พิมพ์หน้านี้ - Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: minemomo ที่ 19-03-2016 19:50:47

หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 19-03-2016 19:50:47
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


สวัสดีค่ะ

หลังจากสิงอยู่แถวเล้า แอบอ่านนิยายของนักเขียนคนอื่นมานานก็ขอเบิกฤกษ์เอาชัยกับนิยายวายเรื่องแรกของตัวเองบ้าง ขอฝากหนุ่มน้อยน่ารัก กับ เจ้าของโรงแรมสุดเท่ห์ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจนักอ่านด้วยนะคะ

 :mew1:

Mine




Oh...My Love    กานต์ที่รัก


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 19-03-2016 19:56:16


ตอนที่ 1


“ถึงไอ้นี่จะตัวเล็กแต่มันเอาการเอางานมากนะ ให้ทำอะไรได้หมดไม่เกี่ยง เงินเดือนเงินดาวจะไม่ให้ก็ไม่ว่าแค่ขอให้หักลบกลบหนี้กันไป ได้เงินต้นก็ยังดี ส่วนดอกเดี๋ยวฉันจะพยายามหามาใช้คืนให้”


เพียงเท่านี้ก็พอจะให้คนถูกพูดถึงน้ำตาตกในอก และนั่นคือสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้...ได้แต่ยืนก้มหน้ารับชะตากรรมที่ต้องถูกพ่อตัวเองพามาขายเพื่อใช้หนี้ให้กับบ่อน


เงินห้าแสนบาทกับเด็กผู้ชายอายุสิบเจ็ด คุ้มค่ากันมั้ยหรืออาจจะมากเกินไป เพราะอย่างที่พ่อบอก ผมเป็นคนตัวเล็ก ผอม ผิวขาวเกือบซีด ดูไปคล้ายจะเป็นเด็กอมโรค เรียนจบแค่ชั้นม.3แล้วก็ออกมาทำงานทุกอย่างที่ได้เงิน แต่ก็ไม่รู้ว่าอย่างผมจะทำประโยชน์อะไรให้ที่นี่ได้


“แต่นายใหญ่ของเราไม่มีนโยบายซื้อใคร กลับไปหาเงินมาใช้หนี้แทนดีกว่า”


ผมโล่งอกและแอบมีรอยยิ้มทั้งที่ก้มหน้า ตอนที่พ่อบอกผมคร่าวๆว่าที่นี่เรียกโก้ๆว่า ‘คลับ’ แต่รวมๆแล้วคือสถานบันเทิงชั้นสูงที่มีบริการทั้งโรงแรม ผับ อาบอบนวด และบ่อนการพนัน ก็ไม่นึกว่าที่อโคจรเช่นนี้จะยังมีคนดีๆหลงเหลืออยู่


“เอาน่า คนกันเอง ถือว่าหยวนๆให้หน่อยไม่ได้เหรอ”


ผมกำมือแน่นอย่างอดสู ในความทรงจำที่แสนมีค่าพ่อของผมไม่ใช่คนแบบนี้จริงๆนะ ตอนที่ผมยังเด็ก ครอบครัวเราเรียกได้ว่าอบอุ่น พ่อสมบัติเป็นคนขยัน พ่อขับรถแท็กซี่วันละสองกะ ส่วนแม่กานดาได้งานแม่บ้านสำนักงานแต่หลักๆคือคอยดูแลผมกับพี่สาว แต่ความสุขเริ่มจางหายเมื่อพ่อประสบอุบัติเหตุ ขาหักต้องเข้าเฝือกอยู่หลายเดือน พอร่างกายเป็นปกติพ่อคนเดิมของผมกลับหายไป กลายเป็นคนติดเหล้า ขี้หงุดหงิด เอะอะอาละวาดเป็นประจำ เมื่อพ่อแค่ทำงานพอให้มีค่าเหล้า แม่จึงต้องออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้นแต่ก็กลายเป็นสาเหตุให้พ่อยิ่งหาเรื่องทะเลาะถึงขั้นตบตีแม่และผมอยู่เป็นประจำ ใช่แล้วครับ...จู่ๆพ่อที่เคยใจดี เคยกอดผมอยู่ทุกวันก็กลายเป็นพ่อใจร้ายที่นึกอยากจะตีก็ตี นึกอยากจะเตะก็เตะ สงสัยว่าพ่อคงเมาจนตาลาย เห็นผมเป็นกระสอบทรายเสียล่ะมั้ง


“กลับไปดีกว่านายบัติ ลูกชายนายเป็นคนนะไม่ใช่ผักปลาที่จะเที่ยวเอาไปเร่ขาย”


“โธ่ๆ! อย่าเข้าใจผิดสิ ใช่ว่าฉันจะเอาลูกมาขาย คิดซะว่าพามันมาของานพวกเฮียทำดีกว่า”


ผมกัดกรามแน่นจนเจ็บ ครั้งสุดท้ายที่พ่อเรียกผมว่าลูก...เมื่อไหร่กันนะ จำได้ว่าตอนงานศพแม่ พ่อยังประกาศลั่นศาลาว่าผมไม่ใช่...อยู่เลยนี่


ไม่ต้องแปลกใจไปครับ แม่กานดาที่แสนใจดีของผมไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ได้ปีกว่าแล้ว สาเหตุก็เพราะทะเลาะกับขี้เมาประจำบ้านจนแม่คงทนไม่ไหวจริงๆเลยเถียงกลับ เท่านั้นแหละพ่อผมสวมบทโหดตีแม่ไม่ยั้ง แม่เลยวิ่งหนีแต่กลายเป็นเอาชีวิตไปทิ้งเมื่อถูกรถชนจนจากไปทันที พอแม่ไม่อยู่ พ่อก็เริ่มพัฒนาจากเหล้าไปสู่การพนัน ทุกอย่างรวดเร็วมาก ไม่นานบ้านของพวกเราก็ถูกยึด มีเจ้าหนี้มาตามรังควานจนผมกับพี่กัญญาต้องระเห็จไปอยู่กับอาสารภี ญาติสนิทเพียงคนเดียวที่เหลือ ช่วงนั้นเองที่ผมเรียนจบม.ต้น แม้อาสารภียืนยันว่าดูแลเราสองพี่น้องไหว แต่ผมก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อและออกหางานทำเพื่อช่วยส่งพี่สาวอีกแรง ในโลกนี้มีแค่พี่กัญและอาสารภีนี่ล่ะครับที่ดีกับผมที่สุดแล้ว


“อะไรกัน”


จู่ๆก็มีคนอีกกลุ่มใกล้เข้ามาตรงจุดที่ผมกับพ่อและคนของบ่อนยืนอยู่ ผมได้แต่ก้มหน้าและเห็นเพียงปลายรองเท้าหนังสีดำมันปลาบยืนห่างไปไม่กี่ก้าว


“นายคนนี้เป็นหนี้ที่คาสิโนอยู่ห้าแสนแต่ไม่มีเงินมาใช้ก็เลยจะเอาลูกชายมาให้ทำงานแลกแทนครับนาย”


“ห้าแสน ต้องทำงานกี่ปีถึงจะหมดหนี้กันล่ะ”


“ไม่..ไม่เป็นไร ต่อให้ต้องอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตไอ้ลูกผมคนนี้ก็ไม่มีปัญหาเลยครับท่าน”


“ตลอดชีวิต...ขนาดนั้นเชียว”


“ใช่ครับ” พ่อรีบบอกแล้วสะกิดให้ผมช่วยยืนยัน “ใช่มั้ยไอ้กานต์ บอกท่านไปสิว่าเอ็งจะรับใช้ท่านไปจนตลอดชีวิตน่ะ”


“ชื่อกานต์เหรอเรา” ท่านของพ่อถามผมแต่คนตอบเป็นพ่ออีกตามเคย “ไหนเงยหน้าขึ้นซิ”


พ่อกระทุ้งศอกใส่อีกทีผมเลยต้องเงยหน้าแต่ยังหลับตาสนิท ไม่ใช่แค่อายแต่ผมอดสูใจตัวเองที่ต้องมายืนเป็นสินค้าให้คนซื้อพิจารณา ดวงตาของท่านคนนี้คงกราดมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า หรือไม่ก็อาจจะจับตัวผมพลิกไปพลิกมาเหมือนปลาสดในตลาดนั่นล่ะมั้ง


“ท่าทางจะขี้อาย”


“ไม่เลยครับ ลูกผมเป็นคนร่าเริง นิสัยขยันขันแข็ง ถ้าท่านรับมันไว้รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ”


“ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าตกลง” คำพูดนั้นเจือด้วยน้ำเสียงหัวเราะ ท่านคงเห็นเราสองพ่อลูกน่าขันสิ้นดี “แล้วนั่น ทำไมมีรอยช้ำอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าไปตีกับใครมา”


“ไม่ครับ ไม่ใช่เลย กานต์มันเป็นเด็กดี เรียนก็เก่ง พี่มันบอกว่าน้องได้เกรดตั้งสามจุด จุดอะไรนี่ล่ะครับผมก็จำไม่ได้ แต่รอยนี่...เอ่อ...มันคงซุ่มซ่ามเดินไปชนอะไรเข้า เด็กผู้ชายก็ยังงี้ เดี๋ยวเดียวก็หายครับ”


ผมไม่ยักรู้นะว่าตัวเองเป็นคนซุ่มซ่าม แต่จะบอกให้ก็ได้ว่าถ้าเป็นที่หน้านี่ผมชนกับกำปั้นของพ่อ ส่วนแขนกับขาโดนมือบ้าง ไม้บ้างสลับกันไป และช่วงลำตัวถ้าเลิกเสื้อขึ้นรับรองว่าจะได้เห็นฝ่าเท้าพ่อผมเต็มๆ


“รถมารอแล้วครับนาย” เสียงใครอีกคนแทรกขึ้นมา พ่อเลยรีบปิดการขายอย่างสุดความสามารถ


“ได้โปรดเถอะครับท่าน ตัวผมไม่มีอะไรเหลือแล้ว เงินตั้งห้าแสนจะไปเอามาจากที่ไหน ช่วยรับลูกชายผมไว้แทนเถอะ อย่างน้อยผมจะได้เบาใจว่ามันมีที่พึ่ง ถือว่าผมเอาลูกชายมาฝากให้ท่านเมตตาสักคนนะครับ”


พ่อพูดจบผมก็รู้สึกได้ถึงภาวะตึงเครียด ท่านของพ่อคงกำลังตัดสินใจ และผมภาวนาให้ท่าน...


“ตกลง” ไม่นะ ต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ “หนี้ห้าแสนกับดอกเบี้ยทั้งหมด แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามกลับมาที่คาสิโนอีก เพราะขืนยังวนเวียนอยู่แถวนี้ฉันคงต้องเมตตาเด็กอีกไม่รู้กี่คน”


“ครับๆ ได้ครับท่าน ผมจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก สาบานเลยครับ ขอบคุณครับท่าน ขอบคุณจริงๆครับ...”


พ่อถอยห่างไปโดยไม่มีสักคำถึงลูกชายคนนี้ เฮ่อ...ชีวิตผม จะเศร้าได้ถึงไหนกันนี่!


“พาเด็กคนนี้ไปหาเมธ”


ท่านออกคำสั่งสั้นๆแล้วปลายรองเท้าหนังสีดำมันปลาบก็ก้าวผ่านผมไป ดูเหมือนอิสรภาพของผมคงจบสิ้นแล้ว ไม่อยากคิดต่อเลยว่าจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร เพราะขนาดคนที่เดินเข้ามาหาผมยังถอนหายใจดังเฮือกก่อนจะบอกให้ผมตามไปพบคนสนิทของนายใหญ่ ผมเลยได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วทำใจยอมรับชะตากรรมตัวเอง


“คุณเมธอยู่ที่ไหน” ผมไม่แปลกใจที่เห็นคนนำทางยกปกเสื้อขึ้นป้องปาก เสร็จแล้วก็หันมาพยักหน้าเรียกผมอีกที ในเมื่อสถานที่แห่งนี้ช่างกว้างขวางใหญ่โต ระบบรักษาความปลอดภัยก็คงจะต้องเข้มข้นเหมือนอย่างที่เคยเห็นในหนัง อย่างท่านที่ผมเจอเมื่อกี้ก็ยังมีคนคอยตามตั้งห้าหกคน ดูเอิกเกริกดีแท้ “ตอนนี้คุณเมธตรวจงานอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยงเลยจะพาไปทางนี้ แต่ถ้าปกติห้ามใช้ลิฟต์ลูกค้าโรงแรม จะมีลิฟต์พนักงานอีกตัวอยู่ด้านหลังที่ขึ้นไปถึงชั้นสำนักงานได้”


“ขอบคุณครับ” ถึงจะพูดขึ้นมาลอยๆแต่ก็เข้าใจว่านั่นคือคำแนะนำ ผมจึงหลุดปากออกไปด้วยความเคยชิน อีกฝ่ายถึงกับหันมามองหน้า เอ๊ะ! หรือว่าคนที่นี่ไม่ค่อยได้ยินคำๆนี้กันนะ


“ชื่อกานต์ใช่มั้ยไอ้หนู”


“แล้ว...” คนตรงหน้าใส่แว่นดำ ท่าทางขึงขัง ผมเลยคะเนอายุไม่ถูก “น้าล่ะครับ”


“เฮ้ย! เรียกพี่ก็ได้ พี่ชื่อสยาม ใครๆก็เรียกเฮียหยาม” สงสัยเขาก็คงลุ้น กลัวจะโดนเรียกลุง พอได้เป็นแค่น้าเลยไม่เก็กมาดวางฟอร์มกับผมอีก “เรานี่มันอาภัพนะ แต่อย่าคิดอะไรมากเลย ยังไงเขาก็เป็นพ่อ”


ผมแค่นยิ้มเพราะทำใจคิดอย่างนั้นไว้แล้ว พ่อ...ยังไงก็คือพ่อ คือพ่อที่เคยใจดีมากด้วย ผมเองก็ได้แต่หวังว่าสักวันจะได้พ่อคนเดิมกลับคืนมา


“อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกเชื่อเฮียสิ ถึงใครๆจะมองว่าสกปรก เป็นแหล่งอบายมุขแต่เราก็อยู่กันแบบพี่น้อง นายใหญ่ใจดี มีความยุติธรรม โชคดีของเอ็งแล้วที่พ่อเขาพามาที่นี่ ขืนโดนลากไปที่อื่นอย่างเอ็งคงไม่แคล้วถูกส่งเข้าซ่อง”


“แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ”


“สมัยนี้ผู้ชายก็ขายได้ไม่รู้หรือไง เผลอๆจะได้ลูกค้ากระเป๋าหนักกว่านังพวกที่นั่งคาตู้อยู่ข้างล่างโน่นด้วยซ้ำ”


ได้ยินอย่างนั้นผมก็อดตกใจไม่ได้ หลายคนเคยบอกว่าเวลาผมตกใจชอบทำตาโต อ้าปากนิดๆ ดูน่ารักดี เฮียหยามก็คงเห็นอย่างนั้นเลยยิ่งหัวเราะผมใหญ่


“เฮ้ย! บอกแล้วไงไม่ต้องกลัว คนที่นี่เขาขายด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ลูกค้าคือผู้รับบริการ ไม่ใช่พระเจ้า ขืนเรื่องมากโดนหิ้วออกจากคลับสถานเดียว อย่างเมื่อวานมีไอ้เสี่ยพุงพลุ้ยร่อนเข้ามา หนอยจะไม่ใช้ถุง พอเด็กเราไม่ยอมฟ้องจะขอคุยกับผู้จัดการ เฮียนี่แหละที่ขึ้นไปลากมันเองถึงห้อง เห็นสภาพก็น่าสังเวช ติดพุงจนใส่ถุงไม่ได้ล่ะไม่ว่า”


เฮียหยามพูดไปก็ขำไป ส่วนผมได้ฟังแล้วรู้สึกสบายใจขึ้น ถ้ามีแถบแสดงความกลัวลอยอยู่เหนือหัวผมตอนนี้ แถบนั้นก็คงลดหายไปกว่าครึ่งแล้ว


“เอาล่ะถึงแล้ว คนใส่แว่นตรงโน้นนั่นแหละคุณวรเมธ เฮียส่งแค่นี้นะ”


“ขอบคุณนะครับเฮีย” ผมบอกอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม และอีกเช่นกันที่หลายคนบอกว่าผมยิ้มเหมือนแม่ เป็นรอยยิ้มหวานขัดกับแววตาเศร้าๆ และผลลัพธ์ก็ทำให้หลายคนที่ว่าถึงกับอึ้งเหมือนอย่างที่เฮียหยามเป็น


“ไม่เป็นไร มีปัญหาอะไรก็ไปหาเฮียที่คาสิโนได้ แต่แค่ไปหาอย่าเข้าไปเล่นซะเองนะรู้มั้ย”


ผมรอจนประตูลิฟต์ปิดลงแล้วหันหลังเดินตรงไปหาผู้ชายตัวสูงใส่สูทสีดำ เขายืนนิ่งฟังชายหญิงอีกคู่รายงานความเรียบร้อยของสถานที่ พอผมเข้าไปถึง ดวงตาเรียบเฉยหลังแว่นใสไร้กรอบก็หันมาแวบหนึ่ง


“อย่ามาเกะกะ ไปยืนรอตรงโน้นก่อน”


เขาสั่งเสร็จก็หันไปฟังรายงานต่อ ผมหันซ้ายหันขวาแล้วเลยเดินไปหลบตรงมุมห้องโถงที่ดูพลุกพล่านน้อยที่สุด เกือบสิบห้านาทีที่ผมได้แต่ยืนดูทุกคนวุ่นวายกับงานของตัวเอง มีบ้างที่ช่วยเข้าไปเลื่อนเก้าอี้ ยกโต๊ะ เสร็จแล้วก็มายืนรอตามคำสั่งอย่างเดิม


“นี่พี่เอง กานต์อยู่ไหนเนี่ย?” โชคดีจังที่พี่กัญญาโทรมา ผมเลยได้มีอะไรทำบ้าง แต่คิดอีกทีท่าจะไม่ดีเสียแล้ว “อาสาบอกว่าพ่อมาถามหากานต์ มีอะไรหรือเปล่า”


“เปล่านี่ครับ พ่อแค่คิดถึงกานต์มั้ง”


“อย่ามาโกหกพี่นะ บอกมาเลยพ่อมาหากานต์ทำไม”


“ไม่มีอะไรจริงๆ ก็แค่...”  แค่อะไรดี คิดสิคิด... “มาเอาตังเฉยๆ”


“จริงๆนะ”


“ก็จริงสิครับ พ่อเขาจะมีธุระอะไรกับกานต์ได้ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน แต่ไม่ต้องห่วงนะ ส่วนของพี่กัญกานต์เอาเข้าบัญชีให้อย่างเคยแล้ว”


นี่คือสิ่งเดียวที่ผมทำเพื่อพี่สาวคนเดียวได้ ผมรู้ว่าพี่ลำบากใจและพยายามดิ้นรนด้วยตัวเองทุกทาง ทั้งกู้เงินกยศ. ขอทุนการศึกษา และได้อาสารภีช่วยอีกส่วนหนึ่ง แต่ชีวิตนักศึกษามีค่าใช้จ่ายมากพอสมควร ทั้งด้านการเรียน การกินอยู่ ไหนจะเรื่องกิจกรรม การเข้าสังคม ผมอยากช่วยให้พี่สาวเรียนหนังสืออย่างมีความสุข เขาจะต้องได้อยู่ในที่ที่เขาควรอยู่...


ถ้าแกไม่ยอม พ่อจะเอาตัวพี่แกไปแทน


ต่อให้ต้องลำบากกว่านี้ ต่อให้ถึงกับต้องตกนรก ผมก็ไม่มีวันยอมให้พ่อทำแบบนั้น...


“กานต์! พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ได้อยากให้กานต์ทำแบบนี้ เงินกานต์ทำงานหามาได้ก็เอาไว้ใช้เองสิ เอามาให้พี่ทำไม!”


“น่าาา พี่กัญก็ เอาไว้ซื้อหนังสือ จ่ายค่าโน่นค่านี่ก็ได้ เอาไว้พอพี่กัญเรียนจบค่อยทำงานหามาใช้คืน นะๆ กานต์ไม่คิดดอกเบี้ยหรอก”


“กานต์” ผมรู้ว่าพี่คงกำลังกลืนก้อนแข็งๆลงคอเหมือนอย่างที่ผมเป็น “รอหน่อยนะ เรียนจบเมื่อไหร่พี่จะส่งกานต์เรียนต่อเอง พี่สัญญา”


“ขอบคุณครับ”


“แล้วนี่กานต์อยู่ไหนน่ะ ทำไมเสียงมันก้องๆจัง”


“อยู่ที่โรงแรม...” ผมบอกชื่อโรงแรมไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง แต่ไม่ทันแล้วล่ะ


“หือ ไปทำอะไรที่นั่น ไหนกานต์บอกว่าไปทำที่โรงงานพลาสติกของพ่อเพื่อนไม่ใช่เหรอ”


“อ๋อ ก็นั่นแหละครับ” เรื่องหาทางเอาตัวรอดนี่ผมเก่งพอตัว บนเวทีนั่นมีป้ายโฟมติดหรา นี่ล่ะ! “พอดีญาติของหัวหน้าแต่งงาน เขาบอกใส่ซองตั้งหลายพันเลยพามาช่วยกันกินให้คุ้มน่ะครับ”


“แสดงว่าพวกที่ทำงานเขาคงดีกับกานต์ใช่มั้ย”


“ก็ดีนะครับ” ผมตอบตามความจริง เฮียหยามคนหนึ่งล่ะที่เอ็นดูผมไม่น้อย ส่วนคนใส่สูทตรงโน้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ไล่ตะเพิดหรือมีสายตาดูถูกอะไรผมเลย


“งั้นพี่ก็โล่งอก ไม่กวนแล้วล่ะ กานต์ก็ดูแลตัวเองดีๆ กลับไปที่บ้านหาอาสาบ้างนะรู้มั้ย”


“ครับ พี่กัญอยู่หอก็ต้องระวังตัวให้ดีๆ ตั้งใจเรียนเข้านะครับ”


ผมกดวางสายแล้วยิ้มกว้างให้รูปที่ถ่ายกับพี่สาวหนึ่งที พอดีกับคนงานยุ่งเสร็จธุระและเดินตรงมา แต่กว่าจะเดินมาหาผมได้ก็ใช้เวลาไม่น้อยเพราะหยุดดูโน่นดูนี่ เช็คความเรียบร้อย ท่าทางละเอียดยิบขนาดนี้ไม่แปลกใจเลยที่คุณวรเมธคนนี้จะได้เป็นคนสนิท และถือเป็นผู้มีอำนาจรองจากนายใหญ่ของที่นี่


“ชื่อกานต์ใช่มั้ย” เขาถามเพราะรู้อยู่แล้ว ผมเลยยกมือไหว้อย่างเดียว ดูแววตาเขาค่อนข้างพอใจ “ตามฉันมา”


อีกครั้งที่ต้องทำตามคำสั่งเดิมๆ หวังว่านี่จะไม่ใช่งานในหน้าที่โดยตรงของผมหรอกนะ



จบตอนแล้วจ้า

 :bye2:

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 19-03-2016 20:02:05


ตอนที่ 2

สรุปแล้วหน้าที่ของผมไม่ใช่การเดินตามใครแต่เป็นพนักงานทำความสะอาด เฮ่อ โล่งอก! จะว่าไปตำแหน่งนี้ถือว่าดีมากเพราะอย่าลืมว่าผมมีวุฒิแค่ม.สามเท่านั้น แถมยังโชคดีได้เจอพวกพี่ๆที่ใจดี เอ็นดูผมเหมือนน้อง อาจเพราะทุกคนรู้ที่มาที่ไปของผมก็เลยพากันสงสารล่ะมั้ง


“กานต์เอ๊ย! กินข้าวหรือยังลูก” คนนี้คือป้ามาลัย เป็นหัวหน้าใหญ่ฝ่ายแม่บ้านที่ทำงานมาตั้งแต่รุ่นพ่อของนายใหญ่ ป้ามาลัยชอบเล่าถึงวันเก่าๆสมัยที่ยังดังแค่อาบอบนวดกับบ่อน พอนายใหญ่เข้ามาบริหารก็พยายามปรับรูปแบบให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น ในสายตาพนักงานเลยถือป้ามาลัยเป็นบุคคลทรงคุณค่า ขนาดว่านายใหญ่เองถ้าเจอป้าก็จะหยุดทักทายพูดคุยด้วยเสมอ ผมเลยพลอยได้อานิสงค์เพราะป้าเอ็นดูผมเหมือนเป็นลูกหลานแกคนหนึ่งทีเดียว


“ยังครับ กานต์รอจะควงป้าไปดินเนอร์ใต้เสียงเทียนอยู่เนี่ย” ผมคว้าแขนแกแล้วกอดหมับ เรื่องประจบนี่ผมเก่งใช่ย่อย ใครขี้ใจอ่อนหลงมาเป็นเสร็จผมทุกราย


“อู๊ย! ทำยังกับป้าเป็นสาวๆ เดี๋ยวเถอะ เขาจะหาว่าพาย่าพายายไปตะบันหมากกิน”


ถึงป้าจะออกตัวอย่างนั้นแต่แกยังไม่แก่จริงๆนะครับ อายุอานามใกล้จะห้าสิบก็จริงแต่ความที่อารมณ์ดี ยิ้มเก่งเลยทำให้ป้าดูเด็กกว่าอายุ


“ไหนๆ ใครกล้าว่าป้ามาลัยแก่ แน่จริงมาเลยจะซัดให้กลิ้ง ป้าของกานต์ยังสาวรุ่นอยู่เลย”


“รุ่นไหนล่ะจ๊ะพ่อคุณ” ป้าตีมือผมเบาๆ ท่าทางจะเขิน “เอาล่ะๆ ไม่ชวนคุยแล้ว นี่กานต์จะไปทำห้องไหน”


“จะไปช่วยเหรอครับ”


“จะไปตรวจสิจ๊ะ เราน่ะมันเก่ง หัวไว แต่ลกๆรีบทำให้เสร็จ วันก่อนปูเตียงก็ไม่เรียบร้อย อย่านึกว่าป้าไม่รู้นะ”


“ขอโทษคร้าบ” ผมไม่แก้ตัวเพราะถูกรุ่นพี่ที่ฝึกงานให้ดุไปแล้วรอบนึง ส่วนวันนั้นที่รีบเพราะจู่ๆพ่อโทรมาให้ผมออกไปหา ก็เรื่องเดิมๆนั่นแหละครับ ถึงจะไม่มีเงินเดือนประจำแต่โชคดีที่ได้เบี้ยเลี้ยงเยอะทีเดียว เรื่องกินอยู่ก็อาศัยกับทางโรงแรม เลยมีเงินเก็บพอให้พ่อไถได้บ้าง 


“แต่วันนี้หัวหน้าบอกให้กานต์ขึ้นไปทำออฟฟิศ ไม่มีเตียงให้ปูเลยรอดตัวไปครับ”


“จริงสินะ ยัยสุที่เคยทำประจำลาป่วย แต่เอาเถอะ วันนี้นายใหญ่ไม่อยู่ พวกพนักงานก็คงทยอยกลับกันไปเกือบหมดแล้ว กานต์ขึ้นไปก็ทำให้ดีๆล่ะ เดี๋ยวป้าดูความเรียบร้อยข้างล่างนี่เสร็จจะตามขึ้นไป”


ผมหอมแก้มป้ามาลัยแรงๆหนึ่งฟอดแล้วรีบวิ่งหนีเข้าลิฟต์ มาโผล่อีกทีที่ชั้นสำนักงานซึ่งที่จริงก็ไม่ได้สกปรกหรือรกมากเพราะมีคนทำความสะอาดเป็นประจำอยู่แล้ว จากนั้นก็ไปต่อที่ชั้นผู้บริหารซึ่งถือเป็นหัวใจของสถานที่แห่งนี้ ผมได้ยินใครต่อใครพูดถึงความใจดีของนายมากพอๆกับความเนี้ยบ เจ้าระเบียบของคุณวรเมธ


อืม...เห็นจากสภาพของชั้นผู้บริหารนี้แล้วก็พอจะเข้าใจล่ะ


ผมไล่ทำจนกระทั่งมาถึงห้องสุดท้ายที่มีป้ายสีทองอันใหญ่ติดไว้ตรงหน้าประตู...ประธานกรรมการบริหาร


เมื่อเปิดประตูเข้าไป ไฟในห้องก็สว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ บรรยากาศดูช่างอลังการ น่าเกรงขาม โต๊ะทำงานตัวใหญ่ตั้งเด่นเกือบกึ่งกลางของห้อง บนผนังสูงเบื้องหลังคือภาพถ่ายครึ่งตัวติดไว้ในกรอบทองฉลุลายหรูหรา ผมเดาอายุคนในรูปน่าจะใกล้เคียงกับป้ามาลัย ผมรองทรงลงน้ำมันเรียบกริบ สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้ม แต่แปลกที่แววตาให้ความรู้สึกของความเมตตาอย่างบอกไม่ถูก


“เอ่อ...” ทั้งที่ไม่มีใครแต่กลับรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว ผมมองซ้ายมองขวาอีกทีแล้วอดยกมือไหว้คนในรูปไม่ได้ “ผมชื่อกานต์ครับท่าน”


พอคำนั้นหลุดออกจากปากก็พลันนึกย้อนไปถึงวันแรก เพราะความเมตตาของนายใหญ่จริงๆที่ทำให้ผมถือได้ว่าสุขสบายอย่างตอนนี้ น่าเสียดาย! วันนั้นผมไม่น่าเอาแต่หลับตาเลยไม่ได้พบหน้าท่านผู้นี้ตัวเป็นๆ


“ผมสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานครับ”


ผมบอกเสียงดังฟังชัด เสร็จแล้วก็เริ่มทำความสะอาดอย่างสุดฝีมือ ในส่วนของห้องทำงาน...เรียบร้อย ในห้องน้ำ...เรียบร้อย ในส่วนที่กั้นไว้สำหรับการประชุม...เรียบร้อย ที่ระเบียงด้านนอก...ทำไมถึงยังมีคนอยู่ล่ะ!!!


ระเบียงกว้างถูกจัดเป็นสวนหย่อมขนาดย่อม มีเตียงนอนเล่นตั้งอยู่ใต้ร่มสนามสีขาว และบนเตียงไม้ตัวยาวมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเอนตัวดูท่าจะหลับสนิท เสื้อสูทถูกถอดแขวนไว้กับตะขอที่ก้านร่ม ร่างนั้นจึงเหลือแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงแสลคสีดำกลีบเรียบสนิท แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันอาบไล้ใบหน้าคมสันให้ยิ่งดูแกร่งสมชาย สันจมูกโด่งสูง ริมฝีปากได้รูปเป็นกระจับ มือทั้งสองข้างวางอยู่บนอก นิ้วเรียวยาวสอดประสานเข้าหากันอย่างเป็นระเบียบ ราวกับทุกอิริยาบถถูกหัดให้ดูดีตลอดเวลา


ขอบอกอีกครั้งว่าผมชื่อนายกานต์ เป็นลูกผู้ชายจริงแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆหัวใจผมก็เริ่มเต้นแรงและเร็วขึ้นอย่างกับไปวิ่งแข่งมา สงสัยวันนี้ผมคงทำงานหนักไป หรือเพราะยังไม่ได้กินข้าว ใจเลยหวิวๆเหมือนจะเป็นลม ถ้าอย่างนั้นก็ควรได้เวลาพัก เพราะถ้ายังมีคนอยู่แบบนี้ก็ทำความสะอาดต่อไม่ได้อยู่ดี คิดได้ดังนั้นผมเลยหันหลังแล้วค่อยๆก้าวกลับเข้ามาด้านในอย่างช้าๆ...


“ใครน่ะ”


ผมขนลุกซู่ ยืนตัวแข็งทื่อในบัดดล ในหัวปั่นป่วน นึกไม่ออกจริงๆว่านั่นคือคำถามหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วผมควรตอบว่าอะไร


“มาทำความสะอาดสินะ ทำต่อเลยก็ได้” เขาคนนั้นคงลุกขึ้นจากเตียงไม้ เสียงจากด้านหลังใกล้เข้ามา ผ่านเลยไปแล้วหยุดก่อนจะย้อนกลับมาหาผมที่ยืนก้มหน้า “ใช่คนที่เคยทำอยู่ประจำหรือเปล่า”


“พี่สุ...เอ่อ...คนที่เคยทำไม่สบาย ขอลาป่วย หัวหน้าเลยให้ขึ้นมาแทนครับ ถ้าผมทำอะไรบกพร่องไป...”


ผมรีบบอกด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ที่ได้ยินมานายใหญ่ยังโสด ในครอบครัวเหลือแค่แม่กับน้องสาว เพราะฉะนั้นเขาคนนี้คงเป็นหลาน ญาติห่างๆ หรือไม่ก็คนสนิทที่ผมยังไม่รู้จัก แต่มานอนเล่นในห้องทำงานของท่านได้ต้องไม่ใช่ระดับธรรมดาแน่


“ไม่มีอะไร แค่จำได้ว่าทุกทีเป็นผู้หญิงน่ะ” เสียงนั้นดังอยู่เหนือหัวผมนี่เอง รู้สึกคุ้นหูอย่างประหลาด รองเท้าหนังสีดำเป็นมันคู่นี้ก็เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน “แล้วนี่เงยหน้าคุยกันหน่อยดีมั้ย จะได้เห็นหน้ากันชัดๆสักที”


ผมทำตามแต่เจอแค่ปกเสื้อเชิ้ตสีขาว เลยต้องมองสูงขึ้นไปถึงปลายคาง ผ่านสันจมูก จนสุดท้ายก็ได้เห็นดวงตาเรียบเฉยหนึ่งคู่ แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็กำลังก้มลงมา ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ได้ยินคำพูดเสียดแทงใจที่ว่า...


“ไม่คิดว่านาย...จะเตี้ยขนาดนี้”


ไม่ได้เตี้ยแต่แค่ตัวเล็กเฉยๆโว้ย!


ใจผมอยากตะโกนใส่หน้าเขาแบบนั้นแต่ทำได้แค่ก้มหน้าต่ำลงมาเหมือนเดิม มันเป็นเรื่องจริงที่ผมผอมเลยยิ่งดูตัวเล็ก ไม่ใช่เรียกว่าเตี้ย ผมสูงตามมาตรฐานชายไทยที่แพ้นมวัวเลยอาจจะขาดแคลเซียมไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับต้องยืนเป็นคนแรกที่หัวแถวหรอกน่ะ


“ขี้อายซะด้วย หรือว่ากลัว” ผมเงียบฟัง ยิ่งรู้สึกคุ้นกับเสียงนี้ “ฉันน่ากลัวตรงไหน ใครๆก็บอกว่าออกจะหล่อ”


ผมไม่ได้เถียงว่าเขาดูดีจริง แต่ไม่คิดว่าเขาจะกล้าชมตัวเองออกมาได้ไม่อายปาก ข้อนี้แหละที่ทำให้ผมเงยหน้ามองด้วยความตกใจ บังเอิญที่เขาเองก็ก้มลงมา หน้าของผมกับเขาห่างกันแค่คืบ อาการตกใจของผมเลยเสยเข้าเบ้าตาทำให้เขาเป็นฝ่ายนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เป็นไงล่ะ ยกนี้ผมชนะใสๆ!


“เอ่อ...” หลายวินาทีผ่านไป เขาได้สติแต่ท่าทางลนๆ ในขณะที่ผมยืนตาโตใส่เขาได้อย่างสบาย “เอ้า! จะมาทำความสะอาดก็รีบๆทำเข้าสิ ฉันจะคอยดู ถ้าไม่เรียบร้อยล่ะก็ นายโดนรายงานแน่”


เขาพูดเสร็จก็หันไปหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด ผมเลยรีบเดินหนี ไม่ใช่จะแสดงความรังเกียจแต่เพราะไม่ถูกโรคกับควันบุหรี่ ถ้าเผลอสูดเข้าไปตรงๆจะจามไม่หยุดเหมือนคนแพ้อากาศ แต่เขาคงไม่คิดอย่างนั้น พอผมไปเก็บกวาดที่มุมหนึ่งเขาก็ตามมายืนสูบบุหรี่ใกล้ๆ ยังดีที่ผมอยู่เหนือลมเลยไม่เป็นอะไรมาก ผมย้ายไปอีกทางเขาก็ยังตาม ผมเลยรีบทำงานให้เสร็จจะได้ออกไปเสียที แต่เชื่อมั้ยว่าเขาถึงกับอ้อมมาดักหน้าแล้วพ่นควันเหม็นๆนั่นใส่หน้าผม


“ทำบ้าอะไรขะ...” โชคดีที่ผมกลั้นหายใจแล้วรีบหลบทัน แต่ก็ยังคันจมูกจน... “ฮัดเช้ย!!”


ผมจามแรงๆติดๆกัน โดยเฉพาะครั้งแรกๆผมจงใจหันไปพ่นใส่ใบหน้า ‘ออกจะหล่อ’ เต็มๆ ทีแรกเขาทำท่าเหมือนจะฆ่าผมให้ได้ แต่พอเห็นผมจามจนน้ำมูกน้ำตาไหลก็คงนึกสงสาร รีบดับบุหรี่แล้วเข้ามาลูบหลังผมใหญ่ เอ่อ...ควรจะบอกเขาดีมั้ยว่าผมไม่ได้อ้วก เสร็จแล้วเขาก็หายเข้าไปในห้องน้ำและออกมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำให้ผมเช็ดหน้าเช็ดตา เฮ่อ...ค่อยยังชั่ว!


“นายทำเสื้อฉันเลอะ”


ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกดิ่งที่ถูกเขาปั่นให้ขึ้นๆลงๆตามเส้นเชือก เดี๋ยวก็รู้สึกดี เดี๋ยวก็โมโห พอจะกลับมารู้สึกดีๆก็ฉุดให้ผมจมลงกับความโกรธเสียอย่างนั้น ไอ้รอยน้ำมูกน้ำลายบนอกเสื้อนั่นถึงผมจะตั้งใจ แต่เพราะเขาแกล้งผมก่อนไม่ใช่เหรอไง แล้วที่พูดขึ้นมานี่ต้องการเรียกร้องอะไร หรือว่าจะถอดเสื้อมาให้ผมซักเพื่อชดใช้กับความผิดที่เขาเป็นต้นเหตุ?!


เหมือนมีระฆังหมดยกในระหว่างที่ผมกับเขายังยืนจ้องตาให้ตายกันไปข้าง เสียงเคาะเบาๆดังขึ้นแล้วประตูก็เปิดออก คนแรกที่เดินเข้ามาคือคุณวรเมธ แต่ผมไม่เสียเปรียบเพราะสวรรค์ส่งป้ามาลัยตามมาติดๆ


“อ้าว! ดิฉันนึกว่านายไม่อยู่” คนตัวสูงย่อมสะดุดตากว่าอันนี้ไม่เถียง แต่พอป้ามาลัยหันมาเห็นผมรับรองเทคะแนนสงสารให้เต็มๆ


“ตายแล้วกานต์! เป็นอะไร ทำไมหน้าเน่อ ตาเตอแดงไปหมดเลยลูก?!”


“กานต์ไม่เป็นไรครับป้า” ผมบอกเสียงอ่อย ทำเป็นปากแข็งแต่ตัวอ่อนให้ป้ากอด ลูบหน้าลูบหลังด้วยความเป็นห่วง คราวนี้ล่ะต่อให้คุณเมธอยากตำหนิผมก็ทำได้ไม่เต็มปากแล้ว


“แล้วนายเป็นอะไรหรือเปล่า” คุณเมธเลยหันไปคุยกับพวกเดียวกัน ผมหมายถึงสองคนนี้รูปร่างพอๆกัน แถมอายุก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันอีกด้วย “พวกการ์ดไม่เห็นแจ้งว่านายจะกลับเข้าออฟฟิศ”


“รำคาญเลยกลับมาเอง เอาน่า แค่จะเข้ามาเช็คงาน แล้วก็เผลอนอนเล่นเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรสักหน่อย”


คนที่แกล้งผมตอบเสียงเนือยๆ พอเห็นคุณเมธทำตาแข็งใส่ก็อ่อนลงให้อีก ผมมองแล้วชักคันจมูกจนอยากจะจามอีกรอบ และไม่ใช่แค่นั้น มันแปลกไปหมด ทั้งคำพูด ทั้งท่าทางของทั้งคู่ชวนให้ผมรู้สึกตะหงิดๆว่า...


“แล้วนั่น” คุณเมธหันมาทำตาดุใส่ผมบ้าง “มาทำความสะอาดใช่มั้ย ไม่รู้กฎหรือไงว่าห้องที่มีคนอยู่ห้ามใครเข้ามาวุ่นวาย”


“เรื่องนี้ดิฉันไม่รอบคอบ ไม่ได้เช็คให้ถี่ถ้วนก่อนจะส่งเด็กขึ้นมา ดิฉันขอรับผิดเองค่ะคุณเมธ”


“ไม่ใช่ความผิดคุณมาลัยหรอกครับ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษคนที่ทำอะไรไม่รู้จักฐานะของตัวเอง”


ท่าทางคุณเมธที่มีต่อป้ามาลัยไม่ได้ต่างจากพนักงานคนอื่นๆ แต่ที่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกแปลกจนคันยิบๆไปทั้งตัวคือสายตาเอาเรื่องที่ตวัดไปมองร่างสูงในชุดสูทครึ่งท่อนนั่นต่างหาก


“โอเคคร้าบ นายใหญ่ขอโทษ พอใจยัง?”


เหมือนโดนฟ้าผ่าใส่หัวกลางวันแสกๆ คนที่ผมแอบด่าในใจไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่นี่น่ะเหรอ ‘นายใหญ่’ ไม่จริงอ่ะ ไม่เชื่อ ไม่ใช่เด็ดขาด! นายใหญ่ของผมคือท่านที่อยู่ในรูปนั่นต่างหาก ดูใจดี มีเมตตา ทรงความยุติธรรม และควรมีอายุมากพอจะเป็นนายเหนือหัวพนักงานเป็นร้อยๆ ไม่ใช่ผู้ชายท่าทางกวนๆ อายุไม่เกินเลขสาม ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างนี้น่ะเหรอจะเป็นเจ้านายใครได้!


“พอใจแต่ไม่ทั้งหมด กลับมาเร็วขนาดนี้แสดงว่าการประชุมทางโน้น...” คุณเมธบ่นเสียงเข้ม แต่พอนึกได้ว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยเลยหันมาไล่อย่างสุภาพ “ทำความสะอาดเสร็จแล้วใช่มั้ย”


ผมกับป้ามาลัยเลยช่วยกันหอบหิ้วอุปกรณ์ทำความสะอาด พอเดินผ่านหน้ารูปภาพที่กลางห้องก็อดไม่ได้ ตอนนี้ผมต้องการความกระจ่างอย่างเข้มข้นที่สุด ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมนอนตาไม่หลับแน่


“ป้าครับ คือว่า...นั่น?” ผมสะกิดป้าแล้วหันกลับไปทางผู้ชายคนนั้น


“คุณภากร นายใหญ่ที่เป็นคนรับกานต์เข้าทำงานที่นี่ไง จำไม่ได้เหรอ”


“แต่ว่า...นี่?” แล้วผมก็พาป้าหันกลับมาดูรูปท่านของผม


“อ๋อ! นี่น่ะคุณกฤต คุณพ่อของนายใหญ่ ก็ที่ป้าเคยเล่าว่าป้าทำงานให้ท่านตั้งแต่ยังสาวๆไงล่ะ”


“คุณพ่อ...! นายใหญ่...!”


“พอดีว่าคุณกฤตประสบอุบัติเหตุจากไปอย่างกะทันหัน คุณภากรต้องเข้ามาสานงานต่อก็เลยสั่งให้ติดรูปคุณพ่อไว้เหมือนเดิมเพื่อเป็นกำลังใจเวลาทำงาน นายใหญ่น่ะรักคุณพ่อมากเชียวล่ะ”


ความรู้สึกของผมเป็นบวกขึ้นมาอีกนิดเพราะตัวผมเองก็สูญเสียแม่ไปอย่างไม่คาดฝัน ยังไม่ทันได้ตอบแทนให้สมกับความรักที่แม่มีให้ผมเลย เขาเองก็คงรู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน เอาเป็นว่าผมจะทำเป็นลืมๆเรื่องเมื่อกี้ไปก็แล้วกัน


“แล้วนั่นอะไรน่ะกานต์ ผ้าขี้ริ้วหรือเปล่า”


ป้ามาลัยทักขึ้นมาผมเลยได้สังเกต สิ่งที่อยู่ในมือคือผ้าผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัส สีขาว เนื้อดี มีเส้นไหมสีน้ำเงินเดินลายจากริมด้านหนึ่งไปจรดขอบอีกด้านตรงที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษปักอยู่


P a k o r n


ภาษาอังกฤษทั้งตัวหลักตัวเสริมผมได้เกรดสี่ทุกเทอม และโรงแรมแห่งนี้ก็น่าจะมีแค่ป้ามาลัย ไม่เคยได้ยินว่ามี ‘ป้าก้อน’ มาก่อน เพราะฉะนั้นชื่อนี้คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้... ผมคิดอย่างนี้ตอนที่หันหลังกลับไปมอง เขาคนนั้นนั่งลงที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ ท่าทางดูภูมิฐานขึ้นอย่างน่าประหลาด และก่อนที่ผมจะพ้นจากประตูห้อง ดวงตานิ่งเฉยคู่นั้นก็หันมามองตอบผมเข้าพอดี




จบแล้วจ้า

 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^//
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 19-03-2016 20:07:15
ติดตามๆจ้า สนุกดี รอตอนต่อไปป :katai5:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 19-03-2016 20:08:10


ตอนที่  3


นับจากวันนั้นผมก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากพนักงานทำความสะอาดทั่วไปกลายเป็นพนักงานทำความสะอาดประจำชั้นสำนักงาน เป็นไงล่ะ ก้าวหน้าจนน่าตกใจเลยทีเดียว!


ตอนที่ป้ามาลัยมาบอกผมแทบสำลักน้ำแกง ไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนั้น หรือคิดไปอาจจะเป็นฝันร้ายที่ต้องไปข้องแวะกับคนชอบกวนประสาทอยู่ทุกวัน แต่เอาเข้าจริงผมเจอคุณภากรนับครั้งได้ และทุกครั้งก็เพียงเวลาที่เขา อ้อ! ไม่ใช่สิ ท่านประธานกลับเข้ามาหรือกำลังจะออกไปธุระข้างนอกพร้อมบอดีการ์ดประกบเป็นเงาตามตัวอย่างน้อยหนึ่งคน ที่เหลืออีกสองหรือมากกว่านั้นจะรอที่รถและประจำอยู่ตามจุดคอยระวังภัย


ครั้งที่ได้เข้าใกล้มากสุดคือตอนที่คุณภากรหยุดทักทายป้ามาลัยแล้วมีผมอยู่ตรงนั้นด้วย ผมไม่ได้ฟังว่าสองคนคุยอะไรกันแต่พอป้าเรียกแล้วผมหันไปก็บังเอิญได้สบตากัน จู่ๆคนกวนประสาทก็ถลึงตาใส่ทำให้ผมตกใจ เสร็จแล้วก็เดินหัวเราะจากไป มันน่าโมโหมั้ยล่ะ!


ส่วนที่ชั้นสำนักงานนั้น พนักงานส่วนใหญ่มักกลับบ้านตรงเวลา  ผมเข้าไปทำความสะอาดหลังเลิกงานเลยไม่ค่อยเจอใครก็ไม่แปลก คนที่พบบ่อยที่สุดกลายเป็นคุณวรเมธ นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นแค่เลขา ผมต้องนึกว่านี่ล่ะนายใหญ่ เพราะเขาดูจะงานยุ่งตลอดเวลา มีเรื่องให้ประชุม คุยงานจนตารางแต่ละวันแน่นเอี้ยด มีเอกสารให้อ่านกองสูงเป็นตั้งๆ ผมเห็นเขาได้พักก็ตอนทานข้าวหรือเบรคดื่มกาแฟ นอกจากนั้นก็ไม่เคยอยู่ว่างๆเลย


วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังดูดฝุ่นอยู่เพลินๆ คุณเมธก็เปิดประตูห้องออกมา ท่าทางไม่แปลกใจที่เห็นผม


“ลืมไปเลย” เขาบ่นพึมพำ แถมเอาแฟ้มในมือฟาดขาตัวเองอีก นี่เขาคงจะไม่เครียดจนมาทำร้ายผมด้วยหรอกนะ
“คุณเมธมีอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าจะเอากาแฟเดี๋ยวผมไปชงให้ก็ได้ครับ”


ผมเห็นเขาทำหน้ายุ่งๆ มองไปทางโต๊ะเลขาที่ว่างเปล่าเลยอดเสนอตัวไม่ได้ แต่เขากลับมองหน้าก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ผิดไปจากความคาดหมายของผมมาก


“นาย...จบม.สามใช่มั้ย” ผมเริ่มชินกับวิธีการพูดของคุณเมธ ผมว่าเขาเป็นคนเก่ง ฉลาด ในหัวคงมีข้อมูลมากมายจึงมักถามเพื่อย้ำความแน่ใจเฉยๆ ผมเลยแค่พยักหน้า หรือบางครั้งแค่นิ่งไว้ก็ถือเป็นคำตอบได้แล้ว “แล้วใช้คอมพิมพ์จดหมายได้หรือเปล่า”


“ได้ครับ” 


“ฉันแค่ร่าง ใส่เฉพาะที่เป็นตัวเลขไว้ ส่วนที่เหลือจะทำเองได้มั้ย”


ผมรับแฟ้มมาเปิดดู ข้างในเป็นกระดาษสองสามแผ่น จากลายมือคร่าวๆคิดว่าเป็นจดหมายธุรกิจประเภทตอบกลับและสอบถามข้อมูลธรรมดา ไม่น่าเกินความสามารถ


“ถ้าเป็นจดหมายแบบที่เคยมีข้อมูลอยู่แล้ว ผมลอกเอาจากของเก่าได้มั้ยครับ” ผมกวาดสายตาให้ทั่วทุกแผ่นก่อนค่อยเงยหน้าถาม ดูเหมือนเขาจะมองผมด้วยแววตาพอใจนะ


“ลองดูแล้วกัน สงสัยอะไรก็เข้าไปถามฉันได้”


ผมรีบวางเครื่องดูดฝุ่นแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ โชคดีที่คุณเลขาเก็บแฟ้มข้อมูลอย่างเป็นระบบ ใช้เวลาไม่นานก็หาจดหมายฉบับก่อนๆของบริษัทเดียวกันมาดูเป็นตัวอย่าง ปรับแก้ข้อมูลตามร่างที่ได้มา กว่าจะเสร็จเรียบร้อยปาเข้าไปชั่วโมงกว่า แต่คุณเมธใช้เวลาตรวจงานของผมแค่ครึ่งนาที แล้วก็ยื่นคืนมาพร้อมคำสั่งที่ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของผมทีเดียว


“แก้คำผิดตรงที่ติ๊กแล้วส่งไปที่เมลล์นี้ เสร็จแล้วปรินท์เก็บเข้าแฟ้มให้ฉันอย่างละสองชุด”


ผมทำทุกอย่างจนเรียบร้อยจึงย้อนกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งพร้อมน้ำผลไม้เย็นๆหนึ่งแก้ว คุณเมธมองผ่านแฟ้มนั้นอีกชั่วแวบก็ปิดแล้วโยนไปรวมกับแฟ้มอื่นที่มุมหนึ่งของโต๊ะ ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นดื่ม เสร็จแล้วก็ถอดแว่นวางแล้วเอนตัวไปกับพนักเก้าอี้ทำงาน


“ทำไมถึงไม่เรียนต่อ”


เป็นครั้งแรกที่เขาถามเพื่อหาข้อมูลจริงๆ ผมจึงอธิบายความจำเป็นที่เพิ่มเติมจากเรื่องหนี้ห้าแสนบาทของพ่อ และเป็นครั้งแรกที่ผมเล่าเรื่องพี่กัญญาให้คนอื่นฟัง


“ถึงไม่ทำแบบนี้ พี่สาวนายก็เรียนจบได้”


คำพูดนั้นปักฉึกลงกลางใจ ใช่ว่าผมไม่เคยคิด แต่เพราะเชื่อว่าหนทางนี้น่าจะรับประกันว่าพ่อจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับพี่กัญญาต่างหาก


“แต่ผมตัดสินใจเลือกแล้วครับ คนเราไม่มีใครแก่เกินเรียน ไม่เรียนวันนี้ วันหน้าก็ยังมีโอกาส หรือถึงอย่างนั้นชีวิตข้างนอกนี่ก็มีเรื่องมากมายให้เรียนรู้ ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองมีค่าแค่หนี้เน่าๆก้อนเดียวหรอกครับ”


“แล้วคิดว่าตัวเองมีค่าแค่ไหนกัน”


ผมสงสัยว่าคุณวรเมธใช้หินลับมีดขัดปากทุกวันหรือเปล่า คำแต่ละคำถึงได้บาดความรู้สึกเหลือเกิน แถมผมยังไม่เคยเห็นเขายิ้มกว้างๆหรือหัวเราะให้ได้ยิน อย่างมากสุดก็เหยียดริมฝีปากให้มากกว่าปกติเท่านั้น คนอย่างนี้ถ้าชอบสาวจะจีบด้วยวิธีไหน หรือจะเข้าตำราโบราณ ‘ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก’ แต่ต้องกลับกันเป็นว่า ‘คุณเมธด่าแปลว่าคุณเมธรัก คุณเมธเหยียดหางตาแลแปลว่าพอใจ’


“ผมไม่ได้อยากมีมูลค่า แต่อยากเป็นคนที่มีคุณค่า ส่วนจะมากหรือน้อยก็คงแล้วแต่คนอื่นจะมองครับ”


ผมตอบตามที่คิด ส่วนคนฟังจะพอใจหรือรับได้หรือเปล่าไม่รู้ แล้วการที่คุณเมธหยิบแว่นสายตามาสวมแล้วลากแฟ้มมาเปิดอ่านต่อนั่นยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจไปกันใหญ่ สรุปผมก็เลยเอ่ยขอตัวและออกมาดูดฝุ่นตามหน้าที่ของผมต่อไป แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านั่นคือวันสุดท้ายที่ผมได้ทำงานในฐานะพนักงานทำความสะอาดประจำชั้นสำนักงาน!


เพียงวันรุ่งขึ้นป้ามาลัยก็เดินยิ้มกริ่มมาหาผมถึงที่ห้องพักแต่เช้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เร่งให้อาบน้ำแต่งตัวแล้วลากออกไปเดินช้อปปิ้งเป็นเพื่อนแก เชื่อเถอะครับ ผมต้องมาเดินห้างเป็นเพื่อนป้ามาลัยอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่ความจริงแล้วของทุกชิ้นที่ซื้อล้วนเป็นของผมตั้งแต่เสื้อผ้าทั้งใส่ทำงาน ใส่ลำลอง ถุงเท้ารองเท้า แถมยังถูกพาไปเข้าร้านตัดผมแปลงโฉมให้ดูเป็นผู้เป็นคนสมกับตำแหน่งใหม่ที่เบื้องบนประทานลงมา... พนักงานฝึกหัดในตำแหน่งผู้ช่วยเลขาของเลขาท่านประธานกรรมการบริหาร เรียกให้ง่ายก็คือ... ผู้ช่วยเลขาของคุณวรเมธอีกทีนั่นเอง


นอกจากนี้ผมยังได้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องพักของโรงแรม แน่นอนว่าเป็นห้องธรรมดาที่มีสำรองเอาไว้เป็นสิทธิพิเศษให้พนักงาน แต่รายการของผมนั้นเพื่อให้สะดวกกับการถูกเรียกใช้งานเสียมากกว่า เพราะอย่าลืมว่าผมเป็นพนักงานคนเดียวที่ไม่มีเงินเดือนแต่ต้องพร้อมแสตนด์บายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็เอาเป็นว่าถ้าคุณเมธทำงานผมต้องอยู่ ขนาดเขากลับไปแล้วผมยังต้องอ่านเอกสารอีกพะเรอเกวียนให้จบก่อนเข้าพบเขาในวันรุ่งขึ้น วันหยุด วันลากิจ ลาป่วยอย่าได้พูดถึง ผมไปแจ้งความว่าถูกกดขี่แรงงงานเยี่ยงทาสยังได้เลยนะเนี่ย


“กานต์! ไม่สบายหรือเปล่า หน้าซีดเชียว กินข้าวหรือยังลูก”


เดี๋ยวนี้ป้ามาลัยมาถึงโรงแรมเป็นต้องเรียกหาผมก่อนใคร ขนาดเฮียสยามยังแกล้งแซวว่าท่าทางป้าจะมาเลี้ยงต้อยเด็กเอาตอนแก่


“เปล่าครับ กานต์แค่ได้นอนไป..สองชั่วโมง ฮ้าวววว” ผมยกมือถือขึ้นดูเวลาบนหน้าจอ นี่ก็อีกหนึ่งรายการแถมจากวันที่ป้าพาผมไปช็อปกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ ที่จริงเครื่องเดิมยังใช้ได้ดี แต่ป้ากับพี่พนักงานขายช่วยกันโน้มน้าวว่าเจ้าเครื่องใหม่ราคาหลักหมื่นนี้ทำได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ คนทำงานออฟฟิศเป็นถึงเลขาคนใหญ่คนโตต้องใช้ แต่ที่เขาพูดมาก็จริง เพราะพอมาเจอเจ้านายอย่างคุณเมธเข้าไปกี่เครื่องก็คงไม่พอ


“โถๆ มิน่าล่ะดูตาโหลๆ งานหนักมากเหรอ” ได้ยินอย่างนั้นป้าก็รีบจูงผมไปหาข้าวกิน ผมเลยได้เดินหลับตาสบายไป ไม่ไหวครับ ไม่ได้นอนแล้วยังต้องออกมาเจอแสงสว่างตอนเช้านี่มันทำร้ายลูกกะตาคนเราจริงๆ


“งานไม่หนักครับ แต่มีข้อมูลที่ต้องอ่านให้เข้าใจแล้วก็ต้องจำให้ได้เยอะมากจนกานต์กลัวว่าหัวจะแตกซะก่อน”


“เจ้านายท่านเมตตา กานต์ต้องขยันๆเข้า คนเราลองไม่ท้อถอยซะก่อน สักวันก็ต้องประสบความสำเร็จนะจำไว้”


เป็นอีกหนึ่งกิจวัตรที่ผมจะลงมาทานข้าวเช้าพร้อมฟังโอวาทของป้ามาลัย แต่ผมรู้สึกดีนะเพราะเหมือนมีโอกาสได้อยู่กับแม่อีกครั้ง แล้วหลังจากนั้นผมก็ต้องหายเข้ากลีบเมฆ ได้แต่สิงตัวอยู่ที่ชั้นผู้บริหารแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว


“คุณเมธเพิ่งโทรมาบอกว่าจะเข้าออฟฟิศใกล้ๆเที่ยงนะกานต์”


ในแต่ละวันนอกจากคุณวรเมธก็มีพี่พัชรีนี่ล่ะที่ผมพบหน้าพูดคุยมากที่สุด พี่พัชรีเป็นเลขาคุณเมธก็เลยเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานให้ผมอีกต่อหนึ่ง ซึ่งยอมรับตามตรงว่าถ้าไม่ได้เขา ผมคงไม่รอดตั้งแต่วันแรกนั่นแหละ


“จริงนะครับพี่พัช โฮ้ยดีใจจัง ผมรอดตายแล้ว!”


พี่พัชรีก็เหมือนป้ามาลัยคือทำงานมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของนายใหญ่ แต่อย่างที่บอกว่าคุณเมธดูจะงานเยอะกว่าใครๆ คุณพัชรีเลยถูกโอนมาช่วยด้วยความเต็มใจเพราะไม่เคยเกี่ยงเรื่องอายุของผู้ร่วมงาน และโดยส่วนตัวก็เป็นสาวโสดที่สวยเฟี้ยวไม่ยอมแก่ ผมเจอหน้าเลยรีบเรียกว่า ‘พี่’ แกชอบอกชอบใจชมผมใหญ่ว่าน่ารักปากหวาน เห็นหรือยังล่ะครับความสามารถของผม


“แสดงว่าแฟ้มของเมื่อวานยังอ่านไม่จบล่ะสิ” พี่พัชแซวผมยิ้มๆ ส่วนผมก็ได้แต่ส่งยิ้มเพลียๆ


แฟ้มที่พูดถึงคือบรรดาเอกสารที่เรียงรายอยู่ในตู้กระจกรอบห้องคุณวรเมธ บรรจุข้อมูลทุกอย่างทั้งในส่วนของโรงแรม คลับและคาสิโน เป็นงานประจำวันและการบ้านที่ผมต้องอ่านให้เข้าใจทั้งที่ตัวผมหรือพี่พัชก็ไม่รู้ว่าทำไม คุณเมธไม่เคยอธิบาย ได้แต่หยิบแฟ้มมาโยนให้ จดหัวข้อสำคัญที่ต้องจำซึ่งจะกลายเป็นคำถามที่ผมต้องตอบเขาให้ได้ในวันรุ่งขึ้น นี่ล่ะครับสาเหตุที่ทำให้ผมจะหลับคาโต๊ะกินข้าวอยู่ทุกเช้า


“จบก็บ้าแล้วครับ แต่ละแฟ้มหนาตั้งเป็นร้อยๆหน้า ผมอ่านแล้วอ่านอีกจนเมื่อย แทบจะควักลูกตาออกมานวดๆแล้วใส่กลับไปใช้งานต่อ”


“เวอร์ไปแล้วย่ะ” พี่พัชเปิดกระจกเงาเช็คความเรียบร้อยแล้วแถมค้อนให้ผมหนึ่งวง “อ้อ! คุณเมธบอกเรื่องโต๊ะทำงานของกานต์ เดี๋ยวพอว่างๆค่อยดูอีกทีว่าจะให้นั่งตรงไหน ช่วงนี้เลยให้เข้าไปใช้ห้องประชุมเล็กในห้องท่านประธานไปก่อน เพราะท่านลงไปธุระเรื่องโรงแรมที่ภูเก็ต คงเป็นอาทิตย์กว่าจะกลับ พี่ให้คนเอาคอมกับของใช้จำเป็นไปจัดไว้ให้แล้ว ถ้ากานต์อยากได้อะไรเพิ่มก็มาบอกนะ”


“ห้องท่านประธาน...?”


ลืมบอกไปครับว่าที่ออฟฟิศจะเรียกคุณภากรว่า ‘ท่านประธาน’ แต่ถ้าเป็นพนักงานระดับล่างรวมถึงคนที่คลับกับคาสิโนอย่างเฮียหยามจะคุ้นปากกับคำว่า ‘นายใหญ่’ หรือ ‘นาย’ เฉยๆ แต่สำหรับผมคนกวนประสาทก็ยังเป็นคนกวนประสาทวันยังค่ำ!


ทีแรกผมก็ไม่อยากเข้าไปยุ่มย่ามแต่พี่พัชยืนยันว่าดูไม่เหมาะสมที่จะให้ผมอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง หรือนั่งงอกเป็นส่วนเกินให้คนที่มาติดต่อมองไม่ดี อาจจะเสียถึงภาพลักษณ์ของชั้นทำงานผู้บริหารไปซะอีก ผมจึงต้องย้ายตัวเองมาตามคำสั่ง ห้องท่านประธานยังคงดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอย่างเคย และสิ่งแรกที่ผมทำคือ...


“อรุณสวัสดิ์ครับท่าน เมื่อคืนฝนตกนิดหน่อย เช้านี้เลยอากาศดีนะครับ” ผมสะดวกใจจะเรียกคนในรูปบนผนังว่าท่านประธานมากกว่าตัวเจ้าของห้องเสียอีก “คุณเมธบอกให้ผมเข้ามาใช้โต๊ะประชุมในห้องนี้ไปก่อน ผมจะอยู่เงียบๆ จะขยันแล้วก็ตั้งใจทำงานครับ”


ใครเห็นเข้าอาจคิดว่าผมต๊อง แต่มันเหมือนได้ขออนุญาตหรือบอกกล่าวเจ้าของสถานที่ ในเมื่อเจ้าของห้องตัวจริงไม่อยู่ แบบนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้น จากนั้นผมก็เริ่มทำงานของตัวเอง สำหรับแฟ้มที่ผมต้องอ่านให้จบก่อนพบคุณวรเมธวันนี้เป็นรายงานผลประกอบการในส่วนของโรงแรม ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าผู้ช่วยเลขาอย่างผมจะต้องรู้ไปทำไม และยิ่งไปกว่านั้น อย่างผมเนี่ยมีสิทธิ์ที่จะได้รู้ข้อมูลสำคัญขนาดนี้ด้วยหรือ


แต่ความจริงอ่านๆไปก็เพลินจนเวลาหมดไปไม่รู้ตัว เพิ่งได้รู้ว่านอกจากโรงแรมที่กรุงเทพก็ยังมีอีกหลายแห่งตามจังหวัดใหญ่ๆเกือบทุกภาค สาขาล่าสุดคือที่ภูเก็ตซึ่งอยู่ในขั้นตอนเจรจาซื้อโรงแรมเก่ามาปรับปรุงให้สะดวกทันสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายความคลาสสิคไว้ดังเดิม และในรายงานการประชุมอีกหลายฉบับยังพูดถึงแผนการซื้อโรงแรมและรีสอร์ทในต่างประเทศ คุณภากรคงพยายามสร้างเครือข่ายโรงแรมของตนเองให้เข้มแข็งขึ้น อาจจะเป็นเหมือนที่ป้ามาลัยบอกว่าเขาไม่ได้เห็นด้วยกับกิจการดั้งเดิมของรุ่นปู่รุ่นพ่อ จึงพยายามปรับปรุงธุรกิจให้เป็นไปในแบบของตนเอง อาบอบนวดและบ่อนคงจะค่อยๆหมดไป ซึ่งจุดนี้แหละที่ผมแอบชื่นชมและหวังให้เขาทำสำเร็จในเร็ววัน


ผมอ่านแฟ้มอยู่เพลินๆก็ต้องสะดุ้ง ไม่ใช่ว่าท่านจะออกจากรูปมาหาแต่เพราะเสียงโทรศัพท์จากโต๊ะทำงานตัวใหญ่อลังการนั่นต่างหาก


“สวัสดีครับ ห้องท่านประธานครับ” ผมกรอกเสียงด้วยความไม่แน่ใจ ความจริงคนระดับนี้ไม่อยู่ ทุกคนในออฟฟิศก็ต้องรู้อยู่แล้ว ไม่น่าจะมีใครต่อสายมาหาได้เลยนี่


“เอ่อ...ฮัลโหล...” ปลายสายเงียบสนิท ผมเลยลองส่งเสียงไปอีกที “ถ้าไม่พูดขออนุญาตวางนะครับ”


ผมรออีกอึดใจก็วางหูโทรศัพท์ลง แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมชักไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรเลยยืนฟังจนเสียงเงียบไป แล้วก็รอจน...น่าจะสิบนาทีได้เลยจะกลับไปทำงานต่อ แต่เดินยังไม่ทันพ้นโต๊ะโทรศัพท์ก็ดังอีก คราวนี้ผมรับ...


“ห้องท่านประธานครับ” ผมบอกและรอฟัง นับหนึ่งถึงสิบในใจ ตั้งใจแล้วว่าเที่ยวนี้จะวางแล้วดึงสายโทรศัพท์ออกซะเลย ไม่งั้นผมไม่เป็นอันได้ทำงานแน่ แล้วก็มีเสียงตอบกลับมาทันทีที่ผมนับถึงสิบ เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ!


“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”


“ผมรับแล้วนี่ครับ” เสียงนี้...ต่อให้ได้ยินไม่บ่อยแต่ผมจำได้หรอกน่ะ และอย่างน้อยอีกฝ่ายก็เป็นเจ้านาย ทำตัวให้สุภาพไว้ก็ถือเป็นผลดีกับตัวผมเอง


“ทำไมรับช้า”


“ขอโทษครับ” ได้ยินแล้วจี๊ด เจ้านายที่พยายามจับผิดลูกน้องมันเป็นยังงี้นี่เอง แต่แม่เคยสอนว่าอย่าไปตีฝีปากกับคนพาล ต่อความยาวสาวความยืดยังไง หมาป่าเจ้าเล่ห์มันก็ยังหาเรื่องเขมือบลูกแกะได้วันยังค่ำ


“ทำอะไรอยู่ถึงได้รับช้า”


“ทำงานครับ” ถามซ้ำๆ ย้ำคิดย้ำทำ นี่ล่ะวิสัยหมาป่าแก่ขี้หลงขี้ลืม ส่วนผมจะตอบว่าซักผ้าก็เกรงใจสายตาของท่านในรูป


“งานอะไร”


“งาน...ที่คุณเมธสั่งครับ” อันนี้ผมไม่ได้กวนแต่เพราะหาคำจำกัดความให้งานที่ได้รับมอบหมายไม่ได้จริงๆ


“เมธสั่งงานอะไร”


แล้วท่านประธานเจ้าของโรงแรมจะมาอยากรู้เรื่องของเด็กฝึกงานทำไมเนี่ย?!


“เอ่อ...ก็ให้อ่านแฟ้ม...” ผมยกมือขึ้นมานับนิ้วกันพลาด “ข้อมูลโรงแรม คลับ คาสิโน รายงานการประชุม ทั้งรายรับรายจ่าย ผลประกอบการ งบดุล รายละเอียดพนักงาน...”


“คิดจะกวนประสาทหรือไง เมธมันจะบ้าสั่งงานอะไรมากมายก่ายกองขนาดนั้น” ปลายสายบ่นพึมพำอะไรสักอย่างฟังไม่ค่อยถนัด ก่อนจะกลับมาคุยต่อด้วยน้ำเสียง...ไม่ใช่เบาหรือค่อยแต่น่าจะเรียกว่า ‘อ่อนลง’ “แล้วอ่านได้หมดนั่นเลยเหรอ”


“ยังไม่หมดแต่ก็ค่อยๆอ่านไปครับ”


“เก่งนะ” ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่แค่คำสั้นๆง่ายๆนี้ก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้ รู้สึกเหมือนเวลาสูดหายใจเข้าจนอากาศฟูคับอกยังไงยังงั้น “อ่านเยอะขนาดนั้นได้พักบ้างหรือเปล่า กินข้าวหรือยัง”


ผมหันไปมองนาฬิกาที่อีกฝั่งห้องแล้วเลือกตอบคำถามสุดท้าย


“ข้าวเช้าทานแล้วแต่ข้าวเที่ยงยังไม่ถึงเวลาครับ”


“น่าอิจฉา ตั้งแต่เช้าฉันได้กาแฟแค่แก้วเดียว”


“พอเหรอครับ” นอกจากนมที่ทำให้ปวดท้อง กาแฟก็เป็นอีกอย่างที่ผมไม่รู้จะกินเข้าไปทำไม ขมก็ขม อร่อยก็ไม่อร่อย ทั้งเช้ากินกาแฟแค่แก้วเดียวแล้วอยู่ได้นี่เป็นอะไรที่ผมอดทึ่งไม่ได้


“คงไม่พอหรอก แต่ไม่ค่อยหิวอยู่แล้ว เที่ยงนี้สิ ยังไม่รู้จะกินอะไร”


“ไม่ดีเลยนะครับ”


“อะไรไม่ดี” หมาป่าชักจะหาเรื่องอีกแล้ว!


“ข้าวเช้าไม่ได้ทาน ข้าวเที่ยงก็ยังอดอีก จะเป็นโรคกระเพาะได้”


“ห่วงเหรอ” แป๊บเดียวก็เสียงอ่อนลง โอ๊ย! กว่าจะคุยจบผมคงบ้าแน่ๆ


“เอ่อ...ก็...” เอาไงล่ะที่นี้ ฐานะอย่างผม คนที่ถูกเอามาขายใช้หนี้ แค่พนักงานในโรงแรม พูดง่ายๆคือคนธรรมดามากๆคนหนึ่งมีสิทธิ์จะรู้สึกแบบนั้นด้วยหรือ ใช่หรือไม่ใช่กันนะ “...แค่คิดว่าแบบนั้นไม่ดีต่อสุขภาพเฉยๆ”


“อ๋อ สุขภาพของนายเฉย ไม่ใช่สุขภาพของฉันล่ะสิ”


พลังงานสมองของผมถูกผลาญไปกับคำถามก่อนๆเกือบหมด เจอมุขนี้เข้าไปเลยได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก


“ไปทำงานต่อเถอะ แค่นี้นะ”


“แล้ว...” ปลายสายวางไปแล้วผมเลยได้แต่พูดส่วนที่เหลือกับตัวเอง “...ตกลงโทรมา...ทำไมเนี่ย??”


ผมวางหูโทรศัพท์และทิ้งความสงสัยไว้ที่ตรงนั้น ตอนเที่ยงผมไม่เชิงรอแต่ก็อยู่จนนาฬิกาเดินเลยเลขสิบสองนิดหน่อยค่อยลงมาทานข้าว อดถามป้ามาลัยไม่ได้ว่าที่ภูเก็ตมีอาหารอะไรขึ้นชื่อบ้าง พอตกบ่ายผมยุ่งอยู่ในห้องคุณเมธจนเกือบค่ำเลยไม่รู้ว่าโทรศัพท์ในห้องท่านประธานดังขึ้นอีกหรือเปล่า แต่ก็แอบหวังว่าจะไม่มีใครอดข้าวจนกระเพาะทะลุไปเสียก่อน



จบแล้วจ้า

 :bye2:

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 31-03-2016 19:02:41


4 .

วันนี้เป็นวันหยุดแรกหลังจากที่ผมได้เลื่อนขั้นมาอยู่ในตำแหน่งล่าสุด และไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นวันแรกเช่นกันที่ผมไม่ต้องทำงาน เมื่อวานคุณวรเมธเองก็ไม่สั่งให้ผมอ่านอะไรเพิ่มด้วย วู้ปปี้ ดีใจที่สุดเลย!!


เพื่อฉลองโอกาสดีๆอย่างนี้ผมเลยชวนพี่กัญญาออกไปเที่ยว ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน ขนาดว่าผมไม่มีเงินเดือน แต่ตอนนี้ผมกลับมีเงินสดติดกระเป๋าตั้งห้าพันบาทถ้วน เงินนี้ป้ามาลัยให้มาเมื่อวาน บอกว่าเป็นเบี้ยเลี้ยงพิเศษงวดสุดท้ายในฐานะพนักงานทำความสะอาด ตอนรับมาผมไม่ทันเอะใจ แต่ก็ช่างเถอะ ในเมื่อผมได้มาโดยสุจริต ไม่ได้จี้ปล้นหรือคดโกงใครก็ขอใช้ให้ความสุขกับตัวเองบ้างจะเป็นไรไป


เงินจำนวนนี้ผมตั้งใจว่าจะให้พ่อกับพี่กัญญาคนละสองพัน ส่วนผมไม่ค่อยได้ใช้อะไรอยู่แล้ว เก็บเอาไว้เผื่อฉุกเฉินหรือซื้อของใช้ส่วนตัวแค่พันเดียวก็พอ พี่กัญโทรบอกว่าอาจจะมาช้าหน่อยผมเลยนัดพี่กัญที่แผนกซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้างสรรพสินค้าที่มีโรงภาพยนตร์อยู่ชั้นบนด้วย ซื้อของ กินข้าว ดูหนัง ครบสูตรวันหยุดของคนมีตังค์ใช้เลยนะเนี่ย


ผมหยิบตะกร้ามาถือเพราะรู้สึกเขินๆที่เดินลอยชายตัวเปล่า ความจริงไม่ได้ตั้งใจซื้ออะไรเป็นพิเศษ อาจจะมีของใช้จุกจิก ขนมบ้างนิดหน่อย แล้วจู่ๆก็หลงเข้ามาในช่องสินค้าประเภทชากาแฟ ที่นี่มีขายหลายยี่ห้อ ทั้งแบบซอง ถุงและขวด ขนาดตรงชั้นกาแฟสดยังมีบริการบดเมล็ดกาแฟ แต่ที่บังเอิญเห็นเลยหยิบมาพลิกอ่านฉลากฆ่าเวลาคือกาแฟชนิดสกัดคาเฟอีน นี่ล่ะที่ผมสนใจว่ากาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน...แล้วมันจะยังไงล่ะ?


“หือ?” เสียงดังข้างหูทำให้ผมสะดุ้งจนเกือบทำขวดกาแฟหลุดมือ หันไปค่อยโล่งอก พี่กัญญานั่นเอง คงมาถึงแล้วเดินเข้ามาเจอผมพอดี “เดี๋ยวนี้กานต์กินกาแฟด้วยเหรอ”


“เปล่าครับ แค่ดูเฉยๆ พี่กัญดูนี่ดิ ดีแคฟเฟอีน กาแฟแบบนี้มันไม่เหมือนอันอื่นตรงไหนอ่ะ”


ผมยื่นขวดกาแฟให้ดู ที่จริงพี่กัญก็ไม่ได้ชอบกาแฟเหมือนผม แต่พอต้องอยู่อ่านหนังสือดึกๆก็เริ่มชงกาแฟใส่นมข้นเยอะๆกินบ้าง นานวันเข้าก็เปลี่ยนเป็นกาแฟ น้ำตาล ครีมเทียม จนหลังๆมานี่ผมเห็นตักแต่ผงกาแฟหน้าตาเฉย แล้วไอ้น้ำกาแฟดำๆนั่นก็เลยไปตกค้างอยู่ใต้ตาจนกลายเป็นหมีแพนด้าทุกทีเวลาสอบ


“พี่ก็ไม่ค่อยรู้นะ แต่เคยได้ยินมาประมาณว่าพอไม่มีคาเฟอีนก็จะดีต่อสุขภาพมากกว่า เอาไว้สำหรับคนที่อยากดื่มกาแฟจริงๆแต่มีปัญหาอย่างโรคหัวใจหรืออะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง”


“ดีต่อสุขภาพ?” คือจริงๆผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะคิดอะไรมาก แต่ดันบังเอิญนึกไปถึงคนที่กินแต่กาแฟประทังชีวิตคนนั้นนั่นแหละ


“ใช่แล้วล่ะ ความจริงทางการแพทย์ก็ไม่ได้ห้าม เพราะการดื่มกาแฟ ชา หรือพวกโกโก้สามารถกระตุ้นให้หัวใจและการหมุนเวียนโลหิตทำงานได้ดี แต่ต้องไม่มากจนเกินไป วันละแก้วหรือสองแก้วไม่ควรมากกว่านั้นเพราะจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เพราะฉะนั้นคนที่ติดกาแฟ ต้องกินวันละหลายๆแก้วถ้าเปลี่ยนมาดื่มแบบนี้บ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน”


“เหรอครับ แต่คงไม่ค่อยดีกับกระเป๋าตังเนาะ แพงกว่าแบบธรรมดาอีกนะเนี่ย” ผมไล่ดูป้ายราคาที่ติดอยู่ เจ้าขวดเล็กๆในมือผมนี่ราคาไม่ได้สมขนาดเลย


“แล้วกานต์จะสนใจไปทำไม กินก็ไม่ได้กิน หรือว่าจะซื้อไปฝากใคร”


“ก็...พวกพี่ๆที่ออฟฟิศน่ะครับ”


โชคดีที่พี่กัญไม่สงสัยเพราะเชื่อเรื่องโรงงานพลาสติกที่อ้างไปเมื่อครั้งก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงต้องเล่าตั้งแต่เรื่องงานที่โรงแรมย้อนไปถึงเรื่องหนี้ของพ่อ ผมรู้ว่าพี่กัญรักพ่อไม่น้อยไปกว่าผม ทุกวันนี้พี่กัญเองก็คงเจ็บปวดที่ต้องรับรู้ในสิ่งที่พ่อเป็น คงดีกว่าถ้าผมจะเก็บเรื่องบางเรื่องไว้อดทนคนเดียว


แต่เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ผมก็เล่าเรื่องงานให้พี่สาวฟังบ้าง พูดถึงป้ามาลัยว่าเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่ดีกับผมมาก พี่พัชรีที่คอยช่วยฝึกงานให้ และสุดท้ายคือความโหดเฮี้ยบของคุณวรเมธ จะเรียกว่านินทาอย่างสนุกปากก็ไม่ผิดเลย พี่กัญฟังบ้างซักบ้างด้วยความสนใจ แล้วก็ชวนผมไปเลือกซื้อของฝากทั้งป้ามาลัยและพี่พัช ส่วนคุณเมธนั้นบอกตามตรงว่าถึงซื้อก็ไม่กล้าให้


“ตกลงกานต์จะไม่ซื้ออะไรฝากคุณเมธนั่นจริงๆใช่มั้ย”


“ไม่อ่ะ กานต์...” ผมว่าคุณเมธนี่ท่าทางจะตายยาก แค่พูดถึงก็โผล่มาหลอกหลอนกันเชียว แต่ดีหน่อยที่เขาอยู่ในรถที่กำลังติดไฟแดง ส่วนผมกับพี่สาวอยู่ริมถนน กำลังจะเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ป้าย


“กานต์ว่าอะไรนะ?”


“เปล่าครับ กานต์จะถามว่าซื้อขนมร้านนั้นไปฝากอาสากันมั้ย”


“หืย ไม่เอาหรอก ขนมซื้อไปทีไรอาสาก็บอกให้เอากลับไปกินกันเองทุกที ช่วงนี้พี่อ้วนๆอยู่ด้วย เดี๋ยวเราแวะตลาดซื้อผลไม้ไปดีกว่า”


“อ้วน?! ตรงไหนเนี่ย” ผมจิ้มเอวคอดกิ่วหาไขมันสะสมก็ไม่มีสักนิด ผมว่าพี่กัญคงเรียนหนัก ดูซูบกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันด้วยซ้ำ


“กานต์ไม่เห็นเหรอ แก้มพี่ป่องจะแย่ ต้องเอาผมลงมาปิดๆอยู่เนี่ย”


เฮ่อ...ถึงจะเป็นเด็กเรียนแต่ก็อดรักสวยรักงามตามประสาผู้หญิงไม่ได้สินะ! ไม่ได้เข้าข้างแต่พี่กัญญาของผมน่ารักจริงๆนะครับ เราสูงไล่เลี่ยกัน ถ้าไม่ขี้โกงผมน่าจะมากกว่าสักสามเซนติเมตร พี่กัญได้เชื้อทางพ่อเลยไม่ขาวเท่าผมแต่ใครๆก็บอกว่าผิวสีน้ำผึ้งอย่างนี้ถ่ายรูปขึ้นกล้องดี ส่วนรูปร่างก็เป็นคนมีน้ำมีเนื้อแต่ผมรับประกันได้ว่าไม่ถึงกับอวบด้วยซ้ำ ส่วนที่ทำให้พี่กัญนอยด์ไม่เลิกคือพวงแก้มที่ส่งให้ใบหน้าดูสมบูรณ์กว่าความเป็นจริง เวลากินอะไรทีก็ชอบบ่นว่าออกแก้ม นี่ถ้าสถานเสริมความงามไหนมีโปรแกรมลดเฉพาะส่วนแก้มล่ะก็ ผมจะรีบเก็บเงินซื้อให้พี่กัญคอร์สนึงเลย


สรุปแล้วเราเลยขึ้นรถเมล์กลับและแวะตลาดสดใกล้ๆคอนโดเพื่อซื้อผลไม้ไปฝากอาสารภี แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ผมเจอหน้าอา ได้ทันแค่กอดให้หายคิดถึงก็มีเมลล์เข้าสั่งให้ผมกลับออฟฟิศ อะไรไม่น่ากลัวเท่าขนาดที่คุณเมธถึงกับลงท้ายข้อความว่า ‘เดี๋ยวนี้’ แล้วมีหรือที่ผมจะไม่รีบวิ่งหูตั้งกลับโรงแรม


“เฮ้ยๆ! กานต์! เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”


ผมกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จ่ายเงินเสร็จก็ต้องเบรกเอี้ยด ถึงเฮียสยามไม่เรียกผมก็ต้องหยุดล่ะ เล่นพาลูกน้องมายืนคุมที่หน้าประตูโรงแรมอย่างกับจะมาดักอุ้มใครแน่ะ


“ผมรีบนะเฮีย วันหลังค่อยคุยกัน”


“จะรีบไปตายที่ไหนของเอ็ง” เฮียสยามคว้าคอเสื้อผมหมับ ถ้าจะทำยังงี้อย่าถามเลยดีกว่ามั้ย


“ก็ถ้าไม่รีบ ผมต้องตายจริงๆแน่ คุณเมธสั่งให้ไปพบด่วนมาก อ้อมไปลิฟต์ตัวหลังไม่ทันแล้ว ขอผิดกฎใช้ลิฟต์โรงแรมสักครั้งนะครับ”


“เอ็งนี่น๊า แล้วดูสภาพเข้า แต่งเนื้อแต่งตัวดูได้มั้ยเนี่ย”


เฮียจับตัวผมหมุนซ้ายหมุนขวาแล้วส่ายหัว แล้วจะให้ทำยังไง ผมเป็นแค่เด็กยังไม่ถึงสิบแปดเลยนะ วันนี้วันหยุด ผมใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกไปเที่ยวนี่มันผิดมากหรือไง แต่เฮียก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดิกนิ้วเรียกลูกน้องที่ตัวเล็กที่สุดเข้ามาแล้วเอาเสื้อสูทของพี่คนนั้นมาสวมให้ผม เสร็จแล้วก็เสยๆหัวผมให้ดูยุ่งน้อยลง ซึ่งจุดนี้ผมแอบโล่งอกที่เฮียไม่ถึงกับถุยน้ำลายใส่มือก่อน ส่วนของที่ผมหอบหิ้วมาก็โยนส่งให้ลูกน้องอีกคนรับไว้


“เอาล่ะ แค่นี้น่าจะพอถูไถ นายอยู่ที่ห้องสไบแก้ว รีบไปสิ”


ทีแรกผมรีบจนลนไปหมด แล้วก็มาตกใจที่ถูกเฮียสยามจับแต่งตัวเอาง่ายๆที่หน้าโรงแรม ตอนนี้ยังถูกสั่งให้ไปหาคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจออีก นี่ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย?!


“ยังจะชักช้า เดี๋ยวคุณเมธก็เอาเอ็งตายจริงๆหรอก ไปได้แล้ว!”


เฮียสยามตะคอกใส่หน้าทำให้ได้สติ อย่างน้อยชื่อคุณเมธก็ทำให้ผมเบาใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก พอเข้ามาในตัวโรงแรม ผมเลยรีบเดินเร็วๆขึ้นบันไดไป เพราะเกิดจู่ๆมีเด็กผู้ชายวิ่งพรวดพราดอาจทำให้แขกตกใจกลายเป็นความผิดให้ผมถูกคุณเมธด่าเอาได้ทีหลัง


ห้องสไบแก้วคือห้องอาหารไทยของโรงแรมอยู่ที่ชั้นสอง ที่ด้านหน้ามีบอดีการ์ดของคุณภากรยืนคุมเชิงตามปกติ พอเดินเข้าไปยังไม่ทันเอ่ยปาก หนึ่งในนั้นก็ผายมือเชิญผมเข้าไปด้านในซึ่งเปิดให้บริการตามปกติ มีลูกค้าทานอาหารอยู่หลายโต๊ะ ผมว่าพวกเขาน่าจะรู้สึกแต่ถึงไม่ถึงกับตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวผมนี่ต่างหากที่คล้ายเป็นตัวประหลาดให้พวกเขามองตามด้วยความสนใจ


“เดี๋ยวครับ” ผมรู้แล้วว่าจุดหมายคือห้องส่วนตัวที่มุมด้านในโน่น แต่อย่างน้อยได้รู้สถานการณ์ก่อนสักนิดคงดี ผมเลยหันกลับไปกระซิบถามคนที่เดินตามหลังมา “ในห้องนั้น...”


“เชิญคุณกานต์ครับ” อีกเรื่องที่ผมควรตกใจคือการที่กลายเป็น ‘คุณกานต์’ นี่ล่ะ รู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวเองยังไงก็ไม่รู้


“ไม่ครับ บอกก่อนว่ามัน...อะไร...ยังไง...ผมไม่อยากเข้าไปแล้วทำตัวเปิ่นๆ ถ้านายใหญ่อยู่ในนั้นด้วยจะยิ่งเสียถึงนายนะครับ”


“นายใหญ่กับคุณเมธเลี้ยงอาหารเย็นมาดามหลิวกับบุตรสาว เพิ่งจะเข้าไปได้ประมาณสิบนาที คิดว่าอาหารชุดแรกยังไม่เสิร์ฟ คุณกานต์รีบเข้าไปตอนนี้เลยจะดีกว่าครับ”


ผมพยักหน้าน้อยๆแล้วหันหลังเดินต่อไปอย่างว่าง่ายขึ้น ระบบประมวลผลในสมองบอกได้ทันทีว่ามาดามหลิวผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของโรงแรมที่ภูเก็ตและเป็นรายใหญ่รายเดียวที่ยังไม่ยินยอมกับข้อเสนอของทางเรา มาดามแต่งงานกับคนไทยมีลูกสาวหนึ่งคนอายุแปดขวบ ถูกส่งตัวขึ้นมาเข้าโรงเรียนนานาชาติที่กรุงเทพ แต่ล่าสุดมีข่าวว่าสามีของมาดามเสียชีวิตแล้ว เธอเลยตั้งใจจะกลับไปอยู่สิงคโปร์เป็นการถาวร นี่จึงอาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะจบเงื่อนไขทั้งหมดโดยความพอใจของทั้งสองฝ่าย


เมื่อเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวผมก็ได้พบแขกวีไอพีทั้งสอง มาดามหลิวเป็นสตรีเชื้อสายจีนที่ยังดูสาวมากในความคิดของผม เธอน่าจะอายุมากกว่านายใหญ่ไม่กี่ปี ดวงหน้าเล็ก ตาเรียวคม ริมฝีปากบาง ผิวขาวราวหยวกกล้วย ส่วนข้างๆกันคือเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก ผมดำละเอียดดังเส้นไหมถักเปียยาวพันรอบศีรษะ แถมยังอุ้มตุ๊กตาหมีที่แต่งตัวใส่เสื้อผ้าเหมือนเธออย่างกับแกะ เธอหันมาเห็นผมก่อนแล้วจ้องอย่างไม่เกรงใจ ผมจึงผูกมิตรด้วยรอยยิ้ม แกล้งทำตาโตใส่จนเธอชอบใจ หัวเราะคิกคัก จังหวะนั้นเองผู้ใหญ่ทั้งสองจึงหยุดการสนทนา


“นี่คือ...?”


มาดามหลิวเป็นฝ่ายเอ่ยถาม เพราะเป็นผมก็คงสงสัยว่าทำไมถึงมีเด็กผู้ชายหน้าตาท่าทางประหลาด การแต่งตัวก็ดูครึ่งๆกลางโผล่เข้ามาในห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวเช่นนี้ แต่ปัญหาคือทุกคนจงใจเงียบ ทั้งนายใหญ่ ทั้งคุณเมธต่างรูดซิปปากเหมือนแกล้งผมชัดๆ


“ผมชื่อกานต์ ยินดีที่ได้รู้จักมาดามหลิวและคุณหนูจิ้งครับ”


ผมแนะนำตัวเองตามด้วยการไหว้งามๆและส่งยิ้มมัดใจคุณหนูตัวน้อย สีหน้ามาดามหลิวนิ่งสนิทแต่น้ำเสียงดูจะไม่ขุ่นเคืองกับแขกไม่ได้รับเชิญอย่างผมสักเท่าไหร่


“ยินดีเช่นกัน ขอโทษนะจ๊ะ เธอเป็น...?”


“ผมเป็นเลขาคุณวรเมธครับ” แอบตัดคำว่าผู้ช่วยออกจะได้ดูมีภาษีมากขึ้น แต่จากสีหน้าคุณวรเมธ เสร็จงานนี้ผมคงโดนเรียกเก็บทบต้นทบดอกอานแน่ “รู้สึกเป็นเกรียติอย่างสูงที่มาดามอนุญาตให้เข้าพบในเวลาส่วนตัวเช่นนี้นะครับ”


“หรือจ๊ะ ฉันอาจจะลืมไปแต่เธอพอจะบอกได้มั้ยว่ามีธุระอะไรกับฉัน”


“มิได้ครับ ผมแค่รู้สึกชื่นชมผลงานการเขียนภาพจีนของมาดามเป็นอย่างมาก ได้ทราบว่าส่วนหนึ่งประดับอยู่ในโรงแรมที่ภูเก็ตด้วย ขนาดภาพที่ถ่ายมายังทำให้ผมอดทึ่งไม่ได้จึงอยากมีโอกาสได้พบศิลปินผู้มากฝีมือสักครั้งเท่านั้นเองครับ” ผมด้นสดแต่ข้อมูลทั้งหมดได้มาจากแฟ้มที่เพิ่งอ่านไปเมื่อสองวันก่อน โชคดีแท้ที่ผมไม่ใช่คนขี้เกียจจำ เอ๊ะ! หรือจะเป็นเพราะโดนคุณเมธจี้ถามอยู่เป็นชั่วโมงๆกันแน่นะ


“ตายจริง! ไม่นึกว่าขนาดเลขาคุณวรเมธยังชอบงานศิลปะ น่าชื่นชมเหลือเกินนะคะคุณภากร”


“แน่นอนครับมาดาม ผมเองก็ได้ยืนยันหนักแน่นมาตลอดว่าไม่ได้ต้องการทำลายศิลปะอันทรงคุณค่าที่แฝงอยู่ในโรงแรมที่มาดามรักเลยแม้แต่น้อย หวังว่ามาดามจะเข้าใจ”


ไม่น่าเชื่อว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์จะเก็กเสียงทุ้มนุ่มจนดูมีพลังราวราชสีห์หนุ่มก็ไม่ปาน แถมเขายังตั้งใจจ้องเข้าไปในดวงตาของแม่ม่ายลูกหนึ่งคนงาม ร่ายมนต์สะกดจนเธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่แคร์ลูกสาวที่นั่งตาแป๋วอยู่นั่นก็เกรงใจวิญญาณสามีเขาบ้างเถอะ!


“ไหนว่าวันนี้แค่เชิญมาทานข้าว สรุปก็ยังวกเข้าเรื่องงานได้อยู่ดี เวลาของนักธุรกิจนี่ช่างเป็นเงินเป็นทองจริงๆ”


“ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินทองมากไปกว่าความพอใจหรอกครับ”


“ฉันจะเชื่อคำพูดของเจ้านายเธอได้หรือเปล่าจ๊ะพ่อหนุ่ม”


จู่ๆมาดามหันมาถามแต่ผมสามารถเปลี่ยนอาการตกใจเป็นรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความมั่นใจ ทีแรกก็ไม่นึกว่าตัวเองจะทำได้แต่คงเพราะสถานการณ์ในห้องสี่เหลี่ยมนี้กดดันให้ต้องตื่นตัวอยู่ตลอด ในสมองผมเลยเหมือนตู้ลิ้นชักที่ไม่มีความเคลื่อนไหวแต่พร้อมจะเปิดและหยิบข้อมูลออกมาใช้ได้เสมอ


“ได้แน่นอนครับ เพราะมาดามอาจไม่ทราบ ทีแรกทางบอร์ดหมายตาโรงแรมในแถบนั้นไว้หลายแห่ง รวมถึงอาจมีโครงการสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยซ้ำ แต่พอท่านประธานของเราได้ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งแล้วมีโอกาสได้เห็นรูปวาด ‘สาวน้อยในสวนขวัญ’ ก็เกิดติดอกติดใจเป็นอย่างมาก มาวันนี้ถึงได้เข้าใจว่าทำไม หากเป็นตัวผมเองก็คงนึกรัก เพราะนอกจากฝีมือในการวาดของมาดามแล้ว คุณหนูจิ้งผู้เป็นนางแบบก็ยังน่ารัก น่าชื่นชมมากถึงเพียงนี้”


ผมตบท้ายด้วยมุขเด็ดที่น่าจะรับประกันผลสำเร็จ สิ่งที่พูดออกไปออกจากใจด้วยส่วนหนึ่ง เพราะถึงจะไม่เข้าใจทฤษฎีหรือความหมายทางศิลปะที่ผู้วาดต้องการสื่อ แต่แค่ความน่ารักสดใสของคุณหนูตัวน้อย ความอ่อนหวานของฝีแปรงและสีสันที่ผสานกันอย่างลงตัวก็ทำให้รูปนั้นยังติดตาผมอยู่เลย


มาดามยิ้มน้อยๆแล้วหันไปพูดบางอย่างกับลูกสาว ผลคือเธออายม้วน รีบยกตุ๊กตาหมีมาปิดหน้าใหญ่


“ลูกสาวฉันถนัดภาษาจีนกับอังกฤษมากกว่า ฉันเลยบอกให้ว่าเธอชมเขาว่าน่ารัก”


ผมโค้งศีรษะเป็นเชิงขออนุญาตมาดามแล้วเดินเข้าไปคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างๆที่นั่งของคุณหนู เธอหันมามองด้วยความสนใจ ผมผายมือไปหา เธอหันมองผู้เป็นแม่แวบหนึ่งแล้วจึงยอมยื่นมือออกมาให้


“Pleased to meet you my young lady.”


ผมยื่นหน้าไปกระซิบบอกเพื่อให้เธอรู้สึกพิเศษเหมือนเป็นเจ้าหญิงองค์น้อย และเราสองคนกำลังมีความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นได้ล่วงรู้ ง่ายๆเพียงแค่นี้เธอก็อยู่หมัด เป็นไงล่ะครับ บอกแล้วว่าเด็ก สตรี และคนชรา ล้วนต้องหลงเสน่ห์ผมทุกรายไป


จากนั้นอาหารก็เริ่มเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ ยิ่งเป็นอาหารไทยผมเลยได้โอกาสคอยบริการแขกทั้งสองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมได้รับอนุญาตให้นั่งข้างๆคุณหนูจิ้งเลยได้ทำคะแนนเพิ่มอีกหลายเท่าตัว เราสองคนคุยกันโดยอาศัยพี่เลี้ยงของเธอคอยช่วยแปลให้บ้างแต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นการสนทนาที่รู้เรื่องดี แค่มื้ออาหารผ่านไปเธอก็เทใจให้ผมถึงขนาดยอมให้จูงมือไปส่งถึงรถ ก่อนจากกันยังแถมรอยจูบเล็กๆที่ข้างแก้มผมอีก ถ้าเธอโตกว่านี้สักหน่อยผมคงเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก


“ลาก่อนนะจ๊ะพ่อหนุ่ม วันนี้สนุกมาก ฉันดีใจที่เราได้พบกัน” ผมน้อมตัวลงรับมือเรียวบางที่ยื่นมาให้ เสร็จแล้วมือนั้นก็ยังยื่นต่อมาจับแก้มผมค้างไว้จนเอ่ยลาเรียบร้อย ถ้ามาดามอายุอ่อนกว่านี้ผมต้องกลายเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุด น่าอิจฉาแบบคูณสองเลยนะเนี่ย


“ผมรู้สึกเป็นเกรียติมากกว่าครับ หวังอย่างยิ่งว่าจะได้ชื่นชมผลงานของมาดามในโอกาสต่อๆไปนะครับ”


“ต้องเป็นเช่นนั้นสิ เมื่อคุณภากรรีโนเวทโรงแรมที่ภูเก็ตเสร็จแล้ว เธอก็อย่าลืมไปทักทายสาวน้อยในสวนขวัญบ้างนะจ๊ะ”


มาดามหลิวพูดกับผมแล้วจึงหันไปส่งยิ้มบางๆให้คุณภากร เป็นสัญญาณอันดีว่าเธอได้ตอบตกลงกับเงื่อนไขทั้งหมด ซึ่งก็หมายความว่าเขาจะได้เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนั้นโดยสมบูรณ์ ส่วนผมจะถือว่าทำงานสำเร็จลุล่วงได้หรือเปล่ายังไม่รู้เพราะที่จริงตั้งแต่มาถึงนี่คุณเมธยังไม่ได้พูดหรือสั่งอะไรกับผมเลยสักคำ


“ผมรับรองจะไม่ทำให้มาดามผิดหวังครับ”


คุณภากรเอ่ยปากขณะส่งมาดามขึ้นรถแล้วปิดประตูให้ด้วยตัวเอง ทุกคนยืนรอจนรถคันนั้นแล่นพ้นเขตโรงแรมไปแล้วก็เหมือนจะได้ยินหลายเสียงถอนหายใจพร้อมกัน ส่วนผมกำลังยืนงงๆเพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ แต่จู่ๆร่างสูงในชุดสูทตรงหน้าก็หันกลับมาแล้วคว้าผมเข้าไปกอด...ซะงั้น!!


ไม่รู้ว่าทั้งคุณเมธหรือพวกบอดีการ์ดคิดอะไรอยู่ถึงไม่สนใจว่าสิ่งที่เจ้านายเขาทำมันประหลาด บ้ามากๆ และที่แน่ๆคือไม่มีใครคิดจะช่วยผมเลย ไม่รู้หรือไงว่ามันลำบากจะตายชักที่ต้องดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนของคนที่ตัวโตกว่าขนาดนี้ หัวผมสูงแค่คางเลยถูกกอดจนเหมือนจมหายเข้าไปในตัวเขายังไงยังงั้น!


“ทำอะไรของคุณเนี่ย?!” ผมได้แต่ส่งเสียงอู้อี้กับแผ่นอกกว้าง เขาใช้มือขวากดหัวผมไว้ ส่วนมือซ้ายของเขาก็รัดตั้งแต่ด้านขวาอ้อมไปจับแขนซ้ายผมไว้อีก ถึงจะงงแต่ก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าด้วยวิธีนี้มันทำให้ผมดิ้นไม่ออกนั่นแหละ


“เปล่านี่”


“เปล่ากะผีน่ะดิ มากอดผมทำไม ปล่อยเลยนะ!!” สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือเงยขึ้นตะโกนใส่หน้าเขา


“แค่รู้สึกว่าอยากกอดนายขึ้นมาเฉยๆน่ะ”


ผมชะงักไปสามวินาที วิแรกอึ้งจริงๆ วิที่สองเริ่มคิดว่าเขาต้องบ้าแน่ๆ และวิสุดท้ายผมนึกได้ว่าต้องไม่ชอบที่ถูกผู้ชายด้วยกันกอด เพราะฉะนั้นผมต้องตอบโต้...


“งั้นถ้าผมรู้สึกอยากจะชกคุณขึ้นมาก็ทำได้งั้นดิ”


“ก็เอาสิ ถ้าคิดว่าทำได้” ฟังคำตอบสิ มันหยามศักดิ์ศรีกันชัดๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเขาคงสนุกที่ได้ปั่นหัวผมให้ขึ้นๆลงๆเหมือนลูกดิ่งเพราะประโยคต่อมาเขากลับพูดด้วยสีหน้าเรียบๆ แววตาจริงจังจนผมรู้สึกได้ “ขอบใจนะ”


“ขอบใจ...ทำไม?”


ผมถามให้ตอบ แต่เขากลับก้มลงมา...หอมแก้มผมซะนี่!!


“เฮ้ย! ทำบ้าอะไรอีกเนี่ย?!”


ผมถามอีกครั้ง เขาก็เลยหอมผมอีกที เมื่อกี้ข้างเดียวกับคุณหนูจิ้ง คราวนี้ข้างที่มาดามหลิวจับ ความโชคดีคูณสองของผมกลายเป็นอภิมหาความซวยไปซะแล้ว!


“ก็แค่อยากทำแล้วก็ทำได้ซะด้วย”


“โว้ย! ไม่แค่ชกแล้ว ผมจะฆ่าคุณให้ตายเลยคอยดู”


“บอกแล้วไง ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู”


ในที่สุดคุณภากรก็ปล่อยผมให้เป็นอิสระแถมยังยืนนิ่งท้าทายว่าผมจะกล้าทำอะไรเขาหรือเปล่า แล้วผมจะกล้ามั้ยล่ะในเมื่อพวกบอดีการ์ดดันสำนึกถึงหน้าที่ตัวเอง กลับมายืนหนุนหลังเขาเป็นแผงขนาดนั้น แค่ผมกำหมัดขึ้นมาคงได้โดนยิงทิ้งคาเท้าเขานั่นแหละ


ขณะที่ผมนึกอยากจะปล่อยแสงเลเซอร์ออกจากตาไปฆ่าใครบางคนให้ได้ คุณวรเมธก็เดินผ่านมาตรงกลางแล้ว...


“พานายใหญ่กลับบ้าน”


หูผมไม่ฝาดที่ได้ยินคุณเมธเน้นคำว่า ‘บ้าน’ พอได้ยินอย่างนั้นคนเป็นนายทำหน้ามุ่ย ส่วนบอดีการ์ดทั้งหมดแทบจะชิดเท้ารับคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่ตัวจริง


“เฮ้ย! มันดึกแล้ว...” กระบวนท่านี้เรียกว่า ‘หมาป่าครวญคราง’ ทำอย่างกับรู้ตัวว่าจะถูกเอาไปเชือดงั้นแหละ


“ทุ่มครึ่ง คนแถวนี้เรียกหัวค่ำครับนาย เชิญ!”


คุณวรเมธย้ำอีกทีพร้อมกับที่เมอร์ซิเดสคันโตแล่นมาเทียบจอด คุณภากรเลยได้แต่ชี้หน้าแต่ทำอะไรเลขาตัวเองไม่ได้ ก่อนจะยอมขึ้นรถเขาเดินมาหาผมด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้สนใจว่าผมเพิ่งประกาศจะฆ่าเขาอยู่หยกๆ


“ฝันดีนะ”


ผมไม่ทันคิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้เลยหลุด ‘ครับ’ ไปด้วยความเคยชิน แค่นั้นคนตัวโตก็ยิ้มกว้างเดินกลับขึ้นรถไปอย่างว่าง่าย ส่วนผมยืนอึ้งอยู่นาน หันมาอีกทีก็...หายหัวกันไปหมด ทั้งคุณเมธ หรือแม้แต่พวกเฮียสยามที่เมื่อครู่ยังออกันอยู่เต็ม ตอนนี้ที่หน้าโรงแรมสงบเรียบร้อยเป็นปกติมาก มีแต่พนักงานต้อนรับหน้าประตู กับแท็กซี่วิ่งเข้าออกคอยรับส่งลูกค้า


ส่วนผม...แล้วผม...ตกลงผม...โว้ย! มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่เนี่ย?!






จบตอนแล้วจ้า

 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 31-03-2016 19:10:26



5 .



เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นด้วยอาการไม่ครบสามสิบสอง และอวัยวะส่วนที่พิการโดยปัจจุบันทันด่วนนั่นก็คือสิ่งที่อยู่ในกะโหลกนั่นเอง ทำไงได้ในเมื่อผมนอนไม่หลับ เตียงก็ยังนุ่มเหมือนเดิมแต่พอหลับตา สมองดันไม่ยอมพักเลยได้แต่พลิกไปพลิกมาทั้งคืน ครั้งสุดท้ายที่หันไปดูเวลาคือใกล้จะตีสาม แล้วผมก็ตั้งนาฬิกาปลุกตอนตีห้าครึ่ง รวมเบ็ดเสร็จผมคงได้นอนจริงๆไม่ถึงสองชั่วโมงตามเคย


ผมนอนไม่พอนั่นก็ปัญหาหนึ่งแล้ว แต่อีกเรื่องที่ทำเอาตั้งตัวไม่ทันคือข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วโรงแรมว่าผม... นายกานต์ อดีตลูกหนี้มูลค่าห้าแสน ปัจจุบันเด็กฝึกงานไม่มีเงินเดือน... กลายเป็นฮีโรที่ทำให้การเจรจาซื้อโรงแรมที่ภูเก็ตเป็นผลสำเร็จ ฮูเร้ ดีใจจัง ดังใหญ่แล้วโว้ย!


เฮ่อ...! ความจริงคือผมจะบ้าตาย เพราะเพียงข้ามคืน ผมก็กลายเป็น ‘คุณกานต์’ ที่ใครๆต่างเข้ามาแสดงความชื่นชมยินดีจนผมอิ่มลูกยอ ไม่ต้องกินข้าวไปทั้งวันเลยยังไหว


“ป้ามาลัยคร้าบ!” พอสลัดจากทุกคนได้ผมก็รีบวิ่งเข้าไปกอดร่างอวบจรุงกลิ่นโคโลญจน์ 4711 แปลกนะครับ ทุกทีจะเป็นป้าที่เข้ามาคอยดูแลผมด้วยความเป็นห่วง แต่วันนี้ป้าเอาแต่ยืนมองแล้วยิ้มอยู่ห่างๆ สักพักก็เดินหลบออกมาเหมือนเป็นคนนอก


“ป้าไม่รักกานต์แล้ว!” พอจับตัวได้ผมก็ตัดพ้อ


“ดิฉันทำอะไรให้ไม่พอใจหรือคะคุณกานต์” น้ำเสียงของป้ามาลัยยังเหมือนเดิม แต่น้ำคำนี่สิที่ขัดหูชะมัด


“ไม่เอานะ ไม่ให้ป้าเรียกกานต์แบบนี้ ห้ามเด็ดขาดเลย!” ผมพูดได้เต็มปากว่ารักป้ามาลัยเหมือนแม่แท้ๆ อะไรจะเกิดขึ้น ใครจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอแค่ให้ป้ายังเอ็นดูผมเหมือนเดิมก็พอแล้ว “กานต์ไม่ใช่คางคกนะ อะไรนิดหน่อยก็ขึ้นไปนั่งชูคออยู่บนวอ เรื่องโรงแรมนั่นไม่ใช่เพราะกานต์สักหน่อย ทั้งนายใหญ่ ทั้งคุณเมธ แล้วใครต่อใครที่ทำงานนี้กันมา ทำไมไม่ไปยินดีกับพวกเขาล่ะ มายุ่งกับกานต์ทำไมก็ไม่รู้”


ผมบ่นเล็กบ่นน้อยไปตามเรื่อง ป้าก็คงกลัวว่าผมจะคิดมากเลยไม่แกล้งทำเมินผมต่อ


“อย่าคิดอย่างนั้นสิลูก มีคนชื่นชมที่เราทำอะไรสำเร็จก็ถือซะว่าเป็นกำลังใจ เพราะทุกคนคิดว่ากานต์เหมือนน้อง เหมือนลูกเหมือนหลาน กานต์ทำดีเขาก็ชมว่าเก่ง ไม่ดีเหรอจ๊ะ”


“ทีป้าไม่เห็นชม เดินหนีกานต์เฉยเลย”


“หาความคนแก่” ป้าเอ็ดแล้วตีแขนผมหนึ่งที ผมก็เลยทำหน้า โอ๊ย โอย เจ๊บ เจ็บ! “แล้วตามป้ามาอย่างนี้ กินข้าวกินปลาหรือยัง”


“หึ! กานต์โดนรุมจนกินอะไรไม่ลงแล้วครับ” นึกถึงเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมาแล้วยังสยองไม่หาย นอนไม่พอก็เบลอจะแย่ ยังมาถูกล้อมหน้าล้อมหลังยังกับดารา นี่ดีนะไม่มีใครบ้าถึงขนาดขอถ่ายรูปหรือยุให้ผมแจกลายเซ็น


“ไม่ได้สิ ข้าวเช้านี่ต้องกิน ไม่งั้นจะเอาแรงที่ไหนทำงาน ตามป้ามาเร็ว ป้าจะไปจัดโต๊ะของเช้าอยู่พอดี” เข้าล็อก นี่สิครับป้ามาลัยคนดีของผม!


ความจริงผมรู้สึกอืดๆในท้อง ไม่ได้หิวหรืออยากกินอะไรเลย แต่อยากเกาะแกะป้ามาลัยมากกว่าเลยยอมให้ป้าจูงเดินออกมาที่ด้านหลังซึ่งเป็นสวนหย่อมคั่นระหว่างตัวโรงแรมกับคลับและคาสิโน ยามเช้าอย่างนี้ทางฟากโน้นถือเป็นเวลาเลิกงานจึงค่อนข้างเงียบ ส่วนในสวนก็ยิ่งสงบ มีเสียงน้ำตก เสียงนกร้องจุ๊กจิ๊กคลอไปกับเสียงรถที่ดังมาจากถนนด้านนอก


“โอ้โห! ท่าทางจะเป็นแขกซุปเปอร์วีไอพี”


โดยปกติถ้าไม่สั่งรูมเซอร์วิส ทางโรงแรมจะมีบริการอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ให้แขกที่มาพักเลือกตัก เลือกชิมได้ตามใจ หากต้องการชื่นชมบรรยากาศยามเช้าไปด้วยจะออกมานั่งที่ด้านนอกนี้ทางโรงแรมก็ไม่ขัดข้อง แต่ผมแน่ใจว่าแขกคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาเพราะถึงขนาดที่ป้ามาลัยลงมากำกับดูแลจัดโต๊ะเอง แถมยังเป็นมื้อเช้าในสวนที่ดูอลังการมากๆ


“ไม่ใช่แขกของโรงแรมหรอกจ๊ะ อ้าว! นั่นไง มาพอดี”


ป้ามาลัยขยับเก้าอี้ให้เข้าที่เรียบร้อยแล้วส่งยิ้มน้อยๆให้... ไม่ใช่ผมหรอกครับ แต่เป็นอีกคนที่เดินมาทางด้านหลัง ส่วนผมได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เพราะใครคนนั้นเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง แถมไม่นั่งลงให้ถูกที่ กลับยืนกางแขนค้ำพนักเก้าอีกสองตัวแล้วยื่นหน้าเข้ามาทำเป็นสูดกลิ่นหอมๆของสิ่งที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ


“น่าทานจังเลยครับน้ามาลัย”


“เชิญเลยค่ะนาย” ป้ามาลัยยิ้มบอกทั้งผมและคนตัวโต แต่ผมชักสงสัยว่าป้าไม่เห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือไงนะ “กานต์นั่งสิลูก ทานมื้อเช้าเป็นเพื่อนนายเขาหน่อย เราเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยนี่”


ผมเงียบและพยายามบีบตัวให้ลีบติดโต๊ะ ความจริงก็อยากลองนั่งกินข้าวเช้าแบบนี้ดูสักครั้งแต่ถ้าต้องร่วมโต๊ะกับคนกวนประสาทขอกลับเข้าไปด้านในดีกว่า แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญเหมือนฟ้าจงใจแกล้งที่ผมดันยืนอยู่ระหว่างเก้าอี้สองตัวนั้น สรุปก็คือผมถูกขังอยู่ในวงแขนของคุณภากร ไปไหนไม่ได้นั่นเอง


“หืม?” แล้วเขายังจะก้มลงมาพูดข้างๆหูผมอีก มีใครพอรู้วิธีปราบยักษ์ใหญ่ขี้แกล้งบ้างมั้ยเนี่ย “หรือว่ากลัวเห็นหน้าฉันแล้วพาลกินอะไรไม่ลง แต่ที่จริงน่าจะเจริญอาหารมากกว่า ได้ดูหน้าหล่อๆไปกินข้าวไปอย่างนี้ มีความสุขจะตาย”


“อย่าเอาแต่พูดเล่นเลย นั่งลงเถอะค่ะนาย ทานตอนร้อนๆจะยิ่งอร่อยนะคะ” ป้ามาลัยก็อีกคน ทำเป็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่คิดจะช่วยผมเลย งอนแล้วนะ!


“ก็ตามใจนะ ถ้านายไม่ได้แคร์ว่าน้าลัยหวังดี อยากให้นายได้กินของดีๆ มีประโยชน์” ส่วนแรกนี่เขาตั้งใจกรอกใส่หูผม   ที่เหลือทำเป็นเปรยกับลมกับฟ้า แต่ขอโทษ! ก็ยังแว้งกัดผมอยู่ดี “ผู้หลักผู้ใหญ่อุตส่าห์ทำให้ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ แต่คนเรานี่น๊าก็ยังจะกล้าปฏิเสธ ปล่อยให้กลับไปกินข้าวพนักงานนั่นก็สมควรแล้ว”


เห็นคารมหมาป่าเจ้าเล่ห์หรือยังครับ พอบังคับไม่ได้ก็กดดันด้วยวาจาจนผมดูชั่วขึ้นมาเชียว ตัวเองทำเป็นนั่งลงจิบน้ำส้มสบายใจแต่มือดันไม่ยอมปล่อยจากพนักเก้าอี้อีกตัว สรุปผมที่ยังถูกขังไปไหนไม่ได้ก็เลยต้องนั่ง บีบผมได้สำเร็จเขานึกว่าชนะจึงชักมือกลับไป ผมเลยได้จังหวะลุกหนีไปที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกัน เรื่องอะไรจะยอมนั่งข้างๆให้เขาแกล้งเล่นแกล้มมื้อเช้าล่ะ


“ป้านั่งกับกานต์ด้วยสิครับ” ผมรีบหาแนวร่วมเพราะยังมีเก้าอี้ว่างอีกตั้งสองตัว อย่างน้อยมีป้ามาลัยอยู่ด้วยผมคงพอจะกลืนอะไรได้บ้าง


“จ๊ะๆ แต่ป้าขอไปตามกาแฟสักหน่อย อยากให้ร้อนๆเลยให้เด็กเอาไปอุ่น ไม่รู้ทำไมยังไม่เอาออกมาอีก กานต์กินไปพลางๆก่อนก็ได้ เดี๋ยวป้ามา”


“ป้า...มาเร็วๆนะครับ” ผมร้องบอกและมองตามป้าเดินตัวปลิวจากไป หวังว่าขากลับป้าจะเดินเร็วอย่างนี้ด้วยนะ


“นี่...นี่...” เสียงเรียกจากคนตรงข้ามโต๊ะแต่ผมเมิน ไม่สน แล้วเชื่อมั้ยครับว่าเขาทำยังไง “นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่นี่”


ผมรอฟังท่านเจ้าของโรงแรมเล่นพิเรนทร์จนสุดลมหายใจ ‘นี่’ ที่ทิ่มหูผมอยู่ก็เงียบไป จึงค่อยหันไปอย่างเสียไม่ได้ ผมจิกตาเขากลับฉีกยิ้มใส่แล้วก้มหน้าลง ผมมองตามแล้วก็...อดขยับมุมปากไม่ได้จริงๆครับ ผู้ชายตัวโตใส่สูทอย่างโก้ใช้ซอสมะเขือเทศวาดหน้ายิ้มลงบนชิ้นแฮมที่มาวางอยู่ในจานผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นี่เขาคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่กัน?!


“ตอนเด็กๆฉันชอบกินแบบนี้...” คุณภากรหยิบขนมปังแผ่นสีขาวมาวางบนจานอีกใบ จิ้มแฮมยิ้มแฉ่งไปวาง ทับด้วยขนมปังอีกแผ่น แล้วก็วางชิ้นแฮมเปล่าๆ บีบซอสมะเขือเทศวาดหน้ายิ้มเหมือนเดิม ทำซ้ำๆอีกจนได้แซนด์วิชอย่างง่ายๆแต่ความสูงถึงห้าชั้น


“มันเหมือนถ้าได้กินอะไรที่ทำให้ยิ้มได้แต่เช้า จะได้เจอแต่เรื่องดีๆไปตลอดทั้งวันไงล่ะ” เขาทำท่าเหมือนเด็กอวดของถูกใจ แต่ลองผมกับพี่กัญเอาของกินมาเล่นอย่างนี้สิ แม่หยิกเนื้อเขียวแน่ๆ


“แล้ว...จะกินได้เหรอ?” ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ แต่ตัวเจ้าของสูตรยืนยันแข็งขัน


“กินได้สิ ก็แค่ขนมปังกับแฮม ทอดแล้วด้วย ท้องไม่เสียหรอกน่ะ”


“ไม่ใช่ครับ หมายถึงมันใหญ่ขนาดนี้ ปากคุณ...” ผมมองแซนด์วิชห้าชั้นสลับกับริมฝีปากของเขาแล้วนึกภาพไม่ออกจริงๆ


“อ๋อ สบายมาก ดูนะ” แล้วเขาก็ทำการเขมือบ...แค่คำเดียวหมดไปเกือบครึ่งชิ้น ช่างเหมือนกับที่ผมจินตนาการไว้ อยากเอารูปนี้ไปโพสต์ขึ้นเว็บของโรมแรมจัง มีหวังยอดแคนเซิลห้องพักคงถล่มทลาย แล้วตัวเองเสียภาพพจน์คนเดียวไม่พอ ยังมีหน้ามาลากผมไปเกี่ยวด้วยซะอีก “นายก็ลองกินด้วยสิ”


“ไม่เอาหรอก ใครจะอ้าปากกว้างได้ขนาดนั้น”


“น่า ลองหน่อย เนี่ยแซนด์วิชวิเศษ กินแล้วมีความสุขจริงๆนะ”


บอกแล้วว่าหมาป่าย่อมไม่ปล่อยเหยื่อของมันง่ายๆ เขาเลยย้ายที่ตัวเองมาจ่อแซนด์วิชนั่นให้ถึงปากแล้วเขาก็ใช้กำลังกับผม!


“ก็บอกว่าไม่กิ๊นนน!” พอผมหันหน้าหนี มือใหญ่เท่าใบลานก็คว้ากลางกระหม่อมแล้วหันหัวผมกลับไป ขอบขนมปังที่มีรอยแหว่งบดบี้ลงมาที่ริมฝีปาก กลิ่นแฮมทอดกับซอสมะเขือเทศลอยเข้าเต็มจมูก นี่เขากะจะฆาตกรรมผมด้วยแซนด์วิชเลยใช่มั้ย?!


“อ้าปากสิ เร็วเข้า เด็กดีอ้าปากอั้มๆนะครับ”


อึ้งไปเลย! ใครจะไปคิดว่าเขาจะเล่นมุขนี้ ผลจากอาการตกใจ ผมเลยเผลออ้าปากจนต้องกัดแซนด์วิชของเขาในที่สุด ระหว่างที่เคี้ยวผมก็มองคนป้อนเต็มๆตา เห็นรอยยิ้มบางๆแต่ดูมีความสุขมากจนผมขี้เกียจจะงัดข้ออะไรกับเขาอีก พอหมดคำแรก คำที่สองก็ตามมา แต่ผมยอมให้แค่นั้น ส่วนที่เหลือเขาจึงเหมาไปหมดในคำเดียว


“เลอะเทอะ” เขาบ่นยิ้มๆพลางไล้หัวแม่โป้งเช็ดคราบซอสที่มุมปากผมแล้วก็...แผล็บ เลียเกลี้ยงไม่เหลือ ไม่ทราบว่าท่านประธานกลัวโรงแรมขาดทุนหรือไงครับ ขนาดซอสยังไม่ให้เหลือทิ้งสักหยดเชียว!


จะมองมุมไหนผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณภากรต้องการอะไร ทีแรกผมนึกว่าเขาคงจะดุ โหดเหี้ยม เอะอะเป็นสั่งฆ่าเหมือนอย่างที่เห็นในหนังมาเฟีย เอาเข้าจริงเขากลับเป็นเจ้าพ่อที่แอบหนีบอดีการ์ดตัวเองอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน จนพวกพี่ชุดดำยังเลือกฟังคำสั่งคุณวรเมธมากกว่า หรือคิดอีกทีเขาน่าจะเป็นคนถือตัวตามประสาเจ้าของกิจการใหญ่โต ทำตัวสูงส่งไม่เคยเห็นหัวใคร แต่ดูอย่างตอนนี้สิ เขาทำตัวสบายมากจนกลายเป็นผมที่อึดอัด หรือว่า...อะไรๆที่ผมเห็นจะไม่ใช่ในสิ่งที่เขาเป็น และอะไรๆที่เขาเป็นจะเป็นภัยกับสวัสดิภาพของผม โอ๊ย! ทำไมอะไรๆที่ว่ามันถึงสับสนอย่างนี้นะ


“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า” จู่ๆเขาก็หันมาถาม คงเพราะรู้ตัวว่าโดนผมจ้องอยู่ละมั้ง


“ไม่..ไม่มีนี่ครับ”


“เห็นมองซะตาแทบปลิ้น ไม่มีแน่นะ”


เขาพูดไปขำไป เสียงหัวเราะเบาๆอย่างนั้นน่าฟังไม่น้อย ส่วนรอยยิ้มยิ่งส่งให้เขาดูเจิดจ้าจนผมต้องหันหนี เห็นแล้วมันแสบตา ที่หน้าก็รู้สึก...อุ่นๆ ยังไงบอกไม่ถูก


“ร้อนนะ แดดลงหัวเดี๋ยวจะไม่สบาย เขยิบเข้ามาอีกหน่อยสิ”


มือใหญ่ยกมาปกหัวให้เลยเพิ่งรู้ตัวว่าแสงแดดรอดผ่านร่มไม้ลงกลางกระหม่อม อ๋อ! ที่แท้ก็เพราะอย่างนี้ แต่เอ๊ะ! ทำไมพอเก้าอี้ถูกเขาดึงไปชิดกันมากขึ้น ไออุ่นจากบนหน้าก็ลามลงมาที่ตัวด้วยล่ะ แขนยาววางพาดพนักเก้าอี้เลยเหมือนมีความร้อนกระจายผ่าวทั่วแผ่นหลัง อย่าบอกนะว่าพระอาทิตย์ยังแกล้งส่องลงมาที่ผมเป็นจุดเดียวอยู่อีก


“ยังไม่อิ่มเลย กินอะไรกันต่อดี นมมั้ย?” เจ้าของมื้ออาหารกวาดตามองแล้วเสนอในสิ่งที่ผมรีบส่ายหน้า อย่างที่บอกว่าผมแพ้ ยิ่งถ้ากินแต่เช้าขนาดนี้มันจะเหมือนมีพายุทอร์นาโดหมุนอยู่ในท้องไปตลอดทั้งวันเลยเชียวล่ะ


“ถึงได้เตี้ยอยู่ยังงี้ ไม่กินนมแล้วเมื่อไหร่จะโต งั้นก็น้ำส้มละกัน ได้วิตามินซีเยอะๆจะได้ไม่เป็นหวัด”


ผมแอบค้อนไม่ให้เขาเห็น ไม่เข้าใจว่าเมื่อไหร่ใครๆจะยอมรับสักทีว่าผมแค่ตัวเล็ก ไม่ได้...ก็...นั่นแหละ โธ่เอ๊ย! ไม่สูงบ้างให้มันรู้ไป ส่วนเรื่องน้ำผลไม้นี่ผมไม่เกี่ยงเลย แต่เขาอาจจะไม่รู้ว่าวิตามินซีสามารถระเหยไปกับอากาศได้ อย่างส้มนี่คั้นแล้วควรดื่มสดๆ หรืออย่างน้อยก็ใส่ภาชนะมีฝาปิดอย่างแก้วเต็มๆโน่นก็ได้ ทำไมต้องเอาที่ตัวเองกินแล้วมาให้ด้วย


“เอ่อ...” ผมมองเลยไป พยายามจะสื่อว่าเกรงใจไม่อยากแย่ง แล้วดูเขาตีความสิ แน่ะ! มีจิบอีกรอบก่อนยื่นให้อีก จะงกไปถึงไหนนะเจ้าของโรงแรมนี้เนี่ย!


“กินแก้วเดียวกับฉันแล้วเป็นไง อย่าเรื่องมาก เอ้า! ดื่มให้หมดเดี๋ยวนี้เลย”


ผมเลยต้องรับแก้วมาประคองไว้ทั้งสองมือแล้วจำใจดื่มอย่างเสียไม่ได้ ส่วนคนสั่งก็กวาดตามองของบนโต๊ะต่อ ท่าทางของเขาทำเอาผมแทบกลืนน้ำส้มไม่ลงเพราะมันเหมือนผู้คุมกำลังเลือกเครื่องทรมานนักโทษ นี่ผมคงไม่ถึงกับต้องสละชีวิตบนโต๊ะอาหารเช้านี่จริงๆหรอกนะ


“ไข่ดาว ไส้กรอก แค่เห็นก็เลี่ยนแล้ว ข้าวต้มดีกว่านะ ร้อนๆคล่องคอดี”


ชามกระเบื้องเนื้อดีถูกเลื่อนมาตรงหน้า พอเปิดฝาออกควันร้อนก็ลอยกรุ่น ดูจากเครื่องบอกได้ว่าเป็นข้าวต้มที่ขนของทะเลมาเต็มอัตราศึก คนเลือกถึงขนาดยัดช้อนใส่มือแล้วนั่งจ้อง ผมเลยต้องตักเข้าปากไปหนึ่งคำ มันก็...


“อร่อยมั้ย” เขาถามเหมือนรู้ความคิด ผมเลยพยักหน้าตอบแล้วตักข้าวต้มคำที่สอง แต่ไม่ได้กินเพราะเขายื่นหน้าเข้ามาแล้ว...สวบ หายไปหมดเหลือแต่ช้อน แล้วยังจะมีหน้า...


“อร่อยจริงด้วย อีกคำซิ”


สรุปคือข้าวต้มชามนั้นผมได้กินไปแค่สามช้อนล่ะมั้ง ที่เหลือก็ต้องคอยตักประเคนท่านประธาน งกแล้วยังจะขี้เกียจอีก สงสัยอนาคตโรงแรมคงได้เจริญฮวบๆ พอเสร็จจากข้าวต้ม สายตาท่านก็เริ่มสอดส่าย...


“วันนี้แยมก็น่ากิน ลองกับแพนเค้กดูสิ” เหมือนจะเริ่มต้นดี แต่พอผมบอกว่าอิ่มแล้ว เขาเลยได้ทีใช้งานผมได้เต็มที่ “กินข้าวยังกะแมวดม งั้นหยิบมาทาแยมให้หน่อย ฉันกินเองก็ได้”


“เอาแยมอะไรครับ” ผมช้อนชิ้นแพนเค้กมาวางบนจานเปล่าอีกใบแล้วก็ต้องถามเพราะไม่รู้รสนิยมคนจะกิน ส่วนผมถ้าให้เลือกล่ะก็ต้องน้ำผึ้งในโถแก้วใบเล็กเพราะอยากลองเล่นไม้หัวกลมๆนั่นมานานแล้ว


“แยมมมมม....” งก ขี้เกียจ แล้วยังเรื่องมาก สามเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจหยิบกระปุกใกล้มือที่สุดมาเปิด ตักเนื้อแยมสีฉ่ำแทรกผิวส้มประปรายป้ายๆๆ ทั่วแล้วก็ใช้มีดอันเล็กนั่นแหละจิ้มชิ้นขนมลอยไปให้ถึงปาก ถ้ายังมากเรื่องไม่เลิกเจอโรคปากแหว่งเพดานโหว่แน่


“ดีจังเนอะ”


จนใกล้จะหมดชิ้น เขาก็พูดขึ้นมาลอยๆแล้วค่อยงับแพนเค้กคำสุดท้าย ถ้าผมจะระแวงไว้บ้างคงไม่เสียหาย


“อะไรดี...?”


เขาหยิบมีดทาเนยที่ผมยังถือค้างวางลงกับจานแล้วหันมาบอกยิ้มๆ ตอนนั้นเองที่ทำให้รู้ นอกจากนมและควันบุหรี่ รอยยิ้มของเขาก็ทำให้ผมเริ่มจะทนไม่ได้มากขึ้นทุกที


“มีคนกินข้าวด้วยแล้วมันอร่อย ถ้าอยู่คนเดียวสู้ไม่กินเลยดีกว่า”


“ถึงได้ดื่มแต่กาแฟแก้วเดียวใช่มั้ยครับ”


“ฉันกับน้องสาวอยู่คนละโรงเรียน ไม่ต้องออกจากบ้านพร้อมกันก็เลยต่างคนต่างตื่น ต่างคนต่างกิน พ่อฉันส่วนใหญ่ไปค้างที่อื่น ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แม่ก็ออกงานกลับดึก กว่าจะตื่นโน่นเที่ยง ตอนไปเรียนต่ออเมริกาก็อยู่อพาร์ทเมนท์คนเดียวอีก สรุปคือฉันต้องกินข้าวคนเดียวตั้งแต่เด็กจนโต แล้วมีอยู่ปีนึงเพื่อนฉันชวนกลับไปฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวเขา ก่อนนอนคืนนั้นหลานมันมาชวนให้ขอพรจากซานตาคลอสด้วยกัน นายอยากรู้มั้ยฉันขอพรว่าอะไร...”


เป็นครั้งแรกที่เขาพูดคุยกับผมอย่างจริงจัง ได้เรื่องได้ราว ไม่รู้จะเป็นครั้งแรกที่เขาเล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟังด้วยมั้ย ใจหนึ่งคิดว่าใช่ทำให้ผมแอบดีใจเลยลืมตอบคำถามนั้นไป เขาไม่ว่าอะไรและถือเป็นโอกาสเล่าเรื่องตัวเองต่อ


“ฉันขอแค่อย่างน้อยให้มีเพื่อนกินข้าวด้วยก็ยังดี แต่คงช้าไป มาขอตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วลุงซานต้าเลยไม่ให้เพราะจนป่านนี้ฉันก็ยังต้องกินข้าวคนเดียวอยู่ทุกเช้า”


ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วได้เห็นรอยข่วนบางๆของปีศาจร้ายที่ชื่อ ‘ความเหงา’ คิดไปแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีกว่า ทุกเช้าผมตื่นเพราะเสียงแม่ปลุก กินข้าวที่พี่สาวตักใส่จานรอ ระหว่างที่เดินออกจากซอยมีคำทักทายจากลุงป้าน้าอาไปตลอด ถ้าให้มีเงินเป็นร้อยๆล้านแล้วต้องอยู่คนเดียวในโลกใบนี้ ผมคงเลือกได้ไม่ยาก


“ถ้าคิดว่าฉันน่าสงสาร งั้นเรามากินข้าวด้วยกัน แค่ตอนเช้าก็ได้ ตกลงมั้ย”


คุณภากรก็กำลังจ้องเข้ามาในตาผมเช่นกัน และอีกครั้งที่เขาทำเหมือนรู้ใจ เข้าใจความคิดผมไปซะทุกอย่าง ผมเลยรีบหันหนีเพราะเขาคงรู้แน่ว่าประโยคต่อไปจะเป็นคำโกหก


“ผมยังไม่ได้บอกสักคำว่าคุณน่าสงสาร”


“ก็นั่นไง นายเพิ่งบอกอยู่หยกๆว่าฉันน่าสงสาร ฉันได้ยิน หูไม่ฝาดชัวร์”


ถ้าเอาความรู้สึกเมื่อกี้คืนกลับมาได้ผมจะทำแล้วรีบปาทิ้งไกลๆ ผมไม่น่าเชื่อน้ำหน้าหมาป่าเจ้าเล่ห์เลยให้ตายสิ


“ผม...”


“ผมตกลง ผมจะมากินข้าวเช้ากับคุณทุกวันครับ พูดสิ”


เวลาต้องกลั้นขำผมว่ามันทรมานสุดๆ เขายังมาแกล้งบีบเสียงล้อให้ผมต้องเก็กหน้านิ่งใส่เนี่ย กะจะฆ่ากันเลยใช่มั้ย


“ผมไม่...”


“ผมไม่อยากกินคนเดียวเหมือนกัน”


“คุณ...”


“คุณใจดีจังที่ยอมให้ผมมากินข้าวเช้าด้วย หล่อแล้วยังใจดี มีเมตตา เป็นผู้ชายที่เพอร์เฟ็คท์ที่สุดเลยครับ”


“บ้า...”


“บ้าจัง! ถ้ารู้ว่ากินข้าวกับคุณสนุกอย่างนี้ผมคงไม่นั่งกินอยู่แต่ข้างในโน่นหรอก”


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาสนุกมากที่แย่งเอาคำพูดของผมไปใส่ปากตัวเอง เพื่อประโยชน์กับสุขภาพจิตของตัวเองผมรีบจบทุกอย่างเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า เพราะถึงรอให้ป้ามาลัยกลับมาก็ไม่รู้จะช่วยหรือซ้ำให้ยิ่งแย่ ก็ดูสิ ไปตามกาแฟแค่เหยือกเดียวหายไปเลย


“พอ...”


“พอดีว่าผม..”


“พอแล้ว!” ผมหลับหูหลับตาตะโกน ต้องเอาเสียงข่มเขาถึงจะยอมหยุดฟัง “ผมยอมมากินด้วยก็ได้ เลิกพูดอะไรบ้าๆซะที!”


ผมกัดฟันรับปากด้วยความเจ็บใจ แน้! ป้ามาลัยเดินยิ้มกลับมาเหมือนรู้คิว พอมาถึงคนตัวโตก็ออกคำสั่งว่าต่อไปให้จัดมื้อเช้าสำหรับผมและเขาพร้อมกันสองที่ ป้ารับคำดิบดี รีบถามถึงรายการอาหารที่อยากให้นำขึ้นโต๊ะในวันถัดๆไป สองคนช่วยกันคิดเมนูจนกินกันได้เป็นอาทิตย์ก็ไม่ซ้ำ แต่ไม่ยักจะมีใครสนใจ...ผมนี่...ยังนั่งหน้าหงิกให้แดดเผาหัวอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะคร้าบ!




จบตอนแล้วจ้า

 :bye2:




หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: worry ที่ 01-04-2016 00:16:13
มาต่อเร็วๆนะครับ สนุกดี จบตอนเร็วจัง ไม่จุใจเลย :ling1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-04-2016 05:31:49
 o13 สนุกมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 01-04-2016 10:31:23
ตั้งแต่ต้นมารู้สึกว่ายังไม่รู้ชื่อพระเอกรึเปล่ารึเราไม่สังเกต น่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: ปุกปิกกุกกิกไปตามสไต ที่ 01-04-2016 11:40:26
ชอบมากกกกกกกกก รีบมาต่อน่ะรอยุ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-04-2016 14:22:55
ภากรน่ารักดี กานต์ด้วย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: nu-tarn ที่ 01-04-2016 16:47:46
เรื่องน่ารักดี
น้องกานต์นี่เก่งจริงๆเลย คุณประธานก็น่ารัก
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 03-04-2016 19:06:58



6 .


ถ้ายังจำกันได้ ผมเป็นเพียงพนักงานฝึกหัดก็เลยยังไม่มีแม้แต่โต๊ะทำงานเป็นของตัวเอง ได้แต่อาศัยส่วนที่กั้นไว้สำหรับการประชุมในห้องท่านประธานเพื่อนั่งอ่านเอกสารมากมายก่ายกอง พอคุณวรเมธสะสางงานประจำวันของเขาเสร็จค่อยเรียกให้ไปหาที่ห้อง กว่าจะได้โผล่หัวออกมาอีกทีก็มักเย็นหรือค่ำ แต่ในที่สุดผมก็ได้มีที่ทางเป็นของตัวเองแล้ว เย้! เห! หา! ไม่อ่ะ แบบนี้ไม่เอาน๊าาาา...


“ดิฉันว่าวางมุมนี้จะเหมาะกว่า ได้แสงสว่างจากด้านนอกเวลาอ่านเอกสารจะได้ไม่เสียสายตาด้วยค่ะ”


“ก็ดีนะ แต่จะไม่ร้อนเหรอ”


ฟังแค่นี้อาจชวนให้สงสัยว่าคุณภากรกับพี่พัชรีสุมหัวทำอะไร ผมบอกให้ก็ได้ครับ ทั้งคู่กำลังกำกับพนักงานฝ่ายอาคารสถานที่ให้วางโต๊ะทำงานตัวใหม่ลงในตำแหน่งที่ ‘เป๊ะ’ ที่สุด กว่าจะมาลงที่ตรงนี้ได้ก็ย้ายกันอยู่หลายรอบ ขนาดผมกับป้ามาลัยที่ได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆยังรู้สึกเหนื่อยแทน


“ไม่หรอกค่ะ ผนังนี่เป็นกระจกหนาพิเศษ ติดฟิล์มกรองแสงอย่างดี แล้วความจริงต้นไม้ที่ระเบียงด้านนอกก็ช่วยกันความร้อนไปได้พอสมควรแล้วนะคะ”


“งั้นก็โอเค เอาตามนี้”


พอคำนี้หลุดออกจากปากท่านประธาน พวกพี่ๆคนงานถึงกับเป่าปาก ส่วนผม...ฮือออ อยากจะลงไปนอนดิ้นพราดๆบนพื้น ทำไมนะทำไม อะไรที่ยิ่งหนีถึงได้ยิ่งเจออย่างนี้ด้วย


“ส่วนอันนี้ดิฉันขออนุญาตแถมให้ เวลานั่งทำงานคุณกานต์จะได้รู้สึกสดชื่นนะคะ” พี่พัชบอกแล้วบรรจงวางแจกันดอกไม้ลงที่มุมโต๊ะด้านหนึ่ง คือ...ผมเชื่อว่าระดับพี่พัชไม่ได้คิดจะมาประจบหรือเอาหน้าอะไรกับผมหรอก แต่นี่ร้ายกว่าเพราะเล่นแปรพักตร์ไปเข้าพวกกับคนชอบกวนประสาท แถมเวลาแกมองผมกับคุณภากรแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นั่นก็ทำให้ผมเสียวสันหลังแปลกๆ


“กู๊ดจ๊อบคุณพัช เดี๋ยวปลายปีผมจะพิจารณาโบนัสให้คุณเป็นพิเศษเลย”


“อู๊ย! ขอบพระคุณท่านที่เมตตาค่ะ”


เอ้า! เป็นปี่เป็นขลุ่ยกันเข้าไป ผมขี้เกียจจะสนเลยหันมาหาป้ามาลัยที่ยืนคล้องแขนกับผมอยู่ แต่ก็...เฮ่อ...เคยได้ยินคำที่ว่า ‘หนีเสือปะจระเข้’ มั้ยครับ


“เจ้านายเมตตาเรียกใช้ใกล้ชิด กานต์ต้องตั้งใจทำงาน นายบอกนายสอนอะไรก็อย่าดื้อ อย่าเกเรกับนายนะลูก”


ป้ามาลัยก็เป็นไปกับเขาอีกคน ทำอย่างกับแม่จูงลูกมาฝากเข้าโรงเรียน นี่ผมเป็นหนุ่มสิบเจ็ดแล้วนะไม่ใช่เด็กเจ็ดขวบ แต่พอลองนึกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นสายตาผมก็บังเอิญเหลือบไปเห็นท่านเลขาแว่นใสที่นั่งพลิกแฟ้มอยู่ที่โซฟาคนเดียวโน่น มาดแบบนี้คงไม่แคล้วเป็นฝ่ายปกครองจอมโหด


อั๊ยย่ะ! ไม่น่าเลยผม แอบนินทาในใจจนเจ้าตัวเขาเงยหน้าขึ้นมาพอดี หรือว่าคุณวรเมธจะเป็นอีกคนที่อ่านใจได้ แล้วผมก็ดันสู่รู้ไปเข้าใจความคิดเขาอีกเพราะพอเขาพยักหน้าเบาๆผมก็รีบเดินไปหา


“ครับ?” ผมเอ่ยไม่เชิงถาม เขาก็เลยไม่ตอบแต่ปิดแฟ้ม ลุกขึ้นก้าวนำแล้วผมก็เดินตามซะอีกแน่ะ


“เดี๋ยว จะไปไหนกัน” คุณภากรพรวดเข้ามาขวาง แต่อย่างที่บอกว่าเจ้านายคนนี้ไม่ค่อยจะกล้าหือกับเลขาตัวเองสักเท่าไหร่


“ไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมเลยว่าจะขอตัว” ที่จริงผมว่าคุณวรเมธก็ไม่น่าจะมีธุระมาตั้งแต่ต้นเพราะเข้ามาก็เห็นเอาแต่นั่งอ่านเอกสาร ไม่ได้สนใจใครหรืออะไรเลย


“อ๋อ ก็ไปสิ” เจ้าของห้องพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปหาพี่พัชที่กำลังเหล่มององศาของจอคอมพิวเตอร์ “คุณพัชรี ขอบคุณมากที่ช่วยมาเป็นธุระให้”


“ไม่ต้องครับ ให้คุณพัชอยู่จัดของที่นี่ต่อก็ได้เพราะยังไงก็ต้องย้ายมาอยู่แล้ว ส่วนเรื่องงานที่รับผิดชอบ...”


“นายหมายความว่าไง ทำไมคุณพัชถึงจะมานั่งห้องนี้?!” ทุกคนหันไปในทางเดียว คุณภากรใจร้อนกว่าเลยไม่รอกระทั่งจบประโยค ส่วนผมยืนอยู่ด้านหลังคุณเมธพอดีเลยได้แต่มองสูทลายทางด้วยความงุนงง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าได้ยินอย่างนี้แล้วควรรู้สึกอย่างไร


“ความจริงคุณพัชมีตำแหน่งเลขาท่านประธานมาตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับ ที่ผ่านมาต้องขอบคุณนายมากที่กรุณาให้เธอย้ายไปช่วยผมซึ่งยังใหม่กับที่นี่ แต่ตอนนี้ผมได้เลขาคนใหม่มาแล้ว เรื่องงานก็ถือว่าอยู่ตัวเลยคิดว่าสมควรให้คุณพัชได้คืนตำแหน่งเดิมของเธอเสียที”


“เฮ้ย! เราตกลงกันแล้วว่าเขาจะมาเป็นเลขาฉันนี่” คุณภากรขึ้นเสียง ผมเลยยิ่งตัวลีบหนักอยู่ข้างหลังคุณวรเมธ ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ผมเริ่มอึดอัดกับบรรยากาศในห้องนี้มากขึ้นทุกที


“แต่ในความคิดผม เลขาผู้บริหารควรมีประสบการณ์มากสักหน่อย เด็กคนนี้นอกจากอายุน้อยก็ยังใหม่กับธุรกิจด้านโรงแรมและสถานบันเทิงมาก เกรงว่าจะไม่เหมาะสม ยกเว้นแต่ว่า...นายต้องการเขาเป็นพิเศษ”


“ฉันก็แค่...” คุณภากรชะโงกข้ามไหล่คุณเมธมามองแล้วเงียบไป ผมเลยจ้องตาตอบเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วเขาต้องการอะไร “...ก็อย่างที่เราเคยคุยกัน งานของนาย..ค่อนข้างจะ...มาก เอ่อ...หมายถึงซับซ้อนน่ะ ควรจะได้คนอย่างคุณพัชไปจะช่วยมากกว่าไง”


“ถ้าพูดกันเรื่องฝีมือผมว่าเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วนี่ครับ ขนาดนายลงทุนบินไปเจรจาเป็นอาทิตย์ได้มาแค่คำว่า ‘ขอคิดดูก่อน’ แต่ผู้ช่วยเลขาของผมใช้เวลาแค่อาหารมื้อเดียวก็กล่อมมาดามหลิวสำเร็จโดยไม่มีเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติมสักข้อ ส่วนเรื่องระบบงานผมฝากคุณพัชเทรนด์ให้เรียบร้อยแล้ว แน่ใจว่าไม่มีมีปัญหา”


จู่ๆคุณเมธก็หันมาดึงตัวผมให้ก้าวขึ้นไปยืนเสมอกัน ผมมองคนทั้งคู่ ซ้ายทีขวาทีแล้วรีบก้มหน้า ขนาดคุณเมธยกมืออ้อมหลังมาแตะไหล่ ผมยังไม่กล้ากระดิกตัวเลย


“แต่ว่า...”


รองเท้าหนังสีดำมันปลาบทำท่าจะก้าวมาข้างหน้าก่อนจะเปลี่ยนใจ ส่วนรองเท้าสีดำหนังนิ่มอีกคู่นิ่งอยู่ที่เดิม ปลายซ้ายขวามีระยะห่างเล็กน้อยดูมั่นคง บ่งบอกลักษณะคนที่มั่นใจในจุดยืนของตัวเอง


“หรือว่านายเชื่อในตัวเด็กคนนี้มากกว่า ถ้าอย่างนั้นในฐานะเลขาผมคงต้องขอพิจารณาตัวเอง”


รองเท้าสีดำเป็นมันขยับถอยไปอีกก้าว ในห้องมีแต่ความเงียบ คุณเมธปล่อยมือจากไหล่ผมแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง


“ถ้านายไม่มีอะไรขัดข้อง พวกผมขอตัวก่อนครับ”


ถึงจุดนี้ผมรีบเงยหน้า คุณวรเมธสบตาผมแวบหนึ่งแล้วเดินตรงไปที่ประตู ผมหันไปหาพี่พัชรีกับป้ามาลัยที่ไปยืนอยู่ด้วยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สีหน้าทั้งคู่ดูตกใจและไม่กล้าพูดอะไร พอจะหันไปถึงอีกคนก็บังเอิญมีเสียงเรียกผมเลยต้องรีบตามคุณเมธออกจากห้องมา แต่แทนที่จะกลับไปทำงานตามที่อ้าง เขากลับพาผมออกมาชั้นจอดรถ


พริอุสสีขาวจอดคู่กับเมอร์ซิเดสสีดำป้ายทะเบียนลายสวย ไฟข้างคู่หน้าส่งสัญญาณกระพริบพร้อมกับที่พนักงานในชุดคนขับรถรีบวิ่งเร็วๆไปยืนรอ แต่คุณวรเมธกลับตรงไปด้านคนขับแล้วขึ้นนั่งหน้าตาเฉย ผมเลยเปิดประตูขึ้นรถจากอีกด้าน


“เอ่อ...” พี่คนขับรถรีบอ้อมรถกลับมาพร้อมสีหน้าลำบากใจ “ให้ผม...”


“กุญแจ” คุณเมธตัดบทสั้นๆง่ายๆ


“แต่ถ้าท่านประธาน...”


“เรียนนายว่าฉันออกไปทำธุระส่วนตัว” คุณเมธบอกแค่นั้นก็ได้กุญแจมาสตาร์ทรถสมใจ ก่อนจะปิดประตูรถยังไม่วายสั่งงาน คงจะสงสารที่คนขับรถโดนตัวเองแย่งหน้าที่ แต่ผมว่าจะยิ่งทำให้พี่เขางานเข้ามากกว่า “อ้อ! บอกการ์ดของนายด้วยว่าถ้าคิดจะตามก็อย่าให้ฉันรู้ตัว ไม่อย่างนั้นจะโดนสั่งเปลี่ยนยกทีม”


ตอนที่รถวิ่งออกมาผมหันหลังไปมอง เห็นพี่พนักงานคนนั้นพูดวอท่าทางปลงๆกับอนาคตตัวเอง ผมเลยได้แต่ภาวนาให้เขาโชคดี ส่วนตัวผมตอนนี้ก็คงต้องการโชคบ้างไม่มากก็น้อย


“ที่หน้าฉันมีอะไร” คุณวรเมธตามองตรง แต่ผมตั้งใจมองขนาดนั้นเขาคงรู้ตัวอยู่แล้วล่ะ


“วันนี้คุณเมธดูน่ากลัวจังครับ”


“เหรอ? นึกว่าฉันน่ากลัวอยู่ทุกวันซะอีก”


สีหน้ากับคำพูดของคุณวรเมธขัดกันสุดๆจนผมหลุดขำอย่างอดไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่เขาพูดเล่นด้วย ดีจัง! ผมรู้สึกว่าบรรยากาศในรถดูผ่านคลายขึ้นจมเลย


“ก็ไม่เชิงครับ” ผมหยุดคิดหาคำพูดที่จะรื่นหูคนฟัง ยิ่งแปลกใจที่เห็นเขายกมุมปากนิดๆขณะกดปุ่มที่พวงมาลัยสลับกับมองหน้าจอเล็กตรงคอนโซลกลาง สักพักเสียงเพลงฝรั่งก็ดังขึ้น ผมไม่เคยได้ยินแต่ก็รู้สึกว่าเพราะดี “ปกติคุณเมธเครียดกับงานมากๆก็จริง แต่ถ้าไม่ทำอะไรพลาดหรือให้โดนตำหนิได้ก็ถือว่าปลอดภัย แต่วันนี้คุณเหมือนระเบิดลูกใหญ่ที่พร้อมจะตูมได้ตลอดเวลา ขนาดนายใหญ่ยังเข้าหน้าไม่ติดแล้วจะมีใครกล้าแหยมล่ะครับ”


“แล้วคนที่กำลังด่าฉันทางอ้อมอยู่เนี่ยไม่เรียกว่ากล้าหรือไง”


คุณเมธหันมากล่าวหา ผมเลยยู่หน้าใส่เพราะเรื่องอะไรจะยอมรับง่ายๆ ไม่อยากเชื่อ! คุณเมธหัวเราะเป็นด้วย!! พอผูกมิตรได้ผมเลยตีซี้ต่อ


“แล้วนี่เราจะไปไหนกันครับ”


“วันนี้อยากลองทำตัวว่างๆดูบ้าง สนใจจะมาขี้เกียจด้วยกันมั้ยล่ะ”


ลองนึกภาพเวลาที่นั่งรออยู่ในห้องเรียน สักพักก็มีคนวิ่งมาบอกว่าคาบนี้ว่าง อาจารย์ไม่สอน... นั่นแหละครับคำตอบของผม ผมร้องเย้!ลั่นรถจนคุณวรเมธหันมามองด้วยความตกใจ เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาสามทีแล้วแกล้งทำเป็นกระแอมคันในลำคอ แต่ผมว่าเขาไม่ควรจะกลั้นไว้เลย เวลายิ้มหรือหัวเราะเขาออกจะดูดี ดูเด็กกว่าตอนที่ทำหน้ายุ่ง หัวคิ้วพันกันเสียอีก


เอาเข้าจริงคนที่เก่งทุกเรื่องกลับนึกไม่ออกว่าจะโดดงานไปไหน ผมเองเห็นอย่างนี้แต่ก็เป็นเด็กเรียน พอออกจากโรงเรียนมาวันๆทำแต่งาน  สุดท้ายเราสองคนเลยไปจบลงที่ห้างสรรพสินค้าเดียวกับที่ผมกับพี่กัญญานัดกันวันก่อน ทายสิครับว่าหลังจากเดินเล่นเรื่อยเปื่อยมากๆอยู่ครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ผมกับเขาอยู่ที่...ร้านไอศกรีม!


ผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะไม่เคยเข้าร้านไอศกรีมยี่ห้อดังๆมาก่อน ไม่ใช่อะไร อย่าว่าแต่สั่งเป็นถ้วย แค่ไอติมลูกเดียวก็แพงยังกับอะไร ผมกินข้าวหนึ่งมื้อยังเหลือเงินติดกระเป๋ามากกว่าเลย


“ผมเลือกไม่ถูก คุณเมธสั่งดีกว่าครับ” ผมยื่นเมนูให้เจ้ามือที่นั่งฝั่งตรงข้าม แอบเห็นเขากระพริบตาสองทีติดกัน หรือว่าผมจะฝากท้องผิดคนซะแล้ว


“กาแฟร้อน...แล้วก็...” อันแรกนี่คงสั่งให้ตัวเองด้วยความเคยชิน แต่อย่างน้อยเขาก็มีน้ำใจหรือไม่ก็คงเวทนาผมเลยเลือกเปิดเมนูแล้วจิ้มเข้าที่ถ้วยไอศกรีมรูปหนึ่ง นั่นสินะ! ทำไมผมไม่ทำอย่างนี้ตั้งแต่แรก ถึงไม่รู้จักแต่ยังไงก็ไอติม สั่งอันไหนมามันก็กินได้ทั้งนั้นแหละ


“รับไอศกรีมรสอะไรดีคะ” พอพนักงานถามต่อ เขาก็หันมาเลิกคิ้วใส่ผม


“ช็อกโกแลตก็ได้ครับ”


“ได้สองสกู๊ปค่ะ”


ผมหันไปขอความเห็นคนจ่ายตัง เพราะไหนๆก็ได้กินไอศกรีมถ้วยตั้งเกือบร้อย มันน่าจะหลากหลายหน่อยจริงมั้ย


“รัมเรซิน” คุณเมธหันไปบอกพนักงานให้ด้วย


“ตกลงรับเป็นบัตเตอร์สก๊อตซันเดย์ ไอศกรีมช็อกโกแลตกับรัมเรซิน กาแฟร้อน รอสักครู่นะคะ”


ในร้านมีเสียงเพลงเปิดคลอ แต่นั่งกันสองคนเงียบๆแล้วมันอึดอัด ผมเลยหาเรื่องมาชวนคุย


“รัมเรซินนี่เขาใส่เหล้ารัมลงไปจริงๆหรือเปล่าครับ” ที่ถามแบบนี้เพราะตอนสิบสองสิบสามกำลังคึกคะนองได้ที่เลยหาเรื่องไปแอบชิมเหล้าของพ่อ อยากรู้ว่ามันอร่อยอะไรนักหนา แค่ไม่ถึงครึ่งฝาก็วาบไปถึงกระเพาะ แล้วก็เดินเอาหน้าแดงแจ๋ไปให้แม่จับได้ เป็นครั้งแรกที่แม่ตีผมด้วยน้ำตาอาบสองแก้มเลยทำให้ผมจำฝังใจและตั้งใจว่าจะไม่แตะของมึนเมาอีกเลย


“ส่วนมากจะเป็นแค่สารแต่งกลิ่นรส แต่บางทีก็อาจจะมีที่ใส่เหล้าลงไปด้วยจริงๆ ยิ่งถ้าคนทำมือหนัก กินมากๆก็มึนได้เหมือนกัน”


“ไม่นึกว่าคุณเมธก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วย สงสัยจังว่าจะมีอะไรที่คุณไม่รู้บ้างมั้ยเนี่ย”


“ไม่เชิงว่ารู้หรอก ก็แค่พอจำได้จากสมัยเรียนน่ะ” ทีแรกเขาคงตั้งใจบอกแค่นี้ แต่พอเห็นสีหน้าอยากรู้ของผมเข้าไปก็เลยจำใจเล่าต่อ “ฉันจบการโรงแรม ต้องเทคคอร์สพวกอาหาร เครื่องดื่มด้วยเหมือนกัน”


“จากสวิสด้วยหรือเปล่าครับ?!” ผมรีบถามต่อ คนรอบตัวผมยังไม่มีใครเคยได้ไปต่างประเทศ แต่ถ้าตรงหน้าผมคือนักเรียนนอกตัวเป็นๆจะไม่ให้รู้สึกตื่นเต้นได้ยังไง “ผมเคยได้ยินว่าถ้าจะเรียนการโรงแรมต้องไปที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ถือเป็นอันดับหนึ่งของโลกด้านนี้เลยก็ว่าได้ เป็นเรื่องจริงใช่มั้ยครับ”


พนักงานเข้ามาเสิร์ฟรายการอาหารที่สั่ง ไอกาแฟอวลกลิ่นหอมฟุ้ง ไอศกรีมก็ดูไฮโซน่ากิน แต่มันไม่ดีก็ตรงที่เขาเอาด้ามช้อนไอติมเคาะหัวผมก่อนจะยื่นให้เนี่ยแหละ


“ฉันก็ชักอยากรู้ว่ามีอะไรมั้ยที่คุณกานต์จะไม่ทราบ แสนรู้เหลือเกิน..นะ..ครับ!”


ผมคลำหัวป้อย ได้ไอศกรีมเย็นๆหวานๆเลยหายเจ็บ รอให้คุณเมธชิมกาแฟสักจิบแล้วซักต่อ


“แล้วตกลงได้ไปเรียนที่สวิสหรือเปล่าครับ”


“อืม พ่อแม่เลิกกันตั้งแต่ฉันยังเด็ก แม่แต่งงานใหม่แล้วย้ายไปอยู่กับแฟนที่สวิส ฉันอยู่กับพ่อจนถึงม.สาม มันก็คงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนั่นแหละ ทะเลาะกับพ่อ เบื่อเมืองไทย เลยขอไปอยู่กับแม่ที่โน่น พอจบไฮสคูลขี้เกียจกลับ เห็นใครต่อใครก็อยากมาสวิสกัน ไหนๆฉันก็ได้ไปอยู่ที่นั่นแล้วเลยเรียนต่อด้านนี้ซะเลย”


เขาเล่าด้วยน้ำเสียงธรรมดา สีหน้าก็ดูนิ่งๆเหมือนไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แต่ถ้าเขาไปที่นั่นตอนจบม.สามก็เด็กกว่าผมในตอนนี้เสียอีก อายุแค่นั้นแต่กล้าท่องไปในโลกกว้าง แล้วยังตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง ผมเองก็อยากจะเก่งและมีความมั่นใจในได้อย่างนั้นบ้าง


“โก้จัง แล้วพอเรียนจบก็กลับเมืองไทยเลยหรือเปล่าครับ”


“ยังหรอก ฉันออกเที่ยวแล้วก็ทำงานไปเรื่อยๆ ได้มีโอกาสไปอยู่ตั้งแต่โรงแรมเล็กๆในชนบทจนถึงระดับสี่ดาว ห้าดาวตามเมืองใหญ่ๆ เรียกว่าชีวิตช่วงนั้นทรหดมากแต่ก็สนุกและได้เรียนรู้จากของจริง เป็นประสบการณ์ที่มีค่าสุดๆเลยล่ะ”


มิน่า คนๆนี้ถึงได้คล่องแคล่วและเชี่ยวชาญในทุกๆเรื่อง แถมยังได้รับความไว้วางใจจากคุณภากรมากถึงขนาดสามารถตัดสินใจแทนได้ ถ้าไม่รู้มาก่อนใครก็คงนึกว่าเขาเป็นเจ้าของโรงแรมตัวจริง


ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าผมตอนนี้นั่งเอนตัวเต็มพนักเก้าอี้ตัวเล็กของร้าน เท้าศอกกับพนักเก้าอี้อีกตัวแล้วเหยียดขายาวแทนที่จะนั่งไขว่ห้างตามปกติ ดูผ่อนคลายจนเหมือนไม่ใช่คุณวรเมธที่ผมรู้จัก เขามองตรงมาแล้วก็ยิ้ม คงขำกับท่าทางตื่นตาตื่นใจของผม กาแฟหมดแก้วแล้วผมเลยเลื่อนถ้วยไอศกรีมที่ยังเหลือรัมเรซินที่เขาสั่งอีกครึ่งลูก เขายิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ ผมจึงลองตักไอศกรีมยื่นไปตรงหน้าเขา ถ้าเป็นคุณภากรคงงับเข้าปากทันทีแต่คุณวรเมธเอาแต่มองจนผมใจเสีย กลัวไอศกรีมจะละลายหยดเลอะโต๊ะ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมกินไอศกรีมที่ผมป้อนให้ถึงสองช้อนแล้วเริ่มเล่าอดีตของตัวเองต่อ


“จนถึงจุดหนึ่งฉันเกิดคิดถึงพ่อกับเมืองไทยขึ้นมาเลยลาพักร้อน กะว่าจะมาแบบนักท่องเที่ยว แวะเยี่ยมพ่อสักพักแล้วก็กลับไปทำงานต่อ ที่ไหนได้...พ่อฉันดันคิดสั้น”


“อะไรนะครับ!?” ผมเสียววาบถึงได้หลุดออกไปเสียงดังลั่นร้าน ดีที่ว่าเป็นวันธรรมดาจึงมีลูกค้าไม่มาก


“เบาๆก็ได้” เขาเอ็ดยิ้มๆ ค่อยทำให้ผมเบาใจขึ้นหน่อย “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก ที่ฉันบอกว่าคิดสั้นคือพ่อไม่สนใจดูแลตัวเองเลย วันๆใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย แล้วก็พาตัวเองสู่หายนะด้วยการเข้าบ่อน ก่อนหน้าที่ฉันจะกลับไม่ถึงปีพ่อขายที่ดินผืนสุดท้ายของย่าได้เงินเกือบสิบล้าน แต่ตอนฉันมาถึงพ่อเป็นหนี้บ่อนห้าล้าน ไม่นับรวมเงินกู้นอกระบบที่แค่ดอกเบี้ยก็วันละแสนสองแสนเข้าไปแล้ว”


คำว่าหนี้แล่นจี๊ดเข้าถึงใจผมทันที เรื่องแบบนี้ใครไม่โดนคงไม่เข้าใจ และไม่อยากเชื่อว่าคนระดับคุณวรเมธก็เคยเจอปัญหานี้เช่นกัน


“นายรู้มั้ย ฉันแทบจะแพ็คกระเป๋าเปลี่ยนตั๋วบินกลับซะวันนั้น แต่พอฟังพ่อเล่าที่มาที่ไปฉันได้แต่ร้องไห้แล้วก็หัวเราะเหมือนคนบ้า”


คุณเมธหลับตาลงแน่น หัวคิ้วกดร่องลึกโดยไม่รู้ตัว ผมได้แต่เงียบเพราะเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนย่อมมีเรื่องที่ไม่เคยบอกใคร อาจไม่ถึงกับเป็นความลับสุดยอดแต่บางครั้งก็ยากจะหาคนคอยรับฟัง


“พ่อบอกว่าพ่อ...เป็นมะเร็งลำไส้ ตอนตรวจพบเข้าระยะที่สอง เขาคิดว่าฉันคงไม่กลับเมืองไทยแล้วเลยตั้งใจจะเก็บเงินขายที่ไว้ให้ฉันส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็ให้ความสุขกับตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย แต่มันคงเป็นโชคร้ายซ้อนในความโชคร้ายอีกที พ่อมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าที่หมอบอกและระหว่างนั้นเขาก็เพลิดเพลินจนเสพติดการเสี่ยงโชคชนิดเข้าเส้น เขารู้สึกผิดที่ผลาญเงินส่วนที่เป็นมรดกซะหมดก็เลยตั้งใจจะเสี่ยงโชคต่อให้ได้คืนมา แต่อย่างที่รู้ว่าการพนันไม่เคยทำให้ใครรวย จากแค่ไม่เหลือก็กลายเป็นติดลบ ต้นไม่คืน ดอกไม่ส่ง มันก็เลยสะสมจนต่อให้ฉันทำงานทั้งชีวิตก็ไม่มีปัญญาใช้หมด”


ผมกับพ่อเป็นหนี้แค่ห้าแสนยังอับจนหนทางจะแย่ ถ้าต้องเจอปัญหาแบบคุณเมธคงเหมือนโดนโลกทั้งใบถล่มทับ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะอยู่รอดปลอดภัย แถมยังเจริญก้าวหน้ามีตำแหน่งใหญ่โตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้


“วันที่ฉันกลับมาเหยียบเมืองไทยมีคนมายึดบ้าน พ่อเหลือเงินติดตัวแค่สามร้อย ตอนนั้นฉันก็รู้แล้วล่ะว่าคงไม่ได้กลับไปที่โน่นอีก อย่างน้อยฉันก็อยากทดแทนบุญคุณเป็นครั้งสุดท้ายเลยพาพ่อไปอยู่บ้านเก่าของแม่แล้วคอยดูแลให้เขาได้ไปสบาย”


ผมรู้สึกจุกจนพูดอะไรไม่ออกเพราะตัวเองก็ซึ้งจนแทบกระอัก อย่างที่คุณเมธเองก็เคยติงว่าผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ผมบอกเขาว่าเพราะพี่กัญญาแต่อีกส่วนที่ปฏิเสธไม่ได้ ผมจะไม่ดูดำดูดีพ่อตัวเองได้อย่างไร พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่ให้ชีวิต พ่อเคยกอด เคยถนอม เคยบอกใครๆเต็มปากว่าผมคือลูกชายที่เขารักที่สุดในโลก ถึงเขาจะเปลี่ยนไปแต่ความจริงที่เขาเป็นพ่อของผมก็ไม่มีวันเปลี่ยน


คุณเมธคงผิดสังเกตที่ผมเอาแต่ก้มหน้า ปลายนิ้วเย็นๆแตะลงที่หลังมือจนผมสะดุ้งเลยเผลอทำให้เขาได้เห็นความขี้แยของผมเข้าจนได้ เขาไม่พูดอะไรแต่มีรอยยิ้มบางๆให้ ผมเลยรีบขยี้ตา สูดหายเข้าใจแรงๆแล้วกลับมาสู่การสนทนา


“ผมเสียใจด้วยนะครับ” คุณเมธยิ้ม หลับตาแล้วพยักหน้าเบาๆ “แล้วเรื่องหนี้...”


“ก้อนที่เป็นหนี้นอกระบบฉันไม่ได้สนใจ เพราะพ่อก็ตายไปแล้ว ถ้าโดนตามทวงมากๆบินกลับไปทำงานต่อแล้วอยู่ที่โน่นเลยก็สิ้นเรื่อง ส่วนที่เป็นหนี้ของบ่อนทีแรกก็นึกว่าคงเจ๊ากันไปเหมือนกัน ที่ไหนได้ตัวเจ้าหนี้กลับโผล่มาตอนวันเผา ท่านขอคุยกับฉันตรงๆแล้วก็ยื่นข้อเสนอที่ฉันนึกไม่ถึง”


“หรือว่า...?!” ผมสะดุดใจอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าคุณภากรคือ ‘นาย’ ที่ติดปากคนทั้งโรงแรม คำว่า ‘ท่าน’ ก็จะเป็นใครไปไม่ได้... 


“คุณกฤต พ่อของนายใหญ่คือเจ้าหนี้พ่อฉัน” คุณวรเมธตอบเหมือนอ่านความคิดผมได้อีกแล้ว ผมเลยอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าโลกจะกลมขนาดนี้ “ตกใจทำไม ทำอย่างกับเราสองคนไม่ได้ตกอยู่ในสถานะเดียวกันอย่างนั้นแหละ นายถูกพ่อเอามาขายใช้หนี้ที่คาสิโนของนายใหญ่ ส่วนพ่อฉันตายไปซะก่อน แต่พอท่านรู้ประวัติของฉันเข้าก็เลยยื่นข้อเสนอให้มาทำงานล้างหนี้ เหมือนกันเลยเห็นมั้ย”


“ไม่น่าเชื่อ ผมไม่นึกเลยว่า...” ผมเลยพูดอะไรไม่ออกกับความบังเอิญที่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง นี่หรือเปล่าเหตุผลที่เขาไม่คัดค้านเรื่องของผม เพราะลองเขาบอกว่าไม่แค่คำเดียว น้ำหน้าอย่างผมคงไม่มีวันได้เหยียบโรงแรมนี้แม้แต่ก้าวเดียว


“เชื่อเถอะกานต์ ในโลกนี้อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน หลังจากฉันตอบตกลงเข้ามาทำงานในส่วนของโรงแรมไม่ถึงครึ่งปี ท่านก็ประสบอุบัติเหตุจากไปอย่างกะทันหัน ภากรถูกเรียกตัวกลับมาด่วนที่สุดเพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการ สำหรับเขาเองนี่คงเป็นทั้งฝันร้าย ทั้งภาระที่ใครก็ไม่อยากแบกรับ ทีแรกฉันยังนึกว่าเขาจะทิ้งทุกอย่าง ขายกิจการต่อให้คนอื่นแล้วเสพย์สุขกับทรัพย์สมบัติที่ใช้ทั้งชาติไม่มีวันหมด แต่เขาก็ไม่ทำ นี่ล่ะที่ฉันนับถือน้ำใจและยอมทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดอยู่จนถึงทุกวันนี้”


“แต่ผมนับถือทั้งคุณภากรและคุณเมธมากๆเลยนะครับ สิ่งที่พวกคุณพยายามฝ่าฟันกันมา น่าชื่นชมจริงๆ”


“นายเองก็เหมือนกัน อายุแค่นี้แต่ต้องผ่านอะไรมาเยอะไม่ใช่เล่น แล้วก็ไม่นึกเลยว่าอย่างเราสองคนจะได้มีโอกาสมานั่งคุยกันแบบวันนี้นะ”


สำหรับผมมันมากกว่าโอกาสดีๆ คนเราอาจมีบ้างที่เล่าเรื่องส่วนตัว ความรัก ความชอบให้คนอื่นฟังเพื่อจะได้รู้จักกันมากขึ้น แต่กับความทรงจำที่โหดร้าย อดีตที่อยากลืมคงจะไม่ได้เล่าให้ใครก็ได้ฟัง ไหนจะรอยยิ้มที่ปรากฏชัดทั้งบนริมฝีปากและในดวงตาผ่านเลนส์ใสๆไร้กรอบนั่นอีก ถ้าผมจะเชื่อว่าคุณเมธเริ่มเห็นผมเป็นเพื่อน หรือมากกว่านั้นคือน้องชายคนหนึ่งที่จะคอยรับฟัง คอยแบ่งปันทุกข์สุขของกันและกันก็คงไม่ผิดนัก


ตอนนี้ผมมีความสุขจัง แต่ก็รู้ล่ะนะว่าความสุขมักมีมารผจญเสมอ...


“ใครโทรมา” คุณเมธถามเพราะเห็นผมลังเล ไม่ยอมรับสายสักที ผมเลยยื่นมือถือไปให้แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะ...กดตัดสายแล้วปิดเครื่องซะงั้น! “ที่ฉันบอกว่านับถือน้ำใจไม่ได้ความว่าจะไม่รำคาญ”


เอิ่ม...ถ้าผมบอกคุณภากรว่าคุณวรเมธเป็นคนทำ เขาจะละเว้นผมมั้ยนะ?!


“กร...หมายถึงนายใหญ่น่ะ ที่จริงเขากับฉันอายุเท่ากัน บางทีก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน หมอนั่นทำอะไรให้นายอึดอัดบ้างหรือเปล่า”


“ถามว่ามีอะไรที่ท่านประธานไม่ทำให้ผมอึดอัดจะตอบง่ายกว่าครับ” แบบนี้ก็เข้าทาง นี่ผมไม่ได้มีนิสัยขี้ฟ้องเลยสักนิดนะ “เพราะคำตอบคือไม่มีเลย คุณภากรขี้แกล้งจะตาย เอาแต่ใจชอบบังคับผมสารพัด แถมยังทำอะไรที่...แปลกๆ”


“แปลก?”


“ครับ บางทีก็พูดจาแปลกๆ มองผมแปลกๆ แล้วก็ชอบมา...” ความแปลกในสิ่งที่เขาทำคงหมายรวมถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวผมจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ “...อะไรกับผมนักหนาก็ไม่รู้!”


“แล้วชอบที่เขาทำมั้ยล่ะ” คุณเมธถามแล้วมองผมยิ้มๆ แต่ไม่ใช่รอยยิ้มอย่างเมื่อกี้แน่ๆ


“จะชอบได้ยังไง ผมเป็นผู้ชายนะครับ ถูกผู้ชายด้วยกันมา...แบบว่า...” ก็บอกแล้วว่ามันอธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่า... “อื๊ยยย! ขนลุกจะตายไป!”


ผมคงทำหน้าเหมือนกัดแอบเปิ้ลคำโตแล้วเจอหนอนดิ้นกระแด่วๆอยู่ครึ่งตัว พอลองนึกว่าแล้วอีกครึ่งหายไปไหน...นั่นล่ะครับที่ทำให้คุณวรเมธหัวเราะผมใหญ่ พอขำเสร็จก็ซักต่อ


“เพราะนายมีแฟนแล้วล่ะสิ”


“แฟน? เปล่านะครับ ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดไม่มีสาวที่ไหนเขามามองผมหรอก” ผมรีบปฏิเสธด้วยความสัตย์จริง โตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยได้เรียกสาวคนไหนว่าแฟน ที่จริงตอนอยู่โรงเรียนผมก็ถือว่าดังนะ ใครๆก็ชมว่ามีดีทั้งหน้าตาและมันสมอง แต่แปลกที่ทุกคนจะเลือกใช้คำว่า ‘น่ารัก’ กับผมทุกครั้งไป


“อ้าว! แล้วที่ฉันเห็นที่หน้าห้างวันนั้น คนนั้นก็...” สงสัยจะเหมือนอย่างที่ผมคิด คุณเมธคงไม่เคยมีแฟน จะชมสาวสักทียังต้องเสียเวลานึกเลย “...น่ารักดีนี่”


“อ๋อ! นั่นพี่กัญญา พี่สาวผมที่เคยเล่าให้ฟังไงครับ ตั้งแต่มาทำงานที่โรงแรมผมเพิ่งได้วันหยุด พี่กัญเองก็เรียนหนังสือ อยู่หอพักตลอด พอว่างตรงกันเราเลยนัดไปเที่ยวกันให้หายคิดถึงน่ะครับ”


พอเอ่ยถึงพี่สาวผมก็เลยเล่าเรื่องของตัวเองให้คุณวรเมธฟังบ้าง เขาฟังไปยิ้มไป มีซักบ้างจนผมยิ่งเพลิน มานึกอีกทีพี่กัญญาคงได้จามลั่นห้องเลคเชอร์อยู่แน่ๆ พอฝอยมากก็ไม่ใช่แค่คอแห้งแต่ท้องผมร้องก่อนแล้วของคุณเมธครางตาม ผมเลยได้ลิ้มลองเนื้อย่างร้านดังเป็นของแถม โกเบนุ่มลิ้น มัตซึซากะละลายในปาก ริวกิวก็ลื่นคอ โอว...สวรรค์! กินเสร็จเดินออกจากร้านบังเอิญเห็นป้ายโฆษณาภาพยนตร์ใหม่ เขาเลยลากผมเข้าโรงหนังไปด้วยกัน เป็นหนังสามมิติซะด้วยแต่สุดท้ายก็ไม่รู้เรื่องทั้งคู่เพราะผมปิดตาไปดูไป ส่วนเขาเอาแต่นั่งขำกับอาการกลัวผีของผม ทนไปได้ครึ่งเรื่องผมก็งอแงหนีออกมาแล้วเราก็เดินเล่นกันต่อจนได้ยินเสียงหวานๆประกาศปิดห้างจึงค่อยได้ฤกษ์จบการโดดงานแต่เพียงเท่านี้



จบตอนแล้วจ้า



ขอบคุณมากจ้า  บวกเป็ดให้ทุกๆคอนเมนท์เลย โทษฐานที่ทำให้เราชื่นจายยยยย


เรื่องนี้พระเอกชื่อ ภากร นายเอกชื่อ กานต์ ค่ะ จำไว้ให้มั่น ชื่อดีมีความหมาย

บอกเลยว่าคิดพล็อตเรื่องนี้จากชื่อของนายเอก อยากให้กานต์เป็นที่รักของทุกคนนะคะ



 :bye2:

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 03-04-2016 19:13:35



7 .



ผลพิจารณาโทษจากการโดดงานไปเที่ยวห้างทั้งวันคือ... ยกประโยชน์ให้จำเลยเพราะมีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ...คิดว่างั้นนะ! ทีแรกผมก็ทำใจไว้แล้วว่าจะโดนไม่น้อยแต่เอาเข้าจริง มื้อเช้าวันรุ่งขึ้นป้ามาลัยพาผมไปกินข้าวที่เดิมและนั่งลงเป็นเพื่อนเพราะคุณภากรไม่โผล่หัว พอเจอพี่พัชรีถึงได้รู้ว่าท่านประธานบินด่วนไปอเมริกาด้วยธุระส่วนตัว ด้านคุณวรเมธนั้นไม่ถึงกับถูกลงโทษแต่การต้องเข้าประชุมแทนทั้งวันก็ทำให้เจ้าตัวบ่นอุบ ส่วนเรื่องงานที่ออฟฟิศนั้นราบรื่น ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองไปโดยไม่มีปัญหาขลุกขลักอะไร แล้วหน้าที่ของผมล่ะ...


“ฉันบรรจุนายเป็นพนักงานประจำแล้ว หน้าที่โดยตำแหน่งคือเป็นผู้ช่วยฉันเหมือนกับคุณพัชรี แต่สิ่งที่ฉันจะให้นายทำก็คือ...” คุณวรเมธหยุดมองผมครู่หนึ่ง คงชั่งใจเป็นครั้งสุดท้ายว่าน้ำหน้าอย่างผมจะมีความสามารถแค่ไหน “...กำกับดูแลให้ท่านประธานทำทุกอย่างตามที่ฉันพิจารณาว่าสมควร มีคำถามมั้ย?”


“เอ่อ...” เขานิ่งมากทั้งน้ำเสียงและสีหน้า แต่แววตานี่สิ...ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ต่อหน้าตัวร้ายในละครชะมัด “คุณเมธจะยึดอำนาจนายเหรอครับ”


เท่านั้นแหละคุณเมธก็ระเบิด ผมว่าเขาคงเก็บกดมานาน กับพี่พัชรีต้องวางตัวให้สมฐานะ พอมาเจอผมเลยออกอาการได้ไม่ต้องกลัวเสียหน้า ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนขรึมอย่างเขาจะมีมุมนี้เหมือนกัน


“ก็มันน่ามั้ยล่ะ นายลองคิดดู เขานึกอยากจะทำอะไรก็ทำ บินไปไม่มีบอกกันสักคำ ซานฟรานนะไม่ใช่แค่เสาชิงช้าจะได้ขับรถวนรอบดูนึงแล้วกลับ โชคดีแค่ไหนที่ช่วงนี้ไม่มีงานสำคัญจริงๆ!”


“แต่ขนาดคุณเมธยังทำอะไรไม่ได้ แล้วผม...”


“อย่าคิดอย่างนั้น ฉันมั่นใจว่านายทำได้” ได้ยินอย่างนี้ผมเกือบจะยิ้มออก ถ้าไม่ใช่ว่า... “และนายต้องทำให้ได้ นี่เป็นคำสั่ง!”


ผมเดินคอตกออกจากห้องคุณวรเมธ ถูกพี่พัชรีกระเซ้าเย้าแหย่พอให้เป็นกระษัยแล้วก็ต้องเข้าประจำที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ใช่แล้วครับ ก็ไอ้ตัวที่ยกกันไปยกกันมาวันนั้นนั่นแหละ ดอกไม้ในแจกันที่พี่พัชวางไว้ยังดูสดชื่นแต่ตัวผมนี่สิ เฉาจะแย่แล้ว


“ท่านครับ งานนี้ผมต้องตายแน่ๆ!” ทำอะไรไม่ได้ผมก็คุยกับคนในรูป ทั้งหายเหงาและได้ระบายความคับข้องใจ “คุณเมธสั่งให้ผมมาคอยคุมคุณภากร แต่ผมกลัวจะทำไม่ได้ ท่านก็คงรู้ใช่มั้ยครับว่าลูกชายท่านเอาแต่ใจ ฟังใครซะที่ไหน แถมกวนประสาทเป็นที่หนึ่ง ผมกลัวว่าอยู่กับเขาจะบ้าตายเข้าสักวัน”


ไหนๆก็อยู่คนเดียว ผมเลยขนแฟ้มที่คุณเมธสั่งเอามานั่งอ่านอยู่ต่อหน้ารูปท่านซะเลย มีอะไรสงสัยก็เอ่ยปากถาม ถึงท่านจะตอบผมไม่ได้แต่ก็เหมือนได้สร้างความคุ้นเคย เผื่อวันไหนท่านนึกใจดีอยากจะอธิบายอะไรให้ฟัง ผมจะได้ไม่ถึงกับวิ่งป่าราบหนีไปซะก่อน ผมอ่านเพลินจนลืมเวลา กระทั่งมีเสียงเคาะประตูเรียกแล้วพี่พัชรีก็โผล่หน้าเข้ามา


“กานต์ ไปกิน...” พอเห็นผมพี่พัชคงลำบากใจอยู่ล่ะว่าจะดุหรือขำดี “...อะไรมันจะขนาดนั้นจ๊ะพ่อคู้น!”


ผมหัวเราะเสียงแห้งๆแล้วรีบลุกขึ้นจากพื้นให้เรียบร้อย นี่ดีนะที่ผมแค่เลื้อยลงไปนอนอ่านเอกสารเฉยๆ ถ้าถึงกับเผลอหลับคงต้องเอาหน้ามุดพรมหนี สรุปคือพี่พัชรีเห็นผมหายเงียบเลยมาชวนให้ไปทานข้าวด้วยกันเพราะพอดีเป็นวันเกิดของพนักงานที่ออฟฟิศชั้นล่างคนหนึ่งเลยจัดปาร์ตี้มื้อกลางวันเล็กๆขึ้นเป็นพิเศษ ผมไม่ได้จะทำตัวแปลกแยกแต่ยังไม่ค่อยคุ้นกับการเป็น ‘คุณกานต์’ สักเท่าไหร่เลยขอตัวและฝากอวยพรวันเกิดพี่คนนั้นแทน แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างผมจะเป็นที่ต้องการมากถึงเพียงนี้ เพราะสุดท้ายผมก็ต้องลงไปพบใครคนหนึ่งที่หน้าโรงแรมอยู่ดี


“อยู่ที่นี่คงสุขสบายล่ะสิ” คำทักทายแรกหลังจากที่พ่อมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเลยได้แต่ยิ้ม อย่างน้อยก็สบายใจที่ทางพ่อยังดูไม่แย่ไปกว่าเดิมนัก “ได้ทำงานอะไร ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ผูกไทด์ใส่แสลคยังกับพวกคนออฟฟิศเชียว”


“ก็อยู่ออฟฟิศของโรงแรม ทำพวกเอกสารอะไรไปตามเรื่อง เที่ยงแล้วพ่อกินข้าวยังอ่ะ”


ผมไม่ได้โกรธหรือเจ็บแค้นที่ถูกเอามาขายใช้หนี้ แต่ความห่างเหินระหว่างเราพ่อลูกเริ่มตั้งแต่ที่พ่ออาละวาดหนักถึงขั้นทำร้ายแม่ ถ้าเหล้าทำให้พ่อเปลี่ยนไป ความเจ็บปวดทั้งหลายแหล่ก็คงหยั่งรากลึกเกินกว่าที่ผมจะกลับมาเป็นลูกชายน่ารักขี้อ้อนคนเดิม


“ยังหรอก ยังไม่หิว แล้วเอ็งล่ะ” คิดว่าพ่อเองก็คงกระอักกระอ่วนใจไม่ต่างกัน เราเลยคุยกันแต่พ่อมองดูรถที่วิ่งเข้าออกลานจอดไปตามเรื่อง ส่วนสองตาของผมตกอยู่แค่พื้นตรงหน้าเลยเพิ่งรู้ตัวว่าวันนี้ลืมขัดรองเท้าซะได้


“เจ้านายท่านใจดีหรือเปล่า”


“ก็ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามอารมณ์เขา” ผมตอบพลางถอดรองเท้าข้างหนึ่งเอาถุงเท้าถูๆหัวรองเท้าอีกข้าง อดจะคิดถึงรองเท้าหนังสีดำมันปลาบคู่นั้นไม่ได้ ถึงจะมีเบอร์ส่วนตัวของเขาแล้วแต่ผมก็ไม่กล้าและไม่รู้จะโทรไปด้วยเรื่องอะไร พี่พัชรีบอกว่าตั๋วที่จองไว้คือกลับวันนี้ จะมาถึงที่นี่กี่โมงกี่ยามก็ไม่รู้ ถ้าอยู่คนเดียวจะยอมกินข้าวบ้างหรือเปล่า หรือถ้ากำลังกลับ อาหารบนเครื่องจะถูกปากมั้ย หรือว่า...ฮึ! คงอ้อนให้พวกสาวๆแถวนั้นป้อนน่ะสิไม่ว่า


“พวกคนมีกะตังก็งี้แหละ เอาใจยาก แต่ยังไงเอ็งก็ต้องทำตัวดีๆนะ ขยันๆเข้าไว้รู้มั้ย”


ผมเงยหน้าเห็นเพียงด้านข้างแต่รู้ได้ทันทีว่าพ่อผอมลง ความจริงตอนกินเหล้าช่วงแรกๆพ่อดูอ้วนขึ้นหรือที่เขาเรียกกันว่าฉุจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่พอแม่ไม่อยู่ ไม่มีใครคอยดูแล แถมยังใช้เวลาหมดไปในบ่อน พ่อก็เริ่มซูบลง จนตอนนี้ผอมยิ่งกว่ารูปในสมัยหนุ่มๆซะอีก


พอพ่อหันมา ผมยิ่งสะท้อนใจที่ไม่เห็นความสดใสในแววตาของพ่อเลย ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพ่อมาด้วยเรื่องอะไร แล้วเหตุผลที่ผมยังทำเฉย... เพื่อให้พ่อรู้สึกละอายใจกับทางเดินชีวิตที่ผิดพลาด เพื่อประจานให้ใครๆได้รู้ในสิ่งที่พ่อกำลังทำ หรืออย่างน้อย เพื่อพ่อจะได้อยู่กับผมนานขึ้นอีกนิด ตกลงแล้วเพราะอะไรกันนะ...?


“มีตังใช้หรือเปล่า” ผมทำเป็นล้วงกระเป๋ากางเกงแต่ความจริงทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงผ้าเช็ดหน้าที่ป้ามาลัยสอนให้ผมหัดพกเอาไว้กับธนบัตรสี่ห้าใบอยู่ในกระเป๋าเสื้อ


พ่อยังไม่ทันตอบก็ถูกขัดจังหวะเมื่อเฮียสยามกับพวกลูกน้องเดินผ่านมาแถวนี้


“กานต์” เฮียเดินตรงเข้ามาหาผม แต่ส่งสัญญาณให้ลูกน้องถอยรอห่างออกไป “อ้อ! นายบัติ พักนี้ไม่ค่อยเจอกันเลยนะ มาหาลูกชายเหรอ”


“โธ่เฮีย ก็สัญญากับท่านไว้แล้ว ฉันไม่กล้าโผล่มาหรอก”


“ดีแล้ว ถึงฉันจะเป็นคนคุมบ่อนแต่ก็ไม่เคยคิดว่าไอ้การพนันนี่มันจะช่วยให้ใครได้ดีเลย เลิกได้ซะก็เป็นบุญกับตัวนายบัติเองนั่นแหละ ขอแต่ว่าอย่าเลิกที่นี่แต่ไปติดที่อื่นก็แล้วกัน”


ผมสะดุดใจแต่ยังไม่กล้าหันไปถามเฮียสยามที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง ถ้าแดดไม่หลอกตาผมว่าพ่อหน้าซีดลง ท่าทางโบกมือปฏิเสธนั่นก็ดูลนลานจนผมนึกกลัว


“ไม่ๆ ฉันเลิกแล้ว เลิกเด็ดขาดเลย นี่ก็แค่มาดูไอ้นี่มันว่าอยู่สบายดีหรือเปล่าเฉยๆ”


“เรื่องนั้นนายบัติไม่ต้องห่วง” เฮียสยามก้าวขึ้นมายืนเสมอกันแล้วโอบไหล่เขย่าตัวผมเบาๆ เสียงของเฮียดังจนน่าจะได้ยินกันทั่วทั้งลานจอดรถ “ฉันรับรองได้ว่ากานต์อยู่ที่นี่สุขสบายดีทุกย่าง ใครๆก็รัก เอ็นดูมันเหมือนลูกเหมือนหลาน”


“จ๊ะๆ ได้ยินอย่างนี้ฉันก็วางใจ” พ่อพยักหน้ารับคำหลายที ทำท่าบีบเนื้อบีบตัวท่าทางอ่อนน้อมกับเฮียแล้วจึงค่อยหันมาบอกลาผมไม่เต็มเสียงนัก “งั้น...พ่อไปก่อนนะ”


“เดี๋ยวพ่อ! ที่จริงทำงานไม่ได้เงินเดือนหรอก แต่ก็มีพวกเงินพิเศษติดกระเป๋าบ้างนิดหน่อย พ่อเอาไว้ใช้แล้วกัน” เงินที่ติดตัวมาทั้งหมดผมให้พ่อไปไม่เว้นแม้แต่แบงค์ยี่สิบ ทีแรกพ่อจะไม่เอาเพราะเกรงสายตาเฮียสยามที่มองอยู่ ผมเลยเอายัดใส่กระเป๋าเสื้อให้ด้วยมือของตัวเอง แถมท้ายด้วยคำพูดที่แม้พ่อจะไม่สนใจแต่ผมก็รู้สึกว่าสมควรบอกออกไป “แต่เรื่องเหล้าเพลาๆบ้างก็ดีนะ...กานต์เป็นห่วง”


“เออ ขอบใจ เอ็งก็ดูแลตัวเองดีๆ บอกพี่เอ็งด้วยว่าให้ตั้งใจเรียน พ่อไปล่ะ”


ไม่รู้พ่อคิดอะไรอยู่แต่มือใหญ่หยาบกร้านที่ทำท่าจะยกขึ้นถึงหัวกลับชะงักและลดต่ำลงมาตบไหล่ผมเบาๆแล้วหันหลังเดินจากไป ส่วนผมยืนอาบแดดเที่ยงวันดูพ่อจนลับตาก็ค่อยรู้สึกว่ามีเงาสูงใหญ่มาเทียบข้าง


“ที่เฮียบอกว่าพ่อจะไป...” ยังไม่ทันรู้เรื่องผมก็ถูกเฮียสยามจูงเข้ามาที่ร่มแล้วแย่งพูดเสียเอง


“เชื่อเรื่องบุญกรรมมั้ย ถ้าอะไรที่เราห้ามหรือควบคุมไม่ได้ก็คิดว่าเป็นบุญกรรมของใครของมันซะเถอะจะได้ไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจ พ่อเอ็งไม่ใช่เด็กๆแล้ว ถ้าเป็นไม้ก็แก่เกินจะดัด เขาคิดเองไม่ได้ แถมไม่ฟังใคร เอ็งพูดไปเท่าไหร่ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก”


“แต่ผมกลัวนี่เฮีย ถ้าเกิดพ่อไปติดหนี้ที่บ่อนไหนอีกจะทำยังไง”


“ทำใจสิวะ”   


“ไอ้ทำใจน่ะมันต้องทำอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดพ่อคิดจะเอาผมไปขายใช้หนี้ที่อื่นอีกล่ะ ผมไม่ต้องหั่นครึ่งตัวเองหรือไง”


“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพราะเฮียคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด วันหลังเขามาหาให้บอกเฮีย ถ้าดูท่าไม่ดีอย่าลงมาคนเดียวอีก เข้าใจมั้ย” เฮียสยามเข้มขึ้นทั้งน้ำเสียงและหน้าตา ทำอย่างกับว่าผมจะถูกพ่อลากตัวออกไปเสียเดียวนี้ ผมอ้าปากยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกดุสวนกลับมาอีก “อย่านึกว่าตัวคนเดียวจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่าง จำไว้ว่าคนที่นี่เขารักและเป็นห่วงเอ็งทุกคน และที่สำคัญ นายไม่เคยซื้อใครก็จริง แต่ใครที่ได้เป็นคนของนายแล้วจะต้องได้รับความคุ้มครองอย่างดีที่สุด ยิ่งโดยเฉพาะคนพิเศษ คำสั่งเดียวที่พวกเฮียได้รับคือ... ‘ใครก็ห้ามแตะต้อง’”


จู่ๆก็เหมือนได้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้ขนลุกซู่โดยไม่มีสาเหตุ ในแวบหนึ่งของความรู้สึกสำนึกได้ว่าอำนาจบาทใหญ่ของใครคนนั้นคือเกราะคุ้มภัยที่คอยปกป้องดูแลนับตั้งแต่ที่ผมย่างกรายเข้ามาที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขายอมรับผมไว้ พ่ออาจจะหาทางทำเงินจากผมในรูปแบบอื่น เขาชอบแกล้ง ชอบกวนประสาทแต่นั่นก็ทำให้ผมได้กลับมาเป็นคนที่มีอารมณ์ความรู้สึก รู้จักยิ้ม หัวเราะ รู้จักโกรธแทบอยากจะฆ่าคนได้ ไม่ใช่แค่คนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานและมีแต่ความเศร้าฉาบอยู่บนใบหน้า


ผมมองเฮียสยามอีกครั้งด้วยความรู้สึกเต็มตื้นจนกลัวว่าจะมีอาการขี้แยให้แกเห็น


“ไม่เป็นไร เฮียเข้าใจว่าเอ็งรู้สึกยังไง แต่คนที่เอ็งควรขอบคุณไม่ใช่เฮีย รู้ใช่มั้ยว่าใคร”


ผมพูดอะไรไม่ออกเลยได้แต่พยักหน้าตอบ เฮียสยามขยี้หัวผมแรงๆแล้วแยกไปหาลูกน้องที่รออยู่ ผมไม่รู้ว่าพี่ๆพวกนั้นรู้อะไรมาบ้างหรือจะได้ยินที่ผมกับเฮียคุยกันหรือเปล่า แต่ทุกคนหันมาโบกมือทักและมีรอยยิ้มให้ผมกันทุกคน ผมก็เลยมีรอยยิ้มติดใบหน้าจนกลับขึ้นมาถึงห้องทำงานที่...


“หายไปไหนมา!” ทันที่ที่เปิดประตูเข้าไป ผมทั้งแปลกใจที่เจอ ทั้งตกใจที่โดนตวาดจนรอยยิ้มผมกระเด็นหายไปหลายส่วน แต่ขืนไปทำหน้าบึ้งใส่ก็คงโดนเจ้าของห้องหาความไม่สิ้นสุด “งานของนายอยู่ที่ออฟฟิศข้างบนนี่ มีธุระอะไรจะต้องลงไปข้างล่าง!”


พอผมไม่ตอบโต้ เอาแต่ยิ้มสู้ลูกเดียว คนขี้โมโหก็เลยสงบลงบ้าง ร่างสูงใหญ่กระแทกตัวนั่งจนผมนึกสงสารเก้าอี้เลยต้องรีบออกไปหากาแฟและของว่างมาเอาใจ ทุกอย่างหายวับในพริบตาแต่ก็คุ้มที่ทำให้เขาหายอารมณ์เสียได้ เสียงแก้วกาแฟกระทบจานรองดังกริ๊กเป็นสัญญาณเริ่มงาน ผมจึงเงยหน้าจากตารางนัดแต่ถูกอีกฝ่ายชิงตัดหน้าเสียก่อน...


“เรามีเรื่องต้องคุยกัน!” คุณภากรบอกเสียงเข้มจนผมชักอ่อนใจ นี่ตกลงกาแฟกับขนมที่ผมขนมาให้ใช้เลี้ยงตัวโมโหในกระเพาะเขาหรือไงกัน


“ผมก็มีเรื่องจะเรียนปรึกษานายเหมือนกันครับ”


“มีอะไรล่ะ นายว่ามาก่อนสิ” เขาคงเห็นว่าผมตั้งใจทำงานเลยยอมอ่อนข้อให้ แต่พอผมร่ายรายการนัดหมายยาวเหยียดที่คุณวรเมธจัดไว้ เขาก็ทำหน้ายุ่ง ส่งเสียงงอแงทันที “เยอะไปมั้ย?!”


“แต่คุณเมธยืนยันว่าต้องทั้งหมดนี่ ห้ามขาดไปแม้แต่งานเดียวครับ”


“พวกที่เป็นงานเลี้ยงตัดๆไปบ้างก็ได้ ฉันขี้เกียจไปยืนเก็กหน้าถ่ายรูป” คนตัวโตชะโงกมามองไอแพดในมือผม แล้วก็จิ้มจึ้กๆอย่างไม่กลัวว่าของแพงจะเป็นรอย “อย่างงานนี้เจ้าภาพเป็นใครก็ไม่รู้ จะให้ฉันไปทำไม”


“งานนี้ต้องไปครับ เพราะคุณเมธมาร์คว่าเป็นงานฉลองมงคลสมรสของลูกสาวเพื่อนสนิทคุณภัทราพร...” ผมสะดุดกับชื่อไม่คุ้นหูแต่ถ้าคุณเมธถึงขนาดใส่มาในรายละเอียดการนัดหมายแสดงว่าเป็นคนสำคัญ


“แม่ฉันเอง”


“อ๋อ ครับ” ที่จริงผมรู้มาก่อนว่าคุณภากรมีแม่และน้องสาวแต่ก็ไม่เคยอยากรู้อะไรมากกว่านั้น มาตอนนี้ยิ่งไม่อยากรู้เข้าไปใหญ่ ลูกชายยังขนาดนี้ ไม่อยากจินตนาการเลยว่าคนเป็นแม่จะขนาดไหน “พูดง่ายๆก็คือฝ่ายหญิงเป็นลูกสาวเพื่อนสนิทคุณแม่ของนายใหญ่ ส่วนเจ้าบ่าวเป็นลูกชายคนเล็กของรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ แถมจัดที่โรงแรมเราด้วย งานนี้ถ้าไม่ไป เอ่อ...”


“ไม่ไปแล้วจะทำไม”


“คุณเมธฝากให้เรียนว่าถ้าไม่ไป...นายตายแน่ครับ” ผมบอกต่อทุกคำที่คุณเมธสั่งมา ทีแรกก็กลัวจะเป็นภัยกับตัวเองแต่ได้เห็นปฏิกิริยาคนตรงหน้าแล้ว...สะใจดีพิลึก!


“โว้ย อะไรนักหนาวะ นี่ตกลงฉันเป็นนายใหญ่หรือเป็นขี้ข้าเลขาตัวเองกันแน่ เห็นมีแต่สั่งๆๆให้ทำโน่น ทำนี่ไม่ได้หยุดเลย”


ผมมัวแต่สะใจจนเกือบลืมหน้าที่ตัวเอง คุณเมธกำชับนักหนาว่าผมต้องคอยควบคุมดูแลไม่ให้ท่านประธานเกงาน อืมมม งั้นเริ่มจากไม้อ่อนก่อนละกัน...


“แต่ผมว่าไหนๆเขาก็เลือกจัดที่โรงแรมเราด้วย ไปร่วมงานสักนิดก็ถือเป็นการแสดงความขอบคุณลูกค้านะครับ” ผมเลือกใช้เสียงอ่อนๆ ให้ฟังเป็นเชิงความคิดเห็นไม่ใช่คำสั่ง แล้วใช้ตาโตๆของผมโน้มน้าว อ้อ! ไม่ลืมอมยิ้มนิดๆด้วย เฮ่อ...ไม่เคยต้องแอคท์ท่าอะไรมากขนาดนี้มาก่อนเลย


“ได้ งั้นเราไปด้วยกัน” งานเข้า! แล้วพอผมอ้าปากยังไม่ทันอะไรสักแอะก็โดนสวนจนเถียงไม่ออก “นายเป็นเลขาส่วนตัวของฉัน ฉันไปไหนนายก็ต้องไปด้วยไม่ถูกเหรอไง”


บอกตามตรงว่าผมยังใช้ไม้แข็งไม่เป็น การเจรจาต่อรองเลยต้องจบลงที่เงื่อนไขนี้ จากนั้นก็มีอีกสองสามงานที่เขายืนยันจะหนีบผมไปด้วย ส่วนงานอื่นยอมรับปากโดยดีเกือบทั้งหมด มีบางงานเท่านั้นที่เขาบอกคำเดียวว่า ‘ไม่’ ซึ่งล้วนแต่เป็นรายการที่คุณเมธเองก็บอกว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ ถ้าคุณภากรจะเกเรบ้างให้ปล่อยไป นับว่าเจ้านายกับเลขาคู่นี้รู้ทันกันดีเหลือเกิน


“แล้วที่เมื่อกี้นายบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม...?” ผมย้อนถามเมื่อจัดการงานเรียบร้อย


“วันนั้นทำไมกล้าตัดสายฉัน?!” เขาถามเสียงดังจนผมตกใจ แต่เขาคงไม่ได้ตั้งใจเหมือนกันเลยพยายามพูดกับผมใหม่ดีๆ “ช่างเถอะ ก็ไม่ได้จะเอาเรื่องอะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าไปทำอะไรกันบ้าง ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิ”


ผมเห็นเขาทำท่าอยากฟังจริงๆก็เลยเล่าอย่างละเอียดตั้งแต่ตอนขึ้นรถ ในร้านไอศกรีม ร้านเนื้อย่างไปจนถึงโรงหนัง แถมยังนินทาคุณเมธที่เขินจนเดินสะดุดตอนถูกสาวๆกลุ่มหนึ่งแอบมอง ส่วนเรื่องน่าอายอย่างที่ผมไม่กล้าดูหนังผีนั่นเก็บไว้เป็นความลับสุดยอด


“ท่าทางน่าสนุก งั้นวันหลังเราไปกันบ้าง”


“ได้ครับ แต่ผมต้องขอปรึกษาคุณเมธก่อนว่านายพอจะว่างหนีเที่ยวได้ตอนไหนบ้าง”


“เห๊อะ ขืนถามก็อด!”


คนตัวโตส่งเสียงงอแงเหมือนเด็กถูกขัดใจผมเลยขอตัวกลับไปทำงานต่อ แต่เด็กล่ะนะ บทจะหาเรื่องสนด้วยเหรอว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร


“เออนี่ ทำไมถึงเรียกฉันว่านาย”


“ก็...” ไม่นึกว่าเขาจะถามเลยต้องหยุดคิดก่อน เพราะขืนตอบอะไรผิดหูเรื่องยาวแน่ “ถ้าไม่พอใจผมเรียก ‘ท่าน’ ก็ได้ครับ”


“ท่านก็ไม่เอา ขอแบบที่ไม่เหมือนคนอื่นไม่ได้เหรอ”


“แล้วแบบไหนล่ะครับที่ไม่เหมือนคนอื่น”


“นั่นคือสิ่งที่นายต้องคิดเอาเอง ถ้าทำไม่ได้จะถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ แค่งานชิ้นแรกที่ฉันสั่งก็ไม่มีปัญญาทำให้สำเร็จ”


เอาแล้วไง เป็นเจ้าของโรงแรมดีๆไม่ชอบ ดันคว้าหนังหมาป่าเจ้าเล่ห์มาสวม ไม่รู้เสียแล้ว ลูกแกะอย่างผมบางทีก็สู้เหมือนกันนะจะบอกให้


“แล้วทีนายก็ยังเรียกผมว่านาย คุณเมธก็เรียกผมแบบนี้ไม่เห็นต้องให้ทำให้ไม่เหมือนใครเลย แทนที่จะมานั่งคิดเรื่องไร้สาระเอาเวลาไปทำงานไม่ดีกว่าเหรอครับ”


ผมบอกเสียงเรียบๆ เก็กหน้านิ่งๆ หวังให้คนฟังได้สติ แต่ถามว่าได้ผลมั้ย...


“นั่นสินะ งั้นฉันเปลี่ยนดีกว่า เอาเป็น... เธอ ไม่ดีๆ เดี๋ยวใครจะคิดว่าฉันได้เลขาผู้หญิง” เวลาที่เจ้าของโรงแรมเอาเวลางานไปคิดเรื่องไร้สาระนี่ เขียนรายงานส่งใครได้บ้างนะ? “อืมมมม กานต์ เออแฮะ ชื่อออกจะเพราะขนาดนี้ ฉันเรียกชื่อนายตรงๆเลยดีกว่า”


“ตามใจนายเถอะครับ!”


ผมบอกแล้วลุกกลับไปทำงานต่อที่โต๊ะตัวเอง ห้องกว้างเงียบไปยังไม่ถึงครึ่งนาทีเลยมั้ง...


“กานต์” ผมขานรับแล้วหันไปตามเสียงเรียก แต่...ฟังเอาเองเถอะ! “อ๋อ เปล่า ลองเรียกดูเฉยๆน่ะ”


ผมได้แต่ปัดหน้าเอกสารแรงๆระบายอารมณ์แล้วพยายามจะตั้งสมาธิอ่านรายงานการประชุมฉบับเก่าๆ อันนี้เป็นครั้งที่มีการเรียกประชุมด่วนเรื่องการรับมือกับอุทกภัยครั้งใหญ่...


“กานต์ กานต์” เชื่อมั้ยว่าน้ำท่วมยังไม่น่ากลัวเท่าคนบางคน! “คล่องปากดี ชื่อสั้นๆ พยางค์เดียว เรียกง่ายดีเนอะ”


โชคดีที่โรงแรมไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตประสบภัย เลยได้อานิสงค์ยอดเข้าพักถล่มทลาย แต่เจ้าของทำตัวแบบนี้ผมอยากแช่งให้เจ๊งไปซะเลย...


“กานต์ กานนนนนนนต์” คราวนี้ผมทำใจแข็ง ไม่สนใจ คนว่างงานเลยลุกมาส่งเสียงหนวกหูถึงโต๊ะ “ว้า! ยังเด็กยังเล็ก หูตึงเรียกไม่ได้ยินซะและ”


“นายครับ! ถ้ายังไม่หยุดกวนประสาท...”


“ทำไม อย่างกานต์จะกล้าทำอะไรฉัน?”


ผมหลับตาแล้วพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ แต่ช่างแม่งมันเถอะ! แค่สามผมก็รู้ตัวแล้วว่าทำไม่ได้...


“คุณภากร!”


“หืม? มีอะไรครับคุณกานต์?”


“ผมโกรธจริงๆแล้วนะ!!”


ผมลุกขึ้นเผชิญหน้า แต่ใครมันจะไปตัวใหญ่เป็นยักษ์ได้อย่างนั้น เขาเข้ามาก้าวเดียวก็แทบจะทับผมแบนติดโต๊ะทำงานแล้ว


“ก็โกรธไปสิ ฉันอนุญาติ”


“คุณภากร!!!” ผมตัวเล็กกว่านี่เลยต้องเอาเสียงเข้าข่มไว้ก่อน


“อืม ก็ดีนะ ที่โรงแรมนี้ยังไม่มีใครกล้าเรียกชื่อฉันตรงๆเลย งั้นก็โอเค กานต์เรียกฉันแบบนี้แล้วกัน จะภากรหรือกรเฉยๆก็ได้ ฉันไม่ถือ”


“ผมไม่เรียก!”


ผมตะโกนตอบแต่เขาก็ยังชะโงกหน้าลงมาจะชิดปากผมอยู่แล้ว หมาป่ายักษ์ตัวนี้ต้องหูตึงแน่ๆ!


“กล้าดื้อกับฉัน อยากถูกลงโทษเหรอไง” หรือว่ากาแฟกับขนมก่อนหน้าจะไม่พอยาไส้ เจ้าหมาป่ายักษ์เลยทำจมูกฟุดฟิด คงจะไม่ตาลายเห็นผมเป็นชิ้นเนื้อหอมยั่วน้ำลายหรอกนะ


“กานต์ กานนนนนนนต์ ...”


ลมอุ่นจากริมฝีปากไล่มาตั้งแต่ข้างหู เสียงเรียกยาวๆนั่นตอนที่แช่อยู่ข้างแก้ม ก่อนจะเลื่อนไปตามลำคอจากซ้ายอ้อมไปขวา จากล่างขึ้นบนแล้วลงไปข้างล่าง ที่ไล่มาทั้งหมดหมายถึงผิวเนื้อผมยังไม่ได้ถูกสัมผัสแม้แต่ตารางนิ้วเดียวเลยจริงๆ


“ยะ..อย่า..คุณ...”


“คุณอะไร เรียกให้ชัดๆสิกานต์”


เขากระซิบบอกจนชิดแล้วใบหูของผมก็ถูกทำร้ายเป็นอย่างแรก เขาขบเม้มเบาแสนเบาจนผมรู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้นจากพื้นไปหาเขาเสียเอง


“คุณ...กร ไม่...ไม่นะครับ ปล่อยผม”


“ให้ปล่อยใครน๊า ได้ยินไม่ชัดเลย”


“ปะ..ปล่อย..กานต์” ผมพยายามดันเขาออกแต่ท่อนแขนใหญ่โตกลับรัดแน่นแล้วยกผมขึ้นไปนั่งบนขอบโต๊ะ พอขาไม่แตะพื้นผมเลยหมดทางจะดิ้นหนี ทีนี้เขาก็เลยลงโทษเอาตามใจ จูบอุ่นๆไล่ลงมาตั้งแต่ขมับจนทั่วไปทั้งหน้าแต่จงใจปล่อยริมฝีปากไว้จะได้ได้ยินผมส่งเสียงร้องทั้งที่ขัดขืนอะไรไม่ได้ สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้ให้กับหมาป่าเจ้าเล่ห์แถมโรคจิตเป็นพวกซาดิสม์ตัวนี้


“อื๊อออ ปล่อยกานต์นะ...นะครับคุณกร”


“ปล่อยก็ได้ แต่ต่อไปถ้ากานต์ดื้อ จะมาหาว่าคุณกรใจร้ายไม่ได้นะรู้มั้ย”


ผมหลับตาปี๋เพราะไม่อยากเห็นหน้าคนเจ้าเล่ห์ให้รู้สึกอายตัวเอง แต่เดาได้เลยว่าเขากำลังยิ้มกว้างสะใจที่ได้แกล้ง รอยยิ้มนั้นคงลอยใกล้เข้ามา ผมเกร็งตัวแน่นจนสั่นแล้วจู่ๆก็มีเสียงจ๊วบดังจนผมตกใจ พอลืมตาเท่านั้นมันก็... รู้สึกอุ่นที่ริมฝีปากเหลือเกิน




จบตอนแล้วจ้า


 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-04-2016 21:12:06
เชียร์ใครดี
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 03-04-2016 21:25:55
แหน่ๆคุณภากร ตอดเล็กตอดน้อยตลอดเลย
ป.ล.คุณคนแต่งฮะ เราขอโทษเราอ่านไม่ทั่วเอง55555

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 04-04-2016 01:44:36
กรีดร้องงงงงง
ชอบมากอะงืออออออ
 :ling1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: askmes ที่ 04-04-2016 10:54:21
อ่านไปตัวบิดไป.. เขิลลลแทน
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 04-04-2016 13:30:21
ฟินแรงงงงงงงงงงงงงงงงง
คุณกรนี่แอบแซ่บน้องกานต์ใช่ไหมเนี่ย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 04-04-2016 17:19:57
น่ารัก คุณภากรนี่รุกกานต์เร็วมากแบบน่ารักด้วย
หวังว่าพ่อของกานต์คงไม่ไปเล่นการพนันอีกนะ

+1 เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
 :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 04-04-2016 20:43:30
โอ่ยย คุณกร เจ้าเล่หสุดๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: MmBb ที่ 06-04-2016 14:50:36
เนื้อเรื่องน่ารักดีมากๆค่ะทุกครั้งที่คุณกรกับน้องกานต์อยู่ด้วยกันมันน่ารักดี อยากให้มาต่อบ่อยๆเลยค่ะอ่านแล้วรู้สึกดีมาก คำผิดก็ไม่มีเลย ช่วยแต่งต่อให้จบด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 08-04-2016 19:52:41





8 .




เช้านี้แสงแดดไม่ร้อน สายลมเย็นๆ มีเสียงนกร้อง ช่างเป็นอากาศแสนสบายเหมาะกับการตักโจ๊กอุ่นๆใส่ปาก แต่สมองเจ้ากรรมเกิดไฮเปอร์เกินเหตุ มีอะไรตั้งร้อยกับแปดอย่างให้คิดแต่ยังดันเผลอไปนึกถึงตอนที่...!


“จับปากทำไมน่ะกานต์ ไม่สบายเหรอ นี่สงสัยจะนอนดึกเลยเป็นแผลร้อนในล่ะสิ”


เป็นอีกวันที่ผมได้มีโอกาสมานั่งกินข้าวเช้าเคล้าบรรยากาศธรรมชาติอันสดชื่น แม้ว่าเจ้าของโต๊ะอาหารตัวจริงจะไม่อยู่แต่ป้ามาลัยก็ยังลากผมมาที่นี่และนั่งลงเป็นเพื่อน ตรงหน้าป้ามีชาขิงร้อนๆ ส่วนของผมเป็นโจ๊กใส่อะไรสักอย่างที่รับรองได้ว่าต้องอร่อยแน่ แต่ตัวผมเองที่มีปัญหา ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่จิตใจมัน...จะบ้าตาย! ไม่ว่าจะทำอะไรก็พลันนึกไปถึง...!


อ๊ากกก! เอาความสงบสุขของชีวิตคืนมาเลยนะไอ้หมาป่าเจ้าเล่ห์กวนประสาทโรคจิตซาดิสม์เอ๊ย!!


“เปล่าครับป้า กานต์...สบายดี” ฮืออออ ถึงเป็นป้ามาลัยก็ใช่ว่าผมจะเล่าได้ทุกเรื่อง


“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นก็รีบกินซะ เดี๋ยวโจ๊กเย็นแล้วจะไม่อร่อย” 


ผมยิ้มให้ป้ามาลัยแล้วจัดการกับโจ๊กที่ตักคาช้อนไว้ เนื้อข้าวนิ่มๆผ่านการเคี่ยวกรำกับน้ำซุปเลิศรสแทรกความกรุบกรอบบอกถึงความสดราวกับกุ้งตัวนี้ยังมีชีวิตจึงได้ขยับเหมือนกับจะดิ้นได้อยู่ในปาก!


“กานต์! เป็นอะไร?!” ป้ามาลัยเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ด้วยความตกใจเพราะเสียงช้อนตกกระทบขอบชาม เนื้อกระเบื้องเคลือบนี่ช่างให้เสียงดังกังวานดีจริง “ป้าว่าไม่สบายแน่ๆ จู่ๆก็หน้าแดงเชียวลูก!”


ป้ามาลัยรีบย้ายที่นั่งมาใกล้เพื่อตรวจอาการ ผมไม่รู้หรอกว่าที่หน้าตัวเองจะเป็นอย่างไร แต่มันรู้สึกร้อนวูบๆ ลมหายใจติดขัด แถมหัวใจก็กระตุกตุบๆจนกลัวว่าป้าจะได้ยินไปด้วย


“เปล่าครับเปล่า กานต์ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แต่กานต์...” ผมรีบหลับตาเพราะป้ากำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้  “...อิ่มแล้ว”


“แน่นะ?” แววตาสงสัยทำให้ผมยิ่งประหม่าเพราะป้าคงรู้ว่ามันไม่จริง ผมจะอิ่มได้ยังไงในเมื่อยังไม่มีอะไรเข้าปากไปได้เลยสักคำ พอเห็นผมทำท่ากลืนอะไรไม่ลง ป้าจึงยอมเลื่อนชามโจ๊กออกไปแล้วหยิบแก้วน้ำส้มมาใกล้ๆแทน “เอาล่ะ อิ่มก็อิ่ม งั้นก็ดื่มน้ำส้มเสียหน่อยจะได้สดชื่นขึ้นนะ”


“กานต์ขอโทษนะครับที่กินข้าวไม่หมดชาม” ไหนๆก็อยู่ใกล้กันขนาดนี้ผมเลยเอนตัวลงซบไหล่แล้วกอดตัวป้ามาลัยแน่น ผมชอบทำแบบนี้เวลาแม่กับพี่กัญกำลังจะโกรธ ผลก็คือทั้งคู่ไม่เคยโกรธผมได้จริงๆเลยสักที


“ไม่เป็นไรจ๊ะ นี่ดีนะที่นายโทรมาบอกก่อนว่าวันนี้จะไม่มาทานมื้อเช้า ไม่อย่างนั้นของเหลือเต็มโต๊ะคงเสียดายแย่”


ได้ยินแค่นั้นหัวใจผมก็กระตุกแรงจนต้องรีบคลายวงแขนออก ไม่อย่างนั้นป้าต้องรู้สึกและจับผมไปให้หมอตรวจ


“แล้วคุณ...เอ่อ...นายบอกหรือเปล่าครับว่าทำไมถึงไม่มา”


“ไม่ได้บอกจ๊ะ แต่เมื่อวานนายกลับบ้าน วันนี้อาจจะอยู่ทานมื้อเช้ากับคุณภัทเลยเข้าโรงแรมสายหน่อยล่ะมั้ง”


“คุณภัท... คุณภัทราพร คุณแม่ของนาย?” ป้ายิ้มตอบแสดงว่าความจำของผมยังใช้ได้ “ป้าคงเคยเจอ ท่านเป็นคนยังไง ดูใจดีเหมือนท่านที่ในรูปมั้ยครับ”


“ถ้าจะพูดถึงคุณภัทก็ต้องเล่าก่อนว่าสมัยโน้นที่นี่มีแต่บ่อนกับโรงนวดของเจ้าสัวภาคย์ เจ้าสัวมีลูกสาวคนเดียวคือคุณภัทราพร พอคุณกฤตแต่งเข้ามาถึงได้ขยายที่ทางสร้างโรงแรม เปลี่ยนจากอาบอบนวดเป็นคลับ จากบ่อนเป็นคาสิโน ท่านทำงานหนักจนที่นี่เจริญก้าวหน้า ใครๆก็ยอมรับนับหน้าถือตา ส่วนคุณภัทเธอไม่ค่อยเอาเรื่องธุรกิจ ชอบแต่รักสวยรักงาม เป็นสาวสังคมจ๋า สมัยนั้นนะข่าวของเธอลงหนังสือพิมพ์ได้ไม่เว้นแต่ละวันเชียวล่ะ”


“ว้าว! เหมือนอย่างที่เขาเรียกกันว่าไฮโซใช่มั้ยครับ”


“ใช่จ๊ะ คุณภัทนี่ล่ะไฮโซของแท้ เพราะเธอทั้งสวย รวย เข้าสังคมเก่ง ขนาดลูกสองคนแล้วยังมีแต่คนชมไม่ขาดปาก เพิ่งจะมาช่วงหลังจากคุณกฤตเสียที่เธอเงียบๆไป”


“อีกไม่กี่วันนี้จะมีงานแต่งลูกชายรัฐมนตรีที่โรงแรมเรา นายบอกให้กานต์ไปด้วย อาจจะได้เจอ ไม่รู้ว่าท่านจะดุหรือเปล่า ชักกลัวๆแล้วสิเนี่ย”


ภาพของผู้หญิงวัยกลางคนแต่งหน้าหนา เซ็ตผมโป่งๆ ใส่ชุดผ้าไหม คาดเข็มขัดใส่สร้อยติดตุ้มหูเพชรระยิบระยับผุดขึ้นในหัวผมอย่างช่วยไม่ได้ แต่จากที่ป้ามาลัยเล่าและภาพลักษณ์คุณภากรที่ดูโก้ไม่หยอก คุณภัทราพรก็ไม่น่าจะถึงกับเป็นตู้เพชรเคลื่อนที่ อาจจะเป็นสุภาพสตรีวัยกลางคนที่ค่อนข้างถือเนื้อถือตัว ดูน่าเกรงขามอย่างอิมเมจหม่อมป้าในละครก็เป็นได้


“อะไร้! กานต์ของป้าออกจะน่ารักขนาดนี้ คุณภัทเห็นจะเอ็นดูสิไม่ว่า กานต์ก็ทำตัวให้เรียบร้อยอย่างที่เป็นอยู่นี่ก็พอแล้ว ป้าว่าเธอแค่เป็นคนตาดุ เวลานิ่งๆเลยอาจจะดูหยิ่งๆหน่อย แต่ความจริงเป็นเจ้านายที่ใจดีคนหนึ่งเชียวล่ะ”


ป้ามาลัยลูบหัวให้กำลังใจผมเลยรู้สึกโล่งอกขึ้นมานิดหน่อย เสร็จจากมื้อเช้าที่แทบไม่ได้แตะอะไรเลยผมก็ไปเดินตามเป็นเพื่อนป้าตรวจงานอยู่สักพักจึงค่อยขึ้นมาที่ออฟฟิศ พี่พัชรีมาถึงได้ครู่ใหญ่แล้วพร้อม... อืมมม... ท่าทางจะเป็นผู้ชายแต่พอเห็นผมก็ร้องวี้ดว้าย เข้ามากอดมาหอมอยู่หลายที ธุระของเขาคือการวัดตัวผมเพื่อไปจัดสูทสำหรับงานแต่งงานที่ผมต้องไปกับคุณภากร กว่าจะเสร็จและส่งแขกเรียบร้อยผมแทบกลายเป็นหนังไก่ไปทั้งตัว ความจริงสมัยเรียนผมก็เคยมีเพื่อนที่เป็นอย่างเขาแต่เจ้าพวกนั้นมันไม่ออกลายถึงขนาดนี้เท่านั้นเอง


“เป็นไงจ๊ะพ่อหนุ่มเจ้าเสน่ห์ เจอลีลาเพื่อนพี่เข้าไปถึงกับหน้าซีดเชียว”


“ก็ไม่ค่อยชินน่ะครับ” ร่างสูงในชุดสูทเข้ารูปมากๆหมุนตัวกลับมากรีดมือโบกลาแล้วค่อยหายเข้าลิฟต์ไป  “พี่พัชกับพี่พอลเป็นเพื่อนกันเหรอครับ”


“จ๊ะ ตั้งแต่สมัยอยู่มหาลัยโน่นแหละ เรียนจบยังไม่ทันรับปริญญามันก็บินไปปารีส บอกว่าจะไปเดินทางตามหาความฝัน มารู้ทีหลังว่าหนีที่บ้านไปเรียนแฟชันดีไซน์ พอกลับมาก็เปิดร้านเสื้อของตัวเอง แต่ต้องยอมรับเลยว่ามันเก่งหมดทั้งเสื้อผ้าผู้หญิงผู้ชาย ได้ทุกสไตล์ทั้งทำงาน ใส่เล่นหรือออกงาน รับรองเลยว่างานนี้กานต์เกิดแน่นอน”


ผมยิ้มแหย ไม่รู้จะดีใจกับการคาดการณ์ของพี่พัชดีหรือเปล่า ที่สำคัญยังมีบางเรื่องที่ผมติดใจ...


“เอ่อ...พี่พอลเขา...”


“หืม?” พี่พัชหันมาเลิกคิ้วมองหน้าผมและเหมือนจะเข้าใจโดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไรต่อ “อ๋อ หมายถึงที่ดูครึ่งๆกลางๆอย่างนั้นใช่มั้ย ไม่ว่าใครจะมองยังไงพี่ว่ามันไม่สำคัญเท่ากับที่เขาเป็นคนดี มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ที่สำคัญคือเป็นเพื่อนที่พี่คบด้วยความสบายใจมากๆคนหนึ่งเลยล่ะ”


พอเห็นพี่พอลแล้วก็ช่วยไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณภากร ไม่เคยมีใครที่มีท่าทีกับผมแบบเขามาก่อน และถึงตอนนี้ผมก็ยังแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มีความเบี่ยงเบนไปจากธรรมชาติที่พ่อแม่ให้มา ผมยังชอบมองผู้หญิง ยังมีความรู้สึกเวลาเห็นสาวเซ็กซี่ หรืออย่างเมื่อกี้ผมแอบกลั้นใจตอนโดนพี่พอลสัมผัส แต่มาคิดดูแล้วยังไงก็ไม่เหมือนอย่างเวลาที่อยู่กับคุณภากร แล้วมันจะหมายความว่าผม...?


“พี่เขาคงมีแฟนแล้ว...” พี่พัชหันไปเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อพร้อมทำงาน ผมเลยลองเอ่ยปากค่อยๆ “แล้วแฟนเขา...?”


เท่านั้นเองพี่พัชรีก็หันขวับมามองผมเหมือนเห็นตัวประหลาดก่อนจะหลุดขำ


“ก็ต้องผู้ชายสิจ๊ะถามได้! เรื่องแบบนี้คุยกันกานต์ไม่ต้องเขินหรอก สมัยนี้มันธรรมดาจะตาย แล้วพี่ก็ไม่ได้อยากจะนินทาเพื่อนตัวเองหรอกนะ แต่กานต์ต้องเห็นเวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนๆกัน มันจะแปลงร่างจากพอลธรรมดากลายเป็นพอลลาสวยเซี้ยะซะไม่เกรงใจใครเลย ยิ่งเวลาเจอพวกฝรั่งหรือไปเที่ยวเมืองนอกด้วยกันสามารถอัพเกรดเป็นพอลลีนได้อีกต่างหาก ไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยล่ะ”


ผมพอนึกภาพพี่พอลแต่งหญิงได้ไม่ยากเพราะเขาดูให้ทั้งรูปร่างสูงเพรียวและรูปหน้าเรียว มีรอยเครื่องสำอางเพียงบางๆโชว์ผิวพรรณและเครื่องหน้าเดิมที่ดีอยู่แล้ว แต่คิดถึงตัวเองในสภาพแบบนั้นแล้วอดขนลุกไม่ได้ หรือจะให้คุณภากรลองใส่กระโปรง...


ยู้ดดด หยุดเลยไอ้กานต์! แค่คิดก็สยองกว่าหนังผีสามมิติซะอีก!!!


“กานต์” พี่พัชรีเรียกให้สติผมกลับคืนมา เธอจ้องเข้ามาในตาของผมและคงเห็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตัวเอง “เรื่องของความรู้สึก หรือความรักน่ะ บาทีเราเองก็ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ”


“พี่พัชหมายถึง...”


“เปล่านี่จ๊ะ พี่แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ แต่ไม่ว่ายังไงพี่ก็อยากเห็นกานต์มีความสุขเท่านั้นเอง”


เรื่องบางเรื่องคงเหมือนขี้ผงเข้าตาที่ขอให้คนอื่นช่วยน่าจะง่ายกว่า แต่พี่พัชเอาแต่มองผมยิ้มๆและให้เพียงกำลังใจส่งกลับมา ผมเลยต้องแบกหน้ายุ่งๆไปทำงานต่อ แต่เชื่อมั้ยว่าตัวการที่ทำให้ผมคิดไม่ตกกลับทำหน้ายุ่งกว่าผมซะอีก คุณภากรเข้าออฟฟิศเมื่อเกือบเที่ยง พอมาถึงก็ไม่พูดไม่จา ก้มหน้าอ่านเอกสารแล้วก็เซ็นๆๆ ทำเหมือนผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้องด้วยอย่างนั้นแหละ


“นายจะรับกาแฟมั้ยครับ” เป็นประโยคแรกที่ผมหาจังหวะพูดออกไปหลังจากทนอึดอัดอยู่นาน ไม่ได้ผล! “หรือจะเปลี่ยนเป็นชาร้อนๆสักถ้วย มีทั้งชาเขียว ชาจีน ชา..ดำ..เย็น..”


เฮ้ย! อะไรกันฟะ ทุกทีล่ะตอแยผมจัง ทียังงี้ปล่อยให้ผมยืนบ่นเป็นคนบ้า ไม่สนแล้วก็ได้! แต่พอผมหันกลับไปเห็นโต๊ะทำงานตัวเองกลับนึกไปถึงเรื่องที่โดนเขาแกล้ง แล้วก็เหมือนมีแสงสว่างวาบเข้ามาในหัว หวังว่าสิ่งที่ผมคิดออกจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์น่าอึดอัดได้ ผมเลยหมุนตัวกลับมายืนมองคนท่าทางงานยุ่ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วก็...


“คุณภากรครับ”


อะฮ้า! ปากกาด้ามทองที่กำลังหมุนอยู่ในมือใหญ่เสียจังหวะทันที แค่นี้ก็ถือเป็นชัยชนะของผมแล้ว ผมเรียกซ้ำอีกครั้งแล้วหยุดรอ เกือบครึ่งนาทีเชียวนะกว่าเขาจะยอมเงยหน้าขึ้นมามองผม ทว่า...ในสายตา...ไม่ได้มีผมอยู่ในนั้นเลยสักนิด!


เข็มนาฬิกากระดิกตัวไปเรื่อยๆแต่สมองผมมันไม่ทำงานเสียแล้ว สุดท้ายเขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก


“มีอะไร”


ผมกระพริบตาแล้วจู่ๆรอบตัวก็กลายเป็นความมืดดำ เสียงพระสวดอภิธรรมดังกระหึ่ม กระนั้นสองหูของผมยังได้ยินชัด...


‘มันไม่ใช่ลูกกู’


เป็นประโยคที่คงไม่มีใครอยากได้ยิน ผมเองก็พยายามปล่อยให้คำพูดนั้นลอยผ่านหูไป และโทษว่าสาเหตุคือขวดเบียร์ที่กลิ้งเค้เก้อยู่ข้างตัวพ่อ แต่ที่ทำยังไงก็ไม่อาจลบไปจากความทรงจำคือดวงตาระเรื่อแดงที่มองผมอย่างไร้ตัวตน เสียงที่เปล่งออกมาไร้ซึ่งความรู้สึกแต่กลับเฉือนใจผมออกเป็นชิ้นๆ


แสงสว่างวูบเข้ามากลายเป็นอีกฉากตอนที่ผมมีผู้หญิงสองคนขนาบข้าง เราทั้งสามกำลังอาบไอร้อนอยู่หน้าเชิงตะกอนเพื่อลาแม่กานดาเป็นครั้งสุดท้าย สัปเหร่อส่งสัญญาณให้พวกเราถอยแล้วจึงปิดประตูบานเล็กกั้นเปลวเพลิงไว้ภายใน เมื่อหันกลับมาผมเห็นพ่อยืนนิ่งกลางลานซีเมนต์กว้าง กำลังแหงนคอมองควันสีเทาที่ปลายปล่องสูง ดวงตาคู่นั้นดูเหงา หวนหาคนที่จากไป แต่เมื่อพ่อก้มหน้ากลับลงมาและรู้ได้ว่าผมอยู่ตรงนั้น พ่อก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่เสียเวลามองผมแม้สักวินาทีเดียว


ผมกระพริบตาแล้วรอบตัวก็สว่างวาบพาผมกลับมายังห้องทำงานที่มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่คั่นกลางระหว่างผมกับคุณภากร


“เป็นอะไร?!” เหมือนเขาจะถามมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่ได้คำตอบ ร่องกลางระหว่างคิ้วจึงลึกขึ้นจนเห็นได้ชัด


“ขอโทษครับ” เสียงผม?... เหมือนที่ทั้งมือและขากำลังสั่นแทบทรงตัวยืนไม่อยู่ หัวใจหวิวๆจนจับจังหวะหายใจไม่ถูกแล้ว


ผมหันหลังเดินออกจากห้องแม้จะยังได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองชัดเจน พ้นประตูได้ไม่กี่ก้าวก็บังเอิญมีใครสักคนยืนขวาง ภาพในตาพร่ามัวขึ้นทุกที ผมเลยยกท่อนแขนขึ้นปิดหน้าพร้อมอาการสะอึกเบาๆ ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้ร้องไห้ มันก็แค่...รู้สึกหน่วงๆแถวกระบอกตา แสบจมูก แล้วก็หูอื้ออีกนิดหน่อยเท่านั้น


คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะคิดยังไงไม่รู้แต่เขาจับมือผมจูงให้เดินตาม มารู้ตัวอีกทีเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องที่รายรอบด้วยตู้เก็บแฟ้มเอกสารแล้วคนๆนั้นก็ดันผมไปยืนหลังติดผนัง


“เงียบๆนะ” ผมลืมตาพร้อมกับที่คุณเมธก้มลงมากระซิบบอก ฝ่ามืออุ่นแนบข้างแก้มเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือไล้ใต้ตาเบาๆ


พอเขาถอยหลังไปประตูห้องก็เปิดออกทันที ผมรีบหลับตาปี๋ โชคดีที่คุณเมธคว้าไว้ทันก่อนที่บานประตูจะตีเข้าหน้าผมจังๆ


“อยู่ไหน?!” เสียงนั้นทำให้ผมยืนตัวแข็งกว่าเก่า เข้าใจความหมายของประโยคเมื่อครู่ในทันที


“อะไรอยู่ไหน” คุณเมธถามกลับ น้ำเสียงติดรำคาญนิดๆ


“ดิฉันเรียนแล้วค่ะว่าเห็นเข้าลิฟต์ไป แต่ท่านไม่เชื่อ” เสียงพี่พัชแทรกเข้ามาทำให้ผมพอเข้าใจสถานการณ์ ที่อยากเห็นตอนนี้คือสีหน้าของคนที่ยืนอยู่ข้างๆผม เสียแต่ว่ามีบานประตูคั่นกลางอยู่เท่านั้น


“ผมไม่ว่าง ถ้าท่านประธานจะหาใครหรืออะไรก็ตาม รบกวนเรียกการ์ดมาช่วยหาแล้วกัน คุณพัชกลับไปทำงานเถอะครับ”


“โทษที”


ฝ่ายที่บุกเข้ามาบอกเสียงเบาลง คุณเมธเหลือบมองมาผมแวบหนึ่งแล้วพูดออกไป


“หวังว่าจะยังจำได้” เงียบไปทั้งคู่ก่อนที่เจ้าของห้องจะขยายความต่อ “เรื่องที่คุยแล้วก็ที่เตือนๆไป อย่าให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาล่ะ”


“ใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นลูกน้องกันแน่วะ”


“ฉันพูดในฐานะเพื่อนแต่ถ้า ‘นาย’ จะไม่ฟังก็ตามใจ” ผมเห็นคุณเมธมองตรง แววตาจริงจังยิ่งกว่าเวลาคุยเรื่องงานเสียอีก “ความรู้สึกคนไม่ใช่ของเล่น ต่อให้นายมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้าก็ไม่มีทางเป็นเจ้าชีวิตใครได้ และอย่าคิดใช้หัวใจใครเป็นเครื่องมือเพราะสุดท้าย...คนที่จะเจ็บปวดที่สุดก็คือตัวนายเอง”


“ฉันไม่ได้...”


“ผมขอตัวทำงาน เชิญครับนาย”


คุณเมธตัดบทและดันประตูห้องปิดราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นถึงเจ้าของโรงแรม เสร็จแล้วเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน...ไม่สิ เลยไปที่ตู้กระจกต่างหาก ถ้าผมจำไม่ผิด ฝั่งนั้นจะเป็นข้อมูลส่วนของคาสิโน เขาเลือกดึงออกมาสามแฟ้มใหญ่ๆขนาดที่ผมถือคนเดียวต้องเรียกว่าหอบกันเชียวล่ะ ผมเลยเดินเข้าไปนั่งตาละห้อยที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขาอย่างรู้ชะตากรรมตัวเอง


“ดีกว่าอยู่เฉยๆให้ฟุ้งซ่านน่ะ” คุณเมธบอกพลางยื่นกระดาษโน้ตมาให้ ซึ่งก็หมายถึงการบ้านที่ผมต้องอ่านและหาคำตอบจากแฟ้มพวกนี้ให้ได้ก่อนพบเขาในวันรุ่งขึ้น ถือเป็นงานประจำวันนอกเหนือจากหน้าที่กำกับดูแลท่านประธานให้ทำทุกอย่างตามตารางงาน


ความจริงในหัวผมมันเหมือนกำลังเกิดจลาจลเกินกว่าจะเรียบเรียงออกมาเป็นเรื่องๆได้ด้วยซ้ำ ไหนจะท่าทีแปลกๆของคุณกร ไหนจะคำพูดเข้าใจยากของคุณเมธ แล้วยังจะอาการเพี้ยนๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่น่าแปลกที่พอเปิดเอกสารแค่แผ่นแรก ผมกลับมีสมาธิและสามารถพุ่งความสนใจไปกับทุกตัวอักษร หรืออาจเป็นเพราะทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมาผมจะพบดวงตาคู่หนึ่งที่ให้ความรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกก็ได้ล่ะมั้ง



จบตอนแล้วจ้า




พูดกันถึงชื่อตัวละครแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าลืมแนะนะตัวเอง Mine  มายน์ ค่ะ สั้นๆง่ายๆ ทักได้ คุยได้ ทวงนิยายก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที 555
 

สำหรับเรื่องของกานต์ รับรองว่าจบแน่นอน ถ้าหายไป ไม่ใช่ยุ่งเรื่องงานก็แค่เน็ตมีปัญหา อย่างที่ขาดช่วงไปตอนแรกก็เพราะเน็ตล่ม เล่นไม่ได้อยู่เป็นอาทิตย์ๆ โทรเข้าไปถามจนสงสารน้องๆคอลเซนเตอร์เลยค่ะ



ตอนนี้มีกระทู้เรื่องสั้นเพิ่มมาอีกอัน ฝากติดตามด้วยนะคะ


(เรื่องสั้น) สนพ.วุ่น Y หัวใจวุ่นรัก (Kirishima Zen X Yogozawa Takafumi)


http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53006.msg3353719#msg3353719

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 08-04-2016 19:59:37



9 .



ผมมองความวุ่นวายรอบตัวแล้วก็ต้องถอนหายใจยาวๆ ทุกคนต่างมีงานล้นมือแต่พอผมจะเข้าไปช่วยบ้างก็โดนบอกปฏิเสธ แถมคนที่พาผมมาด้วยยังส่งสายตาตำหนิอย่างกับผมทำตัวจุ้นจ้านนักหนา สรุปแล้วถึงไม่มีใครพูดออกมาแต่ดูเหมือนหน้าที่อย่างเดียวของผมคือการเดินตามคุณวรเมธที่กำลังตรวจความเรียบร้อยของห้องจัดเลี้ยง อ้อ! มีแฟ้มบางๆให้ถือแก้เขินตั้งหนึ่งแฟ้มถ้วนแน่ะ!


“ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง! เดี๋ยวพวกผมทำเองครับคุณกานต์” ผมเห็นผ้าคลุมที่เก้าอี้ตัวหนึ่งยังไม่ตึง ตัวโบว์สีทองที่คาดอยู่ด้านหลังก็เบี้ยวเลยจะเข้าไปช่วยจัด มือยังไม่ทันโดนเลยเสียงร้องห้ามก็ลอยมาแล้ว


“แต่...” เชื่อมั้ยว่าตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงผมอ้าปากออกเสียงได้แค่นี้เอง เพราะยังไม่ทันจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็รีบบอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็เชื้อเชิญให้ผมไปทำตัวว่างๆอยู่ไกลๆ แล้วที่น่าอึดอัดที่สุดคือพนักงานทุกคนพร้อมใจกันให้ความเคารพยำเกรงเหมือนผมเป็นหัวหน้า ทั้งที่ไม่กี่อาทิตย์ก่อนยังเล่นหัวเรียกผมไอ้กานต์อยู่เลย เมื่อไหร่ผลจากข่าวลือเรื่องโรงแรมที่ภูเก็ตมันจะซาไปสักทีก็ไม่รู้


“กานต์” ว้าว! เสียงสวรรค์ มีคนต้องการตัวผมแล้ว แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าใครคนนั้นไม่ใช่คนที่ผมจงใจเลี่ยงการเผชิญหน้า พอหมดธุระเรื่องงานก็หนีไปอยู่ห้องคุณวรเมธหรือไม่ก็ลงไปวอแวป้ามาลัย เชื่อมั้ยล่ะว่าไม่มีใครตำหนิที่ผมเกงานซะด้วย


“กานต์” อ้าว! ทั้งที่เรียกให้ตามมาแล้วปล่อยทิ้ง ไม่ดูดำดูดีกันเลย แต่ตอนนี้กลับเรียกหาซะงั้น อะไรของเขานะคุณเลขาใหญ่นี่


“กานต์” เฮ้ย! ทำไมจู่ๆผมขายดีจัง ขนาดป้ามาลัยกับพี่พัชรียังแท็กทีมต้องการตัว แล้วผมควรจะเดินไปหาใครดีล่ะเนี่ย


สรุปผมเลยอยู่เฉยๆเป็นแม่เหล็กดูดให้ทุกคนเข้ามาหาแทน คุณเมธมาถึงก่อนแต่ไม่ได้มีธุระอะไร แค่มายืนเป็นวอลเปเปอร์อยู่ข้างหลัง ตามด้วยพี่พัชรีกับป้ามาลัยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนน่าสงสัย สุดท้ายคือคุณภากรที่เดินทอดน่องชิวๆแต่ทำหน้าอย่างกับโรงแรมจะเจ๊งอย่างนั้นแหละ


“พอลให้เด็กที่ร้านเอาชุดมาส่งแล้ว พี่เลยมาตามกานต์ไปลองเสื้อจ๊ะ” ขอบอกว่าพี่พัชดูตื่นเต้นยิ่งกว่าผมที่ต้องใส่มางานคืนนี้เสียอีก


“แต่นี่มันเพิ่งจะสี่โมง กว่าจะเข้างานตั้งเกือบทุ่ม ผมอาบน้ำแต่งตัวแป๊บเดียว ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ”


“ยังไงก็ไปลองสักหน่อยก่อน เผื่อยาวไปหลวมไปจะได้แก้ไขทัน นี่ป้าก็จะไปช่วยดูด้วยอีกคนนะ” ป้ามาลัยรีบเสริม แถมคว้าแขนหมับเลย สงสัยจะกลัวผมวิ่ง แหม! ผมไม่ใช่เด็กดื้อด้าน เรียกยากเรียกเย็นสักหน่อย แค่รู้สึกเกรงใจที่จะหนีไปทั้งๆที่หัวหน้าตัวเองยังทำงานอยู่งกๆ แล้วใครไม่รู้อาจจะคิดว่าผมขี้เห่อที่จะได้ใส่สูทโก้ออกงานหรูๆก็ได้


“แค่สูทธรรมดา ใส่แป๊บๆก็ถอดแล้ว ไม่เห็นต้องลองเลย แล้วนี่กานต์ก็ยังทำงานอยู่นะครับป้า”


“ไปเถอะ ยังไงทางนี้ก็ไม่มีอะไรให้นายทำอยู่แล้ว” เสียงดังมาจากข้างหลัง แล้วข้ามหัวไปคุยต่อกับคนข้างหน้า ใช่ซี้! อย่างกับคุณเมธจะเห็นหัวผมเสียที่ไหน เขาเองก็รู้ว่าผมไม่มีอะไรทำ พอจะขอกลับไปอ่านแฟ้มต่อดันไม่อนุญาต ไม่รู้นึกอะไรของเขา


“ฝากคุณมาลัยกับคุณพัชด้วย เอาให้คนในงานตะลึงตาค้างกันไปเป็นแถบๆเลยนะครับ” 


พี่พัชรีรีบรับปากรับคำ ผมล่ะเซ็งเลยอ้อนให้ป้ามาลัยลูบหัวสักที แต่พอเราสามคนจะแยกตัวไป...


“นายมีธุระอะไรกับผู้ช่วยเลขาผมหรือเปล่าครับ” พอคุณเมธถามขึ้นมา ผมก็เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่คุณภากรเรียกผมเป็นคนแรกด้วยซ้ำ


“ไม่มี แค่จะมาบอกว่าอย่าลืมเรื่องงานเลี้ยงเย็นนี้”


ผมดึงป้ามาลัยไว้ด้วยความลังเลและรู้สึกผิด มีอย่างที่ไหนให้เจ้านายมาเตือน นั่นมันหน้าที่ของผมต่างหาก แต่ที่ผิดหูกว่า...


“เรื่องนั้นนายวางใจได้ สักหนึ่งทุ่ม เราสองคนจะมารอที่หน้างาน ไม่สายแน่ รับรองครับ”


“สองคน?”


ไม่ใช่แค่คุณภากรหรอกที่แปลกใจ ทั้งพี่พัชรี ป้ามาลัย และโดยเฉพาะผมก็ไม่รู้มาก่อนว่าคุณเมธจะร่วมงานด้วย ก็ไหนเขาบอกว่าตรวจงานเสร็จแล้วจะชิ่งเพราะไม่อยากปั้นหน้าคอยต้อนรับคนใหญ่คนโตที่จะขนกันมาร่วมงานช้างไงล่ะ


“งานใหญ่อย่างนี้ถือเป็นหน้าเป็นตาของโรงแรม ผมเลยอยากอยู่ควบคุมให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อยที่สุด ส่วนนายก็ร่วมงานในฐานะแขกกับคุณภัทราพรไป ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอกครับ”


คุณวรเมธมีรอยยิ้มอย่างน่าสงสัย ส่วนคุณภากรจะเป็นอย่างไรนั้นก็สุดรู้เพราะจนป่านนี้ผมยังไม่กล้ามองหน้า หรือสบตากับเขา บอกตามตรงว่ากลัว ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมแต่ผมยังรู้สึกใจหวิวๆทุกครั้งที่นึกถึงสีหน้าและแววตาแบบวันนั้น


“เป็นอะไรไปลูก ทำไมจู่ๆถึงมือเย็นอย่างนี้”


ผมส่ายหน้าแล้วเป็นฝ่ายเดินนำป้ามาลัยกับพี่พัชรีกลับไปที่ห้อง จากนั้นทั้งคู่ก็สนุกกับการเล่นแต่งตัวตุ๊กตาเพราะผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าถอดหรือใส่อะไรไปบ้าง เรื่องแฟชันนี่ผมไม่ถนัดอยู่แล้ว รู้แต่ว่าที่อยู่บนตัวน่าจะเรียกว่าสูทแต่เป็นสีครีมอ่อนต่างจากสีเข้มที่เห็นชินตา เนื้อผ้านิ่มตัดเย็บเข้ารูป ขนาดพอดีตัวผมโดยเฉพาะด้านในเป็นเสื้อกั๊กที่เล่นลายผ้าให้ดูเด่นขึ้น ส่วนรอบคอไม่ใช่เนคไทหรือหูกระต่ายแต่เป็นผ้าผืนยาวๆอีกชิ้นที่พี่พัชรีบรรจงพับๆพันๆจนดูไปก็คล้ายใส่ผ้าพันคอ ดีนะทีช่วงนี้เรียกว่าปลายฝนต่อต้นหนาว ขืนเอาไปใส่ตอนหน้าร้อนคงมีคนมองว่าเพี้ยน


“ต๊าย! เริ่ดม๊ากกกก” พี่พัชรีถอยไปสองสามก้าวแล้วเอียงคอมองผมด้วยสายตาภาคภูมิใจในฝีมือตัวเอง ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าพี่พอลว่างแล้วมาแต่งตัวให้ผมเองจะออกอาการอะไรบ้าง “น่ารักที่สุด ใช่มั้ยคะคุณมาลัย ดาราเกาหลีชิดซ้ายไปเลยนะเนี่ย”


ผมหันไปอีกทาง เห็นป้ามาลัยยิ้มกว้างและยื่นมือออกมา ผมเลยเดินเข้าไปสวมกอด


“ดูดีมากเลยลูก” ผมหอมแก้มป้าแรงๆแทนคำขอบคุณ ขอแค่นี้ล่ะกำลังใจผมก็มาเป็นกองแล้ว


“แหม แล้วของพี่ล่ะจ๊ะรูปหล่อ” ผมหลุดขำแล้วโผเข้าไปให้พี่พัชรีกอดบ้าง “เอาล่ะ เสื้อผ้าเรียบร้อย ทีนี้ก็มาหน้าตาผมเผ้ากันบ้าง”


สรุปคือผมเสียรู้ บังเอิญว่าห้องนี้ไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งแต่มีกระจกเงาบานใหญ่ติดไว้ที่มุมหนึ่ง ผมเลยถูกลากไปยืนขาแข็งอยู่ตรงนั้นให้พี่พัชรีทำอะไรหลายๆอย่างกับหน้าโดยมีป้ามาลัยคอยเป็นลูกมือและส่งเสียงปรามให้ผมยอมจำนนแต่โดยดี สาบานได้ว่าชีวิตนี้ผมไม่เคยและไม่คิดว่าผู้ชายจะต้องแต่งหน้า โอเคล่ะ ถ้าคืนนี้เป็นเจ้าบ่าวอาจมีบ้างเพื่อให้เวลาถ่ายรูปออกมาแล้วดูดีสมกับเจ้าสาว แต่นี่ผมเป็นแค่แขกที่เจ้าภาพไม่ได้เชิญด้วยซ้ำนะ


“เอ่อ...” ผมพยายามจะส่งเสียง แต่โดนพี่พัชบีบปากหมับ พอจะหันไปส่งสายตาวิงวอนป้ามาลัยก็ถูกจับคางหมุนหน้ากลับมา ใจร้าย!


“อยู่นิ่งๆสิกานต์ ยิ่งยุกยิกยิ่งเสร็จช้านะ”


“แต่ผมว่าพอได้แล้วมั้งครับ หน้ามันตึงๆหนักๆยังไงก็ไม่รู้”


ผมพูดเวอร์ไปอย่างนั้นแหละแต่ความจริงแทบไม่รู้สึกอะไรเลย คนแต่งเองก็บอกว่าสภาพหนังหน้าผมยังดีมาก แค่ลงครีมบำรุง ตามด้วยบีบีครีมเบาๆกับแตะแป้งอีกนิดหน่อยเพื่อให้ผิวขาวดูเนียนมีมิติมากขึ้น ส่วนจุดที่พี่พัชบรรจงเป็นพิเศษคือรอบดวงตาของผม


“เอาล่ะ เสร็จแล้ว” โอว สวรรค์ นี่ล่ะคำที่ผมอยากได้ยิน!


ผมลืมตาขึ้นและมองคนในกระจกเงาด้วยความประหลาดใจ เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่คุ้น ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะ...เรียกว่า ‘ดูดี’ เหมือนอย่างคำป้ามาลัยแล้วกัน โดยเฉพาะเวลาที่ผมกระพริบตา คนในกระจกก็ทำเหมือนกันแต่ดวงตาคู่นั้นทั้งคมและหวานผสานกันอย่างกลมกลืนที่สุด


“คืนนี้ต้องมีพวกนักข่าวมาด้วยแน่ๆ ถ้าไม่มีใครมาขอถ่ายรูปหรือนึกว่ากานต์เป็นดารามาร่วมงานล่ะก็ กลับมาเหยียบพี่ได้เลย”


“นั่นสิ” ป้ามาลัยให้ความเห็นบ้าง แต่...หรือผมจะตาฝาดไป สีหน้าป้าไม่สู้ดีเลย “วันนี้กานต์...”


“จะว่าหล่อก็หล่อ จะว่าน่ารักก็ได้อีก อธิบายไม่ถูกเลยใช่มั้ยคะคุณมาลัย”


“จ๊ะ แต่ก็คล้ายใครคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก เหมือนมากทีเดียว”


ป้ามาลัยไม่เคยมองผมด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่แค่ความคิดถึงแต่เหมือนมีความเสียใจ รู้สึกผิดปะปนมาด้วย


“กานต์เหมือนใครเหรอครับ”


“คนที่ป้าเคยรู้จักเมื่อสมัยก่อนน่ะ ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ”


“แล้วทำไมอยู่ดีๆป้าต้องทำหน้าเศร้าด้วย หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเขาเหรอครับ” ผมกอดแล้วอ้อนถาม ในใจนึกได้ว่าอาจเป็นคนใกล้ตัวหรือคนในครอบครัวซึ่งเมื่อสูญเสียไปย่อมต้องเสียใจทุกครั้งที่นึกถึง เหมือนอย่างที่ผมเองก็เศร้าเวลานึกถึงแม่กานดาอยู่เสมอ


“ป้าก็ไม่รู้หรอกลูก ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีแล้วมั้ง...ไม่เอาๆ เลิกคุยเรื่องป้าเถอะ ไปหาคุณเมธกันเลยดีกว่า ป่านนี้คงรอแล้วล่ะ” ป้าแสร้งเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง แต่เห็นป้ายิ้มออกแล้วผมเลยไม่อยากซักไซ้ต่อ


พี่พัชรีขอตัวกลับก่อนเพราะหมดธุระกับผมแล้ว แต่ได้ยินโทรคุยกับพี่พอลเสียงแจ๋วคงนัดไปเจอกัน แถมยังให้ผมแอคท์ท่าถ่ายรูปจนนับตามไม่ทัน เชื่อขนมกินได้เลยว่าสองคนนี่ต้องเอาผมไปเม้าท์ต่อกันสนุกปาก ส่วนป้ามาลัยถูกตามตัวกลับไปที่แผนก ผมเลยกลับมาหาคุณวรเมธที่ออฟฟิศแค่คนเดียว แต่พอลิฟต์เปิดออกถึงได้รู้ว่ายังมีอีกคนที่รออยู่เหมือนกัน


“ว้าว! มานี่มา” คุณวรเมธกวักมือเรียก พอผมวิ่งไปหาก็จับตัวหมุนซ้ายหมุนขวา ชักจะรู้สึกตัวเองเหมือนตุ๊กตาเข้าไปทุกที “ยังไงดีล่ะเรา อืมมมม น่ารักดีนะ”


“หล่อเหอะคุณเมธ ผมผู้ชายนะทำไมใครๆชอบชมว่าน่ารักอยู่เรื่อยเลย” ผมเถียงหน้างอแต่ผลคือโดนหยิกแก้มเข้าให้ ก็เพราะใครๆชอบแกล้งยังงี้แก้มผมมันถึงได้ทั้งป่องทั้งแดงอยู่ตลอด ผมไม่ได้ตั้งใจเป็นเองซะหน่อย


“นายมันน่ารักจริงๆนี่น๊า คุณพัชก็ฝีมือใช้ได้ แต่งซะเด็กกะโปโลกลายเป็นหนุ่มน้อยชวนฝัน ตางี้หวานเชียว ไหนขอดูใกล้ๆหน่อยซิ” คุณเมธคว้าคอให้ผมยื่นหน้าไป ส่วนเขาก็ก้มลงมา อีกนิดเดียวจมูกจะชนกันอยู่แล้วก็บังเอิญมีสัญญาณแทรกเป็นเสียงกระแอมจากร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท รูปร่างหน้าตาน่าชวนไปวัดอยู่หรอก เสียแต่มาทำตาดุ หน้าหงิก คิ้วบิดเป็นเลขแปด หมดหล่อไปจมเลย


เอ๊ะ! ผมกล้ามองหน้าและสบตาคุณภากรแล้วนี่ ดี..เอ๊ย! ไม่ใช่ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย ก่อนหน้านี้ผมคงเพ้อเจ้อไปเองนั่นแหละ คุณภากรก็ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนไปเลย


“นายคิดว่าไงครับ”


คุณเมธถามพลางจับไหล่ดันผมไห้ก้าวออกไป ผมก้มหนีก็เชยคางให้เงยหัวขึ้น แน่นอนว่าตรงหน้าคือท่านเจ้าของโรงแรม และตอนนี้เขาก็มองมาด้วยสายตาชนิดที่ทำให้ผมรู้สึกร้อนๆหนาวๆยังไงบอกไม่ถูก


“จะไปกันได้หรือยัง”


คุณภากรสะบัดเสียงตอบแล้วเดินตรงเข้าลิฟต์ คุณวรเมธจูงผมให้เดินตามไป ตอนอยู่ในลิฟต์ก็ยังวุ่นวายกับผมไม่เลิก จนเมื่อลิฟต์หยุด...


“เดี๋ยว!” เสียงนั้นดังมาจากด้านหลังแล้วก็มีมือยาวเอื้อมไปกดปุ่มเลขหนึ่งก่อนจะดันตัวผมให้ออกมายังชั้นสามซึ่งเป็นห้องจัดเลี้ยงใหญ่ของโรงแรม สถานการณ์ทำให้ผมเปลี่ยนข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ ซ้ำร้ายคนที่ยืนข้างผมตอนนี้ยังเป็นผู้ออกคำสั่งเสียด้วย


“นายลงไปที่คาสิโนเลย มีปัญหานิดหน่อย เฮียสยามรออยู่ที่ห้องคอนโทรล เรียบร้อยแล้วรออยู่ที่นั่นก่อน เสร็จทางนี้แล้วฉันจะตามไปเช็คอีกที”


ผมหันขวับเพราะนั่นหมายความว่าผมจะต้องเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงและอยู่ในงานนั้นกับคุณภากรคนเดียวน่ะสิ ถ้าไม่มีคุณเมธก็จะไม่รู้จักใครเลย แล้วผมจะทำยังไงล่ะ


“มากับฉัน”


ผมอ้าปากยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกคุณภากร ไม่เรียกว่าจูง ต้องบอกว่ากระชากให้หันหลังเพื่อเดินไปกับเขา


“กร!” โชคดีที่คนในลิฟต์เรียกเอาไว้ ไม่งั้นผมถูกลากเข้างานแน่ “แน่ใจแล้วใช่มั้ย”


ผมเห็นทั้งคู่มองตากันอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่พูดอะไร แล้วพอมือคุณภากรเลื่อนจากต้นแขนลงไปจับมือผมไว้แทน คุณวรเมธก็กดปุ่มปิดประตูลิฟต์พร้อมกับมีรอยยิ้มบางๆ ผมเลยกลายเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร ได้แต่เดินตามคุณภากรไปโดยดี เขาเองก็เลิกทำหน้าบูดเลยยิ่งดึงดูดความสนใจจากบรรดาแขกที่ยืนคุยกันอยู่หน้างาน โดยเฉพาะสาวๆมีทั้งแอบมองและบางรายส่งยิ้มมาทักทาย แต่ไม่ว่าใครพอเลยมาเห็นผมเข้าเป็นต้องทำหน้าสงสัย ทำอย่างกับเห็นตัวประหลาดอย่างนั้นแหละ


“คุณกรครับ” ช่วยเชื่อว่าผมไม่ตั้งใจทีเถอะ แค่ไม่อยากทำตัวมีปัญหาหรือก่อกวนให้เขาหงุดหงิดขึ้นมาก็เท่านั้นเอง  “แขกที่มาร่วมงานต้องไปเซ็นอวยพรที่โต๊ะตรงโน้นก่อน งั้นผมยืนรอตรงนี้นะครับ”


บอกตามตรงว่าผมไม่ได้หวังแต่ก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่เขาจะผลักหลังผมเบาๆให้เดินนำไปยังโต๊ะยาวที่ต่อจากรูปบ่าวสาวขนาดเท่าตัวจริงและซุ้มดอกไม้ใหญ่โตอลังการที่จัดไว้เป็นฉากให้ถ่ายรูป ผมเอี้ยวตัวไปสบตาเป็นเชิงถามเพราะไม่เคยชินกับงานที่เป็นพิธีการขนาดนี้มาก่อน ที่เคยไปงานแต่งคนแถวบ้านก็แค่เดินไปนั่งที่โต๊ะ เรื่องซองหรือของขวัญพ่อกับแม่เป็นคนจัดการ ส่วนผมกับพี่กัญแค่รอกิน สักพักบ่าวสาวก็เดินมาถ่ายรูปและแจกของชำร่วยถึงที่โต๊ะ อิ่มก็กลับแค่นั้นเอง


“เขียนคำอวยพรลงไปแล้วก็เซ็นชื่อสิ” คนตัวโตคงเห็นผมหยิบปากกามาแล้วจดๆจ้องๆเลยกระซิบบอก แต่...เสียงนั้นมันใกล้จนผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เขาเลยยิ่งก้มลงมาพลิกหน้าสมุดเซ็นชื่อดูเพื่อให้คำแนะนำ “เขียนตามคนอื่นก็ได้ เอาที่สั้นๆก็พอ ลงชื่อฉันไปด้วยกันเลยนะ ฉันขี้เกียจ”


ยังดีที่บอกเสร็จเขาก็ถอยออกไปทำให้พอมีพื้นที่ว่างให้หายใจ ผมกวาดตามองคำอวยพร มีทั้งที่สั้นๆได้ใจความ บางอันก็ยาวราวกับจะเขียนเป็นเรียงความ คาดว่าจะเป็นฝีมือเพื่อนๆของบ่าวสาวที่อยากแสดงความรู้สึกยินดีกันอย่างสุดขีด


“อย่างนี้ได้มั้ยครับ” ผมหันไปถามหลังจากบรรจงเขียนประโยคอวยพรสั้นๆแล้วลงชื่อเต็มของคุณภากรเรียบร้อย แต่เจ้าตัวเห็นแล้วกลับตาขวางซะนี่ “ก็ผมไม่ใช่แขก เจ้าภาพคนไหนยังไม่รู้จักเลย ลงชื่อคุณกรคนเดียวก็พอแล้วนี่ครับ”


ลงท้ายคนขี้เกียจก็ฉวยปากกาไปแล้วใส่ชื่อผมต่อท้าย เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ยิ้มให้สาวๆที่นั่งเรียงรายแล้วรับของชำร่วยมาส่งต่อให้ผมถือ เป็นกล่องเล็กๆขนาดเท่าฝ่ามือ ผูกโบว์ติดชื่อเล่นของบ่าวสาวและลงวันที่อันสำคัญไว้ จริงๆผมอยากรู้มากเลยว่าข้างในเป็นอะไรแต่จะแกะกันหน้างานก็เกรงใจเจ้าภาพเลยได้แต่เขย่าฟังเสียงทายของที่อยู่ข้างในไปพลางๆ


“เดี๋ยวก็แตกหมดหรอก ของแพงนะจะบอกให้” ผมว่าผมเดินช้าแล้วแต่ร่างสูงก็ยังมาเดินตามเยื้องไปด้านซ้ายแล้วอ้อมมือมาแตะไหล่ขวาเป็นเชิงเตือนให้ผมทำตัวให้สมกับสถานที่ซะบ้าง แต่มาบอกแบบนี้ผมก็หน้าเสียสิ “ล้อเล่นน่ะ คงเป็นพวกตุ๊กตาเซรามิคล่ะมั้ง แต่เห็นว่าถ้าเป็นแขกผู้ใหญ่คนสำคัญๆจะได้คริสตัลรูปหมีกับปลาที่เป็นชื่อเล่นของเจ้าบ่าวเจ้าสาวน่ะ”


“คงจะสวยมากเลยนะครับ” ผมมองกล่องในมือและถือด้วยความระมัดระวังมากขึ้น


“แม่ฉันคงได้สักตัวสองตัว เดี๋ยวฉันขอมาให้ก็ได้”


ผมอ้าปากจะบอกปฏิเสธแต่ก็พอดีกับที่เขาหันไปสนใจและเอ่ยทักใครบางคนที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเรา...


“แม่”


คำนั้นทำให้ผมก้าวห่างออกจากคุณภากรมายืนนิ่ง มือกุมหน้าลำตัว สายตาตกลงพื้นโดยอัตโนมัติ แวบเดียวที่เห็นไม่ได้ผิดไปจากคำของป้ามาลัยแม้แต่น้อย คุณภัทราพรเป็นสุภาพสตรีชั้นสูงที่ยังดูสวยผุดผาดจนดูอ่อนกว่าอายุที่แท้จริง ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนบ่งบอกราคาแต่ไม่ได้ประโคมใส่เสียทำให้หมดคุณค่า กริยาท่าทางนุ่มนวลแต่ดูมีอำนาจ โดยเฉพาะดวงตาที่แม้จะยังไม่ถูกจ้องตรงๆก็ทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกพิกล


“นึกว่าเราจะเบี้ยวแม่ซะอีก” น้ำเสียงเรียบเย็นได้ยินแล้วให้รู้สึกตัวเล็กลงกว่าเก่า “มากับใครน่ะ”


“นี่คุณแม่ฉัน” คุณภากรพยักหน้าเบาๆ ผมจึงรีบก้าวเข้าไปและประนมมือไหว้อย่างเรียบร้อยที่สุด “กานต์ครับคุณแม่”


“ลูกชายฉันเป็นพวกไม่ชอบพูดมาก เธอคงต้องแนะนำตัวเองแล้วล่ะ”


“ผม...” ผมเงยหน้าขึ้นแวบหนึ่งแต่ยังไม่กล้าสบตาคุณภัทราพรตรงๆ เหลือบไปมองคนข้างๆที่ยืนไม่รู้ไม่ชี้ยิ่งทำให้ผมอึดอัด การแนะนำตัวเองกับคนที่ไม่รู้จัก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันมันยากจะตาย จะให้ผมหยิบเสี้ยวมุมไหนของชีวิตมาเป็นจุดเริ่มต้นล่ะ งั้นก็เอาเป็นข้อมูลกว้างๆที่ไม่ทำให้ผมดูผิดที่ผิดทางมากนักแล้วกัน “ผมเป็นเลขาคุณวรเมธครับ”


“ยังดูเด็กอยู่เลยนะ ไม่น่าเชื่อว่าตาเมธจะรับมาทำงานด้วย อายุเท่าไหร่ เรียนจบอะไรมาล่ะ”


ผมว่าคุณภัทราพรคงไม่ใช่คนแรกหรอกที่สงสัย ขนาดผมเองยังอยากรู้แต่ไม่กล้าถาม กลัวโดนคำตอบคุณเมธเชือดคอตาย


“แม่! จะมาซักประวัติอะไรกันตรงนี้ เข้างานเลยดีกว่า แต่ผมอยู่ได้แค่แป๊บเดียวนะ ที่คาสิโนมีปัญหานิดหน่อย ให้เมธไปดูแล้วแต่ผมต้องตามไปคุมด้วย”


เหตุผลของคุณภากรทำให้ผมชักสงสัย ตกลงที่คาสิโนเกิดเรื่องจริงๆหรือเป็นข้ออ้างที่ติดปากเขากันแน่ ถ้าอยู่โรงแรมก็อ้างคาสิโน อยู่คาสิโนโบ้ยไปที่คลับ พลิกลิ้นไปเรื่อยเชื่อไม่ได้!


“อย่าเสียมารยาทสิ พวกเพื่อนๆแม่พาลูกสาวมาโชว์ตัวตั้งหลายคน แต่ละคนทั้งสาวทั้งสวยทั้งเก่ง ไม่รู้ล่ะ ถ้าวันนี้รู้จักน้องๆไม่ครบทุกคนแม่ไม่ปล่อยกรออกจากงานแน่”


“โธ่! ผมบอกแล้วไงว่าขอหาเอง ถ้าแม่ยังไม่เลิกทำแบบนี้งานหน้าต่อให้เอาช้างมาลากผมก็ไม่ไปนะ”


ดีนะที่เอาแต่มองแต่พื้นเลยไม่มีใครได้เห็นว่าอาการตกใจของผม ความจริงผู้ชายอย่างคุณภากรกับการแต่งงานมีครอบครัวไม่ถือเป็นเรื่องแปลก แต่ลองใครโดนอย่างที่ผมโดนมาจะไม่ประหลาดใจได้เหรอ เอ๊ะ! หรือว่านั่นจะเป็นความลับที่แม้แต่คนเป็นแม่ก็ยังไม่รู้!


“ในเมื่อกรไม่ฟังแม่ แม่ก็จะไม่ฟังกรเหมือนกัน แล้วถ้ายังจะดื้อก็ขอให้คิดดีๆว่าดิฉันเป็นใครนะคะคุณภากร!”


คุณภัทราพรทิ้งท้ายได้เฉียบคมแล้วเดินกลับเข้างานไปด้วยมาดนางพญาผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจ


“ชิ!” คุณภากรหน้ามุ่ยจนน่าขำ เด็กที่ถูกขัดใจหน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง แถมยังมีหน้ามานินทาแม่ตัวเองให้ฟังอีก จะให้ผมพลอยโดนหางเลขไปด้วยหรือไง “บางทีแม่ฉันก็ทำตัวงี่เง่าอย่างนี้แหละ อยู่ในงานฉันอาจจะยุ่งหน่อยแต่นายห้ามหนีไปไหน อยู่ใกล้ๆกันไว้นะรู้มั้ย”


“แต่ผม...” อยู่ใกล้คุณภากรก็หมายถึงต้องไปเกะกะสายตาคุณภัทราพรด้วย บอกตามตรงว่าไม่อยากเลยแฮะ


“ไม่มีแต่ ต้องให้ฉันเห็นนายตลอดเวลา ฉันจะรีบหาเรื่องชิ่งให้เร็วที่สุดแล้วเราค่อยออกจากงานพร้อมกัน” ไม่เพียงแต่คำสั่ง คุณเจ้านายถึงขนาดยกโทรศัพท์กับกระเป๋าเงินมาให้เก็บไว้ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากรับปากว่าจะรักษาสมบัติของเขาเท่าชีวิต


ตลอดเวลาที่อยู่ในงาน คุณภากรกลายเป็นจุดสนใจไม่แพ้เจ้าภาพ หรือเรียกว่าขโมยซีนเจ้าบ่าวเจ้าสาวตัวจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ นึกถึงตามสวนสนุกที่จะมีหุ่นตัวใหญ่ให้เด็กๆถ่ายรูปคือภาพที่ผมเห็น เพราะบรรดาลูกสาวเพื่อนๆของคุณภัทราพรต่างเวียนกันเข้ามาทักทายและขอถ่ายรูปคู่กับเขากันไม่มีเว้นว่าง แถมไม่ว่าจะสาวจะแก่หรือกระทั่งแม่ม่าย ขอเพียงไม่มีพันธะก็พยายามชม้ายชายตาให้เจ้าของโรงแรมสุดหล่อกันทุกคน แล้วสำหรับผมที่ต้องอยู่ใกล้ๆ ต้องมาเห็นภาพและได้ยินทุกคำพูด คิดว่าจะเป็นเรื่องสนุกหรือฝันร้ายกันล่ะ


“คุณครับ” ผมถึงกับสะดุ้ง นึกว่าช่างภาพอีกรายมาขอถ่ายรูป หันไปค่อยโล่งอกที่เป็นพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่ง แต่ผมจำได้ว่าเขาเป็นลูกน้องเฮียสยามนี่ “รับเครื่องดื่มสักแก้วมั้ยครับ”


“พี่...? โทษที ผมจำชื่อพี่ไม่ได้ แต่ทำไมถึงมาเสิร์ฟน้ำล่ะครับ”


“เมื่อก่อนผมก็เคยอยู่ฝ่ายจัดเลี้ยง งานเสิร์ฟนี่เรื่องสิวๆ เฮียกับคุณเมธเลยสั่งให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนคุณกานต์ ประมาณนั้นน่ะครับ”


ผมจะทำอะไรได้นอกจากยิ้มแหยแล้วหลบสายตาเขาไปพิจารณาแก้วในถาดแก้เขิน มีทั้งเหล้า เบียร์ น้ำผลไม้ น้ำอัดลมให้เลือกตามชอบ ผมสะดุดตากับน้ำสีฟ้าใสที่มีแค่แก้วเดียวแถมวางอยู่ริมใกล้มือที่สุดเลยหยิบมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่ กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็หมดแก้วเสียแล้ว





จบตอนแล้วจ้า



 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-04-2016 21:13:22
เมาแน่ๆเลยกานต์
ชักสงสัยชาติกำเนิดของกานต์ซะแล้วสิ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-04-2016 22:55:14
เขารู้กันหมดยกเว้นเจ้าตัว
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 09-04-2016 08:21:33
เมาเเน่กานต์ไม่รอด555555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 09-04-2016 10:13:28
เมาแน่ๆหนูกานต์

ป้ามาลัยต้องรู้จักแม่กานต์แน่ๆเลย จากการที่ป้าเห็นกานต์ตอนแต่งหน้า
หน้ากานต์คงจะเหมือนแม่แน่ๆ รึป่าวหว่า นี่เดา 5555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 09-04-2016 16:27:16
เพิ่งมาอ่านคับ อ่านรวดเดียวสนุกมากๆ
กานต์ดื่มอะไรอะ แอลกอฮอล์แน่ๆ สงสัยจบงานแต่งการเสร็จภากรแน่ๆ555
รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 10-04-2016 15:19:37
หนูกานต์น่ารัก จุ้บๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 10-04-2016 18:52:53
สนุกแล้วก็น่ารักมากๆ เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 15-04-2016 16:22:50





10 .



คุณเชื่อในพรหมลิขิตมั้ย?


ถ้ามีใครเข้ามาถามแบบนี้ผมคงมองหน้าให้รู้ว่าคนบ้าหน้าตาเป็นอย่างไรแล้วเป็นฝ่ายเดินหนีไปเสียเอง เพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนตอนนี้จะสามสิบเข้าไปแล้วยังไม่เคยมีสักครั้งที่อะไรแบบนั้นจะแวบผ่านเข้ามาในชีวิต ไอ้ความรู้สึกที่จู่ๆเหมือนมีไฟฟ้าวิ่งผ่านจนขนลุกซู่ลองเอานิ้วไปแหย่ปลั๊กไฟก็คงไม่ต่างกัน หรือประเภทมองผ่านแล้วดวงตาคู่นั้นมาประทับอยู่ในใจ จะหลับหรือตื่นก็เหมือนยังเห็นนั่นยิ่งแล้ว ความจำผมไม่ค่อยดี โดยเฉพาะใบหน้าคนนี่ถือว่าแย่มาก ถ้าหน้าไม่เหมือนพ่อเหมือนแม่ไม่เห็นจะต้องจำให้เปลืองรอยหยักในสมอง เพราะฉะนั้นอย่าถามว่ารายสุดท้ายที่ขึ้นเตียงด้วยหน้าตาเป็นอย่างไร เอาว่าให้เจ้าหล่อนพอดูได้ ไม่ตื่นมาตอนเช้าแล้วมาสคาร่าไหลเป็นทางหรือน้ำลายย้อยเป็นปื้น ผมก็อาจเรียกใช้บริการซ้ำอีกครั้ง


ในโลกนี้ถ้าจะมีอะไรที่ผมเชื่อคงเป็นความคิดและการกระทำของตัวเอง ถ้าผมคิดดี ผมย่อมทำดี และการทำดีจะส่งผลสำเร็จให้สิ่งดีๆทั้งหลายตามติดมาเป็นลูกโซ่ แต่ก็มีบางครั้งที่เรื่องไม่คาดฝันทำให้ทุกอย่างเหนือการควบคุม และเหตุการณ์ที่ชัดเจนจนไม่ว่าหลับหรือตื่นก็ยังจำได้นั่นคือ... อุบัติเหตุที่คร่าชีวิตพ่อไปอย่างกะทันหัน ทำให้ผมต้องวางความฝัน ทิ้งชีวิตอย่างที่เป็นนายของตนเองเพื่อเข้ามารับผิดชอบธุรกิจของครอบครัว ความจริงถ้าผมจะทิ้งไปเลยก็ย่อมได้แต่เห็นแก่พนักงานทุกคนที่อุทิศกายใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพ่อมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วก็ทำไม่ลง โดยส่วนตัวผมไม่ได้นึกรังเกียจการเป็นเจ้าของโรงแรมและสถานบันเทิง ทำใจไว้แล้วด้วยซ้ำว่ายังไงก็ต้องเข้ามาบริหารงานต่อ เพียงแต่ไม่คิดว่าวันนั้นจะมาถึงในเวลาที่ไม่มีพ่อคอยให้คำแนะนำหรือกำลังใจอีกต่อไป


ในเมื่อชีวิตไม่เคยสะดุดกับนามธรรมสวยๆที่ชื่อว่า ‘พรหมลิขิต’ อีกทั้งเวลาแต่ละวันก็อยู่กับสิ่งที่หลายคนเบือนหน้าหนี แล้วเหตุการณ์อย่างวันนั้นจะเรียกว่าอะไรดีนะ


ผมกำลังจะออกจากโรงแรมก็บังเอิญเห็นเฮียสยามกำลังคุยกับคนแปลกหน้าอยู่แถวลานจอดรถ เป็นชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มคู่หนึ่งที่พอได้รู้ที่มาที่ไปแล้วทำให้นึกเกลียดธุรกิจอันแสนใหญ่โตขึ้นมาจับใจ ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนเป็นหนี้บ่อนแล้วไม่มีปัญญาหามาคืน และไม่ใช่รายแรกที่ความเป็นมนุษย์ถูกใช้เทียบกับมูลค่าของหนี้จากการพนัน จึงเป็นที่มาของคำสั่งที่ผมเคยห้ามไว้เด็ดขาด


‘ตลอดชีวิต...ขนาดนั้นเชียว’ อย่าคิดว่าผมต้องการดูถูกหรือเสียดสีใคร แต่สำหรับการพนัน บางคนต้องเสียทั้งชีวิตยังไม่พอใช้หนี้ด้วยซ้ำ


‘ใช่ครับ ใช่มั้ยไอ้กานต์ บอกท่านไปสิว่าเอ็งจะรับใช้ท่านไปจนตลอดชีวิตน่ะ’


คนเป็นพ่อนำเสนอขนาดนี้ผมเลยอดให้ความสนใจลูกชายที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆไม่ได้ เด็กคนนี้ตัวเล็ก แขนขาผอมเพรียว ผิวขาวสว่างจนดูบอบบางน่าทะนุถนอม อีกทั้งชื่อก็ยังฟังคล้ายผู้หญิง แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลับน่าทึ่งในท่าทีทระนงองอาจ เจ้าตัวยืนหลับตานิ่งราวผู้แพ้ แต่ผมรู้สึกได้ว่าเขาเลือกจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง มิใช่ถูกบังคับหรือยอมจำนน


‘ท่าทางจะขี้อาย’ ผมแกล้งแซวแล้วได้เห็นว่าริมฝีปากบางเม้มแน่นขึ้น


‘ไม่เลยครับ ลูกผมเป็นคนร่าเริง นิสัยขยันขันแข็ง ถ้าท่านรับมันไว้รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ’


‘ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าตกลง’ ความจริงคือผมกำลังลังเล และนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย ‘แล้วนั่น ทำไมมีรอยช้ำอย่างนั้น อย่าบอกนะว่าไปยกพวกตีกับใครมา’


‘ไม่ครับ ไม่ใช่เลย กานต์มันเป็นเด็กดี เรียนก็เก่ง พี่มันบอกว่าน้องได้เกรดตั้งสามจุด จุดอะไรนี่ล่ะครับผมก็จำไม่ได้ แต่รอยนี่...เอ่อ...มันคงซุ่มซ่ามเดินไปชนอะไรเข้า เด็กผู้ชายก็ยังงี้ เดี๋ยวเดียวก็หายครับ’ เด็กคนนี้ทำให้ผมทึ่งได้อีก ถ้าคำกล่าวอ้างนี้ไม่เกินจริงก็นับว่าน่าเสียดายมันสมองและความสามารถ


‘ได้โปรดเถอะครับท่าน ตัวผมไม่มีอะไรเหลือแล้ว เงินตั้งห้าแสนจะไปเอามาจากที่ไหน ช่วยรับลูกชายผมไว้แทนเถอะ อย่างน้อยผมจะได้เบาใจว่ามันมีที่พึ่ง ถือว่าผมเอาลูกชายมาฝากให้ท่านเมตตาสักคนนะครับ’


ฝ่ายพ่อขอร้องแทบจะทิ้งตัวลงกราบกรานแต่ตัวลูกชายเอาแต่ก้มหน้านิ่ง คนของผมเองก็เร่งให้รีบไป เป็นสถานการณ์ตึงเครียดที่รอเพียงการตัดสินใจของผมเพียงผู้เดียว


‘ตกลง’ ไม่กี่ครั้งที่ผมอาศัยเพียงสัญชาตญาณในการเอ่ยคำๆนี้ ‘หนี้ห้าแสนพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมด แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามกลับมาที่คาสิโนอีก เพราะขืนยังวนเวียนอยู่แถวนี้ฉันคงต้องเมตตาเด็กอีกไม่รู้กี่คน’


ผมไม่ได้สนใจคำขอบคุณหรือคำสัญญาใดๆ เพราะรู้ว่าผีพนันสิงใครแล้วใช่จะยอมออกง่ายๆ แต่จังหวะที่เดินผ่านร่างเล็กบังเอิญได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ คิดว่าเจ้าตัวคงกำลังนึกกลัวอนาคตในฐานะลูกหนี้มูลค่าห้าแสน แต่นับว่าเขามีความเป็นผู้ใหญ่พอสมควรจึงไม่ได้เอาแต่ฟูมฟายหรือหาทางออกอย่างผิดๆ จุดนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัดสินใจถูกที่ยอมให้เด็กคนนี้แทรกซึมเข้าในชีวิตเหมือนอย่างตอนนี้...


“อื๊ออออ เอามา จะกิน บอกว่าเอามาไงเล่า!”


ห้องสูทที่ผมใช้เป็นที่พักส่วนตัวไม่เคยมีใครได้เข้ามานอกจากพนักงานทำความสะอาดซึ่งต้องจำให้ขึ้นใจว่าเตียงนอนจะต้องเรียบ ตึง ขนาดว่าลุกไปแล้วก็แทบไม่มีรอยยับย่น แต่สภาพในตอนนี้หาจุดที่เรียบได้สักตารางฟุตก็นับว่าเก่ง และตัวการไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าเด็กหยิ่งจองหองที่ไม่รู้จักเจียมตัวเผลอดื่มคอกเทลเข้าไป แล้วยังตามด้วยวิสกี้เพียวๆจนเมาไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่ลากตัวออกมาซะก่อนคงทำทาวเวอร์แก้วแชมเปญพังครืนไม่เป็นท่าแน่


“โว้ย ร้อนนนน! ได้ยินมั้ยว่าร้อนชิบหายเล้ยยยย!!”


เด็กขี้เมาร้องแล้วดิ้นพล่าน พยายามจะแกะกระดุมเสื้อกั๊ก ส่วนผ้าพันคอกับสูทนั้นลอยตกเตียงไปนานแล้ว ผมเข้าไปช่วยเลยเอาออกให้ทั้งตัวจะได้ไม่ต้องถอดกันหลายเที่ยว พอเหลือแค่เสื้อกล้ามกับบอกเซอร์ก็ทำท่าจะนอนหลับปุ๋ย ผมนึกหมันไส้เลยเขกกะโหลกไปหนึ่งที


“โอ๊ยยย!!” เสียงร้องดังเกินเหตุมาก “ใครวะ แน่จริงมา อะโด่ หมาลอบกัด!”


ผมก้มลงไปเสยกระหม่อมอีกสักที เจ้าตัวดีเลยคว้าได้เนคไทที่คาคอผมอยู่แล้วดึงตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งโงนเงนตาปรือ ผมลองจิ้มเบาๆทำเป็นหัวเราะคิกคักเลยผลักให้ล้มหงายลงไป แต่ดันลืมว่าจะถูกดึงตามลงไปด้วย สุดท้ายเลยต้องกลายเป็นหมอนข้างให้มันทั้งก่ายทั้งกอดทั้งซุกทั้งไซ้ บอกไม่ถูกว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆน่าจะเป็นฝ่ายที่รู้ตัว อ้อ! ก็ผมล่ะสิ


“อื๊อออ คุณกรแกล้งผมอีกแล้ว ปล่อยยย” อาการละเมอทำให้เผลอฝากรอยยิ้มลงไปกับแก้มนุ่ม ช่างเหมือนกับตอนนั้น... ครั้งแรกที่ผมห้ามใจไม่อยู่เพราะกลิ่นหอมอ่อนๆมันยวนใจ ชวนให้กดจมูกลงแล้วไซ้ซอนไปตลอดวงหน้า ผิวเนียนเกินชาย ไม่ว่าจะแก้มซ้ายแก้มขวาก็หอม ซอกคออวลกลิ่นแป้งเด็กจางๆก็ยิ่งหอม ไม่มีจุดไหนเลยที่ไม่ชวนให้ค้นหา เสียงเล็กครางห้ามยิ่งปลุกเร้าอารมณ์จนยากจะถอนตัว


‘คุณอะไร เรียกให้ชัดๆสิกานต์’ ที่ถามเพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวบ้างว่ากำลังทำให้ใครจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว


‘คุณ...กร ไม่...ไม่นะครับ ปล่อยผม’


‘ให้ปล่อยใครน๊า ได้ยินไม่ชัดเลย’ ไม่เคยเลยที่จะแกล้งทรมานใครแบบนี้ แล้วถามใจจริงผมสิว่าอยากปล่อยหรือเปล่า


‘ปะ..ปล่อย..กานต์’ ขาเริ่มสั่นพาลจะล้มลงไปทั้งคู่ผมเลยยกคนตัวเบาขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงาน ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างกับลูกกวางกลัวถูกจับกิน แต่ถ้าผมเป็นเสือจริงๆจะเก็บเจ้ากวางน้อยตัวนี้เอาไว้ เรื่องอะไรจะกินคำเดียวหมดแล้วอดเสพความหอมหวานนี้ไปนานๆล่ะ


‘อื๊อออ ปล่อยกานต์นะ...นะครับคุณกร’ อาาาา หวานหูชะมัด ผมเพิ่งรู้ว่าคำอ้อนเสียงอ่อนๆมันน่าฟังขนาดนี้


‘ปล่อยก็ได้ แต่ต่อไปถ้ากานต์ดื้อ จะมาหาว่าคุณกรใจร้ายไม่ได้นะรู้มั้ย’


เด็กน้อยหลับตาแน่น ผิวแดงซ่านไปทั้งหน้าจรดลำคอ ที่ยังดูซีดไปหน่อยคงเป็นริมฝีปากที่ผมละเว้นไว้เพื่อให้เจ้าตัวมีโอกาสต่อรอง เมื่อการเจรจาสิ้นสุดก็ถึงคราวที่ผมจะได้พิจารณาคู่สัญญาให้ลึกซึ้งอีกสักที สองที หรือสาม...


“...คุณกร...”


เสียงละเมอเรียกให้กลับมายังเตียงกว้างที่ไม่ได้มีผมแค่คนเดียว ร่างบางกระชับวงแขนแน่นขึ้น เรียวขาขาวยกก่ายสะเปะสะปะผมเลยหนีบขารัดไว้ เพราะขืนไม่ระวังลูกชายสุดที่รักของผมอาจถูกทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ แค่ตอนนี้มันก็ต้องเก็บกดตัวเองจนน่าสงสารพออยู่แล้ว มีอะไรไปกระทบกระทั่งอาจแผลงฤทธิ์จนผมเองก็ควบคุมไม่อยู่ได้เหมือนกัน


“กานต์ เมาหรือเปล่า” ผมลองเรียกเพื่อดูปฏิกิริยาว่าจะยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้างมั้ย


“อื้ออออ ฮิ ฮิ”


เอ๊ะ ยังไง?! ปากยอมรับแต่ส่ายหน้าเสียคอแทบหลุด แถมหัวเราะไม่เลิก สรุปคือไม่ใช่เมาเฉยๆ แต่เมามากจนไม่รู้เรื่องนั่นแหละ


“ปล่อยได้แล้ว”


ผมบอกและพยายามแกะมือกาวออก เพราะตอนนี้ชักร้อนจนแอร์ก็เอาไม่อยู่ เล่นกับคนเมานี่ถือเป็นการทำร้ายตัวเองยังไงไม่รู้ แต่พอผมขยับ อีกฝ่ายก็เริ่มดิ้น ร้อนรนอย่างกับตกอยู่ในฝันร้าย


“ไม่เอา ไม่นะ ไม่ให้ไป แม่จ๋า อย่าทิ้งกานต์”


“ลืมตามาดูหน่อย ฉันไม่ใช่แม่นายนะ”


“แม่...อย่าไป...”


สภาพนี้พูดยังไงก็ไม่มีทางรู้เรื่องกัน แล้วถึงจะสงสารเด็กที่ร้องไห้หาแม่แต่ผมไม่อยากทำตัวเป็นแม่ใคร โดยเฉพาะกับเจ้าเด็กคนนี้


“ขี้แยเอ๊ย นี่ฉันกร ได้ยินมั้ยว่าฉันชื่อกร ไม่ใช่แน่นาย”


“คุณกร...ใจร้าย แม่จ๋า คุณกรแกล้ง”


อ้าว! เป็นงั้นไป นี่ขนาดละเมอไม่รู้เรื่องยังมีฟ้อง เจ้าหมอนี่ต้องเป็นลูกแหง่ติดแม่แน่ๆ มิน่าล่ะ เห็นเวลาอยู่กับน้ามาลัยล่ะช่างอ้อนเหลือเกิน


“เอ้าไหนว่ามา ฉันไปแกล้งอะไรนาย” แล้วผมนี่ก็บ้า พยายามจะคุยกับคนเมาให้รู้เรื่องอยู่นั่นแหละ


“คุณกร...ชอบ...”


จู่ๆผมก็ขนลุกซู่ แค่คำธรรมดาๆคำเดียวที่ออกจากปากคนเมาจะมีสาระหรือความหมายอะไรได้แค่ไหน แต่พอออกจากปากเจ้าเด็กคนนี้กลับเหมือนมีระเบิดดังตูมที่กลางอก แล้วหัวใจของผมก็ถูกกระตุ้นเกินจังหวะปกติที่ควรเต้น


“ตื่นมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน นายว่าฉันชอบอะไร กานต์ กานต์” ผมเขย่าร่างเล็กให้ได้สติก่อนที่ผมจะเสียสติซะเอง


“ชอบ...คุณกร...”


หลังการระเบิดคือภาวะหยุดนิ่งเนื่องจากตกอยู่ในอาการช็อค ที่ผมเป็นอย่างนี้ไม่ได้แปลกประหลาดเกินไปใช่มั้ย?


“กานต์!” ผมดึงร่างอุ่นมาแนบอกแล้วกระซิบถามชิดใบหูอ่อน วินาทีนี้มันเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ต้องการการกระตุ้นอย่างด่วนที่สุด “กานต์ชอบคุณกรหรือเปล่า?”


“...ชอบ...”


ถึงไม่เคยทำแต่ผมรู้สึกเหมือนกำลังเอานิ้วแหย่เข้าไปในรูปลั๊กไฟ เหมือนมีพลังงานบางอย่างแล่นซ่านไปจนทั่วทุกอณูในร่างกาย ปิดตาลงแต่ยังเห็นใบหน้าที่กำลังพริ้มหลับในอ้อมกอด ได้ยินคำละเมอเบาๆสะท้อนก้องไปทั้งหัว เล่นเอาเบลอเหมือนถูกไม้หน้าสามฟาดหัวแต่ไม่เจ็บ กลับจุกไปด้วยความสุขที่พองฟูขึ้นเต็มใจ


“คุณกร...”


“หืม?”


“...หนาว...” ผมรีบกระชับอ้อมแขน แถมจูบอุ่นๆที่ริมฝีปากสีฉ่ำ ไม่เคยเอาใจใครมากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ


คนๆนี้คือส่วนผสมลงตัวอย่างที่สุดระหว่างความน่ารัก ขี้อ้อนอย่างเด็กๆ ช่างประจบ ช่างเอาใจจนคนทั้งโรงแรมหรือแม้แต่มาดามหลิวซึ่งดูเย็นชาไว้ตัวยังเทใจให้ แต่ในอีกแง่มุมได้พิสูจน์ความสามารถ สติปัญญาความเฉียวฉลาดให้เป็นที่ประจักษ์ อีกทั้งยังใจกล้า มีความเด็ดเดี่ยว กตัญญูรู้คุณถึงขนาดยอมรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ


ถ้าผมจำไม่ผิด กานต์ แปลว่า ผู้เป็นที่รัก และถ้าผมจับความรู้สึกตัวเองไม่พลาด ในหัวใจของผมเริ่มเกิดกระแสแห่งความผูกพันประหลาดที่ทำให้กานต์กลายเป็นคนที่ผม...อยากจะรักเสียแล้ว




จบตอนแล้วจ้า


ตอนนี้ก็เปลียนบรรยากาศมาอ่านพาร์ทคุณกรบ้าง


สงกรานต์ไปเที่ยวกันบ้างคะ ส่วนเราป่านนี้ยังไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน มันร้อนมากจนละลายย้วยอยู่กับบ้านนี่ล่ะคะ่


 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 15-04-2016 16:28:04





11 .



การนอนคือวิธีการพักผ่อนที่ดีที่สุด ยิ่งถ้าหลับสนิทถึงขนาดไม่ฝันเลยยิ่งจะเป็นเวลาสุดพิเศษที่ร่างกายได้หยุดพัก ซ่อมแซมและเยียวยาให้กลับมามีพลังพร้อมสำหรับชีวิตในวันรุ่งขึ้น ว่าไปแล้วเมื่อคืนผมน่าจะหลับลึกมากๆ ชนิดที่หลับไปตอนไหน ยังไงก็จำไม่ได้ แต่ทำไมพอตื่นมันถึงได้...ปวดเหมือนหัวโดนวางระเบิดอย่างนี้ล่ะเนี่ย!?


เสียงที่ทำให้ผมรู้สึกตัวดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง เหมือนเคยได้ยินแต่นึกไม่ออกว่าคืออะไร แล้วมันก็ดังซ้ำอีกครั้ง น่ารำคาญชะมัดแต่ผมไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกตัวเลยต้องทนฟังอยู่อย่างนั้น อีกสองครั้งล่ะมั้งถึงได้หยุด


เอ๊ะ! ผมไม่ได้ตกใจที่เสียงนั้นเงียบไป แต่เพราะพื้น หรือ เตียง  หรือจะอะไรก็ตามที่ผมใช้นอนอยู่ขยับ แล้ว... เฮ้ย! ไม่ใช่แค่ขยับ เตียงมันพูดได้ด้วย!!!


“โทรมาทำไมแต่เช้า”


เสียงคุ้นหูหนักกว่าเก่า ผมเลยพยายามลืมตาจะได้รู้สักทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ได้เห็นอะไรสักอย่าง... ผ้าสีขาว มีเม็ดพลาสติกกลมๆติดอยู่... อ๋อ เสื้อ! ถ้าเป็นเสื้อก็ต้องมีคนใส่ ใครกันนะ?


“อืม ก็นอนอยู่ด้วยกัน”


เสียงนั้นหายงัวเงียและเริ่มขุ่น เจ้าตัวคงไม่พอใจที่ถูกปลุกแต่เช้า อาจจะถูกเซ้าซี้หรือตื๊อถามอะไรที่ไม่อยากตอบก็ได้มั้ง


“ฉันไม่ทำอะไรเขาหรอกน่ะ แค่นี้ใช่มั้ยจะวางแล้ว”


วางก็ดี ถ้าเงียบหน่อยผมจะได้นอนต่อ ไม่ไหวแล้ว ทั้งปวดหัว คอแห้ง แรงไม่มี สมองก็ไม่ค่อยอยากทำงาน พยายามจะนึกว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้มาตกอยู่ในสภาพนี้...


เมื่อคืนมีงานเลี้ยง มีคนเยอะแยะ แล้วก็มีคุณภากร อ๊า! ใช่แล้ว เมื่อคืนผมไปงานแต่งกับคุณกร อืมมม กลับมาที่คนเยอะแยะ เยอะที่สุดก็ผู้หญิงนั่นล่ะที่วนเวียนรอบตัวเขาจนผมเวียนหัวแต่จะหนีไปไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสายตาของเขาล่ามเอาไว้ ยืนจนเมื่อยผมก็หันไปเจออะไรสักอย่างในแก้ว สีสวยๆ หอมๆ ดูน่าลองผมก็เลย... อ๋อ! จำได้แล้ว ผมลองดื่มคอกเทลที่พี่คนนั้นเอามาเสิร์ฟแล้วผมก็...จำอะไรไม่ได้อีกเลย...!


ฮืออออ กานต์ขอโทษครับแม่ กานต์รู้ว่าเหล้ามันไม่ดี เพราะกานต์ผิดคำพูดถึงได้ปวดหัวจะระเบิดอย่างนี้ แม่ยกโทษให้กานต์นะ กานต์สัญญา สาบานเลยว่าจะไม่แตะต้องอะไรที่มีแอลกอฮอล์อีก แม้แต่หยดเดียวก็จะไม่เอาเข้าปากเด็ดขาดเลยครับ


“คิดว่าอย่างฉันจะหมดหนทางถึงขนาดต้องปล้ำคนเมาหรือไง!”


คนที่ถูกผมใช้ต่างที่รองนอนส่งเสียงหนวกหูอีกแล้ว เหมือนจะโกรธซะด้วย หรือว่าเขาจะรู้สึกหนัก งั้นผมลุกก็ได้ โอ๊ย! ไม่ไหว ยกหัวไม่ขึ้นอ่ะ...


“เดี๋ยวนะ...” เหมือนเขาจะรู้เลยช่วยช้อนหัวผมไว้แล้วดึงตัวให้ลุกขึ้นไปนั่งพิงอะไรสักอย่างที่อุ๊น อุ่น “อืม ตื่นแล้ว แต่ยังเบลอๆ เป็นเด็กริอาจกินเหล้าก็เมาหัวทิ่มยังงี้แหละ สมน้ำหน้า!”


ไรวะ?! คิดว่าช่วยแค่นี้มีสิทธิ์มาด่ากันแล้วงั้นเหรอ เหอะ! ไม่รู้จักซะแล้วว่าไผเป็นไผ ไหนขอดูหน้าหน่อยดิ๊ แต่แค่จะลืมตามันก็ปวดหัวจี๊ดจนต้องร้องโอ๊ยออกมา เขายังมีหน้ามาหัวเราะเยาะผมอีก ฝากไว้ก่อนเถอะ!


“เฮ้ยเมธ แค่นี้ก่อนว่ะ ท่าทางไม่ดีเลย หน้าซีดๆ สงสัยจะแฮงค์ เกิดอ้วกขึ้นมาล่ะงานเข้าแน่”


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แค่ได้ยินชื่อนี้ผมก็ขนหัวลุกจนตาสว่างทันที ถ้าตอนนี้คือเวลาเช้าแล้วผมยังไม่ลุกจากที่นอนก็หมายความว่าจะเข้างานสาย และถ้าคุณเมธเข้าออฟฟิศแล้วไม่เห็นผม...โอยยย ไม่อยากจะคิด!


“จะถามอะไรก็ถาม อย่ามาลีลา”


พอสติเริ่มกลับมาผมก็จำเสียงนี้ได้ จะเป็นใครอีกล่ะนอกจากคนที่ผมขอกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ถ้าเขาไม่บังคับผมไปงานด้วย ผมจะเมาแล้วตื่นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวขนาดนี้เหรอ


ผมพยายามลืมตาสุดกำลัง ภาพเบลอๆที่เห็นจำได้ว่าเป็นห้องนอนในห้องสูทของโรงแรม ใกล้เข้ามาคือเตียงกว้างสีขาวกับผ้านวมนุ่มฟูที่คลุมขึ้นมาจนถึง... เฮ้ย!  ตายห่าแล้วไอ้กานต์!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมทำอะไรลงไป ทำไมอยู่ดีๆถึงมานั่งพิงอกซบคุณภากรในสภาพเกือบจะเรียกว่าล่อนจ้อนอย่างนี้


โอยยย คิดก็ปวดหัว ไม่คิดก็ปวดหัว...


“อยู่ดีๆทำไมถึงอยากรู้ คนเป็นเลขาต้องสอดส่องเรื่องส่วนตัวเจ้านายขนาดนี้เชียว” ผมไม่ใช่คนสอดรู้แล้วก็เดาไม่ออกด้วยว่าสองคนนี้กำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่ถึงไม่อยากฟังเสียงเขาก็ลอยเข้าหูผมอยู่ดี “เออๆ รู้น่ะว่าถามในฐานะเพื่อน ก็ได้ ฉันก็จะตอบในฐานะเพื่อนเหมือนกัน”


ผมค่อยๆเงยหน้าแอบมอง หลอกตัวเองว่าคุณภากรคงไม่รู้ว่าผมรู้สึกตัวแล้ว แต่ถ้าเขารู้ผมจะมีโอกาสได้ยินมั้ยว่า...


“ฉันคิดว่าฉันชอบเด็กคนนี้ว่ะ” 


ความเจ็บปวดจากที่ขมับแล่นลงกลางอกจนลมหายใจติดขัด เขาคงหมายถึงผู้หญิงที่ถูกตาต้องใจจากงานเลี้ยงเมื่อคืน เป็นใครสักคนที่สาว สวย มีพร้อมทั้งชาติตระกูล ทรัพย์สินเงินทอง ความรู้ความสามารถ ไม่แน่ว่าโรงแรมแห่งนี้อาจจะได้ต้อนรับนายหญิงคนใหม่ในเร็ววัน พอถึงตอนนั้นผมก็คง...


“อืม ใช่ ฉันชอบกานต์”


ผมเบิกตาโพลงพร้อมกับที่คุณภากรก้มลงมายิ้มให้ อย่าบอกนะว่าเขาแค่พูดผิด หรือไม่ผมก็หูฝาดไปเอง


“นายคงไม่รู้หรอกว่าขนาดแค่คำว่าชอบฉันก็ไม่เคยมีให้ใคร ฉันเองก็บอกไม่ได้ว่าชอบแล้วจะยังไง อาจจะจบอยู่แค่นี้หรือวันข้างหน้าค่อยเปลี่ยนเป็นความรัก หรือไม่แน่ว่า...ฉันอาจจะตกหลุมรักไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกันด้วยซ้ำ...” เขาคุยโทรศัพท์กับคุณเมธ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนทุกคำที่ออกมาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆนั้น...สำหรับผมคนเดียว


“นายว่าจริงมั้ยล่ะ”


แล้วยังแถมท้ายด้วยประโยคที่ไม่รู้ว่าถามใคร ไม่รู้คนในสายว่ายังไงแต่ตัวผมเองเสก้มหน้าแนบหูกับแผงอกกว้าง ได้ยินเสียงหัวใจของคุณภากรถนัดทีเดียว


เคยได้ยินว่าเวลาคนเราโกหกมักจะใจเต้นเร็ว แต่หัวใจดวงที่ใกล้หูผมนี้ยังสงบ มีจังหวะมั่นคงจนกลายเป็นใจของผมเองที่เต้นไม่เป็นส่ำ หรือเป็นผมต่างหากที่กำลังโกหกตัวเองว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาไปกับถ้อยคำพวกนั้น ผมไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าเขากำลังบอกรัก แล้วตัวผมล่ะ มีอะไรจะสารภาพหรือเปล่า


ผมก็แค่ นายกานต์ แค่เด็กกะโปโลธรรมดาที่ไม่มีความรู้สูงส่ง ไม่ได้อยู่ในสกุลดัง ไม่เคยมีเงินเก็บเกินหลักพัน ทุกวันนี้ยังต้องก้มหน้าทำงานใช้หนี้ แต่เขาคือคุณภากร คือผู้ชายที่สมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน คือคนที่มีพร้อมทุกอย่างจนน่าอิจฉา แล้วคนอย่างเขาจะต้องการคนอย่างผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจริงๆน่ะเหรอ


จู่ๆหัวใจก็สั่นระรัวด้วยความกลัวเมื่อรู้สึกถึงความเป็นไป ‘ไม่ได้’ ที่คั่นกลางระหว่างผมกับเขา ความจริงที่ว่าเราต่างเป็นผู้ชายเหมือนกันนั่นเขาทำเป็นลืมไปหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วผมจะทำเป็นลืมเหมือนเขาได้มั้ย ความสัมพันธ์ที่หันหลังให้ความเป็นจริงจะยั่งยืนตลอดกาลได้หรือ แล้วถ้าสักวันเขายอมจำนนขึ้นมา ถ้าถึงวันนั้นผมจะยังทนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงต่อไปได้หรือเปล่านะ...?!


“แค่คนที่ฉันชอบเป็นผู้ชายแล้วมันจะหมายความอย่างนั้นฉันก็คงไม่มีอะไรจะปฏิเสธ แต่ขอให้รู้ว่าถ้าฉันเป็นเกย์ ผู้ชายที่ฉันชอบจะมีแค่กานต์คนเดียว”


อาาาา ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วลอยขึ้นสู่ความฝันอันหอมหวาน ผมว่าผมได้คำตอบแล้ว ต่อให้อนาคตจะมืดดับ หรือต้องทนทุกข์อยู่กับความเจ็บปวดเดียวดาย ขอแค่มีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างในปัจจุบันที่เป็นอยู่นี่ก็พอ และความจริงข้อหนึ่งที่ผมแน่ใจมากกว่าสิ่งใด ไม่ต้องสนว่าจะเป็นหญิงหรือชาย แต่คนที่ผมชอบคือคุณภากรแค่คนเดียว


“เออน่ะ นานๆทีน้ำเน่าบ้างไม่ทำให้โลกมันแย่ขึ้นหรอก งั้นแค่นี้ก่อน กานต์นอนจ้องฉันตาแป๋วแล้วเนี่ย” หาเรื่อง! ผมก็แค่อยากเห็นรอยยิ้มของเขาชัดๆ แค่มองเฉยๆ ไม่ได้จ้องอะไรขนาดนั้นสักหน่อย


มือถือถูกตัดสายแล้วทิ้งส่งจนผมอยากขำเพราะนึกเป็นภาพเหมือนคุณเมธโดนจับโยนให้กระเด้ง กระดอน ดึ๋งๆอยู่บนเตียง ถ้าเป็นจริงคงน่าตลกพิลึก ส่วนคนที่กำลังกอดผมอยู่นี่ก็ทำตัวประหลาดพอกัน ผมยิ้มเขาก็ยิ้ม ผมเงียบเขาก็เงียบ แต่ก็เป็นเขาที่ทำลายความเก้อเขินระหว่างเรา


“อรุณ...”


เขาทำเหมือนครูที่เอ่ยนำให้นักเรียนพูดตาม มิน่าล่ะ เมื่อกี้ยังเรียกว่าผมเป็นเด็ก งั้นเขาก็...หมาป่าชราที่มาเสียท่าลูกแกะล่ะว้า


“สวัสดิ์” ส่วนผมก็บ้าจี้เล่นตามเขาซะอีก เฮ้อ พอกัน!


เขายิ้มแล้วหอมหน้าผากผมแรงๆหนึ่งที ไม่ใช่ว่าผมจะสมยอมนะ แต่เพราะรู้ว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ ดีไม่ดีจะโดนหนักขึ้น เรื่องอะไรผมจะต้องดิ้นรนให้เปลืองตัวกว่าเดิม


“ปล่อยสักทีสิครับ” เขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ตาผมขอบ้างล่ะ


“แน่จริงก็ดิ้นให้หลุดเองสิ”


วิสัยหมาป่าเจ้าเล่ห์ ท้าทายให้ลำพองตน แล้วพอลูกแกะทำจริงกลับขยับอ้อมแขนแน่นแล้วสูดกลิ่นเนื้อจนแกะน้อยแก้มช้ำ แน่จริงก็ขย้ำซะเลยสิ กินเสียให้หมดในคำเดียว จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป


“อะไรกัน แค่นี้ก็งอนแล้วเหรอ”


เขายอมปล่อยแล้วเลื่อนมือลงไปกอดเอวผมไว้หลวมๆ ผมเลยออกแรงดันแผงอกเปลือยเปล่าให้ห่างอีกหน่อยจะได้มองเขาถนัดขึ้น ใครๆก็บอกว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ ผมเลยอยากจ้องให้ลึกเข้าไปถึงหัวใจของผู้ชายคนนี้


“ตกลงว่า...คุณกับผม...” สมองผมยังทำงานได้ไม่เต็มร้อย ก็ขนาดว่าจะถามอะไรผมยังไม่แน่ใจตัวเอง มันเหมือนมองผ่านไปในสายหมอกจางๆ เห็นเป็นเงารางๆ คงดีถ้าเขาช่วยส่งเสียงมายืนยันว่าเขาจะอยู่ตรงนี้กับผมจริงๆ


“เป็นแฟนกันแล้วนะ” เป็นคำสรุปที่ทำให้เงารางๆปรากฏปิ๊งเป็นตัวคนชัดจนน่าตกใจ “ที่ผ่านมาฉันยอมรับว่าเคยมีใครมาบ้าง แต่ก็ไม่รู้จริงๆว่าแฟนกันคืออะไร ต้องทำตัวยังไงหรือคิดถึงกันแค่ไหน แต่ฉันอยากให้เราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป ฉันชอบที่จะได้เห็นหน้า ได้ยินเสียง ได้นั่งกินข้าว ได้คุย ได้เถียง ได้กอด ได้หอม ฉันชอบที่จะได้รู้สึกว่ากานต์เป็นของฉัน เข้าใจหรือเปล่า”


“ก็...เข้าใจ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามัน...ง่ายไปหรือเปล่าครับ” ผมบอกเสียงอ่อยๆ เพราะแค่ฟังที่เขาอธิบายมาก็ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว แล้วไม่ใช่ว่าหนาว แต่มันร้อนไปทั้งหน้า เขาพูดเองไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไงเนี่ย


“หึ อยากได้ยากๆก็ไม่บอก”


ซวยแล้ว! จู่ๆรอยยิ้มของคุณภากรก็ดูน่ากลัวขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ตัวผมที่ดิ้นไม่หลุดอยู่แล้วยิ่งถูกรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก แล้วเขาก็ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งอย่างสนิทแนบแน่น ไม่ว่าจะเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย รายละเอียดปลีกย่อยแค่ไหนก็ครบถ้วนด้วยสื่อกลางอย่างลิ้นร้อนที่กวาดต้อนทั่วโพรงปากผมอย่างเชี่ยวชาญ ผสานทุกอณูของพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆในร่างกายด้วยน้ำลายชื้นฉ่ำจนเกิดเสียงประหลาดดังระงมทั่วห้อง


อย่างน้อยหมาป่าจอมหื่นก็ยังปราณีให้ลูกแกะอย่างผมได้มีเวลาปรับตัวให้คุ้นเคยกับความสัมพันธ์ เขาจึงแค่จูบและช่วยให้ปลดปล่อยความสุขโดยไม่แตะต้องล่วงเกินให้ผมเจ็บตัว จากนั้นเราก็กลับเข้าสู่กิจวัตรประจำวัน กินข้าวเช้าด้วยกัน ลงมาที่ออฟฟิศแล้วแยกย้ายกันทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะทุกครั้งที่หันไปเจอแววตามากความหมายคู่นั้น


นอกจากตัวเอง ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆจะรู้สึกผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า พี่พัชรีน่าจะแค่ตื่นเต้นไม่หายที่ได้จับผมแต่งตัว แถมพี่พอลยังฝากบอกมาว่าสนใจอยากให้ผมไปเป็นนายแบบถ่ายแฟชันให้ร้านเสื้อของแกหน่อย พอคุณภากรรู้เข้าก็เซย์โนแทนผมทันที แต่ไม่รู้ล่ะ ผมแอบงุบงิบนัดแนะกับพี่พัชแล้วเพราะคิดว่าน่าสนุกดีแถมยังได้ค่าเหนื่อยเล็กๆน้อยๆ ถึงผมไม่มีเรื่องใช้เงินก็จะได้เก็บเอาไว้ให้พี่กัญกับพ่อบ้าง


ส่วนคุณวรเมธนั้นผมเชื่อว่าเขาต้องรู้แน่ๆแต่ก็ไม่เห็นมีท่าทีอะไร เคยโหดยังไงก็โหดยังงั้น แถมสั่งงานผมเพิ่มโทษฐานที่ลางานครึ่งวันโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เฮ้อ! ไม่คิดจะอ่อนข้อให้ผมบ้างเลยหรือไงนะ


และสำหรับคนที่ผมแคร์มากที่สุด...


“เป็นยังไงบ้าง พวกเด็กๆคุยกันให้แซดว่าเมื่อคืนกานต์ถึงกับเมาพับเชียว เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านกินเหล้าทำไม ไม่รู้หรือไงว่ามันไม่ดี เมื่อเช้าป้าไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ พอรู้ว่ากานต์อยู่กับนายเลยไม่กล้าไปเรียก ดูซิเนี่ย สีหน้ายังไม่สู้ดีเลย ปวดหัวหรือเปล่า ป้าไปหายามาให้เอามั้ย”


ผมกะเวลาไปรอเจอตอนที่ป้ามาลัยตรวจงานเสร็จเรียบร้อย พอเห็นหน้าป้าก็ใส่ไม่ยั้ง แต่เพราะคือความรัก ความห่วงหาอาทรที่กระหน่ำเข้ามา ผมเลยยิ้มรับหน้าบาน


“เอาครับ” แกล้งตอบเสียงเนือยๆแล้วเขยิบตัวเข้าไปสวมกอด ป้ามาลัยอวบกว่าแม่กานดาเล็กน้อย เวลากอดเลยเต็มไม้เต็มมือดีจริง “แต่ยาไม่เอา จะเอาแบบนี้”


“อะไร้! มากอดป้าแล้วจะหายปวดหัวหรือไง” ป้าทำเป็นเอ็ดแต่ก็กอดตอบผมแน่นพอกัน


“กอดป้าแล้วกานต์มีความสุข หายเจ็บหายปวด สบายที่สุดในโลกเลยครับ”


“เดี๋ยวเถอะนะ จู่ๆก็มาอ้อนคนแก่”


ป้าตีเบาๆที่แขนแต่อีกมือลูบหัวไม่หยุด ผมเลยยิ่งขนลูกอ้อนออกมามัดใจ ขอบอกว่านี่ยังน้อย มารยากระบวนท่าพวกนี้ผมฝึกฝนมาแต่เด็กจนชำนาญ ใครโดนผมอ้อนเข้าล่ะก็ รายไหนรายนั้น ไม่เคยรอด!


“ก็กานต์รักของกานต์ ป้ามาลัยเหมือนเป็นแม่อีกคนของกานต์เลยนี่ครับ”


“ป้าก็รักกานต์เหมือนลูกจ๊ะ อยู่ที่บ้านป้าชอบเล่าเรื่องของกานต์ให้ลุงฟัง เขามีอะไรก็ไปเล่าต่อให้ตาหมึกรู้อีกทอด วันก่อนโทรมายังแซวใหญ่ว่าป้าแอบไปมีน้องชายให้เขาแล้วไม่บอก ถ้าหมึกขึ้นมากรุงเทพเมื่อไหร่ต้องขอมาดูตัวกานต์แน่ๆ”


พี่หมึกคือลูกชายคนเดียวของป้ามาลัย เพิ่งเรียนจบโรงเรียนนายเรืออากาศและขอสมัครไปประจำที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอนนี้ได้เป็นนักบินผู้ช่วยอยู่ที่ปัตตานี ผมเข้าใจว่าป้ากลัวและเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆกับลูกชายคนเดียว พี่หมึกเองก็คงรู้จึงโทรมาส่งข่าวคุยเล่นอยู่เสมอ ส่วนผมได้แต่ฟังเรื่องราวของพี่หมึกด้วยความชื่นชมในการเสียสละความสุข ความสบายส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง และคอยช่วยป้ามาลัยสวดภาวนาให้พี่หมึกและทุกคนที่นั่นอยู่รอดปลอดภัย


“กานต์ก็อยากเจอพี่หมึกเหมือนกันครับ อยากเห็นนักบินกองทัพอากาศตัวเป็นๆ พี่เขาต้องเท่ห์ ดูสมเป็นชายชาตรีมากๆเลยใช่มั้ยครับ” ผมเคยเห็นแต่รูปถ่ายพี่หมึกในชุดนักเรียนนายเรืออากาศ แต่แค่นั้นพี่เขาก็ดูดีสุดๆแล้ว


“ฟังพูดเข้า อยู่กับคนแก่เลยติดใช้คำเก่าๆหรือไง ‘ชายชาตรี’ แหม ป้าเองก็ไม่ได้ยินคำนี้มานานแล้วนะ จำได้ว่าตอนเจอลุงครั้งแรกก็รู้สึกว่าเขาสมชายชาตรีอยู่นะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไหว ขี้บ่น ขี้น้อยใจยิ่งกว่าป้าซะอีก” รายของลุงสามารถนี่ก็โดนป้ามาลัยนินทาเป็นประจำ แต่ในดวงตาของป้าก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและผูกพันอย่างคนที่เป็นคู่ชีวิตโดยแท้


“แล้วอย่างกานต์นี่จะเรียกว่าสมชายชาตรีได้หรือเปล่า” ผมสบช่องที่จะได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ “ถ้ามีคนมาบอกว่าชอบกานต์ ป้าจะว่ายังไงครับ”


“ก็ดีสิ มีคนมาชอบลูกป้า ป้าจะว่าไม่ดีได้ยังไง แต่แหม ผู้หญิงสมัยนี้ช่างใจกล้ากันจริง ใช่สาวๆที่โรงแรมเราหรือเปล่าจ๊ะ”


“โรงแรมเราน่ะใช่ครับ แต่ไม่ใช่...สาวๆ...” ป้าถามยิ้มๆแต่ผมเริ่มกลัว ถ้ารู้ความจริงทั้งหมดป้าจะยังยิ้มออกมั้ยนะ


“เอ๊ะ! แต่ที่ป้ารู้จักก็ไม่เห็นจะมีแก่ๆคนไหนชอบเด็ก ใครกัน ป้าเดาไม่ถูกแล้วเนี่ย”


“เขาก็ไม่ใช่สาวๆ หมายถึงไม่ได้เป็นสาว แต่ก็ไม่ใช่ว่าแก่ โอ๊ย! พูดเองงงเอง คือกานต์จะบอกว่าคนนั้นเขาเป็น...” ผมสูดลมหายใจเข้าลึก กลั้นไว้ให้ถึงที่สุดแล้วค่อยพ่นพรวดออกไปพร้อมกับ... “ผู้ชายน่ะครับ!”


“ต๊าย! เอาอะไรมาพูด บอกมาซิว่าใครมันมาแกล้งกานต์ เดี๋ยวป้าไปจัดการให้ จะเอาเรื่องให้ถึงหัวหน้างานไปเลย เล่นอะไรพิเรนๆอย่างนี้ได้ยังไง”


ป้ามาลัยดูเดือดร้อนแทนผมมาก แต่พูดตรงๆนะ...


“กานต์ว่าใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอกครับ”


“ทำไมจะไม่ได้ หรือว่าเขาใช้ตำแหน่งหน้าที่มาข่มขู่ กานต์ไม่ต้องไปกลัวนะ ถ้าไม่ได้จริงๆ ป้าจะเรียนคุณภากรให้เอง รับรองว่านายต้องช่วยกานต์ได้แน่”


พอบอกอย่างนี้ป้าก็ยิ่งโมโหจนน่ากลัวว่าความดันจะขึ้นเสียก่อน งั้นผมรีบเฉลยเลยดีกว่า...


“งั้นกานต์ว่าป้าอย่าทำอะไรเลย เพราะคนที่มาบอกว่าชอบกานต์ก็...คุณภากรนั่นแหละ”


“อกอีแป้นแตก!!” ป้ายกมือทาบอก สีหน้าตกใจจนผมนึกด่าตัวเองที่หาเรื่องมาให้ป้าร้อนใจแท้ๆ “กานต์ว่าอะไรนะ ไหนพูดใหม่อีกทีซิ นะ..นายเนี่ยนะ!”


“ครับ เมื่อเช้าพอตื่นมานายใหญ่ของป้าบอกว่าชอบกานต์ แล้วกานต์ก็...”


“หมายความว่ายังไง กานต์ทำไมลูก?”


ผมยั้งปากไว้เพราะยังตัดสินใจอยู่ว่าจะบอกดีหรือเปล่า แต่เมื่อก่อนผมยังคุยกับแม่ได้ทุกอย่าง ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นความลับหรือเรื่องน่าอายแค่ไหน กับป้ามาลัยก็ไม่น่าจะต่างกันเท่าไหร่


“กานต์ก็คิดว่าชอบคุณกรเหมือนกัน” พูดออกไปแล้วรู้สึกโล่งอก ที่เหลือก็แค่รอฟังผลตอบรับเท่านั้น “ป้าจะว่าอะไรกานต์มั้ย...”


“เดี๋ยวนะลูก ขอป้าหายใจหายคอก่อน” ป้ายกมือทาบอกอีกรอบแล้วสูดหายใจลึกๆ “นี่มันเรื่องอะไรกัน นายเนี่ยเหรอจะชอบผู้ชาย แล้วกานต์ก็เป็นไปกับเขาด้วย?!”


ผมรู้ว่าเป็นใครก็คงไม่เชื่อ เพราะที่ผ่านมาคุณภากรมีข่าวกับสาวๆพอให้พนักงานโรงแรมเก็บไปเมาท์กันอยู่เสมอ แต่ละนางขึ้นแท่นดาราแถวหน้า หรือไม่ก็ไฮโซสาวสวยทั้งนั้น แล้วผมล่ะเป็นใคร...เด็กกะโปโลแถมเป็นผู้ชายอีกต่างหาก ใครรู้เข้าคงพาลคิดว่าผมทำเสน่ห์ยาแฝดใส่คุณกรแน่ๆ


“ป้าคง...เกลียดกานต์แล้ว”


“เปล่าลูกเปล่า ป้าแค่ตกใจ กานต์ไม่ได้ทำผิดหรือคิดร้ายใครสักหน่อย ป้าจะไปว่าหรือเกลียดอะไรกานต์ทำไม”


“แต่กานต์เป็นผู้ชาย ผู้ชายกับผู้ชาย... ลองนึกดูง่ายๆ ถ้าพี่หมึกมาบอกว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย ป้าจะรับได้เหรอครับ”


ผมมองป้าแล้วยิ่งใจเสีย ดวงตาของป้านิ่งเหมือนไม่มีใครที่ผมรู้จักอยู่ในนั้น ครู่ใหญ่ที่ป้าเงียบไปก่อนจะกระพริบตาขับไล่ความเฉยชาแล้วกลับมามองผมด้วยสายตาของป้ามาลัยคนเดิม


“ถ้ากานต์ถามป้าเฉยๆ ป้าก็คงสองจิตสองใจ บอกไม่ถูกหรอกว่าจะรับได้หรือเปล่า แต่ถ้าถามในฐานะแม่ ป้าตอบได้ทันทีว่าไม่ขัดข้องเลยถ้าสิ่งนั้นเป็นความสุขของคนที่ป้ารัก จริงอยู่ที่คนเป็นแม่ย่อมอยากเห็นลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝา มีเมียมีลูกสืบวงศ์ตระกูลให้ชื่นใจ แต่ถ้าเขาเลือกแล้วมีความสุข และคนที่เขาเลือกก็เป็นคนดี ไม่ได้คิดมาหลอกลวงหรือทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ คนเป็นแม่ก็มีแต่จะอวยพรให้เท่านั้นเองจ๊ะ”


“แต่ยังไงพี่หมึกก็ต้องหาสะใภ้สาวๆ สวยๆมาให้ป้าชื่นใจได้แน่ ทหารอากาศที่ทั้งหล่อแถมนิสัยดีไม่มีทางขาดรักหรอกครับ” ผมแซวให้ป้ายิ้มออกและรู้ว่าในรอยยิ้มนั้นคือความภูมิใจของคนเป็นแม่


“พี่เขาน่ะช่างเถอะ ป้าไม่ห่วงหรอก มาคุยเรื่องกานต์ดีกว่า แล้วตกลงยังไงลูก กานต์กับนาย...”


คำถามของป้าทำให้ผมต้องหยุดคิด นั่นสิ อย่างคุณภากรกับผมจะเรียกว่าอะไรดี?


“คุณกรบอกกานต์ว่า... เป็นแฟนกันแล้วนะ”


“หา?! อะไรมันจะรวดเร็วปานนั้น?!  บอกชอบแล้วเป็นแฟนกันเลยเนี่ยนะ” เที่ยวนี้ป้าไม่เอามือทาบอกแต่ดึงผมเข้าไปกอดแล้วลูบหลังยกใหญ่ สงสัยป้าคงตกใจมากจนคิดว่าผมจะตกใจตามไปด้วย “ตายๆๆ นี่นายเห็นกานต์เป็นคนยังไง นึกจะชอบก็ชอบ นึกจะรักก็รัก คอยดูนะ ถ้ามาทำมักง่าย คิดจะเล่นๆกับกานต์ล่ะก็ นายก็นายเถอะ ป้าไม่มีวันยอมหรอก”


“ป้าคร้าบ! นี่ตกลงจะไม่ค้าน ไม่ต่อต้านอะไรสักนิดเลยเหรอเนี่ย” ผมเงยหน้ามองแล้วถามเสียงอ่อยๆ


“อ้าว! ก็กานต์บอกเองว่าชอบนายเหมือนกันแล้วป้าจะค้านอะไรได้อีกล่ะ ความจริงป้าก็ไม่ได้อยากสนับสนุนเพราะเรื่องแบบนี้ต้องมีอีกหลายคนไม่ยอมรับแน่ แต่ป้าเชื่อว่านายจะต้องคุ้มครองดูแลกานต์ได้ ที่สำคัญมันเป็นความสุขของคนที่ป้ารักถึงสองคน ป้าจะไม่ยินดีด้วยได้ยังไง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกานต์จะมีป้าคอยเอาใจช่วยนะลูก”


“กานต์รักป้าม๊ากมาก”


โอยยย คำว่ารักก็ยังน้อยไปสำหรับป้ามาลัยที่แสนดีของผม


“หืม? มากกว่านายหรือเปล่าจ๊ะ”


โดนป้าแซวอย่างนี้ผมเลยคิดหนัก ตอบดีรอดตัว ตอบมั่วก็เรื่องยาว งั้นผมขอเดินทางสายกลางเพราะต่างก็เป็นคนสำคัญที่ผมขาดไม่ได้ทั้งคู่


“เท่ากันได้มั้ยครับ แหะ แหะ”


ป้าฟังคำตอบแล้วคงถูกใจเลยหัวเราะร่วน ส่วนตัวผมบอกได้เลยว่านี่คือความสุขอย่างที่สุด คนที่ผมให้ความสำคัญยอมรับในทุกๆสิ่งที่ผมเลือกและพร้อมเป็นกำลังใจให้ นั่นคือการเข้าใจในสิ่งที่ผมเป็นทั้งๆที่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเลยด้วยซ้ำ


เช้านี้มีคนบอกรักผม ตกเย็นก็มีคนร่วมยินดีกับความรักนั้น เป็นวันที่ดีมากวันหนึ่งเลยว่ามั้ยครับ



จบตอนแล้วจ้า


เขาบอกรักกันแล้วนะ เนียนๆอ่ะ อิ อิ   :-[


ปล. เรื่องสั้นก็อัพตอนสองเหมือนกันนะจ๊า  :hao3:


 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-04-2016 18:11:19
รวดเร็วปานวอกเชียวคุณกร
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 17-04-2016 22:19:16
รอ รออ่านตอนใหม่คับ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-04-2016 22:53:30
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 25-04-2016 18:21:51






12 .



อันที่จริงถ้าไม่นับเรื่องพ่อ ชีวิตของผมที่ผ่านมาก็ถือว่าสุขสงบดี ตื่นมารู้ตัวว่าต้องทำอะไร วันทั้งวันหมดไปกับงานที่ทำซ้ำๆเป็นประจำ เสร็จสรรพกลับบ้านอาบน้ำเข้านอน ครบเดือนรับเงิน จ่ายไป มีเหลือเก็บบ้างตามอัตภาพ เป็นชีวิตอย่างคนธรรมดาที่อาจดูน่าเบื่อแต่ก็คงดีกว่าต้องดิ้นรนจนวุ่นวายเกินไป แต่พอผมก้าวเข้ามาในโรงแรมแห่งนี้ ความสุขสงบของชีวิต... เฮ่อ! ก็อย่างที่รู้ๆกันนั่นแหละครับ!


นับตั้งแต่ที่ถูกยัดเยียดสถานะแฟนโดยความ...ก็อาจเรียกว่าเต็มใจนิดหน่อย ผมก็กลายเป็นลูกแกะที่มีหมาป่าตัวใหญ่ตามติดเป็นเงา ถ้าไม่นับเวลาเข้าประชุมหรือออกไปธุระข้างนอก ไม่มีตอนไหนเลยที่คุณภากรจะไม่มาป้วนเปี้ยนวอแวอยู่ใกล้ๆ ขนาดว่าหนีไปหาป้ามาลัยก็ยังถูกตามรังควานจนสุดท้ายป้าต้องยอมเป็นฝ่ายทิ้งผมไว้กับเขาเสียเอง แต่เชื่อมั้ยว่าผมยังโชคดีมีที่หลบภัย เป็นที่เดียวที่คุณภากรยอมปล่อยให้ผมคลาดสายตา แถมยังไม่กล้าบังคับขู่เข็ญหรือเร่งจะเอาตัวผมกลับไปอีกด้วย


“นี่มันจะทุ่มนึงแล้ว ยังอ่านไม่จบอีกเหรอ” อย่างดีก็แค่มานั่งพ่นลมหายใจทิ้งแล้วส่งเสียงหงอยๆถามเป็นระยะ


“อีกนิดนึงนะครับ เหลือไม่กี่หน้าเอง” เป็นคำตอบเดียวจากปากผมมาตั้งแต่...น่าจะสักห้าโมงเย็นเห็นจะได้


“เฮ้ยเมธ ฉันว่านายก็ควรกลับบ้านกลับช่องไปพักผ่อนได้แล้ว อีกอย่างนายเป็นคนแนะนำฉันเองว่าให้ลดโอทีของส่วนออฟฟิศ เพราะฉะนั้นถึงจะอยู่มืดค่ำแค่ไหนก็ไม่ได้อะไรหรอกน่ะ มีแต่เปลืองแอร์เปลืองไฟเปล่าๆ กลับๆไปซะเถอะไป๊”


คุณภากรทำอะไรผมไม่ได้เลยหันไปเล่นงานเจ้าของหลุมหลบภัย แต่เชื่อเถอะถึงเป็นเจ้าของโรงแรมก็ทำอะไรคุณวรเมธไม่ได้หรอก


“ผมแค่อยากทำงานให้คุ้มเงินเดือนเท่านั้นครับเจ้านาย” คำตอบคุณเลขาช่างบาด สายตาที่มองมาก็ยิ่งทำให้ผมร้อนๆหนาวๆ ยังกลัวๆอยู่ว่าที่นี่จะกลายเป็นหลุมฝังศพผมแทนเสียก็ไม่รู้


“โอเค งั้นฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ จ้างให้นายเลิกทำงานเดี๋ยวนี้เลย ฉันขี้เกียจจะรอแล้วนะโว้ย”


ผมเหลือบมองทั้งคู่แล้วรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังสือนิทานที่มีภาพประกอบเสมือนจริงมาก หมาป่าเกเรหมดหนทางสู้จึงได้แต่ส่งเสียงข่มขู่พญาเหยี่ยวที่เกาะคอนไม้อยู่สูงสุดเอื้อม เสียงคำรามดังจนแผ่นดินสะเทือนแต่ฝ่ายเหยี่ยวแค่เหยียดสายตาลงมอง ไม่ต้องทำอะไรก็ชนะใสๆแล้ว


“แล้วท่านประธานมานั่งรออะไรมิทราบ” โอ๊ะโอว พญาเหยี่ยวก็แขวะเป็นแฮะ


“หนอย! รู้แล้วยังจะแกล้ง ฉันก็รอว่าเมื่อไหร่นายจะปล่อยแฟนฉันเลิกงานซักทีสิไอ้บ้า!”


“โอว มาย ก็อด ใครหรือครับ เป็นเกียรติเหลือเกินที่จะได้เห็นหน้าค่าตาหวานใจท่านประธาน ช่วยแนะนำให้ผมรู้จักทีเถอะ”


เฮ้ย! แล้วไหงหมาป่ากับพญาเหยี่ยวดันแท็กทีมมารุมลูกแกะที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ล่ะ เล่นอย่างนี้ผมก็ตายคนเดียวน่ะสิ


“คุณเมธ! คุณกร! พอได้หรือยังครับ ถ้าจะคุยต่องั้นผมขอตัวไปที่อื่นก็ได้”


“โอ๋ๆ อย่าเพิ่งงอนน๊า คุณกรขอโทษ จะรูดซิปปากให้เงียบกริ๊บเลย”


หมาป่าเจ้าเล่ห์ตะครุบผมหมับ ทำเสียงอ่อนเสียงหวานเกลื่อนความผิดจนน่าหมันไส้ ส่วนเหยี่ยวตัวร้ายเสมองไปทางอื่น แต่ผมเห็นกับตาว่าเขายกแฟ้มมาปิดหน้าแล้วแอบขำ ช่างเถอะ อยากทำอะไรก็เชิญ อย่างน้อยต่อหน้าป้ามาลัย พี่พัชรี และคุณวรเมธซึ่งรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ผมก็พอจะเป็นตัวของตัวเองได้บ้าง จะเขินจะอาย หรือกระทั่งข่มคุณภากรก็ทำได้โดยไม่ต้องกลัวใครสงสัย


“จริงนะครับ” พอผมเสียงเข้มขึ้น คนเอาแต่ใจก็มักจะยอมลงให้ “งั้นก็นั่งรอเฉยๆ ผมขออ่านอีกแค่...”


เสียงสัญญาณสั้นๆจากมือถือทำให้ผมชะงัก พอเช็คดูผมยิ่งเงียบไปและคงเผลอทำอะไรผิดสังเกตให้คุณกรเอ่ยปากถาม แม้แต่คุณเมธยังวางแฟ้มลงแล้วหันมามองเลย


“พ่อส่งข้อความมาครับ บอกว่ารออยู่ข้างล่าง ให้ผม...”


“ไม่ต้องไป!”


เฮ่อ! หมาป่าเกเรเริ่มหงุดหงิดอีกแล้ว ดีนะงานนี้ผมได้เหยี่ยวเป็นพวก


“มากไปน่ะกร จะห้ามพ่อลูกไม่ให้เจอกันได้ยังไง”


“แต่พ่อที่... ก็ได้ๆ งั้นฉันไปด้วย” ถึงจะพูดไม่หมดแต่ผมรู้ว่าคุณกรหมายถึงอะไร เขามองตาผมแล้วเป็นฝ่ายถอนหายใจจนผมรู้สึกว่าเขากังวลเกินไปหรือเปล่า ผมไม่ใช่สาวน้อยอ่อนแอที่ต้องให้เขาคอยเป็นห่วงตลอดเวลาสักหน่อย


“ไม่ต้องหรอกครับ ไปแป๊บเดียวเอง” คิ้วเข้มเริ่มตึงๆ ท่าจะไม่ดี ผมเลยรีบปรับกลยุทธ์ “พ่อคงมาเรื่องเดิมๆ คุณกรรออยู่ที่นี่ดีกว่า กานต์จะรีบไปรีบมาแล้วเราค่อยไปหาอะไรอร่อยๆทานกัน นะคร้าบ”


อีกครั้งที่ลูกอ้อนของผมได้ผลถึงขนาดที่คุณภากรยิ้มออกและดึงเข้าไปหอมแก้มต่อหน้าต่อตาบุคคลที่สาม คุณเมธเลยขำพรืดแล้วรีบไล่ผมออกจากห้องแทบไม่ทัน ผมลงมาที่ด้านหน้าโรงแรมแต่ไม่เห็นใครเลยวิ่งอ้อมไปแถวลานจอดรถที่เคยเจอกับพ่อคราวที่แล้ว ที่มุมหนึ่งของลานกว้างใต้เงาแป้นบาสเกตบอลใหญ่ พ่อโบกมือเรียกแต่พอผมวิ่งเข้าไปหาถึงได้รู้ว่าพ่อไม่ได้มาคนเดียว


“คราวนี้เท่าไหร่” ผมดึงพ่อห่างออกมาเพื่อสอบถามอย่างเข้าใจสถานการณ์ดี ทีแรกเห็นพ่อชูสามนิ้ว ผมแอบโล่งอกเพราะในตัวตอนนี้มีอยู่สองพันกว่า อาศัยหยิบยืมอีกนิดหน่อยก็ได้แล้ว แต่พอได้รู้จำนวนจริงๆแทบลมจับ “สามหมื่น!”


“จริงๆก็แค่สองกว่าๆ แต่ทีนี้มันมีดอกเบี้ย ไม่ได้ให้เขามาเกือบอาทิตย์แล้ว พ่อจำเป็นจริงๆเลยต้องมาเดือดร้อนเอ็งนี่แหละ”


“พ่อก็รู้ว่าผมทำงานที่นี่ไม่มีเงินเดือน ดีแต่ว่าเจ้านายใจดีก็ให้พิเศษบ้างนิดๆหน่อยๆ เงินตั้งสามหมื่นผมจะไปเอาจากที่ไหน?!”


“เรื่องนั้นพ่อก็รู้ แต่ที่นี่คนเยอะแยะ ไม่มีใครที่เอ็งพอจะ...”


“พ่อ! ใครเขาจะให้ยืมกันทีเป็นหมื่นๆ แค่พันสองพันผมก็เกรงใจเขาจะแย่อยู่แล้ว”


“แล้วเอ็งจะให้พ่อทำไงเล่า!”


ผมเชื่อว่าพ่อคงรู้สึกผิดหรือไม่ก็เหลือความละอายใจอยู่บ้างเลยพยายามกระซิบกระซาบกันค่อยๆ แต่เพราะกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆที่จมูกผมรู้สึกได้บวกกับความร้อนใจเป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้มากนัก จุดนี้ล่ะที่ผมต้องฝืนจนไม่อยากจะทน พ่ออ้างความเครียดเลยกินเหล้า แต่พอเหล้าเข้าปากก็ยิ่งสร้างเรื่องปวดหัวให้ทบทวีขึ้น และที่มันจี๊ดเพราะทุกครั้งที่มีปัญหา พ่อถึงจะเพิ่งนึกได้ว่ามีผมเป็นลูกชายที่ควรทดแทนบุญคุณโดยการตามสะสางเรื่องทุกอย่างให้


คราวที่แล้วผมถูกพามาทิ้งไว้ที่นี่ คราวนี้พ่อก็พาผู้ชายท่าทางไม่เป็นมิตรมาอีก พอเห็นผมเดินเข้าไปใกล้ก็ยกมือกุมบั้นเอว เฮ่อ...ไม่ต้องโชว์ออฟผมก็รู้น่ะว่าพี่แกมีปืน หน้าโฉดขนาดนี้พกแค่ไม้กระบองก็หน่อมแน้มเกินไปล่ะ


“ใจเย็นก็ได้ครับพี่ ผมแค่ขอคุยด้วยเฉยๆ”


“ถ้าคุยแล้วไม่จ่ายก็อย่าเลย เสียเวลาว่ะไอ้หนู”


ฟ้ามืดแล้วยังใส่แว่นดำ ผมเลยเดาอารมณ์เขาไม่ถูก แต่ก็คงต้องลองเจรจาเพราะให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางหาเงินก้อนตั้งสามหมื่นมาใช้หนี้ได้แน่ๆ


“งั้นถ้าผมจะขอผ่อนจ่ายได้มั้ย สักเดือนละ...สอง หรือ สามพัน...”


“เห็นพี่เป็นเด็กอมมือหรือไงไอ้น้อง แค่นั้นเอากลับไปหยอดกระปุกที่บ้านดีกว่ามั้ย”


“โธ่พี่! ถ้าพ่อผมหรือผมมีเงินมากขนาดนั้นจะต้องไปเป็นหนี้พี่หรือครับ”


“ไม่สนโว้ย! อย่างน้อยวันนี้เงินต้นต้องได้ ไม่งั้นก็มีเจ็บตัวกันบ้าง”


เจ้าหนี้อารมณ์เสียที่ไม่ได้เงิน แล้วคิดเหรอว่าลูกหนี้อย่างผมจะของขึ้นบ้างไม่ได้ ในเมื่อคนมันไม่มีแล้วจะให้มันมีขึ้นมาได้ไงกันวะ?!


“งั้นก็ตามใจพี่เหอะ เพราะผมไม่มีให้จริงๆ”


“อย่าคิดว่าฉันไม่กล้ารังแกเด็ก”


“โอ๊ย! ผมรู้ครับว่าพี่กล้าอยู่แล้ว ขูดเลือดขูดเนื้อกันเหมือนคนอื่นเขาไม่ใช่คนยังทำได้เลยนี่”


“เฮ้ย! อย่ามากวนตีน เห็นหน้าหวานๆปากหมาเหมือนกันนะมึง”


บอกตามตรงว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทเขา แต่ลองสมมติว่าตัวเองเป็นหนูจนตรอก จะซ้าย ขวา บน ล่าง หรือด้านหลังก็เจอแต่กำแพง ทางรอดเดียวคือข้างหน้าที่มีแมวตัวใหญ่รอท่า ขืนอยู่รอให้แมวเข้ามากินก็ตาย ลองสู้ดูสักตั้ง อย่างน้อยโอกาสรอดกับตายก็ยังห้าสิบห้าสิบล่ะน่ะ


“ไม่เหมือนพี่ใช่มั้ยครับ จะหน้าตาหรือสันดานก็...”


ผมว่าหมอนี่ถอดแบบตัวร้ายหนังไทยมาชัดๆ ยังไม่ทันตั้งตัวหมัดพี่แกก็ซัดเข้าแก้มผมจังๆ อูยยยย ทำไมไม่หัดให้สัญญาณกันก่อนวะ!


“กานต์!” ยังดีที่มีคนรู้คิวของความเป็นพ่อ รีบเข้ามาห้ามก่อนที่ผมจะโดนซ้ำ “มากไปหรือเปล่าเฮีย เด็กมันตัวนิดเดียว ทำไมต้องทำรุนแรงกันด้วย!”


“มึงก็หัดสั่งสอนลูกให้มีมารยาทกับผู้หลักผู้ใหญ่ซะบ้าง”


แม่งเอ๊ย! พ่อผมไม่ทันทำอะไรยังโดนผลักซะกระเด็น ตัวมันนั่นแหละพ่อแม่สั่งสอนแล้วไม่หัดจำ!


“มารยาทกูมี มีมากด้วย แต่ไม่ได้เอาไว้ใช้กับผู้ใหญ่เลวๆอย่างมึงโว้ย!”


“หนอย ไม่เข็ด เงินไม่ได้งั้นขอกระทืบมึงแทน อยากรู้นักโดนตีนกูแล้วจะจองหองได้สักกี่น้ำ”


ผมยังยืนมึนๆก็เลยถูกผลักไปกระแทกกับโครงแป้นบาส โอยยย เจ็บหลังเพิ่มมาอีกอย่างแล้ว


“อย่าเลยเฮีย ผมขอล่ะ เด็กมันไม่รู้จักคิด เฮียอย่า...”


“มึงจะหลบหรืออยากเจ็บตัวเองไอ้บัติ!”


ผมแอบดีใจนะที่เห็นพ่อไม่ตอบแต่ก็ยังยืนขวางตัวผมไว้ แต่พ่อเองใช่จะแข็งแรง โดนปัดเบาๆก็กระเด็นไปอีกทาง แล้วผมก็โดนซ้ำแผลเดิม ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าแอนตาซิลได้จ่ายแน่ แต่มันเห็นผมยังยืนอยู่ได้เลยเสยท้องอีกหนึ่งหมัด จุกสิครับงานนี้! ถึงจะเคยโดนน้ำมือพ่อมาบ้างแต่ผิวท้องผมมันไม่มีทางด้านชาหรือหนาขึ้นเพื่อรับแรงกระแทกอะไรแบบนี้แน่


“ขนาดนี้ยังยืนไหว เก่งเหมือนกันนี่”


“ก็เก่งพอจะทนความเลวของมึงได้ละกัน”


ขาดคำผมก็โดนคว้าคอกระชากจนขาลอยจากพื้น ผมจ้องผ่านแว่นดำรู้สึกได้ถึงแววตาโกรธจัด แต่ยังเป็นโชคดีของผมที่ไม่ต้องรองรับแรงอารมณ์นั้นอีกครั้ง...


“เฮ้ย! ถ้าไม่อยากตายมึงปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้!!”


เฮียสยามมาถึงที่เกิดเหตุพร้อมลูกน้องคุมหลังอีกหนึ่งแผง ทุกคนซ่อนอาวุธครบมือเพราะทีแรกเฮียคงกลัวลูกค้าโรงแรมตกใจเลยวิ่งตัดลานจอดรถมาตัวเปล่า แต่พอมาถึงเท่านั้น เฮียชักปืน ส่วนพวกพี่ๆมีทั้งมีด ไม้ แถมสนับมือพราว สีหน้าแต่ละคนอยากเล่นปิดประตูตีแมวกันเต็มแก่ สถานการณ์แบบนี้ถึงไอ้คนที่ซ้อมผมจะใจเด็ดแค่ไหนก็คงไม่อยากไปเฝ้ายมบาลก่อนวัยอันควร มันเลยรีบปล่อยแล้วพยายามมีไมตรีกับเจ้าถิ่นสุดกำลัง


“ใจเย็นน่าเฮียหยาม ผมแค่มาเคลียร์ธุระเฉยๆ พ่อไอ้เด็กนี่มันติดหนี้เสี่ย เป็นเฮียก็ต้องทำเหมือนผมไม่ใช่หรือไง”


เห็นท่าทีอ่อนน้อมแล้วรู้เลยว่าเฮียสยามต้องมีชื่อเสียงพอตัว แต่พอผู้ทรงอิทธิพลตัวจริงปรากฏตัวเท่านั้น ไม่ว่านักเลงหน้าไหนก็ก้มหน้ากลัวหงอกันเป็นแถบ


“เท่าไหร่”


น้ำเสียงเยียบเย็นดังแทรกมาแล้วลูกน้องเฮียสยามก็หลีกทางให้สองคนสุดท้ายที่เพิ่งมาถึง คุณวรเมธรีบตรงเข้ามาประคองผม ส่วนคุณภากรยืนรอนิ่ง เมื่อได้คำตอบก็หันไปรับธนบัตรปึกหนึ่งจากเฮียสยามแล้วโยนลงบนพื้นเบื้องหน้าเจ้าหนี้ของพ่อ


“ได้เงินแล้วก็รีบไสหัวไป ฝากบอกเสี่ยด้วยว่าโรงแรมฉันไม่ใช่ที่ให้ใครมาทวงหนี้ ถ้ายังส่งคนมาป้วนเปี้ยนแถวนี้อีก เสี่ยอาจเสียลูกน้องมือดีไปไม่รู้ตัว” 


ชายแว่นดำพยักหน้ารับและก้มลงหยิบของ ไม่มีท่าทีลนลานแต่ก็ไม่กล้าสบตาเจ้าของเงิน และก่อนที่จะมีใครกระพริบตาเขาก็ล้มลงไปนอนกองเพราะเฮียสยามบังเอิญเอ็นข้อเท้ากระตุกเหวี่ยงเข้าชายโครงพอดิบพอดี


“โทษฐานที่มึงแตะต้องคนของนายกู!” เฮียสยามชี้หน้าบอกเบาๆแต่น้ำเสียงโกรธจัด และผมว่ามันอาจเป็นวิถีของนักเลงเพราะฝ่ายนั้นแค่พยักหน้ารับแล้วรีบหันหลังเดินออกจากเขตโรงแรมไปทันที


ทุกคนอยู่ในภาวะสงบรอ เพราะผู้มีอำนาจสูงสุดเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์สั่งการ และตอนนี้เขาก็หันมาจัดการกับสิ่งรกหูรกตาที่เหลือ...พ่อผมเอง!


“ยังจำที่ฉันบอกได้หรือเปล่า” คุณภากรเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่แววตากล่าวโทษทุกคำ ส่วนผมแค่ขยับก็ถูกคุณเมธจับตัวไว้ เฮียหยามส่ายหน้าห้ามเบาๆ ดูเหมือนทุกคนล้วนลงความเห็นว่าพ่อเป็นคนผิดและสมควรรับโทษ


“จะ..จำได้ครับท่าน แต่ผม...ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ” พ่อก้มหน้าตอบทำให้ผมต้องหันหนีด้วยความแสลงใจ ผมอาจจะโกรธในสิ่งที่พ่อทำแต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรผมก็ไม่เคยเกลียดพ่อได้ลง


“ไม่มีทางเลือกถึงต้องพาลูกชายมาที่นี่ให้ฉันรับไว้ นั่นยังไม่พออีกหรือไง”


จู่ๆคุณภากรก็หันมาพร้อมสายตาที่เหมือนส่องผ่านเข้ามาอ่านใจผมออก ตัวผมเองก็เริ่มจะเข้าใจความคิดของเขา รู้ว่าเขาไม่อยากขุดคุ้ยเรื่องที่ทำให้ผมไม่สบายใจ และเขาไม่พอใจที่เห็นผมถูกทำร้าย แต่ผมก็อยากให้เขารู้ว่าผมไม่เป็นไร ผมอยากให้เขาอภัย เพราะความโกรธที่ปะทุขึ้นรังแต่จะทำร้ายเขาเอง ส่วนพ่อผมน่ะเดี๋ยวพอเหล้าเข้าปากก็ลืมหมดแล้ว


“กานต์เป็นคนของฉันแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวาย ถ้าคุณยังมีความเป็นพ่อหลงเหลืออยู่บ้าง หวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันในสถานการณ์แบบนี้”


คุณภากรพูดกับพ่อแต่ยังจรดสายตาอยู่ที่ผม เขายิ้มปลอบโยนผมส่วนผมก็ยิ้มขอบคุณเขา นั่นทำให้ผมได้คิด...เมื่อใดที่คนเราเปิดใจให้กัน ความรักกับความเข้าใจก็คงเป็นผลพลอยได้ที่ช่วยค้ำชูซึ่งกันและกัน


พ่อเอ่ยขอบคุณนับครั้งไม่ถ้วนแล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่เหลียวแลผมเหมือนเคย แต่ช่างเถอะ หัวใจของผมมันชินชาเกินกว่าจะหวังหรือผิดหวังอะไรได้อีก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือร่างกายที่หายชาและระบมมากขึ้นทุกที คุณเมธคงรู้สึกได้ว่าผมทิ้งน้ำหนักตัวมากขึ้นเลยรีบบอกให้ไปหาหมอ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็ถูกพามาพบนายแพทย์ท่าทางใจดีที่คุณกรเรียกว่า...


“เสร็จยังไอ้ด๊อก” ผมอาจจะเบลอเพราะความเจ็บและฤทธิ์ยา แต่หูผมฟังไม่ผิด ด๊อกเฉยๆ ไม่มีเตอร์ตามมาอีกพยางค์แน่นอน


“แน่ใจนะว่าจะไม่มีแผลเป็น ไอ้รอยช้ำนี่กี่วันถึงหาย แล้วไม่เอกซเรย์ดูหน่อย เผื่อข้างในจะมีอะไรร้าวบ้างหรือเปล่า เกิดกลับไปพักฟื้นแล้วทรุดล่ะก็จะกลับมาระเบิดคลินิกซังกะบ๊วยนี่ให้ราบเป็นหน้ากองเชียว”


เจ้าของไข้ที่ทำตัวรู้ดีกว่าหมอร่ายอาการจนผมสงสัยว่าใครกันแน่ที่บาดเจ็บ จริงอยู่ที่ผมโดนค่อนข้างหนัก หน้าเยิน ปากแตก ท้องช้ำ หลังระบม แต่ผมเคยโดนหนักกว่านี้ก็ยังรอดมาได้ แค่เนี้ยสะ...อ๋อยยยย!


“อะแฮ่ม หมอขอโทษนะครับคุณคนไข้” คุณหมอที่ถูกตามตัวด่วนเลยโผล่มาในชุดเล่นกอล์ฟยิ้มให้ผมที่นั่งห้อยขาอยู่บนเตียงตรวจโรคแล้วค่อยหันไปฉีกปากใส่เพื่อนตัวเอง  “เลิกเรียกกูยังงี้ซะทีนะไอ้กร ไม่งั้นจะเอาไซรินจ์นี่ทิ่มมึงเดี๋ยวนี้แหละ”


คนที่กำลังถือหลอดฉีดยาอันใหญ่ยักษ์นั่นคือคุณหมอชวิน เป็นเพื่อนสมัยเด็กของคุณภากรและนับไปนับมาก็ถือเป็นญาติห่างๆที่ไม่เคยได้ติดต่อกันของคุณวรเมธ พอมาพบกันอีกครั้งก็เลยกลายเป็นเพื่อนที่ไม่รู้จะเรียกว่าซี้กันอีท่าไหนดี วันนี้เป็นวันหยุด คุณหมอตั้งใจจะไปไดร์ฟกอล์ฟ แต่ยังไม่ทันได้ตีสักลูกก็ถูกคุณภากรจิกตัวให้มาดูแลผม ส่วนเหตุผลที่ต้องมาที่คลินิกของรุ่นพี่คุณหมออีกที เพราะคุณเมธกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่และอาจมีข่าวเสียหายมาถึงโรงแรมได้


“แล้วจะให้เรียกชื่อเล่นมึงหรือไงไอ้ลูกชิ้น เดี๋ยวโดนหาว่าเป็นหมอลูกชิ้นหมาก็จะมาว่ากูอีก” กลับมาที่ฝีปากท่านเจ้าของโรงแรมซึ่งผมฟังแล้วก็...โอย ปวดหัวจี๊ด!


“กูชื่อชิน หัดจำแล้วเรียกให้ถูกๆซะที”


“มึงก็หัดชินให้ได้สมชื่อก่อนสิ” คุณกรสวนกลับ ไม่มีลงให้เพื่อนตัวเองสักนิด แต่พอหันมาเห็นสีหน้าเพลียๆของผมเข้าก็กลับเข้าโหมดจริงจัง “แล้วตกลงอาการคนไข้ว่าไง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแน่นะ”


“จะน่าเป็นห่วงก็เพราะต้องมาอยู่ใกล้มึงนั่นแหละ” พี่หมอลูกชิ้น เอ๊ย! พี่หมอชินแขวะส่งท้ายแล้วหันมาถามผมบ้าง “แล้วคนไข้ล่ะครับ คิดว่าตัวเองโอเคหรือเปล่า”


“ก็...” ผมลองสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกตึงๆ หน่วงๆไปทั้งตัว แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกได้ว่าอากาศมันเดินทางไปถึงไหนต่อไหนในร่างกาย แสดงว่ายังไม่ตายง่ายๆ “น่าจะนะครับ แต่ตอนนี้มันมึนจนไม่ค่อยรู้สึกอะไรแล้ว”


“ฤทธิ์ยาน่ะ ยังไงหมอก็อยากให้พักเยอะๆ ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมาก็วิ่งปร๋อแล้ว”


“อย่าให้มันเร็วถึงขนาดนั้นเลย ขืนลุกมาวิ่งจริงๆคงได้หามกลับมาหามึงอีกรอบ”


“เฮ้ย! มือชั้นนี้ บอกว่าหายก็หายสิ มึงอย่าห่วงให้มันเวอร์นักเลย ลูกผู้ชายโดนแค่เนี้ยจิ๊บจ๊อย ยิ่งเป็นเด็กร่างกายกำลังโต กำลังวังชายังดี ฟื้นตัวเร็วจะตาย”


“เอาไว้ให้มึงโดนกระทืบแล้วไม่ต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มได้ก่อนค่อยมาพูด”


“แต่พี่หมอก็พูดถูกนะครับ ผมว่าผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เคยโดนมาเยอะกว่านี้ยังไม่เป็นไรเลย”


คนไข้ตัวจริงอย่างผมได้แต่หันซ้ายหันขวามองหมอกับเจ้าของไข้เถียงกันแล้วต้องพยายามห้าม คุณวรเมธที่ยืนเงียบมาตลอดคงสงสารหรือไม่ก็กลัวจะโดนลากเข้าไปร่วมวงด้วยเลยออกปากช่วยผมอีกแรง


“พรุ่งนี้จะยังไงก็ช่างเถอะแต่ตอนนี้ให้กานต์พักก่อนดีกว่า ส่วนคุณหมอกับคุณแฟนก็เลิกกัดกันสักที ฉันฟังแล้วปวดหัวแทน”


ฟันธงไม่ได้ว่าตกลงคุณเมธอยากจะช่วยหรือทำให้งานเข้า เพราะคุณหมอนักกอล์ฟหันขวับมาทำตาโตมองผมใหญ่ เสร็จแล้วก็หันไปอ้าปากหวอใส่คุณกร ท่าทางเขาจะไม่ได้สงสัยมาก่อนว่าเพื่อนสนิทจะเปลี่ยนรสนิยมมาชอบเด็ก แถมเป็นเด็กผู้ชายซะด้วย อย่าว่าแต่พี่หมอ จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่เลย


คุณกรขยับมายืนชิดขอบเตียงแล้วยกมือแตะรอยช้ำที่มุมปากผมเบาๆ พี่หมอเลยถอยกรูดไปหาคุณเมธที่ได้แต่ตบไหล่เพื่อนพร้อมมีรอยยิ้มบางๆ


“หมดหน้าที่นายแล้วหมอ ให้แฟนเขาจัดการกันต่อ เราสองคนไปหากาแฟกินแก้เลี่ยนลูกตาดีกว่า”


พอเหลือกันอยู่ตามลำพัง ผมชักร้อนๆหนาวๆเมื่อร่างสูงเล่นวางมือเท้าขอบเตียงแล้วยืนจ้องหน้าผมชนิดตาไม่กระพริบทีเดียว


“เรื่องวันนี้ทำให้ฉันโกรธมาก โกรธหมดทุกอย่าง ทุกคน โกรธตัวเอง โกรธแม้กระทั่งคนตรงหน้าฉันนี่” เขาจ้องจนผมไม่กล้ากระพริบตาตามไปด้วย เลยได้เห็น...ในดวงตาของเขามีเงาผมอยู่ชัดเจนเหลือเกิน “ทำไมถึงไม่ระวังตัว ทำไมปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้าย รู้หรือเปล่าว่าการเห็นคนที่เรารักเจ็บน่ะ มันเจ็บปวดมากกว่าตั้งไม่รู้กี่ร้อยเท่า อยากจะทรมานฉันนักใช่มั้ย”


จู่ๆผมรู้สึกลมหายใจบางลงจนเหมือนจะจางหายไป แล้วความสุขก็หลั่งไหลเข้ามาแทนที่


“มิน่าล่ะ”


“มิน่าอะไรอีก?”


“ก็มิน่าว่าทำไมถึงไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไหร่ เพราะคุณกรเจ็บแทนแล้วนี่เอง ขอบคุณนะครับ รักคุณกรจัง”


โชคดีที่ผมไม่ได้โดนซ้อมจนถึงกับน่วมไปทั้งตัว เลยยังมีแรงยกแขนทั้งสองข้างโอบรอบและซบลงกับแผงอกกว้างของหมาป่าตัวใหญ่ ผมหลับตาแล้วสูดกลิ่นน้ำหอมเคล้ากลิ่นเหงื่อจางๆด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด ไออุ่นซ่านประโลมหัวใจให้คลายความเหนื่อยล้า ผมก็แค่เด็กคนหนึ่ง ยังไม่คุ้นชินกับความยากลำบากของชีวิต แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่เพียงความอ่อนโยนเล็กน้อยก็พอจะทำให้ผม...




จบตอนแล้วคร้าบ

 :bye2:





หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-04-2016 19:06:44
โกรธ!!!!!!! แต่ก็ยังมีความหวานให้ชุ่มชื่นหัวใจบ้าง
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: chaichan ที่ 25-04-2016 19:23:08
น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :-[
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 25-04-2016 22:01:30
เพราะคุณกรเจ็บเเทนนี่เองหูยยยยน่ารักง่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-04-2016 22:17:19
เจอประโยคคุณกรเจ็บแทน :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

ว่าแต่คุณพ่อก็หาเรื่องมาให้ลูกเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจนะ :m31:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 26-04-2016 14:53:37
เพิ่งได้มาอ่าน น้องกานต์ น่ารัก ขี้อ้อนแบบนี้ คุณกรไม่รอด
แอบสงสัย กานต์ไม่ใช่ลูกแท้ๆรึเปล่าทำไมพ่อถึงทำขนาดนี้ ไม่เห็นทำไรพี่กัญบ้างเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 26-04-2016 20:50:08
 :ruready
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 26-04-2016 21:25:42
โหยยยยทำไมถึงหาเรื่องให้กานต์อยู่เรื่อยเลยวะนี่ลูกป๊ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 27-04-2016 00:12:41
น่ารัก  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 29-04-2016 16:46:41





13 .




มองหนุ่มน้อยที่กำลังหลับตาพริ้ม ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ในขณะที่มือทั้งสองข้างเริ่มหมดแรงเกี่ยวตัวผมไว้แล้วก็ได้รู้ว่า...หลับไปซะแล้ว!


อยากจะหัวเราะดังๆแต่กลัวแรงสะเทือนทำให้คนเจ็บตกใจตื่นเลยค่อยๆปลดเรียวแขนอ่อน ผ่อนร่างบางลงนอนบนเตียงแคบ ชักผ้าห่มคลุมให้แล้วประทับรอยจูบลงบนหน้าผากอุ่นส่งเจ้าชายแสนน่ารักของผมเข้าสู่ห้วงนิทรา


ผมมองคนกำลังหลับแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นยิ้มที่ไม่มีเหตุผล รู้แต่แค่เห็นเจ้าเด็กนี่มุมปากมันก็ขยับไปเองโดยอัตโนมัติ ก็ปากนี้ล่ะที่เคยยอมรับว่า ‘ชอบ’ แต่นับวันหัวใจจะบวกให้เป็นคำว่า ‘รัก’ มากขึ้นทุกที


‘คิดจะทำอะไรกันแน่ เดี๋ยวนี้นายเปลี่ยนรสนิยมแล้วหรือไง’


พอจะเริ่มทบทวนความรู้สึกตัวเองเมื่อไหร่ คำถามนี้ก็มักดังขึ้นมาในห้วงความคิด วรเมธเป็นทั้งเพื่อนและผู้ร่วมงานที่ต้องเห็นหน้ากันอยู่ทุกวัน ไม่แปลกที่เขาจะเอะใจและถามออกมาตรงๆ


‘ไม่ดีเหรอวะ ชีวิตจะได้มีรสชาติใหม่ๆบ้างไง’


ผมตอบแล้วจิบเบียร์แก้คอแห้ง ถ้าว่างและไม่ล้าจากงานมากเกินไป เรามักชวนกันมานั่งจิบเหล้าเคล้าเสียงเพลงที่คลับ แอร์เย็นๆ เบียร์นุ่มๆ เพลงเพราะๆ ส่วนสาวๆแห้วหมด เพราะไอ้เลขาใหญ่บอกว่าขอพักผ่อนจริงๆ ไม่อยากได้คนมาเกาะแกะให้รำคาญ และเผื่อคุยเรื่องอะไรจะได้ไม่ต้องกลัวใครได้ยิน ผมเลยได้แต่นั่งมองนักร้องครวญเพลงตาละห้อย


‘เชื่อตายล่ะ’ ฟังเข้า! นี่ดีนะที่ต่อหน้าคนอื่น มันยังดูให้ความเคารพเจ้านายอย่างผมอยู่บ้าง ‘อย่าบอกนะว่าเพราะเรื่องนั้น’


ไม่แปลกที่วรเมธจะรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับโรงแรม คลับ หรือคาสิโน แต่ถึงขนาดรู้ถึงชีวิตส่วนตัวของผมด้วยนี่ออกจะมากไปหรือเปล่า


‘ไอ้คุณเลขา ชักจะแสนรู้เกินหน้าที่ไปมั้ยครับ’


‘อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้แส่อยากรู้ แต่คุณภัทเป็นคนเรียกไปหาแล้วก็คุยเรื่องนี้ให้ฟังเอง’


นึกแล้ว! แรกๆแม่ผมก็เหมือนทุกคนที่ไม่เชื่อน้ำหน้าพนักงานใหม่ที่มีเบื้องหลังเป็นลูกชายลูกหนี้ของพ่อ แต่เมื่อเขาได้พิสูจน์ว่ามีความสามารถ และช่วยเกื้อหนุนประธานอ่อนหัดอย่างผมได้เป็นอย่างดีเลยได้รับความไว้วางใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้แม่ยังฟังเจ้าหมอนี่มากกว่าลูกชายตัวเองด้วยซ้ำ


‘แล้วนายบอกแม่ไปว่าไง’ ผมส่งสัญญาณสั่งเบียร์เพิ่ม คุยเรื่องนี้ทีไรแล้วอยากเมาจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก ถ้าตัวต้นเหตุเป็นคนอื่นผมคงจัดการได้ง่ายกว่านี้ แต่พอเป็นคุณภัทราพรผมเลยได้แต่...เซ็ง!


‘ก็เรียนไปตามตรงว่าคุณภากรไม่ใช่สมภารที่จ้องจะกินไก่วัด เพราะฉะนั้นสาวๆในคลับหรือที่โรงแรมน่ะไม่ต้องห่วง ส่วนที่ว่าท่านจะแอบไปกินใครที่ไหน ยังไง บังเอิญว่ากระผมไม่ได้ตามไปมุดอยู่ใต้เตียงก็เลยไม่ทราบ บอกได้แต่ว่าในตารางนัดมักจะมีช่องว่างที่หาที่มาที่ไปไม่ได้อยู่บ่อยๆก็เท่านั้นเอง’


เมื่อแรกที่รู้จักกัน ผมเพิ่งเสียพ่อแต่นับแล้วก็หลังจากที่พ่อเมธตายไม่ถึงปี เรามองตาแล้วไม่ต้องพูดอะไรก็เหมือนเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ผมสนิทใจและเลือกเขามาเป็นเลขาส่วนตัวแทนคนเก่าคนแก่ที่มีทั้งอายุและประสบการณ์ เมื่อความเศร้าผ่านพ้นไปและความสนิทสนมที่มีมากขึ้นถึงได้รู้ว่าคนๆนี้ใช่จะเคร่งเครียดตลอดเวลา แต่คนอื่นที่ไม่เคยเจอกับตัวก็คงไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างมันก็มีอารมณ์ขันเหมือนกัน


‘แสดงว่านายเห็นลิสต์สาวๆของแม่ฉันแล้วสิ’


หลังจากที่พ่อเสีย ผมยุ่งกับงานส่วนแม่ขังตัวเองอยู่กับความเศร้าโศกจนผิดไปเป็นคนละคน จะว่าผมเลวก็ได้แต่เมื่อก่อนผมนึกว่าพ่อกับแม่ไม่ได้รักกันแต่ต้องฝืนใจอยู่ด้วยกันเพื่อหน้าตาทางสังคม เลยเพิ่งได้รู้ว่าจริงๆแล้วแม่รักพ่อมากจนเหมือนโลกทั้งใบพังทลายไปต่อหน้า แม่เลื่อนลอยเคว้งคว้าง จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนต้องกำชับให้ภาวิณี น้องสาวผมคอยดูแลอย่างใกล้ชิด


เมื่อสภาพจิตใจของแม่ดีขึ้นและพวกเราตัดสินใจส่งยัยภาไปเรียนต่อ แม่ก็เริ่มกลับมาเป็นตัวของตัวเองและนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านหรือมีโอกาสได้นั่งคุยกัน แม่จะเฝ้าพรรณนาความดีเลิศของบรรดาสาวๆที่ท่านหมายตาอยากได้เป็นลูกสะใภ้ แรกๆผมไม่เอะใจ คิดว่าเป็นเรื่องปกติของวงสังคมไฮโซ แต่พอเห็นผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ไม่ได้สนใจใครอย่างที่ควร แม่จึงเริ่มเปลี่ยนวิธีการที่เป็นรูปธรรมสุดๆ นั่นคือที่มาของแฟ้มประวัติกองโตซึ่งจะมีทั้งรูปถ่ายเต็มตัว ครึ่งตัว ประวัติส่วนตัว ปูมหลังครอบครัว การศึกษา อาชีพการงาน ความสามารถพิเศษ และอื่นๆอีกมากมาย ผมอ่านไปก็ขำไปเพราะบางรายถึงขั้นใส่ชื่อสุนัขตัวโปรดหรือกระทั่งประเทศที่เคยไปเที่ยวมา ขอถามหน่อยเถอะ ถ้าผมจะมีเมียสักคน ผมจะสนข้อมูลไร้สาระพวกนี้หรือไง... บ้าไปแล้ว!


‘ที่ดูๆก็โอเคทั้งนั้น ทำไมไม่หลับตาจิ้มมาสักคนล่ะ’ อยากย้อนสักคำ ถ้าให้มันเลือกบ้างจะเอามั้ย


‘กลัวว่าพอลืมตามาแล้วจะเจอฝันร้ายไปตลอดชีวิตน่ะสิ แม่คิดว่าตัวเองเพอร์เฟคท์ที่สุด ก็เลยเฟ้นหาลูกสะใภ้ที่เหมือนๆกัน แล้วถ้าต้องอยู่กับผู้หญิงที่เหมือนแม่ไปตลอดชีวิต ฉันคงได้หนีไปกบดานบ้านสวนแน่ๆ’


เหตุผลหนึ่งที่ผมคิดว่าพ่อแม่ไม่รักกันก็เพราะหลังจากที่คุณปู่เสีย พ่อมักจะไปค้างที่บ้านเดิมซึ่งเราเรียกกันว่าบ้านสวนจนบางทีผมกับน้องไม่ได้เห็นหน้าพ่อตัวเองเป็นอาทิตย์ๆ พอถามแม่ แม่จะอารมณ์เสียแล้วก็แต่งตัวออกไปชอปปิ้งหรือออกงานสังคมตามเรื่องตามราว จะเรียกว่าเป็นสถานการณ์บ้านแตกก็ไม่ผิดนัก น่าเสียดายตรงที่ผมไม่เคยคิดจะถามเหตุผลจากพ่อตรงๆ แต่เมื่อได้มีโอกาสไปสัมผัสบรรยากาศของบ้านสวนด้วยตัวเองก็ยอมรับว่าติดใจและเข้าใจความรู้สึกของพ่อขึ้นมาบ้าง


‘งั้นก็หาเองสักคน อย่างน้อยไม่ถูกใจแม่แต่ก็ถูกใจนาย’


‘ถ้าหาได้จะมานั่งกลุ้มอยู่อย่างนี้เหรอวะ’


อย่างที่บอกว่าความจริงผมไม่ใช่คนเรื่องมาก เพียงแต่ไม่เคยมีใครที่ทำให้ผมสนใจถึงขนาดอยากสานต่อจริงจัง ส่วนเรื่องพรหมลิขิตยิ่งห่างไกลจากสมอง วันๆก็ทำแต่งาน แล้วจะให้เอาเวลาที่ไหนไปหา... ไม่ใช่แค่เมีย แต่คือผู้หญิงที่จะเป็นแม่ของลูก เป็นคนที่จะยืนอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิตเชียวนะ


‘หวังว่านี่จะไม่เกี่ยวอะไรกับเด็กคนนั้น’ ภากรในตอนนั้นไม่ตอบแต่จงใจยกยิ้มมุมปาก แววตาเจ้าเล่ห์ได้ใจจนเพื่อนเต้นผาง แต่ถ้าเป็นผมในตอนนี้ เมื่อไหร่ที่คิดถึง ‘เด็กคนนั้น’ เชื่อว่ารอยยิ้มและแววตาจะไม่มีทางเหมือนเดิม ‘เวรแล้วไง อย่าบอกนะว่าจะพากานต์ไปหาแม่ในฐานะลูกสะใภ้ ฉันว่านอกจากฟ้าผ่าแล้วนายยังจะโดนแจกันสมัยราชวงศ์หมิงทุ่มใส่หัวแน่ๆ’


‘ก่อนจะให้ความเห็นช่วยถามกันสักคำได้มั้ยว่าฉันคิดอะไร’


‘ไม่ว่าจะคิดอะไรมันก็บ้าทั้งนั้น บ้ามากๆเลยนะเว้ยไอ้กร’


ผมยิ้มด้วยความคะนองในแผนการของตัวเอง จะว่าผมไม่คิดหน้าคิดหลังคงไม่ได้ แต่อาจเป็นอะไรสักอย่างที่ดลใจให้ผมเลือกจะทำแบบนั้น อะไรที่ว่าคงคล้ายๆ... บุพเพสันนิวาสล่ะมั้ง?!


‘ฉันก็แค่อยากให้มีข่าวไปเข้าหูแม่เฉยๆว่าฉันอาจจะ แค่อาจจะเฉยๆไม่ได้ฟันธงสักหน่อยว่าใช่ แล้วเด็กนั่นก็เข้าล็อกพอดี รูปร่างหน้าตาโอเคพอจะทำให้ใครๆเชื่อได้ แถมไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นปัญหา มีหนี้ก้อนโตปิดปากอยู่ จะกล้ามาโวยวายหรือเรียกร้องอะไรก็ให้มันรู้ไปสิ’


‘ตกลงว่านายจะหลอกทั้งแม่ ทั้งเด็ก แล้วยังทุกคนที่โรงแรมด้วยงั้นเหรอ’


‘แหงสิ มันต้องเนียนกันหน่อยไม่งั้นแม่ไม่ไม่มีทางเชื่อ ฉันรู้นิสัยแม่ดี ถ้าสงสัยแล้วจะระวังตัวมากขึ้น คงไม่กล้าเร่งเรื่องแต่งงานเพราะกลัวว่าฉันจะเตลิดแล้วมีแฟนผู้ชายเข้าจริงๆ ทำไปทำมาฉันอาจจะรอดตัวไปเลยก็ได้’ ผมบอกแล้วสังเกตสีหน้าคนฟัง ร้อยทั้งร้อยเจ้าเมธก็คงไม่เห็นด้วย ‘ถึงไม่สำเร็จแต่ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่หว่า แค่ลองดู ได้ก็ดี ไม่ได้ก็แค่บ่ายเบี่ยง ผัดไปเรื่อยๆ ยังไงแม่ก็คงไม่ถึงขั้นจับฉันมัดแล้วส่งเข้าหอหรอกน่ะ’


พูดจบผมก็จิบเบียร์อีกหนึ่งอึก หยิบถั่วโยนขึ้นสูงแล้วอ้าปากรอ บ๊ะ! พลาดซะได้


‘เฮ้ยกร นี่ฉันพูดจริงๆนะ’ เมธขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งกว่าเวลาคุยเรื่องงาน ‘นายอย่าทำอย่างนี้เลย โกหกแม่มันบาปมาก แล้วเด็กที่โดนพ่อเอามาขายก็น่าสงสารพออยู่แล้ว อย่าไปซ้ำเติมเขาอีกเลย ถึงนายคิดว่าถ้างานสำเร็จจะตบรางวัลเป็นการตอบแทนแต่นั่นก็เท่ากับนายเอาเงินฟาดหัว ใช้เงินซื้อศักดิ์ศรีคนน่ะมันสมควรทำเหรอ ฉันว่าสุดท้ายแล้วคนที่ต้องเสียมากที่สุดอาจจะเป็นตัวนายเองก็ได้’


‘พูดอะไรเข้าใจยากจังวะเมธ’ ผมรู้สึก...เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่แน่ใจ และไม่รู้ทำไมถึงต้องหลบสายตาไปอีกทาง


‘เออ ฉันตั้งใจให้มันยาก นายจะได้ไม่คิดทำอะไรง่ายๆ เพราะไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าของโรงแรมแล้วจะทำอะไร หรือเห็นความรู้สึกใครเป็นของเล่นก็ได้นะกร’


ไม่ใช่แค่ครั้งนั้น แต่วรเมธชอบจะย้ำคำเตือนในทุกเมื่อที่มีโอกาส อย่างตอนที่ผมเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆเลยจงใจเมินเฉยและเพิ่มระยะห่างไม่ให้ความสนิทสนมทำให้ไขว้เขว แต่ผลที่เกิดขึ้นทำเอาหัวใจกระตุกผิดจังหวะ พอจะตามออกไปขอโทษก็ไม่เจอตัวแล้วยังถูกหลบหน้าหลบตาไปอีกหลายวัน หรืออีกครั้งตอนกำลังจะเข้างานเลี้ยง ขอบอกว่าผมไม่ชอบใจเลยที่ถูกเมิน และยิ่งทรมานเอามากๆที่ต้องทนเห็นภาพความสนิทสนมระหว่างเลขากับผู้ช่วยของมัน นึกอยากจะชกไอ้คนฉลาดให้หน้าคว่ำ แต่กลับโดนมันน็อกด้วยประโยคที่ง่ายแสนง่าย...


‘กร...แน่ใจแล้วใช่มั้ย’


ไม่เชิงว่าเป็นคำถาม หรือจะทำให้ได้คำตอบอะไรมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่เมื่อมือเล็กในอุ้งมือกระชับตอบ ผมก็บอกตัวเองว่าจะไม่มีวันปล่อยเด็กคนนี้ไปเป็นอันขาด


ร่างบางบนเตียงขยับเบาๆดึงผมให้กลับมายังห้องตรวจในคลินิกของรุ่นพี่ไอ้หมอลูกชิ้น ดูท่าว่ายาจะออกฤทธิ์ดี ผมจึงก้มลงจูบหน้าผากอุ่นและปล่อยให้คนเจ็บได้พัก ดึกขนาดนี้คงไม่มีใครมาหาหมอแล้ว แต่พอผมเดินตามเสียงเพื่อนออกมาที่ด้านหน้าก็พอดีกับที่ประตูคลินิกเปิดออกอย่างแรง...


“กานต์!” หญิงสาวที่พรวดพราดเข้ามาอยู่ในชุดนักศึกษาติดเข็มมหาวิทยาลัยชื่อดัง เธอเห็นเจ้าเมธก่อนใครก็รัวคำถามใส่เป็นชุด “ฉันมาหากานต์ กานต์อยู่ที่นี่ใช่มั้ย เขาไม่สบายเป็นอะไรตรงไหน เป็นมากหรือเปล่า?!”


“เธอเป็นใคร?” คนเขาใจร้อนจะเป็นจะตายแต่ดูเจ้าเมธถามกลับทื่อๆ ทำเสียงเหมือนยังหาวไม่เสร็จ มันสมควรโดนเท็กซ์บุ๊คเล่มหนาที่น้องเขาอุ้มอยู่ทุ่มใส่หน้ามากๆ


“ฉัน...” อีกฝ่ายก็อึ้งไปเหมือนกัน หรือจะเป็นการดีเพราะดูเหมือนเธอจะใจเย็นลงบ้าง “...กัญญาค่ะ เป็นพี่กานต์ ที่โทรเข้ามือถือกานต์แล้วคนที่รับบอกว่าอยู่ที่คลินิกนี้ ใช่คุณหรือเปล่า แล้วตกลงว่าน้องชายฉันเป็นอะไร ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันแน่คะ”


“น้องชายของน้องมีเรื่องมานิดหน่อย ส่วนอาการก็มีแผลแตกที่มุมปาก ตามร่างกายมีรอยฟกช้ำแต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ตอนนี้กำลังนอนพักอยู่ที่ห้องด้านใน เชิญทางนี้ครับ” ไอ้หมอลูกชิ้นคงกลัวจะต้องทำแผลเพิ่มเลยรับหน้าที่แจงอาการและพาเธอเข้าไปดูอาการเจ้าตัวจ้อยของผม


ครู่ใหญ่สองคนก็พากันกลับมา ท่าทางของเด็กสาวสงบขึ้น แต่ยังมีสีหน้ากังวลตามประสาคนเป็นพี่ เธอเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วนั่งหลับตา ถอนหายใจยาวแล้วร้อง เฮ้อ! ออกมาเสียงดังจนพวกผมมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ท่าทางว่าแม่หนูคนนี้จะลืมไปล่ะมั้งว่ายังมีผู้ชายตัวโตๆรายล้อมเธออยู่ถึงสามคน และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือพนมมือขึ้น ก้มหัวไหว้พวกเราแล้วเอ่ยคำขอบคุณ เธอเล่าว่าพอเลิกเรียนกำลังจะกลับหอก็ได้รับโทรศัพท์บอกข่าวจากพ่อ จึงรีบโทรหากานต์และตามมาถึงที่นี่ แต่ที่เธออยากรู้มากที่สุดคือที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด


ผมมองอีกสองคนที่เหลือ ชวินไม่รู้เรื่องอะไรเลย ส่วนวรเมธถึงจะรู้ดีแต่ทำหน้าขี้เกียจ ผมในฐานะเจ้านายมันแท้ๆเลยต้องรับหน้าที่นี้เอง


“พ่อของเธอเป็นหนี้ฉันแล้วให้ลูกชายมาทำงานแทน แต่คงมีเจ้าหนี้รายอื่นด้วยเลยพากันมาหากานต์ที่โรงแรม พอไม่ได้เงินก็ลงไม้ลงมือ ดีที่พวกเราไปช่วยไว้ได้ทัน ส่วนหนี้ก้อนที่ว่าฉันเคลียร์ให้แล้วเรียบร้อย ถ้าจะมีอะไรนอกเหนือจากนั้น เธอคงต้องไปถามพ่อเอาเองแล้วล่ะ”


“จะบ้าตาย! พ่อนะพ่อ!” กัญญาฟังแล้วกำหมัดแน่น สีหน้ายากจะบรรยาย ดีแล้วที่ผมสรุปสั้นๆ ขืนใส่รายละเอียดมากจะไปเป็นการยุให้ลูกเกลียดพ่อเสียเปล่าๆ “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยน้องชายหนูไว้ ส่วนเรื่องหนี้ถ้าคุณพอที่จะผ่อนปรน หนูสัญญาว่าจะหามาใช้คืนให้เร็วที่สุด จะจ่ายให้ครบพร้อมดอกเบี้ยแน่นอน แต่ขอคิดตามอัตราปกติที่กู้ธนาคารได้มั้ยคะ”


“เธอพูดเรื่องอะไร...”


ผมถามด้วยรู้สึกผิดหู แทนที่จะกลัวเธอกลับจ้องตาผมและตอบด้วยวาจาฉะฉาน เห็นอย่างนี้แล้วเชื่อล่ะว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ รูปลักษณ์อาจต่างกันเพราะกานต์ขาวใสแลดูบอบบางในขณะที่พี่สาวผิวออกแทนเลยคมเข้มกว่า แต่จิตใจนั้นเข้มแข็งและเปี่ยมไปด้วยความกล้าไม่เป็นรองกันเลย และที่จะประมาทไม่ได้คือสติปัญญาเฉลียวฉลาด รอบรู้ทันคน ดูอย่างเจ้าตัวเล็กของผมก็ได้ จ๊ะจ๋าไม่กี่คำก็ทำให้ผมได้โรงแรมที่ภูเก็ตโดยไม่ต้องเสียอะไรเพิ่มสักอย่าง แล้วมาดูสิว่าสาวน้อยคนนี้จะเจรจาให้ได้อะไรบ้าง


“หนูอยากไถ่ตัวกานต์ น้องหนูไม่ใช่สิ่งของที่จะได้เอาไปวางค้ำประกันหนี้ คุณเป็นถึงเจ้าของโรงแรม แถมมีกิจการอย่างอื่นอีกตั้งมากมายน่าจะรู้ถึงหลักเกณฑ์ดีไม่ใช่เหรอคะ ถ้าลูกหนี้มีเหตุให้ไม่สามารถชำระหนี้ตามที่ตกลงไว้ เจ้าหนี้มีสิทธิ์บังคับชำระหนี้ได้ก็จริง แต่โดยหลักมนุษยธรรมแล้วควรเปิดโอกาสให้มีการเจรจาประนอมหนี้ หรือพูดอย่างง่ายๆได้น้อยหน่อยก็อาจขาดทุนแค่กำไรยังดีกว่าปล่อยให้กลายเป็นหนี้สูญ และความจริงกานต์เพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ การที่คุณเอาตัวเขาไว้อย่างนี้อาจเข้าข่ายพรากผู้เยาว์หรือกักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นความผิดทางอาญาด้วยนะคะ”


“นี่เธอกำลังกล่าวหาฉันหลายกระทงเลยนะ” 


ผมสั่งตัวเองไม่ให้ขำหรือหลุดยิ้ม ว่างๆคงจะต้องสัมภาษณ์กันหน่อยล่ะว่าเธอกำลังเรียนคณะอะไรกันแน่ถึงยกมาได้หมดตั้งแต่บัญชียันกฎหมาย แต่ถึงอีกฝ่ายจะเป็นพี่สาวร่วมสายเลือด ผมก็จะไม่มีวันยอมปล่อยกานต์ไป แม้ต้องใช้ไม้ตายที่ออกจะสกปรกอยู่สักหน่อย


“งั้นขอถามสักข้อ ไม่ทราบว่าคุณกัญญาต้องใช้เวลานานแค่ไหนหรือมีข้อเรียกร้องอะไรถึงจะสามารถใช้หนี้เงินห้าแสนบาทพร้อมดอกเบี้ยตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดได้ล่ะครับ”


“ห้าแสน!” เธออุทานลั่น เวลาทำตาโตแล้วดูคล้ายน้องชายอยู่เหมือนกัน “นี่มันอะไรกัน?! ทำไมถึงได้...”


“ฉันจะไม่บอกว่าเข้าใจความรู้สึกของเธอ แต่ที่ฉันอยากเคลียร์ให้ชัดคือตอนนี้น้องชายเธอเป็นคนของฉันแล้ว ฉันต้องขอโทษจากใจจริงที่ปล่อยให้เหตุการณ์อย่างวันนี้เกิดขึ้นและขอสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ฉันจะไม่ให้ใครทำอะไรกานต์ได้อีก ไม่ว่าใครแม้แต่พ่อของพวกเธอเอง พอใจหรือยัง”


“คุณ...!” ผมรู้ว่าเธอไม่อยากเชื่อ แต่คงไม่ใช่พวกที่เข้าใจอะไรยากจนเกินไป “ขอบคุณค่ะ”


กัญญาจ้องผมไม่วางตา คือความจริงผมไม่ได้แพ้พวกตาโตๆ แต่เห็นแล้วมันก็อดเอ็นดูไม่ได้


“และข้อเสนอสำหรับเธอ ฉันยินดีจะมอบทุนการศึกษาจนจบระดับสูงที่สุดเท่าที่เธอจะเรียนได้ พร้อมค่าใช้จ่ายส่วนตัวมากเท่าที่ต้องการโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อผูกมัดใดๆ ถ้าเธอตกลงก็เข้าไปที่โรงแรมได้ทุกเมื่อ ฉันจะให้เลขาร่างสัญญาไว้ให้”


“อะไรนะคะ?! พะ..เพื่ออะไร?!” นอกจากตาโตแล้วยังตามมาด้วยอาการอ้าปากค้างจนผมเผลอยิ้มออกมา ไม่ใช่อะไร แค่นึกว่าถ้ากานต์ได้รู้เรื่องนี้บ้างจะทำหน้ายังไง จะตกใจเหมือนอย่างพี่สาวหรือเปล่านะ


“เป็นความพอใจของฉัน และเพื่อความสบายใจของน้องชายเธอ หรือถ้าเธออยากให้ดูเป็นธรรมมากขึ้นจะเพิ่มในข้อสัญญาว่าเรียนจบแล้วมาทำงานชดใช้ทุนก็ได้ โรงแรมของฉันยินดีต้อนรับเสมอ”


พ่อผมเก็งกำไรด้วยการแปลงหนี้เป็นบุคลากรชั้นเลิศอย่างวรเมธได้ แล้วทำไมผมจะไม่ดำเนินรอยตาม นักลงทุนที่เห็นหุ้นดีๆอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ช้อนซื้อก็ถือว่าโง่เต็มที


“นี่ฉัน...ฝันไปหรือเปล่า...?” กัญญาพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่เจ้าเมธดันหวังดีช่วยหาทางพิสูจน์ให้


“โอ๊ย! ทำบ้าไรวะไอ้เมธ เจ็บนะโว้ย!!” คุณหมอที่ไม่ระวังตัวเลยร้องลั่นคลินิกเพราะโดนตบกะโหลกเข้าจังๆ


ผมหันไปสบตาเจ้าของฝ่ามือพิฆาต รู้ทันทีว่ามันอ่านเกมผมออกจึงช่วยตบมุขส่งให้ ผมก็เลยรับมาใช้ประโยชน์ทันที


“คนเป็นหมอบอกขนาดนี้แสดงว่าเธอไม่ได้ฝันไปหรอก แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เธอกลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกานต์ แล้วฉันจะบอกเขาให้ว่าเธอมาเยี่ยม”


“ค่ะ” กัญญารับคำอย่างว่าง่าย แต่จู่ๆก็ร้องลั่นจนไอ้หมอสะดุ้งอีกรอบ “แย่แล้ว! คือหนูอยู่หอของมหาลัย ถึงกลับตอนนี้ก็ไปไม่ทันเวลาปิดหอแล้วค่ะ”


“แล้วจะทำยังไงล่ะ เขาไม่มีผ่อนปรนให้บ้างเลยเหรอ”


“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับไปค้างกับอาได้ งั้นหนูลาเลยดีกว่า ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณ...”


พอเธอทักก็ทำให้นึกขึ้นได้ คุยกันตั้งนานผมกับเพื่อนๆยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลย


“ภากร ส่วนนั่นเลขาฉัน วรเมธ แล้วก็หมอชวิน หรือจะเรียกหมอ...ชินก็ได้” เห็นไอ้หมอทำหน้าลุ้นเลยแกล้งให้มันเสียวเล่น รายต่อไปก็ไอ้เลขาท่ามาก มันทำเป็นนั่งตาลอยไม่สนใจอะไร แต่ผมเห็นนะว่ามันก็แอบมองน้องเขาอยู่บ่อยๆ “เดี๋ยวให้เมธไปส่งเธอดีกว่า เป็นผู้หญิงไปไหนมาไหนกลางคืนคนเดียวมันอันตราย”


“ไม่ต้องหรอกค่ะ” กัญญาปรายตามองว่าที่สารถีแล้วรีบบอก แต่ผมก็อยากลองลุ้นดูสักตั้ง


“อย่าปฏิเสธเลย ถ้ากานต์รู้ว่าพี่สาวเขาปลอดภัยจะได้สบายใจเหมือนกัน”


เจ้าตัวจ้อยนอนหลับไม่รู้เรื่องก็ยังมีประโยชน์ช่วยให้แผนการของผมลงล็อกได้อย่างที่ต้องการ พอคล้อยหลังวรเมธและกัญญา เจ้าหมอก็ดูอาการคนไข้อีกครั้งแล้วอนุญาตให้ผมอุ้มใส่รถพากลับไปพักฟื้น ทีแรกก็ว่าจะกลับโรงแรมแต่คิดไปคิดมา ยังมีสถานที่อีกแห่งที่ให้ความรู้สึกสงบร่มเย็นในทุกครั้งที่ได้ไปเยี่ยมเยือน คงดีถ้ากานต์จะได้พักฟื้นทั้งร่างกายและจิตใจที่...บ้านสวนของผม




จบตอนแล้วจ้า



อยู่กรุงเทพไม่ไหวแล้ว  หนีร้อนไปนอนบ้านสวนกันตอนหน้านะคร้าบ


 :bye2:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-04-2016 18:12:49
ที่สุดแล้วคือพี่กรหลอกน้องกานต์อย่างงั้นเหรอ :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 29-04-2016 19:07:20
เฮ้ย....ชอบเรื่องนี้อ่ะ น้องกานต์น้องกัญน่ารัก ทั้งสองคนเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 29-04-2016 20:27:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-04-2016 23:48:54
เหมือนเมธจะเจอเนื้อคู่ เหมือนกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง น่าเอ็นดู
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 02-05-2016 04:59:28





14 .





เช้านี้ผมลืมตาขึ้นด้วยอาการชาไปหมด ที่ว่าชานั้นนับตั้งแต่ความรู้สึกแปลกที่แปลกทางจนต้องกระพริบตาปริบๆอยู่พักใหญ่ มองขึ้นไปคือผืนผ้าโปร่งสีขาวคลับคล้ายคลับคลาน่าจะเรียกมุ้ง มุ้งหลังนี้ไม่ได้ผูกโยงด้วยเส้นเชือกแต่คลุมลงมาจากราวไม้สี่เสา ตัวเตียงที่ผมนอนอยู่จึงถูกกั้นไว้โดยรอบแต่ยังมองผ่านออกไปได้และผมแน่ใจว่านี่คือห้องหรือน่าจะรวมถึงบ้านที่ประกอบขึ้นจากไม้ทั้งหลัง คงไม่ใช่ว่าผมหลับอยู่ดีๆแล้วถูกดูดเข้ามาในกระจกบานไหนหรอกนะ!


เมื่อสติเริ่มคืนมาผมก็ต้องผจญกับอาการเสียวแปล๊บๆโดยเฉพาะบริเวณท้องกับแผ่นหลัง ส่วนที่หน้าไม่ต้องจับดูก็รู้ว่าแก้มบวม อ้าปากแล้วรู้สึกตึงๆแต่ไม่เจ็บมากเท่าที่คิด น่าจะเป็นเพราะได้รับการรักษาทันทีและพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่คงดีกว่าถ้าจะมีใครสักคนบอกได้ว่าทำไมผมหลับไปบนเตียงคนไข้ในคลินิกแต่ดั๊นมาตื่นบนเตียงไม้ในบ้านเรือนไทย ตอนนี้ถ้าผมจะปวดหัวคงไม่ได้เกี่ยวกับแผลที่โดนซ้อมแล้วล่ะ


เสียงเหมือนเครื่องมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามาแล้วห่างออกไปเรียกความสนใจให้ผมยันตัวลุกขึ้น เตียงที่นอนอยู่นี้ไม่ได้นิ่มหยุ่นเหมือนติดสปริง มีความนุ่มเพียงผิวหน้าแล้วรองฐานด้วยวัตถุแน่นเป็นแผ่นหนา ถ้าไม่ใช่เตียงใยมะพร้าวก็คงยางพารา แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ให้ความรู้สึกสบายพอเหมาะ ไม่ใช่ทำให้ปวดตัวหรือขี้เกียจจนไม่อยากลุกจากที่นอน ผมแหวกประตูมุ้งออกแล้วหย่อนขาลงรู้สึกถึงความเย็นจากพื้นไม้ไล่ขึ้นจากฝ่าเท้า มองไปรอบตัว นอกจากเตียงนอน เครื่องเรือนชิ้นอื่นก็ล้วนทำจากไม้และมีขนาดใหญ่โตอย่างที่เห็นแล้วบอกได้ทันทีว่าเป็นฝีมือช่างโบราณ ส่วนข้าวของที่บ่งบอกความทันสมัยอย่างทีวีหรือชุดเครื่องเสียงนั้นถูกรวมไว้ที่มุมห้องด้านหนึ่ง ซึ่งนับเป็นการจัดห้องที่ดูเป็นสัดส่วนดี


เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงรีบเดินไปที่หน้าต่างด้วยความอยากรู้ ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ต้องอ้าปากค้าง พระอาทิตย์ยามเช้าทอแสงผ่านหมู่เมฆพอรวมกับมวลอากาศเย็นชื้นเกิดไอน้ำค้างให้ความรู้สึกสดชื่น สูดลมหายใจได้เต็มปอด ผมชะโงกหัวออกไปจนสุด เท่าที่สายตาจะมองเห็นบอกได้ว่ากำลังอยู่ในบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางอาณาเขตสีเขียวคล้ายผืนป่าย่อมๆ มองออกไปไกลๆพอจะเห็นแนวหมู่บ้านจัดสรร แต่ถ้าจะหาตึกสูงอย่างที่ชินตาในกรุงเทพก็ต้องไกลลิ๊บบบโน่น ส่วนที่ไม่ไกลจากตัวบ้านคือลำคลองเส้นยาวกว้างประมาณถนนสองสามเลน ซึ่งทำให้ผมรู้ที่มาของเสียงประหลาดนั้น... เรือหางยาวติดเครื่องยนต์ที่แล่นปรู๊ดผ่านไปนั่นเอง


ผมหันกลับเข้ามาในห้องและเริ่มสำรวจตัวเองบ้าง อาการเจ็บปวดกลายเป็นอะไรที่ธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ห่อหุ้มตัวผมอยู่ เสื้อผ้าป่านตัวใหญ่กับกางเกงแพรสีเข้มผิวมันวาว เนี่ยนะชุดที่ผมใส่นอนมาทั้งคืน? ไม่ไหวแล้ว! ผมต้องการคำอธิบายจากใครก็ได้ ยังไงก็ได้ อย่างด่วนที่สุดก่อนที่จะรู้สึกตัวเองหลงยุคเป็นคุณหลวงในละครหลังข่าวไปจริงๆ!


ด้วยผนังที่ดูกลมกลืนกันไปทั้งห้องเลยต้องหาอยู่นานกว่าจะเจอทางออก ผมค่อยๆแง้มบานไม้แล้วก้าวข้ามธรณีประตูสูงออกมาที่...ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ประตูบานอื่นๆปิดสนิทหมด แถมไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ ผมเลยลองเดินหา อาศัยตามกลิ่นหอมหวานเหมือนขนมมาเรื่อยๆจนเจอเข้ากับผู้หญิงวัยกลางคนเดินขึ้นบันไดมา และเป็นฝ่ายเอ่ยทักทันทีที่เห็นผม...


“อ้าว! ตื่นแล้วหรือคะคุณ กำลังจะเข้าไปเรียกอยู่พอดีเชียว”


คุณน้าคนนี้แนะนำตัวเองว่าชื่อ รื่นฤดี เป็นคนที่คุณภากรมอบหมายให้ดูแลผมเลยสรุปได้ว่าที่นี่คือบ้านของคุณภากร แต่ใช่ว่าเขาจะเอาผมมาปล่อยทิ้ง จำได้ว่าช่วงเช้าวันนี้มีประชุมเขาก็เลยต้องรีบออกไปโรงแรมก่อนที่ผมจะทันตื่น


“เอ่อ...ที่นี่มีโทรศัพท์มั้ยครับ” ผมไม่ได้กลัวใครจะเป็นห่วง ก็แค่อยากส่งข่าวเฉยๆ


“เกือบลืม นี่ของคุณค่ะ”


น้ารื่นฤดีเป็นผู้หญิงที่ดูกลมกลืนกับบรรยากาศของบ้านหลังนี้อย่างที่สุด ผมยาวสีดำขลับตลบขึ้นเป็นมวยปักปิ่นไม้อย่างง่ายๆ ดวงหน้าหมดจดมีรอยยิ้มซื่อๆแต่งแต้มให้งามสมวัย เครื่องแต่งตัวเรียบง่ายแต่เชื่อว่าผู้หญิงยุคนี้ไม่น่าจะใส่เป็นอย่างผ้านุ่งยาวกรอมเท้า ที่นอกจากจะดูเรียบร้อยกว่ากระโปรงบานๆยังสามารถเดินเหินกระฉับกระเฉงจนน่าทึ่ง ส่วนด้านบนเป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีครีมปักลายดอกไม้เล็กๆ มีกระเป๋าซ่อนด้านข้างซึ่งเป็นช่องที่น้ารื่นหยิบมือถือของผมมาส่งให้


“คุณกานต์เข้าห้องไปอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว เสร็จแล้วจะได้กินข้าวกินยาก่อนดีกว่ามั้ยคะ เพราะคุณกรฝากให้เรียนว่าถ้าประชุมเสร็จแล้วจะโทรกลับมาเอง”


น้ารื่นรีบบอกเมื่อเห็นผมกดโทรศัพท์ทันที แหม อะไรกัน! ยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะโทรหาใคร จะไม่ชอบน้าเขาก็ตรงที่รู้ทันนี่ล่ะ


“แต่ผมไม่มีอะไรติดตัวมาสักอย่าง เสื้อผ้า...”


“เดี๋ยวน้าจัดการให้ ถ้าคุณกานต์ต้องการอะไรก็บอกได้ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”


ผมก้มมองชุดนอนซึ่งห่างไกลจากตู้เสื้อผ้าผมราวล้านปีแสงแล้วแอบหวั่นใจ ไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องนุ่งโจงหรือมีผ้าขาวม้าเคียนพุงหรือเปล่า แต่ก่อนอื่นผมคงต้องจัดการเรื่องที่ฟังแล้วจั๊กจี้หูนี่ซะก่อน


“งั้นน้าก็เลิกเรียกกานต์ว่าคุณได้มั้ย ไม่อยากโดนคำนี้หลอกหลอนเหมือนตอนอยู่ที่โรงแรมน่ะครับ”


“อุ๊ย! ไม่ได้ค่ะ คุณกานต์เป็นคนของนาย ไม่ว่าน้าหรือพวกข้างล่างทุกคนต้องให้ความเคารพคุณเหมือนเป็นเจ้านายคนหนึ่งค่ะ”


“ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากเป็นเจ้านายใครนี่ เอางี้ก็ได้ ถ้าคุณกรไม่ได้อยู่ด้วย เรียกกานต์ว่ากานต์เฉยๆ แล้วกานต์ก็จะเรียกน้าว่าน้ารื่น ตกลงนะครับ”


“แต่น้าว่า...”


“ไม่รู้ล่ะ ถ้าน้ารื่นบอกว่ากานต์เป็นเจ้านาย งั้นกานต์ก็ขอออกคำสั่งอย่างนี้ ถ้าไม่ทำตามกานต์จะบอกคุณกรว่าโดนน้ารื่นขัดใจ”


ผมรู้ข้อเสียตัวเองอยู่อย่างว่าถ้ามีคนยอมลงให้ หรือให้ท้ายจะยิ่งเอาแต่ใจ อยากได้อะไรต้องได้ ไม่ชอบใจอะไรก็หาวิธีเอาชนะ แต่ยังดีที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย คนที่ถูกผมงอแงใส่เลยไม่มีใครรำคาญ กลับเอ็นดูด้วยซ้ำ


“เกเรเหมือนกันนะคุณเนี่ย” น้ารื่นเก็กหน้าดุแต่ผมฉีกยิ้มหวานๆสู้ก็เลยเป็นฝ่ายชนะไป “ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าเผลอก็อย่าถึงกับลงโทษเลยนะ น้ากลัวจะแย่แล้ว”


พอขู่เข็ญน้ารื่นฤดีได้ ผมก็กลับเข้าห้องไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยความรอบคอบของคุณภากรที่ให้คนขับรถย้อนเอาเสื้อผ้าที่โรงแรมกลับมาให้ ผมจึงไม่ต้องรู้สึกประหลาดกับสภาพตัวเองนัก และเพื่อให้คุ้นกับเรือนไทยที่แสนใหญ่โตหลังนี้ผมจึงเริ่มสำรวจพื้นที่ตามประสาคนไม่มีอะไรทำ ตัวเรือนชั้นบนมีห้องหับมากมายแต่ส่วนใหญ่ใส่กุญแจปิดไว้ ที่เปิดใช้เป็นปกตินอกจากห้องที่ผมนอนเมื่อคืนก็มีแค่ห้องของน้ารื่นกับห้องพระที่อยู่อีกฟากหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรน่าสนใจ


ผมเตร่ลงมาข้างล่างและพบว่าที่นี่ไม่ได้มีคนเยอะแยะเหมือนอย่างภาพบ้านเจ้าขุนมูลนายในละครย้อนยุคที่เคยดู คนเก่าคนแก่ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยคุณปู่และคุณพ่อของคุณภากรเหลือแค่ยายปุยกับยายเป้า พี่น้องฝาแฝดที่ยังดูแข็งแรงเกินวัย ความจำดี ชอบเล่าเรื่องเก่าๆให้ผมฟัง เสียอย่างเดียวที่เริ่มหูตึงทั้งคู่ เวลาคุยกันเลยต้องตะโกนบ้าง ตาหมายกับตามี คู่นี้แค่ชื่อพ้องแต่ดูไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เวลาคนหนึ่งว่าซ้ายอีกคนจะบอกขวา ยายปุยแอบนินทาว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะเคยจีบผู้หญิงคนเดียวกัน แต่สาวเจ้าดันหนีไปกับผู้ชายบ้านอื่น สุดท้ายก็มาโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่ายเลยมีเรื่องกันตั้งแต่หนุ่มยันแก่


ส่วนคนงานรุ่นใหม่ๆน้ารื่นเล่าว่าจะอยู่บ้านพักที่ปลูกแยกออกไปทางด้านหลัง พอสายก็หายเข้าสวนไปทำงานของตัวเอง มีธุระเรียกใช้งานหรือเวลาเย็นๆจึงจะแวะเข้ามาตักกับข้าวแบ่งๆกันไปบ้าง ที่เรือนใหญ่นี้นอกจากตายายสองคู่ น้ารื่น ก็จะมีแค่ครอบครัวของลุงพัน ป้าจิตและลูกๆที่ช่วยกันดูแลบริเวณรอบๆให้ร่มรื่น เป็นระเบียบเรียบร้อย แม้จะไม่ยิ่งใหญ่อย่างในอดีตแต่ก็น่าอยู่และผูกใจผู้พักอาศัยได้เหมือนที่เคยเป็นมา


“ถ้ามีเวลาว่างคุณกรก็ชอบมาค้างที่นี่ เสียอย่างเดียวค่อนข้างไกล แล้วถนนหนทางแถบนี้ก็สร้างไม่เสร็จสักที ทั้งคนทั้งรถเยอะขึ้นทุกวัน ถ้าต้องเข้าออฟฟิศแต่เช้าก็ต้องตื่นก่อนไก่โห่กันเลยล่ะค่ะ”


“แล้วน้ารื่นเป็นคนที่นี่เหรอครับ”


“เมื่อก่อนพ่อแม่น้ามาเช่าที่ทางคุณปู่ของคุณกรทำมาหากินอยู่แถวนี้ ตอนที่น้าเหลือตัวคนเดียว คุณปู่กับคุณกฤตก็ยังเมตตาบอกว่าให้อยู่ด้วยกันไม่ต้องไปไหน พอมาถึงคุณกร เธอก็สั่งให้คอยดูแลบ้านหลังนี้ เก็บค่าเช่าที่ ค่าเช่าตึกแถวในตลาด จัดการพวกผลหมากรากไม้ในสวน เธอบอกว่าไม่ได้ต้องการเงินทองอะไรแต่หลักๆคือให้ทุกคนพออยู่พอกิน เหลือก็ขายเก็บออมไว้ พวกเด็กๆก็ส่งให้เรียนหนังสือสูงๆ ใครเจ็บป่วยก็ให้รักษาพยาบาลอย่างดี คนที่นี่เลยอยู่กันแบบญาติพี่น้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลและรักเคารพคุณกรกันทุกคน”


ผมมองน้ารื่นด้วยความทึ่ง ที่เล่ามานั่นไม่ใช่งานง่ายหรือหน้าที่เล็กๆน้อยๆเลย ถ้าจะพูดไปก็เหมือนคุณภากรมอบหมายให้น้ารื่นเป็นผู้จัดการใหญ่ มีอำนาจทุกอย่างรองจากเขาเท่านั้นเอง เอ๊ะ! แล้วอย่างนี้น้ารื่นจะไม่สงสัยเหรอว่าผมเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้มาลอยชายอยู่ที่นี่ได้


“มองหน้าน้าแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าเอ่ย” แน่ะ! รอบๆตัวผมนี่ยังไง ทำไมถึงมีแต่คนรู้ทัน


“แล้วน้ารื่น...ไม่มีอะไรจะถามกานต์บ้างเหรอครับ”


ผมสรุปเอาเองจากการที่โลกของเรือนไทยหลังนี้เหมือนจะตัดขาดตัวเองจากสังคมสมัยใหม่ แล้วอย่างที่น้ารื่นบอกว่าทุกคนทั้งรัก เทิดทูนแทบจะบูชาคุณภากรอย่างกับอะไรดี ไม่รู้ว่าเขาเคยพาใครมาที่นี่บ้างหรือเปล่า และถ้าจะให้มันดูปกติและยอมรับได้สักหน่อย คนๆนั้นควรจะ...ไม่ใช่อย่างผมใช่มั้ยล่ะ


“ไม่นี่” น้ารื่นมองผมยิ้มๆ แต่ผมทำใจยิ้มตอบไม่ไหว เธอจึงเขยิบมาใกล้ เอามือผมไปกุมไว้แล้วลูบแขนปลอบเบาๆ “เว้นแต่ว่าคุณเองนั่นล่ะที่อาจมีเรื่องไม่สบายใจ หรือกำลังสงสัยอะไรอยู่ ถ้าอยากได้คนช่วยรับฟัง น้าก็ยินดีนะคะ”


ผมมองเข้าไปในดวงตาของน้ารื่นฤดีแล้วรู้สึกถึงความเข้าอกเข้าใจจึงกล้าพอจะเอ่ยถามเรื่องที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว


“น้ารื่นเคย...มีแฟนมั้ยครับ”


“อาจจะไม่ถึงกับเป็นแฟนเหมือนอย่างคนสมัยนี้แต่ก็... น่าจะเรียกได้ว่าคนที่ชอบๆพอกัน” มีความเศร้าฉายขึ้นมาแวบหนึ่งก็จางไปอย่างรวดเร็วประสาคนที่ทำใจได้แล้ว “แต่ดวงน้าคงอาภัพคู่ล่ะมั้ง ถึงจะรักมากแค่ไหนแต่น้ารู้ตัวเองดีว่าไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาเลย พอเขาต้องไปแต่งงานตามคำสั่งผู้ใหญ่ เราจึงตัดสินใจจากกันด้วยดีและมีเพียงมิตรภาพในฐานะเพื่อนให้กันเสมอมา”


“แล้วตอนนี้เขา...”


“เสียไปได้หลายปีแล้ว” ผมรีบบอกขอโทษที่เผลอไปสะกิดความทรงจำร้ายๆ ถึงกระนั้นก็น่าอิจฉาที่น้ารื่นยังมีรอยยิ้มและรู้จักจัดการกับความเศร้านั้นได้ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องเศร้าแต่นึกถึงทีไรน้าก็มีความสุขเพราะแม้เราจะไม่ได้คู่กันแต่เขาก็อยู่ในใจน้าเสมอ”


ผมอดคิดถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ ขนาดน้ารื่นทั้งสวยและแสนดียังต้องพลาดจากคนที่เธอรัก แล้วอย่างผมนี่ไม่เรียกว่าห่างไกลจากความฝันหรือไง


“งั้นน้ารื่นคงคิดว่าความรักยังไงก็สู้ความเหมาะสมหรือความถูกต้องไม่ได้ใช่มั้ยครับ”


“ถ้านั่นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวน้าเองก็ใช่ แต่น้าจะไม่มีวันเอาความคิดตัวเองไปตัดสินใจแทนใครเด็ดขาด คนเราแต่ละคนมีรายละเอียดในชีวิตไม่เหมือนกันทำให้มีมุมมองที่ต่างกัน จังหวะชีวิตก็ต่างกัน ไม่มีใครคิดแทนใครได้หรอกค่ะ”


“คนอื่นเขาคิดกันอย่างนึง แต่เรากำลังจะทำอีกอย่างนึง มันจะไม่เป็นไรเหรอครับ”


“ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้สร้างความวุ่นวายหรือทำให้ใครเดือดร้อน เราก็น่าจะมีสิทธิ์ทำได้ไม่ใช่หรือคะ”


ผมคิดตามและให้คำตอบกับตัวเอง แต่บางครั้งคำตอบหนึ่งก็มักนำไปสู่คำถามไม่สิ้นสุด


“แล้วถ้าไม่สร้างความเดือดร้อนแต่ก็ไม่มีใครเขาทำกัน แถมทำไปแล้วอาจถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดล่ะครับ”


“ก็ถ้าประหลาดแล้วมีความสุข กับยอมทำตามที่เขาเรียกว่าปกติแต่ต้องทนอึดอัด ทุกข์ใจไปตลอดชีวิต คิดว่าอย่างไหนจะดีกว่ากันล่ะคะ”


ผมถอนหายใจแล้วแกล้งทำคอตก เพิ่งเคยเจอนี่ล่ะคนที่ให้คำแนะนำแบบที่เราต้องคิดหาคำตอบเอาเอง น้ารื่นเลยขำผมใหญ่


“ก็น้าบอกแล้วนี่คะว่าไม่อยากตัดสินใจแทนใคร และที่จริงก็เชื่อว่าคุณน่าจะมีคำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่กล้ายอมรับเท่านั้นเอง”


ถึงไม่พูดออกมาแต่มีบางอย่างในน้ำเสียงและแววตาบ่งบอกว่าน้ารื่นรู้เรื่องระหว่างผมกับคุณภากร และอะไรก็คงไม่เท่าความเข้าใจและการยอมรับที่ส่งมาถึง แต่พอเป็นอย่างนี้ดันกลายเป็นผมที่ไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่า


“กานต์ก็คงเหมือนกับน้ารื่นมั้งครับที่รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขาเลยสักนิด ไม่อยากให้เขาเลือกกานต์แล้วจะถูกคนอื่นมองไม่ดี”


“แต่ถ้าคนๆนั้นแน่ใจแล้วว่าอะไรคือความสุขในชีวิต คุณกานต์จะห้ามไม่ให้เขาไขว่คว้าหาความสุขนั้นไว้หรือคะ”


น้ารื่นขอให้ผมตอบตัวเองให้ได้ก็พอ เธอนั่งเป็นเพื่อนสักพักก็ขอตัวไปดูแลการเตรียมมื้อเย็น ปล่อยให้ผมนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาท่าน้ำต่อ ลมพัดเย็นๆ สายน้ำไหลเอื่อยกล่อมใจให้รู้สึกสงบและมีสมาธิได้อย่างประหลาด แต่จู่ๆก็มีเสียงที่ขัดกับธรรมชาติดังขึ้น


เฮ่อ...ก็ยังคิดอยู่ว่าชีวิตอย่างผมนี่จะสงบไปได้สักกี่น้ำ!


“เป็นยังไงบ้างกานต์ หายดีหรือยัง มีไข้หรือยังเจ็บตรงไหนอยู่มั้ย”


ยังไม่ทันได้ฮัลโหลก็โดนสวนมาเป็นชุด และน่าแปลกที่พี่กัญญารู้ว่าผมไม่สบายด้วยเหรอ


“อะไรกันครับ กานต์ไม่ได้...”


“ไม่ต้องเลยนะ!” น๊าน นานจริงๆที่พี่กัญญาจะตวาดเสียงเขียวขนาดนี้ “พี่รู้เรื่องหมดแล้ว ทั้งเรื่องพ่อ เรื่องที่กานต์ไปทำงานกับคุณภากร แล้วก็ที่ถูกเจ้าหนี้ซ้อมเมื่อคืนด้วย นี่ถ้าพี่ไม่ได้ตามไปดูให้เห็นกับตาก็คงไม่เชื่อ แล้วกานต์ก็ไม่คิดจะบอกอะไรเลยใช่มั้ย ทำไมถึงทำอย่างนี้ หรือกานต์คิดว่าพี่จะเห็นแก่ตัวแล้วปล่อยให้น้องลำบากอยู่คนเดียว กานต์เห็นพี่เป็นคนอย่างนั้นเหรอ?!”


ผมกลืนน้ำลายทั้งที่คอแห้งจนเหนียวไปหมด พี่กัญญารู้เรื่องแล้วไม่รู้ว่าควรจะโล่งอกหรือยิ่งหนักใจดี แต่ตอนนี้คงต้องรีบลดอาการเดือดลงก่อนจะมีลูกไฟแลบออกจากมือถือ


“เปล่านะครับ แค่เรียนพี่กัญก็เครียดจะแย่ เลยไม่อยากเอาเรื่องไปทำให้ไม่สบายใจเพิ่มอีก แล้วที่จริงกานต์ก็สบายจะตาย อยู่ที่โรงแรมทำงานออฟฟิศไม่หนักเลย สนุกดีด้วย ส่วนเมื่อคืนกานต์ไม่ระวังตัวเอง สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก กานต์ขอโทษ พี่กัญอย่าโกรธเลยน๊า”


“สัญญาด้วยว่าต่อไปจะไม่มีมีความลับกับพี่อีก!” ผมรีบอือออ แต่ก็แอบไขว้นิ้วเผื่อไว้ “แล้วนี่กานต์อยู่ไหนน่ะ กลับไปที่โรงแรมเหรอ”


“อยู่...เอ่อ...” นั่นสิ! ลืมถามน้ารื่นเลยว่าบ้านนี้อยู่จุดไหนของ...ประเทศไทยดีกว่า เพราะเท่าที่ดูวิวเมื่อเช้าไม่น่าใช่เขตกรุงเทพแล้ว “รู้แต่เป็นบ้านคุณกรแต่ไม่รู้อยู่ที่ไหนเหมือนกันครับ”


“อ้าว! อะไรกัน ถึงเขาจะเป็นเจ้านายแต่พี่ว่ากานต์ไว้ใจเขามากไปหรือเปล่า เกิดเขาคิดไม่ดีหรือพากานต์ไปขายจะทำยังไงเนี่ย?!”


“พี่กัญ! ทำไมไปว่าคุณกรแบบนั้นล่ะครับ”


“กานต์นั่นแหละอะไร พี่ยังไม่ได้ว่าสักคำ ทำไมต้องทำเหมือนปกป้องเขาด้วย”


“ปะ...เปล่าสักหน่อย” จู่ๆก็มีเหงื่อไหลตกจากหน้าผากหนึ่งหยด แต่ผมไม่ได้ร้อนตัวนะ คงจะแค่ร้อนอากาศ บ่ายแก่แล้วก็ต้องอบอ้าวบ้างเป็นธรรมดา


“แน่นะ?!” พี่กัญญายังไม่เลิกคาดคั้น แต่พอผมรับปากก็ยอมรามือง่ายๆ แสดงว่าน่าจะมีเรื่องอื่นที่ติดใจมากกว่า “เอาเถอะ ที่จริงพี่เองก็ต้องขอบคุณที่เขาช่วยกานต์ไว้แถมท่าทางเขาก็ดีกับกานต์มาก แต่...ไม่รู้สิ ยังไงพี่ก็ไม่อยากไว้ใจคนพวกนี้เลย ดูอย่างอีตาเลขานั่นก็ได้ ทั้งกวนประสาท พูดจาเพี้ยนๆ มีแต่ลับลมคนในจนพี่จะบ้าตาย!”


กับคนนอกที่ไม่สนิทกันผมว่าคุณวรเมธออกจะนิ่ง ชอบเก็กมาดเป็นคุณเลขาใหญ่ เลยไม่อยากเชื่อว่าพี่กัญจะโดนดีจนถึงกับเก็บเอามานินทาให้ผมฟังได้ขนาดนี้


“คุณเมธน่ะเหรอครับเพี้ยน กานต์ว่าเขาดูเป็นคนปกติกว่าคุณกรด้วยซ้ำ”


“หื้ย กานต์ไม่ต้องไปเข้าข้างนายแว่นนั่นเลยนะ อยู่ให้ห่างๆไว้ ยิ่งห่างเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเชื่อพี่สิ”


“ครับๆ” โดยเฉพาะน้ำเสียงพี่กัญด้วยแล้ว ไม่รู้สิ จะว่าอคติก็ไม่น่าใช่ ผมว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆแน่ “แล้วนี่พี่กัญทำอะไรอยู่ครับเนี่ย”


“อยู่ห้องสมุดน่ะ ว่าจะอ่านหนังสือสักพักแล้วค่อยกลับหอ แต่ไม่ไหว อ่านไม่รู้เรื่องเลย”


“ทำไมล่ะครับ หรือว่าห้องสมุดคนเยอะ” อย่างนี้ต้องเรียกว่าแปลกมากด้วย เพราะปกติพี่กัญเป็นคนสมาธิดี ขนาดแถวบ้านผมเสียงดังจะตายยังอ่านหนังสือเตรียมสอบได้หน้าตาเฉย ผมเสียอีกที่ต้องอยู่ในที่เงียบๆ ไม่มีใครกวนถึงจะอ่านรู้เรื่อง


“ไม่ใช่หรอก พี่คงไม่มีสมาธิเองมากกว่า ช่างเถอะ ช่างๆๆๆ อุ้ย! แค่นี้ก่อนนะกานต์ เจ้าหน้าที่ตาเขียวใส่พี่ใหญ่แล้ว เอาไว้ว่างๆจะโทรหาใหม่นะ” บทจะโทรก็โทรมา บทจะเลิกก็ตัดสายไปซะเฉยๆ พี่สาวใครเนี่ย?!


ผมย่นจมูกใส่รูปที่ถ่ายคู่กับคนที่เพิ่งจะวางสาย พี่สาวของผมทั้งเก่ง กล้า และออกจะก๋ากั่นไปบ้างแต่บางครั้งก็ทำอะไรโก๊ะๆ เปิ่นๆให้อดห่วงไม่ได้ เราสองคนมีกันและกันมาตลอด นึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นใครที่ได้รู้จักพี่กัญในมุมนี้ ถ้าใครคนนั้นมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ขอให้เขาปรากฏตัวโดยเร็วและรักพี่สาวผมให้มากๆก็แล้วกัน





จบตอนแล้วคร้าบ



บ้านใครฝนตกบ้าง บ้านเค้าตกแหละ เย็นขึ้นมาจิ๊ดนึง แล้วก็ร้อนเหมือนเดิม  :mew5:



 :bye2:

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 15
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 02-05-2016 05:09:37




15 .




เรือหางยาวคำรามลั่นลำคลองอยู่ตลอดทั้งวัน แต่กว่าที่จะได้ยินเสียงเครื่องของเมอร์ซิเดสคันโตก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งทุ่ม ผมรีบลงไปเปิดประตูด้านหลังและตั้งใจยิ้มให้กว้างๆเพราะคนที่ลงจากรถดูหน้าเซียว ท่าทางล้า ไม่รู้ว่าเพราะประชุมยาวทั้งวันหรือต้องนั่งรถมาไกล สิ่งแรกที่ออกจากปากคุณภากรคือคำขอโทษที่ไม่ได้โทรหา และต่อมาคือเรื่องงานที่ทำให้เขากับคุณวรเมธต้องบินด่วนไปสิงคโปร์พรุ่งนี้ รู้อย่างนี้ผมเลยรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องถ่อกลับมาถึงที่นี่


“ทานข้าวเลยมั้ยครับ หรือมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำก่อนจะได้สบายตัว”


“อืม อะไรก็ได้ แต่ขอแบบนี้ก่อน...”


ผมถามเพราะอยากจะเอาใจ แต่ก็ไม่คิดว่าคนเอาแต่ใจจะดึงตัวผมเข้าไปกอด แล้วยังดมหัวผมอีกฟอดใหญ่ นี่ดีนะที่เมื่อเช้าสระผม เอ้ย! ไม่ใช่สิ ดีนะที่ผมลงมาคนเดียว ส่วนคนขับรถกับบอดีการ์ดก็แยกย้ายกันไปพักหมดแล้ว


“อื๊อ! คุณกร ทำบ้าอะไรเนี่ย?!”


“ก็อยากรู้ว่าหายดีหรือยัง ดิ้นได้ขนาดนี้แสดงว่าไม่เจ็บตรงไหนแล้วสิ”


โอ้ว! เหตุผลหรือนั่น อยากรู้นักถ้าเป็นเขาโดนแบบนี้จะยังรู้สึกเจ็บอะไรได้อีก มันขนลุกจนเสียวไปทั้งตัวสิไม่ว่า


“แค่อยากรู้ถามเอาก็ได้นี่ครับ”


“แล้วคิดว่าฉันอยากรู้แค่นั้นจริงๆหรือไง”


โอยยย รู้หรอกน่ะว่าแค่นี้หรือแค่ไหนก็ไม่พอสำหรับเขา ถามกันหน้าด้านๆแล้วยังมีหน้ามาหอมแก้มผมอีก


“ช่างคุณสิ ปล่อยได้แล้ว คุณไม่อายแต่ผมอายนะ!”


“อายอะไร ตรงนี้ไม่มีใครสักคน หรือว่าอายฉัน ไม่เป็นไรน่า ฉันยังไม่อายเลยเห็นมั้ย”


“คุณกร!...”


แล้วผมก็ถึงจุดที่ต้องก้าวข้ามความอาย เฮ่อ... คือจะบอกว่าถึงอายจนแทรกแผ่นดินหนียังไงก็คงโผล่ไปเจอเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้นผมควรรีบย้ายตัวเองไปในที่ที่มีมนุษย์คนอื่นอยู่ด้วย เผื่อเขาจะมีสำนึกขึ้นมาบ้าง


พอขึ้นมาถึงบนเรือน ได้กลิ่นกับข้าวที่น้ารื่นกำลังตั้งสำรับก็น้ำลายสอกันทั้งคู่ คุณกรเองก็ท่าทางจะหิว ไม่รู้ว่าทำงานทั้งวันได้พักกินอะไรบ้างหรือเปล่า ผมในฐานะแขกที่เริ่มคุ้นเคยกับเรือนหลังนี้แล้วเลยเดินนำเขาไปยังริมชานด้านหนึ่งที่มีโอ่งมังกรใบย่อมบรรจุน้ำเต็มเปี่ยม แล้วส่งสายตาบอกให้เจ้าของบ้านนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวยาว


คุณภากรทำตามและมองตามการกระทำของผมไม่วางตา สิ่งที่ผมทำจะเรียกสวยๆว่าการปรนนิบัติพัดวีก็คงไม่ผิด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ฝืนใจ สองมือทำไป ในใจพลันคิดถึงตอนที่เด็กมากๆ พ่อยังขับแท็กซี่และจะกลับเข้าบ้านมาอาบน้ำ กินข้าวเย็นก่อนออกไปวิ่งกะกลางคืนต่อ ผมจะออกไปรอเปิดประตูให้แล้วพ่อก็อุ้มผมเดินเข้าบ้าน พี่กัญยกแก้วน้ำเย็นมาเสิร์ฟ ส่วนผมก็ขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วถอดถุงเท้าออกแต่พ่อจะแกล้งงอเท้าไว้ทำให้ผมต้องออกแรงดึงจนหงายหลัง แล้วเสียงหัวเราะของเราสามคนพ่อลูกก็จะดังขึ้นในบ้านหลังเล็กๆแสนอบอุ่น


ตัดกลับมาที่ผมกับคนที่เป็นทั้งเจ้านาย เจ้าหนี้ และเจ้า... ก่อนอื่นผมถอดรองเท้าถุงเท้าของเขาออก บรรจงพับปลายขากางเกงขึ้นสองสามทบ แล้วค่อยลุกมาตักน้ำในตุ่มให้เขาล้างมือและกวักลูบหน้า ส่งผ้าขนหนูให้เช็ดหน้าเช็ดตา ส่วนผมก็จ้วงน้ำอีกขันยองตัวลง...


“กานต์! ไม่ต้องก็ได้”


เสียงห้าวดังขึ้นเหนือหัว ผมเงยตอบด้วยรอยยิ้มแล้วก้มหน้าทำตามที่ตั้งใจ มือของผมดูเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับเท้าคู่ใหญ่ที่ขาวซีดเพราะต้องสวมถุงเท้ารองเท้าอยู่ตลอดทั้งวัน ผมรินน้ำรดจนทั่ว ถูเบาๆ ลงน้ำหนักที่ข้อเท้า รอบส้นและเรียงแต่ละนิ้ว เสร็จแล้วก็บอกให้เขายกเท้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อตักน้ำล้างอีกครั้งเป็นอันเรียบร้อย


“อยากไปเที่ยวสิงคโปร์มั้ย”


คุณภากรยืนรอผมล้างมือล้างเท้าบ้าง คงไม่มีอะไรทำมั้งเลยเอ่ยปากชวนเอาดื้อๆ เชอะ! เห็นผมง่ายนักเหรอ แล้วถามหน่อย สิงคโปร์นะไม่ใช่สิงห์บุรี เกิดผมไปแล้วถูกปล่อยเกาะจะมีปัญญาหาทางกลับมั้ย


“คุณกับคุณเมธไปทำงาน จะเอาเวลาที่ไหนเที่ยวล่ะครับ”


“ไปกับเจ้าเมธถึงมีเวลามันก็ไม่โผล่หัวออกไปไหนหรอก แต่ถ้ากานต์ไปฉันจะได้เที่ยวด้วยไง”


“ถ้าจะเอาผมไปเป็นข้ออ้างไว้หนีเที่ยวก็อย่าเลยครับ”


“รู้ทัน! แล้วอย่างนี้จะรู้ใจฉันด้วยหรือเปล่านะ”


ผมตอบได้ก็เก่งเกินไปล่ะ โชคดีที่น้ารื่นส่งเสียงบอกว่าสำรับจัดเสร็จแล้ว ผมเลยรอดตัวรีบเข้าไปช่วยคดข้าวใส่จาน บนตั่งไม้ตัวใหญ่มีผ้าขาวฉลุขอบปูทับ เรียงรายด้วยกับข้าวทั้งทอด ผัด ยำ แกงจืด แกงเผ็ด ดูมากมายเกินไปสำหรับจานข้าวแค่สองใบ


“พวกข้างล่างกินกันเรียบร้อยแล้วค่ะ” น้ารื่นรีบบอกเมื่อเห็นผมมองหาจานเพิ่ม “แต่เดี๋ยวคงพากันขึ้นมา นานๆทีคุณกรมาค้างเลยดีใจกันใหญ่”


“นี่สงสัยจะเห็นฉันเป็นหมู มาบ้านสวนทีไรช่วยกันขุนจนอ้วนกลับไปทุกที” คุณกรนั่งขัดสมาธิลง มองกับข้าวละลานตาแล้วก็คงรู้สึกอิ่มเหมือนผม


“โธ่! คุณกรก็ช่างค่อน เดี๋ยวแม่ครัวมาได้ยินเกิดงอนเข้าคนอยู่ทางนี้จะลำบากเอานะคะ”


“ยังไงเหรอครับน้ารื่น” ผมถามพลางนึกถึงหน้าที่ประจำของแต่ละคน ยายปุยเป็นแม่ครัวใหญ่ของบ้าน ยายเป้าถนัดไปทางขนม ส่วนน้าจิตเป็นลูกมือ คอยทำตามคำสั่ง สุดท้ายแม่ครัวใหญ่จะรับผิดชอบชิมรสก็เป็นอันเสร็จแกงสักหนึ่งหม้อ


“คนแก่ก็ขี้น้อยใจเหมือนเด็กๆนั่นแหละค่ะคุณกานต์ งอนขึ้นมาไม่พูดไม่จา แต่ก็มาเปรยๆให้ได้ยินว่าเจ้านายไม่เห็นค่าบ้างล่ะ แก่แล้วเลยไม่มีใครสนใจบ้างล่ะ หนักๆเข้าถึงขั้นข้าวปลาไม่กินก็มี แล้วยายปุยน่ะเป็นเบาหวาน ยายเป้าเป็นความดัน ไม่ยอมกินข้าวกินยาพาลไม่สบายก็บ่นอีกว่าชีวิตไม่เหลืออะไร ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว พวกน้าแค่คอยปลอบก็อ่อนใจไปตามๆกันแล้วล่ะค่ะ”


ผมนึกภาพแล้วก็เห็นจะจริง เพราะขนาดเมื่อตอนบ่ายผมขอไม่รับของว่างเพราะจะรอกินมื้อเย็นทีเดียวก็โดนยายเป้าค้อนขวับ แถมเหน็บอีกว่าขนมไทยพื้นๆไหนจะสู้ของฝรั่งราคาแพงๆ ผมเลยต้องรีบหยิบมากินแทบไม่ทัน แต่ได้แค่อันเดียวก็อิ่มเพราะตะโก้ของยายแกกระทงใหญ่มาก ทั้งเยอะกว่า หอมมันกว่า และแน่นอนว่าอร่อยจนพวกที่ขายในตลาดเทียบไม่ติดเลย


“รู้สึกผิดขึ้นมาเลยนะเนี่ย” คุณภากรคุ้นเคยกับคนที่นี่มาก่อนก็คงโดนมาบ้างไม่มากก็น้อย


“ถ้าไม่อยากโดนคนแก่งอนงั้นคุณกรทานเยอะๆนะคะ” น้ารื่นบอกเจ้านายตัวเองแล้วหันมามองยิ้มๆ ลูบแขนผมใหญ่ “คุณกานต์ก็ด้วย ดูซิเนี่ย ผ๊อม ผอม”


“รายนี้แค่ดมเอาก็อิ่มแล้ว เคยกินข้าวเช้าด้วยกันทีนึง มีอะไรบ้างล่ะ น้ำส้มครึ่งแก้ว ขนมปัง กับข้าวต้มอีกสองสามคำ” ผมเกือบจะปลื้ม ไม่คิดว่าเขาจะจดจำได้ทุกรายละเอียด แต่พอฟังจนจบ... “กินแค่นั้นถึงได้เตี้ยเป็นคนแคระอยู่ยังเงี้ย”


“ผมไม่ได้เตี้ย!” ปรี๊ดแตกสิครับ! ปมด้อยของผมหลักๆมีอยู่สองอย่าง อันแรกคือหน้าหวานเหมือนผู้หญิง แต่นั่นเป็นจุดที่คนชมซึ่งผมก็ยิ้มรับ ไม่ถือสา แต่ไอ้เรื่องส่วนสูงนี่ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ไม่สบอารมณ์เลยให้ตาย


“อ๋อ! แค่แกร็นเฉยๆใช่มั้ย” แล้วมาเจอกวนประสาทตัวพ่อเลยยิ่งไปกันใหญ่


“ไม่เอาค่ะ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ทานข้าวก่อนดีกว่า กำลังร้อนๆเลย”


“น้ารื่นก็ดูคุณกรสิครับ”


เป็นพยานนะครับว่าผมยังไม่ทันพูดอะไรเลยก็โดนสวนซะก่อน


“เพิ่งรู้ว่าพวกขี้ฟ้องนี่ส่วนใหญ่จะตัวเตี้ย เอ๊ะ! หรือเพราะเตี้ยเลยยิ่งขี้ฟ้องกันนะ”


“คุณกร!” ผมตวาดลั่นบ้านแล้วหันไปหาคนกลางที่รีบออกตัวทันที


“น้าขออนุญาตไม่เข้าข้างไหนทั้งนั้น ขอตัวไปดูที่หลับที่นอนก่อน ทานข้าวกันดีๆ อย่าทะเลาะถึงขั้นล้มโต๊ะเป็นพอนะคะ”


น้ารื่นฤดีลุกไปแล้ว ผมรีบเขยิบให้ห่างคนขี้แกล้งแต่ยังไงก็พ้นไปจากโต๊ะกินข้าวไม่ได้อยู่ดี พยายามมองแต่ของที่จะตักใส่ปากก็ไม่วายโดนกวน ได้ยินชื่อตัวเองอยู่หลายที ผมเลยสะบัดเสียงตอบอย่างเสียไม่ได้


“อะไรอีกล่ะครับ!?”


“ทำไมต้องโกรธเวลาที่โดนล้อว่าเตี้ยด้วย ในเมื่อมันเป็นความจริง คนเราไม่มีใครไม่เตี้ยหรอกนะ”


ผมหันขวับ ใช้สายตายิงคำถามประมาณว่า ‘จะไม่จบใช่มั้ย?!’


“แล้วคุณจะบอกว่าตัวเองก็เตี้ยงั้นดิ?!”


“ใช่ ฉันยังเตี้ยกว่าเจ้าเมธตั้งสามเซ็นแน่ะ” เห็นผมตั้งใจฟังเขาเลยพูดต่อ จะรู้มั้ยว่าที่ผมนิ่งเนี่ยเพราะมันจี๊ด! “คำว่าสูงหรือเตี้ยมักมาพร้อมการเปรียบเทียบ เปรียบกับคนที่สูงกว่าก็บอกว่าตัวเองเตี้ย แต่ถ้าเทียบกับคนที่เตี้ยกว่าเราก็จะกลายเป็นสูงไปไม่ใช่หรือไง”


เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนจะสอนสัจธรรมอะไรสักอย่าง แต่ขอโทษ ผมไม่ซึ้ง!


“คุณจะพูดอะไรกันแน่?”


“ทำไมต้องคอยเปรียบเทียบกับคนโน้นคนนี้แล้วเก็บมาเป็นอารมณ์ให้ตัวเราไม่ชอบ ไม่สบายใจด้วย กานต์เป็นตัวของตัวเอง เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่ก็ดีที่สุดแล้วเชื่อฉันสิ”


ที่จริงผมก็พอรู้ เข้าใจความหมายที่เขาต้องการบอก แต่บางครั้ง เข้าใจ กับ ยอมรับ มันก็คนละเรื่องกัน


“คุณไม่ใช่ผมก็พูดได้ คนที่มีทุกอย่างพร้อมก็ต้องบอกว่าพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ลองไปถามคนที่เขาไม่มีอะไรเลย ใครเขาจะบอกว่าไม่ต้องการอะไรได้อีกล่ะ”


อีกครั้งที่ผมรู้สึกตัวเองด้อยค่าเมื่อเทียบกับผู้ชายคนนี้ เขารวย ผมจน เขาเป็นผู้ใหญ่ แต่ผมยังเด็ก เขามีทุกอย่าง แต่ผมไม่มี...แม้สักนิดที่จะช่วยให้เชิดหน้าชูตาในฐานะคนข้างกายเขาก็ยังไม่มี


“โอเค ไม่เถียงก็ได้ ฉันไม่อยากโดนงอน” หาเรื่อง! ผมแค่ตักแกงแล้วก้มหน้ากินข้าว งอนใครเมื่อไหร่กัน พอจะตักข้าวอีกคำก็ถูกจับข้อมือไว้ให้ฟังเสียงบ่นอะไรก็ไม่รู้ “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากให้รู้ไว้ กานต์ยังเด็ก ตัวเล็กกว่าฉัน เวลาที่ ยืนข้างกันก็เลยดูตัวเตี้ยกว่าไม่เห็นแปลก และที่ฉันชอบย้ำบ่อยๆนั่นก็เพราะฉันชอบเวลาที่มีกานต์อยู่ใกล้ๆ อยากให้อยู่ด้วยกันตลอดไปต่างหากล่ะ”


ผมมองไล่จากปลายมือไปจนถึงใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่นฉาบไว้ แววตาที่รออยู่อ่อนโยนและให้เกรียติผมเป็นคนสำคัญ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากยอมแพ้ อดขำไม่ได้กับนิสัยงอแงเป็นเด็กๆของตัวเอง


“มานี่มา กินข้าวกัน กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลยเนี่ย” เห็นผมยิ้มออก คุณภากรเลยได้ใจ ดึงตัวผมกลับไปนั่งข้างๆ “อย่าไปงอนแข่งกับสองยายเลย ยิ่งงอนยิ่งเตี้ยนะรู้หรือเปล่า”


“ระวังเหอะ ผมจะเอาส้อมแทงคอคุณ!” ผมกำส้อมแน่น เอาจริงนะเนี่ย


“เปล่าประโยชน์น่า จิ้มไอ้นี่ดีกว่า แทงให้มิดแล้วเอามาเสียบใส่ปากฉันนี่...” มือใหญ่กำรอบมือผมไปจิ้มชิ้นปลาหมึกลวกในจานยำรวมมิตรแล้วเอาใส่ปากตัวเองเฉยเลย “อืมมมม อร่อยจะตาย”


ผมพยายามขัดขืนแล้วแต่เขาก็ยังยึดมือผมไปใช้ต่างมือตัวเอง สรุปมื้อนี้ผมเลยไม่ได้กินข้าวคนเดียวในความหมายที่ว่าตัวเองกินไม่พอ ยังต้องตักป้อนคนข้างๆจนอิ่มด้วยกันทั้งคู่ พอถึงเวลาของหวานมีลอดช่องน้ำกะทิที่ยายเป้าโชว์ฝีมือทำตัวลอดช่องเองเลยรับประกันความสดอร่อย เนื้อลอดช่องสีใบเตยแท้เด้งดึ๋งดั๋งในปาก น้ำกะทิก็หวานมันหอมกลิ่นควันเทียน ขนาดคุณภากรบอกว่าอิ่มข้าวยังกินหมดถ้วย ไม่รู้ว่ากลัวโดนงอนเลยแกล้งเอาใจคนแก่หรือเปล่า


ตอนช่วงเสิร์ฟของหวานนี้มีหลายคนทยอยกันขึ้นมาทักทายคุณภากรเหมือนอย่างที่น้ารื่นบอก ลอดช่องน้ำกะทิหม้อใหญ่เลยหมดเกลี้ยงในพริบตา เสร็จแล้วก็นั่งคุยกันต่อเพื่อย่อยมื้อเย็นไปในตัว ดูนาฬิกาอีกทีเกือบสี่ทุ่ม น้ารื่นมองหน้าผมก็เสนอให้แยกย้ายเพราะตาปรือไม่แพ้พวกเด็กๆที่ผล็อยหลับคาตักพ่อแม่ไปหลายคนแล้ว


พอทุกคนเดินลงจากเรือนไปจนหมด น้ารื่นก็ตามลงไปด้วยเพื่อตรวจตรารอบบ้านอีกครั้งก่อนเข้านอน ผมเลยเอ่ยราตรีสวัสดิ์แล้วกลับเข้าห้องไปพักบ้าง ส่วนคุณภากร... เฮ้ย! จะเดินตามมาทำไมเนี่ย?!


“จะนอนก็ไปห้องคุณสิครับ”


ผมหันหลังยืนพิงประตูห้อง ถอยไม่ได้แล้ว จะเดินหนีไปที่อื่นก็โดนคนตัวโตยืนขวาง สีหน้าหมาป่าเจ้าเก่าตัวเดิม ยิ้มเยาะลูกแกะโง่เขลาที่เดินนำมาตกหลุมพรางซะเอง


“ก็นี่ไง” ไม่บอกเปล่า เอื้อมมือมาเคาะแผ่นไม้ที่ด้านหลังผมเพื่อบอกพิกัดซะด้วย


ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้โกหก หรือที่จริงเจ้าของบ้านจะนอนห้องไหนก็มีสิทธิ์โดยชอบอยู่แล้ว แต่เผอิญว่าผมไม่ชอบ พูดตามตรงคือไม่สะดวกทั้งใจและกายที่จะร่วมห้องด้วย คราวที่แล้วผมเมาไม่รู้เรื่องแต่ตื่นมานอนทับเขาอยู่ กลัวว่าคราวนี้จะตื่นมาแล้ว...


อื๊ยยยย แค่คิดก็สยองแล้ว!


“งั้นผมไปขอนอนกับน้ารื่นก็ได้” อย่างที่บอกว่าน้ารื่นได้รับอนุญาตให้พักบนนี้ด้วย และห้องก็อยู่อีกฟากของเรือนนี่เอง มีแสงสว่างลอดออกมาให้ผมรู้สึกอุ่นใจ วิ่งตัดชานไปปรู้ดเดียวก็สบายแล้ว


“คิดเหรอว่าฉันจะยอม”


ฮืออออ ถ้าไปได้อ่ะนะ...!


“จะเข้าห้องเองดีๆหรือจะให้ฉันอุ้มเหมือนตอนที่พาไปนอนที่เตียงเมื่อคืน”


ผมจ้องเข้าไปในดวงตาวาววามเห็นสีหน้าตัวเองตื่นกลัวอย่างกับเจอผี สรุปผมเลยทำตามดีกว่าโดนผีทะเลอุ้มเข้าห้องจริงๆ แต่พอข้ามธรณีประตูมาหมาป่าก็เลิกสนใจลูกแกะโดยสิ้นเชิง เขาถอดเสื้อโยนใส่หัวผมแล้วเดินผิวปากเข้าห้องน้ำ ครู่ใหญ่ก็ออกมาในชุดนอนเรียบร้อย ไล่ให้ผมไปอาบน้ำส่วนตัวเขาเองเอกเขนกเอนทับหมอนเปิดทีวีดูเฉย... ผมเลยเอ๋อแดก!


ในเมื่อเขาทำเหมือนไม่มีอะไร ผมเลยต้องพยายามทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง ตอนกำลังอาบน้ำแว่วเสียงเจ้าของห้องหัวเราะอยู่ตลอด ไม่รู้ดูอะไรอยู่ถึงขำนักหนา ตอนแต่งตัวเสร็จมีเสียงโทรศัพท์ดัง พอออกมาเห็นเขาไปนั่งเท่ห์อยู่ตรงกรอบหน้าต่างคุยกับคุณวรเมธเรื่องที่จะไปสิงคโปร์ ผมเลยเดินไปหรี่เสียงโทรทัศน์เสร็จแล้วก็ว่าจะเข้านอน เพราะถึงไม่ง่วงแต่แกล้งตาย เอ้ย! ไม่ใช่สิ แกล้งหลับไปก่อนน่าจะปลอดภัยกว่า


“อึ้ย!...” ยังไม่ทันถึงเตียง กางเกงแพรเจ้ากรรมดันทำพิษ ผมยังไม่ชินวิธีการพับๆทบๆเหมือนอย่างที่น้ารื่นสอนเลยได้แต่ขมวดปมไว้ให้แน่นๆ แต่กางเกงมันใหญ่กว่าตัวแถมเนื้อผ้าก็ลื่นขนาดนี้เลยเอาไม่อยู่ ดีนะที่ตะครุบไว้ได้ทัน น้ารื่นบอกว่าพรุ่งนี้จะเย็บขอบแล้วใส่ยางยืดให้ งั้นคืนนี้หาอะไรคาดแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน...


“เอ้ย!... อูยยยย” แค่หันหลังจะเดินกลับไปเอาเข็มขัด ผมก็สะดุดชายกางเกงล้มไม่เป็นท่า แถมเอาหัวเข่าลงพื้นอีก เจ็บมากขอบอก!


“ห้องฉันมีกบด้วยเหรอ ตัวใหญ่มั้ยล่ะ?”


เป็นเจ้าของบ้านที่นิสัยดีเลิศ ไม่ช่วยแล้วยังมายืนเยาะเย้ยกันอีก แต่... เอ่อ...! ผมว่าเขาจะคุกเข่าลงมาแล้วดูอาการผมอย่างใกล้ชิดจนเกินไป...มั้ย?!


“ดูสิ แดงหมดแล้ว กระแทกตรงไหนอีกหรือเปล่า” ไม่ดูเปล่า มีเป่าลมเพี้ยงๆด้วย บรื๋อออ จู่ๆเมืองไทยมีหิมะตกเหรอ หนาวไปถึงกระดูกแล้วเนี่ย


คืนนี้กางเกงแพรที่น้ารื่นจัดให้สีฟ้าสดมีลายรูปกลมๆสไตล์จีนทั่วตัว ส่วนที่คุณภากรพูดถึงคือหัวเข่าของผมที่แดงเป็นปื้นและพรุ่งนี้คงจะช้ำจนกลายเป็นสีม่วง แต่ประเด็นที่น่าห่วงกว่าคือถ้าจะเห็นหัวเข่าผมได้แสดงว่าขากางเกงต้องถูกเลิกสูงขึ้นมา... ฮืออออ ให้เป็นอย่างนั้นเสียยังดีกว่าที่มันเป็นอยู่ตอนนี้!


 “มะ..ไม่เป็นไรครับ!” ผมบอกแล้วรีบกระถดหนีแต่ก็ยิ่งทำให้กางเกงหลุดออกจากตัว ใช่แล้วครับ คุณภากรไม่ได้เลิกขากางเกงผม แต่กางเกงบ้ามันลื่นออกจากเอวไปทั้งตัวเองต่างหาก ยิ่งผมขยับมันก็จะยิ่งหลุด ตกลงว่าผมโง่เองที่ใส่กางเกงแพรไม่เป็น หรือมันเป็นกางเกงผีที่ไม่อยากให้ผมใส่กันแน่นะ


แต่ก่อนอื่น ใครก็ได้ช่วยบอกเขาทีว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะโชว์หวิวก่อนนอน แล้วก็ช่วยทำให้เขาเลิกมองผมด้วยสายตาแบบนี้สักที!!


“ซื้อบื้อจริง นุ่งยังไงกางเกงมันถึงได้หลุดไม่เป็นท่าอย่างนี้หะ?” เขาเอ็ดผมยิ้มๆ ก็ไอ้รอยยิ้มอย่างนี้แหละที่น่ากลัว ผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งในห้องทำงานตอนโน้นและทำให้ผมเสียจูบแรกในชีวิต


“ก็...ก็ผมไม่เคย...” โชคดีที่ตัวเสื้อยาวพอจะคลุมอะไรต่อมิอะไรได้บ้าง เซฟด้วยกางเกงในอีกชั้นหนึ่ง แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้ใส่อะไรเลยสักชิ้น สายตาวาววามไล่มองจากปลายขา ผ่านผ้าลื่นเหลือบสีฟ้าสด ถึงรอยนูนแดงที่หัวเข่า ไต่เรื่อยตามเรียวน่องแล้วมุดเข้าชายเสื้อผ้าป่านสีขาว ที่อธิบายมาทั้งหมดนี่แค่สายตาเท่านั้นนะ!


“งั้นมานี่ ฉันสอนเอง” แล้วมือของเขาก็ตามมา มือทั้งสองข้างช้อนตัวผมขึ้นแล้วอุ้มเดินตรงไปที่เตียง


“เฮ้ย! คุณกร! จะทำอะไร ปล่อยผมนะ”


“ดิ้นทำไม ฉันก็แค่จะสอนนายใส่กางเกง”


จริงดิ สาบานให้ฟ้าผ่าตายเลยนะว่าเขาสนใจไอ้เศษผ้าสีฟ้าที่ห้อยติดปลายเท้าผมมาจริงๆ?!


“ไมต้องครับ ผมใส่เอง ผมใส่ได้ คุณ...คุณคุยกับคุณเมธอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปคุยต่อสิครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ”


เขาหยุดนิดนึงเพื่อมองหามือถือตัวเองแต่ไม่เจอ หวังว่าคงไม่เผลอเขวี้ยงทิ้งลงหน้าต่างไปแล้วหรอกนะ


“ช่างเถอะ เมธมันคงวางสายไปแล้วล่ะ”


ผมชักเท้าหนีเลยโดนมือใหญ่รวบกำข้อเท้าไว้แน่น อีกมือดูเหมือนจะพยายามจับขาผมใส่เข้าไปในขากางเกงให้ได้


“อยู่นิ่งๆ ไม่งั้นฉันอาจจะอยากทำมากกว่าสอนนายใส่กางเกงก็ได้”


“คุณกร!” คำขู่นั่นทำให้ผมกลัวได้อยู่หรอก แต่นอกจากกางเกงยังมีอีกอย่างที่รูดขึ้นมาตามขา นี่สิที่ผมทนไม่ได้ ขนลุกหมดแย้ววว! “จะ..จะสอนก็บอกกันดีๆสิ มะ...มาลูบขาผมทำไม!”


“เปล่า แค่มือไปโดนเฉยๆ”


ให้ตาย! แค่โดนบ้าอะไรผมถึงได้รู้สึกครบเลยว่าสองมือคนเรามียี่สิบนิ้ว เชื่อเขาก็ออกลูกเป็นลิงแล้ว ถ้าผมมีมดลูกอ่ะนะ!


“คุณกร...!”


“หืม?”


“มะ..ไม่...!”


ไม่อะไร? ไม่รู้สิ! ผมหลับตาปี๋ ไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากความเสียวที่สะท้านไปถึงสันหลังเมื่อมือใหญ่บีบคลึงต้นขาผมราวกับเด็กเล่นดินน้ำมัน


“ว่าไง?”


“ไม่....อื๊ออออ....”


สัมผัสที่เปลี่ยนไปชวนให้หรี่ตาแอบมองแล้วเห็นแต่กลุ่มผมสีดำ แต่แค่นั้นก็จะบ้า ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเพี้ยนถึงขนาดจูบขาผมลง ริมฝีปากอุ่นมากๆลากผ่านจากริมนอกเข้าถึงปลีน่องด้านใน ลามเลีย ขบเม้ม ราวกับหมาป่าหิวโซละเลียดชิมคัสตาร์ดเนื้อเนียนนุ่ม ไม่ๆๆๆๆ เป็นภาพที่ไม่เข้ากันเลยแต่ก็ให้ความรู้สึกปั่นป่วนเหมือนมีเฮอร์ริเคนกระหน่ำซัดอยู่ในท้องสักสิบลูก


“พูดให้รู้เรื่องสิกานต์ ไม่อะไร?”


เขาถามแล้วงับชายเสื้อผมเลิกขึ้น จูบที่หน้าท้องเบาๆ ส่วนสองมือเลื่อนลงด้านล่าง สอดเข้าในกางเกงตัวเล็กเค้นขยำก้นผมด้วยอาการหมันเขี้ยว


“คุณกร...ไม่...”


“ว่าไงครับ จะไม่อะไรคุณกรหืม?”


ลมปากอุ่นกระซิบถามติดหูขณะที่มือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังแล้วดึงเสื้อผมออกไปทางหัว เขายันตัวขึ้นถอดเสื้อตัวเองออกเผยให้เห็นแผงอกกว้าง ผมเอื้อมมือไปแตะแผ่นท้องเป็นลอนชัดด้วยสมองอันขาวโพลน ทุกการกระทำน่าจะเป็นไปตามสัญชาตญาณล้วนๆ ผมคงอยากดูสมชายกว่านี้ คงอยากเป็นเจ้าของร่างกายที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆเลยเริ่มต้นด้วยการลองสัมผัส ผิวแน่นจับแล้วอุ่นจัด มีตุ่มไตขึ้นไม่ต่างจากเนื้อตัวผม นึกอยากชิมจึงแนบริมฝีปาก แลบปลายลิ้นแตะ สูดกลิ่นครีมอาบน้ำหอมๆขึ้นไปจนสะดุดที่กลางอก กำลังจะอ้าปากงับก็มีมือมาประคองหน้าผมเงยขึ้นแล้วป้อนรสหวานละมุนลิ้นให้แทน


ผมไม่รู้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นในค่ำคืนนี้ เอาเป็นว่า...ขอโยนความผิดให้หรีดหริ่งเรไรที่ส่งเสียงรบกวนค่ำคืนอันเงียบสงบ โดนเจ้ากบตัวที่ผมจับพลาดไปกินเสียให้หมดได้ก็ดี ขอกล่าวโทษอุณหภูมิที่ลดต่ำทำให้ผมต้องไขว่คว้าหาไออุ่นมาประโลมร่างกายและจิตใจ ขอสาปเจ้าผีกางเกงแพรที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกแปลกๆ แช่งให้มันต้องทนเป็นของที่ถูกใส่แล้วถอดทิ้งวันยังค่ำไปทั้งชาติ แต่ที่ผมจะไม่แตะต้องเลยคือหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่อ่อนโยนและถนอมเหยื่อของมันราวสมบัติล้ำค่า เพราะผมรู้ดีที่สุดว่าลูกแกะตัวนี้ยินยอมรับความสุขนั้นไว้ด้วยความเต็มใจ






จบตอนแล้วคร้าบ



อะไรๆๆๆ เกิดอะไรขึ้น
ก็ครั้งแรกอ่ะ แค่นี้พอโนะ โฮะ โฮะ โฮะ

 :o8:





 :bye2:

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 02-05-2016 07:38:09
ลูกแกะโดนกิน  :m25:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 02-05-2016 08:54:05
เกิดอะไรขึ้น อยากรู้ๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 02-05-2016 22:47:25
เนื้อเรื่องน่ารัก! น่าติดตาม! อ่านสนุกด้วย
++ ให้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 02-05-2016 22:56:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 03-05-2016 01:12:47
หวายยยยยยเขินเยย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-05-2016 02:14:55
 :hao7: นี้มันคืออาราย~~~
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: loukmoo ที่ 03-05-2016 05:21:55
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 04-05-2016 04:03:33
ตายอย่างสงบ.....
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 04-05-2016 06:23:17
ไวไฟนะสองคนนี้
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 14&15 (2-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 04-05-2016 11:41:22
 :katai2-1:

น้องกานต์น่ารัก เมือ่ไหร่จะพาว่าที่ลูกสะใภ้ไปหาคุณแม่ค้าาาาา
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 16
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 07-05-2016 18:16:56





16 .




สภาพอากาศของสิงคโปร์ตอนนี้นับว่าร้อนอบอ้าวกว่าเมืองไทยมาก บทจะมีฝนก็ตกมาไม่บอกกล่าว ทางเจ้าบ้านจึงเชื้อเชิญผมและวรเมธเข้าไปคุยถึงรายละเอียดการซื้อขายรีสอร์ทแห่งนี้กันในห้องประชุม การพูดคุยในชั้นแรกไม่ค่อยราบรื่นนักเพราะทั้งสองฝ่ายย่อมต้องมีเป้าหมายและเงื่อนไขแตกต่างกัน ราคาเสนอขายยังสูงเกินกว่าที่บอร์ดของโรงแรมจะรับได้ แต่โดยส่วนตัวผมชอบที่นี่ซึ่งใช้สภาพธรรมชาติเป็นจุดขาย ไม่ต้องหรูหราติดดาว ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางแหล่งช้อปปิ้ง ไม่ต้องมีความบันเทิงอาทิสวนสนุกหรือคาสิโนรองรับ แต่สามารถตอบโจทก์ของนักท่องเที่ยวได้ชัดเจนและเชื่อว่าจะคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนไป การเจรจาต่อรองดำเนินไปนานนับชั่วโมงจนผมเกือบถอดใจ แต่พอแขกอีกคนซึ่งควรจะได้ชื่อว่านายหน้าคนงามปรากฏตัว ไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างจะพลิกกลับมาจบลงด้วยความเรียบร้อยเป็นที่น่าพอใจ


“ยินดีมากครับที่ได้คุยกัน ผมจะรีบกลับไปปรึกษากับบอร์ดและแจ้งผลให้ทราบโดยเร็วที่สุด แต่โดยส่วนตัวผมหวังอย่างยิ่งว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งนะครับมิสเตอร์ชาน” ผมลุกขึ้นแล้วสัมผัสมือกับคู่เจรจาชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน นิ่งรอให้ล่ามแปลข้อความทั้งหมดและรอฟังคำตอบของอีกฝ่ายซึ่งกล่าวขอบคุณด้วยความยินดีเช่นกัน


จากนั้นผมและเลขาก็เอ่ยลาอย่างเป็นทางการและขอตัวออกมาก่อน ปล่อยคนกลางไว้กับเจ้าของรีสอร์ทซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เขยของเธอ แต่เขากับครอบครัววางแผนจะย้ายไปตั้งรกรากที่อังกฤษในเวลาประจวบเหมาะกับที่ผมอยากขยายเครือข่ายโรงแรมอยู่พอดี การเจรจาครั้งนี้จึงเกิดขึ้น ผมเดินตามพนักงานออกมายังพื้นที่สวนตามคำเชิญขอเลี้ยงน้ำชายามบ่าย รออีกครู่เดียวเจ้าภาพก็ตามออกมา ไม่ใช่มิสเตอร์ชาน แต่เป็น มาดามหลิว นายหน้าวีไอพีของผมนั่นเอง


“ดีใจเหลือเกินที่ได้พบกันอีกครั้ง ทางภูเก็ตเป็นอย่างไรบ้างคะ หวังว่างานคงจะเดินหน้าราบรื่นดี” เธอยิ้มน้อยๆแล้วเดินเข้ามาแตะแก้มกับผมและเมธตามธรรมเนียม


“แน่นอนครับ ผมส่งทั้งช่างฝีมือดีและคนที่ไว้ใจได้ลงไปคุมงานทุกขั้นตอน คาดว่าจะเสร็จทันตามกำหนด ขอเชิญมาดามไปเป็นเกียรติในวันเปิดตัวโรงแรมล่วงหน้าเลยนะครับ”


“ดีจริง!” ชุดแซกสีแดงเข้ารูปช่วยขับความงามของมาดามหลิวให้เป็นที่ประจักษ์ ยิ่งเวลายิ้มกว้างจนตาเรียวรีลงจะยิ่งทำให้ดวงหน้าสว่าง ดูสดใสราวกับสาวแรกรุ่น ไม่น่าเชื่อว่าจะรั้งตำแหน่งแม่ม่ายลูกหนึ่งไปเสียแล้ว “แต่อย่างนี้คุณภากรคงเหนื่อยแย่ ทั้งงานที่กรุงเทพกับสาขาที่จังหวัดอื่นก็มากมายอยู่แล้ว น่าจะหาคนรู้ใจมาช่วยบ้างนะคะ”


“สำหรับที่อื่นงานค่อนข้างอยู่ตัวเลยไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก ส่วนที่ภูเก็ตผมตั้งใจจะส่งภาวิณี น้องสาวของผมลงไปดูแล รับรองว่าเธอจะไม่ทำให้มาดามผิดหวังอย่างแน่นอนครับ”


ไม่รู้เจ้าเมธนึกยังไงถึงเอ่ยขอตัวแล้วเดินกดมือถือห่างออกไป มาดามส่งสายตาให้พนักงานที่รออยู่ตามเอาชาไปเสิร์ฟให้ พอเหลือกันสองคนเธอจึงค่อยรินชาร้อนควันกรุ่นกลิ่นเบอรรี่หอมเลื่อนส่งให้พร้อมขนมชิ้นเล็กๆที่ดูน่ารักเกินกว่าจะกินลงได้


“คุณภากรท่าทางจะสบายดี ดูหน้าตาผ่องใสมีความสุขนะคะ” เธอคงเห็นที่ผมมองขนมแล้วยิ้มเลยเอ่ยแซว


“มาดามเองก็งดงาม ดูมีสง่าราศีขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน คาดว่าเป็นเพราะได้กลับมาอยู่กับครอบครัวทางนี้” ผมชมจากใจจริง นึกนิยมทั้งรูปโฉมและน้ำใจ อย่างในการวิ่งเต้นเป็นตัวกลางในการเจรจาครั้งนี้เธอปฏิเสธเสียงแข็งไม่รับค่าเหนื่อยสักบาท หากมีสิ่งใดที่จะทำให้เธอพอใจได้ผมก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำ


“อย่าล้อดิฉันเล่นเลยค่ะ แม่ม่ายลูกติดมีหรือจะสู้สาวๆได้ โดยเฉพาะสาวไทยที่รายล้อมคุณภากรคงไม่ต่างจากดาราที่สุกสกาวรายล้อมดวงเดือน”


มาดามจบคำเปรียบด้วยรอยยิ้มแล้วยกถ้วยชาจรดริมฝีปากแช่มช้า ลิปสติกสีแดงเทียบกับเนื้อกระเบื้องเคลือบสีขาวดูเด่นติดตาจนผมกลัวจะเสียมารยาทจึงหันไปยังแปลงดอกไม้ นึกแปลกใจที่จู่ๆก็พลันเห็นดอกไม้มากมายกำลังสยายกลีบเริงรับแสงแดด ทั้งที่ความจริงคงไม่มีไม้ประหลาดพันธ์ไหนที่จะบานได้ในพริบตา


“มาดามต่างหากที่ถ่อมตน ดอกไม้แรกผลิก็เพียงแต่สะดุดสายตา แต่ที่จะตราตรึงใจผู้ชายทุกคนให้ลุ่มหลงคือกุหลาบงามที่แย้มบานเต็มที่ ทั้งหอม หวาน เย้ายวนสายตามากกว่าครับ”


“พูดราวกับคุณภากรก็นิยมสาวแก่แม่ม่าย”


ผมหันกลับมาแล้วต้องสะดุดใจ สายตาและน้ำเสียงหวานไม่ผิดจากสะพานทอดเชิญให้ก้าวข้าม ผู้ที่รออยู่อีกฟากเปรียบได้กับเพชรที่ผ่านการเจียรนัยจากช่างฝีมือ อาจมีตำหนิบ้างแต่ยังถือเป็นอัญมณีทรงคุณค่า จะเชิดชูเป็นเพชรเม็ดเอกก็ดูไม่ขี้ริ้ว หากเป็นนายภากรอย่างที่ผมเคยเป็นคงตอบรับคำเชิญชวนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย


“น่าเสียดายที่ผมมีเพียงตาที่ยังไม่ได้ขัดเกลา แต่หากเป็นมาดามหลิวแล้ว เชื่อว่าจะติดตราตรึงใจชายหนุ่มได้ทั่วทั้งเกาะเป็นแน่”
มือเรียวเล็กชะงักค้างแล้วค่อยๆวางแก้วน้ำชาลงบนจาน มีเสียงกริ๊กเบาๆ คาดว่าเกิดจากอาการสั่นแต่ก็เพียงนิดเดียวตามประสาคนที่ครองสติได้อย่างดีเยี่ยม


“ทำไมดิฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกปฏิเสธ”


“ใครที่กล้าทำเช่นนั้นก็โง่งมเต็มที ผมว่ามาดามอย่าเสียเวลาไปสนใจเลยครับ”


ผมจ้องตรงในดวงตาคู่งามตามปกติ พยายามไม่ล่วงเข้าไปในความคิด แต่ถือเอารอยยิ้มจืดเจื่อนชั่วแวบหนึ่งแทนคำตอบของเธอ


“ตกลงค่ะ ดิฉันจะเชื่อคำพูดของเพื่อนสักครั้ง”


“ผมถือเป็นเกรียติที่ได้นับเป็นมิตรแท้กับมาดามตลอดไปครับ”


ผมก้มหัวเล็กน้อยยืนยันคำพูด เมื่อเงยหน้าขึ้นมานับเป็นเรื่องดีที่ผมและเธอสามารถแลกรอยยิ้มแก่กันได้อย่างเป็นปกติ เราคุยกันต่อในหลายๆเรื่อง จนถึงเรื่องที่ใกล้ตัวเข้ามาอย่างคุณหนูจิ้งที่ท่าทางจะมีแววศิลปินเหมือนแม่ เมื่อพูดถึงลูกสาวก็ไม่แปลกที่เธอจะนึกถึง...


“จริงสิ พ่อหนุ่มที่เจอกันตอนนั้น...”


“กานต์ครับ” ผมเอ่ยตอบแล้วรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ


“ใช่ๆ น่ารักเหลือเกิน คุณภากรน่าจะพามาด้วย ลูกสาวดิฉันยังบ่นคิดถึงอยู่บ่อยๆ”


“ผมมาเรื่องงาน รายนั้นเลยงอแงขออยู่กรุงเทพดีกว่า แต่โอกาสหน้าจะพามาพบมาดามและคุณหนูให้ได้เลยครับ”


พูดถึงแล้วก็อดห่วงไม่ได้ เมื่อเช้าตอนที่ออกจากบ้านสวนเพื่อมาสนามบิน เจ้าตัวยืนยันจะมาส่งที่รถ แต่แค่ตะกายลงจากเตียงยังลำบาก ผมเลยจูบตัดกำลังไปหลายทีแล้วสั่งเด็ดขาดว่าให้พักอยู่แต่ในห้อง ฝากคุณรื่นไว้ ไม่รู้ป่านนี้จะอาการดีขึ้นหรือยัง


“งอแง?” มาดามหลิวทำตาโต แต่ดูยังไงก็ไม่ได้ครึ่งของเจ้าตัวแสบ “ดิฉันอาจจะหูฝาดหรือเข้าใจอะไรผิดไป...?”


“จริงๆครับ ทั้งงอแงแถมขี้งอนเป็นที่หนึ่ง แต่พูดไปคงผิดที่ผมเอง โดนลูกอ้อนเข้าหน่อยก็อดตามใจเขาไม่ได้สักที”


ไม่ต้องย้อนไปถึงไหนต่อไหน เอาแค่ค่ำคืนที่ผ่านมาก็ทำเอาจะบ้าตาย จู่ๆคนที่โดนผมรุกจนนอนหลับตาตัวสั่นก็เกิดองค์ลง ลุกขึ้นมาจู่โจมกันดื้อๆ ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นผู้ชายคนแรกที่ได้ใกล้ชิดชนิดเสียดสีรูขุมขน พอริมฝีปากสีฉ่ำแตะเบาๆผมก็สะท้าน แทบละลายเหมือนแท่งไอติมโดนเลียแผลบ เกือบจะถูกกัดอยู่แล้วแต่ดีที่ผมไหวตัว รีบใช้จูบเป็นหมัดเด็ดแล้วปรนเปรอให้ทุกอย่างแลกกับเสียงครางกระเส่าเร้าอารมณ์ให้พุ่งทะยาน มีบางทีนึกอยากแกล้งเลยหยุดปากหยุดมือก็ถูกกำปั้นเล็กทุบอกดังปั้ก งอแงร้องขอยิ่งกว่าสาวๆเสียอีก แต่บางช่วงก็โวยวายสั่งให้หยุด บ้างอ้อนให้เร่งเร้าเอาใจ อย่างที่เห็นเวลาอยู่กับน้ามาลัยหรือใครๆนั่นเทียบไม่ได้เลยกับที่ผมเจอมาทั้งคืน พอผ่านศึกยกแรก ผมแกล้งแซวเพราะอยากเห็นแก้มใสๆกลายเป็นลูกตำลึงสุกก็เลยถูกงอน หมดแรงแท้ๆยังทั้งดิ้น สะบัดหนี ถีบผมเกือบตกเตียง ไม่นึกเลยว่าปล้ำเด็กนี่มันจะเหนื่อยกว่าที่เคยผ่านใครต่อใครหลายเท่านัก แต่อย่างว่า... ผมเองก็เอาคืนจนคุ้มแสนคุ้ม แค่นึกถึง ความสุขมันก็จุกล้นจนอึดอัดไปหมดทั้งตัวแล้ว


“อาาา เข้าใจล่ะ” ไม่รู้ว่ามาดามหลิวจะสังเกตเห็นอะไร สายตาที่มองผมจึงเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง มีแววรู้ทันแกมหยอกเย้าให้ผมรู้สึกเขินนิดๆ “เด็กน่ารักก็มักจะเป็นที่รักของคนรอบข้างเสมอ กานต์โชคดีเหลือเกินที่ได้มาพบกับคนที่รักเขา ดิฉันขออวยพรจากใจนะคะ”


“ขอบคุณ ผมเองก็ขอให้มาดามได้พบโชคดีครั้งใหม่ในเร็ววันเช่นกันครับ”


ผมย้ำคำอวยพรอีกครั้งเมื่อสมควรแก่การเอ่ยลา ขณะนั่งลิมูซีนกลับที่พักซึ่งอยู่ในเขตเมืองใหญ่ เมธถามว่าอยากเลื่อนไฟลท์กลับเมืองไทยเย็นนี้เลยหรือเปล่า ทีแรกผมไม่ทันคิดอะไรแต่ไอ้สายตาวิบวับของเจ้าเลขารู้มากทำให้ผมปากหนัก ต้องปฏิเสธไปแล้วแกล้งนั่งหลับตานิ่งจนมาถึงโรงแรม แต่โอกาสที่ผมยอมแพ้ทุกประตู มีหรือที่มันจะไม่ตามซ้ำให้จมดิน...


“หมายความว่าไง?!”


ผมรีบลุกจากที่กำลังนอนคว่ำหน้าแล้วตะคอกถามเสียงเครียด ถ้าจะถามที่มาที่ไปนั้นต้องย้อนไปตอนกลับถึงห้องพัก เจ้าเมธเสนอว่าที่โรงแรมแห่งนี้มีบริการสปา ถ้าไม่อยากออกไปท่องราตรีก็น่าจะลองใช้บริการดู ผมเลยมานอนรออยู่ที่ห้องสปา กำลังเคลิ้มกับกลิ่นอโรมาที่ช่วยให้ผ่อนคลาย ไอ้เลขาตัวแสบก็เข้ามาสมทบพร้อมกับพนักงานสปาที่... แม่งล่ำกว่าผมอีก!


“ผมเห็นนายท่าทางเหนื่อยๆ ก็เลยอยากเอาใจ...” ไม่ใช่แค่คำพูดที่สรรหามากวนประสาท สีหน้าแววตาไอ้เมธตอนนี้ระคายอวัยวะเบื้องต่ำเป็นที่สุด พอเห็นผมของขึ้นมันยังมีหน้า... “อ้าว! ไม่ชอบหรอกเหรอครับ!” 


รู้ว่าด่าไปก็มีแต่เข้าตัวเอง ไอ้คนฟังไม่มีทางสำนึกหรือเจ็บแสบอะไรด้วย ผมเลยเดินหนีออกมาที่สระว่ายน้ำ นอนมองสาวๆที่รอแดดหมดจึงทยอยกันลงมาเล่นน้ำยังจะมีประโยชน์เสียกว่า มันคงสำนึกได้สักสิบเปอร์เซ็นต์เลยเดินตามตูดพนักงานโรงแรมมาแล้วแย่งเอาแก้วเบียร์ส่งให้ แต่ขอโทษ ผมจำไม่ได้ว่าสั่ง!


“โกรธเหรอวะ?” ถือแก้วค้างอยู่ไม่ทันถึงอึดใจความสำนึกผิดของมันก็หมด เพราะแทนที่จะคะยั้นคะยอให้ผมรับไปดื่มกลับยกจิบซะเองแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะตรงกลางระหว่างเก้าอี้นอนของผมกับมัน เหมือนจะบอกว่าถ้าผมคอแห้งอยากจะจิบบ้างก็ได้ มันไม่ถือ!


“ขืนมึงทำอย่างนี้อีกโดนถีบแน่!” แน่นอนว่าที่ผมเคืองไม่ใช่เรื่องเบียร์แก้วที่ว่า


“ขอโทษ ฉันล้อเล่นหนักไปหน่อย อย่าถือสาเลยน่ะ”


“เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าผู้ชายที่กูชอบมีแค่กานต์คนเดียว!” ผมทวนคำพูดตัวเองอีกครั้งด้วยน้ำเสียงและแววตาหนักแน่น ไม่ใช่แค่คิดไปเองแต่ผมแน่ใจว่าต่อให้ถูกบังคับก็ไม่มีทางกอดใครได้อีกนอกจากร่างบางที่รินลมหายใจอุ่นๆรดอกผมอยู่ทั้งคืนที่ผ่านมา


“คร้าบๆ ผมผิดไปแล้ว ขอโทษครับนาย” ปากขอโทษแต่เห็นรอยยิ้มแล้วท่าทางจะเชื่อไม่ได้ “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ไอ้คนที่ชอบน่ะ สงสัยเมื่อคืนคงอ่วมเลยสิ”


ผมมองหน้ามันแล้วรู้สึกหน้าผากย่นขึ้นมาทันที ไม่น่าไว้ใจอย่างแรง


“จะบอกอะไรให้อย่างแต่สัญญาก่อนว่าจะไม่ลุกมาไล่กระทืบ โอเค้?” มันรอจนผมยอมพยักหน้าแล้วว่าต่อ... “เมื่อคืนที่คุยกัน นายไม่ได้วางสายว่ะกร”


แดดหมดไปแล้วแต่จู่ๆร้อนวูบเหมือนมีลูกไฟลอยใส่หน้า เฮ้ย! ยังไงผมก็ผู้ชาย แมนๆด้วยกันไม่ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว ส่วนเรื่องอาย... ถือเสียว่าอายแทนอีกคนที่ร่วมในเหตุการณ์ก็แล้วกัน


“แม่งโครตซี้ดดดด!” พยานปากสว่างส่งเสียงกวนบาทา แล้วยังแกล้งทำเป็นกระซิบ แน่จริงไม่ตะโกนบอกให้เขารู้กันทั้งโรงแรมไปเลยล่ะ “ถามจริง ถึงเช้าเลยมั้ย พอดีทนฟังไปได้นิดเดียวก็ไม่ไหว มือไม้มันสั่นจนต้องรีบตัดสาย ยังเสียดายไม่หายเลยเนี่ย”


“ไอ้โรคจิต!”


“แล้วไอ้คนที่โชว์เสียงสดๆผ่านโทรศัพท์นี่จิตปกติงั้นสิ?”


ผมด่าเบาๆ โดนโต้กลับแบบเบาะๆ เลยต้องเปลี่ยนแผน


“ก็...ไม่ได้ตั้งใจ...”


“เออ ฟังก็รู้แล้วว่าอารมณ์มันพาไป หลงเด็กจนหน้ามืดตามัวสุดๆเลยนี่หว่า ระวังไว้แล้วกัน วันหลังอย่าเผลอไปคุยโทรศัพท์กับใครตอนที่เจ้าตัวดีมันป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เกิดอดใจไม่ไหวขึ้นมาจะมีคนหัวใจวายตายซะเปล่าๆ”


ผมจะรู้สึกอะไรได้นอกจากกำลังโดนซ้ำเติม แต่อีกฝ่ายเป็นทั้งเพื่อนควบตำแหน่งลูกน้องคนสนิท มีส่วนสำคัญในชีวิตและมักให้ความเห็น คำแนะนำดีๆได้เสมอ แล้วกับเรื่องแบบนี้...


“นาย...ไม่ได้...อะไรใช่มั้ย?”


“ถึงฉันจะจู้จี้จุกจิกเรื่องงานแต่ไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวใครหรอก พูดไปก็ถือว่าดี อย่างน้อยก็ไม่มีใครโดนหลอกแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่คุณป้า ถ้าเขารู้ว่าจะได้ผู้ชายมาเป็นสะใภ้คงไม่ยอมง่ายๆ แต่ถ้านายจริงใจก็มีลุ้น ฉันว่ากานต์ก็น่าเอ็นดูดี เด็กมันน่ารัก นายก็รักมันให้มากๆแล้วกัน”


“ขอบใจว่ะ”


“เพื่อนกันคิดไรมาก”


ผมกับเมธมองตาแล้วยิ้มให้กัน คนอื่นเห็นอาจคิดไปไกล แต่สำหรับเราสองคน นี่คือการสื่อสารระหว่างมิตรแท้ และในฐานะเพื่อนคงไม่แปลกถ้าจะมีเรื่องที่ผมอดห่วงบ้างไม่ได้


“นายเองก็หาใครสักคนได้แล้วนะ แก่ขึ้นทุกวันจะมัวทำแต่งานได้ไง ระวังรู้ตัวอีกทีน้ำยาจะหมดอายุ”


“ไม่ดีกว่า ขี้เกียจหาเรื่องวุ่นวายใส่ตัว”


“งั้นฉันหาให้เอามั้ย” คุยเรื่องนี้ทีไรเมธจะดิ้นเหมือนปลาไหลที่ลอดรูนิ้วหลุดไปได้เรื่อย แต่ตอนนี้ผมได้เค้ารางของเป้าหมายอีกฝั่งแล้วน่าจะลองเอาจริงดูสักที “พอดีรู้จักอยู่คน สาวน้อยตามคม ผมยาว ท่าทางโก๊ะๆหน่อยแต่เวลาพูดจารู้เลยว่ามีสมอง เผลอๆจะฉลาดเป็นกรด อีกไม่กี่ปีก็เรียนจบใช้งานได้แล้ว”


“ไม่ต้องเลย! ฉันไม่ได้คิดอะไรกับยัยเด็กนั่น”


ผมตาไม่ฝาด เจ้าเมธถึงกับสะดุ้ง ฟังที่โวยวายออกมาแสดงว่ามันก็รู้ตัวฝ่ายหญิง อย่างนี้มีลุ้น!


“แล้วที่แอบมองเขาบ่อยๆ ตามองตาแล้วมันไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือไง”


“รู้สึกสิ” เมธชะโงกมา ทำท่าจะแยกเขี้ยวใส่ แต่พริบตาเดียวมันกลับลำแล้วตอกจนผมหน้าหงาย “ก็รู้สึกว่าพี่สาวยังน่ารักสู้น้องชายไม่ได้ ถ้าจะมีแฟนสักคนฉันรอสอยกานต์จากไอ้หน้าโง่แถวนี้ดีกว่า”


“ฝันไปเหอะ! กลับไปสอยไอ้ล่ำที่มึงเรียกมาโน่นเลยไป!!”


ผมไม่สนว่ามันได้สอยอะไรใครหรือเปล่า แต่สั่งห้ามมันพูดจาพาดพิงถึงเด็กผมอย่างเด็ดขาด มองหน้าได้แต่ห้ามจ้องตา คุยกันได้แต่ไม่ให้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ไอ้ประเภทขลุกอยู่ในห้องทำงานด้วยกันทั้งวันจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกแน่ คำสั่งของผมน่าจะครอบคลุมทุกสถานการณ์แล้ว แต่ที่ลืมนึกไปคือคนของผมนี่ต่างหากที่ไม่เคยคิดจะระแวงหรือระวังตัวเลยสักนิด


ผมกับเมธออกจากสิงคโปร์กลับมาถึงโรงแรมตามกำหนด ใช้เวลาเดินทางไม่มาก ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อยเลยตั้งใจว่าเข้ามาเคลียร์เฉพาะที่เป็นงานด่วนแล้วจะรีบกลับไปบ้านสวน ไม่คิดว่าไอ้คนที่อยากเจอหน้าก็ดั๊นโผล่หน้ามาให้เจอถึงที่...


“คุณเมธกับคุณกรมาแล้ว” เจ้าตัวเล็กยิ้มร่าแล้วโผเข้าหาคนที่เดินนำซึ่งบังเอิญไม่ใช่ผม! “เดินทางเหนื่อยมั้ยครับ”


“มาได้ยังไง?!”


เสียงผมดังใช่ย่อยแต่กลับไม่เข้าหูคนถูกถาม ไม่ตอบผมไม่พอ ยังแล่นไปหยิบกล่องอะไรสักอย่างมายื่นให้เจ้าเมธดู อ้อล้อกันเหลือเกิน!


“ขนมกลีบลำดวนมั้ยครับ ยายเป้าทำซะเยอะแยะ ผมเลยขอแบ่งมา อร่อยมากๆเลยครับ”


เจ้าเมธอ้างว่าเพิ่งกลับเข้ามายังไม่ได้ล้างมือแล้วอ้าปากรอให้ป้อน ไอ้คนของผมก็พาซื่อรีบเปิดกล่องหยิบขนม แล้วคิดว่าผมจะยอมมั้ยล่ะ?! ผมคว้าข้อมือขาวลากเข้าห้องทำงาน ขนาดนี้แล้วเจ้าเด็กนี่ยังซื่อบื้อ ยืนจ้องหน้าต่อว่าที่ผมทำตัวเสียมารยาท ผมเลยถามใหม่อีกทีด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เย็นๆ ชนิดที่ใครก็บอกว่าทำให้หนาวไปถึงสันหลัง


“เมื่อกี้ที่ฉันถาม ทำไมไม่ตอบ”


“ก็...” ดวงตากลมเบิกโพลง ท่าทางจะกลัวผมขึ้นมาบ้างเลยอุบอิบบอกอย่างกับบ่น “พอดีน้ารื่นกับน้าจิตอยากจะเปลี่ยนผ้าม่านที่บ้านสวนเลยเข้ามาดูผ้าที่พาหุรัด ผมเลยขอให้ลุงพันเลยมาส่งที่โรงแรม”   


“แล้วมาทำไม ทำไมไม่พักอยู่ที่บ้าน!” ผมถามเสียงดังขึ้นอีก คนตัวขาวเลยสะดุ้งทำคอย่น หน้าแหยๆนี่โคตรน่าฟัดเลย


“ผมสบายดี ไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อวานนอนทั้งวันเบื่อจะแย่ แล้วผมก็...”


“ก็อะไร!?” ยิ่งตอบยิ่งก้มหน้า ผมเลยต้องจับคางเล็กเชิดขึ้นไม่งั้นคงไม่ได้ยินว่าพูดอะไร


“ก็ผม...อยากเจอคุณกรเร็วๆนี่ครับ”


เป็นคำตอบที่ทรงอานุภาพขนาดที่ทำให้โลกของผมสว่างสดใสขึ้นทันที อารมณ์ขุ่นมัวสลายไปราวกับสายหมอกต้องแสงแดด พอเห็นผมหายหน้าบึ้ง พระอาทิตย์ก็ยิ้มแฉ่งทันตา ผมเริ่มรู้สึก คำที่ว่า ‘ไปไหนไม่รอด’ คงเกิดจากอะไรประมาณนี้ล่ะมั้ง


“แล้วไม่คิดว่าคุณกรก็อยากเจอกานต์เร็วๆหรือไงหืม?” ผมรวบเอวบางเข้ามาแนบตัว เกลี่ยคำถามเบาๆข้างแก้มนวลใส “แต่ที่ห้ามเพราะเราน่ะดื้อ จะให้ไอ้หมอเข้าไปดูที่บ้านสวนก็ไม่ยอม ฉันเลยอยากให้พักเยอะๆ เดี๋ยวเคลียร์งานเสร็จก็จะรีบกลับไปหาอยู่แล้ว นี่ถ้าสวนกันจะทำยังไง มันจะเสียเวลารอกันไปรอกันมานะรู้มั้ย”


“แต่ผมสบายดีแล้วจริงๆนะครับ ให้วิ่งแข่งยังไหวเลย”


“แน่ใจ”


“แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์”


จากที่สังเกตเห็นก็พอให้เบาใจได้ รอยช้ำที่แก้มจางลงมาก อุณหภูมิร่างกายเป็นปกติ ถูกกอดแน่นยังไม่มีอาการบอกว่าเจ็บ แต่ที่เซ้าซี้อยู่นี่ก็เพื่อ...


“เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้”


“อื๊อ! อยากรู้อะไรก็เรื่องของคุณสิ ผมไม่เกี่ยว! ปล่อยเลย! จะไปหาป้ามาลัย” คงไม่เจ็บจริงๆแต่กำลังยังไม่ฟื้นเลยไม่ค่อยมีแรงดิ้น


“จะไปทำไม เรียกน้าลัยขึ้นมาบนนี้ก็ได้”


“ไม่เอาอ่ะ ผมอยากไปหาป้ามาลัยเอง ไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็มาครับ”


จังหวะที่ผมเอี้ยวตัวไปกดโทรศัพท์ดันพลาดให้คนในอ้อมแขนหลุดมือ ที่จริงว่าจะปล่อยอยู่แล้วแต่เห็นสีหน้าเหมือนเอาชนะผมได้มันน่าหมันเขี้ยวเลยไล่ตามออกมา กะจะคว้าตัวกลับไปลงโทษสักฟอดสองฟอดก่อนค่อยให้ไปหาน้ามาลัย ออกมาจากห้องเห็นเป้าหมายจะถึงลิฟต์แล้ว ตะโกนเรียกให้หยุด หนอย! หันมาแลบลิ้นเยาะเย้ย แต่พอลิฟต์เปิดออก เจ้าเด็กแสบของผมกลับผงะแล้วยืนค้างอยู่ตรงนั้นจนผมวิ่งตามไปจับตัวไว้ได้ในที่สุด





จบตอนแล้วคร้าบ



 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ... ตอนที่ 1ุ7
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 07-05-2016 18:25:25



17 .



ในถาดที่ผมประคองอยู่มีกาแฟร้อนกับน้ำเย็นจัดอย่างละสอง ผมวางเครื่องดื่มชุดแรกเสิร์ฟให้แขกที่กำลังนั่งไขว่ห้าง เอนหลังพิงเต็มพนักเก้าอี้ ท่าทางสบายราวกับอยู่ในห้องของตัวเอง ก็คนนี้แหละครับที่ทำเอาผมชะงักค้างอยู่หน้าลิฟต์ ลองคิดดูถ้าจู่ๆหันมาเจอผู้ชายตัวโตยืนดำทะมึนตรงหน้าไม่ตกใจเหมือนถูกผีหลอกก็แปลกไปล่ะ ตอนคุณภากรตามมาจับตัวผมได้ยังอึ้งไปหน่อยนึงเลย


‘ไง’


พอคนในลิฟต์ส่งเสียงออกมาแค่เนี้ย! คุณกรก็ผละไปกอด ตบหลังตบไหล่ทักทายกันป้าบๆแล้วพากันเข้าห้องทำงานไปแบบว่า...เมินผมโดยสิ้นเชิง! ผมเลยต้องรีบอาสาเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ รู้ตัวอีกทีก็... แหะ แหะ ลืมป้ามาลัยไปเลยเหมือนกัน


‘เซ็กซี่ที่สุด หล่อเท่ห์ไม่เกรงใจใคร ดาร์คทอลแอนด์แฮนด์ซัม แบดบอยลุค เห็นแล้วนึกถึงโซ่ แส้ กุญแจมือเลยอ่ะ!’


ตอนกำลังชงกาแฟ พี่พัชรีรีบตามมาชวนคุย ผมก็ได้แต่อ้าปากค้างไปกับอาการเพ้อหนักถึงขนาดหลับตาพริ้มบรรยายภาพของผู้ชายคนนั้นเป็นคุ้งเป็นแคว พอได้เข้ามาสังเกตด้วยตาตัวเองก็เห็นจะจริง เชิ้ตดำปลดกระดุมสองเม็ดบนเกี่ยวแว่นกันแดดรั้งคอเสื้อให้โชว์ขนหน้าอกรำไร กางเกงยีนส์สีดำสนิท รองเท้าหนังกลับหุ้มข้อสูงก็สีดำอีก ทั้งหมดราวจะปรุงแต่งให้เข้ากันกับเส้นผมดำเงา คิ้วเข้มเป็นเส้นหนา และไรหนวดงามเหนือริมฝีปาก


‘ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ อั๊ยยย!’ พี่พัชถึงขนาดกัดปาก กรีดร้องเบาๆจนผมแอบขำ เป็นเอามากนะครับนั่น นี่ถ้าพี่พอลมาร่วมวงด้วย คงได้ยินเสียงโหยหวนไปทั่วทั้งโรงแรม


‘แล้วเขาเป็นใครเหรอครับ’ รอจังหวะที่พี่พัชสงบจิตใจได้บ้างก็รีบถามเก็บข้อมูล ผมไม่เคยเจอเขามาก่อน ท่าทางไม่น่าจะใช่ลูกค้า หรือจะเรียกว่าเพื่อนคุณภากรก็ดูคนละรุ่น ผมเดาเล่นๆว่าเขาคนนี้อายุขึ้นเลขสี่แล้ว อืมมม อาจจะรุ่นเดียวกับพ่อผมเลยล่ะมั้ง


‘โทษทีจ๊ะ พี่ฟินจัดไปหน่อย ก็คุณชัชน่ะชอบหายไปอยู่สาขาต่างจังหวัด น๊าน นานกว่าจะยอมพาร่างหล่อๆมาให้เป็นอาหารตาอาหารใจ แต่มาทีไรก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย’ พี่พัชยังเพ้อไม่เลิก แล้วนี่ผมจะได้รู้เรื่องมั้ยเนี่ย


‘งั้นคุณชัชคนนี้ก็เป็นพนักงานของโรงแรมเราเหรอครับ’


‘ใช่และไม่ใช่จ๊ะ คุณชัชเป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านประธานคนก่อน สมัยหนุ่มๆน่ะเฮี้ยวมากถึงขั้นนักเลงหัวไม้เชียวล่ะ แต่คุณกฤตเห็นหน่วยก้านดี อยากให้กลับเนื้อกลับตัวเลยดึงมาทำงานแล้วก็กลายเป็นหัวเรือใหญ่ช่วยคุมคาสิโนกับคลับให้เข้าที่เข้าทาง เป็นระบบระเบียบเหมือนอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ถ้านับกันตามสายญาติ แม่ของคุณชัชเป็นน้องสาวปู่ของคุณภากร คุณชัชก็ถือได้ว่าเป็นอา แถมเป็นญาติฝั่งพ่อคนเดียวที่เหลืออยู่ คุณภากรเลยไว้ใจให้ช่วยไปคุมงานตามต่างจังหวัด นี่ก็เพิ่งมาจากภูเก็ตแต่ไม่รู้เที่ยวนี้จะอยู่สักกี่วัน’


ผมร้องอ๋อในใจ แต่ยอมรับว่าถึงรู้แล้วก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมีความสำคัญกับโรงแรมขนาดนั้น


‘แต่ผมดูยังไงก็ไม่เห็นเหมือนพวกผู้บริหาร อิมเมจเจ้าพ่อหรือไม่ก็พวกมาเฟียชัดๆ’


‘คุณชัชก็ยังงี้แหละ จะใส่สูทเวลาออกงานสำคัญๆเท่านั้น แถมเป็นคนไม่ชอบเรื่องจุกจิกหยุมหยิม ไม่ชอบอยู่ออฟฟิศ ไม่อยากเป็นคนใหญ่คนโต คุณภากรปวดหัวแทบแย่ว่าจะยกตำแหน่งอะไรให้ สุดท้ายก็เลยตั้งให้เป็นที่ปรึกษาลอยๆ แต่เห็นอย่างนี้น่ะมีอำนาจในการตัดสินใจรองจากคุณภากรเชียวนะ’


ผมคงเหม่อนึกตามที่พี่พัชเล่าให้ฟังมากไปหน่อย ได้สติอีกทีเมื่อรู้สึกถึงดวงตาสีดำสนิทที่จ้องอย่างไม่เกรงใจ ถ้าคุณภากรเป็นหมาป่า ผู้ชายคนนี้ก็คงเหมือนเสือดำตัวใหญ่ ความหิวกระหายฉายออกมาทางดวงตาที่แวววามในความมืด ไม่เพียงแค่นั้น สายตาของเขาเหมือนจะกล่าวหาว่าผมมีความผิด ทั้งๆที่ผมได้แต่ยืนอยู่ข้างๆตามคำสั่งคุณภากร ยังไม่ได้กระดิกตัวทำอะไรเลย
ตอนนี้บรรยากาศทั้งเงียบและนิ่งจนน่าอึดอัด มีเพียงเจ้าของห้องที่เปิดอ่านเอกสารบางอย่างด้วยความสนใจ เขาจะรู้มั้ยเนี่ยว่าคุณอาของเขากำลังจ้องผมอย่างเปิดเผยมากๆ สายตาคมกริบไล่มองไปทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเขาถึงขนาดแกล้งขยับตัวเพื่อชะโงกลงไปดูจนถึงปลายเท้าผมโน่น พอทั่วแล้วก็วกกลับขึ้นมามองหน้าจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาจ้วงจาบ แต่จะหลับตากี่ทีๆหรือหันหนีไปทางไหนก็ไม่พ้น ผมเลยกลั้นใจมองตอบแล้วพยายามยิ้ม เห็นชัดว่าเขาตกใจคงไม่คิดว่าผมจะกล้า เขาเสยกแก้วกาแฟขึ้นซดซะหมดถ้วย พอหันมาอีกทีแล้วยังเจอว่าผมกำลังยิ้มให้จริงๆก็คงยอมแพ้ สายตาดุเลยละมุนลงจนเกือบจะได้เห็นรอยยิ้ม 


“โอเคครับ น่าพอใจทีเดียว เป็นไปตามกำหนดเวลาที่วางไว้ อาเองก็กลับมาเร็วกว่าที่คิด แต่แค่ส่งรายงานไม่เห็นต้องขึ้นมาด้วยตัวเอง หรือว่ามีเรื่องอะไรด่วน”


เสียงที่แทรกขึ้นมากระชากสายตาของเราขาดออกจากกัน คุณชัชหันไปหาคุณภากร ส่วนผมก้มหน้ามองพื้น เสียมารยาทแค่แอบฟังอย่างเดียว


“พอดีว่างานมันเรียบร้อยเกินไป ไม่มีปัญหาอะไรให้ปวดหัวเลยเบื่อๆ กะจะขึ้นมาเปลี่ยนบรรยากาศที่กรุงเทพแก้เซ็งสักหน่อย แล้วก็...”


ผมรู้ว่าคุณชัชคงลำบากใจที่จะพูดเรื่องงานต่อหน้าคนนอกเลยจะเอ่ยขอตัว แต่ยังไม่ทันอ้าปาก คุณกรก็ยื่นแฟ้มที่เพิ่งอ่านจบมาให้ เป็นรายงานการปรับปรุงโรงแรมที่ภูเก็ต น่าจะหมายความว่าให้ผมเอาไปให้คุณวรเมธต่อล่ะมั้ง แต่ถึงยังไงคุณเมธก็ต้องสั่งให้ผมอ่านอยู่ดี งั้นขอแอบดูหน่อยละกัน


“มีอะไรก็พูดมาได้เลยครับ ผมฟังอยู่”


“มีคนมาบอกขายที่อยู่แปลง ไม่สวย ไม่ติดโรงแรม แถมราคาแพงมหาโหด สูงกว่าราคาตลาดเกือบสองเท่า”


“แต่ถ้าอาไม่ปฏิเสธไปแสดงว่าต้องน่าสนใจ”


“ตรงนี้...” คุณชัชลากแฟ้มอีกอันมากางออก ปรากฏแผนที่ในขนาดย่อส่วนกว่าที่ผมเคยเห็นจากในห้องคุณเมธ นิ้วใหญ่จิ้มลงแล้ววนเป็นวงแคบๆตรงด้านหลังที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโรงแรม “เป็นโฉนดสองแปลงพื้นที่รวมประมาณยี่สิบไร่ คนที่มาบอกขายเป็นเจ้าของแปลงริมนอก แต่รับปากว่าถ้าเราสนใจอีกแปลงก็ไม่น่ามีปัญหา”


“เอ๊ะ!” ผมคิดตามแล้วก็เผลอจนได้


“หืม?” คุณกรส่งเสียงถาม คุณชัชก็หันมามอง มีกระแสกดดันจนผมต้องเอ่ยปาก


“ก็...ถ้าผมจำไม่ผิด บริเวณนั้นน่าจะอยู่ห่างจากเขตอนุรักษ์ไม่มาก ถ้าไม่ตรวจสอบให้ดีอาจมีปัญหาตามมาทีหลัง ส่วนแปลงริมในที่อยู่ใกล้โรงแรมคุณเมธเคยบอกว่าเจ้าของเป็นคนรู้จักของคุณภัทราพร ถ้ามีการประกาศขายจริงทางเราน่าจะมีภาษีดีกว่าใครอยู่แล้ว แต่เจ้าของที่แปลงนอกเอามาอ้างแสดงว่าไม่รู้จริง ถ้าจะให้ดีเราควรตรวจสอบให้ถี่ถ้วนและเริ่มเจรจาจากแปลงรอบๆเพื่อบีบให้เขาลดราคาลงมา ไม่ต้องถึงกับต่ำมากแต่ควรเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย และผมว่าเราน่าจะลองดูเพราะดีกว่าปล่อยที่ดินผืนนี้ไปอยู่ในมือนายทุนรายอื่นที่หวังแต่จะเก็งกำไร หรือถ้าร้ายกว่านั้นอาจใช้เป็นใบเบิกทางเพื่อรุกล้ำเข้าไปในผืนป่าที่เป็นเขตอนุรักษ์ก็ได้นะครับ”


ถ้าจะถูกตำหนิว่าก้าวก่ายเกินหน้าที่ผมก็ยอมรับ แต่ถ้าจะมีคำชมใดๆขอยกความดีความชอบให้กับคุณวรเมธจอมโหด ส่วนเรื่องเฉพาะหน้าตอนนี้ผมอดภูมิใจไม่ได้ที่เห็นสายตาของผู้บริหารทั้งสอง โดยเฉพาะท่านประธานถึงกับหัวเราะร่วนแล้วทำเนียนคว้ามือผมไว้ไม่ปล่อยเชียว


“ที่ปล่อยให้อยู่กับเจ้าเมธนี่ท่าทางจะไม่เสียเปล่าสินะ” ฟังทะแม่งๆแต่ผมขอเหมาเป็นคำชมแล้วกัน “ตกลงตามนี้ ผมจะบอกแม่ให้ ส่วนอาก็คุยกับแปลงรอบๆได้เลย เรื่องงบลงทุนเดี๋ยวจะรีบกำหนดเพดานให้ ส่วนเจ้าของที่รายนี้ก็ถ่วงเวลาไว้ก่อน อย่าเพิ่งทำให้ไหวตัวเพราะท่าทางจะหัวหมอไม่ใช่เล่น”


“รับทราบครับท่านประธาน”


“ดีมากครับท่านที่ปรึกษา”


คุณภากรหันไปพูดท่าทางเป็นงานเป็นการ คุณชัชก็เลยตอบด้วยท่าทีเดียวกัน แต่เด็กอมมือยังมองออกว่าแกล้งทำไปอย่างนั้น ซึ่งก็ทำให้ผมเห็นภาพว่าอาหลานคู่นี้สนิทสนมและไว้ใจกันมาก ถ้าไม่ติดเรื่องอายุคงนับเป็นเพื่อนได้เหมือนคุณเมธหรือพี่หมอชินเชียวล่ะ


“สงสัยจะเป็นได้อีกไม่นาน เพราะเดี๋ยวนี้ท่านประธานมีที่ปรึกษาเก่งๆอยู่ข้างตัวแล้ว” พูดจบก็ตวัดสายตาเสือดำมามองผมอีกแล้ว เฮ่อ... ให้ลูกแกะตัวนี้ได้อยู่สงบๆ ไม่ต้องใจเต้นตุ๊มๆต่อมกลัวตายบ้างเถ๊อะ! “แถมยังชงกาแฟเก่งซะด้วย รสชาติแปลกแต่ก็อร่อยดี ถ้าจะขออีกสักแก้วคงได้นะครับคุณกานต์”


“เรียกผมกานต์เฉยๆเถอะครับคุณชัช ผมเป็นแค่เด็ก ไม่กล้าอาจเอื้อมตีเสมอผู้ใหญ่หรอกครับ”


ผมรีบบอกแทบจะขอร้อง ถ้าขนาดท่านที่ปรึกษายังเรียกว่าคุณ ชาตินี้ผมไม่มีทางหลุดพ้นจากคำๆนี้แน่ คุณชัชไม่ยอมรับปาก ผมเลยหันไปส่งสายตาขอยืมอำนาจคนข้างตัวแทน


“ตามใจเขาหน่อยเถอะอา ขี้เกียจรำคาญเด็กงี่เง่า” แหม! พูดยังกับตัวเองไม่เคย มันน่าแฉตอนที่บังคับให้ผมเรียกชื่อแล้วค่อยถามคนกลางดูว่าใครกันแน่ที่งี่เง่า “แต่ที่กานต์เรียกคุณชัชก็ฟังทะแม่งๆนะ ให้เรียกอาชัชเหมือนผมดีกว่า ได้มั้ยอา”


“ไม่มีปัญหา” คุณชัชเอ่ยปากแล้วยิ้มนิดๆช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นเยอะ พอถูกทวงกาแฟก็เลยกล้าที่จะแถมคำอธิบาย


“ที่คุณ...อาชัชบอกว่ารสชาติแปลกๆคงเพราะเป็นกาแฟแบบสกัดคาเฟอีนมั้งครับ” คนที่แปลกใจกลับอยู่ข้างตัวผมซะนี่ ซักใหญ่ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ได้รู้เลยว่าผมชงให้ดื่มจนจะหมดขวดอยู่แล้ว ถ้าเป็นยาพิษก็ไปเฝ้ายมบาลเป็นชาติแล้วมั้ง “แต่ถึงยังไงก็ไม่ควรดื่มกาแฟวันละหลายแก้ว เปลี่ยนเป็นน้ำรากบัวแทนดีกว่ามั้ยครับ มีสรรพคุณแก้ร้อนใน ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น ทานกับขนมกลีบลำดวนของยายเป้า อร่อยแล้วก็คล่องคอดีด้วย”


คุณชัชทำหน้าสงสัยแต่ไม่ถาม คนเป็นหลานคงรู้ใจเลยอธิบายให้แทน


“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยผมเลยพาเขาไปค้างบ้านสวนมา เดี๋ยวว่างๆจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ชักหิว ได้น้ำรากบัวกับขนมรองท้องน่าจะดี”


ผมรับคำแล้วรีบออกมาจัดการทุกอย่าง แต่พอจะเอาเข้าไปเสิร์ฟกลับเจอคุณชัชออกมายืนรอที่หน้าห้อง


“คุณชัช...” คนตัวโตเขม้นตาดุแล้วหยิบขนมไปใส่ปากเฉยเลย “...อาชัช...เอ่อ...ต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่าครับ”


“ขนมแค่นี้ไม่พอเลี้ยงพยาธิหรอก” กลีบลำดวนอีกสองชิ้นหายวับในคำเดียว ยังดีที่เคี้ยวหมดค่อยพูดต่อ “ไปหาอะไรกินด้วยกันหน่อยสิ”


ผมทำตาโตเงยหน้ามองคนตัวโตกว่า นึกว่าหูฝาดไปจนกระทั่งถาดในมือถูกเขาแย่งไปแล้วฝากให้พนักงานที่ผ่านมาเอาเข้าไปให้ท่านประธานในห้องแทน จากนั้นมือผมก็ถูกยึดแถมยังต้องวิ่งตามเพราะคนเดินนำน่ะขายาวจะตา เขาก้าวทีเดียวเท่ากับผมสองก้าว ยังดีที่ได้หยุดเวลามีคนทักทายบ้าง แล้วก็ต้องรีบเบรคตัวโก่งเพราะนี่มันจะออกประตูของโรงแรมแล้วนะ


“เดี๋ยวครับ ไหนอาชัชบอกว่าจะกินข้าว...” ผมชี้มือไปทางห้องอาหาร ไม่แน่ว่าเขาไปอยู่ต่างจังหวัดนานอาจจะลืม


“กินข้าวโรงแรมทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือไง”


ถามแบบนี้แล้วจะให้ผมตอบยังไง ในเมื่อผมเป็นพนักงานควบตำแหน่งลูกหนี้ ทั้งทำงานกินอยู่ซุกหัวนอนก็ที่โรงแรมนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่นับครั้งที่ไปเที่ยวกับพี่กัญ ผมจะได้ออกจากโรงแรมก็คือไปธุระกับคุณกร ไม่ก็เป็นเพื่อนป้ามาลัยซื้อของ หรือล่าสุดมีเรื่องจนถูกหิ้วไปนอนบ้านสวน ซึ่งก็หมายความว่านอกนั้นผมต้องฝากท้องกับครัวของโรงแรมตลอด แต่ไม่ได้คุยนะ ขนาดเมนูอาหารของพนักงานยังสับเปลี่ยนเวียนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ผมอยู่มายังไม่เคยได้กินกับข้าวซ้ำกันสักมื้อ


“แล้วจะไปไหนล่ะครับ เดี๋ยวถ้าคุณกรเรียกหา...”


นี่ต่างหากล่ะตัวปัญหา เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งคุณเมธให้เอาเอกสารไปส่งที่คาสิโน เสร็จธุระพอดีมีรถไอติมวิ่งเข้ามาแถวนั้นผมเลยอ้อนให้เฮียสยามเลี้ยงแล้วนั่งคุยต่อจนเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ตอนพี่บอดีการ์ดวิ่งมาตามบอกว่าคุณภากรให้หาผมจนวุ่นวายกันไปทั้งโรงแรมแล้ว ตั้งแต่นั้นมาผมก็ต้องอยู่ในสายตาตลอดเวลาจนชักไม่แน่ใจว่าเพราะเขาเป็นห่วงหรือกลัวผมจะหนีหนี้กันแน่


“หึ” คุณชัชส่งเสียงในลำคอ แถมสีหน้าแบบที่เชื่อสนิทใจเลยว่าเป็นนักเลงเก่ามาก่อน “ฉันหางานให้ท่านประธานทำหัวหมุนอยู่ คงไม่ว่างไปจนเย็นนั่นแหละ แล้วก็ไม่ต้องกลัว ฉันไม่พาเราไปขายหรอกน่ะ”


ผมปฏิเสธเบาๆ พยายามดึงมือคืนก็สู้แรงไม่ได้ แต่ก็ดีอย่างที่เขายอมหันหลังกลับเข้ามาในโรงแรม ผมรอดแล้ว!


“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย”


เขาพาผมมายืนดูป้ายชื่อห้องอาหารที่เปิดให้บริการ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกมั้ยว่าสายตาหลายคู่ในโถงโรงแรมกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ มองเผินๆคงเหมือนแฝดขาวกับดำเพราะคนหนึ่งตัวใหญ่ใส่สีดำทั้งชุด อีกคนสูงเทียบได้แค่ไหล่ใส่เสื้อขาว กางเกงขาสามส่วนสีครีม ผิวนอกร่มผ้าก็ขาวจั๊วะยังกับไม่มีเลือด แต่ก็มีคำแปลกๆแว่วมาให้ได้ขำ อยากเดินไปถามคนที่พูดจังว่ามองยังไงผมกับคุณชัชถึงดูเป็นพ่อลูกกันได้


“ผมยังไม่หิว ขอไปนั่งเป็นเพื่อนก็พอ อาชัชอยากทานอะไรตามสบายเลยครับ”


“แล้วเราชอบกินอะไร”


“อะไรก็ได้ครับ”


“เกลียดคำนี้จริงๆ ฟังดูง่ายแต่นั่นแหละยากที่สุด”


ผมหลุดขำกับคำวิจารณ์ที่โดนใจสุดๆ เห็นด้วยเลยว่า ‘อะไรก็ได้’ มักเป็นคำที่ติดปากหรือบางครั้งก็ใช้ซื้อเวลาเพื่อนึกคำตอบจริงๆมากกว่า


“งั้นอาชัชชอบทานอะไรล่ะครับ”


“อืมมม ชอบเหรอ” คุณชัชลูบคางพลางนึก คนเดินผ่านไปมายังแอบมอง ผมที่อยู่ใกล้ขนาดเห็นหนวดทุกเส้นก็เลยได้จ้องเต็มๆตา พลอยนึกตามไปว่าผู้ชายมาดเข้มอย่างเขาจะชอบกินอะไร ถ้าไม่ใช่เมนูหรูหราไฮโซก็คงเป็นประเภทของแปลก ดิบๆ เถื่อนๆ หน่อยหรือเปล่า...


“ก็อะไรง่ายๆ อย่างน้ำพริกกะปิล่ะมั้ง ถ้าได้กะปิดีๆ ห่อใบตองเผาสักหน่อยแล้วค่อยเอามาตำจะยิ่งหอม กินกับปลาทูแม่กลองตัวไม่ต้องใหญ่มาก เนื้อกำลังหวาน ทอดให้เหลืองหนังกรอบมีกลิ่นไหม้นิดๆ แนมกับผักสดๆ ข้าวหมดหม้อไม่รู้ตัวเชียวล่ะ”


 “พูดซะผมน้ำลายไหลตามเลยเนี่ย” เป็นอาหารที่ง่ายและธรรมดาจนคาดไม่ถึง และทำให้อดคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ “แม่ผมก็ชอบทำน้ำพริกกะปิให้กิน อร่อยที่สุดในโลกเลยล่ะครับ”


“ถ้างั้นว่างๆขอฉันไปชิมฝีมือบ้างได้มั้ย”


“คงไม่ได้...” ไม่ใช่จะหวง ผมเองก็อยากให้เขาได้ลองรสชาติน้ำพริกกะปิที่ผมได้กินมาตั้งแต่เด็กสักครั้ง แต่... “แม่ผม...เสียไปแล้วครับ”


คุณชัชนิ่งไป ที่มือผมรู้สึกถึงแรงบีบมากขึ้นพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยออกมาเบาๆ


“ฉันขอโทษ”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมรีบบอกแล้วยิ้มให้ได้อย่างที่ตั้งใจมาตลอด เพราะถึงแม่กานดาจะจากไปโดยไม่มีโอกาสร่ำลาสั่งเสีย แต่เชื่อว่าแม่คงไม่อยากเห็นผมเอาแต่เศร้าเสียใจหรือมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ “ถ้าอยากทานน้ำพริก งั้นไปที่ห้องสไบแก้ว อ๊ะ! อาชัชรออยู่นี่แป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวผมมา”


สายตาผมสะดุดแว้บเข้ากับคนสำคัญที่กำลังจะเดินหายไปเลยต้องเสียมารยาท บอกเสร็จก็วิ่งปร๋อไปหาป้ามาลัยที่แสนดีของผมซะก่อน


“กานต์! เป็นยังไงบ้าง ป้าได้ข่าวจากเฮียสยามตกใจแทบแย่ แล้วนี่มาโรงแรมได้หายดีแล้วเหรอ” ป้ามาลัยร้องทักเมื่อเห็นแล้วอ้าแขนรับผมเข้าสู่อ้อมกอด ผมพยักหน้าบอกแต่ป้าคงไม่เชื่อเลยแตะแก้มผมค่อยๆเอียงซ้ายเอียงขวาสำรวจรอยช้ำที่จางลงมากแล้ว “ที่ไหนกัน ดูซิเนี่ย แก้มยังมีรอยอยู่เลย โถพ่อคุณ เจ็บมั้ยลูก”


“ป้าเป่าให้กานต์สิครับ รับรองเพี้ยงเดียวหายปั๊บเลย”


ผมเอียงหน้าทำแก้มป่อง ป้าไม่เป่าแต่หอมเบาๆ เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วว่าป้ามาลัยไม่เคยขัดใจผมอยู่แล้ว


“ยังไงเขาก็เป็นพ่อ กานต์อย่าเก็บมาคิดแค้นเลยนะมันจะเป็นบาปติดตัวเสียเปล่าๆ ส่วนที่เจ็บตัวถือซะว่าฟาดเคราะห์ คราวหน้าคราวหลังก็ระวังตัวให้มากๆนะรู้มั้ย” ป้ามาลัยทั้งปลอบทั้งสอน สองมือที่กอดลูบหลังเบาๆทำให้ผมรู้สึกโชคดีอย่างที่สุด ผมเสียแม่แท้ๆ ถูกพ่อเอามาปล่อยทิ้ง แต่ก็ได้มาพบป้ามาลัย ได้อยู่ท่ามกลางคนที่รักและหวังดีตั้งมากมาย ทุกสิ่งที่ผ่านมาทำให้ผมเชื่อว่าชีวิตคนเราใช่จะมีแต่เคราะห์ร้ายเสมอไป                 


“เอ๊ะ! คุณชัชนี่!” ป้าปล่อยผมแล้วเอ่ยทักร่างสูงทะมึนที่มายืนอยู่ใกล้ๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “มาเมื่อไหร่เนี่ย มาได้ยังไง หายไปซะนานเลย คล้ำขึ้นหรือเปล่า แล้วเที่ยวนี้จะอยู่สักกี่วันล่ะคะ?!”


ผมหันไปเห็นคุณชัชหยุดยิ้มนิดนึงแล้วตอบยาวพอๆกับชุดคำถาม


“มาเมื่อเห็น ขี่เครื่องบินมา ส่วนที่ดำๆเนี่ยขี้ไคล เดี๋ยวลงอ่างขัดหน่อยก็ขาว แล้วอะไรอีกนะ อ๋อ! จะอยู่จนกว่าคุณแม่บ้านใหญ่จะไล่ ผมตอบครบหมดทุกคำถามแล้วใช่มั้ย?” เสร็จแล้วยังแถมรอยยิ้มให้อีกด้วยแน่ะ


“เดี๋ยวเถอะนะคุณชัช เดี๋ยวโดน!” ป้ามาลัยคาดโทษเบาะๆ แต่พอเห็นทั้งผมกับคุณชัชหันมองหน้ากันแล้วหัวเราะก็คงนึกสงสัย


“เอ๊ะ! แล้วไปยังไงมายังไง นี่สองคนรู้จักกันแล้วเหรอคะ”


“ผมยืมตัวเขามาจากนายกร กะจะให้ไปเป็นเพื่อนกินข้าวสักหน่อย พี่มาลัยไปด้วยกันมั้ย”


คุณชัชรับหน้าที่ตอบ ส่วนผมยืนเฉยๆให้เขาขยี้หัวเล่นเบาๆ น่าเสียดายที่ป้ามาลัยต้องขอตัวเพราะติดงานอยู่ แต่กว่าจะแยกกันได้ก็ฝากฝังผมกับคุณชัชเสียยกใหญ่ ส่วนผมก็ถูกสั่งให้คอยดูแลเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ทำไปทำมา สงสัยผมจะโดนเหม็นขี้หน้าแทน ไม่ทันป้ามาลัยคล้อยหลังก็โดนคนที่ยืนอยู่ด้วยกันเหน็บซะแล้ว


“ร้ายนะเรา ถึงพี่มาลัยดูใจดีแต่ไม่ใช่จะชอบใครง่ายๆ ไปหว่านเสน่ห์อีท่าไหนล่ะเขาถึงโอ๋เอาใจซะขนาดนี้”


ผมยืนยันว่าไม่ได้ทำหรือคิดจะทำอะไรเลย แต่ท่าทางเขาจะไม่เชื่อ ผมก็ใจเสียสิ เพราะผมแค่เด็กธรรมดาคนหนึ่ง จะให้เอาอะไรมาทำให้เขายอมรับได้ล่ะ


“จริงๆนะครับ ป้ามาลัยคงเห็นผมไม่มีใครก็เลยเอ็นดูเท่านั้นเอง ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมไปตามป้ามาลัยกลับมาให้ถามก็ได้”


“เดี๋ยว! ยังไม่ได้บอกสักคำว่าไม่เชื่อ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เชียว”


“ก็ผมไม่อยากให้คุณชัชเข้าใจผิด ทุกคนที่นี่เป็นคนดี คุณกร คุณเมธ พี่พัช เฮียสยาม หรือพี่ๆทุกคนไม่ว่าจะที่โรงแรม คาสิโน หรือที่คลับ ทุกคนใจดีกับผมแล้วผมก็ซึ้งน้ำใจอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงคุณชัชถึงจะเชื่อแต่ผมบริสุทธิ์ใจจริงๆนะครับ”


คงมีแต่เวลาที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ก่อนหน้านี้เขาก็ดูไม่ชอบผมสักเท่าไหร่ หวังว่าพอถึงตอนนี้จะไม่ได้ปักใจเกลียดผมไปแล้วหรอกนะ


“ถ้าอยากให้เชื่อก็อย่าเรียกว่าคุณชัชอีก” เขาบอกแล้วยิ้มให้ เฮ่อ! ใจผมคืนมาเป็นกองเลย “ขอโทษที่ฉันปากไม่ดี ชอบพูดอะไรไม่เข้าหูคนยังงี้แหละ อย่าถือสากันเลยนะ”


ผมยิ้มกว้างด้วยความโล่งอกอย่างที่สุด ถ้าคิดตามที่พี่พัชรีบอก รองจากคุณภากรก็คงเป็นคุณชัชกับคุณวรเมธที่มีอำนาจการตัดสินใจพอๆกัน แต่มีความแตกต่างอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ ถ้ามีข้อขัดแย้งเกิดขึ้น ลงท้ายคุณเมธน่าจะถอยเพราะถึงยังไงคุณภากรก็เป็นเจ้าของโรงแรม แต่คุณชัชท่าทางเป็นคนไม่ยอมใคร คุณกรเองก็ดูจะให้เคารพและเกรงใจอยู่มาก ถ้าตัวผมกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างอาหลานคู่นี้ อนาคตก็คงกระเด็นออกจากโรงแรมแน่นอน


“อาชัช...” ผมยิ้มจนหุบยิ้มแล้วแต่คนตรงหน้าก็ยังจ้องไม่เลิก แต่แปลกจัง ดวงตาของเขาเหมือนไม่ได้กำลังมองผมอย่างนั้นแหละ “ที่หน้าผมมีอะไรติดอยู่เหรอครับ”


“เปล่า ฉันแค่เพิ่งเข้าใจว่าทำไม...” เขาพึมพำราวคนตกอยู่ในภวังค์ ปลายนิ้วเอื้อมมาแตะเบาๆที่ใต้ตาแล้วตามด้วยอุ้งมือแนบข้างแก้มผมจนอุ่นไปทั้งหน้า น้ำเสียงนุ่มเอ่ยเรียกแต่เป็นอีกครั้งที่เหมือนเขากำลังนึกถึงใครคนอื่นที่ไม่ใช่ผม “กาน...”


“ครับ?” ผมตอบรับแล้วนิ่งรอจนกระทั่งดวงตาสีถ่านกระพริบอีกครั้งก็เหมือนสติของเขาจะกลับคืนมา


“ไปกินข้าวกันดีกว่า ชักจะหิวขึ้นมาจริงๆแล้วสิ”


มือใหญ่เลื่อนขึ้นลูบหัวแล้วลดต่ำลงมาจับมือพาเดินราวกับเป็นเรื่องที่ทำด้วยความเคยชิน ผมเลยเอะใจว่าเขาคงมีครอบครัวแล้วแต่ไม่ได้พามากรุงเทพด้วย อาจจะคิดถึงคนที่บ้านเลยพาลนึกว่าผมเป็นลูกเขาหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ถือเป็นเรื่องดี และคิดๆไปก็น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกขัดเขินกับไออุ่นที่กำอยู่รอบมือนี้เลยแม้แต่น้อย





จบตอนแล้วคร้าบ


สำหรับฉากสำคัญจากตอนก่อนโน้น คนอ่านเขิน คนเขียนก็เขินพอกัน กว่าจะเข็นให้จบฉากได้ หมดพลังไปเยอะมาก แต่รับรองว่าความหวานของคุณกรกับหนุ่มกานต์ยังมีมาให้ฟินกันอีกแน่นอน


ส่วนตอนนี้ก็เปิดตัวตัวละครหลักคนสุดท้ายแล้วล่ะ ตัวละครเยอะเกิ๊น 555

จะเป็นอีกคนที่หลงเสน่ห์หนุ่มน้อยของเราหรือเปล่า รอติดตามกันต่อไป





 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ6&17 (7-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 07-05-2016 19:06:20
เหมือนน้องกานต์จะไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อ เราสัมผัสได้(รึเปล่า 555)
รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ6&17 (7-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 07-05-2016 20:17:35
น้องกานต์ลูกปล่อยให้ผู้ชายอื่นจับไม้จับมือระวังโดนคุณกรงอนนะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ6&17 (7-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: kenghan ที่ 07-05-2016 21:52:56
กานต์เป็นลูก อาชัช รึเปล่า งานสงสัยมาเต็มๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ6&17 (7-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-05-2016 00:35:03
มีสิทธิ์จะเป็นพ่อของกานต์
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ6&17 (7-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 08-05-2016 01:45:52
ที่อาชัชพึมพัมว่ากาน..นี่หมายถึงเเม่กานดาใช่มั้ยย#ไม่รู้เดา55555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 12-05-2016 18:56:19




18 .




ประตูห้องทำงานท่านประธานแง้มเปิดเป็นช่องพอตัวคนรอดแล้วปิดลงทันทีโดยปราศเสียงหรือแม้แต่การเคาะขออนุญาต ส่อเจตนาว่าเป็นการลอบเข้ามาโดยมีวัตถุประสงค์บางอย่าง ผมซึ่งอยู่เพียงลำพังจึงทำเป็นเฉยเพื่อให้ผู้บุกรุกตายใจ ในขณะเดียวกันก็มองหาทางหนีทีไล่ อาจจะแกล้งทำเป็นเดินไปที่ระเบียงแล้วค่อยโทรขอความช่วยเหลือ หรือตลบหลังหนีออกไปแล้วขังคนร้ายไว้ในห้องแทน


อ้อ! ต้องไม่ลืมหาอาวุธไว้ป้องกันตัว ที่ใกล้มือตอนนี้มีมีดเปิดซองจดหมาย ถึงไม่คมแต่ถ้าแทงแรงๆก็น่าจะเข้าเนื้อ จะให้ชัวร์หน่อยก็ต้องแจกันดอกไม้ที่บนโต๊ะผม เหมาะมือ น้ำหนักกำลังดี เอาทั้งใบฟาดหัวจังๆรับรองได้เลือด แต่ก่อนอื่นผมต้องตั้งสติ ทำใจให้สงบ ไม่กลัว สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วปล่อยออก... ฟู่ววว... เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดมากๆ... ซะเมื่อไหร่กันเล่า!


จ๊าก! ผมเผลอวอกแวกก็เลยถูกจู่โจมไม่ทันตั้งตัว อ้อมแขนใหญ่พุ่งมากอดหมับ ผมอ้าปากจะร้องก็ถูกจับคางให้หันไปรับจูบเจือรสกาแฟจางๆ ทุกอย่างรวดเร็วจนลืมขัดขืน รู้สึกตัวอีกทีก็เลยกลายเป็นปล่อยตัวปล่อยใจพันเกี่ยวไปกับเรียวลิ้นของจอมโจรใจโฉด


“พะ...พอแล้ว...”


ผมรีบบอกก่อนลมหายใจจะโดนขโมยไปจนหมด พยายามดันแผงอกกว้างให้ห่างแต่หมาป่าเจ้าเล่ห์ก็เอาแต่ผัดผ่อน ขอแทะนิด เล็มหน่อยจนผมแทบขาดวิ่นไปทั้งตัว ผมเลยหาข้ออ้างใหม่ว่าอาจจะมีคนเข้ามาเห็น ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะรอบคอบถึงขนาดบิดล็อกประตูก่อนแล้วค่อยมาทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ แล้วคิดว่าเขาจะกลัวมั้ย...


“ใครจะกล้าเข้ามา นี่ห้องประธานเชียวนะ”


ผมเลยได้แต่หัวเราะหึหึอยู่ในใจ ใช่ซี้! ก็นี่มันห้องเขา ไม่ได้รับอนุญาตใครจะกล้า แต่ขอบอกว่าถึงจะไม่ใช่ห้องท่านประธาน ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าทำเรื่องแบบนี้ในที่ทำงานหรอกเฟ้ย!


“หืม? ไม่ดิ้นแล้วเหรอ” พอผมเลิกยุกยิก อ้อมแขนกว้างก็คลายแรง อุตส่าห์นึกว่าเขาคงรู้สึกผิดชอบอะไรขึ้นมาบ้าง แต่ความจริงคือ... “ถึงยังไงก็ไม่ปล่อยหรอก ความผิดโทษฐานทำให้ฉันคิดถึง ลงโทษแค่นี้ยังน้อยไปเลย”


สรุปคือผมผิด?! โอเค ผิดก็ผิด! งั้นช่วยเอาตัวไปยิงเป้าหรือไม่ก็ช็อตไฟฟ้าให้ตายไปเลยยังจะดีกว่าถูกทรมานไม่จบไม่สิ้น แต่ก่อนจะถูกคุณภากรล้วงปากล้วงคอจนขาดอากาศหายใจตายจริงๆผมขอโอกาสเคลียร์ข้อกล่าวหาซะก่อน สองสามวันมานี่ยอมรับว่าเราสองคนไม่ค่อยได้เจอหน้า หรือถึงได้อยู่ด้วยกันก็ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว แต่ต้นเหตุก็คือเขานั่นแหละที่ยุให้คุณชัชอยู่เที่ยวกรุงเทพต่อเพราะงานที่ภูเก็ตราบรื่นดี ไม่มีอะไรน่าห่วง


‘เที่ยวคนเดียวมันจะไปสนุกอะไร อีกอย่างก็แก่แล้ว จะให้ไปลุยๆอย่างแต่ก่อนคงไม่ไหว เกิดเจ็บกระดูกกระเดี้ยวเบี้ยวไปจะหาใครมาคอยพยาบาล นึกอย่างนี้แล้วยิ่งเสียดายว่ะ ถ้าหนุ่มๆไม่ขี้เกียจหาเมียป่านนี้คงมีลูกทันได้ใช้แล้ว’


พอคุณอาออกปากอย่างนี้ คุณหลานก็เสนอทันที...


‘กานต์ไงครับ วันๆขลุกอยู่แต่ในโรงแรม ให้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี อาชัชเองจะได้มีเพื่อน ส่วนเรื่องงานสบายมาก เดี๋ยวผมบอกเมธเคลียร์ให้’


ผมหันขวับกับหน้าที่ใหม่ที่ท่านประธานจัดใส่พานมา สายตาผมประมาณว่าถามกันสักคำก่อนมั้ย แต่ยิ้มของคุณภากรแปลความได้ว่าอยากให้ผมตีซี้คุณชัชเพื่อไว้คอยเป็นกองหนุนเวลามีปัญหากับแม่เขา กล่าวโดยสรุปก็คือ... จากตำแหน่งผู้ช่วยท่านเลขาใหญ่ในหน้าที่กำกับดูแลให้ท่านประธานทำงานซะบ้าง ผมก็ถูกย้ายมาเป็นลูกหาบคอยติดตามไม่ว่าท่านที่ปรึกษาจะขึ้นเหนือล่องใต้ไปไหน...


อื้อหือ หนี้ห้าแสนเนี่ย ใช้กันซะคุ้มเลยนะ!


คุณชัชเลยยกเลิกตั๋วเครื่องบินกลับภูเก็ตแล้วขับรถออกจากกรุงเทพด้วยความเร็วขนาดที่ทำเอาผมนั่งกำเซฟตี้เบลท์ไปตลอดทาง ที่หมายคืออำเภอสวนผึ้งซึ่งกำลังขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนที่ไม่ไกลจากกรุงเทพนัก มีหลังโฉนดหลายแปลงเสนอขึ้นมาในที่ประชุม คุณภากรจึงมอบหมายให้คุณชัชมาสำรวจทำเลว่าเหมาะแก่การลงทุนด้านไหน ผมเลยต้องมาเดินตามคุณชัชคุยกับนายหน้าหรือไม่ก็ตัวเจ้าของที่ดินต้อยๆ ถึงอากาศจะดีแต่กลางวันแดดค่อนข้างแรง ตกกลางคืนอุณหภูมิลดต่ำลงเล่นเอาผมครั่นเนื้อครั่นตัว พอเข้าที่พักอาบน้ำเสร็จก็หัวซุนหาหมอนทันที


‘อ้าว เฮ้ย กานต์!’ กำลังเคลิ้มๆมีคนมาเขย่า ผมพลิกตัวหนีเพราะนึกว่านอนกินที่ก็โดนดึงไว้ ‘หัวยังเปียกอยู่เลยจะนอนได้ไง เดี๋ยวก็ไม่สบายไปจริงๆหรอก’


คุณชัชบ่นแต่ผมหลับตาต่อไม่สนใจ โดนกวนอีกทีก็ตอนที่เขายกหัวผมขึ้นไปวางบนตักแล้วจ่อไดร์เป่าผมให้ ไม่นึกว่าเขาจะเอาใจใส่ขนาดนี้ ผมเลยนอนสบายแถมยังกล้างี่เง่าใส่เขาอีกแน่ะ


‘เสร็จยังอ่ะครับ’


‘เออๆ แห้งแล้ว นอนได้’ เขาบอกแล้วผลักหัวผมหล่นจากตัก ผมก็...นอนต่อสิถามได้ ‘ให้ตาย! นี่ตกลงเจ้ากรมันส่งเรามาเป็นลูกน้องหรือลูกฉันกันแน่วะ’


‘ยังไงก็ได้ แล้วแต่อาชัชครับ’


ผลจากการกวนประสาทนักเลงเก่า บาทาใหญ่จึงยื่นมากระทบแผ่นหลังยันผมไปสุดเตียง แต่ก็มีผ้าห่มอุ่นๆตามมาคลุมให้จนมิดคอ ผมเลยพลิกตัวกลับมาลืมตามองร่างหนาที่นั่งพิงหัวเตียงด้วยความสงสัยตะหงิดๆ ลองทำใจกล้าเอ่ยขอแล้วเขาก็ยอมให้ถาม...


‘ทำไมอาชัชถึงยังไม่มีครอบครัวล่ะครับ ทีแรกผมยังนึกว่าอามีเมียมีลูกแล้วด้วยซ้ำ’


ผมเอ่ยถามประเด็นที่คาใจมาตั้งแต่ที่ได้ยินอาหลานคุยกัน เขาเงียบแล้วหันไปมองจอทีวีที่เปิดทิ้งไว้ หันกลับมาอีกทียังเห็นผมจ้องตาแป๋วเลยถอนหายใจยอมจำนน ผมรีบกระเถิบตัวเข้าไปใกล้ ความอยากรู้อยากเห็นชวนให้ตาสว่าง พอน้ำเสียงนุ่มๆ เหงาๆเอ่ยปากก็รู้ว่าคุ้มที่กล้าเสี่ยง


‘ฉันเคยรักผู้หญิงอยู่คนนึงแต่เธอมีเจ้าของแล้ว ทั้งๆที่รู้ยังทุ่มเท สุดท้ายไม่สำเร็จก็เลยเข็ด ไม่อยากเสี่ยงรักใครอีก’


‘หมายความว่าเขามีแฟนแล้วแต่มาหลอกอาเหรอครับ?!’ ผมถามด้วยความแปลกใจจริงๆเพราะในสายตาผมเขาดูเป็นผู้ชายที่โชกโชนเรื่องความรัก นึกว่าเขาจะตอบประมาณว่ารักสนุกแต่ไม่อยากผูกพัน ไม่ชอบการผูกมัดด้วยซ้ำ


‘ไม่ใช่หรอก ฉันพอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอไม่ใช่สาวโสดแต่คนมันควายไง คิดโง่ๆว่าตัวเองหน้าตาไม่ได้ขี้เหร่ ตำแหน่งหน้าที่ก็ใหญ่โต ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนต้องชอบ แต่เผอิญว่าคนนี้ไม่ใช่ เธอเป็นคนดี น่ารัก มีน้ำใจกับทุกคนแต่ไม่เคยคิดจะนอกใจแฟน พอโดนปฏิเสธมันรู้สึกเหมือนโดนหยาม ทีนี้เลยยิ่งตื๊อ คอยตามตอแยไม่เลิก พูดกันตรงๆฉันเองก็ชั่วเพราะทีแรกกะจะแค่เล่นๆ อยากเอาชนะคนใจแข็งดูสักที สุดท้ายกรรมเลยตามสนองให้รักเข้าจริงๆ แต่มันน่าสมเพชตรงที่แม้แต่อกหักฉันก็ยังไม่มีโอกาสเพราะเธอไม่ได้คิดอะไรกับฉันเลยแม้แต่นิดเดียว’


โคมไฟที่หัวเตียงทั้งสองด้านส่องแสงสลัว ไม่น่าเชื่อ... เงาสะท้อนระยิบระยับในดวงตาของเขานั่นคือร่องรอยของความคิดถึง ความอาลัยรักไม่ผิดเลย


‘ถึงผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าอาจริงจังก็ยังไม่ใจอ่อนอีกเหรอครับ’


‘เด็กโง่ ใจอ่อนแล้วจะช่วยอะไรได้เล่า’ คุณชัชเอ็ดยิ้มๆ มือใหญ่วางลงมาบนหัวผมแล้วโยกเบาๆ ‘ถึงฉันรักเขามากแค่ไหนแต่เขาเองก็ต้องรักลูกรักผัวเขามากกว่า แล้วฉันก็เลวที่ไปทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย... ’


‘ทำผิด? ผิดยังไงเหรอครับ?!’


เนื้อเรื่องเข้มข้นชวนให้อยากรู้แต่เจ้าตัวกลับตัดบท ดันหัวผมกลับไปที่หมอนแล้วชักผ้าห่มคลุมเหมือนเดิม


‘อย่ารู้เลย ไม่ใช่เรื่องของเด็ก นอนได้แล้ว’


‘เฮ่อ! เกลียดจังคำเนี้ย เอะอะอะไรใครๆก็ว่าผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย’


ที่จริงผมก็ไม่ได้อยากยอมรับเหตุผลที่ผสมคำสบประมาทแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่เข้าใจได้ว่าคนทุกคนย่อมจะมีความลับที่บอกใครไม่ได้ หรืออย่างน้อยผมก็ยังไม่ได้รับความไว้วางใจมากพอ เมื่อถึงเวลาที่สมควร คุณชัชอาจเล่าให้ผมฟังเองก็ได้ พอหมดเรื่องคุยอาการหาวก็กลับมา ผมพลิกหนีแล้วนอนตะแคงด้วยความเคยชิน หลับตาเตรียมตัวจะหลับอยู่แล้วก็ไม่วายโดนแกล้ง


‘อย่ามาเถียง ก็เรามันเด็กจริงๆ อายุแค่เนี้ยนับเป็นลูกฉันได้เลยมั้ง’ เขาอาจจะคิดว่าผมงอนล่ะมั้งเลยตามมาลูบหัวเอ็นดูซะอย่างแรง แค่นั้นไม่พอ... ‘มานี่มา ขอกอดนอนแทนหมอนข้างสักคืน’


ท่อนแขนใหญ่แข็งอย่างกับไม้ตวัดผมเข้าไปชิด ผมทั้งร้องทั้งดิ้นแต่ยิ่งเหมือนกระตุกปมเงื่อนให้แน่นขึ้น ไม่รู้ว่ารำคาญหรือกลัวผมจะคอแตกไปซะก่อน เขาก็เลยพลิกตัวผมให้อัดกับแผงอกกว้างแล้วกำราบด้วยประโยคสั้นๆที่ทำเอาผมขนลุกไปทั้งหัว...


‘ทีเจ้ากรมันยังกอดเราได้ไม่ใช่หรือไง’


ผมหยุดดิ้นโดยอัตโนมัติ อากาศหนาวยังไม่เท่าคลื่นความกลัวที่แล่นเข้าสู่หัวใจ ผมคิดว่าคุณชัชคงมองความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณภากรออกอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแตะประเด็นนี้ แล้วถ้าเขาไม่ได้ใจกว้างเหมือนพี่พัชรี ไม่ได้รักจนรับได้ทุกอย่างเหมือนป้ามาลัย และไม่วางเฉยกับเรื่องของคนอื่นอย่างคุณวรเมธ ก็อาจจะหมายความว่า...


‘สบายใจได้ ฉันไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของใคร กรเองก็โตเป็นผู้ใหญ่จนเป็นเจ้าของโรงแรมถึงไหนต่อไหนแล้ว ห่วงแต่เรานั่นแหละ ยังเด็กอยู่แท้ๆ โดนเขาหลอกหรือเปล่าเนี่ย’


ผมถอนหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก แรงกอดคลายลงเช่นกันผมเลยดันตัวเองพอมีช่องให้เงยหน้ามองเจ้าของอ้อมแขน เห็นรอยยิ้มบางๆแต่แววตานิ่งอย่างผู้ใหญ่ที่มีสติ คิดและตัดสินใจทุกอย่างด้วยความรอบคอบ และผมก็คงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องคิดหนักอยู่ตอนนี้


‘แล้วอาไม่คิดว่าผมจะหลอกคุณกรบ้างเหรอครับ’


‘ถ้าหลานฉันจะโง่จนโดนเด็กหลอกก็สมน้ำหน้ามันแล้ว’


‘อาชัชครับ’ ผมสูดลมหายใจอัดไว้ให้เต็มปอด แล้วปล่อยออกมาพร้อมคำขอที่เรียกได้ว่าบ้ามากๆ ‘ผมขอกอดอาได้มั้ย’


คุณชัชหลุดขำแล้วยอมให้ผมเป็นฝ่ายสอดแขนรัดร่างหนา ซบหน้าลงสูดกลิ่นหอมสะอาด รับรู้ถึงไออุ่นที่ลูบหัวเบาๆกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง


‘ถึงตัวฉันเองจะเคยผิดหวังแต่ก็ไม่เคยนึกเกลียดความรัก ความรักไม่ได้ทำให้โลกสวยงามแต่มันทำให้เราอยู่ในโลกแย่ๆใบนี้อย่างมีความสุขมากขึ้นนะรู้มั้ย’


ผมพยักหน้าพลางหลับตานึกถึงคนที่ทำให้โลกของผมดูน่าอยู่กว่าที่เคยเป็นมา นึกถึงทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน นึกถึงรอยยิ้ม คำพูด และทุกสัมผัสที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ผูกพันตัวเองกับใครอีกคน


‘ผมไม่รู้ว่าจะใช่ความรักหรือเปล่าแต่ผมมีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่กับคุณกร เขากวนประสาท ชอบแกล้ง แต่แค่นึกถึงเขาผมก็อดยิ้มไม่ได้ เขาบอกว่าชอบที่มีผมอยู่ข้างๆ ผมเองก็ชอบให้เป็นแบบนั้น หรือถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่เขาก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีเขาคอยอยู่เคียงข้างเสมอ ตั้งแต่เจอเขาผมไม่เคยเหงา พอคิดถึงเขาก็รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปนานๆเลยครับ’


‘ได้ยินแบบนี้แล้วชักอิจฉาเจ้ากร’


เสียงงึมงำเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้มกว้างสุดใจ


‘ผมก็รักอาชัชนะครับ กอดอาแล้วอุ่นเหมือนอย่างที่เคยกอดพ่อเลย’


‘ขี้อ้อนยังงี้นี่เอง ใครๆเขาถึงได้หลงกันทั้งโรงแรม’


มือใหญ่ขยี้หัวผมแรงๆ พอผมไม่ยอมเลยโดนล็อกคอผลักหงายหลังลงกับเตียง ใบหน้าคมเข้มลอยอยู่ใกล้กันไม่กี่คืบแต่เป็นอีกครั้งที่ดวงตาคู่นี้เหมือนห่างจากผมไปไกลแสนไกล


‘...อาชัช... ’


ผมลองเรียกเบาๆเพราะได้แต่นอนนิ่งจนชักอึดอัด คุณชัชกระพริบตาติดๆแล้วมองผมใหม่อีกครั้ง นานอีกอึดใจเขาจึงก้มต่ำลงมาแตะปากกับหน้าผากผมเบาๆ


‘นอนซะ’ อุ้งมือใหญ่แนบแก้มแล้วเกลี่ยผิวหน้าอ่อนโยน ‘พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า ขับรถเที่ยวอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับ ป่านนี้คนที่กรุงเทพคงชะเง้อคอยจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้วมั้ง’


ไม่ทันขาดคำคนที่เรารู้ว่าใครก็ส่งเสียงมาตามสาย แต่ผมไม่ได้รับเพราะมือถือถูกคุณชัชแย่งไปแล้วกดปิดเครื่องหน้าตาเฉย ยังไม่ทันอ้าปากก็ถูกสั่งให้ปิดตาแล้วก็หลับสนิทไปในอ้อมกอดอุ่นๆทั้งคืน รุ่งเช้าเราขับรถตระเวนเที่ยวและหาซื้อของฝากจนเย็น แล้วคุณชัชก็พาผมกลับไปนอนบ้านสวน ตื่นมายังโอ้เอ้เถลไถลอยู่ต่ออีกค่อนวัน ที่เล่ามาทั้งหมดคงเป็นสาเหตุให้คุณภากรลงโทษผมหนักขนาดนี้


“คิดอะไรอยู่หืม?”


เสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้ผมรู้สึกตัว ลืมไปเลยว่ายังถูกขังอยู่ในอ้อมกอดของหมาป่าเจ้าเล่ห์ อดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบ อ้อมกอดของคุณภากรทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ ยิ่งถูกกอดยิ่งอ่อนแรง อยากถูกจองจำอยู่ในไออุ่นนี้ไม่ต้องไปไหน แต่วงแขนของคุณชัชกลับให้ความรู้สึกสงบ มั่นคง เข้มแข็ง เวลาที่เขากอดผมชอบสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วจะรู้สึกเหมือนมีพลังจากเขาหลั่งไหลเข้ามาในตัว


“คิดว่าท่านประธานโรงแรมนี้คงสนุกหรือไม่ก็ว่างมาก วันๆถึงไม่ทำอะไร คอยแต่หาเรื่องกับพนักงานตัวเล็กๆ”


“เฉพาะพนักงานเกเร เอาเวลางานไปเที่ยว ตามตัวก็ไม่ได้ แล้วแถมยังไม่มีอะไรกลับมาฝากสักอย่าง”


เอาแล้วไง นิสัยหมาป่าขี้โกง นึกจะกล่าวหาอะไรใครก็ทำได้ หลักฐานมีมั้ยไม่รู้ ความผิดเป็นที่ประจักษ์หรือเปล่าไม่สน โดนอย่างนี้บ่อยๆลูกแกะก็หมดความอดทนได้นะจะบอกให้


“ก็คุณบอกให้ผมไปเป็นเพื่อนอาชัชเอง จะมาโทษว่าเป็นความผิดผมได้ไงล่ะครับ!”


“งั้นไล่อากลับไปภูเก็ตซะวันนี้เลยดีมั้ย”


พอผมเริ่มโมโห คุณภากรจะยิ้มออก หักอารมณ์หรือไม่ก็เปลี่ยนเรื่องคุยเอาดื้อๆ ผมเลยขอเอาคืนบ้าง


“ตามใจสิครับ ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ขอลางานสักอาทิตย์นึงเพราะอาชัชบอกว่ากลับภูเก็ตเที่ยวนี้จะพาผมไปเที่ยวด้วยอยู่แล้ว”


แน่นอนว่าพอผมยิ้มได้คุณกรก็จะหน้าบูด น้ำเสียงงอแงเป็นเด็กเอาแต่ใจขึ้นมาเชียว


“นี่ตกลงเราเป็นคนของใครกันแน่หะ?!”


“ผมเป็นคนของใครไม่รู้...” ผมจ้องตาเขา อมยิ้มนิดๆอย่างเป็นต่อ “แต่ที่แน่ๆผมเป็นแฟนของหลานอาชัช เขาฝากให้ดูแลอาของเขาให้ดี ถ้าคุณกรมีปัญหาก็ไปเคลียร์กับแฟนผมเอาเองแล้วกัน”


“ใหญ่มากใช่มั้ยแฟนเราน่ะ?” เขาถามน้ำเสียงหมันเขี้ยว สงสัยจะทำอะไรไม่ได้ก็เลยหยิกแก้มผมแทน


“ก็ใหญ่พอจะทำให้คุณกรไม่กล้าหือแหละ”


“กานต์...” แต่จู่ๆก็ทำหน้าหุบ เล่นเอาผมใจหายแว้บ “อย่าทำตัวน่ารักนักได้มั้ย”


หมาป่าโรคจิตยอมโดนทุบสองสามทีก็รวบกอดแล้วปล้นลมหายใจผมไปหลายยก อยากจะร้องห้ามแต่รสจูบฉ่ำหวานก็เต็มปากเต็มคำจนไม่แน่ใจว่าอยากให้เขาหยุดหรือเปล่า


“คืนนี้ฉันจะค้างที่โรงแรม” ถอนจูบออกไปก็พูดขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ตัวคำพูดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่สายตานี่สิ...!


“ก็แล้วแต่คุณสิครับ แต่เมื่อเช้าก่อนออกมาอาชัชสั่งให้ลุงพันตัดต้นกล้วยเตรียมไว้ให้จะกลับไปซ้อมมือเย็นนี้ ส่วนพรุ่งนี้ก็จะพาผมไปหัดยิงปืน แล้วถ้ามีเวลาพอ...”


“เดี๋ยวๆ ทำไมอาชัชให้เล่นอะไรแรงขนาดนั้น จะเอากันถึงตายเชียวเหรอ”


ผมยังเล่าไม่หมดก็ถูกเบรกตัวโก่ง ท่าทางคุณภากรจะตกใจกับเรื่องแบบนี้ แต่ส่วนตัวผมชอบนะ คุณชัชไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่เอะอะอะไรก็สั่งห้าม แต่จะให้ลองทำโดยอยู่ในสายตา อย่างตอนขากลับมากรุงเทพผมยังได้หัดขับรถ ตอนแรกตื่นเต้นจนมือสั่นแต่พอชินก็เริ่มสนุก เจอทางโล่งๆเผลอเหยียบเลียนแบบคนสอน ผลคือโดนมะเหงกคุมความเร็วซะหัวแทบปูด


“อาบอกว่าฝึกไว้มีแต่ได้ประโยชน์ ได้สุขภาพ ป้องกันตัวเอง แล้วก็จะได้คอยคุ้มครองท่านประธานด้วยไงครับ”


ร่างสูงทำหน้าเหนื่อยใจ ไม่รู้จะคิดว่าผมเหนื่อยกายด้วยหรือไงถึงได้ยกตัวผมขึ้นนั่งบนโต๊ะแล้วเอามือผมไปกุมไว้ทั้งสองข้าง


“แล้วคิดว่าฉันจะยอมให้คนที่ฉันรักต้องมาเสี่ยงอันตรายแทนหรือไง ฉันต่างหากที่ต้องปกป้องคุ้มครองกานต์ ไม่ใช่ให้กานต์มาปกป้องคุ้มครองฉัน”


ผมบีบตอบมือใหญ่ แถมด้วยรอยยิ้มอย่างที่คิดว่าจะถูกใจคนมอง


“ถึงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นจริงๆ อย่างน้อยผมจะได้ไม่เป็นภาระให้คุณกับพวกพี่บอดีการ์ดนะครับ”


“ถ้าเพื่อความปลอดภัยของตัวเองก็ตามใจ แต่จำไว้นะ ฉันไม่เคยเห็นกานต์เป็นภาระ ไม่เลยสักนิดเดียว”


ผมกับคุณภากรมีรอยยิ้มแล้วก็ขำที่บังเอิญยิ้มพร้อมๆกัน เสียงหัวเราะก่อให้เกิดความสุขขึ้นในใจหรือความจริงเป็นเสียงของความสุขที่สะท้อนออกมาจากใจของเราสองคนกันนะ แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนเราก็ต้องรีบเก็บความสุขเป็นความลับแทบไม่ทันเพราะจู่ๆประตูห้องก็เปิดออก เฮ่อ... เชื่อแล้วว่าเป็นอาเป็นหลานกัน แค่เคาะประตูนี่มันจะเจ็บมือมากมั้ยถามจริง!


“อยู่นี่เอง กานต์ไปข้างนอกด้วยกันหน่อย” คุณชัชบอกธุระจบ ไม่รอให้คุณภากรแย้งก็ปิดปากเขาด้วยเหตุผลที่ว่า... “ฉันก็ไม่ได้อยากไปหรอกน่ะ แต่บังเอิญว่าคนที่โทรตามชื่อภัทราพร เป็นแกจะกล้าเบี้ยวมั้ยล่ะ”


“แม่!? แม่มีธุระอะไรกับอา แล้วทำไมต้องให้กานต์ไปด้วย? หรือว่าแม่จะมีเรื่องอะไรกับกานต์ครับอา?!” คุณกรถามกลับ ใจความตรงกับที่ผมคิดเป๊ะๆ


“คุณภัทน่าจะแค่อยากเจอฉันเท่านั้นแหละ แต่ฉันขี้เกียจไปคนเดียวไงเลยจะเอากานต์ไปเป็นเพื่อน โควตายืมตัวยังไม่หมดนี่จริงมั้ย” หลานชายไม่วางใจ ทำท่าจะค้านเสียงแข็ง คุณชัชเลยเปลี่ยนวิธีใหม่ “งั้นก็ถามเจ้าตัวว่าอยากไปหรือเปล่า ถ้าเขาไม่เต็มใจฉันก็ไม่บังคับ”


ทั้งคู่หันมามองผมเป็นตาเดียว ผมมองตอบคุณกรแล้วจึงค่อยหันไปหาคุณชัช


“แล้วถ้าผมไป...จะไม่เป็นไรเหรอครับอา?”


“เด็กไปหาผู้ใหญ่เป็นเรื่องสมควร ยิ่งเราไปหาด้วยความบริสุทธิ์ใจใครจะว่าผิดได้ยังไง ผู้ใหญ่ต่างหากที่ต้องคิดหนักว่าทำอะไรไปจะเป็นการรังแกเด็กหรือเปล่า แถมเราจะได้ดูท่าที คอยเตรียมตัวรับมือ เห็นมั้ยมีแต่ได้กับได้”


ผมหันกลับมาที่คนข้างตัว สีหน้าเขาไม่สู้ดี ดูกังวลยิ่งกว่าผมซะอีก พอผมบอกผลการตัดสินใจเขาก็ว่าร้องว่าไม่คำเดียว คุณชัชเลยต้องเดินเข้ามาตบไหล่หลานชายหนักๆแล้วแกะตัวผมให้หลุด พอออกจากห้องมาผมก้มลงดูมือตัวเองที่ถูกคุณภากรบีบจนแดง ผิดกับคุณชัชที่เพียงแตะประคองไหล่พาเดินไปด้วยกัน อดสงสัยไม่ได้ว่าการพบคุณภัทราพรครั้งนี้จะน่ากลัวขนาดนั้นเชียวเหรอ
 



จบตอนแล้วคร้าบ





มีคนบอกให้พาที่สะใภ้ไปแนะนำ ฝากเนื้อฝากตัวสินะ อ่ะๆ จัดไป

แล้วตามไปเอาใจช่วยหนุ่มกานต์กันนะคะ



 :bye2:

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ8 (12-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 12-05-2016 20:13:03
เหมือนมีอาชัชช่วยหนุนเลย รับรองผ่านฉลุยยยย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ8 (12-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 12-05-2016 21:06:49
 :L1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ8 (12-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-05-2016 03:20:53
นึ้คือแผน  o13
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ8 (12-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 13-05-2016 14:08:53
แนะๆๆๆ  อาชัชจะใช่พ่อกานไหมน่ะ ถ้าใช่นี่คือคุณพ่อพาลูกใส่พานถวายเลยน่ะ 5555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ9
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 13-05-2016 19:01:52






19 .






ตอนยังเด็กผมก็คงเหมือนเด็กทั่วๆไปที่แย่งดูการ์ตูนกับพี่กัญญาจนทะเลาะกันลั่นบ้านประจำ แต่พอตกค่ำรีโมทอันเดียวที่เรามีจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของแม่กานดาโดยสมบูรณ์ ผมเลยพอคุ้นกับละครทีวีอยู่บ้าง เวลานั่งอยู่หน้าจอเป็นเพื่อนแม่ผมอดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ ครอบครัวเรามีพ่อ แม่ พี่กัญและผม บ้านของเราเป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ ชั้นบนมีสองห้องนอนของพ่อกับแม่ และผมกับพี่กัญ ข้างล่างเป็นห้องโล่งๆ แต่ใช้ตู้สูงจรดเพดานเป็นฉากกั้นแบ่งห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว ส่วนครัวอยู่ด้านหลังนอกตัวบ้าน ระยะระหว่างประตูรั้วถึงประตูบ้านใช้จอดรถ แต่พอเทียบกับครอบครัวในละคร จำนวนสมาชิกในครอบครัวก็พอๆกันแต่ทำไมบ้านของพวกเขาถึงได้ดูใหญ่โตอลังการ มีห้องหับมากมายนับไม่ถ้วน วันๆคนพวกนั้นจะได้เดินทั่วบ้านตัวเองมั้ย ปีๆหนึ่งจะได้ใช้ห้องทุกห้องของบ้านครบหรือเปล่า และที่อยากรู้ที่สุด... คนเหล่านั้นจะมีความสุขในชีวิตจริงๆหรือเปล่านะ


“กลัวหรือเปล่า หรือว่าตื่นเต้น?”


คนข้างตัวเอ่ยถามและเขย่ามือผมเบาๆ ยิ่งหลังกลับจากเที่ยวตะลอนๆคุณชัชมักจะทำแบบนี้... ก็แบบที่จูงผมเดินไปไหนมาไหนด้วยกันจนเป็นที่คุ้นตาทั่วโรงแรม และเป็นอะไรที่เจ้าของโรงแรมขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้ สมน้ำหน้า!


“มากับอาชัชผมไม่กลัวหรอกครับ แค่รู้สึกว่า หูยยย! อะไรมันจะใหญ่โตอลังการขนาดนี้!”


ผมเองก็อดแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย เวลาอยู่กับเขาผมไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรเลย แต่ถ้าได้มาที่นี่กับคุณภากรซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริงก็เดาไม่ถูกอีกว่าจะรู้สึกอย่างไร ผมเริ่มอ้าปากค้างตั้งแต่เห็นแนวรั้ว เห็นประตู เห็นสวนรอบตัวบ้าน แล้วก็มาถึงบ้าน...ไม่ใช่สิ โคตรคฤหาสน์มากกว่า ที่นี่ใหญ่โตจนบ้านผมกลายเป็นบ้านหมาไปเลย ในโรงรถที่คุณชัชขับรถเสียบเข้าไปก็มีแต่รถยี่ห้อหรูจอดเรียงราย ราคาอย่าได้ถาม กลัวว่ารวมกันแล้วจะนับเลขศูนย์ไม่ไหว


“คิดเหมือนกันเลย ทุกทีถ้ามากรุงเทพฉันจะไปนอนบ้านสวนหรือไม่ก็เปิดห้องที่โรงแรม เคยมาค้างที่นี่สองสามครั้งแล้วไม่ไหว แปลกที่จนนอนไม่หลับ รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง จะนั่งจะยืนยังไงมันก็ไม่คุ้นไปหมด”


ลงจากรถมีทางเชื่อมเข้าสู่ตัวบ้านได้เลย แต่คุณชัชพาผมเดินเลียบมาตามทางใต้หลังคาไม้ระแนงสีขาวสวยงามร่มรื่นด้วยไม้เลื้อยพันเกี่ยวกันแน่นขนัด สุดจากทางเดินคือซุ้มและบันไดหินอ่อนนำขึ้นสู่ตัวบ้าน เข้ามายังโถงรับแขกที่ทำเอาตาผมจะปลิ้นออกจากเบ้าเพราะทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าสวยงาม ยิ่งใหญ่ หรูหรา จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก เหลียวมองรอบตัวสามร้อยหกสิบองศาแล้วกลืนน้ำลายเอื้อก นี่มันยิ่งกว่าบ้านพระเอกนางเอกในละครที่ผมเคยดูอีกนะเนี่ย


“แล้วนี่เรา...จะยังไงต่อล่ะครับ”


ผมเขยิบเข้ายืนชิดคุณชัชแล้วกระซิบถาม เขาไม่ตอบแต่โอบไหล่วางมือขยี้หัวผมเบาๆ จังหวะเดียวกับที่มีผู้หญิงในชุดฟอร์มคนทำงานบ้านมาบอกว่าคุณผู้หญิงกำลังรออยู่ที่ห้องรับแขกเล็ก พอคุณชัชพยักหน้ารับก็หันหลังเดินนำออกไป


“น่าขำมั้ยล่ะ ขนาดเป็นญาติแท้ๆแต่จะเจอเจ้าของบ้านทั้งทียังต้องทำให้ถูกธรรมเนียม ต้องแจ้งตั้งแต่ยามหน้าประตูแล้วมายืนรอจนกว่าคนที่อยากพบเตรียมตัวเรียบร้อยค่อยให้คนใช้มาเรียก ยุ่งยากวุ่นวาย ทำอย่างกับเข้าเฝ้าเจ้านายงั้นแหละ”


“แต่ถ้าผมมาคนเดียวสงสัยยามคงไม่ให้ผ่านประตูแน่”


“จะยากอะไร ก็ให้เจ้ากรพามาสิ รับรองผ่านโลดตั้งแต่ประตูบ้านยันประตูห้องนอนเลย”


อ๊าก! โดนมุขนี้เข้าไปผมร้อนซู่ไปทั้งหู กลัวแทบแย่ว่าจะมีใครได้ยิน จะเดินหนีก็กลัวหลงเลยดันคนตัวโตให้นำหน้า ส่วนผมก็หลบอยู่ข้างหลังเขา ไม่อยากคุยด้วยแล้ว รู้ตัวอีกทีเมื่อมาถึงห้องรับแขกที่ไม่ได้เล็กสมชื่อ แต่การตกแต่งดูจะเรียบง่ายกว่าบรรยากาศที่โถงด้านหน้าเลยเดาว่าเอาไว้ใช้ต้อนรับแขกส่วนตัวหรือคนคุ้นเคยกัน


พอเห็นผู้ที่รออยู่ผมก้มหน้าโดยอัตโนมัติ คุณชัชก็แสนดี คงรู้ว่าผมเกร็งเลยบีบมือให้กำลังใจผมเบาๆ


“เข้ามาเลยจ๊ะชัช กำลังคิดถึงอยู่เชียว นี่ถ้าไม่โทรตามคงไม่คิดจะแวะมาให้เห็นหน้ากันบ้างเลยใช่มั้ย” 


“ผมขึ้นมายังไม่ทันได้อะไรลูกชายคุณภัทก็ใช้ไปโน่นมานี่ไม่ได้หยุด นี่ไปดูที่ให้เขาเพิ่งจะกลับมาก็ต้องขอพักหายใจหายคอบ้างสิครับ”


“แหม! ยังไม่ทันได้ว่าอะไรสักหน่อย งั้นก็นั่งลงกินน้ำกินท่าซะก่อนแล้วจะได้คุยกัน มัวยืนอยู่ทำไม”


ผมประเมินจากน้ำเสียงอย่างเดียวคาดว่าทั้งคู่คงจะสนิทสนมกันมาก ฝ่ายคุณภัทราพรแม้มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ก็ยังแสดงถึงความเกรงอกเกรงใจ ไม่อย่างนั้นคุณชัชคงไม่กล้าที่จะ...


“รอให้คุณภัทถามว่าผมพาใครมาด้วยมั้งครับ” 


โอ้ว! ตรงจนผมถึงกับกลั้นหายใจเลยทีเดียว!


“หรือที่จริงควรถามว่าผู้ช่วยวรเมธมีธุระอะไรที่นี่มากกว่ามั้ย”


น้ำเสียงคุณภัทราพรเปลี่ยนฉับ ถึงไม่ได้เงยหน้าก็พอเดาได้ว่าดวงตาคมดุคงหันมาจ้องผมอยู่ ซวยแน่แล้ว!


“ดีเลย รู้จักกันแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำ” ผมแอบเอียงคอมองคนข้างๆแล้วยิ่งใจเสีย สีหน้าคุณชัชนิ่งแบบจงใจจะงัดข้อเต็มที่ “แต่จะบอกก่อนว่าผมเป็นคนชวนกานต์มาด้วยเอง ถ้าคุณภัทไม่สะดวกงั้นผมค่อยมาพบใหม่วันหลังก็ได้ครับ”


พูดจบคุณชัชก็ยกมือโอบไหล่เตรียมจะพาผมหันหลังเดินกลับออกจากห้อง


“เดี๋ยวสิ!” แปลว่ายกนี้คุณชัชชนะ ผมเลยพลอยได้อานิสงค์ไปด้วย “นั่งลงทั้งคู่นั่นแหละ เชิญ!”


เมื่อได้ข้อสรุปผมเลยถือโอกาสยกมือไหว้เจ้าของบ้านแล้วค่อยหย่อนตัวลงถัดจากคุณชัช เด็กรับใช้เข้ามาทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่มกับขนมหน้าตาแปลกแลดูแพงซึ่งกลายเป็นหัวข้อให้คุณชัชชวนคุย รอจนกระทั่งคนนอกออกไปจึงเข้าเรื่อง...


“ตกลงเรียกผมมามีอะไรให้รับใช้ครับ” ไม่แปลกที่คุณภัทราพรจะเงียบ เพราะผมยังถือเป็นคนนอกอีกคนที่ยังอยู่ขวางหูขวางตา


“พูดมาได้เลยครับ เพราะถึงจะไม่ฟังตอนนี้เดี๋ยวกานต์ก็ต้องรู้เรื่องอยู่ดี ยิ่งเรื่องที่ดินที่ภูเก็ต คนนี้ล่ะครับรู้ดีกว่าใคร”


คุณภัทราพรไม่แย้งด้วยคำพูด แต่มีสายตาแสดงความสงสัยระคนแปลกใจ คุณชัชจึงช่วยยืนยันสถานภาพของผมอีกครั้ง


“อย่าลืมสิครับว่ากานต์เป็นผู้ช่วยใคร คุณภัทคิดว่าเมธมันจะใช้คนไม่เป็นหรือไง”


จู่ๆมือใหญ่ก็เชยคางผมขึ้นทำให้ได้สบตากับสุภาพสตรีตรงหน้าแวบหนึ่ง และคงเป็นจุดที่ทำให้เธอเอ่ยปากพูดกับผมตรงๆ


“ไหนลองบอกมาซิว่าเธอรู้อะไรบ้าง”


ผมหันไปขอความเห็นคนข้างตัว คำถามกว้างขนาดนี้จะต้องตอบยังไงถึงจะทำให้คนถามพอใจได้ล่ะเนี่ย


“ถามว่าไม่รู้อะไรจะตอบง่ายกว่า” คุณชัชเลยช่วยตอบแทน “จริงๆคุณภัท อย่าเพิ่งทำตาดุสิ! ผมไม่ได้โอเวอร์เลยสักนิดนะ”


“เอาล่ะ พี่เชื่อก็ได้ ทีนี้จะยอมให้เด็กคนนี้พูดได้หรือยัง เห็นมีแต่เธอออกหน้าแทนตลอด” คุณภัทประชดเสร็จก็หันมาพูดกับผมตรงๆ น้ำเสียงเป็นงานเป็นการกลบความไม่พอใจส่วนตัวได้เป็นอย่างดี “ฉันอยากรู้เรื่องที่ดินผืนนั้น ถ้าเธอมีดีอย่างที่ใครๆพากันการันตีก็บอกมา...ทุกอย่างที่เธอรู้”


ผมประมวลข้อมูลในสมองและถ่ายทอดออกไปจนครบถ้วน ทั้งข้อดีข้อเสียและเหตุผลว่าทำไมทางโรงแรมถึงควรได้ที่ดินแปลงนั้นมาเป็นกรรมสิทธิ์ คุณภัทราพรฟังอยู่เงียบๆ สีหน้าเรียบเฉยแต่แววตาครุ่นคิด จนจบแล้วก็ยังไม่มีข้อซักถาม ผมเลยหันไปหาคุณชัชเผื่อยังมีอะไรที่ตกหล่นไป


คุณชัชไม่เสริม ไม่ขัด แต่ลูบหัวผมแล้วยิ้มให้แทนคำชม ส่วนคุณภัทราพรใช้เวลาตัดสินใจอีกไม่นานก็มีคำพูดที่เป็นนัยว่าเห็นดีด้วย


“ฉันจะลองถามคุณพี่หญิงดู แต่ไม่รับปากว่าจะสำเร็จเพราะได้ยินเธอเคยเปรยๆว่าอยากเก็บไว้เป็นมรดก”


“แต่ผมเชื่อฝีมือ เรื่องยากแค่ไหนพอถึงมือคุณภัทล่ะก็หมูๆ”


คุณชัชหน้าบาน ส่วนคนถูกชมหน้าหุบ แจกค้อนวงใหญ่ทีเดียว


“ย่ะ! คนอย่างฉันมีประโยชน์กับพวกเธอแค่นี้ล่ะสิ” แต่ฐานะทายาทคนเดียวของเจ้าสัวภาคย์ คงไม่ใช่จะโดนใครใช้งานฟรีๆ “เอาล่ะ เรื่องที่ดินก็จบไป ทีนี้มาธุระของพี่บ้างล่ะนะ” 


ธุระของคุณภัทราพรคือแฟ้มกองโตที่เธอหยิบจากด้านล่างขึ้นมาวางจนเต็มโต๊ะกลาง สายตาดุๆเหลือบมองแวบหนึ่งตอนที่ผมรีบหยิบแก้วน้ำกับจานขนมออกให้


“ชัชสนิทกับหลาน คงรู้ใจกันดี ช่วยพี่เลือกหน่อยสิว่าใครน่าจะเหมาะสมที่สุด” คุณภัทกางแฟ้มบางอันส่งให้คุณชัช ผมแอบเห็นเผินๆเหมือนพวกใบสมัครงานหรืออะไรสักอย่าง จนมาเห็นชัดเมื่อมีแฟ้มหนึ่งยื่นมาตรงหน้า “จะดูด้วยก็ได้นะ ฉันอยากได้ความเห็นว่าในบรรดาผู้หญิงที่ทั้งสวยน่ารัก มีการศึกษา พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติและชาติตระกูลพวกนี้ เธอคิดว่าคนไหนจะถูกใจภากรบ้าง”


ได้ยินแค่นั้นก็ให้รู้สึกวาบไปทั้งตัว ทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่จ้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถ้าจะเรียกว่าใบสมัคร ตำแหน่งที่สาวๆเหล่านี้ใฝ่ฝันก็คือคู่ครองที่ถูกต้องทั้งตามกฎหมาย ศีลธรรมและจารีตของสังคม ทุกคนล้วนมีภาษีดีกว่าผมเพราะอย่างน้อยก็มีความเป็น...ผู้หญิง


“เรื่องแบบนี้ถามเด็กจะไปรู้เรื่องอะไร เดี๋ยวผมดูให้เอง” มือใหญ่ดึงแฟ้มนั้นให้พ้นไปจากสายตาแล้วเอ่ยปาก อย่าเรียกว่าสั่ง แต่คือการช่วยให้ผมพ้นไปจากตรงนี้จะดีกว่า “ออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนก็ได้ เสร็จธุระแล้วจะให้คนไปเรียก”


“ทำไมล่ะชัช ไหนเธอบอกเองว่าเด็กคนนี้รู้ดีทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่พลาดไง” ฝ่ายเจ้าของบ้านทักท้วง น้ำเสียงเจือความสะใจนิดๆ แฟ้มอีกอันถูกกางส่งให้ ผมจะทำอะไรได้นอกจากรับไว้ “เห็นมั้ยล่ะ เจ้าตัวเขายังเต็มใจจะช่วย”


“แต่พอดีผมนึกได้ว่ามีธุระ ขอตัวกลับก่อน ส่วนเรื่องนี้เดี๋ยวผมขอแฟ้มไปดูเอง ได้คำตอบแล้วจะบอก ไปนะครับ”


อีกครั้งที่คุณชัชออกโรงปกป้อง เขาบอกจบก็กอบแฟ้มทั้งหมดแล้วดึงแขนพาเดินออกจากห้องมาก่อนที่ผมจะได้ทันเอ่ยคำลา พอถึงรถก็โยนของใส่เบาะหลังโครมใหญ่


“อาครับ” ผมแตะหลังมือที่ยังจับแขนอยู่แล้วเอ่ยเรียกเบาๆ คุณชัชตอนโกรธน่ากลัวกว่าที่ผมคิดซะอีก “ไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลย ผมไม่เป็นไรจริงๆ”


มือใหญ่ปล่อยจากแขนแล้วย้ายมากุมข้างแก้ม ผมรีบยิ้มให้ได้ทั้งหน้าเพื่อช่วยบรรเทาความโกรธโดยเร็ว


“ฉันทำเพื่อตัวเองต่างหาก” ดวงตาสีเข้มมีแววอาทรจนผมรู้สึกอุ่นๆที่ขอบตา “ฉันไม่ชอบเห็นใครต้องมาเสียความรู้สึกกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ยิ่งเป็นเรื่องที่ฉันช่วยได้แต่กลับอยู่เฉย ไม่ทำอะไรเลย มันก็เหมือนฉันเป็นตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาเหมือนกัน”


“อาชัชคิดมากไปแล้วนะครับ” ผมกลืนก้อนแข็งๆลงคอแล้วเอ่ยออกมาด้วยความซาบซึ้งอย่างที่สุด


“เพราะฉันต้องคิดแทนคนคิดน้อยอย่างเราน่ะสิ” มือใหญ่ละจากแก้มขึ้นไปวางบนกระหม่อม ไม่ต้องลูบหรือขยี้แต่ก็สามารถส่งผ่านความรู้สึกได้เป็นอย่างดี “อย่าฝืนเก็บอะไรไว้กับตัวเองให้มากนักเลยกานต์ ยิ่งแบกไว้มากเท่าไหร่มันก็ยิ่งหนักเท่านั้นนะรู้มั้ย”


ผมพยักหน้าเบาๆแล้วยิ้มกว้างๆเพื่อให้เขายิ้มตาม เขาเอ่ยปากชวนกันกลับแถมยังใจป้ำจะเลี้ยงข้าวเย็นผมเป็นการปลอบขวัญแต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูรถ...


“กานต์! ใช่กานต์จริงๆด้วย!”


ลาบปากผมมีอันสะดุดเพราะใครบางคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ ยิ่งในที่แบบนี้ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้เข้าไปใหญ่


“พี่พอลมาทำอะไรที่นี่ครับ คนเยอะแยะเลย มีถ่ายแบบกันเหรอครับ”


จากโรงจอดรถถ้าเดินไปอีกทางจะถึงบริเวณสระว่ายน้ำที่ตอนแรกผมกับคุณชัชไม่ทันสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้น


“จ๊ะ แต่พี่ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก พอดีสไตลิสท์เล่มนี้เป็นเพื่อนกัน มันอวดว่าคฤหาสน์ของคุณภัทราพรสวยมาก ไม่ค่อยยอมให้ใครเข้ามาถ่ายง่ายๆด้วย พี่ก็เลยขอเป็นตัวแถมเข้ามาชมให้เป็นบุญตาซะหน่อย แล้วกานต์ล่ะ มาทำอะไรกับ...คุณรูปหล่อคนนี้...”


บอกแล้วว่าคุณชัชยังดูหนุ่มเฟี้ยวผิดอายุจริง พอพี่พอลเห็นเข้าเลยตาโตเป็นไข่นกกระจอกเทศเชียว เอ๊ะ! หรือความจริงพี่พอลจะเห็นคุณชัชก่อนผมซะอีก


“นี่คุณชัช คุณอาของคุณภากรครับ” ผมเลยรับหน้าที่แนะนำให้สองฝ่ายรู้จักกัน “พี่พอลเป็นเพื่อนพี่พัชรีครับอา”


“คุณอา! ต๊าย! ทั้งหนุ่มทั้งหล่อขนาดนี้ไม่บอกไม่เชื่อเด็ดขาดเลย”


พี่พอลปลาบปลื้มยินดีมากแต่คุณชัชท่าทางจะไม่ค่อยอยากรู้จักสักเท่าไหร่


“เอ่อ..ครับ งั้นขอตัวเลยแล้วกัน ไปเถอะกานต์”


“เดี๋ยว! ยังไปไม่ได้ฮ่ะ พอลขอยืมตัวน้องกานต์สักแป๊บ แป๊บเดียวจริงๆ” พี่พอลรีบยื้อผมไว้แล้วบอกธุระที่เชื่อว่าเพิ่งคิดขึ้นสดๆร้อนๆแน่ “ฉากเซ็ทเสร็จแล้วแต่พวกนางแบบยังแต่งตัวกันอยู่เลย กานต์ไปช่วยลองกล้องให้หน่อยนะ”


“ไม่ดีมั้งครับ!”


“ต้องดีสิ พี่อยากได้รูปกานต์ด้วย น่านะ แป๊บเดียวจริงๆ” 


ผมหันไปส่งสายตาให้คุณชัชช่วยห้ามแต่ผลคือ...


“ลองดูก็ได้นี่ ไม่เสียเวลาหรอก”


เฮ้ย! ไหงทำกับผมแบบนี้ล่ะ โอเค เป็นไงเป็นกัน!


“งั้นให้อาชัชถ่ายด้วยดีมั้ยครับพี่พอล”


“เริ่ดมาก! เป็นไอเดียที่เก๋กู๊ดสุดๆ!”


คุณชัชทำหน้าปั้นยาก แต่ที่ยากกว่าคือกลับคำพูดตัวเองเพราะพี่พอลเลยรีบปล่อยผมแล้วโมเมจับคุณชัชพากลับไปที่กองถ่าย เห็นอย่างนี้เชื่อเลยว่าพี่พอลเคยแมนมาก่อนถึงสามารถลากยักษ์ตัวโตไปได้สบายๆ แต่สีหน้าที่พร้อมจะหักคอคนได้ทุกเมื่อก็ทำให้พี่พอลและทีมงานไม่กล้าเซ้าซี้หรือออกคำสั่ง มีแต่ผมที่ถูกลงเมคอัพบางๆ เปลี่ยนเสื้อเป็นโทนสีอ่อนเพื่อให้ตัดกับชุดดำของคุณชัช ตากล้องกับทีมงานล้วนเป็นมืออาชีพ และเป็นเพียงการถ่ายลองแสง ลองฉากนิดหน่อยจึงไม่มีอะไรขลุกขลัก จนถึงภาพสุดท้ายที่ผมอ่านสายตาพี่พอลออกเลยจัดให้ซะหน่อย...


“อาาาา...” ผมส่งเสียงเรียกจนคนที่ทำตัวเป็นรูปปั้นประกอบฉากหันมาหา “ยิ้มนิดนึงไม่ได้เหรอครับ”


“ได้แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”


“แต่เวลายิ้มอาดูเท่ห์มากๆ รูปสุดท้ายแล้วกานต์ขอนะ น๊าาา ยิ้มนิดนึงนะครับ”


งานนี้ผมอ้อนสุดชีวิตจนคุณชัชยอมหันไปส่งสายตาให้กล้องแล้วอมยิ้มนิดๆ แต่แค่นั้นก็เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดได้ลั่นกองถ่าย พอนางแบบแต่งตัวเสร็จพวกเราก็ขอตัวกลับ ผมได้ของฝากเป็นไฟล์รูปที่ถ่ายไปทั้งหมดตามด้วยมื้อปลอบขวัญที่เจ้ามือยังไม่ลืม ตอนแรกคิดว่าโดนแกล้งเพราะเขาจอดรถเทียบฟุตบาทไม่ห่างจากรถเข็นขายบะหมี่เกี๊ยวริมทาง แต่จำนวนคนที่เข้าคิวรอน่าจะรับประกันความอร่อยแล้วก็จริงสมกับที่ต้องยืนรอโต๊ะว่างอยู่นาน


มืดมากแล้วคุณชัชแวะมาส่งที่โรงแรมเพราะผมเกรงใจคุณวรเมธกับพี่พัชรี ไม่อยากขาดงานไปโดยไม่จำเป็นอีก และที่สำคัญคือผมอยากเห็นหน้าป้ามาลัยจะแย่ ไม่เจอกันตั้งหลายวันไม่รู้ป้าจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า รีบอาบน้ำเข้านอนแล้วพรุ่งนี้เช้าตื่นลงไปรอเซอร์ไพรส์...


เฮ้ย! ไม่ต้องรอถึงตอนไหนแล้วเพราะแค่เปิดประตูห้องเข้ามาผมก็เจอเซอร์ไพรส์เข้าจังๆ ทุกอย่างทั้งเสื้อผ้า ของใช้ กระทั่งแฟ้มเอกสารที่อ่านค้างไว้...หายเกลี้ยง!! สภาพห้องบ่งชัดว่าผ่านการทำความสะอาดเก็บกวาดเรียบร้อยอย่างนี้หาตัวการได้ไม่ยากเพราะในโรงแรมนี้จะมีกี่คนกันที่มีอำนาจและว่างมากพอจะสั่งเรื่องบ้าๆแบบนี้ได้


“ทำอย่างนี้ทำไมครับ?!”


ผมรีบตามไปถึงห้องของตัวการ พอประตูเปิดออกผมก็โวยลั่น แต่แทนที่จะรู้สึกผิดกลับกระชากตัวผมลากเข้าห้องแล้วกลายร่างเป็นงูเหลือมรัดซะแน่น ทำท่าอยากเขมือบผมเต็มแก่


“ถ้าไม่หยุดดิ้น ฉันปล้ำ! ปล้ำจริงๆ ไม่ได้ขู่”


สาบานว่าผมไม่ได้กลัวคำขู่แม้แต่น้อย แต่เพราะรู้ว่าดิ้นรนไปก็เหนื่อยเปล่า ทางรอดของผมคือรีบจัดการธุระแล้วออกจากห้องนี้ไปให้เร็วที่สุด


“ผมมาเอาของของผมคืน!”


“ที่มีมีแต่ของของฉันกับของของแฟนฉัน อะไรที่ไม่ใช่ก็โยนทิ้งไปหมดแล้ว”


“โธ่ คุณกร!” เป็นเหตุผลที่ทำเอาผมอยากจะลงไปดิ้นพราดๆอย่างเด็กถูกขัดใจ นี่เขาไม่รู้จริงๆหรือแค่แกล้งทำไขสือว่าสามารถทำตามใจตัวเองได้ทุกเรื่องกันแน่ “ให้ผมกลับไปอยู่ห้องเดิมเถอะ ทำอย่างนี้ถ้า...ใครรู้เข้ามันจะไม่ดีนะครับ”


“วันนี้แม่ฉันออกฤทธิ์อะไรล่ะสิ”   


“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ คุณภัทมีธุระกับอาชัช ไม่ใช่ผมสักหน่อย”


ผมตอบเต็มเสียงแต่อดไม่ได้ที่จะหลบด้วยการซบหน้าลงกับอกกว้าง ได้ยินเสียงทอดถอนใจก่อนจะถูกมือใหญ่เชยคางขึ้นไปสบตา


“คิดว่าฉันไม่รู้จักแม่ตัวเองหรือไง”


“จริงๆนะครับ กับผมท่านแค่ถามเรื่องที่ดินที่ภูเก็ต แล้วก็...” แฟ้มประวัติพวกนั้นยังติดตาแล้วจะให้ผมหลอกตัวเองว่าไม่มีอะไรได้ยังไง “ให้ผมช่วยเลือก...”


“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ถ้าเรื่องนั้นก็ไม่ต้องไปพูดถึงนั่นแหละถูกต้องแล้ว”


เห็นมั้ยล่ะ นี่ขนาดผมยังไม่ทันพูดอะไร แสดงว่าคุณภากรเองก็ต้องรู้เรื่องดี อาจจะได้เคยเห็นข้อมูลของว่าที่ภรรยาในอนาคตมาหมดแล้วก็ได้ เชื่อว่าทุกคนต้องผ่านการคัดกรองจากคุณภัทราพร เขาหลับตาเลือกมาสักคนแค่นี้ก็หมดปัญหา จะได้แฮปปี้กันทุกฝ่าย


“แต่คุณแม่คุณดูจริงจังกับเรื่องนี้มากจริงๆนะครับ ผมว่าคุณน่า...”


เขาคงรู้ว่าผมจะพูดอะไร แล้วเขาก็คงรู้ว่าผมไม่ได้อยากพูดออกไปเลยส่งสายตาสั่งให้ผมเงียบ


“จำไว้นะกานต์ ถ้าคุณแม่เอาจริงเรื่องผู้หญิงพวกนั้น ฉันก็จริงจังกับกานต์เหมือนกัน ฉันไม่เถียงว่ายังชอบผู้หญิงแต่จะให้ฉันแต่งงานกับใครได้ยังไงในเมื่อฉันมีกานต์อยู่แล้วทั้งคน”


ผมหลับตาแล้วปล่อยให้กระแสแห่งความสุขและความทุกข์ซัดโครมมาพร้อมๆกัน คำพูดของเขาเชื่อว่าใครถ้าได้ฟังก็ต้องซาบซึ้งตรึงใจแต่จะให้ละเลยผลกระทบอีกด้านที่จะตามมาได้หรือ ลองนึกดู...ถ้าพนักงานในโรงแรมรู้ว่าเจ้านายของพวกเขาชอบเพศเดียวกันจะคิดยังไง ไหนจะผู้คนในสังคม บรรดาคนที่ทำธุรกิจร่วมกันจะมองคุณภากรด้วยสายตาแบบไหน ผมรู้ว่าเขาไม่แคร์แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาต้องมามัวหมองเพราะ...


“แต่ผมเป็น...”


คนตัวโตส่งเสียงชู่วว แต่ยกนิ้วมาแตะที่ปากผมแทน และที่ทำให้ผมปิดปากสนิทก็คือ...


“จะผู้หญิงหรือผู้ชายแล้วไงในเมื่อฉันรักกานต์ กานต์คือคนเดียวที่ฉันเลือก จำไว้แค่นั้นก็พอ”


“คุณกร!” ไม่อยากพูดซ้ำแล้วเพราะทุกคำของเขาตรงใจผมอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง “ขอบคุณครับ คุณดีกับผมมากเหลือเกิน มากจนผมไม่รู้จะตอบแทนยังไง”


“ก็ตอบแทนด้วยการรักฉันสิ รักให้มากเท่ากับที่ฉันรัก ถ้าทำได้เมื่อไหร่กานต์ก็จะรู้ว่าทำไมฉันถึงทำอะไรที่ดูงี่เง่าได้ตั้งมากมายขนาดนี้”


ผมรู้ดีว่าความรักสำคัญกับมนุษย์ทุกคน ความรักเป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังใจให้ทำเพื่อคนที่รัก เมื่อเขาทำเพื่อผมได้ทุกอย่างแล้วทำไมผมจะไม่ตอบแทนเขาในแบบเดียวกันล่ะ


“แล้วเราก็จะกลายเป็นคนงี่เง่าสองคน...”


ผมใส่อารมณ์ประชดนิดๆในบทสรุปที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราทั้งคู่ แล้วก็ได้คุณภากรช่วยเติมถ้อยคำให้สมบูรณ์


“...ที่มีความสุขที่สุดในโลก”


เขาไม่เพียงให้ความหมายแต่ยังเติมเต็มช่องว่างในใจจนเต็มเปี่ยม ชีวิตที่ผ่านมาผมไม่ได้ขาดความรักแต่ตอนนี้เพิ่งได้รู้ว่า...


“ผมรักคุณกรครับ”


...เพราะแต่นี้ต่อไปจะไม่มีใครที่ผมรักและรักผมได้อย่างผู้ชายคนนี้อีกแล้ว ไม่มีจริงๆ!


“ฉันก็รักกานต์”


ผมโอบกอดและรับรู้ถึงไออุ่น ทอดถอนทุกความกังวลทิ้งแล้วสูดกลิ่นของไอรักที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัว


“เราจะรักกันตลอดไปหรือเปล่าครับ”


“ถ้ากานต์เชื่อมั่นในตัวฉัน มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ฉันสัญญา”


“คุณกร...”


ผมซบลงซ่อนหน้า เอ่ยเรียกเบาๆแต่ดูเหมือนเขาจะได้ยินแม้แต่เสียงผมหายใจ


“หืม?”


“แล้วเรา...” ผมยิ่งกดความอายลงกับแผงอกกว้าง ไม่อยากได้ยินสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูดออกไป “...จะยืนกันอยู่ยังงี้ทั้งคืนเหรอ...”


มีคนบอกว่าความรักเป็นอะไรได้มากมายตามแต่ใจคนเราปรารถนา ด้วยเหตุนั้นความรักจึงปรากฏแก่ผมเป็นร่างสูงสง่า แข็งแกร่งและมั่นคงดุจหินผา แต่ในยามที่อุ้มผมขึ้นแนบอกก็ทำได้นุ่มนวล ทะนุถนอมราวกับประคองไข่ในหิน อ้อมกอดอุ่นจัดจนทำให้ผมผวาเมื่อแผ่นหลังสัมผัสถูกที่นอนเย็นชืด เริ่มรู้สึกว่าคิดผิดที่ถามเพราะพอร่างสูงใหญ่ตามลงมาแนบชิดก็ไม่มีทางหวนเวลากลับคืน


...ไอรักกรุ่นกำจายเปลี่ยนห้องนอนกว้างยามฟ้ามืดเป็นดั่งสวนสวยตอนตะวันตรงหัว แสงจ้ายอนตาลวงให้ภมรตัวจ้อยละลืมดอกไม้งาม จากที่เคยเสพน้ำหวานเป็นอาหารกลายเป็นฝ่ายถูกดูดกลืนจนร่างน้อยบิดเร่า ปีกบางขาวพลิ้วไหว แลหลงระเริงไปกับเปลวแดดระยิบระยับ พระอาทิตย์ก็ช่างช่ำชอง รู้จังหวะผ่อนเบายั่วเย้า บ้างก็เร่งแรงหนักหน่วงจุดให้ความสุขระเบิดพร่างพาเจ้าแมลงแสนซื่อลอยขึ้นสู่สวรรค์คราแล้วคราเล่า ตราบจนพระอาทิตย์ตัวจริงปรากฏกายเพื่อบอกเวลาของเช้าวันใหม่...




จบตอนแล้วคร้าบ




ทีแรกตอนนี้เหมือนจะยกให้คุณชัช แต่คุณกรก็กลับมายึดตำแหน่งคืนได้ในโค้งสุดท้ายว่ามั้ยคะ ฮิ ฮิ

ส่วนบทของว่าที่แม่สามีนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ระดับคุณภัทราพรเราไม่ให้เป็นแค่แขกรับเชิญ ต้องว่ากันยาวๆค่ะ





 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ9 (13-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-05-2016 19:37:43
กานต์สมชื่อจริงๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ9 (13-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 14-05-2016 10:37:00
ทำไมเรารู้สึกว่า กานต์จะเป็นลูกอาชัชนะ จากเหตุการณ์หลายๆอย่าง มันเหมือนจะเป็นอย่างนั้นเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ9 (13-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 14-05-2016 10:42:14
กานต์ไม่ต้องกลัว กานต์ต้องทำให้แม่สามีรักได้อยู่แล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ9 (13-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 14-05-2016 10:57:10
อาชัชปล้ำแม่กานดาแล้วเลยมีกานต์เป็นลูกรึเปล่าเนี่ย บรรยากาศให้เดาเป็นแบบนี้มากๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 1ุ9 (13-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 14-05-2016 14:07:19
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 18-05-2016 19:45:14




20 .



หนาวเนื้อห่มเนื้อจึงหายหนาว หนาวราวอกร้าวห่มอกหาย
หนาวรักห่มรักอุ่นรักสบาย หนาวคลายเพราะห่มที่สมกัน...


เช้านี้ตอนรู้สึกตัวตื่น เรียกว่าทันทีที่ลืมตาเนื้อเพลงเก่าท่อนนี้ก็แวบเข้ามาในหัว ใช่ว่าอยากจะทำตัวแก่ให้สมกับฐานะเจ้าของโรงแรมใหญ่ แต่เป็นเพราะความรู้สึกมันพลุ่งพล่านจนทำให้ผมแน่ใจ... ขอเพียงมีกานต์ในอ้อมกอด หนาวเนื้อพลันอุ่นในอกจนอยากหลับตานอนสบาย ไม่อยากปล่อยให้ห่างกันเลยสักวินาทีเดียว


กำลังคิดอะไรเพลินๆ เจ้าตัวจ้อยขยับซุกไม่รู้เรื่องแต่เล่นเอาอะไรต่อมิอะไรในตัวผมเตรียมจะลุกพรึ่บไปหมด เช้าๆอย่างนี้ยิ่งไม่ได้การเดี๋ยวจะพาลไม่ต้องออกจากห้องไปทำงานทำการกันพอดี ผมจึงค่อยๆประคองร่างน้อยแล้วถอนตัวเองออก ผ่อนศีรษะยุ่งๆลงบนหมอนนุ่มแล้วชักผ้าคลุมให้ความอุ่นแทน เจ้าตัวดีนอนต่อไม่รู้เรื่อง หลับสนิทยังงี้มันน่า...!


ตอนยังเด็กผมไม่ใช่พี่ชายที่ดีเลิศอะไรนักหนา มีน้องสาวกับเขาอยู่คนก็ไม่ใช่ไม่รัก แต่เห็นทีไรมันอดแกล้งไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาภาวิณีหลับจะโดนผมกวนสารพัดรูปแบบ เบาะๆก็เป่าลมใส่หน้า ถอนผมมาแหย่จมูก ไปถึงขั้นดึงตุ๊กตาที่ยัยภากอดอยู่ออก เวลาจิ้มแก้มนิ่มๆเกิดหมันเขี้ยวจริงๆก็เผลอหยิกจนน้องตกใจร้องไห้จ้า แม่กับพี่เลี้ยงจะรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาดูส่วนผมแอบหลบไปหัวเราะด้วยความสะใจ เสร็จแล้วค่อยย้อนกลับมาทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร พอนึกย้อนกลับไปก็อยากด่าตัวเองว่า...โรคจิตจริงๆ!


ทีนี้ก็มาถึงคนที่กำลังหลับสบาย พอได้เห็นร่องรอยที่เกิดขึ้นจากความหน้ามืดของตัวเองอาการโรคจิตเลยกลายเป็นความละอายและสงสารจับใจ ไม่ต้องเปิดผ้าห่มออกก็รู้ได้ว่าร่างบางมีทั้งรอยมือ รอยจูบ ขาวๆแบบนี้ยิ่งเห็นชัดจนลายพร้อยไปทั้งตัว ริมฝีปากสีชมพูฉ่ำกลายเป็นแดงช้ำเพราะเจ้าตัวต้องกัดฟันเก็บกลั้นความเจ็บปวดในขณะที่ตัวผมเองไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เห็นอย่างนี้แล้วอยากหมุนเวลากลับเพื่อถนอมและอ่อนโยนกับคนน่ารักให้มากกว่าที่ทำลงไป


เมื่อย้อนเวลาไม่ได้เลยขอแก้ตัวใหม่ด้วยมอร์นิงคิสเบาๆ ครั้งแรกที่หน้าผาก... อืม ท่าจะเบาไป คนโดนหอมไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ลองซ้ำอีกทียังเฉย เลื่อนลงมาหน่อย แก้มซ้ายก็แล้ว แก้มขวาก็ยัง... นิ่งสนิท อยากจะลองที่ปากกลัวยิ่งเจ็บเลยจูบลงเบาๆที่ปลายจมูก ได้ผล เด็กขี้เซาขยับจมูกดุ๊กดิ๊กคงจะรำคาญ


“อื๊อออ คุณกร...”


“หืม?” ผมขานรับแล้วโอบกระชับร่างบางที่ขยับเข้ามาหา ดึงผ้าห่มมาห่อให้ความอุ่นและกันความขาวกระแทกตา


“...จะนอน...”


ผมหลุดขำเบาๆ ไม่รู้ต้องทำยังไงถึงจะถูกใจคนละเมอ ถ้าอยากนอนแสดงว่าจะให้ผมไปไกลๆ แล้วไอ้ที่ทำเหมือนผมเป็นหมอนข้างเลยกอดไม่ปล่อยนี่หมายความว่า...?


“กานต์” ผมเรียกแล้วลองแตะปากสีช้ำ แน่ะ! มีจูบตอบ เลยต้องรีบยกเรื่องงานมาข่มใจกันเต็มที่ “เช้าแล้ว คุณกรต้องลงไปทำงานนะครับ”


“หือออ กี่โมงแล้ว...”


คนขี้เซาสะลึมสะลือลืมตาทีละข้าง พยายามโงหัวขึ้นมองนาฬิกาแล้วก็ทิ้งตัวลงหมอนหมดแรง ผ้าที่อุตสาห์คลุมให้เลยเปิดโชว์ผิวเนียนขาวสว่างจนผมต้องข่มใจไม่ไล่สายตาไปตามรอยแดง และยอดอกสีช้ำเพราะพาลจะนึกถึงความหอมหวานที่ลิ้มรสมาตลอดทั้งคืน แต่เจ้าตัวดีกลับทำท่างัวเงียไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รู้เลยว่าจริตซื่อๆของหนุ่มน้อยไม่เดียงสาอย่างนี้มันยั่วอารมณ์ดีนักล่ะ


“นอนต่อเถอะ อนุญาตให้ลาป่วยหนึ่งวัน”


ดึงผ้าห่มให้เหมือนเดิมแล้วลูบเรือนผมนุ่มให้ยุ่งน้อยลง ทำไปทำมาเหมือนเลี้ยงลูกมากกว่าดูแลแฟน แถมเป็นลูกที่เถียงคำไม่ตกฟากซะด้วย!


“ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย”


“ไม่เป็นหน่อยแต่เป็นเยอะเลยน่ะสิ ตัวก็รุมๆแล้วแถมจะลุกไม่ไหว จะเอาแรงที่ไหนลงไปทำงานหืม” แกล้งแซวพลางบีบจมูกเล็กโยกเล่นเบาๆ นึกแล้วขำ ผมเคยจะทำแบบนี้กับสาวคนหนึ่งแต่เธอร้องห้ามเสียงหลงเพราะกลัวจมูกเบี้ยว!


“ก็...” ส่วนคนนี้นอกจากไม่กลัวแล้วยังยู่หน้าทำปากยื่นใส่ผมอีก “เพราะคุณนั่นแหละ!”


“ครับๆ ยอมรับผิดแล้ว นอนต่อนะครับคนเก่ง เดี๋ยวจะรีบเคลียร์งานตอนเช้า เสร็จแล้วจะขึ้นมารับลงไปกินข้าว รอไหวมั้ย หิวหรือเปล่า”


ผมถามแล้วกลายเป็นนึกแปลกใจตัวเองว่าเคยแสนดีกับใครขนาดนี้มาก่อนหรือเปล่า เอาจริงๆผมก็ไม่ใช่ผู้ชายดีเด่อะไร แฟนกี่รายๆที่เลิกกันไปมักบอกว่าทนผมไม่ได้ เพราะเรื่องเจ้าชู้บ้างล่ะ ไม่ค่อยมีเวลา ไม่เอาใจใส่กันบ้างล่ะ และอีกเหตุผลที่ยังคาใจมาจนทุกวันนี้... ไม่เคยทำให้เขารู้สึกว่าเป็นที่รัก ถ้าผมเคยเลวอย่างนั้นจริงก็ขอให้มันเป็นแค่อดีต ผมอาจไม่รู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือแก้ไขอะไรที่ตรงไหน แต่ผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ต้องเสียเขาคนนี้ไป


“มองหน้าแบบนี้จะหาเรื่องอะไรคุณกรอีกหือ?”


กานต์นอนมองตาแป๋ว ได้ยินคำถามแล้วยิ่งยิ้มมีเลศนัย มันน่าจับรีดความลับนัก


“หาเรื่องไม่รักคุณกรแหละ”


“แล้วหาเจอมั้ย”


“ช่วยหาหน่อยสิครับ”


แค่พูดไม่พอยังเอาตัวเองมาอยู่ในอ้อมกอดกันเสียอีก เด็กน้อยของผมชักจะกล้าขึ้นทุกวันแล้ว


“ถ้ายังไม่ปล่อยนี่แหละจะเป็นเรื่องให้คุณกรรักกานต์ได้แน่ อีกสักรอบก่อนลงไปทำงานก็ดีเหมือนกันนะ”


“อื๊อออ ไม่เอ๊า ปล่อยผมน๊าาาา!!!”


จากที่เพิ่งตื่น ดูเหมือนเด็กป่วยไม่มีแรงกลับดิ้นจนเกือบตะครุบไม่ทัน แต่อย่าลืมว่าผมเองก็เป็นผู้ชายย่อมรู้ว่าจุดอ่อนของบุรุษเพศไม่ใช่เรื่องของเส้นผม เพียงกำความลับนั้นไว้ได้ ร่างบางก็แข็งขึง โยกคลึงตามจังหวะที่เคยมือไม่กี่ครั้งก็ถึงจุดสุดท้ายที่กระแสธารจะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมเสียงครางยาว


“คุณกรอุ้มไปล้างตัวให้เอามั้ย” ผมกระซิบถามชิดหน้าผากชื้นเหงื่อ คนตัวเล็กยังหอบเลยไม่ยอมตอบแถมเอาหน้ามุดหมอนหนีซะอย่างนั้น “โอเคครับ งั้นนอนพัก เอาไว้จะลงไปกินข้าวค่อยอาบน้ำทีเดียวก็ได้”


ผมจูบย้ำรอยแดงหลังต้นคออีกทีแล้วตัดใจลุกออกจากเตียง จังหวะเดียวกับที่อีกคนพลิกตัวกลับมา...


“คุณกร...”


ผมมองตอบแววตาสุกใส พวงแก้มขาวแต่งแต้มสีแดงระเรื่อ ท่าทีอึกอักผมเลยชิงบอกให้แทน


“รักกานต์นะครับ”


คาดว่าผมคงพูดถูกใจ คนตัวขาวเลยกลั้นอายลุกขึ้นมาจุ๊บปากเป็นรางวัลแล้วชักผ้าห่มคลุมโปงต่อ แต่พอผมอาบน้ำเสร็จออกมาแต่งตัวก็มีคนรู้ใจจัดไว้ให้ครบทั้งชิ้นนอก ชิ้นใน เนคไท ผ้าเช็ดหน้าไปจนถึงถุงเท้า แม้แต่กระเป๋าสตางค์กับมือถือที่เที่ยววางส่งแล้วต้องเดินหาก่อนออกจากห้องทุกเช้าก็ยังมารวมอยู่ที่เดียวกัน ลองใครเจอเข้าแบบนี้ถ้ายังอดใจไม่รักได้ก็เทวดาแล้วว่ามั้ยครับ


เช้านี้ผมเลยออกจากห้องพักลงมาทำงานด้วยสภาพร่างกายและจิตใจพร้อมเต็มที่ นี่ถ้ามีประชุมโปรเจคท์ใหญ่ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนรับรองฉลุย แต่ถ้าจะไม่ผ่านก็คงเพราะมารผจญที่โผล่มาในคราบเลขาคนสนิทนี่แหละ


“วันนี้ท่าทางแปลกๆ เป็นอะไรหรือเปล่า” พอเคลียร์ตารางงานกันเสร็จ วรเมธคงสบโอกาสเลยทำหน้าซีเรียส ถามเสียงเครียด พอผมส่ายหน้า ทำท่าสบายอารมณ์ของผมต่อแล้วฟังคารมคนขี้อิจฉาซะบ้าง “งั้นก็หุบยิ้มซะบ้าง รู้ว่าแฮปปี้ แต่ใครเห็นเข้าจะนึกว่าเจ้าของโรงแรมนี้มันเพี้ยน”


“ของอย่างนี้ไม่ลองเองกับตัวไม่รู้ นี่ฉันพูดในฐานะเพื่อนเลยนะเมธ นายเองก็เลิกทำเป็นตาแก่แล้วหัดมีความรักซะบ้าง ชีวิตมันจะได้กระชุ่มกระชวย”


ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าแต่เอกสารชุดสุดท้ายที่เมธส่งมาให้ดูคือเรื่องที่ผมเคยเอ่ยปากกับพี่สาวเจ้าตัวแสบไว้ เนื้อหาคร่าวๆคือเธอขอรับเป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาโทแลกกับการทำงานใช้ทุนตามแต่ทางโรงแรมจะพิจารณา กับอีกเงื่อนไขที่ใกล้กว่าคือการขอเข้าฝึกงานในช่วงปีสุดท้ายของการศึกษา ไม่รู้ว่าข้อนี้เจ้าเลขาใหญ่หรือแม่สาวน้อยตาคมเป็นคนเสนอ แต่ผมในฐานะเจ้าของทุนก็ต้องสนองให้ไปตามระเบียบ


“งั้นถ้ากระผมจะขออะไรสักอย่างท่านประธานจะให้มั้ยล่ะครับ”


“แน่นอน นายไม่ใช่แค่เพื่อนแต่เป็นเหมือนแขนขาที่ช่วยให้ฉันมีวันนี้ได้ ฉันยังไม่เคยได้ตอบแทนให้สมกับที่นายทุ่มเทให้กับที่นี่เลย”


“ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย ฉันเลยไม่กล้าขอ”


ผมหมายความตามทุกคำที่พูด แต่เพราะไม่ได้ทำท่าซีเรียสกับเรื่องคุยกันเล่นๆบ่อยนัก เมธเลยอาจไม่ชิน


“เฮ้ย! ไม่ต้องเกรงใจ นายอยากได้อะไรบอกมา ถ้าไม่ใช่เดือนกับดาวฉันว่าฉันหาให้ได้ทุกอย่างน่ะ”


“งั้นฉันขอ...” เห็นรอยยิ้มมันแล้วชักได้กลิ่นทะแม่งๆ “กานต์”


“ไอ้...” ผมชี้หน้าแล้วคว้าอะไรสักอย่างที่ใกล้มือที่สุด


“เดี๋ยว!” ไอ้เพื่อนบ้ารีบยกแฟ้มขึ้นมาเป็นกันชน “อะไรวะ เมื่อกี้นายเพิ่งซึ้งใจในความอดทนทุ่มเทของฉันอยู่เลยนะ”


“แต่ที่มึงขอมันมากไป มากเกินกว่ามากที่สุดอีกจะบอกให้ เว้นไว้คนนี้คนเดียว ให้ไม่ได้โว้ย!”


อีกครั้งที่ผมแน่ใจในทุกคำที่ออกจากปาก และความจริงวรเมธเองก็รู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร มันถึงได้กล้าแสยะยิ้มแล้วพูดใส่หน้าผมบ้าง


“ก็ดี เท่านี้แหละที่อยากได้ยิน”


ผมว่าผมไม่ได้เขินนะแต่ก็อดรู้สึกร้อนๆที่หน้าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าเมธได้ทีหัวเราะแซวใหญ่ แต่พอมันก้มดูข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาในมือถือเท่านั้น...


“แม่นายมา”


บรรยากาศมาคุขึ้นทันที ไม่ทันถึงอึดใจประตูห้องทำงานก็เปิดออกโดยไม่มีเสียงเคาะขออนุญาตแสดงว่าคุณภัทราพรคงจะร้อนใจไม่น้อย


“เมธอยู่ก่อนก็ได้นะ” แม่พูดเป็นเชิงอนุญาตแต่ใครฟังก็รู้ว่าเป็นคำสั่ง เจ้าเมธเลยต้องนั่งลงอย่างเดิม ส่วนผมยังไม่ได้ทันกระดิกตัวก็มีของบางอย่างวางลงตรงหน้า “แม่ต้องการคำอธิบาย”


โดยปกติผมจะอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจแต่ก็เคยผ่านตาหน้าข่าวสังคมของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่มาบ้าง ในกรอบยาวริมด้านหนึ่งจะมีข่าวฝากหรือไม่ก็เรื่องซุบซิบแวดวงไฮโซอยู่ไม่ขาด และหนึ่งในนั้นคือข้อความสั้นๆใจความว่าแม่ผมยอมเปิดบ้านให้ถ่ายแฟชันเป็นกรณีพิเศษ เพราะอยากอวดสมาชิกใหม่ที่มีแววจะกลายเป็นหนุ่มฮอตของวงสังคมในไม่ช้า


“เด็กที่ชื่อกานต์นั่นเป็นใครมาจากไหนถึงกล้าแอบอ้างจนนักข่าวเอาไปเขียนได้ขนาดนี้ ตั้งแต่เช้ามีแต่คนโทรมาถามจนแม่ต้องปิดมือถือหนี นี่ถ้ามีใครสืบรู้จนตามมาถึงที่โรงแรมคงได้งามหน้ากันล่ะ แม่ว่าตัดปัญหา กรไล่เด็กคนนั้นออกไปซะเลยดีกว่า”


“แม่ครับ!” ไม่บ่อยนักที่ผมจะร้องเสียงหลง แต่ไม่ไหวจริงๆ ได้ยินแล้วมันวาบเหมือนหัวใจจะหายออกไปจากอกยังไงยังงั้น เมื่อแรกที่วางแผนจะใช้กานต์เพื่อยุติการจับคู่คลุมถุงชนผมก็เคยคิดว่าจะมาถึงจุดที่ต้องเผชิญหน้า แต่อะไรที่เคยคิดไว้เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผมในตอนนั้นไม่ได้แคร์ความรู้สึกของแม่ตัวเอง และลืมนึกว่าถ้ากานต์รู้ความจริงเข้าจะเสียใจมากแค่ไหน มันน่าด่าความสิ้นคิดของตัวเองชะมัด!


“ทำไมล่ะ เด็กนั่นเป็นแค่ลูกหนี้ไม่ใช่หรือไง ไม่ได้มีตำแหน่งหรือทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักหน่อย ที่มาอ้างว่าเป็นผู้ช่วยเมธหรือเลขากรนั่นน่ะพูดไปก็ขายขี้หน้าเขาเปล่าๆ เด็กที่ไม่มีทั้งความรู้ ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีประสบการณ์อะไรสักอย่างจะมาทำงานในตำแหน่งสำคัญขนาดนี้ได้ยังไง หรือกรอยากให้คนเขานึกว่าโรงแรมเราเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า”


ทุกคำของแม่จริงจนผมไม่รู้จะยกอะไรที่จริงกว่านั้นมาโต้แย้ง โชคดีที่ยังมีวรเมธคอยอยู่เป็นกำลังเสริม


“แต่กานต์ไม่มีความผิดอะไร และผมว่าเขาก็ทำงานในส่วนของเขาได้ดีนะครับ”


“นี่แสดงว่าสองคนเข้าข้างกัน” แม่มองเราทั้งคู่ด้วยความผิดหวัง อย่างที่บอกว่าหลังๆมานี่แม่มักจะฟังมันมากกว่าผมเสียอีก ทีแรกท่านคงคิดว่าเมธไม่น่าจะเห็นด้วย พอเหตุการณ์ออกมาในรูปนี้เลยต้องพลิกหาทางเลือกอื่น “เอาล่ะ ถ้าเด็กนั่นเก่งกาจเหลือเกิน งั้นก็ส่งไปอยู่ที่อื่นซะ โรงแรมเรามีตั้งหลายสาขา คนเก่งจริงอยู่ที่ไหนก็ได้นี่”


“แต่ผมต้องการให้กานต์อยู่กับผมที่นี่!”


เวลาจริงจังหรือต้องการอะไรให้ได้อย่างใจ ผมมักจะเสียงดังขึ้น ผิดกับน้ำเสียงแม่ที่จะยิ่งนิ่งและเบาลงราวกับจะเก็บกดอารมณ์เอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงานใหญ่


“อย่าให้แม่ต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูดนะกร”


“พูดมาเถอะครับ ผมรับได้ทุกอย่าง”


“ภากร! นี่ลูกจะยอมรับว่าชอบเด็กคนนั้น...” ผมอาจจะรอให้แม่เป็นคนพูดประโยคนี้ก่อนก็ได้ เพราะมันหมายถึงท่านได้เผยไม้ตายทุกอย่างแล้ว “ไม่จริง! ลูกฉันไม่ใช่พวกวิปริตผิดเพศถึงจะได้ไปชอบผู้ชายด้วยกัน!”


เมื่อท่านกรีดเสียงดังขึ้น ผมก็ด่าตัวเองว่าลูกทรพีได้เต็มปาก เพราะดูไปก็เหมือนผมกดดันให้แม่ต้องยอมรับในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกท่านที่สุด แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่เราทุกคนจะต้องทนหลอกตัวเองตลอดไป


“ผมยังขอยืนยันว่าไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ผมชอบกานต์ แค่กานต์คนเดียวเท่านั้นครับ”


“แล้วคนที่แม่หามาให้ทำไมกรถึงไม่ชอบ ทุกคนเพียบพร้อมทั้งหน้าตา ชาติตระกูล ความรู้ความสามารถ แล้วเด็กนั่นมันมีดีอะไรนักหนา?!”


ข้อนี้ผมก็เถียงไม่ออกอีก ไม่ต้องกลับไปดูแฟ้มก็รู้ได้เลยว่าแม่ต้องคัดสรรคนที่ดีที่สุด เชื่อว่าสายตาแม่ต้องรอบคอบและเฉียบคมกว่าตัวผมเอง แต่คงเป็นเพราะผมไม่ได้ใช้แค่สายตามองหาคนที่ใช่ล่ะมั้ง


“ผมก็ไม่รู้ว่ากานต์มีดีอะไร ผมรู้แต่ว่ามีความสุขที่ได้อยู่กับเขา ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครจริงๆนะครับแม่”


“บ้า... ลูกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!” ดวงตาของแม่จ้องมองเหมือนไม่เคยรู้จักคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามาก่อน


“ถ้าเป็นกานต์ผมเต็มใจจะบ้าครับ”


ความจริงจังและจริงใจของผมคงทำให้แม่เป็นฝ่ายพูดไม่ออกบ้าง ท่านเลยหันไปหาวรเมธหวังให้ช่วยอีกแรง แต่อย่างที่รู้ งานนี้เจ้าเมธเข้าข้างผมเต็มๆ


“ถึงผมกับกรจะเพิ่งเจอกันได้ไม่นานแต่ก็กล้าพูดว่ารู้จักเขาในหลายๆด้าน ทั้งตอนที่ทุกข์ที่สุด ล้มเหลวที่สุด จนกระทั่งประสบความสำเร็จเป็นคุณภากรในทุกวันนี้ ไม่ว่าที่ผ่านมาหรืออนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงแต่ที่ผมเห็นตอนนี้คือเพื่อนผมมีความสุข กานต์อาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุดแต่ผมเชื่อว่าเขามีดีพอจะอยู่เคียงข้างกรครับคุณป้า”


ผมยิ้มขอบคุณเพื่อนจากใจ แต่แน่นอนว่าแม่คงยิ้มไม่ออกและไม่มีทางยอมง่ายๆ ท่านกลับไปพร้อมอาการโกรธ ผิดหวัง เสียใจ ทุกความรู้สึกแย่ๆที่ทำให้ผมครองตำแหน่งลูกชายสุดชั่วแห่งปี เอาเป็นว่าผมยอมรับและจะพยายามหาทางออกที่ดีกับทุกฝ่าย


ส่วนตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่เพิ่งค้นพบกับตัวเองว่าเวลามีปัญหาหรือเจอเรื่องแย่ๆ ผมจะคิดถึงและอยากเห็นหน้ากานต์ขึ้นมาจับใจ แต่ก็อีกนั่นแหละ มีข้อหนึ่งที่ต้องจำไว้ ที่รักของผมไม่ใช่คนอ่อนแอที่คอยงอมืองอเท้ารอให้ประคบประหงม แถมเขายังรู้ว่าตัวเองมีอิสระที่จะทำทุกอย่างตามใจต้องการ เพราะขนาดผมสั่งให้รออยู่แต่ในห้อง เจ้าตัวแสบยังแล่นลงมาถึงข้างล่างโดยอ้างเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า...


“ก็คุณบอกจะขึ้นไปหาแล้วลงมากินข้าวด้วยกัน ผมก็เลยลงมาจัดโต๊ะรอไว้เลยจะได้ไม่เสียเวลา” แค่นั้นไม่พอ ยังมีหน้าเอาน้ามาลัยมาเป็นพวก! “ป้าว่ากานต์ทำถูกใช่มั้ยครับ”


“แล้วการที่คนไม่สบายไม่ยอมนอนพัก มาวิ่งวุ่นกับเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่นี่น้าลัยคิดว่าไงครับ”


“ป้าอย่าไปฟังนะ กานต์สบายดี ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”


“งั้นคนสบายดีทำไมถึงยังหน้าซีด แถมใส่เสื้อผ้าซะมิดชิดปิดคอ หนาวมากหรือไง”


ผมถามทั้งที่รู้ดีว่าเจ้าตัวดีตั้งใจจะปิดบังอะไร ส่วนน้ามาลัยเห็นมองยิ้มๆอย่างนั้น เชื่อเถอะว่าต้องรู้เหมือนกัน


“นั่นสิ ป้าว่าคุณกรก็พูดถูกนะลูก”


“แต่กานต์ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆนะครับ ที่...” ตากลมโตจ้องเหมือนจะแค้นผมไม่น้อย “ฮึ่ย! ไม่รู้ล่ะ กานต์สบายดี ใครไม่เชื่อก็ตามใจ”


มันน่าขำมั้ยล่ะ พอเถียงไม่ออกก็ทำเป็นฟึดฟัด เอาส้อมจิ้มของใส่ปากเคี้ยวระบายอารมณ์เฉยเลย แล้วอย่างนี้จะเอาอะไรไปเถียงแม่ว่าแฟนผมไม่ได้เป็นแค่เด็กเมื่อวานซืน ส่วนน้ามาลัยเห็นเจ้าตัวดีกินได้ก็คงวางใจเลยหันมาชวนผมคุยแทน นอกจากเรื่องทั่วๆไปของโรงแรมก็คงจะมีเรื่องนี้ที่ใกล้เวลาเข้ามาทุกที


“ปีนี้คุณภาวิณีจะกลับมาร่วมงานเปิดไฟต้นคริสต์มาสของโรงแรมหรือเปล่าคะ”


“ยัยภาเรียนจบแล้วแต่ยังงอแงขออยู่เที่ยวต่อสักพัก เอาไว้ผมจะถามเขาให้แล้วกันครับ”


“วันเกิดพี่ชายทั้งที ถ้าเธอกลับมาก็คงดี ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตานะคะ” 


น้ามาลัยอยู่เป็นกันชนให้สักพักก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ ก่อนไปไม่วายกำชับให้กานต์ทำตัวดีๆ เจ้าตัวเลยทำหน้ามุ่ยใส่ผมใหญ่


“มานั่งใกล้ๆกันดีกว่าน่า” ผมออกแรงง้อและลากเก้าอี้อีกฝ่ายเข้ามาหา ส่วนบนโต๊ะที่กำลังกินกันอยู่นี่เป็นราดหน้าทะเลจานใหญ่ ของผมน่ะหมดแล้วแต่คนที่ลงมือกินก่อนยังมีเครื่องเหลืออยู่หลายอย่าง ไม่รู้ว่าไม่ชอบหรือจะเก็บเอาไว้กินตอนท้ายกันแน่ “ขอกุ้งให้คุณกรตัวนึงได้มั้ยน๊า”


คนแสนงอนเหล่มอง แอบค้อนเบาๆแต่ก็ยอมตามคำขอ แถมยังเอาหางออกแล้วจิ้มเนื้อกุ้งกรอบๆส่งให้ถึงปาก จู่ๆทำตัวน่ารักขนาดนี้สงสัยจะมีแผน


“ที่ป้ามาลัยพูดถึงเมื่อกี้... วันเกิดคุณเหรอครับ”


นั่นปะไร ว่าแล้วไม่มีผิด ที่ยอมหายงอนง่ายๆเพราะมีเรื่องอยากรู้นี่เอง เอ๊ะ! หรือที่จู่ๆน้ามาลัยถามขึ้นมาก็เพราะตั้งใจให้เป็นแบบนี้


“วันที่ยี่สิบนี่แหละ ฉันไม่ใช่พวกชอบจัดงานให้เอิกเกริกเพราะมันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง แต่คุณแม่อยากให้มีอะไรพิเศษหน่อยก็เลยให้จัดตกแต่งต้นคริสต์มาสให้เข้ากับเทศกาล แล้วกำหนดให้เปิดไฟตรงกับวันเกิดฉัน ทุกปีถ้าไม่ใช่คุณแม่ก็เป็นยัยภาที่เป็นคนกดเปิดไฟ”


เด็กน้อยตั้งใจฟังตาแป๋ว คอยดูเถอะ อีกไม่กี่วันฝ่ายสถานที่จะทยอยขนอุปกรณ์ออกมาติดตั้งที่โถงชั้นล่าง เสร็จเมื่อไหร่คงได้ไปยืนมองตาค้างแน่


“แต่ไหนๆปีนี้ฉันก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วเลยว่าจะยกหน้าที่นี้ให้ซะหน่อย กานต์ว่าดีมั้ย”


ผมถามยิ้มๆ แก้มใสเริ่มมีสีจนซ่านไปทั้งหน้าก่อนจะยอมอุบอิบตอบ


“ก็...แล้วแต่คุณกรสิครับ”


ถ้าทำได้อยากให้แม่มาเป็นผมในตอนนี้จะได้เข้าใจโดยไม่ต้องหาเหตุผลหรือคำอธิบายให้วุ่นวาย หรือจะว่าไปกานต์อาจมีดีเกินกว่าจะให้คำจำกัดความ แฟนผมคนนี้เป็นพ่อมดน้อยปลอมตัวมาหรือเปล่านะ เพราะไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำอะไรถึงได้เหมือนมีคาถาสะกดให้ผมตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุขทุกคราไป






จบตอนแล้วคร้าบ





 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 20 (18-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 18-05-2016 20:17:26
ไม่เอามาม่านะ สงสารน้องกานต์
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 20 (18-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-05-2016 20:44:22
อย่ามาดราม่ากับกานต์เลยนะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 20 (18-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 18-05-2016 21:12:55
คุณกรต้องปกป้องแฟนดีๆอย่าทำให้น้องเสียใจน่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 20 (18-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 19-05-2016 10:57:55
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 20-05-2016 19:36:14




21 .




เป็นอีกครั้งในเวลาห่างกันไม่กี่วันที่ได้มีโอกาสมาเยือน... เรียกว่าคฤหาสน์น่าจะสมฐานะกว่า และแม้จะมีคุณชัชอยู่ข้างๆด้วย ผมก็ยังรู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้องอยู่ดี!


“ไม่ต้องๆ เอามานี่ ”


หันไปตามเสียงเห็นคุณชัชกำลังห้ามคนรับใช้ที่กำลังจะยกตะกร้ากับถุงของฝากเข้าไปเก็บให้เรียบร้อย อาจจะฟังงงๆงั้นขอเท้าความที่มาที่ไปว่าความจริงแล้ววันนี้ผมถูกคุณภัทราพรเรียกให้มาพบที่บ้านเป็นการส่วนตัว แต่พอลงมาหน้าโรงแรม คุณชัชก็ขับรถโฉบเข้ามาพอดี พอเขาเห็นรถเบนซ์คันโตที่จอดเทียบอยู่ก็ไม่ถามอะไรสักคำแต่เชิญตัวเองมาเป็นเพื่อนด้วยเสร็จสรรพ ส่วนของฝากจากบ้านสวนที่ติดท้ายรถมามีทั้งผลไม้หลายอย่าง น้ำตาลสดแท้แถมด้วยขนมตาลนึ่งร้อนๆฝีมือยายเป้า


“ผลไม้เดี๋ยวฉันเอาเข้าไปเอง เอาน้ำตาลสดกับขนมนี่ไปใส่จาน ไอ้ประเภทน้ำผลไม้กล่องๆน่ะเลิกเอาเสิร์ฟแขกได้แล้ว ไม่เห็นจะอร่อยเลย”


ถึงคุณชัชจะเปลี่ยนใจเอาของทั้งหมดมาฝากคนที่นี่แทนผมก็ไม่ว่าหรอก แต่มันไม่น่าดูก็ตรงที่เขาทำท่าจะแบกเข่งทั้งใบขึ้นบ่าเข้าไปให้ถึงมือเจ้าของบ้านที่กำลังรออยู่ที่ห้องรับแขกนี่สิ


“อาครับ พวกพี่เขาแค่ทำไปตามหน้าที่เท่านั้นเอง” ผมรีบปรามคนใจดีแต่หน้าดุแถมเสียงดัง ทำเอาพี่คนรับใช้สาวๆหน้าถอดสี ยืนกลัวไม่กล้าทำอะไรเลย “เอาขนมกับน้ำตาลสดไปจัดใส่จานก็พอ ส่วนผลไม้วางหลบไว้แถวนี้ก่อนแล้วค่อยมาช่วยกันยกไปทีหลัง มีตั้งหลายอย่างแบ่งๆกันไปทานได้เลยนะครับ”


พวกพี่เขารับคำแล้วรีบโกยอ้าวไปพ้นจากสายตาคนตัวใหญ่ พอผมหันกลับมาก็โดนจ้องอยู่แล้ว ชอบทำหน้าอย่างนี้นี่น๊าใครๆเขาถึงได้กลัวกันนัก


“ห่วงเขาไปทั่วแล้วตัวเองน่ะไหวหรือเปล่า”


“มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะครับ” ผมตอบแล้วเดินไปตามทางที่จำได้ พอคนตัวโตก้าวตามเลยต้องหันกลับมา “ให้ผมเข้าไปพบคุณภัทราพรคนเดียวดีกว่าครับอา”


“คนเดียวหัวหาย”


คุณชัชบอกยิ้มๆ ผมเลยกล้าย้อน


“ส่วนสองคนเลยพากันตายใช่มั้ยครับ”


“ดีแล้ว อย่าลืมว่ายังมีฉันอยู่ทั้งคน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะ” พอเขาเห็นผมยิ้มออกก็คงอยากให้กำลังใจเพิ่ม มือใหญ่ยกมาบนหัว วางนิ่งแล้วกดเบาๆจนผมรู้สึกเหมือนมีเรี่ยวแรงบางอย่างเติมเข้ามาในตัว


พอไปถึงห้องรับแขกเล็ก ยังไม่ทันที่เจ้าของบ้านจะเอ่ยทัก คุณชัชก็รีบบอกว่าบังเอิญพบผมและขอตามมาที่นี่โดยไม่มีใครชวนทั้งนั้น สงสัยจะกลัวว่าผมจะโดนถล่มเละตั้งแต่ยกแรก


“ย่ะ!” คุณภัทราพรค้อนใส่ แล้วค่อยปรายหางตามาทางผม ผมเลยรีบยกมือไหว้ “ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ เชิญนั่งทั้งคู่นั่นแหละ”


“แล้ววันนี้คุณภัทมีอะไรให้พวกผมรับใช้อีกแล้วล่ะครับ”


คุณภัทราพรเขม้นตาดุ คุณน้องสามีเลยทำเป็นยกมือยอมแพ้แล้วหันไปรับจานขนมตาลจากคนรับใช้มาทำให้ปากตัวเองไม่ว่าง พอประตูห้องรับแขกเล็กปิดสนิทลงก็ถึงเวลาที่ผมจะถูกคิดบัญชี


“ฉันแค่จะถามว่าทำยังไงเธอถึงจะยอมออกไปจากชีวิตภากร ต้องการอะไร เท่าไหร่ บอกมาได้เลย” แววตาของคุณภัทราพรเย็นชาไม่แพ้น้ำเสียง หางเสียงรายเรียบแต่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนตบหน้า


“คุณภัท!” คนข้างๆผมโวยแทนแต่ก็โดนกำราบในทันที


“ชัช พี่ถามเขา ไม่ใช่เธอ”


ทีแรกสมองผมชาราวกับโดนตบหน้าอย่างที่บอก มืออุ่นแตะข้างแขนเรียกให้หันไปมอง คุณชัชยิ้มบางๆแทนกำลังใจ ผมจึงสูดลมหายใจเข้าแล้วสบตาเจ้าของคำถาม ต่อให้คนโง่ที่สุดก็ต้องรู้ว่าสุภาพสตรีตรงหน้าไม่มีทางยอมรับผม อย่าว่าแต่ในฐานะคนรักของลูกชาย แม้แต่คุณค่าความเป็นมนุษย์ก็ถูกตีค่าเป็นตัวเลขที่เธอสามารถหามาฟาดหัวแล้วสั่งให้ทำอะไรก็ได้


ในขณะที่กำลังหาคำตอบผมก็นึกย้อนไปไม่นาน... เมื่อวานนี้เอง หลังจากเติมพลังด้วยราดหน้าจานใหญ่จนอิ่มแปล้ คุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันเพลินๆ จู่ๆคุณภากรก็มองผมด้วยแววตาเคร่งเครียด เขาดึงผมไปนั่งเบียดอยู่ที่เก้าอี้เดียวกัน วงแขนกว้างโอบรอบเอวแล้ววางคางลงบนไหล่ผมพร้อมอาการทอดถอนใจ...


‘สัญญาอะไรกับคุณกรอย่างนึงได้มั้ย’ ผมในตอนนั้นยังปรับอารมณ์ตามเขาไม่ทันแต่ก็ยอมพยักหน้าเบาๆ ‘ต่อไปข้างหน้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้กานต์ถามความรู้สึกฉันอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไร’


‘มีอะไรหรือเปล่าครับ’ ผมหันไปถามแต่เขากลับมองไปทางอื่นเหมือนกลัวว่าผมจะอ่านความลับได้จากสายตา ‘คุณกำลังทำให้ผมกลัวนะ’


‘ฉันก็กลัว’ เขาบอกเบาๆแล้วหลับตาลง นานทีเดียวกว่าจะยอมหันมาพูดกับผมตรงๆ ‘แต่รู้อะไรมั้ย ถึงจะกลัวมากแค่ไหน ถ้ามีกานต์อยู่ด้วย ฉันมั่นใจว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี’


‘จริงเหรอครับ’


ผมได้คำตอบเป็นสัมผัสอุ่นที่หน้าผาก ลืมตาขึ้นอีกทีก็ได้เห็นรอยยิ้มบางๆ


‘อยู่ข้างๆฉัน อยู่เป็นกำลังใจให้กัน’ มือใหญ่ชูนิ้วก้อยขึ้นมาหา เล่นเอาผมหลุดขำกับมุขเด็กๆ ‘กานต์จะไม่ทิ้งคุณกร สัญญานะครับ’


ผมรู้สึกได้ว่าในดวงตาคู่นั้นมีเด็กชายคนหนึ่งแอบซ่อนอยู่ เด็กขี้กลัวที่ทำเป็นเข้มแข็ง เด็กขี้เหงาที่แกล้งทำเป็นร่าเริง แต่จะโทษว่าเขาเสแสร้งก็คงไม่ได้ ความรับผิดชอบใหญ่หลวงที่ต้องแบกรับก่อนเวลาอันควรทำให้เขาสร้างเปลือกขึ้นห่อหุ้มให้ตัวเองปลอดภัย เมื่อมีบางอย่างมากระทบย่อมก่อเกิดรอยร้าว อีกฝ่ายคือแม่ตัวเองเลยยิ่งกลายเป็นเรื่องยากที่ผมคงช่วยได้เพียง...


‘ถ้าคุณกรยังต้องการผม ผมก็จะไม่ไปไหนครับ’


ผมไม่ได้แค่เกี่ยวก้อยแต่แทรกทุกนิ้วประสานเข้ากับฝ่ามือใหญ่เพื่อส่งผ่านความรู้สึกที่มากกว่าคำพูด และแม้คำสัญญาของเราจะยิ่งทำให้สถานการณ์ระหว่างแม่ลูกเลวร้ายลง แต่ในเมื่อคุณภากรไม่คิดที่จะถอย ผมก็พร้อมยืนหยัดเพื่อเขา


“ผมไม่ได้ต้องการอะไร ไม่อยากได้เงินเลยสักบาท และผมพร้อมจะไปทุกเมื่อ ขอแค่ว่าถ้าผมทำอย่างนั้นแล้วคุณภากรจะมีความสุขครับ”


“นี่เธอ...!”


ไม่รู้ว่าคุณภัทราพรจะเห็นค่าในคำตอบของผมแค่ไหน แต่มือเรียวขาวขยุ้มหมอนใบที่วางเท้าศอกจนผมนึกเสียว ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาภาพพจน์ ผมคงถูกบีบคอตายคามือไปแล้ว


“ผมพูดจริงๆนะครับ ขอเพียงท่านรับปากว่าคุณกรจะมีความสุข ถ้าไม่มีผมแล้วเขายังยิ้ม ยังหัวเราะได้เหมือนเดิม ถ้าผมไม่อยู่แล้วเขาจะไม่ต้องเหงา ไม่ต้องกินข้าวคนเดียว ผมก็ยินดีไปทันทีและสัญญาว่าคุณกรจะไม่มีวันได้พบผมอีกเลยตลอดชีวิต ท่านสัญญากับผมได้หรือเปล่าล่ะครับ”


ผมย้ำเงื่อนไขอีกครั้งแต่ชักใจแป้วเมื่อเจอสายตาดูแคลนที่เหยียดมองผมเป็นเด็กเมื่อวานซืน ริอาจตีฝีปากกับคนที่เหนือกว่าในทุกๆด้าน


“ลูกชายฉันมีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ ทำไมเขาจะอยู่ต่อไปไม่ได้ เธอนั่นแหละที่จะทำให้ชีวิตเขาแย่ลง คิดบ้างหรือเปล่าถ้าใครๆรู้ว่าเขาชอบผู้ชายด้วยกันแล้วจะเป็นยังไง จะปล่อยให้ชื่อเสียง เกรียติยศ ความดีงามที่สั่งสมมาพังพินาศลงไปเพราะเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเธอน่ะเหรอ”


“แต่...” ผมรู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนเล่นงานประเด็นนี้ ขอแค่มีโอกาสได้อธิบาย...


“อย่ามาอ้างเรื่องหัวใจ หรือความรักหน่อยเลย เธอเป็นเด็กเลยคิดว่าอะไรๆมันจะสวยงามแค่เพราะคนสองคนรักกันล่ะสิ แต่ฉันจะบอกให้ว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เธอฝันหรอกนะ ตื่นขึ้นมาดูความเป็นจริงซะบ้าง ผู้ชายยังไงก็ต้องคู่กับผู้หญิง ถึงคนเดี๋ยวนี้จะไม่ได้รังเกียจความรักผิดเพศผิดเหล่าแต่ก็ไม่มีใครเขายกย่องสรรเสริญ ถึงเธอกับลูกชายฉันจะรักกันแทบตายแล้วยังไง แต่งงานกันได้หรือเปล่า มีลูกมีหลานสืบทอดวงศ์ตระกูลได้มั้ย ภากรเป็นลูกชายคนเดียวของฉัน เป็นความหวังเดียวของครอบครัว ถ้าเขามาจมปลักอยู่กับคนอย่างเธอแล้วจะเรียกว่ามีอนาคตได้เหรอ เธอรับผิดชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าไหวหรือเปล่าฉันถามจริงๆ”


ผมโดนกระหน่ำจนนับบาดแผลแทบไม่ทัน ทุกข้อกล่าวหาจริงจนไม่อาจปฏิเสธ ได้แต่ก้มหน้าด้วยความละอายใจ ปล่อยให้เรี่ยวแรงและความกล้าหาญที่คิดว่ามีหลั่งไหลออกจากตัวไปจนหมด คุณชัชคงนึกสงสารแต่ไม่ทันได้พูดอะไรก็โดนหมายหัวไปอีกคน


“เธอเองก็เหมือนกันนะชัช เห็นดีเห็นงามไปกันหมด คิดจะเสี้ยมหลานให้กลายเป็นตัวประหลาดหรือไง”


ผมยิ่งกำมือแน่น รู้สึกผิดจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า ถ้าผมแอบมาที่นี่คนเดียวตามคำสั่งคุณภัทราพรแต่ทีแรกคงดีกว่านี้ อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องลากคนอื่นมาเดือดร้อนด้วย


“แฟ้มที่เอาไปวันนั้นผมดูหมดแล้วนะ” คุณชัชกลับตอบไปอีกทาง น้ำเสียงเรื่อยๆอย่างคนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้ความกดดันของใครง่ายๆ “ผู้หญิงทุกคนดีหมด ผมเองยังคิด ถ้าได้เมียอย่างแม่หนูพวกนี้สักคนก็แจ๋ว ในฐานะที่เป็นผู้ชายเหมือนกันผมว่ากรเองคงเห็นด้วย แต่พูดก็พูด ถึงการแต่งงานจะไม่ได้สำคัญที่ความรักเพียงอย่างเดียว แต่คุณภัทคงไม่ปฏิเสธว่าการต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก มันก็นรกดีๆนี่เอง”


“เธอหมายถึงใคร...?!”


ทีแรกที่คิดตามคำพูดของคุณชัชแล้วก็แค่รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ท้ายเสียงของคุณภัทราพรนั่นต่างหากที่สะดุดหู เริ่มเอะใจว่าจะอาจมีอะไรอยู่เบื้องหลังความพยายามจับลูกชายเข้าหอ


“ก็ทั่วๆไปน่ะครับ ผมเห็นหลายคู่ที่จำใจอยู่ด้วยกันไปงั้นๆ ถึงจะรอดแต่ลุ่มๆดอนๆเหลือทน ดูยังไงก็ไม่เห็นมีความสุข”


ผมแอบมองและได้เห็นคุณภัทราพรหน้าเสีย ในขณะที่คนข้างๆผมยังพูดไปจับระบายหมอนเล่นไปเรื่อยเปื่อยตามสไตล์


“แล้วเธอจะให้หลานต้องโดนสายตาดูถูก ได้ยินเสียงนินทาเยาะเย้ยไปตลอดชีวิตหรือไง!”


“บางครั้งการที่เราแคร์คนอื่นมากไปก็ไม่ใช่จะดีนะครับ” ดวงตาดำเข้มเงยมองคู่สนทนาแล้วคงเห็นดีกรีความตึงเครียดจึงยอมผ่อนปรนให้บ้าง ไม่อย่างนั้นคงได้มีใครเส้นโลหิตในสมองแตกสักเส้นสองเส้น “โอเค ผมไม่เถียงว่าที่กรกับกานต์เป็นผู้ชายทั้งคู่คือจุดเริ่มต้นของปัญหา แต่พวกเขาก็แค่ผิดที่เกิดมาเป็นแบบนี้ ไม่ได้ผิดที่จะรักกันสักหน่อย ผมอยากให้คุณภัทเปิดใจยอมรับอีกสักนิด อย่างน้อยก็ในฐานะแม่ที่น่าจะอยากเห็นลูกมีความสุขไม่ใช่หรือครับ”


โดนไม้นี้เข้าไปนึกว่าคุณภัทราพรจะพูดไม่ออกบ้าง แต่เปล่าเลย สายตาคมกริบเหยียดมองผมแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปจ้องคนตัวโตอย่างเป็นต่อ


“ใช่สิ! เห็นลูกกำลังจะก้าวลงเหว ฉันในฐานะแม่ก็ต้องรั้งเขาไว้ ไม่ใช่ปล่อยให้ตกลงไปแล้วค่อยช่วยดึงเขาขึ้นมาทีหลัง”


“ให้ตาย! ผมไม่เคยเถียงคุณภัทชนะสักที” ขนาดคุณชัชเองก็คงรู้สึกว่าอะไรๆไม่ได้ง่ายอย่างที่หวัง “แต่ไม่ว่ายังไงผมก็อยากให้ลองคิดดูอีกที คุณภัทไม่ได้เสียอะไรเลย ตรงกันข้ามกลับจะได้ลูกชายน่ารักๆเพิ่มขึ้นมาอีกคนเชียวนะครับ”


“ฉันไม่คิดสั้นอย่างพวกเธอนี่ จะเอาทำไมคนครึ่งๆกลางๆ สู้ให้กรแต่งงานมีเมียเป็นผู้หญิงแล้วมีหลานมาให้เลี้ยงต้องดีกว่าอยู่แล้ว”


“พอเถอะครับอา” ผมรีบแตะท่อนแขนใหญ่เป็นเชิงห้าม สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วยุติการเผชิญหน้าที่ไม่มีใครชนะนี่ซะ “ผมเข้าใจแล้วครับ” 


“แสดงว่าเธอก็ยังเป็นเด็กที่มีสมองอยู่บ้างนะ ถ้าเข้าใจแล้วก็ดี”


สารภาพตามตรงว่าตั้งแต่จำความได้ ผมอาจโดนล้อ โดนถากถางมาสารพัดรูปแบบ แต่ก็ยังไม่เคยโดนรังเกียจหรือถูกมองด้วยสายตาดูถูกขนาดนี้มาก่อน สมกับเป็นแม่ลูกที่มีความดื้อรั้นไม่แพ้กัน การจะทำให้คุณภากรเลิกรักก็คงยากพอกับจะให้แม่เข้านึกรักผมได้ แต่คุณภัทคงลืมนึกไปว่านอกจากสมองแล้ว เด็กอย่างผมก็มีหัวใจ


“แต่ไม่ว่าท่านจะพูดยังไง ผมก็ขอยืนยันคำเดิม คนเดียวที่จะสั่งให้ผมไปได้คือคุณกร ผมขอโทษที่ทำให้ท่านเสียเวลาและเสียความรู้สึก ถ้ามีอะไรที่จะไถ่โทษได้ผมก็ยินดีทำอย่างสุดความสามารถ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ผมคงทำได้แค่ขอโทษครับ”


ผมลุกขึ้น ยกมือไหว้ ทั้งเอ่ยลาและขอโทษอีกครั้งที่เสียมารยาท เสร็จแล้วหันหลังเดินลิ่วมารอที่รถ คุณชัชตามมาไม่พูดอะไรและพาผมออกจากที่นั่นทันที แต่จุดหมายปลายทางไม่ใช่โรงแรมซึ่งก็ดี เพราะถ้าต้องเจอคุณภากรตอนนี้ผมคงทำหน้าไม่ถูก
รถจอดสนิทแล้วแต่ผมคงยังนั่งเหม่อ สารถีเลยต้องลำบากมาเปิดประตูให้ ขนาดลงมายืนบนพื้นยังรู้สึกเหมือนขาไม่มีแรง จะเดินสักก้าวก็เซไปชนเขาเสียได้


“คนเก่ง ไม่เป็นไรแล้วนะ” เสียงห้าวกระซิบบอกแล้วกอดผมไว้ กลิ่นบุหรี่จางๆชวนให้คันจมูกเลยต้องถูหน้ากับแผงอกกว้าง เขาคงคิดว่าผมเป็นเด็กขี้แยเลยลูบหัวพลางกระซิบปลอบ   “ตรงนี้มีแค่เราสองคน ถ้าอยากจะร้องก็ร้องเถอะ”


“เปล่าครับ ผมแค่...” ผมเงยหน้าจะอธิบาย แต่...


“อย่าเห็นฉันเป็นคนอื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้คิดซะว่าฉันเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ หรือจะเป็นพ่อก็ยังได้ เมื่อไหร่ที่เสียใจ อยากทำตัวอ่อนแอ อยากร้องไห้ก็ให้มาหาฉันนะรู้มั้ย”


ดวงตาสีดำสนิทก็ทำให้ผมพูดไม่ออกอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอคำพูดที่มีมากกว่าความอ่อนโยน หัวใจจึงถูกกระตุ้นให้ปลดปล่อยความอ่อนแอที่เก็บซ่อนออกมาในรูปหยดน้ำใสๆ ฝาดเฝื่อนด้วยรสแห่งความเศร้าหมอง ขุ่นคลั่กดั่งตะกอนแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา... ใช่แล้วครับ ถึงไม่อยากยอมรับแต่ผมกำลังร้องไห้จริงๆ ร้องอย่างที่เรียกว่าปล่อยโฮ ไม่มีกั๊ก ไม่มีเก็บกลั้นอาการสะอื้น ระบายออกไปทุกอย่างจนแผงอกกว้างชุ่มโชกทีเดียว


ผมรู้แต่ว่าอยู่ในอ้อมกอดของคุณชัชนานมากกว่าจะหยุดทำตัวขี้แยได้ พอช่วยปาดน้ำตาเม็ดสุดท้ายเสร็จ เขาก็จัดการกับตัวเองบ้าง...


“อาชัช...?!” ตาบวมเป่งของผมแทบถลนออกจากเบ้าเมื่อจู่ๆคนตรงหน้าก็แกะกระดุม ปลดเข็มขัด ถอดทุกชิ้นจนเหลือแค่...บอกเซอร์สีดำ...หน้าตาเฉย แต่อะไรไม่ร้ายเท่าที่จะมาลอกคราบผมด้วยนี่สิ! “ฮะ..เฮ้ย! แล้วอาจะทำอะไรผมเนี่ย?! ปล่อยนะ!!”


“ร้องไห้จนหน้าตามอมแมมเป็นลูกหมาแล้ว ไปอาบน้ำกันดีกว่า” คุณชัชบอกแล้วโชว์ยิ้มตาพราว ท่าทางสนุกเขาล่ะ


“อาบน้ำ?! จะอาบก็ขึ้นบ้านสิครับ มาแก้ผ้าอะไรกันตรงนี้เล่า?!” ดีว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านที่อยู่ใจกลางเมือง ไม่งั้นคงได้มีใครโทรแจ้งกู้ภัยมาจับเปรต ถึงจะเป็นเปรตที่ดูดี มีกล้ามเป็นมัดๆก็เหอะ!


“เรานี่ไม่รู้อะไร มาบ้านสวนทั้งทีมันต้องโดดน้ำคลองสิถึงจะเข้าบรรยากาศ”


เขาบอกไม่ทันจบก็ยกตัวผมที่อยู่ในสภาพหวิวสุดชีวิต หนาวทั้งลมเพราะโดนทึ้งจนเหลือแค่เสื้อกล้ามกับกางเกงในและยิ่งเสียวจนขนหัวลุกที่ถูกเขาแบกเหมือนกระสอบข้าวตรงไปยังศาลาท่าน้ำ ถึงจะรู้แก่ใจว่าน้ำในคลองยังใส หรือถ้าไม่สะอาดจริงเดี๋ยวขึ้นมาล้างตัวอีกทีก็ได้ แต่ยังไงผมก็ไม่พร้อม... ไม่อยาก... ไม่อาววววว... ไม่... ไม่ทันแล้ว!!!



...ตู้มมม...





จบตอนแล้วคร้าบ


อะไรนะ กลัวดรามา ไม่อยากให้น้องกานต์เสียใจ ก็แหม นิยายอ่ะเนาะ มันต้องมีกันบ้าง

แต่ส่วนตัวเราก็ไม่ชอบอ่านดรามาแบบข้นคลั่กชนิดที่ต้องคว่ำหนังสือแล้วทำใจก่อนอ่านต่อ

พอมาเขียนเองก็คิดว่าไม่ก่อดรามาเท่าไหร่หรอกค่ะ เอาแบบปนๆกันไป

พอชักจะได้กลิ่นตุๆเราก้แกล้งเฮฮา ขำๆ กลับไปกลับมาให้ทำอารมณ์ตามไม่ถูกดีกว่า 555


 :hao3:




กานต์ : คุณกรครับ

ภากร : หืม?

กานต์ : เอ็มบอกว่าพี่ๆเขาไม่ชอบมาม่ากัน

ภากร : ฉันก็ไม่ชอบ นิชชินอร่อยกว่าตั้งเยอะ

#ใต้ความกวนทรีนของเจ้าของโรงแรม



 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 21 (20-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-05-2016 19:40:36
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 21 (20-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-05-2016 20:04:06
สู้ๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 21 (20-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 20-05-2016 20:08:10
เราไม่ชอบน้ำข้น เราไม่ชอบต้มนาน ขอกรุบๆพอทน ไม่มีได้เลยยิ่งดี  :laugh:
น้องกานต์เข้มแข็งไว้ สักวันต้องดีขึ้นแน่นอน
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 21 (20-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 22-05-2016 20:38:50
บทเรียนในชีวิตตัวเองก็ไม่ช่วยให้คิดได้สินะคุณแม่อ่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 25-05-2016 19:13:44




22 .





สรุปแล้วบรรยากาศบ้านสวนสไตล์คุณชัชทำให้ผมต้องแช่น้ำคลองจนปากเขียว พอตกเย็นแทนที่จะกินข้าวบนเรือนอย่างตอนที่อยู่กับคุณภากรก็พาลงมาล้อมวงกับทุกคนเป็นที่สนุกสนาน ฝีมือยายปุยนั้นถูกปากแน่อยู่แล้ว แถมมื้อนี้ยังมีเมนูโปรดที่มีคนบ่นอยากกินได้ทุกวัน พอนั่งขัดสมาธิลงเหมาะเจาะ ท่านที่ปรึกษาโรงแรมใหญ่เลยจัดการเลาะเนื้อปลาทูชิ้นสวยโยนใส่จานราดน้ำพริกกะปิหอมๆ คลุกเคล้าเข้ารสแล้วลงมือเปิบอย่างชำนิชำนาญ รอบตั่งไม้ตัวใหญ่ที่พวกเรานั่งกินข้าวเลยมีแขกรับเชิญเพิ่มขึ้นมานอกจากเจ้าสี่ขาหน้าประจำคือแม่แมวที่พาลูกๆมานั่งส่งสายตามีความหวังกันเป็นแถว


“ลองๆ อร่อยแน่นอน” คงเห็นผมนั่งมองตาค้างอีกคนเลยแบ่งใส่จานมาให้


มองไปรอบวงนอกจากคุณชัชแล้ว ตาหมาย ตามี ยายปุย ยายเป้า และลุงพันพร้อมใจใช้ช้อนที่ติดอยู่กับตัวกินข้าวกันทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยใช้มือเปิบข้าวเลย เห็นอย่างนี้แล้ว...


“ลองดูมั้ยคะ”


น้ารื่นฤดีถามยิ้มๆ แล้วก็คงรู้ใจเลยลุกไปตักน้ำจากตุ่มมาให้ผมล้างมืออีกที ระหว่างนั้นทุกคนวางจานรอแล้วพอผมพร้อมก็ช่วยกันสอน ช่วยกันลุ้นใหญ่ เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะหย่งมือหยิบข้าวให้เป็นคำแล้วเอาเข้าปากโดยไม่ทำหก เห็นทุกคนเลอะกันไม่เกินสองข้อนิ้ว แต่ของผมนี่ยังกับจุ่มมือลงชามแกงมาอย่างนั้น


“ไม่ไหวๆ เห็นเก่งทุกเรื่องแต่แค่กินข้าวยังสู้ยัยเพลินไม่ได้เลย” คุณชัชบ่นพลางเก็บเม็ดข้าวที่ร่วงรอบจานโยนใส่หัวเจ้าถั่วแปบ หมาพันธ์ทางสีออกเหลืองที่กระดิกหางรอรับทุกอย่าง ผมเลยได้แต่หันไปยิ้มแหยๆกับเด็กหญิงหน้าแป้นแล้นวัยห้าขวบที่ยังทำได้ดีกว่า เพราะถึงจะมือเลอะแต่ข้าวทุกเม็ดก็ยังอยู่ในจาน ไม่หล่นเกลื่อนกลาดเหมือนผม


“พอจะเอาเข้าปากข้าวมันก็ร่วงเอง ผมไม่ได้ตั้งใจกินเลอะเทอะสักหน่อย”


ผมแก้ตัวแบบไม่เข้าข้างตัวเองสักนิด เขาได้ฟังก็หัวเราะอยู่ในคอส่วนผู้ใหญ่คนอื่นยิ้มขำๆ มียายเป้าที่นั่งตรงข้ามนี่ล่ะที่ออกปากเป็นกำลังใจให้


“ไม่เป็นไรหรอกพ่อคุณ คนเพิ่งหัดก็อย่างนี้ทั้งนั้น กินไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เก่งนะ”


“เอ้า! อ้าปาก ปล่อยให้กินเองกว่าจะหมดจานได้ทำแม่โพสพร้องไห้กันพอดี” คนตัวโตขำเสร็จก็ขยับเข้ามาจนหัวเข่าเกยกัน นิ้วยาวๆจับข้าวหนึ่งคำยื่นมาตรงหน้า ผมมองด้วยความลังเล คิดในใจว่าวิธีป้อนของเขามันดูแปลกๆอยู่ แต่สุดท้ายก็ยอมอ้าปาก ถือว่าข้าวคลุกปลาทูคำนี้กลมกล่อมทั้งรสชาติอาหารและขี้มือคนป้อนแล้วกัน


“แต่คุณกานต์นี่กินง่ายอยู่ง่ายดีนะคะ ทีแรกนึกว่ากับข้าวพื้นๆคุณจะทานไม่ได้ซะอีก” เด็กหญิงเพลินสะกิดแม่ยิกๆ ป้าจิตเลยเอาใจป้อนลูกสาวพลางเอ่ยชมผมอีกคน มื้อนี้อิ่มลูกยอพอๆกับข้าวเลยแฮะ


“โธ่ ป้าจิต! ก็ผมเป็นแค่คนธรรมดาๆนี่แหละ บางทีอยู่บ้านคนเดียวยังต้องหุงข้าวเจียวไข่กินเองเลย ได้มาชิมกับข้าวฝีมือยายปุยกับขนมของยายเป้าเนี่ยยิ่งกว่าได้ขึ้นสวรรค์อีกนะครับ”


“แหม! ไม่ต้องมายอคนแก่ก็ได้ อยากกินอะไรบอกมาเดี๋ยวพวกยายทำให้ทุกอย่างเลยจ๊ะ”


คราวนี้เป็นยายปุยเอ่ยปากท่าทางพอใจสุดๆ ฝั่งสองตาคงกลัวน้อยหน้า ตามีเลยส่งเสียงถามผม แต่ท่าทางดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเลย


“นี่ๆ พ่อหนุ่ม แล้วสนใจจะลองของเด็ดบ้างมั้ย รับรองว่าในกรุงเทพหากินไม่ได้แน่ๆ”


“หู๊ยยย” ยายเป้าขึ้นเสียงสูงปรี๊ด ยายปุยเบ้หน้าตบอกปุๆ “พ่อกานต์อย่าไปฟังไอ้มีมัน ของดีๆมีเยอะแยะไม่กิน ไพล่ไปจับงูเงี้ยวเขี้ยวขออะไรไม่รู้ กินกันเข้าไปได้ยังงั้ย บาปกรรม!”


เมนูของสองตาชวนให้จุกที่คอขึ้นอย่างยายเป้าว่า แต่คนตัวโตที่ยังกินเองคำ ป้อนผมคำนี่สิ ตาลุกเชียว!


“เฮ้ย! จริงหรือเปล่าลุงมี ได้อะไรมา ทำหรือยัง”


“ก็งูสิงนี่แหละ มันเลื้อยอยู่แถวนี้ ไล่ยังไงก็ไม่ไป กลัวมันจะเข้าครัวเลยต้องขมาแล้วตี ตัวใหญ่พอมีเนื้อเลยว่าจะผัดเผ็ดแกล้มเหล้าสักหน่อย เปรี้ยวปากมาหลายวันแล้ว”


“ดีๆ เดี๋ยวฉัน.. โอ๊ย! ไอ้กานต์!?”


คุณชัชร้องลั่นแล้วสะบัดมือเร่าๆ แหม! เยอะไปนะ ผมแค่งับเบาๆ ไม่ทันได้ออกแรง รอยเขี้ยว รอยฟันสักนิดยังไม่มีให้เห็นเลย


“ผมกัดแทนไอ้ตัวนั้นแหละ ถ้าอาไปกินงูนะ ผมจะไม่กินข้าวด้วยอีกเลย!”


“หนอย! เดี๋ยวเถอะไอ้แสบ!” เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวง เขาเองก็พลอยผสมโรงและยังป้อนข้าวผมต่อ สงสัยจะไม่เข็ด


อิ่มหนำกับมื้อเย็นกันเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายไปพักผ่อนหรือจัดการงานช่วงสุดท้ายก่อนเข้านอน ส่วนผมกับคุณชัชพากันขึ้นมานั่งรับลมเล่นที่ชานเรือน กำลังนั่งอ่านเอกสารที่เซฟใส่ไอแพดมาอยู่เพลินๆต้องสะดุด หันไปตามเสียงเรียกก็เห็นคนตัวยาวนอนเท้าศอกมองอยู่


“มาใกล้ๆซิ” พอผมเขยิบเข้าไปตามคำสั่งก็ตามมาด้วยคำถาม “อยากกลับไปเรียนหนังสือมั้ย”


“อาเบื่อผมแล้ว?”


“เปล่า” ใบหน้านิ่งมีรอยยิ้มบางๆ มือใหญ่เอื้อมมาประกบข้างแก้ม บีบอุ้งมือเบาๆ “ถ้าอยากเรียน ฉันจะส่งเอง ไปเมืองนอกเลยก็ได้ เรื่องเงินไม่มีปัญหา”


“...อยากให้ผมไปเหรอครับ...”


“ถ้าเขาเห็นว่าเราด้อย เรายิ่งต้องถีบตัวเองให้สูงขึ้น ทำให้เขายอมรับให้ได้สิ”


เท่านี้ผมก็รู้ว่ามีอะไรที่มากกว่าแค่กลับไปใส่ชุดนักเรียนเดินเข้าโรงเรียน จะเรียกว่าผมควรถูกส่งไปชุบตัวให้ดูมีค่ากว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ล่ะมั้ง


“ต่อให้ไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวแล้วรอดกลับมาได้ คุณภัทก็คงไม่มีวันเห็นผมดีไปได้หรอกครับ”


“น้อยเนื้อต่ำใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อที่คุณภัทพูดมามันก็มีส่วนถูก เขาชี้มาถือว่าดี เราจะได้แก้ให้ตรงจุด ไปเรียนให้สูงๆ เก่งๆ จะได้กลับมายืนเคียงข้างกรได้อย่างไม่อายใคร เผื่อวันหน้าคุณภัทจะหายดื้อแล้วโยนอคติบ้าๆนั่นทิ้งไปซะบ้าง”


คุณชัชไม่เถียงแสดงว่าเขาเองก็เห็นด้วย เรื่องที่ผมกับคุณภากรเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็เป็นอุปสรรคใหญ่มากพออยู่แล้ว แต่ใครจะรู้ ถึงผมเกิดเป็นผู้หญิงขึ้นมาก็ใช่ว่าแม่ของเขาจะยอมรับ คนต่ำต้อย ไม่มีเกรียติ ไม่มีเงิน มีหรือจะอยู่ในสายตาคุณภัทราพรได้


“ฉันไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้จริงๆ ทั้งที่มีพร้อมทุกอย่าง ดูเป็นคนมั่นใจแต่ลงท้ายก็ยังแคร์สายตาคนอื่น เก็บเอาเสียงนินทาของชาวบ้านมาทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ลงท้ายชีวิตครอบครัวก็ไม่มีความสุขเพราะทำตัวเองแท้ๆ” ร่างหนาถอนหายใจเฮือก หงายหลังผึ่งไปกับพื้นกระดานแล้วเล่าต่อ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคุณภัทถึงยอมแต่งงานกับพี่กฤต แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วทำไมถึงไม่เชื่อมั่นในคนที่เป็นสามี เขาไม่ได้มองพี่กฤตจากตัวพี่กฤตเองแต่กลับไปฟังเสียงพวกปากหอยปากปูที่ไม่เคยจะเห็นใครดีกว่าตัวเอง พี่กฤตเป็นลูกชาวสวน ไม่มีรถแพงๆขับ ไม่มีเงินในธนาคารเป็นร้อยๆล้านแล้วมันหนักหัวใครหรือเปล่า แค่ที่เขาเป็นคนดี ขยันขันแข็ง มีสมอง มีความรับผิดชอบกับหน้าที่การงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องนี่ยังไม่พอเชิดหน้าชูตาในฐานะลูกเขยเจ้าสัวอีกหรือไง”


ผมคิดตามแล้วเริ่มเข้าใจสภาพที่คุณภากรเติบโตขึ้นมา รวมกับที่เขาเคยหลุดปากเล่า ถึงจะอยู่พร้อมหน้าแต่ไม่เคยมีความสุข พ่อไปทาง แม่ไปทาง ลูกๆอยู่อีกทาง เรียกว่าครอบครัวแตกแยกก็ยังได้ ที่ยิ่งไม่อยากเชื่อคือต้นเหตุจะเป็นเพียงจุดเล็กๆที่เกิดจากความไม่เข้าใจกันแค่นี้เองน่ะเหรอ


“ความดีเป็นอะไรที่มองไม่เห็นแล้วแถมต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ในขณะที่ทรัพย์สินเงินทองมันจับต้องได้ง่ายกว่า เป็นสิ่งที่คนเราใช้วัดมูลค่าทุกๆอย่างอยู่แล้วก็เลยพลอยเอามาวัดคุณค่าคนด้วยกันมั้งครับ”


“ก็คงใช่ แถมเวลาของพี่ชายฉันยังหมดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ กว่าจะรู้ว่าดีหรือไม่ดีก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ทีแรกฉันนึกว่าเรื่องของพี่กฤตอาจจะทำให้คุณภัทคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าเปล่าประโยชน์ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเขาได้เลย”


คุณชัชถอนหายใจอีกเฮือก ท่อนแขนใหญ่ยกประสานรองศีรษะแล้วหลับตานิ่ง รอบตัวเราจึงเกิดเป็นความเงียบ มีเพียงสรรพเสียงของยามค่ำคืนแว่วมาจากดงไม้ที่รายล้อมตัวบ้าน ทีแรกว่าจะเขยิบกลับไปนั่งเอกสารต่อแต่สมองก็ฟุ้งจนไม่เหลือสมาธิแล้ว


“แล้วอาคิดว่า...” ผมเอ่ยเบาๆเพราะยังไม่แน่ใจว่าคนที่นอนเล่นอยู่หลับไปจริงๆหรือยัง “นอกจากคุณภัท ยังมีใครที่น่าจะเกลียดขี้หน้าผมอีกมั้ยครับ”


“ถามอย่างนี้ หมายถึงหนูภาล่ะสิ” เขาถามยิ้มๆทั้งที่นอนหลับตา “เมื่อก่อนฉันก็สนิทกับหลานสาวคนนี้นะ แต่พอพี่กฤตเสีย ฉันย้ายไปอยู่ที่โน่นที่นี่ซะนานเลยห่างๆกันไป ตั้งแต่เขาไปเรียนเมืองนอกนี่ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ไม่รู้ป่านนี้จะโตเป็นสาวขนาดไหนแล้ว”


“ผมก็ไม่เคยเจอครับ แต่ป้ามาลัยคุยกับคุณกรเรื่องงานวันคริสต์มาส คิดว่าคุณภาวิณีน่าจะกลับมาเพราะเป็นวันเกิดคุณกรด้วย”


“พี่น้องคู่นี้ดูเผินๆเหมือนไม่สนิทแต่จริงๆรักกันมาก ตอนเล็กๆหนูภาเป็นเด็กขี้หวงซะด้วยสิ”


คุณชัชพูดขึ้นมาลอยๆ แต่คำโบราณก็ว่าไว้ ดูนางให้ดูแม่ แม่เป็นอย่างไร ลูกสาวคงไม่แคล้วเป็นอย่างนั้นหรืออาจจะหนักกว่า


“งั้นผมคงโดนแน่ๆ!”


“เฮ้ย! อย่าเพิ่งคิดมาก อาจจะไม่ใช่ก็ได้ หนูภาไปอยู่เมืองนอกเมืองนามาคงจะใจกว้าง ยอมรับอะไรได้ง่ายกว่าแม่เขาล่ะน่ะ”


ถึงคุณชัชจะปลอบยังไงผมก็ทำใจและเตรียมตัวยอมรับไว้แล้ว จะพูดว่าใช้ความหน้าด้านหน้าทนเข้าสู้ก็ได้แต่เป็นไงเป็นกัน ถ้าคุณภากรยังต้องการผม ผมก็จะไม่มีวันทิ้งเขาไปแน่นอน แต่ก่อนจะถึงคนในครอบครัว ผมลืมนึกไปเลยว่าท่านเจ้าของโรงแรมใหญ่คนนี้เคยครองตำแหน่งหนุ่มโสดในฝันหลายปีซ้อนมาแล้วนี่


“คุณกานต์! โทรศัพท์ค่ะ” เพิ่งจะแยกจากป้ามาลัยมา กำลังเดินผ่านเคาเตอร์รีเซปชันที่โถงด้านหน้า ผมก็ต้องชะงักแล้วหันไปตามเสียงเรียก เอานิ้วชี้หน้าตัวเองเพื่อขอคำยืนยัน “เขาต้องการเรียนสายคุณกานต์จริงๆค่ะ ดิฉันกำลังจะต่อขึ้นไปข้างบนแต่คุณผ่านมาพอดี แต่ถามยังไงก็ไม่ยอมบอกชื่อหรือว่าจะติดต่อเรื่องอะไร จะให้ดิฉันปฏิเสธไปมั้ยคะ”


ผมส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปรับโทรศัพท์มาแนบหูอย่างงงๆ


“ผมกานต์พูดครับ ไม่ทราบว่า...”


“แกไม่ต้องรู้ว่าฉันเป็นใคร แต่จำใส่สมองไว้ว่าฉันจะไม่ยอมให้ใครแย่งภากรไปจากฉันได้เป็นอันขาด”


“ผมว่าคุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ผม...”


“ฉันไม่ได้เข้าใจผิด แกนั่นแหละที่กำลังหลอกให้เขาทำเรื่องทุเรศ อุบาทว์ อัปรีย์ บัดสีบัดเถลิงที่สุด ฉันขอสั่งให้แกออกไปจากชีวิตเขาซะ ไม่อย่างนั้นฉันเล่นงานแกแน่!”


หูผมชา หัวยังมึน จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่หัวใจผมก็ปวดหนึบจนต้องรีบเดินหนีออกมาสงบสติอารมณ์ไม่ให้ใครเห็น ยังดีที่ผู้หญิงคนนั้นเสียงไม่ดัง ลักษณะเหมือนกัดฟันพูดด้วยความเจ็บแค้นแสนสาหัส ไม่อย่างนั้นคงมีเสียงลอดออกมาให้พนักงานทั้งโรงแรมเก็บไปเมาท์ว่าผมถูกผู้หญิงของคุณภากรโทรตามรังควาน โอ๊ย! ปวดกะบาลชิบ!


เป็นครั้งแรกที่ผมกล้าใช้อำนาจออกคำสั่งว่าจะไม่รับโทรศัพท์สายนอกเป็นอันขาด แต่เอาเข้าจริงก็ยังมีที่เล็ดรอดมาถึง ทุกรายล้วนพูดในทำนองเดียวกัน บางคนก็ว่าเป็นแฟน บ้างอ้างเป็นเมีย มีถึงขนาดบอกว่ากำลังท้องแต่คุณภากรไม่ยอมรับเพราะมาติดพันผมอยู่ ผมสู้ทน หรือความจริงควรบอกว่าอายเป็นบ้าเลยไม่กล้าบอกใครแม้แต่ป้ามาลัยหรือคุณชัช ฝ่ายคุณภากรเองก็ไม่มีท่าทางผิดปกติ หวังว่านี่จะเป็นเพียงการเล่นตลก อาจมีใครระแคะระคายเรื่องของผมเลยคิดจะแกล้ง พอผมไม่เล่นด้วย พวกเขาคงหมดสนุกไปกันเอง


“คุณกานต์คะ!” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมหยุดกึก เสียวแว้บแต่ต้องพยายามทำตัวให้เป็นปกติเพราะไม่อยากให้ป้ามาลัยที่เดินมาด้วยกันผิดสังเกต ผมหันไปมองทำหน้าเฉยๆ แต่ป้ามาลัยออกปากเอ็ดอย่างคนที่เห็นอะไรไม่เรียบร้อยไม่ได้


“จะตะโกนทำไมจ๊ะเธอ ค่อยๆเดินเข้ามาบอกดีๆก็ได้ ทำอย่างนี้แขกที่มาพักจะคิดว่าโรงแรมเราเป็นอะไร?!”


“ขอโทษค่ะคุณมาลัย ก็หนูกลัวจะตามไม่ทันนี่คะ” พี่พนักงานในชุดของแผนกต้อนรับรีบกระพุ่มมือไหว้ขอโทษแล้วค่อยหันมาบอกธุระกับผม “มีแขกขอพบคุณกานต์ ตอนนี้กำลังรออยู่ที่สวนค่ะ”


“ใครล่ะ?” ยังคงเป็นคนข้างตัวผมที่เอ่ยถาม พออีกฝ่ายเอาแต่ส่ายหน้าก็เลยเป็นเรื่อง “เอ๊ะ! ใครก็ไม่รู้ ธุระอะไรก็ไม่ทราบ แล้วจะมาตามให้คุณเขาไปพบ เธอนี่ยังไงนะ?!”


“ก็หนูถามแล้วแต่เขาบอกแค่ว่าขอพบคุณกานต์เป็นการส่วนตัว ถึงคุณกานต์ติดงานหรือยังไม่ว่างก็ไม่เป็นไร รอได้น่ะค่ะ”


ท้ายประโยคพี่เขาหันมาส่งสายตาเพราะคงกลัวคุณแม่บ้านใหญ่จับใจ ผมเห็นแล้วสงสารเลยพยักหน้ารับรู้แล้วหันมาเคลียร์กับป้ามาลัยเอง


“อาจจะเป็นพ่อหรือพี่กัญก็ได้ สวนอยู่แค่นี้ กานต์ไปคนเดียวได้ ป้ารีบไปประชุมเถอะครับ”


ป้ามาลัยคงยังติดใจเรื่องที่พ่อพาคนมากระทืบผมเลยยิ่งเป็นห่วง ถ้าไม่ติดว่ามีงานรออยู่คงไม่ยอมง่ายๆ


“ตามใจแล้วกัน แต่ถ้ามีอะไรกานต์เรียกเฮียสยามเลยนะ โทรหาคุณชัชก็ได้ เห็นขึ้นไปคุยกับนายตั้งนานแล้ว เดี๋ยวคงลงมาเรียกหาให้วุ่นหรอก”


ผมรับคำหนักแน่นแล้วรอส่งป้ามาลัยเข้าลิฟต์ไปเรียบร้อยจึงค่อยเดินออกมาที่สวน ตอนบ่ายอย่างนี้แดดค่อนข้างแรง บรรดาแขกพากันหลบอยู่ใต้ร่ม ผ่อนคลายอิริยาบถตามสบาย จึงไม่ยากที่จะสังเกตหาคนที่รอ อาจดูเหมือนเธอนั่งเล่นอยู่คนเดียวแต่พอเห็นผมเข้าก็ขยับตัวนั่งตรงมีท่าทีเตรียมพร้อม พอผมเดินเข้าไปยังไม่ทันเอ่ยปาก มือเรียวขาวยกขยับแว่นกันแดดแล้วผายมือบอกให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกัน


ฝ่ายที่บอกว่ามีธุระเอาแต่เงียบ ผมเลยยิ่งอึดอัดเพราะรู้ว่าหลังแว่นสีดำสนิทมีสายตาที่กำลังจ้องเขม็ง แต่ในเมื่อเธอไม่พูด ผมก็เอาตาม จะได้รู้กันไปว่าใครจะมีความอดทนมากกว่า และใช้โอกาสนี้พิจารณา... อาจจะเป็นมิตรหรือค่อนไปทางศัตรูเสียล่ะมั้ง
ผมบอกได้ทันทีว่าเธอคนนี้ดูดีมากๆ หน้าตาผิวพรรณขาวหมดจด รูปหน้าเรียวเล็ก จมูกโด่ง รีมฝีปากอิ่มสวย ผมยาวสลวยทำสีแล้วดัดเป็นลอนใหญ่ปล่อยยาวเคลียบ่า เสื้อผ้าเครื่องประดับล้วนบอกยี่ห้อและราคา กิริยาท่าทางแม้แต่อาการเชิดหน้านิดๆบ่งบอกถึงความมั่นใจอย่างคนที่รู้ตัวว่าสวย รวย และเป็นต่อ


“จะมองอีกนานมั้ย ไม่มีมารยาท!”


เป็นการเริ่มต้นที่สวยงามมาก เหมือนผมโดนตบหน้าเบาๆไปแล้วหนึ่งฉาด เธอตำหนิได้ถูกเพราะยังไงผมก็เป็นผู้ชาย มานั่งมองเขาไม่พูดไม่จา แม่กานดารู้เข้าคงหยิกผมเนื้อเขียว


“รู้ใช่มั้ยว่าฉันต้องการพบ...ด้วยเรื่องอะไร”


จะว่าเครียดก็เครียด จะว่าขำก็ขำที่อีกฝ่ายยังอึกอัก ไม่รู้จะใช้คำไหนพูดกับผมดี เพราะถ้าจะพูดไปท่าทางผมคงผิดจากที่เธอคาด บอกแล้วว่ายังไงผมก็เป็นผู้ชาย สักนิดก็ไม่เคยคิดอยากจะแต่งตัวหรือทำตัวตุ้งติ้งอย่างพี่พอล แค่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันเท่านั้นที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายอย่างนี้


“รบกวนบอกธุระของคุณอีกสักทีก็ดี เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันน่ะครับ”


ผมบอกแล้วอมยิ้มนิดๆ แต่เธอกลับทำหน้าเครียดแล้วหยิบบางสิ่งออกจากกระเป๋าถือมาวางบนโต๊ะ


“แล้วรู้มั้ยว่านี่อะไร”


ของที่ว่าคือขวดแก้วไซส์ประมาณซุบไก่สกัดแต่ผอมกว่า บรรจุของเหลวใส ไม่มีสีแต่จะมีกลิ่นหรือเปล่าไม่แน่ใจ ผมเงยมองคนตรงหน้าเห็นรอยเหยียดยิ้ม เดาว่าแววตาหลังแว่นดำคงจะเหี้ยมเกรียมไม่น้อย นั่นทำให้คิดไปถึงเหตุการณ์บางอย่างที่มักเกิดขึ้นซ้ำๆในละครหลังข่าว หรือในความเป็นจริงก็เคยได้ยินข่าวว่าสิ่งนี้อาจทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตได้ หวังว่าดวงผมคงจะไม่อาภัพอับโชคจนต้องมาเจออะไรที่น้ำเน่าขนาดนั้นหรอกนะ!





จบตอนแล้วคร้าบ



สรุปแล้วเรื่องนี้คือนิยายน้ำเน่าดีๆนี่เอง 555


เป็นกำลังใจให้หนุ่มกานต์กันต่อไปนะคะ


 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 22 (25-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-05-2016 20:54:26
 :z3:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 26-05-2016 05:06:37




23 .




ผมมองหญิงสาวสลับกับขวดแก้วใสที่วางอยู่ระหว่างเราแล้วก็ให้เสียวสยองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เอาจริงๆนะ ผมห่วงตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง แล้วก็กลัวแขกคนอื่นจะพลอยโดนลูกหลง พาลให้เกิดเรื่องเสียหายมาถึงโรงแรม ยิ่งถ้าเป็นข่าวขึ้นมา ตัวคุณภากรเองก็ต้องถูกขุดคุ้ย คราวนี้ล่ะคุณเอ๊ย ต่อให้เขาดื้อดึงแค่ไหน คุณภัทราพรคงได้โอกาสเฉดหัวผมออกจากที่นี่เป็นแน่


“อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกัน แต่ถึงยังไงผมขอเตือนว่าคุณไม่ควรเอาของอันตรายอย่างนี้มาในที่สาธารณะ ควรจะคิดถึงความปลอดภัยของตัวคุณเองและคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องบ้างนะครับ”


ผมเอื้อมมือไปจะหยิบขวดแก้วมาเก็บไว้กับตัวเพื่ออย่างน้อยจะได้ปลอดภัยไว้ก่อน แต่เจ้าของรีบคว้าเอาคืนไปได้


“ห่วงตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง” เธอเขย่าขวดในมือเล่นพร้อมรอยยิ้มและแววตาสะใจ “ที่จริงฉันแค่เอามาขู่ แต่ถ้าแกยังดื้อด้านก็คงต้องใช้ไม้แข็งกันบ้าง เอาเป็นว่าฉันจะพูดตรงๆ ไปจากที่นี่ซะ!”


“ขอโทษครับ คุณไม่ใช่คนที่จะสั่งผมอย่างนั้นได้ ตรงกันข้าม ถ้าคุณกำลังจะสร้างความเสียหายให้กับที่นี่ ผมสามารถเรียกรปภ.มาเชิญคุณออกไปได้ทุกเมื่อ”


ผมบอกด้วยน้ำเสียงธรรมดา พยายามไม่ให้ฟังดูเป็นการคุกคามหรือข่มขู่ แต่ผู้หญิงคนนี้คงไม่ต่างจากกาน้ำที่ตั้งบนเตาไฟมาสักพักแล้ว ไม่ว่าผมจะรีบปิดไฟหรือปล่อยเอาไว้ ข้างในนั้นก็คือน้ำร้อน ขึ้นกับว่าจะแค่อุ่นจัดหรือเดือดพล่านจนกลายเป็นไอเท่านั้นเอง


“ปากดี! ไม่สำนึกว่าตัวเองเป็นใครแล้วริอาจวางอำนาจบาตรใหญ่ คิดว่ามีคนหนุนหลังถึงได้กล้าใช่มั้ยล่ะ”


“ผมว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว คุณกลับไปดีกว่าครับ”


ผมลุกขึ้นเตรียมถอยเผื่ออีกฝ่ายจะได้มีเวลาสงบสติอารมณ์ แต่กลับกลายเป็นเร่งเชื้อให้น้ำเดือดพลุ่งพล่าน ถ้อยคำหยาบคายหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวชุดใหญ่จนฟังไม่ทันทีเดียว


“แกไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันไอ้กระเทย หน้าด้าน มารยา ไม่มียางอาย หน้าสวยๆนี่ใช่มั้ยที่แกใช้ยั่วยวนใครต่อใครให้หลงผิดกันไปหมดน่ะ ฉันอยากรู้นักถ้าหน้าเละเป็นผีจะยังมีใครรักใคร่ใยดีแกอีกมั้ย”


“กรุณาสุภาพด้วยนะครับ!” ถึงจะไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาแต่ผมก็อดโกรธไม่ได้เลยต้องพยายามพูดให้น้อยที่สุด ส่วนเสียงที่ดังขึ้นนี่มันคุมไม่อยู่จริงๆ


“กับพวกตัวประหลาด เป็นผู้ชายดีๆไม่ชอบ ดัดจริตอยากมีผัวอย่างแกทำไมจะต้องสุภาพ ฉันขอถามอีกครั้งแกจะไสหัวไปจากที่นี่มั้ย”


เธอลุกตาม กำขวดแก้วไว้ในมือแล้วกระชากเสียงถามอย่างเอาเรื่อง บรรดาแขกที่พักผ่อนอยู่รอบสวนเริ่มให้ความสนใจ 


พนักงานโรงแรมที่อยู่แถวนี้ก็ทำท่าจะเข้ามาแต่ผมส่งสัญญาณห้ามเพราะกลัวจะบานปลาย  กำลังคิดอยู่ว่าจะคลี่คลายสถานการณ์นี้ยังไง ฟ้าก็ส่งฮีโร่มาช่วยผม...


“กานต์!”


คุณชัชตะโกนเรียกแล้วตรงลิ่วมาหา ท่าทางเขารู้สึกได้ถึงความตึงเครียดเพียงแต่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ พอผมกระซิบบอกว่าน่าจะมีอะไรอยู่ในขวดใบเล็กๆนั่น เขาก็รีบดึงผมไปหลบอยู่ด้านหลังแล้วเป็นฝ่ายออกหน้าเจรจา


“นี่คุณผู้หญิง ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันเรื่องอะไร แต่ผมว่าคุณรีบออกไปจากโรงแรมนี้ อย่าให้ต้องใช้กำลังกันจะดีกว่า”


“ฉันไม่ไป มันนั่นแหละต้องไป!”


อาจเพราะน้ำเสียงคนตัวโตไม่ได้ทุ้มนุ่มหล่อเหมือนใบหน้า ลักษณะท่าทางก็ชวนหาเรื่องมากกว่าจะยอมอ่อนข้อล่ะมั้ง คนฟังจึงยิ่งฉุนเฉียวหนัก คิดไปให้คุณชัชออกโรงอาจไม่รอด ผมเลยก้าวออกไปเพื่อลองเกลี้ยกล่อมอีกทีแต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอยกขวดแก้วขึ้นมาเปิดฝาแล้วสาดของเหลวด้านในออกมาสุดแรง มีเสียงกรี๊ดดังจากโดยรอบ ผมตกใจยืนค้าง คุณชัชได้สติกว่ารีบพลิกเอาตัวเขาบังผมไว้จนมิด


“กานต์ไม่เป็นไรนะ?!” มารู้สึกตัวเมื่อเขาเขย่าตัวและถามผมด้วยน้ำเสียงร้อนรน


“ไม่...ไม่เป็นไร อาล่ะครับ! เป็นอะไรหรือเปล่า?!”


“ก็... เย็นๆล่ะมั้ง” เขาบอกเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าโดนสาดน้ำกรด มือใหญ่เอื้อมไปจับที่หลังเสื้อเอากลับมาดูก็ปรากฏว่าแค่เปียกน้ำ... ธรรมดา


ผมคว้าอกเสื้อคุณชัชแล้วถอนหายใจ โล่งอกที่สุดในชีวิต ส่วนคนก่อเรื่องนอกจากไม่กลัวที่ถูกจับได้ ยังไม่มีแม้แต่จะสำนึกผิดกับเรื่องบ้าบอที่ทำลงไป


“บ้า! บ้าที่สุด ทุกคนเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว ทำไมต้องปกป้องไอ้เด็กนี่ด้วย ทำไม?!”


“ผมว่าคุณนั่นแหละที่บ้า คนดีๆเขาไม่มาทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้หรอก ขอบอกเป็นคำสุดท้าย ออกไปแล้วอย่าได้กลับมาที่นี่ เลิกคิดมาวุ่นวายกับกานต์ ถ้าผมรู้ว่าคุณยังตามรังควานเขาไม่เลิก ได้เห็นดีกันแน่!”


ร่างสูงถลันเข้าไปชี้หน้าตะคอกด้วยความโกรธจัด แต่ร่างบางไม่หนี เชิดหน้าท้าทายแถมจิกเรียกด้วยน้ำเสียงแรงพอกัน ส่วนผมกลายเป็นคนนอกที่เริ่มเกิดลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง


“อาชัช!” เสียงแหลมตะโกนใส่ใบหน้าคมเข้ม


“ใช่ ผมนี่ล่ะชื่อชัช เป็นที่ปรึกษาของโรงแรมนี้ ถ้าคุณมีปัญหาอะไรให้มาคุยกับผม ห้ามไปยุ่งกับกานต์อีกเด็ดขาด เข้าใจมั้ย?!”


ลางสังหรณ์ที่ว่าสว่างวาบขึ้นจนกลายเป็นความแน่ใจ ผมรีบเข้าไปดึงคนตัวโตไว้ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายและให้ผลร้ายมากกว่าดี แต่เขากลับดันให้ผมหลบแล้วเปิดฉากฟาดฟันฝีปากต่อ


“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ยอมให้ใครทำอะไรเราแน่ โทรเรียกสยามมาที่นี่เลย ถ้าแม่นี่ยังดื้อด้านก็หิ้วออกไปทิ้งหน้าโรงแรมโน่น แขกที่ทำตัวเสียมารยาทเราไม่ต้อนรับ ยิ่งพวกแรดมาแว้ดๆปล่อยไว้ก็สร้างความเดือดร้อนรบกวนคนอื่นที่เขามาพักกันดีๆ ไล่ตะเพิดไปได้เลยไม่ต้องสนใจ”


ผมฟังแต่ละคำแล้วอยากยกมือกุมขมับ แต่ก่อนจะทำอย่างนั้น อุดหูก่อนดีกว่า...!


กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด


เสียงกรีดร้องยิ่งเรียกความสนใจจนแขกที่อยู่ในตัวโรงแรมถึงกับวิ่งออกมาดู รวมถึงใครอีกคนที่เหมือนเทวดามาโปรดผมแท้ๆ


“กานต์! เกิดอะไรขึ้น?!” คุณภากรคงวิ่งมาตามเสียงเหมือนคนอื่น เขาตรงเข้ามาหาผมก่อน แล้วค่อยหันไปหาคู่กรณีที่ยังยืนประจันหน้ากันอยู่ “อาชัชครับ อ้าว! ยัยภา!”


นั่นไง ผมว่าแล้ว! ทำไมซื้อหวยมันไม่ถูกอย่างนี้บ้างนะ!!


“พี่กรมาก็ดี  จัดการให้ภาเดี๋ยวนี้เลย!”


คราวนี้คุณชัชเองก็ได้รู้ล่ะว่า ‘แม่นี่’ ของเขาคือคุณภาวิณี น้องสาวคนเดียวของคุณภากร หลานสาวเขานั่นแหละ และแน่นอนว่ากลายเป็นโจทก์ของผมอีกคนตามคาด


“จัดการอะไร?” คุณภากรเข้าไปหาก็ถูกสะบัดไม่ใยดี เลยพยายามหาเรื่องคุยเลี่ยงไป “แล้วเราน่ะมาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมพี่ไม่รู้ เพิ่งมาถึงหรือว่าแอบกลับเมืองไทยแล้วไม่ยอมเข้าบ้าน?”


“ไม่ต้องถาม ไม่มีอารมณ์จะตอบ พี่กรไล่ไอ้เด็กตุ๊ดนี่ไปให้พ้นๆหน้าภาก่อน”


ผมว่าบ้านนี้เอาแต่ใจตัวเองกันทุกคน หนักสุดคงเป็นลูกสาวแถมยังเป็นน้องคนเล็กอีก บทจะวีนขึ้นมาเลยไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น พอเห็นพี่ชายลังเล เอาแต่หันกลับมามองผมด้วยสีหน้าปั้นยากก็ระเบิดอารมณ์ใส่ไม่ยั้ง


“ยืนบื้อทำไม ไล่มันไปเดี๋ยวนี้เลยนะ เดี๋ยวนี้ๆๆ ได้ยินมั้ย!”


คุณภากรคงอยากกุมขมับ ทั้งปวดหัวกับเสียงกรี๊ด ทั้งต้องหาทางให้น้องสาวสงบลงก่อนจะต้องขายขี้หน้าคนทั้งโรงแรม สุดท้ายเลยหันไปขอความช่วยเหลือคุณอาที่ยังยืนมองหลานสาวคนสวยอย่างไม่เชื่อสายตา


“เอายังไงดีอา!?”


“อย่าเพิ่งถาม ขนาดฉันยังไม่รู้เลยว่านี่... หนูภาจริงๆน่ะเหรอ?”


“อาไม่ได้เจอยัยภาตั้งหลายปีคงจำไม่ได้ แต่ผมว่าเสียงกรี๊ดลั่นโลกอย่างเมื่อกี้คงลืมไม่ลงหรอกมั้งครับ”


“นั่นสิ นิสัยเอาแต่ใจ จะเอาให้ได้ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนเลย นึกว่าไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งหลายปีจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นซะอีก”


สองหนุ่มส่งเสียงงุบงิบคุยกัน น่าจะเป็นวิธีการซื้อเวลาเพื่อหาทางออก แต่สำหรับคุณภาวิณีตอนนี้ ต่อให้เป็นดนตรีแจ๊สก็คงระคายหูไม่ต่างจากเสียงแมงหวี่แมลงวัน


“หยุดนะ เมื่อกี้ที่อาด่าหนู...” เธอชะงักเหมือนนึกได้ ริมฝีปากสีฉ่ำเม้มแน่นข่มความรู้สึกแล้วจึงค่อยพูดต่อ “...ด่าฉันฉอดๆยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะ แก่แล้วแต่ไม่มีความคิด กอดมัน โอ๋มันเข้าไปเถอะไอ้เด็กตุ๊ดเนี่ย คนเขาคงได้หัวเราะเยาะกันทั้งโรงแรม ฉันเห็นแล้วจะอ้วก!”


“พูดจาไม่ดีเลยนะภา” คุณภากรเอ่ยปราม สีหน้าอ่อนใจที่ทำอะไรไม่ได้


“ทำไมล่ะ ภาเห็นอะไรก็พูดไปอย่างนั้น ไม่เหมือนอย่างพี่กร อย่างอาชัชนี่ โดนมารยาไอ้เด็กตุ๊ดจนหน้ามืดตามัว เห็นผู้ชายด้วยกันน่ารักน่าใคร่ ใครรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”


ผมได้แต่ยืน... พรุนไปทั้งตัว! ลำพังแค่คำพูดของคุณภาวิณี ผมก็ตอบโต้อะไรไม่ได้เลย นึกอยากจะวิ่งหนี แค่เหลียวหลังก็เจอสายตาของแขกและพนักงานมากมายที่รายล้อม บางคนถึงขั้นมองมาแล้วซุบซิบคุยกัน ผมเห็นคุณภากรทำท่าจะเดินมาหาเลยรีบส่ายหน้าห้ามไว้เพราะไม่อยากตอกย้ำภาพคู่ของเขากับผมในสายตาคนอื่นมากไปกว่านี้


“ยัยภา! พี่บอกให้หยุด ไม่อย่างนั้น...” เขาคงเข้าใจว่าผมกำลังคิดอะไรเลยพยายามกำราบน้องสาวตัวเองให้ได้ แต่สิ่งที่เธอตอบกลับมา...


“ไม่อย่างนั้นพี่กรจำทำอะไรภา รู้ตัวมั้ยว่าทำให้แม่เสียใจแค่ไหน ภาเคยเห็นแม่ร้องไห้แค่ตอนพ่อตาย แต่นี่แม่โทรไปร้องไห้กับภา พี่กรคิดสิว่าแม่รู้สึกยังไง แต่ถ้าพี่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้งั้นภาจะบอกให้ว่าแม่รู้สึกยังไง”


คุณภาวิณีเลื่อนแว่นกันแดดขึ้นคาดผมแล้วหันขวับมาจิกสายตาสะกดผมไว้ เธอก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่ามาดมั่นแล้วเมื่อถึงระยะที่ใกล้พอ ฝ่ามือขาวก็กระทบแก้มผมด้วยความเร็วเพียงกระพริบตา...


ฉาด!


ผมยืนนิ่งอย่างคนที่... ถูกตบ! จริงอยู่ที่ผมเคยถูกพ่อตบมาหลายครั้งแต่สำหรับคราวนี้... บอกไม่ถูก รู้แต่ว่ามันมากกว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับหนังหน้า ผมสบตาคนลงมือแล้วได้เห็นความแวววามในคลองตายิ่งสะท้อนใจ ที่ผมเจ็บอาจเทียบไม่ได้กับที่เธอและคุณภัทราพรรู้สึก


“ยัยภา!” คุณภากรกระชากเสียงดุแต่เห็นสีหน้าเขาแล้ว... ผมยิ่งเจ็บแทน!


“เอาสิ จะว่าอะไรภาก็เชิญเลย แต่ถ้าพี่กรกล้า ภาก็จะตบมันอีก”


“พอได้แล้วนะภาวิณี!” คุณชัชก้าวเข้ามายืนบังตัวผมไว้ส่วนหนึ่งแล้วออกโรงปรามหลานสาวบ้าง


“เป็นแค่ที่ปรึกษาโรงแรมไม่ใช่เหรอคะ นี่มันเรื่องในครอบครัวเพราะฉะนั้นคุณไม่เกี่ยว แต่ถ้าอยากจะปกป้องมันนัก... ก็ได้!”


ถึงจุดนี้ ไม่ว่าใครก็คงช่วยอะไรผมไม่ได้ ขนาดคนตัวโตอย่างคุณชัชยังถูกผลักจนเซ แล้วผมก็รู้สึกถึงความแสบร้อนที่เดิมอีกครั้ง


“มีใครจะปกป้องไอ้เด็กตุ๊ดนี่อีกมั้ย?” หญิงสาวเชิดหน้ากราดสายตาวาวราวกับแม่เสือที่พร้อมกระโจนเข้าสู่การต่อสู้


“อาครับ พากานต์ออกไปก่อน เดี๋ยวผมคุยกับยัยภาเอง” คุณภากรคว้าแขนแต่คนเป็นน้องสะบัดหนีทันที


“ไม่ให้ไป! มันจะไปไหนไม่ได้นอกจากไสหัวออกจากที่นี่แล้วก็ไปจากชีวิตพี่กรซะ ไม่อย่างนั้นก็ให้มันตายคามือภาตรงนี้นี่แหละ”


“พอซะที!” คุณชัชตวาดก้องแล้วคว้าเรียวแขนที่กำลังง้างได้ที่ “กรดูกานต์ด้วย ที่เหลืออาจัดการเอง”


ผมกระพริบตาไล่อาการชาแล้วทันได้เห็นคุณชัชลากหลานสาวไปทางลานจอดรถ ไม่นานก็มีเสียงล้อบดถนนลั่นทั้งคู่จะมุ่งหน้าไปที่ใดก็สุดรู้ แต่ที่แน่ๆตอนนี้ ผมไม่มีหน้ามองใครอีกแล้ว ได้แต่ปล่อยให้คุณภากรพาเดินไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม


“กานต์” เสียงกระซิบปลุกผมจากภวังค์ รู้สึกถึงสายลมพัดเย็นและไออุ่นจากเรือนกายแข็งแกร่ง “ฉันขอโทษ...”


ผมยังพูดอะไรไม่ออกเลยได้แต่ฝังหน้ากับแผงอกกว้าง นึกขอบคุณที่เขาเลือกพาออกมาที่สวนหย่อมของห้องทำงานเพราะให้ความรู้สึกผ่อนคลายแต่ก็ได้ความเป็นส่วนตัว แล้วยังจะ... จะอะไรก็ช่างมันเถอะ! ผมขอบคุณที่เขายังอยู่ตรงนี้ ไม่ทิ้งผมไปมากกว่า


“เป็นยังไงบ้าง ขอดูหน่อย...นะครับ”


ผมถูหน้ากับแผ่นอกแทนคำตอบ เขาจับไหล่จะดันตัวผมออก ผมเลยรีบยกแขนกอดไว้ กอดให้แน่นเหมือนอย่างที่เขากอดผมเมื่อกี้ ส่วนเขาก็เอาแต่ขอโทษโดยไม่รู้ว่านั่นล่ะที่ทำให้ผมยิ่งพูดอะไรไม่ออก


“อยู่นี่เอง” จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาทำลายบรรยากาศน่าอึดอัด ใครคนนั้นเปิดประตูค้างไว้บอกชัดว่าไม่คิดจะเข้ามาร่วมวงโศกา มีแต่สายตาตำหนิเล็กๆส่งมา “หาอยู่ตั้งนานว่าหายไปไหน เห็นฉันใจดีเลยคิดจะอู้งานอีกแล้วหรือไง”


“ไอ้เมธ!”


คุณภากรคำรามลั่นแต่อีกฝ่ายก็ยังทำหน้ารำคาญ เหมือนเขาไม่ได้รู้เรื่อง ไม่สนอะไรทั้งนั้นนอกจากจะให้ทุกคนตั้งใจทำงานของตัวเอง แต่เชื่อเถอะขนาดมีคนเดินสะดุดบันไดโรงแรม คุณวรเมธยังรู้เลย ผมเลยต้องรีบดันตัวเองอ้อมจากอ้อมกอดแล้วหันไปถามธุระท่านเลขาใหญ่ตามหน้าที่ที่ควรทำ


“ไปจัดตู้เอกสารที่ห้องหน่อย ชักจะเยอะไปแล้ว เดี๋ยวแฟ้มเก่าๆจะได้คีย์เข้าระบบแล้วโละๆไปซะบ้าง”


“ก็ผมเพิ่งทำไปอาทิตย์ที่แล้วเองนี่ครับ”


“แล้วคิดว่าแค่นั้นมันหมดแล้วหรือไง อย่าบ่น ตามมาเร็วเข้า!”


ผมจะก้าวไปตามที่คนหน้าเฉยกวักมือเรียก แต่ก็ยังถูกคนทางนี้ดึงแขนไว้


“แต่ฉันว่าน่าจะให้กานต์พักซะหน่อย” เจ้าของโรงแรมบอกเสียงขุ่น สีหน้าเอาเรื่องไม่น้อย


“นี่มันบ่ายกว่า หมดเวลาพักตั้งนานแล้วนะครับท่านประธาน”


“มันจะมากไปแล้วนะเมธ!”


ทางนี้เริ่มหงุดหงิดแต่ฝ่ายโน้นยังชิลล์ได้อีก เขาปล่อยมือจากประตูมายืนพิงกระจก สองมือสอดมือในกระเป๋ากางเกงมองพวกผมยิ้มๆ


“ฉันว่านายนั่นแหละที่มากไปนะกร หรือไม่ก็คงลืม กานต์เป็นผู้ชาย ถึงภายนอกจะไม่ได้ดูแข็งแรงแต่ก็มีความเข้มแข็งมากกว่าที่นายคิด ใช่มั้ย?”


ท้ายประโยคคุณเมธหันมาถามแต่ผมยังงงๆเลยเอาแต่ยืนมองหน้าเขาไม่ทันได้ตอบอะไร


“เอ้า! เลยพอกันทั้งคู่” คุณเมธแกล้งถอนหายใจยาว ดวงตาหลังกรอบแว่นใสมองตรงขณะที่ก้าวเข้ามาหาผมด้วยจังหวะเนิบช้าพอๆกับน้ำเสียง “แค่คำพูดก็ทำให้นายยอมแพ้ได้แล้วงั้นเหรอ ในเมื่อไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่าแล้วจะเดือดร้อนทำไม สู้เอาเวลาที่จิตตกอยู่นี่ไปทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้เขายอมรับไม่ดีกว่าเหรอไง จำได้หรือเปล่าที่นายเคยบอกฉันว่าไม่ได้อยากมีมูลค่า แต่อยากเป็นคนที่มีคุณค่า ถ้าขืนยังเอาแต่เศร้า ทำเป็นคนอ่อนแอไม่เอาไหน คิดว่าใครเขาจะเห็นคุณค่าในตัวนายได้ล่ะ”


“คนอย่างผมจะเป็นคนที่มีคุณค่าได้จริงๆเหรอครับ” ผมเงยหน้าถาม กำลังใจค่อยๆคืนมา


“กานต์ที่ฉันรู้จักเป็นได้แน่ แต่ถ้าขี้แยแบบนี้...” คนตัวสูงเหยียดยิ้มแล้วเคาะหน้าผากผมเบาๆ “ฝันเอาคงง่ายกว่า”


คำพูดของคุณวรเมธเรียกให้ผมได้สติ โดยเฉพาะประโยคที่เขายกขึ้นมาอ้างยิ่งทำให้ฉุกคิด ในเมื่อผมเคยมีความมั่นใจได้ขนาดนั้นแล้วทำไมถึงจะมายอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้


“ให้สิบนาทีแล้วรีบตามมา ขืนชักช้า ทำไม่เสร็จวันนี้ก็ไม่ต้องกินต้องนอนกันล่ะ” เห็นผมยิ้มออก คุณเมธก็คงหมดธุระ มือใหญ่ขยี้หัวผมเบาๆแล้วหันหลังเดินกลับออกไปอย่างไม่สนใจอะไรไม่ต่างจากตอนปรากฏตัว


ผมสูดลมหายใจเข้าแล้วหันหลังกลับ คุณภากรกางแขนกว้างรอให้ผมถลาเข้าไปหา ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวอยู่เหมือนกัน


“เมธมันเก่งเนอะ พูดหวานๆไม่เป็นแต่ก็ยังปลอบใจคนได้”


ผมยิ้มให้กว้างเท่าที่อยากให้เขาเห็นแล้วจะได้สบายใจ ไม่ห่วงผมอีก


“ขอโทษครับ ผมมันไม่มีอะไรดีเหมือนอย่างที่คุณภาวิณีว่า แล้วก็ยังเอาแต่ทำตัวอ่อนแอไม่เอาไหนเหมือนที่คุณเมธด่าอีก แต่ผมสัญญาว่าต่อไปจะขยันกว่านี้ จะตั้งใจทำงาน จะพยายามเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนยอมรับ ผมจะเข้มแข็งเพื่อคนที่ผมรักครับ”


“คนที่ผมรัก?”


เจ้าของอ้อมกอดแกล้งย้อน ผมไม่กล้าตอบ ไม่รู้จะอธิบายยังไงด้วยเลยเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มคนๆนั้นเสียหนึ่งที อาศัยจังหวะที่เขากำลังอึ้งวิ่งหนีไปอีกห้องที่ไม่ไกลกันมาก พอเจอหน้ากันคุณเลขาใหญ่ไม่พูดพล่ามทำเพลง ชี้นิ้วไปยังตู้เก็บเอกสารถัดจากที่ผมจัดการเสร็จไปแล้ว ผมมองรอบตัวแล้วก็ต้องเป่าปากเพราะถ้าเจ้าของห้องตั้งใจจะเคลียร์ให้หมดนี่จริงๆ สงสัยจะไม่ต้องเหนื่อยแรงคุณภาวิณีมาจัดการผมแล้วล่ะครับ!






จบตอนแล้วคร้าบ



ขอย้ำอีกครั้งว่าคุณเมธไม่ไช่ผู้ร้ายนะจร๊า

เคราะห์กรรมของหนุ่มกานต์แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ขอกำลังใจให้ที่รักของคุณกรกันเยอะๆนะคะ





ทุบตึกทำไมอ่ะคะ B52 จริงๆคืออยากทุบคนเขียนใช่มั้ยล่ะ

ตัดจบตอนก่อนได้กวนทรีนมว้าก ยอมรับเลย 555



 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 26-05-2016 05:45:53
น้องสาวคุณกรนี่แรงเอาเรื่อง
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 26-05-2016 07:16:19
ทำไมผู้หญิงในครอบครัวคุณกรน่ารำคาญจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 26-05-2016 07:31:14
เจอศึกหนักกำลังสอง แถมศึกนี้รายกาจกว่าคนก่อนอีก
กานต์สู้ๆนะ คนรอบข้างที่เป็นกำลังใจให้ก็ยังมีอีกเยอะ
อย่ายอมแพ้
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Dolamon ที่ 26-05-2016 08:46:32
พระเอกตัวจริงคือคุณเมธ 5555 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 26-05-2016 13:41:50
เพิ่งได้เข้ามาอ่านเรื่องราวตอนแรกเหมือนจะดีอ่านไปอ่านมาตอนนี้โอ้ยนีมันวงเวียนชีวิตหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-05-2016 14:28:53
 :z6:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-05-2016 16:46:22
 :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 26-05-2016 20:06:27
โอยยยยยยย ไม่ชอบ ผญ แบบนี้เลย โอยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: aoraor ที่ 26-05-2016 21:07:15
กรดูไม่ช่วยอะไรกานต์ได้เลยอ่ะ

เหมือนพระเอกโง่ๆในละคร 5555555555 //อินจัด
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 29-05-2016 21:28:18
คุณกรถ้าไม่สามารถดูแลหรือปกป้องคนที่คุณรักได้ก็สมควรปล่อยมือค่ะ
เข้าใจค่ะว่าแม่ ว่าน้อง แต่ไม่สมควรให้ทำถึงขนาดนี้มั้ย
เป็นพี่ชายยังไงน้องไม่ให้ความเคารพแถมดูเหมือนกลัวน้องตัวเองอีกต่างหาก
บริหารงานมาได้โรงแรมไม่เจ๊งนี่ทึ่งจัดมาก  :z6:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 23 (26-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 30-05-2016 22:26:54
น้องสาวกรเปิดตัวได้แรงมาก
กลับมานี่คงได้แท๊กทีมกับแม่มาหาเรื่องกานต์แน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 31-05-2016 19:27:05







ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเมนท์เลยนะ คือดีง่ะ ชวยให้ได้เห็นอีกหลายๆแง่มุมของเรื่องที่เขียน  :pig4:

แม้จะ กระซิกๆ น่าสงสารพระเอกเรื่องนี้ที่โดนถล่มจนเละตุ้มเป๊ะก็ตาม  :mew2:

ตอนที่เขียนเองยังไม่รู้สึกว่าคุณกรจะไร้สมรรถภาพขนาดนี้
เพราะพยายามโฟกัสที่เรื่องของกานต์ให้มากกว่า
แต่เมื่อดูภาพรวมแล้วก็ยังพอใจกับทุกตอน ทุกฉากที่เกิดขึ้น
เราอยากให้ทุกตัวละครมีหลายๆมิติ มีทั้งข้อดี ข้อด้อย
ทั้งความเข้มแข็ง อ่อนแอ น่าชื่นชม น่าสงสาร และอาจจะน่าหมันไส้
ยังไงก็ให้โอกาสคุณกรได้ยึดตำแหน่งพระเอกต่อไปเถอะน๊า

ขอให้ติดตามไปจนจบแล้วมาดูกันว่านอกจากความหล่อและรวย
ผู้ชายคนนี้จะมีอะไรให้คู่ควรับตำแหน่งพระเอกเรื่องนี้หรือไม่ค่ะ




ในส่วนของภาวิณีนั้น แค่เปิดม่านมาก็ได้รับเสียงตอบรับเกรียวกราว ตอนที่ 24 นี่เลยยกให้นางไป


ที่จริงทีแรกจะเก็บไว้เป็นตอนพิเศษ แต่คิดๆไปใส่มาในเรื่องหลักดีกว่า
เพราะไม่งั้นเดินเรื่องต่อไป มีเหตุการณ์เพิ่มเติมกว่านี้นางอาจจะถูกหมายหัวจนอยู่ไม่ได้
ทุเรียนเดี๋ยวนี้หากินได้ทั้งปีเสียด้วยสิ





ปล. อ่านให้จบตอนนะ อย่าเพิ่งรีบปิดหน้าเพจไปเสียก่อน นะๆ please




24 .




ของทุกอย่างวางพร้อมอยู่บนเคาเตอร์ตรงหน้า น้ำเปล่าอยู่ในระดับเศษสามส่วนสี่ของถ้วย เย็นหน่อยก็ดี น้ำแข็งจะได้ไม่ละลายเร็ว ค่อยๆรินน้ำเชื่อมเข้มข้นสีแดงลงไปอีกหนึ่งส่วนตามที่ฉลากบอก ความหวานค่อยๆคลายตัวเกิดพรายพลิ้วตีวนจากก้นแก้วขึ้นสู่ผิวน้ำ ใช้ช้อนยาวคนอีกนิดก็ได้น้ำแดงรสชาติกำลังพอดี แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ยังเหลือส่วนผสมสุดท้ายซึ่งสำคัญที่สุด... ของเหลวสีใส ไร้กลิ่น ไร้รสอีกห้าถึงสิบหยด... ที่จริงยัยเพื่อนตัวแสบบอกว่าใส่ๆไปเถอะ ไม่ต้องนั่งนับหรอก แต่ก็ไม่อยากเสี่ยง เกิดใช้มากไปแล้วมีผลข้างเคียงขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ


ครู่เดียวน้ำหวานสีแดงสมบูรณ์แบบก็ถูกรินใส่ในแก้วสูง รองด้วยที่รองแก้ว ยกวางในถาดพร้อมเสิร์ฟ...! ไม่ได้ๆ ที่ไม่พร้อมคือตัวฉันนี่ ขอทำใจอีกนิดนึงแล้วกัน...


“คอนโดแบบนี้ก็น่าอยู่ดีนะ สงสัยอาต้องหาเอาไว้สักห้องจะได้รู้สึกเหมือนเป็นบ้านตัวเองหน่อย” เสียงเข้มลอยมาจากชุดโซฟา มองไปก็ได้เห็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการ บังคับลากฉันออกมาจากโรงแรม เขากำลังหงายตัวพิงเบาะนุ่มแล้วเหลียวมองรอบห้อง ยิ้มกว้างอย่างนั้นคงจะถูกใจอย่างที่พูดจริงๆ


“แล้วทุกทีเวลาอยู่กรุงเทพ อาไปนอนที่ไหนล่ะ”


“ถ้าไม่กลับบ้านสวนก็เปิดห้องที่โรงแรม ไม่ได้เข้าไปที่บ้านใหญ่หรอก มันอยู่ไม่สบายยังไงก็ไม่รู้”


“นึกว่าเที่ยวโต้รุ่งจนจำไม่ได้ว่าไปหลับนอนที่ไหน กับใครซะอีก”


ฉันแกล้งประชดไปอย่างนั้นแต่เท่าที่พอรู้มา อาชัชไม่ใช่ผู้ชายเสเพลอย่างที่ใครๆคิด อาจจะมีเที่ยวเตร่ตามประสาชายโสดบ้างแต่ก็ไม่มีผู้หญิงมาตามตอแยแสดงความเป็นเจ้าของ และไม่เคยเลี้ยงใครเป็นตัวเป็นตน ไม่เหมือน... ฮึ! ยิ่งคิดยิ่งแค้น พี่กรนะพี่กร เป็นผู้ชายก็ดีอยู่แล้ว ดันริจะลองกินพวกเดียวกันเอง ถ้ารู้อย่างนี้เมื่อก่อนไม่น่ากันท่าพวกเพื่อนๆ ได้นังพวกนั้นเป็นพี่สะใภ้ยังจะดีกว่าไอ้หนุ่มหน้าหวานนั่น!


“คิดถึงเมื่อก่อนนะ เวลาไปที่บ้านทีไร หนูภาชอบแย่งหน้าที่พวกเด็กๆเอาน้ำมาเสิร์ฟ พอโตอีกหน่อยก็หัดชงน้ำแดงเอง จำได้ว่าแก้วแรกหวานจนแสบคอ บางรอบก็จืดสนิท แถมยังนึกพิเรนท์อยากให้หวานมากๆแต่ดันไปหยิบผิดเอาเกลือมาใส่ซะได้ ไอ้เราก็ต้องจำใจกินให้หมดแก้ว ไม่งั้นคงได้ซดน้ำตาคนชงแทน”


คนบ้า! ทำไมถึงจำได้? แล้วยังมาพูดตอนนี้ให้เกิดความลังเล เอาไงดีล่ะภาวิณี สิ่งที่เธอกำลังจะประเคนใส่ปากเขามันเลวร้ายกว่าที่เคยทำมาเป็นร้อยเท่าพันเท่าเชียวนะ ถ้าเดินหน้าและผ่านวันนี้ไปได้ก็จะไม่สามารถแก้ตัว ไม่มีทางย้อนกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก แต่ถ้าไม่ทำ... เธอก็จะไม่มีวันหลุดพ้นไปจากความทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่ มิหนำซ้ำอาจจะต้องเจอกับเรื่องที่เลวร้ายชนิดที่คิดไม่ถึง เธอจะยอมให้...


ไม่ยอม! คนอย่างภาวิณีจะไม่มีวันยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด!!!


“ขนมพวกนี้ก็ด้วย โตแล้วยังชอบอยู่อีก” คนตัวโตรับแก้วน้ำไปถือไว้ อีกมือเอื้อมไปหยิบกล่องขนมในตะกร้าที่วางไว้บนโต๊ะกลางให้มุมพักผ่อนดูเก๋ขึ้น เวลาดูหนังก็จะได้มีของกินเล่นเพลินๆด้วย “แถมตัวเองเลือกกินแต่ครีมไปหมด พอเหลือแท่งป๊อกกี้แหยะๆก็มายัดเยียดให้คนอื่นกินแทน พออาไม่อยู่เผลอเอาไปยัดใส่ปากใครบ้างหรือเปล่าเนี่ย?”


อีกแล้วนะ! ทำไมต้องรื้อฟื้นให้ยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นใน... ซูซานบอกว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่ถ้ายอมกินหมดแก้วนี่ก็น่าจะเร็วกว่านั้นนะ


“เรื่องงี่เง่าทั้งนั้น ยังจำอยู่ได้!”


“ก็ไม่มีเหตุผลที่อาจะลืมเรื่องของหนูภานี่ครับ” คนหน้าเข้มพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม ทุ้ม แถมด้วยรอยยิ้มกว้างทั้งปากและดวงตาเหมือนทุกครั้งที่อยากจะโอ๋เอาใจกัน และถึงรู้ฉันก็ยังชอบให้เขาทำแบบนี้อยู่ดี


“แล้วเมื่อกี้ใครที่จำหนูภาไม่ได้”


คิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วปรี๊ด! เมื่อก่อนเขาพูดกันว่าผู้ชายเจ้าชู้เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้ แต่สมัยนี้ถึงเห็นผู้ชายก็เอาเรื่องเหมือนกัน อย่างอาชัชนี่ก็ไว้ใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลงเสน่ห์เด็กกานต์นั่นไปถึงแค่ไหนแล้ว


“โธ่! เอาอะไรกับคนแก่ หนูภาไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างแต่ก่อนแล้ว โตเป็นสาวแถมสวยขนาดนี้ ไปเจอกันที่ไหนอาก็จำไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”


“นอกจากจำไม่ได้” จิกตาจ้องจนรอยยิ้มของเขากลายเป็นเจื่อนสนิท “ยังมาว่าหนูภาบ้า ทำตัวแรดแว้ดๆใส่ไอ้เด็กตุ๊ดนั่นอีก”


“เฮ่อ...” เขาถอนหายใจแล้วกระดกแก้วจนเหลือแต่น้ำแข็ง น่าน มันต้องอย่างนั้น “หนูภาเลิกว่ากานต์แบบนั้นสักทีเถอะ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่หนูคิด ถ้าได้รู้จักกันจริงๆเชื่อว่าหนูจะต้องชอบเขาด้วยซ้ำ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ถึงอาจะเป็นอาแต่ก็ไม่อยากเข้าข้างคนผิด คิดดูดีๆ สิ่งที่หนูทำสมควรโดนตำหนิจริงๆหรือเปล่า”


“ไม่สน!”


“เลิกเอาแต่ใจเสียทีหนูภา ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”


“อาชัชก็เลิกทำเหมือนหนูภาเป็นเด็กๆซะที! หนูภาโตแล้ว เป็นผู้หญิงเต็มตัว ให้หนูภาเป็นแฟนอายังได้ เลิกมองหนูภาเป็นหลานสาวตัวเล็กๆได้แล้วค่ะ!!”


ฉันลุกขึ้นตะโกนลั่นห้อง ได้แผดเสียงออกไปก็รู้สึกดีขึ้น รู้ตัวอยู่หรอกว่าเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หาย ปากบอกให้เขาเลิกมองเป็นเด็ก แต่เอาเข้าจริงก็ยังมาแว้ดๆใส่เขาเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ถ้าเขาจะออกอาการเหวอๆ ทำตัวไม่ถูกก็คงไม่แปลก เอ๊ะ! หรือว่าส่วนผสมพิเศษนั่นกำลังจะออกฤทธิ์ แอร์ก็เย็นแต่เขาเริ่มเหงื่อแตก สีหน้าท่าทางตื่นๆ


“โอเคๆ อาเข้าใจแล้ว ถ้ายังไงอากลับก่อนดีกว่า แล้ววันหลังค่อยคุยกันใหม่”


“จะรีบไปไหน ไม่กลัวหนูภากลับไปเล่นงานไอ้เด็กตุ๊ดแล้วเหรอไงคะ”


“มะ...” ใช่แน่แล้ว แค่โดนจับแขนเขาก็สะดุ้ง ตัวสั่นๆด้วยเนี่ย แถมพูดไปกลืนน้ำลายไป อย่างกับคนติดอ่างแน่ะ “...ไม่หรอก อะ... อารู้ว่าหนูภาโตแล้วไง ไม่ทำอย่างนั้นหรอกใช่มั้ยล่ะ”


โอกาสทองอย่างนี้ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือแน่ พอเขาลุกจากโซฟา ฉันเลยรีบไปดักหน้าต้อนไว้ แต่ท่าทางเขาก็เริ่มมึนๆ แค่ยืนยังตัวงอเป็นกุ้งคงเดินหนีไปไหนไม่ได้หรอก


“อ้อ! ตกลงว่าอาชัชเห็นหนูภาโตแล้วจริงๆ?”


“กะ...ก็จริงสิ ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ยี่สิบบบบบ...”


“ยี่สิบหก” ขี้เกียจรอเลยตอบให้แล้วจี้ซ้ำ “แล้วสวยมั้ยคะ?”


“สะ... สวย?” เขาเงยหน้า หรี่ตามองแบบงงๆ พอโดนจิกตาใส่หน่อยก็กลัวหงอเหมือนทุกที “เอ่อ... จ๊ะๆ สวย หนูภาสวยมากเลย”


เขาตอบเสร็จก็รีบหนี มีฉันยืนขวางก็เอี้ยวตัวพยายามจะหลบ เห็นไม่พ้นเลยยื่นมือมาดันให้เปิดทาง แต่แค่ปลายนิ้วแตะถูกตัวก็สะดุ้งเหมือนโดนของร้อน ที่จริงคงเป็นเขานั่นแหละที่ร้อนจนหน้าแดงก่ำ แต่แปลกที่ขนกลับลุกไปทั้งตัว... เอ่อ... ที่ว่าทั้งตัวก็ไม่น่าจะใช่แค่ขนหรอกนะที่ลุกได้


“ถ้าหนูภาทั้งสาวแล้วก็สวยมากๆ งั้นเวลาอาชัชมองหนูภา ไม่รู้สึกอะไรแปลกๆบ้างเหรอคะ?”


“ปะ... แปลก... ยังไง?!” เห็นแล้วก็ขำ อยากให้เขาส่องกระจกดูหน้าตัวเองตอนนี้จริงๆ จะได้รู้ว่าแปลกยังไง


“ก็อย่างเช่น...”


ถึงจะแน่ใจแล้วว่าของขวัญจากซูซานได้ผล แต่ก็อยากลองพิสูจน์ให้ชัวร์อีกหน่อยเลยลองแตะนิ้วข้างแก้มสาก ลากเบาๆผ่านลำคอกำลังจะลงมาถึงแผงอกก็ถูกมือใหญ่ปัดทิ้งเสียก่อน


“อาจะกลับ!” เขาบอกสุดเสียงแต่กลับฟังเหมือนคนกำลังจะขาดใจ


“เดี๋ยวสิคะ อาชัชต้องอยู่เล่นกับหนูภาก่อน” คนตัวโตโซเซเต็มที แค่ผลักเบาๆก็ล้มตึงกลับไปที่โซฟา “เหมือนอย่างเมื่อก่อนไง อาชัชชอบให้หนูภานั่งตักแล้วก็กอดหนูภาเอาไว้อย่างนี้ จำได้มั้ยคะ”


อาจจะไม่ค่อยตรงความหมายนัก แต่ที่มือเขาถูกดึงมาจับเอวคนที่คร่อมตักอยู่ก็น่าจะเรียกว่ากอดได้ล่ะนะ


“นะ...หนูภา!” แค่เรียกชื่อยังหอบ ก็แน่ล่ะ ตอนนี้ร่างกายของเขาคงอยากทำอย่างอื่นมากกว่าหายใจ แต่ถึงขนาดนี้ก็ยังมีสติรู้เรื่อง “...ใส่อะไรในน้ำ...?!”


“อ๋อ! พอดีก่อนจะกลับมา เพื่อนที่โน่นให้ของขวัญมานิดหน่อย แต่หนูภาไม่เคยใช้ก็กลัวๆ เลยเอามาให้อาชัชลองแทนไงคะ”


“จะ... จะบ้าหรือไง! คิดบ้างมั้ยทำยังงี้มันจะยิ่งอันตรายกับตัวหนูเอง!?”


“ถ้าเป็นอาชัช หนูภาไม่กลัว”


ทำเป็นกล้า ปากบอกไม่กลัว แต่กว่าจะรูดซิบเพื่อช่วยให้เขาปลดปล่อยความอึดอัดในด่านแรกได้ก็เล่นเอามือไม้สั่น แล้วพอได้เห็น... เอ่อ... อะไรที่ควรได้เห็น หัวใจมันก็เริ่มเต้นโครมคราม บอกไม่ถูกว่าเพราะตื่นเต้น หรือ ตื่นกลัวกับขนาดอันใหญ่โตเกินคาดคิด


“แต่อา... เป็นอา...” เขาค่อยๆผ่อนลมหายใจ พยายามจะคุมสติที่เหลือเพียงน้อยนิด แต่ถึงจุดนี้เขาเองก็คงรู้ว่าเป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์สิ้นดี


“อย่าหลอกตัวเองสิคะ อาชัชก็รู้ว่าความจริงเป็นยังไง แล้วหนูภาก็รู้ถึงตัดสินใจทำอย่างนี้ อย่าฝืนให้ทรมานตัวเองเปล่าๆเลยค่ะ”


ความจริงที่รู้กันเพียงไม่กี่คนคือสิ่งที่เพาะบ่มความรู้สึกในใจให้เติบโตและรุนแรงขึ้นจนไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้อีกต่อไป เขาคงไม่รู้ว่าฉันเองก็รู้จึงยังพยายามต่อต้าน แต่ตราบใดที่ได้กอบกุมความลับตรงหน้าไว้ เขาก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ ไม่ว่าจะบีบหรือคลายเขาก็ทำได้แค่ครวญครางอย่างคนกำลังจะขาดใจ


“หนู...ภา...ปะ...ปล่อยอา...!”


“ไม่! หนูภาไม่มีวันปล่อย หนูภาจะไม่ยอมยกอาชัชให้ใครเด็ดขาด!”


ฉันเร่งเร้าความรู้สึกต้องการจนคำว่าถอยเลือนหายไปจากสมอง และจากจุดนั้นคนที่เอาแต่หนีก็กลับมาเป็นฝ่ายรุกตามสัญชาตญาณที่ถูกปลุกขึ้นด้วยของเหลวใสบริสุทธิ์แต่มากด้วยพิษสง ความปรารถนารุนแรงกระหน่ำซ้ำๆจนร่างกายแทบแหลกราญแต่ฉันก็ยินดีรับ เพราะเขาคือผู้ชายที่เป็นเจ้าของหัวใจดวงนี้มาตั้งแต่ก่อนที่จะรู้จักกับความรักด้วยซ้ำ


ในความรู้สึกที่ผสมผสานทั้งความสุขราวกับได้ขึ้นสวรรค์ และความเจ็บปวดแสนสาหัส ความทรงจำในวัยเยาว์ค่อยๆปรากฏเป็นภาพฝันที่ยึดเหนี่ยวหัวใจของฉันอยู่ทุกเช้าค่ำ


‘ขอบใจมากนะชัชที่ยอมรับปากว่าจะช่วยดูแลครอบครัวของพี่ตลอดไป’


ตอนนั้นฉันน่าจะแค่ห้าขวบ พี่กรไปโรงเรียนแล้วเลยต้องอยู่บ้านคนเดียว หลังจากนอนกลางวันตื่นมา พอรู้ว่าอาชัชกำลังคุยอยู่กับคุณพ่อ ฉันก็รีบวิ่งไปหา แต่คุณแม่เคยสั่งว่าเวลาผู้ใหญ่คุยกันอย่าเข้าไปยุ่งเลยต้องหลบอยู่ที่หน้าประตูก่อน ค่อยรอจ๊ะเอ๋ตอนที่อาชัชออกมาคงสนุกดี


‘พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ ผมต่างหากที่ต้องทดแทนบุญคุณที่ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนก็ไม่มีวันชดใช้หมด ถ้าแม่ไม่เก็บผมมาเลี้ยง ไม่มีลุงกล้าอบรมสั่งสอนเหมือนเป็นพ่อแท้ๆ แล้วก็ไม่มีพี่กฤตที่คอยให้โอกาส ขนาดผมหลงผิดไปทำตัวเป็นอันธพาลสิ้นคิดก็ยังจะให้โอกาสได้แก้ตัวจนกลับมาเป็นผู้เป็นคน ไอ้ชัชคนนี้ก็คงไปนอนตายอย่างหมาข้างถนนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้’


อาชัชพูดยาวจนฟังตามเกือบไม่ทัน แถมน้ำเสียงก็เศร้า ผิดกับคุณพ่อที่พูดอย่างอารมณ์ดี


‘ไม่เอาน่ะ อย่าพูดอย่างนี้สิ พี่เห็นชัชเป็นน้องชายของพี่จริงๆ ไม่เคยคิดเป็นอื่นเลย’


‘อย่าดีกับผมนักเลยพี่ คอยด่าให้ผมไม่ลืมตัวบ้างก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องให้ใครมายกย่องชื่นชมผมหรอก คนอย่างผมไม่มีอะไรเทียบพี่กฤตได้สักอย่าง’


‘ก็บอกแล้วไงว่าอย่าคิดมาก ที่พี่บอกทุกคนว่าชัชเป็นน้องชายมันก็เป็นเรื่องของการปกครองคน เพราะถึงพี่จะเข้ามาบริหารงานในฐานะลูกเขยของเจ้าสัวแต่หาคนใกล้ตัวที่ไว้ใจได้ยากจริงๆ ที่ชัชมาช่วยเป็นหูเป็นตา เป็นแขนเป็นขาให้ต่างหากที่ช่วยพี่ไว้ได้มากเลยล่ะ’


‘สรุปว่าผมถูกหลอกใช้?!’ จู่ๆเสียงของอาชัชก็ดังขึ้น แอบดูเห็นเขาส่ายหน้า แต่พูดไปยังหัวเราะไปได้ คงไม่มีอะไรไม่ดีแล้วล่ะ ‘ให้ตาย! พี่นี่เก่งชะมัด โดนไม้นี้เข้าเป็นใครก็ต้องยอมสู้ตายถวายหัวกันล่ะ’


‘เออๆ ขอบใจ แต่อย่าให้ถึงกับสู้จนตัวตายเลย คนที่สู้แล้วรู้จักเอาตัวรอดด้วยถึงจะมีประโยชน์จำไว้นะ’


‘ผมถามจริงๆนะ พี่กฤตมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมพูดเรื่องตายบ่อยจัง’ เสียงอาชัชเบาลงอีก ทำหน้ายุ่งๆ ไม่ยิ้มแล้วด้วย


‘แค่พูดเผื่อไว้น่ะ ชัชก็รู้ว่าธุรกิจของเจ้าสัวใช่ว่าจะขาวสะอาดทุกอย่าง ตัวพี่เองไม่คิดว่าจะทำให้อะไรๆถูกต้องได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยพี่ก็จะพยายามให้ลูกน้องทุกคนอยู่รอด และโดยเฉพาะกรกับภา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่พวกเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นหลานเจ้าสัว เป็นลูกของพี่กับคุณภัท พี่ไม่อยากให้เขารู้สึกแย่กับสิ่งที่ครอบครัวตัวเองทำ พวกเขาควรเติบโตขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ สามารถยืนหยัดมองหน้าผู้คนในสังคมได้อย่างสง่าผ่าเผย ชัชเข้าใจใช่มั้ย’


อาชัชพยักหน้าเบาๆ แต่ตัวฉันพอได้ยินพ่อเรียกชื่อถึงกับสะดุ้ง กลัวจะโดนจับได้ว่าแอบฟัง


‘ผมเข้าใจ ถึงจะไม่ใช่อาโดยสายเลือด แต่ผมก็รักภาวิณีกับภากรเหมือนหลานแท้ๆของผม ผมสาบานว่าจะทำทุกอย่างเพื่อเขาสองคนครับ’


‘พี่ดีใจที่ได้ยินอย่างนี้ และพี่เชื่อว่าพวกเขาก็รักชัชมากเหมือนกัน ดูอย่างยัยภาก็ได้ ติดชัชเป็นตังเม กลับบ้านมาเจอหน้าพี่แต่ถามถึงชัช สงสัยจะรักอามากกว่าพ่อซะแล้ว!’


‘ฮ่า ฮ่า อิจฉาผมล่ะซี้’ อาชัชหัวเราะเสียงดัง แถมกล้ายกมือชี้นิ้วใส่หน้าคุณพ่อด้วย ‘พี่ชัชไม่ต้องห่วงเลยครับ ผมนี่แหละจะทำหน้าที่พ่อคนที่สอง ผมจะหวงยัยหนูให้ยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ไอ้หนุ่มหน้าไหนชายตามองผมจะเสยเข้าให้ แล้วถ้ายังกล้าเข้ามาจีบ พ่อจะยิงให้ไส้แตก!’


‘ขืนทำอย่างนั้นยัยภาคงได้ขึ้นคานกันพอดี!’ คุณพ่อทำหน้าตกใจแต่ก็ยังยิ้มไปพูดไป


‘ปล่อยให้ขึ้นคานยังดีกว่าให้ไปอยู่กับคนเลวๆนะพี่ หลานคนเดียวผมเลี้ยงได้ ต่อให้ไม่มีใครรัก ผมรักเองก็ได้’


ความฝันจางหายไปแต่ประโยคสุดท้ายนั้นยังติดหูและผนึกแน่นในใจเสมอมา ยิ่งเวลาผ่านไปจนเริ่มเข้าใจความหมายของทุกถ้อยคำก็ยิ่งมั่นใจได้ว่าอาชัชกับฉันไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆทางสายเลือด ในโลกนี้คงมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าอาชัชเป็นเด็กที่คุณย่าเล็กรับมาอุปการะ และตัวเขาเองก็บอก... ต่อให้ไม่มีใครรัก ผมรักเองก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าฉันจะรักเขาเหมือนที่ผู้หญิงคนหนึ่งรักผู้ชายคนหนึ่ง หรือถ้าเราจะมีความสัมพันธ์อย่างคู่รักทั่วไปมันก็คงไม่ผิดไม่ใช่หรือไง


“อย่า...” คนตัวใหญ่เริ่มได้สติ ยังไม่ลืมตาแต่ส่งเสียงพึมพำอย่างคนละเมอ “...อย่าไป...”


“หนูภาไม่ได้หนีไปไหนสักหน่อย” ฉันก้มลงกระซิบข้างหู แถมจูบเบาๆที่ขมับเอาใจอีกสักที


“ขอโทษ...” อาการละเมอยังไม่หมด ลักษณะเหมือนจะเป็นฝันร้ายเพราะเขาทำหน้านิ่ว ขมวดคิ้วทั้งที่ไม่รู้สึกตัว “ฉันขอโทษ...”


เห็นอย่างนี้ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ คงจะจริงที่ว่าความรักมันบังคับกันไม่ได้ ฉันมองเขาอย่างคนรักในขณะที่เขาเห็นฉันเป็นแค่หลานสาวคนหนึ่งมาตลอด ความผูกพันทางกายในค่ำคืนที่ผ่านมาก็เริ่มต้นจากความใคร่ ไม่ใช่ความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ ถ้าเขาจะเจ็บปวดจากการกระทำนั้นก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้


“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูภาต่างหากที่เป็นคนเริ่ม หนูภาขอโทษ แต่หนูภารักอาชัชจริงๆ รักมานานมากเหลือเกิน อาชัชอย่าโกรธกับสิ่งที่หนูภาทำลงไปเลยนะคะ”


“ไม่... ฉันมันเลว... แต่ฉันรักเธอ...”


ได้ยินแค่นี้หัวใจก็พองฟูจนคับอก ก่อนที่จะ...


“...รักเธอจริงๆนะกาน...”


จบสิ้นแล้ว! โลกสีชมพูที่เคยสว่างไสวดับวูบเหลือแต่ความมืดมิด หัวใจดวงเดียวกันถูกมีดแหลมกรีดลงจนแปลบปลาบไปทั้งอก ความรักความรู้สึกที่เฝ้าบ่มเพาะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุ่มเททำไป และความสาวที่เก็บถนอมเพื่อมอบให้คนเพียงคนเดียวก็หมดคุณค่าลง... ในพริบตา!


“กาน...”


มีดเล่มเดิมจ้วงแทงซ้ำจนต้องอุดปากกลั้นเสียงกรีดร้อง เลือดในกายแห้งเหือดแต่น้ำตาพรั่งพรูราวสายน้ำ ร่างหนาขยับเลยต้องรีบพลิกหลบเพราะไม่อยากกลายเป็นสำเนาใช้ซ้ำแทนใครอีก และสั่งใจให้จงจำเถอะว่าคนที่อาชัชเฝ้ารัก เฝ้าฝันถึง คนที่เขาโหยหาจนต้องละเมอไขว่คว้าคือเด็กคนนั้น ไม่ใช่เธอหรอกนะภาวิณี!





จบตอนแล้วคร้าบ




อยากรู้จริงๆว่าจบตอนนี้แล้วนางจะได้ฟีดแบคยังไงบ้าง จะตั้งตารออ่านคอมเมน์นะคะ

 :a5:



ส่วนเรื่องสั้นสนพ.วุ่น Y ลงครบสามตอนแล้ว
คิดว่ามีแค่นี้เพราะยังไม่เห็นต้นฉบับเพิ่มมา ตามไปอ่านกันได้เลยค่ะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53006.0#lastPost



ปล. นิยายวายแต่มีเรื่องขายหญิงด้วยนี่ไม่ผิดประเภทใช่มั้ยคะ
เพราะทำไปทำมาเรื่องนี้มีหลายคู่มาก แต่บังเอิญว่าคู่หลักคือคุณกรกับกานต์นะคะ




 :bye2:

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 24 (31-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 31-05-2016 22:12:05
ภาวิณีหลงรักอาชัช แต่ใช้วิธีนี้มันผิดนะ
ถึงมีอะไรกันอาชัชจะรับผิดชอบ แต่ก็ไม่มีทางได้ความรัก
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 24 (31-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 31-05-2016 22:34:28
เราว่ามีได้นะอย่างบางเรื่องก็มีมากถมไปแต่จะไม่ลงลายละเอียดมาก เท่าที่เคยอ่านมาในแต่ละเรื่องจะโฟกัสเนื้อเรื่องไปที่คู่วายมากกว่าส่วนคู่ชายหญิงก็จะกล่าวถึงอย่างพอจับใจความได้ว่าเป็นอย่างไงมากกว่า
ปล.กานนี่คือชื่อผู้หญิงที่อาชัชเคยบอกว่าชอบป่าว ไม่น่าใช่น้องกานของเรา
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 24 (31-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-06-2016 01:22:56
อืม...
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 24 (31-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 01-06-2016 04:27:51
อ่า สรุปชีรักอาตัวเอง
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 24 (31-5-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Dolamon ที่ 01-06-2016 06:42:48
สรุปว่านางรีกอาตัวเอง
แต่อาชัชดันไปรัก กาน
อะไรมันจะยุ่งเยิงกันขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 02-06-2016 20:03:35







25.





มองเลยออกไปด้านนอก พระอาทิตย์ยังไม่ยอมตอกบัตรเข้างาน ผิดกับบรรยากาศของโรงแรมที่แม้จะเงียบลงกว่าตอนกลางวันแต่ก็ยังมีพนักงานหลายคนทำงานของตนไป ส่วนตัวผมที่มาเดินลอยชายอยู่นี่ก็ไม่ใช่ว่ามีหน้าที่อะไร แต่เพราะวันนี้คุณภากรกับคุณวรเมธจะออกเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อทำการเจรจาขั้นสุดท้ายกับเจ้าของรีสอร์ทที่นั่น คุณเมธจะเข้ามาสมทบที่โรงแรมเพื่อออกไปขึ้นเครื่องที่สนามบินแต่เช้า ผมเลยตั้งใจลงมาเตรียมมื้อเบาๆเอาไว้ให้รองท้อง แต่เอ๊ะ... ผมเพ่งมองไปที่โซฟารับรองแขกตรงล็อบบี้ ยกมือขยี้ตาอีกทีก็ยังไม่อยากเชื่อว่าที่เห็นอยู่นั่นจะใช่... คุณชัช!


ร่างสูงใหญ่ยังอยู่ในชุดเดิมของเมื่อวานและเหมือนทุกๆวันคือเสื้อผ้าสีดำสนิททั้งตัว แต่ที่ผิดหูผิดตาคือสภาพยับเยินยู่ยี่อย่างกับไปรื้อเสื้อในตะกร้ามาใส่ซ้ำ แถมหน้าตาก็หมองคล้ำ คิ้วหนาพันกันยุ่งจนดูเป็นคนละคนกับที่ผมรู้จัก ขนาดเดินเข้าไปใกล้จะถึงอยู่แล้วยังไม่รู้สึกตัว แต่เป็นผมเองที่สะดุดสายตากับอะไรบางอย่างเลยต้องรีบผละออกมาเพื่อ...


“อาครับ”


พอกลับมาอีกครั้ง ผมเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วแตะตัวเรียกคนใจลอยเบาๆ ลูกตาสีดำหันมาแต่ไร้จุดโฟกัส ผมเลยใช้ผ้าขนหนูชื้นในมือค่อยๆเช็ดรอยแดงที่เลอะเป็นปื้นไปทั้งแก้ม ปาก จนถึงลำคอ กระดุมสองเม็ดหลุดจากรังอยู่แล้ว เลยได้เห็นว่าคราบเหนียวนั้นปรากฏประปรายที่แผงอก แทรกด้วยริ้วแดงคล้าย... รอยเล็บ! ด้วยความอยากรู้ผมกะจะแกะกระดุมอีกสักเม็ดแต่เจ้าของเสื้อคงได้สติพอดี เลยตะครุบมือผมไว้แล้วดึงให้ขึ้นไปนั่งด้วยกันบนโซฟา


คุณชัชยังเอาแต่เงียบจนผมอึดอัด ไม่รู้จะทำอะไรเลยกลับผ้าในมือแล้วเช็ดส่วนอื่นของใบหน้าคร้ามคมให้เกลี้ยงเกลาจะได้ดูสดชื่นขึ้นบ้าง ส่วนตรงริมฝีปากผมพับมุมผ้าแล้วแตะเบามือที่สุดเพราะเพิ่งเห็นว่าเป็นแผลเหมือน... โดนกัด!


พูดกันตรงๆ ถึงผมจะยังเด็กแต่ก็เป็นผู้ชาย เห็นสภาพนี้รู้เลยว่าผ่านศึกหนักมาชัวร์ แต่ที่น่าสงสัยคือเมื่อวานคุณชัชบอกว่าจะพาคุณภาวิณีไปเคลียร์เรื่องของผม แล้วนี่เคลียร์กันอีท่าไหนล่ะถึงได้เยินกลับมาขนาดนี้ หรือถ้าไม่ใช่ก็แสดงว่าพ่อเสือดำคงออกล่าเหยื่อมาทั้งคืน ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะอิ่มหมีพีมัน ไม่ใช่มานั่งตัวเหี่ยว หน้าเป็นมันอย่างนี้สิ


“อาชัช...” เมื่อไม่มีอะไรให้เช็ดอีก ผมเลยวางผ้าแล้วหยิบมือใหญ่มากำไว้แทน “...อยากเล่าอะไรมั้ยครับ”


คนตัวโตยอมมองตาแต่ปากยังปิดสนิท มือใหญ่บีบตอบเบาๆแล้วดึงตัวผมเข้าไปแนบกับแผ่นอก จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเต้นตุบๆ อ้อ! มีลมร้อนๆพ่นใส่หัวผมอีกหลายเฮือกเชียวล่ะ


“ผมจำได้ อาเคยบอกว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เสียใจ อยากทำตัวอ่อนแอ หรืออยากร้องไห้ก็ให้มาหาร้องไห้กับอา พอทำตามที่อาบอกผมก็รู้สึกดีขึ้นจริงๆ ตอนนี้ผมก็เลยอยากบอกอาเหมือนกัน...” ผมเงยหน้ามองแล้วยิ้มให้เขาดูเป็นตัวอย่าง “ถ้าเมื่อไหร่ที่อามีปัญหา อยากได้ที่ระบายแต่ไม่รู้จะไปหาใคร อย่าลืมสิครับว่าอายังมีผมอยู่ทั้งคน”


“อย่างเราจะช่วยอะไรฉันได้” มือใหญ่เลื่อนขึ้นลูบหัวผมเบาๆ ใบหน้าเครียดขรึมสว่างขึ้นเล็กน้อย แม้จะเป็นแค่อาการเหยียดปากนิดเดียวก็นับว่าผมทำสำเร็จ


“อาชัชมีเรื่องอะไร บอกกานต์ได้มั้ย” ผมกำมือใหญ่ไว้ด้วยสองมือ ออกแรงอ้อนเพื่อให้เขายอมเปิดใจหรืออย่างน้อยก็ระบายสิ่งที่เก็บเอาไว้ออกมาบ้าง


“เรื่อง...” เหมือนเขากำลังจะหลุดปากแต่คงนึกได้ว่าไม่ควรทำให้ผมสังหรณ์ว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว “บอกไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นเรื่องที่ถึงจะสารภาพออกไปก็คงไม่ช่วยให้ฉันพ้นจากความผิดบาปไปได้”


“อาชัชไปทำเรื่องที่ผิดกับใครอีกแล้วเหรอครับ” ผมถามเพราะพลันนึกไปถึงเรื่องรักเก่าที่เขาเคยเล่าให้ฟัง


“ไม่ต้องมาหลอกถาม!” เพราะมือไม่ว่าง เขาเลยก้มหัวลงมาโขกหน้าผากเบาๆแทนการเขกมะเหงก ผมเลยทำหน้าเจ็บไปตามน้ำ


“จะว่าไม่ใช่เรื่องของเด็กอีกอ่ะดิ” ผมเองก็มือไม่ว่างเลยก้มหัวถูหน้าผากกับอกเสื้อยับๆนั่นแหละ “แต่กานต์ว่าถ้าอาทำผิดกับใครก็ควรไปขอโทษหรือไม่ก็ทำอะไรที่พอจะชดเชยความผิดนั้น ที่มานั่งสำนึกผิดอยู่คนเดียวก็เหมือนจมอยู่กับปัญหา ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอกครับ”


“เรื่องบางเรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกกานต์”


“ใช่ครับ เรื่องบางเรื่องอาจจะหนักหนาจนไม่น่าให้อภัย แต่ไม่มีใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ เราจึงต้องเดินไปข้างหน้า พยายามแก้ไขในส่วนที่พอจะทำได้และระวังไม่ให้ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง อาชัชของกานต์เป็นคนเก่งและเข้มแข็งจะตาย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้สบายมาก เพราะฉะนั้นอาต้องไม่ยอมแพ้ ไม่เอาแต่มานั่งท้อแท้อย่างนี้สิครับ”


ทั้งหมดที่พูดไปผมเอามาจากชีวิตตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง เพราะคงไม่ผิดถ้าผมจะกล่าวโทษว่าพ่อเป็นต้นเหตุให้แม่ต้องจากพวกเราไป และที่ผมยังติดใจจนไม่อาจให้อภัยกับความผิดนี้ก็เพราะพ่อไม่เคยพยายามแก้ตัวหรือแก้ไขให้อะไรๆดีขึ้น สิ่งที่พ่อทำมีแต่จมอยู่กับอดีตและทำให้ชีวิตดิ่งลงเหวลงไปทุกวัน ผมเลยไม่อยากให้คุณชัชเป็นเหมือนพ่อไปอีกคน


“อาชัชของกานต์...” คุณชัชทวนคำลอยๆแล้วแค่นยิ้ม “ฉันเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอก็ตอนที่มาเจอเรานี่ล่ะรู้มั้ย”


“ไหงงั้นล่ะครับ?” ผมย่นคิ้วใส่ หวังดีแท้ๆแต่กลับถูกเขากล่าวหาซะงั้น


“ที่ผ่านมาฉันไม่เคยมีใคร ถึงจะมีคนมากมายห้อมล้อมแต่เวลาสุขฉันก็สุขคนเดียว ยิ่งเวลาทุกข์ได้แต่เก็บทุกอย่างไว้กับตัว แต่เดี๋ยวนี้ให้เป็นอย่างเดิมคงไม่ไหว ไม่ว่าจะตอนไหนก็อดคิดถึงไอ้ตัวแสบอย่างเราไม่ได้เลย”


“อาชัชก็เลยกลับมาหากานต์ที่นี่” ผมถามแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้


“ก็น่าจะใช่ ตอนอยู่ในรถมันยังงงๆ รู้ตัวอีกทีก็เลี้ยวเข้าโรงแรมมาแล้ว”


คุณชัชกดหัวผมแนบอกแล้วหอมฟอดใหญ่ ผมเลยสอดมือกอดเอวหนารับรู้ถึงไออุ่นเคล้ากลิ่นเหงื่อจางๆ สำรวจตัวเองแล้วก็คงเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกอบอุ่นและสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้


“กานต์ดีใจที่อาชัชคิดถึงและกานต์ก็เต็มใจจะอยู่เคียงข้างอาชัชเสมอนะครับ”


“ขอบใจ นึกแล้วก็น่าเสียดาย ถ้าฉันเจอเราก่อนใครบางคนแถวนี้ก็คงดี” คำพูดแปลกๆชวนให้มองตามสายตาเขาไปจนได้เห็นคนที่เราก็รู้ว่าใครกำลังยืนหน้าตึงจ้องเขม็งมาทางนี้ “หึ! ตอนเด็กๆเจ้ากรมันออกจะสปอร์ต ไม่นึกว่าโตมาจะกลายเป็นหมาหวงก้างซะได้ ฉันไปดีกว่า”


“อ้าว! อาจะไปไหนครับ” ผมรีบลุกแล้วเดินตาม แค่อยากรู้อย่างที่ถามไม่ได้ตั้งใจจะหนีใครจริงๆนะ


“ไปพยายามแก้ไขเรื่องผิดพลาดอย่างที่เราแนะนำไงล่ะ”


คนตัวโตยอมให้ส่งแค่ประตูโรงแรม คำพูดทิ้งท้ายกับรอยยิ้มสุดเท่ห์ทำให้ผมมั่นใจว่านี่คือคุณชัชคนเดิมที่สามารถทำได้อย่างที่พูด ผมเลยยืนส่งยิ้มเป็นกำลังใจจนเขาขึ้นรถขับออกไป เสร็จแล้วก็ยังต้องฉีกปากกว้างๆเมื่อหันกลับมาเผชิญหน้ากับเงาทะมึนที่ด้านหลัง


“ทำไมอาชัชมาแต่เช้า ไม่ได้กลับไปนอนบ้านสวนหรือไง” ปากถามแต่สีหน้าเหมือนเห็นผมเป็นอาตัวเองงั้นแหละ


“ไม่ทราบครับ” ผมตอบเลี่ยงไป แต่ถ้าให้สันนิษฐานจากสภาพที่เห็นคิดว่าเมื่อคืนไม่น่าจะได้นอนเลยมากกว่า ส่วนสาเหตุว่าทำไมคงต้องเค้นจากเจ้าตัวให้แน่ๆอีกที


“แล้วนั่นจะรีบร้อนออกไปไหนอีกล่ะ”


“ก็ไม่ทราบครับ”


“งั้นจะมีเรื่องไหนที่ฉันถามแล้วนายตอบได้บ้างมั้ย?!”


คุณภากรใส่อารมณ์จนผมต้องมองซ้ายมองขวา เช้าขนาดนี้ยังไม่ค่อยมีคนก็จริงแต่อย่างน้อยพี่พนักงานที่เฝ้าประตูก็คงตกใจถึงได้ทำเป็นยืนตัวตรงแหนว กางหูซะกว้างเชียว แต่ช่างเถอะ หลังจากที่โดนคุณภาวิณีอาละวาดซะเละขนาดนั้น ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว


“มีอยู่เรื่องนึงที่เมื่อกี้อาชัชบอกแล้วผมก็เห็นด้วยที่สุดเลย” อยากจะทำหน้ากรุ้มกริ่มแต่ทำไม่เป็นเลยได้แต่อมยิ้มนิดๆแล้วยื่นหน้าไปกระซิบบอก “แฟนผมขี้หึงม๊ากมาก”


“หึ! รู้แล้วก็หัดทำตัวให้มันดีๆ”


คนขี้หึงเลยหายโมโหกับลงโทษแค่บีบจมูกผมเล่นเบาๆ ผมตะเบ๊ะรับแล้วรีบบอกธุระที่ทำให้หายตัวลงมา ไม่ได้กะจะเอาใจใครเลยนะเนี่ย


“ไม่ดีกว่า เช้าขนาดนี้กระเพาะยังไม่อยากทำงาน เดี๋ยวรอเมธมาก็จะออกไปสนามบินแล้วล่ะ”


“งั้นไปนั่งเป็นเพื่อนผมก็ได้ จะได้รอคุณเมธด้วย คุณกรจะไม่อยู่ทั้งวัน ผมคิดถึงแย่เลย”


“ฉันหูฝาดหรือเปล่าเนี่ย!?” คนหล่อทำเป็นอึ้ง ไม่คิดว่าผมปากหวานก็เป็นล่ะซี้!


“นั่นไง หูฝาดที่ไหน หิวจนลมออกหูแล้วไม่รู้ตัวมากกว่า ไปกินข้าวกันนะครับ น๊าาา”


ไม่รู้ล่ะ ผมอุตส่าห์รีบตื่นลงมาเตรียมอะไรไว้ตั้งเยอะ อย่างน้อยก็ลากเขาไปนั่งให้ได้ก่อนแล้วค่อยๆชวนคุย ตักโน่นตักนี่ให้ ขี้คร้านเขาก็ต้องยอมกินตามใจผมจนได้ พอคุณเมธมาก็พอดีอิ่มจะได้ไปทำงานด้วยสภาพที่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนผมก็ถือว่าเริ่มต้นวันได้ดี ทุกอย่างกลับเข้าสู่จังหวะเดิมๆ มาเตร่รอรับป้ามาลัย สะสางตารางงานกับพี่พัชรีแล้วก็จัดการเรื่องที่คุณเมธสั่งไว้ รับโทรศัพท์ที่คอยโทรมากวนประสาทบ้าง แล้วก็ต้อง...ต้อนรับแขกคนสำคัญ!


“ทำไมเธอถึงมาอยู่ในห้องของภากร”


จู่ๆมีคนเปิดประตูเข้ามาก็ตกใจจะแย่แล้ว ยิ่งมาโดนคำถามยิงตรงด้วยน้ำเสียงเย็นชาหน้าแอบโหดของคุณภัทราพรเข้าไปอีก ผมเลยเสียเวลายืนอึ้งไปสองวินาทีแล้วค่อยอธิบายอย่างนอบน้อมว่าโต๊ะทำงานผมก็อยู่ในห้องนี้เหมือนกัน เมื่อไม่มีคำอนุญาตให้นั่ง จะหนีออกจากห้องก็ไม่ควร ผมเลยย้ายตัวเองตามไปยืนสงบนิ่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่เพื่อรายงานในสิ่งที่ผู้มาเยือนอาจจะอยากรู้


“คุณภากรไปคุยธุระเรื่องรีสอร์ทที่สิงคโปร์แต่จะบินกลับเย็นนี้เลยครับ”


“ฉันรู้แล้ว”


เพล้ง! รู้สึกหน้าแตกเบาๆ งานนี้ต่อให้ผมยืนหายใจเฉยๆก็คงขัดเคืองนัยน์ตาดุๆคู่นี้ หาเรื่องชิ่งออกจากห้องน่าจะดีกว่า


“ท่านจะรับเครื่องดื่ม...”


“ไม่ต้อง”


สรุปคืออยู่ก็ไม่ดี จะหนีก็ไม่ได้ ผมเลยเงยหน้าสบตาเจ้าของโรงแรมคนก่อน ดวงตาสองคู่ช่างให้ความรู้สึกต่างกันอย่างเหลือเชื่อ และเหมือนแววตาปราณีของคนในรูปจะส่งกำลังใจให้ผมลองสู้ดูสักตั้ง!


“เอ่อ...ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”


“ถ้าฉันสั่งเธอได้ เราคงไม่ต้องมาทนเห็นหน้ากันอยู่อย่างนี้ไม่ใช่รึไง”


ฉึก! โดนย้อนด้วยคำพูดตัวเองนี่มันจี๊ดชะมัดยาด


“ผมทราบครับว่าท่านต้องการอะไร แต่ผมก็เรียนแล้วว่าถ้าเป็นเรื่องนั้นผมไม่สามารถทำให้ได้ ขอโทษด้วยครับ”


“ไม่ต้องแล้ว ฉันเบื่อจะฟังคำนี้เต็มที” มือเรียวโบกปัดจนประกายเพชรเม็ดเป้งสะท้อนแสงไฟเข้าตาผมพอดี “เมื่อวานยัยภามาที่นี่ ได้เจอกันแล้วใช่มั้ย”


ผมรับคำสั้นๆเพราะแค่นึกถึงก็แสบแก้มยิบๆขึ้นมาเชียว


“แล้วรู้มั้ยว่าถ้ายังดื้อจะโดนมากกว่านี้”


คราวนี้ผมไม่รู้จะตอบอะไรและคงเผลอทำหน้าเพลียๆให้เห็น คุณภัทเลยนึกว่าผมอยากลองดี ไม่แคร์กระทั่งคำเตือนของท่านล่ะมั้ง


“นี่เธอ!”


แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากรีบบอกคำที่ท่านเองก็ไม่อยากฟังแต่ก็ไม่รู้ทำไมชอบกดดันให้ผมต้องพูดซะจริง


“จะขอโทษเรื่องอะไรอีก?!”


“ผมขอโทษที่ทำให้ท่าน...” ผมแอบเงยมองแวบหนึ่งเพื่อดูให้ชัวร์ว่า... “ไม่พอใจอีกแล้ว เอ่อ...เอาอย่างนี้มั้ยครับ ผมไปเอาน้ำตะไคร้มาให้ท่านลองชิมก่อนดีกว่า เป็นสมุนไพรแก้กระหายคลายหวัดแถมมีสรรพคุณช่วยลดความดันได้ด้วย น้ารื่นเพิ่งให้คนเอามาให้เมื่อเช้านี้เองครับ”


ผมเค้นสมองร่ายสรรพคุณสุดฝีมือ กะจะให้ฟังไม่ทันจนต้องยอมเออออแล้วก็เผื่อน้ำตะไคร้เย็นๆจะช่วยให้คุณภัทสดชื่น สบายใจ ไม่ต้องนึกชอบแต่ให้เกลียดขี้หน้าผมน้อยลงสักศูนย์จุดห้าเปอร์เซ็นต์ก็ยังดี


“เธอว่าไงนะ!” แววตาคมดุตวัดมองจนผมสะดุ้งโหยง แถมน้ำเสียงยังเรียกได้ว่าตวาดแว้ดเป็นครั้งแรก “ทำไมถึงได้รู้จักนังนั่น นี่อย่าบอกนะว่ารู้เรื่องบ้านสวนด้วย?”


เหมือนมีลางสังหรณ์เตือนให้หุบปากแต่คำบางคำก็ผิดหูจนนึกสงสัยขึ้นมา ถ้าผมยอมเงียบ คุณภัทราพรก็คงแค่โมโหแต่ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แล้วถ้าผมลองต่อเชื้อล่ะ บางทีอาจจะได้รู้ว่าไฟกองนี้มีต้นเพลิงมาจากอะไร


“คุณกรเคยพาผมไปค้างสองสามครั้ง ที่นั่นสงบร่มรื่นมากเลยนะครับ ทุกคนน่ารักเป็นกันเอง ทั้งยายปุย ยายเป้า ตาหมาย ตามี ลุงพัน ป้าจิต โดยเฉพาะน้ารื่นนี่ต้องเรียกว่าเก่งมากๆ ผู้หญิงคนเดียวแต่คุมคนงานได้เป็นสิบ แถมยังใจดี คอยดูแลผมทุกอย่าง นี่ขนาดไม่ได้กลับไปก็ยังคอยส่งของอร่อยๆมาให้ที่โรงแรมเรื่อยเลยครับ”


หรือคิดอีกทีผมอาจประมาทจนคาดการณ์ผิดไป ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แค่กองไฟที่จุดขึ้นแล้วจะดับได้ง่ายๆ แต่เป็นภูเขาไฟลูกใหญ่ที่พร้อมจะพ่นลาวาร้อนออกมาทำลายล้างทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง


“มิน่าล่ะ!” เฮือก! พัดด้ามเล็กในมือถูกคุณภัทราพรฟาดกับโต๊ะจนหักสะบั้น! “มีคนให้ท้ายอย่างนี้นี่เอง น้ำหน้าอย่างเธอถึงได้กล้ามาแข็งข้อกับฉัน ใช่สินะ นังนั่นมันทำอะไรฉันไม่ได้เลยอาศัยยืมมือคนอื่นมาทำลายครอบครัวฉันแทน ฉันไม่น่าปล่อยให้นังงูพิษอย่างมันชูคอวางท่าอยู่บ้านสวนจริงๆ!”


คุณภัทราพรพูดจบก็ลุกออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ผิดกับตอนขามาอย่างสิ้นเชิง เพราะขนาดผมที่ถูกเหม็นขี้หน้ามาตลอดยังไม่เคยได้เห็นสีหน้าเกรี้ยวโกรธ พร้อมจะอาละวาดและอาจถึงขั้นลงมือทำร้ายได้ขนาดนี้ เห็นแล้วยังนึกเสียวแทนคนที่ถูกจิกเรียกว่า ‘นังงูพิษ’


เฮ้ย! เดี๋ยวนะ ถ้าคุณภัทราพรกำลังจะไปบ้านสวน และคนๆนั้นหมายถึงน้ารื่นฤดีก็...ซวยแล้ว! ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาผมก็คือตัวต้นเหตุเลยน่ะสิ แย่แน่ๆ ทำไงดีวะไอ้กานต์?!


ผมกลายเป็นหนูที่วิ่งติดกับดักตัวเอง อยากจะรีบไปช่วยน้ารื่นแต่ก็จนใจเพราะไม่รู้ว่าบ้านสวนอยู่ที่ไหน ครั้งแรกคุณภากรพาไปแบบหมดสติ ส่วนตอนไปกับคุณชัชถ้าไม่หลับก็กำลังนอยด์ๆ ไม่ทันได้สนใจอะไรอีก ถามพี่พัชรีกับเฮียสยามบอกไม่แน่ใจเพราะเคยไปแต่นานมากแล้ว ป้ามาลัยก็ติดประชุมไม่รับโทรศัพท์ แล้วนี่จะมีใครช่วยผมได้บ้างมั้ยเนี่ย...


“ไงไอ้แสบ หน้าตาตื่นเชียว จะรีบไปไหน?”


แล้วฟ้าก็ส่งฮีโรมาช่วยผมอีกครั้ง แถมแปลงร่างกลับมาเป็นหนุ่มใหญ่มาดเท่ห์ หน้าตาสดใสปิ๊งๆเหมือนเดิมแล้วด้วย สงสัยจะไปเคลียร์เรื่องผิดพลาดจากเมื่อคืนได้เรียบร้อยถึงได้เดินยิ้มหน้าบานเข้าโรงแรมมาเชียว


“อาชัช!” ผมคว้าแขนแล้วลากคนตัวโตกลับออกไปทางที่เขาเพิ่งเข้ามานั่นแหละ “ไปบ้านสวนด้วยกันหน่อย เดี๋ยวนี้เลยครับ!”


คุณชัชยอมขึ้นรถแล้วขับออกจากโรงแรมตามที่ผมสั่งแบบงงๆ แต่พอได้ฟังที่มาที่ไปเท่านั้น...


“ชิบหายแล้ว!” เขาสบถเสียงลั่นแล้วเหยียบคันเร่งจนมิดทั้งที่ตอนแรกทำท่าจะจอดเพราะสัญญาณไฟเหลืองกระพริบแล้ว “มิน่าล่ะ ตอนสวนกันตรงสี่แยกโน้น เห็นรถบ้านใหญ่ขับเร็วยังกับพายุ ยังนึกอยู่ว่าเดี๋ยวไอ้คนขับมันต้องโดนคุณภัทด่าแน่ๆ ไม่นึกว่าจะกลายเป็นยังงี้ไปได้!?”


ได้ยินแบบนี้ ระดับความรู้สึกผิดของผมเลยพุ่งตามความเร็วรถไปติดๆ


“มันจะแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับอา?”


“แย่ไม่แย่เราก็ลองคิดดู ตอนงานศพพวกที่บ้านสวนได้แต่นั่งฟังพระสวดอยู่นอกศาลา แล้วโดยเฉพาะรื่นน่ะเกือบจะไม่ได้ขึ้นเมรุไปวางดอกไม้จันทร์ด้วยซ้ำ”


“ทำไมคุณภัทต้องทำถึงขนาดนั้นล่ะครับ น้ารื่นไม่ใช่คนที่ทำให้คุณท่านประสบอุบัติเหตุสักหน่อย”


“ไม่ได้ทำให้พี่กฤตตายแต่ทำให้คุณภัทตายทั้งเป็นน่ะสิ”


“หรือว่า... น้ารื่นจะเป็น...?!” ผมยั้งปากไว้เพราะรู้สึกว่าไม่ควรพูด แต่เรื่องบาดหมางระหว่างสองหญิงหนึ่งชายคงมีกันได้ไม่กี่เรื่องหรอก


“ก็นั่นแหละที่เขาคิดๆกัน ถึงยังไงฉันก็ไม่เชื่อว่าพี่กฤตกับรื่นจะเป็นอย่างนั้น แต่ทำไงได้ คนนึงตายไปแล้ว อีกคนก็ปิดปากสนิท ไม่ว่าใครถามยังไงก็ไม่ยอมบอก แล้วมันยังมีคดีเพิ่มขึ้นมาตอนที่เปิดพินัยกรรม พี่กฤตยกบ้านสวนให้เจ้ากรแต่ดันระบุให้รื่นเป็นคนดูแลทุกอย่างจนกว่ากรจะอายุครบยี่สิบห้าค่อยโอนกรรมสิทธิ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เท่านั้นไม่พอยังอนุญาตให้รื่นอยู่ที่นั่นต่อโดยชอบธรรม ถ้าถูกใครรบกวนหรือมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ไม่ได้ก็อนุโลมให้ออกไปแต่จะได้ทุนไปตั้งตัวอีกสิบล้าน ไอ้คนที่ระแวงอยู่แล้วเลยยิ่งปักใจเชื่อถึงได้จงเกลียดจงชังจนทุกวันนี้ไงล่ะ”


คำว่า ‘จงเกลียดจงชัง’ ดูจะอ่อนไปด้วยซ้ำเมื่อนึกถึงภาพของคุณภัทราพรที่ผมได้เห็น


“แล้วคุณภัทเคยเล่นงานน้ารื่นหรือเปล่าครับ”


“ถ้าถึงขั้นทำร้ายให้เจ็บตัวน่ะไม่เคยหรอก เพราะพอเสร็จงานศพกับเรื่องพินัยกรรมคุณภัทก็ทำเหมือนลืมบ้านสวนไปเลย แต่ลองใครพูดชื่อรื่นฤดีขึ้นมาเป็นของขึ้น ที่แล้วๆมาพวกเราพยายามจะเลี่ยง กรเองก็ไม่ค่อยให้แม่เขารู้หรอกว่ายังไปมาหาสู่พวกบ้านสวนอยู่ ไม่รู้ว่าคุณภัทเกิดผีเข้าอะไรขึ้นมาถึงได้คิดไปจะไปเหยียบที่นั่น แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร ฉันว่าวันนี้บ้านสวนราบเป็นหน้ากลองแน่ๆ”


ผมอยากจะร้องไห้ อยากจะเขกกะโหลก อยากจะตบปากตัวเองชะมัด ฮือออ นี่ผมทำบ้าอะไรลงไป มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว ถ้าน้ารื่นเป็นอะไรขึ้นมาผมต้องตายไปตกนรกสถานเดียว ขณะที่ผมกำลังภาวนาให้เรื่องร้ายกลายเป็น... ไม่ต้องถึงกับดี แต่ขอให้ร้ายน้อยกว่าที่ผมกลัว รถก็เบรกเอี๊ยดตามด้วยเสียงอุทานของคนขับ


“เฮ้ย! มีไรกันวะนั่น?!”


มองไปที่หน้าเรือนไทย หลายคนรวมทั้งน้ารื่นกำลังวิ่งวุ่นอยู่รอบรถเบนซ์คันโตทำให้ผมนึกโล่งอก แต่พอเห็นลุงพันอุ้มร่างไร้สติลงมาส่งที่รถเท่านั้น ผมกับคุณชัชก็หันมามองหน้าแล้วสบถเป็นเสียงเดียวกัน!





จบตอนแล้วคร้าบ



จบตอนแบบให้ลุ้นกันพอตื่นเต้นเนาะ  :katai2-1:


 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25 (2-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 02-06-2016 20:54:07
ลุ้นๆๆ  :z13:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25 (2-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsaizzz ที่ 02-06-2016 21:11:43
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25 (2-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 02-06-2016 23:48:25
คือสงสัยอ่ะ ตกลงอาชัชไม่เสร็จยัยภาใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25 (2-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-06-2016 02:13:38
ลุ้นกันอย่างสนุกสนาน
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25 (2-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 03-06-2016 02:35:16
 :-[
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25 (2-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 03-06-2016 16:03:32
ใครเป็นอะไรละนั่น
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25 (2-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: tuckky ที่ 03-06-2016 16:19:41
 :m31:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25 (2-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 04-06-2016 08:14:15
เป็นตอนที่วุ่นวายจริงๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 25 (2-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 04-06-2016 16:22:43
อีรุงตุงนังกันไปหมด  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 07-06-2016 19:22:15







26 .






สรุปแล้วอาการเบื้องต้นของคุณภัทราพรคือหมดสติแล้วพลัดตกบันได ทีแรกคุณชัชสงสัยว่าเป็นอันไหนก่อนแต่พยานยืนยันตรงกันว่าคุณภัทมีอาการวิงเวียนจนวูบไปแล้วพอดีกับที่ยืนอยู่ใกล้บันไดจึงเซล้มลงมา โชคดีที่น้ารื่นฤดีรีบคว้าตัวไว้เลยไม่ถึงกับกลิ้งหลุนๆตกลงมา เมื่อพามาส่งถึงมือหมอเรียบร้อยทุกคนพลอยโล่งอก แต่ผมนี่สิที่ยังแบกความผิดบาปไว้เต็มบ่า เพราะถ้าวิเคราะห์กันแบบลึกๆ คุณภัทคงเครียดเรื่องคุณกรอยู่แล้วยังมาโดนผมปั่นหัวจนโมโหถึงได้วูบไปแบบนั้น


ตอนนี้ผมกับคุณชัชกำลังนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ส่วนน้ารื่นตามไปดูอาการของคุณภัทราพรอย่างใกล้ชิดเพิ่งจะกลับมา


“อะไรกันคะคุณกานต์?!” น้ารื่นนั่งลงปุ๊บ ผมก็โผเข้าไปกอดด้วยความซาบซึ้งอย่างที่สุด การที่น้ารื่นช่วยคุณภัทไว้ก็เหมือนช่วยทุเลาความผิดผมเช่นกัน “อยู่ๆดีมากอดน้าทำไม แน่ะ! คนมองกันใหญ่แล้วนะ”


“กานต์ผิดเองครับ ถ้ากานต์ไม่พูดถึงบ้านสวนขึ้นมาคุณท่านคงไม่โกรธแล้วไปที่นั่นจนเกิดเรื่อง กานต์เสียใจที่ทำอะไรไม่คิด กานต์ขอโทษนะครับน้ารื่น”


คุณชัชได้ฟังก็ขำใหญ่ แถมยังซัดหัวผมอีก แรงมือขนาดนี้ถึงไม่เห็นก็รู้น่ะว่าใคร น้ารื่นเลยรีบกอดแล้วลูบหัวผมเบาๆเป็นการปลอบขวัญ


“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ถ้าคุณกานต์ผิด น้าเองก็ผิดด้วยที่ไปทำให้คุณภัทเธอเกลียดได้ถึงขนาดนั้น นี่ก็รอว่าเธอฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่จะได้ขอโทษที่มีส่วนทำให้เธอต้องมาเจ็บตัว”


“แล้วหมอว่าไงบ้างล่ะ” คุณชัชคงขี้เกียจปลอบเราทั้งคู่เลยถามถึงเรื่องสำคัญ


“คุณหมอบอกว่าความดันค่อนข้างสูงแต่ไม่ถึงขั้นอันตราย หัวใจยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนภายนอกมีแค่รอยฟกช้ำกับอาการบวมที่ข้อเท้า นอกจากนั้นคงต้องรอทั้งผลเอกซเรย์แล้วก็รอให้คุณภัทเธอฟื้นขึ้นมาบอกเองว่าเจ็บตรงไหนอีกบ้าง”


ผมแอบถอนหายใจโล่งอก ส่วนคุณชัชไม่รู้จะร้อง ‘เฮ่อ!’ ด้วยเหตุผลเดียวกันหรือเปล่า


“งั้นเดี๋ยวรื่นไปบอกหมอให้ตรวจละเอียดๆหน่อยนะ อาการแบบนี้อาจจะมีเส้นเลือดในสมองระเบิดไปแล้วสักเส้นสองเส้นก็ได้ ”


“เดี๋ยวเถอะคุณชัช! ไปแช่งเธอทำไม แค่นี้ฉันก็ผิดหลายกระทงแล้ว” น้ารื่นเอ็ดเสียงเขียวแต่คุณชัชยังยิ้มลอยหน้าลอยตา เดาว่าสองคนนี้สนิทสนมคุ้นเคยกันมานานแต่น้ารื่นก็ ยังคงให้ความเกรงใจเขาในฐานะเจ้าของบ้านคนหนึ่ง


“อย่าโทษตัวเองสิ คนที่บ้านก็บอกแล้ว รื่นน่ะอยู่เฉยๆแต่คุณภัทบุกมาถึงก็แว้ดๆใส่ซะไฟแลบแล้วอีท่าไหนไม่รู้ถึงได้ตกบันไดไป นี่ฉันยังสงสัยว่าถ้ารื่นไม่ห้อยพระดีก็คงได้วิญญาณลุงกล้าช่วยคุ้มครองแหงๆ คนคิดร้ายถึงได้แพ้ภัยตัวเอง”


น้ารื่นแจกค้อนคุณชัชวงใหญ่แล้วพอดีหันมาเห็นผมมองตาแป๋วอยู่ คงรู้ว่าผมกำลังสงสัยเลยออกปากยอมให้ถามสมใจ


“กานต์ขอโทษนะครับที่ละลาบละล้วง แต่กานต์อยากรู้...คุณกฤตใช่เขาคนนั้นของน้ารื่นหรือเปล่าครับ?”


น้ารื่นเม้มปากไม่รู้ตัว ผมเลยหันไปส่งสายตาขอความร่วมมือจากคนตัวโต


“นั่นสิรื่น ถึงมันจะผ่านมาตั้งนานแล้วแต่ฉันก็อยากรู้เหมือนกันนะ ฉันเชื่อใจพี่กฤต เชื่อใจรื่นด้วยแต่คนอื่นเขาไม่รู้จักพวกเราถึงได้พูดกันไปเรื่อย ยิ่งเกิดเรื่องอย่างวันนี้เดี๋ยวคงได้ขุดคุ้ยกันไม่จบอีก ถ้ามีอะไรที่พอจะเล่าได้ก็เล่ามาเถอะ รื่นเองจะได้เลิกตกเป็นขี้ปากชาวบ้านซะที”


น้ารื่นฤดีมองหน้าผมกับคุณชัชสลับกันอยู่สองรอบถึงได้มีรอยยิ้มบางๆแล้วก็ยอมเปิดเผยสิ่งที่ถูกเก็บเป็นความลับมานาน


“ถ้าจะพูดกันจริงๆ ระหว่างคุณกฤตกับน้าอาจจะไม่ใช่ในความหมายของคำว่าแฟนหรือคนรักกันอย่างที่คุณกานต์คิดอยู่หรอกค่ะ น้านับถือคุณกฤตในฐานะลูกชายของผู้มีพระคุณ ส่วนเขาเองก็คงเอ็นดูน้าเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ความใกล้ชิดอาจทำให้เราหวั่นไหวไปบ้างแต่ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าความรู้สึกหวือหวาของเด็กวัยรุ่นธรรมดา พอพี่กฤตเรียนจบมหาวิทยาลัยลุงกล้าก็จัดการเรื่องการแต่งงานกับคุณภัท เป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อแม่ย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด น้าเองก็ยังเด็ก เพิ่งจะขึ้นม.ปลายเท่านั้น ตัวพี่กฤตก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขัดคำสั่งลุงกล้าได้ เราเลยตัดสินใจจากกันด้วยดี ทีแรกนึกว่าชาตินี้คงไม่มีบุญได้พบกันอีก จนผ่านไปเป็นสิบปีเห็นจะได้ ครอบครัวน้ามีปัญหาเลยต้องซมซานกลับมาขอพึ่งใบบุญลุงกล้า ตอนที่ได้พบกันอีกครั้งยิ่งต้องเจียมตัวเพราะพี่ชายที่แสนดีคนเดิมเป็นถึงลูกเขยท่านเจ้าสัว เป็นเจ้าของโรงแรมและกิจการใหญ่โต มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม เราเลยได้แต่พบปะพูดคุยกันในฐานะเจ้าของบ้านกับผู้อาศัย จนกระทั่งช่วงหลังที่ลุงกล้าเริ่มเจ็บออดๆแอดๆ ทั้งโรคเก่าความดันกับเบาหวาน ตับก็ไม่ดีเพราะดื่มเหล้าจัดมาตั้งแต่หนุ่มๆ แล้วยังโชคร้ายเริ่มมีอาการไตวายซ้ำเข้ามาอีก คุณหมอบอกว่าทางรอดเดียวคือต้องเปลี่ยนไต แต่ลุงกล้าไม่ยอมท่าเดียว แกบอกว่าทำใจไว้แล้ว ถ้าจะไปก็ขอไปอย่างสบาย ไม่ต้องเดือดร้อนหรือเบียดบังใครจะดีกว่า น้ากับทุกคนที่บ้านสวนเลยช่วยดูแลจนท่านสิ้นลมจากพวกเราไป แล้วจากวันนั้นคุณกฤตก็ยังอนุญาตให้น้าอยู่ที่บ้านสวนต่อมาจน...”


ความลับที่ถูกเก็บงำมาเนิ่นนานจบลงด้วยความเศร้าที่สะท้อนออกมาในน้ำเสียงที่ขาดหายไป ผมรีบกอดน้ารื่นไว้ด้วยความสงสารในชะตากรรมของหญิงสาวตัวเล็กๆที่ไม่เคยพบพานกับความสมหวัง และในอีกด้านก็ชื่นชมที่เธอยึดถือความถูกต้องดีงามเสมอมา


“พี่กฤตเองก็คงอยากจะขอบคุณเลยตั้งใจทำพินัยกรรมขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของรื่นสินะ” คุณชัชสรุปเรื่องให้แทนแล้วตามด้วยอาการทอดถอนใจเพราะตัวเขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน


“เรื่องพินัยกรรมฉันเพิ่งมารู้พร้อมกับทุกคน แต่ถึงยังไงฉันก็ขอยืนยันนะคะคุณชัช ฉันกับคุณกฤตเป็นได้แค่พี่ชายน้องสาวที่รู้สึกดีๆต่อกันเท่านั้น”


ผมมองภาพที่คุณชัชพยักหน้าแล้วเอื้อมมือมาตบไหล่น้ารื่นเบาๆด้วยความรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแวบวาบขึ้นมาในหัว และทำให้ผมเผลอหลุดปากออกไป


“สวรรค์ไม่ยุติธรรมเลย น้ารื่นเป็นคนดีขนาดนี้แต่ยังต้องผิดหวังกับความรัก อยากรู้จริงๆว่าแถวนี้จะพอเหลือผู้ชายดีๆที่จะมาปลอบใจน้ารื่นได้บ้าง...มั้ย...น๊า?”


พอหันไปส่งยิ้มชี้ตัวผู้ชายดีๆที่อยู่ใกล้ที่สุด กามเทพฝึกหัดอย่างผมเลยได้รางวัลเป็นมะเหงกลูกใหญ่ แล้วก็ถูกเขาดึงกลับไปนั่งที่โซฟาตัวเดียวกันตามเดิม


“รู้นะว่าคิดอะไรอยู่”


ผมสบตาปิ๊งๆก็เลยโดนเจ้าของอ้อมแขนที่กอดอยู่เขกกะโหลกอีกหลายโป๊ก


“ยัง! ยังไม่เข็ด อีกสักทีดีมั้ย เอาให้ความคิดพิเรนทร์ๆนี่มันหลุดจากสมองไปซะเลย”


“โอ๊ย! อาเล่นแรงอ่ะ ไม่ยุ่งด้วยแล้ว ปล่อยเลย ผมจะไปนั่งกับน้ารื่น”


“ไม่ต้องเลย โตเป็นหนุ่มจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังจะไปนั่งกอดเขาอยู่ได้ ใครเห็นเข้าจะคิดยังไง”


“นั่นสิ ฉันคงโดนหาว่าเป็นสาวแก่ชอบกินเด็กแน่เลยนะคุณชัช”


“อ้าว! ทำไมน้ารื่นไม่เข้าข้างกานต์ล่ะครับ!” กลายเป็นว่าผมหัวเดียวกระเทียมลีบซะงั้น “อาชัชก็ด้วยแหละ มานั่งกอดผมยังงี้เดี๋ยวก็เป็นเรื่อง ขอเตือนไว้ก่อนแฟนผมขี้หึงนะจะบอกให้”


“อย่าคิดว่าเราจะมีดีแค่คนเดียว ของฉันก็ขี้หึงบรรลัยเหมือนกันล่ะน่ะ”


“ใครครับ?! / ใครคะ?!”


นี่ถ้าไม่โดนกอดอยู่ก็อยากยกมือมาทะลวงรูหูจะได้ชัวร์ว่าได้ยินไม่ผิด เพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินคุณชัชพูดถึงเรื่องทำนองนี้เลยสักครั้ง ขนาดน้ารื่นยังแปลกใจจนหลุดปากออกมาพร้อมกัน แสดงว่ามันต้องเป็นความลับสุดยอด!


“เอ่อ...ก็หมายถึงถ้ามี...”


เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่คนที่มีความมั่นใจสูงสุดยอดไม้อย่างท่านที่ปรึกษาอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มปาก แล้วจะยัง...ใบหูที่เริ่มแดงผิดกับสีผิว ว้าวๆ! พยัคฆ์ร้ายก็เขินเป็นด้วยเหรอเนี่ย!


“แน๊! อาชัชขี้ปด ผมว่าต้องมีแน่ๆ ใครกันครับ ผมรู้จักหรือเปล่า บอกมาเลย บอกมาเลย?!”


ผมได้ทีตั้งท่าเค้นคอคนตัวโตให้เปิดปาก แต่ขนาดจับอกเสื้อเขย่าจนยับแล้วก็ยอมคายออกมาทีละหน่อย จับเป็นคำยังไม่ได้เลย


“ก็...จะว่ารู้จัก...ก็น่าจะ...” พอถูกผมกับน้ารื่นกดดันมากๆก็เสมองไปทางอื่นแล้วจู่ๆก็หลุดออกมาว่า...  “หนูภา!”


ผมหันตามไปก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อโจทก์เก่ามายืนจ้องอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คุณภาวิณีมองจิกตั้งแต่มือที่ยังกำอกเสื้อคุณชัชอยู่ไล่ขึ้นมาจนผมขนลุกไปทั้งแขน ดวงตาวาวโรจน์มาหยุดมองหน้าผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเสร็จก็สะบัดสายตาอย่างเดียวกันไปหาคุณชัช เรียกว่าไม่สนใครหน้าไหน ต่อให้เป็นอาแท้ๆก็โดนไม่ต่างกัน


“หนูภา!” คนตัวโตรีบลุกไปหา ยกมือไล่แตะทั้งหน้าผาก ข้างแก้มและต้นแขน แล้วรัวถามจนฟังแทบไม่ทัน “อาบอกว่าเดี๋ยวเข้าไปรับจะรีบออกมาเองทำไม แล้วนี่ยังเพลียอยู่หรือเปล่า มายังไง ใครมาส่ง หรือว่าขับรถมาเอง ไม่ดีนะรู้มั้ย ใบขับขี่หนูภาก็หมดอายุแล้วเกิดโดนตำรวจเรียกขึ้นมาจะทำยังไง”


ถ้าเป็นผมเจอแบบนี้เข้าไปคงมึนจนตอบไม่ถูก แต่สำหรับน้องสาวเจ้าของโรงแรมใหญ่ เธอกลับยกมือเท้าเอวแล้วย้อนถามอย่างไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยสักนิด


“ปีนี้อาอายุเท่าไหร่?” เป็นคำถามที่ทุกคนฟังแล้วมึนอีกรอบ พอเขาไม่ตอบหรือความจริงคือตอบไม่ถูกก็โดนหลานสาวตัวเองมองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วว่าซ้ำ “อาชัชเองก็แก่ขนาดนี้ไม่คิดว่าหนูภาจะโตแล้วบ้างหรือไง เมื่อไหร่จะเลิกเห็นหนูภาเป็นเด็กสักที?!”


“ก็...อาเป็นห่วง...” คนตัวโตออดเสียงอ้อนๆพลางจับมือเรียวเล็กมากุมไว้ เฮ่อ! หมดกันภาพลักษณ์พยัคฆ์ร้ายของผม กลายเป็นลูกแมวร้องเหมียวๆไปซะแล้ว


“ถ้าแคร์กันจริงก็อย่าทำอะไรที่หนูภาไม่ชอบ ง่ายๆแค่เนี้ยทำได้มั้ย?!” คุณภาวิณีกระชากเสียงสั่งแล้วดึงมือตัวเองคืน “แล้วนี่แม่อยู่ไหนคะ”


“พยาบาลกำลังพาไปเอกซเรย์ แต่ป่านนี้คงเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ” น้ารื่นรับหน้าเสื่อตอบแทนแล้วผลก็คือ...


“ใครถามไม่ทราบ”


บอกตามตรงว่าผมกลัวแม่ลูกคู่นี้จริงๆ ต่างกันนิดเดียวตรงที่คุณภัทราพรใช้ความเป็นผู้ใหญ่และการวางตัวดีทุกกระเบียดกดดันให้รู้สึกผิดได้ตลอดเวลา แต่ต่อให้ท่านอยากจะฆ่าผมก็คงแค่คิดแล้วฉายแววอำมหิตออกมาทางแววตาและคำพูด ผิดกับคุณภาวิณีที่ทำให้รู้สึกเหมือนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย และการที่เธอไม่กลัวหรือเกรงใจใครเลยนี่ล่ะที่อันตรายสุดๆ อย่างตอนแรกที่เจอกันก็ตบผมโชว์คนทั้งโรงแรม ถ้าโชคร้ายเธอทนเหม็นขี้หน้าผมไม่ไหวขึ้นมาจะมีใครช่วยผมได้ล่ะเนี่ย!


“ภาวิณี!” หรืออาจมีแต่เขาคนนี้ที่พอจะกำราบความสวย เผ็ด ดุนี้ลงได้? “คิดบ้างนะ ปากบอกว่าโตแล้วแต่ทำนิสัยแบบนี้สมควรหรือเปล่า อย่างน้อยรื่นก็อายุมากกว่า แถมเขายังเป็นคนช่วยแม่เราไว้ มาถึงโรงพยาบาลก็วิ่งวุ่นติดต่อให้ทุกเรื่อง แล้วยังตามไปเฝ้าคุณภัทเพิ่งจะได้กลับมานั่งเมื่อตะกี้ ไม่เคารพ ไม่ยกมือไหว้ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยก็พูดจาดีๆ หัดทำตัวให้เหมือนคนมีมารยาทหน่อยจะได้มั้ย”


คนถูกดุหน้าเสียแต่ยังเชิดหนีด้วยความถือดี ไม่มีจะอ่อนข้อให้ง่ายๆ คุณชัชถึงกับส่ายหัว ทำท่าเหมือนอยากจะจับหลานสาวตีก้นโชว์คนทั้งโรงพยาบาลบ้าง


“ไม่เป็นไรค่ะคุณชัช คุณภาคงจะห่วงคุณแม่มาก” น้ารื่นเข้าใกล้เกลี่ยแล้วบอกต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คุณหมอบอกว่าตอนนี้ถือว่าปลอดภัยแล้ว เหลือแต่รอให้คุณภัทฟื้นกับอาจจะมีเช็คอะไรเพิ่มอีกนิดหน่อย คุณภาจะขึ้นไปรอที่ห้องพักผู้ป่วยเลยก็ได้นะคะ”


“แล้วจู่ๆแม่เป็นแบบนี้ได้ยังไง เมื่อเช้าเจอก็ยังเห็นดีๆอยู่เลย”


คำถามลอยๆแต่ฟังก็รู้ว่าเจ้าตัวพยายามคุมน้ำเสียงให้อ่อนลง นับว่าวิธีของคุณชัชได้ผลอยู่เหมือนกัน แต่พอคนที่อ้าปากตอบเปลี่ยนเป็นผมเท่านั้น


“หุบปากไปเลยไอ้เด็กตุ๊ด ฉันไม่ได้พูดกับแก!”


ผมหัวหด ชักเท้าหนีไปหลบอยู่หลังน้ารื่นแทบไม่ทัน เพราะไม่ใช่แค่เสียงตวาดแต่มันจะมีมือถือลอยแถมมาด้วยนี่สิ!


“พอที!” คุณชัชรีบคว้าเรียวแขนขาวและยึดทุกอย่างที่พอจะเป็นอาวุธไปถือให้แทน “พูดกันดีๆสิ  กานต์ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็อารมณ์เสียแล้วพาลเขายังงี้อาไม่ชอบ หนูภาเป็นอะไรกันแน่ หรือว่าโมโหหิว งั้นอาพาไปหาอะไรกินดีกว่า เผื่ออิ่มแล้วจะได้เลิกอาละวาดซะบ้าง”


“อาชัชก็ดีแต่ปกป้องมัน!” คุณภาขึ้นเสียงแว้ดแต่พอคุณชัชเอาจริงบ้างก็ต้องยอมหายดื้อ เปลี่ยนเป็นมากเรื่องแทน “หนูภาไม่กินของโรงบาล มีแต่อะไรก็ไม่รู้ แถมมองไปทางไหนก็มีแต่คนป่วย ใครจะมีอารมณ์กินอะไรลง”


“ตรงโน้นมีร้านเบเกอรีที่หนูภาเคยซื้อกินอยู่ไม่ใช่หรือไง ไปหาขนมรองท้องสักหน่อยก่อน รอดูอาการคุณภัทว่าโอเคแล้วค่อยออกไปหาข้าวข้างนอกกินกัน ถ้าเรื่องมากกว่านี้จะหาว่าอาไม่สนใจไม่ได้แล้วนะ” คนตัวโตบอกเสียงเข้ม พอคุณหลานสาวยอมพยักหน้า เขาก็หันมาทางผมกับน้ารื่น


“กานต์...”


“ถ้ามีคนอื่นด้วย หนูภาไม่กิน!”


“ก็ยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะชวนใคร แค่จะให้กานต์ตามไปดูคุณภัทกับรื่นซะ แล้วก็คอยรอกรด้วย พอเครื่องลงคงรีบมาที่นี่เลย”


ผมรีบรับคำเพื่อให้เขาวางใจจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง


“ดีมากคนเก่ง มันต้องทำตัวรู้เรื่อง ไม่งี่เง่างอแงอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก เดี๋ยวฉันซื้อขนมมาฝากนะ”


มือใหญ่ยื่นมาลูบหัวตามด้วยคำชมที่ทำให้ผมหน้าบาน แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะมีอีกคนที่หน้าหุบแล้วเดินหนีเฉย คนตัวโตถอนหายใจแล้วรีบตามไป พอทันกันจะจับมือก็ถูกงอนใส่ ต้องตามไล่ง้อ ไล่แหย่กันไปตลอดทาง ส่วนผมได้แต่ยืนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก


“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณกานต์”


ผมหันไปตามเสียงเรียก เดาว่าน้ารื่นคงไม่ทันผิดสังเกตเลยรีบชี้ให้เห็นก่อนที่ทั้งคู่จะเดินลับมุมตึกไป เป็นภาพที่คุณชัชทำเป็นแกล้งเขกหัวคนขี้งอนแต่อีกมือเลื่อนไปโอบรอบเอวเล็กไม่ยอมปล่อย


“กานต์ว่าอาชัชกับคุณภาดูยังไงๆก็ไม่รู้ น้ารื่นว่ามั้ยครับ”


“แล้วที่ว่ายังไงมันยังไงกันล่ะคะคุณกานต์ น้าไม่เข้าใจที่คุณถามมากกว่าอีก”


“ก็กานต์บอกไม่ถูกว่ามันจะยังไงนี่ครับ รู้แต่ว่า...แปลกๆ ไม่เคยเห็นอาชัชอ่อนข้อหรือเอาใจใครขนาดนี้มาก่อนเลย”


น้ารื่นหันไปมองอีกทีแต่คนทั้งคู่หายไปแล้วก็เลยไม่ทันช็อตสุดท้ายที่น่าจะมีแค่ผมคนเดียวที่ได้เห็น...


“เพราะคุณภาเธอเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นลูกสาวคนเล็กที่คนทั้งบ้านตามใจมาตั้งแต่เด็กๆหรือเปล่าคะ คุณกฤตเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนเวลาคุณชัชตามไปบ้านใหญ่ทีไรต้องลดวัยไปคอยเป็นพี่เลี้ยงเด็กจนหลานๆติดคุณอามากกว่าคุณพ่อคุณแม่ซะอีก พอโตๆกันแล้ว คุณกรเป็นผู้ชายแถมยังเป็นพี่ก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัว ส่วนคุณภาคงยังติดนิสัยแบบเด็กๆก็เลยขี้อ้อน ขี้ใจน้อยให้คุณชัชคอยตามใจมากหน่อย”


“ก็... คงงั้นมั้งครับ”


“น้าว่าคุณกานต์เองก็แปลกๆ นี่คงไม่ใช่เห็นคุณชัชไปเอาใจแต่คุณภาเลยเกิดน้อยใจหรอกนะคะ”


ผมรีบปฎิเสธแข็งขัน ผมก็แค่คนที่คุณชัชนึกเอ็นดู เทียบกับหลานสาวคนเดียวแล้วยิ่งไม่มีอะไรที่เขาจะต้องให้ความสำคัญ แต่ปัญหาคือถ้าน้ารื่นได้เห็นเหมือนอย่างที่ผมเห็น... ที่มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากเอวโน้มคอดึงร่างบางไปกระซิบบอกอะไรสักอย่าง เสร็จแล้วก็แอบฉกจมูกหอมเรือนผมยาวสยายหนึ่งฟอด... จะยังพูดแบบนี้อยู่มั้ยนะ





จบตอนแล้วคร้าบ


สำหรับคำถามที่ว่าอาชัชเสร็จภาวิณีหรือไม่นั้น

เอิ่มมมม ดูจากตอนนี้ก็น่าจะได้ข้อสรุปนะคะ

ถามว่าโดนแม่เสือเขมือบไปกี่รอบเลยดีกว่า ยิ่งหิว นางยิ่งดุค่ะ 555





 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 26 (7-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 07-06-2016 21:19:26
ถ้าหนูภาจะไม่โวยวายคงดูน่ารักกว่านี้นะ
ถ้าหนูภาเป็นแบบนี้ตลอด เราก็ไม่อยากเชียร์ให้ได้อาชัชไปหรอกนะคะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 26 (7-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 07-06-2016 21:23:27
ผู้หญิงแบบนี้ได้มากินแล้ว ก็น่าทิ้งไป ทำตัวงี่เง่า ไร้สาระ มีแค่สมองไว้เรียน
แต่อย่างอื่นติดลบ ทุเรศดี มารยาทก็เลว
อ่าน 2 บท แบบลวกๆ บอกได้ว่ารำคาญมาก
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 26 (7-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-06-2016 23:25:13
แวดๆอยู่ได้ ปวดหูชะมัด
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 26 (7-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 08-06-2016 00:02:06
หนูภาไม่น่ารักเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 26 (7-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 08-06-2016 14:44:50
ผู้หญิงงี่เง่า
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 26 (7-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 08-06-2016 15:33:44
คเข้าใจว่าหึง แต่นิสัยแบบนี้ไม่น่ารักเลยน่ะหนูภา
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 26 (7-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 09-06-2016 14:18:18
ไม่ชอบคนอย่างภาเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 27
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 11-06-2016 18:51:23






27.





ตั้งแต่จำความได้แม่ของผมเป็นผู้หญิงที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเกินหน้าเกินตาคนวัยเดียวกัน ถ้าไม่นับช่วงที่พ่อเพิ่งจากพวกเราไป เรื่องไม่สบายจนนอนซมหรือต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเจ็บป่วยนั้นไม่เคยมี แม่แค่ไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายประจำปี นอกเหนือจากนั้นคือการปรึกษาเรื่องความสวยความงาม ลดริ้วรอยชะลอวัยตามประสาคนที่ดูแลตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่างล่าสุดก็ชวนพรรคพวกไฮโซไปร้อยไหมหรือเส้นทองคำอะไรสักอย่างเพื่อยกกระชับใบหน้าจนดูสาวขึ้นผิดหูผิดตา


เพราะอย่างนี้ตอนอาชัชโทรมาบอกว่าแม่เป็นลมจนต้องเข้าโรงพยาบาล ผมยอมรับเลยว่าถึงกับช็อค โชคดีที่มีวรเมธอยู่ด้วย มันเลยจัดการให้ผมได้กลับมาเมืองไทยโดยเร็วที่สุด


ความจริงอาชัชก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่พอได้มาเห็นแม่นอนนิ่งอยู่บนเตียง หัวใจมันก็สั่นรัวด้วยความกลัว เป็นวินาทีที่ยิ่งตระหนักชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีความหมายกับชีวิตมากแค่ไหน ผมนั่งลงที่ข้างเตียงด้วยอาการเข่าอ่อน ค่อยๆยกมือเรียวบางขึ้นมากุมแล้วกดจมูกลงกับผิวอุ่น สูดกลิ่นหอมอ่อนๆที่ไม่ได้เกิดจากน้ำหอมราคาแพงแต่เป็นความผูกพันมากล้นที่ผมคงเผลอหลงลืมไป


ใครๆก็รู้ว่าคนอย่างคุณภัทราพรจะต้องสวยและดูดีตลอดเวลา แต่ผู้หญิงที่นอนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ เรียวคิ้วโก่งดังวาดเครียดตึง มีร่องขมวดนิดๆทั้งที่หลับสนิท ริมฝีปากซีดเซียวไร้สีที่เคยเคลือบ ชุดผู้ป่วยสะอาดตาสะท้อนขึ้นลงช้าๆจนลมหายใจของผมเบาลงตามไปด้วย เหตุการณ์คร่าวๆที่ได้ฟังมาบอกเป็นนัยว่าแม่มีเรื่องเครียดจนร่างกายรับไม่ไหว แล้วเรื่องพวกนั้นจะมาจากใครถ้าไม่ใช่ลูกชายชั่วๆที่เพิ่งจะได้มานั่งสำนึกผิดอยู่ข้างท่าน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่มีวันคิดแผนการบ้าๆที่ไม่เพียงขุดหลุมฝังตัวเองแต่ยังทำร้ายจนแม่เหมือนตายทั้งเป็นแบบนี้


“คุณกรครับ” เสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกจากด้านหลังพร้อมกับแก้วน้ำเย็นจัดวางลงที่โต๊ะข้างเตียงคนไข้ ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นยังถอยออกไปอีกไกล พยายามทำตัวเสมือนหนึ่งไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย


อะไรบางอย่างกดทับให้ต้องก้มหน้าซบลงกับมือแม่ นึกอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก มันอึดอัด ปั่นป่วนอยู่ข้างในจนรู้สึกถึงเส้นเลือดในหัวเต้นตุบๆ เวลาเกิดปัญหาผมจะพยายามสืบหาต้นตอและเริ่มสะสางจากจุดนั้น...


ผมรักแม่...และ...ผมรักกานต์ แม่ไม่ชอบคนรักของผม...แต่...ผมก็ไม่ต้องการใครนอกจากเขาคนนี้


เมื่อทั้งแม่และกานต์ต่างมีความหมายและสำคัญกับชีวิต ปัญหาจึงเกิดเพราะผมไม่อาจเลือกแค่คนใดคนหนึ่งและดูเหมือนตอนนี้ผมกำลังจะไม่มี...ทางเลือก


ถ้าปัญหาเกิดจากความหัวดื้อของแม่ที่ไม่ยอมรับอะไรอื่นนอกจากสิ่งที่ตัวท่านเองเป็นคนเลือก ถ้าผมยอมตามใจแม่ ทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าไม่ ผมจะได้ทุกอย่างตามต้องการและมีความสุขกับสิ่งที่เลือกเอง...แต่...ความสุขที่ตั้งอยู่บนความทุกข์ของแม่จะใช่ความสุขที่แท้จริงของคนเป็นลูกหรือเปล่า


หากมองอีกด้านว่าปัญหาเกิดจากตัวตนของกานต์ คำถามคือเด็กคนนี้มีความผิดอะไร แม้เขาจะเป็นผู้ชาย ไม่มีทั้งทรัพย์สมบัติหรือชื่อเสียงในวงสังคม แต่ผมพูดได้เต็มปากว่าเขาเป็นคนดี อาจจะดีกว่าผมด้วยซ้ำ เขาคือคนบริสุทธิ์ที่ถูกผมล่อลวงให้หวั่นไหว ลองคิดว่าถ้ากานต์เป็นผู้หญิงก็ถือว่าเขาเสียให้ผมหมดแล้วทั้งตัวและหัวใจ ถ้าผมจะทิ้งเขาเพื่อกลับมาเป็นลูกชายคนเดิมของแม่ เป็นสามีของผู้หญิงสักคนและอาจเป็นพ่อของลูกๆที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า มันจะไม่ใช่ความสมบูรณ์พร้อมที่ต้องแลกมาด้วยรอยมลทินของคนดีๆคนหนึ่งหรือไงกัน


“เดี๋ยว!”


ผมรีบสลัดความฟุ้งซ่านเมื่อรู้สึกได้ว่าคนๆนั้นกำลังเดินหนีไป ห้องพิเศษห้องนี้แบ่งพื้นที่ของผู้ป่วยออกจากส่วนรับรองคนเยี่ยมไข้อย่างเป็นสัดส่วน ผมรีบลุกจากข้างเตียงออกมาที่ส่วนรับรองซึ่งเชื่อมต่อไปจนถึงห้องน้ำและประตู ก็เลยได้เห็นว่ากานต์กำลังจะออกจากห้องไปอยู่แล้ว ตอนผมมาถึงน้ารื่นฤดีขอตัวไปติดต่อพยาบาลพิเศษสำหรับเฝ้าไข้คืนนี้ อาชัชพาภาวิณีไปทานข้าวยังไม่กลับ บรรยากาศเลยอึดอัดเข้าขั้นวิกฤตเพราะรายนี้ก็เอาแต่ทำตัวเงียบเชียบ แล้วนี่ยังจะทำเหมือนหนีหน้ากันอย่างนั้นแหละ


“จะไปไหน”


คำตอบที่ได้คืออาการก้มหน้าส่ายหัวเบาๆแต่มือยังจับอยู่ที่ประตู ผมเลยจงใจใช้ความเงียบกดดันจนอีกฝ่ายยอมเอ่ยปาก


“คุณกรมีอะไรจะใช้ผมหรือเปล่าครับ”


เมื่อครู่ในอกผมสั่นรัวราวหัวใจถูกเขย่า แต่ตอนนี้เหมือนเนื้อก้อนนั้นกำลังโดนขยำจนยอกไปทั้งอก ลมหายใจสะดุด แข้งขาพาลจะอ่อนแรงอีกรอบ นี่ผมเริ่มไม่ชินกับความห่างเหินขนาดนี้เชียว?!


“กานต์ มานี่ซิ” ไม่ได้ตั้งใจจะเรียกค่อยๆ แต่เสียงมันหายลงคอไปหมด ลงท้ายผมเลยต้องเดินไปหาตั้งใจว่าจะลากเข้าไปนั่งเฝ้าอาการแม่เป็นเพื่อนกัน คนตัวเล็กขัดขืนสุดฤทธิ์และเอาชนะผมได้ด้วยเหตุผลที่ว่า...


“ถ้าคุณท่านตื่นมาเห็นผม...” เจ้าตัวก็คงจะพูดไม่ออกเลยเลี่ยงใจความเสียใหม่ให้ฟังดูดีขึ้น “...ตอนนี้คุณแม่คุณไม่ค่อยสบาย อย่าทำอะไรที่ท่านไม่ชอบใจดีกว่า ปล่อยผม...”


“หมายความว่ายังไงที่ให้ปล่อย!” ผมรีบถามเพราะขืนรอฟังจนจบคงบ้าก่อนแน่


“อย่าเสียงดังสิครับ!” คนในอ้อมแขนหลุดปากดังกว่าเสียงกระซิบนิดเดียวแล้วรีบชะเง้อคอ ยื่นหน้าไปดูด้านใน เพราะแม้จะมีผนังกั้นแต่ประตูที่คั่นกลางก็เปิดอยู่ตลอด พอเห็นคนไข้ยังหลับสนิทดีก็ถึงกับเป่าปากแล้วหันมาพูดกับผมน้ำเสียงเป็นงานเป็นการเชียว


“ผมรู้ว่าคุณกรลำบากใจ ผมเลยจะไม่ขออะไรอีกนอกจากให้คุณอย่าลืมว่าผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่ผ่านมาชีวิตผมก็ลุ่มๆดอนๆ เจอเรื่องยากๆมาก็มาก ไม่ว่าต่อไปจะเป็นยังไงก็คงไม่เป็นไรอยู่แล้ว แต่คุณกรเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม มีเรื่องสำคัญๆให้รับผิดชอบมากมาย ถ้าจะต้องตัดสินใจเรื่องอะไรก็ตามอย่าใส่ใจเรื่องของผมเลย และที่สำคัญ ผมก็แค่คนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามา เทียบไม่ได้กับพระคุณของผู้ที่ให้ชีวิตหรอกครับ


ผมรู้ว่ากานต์เป็นเด็กที่มีความเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง และเป็นผู้ใหญ่เกินตัว คงเป็นคุณลักษณะเหล่านี้ที่ทำให้ผมสนใจและพาตัวเองเข้าไปผูกพันกับเขา ไม่นึกเลยว่าวันนี้ คนที่ไม่มีเหตุผล อยากทำทุกอย่างตามใจตนเอง ทำตัวไม่ต่างจากเด็กงอแงที่ร้องจะเอาของที่อยากได้จะกลายเป็นผมเอง


“แต่ฉันรักกานต์”


“แต่คุณท่านรักคุณที่สุด ในโลกนี้ยังมีอะไรเทียบเท่าความรักของแม่ได้อีกเหรอครับ”


อีกแล้ว! ผมเคยเถียงแม่ไม่ออกยังไง มาตอนนี้ก็จนด้วยคำพูดและไม่มีเหตุผลอะไรมาค้านสิ่งที่กานต์ยกมาอ้าง


“หมายความว่าจะให้ฉันตัดใจ”


“เราทั้งคู่ต่างหากครับ”


แม้จะเจ็บแปลบกับคำตอบไม่เกินคาดคิด แต่ก็ทำให้ได้ซึ้งถึงความรักที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม่รักและอยากเห็นผมมีอนาคตที่ก้าวหน้าสดใส ไม่ต้องมานั่งเสี่ยงกับหนทางที่อาจผิดพลาด ส่วนกานต์นั้นก็หวังจะเห็นผมได้มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมแม้จะต้องแลกกับความเจ็บปวดของตัวเอง 


“หน้าตาก็น่ารักทำไมถึงได้ใจร้ายนัก? นี่ถ้าคนที่มีปัญหาไม่ใช่แม่ฉัน แต่เป็นพ่อหรือแม่ของกานต์ กานต์คงทิ้งฉันไปแบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลยใช่มั้ย”


“ผมไม่รู้ครับ” ร่างบางหลบตา ก้มลงตอบเสียงอู้อี้อยู่กับอกผม “แต่ก็เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหมือนกันที่แม่ไม่อยู่ ส่วนพ่อคงไม่มาสนใจอะไรอีกแล้ว เลยไม่มีใครต้องมาเสียใจเพราะผม”


ผมผ่อนลมหายใจยาวแล้วสูดกลิ่นเรือนผมนุ่มหอมเพื่อเติมความเข้มแข็งให้กับตัวเอง นี่อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนักแต่ผมตัดสินใจแล้ว... ในเมื่อเลือกไม่ได้ก็ไม่ต้องเลือกเพราะผมจะไม่ยอมเสียคนที่ผมรักไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม!


ผมอาจจะดูเป็นลูกอกตัญญูที่ทำให้แม่เสียใจ แต่เชื่อเหลือเกินว่าวันหนึ่ง ความน่ารักของคนที่ผมรักจะทำให้แม่เปิดใจยอมรับ เผลอๆอาจจะรักเขามากกว่าผมด้วยซ้ำไป


“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากยิ่งกว่าโปรเจคท์ร้อยล้านพันล้าน แต่ฉันยังยืนยันคำเดิม ฉันรักกานต์ อยากให้เราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ และฉันหวังว่ากานต์จะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้...”


คนในอกเกร็งตัวแน่น ไม่ต่างจากผมที่แทบจะกลั้นใจในขณะที่พูด จนมาถึงคำสุดท้ายที่หลุดออกไปในจังหวะเดียวกับที่คนฟังยอมเงยหน้าขึ้นมา


“ขอให้คุณกรมีกานต์ตลอดไปได้มั้ยครับ”


ลึกๆก็นึกกลัวความใจแข็งของคนตัวเล็กจึงกระชับอ้อมแขนไว้แล้วก้มลงเพื่อฉวยเอาเฉพาะสิ่งที่ต้องการ อาการเม้มปากแน่นคือด่านแรกที่ผมต้องยืนกรานความรู้สึก เมื่อไม่ยินยอมผมก็ไม่บดเค้นที่เป็นการฝืนใจ แต่ยกมือขึ้นแตะปลายคาง ออกแรงเล็กน้อยรั้งกลีบเนื้อนุ่มให้พอมีพื้นที่ได้เลาะเล็ม ขบคลึงเบาๆจนเจ้าตัวโอนอ่อนยอมเผยอริมฝีปากให้รุกล้ำเข้าไปในที่สุด เรียวลิ้นเล็กยังขัดขืนอยู่ในที พลิกหนีสะเปะสะปะให้ต้องตามไล่ตะล่อม แต่ไม่ช้าเด็กน้อยก็จับทางถูก รู้จักรัดตอบและรุกไล่เพื่อดื่มด่ำรสรักที่แสนอ่อนหวาน นานทีเดียวกว่าอาการต่อต้านจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง พอผลักผมหลุดออกได้ก็ส่งสายตากล่าวโทษข้อหาที่ไปขโมยลมหายใจจนเขาแทบขาดใจ


ผมมองใบหน้าขาวใส ประกอบด้วยดวงตากลมโต แก้มป่องสีก่ำและริมฝีปากแดงฉ่ำด้วยความรักสุดใจ รสหวานยังคาปากชวนให้เนื้อกายอึดอัดจนต้องพยายามข่มใจไม่แตะต้องให้เกินเลยไปมากกว่านี้ แต่ถ้าจะพูดไปคำตอบที่ผมได้มาก็เรียกว่าเกินคุ้ม


“ถือว่าสัญญานี้เป็นความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่ายแล้วนะ” แกล้งแซวแล้วแตะปากข้างแก้มนุ่ม จะเบิ้ลอีกทีก็โดนทุบอกดังปั้กเสียก่อน


“ถึงไม่มีผมก็ไม่เห็นจะตายสักหน่อย”


เจ้าของกำปั้นบ่นอุบ ก้มหน้างุดๆคงจะอายที่หน้าขึ้นสีหน้ากว่าเก่า ลำบากให้ผมต้องงัดคางให้ขึ้นมามองตาเพราะอยากบอกเหตุผลว่าทำไมถึงอยากได้สัญญาใจฉบับนี้เหลือเกิน


“แต่ก็คงไม่รู้อีกแล้วว่าความสุขหน้าตาเป็นยังไง กานต์อยากให้คุณกรตายทั้งเป็นหรือไงหืม”


ตัวผมเองพูดออกไปก็เขินเพราะไม่เคยอ้อนใครขนาดนี้มาก่อน แล้วก็ได้อายจริงๆเพราะเป็นจังหวะที่ทุกคนกลับเข้ามาพร้อมกันพอดี น้ารื่นฤดีแค่มองยิ้มๆ แต่สายตาอาชัชนี่สิ รู้สึกเหมือนโดนเอาน้ำร้อนสาดหน้ายังไงยังงั้น ตรงข้ามกับภาวิณีที่ทำท่าอย่างกับจะเอามีดมาตัดแขนผมกับกานต์ให้ออกจากกัน โชคดีที่มีอาชัชคอยปราม แม่เจ้าประคุณเลยหนีไปนั่งหน้าหงิกอยู่ข้างเตียงคนไข้แทน


พวกเรารอกันอีกสักพักแม่ก็เริ่มรู้สึกตัว คุณหมอตามเข้ามาดูอาการและแจ้งว่าผลการตรวจทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีอาการบาดเจ็บอื่นนอกจากรอยฟกช้ำ ที่ค่อนข้างรุนแรงแต่ไม่ถึงกับอันตรายคืออาการข้อเท้าบวมที่เกิดจากตอนพลัดตกบันได คุณหมอจึงอยากให้อยู่รอดูอาการอย่างน้อยหนึ่งคืน จึงเกิดเป็นปัญหาทันทีเมื่อน้ารื่นบอกว่าคืนนี้ไม่มีพยาบาลพิเศษว่างเลยแม้แต่คนเดียว ผมมองรอบตัวแล้วต้องคิดหนัก ภาวิณีหน้างอด้วยความที่ไม่ชอบโรงพยาบาลเป็นทุนเดิม ส่วนน้ารื่นเต็มใจแต่ความดันของแม่คงพุ่งปรี๊ดจนต้องนอนโรงพยาบาลยาว สงสัยคงต้องเรียกเด็กรับใช้ที่บ้านสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน แต่สุดท้ายวิธีที่ผมเลือกก็คือ...


“นี่ฉันหูฝาดหรือนายพูดผิด ให้กานต์อยู่เฝ้าคุณป้าเนี่ยนะ!”


อันที่จริงผมก็คิดๆอยู่เพราะอยากให้แม่ได้ลองทำความคุ้นเคยกับกานต์ แต่ยังไม่ทันได้พูดออกมากานต์ก็ขันอาสาเสียเอง เจ้าตัวยืนกรานแข็งขันว่าทำได้และเพราะอยากจะลบล้างความผิดที่เป็นต้นเหตุให้ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลด้วย ผมเลยอนุญาตแล้วค่อยมาขอร้องแกมบังคับคนไข้ว่าถ้าไม่ยอมก็ต้องนอนโรงพยาบาลคนเดียว ผลคือโดนแม่งอน พลิกตัวหนีแกล้งนอนหลับตาจนผล็อยหลับไปจริงๆ ผมจึงค่อยวางใจและกลับมาที่โรงแรมเพื่อเคลียร์งานต่อ วรเมธเพิ่งตามกลับมาจากสิงคโปร์ พอรู้เรื่องทั้งหมดถึงได้ร้องลั่นอย่างที่ได้ยินนั่นแหละ


“ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงนี่ ทางโรงพยาบาลมีพยาบาลประจำวอร์ดตลอด... เอ๊ะ!”


ผมจ้องเขม็งอย่างไม่เชื่อสายตา หันกลับมาทางเพื่อนสนิทก็เห็นมันกำลังมองไปที่จุดเดียวกัน ชายวัยกลางคนท่าทางพอดูได้ ไม่ทรุดโทรมเหมือนที่เคยเจอแต่ก็ไม่ใช่ลักษณะของคนที่จะมาพักโรงแรม พอผ่านเข้าประตูมาก็ยืนหันซ้ายหันขวา ไม่รู้จะไปทางไหน ผมเลยส่งสัญญาณให้พนักงานคนหนึ่งเข้าไปเชิญชายผู้นั้นมานั่งคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะ


“เอ่อ...ท่าน...สบายดีนะครับ”


ผมไม่ตอบแต่พยักหน้าให้อย่างสุภาพ พยายามทำลืมทุกๆเรื่องที่อีกฝ่ายเคยก่อ นึกเสียว่าอย่างไรเขาก็คือผู้มีพระคุณของคนที่ผมรัก ใช่แล้วครับ คนที่กำลังนั่งบีบเนื้อบีบตัวอยู่ตรงหน้าผมคือนายสมบัติ พ่อของกานต์นั่นเอง


“คือ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับท่านเลยนะครับ ที่ผมมา...ก็แค่...”


ถึงไม่บอกก็รู้เพราะคนอย่างเขาจะรู้จักใครในโรงแรมนี้อีกถ้าไม่ใช่ลูกชายที่ถูกเอามาทิ้งไว้ กลัวก็แต่จะหาเรื่องอะไรมาให้คนของผมเดือดร้อนอีกนี่สิ


“ตอนนี้กานต์ไม่อยู่ ฉันวานให้เขาออกไปทำธุระสำคัญให้ คงพรุ่งนี้ถึงจะกลับมาที่โรงแรม คุณมีอะไรกับเขาหรือเปล่าล่ะ”


“อ๋อ ไม่มีครับ ไม่มี” สมบัติโบกไม้โบกมือให้วุ่นวาย เขาเผลอตัวสบตาผมแวบหนึ่งก็รีบก้มหน้า อยู่ในท่าสำรวมตามเดิม


“ขอบพระคุณท่านมากเลยนะครับที่เมตตาเจ้ากานต์ มันเองก็บอกว่าเจ้านายใจดี อยู่ที่นี่ไม่ได้ลำบากอะไร ผมเลยค่อยหมดห่วง”


คำพูดธรรมดาๆสื่อได้ถึงความห่วงใยชวนให้ฉุกคิดว่าตัวผมเองก็อาจมีอคติเกินไป คนเป็นพ่อเป็นลูกอย่างไรไม่มีทางตัดกันขาด กานต์เป็นเด็กดี น่ารักและกตัญญูรู้คุณ ต่อให้คนไม่มีความคิดหรือหลงผิดไปแค่ไหนก็ไม่มีทางเกลียดเด็กคนนี้ได้ลง


“ลูกชายคุณได้ดีเพราะเขามีดีในตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่เพราะฉันหรือใคร คุณควรภูมิใจในตัวเขาให้มาก”


“ครับๆ ผมเองก็ภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้ที่สุด พี่สาวเขานั่นก็เรียนเก่ง เป็นเด็กดีทุกอย่าง ถ้าไม่มีพ่อแย่ๆอย่างผมพวกเขาคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้”


“กานต์อยู่กับฉันไม่มีอะไรต้องห่วง ส่วนกัญญาก็ตั้งใจว่าจะให้ทุนเรียนต่อและให้มาทำงานด้วยกันที่นี่ คุณควรจะเลิกโทษตัวเองแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ มันยังไม่สายหรอกนะ”


“ขอบพระคุณครับท่าน ผมเองก็คิดแล้วว่าจะกลับตัวกลับใจ ที่มานี่ก็จะมาลาลูกเพราะต้องออกต่างจังหวัดไปทำงานกับพรรคพวกที่รู้จักกัน ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมากรุงเทพอีก”


ผมรับไหว้และมีรอยยิ้มให้เขาเป็นครั้งแรก บอกตามตรงว่ารู้สึกดีใจแทนกานต์ อยากให้เขามาได้ยินคำพูดจากปากพ่อของเขาเองจริงๆ


“งานอะไรพอจะบอกได้มั้ย”


“ก็...งานค้าขายทั่วๆไปน่ะครับ”


ผมไม่อยากทำให้ดูเป็นการเซ้าซี้จนเกินไป และโดยส่วนตัวอยากส่งเสริมความตั้งใจดีนี้จึงหันไปหาเมธที่ยืนรับคำสั่งอยู่แล้ว รอไม่นานผมก็ได้ของที่ต้องการ


“อย่าคิดว่าฉันจะดูถูกหรืออะไร ถือซะว่าเป็นทุนเอาไปตั้งตัวแล้วกัน”


“ขอบพระคุณครับ” ฝ่ามือหยาบกร้านค่อยๆยื่นมารับเช็คจากผมด้วยอาการกล้าๆกลัว พอได้เห็นตัวเลขที่ปรากฏก็ยิ่งสั่นไปถึงน้ำเสียง “ทะ..ท่านมีบุญคุณกับผมมากเหลือเกิน ผมจะไม่มีวันลืมพระคุณของท่านเลยครับ”


เมื่อไม่มีธุระอื่นให้สนทนาต่อ ผมจึงเอ่ยปากอวยพรและเอ่ยลาพร้อมกัน คนเป็นแขกกล่าวขอบคุณและยกมือไหว้อีกหลายครั้ง ยังไม่ทันที่เขาจะลับสายตาไป คนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมมาตลอดก็รีบลงนั่งพร้อมคำเตือน


“จะดีเหรอกร เงินนั่นมันมากอยู่นะ”


“ค้าขายสมัยนี้ถึงไม่ใหญ่โตยังไงก็ต้องมีทุนสำรองไว้บ้าง ถ้าเงินตึงมือขึ้นมาแล้วต้องไปกู้พวกหนี้นอกระบบจะต่างอะไรกับทำงานใช้หนี้ไปวันๆล่ะ”


“แต่อย่าลืมว่าคนที่นายให้ไปเคยเป็นผีพนัน และจากประสบการณ์ของฉัน ผีพนันที่กลับตัวกลับใจได้ก็มีแต่ต้องกลายเป็นผีจริงๆแล้วนั่นแหละ”


วรเมธมองตามพ่อของกานต์แต่ผมรู้ว่ามันกำลังหมายถึงใคร แม้การพนันจะไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้พ่อของเมธเสียชีวิต แต่ก็ได้ทำลายศักดิ์ศรีของท่านไปทั้งที่ยังมีลมหายใจ ในฐานะคนเป็นลูกต้องมาเห็นพ่ออดอยากข้นแค้น ไม่มีแม้แต่บ้านจะซุกหัวนอนคงไม่มีวันทำใจได้แน่ ผมก็ได้แต่หวังว่าเมธจะเก็บอดีตเหล่านั้นไว้เป็นเพียงบทเรียน ไม่ใช่ใช้เป็นบรรทัดฐานเพื่อตัดสินคนอื่นจนกลายเป็นมองโลกในแง่ร้ายไปเสียหมด


“ฉันไม่เถียงแต่อยากให้นายลองเปิดใจกว้างๆ ถือเสียว่าเราให้โอกาสคนๆหนึ่งกลับตัวกลับใจ ถ้าเขาทำได้ก็ถือเป็นบุญกับตัวเขาเอง และคนที่จะมีความสุขที่สุดก็คือกานต์ ฉันใช้เงินห้าแสนซื้อตัวเด็กคนนี้ ถ้าจะต้องเสียอีกห้าแสน หรือกระทั่งห้าล้าน สิบล้านแล้วทำให้เขาได้พ่อคนเดิมกลับคืนมา มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มอีกนะเมธ”


วรเมธถอดแว่น หลับตาแล้วบีบสันจมูกแรงๆพร้อมกับปล่อยลมหายใจออกมาจนสุด มันทำอย่างนี้เวลารู้สึกเครียด และโดยมากเวลาคิดเรื่องพ่อทีไรก็มักจะทำอย่างนี้ทุกที


“ฉันเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีเพื่อนเป็นนักบุญ” ขนาดเครียดอยู่มันยังแขวะผมได้อีกแน่ะ


“ความรักทำให้เราเป็นได้ทุกอย่าง นายเองก็น่าจะลองดูบ้าง”


ผมบอกแล้วตบไหล่เพื่อนหนักๆ หนอย! มันกล้าปัดมือผมออกซะนี่


“ลองทำตัวเพี้ยนๆอย่างนายน่ะเหรอ ขอผ่านดีกว่า”


ต่อให้อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ ผมเองยังคิดๆอยู่ว่าน่าจะลดเงินเดือนเจ้าเลขาตัวดีสักหน่อยโทษฐานเอาเวลางานไปนั่งยิ้มใส่หน้าจอไอแพดซะเรื่อย ทีเมื่อก่อนหายใจเข้าออกเป็นงานจนผมล่ะเอียนแทน แต่อย่างตอนอยู่บนเครื่องผมแอบเห็นนะว่าหน้าเฟซบุ๊คที่เปิดไว้ตลอดนั่นไม่ใช่ของมันแน่ๆ ไม่รู้ไปแอบแอดแอบคุยกับฝ่ายโน้นกันตอนไหน สงสัยต้องวานให้ไอ้ตัวแสบของผมไปสืบดูซะหน่อยแล้ว


“โธ่เอ๊ย! ทำพูดดีไปเถอะไอ้ขี้เก็ก ดูถูกว่าที่พ่อตาให้มากๆระวังเขาจะไม่ยกลูกสาวให้นะเว้ย”


ผมเตือนดีๆแต่ผลปรากฏว่ามันแจกค้อนแล้วก็เดินหนีไปเฉยเลย ไม่อยากเชื่อว่าคนซีเรียส เครียดกับงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจะเขินกับเขาก็เป็น ปกติเจ้าเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องผู้หญิงสักเท่าไหร่ อย่างดีก็แค่มองแล้วก็หาข้อติเขาไปเรื่อย แต่กับคนนี้นอกจากให้ความสนใจยังพยายามพาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเหลือเกิน สงสัยถ้าไม่แพ้ตาคมๆก็คงสะดุดความโก๊ะของเธอเข้าเสียแล้วล่ะมั้ง







จบตอนแล้วคร้าบ



สรุปแล้วบ้านนี้ไม่ไหวเลยทั้งบ้าน ไล่ตั้งแต่แม่มายันลูกๆ

เฮ่ออออ น่าเหนื่อยแทนหนุ่มน้อยของเราจริงๆ

ยังไงก็ตามเป็นกำลังใจกานต์กันต่อไปนะคะ

มาดูว่าความน่ารักของเขาจะมัดใจและเปลี่ยนคนเหล่านี้ไปได้มากแค่ไหน

กานต์ ฉู้ ฉู้   :mew1:




 :bye2:

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 27 (11-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-06-2016 21:13:20
 o13 ให้คุณกร นึกว่าจะแยกกับกานต์ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 27 (11-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 11-06-2016 21:42:24
พระเอกชัดเจนดีอ่ะ   ดีแล้วล่ะที่ทำแบบนี้
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 27 (11-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 11-06-2016 23:04:21
คุณกรทำดีๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 27 (11-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 11-06-2016 23:43:02
ลูกสะใภ้สู้ๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 27 (11-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 13-06-2016 16:10:50
อยากเห็นฉากแม่ผัวลูกสะใภ้แล้วสิ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 13-06-2016 18:30:48




28.




ทุกครั้งที่มาบ้านสวน ไม่ว่าในสภาพจิตใจปกติหรือแบกความเศร้าหมองมาด้วย ผมจะรู้สึกดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสงบร่มรื่น สัมผัสอัธยาศัยเป็นกันเองของทุกคน ได้ชิมของอร่อย ฟังเรื่องเล่าสนุกๆ และทำตัวเป็นเด็กที่เล่นซนอยู่ตามท้องร่องไปวันๆโดยไม่ต้องกลัวหรือคอยพะวงกับเรื่องใดๆ เชื่อว่าใครที่ได้มาก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน และอาจจะเพราะสาเหตุนี้ผมถึงได้กลับมาที่นี่อีกครั้งพร้อม...คุณภัทราพร!


นึกย้อนไปถึงคืนที่นอนเฝ้าไข้สำหรับผมถือว่าผ่านไปอย่างสบายๆเพราะคนไข้หลับสนิทตลอด ผมก็แค่นั่งอ่านหนังสือไปเงียบๆหรือคุยเล่นตีซี้กับพยาบาลเวรที่เข้ามาดูอาการบ้าง มีขลุกขลักแค่ช่วงเช้าที่คุณภัทราพรอยากเข้าห้องน้ำ ผมจะช่วยเองก็กลัวท่านไม่สนิทใจเลยออกไปตามพี่พยาบาลมาดูแลให้แทนอีกที พอช่วงสายคุณภากรกับคุณชัชก็เข้ามาเพื่อเคลียร์ค่ารักษาพยาบาลและรับตัวคุณภัทกลับ


ดูเผินๆเหมือนจะจบเรื่อง อาการบาดเจ็บเหลือแค่ข้อเท้าที่ยังบวมอยู่ทำให้เดินไม่ค่อยสะดวก ถ้าไม่ใช่ไม้เท้าก็ต้องมีคนช่วยพยุงป้องกันไม่ให้ล้มไปจนเป็นอันตราย แต่อาการทางใจนี่สิที่เป็นปัญหา เพราะคุณภัทราพรเอาแต่นิ่งเงียบ กลับถึงบ้านก็เก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่ถึงกับเหม่อลอยแต่ก็ไม่ยอมพูดจากับใคร ไม่คุยโทรศัพท์ ไม่ออกรับแขก กระทั่งกับลูกชายลูกสาวก็ยังถามคำตอบคำ แน่นอนว่าคุณภาวิณีต้องรีบโทษพี่ชายว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด คุณภากรเลยได้แต่ปวดหัวเพราะไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับทั้งแม่และน้องสาวตัวเอง พอน้ารื่นฤดีรู้เข้าจึงแนะนำกึ่งร้องขอให้คุณกรพาแม่มาพักฟื้นที่บ้านสวน ทุกคนพากันคัดค้าน แต่ไม่มีใครรู้ว่าน้ารื่นกล่อมคุณกรอย่างไร เพราะสุดท้ายคนที่เกลียดบ้านสวนอย่างกับอะไร ยิ่งมาเกิดเรื่องเจ็บตัวก็คงเห็นที่นั่นเป็นยิ่งกว่านรกขุมที่ลึกที่สุดก็ถูกพาตัวใส่รถตู้มุ่งหน้าสู่บ้านสวนจนได้!


“มือเย็นจังค่ะ หรือว่าแอร์จะหนาวไป” ผมหันไปทำหน้าแหยๆให้เจ้าของมืออุ่นที่เอื้อมมาแตะ อยากตอบเหมือนกันว่ามีคุณภัทราพรนั่งแผ่รังสีอำมหิตอยู่ที่เบาะหลังอย่างนี้ ใครมันจะมีอารมณ์ยิ้มอยู่ได้ แต่น้ารื่นคงรู้สึกดีกว่าผมแน่เพราะยังหันไปถามเสียงใสเชียว “คุณภัทจะให้คนขับเบาแอร์หน่อยมั้ยคะ”


คุณภัทราพรเชิดหน้ามองออกไปนอกรถ น้ารื่นก็ไม่ถือสา หันกลับมานั่งยิ้มต่อได้อีกแน่ะ ผมว่าดูๆไปน้ารื่นนี่ก็ชักจะน่ากลัวไม่ใช่เล่น ท่าทางเหมือนกำลังสนุกอะไรอยู่คนเดียวก็ไม่รู้ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณกรติดงานสำคัญเลยมาส่งคุณภัทด้วยไม่ได้ ผมจะไม่ยอมรับปากมาด้วยเด็ดขาด ก็คิดดูว่าต้องเป็นกันชนระหว่างคุณภัทกับน้ารื่นแบบนี้มีหวังแค่ไม่รอดก็เจ็บหนักเท่านั้นเอง


หลังจากนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จามาตลอดทาง คุณภัทราพรก็เริ่มเล่นแง่ตั้งแต่วินาทีที่รถจอดสนิท น้ารื่นฤดีเลยเลือกใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ บอกลุงพันให้เข้าไปอุ้มถึงที่นั่ง คุณภัทถึงต้องยอมก้าวลงจากรถด้วยสีหน้า... อย่าให้อธิบายจะดีกว่า!


พอตอนจะขึ้นบันไดเรือนซึ่งค่อนข้างสูง แถมมีไม้เท้ายิ่งกลายเป็นไม่สะดวก น้ารื่นก็มัดมือชกอีกว่าถ้าไม่ให้อุ้มก็ต้องยอมให้ประคอง และคนที่ถูกเสนอชื่อก็คือผมนั่นเอง ทีแรกคุณภัทพยายามจะขึ้นบันได้ด้วยตัวเองแต่ไปได้ครึ่งทางเกือบก้าวพลาดถึงได้ยอมผ่อนน้ำหนักตัวให้ผมช่วยพยุงเต็มที่ เสร็จแล้วผมก็พาคุณภัทไปล้างเท้าแล้วมานั่งพักที่ชานเรือน รับลมเย็นเคล้ากลิ่นหอมของต้นปีบที่สูงชะลูดจนสามารถเอื้อมไปปลิดดอกสีขาวได้อย่างสบายๆ


สมัยที่แม่กานดาต้องโหมทำงานเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น กลับมาบ้านหมดแรงแทบจะหลับ ผมก็ชอบนวดเท้าให้อยู่บ่อยๆ รู้เลยว่าแม่ชอบเพราะบางครั้งถึงกับเคลิ้มหลับไปจริงๆ แต่สำหรับคุณภัท ผมไม่หวังให้ท่านชอบ แค่ขอทำลบล้างความผิดและเพื่อตอบแทนที่ลูกชายของท่านแสนดีกับผมบ้างก็พอ


“อะไรน่ะ” ถ้าจำไม่ผิด นี่เป็นคำแรกที่คุณภัทยอมเปิดปากเมื่อเห็นผมขัดสมาธิลงกับพื้นตรงหน้าแล้วหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋าที่สะพายติดตัวมา


“ครีมนวดครับ” ผมรีบตอบและอ้างคำบอกเล่าจากคนที่น่าเชื่อถือกว่าตัวเอง “ป้ามาลัย บอกว่าช่วยเรื่องไขข้อเสื่อม อาการปวดขา ปวดเข่า ข้อมือเคล็ด ข้อเท้าพลิก หรือจะนวดแก้ปวดเมื่อย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อก็ได้ อย่างเวลาที่ป้ามาลัยทำงานต้องเดินไปเดินมาทั้งวัน พอกลับถึงบ้านใช้ยาตัวนี้นวดก็ช่วยได้เยอะเลยนะครับ”


“ฉันไม่ใช้ของสุ่มสี่สุ่มห้า ยาอะไรก็ไม่รู้!”


คุณภัทปฏิเสธเสียงแข็ง ลำพังแค่ยาที่หมอให้มาก็มากมายทั้งกินทั้งทา มาเจอของแปลกๆแถมอยู่ในมือคนไม่น่าไว้ใจเข้าไปก็คงทำใจยากอยู่ แต่ผมเชื่อว่าป้ามาลัยนั้นรักและหวังดีต่อคุณภัทไม่ต่างไปจากคุณกฤตที่เป็นเจ้านายโดยตรง ต้องเลือกแล้วว่าอะไรดีถึงได้เอามาให้ลองใช้


“ป้ามาลัยเองก็ใช้หมดไปหลายหลอดแต่ไม่มีผลข้างเคียงอะไร คุณท่านน่าจะลองดูสักนิด ถ้าทาแล้วแพ้หรือไม่ชอบยังไงก็ไม่ต้องใช้อีกก็ได้ ลองหน่อยนะครับ”


ผมส่งประกายตาแป๋วๆและน้ำเสียงอ้อนตบท้าย ขนาดคุณภากรยังไม่รอด ต่อให้แม่เขาใจแข็งแค่ไหนก็น่าจะคล้อยตามได้บ้างล่ะน่ะ


“แล้วนวดเป็นเหรอ เกิดนวดผิดท่าฉันเดินไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง”


ฮู้เร่! แค่นี้ก็ถือว่าผมทำสำเร็จ ส่วนข้อที่ท่านถามผมรีบอธิบายให้เข้าใจตามที่ป้ามาลัยบอกวิธีไว้อยู่แล้วว่า แค่ทาเบาๆให้ตัวยาค่อยๆซึมลงไปในผิวก็ได้ คุณภัทราพรนิ่งฟัง ท่าทางครุ่นคิด ถ้าไม่ใช่เพราะเชื่อมือก็คง...


“อยากทำอะไรก็ตามใจ เดี๋ยวนี้ฉันบอก ฉันพูดอะไรมีใครฟังที่ไหน ขนาดลูกชายมันยังไม่เห็นหัวฉันเลยนี่”


“ไม่ใช่เลยครับ คุณกรเป็นห่วงคุณท่านมากแต่ช่วงนี้มีงานสำคัญที่ปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆเลยให้ผมมาคอยอยู่รับใช้ท่านที่นี่แทน ถ้าท่านอยากได้อะไรหรือจะให้ทำอะไรก็สั่งผมมาได้เลยนะครับ” ผมเสนอตัวเต็มที่เพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระคุณภากรบ้าง ลำพังงานก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว ถ้าเขายังต้องกลับมารบกับแม่ตัวเองคงไม่ไหวแน่


“งั้นก็ไปให้พ้นๆหน้าสักที ฉันเบื่อจะเห็นเธอเต็มทนแล้ว” คนออกคำสั่งยิ้มหยันที่เห็นผมนั่งนิ่ง ไม่ยอมขยับอย่างปากว่า “ว่าไงล่ะ ฉันสั่งแล้วทำไม่ไม่เห็นจะทำตาม”


ผมว่า... บางครั้งการเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่ายเกินไปก็ใช่จะได้ผล แต่กับผู้ใหญ่ที่มีทิฐิมานะ ดื้อรั้นไม่ยอมใครจะทำหัวแข็งใส่อาจถูกว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาได้อีก ป้ามาลัยเคยแนะนำให้ผมเป็นตัวของตัวเองเพราะเชื่อว่าแค่นั้นก็ทำให้คุณภัทเอ็นดูได้ไม่ยาก ถ้าอย่างนั้นผมก็จะเริ่มเป็นตัวของตัวเองล่ะนะ...


“ก็ถ้าผมไปแล้วเกิดคุณท่านอยากได้อะไรขึ้นมาก็ต้องเรียกผมมาอีก ผมกลัวคุณท่านจะเหนื่อย ตะโกนเสียงดังอาจจะเจ็บคอได้เพราะงั้นให้ผมอยู่ด้วยน่าดีกว่า ผมสัญญาว่าจะอยู่เงียบๆ จะไม่รบกวนหรือทำให้คุณท่านรำคาญ จะคิดว่าผมเป็นจิ้งจก ตุ๊กแกก็ได้นะครับ แต่ผมคงปีนขึ้นไปเกาะฝาบ้านไม่ไหว ขอไปนั่งหลบอยู่หลังเสาตรงโน้น ถ้าคุณท่านต้องการอะไรก็แค่เรียกผมจะรีบโผล่หน้ามารับใช้คุณท่านทันที อย่างนี้ดีมั้ยครับ”


“โอ๊ย! แค่ฟังฉันก็เวียนหัว เธออยากทำอะไรก็เชิญเถอะ ไม่ต้องมาวุ่นวายกับฉันก็พอ”


อย่าว่าแต่คนฟัง ผมพูดเองยังงงเอง ถามว่าพูดอะไรไปบ้างยังจำได้บ้างไม่ได้บ้างเลย


“โอเคครับ คำสั่งแรก ไม่วุ่นวายกับคุณท่าน รับทราบครับผม!” ผมนวดยาที่ข้อเท้าเสร็จพอดีเลยลุกพรวดทำท่าตะเบ๊ะรับคำสั่ง อย่าเรียกว่ากวนประสาท เอาแค่กวนเลือดลมของอีกฝ่ายให้สูบฉีดดีขึ้นก็พอ “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวลงไปดูว่าเที่ยงนี้ยายปุยทำอะไรทาน คุณท่านอยากจะทานอะไรเป็นพิเศษก็สั่งได้นะครับ ส่วนของว่างตอนบ่ายคงเป็นฝีมือยายเป้า แต่ยายเป้าถนัดขนมไทยๆ ไม่รู้ว่าคุณท่านจะชอบหรือเปล่า หรือจะให้ลุงพันขับรถไป...”


“ไป๊! จะไปไหนก็ไป!”


คุณภัทออกปากไล่แล้วแถมกล่องใส่ทิชชู่มาเร่ง แต่มีปลอกไหมพรมถักฝีมือน้ารื่นหุ้มไว้ ถึงโดนก็คงทำให้คนปาเจ็บใจมากกว่า แต่ผมก็กลัวจะไปทำให้ท่านออกแรงมากไป เกิดเหวี่ยงอะไรผิดท่าขึ้นมามีหวังได้เจ็บแขนเพิ่ม ผมเลยรีบลุกหนีลงมาที่ครัวด้านล่าง นั่งเล่นอยู่กับน้ารื่นและสองยายอีกสักพักค่อยยกสำรับมื้อกลางวันกลับขึ้นเรือน คุณภัทไม่ตั้งท่าจะไล่ผมอีกเพราะงีบหลับอยู่ที่เก้าอี้ไม้โยกตัวใหญ่เสียแล้ว ผมเลยขนงานที่คุณเมธสั่งค้างไว้มานั่งอ่านระหว่างรอ ลมเย็นๆชวนให้เคลิ้มแต่ที่สั่งตัวเองว่าห้ามหลับก็เพราะ...


“ทำอะไร?”


น้ำเสียงราบเรียบ ไร้อาการงัวเงียอย่างคนเพิ่งตื่นทำให้ผมสะดุ้งโหยง เงยหน้าแล้วก็เจอดวงตาเรียบเฉยกำลังมองสิ่งที่กางอยู่บนตักกับที่ผมถืออยู่ในมือ...


“เอ่อ...” ผมเดาจากสายตาเลยตัดสินใจอธิบายอย่างหลังซึ่งก็คือพัดไม้ไผ่สานที่ต้องใช้เพราะอากาศตอนบ่ายเริ่มอ้าว บางทีลมก็ขาดช่วงไปเสียเฉยๆ “...ผมคิดว่าคุณท่านอาจจะร้อน แต่จะไปเอาพัดลมมาเปิดก็กลัวแรงไปก็เลย...”


คุณภัทยกนิ้วกดขมับ ผมเลยละที่เหลือไว้ในฐานที่ท่านคงเข้าใจแล้วลุกไปจัดเตรียมสำรับมื้อเที่ยงที่ตั้งไว้นานแล้ว คงต้องยกลงไปอุ่นเสียก่อน


“ขอน้ำส้มแก้วเดียวพอ”


“น้ำส้มอย่างเดียวจะอิ่มเหรอครับ” ผมหันไปถาม เจอสายตาดุๆแทนคำตอบเลยต้องรีบทำตามคำสั่ง ดีที่ว่ามีน้ำแข็งใส่กระติกไว้ต่างหากเลยได้มีน้ำส้มเย็นๆมาเสิร์ฟ


“เมื่อกี้พวกที่ในสวนเพิ่งขนมะม่วงออกมาเตรียมส่งพ่อค้าที่จะมารับเย็นนี้” ผมพูดขึ้นมาลอยๆแต่คุณภัทยอมหยุดฟังเลยว่าต่อ “ยายปุยก็เลยทำน้ำปลาหวานไว้ชามเบ้อเริ่ม คุณท่านจะลองชิมดูหน่อยมั้ยครับ หรือถ้าอยากทานข้าวเหนียวมูนกับมะม่วงก็มีนะครับ ตามีบ่มน้ำดอกไม้ไว้ตั้งเข่ง เหลืองสุกหอมน่ากินมากเลยครับ”


“ก็ฉันบอกแล้วว่าเอาแค่น้ำส้ม ฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง”


แก้วเปล่าวางลงแรงกว่ากิริยาปกติบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มกรุ่น แต่ถึงขนาดดื่มจนหมดแก้วแปลว่าเจ้าตัวคงหิวไม่มากก็น้อย ผมเลยกล้าเซ้าซี้ต่อ


“แต่มะม่วงน่ากินมากๆเลยนะครับ แถมยายปุยถึงขนาดเอาหัวเป็นประกันว่าน้ำปลาหวานฝีมือแกใครได้ชิมเป็นต้องติดใจทุกราย คุณท่านน่าจะลองดูสักนิดจะได้รู้ไปเลยว่ายายปุยขี้โม้หรือเปล่า ชิมจิ๊ดนึงก็ยังดี แค่คำสองคำก็ได้ เดี๋ยวผมลงไปยกขึ้นมาเลยนะครับ”


ผมไม่รอฟังเสียงค้านก็วิ่งปรู๊ดรีบไปรีบมา พอวางจานมะม่วงกับถ้วยน้ำปลาหวาน แถมด้วยน้ำมะพร้าวอ่อนหอมเย็นชื่นใจ ผมก็ตั้งหน้าตั้งมาจ้องด้วยดวงตาเป็นประกาย สุดท้ายคุณภัทก็ยอมแพ้ ถ้าไม่ใจอ่อนให้กับลูกตื๊อของผมก็คงทนความยั่วยวนของมะม่วงน้ำปลาหวานไม่ไหว งานนี้ต้องถือว่าผมกับยายปุยแบ่งความดีความชอบกันไปคนละครึ่ง


สรุปแล้วพวกเราทั้งบ้านเลยใช้ไม้นี้จัดการกับความหัวดื้อของคุณภัทราพรอย่างได้ผล น้ารื่นขัดใจคุณภัททุกเรื่องและทุกครั้งที่มีโอกาส ส่วนผมออกแนวลูกตื๊อ ตีหน้ามึนจนท่านทนความทู่ซี้ของผมไม่ไหวต้องยอมเลยตามเลย แล้วเอาความหงุดหงิดไปลงกับคนอื่นๆแทน ขนาดสองยายยังโดนเรียกหา ไม่ใช่เพื่อถามสารทุกข์สุขดิบแต่เพื่อต่อว่าว่าทำไมสำรับที่ขึ้นโต๊ะถึงได้มีแต่อะไรที่ดูไม่คุ้นและไม่คิดว่าจะกินลง...


“คืออย่างนี้ครับ คุณหมอแนะนำว่าคุณท่านควรทานอาหารจำพวกโปรตีนแล้วก็เสริมด้วยแคลเซียมให้มากขึ้น แต่ถ้าทานเนื้อกลัวจะย่อยยาก ผมเลยให้ยายปุยลองเปลี่ยนมาเป็นเต้าหู้ที่ย่อยง่ายและไม่มีไขมันหรือคอเรสเตอรอลจะดีกว่า ส่วนผักก็เน้นพวกที่มีแคลเซียมสูงแต่สารออกซาเลตต่ำ เพราะออกซาเลตจะเป็นตัวที่ให้เกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ อย่างเช่น ผักคะน้า กวางตุ้ง ตำลึง หรือไม่ก็ถั่วพูนี่ล่ะครับ”


ผมอธิบายตามข้อมูลที่พอจะหาได้ ตอนคุณหมอบอกผมไม่ทันตั้งใจฟังเพราะไม่คิดว่าจะต้องมาดูแลคนป่วยเลยต้องอาศัยหาเอาเองจากอินเตอร์เน็ต เรียกว่าต้องถือไอแพดไปยืนอ่านให้ทุกคนฟังลั่นครัว ยังโดนตาหมายแซวอยู่เลยว่าเด็กสมัยนี้ย้อนยุคกลับไปใช้กระดานชนวนกันแล้วหรือไง


“อิฉันก็ทำตามที่พ่อกานต์บอกมาทุกอย่าง แล้วคุณไม่รู้อะไร ผักพวกนี้คนที่นี่ปลูกเองกินเอง หรืออย่างตำลึงพอฝนลงทีแตกยอดเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว ถั่วพูต้นเบ้อเริ่มขึ้นอยู่ข้างครัวโน่น ตำน้ำพริกมื้อไหนก็ไปเก็บมาล้างๆใส่ปากได้เลย ไม่เหมือนไอ้ผักสวยๆ แพงๆที่พวกคนกรุงเทพซื้อกินกันหรอกนะ เขาฉีดยาเช้าตัดขายเย็นไม่ก็ฉีดเย็นตัดเช้า ขนาดคนปลูกมันยังไม่กล้ากินเองเลย!” ยายปุยร่ายยาวจนคุณภัทจะอ้าปากเถียงยังไม่ทัน สงสัยจะเคืองที่มีคนมาดูถูกกับข้าวฝีมือแก


“ฉัน...ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ” แววตาขัดใจเลื่อนไปยังจานใบเล็กฝีมือยายเป้าซึ่งถ้าเป็นผมจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด “แล้วนั่นก้อนอะไร ดำๆดูสกปรกจะตาย กินได้เหรอน่ะ”


“อู๊ยยย ใส่ปากเคี้ยวๆแล้วก็กลืนจะไปยากอะไรล่ะค้า” มั้ยล่ะ ว่าแล้วไม่มีผิด ยายเป้าชอบทำขนมแต่ฝีปากไม่หวานเหมือนฝีมือแน่ “เนี่ยน่ะเขาเรียกขนมแดกงา ของโบราณหากินกันไม่ได้ง่ายๆร้อก พ่อกานต์เขาก็มากรอกหูอิฉันเหมือนกันว่าอย่าทำอะไรที่มีแต่แป้ง เพลาๆกะทิ อย่าหวาน อย่าเลี่ยน แล้วก็ให้ใส่ถั่วใส่งาเข้าไปเยอะๆ อิฉันก็เลยทำมาให้รับทานเนี่ยล่ะ ขนมฝีมือคนบ้านๆจะถูกใจถูกปากผู้ดีเมืองกรุงหรือเปล่าก็สุดแล้วแต่เถอะ”


ตอนบอกชื่อขนมยายเป้าใส่อารมณ์จนคุณภัทสะดุ้ง ส่วนคนที่นั่งล้อมวงเอาแต่แอบยิ้มสะใจ ผมเลยต้องรีบเสนอหน้าก่อนที่จะมีใครลุกขึ้นมาล้มโต๊ะกินข้าว


“เดี๋ยวทานข้าวเสร็จคุณท่านลองทานดูสักชิ้นสิครับ ผมรับรองว่ายายเป้าทำอะไรก็อร่อยแน่นอน แป้งมันจะนุ่มๆเหนียวๆมีไส้มะพร้าวกับถั่วหวานๆมันๆอยู่ข้างใน ส่วนที่ดำๆเนี่ยเพราะพอต้มก้อนแป้งสุกก็เอาขึ้นมาคลุกกับงาดำ งาดำมีแคลเซียมสูง รับรองว่าทานแล้วอร่อยแถมยังดีกับสุขภาพด้วยนะครับ”


ถ้าไม่ใช่เพราะเชื่อคำพูดของผมก็คงเพราะทนแรงกดดันจากทุกสายตาไม่ไหว คุณภัทราพรเลยยอมพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเริ่มลงมือทานข้าว ทีแรกจะตักอะไรก็ท่าทางกล้าๆกลัวๆแต่บอกแล้วว่าฝีมือสองยายไม่เป็นสองรองใคร ข้าวกล้องหอมมะลิเคี้ยวนุ่มหนึบจึงหมดจานไม่รู้ตัว ตามด้วยขนมโบรารณชื่อไม่ค่อยสุภาพแต่พอเข้าปากแล้วคุณภัทถึงกับทำตาโตด้วยความทึ่ง แม้ไม่ออกปากแต่ที่ยอมทานต่ออีกชิ้นก็ถือเป็นคำชมดีๆนี่เอง


พอตกค่ำบ้านสวนก็ตกอยู่ในความสงบและคงจะเงียบสงัดจนกลายเป็นวังเวง น่ากลัวสำหรับคนไม่คุ้นเคย แต่ไม่มีเสียล่ะที่คนอย่างคุณภัทราพรจะออกอาการอะไรให้ได้เห็น ถึงอย่างนั้นผมคิดว่าทุกคนคงรู้จึงพร้อมใจกันขึ้นมาทำตัวเกะกะอยู่บนเรือนไม่ต่างจากคราวที่คุณภากรมาค้าง ก่อนนอนเป็นตาป้าจิตโชว์ฝีมือทำน้ำเต้าหู้ผสมงาดำอุ่นๆแจกให้ดื่มกันคนละแก้วสองแก้ว คุณภัททำหน้าปุเลี่ยนแต่ก็ยอมจิบจนหมดถ้วย พลางบ่นพึมพำว่ากว่าจะได้กลับกรุงเทพเนื้อตัวคงเปลี่ยนเป็นสีเดียวกับเมล็ดงา


หลังจบรายการข่าวต่อด้วยละครอีกสองสามเบรก คุณภัทเริ่มหาว น้ารื่นจึงออกปากให้ทุกคนแยกย้ายและบอกให้ผมพาคุณภัทไปพัก ห้องที่จัดเตรียมไว้มีขนาดใหญ่กว่าห้องของคุณภากรแต่สภาพภายในไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เตียงนอนไม้สี่เสาครอบด้วยมุ้งขาวหลังใหญ่ เครื่องเรือนไม้ทุกชิ้นให้ความรู้สึกมั่นคงแข็งแรง และที่สำคัญคือเป็นห้องนอนเก่าของคุณกฤต เป็นสถานที่สุดท้ายที่ท่านตื่นขึ้นก่อนจะหลับไปตลอดกาล ทุกคนจึงพร้อมใจกันเก็บรักษาข้าวของทุกชิ้นไว้ดังเดิมเพื่อระลึกถึงผู้ที่จากไป ผมไม่รู้ว่าคุณภัทราพรจะรู้เรื่องนี้มั้ย หรือถ้ารู้แล้วจะรู้สึกอย่างไรบ้างมั้ยนะ


อาการอ่อนเพลียและฤทธิ์ยาก่อนนอนทำให้คุณภัทเคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย ส่วนผมจัดการปูฟูกที่หน้าเตียงแล้วค่อยกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน แต่ยังไม่ทันพ้นประตู เจ้าของห้องอีกห้องก็มาดักรอทำเซอร์ไพรส์ ไม่เห็นจะได้ยินเสียงรถสักแอะ แล้วจู่ๆคนตัวโตมาโผล่อยู่กลางบ้านได้ไงเนี่ย!?


“ไม่อยากให้วุ่นวายกันเลยจอดรถไว้แล้วเดินเข้ามา แม่หลับไปแล้วใช่มั้ย” คุณภากรบอกเหมือนรู้ความคิดผมอีกแล้ว แต่ไอ้อะไรอุ่นๆที่ข้างแก้มเนี่ยไม่ต้องแถมมาด้วยก็ได้นะ


“มืดขนาดนี้ก็ไม่น่าต้องกลับมาเลยนี่ แล้วทานอะไรมาหรือยังครับ” ผมบ่นด้วยความเป็นห่วง


“ไม่ค่อยหิวข้าว อยากกินอย่างอื่นมากกว่า”


คนตอบฉีกปากกว้างจนผมขนลุก นึกระแวงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มนั่นยังไงก็ไม่รู้ แต่จะให้เขารู้ไม่ได้เดี๋ยวก็ยิ่งแกล้งผมหนักเข้าไปอีก ยังจำตอนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วเข็ดไม่หาย คนบ้าบอนึกอยากจะทำก็ทำไม่ได้แคร์เลยว่าแม่เขาก็อยู่ที่นั่นด้วย แถมอะไรๆก็ชอบใช้กำลัง ใช้ความที่เหนือกว่ามาไล่ต้อนให้จนมุม แล้วพอผมลองตอบโต้ก็กลายเป็นเข้าทาง เกือบขาดอากาศหายใจตายไปตั้งหลายยก


“อะไรล่ะครับ เดี๋ยวผมลงไปบอกยายปุยทำให้ คงนั่งดูละครกันต่อ ยังไม่นอนหรอกมั้ง”


“ที่ถามนี่ไม่รู้จริงๆเหรอว่าฉันอยากกินอะไร”


เขาถามพลางจ้องด้วยดวงตาแวววามของหมาป่าผู้หิวโหย ดวงตาคมเยิ้มหวานไม่ต่างจากอาการน้ำลายสอ ลูกแกะอย่างผมเลยต้องตีหน้ามึน ถึงรู้ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะขืนยอมตามใจอาจจะกลายเป็นเรื่องขึ้นมาก็ได้


“ถ้าคุณไม่ได้อยากจะกินอะไรก็ปล่อยสักทีดิ ผมจะรีบไปอาบน้ำแล้วกลับมานอนเฝ้าที่หน้าเตียงคุณท่านครับ”


“เฮ่อ! อุตส่าห์นั่งรถกลับมาตั้งไกล รถก็ติ๊ดติด เหนื่อยเสียเที่ยวเลย แต่ไม่เป็นไร...” เขาบอกไม่เป็นไรแต่ผมว่ามันชักจะยังไงๆแฮะ “งั้นฉันอาบน้ำบ้างดีกว่า อย่างน้อยจะได้สบายตัวแล้วค่อยกลับไปเคลียร์เรื่องยุ่งๆต่อ นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าคืนนี้จะได้นอนหรือเปล่า”


ผมเกือบยิ้มที่เขาทำท่าถอดใจแต่เรื่องที่ยกมาอ้างมันสะดุดหู วันนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน ไม่มีใครโทรมาหาหรือส่งข่าวอะไรเลย ได้ยินอย่างนี้ชักอดห่วงไม่ได้... หมายถึงโรงแรมนะครับ ไม่ใช่ตัวเจ้าของ


“เอ๊ะ! มีปัญหาอะไรกันเหรอครับ?”


“ก็นิดหน่อย ไม่หนักหนาหรอก แต่ยังไงก็ต้องกลับไปดูสักหน่อย ปล่อยเจ้าเมธกับเฮียหยามจัดการไม่รู้จะเรียบร้อยกันหรือเปล่า” อ้อมแขนกว้างหลุดออกจากตัวผมอย่างคนหมดแรง ตามด้วยเสียงถอนหายใจยาว


เฮ้ย! อย่างนี้เรียกว่าไม่มีอะไรไม่ได้แล้ว คุณวรเมธกับเฮียสยามถือได้ว่าเป็นแขนขาของคุณภากร ปัญหาน้อยใหญ่แค่ผ่านสองคนนี้คือจบ ไม่เคยลุกลามมาให้เจ้าของโรงแรมต้องร้อนใจ พอคุณกรพูดอย่างนี้ผมเลยยิ่งห่วงจนกลายเป็น...หลงกล!


ฮึ่ยยย!! สุดท้ายหมาป่าเจ้าเล่ห์ก็หลอกใช้ความห่วงใยของผมหาความสุขจนตัวเองอิ่มแปล้ ส่วนผมอย่าให้ต้องเล่ารายละเอียดเลยครับ... เหนื่อย! รู้แต่ว่าที่ผมไม่ได้ไปนอนเฝ้าคุณแม่เขาตามหน้าที่นั่นไม่ใช่ความผิดของผมก็แล้วกัน





จบตอนแล้วคร้าบ





ฟู่วววว โล่งอกแทนคุณกรที่ตัดสินใจถูกใจแม่ยก แต่จะทวงตำแหน่งพระเอกในดวงใจกลับคืนมาได้หรือเปล่า ต้องรอลุ้นกันต่อไป


สำหรับฉากแม่ผ้วลูกสะใภ้นี้ เราไม่ดรามานะ แต่ตอนหน้ากานต์จะมาช่วยคลายปมบางอย่างให้กับคุณภัท รับรองว่าแซบแน่นอนค่ะ



 :bye2:




หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28 (13-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 13-06-2016 19:13:03
เอาอกเอาคุณแม่สามีใหญ่เลยน่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28 (13-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-06-2016 19:29:26
ไม่นานหรอก  :katai3:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28 (13-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 13-06-2016 21:27:33
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28 (13-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 14-06-2016 00:43:08
กานต์ต้องเป็นลูกอาชัชกับแม่ของกานต์แหงๆ โดนอาชัชปล้ำ ไรงี้ ส่วนแม่ของกานต์คงเคยทำงานที่โรงแรมไม่ก็อาบอบนวดเหมือนกัน ป้ามาลัยถึงหน้าคุ้น

เดาว่าสาเหตุที่พ่อกานต์เริ่มกินเหล้าเพราะรู้ว่ากานต์ไม่ใช่ลูก เลยเริ่มทุบตีเมียกะลูก

ชอบเรื่องนี้ น่ารัก สนุก อยากให้กานต์โชว์สกีลความฉลาดบ่อยๆ มันส์ดี

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28 (13-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Dolamon ที่ 14-06-2016 05:31:37
กานต์สู้ๆ เอาชนะใจคุณแม่สามีให้ได้
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28 (13-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-06-2016 22:50:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28 (13-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 18-06-2016 22:49:08
มาต่อไวๆนะครับ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28 (13-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 19-06-2016 12:13:37






ตอนนี้เนตบ้านเจ๊ง รอการแก้ไขอยู่

ถ้าเรียบร้อยแล้วจะรีบพากานต์มาให้เชยชมนะคร้า








ได้แต่นั่งจิ้มมือถือ ฮือออออ ทรมานจะขาดใจ   :ling1:




minemomo  ^^'
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 28 (13-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: SOO2 ที่ 19-06-2016 18:50:58
รอค่า o13
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 26-06-2016 19:16:14




29.




ผมไม่ได้ลืมที่เคยบอกว่าชอบบ้านสวนเอามากๆ ไม่ว่าจะบรรยากาศหรือผู้คนก็ชวนให้รู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านตัวเอง แต่พอมาคิดดูอีกที บางครั้งผมนึกขยาดที่นี่ยังไงก็ไม่รู้ อาจจะเป็นความบังเอิญหรือเรื่องตลกแต่ผมมักจะมีความทรงจำที่ไม่ดีสักเท่าไหร่โดยเฉพาะเวลาเช้าๆ อย่างวันแรกที่ได้ตื่นขึ้นมาที่นี่ ผมระบมไปทั้งตัวเพราะโดนเจ้าหนี้ของพ่อซ้อม และนับจากนั้น ถ้าคืนไหนมีคนนอนอยู่ข้างๆบนเตียงไม้หลังใหญ่ก็เชื่อขนมยายเป้ากินได้เลยว่าจะต้องพบกับความปวดร้าวแสนสาหัสเหมือนอย่างที่ผมกำลังพยายามกลั้นเสียงร้องโอดโอยอยู่ตอนนี้


หันไปเห็นคนตัวโตนอนหลับสบาย มีเสียงกรนเบาๆแล้วยิ่งดูน่าหมันไส้ แต่พอมองเขาได้ไม่นานก็ไม่เข้าใจตัวเองอีกเหมือนกันว่าทำไมถึงยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล ใบหน้าคมสันหลับตาพริ้ม ริมฝีปากได้รูปเผยอนิดๆตามจังหวะลมหายใจเข้าออก เรือนผมสีดำเส้นหนาปรกลงมาคลุมหน้าผาก ดูไปก็ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มอายุมากกว่ากันไม่เท่าไหร่ แต่เวลาตื่นดันกลายเป็นผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ ขี้โกง ชอบเอารัดเอาเปรียบไปเสียได้


จู่ๆร่างเหยียดยาวก็ขยับท่าแล้วหลับต่อแต่เล่นเอาผมสะดุ้ง ใจหล่นตกไปใต้เตียง ถ้าโดนจับได้ว่านั่งมองเขาอยู่แบบนี้คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ผมเลยรีบลุก... อูยยย ไม่ไหวแฮะ! ค่อยๆคลานลงจากเตียงไปอาบน้ำอาบท่าจัดการตัวเองแล้วหนีออกจากห้องไปอย่างเงียบๆจะดีกว่า


ถึงจะยังเช้ามืดแต่แทบทุกคนในบ้านเรือนไทยก็ตื่นกันหมดแล้ว ส่วนใหญ่จะไปขลุกอยู่ในครัวช่วยกันทำกับข้าวและเตรียมของใส่บาตร และไหนๆก็มีแขกพิเศษมาที่บ้านสวนทั้งที ผมเลยทำใจกล้าๆไปปลุกและลองชวนคุณภัทราพร ทีแรกท่านปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ทนลูกตื๊อไม่ไหวเลยยอมให้ผมช่วยประคองลงมาที่ท่าน้ำด้วยกัน ที่รออยู่ไม่ใช่สองยายกับน้ารื่นแต่เป็นเจ้าของบ้านตัวโตกับเด็กหญิงตัวเล็ก ทั้งคู่ยังอยู่ในชุดนอนแต่ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย โดยเฉพาะรายหนูพลอยนั้นมีกระแจะแป้งขาวไปทั้งแก้ม


“ตรงโน้นค่ะตรงโน้น นายเอื้อมมือไปอีกสิคะ จะถึงแล้ว นู้นนนนน”


“ไม่ไหวแล้วพลอย ฉันยืดสุดแขนแล้วเนี่ย ในขันก็ได้ตั้งหลายตัวแล้ว พอเหอะนะ”


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะครับ ท่านเจ้าของโรงแรมใหญ่ลงไปคลานสี่ขาอยู่ตีนท่าน้ำ แปลงร่างเป็นคนช้อนปลาตามที่เสียงแจ๋วๆร้องสั่ง ขนาดแม่เขาเองเห็นแล้วยังเบือนหน้าไปแอบยิ้ม พอทั้งคู่รู้ตัว หนูพลอยเห็นคุณภัทราพรอยู่ด้วยก็ฉวยกระชอนกับขันน้ำเผ่นแน่บทิ้งลูกสมุนให้ยืนยิ้มเจื่อนพลางก้มลงบิดน้ำ ปัดดอกแหนออกจากปลายขากางเกงแพรให้ง่วน แต่เป็นโชคของเขาที่มีพระพายเรือเข้ามาพอดีเลยได้แก้เขินด้วยการประคองคุณภัทลงไปใส่บาตร ส่วนผมไม่ได้เข้าไปร่วมวงด้วยเลยได้นั่งขำต่อกับอาการเก้ๆกังๆ โก้งโค้งจนแทบหัวทิ่ม ฮ่า ฮ่า อยากจะเอาตัวเองใส่ลงไปในบาตรด้วยก็ไม่บอก!


“กานต์” อุ้ย! มัวแต่ขำเลยลืมดูว่าพระองค์สุดท้ายพายเรือออกไปแล้ว ส่วนตรงหน้าผมมีเงาทะมึนเชียว “ไปกรวดน้ำกัน”


“คุณก็กรวดเองสิครับ ผมไม่ได้ใส่บาตรด้วยสักหน่อย หรือว่าคุณกรวดน้ำไม่เป็น”


“จะลุกดีๆหรือจะให้ใช้กำลัง”


คนถูกจับได้ทำเสียงเข้ม เขม้นตาดุปกปิดอาการเขิน แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าคุณภากรทำตัวน่ารักชะมัด เห็นผมหุบยิ้มไม่ลงเลยทำเป็นงอน เดินนำไปนั่งที่ใต้ต้นไม้รอ พอผมตามไปสมทบเขาก็เริ่มท่องบทกรวดน้ำด้วยความคล่องแคล่ว! ทั้งคำบาลี คำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ เจ้ากรรมนายเวรหรือแม้แต่วิญญาณเร่ร่อนก็พรั่งพรูออกมาไม่มีติดขัด เทน้ำหมดจนหยดสุดท้ายยังมีหน้าหันมาบอก...


“ถึงไม่ได้ใส่บาตร แต่ก็ได้กรวดน้ำด้วยกันไง”


แดดยังไม่ออกแต่ผมรู้สึกร้อนวูบจนทำหน้าไม่ถูก อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวนี้ผมมีพระอาทิตย์ส่วนตัว อยากจะร้อนที่ไหนก็ได้ไม่ต้องง้อแดด ฮือออ ผมไม่น่าหลุดมาอยู่ในวงโคจรของพระอาทิตย์ขี้แกล้งเลยให้ตาย!


“จะพูดอะไรเกรงใจคุณแม่คุณบ้างดิ!”


“กระซิบเบาๆแล้วแม่ไม่ได้ยินหรอก”


บอกตามตรงว่าผมไม่กล้าจะหันกลับไปมองที่ศาลาท่าน้ำ ถึงจะมีระยะห่างแต่อย่าลืมว่าที่นี่เงียบสงบมาก ขนาดนกมันคุยกันยังได้ยินเสียงจิ๊บๆชัดแจ๋วเลย


“คุณกร!”


“รักกานต์นะ”


ทำไมแค่เสียงกระซิบถึงได้ยินชัดจัง แถมยังทำให้รู้สึกถึงจังหวะที่รัวเร็วขึ้นกลางอก แล้วรอยยิ้มนั่นก็ทำให้แสบตาเป็นบ้า นี่ตกลงเขารักผมจริงๆหรือจงใจจะฆ่าให้ตายกันแน่ ผมบอกแล้วไม่มีผิด ทีตอนหลับดูซื่อๆไม่มีพิษสง แต่พอตื่นขึ้นมาเท่านั้น คนๆนี้แหละที่ร้ายกาจกว่าใคร


จอมวายร้ายส่งเสียงหัวเราะในลำคอแล้วเดินกลับไปประคองคุณภัทราพรขึ้นเรือน ทิ้งให้ผมยืนเป็นรูปปั้นหินจนป้าจิตที่ตามมาเก็บถาดกับขันข้าวยังตกใจ คิดว่าผมจะไม่สบายหรือเป็นลมเป็นแล้งไป ระหว่างมื้อเช้าผมไม่ยอมนั่งกินเป็นเพื่อนก็ยังถูกสั่งไม่ให้ไปไหน เขาจะได้กินข้าวอร่อยเพราะได้กวนประสาทผมไปด้วย กว่าผมจะหายใจหายคอได้โล่งขึ้นก็หลังจากที่เขาออกไปทำงานแล้วนั่นแหละ


เฮ่อ! ลืมไปเลยว่ายังโล่งไม่ได้ ถึงหมดลูกชาย ผมก็ยังต้องรบกับตัวแม่ต่อ แล้วพอลับหลงคุณภากรเท่านั้น คุณภัทราพรก็หน้าตึง ขึ้นเสียงดุไล่ผมทันที


“จะไปไหนก็ไป ฉันอยากอยู่คนเดียว”


“ได้ครับได้ แต่ถ้าอยู่เฉยๆคุณท่านอาจจะเบื่อ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาหนังสือในห้องมาให้คุณท่านอ่านจะได้เพลินๆดีมั้ยครับ”


“เอ๊ะ! ฉันบอกว่า...”


“จริงด้วย! ให้ผมเลือกคงไม่ดี งั้นผมพาคุณท่านไปเลือกเองเลยดีกว่าจะได้ถูกใจนะครับ”


นอกจากลูกไม้เดิมๆคือตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก เที่ยวนี้ผมเริ่มใช้กำลังด้วยการเข้าไปประคองให้คุณภัทลุกขึ้น พากลับเข้าห้องไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ พอถามว่าอยากได้หนังสือประเภทไหนไม่ได้คำตอบ ผมเลยต้องมาแหงนคอตั้งบ่า ไล่อ่านชื่อตามสันหนังสือสลับกับหันไปดูปฏิกิริยาเผื่อว่าจะมีสัญญาณตอบรับ หลายเล่มเข้าชักเมื่อยเลยได้แต่อ่านชื่อหนังสือให้ท่านฟังไปเรื่อยๆ กว่าจะหมดแค่แถวบนสุดทั้งเมื่อยและเริ่มแสบคอ กะด้วยสายตาคร่าวๆก็ปาเข้าไปครึ่งร้อยแต่กลับไม่มีเล่มไหนที่สะดุดความสนใจคุณภัทเลยเหรอเนี่ย


ผมหันหลังกลับแล้วอยากจะถอนหายใจแรงๆสักทีเพราะกลายเป็นว่าคุณภัทราพรไม่ได้ฟัง แต่กำลังเปิดดูลิ้นชักโต๊ะทำงานของสามีจนมาสะดุดที่ลิ้นชักเล็กอันล่างสุด แล้วมันจะบังเอิญไปมั้ยที่ผมก็เพิ่งจะเห็นอะไรสักอย่างที่ชั้นบนสุดของหิ้งหนังสือ พอเขย่งตัวหยิบของสิ่งนั้นลงมาเปิดดูก็ยิ่งแปลกใจกว่าเก่า...


คุณภัทราพรหันมามองของชิ้นเดียวกันด้วยสีหน้าที่ผมเดาใจไม่ถูก ก็แค่กระปุกเซรามิกใบขนาดวางพอดีในอุ้งมือ ตัวฝาประดับลายนูนรูปช่อดอกไม้ แม้จะดูรู้ว่าไม่ใช่ของใหม่แต่สีสันลวดลายก็ยังคมชัด เปิดออกด้านในมีแค่กุญแจดอกเล็กที่น่าจะใช้สำหรับลิ้นชักที่ติดล็อก... ก็แค่นี้เองแต่ทำไมคุณภัทถึงได้จ้องมองราวกับเจอสิ่งมหัศจรรย์อย่างที่แปดของโลกด้วยก็ไม่รู้


“คุณท่านครับ...” ผมเอ่ยเรียกเบาๆแต่ดวงตาของคุณภัทยังจดจ้องอยู่ที่เดิมจนผมรู้สึกอึดอัดแทน “...งั้นผม...ลองไขดู...นะครับ”


ผมถือเอาอาการนิ่งแทนคำอนุญาตจึงค่อยๆหยิบกุญแจดอกเล็กแหย่เข้าไปในรูลิ้นชัก ล็อกด้านในค่อนข้างฝืด แถมลิ้นชักก็เป็นแค่กล่องไม้ที่ใส่เอาไว้พอดีกับช่องตามแบบเครื่องเรือนเก่า ไม่ได้มีรางเลื่อนเหมือนอย่างเฟอร์นิเจอร์ทันสมัยเลยต้องออกแรงถึงดึงลิ้นชักออกมาได้สำเร็จ ผมมองคร่าวๆในนั้นมีแค่สมุดบันทึกกับอัลบั้มรูป แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังทำตัวเสียมารยาทเลยขยับออกมาเพื่อให้คุณภัทได้เห็นสิ่งที่คู่ชีวิตของท่านตั้งใจเก็บไว้เป็นความลับ


คุณภัทราพรนิ่งไปอีกครู่หนึ่งจึงค่อยๆหยิบอัลบั้มรูปขึ้นมาเปิดดู ผมนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นจึงไม่เห็นว่าเป็นรูปอะไรแต่เชื่อว่าต้องมีความหมายพิเศษมากเพราะขณะที่เปิดดูและอ่านข้อความบางอย่างที่เจ้าของเขียนฝากไว้ ม่านน้ำบางๆก็เอ่อคลอดวงตาของท่าน ผมหันซ้ายหันขวาและรีบลุกไปหยิบผ้าเช็ดหน้าตรงโต๊ะกระจกมาวางใกล้ๆ ท่านเหลือบตามองแวบหนึ่งแต่ไม่ได้หยิบไปใช้


ผมรู้ว่าไม่ควรทำตัวเสนอหน้าเพราะหากมีคนอื่นอยู่ด้วยท่านก็คงพยายามเก็บกลั้นทุกอย่างไว้กับตัวเหมือนที่เคยทำมา แต่จะทิ้งให้ท่านอยู่คนเดียวในสภาพจิตใจแบบนี้ บอกตามตรงว่าทำไม่ได้จริงๆ ผมเลยลุกไปเดินดูหนังสือบนชั้นต่อเพื่อให้ท่านได้มีความเป็นส่วนตัว ไล่อ่านสันหนังสือไปได้อีกชั้นกว่าๆและเลือกหยิบบางเล่มที่น่าสนใจออกมาเผื่อเอาไว้อ่านเวลาว่างก็พอดีกับที่ได้ยิน...เสียงร้องไห้!


ภาพตรงหน้าตรึงผมอยู่กับที่ เชื่อว่าต่อให้เป็นคุณภากรก็คงมีสภาพไม่ต่างกันถ้าได้มาเห็นแม่ของเขาก้มหน้ากอดสมุดบันทึกไว้กับอก ไม่มีเสียงสะอื้นแต่น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้มไม่ขาดสาย ตัวผมเองยังรู้สึกหมดแรงจนทรุดลงแล้วค่อยๆคลานเข่าเข้าไปหา พยายามถามไม่ได้คำตอบ จะออกไปตามน้ารื่นก็ไม่รู้จะยิ่งทำให้อะไรๆแย่ลงหรือเปล่า ผมเลยได้แต่นั่งเฝ้าท่านร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แต่สำหรับผมมันเหมือนเป็นชาติเลยทีเดียว


“คุณท่านครับ...” เห็นว่าน้ำตาเริ่มขาดเม็ดผมเลยลองเอื้อมมือไปแตะที่เท้าของท่านเบาๆ “วันนี้ป้าจิตทำน้ำฝรั่ง คุณท่านรับสักหน่อยนะครับจะได้สดชื่น เดี๋ยวผมลงไปเอาให้”


“ไม่...” ปกติถึงได้ยินคำนี้ผมก็จะลุกอยู่ดี แต่คราวนี้ที่ไม่กล้าขยับตัวเพราะมีมือเอื้อมมาแตะไหล่ไว้ ผมทั้งตกใจและดีใจเพราะเป็นครั้งแรกที่ถูกคุณภัทสัมผัสตัว ท่านเองก็คงรู้สึกแปลกๆเลยรีบชักมือกลับไปแต่ยังรั้งผมไว้ “ไม่ต้อง อยู่ก่อน อย่าเพิ่งไป”


คุณภัทเสมองอัลบั้มรูปที่เปิดค้างไว้แล้วเงียบไป ผมเลยทำใจกล้าๆยืดตัวขึ้นไปเกาะขอบโต๊ะเพราะอยากรู้เหมือนกันว่ารูปอะไรที่ทำคนใจแข็งร้องไห้ได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นอกจากไม่ดุ คุณภัทยังเลื่อนอัลบั้มรูปมาให้แทนการออกปากอนุญาต


“เขาคงคัดมาจากอัลบัมที่บ้าน แต่บางรูปก็ไม่เคยเห็น ไม่รู้ไปถ่ายไว้ตอนไหน”


คุณภัทกำลังมีรอยยิ้มบางๆอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สงสัยอารมณ์ที่ไม่ดีหรือความขุ่นข้องหมองใจต่างๆจะละลายหายไปกับน้ำตาหมดแล้ว ส่วนอัลบั้มที่ผมกำลังดูอยู่น่าจะเป็นการรวบรวมมาจากเวลาและสถานที่ต่างๆอย่างที่ท่านว่า มากที่สุดคือรูปของเด็กชายหญิงคู่หนึ่งในแต่ละช่วงวัย เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคุณภากรตอนเล็กๆ... เป็นเด็กที่ไม่ได้ดูบอบบางอย่างลูกคุณหนู หน้าตาออกซนๆ ท่าทางน่าจะเป็นหัวโจก ชอบแอคท์ท่ายิ้มกวนๆแต่ก็น่ารักดีเหมือนกัน


“มีเขียนที่ด้านหลังไว้ทุกรูปเลยครับ”


ความพิเศษอีกอย่างคือไม่มีการสอดรูปซ้อนกันเหมือนอัลบั้มทั่วๆไป จึงได้เห็นด้านหลังของภาพซึ่งไม่ใช่เพียงกระดาษเปล่า แต่เป็นพื้นที่ที่คุณกฤตใช้เขียนบอกรายละเอียดของภาพและความประทับใจส่วนตัวของท่าน  ตัวอย่างเช่น ภาพคุณภากรในชุดนักเรียนยืนจับมือคู่กับน้องสาวที่หน้าบ้านมีคำบรรยายว่า กรไปโรงเรียนวันแรก เก่งทั้งคู่เพราะภาตื่นเช้ามาส่งพี่ชายด้วย ไม่งอแงเลย มารู้ทีหลังว่าคุณภัทติดสินบนเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหม่ หรือรูปที่อาจแอบถ่ายเพราะเป็นภาพคุณภัทกับคุณภากำลังนั่งดูหนังสือเล่มเดียวกันอยู่ในห้องรับแขกเล็ก พลิกมาก็มีลายมือตัวบรรจง ลายเส้นตวัดหนักแน่น แม่ลูกเริ่มมีงานอดิเรกเดียวกันแล้ว คงต้องเตรียมห้องไว้เก็บของเพิ่มเร็วๆนี้ สงสัยต้องพากรไปหัดตีกอล์ฟบ้าง เดี๋ยวเราไม่มีพวก และอีกหลายรูปที่แม้จะเป็นเพียงภาพถ่ายธรรมดาก็ยังมีถ้อยคำที่สื่อความรู้สึกได้หลากหลาย เช่นภาพของสามแม่ลูกยืนรวมกันอยู่ข้างๆรูปปั้นในสวนสาธารณะสักแห่งในต่างประเทศ ที่ด้านหลังนั้นบอกว่า เสียดายที่ติดงาน ไปเที่ยวด้วยไม่ได้ แม่ลูกเลยอาศัยรูปปั้นแทนพ่อไปพลางๆ แต่ก็น่าจะเลือกตัวที่นกไม่ขี้รดหัวซะหน่อย


“เขาเป็นคนอย่างนี้ล่ะ รอบคอบ ละเอียดลออ ใส่ใจทุกคนและทุกสิ่งรอบตัวเสมอ ฉันเสียอีกที่มองข้ามหรือบางทีก็เห็นว่าเล็กน้อยเลยกลายเป็นพลาดอะไรๆดีไปเสียหมด รู้มั้ยว่านี่อะไร” ท่านถามพลางแตะนิ้วไล้ลายดอกไม้บนฝากระปุกเซรามิค ถึงไม่ได้หันมาเห็นผมส่ายหน้าก็ยังพูดต่อ “ของชำร่วยงานแต่ง ฉันเป็นคนเลือกเองแต่ที่จริงก็แค่เปิดแคตตาล็อกดูๆเอา เสร็จงานแล้วมีเหลือมาก็เอาเก็บเข้าตู้ไม่เคยได้สนใจจะหยิบออกมาดูด้วยซ้ำ แต่เขากลับ...” ปลายเสียงสั่นและขาดหายไปด้วยความพยายามจะเก็บกลั้นความรู้สึกไว้ภายใน


“ที่ท่านเก็บกุญแจเก๊ะเอาไว้ในนี้คงเพราะอยากจะบอกว่าการแต่งงานคือจุดเริ่มต้นของความทรงจำที่มีค่าของท่านก็ได้นะครับ”
“ผู้ชายนี่ชอบมีความลับหรือไม่ก็ทำอะไรให้ยุ่งยากซับซ้อนอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า”


ผมได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไง ผู้ชายไม่ว่าใครก็คงมีทั้งความกล้าและความกลัวเหมือนๆกัน แต่ถ้าถามแค่ตัวลูกชายท่านก็อยากบอกให้รายนั้นหัดเก็บอะไรๆเป็นความลับซะบ้าง


“ท่านอาจจะเขิน ไม่กล้าบอกหรือแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆมั้งครับ” คำตอบของผมคงเป็นที่ถูกใจเลยเรียกเสียงหัวเราะเบาๆได้


“เธอคงพูดถูก ลองดูนี่สิ” สมุดบันทึกเล่มนั้นถูกยื่นมาให้แต่ผมยังไม่กล้ารับไว้ “อ่านเถอะ ฉันอนุญาต”


ผมรับมาและก้มอ่านหน้าที่เปิดค้างไว้ ปรากฏลายมือคุ้นตาเหมือนที่เห็นจากด้านหลังรูปทุกใบ


วันครบรอบปีนี้อยากให้เป็นอะไรที่พิเศษเลยว่าจะชวนคุณภัทไปเที่ยวอเมริกา ที่จริงคิดเรื่องนี้มาสองสามปีแล้วแต่ที่เลื่อนมาตลอดเพราะถ้าคุณภัทไม่ว่างก็เป็นเราที่งานยุ่งซะเอง และที่ตั้งใจไว้คืออยากให้เธอได้พักห้องเดียวกับตอนที่ไปฮันนีมูน คงเป็นอะไรที่น่าประทับใจ โชคดีได้วรเมธมาช่วยติดต่อให้ ไม่อย่างนั้นอาจต้องรอเป็นปีหน้า ถ้าเป็นไปตามแผนก็เอายัยภาไปเยี่ยมพี่ชายด้วย แล้วให้สองพี่น้องเขาเที่ยวกันเองจะได้ถูกใจ ส่วนพ่อกับแม่ขอแค่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้างก็พอ

ตอนนี้โรงแรมจองได้แล้ว เรื่องตั๋วเครื่องบินกับตารางงานสั่งให้พัชรีจัดการ เริ่มเคลียร์แต่เนิ่นๆ ช่วงนั้นน่าจะว่างได้สักสองอาทิตย์ แต่จะชวนคุณภัทยังไงนี่สิปัญหา... เฮ่อ! ทีเรื่องอื่นสบายหายห่วง แต่ทำไมจะคุยกับเมียมันถึงไม่ได้ความเลยวะไอ้กฤต!


คนเขียนระบายแกมบ่นตัวเองที่ไม่ได้อย่างใจ แต่สำหรับผมบอกได้เลยว่าคุณกฤตเอาใจผมไปเต็มๆ ท่านเป็นพ่อในแบบที่ผมเองยังฝันถึง หรือจะพูดให้ถูกครอบครัวนี้สมบูรณ์พร้อมจนน่าอิจฉา พ่อแม่ต่างเป็นคนดี ลูกๆน่ารัก ทุกคนมีความรักให้แก่กัน แต่อะไรกันนะที่ทำให้พวกเขาไม่ได้มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น


“ภายนอกเขาเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ ทั้งที่อายุไม่เท่าไหร่แต่มีความเป็นผู้นำที่ใครๆต่างก็ยอมรับ ฉันเองยังคิดว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเขา ไม่อยากเชื่อว่าเขาก็มีมุมแบบนี้ เลยกลายเป็นว่าฉันไม่เคยรู้จักคนที่ได้ชื่อว่าสามีตัวเอง ปีแรกๆที่แต่งงานกันมีแต่ฉันที่ตื่นเต้นกับวันครบรอบ ส่วนเขาถ้าไม่ลืมก็งานยุ่งจนไม่มีเวลา ฉันบ้าบออยู่คนเดียวจนเริ่มเบื่อ หลังๆก็รู้สึกว่ามันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ก็ไม่นึกนะว่าเขาจะแอบคิดทำอะไรแบบนี้ให้ แล้วมันน่าขำมั้ยล่ะ บันทึกหน้านี้เขียนตั้งแต่มกรา เราแต่งงานกันเดือนพฤษภา แต่พอมีนา... เขาก็ไม่อยู่เสียแล้ว”


ผมถอนหายใจกับตัวเองเมื่อได้รู้ว่าอะไรที่ขาดหายไป เมื่อปราศจาก ‘ความเข้าใจ’ ความรักก็ไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริง นึกย้อนถึงเรื่องของตัวผมเองก็คงไม่ต่างกัน แม้จะขัดสนเงินทองแต่พวกเราก็ยังพรั่งพร้อมด้วยความรักความเข้าใจที่มีให้แก่กัน จนเมื่อความเข้าใจของพ่อผิดเพี้ยนไป ต่อให้แม่ ผมและพี่กัญพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาความสุขให้อยู่กับครอบครัวเราไว้ได้


“เอ้า! อะไรกัน ทำตัวขี้แยไปได้!” คิดเรื่องเก่าๆทีไรผมเป็นต้องออกอาการไม่มากก็น้อย เลยโดนคุณภัทแซวเข้าให้


“ก็ผมเสียดายนี่ครับ” หยุดสูดน้ำมูกแรงๆเสียทีค่อยพูดต่อ “ถ้าได้ไปเที่ยวอย่างที่วางแผนไว้ก็คงเข้าใจกันมากขึ้น แล้วทุกคนก็จะได้มีความสุข ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังตอนที่ทุกอย่างมันสายไปแล้ว”


ถึงผมจะอายุแค่นี้แต่ชีวิตก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย บางครั้งผมยังเคยนั่งคิดถึงเรื่องความตาย ถ้าจะให้พูดตรงๆผมไม่ได้กลัวตัวเองตายแต่กลัวความตายที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่ผมรัก เหมือนอย่างที่แม่กานดาจากไปก่อนที่ผมจะได้ตอบแทนความรักและพระคุณที่ยิ่งใหญ่


“นั่นสินะ เขาถึงได้บอกว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน วันเวลาที่ผ่านไปแล้วไม่มีทางหวนกลับ และต่อให้มีอำนาจหรือเงินทองมากแค่ไหนก็ไม่อาจเรียกคืนอดีตที่จบไปแล้วได้เลย”


คุณภัทราพรจบคำพูดนั้นด้วยรอยยิ้มบางๆ ผมเลยยิ้มกว้างตอบกลับไป ระหว่างผมกับท่านคงกำลังเกิดความเข้าใจบางอย่างที่แม้จะมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่สองฝ่ายต่างสูญเสีย แต่เชื่อว่าจะนำไปสู่สิ่งดีๆในไม่ช้า แล้วผมก็พลันฉุกคิดว่าขนาดผมกับคุณภัทยังเข้าใจกันได้ แล้วทำไมคุณภัทกับน้ารื่น...


“ฉันดีใจที่ได้ยินคุณพูดอย่างนั้น”


น้ารื่นฤดีต้องเป็นอีกคนที่อ่านใจผมออกแน่ๆ เพราะเพียงแค่คิดถึงก็มาปรากฏตัวให้เห็น แต่เล่นมายืนจ้องหน้าแถมคำพูดที่เรียกได้ว่าท้าทายกันตรงๆอย่างนี้ ชวนให้ได้กลิ่นของสงครามลอยมาแต่ไกล แล้วผมจะต้องทำยังไงล่ะครับทีนี้?!





จบตอนแล้วคร้าบ


หวังว่าจะชอบเรื่องราวระหว่างคุณกฤตและคุณภัท ขอบอกว่าเราชอบมาก เขียนเองก็ซึ้งเอง

ตอนหน้ามารอลุ้นคุณภัทกับน้ารื่นบ้างว่าจะเคลียร์กันออกมาอีท่าไหนนะคะ





ปล. ถึงตอนนี้เน็ตบ้านก็ยังเจ๊งอยู่ จะครึ่งเดือนแล้ว โทรจิกจนสงสารน้องคอลเซนเตอร์แล้ว ยังไงก็ต้องรอคิวช่างอยู่ดี จนไม่ไหวลองใช้ไวไฟมือถือแชร์เอา ก็ได้อยู่แต่ต้องลุ้นมาก นี่เออเรอไปสองรอบกว่าจะอัพครบ เฮ่อ...  ตอนต่อไปขอรอเน็ตบ้านใช้ได้เหมือนเดิมนะคะ


 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29 (26-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 26-06-2016 21:07:35
ถถถ  แม่ผัวลูกสะใภ้อุตส่าอยู่ในโหมดสงบศึกและเป็นพันธมิตรกันทางอารมณ์ น้ารื่นเข้ามาฟิลเปลี่ยนเลย 5555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29 (26-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 26-06-2016 22:55:52
จะเกิดอะไรขึ้นครับ แต่คงติดตามกันต่อไปว่าจะเป็นไงต่อ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29 (26-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 27-06-2016 00:01:53
ทิ้งท้ายมาให้ลุ้นเหอะ วุ้ย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29 (26-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-06-2016 02:51:17
เห็นไหมๆ อยู่กับกานต์เดี๋ยวก็ดีเอง
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29 (26-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-06-2016 08:38:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29 (26-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 27-06-2016 21:18:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29 (26-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 29-06-2016 18:32:33
ไม่แก้ไขความเข้าใจผิดกัน เสียดายเวลาจริงๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29 (26-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-06-2016 20:38:40
มารอ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 29 (26-6-59)
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 30-06-2016 23:06:03
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมาก

กานต์สมกับชื่อจริงๆ เป็นที่รักของทุกคนเลย

แอบเดาไว้หลายเรื่อง รออ่านนะคะ จะได้รู้ว่าเดาถูกทุกเรื่องมั้ย อิอิ

ปล. ตอนล่าสุดนี้ อ่านแล้วน้ำตาหยดเลย ซึ้งงง ;_;
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 30
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 03-07-2016 08:03:47








30.





เสียงหงุงหงิงที่ข้างตัวเรียกให้ผมหันไปดูเด็กหญิงที่กำลังเล่นสนุกอยู่คนเดียว ส่วนถ้าถามว่าตอนนี้เราสองคนอยู่ที่ไหน เอ่อ... ถ้ายังจำได้ว่าบันไดเรือนหลังนี้สูงหลายสิบขั้นก็เลยต้องมีชานพักตรงครึ่งทาง ผมมีเรื่องให้ต้องลงไปข้างล่างมา แต่ก็ยังไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องกลับขึ้นไปข้างบนอีก เลยได้แต่จดๆจ้องๆ ลังเลว่าจะเอายังไง สุดท้ายก็เลยนั่งแหมะมันกลางบันได แล้วสักพักหนูเพลินก็ผ่านมาชวนให้ผมเล่นตุ๊กตาด้วย ผมไม่ค่อยถนัดเลยได้แต่นั่งเป็นเพื่อนให้เฉยๆ


“แก๊ มาทำอะไรที่นี่ยะ?!” เสียงแจ๋วดัดแหลมเลียนแบบผู้ใหญ่ เดาว่าคงเอามาจากละครหลังข่าวเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างที่บอกว่าผมเองเคยนั่งดูเป็นเพื่อนแม่บ่อยๆ ไอ้ตอนดูมันก็สนุกดี ลุ้นว่าฝ่ายไหนจะชนะหรือเมื่อไหร่จะลงมือตบกัน แต่พอมาเจอของจริง ผมงี้อยากจะกลายร่างเป็นจิ้งจกมุดกระดานเรือนหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น


‘ฉันดีใจที่ได้ยินคุณพูดอย่างนั้น’


งานนี้ต้องย้อนความกันมากหน่อยเพราะผมไม่อยากรายงานสดชนิดติดขอบเวที แต่เอาเป็นว่าพอมีเสียงน้ารื่นฤดีแทรกเข้ามา คุณภัทราพรก็หุบยิ้ม หน้าเครียดขึ้นทันที นี่ยังไม่นับน้ำเสียงเหยียดหยันเหมือนทุกครั้งที่ต้องออกปากพูดด้วยอย่างเสียไม่ได้


‘อย่างเธอถือสิทธิ์อะไรมาแสดงความคิดเห็น’


‘ฉันก็แค่อยากพูดในฐานะคนที่ได้อาศัยบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนเจ้าของบ้านนี้เท่านั้นล่ะค่ะ’


‘มีอะไรก็ว่ามา ไม่ต้องมาสำบัดสำนวน พูดจบก็ไปให้พ้นๆหูพ้นๆตา หรือไสหัวไปจากบ้านนี้เลยยิ่งดี’


‘แหม! ถ้าคุณภัทอยากฟังถึงขนาดนั้น ฉันก็คงต้องบอกว่าฉันเกลียดคุณ เกลี๊ยด เกลียดยังกับจิ้งจก ตุ๊กแก เป็นยังไงคะความในใจของฉัน พอจะรับได้มั้ย’


‘กะ...แก๊!’


เป๊ะ! บอกแล้วว่าเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งได้รับรู้มาเหมือนกับละครหลังข่าวยังไงยังงั้น น้ารื่นฤดีพูดด้วยน้ำเสียงถือดี รอยยิ้มและแววตาเหมือนไม่ใช่น้ารื่นที่ผมเคยรู้จัก ส่วนคุณภัทราพรซึ่งรับบทเมียหลวงที่ถูกตามราวีก็เกิดอาการใบ้รับประทาน คงทั้งตกใจเหมือนผมและโมโหจนพูดอะไรไม่ออกถึงได้แต่ชี้หน้าและจ้องอย่างกับจะฉีกเมียน้อยเป็นชิ้นๆ


“ที่นี่บ้านคุณพี่ ฉันก็เป็นเมียทำไมจะมาไม่ได้!”


ไม่ไหวแล้ว! ภาพในหัวก็แรง เสียงพากย์ข้างตัวยังไม่แพ้กันอีก สงสัยผมคงต้องบอกป้าจิตว่าให้หนูเพลินเพลาๆดูทีวีเสียบ้าง


“เพลินไม่เอานะครับ พูดอย่างนี้ไม่น่ารักเลย”


ผมรีบสอดมือคั่นระหว่างตุ๊กตาสองตัวที่กำลังถูกเจ้าของจับให้ปะทะกันอย่างถึงพริกถึงขิง มีทั้งตบทั้งถีบ อูยยย เห็นแล้วเสียวแทน!


“ก็ในทีวีเขาพูดนี่”


“คนในทีวีเขากำลังทะเลาะกัน คนทะเลาะกันไม่ดีหรอก หนูเพลินอย่าไปเอาอย่างเลยนะ”


“แล้วเขาทะเลาะกันเรื่องอะไรคะ” หนูเพลินเลยวางตุ๊กตาแล้วมาสนใจผมแทน มีแววใฝ่รู้แต่เด็กเชียว ความซวยเลยมาตกอยู่กับผมเพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องผัวๆเมียๆให้เด็กขนาดนี้ฟังยังไง


“คะ?” โอยยย แววตาหนูเพลินก็ใสแจ๋วได้อีก อยากบอกจังว่าอย่ามาฝากความหวังกับพี่นักเลย พี่เองก็ไม่ใช่คนดิบดีอะไรหรอกนะ


“เรื่อง...ของครอบครัวน่ะ คือบางที...บางครอบครัวก็มีปัญหา แต่มันก็เป็นปัญหาของเขา เขามีเรื่องไม่เข้าใจกันแต่เราอย่าไปอยากรู้ดีกว่านะครับ”


ผมบอกพร้อมรอยยิ้มโน้มน้าวใจ แต่มาเจอวัยกำลังอยากรู้อยากเห็นเลยไม่ค่อยได้ผลนัก


“ก็เพลินอยากรู้ พี่กานต์บอกหน่อย นะๆ!”


ผมอยากจะร้องไห้ สาบานว่าไม่ได้อยากรู้เรื่องของครอบครัวใครเลย ไม่รู้ว่าเป็นโชคชะตาหรือเวรกรรมกันแน่ที่กำหนดให้ผมต้องไปตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดขนาดนั้น


‘ทีแรกฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณนักหรอก แต่ก็ยอมรับล่ะว่าแอบอิจฉาที่คุณทั้งสวย รวย มีชื่อเสียง แถมยังได้ผู้ชายที่ดีที่สุดอย่างพี่กฤตไปอีก อยากรู้จริงว่าชาติที่แล้วคุณทำบุญมาด้วยอะไรถึงได้โชคดีขนาดนี้ แต่พอนานวันเข้าฉันก็เริ่มไม่ชอบที่คุณไม่เห็นค่าของพี่กฤต คุณทำเหมือนเขาไม่ดี ไม่คู่ควร แต่ฉันอยากจะบอกว่าคุณนั่นแหละที่ไม่คู่ควรกับพี่กฤต ไม่เลยสักนิด!’


‘แกพูดอะไร? หุบปากไปเลยนะ!’


‘นั่นสินะ! ฉันอาจจะพูดผิดไป ที่จริงคุณก็ไม่ใช่จะมีบุญบารมีอะไรแต่มีกรรมซะมากกว่า ที่คุณมีกินมีใช้อยู่ทุกวันเพราะเงินจากบ่อน จากซ่อง ชีวิตคุณสะดวกสบายในขณะที่ใครหลายคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ผัวแอบนอกใจเมียมาหาเศษหาเลยนอกบ้านจนต้องทะเลาะกันบ้านแตก หาความสุขไม่ได้ คงเพราะอย่างนี้คุณถึงมีปมด้อยโดยไม่รู้ตัว คุณต้องพยายามทำตัวเป็นผู้หญิงสมบูรณ์แบบ ต้องชูคออยู่เหนือคนอื่นตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ใครเขาขุดเรื่องนี้มาดูถูกใช่มั้ยล่ะ’


น้ารื่นจบด้วยคำถามแต่คุณภัทกำลังเนื้อตัวเริ่มสั่นจนน่ากลัวว่าจะช็อกเข้าจริงๆ ผมพยายามสบตาบอกให้น้ารื่นหยุดแต่...


‘เจ้าสัวพ่อของคุณเองก็มีอีหนูเต็มบ้านเต็มเมือง คุณเลยไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีผู้ชายที่รักเดียวใจเดียว คุณหวาดระแวง กลัวว่าพี่กฤตจะนอกใจไปมีคนอื่นทั้งที่ความจริงเขาเป็นคนดีแสนดี ทั้งรักและทุ่มเททุกอย่างเพื่อครอบครัว ไม่เคยมีเวลาไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงคุณ ไม่คิดถึงลูก สุดท้าย... คนที่ทำลายทุกอย่างก็คือตัวคุณเองนั่นแหละคุณภัท!’


‘หยุดนะ! พอสักที!’ คุณภัทกรีดเสียงร้อง ดวงตาแดงก่ำแห้งผากเพราะมีแต่ความโกรธฉายชัดอยู่เท่านั้น ‘ฉันบอกให้แกหยุด!!’


ส่วนน้ารื่นกลับเหมือนว่าวที่ลอยขึ้นไปติดลมบน ทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าคุณภัทเป็นถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ยอมหยุด


‘ตอนพี่กฤตตายฉันเสียใจจนบอกไม่ได้ว่ามากแค่ไหน แต่พอมาคิดอีกที ฉันก็อดดีใจไม่ได้ที่คนอย่างคุณจะได้รู้จักกับความเสียใจ คุณจะได้เจ็บปวด ทุกข์ทรมานกับการสูญเสียซะบ้าง แล้วฉันขอทำนายไว้เลยนะ ถ้าขืนคุณยังทำตัวเหมือนที่ผ่านๆมา สุดท้ายคุณก็จะไม่เหลือใครเลย’


‘ออกไป๊!! ฉันบอกให้แกหยุดพูดแล้วออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้นะนังบ้า!!’


‘ต๊าย! ส่องกระจกซะหน่อยสิคะคุณภัท ใครกันแน่ที่สมควรจะถูกเรียกว่านังบ้า’


‘คุณท่านใจเย็นๆก่อนครับ’ อย่าว่าแต่คุณภัทจะทนไม่ได้ ผมเองก็ทนรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าไม่ไหวแล้ว ‘พอเถอะครับน้ารื่น!’


‘คุณกานต์จะไปปกป้องเขาทำไมคะ จำไม่ได้หรือไงว่าเขาทั้งดูถูก ทั้งรังเกียจกีดกันคุณสารพัด’


ถึงตาผมถูกถามแต่จะให้ตอบว่าอะไรได้เมื่อผมกำลังประคองคุณภัทไว้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ถ้าไม่มีผมท่านคงล้มทั้งยืนไปแล้ว และตอนนี้ท่านก็คงเห็นผมเป็นที่พึ่งเดียวที่มีเหมือนกัน


‘ไล่มันออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันบอกให้ไล่นังบ้านี่ออกไป!!’


‘แหม! ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก่อนคุณก็ไม่ได้เห็นฉันหรือคุณกานต์ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้กลับมาบอกให้คุณกานต์ไล่แต่ฉัน คิดว่าเขาจะฟังคำสั่งคุณหรือไง’


น้ารื่นลอยหน้าถามแถมส่งเสียงหัวเราะราวกับตัวร้ายโรคจิตในละคร ผมเลยยิ่งงงจนทำอะไรไม่ถูก อยากจะคิดว่านี่เป็นแค่การล้อเล่น อาจจะมีใครซ่อนกล้องแอบถ่าย แต่สภาพความตึงเครียดขนาดนี้ก็ทำให้โกหกตัวเองไม่ลง


‘ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้ว วันนี้น้ารื่นเป็นอะไรไปครับเนี่ย’


‘น้าก็เป็นปกติดีนี่คะ คุณกานต์นั่นแหละ อยู่ดีๆไปเข้าข้างคุณภัททำไม’


ทุกคนยังอยู่ที่จุดเดิม ผมยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานมีคุณภัทอยู่ในวงแขน ส่วนน้ารื่นไม่ได้ขยับไปจากหน้าประตูแต่เบนเป้าหมายมาที่ผมแทน


‘ผมไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้น แต่ผมว่าน้ารื่นกำลังทำไม่ถูก ถือว่าผมขอ ออกไปก่อนเถอะครับ’


‘ไม่น่าเชื่อนะคะคุณภัท ดูสิ คนที่คุณเกลียดแทบตายกลายเป็นพวกคุณซะนี่’


‘ถ้ายังไม่หยุด ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะครับ!’ ผมขึ้นเสียงหวังปรามให้น้ารื่นได้สติเพราะไม่ว่าใครจะถูกหรือผิด เธอก็ไม่สมควรทำแบบนี้


‘คุณกรให้อำนาจน้าดูแลทุกอย่าง น้าคือคนที่มีอำนาจที่สุดในบ้านหลังนี้ คุณกานต์จะทำอะไรน้าได้ล่ะคะ’


เจอมุขนี้ผมเลยมึน ก็น้ารื่นเองไม่ใช่เหรอที่บอกให้ทุกคนเคารพผมเหมือนเป็นเจ้านายคนอีกคนหนึ่งด้วยเหตุผลที่ว่า...


‘ก็ได้ครับ! น้ารื่นเคยบอกเองว่าผมอยู่ที่นี่ในฐานะคนของคุณกร ต้องถือว่าผมเป็นเจ้านายคนนึง เพราะฉะนั้นผมขอสั่งให้น้าออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้!’


‘พูดกับน้าแบบนี้ ถ้าคุณกรรู้เข้า...’


‘ผมเชื่อว่าคุณกรเป็นคนยุติธรรม และเขาจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำอะไรคุณแม่ของเขาแบบที่น้ารื่นกำลังทำอยู่นี่แน่ๆ!’ ผมประกาศกร้าวแล้วรีบหันไปยืนยันให้คนในอ้อมแขนสบายใจ ‘คุณท่านไม่ต้องกลัวนะครับ’


คุณภัทพยักหน้าเกร็งๆแต่ดูมีกำลังใจมากขึ้น ผมเลยตั้งใจว่าถ้าน้ารื่นยังดื้อจะพาคุณภัทออกไปจากห้องนี้เอง แต่จู่ๆคนที่ยืนขวางประตูก็ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ชวนให้คิดว่าถ้าไม่ใช่การทำสงครามประสาท อาจมีผีบ้านผีเรือนมาตนไหนมาสวมร่างน้ารื่นก็เป็นได้


‘เป็นยังไงบ้างคะคุณภัท ไม่ได้รู้สึกว่าคุณกานต์น่ารังเกียจ หรือเป็นคนที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูลแล้วเหรอ’


‘อะ..อะไรของแก?’ ผมว่าที่คุณภัทยังสั่นคงเพราะเริ่มกลัวมากกว่าโกรธแล้วล่ะ


‘ก็คนที่กำลังปกป้องคุณอยู่นั่นยังไง ยังคิดว่าเขาอ่อนแอเกินไป ไม่มีค่า ไม่คู่ควรที่จะยืนเคียงข้างลูกชายคุณอยู่อีกมั้ยคะ’


ผมกับคุณภัทหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมรู้ตัวเลยว่ากำลังทำหน้าเหวอสุดๆ ส่วนคุณภัทก็มองตอบด้วยแววตาที่ผมไม่เคยเห็นและคาดเดาไม่ถูก  แต่แปลกก็ตรงที่... ไม่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนที่เคยรู้สึกอีกแล้ว พอหันกลับมาอีกทาง ผมยิ่งโล่งอกที่ได้เห็นรอยยิ้มของน้ารื่นกลับมาเป็นเหมือนปกติ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้เธอล้ำเส้นถึงขนาดนี้


‘ทั้งหมดที่พูดไปคือสิ่งที่น้ารู้สึกค่ะ’ น้ารื่นชิงตอบก่อนที่ผมจะอ้าปาก แล้วค่อยหันไปสบตาเพื่อบอกคุณภัทตรงๆว่า... ‘ฉันกับคุณกฤตไม่เคยมีอะไรกัน’


ตัวผมเองแน่ใจนะว่านี่คือน้ารื่นตัวจริงที่เปี่ยมไปด้วยความนอบน้อม เจียมตัวเจียมตน แต่ถ้าผมเป็นคุณภัทแล้วเพิ่งผ่านเหตุการณ์อย่างเมื่อครู่มาสดๆร้อนๆจะตวาดกลับว่าไม่เชื่อก็คงไม่แปลก


‘เพราะฉันรู้ว่าคุณไม่เชื่อ ฉันเลยจงใจปิดปากเงียบ ปล่อยให้คนพูดไปต่างๆนาๆเพื่อให้คำนินทาพวกนั้นย้อนกลับไปหาคุณ ฉันอยากเห็นคุณจมอยู่กับความสงสัย อยากให้คุณหวาดระแวงและเป็นทุกข์อย่างที่สุดเพราะมันเป็นหนทางเดียวที่คนต้อยต่ำอย่างฉันจะลงโทษคุณได้ยังไงล่ะคะ’


ณ จุดๆนี้ ผมอึ้งจนขี้เกียจ หรือจะพูดอีกอย่างคืองงจนหัวหมุนไปหมด อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าเสือซ่อนเล็บ คนที่ดูภายนอกอ่อนแอ ไม่มีพิษสง เลยไม่มีใครรู้ว่าซ่อนแผนการแยบยลชนิดที่หลอกคนทั้งโลกเลยทีเดียว


‘ถึงตอนนี้คุณก็คงยังไม่เชื่อว่าฉันพูดความจริง แต่ฉันกล้าสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าไม่เคยมีอะไรกับคุณกฤต ฉันอาจจะเคยชอบเขาแต่นั่นตั้งแต่สมัยที่เรายังเด็กด้วยกันทั้งคู่ พอเขาแต่งงานกับคุณ ฉันก็รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้อีก และขอบอกอีกครั้งว่าเขาเป็นคนดีอย่างที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง ที่สำคัญ คุณกฤตรักคุณ แค่คุณกับลูกเท่านั้นที่อยู่ในใจเขาเสมอมา ส่วนฉันก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกคนที่นี่คือมีฐานะเป็นเพียงผู้อาศัยคนหนึ่ง หรืออย่างดีเขาก็แค่เอ็นดูเหมือนน้องสาว ฉันพูดได้เท่านี้ คุณจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่คุณเถอะค่ะ’


เมื่อคำสารภาพที่แท้จริงจบลง ห้องกว้างก็ตกอยู่ในความเงียบชนิดที่เข็มตกสักเล่มยังได้ยิน คุณภัทหายจากอาการตัวสั่นแต่กลายเป็นหมดแรงจนผมต้องช่วยประคองให้ค่อยๆนั่งลง ท่านนั่งเงียบ ไม่ไหวติง ส่วนผมก็ยืนคอยโดยที่ในหัวสมองว่างเปล่า จนรู้ตัวเมื่อน้ารื่นเข้ามาสะกิดเรียกให้ออกจากห้องไปด้วยกัน เพื่อให้เวลาคุณภัทได้อยู่กับตัวเองและทำความเข้าใจเรื่องทุกอย่างมากขึ้น


“ครับๆ” ตั้งแต่ตอนนั้นผมเลยติดอาหารเหม่อมาไม่รู้ตัว คนที่อยู่ด้วยกันเลยต้องเขย่าเรียก หันไปเห็นทำหน้ามุ่ย คงน้อยใจที่ถูกลืม “เพลินว่าอะไรนะครับ?”


“พี่กานต์นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาเลย” เสียงแจ๋วต่อว่า


“พี่ขอโทษนะครับ พอดีพี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”


“คิดอะไรอยู่คะ?”


“พี่ก็กำลังคิดว่า...ทำไมอะไรๆถึงไม่เป็นไปอย่างที่พี่คิดเลย...”


“ก็แล้วพี่กานต์คิดอะไรล่ะคะ?”


“นั่นสิครับ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่กำลังคิดอะไร”


คำตอบของผมเล่นเอาหนูน้อยยกมือเกาหัว ตีหน้ายุ่งๆพลางบอก


“หนูงง”


“โทษทีครับ พี่ก็งงๆเหมือนกัน”


เราสองคนมองหน้าแล้วหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน หนูเพลินหัวเราะเสียงใส เมื่อไม่เข้าใจก็คงไม่ได้ติดใจอะไรอีก ผมเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉา อยากกลับเป็นเด็กที่ดีใจก็หัวเราะ เสียใจก็ร้องไห้ ไม่ต้องเก็บกลั้น ไม่ต้องอดทนจนกลายเป็นความทุกข์สุมร้อนในอก ใครว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วดี ผมคนนึงล่ะที่เถียงขาดใจ!


“ทำอะไรอยู่เพลิน แม่เรียกแน่ะได้ยินหรือเปล่า?”


เสียงทักดังมาจากเชิงบันได มองลงไปเห็นน้ารื่นฤดีกำลังเดินขึ้นมา ส่วนหนูเพลินได้ยินอย่างนั้นก็ลุกพรวด หอบของเล่นเผ่นไปทางเรือนครัว คนมาใหม่นั่งลงแทนที่แล้วถามผมยิ้มๆ


“ทำไมมองหน้าน้าอย่างนั้นล่ะคะ คิดว่าน้ายังถูกผีเข้าอยู่หรือไง?”


“เมื่อกี้น้ารื่นน่ากลัวจริงๆนี่ครับ เล่นเนียนจนกานต์ยังเชื่อสนิท ถ้าเป็นดาราก็ได้ตุ๊กตาทองไปแล้ว”


“ขอบคุณค่ะที่ชม แต่น้าว่าสนุกดีนะ เหมือนได้ปลดปล่อยความอึดอัดที่ต้องทนเก็บมาตั้งไม่รู้กี่ปี พอพูดออกไปรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูกเลย”


น้ารื่นสนุกแต่เล่นเอาผมกับคุณภัทราพรสยองไม่หาย บอกตามตรงว่าอย่างนี้ไม่เอาอีกแล้ว


“แหม! แต่ก็ได้ผลไม่ใช่เหรอคะ” น้ารื่นเห็นสีหน้าผมเลยหัวเราะชอบใจใหญ่ “ถือซะว่าให้ยาแรงคุณภัทสักทีจะได้ตาสว่างยอมรับอะไรๆได้ง่ายขึ้น”


“แต่กานต์กลัวคุณท่านจะยังทำใจไม่ได้ เมื่อกี้ก็ดูนิ่งๆ เงียบๆไป ไม่รู้ว่าจะเชื่อเรื่องของท่านกับน้ารื่นหรือเปล่า ถ้ายังไงเราให้ทุกคนขึ้นไปช่วยยืนยันดีมั้ยครับ”


ผมรีบเสนอ เพราะอย่างวันก่อนยายปุยยังเล่าให้ฟังว่าน้ารื่นพักอยู่กับสองยายมาตลอด เพิ่งจะย้ายขึ้นมาห้องที่บนเรือนตอนที่คุณกรสั่งนี่เอง ถ้าเป็นคำพูดที่ออกจากปากยายปุยยายเป้า คุณภัทน่าจะเชื่อได้อย่างสะดวกใจมากขึ้น


“ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณภัทไม่ใช่คนโง่ ถ้าจะเชื่อ เธอก็คงตรองด้วยสมองของเธอเองได้ แต่ลองเธอไม่คิดจะเชื่อ ต่อให้เอาคนเป็นร้อยเป็นพันมายืนยันก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจ แล้วน้าก็พอใจแค่ได้พูดออกไป ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่เถอะค่ะ”


น้ารื่นบอกแล้วแบมือออกรับดอกปีบที่กำลังลอยร่วงลงจากต้น นิ้วเรียวไล้กลีบดอกขาวแล้วยกขึ้นจรดปลายจมูกด้วยอาการถนอม ริมฝีปากระเรื่อสวยแต้มรอยยิ้มชนิดเดียวกับในดวงตาบอกถึงความสุขอย่างคนที่รู้จักความพอดีและสุขใจในสิ่งที่ตัวเองมี และคงเป็นความรู้สึกนี้ที่พลอยทำให้ผมสงบปากสงบคำตามไปด้วย





จบตอนแล้วคร้าบ



รักน้ารื่น นางซ่อนคมไว้เสียมิดเชียว






 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 30 (3-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 03-07-2016 10:08:06
ชอบคนอย่างน้ารื่นมาก แต่น้ารื่นก็เหมือนมีคนที่รักอยู่นะ ใช่รึป่าว
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 30 (3-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 03-07-2016 23:18:16
เราว่าเรื่องกฤตคุณภัทก็ไม่ได้ผิดสักทีเดียว อย่างที่เขาเล่าให้กานต์ฟัง
คุณกฤตเก็บเงียบไม่เปิดปากทำเหมือนเขาไม่มีความสำคัญ
จนเขาเลยเงียบและไม่ให้ความสำคัญบ้าง แถมคุณกฤตนั่นแหละตัวดี
หนีปัญหาชอบมาอยู่บ้านสวนให้คนเขานินทาปล่อยคุณภัทอยู่บ้านใหญ่
แล้วบอกว่ารักไม่ได้มีอะไรกัน เป็นเราอมวัดมาพูดก็ไม่เชื่อเหมือนกันนั่นแหละค่ะ
ในรูปเขียนซะดิบดีรักอย่างนู้นเวลาเห็นเขาเล่นกับลูกแล้วมีความสุข แต่คุณหนีเมีย
มาอยู่ที่อื่น ไอ้เราถ้าเป็นเมียก็คงไม่คิดว่ามันรักเราหรอกค่ะ พูดแล้วรมขึ้นเดี๋ยวยาว 5555+

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 30 (3-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: spsygk ที่ 04-07-2016 00:26:17
 :katai2-1: ปรบิให้น่ารื่นเลยค่ะ  น้องกานต์สู้ๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 30 (3-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 04-07-2016 06:47:53
ลูกสะใภ้คนนี้คงได้แม่ผัวขึ้นเยอะเชียว
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 30 (3-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-07-2016 11:00:05
ฉะกันมาหยด
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 31
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 07-07-2016 19:10:05






31.





ผมเชื่อน้ารื่นฤดีเลยรออยู่พักใหญ่กว่าจะกลับขึ้นเรือนไปอีกที น้ารื่นบอกว่าตอนนี้อาการป่วยของคุณภัทราพรทุเลาขึ้นมาก ไม่ว่าอาการทางกายหรือทางใจคงจะถูกเยียวยาจนหายขาดในที่สุด และภาพตรงหน้าก็ชวนให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น คุณภัทออกมานั่งรับลมอยู่ที่เก้าอี้นอนตัวยาว ดวงตาอาจดูเหม่อลอยแต่ไม่มีเค้าความเศร้าสร้อยแล้ว สักพักมีนกคู่หนึ่งบินมาเกาะกิ่งต้นปีบใกล้ๆ ท่านเลื่อนสายตาไปมองนกน้อยส่งเสียงจุ๊กจิ๊กหยอกล้อตามประสาแล้วเกิดมีรอยยิ้มบางๆชอบใจ พอผมเข้าไปหาและลองเอ่ยเรียกเบาๆ รอยยิ้มอย่างเดียวกันนั้นก็ยังเผื่อแผ่มาถึงผมอีกด้วย


“คุณกรส่งรูปต้นคริสต์มาสที่โรงแรมมาครับ” ผมยื่นไอแพดที่ถือที่ติดมา คุณภัทรับไปดูด้วยแววตาพอใจ “รอบบริเวณตกแต่งเสร็จหมดแล้ว เหลือแต่เอาดวงดาวขึ้นไปติดบนยอดแล้วก็ให้คุณท่านกดเปิดไฟวันงาน ถ้าดูตอนกลางคืน เปิดไฟรอบๆต้นแล้วคงยิ่งสวยมากเลยนะครับ”


“เมื่อไหร่นะ พอมาอยู่ที่นี่ชักจะลืมวันลืมคืน” คุณภัทถามพลางสไลด์นิ้วเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ


“มะรืนนี้ครับ ป้ามาลัยบอกว่า...เป็นวันเกิดคุณกรด้วยใช่มั้ยครับ”


ท่านไม่ตอบทันที พอดูภาพทั้งหมดจบก็ยื่นไอแพดคืนมาแล้วพูดไปอีกเรื่อง


“ปีนี้กรสามสิบ ยัยภาย่างยี่สิบเจ็ด พอนึกอย่างนี้รู้สึกตัวฉันเองก็แค่ยัยแก่คนนึง”


“ไม่จริงเลยครับ คุณท่านยังดูดีแล้วก็แข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกันตั้งเยอะ”


“แข็งแรงแต่มานั่งเป็นง่อยอยู่อย่างนี้น่ะเหรอ” ท่านก้มลงมองข้อเท้าที่ทายาของป้ามาลัยแล้วพันผ้ายืดไว้ เชื่อว่าจะหายเป็นปกติทันวันงานเพราะอย่างตอนนี้ก็ไม่ต้องมีคนช่วยพยุง เพียงแต่ต้องค่อยๆเดินและไม่ทิ้งน้ำหนักตัวลงเท้าข้างที่เจ็บมากนัก “สงสัยปีนี้จะไปเปิดไฟต้นคริสต์มาสไม่ไหวหรอก ยืนนานๆยังรู้สึกเสียวๆ”


“งั้นก็โชคดีนะครับที่คุณภาวิณีกลับมาพอดี”


“รายนั้นก็แล้วแต่อารมณ์เขา เอาแน่เอานอนไม่ได้ เห็นกรบอกว่าจะส่งลงไปดูงานที่ภูเก็ตกับชัช ยังไม่รู้ว่าจะเอาด้วยหรือเปล่าเลย” ท่านเปรยเหมือนบ่นกับตัวเอง พอหันมาก็คงเห็นผมนั่งฟังตาแป๋ว “แล้วเราล่ะ อยากไปงานนี้มั้ย ไม่ใช่สิ ฉันถามผิดไป เพราะยังไงกรคงจะพาเธอไปด้วยอยู่แล้วนี่”


ผมฟังน้ำเสียงคุณภัทแล้วไม่ได้รู้สึกถึงความโกรธหรือรังเกียจอย่างเคย ออกจะมีอารมณ์น้อยใจปนออกมามากกว่า แล้วในเมื่อผมก็อยู่ว่างๆ ทำไมจะไม่ทำตัวดี น่ารัก ให้ท่านเมตตาเอ็นดูล่ะ


“แต่ถ้าคุณท่านไม่ไป ผมก็จะอยู่รับใช้คุณท่านที่นี่” ผมสบตาแล้วยืนยัน “จริงๆนะครับ”


รอยยิ้มนิดๆกับแววตาพอใจขึ้นหลายส่วนคือสิ่งยืนยันความสำเร็จ ก็บอกแล้วว่าเด็ก สตรี และคนชรา รายไหนรายนั้นไม่เคยรอดมารยาผมสักคน


“แต่ถ้าฉันไป เธอจะไปเป็นเพื่อน?” กับคำถามนี้ผมรีบพยักหน้าทันที “แล้วถ้าฉันจะให้เธอเป็นคนเปิดไฟต้นคริสต์มาสด้วย คิดว่าจะทำได้หรือเปล่า”


ผมต้องหยุดคิดอย่างช่วยไม่ได้ ถึงคุณภากรจะเคยเอ่ยปากเรื่องนี้มาก่อนแต่อย่าลืมว่าน้องสาวเขาก็ถือเป็นเจ้าของโรงแรมอีกคนหนึ่ง แค่หน้าผมเธอยังไม่อยากมอง แล้วคิดเหรอว่าเธอจะยอมให้ผมเจ๋อไปมีบทบาทในงานสำคัญของโรงแรมขนาดนั้น


“เอาเถอะ ยังไม่ต้องตอบ เอาไว้รอถามเจ้าของวันเกิดเขาดูก่อนก็ได้นะ”


เห็นผมนิ่งไป คุณภัทเลยช่วยตอบให้แทน แถมยังเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ เป็นอะไรที่ผมคาดไม่ถึงเลยอึ้งหนักกว่าเก่า และทำให้เรื่องของคุณภาวิณีกระเด็นหายไปจากสมองทันที แววตาปราณีทำให้รู้สึกตื้อๆ ผมเลยตั้งใจพนมมือแล้วก้มลงแทบพื้นเรือนเพื่อตอบรับความเมตตานั้น


“ผมกราบขอโทษที่เคยทำตัวเสียมารยาทกับคุณท่านครับ”


เมื่อเงยหน้าขึ้นมายังพบแววตาอ่อนโยนเจือความเอ็นดู ไออุ่นจากมือเรียวบางวางค้างอยู่บนหัว ผมเอาแต่ยิ้มจนท่านขำ พอผมเงียบผิดไปจากเคยท่านเลยเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนคุย


“เธอชื่อกานต์ สั้นๆแค่นั้นเองเหรอ?”


“ครับ แม่ผมชื่อกานดาก็เลยตั้งให้คล้ายๆกัน แต่พี่กัญ พี่สาวผมน่ะครับ ชอบล้อว่าเพราะแม่ขี้เกียจเปิดหนังสือหาชื่ออื่น ผมก็เลยเถียงว่ากัญญาแปลว่าผู้หญิงเพราะพี่กัญเป็นผู้หญิง แต่ชื่อผมแปลว่าผู้เป็นที่รักก็แสดงว่าแม่รักผมมากกว่า พอบอกแบบนี้พี่กัญเลยงอนทุกที”


“ผู้หญิงก็อย่างนี้ล่ะ ขี้งอน ขี้น้อยใจ” พูดจบท่านก็ขำเพราะคงนึกได้ว่าตัวเองก็เป็นผู้หญิงแล้วแถมยังมีลูกสาวที่แสบไม่แพ้ใคร ย่อมต้องคุ้นเคยกับนิสัยผู้หญิ๊ง ผู้หญิงข้อนี้อยู่แล้ว แต่คำถามที่ตามมานี่สิ ไม่ให้ผมได้ทันตั้งตัวเลย “แล้วทำไมเธอถึงได้มาชอบกับภากรได้ เพราะเท่าที่ฉันดู เธอก็...ปกติดี หรือไม่ใช่?”


“ผมเป็นผู้ชายจริงๆ ถึงจะไม่ได้ตัวโตถึงขนาดอกสามศอกแต่ก็เป็นผู้ชายแท้ๆร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ” ผมรีบสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเผื่อจะทำให้ดูอกผายไหล่ผึ่งขึ้นบ้าง


“เธอจะบอกว่าคนที่เป็น...!” คุณภัททำตาโต ไม่กล้าพูดต่อให้จบ


“ไม่ใช่ครับ! คุณท่านเข้าใจผิดแล้ว!” ลมที่อุตส่าห์กลั้นเอาไว้เลยหลุดพรวดแทบสำลัก ลองถ้าคุณกรเป็นอย่างพี่พอลน่ะเหรอ...เหอ เหอ สยองซะไม่มี! “ถ้าคุณกรเป็นคงโดนหาว่าไปทำให้สถาบันกระเทยเสื่อมเสียเปล่าๆครับ”


“อ้าว! ถ้าทั้งเธอกับลูกชายฉันต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ แล้วมันจะยังไงกันล่ะ?!”


ผมนิ่ง รู้สึกคิ้วตัวเองบิดเป็นเกลียวหลายรอบก็ยังตอบไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ลองอธิบาย...


“ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับว่าอะไรมันคืออะไรกันแน่ แต่ถ้าจะบอกว่าผมกับคุณกรเป็นผู้ชายสองคนที่...บังเอิญมารักกัน... ก็คงจะใช่ ถึงจะเคยได้ยินว่านักวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายว่าอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เกิดจากสารเคมีหรือฮอร์โมนต่างๆในร่างกาย แต่ผมก็ยังเชื่อว่าความรักเป็นอะไรที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่านั้น บางคนพยายามเชื่อมโยงความรักกับหัวใจแต่ผมว่าก็ไม่น่าจะเหมือนกันเสียทั้งหมด เพราะเราคงไม่สามารถอธิบายถึงความรักได้เหมือนอย่างที่บอกว่าหัวใจคนเราดวงเท่ากำปั้น มีสี่ห้องและมีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย สรุปแล้วผมก็คงบอกไม่ได้ว่าระหว่างผมกับคุณกรคืออะไร แต่ผมรู้สึกดีเวลาที่ได้อยู่กับเขา ผมอยากเห็นเขายิ้ม อยากเห็นเขาหัวเราะอย่างมีความสุข เวลาที่เขาทุกข์หรือมีปัญหาก็อยากแบ่งเบา อยากช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ ผมคิดถึงเขาตลอดเวลาจนบางครั้งก็นึกไม่ออกว่าถ้าไม่มีเขาแล้ว ชีวิตของผมจะเป็นยังไง” 


ความในใจของผมทำให้คนฟังถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะให้ความเห็นบ้าง


“ฉันว่าเธอพูดเกินไปนะ เธอกับกรไม่ได้เกิดมาตัวติดกันหรือใช้ลมหายใจเดียวกัน คนเรายังไงก็ต้องอยู่คนเดียวทั้งนั้น ดูอย่างฉันสิ คุณกฤตตายไปก็ใช่ว่าฉันจะต้องตายตามไปด้วยสักหน่อย”


ผมยอมรับว่าคุณภัทพูดไม่ผิด แต่หากในห้องพักผู้ป่วยวันนั้น ท่านได้ยินคำพูดที่ออกจากปากลูกชายของท่านเองก็คงเข้าใจเรื่องระหว่างผมกับเขาได้ง่ายขึ้น


“คุณกรเคยบอกว่า... ถ้าต้องจากกัน ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงไม่รู้อีกแล้วว่าความสุขหน้าตาเป็นยังไง... ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันครับ”


ผมว่าคุณภัทคงรับรู้ได้บ้างไม่มากก็น้อยถึงได้นิ่งไป นานเป็นนาทีกว่าจะมีอาการทอดถอนใจแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ผิดไปจากทุกครั้งที่ผมถูกเรียกไปพบโดยสิ้นเชิง


“ฉันจะไม่บอกว่ายินดีกับเรื่องนี้ เพื่อเห็นแก่ความสุขของภากรฉันจะไม่ขัดขวาง แต่ฉันก็ยังหวังและเชื่อว่าวันหนึ่งลูกชายฉันจะได้เจอผู้หญิงดีๆและพร้อมจะสร้างครอบครัวอย่างคนทั่วไป เธอเข้าใจใช่มั้ย” ผมรับคำสั้นๆ รู้สึกถึงความหนักแน่นและมั่นใจในคำตอบของตัวเอง แต่พอได้ฟังถ้อยคำที่เหลือ... “ถ้าวันนั้นมาถึง คนเป็นแม่อย่างฉันจะได้หมดห่วง แต่พอลูกๆแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดคงเหงาน่าดู ถ้าเธอไม่รังเกียจที่จะอยู่เป็นเพื่อนคนแก่สักคน... ฉันจะขอบใจมาก”


ที่ผ่านมา ผมพยายามทำตัวเข้มแข็งเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้คุณภัทยอมรับ จนตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าสมตามความหวังนั้นแล้ว ความเข้มแข็งที่เพียรรักษาไว้จึงถูกละลายด้วยความเมตตา นับเป็นรางวัลที่มีค่าจนผมไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้จริงๆ


“ไม่ทันไรก็ทำตัวขี้แยซะแล้ว!”


ผมประนมมือก้มตัวลง ตั้งใจว่าจะซ่อนน้ำตาด้วยส่วนหนึ่ง แต่คราวนี้คุณภัทไหวตัวทันเลยเอื้อมมือมารับและยกกราบของผมไปวางลงบนตักแทน มือหนึ่งช่วยเช็ดน้ำตาส่วนอีกมือลูบหัวยิ่งทำให้ผมปล่อยโฮจนท่านอดขำไม่ได้ สุดท้ายท่านเลยดึงตัวเข้าไปใกล้ให้ผมได้กอดเอวท่านไว้ ส่วนท่านก็ช่วยลูบหัวลูบหลังพลางร้องโอ๋ราวกับปลอบลูกเล็กๆ ด้วยกระบวนท่านี้กว่าจะเป่าปี่จบเพลงก็เล่นเอาผมหัวเข่าชาจนเกือบลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว


นอกจากน้ารื่นฤดีและผม คุณภัทราพรยังถือโอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับคนเก่าคนแก่ที่เคยมีอคติกันมาตลอด พวกตาหมายตามีนั้นไม่เท่าไหร่เพราะคงไม่ได้เจอฤทธิ์เดชกันมากนัก ส่วนครอบครัวลุงพันกับคนงานรุ่นใหม่ๆนั้นก็รู้จักคุณภัทแต่เพียงชื่อเสียงเรียงนาม อดีตลูกสาวเจ้าสัวผู้ถือตัวจึงเลือกที่จะเข้าหาสองยายผู้เป็นใหญ่แห่งเรือนครัวในด่านแรก


“อุ๊ย! ทำอะไรอย่างนี้ ไม่เอาค่ะไม่เอา ขี้กลากได้ขึ้นกบาลพวกอิฉันกันพอดี”


ทั้งยายปุย ยายเป้าแทบจะโยนทุกอย่างทิ้งเมื่อจู่ๆคุณภัทก็นั่งลงเสมอกันแล้วพนมมือขึ้นจรดหน้าอก ยายปุยเอื้อมมือไปห้าม พอรู้ตัวจะชักกลับ คุณภัทรีบจับมือยายกุมไว้ ไม่มีอาการรังเกียจแม้แต่น้อย


“ฉันอยากจะขอโทษป้าทั้งสองคนที่เคยทำกริยาไม่ดี”


“พูดอะไรยังงั้น! คุณก็คิดมาก ยังไงพวกเรามันขี้ข้า อาศัยบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนพ่อกำนันกันมาตั้งแต่สมัยไหนๆ คุณเป็นถึงสะใภ้ก็ต้องถือเป็นเจ้านาย อย่ามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้เลย” ยายเป้ารีบกระเถิบลงนั่งต่ำกว่า พูดกับคุณภัทเสร็จก็หันมาทำตาดุที่เห็นผมเอาแต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ “พ่อกานต์ก็น่าตีจริง! พาคุณลงมาในครัวทำไม มีแต่กลิ่นพริก กลิ่นกะปิ ไม่มีอะไรน่าดูสักนิด แล้วนี่เดินมาตั้งไกล แข้งขาก็ยังไม่หายดี”


“ไม่เจ็บแล้วล่ะ กานต์เขามียาดี ทาไม่กี่ครั้งก็หายเจ็บ แต่ป้าสองคนนี่ยังดูแข็งแรงอยู่เลยนะ ฉันเห็นเดินเหินคล่องแคล่ว แถมทำกับข้าวทำขนมก็รสมือเด็ดขาด ขนาดเชฟห้องอาหารที่โรงแรมฉันยังว่าสู้ไม่ได้ สงสัยจะต้องส่งมาหัดกับครัวที่นี่ท่าจะดี”


ขนาดผมเป็นคนนอกมาฟังเฉยๆยังอดไม่ได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่ถูกชมซึ่งๆหน้าจะยิ้มหน้าบานขนาดไหน


“แหม! คุณมายอคนแก่ก็เขินแย่ กับข้าวฝีมือบ้านๆจะไปสู้อาหารเหลาได้ยังไงกัน แต่ถ้าคุณถูกปาก อยากทานอะไรก็สั่งมาเถอะค่ะ รับรองพวกอิฉันจะทำสุดฝีมือ”


“ขอบใจจ๊ะ” คุณภัทบอกแล้วก็ถอนหายใจจนรอยยิ้มจางลงไปหลายส่วน “นึกแล้วก็น่าเสียดาย เมื่อก่อนฉันมัวแต่จมอยู่กับอคติ ถ้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วมองอะไรๆจากใจที่แท้จริงก็คงเข้าใจว่าทำไมคุณกฤตถึงได้รักบ้านสวนมากเหลือเกิน แม้แต่กรก็คงไม่ต่างจากพ่อของเขา ตอนนี้ตัวฉันเองก็เริ่มหลงเสน่ห์ที่นี่เข้าเหมือนกัน หวังว่าป้าสองคนจะไม่ติดใจกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องถือว่าฉันเป็นเจ้านายหรือเจ้าของบ้านหรอก ให้คิดเสียว่าเรามาอยู่กันแบบครอบครัว อยู่เป็นเพื่อนกันไปนานๆดีกว่านะ”


ยายเป้าเคยเล่าว่าคุณภัทราพรมาบ้านสวนครั้งแรกเมื่อตอนแต่งงานซึ่งต้องมารับไหว้ญาติฝ่ายคุณกฤตตามธรรมเนียม จากนั้นก็อีกครั้งหรือสองครั้งที่ตามคุณกฤตมาเยี่ยมพ่อสามีด้วยอาการอย่างเสียไม่ได้ จึงเป็นที่ขัดใจของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ทางนี้ไม่น้อย ยิ่งมาเกิดเรื่องซ้ำตอนงานศพที่ทำเหมือนไม่เห็นหัวพวกญาติจากบ้านสวน สายสัมพันธ์อันง่อนแง่นเลยขาดสะบั้น คนที่นี่จะนับคุณภากรเป็นนายแต่เพียงผู้เดียว พอมาได้ยินคำพูดอย่างนี้ สองยายจึงออกอาการน้ำหูน้ำตาไหลให้คุณภัทได้ปลอบ


ส่วนผมเฝ้ามองภาพประทับใจได้ไม่นานก็แว่วเสียงรถจึงขอตัวออกมารอรับคุณภากรถึงที่ อยากพาเขาไปได้เห็นสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นบ้าง แต่พอไปถึงเจอแต่พี่คนขับรถกำลังเตรียมยกกระเป๋าเอกสารกับเอาเสื้อนอกขึ้นไปเก็บบนเรือน แล้วตัวเจ้าของเสื้อหายไปไหนล่ะนี่...


ที่จริงผมไม่น่าเสียเวลาเดินหา และจริงๆก็น่าจะรู้แต่แรกว่ากำลังเดินเข้าสู่กับดักของหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ที่รอคว้าเหยื่อของมันอยู่นานแล้ว


“ทำไงดี!?” เสียงงึมงำดังที่ข้างหู ผมเลยเอี้ยวตัวไปมองเจ้าของอ้อมแขนใหญ่งงๆ อย่าบอกนะว่าเขาเดินเข้ามาในดงต้นมะม่วงแล้วเลยหลงทางกลับออกไปไม่ได้ แต่คิดอีกที แววตาวาววับขนาดนี้คงไม่ใช่แน่ๆ... “คิดถึงจริง คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้วล่ะ”


จากเสียงงึมงำต่อด้วยอาการคลุกวงในจนผมขนลุกซู่ รู้เลยว่าช่วงนี้มีแต่เรื่องยุ่งจนทำให้เขาลืมดูแลตัวเอง กรรมเลยมาตกกับผมที่ต้องรู้สึกจั๊กจี๋เป็นบ้าเวลาที่โดนตอหนวดเป็นปื้นไซ้ไม่หยุด


“พอแล้วครับ! เดี๋ยวก็มีใครมาเห็น!” ผมอ้างคนอื่นแต่ความจริงคือสงสารตัวเอง เพราะมันทั้งเสียวทั้งจั๊กจี้จนทำตัวไม่ถูก โคตรทรมานเลยให้ตายสิ!


“ใครอยากดูก็ช่างสิ ไม่สนหรอก” ใช่ซี้! แกล้งคนอื่นได้ตัวเขาเองคงมีความสุขล่ะ แต่จู่ๆหมาป่าตัวโตก็เริ่มเต้นพลางเอื้อมมือไปทำอะไรสักอย่างกับหลังตัวเอง “เอ๊ะ! อะไรวะ เจ็บๆ โอ๊ย!”


ส่วนผมทีแรกงงๆ จนมาร้องอ๋อแล้วแอบสมน้ำหน้าในใจเพราะสิ่งที่เขาใช้เป็นเกราะบังจากสายตาคนอื่นคือมะม่วงต้นใหญ่ แล้วพอแหงนคอขึ้นไปก็ต้องกลืนน้ำลายด้วยความสยอง โอ้วแม่เจ้า!


“เฮ้ย! รังมดแดงครับ!”


ตอนเจอครั้งแรกๆผมเองยังขนลุกเกรียว ถ้าจับเอามาเทียบไซส์ มดแดงตามบ้านในกรุงเทพที่เคยเห็นๆกันนี่กลายเป็นมดแคระไปเลย ปกติมดจะทำรังด้วยการเชื่อมใบไม้เข้าหากันจนมองดูเป็นก้อนใบไม้กลมๆ แล้วรังใหญ่ขนาดเท่าลูกส้มโอนี่ไม่ต้องนึกเลยว่าจำนวนประชากรมดที่อาศัยอยู่จะมากมายขนาดไหน และแน่นอนว่าหน่วยลาดตระเวนก็ต้องเต็มอัตราศึกเหมือนอย่างที่กำลังเดินเป็นแถวไต่ขึ้นไต่ลงลำต้นกันให้ควั่ก พอกระบวนทัพถูกรบกวนก็เลยสู้ยิบตา มีตัวหนึ่งที่ผมหยิบออกจากข้างคอคุณภากรนั่นถึงขนาดกัดติดเนื้อ ผมดึงตัวมันจนขาด หัวกับปากก็ยังงับเนื้อเขาแน่นอยู่เลย


“อุ๊ย! อูยยยย แล้วเราเป็นอะไรมั้ย โดนมดกัดหรือเปล่า โอ๊ย!” ถึงจะสงสารแต่เห็นท่าทั้งเต้นทั้งร้องเสียงหลงก็อดฮาไม่ได้


“ผมว่าคุณรีบถอดเสื้อออกเลยดีกว่า เกิดมันไต่ลงกางเกงไปด้วยจะยุ่ง”


โชคดีที่มดส่วนใหญ่ยังเกาะอยู่แค่เสื้อ เหลืออีกไม่กี่ตัวที่บุกถึงแผ่นหลัง หนักหน่อยคือต้นคอใกล้ๆโคนผมที่โดนเข้าไปสี่ ผมช่วยดึงออกก็ได้ยินเสียงร้องจ๊ากตัวละที แล้วมดพวกนี้เวลากัดจะปล่อยสารบางอย่างออกมาทำให้ทั้งแสบทั้งคัน เผลอๆคืนนี้อาจถึงขั้นนอนซม แล้วยิ่งถ้า...


“คุณแพ้แมลงหรือเปล่า?!” ผมรีบถามเพราะเคยเห็นมากับตา ตอนไปเข้าค่ายลูกเสือกันมีเพื่อนคนหนึ่งโดนผึ้งต่อยแค่ตัวเดียวแต่นอนซมไม่ได้สติ พวกอาจารย์ต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลแล้วก็เลยได้รู้ว่ามันแพ้ผึ้ง ยังโชคดีที่ถึงมือหมอทันเวลา “แบบเคยโดนมดหรือตัวแมงอะไรกัดแล้วหายใจไม่ออก มีไข้ หรือไม่ก็เป็นผื่นขึ้นทั้งตัวอะไรยังงั้นน่ะครับ”


“ไม่รู้สิ ไม่มั้ง แต่ก็ไม่เคยโดนเยอะขนาดนี้ นี่ก็แสบไปทั้งตัวเลยเนี่ย”


“งั้นรีบขึ้นบ้านไปอาบน้ำแล้วทายาหรือไม่ก็หายาแก้แพ้กินกันไว้ก่อนดีกว่าครับ”


“หืม?” คนตัวโตหยุดเต้นแล้วโน้มหน้ามาจ้องตาถาม “ห่วงเหรอ?”


“ใครว่าผม.. อุ้ย!”


ผมร้องบ้างเพราะจู่ๆก็เจ็บจี๊ดที่แขน แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร คุณภากรก็รีบหยิบเจ้ามดโชคร้ายตัวนั้นไปบด บีบ ขยี้ เท่านั้นไม่พอยังบี้ซากอัดเข้ากับร่องที่ลำต้นมะม่วง อย่างกับจะให้เป็นอนุสรณ์เตือนใจเพื่อนๆมันงั้นแหละ


“หนอย! ไอ้มดเวร นี่แน่ะ ตายซะเถอะมึง!” ยิ่งได้ฟังเสียง...ฆาตกรโรคจิตชัดๆ!


“คุณ! ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วย!”


“ก็ไอ้มดบ้านี่อยากไม่ดูตาม้าตาเรือ ริอาจมากัดแฟนใครให้มันรู้ซะบ้าง” ผมไม่อยากบ้าไปกับเขาด้วยเลยกลับหลังหันเดินหนี อารามรีบเลยสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่าง ไม่ถึงกับล้มแต่ฟังคารมคนข้างหลังแล้วอยากจะเอาหัวโหม่งพื้นตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด 


“อ๊ะๆ! นั่นๆ ไอ้รากไม้ต้นเวรนี่ก็อีก ดันงอกขึ้นมาให้แฟนชาวบ้านเดินสะดุดแบบนี้ ถอนรากถอนโคนซะดีมั้ย”


“จะบ้าหรือไง! ตะโกนทำไมเนี่ย?! จะป่าวประกาศให้คนเข้ารู้กันทั่วเลยใช่มั้ย” ผมหันกลับมาแทบจะกัดฟันถาม


“ฉันไม่แคร์หรอกว่าคนอื่นจะรู้หรือเปล่า แต่อยากทำให้ใครบางคนแถวนี้รู้ตัวว่าฉันทั้งห่วงแล้วก็หวงมากเท่านั้นเอง” ดวงตาคมสะกดผมให้ยืนอึ้ง ส่วนหัวใจที่กำลังเต้นตึกตักก็ใช่จะหนีไปไหนพ้น แต่อย่าคิดว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์จะหยุด... “ทีนี้จะตอบได้หรือยัง... กานต์ห่วงคุณกรบ้างหรือเปล่าครับ?”


ระหว่างรอ คนตัวโตก้มมาหาแล้ววางท่อนแขนหนักๆลงบนไหล่ทั้งสองข้าง สงสัยกลัวผมจะชิ่งหนีเอาดื้อๆ แต่อยากบอกว่าที่ยืนเป็นบื้ออยู่นี่เพราะมันเขินจนนึกคำตอบไม่ออกต่างหากล่ะ 


“ผมก็จะรีบกลับขึ้นไปหายามาทาให้อยู่นี่ไงเล่า”


ท่อนแขนใหญ่ค่อยๆขยับเข้า บังคับให้ผมต้องมองตรงเข้าไปในดวงตาคมกล้า รู้สึกร้อนวูบวาบอย่างกับผู้ต้องหาโดนส่องไฟเวลาถูกสอบสวนเลย


“อื๊อออ ไม่เอา อย่าเฉไฉ ตอบให้ตรงคำถามหน่อยสิ” หมาป่าตัวโตเวลาออกเสียงหงุงหงิงยังกับลูกหมานี่ก็ฟังดูน่ารักดีแฮะ


“ไม่ได้แค่ห่วง...” คำตอบที่ดังก้องอยู่ในใจเสมอทำให้เผลอรู้สึกว่าตรงนี้มีแค่เราสองคน ผมเลยกล้าที่จะขยับเข้าไปหา สอดมือผ่านเอวสอบโอบรอบแผ่นหลังเปลือยเปล่าเพื่อรั้งตัวเองแนบสนิทแล้วกระซิบบอกกับแผงอกกว้าง “...แต่รักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าคุณกรเป็นอะไรไปผมก็คงอยู่ต่อไปไม่ได้เหมือนกันครับ”


ได้ยินคำที่ออกจากปากตัวเองก็เขินจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแต่ติดที่ยังถูกขังอยู่ในวงแขนกว้าง มือใหญ่เชยคางผมขึ้นรับรางวัลรสฉ่ำหวาน สัมผัสนุ่มละมุนแทรกซึมไปทั่วทั้งปากอย่างที่ขนมของยายเป้าก็สู้ไม่ได้ ขนาดว่าผมไม่ใช่คนติดหวานยังเริ่มรู้สึกว่าติดใจจนอยากเสพย์กินไม่สิ้นสุด ส่วนคนป้อนนั้นพูดไปก็ขำ ทั้งที่มีอาการสะดุ้งอยู่ทุกครั้งที่มือผมบังเอิญไปโดนรอยแดงเป็นจ้ำแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สงสัยเขาคงกำลังคิดว่าถึงโดนมดกัดทั้งรังก็ยังคุ้มอยู่ดี




จบตอนแล้วคร้าบ



ในส่วนของคุณภัทราพรก็ถือว่าเคลียร์จบ ผูกข้อมือรับขวัญสะใภ้เรียบโร้ย ฮิ้วววว

แต่เรื่องไม่จบง่ายๆแน่นอน ยังเหลืออีกหลายด่าน อีกหลายอุปสรรครออยู่ เป็นกำลังใจให้หนุ่มกานต์ของเรากันต่อไปนะคะ





 :bye2:





หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 31 (7-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 07-07-2016 19:21:05
คุณแม่สามียอมรับน้องแล้ววววว


แต่เอ๊ะ...จำไว่าเราเริ่มอ่านจากกลางเรื่องแล้วเม้นทุกตอน แล้วเม้นหายไปไหน
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 31 (7-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 07-07-2016 20:13:22
ในที่สุดความดีของกานต์ก็ชนะใจคุณแม่สามีได้
หวังว่าต่อไปคงไม่มีเรื่องยุ่งอะไรอีกมากมายนะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 31 (7-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-07-2016 20:25:15
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 31 (7-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-07-2016 20:38:56
กานต์ซะอย่าง ไหวอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 31 (7-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 09-07-2016 22:55:52
กานต์พยายามเข้านะคนเขียนด้วยนะเราเป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 31 (7-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 10-07-2016 08:20:42
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 32
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 12-07-2016 19:25:31






32.





ตรงนั้น...! ถึงจะมีต้นไม้ใหญ่บังแต่ก็ยังอยู่ตรงหน้านี่เองที่มีผู้ชาย... สองคนกำลังสวมกอดราวกับเกลียวเชือกถักไขว้จนเป็นเนื้อเดียวกัน ริมฝีปากของทั้งคู่แนบสนิท ไม่ใช่การแลกลิ้นตะกรุมตะกรามแต่เป็นท่วงท่าที่ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน ละมุนละไม คนตัวเล็กแจกยิ้มหวานชวนให้คนตัวโตยิ้มตาม ก้มลงแนบหน้าผากกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วพรมจูบทั่วใบหน้าจึงค่อยประกบริมฝีปากกันอีกครั้ง บทเพลงจุมพิตสะดุดลงเมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่มต่อต้าน กำปั้นเล็กทุบอกเปลือยอยู่หลายทีจึงได้อิสรภาพคืนมา


ส่วนตัวเรา... ตั้งแต่เกิดโตมาจนป่านนี้ แม้แต่จับมือกับผู้ชายยังไม่เคย ถึงจะได้ดูฉากเลิฟซีนในหนังหรือภาพหวือหวาตามอินเตอร์เน็ตมาบ้าง แต่นี่... ของจริง คนจริง มาแสดงกันสดๆจริงๆจะๆลูกตาอย่างนี้ โอยยย ไม่ไหว ขาสั่นหมดแล้ว!


อ๊ะ! เรื่องยังไม่จบ... พอคนตัวโตยอมปล่อยมือ อีกฝ่ายก็อ้อมไปดูแผ่นหลังเปลือยเปล่า น่าจะมีแผลหรืออะไรสักอย่างเพราะทำให้เจ้าของแผ่นหลังสะดุ้งทุกครั้งที่โดนแตะต้อง คนตัวเล็กแอบขำ พูดอะไรสักอย่างแล้วถือเสื้อรอให้ใส่ รอจนเขาติดกระดุมเสร็จก็สอดแขนกอดเอวซบหน้าหลับตาพริ้ม เจ้าของแผ่นหลังหัวเราะแล้วย่อตัวลงรับร่างเล็กแบกขึ้นหลังเดินจากไปแบบเดียวกับฉากกุ๊กกิ๊กของพระเอกนางเอกในซีรีย์เกาหลี ทิ้งให้คน (แอบ) ดูอย่างเรา... หมดแรง ไปไหนไม่ได้อยู่ตรงนี้คนเดียว!


โฮกกก หวานเวอร์ หวานจนน่าอิจฉา มิน่า แถวนี้ถึงมีมดเดินกันให้ควั่ก... เฮ้ย! ไม่ใช่สิ ไม่ได้ๆ จะมาเพ้อไปกับฉากรักนั้นไม่ได้เพราะหนึ่งในสองคนนั้นคือน้องชายของเธอนะกัญญา น้องชายแท้ๆที่เธอเห็นมาแต่อ้อนแต่ออก น้องชายที่เธอสัญญาต่อหน้าโลงศพแม่ว่าจะดูแลอย่างดีที่สุด แล้วนี่... มันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิต ทำไมอยู่ดีๆเขาถึงได้...


ฮืออออ แม่จ๋าช่วยด้วย หนูงงไปหมด ทำอะไรไม่ถูกแล้วค่ะแม่!!


“ทำอะไรของเธอ?” เฮ่อ! ทำไมพักนี้รอบตัวเราถึงได้มีแต่สิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่ไม่ชวนให้รู้สึกว่าโลกสดใส สวยงามนักนะ โดยเฉพาะคุณวรเมธคนนี้นี่ยิ่งแล้ว ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเขากำลังทำหน้านิ่ง น้ำเสียงเย็นชา เหมือนเอือมระอาทุกคนและทุกสิ่งอย่างรอบตัว ถ้าไม่ติดว่าจะเป็นการเสียมารยาท จะเชิญให้ไปทำหน้าเหม็นเบื่อไกลๆเลยไป ชิ้วๆ! “เอ้า ว่ายังไง จะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย ถ้าไม่นานจะรอ แต่ถ้าตั้งใจจะแช่จนรากงอกผมจะได้ขอตัว”


“ขอโทษค่ะ!” ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาทแต่พอดีต้องก้มลงปัดเศษหญ้าออกจากชายกระโปรงเลยต้องลงเสียงหนักนิดนึง กลัวคนฟังจะไม่ได้ยิน


“เธอยังไม่เคยมีแฟนสินะ เจอเข้าไปแค่นี้ถึงกับแข้งขาอ่อน ไปไม่เป็นเลยล่ะสิ” คุณเลขาใหญ่แกล้งทำเป็นเดา แล้วเขาจะรู้มั้ยนะว่าถึงความจริงจะเป็นสิ่งไม่ตาย แต่บางทีก็อาจทำให้คนตายได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบมามองแล้วทำเป็นยิ้มเหมือนรู้จักคนอื่นไปซะทุกเรื่อง!


“ฉันก็แค่...ตกใจ” ใครว่าไปไม่เป็น แค่ไม่มีแรงจะไปไหนตะหาก แต่เอ๊ะ... “คุณเห็น?!”


“ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็น”


ในหูพาลอื้ออึง ส่วนสมองประมวลผลได้ความหมายซึ่งย้ำชัดว่าเรื่องที่เราคิด... จริงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! กานต์กับคุณภากรไม่ใช่แค่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้ หรือพนักงานกับเจ้าของโรงแรมธรรมดาๆ ยิ่งภาพที่เห็นเมื่อกี้ก็ส่อถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลยจนเรียกได้ว่าถ้าเป็นหนุ่มสาวทั่วไป ข้าวสารก็คงกลายเป็นข้าวสุกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว


แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง?! ในฐานะพี่สาวเราแน่ใจว่ารู้จักน้องชายตัวเองดียิ่งกว่าใคร จริงอยู่ที่กานต์ดูบอบบางน่ารัก แต่ถึงยังไงก็แมนร้อยเปอร์เซ็นต์ น้องไม่เคยมีความลับ ไม่เคยโกหก มีเรื่องอะไรก็บอก มีปัญหาก็มาปรึกษาตลอด แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้?!


“ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ใครก็ตามที่เข้าไปแทรกกลาง ไม่ว่าจะด้วยเจตนาดีหรือร้ายก็ต้องเรียกมือที่สามซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ กานต์อาจจะเป็นน้องชายเธอแต่เธอก็ควรให้เกรียติและเคารพการตัดสินใจของเขานะ”


อีกครั้งที่เขาแค่มองตาแล้วก็รู้ไปถึงความคิด แต่จะให้เรายอมรับ ยินดี หรือแค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อ...


“แต่ถ้าท่านประธานของคุณจะมาหลอกกานต์ล่ะ ที่ผ่านมาเขามีข่าวกับผู้หญิงตั้งเยอะแยะ จะให้ฉันเชื่อว่าจู่ๆเขาจะมาชะ...ชอบ...” โอยยย แค่จะพูดออกมายังยาก มันกระดากปากยังไงก็ไม่รู้!


“ผมก็ไม่อยากเชื่อว่าเธอถึงขนาดไปสืบประวัติคุณภากร อย่าบอกนะว่ากับผมเธอก็...?”


“เจ้าของโรงแรมใหญ่ขยับตัวนิดเดียวก็เป็นข่าว ไม่เห็นต้องลำบากไปสืบอะไรให้ยุ่งยากเลย ส่วนเรื่องของคุณ ฉันไม่เห็นจะอยากรู้สักนิด”


เดี๋ยวนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรถามอากู๋เป็นรู้ไปหมด แค่คลิกเดียวก็ขึ้นมาเป็นพรืด สำหรับคุณภาการคนนี้ นอกจากข่าวในด้านหน้าที่การงาน เรื่องสาวๆก็มีมากจนลายตา หรือคิดอีกทีอาจจะเป็นแค่ข่าวปล่อยของฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมชื่อเสียงของโรงแรมหรือเปล่านะ ส่วนรายตาแว่นนี่ ไม่มีข่าวน่ะดีแล้ว เพราะจะพาลทำโรงแรมหม่นหมองไปซะเปล่าๆ


“แต่ผมว่ารู้ไว้บ้างก็ดีนะ ไหนๆอีกหน่อยเธอก็ต้องมาทำงานที่โรงแรมแล้ว”


“ขอโทษอีกครั้ง เผอิญว่าฉันยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งนั้นค่ะ”


เรารู้ตัวดีว่ากำลังเสียมารยาท อย่างน้อยเขาก็อายุมากกว่าแถมยังเป็นฝ่ายที่หยิบยื่นโอกาส... ทุนการศึกษาพร้อมค่าใช้จ่ายส่วนตัวทุกอย่างโดยไม่มีพันธะว่าจะต้องใช้คืนแต่ประการใด พ่วงด้วยข้อเสนอตำแหน่งสำหรับนักศึกษาฝึกงานซึ่งจะทำให้เรียนจบระดับปริญญาตรีได้อย่างผ่านฉลุย... ถามหน่อยเถอะว่าสำหรับคนอย่างเรา ถ้าไม่ใช่ความฝันแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก แต่ที่เรายังไม่ตกลง ไม่ใช่จะเล่นตัว แต่เพราะทำยังไงมันก็ไม่สนิทใจ ยังรู้สึกเคลือบแคลง สงสัย ยิ่งมาเจอภาพที่ทำให้ตาค้างอย่างเมื่อกี้จะให้คิดได้อีกเหรอว่าเรื่องทั้งหมดเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ


“เดี๋ยว!” รายนี้ก็ทำตัวได้น่าไว้ใจตายล่ะ ทั้งสายตาที่ทำให้ต้องระวังตัว ทั้งคำพูดที่ฟังแล้วต้องคิดตามอยู่ตลอดเวลา แล้วไหนจะการกระทำแปลกๆตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกัน จนมาถึงเรื่องสำคัญก็ยังจะมาเดินหนีกันดื้อๆอีก “ตกลงเรื่องของกานต์กับคุณภากรมันเป็นยังไงกันแน่คะ?!”


“ขอโทษเช่นกันครับ เผอิญว่าเรื่องนี้ผมคงไม่ใช่คนที่มีอำนาจในการตัดสินใจ” ย้อนแล้วยังจะมาจ้องหน้า กล้ามาก อยากถามจริง เคยยืนอยู่เฉยๆแล้วแว่นแตกมั้ย! “แต่ถ้าผมเป็นคุณ ถึงโวยวายออกไปก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ทุกคนย่อมต้องการเวลาตัดสินใจ บางครั้งการที่เราเงียบไว้แล้วรอดูละครฉากนี้ต่อไปน่าจะดีกว่านะครับคุณกัญญา”


คนบ้าชอบพูดจาให้ฟังไม่รู้เรื่องแล้วเดินหนี ลำบากให้เราต้องรีบวิ่งตาม ไม่อย่างนั้นคงได้พลัดหลงเหมือนอย่างทีแรกที่เราทำเป็นเก่งเลยเดินนำมาก่อนเพราะคิดว่าเดินไปตามทางเดี๋ยวก็ถึงตัวบ้านเอง แต่ดันไปโผล่กลางสวนมะม่วงโน่น คงต้องโทษความป้ำๆเป๋อๆของตัวเราที่มัวละลานตาไปกับโลกอีกใบที่แสนสงบร่มรื่นทั้งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพเลย และพอมาถึงจุดหมายก็ต้องตกตะลึงตาค้างราวกับหลุดเข้ามาในฉากละครพีเรียดที่มีเรือนไทยหลังใหญ่อลังการเป็นฉากสำคัญ เหนือสิ่งอื่นใดคือความดีใจที่ได้เจอคนที่อยากเจอเสียที กานต์เองก็คงเหมือนกันเพราะพอเห็นเราก็รีบทิ้งคนที่อยู่ด้วยกันวิ่งมาหา เราเลยต้องยิ้มสู้ แกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่เอะใจ ไม่สงสัยอะไรทั้งนั้น


“พี่กัญ! พี่กัญรู้ได้ไงว่ากานต์อยู่ที่นี่ แล้วนี่มายังไง มากับใคร พี่กัญสบายดีมั้ย ผอมลงป่าวเนี่ย สอบเสร็จแล้วเหรอ เกรดออกยัง ได้เอกี่ตัว โอ๊ย กานต์ดีใจจังครับ!”


เราหาช่องแทรกตอบไม่ทันเลยได้แต่ยิ้มแล้วกอดน้องให้หายคิดถึง อารมณ์กำลังดีๆอยู่เชียวก็ดันโดนคนนอกกวนซะได้...


“แต่ฉันว่าเขาคงไม่ดีใจที่ได้มาเจอนายแล้วมั้ง เล่นถามซะยาวเป็นขบวนรถไฟ อย่าว่าแต่ให้ตอบ แค่ฟังอย่างเดียวยังไม่ทันเลย”


“ก็ผมดีใจที่ได้เจอพี่กัญนี่ ไม่เกี่ยวกับคุณเมธซะหน่อย  เอ๊ะ! ตกลงคุณเมธเป็นคนพาพี่กัญมาเหรอครับ”


“ถ้าพี่สาวนายไม่ได้เหาะมาที่นี่ได้เองก็คงใช่ล่ะ”


ฟังเอาเถอะ! นี่น่ะเหรอที่กานต์เคยบอกว่าไม่เพี้ยน ถ้าลองเอาไปเทียบกับคุณภากรที่ยืนกอดอกพิงราวบันไดอยู่ตรงโน้น (แต่ต้องตัดข้อที่ว่าเขากับกานต์...!) คุณวรเมธอะไรเนี่ยทั้งกวนประสาท ทั้งขี้แกล้งตัวพ่อ!


“คุณเมธอย่ามาว่าพี่ผมเป็นแม่มดนะ!”


“แล้วทำไมไม่คิดว่าฉันจะชมว่าเขาเหมือนนางฟ้าบ้างล่ะ?!”


“ก็อย่างคุณเมธน่ะ...”


“พอสักทีนะกานต์!” เอ็ดน้องแต่ที่จริงแอบด่าคนข้างหลังนี่ตะหาก เป็นผู้ใหญ่ซะเปล่า หน้าที่การงานก็ใหญ่โต มายืนเถียงกับเด็กข้ามหัวเราอยู่ได้! “เราเป็นเด็กไม่ควรเถียงคนที่แก่กว่า จำที่แม่เคยสอนไม่ได้หรือไง”


ต้องทำอย่างนี้ความสงบสุขถึงได้กลับคืนมาสู่กบาล จากนั้นกานต์ก็พาไปหาคนที่รออยู่ เรายังไม่ทันคิดอะไรแต่มือของน้องบีบแขนเราแน่นขึ้น คงจะเกร็งที่เห็นพี่สาวกับ... เอ่อ... เจ้านาย (แล้วกัน) มาเผชิญหน้า เรายกมือไหว้คุณภากรในฐานะที่เด็กกว่า เขาก็รับไหว้ตามปกติแล้วเอ่ยปากถามสบายๆ ไม่มีท่าทางร้อนตัว


“ได้ข่าวว่าสอบเสร็จแล้ว ถ้าว่างก็มาหากานต์ได้ จะที่นี่หรือที่โรงแรมก็ยินดีต้อนรับนะ” เรารับคำสั้นๆ แต่จ้องตาไม่มีหลบ อีกฝ่ายคงรู้เลยเปิดทางให้  “มีอะไรอยากคุยกับฉันเป็นการส่วนตัวมั้ย”


เรายังไม่แน่ใจว่าจะวางตัวเองอยู่ในตำแหน่งไหน คำแนะนำของนายเลขาหน้าตายยังติดหู ดูๆไปการทำเหมือนไม่รู้อะไรเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อนอาจเป็นหนทางที่ดี แต่กลายเป็นคนข้างตัวเรานี่สิที่ออกอาการกว่าใคร พอเห็นเรานิ่ง น้องก็ยิ่งลน กระตุกแขนเรายิกๆเชียว


“ตอนนี้หนูยังไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไร เอาไว้ถ้าแน่ใจเมื่อไหร่หนูคงต้องขอรบกวนเวลาคุณนะคะ”


“ได้สิ ฉันพร้อมเสมอ งั้นเอาเป็นว่าตอนนี้ขึ้นไปไหว้แม่ฉันก่อน แล้วจากนั้นสองพี่น้องค่อยไปคุยกันให้หายคิดถึงดีมั้ย”


ตอนที่คุณภากรพูดถึงคุณแม่ของเขา เราอดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ ที่เคยได้ข่าวมา คุณภัทราพรถือเป็นไฮโซแถวหน้า ภาพตามข่าวท่านดูเป็นคนดุ เข้มงวด และน่าจะถือตัวไม่น้อย มีหรือที่คนลักษณะนี้จะยอมรับความรักที่ผิดประหลาดไป แล้วยิ่งคนเป็นแม่จะยอมให้ลูกชาย... เอ๋! ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาทเราอยากยกมือขยี้ตาให้แน่ใจว่าตาไม่ฝาด เพราะพอขึ้นมาถึงบนเรือน คุณภัทราพรก็กวักมือเรียกกานต์เข้าไปหา ท่าทางสนิทชิดเชื้อกันยิ่งกว่าลูกชายตัวจริงเสียอีก


“เห็นจะจริงนะ กานต์น่ะคงเหมือนแม่ แต่พี่สาวสงสัยจะออกไปทางพ่อมากกว่า” คุณภัทราพรมองหน้าเราสองพี่น้องแล้วเปรยยิ้มๆ แล้วค่อยหันมาเจาะจงพูดกับเราด้วยน้ำเสียงปรานีผิดคาด “หนูมาที่นี่ก็ดี น้องจะได้ไม่เหงา ถ้าไม่รีบไปไหนอยู่ค้างสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับ เพราะเดี๋ยวฉันกับกานต์ก็ต้องกลับไปเตรียมตัวไปงานที่โรงแรมเหมือนกัน”


“นะพี่กัญนะ ค้างเหอะคืนเดียวเอง พี่กัญนอนห้องน้ารื่นแล้วก็ยืมเสื้อผ้าน้ารื่นเปลี่ยนไปก่อน ได้ใช่มั้ยครับ”


เรายังไม่ทันได้ตอบ กานต์ก็รีบเข้ามาอ้อนให้ตกลง ท่าทางคงแผลงฤทธิ์ไว้มาก คนทั้งบ้านตั้งแต่นายยันบ่าวเลยเห็นดีเห็นงาม พากันเอาใจเขาทุกอย่าง จะเรียกว่าพรสวรรค์หรือความเจ้าเล่ห์แสนกลก็คงได้ เพราะแต่ตั้งแต่เล็กจนโต ยังไม่เคยเห็นมีใครรอดพ้นจากลูกอ้อนของเจ้าหมอนี่ได้เลยสักราย


สรุปเราเลยตกลงค้างที่เรือนไทยนี้หนึ่งคืน หลังอาหารเย็นมื้อใหญ่ที่รสชาติอร่อยจนบรรยายไม่ถูก คุณภัทราพรก็ขอตัวไปสวดมนต์ทำสมาธิในห้องพระกับคุณรื่นฤดี คุณภากรกับเลขามีเรื่องงานคุยกันต่อ แต่เห็นเรียกหาเบียร์มาจิบไปพลางๆคงจะเป็นเรื่องงานได้ไม่นาน เราสองคนพี่น้องจึงค่อยมีเวลาเป็นส่วนตัวเลยหลบมานั่งคุยกันที่ชานเรือนอีกฝั่ง


“วันก่อนพ่อโทรหาพี่ด้วยนะ ตอนนี้พ่อไปทำงานกับเพื่อนที่เมืองจันทร์ ทั้งช่วยงานในไร่แล้วก็ขับรถส่งผลไม้ ถ้าวันไหนได้เข้ามากรุงเทพก็คงจะแวะเข้ามาหาพวกเราได้บ้าง” ก่อนอื่นก็ต้องบอกข่าวที่แน่ใจว่าจะทำให้กานต์ยิ้มได้ แล้วก็จริง น้องยิ้มกว้างทำเอาเรายิ้มตามไปด้วย “พ่อบอกว่ากำลังเก็บเงิน ถึงจะไม่มากแต่ก็จะรีบหามาใช้หนี้จะได้พากานต์กลับไป อีกหน่อยเราสามคนพ่อลูกจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกไง”


แต่เอ๊ะ! ทำไมจู่ๆรอยยิ้มของกานต์ถึงได้ดู... เจื่อนไป


“พี่กัญ...” น้องทำเป็นก้มหน้า แต่คือการหลบตาเราชัดๆ “ฝากบอกพ่อได้มั้ยว่าไม่ต้องลำบากเรื่องกานต์หรอก กานต์อยู่ที่นี่สบายดีพี่กัญก็เห็น”


“แล้วกานต์ไม่อยากอยู่กับพี่กับพ่อเหรอ” เป็นคำถามที่หลุดออกไปทั้งที่ตัวเรายังไม่พร้อมจะยอมรับคำตอบ กานต์เองก็คงนึกกลัว ไม่อยากทำให้เราผิดหวังในตัวเขา คิดแล้วก็เจ็บใจที่ต้องยอมรับว่านายแว่นพูดถูก นี่เป็นเรื่องที่กานต์ต้องตัดสินใจเอง ถ้าเขายังไม่พร้อมจะบอก เราก็เป็นได้แค่คนดูที่คอยเอาใจช่วยอยู่ห่างๆเท่านั้น


“พี่กัญ กานต์...” เห็นอย่างนี้ยิ่งน่าสงสาร น้องคงสับสนเต็มที ส่วนตัวเราก็ต้องขอเวลาทำใจไปอีกสักพัก


“บ้าจริง! พี่ก็ถามอะไรไม่คิดเนอะ ถึงยังไงพ่อก็คงหาเงินตั้งห้าแสนไม่ได้เร็วขนาดนั้นหรอก เผลอๆให้พี่เรียนจบ มีงานทำแล้วเอาเงินเดือนมาจ่ายคุณภากรจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ เฮ้อ! เป็นหนี้เขานี่ไม่ดีเลย ไม่เอาๆ เปลี่ยนเรื่องคุย คุยเรื่องอะไรกันดีล่ะ อืมมม”


“กานต์รักพี่กัญนะ”


บอกเสร็จก็โผเข้ามากอด ไม้ตายของเขาล่ะ แล้วเราจะทำอะไรได้นอกจากกอดน้องเอาไว้ด้วยความรู้สึกเดียวกัน นานแล้วสินะที่สองคนพี่น้องจะได้มานั่งคุยเล่นโดยไม่ต้องห่วงหรือกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับครอบครัวของเราอีก พอตกกลางคืนที่นี่ก็ยิ่งบรรยากาศดี สายลมเย็นสบายหอมกลิ่นดอกไม้ รีดหริ่งส่งเสียงร้องคลอกับกระดิ่งลมตามชายคารอบเรือน อย่างเดียวที่หนวกหูคือเสียงโหวกเหวกจากอีกฟาก มองไปเห็นผู้ชายตัวโตๆสองคนกำลังออกท่าเล่นเกมส์กันอย่างเมามันส์ ส่วนหนุ่มน้อยทางนี้ก็สบายสุดๆเพราะเอนตัวลงมานอนตักแล้วยังเอามือเราไปลูบหัวตัวเองอีก


“จริงด้วยครับ กานต์ก็ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว ทำไมอยู่ดีๆพี่ถึงมาที่นี่กับคุณเมธได้อ่ะ” แต่จู่ๆมาถามแบบนี้มันน่าผลักหัวลงไปโขกกับกระดานเรือน


“ก็...” ถ้าเอาแบบง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนที่สุดก็ต้อง “...พี่เข้าไปหากานต์ที่โรงแรม คุณคนนี้บอกว่าจะมาหากานต์ที่นี่แล้วก็เลยชวนให้มาด้วยกัน”


“แปลกแฮะ ปกติพี่กัญไม่ยอมไปไหนๆกับคนไม่รู้จักหรอก แล้วนี่ไปสนิทกันยังไงทำไมกานต์ไม่เห็นรู้เลย” น้องทำหน้ายุ่งจนเราใจแป้ว แต่ลงท้ายก็คิดเดาเรื่องไปเอง เราเลยรอดตัวไป “อ๋อ! สงสัยตอนที่กานต์เจ็บตัวแหงเลย คุณกรยังบอกว่าพี่กัญตามไปหากานต์ที่คลินิกด้วยนี่”


“เอ่อ...อืม ก็นั่นแหละ”


ถ้าจะให้เล่ากันจริงๆก็ไม่ใช่ที่นั่นหรอก เพราะตอนนั้นเรากำลังตกใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นใคร กว่าจะจำได้ว่าเป็นเขาก็ตอนที่นั่งรถมาจนถึงคอนโดของอาสารภีแล้ว แต่ถ้าเป็นครั้งแรกจริงๆก็นานกว่านั้น ตอนที่กำลังออกจากห้างจะเดินไปขึ้นรถเมล์ เราเห็นกานต์มองไปทางรถคันหนึ่งที่จอดติดไฟแดงอยู่ พอถูกทักน้องก็หันกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไร เราสงสัยเลยหันไปมองบ้าง เป็นจังหวะที่ผู้ชายคนนั้นหันมาพอดี มันเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้คิดว่าเขาเองก็กำลังมองตอบ เรายิ้ม เขาก็ยิ้ม เกิดเป็นการทักทายและทำความรู้จักกันชั่วแวบหนึ่งก่อนที่สัญญาณจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียว เขาจึงก้มหัวให้แทนคำลาแล้วขับรถจากไป ไม่รู้ว่าเขาจะยังจำเรื่องนี้ได้หรือเปล่านะ


“แล้วคุณกรก็บอกว่าจะให้ทุนพี่กัญเรียนต่อด้วย เรื่องไปถึงไหนแล้วล่ะครับ”


สำหรับเรื่องนี้ยอมรับว่าเป็นโอกาสดีอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันก็มีเรื่องให้น่าโมโหตั้งแต่เริ่ม คืนนั้นพอถึงที่คอนโด เรายกมือไหว้ขอบคุณ แต่คุณวรเมธนั่นก็ทำท่าเหมือนต้องทำตามคำสั่งเจ้านายอย่างเสียไม่ได้ ตอนเราจะลงจากรถ เขายื่นนามบัตรมาให้ไม่พูดไม่จา พอเราบอกว่าไม่ขอรับ...


‘อะไรทำให้เธอแน่ใจว่าเราจะไม่มีธุระให้ต้องติดต่อกันอีกล่ะ’


เมื่อประตูเปิดไฟในรถก็สว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ เลยได้เห็นว่าคนถามยังพลิกดูนามบัตรตัวเองเล่น แววตาสุขุมเยือกเย็นทำเอาเรารู้สึกหนาวสันหลังพิกล


‘หวังว่าธุระที่คุณพูดถึงจะไม่เกี่ยวอะไรกับกานต์?!’


‘หรืออาจจะเป็นตัวเธอเอง...’


เป็นคำตอบที่ฟังแล้วไม่เห็นรู้เรื่อง สายตาที่พุ่งตรงมานั่นยิ่งทำให้ไม่อยากรู้ แต่คิดแล้วก็อดกลัวไม่ได้ ถึงจะมีโรงแรมใหญ่โตเป็นฉากบังหน้าก็ใช่ว่าจะธุรกิจของคนพวกนี้จะขาวสะอาด


‘แล้วทำไมต้องเกี่ยวกับฉันด้วย อย่าบอกนะว่าพวกคุณจะให้ฉันไปใช้หนี้แทนพ่ออีกคน!’


‘หมายถึงเรื่องทุนการศึกษาที่เจ้านายผมพูดถึงต่างหาก ใช้จินตนาการในทางที่สมเหตุสมผลหน่อยก็จะดีนะครับคุณกัญญา’ เขาไม่ถึงกับหัวเราะแต่น้ำเสียงมีรอยขันเต็มที่ ‘ผมยังไม่แน่ใจว่าจะมีเวลาทำเรื่องให้เมื่อไหร่ คุณโทรเข้ามาเช็คเอาเองก็แล้วกัน ถ้าไม่เจอผมก็ถามคุณพัชรี เลขาผมได้’


เรากำลังอึ้ง โกรธ และโคตรจะอายจนไม่ทันระวังตัว เขาเลยฉวยเอามือเราไปแล้ววางนามบัตรใบนั้นใส่มือให้อย่างใจเย็น พอเราจะชักมือกลับ...


‘ผมไม่เคยให้นามบัตรใครเป็นครั้งที่สอง อย่าทำหายล่ะ’ เขาบอกแล้วยกมุมปากนิดๆ เรากระตุกมืออีกครั้งเขาจึงค่อยปล่อยมือพร้อมเอ่ยลา ‘ฝันดีนะครับ’


ช่างเป็นคำอวยพรที่ให้ผลตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงเพราะกว่าเราจะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบเช้า แล้วนับจากนั้นชีวิตที่เคยสงบสุขก็มีอันต้องปั่นป่วน ยังไม่ทันที่เราจะรวบรวมความกล้าเพื่อกดเลขหมายที่ปรากฏอยู่บนนามบัตรใบนั้น คนที่อ้างว่างานยุ่งกลับเป็นฝ่ายโทรมา หรือไม่ก็ให้คุณพัชรีเป็นคนติดต่อ ถึงจะอ้างว่าต้องการข้อมูลเพื่อร่างสัญญา แต่บางครั้งก็จุกจิกหยุมหยิมจนเราอดเกรงใจเธอไม่ได้


“กานต์” ยังดีที่เราแค่สะดุ้งนิดเดียว คงไม่เป็นที่สังเกต ส่วนคนถูกเรียกรีบลุกขึ้นรอรับคำสั่ง “ไปดูอาการเจ้านายเราหน่อย บ่นว่าจู่ๆก็ร้อนๆหนาวๆเหมือนจะเป็นไข้แน่ะ”


คุณวรเมธบอกแล้วใช้สายตาพาพวกเราหันไปที่อีกฟากของเรือน คนที่ดูคึกคักอยู่เมื่อกี้กลับนอนหงายหลังพิงหมอนขวานใบโต ท่าทางหมดแรง... เกินไปยังไงก็ไม่รู้?


“เหรอครับ! สงสัยเพราะโดนมดรุมกัดเมื่อเย็นแน่เลย งั้นพี่กัญอยู่คุยกับคุณเมธนะ กานต์จะรีบไปดูคุณกรก่อน แป๊บเดียวครับ”


เห็นชัดว่ากานต์ไม่คิดอย่างเราแน่ เพราะพูดไม่ทันจบประโยคก็รีบวิ่งตัดเรือนไปหาคน (แกล้ง) ป่วย แล้วก็พากันประคองเข้าห้องไป ส่วนเราก็ต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดว่าหลังประตูบานนั้นกำลังเกิดอะไรขึ้น แต่คนที่เหลืออยู่ด้วยกันก็ยังจะช่วยบิวท์อีกแน่ะ!


“เดาได้ใช่มั้ยว่าท่านประธานของผมคงไม่ปล่อยน้องชายเธอออกมาง่ายๆ”


“งั้นฉันไปนอนเลยดีกว่า เกรงใจคุณน้ารื่นด้วย ขอตัวนะคะ”


“เดี๋ยวสิ” เราไม่ได้หยุดเพราะเสียงเรียก แต่เป็นซองเอกสารที่เขายื่นมาให้ ถ้าจำไม่ผิดเห็นเขาถือติดมือมาตั้งแต่ที่โรงแรมแล้ว “คุณกรเพิ่งลงชื่อให้เมื่อกี้ ที่เหลือก็รอแต่การตัดสินใจของฝ่ายผู้รับทุนเท่านั้น”


พอเรารับของมา คนให้ก็ทำเหมือนหมดหน้าที่ หันหลังเดินหนีไปทันที


“เดี๋ยวค่ะ!” แล้วที่เราวิ่งตามเขามา...? “ฉัน... เอ่อ... ขอบคุณนะคะ”


คนตัวสูงหันกลับมา ยกมือขยับแว่นซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม อาจจะเป็นแค่ความเคยชินหรือแก้เขินหรือเปล่า เพราะรู้สึกว่าแก้มเขาจะขึ้นสีนิดหน่อย แต่สายตาเนี่ยต้องเรียกว่าวาววับเชียวล่ะ


“ผมจะถือว่านั่นคือคำตอบตกลง ส่วนเรื่องขอบคุณควรจะไปขอบคุณคุณกรมากกว่า เพราะผมมีหน้าที่แค่ดำเนินการตามคำสั่งเท่านั้น แต่ถึงยังไงก็ขอแนะนำให้อ่านเนื้อหาอย่างละเอียด เพราะเมื่อไหร่ที่คุณเซ็นชื่อจะถือเป็นการผูกมัดตัวเองกับข้อสัญญาทั้งหมดทันที ถ้าคุณตกลงใจเรียบร้อยก็เซ็นชื่อแล้วเอากลับมายื่นที่โรงแรม ผมจะรอ...”


เขาชะโงกมาหาเลยยิ่งเห็นรอยแดงบนโหนกแก้ม พร้อมกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆจากลมหายใจที่ทำเอาเรามึนตามไปด้วย


“รอ... ฉัน?!”


แม้จะดูเข้าข้างตัวเองไปบ้างแต่มันช่วยไม่ได้ที่จะคิดอย่างนั้น ก็ในดวงตาของเขามีใบหน้าของเราชัดจนเหมือนส่องกระจกเลยนี่น่ะ แต่คนชอบพูดให้คิดก็ทำให้เราได้ยินเสียงเพล้งเต็มสองรูหู...


“สัญญาต่างหากครับคุณกัญญา”


สาบานให้ฟ้าผ่าอีตาบ้านี่ให้ตายๆไปซะเลย! นายวรเมธที่กานต์รู้จักจะต้องมีฝาแฝดแน่ๆ คนหนึ่งสุขุม เยือกเย็น เป็นเจ้านายสุดโหด ส่วนอีกคนคือจอมกวนประสาทที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น หรือไม่อย่างนั้นอีตาเลขาบ้านี่ก็ต้องมีอาการทางจิต เป็นมนุษย์สองบุคลิกที่แสร้งทำตัวปกติต่อหน้าคนอื่น แต่กับเรา... ถ้าอย่างเขาไม่เรียกว่าเพี้ยน โลกนี้ก็คงหาคนปกติไม่ได้แล้ว!!






จบตอนแล้วคร้าบ





เปลี่ยนมาจื๊ดๆที่พี่สาวกับคุณเลขากันบ้าง อาจจะน้อยไปนิดเพราะแวบมาแค่ตอนเดียว ส่วนบทสรุปของคู่นี้จะไปอยู่ที่ตอนพิเศษซึ่งรับรองว่ามีพลิกล็อค ทั้งฮา หวานจนเดาทางไม่ถูกเลยล่ะค่ะ



ตอนหน้าไปเที่ยวงานคริสต์มาสกัน เย้!




 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 32 (12-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-07-2016 23:55:45
คนน้องได้เจ้านาย
คนพี่ได้คุณเลขา

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 32 (12-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-07-2016 03:31:17
ทำไมขี้แกล้งอย่างนี้!!!!!! คุณวรเมธ เล่นเอากัญญาใจพลิกคว่ำพลิกหงายหลายตลบเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 32 (12-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Dolamon ที่ 13-07-2016 05:00:03
น่ารักจังเลยพี่น้องคู่นี้
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 32 (12-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-07-2016 06:30:37
กานต์ ได้ไฟเขียวจากคุณภัทราพรแล้ว :mew1:
ลูกไม้ ไม่สบายของคุณกร เขารู้กันละ
กานต์ที่ว่าไปแป๊บเดียว คงไม่ได้ออกมาจากห้องแน่ๆ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คุณเมธ กัญญา จะรอการจีบของของคุณเมธอยู่นะ :mew1:
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 32 (12-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 13-07-2016 07:14:51
มุกแกล้งป่วยเดิมๆแต่ก็ได้ผลประจำ 555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 32 (12-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 13-07-2016 08:16:52
พี่กัญญาโดนจีบ 555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 16-07-2016 19:23:34







33.






แสงไฟโดยรอบถูกหรี่ลง เสียงประสานเพื่อนับถอยหลังก็ดังกระหึ่ม สปอตไลท์ดวงใหญ่วิ่งวนไปทั่วสร้างความตื่นเต้นเร้าใจ จนเมื่อถึงวินาทีสำคัญจึงหยุดสนิทยังจุดที่หนุ่มน้อยในชุดทักสิโดขาวยืนเด่น ดวงหน้าอ่อนใสมีรอยยิ้มเกร็งๆเพราะอาการประหม่าจากการเป็นจุดสนใจ ดวงตากลมโตหรี่ลงเพื่อเลี่ยงแสงไฟแต่ก็ยังพยายามทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ เมื่อเขากดนิ้วลงยังตำแหน่งที่กำหนดไว้ แสงจ้าก็ดับวูบในจังหวะเดียวกับที่ดวงไฟหลากสีซึ่งจัดประดับตกแต่งรอบต้นคริสต์มาสสูงใหญ่ และทั่วบริเวณโรงแรมพลันสว่างขึ้นราวกับดวงดาวอันสุกสกาวสดใส เป็นนิมิตหมายถึงการเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญ และในอีกวาระหนึ่งซึ่งรู้กันเป็นการภายในคือการอวยพรวันคล้ายวันเกิดให้กับเจ้าของโรงแรมหนุ่มรูปงาม... อ้อ! ก็ผมนั่นเอง!


นับตั้งแต่ได้รับตกทอดอาณาจักรที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือของพ่อ นี่ถือเป็นวันเกิดปีแรกที่ผมมีความสุขจนไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร มองไปรอบตัวเห็นแต่รอยยิ้มของผู้คน ความตื่นตาตื่นใจกับการประดับตกแต่งที่ต้องบอกว่างดงามอลังการยิ่งกว่าที่เคยจัดมา บรรยากาศอบอวลไปด้วยความยินดีเพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข และสำหรับเจ้าของวันเกิดคือตัวผมเอง ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาในตอนนี้มีค่ายิ่งกว่าคำอวยพรหรือของขวัญชิ้นไหนๆ... คุณภัทราพรออกงานในชุดราตรียาว งามสง่าเหมือนเช่นทุกครั้ง และแม้อาการบาดเจ็บจะหายจนเป็นปกติแต่ท่านก็ยังเรียกหาให้หนุ่มน้อยในชุดทักซิโดขาวมาอยู่เคียงข้าง มองเผินๆเหมือนเขามีหน้าที่คอยยื่นมือให้เกาะ  แต่ถ้าดูดีๆ แม่ผมต่างหากที่จับมือนั้นไว้แล้วพาจูงไปอวดใครต่อใครทั่วงาน


ในค่ำคืนนี้ ไม่ว่าแขกเหรื่อที่ทยอยกันเข้ามาทักทาย หรือกระทั่งช่างภาพ นักข่าวที่ทางโรงแรมเชิญมาร่วมงานจะได้มีโอกาสทำความรู้จักกับหลานชายซึ่งคุณภัทราพรรับมาอุปการะด้วยความรักใคร่เอ็นดูเสมือนหนึ่งลูกชายคนเล็กของตระกูล ไม่มีคำตอบสำหรับปูมหลังชีวิตแต่เป็นอันรับรู้ว่านับจากนี้เขาคือส่วนหนึ่งของครอบครัว ส่วนอนาคตนั้นถูกวางตัวไว้ให้เดินทางไปศึกษาต่อเพื่อนำความรู้กลับมาช่วยดูแลกิจการในวันข้างหน้า ด้วยข้อมูลที่ยืนยันจากตัวท่านเองแบบนี้จึงเท่ากับเป็นการปิดปากหุ้นส่วน บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโรงแรม และพวกช่างนินทาในแวดวงสังคมได้เป็นอย่างดี บวกกับภาพความสัมพันธ์ใกล้ชิด และความน่ารักขี้อ้อนของเจ้าตัวด้วยแล้ว  รับรองว่าจบจากงานนี้กานต์ของผมต้องดังเป็นพลุแตก แต่เหมือนอย่างที่มีคำกล่าว ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ ไม่มีใครได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องเสียอะไรสักอย่าง และคงมีแต่ผมที่รู้แก่ใจว่าความสุขนี้ต้องแลกมาด้วยสิ่งใด...


สายวันนี้ หลังจากพากันกลับมาถึงบ้านใหญ่ แม่ให้หัวหน้าแม่บ้านพาลูกชายคนใหม่ขึ้นไปทำความคุ้นเคยกับห้องส่วนตัวซึ่งยังนับว่าเป็นความปรานีที่แม้จะให้จัดห้องแยกต่างหาก แต่ก็เป็นห้องแฝดที่มีประตูเปิดเชื่อมกับห้องนอนของผม พอกานต์ลับสายตาไปท่านก็ลากผมมานั่งคุยกันเป็นการส่วนตัว


‘แม่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่คัดค้านเรื่องกานต์ แต่กรก็ควรเข้าใจแม่บ้าง’


คราวนี้ไม่มีอารมณ์โกรธเกรี้ยวดุดัน ไม่ใช่ทั้งคำสั่งหรือการตามใจ แต่เป็นการพูดคุยด้วยเหตุผล รับฟังซึ่งกันและกันแล้วช่วยกันหาทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึก... เป็นรองยังไงก็ไม่รู้!


‘แม่ยอมรับนะว่ากรตาถึง กานต์น่ารักกว่าที่แม่คิดและแม่ก็ชอบแกมาก’ แม่มองรอบตัวด้วยแววตาเหงาๆเท่ากับปิดปากผมได้สนิท ‘บ้านเราถึงจะใหญ่โตแต่ก็ขาดชีวิตชีวามานานเหลือเกิน ทั้งกรทั้งภาอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ มีกานต์มาอยู่ด้วยอย่างนี้แม่จะได้ไม่เหงา เวลาไปไหนๆก็จะได้มีเพื่อน แต่เรื่องงานที่โรงแรมกรไม่ต้องห่วง พอเช้าให้รถที่บ้านไปส่งแล้วรอรับกลับตอนเย็น กานต์เองก็คงไม่มีปัญหาอะไร เป็นอันตกลงตามนี้นะ’


ผมรู้ว่าไม่ใช่จังหวะที่ควรพูดอะไร และเท่าที่ฟังถึงตรงนี้ยังไม่นับว่ามีอะไรเสียหาย แค่ปล่อยให้กานต์ห่างไปสักหน่อยแลกกับความสุขของแม่นั้นนับว่าคุ้ม ส่วนตัวผมเองก็แค่ต้องกลับมานอนบ้านมากขึ้น ยังไหวๆ พอรับได้อยู่


 ‘แล้วแม่ก็คิดไว้นะว่าอยากจะให้กานต์เรียนต่อ ยังเด็กยังเล็กถ้าหยุดเรียนไปเลยเสียดายแย่ ถึงไม่กลับเข้าโรงเรียนก็จะหาครูมาสอนที่บ้าน อย่างน้อยฝึกภาษาให้คล่องๆแล้วค่อยส่งไปเรียนต่อ อย่างพวกการโรงแรมเหมือนที่ตาเมธเรียนมานั่นก็ดี อีกหน่อยกรจะได้มีคนช่วยงานเพิ่มไงล่ะ’


เอ๊ะ! อันนี้ชักไม่ดีแฮะ ระยะห่างเริ่มจะไกลไปหน่อยมั้ย แล้วคิดดูว่าอย่างกานต์ไปอยู่กลางดงฝรั่ง เดี๋ยวก็ได้มีไอ้หัวทอง หัวแดง หรือจะหัวดำมาเดินตามเป็นฝูงหรอก!


‘แต่กานต์ยังเด็กมากนะครับ’


‘ถึงอายุจะเท่านี้แต่แม่ว่ากานต์มีความคิดอ่านโตเกินวัย เป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กรุ่นเดียวกันตั้งเยอะ เมธเองก็เคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปสวิสเด็กกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าเลือกที่นั่นจริงๆก็ยิ่งดีเพราะครอบครัวเมธทางโน้นจะคอยช่วยดูแลกานต์ได้อีกแรง แล้วแม่ก็ลองคิดเล่นๆว่าจะหาบ้านพักไว้สักหลัง ถ้าเบื่อๆเมืองไทยย้ายไปอยู่เป็นเพื่อนกานต์ที่โน่นก็น่าสนุกดีนะ’


เฮ้ย! นี่มันไม่ใช่แค่ความคิดลอยๆ แต่เป็นแผนการที่เป็นรูปธรรมเกินไปแล้ว อย่างกับว่าถ้าผมตอบตกลง แม่จะเก็บกระเป๋าจูงกานต์ขึ้นเครื่องไปพรุ่งนี้เลยอย่างนั้น แต่ชักสังหรณ์... ถึงบอกว่าไม่ จะมีใครฟังผมมั้ยเนี่ย?!


‘นี่แสดงว่าแม่คุยกับเมธ กับทางโน้น จัดการทุกอย่างโดยไม่คิดจะปรึกษาผมสักคำ!?’


ผมกัดฟันถาม พยายามจะข่มอารมณ์ไว้ก่อนเพราะอย่างน้อยตอนนี้กานต์ก็ยังอยู่กับผม ที่ผ่านมาเขาไม่ใช่คนรักประเภทที่ต้องผูกตัวติดกันตลอดเวลาอยู่แล้ว บางครั้งเป็นผมที่เอาแต่ใจ อ้อนเขามากเกินไปด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะไม่มีวันปล่อยเขาไปง่ายๆ


‘เอาล่ะ ถ้ากรอยากให้แม่ปรึกษางั้นก็ได้’


ทุกคนต่างบอกว่าแม่ผมเป็นคนตาดุ จ้องใครรายไหนรายนั้นเป็นกลัวหงอ ตัวผมเองสมัยเด็ก ต่อให้ร้ายจนใครๆเอาไม่อยู่ ถ้าโดนจับมานั่งคุยกันเมื่อไหร่ก็จะไม่กล้าโกหกหรือดื้อกับแม่ได้เลย


‘แม่เชื่อแล้วว่ากรรักเด็กคนนี้จริงๆ แต่ลองคิดดู ขนาดผู้ชายผู้หญิงรักกันยังมีวันเบื่อ ยังเลิกรากันออกถมไป วันนี้ลูกสองคนรักกันแต่วันข้างหน้าจะเป็นยังไงไม่มีใครบอกได้ กรเองผ่านอะไรมามากคงเข้าใจใช่มั้ยว่าใจคนเราก็มีทั้งที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว แต่บางครั้งก็อ่อนแอ อ่อนไหว เปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ ฉะนั้นกรควรเผื่อใจสำหรับวันข้างหน้า ถ้ากานต์ได้รู้จักโลก ได้พบเจอผู้คนมากขึ้น เขาอาจเปลี่ยนไปจนไม่ใช่คนเดิมที่กรเคยรู้จัก และกรก็ไม่มีสิทธิ์เก็บซ่อนเขาจากความเป็นจริงเหล่านั้น ลูกต้องปล่อยให้เขาได้เติบโตและเลือกในสิ่งที่ต้องการด้วยตัวของเขาเองนะ’


เหมือนสายตาของแม่กำลังจ้องทะลุเข้ามาที่ในอก แม่มองผมขาดตลอดจนไม่เหลือข้อไหนให้โต้แย้ง


‘แต่...’ แค่คิดมันก็เจ็บ แสบเหมือนหัวใจถูกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ ‘ผมไม่คิดว่าจะทนได้... ถ้า... ต้องเสียกานต์ไป...’


แม่รีบขยับเข้ามากอด อ้อมแขนของแม่อบอุ่น มือของแม่ที่ลูบหัวทำให้ใจค่อยๆสงบลง ไม่ใช่เพราะผมรู้ว่าจะมีแม่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ แต่เพราะเชื่อว่าแม่ก็เป็นคนที่มีหัวใจ หัวใจของแม่ไม่ใช่ก้อนหิน แต่เป็นเลือดเนื้อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แม่รักพ่อมากก็ต้องเข้าใจว่าการต้องพรากจากคนที่เรารักมันเจ็บปวดแค่ไหน


‘ไม่ใช่แค่กรหรอก ตัวแม่ก็พูดได้เต็มปากว่าไม่อยากเสียเด็กคนนี้ไปเหมือนกัน แม่จะบอกทุกคนว่ากานต์เป็นหลานที่รับมาอุปการะ และไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นน้องจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ต่อให้กรอยากไล่ไปแม่ก็จะไม่ยอมเด็ดขาด!’


แม่เสียงแข็ง ท่าทางขึงขัง แต่กลับทำให้ผมโล่งอก ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง ยิ่งได้ยินคำว่า ‘น้อง’ ผมก็ยิ่งกอดท่านแน่น ในใจนึกถึงคนที่คงยังตื่นเต้นกับห้องนอนใหม่อยู่ข้างบน ถ้าเจ้าตัวรู้ว่ากำลังได้รับความเอ็นดูมากขนากนี้จะถึงขนาดน้ำตาร่วงเลยมั้ยนะ


‘โธ่! อย่างผมน่ะเหรอจะไล่เขาไปไหนได้ ทำไม่ลงหรอกครับ’ ผมกอดและหอมแก้มแม่ด้วยความชื่นใจอย่างที่สุด แต่พูดตามตรงก็แอบสะใจอยู่ลึกๆที่สุดท้ายคนอย่างคุณภัทราพรก็ยังมาตกหลุมรักเด็กน้อยของผมเข้าจนได้ ‘กานต์เป็นเด็กดีนะครับแม่ เขาบริสุทธิ์มากจนบางครั้งผมก็รู้สึกผิดที่เหมือนไปหลอกให้เขามารักผู้ชายด้วยกัน ผมรักเขาจริงๆแล้วส่วนหนึ่งก็อยากจะรับผิดชอบเขาด้วยน่ะครับ’


‘แม่เข้าใจจ๊ะ แม่ถึงจะไม่บังคับให้กรเปลี่ยนแต่ก็จะดีใจมากถ้าได้ลูกชายคนเดิมกลับคืนมา เพราะอย่าลืมว่ากรเป็นความหวังเดียวของครอบครัวเรา แม่ไม่อยากให้นามสกุลของคุณพ่อสิ้นสุดลงแค่รุ่นกรเหมือนที่นามสกุลของคุณตาจบลงที่แม่ กรเข้าใจแม่ใช่มั้ย’


แม่ลงท้ายด้วยคำถามน้ำเสียงอ่อนๆ มือเรียวขาวตบลงเบาๆบนหลังมือแต่ทำให้ผมวาบลึกด้วยความรู้สึกผิด ที่เคยด่าตัวเองว่าเป็นลูกทรพีนั้นอาจจะไม่พอเพราะในขณะที่ผมแค่หวงแหนชีวิตส่วนตัว สนใจแต่ความสุขของตัวเอง แถมยังนึกอยากจะเอาชนะความเจ้ากี้เจ้าการ ชอบบงการจับคู่ให้ใครต่อใคร แต่แม่พยายามทำทุกอย่างด้วยความรับความรับผิดชอบทั้งในฐานะแม่และลูกสะใภ้ซึ่งมีหน้าที่สืบทอดวงศ์ตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป 


เฮ่อ! ถ้ากานต์เป็นผู้หญิงคงเป็นอะไรที่ลงตัวเพอร์เฟ็คท์สุดๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ถลำลึกเกินกว่าจะเปลี่ยนใจ ถือเสียว่าอุปสรรคต่างๆนาๆคือบททดสอบที่จะพิสูจน์ว่าคนรักของผมนั้นดีไม่แพ้ใคร ส่วนสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คงมีแค่...


‘กรขอโทษ กรรักแม่ครับ’ ผมถอยลงมานั่งที่พื้น กอดรอบเอวบางแล้วซบลงบนตักอุ่น จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ทำแบบนี้นั้นเมื่อไหร่ แต่ก็คงนานจนทำให้แม่พลอยขำไปกับมุขเด็กๆของผม


นึกถึงตอนนั้นแล้วก็ขำ ใครมาเห็นคงได้ด่าว่าโตเป็นควายแล้วยังทำไปได้ แต่ก็เท่ากับว่าผมเลือกไม่ผิด กานต์เป็นเหมือนกาวใจที่ช่วยให้ผมกับแม่ได้เปิดอกและทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ยิ่งเวลาเจ้าตัวอยู่ด้วย บรรยากาศของบ้านจะดูอบอุ่นขึ้นทันตา ผมไม่โกรธหรอกที่ถูกเมิน ก็แค่น้อยใจนิดหน่อยที่แม่หันไปสนใจลูกชายคนใหม่อย่างออกนอกหน้ามากๆ รีบพากันไปเตรียมเนื้อเตรียมตัวสำหรับงานตอนหัวค่ำ และอาจจะมีเคืองๆบ้างที่เจ้าตัวดีพยายามเลี่ยงไม่ยอมอยู่กับผมตามลำพัง ไม่รู้เพราะกลัวผม หรือเกรงใจ ไม่อยากให้ประเจิดประเจ้อต่อหน้าคุณแม่ แต่ไม่เป็นไร ผมจดลงบัญชีเอาไว้ค่อยสะสางทีหลัง ส่วนตอนนี้ ดูท่าว่าจะมีใครบางคนอยากเคลียร์กับผมเหมือนกัน...


“คุณเมธให้เอามาให้ค่ะ”


แก้วเครื่องดื่มอยู่ในมือสาวน้อยที่ต้องบอกว่าคืนนี้ดูสวยขึ้นผิดหูผิดตา ได้ยินว่าเป็นบริการพิเศษจากคุณพอล อย่างรายของกานต์นั่นก็โดนเจ้าของห้องเสื้อใหญ่ผูกขาดไว้แล้ว นี่ขนาดว่าผมสั่งห้ามยังแอบมาฉกตัวไปเป็นนายแบบให้คอลเลคชันใหม่ ถึงจะถ่ายรูปออกมาแล้วดูดีมากแต่ไม่คิดบ้างหรือไงว่าผมหวง คนของผม ผมก็ต้องเก็บไว้ดูคนเดียวสิ


ทีนี้ก็กลับมาที่สาวน้อยข้างตัวที่รอให้ผมยกแก้วขึ้นจิบพอเป็นพิธีจึงเริ่มชวนคุย...


“ดิฉันเองก็เพิ่งทราบ...”


“ฉันว่าแบบที่เธอเคยพูดฟังดูน่ารักกว่านะ” ผมรีบบอกเพราะไม่อยากให้เกิดช่องว่างมากขึ้นไปกว่านี้


“คือ...” ทีแรกเธอค่อนข้างอึกอัก แต่อย่างที่ผมรู้สึกมาตลอดว่าผู้หญิงคนนี้มีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร ดูไม่ค่อยจะกลัวผมหรือเจ้าเมธด้วยซ้ำไป “หนูเพิ่งทราบว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคุณภากร เอ่อ...ยินดีด้วยนะคะ”


ผมยิ้มรับ แอบขำแต่ไม่แสดงอาการ เข้าใจว่าเธอคงไม่เคยต้องอวยพรวันเกิดให้คนที่สูงกว่าทั้งวัยและฐานะ นอกจากไม่ใช่ญาติแล้วแถมอนาคตอันใกล้ก็จะมาทำงานเป็นลูกน้องผมอีก จะมาบอกสุขสันต์วันเกิดหรือร้องแฮปปี้เบิร์ทเดย์ก็คงไม่สมควรนัก


“ขอบใจ ความจริงฉันไม่ได้ซีเรียสอะไรกับวันเกิดตัวเองนักหรอก แต่ปีนี้ได้เห็นเธอกับเมธมาร่วมงานด้วยก็รู้สึกดีใจมาก”


กัญญาไม่ใช่คนผิวขาวจัดอย่างน้องชาย แถมวันนี้ยังถูกคุณพัชรีจัดเครื่องสำอางมาให้เต็มหน้าเลยไม่แน่ใจว่าสีที่แก้มนั่นจะเป็นของจริงบ้างหรือเปล่า ถ้าใช่ก็แสดงว่าเจ้าเมธมีลุ้น


“ที่หนูมาเพราะในสัญญาระบุว่าให้ผู้รับทุนเข้าร่วมกิจกรรมของทางโรงแรมเท่านั้นเองค่ะ”


“อ้อ นั่นสินะ” ผมเออออ พยายามต้อนแบบไม่ให้ไก่ตื่น “เรื่องสัญญานี่สำคัญมากทีเดียว ต่อไปไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ปรึกษาเมธได้เลยนะ ฉันสั่งเขาไว้แล้วว่าให้ดูแลเธอเป็นพิเศษ”


“ขะ...ขอบคุณค่ะ” ตอบแบบหลบตาไปมองทางอื่น อะฮ้า! สงสัยงานนี้ผมกับเจ้าเมธจะได้มีสิทธิ์เป็นคู่เขยกันล่ะ “งานวันนี้คนเยอะมากเลยนะคะ เมื่อก่อนหนูเคยแต่นั่งรถผ่านหน้าโรงแรม เห็นแค่นั้นก็ว่าสวยแล้ว แต่พอได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ ยิ่งได้ดูใกล้ๆก็ยิ่งสวยมากเลยล่ะค่ะ”


วรเมธส่งกัญญามาถือว่าช่วยผมได้มาก เพราะเธอคงไม่อยากทำตัวว่างเลยชวนคุย ถามโน่นถามนี่ทำให้ผมไม่เหงา แถมยังมีประโยชน์คือเป็นกันชนไม่ให้สาวๆคนอื่นเข้ามาทักทายให้เป็นที่วุ่นวายเหมือนทุกที กานต์เองก็หันมาทางนี้บ่อยๆ หวังแต่ว่าจะไม่มองภาพผมกับพี่สาวตัวเองผิดไปแล้วกัน


“คุณภากร...” จู่ๆน้ำเสียงเรื่อยๆก็แข็งขึ้น แถมชักสายตามองผมเขม็ง... “รู้สึกยังไงกับกานต์เหรอคะ?”


ผมถูกใจอีกอย่างที่เธอเป็นคนตรงไปตรงมา และตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่เธอแน่ใจว่าจะคุยเรื่องอะไรกับผมแล้ว


“ถ้าเริ่มแบบนี้คงต้องคุยกันยาว ฉันขอแนะนำให้เปลี่ยนเป็นคำถามที่สั้นและกระชับกว่าอย่างเช่น ‘ฉันรักกานต์มั้ย’ น่าจะดีกว่านะ”
ตัวผมน่ะสบายๆ ชิลๆ แต่กลายเป็นอีกฝ่ายที่เขินแทน ผมเลยถือโอกาสนี้เปิดอกเสียเลย


“ฉันดีใจที่เธอถามเพราะฉันก็อยากจะบอกในฐานะที่เธอเป็นพี่สาวเขา” ผมจ้องดวงตาดำขลับแล้วส่งความรู้สึกของผมเข้าไป “ใช่ ฉันรักกานต์ ฉันรักเขามาก อาจจะไม่มากกว่าแต่รับรองได้ว่าไม่น้อยกว่าที่เธอรักเขาแน่นอน”


“แต่คุณ...กับกานต์...?!” สาวน้อยเบิกตากว้าง เกือบจะโตได้เท่าเจ้าตัวแสบของผมแล้วเนี่ย


“ฉันคิดว่าเธอเองก็ต้องรู้จักหรือมีเพื่อนกลุ่มนี้ แต่ก็เข้าใจอีกล่ะว่าพอมาเจอกับคนใกล้ตัวคงทำใจลำบาก กลายเป็นไม่เข้าใจว่าผู้ชายจะมาชอบผู้ชายหรือผู้หญิงจะมาชอบผู้หญิงได้ยังไง ถ้าพูดในความหมายว่าโฮโมเซกชวลคือคนที่ชอบคนเพศเดียวกัน ฉันก็คงเข้าข่ายเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันกับกานต์เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันชอบกานต์ที่ตัวเขาเอง ไม่ใช่เพราะนึกว่าเขาเป็นผู้หญิงหรือชอบที่เขาเป็นผู้ชาย ฉันรักที่เขาเป็นเขาจริงๆ”


“แต่หนูก็ยังไม่เข้าใจ ถึงจะมองข้ามเรื่องนั้นแต่คุณกับกานต์ก็ยัง... ต่างกันเกินไป”


“ความแตกต่างที่ว่าคืออะไรล่ะกัญญา ฉันแก่เกินไป รวยเกินไป เพี้ยนเกินไปสำหรับน้องชายเธออย่างนั้นเหรอ?” ผมจี้ถามเพราะรู้ว่ายังไงเธอก็ตอบไม่ได้ อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่เธอลองดูนั่นสิ...”


ผมนำสายตาของเธอไปยังดาวเด่นของงานในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่ต้นคริสต์มาสสูงจนแหงนคอตั้งบ่า แต่เป็นหนุ่มน้อยที่กำลังอวดยิ้มน่ารักมัดใจทุกคนที่รายล้อม ผมรู้ว่าทีแรกกานต์รู้สึกเกร็งที่ได้ออกงานใหญ่ แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มเป็นตัวของตัวเอง และสิ่งที่ส่งผ่านออกมาก็บอกชัดว่าเขากำลังสนุกและมีความสุขกับบรรยากาศรอบตัวมากทีเดียว


“มันอาจจะง่ายกว่ามั้ยถ้าบอกว่าฉันรักรอยยิ้มของเขา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่แต่รู้ตัวอีกทีฉันก็อยากเห็นและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขายิ้มได้แบบนั้น”


คนที่กำลังมองภาพเดียวกันกับผมนิ่งไป ไม่นานก็มีเสียงถอนหายใจที่ระบายออกมาพร้อมกับความในใจที่ถูกเก็บกักมานาน...


“ภายนอกกานต์อาจจะดูเข้มแข็ง เป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่หนูรู้ดีว่าเขาทั้งขี้เหงาและน่าสงสารกว่าใคร กานต์รักทั้งพ่อและแม่มากเท่าๆกัน พอพ่อเริ่มเปลี่ยนไป เขาก็พยายามจะเข้าใจว่าพ่อก็ต้องมีเหตุผลของพ่อเอง พอพ่อเริ่มทำร้ายแม่ เขาก็พยายามจะทำใจให้ได้ คิดซะว่าเหล้าคงทำให้พ่อขาดสติไปบ้าง เวลาโดนพ่อตีเขาไม่เคยร้อง แต่เวลาที่เห็นพ่อตีแม่เขาต้องแอบไปร้องไห้อยู่ทุกครั้ง”


เด็กสาวหยุดพักเพื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ เธอก็เพียงกำไว้แน่น คงเพราะไม่อยากทำอาการให้เป็นที่ผิดสังเกต


“ตอนที่แม่จากพวกเราไป กานต์เสียใจมากจนช็อก ไม่ยอมพูด ไม่ยอมคุยกับใครเลย จนวันที่เอาอัฐิไปลอยอังคาร เขาก็เอาแต่นั่งน้ำตาไหลแล้วก็บอกว่าเขารักแม่ไปตลอดทาง และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เหมือนเดิม แม้บางครั้งจะทำตัวร่าเริง ทำเหมือนสนุก มีความสุขมากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยยิ้มได้เหมือนที่เคยยิ้ม ยิ้ม...” เธอหันไปมองน้องชายอีกครั้งเพื่อยืนยัน “...เหมือนอย่างตอนนี้”


“ชีวิตคนเราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันนะกัญญา ถึงคุณแม่ของพวกเธอจะตายไปแล้วแต่ก็ไม่ได้จากไปไหน ท่านยังคงอยู่ในใจของเธอสองคนพี่น้องเสมอ กานต์เองก็คงอยากเห็นพี่สาวของเขายิ้มอย่างมีความสุขได้เหมือนกัน”


เมธก็กำลังมองมาทางนี้ มันยกคิ้วถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า  ผมเหลือบมองสาวน้อยที่ยังเอาแต่ก้มหน้า มันเลยทำท่าจะเดินเข้ามาแต่ผมส่งสายตาห้ามไว้ก่อน และจากตำแหน่งนี้ก็เลยได้เห็น สายตาที่เจ้าเมธมองเธอก็คงไม่ต่างจากที่ผมมองกานต์
เสียงสูดน้ำมูกดึงให้ผมกลับมามองคู่สนทนา ตาแดงแต่ยังแห้งสนิท นับว่าเป็นคนใจแข็งจนน่ากลัว


“หนูดีใจและอยากเห็นน้องยิ้มได้อย่างนี้ตลอดไป หนูขอบคุณคุณมากนะคะ” และรู้สึกว่ารอยยิ้มจะเริ่มน่ากลัวขึ้น “แต่ถึงยังไงหนูก็คงวางใจไม่ได้ ถ้าวันไหนที่คุณเปลี่ยนใจหรือทำให้กานต์ต้องร้องไห้ ถึงคนอย่างหนูจะทำอะไรได้ไม่มาก แต่รับรองได้เลยว่าชีวิตของคุณจะไม่มีวันเป็นสุขแน่นอนค่ะ!”


 “เอ่อ... ฉันก็หวังว่าจะไม่ถึงวันนั้น...” ดูเหมือนคู่นี้จะสลับนิสัยกัน เพราะกลายเป็นว่าน้องชายน่ารักพอๆกับที่พี่สาวน่ากลัว “ไม่สิ ฉันสัญญา สาบานเลยเอ้า! ว่าจะไม่มีวันนั้นแน่นอน พอใจหรือยังครับคุณพี่สาว”


เธอกลั้นยิ้มแล้วหลุดขำออกมาเบาๆ ผมเลยใจชื้นว่าผ่านฉลุยไปได้อีกขั้น ท่าทางจะเป็นโชคดีสำหรับการเริ่มต้นนับหนึ่งกับอายุสามสิบ วันนี้ถือว่าผมฝ่าด่านใหญ่คือแม่ของผมและพี่สาวของกานต์ไปได้ และถึงวันข้างหน้ายังมีปัญหาอีกมากมายรออยู่แต่ผมก็จะไม่ท้อ เพราะทุกๆวันนับจากนี้ผมจะได้มีกานต์เป็นดังของขวัญ เป็นยิ่งกว่ารางวัล และกำลังใจที่จะช่วยให้ผมผ่านพ้นทุกๆอุปสรรคไปได้





จบตอนแล้วคร้าบ




ถือว่าเคลียร์กันได้หมดทั้งสองฝั่งนะ ทางคุณกร คุณแม่ก็รับเป็นลูกรักคนใหม่ไปแล้ว ทางกานต์ พี่สาวก็โอเค แต่มีแอบขู่เล็กน้อย ขำๆกันไป


ตอนหน้าพักเบรคเล็กน้อย แอบไปส่องคนโดดงานกันว่าจะสวีตสักแค่ไหนค่ะ




 :bye2:




หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33 (16-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-07-2016 19:51:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33 (16-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-07-2016 19:55:29
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
รักน้องจนกลัวว่าพี่กรจะทำน้องเสียใจจนต้องขู่น้องเขยไว้ก่อน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33 (16-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-07-2016 20:06:48
คุณภัทราพร รักกานต์แล้ว
กานต์ จะก้าวหน้าไปไกล ได้เรียนรู้มากขึ้น
คุณกร เริ่มใจไม่ดีแน่ กลัวหัวหลายสีมาวุ่นวาย
ยุ่งกับสุดที่รักของตัวเอง
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33 (16-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 16-07-2016 21:08:32
มีเมียเด็กต้องหัดตรวจเช็คร่างกายนะคุณกร
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33 (16-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-07-2016 13:32:11
  o13 o13 ไม่ว่าใครก็ต้องตกหลุมรักเด็กๆบ้านนี้
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33 (16-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Dolamon ที่ 17-07-2016 16:16:54
ใครๆ ก็ทนความน่ารักของกานต์ไม่ได้หรอก ใครอยู่ใกล้ก็หลงเสน่ห์กานต์หมดแหละ 55555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33 (16-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 17-07-2016 19:05:40
แม่สามีรักและหลงแรงจนสัมผัสได้ว่าตอนนี้หวงยิ่งกว่าลูกชาย 555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33 (16-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-07-2016 20:14:07
 :pig4: :pig4: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 33 (16-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 18-07-2016 23:50:08
สู้ไปด้วยกัน เรื่องราวคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 34
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 22-07-2016 19:07:37






34 .




เห็นพริอุสสีขาวเด่นทิ่มลูกตาแต่ไกลทำให้เหงื่อเริ่มตก พอรถที่นั่งอยู่ชะลอเพื่อตั้งลำก่อนจะถอยเข้าซองจอดผมก็เลยเปิดประตูพรวด ลองเอามือแตะกระโปรงหน้ารถคันสีขาวปรากฏว่าเย็นสนิทยิ่งเป็นลางหายนะเพราะหมายถึงคุณวรเมธมาถึงโรงแรมนานแล้ว ถึงผมจะอ้างว่าต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณภัทราพรทานมื้อเช้า ถามว่าคนอย่างเขาจะยอมฟังมั้ย คำตอบคือรับฟัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบทลงโทษฐานที่เข้างานสายจะลดลงหรอกนะ!


“ต๊าย!?” พี่พัชรีเห็นผมก็อุทานลั่น คงไม่รู้จะตกใจหรือขำดี “นี่วิ่งมาจากไหนจ๊ะเนี่ย วันหลังไม่เอานะ เกิดแขกที่มาพักเห็นเข้าจะนึกว่ามีไฟไหม้โรงแรม เดี๋ยวก็ได้ตกอกตกใจกันใหญ่หรอก”


ผมยิ้มพลางหอบพลาง สูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือกก็รีบพูดขอโทษก่อน รู้ดีว่าเป็นกริยาที่ไม่ควรทำ เพราะอย่างนี้ผมถึงต้องวิ่งขึ้นมาทางบันไดหนีไฟแทนที่จะรอลิฟต์ไงล่ะ


“เอาล่ะๆ ใจเย็นๆนะไม่ต้องรีบ คุณเมธมีแขกอยู่ ยังเข้าไปตอนนี้ไม่ได้อยู่ดี กานต์ไปล้างหน้าล้างตาให้หายเหนื่อยก่อนเถอะจ๊ะ”
“เอ๊ะ! ปกติคุณเมธไม่เคยรับนัดตอนเช้านี่ ใครเหรอครับพี่พัช”


พี่พัชรีอมยิ้มไม่ตอบแสดงว่าในใจก็ต้องคิดเหมือนกัน เพราะคำถามของผมสื่อได้กลายๆว่าคนที่กำลังอยู่ในห้องกับคุณวรเมธตอนนี้จะต้องเป็นแขกสำคัญที่เขาปฏิเสธไม่ได้ หรือ ไม่อยากปฏิเสธ อาจจะเป็นหุ้นส่วนของโรงแรม ลูกค้าระดับซุปเปอร์วีไอพี หรือเจ้าหน้าที่รัฐมาติดต่อขอความร่วมมืออะไรสักอย่าง ที่เดามานี่น่าจะครอบคลุมเคสสำคัญๆได้เกือบหมดแล้วแต่ไม่น่าเชื่อว่าขนาดผมก็ยังพลาด พอได้พบคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ผมก็อุทานลั่น แถมเกือบจะเทกาแฟทั้งถาดใส่หัวเจ้าของห้อง มิน่าล่ะ ตอนที่เปิดประตูเข้ามา เห็นตั้งแต่ข้างหลังก็รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก


“พี่กัญ! มาได้ไงครับเนี่ย?!”


พี่สาวผมยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรก็มีเสียงดังป้าบใหญ่สวนมา ตามด้วยเสียงร้องลั่น เจ้าของเสียง อ้อ! ก็ผมนั่นเอง รีบวางถาดแล้วเอามือปิดก้นไว้ก่อนจะโดนตีซ้ำ หันไปเห็นคุณเมธทำหน้าหมันเขี้ยว แฟ้มหนายังอยู่ในมือเลยต้องขยับออกมาให้พ้นรัศมี แล้วค่อยส่งเสียงโอดโอยให้รู้ว่าเจ็บปวดแสนสาหัส


“มานี่เลยมา ชักจะสำออยใหญ่ มันจะเจ็บอะไรขนาดนั้น?”


ผมสะบัดหน้าหนี ไม่เชิงโกรธแต่ไม่รู้จะตอบยังไงมากกว่า ถ้าอยากรู้ว่าทำไมผมต้องแหกปากก็เชิญไปถามเพื่อนเขาเองเถอะว่าทำอะไรผมไว้บ้าง ถ้าจะให้ดีช่วยบอกให้เพลาๆบ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องตื่นมาด้วยอาการร้าวระบมทุกเช้า แล้วอย่าถามว่าทำไมถึงไม่บอกเอง ก็เพราะผมบอกแล้วแต่ได้คำตอบว่า...


‘ก็อยากน่ารักเองทำไมล่ะ’


ผมงี้แทบจะกลั้นใจตายคาหมอน ได้ยินแล้วร้อนจนสุกไปทั้งตัวแต่ทำไมคนพูดยังทำท่าสบายใจเฉิบอยู่ได้ก็ไม่รู้


“กานต์... ไหวหรือเปล่า?!” พี่กัญแอบกระซิบถาม ผมรีบส่ายหน้าแล้วยิ้มให้เป็นปกติ เรื่องเจ็บยังมีบ้างแต่ก็ไม่อยากโดนคนบางคนมองว่าสำออย


หลังจากแม่ตาย เราสองคนพี่น้องต้องห่างๆกันไปเพราะพี่กัญเรียนหนัก ผมก็เอาแต่ทำงาน พอมาช่วงหลังที่ได้มาอยู่ที่โรงแรม ผมก็เล่าเรื่องของตัวเองให้พี่กัญฟังบ้างแม้จะไม่ทั้งหมด และโดยเฉพาะเรื่องของคุณกรนั้น ถึงไม่ได้บอกตรงๆแต่พี่กัญเซนส์ดีจะตาย ต้องระแคะระคายอะไรบ้างแหละ


“แล้วพี่กัญ...” ส่วนผมถึงจะไม่ได้รู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่อะไรที่มันชัดอยู่ตรงหน้าถ้ายังมองไม่ออกก็ซื่อบื้อเต็มทน “อ๋อ มาหาคุณเมธเรื่องทุนใช่มั้ย แล้วตกลงเรียบร้อยหรือยังอ่ะครับ?”


ผมถามพี่กัญแต่ก็แอบเห็นที่อีกฝั่งโต๊ะทำงาน... ยังบอกไม่ถูกว่ายังไงแต่ไม่ใช่อาการปกติของคนอย่างคุณวรเมธแน่ๆ


“อื้ม” ส่วนรายนี้ก็บอกไม่ได้ว่ายังไม่รู้ตัวหรือพยายามเก็บอาการอยู่ “แล้วเดี๋ยวก็จะได้มาฝึกงานที่นี่ด้วย ช่วงที่ฝึกงานพี่กะว่าจะกลับมาอยู่ที่คอนโดกับอาสา กานต์ก็ย้ายกลับไปอยู่ด้วยกันสิ เช้าจะได้มาทำงานพร้อมกัน เย็นก็กลับด้วยกัน นะๆ พี่จะได้มีเพื่อนด้วย”


“คือว่า... กานต์...”


ผมกำลังมองหน้าพี่สาวแต่ในหัวพาลเห็นภาพอีกคนที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ ตั้งแต่ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านใหญ่ก็ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่ได้หลับหรือตื่นมาในอ้อมกอดอุ่นจนมันกลายเป็นความเคยชิน ถ้าเกิดต้องไปอยู่ที่อื่นแล้วนอนไม่หลับ ผมจะแก้ตัวกับอาสารภี กับพี่กัญญาได้เต็มปากเหรอว่าเพราะแปลกที่ ก็ในใจมันต้องรู้ว่าไม่ใช่ และที่สำคัญ... ผมยังมองไม่เห็นความเป็นไปได้ว่าคุณภากรจะยอมอนุญาต!


“เรื่องส่วนตัวช่วยเก็บเอาไว้คุยเวลาอื่นนะคุณกัญญา ตอนนี้มาว่าเรื่องงานที่คุณจะต้องทำก่อนดีกว่า” ไม่อยากเชื่อว่าคุณเมธจะยื่นมือเข้ามาช่วย กลัวแต่ว่างานนี้ต้องจ่ายค่าตอบแทนกันอานล่ะ “คุณกลับไปจัดการเรื่องเอกสารขอฝึกงานจากทางมหาวิทยาลัยเอามายื่นให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องตำแหน่งถ้าต้องระบุก็ให้เป็นฝ่ายบริหาร เพราะผมจะให้คุณมาฝึกงานในตำแหน่งผู้ช่วยคุณพัช”


“เอ๊ะ! แต่ฉันเรียนเอกบัญชีนะคะ”


“ตอนนี้ฝ่ายบัญชีของเราไม่ได้ขาดคน งานทางนั้นก็เรียบร้อยราบรื่นดี ไม่ได้มีคำขอให้รับนักศึกษาฝึกงานมาช่วย แต่ชั้นบนนี่สิที่วุ่นวายเพราะมีพนักงานบางคน...” ดวงตาคมดุจพญาเหยี่ยวหันขวับ ว่าแล้ว! “ลืมหน้าที่ของตัวเอง โดดงานได้ไม่เว้นแต่ละวัน หรือไม่อย่างนั้นก็มาสาย เป็นลูกน้องแต่เข้างานหลังหัวหน้า วันๆไม่ค่อยจะอยู่ติดที่ ชอบร่อนไปป่วนคนโน้นทีคนนี้ที พาลเอาคนอื่นไม่เป็นอันทำงาน แต่ก็ไม่มีใครกล้าจัดการเพราะถือว่ามีคนคอยให้ท้าย คนที่มีอำนาจซะด้วย!”


จู่ๆผมก็รู้สึกตัวเบาๆเหมือนเงาหัวจะหาย เลยได้แต่ยืนคอตกหมดคำแก้ตัว เพราะถึงมีเขาก็คงไม่ฟัง หรือถึงฟังก็ยังจะลงโทษผมอย่างที่บอกไปนั่นแหละ แต่ก็อีกตามเคยที่ผมคงสั่งสมบุญไว้เยอะเลยไม่มีทางจน พอใกล้จะแย่ก็มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยได้ทันเวลา...


“ไม่ได้ยุ่งอยู่ใช่มั้ยเมธ?”


เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมกับที่ประตูห้องเปิดผาง แน่นอนว่าไม่มีการเคาะให้สัญญาณล่วงหน้า แล้วทายสิครับว่าเจ้าของคำถามนั้นจะมองเห็นและตรงลิ่วเข้ามาหาใครก่อนเป็นคนแรก


“กานต์! เป็นอะไร?!”


ผมยังยืนคอตกท่าเดิม สาบานว่าไม่ได้ฟ้อง ก็แค่ตอบเจ้าของโรงแรมไปตามความจริงด้วยน้ำเสียงเบาๆ เศร้าๆ


“...โดนคุณเมธดุครับ”


“เฮ้ย! ทำไมไม่พูดกันดีๆวะเมธ ถ้าทำผิดแค่เตือนก็น่าจะพอแล้วนี่หว่า มีเรื่องอะไรทำไมต้องดุด่ากันด้วย?!”


มือใหญ่กระชากตัวผมเข้าไปหา โอบหัวแนบไว้กับอกกว้าง และในเมื่อคนถูกถามยังเงียบ ผมเลยอาสาตอบให้แทน


“คุณเมธบอกว่าผมชอบโดดงาน แถมยังมาสาย วันๆก็เอาแต่เล่นจนคนอื่นไม่เป็นอันทำงานไปด้วย”


“ไม่เห็นจะจริงสักนิด นายมีหลักฐานอะไรถึงต้องมาว่ากานต์ขนาดนี้ด้วย!”


กลิ่นน้ำหอมในระยะประชิดชวนให้รู้สึกระคายจมูกจนเกิดเสียงสูดน้ำมูกหลุดออกไปไม่ได้แกล้ง แต่อาจเป็นเพราะเหตุนี้คุณภากรเลยยิ่งเสียงดัง แทบจะกลายเป็นตะโกนใส่หน้าเลขาคนสนิท


“เออดี! นี่ขนาดฉันเป็นเจ้านายแกแท้ๆ ถามแค่นี้ไม่ตอบแล้วยังชักสีหน้าอีก งั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เดี๋ยวถ้าฉันกลับมาอีกทีแล้วไม่มีคำแก้ตัวที่ฟังขึ้นล่ะก็ เตรียมพิจารณาตัวเองได้เลย!”


คุณภากรบอกจบก็ลากผมออกจากห้องไปอย่างกับพายุไม่แพ้ตอนขาเข้ามา พอผมขัดขืน คำอธิบายที่ได้ก็คือ...


“ไหนๆมันก็บอกว่าเราโดดงานแล้ว เรื่องอะไรจะยอมให้โดนกล่าวหาฟรีๆล่ะ” คนตัวโตอมยิ้มตาพราวราวกับเด็กหัวโจกแล้วตีขลุมเอาผมเป็นลูกสมุนในการหาเรื่องเล่นซน “แล้วอีกอย่าง ฉันว่าเจ้าเมธคงไม่อยากเห็นหน้าใครหรอก นอกจาก...”


ดวงตาคมจ้องประตูห้องทำงานเพื่อนอย่างมีความหมาย ผมหันตามไป กระทั่งพี่พัชรียังก้มหน้าแอบยิ้มเพราะรู้ในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา ผมขำบ้าง คุณกรเลยหัวเราะตาม จากนั้นคุณกรสั่งงานพี่พัชอีกนิดหน่อยก็พาผมโดดงานเป็นเพื่อนกัน แต่จะให้ใช้แผนเดิมเหมือนอย่างคราวคุณวรเมธคงไม่ไหว ขืนให้เขาไปเดินร่อนทั่วห้างคงได้กลายเป็นอาหารตาของสาวๆเหมือนอย่างตอนงานแต่งซึ่งบอกตามตรงว่าผมไม่ปลื้ม แต่จะไห้นึกว่าอยากไปที่ไหนก็ไม่รู้อีก ลงท้ายเลยตามใจให้เขาเป็นคนคิด แล้วใครจะไปนึกว่าผมจะได้เข้าวัด!


“หืม?” คนตัวโตชะงักเพราะถูกกระตุกชายเสื้อยิกๆ แล้วค่อยหันมาหาผมที่ยืนต่ำลงมาสองขั้นบันได ส่วนที่รีรอ ยังไม่ก้าวตามขึ้นมาคือพี่บอดีการ์ดที่ต้องเก็บปืนมาช่วยหิ้วถังสังฆทานแทน “ก็ตามขึ้นมาสิ ไม่เคยเข้าวัดทำบุญหรือไง”


“แต่... ทำไมจู่ๆถึงมาที่นี่ล่ะครับ?”


ผมเหลียวมองรอบตัวเหมือนอย่างที่ทำตั้งแต่อยู่ในรถ วัดแห่งนี้ไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองจึงมีเนื้อที่กว้างขวาง โบสถ์หลังใหญ่รายล้อมด้วยศาลาสำหรับประกอบศาสนกิจ หอไตร เมรุ และกุฏิหลายหลังล้วนก่อสร้างอย่างสวยงาม วิจิตรอลังการ แต่รถเบนซ์คันโตกลับเลยมาจอดตรงหน้ากุฏิหลังหนึ่งที่ห่างออกมา ตัวกุฏิเป็นไม้ทั้งหลังให้ความรู้สึกสันโดษ เป็นเอกลักษณ์ต่างจากกุฏิส่วนใหญ่ที่พร้อมพรั่งด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกราวกับไม่ใช่ที่พำนักของสงฆ์


“ก็ไม่ทำไมหรอก คุณแม่นับถือหลวงลุงรูปนี้มาก เวลาจะหาฤกษ์หายามหรือทำบุญอะไรให้คุณพ่อก็จะมานิมนต์ท่านตลอด ฉันนึกได้ว่ากานต์อาจจะอยากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้างก็เลยพามาที่นี่ไงล่ะ”


ผมฟังคำตอบแล้วยืนอึ้ง คุณภากรเลยขยับหลบแล้วส่งสัญญาณให้พี่บอดีการ์ดยกของขึ้นกุฏิไปก่อน ความจริงบันไดนี้ไม่ได้สูงมากมาย แต่ก็รู้สึกเหมือนได้อยู่กันตามลำพัง ผมเลยกล้าที่จะก้าวขึ้นไปยืนเหนือกว่าหนึ่งขั้นเพื่อจะได้กระซิบที่ข้างหูเขาว่า... 


“...ผมอยากกอดคุณจัง...” เสร็จแล้วก็รีบซอยเท้าหนี พ้นจากมือใหญ่ที่เอื้อมจะคว้าเอวได้หวุดหวิด


เมื่อขึ้นมาด้านบนเจอพี่บอดีการ์ดนั่งยิ้ม เอานิ้วจิ้มก้านร่มในถังสังฆทานฆ่าเวลาแต่เล่นเอาผมเขินจนเดินไม่เป็น ได้แต่ยืนหันซ้ายหันขวาจนกระทั่งคุณกรตามขึ้นมาและพอดีกับที่มีน้าผู้ชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากห้องด้านใน


“เชิญครับเชิญ นั่งกันให้ใจเย็นๆก่อน พอดีเมื่อคืนหลวงพ่อมีไข้นิดหน่อย แต่ทานยาแล้วจำวัดไปก็ค่อยยังชั่ว เดี๋ยวคงจะออกมา วันนี้มาทำอะไรกันบ้างครับ”


ผมเดาว่าน้าคนนี้คงเป็นลูกศิษย์พระ ท่าทางเป็นคนมีอัธยาศัย ดูใจดี ระหว่างที่ชวนคุยก็ไม่ได้อยู่ว่าง เตรียมจัดข้าวของ น้ำร้อนน้ำชาสำหรับทั้งหลวงพ่อและพวกเรา คุณภากรรับหน้าที่สนทนา ส่วนผมได้มองไปรอบๆก็เห็นถึงความเรียบง่ายสมถะ ที่มีมากนอกจากพระพุทธรูปคือหนังสือ นอกนั้นก็มีเพียงเครื่องอุปโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพอย่างสงฆ์ ส่วนสิ่งของที่ฆราวาสนำมาทำบุญจะถูกคัดแยกไว้ที่มุมหนึ่งซึ่งคุณน้าบอกว่าสำหรับแจกจ่ายต่อให้ญาติโยมที่ขาดแคลน


พวกเรารออีกสักพัก หลวงพ่อหรือถ้าเป็นผมสามารถเรียกหลวงตาได้เต็มปากก็ค่อยๆก้าวออกมาจากห้อง ท่าทางท่านยังดูอ่อนแรงแต่แววตาสดใส น้ำเสียงดังกังวานและมีรอยยิ้มใจดีทำให้ดูยิ่งน่าเลื่อมใส ท่านจำคุณภากรได้จึงถามไปถึงคุณภัทราพร ส่วนผมยอมรับตามตรงว่าเป็นเด็กห่างวัด ถึงจะรู้สึกว่าหลวงตาใจดีแต่ก็ยังกลัวๆกล้าๆเลยได้แต่นั่งฟังเขาคุยกัน พอเสร็จเรื่องสารทุกข์สุขดิบก็เริ่มการถวายสังฆทาน ผมไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างได้แต่ท่องคำสวดและทำตามๆเขาไปจนมาจบขั้นตอนทั้งหมดที่การกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แม่กานดา เสร็จพิธีพอดีกับที่ผมเริ่มเหน็บกินขา แต่หลวงตายังชวนคุยต่อ ไม่ยอมให้ลากลับง่ายๆ


“คราวที่แล้ว แม่ของโยมมาเกริ่นให้ฟังว่าคงจะได้มาขอฤกษ์หมั้นฤกษ์แต่งให้ลูกชายเร็วๆนี้ แล้วนี่ใกล้หรือยังล่ะ” หลวงตาถามแล้วยกจอกน้ำชาขึ้นจิบ ส่วนผมยิ่งก้มหน้าจนคางชิดอก


“ถ้าเป็นฤกษ์อย่างที่ว่าก็เลิกคิดไปได้เลย เพราะกับแฟนคนนี้ผมคงไม่ได้แต่งหรอกครับหลวงลุง”


คุณกรตอบพร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้ที่หลังหัวผมเบาๆ ผมไม่ได้เห็นว่าหลวงตาทำหน้าอย่างไร แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นกุฏิเชียว


“เออแน่ะ! เห็นจะต้องเลิกคิดจริงๆ แล้วนี่แม่เราเขาจะยอมรึ”


“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวนี้แม่รักกานต์มาก เผลอๆจะรักเขามากกว่าผมซะอีก”


“เอ้าๆ ดีๆ ถ้าอย่างนั้นก็ดี รักใคร่ปรองดองกันไว้ ครอบครัวจะได้มีความสุข”


ผมก้มๆเงยๆเพราะยังไม่กล้ามองหน้าหลวงตาสักเท่าไหร่ จะว่าอายพระก็คงไม่ผิด ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครบ้าเอาเรื่องนี้มาคุยกับพระหรือเปล่า แล้วก็ได้รู้ว่ามีคนนึงที่นั่งพับเพียบอยู่ข้างๆผมนี่เอง


“แล้วหลวงลุง... ไม่คิดว่าแปลกเหรอครับ?”


“เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องทางโลก ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่ถ้าพวกโยมตรองดูถี่ถ้วน รักชอบกันอย่างมีสติ และร่วมกันสร้างบุญสร้างกุศล ไม่ก่อบาปหรือทำความเดือดร้อนให้ใคร หลวงพ่อก็ขออนุโมทนา”


คราวนี้ผมตั้งใจมองแล้วก็ได้พบมากกว่าความใจดี นั่นคือความเข้าอกเข้าใจ ไม่ได้มีความรังเกียจเดียดฉันท์หรือแม้แต่เวทนาสงสาร ทำให้ผมรู้สึกเต็มตื้นอยู่ข้างในลึกๆ ที่เคยกลัวหรือลังเลไม่ได้หมดไปเสียทีเดียวแต่อย่างน้อยก็เหมือนได้เข้าใจว่าการทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรือวิปริตอย่างที่ใครๆกล่าวหา


ผมหันไปสบตาคุณภากรแล้วก้มลงกราบพร้อมกัน พอดีกับมีญาติโยมมาหาหลวงพ่อก็เลยได้จังหวะขอตัวลา พากันเดินเลาะมาตามทางด้านที่ติดคลอง แถบนี้ถือเป็นเขตอภัยทาน ซ้ำยังมีคนมาคอยให้อาหาร ปลาเล็กปลาใหญ่เลยมารวมตัวชุกชุมเป็นพิเศษ


“ลุงคะลุง ขนมปังเลี้ยงปลาค่ะ ถุงสุดท้ายแล้วซื้อมั้ยคะ”


มีเสียงแจ๋วๆมาเรียกจากด้านหลัง แต่ผมหันไปเห็นสีหน้าคนถูกเรียกแล้วก็อยากจะปล่อยก๊าก


“ถุงสุดท้ายจริงๆเหรอหนู” คุณลุงจำเป็นทำหน้าปั้นยากแล้วยองตัวลงนั่งคุยกับเด็กหญิงหน้าตาซื่อๆ อายุน่าจะประมาณหนูเพลินนี่ล่ะ


“ค่ะ แม่บอกว่าหมดแล้วค่อยไปเอาใหม่ ยี่สิบบาทเอง ลุงซื้อหน่อยนะคะ”


ผมถึงกับกลั้นยิ้มไม่อยู่แต่คุณกรยังพอเก็บอาการไหว สุดท้ายก็ยอมควักกระเป๋าสำหรับขนมปังแห้งๆถุงสุดท้ายไปหนึ่งร้อยบาทเพราะไม่เคยพกแบงก์ราคาต่ำกว่านั้น


“นี่ฉันดูแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ?!”


ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่คำถาม แต่พอคิดตามก็อดสะท้อนใจไม่ได้ นึกถึงตอนที่พ่ออายุสามสิบ ผมก็สักห้าหกขวบได้แล้วมั้ง หรืออย่างบางคนที่ผมรู้จักก็มีลูกหลายคนแล้วด้วยซ้ำ ผู้ชายอย่างคุณภากรถือว่ามีความพร้อมในทุกๆด้าน ถ้าได้แต่งงานกับผู้หญิงที่คู่ควรกันก็คงเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และลูกๆที่น่ารัก...


“หืม?” ท่อนแขนใหญ่สอดรัดรอบเอว ส่งผ่านไออุ่นผ่านมาทางแผ่นหลังพร้อมเสียงกระซิบแผ่วที่ข้างหู เป็นวิธีที่เขามักใช้เรียกสติเวลาเห็นผมนิ่งเงียบไปโดยไม่มีสาเหตุ “คิดมากอีกแล้ว”


“เปล่าสักหน่อย!” แล้วผมก็จะบอกเขาแบบนี้หรือไม่ก็ดื้อเงียบไปเฉยๆ


“โอเคครับ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ถามอีกแล้วว่าคิดมากเรื่องอะไร” ผมเสียววาบในอก แต่ยังดีที่หันไปแล้วได้เจอรอยยิ้มเล็กๆให้ใจชื้น “แต่ขอให้กานต์รู้ไว้ว่าตอนนี้คุณกรมีความสุขมาก มากกว่าที่เคยมีมาทั้งชีวิต และไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น แม้จะต้องพลาดสิ่งดีๆในสายตาใครอีกมากมายแค่ไหน คุณกรก็จะขอแค่ให้เรายังมีกันและกันแบบนี้ตลอดไปนะครับ”


ผมจำไม่ได้ว่าเคยถามตัวเองหรือเปล่า แต่ลองให้ใครมาเป็นผมแล้วถามสิว่ายังทันมั้ยนะถ้าจะไม่ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้


“คุณ!” เรื่องเขินคงไม่ต้องพูดถึง แต่ผมว่า... เคลียร์สถานการณ์รอบด้านก่อนดีกว่า “ไม่อายบ้างหรือไง คนเขามองกันใหญ่แล้ว?!”


ไหนจะเด็กคนเมื่อกี้กับแม่ของแกที่กำลังบิดซะจนขนมปังแห้งๆกลายเป็นเศษขนมปังป่น พ่อค้าแม่ค้ารายอื่น ญาติโยมที่พากันมาทำบุญ และฝูงปลาอีกเป็นร้อย แต่เขากล้ายืนกอดผมไว้แล้วยังจะ... หอมแก้มโชว์อีกแน่ะ!


“ช่างปะไร ก็คนรักกันไม่เห็นมีอะไรแปลก ทำอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้ คนที่มองสิต้องอายถึงจะถูก”


ณ จุดๆนี้ ผมขอเปลี่ยนคำถาม... แต่ช่างเถอะ! คงไม่ทันแล้วล่ะ งั้นก็เอาเป็นว่าผมรักเขา และผมโคตรจะอาย ขอพลีชีพกระโดดลงไปเป็นอาหารปลาให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีกว่า และขอบอกว่าพอกันที เข็ดจนตาย สาบานว่าชาตินี้จะไม่โดดงานอีกแล้ว!!




จบตอนแล้วคร้าบ






ถึงจะเขียนไว้นานแล้ว แต่มาลงในจังหวะที่ถือว่าใช้ได้ เพราะเพิ่งผ่านวันพระสำคัญมาก มีใครได้ไปทำบุญเข้าวัดกันบ้างมั้ยคะ



 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 34 (22-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 22-07-2016 20:08:43
เมธทำเป็นดุเพื่อไล่คนอื่นออกจากห้องรึป่าว 555


ส่วนคู่รักที่ให้อาหารปลาระวังด้วย อย่าโปรยน้ำตาลลงน้ำมากคะ เดี๋ยวปลาเป็นเบาหวาน อิอิ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 34 (22-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-07-2016 21:16:02
 :impress2: :impress2: :impress2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 34 (22-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-07-2016 22:08:23
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 34 (22-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-07-2016 13:58:40
ยิ้มอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 34 (22-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 25-07-2016 19:54:58
มดกดให้ยุบยับเลย 555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 35
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 29-07-2016 19:19:13







35.









ตั้งแต่มาถึงภูเก็ตมีงานให้ทำยุ่งอยู่ตลอด แถมยังมีคนชอบเซ้าซี้คอยป้วนเปี้ยนกวนใจจนไม่มีเวลาว่างได้มานั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆเหมือนอย่างตอนนี้ มองไปเบื้องหน้ามีเพียงแผ่นฟ้าเคียงคู่กับผืนน้ำ บรรยากาศสงบเงียบเพราะยังเป็นเวลาเช้าจัด พระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นน้ำมาได้ไม่นาน ถ้าจะเทียบกันก็คงเป็นเวลาเดียวกับเช้าวันนั้น ฉันลากสังขารกลับบ้านด้วยหัวใจที่แตกเป็นเสี่ยงๆ หัวถึงหมอนก็สลบ อยากจะหลับให้ตายๆไปทั้งอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น และคนที่มาปลุกก็คือคนที่ทำให้ตกอยู่ในฝันร้ายทั้งๆที่ตื่นนั่นแหละ


‘หนูภาจ๋า’ เสียงนุ่มมาพร้อมกับริมฝีปากอุ่นแปะลงตรงโน้น ตรงนี้ทั่วใบหน้า ถ้าเป็นเด็กหญิงภาวิณีคงหัวเราะคิกคัก แกล้งผลักออกแต่ที่จริงก็ชอบให้คุณอาคนโปรดทำอย่างนี้ หรือหากเป็นภาวิณีคนเก่าก็ต้องยิ่งดีใจเพราะมันเหมือนกับที่ฝันไว้ทุกอย่าง แต่สำหรับตัวฉันตอนนี้ได้แต่นอนนิ่งไม่ต่างจากท่อนไม้หรือก้อนหิน เพราะเผื่อว่าหัวใจมันจะแข็งและชาจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บที่จี๊ดอยู่ข้างในนี่สักที


‘ไม่พูดไม่จาอย่างนี้ มีใครทำอะไรให้เจ้าหญิงของอาโกรธหรือเปล่าน๊า’


ผู้บุกรุกยังไม่หยุดงอนง้อ แต่ปฏิกิริยาของฉันก็ทำให้ความพยายามของเขาถูกแปลงความหมายเป็นการเซ้าซี้น่ารำคาญ น้ำเสียงและวิธีการจึงเปลี่ยนให้จริงจังขึ้น


‘ถ้าหนูภาโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อาขอโทษ แต่ถ้าไม่ใช่ก็บอกมาเถอะว่าไม่ชอบใจเรื่องอะไร อายอมทุกอย่างแล้วนะครับ’


‘ออกไปเถอะค่ะ’ พอบอกอย่างนี้อ้อมแขนใหญ่กลับยิ่งรัดแน่นขึ้น แถมยังรู้สึกจั๊กจี้กับหนวดแข็งๆที่ไซ้ซอนอยู่ข้างแก้ม หลานสาวตัวน้อยเคยยอมแพ้ให้กับไม้ตายนี้ โดนเข้าไปนิดหน่อยเธอก็จะหัวเราะคิกแล้วออกปากยอมแพ้คุณอาขี้แกล้ง แต่อย่างที่บอกแล้วว่านั่นไม่ใช่สำหรับภาวิณีคนนี้ ‘หนูภาขอโทษที่ทำเรื่องไม่สมควร ถ้าอาชัชไม่โกรธก็ช่วยคิดซะว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องพูดถึงมันอีกก็แล้วกัน’


‘แต่หนูภาเป็นเมียอาแล้ว จะบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง!’


‘เราเป็นอาหลานกันมาตั้งยี่สิบกว่าปี เป็นอย่างนั้นต่อไปคงจะดีกว่า เวลาแค่คืนเดียวเปลี่ยนอะไรไม่ได้มากขนาดนั้นหรอกค่ะ’


‘หนูภา! รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา เรื่องของเรามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วนะ จะให้ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าแค่ฝันไปอาทำไม่ได้!’


อาชัชเสียงดังขึ้นและเขย่าตัวฉันราวกับจะให้ความเพี้ยนหลุดออกไป น่าขัน! ตกลงเขาไม่รู้ใช่มั้ยว่านี่ล่ะ ตัวตนแท้ๆของหลานสาวตัวเอง!


‘ก็ไหนเมื่อกี้อาชัชบอกเองว่าจะยอมทำตามที่หนูภาบอกทุกอย่าง...’ ฉันหันไปมองเขา จงใจแทรกรอยขันลงไปในน้ำเสียง ทั้งที่ความจริงร้อนขอบตาจะแย่อยู่แล้ว ‘สุดท้ายอาชัชก็ไม่ได้เห็นหนูภาสำคัญอย่างที่ปากว่าสักนิด ในเมื่อไม่ได้รักไม่ได้แคร์กันก็ถือซะว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความโง่งี่เง่าของหนูภาฝ่ายเดียวก็พอ อาชัชไม่ผิด ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบ เพราะสำหรับหนูภา มันก็แค่เซ็กซ์สนุกๆไม่กี่ที ไม่เห็นจะมีอะไรบุบสลาย ไม่ได้ทำให้พิการจนมีชีวิตปกติต่อไปไม่ได้สักหน่อย’


‘หนูภา!’ ดวงตาสีดำสนิทมีแววตื่นตระหนก คงไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเยี่ยงนี้ออกจากปากหลานสาวคนเดียว ‘หนูภาเป็นผู้หญิง จะคิดแบบนี้ไม่ได้นะ!’


‘งั้นอาชัชจะให้หนูภาทำยังไง ร้องไห้ฟูมฟายที่เสียตัว ออกไปเดินตากฝนทำเหมือนโลกจะแตก หรือว่าจะให้เอามีดกรีดข้อมือ ให้เลือดชั่วๆมันไหลออกไปให้หมดตัวเลยดีมั้ยคะ!’


‘อานึกว่าหนูภารักอา!?’


‘อาชัชต่างหากที่ไม่เคยรักหนูภาเลย! อาชัชรักแต่ไอ้เด็กนั่น คิดถึงแต่มัน ร้องหาแต่มัน!’


เสียงละเมอของเขาแว่วขึ้นมาในหู ถึงจะยกมือปิดหรือเอานิ้วอุดหูแน่นแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ และแน่นอนว่าฉันเองไม่ใช่ท่อนไม้หรือก้อนหินที่จะทนทำตัวด้านชาไปได้จนถึงที่สุด ถึงไม่อยากทำตัวขี้แยหรือใช้น้ำตาเรียกความสงสาร แต่ความเข้มแข็งก็ถูกละลายออกมาชนิดที่พยายามเช็ดจะเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที


‘อะไร?! หนูภาหมายถึงใคร?!’ คนตัวโตร้องถามเสียงหลง พยายามจะช่วยเช็ดน้ำตาก็ถูกปัดทิ้ง


‘จะถามทำไมในเมื่ออาเองก็รู้อยู่แก่ใจ จะให้หนูภาต้องรู้สึกสมเพชตัวเองไปถึงแค่ไหนกัน?!’


‘แต่อาอยากจะรับผิดชอบ...’


ฉันตวาดเสียงลั่น ส่วนเขาบอกเบาๆ สีหน้าจ๋อยๆ และโดยเฉพาะคำที่เขาเลือกมาใช้มันทำให้... ก็เข้าใจนะว่าคนที่เป็นลูกผู้ชายควรยืดอกยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แต่พอมาเจอกับตัวเอง มันกลายเป็นคำที่ไม่เข้าท่า ไม่อยากให้ดังเข้ามาในหูเลยด้วยซ้ำ!


‘งั้นอาชัชกล้าบอกแม่กับพี่กรมั้ยล่ะ’ ฉันพูดจบ เขาก็ลุกพรวดจนเกือบคว้าตัวไม่ทัน ‘หยุดนะ! อาจะทำอะไร?!’


‘ก็จะไปบอกคุณภัทเรื่องของเรา’


ฉันจิกตาห้ามสุดฤทธิ์ ให้ตายเถอะ นี่เขาไม่รู้หรือไงว่าฉันประโช้ดดด!!


‘ทำไมล่ะ? หรือว่าหนูภาอาย?’


เป็นคำถามที่ชวนให้หยุดคิด ว่ากันตามจริง ถ้าคำว่า ‘อาย’ มีตัวตนอยู่ในหัว ความรักคงไม่เบ่งบานจนออกฤทธิ์ให้กล้าทำไปได้ขนาดนั้น และแม้ตอนนี้จะเรียกว่าสำเร็จไปเกินครึ่ง สถานภาพอาหลานอย่างบริสุทธิ์ใจไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว แต่จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไรในเมื่อ...


‘หนูภาไม่ได้อายที่จะบอกใครๆว่ามีอะไรกับอา แต่อายตัวเองที่ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอาชัชรักหนูภาบ้างหรือเปล่า’


‘ทำไมถึงคิดอย่างนั้น อารักหนูภามาตลอดหนูก็รู้นี่ โอเคว่าเมื่อก่อนอาจมองหนูภาเป็นแค่หลาน แต่ไม่ว่ายังไงหนูภาก็เป็นที่หนึ่งในใจอาเสมอ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ถึงมันจะเป็นเพราะฤทธิ์ยา แต่อาเป็นผู้ชายต้องรู้ตัวเองอยู่แล้วว่ากำลังทำอะไร เซ็กซ์อาจเป็นแค่เรื่องสนุกๆอย่างที่หนูภาบอกก็จริง แต่กับคนที่เรารักเท่านั้นมันถึงจะกลายเป็นความสุขอย่างที่อาเองก็อธิบายไม่ถูก หนูภาไม่ได้รู้สึกเหมือนที่อารู้สึกบ้างเหรอครับ?”


อีกหนึ่งคำถามที่ถูกย้ำด้วยอ้อมกอดอุ่นชวนให้ใจอ่อน แต่เขาคงคิดว่ายังไม่พอเลยละลายซ้ำด้วย...


‘ทั้งตอนนี้และตลอดไปอาสามารถพูดได้เต็มปากว่าอารักหนูภา รักอย่างผู้ชายรักผู้หญิง อย่างที่ผัวจะรักเมีย หนูภาเชื่ออานะครับ’


ฉันสะกดตัวเองให้นิ่งทั้งที่ข้างในอกกำลังเต้นโครมครามราวกับเป็นบ้า ไม่อยากเชื่อว่าชีวิตนี้จะได้ยิน แต่อีกใจยังสงสัยว่านี่อาจจะเป็นแค่ความฝัน เพราะฉะนั้นจะเชื่อง่ายๆไม่ได้ ต้องเอาคำตอบนี้ย้อนตรวจคำถามที่คาใจเสียก่อน


‘แล้วถ้า... ระหว่างหนูภากับไอ้เด็กตุ๊ดนั่น อาชัชรักใครมากกว่า?’


‘กานต์มาเกี่ยวอะไรด้วย?’


‘ไม่รู้ล่ะ ตอบมาเลยนะว่าระหว่างหนูภากับมัน อาชัชจะเลือกใคร?’ ฉันเสียงดังขึ้น ไม่ถึงกับตะคอกแต่ก็คาดคั้นสุดๆ แล้วดูเขาสิ เอาแต่อ้ำอึ้ง เอ่อๆ อ่าๆ อยู่ได้ ‘นั่นไง! อาชัชลังเล อาชัชก็รักมันเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ?’


‘ถ้าจะเรียกว่ารัก... มันก็...’ กว่าจะหลุดออกมาสักคำก็ยังฟังไม่ได้อยู่ดี!


‘หยุดเลยนะ ไม่ต้องพูดแล้ว! ถ้าตราบใดที่อาชัชยังรักหรือเห็นมันสำคัญกว่าก็ไม่ต้องมายุ่งอะไรกับหนูภาอีก ห้ามมากอด มาหอม แล้วก็ห้ามบอกเรื่องของเราให้ใครรู้ด้วย จำไว้!’


อาชัชรับปากรับคำโดยดี ซึ่งว่ากันแบบไม่เข้าข้างก็ถือว่าเขาทำได้เกือบจะเคร่งครัด แต่ในเมื่อความสัมพันธ์ของเรามันเลยเถิดไปมากก็เลยมีบ้างที่เขาจะทำท่ากรุ้มกริ่ม คอยหยอดคอยแทะเล็มให้ตัวเขาเองรู้สึกกระชุ่มกระชวย ส่วนฉันเองก็เขินจนเกือบหลุดเก๊กอยู่บ่อยๆ


สำหรับการมาภูเก็ตเที่ยวนี้ ทีแรกฉันปฏิเสธจะไม่มาเพราะนึกว่าพี่กรอยากกำจัดฉันไปให้พ้นๆทางรักของเขา แต่พอได้ทำความเข้าใจว่าเป็นแผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ต้นก็รู้สึกภูมิใจที่เขาวางใจในความสามารถ พอคิดอีกทีก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะดึงอาชัชให้ห่างจากเด็กคนนั้น เผื่อว่าเขาเองก็จะได้มีเวลาทบทวนความรู้สึกและตอบคำถามของฉันได้อย่างชัดเจนเสียที


ระหว่างที่อยู่ที่นี่เรียกว่าเป็นเวลาทองที่ฉันได้ตักตวงความสุขคืนมาหลังจากหลายปีที่ไม่เคยได้เห็นหน้าหรือแม้แต่ได้ยินเสียง แน่นอนว่าฉันยังสั่งให้เขาทำตัวเหมือนเป็นอาหลานกันตามปกติ ซึ่งนับเป็นความคิดที่ดีเพราะทำให้ฉันได้สัมผัสตัวตนของเขาอย่างที่คนทั่วไปได้รู้จัก คุณชัชผู้นี้มีความสามารถสมกับเป็นที่ปรึกษามือดีที่พี่กรวางใจได้เต็มร้อย เขาทั้งฉลาด ทันคน เด็ดขาด ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ แต่ขณะเดียวกันก็มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ เป็นที่รักของลูกน้องตลอดจนคนในพื้นที่ เพราะเขาเองก็บอกเสมอว่า พวกเรามาทีหลัง จะไปเอาเปรียบคนที่อยู่มาก่อนไม่ได้ ต้องให้การมาของเราเกื้อหนุนให้พวกเขาอยู่ได้และเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน จึงจะเรียกว่าเราทำธุรกิจได้ประสบความสำเร็จ


“หนูภาจ๋า” อุ๊ย! กำลังนั่งเพลินๆ คนที่อยู่ในความคิดก็มาปรากฏตัวแล้วขโมยกลิ่นแก้มไปหนึ่งฟอดใหญ่ “ขอโทษจ๊ะ อาเข้ามาเงียบๆ ตกใจล่ะสิ”


ฉันไล้หลังมือกับข้างแก้มพร้อมตวัดสายตาเคืองๆใส่คนตัวโตในชุดพร้อมเดินทาง ที่จริงฉันแค่จะกลับไปทำธุระส่วนตัวที่กรุงเทพ แต่พอเขารู้ก็ยัดเยียดตัวเองไปเป็นเพื่อนหน้าตาเฉย


“หนูภาเก็บของเสร็จแล้ว เราไปสนามบินกันเลยมั้ยคะ”


“อีกเดี๋ยวก็ได้ครับ” เขาแตะแขนรั้งเบาๆแล้วรวบตัวเข้าไปหา ฉันเลยได้ยืนพิงแผงอกกว้างอย่างสบาย ส่วนเขาก็วางคางลงมาบนไหล่จะได้แอบหอมแก้มได้สะดวก อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้! “ก่อนจะกลับไปกรุงเทพเที่ยวนี้ อามีเรื่องอยากคุยกับหนูก่อน”


ที่ผิดไปคือน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังมากถึงมากที่สุด ถ้าไม่ใช่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมากๆ


“หนูภาตั้งกติกาสั่งให้อาห้ามความรู้สึกของตัวเอง แต่อารู้ตัวเองดีว่าทำไม่ได้ ไม่ว่ายังไงอาก็รักหนูภา รักจนไม่รู้จะอธิบายยังไงถูก แล้วหนูภาล่ะครับ ห้ามใจตัวเองไม่ให้รักอาได้หรือเปล่า”


นับวันความเข้มแข็งของฉันก็ยิ่งอ่อนละลาย ไม่รู้จะมาถามทำไม ในเมื่อเขาก็รู้ว่า...


“ถ้าห้ามได้ หนูภาจะทำอย่างที่ทำไปทำไมกัน?”


คนตัวโตระบายลมหายใจอุ่นๆข้างแก้มฉันอีกทีแล้วพูดต่อ


“นั่นสิครับ หนูภาเองก็รู้ว่าความรักมันห้ามกันไม่ได้ หัวใจของเราเรายังสั่งไม่ได้ แล้วหนูภาจะเอาอำนาจอะไรไปสั่งหัวใจคนอื่น”
ฉันรีบแกะแขนที่กอดอยู่ แต่เขารู้ทันเลยยิ่งกอดแน่นขึ้น


“อาชัชจะโยงเข้าเรื่องพี่กรกับไอ้เด็กตุ๊ดนั่นใช่มั้ย?!”


“ที่อาพูดเพราะอาอยากให้หนูภาเปิดใจให้กว้าง มองโลกด้วยความเข้าใจ ถึงจะเห็นด้วยไม่ได้ก็ขอให้วางเฉย ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาสองคน คนดีทำเพื่ออาได้มั้ย”


“แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงต้องพูดเรื่องนี้ด้วย พี่กรบอกให้มาพูดหรือไง?” ฉันไม่ได้หันไปมองแต่รู้สึกได้ว่าเขาส่ายหน้า “งั้นก็ทำเพื่อไอ้เด็กนั่นอีกแล้วใช่มั้ย?”


“ไม่ใช่หรอกครับ อาแค่เห็นหนูภามาอยู่ภูเก็ตแล้วสบายใจเลยไม่อยากให้กลับกรุงเทพไปเจออะไรๆก็อารมณ์เสียไปซะหมด รู้มั้ยเวลาคนเราโกรธหรือเกลียด อารมณ์พวกนั้นมันก็ตกอยู่ที่ตัวเรา ทำให้ใจขุ่นมัวเป็นทุกข์ ร่างกายก็พลอยร้อนรน อึดอัด ไม่สบายทั้งตัวไม่สบายทั้งใจ ส่วนไอ้คนที่เราโกรธกลับไม่รู้เรื่องหรือเดือดร้อนอะไรด้วยสักนิด อาไม่อยากเห็นหนูภาของอาต้องเป็นแบบนั้น”


ถึงจะเห็นด้วยกับทุกคำที่เขาสอน แต่ฉันก็ไม่ยอมรับปากว่าจะทำได้ตามที่เขาขอร้อง ตลอดเวลาที่ขึ้นเครื่องเดินทางจนกลับมาถึงกรุงเทพ เราต่างเงียบไปทั้งคู่ ฉันไม่เชิงโกรธแต่กำลังสงสัยว่าอะไรกันที่ทำให้เขาถึงกับออกปากเรื่องนี้  แล้วก็ได้คำตอบเมื่อ...


“แกมาทำอะไรที่นี่?!”


แทนที่ถึงบ้านแล้วจะได้สงบ สบายใจ แต่นี่อะไร คนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกลับเสนอหน้าออกมารับ ทำราวอยู่บ้านตัวเองก็ไม่ปาน มิหนำซ้ำคนที่คอยให้ท้าย จัดการให้มันย้ายเข้ามาในระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็คือ...


“คุณแม่! นี่คุณแม่ก็เป็นไปกับพี่กรอีกคนเหรอคะ! ภาไม่ยอม ไม่ว่ายังไงภาก็ไม่ยอมให้มันมาอยู่ที่นี่ คุณแม่ไล่มันออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!”


ตั้งแต่จำความได้ น้อยครั้งมากที่คุณแม่จะไม่เข้าข้างหรือไม่ยอมตามใจ แต่ตอนนี้ ท่านเอาแต่ยืนนิ่ง มองฉันด้วยแววตาสงบและยังวางมืออยู่บนท่อนแขนของเจ้าเด็กนั่นอีก ส่วนอาชัชที่เพิ่งตามเข้าบ้านมาก็รีบมาจับตัวฉันไว้ ทำอย่างกับว่าฉันจะเข้าไปทำอะไรสุดที่รักของเขาอย่างนั้นแหละ


“ทุกคน!” ฉันสะบัดมือที่จับอยู่ กราดมองรอบตัวด้วยความรู้สึกเหมือนมีระเบิดกำลังตูมตามอยู่ในตัว “ไม่ว่าใครก็เป็นบ้าไปหมด! ถูกไอ้เด็กตุ๊ดนี่ล้างสมองหมดแล้วหรือไง!”


คนที่ถูกเอ่ยชื่อเอาแต่ยืนก้มหน้า คงจะรู้ตัวล่ะว่าโดนหมายหัว ส่วนคุณแม่หันไปส่งสัญญาณกับแม่บ้านที่รู้งานรีบไล่พวกเด็กรับใช้ให้ไปทำหน้าที่ตัวเอง จะได้ไม่มาอยู่คอยสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านาย


“คุณท่านครับ ผม...”


ในที่สุดไอ้ตัวต้นเหตุก็ยอมอ้าปาก เดาว่ามันคงจะขอยอมแพ้ แต่กลายเป็นคุณแม่ที่ไม่ยอมเสียเอง


“ฉันเป็นคนอนุญาตให้เธออยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” ท่านพูดกับมันแล้วค่อยหันมาทางฉัน “แม่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”


นึกถึงเมื่อตอนที่คุณแม่โทรไปปรับทุกข์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันตัดสินใจกลับมาเมืองไทยเพื่อดูลาดเลาอย่างเงียบๆ น้ำเสียงของท่านทั้งเป็นทุกข์ วิตกกังวลไปสารพัด ไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้ท่านกลับเห็นดีเห็นงาม แถมดูจะปกป้องเจ้าเด็กนี่อยู่กลายๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นในระยะเวลาแค่ไม่กี่วันที่ฉันไม่อยู่บ้าน โลกมันหมุนกลับหัวไปแล้วหรือไงกัน?!


“ภาไม่คุย! ถ้าคุณแม่ให้มันอยู่งั้นภาไปเองก็ได้!”


“ห้ามไปไหนทั้งนั้นนะภาวิณี! ถึงเวลาที่เธอจะทำตัวให้เหมือนคนที่โตเป็นผู้ใหญ่จริงๆสักที หัดรับฟังคนอื่นซะบ้าง กานต์จะอยู่ที่นี่ เธอเองก็เหมือนกัน ถ้าไม่อยากคุยตอนนี้ก็ขึ้นห้องไปสงบสติอารมณ์ก่อน ใจเย็นลงเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”


ใครๆก็รู้ว่าเวลาคุณแม่โกรธจะยิ่งนิ่ง น้ำเสียงเรียบเย็นทรงอำนาจ แต่ไม่เคยเลยที่ท่านจะใช้น้ำเสียงอย่างนี้กับฉัน ไม่ว่าฉันจะทำผิดหรือทำให้ท่านไม่พอใจสักแค่ไหนก็ไม่เคยจิกเรียกฉันแบบนี้ นี่ตกลงว่าฉันกลายเป็นคนอื่นในขณะที่ไอ้เด็กตุ๊ดนี่กลายเป็นลูกรักคนใหม่ของท่าน ไม่จริงใช่มั้ย?!


“คุณแม่เข้าข้างมัน!”


“มาเหนื่อยๆ ขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า เอาไว้ให้ใจเย็นๆก่อนแล้วค่อยคุยกัน นะครับหนูภา” คนที่ยืนอยู่ข้างๆพูดกับฉันแต่เชื่อสิว่าเขามองแต่ไอ้เด็กนั่น เพราะมันก็กำลังมองตอบเขาเช่นกัน


จนถึงตอนนี้ คำว่าเสียใจ น้อยใจ หรือผิดหวังก็ดูจะน้อยเกินไป เพราะในอกมันมันทั้งเจ็บและจุกจนแทบหายใจไม่ออก แต่จำไว้ ขึ้นชื่อว่าคนอย่างภาวิณีจะไม่ยอมเจ็บคนเดียว ฉันเลยคว้าอะไรสักอย่างที่ใกล้มือเขวี้ยงออกไปสุดแรง พอสิ่งนั้นโดนเป้าหมายแล้วตกลงบนพื้นถึงได้รู้ อ้อ! จานพอร์ซเลนเขียนลายที่คุณแม่ได้มาจากอิตาลี โชคดีไม่ถึงกับแตก แค่มีรอยร้าวกับขอบบิ่นนิดหน่อย ได้สีแดงสดแต้มเพิ่มขึ้นมา ฉันว่าจานมันยิ่งดูสวยสะใจสุดๆเชียวล่ะ!


ขณะที่ฉันยังจ้องจานกระเบื้องราคาแพงไม่วางตา ทั้งคุณแม่และอาชัชกลับเข้าไปรุมดูไอ้เด็กตุ๊ดกันใหญ่ แถมเรียกคนโน้นคนนี้มาช่วยกันให้เป็นที่เอิกเกริก ไม่เข้าใจว่าจะเดือดร้อนอะไรกันนักหนา ขนาดเจ้าตัวเองยังไม่ได้ยินว่าจะแหกปากร้องสักแอะ ฉันขี้เกียจจะวุ่นวายด้วยเลยเดินขึ้นห้องสบายๆ ปล่อยให้พวกเขาโอ๋เอาใจมันกันให้พอ




จบตอนแล้วคร้าบ




ตอนเริ่มก็ดูจะเรียกคะแนนสงสารได้บ้าง แต่พอจบตอนเธอก็เข้าอีหรอบเดิม

เชื่อว่ากระทั่งบทส่งท้าย นางก็คงโดนด่าไม่เลิกล่ะค่ะ 555





 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 35 (29-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsaizzz ที่ 29-07-2016 19:34:00
หนูภาน่าจะโดนดัดนิสัยนะคะ เพลียยย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 35 (29-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 30-07-2016 01:14:29
ถ้ากานต์เป็นลูกอาชัชขึ้นมา จะมองหน้ากันไม่ติดนะหนูภา...
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 35 (29-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-07-2016 01:14:53
 :angry2: คนโตๆเขาทำกันใช่ไหม
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 35 (29-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 30-07-2016 07:49:15
ภานิสัยเด็ก! เด็กไม่รู้จักโต ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์เลย


ฮึ้มมมมม...ลุ้นตอนต่อไป อิอิ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 35 (29-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Dolamon ที่ 30-07-2016 10:13:40
ลุ้นต่อไปว่ากานต์. จะเอาชนะใจภาวิณีด้วยวิธีไหน
สู้สู้ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 35 (29-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 30-07-2016 21:46:21
เบื่อนางนะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 35 (29-7-59)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 02-08-2016 23:45:58
มันเกินไปมั๊ยหนูภา อาชัชจัดการอะไรหน่อยดิ พอเป็นเมียล่ะเข้าสมาคมกลัวเมียเลยนะไม่กล้าดุสั่งสอนเลย :o211:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 36
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 03-08-2016 05:03:47






36.




ด้วยตำแหน่งประธานกรรมการบริหารเครือข่ายธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งโรงแรม คลับ และคาสิโน ในแต่ละวันต้องพบปะพูดคุยกับผู้คนมากมาย มีเรื่องให้คิดและตัดสินใจซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของพนักงานนับร้อย ไหนจะครอบครัวของคนเหล่านั้นก็รวมได้เป็นพันชีวิต บางวันประชุมตั้งแต่เช้าจรดเย็น ยิ่งช่วงที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆจำเป็นต้องศึกษางานทั้งหมดอย่างเร็วที่สุด ผมกับวรเมธถึงขั้นหลับคากองเอกสารกันเป็นประจำ แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งหมดนั้นยังไม่ทำให้เครียดขนาดนี้ หลังรับโทรศัพท์จากอาชัชผมก็รีบแล่นออกจากโรงแรมด้วยความร้อนใจสุดชีวิต!


รถไม่ทันจอดสนิทดี ผมก็เปิดประตูลงแล้ววิ่งขึ้นบ้าน เพิ่งจะมีวันนี้ที่รู้สึกว่าบันไดมันจะสูงไปไหน โถงกลางบ้านกว้างไปมั้ย ห้องโน้นห้องนี้จะมีเยอะแยะไปเพื่อ และที่สำคัญ คนใช้บ้านนี้มันหายหัวกันหมด ทำไมไม่มีใครมาคอยบอกว่าคนที่ผมอยากเจออยู่ที่ไหน แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่มีใครโผล่มาเพราะวินาทีนี้ ผมรู้ตัวเลยว่าแม่งโคตรพาล!


“เป็นไงบ้างวะหมอ?!”


ผมรีบถามเมื่อได้เห็นคนที่อยากเจอ คาดว่าการทำแผลคงถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วเพราะชวินกำลังบรรจงแปะผ้าก็อซลงไปบนขมับของคนเจ็บ พอรูดนิ้วรีดแถบพลาสเตอร์จนแน่นดีก็หันมาตอบ


“โคตรง่วงเลยว่ะ เมื่อคืนเข้าเวร พอเช้ามีเคสฉุกเฉินเข้ามาเลยต้องอยู่ต่อ เพิ่งได้กลับบ้านเมื่อตะกี้ กะจะนอนยาวถึงเย็นแต่พอหัวถึงหมอนก็โดนเรียกมานี่แหละ”


ถึงมันไม่เล่าก็เดาได้เพราะคงไม่มีหมอที่ไหนจะบ้าใส่ชุดนอนมารักษาคนไข้ และที่ต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะบ้านมันอยู่ถัดจากผมไปไม่กี่หลัง เลยเป็นเหตุให้เห็นหน้ากันมาตั้งแต่จำความได้ เคยบ้าหนังจีนจนขนาดจะกรีดเลือดเป็นพี่น้องร่วมสาบาน แต่ถ้าถามตอนนี้ ผมว่าเชือดคอมันเลยดีกว่า เผื่อความกวนประสาทจะลดๆลงบ้าง


“กูหมายถึงกานต์ ไม่ใช่มึง!”


“อ๋อ! จิ๊บจ๊อย” เจ้าหมอหน้าแป้นฉีกยิ้มตามด้วยอ้าปากหาวจนผมอ่อนใจ “โดนขอบจานเข้าไปเลยแตกนิโหน่ย แต่ก็แค่ผิวๆว่ะ ไม่ต้องถึงกับเย็บ แค่ใส่ยากะปิดป๊าดซะเต้อก็เสร็จเรียบร้อยหายห่วง”


“ไอ้หมอ?!” ผมตวาดลั่น แต่กลายเป็นทำให้คนเจ็บสะดุ้งแทน


“โอเคๆ ใจเย็นก่อน ถ้ามึงไม่เชื่อน้ำหน้ากูที่สู้อุตส่าห์เรียนจบหมอมาจริงๆ งั้นมึงถามแฟนมึงเองเลยอ่ะ”


ความจริงผมมองกานต์อยู่ตลอด เห็นสีหน้าเซียวๆ อาการย่นหัวคิ้วนิดๆแล้วอยากจะเข้าไปกอด ไปปลอบให้หายเจ็บ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงยังยืนเป็นบื้อเหมือนคนไม่รู้ที่ทางของตัวเอง จนเจ้าหมอเปิดทางและกานต์ขยับตัวเบาๆ ผมถึงได้รีบนั่งลงข้างๆ แล้วเชื่อเถอะว่าผมกำลังทำตัวไม่ถูก...


“ผมไม่เป็นไร แค่หัวแตกนิดเดียวอย่างที่พี่หมอบอกจริงๆครับ”


“แน่นะ?! ปวดหัวมั้ย แล้วเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?!”


กานต์อมยิ้ม ทำท่าจะส่ายหน้าแต่ขยับได้นิดหน่อยก็ชะงัก


“ตอนนี้อาจจะยังไม่ปวด แต่จะให้ยาแก้อักเสบไว้ ถ้าปวดหัวด้วยก็กินพาราเพิ่มอีกหนึ่งเม็ดทุกสี่ถึงหกชั่วโมง เวลาอาบน้ำหรือล้างหน้าต้องระวังอย่าให้แผลเปียก แล้วพรุ่งนี้เช้าพี่หมอจะแวะเข้ามาดูแผลให้อีกทีก่อนไปเข้าเวร โอเคนะครับ” น้ำเสียงจริงจังสมกับอาชีพแทรกขัด เรียกว่าถ้าคนทั้งโลกสบายดีก็คงไม่มีใครได้เห็นมุมนี้ของนายแพทย์ชวิน แต่สำหรับเพื่อนสนิทอย่างตัวผม มุมเดียวที่จะได้สัมผัส...


“ส่วนมึง เดี๋ยวกูจะสั่งยาแก้โรคประสาทให้กินเล่นสักกระปุก ชักวิตกจริตจนโอเวอร์แล้วมึงน่ะ”


“ง่วงก็รีบกลับบ้านไปนอนไป ก่อนที่กูจะทำให้มึงไม่ต้องตื่นไปกวนบาทาใครอีก ไอ้ลูกชิ้นหมา!”


ไอ้หมอมือไวหยิบห่อสำลีปามา ผมคว้าทันเลยส่งกลับไปสุดแรง มันหลบได้ ห่อสำลีเลยลอยไปตกที่มุมห้องโน่น มันมองผมกับกานต์แวบหนึ่งก็เดินไปเก็บให้ ไม่บ่นอะไรสักคำ ผมจึงหันกลับมาและเห็นคนข้างตัวนิ่วหน้าทั้งๆที่พยายามขำให้เบาสุดๆแล้ว ส่วนผมแค่อ้าปากก็เหมือนมีก้อนแข็งๆแล่นขึ้นมาที่คอ เพราะถึงแผลบนหัวจะดูไม่หนักหนาแต่รอยแดงที่แห้งกรังเป็นดวงๆบนเสื้อเชิ้ตสีขาวก็ทำให้ผมพูดได้แค่ว่า...


“ขอโทษ...” มือขาววางลงและบีบมือผมเบาๆ “ฉันขอโทษที่คุ้มครองกานต์ไม่ได้อย่างที่พูด ตั้งแต่มาอยู่กับฉันมีแต่เรื่องให้เจ็บตัว แล้วแถมคนที่ทำก็ดันเป็นน้องสาวฉันเอง”


จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อ ผมสนิทกับภาวิณีในระดับที่รู้จักนิสัยใจคอกันดี น้องสาวผมอาจจะดื้อรั้น เอาแต่ใจ ขี้งอน ขี้น้อยใจตามประสาผู้หญิง แต่ผมยืนยันได้ว่าเธอไม่ใช่คนก้าวร้าว หรือชอบใช้กำลังชนิดที่จะตามราวี ลงไม้ลงมือกับใคร และที่เลวร้ายที่สุด ถ้าลองคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พลาดจากกานต์ไปนิดเดียวก็คือคุณแม่ ไม่รู้จริงๆว่ามีอะไรบังตาหรือเข้าสิงให้ยัยภาขาดสติไปได้ขนาดนั้น


“ถ้ามองอีกด้านจะถือว่าผมเป็นตัวซวย เอาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้คุณก็ได้ เพราะฉะนั้นเราหายกัน” คนหน้าเซียวยิ้มบางๆแต่น่าชื่นใจเหลือเกินในความรู้สึกคนมอง “หัวแตกแค่นี้แป๊บเดียวก็หาย คุณภาต่างหากที่น่าเป็นห่วง ผมว่าคุณควรจะรีบไปคุยกับเธอนะครับ”


“กูเห็นด้วยว่ะกร มึงควรเคลียร์กับน้องภาให้รู้เรื่องและโดยเร็วที่สุด ถ้าเขามีปัญหาอะไรจะได้รีบหาทางแก้ไข บอกตรงๆกูเบื่อ เจอหน้ากันทีไรกานต์มีแผลมาฝากกูทู้กที” เจ้าหมอแทรกความเห็นบ้างพลางเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องปฐมพยาบาล ท่าทางมันดูเหนื่อยทั้งกายและใจไม่ได้แกล้ง คงเป็นอย่างที่มันเคยบอกอยู่บ่อยๆว่าถึงจะรู้สึกดีที่ได้ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาช่วยเหลือคนอื่น แต่คงจะดีกว่าถ้าโลกนี้ไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วยให้มันต้องรักษา


“แล้วจะให้คุยอะไรวะ นี่ยังงงๆอยู่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น มึงก็รู้จักน้องกูมาตั้งแต่เด็ก ภาใช่เป็นคนแบบนี้ที่ไหน”


“ก็ไม่แน่นะกร คนเรามันเปลี่ยนกันไปตลอดทุกช่วงวัย ตอนเด็กอย่างหนึ่ง โตมาอย่างหนึ่ง เดี๋ยวพอแก่ไปก็อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ มึงไม่ได้ตัวติดกับน้องตลอดเวลาสักหน่อย จะรู้ได้ไงว่าเขาไปพบใคร เจออะไร ยังไงมาบ้าง ขนาดร่างกายคนเราเจอมลพิษ เจอเชื้อโรคยังไม่สบายได้ สภาพจิตใจมันก็ไม่ต่างกันหรอกน่ะ”


ผมจ้องหน้าเพื่อนไม่กล้ากระพริบตา ไอ้หมอเองก็มองตอบผมตาไม่กระพริบเหมือนกัน


“มึงจะบอกว่ายัยภามีอาการทางจิต...?!”


“อันนี้กูไม่อยากฟันธง ถ้าจะให้ชัวร์ต้องลองพาไปคุยกับหมอจิตดู แต่การที่คนเราอยู่ดีๆอารมณ์รุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ ทำอะไรลงไปแบบที่ควบคุมตัวเองไม่ได้มันก็น่าสงสัย หรือถ้าเป็นแค่ความเครียดธรรมดาก็แล้วไป แต่อย่างน้อยหมอเขาจะได้ช่วยวินิจฉัยหาสาเหตุให้ว่าเกิดจากถูกกระตุ้น หรือมีสิ่งเร้าอะไรบ้างที่เราสามารถหลีกเลี่ยง น้องภาจะได้ไม่เสี่ยงจนเกิดอาการแบบนี้อีกยังไงล่ะ”


ไม่บ่อยนักที่ชวินจะพูดจาเป็นงานเป็นการ แต่เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่จะเกิดกันได้ง่ายๆ ลองว่าเกิดกับคนใกล้ตัวของใครก็ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่คนรอบข้างต้องเข้าใจและให้ความช่วยเหลือ ลำพังเจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัวหรือถึงรู้ก็อาจไม่ยอมรับว่ามีความผิดปกติอะไร


“งั้นผมว่า...” พอผมกับเพื่อนเงียบไป คนที่โดนผลกระทบเต็มๆก็ออกความเห็นบ้าง “ผมเนี่ยแหละตัวปัญหา” 


“อย่าคิดมากสิ” ผมรีบบอกเพราะไม่อยากให้กานต์คิดแบบนี้ ความรักของคนสองคนไม่ควรจะมีใครผิดหรือถูก และโดยเฉพาะในกรณีของเรา คนผิดจริงๆควรจะเป็นผมที่เริ่มต้นและล่อหลอกให้เขาเดินตามเกมของผมทุกอย่าง


“จริงๆนะครับ คุณภาเห็นผมปุ๊บก็อารมณ์เสียปั๊บ บอกให้ผมออกไปจากที่นี่ พอคุณท่านไม่ยอม เธอก็เลย...”


ผมบีบมือเล็กเบาๆ อีกมืออ้อมเอวบางโอบดึงให้เขยิบเข้ามาชิด ไม่ใช่เขาแต่เป็นตัวผมเองที่ต้องการกำลังใจอย่างหนักหน่วง และการที่ได้มีร่างอุ่นอยู่ในอ้อมแขน ได้สูดกลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนผมนิ่มลื่นก็ชวนให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก


“จริงๆแล้ว...” เมื่อสมองโล่งขึ้นก็ควรจะถูกใช้ให้คุ้ม “ยัยภาเองมีเพื่อนทั้งที่เป็นเกย์ เป็นกระเทย หรือขนาดเลสเบี้ยนที่คบกันอย่างเปิดเผยอยู่หลายคน ก็ไม่น่าจะรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันผิด หรือประหลาด น่ารังเกียจอะไรมากมาย ส่วนที่ตามไปอาละวาดถึงที่โรงแรมนั่นน่าจะเป็นเพราะได้ลูกยุจากคุณแม่ เพราะตั้งแต่เด็กภาเป็นลูกรักที่คุณแม่ตามใจทุกอย่าง ยัยภาเองก็ไม่เคยขัดใจ แม่ลูกเลยเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้ทุกเรื่อง แต่ตอนนี้คุณแม่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังชอบกานต์มากด้วยซ้ำ ฉันถึงยังนึกไม่ออกว่ามันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ยัยภาตั้งแง่กับกานต์มากขนาดนี้”


คนในอ้อมแขนส่งเสียงถอนหายใจแล้วเอียงซบลงมา ผมเลยแตะปากกับหน้าผากอุ่นเบาๆ อืมมม รู้สึกอุ่นเกินปกติ สงสัยจะเริ่มมีไข้ ส่วนเจ้าหมอทำตาโต แต่ไม่ใช่เพราะตกใจที่ได้เห็นฉากหวานๆ


“แกกำลังจะบอกว่าที่น้องภาปรี๊ดแตก ไม่ใช่เพราะกานต์...?” ผมไม่ได้ตอบ แต่ใจจริงๆก็อยากจะบอกแบบนั้น “บ๊ะ! งั้นนี่ตกลงว่าน้องกานต์ของพี่หมอหัวแตกแทนหมาตัวไหนกันวะเนี่ย?!”


“อาชัช...” ยังไม่ทันได้ตอบคำถามนั้นก็พอดีกับที่มีคนช่วยคิดเพิ่มขึ้นมา แต่ท่าทางเดินหมดแรง หน้าแห้งขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน “ข้างบนเป็นไงบ้างครับ?”


“ขังตัวเองอยู่ในห้อง เรียกยังไงก็ไม่ยอมตอบ” อาชัชส่ายหน้า ถอนหายใจยาวแล้วทิ้งตัวลงข้างๆเด็กน้อยของผม “ไหวมั้ยเรา โดนเจ้าลูกชิ้นจับเย็บไปกี่เข็มหืม?”


กานต์ยิ้มแล้วขยับตัวไปหาอาชัชอีกหน่อย ส่วนคนที่ออกอาการหนีไม่พ้น...


“โห อาหลานบ้านนี้พอกัน! ไม่รักไม่ปลื้มกันก็ไม่ว่า แต่ช่วยให้เกียรติอาชีพผมนิ๊สสสนึงสิครับ”


ชวินเคยบ่นว่าบ้านมันเงียบเหงา ทั้งพ่อทั้งแม่และตัวมันเองเป็นลูกคนเดียว ปู่ย่าตายายเสียไปหมดแล้ว ญาติๆไม่ว่าจะข้างไหนก็ล้วนอยู่ต่างจังหวัดหรือไม่ก็ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้ติดต่อเลยยิ่งห่างจนไม่รู้จักกันไปโดยปริยาย เหมือนอย่างตอนที่มาเจอกับวรเมธ คุยกันไปคุยกันมาถึงได้รู้ว่าพวกแม่ๆเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะอย่างนี้มันถึงชอบมาขลุกอยู่บ้านผม และยึดเอาพ่อแม่ญาติพี่น้องผมเป็นของมันไปด้วย ส่วนอาชัชนั้นก็รู้จักและเห็นมันคู่กับผมมาตั้งแต่เล็ก แถมดูจะสนิทสนมและเล่นหัวกับมันมากกว่าผมที่เป็นหลานด้วยซ้ำ


“เออๆ เอ็งอยากบ่นก็บ่นไปเหอะ ทีเมื่อก่อนอยากทำอะไรไม่คิดนี่หว่า ตัวแม่งก็นิดเดียวแต่เขมือบลูกชิ้นหมดไม้ ไม่รู้เอาไปยัดไว้ตรงไหนของกระเพาะ”


“แค่กินลูกชิ้นหมดไม้มันแปลกตรงไหนเหรอครับอา”


“เคยไปเที่ยวงานวัดใช่มั้ย?” กานต์พยักหน้าซื่อๆเลยยิ่งเข้าทางให้อาชัชก่อไฟกองใหญ่ “งั้นก็ลองนึกถึงร้านลูกชิ้นปิ้งนะ ที่มันจะมีลูกชิ้นลูกโตๆ ไม้นึงเสียบได้สองลูกอะไรยังงั้นน่ะ คือจริงๆคนขายก็คงกะแค่วางโชว์ไว้ให้เตะตาคนที่มาเดินเที่ยว ใครมันจะไปนึกล่ะว่าจะมีลูกเศรษฐีตายอดตายอยากซื้อไปกินจริงๆ นึกภาพตอนไอ้หมอนี่อ้าปากจะงับลูกชิ้นทั้งลูกให้ได้แล้วยังขำไม่หาย”


อาชัชส่งเสียงหัวเราะตบท้าย ส่วนผมนึกถึงเรื่องเก่าๆก็อดขำไม่ได้เหมือนกัน แต่ตัวเจ้าของเรื่องคงไม่สนุกด้วย


“หมด! หมดกัน!” ชวินออกท่าโวยวายยิ่งกว่าเด็กๆ สำหรับผมกับอาชัชมันไม่แคร์อยู่แล้วแต่ก็คงอยากรักษาภาพพจน์ดีๆในสายตาเด็กน้อยเอาไว้ให้ถึงที่สุด “น้องกานต์แค่ฟังให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็พอ อย่าไปนึกตามแล้วก็ไม่ต้องจำให้รกสมองเลยนะ ตอนนั้นพี่หมอยังเด็ก ใสซื่อบริสุทธิ์ อะไรไม่เคยเห็นมันก็เลยตื่นตาตื่นใจ อยากรู้อยากลองไปบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้ว สาบานให้ฟ้าผ่าไอ้กรเลยครับ”


ขนาดผมยังอดไม่ได้ อาชัชนั่นตบโซฟาป้าบๆ คนที่ตกที่นั่งลำบากคือกานต์ จะกลั้นขำก็ไม่ไหว แต่หัวเราะแรงๆก็เจ็บจนมีเสียงโอดโอยเบาๆแทรกมาให้ได้ยิน แต่ก่อนที่ผมจะได้ทันทำอะไร ร่างบางก็ถูกดึงให้ห่างออกไปกว่าเดิม


“เจ็บแผลล่ะสิ?” มือใหญ่ค่อยๆเกลี่ยไรผมเพื่อดูแผลที่ทำไว้เรียบร้อย ปลายนิ้วผิวสองสีไล้ทั่วหน้าผากแล้วค่อยเลื่อนทั้งมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ดวงตาดำเข้มพินิจมองตลอดวงหน้าขาว พอประกอบกับรอยยิ้มนิดๆและเสียงทุ้มนุ่มอย่างที่ไม่ได้ยินบ่อยนักก็กลายเป็นความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่ผมต้องเบือนหน้าหนี แล้วก็ดันไปเจอเข้ากับแววตาของเพื่อนสนิทที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกมันสมน้ำหน้า


“ขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ” อาชัชไล่สายตาลงมาที่รอยแดงแห้งกรังแล้วก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผมนัก “ถ้าเพลียก็หลับสักตื่น ไม่อย่างนั้นก็ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณภัทเขาหน่อย รายนั้นก็เงียบๆ อาการน่าเป็นห่วงพอกัน”


กานต์หันมาหา ผมจึงพยักหน้าและเอ่ยฝากให้ช่วยดูแลคุณแม่อีกแรง พอเหลือกันสามคน เจ้าชวินก็เปิดประเด็นเก่าขึ้นมาเพื่อขอความเห็นจากญาติผู้ใหญ่ที่ใครๆก็รู้ว่าภาวิณีให้ความสนิทสนมมากที่สุด แทนที่จะได้คำตอบ อาชัชกลับมองผมแปลกๆ เริ่มต้นด้วยอาการอึกอักส่อถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ด้วยสไตล์ขวานผ่าซาก ไม่เก่งเรื่องพูดจาอ้อมค้อม  แค่ประโยคแรกที่หลุดออกมาก็ทำเอาผมชาวาบไปทั้งตัว


“เฮ้ย! เดี๋ยวๆไอ้กร ใจเย็นก่อน!”


 เสียงเจ้าหมอตะเบ็งกรอกหูทำให้กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ยอมรับเลยว่าสติหลุดไปจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าคว้าคออาชัชขึ้นมาและกำลังง้างหมัดจะซัดเข้าให้แล้ว


“จะให้กูเย็นอะไรอีก มึงไม่ได้ยินที่ไอ้เชี่ยนี่มันพูดหรือไง?!”


“เฮ้ยกร! ยังไงก็อานะมึง!”


“งั้นมึงบอกซิว่าอาที่ทำกับหลานตัวเองยังงั้นไม่เลวบัดซบแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!”


ผมตะโกนใส่หน้าคนที่ได้ชื่อว่า ‘อา’ สุดเสียง ไม่เคยรู้สึกถึงความโกรธ เกลียด ขยะแยงจนอยากจะฆ่าให้ตายคามือขนาดนี้มาก่อน ความจริงผมพูดอย่างไม่อายว่ารู้มาตลอดที่ภาวิณีแอบรักคนๆนี้ สาเหตุที่ไม่คัดค้านหรือพยายามกีดกันก็เพราะเขาไม่ใช่แค่ญาติฝ่ายพ่อคนเดียวที่เหลืออยู่ แต่เป็นแบบฉบับของผู้ชายแท้ๆที่ผมนับถือและไว้ใจได้เท่ากับตัวเอง แต่กลับมาทำเรื่องบัดสีกับน้องสาวผม หลานสาวคนเดียวของเขา ผมคงไม่ใช่พ่อพระที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงเขาจะเป็นฝ่ายสารภาพออกมาเองแล้วหวังว่าผมจะโอเค ก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าไม่มีทางเด็ดขาด!


“ก็ไม่ต้องเรียก” อาชัชยังนิ่งทั้งน้ำเสียงและสีหน้า อย่างกับว่าไม่ได้ถูกกระชากคอเสื้ออยู่ด้วยซ้ำ “ฉันเป็นแค่เด็กที่แม่เก็บมาเลี้ยง แต่พี่กฤตมีเหตุผลบางอย่างที่ให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ พูดง่ายๆคือฉันไม่ใช่อาแท้ๆของพวกเธอ ไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรทางสายเลือด เพราะฉะนั้นอยากจะทำอะไรก็เชิญเลย”


ผมตัวชาวาบ สมองขาวโพลนไปอีกรอบ มันฟังเหมือนจะเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่าที่สุด แต่ทำไมผมถึงไม่รู้สึกเลยล่ะว่าเขากำลังโกหกเพื่อเอาตัวรอด


“แต่...” ตอนนี้ในหัวของผมมีคำนี้เต็มไปหมด “...มันก็ไม่สมควรอยู่ดี เพราะถึงยังไงผมกับน้องก็นับถืออาเป็นอามาตลอด ยัยภาทั้งรักทั้งปลื้มอามากกว่าใคร แล้วใครๆก็รู้ว่าเราเป็นญาติกัน คิดบ้างมั้ยว่าทำแบบนี้แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมันไม่มีเหลืออยู่ในหัวอาแล้วหรือไง?!”


ผมเสียงดังส่งท้าย ใส่แรงไปตอนปล่อยมือจากคอเสื้อจนดูเป็นการผลักอกกลายๆ แต่ร่างหนาก็ยังยืนนิ่ง มีรอยยิ้มอย่างเป็นปกติจนผมชักฉุน


“กรจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจนะ แต่รายนั้นรู้อยู่แล้วว่าอาไม่ใช่อา เขาอาจจะรู้เองหรือไม่พี่กฤตก็คงบอก และคนที่ทำให้เรื่องมันเลยเถิดจนถึงขั้นนี้ก็คือน้องสาวเรานั่นแหละ”


ดวงตาคมเข้มสะกดอารมณ์ผมให้เย็นลงบ้าง แล้วจึงค่อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากภาวิณีไปอาละวาดกานต์ที่โรงแรมและถูกลากตัวออกไป หลังเหตุการณ์นั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกเพราะเชื่อว่าอาชัชกำราบยัยภาได้ ไม่นึกเลยว่าแม่น้องสาวตัวดีจะทำเรื่องที่... เอาเป็นว่าทำให้ผมขนลุก เนื้อตัวชาวูบอีกรอบได้ก็แล้วกัน


“โอ้วแม่เจ้า! น้องภาเธอช่าง... แรงวส์! อันนี้ส่วนตัวนะกร กูเชื่ออาชัชว่ะ” ชวินหันมาทำตาโตใส่แล้วตบไหล่ผมหนักๆ ท่าทางมันเหมือนจะบอกว่าดีใจที่เกิดเป็นลูกคนเดียว ผมยกขาเหวี่ยง แต่มันรู้แกวเลยหลบทัน “หรือมึงจะเถียงว่าน้องภาไม่ได้ชอบอาชัชมาตั้งแต่ยังไม่โตเป็นสาวเลยมั้ง เอะอะไรก็อาชัชๆตลอด ยิ่งน้องภาเป็นคนที่รักก็รักแรง เกลียดก็เกลียดเข้าไส้ คงจะรู้มานานแล้วว่าอาชัชไม่ใช่อาก็ยิ่งปักใจ พอถึงจุดๆนึงเลยกล้าที่จะทำอะไรที่บ้าได้ขนาดนั้นไง”


ผมไม่ได้เถียงหรือความจริงคือเถียงไม่ออก เพราะมันก็รู้จักยัยภาดีพอๆกับผม ฝ่ายที่เปลี่ยนสถานะจาก ‘อา’  มาเป็น ‘ว่าที่น้องเขย’ หมาดๆเลยถือโอกาสปิดตายคำโต้แย้ง


“อาถือว่ากรเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีสิทธิ์ในการตัดสินใจทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ที่มาบอกนี่ไม่ใช่จะให้ยกโทษแต่เพราะอาต้องการรับผิดชอบหนูภา และอาพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่กรกับคุณภัทต้องการ”


ผมยกมือขอยอมแพ้แล้วทิ้งตัวลงโซฟา นาทีนี้บอกได้เลยว่าเข็ดขยาดเรื่องเซอร์ไพรส์ไปอีกนาน ชวินเลยทำหน้าที่เพื่อนแสนรู้ดำเนินการสนทนาต่อ


“งั้นเราพักเรื่องอาชัชไว้แล้วกลับมาที่ประเด็นของกานต์กันก่อน ที่ตอนแรกอาบอกว่าน้องภาไม่ได้แค่หวงไอ้กร แสดงว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นใช่มั้ยครับ”


“ดูเหมือนหนูภาจะคิดว่าอาชอบกานต์...” ผมดีดตัวผึงขึ้นมาจ้องหน้าให้รู้ว่าคราวนี้ลองถ้ามีอะไรผิดหูอีกทีล่ะก็ ถึงเป็นอาชัชผมก็ไม่เอาไว้แน่ “วางใจได้ อารู้น่ะว่ากานต์เป็นของใคร แต่เอาจริงๆเลยนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม มันอธิบายไม่ได้ แต่อาชอบเด็กคนนี้มาก ตั้งแต่ที่เจอกันก็คอยคิดถึงตลอด อยากเห็นเขายิ้ม อยากทำอะไรก็ได้ให้เขามีความสุข แล้วเวลาได้อยู่ใกล้ๆกันก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก หนูภาบอกว่าอาเคยละเมอเรียกหากานต์ แต่จะเอาอะไรกับคนกำลังหลับล่ะ หนูภาอาจจะฟังผิดหรือไม่อาก็คงฝันถึงใครไปเรื่อยเปื่อย แต่พูดยังไงหนูภาก็ไม่ยอมเชื่อ ยังฝังใจว่าอารักกานต์ด้วยอีกคนถึงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตนี่ล่ะ”


“แล้วถ้าอาไม่ได้ฝันถึงกานต์ อาฝันถึงใครล่ะครับ” ชวินซักแต่คนอย่างอาชัช ถ้าเงียบก็อย่าหวังว่าจะยอมคายอะไรออกมา เจ้าคนขี้สงสัยเลยวิเคราะห์และช่วยตัดสินความให้เสียเลย “ตกลงว่าน้องภาเข้าใจผิด คิดว่าอาชัชชอบกานต์ก็เลยหึงจนหน้ามืด งั้นสรุปก็เป็นหน้าที่ของอาชัชที่จะต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนที่ผมจะต้องถ่างตามานั่งทำแผลให้กานต์อย่างวันนี้อีก ส่วนไอ้กร ในฐานะที่เป็นพี่และหัวหน้าครอบครัว มึงก็ควรช่วยอาชัชกับน้องภาคุยกับคุณป้า ถ้าตกลงได้แล้วว่าจะบอกคุณป้าวันไหนก็บอกด้วย กูจะได้เข้ามาคอยเสนอหน้า เผื่อคุณป้าดีใจที่ได้ลูกเขยมากจนช็อคไปจะได้ช่วยกันทัน โอเค้?”


ผมเออออรับไปด้วยความหมันไส้ ความจริงก็ต้องขอบใจเพราะทุกอย่างที่มันบอกแสดงถึงความละเอียดรอบคอบและใส่ใจกับทุกคนในครอบครัวผมจริงๆ แต่มีใครที่มันตกไปสำรวจหรือเปล่า?!


“แล้วตกลงกานต์ไม่เป็นอะไรแน่นะ แผลนั่นจะอักเสบมั้ย จะมีไข้หรือไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า?”


ชวินกลอกตาขึ้นฟ้าแล้วจะเรียกว่าชี้หน้าด่าก็คงได้...


“มึงช่วยหึงอย่างมีสติแล้วก็เลิกห่วงจนโอเวอร์สักที! จำใส่สมองไว้ด้วยว่ากานต์เป็นผู้ชาย เข้าใจมั้ยว่าแฟนมึงเป็นผู้ชาย! ไม่ใช่สาวน้อยบอบบางไร้เดียงสาที่แม่งโดนเข็มตำนิ้วก็นอนเดี้ยงไปเป็นร้อยปีนะเว้ย!”


ผมได้ฟังแล้วรู้สึกคุ้นหู เหมือนมีภาพเจ้าเมธซ้อนทับร่างไอ้หมอ โดนเพื่อนสนิทสองคนรุมด่าด้วยเรื่องเดียวกันไม่พอ อาชัชยังตามถล่มซ้ำ


“อย่าไปว่ามันเลย คนมันเพิ่งจะรู้จักกับความรัก แถมยังเผลอไปปิ๊งผู้ชายด้วยกันเองอีก ถ้ามันจะทำตัวไม่ถูกก็ไม่แปลกหรอก”


“อย่างกับอาจะดีกว่าผม ถ้าไม่รีบหาวิธีกำราบยัยภาเสียแต่เนิ่นๆ ระวังจะเป็นโรคกลัวเมียไปตลอดชีวิตนะครับ!”


เจ้าหมอเดินออกจากห้องพร้อมเสียงหัวเราะลั่น อาชัชแค่นยิ้มแล้วหงายหลังผึ่ง ส่วนผมก็ทิ้งตัวลงโซฟาหมดรูปพอกัน ชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมงนับแต่ได้รับโทรศัพท์จนมาถึงตอนนี้ต้องเรียกว่าวายป่วง มีแต่เรื่องให้ตกใจ เซอร์ไพรส์ทุกนาที แต่ก็โชคดีที่ทุกอย่างจบลง... น่าจะดีกว่าที่คิดเพราะอย่างน้อยกานต์ก็ปลอดภัย ส่วนอาชัชกับภาวิณีนั้นแม้จะขลุกขลักไปบ้าง แต่มันอาจจะเป็นความบังเอิญ เรื่องของโชคชะตาที่ท้ายที่สุดแล้วน้องสาวผมก็ได้ลงเอยกับคนที่เขาปักใจมานาน ผมพลันคิดไปถึงคำที่เคยได้ยินว่า ความรักมักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ คนสองคนถ้าตั้งใจว่าจะรักและใช้ชิวิตคู่ก็ต้องร่วมฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน ซึ่งเป็นความคิดที่ให้ความหวังและสร้างกำลังใจได้อย่างยอดเยี่ยม ฉะนั้นเรื่องของผมกับกานต์ก็น่าจะไปได้สวย เพราะผมเชื่อว่าตราบใดที่มีความรักก็มักมีทางให้ไปต่อเสมอ






จบตอนแล้วคร้าบ





ตอนนี้ต้องขอบคุณหมอที่มาช่วยรับเชิญเบรคอารมณ์ตลอดๆ พอเขียนจบแล้วมาทวนใหม่หลายรอบยังสงสัยว่าทำไมไม่เขียนให้หมอมีแฟนหว่า ผู้ชายอย่างเนี้ยน่ารักจะตาย



อาชัชไม่ใช่แค่เข้าสมาคม แต่นี่เขียนใบสมัครประธานชมรมเลยค่ะ เมียน่ากลัวออกอย่างนี้ 555


ส่วนคุณกร สงสารฮีเถอะค่ะ ตอนนี้เจอหนัก ปัญหารุมเร้า เรื่องบางอย่าง จะดูใหญ่หรือเล็กน้อยแค่ไหน แต่พอมาเจอกับตัวบางทีมันก็ตัน หาทางออกไม่เจอจริงๆ






 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 36 (3-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 03-08-2016 06:08:26
หมอลูกชิ้น เอ้ย! หมอชวินดูคล้ายว่าจะเป็นพระเอกของตอนที่ช่วยแก้ไขสถานะการณ์ทุกอย่าง 5555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 36 (3-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-08-2016 08:27:22
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 36 (3-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Dolamon ที่ 03-08-2016 08:33:55
เฮ้ยยยย  กว่าน้องภาจะยอมรับ สงสัยกานต์จะน่วมซะก่อนละสิ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 36 (3-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 03-08-2016 10:39:49
ตามความรู้สึก น้องภาไม่สมควรจะได้แต่งกับอาหรอก ชีวิตควรรู้จักความผิดหวังซะบ้าง
ยืนยัน รำคาญผู้หญิงแบบนี้
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 36 (3-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-08-2016 12:12:43
คุณหมอผู้ช่วยชีวิต  :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 36 (3-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 03-08-2016 14:38:48
ตอนนี้อยู่ที่อาชัชล่ะว่าจะยอมคลายอดีตหรือยัง  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 36 (3-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 03-08-2016 14:51:47
 :mew5:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 36 (3-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-08-2016 15:49:38
อาชัชที่ผูกพันกับกานต์ คงเพราะกาต์หน้าหวานเหมือนแม่
แต่ภาวินี มีอาการจิตแล้วล่ะ รักแรง หึงหวงแรง
เห็นด้วย ที่ว่าต่อไป อาชัช เป็นโรค กลัวเมีย
รอ  :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 37
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 08-08-2016 19:03:40





37.






คนอย่างผมให้จัดอยู่ในประเภทหัวแข็งก็น่าจะได้ ขนาดพี่หมอยังออกปากเองว่าแผลแห้งและหายสนิทเร็วกว่าที่คิด ไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ผิดกับคนที่ประเคนแผลใส่หัวผมที่อาการหนักกว่า คุณภาวิณีขังตัวเองอยู่ในห้องเป็นวันๆจนคุณชัชทนไม่ไหว ต้องใช้กุญแจดอกสำรองไขเข้าไป มีเสียงเจรจาดังโครมครามพอให้พวกเราที่รออยู่หน้าห้องสะดุ้งกันหลายยก สุดท้ายเธอก็ยอมอ่อนข้อให้ผมเสนอหน้าอยู่ต่อได้ แต่มีข้อแม้ให้เสียวสันหลังว่าจะไม่รับประกันความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้น


เนื่องด้วยสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ช่วงนี้ผมเลยต้องวิ่งรอกเพราะคุณภากรตัดสินใจพาผมกลับมานอนที่โรงแรมเพื่อเป็นการตัดปัญหา แต่คุณภัทราพรก็มักจะโทรเรียกให้ผมเข้าไปที่บ้าน หรือไม่ก็จะมาหาที่โรงแรมแล้วพาออกไปทำธุระที่โน่นที่นี่ตามแต่ใจท่าน และนอกจากงานประจำวันที่คุณวรเมธสั่ง ผมยังได้กลับมาเป็นนักเรียนอีกครั้งพร้อมข่าวดีที่ชวนให้ใจเต้นตึกตักทุกครั้งที่นึกถึง นั่นก็คือ... ผมกำลังจะได้ไปเมืองนอก!


ใช่แล้วครับ คุณภัทเป็นธุระจัดหาติวเตอร์ส่วนตัวมาให้ และบอกกับปากท่านเองว่าถ้าผมพร้อมเมื่อไหร่จะส่งไปเรียนต่อด้านการบริหารจัดการโรงแรมเหมือนอย่างคุณเมธ ถึงจะไม่ใช่วันนี้พรุ่งนี้เพราะมีเรื่องให้เตรียมตัวอีกมากและคุณภากรยังงอแงไม่ยอมให้ไปง่ายๆ แต่สำหรับคนอย่างผมแล้ว โอกาสดีๆแบบนี้ยิ่งกว่าฝันที่เป็นจริงอีกนะเนี่ย!


พอได้กลับมาอยู่ที่โรงแรมก็อาจพูดได้ว่าชีวิตกำลังกลับเข้าสู่จังหวะเดิมๆ ถึงอย่างนั้นผมก็เลิกหวังที่จะให้อะไรๆกลับไปเหมือนเก่า


“ถึงคุณจะไม่ถือสา แต่ผมก็ต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีของพวกลูกน้องครับ”


อะไรกัน?! ผมอุตส่าห์อาสาคุณเมธเอาเอกสารมาส่งถึงที่คลับเพราะอยากจะได้มาเฮฮาในบรรยากาศเดิมๆ แต่พวกพี่ๆทุกคนเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ขนาดเฮียสยามที่เคยเล่นหัวผมมาแต่ไหนแต่ไรยังทำท่าเคารพนบนอบราวกับผมเป็นเจ้าของโรงแรมด้วยอีกคน พอเห็นผมทำหน้ามุ่ยหนักเข้าถึงได้หันไปส่งสัญญาณบอกลูกน้องให้ถอยไปแล้วค่อยพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเกือบจะเหมือนเดิม 


“คนทุกคนต้องรู้จักหน้าที่และสถานะของตัวเอง เราเองก็ควรเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้แล้วนะกานต์”


“แล้วอะไรๆมันจะเปลี่ยนไปได้ยังไงในเมื่อผมก็ยังเป็นผม หรือเฮียลืมไปแล้วว่าพ่อพาผมมาที่นี่เพราะอะไร วันนั้นเฮียก็อยู่ด้วย อย่าบอกนะว่าเฮียแก่แล้วเลยความจำเสื่อม?!”


เฮียสยามเป็นคนหน้าดุ ขนาดไม่ใช่ลูกน้องในอาณัติโดยตรงยังกลัวกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่อยากคุยว่าทั้งโรงแรมคงมีแต่ผมที่กล้าเสียงดังใส่หรือใช้คำพูดข่มนักเลงใหญ่ได้ขนาดนี้


“เพราะจำได้แม่นเฮียถึงดีใจมากที่ได้เห็นเจ้าเด็กตัวผอมๆที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลาคนนั้นกลายมาเป็นคุณกานต์ที่มางอแงใส่เฮียอยู่อย่างตอนนี้น่ะสิ”


น้ำเสียงเข้มบอกเรียบๆแล้วโยกหัวผมเล่นนิดเดียวก็รีบปล่อยเพราะคงไม่อยากให้ผิดคำพูดตัวเอง อันที่จริงผมก็ไม่ได้โกรธ หรือถึงจะหงุดหงิดแต่มาเจอความเมตตาขนาดนี้ก็คงได้แต่ทำหน้าหงอย ไม่กล้าออกฤทธิ์อะไรอีก


“ถือเสียว่าเฮียพูดในฐานะผู้ใหญ่ที่ผ่านอะไรมามากก็แล้วกัน” ริมฝีปากหนาขอบสีคล้ำอย่างคนสูบบุหรี่จัดเหยียดออกนิดเดียวจนอาจไม่เรียกว่ารอยยิ้มด้วยซ้ำ “คุณอาจจะรู้สึกว่ายังเป็นคนเดิมแต่ในสายตาพวกเราทุกคน ตอนนี้คุณไม่ใช่ลูกหนี้ของบ่อนอีกแล้ว คุณมีตำแหน่งหน้าที่ในโรงแรมอย่างชัดเจน หรือแม้แต่คนข้างนอกก็ยังรู้จักคุณในฐานะหลานชายของคุณภัท เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเราหรือคุณเองก็ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ลองคิดดูว่าถ้าคนอื่นมาเห็นเฮียหรือลูกน้องยังเล่นหัวกับคุณเหมือนเมื่อก่อนแล้วเขาจะคิดยังไง”


เฮียสยามจบด้วยคำถามที่ไม่ได้ต้องการให้ผมตอบใครนอกจากตัวเองซึ่งเท่ากับตอกย้ำสิ่งที่ผมพยายามปฏิเสธมาตลอด ทำไมผมจะไม่รู้ว่าการฉลองไฟต้นคริสต์มาสคืองานเลี้ยงเปิดตัวผมอย่างเป็นทางการ กระแสตอบรับถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเกินคาดเพราะข่าวซุบซิบมักเน้นไปที่ภาพของผมกับคุณภัทราพร หรืออย่างร้ายที่สุดก็เพียงแต่บอกว่าผมเป็นคนใกล้ชิดของคุณภากรโดยไม่สืบสาวไปถึงประวัติที่มาหรือข้อเท็จจริงที่ว่า... ผมเป็นผู้ชาย


ผมอาจจะคิดมากไปเองแต่ถึงอย่างนั้นก็วางใจไม่ได้ การจะบอกว่าสังคมสมัยนี้เปิดกว้างจนยอมรับความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันแล้วคงเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนผมว่าบ่อยไปที่คำพูดหรือการแสดงออกมักสวนทางกับความคิดที่แท้จริง คนเราอาจพูดโดยไม่คิด หรือบางครั้งอาจคิดแต่ไม่ได้พูดออกมา คนที่ตีหน้าซื่อ ฉาบรอยยิ้มสวยอาจตั้งใจใช้สิ่งนั้นปกปิดความรู้สึกจริงๆอยู่ก็ได้ เหมือนอย่างที่ผมยังจำได้ติดตาตอนงานศพแม่ พอสิ้นเสียงประกาศกร้าวของพ่อ สายตาหลายคู่หันมาจับจ้องผมด้วยความสงสัย แม้บางคนจะเข้ามาบอกไม่ให้ผมคิดมาก อย่าไปใส่ใจหรือถือสาคำพูดของคนเมา แต่น้ำเสียงของคนเหล่านั้นก็ยังแฝงความลังเล ไม่แน่ใจด้วยซ้ำไป และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมกลัว ไม่อยากพูดหรือแม้แต่สบตาใครที่จะเป็นการตอกย้ำว่าผมไม่ใช่...


“คิดมากอีกแล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นงงๆ เฮียเลยเอานิ้วคลึงหว่างคิ้วตัวเองแทนคำอธิบาย “เมื่อก่อนคุณก็แบบนี้ ชอบทำหน้าเศร้าเอาแต่คิ้วขมวดทั้งวัน ใครเห็นเข้าก็อดห่วง อดกังวลไปด้วยไม่ได้ แต่พอคุณยิ้มเมื่อไหร่ก็อดยิ้มตามไม่ได้อีก”


พอได้ยินอย่างนี้เลยกลายเป็นว่าผมทำตัวไม่ถูก จะต้องยิ้มยังไงกันนะถึงจะเรียกว่าใช้ได้ พอเฮียมองหน้าผมเลยทำเสียงเหมือนคันในคอชอบกล


“คนมีความคิดถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าคิดมากไปจะเริ่มไม่ดี ถึงขั้นฟุ้งซ่านนี่ยิ่งแย่เพราะแสดงว่าใกล้บ้าเข้าไปทุกที คุณก็เพิ่งอายุเท่านี้ น่าจะหัดปล่อยวางหรือแกล้งทำตัวเป็นเด็ก มีความสุขกับชีวิตแบบไม่ต้องคิดอะไรมากซะบ้างเถอะ”


เฮียสอนกึ่งปลอบและทำท่าจะลูบหัวผมอีกแต่คงเปลี่ยนใจเลยยกมือค้างอยู่อย่างนั้น พอดีกับที่มีลูกน้องคนหนึ่งวิ่งตะโกนลั่นมาก็เลยกลายเป็นคราวเคราะห์ของเขาไป ถ้ายังจำเด็กเสิร์ฟที่เฮียสยามส่งไปสอดแนมในงานแต่งงานคราวก่อนได้ ก็คนเดียวกันนั่นแหละครับ


“นึกแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่! มีคนมา...”


ทุกอย่างชะงักกึกเมื่อมือที่ยกค้างจิ้มนิ้วชี้ลงพื้น หมุนควงหนึ่งรอบแทนการบอกให้กลับหลังหัน ยังไม่ทันที่ผมหรือคนที่ทำตามคำสั่งจะเข้าใจอะไร รองเท้าหนังเบอร์ใหญ่ก็ยันโครมจนพี่เขาล้มถลาไปกับพื้น


“มึงคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใคร เพื่อนเล่น!?”


น้ำเสียงของเฮียฟังดูเหี้ยมและดังจนน่าจะได้ยินกันทั่วโถงกว้างของคลับ พวกพนักงานกะกลางวันที่กำลังทำความสะอาด เก็บกวาดสถานที่กันอยู่เลยพากันหันมามองเป็นตาเดียว ผู้เคราะห์ร้ายในฐานะไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดูรีบลุกมายืนตัวตรงแหนว สีหน้าเหมือนอย่างจะร้องไห้ ผมเลยทำตัวไม่ถูก ทั้งเขินทั้งเกร็งที่จู่ๆก็ถูกยกให้อยู่เหนือคนอื่น สงสารพี่เขาก็สงสารแต่ก็ต้องสงบปากสงบคำไว้ก่อนเพราะจะค้านอะไรไปตอนนี้ก็กลัวทำให้เฮียสยามเสียการปกครอง


“ขอโทษครับคุณกานต์ คือผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ”


ผมส่งความเห็นใจไปทางสายตาแต่เจอคำตอบจากเฮียเข้าไปก็ไม่รู้จะช่วยได้แค่ไหน


“งั้นต่อไปหัดตั้งใจแล้วก็จำใส่สมองพวกมึงทุกคนไว้ด้วยว่าใครเป็นใคร อย่าให้ต้องเตือนกันบ่อย” เฮียสยามแพนสายตาไปทั่วแล้วค่อยกลับมาเจาะจงลงกับคนตรงหน้า “คงไม่ต้องบอกใช่มั้ยว่าถ้ามีคราวหน้ามันจะไม่ใช่แค่ถีบ”


เขารีบรับคำแข็งขัน ผมเลยได้จังหวะถามถึงธุระในตอนแรก


“อ๋อ! มีคนมา... เอ่อ...” คนพูดเกิดอาการสำลักน้ำลายเพราะรู้สึกถึงออราดำทะมึนของลูกพี่ตัวเอง “มีแขกมาขอพบคุณกานต์ ตอนนี้รออยู่ที่ลานจอดรถครับผม!”


ผมซักต่อเพราะแปลกใจที่มีคนมาถามหาผมที่นี่ ถ้าเป็นธุระเรื่องงานก็น่าจะติดต่อไปที่ออฟฟิศหรือทางโรงแรมโน่นมากกว่า แต่พี่เขาก็ตอบได้แค่พอดีผ่านมาทางนั้นแล้วบังเอิญเจอผู้ชายคนหนึ่งมาถามหาคนชื่อกานต์ เขาก็เลยรีบวิ่งมาตามโดยลืมถามรายละเอียดเสียสนิท


“งั้นถ้าสิ้นเดือนลืมคิดเงินเดือนให้ มึงอย่ามาโวยก็แล้วกัน”


ฝ่ายที่ถูกเอ็ดหน้าซีดลงจนผมรู้สึกผิดที่เขาพลอยมาเดือดร้อนทั้งที่หวังดีกับผมแท้ๆ ขืนเป็นอย่างนี้อีกหน่อยผมคงกลายเป็นพวกเท้าไม่ติดดินเพราะถูกยกวางไว้บนหิ้งซะสูงลิบ ไม่มีใครกล้าเข้ามาสุงสิงด้วยแน่ๆ


“โธ่! พอเถอะครับเฮีย เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวผมออกไปดูก็รู้เองล่ะครับว่าใคร” จริงอยู่ว่าหลังจากงานเปิดไฟต้นคริสต์มาส ผมเริ่มเป็นที่รู้จักแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีธุระกับใครได้ แต่เหตุการณ์อย่างนี้ก็คุ้นๆว่า... “หรืออาจจะเป็นพ่อก็ได้ เพราะคราวก่อนพ่อก็มารอผมแถวนั้น”


“แล้วคุณเองก็เกือบเอาตัวไม่รอดอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน!”


เฮียสยามทิ้งท้ายแล้วขอตัวไปทำงานต่อแต่สั่งให้ลูกน้องคอยตามมาคุมเชิงห่างๆ พอออกมาตรงลานจอดรถเห็นคนที่รออยู่คือพ่อและมาคนเดียวจริงๆผมจึงค่อยใจชื้น และคงไม่ใช่แค่เฮียสยามที่ยังจำเรื่องวุ่นวายคราวก่อนได้เพราะฝ่ายพ่อเองก็ต้องหยุดคิดอยู่นานกว่าจะหาคำพูดมาทักทายผมได้


“...เป็นไง สบายดีหรือเปล่า...”


ผมตอบรับแล้วทักทายกลับไปสั้นๆ โล่งอกทีเดียวที่เห็นพ่อหน้าตาผ่องใส ทั้งเสื้อผ้าหรือผมเผ้าเรียบร้อยขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ประจำ ก็เอาง่ายๆว่าผมไม่ได้เห็นพ่อหวีผมเรียบแปล้แบบนี้มานานมาก คงจะใช่อย่างที่พี่กัญญาบอกว่าพ่อกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ได้แล้วจริงๆ


“ที่มานี่...จะมาดูว่าเอ็งสบายดี...”


ผมเดาว่าพ่อคงยังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เคยทำไว้ แต่บอกแล้วว่าผมไม่ได้โกรธหรือนึกว่าจะเกลียดพ่อได้ลง


“พ่อเองก็...ดูโอเคขึ้นนะ”


“โอคงโอเคอะไรกัน ก็เป็นยังงี้มาตลอดนั่นแหละ ทำไม? เห็นพ่อหนุ่มขึ้นหรือไง?”


คำถามกลั้วเสียงหัวเราะชวนให้บรรยากาศดีขึ้นทันตา เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราพ่อลูกได้หยอกเย้าอย่างเป็นกันเอง ถึงจะไม่ได้ขนาดพูดคุยเล่นหัวกันเหมือนสมัยยังเด็ก แต่ผมก็เริ่มรู้สึกว่ากำลังจะได้พ่อคนเดิมกลับคืนมา


“พี่กัญบอกพ่อไปทำสวนผลไม้กับเพื่อน เป็นไงบ้างอ่ะ ไม่ได้ลำบากใช่มั้ย”


“เทียบกับที่ผ่านๆมาก็คงไม่มีอะไรให้เรียกว่าลำบากแล้วล่ะ” พ่อถอนหายใจหนักๆแล้วเหยียดยิ้มราวกับจะหยันอดีตที่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก “ว่าแต่เอ็งนั่นแหละ ทำงานที่นี่เป็นไงบ้าง ไอ้พ่อมันก็ทำเรื่องไว้เยอะ กลัวเจ้านายท่านจะเอามาลงกับเอ็ง อยู่กับเขาเงินดงเงินเดือนคงไม่ได้ล่ะสิ อย่างดีก็คงโยนเศษเงินมาให้บ้าง มันจะคุ้มค่าเหนื่อยได้ยังไง”


“ไม่เลยครับ กานต์อยู่ที่นี่ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยจริงๆ สบายเกินไปด้วยซ้ำ” พลันนึกถึงที่พี่กัญญาเล่าให้ฟังเลยถือโอกาสยืนยันว่า... “ถ้าพ่อพอมีตังแล้วอยากเอามาใช้หนี้จะได้ไม่ต้องติดค้างใครกานต์ก็เห็นด้วย แต่ถ้าคิดว่าจะต้องหาเงินมาไถ่ตัวนั่นไม่ต้องก็ได้ เพราะถ้าคุณกรรู้ก็คงไม่รับเงินของพ่อแน่ๆ”


ไม่ใช่ว่าคุณภากรจะร่ำรวยจนเห็นเงินแค่ห้าแสนไม่มีค่า แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่เขามีมากกว่าทรัพย์สินเงินทองคือความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ พร้อมจะให้โอกาสคนอื่นอยู่เสมอ เทียบกันแล้วอาจจะเป็นผมเองที่เห็นแก่ตัว เพราะลึกๆคงเป็นผมมากกว่าที่อยากเก็บหนี้ก้อนนี้ไว้ อย่างน้อยก็เพื่อใช้เป็นข้ออ้างให้ได้อยู่เคียงข้างเขาต่อไป


“ถ้าเอ็งว่ายังงั้นก็ตามใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่อึดอัดหรืออยู่ไม่ไหวก็บอก ทางโน้นพอมีลู่ทางหาเลี้ยงตัวได้ มีเอ็งอีกคนจะได้ช่วยกันทำมาหากิน พี่สาวเอ็งก็ให้เขาเรียนหนังสือไป อีกหน่อยพวกเราก็จะได้สบายกันล่ะ”


คำพูดของพ่อทำให้ผมยิ้มออก เกือบจะเกิดอาการตื้อในอกด้วยความซาบซึ้ง แต่ดันมาสะดุดเมื่อได้เห็นของฝากที่ถ้าไม่เห็นกับตาจะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด ขนาดตอนที่พ่อถอดของสิ่งนั้นออกจากตัวยื่นให้ผมยังนึกว่าแดดแยงตาจนเบลอเห็นภาพหลอน สร้อยคอทองคำจริงๆ แล้วขนาดก็แบบว่าไม่ใช่แค่วุ้นเส้นที่ดีดจิ๊ดเดียวก็ขาดผึงด้วยนะ!


“เฮ้ย?! พ่อไปเอามาจากไหนเนี่ย?! อย่าบอกนะว่า...”


ผมไม่ยอมรับมาสวมพ่อเลยยัดใส่มือให้แทน แล้วจังหวะที่พ่อเข้ามาใกล้ผมก็ยิ่งตาโตกว่าเดิมเพราะมีของแบบเดียวกันคาที่คอของพ่ออยู่อีกเส้น ขนาดผมไม่มีความรู้เรื่องทองอย่างยังดูออกเลยว่าสองเส้นนี้รวมๆกันต้องหนักหลายบาท แน่


“เปล่านะโว้ย! เอ็งจะหาว่าพ่อมีสันดานขี้ขโมยหรือไง?”


พ่อทำเป็นโวยเสียงดังแต่สีหน้ายิ้มกริ่มพอใจ เหมือนอย่างเมื่อก่อนเวลาดวงดีมีเงินติดไม้ติดมือกลับบ้าน พ่อก็จะหัวเราะเสียงดังมาแต่ไกล พอเจอหน้าก็สั่งให้ผมออกไปซื้อกับข้าวมากินแกล้มเหล้า บางวันใจดีมากก็แจกตังผมกับพี่ไว้กินขนม แต่ถ้าวันไหนเสียก็อย่าให้เล่าเลยว่าผมจะต้องโดนอะไรบ้าง


“แต่ทองเส้นใหญ่ขนาดนี้ราคามันตั้งเท่าไหร่ นี่อย่าบอกนะว่าพ่อกลับไปเข้าบ่อนอีก?!”


“ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่ะ เอ็งไม่ต้องเสือกอยากรู้หรอกว่าได้มายังไง แค่เก็บเอาไว้ให้อย่างที่พ่อบอกก็พอ ของพวกนี้มีไว้น่ะมันดี เผื่อเอ็งกับพี่เดือดร้อนขึ้นมาจะได้ไม่ต้องไปรบกวนใคร เอาสร้อยนี่ไปขายเอาเงินมาใช้ซะไม่ต้องเสียดายเข้าใจมั้ย”


พ่อถามไปถึงพี่กัญกับอาสารภีอีกสองสามคำ แต่พอผมจะซักเรื่องงานหรือความเป็นอยู่ที่ต่างจังหวัดเข้าก็ทำท่ารำคาญตัดบททันที จังหวะนั้นมีแท็กซี่ที่เข้ามาส่งผู้โดยสารกำลังวนรถออก พ่อก็เลยโบกเรียกแล้วรีบร้อนขึ้นรถหนีไปโดยไม่มีแม้แต่คำล่ำลาตามเคย ผมยืนอึ้งๆมึนๆอยู่ตรงนั้นจนได้ยินเสียงกระแอมหนักๆดังจากด้านหลัง ไม่รู้ว่าเฮียสยามมาเมื่อไหร่และเห็นอะไรบ้าง แต่ดวงตาเรียบเฉยกำลังจ้องอย่างกับจะให้ทะลุถึงสิ่งที่ผมกำไว้ในมือ


“ถ้าไม่ว่าอะไร ขอดูหน่อยได้มั้ยครับ”


ถ้าตอนนี้มีใครผ่านมาเห็นคงนึกว่าผมโดนของเพราะผมจ้องหน้าเฮียพลางยื่นมือออกไปช้าๆ ฝ่ามือใหญ่รับมือผมไว้ด้วยอาการรวบกำมิดจนดูไม่ออกว่าเราทั้งคู่กำลังทำอะไร แต่ทันทีที่สร้อยเส้นนั้นพ้นไป ผมกลับรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เฮียสยามมองอย่างพิจารณาสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือแล้วเขย่าเบาๆเพื่อคะเนน้ำหนัก เสร็จก็ส่งคืนมา


“อะไรครับ” ผมไม่รับและถามกลับ นึกกลัวคำตอบอยู่ลึกๆ


“ก็สร้อยของคุณไง รับรองว่าเส้นนี้ของแท้ ใส่แล้วไม่ลอก ไม่ด่าง น่าจะหนักสักสองบาทได้” เฮียทำท่าจะคืนของให้ได้ ผมเลยรีบไขว้มือไว้ด้านหลัง ป้องกันการถูกยัดเยียด “เอาคืนไปเถอะครับ ที่ขอดูเพราะเห็นว่าสวยเฉยๆ ไม่มีอะไรจริงๆ”


“แต่ผมไม่เชื่อ! สร้อยนี่ผมให้เลยก็ได้แต่เฮียต้องบอกมาให้หมดว่ามีเรื่องอะไรปิดบังผมอยู่หรือเปล่า ผมไม่เชื่อว่าเฮียจะไม่รู้ เฮียเป็นคนกว้างขวางจะตาย ไม่ว่าพ่อไปก่อเรื่องอะไร กับใคร หรือที่ไหนเฮียก็ต้องรู้อยู่แล้วจริงมั้ยครับ”


ผมจี้ถาม ทั้งจ้องตาคาดคั้นเอาให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดันจนต้องคายความลับออกมา แต่เหนือชั้นระดับเฮียสยามมีหรือจะสะดุ้งสะเทือน ส่วนสร้อยของพ่อพอผมไม่ยอมรับเฮียก็หย่อนลงกระเป๋าบอกว่าจะเก็บเอาไว้ให้แล้วหันหลังเดินหนีหน้าตาเฉย


“ถ้าเฮียไม่ยอมพูดก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น!...”


ผมรีบอ้อมไปดักหน้า งัดทุกวิธีมาขอร้อง แต่เสียงดังก็แล้ว โอดครวญก็แล้ว เฮียยังทำไม่รู้ไม่ชี้ เอาแต่ยืนนิ่งสองมือประสานกลางลำตัว สายตามองลงที่พื้นเบื้องหน้า จนกระทั่ง..


“อย่าครับ” เฮียยอมเปิดปากเป็นเชิงห้ามเมื่อผมทำท่าจะเข้าไปเขย่าถึงตัว “เมื่อกี้ก็เพิ่งปรามลูกน้องให้รู้จักระวังการปฏิบัติตัว คุณเองเป็นคนมีความคิด รู้ฐานะตัวเองดีอยู่แล้ว อย่าให้ต้องพูดอะไรมากเลย”


“งั้นถ้าฐานะอย่างผมถามแล้วเฮียไม่ยอมตอบนี่ถือเป็นการขัดคำสั่งได้ใช่มั้ยครับ” เฮียไม่ตอบ คงรอดูว่าผมจะมาไม้ไหน “งั้นผมขอสั่งให้เฮียบอกมาให้หมดว่าพ่อมีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้ ได้ยินมั้ยครับ  ตอบมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น...ผมจะให้คุณกรไล่เฮียออก!”


นักเลงหน้าดุแสยะยิ้มทำให้ผมชักจะเดือดจริงๆ แต่พอหลุดปากออกไปก็ใจหายวาบ นึกตำหนิตัวเองที่ทำเหมือนเด็กเกเร พอไม่ได้อย่างใจก็เที่ยวยืมชื่อคนอื่นมาใช้ และที่ลืมคิดไปคือคนที่ถูกอ้างก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล อาจจะโผล่มาเมื่อไหร่ก็ได้


“อ้าว! นี่สองคนมาเอะอะอะไรกันอยู่ตรงนี้ล่ะเนี่ย?” 


มั้ยล่ะ! มีคนบอกเข้าป่าอย่าถามหาเสือ แต่อยู่ที่นี่ก็คงต้องห้ามถามถึงตัวเจ้าของโรงแรม ไม่อย่างนั้นท่านก็จะโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ผมงี้ขนลุกซู่ไปหมด เหมือนหลอดเสียงจะดับไปซะเฉยๆเลยต้องปล่อยให้เจ้านายลูกน้องเขาคุยกันเอาเอง


“พอดีคุณกานต์บอกว่าจะไล่ผมออก เลยว่าจะรีบไปเตรียมเก็บข้าวของเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ถ้านายมีงานอะไรจะใช้ผมก็รีบๆหน่อยนะครับ เพราะไม่รู้ว่าผมจะได้อยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนเหมือนกัน”


“อ้าว! แล้วอยู่ดีๆทำไมถึงจะไล่ออก  ความผิดอะไรร้ายแรงขนาดนั้นเชียว”


ผมก้มหน้าหนีอายแต่รู้เลยว่าสองคนที่กำลังคุยข้ามหัวผมอยู่นี่กำลังสนุกกันมาก


“ความผิดฐานบังอาจขัดใจคุณกานต์ นายว่าหนักมั้ยล่ะครับ”


คุณภากรหัวเราะชอบใจ แล้วยังรวมหัวกับเฮียสยามแซวต่ออีกหลายคำจนผมทนอยู่ใม่ไหว ต้องขอตัวกลับไปทำงาน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเสียรู้เพราะสุดท้ายเฮียสยามก็หาทางเลี่ยงไม่ยอมบอกอะไรผมได้อยู่ดี พอหันกลับไปดู ทั้งคู่ยังยืนคุยกันต่อ มีบางจังหวะที่เฮียสยามเหลือบมาทางผมแล้วก็มองผ่านไป คุณภากรเองก็หันมา เหยียดริมฝีปากออกแต่ตรงตาไม่ได้ยิ้มตาม บรรยากาศเลยยิ่งดูเคร่งเครียดชอบกล เฮ่อ! หวังว่างานนี้ผมจะไม่ได้คิดมากไปเองหรอกนะ




จบตอนแล้วคร้าบ






 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 37 (8-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 08-08-2016 20:01:55
ท่าทางจะมีงานเข้าตามมาอีกแน่เลย  เห้อออออ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 37 (8-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 08-08-2016 23:12:06
พ่อไปทำอะไรอีกล่ะเนี้ย เห็นว่ากำลังจะดีแล้วเชียว เครียดแทนน้องกานต์
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 37 (8-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-08-2016 02:51:45
น่าสงสัยเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 37 (8-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-08-2016 05:15:19
พ่อกานต์ คงไปทำเรื่องไม่ดี อาชีพเสี่ยงๆ ผิดกฎหมายแน่เลย :katai1:
เพราะได้เงินมาก ได้เงินเร็ว
แล้วมีผลมาถึงพี่สาว กับตัวกานต์ :เฮ้อ:
คุณสยาม คุณภากร คงรู้เรื่องแล้ว
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 37 (8-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-08-2016 13:39:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 37 (8-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 09-08-2016 18:09:42
รอต่อค่ะ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 38
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 10-08-2016 19:24:20





38.






สมัยที่ยังเด็ก แม้ว่าพ่อกับแม่ต่างทำงานหนักด้วยกันทั้งคู่แต่พวกเราก็มีโอกาสไปเที่ยวพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวอยู่บ่อยๆ จุดหมายที่เราสองคนพี่น้องใจตรงกันเสมอก็คือทะเล เราจะออกจากบ้านกันแต่เช้ามืด พอขึ้นรถได้สักพักผมกับพี่กัญเลยหลับปุ๋ย กว่าจะตื่นก็เมื่อถึงทะเลแล้วเราก็จะเทียววิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่บนหาดกับในน้ำกันจนกว่าจะได้เวลากลับ ระหว่างทางก็เลยเหนื่อยจนหมดสภาพ ตีตั๋วนอนยาวกันอีกรอบ เรียกว่าพอถึงบ้านยังต้องให้พ่ออุ้มไปส่งจนถึงเตียง แต่...! ทำไมการไปทะเลเที่ยวนี้ถึงให้ความรู้สึกตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเลยล่ะ!


“กัญญา”


ผมเผลอสะดุ้งตาม พอหันไปก็เห็นเจ้าของเสียงเรียกที่กำลังอยู่หลังพวงมาลัยเอียงคอมางับหลอดดูดแบล็คคอฟฟี่เย็นที่คนนั่งข้างๆยื่นส่งให้ถึงปาก ภาพนั้นปลุกให้ผมตื่นจากความทรงจำแสนสุขมาสู่ปัจจุบันที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ที่รู้ตอนนี้คือคุณภากรกับคุณวรเมธมีคิวต้องไปตรวจงานโรงแรมที่หัวหิน ส่วนผมกับพี่กัญญาเป็นตัวแถมที่ถูกสั่งให้ตามมาด้วยเหตุผลลับสุดยอดจากคุณภากรที่ว่า...


‘เมธคงอยากพาผู้ช่วยคนใหม่ไปเปิดหูเปิดตาแล้วก็พักผ่อนสมองบ้าง แต่ถ้าน้องไม่ไปแล้วมันจะอ้างเหตุผลอะไรลากเอาตัวพี่สาวไปด้วยได้ล่ะ’


งานนี้ผมเลยต้องยอมเพื่อเห็นแก่ความสุขของคนที่ผมรัก ก็หวังว่าถ้าพี่สาวสุดที่รักรู้เข้าจะไม่ฆ่าผมเป็นผีเฝ้าทะเลก็พอ แต่พูดแบบไม่เข้าข้างใครเลยนะ ผมว่าพี่กัญก็ไม่ได้รังเกียจคุณเมธนักหรอก ถ้าจะให้เวิร์คคุณเมธต่างหากที่ควรปรับปรุงตัว ลดความปากร้าย เปลี่ยนแนวจากจิกกัดมาเป็นจีบแบบหวานๆซะบ้าง ก็มีอย่างที่ไหน พอพี่ผมจะเอะอะหรือไม่ตามใจเข้าหน่อยเป็นต้องถูกปิดปากด้วยเรื่องฝึกงานซะเรื่อย อยากรู้นักถ้าพ้นช่วงฝึกงานไปแล้ว คุณเมธจะหาเรื่องอะไรมาขู่ได้อีกน๊า


“กานต์...”


ส่วนรายนี้ก็ส่งเสียงออดๆ คอยจุ๊กจิ๊ก ยุกยิกมาตั้งแต่ขึ้นรถ ผมพยายามไม่สนใจหรือจะเรียกง่ายๆว่างอนใส่ก็ได้ ถ้าถามเหตุผลบอกได้เลยว่าไม่มี ถึงยังไงในสายตาเขาผมเป็นแค่เด็กที่ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของผู้ใหญ่ ร้ายกว่านั้นยังเป็นลูกหนี้ที่มีหน้าที่ทำตามคำสั่ง ไม่มีสิทธิ์ถามหรือก้าวก่ายทั้งๆที่ผมแน่ใจว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผมเองแท้ๆ


“นี่ถามจริง สองคนนี้มีเรื่องอะไรกันนักหนา เห็นงี่เง่าใส่กันมาหลายวันแล้วนะ” เจ้าของพริอุสคันหรูเอ่ยถามเพราะคงไม่อยากให้บรรยากาศมาคุอบอวลไปตลอดทาง คนข้างตัวผมส่งเสียงหัวเราะเบาๆในคอ ผมเลยถือโอกาสแก้ต่างให้ตัวเองเสียก่อน


“เปล่าสักหน่อย อย่างผมจะกล้าไปมีเรื่องอะไรกับท่านประธานล่ะครับคุณเมธ”


“งั้นก็แสดงว่านายใหญ่คงรนหาที่ กล้าขัดใจลูกน้องคนนี้เดี๋ยวก็เรื่องยาว ระวังจะเที่ยวทะเลไม่สนุกนะครับนาย”


ผมแอบยิ้มกับเงาในกระจก ไม่ลืมบวกคะแนนให้คุณเมธในฐานะที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน


“กัญญา หาอะไรอุดปากคนขับหน่อยซิ เผื่อจะได้มีแรงเหยียบให้ถึงหัวหินเร็วๆหน่อย ไม่ใช่อืดเป็นพวกมือใหม่หัดขับเพราะอยากจะมีคนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำไปตลอดทาง” คุณภากรโต้กลับ แต่ผมว่าดูจะไปเข้าทางคุณเมธมากกว่า


ผ่านไปอีกสักพักพี่กัญถึงได้ว่างพอจะหันมาส่งสัญญาณให้ผมเขยิบเข้าไปหาแล้วป้องปากถามว่ามีอะไรหรือเปล่า แต่ก็ดันมีบางคนรีบขยับตัวแทรกตอบให้แทน


“ไม่มีอะไรหรอกกัญญา พักนี้ฉันงานยุ่งๆ กานต์เขาเหงาก็เลยงอแงเรียกร้องความสนใจนิดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงนะ มาเที่ยวนี้ฉันกะไว้แล้วว่าจะชาร์จความห่วงใยให้น้องชายเธอจนจุกเชียวล่ะ”


ถึงพี่สาวผมจะเป็นเด็กเรียนแต่ก็ไม่ได้ใสซื่อจนไม่เข้าใจความหมายของคำพูดสองแง่สองง่าม พอเจอแบบนี้เข้าไปพี่กัญเลยถามต่อไม่ถูก รีบหันกลับไปนั่งตัวลีบติดเบาะ ส่วนตัวผมถูกวงแขนใหญ่ตวัดกลับไปหาแผงอกกว้าง แถมด้วยพรายกระซิบน้ำเสียงจริงจังผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ


“หรืออยากให้พี่สาวคิดมากไปด้วยอีกคน ก็ดีนะ คราวนี้จะได้งานกร่อย หมดสนุกของจริงกันล่ะ”


“งั้นคุณก็บอกมาสักทีสิว่าวันก่อนคุยอะไรกับเฮียหยาม เรื่องพ่อผมใช่หรือเปล่า” ผมได้ทีรีบหันไปถามคำถามเดียวกับที่เซ้าซี้เขามาหลายวัน และทุกครั้งเขาจะเงียบหรือไม่ก็เดินหนีผมไปดื้อๆ ดูซิว่าคราวนี้จะหนีไปไหนได้อีก “เลิกอ้างว่าผมเป็นแค่เด็กเลยไม่ต้องรู้เรื่องอะไรสักที เพราะแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วถ้าคุณยังไม่ยอมบอก จะมาหาว่าผมงี่เง่าไม่ได้ด้วย”


“หมายความว่าที่นอนตัวแข็งทื่อ ไม่หือไม่อือมาหลายคืนนี่ยังไม่เรียกว่างี่เง่าอีกงั้นสิ”


ถึงจะได้ยินกันอยู่แค่สองคนแต่ผมก็ร้อนฉ่าไปถึงหู ตัวเขาไม่เขินแล้วไม่คิดว่าคนอื่นจะอายเป็นบ้างหรือไง?!


“กร” บอกแล้วว่าคุณเมธเป็นพวกมีตารอบตัว ใครทำอะไรที่ไหนรู้หมด และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าท้วงเจ้าของโรงแรม “เป็นผู้ใหญ่ประสาอะไร แกล้งเด็กอยู่ได้”


คุณภากรสบตากับเพื่อนผ่านกระจกมองหลังแล้วก้มลงมาหา เปิดโอกาสให้ผมส่งสายตาอ้อนวอนสุดฤทธิ์ สักพักก็มีลมหายใจอุ่นๆพ่นใส่หน้าผากพร้อมกับเสียงกระซิบบอกที่ถือเป็นชัยชนะของผม...


“โอเค คุณกรยอมแล้ว แต่เอาไว้อยู่กันตามลำพังก่อนค่อยคุยเรื่องนี้ ตกลงมั้ยครับ”


ผมกอดเจ้าของคำสัญญาด้วยหัวใจพองโตและเฝ้ารอที่จะได้รับฟังเรื่องราวต่างๆอย่างมีความหวัง แต่สุดท้ายก็คอยหายเพราะนับตั้งแต่ก้าวลงจากรถจนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว คุณภากรกับคุณวรเมธก็ยังทำงานไม่เลิก รอบตัวทั้งคู่รายล้อมด้วยพนักงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเปลี่ยนกันมาคอยต้อนรับและประชุมปรึกษาถึงเรื่องราวต่างๆของโรงแรม ขนาดผมมีหน้าที่แค่คอยสังเกตการณ์ยังรู้สึกเหนื่อยแทน พอตกเย็นทานข้าวกันเสร็จก็มีเพียงผมกับพี่กัญที่ถูกส่งตัวขึ้นห้องเพื่อไปพัก


“เข้านอนกันก่อนได้เลยนะ กรกับฉันคงอยู่ดึกหน่อย”


ห้องสูทนี้มีสองห้องนอน คุณเมธเลยให้ผมกับพี่กัญพักด้วยกัน แต่อีกห้องไม่รู้จะได้ใช้งานหรือเปล่า เพราะจนป่านนี้คุณกรก็ยังคุยงานไม่จบ ส่วนคุณเมธแค่ขึ้นมาส่งพวกเรา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ต้องลงไปอีก พอผมบอกว่าอยากจะไปช่วยงานด้วย


“ไม่ล่ะ ฉันจะทำงาน ขี้เกียจมานั่งรำคาญพวกที่เอาแต่งี่เง่าใส่กัน”


ผมได้คำตอบพร้อมกับโดนแฟ้มเคาะหัว แต่พอพี่กัญอาสาบ้างเพราะรู้สึกเกรงใจที่มานอนพักสบายในขณะที่เจ้านายยังทำงานงกๆ


“อย่าคิดมากสิ ฉันสั่งเองว่าให้พัก ถ้าเธอไม่ทำตามก็ถือว่าขัดคำสั่งไม่ใช่หรือไง ถ้าคืนนี้เคลียร์อะไรๆเสร็จ พรุ่งนี้ก็ฟรี ถ้านอนไม่หลับเราสองคนก็ช่วยคิดแล้วกันว่าอยากจะไปเที่ยวที่ไหน ตกลงมั้ย” น้ำเสียงนุ่มๆแถมด้วยรอยยิ้มเอ็นดู สองมาตรฐานชัดๆ!


พี่กัญญาก้มหน้ารับคำเบาๆแล้วขอตัวเข้าห้อง คุณเมธมองตามจนลับสายตาแล้วออกจากห้องไปอีกคน ส่วนผมกลายเป็นหมาหัวเน่าที่ได้แต่มองทางโน้นทีทางนี้ทีแล้วก็ยืนคอตก เป็นสภาวะปราศจากคนสนใจซึ่งผมไม่ชินอย่างแรงเพราะที่ผ่านมาอย่างน้อยก็มีคนๆหนึ่งที่เห็นผมสำคัญเสมอ พอสบโอกาสที่พี่กัญเคลิ้มหลับไปแล้ว ผมเลยออกจากห้องเพื่อไปหาเขาคนนั้น ไม่รู้ลืมสัญญากับผมไปแล้วหรือยัง สงสัยป่านนี้คงงานยุ่งจน... มีเวลามาเต้นรำกับผู้หญิงเนี่ยนะ?!


แสงไฟมัวสลัวแต่ผมไม่ได้ตาฝาด ไม่ต้องยกมือขยี้ก็แน่ใจได้เลยว่าผู้ชายตัวสูงเด่นที่กลางฟลอร์นั่นคือคนที่กำลังตามหา และในอ้อมแขนซึ่งเคยเป็นที่ประจำของผมคือหญิงสาวร่างเพรียวบาง เธอซ่อนหน้าซบลงบนไหล่กว้าง นอกจากคุณภากรจะไม่มีท่าทีขัดขืนยังประคองเธอไว้แล้วยังไล้มืออีกข้างไปทั่วแผ่นหลัง ก่อนจะหยุดลงตรงส่วนเว้าเหนือก้นงอนงาม


ผมเมินหนีทันควันต่างจากอีกหลายคนที่กำลังมองไปยังคนทั้งคู่ ไม่ใช่อาการเพ่งอย่างเสียมารยาทแต่เหมือนภาพนั้นดึงดูดสายตาพวกเขาจนอดใจมองไม่ได้จริงๆ และแน่นอนว่าตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะสองสาวเสิร์ฟว่างงานที่กำลังส่งเสียงซุบซิบมาเข้าหูผมเต็มๆ


“ที่เขาว่าคุณแคทกับท่านประธานเคยกิ๊กกันมาก่อนก็จริงน่ะสิ”


ผมรีบหันไปอีกทางแต่หูกางรับสัญญาณเต็มที่ หวังว่าต้นเสียงคงไม่ทันสังเกตเห็นซะก่อน ไม่อย่างนั้นผมคงพลาดข้อมูลดีๆ


“อย่าพูดดังไป! เรื่องนี้เขาปิดกันให้แซด ก็อย่างว่าล่ะนะ ท่านประธานของเราทั้งหล่อทั้งรวยควงผู้หญิงได้ไม่ซ้ำหน้า ยัยคุณแคทนี่ก็ไม่ใช่แมวเซื่องๆแต่เข้าขั้นแม่เสือสาวไวไฟจะตาย เขาเมาท์กันด้วยนะว่าที่เลิกกันเพราะเจ้าหล่อนเผลอไปหว่านเสน่ห์ใส่เพื่อนท่านเข้า ท่านไม่อยากใช้ของร่วมกับใครแต่ก็คงตัดใจทิ้งไม่ลงเลยส่งให้มากินตำแหน่งที่นี่ เผื่อว่าวันไหนเกิดคิดถึงจะได้ตามมาแอบชิมน้ำพริกถ้วยเก่าไงล่ะจ๊ะ”


“มิน่าล่ะ! เต้นรำอะไร้ถึงได้กอดกันซะกลม โยกกันไปโยกกันมาอย่างนั้น แค่เห็นฉันยังขนลุกเลยเนี่ย”


ผมหันกลับไปมองที่กลางฟลอร์แล้วเผลอเม้มปากเพราะภาพกับคำวิจารณ์ช่างตรงกันจนรู้สึกเจ็บแปลบ ทำนองเพลงช้าๆ เสียงเครื่องดนตรีแผ่วๆส่งให้คนทั้งคู่หลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัว จำได้ว่าที่โรงเรียนเคยมีชั่วโมงเรียนลีลาศ เวลาเข้าคู่ซ้อม เพื่อนจะวางมือลงบนไหล่ผม ส่วนมือผมแตะลอยๆเยื้องไปด้านหลังเธอ แต่ตัวของเราทั้งคู่ก็ยังอยู่ห่างกันเป็นคืบ ต่อให้หายใจใส่กันก็คงไกลจนไม่รู้สึก แต่สำหรับสองคนตรงนั้น... แทบจะใช้ลมหายใจเดียวกันอยู่แล้ว!


“แต่นี่รู้มั้ย วันนี้ฉันเพิ่งได้ยินข่าวใหม่ล่าสุด เขาคุยกันให้แซดว่าท่านประธานพาแฟนมาล่ะ...”


สองสาวคุยกันต่อแต่ผมรีบหันหลังแล้วเดินหนีออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องรอฟังจนจบประโยคก็ได้เค้าว่ากำลังจะงานเข้าเพราะคำนินทามันวกกลับมาหาตัว ให้ทำยังไงผมก็ไม่ชินกับการตกเป็นเป้าสายตา ยิ่งจะให้ยืดอกยอมรับฐานะนั้นในสถานการณ์อย่างตอนนี้ที่คุณภากรมีแฟนเก่าที่ทั้งสาว สวย เซ็กซี่อยู่ข้างกาย ถ้าทำได้ก็คงไม่ใช่คนอย่างไอ้กานต์แล้วล่ะครับ!


ผลจากคำนินทาทำให้ผมต้องก้มหน้าก้มตาเดินหนีคนทั้งโรงแรม เพราะถึงพนักงานกะใหม่จะยังไม่เคยเจอผมมาก่อน แต่ข่าวหนาหูตั้งแต่งานคริสต์มาสก็ทำให้หลายคนถึงกับมองตามจนเหลียวหลัง กว่าจะรู้สึกหายใจหายคอโล่งขึ้นก็ทะลุออกมาถึงหน้าหาดที่มีแขกกรุ๊ปหนึ่งกำลังจัดปาร์ตี้รอบกองไฟกันอยู่ ผมเลี่ยงความวุ่นวายจนห่างจากตัวโรงแรมมาพอสมควรจึงค่อยรู้สึกถึงความสงบขึ้นมาบ้าง ลมแรงไม่หนาวแต่ก็ไม่ชวนให้สบายตัว เสียงเพลงจากงานปาร์ตี้ดังมาตามลม แหงนขึ้นบนฟ้าเห็นพระจันทร์ดวงโต ส่วนเบื้องหน้าคือความมืด มีแสงไฟจากเรือประมงลอยเท้งเต้งบนผิวน้ำเป็นจุดๆ


ผมนั่งลงกอดเข่า ไม่ได้เหงานะ แค่รู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้อยู่กับตัวเองบ้าง เพราะต้องยอมรับว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ชีวิตของผมมีใครอีกคนแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอยู่แทบทุกลมหายใจเข้าออก ขนาดว่าตอนนี้นั่งอยู่คนเดียวแต่แค่ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ใบหน้าของคนๆนั้นก็จะปรากฏแก่สายตา จริงๆผมไม่ได้อยากเอารูปใครมาเป็นภาพหน้าจอ มันน่าเขินออกจะตาย แต่พอไม่ทำก็โดนเจ้าของรูปทำหน้ามึนใส่ ไม่พูดไม่จา ผมนึกสงสารผู้ใหญ่ตัวโตๆที่ต้องมาทำงอนเป็นเด็กๆเลยต้องยอมตามใจ รูปนี้ผมแอบถ่ายตอนที่เขานั่งทำงานหน้าเครียดถึงขนาดยกด้ามปากกาเคาะขมับ พอเจ้าตัวเห็นรีบบอกให้ลบทิ้งเพราะดูแก่กว่าตัวจริง แต่ผมว่าเท่ห์ออกจะตาย ก็เลยยื่นเงื่อนไขว่าเขาก็ต้องลบภาพหน้าจอมือถือของเขาด้วย เป็นรูปตอนที่ไปงานเลี้ยงด้วยกันแล้วผมมัวดูการแสดงบนเวทีเพลินจนเผลอจิ้มกุ้งทอดครีมสลัดไม่เข้าปาก แล้วก็เลยแลบลิ้นออกมาเลียมุมปากด้วยความเคยชิน ไม่อยากเชื่อว่าคนข้างๆจะมือไวเก็บช็อตนั้นไว้ได้ทันแล้วเอาขึ้นหน้าจอมือถือตัวเองซะเฉย


ผมกอดตัวเองแน่นกว่าเดิมแล้วหลุดขำออกมาเบาๆ แค่สิ่งเล็กๆน้อยๆยังมีที่มาที่ชวนให้นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาได้เป็นฉากๆ แล้วอย่างนี้จะให้ผมลืมวันเวลาของเราได้อย่างไร นับตั้งแต่ที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก ภาพของร่างสูงใหญ่ที่งีบหลับอยู่บนเตียงไม้ตัวยาวยังชวนให้หัวใจเต้นตึกตักไม่หาย แต่ทีแรกบอกได้เลยว่าไม่ชอบขี้หน้าเจ้าหนี้คนนี้เลยสักนิด ทั้งบ้าอำนาจ บังคับสารพัด แถมยังโรคจิตชอบมาทำอะไรแปลกๆให้ผมทำตัวไม่ถูกเป็นประจำ แต่พอเขาเลิกสนใจ ไม่ยอมมองหน้าหรือคอยตอแยอย่างเคยกลับรู้สึกเหมือนมีเสี้ยนแหลมสะกิดให้เจ็บอยู่ข้างในลึกๆ ที่จริงผมเคยอยากถามเขาว่าตอนนั้นเมินผมทำไม แต่มาคิดอีกทีก็พอเข้าใจว่าทุกคนคงมีช่วงเวลาที่สับสน ในเมื่อเขาสามารถก้าวผ่านจุดนั้นมาได้และเลือกให้ผมเป็นคนที่อยู่ข้างกายแล้ว ผมก็ไม่ควรไปรื้อฟื้นให้เขาต้องวุ่นวายใจอีก


คนที่อยู่ข้างกาย...?


ผมกอดตัวเองให้แน่นขึ้น กดหน้าลงกับเข่าจะได้ไม่ต้องรู้สึกถึงความร้อนที่ลามไปทั่วกระบอกตา บอกตัวเองว่าไม่ได้เศร้า อย่างมากก็แค่ความรู้สึกที่อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ไม่ได้จะร้องไห้ ผู้ชายที่ไหนจะมานั่งเสียน้ำตากับเรื่องแบบนี้กันบ้าง อย่าลืมสิว่าชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ ถ้ามีใครคนหนึ่งทำให้เรามีความสุขมากๆ จะแปลกอะไรถ้าคนๆนั้นก็สามารถทำให้เราทุกข์มากได้เหมือนกัน


“คนบ้า!” ผมก่นด่า... ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าควรด่าใครกันแน่


“คุณกรบ้า! ผมกะ...กะ...!” จู่ๆผมก็ปากคอสั่น ทั้งๆที่รู้ว่าจะพูดอะไรแต่กลับพูดไม่ออก เหมือนมีใครอีกคนในตัวที่สั่งห้ามไม่ให้พูด หรือกระทั่งคิดกับคนๆนั้นว่ากะ...กะ...!!


“โว้ย!” ผมหงายหลังผึ่งไปกับผืนทรายแล้วตะโกนใส่ท้องฟ้าดำมืด ผมว่าผมนั่นแหละที่บ้า ใช่! ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ แค่คำว่าเกลียดคำเดียวทำไมถึงพูดออกไปไม่ได้นะ!?


“ไม่ไหวแล้วโว้ย!”


เสียงตะโกนลั่นเรียกให้ผมหันไปดูและเห็นผู้ชายสองคนวิ่งผ่านไป พวกเขาคงไม่ทันเห็นผมแต่เดาจากสภาพน่าจะกรึ่มได้ที่เพราะหนึ่งในนั้นกล้าทำเรื่องที่น่าเกลียดมาก


“อ่าาาา” คนที่ว่าตัวใหญ่หนากว่าอีกคน ผมตัดสั้นเกรียนหันหน้าเข้าหาทะเลแล้วยืนแอ่นปล่อยน้ำเสียออกจากตัวพร้อมด้วยเสียงครางประกอบ


“มึงนี่...ซกมกชิบหาย!” ส่วนอีกคนที่ค่อนข้างผอมสูง ผมด้านหลังยาวระต้นคอร้องด่าได้ตรงใจผมมากแต่ลงท้ายไม่ได้ดีไปกว่ากันเพราะพูดจบก็ส่งเสียงขากเสลดแล้วถ่มทิ้งไปบนพื้นทรายข้างเท้านั่นแหละ


“เดี๋ยวพอเช้าน้ำขึ้นก็ซัดไปหมดเองล่ะน่า”


“ไม่คิดจะเกรงใจคนที่เขาเล่นน้ำแถวนี้เลยเหรอวะ”


“เกรงใจทำไม มึงแหกตาดู แถวนี้มีแต่บ้านตากอากาศกับโคตรโรงแรมขึ้นกันเป็นดอกเห็ด ทั้งหาดถ้าไม่ใช่ฝรั่งก็พวกเศรษฐีเดินกันให้ควั่ก ให้พวกแม่งได้ลองน้ำทะเลรสแปลกๆบ้างจะเป็นไรไปวะ”


ผมว่าสำหรับคนแบบนี้ ‘ซกมก’ น่าจะน้อยไป แล้วผมก็ชักรู้สึกว่าพื้นทรายตรงที่ที่กำลังนอนมีกลิ่นแปลกๆเลยรีบลุกพอดีกับที่พวกเขาเสร็จธุระส่วนตัวแล้วหันมาเห็นผมเข้า


“ว้าวๆ ไม่นึกว่าจะโชคดีมาเจอแจ๊คพ็อตซะได้ มาอยู่มืดๆแถวนี้คนเดียวไม่เหงาเหรอครับน้อง” ผมไม่ตอบ รีบก้มหน้าเดินเลี่ยงเพื่อกลับโรงแรมแต่ก็โดนดักไว้ทั้งทางซ้ายและขวา “จะรีบไปไหนล่ะ อยู่สนุกกับพวกพี่ก่อนดีกว่าน่า”


ผมว่าขืนอยู่ต่อจะหายนะกับสวัสดิภาพตัวเองมากกว่า เพราะถึงผมจะเป็นผู้ชายแต่อีกฝ่ายคือผู้ชายตัวโตกว่าสองคนที่กำลังขาดสติ ฤทธิ์แอลกอฮอล์อาจทำให้พวกมันอารมณ์พลุ่งพล่านจนเห็นผมเป็นสาวน้อยเข้าก็ได้


“ทำไมคนน่ารักถึงได้ชอบทำตัวหยิ่งนักนะ น่าาา ส่งเสียงให้พวกพี่ชื่นใจสักนิดสิครับน้อง...ชาย”


ไอ้คนหัวเกรียนดูจะติดใจผมเป็นพิเศษ พอแซวเสร็จก็หันไปมองหน้าเพื่อนแล้วหัวเราะกันอย่างกับมีเรื่องขำอะไรนักหนา ผมไม่ได้อยากสนใจอยู่แล้วเลยรีบชิ่ง แต่พื้นทรายทำให้ช้าและเสียจังหวะ อีกฝ่ายไหวตัวเอื้อมมือมาเกือบจะคว้าไว้ได้แต่ผมเบี่ยงตัวหลบทันแล้วตัดสินใจหันหลังวิ่งไปอีกทาง อย่างน้อยหนีพวกมันให้ได้ก่อนค่อยหาทางย้อนกลับไปโรงแรม แต่วิ่งได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มหน้าคว่ำ มันจับข้อเท้าผมได้และกดไว้จนหมดสิทธิ์ลุกหรือแค่ดิ้นก็เจ็บน้ำตาแทบเล็ด ผมเลยคว้าทรายเต็มสองกำมือแล้วปาใส่ไม่ให้มันตั้งตัว วิธีนี้คงได้ผลถ้าเป็นการสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่พอไอ้หัวเกรียนเผลอปล่อยมือ ไอ้คนผมยาวที่รู้แกวหลบทันก็แตะมือเปลี่ยนตัวมาจัดการต่อ ผมคลานหนียังไม่ทันได้ลุกก็ถูกคว้าข้อเท้าอีก มันกระชากผมเข้าหาตัวแล้วนั่งคร่อมไว้แถมยึดมือผมไว้ทั้งสองข้างป้องกันการโดนซัดทรายใส่เป็นรอบที่สอง


“แม่งเอ๊ย! มึงจับไว้ อย่าให้หลุดนะ เดี๋ยวกูจะเอาคืนให้สิ้นฤทธิ์เลยไอ้เด็กเวร!”


ไอ้หัวเกรียนคำรามสั่งเพื่อนทั้งที่ตัวมันเองยังลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรื่องอะไรผมจะอยู่เฉยๆรอให้ถูกเชือด ผมไม่ได้ใสซื่อจนไม่รู้ว่าวิธีการเอาคืนที่มันพูดถึงคืออะไร และถึงผมไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องไปทั้งตัวก็อย่าหวังว่าผมจะยอมง่ายๆ นะเว้ย!


“เฮ้ย!” ไอ้ผมยาวร้องบ้าง คงไม่นึกว่าผมจะเล่นสกปรกถุยน้ำลายใส่หน้าเต็มๆ มันผงะจนหงายหลังเปิดช่องให้ผมคู้เข่าขึ้นแล้วถีบยอดอกมันสุดแรง พอหลุดมาได้ผมรีบเผ่นแต่ก็ยังหนีไม่พ้น คราวนี้ไอ้หัวเกรียนแล่นมาจับผมไว้ได้...


อุ้ก!


หนึ่งหมัดซัดเต็มๆเล่นเอาจุกจนร้องไม่ออก แต่ผมดันไม่ใช่นางเอกละครไทยที่โดนต่อยท้องแล้วสลบเลยโดนซ้ำอีกที มันรวบมือผมไว้ทั้งสองข้างและคงเพราะเห็นตัวอย่างจากเพื่อนมันก็เลยจงใจนั่งทับลงมาที่ขาผมซะเลย บอกได้คำเดียวว่าทั้งเจ็บ ทั้งหนักโคตรๆ สภาพผมตอนนี้ต้องการตัวช่วยอย่างด่วน...


“ช่วยด้วย! ช่วย...!” ผมตะโกนสุดเสียงแต่ก็ได้แค่นั้น มือใหญ่ตะครุบหมับจนผมสำลัก ทรายทั้งนั้น แล้วเมื่อกี้แม่งยังไม่ได้ล้างมือเลยไม่ใช่เหรอ แหวะ!


“เพิ่งจะมาร้องหาพระแสงอะไรเอาป่านนี้หะ! เงียบเลยนะไม่งั้นพี่อาจเปลี่ยนใจทำให้น้องเป็นผีเฝ้าหาดนี่แทน!”


สัญญาณเตือนภัยดังลั่นในหัวบอกว่ามันเอาจริง ไม่ต้องประเมินสถานการณ์ก็รู้ว่าผมไม่น่ารอด ที่ตรงนี้ห่างจากหน้าหาดของโรงแรมมาพอสมควร แถมมืดขนาดนี้คงไม่มีใครทันสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วป่านนี้... คุณภากรจะรู้หรือยังนะว่าผมไม่ได้อยู่ที่โรงแรม หรือว่าเขาจะมัวเพลินอยู่กับแม่สาวกิ๊กเก่าคนนั้น พอคิดแบบนี้แล้วผมแทบหมดกำลังใจ จะสู้ให้เหนื่อยไปทำไมในเมื่อกลับไปได้ก็ต้องเจอกับเรื่องเจ็บปวดไม่แพ้กันอยู่ดี


“เฮ้ยมึง! ทำไมจู่ๆมันนิ่งไปยังงั้นวะ?!” เสียงจากไอ้คนผมยาวกระทุ้งให้เพื่อนมันโงหัวมาดูอาการของเหยื่อบ้าง


“จะเป็นอะไร้ ที่แท้ก็ชอบล่ะสิ เดี๋ยวเหอะ กูจะเอาให้แม่งครางลั่นหาดเชียว ฮ่า ฮ่า”


สบประมาทอย่างเดียวไม่พอยังจะส่งเสียงเยาะ แต่ก็ต้องขอบคุณเสียงหัวเราะชั่วๆของมันที่ปลุกให้สติผมกลับมา


“โว้ย!! โอ๊ยยยย...” เสียงหัวเราะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องก้องหาดเมื่อน้องชายที่กำลังตื่นของมันถูกกำแน่นแล้วบิด! ก็บอกแล้วว่าคนอย่างผม ถึงจะดูอ่อนแอแต่ไม่คิดจะยอมแพ้อะไรง่ายๆหรอกเฟ้ย “ปะ...ปล่อยนะมึง!!”


ผมยอมทำตามที่ไอ้หัวเกรียนร้องขอแล้วใช้แรงอีกฮึดถีบมันออกจากตัว ส่วนไอ้ผมยาวผมใช้ลูกไม้เดิมที่คราวนี้ได้ผลเพราะมันกำลังห่วงจะช่วยเพื่อนเลยไม่ทันระวัง นอกจากทรายผมก็แถมด้วยอะไรสักอย่างที่คว้าได้แถวนั้นปาใส่หน้ามันเต็มๆ เสียงเพล้งเมื่อสิ่งนั้นตกลงพื้นก็ได้รู้ว่าคือขวดเบียร์ที่แตกกระจายพร้อมของเหลวสีแดงไหลตามมาด้วย นี่ถ้าเป็นขวดที่พวกมันกินทิ้งไว้เองก็คงยิ่งน่าสมน้ำหน้าเข้าไปใหญ่


“ช่วยด้วย!! ใครก็ได้ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วยยยยย!!!”


ในขณะที่พวกมันร้องด้วยความเจ็บปวด ผมก็ช่วยแหกปากผสมเข้าไปเอาให้ดังลั่นหาด เพราะอย่างที่บอกว่าสภาพผมตอนนี้หมดแรงข้าวต้ม เจ็บจนลุกไม่ขึ้น เหลือแต่เสียงนี่ล่ะเป็นอาวุธสุดท้าย ถ้ายังไม่มีใครมาช่วยก็คงหมดหนทางรอดจากพวกชั่วสองตัวนี้ แต่ชีวิตผมผจญเรื่องแย่มาร้อยแปดยังผ่านมาได้ คงจะไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก...มั้ง!


“เฮ้! ใครที่อยู่ตรงนั้นน่ะ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า?”


โอว เสียงสวรรค์ ผมว่าผมรอดแล้ว!







จบตอนแล้วคร้าบ





ดวงดีมากค่ะเด็กคนนี้ มีเรื่องเจ็บตัวตลอด

แล้วค่อยมาลุ้นกันต่อว่าจะรอดแน่ๆ หรือแย่แล้วไอ้กานต์เอ๊ย!!!






 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 38 (10-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 10-08-2016 19:49:55
งานเข้าตลอดๆ โอ้ยยยย...สงสาร
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 38 (10-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 10-08-2016 20:19:01
ขอให้กานต์โชคดีเจอคนดีมาช่วยละกันนะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 38 (10-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-08-2016 21:20:27
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 38 (10-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-08-2016 22:03:55
คุณกร  ถ้าไม่คิดอะไรกับแคทแล้ว
ทำไมยังไปเต้นรำ แนบสนิทใช้ลมหายใจเดียวกัน :m16: :m16: :m16:
ใครจะมาช่วยกานต์ ?
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 38 (10-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 11-08-2016 09:04:54
เป็นผู้ชายที่แย่จริงๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 38 (10-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 11-08-2016 19:10:59
ทำไมตัดจบแบบนี้ล่ะช่างโหดร้ายทารุณจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 39
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 15-08-2016 18:47:21







39.








ผมสวมกอดแกมเขย่าร่างบอบบางอย่างคนที่คุ้นเคยกันมานาน ความจริงผมควรจะเป็นฝ่ายไปส่งแต่เธอยืนกรานว่ากลับที่พักเองได้และรู้สึกเกรงใจ ไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของผมมากไปกว่านี้ เธอเลยขอเดินเป็นเพื่อนมาถึงที่ลิฟต์และเอ่ยลากันอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่สดชื่นกว่าตลอดทั้งวันหรืออาจจะหลายวันที่ผ่านมา


“หวังว่าคืนนี้จะไม่นอนกอดหมอนร้องไห้อีกล่ะ คุณพีอาร์ใหญ่ออกมารับแขกตาบวมฉึ่งมันจะเสียถึงภาพลักษณ์ของโรงแรมนะรู้มั้ย”


ผมเชยคางเล็กเชิดขึ้นเบาๆ เธอแกล้งมุ่นหน้าก่อนจะยิ้มกว้าง ภาพแบบนี้อาจดูไม่เหมาะสมนักเมื่อคิดถึงฐานะระหว่างเจ้าของกับหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงแรม แต่ผมไม่อยากสร้างภาพหรือปฏิเสธความจริงที่แม้จะเป็นอดีตไปแล้วว่าผมกับแคทเคยรู้จักชอบพอกันมาก่อน เราเดทกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่อเมริกา พอกลับมาเมืองไทยก็สานต่อความสนิทสนมกันจนดูเป็นคนพิเศษในสายตาใครต่อใคร ขนาดคุณแม่ยังเคยรบเร้าให้พาเธอเข้าไปทำความรู้จัก แต่พอคู่ควงของผมเปลี่ยนหน้าเรื่อยๆ เรื่องนี้เลยเงียบไปโดยปริยาย


เมื่อประตูลิฟต์เปิด ร่างบางก็ออกแรงกอดผมแน่นพร้อมเอ่ยลาเสียงอ่อนเสียงหวาน


“ถ้าไม่ได้ยู ไอคงทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ขอบคุณมากนะ”


“อย่าคิดมากสิ คุณเป็นเพื่อนผม”


“ว้า! แค่เพื่อนเอง? ยูลืมเรื่องเก่าๆของเราไปหมดแล้วเหรอ”


“ก็นิสัยชอบยั่วอย่างนี้สิน่ะ ต้นมันถึงได้ของขึ้น ถ้ามีคราวหน้าอีกจะยุให้เลิกกันจริงๆ”


ผมแกล้งขู่ด้วยเรื่องที่เพิ่งเคลียร์จบไปสดๆร้อนๆ ตอนที่รู้ว่าเธอกับต้น เพื่อนสนิทอีกคนของผมซึ่งต่างเป็นหนุ่มหล่อ สาวสวย รวยเสน่ห์แต่ไม่ชอบการผูกมัดทั้งคู่หันมาคบกันเอง ผมเซอร์ไพรส์จนพูดไม่ออก ทั้งคู่จริงจังถึงขั้นคิดเรื่องแต่งงานแต่เจ้าต้นมีธุระต้องย้ายไปทำงานที่เมืองนอกราวครึ่งปีจึงต้องพับโครงการนี้ไปก่อน แล้ววันดีคืนดีก็เกิดเรื่องจากการที่เธอโพสต์ภาพตัวเองกับลูกค้าโรงแรมลงในเฟซบุ๊ค ไม่รู้สองฝ่ายสื่อสารผิดพลาดยังไงถึงได้ทะเลาะกันใหญ่โตขนาดที่แคทโทรไปร้องไห้ฟูมฟายกับผม ผมเห็นเธออาการไม่ดีจริงๆจึงถือโอกาสมาตรวจงานที่นี่ช่วยเคลียร์ในฐานะคนกลางที่รู้จักทั้งสองฝ่ายไปด้วยในตัว แต่ก็น่าขำที่บทสรุปกลับง่ายยิ่งกว่าที่คิด อาจเพราะความห่างไกลหรือนิสัยส่วนตัวที่ต้องปรับเปลี่ยนกันอีกหลายอย่าง เรื่องเล็กน้อยเท่าขี้ตาถึงได้ลุกลามอย่างกับไฟไหม้บ้าน ลงท้ายผมยังไม่ทันได้อ้าปาก ไอ้ต้นก็ชิงขอโทษและขอคืนดีราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ผมล่ะงงกับพวกมันสองคนจริงๆ


“อย่าเชียวนะ! ถ้าแกล้ง ไอจะเอาคืน อย่าคิดว่าใครๆเขาจะไม่รู้จุดอ่อนยูนะ” คนพูดหรี่ตามอง ทำท่ามั่นใจเต็มที่ พอผมวางฟอร์มไม่ร้อนตัวก็เดือดร้อนโวยวายไปเอง “แน๊! อย่ามาทำไก๋ เขารู้กันทั้งโรงแรมว่าวันนี้บิ๊กบอสพาแฟนมาตรวจงานด้วย หวานกันจนน่าหมันไส้!”


ผมเลยถึงบางอ้อว่าจุดอ่อนของตัวเองในสายตาคนอื่นคืออะไร แต่ขอแก้ข่าวว่าวันนี้ผมกับกานต์ยังหวานไม่ได้ตามมาตรฐานที่เคยเป็น ดูเหมือนว่าเวลามาอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่คุ้นชิน เจ้าตัวยุ่งจะระวังมากกว่าปกติก็เลยคอยเกาะอยู่กับกัญญาและวรเมธเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผมนั้นต้องรีบเคลียร์งานเพื่อจะได้มาจัดการเรื่องของเพื่อนต่อ กะว่าถ้าทุกอย่างเรียบร้อยพรุ่งนี้ค่อยพาเที่ยวเป็นการชดเชย


“ที่จริงได้ยินข่าวมาสักพักแล้วแต่นึกภาพไม่ออกว่าจะเป็นไปได้ยังไง พอได้มาเห็นกับตา...”


“เลยเข้าใจ?” ผมลองถามดักคอ


“เปล่า ไอก็ยังไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมสเปคของยูถึงได้เปลี่ยน...แบบว่า...” เธออึกอัก พอไม่รู้จะอธิบายยังไงก็ยกมือขึ้นมาพลิกไปพลิกมาเสียทีแล้วยิ้มเขินๆ “แต่ไอว่าเด็กคนนั้นก็น่ารักดี ยูดูมีความสุขมาก อาจจะมากกว่าตอนที่เราอยู่ด้วยกันอีกมั้ง ไอดีใจกับความรักของยูจริงๆนะ”


ผมกางแขนออกให้เธอก้าวเข้ามาสวมกอดอีกครั้งแล้วก้มลงฝากคำขอบคุณเบาๆกับเรือนผมยาวสลวย ส่วนเธอตบหลังผมเบาๆแทนคำพูด ก่อนที่เราจะลากันจริงๆด้วยรอยยิ้มแสดงความยินดีในความสุขของกันและกัน เมื่อกลับขึ้นมาถึงห้อง ผมไม่แปลกใจที่เห็นวรเมธนั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค มันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมหายไปไหนเป็นนานสองนาน แต่พอเห็นผมยิ้มหน้าบานเข้ามามันก็เลยหมดความสนใจ


“เฮ้ย! ไม่ถามหน่อยเหรอวะ อยากเล่านะเนี่ย” กลายเป็นผมที่ตามเซ้าซี้ไปซะได้


“โทษที ไม่ได้ชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้าน” ตามันยังมองหน้าจอ แต่มือไปเอื้อมหยิบเอกสารเล่มหนามาวางให้ใกล้ๆ “รีบไปอาบน้ำแล้วออกมาจัดการนี่ให้ด้วย แฟ้มสุดท้ายแล้ว ถ้าเรียบร้อยพรุ่งนี้ท่านประธานก็ว่าง จะหนีไปเที่ยวไหนก็เชิญตามสบาย พอใจหรือยังครับ”


“นายนี่มันสุดยอด! ไม่เสียทีที่เป็นเพื่อนกันเลยว่ะ” ผมเอ่ยชมจากใจ และอดมองหาคนร่วมห้องที่เหลือไม่ได้


“เข้าห้องไปตั้งแต่หัวค่ำ ป่านนี้หลับหมดแล้วมั้ง” เจ้าเมธตอบเหมือนรู้ใจ แต่พอเห็นว่าผมมุ่งหน้าไปไหนก็เสียงเข้มขึ้น “เฮ้ย! เสียมารยาทน่ะกร ฉันให้กานต์กับกัญญานอนด้วยกัน ส่วนนายกับฉันห้องใหญ่โน่น”


“น่าาา ขอแอบดูนิดเดียวเอง วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้คุยกันสักคำ คิดถึงจะแย่”


อาจฟังดูงี่เง่าเกินจะเป็นความคิดของผู้ชายวัยเลขสามแต่ผมยอมรับว่าติดกานต์เอามากๆ ตั้งแต่ที่รวบรัดยกฐานะแฟนให้ไปก็กลายเป็นว่าพื้นที่และเวลาส่วนตัวของผมต้องมีเขาอยู่ด้วยเสมอ อย่างเวลาอยู่ด้วยกันในห้อง แม้จะต่างคนต่างมีกิจกรรมส่วนตัวหรือยุ่งอยู่กับงานของใครของมัน ผมก็มักจะเผลอมองหาเพื่อให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน กำลังทำอะไร ขอแค่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของคนที่อยู่หน้าทีวี หรือได้เห็นอาการสัปหงกจนฟุบลงไปเพราะกำลังนอนเท้าคางอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ผมก็รู้สึกดีจนหุบยิ้มไม่ลง เวลานี้ก็เช่นกัน ขอแค่แอบดูคนแสนงอนนอนหลับตาพริ้มสักนิดผมก็จะได้ฝันดีไปตลอดทั้งคืน แต่พอแง้มประตู ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอนเล็กนั้น ผมก็ชักได้กลิ่นของฝันร้ายจางๆ...


“เฮ้ยเมธ! กานต์ไม่ได้อยู่บนเตียงนี่”


ผมหันกลับมาส่งเสียงถามคนที่อยู่ข้างนอก เมธรีบเงยตอบ ถึงสีหน้าจะยังเฉยแต่ผมรู้ว่ามันเอาใจใส่กานต์เสมอ


“ตอนฉันขึ้นมาสองคนก็ปิดห้องนอนเงียบไปแล้ว อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า”


ผมถือวิสาสะก้าวเข้าไปทันที ห้องน้ำว่างเปล่าตามคาด คำตอบสุดท้ายจึงฝากไว้ที่หญิงสาวที่กำลังนอนหลับสนิท ต้องสะกิดและออกแรงเขย่าอยู่หลายทีเธอถึงค่อยรู้สึกตัว พอดวงตาสะลึมสะลือหันมาเจอผมเข้าก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา


“อย่าเพิ่งร้องนะ ฉันไม่ได้จะทำอะไร แค่จะถามว่ากานต์ไปไหน เขาบอกเธอว่าจะลงไปข้างล่างหรือเปล่า?”


“ไม่...ไม่นี่คะ” เธอลุกขึ้นทั้งตอบและสั่นหัวบอก พอตั้งสติได้เต็มที่ก็รีบบอกทุกอย่างที่รู้ “ก่อนที่หนูจะหลับ กานต์ก็นอนดูทีวีอยู่ที่เตียงนี่ บอกว่ารอเข้าโฆษณาแล้วจะไปอาบน้ำ ได้ยินบ่นๆบ้างไม่รู้ว่าคุณกรจะเสร็จงานหรือยังแต่ก็ไม่ได้พูดว่าจะออกจากห้องไปไหน แล้วหนูก็เผลอหลับไปก่อนค่ะ”


ผมรีบออกมาที่ด้านนอก เจ้าเมธเองคุยโทรศัพท์เสร็จเพิ่งวางสาย ข้อมูลที่ต่างได้มาส่อถึงความไม่ชอบมาพากล


“มือถือโทรไปไม่รับเลย แต่เช็คแล้วมีคนเห็นกานต์ลงไปข้างล่างจริง ดูเหมือนจะเดินไปทางชายหาด ฉันสั่งการ์ดออกไปช่วยดูให้แล้ว”


ผมพยักหน้ารับและแทบไม่ต้องสั่งเจ้าเมธก็รีบวางงานทั้งหมด เผ่นเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดนอนออกเพื่อลงไปตามหากานต์ด้วยกัน ส่วนกัญญาแม้สีหน้าจะดูตื่นๆ แต่ต้องขอชมในความมีสติ ไม่ได้ตกใจโวยวายจนทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ ผมจึงวางใจฝากให้เธอคอยโทรติดต่อกานต์ให้ได้และรอเผื่อว่าเขาจะกลับมาที่ห้องได้เองโดยปลอดภัย


คำบอกเล่าของพนักงานและภาพจากกล้องวงจรปิดชี้ว่ากานต์ออกจากห้องเพื่อมาตามหาผมอย่างที่คิด แต่แน่นอนว่าผมกับเขาไม่ได้เจอกันและท่าทางของเขาตอนกลับออกมาจากเลาจน์ก็ดูผิดสังเกต เอาแต่ก้มหน้าก้มตารีบเดินจนกระทั่งหลุดออกจากกล้องทุกตัวไปทางชายหาดอย่างที่ได้รับรายงานแต่แรก


“นายคุยกับแคทอีท่าไหนวะกร”


เมธหันขวับมาทันทีที่เห็นภาพทั้งหมด มันถามยิ้มๆแต่สายตามันด่าโต้งๆว่าผมคือสาเหตุที่ทำให้กานต์หายตัวไป ประเด็นนี้ผมไม่เถียงแต่ก็บอกได้เต็มปากเช่นกันว่า...


“ฉันกับแคทจบกันแล้ว เราเป็นแค่เพื่อน แค่นั้น โอเคมั้ย”


“สงสัยนายต้องหัดตีกรอบการแสดงออกให้เหมาะสมกับระดับความสัมพันธ์ซะบ้างนะกร นายหวงเวลาเห็นกานต์อยู่กับใครต่อใครแล้วไม่คิดบ้างว่าเด็กนั่นก็รู้สึกแบบนั้นเป็นเหมือนกัน”


“แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่คุย นั่งดื่ม แล้วก็เต้นรำกันนิดหน่อย” ผมพยายามอธิบายแม้จะไม่เต็มเสียงนัก


“เฮ่อ... ไม่นึกเลยว่าคนเป็นเพลย์บอยอย่างนายจะมาตกม้าตายกับเรื่องง่ายๆ เดี๋ยวถ้าเจอตัวแล้วกานต์ไม่ยอมพูดด้วยก็ไม่ต้องบ่น คิดซะว่าแค่เรื่องนิดหน่อยแล้วกันนะ”


เมธตบบ่าเหมือนจะให้กำลังใจแล้วหันไปสั่งงานต่อ ทีแรกผมยังใจชื้นคิดว่ากานต์คงแค่ไปนั่งเล่นระบายอารมณ์อยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่หลังจากผ่านไปเป็นชั่วโมงและเสร็จสิ้นการค้นหาทุกซอกมุมของโรงแรมและบริเวณหาดรอบรัศมีแล้ว สิ่งที่ผมได้กลับมามีเพียงมือถือที่เจ้าตัวคงทำตกไว้ ยิ่งได้ไปเห็นสภาพตรงจุดที่พบซึ่งมีทั้งเศษขวดเบียร์ คราบเลือดและร่องรอยการต่อสู้ชัดเจน ผมก็ยิ่งร้อนใจจนแทบบ้า!


“ถ้าเกิดกานต์ถูกใครทำร้ายแล้วเอาตัวไปล่ะ ตอนนี้อาจจะอยู่ในบ้านหลังไหนสักหลังนี่ก็ได้ ถ้าชักช้ากานต์จะเป็นยังไง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา แกจะรับผิดชอบได้มั้ยไอ้เมธ!” ผมตวาดกลับหลังถูกมันห้ามไม่ให้เดินดุ่มๆเข้าไปในเขตบ้านพักส่วนตัวหลังหนึ่ง


“ฉันถึงได้บอกให้ใจเย็นๆไงเล่า พรวดพราดเข้าไปทั้งอารมณ์ร้อนขนาดนี้แทนที่จะได้เรื่องกลัวจะไปมีเรื่องกับเขาซะมากกว่า ถ้าไม่ยอมรออยู่ที่นี่ก็กลับโรงแรมไปซะ ฉันจะไปตามหากานต์ให้เอง ตกลงมั้ย”


ผมสูดลมหายใจเข้าลึกและยอมตามตัวเลือกแรก อดทนรอให้เมธและรปภ.กลุ่มหนึ่งเข้าไปเรียกดูตามบ้านพักตากอากาศที่ปลูกเรียงรายไปตามแนวหาด แต่ก็คว้าน้ำเหลวเพราะส่วนใหญ่ปิดเงียบ ส่วนหลังไหนที่มีคนมาพักก็ไม่มีใครเห็นหรือให้เบาะแสของเด็กหนุ่มที่อาจหลงมาแถวนี้ได้เลยสักคน


พวกเราต้องกลับมาตั้งหลักที่โรงแรมอย่างจนหนทาง เป็นอีกครั้งนับจากเรื่องพ่อที่ผมรู้สึกแย่กับตัวเองอย่างที่สุด ทั้งโกรธ โมโห สมเพช และสิ้นหวังที่ไม่อาจแก้ไขหรือทำให้อะไรดีขึ้นได้เลย ครั้งนั้นผมรับรู้ข่าวการเกิดอุบัติเหตุเมื่อทุกอย่างสายไป พ่อจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แล้วครั้งนี้ล่ะ ผมจะได้แต่นั่งรอโดยไม่รู้ว่าคนที่ผมรักกำลังเป็นตายร้ายดียังไง แล้วสุดท้ายก็ต้องพบกับข่าวร้ายว่าทุกอย่างมันสายเกินไปอีกอย่างนั้นเหรอ?!


“เอ้า! ดื่มสักหน่อย เผื่อจะช่วยดึงสติ ควบคุมตัวเองขึ้นมาได้บ้าง” ผมหันไปตามเสียงและได้แต่มองถ้วยกาแฟร้อนค่อยๆวางลงตรงหน้า ส่วนคนที่ยกมาก็นั่งลงและจิบให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่สีหน้าแบบนั้นบอกชัดว่าถึงเป็นกาแฟวิเศษก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ “ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงตำรวจเลยยังไม่รับแจ้งความคนหาย แต่ทางสน.ก็ประสานให้สายตรวจช่วยดูให้แล้ว ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะรีบติดต่อมาทันที นายก็อย่าเพิ่งคิดมากไปเลยนะกร เดี๋ยวกานต์อาจจะกลับมาเองก็ได้”


ผมหันไปมองหน้า ไม่สิ จ้องเข้าไปในดวงตาของคนที่พูดเลยนั่นล่ะ


“แกเคยรักใครมั้ยเมธ” ชั่วแวบนั้นผมเห็นแววตาของมันไหววูบ “เคยมั้ยที่อยากให้มีใครสักคนอยู่กับแกเสมอ ถึงจะไม่ได้อยู่ตัวติดกันตลอดเวลาแต่ก็ขอให้รู้ว่าเขาไม่ได้หายไปไหนไกล และเขาจะเป็นของแกตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”


เมธมองหน้าผม อ้าปากแต่ไม่มีเสียงใดๆเล็ดรอดออกมา แต่ผมก็รู้ว่ามันจะพูดอะไร สำหรับคนที่ยังไม่ได้รู้จักรักใครเต็มหัวใจก็มักยังเหลือพื้นที่สำหรับเหตุผลมากมายที่จะยกมาอ้างเพื่ออธิบายเรื่องต่างๆ แต่ผมก็เชื่อว่ามันคงได้รู้สึกเหมือนอย่างที่ผมรู้สึกกับใครสักคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ขอแค่เพียงมันยอมเปิดใจยอมรับเธอคนนั้นให้มากกว่านี้


“แกไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าฉันกำลังรู้สึกยังไง เพราะต่อให้แกชอบกานต์มาก หรือจะเอ็นดูรู้สึกเหมือนเขาเป็นน้องชายแท้ๆ แต่มันก็เทียบไม่ได้เพราะฉันรักกานต์ ฉันรักเขาจริงๆ และฉันเหมือนกำลังจะบ้าที่ไม่รู้ว่าตอนนี้คนที่ฉันรักหายไปไหน เป็นตายร้ายดียังไง แล้วถ้าต้องเสียเขาไปโดยที่ฉันช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง แกก็เตรียมตัวเห็นฉันเป็นบ้าจริงๆได้เลย!”


“ไม่ต้องรอถึงตอนไหนหรอก แค่นี้นายก็เข้าขั้นที่เรียกว่าบ้าได้แล้ว ทำเป็นไอ้หนุ่มคลั่งรักไปได้” ขนาดถูกผมตะคอกใส่เจ้าเมธยังทำใจเย็น พูดพลางไล้นิ้วรอบขอบถ้วยกาแฟเล่นไปได้เรื่อย


“แล้วใครบอกนายว่าฉันไม่ได้รักกานต์” ผมหันขวับแต่มันก็ยังยิ้มนิดๆ ไม่ทุกข์ร้อน “ใช่ ฟังไม่ผิดหรอกไอ้คุณกร ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเด็กคนนี้อาจจะไม่ได้เหมือนกับนายเสียทีเดียวแต่ฉันก็พูดได้เต็มปากว่าทั้งรักและห่วงเขาไม่ได้น้อยไปกว่านายเลย แต่รู้มั้ยอะไรที่ทำให้เราต่างกัน นายพยายามทำเป็นลืมความจริงไปข้อหนึ่งเพราะนายอยากจะผูกขาดคนที่นายรักไว้คนเดียว นายอยากให้เขาทั้งรัก ชื่นชมบูชาเหมือนนายเป็นทุกอย่างในชีวิต แต่ฉันขอย้ำกับนายอีกครั้งว่ากานต์ไม่ใช่ผู้หญิง และยิ่งไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะคอยงอมืองอเท้ารอให้ใครมาทำอะไรให้ทุกอย่าง การที่เขาอดทนต่อสู้มาตลอดคือเครื่องยืนยันว่าเขาไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ และถึงฉันจะห่วงเขาจนแทบบ้าแต่ฉันก็เชื่ออีกนั่นแหละว่าเขาจะต้องดูแลตัวเองได้แน่ เพราะฉะนั้นนายก็เลิกจิตตกคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆได้แล้ว”


คงต้องขอบคุณโชคชะตาที่พาให้ผมมาพบกับเพื่อนคนนี้ คนที่ทำงานด้วยกันมักพูดว่าผมกับวรเมธเหมือนสองขั้วที่สามารถเปลี่ยนสลับให้ตรงกันข้าม ทั้งคัดคานแต่ก็ส่งเสริมกันได้อยู่เสมอ เวลาที่ผมเฉื่อยชาเมธมักจะตื่นตัว กดดันให้ผมสนใจกับงาน แต่เวลาที่ผมร้อนเป็นไฟ มันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำเย็นที่สาดดับความวู่วามเพื่อให้ผมกลับมาเป็นปกติ คราวนี้ก็เช่นกันที่ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมได้สติและเริ่มมีความหวังอีกครั้ง


“กานต์จะไม่เป็นไรแน่นะ?!”


‘รายงานคุณเมธ พบคุณกานต์แล้ว กำลังเดินกลับมาทางหน้าหาดครับ’


เสียงวิทยุสื่อสารในมือเจ้าเมธดังแทรกขึ้นมาแทนคำตอบที่ทำให้เราทั้งคู่ตรงไปหน้าโรงแรมทันที กานต์กลับมาแล้วจริงๆ เขากำลังเดินกลับมาพร้อมกับผู้ชายอีกคนที่ทำท่าเหมือนคอยระวังและช่วยประคองเขาอยู่ห่างๆ ภาพนั้นบอกให้รู้ว่าเขาต้องไปมีเรื่องจนเจ็บตัวแต่ก็เบาใจได้ว่าปลอดภัยกลับมา ผมอยากจะรีบเข้าไปหาแต่ถูกเมธรั้งไว้ มันไม่พูดแต่ส่งสายตาเตือนไม่ให้ผมทำตัวรุ่มร่ามเพราะกานต์คงรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น และเขาอาจจะยังเคืองเรื่องแคทอยู่ แต่พอผมหันกลับไปอีกที คราวนี้ต่อให้เอาช้างมาฉุดผมก็หยุดไม่อยู่แล้ว... 


“กานต์!!” ผมตะโกนลั่นหาดจนคนถูกเรียกสะดุ้งโหยง “นี่มันอะไรกัน!!??”


ที่ผมต้องถามด้วยน้ำเสียงพร้อมจะฆ่าคนได้ทุกเมื่อก็เพราะจู่ๆดันมีไอ้บ้าอีกคนวิ่งตามทั้งคู่มาแล้วคว้าตัวกานต์ไปกอดซะอย่างเป็นสมบัติของมัน แค่นั้นไม่พอ แม่งยังกล้าหอมแก้มแฟนผมอีกหลายฟอด จะให้ผมยืนดูเฉยๆน่ะฝันไปได้เลย!


“คุณกร!... เอ่อ ขอโทษครับที่ผมหายไปนาน พอดีมีเรื่องนิดหน่อย...เอ้ย! อย่าสิครับพี่บัส!”


กานต์หันมาบอกผมเสียงอ่อยๆแล้วก็ต้องพยายามจัดการกับคนที่กำลังทำตัวเป็นหนวดปลาหมึก ที่จริงผมก็รู้สึกคุ้นหน้ามันอยู่บ้าง แต่ช่างแม่งเหอะ ต่อให้เป็นคนสำคัญระดับชาติแต่มายุ่งกับของๆคนอื่นไม่ดูตาม้าตาเรือก็คงช่วยไม่ได้...


“เฮ้ย!!!”


พยานในเหตุการณ์ร้องพร้อมกันทันทีที่ผมปล่อยกำปั้นเข้าใบหน้าคุ้นๆแต่ยังนึกไม่ออกนั่น ท่าทางไอ้บัสอะไรนี่ก็กรึ่มได้ที่ ไม่มีสติสตังพอจะสู้หรือกระทั่งหลบ ผลเลยโดนจังๆ หมัดเดียวจอด หงายท้องล้มตึงไปทันที


“เคลียร์ให้ด้วย มันจะเอาค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ให้ไปแล้วบอกมันด้วยว่าถ้าอยากเป็นผีเฝ้าหาดก็ห้ามเสนอหน้ามาแถวนี้อีก!” ในฐานะเจ้าของโรงแรมที่ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงและภาพลักษณ์เลยต้องเสียเวลาสั่งงานอีกสองสามคำ เจ้าเลขาคนสนิทรับคำแต่ก็ถึงกับกุมขมับมองผลงานของผมอย่างปลงๆ


ไม่ต้องรอดูก็แน่ใจได้ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ทีนี้ก็เหลืออีกแค่คนเดียวที่ผมต้องคิดบัญชีด้วยตัวเอง


“คุณกร! ปล่อยนะ! ทำอะไรของคุณเนี่ย?!”


มันน่ามั้ย! ยอมให้ไอ้บ้านั่นทั้งกอด ทั้งหอม ทีผมจับกลับทำเป็นดิ้น ร้องโวยวาย แถมยังไม่สำนึกความผิดอีกกระทงโทษฐานทำให้ผมต้องเป็นห่วงจนแทบบ้า


พอเข้ามาในโรงแรมเจ้าตัวเองคงไม่อยากเป็นจุดเด่น เรียกความสนใจของทั้งแขกและพนักงานเลยยอมเงียบปล่อยให้ผมลากหลุนๆจนกลับมาถึงห้องแล้วถูกโยนโครมลงกับเตียงถึงได้หลุดเสียงร้องออกมาเบาๆ...


“โอ๊ย!”


“นี่เตียง ไม่ใช่พื้นกระดาน จะร้องทำไม เจ็บอะไรนักหนา” หัวใจผมหล่นวูบแต่ต้องทำเป็นเก็กเสียงเข้มไว้เพราะอยากสั่งสอนเด็กดื้อเสียบ้าง แล้วดูเอาว่าผมได้คำตอบแบบไหน


“ที่ร้องไม่ได้เพราะเจ็บ แค่สำออย อยากเรียกร้องความสนใจ ถ้าผมตอบแบบนี้จะพอใจคุณใช่มั้ย!” กานต์ย้อนผมเสียงแข็ง ตาโตๆก็จ้องเขม็งเอาเรื่องเต็มที่ “ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นผมขอตัว จะกลับห้องไปอาบน้ำนอน!”


“หายตัวไปจนเขาวุ่นวายตามหากันทั้งโรงแรม อยู่ดีๆก็กลับมากับไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ แล้วยังจะมาดื้อกับฉันอีกงั้นเหรอ?!” ผมตวาดเสียงดุแต่อีกฝ่ายไม่มีกลัว ยังกล้าลุกขึ้นมาตะโกนเถียงใส่หน้า


“โว้ย! จะเอาอะไรกับผมนักหนา ทีคุณยังไปสวีทกับแฟนเก่าได้แล้วทำไมผมจะไปสนุกของผมบ้างไม่ได้ แล้วจะบอกให้ว่าไม่ใช่แค่ที่คุณเห็นหรอก ก่อนหน้านั้นยังมีไอ้ขี้เมาสองคนที่หาด แต่เล่นกับพวกมันได้สักพักก็ไม่ไหว สู้ไปกับพวกพี่บัสก็ไม่ได้ ทั้งกินทั้งดื่มกันเต็มคราบ ไม่เคยสนุก...โอ๊ย!”


คนที่ถูกผลักลงไปกระแทกที่นอนร้องลั่น แต่เขาจะรู้มั้ยว่าทุกคำที่ออกจากปากทำเอาผมจุกและชาไปถึงสมอง ทั้งที่เชื่อเต็มหัวใจว่าเขาไม่ใช่คนที่จะทำแบบนั้น แต่แค่ได้ฟังมันก็ร้อนจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ ความรู้สึกที่อยากจะบีบคอคนให้ตายคามือมันเป็นอย่างนี้นี่เอง


“พอ! พอได้แล้ว รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา?!”


“แล้วคุณล่ะรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไร ที่คุณบอกว่ารักผมมันหมายความว่ายังไงกันแน่ แค่เห็นผมเป็นของเล่น หลอกเอาไว้สนุกชั่วครั้งชั่วคราว พอเบื่อก็กลับไปหาแฟนเก่าหรือเปลี่ยนไปนอนกับผู้หญิงอีกตั้งไม่รู้กี่คน...ใช่มั้ยล่ะ?!”


ผมมองหน้ากานต์แล้วหัวใจก็กระตุก จากที่ร้อนรุ่มพลันเปลี่ยนเป็นชาวาบ เขาไม่เคยมองผมด้วยสายตาอย่างนี้มาก่อน สายตาของคนที่กำลังผิดหวังแต่ไม่คิดจะฟูมฟายตีโพยตีพาย คำถามของเขาไม่ใช่การประชด ขอแค่ผมบอกคำเดียวสั้นๆว่าใช่ เขาก็จะเข้าใจและเป็นฝ่ายเดินจากไปโดยไม่เรียกร้องอะไรทั้งนั้น และแน่นอนว่าไม่คิดจะขอให้ผมรั้งเขาไว้ด้วยซ้ำ


“ถ้านายหมายถึงแคทฉันเคยคบกับเขาจริง แต่ตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น แล้วฉันก็ไม่เคย...” ผมจ้องดวงตาแดงฉ่ำแต่ยังไม่มีน้ำตาไหลสักหยดก็ยิ่งเห็นถึงความใจแข็ง กลายเป็นผมเองที่เริ่มกลัวเพราะรู้ว่าคำโกหกแม้จะแค่ครึ่งคำก็อาจทำให้ต้องเสียเขาไปจริงๆ “โอเค ฉันยอมรับว่าถ้าเป็นเมือก่อนก็เคยคิดที่จะหลอก แต่ฉันรู้แล้วว่าฉันคิดผิด ทำผิด แล้วตอนนี้ฉันก็รู้ใจตัวเองว่าฉันรักนาย นายไม่ใช่ของเล่นแต่เป็นตัวจริง นายคือคนที่ฉันรักจริงๆเข้าใจหรือเปล่า”


“ไม่เข้าใจ! ปล่อยผม ผมจะไปหาพี่กัญ ปล่อยโว้ยยยย!”


“กานต์! ไปไม่ได้นะ ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องคืนนี้ก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น!”


ผมรีบคว้าเมื่อร่างบางลุกพรวด หลับหูหลับตาดิ้นจะหนีออกจากห้องไปให้ได้ ริมฝีปากบางเม้มแน่นบ่งว่าเจ้าตัวกำลังกัดฟันเก็บกลั้นอะไรบางอย่างและยิ่งทำให้ดวงหน้าขาวซีดลงอีก แต่จะให้ผมออมแรงค่อยๆกอดถนอมไว้ก็คงเท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า แล้วเรื่องอะไรจะต้องเสียเวลาไปไล่ตามจับทีหลังในเมื่อผมแน่ใจอย่างที่สุดว่าจะไม่ยอมปล่อยมือจากผู้ชายคนนี้... ไม่มีวัน!




จบตอนแล้วคร้าบ




มีใครอยากโหวตให้เปลี่ยนคุณเมธมารับบทพระเอกแทนมั้ยคะ 555




 :bye2:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 39 (15-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-08-2016 19:50:09
WTF
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 39 (15-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 15-08-2016 19:55:31
เราคิดว่า คุณเมธเหมาะกับกัญญามากกว่านะ แล้วก็เหมาะกับการพเป็นพี่ชายของกานต์มากกว่าเป็นแฟน
งานนี้คุณกรต้องสำนึกผิดที่พูดกับกานต์แบบนี้ ถ้ากานต์โกรธขึ้นมาก็สมควรแล้ว พอเห็นหน้าแทนที่จะถามก่อนว่า ไปทำอะไรมาไปไหนมา กลับหึงจนหน้ามืดไม่ถามซักคำ รอดูกานต์โกรธคุณกรค่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 39 (15-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-08-2016 21:52:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 39 (15-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: aornarak ที่ 15-08-2016 22:01:06
 :angry2:พี่กรบ้า งี่เง่า กานต์ยังมีความคิดมากกว่าอีก
ทีตัวเองยังไม่ชอบให้กานต์ไปใกล้คนอื่น แต่ตัวเองทั้งโอบทั้งกอด
เหอะๆ กานต์ไม่ควรหึงมั้งทำแบบนั้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 39 (15-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-08-2016 22:30:20
 :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:

ไอ้พี่กรเห็นแก่ตัวเหรอ :3125: :3125: :3125:
ตัวเองจะกอดใครก็ได้แต่กานต์ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ
ตัวเองหึงหวงได้กานต์ห้ามหึงหวงอย่างนั้นเหรอ
 :fcuk: :fcuk: :fcuk:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 39 (15-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-08-2016 23:02:19
แล้วก็ดราม่า ซะแล้ว
คุณกร ตอนกอดกัน เต้นรำ กับแคททำไมไม่คิด
ถ้าคิดว่ามีคนรักแล้ว จะทำหรือ
ตัวเองทำได้ ถ้ากานต์ทำบ้าง ยอมไหม
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 39 (15-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 16-08-2016 10:19:44
ดราม่าหนักเลย   อิตอนตัวเองกอดกะคนอื่นละไม่คิด เวลาเห็นคนอื่นทำละร้อนเป็นฝืนเป็นไฟ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 39 (15-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 16-08-2016 21:44:47
คุณกรคะ ตั้งแต่อ่านมานี่ คุณกรหื่น คุณกรป้อคำหวาน แต่คุณกรไม่สามารถปกป้องดูแลกานต์ได้เลยสักครั้งเดียวแถมงี่เง่าเป็นที่หนึ่งขอบอกว่าผิดหวังจริงๆ กับบทพระเอกที่คุณได้รับอยู่ ณ ปัจจุบัน ขอบอกไว้เลยนะคะว่าคนที่จะทำให้เราเบื่อที่จะอ่านเรื่องนี้คือคุณกร แต่ที่ไม่หยุดอ่านเพราะรักกานต์มากจริงๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 40
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 22-08-2016 05:13:32







40.





อึดอัดจัง... หายใจไม่ออก... ขยับตัวก็เจ็บ... อยู่เฉยๆยังปวด... ไม่ไหวแล้ว... ทรมาน... ทรมานชะมัด...!!


เอ๊ะ! แต่จู่ๆทำไมมันแปลกๆ... คัน... หรือจะเรียกว่าจั๊กจี้... เหมือนมีใครเอาแปรงมาเกาเบาๆที่ตรงคอ...
อื๊อออออ!


ผมลืมตาโพลงแล้วส่งเสียงอยู่แค่ในคอเพราะความรู้สึกนั้นมากขึ้นจนลืมที่เจ็บตรงอื่นไปหมด แน่นอนว่ามันทำให้ผมรู้สึกตัว วูบแรกบอกได้ทันทีว่าผมกำลังถูกมัด อ้อ! ไม่ใช่สิ แค่มีวงแขนใหญ่กอดไว้แน่น เจ้าของท่อนแขนสองข้างนี้กำลังหลับสนิท ลมหายใจที่รดอยู่แถวต้นคอผมถึงได้เป็นจังหวะเข้าออกสม่ำเสมอจนน่าหมันไส้เชียวล่ะ


ผมเริ่มถอดกระดูก... พูดเล่นครับ! ก็แค่พยายามขยับให้พอมีช่องว่างเอาแขนตัวเองรอดออกจากอ้อมกอดได้ข้างหนึ่งก่อน จากนั้นก็แกะวงแขนใหญ่ให้หลุด...ค่อยๆ...เบาๆ...ระวังอย่าให้เจ้าตัวตื่นไม่อย่างนั้น...


“หืมมมม”


ผมก็จะได้ยินเสียงครางแบบนี้ที่ในรูหู ดีไม่ดีจะมีอะไรชื้นๆลื่นๆแหย่ตามเข้ามาชวนให้ขนลุกอีกต่างหาก แต่เช้านี้ไม่มีแสดงว่ายักษ์ใหญ่ที่ข้างหลังเพิ่งตื่นจริงๆล่ะมั้ง?


“ขอโทษ กานต์ยกโทษให้คุณกรนะครับ”


ซะเมื่อไหร่! น้ำเสียงออดเป็นมอดกัดไม้ขนาดนี้แสดงว่าเขาคงตื่นก่อนด้วยซ้ำ แต่ผมนี่สิที่ต้องทวนความจำว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง...


“แคทเป็นแค่เพื่อนจริงๆ ฉันรู้จักทั้งเขาแล้วก็แฟนเขาด้วย สองคนนั่นมีเรื่องผิดใจกันนิดหน่อยเลยมาวานให้ฉันเป็นคนกลางช่วยเคลียร์ ทุกอย่างที่กานต์เห็นมันไม่มีอะไรจริงๆ อย่าเข้าใจผิดคุณกรเลยนะ”


อ้อ! เอาเป็นว่าเรื่องที่เลาจน์... เคลียร์!


“แล้วที่กานต์หายไปฉันเป็นห่วงมากรู้มั้ย ค้นจนทั่วโรงแรม แทบจะพลิกหาดทั้งหาดก็ยังหาไม่เจอ พอเห็นกานต์กลับมากับคนพวกนั้นมันก็เลยหน้ามืดไปหน่อย กานต์คงไม่ถือสาคุณกรหรอกใช่มั้ยครับ”


เอาเถอะ! ถึงจะทำเกินไปแต่ก็มีเหตุผลพอฟังขึ้น... ให้ผ่านก็ได้!


“พูดอะไรกับคุณกรสักคำสิครับคนดี”


“ผมเจ็บ ปล่อย!”


แว้ก! ขอด่าตัวเองว่าทำงอนไม่เข้าท่าสักทีเหอะ แล้วยังหางเสียงเมื่อกี้ จะดัดจริตไปหน่อยมั้ยไอ้กานต์?!


“เมื่อคืนเช็ดตัวแล้วก็ทายาให้แล้ว ยังเจ็บมากเหรอ ไปหาหมออีกทีมั้ย” กลายเป็นว่าอีกฝ่ายคิดว่าผมพูดจริง แรงกอดผ่อนลง ผมหันไปมองเขาตาปริบๆก็เลยได้คำตอบโดยไม่ต้องถาม “คนที่มาส่งเล่าเรื่องไอ้พวกขี้เมานั่นให้เมธฟังแล้วก็ฝากถุงยาไว้ให้ ฉันสัญญาว่าต่อไปเราจะพูดกันดีๆ จะไม่วู่วาม ไม่ใช้กำลัง ไม่ทำให้กานต์เจ็บตัวอีก ตกลงยกโทษให้คุณกรสักครั้งนะครับ”


ผมรีบหันกลับมาซ่อนสีหน้าที่จะฟ้องว่าหัวใจอ่อนยวบจนไม่รู้จักแล้วว่าโกรธหรือโมโหต้องทำยังไง คุณภากรช่างดีแสนดี เห็นผมเงียบก็ไม่เซ้าซี้ต่อรอง มีเพียงอ้อมกอดหลวมๆกับสัมผัสแผ่วข้างแก้มที่ส่งไออุ่นไปทั่วทั้งตัว


“แล้วคุณกรล่ะครับจะยกโทษให้ผมมั้ย” ผมกระซิบถามเอากับหมอน คิดเอาเองว่าคนที่กำลังทำตัวต่างผ้าห่มผืนหนาจะได้ยิน “ผมเองก็ผิดที่ไม่เชื่อใจ แค่เห็นคุณอยู่กับผู้หญิงคนนั้นก็คิดเพ้อเจ้อไปเอง แล้วยังทำอะไรไม่ระวัง หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ทำให้คุณกับใครๆต้องเป็นห่วง”


“ถ้างั้นคุณกรก็ต้องขอโทษด้วยที่ยังทำตัวดีไม่พอให้กานต์เชื่อได้หมดใจ” คำตอบเคลียคลอไม่ห่างชวนให้กดยิ้มกับหมอนจนเกือบหายใจไม่ออก แล้วประโยคสุดท้ายยังตามมาด้วยการกัดใบหูเบาๆที่ทำเอาผมไปไม่เป็นทุกที “เอาเป็นว่าเราเข้าใจกันแล้วนะ”


ผมพลิกตัวขึ้นมานอนมองคนที่กำลังคร่อมผมไว้แล้วอมยิ้มแทนคำตอบ เขาสอดแขนข้างหนึ่งช้อนรองต้นคอส่วนมืออีกข้างเคลียแก้มสลับกับเขี่ยผมของผมเล่นเบาๆ ดวงตาที่มักเฉยชากับใครต่อใครยามนี้ทั้งอ่อนโยนและอ่อนหวาน ริมฝีปากได้รูปฉาบรอยยิ้มละมุนค่อยๆลอยต่ำลงมา  เดาว่าเขาคงสมใจและคาดหวังจะได้เขมือบเนื้อแกะหวานๆเป็นอาหารเช้าล่ะสิ!


“เข้าใจแต่ยังไม่หายโกรธได้มั้ยครับ” ผมชูมือขึ้นยันแผงอกเปลือยเปล่า จงใจกดพอสให้ฉากหวานค้างเติ่ง เพราะบังเอิญว่าผมไม่ใช่ลูกแกะแสนซื่อในนิทานก็เลยรู้จักผูกใจเจ็บและชอบการเอาคืนเป็นชีวิตจิตใจ “ผมระบมทั้งตัวไม่ใช่เพราะโดนชกหรอก แต่คุณกรนั่นแหละทั้งลากทั้งกระชาก แถมเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาไม่พอ ยังทุ่มผมกับเตียงตั้งหลายที!”


ผมจ้องเขม็ง ตั้งตัวเป็นโจทก์เอาเรื่องเต็มที่ วัดกันไปเลยว่างานนี้ใครจะแพ้ใครจะชนะ


“โอเคๆ อยากลงโทษอะไรก็ว่ามา คุณกรยอมให้คนที่คุณกรรักได้ทุกอย่างเลยครับ”


“แน่...นะ?” ถามให้ชัวร์อีกทีเพราะรู้ว่าที่จะขอก็มากเอาเรื่องอยู่ “งั้นก็...ห้ามคุณยุ่งกับผม...เดือนนึง”


“มากไป!” เสียงเข้มสวนทันควัน หน้ายิ้มๆเรียบตึงขึ้นมาเชียว “ให้โอกาสขอใหม่อีกที คิดดีๆล่ะไม่งั้นวันนี้ไม่ได้ลงจากเตียงแน่”
อะไรอ่ะ?! ทำไมจู่ๆโอกาสโดนพลิกกลับเป็นวิกฤตยังงี้ เมื่อกี้ผมยังเป็นต่อเขาอยู่เลยนะ


“สามอาทิตย์...” จำเลยคิ้วขมวดแปลว่าไม่ยอมรับเด็ดขาด กลายเป็นผมต้องตกที่นั่งลำบากกับบทลงโทษของตัวเอง “คะ..ครึ่งเดือน...ห้ามต่อแล้วนะครับ”


ผมรีบหลับตาปี๋เพราะจู่ๆเขาก็กดจูบลงมา เมื่อผละออก ระยะห่างระหว่างกันหายไปเกือบครึ่งยิ่งเพิ่มแรงกดดันอีกเป็นเท่าตัว


“อาทิตย์เดียว ขาดได้แต่ห้ามเกิน จะเอาไม่เอา” ผมต้องรีบพยักหน้าก่อนที่จะไม่ได้อะไรเลย แต่หมาป่าตัวนี้ยังเจ้าเล่ห์อยู่วันยังค่ำ พอได้คืบก็เอาศอกทันที “อ้อ! ที่ห้ามแค่เซ็กซ์ เพราะฉะนั้นกอดได้ หอมได้ จูบก็ได้ ตกลงตามนี้ ห้ามมางอแงทีหลังล่ะเข้าใจมั้ย”


ผมหลับตา กัดฟัน กำหมัดแน่น ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงประมาณอยากกรี๊ดแต่ร้องไม่ออก แล้วพอลืมตามายังเจอรอยยิ้มเยาะเย้ยว่าลงท้ายผมก็ต้องแพ้เขาอยู่ดี มันสุดจะทนแล้ว!


“โว้ย!”


ผมผลักคนตัวโตให้หงายหลัง ปีนขึ้นคร่อมแล้วกำรอบลำคอหนา ไม่ได้จะบีบให้ตายคามือ แค่กะให้รู้รสชาติของฝ่ายที่อยู่ภายใต้การควบคุมซะบ้าง แต่คนที่ควรจะกลัวหงอกลับนอนยิ้มตาพราว เขากลอกตาลง ผมมองตามแล้วต้องตาเหลือกกับสภาพของตัวเองที่สุดแสนจะ...โล่งโจ้ง...


“เฮ้ย!”


สถานการณ์เฉพาะหน้ายิ่งเข้าขั้นวิกฤตเมื่อจู่ๆก็มีสัตว์ประหลาดสองตัวกำลังไต่ขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงโคนขา ผมสับสนจนไม่ชัวร์ว่าควรตกใจอันไหนมากกว่า ระหว่างการที่มีตัวประหลาดกำลังจะมุดเข้าชายเสื้อ หรือ เรื่องที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่เสื้อนอนหลวมโพรกตัวเดียว... แค่ตัวเดียวจริงๆ... จ๊ากกก!!


“เมื่อคืนนายดิ้นๆแล้วก็คงหมดแรงเลยหลับไป จะอุ้มไปอาบน้ำก็กลัวตื่น ฉันเลยเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนชุดให้จะได้นอนสบายตัว ไม่ดีเหรอไง” เขาเห็นผมอ้าปากค้างเลยช่วยให้ข้อมูลโดยไม่ต้องขอ


หา?! การที่เขายอมใส่แค่กางเกงแล้วแบ่งเสื้อมาให้ แต่ก็ดันใส่ให้แค่เสื้อ ลืมสิ่งสำคัญที่จะให้ความอบอุ่นและการป้องกันกับส่วนที่อ่อนไหวที่สุดเนี่ยเหรอที่ควรเรียกว่าดี...กะผีน่ะสิ! แล้วนี่คิดว่าก้นคนอื่นเป็นดินน้ำมันเอาไว้ปั้นเล่นหรือไง นวดๆคลึงๆอยู่ได้!


ผมนึกอะไรไม่ออกเลยกางมือขยุ้มหน้าคนผีทะเลกดลงกับหมอนแรงๆทั้งแก้เขินและแก้เผ็ด พอเขายอมปล่อยมือผมก็รีบเผ่นออกจากห้อง มีเสียงโวยวายตามหลังแต่เรื่องอะไรจะสน ขืนอยู่ในห้องนั้นต่ออีกแค่นาทีเดียว ไอ้ที่อุตส่าห์ขอไว้ได้ตั้งหนึ่งอาทิตย์คงเป็นหมันตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มน่ะสิ


ผมยืนหายใจหอบอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าควรจัดการตัวเองให้ดูเรียบร้อยกว่านี้ แต่ดันเหลือบไปเห็นคุณวรเมธกำลังจิบกาแฟชมวิวอยู่ที่ระเบียง และความอยากรู้อยากเห็นดลใจให้ผมตามออกไปในสภาพนั้น เขากำลังมองลงไปที่หาดด้วยท่าทางจดจ่อจนอาจไม่รู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ใกล้ๆ เป็นโอกาสดีให้แอบดูเลยได้รู้ว่าเป้าหมายของคุณเลขาใหญ่ที่ซ่อนความรู้สึกเก่งพอๆกับเก็บความลับของโรงแรมก็คือ...


ว้าว พี่กัญญานั่นเอง!


ผมหลุดอุทานกับตัวเองเบาๆแล้วค่อยหันไปก็เจอว่าเขาหันกลับมาก่อนแล้ว ดวงตาเรียบเฉยมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่ไม่ได้เอ่ยปากถาม ผมเลยรอดตัวไม่ต้องอธิบาย ถึงอย่างนั้นก็เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าผมไม่น่ารอด...


“ไม่นึกว่านายจะได้ออกจากห้องมาเร็วขนาดนี้”


คุณเมธพูดขึ้นมาลอยๆ ยิ้มแบบตัวโกงในทีวีแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสบายใจ คนที่ออกมารนหาที่เองอย่างผมเลยต้องพยายามเก็บอาการไม่ให้ดูเหมือนร้อนตัวเพราะยังเชื่อว่าตัวเองมีแต้มต่ออยู่


“อากาศดี๊ ดี ทะเลสวย ฟ้าใส” ผมชวนคุยไปเรื่อยในขณะที่คนข้างๆหันกลับไปยังจุดเดิม โป๊ะเช้ะ! ยืนยันเป้าหมาย... “คนก็น่ามองนะครับ”


ได้ผล! คุณเมธหันขวับ แต่... สายตาแปลกๆ ชักจะน่ากลัวแฮะ!


“แต่ฉันว่าบางคนยิ่งกว่าน่ามอง...หรือนายว่าไง?” ร่างสูงก้าวช้าๆพร้อมแววตาไร้ปราณี มือเรียวยื่นมาเชยคางให้มองตอบแถมยังโน้มตัวลงมาใกล้... ใกล้มากๆ


“คะ...คุณเมธ!” ผมเรียกเสียงสั่น ภาวนาขออย่าให้คนข้างในออกจากห้องมาตอนนี้ และโชคดีที่คุณเมธไม่ใช่พวกที่สนุกกับการแกล้งคนอื่น ครู่เดียวมือที่จับปลายคางก็เปลี่ยนไปหยิกแก้มแทน


“รู้จักเอาตัวเองให้รอดซะก่อนจะมายุ่งเรื่องของคนอื่น!” ถึงโดนเอ็ด ผมก็ยังยิ้มหน้าระรื่นเพราะสายตาของเขาไม่ได้ดูดุหรือน่ากลัว ยิ่งได้ฟังสิ่งที่ตามมา... “แล้ววันหน้าวันหลังก็อย่าทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงอีก เข้าใจมั้ย”


คุณเมธบอกแล้วยกมุมปากนิดๆตามนิสัย เสร็จแล้วก็หันไปจิบกาแฟชมวิวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หัวใจของผมพลันพองโตเพราะที่เห็นว่าแค่นี้ก็ถือว่ามากเกินกว่าระดับปกติของเขาแล้ว


พอจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย คุณเมธยังเป็นธุระพาผมลงมาสมทบกับพี่กัญที่ห้องอาหารเพื่อจะได้ทานข้าวทานยาให้เรียบร้อย ส่วนคุณภากรฝากบอกว่าขอนอนต่อสักตื่นด้วยเหตุผลที่คุณเมธเอามาคุยให้ฟังลับหลังว่า...


‘กรมันกลัวนายจะหายตัวไป หรือไม่ก็จะไม่สบายตรงไหนอีก พูดง่ายๆคือคิดมากจนหลับไม่ลง เลยเอาแต่ถ่างตาเฝ้านายจนเช้านั่นล่ะ’


ก็แบบว่า... เป็นเหตุผลไม่เข้าท่าที่ทำเอาผมกินข้าวไปยิ้มไปเหมือนคนบ้าเลยทีเดียว


จากนั้นคุณเมธแยกตัวไปเคลียร์งานที่เหลืออีกนิดหน่อยและแน่นอนว่าต้องหนีบเอาพี่สาวผมไปด้วย แต่ผมก็ไม่ต้องเหงาอยู่คนเดียวเพราะมีพนักงานโรงแรมเข้ามาบอกว่ามีแขกมารอพบ ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกพี่ๆที่ช่วยผมไว้จากไอ้ขี้เมาที่ชายหาดนั่นเอง


“พี่เพชร!”


ผมร้องทักและตรงเข้าไปกอดคนที่โบกมือเรียก เขาคือคนที่เดินมาส่งผมก่อนจะมีพี่อีกคนวิ่งตามมา คว้าผมไปกอดเลยโดนคุณกรซัดหงายหลัง ถึงจะบอกว่าเพิ่งเจอกันเมื่อคืนแต่ที่จริงผมรู้จักกับพี่ชายคนนี้มาตั้งแต่เด็ก บ้านเราอยู่ซอยเดียวกัน พี่เพชรอยู่กับแม่แค่สองคน พอแม่เสียพี่เพชรก็บอกเลิกบ้านเช่าแล้วหายหน้าหายตาไป หลังจากนั้นไม่นานบ้านผมเองก็เกิดเรื่องทำให้พวกเราขาดการติดต่อกันไปโดยปริยาย ไม่อยากเชื่อว่าจะได้มาเจอกันไกลถึงที่นี่ ไม่ใช่สิ! เรื่องน่าประหลาดใจมากกว่าคือผู้ชายอีกคนที่นั่งดื่มกาแฟอยู่เงียบๆ มีเพียงรอยยิ้มนิดๆแทนคำทักทายนั่นต่างหาก


 “สวัสดีครับคุณติณณ์” ผมยกมือไหว้ ไม่ลืมถามถึงคนที่ไม่ได้มาด้วย “แล้วพี่บัส...เป็นไงบ้างอ่ะครับ เรื่องเมื่อคืน ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ”


ถ้าจะพูดถึงให้ครบก็ต้องบอกว่ามีพี่บัส พี่เชน พี่แฟรงค์และคุณติณณ์ สี่คนนี้เป็นเพื่อนสนิทกัน พอดีมีช่วงวันหยุดยาว พี่แฟรงค์อยากพาลูกชายมาเที่ยวทะเลอยู่แล้ว เพื่อนทั้งกลุ่มเลยถือโอกาสชวนกันมาพักที่บ้านส่วนตัวของคุณติณณ์ซึ่งอยู่บนชายหาดเดียวกับโรงแรม ส่วนพี่เพชรนั้นมาในฐานะแฟนเจ้าของบ้าน และนี่เองคือเรื่องที่ทำเอาผมอ้าปากค้างอยู่ตั้งนานสองนาน ถึงความจริงจะเห็นอยู่กับตาและออกจะเห็นด้วยกับที่ใครๆบอกว่าพี่เพชรน่ารักกว่าผู้หญิงเสียอีก แต่คนที่รู้จักกันจริงๆจะรู้ว่าพี่ชายคนนี้แมนเต็มร้อย ไม่ได้อยากเป็นสาวทั้งประเภทหนึ่งหรือสอง แล้วก็ไม่เคยคิดพิศวาสผู้ชายด้วยกันเองมาก่อน แต่พอได้ฟังเหตุผลของพี่เพชรแล้ว...


‘พี่ยังยืนยันนะว่าพี่เหมือนเดิมทุกอย่าง ก็แค่พี่มีคนที่พี่รักแล้วบังเอิญว่าเขาเป็นผู้ชาย มันก็เท่านั้นเอง’


นึกถึงตอนนั้น จากที่อ้าปากค้าง ผมก็หุบปากลงแล้วจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตของคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วก็รู้สึกเหมือนเห็นตัวเองในนั้นชัดแจ๋วเลย


“พี่บัสน่ะไม่เป็นหรอก รายนั้นเมาทีไรเป็นได้เรื่องโดนชกจนด้านหมดแล้ว” กลับมาที่ตอนนี้ คุณติณณ์นิ่งฟังแฟนตัวเองแล้วก็มีรอยยิ้มสมน้ำหน้านิดๆ ส่วนคนที่ให้คำตอบดูจะเดือดร้อนไปกับเรื่องอื่นมากกว่า “กานต์นั่นแหละเป็นไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่มั้ย มีไข้หรือเปล่า เมื่อคืนถ้าไม่ติดว่าพี่บัสน็อกไปนะ จะไม่ยอมให้เขาเอาตัวกานต์ไปเด็ดขาด อันธพาลชัดๆ นี่ดีนะที่ยังมีคนที่พอคุยกันรู้เรื่องบ้าง คุณวรเมธนั่นก็รับรองว่าจะช่วยดูแลกานต์ให้ ไม่อย่างนั้นพี่จะพากานต์กลับไปด้วยกันแน่ๆ!”


 พี่เพชรเสียงดังจนหลายโต๊ะหันมามอง ส่วนผมเถียงไม่ออกเพราะมัวอึ้งกับคนที่โกรธก็ยังน่ารัก เอ้ย! ไม่ใช่สิ เพราะไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาแก้ข้อกล่าวหาต่างหาก เหลือก็แต่คุณติณณ์ที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีสติที่สุด เขาวางถ้วยกาแฟลง เอื้อมมือมาทาบลงบนหลังมือขาว บีบเบาๆแล้วพูดอย่างใจเย็น


“เท่าที่ฉันรู้จักมา คุณกรก็เป็นคนดี คนเก่ง...” น้ำเสียงนุ่มเว้นวรรคเพราะเจ้าของมือสวยยังทำท่าฮึดฮัด “ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงน้อง แต่ถึงยังไงเราก็เป็นคนนอก ปล่อยให้กานต์กับคุณกรเขาเคลียร์กันเองดีกว่า”


“แล้วถ้าคุณกรนั่นคอยแต่จะรังแกหรือเอาเปรียบกานต์ล่ะครับ?!”


น้ำเสียงพี่เพชรขุ่นข้องจนเดาได้ว่าสีหน้าคงยังเอาเรื่องเต็มที่ ส่วนผมได้แต่ก้มหน้าเลยได้แอบเห็นมือใหญ่ช้อนมือขาวยกขึ้นไว้ในฝ่ามือตัวเองแล้วไล้หัวแม่โป้งกับผิวเนียนโดยเฉพาะตรงแหวนทองคำขาววงบางๆที่โคนนิ้วนาง


“แต่ฉันเชื่อว่าไม่มีผู้ชายคนไหนจะทำแบบนั้นกับคนที่เขารักหรอก... ไม่เชื่อลองถามกานต์ดูสิ?”


ผมสะดุ้งเมื่อถูกโยนเรื่องมาให้ พอกลั้นใจเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าทั้งคู่กำลังคอยคำตอบอยู่ ต่างกันเพียงพี่เพชรคงอยากให้ผมปฏิเสธ ในขณะที่คุณติณณ์เหมือนจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว พอผมพยักหน้าเบาๆ พี่เพชรเลยออกอาการหงุดหงิดเพราะไม่ชอบใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ส่วนคุณติณณ์ยิ้มนิดๆแบบที่ชวนให้นึกถึงคุณเมธ จากนั้นเขาก็ขอตัวไปสั่งอาหารเช้าเพื่อเอากลับไปฝากเพื่อนที่ยังนอนเมาค้างอยู่ที่บ้านพัก เปิดโอกาสให้เราได้คุยกันแบบพี่ๆน้องๆ


“พี่เพชร...” ผมตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่ม ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่เพราะไม่อยากเห็นความกังวลในดวงตาของพี่ชายคนนี้ “ผมไม่เป็นไรจริงๆ เมื่อคืนคุณกรไม่ได้ทำอะไรผมเลย แล้วที่จริง... เขาก็ดีกับผมมาก ผมโอเคจริงๆนะครับ”


“กานต์...รู้ใช่มั้ยว่ามันไม่ง่ายเลย” พี่เพชรมองตาแล้วถามตรงๆหลังจากถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พี่ไม่รู้จะบอกว่าดีใจหรือเสียใจกับเราดี แต่ก็เอาเถอะ ในชีวิตจริง ไม่ว่าคู่ไหน ครอบครัวไหนก็ต้องมีปัญหาหรือเจออุปสรรคกันทั้งนั้น สิ่งที่เราเป็นอาจดูแปลกในสายตาคนอื่นแต่จำไว้ว่าเราไม่ใช่ตัวประหลาด ถ้ากานต์แน่ใจว่านั่นคือความรักก็ต้องนับถือตัวเองและเชื่อมั่นในคนที่กานต์รักให้มากๆนะรู้มั้ย”


ผมยิ้มรับแบบที่เราพี่น้องเคยยิ้มให้กัน ภายนอกพี่เพชรอาจดูเป็นคนนิ่งเฉย แต่ถ้ารู้จักแล้วจะรู้ว่าเขาเป็นคนน่ารักทั้งหน้าตาและนิสัย ยิ่งเวลายิ้มด้วยนะ ผมเห็นยังเคลิ้มเลย หรือจะเป็นเพราะรอยยิ้มนี้ที่ทำให้...


“แล้วเรื่องคุณติณณ์ พี่เพชรยังไม่ยอมเล่าให้ผมฟังเลย ตกลงเป็นไงมาไงกันอ่ะครับ?”


เมื่อคืนเพื่อนคุณติณณ์อยู่กันหลายคน พวกเราเลยได้แต่คุยสารทุกข์สุขดิบกันแบบผิวเผิน ตอนนี้เลยได้โอกาสสัมภาษณ์แบบเจาะลึกแต่แทนที่ได้ฟังเรื่องที่ชวนจั๊กจี้หัวใจ กลับเหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆช็อตให้เส้นขนลุกซู่เมื่อโดนคนยิ้มสวยถามแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ผมหันหน้าหนีไปมองแขกชาวต่างชาติที่กำลังทานมื้อเช้ากันทั้งครอบครัว เด็กฝรั่งโต๊ะนั้นแก้มแดงเปล่งยังกับมะเขือเทศแน่ะ แหะ แหะ อาการแบบนี้คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าผมโดนพี่เพชรย้อนเรื่องอะไร


ผมแอบหันกลับมาก็ต้องหลบสายตาลงต่ำอีก ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆยิ่งร้อนไปถึงหู ถึงคุณกรจะไม่เคยปิดบังเรื่องของผมกับเขา และผมเองก็กล้ายอมรับว่ามีเขาอยู่เต็มหัวใจ แต่จะให้พูดออกมามันก็ยัง... เขินเกินจะบรรยายอยู่ดี!


“เอาล่ะๆ พี่ไม่อยากรู้แล้วก็ได้” พี่เพชรบอกแล้วขยี้หัวผมเล่น ผมถึงได้กล้าเงยขึ้นมามองใบหน้าขาวๆ รอจนเขายอมเอ่ยปาก “ส่วนเรื่องของพี่...ก็ไม่รู้สินะ หลังจากเสร็จเรื่องแม่ พี่ก็เคว้งๆ จับอะไรไม่ค่อยถูก พี่บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงแต่รู้ตัวอีกทีก็มีคุณติณณ์คอยอยู่ข้างๆ เขาทำให้ชีวิตพี่เข้าที่เข้าทาง แล้วท่าทางจะไม่ยอมหายไปไหนด้วย พี่ก็เลยต้องยอมเลยตามเลย เพราะมันก็ดีเหมือนกันนะที่จะมีใครคอยอยู่เคียงข้างเราสักคน กานต์คงเข้าใจใช่มั้ย?”


ผมตามออกมาส่งและยืนมองทั้งคู่เดินจากไปจนลับสายตา ภาพของผู้ชายสองคนเดินเคียงกันไป อาจไม่ได้หวานแบบคู่รักที่ต้องจับมือจูง พูดคุยหยอกล้อ หรือชี้ชวนกันชมวิวสวยๆ แต่เมื่อใดที่ใครคนหนึ่งเสียหลักเพราะพื้นทรายที่ทำให้เดินลำบากก็จะมีอีกคนคอยช่วยประคองได้ทันทีราวกับเขาทั้งสองเฝ้ามองทุกย่างก้าวของกันและกันอยู่เสมอ... คงไม่ใช่ความรักในมโนภาพของใครหลายคน แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าแสงแดดอ่อนๆของเช้าวันนี้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน







จบตอนแล้วคร้าบ



อาจมีบางคนขัดใจที่กานต์ยอมดีด้วยง่ายไปมั้ย ก็เลยต้องรีบบอกว่าเราไม่ใช่สายดรามาค่ะ คืออ่านได้แต่ก็จะรู้สึกอึดอัด มาเขียนเองก็เลยดรามามากๆไม่ไหว อยากให้ดีกันเร็วๆ เคลียร์กันให้จบๆมากกว่า จะมาโกรธมาเคืองทำไมให้เสียเวลาที่จะมีความสุขร่วมกันจริงมั้ยคะ



ส่วนพี่เพชรกับคุณติณณ์นี่จริงๆเป็นวายเรื่องแรกที่เขียน แต่ดันมาปิ๊งพล๊อตของกานต์จนเขียนกานต์จบก่อนค่ะ
เลยรับเชิญมาแว้บๆ เผื่อจะเกิดไฟกลับไปเขียนต่อจนจบ 

พี่เพชรเป็นคนน่ารักม๊าก หวงกานต์ เหม็นขี้หน้าน้องเขยสุดๆ ตามไปดูความป่วงของนางได้ในตอนพิเศษนะคะ
งานขายต้องมา 555




 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 40 (22-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-08-2016 05:50:54
สั้น
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 40 (22-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 22-08-2016 07:52:46
อยากได้ตอนยาวๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 40 (22-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 22-08-2016 08:14:02
ก็ไม่ขัดใจนะที่ดีกกันเร็ว คือแบบ..แตาละคนก็มีเหตุผลที่รองรับการกระทำแถมยังเปิดอกคุยกันเรื่องมันเลยจบลงด้วยดี ดีกว่าโกรธกันงอนกัน นี่ละมั้งที่เขาเรียกว่ารักด้วยความเข้าใจ  ทะเลาะกันบ้าง แต่ถ้าคุยกันให้เร็วเรื่องมันก็ไม่บานปลาย

อิอิ น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 40 (22-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-08-2016 13:04:38
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 40 (22-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-08-2016 16:25:51
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 40 (22-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-08-2016 19:25:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 40 (22-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 22-08-2016 20:52:49
คุณกร น่าจะโดนน้องงอนมากกว่านี้นะ ถึงจะดีที่เข้าใจกันได้เร็ว แต่คุณกรน่าจะได้รับบทเรียนมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 40 (22-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 27-08-2016 14:38:41
เราก็ไม่ชอบดราม่า แต่อยากให้คุณกรปรับปรุงตัวหน่อยก็ดี
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 41
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 28-08-2016 19:10:19






41.





กานต์ไม่ได้แค่ลบคำว่าโสดออกไป แต่เขาเข้ามาเติมความพิเศษให้กับทุกช่วงเวลาของชีวิต ให้ผมได้หลับตาพร้อมไออุ่นในอก หลับสนิทด้วยความฝันแสนหวาน และตื่นรับความสดชื่นปนความตื่นเต้นในทุกเช้า เหมือนอย่างตอนนี้ ขนาดว่ายังไม่ลืมตาก็ต้องเก็กจนเมื่อยหน้าเพราะอยากหลุดยิ้มจะแย่แล้ว


“อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงกระซิบเรียกมาพร้อมรอยอุ่นเบาๆที่หน้าผาก


อันที่จริงผมรู้สึกตัวตั้งแต่ที่ควานมือไปแล้วพบความว่างเปล่าข้างกาย ถ้าไม่ได้ผ่านค่ำคืนหนักหน่วงนัก กานต์มักลุกจากที่นอนก่อนและตระเตรียมมื้อเช้าไว้คอยบริการ นี่ก็คงรู้ว่าผมเล่นตัวไม่ยอมตื่นง่ายๆเพราะยังมีเวลาเหลือเฟือเกินกว่าคำว่าสาย คนน่ารักเลยยอมเอาใจลงนอนข้างๆ มีบางอย่างมาขยุกขยิกอยู่ที่ข้างแก้มแต่ผมแกล้งเฉย จนได้ยินเสียงร้องเบาๆจึงลืมตา เห็นเขาทำหน้าแหย ลูบปลายจมูกตัวเองป้อยๆ คงจะระคายตอหนวดที่แย่งกันแทงผิวขึ้นมายิบๆ ผมจะทำอะไรได้นอกจากสอดแขนรวบร่างเพรียวเข้ามาแนบตัวแล้วรับขวัญกับหน้าผากอุ่นเสียหลายที


“เดี๋ยวโกนหนวดให้คุณกรหน่อยนะครับคนดี” เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำเองก็ได้ แต่ถ้ามีคนทำให้มันต้องดีกว่าอยู่แล้ว


“งั้นลุกไปอาบน้ำสักทีสิครับ เดี๋ยวก็ลงไปทำงานสายหรอก”


“อืม อีกแป๊บนึง กำลังจะลุกแล้วล่ะ” ผมงึมงำตอบแล้วมุดลงซุกซอกคอหอมกลิ่นแป้งยี่ห้อที่เจ้าตัวบอกว่าใช้มาตั้งแต่จำความได้ ความจริงกลิ่นลักษณะนี้น่าจะให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาเหมือนอย่างเด็กทารก แต่พอมาอยู่บนตัวเด็กน้อยของผมกลับเสริมให้เนื้ออุ่นเร้าอารมณ์ได้มากกว่าผู้หญิงที่พรมน้ำหอมราคาแพงเสียอีก


“คุณกร!” คนตัวหอมร้องลั่นเมื่อสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างในร่างกายของผมที่กำลัง ‘ลุก’ ก่อนส่วนอื่น แต่ความสนิทชิดเชื้อระหว่างเราก็ลบคำว่าอายออกจากพจนานุกรมของผมไปนานแล้ว เขาจะดิ้นหนี ผมเลยล็อกด้านบนด้วยวงแขน รัดท่อนล่างด้วยขาทั้งสอง เสือกไสอาการตื่นตัวยามเช้ากับเนื้อสะโพกแน่นๆ แอบลืมตามอง คนถูกกระทำเป็นฝ่ายหลับตาปี๋ แก้มแดงเป็นลูกตำลึงเชียว


“สัญญากันแล้ว จะผิดคำพูดเหรอครับ” ถึงจะอายจนหน้าแดง เจ้าลูกแกะก็ยังทำปากกล้าเอ่ยทวง หมาป่าอย่างผมเลยได้แต่กัดฟันทน ปลอบตัวเองว่าเหลืออีกแค่วันเดียวเท่านั้น รอให้ครบกำหนดก่อนเถอะ จะจัดเต็มเอาให้ร้องไม่ออกเชียว


“อาาาา ดีจังเลยครับ” ยังโชคดีที่เงื่อนไขในสัญญาเอื้อประโยชน์ให้ผมเอาแต่ใจได้มากพอดู พอเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองได้สักหน่อย ผมก็แกล้งส่งเสียงกระเส่า ไล้ริมฝีปากทั่วแก้มนุ่ม ปากบางเม้มแน่นไม่ยอมร่วมมือ ผมเลยเลื่อนลงไปกัดปลายคาง ได้ยินเสียงท้วงเบาๆ จากนั้นก็ลากลิ้นต่อไปตามลำคอ ขบย้ำแนวไหปลาร้า และจัดการกับกระดุมเสื้อเชิ้ตจนผิวขาวเปิดเผยแก่สายตา


“คะ..คุณกร อย่า...อย่าครับ อื้อ!” เด็กดื้อยอมเปิดปาก ร้องห้ามเสียงพร่า ผมจึงละจากแผงอกขึ้นฉกริมฝีปาก ละเลียดชิมรสฉ่ำหวานที่ยังแฝงความดื้อดึงชวนกำราบ ไม่นานก็โอนอ่อน ยอมรับและป้อนกลับจุมพิตหวานรับอรุณให้กันและกัน


“แฟนใครน๊า น่ารักจริง” ผมหยอกถาม คำตอบคือกำปั้นเล็กทุบอกดังปั้ก แต่ผมไม่ถือสา กระชับอ้อมแขนกอดร่างเพรียวไว้แล้วรวบมือเล็กมาหอมเล่น ทอดเวลาที่ต้องออกไปผจญกับงานและปัญหาสารพัดไปอีกสักนิด ผมชอบและเชื่อว่ากานต์เองก็คงชอบช่วงเวลาง่ายๆที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ไม่ต้องมีคำพูด ไม่ต้องมีสัมผัสร้อนแรงแต่กลับรับรู้ได้ถึงความรักที่เรามีให้แก่กัน 


ความจริงแล้วผมไม่ใช่คนขี้อ้อน อิดออดอะไรสารพัดขนาดนี้ แต่เพราะหลังจากงานคริสต์มาสของโรงแรม คุณภัทราพรดูจะจริงจังและสนุกกับการชุบตัวลูกชายคนใหม่จนทำให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงจนน่าหงุดหงิด นอกจากงานประจำในตำแหน่งผู้ช่วยวรเมธ กานต์ต้องเรียนหนังสือเพิ่มกับอาจารย์พิเศษหลายคนที่ถูกคัดสรรมา ต้องออกงานเลี้ยง งานการกุศลเพื่อให้มีภาพข่าวทางหน้าสังคม พอผมเผลอก็ถูกคุณพอลชิงตัวไปถ่ายแบบ นี่ยังโชคดีที่อาชัชมีคิวลงไปดูงานที่ภูเก็ตอยู่เรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นส่วนของผมก็คงถูกแย่งให้ยิ่งน้อยลงไปอีก เวลาส่วนตัวที่เหลืออยู่จริงๆก็คือตอนเข้านอน กับตอนเช้าที่เขายังรักษาสัญญาอยู่เป็นเพื่อนกินข้าวกับผมเหมือนอย่างวันนี้


“Would you like some coffee or tea, sir?”


กานต์อมยิ้มถามทันทีที่ผมนั่งลงตรงหน้ามื้อเช้า แม้จะรู้อยู่แล้วว่าผมดื่มกาแฟดำ แต่นี่คงอยากอวดสำเนียงที่นับว่าใช้ได้ทีเดียว ไม่เสียแรงที่ได้ลูกสาวเพื่อนสนิทของคุณภัทราพรซึ่งไปเรียนที่ประเทศเจ้าของภาษาตั้งแต่เด็กมาติวเข้ม ส่วนวิชาอื่นๆ ถ้าไม่ใช่ว่าติวเตอร์พากันหลงเสน่ห์นักเรียนเสียหมดก็คงเชื่อรายงานผลการสอนได้อยู่


ผมเก็กหน้าดุ ส่ายหน้าเบาๆหลอกเด็กให้ใจเสีย กานต์ขมวดคิ้วนิดๆคงพยายามนึกว่าตัวเองพูดอะไรผิด อาจจะผิดความหมายไป ห้วนไป หรือไม่สุภาพพอ ผมเลยดึงเก้าอี้อีกตัวให้เขยิบเข้ามาชิด หยิบถ้วยกาแฟใส่มือ เชยคางเขาขึ้นมองตาแล้วค่อยเฉลย


“แค่สั้นๆว่า Coffe or me? ก็ถูกใจฉันแล้วล่ะ”


คนหน้าบางถลึงตา เม้มปากมิด แก้มขาวๆนั่นขึ้นสีเรื่อได้ราวกับกดสวิตซ์


“จริงๆนะ ทั้งโต๊ะเนี่ย กานต์น่ากินสุดแล้วไม่รู้ตัวเหรอ”


โดนผมยิงอีกดอก คนเก่งถึงกับไปไม่เป็น ขยับไปไหนก็ไม่พ้นเลยได้แต่ค้อนใส่ ทำปากขมุบขมิบแต่ก็ยอมทำหน้าที่บริการมื้อเช้าเหมือนอย่างเคย ระหว่างทานข้าว เขาจะอธิบายตารางงานของผมในแต่ละวัน เพื่อที่ว่าเมื่อส่งต่อถึงเจ้าเลขาใหญ่จะได้ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เรียกว่าขนาดยังไม่ตอกบัตร แฟนผมก็ถูกเจ้าเมธใช้งานซะแล้ว ตัวผมเองเลยต้องคอยดูแกมบังคับให้เขาทานมื้อเช้าให้มากพอสำหรับกิจกรรมมากมายที่รอเขาอยู่ กลายเป็นการดูแลซึ่งกันและกันซึ่งผมหวังว่าจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป


“เย็นนี้ออกไปดินเนอร์ข้างนอกกันดีมั้ย ชวนเมธกับกัญญาไปด้วยก็ได้นะ สองคนนั่นจะได้สนิทกันมากๆ” ผมเอ่ยปากหลังจากรวบช้อนตัวเอง แต่เลื่อนแก้วน้ำส้มส่งให้อีกคนพร้อมสายตาสั่งว่าต้องดื่มให้หมด


“พี่กัญคงขอบายครับ ใกล้สอบแล้วรายนี้ชอบหมกตัวเองอยู่กับกองหนังสือ บอกว่ายังไงก็จะเอาเกียรตินิยมให้ได้ คุณเมธน่าจะว่างแต่ก็คงบอกว่าไม่อยากกินข้าวเย็นไปเห็นหน้าคุณกรไป ส่วนผม...” ท่าทางอึกอัก ทำหน้าแหยอย่างนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผมชวด “คุณท่านให้ไปงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งนายกสมาคมผู้ปกครองคนใหม่ด้วยน่ะครับ”


กานต์อ้างถึงตำแหน่งนายกสมาคมผู้ปกครองและครูของโรงเรียนคอนแวนต์ชื่อดังซึ่งทั้งแม่และภาวิณีเป็นศิษย์เก่า เรื่องงานเลี้ยงนี่เรียกว่าจัดกันบ่อยจนเป็นปกติ เดี๋ยวก็ต้อนรับ อำลา หาทุน หาเรื่องพบปะกันจนผมเบื่อแทน


“คุณแม่หมดวาระนั้นมาตั้งสามสี่ปีแล้วนี่” ที่รู้เพราะผมไม่ต้องถูกลากตัวไปออกงานประเภทนี้มาสามสี่ปีแล้วเช่นกัน


“พอดีว่านายกสมาคมคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งกับคุณท่านเรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ท่านเลยยิ่งต้องไปร่วมงานในฐานะอดีตนายกแล้วก็เพื่อนสนิทน่ะครับ ทีแรกจะให้คุณภาไปด้วยเพราะคุณภาเองก็เรียนจบจากที่นั่น แต่กลัวจะติดงานทางภูเก็ตเลยให้ผมไปแทน คุณกรไปมั้ยครับ ไปเป็นเพื่อนคุณท่านกัน”


“ไม่เอาล่ะ งานแบบนี้ขอผ่านดีกว่า มีแต่พวกคุณหญิง คุณนาย ไม่ค่อยได้คุยธุระอะไรเป็นชิ้นเป็น น่าเบื่อจะตาย”


“แล้วผมไม่ยิ่งกว่าเหรอครับ”


“เอาน่า อย่าห่วงเลย นายก็แค่ไปนั่งทำตัวน่ารัก เฉยๆไว้ ไม่ต้องพูดอะไรมากก็โอเคแล้ว แต่ถ้าให้คนเนื้อหอมอย่างฉันไปมันจะยุ่งไม่รู้หรือไง”


ผมรีบปิดทาง ไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด เพราะงานประเภทนี้เบื้องหลังก็คือการอวดฐานะ อวดลูกอวดหลาน จับคู่ดูตัวที่แม่พยายามยัดเยียดให้ผมมาตลอด คนที่ปฏิเสธไม่ได้เลยยิ่งทำหน้ายุ่ง ไม่รู้เพราะกลัวทำตัวไม่ถูกหรืออาจจะหึงย้อนหลังผมอยู่ก็ได้


“อดทนหน่อยนะ เชื่อครับว่าคนเก่งของคุณกรต้องทำได้แน่” พอผมกระชับอุ้งมือแนบข้างแก้ม กานต์จะเอียงคอรับสัมผัส อาการคล้ายลูกแมวอ้อนมือเจ้าของ เป็นวิธีให้กำลังใจอย่างง่ายสุดที่ผมจะใช้เวลาเห็นเขาล้ากับสิ่งที่ใครต่อใครพากันยัดเยียดให้ เพราะภาระหน้าที่เหล่านั้นล้วนมาพร้อมความคาดหวังที่ทำให้เขาต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ หลายครั้งที่ผมทนไม่ไหว อยากจะยกเลิกทุกอย่าง อยากจะเถียงกับแม่ตัวเองแทนว่าไม่เห็นจะต้องไปเรียนต่อเมืองนอก สถาบันการสอนด้านการโรงแรมในไทยก็มีดีอยู่หลายที่ และไม่เห็นจะต้องทำให้กานต์เป็นที่ยอมรับหรือเชิดหน้าชูตาใคร แค่เขาเป็นที่รักของผมคนเดียวก็มากเกินพอแล้ว แต่เป็นตัวเขาเองที่เต็มใจจะทำทุกอย่างด้วยเหตุผลที่ง่ายแสนง่ายว่า...


‘ผมไม่ได้อยากให้ใครยอมรับในตัวผม แต่ขอให้ทุกคนยอมให้ผมได้อยู่เคียงข้างคุณกรเท่านั้นก็พอ’


แล้วผมจะทำอะไรได้เมื่อถูกความน่ารักของแฟนตัวเองปิดปากเข้าให้


“คุณกรครับ”


จู่ๆผมก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ไม่ต้องรอให้กานต์พูดต่อก็พอเดาได้ เพราะมันคือเรื่องที่ผมพยายามเลี่ยงตอบคำถามมาเป็นอาทิตย์แล้ว ผมหันไปมองสายตาคาดหวังแล้วต้องถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ได้นับ ความจริงคือไม่ได้อยากปิดบัง แต่บางครั้งรู้แล้วช่วยอะไรไม่ได้จะไม่ยิ่งเป็นการเพิ่มความทุกข์ให้เจ้าตัวเสียเปล่าๆหรอกเหรอ


“ผมก็แค่ไม่อยากถูกปิดหูปิดตาเหมือนผมเป็นเด็กๆที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ถ้าผมจะได้อยู่เคียงข้างคุณกรอย่างนี้ สู้ให้ผมได้รู้แล้วก็พร้อมที่จะรับได้ทุกๆเรื่องไม่ดีกว่าเหรอครับ”


ผมยิ้มบางๆและยอมพยักหน้าเป็นอันตกลง แต่ใช่ว่าผมจะยอมเปิดปากบอกหมดทุกอย่าง แค่ยอมให้เขาล้วงและรีดไปเอง นั่นหมายถึงข้อมูลนะครับ ถ้าเรื่องอื่นเป็นผมที่จัดการเขาเองจะเหมาะกว่า


“พ่อกลับเข้าบ่อนอีกแล้วใช่มั้ยครับ” เขารอจนแน่ใจว่าผมจะไม่พูดจึงเริ่มถามเอาจากการคาดเดาของตัวเอง “พ่อไปเล่นที่ไหนครับ นานหรือยัง”


สองมือเล็กจับแขนผมเขย่าให้รีบตอบ ผมจึงวางมือกุมมือทั้งสองเป็นการเตือนให้เขารู้จักสงบนิ่ง อย่าปล่อยให้อารมณ์ควบคุมตัวเองจนเสียงานใหญ่


“รู้ว่าเขากลับไปเล่นแค่นั้นก็พอ ไม่ต้องไปเซ้าซี้กับเฮียหยามอีกแล้ว เรื่องจะไปห้ามเขาถึงที่น่ะเลิกคิดเลย เข้าใจมั้ย”


 “แต่ถ้าปล่อยไว้ ถ้าพ่อยังไม่เลิกเดี๋ยวก็ได้มีเจ้าหนี้ตามมาทวงเงินที่ผมอีก แล้วถ้าเกิดเป็นเรื่องใหญ่โตมีข่าวขึ้นมามันจะไม่ดีนะครับ”


ผมยิ้มที่เห็นกานต์กังวลในจุดที่ผม วรเมธ และเฮียสยามคิดไว้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ใครๆต่างรู้ว่าเขาไม่ใช่พนักงานธรรมดา กระแสตั้งแต่งานเปิดตัวก็ยังไม่เงียบหาย ถ้าเป็นข่าวขึ้นมาคงส่งผลกระทบถึงเจ้าตัวและชื่อเสียงของโรงแรมไม่มากก็น้อย เฮียสยามจึงส่งคนคอยสืบข่าวสมบัติอยู่ห่างๆ แม้แต่ตัวกานต์เองก็มีลูกน้องเฮียสยามตามประกบแบบไม่ให้รู้ตัว


“เอาเป็นว่าถ้าห่วงเรื่องพวกนี้ก็วางใจเถอะ ฉันจัดการได้” ผมมองตาและตบที่หลังมือเล็กเบาๆ รู้สึกได้ว่าแรงที่บีบอยู่คลายลง


“แต่ผมก็ยังสงสัยว่าพ่อเอาเงินที่ไหนไปเข้าบ่อนอีก คราวก่อนที่มาหาผมก็ใส่ทองมาเต็มคอเลย แค่ทำงานไร่มันจะได้ตังเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ”


ผมหลบตาเพราะถือเป็นชนักติดหลังอันใหญ่ สมควรด่าตัวเองว่าทั้งที่อยู่ในวงการนี้แท้ๆ ผมก็ยังประมาทความเป็นผีพนันเสียได้ สิ่งที่เจ้าเมธเตือนไว้ไม่ผิดเลยแม้แต่คำเดียว ยิ่งมีต้นทุนให้ถลุงมากก็ยิ่งหนักมือ ยอดหนี้จากเงินก้อนห้าแสนสูงจนต่อให้นายสมบัติมีลูกอีกสิบคนก็ไม่พอขายใช้หนี้


“นอกจากที่ใช้หนี้สามหมื่นไปตอนนั้น พ่อได้มาขอเงินคุณกรอีกหรือเปล่าครับ”


“ใช่ใช่มั้ย” ผมเสหยิบถ้วยกาแฟขึ้นจรดริมฝีปาก คนที่กำลังลิ้มรสฝาดเฝื่อนของความผิดหวังยิ่งคาดคั้น “คุณให้เงินพ่อไปอีกเท่าไหร่ บอกผมมาสิ”


“ฉันไม่เคยถือเรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ อย่าคิดมากเลย”


“ไม่คิดไม่ได้ครับ คุณให้พวกเรามาจนไม่รู้จะเรียกว่ามากมายแค่ไหนแล้ว ทั้งห้าแสน สามหมื่น แล้วยังจะมีอีกงั้นเหรอ นี่ผมกับพ่อยิ่งกว่าไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกแล้วนะ”


ถึงจะเป็นเด็กขี้อ้อน ชอบโวยวายให้ตามใจในบางครั้ง แต่กับเรื่องเศร้ากานต์ไม่ใช่คนฟูมฟาย ยิ่งเสียใจมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเก็บเอาไว้กับตัวจนผมกลัวว่าตัวเขาเองนั่นล่ะจะทนรับไม่ไหวเข้าสักวัน


“ฟังฉันนะกานต์ อย่าใช้เงินวัดศักดิ์ศรีของคน การประพฤติตัว การตั้งมั่นในความดี ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรต่างหากที่สำคัญ ฉันอาจจะจ่ายเงินห้าแสนแล้วได้ตัวนายมา แต่นั่นไม่ใช่ราคาของศักดิ์ศรี ที่ทำไปเพราะฉันอยากพาคนดีๆไปอยู่ในที่ๆเขาควรอยู่ แล้วฉันก็เชื่อว่าความใฝ่ดีในตัวจะนำพาคนๆนั้นไปสู่อนาคตที่ดียิ่งขึ้นๆไป ฉันเชื่อมั่นในตัวนาย แล้วนายจะไม่เชื่อมั่นในตัวเองหรือไง”


“แต่ถ้ามีใครรู้ว่าผมกับพ่อมาเอาเงินคุณ...”


“ใครจะรู้หรือเอาไปพูดก็ช่างเขาสิ นายก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวฉันแล้วนี่ว่าการเก็บเอาความคิดของคนอื่น เอาคำพูดคำนินทาว่าร้ายมาทำให้ตัวเองเป็นทุกข์แล้วชีวิตมันจะเป็นยังไง”


เรื่องราวเบื้องหลังระหว่างพ่อกับแม่พาลให้ผมพูดไม่ออก ทั้งน่าขันและน่าเศร้าจนไม่อยากเชื่อที่ความสุขในชีวิตของครอบครัวเราขาดหายไปเพราะลมปากชาวบ้าน ส่วนคนของผมนี่ก็น่าสงสารพอกัน ความสุขในชีวิตของเด็กคนหนึ่งหมดไปเพราะคนที่ควรรักเขาที่สุดหันไปฝากชีวิตไว้กับเหล้าและการพนัน


“อย่าคิดมาก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ ส่วนเรื่องของพ่อนายขอให้ไว้ใจฉัน ตกลงมั้ย”


“แต่คุณกรก็ต้องรับปากว่าจะไม่ให้เงินพ่ออีก ไม่ว่ายังไงก็ห้ามเด็ดขาดนะครับ”


กานต์ยื่นข้อแลกเปลี่ยนด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวจนผมจำต้องยอมรับปากเพื่อความสบายใจของเขา แต่จะเรียกว่าผิดคำพูดหรือไม่คงต้องว่ากันอีกที เพราะเขาคงไม่รู้ว่าแผนการบางอย่างได้เริ่มต้นไปแล้ว

“เรื่องนั้นเรียบร้อยแล้วนะ”


หลังจากเคลียร์ส่วนของงานประจำวันจบ วรเมธก็ปิดแฟ้มแล้วมองหน้าก่อนจะเกริ่นในเรื่องที่รู้กันแค่สองคน ผมไม่ซักต่อเพราะเชื่อฝีมือเจ้าเลขาคนสนิท แต่ดูเหมือนมันจะไม่เชื่อในวิธีของผมมากกว่า


“แต่แน่ใจได้ยังไงว่าจะจบ คราวนี้จากห้าแสนเพิ่มเป็นสามล้าน นี่นายจะทำตัวเป็นตู้เอทีเอ็มให้ผีพนันอย่างนายสมบัติผลาญเงินเล่นหรือไง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้ากานต์รู้เรื่องเข้าจะว่ายังไง”


เป็นเรื่องดีอยู่เหมือนกันที่กานต์มีธุระยุ่งจนทำให้ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา อย่างตอนนี้เป็นเวลาเรียนภาษากับติวเตอร์ส่วนตัว ทุกทีจะมาสอนกันที่โรงแรมแต่วันนี้นักเรียนบอกว่าขอเปลี่ยนบรรยากาศออกไปเรียนนอกสถานที่ ผมมองนาฬิกาก็รู้ว่าใกล้จะได้เวลาเลิกเรียนแล้ว คงต้องรีบคุยประเด็นนี้ให้จบเดี๋ยวนี้ล่ะ


“ฉันก็ไม่ได้ให้ฟรีๆนี่หว่า ตัวเขาเองก็ยอมรับเงื่อนไขที่จะต้องลงไปอยู่ภูเก็ต เรื่องคุมคนๆเดียวอาชัชจัดการให้ได้อยู่แล้ว ถ้าเรื่องเงินเรียบร้อยแล้ว นายก็ย้ำเขาอีกทีให้จัดการตามที่รับปาก พร้อมเมื่อไหร่ก็ลงไปได้เลย ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”


“แล้วจะให้พ่อเขาบอกลูกๆว่ายังไง จู่ๆหายตัวไปเลยมันน่าก็น่าสงสัย เผลอๆกานต์อาจจะจับพิรุธเรื่องเงินที่นายใช้หนี้แทนพ่อเขาเข้าก็ได้”


วรเมธชี้จุดที่ผมก็กังวลเพราะยังไม่ได้หาทางหนีทีไล่เตรียมไว้ บวกกับข้อที่รับปากไปเมื่อเช้ายิ่งทำให้หนักใจอยู่ว่าทางออกแบบไหนถึงจะทำให้กานต์สบายใจ ไม่คิดทำเรื่องที่ฝืนตัวเอง แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอย่างนั้นทำให้ผมกลัวใจ อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ


เจ้าคนถามเห็นผมเงียบก็ส่ายหน้า ไม่ซักไซ้ต่อ พอดีมือถือเจ้าตัวดังขึ้น มันกดรับและฟังแค่คำแรกเท่านั้นก็หันขวับมาหาผมด้วยสายตาที่บอกได้ทันทีว่า... งานเข้า!


“กานต์ถูกจับตัวไป”






จบตอนแล้วคร้าบ



ขอโทษคร้าบ มาสั้นแล้วยังตัดจบห้วนซะ    :mew2:

จะรีบพากานต์ไปรดน้ำมนต์ งานเข้าอีกแล้ว เป็นนายเอกของพี่ต้องอดทนเข้านะน้อง   :hao3:




 :bye2:


 :bye2:



หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 41 (28-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-08-2016 20:29:02
 :ling3:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 41 (28-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 28-08-2016 21:50:35
อ้าว...เห้ย!!!

อะไรอีกเนี๊ย  มีงานเข้าไม่หยุดไม่หย่อน น่าสงสารจริง
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 41 (28-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 28-08-2016 22:08:27
อ้าวเฮ้ยไม่เหมือนที่คุยกันไว้นีหว่า
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 41 (28-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 28-08-2016 22:17:22
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 41 (28-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 28-08-2016 22:59:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 41 (28-8-59)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 31-08-2016 22:07:03
อะไรมันจะขนาดน้าน ตอนเว้นตอนเลยเว้ย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 42
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 03-09-2016 18:53:02





42.





ผมค่อยๆลืมตาเพราะความรู้สึกเหมือนตัวโดนเขย่า พอสติมาความเจ็บก็แล่นจี๊ดจากกึ่งกลางลำตัวทำให้ยิ่งตาสว่าง พยายามขยับก็รู้ว่าโดนเอามือไขว้หลังแล้วมัดไว้ ขาสองข้างยังเป็นอิสระแต่พื้นที่ก็จำกัดให้เหยียดขาเต็มที่ไม่ได้ สรุปสภาพของผมก็คือนอนคู้อยู่บนเบาะของรถตู้ที่ติดม่านรอบคันจนมองไม่เห็นภายนอก แต่รู้สึกได้ว่ารถกำลังแล่นด้วยความเร็วพอสมควร


“ฟื้นแล้วก็อยู่เฉยๆ อย่าทำตัวมีปัญหา” เสียงคุ้นหูกระซิบบอกแล้วมีแรงช่วยยกตัวผมขึ้น


พอนั่งได้ถนัดผมรีบกระเถิบออกมาชิดริมอีกด้านเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร หึ หึ อยากจะหัวเราะจนร้องไห้ บอกไปใครจะเชื่อว่าผมจะถูกพ่อตัวเองลักพาตัว


ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเปล่าแต่พ่อมาหาหลังจากที่ผมแยกย้ายกับครูสอนพิเศษและกำลังจะกลับโรงแรม พ่อไม่ได้มีท่าทางผิดปกติอะไร แถมยังพูดอวดว่าวันนี้ยืมรถของเพื่อนมา ตั้งใจว่าจะมาพาผมไปชวนพี่กัญไปทานข้าวด้วยกันสักมื้อ แต่พอผมตามมาถึงที่รถก็กลายเป็นช่วงชุลมุน มีผู้ชายสามสี่คน ใส่หมวกไหมพรมปิดหน้าพุ่งออกมารุมจับ ผมพยายามขัดขืนก็ถูกชกหลายที หนักสุดคือตรงท้องที่ทำเอายืนไม่อยู่ หมดสติไปในที่สุด


“อ้าว! ตื่นแล้วเหรอครับคุณหนู เห็นตัวเล็กๆแต่เล่นเอาพวกพี่หมดแรงไปเยอะเลยน๊า” มีมือหยาบยื่นมาจากด้านหลังพยายามจะลูบแก้มแต่ผมเบี่ยงตัวหลบจนเกือบตกลงจากเบาะ


“เฮ้ยๆ ระวังหน่อย เขาของสูง มีราคานะเว้ย น้ำหน้าอย่างมึงน่ะอย่าหวังเลย” อีกคนจากเบาะด้านหน้าพูดลอยๆพาให้ทั้งรถส่งเสียงหัวเราะข้ามหัวผมไปมา


สรุปแล้วนอกจากคนขับ มีคนที่เบาะด้านหน้าสองคนและหลังสุดอีกหนึ่ง ทุกคนถอดหมวกไอ้โม่งออกแล้วแต่ไม่มีใครที่ผมคุ้นหน้า ส่วนคนคุ้นเคยที่นั่งอยู่แถวเดียวกันก็ไม่น่าเชื่อว่าจะทำอย่างนี้กับผมได้ลงคอ


รถแล่นมาได้สักพักก็เริ่มชะลอและจอดสนิท แต่ผมไม่รู้ว่าถูกพามาที่ไหนเพราะทันทีที่ประตูรถเปิดก็ถูกปิดตาแล้วพาเดินอย่างไม่รู้ทิศทางจนมาจบที่ห้องว่างๆห้องหนึ่ง ประตูปิดสนิทมีคนเฝ้าที่ด้านนอก หน้าต่างบานเดียวก็ดันติดเหล็กดัด แต่ที่น่าแปลกคือผมไม่ได้ถูกขังอยู่คนเดียว พ่อยืนมองนอกหน้าต่างครู่หนึ่งก็เดินมาแก้เชือกให้ เสร็จแล้วก็เดินไปนั่งลงห่างออกไปไม่พูดไม่จา


สักพักพวกโจรเปิดประตูเข้ามามองไปทั่วๆ โยนน้ำเข้ามาให้หนึ่งขวด แล้วปิดประตูโดยไม่ได้เรียกให้พ่อตามออกไป


“นี่ตกลงพ่อร่วมมือกับพวกมันหรือเปล่า” ผมถามอย่างอดไม่ได้


“ไม่ต้องถาม อยู่เฉยๆไปเดี๋ยวก็หมดเรื่องเองแหละ”


ผมไม่ได้เชื่อฟังแต่คำตอบนั่นก็ทำเอาพูดไม่ออก สภาพของพ่ออาจไม่ได้ดูแย่เหมือนตอนตกต่ำที่สุด แต่การกลับเข้าบ่อนก็มีแต่ทางสูญเสีย อย่างเช่นสร้อยคอทองคำที่หายไปจากคอ และอาจจะเป็นสำนึกของความเป็นพ่อที่เหลือน้อยเต็มที


“ตกลงเห็นผมเป็นตัวอะไร พ่อคิดจะเอาผมไปขายให้คนโน้นทีคนนี้ทีไปถึงเมื่อไหร่”


พ่อส่งแววตาหงุดหงิด เลี่ยงไปยกขวดน้ำดื่มแทนการตอบคำถาม


“ถ้าคุณกรรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาต้องเอาเรื่องพ่อจริงๆแน่”


“ไอ้เศรษฐีนั่นมันดีกับเอ็งนักหรือไง” อย่างน้อยคำขู่ก็ได้ผล พ่อมองหน้าผมอีกอึดใจก็ถามต่อ “ใครๆก็พูดว่ามันนอนกับเอ็ง จริงหรือเปล่า”


ผมอึ้งไปชั่วครู่แต่ไม่คิดจะหนีการเผชิญหน้า ไม่วันใดก็วันหนึ่งเราต้องได้คุยเรื่องนี้กันอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าผมแค่รู้สึกเขิน แต่ผมไม่เคยอาย และไม่ได้รู้สึกผิดที่จะป่าวประกาศให้ใครๆได้รู้ว่า...


“ผมกับคุณกรรักกัน”


“เฮอะ! ไอ้พวกคนมีตังนี่มันคงชอบทำอะไรประหลาดๆยังงี้สินะ เอากันเข้าไปได้ยังไง วิปริต”


อาการกระแทกเสียงใส่หน้าพร้อมรอยยิ้มหยันทำให้ผมแสบขึ้นมาในอก ถึงจะมีคนเป็นร้อยเป็นพันมองว่าความสัมพันธ์รูปแบบนี้ไม่ถูกต้องหรือฝืนธรรมชาติ แต่คงไม่ผิดใช่มั้ยที่ผมยังหวังให้พ่อเข้าใจ ถึงไม่อยากยอมรับแต่จะช่วยดีใจที่เห็นผมมีความสุขบ้างไม่ได้หรือไง?! 


“ถึงผมกับคุณกรจะเป็นผู้ชายแล้วมันผิดตรงไหน เรารักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน”


“โธ่เอ๊ย! จะบริสุทธิ์ใจไปได้สักกี่น้ำ มันก็หวังแต่จะสนุกกับเรื่องอย่างว่ากับเอ็ง เดี๋ยวพอเบื่อมันก็ไปหาคนอื่น คนมันรวย จะใช้เงินซื้ออะไรก็ได้ หน้าตามันก็ดูหล่อดี ใครๆก็ต้องอยากอ้าขาให้ถึงเตียง พอถึงตอนนั้นมันก็คงเอาเงินฟาดหัวแล้วเขี่ยทิ้ง แล้วมึงจะมีค่าอะไรนอกจากไอ้ตัวชั้นต่ำ”


ถึงคำพูดเหล่านั้นจะสกปรกจนผมไม่อยากให้ผ่านเข้ามาในหู แต่บอกได้เลยว่ามันไม่มีผลอะไรอย่างที่เขาหวัง เพราะผมไม่เคยรู้สึกว่าถูกใช้ร่างกายเป็นเครื่องระบายอารมณ์ทางเพศ ผมพูดได้เต็มปากว่าระหว่างเราคือการร่วมรัก เขาสัมผัสผมด้วยความอ่อนโยน ทะนุถนอม แม้ในยามที่ความต้องการเร่งเร้าเขายังทำให้ผมรู้สึกถึงการให้เกรียติ เขาบังคับตัวเองเพื่อตามใจผม เขาอดกลั้นเพื่อให้ผมตักตวงความสุขได้มากเท่าที่ต้องการ เขาขอโทษที่ทำให้ผมเจ็บ เขาขอบคุณกับความสุขที่ได้รับ กระทั่งสัญญางี่เง่าของผม เขาก็ยังทำได้ตามที่รับปากแม้จะไม่จำเป็นสักนิด 


“คุณกรไม่ได้เป็นแบบนั้น เขารักผมจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้อยากจะได้อะไรจากผม ไม่เหมือน...”


ผมยั้งปากไว้และจ้องคนตรงหน้าอย่างพยายามจะค้นหา คนๆหนึ่งที่เคยกอด คนที่เคยร้องไห้และหัวเราะไปด้วยกัน คนที่เคยรักผมได้มากขนาดนั้นจะหายไปจากโลกนี้แล้วจริงๆน่ะหรือ


“มึงไม่ต้องมาทำเป็นผู้ดี หนอย ด่ากูด้วยสายตา ไม่อยากพูดให้มันเป็นเสนียดปากงั้นสิ แน่จริงก็บอกมาเลยสิว่าผัวมึงมันวิเศษกว่าคนที่เคยเลี้ยงดู หาข้าวหาน้ำให้กิน เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวตั้งแต่มึงยังตัวแดงๆ ขอถามหน่อยว่าถ้าไม่ได้กูนี่ มึงจะโตมาเป็นผู้เป็นคนได้หรือเปล่า” น้ำเสียงและอารมณ์ของพ่อพุ่งขึ้นเหมือนภูเขาไฟที่เก็บความโกรธไว้มากจนวันหนึ่งก็ปะทุออกมา


“ไอ้บัติหนอไอ้บัติ มึงมันคนมีเวรมีกรรม มีเมียแม่งก็มีชู้ มี...”


“ไม่จริง แม่ไม่ได้ทำยังงั้น!” ความอดทนของผมหมดไปทันทีที่คนสำคัญถูกแตะต้อง เรื่องของแม่เป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับผมเสมอ


“ถ้าไม่ได้ทำแล้วมันจะมีไอ้ลูกชู้มานั่งด่ากูอยู่นี่ได้ไง!”


“ไม่จริง! ผมไม่เชื่อ...ไม่...”


“ไม่จริงแล้วเขาที่มันอยู่บนหัวกูนี่มันงอกได้เองหรือไง มึงฟังให้ชัดๆนะไอ้กานต์ แม่มึงน่ะมีชู้ ส่วนมึงก็ไอ้ลูกชู้ที่เกิดมาทำลายชีวิตกู!”


เห็นผมเถียงไม่ออก พ่อก็ยิ่งกระแทกซ้ำ เหมือนกับจะตอกย้ำให้เราทั้งคู่ยอมรับ


“แม่มึงบอกจะออกไปหางานทำช่วยกัน แต่ความจริงมันแรดออกไปหาผู้ชาย เวลาที่มันอ้างว่างานหนักต้องกลับบ้านดึกๆดื่นๆกูก็ยังสงสารที่มันต้องเหนื่อย ที่ไหนได้ มันไปเหนื่อยอยู่กับผู้ชายล่ะสิไม่ว่า กินกันข้างนอกไม่พอ ยังตามมาส่งกันถึงบ้าน มาพลอดรักกันทั้งๆที่กูถูกรถชนนอนเป็นง่อยอยู่กับบ้าน แม่มึงมันไม่มียางอาย คิดว่ากูไม่รู้แล้วไม่คิดบ้างว่าชาวบ้านชาวช่องเขาจะเห็นหรือเปล่า ไม่อายคนก็ควรจะอายผีสางเทวดา เพราะมันแรดอย่างนั้นกรรมเลยตามสนองโดนรถชนตายโหงนั่นไง”


ดวงตาของพ่อวาวโรจน์ด้วยความโกรธ ส่วนตัวผมมีแต่หยดน้ำกลบตา เขาตะโกนใส่หน้า ผมก็ตอกกลับแรงไม่แพ้กัน


“ผมไม่เชื่อ แม่ไม่มีวันทำยังงั้น พ่อโกหก ไม่มีหลักฐาน!”


“กูจะต้องไปหาหลักฐานทำไมในเมื่อแม่มึงยอมรับออกมาเอง วันนั้นมันบอกกูเองว่าใครเป็นชู้กับมันแล้วมันก็วิ่งออกไปให้รถชนตาย สมน้ำหน้า!”


เคยมั้ยที่รู้สึกว่าจู่ๆรอบตัวก็มืดลง เหมือนดวงไฟร้อนที่ปลายเทียนโดนเป่าวูบเดียวก็ดับสนิท ทิ้งเปลวควันลอยฟุ้งให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปชั่วขณะ ผมยังคงเชื่อมั่นในตัวแม่เหมือนแก้วที่จะมีน้ำปริ่มขอบอยู่เสมอ แต่คราวนี้... สัญญาว่าจะมีแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่ลมปากเบาๆก็ทำให้ผิวน้ำสั่นไหว


“ใคร...” ผมถามเสียงค่อย แต่พ่อยังตะคอกไม่หยุด


“มึงจะถามทำไม อ๋อ คงอยากรู้ล่ะสิว่าพ่อมึงเป็นใคร สันดานเดียวกันทั้งแม่ทั้งลูก เลี้ยงไม่เชื่อง!”


“เขาเป็นใคร...”


“กราบตีนกูสิแล้วกูจะบอก”


ผมกระพริบไล่หยดน้ำในตา ภาพของคนตรงหน้ากลับมาชัดขึ้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกด้านลบที่ปะทะกันรุนแรง แต่ในใจผมมีภาพของแม่ชัดที่สุด เสียงอ่อนๆของแม่ดังขึ้นมาเหมือนทุกครั้งที่หัวใจเริ่มปฎิเสธความจริงอันแสนโหดร้าย


'กานต์ฟังแม่นะลูก แม่ไม่เป็นไร พ่อเขาไม่ได้ตั้งใจ กานต์อย่าโกรธพ่อนะ พ่อเขารักกานต์มาก กานต์ก็ต้องรักพ่อให้มากๆนะครับ'


ผมสูดลมหายใจเข้าลึก บอกขอโทษแม่อยู่ในใจเพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่ลูกคนนี้ไม่เชื่อฟัง


“ผมก็ไม่ได้อยากรู้ เพราะยังไงผมก็ไม่เชื่อ แม่ไม่ได้มีใคร พ่อต่างหากที่ใจร้าย พ่อใส่ร้ายแม่ ผมเกลียดพ่อ!”


“เออ กูก็เกลียดมึงเพราะมึงไม่ใช่ลูกกู!”


เสียงตะโกนใส่หน้ากันดังลั่นห้อง ผมกำหมัดแน่นข่มอารมณ์ไม่ให้เกินขีดจำกัด ส่วนอีกคนก็ปาขวดน้ำลงพื้นสุดแรง เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออก ผมหันหลังหนีไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น


“ไอ้ห่า! เสียงดังหาสวรรค์วิมานอะไรกันวะ จะซวยกันหมดไม่รู้ตัวนะพวกมึง”


“มีใครตามมาหรือไง”


“ก็เออสิวะ ไอ้หน้าอ่อนลูกมึงนี่ไม่ธรรมดาเหมือนกันนี่หว่า ผัวมันต้องให้คนคอยตามอยู่แน่ๆ ไม่งั้นไม่รู้ตัวแล้วตามกลิ่นมาเร็วขนาดนี้หรอก”


มีเสียงเอะอะจากข้างนอกดังลอดเข้ามาทำให้ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง


“แล้วเสี่ยมาถึงหรือยัง อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้เสี่ยไม่รู้ พวกมึงหลอกกูใช่มั้ย?!”


“พูดดีๆ พวกกูไปหลอกอะไรมึง ตอนแรกเสี่ยสนใจไอ้เด็กนี่จริงๆ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ะ แฟนมันหอบเงินสดๆเป็นล้านๆไปให้เสี่ยบอกว่าขอใช้หนี้แทนพ่อตา เสี่ยเลยยอมวางมือเพราะไม่อยากมีปัญหากับมัน”


ผมหันกลับมาดูคู่ที่กำลังคุยกันเสียงเครียด ทีแรกผมก็เครียดไปด้วยเพราะกลัวว่าคนที่ตามมาจะเป็นเจ้าหนี้รายใหม่ซึ่งต้องมีอำนาจและอิทธิพลไม่แพ้คุณภากร แต่พอฟังไปฟังมาชักจะงงจนไม่รู้ว่ากำลังเจอกับข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่


“ถ้าเสี่ยไม่ได้สั่ง แล้วทำไม หรือว่าพวกมึง...”


“เออ พวกกูทำเรื่องเหี้ยนี่กันเอง พอใจหรือยัง ถ้าหมดเรื่องสงสัยแล้วก็ตามมา มึงก็ดูลูกมึงด้วย อย่าตุกติก ไม่งั้นกูยิงไส้แตกทั้งพ่อทั้งลูก”


คนร้ายเหวี่ยงปากกระบอกปืนจ่อทั้งผมและอีกคน พอเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น ผมก็ใจชื้นจนกล้าเอ่ยปากต่อรอง


“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ถ้าพวกนายยอมปล่อยผมกับ... เขา รับรองว่าจะไม่มีใครเอาเรื่อง”


“กูไม่เชื่อ กูขอแค่สิบล้านเป็นค่าตัวมึง แต่แทนที่จะได้เงิน ไอ้เฮียหยามดันพาลูกน้องมาเป็นโขยง ขนาดเจ้านายมันยังออกโรงบุกมาเอง ไม่มีทางที่พวกมันจะไม่เอาเรื่อง มึงคิดเหรอว่าแค่มึงพูดคำเดียวแล้วทุกอย่างจะจบ ตอนนี้เสี่ยตัดหางปล่อยวัดพวกกูแล้ว พวกกูไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าหนีไม่รอดก็ตายด้วยกันหมดนี่ล่ะวะ”


“ใจเย็นๆพี่ ขอให้ผมคุยกับคุณกรก่อน ผมสัญญา...”


“ไม่มีประโยชน์ มึงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ถ้าไม่ทำตามที่กูสั่ง มึงอยากตายตรงนี้หรือไปตายต่อหน้าผัวมึงก็เลือกมา”


ปลายกระบอกปืนจ่อห่างจากขมับไม่ถึงนิ้วทำให้ผมไม่กล้าประมาท คุณชัชเคยบอกว่าแรงกดดันที่เกิดจากความหวาดกลัวไม่ใช่สิ่งที่ควรล้อเล่นด้วย ยิ่งอีกฝ่ายมีอาวุธอยู่ในมือ เราก็ยิ่งต้องมีสติมากกว่า และดูเหมือนอีกคนที่เหลือก็คงคิดแบบเดียวกันจึงได้ตามมาประกบที่ด้านหลังผมแล้วกระซิบบอก


“ตามมันไปก่อน”


พอพ้นประตูเสียงเอะอะจากด้านหน้ายิ่งชัด แล้วพวกเราก็ต้องชะงักเมื่อเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น


“กูพาไอ้นี่หลบออกไปทางหลังบ้านก่อนดีมั้ย อย่างน้อยก็เก็บตัวมันไว้ต่อรอง”


“ไม่! ออกไปด้วยกันหมดนี่แหละ มึงพาลูกเดินนำไป พวกมันจะได้ไม่กล้ายิง”


แม้จะต้องอยู่หน้าสุดตามคำสั่งคนที่มีปืนอยู่ในมือ แต่ผมกลับอุ่นใจอย่างประหลาดเมื่อรู้สึกถึงแรงจับทั้งบนไหล่ขวา และต้นแขนซ้าย สัมผัสนั้นบอกให้ผมก้าวนำแล้วเจ้าตัวจะคอยตามมาไม่ห่าง ผมจึงก้าวต่อด้วยความมั่นใจจนออกมาที่โถงใหญ่ของตัวบ้าน แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์สุดวิกฤต คุณภากรก็ยังดูโดดเด่น รังสีความเป็นนายเหนือหัวแผ่กระจายจนแม้แต่ฝั่งคนร้ายยังครั่นคร้าม ทันทีที่เห็นผม ร่างสูงก็ก้าวออกมาอย่างไม่หวั่นเกรง ดวงตาคมกวาดมองแต่ละใบหน้าราวกับจะระบุความผิดก่อนการพิพากษา จนเมื่อมาหยุดอยู่ที่ผม แววตานั้นก็เติมไออุ่นเข้ามาให้หัวใจผมเข้มแข็งขึ้นอีกเป็นกอง


“ต้องการอะไรว่ามา” คุณภากรกล่าวชัดด้วยน้ำเสียงดุดัน ทรงอำนาจ


“คำเดิม สิบล้าน กับคำรับรองว่าจะไม่ตามเอาเรื่องพวกกู” คนร้ายที่คุมตัวผมออกมาตะโกนบอก


เฮียสยามส่งเสียงเหยียดหยันจากลำคอ เสียงขึ้นลำปืนดังระงม ส่วนคุณภากรยังยืนนิ่ง จ้องคู่เจรจาด้วยสายตาที่ถ้าเป็นผมคงขาสั่นจนล้มทั้งยืนไปแล้ว


เมื่อคุณภากรไม่ตอบ สถานการณ์โดยรอบจึงตกอยู่ในภาวะชะงักงัน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆแต่ผมกลับสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก พยายามสอดส่ายตาหาความผิดปกติ ไม่ผิดแน่ มุมฝ้าแผ่นหนึ่งถูกเลื่อนออก!


“เพดาน!”


ผมตะโกนสุดเสียงแล้วพุ่งเข้าใส่ตัวคุณภากรสุดแรงเกิด เราเสียหลักลงไปพร้อมกันแล้วจากนั้นเสียงปืนก็ดังสนั่นจนไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน ไอร้อนและกลิ่นเขม่าดินปืนคละคลุ้ง เป็นช่วงชุลมุนเพียงไม่กี่วินาทีที่รู้สึกเหมือนยาวนานเป็นชาติ ผมหูดับจากเสียงปืนที่ยิงกันไม่หยุด จนเหมือนได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเป็นความตาย


“กานต์!”


วินาทีเดียวกันที่ผมถูกผลัก ร่างหนึ่งก็ล้มทับลงมา พยายามตะเกียกตะกายใช้ตัวเองต่างโล่ห์เพื่อกันผมจากห่ากระสุน หยดสีแดงสดค่อยๆซึมผ่านและขยายวงกว้างบนอกเสื้อ ถึงอย่างนั้นสีหน้าก็ไม่มีอาการบอกถึงความเจ็บปวด ยังคงเต็มไปด้วยความห่วงใย และกังวลในความปลอดภัยของคนที่เขาต้องการจะปกป้อง


เขาขยับปากแต่ผมกลับไม่ได้ยินอะไรเลย ผมตะโกนสุดเสียงแต่เหมือนเขาจะไม่ได้ยินเช่นกัน ผมเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ ผมไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นเลยได้แต่กอดเขาเอาไว้ ยื้อสุดแรงไม่ให้ต้องสูญเสียคนที่ผมรักไปตลอดกาล







จบตอนแล้วคร้าบ








 :bye2:




หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 42 (3-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 03-09-2016 19:23:42
เศร้าอีกแล้ว  เฮ้อ  เจ็บตัวตลอดด้วย

ไปทำบุญดีกว่านะ  อิอิ 
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 42 (3-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-09-2016 20:17:57
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 42 (3-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 03-09-2016 20:41:06
ไม่นะจะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 42 (3-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 03-09-2016 21:27:20
ใครกันนะ??  โอ้ยย...ลุ้นๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 42 (3-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-09-2016 21:42:23
พ่อกานต์ มีแต่กินเหล้า เล่นการพนันเข้าสายเลือด
ไม่เชื่อใจเมีย ขายลูก ดูท่าสติปัญญาแย่
เพราะการศึกษาน้อย หรือน้ำเมามีผล ทำให้สมองกลวง
ขายลูก ซ้ำซาก เป็นพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย :z6: :z6: :z6:
ใครกัน ที่มารับกระสุนปืน เป็นคนที่กานต์รักด้วย :katai1:
ได้แต่รอ ลูกเดียว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     




















หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 42 (3-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-09-2016 23:21:08
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 42 (3-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 04-09-2016 00:17:41
ใครกันที่มาบังกานต์ไว้
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 42 (3-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 04-09-2016 06:33:55
 :เฮ้อ:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 43
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 09-09-2016 18:57:26





43. 






“น้องเป็นยังไงบ้างกร”


“มีลืมตามาบ้าง แต่สะสึมสะลือ ไม่ค่อยได้สติ เรียกก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับ”


คุณภากรพูดถูก ผมฟื้นแล้วแต่ก็ยังเหมือนอยู่ในภาวะกึ่งตื่นกึ่งฝัน ได้ยินทุกเสียงแต่ยังไม่เข้าใจทุกคำพูด แขนขายังรู้สึกชา ไม่มีแรงและบังคับไม่ได้อย่างใจ เหมือนอย่างตอนนี้ที่อยากจะเปิดเปลือกตาขึ้นให้สุดก็ยังทำไม่ได้


“โชคดีที่กระสุนแค่ถากแขนไป แต่น้องคงโดนมาหนักจริงๆเลยใช่มั้ย”


“ครับ ตอนที่พากันมาถึงโรงพยาบาลจนเข้าห้องผ่าตัดก็เรียกว่าแย่เต็มที เพราะใครมาเจอเรื่องแบบนี้ต่อหน้าต่อตาก็คงช็อค นี่ดีนะครับที่เขาวูบไป ไม่ยังงั้นคงรออยู่หน้าห้องไม่ยอมไปไหน พยาบาลจะพาไปทำแผลก็ไม่ยอม คงไม่ไหวแล้วจริงๆถึงได้ล้มทั้งยืนไปเลยล่ะครับ”


ผมนอนฟังแล้วพยายามนึกตามสิ่งที่ได้ยิน โรงพยาบาล ห้องผ่าตัด ทำแผล คืออะไรกันนะ หรือนั่นจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ ที่มานอนไม่มีแรง แล้วก็รู้สึกดึงๆเจ็บๆที่แขนซ้ายขึ้นมานิดๆ


“เอาเถอะ ยังไงก็ปลอดภัย ไม่เป็นไรแล้วนะกานต์ คุณพระรักษานะลูกนะ”


คุณภัทราพรลูบหัวผมช้าๆ อืมมม ดีจัง และเหมือนว่าพอโดนสัมผัส ประสาททุกส่วนในร่างกายก็ค่อยๆฟื้นตัว


“นี่แม่มาจากห้องผ่าตัดใช่มั้ยครับ ทางนั้นเป็นยังไง หมอออกมาบอกอะไรบ้างหรือยังครับ”


“มีแต่พยาบาลออกมาตามให้ญาติเข้าไปในห้อง หนูกัญกับอาเขาเข้าไปกันสองคนได้สักพักแม่ก็เลยให้เมธเฝ้าไว้แล้วรีบมาดูทางนี้ ถ้ากานต์รู้สึกตัวก็คงดี จะได้...”


ผมว่าผมได้ยินชัดขึ้นในความหมายที่สามารถจับกระแสบางอย่างในคำพูดนั้น น้ำเสียงเครือปนอาการทอดถอนใจแสดงว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดี ท่านเอ่ยถึงญาติคือพี่กัญญาและอาสารภีกำลังเข้าไปในห้อง ห้องไหนล่ะในเมื่อผมยังนอนอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่ผมแล้วสองคนนั้นมาหาใคร ญาติอย่างนั้นเหรอ? ญาติของเรา คนที่มีสัมพันธ์ทางสายเลือด ครอบครัว พ่อ แม่ พี่ น้อง


พ่อ...


เหมือนลืมตาขึ้นมาในที่สว่างจ้าจนดวงตาถูกคลุมด้วยแสงขาว ยิ่งพยายามเพ่งก็เกิดประกายระยิบระยับหลากสี แต่ที่เห็นชัดคือจุดสีแดงกระพริบพร่าแล้วรวมตัวกันเป็นดวงใหญ่ขึ้น แผ่ขยาย กระจายออกออกจนทุกหนแห่งแดงฉานไปด้วยเลือด


เลือดของพ่อ พ่อถูกยิง!


สติพุ่งเข้าใส่ในวูบเดียวจนผมแทบสำลัก ภาพทุกภาพ เสียงทุกเสียง ทุกเหตุการณ์ กระทั่งกลิ่นดินปืน และคาวเลือดแจ่มชัดในทุกช่องการรับรู้ ผมจำได้แล้ว จำได้ทั้งหมด และผมก็ได้รู้ว่าพ่อไม่เคยไม่รักผม


ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย พ่อเรียกชื่อผม พ่อใช้อกของพ่อรับกระสุน แล้วยังรีบมากอดผมไว้ ไม่ยอมให้อันตรายหน้าไหนมาเฉียดใกล้ ผมร้องไห้พ่อยังใช้มือเช็ดน้ำตา จนใจจริงๆที่ผมไม่ได้ยินสิ่งที่พ่อพูดในตอนนั้นแต่ผมจำได้ดี ทุกครั้งที่หกล้มแล้วร้องไห้ พ่อจะบอก...


'ขี้แยอีกแล้วไอ้ลูกคนนี้ มาๆ เดี๋ยวพ่อเป่าให้แล้วหายเจ็บเลย พ้วง! ไม่เจ็บแล้วนะคนเก่งของพ่อ'


พ่อ กานต์เจ็บ...


“ฟังซิกร น้องพูดว่าอะไร”


“กานต์ ได้ยินฉันมั้ยกานต์”   


“พ่อ!” ภาพตรงหน้าค่อยๆชัดขึ้น คุณภากรกับแม่ของเขา แต่ไม่มีคนที่ผมอยากเจอ “พ่อล่ะ พ่ออยู่ไหน?!”


“ใจเย็นๆนะ ฉันตามหมอมาดูเราก่อน”


“ไม่เอาหมอ ผมจะหาพ่อ” ต่อให้ขนกันมาทั้งโรงพยาบาลผมก็ไม่สน แต่คุณภากรไม่คิดอย่างนั้น เขายังจับตัวผมไว้ไม่ให้ดิ้นลงจากเตียง ผมรีบหันไปหาที่พึ่ง คุณภัทราพรเอ็นดูผมมาก และในฐานะคนเป็นแม่ ท่านต้องเข้าใจความรู้สึกของผมแน่ๆ “คุณท่าน พ่อล่ะครับ พ่อผมอยู่ห้องผ่าตัดใช่มั้ย ให้ผมไปหาพ่อนะครับ”


“ได้จ๊ะได้ ฉันจะไปเป็นเพื่อนด้วยนะ แต่ตอนนี้เธอต้องนั่งนิ่งๆ สูดหายใจเข้าลึกๆก่อน หายใจช้าๆ จะได้ลุกลงจากเตียงไหว ไม่อย่างนั้นเป็นลมไปอีกเธอจะไม่ได้ไปหาพ่อนะรู้มั้ย”


คุณภัทราพรกอดผมไว้ทั้งตัว สั่งซ้ำให้ผมหายใจเข้าและออก ผมอยากเจอพ่อเร็วๆก็รีบทำตามแต่กลับไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หัวใจผมเต้นรัวจนต้องกดหน้าอกไว้ รู้สึกเหนื่อยทั้งๆที่ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหน ท่านต้องช่วยลูบหลังลูบแขนเพราะผมไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเกร็งจนนิ้วแทบจิกลงไปในเนื้ออยู่แล้ว


ไม่ว่าใครจะเรียก มันก็เหมือนไม่ได้ยิน เพราะตอนนี้มีแค่คนๆเดียวที่ผมอยากเจอ ตาผมจ้องอยู่แต่บานประตู รอเวลาที่จะได้ออกไปเจอพ่อ อดทนอีดนิด อีกแค่แป๊บเดียวเท่านั้น


“พ่อ...”


ผมเรียกหา พร้อมกับที่บานประตูเปิดออก


“กานต์...”


หัวใจผมกระตุกวาบด้วยความยินดี แต่แล้วก็เหมือนโดนผลักลงจากปากเหว พี่กัญญาโผเข้ามาแทนที่คุณภัทราพร กอดผมแน่นแล้วร้องไห้จนตัวสั่น


“พ่อ...” พี่กัญเอ่ยถึงคนๆเดียวกันด้วยเสียงสะอื้นที่บาดหัวใจผมออกเป็นชิ้นๆ แล้วทุกอย่างก็เหมือนดับลงอีกครั้ง “พ่อไม่อยู่แล้ว ทำยังไงดี พ่อไม่อยู่กับเราแล้วนะกานต์”


เป็นครั้งแรกที่ผมไม่เชื่อคำพูดของพี่สาวคนเดียว พ่อแค่รอผมอยู่ที่อีกห้องหนึ่งต่างหาก ขอแค่ผมมีแรง เดินลงจากเตียง ออกจากห้องนี้ไปก็จะได้เจอพ่อแล้ว พี่กัญย้ำซ้ำๆผมก็ยิ่งไม่เชื่อ ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด


“พี่กัญโกหก พ่อรอกานต์อยู่ ปล่อยนะ กานต์จะไปหาพ่อ”


“กานต์ตั้งสติก่อน ฟังอาแล้วทำใจให้ดีๆ พ่อเขาไปสบายแล้วล่ะ เขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว กานต์ต้องอวยพรให้พ่อได้ไปอยู่ในที่ๆดีๆนะรู้มั้ย” อาสารภีตามหลังพี่กัญญาเข้ามาและพูดแบบเดียวกัน อาไม่ได้ร้องไห้แต่ก็ตาแดง เสียงเครือๆ และแน่นอนว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่อาพยายามจะบอกเลยสักนิดเดียว


“ไม่จริง! อาหลอกกานต์ พ่อไปทำงาน เดี๋ยวพ่อก็มา พ่อจะเก็บตังเยอะๆให้กานต์เรียนหนังสือเก่งๆ ปิดเทอมพ่อจะพาไปเที่ยว กานต์จะไปทะเลกับพ่อ พ่อ...”


เหมือนผมกำลังจะเห็นภาพของคนที่อยากเจอ  เค้าร่างของพ่อชัดเจนขึ้นมาทีละนิด แต่จู่ๆผมก็โดนกระชากออกจากอ้อมกอดของพี่กัญ ภาพรางๆสลายไปเหมือนควันที่ถูกลมแรงพัด


“กานต์! ตั้งสติหน่อย กานต์มองฉัน ตั้งสตินะ ได้ยินฉันมั้ยกานต์ ทำใจดีๆ”


“คุณ...กร...” ยิ่งโดนเขย่า ภาพในตาก็ยิ่งชัดจนได้รู้ว่าใครอยู่ตรงหน้า แต่อดไม่ได้ที่จะเหลียวหา “แล้ว...พ่อล่ะ...”


“กานต์ฟังคุณกรนะครับ” เขารอจนผมหันกลับมาหา ความเคร่งเครียดในดวงตาคู่นั้นสะกดให้ผมต้องทำตาม “ตั้งสติแล้วฟัง พ่อของกานต์ไม่อยู่แล้ว เขาไปสบายแล้ว แต่กานต์ยังมีคุณกร ลองมองดูสิว่าตรงนี้มีใครอีก กานต์เห็นมั้ย คุณแม่ฉัน พี่กัญญากับคุณอาของกานต์ เจ้าเมธก็อยู่ ถึงพ่อจะจากไปแล้วแต่กานต์ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว พวกเรารักกานต์และจะอยู่ข้างๆกานต์เสมอ”


ผมหันมองและพบว่าทุกคนกำลังรายล้อมอยู่รอบตัว สายตาทุกคู่มองผมอยู่เงียบๆและคุณภากรพูดถูกทุกอย่าง ความจริงผมก็เคยได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเราไม่ได้จะจบลงเมื่อมีใครสักคนตายจากไป เมื่อครั้งที่เสียแม่กานดา ผมเสียใจจนพูดไม่ออก รู้สึกมืดมน มองไปทางไหนก็ไม่มีทางออก แต่ผมก็ยังใช้ชีวิตต่อมาได้จนถึงทุกวันนี้ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมคงมีลมหายใจต่อไปแม้จะไม่มีพ่ออยู่ด้วยแล้วก็ตาม 


“แต่ผม...ผมยังไม่ได้...ผมอยาก...ผม...” ผมพูดไม่ออกเพราะกลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิม คำสุดท้ายนั่นยังดังก้องอยู่ในหัวไม่ต่างจากตอนที่พูดออกไป


“หายใจลึกๆนะกานต์ ค่อยๆคิดแล้วก็ค่อยๆพูด กานต์อยากจะทำอะไรบอกคุณกรสิครับ”


“ผมอยาก...อยากบอกว่าผมรักพ่อ ผมอยาก...ขอโทษ อยากบอกพ่อว่าผมไม่ได้เกลียดพ่อ ผมรักพ่อ กานต์รักพ่อ”


“พ่อต้องรู้อยู่แล้วล่ะว่ากานต์รักเขามากขนาดนี้ เชื่อคุณกรนะครับ”


ผมจ้องหน้าคุณภากรเพื่อหาความเชื่อมั่นคืนมาให้ตัวเอง


“จริงเหรอครับ พ่อจะรู้แล้วจริงๆนะครับ”


คุณภากรยิ้มแล้วพยักหน้าช้าๆ หนักแน่น มั่นคง ผมหันไปรอบตัว ทุกคนต่างช่วยยืนยัน


“จริงสิกานต์ พ่อฝากพี่ให้บอกกานต์ว่าพ่อขอโทษ แล้วพ่อก็บอกว่ารักกานต์มากๆ รักมากที่สุดเลย”


“จริงๆนะ พ่อรักกานต์จริงๆใช่มั้ยพี่กัญ”


คราวนี้ผมเชื่อพี่สาวหมดใจ พี่กัญรีบเช็ดน้ำตาแล้วดึงผมไปกอด เรามองหน้า ยิ้มแล้วก็หัวเราะ และถึงจะร้องไห้อีกครั้ง เราก็ช่วยกันเช็ดน้ำตาเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ


ทุกคนคงเริ่มวางใจเมื่อเห็นผมแสดงอาการทำใจยอมรับความจริงอันเจ็บปวดนี้ได้ ถัดจากพี่กัญญาก็เป็นอาสารภีที่เข้ามากอดผมแน่นจนแทบหายใจไม่ออก อาช่วยเช็ดน้ำตาให้เหมือนกับที่พ่อเคยทำ ผมเลยยิ้มให้อาเหมือนอย่างที่อยากจะยิ้มให้พ่อเห็น คุณภัทราพรกอดและลูบหัวผมเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรแต่สายตามองผมเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง คุณวรเมธก็ยังเหมือนเดิม แค่มองตาก็รู้ว่าเขาเข้าใจจิตใจผมดีทุกอย่าง และยังเป็นคนแรกที่นึกถึงธุระมากมายที่ต้องจัดการจึงสะกิดเรียกคุณภากรเพื่อปรึกษางาน


“กานต์!”


จู่ๆประตูห้องก็เปิดออกพร้อมเสียงก้อง ร่างสูงใหญ่ในชุดดำคุ้นตารีบตรงเข้ามาหาและกอดผมไว้แน่น เขาลูบหัว ลูบหน้า พอเจอผ้าพันแผลที่แขนก็ชะงัก ทำหน้าเหมือนโดนยิงเสียเอง


“ไม่เป็นไรแล้วนะ ปลอดภัยแล้ว ไม่เจ็บหรอกใช่มั้ยคนเก่ง”


“เจ็บครับ” ผมทำหน้าแหยที่ทำให้เขาผิดหวัง


คุณชัชหัวเราะลั่นแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอด ทั้งหอมหัวหอมหน้าผากจนได้ยินใครบางคนทำเสียงระคายคอ


“แผลแค่นี้เอง สบายๆ อย่าไปสนเดี๋ยวก็ลืม หายเจ็บไปเองล่ะน่ะ” เขากดหัวผมแนบอกแล้วรำพึงราวกับอยู่กันสองคน คนอื่นๆที่ชินตาแล้วแค่อมยิ้มมองเฉย จะมีก็แต่พี่กัญญาและอาสารภีที่จ้องคุณชัชตาเขม็ง “ต่อไปนี้ก็ระวังตัวให้มากๆนะ อย่าทำอะไรเสี่ยงๆอย่างนี้อีก รู้มั้ยว่าพอรู้ข่าวฉันนี่แทบบ้า อยากจะเหาะมาเองซะให้รู้แล้วรู้รอดเลย”


“อาชัชจะเป็นซุปเปอร์แมน” ผมยันตัวเองออกจากอกกว้างแล้วยิ้มล้อ คุณชัชในชุดรัดรูปต้องดูดีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ครบ “ต้องใส่กางเกงในไว้ข้างนอก สีแดงด้วย จะไหวเหรอครับ”


เจ้าตัวนึกภาพตามแล้วทำหน้าสยอง ขนาดคุณภัทราพรยังต้องปิดปากกลั้นขำ คงมีแต่สองสาวที่ยังจ้องหนุ่มใหญ่ไม่เลิก


“อาชัช?!” จู่ๆพี่กัญก็ทะลุกลางป้องขึ้นมา


“ใช่ ฉันนี่ล่ะชัช ส่วนเธอ อ๋อ พี่สาวของกานต์ใช่มั้ย”


แน่ะๆ คุณชัชหันไปแจกรอยยิ้มมัดใจคนสำคัญของผมซะด้วย แต่พี่กัญก็ยังขมวดคิ้วหน้ายุ่ง คงจะไม่มาหวงน้องชายเอาตอนนี้หรอกนะ


“ก่อนที่จะหมดสติ พ่อก็เพ้อถึงอะไรหลายอย่าง ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็เหมือนจะพูดชื่อคุณออกมา” พี่กัญค่อยๆลำดับความคิดแล้วรีบหันไปขอคำยืนยันจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยกัน “พ่อเรียกกานต์ แล้วก็มีชื่อของอีกคน พ่อหรือเพื่อนที่ชื่อชัชนี่แหละ อาก็ได้ยินเหมือนกันใช่มั้ยคะ”


สายตาทุกคู่หันไปหาอาสารภีที่นิ่งเงียบอยู่ตลอด ผมเองก็เพิ่งสังเกตว่าอาจ้องคุณชัชไม่วางตา พอเจ้าตัวหันไปสบตาด้วย อาสาก็ทำเหมือนนึกอะไรออกในทันที อาการนั้นทำให้ตัวผมชาวาบอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องของพ่อหมุนวนขึ้นในหัวราวกับเปิดอัลบั้มย้อนดูรูปเก่า แล้วเสียงของพ่อก็ดังขึ้นมาในหูผม...


'วันนั้นมันบอกกูเองว่าใครเป็นชู้กับมันแล้วมันก็วิ่งออกไปให้รถชนตาย
คงอยากรู้ล่ะสิว่าพ่อมึงเป็นใคร'



ผมส่ายหน้า


'กราบตีนกูสิแล้วกูจะบอก'


ผมจ้องตากับอาสารภีและแน่ใจว่าเรากำลังคิดเรื่องเดียวกัน ผมอาจจะเคยอยากรู้ แต่ก็ปฏิเสธความอยากนั้นไปแล้ว แล้วตอนนี้ผมกำลังจะถูกบังคับให้ต้องรู้อย่างนั้นเหรอ


“ไม่จริงใช่มั้ยครับอา ไม่ใช่ใช่มั้ย”


ผมกลั้นใจถาม ผมหวังคำปฏิเสธ แต่อากลับพยักหน้าเบาๆ


“ผมไม่เชื่อ แม่ไม่ได้ทำอย่างนั้น ไม่ใช่แน่ๆ”


ผมถอยจนหลังชนหัวเตียง ถดขาเข้ามาชิดอกแล้วกอดตัวเอง พยายามหดตัวให้เล็กที่สุด ถ้าหายไปจากตรงนี้ตอนนี้ได้เลยยิ่งดี


“อาว่าเราต้องยอมรับความจริงให้ได้ทั้งหมดนะ ไม่อย่างนั้นกานต์เองนั่นแหละที่จะอึดอัดแล้วก็ทุกข์กับความสงสัยนี้ไปตลอดชีวิต”


ผมยกมืออุดหูแต่ยังเห็นปากของอาขยับพูด และเสียงของอาก็ยังเล็ดลอดมาให้ได้ยิน


“คุณรู้จักผู้หญิงที่ชื่อกานดาใช่มั้ยคะ พี่ดาทำงานเป็นแม่บ้านสำนักงาน มีอยู่คืนนึงเขากลับดึกเพราะที่ทำงานเลี้ยงปีใหม่ ฉันอยู่รอปิดประตูแต่ก็เห็นเขาวิ่งเข้าบ้านมาเหมือนหนีอะไรสักอย่าง พอวันรุ่งขึ้นก็บอกว่าลาออกจากงานแล้ว แต่พวกเราก็ไม่ได้สงสัยเพราะหลังจากนั้นพี่ดาก็ท้องแล้วก็มีกานต์ออกมา ฉันไม่รู้ว่าคุณจะจำได้หรือเปล่า แต่เราเคยพบกันตอนที่คุณมาถามหาพี่ดา คุณบอกว่าจะตามเขากลับไปทำงานแต่จากนั้นคุณก็หายไป ฉันเองยังคิดว่าคงไม่ได้มีเรื่องอะไร”


“ใช่ครับ ผมรู้จักกานดา เรา... มีเรื่องกันนิดหน่อย ที่เขาลาออกเพราะอยากจะหนีจากผม แต่ตอนนั้นผมเองก็กำลังช่วยพี่ชายบุกเบิกงาน ขึ้นเหนือล่องใต้ไม่ได้หยุดเลยต้องพักเรื่องเขาไว้ก่อน พองานเริ่มอยู่ตัวผมกลับมาแต่กานดาก็ทำเป็นไม่รู้จักผม ผมรู้ว่าเขากำลังเดือดร้อน พยายามจะช่วยแต่เขาปฏิเสธผมทุกทาง ผมตามไปที่ทำงานก็หนีไปทำที่อื่นอีก ไปที่บ้านก็เจอแค่แฟนเขา แต่ผมไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นใคร แค่บอกว่าเป็นเพื่อน”


“แค่นั้นก็ทำให้บ้านของพี่ชายพี่สะใภ้ฉันลุกเป็นไฟได้แล้วล่ะค่ะ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าจริงๆแล้วเรื่องมันเกิดจากอะไร แต่หลังจากรถชน พี่บัติเริ่มกินเหล้า พอเมาก็ทะเลาะกับพี่ดาแทบทุกวัน เขาหาเรื่องบอกว่าพี่ดามีคนอื่น พี่ดาบอกว่าไม่มีก็ไม่เคยเชื่อ จะเค้นเอาให้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร จนพาลมาว่ากานต์ไม่ใช่ลูกตัวเองไปด้วย”


“ไม่ใช่นะ!” ผมตวาดลั่นเพื่อกลบเสียงอื่นให้หมด “ผมไม่ใช่ลูกคนอื่น ผมเป็นลูกพ่อ ผมมีพ่อคนเดียว แล้วพ่อผมก็ตายไปแล้ว”


เสร็จแล้วผมก็ได้แต่ก้มหน้า หนีสายตาของทุกคน หนีความจริง ไม่ว่าใครจะพยายามเข้ามาผมจะสะบัดตัวหนี ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ไม่ยอมให้อะไรมาทำลายความเชื่อมั่นที่ผมมีอีกแล้ว


“อาเคยพยายามคุยกับพี่ดาว่าตกลงแล้วมันเป็นยังไงกันแน่ ที่สุดแม่เขาก็ยอมรับกับอาเองว่าเราไม่ใช่ลูกของพี่บัติ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าท้องกับใคร นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวกานต์นะ ถึงจะไม่ได้มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันมายืนยัน แต่จากสิ่งที่พวกเรารู้มาจนถึงตอนนี้ อาเชื่อว่าคุณคนนี้เป็น...” 


ผมรีบอุดหูแน่น ส่งเสียงในคอเพื่อกลบทุกคำพูดให้สนิท เมื่อสุดลมหายใจก็กลายเป็นใครอีกคนกำลังพูดแทนอาสารภี


“...ผมขอใช้เกียรติของผมเป็นประกันว่ากานดาเป็นคนดี เธอเป็นผู้หญิงที่รักครอบครัวและเป็นแม่ที่ดีที่สุดของลูกๆ เธอไม่เคยมีทีท่าอะไร แต่เป็นผมที่มองเธออยู่ฝ่ายเดียวจนทำเรื่องที่เลวอย่างไม่น่าให้อภัย ถ้ากานต์จะโกรธหรือเกลียดคนที่รังแกแม่เขาก็ไม่ผิดหรอกครับ”


เขาหันมามองผมอีกครั้ง ดวงตาคมดุดวงเดิมส่งแววอ้อนวอน ไม่ผิดกับน้ำเสียงอ่อนๆ เนิบช้าแต่หนักแน่น


“ความจริงฉันรู้มาสักพักแล้วล่ะว่าเราเป็นลูกของกานดา ส่วนหนึ่งฉันก็ตั้งใจจะดูแลเราเพื่อชดเชยความผิดที่เคยทำ แต่นับวันมันก็ไม่ใช่แค่นั้น ฉันยิ่งรู้สึกผูกพัน คอยคิดถึงและเป็นห่วงเราจนยังนึกแปลกใจตัวเอง พอมารู้อย่างนี้ฉันก็ยิ่งดีใจนะ บอกไม่ถูกเลยว่ามันดีใจมากแค่ไหน เราอาจจะยังไม่พร้อม ไม่อยากยอมรับฉันหรือจะอะไรก็ตาม แต่ฉันเชื่อว่าเราเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ขอให้พ่อ...”


หมอนใบโตพุ่งออกไปก่อนที่ผมจะทันห้ามมือตัวเอง เขายืนนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยน ผิดกับคนอื่นที่ตกใจกับความก้าวร้าวผิดวิสัยของผม


“คุณไม่ใช่... พ่อผมตายแล้วได้ยินมั้ย!” ผมสะอึกเพราะพยายามกลั้นบางสิ่งที่กำลังจุกขึ้นมาที่คอ เขาจะก้าวเข้ามาหา ผมไม่มีทางหนี ไม่มีอะไรจะใช้เป็นอาวุธ ก็เหลือแต่คำพูดนี่ล่ะ “ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ ออกไป!”


ผมตะโกนซ้ำๆ ทั้งดิ้น ทั้งสะบัด แม้แต่คุณภากรก็ไม่ยอมให้ถูกตัว สุดท้ายก็เป็นคุณวรเมธที่ขอให้ทุกคนออกไปจากห้อง ก่อนออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขาบอกให้ผมสงบสติอารมณ์ตัวเอง คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆให้หนักแล้วกลับมาเป็นกานต์คนเดิมให้เร็วที่สุด ผมนิ่งฟัง ไม่ได้เถียง แต่ใจอยากถามเหลือเกินว่ากานต์คนนั้นคือใคร ตอนนี้ผมยังจะกลับไปเป็นลูกชายคนเดิมของพ่อได้อีกอย่างนั้นเหรอ




จบตอนแล้วคร้าบ



ไม่รู้ว่าจะนับเป็นเซอร์ไพรส์มั้ยที่ออกมารูปนี้

แม้ว่าชีวิตคนเราจะมีผิดพลาดกันได้ แต่ก็ยังอยากให้รู้ว่าความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่เสมอ

ขอให้ทุกคนรักคุณพ่อคุณแม่กันให้มากๆ ส่วนกานต์จะออกฤทธิ์แค่ไหน ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ ^^


 :bye2:


หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 43 (9-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 09-09-2016 20:11:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 43 (9-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-09-2016 21:43:59
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 43 (9-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 09-09-2016 21:57:27
โถ่ชีวิต
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 43 (9-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-09-2016 22:35:44
ขอให้ทุกอยงดีขึ้นไวไวนะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 43 (9-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 09-09-2016 22:50:05
สงสารกาต์นมีแต่เรื่องแต่ราว
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 43 (9-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 10-09-2016 00:10:19
คิดอยู่แล้วว่าอาชัชเป็นพ่อของกานต์แน่ๆ แต่กานต์มารู้ตอนที่คนที่เข้าใจมาตลอดชีวิตว่าเป็นพ่อเสียไป คงทำใจยอมรับไม่ได้ง่ายๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 44
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 16-09-2016 04:28:34







44.





งานศพของพ่อผ่านไปเรียบร้อยด้วยความช่วยเหลือของคุณวรเมธเป็นหลัก ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เขาดูแลผมทุกอย่าง เช้าก็เอาผมมาส่งให้อาสารภีกับพี่กัญญา ช่วยกันจัดการธุระเรื่องงานศพ เย็นก็มารับไปฟังสวดที่วัดแล้วก็พากลับไปนอนที่คอนโดของเขา ส่วนคนอื่นๆนั้น ผมเพียงแต่ต้อนรับในฐานะเจ้าภาพกับแขกที่มาร่วมงาน ไม่ได้ไต่ถามทุกข์สุข พูดคุยเล่นหัวเหมือนเคย เอาเข้าจริงๆพี่กัญญากับอาสารภีก็บ่นอยู่ทุกวันเรื่องที่ผมไม่ยอมคุยกับใคร ทำอะไรไปเหมือนกับตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตไม่ต่างกับเมื่อตอนงานศพแม่กานดานั่นล่ะ


“กานต์”


ผมหันไปตามเสียงก็เจอขนมปังของโปรดจากครัวขนมหวานของโรงแรมกับน้ำส้มคั้นสดหนึ่งขวด พร้อมกับสายตาบังคับเพราะคงรู้จากพี่กัญญาว่านอกจากมื้อเช้าที่เขาบังคับให้ผมยัดแซนวิชกับนมถั่วเหลืองหนึ่งถ้วยลงท้อง ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรอีกตามเคย


“เฮ้อ! นี่ฉันหมดปัญญาแล้วนะ” มือใหญ่เสยหลังหัวผมเบาๆแล้วคุณวรเมธก็นั่งลงข้างกัน “อีกสักชั่วโมงก็จะเริ่มพิธีฌาปนกิจแล้ว จะไหวมั้ยเนี่ย หน้านายมันซีดจนไม่รู้จะซีดยังไงแล้ว”


ผมกลืนขนมปังคำสุดท้ายแล้วแกล้งอมหลอดไว้เฉยๆ ผมรู้ว่าสองสามวันมานี้ทำตัวดื้ออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กลายเป็นตัวสร้างปัญหาที่ทำให้เขาต้องปากเปียกปากแฉะ เหนื่อยจากงานแล้วยังต้องตามมาจัดการชีวิตให้อีก ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขามาก ตั้งใจไว้ว่าวันที่ไปเขียนใบลาออกที่โรงแรมจะบอกขอบคุณเขาอย่างเป็นกิจจะลักษณะให้ได้


“นี่ตกลง...” เขาเกริ่นแล้วเงียบ ผมทำเป็นก้มหน้าดูดน้ำส้มต่อ จนหมดขวดแล้วถึงได้หันไปเห็นว่าเขามองอยู่ตลอด “จะไม่ยอมคุยกับคนบ้านนั้นจริงๆใช่มั้ย”


อาสารภีตัดสินใจจัดงานแค่สามคืน คุณภัทราพรกับคุณภาวิณีมาร่วมงานแค่วันแรก ส่วนคุณภากรกับอีกคนมาฟังสวดทุกคืนรวมถึงเย็นนี้ที่กำลังจะมีพิธีฌาปนกิจ ผมไม่ตอบเพราะรู้ว่าเขาคงเห็นตอนที่ผมยกมือไหว้คนทั้งคู่ก่อนจะเลี่ยงออกมานั่งที่ศาลาตรงนี้ ผมก็ทำหน้าที่เจ้าภาพที่ดีแล้วยังจะเอาอะไรกับผมอีก


“เอ้าๆ จะเอายังไงก็ตามใจ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วค่อยคุยกันอีกที”


สุดท้ายคุณเมธก็ถอนหายใจที่จัดการผมไม่ได้อย่างเคย เรานั่งเฉยๆกันอีกสักพักก็กลับเข้างาน พิธีดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น หัวแรงใหญ่คือคุณเมธและอาสารภี ส่วนผมทำทุกอย่างตามที่มีคนบอกไม่ต่างจากคราวงานของแม่ ต่างกันตรงที่วันนี้ผมไม่ต้องเจ็บปวดกับสายตาและคำพูดของพ่ออีกแล้ว


“อย่าร้องไห้นะกานต์ เดี๋ยวพ่อเห็นน้ำตาแล้วจะเป็นห่วง” พี่กัญญากระซิบบอกผมทั้งที่ตัวเองเพิ่งป้ายหลังมืออยู่หยกๆ แต่ผมก็รีบพยักหน้าแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆในขณะที่ส่งโลงศพสีขาวเข้าสู่เชิงตะกอน ดอกไม้จันทน์ที่เหลือถูกกอบใส่ตามไป ไฟถูกจุดและโหมแรงขึ้น ไอร้อนผ่าวแผ่ออกมาผมเลยใช้เป็นข้ออ้างกับพ่อว่าหยดน้ำบนหน้าคือเม็ดเหงื่อไม่ใช่น้ำตา หวังว่าพ่อจะเชื่อและจากโลกนี้ไปอย่างหมดห่วง


“พ่อ... กานต์รักพ่อ” ผมหวังให้พ่อได้ยินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ประตูเตาเผาจะปิดลง พี่กัญพูดประโยคคล้ายกันและปล่อยน้ำตาออกมาเป็นสาย


ผมทอดเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะขยับตัวก้าวลงมาจากเมรุ พี่กัญญากับอาสารภีแยกไปจัดการงานที่เหลือ และปรึกษาเรื่องการเก็บอัฐิกับลอยอังคารกับทางเจ้าหน้าที่ของวัด ความจริงผมก็รู้สึกผิดที่ไม่ค่อยได้ทำตัวเป็นประโยชน์มากนัก ทั้งที่เป็นผู้ชายคนเดียวของครอบครัวที่ควรจะเข้มแข็งและเอางานเอาการกว่านี้ แต่อาสาก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนพี่กัญบอกว่าแค่ผมหายใจเข้าหายใจออก มีชีวิตอยู่ต่อไปจนจบงานได้ก็ถือเป็นพระคุณแล้ว ผมเลยได้แต่เซ็งไปเท่านั้น


“กานต์” ผมหันไปตามเสียงแล้วผงะถอยด้วยความตกใจ ส่วนหนึ่งเพราะเพิ่งรู้ว่าตัวเองใจลอยขนาดไม่เห็นว่ามีใครยืนรออยู่เชิงบันได อาการของผมคงแปลกจนอีกฝ่ายต้องตั้งคำถาม “ไหวมั้ย เป็นอะไรหรือเปล่า”


ผมส่ายหน้าแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง คุณภากรรีบตามมาขวาง


“วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะ”


ผมหันหลังกลับก็พบผู้ชายอีกคนในชุดดำคุ้นตา เขาก้าวเข้ามาหาเลยเหมือนดักผมไว้ตรงกลาง ไปไหนไม่ได้


“อย่าทำแบบนี้เลยกานต์” ผมยังเงียบเลยได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ “อย่างน้อยกรก็ไม่ได้ผิดอะไร คุยกับเขาหน่อย เขาเป็นห่วงเรามาก ทุกคนเป็นห่วงเราทั้งนั้นนะ”


เขายื่นมือมาจะจับหัว ผมรีบหลับตา ยืนเกร็งตัวแน่น และไม่ได้รู้สึกถึงสัมผัสใดๆ


“ถ้าความผิดของฉันมันมากจนให้อภัยไม่ได้ขนาดนั้น ก็โทษฉันแค่คนเดียวเถอะ อย่าทำร้ายตัวเอง แล้วก็อย่าทิ้งความรักดีๆที่ใครๆมีให้เพราะคนอย่างฉันเลย”


ตอนที่ผมลืมตาก็เห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่เดินจากไปแล้ว ผมมองตามภาพนั้นด้วยความรู้สึกอึดอัดพาลน้ำตาจะไหล ผมไม่ได้อยากเกเรต่อคำแนะนำของคุณวรเมธที่ให้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ แต่จนใจกับความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองที่สับสนจนอธิบายให้ใครฟังไม่ได้เลย


คุณภากรก้าวเข้ามาแทนที่แล้วโน้มตัวลงให้สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน ในดวงตาคู่นั้นคือผมไม่ผิดแน่


“ไม่ต้องห่วงอะไร ไม่ต้องแคร์ใครอีกแล้ว แค่ถามใจตัวเองดูว่าต้องการอะไรก็พอ” อุ้งมือใหญ่แนบเข้ามาที่ข้างแก้ม และสิ่งที่ทำให้ผมอุ่นวาบไปทั้งตัวก็ไม่ใช่แค่สายตา... “แล้วก็ช่วยดูแลคนๆนี้ให้ด้วย บอกเขาทีว่าคุณกรรักและต้องการเขามากที่สุด ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ ถ้าสบายใจแล้วก็กลับมาหาคุณกรนะครับ”


ผมยืนมองแผ่นหลังคนสำคัญอีกคนเดินจากไป พอแหงนหน้าก็เห็นควันขาวกำลังลอยสูงและสลายไปในท้องฟ้ายามเย็นที่โล่งจนน่าแปลก ไม่มีเมฆสักก้อนหรือนกบินอยู่เลยสักตัว หรือความจริงชีวิตคนเราก็เท่านี้ ไม่ได้มีอะไรติดตัวมาแต่แรก คนทุกคนพบกันเพื่อจาก จะจากเป็นหรือตายจากก็คงมีค่าเท่ากัน 


ผมยังเก็บความคิดนั้นใส่หัวจนกลับมาถึงคอนโดของคุณวรเมธ เขามีงานติดมือมาทำต่อตามปกติ ส่วนผมเขาสั่งให้งดสักพักเพราะอ่านอะไรไปก็คงไม่เข้าหัว หน้าที่ของผมจึงเหลือแค่ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ


“ทำอะไรของนาย เห็นหายมาตั้งนาน” ผมสะดุ้งแล้วหันสีหน้าตื่นๆไปหาคนที่กำลังยืนกอดอกพิงตู้เย็น


“เอ่อ..” กลับมามองของที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัวตรงหน้า “กำลังคิดว่านมหรือน้ำส้มดี... ละมั้งครับ”


“กินนมแล้วท้องเสียไม่ใช่หรือไง”


“ก็... จริงด้วย” เห็นเขาขมวดคิ้วผมก็คงคิ้วขมวดตาม แต่ไม่ได้เครียด จริงๆคือรู้สึกเหมือนหัวโล่งๆ อะไรๆก็ลอยๆ เบลอๆมากกว่า


คุณเมธถอนหายใจแล้วเก็บทั้งขวดนมและน้ำส้มเข้าที่ แต่มีบางอย่างติดมือออกมาก่อนปิดตู้เย็น เขาจูงผมออกมาที่ระเบียงห้องด้านนอก พื้นที่กว้างถูกปล่อยให้โล่งเพราะเจ้าของห้องกลัวว่าถ้าจัดเป็นสวนก็คงไม่มีเวลาดูแล เลยมีแค่ชิงช้าไม้ตัวใหญ่เอาไว้นั่งเล่นกินลมชมวิว พอนั่งลงตามคำสั่ง กระป๋องสีเขียวเย็นเฉียบก็ถูกยัดใส่มือ หันไปดูคนข้างๆกำลังกระดกนำไปก่อนแล้ว ส่วนผมขอถือเอาไว้เฉยๆดีกว่า เพราะลำพังไม่ดื่มก็ไม่ค่อยจะมีสติอยู่แล้ว


“ปัญหาของนายคืออะไรกันแน่” เบียร์หมดกระป๋องก็ได้ฤกษ์ซัก เห็นผมถือกระป๋องไว้เฉยๆก็เลยยึดเอาไปดื่มเสียเอง


“ผม...” ผมก้มลงมองมือที่คลายออก ยังรู้สึกถึงความเย็นชื้นที่เหลืออยู่ “ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้น กับ...หลายๆคน ผมทำตัวไม่ถูก มันสับสนไปหมด”


คุณเมธเหวี่ยงขาขึ้นไขว่ห้าง เท้าแขนกับเข่า นิ้วเรียวจิกขอบกระป๋องหมิ่นๆแล้วเอียงตัวมาทางผม แว่นสายตาที่ใส่ประจำถูกถอดวางไว้หน้าโน้ตบุ๊ค มองเผินๆเลยอาจไม่ชินแต่ดวงตาคม มีแววรู้ทันเสมอก็ช่วยให้คุ้นเคย ทั้งยังวางใจในฝีมือการแก้ไขปัญหาของท่านเลขาใหญ่ หรือความจริงผมอาจจะรอช่วงเวลานี้อยู่ก็ได้


“นายรักแม่นาย ฉันพูดถูกมั้ย”


ผมรีบพยักหน้าเพราะเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่เคยสงสัย


“แน่นอนครับ ผมรักแม่มากที่สุด ยิ่งตอนนี้ผมรู้ว่าแม่ยอมเก็บความทุกข์ไว้กับตัวมาตลอด แม่พยายามปกป้องผมจนถึงที่สุด ไม่มีใครที่จะดีและรักผมได้มากกว่าแม่แล้วล่ะครับ”


“นั่นเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของนาย ต้องขอบคุณท่านที่ให้ความรักความอบอุ่นอย่างเต็มที่ทำให้นายมีพื้นฐานจิตใจที่ดี ขนาดผ่านเรื่องร้ายๆมามากนายก็ยังมองโลกในแง่ดี รู้จักแบ่งปันความรักให้คนรอบข้าง ใครได้อยู่ใกล้ก็มีความสุขรู้ตัวหรือเปล่า”


ผมยิ้มรับได้ไม่เต็มที่เพราะรู้แก่ใจว่าแม่ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ถ้าไม่มีผมสักคน ชีวิตของแม่ก็คงไม่ลำบาก และไม่จากผมไปเร็วอย่างนี้


“แม่ทุกคนก็ย่อมรักลูกไม่ใช่เหรอกานต์ ถึงชีวิตจะยากลำบากไปบ้างแต่ฉันเชื่อว่าท่านไม่มีทางโทษใคร และนายนั่นแหละคือความสุขที่ช่วยปลอบประโลมใจ ช่วยให้ท่านผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้ เพราะฉะนั้นก็อย่าคิดมาก ไม่ต้องโทษตัวเองอีกนะเข้าใจมั้ย”


คุณเมธตบไหล่ผมเบาๆแต่รู้สึกเหมือนเขาช่วยปัดความหนักอึ้งที่ผมแบกเอาไว้โดยไม่รู้ตัว หรือความจริงแล้วผมกลัวไปเอง ผมอาจจะรู้สึกผิดต่อแม่เลยไม่กล้าที่จะปล่อยวาง ไม่กล้าที่จะมีความสุข พอมีคนมากระตุ้น เสียงของแม่ก็เหมือนลอยขึ้นมาในหัว


'ยิ้มหน่อยสิลูก กานต์ยิ้มแล้วน่ารักออก'


เวลาต้องจับลูกๆถ่ายรูป ผมนี่ล่ะตัวปัญหา เพราะโดนล้อบ่อยๆว่าน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิง พอแม่บอกแบบนี้ผมก็จะทำหน้าคว่ำ กอดอกฉับ ให้แม่ลงทุนอ้อน


'แม่อยากเห็นกานต์ยิ้มจัง แม่ชอบตอนที่กานต์ยิ้มที่สุดเลย ยิ้มหน่อยนะครับคนเก่งของแม่'


ผมรู้ว่าแม่อยากให้รูปถ่ายออกมาดี ใครเห็นจะได้ชมว่าลูกๆของแม่น่ารัก แต่บอกเลยว่าผมไม่ได้อยากให้ใครเห็น ผมแค่ยิ้มให้แม่เพราะแม่ชอบ ผมอยากเป็นคนเก่ง เป็นลูกที่แม่รักก็เท่านั้นเอง


อ๊ะ! จู่ๆก็รู้สึกเจ็บที่หน้า ไม่ต้องหันไปก็รู้ว่าโดนคนข้างๆหยิกแก้ม หรือผมจะเผลอยิ้มให้เขาเห็นเหมือนกันนะ


“พ่อของนายก็ไม่ผิด เขามีสิทธิ์ระแวง มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเด็กที่เขาคิดว่าไม่ใช่ลูกตัวเอง แต่เราก็เห็นๆกันอยู่ว่าเขาปกป้องนายด้วยสัญชาตญาณของความเป็นพ่อ ถึงเขาจะเคยทำร้ายนาย ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ ก็คิดเสียว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งเถอะ ในโลกใบนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกนะ ทุกคนพยายามทำให้ถูกแต่ก็พร้อมจะผิดพลาดได้เสมอ แค่ตัวนายรู้อยู่แก่ใจว่าพ่อรักนายมากแค่ไหนก็น่าจะพอให้นายภูมิใจและดีใจที่ได้เป็นลูกของเขาแล้วใช่มั้ยล่ะ”


ผมพยักหน้าช้าๆ พลันนึกถึงเรื่องที่คุณเมธเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่าความจริงแล้วนอกจากเงินห้าแสนที่ใช้แลกตัวผมในตอนแรก พ่อก็ไม่เคยขออะไรจากคุณภากรอีก ส่วนคุณกรจะให้อะไรพ่อไปบ้างนั้นคุณเมธไม่ยอมพูดถึง สำหรับหนี้ก้อนล่าสุดที่ทำให้เกิดเรื่อง พ่อบากหน้ามาหาคุณกรแล้วเกิดเปลี่ยนใจ แต่ก็ยังโดนพวกคนร้ายตลบหลังบังคับให้มาจับตัวผมไป ซึ่งตอนนี้พวกมันกำลังชดใช้กรรมที่ก่อ ส่วนพ่อของผมก็ถือว่าหมดเวรหมดกรรมเสียที


“ส่วนเรื่องคุณชัช” เขาคงจงใจหยุดเพื่อดูปฏิกิริยาของผม “ถ้านายยังสงสัย การตรวจดีเอ็นเอเป็นทางออกที่ดีที่สุด คุณชัชน่ะพร้อมอยู่แล้ว เหลือก็แต่นายว่าจะต้องการแบบนั้นหรือเปล่า”


ผมก้มลงมองมือตัวเองอีกครั้งแล้วก็ลองคิด ดีเอ็นเอคือสิ่งที่ส่งผ่านจากพ่อแม่สู่ลูก ถ้าผมเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น ร่างกายของผมก็ต้องมีส่วนหนึ่งที่เหมือนกับเขา ถ้าผมปฏิเสธเขาจะเท่ากับปฏิเสธตัวเองหรือเปล่านะ


“แต่ถ้าถามฉัน ไม่ว่าจะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรือสถานะทางกฎหมาย ก็สู้ความรู้สึกที่แท้จริงไม่ได้หรอก ที่ฉันเคยขอให้นายสำรวจใจตัวเองดูก็เพราะฉันเชื่อว่าคุณชัชอยู่ในใจนายเสมอ ทีแรกเขาอาจจะเป็นแค่ญาติผู้ใหญ่ของเจ้ากร แต่ขนาดฉันยังมองออกเลยเขารักและหวังดีกับนายจริงๆ แล้วตัวนายเองจะไม่รู้สึกอะไรเลยเป็นไปไม่ได้หรอก”


จู่ๆตรงหน้าก็เหมือนมีภาพอื่นซ้อนทับเข้ามา มือของผมทั้งเล็กและขาว มือคุณกรใหญ่กว่า นิ้วเรียวยาวสวย แต่มือของใครอีกคนใหญ่กว่านั้นมาก ผิวกร้านแดด ทั้งยังหยาบ มีจุดด้านเต็มไปหมด แต่ผมก็ชอบวางมือตัวเองลงไป สัมผัสตามรอยแตก แกล้งบีบข้อนิ้วแข็งๆก่อนจะโดนเขากำรวบไว้ทั้งมือ แล้วผมก็ต้องดึงมือตัวเองคืนมาให้ได้ ซึ่งขอบอกว่าไม่ง่ายเลย ผมออกแรงแทบตายแต่เขาทำท่าสบายๆ แถมยังมาแกล้งช่วยดึงมือผมออกจากมือตัวเองเสียอีก ทำไปทำมาก็เลยกลายเป็นการงัดข้อที่ไม่เหมือนใคร และแน่นอนว่าเป็นเรื่องเล่นๆที่รู้กันระหว่างเราเท่านั้น


“ฉันก็พอจะเข้าใจหรอกนะ เพราะรักมากก็เลยผิดหวังมาก ไม่อยากเชื่อว่าคนที่เคยทำดีด้วยจะกลายเป็นคนที่ทำให้เสียใจมากขนาดนี้ งั้นถามหน่อยสิ ถ้าวันนึงกรทำให้นายเสียใจหรือผิดหวังมากแบบที่ไม่ต่างจากคุณชัชเลย นายจะเลิกรักมันมั้ย”


ผมนิ่วหน้ากับคำถามที่แค่สมมติก็เจ็บไปทั้งหัวใจ ถึงผมจะเชื่อแล้วว่าคนเราพบกันเพื่อจาก แต่ถ้าคนๆนั้นเอาหัวใจของเราไปกับเขาด้วย สิ่งที่เหลือยู่คงเป็นแค่ซากที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ถ้าไม่อยากตกอยู่ในสภาพนั้นก็ต้องเก็บใจไว้กับตัว แต่พูดจริงๆนะ ผมไม่คิดว่าชีวิตนี้จะเอาหัวใจคืนจากคุณกรได้หรอก ซึ่งเรื่องนี้ถึงผมไม่พูด คุณเมธก็คงเดาได้อยู่แล้ว


“นายลังเลที่จะเลิกรักเจ้ากร แต่กลับหันหลังให้พ่อตัวเอง ไม่คิดจะให้โอกาสเขาอีกครั้งเลยงั้นเหรอ” ยิ่งเห็นผมนิ่งเขาก็ยิ่งกระทุ้ง คงอยากจะให้ผมได้สติเร็วๆ “เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมันเป็นเรื่องระหว่างเขากับแม่นาย มันจบไปแล้ว ไม่มีใครกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก แล้วนายจะเอามาแบกไว้ทำไม ต่อให้นายไม่มองหน้าเขาไปจนตลอดชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายจะไม่มีใครหลุดพ้นไปจากความทุกข์นี้ได้สักที ฉันเชื่อว่าแม้แต่พ่อของนายก็ยังปล่อยวางและให้อภัยแล้วถึงได้เอ่ยถึงคุณชัชในวาระสุดท้ายของชีวิต”


น่าหัวเราะ... เมื่อนึกว่าครั้งหนึ่งคำพูดแบบนี้ก็เคยออกจากปากตัวเอง


'เรื่องบางเรื่องอาจจะหนักหนาจนไม่น่าให้อภัย แต่ไม่มีใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ เราจึงต้องเดินไปข้างหน้า พยายามแก้ไขในส่วนที่พอจะทำได้และระวังไม่ให้ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง อาชัชของกานต์...'


นั่นสินะ การที่เราให้ใจใครไปแล้ว ยากที่สุดคือเอากลับคืน อย่างน้อยคนๆนั้นก็รักและหวังดีกับผมไม่ต่างจากลูกหลาน    คอยตามเอาใจ ชวนทำเรื่องสนุกๆ


'เอ้า! อ้าปาก ปล่อยให้กินเองกว่าจะหมดจานคงได้ทำแม่โพสพร้องไห้กันพอดี'


คอยซับน้ำตา ปลอบโยนให้กำลังใจ


'อย่าเห็นฉันเป็นคนอื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้คิดซะว่าฉันเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ หรือจะเป็นพ่อก็ยังได้ เมื่อไหร่ที่เสียใจ อยากทำตัวอ่อนแอ อยากร้องไห้ก็ให้มาหาฉันนะรู้มั้ย'


และยังคอยปกป้องคุ้มครอง


'ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ยอมให้ใครทำอะไรเราแน่'


เขาคืออาชัชที่แสนดี เจ้าของอ้อมกอดที่ผมไขว่คว้าไออุ่นได้อย่างสนิทใจ... ผมเกือบลืมไปแล้วจริงๆ


“นายอาจจะไม่รู้ตัว แต่ที่ผ่านมานายคือความสุขของคนหลายคน อย่าเปลี่ยนมันเลยนะ” คุณเมธยิ้มแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ “ชีวิตคนเรามันแน่นอนซะที่ไหน ปล่อยวางความทุกข์แล้วกำความสุขไว้ในมือดีกว่า ดวงวิญญาณของพ่อกับแม่ก็จะได้หมดห่วงเพราะรู้ว่าพวกนายจะมีคนคอยดูแล”


ผมแหงนหน้ามอง อาจเพราะเป็นวันพระจันทร์ข้างขึ้นและมีเมฆอยู่มาก แต่ถึงไม่เห็นแสงเล็กๆเกลื่อนท้องฟ้าก็ใช่ว่าดวงดาวจะหายไปไหน พ่อกับแม่คงอยู่ตรงไหนสักแห่งบนนั้นเพื่อเฝ้ามองดู ถ้าผมกับพี่กัญยิ้ม ดวงดาวก็คงกระพริบรับ ถ้าพวกเราเศร้า แสงของดาวก็คงหมองลงจนน่าใจหาย ในตอนนี้สิ่งที่ผมจะทำให้พวกท่านได้ก็คงเป็นการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ยิ้มให้กว้าง หัวเราะให้ดัง ถ้าเสียใจก็ร้องไห้แล้วรีบกลับมามีความสุขเร็วๆ ส่วนพ่อก็คงไม่ว่าถ้าผมจะขอมีคุณชัชเป็นพ่ออีกสักคน


“ผมจะพยายามครับ”


คำตอบของผมพาให้คุณเมธยิ้มทั้งที่ถอนหายใจ เขาคงโล่งอกและถือเป็นความสำเร็จที่รีบูทสติผมกลับมาได้เสียที


“ดีแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ต้องพยายามกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณชัชนี่ฉันว่าต้องพยายามมากกว่าใครเพื่อนเลยล่ะ” เขาบอกทั้งมีรอยยิ้มแปลกๆ แถมยังแกล้งจิบเบียร์อีกหลายอึกกว่าจะยอมพูดให้จบ “รู้หรือเปล่าว่านอกจากมีพ่อเพิ่มมาอีกคนแบบไม่รู้ตัว นายยังจะมีแม่เลี้ยงกับน้องแถมมาด้วยนะ”


“ไม่จริงน่ะ ก็อาชัชเคยบอกเองว่าไม่ได้มีใคร เอ๊ะ... หรือว่า!”


คุณเมธเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม สายตาจับพิรุธทำให้ผมต้องคายความลับออกมาเอง ภาพที่โรงพยาบาลวันนั้นชัดขึ้นมาในหัว นึกถึงทีไรเป็นขนลุกไม่หายสักที


“คุณภาวิณี...เหรอครับ?” ผมเดาแต่ลุ้นให้เขาปฏิเสธ


“ไม่ต้องทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ได้” คุณเมธหัวเราะขำ “ประเด็นแรกเลยนะ คุณชัชไม่ใช่อาแท้ๆของเจ้ากรกับคุณภา เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็แค่ทำให้ชาวบ้านชาวช่องช็อคกันไปทั่ว แต่ไม่ถึงกับผิดทำนองคลองธรรมหรอก ส่วนที่ว่าไปอะไรกันตอนไหนก็คงไม่มีใครกล้าไปถามทั้งคู่หรอก รู้แต่ว่าตอนนี้คุณภาน่าจะท้องได้เดือนกว่าๆแล้วล่ะมั้ง”


“แล้ว...คุณท่านทราบ?!” อันนี้ผมหวั่นใจกว่าคำถามแรก เมื่อพลาดจากลูกชายคนโต คุณภาวิณีจึงเป็นความหวังเดียว ถึงขนาดว่าคุณภัทราพรได้เริ่มมองหาคู่หมายที่สมกันไว้บ้างแล้ว อีกไม่นานคงได้เป็นแฟ้มกองโตเหมือนคราวคุณภากร


“เพิ่งมารู้หลังจากงานพ่อเราคืนแรกนั่นแหละ คุณชัชคงอยากสะสางเรื่องทุกอย่างก็เลยเข้าไปบอก เล่นเอาคุณป้าเป็นลม ต้องตามไอ้หมอกันให้วุ่น”


ผมนึกตามภาพความวุ่นวาย ต้องนับว่าคุณชัชมีความกล้าอย่างร้ายกาจถึงทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนั้นได้


“ตอนนี้คุณป้าก็ยังตึงๆอยู่นะ อย่างว่าล่ะ เรื่องแบบนี้เป็นใครก็ยอมรับยากหน่อย แต่นายก็รู้ มีใครขัดใจคุณภาได้ที่ไหน แถมยังเลยเถิดถึงขั้นท้องซะแล้ว คุณป้าเลยต้องยอมรับไปโดยปริยาย ถือว่าคุณชัชรอดหวุดหวิดไม่โดนตีหัวแบะ แต่ก็ต้องทำคะแนนอีกเยอะล่ะกว่าแม่ยายจะยอมญาติดีด้วยเหมือนเดิม”


ผมพยักหน้าเบาๆ ไม่มีความเห็นด้วยประการทั้งปวง แต่ผมก็เข้าใจแล้วในข้อที่ว่าคนทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงต่ำดำผอมก็ล้วนมีปัญหาในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราจมอยู่กับปัญหา เราก็จะคิดว่ามันหนักหนาจนตัวเรากลายเป็นคนที่ทุกข์ที่สุดในโลก ทางที่ดีก็ควรมองอนาคตข้างหน้ายาวๆ อย่าคิดสั้นเลือกจบชีวิตลงพร้อมกับปัญหา ถ้าทำอะไรไม่ได้จริงๆอย่างน้อยก็ก้าวออกมาก่อนเผื่อจะได้เห็นหนทางไปต่อ หรือจะหันหน้าเข้าสู้ แตกหักกับปัญหาไปเลยอย่างคุณชัชก็เข้าท่าดี แต่รายคุณภัทราพรนี่ถ้าเป็นเกมก็เรียกว่าตัวบอส ไม่รู้ว่าคุณพ่อคนใหม่ของผมจะแข็งแกร่งพอจะฝ่าด่านหินนี้ไปได้หรือเปล่านะ






จบตอนแล้วคร้าบ



 :bye2:




หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 44 (16-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 16-09-2016 06:59:59
อะหืมมมมม....คุณว่าที่พี่เขยของกานต์นี่สุดยอดไปเลยยยยย....ทำได้ทุกอย่างจริงๆ


ในส่วนของคุณพ่อคนใหม่วีรกรรมทั้งอดีตและปัจจุบันแสบทรวงทุกงาน 5555
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 44 (16-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 16-09-2016 08:53:53
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 44 (16-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-09-2016 09:02:36
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 44 (16-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-09-2016 11:44:13
วรเมธคือพระเอก
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 44 (16-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 16-09-2016 12:42:13
ปล่อยวางแล้วก้าวต่อไป :กอด1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 44 (16-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-09-2016 18:27:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 45
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 22-09-2016 18:36:19










45.





งานศพของพ่อเสร็จสิ้นลงไปทุกขั้นตอนแล้ว พวกเราต่างก็แยกย้ายกลับสู่ชีวิตปกติ พี่กัญญาหมกตัวเข้ากองตำราเพราะการสอบจวนตัวเข้ามาทุกที อาสารภีกลับไปทำงานหลังจากหมดวันลา ไม่วายย้ำผมกับพี่สาวว่าให้โผล่หน้าไปให้หายคิดถึงบ้าง ส่วนผมเปลี่ยนใจไม่ลาออก แต่ก็ยังขอคุณเลขาใหญ่เกงานต่ออีกสักวันเพื่อสะสางเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อย


“กานต์”


ก็ไม่นึกว่าพอเข้ามาที่บ้านใหญ่ ด่านแรกที่เจอจะเป็นร่างสูงในชุดสีดำคุ้นตา ใบหน้าดูซูบซีดเหมือนคนอดนอนแต่ดวงตายังสดใส ยิ่งพอเห็นผมยืนชะงักอยู่กับที่ ไม่ถึงกับวิ่งหนีก็ยิ้มหน้าบาน รีบพุ่งมาหาแต่ยังเกร็งๆ ไม่กล้าถึงเนื้อถึงตัวผมเหมือนเคย


“เราเป็นยังไงบ้าง เรื่องพ่อ เรียบร้อยดีมั้ย” ผมไม่ได้ตอบ เขาเลยดูเก้อไป “คงไม่มีปัญหาสินะ แต่ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะรู้มั้ย เพราะเดี๋ยวมีทำบุญครบร้อยวัน ครบปีอีก เวลาผ่านไปเร็วจะตาย เผลอแป๊บๆก็ถึงแล้ว”


ผมแค่พยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้ ความจริงผมก็ยังงงๆกับตัวเอง ถึงจะยอมรับได้แล้วว่าเขาคือพ่อ แต่กลับไม่รู้สึกสนิทใจเท่ากับตอนที่เขาเป็นแค่อาชัช คงต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวอีกสักหน่อย


“กานต์” เขาทอดเสียงเรียกอ่อนๆ พลอยให้หัวใจผมกระตุกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ขออะไรอย่างนึงได้มั้ย”


เขารอ ผมเงียบ วัดใจกันอยู่นานก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายยอม


“จะขอ...อะไรครับ”


เขาไม่บอก ไม่รอให้ผมอนุญาตก็ก้าวเข้ามาแล้วกอดชนิดที่ผมจมหายเข้าไปกับอกเขาทั้งตัว เขากอดผมแน่นและนานมากจนเกือบหายใจไม่ออก แต่แปลกที่ผมไม่ดิ้น ไม่ขัดขืนหรือร้องบอกให้เขาปล่อย คงเพราะลึกๆในใจผมก็ต้องการให้เขาทำแบบนี้อยู่เหมือนกัน


“ฉันขอโทษ... แล้วก็ขอบใจนะ... ขอบใจมากจริงๆ” เขาบอกแล้วหอมหัวผมแรงๆ ลามไปที่หน้าผาก ที่แก้ม จนผมรู้สึกจะช้ำไปทั้งตัวเลยต้องหยุดเขาไว้ด้วยความอยากรู้


“ฉันขอโทษเรื่องกานดา ขอโทษที่ไม่เคยได้ดูแลหรือปกป้องเราสองคนแม่ลูก ถึงมันจะช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็ขอให้ฉันได้ขอโทษเราสักครั้ง”


ผมพยักหน้าเบาๆแล้วยอมให้เขาดึงตัวไปกอดอีกครั้ง


“แล้วก็ขอบใจมากที่เราอดทนและเข้มแข็งจนผ่านมาได้ทุกอย่าง ขอบคุณที่ทำให้ฉันได้รู้ว่าการรักใครสักคนมันเป็นยังไง ขอโอกาสให้ฉันได้แก้ตัวสักครั้ง ขอให้ฉันได้เป็นพ่อ ได้ทำหน้าที่พ่อได้มั้ย”


“เดี๋ยวก็จะได้เป็นแล้วนี่ครับ อีกไม่ถึงเก้าเดือนเอง” ผมแอบยิ้มในใจแต่ตีหน้ามึนใส่ จะถือเป็นการแก้เผ็ดก็คงใช่ เลยได้เห็นคนตัวโตทำหน้าเขิน คงยังไม่ชินกับสถานะใหม่


“นั่นก็ใช่ แต่มันคนละส่วนกัน ฉันอยากแก้ตัวในส่วนของเราบ้างนี่”


“ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลย ไม่ต้องแก้ตัวหรือทำอะไรให้ผมก็ได้ครับ”


“อย่าดื้อสิกานต์”


ขอบอกจากใจว่าสักบาทผมก็ไม่อยากได้ แต่สิ่งที่ผมต้องการง่ายกว่านั้นมาก แค่สายตาดุๆแต่น้ำเสียงเจือความเอ็นดูเต็มเปี่ยมนี่ต่างหากที่จะปราบเด็กดื้ออย่างผมได้ชะงัด


“อาก็บังคับผมอยู่ดี”


“ไม่ใช่” เขาส่ายหน้าเบาๆ “เรียกพ่อสิ นะกานต์ เรียกฉันว่าพ่อนะ สักครั้ง”


“ตกลงให้เรียกพ่อสิหรือว่าพ่อนะกันแน่ครับ”


ผมยกแขนยันแผงอกกว้าง เขาใช้แค่มือเดียวรั้งตัวผมไว้ อีกมือเลยว่างมาเคาะหัว ไม่เบาด้วย บอกเลยว่าแรงจริง เจ็บจริงนะเนี่ย
“เดี๋ยวเถอะ” เขาคาดโทษท่าทางหมันเขี้ยว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม


“พ่อรักกานต์”


ผมสูดลมหายใจเอาคำที่เพราะที่สุดเข้ามาเติมเรี่ยวแรงให้กับตัวเอง ระบายความกังวลและข้อสงสัยทิ้งไป เพื่อจะบอกเขาได้เต็มปากว่า...


“กานต์ก็รักพ่อครับ” ความรู้สึกที่ตื้อขึ้นมาฉับพลันทำให้ต้องหลบตาซ่อนกับแผงอกกว้าง งุบงิบบอกเสียงค่อย “ผมขอโทษที่ก่อนหน้านี้ทำตัวไม่ดี”


รู้สึกถึงลมแรงเป่าลงมาบนกระหม่อม คนที่กอดผมอยู่ก็คงโล่งอกที่ทุกอย่างลงเอยด้วยดี


“ไม่เป็นไร เพราะพ่อผิดเอง เรื่องเก่าอย่าไปจำ ต่อไปนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะลูก”


ผมไม่ตอบแต่กอดพ่อแน่นขึ้น เขาหัวเราะเบาๆแล้วกอดผมแน่นกว่า สรุปแล้วผมแพ้เพราะสู้แรงไม่ไหว โชคดีมีคนเข้ามาขัดจังหวะก่อนที่ผมจะขาดใจตายคาอก


“เล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ”


หรือจะเป็นโชคร้ายมากกว่า... คุณภาวิณีหยุดยืนห่างออกไปไม่มาก ดวงตาคู่สวยจิกมองจนผมกับพ่อรีบปล่อยมือแล้วยืนเก็บเนื้อเก็บตัวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


“แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอหนูภา” พ่อถามเสียงอ่อยจนผมแอบคิดว่าอาจจะเป็นผลกรรมที่เคยทำไว้กับแม่กานดา พอมาเจอเมียคนนี้เลยหมดสภาพ จากเสือดำฤทธิ์ร้ายกลายเป็นลูกแมวเซื่องๆไปเลย


“ถ้ายังไม่เสร็จจะมายืนอยู่ตรงนี้มั้ยล่ะคะ”


คุณเมธเล่าว่าพ่อยังไม่ได้เข้ามาอยู่ที่บ้านใหญ่เป็นการถาวร เพราะกลัวจะทิ่มตาทิ่มใจแม่ยายมากเกินไป ช่วงนี้เลยต้องไปๆมาๆระหว่างบ้านกับโรงแรมรวมทั้งลงไปคุมงานที่ภูเก็ต นี่ก็คงมารอรับคุณภาวิณีออกไปทำธุระข้างนอก แต่ฟันธงได้เลยว่าไม่พ้นเดินตามถือถุงช้อปปิ้งให้นั่นเอง


“แล้วจะไปกันได้หรือยัง หรือจะต้องชื่นชมลูกชายให้พอใจก่อน” แล้วก็ถึงคราวของผมบ้าง ดูจากสายตาแล้วเคยเกลียดผมยังไงก็ยังเกลียดอยู่อย่างนั้น เคยฟังนิทานแม่เลี้ยงที่ใจร้ายกับลูกเลี้ยงมาก็มาก พอมาเจอกับตัวถึงได้รู้จักความน่ากลัวของจริง อย่างรายนี้คงไม่แค่มาเคาะประตูแล้วยื่นแอปเปิ้ลอาบยาพิษให้ แต่จะจับยัดลงคอและรอจนผมน้ำลายฟูมปากตายจริงๆ


“คุณภาสบายดีนะครับ” ผมทำใจกล้าเอ่ยถาม เธอแสดงท่าว่าได้ยินแต่เชิดหน้าไปอีกทาง ผมเลยได้จังหวะสำรวจเรือนร่างคุณแม่เลี้ยงซึ่งยังสวยพริ้ง เพรียวลมไม่ต่างจากปกติ ดูเค้าแล้วไม่รู้เลยว่ามีอีกหนึ่งชีวิตกำลังเจริญเติบโตอยู่ในนั้น “แล้วเด็กในท้อง ก็...คงสบายดีเหมือนกัน เอ่อ...น้อง...ผู้ชายหรือผู้หญิงเหรอครับ”


ดวงตาคมตวัดกลับมา... ฟันคอผมขาด ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ทำให้สะดุ้งอยู่เหมือนกัน


“ก่อนจะถามก็หัดคิดหน่อยนะ ฉันท้องแค่เดือนกว่าๆจะให้รู้เพศได้แล้วเหรอ อยากรู้เร็วๆก็ไปถามเทวดาเอาเองเถอะ”


“นั่นสิ เดือนเดียวเอง ยังเร็วไปเนอะ กานต์นี่ก็ไม่ไหวเลย ทีหลังไม่รู้ก็เงียบๆไว้เข้าใจมั้ย” พ่อรีบเอ็ดผมเอาใจเมีย เธอคงรู้ทันเลยทำหน้าเอือมใส่แล้วเล่นงานผมต่อ


“แทนที่จะมาสนใจลูกฉันเนี่ย ลืมใครบางคนไปหรือเปล่า” ผมไม่กล้าตอบก็ยิ่งโดนสับเละ “ยังจะมาทำหน้าเอ๋ออยู่ได้ ที่นายออกฤทธิ์จนเขาเดือดร้อนกันไปทั่วน่ะหัดสำนึกไว้บ้างนะ จู่ๆก็ทำตัวงี่เง่า เรียกร้องความสนใจ น่าหมันไส้ ฉันล่ะอยากยุพี่ชายฉันให้เลิกยุ่งกับนายจริงๆ ไม่รู้จะรักจะหลงอะไรกันนักหนา ชิ!”


ผมเข้าใจแล้วว่าเธอต้องการบอกอะไร แต่ที่ยังไม่แน่ใจและไม่อยากตีความเข้าข้างตัวเอง...


“คุณไม่ว่าอะไรแล้วเหรอครับ เรื่อง...ผมกับคุณกร”


“แหม! อย่างกับคำพูดของฉันจะมีความหมายนักนี่ อยากจะทำอะไรก็เชิญเถอะ อย่าให้เดือดร้อนถึงฉันเป็นพอ”


เธอพูดจบก็คงถือว่าหมดเรื่อง ไม่แคร์ว่าผมจะมีปฏิกิริยาอะไร พอหันไปหาคุณสามี เขาก็รีบรับลูกโดยไม่ต้องให้เธอต้องเสียเวลาเอ่ยปาก


“จ้าๆ ไปเดี๋ยวนี้เลยจ๊ะ ไม่เครียด ไม่หงุดหงิดนะ วันนี้อาว่างอยู่กับหนูภาทั้งวันเลยดีมั้ย”


“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่เหรอคะ”


คุณภาวิณีสะบัดหน้าแล้วออกเดินนำ พ่อหันมายิ้มให้อีกทีแล้วรีบวิ่งตามไป ผมเลยได้แต่ส่งกำลังใจให้อย่างงงๆ ถ้าจะสรุปว่าเธอปล่อยวางเรื่องของผมคงไม่ผิดนัก หรืออาจจะเป็นอย่างที่คุณเมธตั้งข้อสังเกตว่าความจริงเธอแค่หึง พอผมกับคุณชัชกลับตาลปัตรออกมาว่าเป็นพ่อลูกกันก็เลยหมดห่วง ตัวเธอเองไม่เคยแคร์ใครหน้าไหนอยู่แล้ว ถึงผมจะรักกับคุณภากรหรือกับใครจึงไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องใส่ใจ


ผมเดินหน้าต่อด้วยความรู้สึกโล่งอกไปอีกเปลาะ ด่านต่อมาคงจะเป็นคุณภัทราพรซึ่งผมยังติดค้างคำขอโทษฐานที่ทำตัวดื้อและพาล แต่ผมกลับโดนเซอร์ไพรส์แทนเมื่อพบว่ายังมีคนสำคัญอีกคนอยู่กับท่านด้วย


“โถ! พ่อคุณ ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก นี่แผลหายสนิทหรือยัง เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า ไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย”


ไม่ต้องทายก็รู้ใช่มั้ยครับว่าใคร ส่วนผมพอยกมือไหว้เจ้าของบ้านก็ถูกป้ามาลัยชิงตัว สาเหตุก็เพราะคุณวรเมธขอปิดเรื่องของพ่อเพื่อป้องกันความเสียหายมาถึงตัวผมกับโรงแรม บางคนที่รู้เรื่องอย่างเฮียสยามหรือป้ามาลัยก็ถูกขอร้องไม่ให้มาร่วมงานเพื่อไม่ให้ข่าวเล็ดรอดออกไป พอมาเจอกัน ป้ามาลัยเลยรับขวัญผมขนานใหญ่


“ฉันว่ากานต์จะช้ำอีกรอบเพราะน้ำมือมาลัยนี่แหละ” ขนาดคุณภัทราพรยังอดแขวะไม่ได้


ทีแรกผมนึกว่าคุณเมธส่งข่าวให้ป้ามาลัยมาดักรอผมที่นี่ แต่เรื่องจริงที่น่ายินดียิ่งกว่าคือป้ามาลัยมาส่งการ์ดเชิญคุณภัทราพรไปร่วมงานอุปสมบทของลูกชายคนเดียว พี่หมึกได้รับทุนไปฝึกอบรมการบินที่ต่างประเทศหลายเดือนจึงถือโอกาสลาจากภารกิจทางภาคใต้ขึ้นมาบวชก่อนจะไปเรียนต่อ คราวนี้ล่ะผมจะได้เจอพี่ชายสุดเท่ห์ตัวเป็นๆเสียที


คุณภัทราพรซักถามเรื่องงานและชวนคุยตามประสาคนเก่าแก่ที่ทำงานด้วยกันมานาน ผมนั่งฟังด้วยความสนใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มตั้งคำถาม ป้ามาลัยหันมาเจอสายตาผมก็คงเข้าใจได้ในทันที


“อยากรู้เรื่องแม่ใช่มั้ย” ผมพยักหน้าแต่ไม่ได้เร่งเร้า “ใช่จ๊ะ กานดาเป็นรุ่นน้องที่ป้ารักมาก ก็คนที่ป้าพูดถึงตอนที่แต่งตัวให้กานต์นั่นล่ะ พอเห็นเราป้าก็นึกเอะใจเลยไปขอประวัติพนักงานมาดู ไม่นึกเลยว่าจะใช่จริงๆ เราน่ะได้เค้าหน้าแม่มาหมด โดยเฉพาะตาคู่นี้ มองดีๆจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน แต่แม่เราเขาอาภัพ น่าสงสาร ไม่น่าอายุสั้นเลย”


“แล้วเรื่องแม่กับคุณชัช ป้ารู้อะไรบ้างครับ”


“สัญญากับป้าก่อนว่าจะไม่เก็บเอาไปคิดจนตัวเองพลอยเป็นทุกข์ไปอีก” ผมมองตาป้ามาลัยแล้วก็เพิ่งรู้ว่าความรู้สึกตัวเองไม่ได้นิ่งอย่างที่คิด ถึงจะยอมรับคุณชัชเป็นพ่อแต่ใจผมยังแกว่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ป้าคงรู้ถึงได้รอให้ผมสงบลงอีกนิดจึงค่อยเล่าต่อ


“ป้าคงพูดได้แค่ในฐานะคนกลางที่รู้จักทั้งคู่ คุณชัชมีทีท่ามาชอบจริงๆแต่กานดาไม่เล่นด้วย เคยบอกปฏิเสธไปตรงๆก็แล้วแต่คุณชัชไม่ยอมถอย ป้าเลยได้แต่คอยกันให้ห่างๆกันไว้ เรื่องมันคงเกิดตอนงานเลี้ยงปีใหม่ของพวกพนักงาน ปีนั้นป้าไม่ได้อยู่ด้วยเพราะตาหมึกไม่สบาย พอรุ่งขึ้นกานดาก็โทรเข้ามาขอลาออกแล้วก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก ป้าเองก็จนปัญญาเพราะทางคุณชัชก็ถูกส่งไปคุมงานที่โน่นที่นี่ เรื่องของทั้งคู่เลยเงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่นึกจริงๆว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้”


แม้จะเป็นเรื่องเดิมที่เคยรู้ก็ยังแสบในอกไม่หาย


“อย่ามัวแต่หาว่าใครผิดใครถูก หรือเอาแต่ถือโทษโกรธใครเลยนะลูก ชีวิตจะพาลไม่มีความสุขเสียเปล่าๆ ไม่ว่าคุณชัชจะเป็นใคร ป้าก็มองออกว่าเขารักและหวังดีกับกานต์มาก เขาทำแบบนั้นก่อนที่จะรู้ด้วยซ้ำว่ากานต์เป็นใคร จำข้อนี้ไว้และใช้เวลานับจากนี้ไปให้มีความสุขที่สุดดีกว่าเชื่อป้าสิ”


ผมถอนใจเบาๆแล้วยิ้มตอบป้ามาลัยได้ในที่สุด ป้าหันไปสบตากับคุณภัทที่เฝ้าดูอยู่ตลอด พอผมหันไป ท่านก็อ้าแขนออกให้ผมย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดนั้น


“ยังจำบันทึกของคุณกฤตได้ใช่มั้ย” ผมทำหน้าสงสัย คุณภัทจึงยิ้มแล้วพูดต่อ “เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าทุกนาที ทุกวินาทีของชีวิตมีค่ามากแค่ไหน แล้วจะเอาเวลาที่แสนมีค่าไปเสียเปล่ากับความไม่เข้าใจกัน เอาเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมานั่งจับผิดหรือคอยแต่จะหันหลังใส่กันทำไม ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อะไรที่ผ่านไปก็เรียกคืนไม่ได้ เธอน่ะโชคดีมากที่ได้คนสำคัญในชีวิตกลับมา อย่าปล่อยความโชคดีนี้ให้เสียเปล่าเลยนะ”


ผมจะแย้งอะไรได้เมื่อคุณภัทใช้โชคร้ายของครอบครัวมายืนยัน ผมยังจำภาพทุกภาพ ทุกข้อความ โดยเฉพาะบันทึกฉบับนั้นได้ดี ถ้าแผนการฮันนีมูนรอบสองสำเร็จ ได้มีโอกาสปรับความเข้าใจ ความรักก็คงหวานชื่น ความสุขก็จะกลับคืนมาสู่ครอบครัว แต่นั่นก็เป็นได้แค่ความคาดหวังเมื่อเวลาของคุณกฤตหมดลงก่อนหน้านั้นเพียงแค่สองเดือน


เช้าวันที่แม่โดนรถชน ผมยังกอดแม่ก่อนออกไปโรงเรียน ก่อนที่พ่อจะถูกยิง พ่อยังกำไหล่ผมแน่น เสียงของพ่อยังดังอยู่ในหู เพียงแค่เสี้ยววินาทีผมก็ต้องสูญเสียทุกอย่าง พลาดโอกาสที่จะได้บอกลาแม่ หรือบอกรักพ่อ ผมควรจะเรียนรู้ได้เสียทีว่าไม่ควรปล่อยให้เวลาของชีวิตผ่านเลยไปแล้วต้องกลับมานึกเสียใจทีหลัง คุณชัชอาจจะเป็นโอกาสให้ผมได้แก้ตัว และอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายเพราะชีวิตคนเราคงไม่ได้มีโชคกันบ่อยนัก


“ครับ คุณท่าน” ผมตอบรับเต็มคำ


“เอ๊ะ! ในเมื่อกานต์เป็นลูกคุณชัชก็น่าจะถือคุณภัทเป็นคุณป้าได้สิคะ”


“เธอน่ะผิดแล้วมาลัย กานต์เนี่ยลูกชายคนเล็กของฉันเอง ตาชัชน่ะทำฉันแสบ ฉันเสียลูกสาวไปคนก็จะเอาลูกชายเขามาแลกกันนี่ล่ะ คอยดูเถอะ ยึดแล้วยึดเลย จะไม่คืนให้เด็ดขาด”


คุณภัทราพรไม่เพียงแค่รับมุก แต่ยังกอดและแสดงถึงความเอ็นดูจนผมตื้อขึ้นมาในอก นึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกันแล้วก็ไม่นึกไม่ฝันว่าผมจะมาถึงจุดๆนี้ สงสัยว่าเสน่ห์ของผมคงยังใช้ได้ผลกับเด็ก สตรีและคนชราเหมือนเคย


“เอ้า! เลยร้องไห้ซะแล้ว ขี้แยจริงลูกคนนี้”


พอเห็นผมน้ำตาซึมท่านก็โอ๋ ผมเลยยิ่งอ้อนจนป้ามาลัยอาจจะแอบหมันไส้


“แต่เอ... แล้วเจ้าของตัวจริงเขาจะไม่ว่าเอาหรือคะ รายนี้ยิ่งหวงกานต์มากอยู่ด้วย”


“ถึงหวงก็คงไม่มีแรงลุกขึ้นมาสู้อะไรกับใครแล้วล่ะมั้ง” คุณภัทยิ้มทั้งสีหน้าอ่อนใจ “กานต์ขึ้นไปดูพี่เขาให้แม่หน่อยเถอะ เอาแต่ห่วงเราจนไม่กินไม่นอน วันๆทำแต่งานจนโรคกระเพาะกำเริบ นี่ก็นอนซมมาตั้งแต่เช้าแล้ว”


ผมรับคำและรีบขอตัวขึ้นมาชั้นสองด้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของคุณภากร ประตูทุกบานปิดสนิท โถงทางเดินเงียบเพราะหากเจ้าตัวอยู่บ้านจะไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมายุ่มย่าม ผมมาหยุดตรงหน้าห้องใหญ่ที่สุดของปีก ค่อยๆหมุนลูกบิดก็ปรากฏว่าล็อก ผมยิ้มนิดๆเพราะคาดไว้แล้วเลยเดินต่อไปอีกห้องซึ่งคุณภัทราพรจัดไว้ให้ใช้เวลามาค้าง เป็นห้องนอนขนาดรองที่มีประตูเชื่อมกับห้องใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกอย่างแต่ผมไม่เคยได้ใช้เพราะสุดท้ายก็ถูกคนห้องข้างๆลากไปนอนด้วยกันอยู่ดี


ถึงเจ้าของห้องใหญ่จะชอบล็อกประตูห้องตัวเองแต่ทางเชื่อมระหว่างสองห้องกลับไม่เคยปิดตาย ผมค่อยๆแง้มบานประตู ห้องอีกฝั่งมืดสลัวแสดงว่าคนบนเตียงกว้างอยากพักผ่อนจริงๆ แต่ผมก็ยังย่องไปเลื่อนม่านผืนใหญ่ออกให้เหลือแต่ผ้าโปร่งกั้นแสงได้บางส่วนเพราะบรรยากาศทึบทึมดูจะไม่ปลอดภัยกับสวัสดิภาพของผมนัก


คุณภากรกำลังนอนหลับสนิท ดวงหน้าคมสันซูบลงอย่างที่คุณภัทราพรบอก ผมเผลอยืนจ้องอยู่นานเพราะคนที่ไม่เคยติดหมอนข้างกลับกอดและซุกหน้าอยู่กับหมอนหนุนอีกใบราวกับจะใช้สิ่งนั้นแทนตัวคนที่เคยนอนอยู่ด้วยกันทุกคืน


'ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ ถ้าสบายใจแล้วก็กลับมาหาคุณกรนะครับ'


ไม่ใช่แค่คำพูดประโยคนั้นที่ทำให้ผมให้มายืนอยู่ที่นี่ แต่เป็นทั้งหมดของผู้ชายคนนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนชีวิตได้เจอกับปาฏิหาริย์ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน แค่เสี้ยวนาทีที่เขาอาจจะเดินผ่านผมกับพ่อไป แต่คงมีบางสิ่งดลใจให้เขาหยุดและดึงผมออกจากความสิ้นหวัง พาไปพบโลกใบใหม่ที่แม้จะมีอุปสรรคแต่ก็เต็มไปด้วยมิตรภาพและน้ำใจจากผู้คนรอบตัว เขาหยิบยื่นโอกาสให้ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย และรวมถึงความรักในแบบที่ผมไม่เคยรู้จัก แม้คนส่วนใหญ่อาจไม่ยอมรับหรือต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้ เขาก็ทำให้ผมแน่ใจว่าจะมีเขาอยู่เคียงข้างกันเสมอ


ผมค่อยๆดึงหมอนออก แทรกตัวเองลงในอ้อมแขน แล้วกระซิบบอกเผื่อให้เขาได้ยินในความฝัน


“กลับมาแล้วครับ”


คำตอบรับคืออ้อมกอดที่กระชับแน่น ริมฝีปากอุ่นแนบลงบนหน้าผาก ไม่ต้องมีคำพูดหรือการกระทำอื่นใดนอกจากนอนกอดและหลับไปพร้อมกันเหมือนเช่นทุกคืน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เมื่อลืมตาอีกครั้งก็ต้องด่าตัวเองว่าขี้เซาชะมัด


“มองขนาดนี้ คิดค่าตัวเลยดีมั้ยน๊า”


“เท่าไหร่ก็ยอมจ่าย”


“อย่าท้านะครับ จะเรียกให้หมดตัวเลย”


“หมดทั้งหัวใจดวงนี้ก็ให้ไปแล้ว จะยังเหลืออะไรที่คุณกรให้กานต์ไม่ได้อีกหรือไงหืม”


ผมแทบสำลักเมื่อคุณภากรไม่หวานแค่คำพูดแต่ยังฝากรสจูบมายืนยัน ริมฝีปากอุ่นแตะแผ่วแล้วขบเม้มริมฝีปากผมเบาๆ ไม่เร่งเร้าแต่กลับปลุกความกระหายที่ซ่อนอยู่ ผมเผยอริมฝีปากให้แต่เขากลับเลาะเล็มอยู่แค่ด้านนอกจนกลายเป็นผมที่ขัดใจเหมือนถูกเขายั่วเล่นไม่เลิก ผมยกแขนขึ้นโอบ โน้มรอบคอร่างหนาแล้วบดเบียดตัวเองเชิญชวน พอเขาหยุด เอาแต่เลิกคิ้วมอง ผมก็จู่โจม แทรกลิ้นเข้าสู่โพรงปากอุ่นเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ จังหวะนั้นเองที่คนเฉื่อยชาฉีกยิ้มทั้งๆที่กำลังถูกรุก และยอมกระหวัดรัดแลกรสจูบหวานด้วยในที่สุด


“ขี้แกล้ง” ผมแกล้งสะบัดเสียงงอนๆ


“เปล่าครับ แค่อยากให้แน่ใจว่ากานต์ต้องการ ไม่ได้ถูกฉันบังคับ”


ผมยิ้มแล้วยื่นหน้าไปแตะปากของเขาเบาๆหนึ่งทีเป็นรางวัลให้กับความเอาใจใส่ โชคดีเหลือเกินที่เขามีความเป็นผู้ใหญ่กว่าผมมากนัก


“เพราะคุณดีกับผมขนาดนี้แน่เลย ผมถึงได้ทำนิสัยแย่ๆ ไม่มีเหตุผลแล้วก็เอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากที่อดทนรักเด็กดื้อคนนี้”


“ฉันรักกานต์ด้วยหัวใจไม่ใช่ด้วยความอดทน เราว่าตัวเองไม่มีเหตุผล ฉันเองก็คงเหมือนกันเพราะฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงรัก และยิ่งไม่รู้ว่าจะให้เลิกรักต้องทำยังไง ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าเราอาจจะต้องเป็นฝ่ายอดทนกับฉันก็ได้ใครจะไปรู้”


“อาจจะมีวันนั้นแต่ผมไม่กลัวหรอก เพราะผมก็รักคุณกรด้วยหัวใจเหมือนกัน ผมขอเอาหัวใจเป็นเดิมพันว่าจะไม่มีวันเลิกรักคุณกรก่อนแน่นอนครับ”


“ฉันก็ขอใช้หัวใจตัวเองแทนคำสัญญาว่าจะรักษาความรักที่มี และจะดูแลกานต์ที่ฉันรักคนนี้ให้มีความสุขตลอดไป”


เรายิ้มให้กัน ผมแนบหน้าผากรู้สึกถึงไออุ่นจัด จรดปลายจมูก แล้วหลับตาลง


“ขอบคุณนะครับ”


“ขอบคุณเช่นกันครับ”


ผมยิ้มเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสแนบสนิท เขาแทรกลิ้นเข้ามาแล้วเลาะเล็มไปจนทั่วทุกตารางนิ้ว ผมจูบตอบตามที่เรียนมาจากเขาแต่เหมือนยิ่งรู้ก็ยิ่งไม่เคยพอ จูบอุ่นเนิ่นนานและเร่งร้อนขึ้นเรื่อยๆจนต้องขอเบรคเพราะหายใจไม่ทัน


“นอนพักก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมจะลงไปดูในครัวหาอะไรมาให้รองท้องเผื่อจะทานยาด้วย” ผมไม่ได้หนี แค่ขอเวลาไปพักหายใจหายคอสักนิด แถมอุณหภูมิของคนป่วยก็ดูจะพุ่งขึ้นทุกส่วน ถ้าอาการทรุดลงคงไม่ดี


“ไม่ต้องไปหรอก อยู่ที่นี่ก็มีของอร่อยให้กินพอแล้วล่ะ”


ผมอดนึกถึงเช้าวันที่เกิดเรื่องขึ้นมาไม่ได้ เขาบอกว่าผมน่ากินกว่าของที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ นี่ผมคงไม่ได้หาเรื่องเอาตัวเองมาเสิร์ฟให้หมาป่าผู้หิวโหยถึงเตียง เอ๊ย! ถึงที่หรอกใช่มั้ย


แน่นอนว่าอ้อยเข้าปากช้างฉันใด คุณหมาป่าก็ย่อมไม่ปล่อยลูกแกะเนื้อหวานๆให้รอดจากคมเขี้ยวฉันนั้น ผมเลยถูกคนเจ้าเล่ห์ตะครุบไว้ อุ้งมือใหญ่ค่อยๆปอกเปลือกนอกออกจนเหลือแต่เนื้อขาวโพลน จากนั้นก็ละเลียดชิมไปทีละส่วน ทุกคำที่ถูกขบกัดบีบหัวใจให้เต้นระรัว ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความกลัวและกระหาย เส้นขนลุกชัน กล้ามเนื้อแข็งขืนถูกครอบครองด้วยโพรงปากอุ่นจุดตัณหาวาบลามไปทุกอณู ครางเสียงครือวอนขออย่างลืมอาย ก่อนจะหวีดร้องเมื่อเนื้ออ่อนถูกชำแรก ท่อนกายใหญ่ค่อยๆแทรกเข้ามาอย่างกังวล เหมือนทุกครั้งของการร่วมคู่ที่ความพอใจของผมคือความปรารถนาสูงสุด ปากจึงทาบปาก ลิ้นตวัดลิ้น จูบดูดดื่ม มือใหญ่กำรวบเอ็นเนื้อฉ่ำชื้น รูดคลึงช่วยคลายอาการขึงเกร็ง รอจนอารมณ์ถึงพร้อม จังหวะกระแทกกระทั้นก็เร่งแรง ห้องกว้างดังระงมทั้งเสียงเนื้อกระทบเนื้อ ทั้งเสียงครางเคล้าคำสบถหยาบ ไม่นานร่างกายผมก็ระเบิดออก ในสมองพร่าพราย เนื้อตัวคล้ายแตกระยิบระยับแล้วล่องลอยไปในกระแสแห่งความสุข ส่วนอีกคนคำรามอู้ ร่างแกร่งกระตุกถี่แล้วถึงสวรรค์ตามติดมาไม่ห่างกัน


คุณภากรพลิกตัวผมเข้าสู่อ้อมกอด ปลายจมูกโด่งดอมดมราวกับผมคืออาหารจานโปรดที่กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม


“กานต์...”


หมาป่าตัวเดิมส่งเสียงยานคางแต่ดวงตาวาววับเต็มเปี่ยมด้วยความกระหาย อ้อมแขนใหญ่ค่อยๆบีบรัดราวตรวนหนา ผมรีบส่ายหน้า ส่งสายตาอ้อนวอนเพราะยังไม่พร้อมกับการต่อสู้รอบใหม่ โชคดีที่เขาใจอ่อนแต่ก็ยังกอดผมไว้ไม่ยอมปล่อย ผมเลยฝังหน้าลงกับแผงอกกว้างฟังเสียงหัวใจหนักแน่น รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองก็กำลังเต้นอยู่ในจังหวะเดียวกัน ก่อนที่เราทั้งคู่จะหลับตาลงพร้อมกันอีกครั้ง







จบตอนแล้วคร้าบ







ลงท้ายด้วยดีสำหรับหนุ่มน้อยของเรา จากนี้ก็จะได้มีชีวิตที่สมบูรณ์ มีความสุขกับเขาเสียที


จริงๆถือว่าจบเรื่องกันแบบหวานๆ เขิลๆได้แล้ว แต่เราก็ยังมีบทส่งท้ายเป็นของแถมให้ในตอนหน้าอีกหนึ่งตอนนะคะ





 :bye2:







หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 45 (22-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 22-09-2016 19:33:31
จะจบแล้วหรอนีเสียดายนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 45 (22-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 22-09-2016 21:14:48
มีความสุข :กอด1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 45 (22-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-09-2016 21:30:59
 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 45 (22-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-09-2016 21:55:03
  o13o13 o13
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 45 (22-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-09-2016 22:38:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// ...ตอนที่ 45 (22-9-59)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 23-09-2016 00:31:32
สำหรับกานต์คงไม่น่าห่วงแล้ว
แต่ตอนนี้ชักอยากรู้แล้วว่า น้องของกานต์จะเป็นผู้หญิงรึผู้ชาย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 29-09-2016 19:27:57








บทส่งท้าย







ช่วงบ่ายอ่อนๆของวันหยุดแบบนี้บ้านหลังใหญ่ยิ่งเงียบเชียบ คุณภัทราพรกับคุณภาวิณีชวนกันออกไปข้างนอกเพื่อให้คนท้องไม่รู้สึกอุดอู้และถือโอกาสเดินชอปปิ้งเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ฝ่ายพ่อเด็กที่ไม่เคยขัดใจทั้งเมียและแม่ยายได้เลยขอรออยู่บ้าน และใช้เวลาสนุกอยู่กับงานอดิเรกชิ้นใหม่โดยมีผมเป็นลูกมือด้วยความเต็มใจยิ่ง


“แล้วชื่อนี้เป็นไงครับอา สะกดง่าย ความหมายก็ดี” ผมจิ้มค้างที่กลางหน้าหนังสือ กำลังจะเอื้อมไปหยิบสมุดอีกเล่มที่เอาไว้จดรายชื่อกับความหมายที่ช่วยกันลอกออกมาซึ่งมีเกือบยี่สิบชื่อแล้ว แต่จู่ๆหมอนอิงที่กั้นกลางก็ถูกหยิบโยนทิ้งตัวผมถูกดึงไปแทนที่จนแทบจะเกยอยู่บนตักคนข้างตัว


“อะ..อะไร...” ผมหันมองคนที่เริ่มขมวดคิ้ว ตีหน้าดุก็เพิ่งนึกได้ “โธ่ ขอโทษครับ กานต์ลืมนิดเดียวเอง พ่ออย่าโกรธน๊า”


“จนป่านนี้แล้วยังลืมแสดงว่าเราไม่ได้รู้สึกตัวว่ามีฉันคนนี้เป็นพ่อใช่มั้ยล่ะ”


เชื่อมั้ยล่ะว่าผมถูกคุณชัชสะบัดเสียงงอนๆใส่ ทำท่าปากยื่นนิดๆด้วยแน่ะ สงสัยจะติดมาจากเมียเด็ก เอ๊ะ! หรือจะเป็นเพราะฮอร์โมนเปลี่ยน ก็ขาข้างหนึ่งกำลังจะเหยียบเข้าวัยทองแล้วนี่


“ไม่ใช่นะครับ คือแบบกานต์แค่ติดปากเฉยๆ เรียกอาชัชมาตั้งนาน บางทีมันก็มีลืมตัวกันบ้าง แต่กานต์รักพ่อนะ ไม่เคยคิดด้วยว่าพ่อไม่ใช่พ่อ อย่าคิดมากสิครับ” แค่คำพูดน่าจะได้ผลช้า ผมรีบโอบแขนรอบตัว แนบหน้าลงกับอกแน่นๆ ง้อสุดชีวิตกันไปเลย


“โอ๋ๆ ไม่งอนนะครับ มาเลือกชื่อให้น้องต่อดีกว่า คราวนี้เลือกแบบชื่อเด็กผู้หญิงบ้าง เผื่อจะได้น้องสาวดีมั้ยครับ”


พ่อกอดตอบแล้วหอมหน้าผากผมแรงๆ เป็นสัญญาณว่าสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ


“แล้วเราล่ะอยากได้น้องสาวหรือน้องชาย”


“น้องสาวหรือน้องชายก็ได้ครับ ขอให้น้องเกิดมาสมบูรณ์แข็งแรง โตขึ้นเป็นเด็กดี น่ารัก ไม่ดื้อไม่ซนก็แล้วกัน”


“แต่ไม่ว่ายังไงกานต์ก็เป็นลูกที่พ่อรักที่สุดนะรู้มั้ย”


ผมยิ้มกว้างด้วยความชื่นใจ ปกติพ่อเป็นคนเงียบ ติดจะดุ พูดจาก็ตรงๆ ทื่อๆ เพื่อให้คนใต้บังคับบัญชาเกรงใจ ผิดกับเวลาอยู่กับคนใกล้ตัว โดยเฉพาะกับคุณภาวิณีนี่แทบจะกลายเป็นลูกแมวเซื่องๆ ส่วนกับผมนั้นเหมือนต้องแยกเป็นสองร่าง ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วยก็แบบปกติ มีกวนๆใส่กันบ้าง แต่ถ้าอยู่ตามลำพังจะหวานใส่ไม่บันยะบันยัง คงเพราะอยากแก้ตัวให้กับเรื่องในอดีต


“อย่าไปพูดให้คุณภาได้ยินนะครับ เดี๋ยวจะจบไม่สวย” ผมบอกยิ้มๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่าเธอยังขัดหูขัดตาผมเสมอ จะให้เธอมาเห็นอะไรที่แบบว่า...


“พ่อรักกานต์นะ”


พ่อหอมแก้มผมฟอดใหญ่แล้วเอียงหน้าให้ผมหอมคืน


“กานต์ก็รักพ่อครับ”


ภาพนี้คงเป็นชนวนให้ทะเลาะกันบ้านแตก พ่อเลยชอบแอบทำเฉพาะเวลาอยู่ตามลำพัง เอ๊ะ! หรือไม่ใช่... เสียงกระแอมหนักๆลอยมาก่อน ตามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นจากเจ้าของบ้านที่ปรากฏตัวในชุดอยู่บ้านสบายๆ แต่สีหน้านั้นคนละเรื่อง


“ขอกานต์คืนด้วยครับ”


คุณภากรยืนนิ่ง หน้านิ่ง แต่แบบนี้แหละที่ปลุกต่อมกวนอารมณ์ของพ่อดีนัก


“อย่ามาๆ คนนี้ลูกฉันโว้ย! จะมาขอกันง่ายๆได้ไง”


“อย่ามั่วน่ะอา คนนี้แฟนผม! คนของผมครับ”


พ่อยิ่งรัดแขนแน่นอย่างกับจะบี้ผมลงกับอก ส่วนคุณภากรเห็นผมไม่โวยวายก็ยิ่งน่าหงิก ส่งสายตาสั่งให้รีบลุกไปหา ผมขยับตัวแต่พ่อดันรู้ทัน


“ไม่ต้องไป เลือกมาเราจะอยู่กับใคร”


ผมยังไม่ทันส่งเสียงก็มีคนโวยวายแทน


“อ้าว! ไหงทำยังงี้ล่ะอา สร้างความร้าวฉานในครอบครัวนะเนี่ย แต่ยังไงกานต์ก็เลือกผมแน่นอนอยู่แล้ว”


“กานต์อยากอยู่กับพ่อมากกว่าใช่มั้ยลูก”


ผมหันซ้ายหันขวา รู้สึกเหมือนกำลังดูเด็กสองคนแย่งของเล่น คงสนุกที่ได้ทำให้ผมตกที่นั่งลำบาก คนหนึ่งพ่อ อีกคนก็แฟน คอยดูเถอะ ผมเลือกทิ้งทั้งคู่ขึ้นมาจะหัวเราะไม่ออก


“ทำอะไรกันอยู่จ๊ะหนุ่มๆ เสียงดังไปถึงหน้าบ้านโน่นแน่ะ”


ผมไม่ต้องออกฤทธิ์ให้เหนื่อย สวรรค์ก็ส่งคุณภัทราพรมาโปรด ตามด้วยคุณภาวิณี เจ้าของสายตาพิฆาตที่ทำเอาพ่อกระเด้งตัวออกห่างผมแทบไม่ทัน พ่อรีบเดินไปโอบประคองร่างที่เริ่มเห็นรอยนูนกลางลำตัวชัดมานั่งลงด้วยกัน ผมเลยถูกคุณภากรดึงตัวไปขังในวงแขน แต่ไม่ต้องห่วงว่าคุณภัทจะยืนคว้างเพราะได้พี่กัญญาช่วยพานั่งลงที่โซฟา ส่วนตัวแถมอย่างคุณวรเมธถอยไปยืนคอยที่ด้านหลัง ไม่รู้ว่าไปยังไงมายังไงถึงได้กลับมาเป็นกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ ผมส่งสายตาสงสัยก็ได้คำตอบว่า


“พี่มาหาเมื่อตอนสายแต่กานต์ยังไม่ลงจากห้อง คุณภัทกับคุณภาเลยชวนออกไปข้างนอกด้วยกันน่ะ”


“กานต์ไม่ได้ตื่นสายนะพี่กัญ ตื่นตั้งเช้าแล้ว แต่ว่า...” ผมแกล้งเหลือบมองคนที่นั่งซ้อนหลังเพราะไม่อยากลงรายละเอียดมากนัก


“ฉันไม่ให้ลงมาเองแหละ วันหยุดทั้งทีก็ขอขี้เกียจบ้าง ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้ วันธรรมดาทำงานเลขา พอวันหยุดยังรับจ๊อบคนขับรถอีก เอ๊ะ หรือว่าเงินเดือนที่โรงแรมเรามันจะน้อยไปหรือเปล่าครับแม่”


“แหม พี่กรก็ไม่รู้อะไร งานนี้เขาเรียกทำด้วยใจ แบบว่าใจมันสั่งมาน่ะ จริงมั้ยจ๊ะกัญ”


คนบ้านนี้บทจะทำงานเป็นทีมก็ได้ผลเหลือเชื่อ แก้มพี่สาวผมขึ้นสีราวกับวิ่งมาสักร้อยเมตร ส่วนคุณเลขาใหญ่ทำเป็นขยับแว่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังเขิน แล้วพอพี่สาวผมเอาแต่ก้มหน้า อุบอิบไม่รู้ไม่ชี้ คุณเมธก็โดนเล่นงานซ้ำ


“เมธว่าไง จ๊อบพิเศษนี่ใช้ใจหรือสมองทำงานล่ะ”


“ใจล้วนๆครับคุณชัช”


“เฮ้ย! โดน! มันต้องให้ได้ยังงี้สิวะ!”


คำตอบเรียกเสียงฮือฮา ส่วนผมนี่อยากจะลุกขึ้นมอบโล่ห์ว่าที่พี่เขยดีเด่น เจ้าของคำถามนั่นถึงกับตบเข่าฉาดแสดงอาการชอบใจ
พอเสียงแซวสงบลง คุณภากรก็เปลี่ยนมาคุยเป็นเรื่องเป็นราวกับคุณภัทราพร


“นึกว่าน้ารื่นจะมาด้วย เห็นเมื่อคืนแม่บอกผมว่าจะเข้าไปที่บ้านสวนไม่ใช่เหรอครับ”


“แวะเข้าไปแล้วจ๊ะ แต่รายนั้นขออยู่รอคนที่นัดมารับทุเรียน พอนั่งคุยกันได้พักเดียวก็ต้องรีบออกมาเพราะยัยภาบ่นว่าเวียนหัว จู่ๆก็เกิดแพ้กลิ่นทุเรียนซะได้ทั้งที่เมื่อก่อนชอบกินยังกับอะไร แต่นี่รื่นคัดลูกสวยๆไว้ให้ เย็นๆจะให้รถที่สวนเอามาส่ง ยายเป้าก็บอกว่าจะฝากขนมมาให้กานต์ด้วย แต่ทุเรียนน่ะ ถ้าจะกินพวกเราก็ระวังๆกันหน่อยแล้วกัน” คุณภัทราพรบอกยิ้มๆ


“ก็ตอนที่ตามเข้าไปแล้วรู้ว่าทุเรียนกำลังออกมันนึกอยากกินจริงๆนะคะแม่ แต่พอนั่งไปสักพักก็ได้กลิ่นแปลกๆ มันเหม็นๆสาบๆอย่างกับมีตัวอะไรแห้งตายอยู่แถวนั้น พอเด็กเพลินยกจานทุเรียนออกมาเท่านั้นแหละสุดๆเลย ได้กลิ่นแล้วจะอ้วก ไม่เคยเหม็นอะไรยังงี้มาก่อน นี่แค่นึกถึงยังขนลุกไม่หายเลยค่ะ” คุณภาวิณีบอกเสียงแห้ง ท่าทางเขย็ดขยาด คงเพราะไม่เคยมีอาการแพ้อย่างคนท้องทั่วไปมาก่อน


“คนท้องก็อย่างนี้แหละ อะไรที่เคยชอบก็เกิดเหม็น อะไรที่เคยไม่กินกลับกินได้กินดี ตอนที่ท้องกรกับภาอย่าคิดว่าแม่สบายเชียว นอนซมติดเตียงเป็นเดือนๆกว่าจะมีแรงลุกขึ้นมาทำอะไรได้” คุณภัทย้อนความหลังด้วยสีหน้าอิ่มสุข เพราะถึงจะลำบากก็คงเทียบกับความรู้สึกของคนที่กำลังจะเป็นแม่ไม่ได้ นึกถึงแม่กานดาของผมก็คงไม่ต่างกัน แม่เล่าว่าตอนท้องพี่กัญญาสบายมาก ไม่แพ้อะไร กินอิ่มนอนหลับดีทุกอย่าง แต่พอคราวผมแทบไม่มีเรี่ยวแรง ของดีๆอย่างเนื้อสัตว์ ไข่ หรือนมแค่ได้กลิ่นก็เวียนหัว ส่วนของชอบกลายเป็นมะเขือเทศสดที่กินได้ทีเป็นกิโลๆกับน้ำเต้าหู้ที่ต้องต้มไว้ดื่มต่างน้ำ ซึ่งคงเป็นเหตุผลที่ผมเกิดมาตัวขาวจั๊วะ หน้าใส แก้มแดงจนใครๆก็นึกว่าเป็นเด็กผู้หญิง


“นั่นสิ ผมจำได้ พอท้องทีข่าวคุณภัทหายไปจากวงสังคมเป็นปีๆเลยนี่”


“แหม ใครจะยอมให้คนอื่นมาเห็นเราในสภาพโทรมๆได้ล่ะ ต้องรอให้กลับมาสวยเหมือนเดิมก่อนสิ”


“ถ้าอย่างนั้นหนูภาก็โชคดีมากนะ ไม่ค่อยแพ้อะไร แถมยังเป็นคนท้องที่สวยมากๆเลยเนอะ” งานอวยเมียนี่เป็นเรื่องถนัดของพ่อผมครับ


“โบราณว่าถ้าแม่สวยวันสวยคืน ท้องนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงหรือเปล่าครับคุณป้า” คุณวรเมธช่วยรับมุก คงหวังทำคะแนนกับว่าที่พ่อแฟน อ๋อ ไม่ต้องแปลกใจไปครับ พ่อบอกว่าพี่กัญญาก็เหมือนเป็นลูกสาวพ่ออีกคน แถมตั้งท่าจะเป็นคุณพ่อที่หวงลูกสาวเสียด้วยสิ


คุณภัทราพรไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มอมพะนำจนทุกคนพากันสงสัยและถือโอกาสสรุปกันเอาเองว่าคำโบราณข้อนี้เชื่อถือได้


“หมายความว่า...” พ่อลุ้นอยู่นานก็หันขวับไปจ้องหน้าเมีย แทบจะเขย่าให้เธอยอมรับ “จริงเหรอภา ลูกสาวเหรอ?! แน่ใจนะ?!”


“เมื่อวานที่หมอนัดไปอัลตราซาวด์เห็นชัดแจ๋วเลย ผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์” คุณภาบอกยิ้มๆ แต่บังเอิญได้สบตากับผมแวบหนึ่งแล้วไม่รู้เกิดคิดอะไรขึ้นมา “อาชัชผิดหวังหรือเปล่า...ที่ไม่ใช่ลูกชาย”


“ไม่เลย อาจะผิดหวังทำไมล่ะ จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็เป็นลูกของเราไม่ใช่เหรอ”


คำตอบโดนใจเรียกรอยยิ้มหวานจากภรรยาคนสวย และเสียงชื่นชมจากทุกคนไม่เว้นคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่บังเอิญโผล่มาได้จังหวะราวกับนัดไว้


“โอยยยยย หวานนนนน เลี่ยนนนนน”


“อะไรๆไอ้ลูกชิ้น เดี๋ยวโดนจับปิ้งหรอกเอ็ง” 


“นั่นสิ เสนอหน้ามาทำไมเนี่ย นี่มันเวลาของครอบครัวโว้ย”


“อย่างน้อยก็ไม่ได้มาหาแกล่ะคนนึง พี่หมอมาหาน้องกานต์ตะหาก คิดถึ๊ง คิดถึงงงง...”


ถึงจะโดนข่มขู่หรือขับไล่ คุณหมอชวินก็ไม่สะทกสะท้าน ดวงตาขี้เล่นล็อกเป้าและเดินตรงมาหาผม อีกก้าวเดียวจะถึงตัวก็โดนคุณภากรยกขายันกลางลำตัว แล้วยังโดนพ่อคว้าหลังคอเสื้อ กระชากขึ้นจนตัวเกือบลอย ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ขอความช่วยเหลือ


“อ๊องอานอ้วยอี้อ๋ออ้วย”


พอลงมายืนได้ คุณหมอหน้าเป็นก็แจกค้อนใส่ทั้งเพื่อนทั้งอา พอหันมามองผมที่โดนคุณภากรกอดหมับก็ทำหน้าโศก หันไปทางคุณภาวิณีที่อยู่ในอ้อมแขนพ่อเหมือนกันก็ทำเมินใส่ เหลียวไปมองพี่กัญญาก็มีเสียงกระแอมจากคนใส่แว่น เหลือเพียงที่พึ่งสุดท้าย...


“ฮืออออ คุณป้าครับ ช่วยชินด้วย ชินถูกรังแก ใครๆก็ไม่รักชินเลยอ่ะครับคุณป้า”


“โถพ่อคุณ งั้นชินไปกินของว่างกับป้าดีกว่า แล้วเดี๋ยวอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันต่อเลยดีมั้ยลูก” คุณภัทราพรปลอบไปก็ขำไป


“ดีที่สุดเลยครับ ชินรักคุณป้าม๊ากมาก”


ทุกคนเลยได้ฤกษ์เคลื่อนย้ายไปทานของว่างที่ถูกจัดเตรียมไว้ เหลือแต่ผมที่ขอตัวเพราะยังไม่หิวกับคุณภากรที่คงไม่อยากไปทะเลาะกับเพื่อนต่อ สายตาของเขายังมองตามจนผมอดทักไม่ได้


“ยิ้มอะไรครับ”


“ครอบครัวนี่เยี่ยมไปเลยนะ ทั้งๆที่ดูวุ่นวายขนาดนี้แต่ก็มีความสุขดีเหมือนกัน”


ผมได้แต่ยิ้มตามเพราะเห็นด้วยกับเขาทุกประการ


“เพราะกานต์ด้วยรู้มั้ย” ผมทำหน้างงเลยถูกหอมหน้าผากแรงๆหนึ่งฟอด “ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าบ้านจะมีบรรยากาศอย่างนี้ได้หรือเปล่า แต่พอมีกานต์เข้ามา อะไรๆก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ตอนนี้ฉันมีความสุขมาก และจะไม่ขออะไรอีกแล้วนอกจากให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป”


“คุณกรก็เป็นความสุขในชีวิตของผมเหมือนกันครับ”


ความสุขเอ่อล้นในหัวใจจนส่งผ่านออกมาเป็นรอยยิ้ม เรายิ้มให้กัน ยิ้มจนเมื่อยแก้มก็ยังเลิกไม่ได้เพราะความสุขมันมากมายจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดหรือการกระทำอย่างอื่น อ้อ! ยกเว้นการที่คนบางคนทำเนียนจูบผมนี่ไม่นับนะ


“ไหนดูสิ หลานสาวคนนี้จะชื่อว่าอะไรดีน๊า โอ้โห เยอะจัง นี่คือคัดแล้วเหรอ” คนหน้ามึนหันไปหยิบสมุดมาเปิดดูแก้เก้อ ผมเลยต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตามไปด้วย งานนี้ใครเขินคนนั้นแพ้ครับ


“ก็ยังไม่รู้ว่าน้องจะเกิดวันไหนเลยต้องเลือกเผื่อไว้สำหรับทุกวัน แยกอีกว่าเป็นชื่อผู้ชายกับผู้หญิง ตอนนี้รู้แล้วว่าผู้หญิงก็ตัดออกไปได้ครึ่งหนึ่ง เหลือแค่ให้คุณภาตัดสินใจอีกทีน่ะครับ”


“ใช่เลย ให้ยัยภาเป็นคนเลือกนี่ล่ะปลอดภัยที่สุดแล้ว”


เขาเอ่ยสรุปในสิ่งที่คนทั้งบ้านเห็นด้วย แล้วหยิบคู่มือตั้งชื่อเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดไปเปิดมา


“ภากร แปลว่า พระอาทิตย์ครับ”


ผมบอก แต่คิดว่าเขาคงรู้ความหมายของชื่อตัวเองอยู่แล้ว


“สมตัวมั้ยล่ะ มีอำนาจ ยิ่งใหญ่ ร้อนแรง” ทำเป็นยักคิ้วถาม คิดว่าเท่ห์ตายล่ะ “แน่ะ! ทำหน้าไม่เชื่อ แล้วใครกันน๊าที่ครางลั่นห้องอยู่ทุกคืนน่ะหืม”


“คุณกร!!” คนบ้า คำหลังนี่ผมต่อในใจ ไม่กล้าพูดใส่หน้า แต่ก็น่าด่ามั้ยล่ะ คนอะไรกินในที่ลับแล้วเอามาไขในที่แจ้ง แล้วมันก็ไม่ใช่อย่างที่เขาอวดอ้าง ใครจะบ้ายอมกุ๊กกิ๊กด้วยทุกคืน ผมไม่ได้อึดเป็นคนเหล็กอย่างเขาสักหน่อย


เขาไม่ได้สลดเลยสักนิด แต่คงขำจนเหนื่อยเลยยอมเลิกเอง แล้วค่อยเฉลยว่ากำลังหา...


“ฉันอยากแน่ใจอันนี้ต่างหาก” สิ่งที่เขาชี้ให้ดูทำเอาผมพูดไม่ออก


กานต์ แปลว่า ที่รัก


“คนนี้คือกานต์ของคุณกรจริงๆด้วย”


อ้อมแขนใหญ่รวบกอดแล้วโยกตัวผมเบาๆ เขาจรดริมฝีปากลงบนเรือนผม หน้าผาก ดวงตา แก้ม ปลายจมูก และริมฝีปาก ไม่ใช่จูบแผ่วๆแต่เนิ่นนานเพื่อสื่อสารความรู้สึกจากหัวใจ อีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองช่างน่ามหัศจรรย์ จากคนธรรมดาสู่จุดตกต่ำ สูญเสียครอบครัวที่เคยอบอุ่น ถูกขายใช้หนี้ ไม่เหลือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนได้พบกับผู้เป็นเสมือนดวงอาทิตย์ที่คอยให้แสงสว่างนำทาง ให้ความอบอุ่นใจ และทำให้ผมได้รับทุกอย่างที่เคยสูญเสียไปกลับคืน ส่วนที่เพิ่มเติมมาอย่างไม่คาดคิดคือความรักแสนพิเศษในแบบที่ไม่มีวันได้รับจากใคร


ผมก็ดีใจที่ได้เป็น กานต์ ของ คุณภากร ตลอดไปครับ






.....จบจริงๆแล้วจ้า.....





ปิดฉากกันแบบน่ารักกุ๊กกิ๊ก หวานๆกันนิดนึงเนอะ



ขอบคุณสำหรับการติดตามและเป็นกำลังใจมาโดยตลอด



ขอให้คนอ่านทุกคนได้พบ กานต์ ในชีวิตจริงและมีความสุขสมหวังตลอดไป



บ๊าย บาย จนกว่าจะพบกันใหม่เรื่องหน้า แต่... ได้ข่าวว่าหลังจากเขียนเรื่องนี้จบ หล่อนก็เอาแต่อ่านนิยาย ไม่ได้จิ้มอะไรเพิ่มเลยสักตัวไม่ใช่หรา


ปล. แล้วจะแวะเอาตอนพิเศษมาสปอยแว้บๆนะจร๊า



^ ^







หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-09-2016 19:41:06
มีความสุขมากๆ~~~~~~~
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 29-09-2016 19:57:38
ขอบคุณคนเขียนค้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-09-2016 20:12:21
 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 29-09-2016 20:34:15
กานต์ของคุณภากร :-[ ครอบครัวมีความสุข
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ สนุกๆค่ะ
รอเรื่องต่อไปนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 29-09-2016 20:45:35
ขอบคุณค่ะ  สนุกมาก  มีครบทุกรสชาติความสนุก 
รอซื้อหนังสือจ้า
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Supparang-k ที่ 29-09-2016 20:58:31
เป็นตอนจบที่หวานเวอร์
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-09-2016 21:06:36
  :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 29-09-2016 21:36:05
ขอบคุณมากนะครับสำหรับนิยายดีๆสนุกๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 04-10-2016 18:21:14
สนุกมากๆเลยค่ะ ตอนจบนี่อมยิ้มทั้งตอนเชียว  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 20-10-2016 15:41:16
เรื่องราวคลี่คลาย และมีความสุขกันสักที  :mew1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Gear77 ที่ 18-01-2017 21:51:28
เป็นคนเดียวรึเปล่าที่ไม่ชอบคู่ภากับอาชัช

แค่อาชัชโดนยาเอากันภาท้อง แค่นี้จบ ได้คู่กัน

แล้วก็มีข้ออ้างมาว่าไม่ใช่อาแท้ๆ อีก เหอะ

จริงๆ แค่หงุดหงิดมาอ่านชายชายแล้วเจอชายหญิงบานเบอะ และไม่อยากให้อาชัชได้กับภา
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: seii ที่ 19-01-2017 07:32:14
เขียนดีค่ะ เราเองก็หลงรักนายเอกด้วยคน
เเต่บอกตรงๆ เสียดายอาชัชที่ลงเอยกับนังภา
เป็นคู่ที่เคมีโคตรไม่เข้ากัน หรือเพราะเราอ่านข้ามก็ได้ ไม่ชอบนางเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 20-01-2017 20:41:39
ช่วงแรกสนุกดีจ้า น่ารักใสๆ  o13

ช่วงหลังรวมมิตรเกินไป มีหลายคู่มาก และมีตัวละครยิบย่อยเยอะมาก เช่น เพชร(พี่ชายข้างบ้าน) หมึก(ลูกชายป้ามาลัย) คนบ้านสวน ฯ เลยไม่พีคเท่าที่ควร

ไม่อินคู่อาชัชอ่ะ แหะๆ มันเหมือนผิดฝาผิดตัว เคมีไม่เข้ากัน (เราคิดว่าตัดตัวละครน้องสาวพระเอกทิ้งไปเลย จะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะเธอไม่มีผลอะไรกับเนื้อเรื่องหลัก)
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 23-01-2017 00:01:43
ดีหมดยกเว้นชัชกับภา ได้กันเพราะผญวางยา เเล้วท้อง เอ่อออ....
นอกจากรำคาญนิสัยผญเเล้วเราคิดว่าคู่นี้มันไม่ต้องมีก็ได้
มันไม่เกี่ยวกับตัวหลักของเรื่องเลยด้วยซ้ำ
เเต่มันก็ไม่ใช่นิยายเราอ่ะนะ เเล้วเเต่คนเขียน
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 26-01-2017 06:44:08
 o13
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 03-02-2017 00:49:46
สนุกมากค่ะ เปรี้ยว หวาน มันส์ เค็ม ขม ครบทุกรสเลย
ยกนิ้วโป้ง  o13 ให้คนแต่งเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 04-02-2017 14:05:42
ว่าแล้ว กานต์ ต้องลูกคุณชัช แน่ๆ จบแบบน่ารัก ดูอบอุ่น  :L1: :L2:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 09-02-2017 13:48:36
ตอนแรกอ่านนึกว่าเรื่องสั้น ไป ๆ มา ๆ ยาวเวอร์คร้าาา 5555 :hao6:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 10-02-2017 18:17:19
 o13 o13
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: Mewalsax ที่ 11-02-2017 16:41:40
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ นะคะ ชอบมากเลยค่ะ อ่านเพลินจนไม่อยากวางมือเลย
ส่วนตัวแล้วชอบคุณอา(พ่อ)ชัชมาก เป็นตัวละครที่ไม่ได้ดีมาก แย่มาก หลายมิติ และด้วยความที่แกเป็นหนุ่มใหญ่แล้วนั้น 5555 เอาใจไปเต็มๆ เลยค่ะ

ปล. คุณกรไม่ต้องน้อยใจที่ไม่พูดถึงนะ เป็นถึงพระเอกทั้งที ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: TheWanFah ที่ 19-02-2017 20:21:24
มีตอนพิเศษไหมน้อ  รออ่านอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: somakimi ที่ 22-03-2017 15:33:05
 :3123: :3123: :3123: เรื่องน่ารักมากค่ะไม่มาม่าเกินไปจนไรเหตุผล ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 27-03-2017 14:45:50
อ่านถึงตอนที่ 25 แล้วขอพักสงบจิตสงบใจหน่อย  ขอร้องคนเขียนอย่าทำให้เพลียเลย  ดีมาตลอดแล้วแท้ๆ  :seng2ped:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 02-04-2017 18:31:04
 :L2: ชอบเรื่องนี้ค่ะ อ่านแล้วมีความสุข ตัวเอกสมชื่อเรื่องมากเป็นที่รักจริง ๆ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก by Minemomo \\ ^___^// บทส่งท้าย (จบแล้วจ้า)
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 07-04-2017 10:06:33
 :กอด1:มีความละมุน อบอุ่นมาก :katai2-1:
หัวข้อ: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo) มาแล้วๆ พบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: minemomo ที่ 08-10-2017 04:43:24


ในที่สุดก็จะได้กอดหนุ่มกานต์กับคุณกรกันแล้วในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติเดือนตุลาคมนี้


แวะไปจับจองกันได้ที่บูทของเฮอร์มิท หนังสือพร้อมขายแน่นอนจ้า




https://www.facebook.com/HermitBooks/photos/ms.c.eJxFjkEOxEAIw360GiAQ~_P~;HVoWWuVrGQWAMsrxCjBY~;eQG0wEO5YAwu8DHOgDSVUFaSC0oL4V80zc4AXzCGroHzrEjJB2QMrOHRK9AFOuA2shtpHwh042w0rE~;uH5THQGGBDdiV8DnZKPsxZNyTNtT~;K4FFiQ~-~-.bps.a.1437677936280405.1073741878.349141615134048/1437677949613737/?type=3&theater (https://www.facebook.com/HermitBooks/photos/ms.c.eJxFjkEOxEAIw360GiAQ~_P~;HVoWWuVrGQWAMsrxCjBY~;eQG0wEO5YAwu8DHOgDSVUFaSC0oL4V80zc4AXzCGroHzrEjJB2QMrOHRK9AFOuA2shtpHwh042w0rE~;uH5THQGGBDdiV8DnZKPsxZNyTNtT~;K4FFiQ~-~-.bps.a.1437677936280405.1073741878.349141615134048/1437677949613737/?type=3&theater)






Mine









หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 08-10-2017 22:37:05
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 10-10-2017 20:39:07
ขอบคุณมากค่า สนุกมากค่ะ  แต่ไม่อินเรื่องเดียว คืออาชัชกับคุณภา เรายังไม่เห็นการทำตัวดีๆของคุณภาเลย หรือเราอ่านข้าม ไม่ชอบเลยค่ะ 555 อันที่จริงไม่ต้องมีคู่นี้ก็ได้ เจอปุ๊บเราหงุดหงิดเลย ถถถ อแล้วยิ่งตอนวางยายิ่งไม่ชอบ แต่ยังไงก็ขอบคุณน้าา คุณกรกับน้องกานต์น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 11-10-2017 13:55:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 26-10-2017 19:21:25
คือโดยรวมแล้วโอเคนะค่ะ
แต่จะดีกว่านี้มากถ้าตัดยัยคุณภาออกไปไม่ให้คุณกับอาชัช
 หรืออยากให้คู่กันจริงๆขอให้นางมีความคิดที่เป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่โตจนเรียนจบเมืองนอกเมืองนาได้มั๊ยคะ????
พอนางนิสัยแบบนี้เราว่าไม่เหมาะสมกับอาชัชสักนิดเลยค่ะ  เกลียดนางมากค่ะ!!!! :z6: o18
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: May.rinz ที่ 08-01-2018 13:30:48
 :impress2:ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ เรื่องจะกลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ชอบ ชอบตัวละครทุกตัว บทหวานก็หว๊านหวาน บทเศร้าก็เศร้าจนน้ำตาไหลพราก .....มันดี
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 14-01-2018 19:47:16
ขอบคุณมากๆเลยค่า

 :mew1:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 12-04-2018 07:41:52
ชอบคุณเมธมาก
ต้นแบบความซึนมาก
ชอบคู่นี้มากๆเลย
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-04-2018 11:35:07
รอไรท์ มานานแสนนาน  :ling1:
หน่วง นานนนนนนน  :ling3:
หัวข้อ: Re: Oh...My Love กานต์...ที่รัก (Minemomo)มาแล้วๆพบกันงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ p11
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 28-04-2018 14:56:58
 :impress2: ฟินดีอ่ะ ว่าแต่พระเอกพรากผู้เยาว์น้า อิอิ :hao7: :hao7: