิ คงเป็นเพราะมีพี่วินอยู่ด้วยมั๊ง” เมฆยิ้ม “ไม่รู้ทำไมนะครับ แต่เวลาที่อยู่กับพี่วิน ผมมักจะรูสึกปลอดภัยแบบนั้นทุกครั้งเลย รู้สึกมันคุ้นเคยแบบแปลกๆยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ผมยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ขอบใจมาก เมฆ งั้นข้อสุดท้าย พี่รู้ว่าที่ผ่านมาเมฆต้องเจอกับไอ้เรื่องชกต่อยอะไรมาบ้างเหมือนกัน นับตั้งแต่ครั้งแรกที่อเมริกาแล้วก็ยังที่อังกฤษ ไม่สิ ถ้าจะนับไอ้ที่มีปัญหากันกับเด็กโรงเรียนอื่นตอนมอปลายนั่นก็ด้วยเหมือนกัน ทุกครั้ง พี่เดาเอาว่าเมฆก็คงรู้สึกกลัวอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าหลายหนมันจะมีความตื่นเต้นอยู่มากกว่าก็ตาม พี่พูดถูกมั๊ย” เมฆพยักหน้า ผมจึงพูดต่อ “แต่สิ่งที่พี่อยากรู้คือ หลังจากจบเรื่องไปแล้ว ความรู้สึกแรกที่เมฆรู้สึกคืออะไร ยังเป็นความตื่นเต้นนั่นอยู่รึเปล่า”

เมฆนิ่วหน้าเล็กน้อย “อืมม พี่วินหมายถึงพออะดรีนาลีนมันหมดไปแล้ว พอความตึงเครียด ความตื่นเต้นแบบเดียวกับตอนเกิดเรื่องเริ่มจางลงไปใช่รึเปล่าครับ เพราะถ้าไม่งั้นผมก็คงต้องตอบว่าความตื่นเต้นนั่นแหละที่ยังคงเหลืออยู่ จนกว่าเวลาจะผ่านไปสักพัก”

“พี่หมายความว่าแบบนั้นแหละ หมายถึงเวลาที่เรื่องทั้งหมดมัน ‘จบ’ ลงไปแล้วจริงๆน่ะ”

“อืมมม ผมคิดว่าผมพอรู้แล้วล่ะครับว่าพี่วินหมายถึงอะไร ผมเองก็เคยมีคิดและเคยคุยกับไอ้ซันถึงเรื่องพวกนี้เหมือนกัน”

“พี่ก็คิดว่าเมฆต้องรู้ว่าพี่หมายถึงอะไร” ผมพยักหน้า ผมรู้ดีว่าเมฆไม่ใช่คนโง่ “แล้วว่ายังไงล่ะ”

“คำตอบคือ ‘ไม่’ ครับ เมื่อมันจบแล้วก็คือจบ ถ้าถามถึงความรู้สึกจริงๆล่ะก็คเป็นความโล่งใจที่เราปลอดภัย ความโล่งอกที่คนที่อยู่กับเราในตอนนั้นไม่ได้รับอันตราย ก็คงเท่านั้นน่ะครับ”

ผมพยักหน้า “ดีแล้วล่ะ งั้นพี่ไปแล้วนะ อย่าลืมพักผ่อนให้มากๆล่ะ”

เมฆพยักหน้ารับ จากนั้นผมก็หันหลังเดินจากมา กรณ์เอารถไปจอดรอผมไว้อยู่ที่ซอยถัดไปอย่างที่ผมคิดจริงๆ

“เป็นไงมั่งครับพี่” กรณ์ถามทันทีที่ผมเข้าไปนั่งในรถ

“เรื่องอะไรล่ะ”

กรณ์หันมามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “พี่แปลกไปนะเนี่ย มีอะไรรึเปล่าครับ ทำไมดูท่าทางอารมณ์ดี” เขาหัวเราะเบาๆพร้อมกับเริ่มเหยียบคันเร่ง

“อารมณ์ดีรึ........ ก็คงอย่างนั้นมั๊ง”

“พอจะบอกได้มั๊ยครับ”

“นั่นสินะ........... เพราะรู้สึกดีที่ได้สัมผัสความอบอุ่นของคนครอบครัวนี้มั๊ง เป็นอะไรที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้วเหมือนกัน” ผมหันไปเห็นกรณ์กำลังมองผมด้วยสายตาแปลกๆ “อะไร”

“เปล่าครับ ก็แค่ไม่ได้เห็นพี่เป็นแบบนี้มานานแล้วเท่านั้นเอง เพราะปกติเวลาพี่ยิ้มมันก็ไม่ใช่รอยยิ้มแบบวันนี้เท่าไหร่”

“ก็คงแบบนั้นมั๊ง เฮ้อออ ถึงจะรู้สึกเสียดายนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกดีกว่าจริงๆที่เมฆไม่ได้กลายเป็นคนแบบพี่ไป โชคดีที่เด็กคนนั้นถูกเลี้ยงมาด้วยความรักและมีความอบอุ่นเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นอยู่มากมายข้างในนะ”

“พี่พูดอะไรแบบนั้น”

“หมายความว่ายังไง”

“พี่เองก็มีความอบอุ่นและความรักอยู่มากมายเหมือนกัน ไม่รู้ตัวหรือครับ ไม่ว่าจะเวลาที่พี่พูดถึงคนครอบครัวนี้ เวลาที่พี่คอยดูแลน้องชายของพี่ หรือแม้แต่ตลอดเวลาหลายปีที่พี่เลี้ยงดูผมมา นั่นแหละคือความอบอุ่นและความรักของพี่ที่พี่คงจะไม่รู้ตัวและชอบคิดว่าพี่ไม่มีมัน”

ผมนั่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ “รวมทั้งเวลาที่พี่หักแขนคนอื่นหรือเอาปืนยิงใครแบบนั้นด้วยรึเปล่า”

กรณ์ส่ายหน้าเบาๆ “ถึงผมจะชินและรับได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่รู้สึกอะไรเลยเวลาเห็นพี่ทำแบบนั้นด้วยสีหน้านิ่งๆอย่างที่พี่ชอบเป็นหรอกนะครับ แต่ก็......... คงใช่มั๊ง นั่นคงเป็นความรักที่พี่มีให้ไอ้พวกเดนคนที่สมควรโดนอย่างนั้นแล้วเหมือนกัน”

เมื่อกรณ์พูดจบเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกครู่ใหญ่ๆ และระหว่างนั้นผมก็นึกกลับไปถึงพ่อและแม่ของผมที่ไม่ได้เจอหน้ามาเกือบสองปีแล้ว และยังนึกย้อนไปถึงสีหน้า แววตา  และ...... สิ่งที่ไม่ได้อยากจะนึกถึงแต่ก็รู้สึกได้ทุกครั้งเวลาที่ผมพบกับอาเอก นั่นก็คือ “ความอบอุ่น” นั่นเอง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่คุณอาก็ยังคงแทนตัวเองว่า “พ่อ” เสมอมาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย............

“พ่องั้นเหรอ............”

“ว่าไงนะครับ”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมคงจะคิดดังเกินไปหน่อยเลยเผลอหลุดพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว และในตอนนั้นเองที่ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ผมเพิ่งคุยกับคุณอามาเมื่อครู่นี้ขึ้นมาได้

“กรณ์ พี่เคยวานให้แกไปสืบดูเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อแอมป์กับน้องชายที่ชื่ออาร์มแล้วใช่มั๊ย”

“ใช่ครับ มีอะไรเหรอครับพี่”

“พี่มีอีกคนที่พี่อยากรู้ว่ามันคือใคร และแน่นอน คนรู้จักกับสิ่งที่มันทำผ่านมาทั้งหมดในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี่ด้วยน่ะ คิดว่าไหวมั๊ย”

“พี่ก็รู้อยู่แล้ว” กรณ์รับคำ

“ดี ส่วนอีกคนนั้นถ้ามี่อะไรผิดพลาดล่ะก็ คืนนี้พี่คงได้ไปเยี่ยมมันด้วยตัวเองแน่”


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 12-07-2008 22:05:31
ขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆ ได้เล่นเน็ตแค่อาทิตย์ละหนเอง เหนื่อยมากเยยย

 :sad2:


คิดถึงทุกคนครับ



หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 12-07-2008 23:07:58
เพลง...ทุกวินาที (เจมส์)

ไม่ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ไหน รักของฉันจะส่งไปจนถึงเธอ
ใต้แผ่นฟ้าแห่งนี้คงไม่ไกล กว่าใจจะพบกัน

หากความคิดถึงของฉันลอยไป ก็ขอให้เธอเก็บมันเอาไว้
เมื่อเธออ่อนล้าและกำลังร้องไห้ จะเป่าสิ่งร้ายไปจากเธอ

จะคอยเป็นกำลังใจให้เธอหายเหนื่อย จะเป็นดังสายลมพัดมาห่วงใย
และเธอจะได้รู้ทุกวินาทีหัวใจ ว่ายังมีฉันเข้าใจเสมอ

ไม่ว่าวันไหนเธอจะเปลี่ยนใจ รู้เอาไว้เธอจะยังคงสวยงาม
ที่สุดในใจของฉันตลอดไป ไม่มีใครทดแทน

หากความคิดถึงของฉันลอยไป ก็ขอให้เธอเก็บมันเอาไว้
เมื่อเธออ่อนล้าและกำลังร้องไห้ จะเป่าสิ่งร้ายไปจากเธอ

จะคอยเป็นกำลังใจให้เธอหายเหนื่อย จะเป็นดังสายลมพัดมาห่วงใย
และเธอจะได้รู้ทุกวินาทีหัวใจ ว่ายังมีฉันเข้าใจเสมอ

จะคอยเป็นกำลังใจให้เธอหายเหนื่อย จะเป็นดังสายลมพัดมาห่วงใย
และเธอจะได้รู้ทุกวินาทีหัวใจ ว่ายังมีฉันเข้าใจเสมอ
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
เป็นกำลังใจให้น้องต้นเสมอค่ะ
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: εїзป่วงน้อยεїз™ ที่ 12-07-2008 23:59:40
ค้างได้ใจจังเลย  o7
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 13-07-2008 00:04:43
 :serius2:
ทำไมมันสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนปมปริศนาค้างคาใจดีเหลือเกิน  :laugh:
อ่านแต่ละตอนเหมือนทำข้อสอบเอนทรานซ์...ปวดหัวใจเจง ๆๆๆๆๆ
 :a6:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 13-07-2008 13:23:38
ชอบจริงๆ พี่วินกะเมฆคุยกันแบบมีเรื่องให้คิดอยู่ตลอดเนี่ย มันเป็นปริศนาดีออก

สงสารต้นจัง  เมื่อไหร่จะหายเหนื่อยนะ น้องต้น สู้ๆ จ้ะ รักษาสุขภาพด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 14-07-2008 22:17:59
ต้นมาต่อแล้ว :oni2:
ทิ้งปมไว้ให้คิดเรื่อยเลยน้า

เป็นกำลังใจให้น้องต้นนะ
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: lonelyfairy ที่ 15-07-2008 19:47:18
พี่ต้นมาต่อแล้ว  :m1: :m1:
แต่ว่า... ค้างจังเลยคะ แงๆ
มาต่อไวๆนะคะ เป็นกำลังใจให้คะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 16-07-2008 22:01:07
 :a6: :a6: :a6: :a6:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 17-07-2008 06:25:26
 :m1: :m1: :m1:

ขอบคุณครับที่มาต่อให้ ถึงแม้จะยุ่งมาก ๆ ก็ตาม

ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ

จะรอจนกว่าจะมาต่อนะครับ

 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 17-07-2008 09:12:46
เพิ่งได้มาอ่าน

อ่านไป 2 หน้า ติดงอมแงมแล้ว

555++


จะมาตามต่อนะคร้าบ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 25-07-2008 10:04:13
มาส่งกำลังใจให้ต้น

 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 25-07-2008 10:26:11
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 27-07-2008 17:09:43
 :a12: :a12: :a12:

รออยู่นะครับ อย่าลืมมาต่อนะครับ

 :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-07-2008 18:28:06


ไม่ลืมครับ แล้วก้อขอโทษโด้ยจริงๆ  o7 ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พรุ่งนี้มาแน่ครับ แต่ถ้าไม่แน่ก้อมะรืน และถ้ายังไม่ชัวร์อีกก้อมะเรื่องง (ฮา)







หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 28-07-2008 00:32:14
still waiting for you na krab  :m13:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: PakBeob ที่ 28-07-2008 00:44:08
แค่ไม่ลืมก็ดีแล้วคับ

เพราะยังไงก็รอ  :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 28-07-2008 16:43:36
ก็คิดว่าตามเรื่องทันนะ
แต่ทำไมตอนสุดท้ายนี่มันงง ๆ จัง ออกแนวดัดแปลงพันธุกรรมไงมะรู้

สงสัยอีกอย่าง ทำไมพี่วินต้องตามสืบทุกคนด้วย เหมือนจริง ๆ แล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นเลย
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 29-07-2008 16:58:19
 :m32:
เข้ามารอๆ

คิดถึงเมฆกับซันจะแย่แล้ว
เป็นกำลังใจให้น้า :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-07-2008 20:50:43
ก้าวที่สิบสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมสังเกตเห็นว่าอาการของพ่อเอกเองกำลังเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าพอใจ บาดแผลและรอยฟกช้ำต่างๆก็กำลังค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ แต่ทว่าหลายครั้งที่ผมกลับเห็นท่านนั่งเหม่อลอย ถอนหายใจ และแลดูเงียบลงไปกว่าทุกครั้ง มีหลายมื้อที่พ่อเอกทานอาหารเหลือเยอะกว่าที่เคยมาก และมันก็ทำให้ทั้งผมและไคล์รู้สึกไม่สบายใจเอาเลยจริงๆ แต่ถ้าถามผมตรงๆแล้วล่ะก็ ผมเองก็พอจะรู้อยู่แก่ใจเหมือนกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อเอกทั้งหมดนี้มันเกิดมาจากสาเหตุอะไร.......... หรือใคร แต่ทว่าผมเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้พ่อเอกรู้สึกดีขึ้นได้ด้วยเช่นกัน

“พ่อกินข้าวเหลืออีกแล้วนะครับ พ่อดูผอมลงไปนะ พยายามกินให้มากกว่านี้หน่อยสิครับ เดี๋ยวร่างกายก็ไม่แข็งแรงหรอก” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เราสามคนนั่งกินมื้อเย็นกันเสร็จ

“พ่ออิ่มแล้ว”

“แต่ว่า........”

“ไม่เป็นไรหรอก พ่ออิ่มแล้วจริงๆ”

ผมถอนหายใจเบาๆ “ครับ....... ผมขอโทษนะครับพ่อ”

“เรื่องอะไร” พ่อเอกถาม และผมก็เห็นไคล์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัดอยู่ข้างๆ

“เรื่องที่ผมเป็นต้นเหตุทั้งหมดนี่ไงครับ ผมรู้ว่าพ่อไม่สบายใจ แต่ผมสัญญาครับว่าผมจะไม่ทำให้พ่อเป็นห่วง และทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”

“ไคล์”

“ครับ” ไคล์ตอบรับ

“พาลุงขึ้นห้องหน่อยซิ ลุงอยากพักผ่อนสักหน่อย อ้อ แล้วก็ถือแก้วน้ำขึ้นไปให้ลุงด้วยนะ”

“ได้ครับ”

ผมทำท่าจะท้วง แต่ไคล์ก็เอามือมาวางบนตักของผมเอาไว้ก่อน และพอผมหันไปมองเขา เขาก็ส่ายหัวน้อยๆเป็นเชิงห้ามเอาไว้ ไคล์ลุกขึ้นและเดินอ้อมไปช่วยพยุงพ่อเอกให้ยืนขึ้น จากนั้นก็ถือแก้วน้ำเอาไว้ในมือ หลังจากที่พ่อยืนขึ้นแล้วท่านก็นิ่งอยู่อย่างนั้นอึดใจหนึ่ง

“เมฆ......... พ่อน่ะ รักเมฆมากนะ รักไคล์ด้วย และแน่นอนว่าซันก็ด้วยเหมือนกัน แต่พ่อต้องยืนยันให้เมฆแน่ใจว่า พ่อจะมีความสุขมากกว่ากับการตัดสินใจและการที่ทุกคนได้เดินไปตามเส้นทางของตัวเองอย่างมีความสุข ในช่วงเวลาสองสามเดือนมานี้มีอะไรหลายอย่างเหลือเกินเกิดขึ้นในบ้านของเรา แต่ไม่ว่าเมฆจะไปที่ไหนกับใคร ทำอะไร หรือซันจะไปนอนอยู่ที่ไหน ทุกๆคนก็คือ ‘ลูกชาย’ ของพ่อ และเป็นลูกที่พ่อภูมิใจ ทว่าบางสิ่งบางอย่างที่ลูกๆทุกคนสูญเสียมันไป สิ่งนั้นแหละที่ทำให้พ่อเสียใจและเสียดายมากกว่าเรื่องไหนๆเสียอีก” ขณะที่พ่อพูด ผมก็สังเกตเห็นมือข้างที่จับพนักพิงเก้าอี้อยู่ของพ่อสั่นเทาเล็กน้อย

“พ่อครับ......”

“พ่อขอไปนอนก่อนนะ เก็บล้างให้เรียบร้อยด้วยล่ะ แล้วก็พักผ่อนซะด้วย ไม่ต้องมัวห่วงพ่อมมากนักหรอก พรุ่งนี้ต้องออกไปข้างนอกกับวินเค้าไม่ใช่เหรอ”

ผมพยักหน้ารับ “ครับ”

“ดูแลตัวเองล่ะ ระวังสิ่งที่ตัวเองคิดให้ดีๆ”

“ผมเข้าใจครับ” ผมมั่นใจว่าพี่วินเองก็คงบอกอะไรพ่อไปแล้วบ้างเหมือนกัน แต่บางครั้งผมก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีนักว่าทำไมพ่อถึงต้องเป็นห่วงผมมากขนาดนั้นด้วย ทั้งๆที่มันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้กังวลมากถึงขนาดนั้นสักหน่อย “ผมรักพ่อนะครับ”

พ่อเอกพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากโต๊ะกินข้าวไปโดยมีไคล์เดินตามไปติดๆ หลังจากที่ทั้งสองคนเดินหายไปตรงบันไดแล้ว ผมก็จัดการเก็บโต๊ะกินข้าวให้เรียบร้อย และอีกไม่กี่นาทีถัดมา ไคล์ก็เดินกลับมาช่วยผมเก็บล้างในห้องครัว

“พี่ขอโทษนะไคล์” ผมพูดขึ้นขณะที่กำลังล้างจานอยู่โดยมีไคล์ยืนพิงเคาน์เตอร์รออยู่ข้างๆ

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”

“แต่พี่ไม่เข้าใจ........ พี่ไม่เข้าใจเลยเลย พี่ไม่เข้าใจว่าพี่ควรจะทำยังไงพ่อถึงจะรู้สึกดีขึ้น พี่ควรจะทำยังไงไม่ให้ไคล์ต้องรู้สึกแบบนี้ และพี่จะต้องทำยังไง เพื่อไม่ให้คนอื่นต้องมาเศร้าใจและเป็นกังวลเพราะมีพี่เป็นต้นเหตุแบบนี้” ผมพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากอ่างล้างจาน พยายามซ่อนสีหน้าเพื่อไม่ให้ไคล์เห็นถึงความอ่อนแอที่พักนี้รู้สึกว่าผมจะเป็นบ่อยเหลือเกินแล้ว ผมไม่อยากจะทำให้ใครต้องทุกข์ใจจริงๆ ในตอนนี้แม้แต่อีฟหรือพวกไอ้กอล์ฟก็มีส่งเมสเสจหรือโทรมาหาผมด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงอยู่เป็นระยะๆด้วยเหมือนกัน ดูเหมือนทุกคนจะได้รับผลกระทบจากเรื่องครั้งนี้กันไปอย่างถ้วนหน้า และผมก็รู้สึกไม่ชอบมันเลยจริงๆ

“ศิลาอยากจะรู้จริงๆมั๊ยว่าผม พ่อของศิลา และทุกๆคนต้องการอะไร” ไคล์พูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง

ผมล้างมือและปิดก๊อกน้ำ จากนั้นก็หันมาสบตากับเขา “อะไรครับ”

“ต้องการให้ศิลามีความสุขไง”

“แต่พี่ก็ไม่ได้กำลังมีความทุกข์นี่”

“แน่ใจนะ ว่าที่พูดออกมาน่ะจริง” ไคล์ยกมือขึ้นมาวางบนหน้าอกข้างซ้ายของผม “ศิลาจะโกหกใครก็ได้นะ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ และผมจะบอกตรงๆเลย ศิลาโกหกตัวเองไม่ได้ แถมยังโกหกคนอื่นไม่ได้เลยอีกด้วย เพราะศิลาเป็นคนโกหกไม่เก่งเอาซะเลย และคนที่อยู่ข้างในนี้จริงๆน่ะ คือคนที่มีรอยยิ้มที่งดงามที่สุด และมีความสุขพร้อมที่จะแบ่งปันให้คนอื่นตลอดเวลาต่างหาก” ไคล์เลื่อนมือจากหน้าอกของผมมาจับมือซ้ายของผมไปแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา “และเขาคนนั้นก็ยังคงยิ้มแย้มอยู่ข้างในนี้ของผมตลอดมาเลยด้วย ทุกคน โดยเฉพาะลุงเอก กำลังรอรอยยิ้มของศิลาอยู่นะ นั่นล่ะ คือสิ่งที่ศิลาทิ้งและทอดทิ้งมันไป และทุกคนก็กำลังรอคอยและพยายามช่วยเหลือให้ศิลาตามหามันกลับคืนมาอยู่ เพียงแต่ศิลาไม่เคยรู้ตัวเลยเท่านั้นเอง”

ผมชักมือกลับและหมุนตัวหันข้างให้แก่ไคล์ สองมือเท้าอยู่บนเคาน์เตอร์ ก้มหน้า และพูดออกมาอย่างยากลำบากเพื่อพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองต้องสั่นเครือ “แล้วพี่จะทำยังไงได้ และจะให้พี่ทำยังไงล่ะ ในเมื่อความสุขของพี่มันไม่อยู่กับพี่อีกแล้ว มันเดินออกจากชีวิตพี่ไปแล้ว.........”

ไคล์จับไหล่ของผมและดึงให้ผมหันหน้ากลับไปหาเขา จากนั้นเขาก็ก้มลงมาหอมแก้มผมเบา “นี่คือสิ่งที่พีทฝากผมมาให้ศิลาเมื่อศิลาพูดประโยคเมื่อครู่ออกมา และเค้ายังฝากผมมาบอกอะไรบางอย่างอีกด้วย แต่ก่อนอื่นผมสองคนมีเรื่องอยากจะถามศิลาสักหน่อย เราไปที่ห้องนั่งเล่นกันเถอะ”

ผมพยักหน้าและเดินตามไคล์ออกไปที่ห้องนั่งเล่น เมื่อเราสองคนนั่งลงบนโซฟาแล้ว ไคล์ก็จ้องหน้าผมและถามคำถามที่เค้ารอคอยออกมาทันที “ศิลายังรักซันอยู่มั๊ย”

ผมสะอึกเล็กน้อยกับคำถามง่ายๆแบบนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงจะต้องคิดมากด้วย “มันยังมีความหมายอะไรอยู่อีกรึไง”

“มีสิ มีมากด้วย ตอบผมมาตามตรง และคิดดีๆด้วยนะ หลังจากที่เจอเรื่องทั้งหมดนี้มาแล้ว และไม่ต้องคิดถึงว่าซันคิดยังไงด้วยนะ เอาแค่ความรู้สึกของศิลาคนเดียว ตอนนี้ศิลายังคงรักซันอยู่มั๊ย”

ผมมองตาของไคล์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าออกมา และความจริงนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบ “ถึงมันจะพูดยังไงหรือทำอะไรลงไป แต่ว่า........ ถ้าพี่ไม่ได้รักมันล่ะก็ อะไรๆมันก็คงไม่ยากขนาดนี้หรอก” น้ำตาของผมเริ่มไหลมาปริ่มอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง

ไคล์จับหน้าของผมให้มองไปยังเขาอีกครั้ง ก่อนที่จะโน้มเข้ามาจูบลงบนริมฝีปากของผมเบาๆ “นี่แหละ ที่ผมกับพีทอยากจะรู้ เอาล่ะ” เขาคว้ามือขอผมไปจับเอาไว้ “หอมแก้มเมื่อกี๊เป็นสิ่งที่พีทฝากมา ส่วนจูบเมื่อกี๊เป็นของผมเอง และนี่คือสิ่งที่เราสองคนอยากจะบอกศิลาให้รู้เอาไว้นะ”เขายิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะสูดลมหายใจเข้าช้าๆ “‘พรหมลิขิต ก็คือเส้นทางที่คนสองคนขีดและเดินไปด้วยกัน เป็นสิ่งที่เราต้องตัดสินใจจะลงมือทำเองไม่ใช่รอให้มันเกิดขึ้น’ ศิลายังจำคำพูดประโยคนี้ได้อยู่มั๊ย มันคือสิ่งที่ศิลาเคยพูดกับพวกเราเมื่อตอนที่เราอยู่ที่แกรนด์แคนยอนไง เป็นคืนที่ผมสองคนไม่มีวันลืม คืนที่เราสี่คนนั่งกอดกัน คุยกัน หัวเราะและร้องไห้ด้วยกัน และเป็นคืนที่ทั้งพีทและผมต่างก็รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้รู้จักพี่ชายที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่รักที่สุดนโลกอย่างสองคนนี้”

คำพูดของไคล์ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่เราทั้งสี่คน ท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายน้ำ และผืนดินได้เจอกันพร้อมหน้าเป็นครั้งแรกหลังจากที่เสียเวลาไปหลายปีกับการคลาดกันและตามหากัน

“คืนนั้น ศิลากับซันเป็นคนพูดและสอนพวกเราเองว่า การที่จะรักใครสักคน มันคือการรักและเชื่อในตัวของตัวเอง การที่ศิลาเลือกที่จะรักซันและบินไปหาซันที่อังกฤษนั้น ไม่ใช่เพราะซัน แต่เป็นเพราะศิลาเลือกที่จะรักตัวเองและทำตามสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ ศิลาเลือกที่จะซื่อสัตย์กับตัวเอง เลือกที่จะเดินไปในเส้นทางที่ตัวเองมีความสุขที่สุด จำได้มั๊ย” ไคล์กุมมือของผมไว้แน่น “นอกจากนี้พีทยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฝากผมมาบอกศิลาเป็นพิเศษอีกด้วย เขาฝากมาบอกว่า ‘บางทีกระจกมันก็ไม่สามารถสะท้อนภาพออกมาได้ครบถ้วนหรอก ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นก็คือคนที่เรารักและสามารถเชื่อใจได้ และในตอนนี้ผมกับไคล์ก็อยากจะเป็นกระจกบานนั้นให้พี่นะครับ’” ไคล์ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน และนั่นก็ยิ่งทำให้น้ำตาของผมมันไหออกมามากขึ้นไปอีก “เข้มแข็งไว้นะ ศิลา เราสองคนยังคงยืนเคียงข้างทั้งคู่เสมอ ผืนดินและสายน้ำ ยังคงแหงนหน้ารอคอยวันที่จะเห็นท้องฟ้าและก้อนเมฆที่สวยงามกลับมาลอยเคียงคู่กันอย่างที่เคยเป็นอีกครั้งนะ”

“ไคล์..... พี..........”

ไคล์ดึงตัวผมเข้าไปกอดและสิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่ปล่อยให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอนี้มันไหลออกมาอาบแก้ม พร้อมกับสัญญากับตัวเองเบาๆภายในใจว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ........ ครั้งสุดท้ายที่ผมจะเสียน้ำตาให้กับความเศร้าในเรื่องนี้

“เชื่อผมสองคนนะว่า พระอาทิตย์เองก็รักและคิดถึงก้อนเมฆ คิดถึงท้องฟ้าสีครามที่จะสวยงามได้ที่สุดก็ต่อเมื่อมีก้อนเมฆที่อ่อนโยนและงดงามลอยอยู่เคียงคู่เท่านั้นเหมือนกัน” ไคล์พูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษพลางกอดผมไว้อย่างแนบแน่น “และตอนนี้ผมมีอะไรที่สำคัญมากๆอยากจะบอกศิลาเป็นอย่างสุดท้าย แต่ก่อนหน้านั้น...........” เขาดันตัวผมออกช้าๆและมองเข้าไปในดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของผม “จงเชื่อใจผมสองคนนะครับ และผมเชื่อว่าศิลาจะต้องตามหาความสุขของตัวเองกลับมาได้อย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าศิลาทำได้”

ผมยิ้มเบาๆและพยักหน้าออกมา นั่นก็คือคำพูดที่ผมเคยพูดกับพีเมื่อคืนนั้นด้วยอีกเหมือนกัน ให้ตายสิ ผมรักเด็กสองคนนี้มากจริงๆ จากนั้นไคล์ที่เห็นรอยยิ้มของผม ก็เผยรอยยิ้มของตัวเองออกมาอีกครั้งด้วยเหมือนกัน พร้อมกับบอกอะไรบางอย่างออกมาให้ผมฟัง และนั่นก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในใจผมมันเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วินาทีที่ไคล์พูดจบทันที

วันรุ่งขึ้นพี่วินก็มารับผมที่บ้านอย่างที่นัดกันไว้ และผมเองก็พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมซะอีกที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างให้มันจบๆลงไปในวันนี้ เพราะตอนนี้ผมไม่มีเวลาที่จะมามัวเสียไปอีกต่อไปแล้ว

“สีหน้าดูดีขึ้นนิดหน่อยนี่” พี่วินทัก

“ครับ ผมพร้อมแล้ว และจะไม่ลังเลอีกแล้วด้วย เพราะหลังจากนี้ผมมีธุระที่จะต้องทำต่ออีกเหมือนกัน”

พี่วินมองหน้าผมแล้วพยักหน้า “ดีแล้ว และเมื่อคืนได้ทำอย่างที่พี่บอกรึยัง”

“ครับ ผมนัดไอ้พี่จ๊อบเอาไว้แล้ว” ผมขยับซีทเบลท์ให้เข้าที่ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับพี่วิน “ไปกันเถอะครับ นำผมไปเลย”

นับจากวันที่ผมกับซันยื่นคำขาดกัน หรือนับแต่ที่พ่อเข้าโรงพยาบาล พี่จ๊อบเองก็คอยติดต่อผมอยู่เรื่อยๆตลอดมา โดยที่ผมก็คออยบอกปัดการนัดพบไปตลอดมาด้วยเช่นกัน โดยอ้างเหตุผลว่าผมจะรอจนกว่าพ่อหายดีและตัวผมพร้อม จนกระทั่งเมื่อคืนผมได้โทรไปยืนยันกับพี่จ๊อบอีกครั้งว่าผมพร้อมแล้ว เพียงแต่ผมไม่ได้บอกไปเท่านั้นเองว่า ผมพร้อมแล้วที่จะคุยเรื่องนี้ให้มันเด็ดขาดไปสักที ซึ่งตัวพี่จ๊อบก็คงจะหลงคิดไปเองว่าผมพร้อมที่จะตกงปลงใจกับเขาแล้วเป็นแน่

พี่วินขับรถพาผมออกจากหมู่บ้านไปสู่ถนนใหญ่ และผมก็ไม่รู้เลยว่าเขาจะพาผมไปไหน แต่ผมก็ไม่สงสัยและไม่คิดจะถามด้วยเหมือนกัน เพราะผมเรียนรู้มามากเกินพอแล้วว่าคำถามเหล่านั้นมันไม่มีความหมายอะไรเลยแม้แต่น้อย

“หลังจากคุยกับแบ๊งค์แล้ว คิดว่าเรื่องทั้งหมดมันชัดเจนขึ้นบ้างมั๊ย” ในที่สุดพี่วินก็ถามขึ้นขณะที่รถของเราจอดตายสนิทอยู่ที่แยกไฟแดง

“ชัดมากด้วยครับ แต่ว่าถึงยังไงมันก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ผมรู้สึกว่ามันยังคงไม่ค่อยลงล็อคยังไงไม่รู้เหมือนกันบอกไม่ถูก”

“เมื่อวานพี่ไม่ได้ถาม แต่ตอนนี้เรายังมีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงตอนเย็น ระหว่างตอนที่พี่ขับรถอยู่นี่ เมฆเล่าให้พี่ฟังทีซิว่าแบ๊งค์มันเล่าอะไรออกมาบ้าง ขอทั้งหมดนะ พี่อยากรู้ว่ามันบอกความจริงทั้งหมดออกมาแน่รึเปล่า อ้อ แล้วก็บอกพี่ด้วยว่าเมฆมีอะไรอยู่ในใจอยู่แล้วบ้าง”

ผมนั่งครุ่นคิดและประมวลถึงข้อมูลที่ผมเพิ่งรู้มาเมื่อวานเล็กน้อย “เริ่มจากสิ่งที่ผมรู้ก่อนนะครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าตัวการทั้งหมดมันต้องเป็นพี่จ๊อบแน่ เพราะอะไรๆมันเหมาะเจาะเกินไป ผมเคยสงสัยว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่สามสี่ครั้ง ถึงจะไม่แน่ใจนัก แต่มันก็เหมาะเจาะพอดีกับเรื่องตุ๊กตาหมีที่ผมกับไอ้ซันได้รับมา บวกกับท่าทีแปลกๆของไอ้ซันที่อยากจะจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเองถึงขนาดต้องพึ่งไอ้เอ็น ซึ่งก็คงเพราะไม่อยากจะให้ผมต้องไม่สบายใจล่ะมั๊ง กับการที่บางทีพี่จ๊อบมันก็รู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมได้หลายครั้งอย่างน่าประหลาด ซึ่งนั่นก็น่าจะแปลว่าเขาต้องติดต่อกับใครบางคนที่รู้จักผมอยู่แน่ ซึ่งผมก็สงสัยไอ้แบ๊งค์มาตั้งแต่ตอนงานวันเกิดผมแล้ว”

พี่วินพยักหน้า “แล้วยังไงต่อ”

“จนกระทั่งเมื่อวาน........” ผมนึกย้อนไปถึงสีหน้าและน้ำเสียงของไอ้แบ๊งค์เมื่อวานแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรื่องที่ผมได้ยินออกจากปากของมันนั้น จะเป็นความจริงทั้งหมดแน่รึเปล่า แต่ในตอนนี้ผมก็พร้อมแล้วที่จะเสี่ยง “ไอ้แบ๊งค์ พ่วงด้วยไอ้เอ็น บอกผมว่าพี่จ๊อบเป็นคนที่ขู่ให้ไอ้แบ๊งค์มันร่วมมือด้วยนับตั้งแต่วันที่เรากลับมาจากทะเลกันแล้ว โดยถ้ามันไม่ให้ความร่วมมือ มันจะใช้เส้นสายของพ่อมันกดดันครอบครัวของไอ้เอ็น ทำให้มันไม่มีทางเลือก เพราะเท่านี้พ่อมันก็โดนปลดออกจากตำแหน่งที่เคยเป็นอยู่ไปเรียบร้อยแล้วด้วย นั่นคือการส่งสัญญาณเตือนว่ามันสามารถทำได้อย่างที่ปากพูดจริง และนั่นก็ทำให้ไอ้แบ๊งค์ต้องจิตตกไปเลยเหมือนกัน............ พี่วินรู้เรื่องนี้อยู่แล้วรึเปล่าครับ”

“อืมมม” พี่วินพยักหน้า “หลังจากที่พี่เข้าไปสนใจเรื่องของไอ้แบ๊งค์นี่นะ แล้วไง มันว่ายังไงต่อ”

“มันบอกผมว่ามันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายน่ะครับ ทุกอย่างมันก็แค่ทำไปตามที่พี่จ๊อบบอกให้ทำ โดยเฉพาะเรื่องคืนนั้น.......... แล้วพี่วินว่าผมเชื่อสิ่งที่มันเล่ามาได้รึเปล่า”

“แล้วใจของเมฆเชื่อไปรึยังล่ะ”

“ผม.......” ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย “ผมคิดว่าผมเชื่อนะ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน”

“แล้วเรื่องรูปถ่าย.........”

“รูปของนัทน่ะเหรอครับ” ผมถาม “มันบอกว่ามันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ แต่ผมก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักหรอก แต่จะว่าไปพอมานึกดูดีๆ มันก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยจริงๆนั่นแหละ เพราะงั้นมันก็อาจจะไม่รู้จริงๆก็ได้”

“งั้นก็ดีแล้ว” พี่วินพูดเงียบๆ “แล้วเรื่องตุ๊กตาหมีล่ะ”

“มันบอกผมว่ามันไม่รู้เรื่องเลย และก็ไม่ใช่คนที่ทำหรือเอาไปส่งให้พวกเราด้วย พี่จ๊อบไม่เคยบอกอะไรมันเรื่องนี้เลย”

“ก็นั่นสินะ” พี่วินพยักหน้า

“มันบอกแค่ว่าบางทีมันก็จะถูกพี่จ๊อบบอกให้โทรหาซัน หรือชวนซันไปนั่นไปนี่ตามเวลาที่พี่จ๊อบมันต้องการเท่านั้น อย่างวันที่มันไปกินข้าวกับไอ้ซันแล้วเจอพี่จ๊อบกับนัทนั่นก็ด้วยเหมือนกัน”

“ก็คงงั้น”

“พี่วินรู้อะไรงั้นเหรอครับ” ผมสงสัย

พี่วินยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “ตอนนี้ก็จะเที่ยงแล้ว เราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ พี่เดาว่าเมฆคงยังไม่ได้กินอะไรมาใช่มั๊ย”

ผมส่ายหน้า “กินขนมปังมาเมื่อเช้านิดหน่อยน่ะครับ แต่ก็แค่นั้น”

“ดี งั้นเราไปหาอะไรกินฆ่าเวลากันเถอะ แล้วหลังจากนั้นเราค่อยไปหาไอ้จ๊อบในที่ๆเมฆนัดมันเอาไว้กัน”

“ครับ” ผมรับคำ และปล่อยให้พี่วินเป็นคนขับรถพาเราสองคนไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เราสองคนนั่งกินข้าวกันเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก ไม่ว่าจะเรื่องของผม เรื่องพี่จ๊อบ เรื่องไอ้ซัน หรือแม้แต่เรื่องของพ่อเอก จนกระทั่งทุกอย่างบนโต๊ะถูกเก็บไปจนหมดเหลือเพียงถ้วยกาแฟของเราสองคนวางอยู่ พี่วินก็เป็นฝ่ายถามขึ้นพร้อมกับยกถ้วยกาแฟของตัวเองขึ้นจิบ

“เมฆรู้จักคนที่ชื่อบอลมั๊ย”

ผมใช้เวลาครู่หนึ่งในการนึก เพราะว่าผมเองก็ไม่ได้มีเพื่อนชื่อนี้อยู่ในกลุ่มหรือแม้แต่ในที่ทำงาน จนในที่สุดผมก็นึกได้และพยักหน้าออกมา

“ผมรู้จักคนนึง เป็นพี่ที่เคยถ่ายรูปให้พวกผมสี่คนที่คอนโดของพี่แอมป์น่ะครับ พี่วินหมายถึงคนนี้รึเปล่า”

พี่วินพยักหน้าเบาๆ

“แล้วเค้าทำไมครับ”

พี่วินยิ้มน้อยๆแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็วางถ้วยกาแฟที่ถือเอาไว้ลงบนโต๊ะ “ยังไม่มีอะไรหรอก” และยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากพูดอะไรต่อ พี่วินก็ขัดขึ้น “แล้วเรื่องที่บอกว่าเมฆไม่มีเวลาแล้วน่ะ หมายถึงอะไร”

ผมตัดสินใจทิ้งเรื่องที่ผมคาใจเอาไว้ก่อนแล้วเล่าให้พี่วินฟังถึงการตัดสินใจของผม และเมื่อผมพูดจบ พี่วินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากมีรอยยิ้มน้อยๆอย่างพอใจอยู่บนใบหน้าเท่านั้น

“พี่วินไม่ว่าอะไรใช่มั๊ยครับ”

พี่วินยักไหล่  “พี่จะว่าอะไรได้ล่ะ มันเป็นการตัดสินใจของเมฆคนเดียว พี่ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว”

“แต่พี่ไม่คิดว่าผมกำลังทำในสิ่งที่ผิดใช่มั๊ย”

“พี่เคยบอกแล้วไง ว่าพี่ไม่ค่อยเข้าใจไอ้เรื่องพวกนี้ดีนักหรอก แต่พี่เข้าใจในตัวเมฆ พี่รู้และเห็นในสิ่งที่เมฆต้องการได้จากทั้งแววตาและน้ำเสียงของเมฆเมื่อครู่นี้ และนั่นมันก็เพียงพอแล้วที่พี่จะโอเคกับการตัดสินใจครั้งนี้ของเมฆน่ะ”

“ขอบคุณครับ พี่ทำให้ผมมั่นใจขึ้นได้อีกเยอะเลย” ผมยิ้มกว้าง รู้สึกตัวเองกำลังสั่นจากภายในเล็กน้อยโดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หวังว่านี่จะเป็นอาการสั่นสู้นะ...........

“เพียงแต่ว่า........” พี่วินเว้นช่วง “พี่คิดว่าเมฆน่าจะตัดสินใจทำได้ตั้งนานแล้วนะ พี่แปลกใจนิดหน่อยนะว่าทำไมเมฆถึงเพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้”

“พี่วินหมายความว่า........” ผมอ้าปากจะถาม แต่สุดท้ายก็ได้แต่อ้าปากค้าง “พี่วินรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ”

“ตั้งแต่วันแรกที่มันไป”

“แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อย

“ก็มันไม่ใช่ธุระของพี่นี่ มันไม่ใช่สิ่งที่พี่ตัดสินใจไว้แต่แรกแล้วว่าพี่จะทำ แต่ ‘นี่’ ต่างหากคือสิ่งที่พี่ตั้งใจจะทำ ส่วนเรื่องนั้นมันเป็นการตัดสินใจของเมฆเอง และ” พี่วินเน้นคำสุดท้ายเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะอ้าปากเถียง “เป็นสิ่งที่เมฆต้องการจากคนที่เมฆเชื่อใจ คนที่เมฆรัก ไม่ใช่เส้นทางที่คนนอกอย่างพี่จะเข้าไปยุ่ง”

ผมขมวดคิ้ว “ผมเองก็รักและเชื่อใจพี่”

พี่วินหัวเราะ “พี่จะถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน”

“คุยอะไรกันอยู่ครับ น่าสนุกเชียว”

ผมหันไปมองตามที่มาของเสียงแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นพี่กรณ์กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆโต๊ะของพวกเรา

“ทำไมมาช้านักล่ะ” พี่วินถาม

“ขอโทษครับพี่ เมื่อเช้าผมก็ไปจัดการธุระมาให้พี่นั่นแหละครับ แต่ว่าเพื่อนพี่มันมีปัญหานิดหน่อย ก็เลยเสียเวลากว่าที่คิดไปนิด แต่นี่ครับ ของที่พี่วานให้ผมไปจัดการ ส่วนเพื่อนใหม่พี่ก็กำลังรอเราสองคนอยู่ที่เดิมนะครับ”

“ดี ขอบใจมาก” พี่วินพยักหน้าแล้วรับซองเอกสารซองหนึ่งมาจากพี่กรณ์ จากนั้นก็หันไปโบกมือให้บริกรมาคิดเงิน “งั้นเราไปกันเถอะ” แต่พอผมขยับตัว พี่วินก็ปรามผมเอาไว้เสียก่อน “เมฆไม่ต้องไป”

“อ้าว ทำไมครับพี่”

“ตอนนี้พี่กับกรณ์มีธุระต้องไปทำนิดหน่อยน่ะ เมฆไปด้วยไม่ได้” พี่วินมองดูนาฬิกาข้อมือ “มีเวลาอีกประมาณสามชั่วโมง เมฆไปเดินเล่นหรือไปไหนก่อนก็ได้ แล้วหลังจากนี้พี่จะโทรหาเราอีกที เอ้า เอารถพี่ไปใช้” พี่วินยื่นกุญแจรถมาให้แก่ผม

“ผมไม่เข้าใจนะเนี่ย แล้วพี่จะให้ผมไปไหนทำอะไรครับ แล้วนี่พวกพี่จะไปไหนกัน ผมนึกว่าพี่จะอยู่กับผมทั้งวันซะอีก”

“ไม่ต้องห่วง นิสัยพี่ไม่ยอมพลาดเรื่องสนุกๆแน่ๆอยู่แล้ว และตอนนี้พี่ก็มีเรื่องสนุกรออยู่เหมือนกัน” พี่วินยิ้มให้แก่ผม และไม่รู้ว่าผมคิดมากไปเองหรือเปล่า แต่ว่ารอยยิ้มนั่นก็ทำให้ผมต้องขนลุกเหมือนกับเมื่อคืนนั้นเลยทีเดียว พี่วินหันไปยื่นแบ๊งค์พันให้กับบริกรพร้อมบอกว่าไม่ต้องทอน จากนั้นก็พยักหน้าให้กับพี่กรณ์ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากร้านอาหารไปเงียบๆโดยไม่หันมามองผมอีกเลย


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: PakBeob ที่ 29-07-2008 21:03:23
 :serius2: อาไรอ่า งงงง รู้สึกตัวเองไม่เหมาะกะนิยายประเภทนี้เลยแหะ :o8:

เดาไม่ออกอ่า... :a6:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 29-07-2008 22:48:19
ขออีกตอนสิน้องต้น เพราะตอนนี้พี่ยังหาทางออกประตูไม่เจอเลย มันมืดไปหมด :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 30-07-2008 09:52:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

Thank you for continue and waiting for the new one.

 :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 30-07-2008 10:59:03
อ่านตอนนี้แล้ว  เหมือนได้อ่านนิยายประเภทสืบสวนเลย

แต่ก็น่าติดตามมากนะ

 :oni3: :oni3: :oni3:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 30-07-2008 16:23:40
มาขอเปนแฟนนิยายเรื่องนี้ด้วยคนค่ะ

อ่านแล้วติดงอมแงม เป็นกำลังใจให้คนแต่งด่้วยค่ะ

มาต่อเร็วๆน๊า

อ้อ ขอจิ้มก้น ๑ ทีด้วย อิอิ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 03-08-2008 20:42:43
 :m1:  ถึงจะยังค้างๆคาๆ แต่ก็ดีใจที่มาต่อให้

เมฆจะทำอะไรต่อไปเหรอ ไปตามซันกลับมาป่ะ
ลุ้นให้เมฆกับซันกลับมาคู่กันเร็วๆ
เพราะว่าก้อนเมฆต้องอยู่คู่กับท้องฟ้าสิ จริงมั้ย  :o8:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 03-08-2008 21:14:22
โอยมึน .... แต่ก็สนุกนะ

ขอบคุณมากนะคร้าบ รอต้นมาไขให้กระจ่างคับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 09-08-2008 14:55:20
 :m5: :m5: :m5: :m5:
โอม จงมา จงมา
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 09-08-2008 15:02:54
ยังไม่มาต่ออีกเหรอคะ


 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 09-08-2008 20:37:55
น้องต้นนนนนนน
มาต่อทีเท้อออออออออ :dont2: :dont2:
จะลงแดงเพราะคิดถึงเมฆกับซันแล้วน๊า o9 o9
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 13-08-2008 08:54:22
 :m32:

ยังไม่มาอีกเหรอ :เฮ้อ:
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-08-2008 13:18:26
ขอโทษทีครับ มีเน็ตไม่มีคอม มีคอมไม่มีเน็ต บางทีมีทั้งสองแต่ไม่มีไฟล์อยู่กะตัว ไม่ได้แปะซักที  :เตะ1:
ใกล้จบและ(มั๊ง)ครับ ขอโทษอีกครั้ง ขอโทษจริงๆที่ให้คอย TwT


ก้าวที่สิบเอ็ดสู่ปลายทางสุดท้าย


หลังจากที่พี่วินกับพี่กรณ์เดินออกจากร้านไป ผมก็ยังคงนั่งคิดอะไรอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจขับรถกลับบ้านไปหาพ่อเอก ถึงอีกแค่สองสามวันพ่อก็จะสามารถกลับไปทำงานต่อได้แล้วก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกดีเลยที่ต้องทิ้งให้พ่อต้องอยู่ตามลำพัง เนื่องจากสภาพจิตใจของท่านที่ไม่ได้ดีขึ้นตามสภาพร่างกายเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันกลับดูแย่ลงทีละนิดๆด้วยซ้ำ

เวลาสามชั่วโมงที่พี่วินบอกมันไม่ได้มากพอจนเรียกได้ว่าเหลือเฟือ และก็ไม่ได้น้อยจนจะหาอะไรทำฆ่าเวลาได้ง่ายๆด้วยเช่นกัน และถึงแม้การจราจรบนท้องถนนวันนี้จะไม่ได้เลวร้ายมากก็ตาม แต่ผมก็ใช้เวลาเกือบสี่สิบนาทีเข้าไปแล้วกว่าจะกลับมาถึงบ้าน ซึ่งยิ่งทำให้ผมมีเวลาอยู่กับพ่อน้อยลงไปอีก แต่ผมก็ยังอยากจะใช้เวลาเท่าที่มีให้คุ่มค่ามากที่สุดอยู่ดี บทเรียนเล็กๆอย่างหนึ่งที่ผมได้รับมาจากเรื่องในคราวนี้ก็คือ จงใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารักให้มากที่สุด ก่อนที่จะต้องมาใช้เวลาที่เหลือให้กับการเสียใจจากการจากไปอย่างคาดไม่ถึง

ทันทีที่ผมเดินเข้าบ้าน พ่อที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาก็หันมามองผมด้วยใบหน้าแปลกใจ

“ผมมีเวลานิดหน่อยน่ะครับ เลยอยากกลับมาอยู่บ้านฆ่าเวลากับพ่อดีกว่า”

พ่อเอกพยักหน้าเล็กน้อย แต่แทนที่พ่อจะหันกลับไปอ่านหนังสือที่ตัวเองอ่านค้างอยู่ต่อ ท่านกลับวางหนังสือลงและหันมาคุยกับผมแทน “เมฆก็รู้ว่าอีกสองสามวันพ่อก็กลับไปทำงานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงพ่อจนต้องขับรถไปๆมาๆแบบนี้ก็ได้นี่นา”

“ผมรู้ครับ แต่ผมก็อยากกลับมาเอนหลังสบายๆอยู่บ้านมากกว่าไปนั่งอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆอยู่ดีนั่นแหละ” ผมนั่งลงบนโซฟาข้างพ่อเอก หลังจากนั้นเราสองคนก็ตกลงสู่ความเงียบครู่หนึ่ง แต่ว่ามันก็เป็นความเงียบที่น่าสบายใจและให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากเช่นกัน มันให้ความรู้สึกเดิมๆเหมือนเมื่อครั้งที่เรายังมีกันแค่สองคนเมื่อหลายปีก่อนนี้ และพ่อเองก็ดูจะรู้สึกและคิดแบบเดียวกับผมด้วยเหมือนกัน

“เราไม่ได้อยู่กันตามลำพังแบบนี้มานานมากแล้วเหมือนกันนะ” บางครั้งพ่อเองก็เป็นคนที่เปิดเผยความรู้สึกของตนเองมากไม่ต่างไปจากผมเลย และเราสองคนพ่อลูกก็ดูเหมือนจะมีความคิดความอ่านอะไรหลายๆอย่างคล้ายกันมากด้วยเช่นกัน

“ครับ จะว่าไปจริงๆตั้งแต่ผมกลับมาเราก็ไม่เคยได้อยู่กันสองคนเงียบๆแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบที่มีคนอื่นๆอยู่ในบ้านด้วยนะครับ เพียงแต่ว่าพอเราได้มานั่งกันอยู่สองคนแบบนี้แล้วมันก็เหมือนกับสมัยก่อนที่เราสองคนพ่อลูกมักจะนั่งคุยนั่งอ่านหนังสือกันเงียบๆแบบนี้แทบจะทุกครั้งที่เราอยู่บ้านเลยก็ว่าได้ ผมว่าผมคิดถึงความรู้สึกเก่าๆแบบนั้นเหมือนกันนะ”

“ทั้งๆที่เมฆเองก็มีเพื่อนเยอะ แต่กลับชอบที่จะอยู่บ้านมากกว่า บอกตามตรงนะว่าสมัยนั้นพ่อเองก็เคยรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน”

“นั่นสิครับ บางทีคงเพราะผมไม่ค่อยชอบความวุ่นวายมั๊ง”

“แต่เมฆมีเพื่อนที่ดีนะ”

ผมพยักหน้า “ข้อนั้นผมเห็นด้วยครับ ไม่ต้องสงสัยเลย ทุกคนโดยเฉพาะพวกไอ้ต่ายหรือไอ้กอล์ฟจะเป็นห่วงผมมาก โดยเฉพาะไอ้ต่ายน่ะนะ บางทีมันก็ทำตัวยิ่งกว่าแม่ผมซะอีก จนบางครั้งก็เกือบจะน่ารำคาญเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไม พอมานึกย้อนๆดูผมเองก็ไม่เคยรังเกียจที่พวกมันชอบมาจู้จี้กับผมขนาดนั้นเลยจริงๆ” ผมหัวเราะเบาๆ

“ก็เพราะทุกคนรักเรามากนั่นแหละ เมฆ พ่อยังจำได้ถึงตอนที่เมฆนอนโรงพยาบาลตอนนั้นได้อยู่เลย”

ผมพยักหน้าเงียบๆ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่โรงพยาบาลหลังจากที่ผมเกิดอุบัติเหตุ มันก็ทำให้ผมอดนึกถึงไอ้ซันขึ้นมาไม่ได้

“แล้วหลังจากเกิดเรื่อง ทุกคนเค้าว่ายังไงกันมั่งล่ะ” พ่อเอกถาม ท่าทางท่านจะสังเกตเห็นว่าผมเริ่มหลุดเข้าไปในความรู้สึกของตัวเองอีกครั้งก็เลยอยากจะช่วยดึงผมกลับมาก็เป็นได้ และมันก็ช่วยผมเอาไว้ได้ทันเวลาพอดี

“ก็โทรมาเรื่อยๆแหละครับ คนนั้นมั่งคนนี้มั่งสลับกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรตรงๆผมเท่าไหร่หรอก ออกจะเป็นแนวให้รู้ว่าผมมีพวกมันอยู่ และรอจนกว่าผมจะพร้อมแบบนั้นมากกว่า จะว่าไปแม้แต่พี่แอมป์ยังโทรหาผมอยู่เรื่อยๆเลย วันก่อนพี่เค้ายังอยากจะเจอผมและพาไปกินข้าวด้วยกันเลยครับ”

“แม้แต่พี่เค้าก็ยังเป็นห่วงเรามากเลย เห็นมั๊ยล่ะ เมฆรู้มั๊ยว่าเพราะอะไร”

“ครึ่งนึงผมคิดว่าเป็นเพราะผมเคยช่วยพี่เค้าเอาไว้มากกว่าครับ และอาร์มกับไคล์เองก็เรียนอยู่ที่เดียวกัน เลยไม่น่าแปลกใจที่พี่เขาจะรู้เรื่องผมกับไอ้ซันและแสดงความเป็นห่วงแบบนี้”

“เมฆอย่าคิดเพียงแค่นั้น ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องพี่เค้าไม่เคยโทรหาเราอีกเลยรึไง พ่อคิดว่าไม่ใช่นะ และที่สำคัญไอ้เรื่องที่ว่าเมฆเคยช่วยพี่เค้าเอาไว้นั่นก็ถูก แต่นับจากตอนนั้นมามันก็นานแล้วและก็คงไม่มีความจำเป็นอะไรที่พี่เค้าต้องติดค้างอะไรเราอีกแล้วนี่ เค้าเลือกที่จะหายหน้าไปเลยก็ได้ แต่พี่เค้าและทุกๆคนน่ะ รับรู้ถึงความรักและความห่วงใยที่เมฆมีให้พวกเค้าอย่างจริงใจ และทุกคนก็ชื่นชอบในส่วนนั้นของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหลายคนหรือแม้แต่ตัวพ่อเองก็ยังรู้สึกชื่นชมในสิงที่เมฆกับซันมีให้กันแก่กันมาก จนในตอนนี้เมื่อความรักของเราทั้งคู่มันดูถึงจุดที่แย่ลง ไม่ว่าใครที่เคยรู้ว่าลูกสองคนรักกันมากแค่ไหน ก็ย่อมต้องอยากเป็นกำลังใจให้เราทั้งคู่ผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดีทั้งนั้นแหละ”

ผมไม่เคยคิดตรงจุดนั้นมาก่อนเลย อย่างดีที่สุดผมก็คิดแค่ว่าทุกคนเป็นเพื่อนที่ดี ทุกคนรักและห่วงใยไม่ว่าผมหรือไอ้ซันมากเท่านั้น แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าหนึ่งในความปรารถนาดีเหล่านั้นมันจะมาจาก “ตัวความรัก” ที่ผมกับซันมีให้แก่กันด้วย

ความคิดและความรู้สึกใหม่นี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกคิดถึงมันมากขึ้นไปอีก

“เมฆคิดถึงซันมั๊ย”

“มากกว่าสิ่งไหนๆเลยครับ........” ผมถอนหายใจ “พ่อไม่รู้หรอกว่าทุกคืนที่ผมหลับตานอน และทุกวันที่ผมลืมตาตื่น รอยยิ้มของมันคือภาพภาพสุดท้ายและภาพแรกที่ผมนึกถึง ผมแทบไม่เคยต้องนอนคนเดียวโดยไม่มีมันมาก่อนเลย ตลอดเวลาสามปีในมัธยมปลายเราแทบจะเป็นเหมือนฝาแฝดกันในโรงเรียน จะห่างกันก็แค่ตอนกลับบ้าน และอีกสามปีถัดมาที่อังกฤษ เราสองคนก็ยิ่งแทบไม่เคยแยกห่างออกจากกันนอกจากเวลาเรียนเลย นั่นคือในหนึ่งวันเต็มๆผมใช้เวลาอยู่กับมันเกินกว่าสิบห้าชั่วโมงซะอีก..........”

เราสองคนพ่อลูกนั่งคุยกันอีกเล็กน้อย แต่ส่วนมากแล้วเราจะนั่งอ่านหนังสือกันอยู่เงียบๆมากกว่า จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง พี่วินก็โทรเข้ามาตามผม

“อยู่ที่ไหน”

“อยู่บ้านครับ พี่จะให้ผมเอาไงต่อ”

“ก็ตามที่นัดไว้เหมือนเดิมนั่นแหละ วันนี้จะเป็นวันที่เมฆได้รู้ความจริงและจะได้จัดการไอ้เหี้ยนั่นให้มันจบๆไปสักที”

และตอนนั้นเองที่ผมเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาได้ และไม่รู้ทำไมว่ามันถึงเป็นอะไรง่ายๆที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยด้วย “เอ้อ พี่วินครับ ผมขอโทษนะครับ แต่ว่า.......” ผมลุกขึ้นแล้วเดินออกไปยืนคุยที่หน้าระเบียงบ้าน “ถ้าพี่วินไม่ว่าอะไร ผมไม่อยากจะใส่ใจตรงจุดนั้นแล้วน่ะครับ” ผมคิดว่าพี่วินจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก็เปล่า เขายังคงเงียบและรอให้ผมเป็นฝ่ายพูดต่อเหมือนเคย ดังนั้นผมจึงเริ่มอธิบายสิ่งที่ผมเพิ่งคิดได้ออกไป “แน่นอนครับว่าผมอยากจะทำเรื่องนี้ให้มันจบๆไปสักที ผมอยากจะรู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยากรู้ความจริงทั้งหมด อยากรู้ว่ามันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร และที่สำคัญคืออยากจะให้มันเลิกยุ่งวุ่นวายกับชีวิตผมสักทีได้แล้วเหมือนกัน อืมม แต่จะว่าไปไอ้ที่บอกว่าอยากรู้ว่าทำไปเพื่ออะไรนี่จริงๆแล้วผมก็คงไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอก แต่ประเด็นก็คือ ผมไม่สนใจที่ ‘จัดการ’ อะไรมันอีกแล้วน่ะครับ ผมพูดจาวกวนรึเปล่าเนี่ย พี่วินพอจะเข้าใจผมมั๊ย”

พี่วินเงียบไปครู่หนึ่ง “เมฆจะบอกว่าเมฆไม่ได้โกรธ ไม่ได้อยากเอาคืนอะไรคนที่ทำแบบนี้กับเมฆเลยงั้นเหรอ คนที่ช่วงชิงความสุขของเมฆไป และคนที่ทำร้ายพ่อของเมฆน่ะนะ”

“ผมไม่ได้บอกว่าผมไม่โกรธนะครับ แต่ผมไม่อยากแก้แค้นหรือคิดร้ายอะไรเท่าไหร่นักหรอก การแก้แค้นและการเอาคืนคนที่ทำร้ายเรามันก็ทำให้เราไปตกอยู่สถานการณ์และกลายเป็นคนแบบเดียวกับคนเหล่านั้นเท่านั้นเอง ผมไม่อยากจะทำอะไรให้มันวุ่นวายไปกว่านี้แล้วน่ะครับ”

“หมายความว่าเมฆยกโทษให้กับสิ่งที่พวกมันทั้งหมดทำกับเมฆ ซัน และพ่อของเมฆ”

“ไม่ครับ ผมไม่ยกโทษให้ ผมคงยังไม่ใช่คนดีขนาดนั้น แต่ผมก็ไม่อยากจะเกลือกกลั้วอะไรกับคนแบบนี้อีกแล้ว ก็คงเท่านั้นมั๊งครับ ในเมื่อตอนนี้ผมรู้สึกแล้วว่า ถ้าเรื่องตรงนี้มันจะจบ ผมก็จะเริ่มเดินต่อไปในชีวิตของผมเองอีกครั้ง มันจะกลับมาเหมือนเดิมรึเปล่าผมก็ไม่รู้ แต่อะไรที่ผ่านไปแล้วผมก็อยากจะให้มันเป็นอดีตและทิ้งมันไว้ตรงนั้น มันก็คงเท่านี้แหละครับ”

“จริงๆแล้วพี่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับเมฆเท่าไหร่หรอกนะ ถ้าเมฆบอกว่าเมฆไม่ใช่คนดีขนาดนั้น พี่เองก็คงเป็นคนจำพวกเดียวกับไอ้จ๊อบหรือแย่ยิ่งกว่านั้นซะอีก แต่ถ้าเมฆต้องการแบบนี้พี่ก็เข้าใจ เพราะคำตอบนี้มันก็สมกับเป็นเมฆดีอยู่หรอก เพียงแต่ถ้าพี่จะแปลกใจก็คงเป็นว่าทำไมเมฆถึงเพิ่งมาพูดเอาป่านนี้เท่านั้นเอง”

“ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ แต่ถ้าจะว่ากันตรงๆ คงเป็นเพราะผมเพิ่งรู้สึกตัวมั๊งครับ บางทีอาจจะเป็นเพราะพ่อก็ได้มั๊งครับ ที่ทำให้ผมคิดได้”

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นอะไรๆมันก็คงง่ายขึ้นและดีขึ้น แต่ถึงยังไงพี่ก็ยังคงไม่ไว้ใจมันอยู่ดี ยิ่งดูจากที่ๆมันนัดเมฆเอาไว้ด้วยแล้ว”

“มันคงไม่มีอะไรหรอกครับพี่” ผมบอกพี่วิน แต่ความจริงแล้วมันคงเหมือนผมบอกตัวเองมากกว่า เพราะจริงแล้วผมเองก็ไม่เคยคิดจะไว้ใจคนๆนั้นเลยอยู่ดี ยิ่งฟังจากน้ำเสียงและบรรยากาศแปลกๆที่ผมรู้สึกได้จากการคุยโทรศัพท์เมื่อคืนนี้ด้วยแล้ว วันนี้การที่มีพี่วินคอยหนุนหลังอยู่ทั้งวันจึงเป็นความสบายใจที่ผมไม่คิดจะปฏิเสธเลยแม้แต่นิดเดียว

“แต่พี่ไม่ไว้ใจมัน เพราะฉะนั้นเมฆต้องดูแลตัวเองและระวังตัวให้มากๆ เข้าใจมั๊ย ใช่ว่าพี่จะเป็นห่วงเรามากเกินไปพราะคิดว่าเราดูแลตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็เป็นโค้งสุดท้ายแล้ว และมันเองก็คงระวังตัวแจเองด้วยเหมือนกันนั่นแหละ”

ผมรับคำอย่างเข้าใจและวางโทรศัพท์ไป ถึงพี่วินจะไม่ต้องพูดออกมา ผมก็พอรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเริ่มจะกดดันมากขึ้นกับทั้งคู่ เนื่องจากนับตั้งแต่คืนนั้นที่เกิดเรื่อง มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่พี่จ๊อบจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกน้องของตัวเองบ้าง ถึงพี่วินจะบอกผมว่าไอ้สองคนนั้นไม่ใช่ลูกน้องโดยตรงของมันและเขาจัดการปิดปากพวกมันไว้ได้สนิทแล้วก็ตามที

หลังจากเตรียมตัวเป็นครั้งสุดท้ายเสร็จ ผมก็บอกลาพ่อเอกและขับรถพี่วินออกจากบ้านเพื่อไปยังโรงแรมแห่งหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนตามที่ถูกนัดเอาไว้ แต่ทั้งพี่จ๊อบและพี่วินก็ยืนยันกับผมแล้วว่ามันเป็นโรงแรมขนาดกลางแห่งหนึ่งตรงเกือบจะใจกลางกรุงเทพที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในความคิดของพี่วิน และไม่มีปัญหาอะไรเลยเด็ดขาด ตามคำยืนยันของพี่จ๊อบ โดยเหตุผลที่ต้องเป็นโรงแรมแห่งนี้ก็เพราะว่าเราจะไปทานอาหารกันในร้านอาหารของที่นั่น ซึ่งรสชาติดี ราคาไม่แพง บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวเหมาะกับการพูดคุยธุระอะไรก็ตามที่เราจะต้องคุย และตามที่พี่วินบอกข้อมูลผมเพิ่มเติมมาเมื่อคืน โรงแรมแห่งนี้ยังเป็นโรงแรมที่เป็นหนึ่งในธุรกิจของครอบครัวของพี่จ๊อบที่มันเองก็ดูแลอยู่ด้วยเหมือนกัน

ใช่แล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วงเลยจริงๆ

ถ้าพี่วินไม่บอกข้อมูลหลังนั้นมาล่ะก็ ผมก็คงจะไม่รู้จากปากพี่จ๊อบเองแน่ๆ และในวันนี้ถ้าหากผมจะไม่ไป มันก็คงจะเป็นการน่าสงสัย และเรื่องนี้ก็คงจะต้องยืดเยื้อคาราคาซังต่อไปอีกแน่ๆ ซึ่งผมไม่คิดและไม่มีเวลาที่จะมาเสียอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจะลองเข้าถ้ำเสือดูสักครั้ง ผมคิดว่าผมมั่นใจในตัวเองพอ และแน่นอน ผมมั่นใจในตัวพี่วินด้วย

แต่ก็ใช่ว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นนี่นะ.........

ผมมองนาฬิกาข้อมือแล้วก็คำนวณอย่างคร่าวๆว่าจากบ้านของผมไปยังสถานที่นัดพบในช่วงเวลาประมาณนี้ก็ไม่น่าจะใช้เวลาเกินสี่สิบห้านาที ซึ่งก็คงจะไปทันอย่างไม่มีปัญหา และเมื่อคิดแบบนั้นแล้ว กำลังใจที่ว่าอีกแค่ไม่กี่นาทีไม่กี่ชั่วโมง เรื่องตรงนี้มันก็จะจบลงแล้วก็ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นอีกมาเลยทีเดียว

แต่ทว่าขณะที่เพิ่งเลี้ยวรถออกจากหมู่บ้านได้แค่นิดหน่อย ผมก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างซึ่งจริงๆอาจจะเป็นแค่ผมที่คิดมากไปเองก็ได้ แต่ว่าเพื่อความมั่นใจ ผมก็ทำอย่างที่พี่วินเคยบอกเอาไว้ทันที นั่นคือผมหยิบโทรศัพท์มือถือที่พี่วินให้มาพกไว้ออกมากดโทรออกหาเบอร์ของพี่วิน จากนั้นก็สอดมันกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อตัวเองอีกครั้ง

ผมอาจจะกำลังวิตกจริตมากเกินไป แต่ว่ารถมินิแวนสีดำคันนี้ก็ตามหลังผมมาตั้งแต่ขับออกจากหมู่บ้านแล้ว และยังไม่มีท่าทีว่าจะพยายามแซงผมขึ้นไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมจึงตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดวงดูสักครั้งโดยการลองขับออกนอกเส้นทางเล็กน้อย ผมหักรถเลี้ยวเข้าซอยถัดมาและขับต่อไปอีกสักพักด้วยความเร็วไม่มาก และรถคันนี้ก็ยังคงตามผมมาห่างๆไม่มีท่าทีจะแซงหรือปิดบังเลยแม้แต่นิดเดียวว่ากำลังตามผมอยู่ ผมจึงมั่นใจแล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเอง และตัดสินใจหยุดรถลง และแน่นอนว่ามันเองก็หยุดรถต่อท้ายผมด้วยเหมือนกัน

ผมเหลือบมองกระจกมองหลังแต่ก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวจากคนขับรถและคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถ้าแค่สองคนล่ะก็คงจะพอไหว........ ผมสูดลมหายใจลึกๆและตัดสินใจเปิดประตูรถออก และเมื่อผมทำแบบนั้น ทั้งสองคนก็เปิดประตูรถฝั่งตัวเองออกมาด้วยเช่นกัน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ก็กำลังจะไปตามนัดอยู่แล้วนี่ไง ยังจะเอาอะไรอีก” ผมเผชิญหน้ากับผู้ชายตัวใหญ่สองคนที่คราวนี้ดูต่างกับไอ้สองคนนั้นคนละเรื่องเลยทีเดียว ทั้งกล้ามเนื้อ หน้าตา บุคลิก และแผลเป็นที่เห็นได้จากทั้งบนใบหน้าและท่อนแขนใหญ่ๆนั่นบ่งบอกได้เลยว่าทั้งสองคนนี้คงจะผ่านอะไรก็ตามในวงการของพวกมันมาไม่น้อย

“ขึ้นรถ” คนขับรถที่พูดสำเนียงใต้พูดห้วนๆจนเกือบจะเป็นการขู่

“ทำไม” ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมาและเริ่มจะสงสัยแล้วว่าผมคงจะตัดสินใจผิดพลาดไปซะแล้ว ซอยๆนี้เป็นซอยเล็กๆที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่เคยเข้ามา และมันก็ค่อนข้างเปลี่ยวและไม่ค่อยมีคนใช้สัญจรจริงๆ “จู่ๆจะให้มาทิ้งรถไว้กลางซอยเล็กๆเปลี่ยวๆแบบเนี้ยน่ะ อย่างน้อยๆก็ขอเอารถกลับไปเก็บที่บ้านก่อนไม่ได้รึไง อยู่ห่างออกไปแค่ไม่ถึงสิบนาทีนี่เอง”

“ขึ้นรถ” มันพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงที่ดุดันกว่าเดิม

“บอกเหตุผลมาก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็.......” ผมจำต้องชะงัก เมื่ออีกคนหนึ่งล้วงปืนออกมาจากในเสื้อแจ๊กเก็ตที่สุดแสนจะผิดวิสัยการแต่งตัวของคนในกรุงเทพเหลือเกิน

“จะมาดีๆรึไม่มา” มันยังคงพูดด้วยน้ำเสียงดุดันในขณะที่เพื่อนของมันถือปืนชี้มาที่ผม

“แน่ใจรึว่านายแกต้องการให้เป็นแบบนั้น ปืนเนี่ยนะ” ผมพูด แต่ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหามันดีๆ “ก็ได้ ถ้าจะเอาแบบนั้นก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าใช้ปืนมาขู่นี่มันห่วยแตกมากเลยว่ะ”

ไอ้คนที่ถือปืนขู่เหวี่ยงหมัดเข้าที่กลางลำตัวของผมอย่างแรงจนผมรู้สึกได้เลยว่าขาของผมลอยสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย จากนั้นผมก็ทรุดตัวลงและพยายามหอบเอาอากาศเข้าไปในปอดอย่าทุลักทุกเลและเจ็บปวด น้ำตาเริ่มไหลมารื้นอยู่ที่ขอบตาเล็กน้อย ผมพยายามจะพูด แต่ทว่าก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรออกจากปากของตัวเองเลยนอกจากเสียงหอบ

“อย่าปล่อยให้มันว่าง นายบอกมาว่าไอ้นี่มันร้ายไม่เบา” ไอ้คนขับรถกำชับเพื่อนของมัน และผมก็ถูกรวบตัวอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ถูกกึ่งดึงกึ่งลากเข้าไปในรถจนได้

“มึงจะพากูไปไหน” ผมจัดการพูดออกมาจนได้เมื่อความเจ็บเริ่มทุเลาลงไปเล็กน้อย

“หุบปาก” คนขับรถยังคงเป็นคนเดียวที่รับหน้าที่พูดอยู่ จากนั้นมันก็หันไปพยักหน้าให้เพื่อนของมัน และไอ้คนที่ต่อยท้องผมก็คว้าเชือกมามัดมือของผมเอาไว้ ส่วนไอ้คนขับก็กลับไปประจำที่นั่งหลังพวงมาลัยเหมือนเดิม

“เฮ้ยๆ ขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูไม่หนีหรอกน่า บอกมาเถอะว่าพี่จ๊อบมันต้องการอะไร ถึงได้มาลักพาตัวกูตั้งแต่ออกจากบ้านเลยแบบนี้ นี่ยังไม่พ้นปากซยลยด้วซ้ำนะเนี่ย แล้วพวกมึงรู้ได้ยังไงว่ากูกลับมาบ้าน นี่อย่าบอกนะว่าพวกมึงตามกูมาตั้งแต่เมื่อตอนเช้าแล้วน่ะ” ผมนึกแปลกใจ แต่ถึงยังไงผมก็ไม่ได้ถามพวกมันเพื่อต้องการคำตอบอยู่ดี

“ปิดปากมันด้วยเลยดีมั๊ยวะ” คนขับรถหันมาถาม ในขณะที่อีกคนกำลังเอาผ้าสีดำผืนยาวมามัดปิดตาผมเอาไว้อยู่ และผมก็สังเกตเห็นตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่ารถคันนี้ฟิล์มมันมืดมากขนาดไหน ดังนั้นเรื่องที่จะหวังให้คนอื่นมาเห็นสภาพของผมแล้วโทรแจ้งตำรวจนั้นก็คงเลิกหวังไปได้เลย หรือต่อให้มีคนเห็น ผมก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าใครมันจะโทรไปบอกตำรวจจริงๆ

“นี่ รถก็คันใหญ่สีดำ ฟิล์มก็ดำ แถมยังผูกตาไว้แบบนี้ มันจะยิ่งไม่ดูเป็นตัวร้ายหนักเข้าไปอีกรึไง” และเนื่องจากผมที่ถูกปิดตาไปแล้วจึงไม่รู้ว่ามันกำลังมา จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันตรงที่แก้มซ้าย พร้อมกับเสียงของกระดูกข้อมือที่กระแทกกับโหนกแก้มของผมอย่างแรงดังพลั่ก ใบหน้าของผมถูกเหวี่ยงไปตามแรงหมัดและผมก็รู้สึกได้ถึงรสชาติของเลือดที่ไหลออกมาภายในช่องปากแล้วด้วย

“เฮ้ย เบามือหน่อย เดี๋ยวมันจะช้ำมาก นายบอกแล้วไงว่าถ้าไม่จำเป็นอย่ารุนแรงมากนัก” เสียงของคนขับรถพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พร้อมกับเอื้อมมือมาคว้าคางของผมให้เงยขึ้นและตบหน้าผมเบาๆ “เดี๋ยวหน้าหล่อๆมีแผลไปก็แย่สิวะ ถ้าจะเล่นก็เล่นตรงตัว จำไว้”

“มึงต่อยกูสองครั้งแล้วนะ” ผมกัดฟันพูด

“หึๆ ไปกันเถอะ” มือที่จับหน้าผมไว้เมื่อกี๊เลื่อนขึ้นไปเป็นตบหัวผมแรงๆหนึ่งทีแทน จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงประตูรถปิดลง ไอ้คนที่ต่อยผมถึงสองครั้งย้ายมานั่งอยู่ข้างๆผม และเสียงถัดมาที่ผมได้ยินก็คือเสียงล้อที่บดถนนและกำลังเคลื่อนที่ไปตามทาง


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: BEta-K ที่ 21-08-2008 13:28:35
อุตส่าห์รอมาตั้งนาน แล้วค้างงงงง อีกแล้ว  :serius2:  :m15:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: PakBeob ที่ 21-08-2008 14:29:09
 :serius2: ค้างทุกตอน ทำได้ไงเนี่ย :sad2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 21-08-2008 14:44:13
ค้างอีกแล้ว แต่ก็ยังดีนะที่มาต่อ เค้างอนแล้วนะ

 :a14: :a14: :a14:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-08-2008 18:25:50
จะให้ต่ออีกตอนเลยเหงอ  :m13:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-08-2008 18:29:48
เย้มาต่อแล้ว  :oni2: :oni2: :oni2: โหม่ง ๆๆๆ

ปล. ยังไม่ได้อ่านเลย มาโหม่งก่อน  :m4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: PakBeob ที่ 21-08-2008 18:32:02
จะให้ต่ออีกตอนเลยเหงอ  :m13:



จิ พลีสสสสสสสสสสสสสส..... :dont2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 21-08-2008 20:12:01
ตอนแรกดีใจๆๆที่มาต่อแล้ว

แต่พออ่านจบ :o
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงง

แต่ก็ยังดีใจอยู่นะที่มาต่อให้แล้ว
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: slmzaa ที่ 22-08-2008 20:01:34
อยากรู้ตอนจบจริงๆๆๆๆมาต่อก้อมาต่อแบบละครไทยเลยย     อแล้วก้อหายยยไปเปนเดือนๆๆๆๆเห้อๆๆๆๆดึงเรตติ้งมากไปนะเทอออออ                 แต่ก้อต้องตามนะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 22-08-2008 22:08:41
ดีใจัง มาต่อแล้ว

แต่ยิ่งอ่าน ยิ่งอยากรู้เรื่องทั้งหมดมากขึ้นอ่ะ

มาต่อเหอะนะ

คิดถึง ศิลา ฟ้าคราม จะแย่แล้ว

 :a6:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-08-2008 14:20:34
มะได้ดึงเรตติ้งครับ แต่มันยุ่งจริงๆๆๆ TwT

ก้าวที่สิบสองสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมถูกปิดตาและมัดมือให้อยู่นิ่งๆและกำลังถูกพาไปที่ไหนสักที่เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง แน่นอนว่าความคิดแรกของผมก็คือคิดว่าตัวการทั้งหมดนี่ก็คือพี่จ๊อบ แต่ว่ามันจะต้องทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรในเมื่อผมก็กำลังจะไปหามันเองอยู่แล้ว หรือว่าจะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่มัน แต่ว่าผมก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าจะเป็นใครหรือใครที่จะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

ตั้งแต่วินาทีที่รถเริ่มออก ผมก็พยายามจะนึกให้ออกว่าตอนนี้รถกำลังเคลื่อนที่ไปในทางไหน อย่างเช่นในตอนแรกผมรู้เลยว่ามันวกรถกลับไปยังทางเดิม จากนั้นก็เลี้ยวขวาออกจากซอยเล็กๆที่ผมต้องทิ้งรถของพี่วินเอาไว้ จากนั้นสักพักมันก็เลี้ยวซ้ายออกจากซอยบ้านของผมออกสู่ถนนใหญ่ แต่ทันทีที่รถออกสู่ถนนใหญ่ ผมก็เริ่มจับทิศทางไม่ถูกแล้วว่าผมกำลังถูกพาไปที่ไหน ซึ่งผมรู้สึกว่ามันอาจจะกำลังขับวนเพื่อให้ผมหลงทิศ หรือไม่ก็พยายามขับหนีใครก็ตามที่มันคิดว่าอาจจะตามมันอยู่ก็เป็นได้

นอกจากความรู้สึกด้านทิศทางของผมที่เริ่มจะเสียไปแล้ว ความรู้สึกด้านเวลาของผมก็เริ่มจะหายไปแล้วด้วยเหมือนกัน ผมไม่รู้เลยว่าผมถูกนั่งรถพาไปที่ไหนและเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว ทำให้ผมกะไม่ถูกเลยว่าที่ๆผมจะไปนั้นมันอยู่ไกลจากบ้านของผมมากขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพอรู้สึกได้แน่ๆก็คือจำนวนครั้งที่รถต้องหยุดเพราะสัญญาณไฟที่มีค่อนข้างบ่อย ทว่านั่นมันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมเดาได้อยู่ดีว่าผมกำลังจะไปที่ไหนนอกจากค่อนข้างมั่นใจว่าผมน่าจะยังคงอยู่ในกรุงเทพอยู่เท่านั้นเอง

หลังจากเวลาผ่านไปราวๆนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หรือจริงๆแล้วอาจจะแค่สามสิบนาทีก็เป็นได้ ผมก็รู้สึกว่ารถกำลังเลี้ยวเข้าสู่ลานจอดรถของที่ไหนสักแห่ง เพราะผมได้ยินเสียงของกระจกไฟฟ้าที่เลื่อนลงในจังหวะที่รถเริ่มชะลอความเร็วลง แถมคนที่นั่งข้างๆยังชักปืนออกมาจ่อสีข้างของผมเป็นเชิงเตือนด้วยว่าห้ามส่งเสียงออกมาเด็ดขาดด้วย ความสงสัย ความตื่นเต้น และความกังวลของผมจึงเริ่มเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณหลังจากที่อะดรีนาลีนมันเริ่มจางลงไปในระหว่างเดินทาง

“ลงมา” คนขับรถเปิดประตูตรงฝั่งผมและกระชากผมให้ลงมายืนอยู่นอกรถหลังจากที่รถจอดสนิท

“ถึงแล้วเรอะ เปิดตาได้รึยังล่ะ”

“เดิน” มันตบหัวผมอีกครั้งและผลักไหล่ให้ผมออกเดิน

ผมหันไปมองหน้ามันทั้งๆที่ถูกปิดตาและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมหันไปมองตรงกับที่ๆมันยืนอยู่รึเปล่า “มึงตบหัวกูสองครั้งแล้วนะ”

ผมถูกตบหัวอีกครั้งและคราวนี้ก็ถูกหิ้วปีกให้ออกเดินไปพร้อมๆกับมันด้วยจนผมนึกแปลกใจว่านี่ผมอยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะถ้าเป็นในสถานที่สาธารณะทั่วๆไปล่ะก็ การที่ผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกมัดมือไพล่หลัง ปิดตา แถมยังถูกลากถูกจูงโดยผู้ชายตัวใหญ่สองคนเดินไปไหนมาไหนแบบนี้มันก็คงจะต้องสะดุดตาใครบ้างล่ะ

ความหวังเดียวของผมในตอนนี้ก็เหลืออยู่ที่พี่วินเพียงคนเดียวแล้ว ในขณะที่เดินผมยังรู้สึกได้ว่าโทรศัพท์มือถือของผมนั้นก็ยังคงอยู่ในกระเป๋าเสื้อของผมเหมือนเดิมไม่ได้ถูกพวกมันยึดเอาไป และตอนแรกผมก็พยายามบอกใบ้ให้พี่วินรู้สถานการณ์ขอผมเท่าที่จะทำได้แล้วด้วย ถึงแม้ตอนที่อยู่ในรถส่วนมากผมจะนั่งเงียบๆเพราะทั้งเครียดและหลงทั้งทิศและเวลาไปหมดแล้ว แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าถ้าเป็นพี่วินล่ะก็ เขาจะต้องรู้แน่ว่าผมถูกพาไปที่ไหน

ผมถูกดึงถูกดันโดยคนตัวใหญ่สองคนไปตามทางและถูกพาเดินขึ้นบันไดขึ้นไปอีกสามชั้น “นี่ ตั้งสามชั้น ทำไมไม่ขึ้นลิฟต์วะ ที่นี่มีลิฟต์ใช่มั๊ยเนี่ย”

“หุบปาก” เสียงของไอ้คนขับรถคำรามเบาๆพร้อมกับดันหลังของผมอย่างแรง ผมถูกพาเดินไปตามทางอีกช่วงหนึ่งและหยุดลง จากนั้นคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ก็เคาะประตูและต่อมาก็เป็นเสียงประตูถูกเปิดออก แปลว่าในห้องก็ต้องมีคนอยู่อย่างน้อยอีกหนึ่งคนด้วยแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วสถานการณ์ในตอนนี้ก็คืออย่างน้อยสามต่อหนึ่ง อีกฝ่ายมีปืน ผมตัวเปล่าแถมยังถูกปิดตามัดมือเอาไว้แบบนี้ ชักจะไม่เข้าท่าขึ้นมาจริงๆแล้วสิ

ผมถูกดันให้เข้าไปในห้องและถูกจับกดให้นั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็ถูกมัดขาทั้งสองข้างเข้ากับขาเก้าอี้ ยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ แถมมือสองข้างที่เคยถูกมัดไพล่หลังไว้เฉยๆก็เปลี่ยนเป็นถูกมัดไว้กับพนักพิงเก้าอี้อีกด้วย แย่หนักแบบสุดๆแล้วสิ และถึงแม้ผมเองก็ไม่รู้และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต่อปากต่อคำอะไรอีกแล้ว แต่เมื่อคิดว่าพี่วินอาจจะยังคงกำลังฟังอยู่ก็ทำให้ผมต้องลองเสี่ยงดูอีกสักครั้ง อย่างน้อยๆก็เพื่อให้พี่วินได้รู้ถึงสภาพของผมในตอนนี้ด้วย

“นี่ มัดทั้งมือทั้งขากับเก้าอี้เลยเหรอ กูไม่หนีแล้วน่า จนถึงป่านนี้แล้ว แก้เชือกกับผ้าปิดตาออกได้แล้วล่ะมั๊ง” คราวนี้ไม่มีทั้งการตบหัว ต่อยท้อง ตบหน้า หรือแม้แต่คำพูดตอบกลับ แต่กลับมีเสียงฝีเท้าหนักๆเดินห่างออกไปตามด้วยเสียงปิดประตูห้องลงแทน และทันใดนั้นเองที่ทั้งห้องตกลงสู่ความเงียบจนผมได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเองอย่างชัดเจน

ผมนั่งเงียบๆอย่างไม่รู้จะทำยังไงและคิดว่าผมอาจจะกำลังอยู่ลำพังคนเดียวเพื่อรอใครหรืออะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นอยู่ก็เป็นได้ แต่ความคิดนั้นก็หยุดลงเมื่อผมได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเบาๆอยู่ไม่ไกลจากตัวดังขึ้น

“นี่” ผมหันไปทางทิศที่คิดว่าตัวเองได้ยินเสียง “นี่เรากำลังรออะไรกันอยู่แน่ จะบอกได้รึยังว่ามึงต้องการอะไร มัวทำเงียบรออะไรอยู่เล่า มึงจะเอายังไงก็ว่ามา”

เงียบ ยังคงไม่มีเสียงตอบอะไรกลับมาอีก จนผมเกือบจะหลงคิดว่าเมื่อกี๊ผมหูฝาดไปซะแล้ว แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าผมต้องไม่ได้กำลังอยู่คนเดียวแน่ๆ ผมไม่คิดว่าผมหูฝาดไปเองแน่นอน จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเสี่ยงเรียกออกไปอีกครั้งดู

“พี่จ๊อบ ผมรู้นะว่าเป็นพี่”

อีกครั้ง ผมได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ จากนั้นก็รู้สึกถึงฝ่ามือเย็นๆสัมผัสเข้าที่แก้มด้านซ้ายของผมจนทำให้ผมต้องสะดุ้งจนเกือบสุดตัว

“เจ็บรึเปล่า” เสียงของพี่จ๊อบดังขึ้นจริงๆ เป็นมันจริงๆด้วย และเมื่อผมรู้แบบนี้แล้ว ครู่หนึ่งที่ผมกลับรู้สึกโล่งอกไปนิดหน่อย แต่ก็แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นจริงๆ เพราะจากนั้นความโกรธก็โหมเข้ามาแทนที่แทบจะในทันที และการที่มันยังคงไม่เปิดผ้าผูกตาของผมออกแบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกกังวลมากตามขึ้นไปอีกด้วยเช่นกัน ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าผมรู้สึกโล่งใจไปแว่บหนึ่งเมื่อกี๊นี้ได้ยังไง

“ปล่อยผม จะเอายังไงก็ว่ามา แต่อย่ามาทำแบบนี้ แบบนี้ผมแจ้งตำรวจจับพี่ได้ง่ายๆเลยนะ” เมื่อพูดจบ ผมก็นึกทุเรศตัวเองขึ้นมาทันทีที่คิดเอาตำรวจมาขู่คนที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ได้

“ทั้งๆที่สั่งแล้วแล้วแท้ๆว่าอย่าลงมือ” พี่จ๊อบเพิกเฉยกับคำพูดของผมและยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“พี่ต้องการอะไร”

“เมฆก็รู้ว่าพี่ต้องการอะไร”

“ปล่อยผม!” ผมพยายามดิ้นและบิดข้อมือเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากเชือก

“อย่าพยามยามดิ้นเลยน่า”

“พี่อย่าคิดว่าตัวเองจะได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอไปนะ พี่อย่าคิดนะว่าหลังจากที่พี่ทำแบบนี้แล้วพี่จะลอยนวลไปเฉยๆได้น่ะ”

“ที่พูดแบบนี้นี่แปลว่าเมฆคงวางใจคิดว่าจะมีใครมาช่วยเมฆออกไปได้สินะ แต่น่าเสียดายที่มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น และน่าขำที่มันเองก็ไม่ได้เป็นที่พึ่งให้เมฆได้อย่างที่เมฆคิดเลยด้วย”

ผมขบกรามแน่น พยายามระงับความโกรธและควบคุมอารมณ์ความรู้สึกต่างๆเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันก็คงจะเข้าทางอย่างที่พี่จ๊อบต้องการแน่

“คนของพี่อยู่ที่ไหน” พี่จ๊อบถามขึ้น

“พี่พูดอะไร ผมไม่เข้าใจ”

“คนของพี่........” พี่จ๊อบเดินวนมาทางด้านหลังของผมและก้มลงมาพูดใส่หูของผม ทำเอาผมขนลุกชันไปทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว “สนิทกับพี่มากซะด้วยสิ........ ตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”

“ผมไม่รู้เรื่อง” ผมพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่ก็เคลื่อนไหวได้อย่างจำกัดเหลือเกินเมื่อถูกมัดมือมัดเท้าติดอยู่กับที่เอาไว้แบบนี้ จากนั้นผมก็ต้องรู้สึกขยะแขยงจนแทบอ้วกเมื่อรู้สึกถึงลิ้นเย็นๆของพี่จ๊อบไล่อยู่ที่หลังใบหู “อย่า!” ผมร้องออกมาพร้อมพยายามบิดหน้าหนี

“น่าเสียดายนะ เมฆน่ะเป็นแบบที่พี่ชอบเลยจริงๆ..........” พี่จ๊อบพูดพร้อมกับลมหายใจแรงๆที่ต้นคอของผม “เสียดายที่เราดันไปคลุกคลีอยู่กับไอ้หมอนั่น”

“ปล่อยผม!”

“อย่าเสียงดังสิครับ แต่ถึงยังไงก็ไม่มีใครได้ยินอยู่ดีล่ะนะ” พี่จ๊อบผละออกไป ก่อนจะเดินวนไปหยุดอยู่ที่ด้านหลังของผม “พี่เปลี่ยนคำถามก็ได้........ ไอ้หมอนั่น ไอ้พี่วินของเมฆ บ้านของมันอยู่ที่ไหน”

“ผม.... ผมไม่รู้”

“พี่ต้องใช้คนหลายคนรถหลายคันมากเลยนะรู้มั๊ย เพื่อที่จะไม่ให้มันรู้ตัวว่ามันกับเมฆโดนตามมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วน่ะ แต่ก็นั่นแหละนะ ไม่เห็นว่ามันจะแน่เหมือนที่เค้าว่ากันเลยนี่หว่า แต่ถึงงั้นก็เหอะ ถ้าเมฆไม่แยกกับมันเมื่อตอนบ่ายล่ะก็ เมฆก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้ก็ได้........ มั๊ง” พี่จ๊อบลูบแก้มผมเบาๆแต่ผมสะบัดหน้าออก “แต่พี่ก็ต้องยอมรับนะว่าพอพี่รู้ว่ามันมีชื่อเสียงพอตัวแบบนั้น พี่ก็แปลกใจนิดหน่อยเหมือนกัน”

“พี่จะเอายังไงก็ว่ามา พี่ต้องการอะไรจากผมกันแน่”

พี่จ๊อบล้วงมือไปหยิบมือถือของผมออกจากกระเป๋า ซึ่งทำเอาหัวใจของผมต้องกระตุกวูบเมื่อคิดว่ามันอาจจะรู้ แต่สุดท้ายผมก็โล่งใจเมื่อได้ยินเสียงดังตุบของโทรศัพท์ที่ถูกโยนลงไปบนเตียง

“เมฆก็ไม่โง่นะ น่าจะรู้ได้แล้วนี่ว่าที่พี่ทำลงไปทั้งหมดมันเพื่ออะไร” และเมื่อพูดจบ พี่จ๊อบก็ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของผมออกทีะเม็ด “พี่น่ะ ลงทั้งแรงทั้งเงินไปมากโขนา”

“แล้วที่พี่ทำเพราะพี่ต้องการตัวผมจริง หรือเพราะต้องการที่จะเอาชนะเพราะรู้ว่าจริงๆแล้วพี่ไม่มีทางเอื้อมถึงผมได้ตลอดกาลกันแน่”

พี่จ๊อบหยุดมือลงเมื่อถึงกระดุมเม็ดที่สาม “เมฆพูดว่ายังไงนะ........”

“พอได้แล้วพี่ ถึงยังไงพี่ก็ไม่มีวันจะได้ผมไปตลอดกาล ปล่อยผม แล้วเรามาคุยกันดีๆอย่างลูกผู้ชาย”

พี่จ๊อบเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ก็ได้ ถ้าเมฆอยากจะคุยนักเราก็มาคุยกันก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนนะว่ายังไงวันนี้พี่ก็จะต้องได้ในสิ่งที่พี่อยากได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม........ เอาล่ะ เมฆยังจะอยากรู้อะไรอีก”

พอมาถึงช่วงเวลานี้จริงๆ ผมก็กลับเป็นฝ่ายนึกไม่ออกเสียเองว่าผมอยากจะพูดหรืออยากจะรับรู้อะไรอีก ทุกอย่างมันดูราวกับเป็นฝันร้าย เป็นความทรงจำที่ยาวนานมากมาแล้ว จน ณ ตอนนี้มันแทบจะไม่เหลือความสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้วจริงๆ และผมเองก็พอรู้เรื่องคร่าวๆมาจากไอ้แบ๊งค์ส่วนหนึ่งแล้วด้วย แต่ผมรู้ว่าผมจะต้องพูด ผมจะต้องถ่วงเวลาเอาไว้จนกว่าความช่วยเหลือของผมจะมา

“มันเริ่มมาจากตรงไหน” ผมตัดสินใจย้อนกลับไปจนถึงจุดเริ่มต้นเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นการถ่วงเวลาที่ดีที่สุด และเป็นคำถามที่ดูคลุมเครือที่สุดแล้วด้วย

“ก็ตั้งแต่แรกที่เราเจอกันนั่นแหละครับ และทุกอย่างนับแต่นั้นมาก็เป็นไปตามแผนที่พี่วางเอาไว้ทุกอย่าง ถึงจะมีอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง อย่างเรื่องของไอ้คนที่ชื่อวิน.......... แต่สุดท้ายเมฆก็เลิกกับซันอย่างที่พี่ต้องการ พี่ต้องบอกเราตรงๆเลยนะว่าพี่ไม่เคยคิดจะทำอะไรรุนแรงหรือทำร้ายใครเลยจริงๆ เพียงแต่อะไรๆมันกลับกลายมาเป็นไปในทิศทางนี้ด้วยตัวของมันเอง ซึ่งพี่ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ”

“ไม่ได้ต้องการทำร้ายใครงั้นเหรอ แล้วทำไมถึงต้องแบล็คเมล์นัทกับครอบครัวของไอ้แบ๊งค์แบบนั้นด้วย”

“เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้เรียกว่าการทำร้ายนะครับ พี่จะบอกให้รู้ไว้ ในโลกของธุรกิจและการเมือง โลกของชีวิตจริงนี่น่ะ ‘วิธีการ’ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะ การครอบครอง คือสัญลักษณ์ของความมีพลังและอำนาจ และพี่ก็เป็นคนที่เติบโตมากับอำนาจนั้น ดังนั้นในสายตาของเด็กอย่างเมฆอาจจะมองว่ามันเป็นการทำร้าย แต่จริงๆในโลกของผู้ใหญ่ที่รู้จักคิดและใช้สมองน่ะ เค้าเรียกว่า ‘กลยุทธ์’ จำเอาไว้”

“ไม่ต้องมาทำเป็นสอนผม” ผมขบกรามอย่างโกรธเคือง “แล้วที่ให้คนสะกดรอย ส่งตุ๊กตาหมีเหี้ยๆนั่นมา แถมยังบุกบ้านและทำร้ายพ่อผมกับไคล์อีก นั่นก็คือการใช้สมองทุเรศๆของพี่คิดรึยังไง!”

พี่จ๊อบเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งบีบแก้มทั้งสองข้างของผมแล้วแหงนหน้าผมขึ้น “เมฆคิดตื้นไป และอะไรทำให้เมฆคิดว่าพี่เป็นคนที่บุกเข้าไปในบ้านของเมฆล่ะ”

จริงๆแล้วผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันวาใครที่ทำอย่างนั้นและเพราะอะไร เพียงแต่ผมรู้สึกอยากจะโทษทุกอย่าให้เป็นความผิดของมันก็เท่านั้นเอง

“อะไรๆมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะครับ” พี่จ๊อบพูดต่อ

ผมสะบัดหน้าออก “หมายความว่ายังไง”

“ก็อย่างเช่นพี่ไม่ใช่คนๆเดียวที่ต้องการตัวเมฆหรอกนะ คนเราน่ะ ถึงบางทีความต้องการมันอาจจะไม่ตรงกัน แต่เมื่อจุดประสงค์บางอยย่างหรือผลประโยชน์มันตรงกัน เราก็สามารถทำธุรกิจร่วมกันได้”

“พี่หมายความว่ายังไง”

“เมฆคิดจริงๆเหรอว่าเราน่ะเป็นคนดีเสียเหลือเกิน และไม่เคยทำให้ใครต้องเจ็บปวดหรือไม่เคยไปแย่งใครรึอะไรมาจากคนอื่นเลยน่ะ”

ผมไม่อยากจะเชื่อคำพูดของผู้ชายคนนี้มากนักอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าสิ่งที่มันพูดเป็นความจริงล่ะก็ ก็หมายความว่านอกจากตัวพี่จ๊อบแล้ว ยังมีคนอีกคนหนึ่งที่ร่วมมือกับมันและเป็นคนที่หลอกลวงผมได้อย่างแนบเนียนตลอดมา คนที่ผมเคยแย่งคนสำคัญของมันไป หรืออย่างน้อยๆก็คืนคนที่คิดว่าผมทำแบบนั้น..........

“ไอ้แบ๊งค์........”

“เห็นมั๊ยล่ะ เราเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำร้ายใครสักหน่อย” พี่จ๊อบคว้าคางของผมแล้วแหงนหน้าผมขึ้นอีกครั้งจากนั้นมันก็เขยิบเข้ามาใกล้หน้าของผมจนผมรู้สึกถึงลมหายใจของมันรดอยู่ตรงริมฝีปากทีเดียว “แล้วยังจะกล้าพูดเหมือนว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นซะเหลือเกินอยู่มั๊ยครับ”

“แต่ผมไม่เคยไปแย่งไอ้ซันมาจากมัน นี่มันบ้าแล้ว นี่มันเหี้ยกันไปใหญ่แล้ว!”

“เอาล่ะ เรื่องอื่นน่ะช่างมันเถอะ พี่ว่าเราคุยกันมาพอแล้วนะ เรามาต่อเรื่องของเรากันได้รึยัง”

ผมกัดฟันแน่น และสิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกก็คือเสื้อของผมที่ถูกกระชากออกอย่างแรง ผมพยายามจะดิ้นหนี แต่ก็ไร้ผล แถมดูเหมือนจะยิ่งทำให้พี่จ๊อบชอบใจมากขึ้นอีกด้วย เสียงลมหายใจแรงๆของมันเป่าอยู่ตรงซอกคอของผม และมือของมันก็ค่อยๆเลื่อนต่ำลงมาจนถึงหัวเข็มขัดของผมแล้ว

“พี่ได้ยินมาว่าเราเองก็มีดีไม่เบาเลยนี่” พี่จ๊อบงับที่ปลายหูของผมเบาๆและใช้มือขยำเป้ากางเกงของผมไปด้วย ผมรู้สึกตัวเองอยากจะอ้วกและรู้สึกขยะแขยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจริงๆ “ไม่เอาน่า แข็งให้พี่หน่อยสิครับ”

ผมพยายามจะเบี่ยงหนี แต่ก็ยังคงไร้ผล พี่จ๊อบเริ่มขยับมือขึ้นมาปลดเข็มขัดและกระดุมกางเกงยีนส์เม็ดบนของผมออก ผมเเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้ด้วยความเจ็บใจ แต่ทว่าก็ไม่มีน้ำตา ผมไม่อยากจะเสียน้ำตาให้ไอ้คนพรรค์นี้แม้แต่หยดเดียว และผมก็ไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้มันเห็นด้วย

พี่จ๊อบกัดที่ซอกคอของผมอย่างแรงจนผมต้องสะดุ้ง ผมกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดรอดออกมา จากนั้นมันก็เลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆจนถึงหัวนมของผม มันใช้ลิ้นวนรอบๆหัวนมซ้ายกับขวาสลับกันไปมา ก่อนจะกัดผมอีกครั้ง ที่หัวนมซ้ายจนคราวนี้ผมต้องร้องและดิ้นออกมาเพราะความเจ็บปวด แต่มันก็ยังไม่ยอมหยุด พี่จ๊อบยังคงใช้ลิ้นและฟันขบกันหัวนมของผมทั้งสองข้างสลับกับการใช้มือคลึงและขยำที่เป้ากางเกงของผมอย่างพึงพอใจ

“หลังจากนี้ถ้ามันจบลง พี่คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่บ้าง” ผมพูดออกมาเบาๆ

“รู้สิ รู้ว่าพี่ก็จะมีภาพที่เมฆมีความสุขกับพี่เก็บไว้ดูซ้ำอีกหลายๆครั้งไงล่ะ”

“ไอ้สัตว์!” ผมสบถอกมาเมื่อรู้ความจริงว่าภาพของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้กำลังถูกบันทึกเก็บเอาไว้ด้วย

“อย่าพูดอย่างนั้นน่า ตอนนี้เมฆอาจจะลำบากหน่อย แต่พี่รับรองว่าหลังจากตรงนี้แล้วเราจะได้ไปต่อกันบนเตียงสบายๆแน่นอน” เมื่อพูดจบมันก็ใช้ลิ้นไล่ไปที่ใบหูของผมและขบติ่งหูผมเบาๆพร้อมกับใช้มือปลดกระดุมกางเกงยีนส์เม็ดสุดท้ายออกด้วย จนถึงตอนนี้ปราการด่านสุดท้ายด่านเดียวที่ผมเหลืออยู่ก็มีเพียงกางเกงในสีขาวผืนบางตัวเดียวเท่านั้นแล้ว “เตียงเดียวกับที่พี่ได้นัทเป็นครั้งแรกเลยเชียวนะ”

พี่จ๊อบค่อยๆใช้นิ้วล้วงเข้าไปในขอบกางเกงในแล้วควานหาสิ่งที่มันต้องการ จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งดึงขอบกางเกงในลงและใช้มืออีกข้างล้วงลงไปลูบคลำหาน้องชายของผม ผมพยายามบิดหนีไม่ให้มันดึงกางเกงในผมออกและควักน้องชายผมออกมาข้างนอกได้ แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเหมือนจะทำให้มันพอใจและจงใจแกล้งผมมากขึ้นไปอีก มันใช้นิ้วชี้ควานหาจนเจอส่วนหัวของน้องชายของผมและใช้นิ้วนั้นบี้และคลึงตรงส่วนนั้นแรงๆ จนผมต้องคอยบิดเอวหนีอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ผมกำลังดิ้นรนอย่างไร้ความหมายและเกือบจะถอดใจอยู่แล้วนั้น เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณช่วยชีวิตผมเอาไว้ได้พอดี

“อะไรวะ!” พี่จ๊อบสบถอย่างเสียอารมณ์ก่อนจะผละจากตัวผมแล้วลุกออกไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกและพยายามจะบิดข้อมือหนีเพื่อให้เชือกหลุดอีกครั้ง แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม

“มีอะไร ก็บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าห้ามมากวนกู” พี่จ๊อบพูดพร้อมกับเปิดประตู

“ขอโทษที แต่หมดเวลาสนุกของมึงแล้วว่ะ”

“พี่วิน!” ผมร้องขึ้นมาอย่างดีใจที่ได้ยินเสียงของพี่วินดังขึ้น ถึงแม้ว่าตาของผมจะยังคงถูกปิดอยู่ แต่ผมก็เอี้ยวตัวอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะหันไปหาเขา

“เดินเข้าไป” พี่วินพูด และหลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงประตูถูกปิดลง “แย่หน่อยนะ ที่กูไม่ได้โง่เหมือนที่มึงคิด”

พี่วินเดินมาถึงตรงเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ จากนั้นเชือกที่มัดมือของผมอยู่ก็หลุดออกไป

“ไปปิดกล้อง อย่ามาลูกไม้ล่ะ” พี่วินออกคำสั่ง และผมก็ใช้มือที่เป็นอิสระแล้วดึงผ้าที่ผูกตาอยู่ออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้มลงติดกระดุมและเข็มขัดกางเกงใหม่ให้เรียบร้อย ผมเหลือบขึ้นมองไปทางขวามือก็เห็นพี่จ๊อบกำลังเดินไปยังโต๊ะหัวเตียงและที่นั่นก็มีกล้องวีดีโอวางตั้งอยู่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นว่าผมกำลังนั่งอยู่กลางห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยว่านี่ต้องเป็นโรงแรมของมันเองด้วยแน่นอน

ผมใส่กางเกงกลับมาเสร็จเหมือนเดิมแล้วก็ก้มลงแกะเชือกที่ข้อเท้าออก จากนั้นก็ยืนขึ้น พี่วินก้าวเข้ามาในห้อง และผมก็เห็นสิ่งที่ทำให้พี่จ๊อบต้องยอมทำตามที่พี่วินบอกอย่างง่ายดาย ปืนคู่ใจของพี่วินที่ติดที่เก็บเสียงเอาไว้แล้วชี้จ่อไปที่ตัวของพี่จ๊อบตลอดเวลาไม่ว่ามันจะเดินไปทางไหน แต่ถึงอย่างนั้นพี่วินก็ยังคงระมัดระวังไม่ให้ปืนของตัวเองติดเข้าไปในมุมกล้องด้วยอย่างดี แต่ถ้าจะว่าไปจริงๆ ดูเหมือนพี่วินจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกถ่ายติดเอาไว้เลยด้วยซ้ำ

“เด็กๆของกูอยู่ที่ไหน แล้วมึงมาที่นี่ได้ยังไง” พี่จ๊อบยกมือขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ปิดเครื่องเล่นวีดีโอลงแล้ว และเห็นพี่วินเดินตรงเข้าไปใกล้มันมากขึ้น

“ก็บอกแล้วไงว่ากูไม่ได้โง่เหมือนที่มึงคิด หรือไม่มึงเองก็คงโง่กว่าที่กูคิดมากล่ะมั๊ง” พี่วินเดินไปหยิบมือถือของผมจากบนเตียงมาส่งให้ผม ผมสังเกตเห็นพี่วินสวมถุงมือด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวนั่นก็คือคราบเลือดสดๆที่ติดอยู่บนถุงมือทั้งสองข้าง “ปลอดภัยนะเมฆ”

“ครับ พี่มาทันเวลาพอดี ที่นี่ที่ไหนครับพี่ ใช่โรงแรมที่มันนัดผมไว้ตอนแรกรึเปล่า จะว่าไปนี่กี่โมงแล้วเนี่ย” เนื่องจากผมถูกปิดตาพาขับรถวนอยู่นานขนาดไหนก็ไม่รู้ แถมพอได้ลืมตาขึ้นมาก็เห็นม่านในโรงแรมถูกปิดอยู่จนหมด ผมจึงขาดสัมผัสด่านเวลาไปอย่างสิ้นเชิง

“ใช่ ที่นี่ก็คือที่นั่นน่ะแหละ ตอนแรกพี่ก็คิดว่ามันจะพาเมฆไปที่อื่นอยู่เหมือนกัน มันคงตั้งใจจะซ้อนแผนพี่มั๊ง หรือไม่มันก็โง่จริงๆอย่างที่พี่คิดนั่นแหละ” พี่วินยิ้มเหยียดๆให้พี่จ๊อบ จากนั้นก็พูดต่อโดยไม่ได้ละสายตาออกไปจากใบหน้าที่บูดเบี้ยวเพราะความโกรธของพี่จ๊อบเลยแม้แต่นิดเดียว “ส่วนตอนนี้ก็จะสองทุ่มแล้ว แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ เอาล่ะ ถอดเสื้อผ้าออกซะ”

“ว่าไงนะ”

“มึงได้ยินที่กูบอกแล้วนี่ แต่วางใจได้ กูไม่ได้โรคจิตแบบมึงหรอก ถอดเสื้อกับกางเกงออกซะเดี๋ยวนี้ กูไม่ใช่คนใจเย็นนักหรอกนะ”

“กูไม่กลัวมึงหรอกนะเว้ย ที่โรงแรมนี้มีเด็กของกูอยู่เต็มไปหมด เดี๋ยวพวกมันก็ต้องมาช่วยกู แล้วพวกมึงก็หนีไปไหนไม่รอดอยู่ดี!”

“เด็กของมึงน่ะเหรอ” พี่วินยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “มึงหมายถึงสองคนที่รออยู่ที่รถ และห้องข้างๆอีกห้องละสองคนใช่มั๊ย”

ดวงตาของพี่จ๊อบ เบิกโพลงขึ้นด้วยความแปลกใจระคนตกใจทันที แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งผมและพี่จ๊อบต้องตกใจยิ่งกว่านั่นก็คือ ห่อกระดาษทิชชู่สีขาวที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสดที่พี่วินหยิบออกมาจาจากกระเป๋ากางเกงแล้วโยนมันลงบนพื้น จนสิ่งที่ถูกห่ออยู่ภายในหลุดออกมากลิ้งอยู่บนพื้นห้อง

มันคือนิ้วสองนิ้วสองขนาดและสองสีผิวที่ถูกตัดออกอย่างเรียบร้อย

ผมรู้สึกว่าตัวเองกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ในขณะที่พี่จ๊อบมีสีหน้าซีดเผือด

“นี่คือนิ้วของคนที่มึงใช้ให้มันไปพาตัวน้องกูมาไง แย่หน่อยที่กูไม่รู้ว่ามันใช้มือข้างไหนทำร้ายน้องกู กูก็เลยตัดสินใจตัดนิ้วชี้ข้างขวามาทั้งคู่แทน” พี่วินส่งยิ้มเย็นๆให้พี่จ๊อบ “อย่าแน่ใจไปนักว่าข่าวสารเกี่ยวกับกูและแผนการของกูที่มึงได้มาจากไอ้เด็กอ่อนหัดของมึงนั่นมันจะเป็นจริงไปซะทุกอย่าง แต่แน่นอนว่าในบางเรื่องมันก็ต้องมีความจริงอยู่บ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะ ทีหลังก็อย่าประมาทคนที่มึงไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเค้ามากจนเกินไป....... ทีหลังอย่าได้คิดประมาทกูมากจนเกินไป” พี่วินพูดเสริมด้วยเสียงทุ้มต่ำและสีหน้าที่ปราศจากรอยยิ้ม “เอาล่ะ ทีนี้ก็ถอดซะ”

“มะ.... ไม่ มึง..... มึงจะทำอะไรกู” พี่จ๊อบถอยหนีออกไปหนึ่งก้าว แต่ทันใดนั้นเองที่พี่วินยิงปืนของตัวเองออกมาหนึ่งนัดลงบนพื้นห้อง เฉียดเท้าซ้ายของพี่จ๊อบไปเพียงแค่ไม่กี่มิลลิเมตร ทำให้ใบหน้าที่ขาวซีดอยู่แล้วของพี่จ๊อบยิ่งดูเหมือนมันใกล้จะเป็นลมมากขึ้นไปอีก

“อย่าให้กูต้องเปลืองกระสุนนักเลยนะ ความจริงก็คือกูไม่เคยขู่ และนัดเมื่อกี๊ก็ไม่ใช่การยิงพลาดด้วย เอาล่ะ ถอด”

“คอยดูนะมึง พ่อกูจะไม่ยอมอยู่เฉยๆแน่ มึงจะต้องโดนคืนอีกเป็นสิบเท่า คอยดู!” พี่จ๊อบพูดไปพลางค่อยๆถอดเสื้อและกางเกงออกไปพลาง จนในที่สุดก็เหลือเพียงกางเกงในแบบบ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียวติดตัวอยู่

“ดี แค่นี้แหละ กูก็แค่อยากรู้ว่ามึงไม่มีอาวุธอะไรติดตัวอยู่จริงๆก็เท่านั้น” พี่วินหันมาหาผม “เมฆ เอาเชือกไปมัดมันเอาไว้”

ผมจัดการทำตามที่พี่วินบอกโดยมีพี่จ๊อบคอยมองผมสลับกับพี่วินอย่างโกรธแค้น

“จริงๆแล้วกูน่าจะยิงมึงเล่นสักสามสี่นัด หรือไม่ก็หักแขนหักขามึงทิ้งซักข้างสองข้างให้มันสาสมกับสิ่งที่มึงทำลงไปมากกว่า แต่ในเมื่อน้องชายกูบอกเอาไว้ว่าเค้าไม่อยากจะเอาเรื่องอะไรมึงอีกแล้ว เพราะฉะนั้นกูก็จะปล่อยมึงไป แต่ว่า.......” พี่วินเอื้อมมือไปหยิบกล้องวีดีโอมาถือเอาไว้ในมือ “ถ้ามึงคิดจะทำอะไรเหี้ยๆอีกล่ะก็ หลักฐานทั้งหมดมันอยู่ที่นี่แล้ว และแน่นอน สิ่งที่มึงพูดทั้งหมดเมื่อกี๊ก็ถูกอัดเอาไว้แล้วด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นกูขอเตือนว่าอย่าพยายามคิดจะทำอะไรโง่ๆอีกจะดีกว่า”

“มึงอย่าคิดว่ามันจะจบลงง่ายๆนะ มึงทั้งสองคนเลย!” พี่จ๊อบตวาด

พี่วินยิ้มน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหาพี่จ๊อบ จากนั้นเขาก็กระซิบอะไรบางอย่างใส่หูของพี่จ๊อบ แว่บแรกพี่จ๊อบมีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่อีกเพียงแค่ไม่กี่วินาทีถัดมาพอดีกับที่พี่วินพูดจนจบ สีหน้าของพี่จ๊อบก็เปลี่ยนกลายเป็นซีดเผือด ถ้าหากว่าผมตาไม่ฝาดไปล่ะก็ ผมคิดว่าพี่จ๊อบถึงกับตัวสั่นเล็กน้อยเพราะความกลัวเลยด้วยด้วยซ้ำ

“เอาล่ะ เราไปกันเถอะ” พี่วินเดินเข้ามาหาผม จากนั้นก็จับไหล่ของผมให้เดินคู่กับเขาออกจากห้องไป

ผมหันกลับไปมองพี่จ๊อบที่นั่งอยู่บนพื้นห้องในสภาพเปลือยเปล่าแถมยังถูกมัดเอาไว้อีกครั้งและเป็นครั้งสุดท้าย แต่คราวนี้พี่จ๊อบไม่ได้มองมาที่เราสองคนเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าสายตาที่หวาดหวั่นนั้นกลับจ้องมองลงบนพื้นห้องตรงตำแหน่งที่นิ้วทั้งสองข้างวางด้วยใบหน้าที่ขาวซีด

“ใจเย็นลงรึยัง เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกินดีกว่า ถึงเวลาที่เมฆควรจะรู้ความจริงทั้งหมดได้แล้ว และแน่นอนว่าต้องไม่ใช่จากปากของไอ้ลิ้นงูนั่น” พี่วินพูดขณะเราเดินอยู่ที่โถงทางเดินของโรงแรม

“เมื่อกี๊....... พี่วินบอกอะไรมันไปครับ” ผมถามขณะที่เรายืนรอลิฟต์

พี่วินหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อยในเวลาเดียวกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก “เมฆไม่อยากรู้หรอก”

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 23-08-2008 15:05:32
กำลังตื่นเต้น รอค่ะรอๆๆ มาเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 23-08-2008 15:24:05
 :oni2: :oni2: :oni2:

ขอบคุณที่มาต่อนะครับ รอตอนต่อไปอยู่
ลุ้นมากมายครับ

 :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 23-08-2008 19:22:44
ทำไมพี่วินไม่เจื๋อนไอ้พี่จ๊อบให้รู้แล้วรู้รอดไปล่ะ เก็บมันเอาไว้ทำไมอ่ะ o12
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 26-08-2008 08:29:46
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

ว่าแต่ซันหายไปไหนแล้วอ่ะ ไม่ได้ข่าวคราวนานแล้ว

จะจบแล้วเหรอ ไม่อยากให้จบเลย

มีภาคต่ออีกหรือเปล่าคะ

+ 1 ให้คนแต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: PakBeob ที่ 26-08-2008 19:39:34
เมฆไม่อยากรู้แต่คนอ่านอยากรู้ใจจะขาดแย้ว..... :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: sakiko ที่ 26-08-2008 20:26:10
โอ้ย

อยากอ่านตอนต่อไป


 :serius2: :sad2: :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 27-08-2008 12:45:49
เขียนได้ตื่นเต้นมากค่ะ
ลุ้นตอนต่อไปอยู่นะคะน้องต้น o13
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: niph ที่ 29-08-2008 13:19:31
มันเปลี่ยนแนวไปตอนไหนหว่า ตอนแรกมันก็หวานอยู่นี่นา
ดูเหมือนมันชักจะซับซ้อนเข้าทุกที
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 31-08-2008 10:36:54
ก้าวที่สิบสามสู่ปลายทางสุดท้าย


“พี่พลาดเองที่ไม่รู้ตัวว่ามันแอบตามพวกเราอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว พี่เองก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ามันเองก็รู้แล้วว่าพี่คือใครและมาเกี่ยวข้องกับเมฆได้ยังไง แต่พี่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะใช้วิธีนี้พาตัวเมฆมา นี่ก็เลยทำให้พี่คิดได้ว่า ถ้าเมฆกับพี่ไม่ได้แยกจากกันเมื่อตอนบ่ายล่ะก็ มันก็คงใช้ลูกน้องมันมาดึงความสนใจพี่ออกไปจากเมฆ และวางยาในอาหารแล้วค่อยลากเมฆขึ้นห้อง หรือไม่ก็พาไปที่อื่นอีกทีแน่ แต่นี่พอมันเห็นว่าเมฆแยกกลับบ้านไป มันก็เลยใช้วิธีไปดึงเมฆมาตรงๆเลย พยายามจะล่อให้พี่คิดว่ามันพาเมฆไปที่อื่นแต่จริงๆแล้วก็พากลับมาที่เดิมเพื่อที่จะทำให้พี่ขาดการติดต่อจากเมฆ วิธีการต่างกัน แต่ผลลัพธ์แทบจะไม่ต่างกันเลย นั่นก็คือมันก็คงจะใช้โอกาสจากสิ่งที่มันได้กลับมาแบล็คเมล์เมฆหรือคนอื่นๆอีกต่อไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะเบื่อแน่ๆ” พี่วินเริ่มอธิบายหลังจากที่พี่วินขับรถพาเราสองคนออกมาจากโรงแรมแห่งนั้นแล้ว “โชคดีนะที่เมฆทำอย่างที่พี่เคยบอกเอาไว้ และคอยบอกให้พี่รู้สถานการณ์ของเมฆอยู่ตลอดเวลา”

ผมยังคงไม่สามารถคิดอะไรให้เป็นปกติได้ดีนัก นี่ถ้าหากว่าพี่วินมาช้ากว่านี้ไปอีกแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวจริงๆ ไม่ต้องรอให้ถึงห้าหรือสิบนาทีเลย

“พี่วินมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ นี่ถ้าพี่มาช้ากว่านี้อีกแค่นิดเดียวล่ะก็ ผมคง.........”

“ก็อย่างที่บอก ว่าหลังจากที่พี่ได้โทรศัพท์จากเมฆพี่ก็รีบขับรถไปหาเมฆเลยโดยพี่ทิ้งให้กรณ์รอดูสถานการณ์อยู่ที่นี่ เพราะพวกมันไม่มีใครรู้จักกรณ์ ตอนแรกพี่ก็เกือบจะไปหาเมฆไม่ทันเหมือนกัน แต่พอกรณ์บอกว่ามันเห็นรถของไอ้จ๊อบจอดอยู่ที่นี่และมีลูกน้องของมันคอยคุมอยู่ด้วย พี่ก็เลยมั่นใจว่าถึงยังไงมันก็ต้องพาเมฆกลับมาที่เดิมนี่แน่นอน มันคงกะทำให้พี่เขว แต่ต้องขอบใจเมฆที่เมฆมีสติมากพอและช่วยพี่ได้มาก”

“หมายความว่าพี่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้วงั้นเหรอครับ”

“ทั้งใช่และก็ไม่ใช่ เพราะว่าพี่ต้องเห็นกับตาตัวเองด้วยว่าเมฆนั่งรถมากับพวกมันจริง ไม่ใช่ถูกพาไปเปลี่ยนรถเป็นคันอื่นอีก ซึ่งตอนนั้นพี่ก็หาพวกมันเจอได้ทันเวลา และหลังจากนั้น พอเมฆมาถึงที่นี่และถูกพาขึ้นไปข้างบนแล้ว ไอ้สองคนที่หิ้วเมฆขึ้นไปก็เข้าไปรอในห้องทางซ้าย ส่วนอีกสองคนคอยคุมอยู่ห้องฝั่งขวา โดยพวกมันเปิดประตูห้องอ้าเอาไว้เพื่อคอยดูว่าไม่ให้มีใครเดินผ่านไปแถวนั้นได้ ซึ่งจริงๆแล้ววันนี้ทุกห้องทางฝั่งนั้นทั้งฝั่งน่ะ ไม่มีใครแขกมาพักอยู่หรอก ไอ้จ๊อบมันล็อกเอาไว้หมด ซึ่งก็ดี เพราะทำให้พี่ไม่ต้องกังวลเรื่องแขกคนอื่นๆด้วย”

“แล้วหลังจากนั้น.......”

พี่วินเหลือบมามองผมเล็กน้อย “ตั้งแต่แรกพี่ก็ฟังเสียงเมฆอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเสียงของไอ้จ๊อบมันดูเข้ามาใกล้เมฆมากขึ้นจนพี่คิดว่ามันอาจจะเสี่ยงเกินไป พี่ก็เลยวางโทรศัพท์ แล้วก็ขึ้นไปจัดการไอ้สองคนแรกก่อน หลังจากนั้นก็เดินไปอีกห้อง ก็ง่ายๆแค่นั้นเอง เสียเวลานิดหน่อยเพื่อที่จะให้รู้แน่ว่าใครในสี่คนนั้นที่เป็นคนพาเมฆมา แต่พี่ว่านอกจากนั้นแล้ว เมฆคงไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดหรอกมั๊ง”

ผมนั่งฟังสิ่งที่พี่วินพูดและปล่อยให้มันซึมซับเข้าไปในหัวอยู่ครู่หนึ่ง “ก็คงจริงครับ”

“อ้อ และถ้าจะถามถึงไอ้กรณ์ พี่สั่งให้มันดูแลอีกสองคนที่ลานจอดรถ เพื่อที่จะคอยเปิดทางให้พี่พาเมฆออกมาได้สะดวกๆแบบนี้ไง และตอนนี้มันก็คงกำลังจัดการเรื่องที่เหลือให้พี่อยู่เหมือนเคยนั่นแหละ”

“แล้วพี่ได้ฆ่า.........” ผมอ้าปากจะถาม แต่ก็ตัดสินใจไม่ถามจะดีกว่า “แล้วพี่กับพี่กรณ์บาดเจ็บรึเปล่าครับ”

“ไม่เลย” พี่วินตอบสั้นๆ

ผมเหม่อมองออกไปนอกรถ นึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้วก็รู้สึกใจหาย ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อตัวเองเลยว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง “มันบอกผมว่าไอ้แบ๊งค์ร่วมมือกับมันด้วย”

“แล้วเมฆคิดว่ายังไง”

ผมส่ายหน้า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมยังไม่รู้เลยว่านี่มันจบลงแล้วจริงๆน่ะเหรอ นี่มันจบลงจริงๆแล้วใช่มั๊ย”

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเมฆอยากให้คำว่า ‘จบ’ นั้นมันเป็นยังไง แต่ถ้าเมฆถามพี่ว่าไอ้จ๊อบมันจะไม่มาวุ่นวายกับเมฆและครอบครัวของเมฆอีกแล้วรึเปล่า พี่ก็บอกได้เลยว่ามันจะไม่โผล่มาให้เมฆเห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน”

“ทำไมพี่วินถึงมั่นใจนัก คือ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจพี่นะครับ แต่ผม........ แต่ผมกลัวจริงๆ”

“เชื่อพี่เถอะครับ พี่จัดการทุกอย่างแล้ว ก็ได้ ถ้าเมฆไม่สบายใจพี่จะบอกเมฆให้ก็ได้ว่า นอกจากวีดีโอม้วนนี้ที่จะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวมันเองแล้วน่ะ พี่เองก็กว้างขวางอยู่พอตัวเหมือนกัน และพ่อของมัน........ พี่ก็ไปคุยกับมันมาแล้วด้วย แน่นอนว่าด้วยเรื่องของธุรกิจ ไม่ต้องทำหน้าตกใจแบบนั้นก็ได้ เพียงแต่ไม่ว่าใครน่ะ ต่างก็มีจุดอ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ขอแค่เราหาให้เจอและจับจุดนั้นให้อยู่หมัด มันก็เท่านั้นเอง”

“จุดอ่อนงั้นเหรอครับ”

“พี่จะบอกเมฆสั้นๆก็แล้วกันว่า ตัวไอ้จ๊อบตามลำพังน่ะไม่มีปัญญาทำอะไรได้มากมายหรอก มันต้องพึ่งพ่อของมันด้วย แต่ว่าพ่อของมันเป็นนักการเมือง......... ที่กำลังอยากจะไปในที่สูงกว่านี้ และมันคงไม่ยอมถูกกระชากลงมาคลุกดินสูญสิ้นทุกอย่างไปเพราะเรื่องเหี้ยๆของลูกของมันหรอก จริงมั๊ยล่ะ”

“ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับวิธีการ....... อย่างนั้นสินะครับ”

“ไม่ใช่” พี่วินส่ายหัว “ความถูกต้องต่างหาก ที่สำคัญที่สุด และความถูกต้องของพี่ก็คือครอบครัวของเมฆ นอกเหนือจากนั้นจะเป็นยังไง พี่ไม่สน”

“จะว่าไป พี่จ๊อบมันถามผมว่าคนของมันอยู่ที่ไหนด้วย”

“ก็คงงั้นล่ะ คนที่มันถามถึงก็คืนลูกน้องคนสนิทของมันและเป็นคนที่คอยจัดการเรื่องต่างๆแทนมันด้วย ก็ไอ้เหี้ยนี่น่ะมันมีปัญญาทำอะไรเองเป็นซะที่ไหน อย่างมากก็ทำได้แค่ชี้นิ้วสั่งอยากได้อะไรก็แค่เอ่ยปาก โดยมีไอ้บอล คนที่มันถามถึงนี่แหละ เป็นคนคอยจัดการทุกอย่าง รวมทั้งเป็นคนที่เริ่มสะกดรอยตามเมฆกับซันตั้งแต่ช่วงแรกๆ และเป็นคนที่ส่งลูกน้องของมันสองคนนั้นตามเมฆเมื่อคืนนั้นด้วย”

“แปลว่าตอนนี้ไอ้คนที่ชื่อบอลนั่นยังอยู่กับพี่วิน........”

“ใช่ พี่รับดูแลมันเอาไว้อยู่เพื่อไม่ให้มันมาวุ่นวาย และเพื่อที่จะได้รู้แผนการเหี้ยๆของไอ้จ๊อบมันด้วย”

“พี่วิน..... ทำอะไรเค้าไปมั่งรึเปล่า”

พี่วินหันมามองผมแว่บหนึ่ง “พี่ว่าเมฆคงไม่น่าถามอะไรในสิ่งที่เมฆเองก็ไม่ได้อยากรู้นักหรอกนะ”

“ครับ ก็คงอย่างนั้น” ผมเห็นด้วยและนึกดีใจเล็กน้อยที่ไม่ได้รู้คำตอบ “ขอโทษทีครับพี่”

“พี่บอกแล้วว่าพี่ไม่สนใจอะไรนอกเหนือจากความถูกต้องของพี่ และพี่เองก็ไม่คิดจะให้ใครมาสอนพี่ด้วยว่าความถูกต้องคืออะไร พี่ไม่คิดจะสนใจในความคิดของคนอื่นตราบเท่าที่พี่ทำในสิ่งที่พี่เชื่อ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดหรือวุ่นวายกับพี่ในเรื่องนั้นได้ แม้แต่พ่อของเมฆเอง”

“เรื่องนั้นผมรู้ครับ” ผมพยักหน้าเบาๆ “จริงๆพอมานึกๆดูนี่มันก็แปลกนะครับ ผมรู้สึกเหมือนผมแทบจะไม่ค่อยรู้จักพี่วินเลย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ารู้จักพี่และนิสัยพี่ดีมากด้วยยังไงไม่รู้สิ แถมพ่อเองก็แทบไม่เคยบอกอะไรผมเลยด้วย”

พี่วินเงียบไปอีกครู่หนึ่ง “ตกลงเมฆรู้แล้วรึยังว่าอะไรคือคำว่าจบของเมฆ”

ผมพยักหน้า “ครับ ตอนนี้ผมรู้แล้ว”

“ถ้างั้นเมฆก็ไม่มีเรื่องอื่นต้องกังวลแล้วนี่ ถ้าตัดเรื่องของไอ้จ๊อบออกไป เมฆก็มีเส้นทางที่เมฆเลือกเอาไว้ในใจอยู่แล้ว ใช่มั๊ย”

“ครับ ผมคิดว่าคงอย่างนั้น”

“ถ้างั้นพี่ว่าก็รีบๆได้แล้วล่ะ เพราะว่าพ่อกับแม่ของซันจะมาถึที่นี่พรุ่งนี้แล้ว”

“หาา พี่รู้ได้ยังไงครับ ตกลงพวกท่านคอนเฟิร์มแล้วเหรอ”

“ก็พ่อของเมฆโทรมาบอกพี่น่ะสิ”

“แล้วทำไมพ่อไม่บอกผม”

“ก็แล้ววันนี้เมฆพกโทรศัพท์มือถือตัวเองอยู่รึไงล่ะ”

เออ มันก็จริงแฮะ “ว่าแต่ว่าพวกพ่อเล็กจะมากันแค่สองคนเท่านั้นเหรอครับ”

“ใช่ พีไม่ได้มาด้วย”

“แต่ถ้าผมไปพรุ่งนี้ ผมก็จะไม่ได้อยู่ไหว้พ่อกับแม่เล็กก่อนน่ะสิครับ”

“แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้มั๊ง”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ผมคิดว่าผมอยากรู้ความจริงก่อนครับ ถึงตอนนี้เราจะรู้ตัวการของปัญหาเหี้ยๆนี่แล้ว แต่ว่าพอนึกๆดูผมก็ยังมีอะไรที่เข้าใจอยู่อีกหลายอย่างเหมือนกัน พี่วินรู้ความจริงทั้งหมดแล้วใช่มั๊ยครับ เพราะงั้นตอนนี้ผมก็คิดว่าผมพร้อมที่จะฟังแล้วล่ะ”

“เมฆแน่ใจนะ ว่าเมฆพร้อมที่จะฟังจริงๆ ไม่ได้อยากจัดการธุระตัวเองให้เสร็จก่อน เพราะพี่บอกไปแล้วว่าพี่จัดการทั้งหมดให้เองได้ และเมฆก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมันเลยด้วย”

“ครับ ผมมั่นใจ”

“ถ้างั้นก็ฟังสิ่งที่พี่กำลังจะบอกให้ดีๆ แต่อย่าให้มันสั่นคลอนการตัดสินใจของตัวเองได้ล่ะ”

“ครับ อย่างที่ผมบอกพี่วินไปแล้วไงครับว่า ตอนนี้ผมไม่สนใจแล้วว่าอย่างอื่นจะเป็นยังไง แต่ผมรู้ตัวแล้วว่าผมต้องการอะไรและผมคิดจะทำอะไรต่อ ไม่ว่าสิ่งที่ผ่านมามันจะคืออะไร แต่ว่าพรุ่งนี้ ผมยังคงยืนยันว่าผมจะออกเดินทางตามหาท้องฟ้าของผมกลับมาอีกครั้ง”


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: BEta-K ที่ 31-08-2008 11:17:57
รอๆๆ ใกล้จบแล้วววว  :a2:

ให้กำลังใจคนแต่ง o13
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 02-09-2008 16:54:20
แวะมาดูว่าลงไปถึงไหนแล้ว เอิ๊กกก ลืม อิอิ
ขอบคุณทุกคนมากนะครับ

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 02-09-2008 17:01:27
 :เฮ้อ:
โล่งอกไปที...ดีนะพี่วินมาช่วยทัน...
เมฆกะซันจะเป็นไงต่อไปนะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 03-09-2008 16:52:19
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

โล่งใจครับ รอตอนต่อไปนะครับ

 :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 06-09-2008 21:28:04
เพิ่งเห็นว่ามาต่อแล้ว แบบว่าช้าไปนิสสสสสส :m23:

และแล้วก็รอดปลอดภัยมาจนได้

เป็นกำลังใจให้น้องต้นน้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 07-09-2008 07:35:17
ก้าวที่สิบสี่สู่ปลายทางสุดท้าย


“ศิลาพูดจริงนะ ไม่ได้กำลังโกหกผมจริงๆใช่มั๊ย” ไคล์พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ หลังจากที่ผมบอกถึงการตัดสินใจของผมให้เขาฟังทางโทรศัพท์ขณะที่พี่วินกำลังขับรถกลับไปส่งผมที่บ้าน

“อื้ม จริงสิ พี่ไม่พูดเล่นอยู่แล้วล่ะ”

“แต่พรุ่งนี้พ่อกับแม่ซันจะมาที่นี่นี่นา แถมแม่ผมก็จะมาด้วยนะ ถ้าแบบนั้นศิลาก็จะไม่ได้อยู่เจอทุกคนก่อนน่ะสิ”

“ก็คงแบบนั้นแหละ แต่ว่าพี่ก็ไม่มีเวลาแล้ว อย่างแรกเลยคือพี่ไม่อยากจะรอนานไปกว่านี้อีกแล้วล่ะครับ และที่สำคัญคือ วันลาหยุดมาดูแลพ่อของพี่ก็จะหมดลงแล้วด้วย พอพ่อกลับไปทำงานได้เมื่อไหร่ พี่เองก็ต้องกลับไปทำงานด้วยเหมือนกัน ดังนั้นพี่คิดว่าพี่คงต้องรีบไปตั้งแต่ตอนนี้เลยซะจะดีกว่า”

“ผมเองก็อยากจะไปด้วย”

“ขอโทษทีนะ ไคล์ พอดีมันกะทันกันไปหน่อยน่ะ”

“ไม่หรอก แบบนี้ดีแล้วล่ะ แต่ว่าผมดีใจจริงๆนะ ผมดีใจจริงๆ”

“ขอบใจมาก ไคล์”

“แล้วเรื่องทางนั้นไม่มีปัญหาแล้วใช่มั๊ย ตอนนี้พ่อของศิลาก็กำลังเป็นห่วงอยู่เหมือนกันนะ และผมเองก็เป็นห่วงมากด้วยเหมือนกัน”

“อืม ทุกอย่างเรียบร้อยดี บอกพ่อทีนะว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้พี่วินกำลังขับรถไปส่งพี่ที่บ้านแล้ว” ผมหันไปถามพี่วินว่าเขาจะเข้าบ้านไปหาพ่อเอกด้วยรึเปล่า พอพี่วินพยักหน้าตอบกลับมา ผมจึงหันกลับมาพูดกับไคล์ต่อ “เดี๋ยวพี่วินจะเข้าไปหาพ่อด้วยนะ แล้วยังไงเดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันต่อที่บ้านก็แล้วกัน ส่วนเรื่องที่พี่บอกไคล์ เดี๋ยวพี่ขอเป็นคนบอกพ่อเองก็แล้วกันนะครับ”

“ได้ครับ แล้วเดี๋ยวเจอกัน”

ผมวางสายและนึกอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น “ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าคนเราจะทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้ โดยเฉพาะกับคนที่เราไม่คิดว่าจะทำ กับคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนของเรา........ กาลเวลานี่มันเปลี่ยนแปลงคนไปได้จริงๆ”

“เมฆอาจจะมองโลกในแง่ดีไปหน่อยก็เท่านั้นเอง”

“พี่วินพูดเหมือนจะบอกให้ผมหัดมองโลกในแง่ร้ายกว่านี้ คอยระแวงคนอื่นให้มากกว่านี้งั้นเหรอครับ”

“ก็คงแบบนั้นนั่นแหละ หรือถ้าเมฆอยากจะได้ยินอะไรที่มันฟังดูดีขึ้นมาหน่อยล่ะก็ พี่ก็แค่จะบอกให้เมฆระวังความเชื่อใจของเมฆ ว่ามันอยู่กับคนที่คู่ควรจะได้รับมันจริงรึเปล่าก็เท่านั้นเอง” พี่วินหันมามองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไป “ที่จริงพี่เองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสั่งสอนอะไรเมฆได้หรอกนะ”

“ได้สิครับ ก็พี่วินเป็นพี่ผมนี่นา”

“อย่างแรกเลยคือพี่ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของเมฆนะ หรือจะว่ากันตรงๆ เราก็เป็นคนอื่นที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ” พิ่วินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และอย่างที่สอง พี่ไม่คิดว่าทัศนคติของพี่จะเหมาะกับนิสัยเมฆสักเท่าไหร่หรอก” จริงๆแล้วในข้อนี้ผมก็รู้สึกเห็นด้วยนิดๆอยู่ในใจเหมือนกัน พี่วินเองก็รู้ว่าเขาพูดถูก เราสองคนนั่งเงียบๆกันอยู่อึดใจ ก่อนที่พี่วินจะเปลี่ยนเรื่อง “เมฆไม่สับสนนะ”

ผมใช้เวลานึกตรองคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่แล้วครับ........ สำหรับเรื่องของซันนะ”

“แต่ถ้าสำหรับเรื่องอื่นที่เหลือ........”

“ก็นิดหน่อยครับ แต่ผมจะขอเป็นคนจัดการความสับสนและสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจที่เหลือทั้งหมดเองหลังจากที่ผมกลับมา” ผมตอบ

พี่วินเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนจะกำลังใช้ความคิดก่อนที่จะพยักหน้าออกมาเบาๆ

หลังจากที่เราสองคนกลับมาถึงบ้าน พี่วินกับพ่อก็เดินหายเข้าไปคุยกันตามลำพังในห้องทำงานของพ่อ ส่วนผมก็นั่งคุยกับไคล์อยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก ไคล์พยายามที่จะถามถึงรายละเอียดของเรื่องทั้งหมดโดยอ้างว่ามันถึงเวลาที่เขาควรจะรู้เรื่องทั้งหมดได้แล้ว เพราะถ้าในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเรียบร้อยดีแล้ว ผมก็ไม่ควรและไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปิดบังเขาอีกต่อไป แต่ว่าผมก็ยังไม่พร้อมและยังไม่อยากจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันเป็นอะไรที่ผมไม่คิดว่าผมจะอยากเล่าให้ใครฟังเลยจริงๆ ดังนั้นผมจึงปฏิเสธ และเปลี่ยนหัวข้อคุยไปยังเรื่องที่เราคุยกันค้างเอาใว้เมื่อตอนผมอยู่บนรถแทน

เรื่องที่ผมจะบินไปตามไอ้ซันที่อังกฤษกลับมา

“พรุ่งนี้ไฟลท์ของพวกแม่จะมาถึงที่นี่ประมาณเที่ยงคืนครึ่งน่ะครับ เพราะงั้นจะว่าไปจริงๆแล้วก็คือพวกเค้าจะมาถึงกันตอนเช้าของอีกสองวันข้างหน้ามากกว่า” ไคล์บอก “และเท่าที่ผมคุย เห็นว่าพวกนั้นจะมาอยู่ที่นี่ราวๆสามวันก่อนจะบินกลับ ศิลาคิดว่าศิลาจะได้เจอทุกคนมั๊ย”

“พี่คิดว่าไม่นะ เพราะพี่วินบอกพี่ว่าไฟลท์พี่จะออกจากที่นี่พรุ่งนี้ตอนบ่ายสาม ซึ่งตั๋วน่ะจองเอาไว้แล้ว เพราะงั้นก็คงจะไม่ได้เจอกันที่นี่แน่ๆ แถมพี่เองก็ไม่รู้ว่าพี่จะอยู่ที่นั่นอีกนานขนาดไหนด้วย”

“พีทบอกผมว่าซันเองก็ไม่ยอมเล่าอะไรให้เขาฟังเลย เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง บางทีก็ออกไปข้างนอกแต่เช้ากว่าจะกลับก็มืด....... หรือบางทีก็ไม่กลับมาด้วยซ้ำ ทุกคนที่นั่นก็เลยเป็นห่วงเขามาก ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ พ่อกับแม่ซันก็เลยอยากจะเจอศิลาด้วยเหมือนกันนี่แหละ”

ความรู้สึกผิดเริ่มถาโถมเข้าใส่ผมอีกครั้ง นอกจากนั้น ความจริงที่ผมเพิ่งรู้ว่าไอ้ซันกำลังทำตัวน่าเป็นห่วงแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย “จริงๆพี่เองก็รู้ว่าพี่ควรจะอยู่พบพวกท่านก่อน ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพี่เอง แต่พอนึกๆดูพี่ก็คงไม่รู้จริงๆนั่นแหละว่าในตอนนี้พี่จะกล้าสู่หน้าพวกแม่เล็กได้รึเปล่า”

ไคล์ส่ายหน้าแล้วจับมือของผมไปกุมเอาไว้ “ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ทุกคนไม่ได้โทษหรือโกรธศิลา แต่เป็นห่วงทั้งสองคนมากต่างหาก เรื่องมันก็เท่านั้นอง”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ......... พี่บอกตามตรงนะว่าพี่กลัว ไอ้ซันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย มันไม่เคยทอดทิ้งพี่ไปไหนไกลและนานขนาดนี้ ไม่แม้แต่ตั้งแต่สมัยที่เราเรียนอยู่ด้วยกัน และที่สำคัญตอนนี้ที่พี่คิดว่าพี่รู้เหตุผลทั้งหมดที่มันตัดสินใจทำแบบนี้ลงไปแล้ว พี่ก็ยิ่งไม่แน่ใจว่ามันจะยอมกลับมาหาพี่แน่รึเปล่า”

“กลับมาสิครับ ยังไงซันก็ต้องกลับมาแน่” ไคล์ยิ้ม “ไม่มีวันไหนหรอก ที่ท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะไม่ลอยอยู่เคียงคู่กัน ไม่มีทาง........”

ผมยิ้มตอบเป็นการขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ไคล์มีให้ผมตลอดมา นั่นสินะ ไม่มีวันไหนหรอก ที่ก้อนเมฆจะไม่ลอยอยู่เคียงคู่กับท้องฟ้า และถึงจะมีบ้างที่วันใดท้องฟ้าจะหม่นหมองหรือไร้เมฆลอยอยู่เคียงข้าง แต่ไม่มีทางที่ท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะทอดทิ้งกันไปหรือไม่มีกันและกัน.......... ไม่มีทาง

ครู่ใหญ่ๆหลังจากนั้น พี่วินกับพ่อเอกก็เดินออกมาจากห้องทำงาน ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่ว่าสีหน้าของพ่อเอกกลับดูเคร่งเครียดกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก เพราะตอนแรกผมนึกว่าพอพ่อรู้ความจริงว่าตอนนี้ทุกอย่างมันจบลงแล้ว พ่อน่าจะรู้สึกสบายใจขึ้น แต่ทว่าสายตาที่พ่อกำลังมองผมอยู่นั้นมันกลับสะท้อนความห่วงใยและความกังวลเอาไว้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

“พี่วินจะกลับแล้วเหรอครับ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนมั๊ย”

“ไม่ล่ะ พี่ต้องรีบกลับไปจัดการธุระต่อน่ะ”

ผมลุกขึ้นและเดินตามไปส่งพี่วินจนถึงที่รถ “ขอบคุณมากนะครับพี่วิน ขอบคุณมากจริงๆ ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงแย่แน่ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก สำหรับพี่แล้วพี่ถือว่ามันเป็นหน้าที่นะ แล้วก็เป็นเรื่องสนุกด้วย”

“แล้วเอาไว้หลังจากนี้ผมขอชวนพี่ไปกินข้าวด้วยกันอีกนะครับ คราวนี้ขอผมเป็นฝ่ายเลี้ยงพี่เอง เพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องในตอนนี้ แต่เป็นสำหรับทั้งหมดเท่าที่ผ่านมาตั้งแต่ผมยังเด็กเลยด้วย ถึงข้าวมื้อเดียวมันจะทดแทนให้ไม่ได้ แต่ผมก็คงมีปัญญาทำให้ได้เท่านี้แหละครับ ผมไม่รู้จะบอกขอบคุณพี่ยังไงดีจริงๆ”

พี่วินยิ้มเล็กน้อย แต่ว่าคราวนี้มันดูต่างออกไปจากรอยยิ้มที่ผมเคยเห็นผ่านๆมาอย่างบอกไม่ถูก “ไม่ต้องหรอก แค่พี่รู้ว่าเมฆสบายดีพี่ก็พอใจแล้ว และถึงยังไงก่อนหน้านี้เราก็แทบจะไม่ค่อยได้เจอกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา”

“มันก็ใช่ครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าพี่วินเป็นคนอื่นเลยจริงๆนะ และยิ่งเพราะงั้นนี่แหละ ผมถึงยิ่งรู้สึกขอบคุณพี่วินมากขึ้นไปอีกที่ช่วยดูแลผมมาตลอดขนาดนั้น”

“ถ้าเป็นแบบนั้น.........” พี่วินยิ้มอีกครั้งและเปิดประตูรถออก จากนั้นก็นั่งลงข้างหลังพวงมาลัย “ก็แปลว่านั่นคือระยะห่างที่ดีที่สุดของเราสองคนแล้วล่ะ”

“พี่วิน”

พี่วินปิดประตูรถ แล้วก็เลื่อนกระจกไฟฟ้าลง “โชคดีนะเมฆ”

เมื่อพูดจบ พี่วินก็เลื่อนกระจกขึ้นและถอยรถออกไป ส่วนผมก็ได้แต่ยืนมองส่งพี่วินที่ขับรถจากไปจนกระทั่งรถเลี้ยวหายลับไปจากสายตา ผมรู้ดีว่าคำพูดเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร และรู้ดีว่าหลังจากนี้ไป ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน ผมก็จะยังคงมีพี่ชายที่รักผมและครอบครัวของผมมากคอยดูแลผมอยู่ตลอดเวลา และผมเองก็เชื่อว่าเขาเองก็รู้ดีว่าเขานั้นมีความหมายสำหรับเราสองคนพ่อลูกมากแค่ไหนด้วยเช่นกัน

ถึงแม้จะไม่ได้พบหน้า ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุย แต่สายสัมพันธ์ที่เรามีให้กันก็ไม่เคยถูกตัดขาดลงไปเพราะระยะทาง

“ขอบคุณมากนะครับ พี่วิน” ผมพูดกับตัวเองเบาๆอีกครั้งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ในห้องรับแขกมีพ่อเอกกำลังนั่งรอผมอยู่แล้ว ส่วนไคล์ก็คงจะขึ้นห้องไปแล้วเหมือนเดิม ดังนั้นผมจึงนั่งลงข้างๆพ่อแล้วรอให้พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน เพราะผมไม่รู้ว่าพี่วินได้เล่าเรื่องในวันนี้ออกไปบ้างหรือเปล่า และถ้าเล่า จะเล่ารายละเอียดมากน้อยขนาดไหน ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจะเป็นฝ่ายรอและคอยตอบคำถามตามที่พ่อต้องการจะดีกว่า

“เมฆรักวินมั๊ย”

นี่เป็นคำถามที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนจริงๆ “ครับ ตั้งแต่ไหนแต่ไร พี่เค้าก็คอยดูแลผมมาตลอด ถึงผมจะจำเรื่องเมื่อตอนเด็กๆไม่ค่อยได้ แต่ผมก็ไม่เคยลืมว่าผมมีพี่วินอยู่ใกล้ๆตลอดเวลาเลยสักครั้งเดียว”

“ในครั้งนี้วินเป็นธุระให้เรามากจริงๆ ดูท่าเราสองคนจะเป็นหนี้บุญคุณเค้าครั้งใหญ่แล้วนะ”

“ผมก็ว่างั้นแหละครับ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของผมคนเดียวมากว่า พ่ออย่าคิดมากสิครับ และอีกอย่างที่สำคัญกว่าคือ ผมไม่คิดว่าพี่วินจะยอมรับความคิดว่าผมหรือเราสองคนเป็นหนี้บุญคุณพี่เขาหรอกนะครับ กลับกัน ผมกลับรู้สึกว่าพี่เค้ารักและเทิดทูนพ่อมากมากกว่าซะอีก”

“อย่างนั้นเหรอ.......” พ่อเอกตอบแบบลอยๆ แต่ทว่าแววตานั้นกลับดูมั่นคงและจริงจัง

“พ่อไม่ค่อยเล่าเรื่องพี่วินให้ผมฟังเลยนะครับ เพราะงั้นผมก็เลยไม่ค่อยถาม ไม่สิ ถ้าจะว่าตรงๆ พอมานึกๆดู ดูเหมือนผมจะถูกสอนและเรียนรู้มาว่าผมไม่ควรจะถามมากว่าซะด้วยซ้ำ”

“เพราะพ่อคิดว่าวินคงไม่ได้อยากให้เมฆใส่ใจสักเท่าไหร่น่ะสิ ถ้าเค้าอยากพูด พ่อก็คิดว่าเค้าคงพูดเอง”

“ถ้างั้นสงสัยจะไม่มีมีวันนั้นซะล่ะมั๊งครับ” ผมยักไหล่เบาๆ

“และอีกอย่าง เมฆเองก็เห็นและรู้ว่าวินเองก็ไม่ใช่คนที่ควรจะใกล้ชิดมากนัก ทั้งนิสัยและงานที่ทำ........ หรือแม้แต่งานอดิเรก”

ผมอ้าปากจะพูดว่าผมคิดว่าพี่วินเป็นคนดีและดีมากพอที่จะสนิทสนมด้วย แต่พอคิดดูอีกทีผมก็เข้าใจว่าพ่อหมายถึงเรื่องอะไร ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องของคำว่างานและงานอดิเรกมากนักก็ตาม เพราะผมก็ไม่ค่อยรู้จริงๆว่าชีวิตของพี่วินนั้นเป็นอย่างไร แต่ผมก็คิดว่าผมพอจะเดาในส่วนที่เหลือได้ เลยตัดสินใจว่าไม่พูดถึงเรื่องนี้คงจะดีกว่า เพราะจะว่าไปแล้วถ้าผมไม่โกหกตัวเองล่ะก็ ผมก็รู้ดีเลยทีเดียวว่าประเด็นสำคัญที่พ่อพูดนั้นคืออะไร ทั้งคำว่านิสัย หรือแม้แต่คำว่างานอดิเรก.........

ภาพของนิ้วที่ถูกตัดขาดและถุงมือที่เปื้อนเลือดของพี่วินยังคงวนเวียนอยู่ในตาของผมอยู่เลยด้วยซ้ำ

“แต่ผมรักพี่วินครับ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” ใช่แล้ว ผมรู้ดีว่าถึงพี่วินจะเป็นอย่างไรหรือมีนิสัยแบบไหน แต่สำหรับคนที่พี่วินรักและเลือกแล้ว คนเหล่านั้นก็จะสามารถพึ่งพาและไว้วางใจพี่วินได้ไม้ว่าจะเรื่องใดหรือในเวลาไหนก็ตาม และหนึ่งในคนที่พี่วินรักและเลือกก็คือผมกับพ่อ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีมากเพียงพอที่จะมอบความรักและความเชื่อใจของผมกลับไปให้พี่วินด้วยเช่นกัน

“พ่อเองก็เหมือนกัน” พ่อเอกหันมายิ้มให้กับผม “เอาล่ะ เรามาว่าเรื่องของเรากันดีกว่า วินเล่าเรื่องของไอ้สองพ่อลูกนั่นให้พ่อฟังคร่าวๆแล้ว และเค้าก็บอกพ่อแล้วด้วยว่าทุกอย่างมันเรียบร้อยหมดแล้ว และเมฆก็ตัดสินใจได้แล้วด้วยว่าเมฆจะเอายังไงต่อ”

“ใช่ครับ และผมก็เลยไม่เข้าใจนิดหน่อย ผมขอถามพ่ออะไรนิดหน่อยก่อนที่เราจะคุยกันได้มั๊ยล่ะครับ”

“อะไรล่ะ”

“ถ้างั้นแล้วทำไมพ่อถึงยังดูเป็นกังวลแบบนี้ล่ะครับ ในเมื่อพี่วินเองก็บอกพ่อแล้วว่าผมตัดสินใจได้แล้วและยืนยันว่ามันไม่มีอะไรแล้ว แต่ทำไมพ่อถึงยังดูเหมือนยังไม่ค่อยสบายใจ......”

พ่อเอกมีท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อย “อาจจะเป็นเพราะพ่อมันคนแก่ขี้กังวลล่ะมั๊ง อย่างน้อยๆก็จนกว่าพ่อจะเห็นซันกลับมาล่ะ นั่นก็เป็นอย่างนึง แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็น........ เมฆ เรานั่นแหละ”

“ผมเหรอครับ”

“ก็ใช่สิ จนกว่าพ่อจะเห็นว่าลูกของพ่อไม่เป็นไรแล้วจริงๆ พ่อก็คงยังไม่หายกังวลหรอกนะ”

ผมยิ้ม “ไม่เป็นไรครับพ่อ พ่อเชื่อผมเถอะว่าผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ ส่วนเรื่องไอ้ซัน พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ พรุ่งนี้ ผมจะไปตามมันกลับมา และผมเชื่อว่าทุกอย่างมันจะต้องกลับมาเหมือนเดิมครับ ผมให้สัญญา”

“แล้วถ้าซันไม่กลับมาล่ะ” พ่อเอกถามคำถามที่ทำให้ผมต้องชะงัก “เมฆจะยังบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรอยู่มั๊ย เมฆจะยังกลับมาเป็นเมฆคนเดิมได้อยู่แน่รึเปล่า คำว่า ‘ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม’ ของเมฆ จริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่ เราคิดเอาไว้แน่แล้วรึเปล่า”

“ผม.........”

“หึๆ เอาเถอะ พ่อก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง พ่อเชื่อว่าเมฆต้องไม่เป็นไรแน่ รวมทั้งซันด้วย วินเล่าเรื่องรวมๆให้พ่อฟังแล้ว รวมทั้งต้นตอของเรื่องวุ่นๆทั้งหมดนี่ด้วย ดังนั้นพ่อคงไม่กังวลอะไรเท่าไหร่หรอก ขอแค่เมฆเชื่อมั่นในตัวเองและสิ่งที่ตั้งใจจะทำ เท่านั้นก็พอแล้ว”

ถ้าพ่อใช้คำว่า “ต้นตอ” ดังนั้นผมจึงรู้แล้วว่าสาเหตุที่ทำให้พ่อมีสีหน้าไม่สบายใจเมื่อตอนแรกนั้นคืออะไร “ขอบคุณครับพ่อ ผมเองก็เชื่อว่าทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้นแน่ๆรับ” ผมยิ้มกว้าง

“ทีนี้ก็เหลือแต่เรื่องของบ้านนั้นแล้วที่พ่อยังกังวลอยู่นิดหน่อยน่ะ”

“บ้านนั้น.........” ผมสงสัยนิดหน่อยว่าพ่อกำลังพูดถึงใคร ใช่คนๆเดียวกับที่ผมคิดอยู่แน่รึเปล่า

“ใช่ ก็ไอ้จ๊อบนั่นแหละ ทั้งพ่อและลูกเลย แถมมันก็รู้แล้วด้วยว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน พ่อไม่ค่อยอยากจะมีเรื่องกับไอ้พวกนักการเมืองเลยจริงๆ โดยเฉพาะไอ้ตัวพ่อนะ พ่อไม่เคยชอบมันเลยจริงๆ เลวทั้งพ่อทั้งลูก” พ่อพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไม่พอใจ และตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าสีหน้าที่ผมเห็นเมื่อก่อนหน้านี้มันคือสีหน้าแสดงความโกรธและความไม่พอใจเรื่องของไอ้พี่จ๊อบนี่เอง

“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ ผมเองก็คิดเหมือนกันครับ แต่พี่วินก็ยืนยันกับผมว่าพี่เค้าจัดการให้แล้ว”

“ถ้างั้นเราก็คงต้องเชื่อใจวินเท่านั้นแล้วล่ะนะ”

“ก็คงงั้นแหละครับ แต่ผมก็เชื่อนะครับว่ามันคงไม่มาวุ่นวายกับผม....... กับเราอีกแล้ว เพราะอย่างน้อยๆ เท่าที่พี่วินบอกผมมานะ เค้าบอกว่าพ่อไอ้พี่จ๊อบน่ะกำลังวางแผนจะลงการเมืองระดับประเทศให้พรรคไหนสักพรรคไม่รู้ล่ะ และถ้าเรื่องของที่ลูกมันทำนี่แดงออกไปล่ะก็ มันคงดับแน่ เพราะงั้นผมก็เลยค่อนข้างมั่นใจว่าเราเองก็น่าจะปลอดภัยกันแล้วล่ะครับ หลังจากนี้ไอ้พี่จ๊อบมันคงถูกพ่อมันคุมเข้มน่าดู”

“วินนี่ชอบเสี่ยงอันตราย ชอบไปเล่นกับไฟอยู่เรื่อย........” พ่อเอกส่ายหน้า “เตือนเท่าไหร่ก็ไม่เคยจำ”

“แต่ผมเชื่อว่าพี่วินเอาตัวรอดได้นะครับ พ่อเอกก็เชื่อเหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ ผมรู้ ถึงพ่อจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พ่อเองก็รู้จักพี่วินมากกว่าผมเสียอีก”

พ่อเอกหันมายิ้มให้กับผม “ก็คงอย่างนั้นล่ะ”


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 07-09-2008 09:45:55
 :loveu: :loveu:
ดีใจๆๆได้อ่านต่อแล้ว
ขอบคุณน้าน้องต้น :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 07-09-2008 10:25:52
เย้ยย ทำไมพี่ไม่ยักรู้ล่ะ ว่าซันเดินทางไปอังกฤษ หรือว่าอ่านหกตกหล่นไปตอนไหนหว่า

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: PakBeob ที่ 08-09-2008 05:28:42
เห็นด้วยกะคุณน้ำค้างเรื่องซันอ่ะ

มิน่าล่ะ หายเงียบไปเลย
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 10-09-2008 06:53:19
 :m4:  :pig4: :m4: :pig4: :m13: :pig4:

Thank you krub  and waiting again krub.

 :a12: :a12: :a12: :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 10-09-2008 14:01:53
งะ ไม่ได้มาอ่านพักใหญ่ ๆ จะจบแล้วหรอฮับ  :m16:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 11-09-2008 15:13:28
 :oซันไปอังกฤษเหรอ เมื่อไหร่กัน  :serius2:เราตกข่าวเหรอ...
เกิดอะไรขึ้นกับซันรึเปล่าอ่ะ หวังว่าน้องต้นคงไม่ใจร้ายกับคนอ่านหรอกน๊า :serius2:
กลัวใจจริงๆ o12
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-09-2008 21:43:35
ก้าวที่สิบห้าสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมปฏิเสธการมาส่งที่สนามบินของพ่อกับไคล์ เพราะไม่อยากจะให้ทั้งคู่ต้องมาวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของผมมากไปกว่านี้อีกแล้ว อย่างน้อยๆไคล์ก็ต้องไปเรียน และพ่อก็จะได้พักผ่อนให้เต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมที่จะกลับไปทำงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ และที่สำคัญ ผมเองก็อยากใช้เวลาช่วงเช้าอยู่คนเดียวเพื่อคิดอะไรตามลำพังด้วย ทว่าถึงยังไงก็ยังมีคนอยู่อีกคนหนึ่งที่ผมอยากจะพบก่อนที่ผมจะบินไปตามไอ้ซันกลับมา ดังนั้นที่นี่ แบล็คแคนย่อนสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาสิบโมงเช้า ผมกำลังนั่งดื่มกาแฟและอ่านหนังสือพิมพ์รอการมาถึงของคนสำคัญของผมคนนั้นอยู่ คนที่ผมจำเป็นต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังก่อนที่ผมจะไป ไม่เช่นนั้นแล้วผมคงจะต้องโดนต่อว่า หรือแย่ยิ่งกว่านั้น....... คงต้องโดนด่าจนหูชาไปอีกนานแน่

“ทางนี้ อีฟ” ผมโบกมือเรียกอีฟเมื่อผมเห็นมันเดินเข้ามาในร้านแล้ว ผมลุกขึ้นยืนรับมันและบอกให้มันนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของผม

“ยิ้มได้แล้วนี่ เป็นยังไงมั่งวะ” อีฟนั่งลงและหันไปเรียกขอเมนูจากพนักงาน ก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง น้ำเสียงของมันดูเหมือนจะกำลังเป็นหวัดอยู่เล็กน้อย “แกสองคนนี่ชอบทำอะไรบุ่มบ่ามหุนหันทั้งคู่ไม่เปลี่ยนเลยนะ บทจะไปก็ไป บทจะมาก็มา บทจะเลิกก็เลิก”

“ก็นั่นน่ะสินะ เราขอโทษจริงๆที่ทำให้แกต้องเป็นห่วง”

“ไร้สาระน่า เมฆ เราดีใจมากเลยต่างหากที่แกตัดสินใจแบบนี้น่ะ เมื่อคืนตอนที่แกโทรมาหาเรา เราแทบกรี๊ดเลยนะเว้ย เนี่ย อยากจะบอกไอ้กอล์ฟมันใจจะขาด แต่แกก็ดันห้ามเอาไว้ซะก่อน”

“อืม เราอยากให้อะไรๆมันเคลียร์ก่อนน่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะยุ่งยากไปอีกซะเปล่าๆ”

“ว่าแต่แกรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าไอ้ซันบินกลับไปที่อังกฤษน่ะ”

“เพิ่งเมื่อวันก่อนนี้เอง ไคล์เป็นคนบอกน่ะ ตอนนั้นเราเองก็กำลังสับสนและเครียดมาก แต่เพราะคำพูดของไคล์กับพี เราก็เลยคิดได้สักทีว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เราต้องการคืออะไร และที่สำคัญ เหตุผลที่ไอ้ซันทำแบบนั้นมันคืออะไร เพราะงั้นเราจะไม่ยอมให้ระหว่างเราสองคนต้องเป็นแบบนี้ไปง่ายๆหรอก.........”

อีฟหันไปสั่งกาแฟกับพนักงานที่เดินมารับออเดอร์ก่อนจะหันกลับมานิ่วหน้าใส่ผม “เหตุผลของไอ้ซันงั้นเหรอ...... และยังที่แกบอกว่ายุ่งยากเมื่อกี๊อีก นี่มันยังไงกันแน่วะเนี่ย เมฆ”

“ก็นี่แหละ คือสาเหตุที่เราเรียกแกมา ว่าแต่แกแน่ใจนะว่าไม่เป็นไร ต้องลางาน แถมยังไม่สบายอยู่ด้วยนี่”

“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก ก็เพราะไม่สบายนี่สิถึงได้ลางานแล้วมาหาแกได้ ตกลงแกมีอะไรจะบอกเรา”

“เราอยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดเท่าที่แกควรจะรู้ในตอนนี้ให้แกฟัง”

“เท่าที่เราควรจะรู้ในตอนนี้........ งั้นเหรอ” อีฟทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ

“ใช่ และเรามีเรื่องจะขอร้องแกนิดนึงด้วย ทั้งในระหว่างที่เราไม่อยู่ และหลังจากที่เรากลับมา แต่เราสัญญาว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะลงเอยยังไง ไม่ว่าไอ้ซันกับเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า พวกแกทุกคนจะต้องได้รู้ความจริง”

“ได้ งั้นก็ว่ามาเลย จะขอร้องอะไรเรา ถ้าเราช่วยได้เราก็จะทำให้ทุกอย่างอยู่แล้ว”

“อันดับแรก เรื่องของนัท....... เราอยากให้แกบอกนัทด้วยว่าเราไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วง แต่ก็ยังไม่อยากให้ลงรายละเอียดไปมากกว่านั้น แล้วก็เรื่องไอ้แบ๊งค์..........” ผมเว้นช่วงเล็กน้อย “คอยดูๆมันไว้ด้วยก็แล้วกัน อย่าให้มันขาดการติดต่อไปจนกว่าเราจะกลับมา และถ้าเรากลับมา เราต้องการคุยกับพวกแก นัท และไอ้แบ๊งค์พร้อมหน้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมากันหมดทุกคนหรอกนะเว้ย เอาแค่พวกๆเราเท่านี้หรือเท่าที่มากันได้ก็พอ แกช่วยหาเวลาที่เราทุกคนจะได้เจอกันพร้อมหน้าให้หน่อยได้มั๊ย”

“ได้ๆ เดี๋ยวเราจะนัดพวกมันเอาไว้ให้ก็แล้วกัน แต่แกจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ”

“ไม่รู้สิ คงสองสามวันมั๊ง เราจะพยายามรีบกลับมาให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน”

“โอเค ไม่มีปัญหา แล้วเรื่องที่จะเล่าล่ะ มีอะไรบ้าง ถึงเรียกเรามาซะตั้งแต่เช้า”

“มันอาจจะงงๆและน่าตกใจนิดหน่อยนะ แต่ว่านี่ก็เป็นปัญหาตั้งแต่ต้นที่เรากับไอ้ซันเจอมา ตั้งใจฟังให้ดีๆล่ะ...........”

เวลาล่วงเลยไปจนถึงบ่ายโมง อีฟที่รับรู้เรื่องราวคร่าวๆทั้งหมดไปแล้วและกำลังมีสภาพงอมจากพิษไข้ได้ที่ก็ขอตัวกลับก่อน ซึ่งถึงแม้ผมจะยืนยันให้มันกลับไปได้ตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้วก็ตาม เวลาที่เหลืออีกชั่วโมงกว่าๆ ผมก็ใช้มันนั่งคิดถึงเรื่องราวของผมกับไอ้ซันนับตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกันจนมาถึงในตอนนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเวลามันจะผ่านมานานมากถึงเพียงนี้แล้ว นับจากเด็กมัธยมปลายหัวเกรียนๆจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวที่ต้องเดินและยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเอง  และเท่าที่ผ่านมา เราสองคนไม่เคยต้องเผชิญกับปัญหาแบบนี้มาก่อนเลย นี่นับเป็นครั้งแรกที่เราต้องเจออุปสรรคครั้งใหญ่ที่ทำให้เราต้องทะเลาะกันรุนแรง ผิดใจกัน และทำให้เราต้องบอกเลิกและเอ่ยคำว่าลาก่อนแก่ให้กันและกันอย่างนี้

และผมก็หวังว่าครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเราแล้วด้วย.........

และถ้าหากบอกว่าผมไม่ได้รู้สึกกังวลเลยก็คงจะเป็นเรื่องโกหก เพราะไอ้ซันมันเป็นคนมุทะลุและหัวดื้อมาก นอกจากนั้นก็ยังเป็นคนมีความรับผิดชอบและชอบคิดมากกับปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นมาด้วย ผมรู้ดีว่าถึงแม้ผมจะพกความมั่นใจว่ามันจะยกโทษให้ผม หรือยิ่งไปกว่านั้นคือยกโทษให้ตัวเอง แล้วสุดท้ายเราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันอีกครั้งบินไปอังกฤษด้วยมากแค่ไหน แต่ว่าในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกกังวลและเป็นห่วงอนาคตของเราสองคนมากกว่าครั้งไหนๆที่เคยเป็นมาด้วยเช่นกัน ผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่มีวันกลับมา กลัวว่าเมื่อมันเลือกเดินจากไปแล้วมันก็จะไม่ยอมหันกลับมามองเส้นทางที่เดินผ่านไปแล้วอีก และที่สำคัญ กลัวว่ามันจะไม่มีวันยกโทษให้กับสิ่งที่มันทำลงไปในครั้งนี้เลย........

ผมที่ตกไปในภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่นานต้องสะดุ้งเบาๆเมื่อได้ยินเสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ผมล้วงกระเป๋ากางเกงและหยิบมือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งมาจากไคล์

“Believe in yourselves… just like we always do”

ไคล์ใช้คำในรูปพหูพจน์ทั้งคำว่า yourselves และคำว่า we ซึ่งนั่นก็หมายถึงเขาและพีไม่ได้เชื่อในตัวของผมเพียงคนเดียว แต่ว่าเป็นทั้งตัวของผมและไอ้ซันด้วย และนั่นสินะ........ หากจะให้ผมเชื่อในตัวของผมเองเพียงคนเดียวก็คงจะไม่ได้ แต่ว่าผมจะต้องเชื่อในตัวของผมกับมัน เชื่อในสิ่งที่เรามีให้แก่กันและกันมาตลอดต่างหาก

ใช่แล้ว ถ้าหากผมมัวแต่กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคจนลืมนึกถึงความสัมพันธ์ที่เราเคยมีด้วยกันในอดีตแล้วล่ะก็ การเดินทางในครั้งนี้ของผมก็คงจะไม่มีความหมายอะไรเลยนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมตัดสินใจลงไปแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ที่ผมต้องเชื่อมั่น ผมก็จะเชื่อมั่นกับทุกๆสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคตก็ตาม

ผมกดปุ่มเลื่อนลงมาส่วนล่างของข้อความแล้วก็เจอเข้ากับ ps หรือ ปล. ที่แปลได้ว่า

“เดินทางดีๆ แล้วไว้เราสี่คนไปเที่ยวด้วยกันอีกนะครับ”

ผมยิ้มและพยักหน้าให้กับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์มือถือกลับลงไปในกางเกง แล้วลากกระเป๋าเดินไปยังที่ช่องเช็คอินด้วยความรู้สึกที่เชื่อมั่น

ก้อนเมฆกำลังจะออกเดินทางตามหาท้องฟ้าของมันอีกครั้ง..........


.........................................


“พี่ซัน อยู่รึเปล่าครับ พี่กลับมาแล้วใช่มั๊ย” เสียงของพีบวกกับเสียงเคาะประตูทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ แสงแดดจ้าเสียดแทงสายตาที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาบอกผมว่านี่คงจะไม่ใช่เพิ่งหกโมงเช้าแน่นอน แต่เนื่องจากความอ่อนล้าและความอ่อนเพลียที่สะสมกันมานาน ทำให้ผมไม่สามารถแม้แต่จะเปิดเปลือกตาค้างเอาไว้ได้เกินกว่าห้าวินาทีด้วยซ้ำ ดังนั้นผมจึงหลับตาลงและปล่อยให้เสียงรัวเคาะประตูกับเสียงเรียกของพีดังต่อไป “พี่ซัน จะเที่ยงแล้วนะครับ ลงไปทานอะไรก่อนเถอะ ผมทำแซนด์วิชเอาไว้ให้แล้วนะ” หลังจากนั้นสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆเดินจากไป........

เมื่อผมลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็ต้องตกใจที่เห็นว่ามันเป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว ผมค่อยๆลุกขึ้นแต่งตัว เดินไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ สภาพใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกตอนนี้มันทำให้ผมต้องหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความรู้สึกสมเพชในตัวเอง หนวดเคราที่ผมไม่เคยไว้และคิดจะไว้มานานมากแล้วตอนนี้เริ่มขึ้นจนเขียวครึ้ม ถุงใต้ตาสีดำคล้ำที่บ่งบอกถึงสภาพของคนนอนไม่พอมาหลายคืน ความหมองคล้ำของใบหน้าที่ไม่ได้สัมผัสกับครีมบำรุงมานานจนผมแทบจะจำไม่ได้ และที่ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาสีแดงช้ำที่สะท้อนทั้งความอิดโรยและความเจ็บปวดลึกๆจากข้างในออกมาจนแม้แต่ตัวเองยังทนจ้องตาตัวเองในกระจกไม่ได้

ผมเปิดน้ำและสาดน้ำก๊อกเย็นๆใส่หน้าของตัวเองแรงๆสามครั้งเพื่อให้ตื่นเต็มตาและรู้สึกสดชื่นขึ้น จากนั้นก็เดินลงไปที่ชั้นล่าง ในห้องครัว บนโต๊ะทานข้าวตัวเล็ก มีแซนด์วิชของพีและน้ำส้มที่เขารินเอาไว้ให้ผมตั้งแต่เมื่อตอน........ ไม่รู้สิ คงจะเมื่อตอนสายๆเที่ยงๆล่ะมั๊งวางเอาไว้อยู่ พร้อมกับโน๊ตบอกว่าเขาจะกลับมาบ้านกี่โมง และแน่นอน บอกให้ผมเปิดโทรศัพท์มือถือด้วย

ผมนั่งลงและคว้าแซนด์วิชขึ้นมากัดพร้อมกับปรายตาไปอ่านโน๊ตที่ติดอยู่บนตู้เย็นหลายใบ แทบทุกใบนั้นเป็นลายมือของพีที่เขียนทิ้งเอาไว้ให้ผมก่อนที่จะออกจากบ้านไปเรียน หรือก่อนที่เขาจะเข้านอนแล้วไม่เจอผมกลับบ้านมา ผมมองดูความมากมายของมันแล้วก็ถอนหายใจ.......... ทำไมใครๆถึงต้องมาใส่ใจคนเหี้ยๆอย่างผมกันมากขนาดนี้นักนะ

ผมวางแซนด์วิชที่เหลือลงบนจาน จากนั้นก็เดินไปดึงโน๊ตทุกใบออกจากตู้เย็น แล้วก็ขยำพวกมันรวมกันและโยนทิ้งลงไปในถังขยะ

ผมเดินออกจากห้องครัว กลับขึ้นห้องไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เพื่อจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง และเป็นอีกคราว ที่ผมก็คงจะไม่ได้กลับมาจนกว่าจะวันรุ่งขึ้นหรืออีกสองสามวันข้างหน้า และเมื่อนั้น ผมก็คงจะต้องเห็นข้อความที่ทั้งพ่อ แม่ และพีทิ้งเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงจำนวนมากมายอีกตามเคย

แต่อย่างน้อยๆผมก็คิดว่าพีคงน่าจะพอเข้าใจผมบ้าง........

ผมคว้ามือถือเครื่องใหม่ที่ผมซื้อมาโดยไม่ได้บอกใครในบ้านมากดเบอร์ที่ผมโทรออกล่าสุด และผมก็ไม่ต้องรอนานเลยกว่าที่คนจากปลายสายนั้นจะกดปุ่มรับสาย

“ไงซัน ผมกะแล้วว่าคุณต้องโทรมาเวลาประมาณนี้”

“ไงคริส ผมกำลังจะออกไปแล้วนะ คุณพร้อมรึยัง”

“แน่นอน ผมพร้อมที่จะได้อยู่กับคุณเสมอนั่นแหละ ว่าแต่คุณเถอะ เตรียมตัวพร้อมที่จะต้องไปขลุกอยู่กับผมอีกรึยัง ครั้งก่อนคุณก็ดูโทรมมากพอดูแล้วนะ หวังว่าผมคงไม่ได้ทำคุณหมดแรงนะ ซัน” คริส หนุ่มวัยปลายสามสิบหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“ไม่ใช่คุณหรอก ที่จะทำผมหมดแรงน่ะ”

“ก็คงงั้นล่ะมั๊ง เอาเถอะ งั้นไปเจอผมที่เดิมเวลาเดิมก็แล้วกัน คืนนี้เราคงจะยาวหน่อย หวังว่าคุณจะพักผ่อนมาพอนะ” เมื่อพูดจบคริสก็วางสายไปทันที

ผมหันไปมองตัวเองที่กระจกเป็นครั้งสุดท้าย พยายามส่งยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ที่สุดให้กับตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนว่าผมจะไม่สามารถหลอกตัวเองได้เลย

ถ้าสิ่งที่ผมทำอยู่มันคือสิ่งที่ผิด เช่นนั้นแล้วผมก็คงไม่รู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นคืออะไร ในเมื่อจุดหมายปลายทางข้างหน้าที่ผมกำลังมุ่งหน้าต่อไปทั้งๆที่หัวใจและดวงตายังมืดมนนั้นคืออะไรหรือคือที่ไหน ผมก็ยังไม่รู้เลย...........

ผมอยากจะรู้นะ แต่ผมก็ไม่รู้เลยจริงๆ

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 13-09-2008 21:46:26
หลังจากนี้ "อาจจะ" นะครับ อาจะโพสรวดเดียวยาวเลยก็ได้
คืออาจจะทยอยลงอีกสักตอนสองตอน ไม่เว้นช่วงมาก และหลังจากนั้นอาจจะโพสพรวดเดียวยาวจนจบเลย
เผื่อสำหรับคนที่ไม่อยากรอ และคนที่อาจจะยุ่งๆ พอมาอ่านจะได้อ่านรวดเดียวไปเลย หรือแบ่งอ่านเอาตามสะดวกน่ะครับ

แต่ตอนนี้ขอเวลาเคลียร์ธุระกับตรวจทานสักนิดนึง เพราะมันค่อนข้างยาวมาก
บางตอนยาวถึงสิบกว่าหน้าเลยก็มี ต้นอาจต้องแบ่งส่วนอีก

 :m23:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 13-09-2008 23:52:52
 :oni2: :oni2:ดีใจจังค่ะที่ใกล้จะถึงปลายทางแล้ว
ลุ้นตอนจบอยู่นะคะ...
แล้วก็เป็นกำลังใจให้น้องต้นเหมือนเดิมค่ะ :loveu: :loveu: :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 14-09-2008 16:41:00
 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:

ขอบคุณครับที่มาต่อให้อ่าน

ซันมีคนใหม่เหรอครับ  :m15: :m15: :m15:

รอตอนต่อไปครับ

ขอบคุณครับ

 :a12: :a12: :a12: :a12: :a12:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 18-09-2008 13:13:00
มาลุ้นตอนจบด้วยคนค่ะ

มีปริศนามากมายที่รอคำตอบตั้งแต่


ตอนที่ซันนั่งรถไปบ้านจ๊อบ ได้เจอจ๊อบ แล้วคุยกันเรื่องอะไร ถึงหนีเมฆไปอังกฤษ


เรื่องนี้นอกจากจ๊อบที่อยู่เบื้องหลัง แล้วมีคนอื่นอีกหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็น แบงค์ หรือ นัท


พี่แอม กับ อาร์ม เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า


ลุงที่อยู่ข้างห้องซัน มีลูกหน้าตาคล้ายเมฆ มีอะไรเกี่ยวข้องกับเมฆหรือเปล่า

ฯลฯ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

+1 ให้ด้วยค่ะ


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 19-09-2008 08:31:56
ซันจะไปที่ไหน อย่าเพิ่งไป เมฆกำลังไปหาแล้วนะ

แล้วเมฆกับซันจะได้เจอกันมั้ยเนี่ย :m31:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 20-09-2008 18:08:27
 :m32: :m32: :m32: :m32:
 :m32: :m32: :m32: :m32:
 :m32: :m32: :m32: :m32:
 :m32: :m32: :m32: :m32:
 :m32: :m32: :m32: :m32:

Just come to check and Waiting again krub.

 :a12: :a12: :a12: :a12:
 :a12: :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-09-2008 00:23:43
ก้าวที่สิบหกสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมเดินออกจากเครื่องด้วยความเหนื่อยอ่อน ความคิดที่ว่าจะไปหลับบนเครื่องเอาแรงไม่ได้ช่วยอะไรผมเลยจริงๆ ทั้งๆที่ผมคิดว่าด้วยความเหนื่อยล้าจากอะไรหลายๆอย่างในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้จะทำให้ผมหลับได้สนิทแท้ๆ แต่เมื่อถึงเวลา ความกังวลและความเพลียสะสมกลับยิ่งเป็นตัวทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยอ่อนจนหลับไม่ลงมากขึ้นไปอีก

“พี่เมฆ!” เสียงของพีร้องเรียก เมื่อผมหันไปเจอเขา เขาก็กำลังเดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“พี! เป็นไงมั่งเรา” ผมอ้าแขนกว้างแล้วเราสองคนก็สวมกอดกันอย่างแนบแน่น

“เหนื่อยมั๊ยครับพี่ เป็นยังไงมั่ง” พีถามผมขณะที่เรากำลังเดินไปที่รถ

“อืมม จริงๆแล้วถ้าบอกว่าไม่เหนื่อยก็คงจะโกหกแหละ แล้ว......... ไอ้ซันเป็นไงมั่ง มันยังไม่รู้ใช่มั๊ยว่าพี่มา”

สีหน้าของพี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “คือ ก็ยังไม่รู้หรอกครับ จะว่าไปก็น่าเสียเดายเหมือนกันนะครับที่ไฟลท์ของพี่กับของพวกคุณลุงมันคลาดกันพอดี ก็เลยไม่ได้เจอกัน”

“นั่นสินะ แต่ว่าแบบนี้มันอาจจะดีกว่าก็ได้ แต่พี่ก็ขอบใจพีมากนะ ดึกป่านนี้แล้วก็ยังอุตส่าห์มารับพี่ แล้วก็ขอบใจพีมากด้วยที่เป็นกำลังใจให้พี่มาตลอด ไคล์มันบอกพี่หมดแล้วล่ะ พี่ต้องขอบใจเราสองคนจริงๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่เมฆ” พียิ้มกว้าง “ผมเองยังรู้สึกแย่ด้วยซ้ำที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นคอยดูแลช่วยเหลือพี่ ผมทำได้อย่างมากก็แค่คุยโทรศัพท์ ซึ่งช่วงหลังๆเราก็แทบไม่ค่อยได้คุยกันด้วยซ้ำ แต่ผมเข้าใจว่าพี่ยุ่งและกำลังเครียดครับ ก็เลยได้แต่ฝากไคล์ไปบอกแทน”

“พี่ต้องขอโทษจริงๆที่ช่วงหลังๆพี่ไม่ได้โทรหาพีเลย”

“ไม่ต้องหรอกครับพี่ ผมบอกแล้วไงว่าผมเข้าใจแล้วก็ดีใจที่พี่รับรู้ว่าผมเป็นห่วงพวกพี่มากขนาดไหน”

“แล้วไอ้ซันล่ะเป็นยังไงบ้าง” ผมถามซ้ำอีกครั้ง

“เรื่องนั้น.........”

“พี่พอรู้แล้วล่ะ ไคล์บอกพี่ตอนก่อนพี่จะมาแล้วว่ามันทำตัวไม่ค่อยดีนัก” ผมถอนหายใจเบาๆ “แต่พี่ไม่โทษมันหรอกนะ มันคงเป็นความผิดพี่เองที่ทอดทิ้งมันไปแบบนั้น ที่กดดันให้มันต้องเป็นฝ่ายเลือกในสิ่งที่มันไม่อยากจะเลือก กดดันให้มันต้องพูดในสิ่งที่มันอาจจะไม่ได้คิด แต่ว่าหลังจากนั้นพี่น่ะโชคดีที่พี่มีคนให้คุยด้วยหลายคน แต่ไอ้ซันนี่สิที่ไม่มีใครเลย แถมมันยังบินหนีกลับมาที่นี่ทันทีเลยอีกต่างหาก พี่ไม่รู้ว่ามันได้คุยได้ระบายอะไรออกมาให้พีฟังบ้างรึเปล่านะ”

“ไม่เลยครับ ผมพยายามแล้ว พยายามมากเลยด้วยที่จะคุยหรือแค่รับฟังก็ยังดี แต่พี่ซันก็ไม่ยอมบอกอะไรผมเลยนอกจากพูดว่าเขาผิดเอง เขาเสียใจที่ต้องทำให้พี่เจ็บ เขาเสียใจที่ต้องทำแบบนั้น และมันเป็นทางเดียวที่เขาต้องทำ แต่ก็ยังไม่ยอมเล่าอะไรให้ผมฟังอยู่ดี และที่สำคัญ..........”

“ที่สำคัญอะไรครับ”

“เรื่องนั้น........ ผมว่าเราเอาไว้ไปคุยกันต่อบนรถเถอะครับ”

เราสองคนเดินไปขึ้นรถจากนั้นพีก็รับหน้าที่คนขับพาพวกเราสองคนกลับบ้าน ผมนั่งเอนหลังรอให้พีเป็นฝ่ายเริ่มเล่าสิ่งที่เขาพูดค้างเอาไว้ขึ้นมาก่อน เพราะดูท่าทางเขาจะค่อนข้างลำบากใจไม่น้อยเลย ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวลใจมากขึ้นไปอีก

“ผมอยากให้ทุกอย่างมันกลับไปเป็นเหมือนเดิมจริงๆนะครับ” พีพูดขึ้น

“พี่ก็เหมือนกัน........”

“ผมรู้สึกว่าตอนนี้พี่ซันกำลังอ่อนแอมาก มากจนกำลังทำร้ายตัวเอง........ และกำลังทำร้ายคนอื่นด้วย” พีถอนหายใจ “พ่อกับแม่พี่ซันกังวลมากจริงๆนะครับ ผมรู้มาว่าเหตุผลนึงที่พวกท่านกลับไปไทยนอกจากไปเยี่ยมพ่อของพี่เมฆแล้ว ก็ยังเพื่อที่จะไปคุยกับพี่และกับไคล์ด้วย แต่พอพวกท่านรู้ว่าพี่กำลังจะมาที่นี่ พวกท่านก็สบายใจขึ้นไปอีกเปลาะ และฝากผมให้บอกพี่ว่า ช่วยดูแลซันด้วย แล้วก็.........”

“แล้วก็........” ผมหันไปมองหน้าพีเพื่อรอคำตอบ

“แล้วก็ยกโทษให้พี่ซันด้วย ถ้าพี่ซันอาจจะทำร้ายพี่เมฆอีกครั้ง เพราะตอนนี้พี่เค้ากำลังแย่มากจริงๆ พี่พอจะเข้าใจมั๊ยครับ”

“อืม พี่เข้าใจ ถ้าพี่ไม่คิดว่าพี่จะต้องเตรียมตัวมาพร้อมรับกับอารมณ์ของมันหรือสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งดีและไม่ดีมาแล้วล่ะก็ พี่ก็คงจะไม่มาหรอกครับ ตอนนี้สำหรับพี่แล้วพี่ไม่สนใจหรอกว่าพี่จะเป็นยังไง หรือเราจะเป็นยังไง สิ่งเดียวที่พี่อยากจะทำมากที่สุดเป็นอันดับแรกคือพี่แค่อยากจะมาบอกมันว่าพี่ขอโทษ พี่เข้าใจ และพี่รักมันมากแค่ไหน........ เท่านั้นจริงๆ”

“พี่เป็นคนที่เข้มแข็งมากจริงๆนะครับ รู้ตัวมั๊ย”

“ทำไมใครๆชอบพูดแบบนั้นกันนักนะ พี่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”

“เพราะว่าพี่เป็นคนแบบนั้นจริงๆไงล่ะครับ เรื่องมันก็ง่ายๆแค่นี้เอง”

พีขับรถพาผมกลับไปที่บ้านโดยที่เราสองคนไม่ได้คุยเรื่องไอ้ซันกันอีก แต่เป็นเรื่องสัพเพเหระไต่ถามสารทุกข์สุขดิบทั่วไปมากกว่า และถึงแม้จะเป็นตอนกลางคืน ผมก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่าถนนหนทางบ้านเรือนแถวนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากก่อนที่ผมจะบินกลับไปไทยเลยแม้แต่น้อย แต่จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้จากที่นี่ไปนานขนาดที่จะคิดแบบนั้นได้ด้วยซ้ำ เวลาแค่ไม่กี่เดือนมันจะทำให้อะไรเปลี่ยนไปได้อย่างไรกัน

นอกจากความสัมพันธ์..........

เมื่อมาถึงบ้าน บ้านหลังที่ผมเคยใช้พักพิงอยู่กว่าสามปี แต่แทนที่ผมจะรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาถึงบ้านอีกครั้ง ผมกลับต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าตัวบ้านนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงไฟเปิดอยู่เลยแม้แต่ดวงเดียว และแน่นอนว่าไม่มีแสงไฟลอดออกมาจากห้องนอนเก่าของผมกับไอ้ซันเลยแม้แต่น้อยด้วยเช่นกัน

“ไอ้ซันหลับแล้วเหรอ” ผมถามพี แต่จริงๆแล้วก็เหมือนคำถามที่ผมถามเพื่อหลอกตัวเองมากกว่า

“คือ......” พีมีท่าทางลำบากใจ “พี่เมฆคงต้องนอนห้องผมไปก่อนนะครับ คืนนี้ หรืออย่างน้อยๆก็........ อีกสองสามวันมั๊ง”

ผมหันไปมองหน้าของพีเพื่อรอคำอธิบาย

“พี่ซันไม่อยู่บ้านน่ะครับ ออกไปตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายๆแล้วยังไม่กลับมาเลย ห้องพี่สองคนก็ล็อค พี่ซันสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งในห้องเด็ดขาดน่ะครับ แต่จะว่าไปคนอื่นก็ไม่มีใครมีกุญแจห้องนั้นอยู่แล้วด้วยอยู่ดี”

“แต่พี่มี” ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วดึงกุญแจห้องออกมาจากช่องใส่เหรียญ “แต่พี่ไม่เข้าไปหรอก พีไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่ทำให้พีเดือดร้อนหรอกครับ และที่สำคัญ ถ้ามันไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่งกับห้องของมัน พี่ก็จะไม่ยุ่ง” ผมโยนกุญแจห้องเข้าไปในสวน พีมีสีหน้าตกใจทันทีที่เห็นผมทำแบบนั้น แต่ผมก็หันกลับมายิ้มให้เขา “ไม่ต้องห่วงครับ พี่ไม่ได้ทำเพื่อประชดหรอก แต่แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว”

“พี่เมฆ”

“ไปกันเถอะครับ เข้าบ้านกัน พี่เหนื่อยมากอยากนอนเต็มแก่แล้ว และที่สำคัญพี่เองก็คิดถึงพีมากๆด้วย นานๆได้มานอนคุยกันกับพีตามลำพังแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-09-2008 00:25:17
ก้าวที่สิบเจ็ดสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งและพบกับใบหน้ายามหลับของพีที่นอนอยู่ข้างๆ ผมเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาข้อมือมาดูก็เห็นว่ามันเพิ่งจะยังไม่หกโมงเช้าดีเลย แต่คงเป็นเพราะการปรับตัวเรื่องเวลาที่ยังไม่เข้าที และบวกกับนิสัยตื่นเช้าของผมอยู่แล้วที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้

ผมค่อยๆพลิกตัวเพราะไม่อยากปลุกให้พีตื่น จากนั้นก็ลุกเดินออกไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ผมยิ้มให้กับตัวเองน้อยๆเมื่อนึกย้อนไปถึงวันแรกๆที่ผมกับไคล์เจอกัน ตอนที่ผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วเลยเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพเปลือยครึ่งท่อน และตอนที่ผมเห็นไคล์เพิ่งอาบน้ำเสร็จด้วยเช่นกัน ในตอนนั้นยังมีความตึงเครียดของคนแปลกหน้าและความรู้สึกเป็นคู่แข่งขวางกั้นอยู่ระหว่างเราสองคนอยู่เลย แต่ในตอนนี้ผมที่เป็นลูกคนเดียวมาตลอดก็กลับได้ไคล์มาเป็นน้องชายคนแรก และเป็นน้องชายลูกครึ่งที่มีหน้าตาดีมากซะด้วย

ผมเดินกลับเข้าไปในห้องมองหน้าพีที่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้ายามหลับของพีนี่ยิ่งทำให้เขาดูเป็นเด็กมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ถึงแม้เราจะเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อน แต่ถ้าหากโชคชะตาไม่ทำให้เราได้ไปเจอกันที่อเมริกาตอนนั้นล่ะก็ ผมก็คงจะไม่ได้เขามาเป็นน้องชายอีกคนแบบนี้แน่นอน........ แถมยังเป็นน้องชายเชื้อสายจีนที่หน้าตาดีมากอีกคนนึงด้วยเช่นกัน

ผมยิ้มให้กับใบหน้ายามหลับของพีแล้วก็ตัดสินใจค่อยๆหยิบเสื้อผ้าของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเพื่อใช้เปลี่ยน จากนั้นก็เดินออกจากห้องและปิดประตูลงเบาๆ เขาบอกผมตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วว่าวันนี้เขาไม่มีเรียน ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องไปรบกวนเขาแต่เช้าแบบนี้

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดกางเกงวอร์มแล้วก็ออกไปเดินเล่นนอกบ้าน และจุดประสงค์ของผมก็คือที่สวนสาธารณะแห่งนั้นที่เดิมที่ผมเคยไปเล่นบาสและเดินเล่นกับไอ้ซันเป็นประจำ ผมเดินผ่านบ้านเรือนที่คุ้นเคย ลัดเลาะผ่านสนามเด็กเล่นและสนามหญ้ามุ่งตรงไปยังลานกีฬาและสนามบาส

ผมทิ้งตัวลงนั่งและปล่อยกายสัมผัสกับความหนาวเย็นของอากาศในตอนเช้า ถึงจะอยู่ในตัวเมือง แต่เวลาเช้ามืดขนาดนี้ก็ยังพอมีหมอกจางๆให้ได้เห็นอยู่บ้าง ผมนั่งชันเข่ามองทิวทัศน์และสัมผัสบรรยากาศที่ตัวเองก็ไม่เคยได้รู้สึกและสัมผัสถึงมานานแล้ว หากว่ามีอะไรที่ผมจะต้องการมากที่สุดในเวลานี้ล่ะก็ ผมก็คงต้องการเพียงแค่ไอ้ซันมานั่งอยู่ข้างๆผมและคอยกุมมือผมเอาไว้เท่านั้นเอง

ผมยังจำวันแรกที่เราบอกรักกันและวันถัดมาที่เราเดินจูงมือกันเป็นครั้งแรกในสวนสาธารณะแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ความทรงจำเหล่านั้นมันดูยาวนานมากแล้วเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยจางลงไปจากความทรงจำและจิตใจของผมเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกถ้อยคำที่มันเคยพูด ทุกท่วงท่าที่มันเคยแสดงออก และทุกสีหน้าที่ผมเคยเห็น ผมยังคงจดจำมันได้เป็นอย่างดี

ตอนนี้ผมอยู่ที่นี่แล้ว บินมาไกลกว่าครึ่งโลกเพื่อมาตามท้องฟ้าของผมกลับคืน แต่ว่าผมแน่ใจแล้วหรือยังว่าผมพร้อมที่จะทำให้ทุกอย่างมันกลับมาเป็นดังเดิม รอยร้าวระหว่างเราที่เกิดขึ้นนั้นมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แน่หรือเปล่า........ นั่นคือคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้คำตอบ แต่ก็ใช่ว่าผมจะต้องการมันในตอนนี้ด้วยเช่นกัน เพราะตอนนี้ผมรู้แต่เพียงว่าซันคือความสุขของผม เป็นรอยยิ้มเพียงหนึ่งเดียวสำหรับผม และถ้าผมไม่พร้อมที่จะให้อภัย ผมก็คงไม่มีค่าพอที่จะได้ครอบครองมัน ได้มีมันเป็นความสุขในชีวิตของผมอีกต่อไป

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้น ผมก็ตัดสินใจจะกลับบ้านก่อนที่พีจะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอผมจนเริ่มเป็นห่วง แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินกลับนั้นผมก็เจอเข้ากับกลุ่มคนที่เคยเป็นเพื่อนเล่นบาสกับผมสองคน ทั้งคู่ดูแปลกใจมากที่ได้เจอผมอีกครั้ง เราสามคนจึงยืนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะขอตัวเดินจากมา และในขณะที่ผมเดินอยู่ใกล้จะถึงบ้านแล้วนั้น ผมก็สังเกตเห็นรถคันหนึ่งเลี้ยวมาจากหัวมุมถนนแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าบ้าน ผมนึกแปลกใจว่าใครกันที่จะมาที่บ้านในเวลานี้ ในเมื่อตอนนี้ไม่ควรที่จะมีใครอยู่บ้านเลยนอกจากพีเพียงคนเดียว

ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ผมกลับชะลอฝีเท้าของตัวเองลงจนกระทั่งหยุเดินเพื่อรอดูว่าใครที่จะก้าวออกมาจากรถ เมื่อประตูรถฝั่งคนขับเปิดออก ผมก็เห็นว่าคนที่ก้าวลงจากรถมาคือผู้ชายผมทองหน้าตาดีคนหนึ่ง อายุน่าจะราวๆสักสามสิบกว่าๆ แต่ก็ยังคงดูแลรักษาทั้งหน้าตาและร่างกายของตัวเองได้ดีมาก เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงคิดได้ว่าอาจจะเป็นแขกที่มาหาพ่อหรือแม่เล็กรึเปล่า ผมจึงตั้งท่าจะก้าวขาออกเดินจากที่ๆตัวเองหยุดอยู่เมื่อครู่ แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าลงและรีบหลบให้พ้นจากสายตาของพวกเขาก็คือ คนที่เดินลงมาจากประตูฝั่งคนนั่ง เพราะคนๆนั้นก็คือไอ้ซัน

โชคดีที่จากตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ยังค่อนข้างจะอยู่ห่างจากบ้านของเรา และห่างจากที่ๆสองคนนั้นยืนอยู่พอสมควร แต่ถ้าผมไม่ระวังล่ะก็พวกเขาก็คงจะสังเกตเห็นผมได้ไม่ยาก

“ไอ้ซัน.........” ผมพึมพำกับตัวเองออกมาเบาๆ คำถามนับร้อยผุดขึ้นมาในหัวของผมมากมาย นอกจากนั้นผมยังรู้สึกถึงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่อย่างรวดเร็วกว่าปกติด้วย จริงๆผมก็รู้อยู่แล้วว่าเมื่อผมจะต้องเผชิญหน้ากับมัน ผมก็คงจะอดกังวลและรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ แต่ผมก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าผมจะต้องมาเจอมันในลักษณะนี้ และแน่นอน ไม่คิดด้วยว่าผมจะได้มาเจอมันอยู่กับคนอื่นที่ผมไม่รู้จักและไม่คิดว่ามันจะรู้จักด้วยแบบนี้.........

ทั้งสองคนยืนพูดคุยกันอยู่หน้าบ้านครู่หนึ่ง สีหน้าของไอ้ซันดูเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และอีกฝ่ายเองก็ดูมีความสุขไม่แพ้กันด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนสวมกอดกันเป็นการบอกลา และนั่นก็ทำให้ผมต้องรู้สึกใจหายวาบ ผมรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว รู้สึกสับสน และรู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันแบบไหนและเพราะอะไรทั้งคู่ถึงได้ดูใกล้ชิดกันมากถึงขนาดนี้ ความกังวลแบบที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนกับไอ้ซันเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างที่ผมไม่เคยเป็น เพราะอย่างน้อยๆผมก็คิดว่าผมรู้จักเพื่อนของไอ้ซันทุกคนที่นี่ดี ผมจำไม่ได้เลยว่ามันเคยพูดถึงคนอายุมากกว่ามันคนไหนเมื่อสมัยที่เราอยู่ที่นี่กันมาก่อน และเมื่อผมคิดถึงสิ่งที่พีกับไคล์บอกผมเมื่อก่อนหน้านี้ว่าบางทีไอ้ซันก็ออกจากบ้านและกลับดึก หรือบางทีก็ไม่กลับมาจนกว่าจะเช้าแบบนี้แล้ว........ จะว่าผมเป็นบ้าวิตกกังวลไปเองก็ได้ แต่ถ้าเกิดว่าสิ่งที่ไอ้ซันมันกำลังทำอยู่คือสิ่งที่มันทำเพื่อประชดผมหรือประชดตัวเองแล้วล่ะก็.........

ผมตัดสินใจหันหลังกลับและเดินไปตามทางเท้ากลับไปยังสวนสาธารณะแทนพร้อมด้วยความคิดสับสนที่ก่อตัวขึ้นอยู่จนเต็มหัวไปหมด อย่างน้อยๆในตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าตัวผมเองยังไม่มีความกล้า และยังไม่เข้มแข็งมากพอที่จะพบหน้ามันในตอนนี้ได้

ผมเดินไปเดินมาอยู่ในตรงรอบนอกของสวนสาธารณะกว่าหนึ่งชั่วโมงได้ ก่อนที่จะตัดสินใจเดินกลับบ้านเพราะคิดว่าไอ้ซันคงจะเข้านอนไปแล้ว เพราะไม่ว่ามันจะไปไหนหรือทำอะไรมาก็ตาม ผมคิดว่าถ้ามันกลับมาถึงบ้านเช้าแบบนี้ สิ่งแรกที่มันต้องการก็คงจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยสักงีบก่อนแน่นอน

เมื่อผมเดินกลับไปถึงบ้านผมก็เห็นพีกำลังยืนอยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้าเป็นกังวล และเมื่อเขาเห็นผม เขาก็รีบเดินตรงเข้ามาหาผมทันที

“พี่เมฆไปไหนมาครับ”

“พี่ไปเดินเล่นที่สวนมาน่ะ พี่เห็นพีหลับอยู่ก็เลยไม่อยากกวน” ผมตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงปกติ

“แล้วเมื่อกี๊พี่.........”

“อะไรครับ”

พีทำสีหน้าลำบากใจ “เมื่อกี๊พี่ซันกลับมาแล้วนะครับ”

“อ้าวเหรอ” ผมพูดขณะกำลังเดินเข้าไปในตัวบ้าน “แล้วมันเข้านอนไปรึยังล่ะ”

“ยัง” เสียงของไอ้ซันดังขึ้นทางด้านหลังของเราสองคน ทำให้ทั้งผมและพีต้องหันหลังกลับไปพร้อมๆกันด้วยความตกใจ ไอ้ซันที่ยืนหอบเบาๆอยู่พร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาไปทั่วทั้งใบหน้ามองตาผมอย่างไม่ยอมละสายตา “มันยังไม่นอนหรอก”

พีหันมามองผมกับซันสลับกันด้วยแววตาแสดงความเป็นห่วงและเป็นหังวล ก่อนที่จะค่อยๆถอยห่างแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน

“มึงไปไหนมา” ไอ้ซันถาม และเมื่อผมสังเกตดูดีๆแล้ว ผมก็คงต้องถอนคำพูดที่บอกว่ามันดูมีความสุขดีคืนแทบจะในทันที เพราะสภาพของไอ้ซันในตอนนี้ แม้จะไม่นับเหงื่อที่ไหลออกมาจนทั่วนี่แล้วก็ยังเรียกได้ว่าโทรมลงไปกว่าที่มันเคยเป็นมากพอสมควรทีเดียว “มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมมึงไม่บอกกูก่อน”

“ไปเดินเล่นที่สวนมา” ผมตอบพลางก้มลงถอดรองเท้า นึกสงสัยตัวเองว่าหรือผมจะไม่สามารถทนสบสายตาของมันหรือแม้แต่มองหน้าของมันในตอนนี้ได้

“กูหมายถึงหลังจากที่มึงเห็นกูกลับมาแล้วเมื่อกี๊ มึงหายไปไหนมาอีก”

หัวใจของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ “ก็อยู่แถวนั้นนั่นแหละ” ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับมัน “แล้วมึงจะทำไมกูล่ะ กูจะไปไหนมันก็เรื่องของกูนี่ และถึงกูจะมาที่นี่เมื่อไหร่ทำไม มันก็เรื่องของกูอีกไม่ใช่หรือไง”

ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้มันฟังดูแรงกว่าที่ผมหมายความ ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไง แต่ทว่าแววตาของไอ้ซันนั้นก็ทำให้ผมต้องรู้สึกเสียใจที่พูดแบบนั้นออกไปจนอยากจะถอนคำพูดเมื่อครู่นี้กลับคืนมาเหลือเกิน

แววตาของมันกำลังร้องไห้ทั้งๆที่ไม่มีน้ำตา

“มึงกำลังเข้าใจผิดแล้วนะเมฆ.........”

“ทำไมกูต้องเข้าใจอะไรผิดด้วยล่ะ กูไม่เห็นเข้าใจเลย” ผมรู้สึกว่าผมอยากจะเดินหนีกลับเข้าไปในบ้าน แต่อะไรบางอย่างกลับกำลังรั้งตัวและขาของผมเอาไว้ให้ยืนอยู่ที่เดิม

ไอ้ซันเดินตรงเข้ามาหาผมแล้วดึงตัวผมเข้าไปกอดอย่างแรง “กูคิดถึงมึงจริงๆเมฆ กูคิดถึงมึงมาก กูขอโทษ.........”

ผมหลับตาลงและพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ สัมผัสของมัน ความอบอุ่นของมัน กลิ่นของมันนี้คือความจริง เป็นความจริงที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานมากแล้วเหลือเกิน มือทั้งสองข้างของผมค่อยๆยกสูงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มลังเลว่าผมควรจะกอดมันกลับไปในตอนนี้ดีหรือไม่ แต่ในตอนที่แขนทั้งสองข้างของผมกำลังจะโอบกอดตัวมันอยู่แล้วนั้น ไอ้ซันก็ดึงตัวของผมออกพอดี

“กู...... กูขอโทษ กูไม่ควรจะทำแบบนี้เลย” ไอ้ซันก้มหน้าพูด

ผมได้แต่ยืนนิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี ไอ้ซันเองก็ดูท่าทางจะรู้สึกแย่ยิ่งไปกว่าผมซะอีก มันดูแย่จนผมรู้สึกได้เลยว่ามันกำลังคิดถึงสิ่งที่มันทำผิดลงไป และมันคงยังไม่ได้ให้อภัยตัวเองด้วยแน่ๆ.......... แล้วผมล่ะ ให้อภัยมันไปแล้วรึยัง

“มึงรู้มั๊ยว่ากูมาที่นี่ทำไม” ผมถามออกไปในที่สุด

ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแต่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมา ผมจำไม่ได้เลยว่าตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา ผมเคยเห็นไอ้ซันมีแววตาที่ดูอ่อนแอมากอย่างในตอนนี้หรือเปล่า

“กู........ ไม่กล้าคิด”

“งั้นเหรอ.........” ผมถอนหายใจเบาๆแล้วเบือนหน้าหนี ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองและให้อภัยมันได้เลย ถ้าผมกับมันยังคงมีสิ่งที่ค้างคาหรือความโกหกปิดบังอะไรเหลืออยู่ระหว่างเรา ดังนั้นผมจึงตัดสินใจถามมันออกไป “คนเมื่อกี๊คือใครเหรอ กูไม่เห็นคุ้นหน้าเลย”

“คริส........ มึงไม่รู้จักหรอก เพราะกูก็เพิ่งรู้จักเค้าเหมือนกัน”

“แล้วมึงก็ไปค้างคืนกับเค้า กับคนที่มึงเพิ่งรู้จักมาตลอดเวลาที่มึงอยู่ที่นี่น่ะเหรอ” ผมถามออกไปอย่างเจ็บปวด ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันฟังดูเป็นการประชดประชันหรือเสียดสีมากขนาดนี้ แต่ทว่าความคับข้องใจของผมมันก็กำลังทรมานผมอยู่ภายในเช่นกัน “เค้าคือใคร ซัน มึงกับเค้าเป็นอะไรกัน แล้วตลอดเวลานี้มึงไปไหนกันมาถึงได้ไม่กลับบ้านกลับช่องแบบนี้ มึงบอกกูมาเถอะซัน”

“กูขอโทษ แต่กูบอกมึงไม่ได้จริงๆ” ไอ้ซันตอบด้วยสีหน้าปวดร้าว “แต่กูไม่ได้มีอะไรกับเค้าจริงๆ มึงเชื่อกูสิเมฆ”

ผมหลับตาลงและเบือนหน้าหนีมันไปเล็กน้อย ก่อนที่จะรวบรวมความรู้สึกหันมาสบตากับมันอีกครั้ง “อืมม กูเชื่อมึง ซัน แต่ว่ากูยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับมึงตอนนี้อีกแล้ว” ผมเริ่มพูดด้วยเสียงที่สั่นเทา “ให้ตายสิ ไอ้ซัน กูถ่อมาถึงที่นี่แต่กูกลับต้องมาพูดประโยคนี้กับมึง กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากูจะต้องพูดประโยคนี้ออกไป” น้ำตาของผมมันเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองช้าๆ

“เมฆ อย่าทำแบบนี้ กูขอร้องล่ะ........ เมฆ กูขอร้อง” ไอ้ซันเริ่มหน้าเสียและดูเหมือนมันเองก็กำลังจะร้องไห้แล้วด้วยเหมือนกัน

“กูเชื่อมึง กูอยากจะเชื่อ แต่กูคงไม่สามารถคุยกับมึงได้อีกแล้วถ้ามึงยังมีเรื่องโกหกปิดบังกูอยู่แบบนี้อีก ซัน....... กูรักมึง แต่กูทนไม่ได้จริงๆที่จะต้องทนรับฟังคำโกหกหรือเรื่องหลอกลวงอีก” ผมเริ่มสะอื้นออกมาเบาๆ “แม่งเอ๊ยยย กูไม่อยากจะเห็นหน้ามึงอีกแล้วด้วยซ้ำ ตอนนี้กูทนมองหน้ามึงไม่ได้จริงๆ กูเจ็บ มึงรู้มั๊ย กูอยากคุยกับมึง อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม อยากให้มึงเปิดใจกับกู แต่มึงก็ยังทำแบบเดิม ทั้งๆที่กูอยู่ที่นี่ตรงนี้แล้ว ทั้งๆที่มึงก็รักกูมากขนาดนั้นแล้ว แต่กูขอโทษซัน กูทนไม่ได้จริงๆ........” เมื่อพูดจบน้ำตาที่ถูกรั้งเอาไว้ก็ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มันมีอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้จริงๆ อะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันทำให้ผมอ่อนแอและเสียใจที่สุดที่ต้องเผชิญหน้ากับความอ่อนแอนั้นของตัวเอง “กูขอร้องล่ะ กูขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย มึงบอกกูมาเถอะ อย่าให้เราสองคนต้องเจ็บปวดเพราะการโกหกปิดบังกันอีกเลยนะ ซัน มึงก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันเกิดมาจากคำโกหกปิดบังกันทั้งนั้น มึงอย่าทำมันอีกเลยนะ กูขอร้อง.........”

ไอ้ซันหลับตาลงและหยดน้ำตาใสๆก็ร่วงหล่นลงบนแก้มของมัน “กูขอโทษ เมฆ แต่ตอนนี้กูบอกมึงไม่ได้จริงๆ มึงยังไม่ควรที่จะรู้ในตอนนี้”

ผมรู้สึกเหมือนกับหัวใจของตัวเองกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายทั้งร่างดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงไปจนหมด ทั้งๆที่ผมเพิ่งพูดไปว่าผมเชื่อใจมันและอย่างน้อยๆผมก็รู้สึกว่าผมคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงต้องเจ็บปวดทรมานมากถึงขนาดนี้ด้วย หรือว่าผมจะคาดหวังกับสิ่งต่างๆมากจนเกินไป หรือว่าผมจะคาดหวังอะไรๆจากตัวของมันมากจนเกินไปเอง

“กูเข้าใจแล้ว กูขอโทษนะซัน” เมื่อพูดจบ ผมก็หันหลังเดินเข้าบ้านไปทันที ผมเดินผ่านพีในห้องนั่งเล่นตรงไปยังบันไดโดยไม่ฟังเสียงเรียกของเขา จากนั้นผมก็เดินตรงเข้าไปในห้องนอนของพี ปิดประตู ล็อกกลอน และทิ้งตัวลงนั่งเอาหลังพิงประตูร้องไห้อย่างสุดแรง

ความเข้มแข็งที่ผมทนฝืนมานานหลายวันมันพังทลายลงไปอย่างเปราะบางราวกับแก้วที่ตกลงมาแตก ความอ่อนแอที่ผมต้องเก็บมันไว้ภายในขณะที่ต้องคอยจัดการเรื่องวุ่นวายต่างๆมันไหลทะลักออกมาพร้อมกับน้ำตาที่พร่างพรูลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ในตอนนี้วินาทีนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ผมสามารถอ่อนแอและเป็นตัวของตัวเองได้อย่างมากที่สุด ผมปล่อยให้น้ำตาที่ไหลออกมาพัดพาเอาความเข้มแข็งจอมปลอมที่ใครๆต่างก็พูดว่าผมเป็นหลั่งออกมาจากภายใน หลายวันที่ผ่านมาผมต้องเข้มแข็ง ต้องทนฝืน ทนเก็บอะไรหลายๆอย่างมากมายเหลือเกิน แต่ในตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผมไม่ได้อยู่กับพี่วิน กับไคล์ กับพ่อ กับเพื่อนคนไหน หรือแม้แต่กับไอ้พี่จ๊อบแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องทนฝืนเอาไว้อีกต่อไปแล้ว.........

ในหนึ่งนาทีที่ยาวนานนี้ ผมไม่ใช่คนเข้มแข็งของใครๆอีกต่อไปแล้ว

พีเคาะประตูเรียกผมหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมก็ยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรกับใครทั้งนั้น ผมยังไม่พร้อมแม้แต่จะฟังเสียงเรียกของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ผมบอกขอโทษเขาและบอกเขาว่าผมอยากอยู่คนเดียวตามลำพังสักพัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกได้เลยว่าพีเองก็ไม่ได้ไปไหนไกล ทั้งจากเสียงและเงาที่ลอดผ่านช่องว่างใต้ประตูบอกให้ผมรู้ว่าเขาเองก็ยังคงนั่งอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของประตูรอผมอยู่เหมือนกัน

เมื่อน้ำตาเริ่มหยุดไหล ผมก็เริ่มกลับมาใช้สมองของตัวเองคิดแทนหัวใจอีกครั้ง ผมลุกขึ้นยืนและเปิดประตูออกให้พีเดินเข้ามา ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก พีก็โผเข้ามาสวมกอดผมทันที และเมื่อเขาผละออก ผมก็เห็นว่าตาของเขาดูเหมือนจะแดงช้ำเล็กน้อย

“พีร้องไห้เหรอครับ” ผมถามพลางใช้นิวชี้ไล่ที่ใต้ขอบตาของเขาเบาๆ “พีร้องไห้ทำไม พี่ขอโทษนะครับ พี่ผิดเองที่ทำให้พีต้องเป็นห่วง”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้นแหละครับ” พีคว้ามือของผมไปกุมเอาไว้ “พี่สบายใจขึ้นรึยังครับ”

“มั๊งครับ.........” ผมถอนหายใจ “พี่ใช้อารมณ์มากไปหน่อยเองแหละครับ พี่ทนเก็บอะไรหลายๆอย่างไว้มากเกินไปหน่อยแล้วก็เท่านั้นเอง เมื่อกี๊พี่ก็เลย........”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ เพราะพี่เมฆต้องเจออะไรมามาก ต้องเข้มแข็งเพื่อใครหลายๆคนมาตลอด ทั้งพ่อ ทั้งไคล์ และทั้งเพื่อตัวเอง นอกจากนั้นยังมีเรื่องที่บ้านโดนขโมยขึ้น พ่อกับไคล์ถูกทำร้าย และยังเรื่องงี่เง่าๆของไอ้คนที่ชื่อจ๊อบนั่นอีก”

ผมมองหน้าพีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“ผมก็พอรู้จากที่ไคล์กับลุงเอกเล่านิดหน่อยแหละครับ ไม่ได้รู้รายละเอียดมากมายหรอก แต่ว่าผมเข้าใจพี่ครับ เข้าใจดีเลยด้วย พี่ยังจำได้มั๊ยล่ะว่าผมก็เคยรู้จักคนอยู่คนนึงที่มีนิสัยคล้ายๆพี่ คนที่มีนิสัยที่อยากจะยิ้มและเข้มแข็งเพื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าตัวเองจะกำลังเจ็บปวดมากขนาดไหนก็ตาม........” พีส่งยิ้มเศร้าๆให้กับผม “เพียงแต่ว่าในตอนนี้ผมขอร้องพี่อย่างนึงนะครับ แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น พี่พอจะช่วยผมได้มั๊ย”

“อะไรล่ะครับ” ผมถามกลับ นึกกลัวเล็กน้อยว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับไอ้ซัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็ ผมก็ยังคงไม่แน่ใจนักว่าผมจะสามารถทำอะไรให้พีได้หรือเปล่า

“เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่นะครับ วันนี้เราสองคนออกไปเดินเล่นไปกินข้าวไปเที่ยวกันสองคนนะ และเดี๋ยวคืนนี้เราไปนั่งกินเหล้าด้วยกัน”


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-09-2008 00:26:03
ก้าวที่สิบแปดสู่ปลายทางสุดท้าย


“พี พี่ไม่แน่ใจเลยนะว่าพี่อยากจะทำอะไรแบบนี้น่ะ” ผมบอกกับพีหลังจากที่เราสองคนอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“เอาเถอะน่าครับพี่เมฆ ผมรับรองเลยว่าพี่จะต้องรู้สึกดีขึ้นแน่ๆ” พียืนยัน

พีเริ่มต้นโดยการขับรถพาผมออกไปทานข้าวเช้าที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนแห่งหนึ่งที่เมืองข้างๆ เขาคอยคุยและคอยเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ผมฟังอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ปกติพีจะเป็นคนค่อนข้างที่พูดน้อยที่สุดในพวกเราสี่คน แต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาผมกับเค้าก็ค่อนข้างสนิทกันมากอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เขาคอยอยู่เป็นเพื่อนและให้กำลังใจผมแบบนี้ก็ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้มาก

หลังจากข้าวมื้อสายของเรา พีก็ขับรถพาผมไปนอกเมืองซึ่งใช้เวลาอีกราวๆชั่วโมงครึ่งจากร้านอาหารที่เรากินกัน ที่นั่นคือเมืองเล็กๆสงบๆแห่งหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก พีบอกผมว่าที่นี่มีชื่อว่า “นิวเลค” ซึ่งเพื่อนคนหนึ่งของเขามีบ้านอยู่ที่นี่ เขาก็เลยเคยมาที่นี่อยู่สองสามครั้ง พีขับรถพาผมชมรอบตัวเมืองสักพักหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรน่าสนใจนัก ก็แค่เมืองเล็กๆเงียบๆแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง แต่เมื่อพีพาผมไปยังรอบนอกของเมือง ผมถึงได้รู้ว่าเขาพาผมมาที่นี่ทำไม

หลังจากที่ขับรถเลี้ยวเข้าถนนเล็กๆแห่งหนึ่งมาจนถึงปลายทาง พีก็หยุดรถลง ที่ๆพีพาผมมาเป็นเนินเขาเล็กๆลูกหนึ่งที่ท่าทางจะเป็นสวนสาธารณธกลายๆสำหรับชาวเมืองแห่งนี้ด้วย เราสองคนเดินไต่ตามเนินเขาขึ้นไปราวๆห้านาทีจนไปถึงข้างบนสุด และเมื่อมองลงมาจากด้านบนแล้ว ทางด้านหนึ่งจะเป็นเมืองที่เราขับรถผ่านมาเมื่อครู่ แต่เมื่อมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งนั้น ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าที่มาของชื่อเมืองนั้นมาจากที่ไหน เพราะเบื้องหน้าของเราสองคนคือทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ผิวน้ำสะท้อนกับแสงแดดเป็นแสงระยิบระยับสวยงาม

“โห......” ผมอุทานออกมาเบาๆเมื่อเห็นความสวยงามเบื้องหน้า

“เป็นไง สวยมั๊ยครับ โชคดีที่ช่วงนี้แดดไม่แรงเท่าไหร่ และอากาศก็กำลังดีด้วย” พีหันมายิ้มให้ผม

“นั่นสินะ ถ้าขับรถตรงมาจากที่บ้านเลยนี่มันจะใช้เวลาประมาณเท่าไหร่เหรอพี” ผมเหยียดแขนออกและล้มตัวลงนอน

พีค่อยๆนั่งลงแล้วหันมามาพูดกับผม “ก็น่าจะราวๆสองชั่วโมงกว่ามั๊งครับ แต่ตอนที่ผมมาครั้งแรกผมนั่งรถไฟมากับเพื่อนน่ะ”

“ดีนะ สงบดี ตอนกลับไปกรุงเทพนี่พี่ไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้เลยจริงๆ รู้สึกเหมือนเป็นความฝันเลยนะเนี่ย” ผมหลับตาลงปล่อยกายให้สัมผัสกับลมเบาๆแสงแดดอ่อนๆ และปล่อยใจให้สัมผัสกับความสงบที่ผมไม่ได้รู้สึกมานานแล้วจริงๆ

“พอเพื่อนผมพาเดินขึ้นมาถึงบนนี้ ผมก็นึกถึงพวกเราสี่คนขึ้นมาทันทีเลยล่ะครับ”

“หืมมม”

พีนั่งชันเข่ามองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า “ผมจำได้ว่า ไคล์เคยบอกผมว่าตอนที่พวกพี่ขับรถไปแกรนด์แคนยอนกัน ที่แฟล็กสต๊าฟฟ์ ที่เคยพูดไว้ว่าถ้าได้อาศัยอยู่ที่เมืองเงียบๆสงบๆแบบนั้นก็คงไม่เลวใช่มั๊ยล่ะครับ ผมก็เลยตั้งใจจะพาพี่มาที่นี่ด้วย”

ผมหันไปหาพีด้วยความรู้สึกทึ่งๆเล็กน้อย “นี่พีจำได้ด้วยเหรอ”

พียิ้มเขินๆแทนคำตอบให้กับผม “ที่จริงผมเองก็คิดแบบเดียวกับพี่แหละครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นรึเปล่า ปีหน้าพอผมเรียนจบ ผมก็ต้องกลับบ้าน กลับกรุงเทพ แต่ก็คงจะไม่ได้อยู่กับไคล์เหมือนเมื่อก่อน ถึงมันจะรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ๆกันไม่ใช่อยู่ไกลกันข้ามฟ้าแบบนี้ก็เถอะ แต่ว่าพ่อแม่ผมไม่มีใครรู้เรื่องผมกับไคล์เลย และถ้าเกิดพวกท่านสงสัยอะไรขึ้นมาหรือเกิดจับได้ว่าผมชอบผู้ชายล่ะก็ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันครับ........” พีถอนหายใจและทิ้งตัวลงนอนข้างๆผม “นึกๆแล้วก็เครียดนะครับ เพราะผมไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตเลย อีกไม่ถึงสองปีไคล์ก็เรียนจบแล้ว และก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะกลับมาที่อังกฤษรึเปล่า พ่อแม่เค้าก็อยู่ที่นี่ บ้านเค้าครอบครัวเค้าเพื่อนฝูงสังคม ชีวิตของเค้าทั้งหมดอยู่ที่นี่ แต่ผมไม่ใช่ ถึงยังไงพอเรียนจบผมก็คงต้องกลับไปดูแลกิจการที่บ้านที่กรุงเทพ อยู่กับพ่อแม่ และถ้าแย่ลงไปอีก ก็คงต้องถูกบังคับให้แต่งงานเข้าสักวัน แต่ที่แน่ๆคือผมคงไม่มีวันได้กลับมาที่อังกฤษอีก อันนี้แน่นอนเลย”

ผมนอนฟังที่พีพูดแล้วก็เข้าใจสิ่งที่เขาคิด ด้วยพื้นฐานที่พีเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่เขาพูดมาก็เป็นความจริงที่พวกเค้าสองคนต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้แล้วจริงๆ “แล้วพีเคยคุยเรื่องนี้กับไคล์รึเปล่า”

“เคยครับ แต่ไคล์ก็บอกแต่ว่าเค้ายังไม่อยากให้ผมเครียดมากไปก่อน เพราะถึงยังไงสิ่งที่เค้ารอคอยมากที่สุดก็คือวันที่ผมได้กลับไปกรุงเทพและเราได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง..........” พีหันมามองหน้าผม “เราสี่คนน่ะครับ”

ผมสบตากับเขาครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าเบื้องหน้า ก้อนเมฆสีข้าวก้อนใหญ่กำลังลอยอย่างอ้อยอิ่งค่อยๆบดบังดวงอาทิตย์อยู่อย่างช้าๆ.......... พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็นึกออกถึงเหตุผลที่พีพาผมมาที่นี่ได้ทันที ข้างบนเบื้องหน้าของผมคือท้องฟ้าและก้อนเมฆที่ลอยอยู่เคียงคู่กัน เบื้องล่างนี้คือผืนดินที่เราใช้เอนกาย ส่วนข้างล่างเนินเขาลูกนี้ก็คือผืนน้ำใหญ่ที่สะท้อนสีฟ้าครามจากท้องฟ้าเบื้องบน และหยอกล้อเล่นกับแสงอาทิตย์จนส่องแสงระยิบระยับตา

ผมนอนหลับตานึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา นึกถึงความตั้งใจของตัวเอง นึกถึงสิ่งที่ผมมีและสูญเสียมันไป นึกถึงใบหน้าที่เจ็บปวดของไอ้ซัน และคำพูดของมันที่บอกผมเมื่อเช้า นึกถึงภาพเก่าๆตั้งแต่สมัยที่เรายังเรียนอยู่ห้องเดียวกัน นึกถึงวันที่ผมเกือบจะต้องเสียมันไป ร่างของมันที่ชุ่มไปด้วยเลือด รอยยิ้มของมันในวันที่เรานั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันริมทะเล น้ำตาของมันที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นในวันที่ผมนอนหลับอยู่ในโรงพยาบาล ใบหน้าของมันในวันที่ผมได้เห็นเป็นครั้งแรกในรอบปี เสียงหัวเราะของพวกเราทุกคนเมื่อปีก่อน ใบหน้ายามโกรธของไอ้ซันที่ผมทำงานให้มันไม่ได้อย่างใจ ภาพที่มันวิ่งเล่นอยู่ในทะเลกับเพื่อนๆของเราเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้ สีหน้าแสดงความห่วงใยของมันตอนที่ผมถูกแทง ความอบอุ่นจากมือของมันตอนที่มันจูงมือผม สัมผัสของมันตอนที่เรานอนกอดกัน รสชาติจากริมฝีปากเรียวบางของมันเมื่อเราจูบกัน........ และภาพที่มันจูบกับไอ้แบ๊งค์ก็วนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งจนผมต้องสะดุ้งและลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับพีที่กำลังนั่งมองผมอยู่ข้างๆ

“เป็นอะไรไปครับพี่เมฆ”

ผมมองไปรอบๆและพยายามนึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน และทำไมพีถึงมาอยู่ข้างๆผมได้ จนในที่สุดผมก็นึกออกว่าตอนนี้ที่ผมอยู่ที่อังกฤษแล้ว และตอนนี้พีก็กำลังพาผมมาเที่ยวเพื่อให้ผมสบายใจจากเรื่องที่ผมเพิ่งเจอมาเมื่อเช้าอยู่

ใช่ เพื่อให้ผมลืมว่าผมเจ็บปวดจากสิ่งที่ผมเจอมาทั้งหมดมากขนาดไหน

“เปล่า พี่ไม่เป็นอะไร.........” ผมตอบพลางชันตัวขึ้นนั่ง “นี่กี่โมงแล้วครับ พี่เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

พีมองผมด้วยสายตาเป็นกังวลเล็กน้อย “ตอนนี้จะบ่ายโมงแล้วครับ ผมกำลังจะปลุกพี่ไปหาอะไรกินกันพอดี”

“งั้นเหรอ......”

“พี่เมฆ....... ถ้าพี่มีอะไรอยากจะพูดล่ะก็ ผมอยู่ข้างๆพี่เสมอนะ ผมรักพี่นะครับ”

ผมหันไปส่งยิ้มให้กับพี “ครับ พี่รู้แล้วพี่ก็รู้สึกขอบใจมากจริงๆ แต่พี่ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

พีพยักหน้ายอมรับเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้กับผม “ไปกันเถอะครับ ดูเหมือนฝนใกล้จะตกแล้วด้วย”

ผมจับมือของพีแล้วก็ดึงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

“นั่นสินะ” ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วก็เห็นว่าก้อนเมฆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำและเคลื่อนตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ พระอาทิตย์ที่เพิ่งจะสาดแสงก็ถูกก้อนเมฆก้อนใหญ่บดบังเสียจนมิด ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าครามใสก็กลับกลายเป็นมืดครึ้มแลดูน่าหม่นหมอง

พีออกเดินนำหน้าผมไปเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะเรียกชื่อของเขา พีหยุดเดินและหันมามองหน้าผมเป็นเชิงคำถาม

“พี่มีอะไรอยากเล่าให้ฟังครับ พีจะฟังหน่อยได้มั๊ย”

พีสิ่งยิ้มให้ผมพร้อมกับพยักหน้าออกมา

“งั้นเราไปคุยกันในรถเถอะครับ ในตอนนี้พี่ไม่รู้สึกอยากเจอกับฝนสักเท่าไหร่หรอก........” ผมออกเดินไปพร้อมๆกับพีจนไปถึงที่รถ และเมื่อปิดประตูรถลง ฝนเม็ดใหญ่ก็เริ่มตกลงมาพอดี พีทำท่าจะสต๊าร์ทรถ แต่ผมก็ห้ามเขาเอาไว้ก่อน “เดี๋ยวพี พี่ยังไม่อยากไป เรามาคุยกันก่อนเถอะ”

พีพยักหน้า จากนั้นก็หันมาสบตากับผม “พี่เมฆ ถึงผมจะบอกว่าถ้าพี่มีอะไรอยากพูดก็ขอให้บอกผมได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะต้องพูดในสิ่งหรือในเวลาที่พี่ไม่อยากจะพูดหรอกนะครับ”

“ไม่ พี่อยากจะเล่าให้พีฟังจริงๆ.........” ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เราเจอกันมานับตั้งแต่วันแรกที่เราพบกับพี่จ๊อบให้พีฟัง โดยรวมแล้วมันก็เป็นเรื่องเดียวกับที่ผมเล่าให้ต่ายฟังนั่นแหละ เพียงแต่ว่าจะมีรายละเอียดมากกว่าจนเรียกได้ว่าผมเล่าให้เขาฟังเกือบจะทั้งหมดเลยทีเดียว และที่สำคัญผมไม่ลืมที่จะเล่าให้พีฟังถึงสิ่งที่ผมรู้มาสำหรับตัวไอ้ซันด้วย “ก็อย่างที่พี่พูดแหละครับ พี่คิดว่าพี่รู้แล้วว่าเหตุผลที่ไอ้ซันทำแบบนั้นลงไปคืออะไร ตอนนี้พี่เข้าใจมันแล้ว พี่ไม่เสียใจสำหรับเรื่องนั้นอีกแล้ว แต่ว่าเมื่อเช้าพี่ก็ยังทำตัวแบบนั้นลงไป พี่ไม่เข้าใจตัวเองเลย”

พีที่นั่งฟังมาตลอดด้วยสีหน้าและอารมณ์ที่แทบไม่ต่างกับต่ายเท่าไหร่ในที่สุดก็พูดออกมา “แต่พี่เมฆไม่ได้พูดว่าพี่เข้าใจในเรื่องที่พี่ซันไปจูบกับคนที่ชื่อแบ๊งค์........”

ผมพยักหน้าเบาๆ “ใช่ สำหรับเรื่องนั้นพี่ไม่เห็นเหตุผลว่าจะมีสาเหตุไหนมาให้มันทำแบบนั้น เพราะอย่างน้อยๆพี่ก็เห็นตอนที่มันเกิดขึ้นด้วยตาของตัวเอง และที่สำคัญพี่คิดว่านอกเหนือจากสาเหตุที่พี่เล่าไปเมื่อกี๊ พี่คิดว่าไอ้ซันเองก็คงรู้สึกผิดและรับผิดชอบด้วยการทำแบบนี้ด้วย”

พีมีสีหน้าขุ่นข้องใจ “แต่พี่ก็ยังไม่ได้คุยกับพี่ซันเลยใช่มั๊ยครับ”

“ก็อย่างที่พีรู้และเห็นเมื่อเช้านั่นแหละ”

“ผมว่าผมเข้าใจนะว่าพี่คิดยังไง พี่ทั้งสองคนเลย แต่ว่าผมอยากให้พี่คุยกันมากกว่านี้นะครับ ผมเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพี่เมฆที่ว่ารับเรื่องการโกหกปิดบังอะไรอีกต่อไปแล้วไม่ได้ก็จริง และยังเข้าใจด้วยว่าพี่มาที่นี่ด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ว่าผมเองก็อยากให้พี่ใจเย็นมากกว่านี้อีกหน่อยนะครับ มันน่าเสียดายที่ทั้งๆพี่ก็รู้และเข้าใจพี่ซันดีพอ และควรจะเป็นคนที่เข้าใจพี่เค้ามากที่สุดด้วย กลับต้องมาแพ้ใจและความรู้สึกของตัวเองง่ายๆแบบเมื่อเช้านี้”

“พี่เข้าใจ....... แต่เมื่อเช้าพี่ทนไม่ไหวจริงๆ และแม้แต่ในตอนนี้พี่เองก็ไม่คิดว่าพี่จะพร้อมรับฟังหรือทนอะไรอีกอยู่ดีนั่นล่ะ เพราะถึงสุดท้ายยังไงที่สุดแล้ว พี่เองก็กลัวความรู้สึกของมันในตอนที่มันจูบไอ้แบ๊งค์ลงไปจริงๆ พี่หลอกตัวเองไม่ได้หรอก พี่คิดว่าพี่เข้มแข็งพอที่จะให้อภัยมันได้ แต่เมื่อเช้าพี่รู้แล้วว่าพี่ไม่”

“แล้วพี่ซันล่ะครับ ผมเห็นมาตลอดว่าพี่ซันเองก็คงไม่ได้ดีไปกว่าพี่เท่าไหร่เลย ในเมื่อพี่เองยังให้อภัยพี่เค้าไปไม่ได้ ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันครับว่าพี่ซันจะให้อภัยตัวเอง”

“นั่นแหละคือสิ่งที่พี่คิดอยู่ และพี่ก็เลยกลัวว่ามันจะทำอะไรลงไปเพราะเพื่อที่จะประชดตัวเอง....... เหมือนกับที่มันเคยเป็นเมื่อตอนมอปลาย”

“แต่ผมคิดว่าสิ่งที่พี่ซันกลัวและเครียดมากกว่าเรื่องคำตอบที่ว่าพี่เขาให้อภัยตัวเองรึยัง ก็คือพี่เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่าพี่นั่นแหละจะให้อภัยพี่เค้ารึยังนะครับ”

ก็จริงที่ผมเคยคิดแบบที่พีคิดอยู่เหมือนกัน แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ได้ผมกลับลืมนึกถึงมันไปแล้ว นึกถึงความรู้สึกง่ายๆที่ไอ้ซันอาจจะเป็น

“ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันนะครับ บอกตามตรงว่าพี่สองคนเป็นคนที่มีความคิดซับซ้อนมาก โดยเฉพาะพี่ พี่เมฆ พี่น่ะชอบคิดถึงความรู้สึกคนอื่นมากกว่าของตัวเอง ส่วนพี่ซันก็ชอบคิดถึงแต่เรื่องของพี่มากกว่าความสุขของตัวเอง จนบางทีคนสองคนมัวแต่มองข้ามหัวไหล่ตัวเองกันไปมาจนละเลยคำถามง่ายที่ว่า ‘เรายังรักเค้าอยู่รึเปล่า’ ไป”

“พี่ไม่ได้ลืม พี่ไม่เคยลืมเลยว่าพี่รักมัน และพี่ก็คิดมาตลอดเหมือนกันว่ามันรักพี่ ถึงแม้ตอนแรกที่เกือบจะหลงเชื่อคำพูดของมันไปจริงๆแล้วก็ตาม แต่ว่าพี่รักมัน เพราะงั้นพี่ถึงมาที่นี่ยังไงล่ะ”

“ถ้างั้นแล้วทำไมพี่ถึงไม่ลองรับฟังพี่ซันดูก่อนล่ะครับ”

“พี่พยามแล้ว พี พี่พยายามแล้วจริงๆ พี่พร้อมจะรับฟังมันทุกอย่าง แต่ทำไมเมื่อเช้าพอพี่ถามคำถามมัน มันถึงตอบพี่ไม่ได้ ทำไมมันถึงยังไม่ยอมพูดความจริงกับพี่ในเมื่อเราเพิ่งผ่านอะไรกันมาขนาดนี้ มันเองก็น่าที่จะรู้ได้แล้วสิว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ พี่ต้องการความจริงไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม ถ้ามันไม่มีอะไรจริงก็แค่บอกๆมาซะก็จบ ทำไมต้องทำให้พี่จะเป็นบ้าอยู่แบบนี้ด้วย”

“แต่พี่เองก็คิดว่าคนๆนั้นไม่ได้มีอะไรกับพี่ซัน ใช่มั๊ยครับ”

ผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อาจจะนะครับ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ใจพี่อยากจะเชื่อ แต่พี่ก็กลัว พีต้องเข้าใจนะว่าพี่สับสนมาก และพี่คิดว่าไม่ว่าใครก็คงจะเป็นล่ะมั๊งครับ เมื่อเห็นอะไรที่น่าเข้าใจผิดแบบนั้นเข้าน่ะ โดยเฉพาะ อย่างที่พี่บอก ว่าถ้าเกิดไอ้ซันมันทำอะไรลงไปเพื่อประชดตัวเองล่ะ........ พี่ไม่กล้าคิดหรอกครับ พี่ไม่กล้าคิดจริงๆ”

“ผมว่าพี่เมฆเชื่อพี่ซัน เชื่อใจพี่ซันก็ถูกแล้วล่ะครับ ตอนนี้พี่ทำได้แค่เชื่อในตัวของคนที่พี่ก็รู้ว่าเค้ารักพี่และจะไม่ทำให้พี่เจ็บปวดอีกก็เท่านั้น และอีกอย่าง ถ้าพี่เองก็คิดว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ ถ้าพี่แค่เชื่อในตัวเอง คำพูดของพี่ซันก็อาจจะไม่สำคัญมากขนาดนั้นก็ได้ จริงมั๊ยล่ะครับ”

“ก็คงจะจริงมั๊งครับ พี่ก็ไม่รู้สิ.........” ผมถอนหายใจเบาๆ “พี่เหนื่อยมากน่ะ พี พี่ยอมรับว่าพี่เหนื่อยจริงๆ ทั้งใจและกาย อย่างน้อยๆอย่างแรกเลยคือพี่วาดฝันเอาไว้ว่าพี่จะได้มาเจอมัน เราได้คุยกัน กอดกัน อาจจะร้องไห้ แล้วสุดท้ายก็คืนดีกัน ทุกอย่างมันควรจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่มาเจอมันไม่อยู่บ้าน ไปนอนกับใครไม่รู้ แถมยังไม่ยอมบอกความจริงกับพี่อีกทั้งๆที่พี่เรียกร้องและเจ็บปวดมากขนาดนั้นแล้ว พี่ก็เลย......... ไม่รู้สิ พี พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เป็นเหี้ยอะไรแบบนี้น่ะ”

พีมองผมอย่างเข้าใจ ก่อนจะพยักหน้าออกมา “ผมรู้ว่าพี่อาจจะยังไม่พร้อมในตอนนี้ แต่ผมเชื่อครับว่าอีกไม่นาน พี่จะต้องรับฟังและเข้าใจสิ่งที่พี่ซันทำลงไปแน่”

พีขับรถพาเราไปกินข้าวเที่ยงในร้านพิซซ่าเล็กๆในเมืองก่อนที่มุ่งหน้ากลับบ้าน ผมบอกเขาว่าผมจะช่วยผลัดมาเป็นคนขับรถให้ แต่พีก็ยืนยันว่าเขาจะเป็นคนขับเอง และเมื่อมาถึงเมืองของเรา พีก็พาผมแวะเข้าห้างสรรพสินค้าซื้อของใช้และของฝากกลับไปฝากเพื่อนๆของผมอีกนิดหน่อย พีพยายามมากจริงๆที่จะช่วยอยู่เป็นเพื่อนผมและคอยทำให้ผมไม่ต้องคิดมาก แต่ว่าหลังจากที่เราได้คุยกันแล้ว ผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสามารถเป็นเพื่อนเที่ยวที่ดีเลยจริงๆ และในตอนเย็นกว่าเราจะกลับถึงบ้านผมก็รู้สึกเหนื่อยจนหมดแรงแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนผมไม่ค่อยจะได้นอนเลยก็เป็นได้

“เดี๋ยวเราพักสักพักแล้วหาอะไรกินง่ายๆกันดีมั๊ยครับ จากนั้นสักราวๆสองทุ่มครึ่งเราค่อยออกจากบ้านกันนะ” พีบอกผมหลังจากที่เรานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกแล้ว

“เอาจริงๆเหรอพี พี่ไม่ค่อยรู้สึกอยากไปไหนเลยจริงๆนะ”

สีหน้าของพีดูผิดหวังลงเล็กน้อย “ขอโทษนะครับพี่เมฆ พี่คงจะเหนื่อย แต่ว่าผมก็แค่อยากจะพาพี่ออกไปเที่ยวไปสนุกนิดหน่อยเท่านั้นเอง แล้วก็อยากจะทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่เหนื่อยยิ่งกว่าเดิมนะครับ”

“อย่าคิดมากน่า” ผมโอบไหล่เขาเข้ามากอด “วันนี้พี่สนุกจริงๆ ต้องขอบคุณพีมากๆเลยนะครับ”

พียิ้มให้กับผม ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นกลับมาเป็นประกายอีกครั้ง “งั้นคืนนี้พี่ออกไปกับผมนะครับ”

ผมยิ้ม “ก็ได้ครับ พี่รู้ว่าพีหวังดี ขอบคุณมากนะครับ ทั้งสำหรับวันนี้ทั้งวัน และสำหรับที่คอยเป็นกำลังใจให้พี่และเป็นน้องชายที่แสนดีของพี่เสมอมา” ผมก้มลงจุ๊บลงบนริมฝีปากของพีเบาๆ และแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พีต้องเขินแก้มแดงไปจนถึงใบหู

“งั้นพี่เมฆไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมขอเคลียร์ขอดูรายงานอีกสักพักก็จะขอนอนสักงีบเหมือนกัน”

“อืม ก็ดีเหมือนกันครับ งั้นพี่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้สักราวๆทุ่มครึ่งนะ ดีมั๊ย”

“ก็ดีครับ งั้นพี่ขึ้นไปนอนก่อนเถอะ”

ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปได้สามก้าว ก่อนจะหันกลับมาหาพีอีกครั้ง “แล้วพีจะขึ้นไปนอนกับพี่มั๊ย”

“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ พี่เมฆไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมนอนบนโซฟานี่แหละ ผมไม่อยากไปกวนตอนพี่กำลังหลับด้วย”

“ไม่เอาน่า งานเสร็จเมื่อไหร่ก็ขึ้นไปนอนกับพี่นะ เมื่อคืนพี่ก็แทบไม่ได้กอดเราเลยนี่นา” พีก้มหน้าเล็กน้อยด้วยความอาย ให้ตายสิ เด็กคนนี้นี่ท่าทางจะแก้นิสัยขี้อายไม่ได้จริงๆ แต่ว่ามันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเขาจริงๆนั่นแหละนะ “นะครับ ถือซะว่าขอพี่กอดเป็นกำลังใจหน่อยก็แล้วกันนะ”

“ก็ได้ครับ ถ้างั้นขอเวลาผมแป๊บนึงแล้วเดี๋ยวผมตามขึ้นไปนะครับ”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไปยังห้องของพี ผมถอดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ออกเหลือเพียงบ๊อกเซอร์เตัวเดียว แล้วก็ทิ้งตัวนอนคว่ำลงบนเตียง และอีกเพียงแค่ไม่กี่นาทีถัดมา ทุกสิ่งรอบข้างผมก็เริ่มตกสู่ความเงียบงันและความมืดมิด...........

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: BEta-K ที่ 21-09-2008 00:36:18
เครียด  :serius2:    ค้าง  :sad2:   อึดอัด  :o12:

มาต่อไวๆ นะคร๊าบบบ o7
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-09-2008 00:52:29
^
^

 :m30: อ่านไวจัง




http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?Autoplay=0&songID=V2CDGCCBPB0

ทำไมอัพเองและเพลงไม่วิ่งวะ เลยต้องไปจิ๊กคนอื่นเค้ามา ดูซิ -"-

เพลงนี้จริงๆเป็นเพลงของ เดปาเปเป้ นะครับ ชื่อเพลง wedding bell อย่างที่เห็น
แต่ว่าผมขออนุญาตนัวเอาของเค้ามาใช้ในนิยายผมและกัน ใช้ตรงไหนยังไง อ่านตอนต่อไปดูก้อแล้วกันนะครับ

ปล. ถ้าอยากให้ได้อารมณ์ค่อยกดฟังตอนอ่านถึงช่วงๆนั้นก้อแล้วกันเนอะ (บัฟเฟอร์ไว้ก่อนก้อได้ พอใกล้ถึงและค่อยกดเพลย์ทีเดียว จะได้ไม่กระตุก)

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-09-2008 01:27:39
ก้าวที่สิบเก้าสู่ปลายทางสุดท้าย


ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อในห้องมืดสนิทแล้ว และสิ่งแรกที่ผมรู้สึกก็คือความอบอุ่นจากร่างกายของใครบางคนในอ้อมแขน แว่บแรกผมคิดว่าเป็นไอ้ซัน แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าผมกำลังนอนกอดพีจากทางด้านหลังอยู่ ผมผงกหัวขึ้นมองไปรอบๆห้องและหลับตาลงอีกครั้ง รู้สึกสบายตัวกับความอบอุ่นที่ได้จากผ้าห่มนุ่มๆและเนื้อกายแน่นๆของพี แต่ว่าผมก็ทำแบบนั้นได้อีกเพียงแค่ไม่นาน เพราะอีกไม่กี่นาทีถัดมาเสียงปลุกจากนาฬิกาหัวเตียงของพีก็ดังขึ้น

ผมชันตัวขึ้นเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกามาปิดพร้อมกับเสียงัวเงียของพีที่ขยับตัวตื่น แต่แทนที่จะลุก ผมกลับซุกตัวกลับลงไปนอนข้างใต้ผ้าห่มอีกครั้ง

“พี่เมฆ ตื่นได้แล้วครับ ไปอาบน้ำแต่งตัวกันเถอะ เดี๋ยวจะไปไม่ทัน”

“ไปไม่ทันอะไรครับ”

“ก็เดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกันไง” พีลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผ้าห่มออก “ไปเร็วครับ รีบอาบน้ำเร็ว เดี๋ยวผมไปทำอะให้กินรอ”

ผมถอนหายใจก่อนจะยอมแพ้ “ก็ได้ครับ ก็ได้”

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็มายืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย และก็อดที่จะนึกไม่อยากไปไม่ได้จริงๆ แต่ว่าผมก็รับปากกับพีเอาไว้แล้ว และผมก็ไม่อยากทำให้เค้าต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้แล้วด้วยเหมือนกัน ผมยืนมองหน้าตัวเองอยู่ครูหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมีสภาพโทรมเหลือเกิน ถึงแม้จะได้พักผ่อนไปบ้างแล้ว แต่ทว่าขอบตาของผมก็ยังคงคล้ำและช้ำแดงจากการอดนอนและร้องไห้อยู่อย่างเห็นได้ชัด ผมพ่นลมหายใจออกมางจมูกยาวๆก่อนจะหันไปทางประตูแล้วก็พบว่าพีกำลังยืนมองดูผมอยู่

“พี่เมฆไม่อยากไปเหรอครับ”

“เปล่าๆ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”

“ผมเห็นพี่ถอนหายใจนะครับ และดูหน้าพี่ตอนส่องกระจกเมื่อกี๊อยู่ผมก็พอรู้แล้ว”

“คือว่า........” ผมถอนหายใจเบาๆ “พี่ขอโทษครับ แต่พี่แค่ไม่ค่อยมีอารมณ์เท่านั้นจริงๆ พี่ดีใจสำหรับสิ่งที่พีทำให้พี่นะ แต่ว่าพี่ไม่อยู่ในอารมณ์จะไปเที่ยวอะไรแบบนั้นจริงๆ และที่สำคัญไปกว่านั้น พี่กลัวว่าพี่จะทำพีเบื่อน่ะสิครับ แค่วันนี้ทั้งวันพี่ก็ทำให้พีกังวลจะแย่พออยู่แล้ว”

“พี่เมฆจะไม่ทำให้ผมเบื่อหรอกครับ” พีเดินตรงเข้ามาหาผม “พี่ไม่ต้องกังวลเรื่องความรู้สึกของผมหรอก เรื่องนั้นน่ะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมคนเดียวพอ โอเคมั๊ยครับ”

ผมพยักหน้าช้าๆอย่างยอมแพ้ พีจึงชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆหนึ่งทีก่อนที่เขาจะบอกให้ผมไปกินข้าวในครัวรอเค้าอาบน้ำแต่งตัวก่อน และเมื่อถึงเวลาสองทุ่มครึ่งและเราสองคนก็พร้อมที่จะเดินทางอีกรอบแล้ว และในครั้งนี้พีก็ยังคงเป็นคนขับรถพาผมออกไปอีกครั้ง แต่ว่าเขาไม่ยอมบอกผมว่าคราวนี้เขาจะพาผมไปที่ร้านไหน แต่เมื่อผมเห็นทิศทางที่พีกำลังพาผมไป ผมก็เริ่มรู้แล้วว่าจุดหมายที่พีกำลังพาผมไปก็คือร้านที่ชื่อ “ไลฟ์สโตน” ซึ่งเป็นร้านที่พวกเราทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้วนั่นเอง

ไลฟ์สโตน เป็นบาร์ขนาดเล็กที่จุคนได้ราวๆสิบห้าถึงยี่สิบ หรือบางทีอาจจะได้มากถึงสามสิบคน มันถูกตั้งชื่อตามเจ้าของที่ชื่อว่า ไทเลอร์ สโตนส์ ซึ่งตอนนี้น่าจะอายุราวๆสักสี่สิบปีได้แล้ว ภายในร้านตบแต่งเป็นลักษณะของห้องนั่งเล่น ทุกที่นั่งจะเป็นเบาะหรือไม่ก็โซฟา มีเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม และมีเวทีเล็กๆสำหรับวงดนตรีประจำ ซึ่งส่วนมากแล้วจะเปิดให้ลูกค้าสามารถขึ้นไปแสดงความสามารถอะไรก็ได้มากกว่า ดังนั้นลูกค้าที่มาที่นี่ส่วนมากแล้วจึงจะเป็นลูกค้าขาประจำ และทุกคนต่างก็รู้จักและคุ้นเคยกับไทเจ้าของร้านแห่งนี้ดีเพราะความเป็นกันเองของเขา และเขายังเคยเป็นรุ่นพี่ที่จบจากมหาวิทยาลัยเดียวกับพวกเราด้วย ดังนั้นที่นี่จึงเป็นแหล่งนัดสังสรรของนักศึกษาหลายคนที่ชอบความเรียบง่ายและเป็นกันเอง และที่สำคัญ ร้านนี้ยังเป็นสถานที่ที่มักจะใช้จัดงานนัดพบหรืองานปาร์ตี้ต่างๆหลายต่อหลายครั้งด้วย

“นึกว่าจะพาพี่ไปที่ไหนซะอีก” ผมพูดขึ้นเมื่อพีจอดรถเรียบร้อยแล้ว

“พี่ไม่ชอบเหรอครับ”

“เปล่าหรอก” ผมพูดขณะเปิดประตูรถออก “พี่เองก็คิดถึงที่นี่เหมือนกัน”

“ผมฝากกุญแจรถหน่อยนะครับพี่เมฆ กางเกงผมมันมีแค่กระเป๋าเดียวน่ะ” พีพูดพร้อมกับยื่นพวงกุญแจรถให้กับผม

เราสองคนเดินออกจากลานจอดรถไปหยุดอยู่ที่หน้าร้าน เสียงเพลงจากแผ่นดังแว่วออกมาจนถึงที่ๆเราสองคนยืนอยู่ คนสามสี่คนกำลังเดินเข้าๆออกๆกันอยู่ตรงหน้าประตู ผมเห็นบางคนที่ดูออกจะคุ้นๆหน้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะว่ามันค่อนข้างจะมืดแล้วผมก็เห็นแค่เพียงไวๆด้วย

“เดี๋ยวพี่เมฆรอผมที่นี่ก่อนนะครับ ผมขอเข้าไปดูข้างในแป๊บนึงว่าจะมีที่ให้พวกเรารึเปล่า” พีหันมาบอกผมก่อนจะเดินตรงเข้าไปในร้าน

ผมยืนมองรอบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผมลืมทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในรถ จึงเดินกลับไปยังลานจอดรถที่ตั้งอยู่ด้านข้างของร้าน ผมเดินเลี้ยวผ่านตรงมุมตึกไปแล้วก็ต้องชะงักฝีเท้าหยุด เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่ตรงประตูหลังร้านนั้นคือไอ้ซันกับคนที่ผมเจอเมื่อเช้าที่ชื่อคริสนั่นเอง

แสงไฟถนนส่องลงบนพื้นตรงตำแหน่งที่ทั้งสองคนยืนอยู่พอดี ทำให้ผมแน่ใจได้ว่าผมไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเองแน่ ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่คริสจะยื่นมือออกมาให้ไอ้ซันจับแล้วเขย่าเบาๆ จากนั้นประตูหลังร้านก็เปิดออก ใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังประตูพูดบางอย่างกับทั้งคู่ ผมเห็นไอ้ซันพยักหน้าและเดินกลับเข้าไปในร้านพร้อมกับคริส และต่อมาประตูก็ถูกปิดลง

ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งด้วยความสับสน จนกระทั่งพีเดินเข้ามาหาผมจากทางด้านหลัง

“พี่เมฆ ทำอะไรอยู่ครับ”

“อ้าว อ๋อ เปล่าหรอก” ผมหันหลับมาหาพี แล้วก็หันกลับไปมองทางประตูหลังนั้นอีกครั้ง “ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“งั้นเราเข้าไปข้างในกันเถอะครับ” พีดึงแขนผม ผมก็เลยต้องออกเดินตามเขาไป แต่เมื่อมาถึงหน้าร้าน ผมก็หยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง “เป็นอะไรไปครับ พี่เมฆ” พีถามผมด้วยสีหน้าสงสัย

“พี่ไม่ค่อยอยากเข้าไปแล้วครับพี”

“พี่เมฆ........”

“พี่ขอกลับได้มั๊ยครับ ตอนนี้พี่รู้สึกไม่ค่อยดีจริงๆ”

“ไม่ได้ครับ ผมขอร้องล่ะนะครับพี่ พี่อยู่กับผมเถอะนะ” พีขอร้อง

“พี่ขอโทษนะครับ พี แต่เรื่องนี้พี่คงให้ไม่ได้จริงๆ” ผมหันหลับกลับและเตรียมจะออกเดินอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกของคนๆหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง

“เฮ้ เมฆ!” เสียงของฝรั่งคนหนึ่งร้องทักผม ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองที่มาของเสียง และคนที่เรียกผมเมื่อครู่นั้นก็คือ ปีเตอร์ เพื่อนที่เคยเรียนกับผมที่มหาลัยนั่นเอง “ให้ตายสิ! เราไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วจริงๆนะเนี่ย เป็นยังไงมั่ง สบายดีรึเปล่า”

ผมเองก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้เจอเขาที่นี่เช่นกัน “ไง ปีเตอร์ มึงมาทำอะไรอยู่ที่นี่เนี่ย”

“อ้าว คนเราเวลามาที่บาร์เค้าจะมาทำอะไรกันล่ะ โง่รึเปล่า” ปีเตอร์ยิ้มกว้าง จากนั้นก็หันไปทักทายพี ก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง และคราวนี้เขาไม่พูดเปล่า แต่โอบไหล่ผม ดึงผมให้เดินเข้าไปในร้านกับเขาด้วย “มาๆเร็ว เข้ามา มาคุยกันหน่อยซิ”

“เดี๋ยวปีเตอร์ กูไม่........” ผมพยายามจะหาช่องว่าง แต่เมื่อเดินเข้าไปถึงในร้าน ผมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าแทบทุกคนในร้านนั้นเป็นคนรู้จักของผมเกือบทุกคน เกือบครึ่งหนึ่งนั้นเป็นเพื่อนของผม อีกเกือบครึ่งเป็นเพื่อนของไอ้ซัน หลายๆคนที่เป็นคนคุ้นหน้าที่ผมจำชื่อไม่ได้ แต่คลับคล้ายลับคลาว่าบางคนนั้นอาจจะเป็นเพื่อนของพีเอง และอีกแค่ไม่กี่คนที่เหลือคือคนที่ผมไม่รู้จักจริงๆ

จากนั้นสิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกก็คือ ผมถูกเพื่อนๆของผมหลายคนห้อมล้อมและต้อนรับกันยกใหญ่ คนนั้นคนนี้ผลัดกันเข้ามาจับมือตบไหล่และพูดคุยกับผมจนกระทั่งปีเตอร์ ผม พี และเพื่อนของผมอีกสองคนนั่งลงที่โต๊ะ และในขณะที่เพื่อนผ้หญิงคนหนึ่งของผมเดินเข้ามาทักนั้น ผมก็เหลือบมองไปที่พีและเห็นว่าเขากำลังนั่งยิ้มให้กับผมอยู่

“ขอบคุณมากนะครับพี เป็นเซอร์ไพรส์ที่พี่คิดไม่ถึงจริงๆ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปยิ้มให้เขา

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ผมบอกแล้วไงว่าผมอยากให้พี่มาจริงๆ และพี่จะต้องชอบแน่”

“แต่ว่าทำไมคนถึงได้เยอะขนาดนี้ล่ะ คือ ก็ไม่ใช่ว่าคนมันจะเยอะอะไรมากมายเท่าไหร่หรอก แต่ที่พี่กำลังแปลกใจก็คือทำไมคนรู้จักของทั้งพี่และไอ้ซันมันถึงได้เยอะนัก.......” ผมมองไปรอบๆและชูแก้วขึ้นเมื่อเพื่อนของซันสองสามคนที่โต๊ะใกล้ๆชูแก้วของพวกเขาขึ้นก่อนเป็นการทักทาย “นี่พีทำได้ยังไงครับเนี่ย ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมก็แค่อยากให้พี่ได้เจอเพื่อนๆพี่แล้วก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเท่านั้นเอง” พียิ้มกว้าง

ไทเลอร์เดินมาทักทายผมกับพีและเลี้ยงผมฟรีหนึ่งแก้ว ก่อนจะเดินกลับไปหลังเคาน์เตอร์ ปีเตอร์และเพื่อนของผมต่างก็ถามไถ่ถึงชีวิตของผมหลังจากกลับไปประเทศไทยแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครในที่นี้เลยที่เอ่ยถึงไอ้ซัน จนผมเริ่มรู้สึกแปลกๆว่าพวกเขาทุกคนจะรู้แล้วหรือเปล่าว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับมัน แต่ว่านั่นมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

“สวัสดีครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองที่มาของเสียงแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นว่าคนที่ยืนยิ้มให้ผมอยู่ก็คือ คริส และนั่นก็ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมเพิ่งเห็นขึ้นมาได้ทันที......... และแน่นอน ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ด้วยเช่นกันว่าตอนนี้ไอ้ซันเองก็อยู่ที่ด้วย

“สวัสดีครับ” ผมตอบกลับตามมารยาท แต่ก็ไม่ได้สบตากับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

“คุณคือเมฆ ใช่มั๊ย ผมได้ยินเรื่องของคุณมามากเลยทีเดียวนะ”

“งั้นเหรอครับ” ผมหันไปยิ้มให้เขา “ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้าง”

“ไม่มีเรื่องไหนไม่ดีหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ผมก็ไม่ได้ห่วงอะไรหรอกครับ” ผมวางแก้วเหล้าลงแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันไปพูดกับพีและทุกคน “ขอตัวสักครู่นะ”

“พี่เมฆ” พีร้องห้ามผมขึ้น

ในตอนที่ผมกำลังจะด้าวขาเดินผ่านคริสไปนั้นเองก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามายังเรา และเขาก็เดินไปโอบเอวของคริสเอาไว้และจูบเขาที่แก้มเบาๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมและยื่นมือให้ผมจับ

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเอมิลี่ค่ะ”

ผมจับมือของเธอเขย่าเบาๆด้วยความงุนงง “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“เอมิลี่คือภรรยาของผมเองครับ” คริสพูดขึ้น

ผมหันไปมองเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็พยายามเก็บอาการสงสัยนั้นเอาไว้เป็นอย่างดี

“ฉันได้ยินเรื่องของคุณสองคนมามากเลยทีเดียว ดีใจจริงๆที่ได้เจอตัวจริงสักที หวังว่าคุณจะมีความสุขในคืนนี้นะคะ”

“อ่า ครับ ขอบคุณมากครับ” ผมเหลือบไปมองพีงงๆ ก่อนที่เราจะได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นทางด้านหลังของเรา ผมและทุกคนหันไปมองทางเวทีที่ตอนนี้ไทเลอร์กำลังถือไมค์ยืนอยู่บนนั้น โดยมีวงดนตรีกำลังจัดเตรียมเครื่องดนตรีอยู่ทางด้านหลัง

พีดึงแขนผมให้กลับมานั่งลง ก่อนที่คริสกับเอมิลี่จะขอตัวเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง จากนั้นเสียงดนตรีที่เคยเปิดอยู่ก็ค่อยๆเบาลงจนเงียบไปในที่สุด

“สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกๆท่านครับ” ไทเลอร์พูดขึ้นเมื่อเสียงปรบมือเริ่มซาลงแล้ว “ผมคงไม่มีอะไรจะพูดมากนัก นอกจากขอให้ทุกคนมีความสุขร่วมกันในค่ำคืนนี้เหมือนอย่างที่เคย..........” ไทหันมามองทางผมแล้วขยิบตาให้หนึ่งที “และเวทีของเราในวันนี้ก็พร้อมจะเปิดโอกาสให้ทุกท่านมาสนุกร่วมกันเหมือนอย่างเคย โดยนักร้องคนแรกของเราในวันนี้ได้แก่........ สก็อตต์” ไทโบกมือไปทางสก็อตต์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของไอ้ซันตอนเรียนมหาลัย

ทุกคนในนั้นปรบมือต้อนรับสก็อตต์ที่กำลังเดินขึ้นเวทีเสียงดัง จากนั้นทุกอย่างก็เริ่มดำเนินไปตามปกติ นั่นก็คือนักร้องของเราก็จะร้องเพลงไป ส่วนคนอื่นก็นั่งคุยหรือนั่งดื่มกันไปตามปกติ แต่ว่าในตอนนี้ผมคงเป็นคนเดียวที่เริ่มจะรู้สึกไม่ปกติแล้ว หลังจากที่สก็อตต์เริ่มต้นร้องเพลงไปได้คูครู่หนึ่ง ผมก็ขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ

ขณะที่ผมทำธุระเสร็จแล้วและกำลังล้างมืออยู่นั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่สก็อตต์กำลังร้องเพลงจบลงพอดี และอีกแค่ชั่วครู่เดียวเสียงเพลงที่สองก็ดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นส่องกระจก แล้วก็ต้องตกใจเมื่อประตูห้องน้ำทางด้านหลังถูกเปิดออกและคนที่เดินเข้ามานั้นก็คือ ไอ้ซัน

“เมฆ” ไอ้ซันเองก็มีท่าทางตกใจไม่แพ้ผมเช่นกัน

“ไง” ผมทักผ่านทางกระจกเงาใบใหญ่ตรงหน้า “มึงมากับใครล่ะ ทำไมกูไม่เห็นมึงนั่งอยู่ในร้านเลย”

“กูไม่คิดว่าจะมาเจอมึงที่นี่เลย” ไอ้ซันพูดขึ้น และมันก็ทำให้ผมต้องอึ้ง

“กูขอโทษ” ผมหันกลับไปมองหน้าของมันตรงๆ “ถ้างั้นกูกลับเลยก็แล้วกันนะ”

ผมพยายามจะเดินผ่านมันออกจากห้องน้ำไป แต่ก็ถูกมันคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวเมฆ กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น กูแค่กำลังบอกว่ากูไม่คิดว่าจะมาเจอมึงในห้องน้ำนี่ก็เท่านั้นเอง”

ไอ้ซันรวบตัวของผมเขาไปโอบเอาไว้อย่างหลวมๆ และมันก็ทำให้ใบหน้าของเราสองคนชิดกันมากจนผมแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของมันอย่างชัดเจน แต่ที่สำคัญก็คือ หัวใจของผมกำลังเต้นแรงและผมก็รู้สึกเขินและทำตัวไม่ถูกอย่างที่ไม่เคยเป็นหรือรู้สึกกับมันแบบนี้มานานมากแล้วด้วยเหมือนกัน

“มึงหมายความว่ายังไง” ผมถามโดยไม่ได้พยายามจะดึงตัวออกเลยแม้แต่นิดเดียว

“มึงกำลังเข้าใจเรื่องของกูกับคริสผิดนะ คริสน่ะเค้าแต่งงานมีเมียมีลูกแล้ว เราไม่ได้มีอะไรต่อกันเลยแม้แต่นิดเดียว” ไอ้ซันอธิบาย

“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็กูรู้แล้ว........” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิดและละอายเล็กน้อย

“งั้นมึงไม่โกรธกูแล้วนะ”

“กูไม่รู้.......... แต่จริงๆกูก็ไม่ได้โกรธอะไรมึงเรื่องคริสอยู่แล้ว” ผมตอบไปตามความจริงและดันตัวเองออก ซึ่งไอ้ซันก็ยอมปล่อยผมแต่โดยดี “เราอย่าเพิ่งมาคุยกันที่นี่ตอนนี้เลยซัน กูคิดว่ามันคงไม่เหมาะหรอก และที่สำคัญ....... กูคงยังไม่พร้อมด้วย”

ไอ้ซันมองหน้าผมนิ่งครู่หนึ่ง แววตาของมันมีความอาวรณ์สะท้อนอยู่อย่างชัดเจน แต่มันก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “กูรู้ กูผิดเอง กูเข้าใจมึง แต่ถ้ามึงไม่พร้อมที่จะฟังกูพูดล่ะก็ อย่างน้อยๆกูก็อยา.......”

ไอ้ซันยังพูดไม่ทันจะจบประโยคดี แต่ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกเสียก่อน และคนที่โผล่หน้าเข้ามาก็คือพีนั่นเอง

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 21-09-2008 01:28:00

“พี่ซัน” พีอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าผมกำลังยืนอยู่กับไอ้ซัน

“กูไปก่อนนะซัน” ผมเดินเข้าไปหาพีและจูงแขนเขาออกจากห้องน้ำ และเมื่อประตูห้องน้ำปิดลง ผมกับพีก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะเดิมของเราโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก

การแสดงบนเวทีของสก็อตต์ผ่านไปแล้ว และตอนนี้ก็เป็นเอมิลี่ ที่กำลังยืนร้องเพลงอยู่บนเวที ซึ่งเพลงที่เธอกำลังร้องอยู่คือเพลง ยู อาร์ สติล เดอะ วัน ของแชนนิย่า ทเวน ในเวอร์ชั่นอคูสติกโดยมี คริส เป็นคนเล่นกีตาร์ให้ และเมื่ออินโทรทำนองเพลงที่สองซึ่งเป็นเพลง เอฟเวอรี่เดย์ ไอ เลิฟ ยู ของบอยโซนดังขึ้น ผมก็เห็นไอ้ซันเดินมานั่งที่โต๊ะเดียวกับพวกสก็อตต์ มันหันมามองผมครู่หนึ่งด้วย แต่ว่าผมก็หันหน้าหนีมันและหันไปพูดกับพี

“พอจบเพลงนี้แล้วพี่อยากกลับบ้านแล้วนะครับ พี”

“ทำไมล่ะครับ พี่เมฆ”

“พี่ไม่อยากทำให้คนอื่นเสียบรรยากาศน่ะ พวกปีเตอร์ก็คงจะแปลกใจและเริ่มงงแล้วว่าพี่เป็นอะไร” ผมหันไปมองไอ้ซันที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนของมันอยู่ก่อนจะหันกลับมาหาพี “และพี่ก็อยากกลับไปคิดอะไรนิดหน่อยเงียบๆที่บ้านด้วยน่ะครับ”

“แต่ว่าแบบนั้น........”

“พี่ขอร้องล่ะครับ”

“แต่ผมขอโทษจริงๆครับพี่เมฆ ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ” พีปฏิเสธ ซึ่งก็ทำให้ผมต้องแปลกใจมากเพราะเขาไม่เคยเป็นแบบนี้กับผมมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“ถ้าแบบนั้นพี่ก็คงไม่มีทางเลือกแล้วล่ะครับ” ผมล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าเกางเกง “อย่าลืมสิครับว่ากุญแจอยู่กับพี่นะ ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วเดี๋ยวพี่จะมารับรึไม่พีก็กลับเอาเอง หรือไม่อยากนั้นพีก็เอากุญแจรถไป ส่วนพี่ก็จะนั่งแท็กซี่กลับเอง”

“พี่เมฆ อย่าทำแบบนี้สิครับ ผมขอร้อง”

“พี่ขอโทษ พี แต่พี่อยากกลับบ้านจริงๆ พีเห็นใจพี่เถอะนะ”

“เมฆ” ปีเตอร์ที่คงเห็นท่าทางของเราสองคนไม่ค่อยดีแล้วพูดขึ้น “มึงกำลังจะทำอะไร”

“กูว่ากูจะกลับบ้านน่ะ ขอโทษด้วยทีว่ะที่ทำให้กังวลและหมดสนุกกัน”

“เสียใจว่ะ แต่มึงต้องอยู่ต่อ” ปีเตอร์คว้ากุญแจรถไปจากมือของผมแล้วโยนมันส่งกลับไปให้พี

“ปีเตอร์ ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้ ตอนนี้กูกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีนะเว้ย”

“ดูนั่น” ปีเตอร์พยักหน้าไปทางเวทีที่ตอนนี้เอมิลี่กำลังร้องเพลงใกล้จะจบลงแล้ว “จำได้รึเปล่าว่าเพลงที่สก็อตต์ขึ้นไปร้องตอนแรกรวมทั้งสองเพลงที่เอมิลี่เพิ่งร้องจบไปเมื่อกี๊มีเพลงอะไรบ้าง”

“ทำไม” ผมถาม

“ตอบมาเถอะน่า”

“เออ เพลงแรกรู้สึกจะเป็นเพลง แวร์เอฟเวอร์ ยู วิล โก ของ เดอะ คอลลิ่ง และเพลงที่สองรู้สึกจะเป็น.......”

“ของยูทู เพลง วิธ ออร์ วิธเธาท์ ยู” ร็อบ เพื่อนของผมคนนึงในโต๊ะพูดเสริมขึ้น

“เออ ใช่ ส่วนเพลงเมื่อกี๊ก็เพลง เอฟเวอรี่เดย์ ไอ เลิฟ ยู กับก่อนหน้าก็เพลง ยู อาร์ สติล เดอะ วัน” ผมพูดต่อ “แล้วทำไมวะ”

“แล้วรู้มั๊ยว่าเพลงต่อไปจะเป็นเพลงอะไร”

“ก็แล้วจะไปรู้ได้ยังไงล่ะวะ”

“ถ้างั้นก็หันไปดูโน่น” ปีเตอร์หันไปทางเวที ผมจึงหันไปมองตาม และผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินขึ้นเวทีไปรับไมค์ต่อจากเอมิลี่ก็คือไอ้ซัน

เอมิลี่จูบไอ้ซันที่แก้มเบาๆหนึ่งทีก่อนจะพูดอะไรบางอย่างสั้นๆ ซึ่งไอ้ซันก็พยักหน้ารับ จากนั้นคริสก็เป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับไอ้ซันบ้าง ไอ้ซันพยักหน้ารับสั้นๆสองสามครั้ง ก่อนจะหยิบกีตาร์มาถือเอาไว้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้

“ก่อนที่ผมจะเล่นเพลงต่อไปนี้ ผมขอพูดอะไรสั้นๆสักหน่อยก่อนนะครับ” ไอ้ซันพูดใส่ไมค์

ปีเตอร์ชะโงกเข้ามากระซิบในหูของผม “ถ้ามึงยังคิดลุกขึ้นหนีไปตอนนี้อีกล่ะก็ โดนตีนแน่”

“อันดับแรกเลยคือขอบคุณทุกคนที่มาอยู่ที่นี่ ขอบคุณพี น้องชายของผม ขอบคุณไทเลอร์สำหรับความใจดีที่มีให้ ขอบคุณคริสและสก็อตต์ที่ช่วยเหลือผมจนผมสามารถทำสิ่งๆนี้ได้ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่อุตส่าห์มาถึงแม้มันค่อนข้างจะฉุกละหุกไปหน่อย และที่สำคัญ........” ไอ้ซันมองมายังผมแว่บหนึ่ง “ขอบคุณความรักของผมที่เป็นเพียงสิ่งเดียว ที่ไม่เคยทรยศผมเลยแม้สักครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

เสียงปรบมือดังขึ้นเบาๆจากคนหลายคน รวมทั้งจากทุกๆคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของผมด้วย จะเว้นก็แต่ผมเพียงคนเดียวที่ยังคงอึ้งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่

“ในตอนแรกสก็อตต์กับเอมิลี่ขึ้นมาร้องเพลงที่ทุกๆท่านรู้จักกันดีให้ได้ฟังกันไปแล้ว ทั้งสามเพลงเป็นเพลงที่มีความหมายดีมาก ขอบคุณทั้งคู่มากจริงๆ แต่ว่าผมไม่ได้ขึ้นมาที่นี่เพื่อที่จะร้องเพลง........ แต่ผมมาเพื่อบอกความในใจของผมให้คนๆหนึ่งได้รับฟัง” ไอ้ซันสบตากับผมเป็นช่วงสั้นๆอีกครั้ง “คนบางคนเคยพูดเอาไว้ว่า เพลงๆหนึ่งจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีครบทั้งทำนองและคำร้อง ทำนองคือความไพเราะ แต่เนื้อร้องคือจิตวิญญาณที่จะส่งผ่านความหมายและความรู้สึกทั้งหมดของผู้ร้องให้แก่ผู้ฟังได้รับรู้ แต่สำหรับผมในวันนี้ไม่ใช่แบบนั้น เพลงที่ผมกำลังจะเล่นต่อไปนี้มันกลั่นออกมาจากหัวใจและความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมี มันไม่มีเนื้อร้อง เพราะผมไม่สามารถที่จะบรรยายความรู้สึกทั้งหมดของผมลงไปเป็นคำพูดได้ แต่ว่าผมคิดว่าผมสามารถใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีลงไปในท่วงทำนองนี้ได้.........”

ผมนั่งมองไอ้ซันที่กำลังนั่งพูดอยู่บนเวทีด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น ผมรู้ว่ามันกำลังจะทำอะไร ผมรู้ดีเลยทีเดียว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันใช้บทเพลงเป็นสื่อแทนคำพูดที่มันมีต่อผม ผมยังจำถึงวันแรกที่มันบอกคำว่า “รัก” ออกมาให้ผมฟังได้เป็นอย่างดีราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เลยทีเดียว

“เพลงที่ผมกำลังจะเล่นต่อไปนี้ เป็นเพลงที่ผมแต่งขึ้นมาเอง ผมเริ่มแต่งมันครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อนและเพิ่งจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง ต้องขอบคุณคริสและสก็อตต์ที่คอยช่วยวิจารณ์และช่วยผมปรับปรุงแก้ไขมันได้จนเป็นอย่างที่ผมต้องการ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป บางสิ่งบางอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจของผมก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ความรักของผมกับเขาคนนั้นที่ผมเคยคิดว่ามั่นคงก็กลับถูกทำให้สั่นคลอน ดังนั้นเพลงนี้จึงจะเป็นเพลงแทนความรู้สึกจากใจของผมได้ดีกว่าคำพูดไหนๆที่ผมจะสามารถพูดได้ และมันจะเป็นเพลงที่ผมอยากจะใช้บอกคนที่ผมรักว่า ผมเสียใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคนมากขนาดไหน และผมหวังว่ามันจะสามารถบอกเขาได้ด้วยเช่นกันว่า ผมรักและคิดถึงเขามากเพียงใด.........” ไอ้ซันหันมาสบตากับผมอีกครั้ง “และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด บอกเขาว่าสำหรับผมแล้วในชีวิตนี้จะไม่มีอะไรที่สำคัญยิ่งไปกว่า ‘ความสัมพันธ์และช่วงเวลา’ ที่เรามีให้กันและกันแม้แต่เพียงอย่างเดียว”

ไอ้ซันก้มหน้าลงเล็กน้อยและเว้นช่วง ทำให้เกิดความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งร้าน

“ชื่อเพลงล่ะ ซัน” คริสใช้ไมค์ของตัวเองพูดขึ้น

“นั่นสินะ........” ไอ้ซันพูดขึ้น “ผมว่าการเลือกชื่อเพลงนี่ต่างหากที่ยากที่สุด ในตอนแรกเลยมันมีชื่อเพลงว่า ‘เวดดิ้ง เบลล์’ และเมื่อทำนองและความหมายในเพลงมันถูกเปลี่ยนไป ผมก็เปลี่ยนชื่อมันเป็น ‘ขอโทษ’ แต่แล้วก็เปลี่ยนอีกเป็น ‘สายใยระหว่างเรา’........” ไอ้ซันเว้นช่วงเล็กน้อยและมีเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นจากบางโต๊ะ “ช่าย ผมรู้ ผมยอมรับว่ามันฟังดูน้ำเน่าครับ” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ รวมทั้งคนอีกหลายคนในที่นี่ด้วย “ทั้งสก็อตต์และคริสเองต่างก็ย้ำผมว่าชื่อนี้มันทุเรศมากขนาดไหน ผมก็เลยเปลี่ยนและตั้งชื่อให้เพลงนี้หลายสิบชื่อมากๆ จนสุดท้าย ผมก็มานึกถึงสิ่งที่เขาเคยพูดเอาไว้กับผม และคำสัญญาที่เราเคยมีให้แก่กันและกัน และนั่นเองที่ทำให้ผมตัดสินใจตั้งชื่อเพลงๆนี้ว่า........” ไอ้ซันสบตากับผม รอยยิ้มของมันจางหายไปแล้วเหลือเพียงแววตาที่จริงจังและลึกซึ้งอย่างที่มันเคยเป็น “‘ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที’”

ทุกคนปรบมือขึ้นพร้อมๆกัน และหลายๆคนก็หันมามองหน้าผมพร้อมด้วยรอยยิ้ม และหลังจากเสียงปรบมือเริ่มซาลง เสียงกีตาร์โปร่งของคริสก็ดังขึ้นเป็นอินโทร และตามมาด้วยเสียงกีตาร์ของไอ้ซัน

ผมนั่งฟังเสียงกีตาร์ที่มันกำลังเล่นด้วยความรู้สึกที่ทั้งตื้นตัน ใจของผมในตอนนี้มันเต็มตื้นไปด้วยทั้งความรู้สึกรัก เสียใจ และโหยหา ทุกๆท่วงทำนอง ทุกๆเสียงที่ถูกส่งผ่านออกมาจากมือคู่นั้นของมัน ผมรู้ว่านั่นคือความในใจที่ไอ้ซันกลั่นออกมาเพื่อมอบให้แก่ผมเพียงผู้เดียว และนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวจนแทบจะร้องไห้ออกมา

เสียงกีตาร์โปร่งเบาๆช้าๆของทั้งสองคนกล่อมทุกคนในร้านให้เงียบและมองการแสดงบนเวทีอย่างตั้งใจ เพลงที่ซันกำลังเล่นนี้เป็นเพลงช้า และสำหรับผมแล้ว มันเป็นเพลงช้าที่เศร้ามากที่สุดที่ผมเคยฟังมาด้วย ถึงแม้ว่าตัวเพลงจะไม่มีเนื้อร้อง แต่ทว่าผมกลับได้ยินทุกๆถ้อยคำที่มันส่งมาให้แก่ผมได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นคำว่า “รัก” “ขอโทษ” “ท้องฟ้า” หรือแม้แต่คำว่า “น้ำตา” และคำอื่นๆอีกหลายคำจนผมเองยังต้องรู้สึกแปลกใจ

ตั้งแต่เริ่มเพลง ผมก็ไม่ได้สังเกตถึงสิ่งอื่นใดรอบตัวเลยนอกจากตั้งใจฟัง “คำพูด” ที่ซันต้องการจะสื่อออกมาให้ผมได้ยิน สายตาของเราสองคนจับจ้องมองกันและกันอยู่ตลอดเวลาสี่นาทีกว่า ไม่มีใครที่ละสายตาออกจากกันและกันเลย ทุกๆท่วงทำนองที่นิ้วของมันกรีดลงบนกีตาร์ มันมีค่าและมีความหมายสำหรับผมมากกว่าคำขอโทษนับร้อยคำที่ผมเคยได้รับมาจากปากของมันนับตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกันเสียอีก

ผมจะปฏิเสธตัวเองได้อย่างไรอีก ว่าคนที่ผมรักมากที่สุดในโลกและอยากจะใช้ชีวิตของผมด้วยจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของลมหายใจนั้นก็คือมัน........... ท้องฟ้าสีครามเพียงหนึ่งเดียวของผม

และในนาทีนี้ที่ผมได้ยินเพลงๆนี้ ผมก็รู้แล้วว่ามันเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากผมด้วยเช่นกัน

เมื่อมาถึงช่วงท้ายของเพลง เสียงกีตาร์เริ่มช้าลง จนกระทั่งเพลงจบ ทุกคนในร้านต่างก็ตบมือให้กับไอ้ซัน รวมทั้งตบมือให้แก่คริสเองก็ด้วยเช่นกัน บางคนถึงกับขึ้นลุกขึ้น บางคนเป่าปาก มีเพียงผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ตบมือไปกับพวกเขาด้วย แต่ว่าผมกลับนั่งนิ่งและร้องไห้.............

นี่น้ำตาของผมมันไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ผมรีบใช้มือเช็ดน้ำตาของตัวเองออก จากนั้นก็รีบลุกขึ้นและเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีใครทันห้ามหรือเห็นน้ำตาของผม

ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านข้างของร้านฝั่งเดียวกับลานจอดรถแล้วก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่คิดจะห้าม ผมนึกโกรธตัวเองที่ทำตัวงี่เง่าและไม่เชื่อใจมัน นึกโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้มันต้องทุกข์ใจทั้งๆที่มันทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อผมมาตลอด ทั้งๆที่ผมควรจะเป็นคนเดียวที่รู้จักมันดีที่สุดอย่างที่พีพูด และทั้งๆที่ผมควรจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่ามันรักผมมากกว่าใครที่ไหนทั้งนั้นในโลกนี้ แต่ว่าผมกลับยังรู้สึกสับสนและไม่แน่ใจในความรักที่มันมีให้แก่ผมอีก

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย! ไอ้เหี้ย!” ผมสบถให้ตัวเองพร้อมกับสะอื้นเบาๆไปด้วย

“เมฆ!” เสียงของไอ้ซันดังขึ้น แต่ว่าผมก็ยังคงไม่เห็นว่ามันอยู่ที่ไหน และในตอนนั้นเองที่มันโผล่มาจากทางมุมตึกพร้อมด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เมฆ! มึงอยู่ที่นี่เอง มึงเป็นอะไร ทำไมมึงถึงวิ่งออกมาแบบนั้น มึงไม่ชอบใช่มั๊ยที่กูทำแบบนั้นลงไป กูขอโทษนะเมฆ กูขอโทษ กูสัญญาว่ากูจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว มึงอย่าวิ่งหนีไปจากกูแบบนั้นอีกนะ กูขอร้.........”

ผมดึงตัวของมันเข้ามาจูบทันทีก่อนที่มันจะทันพูดจบประโยค จากนั้นผมก็เป็นฝ่ายกอดมันก่อน และไอ้ซันก็กอดและจูบผมตอบกลับด้วยเช่นกัน

“พอแล้ว มึงไม่ต้องขอร้องหรือขอโทษอะไรกูอีกแล้ว ซัน” ผมพูดหลังจากที่ถอนริมฝีปากออก “กูขอโทษที่ทำตัวงี่เง่า แต่ว่ากูแต่งเพลงแบบมึงไม่เป็น กูก็เลยทำได้แค่เพียงเท่านี้จริงๆ........” ผมใช้มือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของมันช้าๆและแผ่วเบา “ซัน......... กูรักมึง มึงอย่าทิ้งกูไปไหนอีกนะ กูขอร้อง ในชีวิตนี้กูต้องการแค่มึงเพียงคนเดียวเท่านั้น กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมึง มึงคือคนเดียวที่กูรักยิ่งกว่าชีวิตนะ ซัน...........”

เมื่อผมพูดจบไอ้ซันก็เริ่มร้องไห้และทรุดตัวลงไปนั่งอยู่บนหัวเข่าตัวเองทันที โดยที่มันก็ยังกุมมือทั้งสองข้างของผมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ผมเองก็ตกใจมากที่มันเป็นแบบนั้นจนต้องทรุดตัวลงไปนั่งอยู่กับมันด้วย ไอ้ซันร้องไห้แบบที่ผมไม่เคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อนเลย มันร้องไห้เหมือนกับว่ามันไม่เคยเสียใจอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิต มันร้องไห้จนตัวโยน ผมพยามที่จะกอดมัน แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้มันหยุดร้องได้ จนเวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดมันก็สามารถพูดออกมาได้ทั้งๆเสียงสะอื้น น้ำตาไหลลงมาอาบหน้าของมันจนเปียกไปทั่ว ไม่มีเค้าของไอ้ซันที่ดูแข็งแกร่งและเข้มแข็งเหลืออยู่อีกเลย

“นั่น....... นั่นคือคำพูดที่มีค่าที่สุด ยิ่งกว่าสิ่งไหนที่กูต้องการในชีวิตอีก เมฆ” ไอ้ซันพูดไปสะอื้นเบาๆไปด้วย “มึงไม่รู้หรอกว่า มันเป็นยิ่งกว่าเสียงดนตรีหรือเสียงเพลงไหนๆในโลก มันคือเสียงที่ไพเราะและมีค่าที่สุดที่กูเคยได้ยินมาในตลอดชีวิต เมฆ กูรักมึง และกูจะไม่หนีหายไปไหนอีกแล้ว กูรักมึงจริงๆ กูสัญญา.........”

“กูก็เหมือนกัน ซัน กูก็เหมือนกัน” น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมาอีกครั้งและผมก็โผเข้าไปกอดมันอีกอย่างแนบแน่น

เราสองคนนั่งกอดและร้องไห้กันอยู่ข้างร้านโดยไม่สนใจคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือรถคันไหนที่วิ่งผ่านเลย เสียงดนตรีในร้านยังคงดังออกมาอยู่เรื่อยๆ ทุกๆคนในนั้นต่างก็คงกำลังมีความสุขกันอยู่กับเพื่อนๆหรือคนรักของตัวเอง แต่ไม่มีใครแล้วที่จะมีความสุขไปมากกว่าผมกับซันที่กำลังนั่งร้องไห้กันอยู่ตรงนี้

ในที่สุด ท้องฟ้าของผมก็กำลังจะกลับมาสดใสเหมือนดังเคยอีกครั้งเมื่อผมมีมันอยู่ข้างกาย.........



หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: xela ที่ 21-09-2008 04:22:38
 :m23: ยังไม่จบใช่ไหมคะ

รอตอนต่อไปอยู่ค่ะ

ขอบคุณนะคะ

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 21-09-2008 06:48:53
 :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1: :oni1:

Oh god,

Thanks

Thank you for this.

It is value for waiting.

I love you

 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 21-09-2008 11:30:07
ดีใจจังเลย ดีกันแล้ว อึดอัดขัดข้องมาตั้งนาน
 :m4: :m4: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 21-09-2008 12:49:57
ยังไม่กล้าอ่านภาคนี้เลยอ่ะ

กลัวติดยาว เดี๋ยววันจันทร์สอบไฟนอลวันสุดท้าย T_________T


เอาเปนว่า สอบเส็ดมะไหร่ จะรีบแจ้นกลับมาตามอ่านทั้งหมดเลยนะคร้าบ



ร้ากคนแต่ง
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 21-09-2008 13:09:56
 :m15:
ทำตามคำแนะนำเด๊ะ...อ่านจนถึงตอนที่คิดว่าซันจะร้องเพลง
ก็ย้อนไปกดเปิดเพลงที่ลงไว้ฟัง...แค่ intro ขึ้นน้ำตาคลอละ
 :กอด1: :mc4: 
เข้าใจกันได้ซะทีเนอะ...รอบทสรุปกันต่อไป +1 ให้เป็นกะลังใจ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 21-09-2008 19:56:17
มาต่อรอบนี้ยาวเป็นหางว่าวเลย :m4:

เดี๋ยวขอไปอ่านก่อนเน้อออ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 22-09-2008 06:20:02
I miss U

ผมคิดถึงคุณซัน

ผมคิดถึงคุณเมฆ





ผมกำลังร้องไห้เพราะคุณ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 22-09-2008 08:19:28
โอย  เครียดอยู่ตั้งนาน

นึกว่า เมฆ กับ ซันจะปรับความเข้าใจกันไม่ได้

เพราะต่างคนต่างก็"โกหก"กับความรู้สึกของตนเอง

ลุ้นจนเหนื่อยเลย

ขอบคุณสำหรับเสียงเพลงเพราะๆแม้จะไม่มีคำร้อง แต่ซึ้งมากๆ

ขอจิ้มคนแต่งอีกทีเหอะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 22-09-2008 14:39:39
อ่านแล้วน้ำตาซึมเลย  ดีใจที่เข้าใจกันแล้ว

 :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 22-09-2008 16:03:19
 o7 จะจบแล้วหรือเนี่ย  :o12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 22-09-2008 22:55:15
 :jul1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: stayingpower ที่ 22-09-2008 23:04:37
มาดันให้เมียรัก///

ยังไม่ได้อ่านเลยซักกะตัวอักษร เอาไว้ว่างๆก่อนน้อ :jul1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 22-09-2008 23:43:53
มาอ่านแล้ว

อ่านจนจบเลย


ซึ้งอ่าาาาาาาาา



T__________T

น้ำตาซึมเลย

แต่ว่าเรื่องยังไม่จบใช่มั้ยครับ

รออ่านต่อนะครับพี่ต้น

ร้ากคนแต่งสุดๆ คร้าบ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 23-09-2008 19:41:06
ยังไม่จบใช่มั้ย....ยังมีตอนต่อไปอีกใช่ป่ะ
เพราะยังไม่เห็นมีคำว่า end เลยง่ะ(แอบหวังว่ายังไม่จบน้า)

ตอนต่อไปขอแบบหวานๆ น้ำตาลเรียกพ่อเลยนะ :o8:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-09-2008 22:12:07
มาอ่านแล้ว

อ่านจนจบเลย


ซึ้งอ่าาาาาาาาา



T__________T

น้ำตาซึมเลย

แต่ว่าเรื่องยังไม่จบใช่มั้ยครับ

รออ่านต่อนะครับพี่ต้น

ร้ากคนแต่งสุดๆ คร้าบ

อ้าว ไม่อ่านหนังสือสอบแล้วเหรอคับ 5555  :oni3:

และตอบคำถามของอีกหลายๆคนนะคับ เรื่องนี้ยังมิจบนะคับ จริงๆใจอยากมาต่อให้จนจบเลย แต่ขอเว้นอีกนิสนึงแล้วกันด้วยตวามจำเป็นจริงๆ ขอโทษด้วยนะครับ  :pig4:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 23-09-2008 22:14:16
ก้าวที่ยี่สิบสู่ปลายทางสุดท้าย


เราสองคนนั่งกอดกันอยู่อย่างนั้นจนหยุดร้องไห้ และเมื่อเรารู้สึกดีขึ้นแล้ว เราต่างก็ช่วยกันพยุงและลุกขึ้นยืน ไอ้ซันก้มลงปัดฝุ่นที่กางเกงให้ผม จากนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยรอยยิ้มและใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ผมจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงและช่วยเช็ดหน้าให้มัน และเมื่อผมเช็ดหน้ามันเสร็จแล้ว ไอ้ซันก็ช่วยเช็ดหน้าผมคืนด้วยเหมือนกัน

“ขอบใจมากนะซัน สำหรับเพลงๆนั้น มันเป็นเพลงที่เพราะที่สุดเท่าที่กูเคยได้ยินมาเลย”

“ไม่หรอก กูต่างหากที่ต้องขอบใจมึงที่ให้โอกาสกูอีกครั้ง เมฆ”

“กูไม่เคยให้โอกาสมึงหรอก ซัน” ผมบอก และไอ้ซันก็มีสีหน้าหมองลงไปถนัดตา แววตาของมันทั้งดูตกใจและระคนไปด้วยความกลัว “เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่กูต้องยกโทษให้มึงหรือว่ามีอะไรที่มึงทำผิดกับกูนี่ ตอนนี้กูรู้หมดแล้วว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นมายังไง”

“มึงหมายความว่า........”

“ใช่ เรื่องยุ่งๆที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพนับตั้งแต่ที่มึงได้รับไอ้ตุ๊กตาหมีตัวนั้นมามันจบลงแล้ว ซัน พี่วินช่วยกูจัดการจบปัญหาทุกๆอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว อืม จะว่าไปก็ยังมีอีกแค่เพียงอย่างเดียวน่ะนะ ที่กูจะต้องกลับไปสะสางเป็นครั้งสุดท้ายซะก่อน แต่ว่าถึงยังไงประเด็นก็คือตอนนี้กูรู้ความจริงทุกอย่างทั้งหมดแล้ว และเรื่องของไอ้พี่จ๊อบ กูกับพี่วินก็จัดการหมดแล้วด้วยเหมือนกัน ไม่มีอะไรที่มึงต้องกังวลอีกแล้ว เข้าใจมั๊ย ซัน”

“แต่ว่า..........”

“แต่อะไร มึงยังกังวลอะไรอยู่อีกงั้นเหรอ”

“เปล่า......” ไอ้ซันปฏิเสธ แต่ว่าครั้งนี้มันก็ดูไม่แนบเนียบเอาเสียเลย

“กูเข้าใจมึงนะ กูบอกแล้วไงว่าเหลืออีกเพียงแค่เรื่องเดียวที่กูต้องกลับไปเคลียร์ แต่ว่านอกนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรอีก และกูก็มั่นใจด้วยว่ากูรับมือมันได้ มึงไม่ต้องคิดมากแล้ว ซัน”

“แต่ว่าเรื่องที่กูทำลงไปในคืนนั้น......”

“มึงหมายถึงเรื่องจูบ”

ไอ้ซันพยักหน้าเบาๆ “กูขอโทษ.........”

“การที่มึงยังติดใจเรื่องนั้นและยังคงขอโทษกูอยู่ ก็แปลว่าสิ่งที่กูคิดมันเป็นความจริงสินะว่าตอนนั้นมึงทำลงไปเพราะมึงตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะมึงจำเป็นต้องทำ”

“ก็ไม่เชิงอีกล่ะ เมฆ กูไม่ได้อยากจะจูบมัน กูไม่เคยคิดจะนอกใจมึง แต่กูก็จะไม่โกหกมึงอีกแล้วว่าตอนนั้นมันไม่ใช่เพียงอารมณ์ชั่ววูบที่กูเผลอไป”

เราสองคนเงียบกันไปครู่หนึ่ง และเมื่อไอ้ซันเริ่มมีสีหน้าแย่ลงเรื่อยๆ ผมก็ดึงคอของมันเข้ามาจูบลงบนริมฝีปากของมันอีกครั้ง และคราวนี้ก็เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีเลยทีเดียว เป็นจูบที่บอกและถ่ายทอดทุกอย่างภายในใจของผมให้มันได้รับรู้ และผมก็พยายามที่จะทำให้ดีไม่แพ้เพลงที่มันแต่งขึ้นให้ผมเมื่อครู่นี้เลยด้วย

“เท่านี้ก็หายกันแล้วนะ” ผมพูดหลังจากถอนปากออก รู้สึกถึงลมหายใจและจังหวะการเต้นของหัวใจของเราทั้งคู่ที่ดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญ........ รู้สึกถึงการตื่นตัวของน้องชายที่อยู่ภายใต้กางเกงยีนส์ของตัวเองด้วย

“มึงไม่โกรธกูเหรอ”

“ไม่หรอก ซัน แต่เอาเถอะ ไว้เราค่อยคุยเรื่องพวกนี้กันอีกทีก็ได้ เพราะว่าเราสองคนมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาวเลย และครั้งนี้กูไม่ต้องการคำโกหกหรือการปิดบังอะไรอีกแล้วนะ ถึงแม้จะเป็นการโกหกเพื่อตัวกูเองเหมือนเมื่อตอนนั้นก็ตาม เข้าใจมั๊ย” ผมทำหน้าเครียดใส่มัน

“ไม่มีอีกแล้ว กูสัญญา” ไอ้ซันยิ้มกว้าง

“ดี งั้นตอนนี้กูว่าเรากลับเข้าไปในร้านกันก่อนเถอะ คนอื่นโดยเฉพาะพีคงเป็นห่วงแย่แล้วมั๊ง”

“อืมม” ไอ้ซันพยักหน้าและทำท่าจะออกเดิน แต่เมื่อมันเห็นผมไม่ได้เดินไปพร้อมๆกับมัน มันก็หันกลับมามองผมด้วยสายตาเป็นกังวล “เป็นอะไร เมฆ”

“เปล่า กูแค่กำลังคิดอยู่ว่าถ้ามึงรู้ว่าหลังจากที่มึงบอกเลิกกูแล้ว กูเองก็ไปจูบคนอื่นมาเหมือนกัน มึงจะรู้สึกยังไงนะ จะรู้สึกโกรธ หรือจะคิดว่า ‘ก็ดีแล้ว สมควรกับที่กูทำลงไปแล้วนี่’ อะไรแบบนั้นรึเปล่าน่ะ”

สีหน้าของไอ้ซันดูหมองลงไปถนัดตา “มึง....... มีคนใหม่แล้วเหรอ”

“มึงจะบ้าเหรอ” ผมเดินไปตบหัวมันเบาๆ “กูก็แค่จูบ ไม่ได้คิดจะคบเป็นแฟนสักหน่อย”

“งั้นเหรอ....... แล้ว....... มึงจูบใครล่ะ แล้วเค้าคิดอะไรกับมึงรึเปล่า” ไอ้ซันถามอย่างไม่มั่นใจนัก

“ไอ้คิดก็คงคิดแหงอยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าให้กูพูดจริงๆพวกเค้าก็รักกูมากด้วย”

ไอ้ซันชักสีหน้าเล็กน้อยที่ได้ยินว่าคนที่ผมกำลังพูดถึงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว “งั้นเหรอ.........” ไอ้ซันพูดเงียบๆ “แล้วมึงคิดอะไรกับด้วยรึเปล่า........ กูหมายถึงตอนที่มึงจูบคนพวกนั้นน่ะ”

“คิดสิ เพราะมันไม่ใช่เพราะว่ากูทำลงไปตอนเมาหรือทำเพื่อประชด รึว่าทำเพราะอารมณ์เผลอไผลไปชั่ววูบด้วย”

“เหรอ.........” ไอ้ซันดูเศร้ากว่าที่ผมคิดเสียอีก ดูท่าทางมันจะเก็บความรู้สึกไม่เก่งเหมือนอย่างเคยแล้วสินะ หรือไม่ก็คงเป็นเพราะว่าเรื่องนี้มันช็อคมากจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ก็ไม่รู้ได้

“มึงไม่อยากรู้เหรอว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”

“กูไม่อยากถาม........” ไอ้ซันพูดเสียงแข็ง “แต่ว่า......... ถ้ามึงพูดกูก็จะฟัง”

ผมยิ้มกว้างแล้วกระซิบใส่หูของมัน “ไคล์กับพีไง”

ไอ้ซันหันมามองผมตาโต จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนที่จะพยายามเตะก้นผมไปพร้อมๆกับด่าผมไปด้วย และเมื่อมันคว้าตัวของผมเอาไว้ได้ มันก็จูบผมอีกครั้ง และคราวนี้ผมก็รู้สึกได้ถึงดุ้นแข็งๆจากในกางเกงของมันที่กำลังเบียดอยู่ตรงหน้าขาผมด้วยเหมือนกัน

“กลับบ้านกันเถอะ กูมีอะไรอยากจะให้มึงดูนะ”

“ทะลึ่ง” ผมหัวเราะเบาๆในอ้อมแขนของมัน

“เดี๋ยวก็รู้ว่าใครกันแน่ที่ทะลึ่ง” ไอ้ซันหอมแก้มผมเบาๆ “แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ไอ้นั่นน่ะเดี๋ยวมึงได้ดูแน่ แต่กูอยากให้มึงดูอย่างอื่นก่อนเป็นอันดับแรก”

“อะไรล่ะ”

“กลับบ้านกันนะ”

“รอก่อนไม่ได้เหรอ เข้าไปหาทุกคนก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยว่ากันก็แล้วกัน”

ไอ้ซันมองตามผมเงียบๆครู่หนึ่ง ก่อนจะกอดผมอีกครั้ง “เหี้ยเอ๊ยย กูคิดถึงมึงจริงๆเมฆ”

“กูก็เหมือนกัน ซัน” ผมกอดมันกลับ จากนั้นสักพักจึงค่อยดันตัวเองออก “ไปเถอะ”

เราสองคนเดินกลับเข้าไปในร้าน และเมื่อพีเห็นเราสองคนเดินกุมมือกันเข้ามาในร้าน เขาก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้ามากอดพวกเราสองคนทันที ตอนนี้วงที่กำลังเล่นอยู่บนเวทีคือวงประจำของร้านนี้ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว แต่พวกเราก็ยังนั่งคุยนั่งฟังเพลงกันอยู่ต่ออีกครู่ใหญ่ๆ โดยแทบทุกคนต่างก็ร่วมยินดีที่ผมกับซันกลับมาคืนดีกันจนได้  และหลายคนที่ออกปากชมว่าชอบเพลงที่ไอ้ซันเล่นเมื่อกี๊นี้มาก ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ผมต้องเตือนตัวเองว่าผมจะต้องคุยกับมันทีหลังด้วยเหมือนกัน

“นี่แปลว่าทุกคนรู้หมดเลยงั้นเหรอว่าเรามีปัญหากันน่ะ” ผมถามไอ้ซัน

“ไม่หรอก บางคนรู้ แต่หลายคนก็ไม่ แต่พอกูขึ้นเวทีและพูดไปแบบนั้นหรือแค่เห็นมึงกับกูไม่ได้นั่งอยู่ด้วยกันตั้งแต่แรกก็คงรู้แล้วล่ะ แต่จะยังไงกูก็ไม่สนใจหรอกว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ เพราะถึงยังไงเพลงนั้นกูก็แต่งมาเพื่อมึงคนเดียวโดยเฉพาะอยู่แล้ว”

“แล้วเพื่อนๆเรามาอยู่ที่นี่กันเยอะขนาดนี้ได้ยังไง”

“เรื่องนั้น.........”

“เพราะไทเลอร์น่ะครับ” พีพูดขึ้น “เขาเป็นคนช่วยเรากระจายข่าวและช่วยรวมทุกคนให้”

“แต่กูจำได้ว่าบางคนมันไม่ได้อยู่ในเมืองนี้ด้วยซ้ำนะ” ผมมองไปรอบๆห้อง “อย่างสก็อตต์น่ะกูเข้าใจว่ามึงสนิทกันแล้วบ้านเค้าก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ด้วย แต่คนอื่นล่ะ”

“ก็ถ้ามีเวลาสักหน่อย อะไรๆมันก็คงไม่ยากอย่างที่คิดก็ได้นี่นา” ไอ้ซันตอบ

“นี่แปลว่ามึง........” ผมมองหน้าไอ้ซัน จากนั้นก็หันมาหาพี “นี่แปลว่าเราเองก็รู้เรื่องนี้อยู่ตั้งนานแล้วด้วยเหมือนกันใช่มั๊ย พี”

“เปล่านะครับ ผมเองก็เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เองด้วยซ้ำ”

“อ้าว แล้วทำไม.......”

“พี่ซันเพิ่งบอกผมเมื่อเช้านี้เอง ก็หลังจากที่พี่ เอ่อ ทะเลาะกันนั่นแหละครับ พี่เขาบอกผมจนหมดว่าที่ผ่านมาเขาไปทำอะไรมาบ้างและคริสคือใคร จากนั้นก็บอกผมว่าในเมื่อพี่เมฆมาอยู่ที่นี่แล้ว เค้าก็เลยบอกให้ผมช่วยพาพี่มาที่นี่ ส่วนเรื่องอื่นๆพี่ซันเป็นคนจัดการทั้งหมดเลย”

“แบบนี้กลับไปเราต้องคุยกันยาวแน่ ไอ้ตัวแสบ” ผมหันไปหยิกแก้มไอ้ซัน

“งั้นก็รีบกลับสิ ดีมะ”

อีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผม ซัน และพีต่างก็บอกลาคนอื่นๆแล้วขอตัวกลับก่อน โดยที่ผมไม่ลืมที่จะเข้าไปขอบคุณและบอกขอโทษคริสที่ทำตัวเสียมารยาทใส่เขาด้วย ซึ่งคริสก็บอกผมว่าเขาไม่ว่าอะไรผมเลยแม้แต่น้อย และยังเข้าใจผมดีแถมยังอวยพรให้เราสองคนอีกด้วย จนกระทั่งเวลาราวๆตีหนึ่ง เราสามคนก็ขับรถกลับบ้านโดยมีพีเป็นคนขับให้เช่นเคยเพราะว่าเขาดื่มเข้าไปน้อยที่สุดในบรรดาเราสามคน และเขายังบอกว่าเขาอยากให้เราสองคนได้นั่งด้วยกันที่เบาะหลังตามลำพังด้วย

เมื่อมาถึงบ้าน พีก็ตรงเข้ามาจุ๊บที่แก้มของเราสองคนเบาๆคนละทีก่อนจะเดินเข้าห้องไปหยิบกระเป๋าของผมออกมา

“ผมว่าพี่เมฆคงอยากได้ไอ้นี่คืนไปเก็บไว้ที่ห้องของพี่แล้วมั๊งครับ” พียิ้ม

“ขอบคุณมากครับพี” ผมรับกระเป๋าของผมมาถือเอาไว้

“ถ้างั้น....... นอนฝันดีนะครับทั้งสองคน แล้วค่อยคุยกันอีกทีพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน” พียิ้มให้เราสองคนก่อนจะออกเดินกลับเข้าห้องของตัวเอง แต่ว่าผมกับซันก็รั้งตัวเขาเอาไว้ก่อน จากนั้นเราก็หอมแก้มเขาคนละข้างพร้อมๆกันไปคนละฟอดใหญ่ ซึ่งก็ทำให้พีหน้าแดงไปถึงหูอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะกล่าวราตรีสวัสดิ์เราทั้งคู่

เมื่อพีเดินเข้าห้องไปแล้ว ผมกับซันก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของตัวเอง ไอ้ซันหยิบกุญแจห้องออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะหันมาบอกผมให้ผมหลับตาเอาไว้และห้ามแอบดูอย่างเด็ดขาด ซึ่งผมก็ทำตามที่มันขอแต่โดยดี ไอ้ซันไขกุญแจห้องและเปิดประตูออก จากนั้นก็หันมาใช้มือของตัวเองค่อยๆดึงผมเข้าไปในห้อง ผมรู้สึกได้ถึงแสงไฟนีออนที่สว่างจ้า แต่ว่าก็ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น

“ห้ามแอบดูนะ” ไอ้ซันกำชับผมอีกครั้ง จากนั้นก็ดึงตัวผมไปนั่งลงบนเตียง ผมได้ยินเสียงมันทำอะไรกุกกักๆอยู่รอบห้องราวๆเกือบห้านาที ก่อนที่มันจะปิดไฟลงอีกครั้ง “เอาล่ะ ลืมตาได้”

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆห้องที่กำลังส่องสว่างไปด้วยแสงสีส้มจากเทียนไขนับสิบเล่มทั่วทั้งห้อง แต่ที่ทำให้ผมต้องประหลาดใจไปยิ่งกว่านั้นนั่นก็คือรอบห้อง ทั้งบนผนัง บนโต๊ะ บนชั้นวางของ ต่างก็เต็มไปด้วยรูปถ่ายของท้องฟ้าในเวลาต่างๆมากมายหลายสิบรูป บ้างก็ถูกใส่ไว้ในกรอบรูป และบ้างก็ถูกแปะไว้บนผนังห้อง บางรูปนั้นเป็นรูปของพระอาทิตย์ขึ้น บางรูปเป็นพระอาทิตย์ตก บางรูปเป็นท้องฟ้าสีคราม บางรูปก็เป็นรูปของก้อนเมฆ และบางรูปก็เป็นรูปของพระอาทิตย์ที่สาดแสงจ้าอยู่เหนือเส้นขอบฟ้า

“ซัน.......” ผมลุกขึ้นเดินมองไปรอบๆห้องด้วยความรู้สึกทึ่ง “นี่มันมีทั้งหมดกี่รูปเนี่ย”

“ทั้งหมดสี่สิบเก้ารูป” ไอ้ซันเดินเข้ามาโอบผมจากทางด้านหลัง “รูปที่ห้าสิบ เป็นรูปที่กูเฝ้ารอและหวังว่าจะเป็นรูปที่กูได้ถ่ายมันกับมึงพร้อมๆกันนะ”

“แล้วนี่มึงถ่ายภาพพวกนี้เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมกวาดสายตามองไปรอบตัว “นี่มึงไปที่ไหนมามั่งเนี่ย ซัน”

“ก็ไปมาหลายที่แหละ” ไอ้ซันชี้ไปที่รูปพระอาทิตย์ที่กำลังตกน้ำและเริ่มเล่าและอธิบายว่านั่นคือที่ไหน จากนั้นก็รูปต่างๆไปเรื่อยๆจนผมต้องรู้สึกประหลาดใจ

“นี่มึงจำได้หมดเลยเหรอว่ามึงถ่ายที่ไหนเมื่อไหร่มั่งน่ะ”

“จำได้สิ เพราะทุกรูปมันก็ต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกและความนึกคิดที่กูมีให้มึงทั้งนั้น แล้วกูจะลืมได้ยังไง”

“แต่มึงยังไม่บอกกูเลยว่ามึงถ่ายพวกมันทั้งหมดนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมเอื้อมมือไปลูบรูปภาพของพระอาทิตย์ในยามเช้าดวงโตที่กำลังส่องแสงสีส้มเรืองรองที่ ณ ขอบฟ้าเหนือยอดเนินเขาอย่างเบามือ ผมจำสถานที่ที่ไอ้ซันถ่ายภาพนี้ได้ทันที เพราะว่านี่ก็คือที่ๆพีเพิ่งจะพาผมไปมาเมื่อตอนกลางวันนี้นี่เอง

“ก็หลังจากที่กูมาถึงที่นี่แหละ ตอนแรกๆกูก็ยังทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นกีตาร์แต่งเพลงไปเรื่อยอยู่คนเดียว แต่ว่ามันก็ช่วยให้กูหายคิดถึงมึงไม่ได้ ที่นี่ไม่มีอะไรเลยที่ทำให้กูได้เห็น ‘ภาพ’ของมึง” ไอ้ซันเน้นคำ “และพอกูตัดสินใจจะออกไปถ่ายภาพของเราสองคนเก็บเอาไว้ ก็เป็นจังหวะโชคดีที่ไทเค้าแนะนำให้กูได้รู้จักกับคริสพอดี เพราะคริสเค้าก็มีงานอดิเรกชอบถ่ายรูปอยู่แล้วด้วยเหมือนกัน และก็เค้านี่แหละที่ช่วยพากูไปยังที่ต่างๆและช่วยสอนเทคนิคถ่ายรูปให้กูด้วย นอกจากนั้นยังให้กูยืมสตูที่บ้านเค้าเป็นที่แต่งเพลงแล้วก็ช่วยแก้ไขเพลงอีกต่างหาก และที่สำคัญ ‘เพลงของเรา’ เพลงนั้นก็เพิ่งจะเสร็จสมบูรณ์สดๆร้อนๆเมื่อคืนนี้เลยด้วยนะ”

ความรู้สึกผิดจุกขึ้นมาจนถึงคอหอยของผม และไอ้ซันเองก็คงดูออกด้วยเช่นกันว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไร มันจึงผละออกจากตัวของผม แล้วเดินไปเปิดเครื่องเล่นซีดี เสียงเพลงที่ดังขึ้นเป็นเพลงบัลลาดช้าๆ ซันเดินกลับมาหาผมและค่อยๆดึงตัวผมเข้าไปชิดกับมัน จากนั้นมันก็กอดผมอย่างแนบแน่นโดยวางคางของตัวเองไว้บนบ่าของผม มันค่อยๆโยกตัวของเราสองคนไปตามจังหวะเพลงอย่างช้าๆและอ่อนโยน

“เมฆ เมฆรู้มั๊ยว่าซันไม่เคยอยากจะเสียเมฆไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว.........” ไอ้ซันพูดใส่หูของผมเบาๆ

“อืมม รู้สิครับ เพราะเมฆก็เหมือนกัน........”

“ซันขอโทษที่เคยโกหกปิดบังเมฆ แต่ว่ามันก็เป็นเพราะซันแคร์ความรู้สึกของเมฆมากนั่นแหละครับ ซันไม่อยากให้เมฆเครียด และไม่อยากให้เมฆต้องเดือดร้อนเพราะซัน ซันก็เลยจำเป็นต้องทำแบบนั้นลงไป”

“เมฆเข้าใจ ซันจำไม่ได้เหรอว่าเมฆเคยบอกแล้วว่าสักวันซันก็อาจจะต้องทำแบบนี้จนได้ จำได้มั๊ย เช้าวันที่เราเดินคุยกันที่ทะเลก่อนที่จะเจอก้อนหินสองก้อนนั้น เมฆเคยบอกแล้วว่าถ้าหากซันคิดมากขึ้นมา ซันจะเป็นคนแบบนี้ นั่นก็คือซันจะห่างออกไป จะยอมเจ็บเพียงคนเดียว จะทำร้ายตัวเองด้วยความคิด แล้วสุดท้ายเราก็จะมีปัญหากัน”

“ซันขอโทษนะครับ ต่อไปนี้ซันจะบอกเมฆทุกอย่าง จะไม่คิดมากอยู่คนเดียวอีกแล้ว เมฆให้โอกาสซันได้แก้ตัวอีกครั้งนะ”

ผมค่อยๆดันตัวเองออกช้าๆ “เมฆบอกแล้วไงว่าเมฆไม่เคยต้องยกโทษอะไรให้ซัน เพราะเมฆรู้ว่าซันรักเมฆมากขนาดไหนและสิ่งที่มันเกิดขึ้นระหว่างเรานั้นมันก็มาจากการที่ซันรักเมฆมากนั่นแหละครับ”

“นี่ซันไปทำอะไรมาในชาติที่แล้วนะ ถึงได้คนอย่างเมฆมาเป็นแฟนแบบนี้” ไอ้ซันยิ้มกว้างแล้วจูบลงบนแก้มของผมเบาๆ จากนั้นก็ไล่ต่ำลงเรื่อยๆไปยังซอกคอของผมจนผมต้องค่อยๆดันตัวของมันออก

“เดี๋ยวก่อน ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับ ซัน” ผมห้าม

“ทำไมล่ะ” ซันมองผมด้วยสายตาอ้อนวอน

“มีของสิ่งหนึ่งที่ซันต้องเอาคืนไปก่อน” ผมผละออกจากตัวของมันและเดินไปเปิดกระเป๋าของตัวเอง ผมล้วงมือลงไปหยิบกล่องเล็กๆออกมาสองกล่อง ผมหันกลับมาหาไอ้ซันและเปิดฝากล่องใส่แหวนทั้งคู่ออก “คราวนี้จะไม่มีวันที่มันจะกลับลงไปสู่กล่องเล็กๆแบบนี้อีกแล้ว ใช่มั๊ยครับ........”

ซันมองหน้าผมสลับกับแหวนที่อยู่ในมือของผม จากนั้นมันก็เอื้อมมือมาหยิบแหวนของผมไปถือเอาไว้ ผมที่รู้ดีว่าต้องทำยังไงวางกล่องแหวนทั้งสองกล่องลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ยื่นมือซ้ายให้แก่มัน

“หลังจากนี้ไปไม่ว่าจะนานแค่ไหน ซันก็จะรักเมฆคนเดียวตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลงครับ” ไอ้ซันพูดพร้อมกับค่อยๆสอดแหวนกลับเข้าสู่นิ้วนางของผม “และจะไม่มีวันหนีหายไปไหนอีกแล้วด้วย........ ท้องฟ้าจะขอฝ่าฟันทุกอย่างไปพร้อมกับก้อนเมฆ และจะไม่ทิ้งให้ก้อนเมฆต้องเศร้าสร้อยอยู่ตามลำพังอีกต่อไป”

ผมคว้ามือซ้ายของมันขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ จากนั้นก็ค่อยๆสอดแหวนข้าสู่นิ้วนางของมันช้าๆเช่นเดียวกับที่มันเพิ่งทำให้ผม “และหลังจากนี้ไปไม่ว่าจะนานแค่ไหน แหวนวงนี้ก็จะอยู่ที่นิ้วนางข้างนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยน เช่นเดียวกันกับความรักของก้อนเมฆที่มีต่อท้องฟ้าตลอดกาลไม่มีวันจาง........” ผมยกมือของมันขึ้นมาจูบลงแบนแหวนเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับมัน “ต่อแต่นี้ไป เราจะฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกันพร้อมกับความรักที่มีให้แก่กันมากกว่าเดิม จริงมั๊ยครับ”

“ไม่มีอะไรจะแยกเราสองออกจากกันได้อีกแล้วครับ ไม่มีทาง.........” ไอ้ซันกอดผม จากนั้นก็จูบลงไปซอกคอของผมเบาๆ ผมผ่อนลมหายใจออกเบาๆและช้าๆ ปล่อยใจให้รับรู้ถึงความสุขที่กำลังสัมผัสอยู่ในตอนนี้ บอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่านี่คือความจริงไม่ใช่เพียงฝันดีที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ผมค่อยๆใช้มือสัมผัสร่างกายของมันอย่างแผ่วเบาว่านี่คือไอ้ซัน นี่คือตัวมันจริงๆ มันกำลังกอดผมอยู่และผมก็กำลังกอดมันอยู่จริง............

“มันเป็นเหมือนกับความฝันจริงๆนะ........” ผมพึมพำออกมาเบาๆ

“เชื่อเถอะครับ ว่านี่คือความจริง” ซันพูดพร้อมกับมองลึกไปในดวงตาของผม ดวงตาคู่นั้นกำลังทำให้ผมรู้สึกราวกับกำลังจะละลาย มันจูบลงที่ริมฝีปากของผมอีกครั้งอย่างโหยหาและดูดดื่ม และหลังจากนั้นเราสองคนก็ได้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งท่ามกลางแสงเทียนและเสียงเพลงที่บรรเลงคลอไปพร้อมๆกับจังหวะร่วมรักที่เชื่องช้าแต่เต็มไปด้วยความรักของเราสอง...................


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 23-09-2008 22:25:01
อ่านตอนนี้จบแล้ว มีความสุขจังเลย ขอบคุณน้องต้นมากจ้า ที่ทำให้คืนนี้พี่นอนหลับฝันดีแน่ๆ
มาต่อเร็วๆ นะจ๊ะ
 :oni1: :oni1: :oni1: :oni2: :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 23-09-2008 22:32:26
 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:

Thank you krub.

Thank you kurb.

 :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 23-09-2008 22:45:26
 :กอด1:


Happy Happy


 :o8: :o8: :o8:


อยากไปแจมบนเตียงด้วยจัง
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 23-09-2008 23:17:26
^__________________^


ไม่ผิดหวังจริงๆ ครับพี่ต้น
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 24-09-2008 02:52:09
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 24-09-2008 03:05:10
แง๊......ยังไม่มีเวลาอ่านเลยง่ะ
แปะไว้ก่อน แวะเข้ามาเป็นกำลังใจให้น้องต้น กับ เมฆและซัน :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 24-09-2008 08:20:14
อ่านถึงตรงนี้แล้วมีความสุข

กลับมาแล้ว.... ท้องฟ้า เคียงคู่ ก้อนเมฆ อีกครั้ง

ขอบคุณคนแต่ง น่ารักที่ซู้ดดดดดดด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 24-09-2008 08:55:25
มาอ่านแล้ว

อ่านจนจบเลย


ซึ้งอ่าาาาาาาาา



T__________T

น้ำตาซึมเลย

แต่ว่าเรื่องยังไม่จบใช่มั้ยครับ

รออ่านต่อนะครับพี่ต้น

ร้ากคนแต่งสุดๆ คร้าบ

อ้าว ไม่อ่านหนังสือสอบแล้วเหรอคับ 5555  :oni3:

และตอบคำถามของอีกหลายๆคนนะคับ เรื่องนี้ยังมิจบนะคับ จริงๆใจอยากมาต่อให้จนจบเลย แต่ขอเว้นอีกนิสนึงแล้วกันด้วยตวามจำเป็นจริงๆ ขอโทษด้วยนะครับ  :pig4:



สอบเส็ดตั้งแต่วันจันทร์แล้วพี่ต้น

ผมเปนเด็กดี ไม่แวบมาก่อนสอบเส็ดหรอกน่า

5555+


เชื่อมะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 24-09-2008 09:02:13
^
^

ไม่เชื่อ (ฮา)


ว่าแต่นี่เลยวันจันทร์แล้วเหรอเนี่ย เอิ๊กกก ลืมวันลืมเวลาเลยกรู
งานราชงานหลวงสุมหัวปุ๊ส่านบ่าน 5555

ปล. นังพี่ปลิ้น ใครเป็นเมียเมิงง แสดดด เป็น "เมียน้อย" ก้อพูดให้มันเต็มๆชัดๆ 5555

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 24-09-2008 09:42:49
^
^

ไม่เชื่อ (ฮา)


ว่าแต่นี่เลยวันจันทร์แล้วเหรอเนี่ย เอิ๊กกก ลืมวันลืมเวลาเลยกรู
งานราชงานหลวงสุมหัวปุ๊ส่านบ่าน 5555

ปล. นังพี่ปลิ้น ใครเป็นเมียเมิงง แสดดด เป็น "เมียน้อย" ก้อพูดให้มันเต็มๆชัดๆ 5555



เลยมา 2 วันละพี่ต้น

ว่าแต่ ไปทำไรมาถึงลืมวันลืมคืนได้หว่า

หุๆๆ

ไม่อยากเดาแฮะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 28-09-2008 09:34:08
มารอ ยังไม่มาต่อตอนจบ

มาช่วยดัน เพราะตกไปอยู่หน้าสองแล้ว

มาต่อเร็วๆน๊ะ :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 28-09-2008 10:01:30
 :o11: :o11: :o11:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 28-09-2008 12:58:46
 :m32: :m32: :m32: :m32: :m32: :m32: :m32: :m32:

 :a12: :a12: :a12: :a12: :a12: :a12: :a12: :a12: :a12:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 28-09-2008 18:16:19
โทดทีนะคับ เปื่อยง่ะ รอสักพักนะ T__T

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 28-09-2008 22:39:17
จะรอนะคร้าบ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 28-09-2008 23:40:28
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 29-09-2008 11:40:33
 :m29: :m29: :m29: :m29: :m29:

Thank you for your message.

I hope you will get well soon.

 :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 29-09-2008 19:31:21
 :m1: :m1:
อ่านตอนนี้แล้วมีความสุขจังเลย

หายเร็วๆน้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 30-09-2008 22:04:55
มาช่วยดันคร้าบ


หายเร็วๆ น้าพี่ต้น ^_____________^
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: TaDa ที่ 30-09-2008 22:21:21


รอครับ รอ รอเวลาที่เข็มเริ่มเดิมอีกรอบ  :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 01-10-2008 01:33:21
 :m13:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 02-10-2008 18:24:45
มาช่วยลากกระทู้่ขึ้นครับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 02-10-2008 21:58:35
หายป่วยไวๆนะคะ

เอาดอกไม้มาเยี่ยมคนป่วย :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 02-10-2008 22:11:38
 :L2: :L2:น้องต้นหายป่วยไวไวนะคะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 03-10-2008 00:49:19
 :m15:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Black Angel ที่ 03-10-2008 05:44:43
 :m22: :m22: :m22: :m22: :m22:

 :m22: :m22: :m22: :m22: :m22:

 :m22: :m22: :m22: :m22: :m22:

 :m32: :m32: :m32: :m32: :m32:

 :m32: :m32: :m32: :m32: :m32:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 04-10-2008 00:12:06
หาสาถปนิคมาออกแบบบ้านรอ :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: TaDa ที่ 05-10-2008 21:31:58


พี่ต้นคร๊าบบบบบ หายเร็วๆนะครับ

คิดถึง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ท้องฟ้ากะก้อนเมฆแย้ว
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 05-10-2008 22:12:00
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 07-10-2008 18:50:21
ยังไม่หายเลยครับ เซ็งจัง
แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน

 :m13:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 07-10-2008 19:04:09
ยังไม่หายเลยครับ เซ็งจัง
แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน

 :m13:







ห่วงอีกคนมากกว่า . . .

สำหรับแก . . . อยากกินซิสเลอร์ว่ะ

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 07-10-2008 21:54:42
 :o :o :o :o :o
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: pae_tekung ที่ 08-10-2008 16:31:53

 :m1:

ยังไม่กล้าอ่านเลย เหอๆๆๆ -_-"
ตอนแรกคิดว่าถ้าจบเศร้า คงขอเวลาทำใจอีกสักแป๊บบบบ (แป๊บอีกนานไหม... ไม่รู้)
แต่ตอนนี้น่าจะไม่เศร้าแล้วมั้ง หรือป่าวหว่า....

เป็นกำลังใจให้นะครับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:25:12
มาแล้วครับ ยาวมากนะขอบอก สี่สิบกว่าหน้าแน่ะ เตรียมตัวเอาไว้เลย
ยกเว้นว่าผมจะกั๊กไว้อีกนิสสสนุงงง เพื่อที่ว่ามันจะได้ไม่ยาวไป และวันจันทร์ไม่ก็อังคารหน้าค่อยเจอกันอีกที
อิอิ

 :t2:

ยังไม่หายเลยครับ เซ็งจัง
แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน

 :m13:







ห่วงอีกคนมากกว่า . . .

สำหรับแก . . . อยากกินซิสเลอร์ว่ะ



วันศุกร์นี้ไปแล้วนะ และคงไม่ได้กลับมาอีกยาวเลยครับพี่ คิดถึงแย่เลย
อ้อ แล้วก้อขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆนะครับ ขอบคุณจริงๆสำหรับทุกอย่าง

ปล. มันน่ะไม่เป็นไรแล้วล่ะ แต่ต้นนี่สิที่ยังนั่งคิดมากอยู่คนเดียวเนี่ย เฮ้อออ

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:26:26
วินาทีที่ยี่สิบเอ็ดสู่ปลายทางสุดท้าย


เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในอ้อมแขนของไอ้ซัน และเมื่อผมปลุกมันให้ตื่นแล้ว มันก็เริ่มที่จะซนอีกครั้งทันที แต่ผมก็บอกให้มันคอยก่อน เพราะว่าวันนี้เรามีเรื่องที่จะต้องทำกันหลายเรื่อง และเราก็มีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะด้วย โดยเฉพาะกับพีที่มีเรียนในตอนบ่าย ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราทั้งสามคนควรจะมานั่งคุยกันอย่างเปิดอก และพีก็จะเป็นคนแรกที่จะได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดอย่างครบถ้วนจากปากของเราทั้งสองคนพร้อมๆกันด้วย

หลังจากข้าวเช้า เราสามคนก็นั่งคุยกันถึงคำถามและสิ่งที่คาใจที่เหลืออยู่ทั้งหมด และเมื่อเราตัดสินใจกันได้แล้ว ผมกับซันก็เห็นตรงกันว่าเราสองคนจะรีบจับเครื่องบินรอบที่เร็วที่สุดเพื่อกลับกรุงเทพ เพื่อที่จะได้ทันเจอกับพวกพ่อและแม่ของซันที่กรุงเทพก่อนที่พวกท่านจะบินกลับอังกฤษกันมาเสียก่อน และที่สำคัญก็คือเพื่อที่จะไม่ทำให้ใครต้องมานั่งเป็นห่วงเราสองคนไปมากกว่านี้อีกแล้วนั่นเอง

หลังจากที่พีออกไปเรียน ผมก็โทรศัพท์กลับไปเล่าเรื่องทั้งหมดว่าผมกับซันกลับมาคืนดีและเข้าใจกันแล้วให้พ่อรวมทั้งไคล์ฟัง พร้อมทั้งบอกทั้งคู่ด้วยว่าเราจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ดังนั้นเราจึงอยากให้ทุกคนรออยู่เจอพวกเราก่อนที่จะบินกลับอังกฤษกันมา

เวลาที่เหลืออยู่ของวันนั้น เราสองคนก็ใช้มันไปกับการตามขอบคุณและบอกลาเพื่อนๆของเราทุกคน พร้อมกับสัญญาว่าเราจะต้องกลับมาเยี่ยมทุกคนอีกแน่นอน จนกระทั่งถึงเวลาที่เราอยู่กันตามลำพังในห้อง เราจึงได้นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่เคยค้างคา เราปรับความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง และเรายังคุยกันถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้หลังจากที่เรากลับประเทศไทยแล้วด้วย โดยที่ไอ้ซันดูจะเป็นกังวลแทนผมมากจนผมต้องยืนยันกับมันว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ และยืนยันกับมันว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยอย่างแน่นอน

“มึงต้องเจอกับอะไรมามากมายจริงๆ เมฆ กูไม่คิดเลยว่ากูจะทำให้มึงต้องลำบากขนาดนั้นแล้วยังทิ้งมึงมาที่นี่อีก”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ซัน เรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่เพราะมึง มึงเองก็รู้”

“แต่ถึงยังไงกูก็เป็นคนผิดที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่ข้างๆมึงได้ในยามที่มึงต้องการ”

“แต่ในตอนนั้น.......... บางทีกูก็อาจจะไม่ได้ต้องการมึงก็ได้นะ” ผมบอกมันตามความจริงที่ผมคิด “ไม่รู้สิ บางทีอาจเป็นเพราะว่าตอนนั้นมันมีอะไรหลายเรื่องมาก และถ้าเราสองคนยังคงเห็นหน้ากันอยู่ ถ้ากูยังคงเห็นมึงอยู่ใกล้ๆ กูก็อาจจะไม่เข้มแข็งได้มากพอที่จะทำอะไรแบบนั้นลงไปได้เลยก็ได้มั๊ง”

“ตอนนั้นกูเองก็มีคิดแบบนั้นเหมือนกัน นอกจากที่ว่ากูจำเป็นต้องห่างมึงเพื่อตัวของมึงเองแล้ว กูยังคิดด้วยว่ามันอาจจะเป็นอะไรที่มึงกำลังต้องการอยู่แล้วด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ใจของกูมันจะไม่ได้อยากทิ้งมึงไปไหนเลยก็ตาม.......”

“แล้วมึงล่ะ สรุปแล้วกูก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้ามึงบอกมึงไม่รู้ว่ากูมาที่นี่ แล้วมึงแต่งเพลงนั้นให้กูได้ยังไง จะเอาไปเล่นให้กูฟังเมื่อไหร่อะไรแบบนั้นน่ะ”

“ไม่หรอก.........” ไอ้ซันมองหน้าผม “ตอนแรกเลยกูไม่ได้คิดจะทำเพื่อให้มึงฟัง หรือแม้แต่ถ่ายรูปและปิดไปทั่วทั้งห้องแบบนั้นเพื่อให้มึงเห็นหรอก แต่กูทำเพราะกูคิดถึงมึง เมฆ........ กูทำเพราะกูเหงา กูเศร้า กูต้องการระบายมันออกมา และแค่หวังว่าจะได้อัดมันเก็บเอาไว้เป็นเพลงที่กูจะได้เอาไว้ฟังเวลาที่คิดถึงมึงเท่านั้นเอง มันก็มีบ้างที่กูหวังว่าสักวันกูจะได้เล่นเพลงนั้นให้มึงฟังเมื่อกูพร้อม เมื่อเราพร้อม......... ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่และยังไง แต่กูคิดจริงๆนะว่าถึงสุดท้ายแล้วมึงจะไม่มาตามหากูถึงที่นี่ สักวันนึง ท้องฟ้าผืนนี้แหละ ที่จะเป็นฝ่ายออกเดินทางหาก้อนเมฆของมันเองบ้าง”

เมื่อมันพูดจบ เราสองคนก็นั่งมองหน้ากันเงียบๆครู่หนึ่ง จากนั้นไอ้ซันก็เอนตัวลงมานอนหนุนตักผม

“เมฆเหนื่อยมั๊ย กับการที่ต้องเป็นฝ่ายเข้มแข็งและรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้แค่คนเดียวแบบนี้ เหนื่อยมั๊ยที่ต้องเป็นคนเดียวที่คอยตามหาและออกเดินทางอยู่ตลอด.........”

ผมลูบแก้มมันเบาๆ “ไม่หรอก ซัน เมฆรักซัน ไม่ว่าซันจะอยู่ไกลแค่ไหน หรือเราจะต้องเผชิญปัญหาหนักหนามากเท่าไร ถ้าเพื่อซัน....... เพื่อคนที่เมฆรักเพียงคนเดียว ความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเมฆ เมฆทำได้เสมอและไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลยด้วย” ผมก้มลงจูบลงบนริมฝีปากมันเบาๆ “และที่สำคัญซันเองก็เพิ่งบอกนี่นาว่าตัวเองก็ตั้งใจจะบินกลับไทยไปหาเมฆเมือนกันน่ะ”

“ใช่ครับ........” ซันพยักหน้า ก่อนจะคว้ามือของผมไปกุมเอาไว้ “ไม่ใช่แค่ก้อนเมฆหรอกนะที่อยู่ไม่ได้โดยปราศจากท้องฟ้าน่ะ แต่ท้องฟ้าเองก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีก้อนเมฆลอยอยู่ข้างกายเหมือนกัน จำเอาไว้เลยนะ” มันจุ๊บลงบนมือของผมเบาๆ “ความเหงาและความเจ็บปวดของท้องฟ้าที่ไร้ก้อนเมฆน่ะ มันหนักหนากว่าที่ใครๆคิดมากนะ”

เราสองคนอยู่เงียบๆกันแบบนั้นอีกครู่ใหญ่ๆ ก่อนที่ผมจะนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ บางอย่างที่ผมยังคงปิดบังมันอยู่เป็นเรื่องสุดท้าย และเป็นสิ่งที่ผมเองก็เกือบจะลืมไปแล้วด้วยเหมือนกัน..........

“ซัน เมฆมีบางอย่างอยากจะสารภาพนะ..........”

“เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องจูบ.........”

“อีกแล้วๆ อย่าบอกนะว่าเป็นไอ้สองคนนั้นอีกน่ะ” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ แต่เมื่อมันเห็นว่าผมไม่ได้มีท่าทางล้อเล่น มันก็เริ่มมีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันที

“เมฆเองก็เพิ่งนึกออกเหมือนกัน บางทีเพราะมันอาจจะเป็นอะไรที่เมฆอยากละลืมๆมันไปซะก็ได้”

“หมายความว่ายังไง”

“ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก แต่ว่าคนที่เมฆจูบไปจริงๆก็คือ......... นัท” ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้ไอ้ซันฟัง ซึ่งมันก็ฟังอย่างตั้งใจและไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ จบกระทั่งผมเล่าจบ ไอ้ซันก็ยังคงเงียบอยู่ เงียบจนผมเริ่มรู้สึกกลัว.........

“ซัน.........” ผมเรียก

“ไม่เป็นไรหรอก ซันแค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ” มันพูดเรียบๆ “แต่ซันเข้าใจนะ เพราะมันก็คงเหมือนๆกับสิ่งที่ซันทำลงไปล่ะมั๊ง และที่สำคัญ.........”

“อะไรครับ” ผมถาม

“ในตอนนี้ซันไม่มีอะไรจะต้องไปหึงคนอย่างนัทอยู่แล้วนี่ จริงมั๊ย”

“ใช่แล้ว” ผมพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่มีอะไรมาเทียบกันได้เลยด้วย”

ผมกับซันบอกลาพีที่สนามบินเป็นครั้งสุดท้าย เขาให้สัญญาว่าจะกลับไปเยี่ยมพวกเราทุกคนอีกครั้งเร็วๆนี้แน่นอน ตลอดการเดินทางบนท้องฟ้าอันยาวนานของเรา เราทั้งคู่ต่างก็นอนหลับเอาแรงกันซะเป็นส่วนมาก แต่ว่าผมก็สังเกตเห็นและรู้สึกถึงบางอย่างในตัวของไอ้ซันที่ดูแปลกไปเล็กน้อย แต่เมื่อผมถามมันมันก็เอาแต่ส่ายหน้าแล้วก็บอกปฏิเสธ ผมจึงตัดสินใจปล่อยไปและไม่เซ้าซี้อะไรมันอีก จนกระทั่งเมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิในตอนบ่ายแก่ๆและเรานั่งอยู่บนแท็กซี่เพื่อตรงกลับไปที่บ้านแล้วนั่นแหละ ผมจึงยิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของมันได้อย่างชัดเจนมากขึ้นไปอีก มันดูกระสับกระส่ายและเป็นกังวลมากจนผมต้องถามมันออกไปอีกครั้ง

“เป็นอะไรไป ซัน”

“ไม่รู้สิ..........” ไอ้ซันมองหน้าผม “กูรู้สึกเครียดๆว่ะ”

“เครียดอะไร มึงยังคิดมากเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”

“เปล่าหรอก คือ กู........ ไม่รู้สิ กูกังวลมั๊ง กูรู้สึกผิดน่ะ กูรู้สึกผิดต่อมึง แต่ไม่ใช่แค่นั้น กูยังทำผิดต่อพ่อของมึงมากด้วย กูว่ากูไม่กล้าเจอหน้าพ่อมึงเท่าไหร่เลยว่ะ เมฆ”

“มึงคิดมากไปแล้ว ซัน พ่อกูเค้าไม่ใช่คนอย่างนั้น มึงเองก็น่าจะรู้ดีนี่”

“กูรู้ แต่กูก็กลัวนี่ กูทำร้ายลูกชายเค้า และทั้งๆที่กูเป็นผู้อาศัย แต่กูก็ยังทำตัวแบบนั้นลงไปอีก กูรู้สึกแย่ว่ะ”

“กูเข้าใจมึง แต่ว่ากูก็คงพูดอะไรไม่ได้หรอกนะเพราะกูไม่ใช่พ่อกู กูคงจะฟันธงอะไรไม่ได้ แต่กูบอกได้แค่ว่า มึงเองก็เป็นลูกชายคนนึงของพ่อเอกเหมือนกัน เหมือนกับที่กูเป็นลูกของพ่อสันต์กับแม่กุ้งนั่นแหละ เข้าใจมั๊ย ทีหลังมึงห้ามคิดว่าตัวเองเป็นยังคงเป็นคนอื่นของครอบครัวกูอีกเด็ดขาด จำไว้ด้วย” ผมเหลือบเห็นคนขับแท็กซี่มองเราสองคนผ่านกระจกหลังด้วยสายตาแปลกๆ แต่ผมก็ไม่สนใจ “คอยดูก็แล้วกันว่าพ่อกูเค้าจะว่ายังไง แต่กูกล้าพูดได้เลยว่าพ่อกูเค้าคงไม่หยิบปืนมาไล่ยิงมึงเหมือนบรรดาพ่อๆในละครช่องเจ็ดหรอก”

เมื่อแท็กซี่มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของเราแล้ว ผมกับซันก็เดินเข้าบ้านไปพร้อมๆกัน พ่อเอกที่นั่งรออยู่บนโซฟาและเห็นเราเดินเข้ามาในบ้านก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหาเราทั้งสองคนทันที ผมเหลือบไปมองหน้าของไอ้ซันแว่บหนึ่งและเห็นว่าภายใต้สีหน้านิ่งเฉยของมันนั้นซ่อนความกังวลเอาไว้อยู่ภายในอย่างชัดเจนทีเดียว มันอาจจะตบตาใครหลายๆคนรวมทั้งพ่อหรือแม่มันได้ แต่มันไม่มีทางตบตาผมได้เด็ดขาด และผมก็ไม่คิดว่ามันจะตบตาพ่อเอก คนที่เลี้ยงดูและปลูกฝั่งสิ่งที่ผมเป็นมาตลอดยี่สิบกว่าปีได้ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อพ่อเอกเดินตรงเข้ามาหาเราสองคน สิ่งแรกที่พ่อทำก็คือดึงตัวของไอ้ซันเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ลูกซัน”

ผมยืนมองไอ้ซันทำตัวไม่ถูกด้วยความรู้สึกขำๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะรู้สึกตัวและยกมือขึ้นกราบลงบนอกของพ่อเอก

“ผมขอโทษนะครับ พ่อ”

“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องขอโทษนี่ และไม่มีอะไรที่พ่อจำเป็นต้องให้อภัยด้วย” พ่อพูดพร้อมกับตบบ่าของไอ้ซันเบาๆสองสามที

ไอ้ซันเหลือบมาสบตากับผม และผมก็ยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปให้กับมัน

“เราเองก็ดูโทรมลงไปเหมือนกันนะ เอาล่ะ กลับมาแล้วคราวนี้ก็พักผ่อนให้มากๆด้วยล่ะ ส่วนตอนนี้พ่อว่าเราสองคนเอาของเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บในห้องกันก่อนไป”

ผมกับซันรับคำพร้อมๆกันก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป และเมื่อเราขึ้นไปจนถึงเกือบชั้นสองแล้ว เราทั้งคู่ต่างก็ต้องชะงักฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงของพ่อตะโกนดังขึ้นมา

“อ้อ ซัน พอเก็บของเสร็จแล้วลงมาคุยกับพ่อหน่อยนะ”

ไอ้ซันหันมามองหน้าผมด้วยแววตาขอความช่วยเหลือทันที ทำให้ผมอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

“มึงอย่าขำดิ่ว่ะ เมฆ กูกลัวจริงๆนะเว้ย” ไอ้ซันพูดหลังจากผมปิดล็อคประตูห้องแล้ว

“มึงยังจะกลัวเหี้ยอะไรอีก เมื่อกี๊ก็ได้ยินที่พ่อพูดแล้วนี่ พ่อกูเค้าไม่ว่าอะไรมึงหรอกน่า”

“มันก็ใช่ แต่ว่ากูไม่รู้ว่ากูควรจะพูดอะไรออกไปมั่งนี่หว่า”

“พูดเรื่องทั้งหมดที่มึงอยากจะพูดนั่นแหละ ซัน พ่อเอกคือพ่อกูนะ พ่อเค้าเป็นคนสอนและเลี้ยงดูกูมา กูเชื่อว่าพ่อจะต้องเข้าใจ”

“เรื่องนั้นน่ะกูไม่แปลกใจเลยจริงๆ”

“เรื่องไหนวะ” ผมสงสัย

“ก็เรื่องที่มึงกับพ่อเอกเป็นพ่อลูกกันไง พ่อมึง......... ไม่สิ ต้องพูดว่ามึงนั่นแหละที่มีอะไรคล้ายพ่อมึงหลายอย่างมากจริงๆ มากจนถ้าพ่อมึงเด็กลงกว่านี้สักยี่สิบสามสิบปีนะ กูต้องนึกว่ามึงสองคนไปฝาแฝดไม่ก็เป็นพี่น้องกันแน่ๆเลยว่ะ”

“แล้ว..........” ผมเดินตรงเข้าไปกอดเอวมันหลวมๆ “ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นจริง มึงจะยังคงรักกูอยู่มั๊ยวะ หรือว่าจะเปลี่ยนใจไปเลือกพี่ชายกูคนนั้นแทน”

ไอ้ซันยิ้มแล้วชะโงกหน้าเอาปลายจมูกของมันมาชนกับยอดจมูกของผมเบาๆ

“ไม่มีวัน” เราสองคนจูบกันเบาๆ ก่อนที่ไอ้ซันจะเป็นฝ่ายผละออกจากผม “เอาล่ะ ก่อนที่มันจะเกินไปยิ่งกว่านี้ กูขอลงไปคุยกับพ่อเล็กก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพ่อเค้าจะรอนาน”

“อืม ก็ดี แล้วมึงคุยอะไรกันอย่าลืมบอกกูด้วยล่ะ”

“แต่ว่าก่อนหน้านั้น มึงอย่าลืมล่ะ อย่างที่เราคุยกันเอาไว้ตอนอยู่บนเครื่องน่ะ”

“ได้ เดี๋ยวกูจัดการเอง มึงไปเถอะ”

ไอ้ซันชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผมเบาๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมจึงหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์หาไคล์และรายงานให้เขาที่อยู่ที่มหาลัยรู้ว่าเราสองคนกลับมาถึงบ้านแล้วเป็นคนแรก จากนั้นก็โทรไปคุยกับไอ้เอ็น อีฟ และพี่แอมป์ตามลำดับ โดยเฉพาะตอนที่คุยกับเอ็น มันก็ทำให้ผมได้รับข้อมูลใหม่ที่น่าตกใจมากเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งด้วย และหลังจากนั้นผมก็คุยโทรศัพท์กับคนอื่นอีกนานจนกระทั่งเผลอลืมเวลาไป และมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อไอ้ซันเดินเข้าห้องมาทั้งๆที่ผมก็ยังคงกำลังคุยกับพี่แอมป์อยู่นั่นแล้ว

“ครับ ก็อย่างนั้นแหละครับพี่ ขอบคุณมากนะครับพี่ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้วุ่นวาย........ อ้าว ไอ้ซันเข้าห้องมาแล้ว  ถ้ายังไงไว้เดี๋ยวเราคุยกันใหม่นะครับ อย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับ ไว้เจอกันครับพี่ ครับ ขอบคุณมากครับ บายครับ” ผมวางสายพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซัน “เรียบร้อยแล้วหมดทุกคน เป็นอย่างที่เราคิดกันไว้จริงๆ”

“งั้นเหรอ” ไอ้ซันเดินมานั่งลงบนเตียง

“แล้วตกลงพ่อคุยอะไรกับมึงมั่งล่ะ”

ไอ้ซันมองหน้าผมแล้วยิ้ม ซึ่งก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี “ไม่บอกหรอก บอกไม่ได้ว่ะ ความลับของกูกับพ่อมึงสองคนเท่านั้น”

“เอ๊า อะไรวะ”

“ไม่อ๊งไม่เอ๊าหรอก แต่ว่ามีอยู่อย่างนึงที่เป็นเรื่องสำคัญที่พ่อเค้าเพิ่งบอกกูมา และเราจะต้องไปคุยรายละเอียดกันอีกทีทีหลัง” ไอ้ซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เรื่องอะไรวะ”

“เรื่องที่บ้านมึงโดนโจรขึ้นบ้านตอนนั้นน่ะ”

“เออ ใช่ๆๆ เมื่อกี๊กูก็เพิ่งรู้รายละเอียดมาจากไอ้เอ็นเหมือนกัน”

“อ้าวเหรอ เออ งั้นก็ดีเลย เพราะงั้นกูว่าตอนนี้เรารีบไปอาบน้ำกันดีกว่าว่ะ เพราะเดี๋ยวคืนนี้เราจะต้องออกไปกินข้าวกัน”

“กับใครมั่ง พ่อพ่อเอกน่ะเหรอ”

“ใช่ แล้วก็กับไคล์ พ่อสันต์ แม่กุ้ง ป้าแอ๊นท์ แล้วก็ลุงคาร์ลอสด้วย คืนนี้พ่อแม่ทั้งสามครอบครัวจะได้นั่งกันพร้อมหน้าเป็นครั้งแรก และเราก็มีเรื่องต้องคุยกับพวกเค้าทุกคนเยอะเลยด้วย เพราะงั้น รีบไปเตรียมตัวได้แล้ว”

“เฮ้ย แต่เมื่อกี๊กูเองก็เพิ่งวางจากไคล์เองนะ ไม่เห็นเค้าได้พูดอะไรเลย”

“ใช่ เมื่อกี๊เอง” ไอ้ซันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “เมื่อหนึ่งชั่วโมงกับห้าสิบนาทีที่แล้วน่ะนะ”

“ชิบหาย นี่กูคุยโทรศัพท์นานขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ใช่”

“แล้วมึงกับพ่อก็คุยกันนานขนาดนั้นเลยด้วย” ผมถาม

“ใช่ แต่กูก็คุยกันเรื่องร้านอาหารคืนนี้แล้วก็โทรไปหาพ่อกับแม่แล้วก็ไคล์เพื่อนัดเวลากันด้วยไง เอาล่ะ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ เรามีเวลาอีกแค่ชั่วโมงครึ่งก่อนจะออกจากบ้านนะ ไปเร็ว” ไอ้ซันจูงข้อมือผมเดินเข้าห้องน้ำไปกับมัน และก็ไม่ต้องบอกเลยว่าการที่ผมกับมันอาบน้ำด้วยกันอย่างนี้นั้นมันจะทำให้ประหยัดเวลามากขึ้นหรือทำให้เรายิ่งช้าลงกันแน่

กว่าเราสองคนจะแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อย พ่อเอกก็นั่งรอเราอยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว ไอ้ซันเป็นฝ่ายอาสารับหน้าที่ขับรถโดยมีพ่อเอกนั่งที่เบาะหน้า ส่วนผมก็นั่งอยู่เบาะหลัง และดูท่าทางว่าไอ้ซันจะสบายใจขึ้นมากแล้วจริงๆ แต่คราวนี้ก็เป็นคราวที่ผมจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มรู้สึกกังวลมั่งแล้ว เพราะว่าอีกไม่กี่นาทีถัดจากนี้ผมก็จะต้องเป็นฝ่ายเผชิญหน้าทั้งกับพ่อสันต์และแม่กุ้งเองแล้วด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่เราแวะรับไคล์ที่มหาลัยเสร็จ เราก็มุ่งตรงไปยังร้านอาหารแถวเกษตรนวมิทร์ทันที เมื่อไปถึงที่ร้านอาหารและจอดรถเรียบร้อยแล้ว ความกังวลของผมมันก็คงจะฉายแววออกมาได้อย่างชัดเจนทีเดียว ไอ้ซันที่เห็นสีหน้าและแววตาของผมจึงเดินตรงเข้ามากุมมือของผมเอาไว้

“ไง เป็นฝ่ายกลัวซะเองแล้วรึไง”

“อะไร ใครบอกว่ากูกลัว”

“อย่าทำปากแข็งหน่อยเลย มึงน่ะไม่ใช่กูนะ ไม่ต้องทนฝืนเก็บความรู้สึกหรอก เพราะกูเองก็รักมึงที่มึงเป็นแบบนี้มากกว่าน่ะ” ไอ้ซันหอมแก้มผมไวๆกลางลานจอดรถ ทำให้ไคล์ต้องกระทุ้งสีข้างไอ้ซันแรงๆเป็นการเตือน มันจึงปล่อยมือผมออกในจังหวะเดียวกับที่แขกคนอื่นเดินผ่านพวกเราไปพอดี

“กูไม่ได้กลัวหรอก แต่แค่รู้สึกเกรงใจพ่อแม่มึงน่ะ ไม่รู้สิ กูก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ะ”

“เห็นมั๊ย ก็เหมือนกับกูนั่นแหละ แต่วางใจเถอะ พ่อแม่กูน่ะ รักมึงมากกว่ารักกูอีก เดี๋ยวไม่เชื่อมึงคอยดู”

เราสี่คนเดินตรงเข้าไปในร้านอาหาร และหลังจากที่เรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานพ่อกับแม่ของซันและไคล์ก็มาถึง และก็เป็นอย่างที่ไอ้ซันพูดจริงๆ ทันทีที่แม่ของซันรวมทั้งป้าแอ๊นท์เดินมาถึง พวกท่านก็ตรงเข้ามากอดและหอมแก้มผมทันที ส่วนไอ้ซันก็โดนทั้งคู่เอ็ดเข้าให้ชุดใหญ่ แต่ก็เป็นการดุแบบไม่จริงจังมากกว่า เพราะผมรู้ดีเลยว่าทุกคนในตอนนี้ต่างก็กำลังมีความสุขกับการได้มาเจอกันพร้อมหน้าแบบนี้มากแค่ไหน โดยเฉพาะพ่อแม่ของไอ้ซันและตัวไคล์เองที่ได้ลูกชายและพี่ชายของตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างนี้อีกครั้ง

มื้ออาหารผ่านไปพร้อมกับบทสนทนาที่ราบรื่น พ่อแม่ของผมกับซันนั้นเคยเจอกันมาก่อนแล้วหลายครั้ง แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีพ่อและแม่ของไคล์อยู่ด้วย บรรยากาศจึงค่อนข้างจะต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยสีสันโดยเฉพาะป้าแอ๊นท์แม่ของไคล์ที่ยังคงเป็นคนที่คงความอารมณ์ดีเอาไว้ได้อยู่ตลอดเวลาเหมือนเดิมจริงๆ

แต่เมื่อมาถึงช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้เราทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปในทันที ซันบอกกับผมเอาไว้แล้วว่ามันจะขอเป็นฝ่ายเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่แรกให้ทุกคนฟังเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจุดประสงค์หลักของเราสองคนก็คือการพูดคำว่า “ขอโทษ” มากกว่าอย่างอื่น แต่ทว่าเมื่อมาถึงคราวของผมที่ต้องพูดถึงเรื่องของพี่จ๊อบ ซึ่งถึงแม้ว่าผมจะพยายามตัดรายละเอียดที่อาจจะมากจนเกินไปออกแล้วก็ตาม ทุกคนที่โต๊ะอาหารต่างก็ยังคงมีปฏิกิริยาต่างๆกันไปแบบที่แทบจะไม่แตกต่างจากที่ผมคาดเอาไว้แต่แรกสักเท่าไหร่ อย่างเช่นพ่อสันต์ที่อาจจะดูนิ่งกว่าใครเพื่อนเช่นเดียวกับพ่อเอก แต่ก็ยังแสดงออกด้วยคำพูดอย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจกับเรื่องนี้มากแค่ไหน แม่กุ้งก็จะออกแนววิตกกังวลถึงความปลอดภัยของเราสองคนในอนาคตมาก ส่วนป้าแอ๊นท์ก็ค่อนข้างที่จะโวยวาย แสดงความไม่พอใจ และต้องการที่จะให้ผมเอาเรื่องพี่จ๊อบให้ถึงที่สุด จะมีก็ไคล์แค่เพียงคนเดียวที่ดูเงียบกว่าคนอื่นทั้งหมด จนกระทั่งเขาขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมจึงถือโอกาสลุกเดินตามเขาไปด้วย

“ไคล์ มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าครับ” ผมถามเขาเมื่อเราอยู่ในห้องน้ำ

เขานิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ศิลา ผมดีใจนะครับ ที่ทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว”

“แต่.......”

“แต่ว่าผมก็เสียใจด้วยเหมือนกัน ที่ทั้งศิลาและซันทำเหมือนกับผมเป็นคนอื่นแบบนี้ ทั้งๆที่เราก็ผ่านอะไรมาด้วยกันมาก แต่ทั้งคู่กลับไม่ไว้ใจผม ไม่เคยบอกอะไรผมเลย ทั้งๆที่เราอยู่บ้านหลังเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วแบบนั้น ศิลารู้มั๊ยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมและคนอื่นๆเป็นห่วงทั้งคู่มากแค่ไหน และยิ่งพอรู้ว่าทั้งคู่ต้องเจออะไรแบบนั้นมาด้วยแล้ว มันก็ยิ่ง.........” ไคล์หยุดไปเหมือนหาคำพูดมาพูดไม่ได้

“ยิ่งน่าตกใจ” ผมพูดต่อ “พี่เข้าใจ และพี่ก็ขอโทษจริงๆนะ ไคล์ พี่เข้าใจว่าเราโกรธ พี่เข้าใจว่าการถูกโกหกปิดบังมันเป็นยังไง เพราะต้นเหตุหนึ่งของปัญหาในคราวนี้มันก็เกิดจากที่ไอ้ซันปิดบังพี่ก่อนเหมือนกัน แต่ว่าเหตุผลของพี่ก็คือพี่ไม่อยากให้ไคล์ต้องเดือดร้อนไปกับพวกเราด้วย พี่รู้ว่าสิ่งที่พี่เจอมามันอันตราย ดูขนาดตอนที่ไคล์ต้องเจ็บตัวเมื่อตอนโจรขึ้นบ้านเราเมื่อตอนนั้นสิ แค่นั้นพี่ก็แทบหัวใจสลายแล้ว และถ้าเกิดว่าไคล์ต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้แบบเต็มๆแล้วได้รับอันตรายยิ่งไปกว่านั้นล่ะ ถ้าเกิดไคล์กลายเป็นเป้าหมายที่พวกนั้นจ้องเล่นงานจนต้องเจ็บตัวไปมากยิ่งกว่านั้น พี่คงจะต้องเสียใจและไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลยจริงๆ....... ไคล์ยกโทษให้พี่กับซันนะครับ ได้มั๊ย”

ไคล์พยักหน้า “ครับ ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ แต่ถึงยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผมรักพวกพี่นะครับ ผมอยากให้ทั้งสองคนมีความสุข และอยากให้เรามีกันและกันแบบนี้ตลอดไป”

“พี่สัญญาครับ จะไม่มีอะไรมาทำลายความสัมพันธ์และสายใยที่เราสี่คนมีให้แก่กันได้แน่นอน พี่สัญญา..........”


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:27:31
วินาทีที่ยี่สิบสองสู่ปลายทางสุดท้าย


ซัน


เช้าวันต่อมา หลังจากพ่อเล็กออกจากบ้านเพื่อไปทำธุระที่ที่ทำงานของตัวเองแล้ว ผมกับเมฆก็นั่งดูทีวีกันอยู่เงียบๆตามลำพัง แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครให้ความสนใจกับรายการทีวีที่เปิดอยู่เลยสักนิดเดียว ผมเปิดทีวีมาหยุดอยู่ที่รายงานข่าวช่วงเช้าค้างเอาไว้ แต่ก็หันมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์กีฬาแทน ส่วนไอ้เมฆก็กำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายแปลที่มันอ่านค้างเอาไว้อยู่ข้างๆ ผมรู้ดีว่าเช้าวันนี้เราทั้งสองคนต่างก็เต็มไปด้วยความคิดจนไม่อยากจะรับฟังหรือรับรู้อะไรอีกสักเท่าไหร่ เสียงของพิธีกรรายการชายและหญิงในทีวีนั้นก็มีเอาไว้เพียงเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดลงเท่านั้นเอง

ผมหันไปมองหน้าของเมฆแล้วก็อดรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดไม่ได้ ผมทำร้ายมันมามาก ผมรู้ดีว่ามันนั้นเข้มแข็ง แต่ผมเองก็รู้ดีด้วยเช่นกันว่ามันไม่ได้เข้มแข็งแบบนั้นได้ตลอดเวลา มันต้องทนเก็บและทนฝืนอะไรต่างๆมากมายเพื่อผม เพื่อคนที่ไม่ได้เรื่องอะไรเลยคนนี้ และในวันนี้ที่ผมได้มานั่งมองใบหน้าของมันแบบนี้แล้ว มันทำให้ผมได้เห็นเลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มที่อบอุ่นนั้น ล้วนเปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็งและกำลังใจที่เอ่อล้นออกมาจากภายในอย่างไม่มีวันหมดสิ้น ผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าถ้าหากผมไม่มีมันอยู่ข้างกาย หรือว่าคนที่อยู่ข้างกายของผมไม่ใช่มันคนนี้นั้น ชีวิตของผมมันจะเดินไปในทิศทางไหนกัน..........

ผมวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วตะแคงตัวลงไปนอนลงบนตักของมัน ไอ้เมฆมองผมด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร มันวางหนังสือที่ตัวเองอ่านอยู่ลงบนโต๊ะรับแขก จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ

“เมฆ....... ซันขอโทษนะ” ผมคว้ามือของมันมากุมเอาไว้

“อะไรกัน เรื่องอะไรอีก”

“สำหรับทุกๆเรื่อง....... ขอโทษที่ซันไม่เข้มแข็งมากพอ ขอโทษที่ไม่เชื่อใจเมฆ และขอโทษที่ซันไม่เชื่อใจตัวเองเหมือนอย่างที่เมฆเชื่อ”

“เราพูดเรื่องนี้กันมาหลายหนแล้วน่า ซัน ช่างมันเถอะครับ เลิกโทษตัวเองสักที ถ้าขืนมึงยังพูดคำว่าขอโทษอีกล่ะก็คราวนี้กูจะโกรธจริงแล้วนะ”

“ถ้างั้นก็ขอบคุณ.........”

“หืมม ขอบคุณเรื่องอะไร” ไอ้เมฆเลิกคิ้ว

“ไม่รู้สิ เอาเป็นว่ากูขอบคุณมึงก็แล้วกัน นะ ไอ้ตัวดี”

ไอ้เมฆยิ้มกว้าง และนั่น...... นั่นเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วจริงๆ รอยยิ้มที่ทำให้ผมต้องตกหลุมรักมัน รอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบสว่างสดใสขึ้นมา มันคือรอยยิ้มแห่งความสุขของคนที่ผมรักที่สุดในโลกใบนี้ ก้อนเมฆของผมกลับมาเป็นก้อนเมฆที่สว่างสดใสและสวยงามดังเดิมแล้ว

“เดี๋ยวพูดเพราะ เดี๋ยวพูดหยาบ มึงจะเอาไงแน่ ไอ้แสบบบ” ไอ้เมฆบีบจมูกผมแล้วเขย่าเบาๆ

“โอ๊ยยๆๆ เดี๋ยวก็จมูกเบี้ยวเสียหล่อกันพอดี” ผมสะบัดหน้า “ก็มึงเป็นฝ่ายพูดมึงกูก่อนนี่”

“มันคงไม่เสียไปมากกว่านี้แล้วล่ะ ไอ้หน้าหล่อเอ๊ยยย” ไอ้เมฆปล่อยมือแล้วก้มลงจูบลงบนปลายจมูกผมเบาๆ

“ซันรักเมฆนะครับ”

“เมฆก็รักซันครับ”

เราสองคนอยู่ท่านั้นเงียบๆกันอีกพักใหญ่ๆ ผมปล่อยให้ไอ้เมฆลูบหัวผมเล่นไปเรื่อยๆ ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาเล่นหัวผมสักเท่าไหร่นักหรอก จะมีก็แต่มันเพียงคนเดียวนี่แหละที่ผมยอม และไม่ใช่แค่ยอม ผมต้องยอมรับเลยด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกดีมากเวลาที่มันมาลูบหัวผมเล่นแบบนี้

“ไปเตรียมตัวได้แล้วมั๊งซัน เดี๋ยวซันต้องเข้าบริษัทพร้อมกับพ่อสันต์อีกนี่”

“ใกล้ได้เวลาต้องไปแล้วเหรอ กำลังเพลินเลย”

“ไม่ต้องมาทำเพลินเลย ไป ลุกเร็วเข้า แปดโมงจะครึ่งแล้ว เดี๋ยวก็สายกันพอดี ซันต้องไปรับพ่อที่คอนโดอีกนะ พ่อเค้าอุตส่าห์ไปช่วยคุยเรื่องงานของตัวเองกับลุงกิตไว้ให้แล้ว ตอนนี้ก็ต้องไปสะสางที่เหลือเองมั่งได้แล้วนะ”

“คร้าบๆ รู้แล้วน่า” ผมลุกขึ้นนั่งพร้อมเกาหัวแกรกๆ “ว่าแต่เมฆเถอะ แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ซันไปด้วยน่ะ”

“อืม แถมถ้าซันไปด้วย ซันจะไปตอนไหน เพราะตอนเที่ยงก็นัดพี่แอมป์เอาไว้ และตอนบ่ายก็ต้องไปหาไอ้อีฟอีกนี่”

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริง.........” จังหวะเดียวกับที่ผมกำลังจะอ้าปากพูดอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือของเมฆก็ดังขึ้น มันเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมาดูเบอร์ที่โชว์เข้า และผมก็เห็นมันทำสีหน้าประหลาดใจ

“ทำไมล่ะ” ผมถาม

“ไม่โชว์เบอร์” เมฆหันมือถือมาให้ผมดูหน้าจอว่ามันไม่โชว์เบอร์จริงๆ

“รับสิ จะได้รู้ว่าใคร”

เมฆพยักหน้า จากนั้นก็กดปุ่มรับสาย “สวัสดีครับ”

ผมนั่งรอจนกระทั่งมันถามชื่ออีกฝ่ายแล้ว จึงได้ถามมันออกไปว่าคนที่โทรมาคือใคร แต่มันกลับหันมาบอกให้ผมรีบไปแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ผมที่ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับมันต่อ จึงได้แต่มองมันด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนจะเดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับไปคุยเรื่องลาออกที่บริษัทอย่างเป็นทางการ

ก่อนหน้านี้ผมก็แค่ลาพักงานชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด โดยพ่อของผมเองก็เป็นคนช่วยคุยและเป็นธุระให้ด้วย แต่หลังจากที่เราทุกคนนั่งคุยกันแล้ว ผมกับเมฆและทุกๆคนต่างก็ลงความเห็นว่าผมควรจะลาออกให้เรียบร้อย แล้วค่อยไปสมัครงานใหม่ที่ทำงานเดียวกับเมฆทีหลังจะดีที่สุด

หลังจากผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ไอ้เมฆก็เดินกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน

“ตกลงเมื่อกี๊ใครโทรมา แล้วนี่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยเหรอ จริงๆต้องออกจากบ้านตอนบ่ายๆไม่ใช่เหรอ”

“เปลี่ยนแผนนิดหน่อยน่ะ พอดีเมื่อกี๊พี่กรณ์โทรมา นัดให้เมฆออกไปคุยด้วยตอนสายๆน่ะ”

“กรณ์ไหน” ผมสงสัย

“พี่กรณ์ เพื่อนพี่วินไง”

“อ๋อ ลูกน้องพี่วินที่เมฆเคยเล่าให้ฟังคนนั้นน่ะเหรอ”

“ลูกน้องเหรอ......... อืมม ก็คงจะใช่ด้วยแหละ แต่จะไงก็เหอะ คือเมื่อกี๊พี่กรณ์โทรมาบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับเมฆนิดหน่อยน่ะ เค้าเลยนัดให้ออกไปหา เพราะว่าพี่เค้าจะว่างก็แค่ช่วงเช้าเท่านั้นเอง”

“แล้วพี่เค้ามีเรื่องอะไร เค้าได้บอกรึเปล่า”

“เปล่า” เมฆส่ายหน้า “แต่พี่เค้ายืนยันว่าไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรือน่าเป็นห่วงหรอก”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดี..........”


............................................................

เมฆ


ผมกับซันขับรถออกจากบ้านไปคนละคันในเวลาเดียวกัน ไอ้ซันมุ่งหน้าไปยังคอนโดเพื่อรับพ่อสันต์ไปทำธุระที่ที่ทำงาน ส่วนผมก็มุ่งหน้าไปหาพี่กรณ์ที่ที่ทำงานของพี่เขาเช่นเดียวกัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมจะได้ไปยังที่ทำงานของพี่กรณ์และพี่วิน ลึกๆในใจผมก็หวังอยากจะเจอพี่วินอีกสักครั้ง แต่อะไรบางอย่างมันบอกผมว่าการที่พี่กรณ์เป็นคนโทรนัดผมออกมาแบบนี้ แถมยิ่งการที่นัดให้มาหาเขาที่ที่ทำงานของพี่เค้าแบบนี้ด้วยแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมคงจะยังไม่ได้เจอกับพี่วินในวันนี้แน่ๆ

ผมจอดรถที่ลานจอดรถของอาคารสูงหลายสิบชั้นกลางตัวเมือง จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในล็อบบี้ เมื่อมองดูป้ายบอกสำนักงานในแต่ละชั้นแล้วผมถึงได้รู้ว่าออฟฟิศส่วนตัวของพี่วินนั้นกินเนื้อที่ห้าชั้นบนสุดของอาคารแห่งนี้ ซึ่งเท่าที่ผมลองประเมิณดูด้วยตาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นทำเลที่ราคาสูงไม่เบาเลยทีเดียว แต่พอสังเกตดูดีๆผมถึงได้เห็นว่าจริงๆแล้วอาคารทั้งอาคารนี้น่าจะเป็นสมบัติของครอบครัวของพี่วินนั่นเอง เพราะผมเห็นตัวอักษรดับเบิ้ลยูและรวมทั้งป้ายชื่อนามสกุลของพี่วินสีทองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงด้านหลังเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ พี่กรณ์บอกผมเอาไว้แล้วว่าเมื่อผมไปถึงแล้วให้ผมโทรหาพี่เขาตามเบอร์ที่เพิ่งให้ไว้ และผมก็ทำตามที่พี่เขาบอก จากนั้นอีกแค่ประมาณห้านาทีถัดมา พี่กรณ์ก็ดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

“เป็นยังไงมั่ง เมฆ สบายดีมั๊ย”

“สบายดีครับพี่ แล้วพี่ล่ะ”

“ก็เรื่อยๆเหมือนเดิมแหละครับ”

“แล้วพี่วินล่ะครับ”

พี่กรณ์ยิ้มให้ผมอย่างรู้ทัน “วันนี้พี่เค้าไม่อยู่น่ะ ไปธุระเรื่องงานนิดหน่อย พี่ก็เลยต้องดูแลงานที่นี่แทนพี่เค้าเกือบทั้งหมด ยุ่งพอตัวเลยล่ะ พี่ก็เลยจำเป็นต้องนัดให้เมฆมาหาพี่ที่นี่ไง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วงเช้านี้ยังไงผมก็ว่างอยู่แล้ว”

“แล้วช่วงบ่ายล่ะ”

“ก็มีธุระต้องสะสางนิดหน่อยน่ะครับ”

“เรื่องของซันใช่มั๊ย”

“พี่กรณ์รู้ได้ยังไงครับ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“ไม่สิ ถ้าพูดจริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องของซันซะทีเดียวหรอก จริงมั๊ย เอาล่ะ อย่ามายืนคุยกันอยู่ตรงนี้เลย ไปนั่งที่ร้านกาแฟตรงนั้นกันดีกว่า พี่เลี้ยงเอง” เมื่อพูดจบ พี่กรณ์ก็เดินนำผมไปยังร้านกาแฟตรงหน้าบันไดเลื่อน

พี่กรณ์สั่งกาแฟร้อนมาถ้วยหนึ่ง ส่วนผมที่ไม่ค่อยชอบของร้อนๆก็สั่งกาแฟเย็นมาแก้วนึงด้วยเช่นกัน และเมื่อเราสองคนนั่งกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มถามคำถามทันที

“พี่รู้ได้ไงครับว่าผมกำลังจะไปทำอะไร”

“เฮ้ย พี่ไม่รู้หรอก พี่ก็แค่เดาเอาเท่านั้นเอง เพราะตั้งแต่ก่อนที่เมฆจะไปตามซันที่อังกฤษ เมฆก็บอกพี่วินเอาไว้แล้วนี่นาว่ายังเหลืออะไรที่เมฆจะต้องกลับมาเคลียร์อีกด้วยตัวเองเป็นอย่างสุดท้าย พี่ก็เลยแค่เดาเอาว่าหลังจากที่เมฆกลับมาแล้วเมฆกับซันก็น่าจะทำอะไรกันต่อก็เท่านั้นเอง และอีกอย่าง พี่วินเองก็ยังไม่ได้วางใจขนาดจะปล่อยให้น้องชายของเค้าลุยเดี่ยวด้วยตัวเองทุกอย่างขนาดนั้นด้วย”

“พี่หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ”

“พี่ก็แค่หมายความว่า พี่วินเค้ายังไม่ได้วางมือจากเรื่องนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พี่วินไม่เคยและไม่มีวันที่จะวางมือจากเรื่องของเมฆและพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเมฆไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น พี่เข้าใจว่าพอพูดแบบนี้ไปแล้วเมฆอาจจะยังรู้สึกเหมือนมันไม่จบไม่สิ้นหรือกลัวว่าจะยังมีพี่วินคอยเดินตามหลังอยู่ตลอดเวลา แต่มันไม่ใช่แบบนั้น มันก็แค่เหมือนกับยี่สิบปีที่ผ่านมาของเมฆที่มีพี่วินคอยดูแลโดยที่เมฆไม่รู้ตัวแบบนั้นแหละครับ”

“ถ้าเรื่องนั้นผมก็พอจะเข้าใจครับ แต่ว่า......... ยิ่งพี่พูดแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจนะ ทำไมพี่วินถึงได้รู้เรื่องของผมเยอะแยะขนาดนั้นล่ะครับ ผมหมายถึง พี่วินรู้ทุกอย่างว่าผมเป็นอยู่ยังไง แต่ผมกลับแทบไม่เคยรู้ถึงชีวิตของพี่วินเลยสักนิดเดียว”

พี่กรณ์วางถ้วยกาแฟลงแล้วยิ้มให้ผม “เมฆอยากรู้มั๊ยล่ะ”

“ว่าไงนะครับ”

“เมฆอยากรู้มั๊ย ว่าจริงๆแล้วพี่วินคือใคร และทำไมเค้าถึงได้รักเมฆกับพ่อมากถึงขนาดนั้น”

หัวใของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นกับสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยิน และสีหน้าท่าทางของผมก็คงจะบอกให้พี่กรณ์เห็นได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกันว่าผมรู้สึกตกใจและตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะได้ยินอยู่มากขนาดไหน

“แต่ข้อแม้ก็คือ เมฆห้ามบอกพ่อหรือพี่วินเด็ดขาดนะว่าเมฆรู้เรื่องพวกนี้ เก็บมันเอาไว้กับตัวคนเดียวก็พอ”

“ครับ ผมเข้าใจ”

“อืมม จะเริ่มยังไงดี.......... เอาล่ะ” พี่กรณ์โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “พี่จะถือว่าเมฆไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพี่วินมาก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ และก่อนอื่น ก่อนที่พี่จะเล่าให้เมฆฟังนี่พี่อยากให้เมฆเข้าใจไว้ก่อนว่า พี่ไม่ได้เล่าเพื่อความเห็นใจ และก็ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ของใครทั้งสิ้น แต่พี่แค่อยากจะให้เมฆรู้เอาไว้และเข้าใจอะไรขึ้นบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดีนะครับ”

ผมพยักหน้า “ครับ”

“เมฆเองก็รู้ว่าการที่พี่วินจะไว้วางใจอะไรใครสักคนน่ะ มันยากมากขนาดไหนใช่มั๊ย พี่เองก็ไม่ได้สนิทสนมกับพี่เค้ามาตั้งแต่แรกเลยหรอกนะ เราสอคนน่ะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถม แต่เพิ่งจะมาสนิทกันจริงๆก็ตอนอยู่มัธยม และกว่าที่พี่จะได้การยอมรับจากพี่วินน่ะ ก็ปาไปอีกหลายปีให้หลัง แต่เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนก็แล้วกัน พี่คิดว่าเมฆคงจำได้ว่าตอนเมฆเด็กๆ พี่วินเค้าเคยไปอาศัยอยู่ที่บ้านของเมฆมาช่วงนึงใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ครับ แต่ผมก็จำรายละเอียดได้ไม่ค่อยมากหรอก”

“พี่เองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนักหรอกนะครับ เพราะแม้แต่กับพี่เอง พี่วินก็ยังคงมีอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยและคงจะไม่มีวันบอกพี่เหมือนกัน แต่เท่าที่พี่รู้ก็คือ พี่วินกับเมฆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดด้วยเหมือนกัน”

ผมรู้สึกว่าผมกำลังอ้าปากค้างทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

“ใช่ แต่ก็แค่ส่วนหนึ่งน่ะนะ เพราะพี่วิน คือลูกชายของพี่สาวของแม่ของเมฆนั่นเอง หรือถ้าจะพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ เขาคือลูกของป้าของเมฆที่เสียไปเมื่อนานมาแล้ว”

“แต่ว่า ป้าของผมเสียไปตั้งแต่ผมยังไม่เกิดอีกนี่ครับ”

“ใช่ หลังจากที่พี่วินเพิ่งจะอายุได้ไม่เท่าไหร่เอง” พี่กรณ์พยักหน้า “และหลังจากนั้น พ่อของพี่วินก็ไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันก็คือแม่ของพี่วิน แต่ว่า......... มันก็ไม่ง่ายสำหรับพี่วินนักหรอกนะ ที่จะต้องอยู่บ้านหลังใหม่กับผู้หญิงที่ไม่เห็นว่าพี่วินเป็นลูกของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งหลังจากที่แม่ของพี่วินตั้งท้องลูกชายอีกหนึ่งคน คราวนี้พี่วินก็ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะคนเป็นพ่อที่เคยจะพอรักและเอ็นดูลูกของตัวเองอยู่บ้างก็ยิ่งไปเห่อลูกคนใหม่จนแทบไม่ดูดายพี่วินอีกเลย”

“นี่แปลว่าพี่วินมีน้องชายด้วยเหรอครับ”

“เปล่า....... แค่เคยมีน่ะ” พี่กรณ์ยกกาแฟขึ้นจิบและคงมองเห็นความสงสัยและความตกใจในแววตาของผม จึงได้เริ่มเล่าต่อ “พอพี่วินอยู่ชั้นประถามปลายๆก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้พี่วินต้องบาดเจ็บและน้องชายของพี่วินก็ต้องจากไป แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือแม่ของพี่วินโทษว่าการสูญเสียลูกชาย ‘คนเดียว’ ของเขาไปนั้นมีสาเหตุมาจากพี่วิน และแม้แต่พ่อของพี่วินเองก็หัวใจสลาย ถ้านั่นยังไม่แย่พอกับการที่แม่เลี้ยงของตัวเองไม่ใยดีแถมยังกลั่นแกล้งแทบทุกวัน พ่อแท้ๆของตัวเองก็กลับไม่สนใจและปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนานนับปี”

“แล้ว......... ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั๊ยครับ”

“ว่าไงครับ”

“พี่กรณ์รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงครับ และพ่อของผมก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วยรึเปล่า”

“รู้สิ เพราะว่าแม่ของพี่เป็นคนที่ทำงานให้กับบ้านของพ่อและแม่ของพี่วิน พี่จึงเห็นและรู้แทบทุกอย่างภายในบ้านหลังนั้น ส่วนพ่อของเมฆก็รู้ดีทีเดียว เพราะก่อนที่แม่ของเมฆจะจากไป พ่อและแม่ของเมฆก็ยังเคยมีติดต่อกับพ่อของพี่วินอยู่บ้าง จนกระทั่งแม่ของเมฆจากไปนั่นแหละ สองครอบครัวนี้ก็เลยไม่เหลืออะไรที่จะให้เชื่อมต่อกันอีกเลย”

“นอกจากพี่วิน” ผมเสริม

“ใช่ และพี่วินเองก็รู้เช่นกัน เมื่อตอนขึ้นชั้นมัธยมปลายใหม่ๆ พี่วินที่ทนแบกรับอะไรหลายๆอย่างไว้จนถึงขีดก็เริ่มรับสภาพของพ่อและแม่ตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว....... คืองี้ เมฆต้องเข้าใจนะว่าพี่วินเป็นคนที่หัวดีมาก ไม่ว่าจะพูดถึงทั้งหน้าตา การเรียน หรือแม้แต่กีฬา ก็จะต้องมีชื่อของพี่วินติดอันดับท็อปอยู่เสมอ แต่ว่ามันก็ดูจะไม่มีค่าอะไรเลยกับครอบครัวของพี่วิน จนมาถึงเหตุการณ์ๆหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของพี่วินเปลี่ยนไป เขาตัดสินใจหันหลังให้กับครอบครัวของตัวเองและไปพึ่งพาพ่อของเมฆ ซึ่งตอนนั้นพี่วินก็ได้หาหนทางติดต่อและพูดคุยกับพ่อของเมฆเอาไว้สักพักแล้วล่ะ ราวกับเค้ารู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเรื่องนี้มันจะต้องเกิดขึ้น และพ่อของเมฆก็เป็นคนดีมากจริงๆที่ยอมรับในตัวของพี่วินและให้ที่พักพิงเขาจนกระทั่งเขาพร้อม..........”

“พร้อม........ พร้อมสำหรับอะไรครับ” ผมถาม

“เรื่องนั้นพี่คิดว่าพี่คงบอกเมฆไม่ได้น่ะครับ มันอาจจะมากเกินไป รวมทั้ง ก่อนที่เมฆจะถาม เรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นและผลลัพธ์ทั้งหมดด้วย พี่คงจะบอกไม่ได้จริงๆ และใช่ว่าพี่เองก็จะรู้รายละเอียดอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่พี่พูดได้แน่ๆก็คือ ตอนนี้พ่อของพี่วินกำลังพยายามทำทุกวิถีทางที่จะเป็นการชดเชยความผิดของตัวเองอยู่ และคิดว่าเมฆคงรู้ว่านั่นไม่ได้ช่วยอะไรพี่วินได้เลย” พี่กรณ์ส่ายหน้าเบาๆ “ครั้งหนึ่งเมื่อคนเราได้เปลี่ยนไปแล้ว มันก็ยากนะ ที่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นคนเดิมที่เคยได้รับบาดแผลใหญ่มาก่อนน่ะ”

“พี่กรณ์หมายถึงเปลี่ยน........ ไปเป็นพี่วินแบบปัจจุบันนี้น่ะเหรอครับ”

พี่กรณ์ยิ้มน้อยๆ “ก็คงใช่ เมฆคงไม่คิดหรอกนะว่าพี่วินจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดน่ะ”

“ผม เอ่ออ..... ก็ไม่รู้สิครับ”

“พี่จะบอกให้เมฆรู้ไว้นะว่า พี่วินน่ะ ไม่เคยยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมายเลยแม้แต่อย่างเดียวหรือครั้งเดียว ตรงกันข้าม เขากลับต่อสู้กับเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด ถึงจะด้วยวิธีการของเขาเองและถึงแม้บางครั้ง......... หลายครั้งมันจะไม่ถูกกฎหมายนักก็ตาม”

“เรื่องนั้นผมก็พอรู้ครับ เพราะแบบนี้ด้วยมั๊งครับ ที่พ่อเคยบอกว่าพ่อรักพี่วินมาก แต่ก็ยังคงไม่สามารถที่พ่อจะยอมรับพี่เขาเป็นเหมือนลูกชายคนนึงได้........ ผมเพิ่งจะเข้าใจเมื่อตอนโตว่านั่นคงหมายถึงว่าพ่อคงไม่อยากให้ผมต้องเข้าไปพัวพันอะไรกับเรื่องที่ไม่ดีๆก็ได้”

“ใช่ครับ แต่นั่นก็เป็นความต้องการของพี่วินเองด้วยแหละ พี่เค้าปราถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวของเมฆ และเค้าก็รู้ตัวดีว่าสิ่งที่พี่เขาทำอยู่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก อืมมม........ พี่คิดว่ามันอาจจะตรงกันข้ามกับที่เมฆคิดนะ แต่เมฆรู้มั๊ยว่าพี่วินน่ะรักน้องที่เสียไปของพี่วินกว่าที่ใครๆคิดมากนะครับ และเมฆก็เป็นน้องชายเพียงคนเดียวที่พี่วินมีอยู่ในตอนนี้ และพี่คงไม่ต้องบอกว่าพี่วินรักพ่อของเมฆและเมฆมากขาดไหนกับสิ่งที่ทั้งคู่ทำและชดเชยให้พี่วินในสิ่งที่พี่เขาสูญเสียไป”

“แต่ผมจำไม่ได้เลยนะครับว่าผมทำอะไรไปให้พี่วินบ้างน่ะ คือ เมื่อตอนนั้นผมก็ยังเด็กมากเลย แล้วผมก็จำอะไรแทบไม่ค่อยได้เลยด้วยซ้ำ”

“มันก็ไม่แปลกหรอก เพราะตอนเด็กๆเมฆเคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นครั้งนึงที่ทำให้เมฆลืมเรื่องราวในช่วงนั้นไปจนเกือบหมด รวมทั้งเรื่องที่พี่วินเคยเป็นคนเลี้ยงดูเมฆมาช่วงนึงด้วย”

“ผมไม่เคยรู้เลย” ผมอึ้ง

“ก็คงงั้นแหละครับ เพราะพ่อของเมฆเองก็คงไม่อยากจะให้เมฆจำได้เท่าไหร่ด้วย เพราะถ้าท่านเล่าให้เมฆฟัง เมฆก็ต้องถามเรื่องพี่วินหรือเรื่องอื่นๆที่เมฆไม่ควรจะรู้และท่านลำบากใจที่จะเล่า อย่างเช่รเรื่องที่พี่กำลังเล่าอยู่ตอนนี้ไง”

ผมนั่งนิ่งและไต่ตรองสิ่งที่เพิ่งรับฟังไปเข้าสู่สมอง ข้อมูลที่ผมเพิ่งได้มาใหม่มานี้มันน่าตกใจสำหรับผมมากเลยทีเดียว

“และเมฆคงแปลกใจว่าทำไมพี่วินถึงได้รู้เรื่องของเมฆเยอะนัก อย่างแรกเลยก็คือพ่อของเมฆกับพี่วินน่ะมีติดต่อกันอยู่ตลอดเวลาครับ และเมฆเองก็น่าจะรู้แล้วว่าพี่วินสามารถที่จะเดินตามหลังเมฆทั้งวันได้โดยที่เมฆไม่รู้ตัว รวมทั้งเขายังมีพี่และคนอื่นๆคอยช่วยเหลืออีกด้วย ดังนั้นเรื่องการรวบรวมข้อมูลสำหรับพี่วินแล้วมันจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย รวมทั้ง........ สำหรับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดนี่ด้วย”

“เรื่องนั้นผมก็พอเข้าใจครับ และผมก็คิดอยู่ตลอดเลยด้วยว่าถ้าไม่ได้พี่วินกับพี่กรณ์ล่ะก็ ผมคงต้องแย่แน่ๆ”

“ไม่เกี่ยวกับพี่หรอกครับ พี่ก็แค่ทำตามที่พี่วินบอกมาเท่านั้นเอง.........” พี่กรณ์ยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง หลังจากนั้นก็วางแก้วกาแฟลงแล้วยิ้มให้กับผม “เมฆจะแปลกใจ ถ้ารู้ว่างานอดิเรกลำดับที่สองที่พี่วินชอบทำก็คือการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและการทำบุญตามสถานสงเคราะห์ต่างๆนะ”

“คราวนี้ผมแปลกใจขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะครับ” ผมหัวเราะเบาๆ “แต่ว่าถ้าจะนึกดูดีๆหลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมดจากพี่แล้ว....... ผมว่ามันก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้วล่ะครับ เพียงแต่ว่า....... งานอดิเรกลำดับที่สองงั้นเหรอครับ ถ้างั้นแล้วลำดับแรกคืออะไรล่ะ”

“ฆ่าคน”

ผมสะดุ้งเฮือกทำเอาสำลักกาแฟที่เพิ่งดูดเข้าไปจนต้องไอโขลกออกมา

“พี่ว่าไงนะ”

“พี่ล้อเล่นน่า” พี่กรณ์หัวเราะเบาๆ

“ล้อเล่นแบบนี้ไม่ขำเลยนะครับพี่ ถ้ามันเป็นล้อเล่นแบบว่า ล้อเล่นในสิ่งที่รู้ๆกันอยู่ว่าไม่ใช่มันก็คงจะตลกอยู่หรอก แต่นี่มันแบบว่า.........”

“โอเคๆ พี่ขอโทษ” พี่กรณ์หัวเราะ “แต่ก็อย่างที่เมฆคิดนั่นแหละ มันก็ไม่เชิงว่าผิดเสียทีเดียวหรอกนะ แต่พี่จะบอกให้อย่างนึงว่าสิ่งที่ทำให้พี่วินน่ากลัวน่ะ ไม่ใช่เรื่องการฆ่า.........” พี่กรณ์ลดเสียงต่ำลงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่เป็นการที่พี่วินไม่ชอบการฆ่าต่างหาก”

ผมกลืนน้ำลายลงคอและพยักหน้าออกมาช้าๆ “โอเค ผมว่าผมรู้มากพอแล้วล่ะครับ รายละเอียดมากกว่านั้นผมคิดว่าผมพอจะเดาเองได้ และเผลอๆ......... ผมเองก็คงเคยเห็นมามากพอแล้วด้วยเหมือนกัน”

พี่กรณ์พยักหน้า “ว่าแต่ซันล่ะไปไหน”

ผมเล่าถึงสิ่งที่ผมกับซันกำลังจะทำกันวันนี้ให้พี่กรณ์ฟัง และเมื่อเล่าจบ พี่กรณ์ก็พยักหน้าออกมาเป็นเชิงเห็นด้วย

“ดีแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้พี่ก็คงไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วมั๊ง...........”

“หืมม ‘ทำอะไร’ นี่หมายถึง ทำอะไรครับ”

“เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก” พี่กรณ์ดูนาฬิกาข้อมือ “เอาล่ะ ได้เวลาที่พี่ต้องกลับไปทำงานต่อแล้วครับ เดี๋ยวเกิดพี่วินกลับมาเห็นงานยังไม่เสร็จล่ะก็พี่คงตายแหง”

“โอเคครับพี่ งั้นผมไม่กวนเวลาพี่แล้วครับ”

เราสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน พี่กรณ์หันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้อีกครั้ง

“ขอบใจมากนะ เมฆ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เรื่องอะไรครับ”

“ที่ทำให้พี่วินมีความสุขขึ้นแบบนี้น่ะ”

“ผมเนี่ยนะครับ”

“ใช่แล้ว เอาล่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรล่ะก็ โทรหาพี่ได้นะครับ หรือถ้ามันสำคัญมาก จะโทรเข้าหาพี่วินเลยก็ได้ คิดว่าเมฆคงโทรติดเข้าสักเบอร์ที่พี่เขาเคยให้ไว้นั่นแหละ” พี่กรณ์ส่งยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป แต่ตอนนั้นเองที่ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เดี๋ยวครับพี่กรณ์” ผมรั้งพี่กรณ์เอาไว้ “จะว่าไปพี่พอจะรู้มั๊ยครับว่าพี่วินกับครูวิชญ์ที่สอนยูโดผมเกี่ยวข้องกันยังไง”

“อ๋ออ” พี่กรณ์หัวเราะเบาๆ “ครูวิชญ์น่ะเหรอ หมอนั่นก็แค่เคยมั่นใจในฝีมือของตัวเองมากจนกระทั่งวันนึงเกิดไปหาเรื่องผิดคนเข้าเท่านั้นเอง”

“พี่หมายถึงพี่วินเหรอครับ”

พี่กรณ์พยักหน้า “เจ้าตัวเองเค้าก็คงจะไม่อยากนึกถึงมันสักเท่าไหร่หรอก มันคงเป็นเรื่องน่าอายสำหรับครูสอนศิลปะการต่อสู้ที่มีลูกศิษย์ลูกหาหลายคนทีเดียว เพราะงั้นเมฆก็อย่าไปใส่ใจนักเลยนะ แต่ถ้าเมฆจะลองไปถามเค้าดูเอาเองเลยก็ได้ ถ้าเค้าไม่อายที่จะเล่าให้ใครฟังน่ะนะครับ” พี่กรณ์ยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนที่จะเดินจากไป


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:28:41
วินาทีที่ยี่สิบสามสู่ปลายทางสุดท้าย


ถึงจะเป็นช่วงบ่ายคล้อย แต่ก็นับว่าแปลกที่ท้องฟ้าในวันนี้นั้นกลับสว่างสดใสโดยที่ไม่มีแสงแดดร้อนแผดเผามากเหมือนกับปกติ ลมเบาๆที่พัดผ่านพาให้ก้อนเมฆเบื้องบนลอยตัดท้องฟ้าสีครามอย่างเอื่อยๆและช่วยบดบังแสงแดดอันแรงกล้าจากดวงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี ผมนั่งเงยหน้ามองความงามและความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นี้อย่างไม่รู้จักเบื่อ ของสองสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้เกิดมาเพื่อคู่กัน สร้างมาเพื่อทำให้อีกอย่างหนึ่งนั้นสมบูรณ์และสวยงาม หากขาดท้องฟ้า ก้อนเมฆก็คงไม่มีวันถือกำเนิดขึ้นมาได้ และถ้าหากขาดก้อนเมฆไป ท้องฟ้าก็คงจะเดียวดายและไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยบรรเทาความร้อนแรงของพระอาทิตย์ลงได้อย่างแน่นอน

ผมนั่งอยู่ใต้ร่มผ้าใบของร้านกาแฟที่ใต้ชายคาของตึกใหญ่แห่งหนึ่งในย่านธุรกิจของกรุงเทพ ดูท่าทางว่าร้านกาแฟและร้านเบเกอรี่เหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องมีในทุกๆอาคารสำนักงานไปซะแล้ว ถึงเมื่อเช้าผมก็เพิ่งจะดื่มกาแฟไปแล้วสองครั้งทั้งจากที่บ้านหนนึง และจากที่ออฟฟิศของพี่กรณ์อีกหนนึง แต่การได้กาแฟเย็นๆสักแก้วในตอนบ่ายแก่ๆนี้อีกสักครั้งมันก็ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะมันสามารช่วยบรรเทาความร้อนทั้งจากไอแดดและทั้งจากภายในจิตใจของผมลงได้เป็นอย่างดี

ผมล้วงลงไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงที่ดังขึ้นและรับสาย ผมคุยกับคนที่โทรมาได้เพียงสองสามนาทีก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยดังขึ้น

“เมฆ”

ผมหันไปตามเสียงเรียก นัทกำลังเดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมรอยยิ้ม จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยทีเดียวที่ผมได้เห็นนัทในชุดทำงานแบบนี้ ถึงจะไม่ใช่ยูนิฟอร์ม แต่ว่ามันก็ทำให้นัทดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก

“นัท นั่งก่อนสิ” ผมชี้มือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของผม และรอจนกระทั่งนัทนั่งลงเรียบร้อยแล้วจึงเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต “ขอโทษทีนะที่มาหาถึงที่นี่”

“ไม่เป็นไรหรอก ดีแล้วล่ะ เพราะถึงยังไงก็คงดีกว่าไปหานัทที่ที่ทำงานแหละ”

“แล้วนี่คุยกับลูกค้าเสร็จแล้วเหรอ ต้องกลับไปที่ออฟฟิศอีกมั๊ย”

“ไม่ต้องแล้วล่ะ วันนี้งานนัทเสร็จหมดแล้ว เวลาออกมาพบลูกค้านี่มันเหนื่อยหน่อยก็จริงแหละ แต่ข้อดีก็คือถ้าเสร็จธุระแล้วก็เอาเวลาที่เหลือไปเที่ยวได้สบาย” นัทนั่งไขว่ห้างและเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้ “อากาศดีเนอะ แดดไม่ค่อยร้อนด้วย”

“ใช่ เป็นสัญญาณที่ดีนะ”

“ว่าแต่เมฆมีธุระอะไรเหรอ นัทว่านัทกำลังจะโทรหาเมฆแล้วชวนไปกินข้าวด้วยกันอยู่เลย หลังจากนี้เมฆว่างวันไหนมั่งรึเปล่าล่ะ”

“อืมม คงไม่ได้หรอก เพราะเดี๋ยวเมฆก็ต้องกลับเข้าทำงานแล้ว เพราะตอนนี้พ่อก็หายดีและกำลังจะกลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้วด้วย”

“แล้วเสาร์อาทิตย์ล่ะ”

“เมฆก็คงต้องอยู่กับไอ้ซันน่ะ”

สีหน้าของนัทดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็แค่เพียงแว้บเดียวเท่านั้นจริงๆ “อ้อ นี่เมฆกับซันกลับมาคืนดีกันแล้วเหรอ”

“ก็ประมาณนั้นแหละ แต่จะว่าไปจริงๆเราก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันหรอก มันก็แค่มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง”

“ถ้างั้นวันนี้เมฆมาหานัทมีธุระอะไรล่ะ”

“เมฆจะมาขอบคุณน่ะ”

“ขอบคุณเหรอ”

“ใช่ ขอบคุณที่ทำให้เมฆตาสว่างสักที และขอบคุณที่ทำให้เมฆได้รู้ว่าใครคือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับเมฆ และใคร........ ที่ไม่ใช่”

“เมฆหมายความว่ายังไง”

“ตอนนี้นัทเลิกกับพี่จ๊อบไปแล้วใช่มั๊ย” ผมถาม

“ใช่ เมฆก็รู้นี่ นัทไม่อยากแม้แต่จะได้ยินชื่อของคนๆนั้นอีกต่อไปแล้ว” นัทเบือนหน้าหนีเล็กน้อย

“เมฆเข้าใจ ก็ถ้าเค้าเป็นคนที่ทำแบบนั้นหรือแบล็คเมล์นัทอย่างนั้นจริงล่ะก็นะ มันก็ไม่คู่ควรกับนัทอีกต่อไปแล้วล่ะ........” ผมถอนหายใจเบาๆ “แต่ถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ทำอะไรแบบนั้นลงไปได้น่ะ มันก็ไม่สมควรจะที่จะเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้อีกแล้วด้วยเหมือนกัน”

“ใช่ คนแบบนั้นมันเลวที่สุด”

“แต่ทำไมนัทไม่แจ้งความหรือให้พ่อจัดการล่ะ”

“เรื่องนั้น....... เมฆก็รู้นี่ว่านัทให้พ่อรู้เรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก”

“หรือว่านัทไม่สามารถให้ใครรู้ได้เลยมากกว่า โดยเฉพาะพ่อของนัทเองน่ะ เพราะถ้าหากเรื่องนี้มันหลุดออกไปโดยไม่ใช่มีแค่เมฆคนเดียวที่รู้แล้วล่ะก็ เรื่องอื่นๆมันคงต้องแดงตามกันมาติดและคงทำให้แผนของนัทต้องเสียไปด้วยแน่ๆใช่มั๊ย เพราะงั้นตอนนั้นนัทถึงได้ย้ำกับเมฆนักหนาว่าอย่าได้เอาไปบอกใครเด็ดขาดน่ะ”

“เมฆพูดอะไรน่ะ นัทไม่เข้าใจ” นัททำหน้าสงสัย

“นัทเก่งมากที่ทำให้เมฆเชื่อนัทซะสนิท นับตั้งแต่ตุ๊กตาหมีตัวแรกที่นัทลงทุนร้องไห้กลางห้างเมื่อตอนนั้นแล้ว ใครจะไปคิดล่ะว่านัทจะกล้าซ้อนแผนของตัวเองโดยที่ยอมแกล้งทำเป็นโดนจับได้แบบนั้น” ผมกับนัทสบตากันนิ่ง ต่างคนก็ต่างไม่มีใครยอมหลบตาและพูดอะไรออกมา สุดท้ายผมจึงตัดสินใจพูดต่อ “จริงๆแล้วก็มีคนเคยบอกเมฆเอาไว้นะว่า สักวันความใจอ่อนและความมองโลกในแง่ดีมากเกินไปของเมฆมันอาจจะทำร้ายเมฆเข้าให้ได้แบบนี้ แต่เมฆก็ไม่เคยคิดจริงๆว่าคนที่จะทำร้ายเมฆจะเป็นคนใกล้ตัวที่เคยมีความรู้สึกดีๆให้กันได้อย่างนัท”

“เมฆพูดอะไรออกมาน่ะ รู้ตัวรึเปล่า”

ผมไม่ตอบคำถาม แต่เริ่มพูดต่อ “มันคงจะเจ็บปวดสินะ ที่มารู้ว่าแฟนของตัวเองเป็นไบ แถมไปๆมาๆก็มารู้อีกว่าแฟนเก่าของตัวเองที่พอเลิกนแล้วก็ยังดันไปคบกับผู้ชายอีกน่ะ จริงมั๊ย ให้ตายสินะ เมฆไม่เคยนึกถึงจุดๆนี้มาก่อนเลยว่าเรื่องแบบนี้มันจะทำให้คนอย่างนัทต้องรู้สึกเสียหน้ามากขนาดไหน ยิ่งถ้ามีใครคนอื่นรู้เรื่องนี้ล่ะก็ ต่อให้เป็นเมฆเอง เมฆก็คงทนไม่ได้เหมือนกันล่ะนะ....... แฟนเก่าตัวเองเป็นเกย์ ส่วนแฟนใหม่ก็เป็นไบ รู้ถึงไหนก็คงอายถึงนั่น มีหวังตกเป็นขี้ปากคนอื่นแย่”

“เมฆหมายถึงใครที่เป็นไบ”

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่เลย นัท นัทเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจและเลิกกับพี่จ๊อบมันไปตั้งนานมาแล้ว แต่ด้วยการที่อยากจะรักษาหน้าของตัวเอง นัทเองก็คงระแคะระคายหรือพอรู้เรื่องของเมฆกับซันอยู่นิดหน่อยอยู่แล้ว ถึงได้พาพี่จ๊อบไปที่ทะเลด้วยเพราะไม่อยากให้ใครถามว่าพี่จ๊อบไปไหน นัทคงทนไม่ได้ที่จะบอกใครๆว่าเลิกกันแล้ว และคงทนไม่ได้ที่จะให้เมฆเห็นว่าตัวเองเพิ่งเลิกกับแฟนไป แต่เมื่อมาเจอความจริงเรื่องเมฆกับซัน นัทคงยิ่งเจ็บที่เห็นทุกคนให้การยอมรับเรื่องของเรามาก แต่ในขณะที่ตัวเองต้องทนเก็บความอัปยศนั่นเอาไว้เพียงคนเดียว”

“ถ้าเมฆคิดจะคุยเรื่องนี้ล่ะก็ นัทคงต้องขอตัวนะ นัทมีธุระต้องไปทำอีก”

“อ๊ะ ไม่ต้องคิดจะลุกขึ้นเลยนะนัท” ผมร้องห้าม “และถ้าธุระนั่นหมายถึงการโทรไปคุยกับพี่จ๊อบเพื่อนัดหมายหรือทำอะไรสักอย่างอีกล่ะก็ เลิกคิดได้เลย เพราะตอนนี้ไอ้เหี้ยนั่นไม่สามารถจะทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก นัทรู้มั๊ยว่าสิ่งที่เมฆไม่สามารถให้อภัยกัยเรื่องนี้ได้เลยก็คือการที่นัทส่งคนไปรื้อบ้านของเมฆเพื่อหารูปพวกนั้นจนทำให้พ่อและไคล์ต้องได้รับบาดเจ็บ ส่วนไอ้เรื่องการที่นัทจะร่วมมือกับพี่จ๊อบส่งคนมาสะกดรอยตามเราสองคน แอบถ่าย ส่งตุ๊กตาหมีเลียนแบบ เล่นสงครามประสาท หรือพยายามทำให้เราแยกทางกันเท่าไหร่น่ะ นั่นมันก็อีกเรื่องนึง แต่การที่นัททำร้ายครอบครัวและคนที่เมฆรักแบบนี้ เมฆยกโทษให้ไม่ได้”

“ไอ้ที่เมฆพูดๆมาทั้งหมดน่ะ เมฆมีหลักฐานรึยังไง อยู่ดีๆมากล่าวหากันแบบนี้นัทสามารถแจ้งความฟ้องเมฆได้เลยด้วยซ้ำนะ อย่าลืมสิว่าพ่อของนัทเป็นตำรวจน่ะ”

“โอ๊ย เมฆไม่ลืมหรอก และก็รู้ดีเลยว่านัทเองก็ไม่อยากให้พ่อของตัวเองรู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะเมฆเองก็ไม่คิดหรอกนะว่าพ่อของนัทจะยอมเอาชื่อเสียงของตัวเองมาแปดเปื้อนเพื่อช่วยลูกสาวโรคจิตของตัวเองแบบนี้น่ะ”

“เมฆว่าใครโรคจิต!” นัทเริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อย

“เรื่องนี้มันก็เริ่มต้นง่ายๆอย่างที่เมฆบอก.........” ผมเล่าต่อโดยไม่สนใจสีหน้าเกรี้ยวกราดของนัท “ที่ทะเลในตอนนั้นหลังจากที่นัทเริ่มทนความอัปยศและริษยาของตัวเองไม่ได้ นัทก็คงจะเริ่มคุยกับพี่จ๊อบเอาไว้แล้วว่าแผนการของนัทคืออะไร ถ้าทำให้เมฆกับซันเลิกกันได้ นัทก็คงได้ความสะใจ ส่วนพี่จ๊อบก็จะได้เมฆไป คงจะเป็นแบบนี้สินะ แต่พี่จ๊อบเองก็คงไม่รู้ตัวว่านัทเองก็หลอกใช้มันอยู่อีกต่อหนึ่งด้วยเหมือนกัน เพราะมันเองก็เคยทำให้นัทต้องเจ็บปวดเหมือนๆกัน ดังนั้นนัทจึงให้พี่จ๊อบเป็นคนไปคุยกับไอ้แบ๊งค์หลังจากที่รู้ว่าแบ๊งค์คิดยังไงกับซันและเริ่มแบล็คเมล์มัน หลอกใช้ความรู้สึกของมันที่มันมีต่อซัน ทำให้ซันเข้าใจผิด แผนการทั้งหมดที่ทั้งนัทและพี่จ๊อบวางเอาไว้มันมีเพื่อทำให้เริ่มเกิดรอยร้าวระหว่างเมฆกับซัน ทำให้เราต้องมีความลับต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ อาศัยประโยชน์จากการที่นัทรู้จักนิสัยของเมฆดี แต่การที่นัทลงมือบางอย่างด้วยตัวเองโดยที่พี่จ๊อบไม่รู้มาก่อนก็ทำให้มันคงต้องแปลกใจไปบ้างหลายครั้งเหมือนกัน นั่นเลยเป็นช่องว่างที่ทำให้พี่วินเริ่มเกิดความสงสัยในตัวของนัทมากขึ้นไปอีก อ้อ นัทคงรู้จักพี่วินสินะ พี่เค้านี่แหละที่เป็นคนจัดการตามเรื่องทุกอย่างได้เพราะพี่เค้าไม่ได้ไว้ใจใครเลยตั้งแต่แรก และก็เป็นคนแรกที่เข้าไปคุยกับไอ้แบ๊งค์เองด้วย แต่ถึงยังไงก็เถอะ เมฆมันโง่เองที่หลงเชื่อและไว้ใจนัทมากจนทำให้มันต้องเกิดเรื่องรายแรงทั้งหลายเหล่านี้”

เราสองคนนั่งจ้องหน้ากันเงียบๆอีกสักพัก จนในที่สุดนัทก็หัวเราะเหยียดๆออกมาเบาๆ

“เมฆอยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ หลักฐานอะไรก็ไม่มีสักอย่าง”

“แต่ไม่ใช่แค่ไอ้แบ๊งค์ที่นัทและพี่จ๊อบหลอกใช้........” ผมเล่าต่อโดยไม่สนใจปฏิกิริยาและคำพูดของนัท “แต่ยังรวมไปถึงเอ็น น้องชายของพี่แอมป์ด้วย พี่จ๊อบมันคงจะได้ยินเรื่องที่เมฆจะไปถ่ายรูปกันที่คอนโดของพี่แอมป์ในตอนงานวันเกิดของเมฆ และนั่นก็เลยทำให้ทั้งนัทและพี่จ๊อบสามารถนำเอาเรื่องนี้มาเป็นจุดอ่อนในการขู่ให้ไอ้ซันตีตัวออกห่างจากเมฆได้ ไอ้ซันเล่าความจริงเรื่องคืนนั้นทั้งหมดให้เมฆฟังแล้วว่า มันไปเจอรูปเปลือยของนัทที่นัทฝากเมฆเอาไว้ที่บ้าน ซึ่งก็เป็นไปตามแผนของนัทพอดี........”

“ไร้สาระน่าเมฆ นัทจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง ใครมันจะไปคิดถึงขนาดว่าซันจะต้องมาหาเจอ และถึงจะเป็นแบบนั้นจริง ใครจะไปรู้ว่าซันจะมาหาเจอเมื่อไหร่ มันอาจจะนานขนาดไหนก็ได้ ใครจะไปคิด”

“นั่นแหละ คือจุดประสงค์ของนัท อะไรที่มันดูเป็นไปไม่ได้แบบนั้นแหละ และนัทเองก็รู้ดีว่ายิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนานนั่นแหละยิ่งดี พี่จ๊อบก็จะยิ่งเข้ามาก่อกวนเมฆมากขึ้น ส่วนไอ้แบ๊งค์ก็จะเริ่มเข้าหาไอ้ซันมากขึ้น สุดท้ายเมฆกับซันก็จะเริ่มระหองระแหงหมางใจกันไปเรื่อยๆ และยิ่งนานไปมันก็จะยิ่งแย่ และคราวนี้ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา เราสองคนก็จะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นและคงไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมได้เลย นั่นแหละคือความต้องการของนัท แต่นี่นับว่าเรายังโชคดีที่ไอ้ซันเจอรูปพวกนั้นได้เร็วก่อนที่อะไรๆระหว่างเราสองคนจะถูกทำลายไปมากกว่านั้น........” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เรื่องของคืนนั้นนั่นก็คือ ระหว่างที่เมฆกับพี่วินออกไปเจอกับคนสะกดรอยตามของพี่จ๊อบ ไอ้ซันก็มาเจอรูปของนัทเข้าและมันก็เลยโทรไปถามความจริงจากปากของนัท และสิ่งที่นัทบอกมันก็คือ นั่นคือรูปตอนที่เราสองคนมีอะไรกัน และแน่นอนว่านัทยังบอกมันอีกด้วยว่าเราสองคนก็ ‘ยังคง’ มีอะไรๆต่อกันอยู่ นัทอาศัยช่องว่างที่เราเริ่มมีเรื่องปิดบังกันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ว่านั่นก็ไม่สามารถทำให้ไอ้ซันเขวได้มากพอ นัทจึงต้องบอกมันอีกว่านอกจากนั้นนัทยังมีรูปเปลือยของเมฆและซันที่เราถ่ายด้วยกันในบ้านพี่แอมป์อยู่ในมืออีกด้วย และเพื่อตัวของเมฆเอง ซันจะต้องยอมถอยห่างออกไปซะ แน่นอนว่าไอ้ซันไม่ใช่คนหัวอ่อนและจะยอมทำตามง่ายๆขนาดนั้น แต่เมื่ออะไรๆต่างก็รุมเร้ามันเข้ามามากขนาดนั้น แถมยังเพื่อผลประโยชน์และความปลอดภัยของเมฆเอง มันจึงยอมทำตามเงื่อนไขเบื้องต้นของนัท นั่นก็คือการขนของจากบ้านเมฆกลับไปคอนโดของมัน จากนั้นนัทจึงได้โทรตามแบ๊งค์ออกมาเพื่อเพิ่มเชื้อไฟ ใช่ นัทคงไม่ได้คาดคิดว่าเมฆจะโผล่ไปที่นั่นได้เหมาะเจาะขนาดนั้น แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอกว่าเมฆจะไปเห็นฉากไหนตอนไหนเข้า มันสำคัญที่สิ่งนี้คือบ่อเกิดที่ทำให้ซันต้องเลือกที่จะจากไปเพราะทั้งความเป็นห่วงในตัวของเมฆ และเพราะมันรู้สึกผิดกับสิ่งที่มันทำลงไปเพราะความเมาและสถานการณ์จำเป็นแบบนั้น............”

“แหม เป็นนิยายที่สนุกมากเลย เมฆ แต่นั่นมันก็แค่ข้อสันนิษฐานไม่ใช่รึไง มีหลักฐานอะไรที่จะมากล่าวหาอะไรนัทได้อย่างนั้น เท่าที่ฟังมานี่พี่จ๊อบคนเดียวมันก็ทำอะไรพวกนั้นได้ไม่ใช่รึไง ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับนัทตรงไหน”

“ก็คงเป็นอย่างนั้น....... การที่นัททำแบบนี้และใช้ประโยชน์จากที่พี่จ๊อบมันมีทั้งเงิน คน และอำนาจในการทำหลายๆเรื่อง ทำให้แทบจะไม่มีอะไรสาวไปถึงตัวนัทได้เลย หลักฐานทุกอย่างมันจะตกไปอยู่ที่พี่จ๊อบที่เป็นคนลงมือทำอะไรอย่างเอิกเกริกทั้งนั้น ไม่ใช่นัทที่เป็นคนนั่งมองดูทุกๆอย่างอยู่เบื้องหลัง”

นัทยิ้มอย่างมีชัยชนะ “ใช่ แล้วก็ถ้าสมมติมันเป็นอย่างนั้นจริงแล้วจะทำไม ถ้าสมมติว่าสิ่งที่เมฆพูดเป็นความจริง แล้วมันสมควรแล้วมั๊ยล่ะ กับคนที่ทรยศหักหลังนัทแบบนี้น่ะ ใช่สิ ใครๆต่างก็รักศิลาและฟ้าคราม แต่มีใครบ้างมั๊ยที่จะสนใจและเข้าใจนัทที่ต้องมีแฟนเป็นไอ้พวกลักเพศทั้งสองคนแบบนั้นน่ะ!”

“แต่ทำไมนัทถึงต้องทำร้ายคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องแบบนั้นด้วย ทำไมต้องแบล็คเมล์ไอ้แบ๊งค์มันอย่างนั้น และทำไมถึงต้องทำร้ายพ่อกับไคล์”

“เมฆอย่าลืมสิว่านัทไม่ได้เป็นคนทำนะ ไอ้พวกนั้นมันทำของมันกันเองต่างหาก”

“ไอ้พวกนั้น หมายถึงคนที่มันขึ้นบ้านเมฆน่ะเหรอ”

“ใช่ คนโง่ๆมันก็เหมาะกับการใช้แล้วทิ้งดีน่ะนะ” นัทแค่นยิ้ม “แล้วจะทำไม เมฆ โอเค ใช่ นัททำเรื่องทั้งหมดเอง แต่ไหนล่ะหลักฐาน เมฆบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่มีหลักฐานอะไรสาวมาถึงตัวนัทได้เลยน่ะ และจำเอาไว้เลยนะ เมฆ.......” นัทโน้มตัวเข้ามาหาผม “ถ้านัทไม่มีความสุขล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าเมฆกับซันก็จะมี!”

ผมรู้สึกถึงความโกรธที่แผ่พุ่งไปทั่วทั้งร่างกาย นัทกำลังทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ผมก็คว้าข้อมือของเธอเอาไว้

“หยุด” ผมกระชากข้อมือของนัทเข้าหาตัวทำให้นัทเสียหลักเล็กน้อย “กลับมานั่งลงเดี๋ยวนี้”

“โอ๊ยย! ปล่อยนะ เมฆ!”

“นัทอยากได้หลักฐานใช่มั๊ย” ผมล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นี่ไง หลักฐาน”

“นี่มันอะไรน่ะ”

ผมกดปุ่มๆหนึ่งบนโทรศัพท์ และหยิบมันมาแนบกับหู “ออกมาได้แล้วล่ะ”

สีหน้าของนัทเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินออกมาจากหลังร้านคือไอ้เอ็นที่สวมชุดตำรวจในเครื่องแบบอย่างเต็มยศ ในมือของมันถือมือถืออีกเครื่องเอาไว้ และสีหน้าของมันก็บอกให้นัทรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว

“ทุกคำพูดของนัทถูกบันทึกเอาไว้หมดแล้ว ขอบใจมากเมฆ ที่พูดหลอกล่อจนในที่สุดมันก็ยอมรับสารภาพออกมาเอง” ไอ้เอ็นหันมาพูดกับผม

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” นัทร้องออกมา

“ยังอยากได้หลักฐานอื่นอีกมั๊ย เช่นรูปที่นัทส่งเข้ามือถือไอ้ซันเมื่อคืนนั้นน่ะ แน่นอนว่าต้องมีเบอร์และเวลาโชว์อยู่ด้วยแน่ รวมทั้งไอ้โจรกระจอกสามคนที่นัทจ้างไปขึ้นบ้านของเมฆในคืนนั้นก็ด้วยเหมือนกัน ตอนนี้พวกมันนอนรอที่จะชี้ตัวนัทอยู่ในห้องขังเรียบร้อยแล้ว”

“เมฆ! นี่มันหมายความว่ายังไง!”

“เมฆมันไม่ได้พูดสักคำนะว่ามัน ‘ไม่มีหลักฐานอะไรเลย’ แต่มันพูดว่า ‘แทบจะไม่มี’ ต่างหาก นัทเองนั่นแหละที่เป็นคนพูดมัดตัวตัวเองออกมา” เอ็นพูดพร้อมกับโบกโทรศัพท์ในมือขึ้นเบาๆกลางอากาศ “คราวนี้ก็ดิ้นไม่หลุดแล้วล่ะนะ ต่อให้พ่อของนัทจะใหญ่สักแค่ไหนก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วคราวนี้”

“เอาล่ะ คราวนี้คือจุดประสงค์หลักของการที่เรามาเจอกันวันนี้แล้วนะ นัท เมฆอยากจะขอร้องอะไรนัทเป็นอย่างสุดท้าย ถือว่าเราแลกเปลี่ยนกันก็ได้ นั่นก็คือเมฆอยากให้นัทวางมือจากเรื่องพวกนี้ซะ เลิกคิดที่จะทำอะไรเหี้ยๆแบบนี้อีก และเราสองคนก็จบลงเท่านี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องต่อกันอีก เมฆจะไม่เอาเรื่องนัทก็ได้ แต่นัทต้องรับปากว่าจะไม่มาวุ่นวายกับพวกเราคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป และเมื่อไหร่ถ้ามันเกิดเรื่องเหี้ยๆพรรค์นี้ขึ้นมาอีกล่ะก็ ต่อให้เป็นพ่อนัทหรือใครก็คงช่วยอะไรนัทไม่ได้แน่ และแน่นอน..........” ผมโน้มตัวเข้าไปหานัทเล็กน้อย “ครั้งหน้ากูจะไม่ใจดีแบบนี้แน่นะ”

ผมยืนขึ้นและหันไปพยักหน้าให้กับเอ็น จากนั้นก็เดินออกไปจากร้านกาแฟแห่งนั้นโดยมีมันเดินตามหลังมาติดๆ ทิ้งให้นัทที่หน้าซีดเผือดนั่งตัวสั่นอยู่อย่างนั้นตามลำพัง

“แล้วทางฝั่งไอ้ซันว่ายังไงมั่งแล้วล่ะ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่ไปคุยกับพี่แอมป์นิดหน่อย แล้วก็ไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้อีฟฟังน่ะ ตอนแรกกูก็ว่าจะนัดพวกมันมาเจอแล้วพูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนเลยเหมือนกัน แต่ไปๆมาๆกูคิดว่าแบบนี้คงจะดีที่สุดแล้วว่ะ ขอบใจมึงมากนะเอ็น ที่อุตส่าห์มาให้กูทั้งๆที่เป็นวันหยุดมึง แถมยังต้องแต่งตัวมาซะเต็มยศขนาดนี้”

“เฮ้ย เรื่องเล็กน้อยน่า ว่าแต่เรื่องไอ้สามคนนั้นที่มันเพิ่งมามอบตัวเมื่อสามวันก่อนตอนที่มึงไปอังกฤษน่ะสุดท้ายกูก็ยังไม่รู้เรื่องเลยนะว่าทำไมจู่ๆมันถึงได้โผล่มามอบตัวที่โรงพักเองได้น่ะ”

“นั่นสินะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมยิ้มเล็กน้อย

“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะเว้ย ทั้งสามคนต่างก็ยอมรับสารภาพกันถ้วนหน้า แต่ก็สารภาพด้วยท่าทางหวาดกลัว แถมบางคนยังมีร่องรอยถูกทำร้ายด้วย มันดูเหมือนกับว่าไอ้พวกนี้ถูกซ้อมและขู่บังคับให้สารภาพมากกว่านะ แต่โชคยังดีที่หลักฐานที่มีอยู่มัดตัวพวกมันแน่นหนาพอ และทั้งพ่อมึงกับไคล์ก็ชี้ตัวได้ถูกต้องด้วย”

“แต่ก็ดีแล้วนี่ที่จับตัวคนร้ายได้ มึงเองก็บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่ามึงจะต้องจับพวกมันให้ได้น่ะ มันมามอบตัวเองแบบนี้ก็ดีแล้วนี่”

“กูถามจริงๆเลยนะเมฆ...........” ไอ้เอ็นหยุดเดินและหันมาหาผม “มึงคิดว่าเป็นเพราะพี่วินของมึงรึเปล่า”

ผมยักไหล่ทั้งๆรอยยิ้มบนใบหน้า “ไม่รู้สิ กูก็ไม่ได้คุยกับพี่เค้าอีกเลยเหมือนกัน ก็เลยไม่รู้ว่าเค้าทำได้อะไรลงไปอีกบ้างรึเปล่าน่ะ”

ไอ้เอ็นมองหน้าผมอย่างสงสัย แต่แล้วสุดท้ายก็ยอมแพ้ “เออๆ เรื่องคราวนี้พวกมึงเจอมาเยอะ และพี่วินของมึงก็ช่วยพวกมึงเอาไว้มาก เพราะงั้นกูจะไม่ถามอะไรอีกก็ได้ แต่มึงก็รู้ใช่มั๊ยว่าเค้าเป็นคนที่ อืมม....... ค่อนข้างจะอันตรายน่ะ”

“ไม่ใช่สำหรับพวกกูหรอก เอ็น” ผมออกเดินอีกครั้ง “ว่าแต่ไอ้แบ๊งค์ล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีขึ้นนะ มันก็ยังไม่เลิกโทษตัวเองสักเท่าไหร่หรอก และมันก็ยังกลัวว่าไอ้เหี้ยจ๊อบจะกลับมาแว้งกัดครอบครัวของมันอีกรึเปล่าด้วยว่ะ”

“กูว่าเรื่องนั้นไม่มีทางแล้วล่ะ มึงไปบอกให้มันสบายใจเถอะ และอีกอย่างตอนนี้ทั้งกูและซันต่างก็ไม่คิดมากแล้ว และกูเองก็ไม่ได้คิดโกรธหรือผูกใจเจ็บอะไรมันอีกแล้วด้วยเหมือนกัน”

เมื่อเราสองคนเดินมาถึงอาคารจอดรถ ผมกับไอ้เอ็นก็หยุดฝีเท้าลง

“เดี๋ยวกูคงต้องไปทำธุระต่ออีกนิดหน่อยว่ะ งั้นเราแยกกันตรงนี้เลยก็แล้วกันนะ เอ็น”

“ได้ ว่าแต่มึงไม่เป็นอะไรแน่นะเมฆ”

ผมพยักหน้า “ไม่เป็นไรหรอก กูไม่เหลือเยื่อใยอะไรให้คนๆนี้มานานแล้วว่ะ ความรักความผูกพันความรู้สึกดีๆอะไรทั้งหลายแหล่แม่งหายห่าไปหมดนับตั้งแต่ตอนที่กูรู้ความจริงแล้ว......... และบอกตามตรงนะ กูว่าแค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะงั้นตอนแรกกูถึงได้คิดจะประจานมันต่อหน้าเพื่อนๆทุกคนเลยด้วยซ้ำไปไง” ผมส่ายหน้าเบาๆ “คิดๆดูแล้วก็เลวเหมือนกันเนอะ กูนี่”

“เลวเหี้ยอะไร แค่นี้มึงก็พระเอกมากแล้ว อีห่านั่นมันทำถึงขนาดนี้มึงยังจะอุตส่าห์ไม่เอาเรื่องมันอีกแบบนี้น่ะ”

“ใช่ กูคงไม่เอาหรอก........ แต่ว่าถ้าเป็นไอ้ซันล่ะก็ไม่แน่” ผมยิ้ม

“อ้ออ” ไอ้เอ็นยิ้มกว้าง “หึๆ มิน่าล่ะ ไอ้ซันมันถึงได้เรียกมึงว่าไอ้ตัวดี”

“งั้นมึงก็คงจะไม่แปลกใจสินะที่กูเรียกมันว่าไอ้แสบน่ะ”

“ไม่เลยสักนิดเดียวว่ะ” ไอ้เอ็นหัวเราะชอบใจ “ไม่เลยสักนิดเดียว”


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:29:56
วินาทีที่ยี่สิบสี่สู่ปลายทางสุดท้าย


“พี่แอมป์บอกว่าพี่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน และเขาก็ฝากขอโทษด้วยที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมดนี่น่ะ”

“เฮ้ย ซัน พี่เค้าไม่ผิดสักหน่อยนี่นา แล้วซันได้บอกพี่เค้ารึเปล่าว่าอย่าคิดมากน่ะ”

“บอกแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้มากแค่ไหนน่ะนะ เมฆจะเข้าไปคุยกับพี่เค้าอีกทีมั๊ยล่ะ เสร็จธุระเรื่องอีห่ารากโรคจิตนั่นแล้วใช่มั๊ย”

ผมอดหัวเราะเบาๆเพราะคำพูดของมันไม่ได้ “ใช่ แล้วซันล่ะยังอยู่กับอีฟอยู่รึเปล่า”

“ตอนนี้เพิ่งขับรถออกมาแล้วครับ ว่าแต่แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ จะเข้าไปหาพี่แอมป์อีกรอบมั๊ย เดี๋ยวคราวนี้ซันไปด้วยก็ได้ เพราะว่ามีอะไรบางอย่างที่เมฆน่าจะอยากเห็นนะ แล้วซันเองก็อยากจะรู้เรื่องที่พี่กรณ์อะไรนั่นคุยกับเมฆด้วยเหมือนกัน”

“ก็ได้ครับ ถ้างั้นเราไปเจอกันที่นั่นเลยก็แล้วกัน” ผมตอบตกลง จากนั้นก็กดปุ่มวางสายและขับรถมุ่งหน้าไปหาไอ้ซันและพี่แอมป์ที่สตูดิโอ จากตำแหน่งที่ผมและไอ้ซันอยู่ผมก็กะเอาไว้ว่าเราน่าจะไปถึงในเวลาใกล้ๆกันพอดี และก็เป็นอย่างที่คาด เพราะเมื่อผมจอดรถปุ๊บ รถของไอ้ซันก็เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถพอดีเลยด้วยเช่นกัน

“ไปเถอะ พี่แอมป์รออยู่ข้างในแล้ว” ไอ้ซันพูดทันทีที่ลงจากรถ

เราสองคนเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานขนาดเล็กพร้อมกันๆ ที่นี่เป็นตึกขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก มีความสูงทั้งหมดประมาณหกชั้น ชั้นล่างนั้นเป็นออฟฟิศและเป็นห้องใช้รองรับแขกที่มาติดต่อ และเมื่อดูจากป้ายหน้าลิฟต์แล้วก็เห็นว่าบนชั้นสองและชั้นสามนั้นเป็นสตูดิโอที่เอาไว้ใช้ถ่ายภาพ ซึ่งครั้งหนึ่งซันก็เคยพาไคล์มาถ่ายรูปที่นี่ด้วยนั่นเอง

“เมฆ ซัน” พี่แอมป์ลุกขึ้นจากโซฟาและเดินตรงเข้ามาหาพวกเราทันทีที่เราเดินเข้าประตูไป

“สวัสดีครับพี่ เป็นยังไงมั่งครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้

“สบายดีๆ แต่เรานั่นแหละ ดูผอมลงไปเยอะเลยนะ พี่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วค่ะ ไม่คิดเลยว่าไอ้บอลมันจะแอบเอารูปพวกเราไปขายให้ไอ้คนชื่อจ๊อบนั่นได้ และพี่ก็ไม่รู้เลยว่าไอ้บ้านั่นมันจะเลวขนาดนี้ พี่ต้องขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยจริงๆ แล้วก็ขอโทษแทนไอ้อาร์มน้องชายพี่ด้วยที่มันปากมากจนเป็นสาเหตุให้เราต้องมีปัญหากันแบบนี้น่ะ” พี่แอมป์รีบออกปากขอโทษ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับพี่ มันไม่ใช่ทั้งความผิดของพี่และของอาร์มหรอก ไอ้พวกเหี้ยนั่นน่ะ ถ้ามันไม่ได้เรื่องที่เรามาถ่ายรูปกัน มันก็ยังจะสรรหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มากลั่นแกล้งทำให้เราเลิกกันให้ได้อยู่ดีแหละครับ”

“แต่พี่ก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่จริงๆนะ และนี่ตั้งแต่เกิดเรื่องมา พี่ก็ยังติดต่อนังบอลไม่ได้เลยสักครั้งเดียวเนี่ย” พี่แอมป์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“แล้วพี่เค้าไม่ได้บอกที่ทำงานก่อนเหรอครับว่าเค้าจะไปไหนน่ะ พี่เค้าทำงานที่นี่ใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ จริงๆมันก็ต้องมาประจำที่นี่นั่นแหละ ไม่เหมือนพี่ที่มาๆไปๆ แต่หัวหน้ามัน พี่ปุ๋ม เค้าก็บอกพี่นะว่ามันไม่โผล่หน้ามาหลายวันแล้ว ติดต่อก็ไม่ได้ มีแค่จดหมายลาออกส่งมาแค่ใบเดียว ตายห่าไปรึยังก็ไม่รู้เนี่ย”

ผมกับซันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ จากนั้นผมก็หันไปหาพี่แอมป์ “แล้วที่บ้านพี่เค้าล่ะครับ มีใครเคยไปรึเปล่า และติดต่อคนที่บ้านเค้าได้มั๊ย”

พี่แอมป์ส่ายหน้า “ไม่ได้เลย มันไม่ใช่คนกรุงเทพหรอก มันอาศัยอยู่คนเดียวในอพาร์ทเม็นท์น่ะ สงสัยหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามผู้ชายไปแล้วมั๊ง พี่ก็ไม่รู้สิ เห็นพี่ปุ๋มบอกว่าหลังจากวันนั้นที่มีผู้ชายคนนึงมาขอพบมันแล้วมันก็หายหัวไปเลย”

“มีผู้ชายมาขอพบเค้าเหรอครับ” ผมถาม รู้สึกใจหายวาบ

“ใช่จ้ะ ตอนแรกพี่ปุ๋มเค้ายังนึกว่าเป็นแฟนมันเลย เพราะเห็นว่าหน้าตาดีด้วยนะ”

“ใช่แน่..........” ผมพึมพำออกมาเบาๆ

“เมฆว่ายังไงนะคะ”

“เปล่าๆครับ ไม่มีอะไร ผมก็แค่กำลังคิดว่าถ้าผมหรือไอ้ซันไม่ได้เจอหน้าเค้าตอนนี้ซะก็คงจะดีแล้วน่ะครับ เพราะไม่งั้นคงได้มีเรื่องแน่ๆ โดยเฉพาะไอ้ซันมันเป็นคนใจเย็นซะเมื่อไหร่”

“เมื่อกี๊กูก็พูดแบบนี้แหละ” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่พี่ครับ แล้วของที่จะให้ไอ้เมฆดู........”

“อ้อ ใช่ๆ มาทางนี้สิทั้งสองคน” พี่แอมป์เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง จากนั้นก็พาเราสองคนเดินเข้าไปในห้องรับรอง พนักงานสองสามคนในนั้นหันมามองที่ผมกับไอ้ซันแล้วก็หันไปซุบซิบคิกคักกันจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

“นี่เค้าหัวเราะอะไรพวกผมกันเหรอครับ” ผมกระซิบถามพี่แอมป์หลังจากนั่งลงบนโซฟาแล้ว

“อ๋ออ ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปถือสาเลย พี่ต้องขอโทษด้วยนะ ยัยพวกนี้มันแค่ไม่เคยเห็นคนหน้าตาดีสองคนเดินมาด้วยกันแบบนี้เท่านั้นเอง” พี่แอมป์พูดไปอมยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี

ไอ้ซันก้มหน้าแอบหัวเราะเบาๆ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งงงเพราะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่พี่แอมป์พูด แต่สุดท้ายเมื่อพี่แอมป์เดินจากไป ผมถึงได้เห็นผนังห้องด้านหลังตรงที่พี่แอมป์เคยยืนบังอยู่ว่ามันคืออะไร และนั่นก็ทำเอาผมรู้สึกอายจนหน้าแดงไปถึงหู

บนกำแพงฝั่งนั้นมีบรรดารูปภาพของนายแบบนางแบบหลายคนทั้งชาวไทยและต่างชาติมากมายแขวนอยู่ บางคนก็เป็นคนมีชื่อเสียง ดารา หรือนักร้อง และบางคนก็อาจจะเป็นนายแบบนางแบบสมัครเล่นที่ยังไม่มีชื่อเสียงหรือที่ผมไม่รู้จัก แต่หนึ่งในรูปหลายรูปพวกนั้นมีอยู่รูปหนึ่งที่สะดุดตาผมมากที่สุด เพราะมันเป็นรูปขาวดำและแขวนอยู่เกือบจะตรงกลางห้องพอดี นั่นคือรูปของผู้ชายสองคนที่เปลือยท่อนบนและมีคนหนึ่งนอนหงานอยู่บนเตียง ส่วนอีกคนก็นอนตะแคงชันหัวมาส่งยิ้มให้กับเขาอยู่ ไม่ว่าจะดูยังไงก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันมากกว่าคำว่าเพื่อนแน่นอน ทั้งจากรอยยิ้ม แววตา และบรรยากาศทั้งหมดที่ถูกสื่อออกมาจากภาพใบนั้น และที่สำคัญก็คือชายหนุ่มสองคนนั้นมันคือผมกับไอ้ซันนั่นเอง

“เฮ้ยยย” ผมร้องอุทานออกมาเบาๆ จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซันที่ยังคงนั่งหัวเราะตัวงออยู่ข้างๆ “ไอ้แสบบ! นี่มึงรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ แล้วทำไมภาพนั้นมันถึงได้ขึ้นไปแผ่หราอยู่กลางห้องแบบนั้นได้วะ!”

ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมาเอานิ้วจุ๊ปากทั้งๆที่ยังคงหัวเราะอยู่ “เบาๆ เมฆ คนอื่นเค้ามองมึงกันหมดแล้วนะ”

ผมมองไปรอบๆแล้วก็ลดเสียงลง “กูอายเค้านะเว้ย มิน่าทำไมเค้าถึงได้มองเรากันจัง”

“เอาน่าๆ รูปแค่ใบเดียวเอง กูบอกพี่แอมป์เองแหละว่าให้เอาขึ้นได้เมื่อตอนที่พาไคล์มาน่ะ โถ่เอ๊ย คิดมากน่าเมฆ ก็อย่างที่พี่แอมป์บอกไง พวกเค้ามองเราก็เพราะเราหล่อไง” ไอ้ซันหัวเราะคิกคัก

“ไม่ใช่สักหน่อย ไอ้ห่าาาา แบบนี้ก็เหมือนประกาศตัวเลยสิวะว่าเราเป็นเกย์น่ะ” ผมกระซิบ

“ก็แล้วทุกวันนี้ยังไม่ได้ประกาศอีกเหรอ” ไอ้ซันชูนิ้วนางข้างซ้ายที่มีแหวนสวมอยู่ขึ้นมา “และยังกับมึงหรือกูแคร์น่ะ แถมที่สำคัญ มันก็แค่รูปเรานอนคุยกันยิ้มให้กัน ไม่ได้มีป้ายบอกตรงไหนสักหน่อยว่าสองคนนั้นเป็นเกย์น่ะ ไอ้ที่มึงพูดมามันก็แค่ความคิดของคนอื่นที่เขาจะคิดกันไปเองรึเปล่าก็เท่านั้นเอง”

“แต่ว่ามัน.........” ผมมองไปยังพนักงานหญิงกลุ่มนั้น และเมื่อเขาเห็นผมมอง พวกเขาก็ส่งยิ้มและโบกมือมาให้พวกเราสองคน ผมจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆคืนกลับไป แต่ไอ้ซันกลับหันไปโบกมือกลับให้พวกเขาหน้าตาเฉย “ยังมีหน้าไปโบกมือให้พวกเขาอีก ไอ้หน้าไม่อาย” ผมด่ามัน

“อะไรของมึงงง เมฆ ก็กูมาที่นี่หนที่สามแล้ว นี่ๆ พี่คนนั้นชื่อเอ๋ คนนั้นชื่อปลา ส่วนอีกคนที่ผมสั้นๆนั่นชื่อแพม เป็นไง กูอ่ะคุยกับพวกเค้ามาหมดแล้ว ตอนที่พาไคล์มากูก็คุย เมื่อกี๊ก็คุย และนี่ถ้ามึงจะเอาเบอร์ด้วยก็ได้นะ เดี๋ยวกูไปขอมาให้”

“พอเลย ไอ้แสบสัตว์ นั่งเฉยๆเลย” ผมดึงแขนมันให้มันนั่งลงกับที่ “เออๆ กูผิดเองที่เสือกหน้าบางและดันมีแฟนหน้าหนาน่ะ”

“ใครบอกว่ากูหน้าหนา กูก็แค่หน้าไม่อายที่มีแฟนหน้าตาดีอย่างมึงต่างหาก” ไอ้ซันพูดพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผม

“แหมๆ ยังหวานกันไม่เปลี่ยนเลยนะ แบบนี้ค่อยน่าสบายใจหน่อย” พี่แอมป์ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับสมุดหรือหนังสืออะไรสักอย่างเล่มโตในมือพูดขึ้น และคราวนี้พี่แอมป์ก็กลับมาพร้อมกับผู้หญิงวัยกลางคนอีกคนนึงด้วย “นี่พี่ปุ๋มจ้ะ เป็นบรรณาธิการของที่นี่”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้

“จ้ะ นี่น่ะเหรอเมฆ หล่อกว่าในรูปซะอีกน้า” พี่ปุ๋มหันไปยังรูปของพวกเราสองคน ทำเอาผมรู้สึกเขินขึ้นมาอีกครั้ง “นี่ เมื่อตอนกลางวันพี่ก็คุยกับซันไปแล้วรอบนึงนะ แต่เมฆกับซันไม่สนใจจะมาถ่ายแบบกันมั่งเหรอ สนุกๆน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก ถือว่ามาลองดูหาประสบการณ์ไง แถมยังได้เงินดีด้วยนะ”

“เอ่ออ ไม่ดีกว่าครับพี่ ผมเกรงใจ”

“แน่ใจนะเมฆ ทำสนุกๆก็ได้นี่นา” ไอ้ซันยุ

“หุบปากเลยไอ้แสบ เดี๋ยวมึงจะโดน” ผมหันไปกระซิบใส่มัน “ว่าแต่นั่นอะไรอ่ะครับ พี่แอมป์” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง

“นี่แหละ ที่พี่อยากให้เมฆกับซันดูก่อนที่มันจะเสร็จน่ะค่ะ” พี่แอมป์วางหนังสือลงบนโต๊ะ และเมื่อมันถูกเปิดออก ข้างในก็คือรูปของไคล์ในหลายๆชุดและหลายๆอิริยาบถ “นี่คือรูปของไคล์ที่มาถ่ายไปเมื่อคราวนั้นไง เมื่อตอนกลางวันพี่ก็ให้ซันดูไปแล้วรอบนึงน่ะ”

“พี่กำลังคัดเลือกกันอยู่พอดีว่าจะเอารูปไหนลงหนังสือบ้าง แต่เห็นว่าน้องคนนี้เป็นคนโปรดของแอมป์น่ะ พี่ก็เลยให้เป็นกรณีพิเศษหน่อยก็คือจะให้เจ้าตัวมาเลือกเองด้วย แต่เห็นซันบอกว่าไคล์มาไม่ได้ พี่ก็เลยเอามาให้เมฆกับซันช่วยเลือกแทน” พี่ปุ๋มอธิบาย

“ทำไมไคล์ถึงมาไม่ได้ล่ะ” ผมหันไปถามซัน

“เพราะว่าพี่เค้าจะต้องเลือกภายในวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วน่ะสิ” ไอ้ซันตอบ

“ใช่ค่ะ เพราะว่าพี่ต้องรีบส่งไปเรียบเรียงและขึ้นเล่มสำหรับฉบับเดือนหน้าน่ะ”

“ว่าไง เมฆ ซัน ลองจิ้มๆดูสักสี่ห้าภาพซิ พี่เค้าจะได้ดูว่าเห็นด้วยมั๊ย”

ผมกับซันช่วยกันเลือกรูปและคุยกับพี่ปุ๋มพี่แอมป์กันอยู่อีกราวๆครึ่งชั่วโมง ก่อนที่พี่ปุ๋มจะขอตัวกลับไปทำงานต่อพร้อมกับภาพที่ถูกเลือกแล้ว ส่วนพี่แอมป์ก็ยังคงนั่งคุยกับพวกเราต่ออีกครู่หนึ่ง

“จริงๆที่พี่มาที่นี่วันนี้เพราะพี่จะมาส่งเรื่องสั้นที่พี่เพิ่งเขียนเสร็จด้วยน่ะ”

“เรื่องสั้นเหรอครับ”

“ใช่แล้ว เมฆ จำได้มั๊ยที่พี่เคยบอกไงว่าน้องสองคนน่ะเป็นแรงบันดาลใจให้พี่นะ พี่ก็เลยเขียนเรื่องความรักในอีกมุมมองหนึ่งขึ้นมาเรื่องนึงสั้นๆน่ะ แค่ประมาณหนึ่งหน้าเอสี่เอง และพี่ปุ๋มก็ชอบมากด้วย คิดว่าจะได้ลงตีพิมพ์พร้อมกับรูปถ่ายแบบของไคล์เดือนหน้านี้แหละ”

“จริงเหรอครับพี่” ผมถามอย่างไม่อยากเชื่อ

“จริงสิ จริงๆพี่ก็อยากให้เมฆกับซันได้ลองอ่านดูก่อนนะ แต่พี่ว่ารอไว้ทั้งคู่ได้ดูแบบสมบูรณ์จริงๆเลยจะดีกว่า แต่วางใจเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของทั้งสองคนเป๊ะๆหรอก ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครจำได้หรอกนะคะ”

“เรื่องนั้นผมไม่กลัวหรอกครับพี่ พวกผมเชื่อใจพี่แอมป์ครับ”

“ขอบใจจ้ะ เมฆ” พี่แอมป์ยิ้ม

จากนั้นไม่นานเราสองคนก็ขอตัวกลับบ้าน โดยที่ผมกับไอ้ซันจำเป็นที่จะต้องขับรถกลับกันคนละคัน แต่นั่นก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้เคลียร์ปัญหาหนึ่งที่คาใจผมอยู่ออกไปด้วย ทันทีที่ผมขึ้นรถและเห็นไอ้ซันขับรถนำออกจากลานจอดรถไปแล้ว ผมก็หยิบมือถือขึ้นมากดหาพี่กรณ์ทันที

“พี่กรณ์ครับ ผมขอถามอะไรพี่อย่างนึงสิครับ”

“ว่าไงครับเมฆ”

“พี่กรณ์รู้จักคนชื่อบอลใช่มั๊ยครับ ที่เค้าเป็นคนถ่ายรูปให้พวกผม”

“อ้อ ใช่ครับ ทำไมเหรอ”

“พี่รู้ใช่มั๊ยครับว่าตอนนี้พี่เค้าอยู่ที่ไหน พี่วินเป็นคนที่เข้ามาหาพี่บอลใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะ พี่วินไม่ได้ทำอะไรรุนแรงหรอก ถ้าเมฆจะห่วงเรื่องนั้น........”

ผมถอนหายใจโล่งอก “แล้วพี่เค้าอยู่ที่ไหนครับ ทำไมเค้าถึงหายไปโดยไม่ได้บอกใครก่อนเลยแบบนี้”

“กลับบ้านนอกไปแล้วล่ะครับ และก็คงไม่กล้ากลับมาเหยียบกรุงเทพอีกนานเลยล่ะ”

“พี่หมายความว่าไงครับ”

“เอาเป็นว่า จากที่พี่วินบอกพี่น่ะนะ ถ้าคนที่ชื่อบอลนั่นกล้าโผล่หน้ามาให้พี่วินเห็นตามท้องถนนหรือโผล่มาให้พวกเมฆเห็นหน้าแม้อีกแค่ครั้งเดียวล่ะก็ พี่วินจะส่งมันกลับบ้านเก่าของจริงแน่ๆน่ะครับ”

“นี่พี่วินไปขู่เค้าแบบนั้นเหรอครับ”

“เมฆอย่าลืมสิครับว่าเพราะไอ้หมอนี่มันทำให้เมฆต้องพบกับอะไรมาบ้าง อย่าลืมบาดแผลที่กลางหลังและความเจ็บปวดของพ่อและไคล์ หรือแม้แต่ความเจ็บปวดทางใจของตัวเองและคนรอบข้างด้วย” พี่กรณ์พูดเตือน “แต่จะว่าพี่วินไปขู่มันอย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะมันเองก็รีบตะครุบข้อเสนอของพี่วินและทำตามที่พี่เขาบอกแต่โดยดีและเต็มใจเลยด้วย”

“ข้อเสนอเหรอครับ” ผมสงสัย

“พี่วินน่ะ รวยนะครับ เมฆอย่าลืมสิ พี่เขาจะเอาเงินไปชักโครกทิ้งสักเท่าไหร่ก็ไม่หมดหรอก และถ้าเสียเงินกะไอ้แค่นี้แล้วถือว่าเป็นค่ากำจัดขยะไปให้พ้นหูพ้นตาแล้วล่ะก็ มันก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ”

“พี่วินต้องควักเงินของตัวเองด้วยเหรอครับ”

“ไม่ต้องใส่ใจหรอกนะเมฆ มันเป็นสิ่งที่พี่เขาอยากจะทำอยู่แล้วน่ะครับ อย่าลืมว่าพี่เค้าจะเลือกทางอื่นที่รุนแรงกว่านั้นก็ได้ แต่พี่เค้าเลือกใช้วิธีนี้ก็เพราะเค้านึกถึงเมฆนะครับ เอาล่ะ พี่ต้องขอตัวกลับไปทำงานต่อแล้ว เท่านี้ก่อนนะครับ”

หลังจากพี่กรณ์วางสายไป ผมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่งจนกระทั่งไอ้ซันโทรเข้ามาถามว่าผมออกมาหรือยัง เพราะมันจะชวนผมไปเดินหาซื้อของทำกับข้าวเย็นคืนนี้ด้วยกันก่อนที่จะเข้าบ้าน ผมจึงเริ่มขับรถจากมาพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ว่ามันก็เป็นความรู้สึกสบายใจที่ผมรู้สึกดีอยู่ลึกๆไม่น้อยเลยทีเดียว


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:31:21
วินาทีที่ยี่สิบห้าสู่ปลายทางสุดท้าย


คืนนั้นผมกับซันนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันแล้วนั่งดูทีวีรอบดึกอยู่ในห้องนั่งเล่น พ่อเอกที่ไปทำธุระเรื่องานเสร็จแล้วบอกกับเราว่าไอ้ซันจะต้องเข้าไปสมัครงานด้วยตัวเองอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ส่วนผมกับพ่อก็ต้องกลับไปเริ่มงานอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ด้วยเลยเช่นกัน และพรุ่งนี้ในตอนบ่ายพ่อกับแม่ของซันและไคล์ก็จะบินกลับอังกฤษแล้วด้วย นับว่าโชคไม่ดีที่เราไม่สามารถไปส่งพวกท่านที่สนามบินได้ แต่ว่ามื้อเย็นที่บ้านของพวกเราเมื่อครู่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการอำลาในช่วงสั้นๆจนกว่าที่เราจะได้เจอกันอย่างพร้อมหน้าอีกครั้ง

“จะว่าไป มันมีอยู่อีกอย่างที่แปลก คืออะไรรู้มั๊ยเมฆ.........” ไอ้ซันพูดขึ้นหลังจากที่ผมเล่าเรื่องที่ผมไปคุยกับพี่กรณ์มาเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าผมก็ไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดเรื่องอดีตของพี่วินอะไรให้มันฟังเลย เพราะผมรับปากกับพี่กรณ์เอาไว้แล้ว และตัวไอ้ซันเองก็เข้าใจดี

“อะไรเหรอ”

“วันนี้ซันไม่ได้เจอกับลุงกิตหรอกนะ ปรากฎว่าลุงเค้าลางานไปได้สามวันแล้ว”

“อ้าวเหรอ”

“เมฆไม่รู้สึกเหรอว่ามันแปลกๆคล้ายกับกรณ์ของไอ้พี่บอลเลยน่ะนะ”

“ซันคิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นเพราะพี่วินด้วยงั้นเหรอ.......... แล้วลุงกิตนั่นเค้าจะมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะ”

“อืมม ซันลองถามเรื่องนี้กับพ่อดูแล้ว และรู้มั๊ยว่าที่น่าตกใจคืออะไร....... ลุงกิตน่ะรู้จักกับพ่อของไอ้เหี้ยจ๊อบมาก่อนด้วยนะ หรือพูดให้ถูกก็คือทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนกันมาสมัยที่เรียนมัธยมปลายด้วยกันน่ะ”

“จริงอ้ะ” ผมถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่ พ่อเองก็เพิ่งจะนึกออกเหมือนกัน แต่ว่าพ่อก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับพ่อของไอ้เหี้ยจ๊อบนั่นหรอกนะ แต่แค่เคยเห็นสองคนนี้เค้าไปมาหาสู่กันครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง แถมนั่นมันยังเมื่อนานมาแล้วด้วย เพราะงั้นพ่อก็เลยไม่ได้ใส่ใจจำอะไรมากนัก”

“ถ้างั้นก็หมายความว่าพ่อมันก็ต้องมีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ด้วยน่ะสิ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ถึงพ่อมันจะรู้จักกับลุงกิตจริง แต่แล้วลุงกิตมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะ”

“เรื่องนี้เราสองคนก็คงได้แต่เดากันไปเองน่ะนะว่าพ่อมันรู้เห็นด้วยรึเปล่า แต่ซันคิดว่าไอ้พี่จ๊อบมันอาจจะแค่ฝากให้พ่อมันฝากลุงกิตเอากล่องของขวัญกล่องนั้นเข้าไปในตึกให้มันก็ได้ นั่นก็อธิบายได้ว่าทำไมกล่องของขวัญนั่นถึงได้มาวางอยู่บนโต๊ะซันได้ แต่ซันก็แค่เดาน่ะนะ.......” ไอ้ซันยักไหล่ “และอีกอย่างก็คือเมฆจำได้ใช่มั๊ยที่เราไปกินข้าวกันแล้วซันเกิดขอตัวกลับก่อนเมื่อตอนนั้นน่ะ นั่นน่ะจริงๆแล้วก็เพราะซันเกิดจำหน้าคนๆนึงที่ซันเคยเจอในร้านอาหารที่ซันไปกินกับลุงกิตและลูกค้าในคืนที่ซันได้ตุ๊กตาหมีได้น่ะสิ เพราะงั้นพอลองมาคิดๆดูลุงกิตก็อาจจะเป็นคนที่คอยบอกไอ้จ๊อบหรือพ่อของมันถึงเรื่องความเคลื่อนไหวของซันก็เป็นได้ จริงมั๊ย”

“อืมมม ที่ซันพูดมามันก็มีเหตุผลนะ........ แต่มันก็เป็นแค่การคาดเดาน่ะนะ จริงๆมันอาจจะไม่มีอะไรในกอไผ่เลยก็ได้ หรือบางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่ซันพูดเป๊ะๆแต่ก็อาจจะมีส่วนหรือเฉียดๆก็เป็นได้ ใช่มะ”

“ใช่ แต่ถ้าเกิดเมฆอยากจะรู้จริงๆล่ะก็ เมฆก็แค่โทรถามพี่กรณ์หรือพี่วินก็คงได้คำตอบแล้วนี่”

“เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่ว่าซันอยากรู้เหรอ.......” ผมถาม

“ไม่อ่ะ” ไอ้ซันเบ้ปากแล้วส่ายหน้า “ไม่สนใจสักนิดเดียว เรื่องมันจบลงไปแล้วก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปรื้อฟื้นอะไรอีก ใครทำอะไรไว้สักวันมันก็ต้องใช้ผลกรรม ก็เท่านั้นเอง”

“เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เลย” ผมพยักหน้า จากนั้นเราก็นั่งดูทีวีเงียบๆกันต่อ “จริงสิ รอแป๊บนึงนะ”

ผมผลุดลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นชั้นสองไปหยิบผ้าห่มในห้องของเราลงมา เมื่อไอ้ซันเห็นผมหิ้วผ้าห่มผืนใหญ่ลงมาแบบนั้นมันก็ส่งยิ้มกว้างแล้วรีบเขยิบตัวซุกลงมาในผ้าห่มทันทีที่ผมวางมันลงบนโซฟา

“ทำแบบนี้แล้วคุ้นๆเนอะ”

“เหมือนคืนที่มึงกลัวผีจนไม่กล้านอนคนเดียวตอนนั้นนั่นไง” ผมหัวเราะ

“โห จนป่านนี้แล้วยังต้องให้บอกมั๊ยว่ากูแกล้งกลัวน่ะ ไม่งั้นป่านนี้เราก็คงไม่ได้มานั่งกอดกันอยู่แบบนี้หรอกนะ” ไอ้ซันใช้แขนเกี่ยวคอของผมเข้ามารัดเบาๆ

เราสองคนนั่งหยอกล้อและหัวเราะเบาๆกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งซบและกุมมือกันดูทีวีกันต่อโดยไม่มีคำพูดใดๆระหว่างเรากันอีก คำพูดเพียงอย่างเดียวที่เราใช้สื่อสารกันอยู่ในตอนนี้ก็คือภาษาแห่งความเงียบ ซึ่งเป็นภาษาที่เราสองคนชอบใช้ในยามที่ต้องการจะส่งผ่านความอบอุ่นถึงกันและกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆเป็นสื่อกลาง.......

“ยังไม่นอนอีกเหรอครับทั้งสองคน” ไคล์ชะโงกหน้าลงมาจากชั้นสองมาถามพวกเรา

“ยังเลย ไคล์ล่ะ ทำไมยังไม่นอนอีก มานี่ๆ มานั่งดูทีวีด้วยกันก่อนสิ” ผมเรียก

ไคล์เดินลงมาจากชั้นสองในชุดนอนและมานั่งขดอยู่บนโซฟาเดี่ยวข้างๆพวกเรา เราสามคนนั่งดูทีวีกันอยู่เงียบๆท่ามกลางไฟสลัวอยู่ครู่ใหญ่ๆโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคน

“กินนมเย็นๆกันสักคนละแก้วมั๊ย” ไอ้ซันถามขึ้น

“ก็ดีนะ ไคล์ล่ะ เอามั๊ย”

“ก็ดีครับ ผมขอด้วยแล้วกัน”

“โอเค เอาล่ะ เมฆ ไปหยิบมาซิ” ไอ้ซันเขยิบตัวแล้วตบก้นผมให้ลุก

“อ๊าวว ไอ้เหี้ย เห็นเป็นคนพูด กูก็นึกว่ามึงจะลุกไปหยิบเอง ไอ้ห่านี่” ผมหัวเราะเบาๆ แต่ก็ลุกขึ้นไปเทนมจากในครัวเทใส่แก้วมาทั้งหมดสามใบและมายื่นให้แก่ไคล์ ซัน และตัวผมเองคนละใบ จากนั้นก็กลับมานั่งอยู่ข้างๆไอ้ซันเหมือนเดิม

“จะว่าไปไคล์ก็พูดภาษาไทยเก่งขึ้นมากเลยนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนให้ไคล์มานั่งดูทีวีที่พูดภาษาไทยแบบนี้ล่ะคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ”

“ก็จริงนะ แต่ผมเองก็ใช่ว่าจะฟังทันหมดทุกคำอยู่ดีนั่นแหละครับ ศิลา”

“แต่ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกไคล์ยังต้องพูดไทยคำอังกฤษคำอยู่เลย แต่เดี๋ยวนี้แทบไม่ต้องแล้วนี่”

“ก็สมัยนั้นผมไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยกับคนอื่นนอกจากกับแม่นี่นา แต่พอมาอยู่ที่นี่ก็มีแต่คนพูดภาษาไทย ถึงผมจะเรียนอินเตอร์ก็เถอะนะ”

“ว่าแต่อาร์มเป็นยังไงมั่ง ไคล์” ไอ้ซันถาม

“ก็ดีนะครับ ถ้าซันหมายถึงหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด รู้สึกว่าเจ้าตัวเองจะไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก แต่ก็ดูเป็นคนกล้าพูดกล้าคุยกับคนอื่นมากขึ้น และเค้าก็ยอมรับกับผมแล้วด้วยว่าเค้าเป็นเกย์”

“ก็ดีแล้ว บางทีการที่มีเพื่อนให้เราคุยด้วยได้แม้แค่สักคนเดียวน่ะ มันก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อนะ”

ผมกับไคล์พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นห้องทั้งห้องก็ตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง มีเพียงแสงไฟและเสียงเพลงจากทีวีเท่านั้นที่ช่วยทำลายความเงียบและความมืดมิด ถึงอากาศในคืนนี้จะค่อนข้างเย็น แต่ทว่าผมกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นและความสบายอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้วจริงๆ

“มานั่งด้วยกันสิ ไคล์” ไอ้ซันเรียกไคล์ให้มานั่งข้างๆ

ผมเขยิบให้เกิดช่องว่างขึ้นระหว่างผมกับไอ้ซันและเปิดผ้าห่มออกให้ไคล์เข้ามานั่งได้ ไคล์ค่อยๆสอดตัวเข้ามาระหว่างเราสองคน และถึงเขาจะตัวสูงกว่าเราทั้งคู่เสียอีก แต่ทว่าเราก็จัดการเบียดเสียดกันอยู่ใต้ผ่าห่มผืนนี้ได้อย่างพอดี

ผมเอื้อมมือไปโอบทางด้านหลังของไคล์ ส่วนไอ้ซันก็กอดไคล์จากทางด้านหน้า สายตาของเราทั้งสามจับจ้องอยู่ในทีวี แต่หัวใจของเราทุกดวงต่างก็ล้วนผูกพันกันอยู่ข้างใน ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นนี้คงจะไม่มีอะไรที่สามารถมาทดแทนมันได้อย่างแน่นอน

“พีทเล่าให้ผมฟังว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็เคยทำแบบนี้กับเขา” ไคล์พูดขึ้นเบาๆ

“งั้นเหรอ แต่จะว่าไปก็ใช่นะ”

“น่าจะหลายครั้งด้วยซ้ำไป” ไอ้ซันเห็นด้วย

“แต่กับไคล์เองก็พวกพี่ก็เคยทำนี่”

“ใช่ครับ และพวกพี่รู้มั๊ยว่าทุกครั้งที่พี่ทำแบบนี้ มันทำให้พวกผมรู้สึกดีมากจริงๆนะ”

“งั้นเหรอ”

“ใช่ครับ มันทำให้พวกผมรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้องจากพี่ชายที่ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมที่สุดของเราทั้งสองคนน่ะ”

“โห ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ไอ้น้องชาย”

“ใช่ พวกพี่ก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ ครั้งนี้ไคล์เองก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าทั้งพี่และซันต่างก็ทำเรื่องงี่เง่าจนต้องทำร้ายกันเองมากขนาดไหนมาแล้วน่ะ”

“มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอครับ ที่คนเป็นแฟนกันจะทะเลาะกันหรือผิดใจกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทั้งสองคนมีก็คือ ‘ความรัก’ ที่ไม่มีวันสั่นคลอน และ ‘ความผูกพัน’ ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นั่นแหละครับคือต้นแบบ ‘ความรักในอุดมคติ’ ของผมกับพีทเลย”

“พี่เองก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยนะครับ ว่าสิ่งที่ทำให้คนหลายคนรู้สึกชอบหรือแม้แต่ชื่นชมในตัวพี่กับซันเหมือนอย่างพีกับไคล์น่ะ คือ ‘ความรัก’ ด้วยตัวของมันเอง” ผมพูด

“ถึงตอนนั้นพี่จะสูญเสียเมฆมันไปชั่วขณะหนึ่งเพราะความอ่อนแอของพี่เอง แต่พี่ก็พูดได้เลยนะว่าพี่ไม่เคยสูญเสียความรักที่มีให้มันไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว ตรงกันข้าม สาเหตุที่พี่ทำเรื่องเหล่านั้นลงไปมันก็เป็นเพราะว่าพี่รักมันมากซะด้วยซ้ำ แต่มันเสียตรงที่พี่ไม่เข้มแข็งมากพอเท่านั้นเอง”

“มึงพูดเหมือนกูไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้เลยนะ ไอ้ซัน”

“ผมชอบที่เวลาพี่สองคนแทนตัวเองด้วยชื่อตัวกันมากกว่าคำว่ามึงกับกูนะ” ไคล์พูดขึ้น “ไม่รู้สิ คือผมรู้ว่าคำว่ามึงกับกูมันเป็นคำหยาบคายที่เพื่อนที่สนิทๆเค้าใช้เรียกกัน เพื่อนผมบางคนก็เรียกผมแบบนี้ แต่ผมว่าพี่สองคนเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังเรียกตัวเองว่ามึงกูกันอยู่อีกล่ะ”

ผมกับซันมองหน้ากันครู่หนึ่ง “คิดว่ายังไงครับ ฟ้าคราม”

“ไม่เห็นต้องถามเลยนี่” ไอ้ซันยิ้ม

“ก็นั่นสินะ จริงๆแล้วเรื่องนี้เมฆก็เคยคิดอยู่เหมือนกันนะ ลองนึกดูสิ ถ้าสักวันนึงเรามีลูก แล้วลูกเรามันได้ยินพ่อกับแม่เรียกกันว่ามึงๆกูๆ มันคงจะทุเรศน่าดู”

“โว้ววว โว่ววๆๆ ใจเย็นๆก่อนเลย คุณก้อนเมฆ มีลูกงั้นเหรอ แถมยังไอ้คำว่าพ่อกับแม่นั่นอีก นี่มันอะไรกันครับคุณ”

“อ้าว เรื่องในอนาคต ใครจะไปรู้ล่ะ สักวันมันอาจจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ชายตั้งท้องได้ก็ได้นี่หว่า” ผมพูด และนั่นก็ทำให้ไคล์หัวเราะคิกคักอยู่ระหว่างกลางของเราสองคน

“สงสัยว่าจะมีเทคโนโลยีที่ว่าได้ก็คงพอๆกับเมื่อประเทศไทยมีกฎหมายให้ผู้ชายสองคนแต่งงานกันได้ซะละมั๊งง”

ผมยักไหล่ “เรื่องของในอนาคต ใครจะไปรู้ จริงมะ”

“แต่ตอนนี้มีอยู่สิ่งนึงที่รู้แน่ชัดล่ะ........”

“อะไรล่ะ”

ซันมองหน้าผมนิ่งด้วยดวงตาเป็นประกาย “ซันรักเมฆนะครับ รักมากด้วย และจะรักตลอดไปไม่มีวันจางเลย.........”

ผมยิ้มกว้าง “เมฆก็รักซันครับ และจะรักคนเดียวไม่มีวันเปลี่ยนเช่นกัน”

เราสองคนชะโงกหน้าเข้ามาจุ๊บปากกันเบาๆ ทำให้ไคล์ต้องหดหัวลงไปอยู่ใต้ผ้าห่ม

“โอเคๆ ผมรู้แล้วว่าทั้งสองคนรักกันมาก แต่ไม่เห็นต้องทำอะไรกันแบบนี้ต่อหน้าผมที่ไม่มีแฟนอยู่ให้ทำแบบนั้นด้วยก็ได้นี่”

ผมกับซันหัวเราะและกอดไคล์พร้อมๆกัน จากนั้นเราก็หอมแก้มเขาพร้อมๆกันคนละข้าง

“และเราสองคนก็รักไคล์กับพีมากเหมือนกันครับ”

“ขอบใจมากนะไคล์ ที่เชื่อมั่นในตัวของพวกเราสองคนไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

“จะไม่เชื่อได้ยังไงล่ะครับ ก็เพราะว่าเราสี่คนผูกพันกันด้วยโชคชะตาและความผูกพันกันมาตั้งแต่แรกแล้วนี่” ไคล์หันมาหอมแก้มผมกับซันคนละที จากนั้นก็ซุกตัวกลับลงไปอยู่ใต้ผ้าห่มอีกครั้ง

เวลาในค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเริ่มเข้าวันใหม่ เสียงลมหายใจหนักๆของไคล์บอกให้เรารู้ว่าเขาหลับลงไปแล้วท่ามกลางอ้อมกอดของเราสองคน เราหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันน้อยๆ ไอ้ซันค่อยๆเขยิบตัวออกแล้วดึงผ้าห่มมาห่มให้ไคล์อย่างเรียบร้อย จากนั้นก็ย้ายที่มานั่งข้างผมๆอีกฝั่งหนึ่ง มันหอมแก้มผมเบาๆจากนั้นก็สอดมือเข้ามากอดผมเอาไว้หลวมๆ

“ทุกอย่างกำลังจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วใช่มั๊ยครับ” ไอ้ซันกระซิบเบาๆ

“ก็ไม่เชิงหรอก........ เพราะจริงๆแล้วทุกอย่างกำลังจะกลับมาดียิ่งกว่าเดิมต่างหาก”

“อยากให้ถึงวันที่พีกลับมาไทยเร็วๆจังนะ”

“ซันลองไปพูดเรื่องนี้กับไคล์ดูสิ” ผมหัวเราะเบาๆ

“ก็นั่นน่ะสินะ”

“ซันครับ........”

“หืมม”

“ง่วงรึยัง”

“นิดหน่อยน่ะ...... แล้วเมฆล่ะ ง่วงมั๊ย”

“ก็นิดนึงเหมือนกัน แต่ว่า.......”

“แต่อะไรครับ”

“แต่เมฆอยากหลับอยู่ภายใต้อ้อมแขนของซันแบบนี้จังเลยครับ”

“งั้นก็นอนเลยก็ได้ครับ และไม่ใช่แค่คืนนี้นะ แต่เมฆจะได้หลับอยู่ใต้อ้อมกอดของซันแบบนี้ตลอดไป...........”

ผมยิ้มและจูบปากของไอ้ซันเบาๆ จากนั้นก็ซุกตัวลงใต้อ้อมแขนของมันแล้วหลับตาลง ไอ้ซันกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นและเอนหัวมาพิงลงบนหัวของผม คืนนี้ก้อนเมฆก้อนนี้จะขอนอนหลับฝันดีอยู่ใต้อ้อมแขนของท้องฟ้าอันเป็นรักนิรันดร์ของมัน และคืนต่อๆไปก็จะยังคงเป็นเช่นนี้............ ตลอดไป


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:33:16
บทส่งท้าย


พี่แอมป์และอาร์ม
ทั้งสองคนได้กลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทของครอบครัวเมฆและซันในที่สุด และเรื่องสั้นที่พี่แอมป์เขียนถึงเมฆกับซันก็กล่าวถึงความรักที่ไม่จำกัดรูปแบบและคำนิยาม และเป็นความงดงามของหัวใจที่ใครหลายคนอาจจะมองข้ามไป ทันทีหลังจากที่หนังสือเริ่มวางขาย ไคล์ก็เริ่มมีชื่อเสียงและถูกกล่าวถึงตามหน้าเวบไซท์ต่างๆบนอินเตอร์เน็ตขึ้นมาทันที

นัท
เนื่องจากพยานและหลักฐานที่มีมากมายจึงทำให้แม้แต่พ่อของตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็สู้คดีโดยใช้คำยืนยันจากแพทย์ว่าผู้ต้องหาเป็นผู้มีปัญหาทางจิต ซึ่งทุกคนรวมทั้งเมฆและซันต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นเรื่องจริง และหลังจากนั้นนัทก็หายไปจากชีวิตของเพื่อนๆทุกคนตลอดกาล

พี่จ๊อบ
หลังจากนั้นไม่นานสุดท้ายก็ต้องติดคุกเพราะข้อหาเมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องถึงแก่ชีวิต ส่วนพ่อของเขาก็ไม่สามารถไปได้ในเส้นทางการเมืองอย่างที่ฝันเพราะถูกนำหลักฐานเรื่องอื้อฉาวในอดีตที่เคยทำเอาไว้ออกมาแฉ สุดท้ายสองพ่อลูกคู่นี้ก็ต้องชดใช้ความผิดที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้

แบ๊งค์
หลังจากที่เริ่มยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองได้ก็กลับมาเป็นแบ๊งค์คนเดิมของเพื่อนๆ ถึงแม้จะไม่สนิทสนมกับทุกๆคนโดยเฉพาะกับเมฆและซันเหมือนกับแต่ก่อน แต่ว่าพวกเขาก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดมา

เอ็น
หลังจากเหตุการณ์คราวนั้นก็ทำให้เอ็นสนิทสนมกับครอบครัวของเมฆและซันมากขึ้น และนอกจากนั้นก็ยังสนิทสนมกับแบ๊งค์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย แต่ถ้าหากลองถามสองคนนี้ดูก็จะได้แต่คำตอบที่ว่า “เราเป็นเพื่อนกัน” แค่เพียงอย่างเดียว

อีฟและกอล์ฟ
เพื่อนที่ดีที่สุดของซันกับเมฆ ที่ต่อมาทั้งสองได้ตัดสินใจพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง แต่น่าเศร้าที่อีฟต้องสูญเสียครอบครัวไปจากอุบัติเหตุรถยนต์ไม่นานหลังจากที่ทั้งคู่เริ่มคบกัน และหลังจากนั้นอีกหนึ่งปี คู่นี้ก็เป็นคู่แรกที่ประกาศข่าวดีออกมา และได้ตัดสินใจซื้อบ้านหลังใหม่และย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันซึ่งบ้านหลังนั้นก็อยู่ติดกับคอนโดของเมฆและซันด้วย

เพื่อนคนอื่นๆของเมฆและซัน
ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุดอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง และนอกจากอีฟกับกอล์ฟแล้ว ป๋อมกับเดียร์ก็กำลังพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวเองอยู่เรื่อยๆด้วยเช่นกัน และคาดว่าอีกนานไม่ก็คงจะมีข่าวดีตามอีฟกับกอล์ฟเร็วๆนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

พ่อเอก
กลับไปทำงานที่บริษัทตามเดิมและยังคงเป็นพ่อที่แสนดีสำหรับลูกๆทุกคนอยู่ไม่ปลี่ยนแปลง

พ่อสันต์ แม่กุ้ง ป้าแอ๊นท์ และลุงคาร์ลอส
กลับไปอยู่ที่อังกฤษเหมือนเดิม แต่ก็หาโอกาสกลับมาเยี่ยมลูกๆของตัวเองที่ไทยปีละสองถึงสามครั้งเป็นประจำทุกๆปี

พี่วิน
ก็ยังคงเป็นพี่ชายคนเดียวที่เมฆรักมากที่สุดและเป็นคนที่รักครอบครัวของเมฆมากที่สุดอยู่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นับจากนั้นมาเมฆก็แทบไม่เคยเจอและพูดคุยกับเขาอีกเลย แต่ถึงอย่างไร เมฆเองก็รู้ดีว่าพี่วินยังคงอยู่ใกล้ๆเขาตลอดเวลา ทั้งพี่วินและพี่กรณ์พร้อมที่จะโทรมาหาหรือโผล่มาถึงหน้าประตูห้องของเมฆได้ตลอดเวลาถ้าเกิดเมฆหรือพ่อเกิดมีปัญหาขึ้นมาไม่ว่าจะในเวลาใดก็ตาม

พีและไคล์
น่าเสียดายที่พีไม่ได้โชคดีเหมือนกับคนอื่นๆ หลังจากที่เขาเรียนจบและกลับมาอยู่ที่ไทย เขาก็ตัดสินใจบอกพ่อกับแม่เรื่องของตัวเองและไคล์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าพ่อกับแม่ไม่สามารถยอมรับความจริงในเรื่องนี้ได้ พีต้องทนผ่านความเสียใจและยากลำบากของชีวิตอยู่ช่วงใหญ่ๆ แต่ก็ยังคงมีไคล์ที่ตัดสินใจอาศัยอยู่ที่ประเทศไทยต่อ รวมทั้งเมฆกับซันซึ่งเป็นครอบครัวหนึ่งของเขาด้วยเหมือนกันเป็นกำลังใจให้จนเขาผ่านพ้นมันไปได้ ส่วนไคล์ที่มีชื่อเสียงมากขึ้นก็ยังคงเป็นไคล์ เด็กหนุ่มอารมณ์ดีที่ดูเหมือนไม่รู้จักโตอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

เมฆและซัน
ทั้งเมฆ ซัน พี และไคล์ ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่คอนโดของตัวเองหลังจากที่อีฟและกอล์ฟประกาศแต่งงานได้ไม่นาน ทั้งสองคนยังคงเป็นทั้งเพื่อนและคนรักที่ทั้งรักและสนิทสนมกันมากที่สุด และยังเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ให้กับคนอีกหลายคนในการไขว่หาความรักที่แท้จริงของตัวเองอยู่เรื่อยมา เปรียบดังผืนฟ้าที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องลอยอยู่เคียงคู่กับก้อนเมฆอันเป็นที่รักของตนไปตลอดกาล..............





หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:44:16
ยาวสะใจพอมั๊ยครับ  :a1:

และนั่นก็คือตอนจบของศิลากับฟ้าคราม หรือ ท้องฟ้ากับก้อนเมฆในบทขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ของทุกๆคนแล้วนะครับ
หวังว่ามันจะดีพอที่ทำให้ทุกคนไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจหนา เพราะว่าช่วงปีนึงที่ผ่านมานี้ผมยุ่งมากกกกกกกกก ไปกลับๆกรุงเทพ-ตจวตลอด เวลาจะได้อยู่กับเพื่อนกับแฟนยังไม่มีเลย เวลานั่งหน้าคอมหรือเล่นเน็ตยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่  :sad2:
บางทีเวลาพิมนิยายก็ต้องยอมรับเลยว่าอารมณ์มันขาดตอนไปเยอะเหมือนกัน (อายจัง)

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เข็นบทส่งท้ายของทั้งสองคนนี้มาให้แก่ทุกๆคนแล้วนะครับ ขอโทษด้วยจริงๆๆๆถ้าเกิดว่ามันมีข้อผิดพลาดใดๆในเนื้อเรื่อง ผมเองยังไม่ค่อยมีเวลาตรวจทานหรือแก้ไขมันสักเท่าไหร่เลยครับ
ถ้ามันทำให้ตะขิดตะข้องใจผมก็ต้องขออภัยด้วยจริงๆ และถ้าเกิดว่ามันไม่ได้แย่มากจนเกินไป ผมก็อยากจะขอให้ทุกๆท่านลืมๆๆมันไปซะนะครับ (ฮา)
แต่ถ้าหากอ่านแล้วชอบผมก็รู้สึกขอบคุณจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
(แต่ถ้าไม่ชอบก็เก็บไว้ในใจไม่ต้องบอกหรอกนะ กัวรับไม่ล้ายยย 5555)

เรื่องของเมฆกับซันคือนิยายเรื่องแรกจริงๆจังๆของผม และครั้งนี้ก็จะเป็นบทสุดท้ายของทั้งสองคนแล้วด้วยจริงๆครับ ขอบคุณทุกคนที่ัรักและผูกพันกับทั้งสองคนมานานนะครับ นับจากนี้ไปทั้งสองคนก็คงจะมีชีวิตอยู่แต่ในความทรงจำและตัวหนังสือทีผมถ่ายทอดออกมาแต่เพียงเท่านี้แล้วล่ะครับ ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆสำหรับกำลังใจในตลอดเวลาที่ผ่านมา

และนอกจากนั้นแล้ว เมฆกับซันก็ยังคงจะเป็นนิยายเรื่องสุดท้ายของผมแล้วด้วยเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอก......... ช่วงนี้ไอ้ต้นยุ่งเหลือเกิ๊นนนนนนน T___T

แต่ถ้าหากว่าผมเกิดมีเวลาและอารมณ์ขึ้นมา เราก็อาจจะได้กลับมาพบกันอีกก็ได้นะครับ ก็คงต้องรอดูกันต่อไปโนะ ^___^


เอาล่ะ ไปพบกันตอนจบส่งท้ายของทั้งสองคนนี้จริงๆกันได้แล้วล่ะครับ แล้วก้อบะบายๆๆๆจนกว่าจะได้พบกันใหม่คร้าบบบ  :bye2:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:46:29
ปลายทางของเข็มนาฬิกา ....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ



สามปีถัดมา



“มาเร็วๆเข้า พ่อเล็ก!”

“คร้าบๆ ถ้างั้นก็ไปแล้วนะครับ ไอ้ตัวเล็ก หนีให้ทันก็แล้วกัน!” ผมเริ่มออกวิ่งไล่เด็กผู้ชายตัวเล็กบนพื้นทราย ไอ้ตัวเล็กของผมร้องกรี๊ดกร๊าดพร้อมกับวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็ถูกผมรวบตัวเอาไว้ได้แล้วถูกจับยกสูงขึ้นจากพื้น ไอ้ตัวเล็กหัวเราะชอบใจแล้วกอดหมับเข้าที่คอของผมแน่น

“เอาอีกๆ!” เจ้าตัวแสบของผมหัวเราะมีความสุขพร้อมร้องจะให้ผมโยนขึ้นสูงๆอีก

“ได้เลย งั้นเอาล่ะนะ” ผมเหวี่ยงร่างเล็กๆนั้นขึ้นสูงสามครั้งติดๆกัน ทำเอาเจ้าตัวแสบหัวเราะชอบใจไม่หยุด

“อะไรกัน แกล้งลูกเหรอ ซัน” เสียงของเมฆดังขึ้นทางด้านหลังของเราสองคน

“ป่ะป๊า!” ไอ้แสบของผมร้องเสียงดังพร้อมกับเหวี่ยงตัวลงบนพื้นและรีบวิ่งไปหาไอ้ตัวดีของผมทันที

“ว่าไงๆ โดนพ่อเล็กแกล้งเหรอครับ หื๊มมม”

“แกล้งอะไร ไม่ได้ยินมันหัวเราะร่าซะขนาดนั้นรึไง” ผมเดินเข้าไปหอมแก้มเมฆ จากนั้นก็หันมาขยี้หัวไอ้ตัวแสบที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของไอ้เมฆแล้วเบาๆ “เรานี่ก็แสบจริงๆนะ ทำมาเป็นร้องแล้ววิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือป๊ะป๋า ทั้งที่ทีเมื่อกี๊ล่ะหัวเราะร่าเลย”

“ป่ะ ไปกันเถอะครับ แม่เรียกแล้วนะ หิวข้าวรึยัง”

“หิวแล้วววว”

“งั้นก็ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวแม่จะดุเอา พวกพ่อเองก็ไม่อยากโดนแม่ดุเอาด้วยเหมือนกัน”

ผมหันไปยิ้มให้กับเมฆแล้วเดินตามทั้งสองคนไปยังหน้าบ้าน

เกือบสองปีแล้วนับจากครั้งสุดท้ายที่เรามาที่แห่งนี้กัน หาดส่วนตัวในโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่ระยองที่ครั้งหนึ่งเคยเปิดให้เช่ารายวัน แต่ ณ ปัจจุบัน บ้านทุกหลังล้วนถูกซื้อจับจองเป็นสมบัติส่วนตัวกันจนหมดแล้ว และรวมทั้งครอบครัวของเราเองก็ตัดสินใจซื้อเอาไว้ด้วยหลังหนึ่งเช่นกัน เราสามคนเดินเลาะชาดหาดกลับไปยังหน้าบ้านของไอ้วิท เพื่อนของเราที่ยังคงเป็นเจ้าภาพเปิดบ้านของตัวเองในการจัดงานครั้งนี้อยู่เช่นเคย และที่หน้าบ้านนั้นก็มีอีฟกับไอ้แป๊ะกำลังยืนรอพวกเราสามคนอยู่แล้ว

“นี่ไปวิ่งเล่นที่ไหนกันมาเนี่ย เผลอคลาดสายตาแค่แป๊บเดียว ดูซิ เลอะหมดแล้วลูก” อีฟเดินเข้ามาอุ้มเจ้าตัวเล็กไปพร้อมกับเสียงบ่น

“บอกแล้วไง ว่าพ่อก็ไม่อยากโดนแม่บ่นเอาเหมือนกัน” ไอ้เมฆหันมากระซิบกับผม

“อะไร เมฆ รึอยากจะโดนด้วยอีกคน”

“เปล่าจ้าๆ แม่เสือสาว”

“แม่เสือสาววว” ไอ้ตัวเล็กทำเสียงเลียนแบบเมฆ ทำเอาผม ไอ้แป๊ะ และเมฆหัวเราะจนท้องแข็ง

“วายุ! อย่าพูดแบบนั้นกับแม่นะ เดี๋ยวตีตายเลย” อีฟทำเสียงดุใส่ลูก

“อะไร อีฟ จะดุลูกไปถึงไหน ได้ยินไปถึงในครัวนู่น” กอล์ฟเดินออกมาหาพวกเราจากในบ้าน

“พ่อออ” วายุ ไอ้ตัวแสบวัยสองขวบของผมวิ่งเข้าไปกอดหน้าแข้งของไอ้กอล์ฟหนึบ

“ดีเลย เธอพาลูกไปอาบน้ำก่อนกินข้าวซะนะ แล้วก็คอยดูห้ามไม่ให้ไปเล่นทรายอีกล่ะ อย่ามัวเอาแต่กินเบียร์อยู่กับไอ้ป๋อมไอ้วิท” อีฟหันไปสั่งกอล์ฟ

“คร้าบบ แม่ ไปเร็วลูก ตอนนี้แม่เริ่มจะแปลงร่างเป็นยักษ์แล้ว” ไอ้กอล์ฟพูดพร้อมกับอุ้มวายุ ลูกชายคนแรกของทั้งคู่เดินเข้าไปในบ้าน

“จริงๆเล้ย เมื่อไหร่จะโตๆกันสักทีนะ พวกผู้ชายเนี่ย”

“แกจะบ่นอะไรกันนักหนา ยังไม่ชินอีกรึไงวะ ห๊ะ” เดียร์ที่เดินออกมาจากในบ้านพร้อมกับกอล์ฟเมื่อครู่นั่งลงข้างๆอีฟ

“แหม แกก็ลองมีลูกกับไอ้ป๋อมดูสักคนสิ เดียร์ แล้วจะรู้ว่ามันวุ่นวายขนาดไหน นี่ขนาดชั้นให้ไอ้ซันกับไอ้เมฆมันช่วยเป็นพ่อให้อีกตั้งสองคนนะ แต่นี่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าชั้นมีลูกชายทั้งหมดสี่คน!”

“เอาน่าๆ ไอ้ยุมันน่ารักว่าง่ายจะตาย ทั้งอารมณ์ดีทั้งไม่ดื้อ แกเลี้ยงลูกดีนะ อีฟ” เมฆนั่งลงข้างๆผมถัดจากอีฟ

“ชั้นว่าไปๆมาๆ วายุมันจะติดพวกแกสองคนมากกว่าชั้นกับไอ้กอล์ฟซะอีกนะเนี่ย”

“ก็งี้แหละ เด็กมันมักจะเลือกเข้าหาผู้ใหญ่ที่หน้าตาดีกว่าน่ะ” ผมหัวเราะ

“ปากดีไม่เปลี่ยนเลยนะคะ คุณฟ้าคราม นี่ชั้นคิดถูกมั๊ยเนี่ยที่ตั้งชื่อลูกชั้นตามพวกแกน่ะ”

“ก็ใครใช้ให้ผู้ชายตั้งท้องไม่ได้ล่ะ จริงมั๊ย เมฆ” ผมหันไปหอมแก้มเมฆ

“แต่เราสองคนดีใจจริงๆนะอีฟ ที่แกเลือกเราสองคนน่ะ แกไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเกียรติกับเราทั้งคู่มากแค่ไหน พวกเราสองคนดีใจและก็รู้สึกปลื้มใจมากจริงๆนะ”

“ใช่ และที่สำคัญ ใครจะไปคิดว่าในที่สุดแกกับไอ้กอล์ฟจะลงเอยกันได้แบบนี้น่ะ”

“อย่าว่าแต่พวกแกเลยซัน เราเองก็ยังไม่อยากเชื่อเลยว่ะ” อีฟหัวเราะ จากนั้นก็หันมาสบตาผมกับเมฆ “แต่เรารู้อยู่อย่างนึงนะ ทั้งเราทั้งกอล์ฟ และทุกๆคนเลยด้วย นั่นก็คือเรารักพวกแกมาก และเรารู้ดีเลยว่าพวกแกสองคนจะเป็นพ่อที่ดีได้ขนาดไหนถ้าแกมีลูกเป็นของตัวเอง และแน่นอนว่าพวกแกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเราเสมอมา ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมานานนับสิบปี พวกเราทุกคนต่างก็ได้รับความรักและความเป็นเพื่อนที่ดีอันมากมายจากพวกแกทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา เมฆ ซัน พวกแกสองคนมอบรอยยิ้มให้กับเราในช่วงเวลาที่ดีที่สุด และเป็นคนที่มอบกำลังใจให้กับเราในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตด้วยเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเรากับกอล์ฟต่างก็คิดตรงกันว่ามันคงจะดี ถ้าจะให้ลูกชายของเราได้รับรู้บ้างว่าความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกอย่างหนึ่งนั้นเป็นยังไงน่ะ”

“ขอบใจจริงๆ อีฟ มันมีความหมายสำหรับพวกเรามากจริงๆ” ไอ้เมฆลุกขึ้นดึงอีฟขึ้นมากอด จากนั้นก็ผมก็เข้าไปกอดอีฟด้วยอีกคน

“ขอบใจมาก อีฟ ลูกชายแกก็น่ารักมากจริงๆ เราสองคนรักวายุมากนะ พวกเราอยากบอกให้แกรู้เอาไว้เลย”

“เรื่องนั้นน่ะชั้นรู้อยู่แล้วย่ะ” อีฟใช้นิ้วชี้ปาดน้ำตาที่หางตาออกเบาๆ “พอๆๆ จะซึ้งกันไปใหญ่แล้ว พูดเรื่องนี้ทีไรก็พาลจะร้องไห้ทุกทีเลยชั้นนี่ ว่าแต่ไคล์กับพีอยู่ไหนเนี่ย ทำไมยังไม่ออกมากันอีก”

“สงสัยจะยังอยู่ที่บ้านกับพวกพ่อเล็กมั๊ง”

“เหรอ งั้นแกช่วยไปตามน้องๆมาช่วยพวกเราที่นี่หน่อยได้มั๊ยล่ะ”

“ได้ งั้นเดี๋ยวเราสองคนไปตามมาให้ก็แล้วกัน” ผมหันไปพยักหน้าให้เมฆ จากนั้นเราทั้งคู่ก็เดินออกจากบ้านของไอ้วิทมา

วันนี้เป็นวันที่เราทุกคนนัดมารวมตัวกันที่นี่หลังจากที่ไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้ากันมานาน และถึงแม้เพื่อนๆของเราจะไม่ได้มากันครบเหมือนเมื่อสามปีก่อนตอนที่เรากลับมาจากอังกฤษกันใหม่ๆ แต่ทว่าในครั้งนี้ “ครอบครัว” ของเราก็อยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะพ่อแม่ของผม พ่อแม่ของไคล์ พ่อเล็ก คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ของเจ้าวายุ และครอบครัวที่ผมกับเมฆรู้จักและผูกพันกันมานานนับสิบปี นั่นก็คือ “เพื่อน” คนสำคัญของพวกเรานั่นเอง

เราสองคนเดินไปยังบ้านหลังใหม่ของพวกเรา รองเท้าที่วางอยู่เกลื่อนหน้าบ้านบอกให้เรารู้ว่าทุกคนยังคงอยู่ในนั้นกันครบถ้วน และถ้าจะพูดกันตามตรง ถึงแม้จะไม่มีรองเท้าวางอยู่เกลื่อนกลาดแบบนี้ แต่เสียงที่ดังอึกทึกครึกโครมจากข้างในก็บอกให้เรารู้กันได้เป็นอย่างดี

“ทำอะไรกันอยู่เนี่ย เสียงดังโช้งเช้งไปถึงข้างนอกเลย” เมฆโผล่หน้าเข้าไปในบ้านเป็นคนแรก

“พวกแม่ๆกับลุงเอกกำลังเตรียมอาหารกันอยู่ในครัวน่ะครับ” พีที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกหันมาบอกพวกเรา “ส่วนลุงคาร์ลอสก็กำลังนั่งคุยอยู่กับลุงอี๊ดที่โต๊ะกินข้าวนั่นน่ะ”

ลุงอี๊ดคือลุงที่อาศัยอยู่ในคอนโดห้องตรงข้ามกับผม ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าลุงแกเคยมีลูกชายอยู่คนนึงที่หน้าตาคล้ายกับเมฆมากเมื่อไม่นานหลังจากที่ปัญหาเรื่องไอ้จ๊อบกับนัทจบไปเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นตอนที่เราเลี้ยงฉลองขึ้นบ้านใหม่อย่างเป็นทางการที่คอนโดของผมนั้น พ่อเล็กกับลุงอี๊ดก็ดูจะเข้ากันได้ดีในทันที ทั้งคู่ดูจะมีอะไรคล้ายกันหลายอย่างมากไม่ว่าจะเป็นความสนใจ ความชอบ หรือแม้แต่ความหลังอันน่าเศร้าที่ต้องสูญเสียคนที่ตัวเองรักไป ดังนั้นนับตั้งแต่นั้นมาทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปในทันที และมันก็ทำให้เมฆรู้สึกสบายใจขึ้นมากด้วยที่พ่อเอกดูจะได้เพื่อนสนิทที่คุยกันถูกคอและช่วยแก้เหงาได้ในที่สุด

“ว่าแต่นี่หิวข้าวรึยัง พี” ผมเดินมานั่งลงข้างๆพีบนโซฟา

“ยังหรอกครับ”

“แล้วเราล่ะ ไคล์”

“ไม่เหมือนกันครับ” ไคล์ส่ายหน้า “ว่าแต่พี่วิทล่ะ อยู่ที่บ้านนั้นรึเปล่า”

“อยู่ๆ อยู่ในครัวกับคนที่เหลือนั่นแหละ รู้สึกจะกำลังเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็นนี้กันอยู่เหมือนกันนะ นี่อีฟมันก็ให้พวกพี่มาตามไคล์กับพีไปช่วยที่นั่นอยู่พอดี”

“งั้นเดี๋ยวผมขอไปหาพวกพี่เค้าหน่อยดีกว่า.......... พีทจะไปด้วยกันเลยมั๊ยครับ”

“ไม่ล่ะ ผมขออยู่ที่นี่ดีกว่า แต่เดี๋ยวอีกสักพักจะตามไปก็แล้วกันนะครับ”

“ถ้างั้นก็ได้ครับ” ไคล์หันมาหอมพีที่แก้มก่อนจะลุกเดินออกจากบ้านไป

“เป็นอะไรไปครับพี” เมฆหันมาถามพีเมื่อไคล์เดินออกจากบ้านไปแล้ว

“ก็นิดหน่อยน่ะครับ ผมจะไม่โกหกก็แล้วกันว่าผมก็รู้สึกอยากให้พ่อกับแม่ผมมาอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน แต่ว่ามันก็คงเป็นไปไม่ได้........”

ผมกับเมฆมองหน้ากันก่อนจะโอบไหล่เขาคนละข้าง “อย่าคิดมากเลยนะพี พี่เชื่อว่าสักวันนึงวันนั้นจะต้องมาถึงครับ”

“ใช่ครับ ดูอย่างนี้สิ จำเรื่องที่พีเคยคุยกับพี่ตอนที่พี่ไปอังกฤษได้มั๊ย ที่ว่าอนาคตของพีกับไคล์จะเป็นยังไงเมื่อทั้งคู่เรียนจบน่ะ นี่ไง เห็นมั๊ยล่ะว่าสุดท้ายแล้วไคล์ก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อกับพี พี่เชื่อนะครับว่าสุดท้ายแล้วอะไรๆมันก็จะลงเอยในแบบที่มันควรเป็นเอง พีอย่าเพิ่งกังวลมากเกินไปนักเลยนะครับ”

“ใช่ พี่คิดว่าสักวันนึงที่พวกเค้ารู้ตัวและได้สติสักทีว่าเค้ากำลังตัดสินใจผิดพลาดอยู่ล่ะก็ เค้าจะต้องยอมรับในตัวพีอย่างแน่นอน”

“แต่จนกว่าจะถึงวันนั้น....... พีอย่าลืมก็แล้วกันนะครับว่าพียังมีครอบครัวอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน”

“ผมเข้าใจครับ พี่เมฆ พี่ซัน และผมก็รู้ดีด้วยว่าทุกคนในบ้านหลังนี้ก็คือครอบครัวของผมด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นผมไม่ได้คิดมากอะไรแล้วล่ะครับ เพียงแต่ว่าบางทีมันก็แค่รู้สึกเหงาๆขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“พี่เข้าใจครับ แต่อย่าลืมนะว่าถ้าหากมีอะไรก็อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวนะครับ พีสามารถคุยกับพวกพี่ได้เสมอนะ เข้าใจมั๊ยครับ”

“ขอบคุณมากครับพี่เมฆ ผมรักและขอบคุณพี่ทั้งสองคนจริงๆครับ” พีหันมาหอมแก้มเราทั้งสองคนคนละข้าง “เอาล่ะ ผมว่าผมไปหาไคล์ดีกว่า เมื่อกี๊ผมก็ทำเค้าไม่สบายใจไปทีนึงแล้ว เดี๋ยวดีไม่ดีผมจะโดนงอนเอาซะอีก”

พีลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบ้านไป เราสองคนจึงลุกเดินเข้าไปที่โต๊ะกินข้าวและคุยกับลุงอี๊ดและลุงคาร์ลอสอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนไอ้เมฆก็เข้าไปเป็นลูกมือช่วยทำครัวอยู่ในครัวด้วย จนกระทั่งเวลาผ่านไปพักหนึ่งก็มีคนเดินมาตามพวกเราถึงที่บ้าน

“พี่เมฆ พี่ซันครับ พี่แอมป์ให้มาตามพวกพี่สองคนน่ะครับ” อาร์มโผล่หน้าเข้ามาในบ้านแล้วกวักมือเรียกพวกเรา

“นั่น เค้ามาตามแล้ว ไปๆ ไปได้แล้ว เดี๋ยวที่นี่พวกคนแก่จัดการเอง คืนนี้จะได้รู้กันว่าบ้านคนหนุ่มกับบ้านคนแก่ใครมันจะทำอาหารอร่อยกว่ากัน” ป้าแอ๊นท์พูดพลางโบกมือไล่เราสองคนให้ออกจากบ้าน

ผมกับเมฆเดินออกจากบ้านตามอาร์มไปยังบ้านของพี่แอมป์ พี่แอมป์กลายเป็นเพื่อนสนิทของเราสองคนไปอย่างรวดเร็วในช่วงสามปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นแล้วเขายังเป็นช่างภาพประจำครอบครัวของเราอย่างไม่เป็นทางการมาโดยตลอดด้วย และในครั้งนี้ก็เช่นกัน พี่แอมป์ตอบรับคำเชิญมาในงานครั้งนี้ทั้งในฐานะเพื่อนสนิท และในฐานะช่างภาพที่จะคอยเก็บภาพความประทับใจทั้งหมดเอาไว้ด้วยความเต็มใจเต็มร้อยของเจ้าตัวเลยทีเดียว

“นี่ๆ มาดูนี่สิ ซัน เมฆ ทั้งสองคนว่าภาพนี้สวยมั๊ย” ทันทีที่พวกเราไปถึง พี่แอมป์ก็รีบจูงมือพวกเราเดินเข้าไปดูรูปในบ้านอย่างรวดเร็ว

พี่แอมป์หยิบรูปที่เพิ่งถ่ายเราสองคนไปเมื่อตอนกลางวันมาให้ดู มันเป็นรูปที่เราสองคนนั่งหันหลังให้กับกล้องอยู่บนชิงช้าที่ห้อยลงมาจากบนกิ่งไม้ใหญ่ที่บริเวณหน้าชายหาดใกล้ๆกับที่ผมพาเจ้าวายุไปวิ่งเล่นเมื่อครู่นี้ แต่ทว่าเมื่อดูภาพนี้แล้วผมกลับไม่รู้สึกประทับใจมันมากเท่าไหร่นัก

“ผมว่ามันเฉยๆนะครับพี่” ผมพูดไปตามความรู้สึกจริงๆ “คือไม่ใช่มันไม่สวยนะ แต่ผมว่ามันดูเหมือนขาดอะไรไปบางอย่างน่ะครับ”

“อืมม ก็คิดว่าผมเห็นด้วยกับไอ้ซันนะ”

“งั้นเหรอ......... แต่จะว่าไปพี่ว่ามันก็จริงนะ” พี่แอมป์พยักหน้า

ผมชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบใส่หูของพี่แอมป์ “พี่กำลังหารูปที่ห้าสิบที่ผมเคยขอร้องเอาไว้อยู่ใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ ก็อย่างที่ซันเคยบอกพี่นั่นแหละ”

“งั้นผมขอเอาแบบแจ่มๆเลยนะครับพี่” ผมขยิบตา

“อะไรๆ กระซิบกระซาบอะไรกันครับ ต่อหน้าต่อตาเลยนะ” ไอ้เมฆโวย

“เปล่าครับ ไม่มีอะไรสักหน่อย” ผมหันไปยิ้มกว้างให้มัน “ถ้างั้นเราไปเดินเล่นฆ่าเวลากันหน่อยดีมั๊ย เมฆ”

“ก็ได้ครับ ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่ จะไปอยู่บ้านนั้นก็ถูกไล่ออกมา จะไปเข้าบ้านนู้นก็ถูกกันออก” ไอ้เมฆยักไหล่

“แหม ฟังพูดเข้า ถ้างั้นก็นั่งเล่นอยู่ที่บ้านพี่ก่อนก็ได้นี่” พี่แอมป์เสนอความคิด

“ไม่เป็นไรครับพี่ พวกผมขอไปเดินเล่นกันข้างนอกดีกว่า ผมเองก็กำลังอยากเดินดูท้องฟ้าตอนกำลังโพล้เพล้แบบนี้อยู่แล้วพอดี”

“ก็ได้จ้ะ แต่อย่าไปไกลมากก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลับมาช้าแล้วทุกคนจะเป็นห่วงเอา”

“อ้อ แล้วก็อย่าไปไกลมากจนไปเจอผู้หญิงที่ไหนโดนรุมข่มขืนเข้าอีกนะครับพี่ เดี๋ยวจะเจ็บตัวเอาอีก” อาร์มแซว

เราสองคนเดินออกจากบ้านพี่แอมป์และเลี้ยวซ้ายตรงหน้าที่ชายหาด ทั้งผมและเมฆต่างก็เดินจูงมือกันอยู่เงียบๆไม่มีใครพูดอะไรกันออกมา สายลมอ่อนๆพัดพาเอาความเย็นสบายของทะเลเข้าปะทะร่างกายของพวกเรา พระอาทิตย์ดวงโตส่องแสงสีส้มเรืองรองอยู่ปลายขอบฟ้ารอเวลาที่จะได้พักผ่อนและผลัดเปลี่ยนเวรยามให้แก่พระจันทร์เพื่อกลับสู่ยามค่ำคืน หลังจากนี้แสงเจิดจ้าของพระอาทิตย์ก็จะหายไป เหลือเพียงแสงสีเหลืองนวลของดวงจันทร์ที่จะช่วงส่องทางในความมืดมิด และมีดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้าเป็นผู้ช่วยแต่งแต้มความงามให้กับผืนฟ้าสีดำ

“ถ้าท้องฟ้าคืนนี้มีดาวเยอะก็คงจะดีเนอะ”

“ซันยังคงชอบพระอาทิตย์ตกอยู่มั๊ย”

“ชอบสิ แต่ตอนนี้ก็ชอบพระอาทิตย์ขึ้นด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าจะพูดให้ถูกจริงๆล่ะก็........” ผมหยุดเดินและโอบเอวของเมฆเอาไว้ “จะเป็นท้องฟ้ายามไหน ถ้าซันได้ยืนมองมันอยู่พร้อมกับเมฆแบบนี้ล่ะก็ มันก็คือช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของซันเสมอแหละครับ”

ไอ้เมฆยิ้มและหัวเราะชอบใจ “ถ้าใครๆมาได้ยินซันพูดแบบนี้เข้าจะว่ายังไงกันนะ”

“อะไรกัน สามสี่ปีที่ผ่านมานี่มันยังได้ยินกันมาไม่พออีกเหรอ”

“เปล่า เมฆหมายถึงว่าถ้าวายุมันมาได้ยินแบบนี้เข้าน่ะ มันจะทำหน้ายังไงนะ”

“โอ๊ยยย มันยังเด็กขนาดนั้น มันจะไปรู้เรื่องอะไร”

เมฆมองหน้าผมแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินจูงมือผมไปนั่งลงบนเนินทราย “ซันจำที่ตรงนี้ได้มั๊ย”

“จำได้สิครับ”

“นี่คือที่ๆเราเคยคุยกันถึงเรื่องเส้นขอบฟ้า....... และนั่น” เมฆหันไปทางซ้ายและชี้มือไกลออกไป “ตรงนั้นก็คือที่ๆเราเจอก้อนหินสองก้อนนี้........” เมฆเปลี่ยนจากชี้นิ้วมาจับที่ก้อนหินสีดำที่ห้อยอยู่ที่คอของตัวเอง

“ความจำดีจังนะ”

“เมฆไม่เคยบอกรึไงว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับซันน่ะ เมฆไม่เคยลืมหรอก”

ผมพยักหน้า จากนั้นก็เงียยลงไปครู่หนึ่ง “เมฆครับ......... ซันมีอะไรบางอย่างอยากจะบอกเมฆนะ”

“อะไรครับ”

“กว่าสิบห้าปีที่เรารู้จักกันมา กว่าสิบสองปีที่เรารักกัน และกว่าเจ็ดปีที่เราแลกเปลี่ยนคำสัญญาพร้อมกับแหวนคู่นี้.........” ผมใช้มือซ้ายประคองนิ้วนางข้างซ้ายของเมฆขึ้นมา “ซันรู้แล้วครับว่า ความรักของเรานั้นมันอยู่นอกเหนือกับคำว่ากาลเวลา และความผูกพันของเรามันก็อยู่เหนือเกินกว่าเส้นขอบฟ้าที่กั้นแบ่งท้องฟ้าและผืนน้ำนี่เอาไว้เสียอีก ครั้งหนึ่งเมฆเคยให้ซันสัญญาว่าขอบฟ้าจะไม่มีวันยาวเกินกว่าเข็มวินาที ในตอนนั้นซันยังคงไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันดีนัก แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป เมื่อเราต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆนาๆร่วมกัน และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อทุกๆวินาทีที่ซันได้นั่งมองใบหน้าของเมฆแบบนี้เลยผ่านไป มันทำให้ซันรู้ว่า ระหว่างเราสองคนแล้ว ไม่มีคำๆไหนระหว่างเราจะสำคัญยิ่งไปกว่าคำว่า ‘ความผูกพัน’ ที่เรามีให้แก่กัน เพราะคำๆนั้นมันหมายถึงชีวิตของเราทั้งคู่ที่จะอยู่เคียงข้างกันไปจนตราบนานเท่านาน ถึงแม้ว่าสักวันความตายจะทำให้เราต้องพรากจากกัน แต่หัวใจของเรานั้นก็จะยังคงอยู่เคียงคู่กันตลอดไป สุดท้ายแล้วทั้งขอบฟ้าและเข็มวินาที ต่างก็ไม่มีความสำคัญใดๆเลย เมื่อเทียบกับความรักที่เมฆมีให้ซัน และความผูกพันที่เราต่างมีให้แก่กันและกัน..........”

น้ำใสๆเริ่มหยดลงมาจากดวงตาของเมฆช้าๆ ผมจึงค่อยๆใช้ปลายนิ้วช่วยปาดมันออกอย่างเบามือ

“ถึงช่วงเวลาที่เรามีให้แก่กันและกันจะงดงามมากสักเพียงใดนะ ซัน แต่ความรักที่เรามีให้กันนั้นมันกลับงดงามยิ่งกว่า ทั้งชีวิตเมฆ เมฆไม่เคยคิดเลยว่าเมฆจะรักและผูกพันกับใครได้เท่ากับความรู้สึกทั้งหมดที่เมฆมีให้แก่ซัน ใครหลายคนอาจจะมองว่าความรักของเรามันผิด และมันคงจะอยู่ได้ไม่ยาวนาน แต่ตอนนี้เราต่างก็พิสูจน์ให้คนพวกนั้นได้เห็นแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายผิด เรารักกัน และทุกๆวันเรารักกันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ถ้าหากว่าความตายมันจะมาพรากเราคนใดคนหนึ่งจากไปก่อน แต่เมฆก็ขอบอกให้ซันรู้ไว้เลยนะครับว่า ดวงใจที่เมฆมีอยู่เพียงหนึ่งดวงนี้ เมฆจะยังคงมอบมันให้แก่ซันแต่เพียงผู้เดียวตลอดกาล”

เมื่อเมฆพูดจบ น้ำตาของผมมันก็เริ่มไหลออกมาช้าๆ เราสองคนต่างก็ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กันบ่อยนัก เพราะเราต่างคนก็ต่างรู้ดีว่าความรักที่เรามีให้แก่กันนั้นมันยิ่งใหญ่มากขนาดไหน เราต่างก็รู้ดีว่าเรารักกันมากจนไม่สามารถสรรหาคำพูดใดๆมาบรรยายความรู้สึกออกไปได้ แต่ทว่าในวันนี้ ภายใต้ท้องฟ้าสีครามผืนเดิมนี้ คำพูดเหล่านั้นรวมทั้งน้ำใสๆจากดวงตาของคนที่ผมรักที่สุดนี้มันช่วยบอกและตอกย้ำความรู้สึกทุกอย่างที่ผมอยากจะได้ยินออกมาจนหมด และนับจากนี้ไปจะไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะมาทำลายความเชื่อมั่นในความรักของเราสองคนลงได้อีก.......... ไม่มีทาง

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:48:28

“ใครจะไปนึกล่ะเนอะ........” ผมเอาหน้าผากชนเข้ากับหน้าผากของเมฆเบาๆแล้วค้างอยู่อย่างนั้น “ว่าสุดท้ายแล้วผู้ชายสองคนก็สามารถมีลูกด้วยกันได้แบบนี้น่ะ”

“ใช่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ต้องไปทำอะไรกับผู้หญิงเลยสักครั้งก็ตาม........ แถมผู้หญิงคนนั้นยังเป็นไอ้อีฟอีกด้วยนิ่สิ”

เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน จากนั้นก็นั่งกุมมือหันหน้ามองดูพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนคล้อยต่ำลงสู่ผิวน้ำอย่างเชื่องช้า ผมเชื่อว่าในตอนนี้เราทั้งคู่ต่างก็คงมีความคิดเหมือนๆกัน นั่นก็คือความรู้สึกที่อยากจะหยุดช่วงเวลาในตอนนี้เอาไว้อย่างนี้ไปตลอดกาล..........

“นานกว่านี้อีกนิดทะเลก็จะกลายเป็นน้ำเชื่อมแล้วนะครับ” เสียงของไคล์ดังขึ้นจากทางด้านหลังของเราสองคน

เมื่อเราหันหลังกลับไปก็เห็นว่าไคล์ พี และพี่แอมป์กำลังยืนยิ้มรอพวกเราอยู่แล้ว

“รีบกลับกันเถอะครับ อาหารเย็นพร้อมแล้วนะ” พีพูดขึ้น

“ทั้งสามคนมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย” ผมพูดขณะที่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดทรายออกจากกางเกง

“เมื่อไม่กี่วินาทีนี้เองแหละจ้ะ” พี่แอมป์พูดพร้อมกับขยิบตาให้ผม “ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ขอกลับก่อนนะ มีอะไรต้องทำนิดหน่อยน่ะ”

“ไปกันเถอะครับ ทุกคนรอกันอยู่นะ”

“เดี๋ยวสิไคล์ มานั่งที่นี่ด้วยกันก่อน” เมฆกวักมือเรียกทั้งสองคน

ไคล์กับพีต่างก็เดินตรงมานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคน

“ดูนั่นสิ พี่ชอบที่นี่มากเลยรู้มั๊ย เพราะมันมีทั้งท้องฟ้า ก้อนเมฆ พระอาทิตย์ ผืนน้ำ ผืนทราย และก้อนหินที่วางอยู่เกลื่อนกลาด......... จะมีสักกี่ที่ในโลกใบนี้ล่ะที่จะให้ความรู้สึกที่ทำให้เราคิดถึงกันได้ในทุกๆครั้งแบบนี้” เมฆพูดขึ้น

“เวลามันผ่านไปเร็วนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะรู้จักกันมานานขนาดนี้แล้ว”

“และจากนี้ตลอดไปครับ พี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามในอนาคตนับจากนี้ พี่เชื่อว่าเราสี่คนก็จะยังคงมีกันและกันแบบเดิมเช่นนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จริงมั๊ย”

ผม ไคล์ และพี ต่างก็พยักหน้าออกมาพร้อมๆกัน เราสี่คนนั่งมองดูพระอาทิตย์ตกจนลับเส้นขอบฟ้าไป จนกระทั่งท้องฟ้าที่เคยสว่างเริ่มเปลี่ยนเป็นความมืด ผมจึงลุกขึ้นยืนและส่งสัญญาณให้พวกเราออกเดิน

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวพวกนั้นเค้าจะรอนาน แถมที่สำคัญ ตอนนี้พี่เองก็เริ่มหิวแล้วซะด้วย”

มื้อเย็นครั้งนี้เป็นอะไรที่ทุกคนต่างก็เต็มที่กับมันมาก อาหารมากมายนับสิบจานต่างก็วางเรียงรายกันจนเต็มโต๊ะ บรรดาแม่ครัวและพ่อครัวรุ่นเก๋าต่างก็พากันโชว์ความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้น้อยหน้าพ่อครัวแม่ครัวรุ่นเล็กอย่างพวกอีฟและพวกไอ้วิท แต่ว่าที่ยิ่งไปกว่าอาหารจานไหนๆนั่นก็คือความสุขที่ทุกคนล้วนแต่แบ่งปันกันอย่างเต็มที่ โดยมีไอ้ตัวเล็กของพวกเราเป็นศูนย์กลางความรื่นเริง ถึงแม้วายุจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของผมกับเมฆ แต่ว่าทั้งกอลฟ์และอีฟต่างก็ยอมรับในตัวของเราทั้งคู่มาก รวมทั้งยอมรับในตัวพ่อและแม่ของพวกเรามากถึงขนาดให้วายุเรียกพ่อๆและแม่ของเราว่าปู่กับย่าด้วยซ้ำไป ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้พ่อและแม่ทุกคนมีความสุขมากขึ้นไปอีกที่ในที่สุดก็ได้มีหลานสมใจ ถึงแม้ว่าทุกคนจะเคยตัดใจจากเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าหลานชายตัวน้อยคนนี้จะได้รับการเอาใจและตามใจจากบรรดาผู้ปกครองทั้งหลายมากมายขนาดไหน

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วายุก็เป็นเด็กที่ฉลาดและน่ารักมาก เจ้าตัวเล็กคนนี้ไม่เคยงอแง ไม่ดื้อ และไม่ซนจนทำให้ใครๆต้องปวดหัวเลยสักครั้ง เจ้าตัวแสบตัวน้อยนี่ต่างก็ได้ส่วนที่ดีของทั้งพ่อและแม่มาจนหมด ไม่จำเป็นต้องรวมถึงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูที่ใครๆเห็นต่างก็ต้องหลงด้วยเลยด้วยซ้ำไป ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าอีฟเป็นผู้หญิงที่เก่งและยอดเยี่ยมมากขนาดไหน รวมทั้งไอ้กอล์ฟเพื่อนสนิทผมคนนี้เองก็ด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งสองคนก็ยังคงยืนยันว่าทั้งผมและเมฆต่างก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยเลี้ยงดูให้ลูกของ “เรา” น่ารักได้มากถึงเพียงนี้ด้วยเช่นกัน

เวลาเริ่มผันผ่านไปจนท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท ดวงดาวที่เคยไร้แสงในยามกลางวันก็เริ่มส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้า อาหารที่เคยมีมากมายจนพูนจานก็เริ่มที่จะร่อยหรอลงจนเกือบหมด ทุกคนที่เคยครื้นเครงกันต่างก็เริ่มที่จะแยกตัวกันไปจับกลุ่มนั่งคุยกันเงียบๆ ชื่นชมกับความงามตามธรรมชาติและความเงียบสงบในยามค่ำคืน เสียงเพลงบรรเลงเพียงเสียงเดียวที่มีอยู่และดังก้องไปทั่วบริเวณก็คือเสียงดนตรีจากธรรมชาติอันเกิดจากสายลมและเสียงคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งเป็นระลอกๆ ทุกคนในที่นี้ต่างก็มาที่นี่เพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวันในตัวเมืองอันสู่ความเงียบสงบเช่นนี้เอง และที่ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือความสุขกับการที่เราได้ใช้ช่วงเวลาดีๆกับครอบครัวและคนที่เรารักมากอย่างนี้นี่เอง

“ดูเจ้าตัวแสบนี่สิ” ผมสะกิดเมฆให้ดูเจ้าวายุที่กำลังนอนกรนเบาๆอยู่บนตักของผม “เมื่อสิบนาทีที่แล้วยังเต้นเย้วๆอยู่เลย แต่ดูตอนนี้สิ จู่ๆก็หลับไปซะแล้ว”

“แต่เดี๋ยวลูกจะหนาวรึเปล่า พาลูกเข้าบ้านก่อนดีกว่ามั๊ย”

เมื่อราวๆสิบห้านาทีก่อนเราสองคนหลบมานั่งกันอยู่ใต้ต้นมะพร้าวต้นนี้เงียบๆตามลำพัง แต่ก็ไม่พ้นที่จะโดนเจ้าตัวแสบตัวน้อยนี่ตามมาเจอจนได้ และไปๆมาๆ มันก็มานอนหลับอยู่บนตักของผมอย่างที่เห็นตอนนี้นี่แหละ

“เมฆ ซัน”

ผมหันไปตามเสียงเรียกของอีฟ “นี่ไง พ่อกับแม่มันมาพอดีเลย เราสองคนกำลังว่าจะพามันเข้าไปนอนในบ้านอยู่พอดีเลย อีฟ กลัวว่าเดี๋ยวมันจะเป็นหวัดเอาน่ะ”

“นั่นสิ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก เราเอาผ้าห่มมาให้แล้ว เดี๋ยวให้กอล์ฟอุ้มมันไปนอนบนก้าอี้ยาวนั่นก็แล้วกัน” อีฟหันไปพยักหน้าให้กับกอลฟ์ จากนั้นไอ้กอล์ฟก็มาอุ้มวายุขึ้นจากตักผมไปอย่างช้าๆ

“ทำไมไม่ให้ลูกไปนอนในบ้านดีๆล่ะ อีฟ”

“ก็เราไม่อยากให้มันพลาดช่วงเวลาดีๆแบบนี้น่ะสิ ถึงมันจะยังหลับอยู่ก็เถอะนะ” อีฟยิ้ม

“เวลาอะไร”

“มาสิ เมฆ ซัน ทุกคนรออยู่ตรงนั้นนะ” อีฟเดินนำพวกเราตรงไปยังลานหน้าบ้าน

ที่นั่น ทุกคนมานั่งรวมตัวกันอยู่อย่างพร้อมหน้า แสงไฟจากเทียนนับร้อยเล่มถูกจุดขึ้นจนทั่วบริเวณ และแม้ในขณะที่เรากำลังเดินไป พวกไอ้วิทไอ้แป๊ะก็ยังคงกำลังช่วยกันจุดเทียนให้ครบกันอยู่เลย

“โห นี่มันเนื่องในโอกาสอะไรครับเนี่ย พ่อ” ผมหันไปถามพ่อเอกที่นั่งอยู่ใกล้ผมที่สุด

“นั่นไง” พ่อเอกพยักหน้าไปทางประตูบ้านของไอ้วิทที่ถูกเปิดออก

ป๋อมและเดียร์ค่อยๆช่วยกันเดินถือเค้กก้อนใหญ่ออกมาจากในบ้านพร้อมๆกับเสียงปรบมือเบาๆจากคนรอบข้าง

“เฮ้ย ชิบหายแล้ว วันเกิดใครวะ เมฆ” ผมหันไปกระซิบถามเมฆ

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ตายห่าแล้ว นี่เราสองคนลืมวันเกิดใครไปรึไงเนี่ย” เมฆกระซิบตอบผมกลับมา

“นี่ เค้กช็อกโกแล็ตสูตรพิเศษของพวกเราเลยนะเว้ย เมฆ ซัน” เดียร์พูดขึ้นเมื่อวางเค้กลงบนโต๊ะแล้ว

ผมกับซันหันมามองหน้ากันงงๆ

“เมฆ ซัน มันอาจจะเร็วไปสักสองวัน แต่ว่าพ่อและทุกๆคนในที่นี้ต่างก็ยินดีที่จะบอกว่า สุขสันต์วันครอบรอบปีที่เจ็ดของทั้งสองคนนะลูก” พ่อเล็กยืนขึ้นพูดและตบบ่าของผมกับเมฆเบาๆพร้อมกับเสียงกู่ร้องแสดงความยินดีจากทุกๆคนรอบทิศทางและเสียงเพลงที่ถูกเปิดขึ้นโดยไอ้วิท ทำให้แม้แต่ไอ้ตัวแสบที่หลับไปแล้วก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมานั่งงัวเงียตบมืออยู่ข้างๆแม่ของตัวเองไปพร้อมกับคนๆอื่นด้วยเหมือนกัน

“ขอให้มีความสุขมากๆนะ เมฆ ซัน” พ่อเล็กกอดเมฆ แล้วก็หันมากอดผมด้วยเช่นกัน “ดูแลความรักของตัวเองให้ยั่งยืนได้อย่างนี้ตลอดไปนะ ซัน พ่อรักลูกทั้งสองคนมากนะ”

“ขอให้มีความสุขนานๆนะลูก รักกันและมั่นคงกันให้ตลอดไป” แม่ของผมเดินเข้ามากอดผมกับเมฆ ถัดจากนั้นก็เป็นพ่อ

“พ่อก็คงไม่มีอะไรจะพูดมากนักหรอก แค่ขอให้ทั้งสองคนเชื่อมั่นในตัวเองอย่างที่เคยเป็นมาก็พอนะ”

“แหม เดี๋ยวรอวันที่ลูกเขยของป้าได้รับการยินยอมจากพ่อแม่เค้าบ้างก่อนเถอะ จะเอาให้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้งานนี้เลยคอยดู” ป้าแอ๊นท์หัวเราะพลางกอดผมสลับกับเมฆไปด้วย “แต่สำหรับหลานชายที่น่ารักของป้าทั้งสองคนนี้ ป้าก็ไม่ขออะไรมากนอกจากแค่ความรักที่เป็นนิรันดรอย่างที่ทั้งคู่มีอยู่แล้วนี้ก็พอนะ”

“ขอให้รักกันนานๆนะ เมฆ ซัน” ลุงคาร์ลอสพูดเป็นภาษาไทยสั้นๆด้วยสำเนียงแปร่งๆพร้อมกับตบบ่าพวกเราสองคน

“วันครบรอบ........ ของผมสองคน” ไอ้เมฆพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักเมื่อหลุดจากการถูกสวมกอดจนครบทุกคนแล้ว

“ก็ใช่น่ะสิ อะไรวะ จำวันครบรอบแต่งงานตัวเองไม่ได้รึไง” ไอ้กอล์ฟกระทุ้งสีข้างเมฆเบาๆ

“ไม่ใช่ คือ พวกกูจำได้ แต่ไม่คิดว่ามันจะ เอ่อ เป็นอะไรแบบนี้”

“แถมที่สำคัญพวกกูแต่งงานกันแล้วซะเมื่อไหร่เล่า”

“แล้วจะรอจนกว่าที่รัฐบาลไทยจะอนุญาตให้มีการแต่งงานของผู้ชายรึไง ไอ้ซัน” ไอ้แป๊ะแย้ง

“ใช่ๆ แค่พวกมึงรักกัน แลกแหวนกัน แลกคำสาบานกัน พ่อแม่ผู้ใหญ่รับรู้และยินยอม นั่นก็เรียกว่างานแต่งงานแล้วเว้ย”

“อ้อ แล้วก็ไอ้เอ็นฝากความคิดถึงและคำอวยพรมาให้พวกพวกมึงด้วยนะ และยังบอกอีกว่าพอมึงกลับกรุงเทพกันไปและพอมันออกเวรเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ ให้พามันเค้าไปเลี้ยงเหล้าด้วย” ไอ้ป๋อมเดินเข้ามากอดพวกเรา “รักกันนานๆนะเว้ยมึง อย่าเพิ่งเลิกกันก่อนกูกับเดียร์จะแต่งงานล่ะ”

ถัดจากนั้นก็เป็นตาของไคล์และพีที่เดินเข้ามากอดพวกเราสองคน

“ยินดีด้วยนะครับ เจ็ดปีแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ ขอให้พี่สองคนรักกันนานๆอย่างนี้ตลอดไปนะครับ” พีกอดผมสลับกับเมฆพร้อมทั้งดวงตาที่เป็นประกายจากหยาดน้ำตา

“ความรักของทั้งสองคนคือสิ่งที่ค้ำจุนความสุขของผู้คนรอบข้างทุกคนนะครับ ผมขอให้พี่สองคนรักษามันเอาไว้นานๆนะ ผมรักพวกพี่มากครับ” ไคล์พูดพร้อมกับหอมแก้มเราทั้งสองคน

ผมหันไปเห็นเมฆเริ่มมีน้ำตาไหลมาปริ่มอยู่ที่ขอบตา และมันก็เลยทำให้ผมต้องเริ่มร้องไห้ตามไปกับมันด้วย ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะโชคดีที่มีคนรักและหวังดีมากมายถึงเพียงนี้ ความรักของผมกับเมฆที่มีให้กันอยู่ทุกวันนี้มันไม่ใช่แค่ความรักของเราสองคนแต่เพียงลำพังเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ที่เราได้รับมาจากคนรอบข้าง และช่วยหล่อหลอมพวกเรามาจนมีวันนี้ขึ้นมาได้นั่นเอง

ทุกๆคนต่างก็เข้ามาอวยพรและแสดงความยินดีให้กับเราทั้งสองคนจนครบ และคนสุดท้ายที่เข้ามาอวยพรให้กับเราก็คือเจ้าวายุนั่นเอง

“ไหน วายุมีอะไรอยากจะบอกพ่อเล็กกับป่ะป๊ามั๊ยคะลูก” อีฟอุ้มวายุเดินตรงเข้ามาหาเราสองคน

เจ้าตัวเล็กโผเข้าหาเมฆแทบจะในทันที จากนั้นก็ใช้แขนเล็กๆคู่นั้นกอบรัดรอบคอของเมฆและซุกหน้าลงบนซอกคอของป่ะป๊าของมันอย่างรักใคร่และน่าเอ็นดู

“ยุรักป่ะป๊าคับ แล้วก็รักพ่อเล็กด้วย” เจ้าตัวเล็กโผเข้ามาให้ผมอุ้มบ้าง ผมเลยรับมันมาจากอ้อมแขนของเมฆแล้วหอมลงบนแก้มนิ่มๆนั่นฟอดใหญ่

“พวกเราก็รักตัวเล็กเหมือนกันครับ”

วายุหันไปชี้นิ้วไปที่เค้กบนโต๊ะแล้วก็ร้องออกมาเสียงดัง “ยุจะกินเค้กกก”

“คร้าบๆ งั้นไปหาแม่ก่อนนะ” ผมส่งวายุคืนให้กับอีฟ จากนั้นก็เดินจูงมือเมฆไปยังโต๊ะที่วางเค้กอยู่

ทุกคนที่ยืนล้อมรอบเราเงียบเสียงลง ผมหันไปมองหน้าเมฆแล้วพยักหน้าเบาๆ ผมรู้ว่าผมไม่เก่งในเรื่องนี้เท่ากับมันนัก และผมรู้ดีเลยว่ามันเองก็คงมีอะไรทั้อยากจะพูดกับทุกคนมากมายไม่ต่างจากที่ผมคิดมากนัก

“ผมกับซันขอบคุณทุกคนมากจริงๆครับ เราขอบคุณมากจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคำๆไหนสามารถนำมาใช้พูดแทนคำๆนี้ได้อีกมั๊ย แต่ว่ามันก็คือความรู้สึกที่เรามีให้แก่ทุกคนจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรารู้ตัวดีว่าเราโชคดีแค่ไหนที่มีเพื่อนและครอบครัวที่ดีที่คอยให้กำลังใจเราอยู่เสมอมา และไม่ใช่แค่ความโชคดี แต่ยังเป็นความรักอันมหาศาลที่เราได้รับและหล่อเลี้ยงมาตลอดยี่สิบกว่าปีนี้ด้วย นับจากวันนั้นที่เรายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยังเป็นลูกชายที่ดื้อที่ซนของพ่อและแม่ เป็นเพื่อนที่วิ่งเล่นเที่ยวเล่นด้วยกัน จวบจนมาถึงวันนี้ที่เราเติบโตขึ้นมาจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มีครอบครัวเดิมที่อบอุ่น สร้างครอบครัวเล็กๆของเราขึ้นมาเองใหม่ และมีเพื่อนๆที่รักและยังคงมั่นคงต่อกันตลอดนานนับสิบปี รวมไปถึงผู้คนใหม่ๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราอีกหลายคน แต่ทุกสิ่งที่ทุกคนมีให้แก่เราเหมือนๆกันนั่นก็คือ ‘ความรัก’ ครับ........ ถ้าหากไม่มีความรักจากทุกๆคนเช่นนี้ เราก็คงจะไม่ใช่เมฆกับซันอย่างในทุกวันนี้แน่ เพราะฉะนั้น ผมไม่มีอะไรจะพูดมากยิ่งไปกว่าคำว่า........ ขอบคุณจริงๆครับ”

ทุกคนปรบมือขึ้นทันทีหลังจากที่เมฆพูดจบ และเมื่อเสียงปรบมือเริ่มซาลงนั้นก็เป็นสัญญาณที่จะให้ผมพูดอะไรบางอย่างออกไปด้วยเช่นกัน

“เอ่ออ ผมก็คงเหมือนกันนั่นแหละครับ ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ผมรู้ว่าในอดีตผมเคยทำผิดพลาดไป มันคงเป็นความผิดที่ผมไม่มีวันลืม แต่ว่า ผมก็คงจะลืมไม่ลงด้วยเช่นกันว่า ณ ตอนนั้น ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของเราสองคน เรามีเพื่อนและครอบครัวที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนที่คอยให้กำลังใจเราเรื่อยมา” ผมเว้นช่วงและมองไปยังใบหน้าของทุกคนรอบข้าง “หลายคนอาจจะพูดว่าเขาชื่นชมในความรักที่ผมกับเมฆมีให้แก่กัน แต่ผมขอบอกเลยนะว่าจริงๆแล้ว ความรักของเราสองคนนั้นมันเกิดขึ้นมาได้จากความรักที่ทุกคนมีให้แก่พวกเราต่างหากครับ ดังนั้นในคืนนี้ผมจึงอยากจะบอกทุกคนเลยว่า ผมขอบคุณทุกคนมากจากใจจริงๆ”

ทุกคนปรบมือขึ้นอีกครั้ง ถัดจากนั้นก็เป็นเสียงร้องของเจ้าตัวแสบว่าอยากกินเค้กดังขึ้นอีก ผมกับเมฆจึงช่วยกันตัดเค้กแบ่งใส่จานและเดินแจกให้แก่ทุกคนจนครบคน และในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินเค้กของตัวเองกันอยู่นั้น ผมกับเมฆก็ได้รับของขวัญชิ้นน้อยใหญ่จากหลายๆคนไปด้วย

“ซันคะ” พี่แอมป์เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับสมุดเล่มหนึ่งในมือ “นี่ค่ะ ของขวัญวันครบรอบเจ็ดปี ยินดีด้วยจริงๆนะจ้ะ”

“ขอบคุณมากครับพี่” ผมรับสมุดเล่มนั้นมาถือเอาไว้ในมือ รู้ดีเลยว่ามันคือสมุดสำหรับเก็บสะสมภาพถ่ายนั่นเอง

พี่แอมป์หอมแก้มผมเบาๆหนึ่งทีก่อนจะเดินกลับไปนั่งกับอาร์มเหมือนเดิม

“เมฆ มาดูนี่สิ” ผมกวักมือเรียกให้เมฆลุกเดินเข้ามาหา “เมฆจำรูปพวกนี้ได้มั๊ย.........” ผมค่อยๆเปิดสมุดเล่มนั้นตั้งแต่หน้าแรกไล่ไปเรื่อยๆ

“จำได้สิ นี่มันเป็นรูปที่ซันถ่ายตอนที่หนีเมฆไปอังกฤษเมื่อคราวนั้นนี่นา”

“ใช่แล้ว ซันเป็นคนบอกให้พีช่วยเอากลับมาให้ และพี่แอมป์เค้าก็ทำสมุดเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นของขวัญของเราสองคนนะ” ผมพลิกหน้าสมุดช้าๆทีละหน้าๆจนมาถึงหน้าก่อนสุดท้าย “แต่เมฆจำได้มั๊ยว่าตอนนั้นมันมีรูปของท้องฟ้ากับก้อนเมฆอยู่ทั้งหมดกี่ใบ”

“สี่สิบเก้าใบใช่มั๊ย”

“ใช่ และจำได้มั๊ยที่ซันเคยบอกว่าซันรอที่จะมีรูปใบที่ห้าสิบที่เป็นรูปที่ซันจะได้ถ่ายมันพร้อมกับเมฆ เป็นรูปที่จะเป็นรูปของ ‘ท้องฟ้าและก้อนเมฆ’ จริงๆ”

“ซันได้มันมาแล้วเหรอ” เมฆถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ สามปีผ่านไปซันไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลยนี่นา”

“ก็แหม มันหารูปเหมาะๆไม่ได้ซะกทีนี่นา แถมซันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นรูปยังไง เพราะพี่แอมป์เป็นคนอาสาว่าจะถ่ายและเลือกมาใส่ให้ด้วยตัวเองน่ะ เรามาดูพร้อมๆกันเลยดีกว่า” ผมพลิกไปยังหน้าสุดท้าย และในหน้านั้นก็มีรูปถูกเก็บไว้อยู่แค่เพียงใบเดียว เป็นรูปย้อนแสงที่เห็นเป็นเงาทอดผ่านทางด้านหลังของเราสองคนที่กำลังนั่งกุมมือกันอยู่บนสันทราย และเบื้องหน้าทางขวามือของเรานั้นก็เป็นพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับก้อนเมฆก้อนน้อยใหญ่ลอยประดับอยู่เคียงข้างมัน

“รูปนี้มันเมื่อกี๊นี้เองนี่” ไอ้เมฆใช้มือลูบลงบนรูปใบนี้ช้าๆ

“พี่แอมป์นี่ไม่เคยพลาดจริงๆเลยนะ” ผมหัวเราะเบาๆ

“สวยมากๆเลยว่ะ ซัน เมฆชอบรูปนี้กว่ารูปที่เรานั่งชิงช้าด้วยกันใบนั้นซะอีก ไม่สิ คือถ้าจะพูดจริงๆแล้วก็คือเมฆชอบรูปนี้โคตรๆเลย”

“ซันก็เหมือนกัน” ผมหันไปหอมแก้มเมฆเบาๆ

“พ่อเล็กหอมน้องยุด้วย” ผมก้มลงมองที่ขากางเกงของผมถูกดึงโดยเจ้าตัวเล็กแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ได้สิครับ เอ้านี่” ผมอุ้มมันขึ้นมากอดเอาไว้แล้วก็หอมแก้มไปฟอดใหญ่พร้อมกับไซร้คอมันไปด้วย ทำเอาเจ้าตัวแสบตัวน้อยหัวเราะคิกคัก “นั่น พ่อมาตามไปกินเค้กต่อแล้ว ไปหาพ่อก่อนนะ ไป”

ไอ้กอล์ฟเดินมารับลูกของมันไปนั่งกับแม่มันเหมือนเดิม จากนั้นผมจึงกันกลับมาเพื่อวางสมุดเก็บภาพถ่ายนั้นไว้บนโต๊ะที่ใช้วางของขวัญที่ทุกคนมอบให้พวกเรามา แต่ทว่าก็มีกล่องของขวัญอยู่กล่องหนึ่งที่ผมไม่คุ้นตาเลยว่าผมได้รับมันมาจากใครหรือเมื่อไหร่ในค่ำวันนี้

“เมฆๆ ผมกวักมือเรียกเมฆให้เดินกลับมาหา “เมฆรู้มั๊ยว่านี่ของใครให้เรามาน่ะ ซันจำไม่ได้”

เมฆหยิบกล่องของขวัญนั้นขึ้นมาพลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา “อื้อ รู้สิ”

“ใครให้ล่ะ ทำไมซันไม่เห็นจำได้ หรือว่าเมฆเป็นคนรับมา”

“เปล่า เมฆก็ไม่ได้ได้รับมาจากมือหรอก” เมฆตอบพลางหันมองไปรอบๆตัว “และยังไม่รู้ด้วยซ้ำนะว่าเค้าจะอยู่ที่นี่รึเปล่าน่ะ”

“หมายความว่ายังไง”

“นี่ไง ตัวอักษรตัวดับเบิ้ลยูตัวเล็กๆตรงนี้นี่ เห็นมั๊ย ทุกครั้งที่เมฆได้ของขวัญจากคนๆนี้ มันจะมีสัญลักษณ์นี้อยู่ที่กล่องเสมอแหละ”

“และคนๆที่ให้นี้ก็คือ.........”

“พี่วินไง”

“อ้อออ” ผมพยักหน้า

เมฆวางของขวัญชิ้นนั้นลงที่เดิมพร้อมกับเดินจูงมือผมออกมายืนอยู่กลางลาน และตอนนั้นเองที่เพลงที่เปิดอยู่กำลังจะจบลงและเพลงถัดมาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะที่ช้าลงกว่าเดิม หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือถูกเปลี่ยนเป็นเพลงสำหรับเต้นรำนั่นเอง

“เต้นกันหน่อยดีมั๊ย ฟ้าคราม”

ผมยิ้มและตอบกลับด้วยการคว้าเอวของมันเข้ามาสวมกอดเอาไว้ ทันทีที่เราสองคนเริ่มขยับตัวอย่างช้าๆ ป้าแอ๊นท์กับลุงคาร์ลอสก็ลุกขึ้นมาเต้นอยู่ข้างๆเราสองคน จากนั้นก็ตามด้วยเดียร์กับป๋อม พีและไคล์ และคนอื่นๆก็ด้วยเช่นกัน

เสียงเพลงช้าบรรเลงเคียงคู่ไปกับแสงสีส้มนับร้อยดวงรอบกายเรา ช่วยขับกล่อมท่วงทำนองแห่งความสุขและความรักจากผู้คนรอบข้างเราทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ถึงท้องฟ้าในตอนกลางคืนนั้นจะมืดมิด แต่มันก็สวยงามระยิบระยับไปด้วยแสงดาวนับร้อยดวงและความงามจากดวงจันทร์อันนวลผ่อง และเราสองต่างก็รู้ดีเลยว่าภายในใจของเราทั้งคู่นี้ ท้องฟ้าผืนเดียวที่เราใช้ร่วมกันนั้นจะยังคงเป็นสีฟ้าครามสวยสดเคียงคู่ไปกับก้อนเมฆสีขาวบริสุทธิ์อยู่เช่นนั้นตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง.........

“นี่ก็เท่ากับเราแต่งงานกันจริงๆจังๆแล้วสินะ ฟ้าคราม”

“ใช่....... มีทั้งแหวน ทั้งเค้ก คำอวยพรจากผู้ใหญ่ เพื่อนๆ งานฉลอง และการเต้นรำ ซันว่าเราก็คงเพิ่งได้แต่งงานกันจริงๆก็เมื่อวันครบรอบเจ็ดปีของเรานี่แหละนะ ศิลา”

“แถมยังเป็นแบบผสมทั้งแบบไทยและแบบฝรั่งด้วย”

“ก็นั่นสินะ วันครบรอบปีหน้าของเราคงจะงงกันน่าดูเลยว่าครบอะไรแบบไหนมั่งแล้วน่ะ”

“ว่าแต่พอเป็นแบบนี้แล้วรู้อะไรมั๊ย ซัน”

“อะไรเหรอครับ........” ผมก้มเอาหน้าผากมาชนเข้ากับหน้าผากของมันเบาๆ

ไอ้เมฆเงียบลงไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “แบบนี้ก็เท่ากับว่า นับแต่นี้ต่อไป มึงก็ติดอยู่กับกูไปตลอดชีวิตแล้วนะ ไอ้ตัวแสบ.........”

“และมึงก็ติดอยู่กับกูไปตลอดชีวิตแล้วเหมือนกัน ไอ้ตัวดี.........” ผมหัวเราะเบาๆ


จบบริบูรณ์



.......................................................................

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 08-10-2008 21:50:14
โหยยย


ไร้คำบรรยายครับ


รักเมฆกับซันโคดๆๆ

รักนิยายเรื่องนี้ ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนสุดท้าย

และที่สำคัญ

รักพี่ต้น คนแต่ง อย่างสุดซึ้งงงง


^___________________^ :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-10-2008 21:54:44
^
^

โฮ้!! อ่านเร็วเว้ออออ!!  :m30:

อิอิ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณจริงๆๆๆ

 :oni2:


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออ&#
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 08-10-2008 21:55:23

เป็นกำลังใจให้พี่ต้นนะคร๊าบบบ สุดยอดเจิงๆเอ๊าะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: blackberry2214 ที่ 08-10-2008 22:03:28
เช้ด น่าภูมิใจมาก อ่านซีรีส์เรื่องยาวนี้จบคนแรก
(รึเปล่าวะ อ้อลืมไป พี่ต้นจบก่อน)


อ้ากกกกกกกก โคดดีใจอ่าาาาาา



5555+


อยากจะบอกว่า ตั้งแต่พี่ต้นบอกว่าวันนี้เจอกัน ต๊อบก้เอาการบ้า่นที่เรียนพิเศษ เอาชีทที่ต้องอ่านตอนเย็นมานั่งอ่านหน้าคอมเลยอ่ะ

เฝ้าแบบ ตามติด


นึกไม่ออกเรยว่าจะพูดไรอีก รุสึกมันครบทุกอารมณ์แล้ว


เอาเปนว่า

โคดรักพี่ต้นเลยคร้าบ



5555 ^_______________^ :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: BEta-K ที่ 08-10-2008 22:48:00
 :L2: ตามอ่านมานาน จบแบบมความสุข ประทับใจจริงๆ 

ขอบคุณน้องต้นมากๆ :pig4:

   จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปอีก  :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 08-10-2008 23:00:40
ขอบคุณมากจ้า ต้นน้องรัก  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ก้าวเดินไปสู่ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 09-10-2008 06:55:30
 o13 :bye2:ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 09-10-2008 12:25:13
อยากจะฆ่าอีนังนัท

ดีนะที่ไปศรีธัญญาแล้ว  o13



สุดยอดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก พี่ต้นสุดยอดเอ๊าะ+++ นับถือสุดซึ่ง

แต่ก็อย่างว่า อิจฉาไฟลุกโชน อิอิ

ขอบคุณพี่ต้นสำหรับเรื่องราว และนิยายสุดๆเรื่องนี้นะครับ

สุดยอดจริงๆ

ปล.ใครตามอ่านจากภาคแรกยันภาคจบ มีหวังอ๊วกก!!!  :laugh:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 09-10-2008 16:56:05
จบแล้วใช่มะ เดี๋ยวตามอ่านนะจ๊ะ จุ๊บๆๆๆๆ  :man1: :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 09-10-2008 22:29:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: nongyuna ที่ 10-10-2008 04:00:21
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

สนุกเวอร์ค่ะ

แม้ภาคสุดท้ายจะมาแนว สอบสวน มากมายก็ตาม

แต่ก็ชอบมากกกกกกกกกกกกค่ะ

เอาไปทำซีรีย์ได้เลยค่ะ มันส์มากกกกกกกกกกกกก  :laugh:

แบบเดาไม่ออกกันเลยทีเดียว


ps...ภาคนี้ขาดบทอัศจรรย์นะค่ะ  :o8: :o8:

แวะเอามาแถมนิสกดีน๊า  :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-10-2008 13:31:21



ps...ภาคนี้ขาดบทอัศจรรย์นะค่ะ  :o8: :o8:

แวะเอามาแถมนิสกดีน๊า  :oni2: :oni2:

55555 คิดเหมือนกันเลยครับ นึกอยู่ตลอดเลยว่า "แหม๊~ มันขาดอะไรไปนิสโนะ" 55555  :laugh:
แต่เอามาแถมคงไม่ดีแล้วล่ะคับ อิอิ เอาไว้ครั้งหน้าแต่งสตอรี่เอ๊กซ์ๆลงปกขาวเลยดีแมะ อิอิอิ  :o8:

ปล. แวะมาขอบคุณอีกครั้งก่อนไป ตจว ครับ ขอบคุณมากม๊ากกกกก  :bye2:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: nartch ที่ 11-10-2008 15:27:14
 :m4:
ชอบช่วงเวลาที่หวาน ๆ โรแมนติก ๆ แบบนี้จางงงงงง  :o8:

แม้จะไขว้เขวไปบ้างแต่ก็เป็นไปตามคาด ยัยนัท ตัวดีเจง ๆ
แต่ไหน ๆ ก็ผ่านมาด้วยดี เมฆกับซัน ไคล์ทกับพี ก็รักกันดี
แถมยังมี วายุ ตัวแสบมาเพิ่มเป็นศูนย์รวมความรักด้วย   :m1:

+1 ให้เป็นการขอบคุณสำหรับการถ่ายทอดความรักที่สวยงาม
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: TaDa ที่ 11-10-2008 20:46:50


ขอบคุณคร๊าบบบบบบบบบบ

สำหรับซี่รี่ส์เรื่องยาวววววววววววววววววว

ขอบคุณทุกอารมณ์ความรู้สึกของทุกตัวละคร ที่พี่แต่งได้สุดยอด  :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: slmzaa ที่ 11-10-2008 23:39:25
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:สุดยอดครับ      ขอบคุณมากที่เขียนเรื่องดีๆๆไห้กับเราอ่านครับ
:mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 12-10-2008 12:02:07
เฮ้อออ ในที่สุดซีรีย์เรื่องนี้ก็มาถึงตอนจบ ... ชอบจังเลย ชอบตั้งแต่ภาคแรกๆและ ภาคนี้เปลี่ยนแนวก็แปลกดีนะแต่ก็หนุกแหละ

ขอบคุณต้นสำหรับความพยายามในการเขียนเรื่องด้วยนะคร้าบบ แล้วก็ขอให้มีความสุขสนุกสนานกับการทำงานนะ

เป็นกำลังใจให้เสมอคร้าบบบบ เหนื่อยๆหรือมีปัญหาไร เขียนมารับรองว่ามีแฟนๆมากมายพร้อมจะเป็นเพื่อนและเป็นกำลังใจให้แน่ๆคับ ;)
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: osaru ที่ 13-10-2008 10:38:51
ยังอ่านไม่จบเลย ยาวมากชอบๆๆๆ

อ่านจบแล้วเดี่ยวเข้ามาเม้นน้า

แว้บบไปอ่านต่ออย่างรวดเร็ว
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 20-10-2008 18:08:00
 :m3: :m3: :m3:
อิ่มค่ะ น้องต้น อิ่มใจจริงๆในที่สุดก็ทำได้อย่างที่บอกไว้เลย  o13
จากนี้ไปคงคิดถึงเมฆกับซันมากๆๆๆ
 :pig4:ขอบคุณนะสำหรับเรื่องที่สนุก สุข เศร้า ตื่นเต้นเร้าจายเรื่องนี้
ทุกๆภาคที่ผ่านมารู้สึกดีมากๆเลย :pig4: :pig4:
แล้วก็ดีใจด้วยกับรางวัลจากการโหวตนิยายเรื่องนี้(ได้ตั้ง2รางวัลแน่ะ :t2:)
 :L2:
 :กอด1:
กว่าจะอ่านจบเล่นเอามึนเหมือนกันแฮะ o2 o2
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 25-10-2008 08:12:58
จบแล้ว ยาวสะใจดี อิอิ

รอเรื่องต่อไป ยังไงก็คิดถึงก้อนเมฆ และ พระอาทิตย์อยู่เสมอ

จะมีเรื่องของพีท กับ ไคล์ต่อไหมคะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีที่ให้อ่านนะคะ :pig4:


ปล. ดีใจกับรางวัลที่ได้ด้วยค่ะ ถึงจะไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องศิลา ฟ้าคราม  :m1: :m4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ryuse ที่ 11-11-2008 13:22:00
ขอบคุณต้นครับ ที่แต่งเรื่องนี้ให้จบได้เจ๋งไม่แพ้เรื่องอื่นๆ

ปองคุงพึ่งมาตามอ่านจนจบเมื่อตอนตี3ของวันนี้เอง นี่ก็พึ่งจะได้มาโพสต์ตอบ

ต้น จำที่ปองคุงเคยถามได้สินะครับ (จำไม่ได้ไปดูในIMดิ ถ้าไม่ได้ลบไปก่อนนะ  :laugh:)

ตอนนี้ปองคุงได้คำตอบหมดแล้วครับ ขอบคุณมากๆที่ทำให้กระจ่างได้ อ้อ . . . เกือบลืมอยากจะบอกว่า



"ไอ้บ้าต้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

แต่งให้กำกวม บีบคั้นหัวใจคนอ่านตาดำๆคนนี้ได้ไงวะ!!? ใช้ได้ที่ไหน!!?"


แหม่ กว่าจะทำใจมาอ่านได้อีกรอบ ก็ตอนเหลือบมาเห็นว่าเรื่องนี้ย้ายมาอยู่ที่forumนี้แล้ว

อ่านจนจบแล้วค่อย :m4:ออกหน่อย

ขอโทษที่ :angry2:คุณแต่อดมันอดไม่ได้น่ะ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับหัวใจดีๆที่ทำให้ผมอยาก :กอด1: คุณ

อีกครั้ง คุณต้น :o8:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: speedboy ที่ 12-11-2008 17:41:29
อ่านจนจบ  โอ้ยคิดว่าตัวเองจะไปเป็นก้อนหินในเรื่องอะคร้าบ อิอิ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะคร้าบ

 :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-11-2008 20:45:06
วันนี้แอบกลับมานั่งอ่านรีพลายแล้วแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว  :กอด1:

ผมรู้สึกคิดถึงเมฆกับซันโคตรๆเลยครับ ทั้งด้วยเหตุผลส่วนตัว และด้วยที่มันสองคนอยู่กับผมมาตั้งแต่แรกถึงสองปี
ทั้งเมฆและซันต่างก็เป็นเหมือนร่างแยกของต้นกับคนอีกคนหนึ่งที่ก็จะยังคงอยู่และอยู่อย่างสวยงามในใจต้นตลอดไปเช่นกัน
เพราะงั้นพอไม่ได้เขียนถึงคนสองคนนี้แล้ว มันก็อดรู้สึกเหงาๆแปลกๆไม่ได้
รู้สึกเหมือนเสียเพื่อนหรือขาดการติดต่อจากเพื่อนที่เรารัก สนิท และไว้ใจที่สุดในโลกไป
รู้สึกเหมือนสูญเสียส่วนหนึ่งของชีวิต ร่างกาย หัวใจ และจิตวิญญาณไปเลยก็ว่าได้

ฟังดูเว่อร์เนอะ แต่สำหรับต้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

และไม่่ใช่แค่เมฆกับซัน แต่ยังเป็นทั้งไคล์ พี และคนอื่นๆด้วย

ทุกวันนี้เวลาที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ก็ยังคิดถึงสองคนนี้อยู่ตลอดเวลาเลย
ทั้งรอยยิ้มของก้อนเมฆ และความอ่อนโยนของท้องฟ้า ความเข้มแข็งของก้อนหิน และความอบอุ่นของพระอาทิตย์
แต่สิ่งๆหนึ่งที่หายไปแล้วแน่ๆก็คือ.......

ผมไม่สามารถหาคำพูดอะไรมาบรรยายความงดงาม ความเหงา หรือความรู้สึกต่างๆของท้องฟ้ากับก้อนเมฆได้เหมือนแต่ก่อนอีกแล้วครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรู้สึกมันได้ถูกถ่ายทอดออกไปเป็นตัวหนังสือทั้งหมดทั้งสามภาคจนเกลี้ยงหมดแล้ว

ทุกวันนี้เวลาฟังเพลงของ depapepe ในฉากที่ซันแต่งและเล่นกีตาร์ให้เมฆก็คิดถึงมันสองคนตลอดเลย
รวมทั้งเพลงอื่นๆที่ผมเคยใช้และพูดถึงด้วย
รู้สึกเหมือนกับมี soundtrack ส่วนตัวของสองคนนี้อยู่ในใจยังไงไม่รู้เลย
เวลาเหงาๆคิดถึงพวกมันก็จะเปิดฟังวนไปวนมาเรื่อยๆๆๆ อย่างเพลง wedding bell นี่เคยฟังวนจนสามชั่วโมงไม่เปลี่ยนเพลงเลยก็มี


รู้สึกเหงาๆเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่าแหละเนอะ มีพบก็ต้องมีจาก
แต่ถึงอย่างไรอย่างน้อยๆมันสองคนก็จะยังคงอยู่ในใจของผมตลอดไปแน่นอน......




เฮ้อออ คิดถึงเมฆกะซันจังเลยยย
เอาไว้หาโอกาสให้มันได้มีบทออกมาอีกดีมั๊ยเนี่ย แง่มๆ -"-



ปล. ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ ขอบคุณจริงๆ หวังว่าเมฆกับซันจะยังคงรักกันและอยู่คู่กันเป็นท้องฟ้าที่สวยงามในใจของคนอ่านทุกคนนะครับ ^__^
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 14-11-2008 21:38:51
คิดถึงเมฆกับซันมากจริงๆ ด้วย ถึงจะอ่านมาถึงสามภาค ก็ยังรู้สึกว่ายังอ่านไม่อิ่มเลย
ว่างๆ ก็มาเขียนเป็นตอนพิเศษมั่งก็ดีเนอะ

คิดถึงต้นมากด้วยนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 10-12-2008 00:06:12
มาสารภาพว่า

ฟัง wedding bell

ไม่ใช่แค่ 1 2 หรือ 3 ชั่วโมง!!

แต่เป็นทุกครั้งที่เปิดคอม

อิอิ

 :-[

หลงแบบสุดๆ แง๊ๆๆ   :serius2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Blurry ที่ 08-01-2009 17:54:45
ขอถอนหายใจยาวๆ เฮ้ออออออ ในที่สุดก็อ่านจบแล้ว :a2: ใช้เวลาข้ามปีเลยทีเดียว
แต่ชอบมากๆๆๆ รักเมฆกับซันคู่ที่อบอุ่นที่สุดในโลก รักคู่นี้จริงๆ  o18
วายุเป็นเด็กที่ได้รับความรักมากมาย โตไปจะเป็นยังไงอยากรู้

ว่างๆก็แต่งตอนพิเศษมาให้อ่านบ้างนะคะ  :pig4:




หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: TonG_x_Zhi ที่ 16-01-2009 23:35:34
อ่าน4วันติดต่อกันจนจบ :really2:  ตอนแรก อ่านภาคแรกก่อน  แล้วลองค้นดูว่า นักเขียนคนนี้เขียนเรื่องไหนอีกป่าวเนี่ย:impress2:

จนมาเจอเรื่องนี้อ่ะครับ

สนุกแล้วก็น่าติดตามมากอ่ะ  อ่านซะเพลินครับ   ตอนแรกคิดว่าคนร้ายเป็นนัทไปๆมาๆอ้าวเฮ้ย พี่จ็อบร้ายกว่า :z6:

แต่สรุปนัทร้ายที่สุด :a5:  แต่ก็สงสารนัทเหมือนกันนะ คงทั้งรักทั้งแค้นแหละ :fire:

ยังไงจะติดตามอ่านผลงานต่อไปนะครับ  สู้ๆ o13 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 18-01-2009 21:11:29
อีกไม่นานคงได้เข็นนิยายเรืองใหม่มา
ยังจะมีคนอ่านมั๊ยเนี่ย หายหัวไปนานเกิ๊นนน

 :เฮ้อ:

คราวนี้สดกว่าเมฆกะซันแน่นอน เพราะเป็นเด็กโรงเรียนชายยายยายายายาายายยย 55555

คงออกแนวๆเดิม รักๆ หวานๆ และ ยาววยาวววววววว
คงได้ยาวกว่าเมฆกะซันแน่ๆเลย

ปล. ใบ้ให้ว่าต้นไม่ทิ้งเมฆกะซันแน่นอน
ปล.2 น่าจะเจอกันราวๆกุมภามั๊ง (ช่วงนี้ขอเก็บสต๊อกอีกสักพัก งานเยอะบรรลัยโลก)
ปล.3 จะได้มีคนอ่านข้อความนี้กี่คนเนี่ย 5555
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Blurry ที่ 19-01-2009 03:55:30
ู^
^
คุณต้น!
รออ่านเรื่องใหม่อยู่น้าาา
คิดถึงเมฆกะซัน :man1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ETOM ที่ 20-01-2009 00:24:32
อ่านมาตั้งนานเพิ่งจะดันเป็น โง่อ่ะ........
ชอบครับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: seacow ที่ 11-03-2009 07:47:48
เรามาเม้นให้สายไปไหมง่ะ
ไม่รู้จะเม้นอะไรให้มีคำๆเดียวที่อ่านเรื่องนี้

ปลื้ม
[/b]

อ่านแล้วอิ่มอกอิ่มใจแม้ภาคนี้จะให้ความรู้สึกอึดอัดบ้างก็เถอะ
เพราะมีหลายๆมุมในเรื่องที่อยากรู้มากมาย

พี่ต้น(แอบเรียกพี่เลย) เรียนจบอักษรศาสตร์มาหรือเปล่า
ใช้ภาษาได้เก่งมากมาย o13 สุดยอด

พี่ต้นทำให้คนอ่านรักตัวละครมาก ตั้งแต่เปิดอ่านเรื่องนี้บอกตรงๆ ไม่อยากไปไหนเลยอยากอ่านๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่อยากเรียนไม่อยากทำงานไม่อยากทำอะไรเลย ติดมากๆ (พี่แอบใส่กัญชาให้ติดไว้หรือเปล่า)

สุดท้ายต้องขอขอบคุณพี่ต้นที่เขียนเรื่องราวดีดีออกมาให้อ่าน
ไม่ใช่แค่สนุกมีทั้งข้อคิดดีดี ปรัชญา ที่อ่านสามรอบถึงแปลออก(แสดงออกมาได้ว่าตัวเองฉลาดน้อย)

จะติดตามผลงานพี่ต่อไปนะ
ขอให้พี่โชคดี มีความสุข (จะตามไปอ่านเรื่องใหม่)
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 11-03-2009 07:52:33
^
^

ไม่สายไปหรอกครับ ขอบคุณมากๆๆนะครับ ที่อ่านแล้วยังเม้นต์ให้กำลังใจผมด้วย ^^

ส่วนเรื่องเรียน ผมจบอินเตอร์ด้วยซ้ำครับ 5555 ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเลย
และเรื่องกัญชา มันเนื่องมาจากการที่ผมไม่ได้ใช้ภาษาไทยมานานนี่แหละครับ เวลาเขียนนิยายก็เลยใส่ความรักลงไปเยอะๆแทน อิอิ เน่าเนอะ

ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับ หวังว่าจะยังกลับมาอ่านรีพลายขอบคุณของผมน้าา  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 12-03-2009 20:06:36
วิ่งมาแทงคนบน

 o18





หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: [[PooK]] ที่ 20-03-2009 21:38:19
เพิ่งตามมาอ่าน จบไป 4 ภาครวดในทีเดียว ครบทุกความรู้สึกเลยครับ สนุกมาก
แล้วก็เป็นวันที่คล้ายๆ จะครบ 7 ปีที่ผมอยู่กับแฟนพอดีเลย (การย้ายมาอยู่ด้วยกันโดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายรับรู้นี่เรียกว่าการแต่งงานรึเปล่า) แต่เหมือนกับว่าไม่ได้ผ่านอะไรมาอย่างหนักเหมือนทั้งคู่เลย ทำแค่วันนี้ให้ดีที่สุด...พอ

ขอบคุณอีกครั้งครับ

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 02-04-2009 18:59:21
อ่านจบแล้ว... สุึดยอดเลยครับภาคนี้ มีหักมุมด้วยอะ ยังกะอ่านนิยายของ อกาธา คริสตี้ แน่ะ ชอบมากๆเลยครับ  :mc4:


ตอนนี้ ขอตามเชียร์เพื่อนของวายุ ในกระดานดำฯ ต่อละกัน




ขอบคุณคุณต้นมากๆครับ สำหรับนิยายดีๆซีรี่ย์นี้  :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: tnat ที่ 25-04-2009 11:01:24
ขอบคุณครับผม
อ่านไปต้องนั่งลุ้น นั่งเดา ตลอดเลย
น่าติดตามจริงๆ ครับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: vithita ที่ 20-05-2009 13:44:40
:laugh:อ่านแล้วหนุกดี แต่ไหงดูแล้วเศร้านะ แต่ก็จะอ่านต่อนะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Seiki ที่ 20-05-2009 20:42:39
ขอบคุณฮะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: KevinKung ที่ 25-05-2009 16:58:25
ฮ่า ๆ ขอสารภาพ ว่า หายไปครึ่งปี พึ่งจะกลับมาอ่านต่อให้จบได้...ติดเรียนหนักโคด ๆ :z6:

จบได้สวยงามและซาบซึ้งที่สุดครับ

ซันและเมฆจะอยู่ในใจตลอดไป :กอด1:


แล้วจะติดตามผลงานต่อไปครับ :-[
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 07-08-2009 20:22:31
เพิ่งเริ่มอ่าน มาทักทายก่อน

หวัดดีค่า



 :3123:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: PeeraDHa ที่ 25-08-2009 15:30:44
 o13 มาจากเรื่องนู้นอ่ะ....เลยต้องมาอ่านว่า พ่อเล็ก กะ ป๊ะป๋า คือครายกันแน่อ่ะ .... :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: BABOO ที่ 12-10-2009 00:50:23
ขอบคุณมากค่ะ

ประทับใจความรักของเมฆกับซันและผองเพื่อนค่ะ

 o13 o13
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: keem ที่ 23-10-2009 21:48:22
ขอบคุณมากจะค่อยๆอ่านไปเรื่อยๆครับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: 1582 ที่ 04-11-2009 21:23:05
 :mc4:  ตามเก็บครบ 4 ภาคแล้วจ้า น้องต้น  ภาคสุดท้ายนี้ กว่าจะจบเล่นเอาเหนื่อย
ลุ้นแทนเมฆกับซันสุดๆ  บทสรุปของแต่ละตัวละครก็สมเหตุสมผลดีค่ะ

คราวนี้ตามไปอ่านเรื่องล่าสุดได้ซะทีแล้ว   :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: อิสระ ที่ 11-01-2010 23:01:03
แม้จะเจอันช้าไปกับเรื่องนี้
แต่ขอบอกว่า
รักหมดใจ
จะเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไปเลย
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆมาให้ได้สัมผัสนะครับ

love   love   :L2: :กอด1: :bye2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: O_o ที่ 07-04-2010 07:03:45
นานไปมั้ยทีี่จะ reply ตอนนี้
แต่ก็ต้องบอกว่าทราบซึ้งจริง ๆ
น้ำตาไหลไปเยอะเหมือนกัน
แต่งได้เก่งมาก ๆค่ะ
เข้าถึงอารมณ์จริง ๆ


ปล.ชอบพี่วินมากมาย
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: TaNWa ที่ 03-05-2010 12:26:12
ประทับใจสุดๆ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: n2 ที่ 25-05-2010 22:47:33
อ่านจบทั้ง 4 ภาคแล้วประทับใจในความรักของซันกับเมฆมาก
ชอบนิยายเรื่องนี้มากๆ ต้องกลับมาอ่านอีกรอบแน่นอน :กอด1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: LittlePrince ที่ 09-06-2010 12:34:09
วันนี้แอบกลับมานั่งอ่านรีพลายแล้วแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว  :กอด1:

ผมรู้สึกคิดถึงเมฆกับซันโคตรๆเลยครับ ทั้งด้วยเหตุผลส่วนตัว และด้วยที่มันสองคนอยู่กับผมมาตั้งแต่แรกถึงสองปี
ทั้งเมฆและซันต่างก็เป็นเหมือนร่างแยกของต้นกับคนอีกคนหนึ่งที่ก็จะยังคงอยู่และอยู่อย่างสวยงามในใจต้นตลอดไปเช่นกัน
เพราะงั้นพอไม่ได้เขียนถึงคนสองคนนี้แล้ว มันก็อดรู้สึกเหงาๆแปลกๆไม่ได้
รู้สึกเหมือนเสียเพื่อนหรือขาดการติดต่อจากเพื่อนที่เรารัก สนิท และไว้ใจที่สุดในโลกไป
รู้สึกเหมือนสูญเสียส่วนหนึ่งของชีวิต ร่างกาย หัวใจ และจิตวิญญาณไปเลยก็ว่าได้

ฟังดูเว่อร์เนอะ แต่สำหรับต้นมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

และไม่่ใช่แค่เมฆกับซัน แต่ยังเป็นทั้งไคล์ พี และคนอื่นๆด้วย

ทุกวันนี้เวลาที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ก็ยังคิดถึงสองคนนี้อยู่ตลอดเวลาเลย
ทั้งรอยยิ้มของก้อนเมฆ และความอ่อนโยนของท้องฟ้า ความเข้มแข็งของก้อนหิน และความอบอุ่นของพระอาทิตย์
แต่สิ่งๆหนึ่งที่หายไปแล้วแน่ๆก็คือ.......

ผมไม่สามารถหาคำพูดอะไรมาบรรยายความงดงาม ความเหงา หรือความรู้สึกต่างๆของท้องฟ้ากับก้อนเมฆได้เหมือนแต่ก่อนอีกแล้วครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรู้สึกมันได้ถูกถ่ายทอดออกไปเป็นตัวหนังสือทั้งหมดทั้งสามภาคจนเกลี้ยงหมดแล้ว

ทุกวันนี้เวลาฟังเพลงของ depapepe ในฉากที่ซันแต่งและเล่นกีตาร์ให้เมฆก็คิดถึงมันสองคนตลอดเลย
รวมทั้งเพลงอื่นๆที่ผมเคยใช้และพูดถึงด้วย
รู้สึกเหมือนกับมี soundtrack ส่วนตัวของสองคนนี้อยู่ในใจยังไงไม่รู้เลย
เวลาเหงาๆคิดถึงพวกมันก็จะเปิดฟังวนไปวนมาเรื่อยๆๆๆ อย่างเพลง wedding bell นี่เคยฟังวนจนสามชั่วโมงไม่เปลี่ยนเพลงเลยก็มี


รู้สึกเหงาๆเหมือนกัน แต่ก็อย่างว่าแหละเนอะ มีพบก็ต้องมีจาก
แต่ถึงอย่างไรอย่างน้อยๆมันสองคนก็จะยังคงอยู่ในใจของผมตลอดไปแน่นอน......




เฮ้อออ คิดถึงเมฆกะซันจังเลยยย
เอาไว้หาโอกาสให้มันได้มีบทออกมาอีกดีมั๊ยเนี่ย แง่มๆ -"-



ปล. ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ ขอบคุณจริงๆ หวังว่าเมฆกับซันจะยังคงรักกันและอยู่คู่กันเป็นท้องฟ้าที่สวยงามในใจของคนอ่านทุกคนนะครับ ^__^
ไม่ใช่คุณต้นคนเดียวหรอกครับที่รู้สึกอย่างนั้น
ผมเองก็รู้สึกอย่างนั้น

เมฆกับซันก็คงจะอยู่ในใจผมไปอีกนานหรืออาจจะตลอดไป
เป็นความรู้สึกอบอุ่นจางๆ ทุกครั้งที่นึกถึงเลยครับ
ยอมรับว่าเสียน้ำตาไปเยอะเหมือนกัน
ไม่ใช่เพราะเรื่องเศร้า แต่เพราะรู้ตัวว่าอ่านจบแล้ว
และจะไม่มีเมฆกับซันให้ผมได้ติดตามอีกแล้วมันก็รู้สึกโหวงๆ ไปเลยครับ บอกไม่ถูก

ฟังเพลง wedding bell ไปหลายรอบเหมือนกันครับ
ฟังแล้วก็นึกถึงคำพูดที่เมฆได้ยินผ่านเพลงนี้ บางทีผมก็ได้ยินเหมือนกันนะครับ

สุดท้ายนี้ ท้องฟ้าและก้อนเมฆในสายตาของผมคงไม่เหมือนเดิมไปตลอดกาล

ชื่นชมมากครับ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 17-07-2010 14:34:19
ขอบคุณมากนะครับ

อ่านจบแล้ว ประทับใจจริงๆ

แต่อยากรู้เรื่องราวของ เอ็น กับ แบงค์ อ่ะ

อิอิ ขอมากไปป่าว
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ballzz ที่ 26-09-2010 22:34:16
ว้าว

ดีครับ

เพิ่งอ่าน สนุกแน่เลย
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: N.T.❁ ที่ 12-11-2010 17:30:54
ลองจิ้มเข้ามาดูแล้วก็  :o เอ๊ะ! ทำไมชื่อตัวละครคุ้นๆ?
ลองอ่านๆไปสองตอนก็เกทแล้วว่า .. เรายังไม่ได้ตามอ่านภาคนี้เลย~~~~~
ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นภาคต่อของเมฆกะซันด้วยอะค่ะ แหะๆ

ขอดัน+แปะไว้ก่อนนะคะ
แอ๊ดเข้าลิสต์ไว้แล้วเด๋วสอบเสร็จจะมาอ่านค่าาา
 :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: note ที่ 10-03-2011 16:41:54
คุณต้นคับ  :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายน้ำ ก้อนดิน  :impress: :impress:
ทำให้หัวใจดวงน้อยน้อยของผมเต็มอิ่มอย่างบอกไม่ถูก :teach:
ทำให้รู้สึกว่าความรักสำคัญแค่ไหน ไม่ว่าความรักจะอยู่ในรูปแบบใดก็ต่าง ไม่ว่าจะจากเพื่อน จากแฟน จากพี่น้อง จากครอบครัว หรือจากที่ใดๆก็ตาม ขอให้มีความเข้าใจ และรู้จักการให้อภัย ทุกอย่างก็ทำให้โลกเรามีความสุขได้แล้ว    :m1: :m1: :m1:
อ่านเรื่องนี้ไป เสียน้ำตาไปเยอะเลย :o12: :o12: :o12:
 
ปล. จะเหลือง หรือแดง ก็พี่น้องคนไทยด้วยกัน รักกันไว้เถิด :m4: :m4: :m4:

ปล.2 กลับไปอ่านกระดานดำต่อดีกว่า กำลังสนุกเชียว :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ฺBieKung ที่ 23-03-2011 12:53:39
รู้สึกคิดถึงทุกคนจังเลย
ถึงผมจะเพิ่งอ่านจบหลังจากที่พี่ต้นแต่งจบมานานแล้วก็เหอะ
แต่ว่าที่จริงแล้ว ผมอ่านเรื่อง โรงเ้รียนชายก่อน เลยได้ตามมาอ่านเรื่องที่พี่ต้นเคยแต่งไว้
อ่านแล้วรู้สึกผูกพันกับทุกคนในเรื่องอย่างบอกไม่ถูก
เหมือนได้อยู่ในทุกตอนจริงๆ ทั้งความรู้สึก ทั้งอารมณ์ของตัวละครแต่ละตัว
อ่านไปบางทีก้อนั่งร้องไห้ด้วย เพราะอะไรหลายๆอย่าง ที่ทั้งเมฆ ซัน พี ไคล์ แล้วก็ทุกคนในเรื่องทำให้แก่กัน
ขอบคุณพี่ต้นนะคับที่แต่งเรื่องดีๆออกมาให้ได้อ่านกัน
จะคอยติดตามผลงานของพี่ต่อไปนะคัฟ...
ขอบคุณมากคัฟ

 o13


หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 25-03-2011 20:45:54
ขอบคุณทุกคนนะครับ แวะมาบอกว่าตอนนี้กำลังเจียดเวลาว่างอันน้อยนิดมา rewrite เรื่องนี้อยู่ เพื่อจะทำรวมเล่มให้ได้ไวที่สุดครับ ^__^"
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 25-03-2011 23:51:08
อุ๊ย เราลืมมาบอกที่นี่ไปได้ยังไง

กำลังเปิดรีปริ้นนะคะ
ตามไปดูได้ที่นี่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=23086.0)
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Saint De Jupiter ที่ 20-06-2011 18:00:24
ตามมาอ่านแล้วครับพี่ต้นสุดหล่อ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 07-07-2011 22:38:24
สิ่งที่หน้ากลัวที่สุดคือการจากลาสิน่ะ ดีจังที่ท้องฟ้าเเละก้อนเมฆกลับมาอยู่ข้างกันเหมือนเดิม

 :pig4:มากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ZejHaya ที่ 10-07-2011 07:05:57
 :เฮ้อ: ~ จบสักที หลังจากที่นั่งอ่านแบบไม่ได้หลับได้นอนมาเกือบสองวัน (นี่อ่านช้าไปไหมนะ?)

ต้องขอบอกว่านิยายเรื่องนี้โหดจริงอะไรจริงค่ะ :m15:
เรียกได้ว่าสร้างความตึงเครียดมาตั้งแต่ต้นเรื่องเลย....
แล้วยิ่งพอต้องมาเจอปมต่างๆ มากมายก็ยิ่งทำให้เครียดขึ้นไปอีก....สรุปก็คือ อิชั้นไม่ได้นอนเลยค่ะ
เพราะลุ้นจัด นอนไม่หลัีบ :a6:

แต่ก็ต้องยอมรับว่า...คนเขียนสื่ออารมณ์ออกมาได้เยี่ยมมากเลยค่ะ
ทำให้เห็นมุมมองของความรักในอีกหลายๆ มุมที่ต่างออกไป
 :-[ โดยส่วนตัวแล้วชอบไคล์มาก... ไม่รู้สิ ในความรู้สึกของ อิชั้น คิดว่าไคล์เป็นคนที่น่ารักมาก
ทั้งนิสัยใจคอ และอะไรหลายๆ อย่าง ....มองเห็นถึงความอ่อนโยนและมีเสน่ห์แบบใสๆ ในตัวเขา อิอิ
......................................
 o13 สุดท้ายนี้ต้องบอกว่าคนเขียน แต่งออกมาได้เยี่ยมมากจริงๆ ค่ะ
ถึงแม้ว่าเรื่องของ เมฆ กับ ซัน จะจบลงไปแล้ว
แต่อิชั้นก็เชื่อว่า เรื่องราวของเมฆกับซันที่ได้อ่านมานี้ จะยังคงดำรงณ์ อยู่ในความทรงจำของอิชั้น ต่อไปค่ะ
ของคุณที่ส่งมอบเรื่องราว และความรู้สึกดีๆ มากมายออกมาให้นักอ่านอย่างพวกเราผ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ
ถึงจะตามมาอ่านช้าหน่อย (เอ่อ...ความจริงมันก็ไม่หน่อยหรอกนะ)
แต่ที่คอมเม้นไปทั้งหมด ...มาจากความรู้สึกจริงๆ นะคะ  o8
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 27-12-2011 20:21:37
 o13 สุดยอดมากครับ ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาผมอยู่กับเมฆและซันมาตลอด

ทำไมอ่านนานหน่ะหรอครับ?  พอดีว่าผมมีงานเยอะ แต่เวลาส่วนมากคืออ่านเรื่องนี้

ชอบมากกกกกก :o8: ทุกภาคให้ความรู้สึกที่ดีมากๆเลยครับ อบอุ่นในหัวใจอย่างที่สุด

คือ  :pig4: นักเขียนเรื่องนี้มากๆนะครับ รักนักเขียนเรื่องนี้จัง  :-[  :laugh:

(คงไม่ได้เข้ามาอ่านแล้วมั๊ง เพราะเรื่องนี้นานแล้ว  :laugh:)  :L2: :L2: :L2:

จำไม่ได้แล้วว่ากดบวกให้ไปกี่ทีแล้ว ถ้ากดได้จะกดอีกละกันนะครับ  :3123:

เข้ามาแก้นิดนึงนะฮะ ลืมบอกไปว่า "รักที่วิน" มากกกกก ชอบพี่ชายเหี้ยมๆแบบนี้
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kongang ที่ 04-01-2012 16:49:27
ชอบเมฆและซันครับ  :man1: o13
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 17-06-2012 21:01:12
หวานต้นหวานปลายปิดท้าย แต่งได้ดีทั้ง4ภาค
ต้องบอกว่าโล่งใจไป หลังจากอ่านบทนำแทบจะรออ่านเนื้อเรื่องไม่ไหว
ภาคนี้แหวกมาแนวสืบสวนสอบสวนจริงๆ ถึงจะมีงงๆช่วงซันออกจากบ้านไปบ้าง
ไม่ค่อยเก็ทความรู้สึกช่วงนั้น แต่คิดว่ายังไงคู่นี้คงไม่ทรยศกันง่ายๆ

ปล รักกันขนาดนี้ ตามหากันจนเจอแน่ไม่ว่าจะร้างลาไปไหน
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 23-09-2012 21:58:04
ซันเมฆมีอะไรน่าจะปรึกษากันมากกว่า เอาแต่ห่วงกันไปมาก็เลยเข้าใจผิดกัน พ่อแม่พีน่าจะเห็นแก่ความสุขของพีบ้างนะ ไคลล์ดูแลพีให้ดีนะ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ljk_sj_lovelove ที่ 19-10-2012 02:31:34
มาสารภาพว่าเพิ่งมาอ่านภาคนี้เอาตอนปีนี้เองค่ะ TT
จริงๆก็รู้ว่ามีภาคนี้มานานเเล้วแต่เพิ่งมาตามอ่านเอาตอนนี้เองค่ะ ขอโทษนะคะ TT
แล้วตามอ่านห่างมาจากภาคที่แล้วนานพอสมควรเลย แต่ยังจำเมฆกับซัน ไคล์กับพีได้ขึ้นใจนะคะ หุหุ
ภาคนี้เปิดเรื่องมาตอนแรกนี่จี๊ดใจมากค่ะ แบบ.....โห  เศร้ามาเลย
นี่คือเหตุผลนึงที่ไม่อยากอ่าน เพราะไม่อยากให้สองคนนี้เสียใจเลยจริงๆให้ตาย 555
อ่านไปอ่านมาโห.....ลึกลับซ่อนเงื่อน  ชอบบบบบบ  เหมือนอ่านเกมส์ปริศนาเลยค่ะ
บางทีก็แอบอ่านคอมเม้นท์บางคอมเม้นท์นี่ก็ทำเอาขำเหมือนกันนะคะ เพราะคิดเหมือนกันเลยย
ภาคนี้แบบว่าเป็นแม่ยกเมฆมากๆๆ รักเมฆมาก เข้าข้างเมฆตลอด ถ้าเมฆทะเลาะกับซันเราเชียร์เมฆ หุหุ
ซันเราก็รักนะ แต่รักเมฆมากกว่า (ลำเอียงๆ)  :laugh:
จริงๆชอบตัวละครทุกตัวนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเมฆกับซัน พีกับไคล์ เพื่อนๆ เเละครอบครัวของเมฆซันแล้วก็ไคล์
แต่มีคนหนึ่งที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้!!!! ......พี่วิน!!!! โหห แบบ ชอบพี่วินมากค่ะ เป็นคนที่แบบหล่อ เก่ง เท่ส์ ดาร์ก ลึกลับ
จนบางตอนนี้ยังแอบคิดว่า....นี่พี่วินเป็นพระเอกเปล่าเนี่ยยย 5555
อ่านบางตอนก็ทำซะซึ้ง น้ำตาไหลเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความรักของเมฆกับซันที่รู้สึกวารักกันมากๆๆๆ
ความรักของพ่อที่มีต่อลูกๆ ความรักที่เคยสูญเสีย........ประทับใจมากค่ะ
แถมเรื่องนี้ช่วยสอนด้วยว่า ความรักของครอบครัวเนี่ยเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่มากๆ
จริงๆก็แอบเชียร์ เอ็นกับเเบ๊งก์นะคะ หุหุ พี่วินกับพี่กรณ์ด้วย 55 แต่ยัยนัทนี่น่าส่งกลับบ้านเกิดไปเลย :m16:
เลวมาก!!! มาทำให้คนที่ชั้นรักต้องมาแตกหักกัน  :m31:  แถมยังได้จูบเมฆอีกนะ   :angry2:
สำหรับเมฆมีซันคนเดียวก็เกินพอย่ะ !!!!!
รักเรื่องนี้มากนะคะ ติดตามมานานแล้วแหละ ไม่อยากให้จบเลย(อีกส่วนที่ไม่อยากอ่าน)
อ่านเรื่องนี้แล้วรูู้สึกเหมือนฟังญาติๆ หรือเพื่อนพี่น้องมาเล่าเรื่องให้ฟัง
อ่านได้เรื่อยๆ น่าติดตาม  ลุ้น และมีความสุข พอจบไปก็รู้สึกเหมือนมันเหวงๆโหวงๆในใจนะคะ  :m15:
จะบอกว่ารักและคิดถึง ศิลาและฟ้าครามมากๆ ดูแลวายุให้ดีๆนะทั้งสองคน
จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความทรงจำดีๆ เป็นกำลังใจดีๆ ไม่มีวันลืมเลือนนะคะ  :sad11:
รักคุณต้นด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะที่นำเรื่องราวดีๆมาให้อ่าน ไว้จะไปตามทวงรวมเล่มเมฆกับซันที่เเฟนเพจอีกนะคะ  o18  :L2:

ขอบอกอีกครั้ง...........รักเรื่องนี้มากค่ะ :L1:

วันใดที่คิดถึงจะขอมองท้องฟ้าและก้อนเมฆที่อยู่คู่กันในทุกๆวัน  :impress3:



ปล.นี่พิมพ์รอบที่สองแล้วนะคะเนี่ย ไม่รู้ว่าจะสื่อความรู้สึกได้ดีเท่าพิมพ์ครั้งแรกรึเปล่า ไม่น่ากดผิดไปกดลบเลยค่ะ TT
ถ้าเขียนวนๆมึนไปบ้างต้องขออภัยนะคะ

 ปล.2 ถ้าเขียนจนยาวยืดก็ขออภัยนะคะ เพราะอยากระบายความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่านไป แล้วรู้สึกว่ามาอ่านช้าไปมากกก  :monkeysad:







 
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 19-10-2012 03:00:08
มาสารภาพว่าเพิ่งมาอ่านภาคนี้เอาตอนปีนี้เองค่ะ TT
จริงๆก็รู้ว่ามีภาคนี้มานานเเล้วแต่เพิ่งมาตามอ่านเอาตอนนี้เองค่ะ ขอโทษนะคะ TT
แล้วตามอ่านห่างมาจากภาคที่แล้วนานพอสมควรเลย แต่ยังจำเมฆกับซัน ไคล์กับพีได้ขึ้นใจนะคะ หุหุ
ภาคนี้เปิดเรื่องมาตอนแรกนี่จี๊ดใจมากค่ะ แบบ.....โห  เศร้ามาเลย
นี่คือเหตุผลนึงที่ไม่อยากอ่าน เพราะไม่อยากให้สองคนนี้เสียใจเลยจริงๆให้ตาย 555
อ่านไปอ่านมาโห.....ลึกลับซ่อนเงื่อน  ชอบบบบบบ  เหมือนอ่านเกมส์ปริศนาเลยค่ะ
บางทีก็แอบอ่านคอมเม้นท์บางคอมเม้นท์นี่ก็ทำเอาขำเหมือนกันนะคะ เพราะคิดเหมือนกันเลยย
ภาคนี้แบบว่าเป็นแม่ยกเมฆมากๆๆ รักเมฆมาก เข้าข้างเมฆตลอด ถ้าเมฆทะเลาะกับซันเราเชียร์เมฆ หุหุ
ซันเราก็รักนะ แต่รักเมฆมากกว่า (ลำเอียงๆ)  :laugh:
จริงๆชอบตัวละครทุกตัวนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเมฆกับซัน พีกับไคล์ เพื่อนๆ เเละครอบครัวของเมฆซันแล้วก็ไคล์
แต่มีคนหนึ่งที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้!!!! ......พี่วิน!!!! โหห แบบ ชอบพี่วินมากค่ะ เป็นคนที่แบบหล่อ เก่ง เท่ส์ ดาร์ก ลึกลับ
จนบางตอนนี้ยังแอบคิดว่า....นี่พี่วินเป็นพระเอกเปล่าเนี่ยยย 5555
อ่านบางตอนก็ทำซะซึ้ง น้ำตาไหลเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความรักของเมฆกับซันที่รู้สึกวารักกันมากๆๆๆ
ความรักของพ่อที่มีต่อลูกๆ ความรักที่เคยสูญเสีย........ประทับใจมากค่ะ
แถมเรื่องนี้ช่วยสอนด้วยว่า ความรักของครอบครัวเนี่ยเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่มากๆ
จริงๆก็แอบเชียร์ เอ็นกับเเบ๊งก์นะคะ หุหุ พี่วินกับพี่กรณ์ด้วย 55 แต่ยัยนัทนี่น่าส่งกลับบ้านเกิดไปเลย :m16:
เลวมาก!!! มาทำให้คนที่ชั้นรักต้องมาแตกหักกัน  :m31:  แถมยังได้จูบเมฆอีกนะ   :angry2:
สำหรับเมฆมีซันคนเดียวก็เกินพอย่ะ !!!!!
รักเรื่องนี้มากนะคะ ติดตามมานานแล้วแหละ ไม่อยากให้จบเลย(อีกส่วนที่ไม่อยากอ่าน)
อ่านเรื่องนี้แล้วรูู้สึกเหมือนฟังญาติๆ หรือเพื่อนพี่น้องมาเล่าเรื่องให้ฟัง
อ่านได้เรื่อยๆ น่าติดตาม  ลุ้น และมีความสุข พอจบไปก็รู้สึกเหมือนมันเหวงๆโหวงๆในใจนะคะ  :m15:
จะบอกว่ารักและคิดถึง ศิลาและฟ้าครามมากๆ ดูแลวายุให้ดีๆนะทั้งสองคน
จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความทรงจำดีๆ เป็นกำลังใจดีๆ ไม่มีวันลืมเลือนนะคะ  :sad11:
รักคุณต้นด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะที่นำเรื่องราวดีๆมาให้อ่าน ไว้จะไปตามทวงรวมเล่มเมฆกับซันที่เเฟนเพจอีกนะคะ  o18  :L2:

ขอบอกอีกครั้ง...........รักเรื่องนี้มากค่ะ :L1:

วันใดที่คิดถึงจะขอมองท้องฟ้าและก้อนเมฆที่อยู่คู่กันในทุกๆวัน  :impress3:



ปล.นี่พิมพ์รอบที่สองแล้วนะคะเนี่ย ไม่รู้ว่าจะสื่อความรู้สึกได้ดีเท่าพิมพ์ครั้งแรกรึเปล่า ไม่น่ากดผิดไปกดลบเลยค่ะ TT
ถ้าเขียนวนๆมึนไปบ้างต้องขออภัยนะคะ

 ปล.2 ถ้าเขียนจนยาวยืดก็ขออภัยนะคะ เพราะอยากระบายความรู้สึกหลังจากที่ได้อ่านไป แล้วรู้สึกว่ามาอ่านช้าไปมากกก  :monkeysad:







 

บอกได้แค่ว่า "ตื้นตันใจมากครับ"​^^

ขอบคุณจริงๆๆ ครับผม ยังไงก็ติดตามเรื่องอื่นต่อแล้วกันเนอะ :)
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: megabytez ที่ 22-01-2013 06:23:16
ปกติไม่ค่อยได้เม้นท์นิยายอะไรเท่าไหร่ นี่เม้นท์แรกเลยมั้ง

ตอนแรกเริ่มต้นจากเรื่องกระดานดำก่อนครับ ติดใจสเน่ห์ของพ่อเล็กและปะป๊า เลยตามมาอ่านซีรี่ยส์นี้ อ่านภาคที่แล้วจบเมื่อปีที่แล้ว และเพิ่งไปไลค์เพจเฟซบุ๊คของคุณ ExecutioneR เลยเพิ่งทราบว่ามีภาคต่อ (ซึ่งก็คือภาคนี้) (หลังจากไลค์เพจเฟซบุ๊คก็ได้ติดตามเรื่องสั้นอย่าง Home ซึ่งก็เป็นเรื่องที่อบอุ่นมากๆ)

ภาคนี้แหวกแนวมาก แต่ชอบครับ นานๆได้อ่านแนวที่ไม่ค่อยได้อ่าน หน่วงๆดี ชอบความรักระหว่างเพื่อน ครอบครัว และคนรักครับ ไม่รู้จะอธิบายยังไงแต่ความรู้สึกหลังจากได้อ่านเรื่องของคุณ ExecutioneR คือ "อิ่ม" คงอิ่มใจกระมัง

ขอบคุณมากๆสำหรับนิยายดีๆ เรื่องสั้นดีๆ ที่คุณ ExecutioneR ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของคุณเองที่ไม่เหมือนใครครับ ขอบคุณจากใจจริง :D
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kuichai ที่ 19-08-2013 16:50:44
ก่อนที่มันจะหายไป

ขอบคุณกับเรื่องราวดีๆ

ตอนมองท้องฟ้าเมื่อไหร่คงคิดถึง ศิลาและฟ้าครามเสมอๆ

หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: zeaza ที่ 21-09-2013 18:06:27
อ่านทั้ง 4 ภาคจบมาสักพักแล้วแต่เพิ่งมีโอกาสมาเม้นให้ (ปกติอ่านในมือถือ พิมไม่ค่อยมันเลยค่ะ ^^ )
ชอบนิยายของคุณต้นมากๆ ทุกความรู้สึก ทุกอารมณ์ ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆ จนเข้าใจความรู้สึกของทุกตัวละคร
เวลาดีใจก้จะยิ้มตาม เวลาเขินก้เขินด้วย พอถึงตอนเศร้าก้น้ำตาซึมก้ไปเลยทีเดียว
ทุกตัวละครของคุณต้นมีมิติมากๆ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ทำให้เข้าใจการกระทำของทุกตัวละคร
อีกทั้งการถ่ายทอดเรื่องราวของคุณต้นทำออกมาได้ดีสุดๆ เหนภาพตามได้เปนฉากๆเลยค่ะ

พออ่านเรื่องนี้จบรู้สึกผูกพันกับทั้งเมฆและซันมากๆค่ะ เหมือนได้ร่วมผ่านเหตการณ์ทั้งทุกข์ทั้งสุขมากด้วยกัน ^____^
พอตอนอ่านใกล้จบ ต้องพยายามอ่านช้าๆเลยค่ะ เพราะยังไม่อยากให้จบ
อยากจะรับรู้เรื่องราวของเมฆและซันต่อไปเรื่อยๆๆๆเลยค่ะ

จะติดตามผลงานดีๆของคุณต้นต่อไปนะคะ ทั้งเรื่องสั้นและนิยาย และขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องดีๆให้ติดตามอยู่เรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: ฺBieKung ที่ 10-11-2013 23:53:42
อ่านจบแล้วรู้สึกเหงาๆยังไงบอกไม่ถูก
ชอบจริงๆนะ รู้สึกเหมือนอยู่ในเรื่องด้วยจริงๆ
อินมากกกกกก

ขอบคุณมากนะค้าบพี่ต้น
ที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านตลอดเลยยย ^^

 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 01-10-2014 22:42:11
ขอบคุณนะคะพี่ต้น เรื่องสนุกลุ้นปนเศร้าแต่จบหวานมากชอบ
เป็นกำลังใจให้เรื่องต่อๆไปด้วยนะคะ :bye2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: b02290 ที่ 20-11-2016 18:44:37
 :L2:
หัวข้อ: Re: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 01-06-2017 16:36:30
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สกอึดอัดมาก ๆ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: