ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
(https://www.img.in.th/images/5796e37ba1a745be64c055c391a82327.jpg)
“พ่อ ขูนจองโปแล้ว”
“ครับ?!!” เพทายเบิกตากว้าง
“ขูนจองโป”
เด็กชายอาโปบอกพ่อซ้ำอีกครั้ง เขาบอกแล้วว่าเขาจำแต่อันที่ชอบ อะไรที่มีชื่อขุนเขาจำทั้งนั้น
“พี่ยังไม่ได้จองเลย”
เด็กชายขุนแม้อายุเพิ่งย่างขึ้นแปดขวบ แต่เพราะโลกสมัยนี้หมุนเร็ว
ทำให้เขาพอเข้าใจสิ่งที่อาคีย์พูด เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกว่าว่ารู้เท่านั้น
“จองฉิ” เด็กชายอาโปหน้ามุ่ย
"ขูนม่ายล้ากโปเหลอ”
“อีกแล้วเหรอ” เด็กชายขุนทำเสียงอ่อน ผู้ใหญ่จึงพากันขำ แต่ไม่มีใครพูดอะไร
ปล่อยให้เด็กๆ คุยกัน เพราะมันเป็นภาพที่น่ารักมาก
“ล้ากเป่า” เด็กชายตัวน้อยมองเพื่อนเล่นด้วยสายตาอ้อน
“รักสิ ทำไมจะไม่รัก”
“จองเป่า”
“ไม่จอง”
“ล้ากกานต้องจองฉิ”
คีตกานต์กลั้นขำไม่อยู่จริงๆ เขาหัวเราะเสียงดังออกมา แม้แต่พนาก็ยังอดหัวเราะตามคนรักไม่ได้
“เฮ้อ จองก็จอง” ขุนยอมแพ้น้องในที่สุด อะไรที่ทำให้เจ้าตัวเล็กยิ้มได้เขาก็ยอมทั้งนั้น เหมือนที่ยอมมาตลอด
“ขูนน่าล้ากที่ฉุด” เด็กชายอาโปยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย
ขุนจองเขาแล้ว โปจำได้ไม่ลืมหรอก
พูดคุย #รักหรือเปล่า
(https://www.img.in.th/images/850691f9ac3afae72c451840a812d83d.png)
•.★* สารบัญ *★.•
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3990877#msg3990877)
ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3991140#msg3991140) ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3991754#msg3991754) ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3992184#msg3992184)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3993179#msg3993179) ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3993394#msg3993394) ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3993736#msg3993736)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3993838#msg3993838) ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3994863#msg3994863) ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3995268#msg3995268)
ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3995721#msg3995721) ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3996495#msg3996495) ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3996778#msg3996778)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3996989#msg3996989) ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3997063#msg3997063) ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3997542#msg3997542)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3997854#msg3997854) ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3998085#msg3998085) ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3998325#msg3998325)
ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3998560#msg3998560) ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3998811#msg3998811) ตอนที่ 21[End] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69934.msg3998978#msg3998978)
*.:。 ✿*゚‘゚・✿.。.:* *.:。✿*゚’゚・✿.。.:* *.:。✿*゚¨゚✎・ ✿.。.:* *.:。✿*.:。✿*
** คุยกันก่อนอ่าน
• มีหลายท่านกังวลว่าเรื่องนี้จะดราม่าเพราะดูจากชื่อเรื่อง เดี๋ยวค่า >< ชื่อเรื่อง “รักหรือเปล่า” เนี่ยมาจากคำที่อาโปพูดติดปาก
เลยอยากนำมาใช้เป็นชื่อเรื่องค่ะ เปลี่ยนจาก รักโปเป่าน้า เป็น รักหรือเปล่า เท่านั้นเอง
• เรื่องอายุของขุนกับอาโปและการเข้าเรียน ในภาคแรก อาโปอายุสามขวบกว่า ส่วนขุนอายุ 7 ขวบค่ะ ห่างกัน3 ปีกว่าๆ
และคนเขียนให้พี่ขุนเกิดช่วงปลายปีทำให้ต้องเข้าเรียนในปีถัดไป ทั้งสองคนจึงเรียนห่างกัน 3ปีค่ะ อาโปเข้าปี1 ปีขุนอยู่ปี 4
ตอนที่ 1
จับจอง
วาริชส่งยิ้มกว้างไปให้ภูผาที่เดินตรงมาหา การแข่งขันจบไปเมื่อยี่สิบนาทีที่ผ่านมา เขายืนรออีกฝ่ายอยู่ด้านล่างของอัฒจรรย์พร้อมจีและสิงหาที่มาดูการแข่งขันด้วยกัน
“พี่นึกว่าเรากลับไปแล้ว”
“จะกลับได้ยังไงครับ น้องที่ดีก็ต้องอยู่แสดงความยินดีก่อน”
“ขอบใจมาก”
“อ้อเดี๋ยวผมแนะนำให้รู้จักกัน นี่พี่ขุนพี่ชายฉัน คนนี้ชื่อจี คนนี้ชื่อสิงหา เรียนคณะเดียวกันภาคเดียวกันเลย”
“สวัสดีค่ะ” จิรดาตื่นเต้นเล็กน้อย ภูผาที่เธอเห็นอยู่ไกลๆ ว่าหล่อแล้ว เข้ามายืนใกล้ๆ แบบนี้ถึงรู้ว่าคนหล่อทุกมุม ทุกองศาเป็นยังไง
“สวัสดี” ภูผาทักตอบทั้งสองคน
“ขุน จะกลับเลยหรือเปล่า”
เสียงเรียกทำให้บทสนทนาชะงัก สายตาทุกคู่หันไปมองร่างสูงที่หยุดยืนห่างออกไปเล็กน้อย มีหญิงสาวอีกสองคนยืนอยู่ด้วย ภูผายกมือขึ้นเรียกเพื่อนให้เดินเข้ามาหา
“นี่เพื่อนพี่ พี่เทียน พี่ไหมมุกกับพี่เอวา”
“สวัสดีครับ” วาริชค้อมศีรษะลงต่ำแต่ไม่ได้ยกมือขึ้นไหว้
“ส่วนนี่...”
“น้องอาโปใช่ไหมคะ พี่เคยได้ยินขุนพูดถึงบ่อยๆ เคยเห็นรูปด้วย” ริมฝีปากสีแดงคลี่รอยยิ้มบาง ดวงตาที่มองมาเอ็นดูเกินเบอร์จนวาริชนึกว่าตัวเองอายุแค่สี่ขวบ
“ใช่ครับ” เด็กหนุ่มยิ้มตอบหญิงสาวตรงหน้า “นี่เพื่อนผมครับ ชื่อจีกับสิงหา”
“เรียนเกษตรใช่ไหม” เทียนเป็นคนตั้งคำถาม วาริชแอบประเมินอีกฝ่ายด้วยสายตา เทียนรูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับภูผา ใบหน้าคมเข้ม ให้ความรู้สึกของชายหนุ่มที่ดูแข็งแกร่ง
“ใช่ครับ” เขาพยักหน้า
เทียนพยักหน้ารับรู้ก่อนหันไปทางเพื่อนรัก เพื่อขอคำตอบที่ถามไว้เมื่อครู่ “นายจะกลับเลยหรือเปล่า เอวาชวนไปหาอะไรทาน”
“ไปด้วยกันนะขุน หลายๆ คนสนุกดี” คนพูดยิ้มอ่อนหวาน ดวงตาเป็นประกาย วาริชมองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ
“ไปกันเถอะ ผมจะพาน้องๆ ไปเลี้ยงข้าว”
“งั้นก็ไปด้วยกันสิ นะ” คนพูดยังไม่ละความพยายาม
“เอางั้นเหรอ” ภูผาหันมามองหน้าเขา “โปจะไปไหม”
“ไปครับ ไปทานกันเยอะๆ สนุกดี จี สิงห์ไปด้วยกันนะ”
“อะ..อืม” จิรดาตอบด้วยน้ำเสียงลังเล
“งั้นก็ตามนี้ นายจะไปร้านไหนเดี๋ยวขับรถไปเจอที่นั่นเลย”
“ร้านกินดื่ม”
“โอเค เดี๋ยวเจอกัน”
เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงแยกย้ายกันออกเดินทาง ไม่ต้องวิเคราะห์วาริชก็รู้ว่าหญิงสาวนามเอวาอยากไปคันเดียวกับเขาแค่ไหน ยังดีที่ไม่พูดออกมา ความคิดของเด็กหนุ่มสะดุด เมื่อแขนถูกจิรดาสะกิดเบาๆ เขาจึงเดินช้าลงให้ภูผาเดินนำหน้าไปก่อน
“ว่า?”
“เราว่าพี่คนนั้นชอบพี่ขุนนะ” เสียงพูดเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ก็คิดว่าใช่”
“อ้าว” จิรดาเบิกตากว้างขึ้น “แล้วทำไมไปด้วยล่ะจะดีเหรอ”
“ดีสิ จะได้ใช้โอกาสนี้ศึกษาคู่แข่งไปในตัว จะได้ตั้งรับทัน”
“โปร้ายอะ”
“เพิ่งรู้เหรอ” สิงห์พูดมาจากทางด้านหลัง พวกเขาถึงเพิ่งรู้ว่าเพื่อนได้ยินด้วย วาริชหัวเราะเบาๆ
“ใครว่าร้าย เขาเรียกว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งต่างหาก”
ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกาย ก่อนจะลงสนามมันก็ต้องประเมินคู่แข่งก่อนเป็นธรรมดา
• • • • •
“ขอบคุณครับ” สิงหายกมือไหว้ภูผา เมื่ออีกฝ่ายขับรถมาส่งที่หอพักหลังจากทานข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อย เขาจับที่เปิดประตูรถแต่ชะงักเพราะวาริชยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เขากับวาริชเป็นรูมเมทพักอยู่ห้องเดียวกัน
“ไม่ลงเหรอ”
“จะไปนอนบ้านพี่ขุน”
“อ๋อ งั้นไว้เจอกัน” สิงหาเปิดประตูลงจากรถ เขาไม่ซักถามอะไรเพราะรู้ว่าทั้งสองครอบครัวสนิทกันมาก
“ไม่เห็นบอกพี่เลย” ภูผาขับรถออกจากหน้าหอพักของมหา’ลัย เขาถามเพราะอยากแซววาริชมากกว่า ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง
“กำลังจะบอก ผมคิดเมื่อกี้เอง”
“เบื่ออยู่หอแล้วใช่ไหม”
“เปล่า ก็แค่อยากไปนอนบ้านโน้น”
เพราะเพทายอยากให้วาริชได้เรียนรู้การใช้ชีวิต เด็กหนุ่มจึงเข้าพักในหอพักของมหา’ลัย ได้เงินใช้ต่อเดือนไม่มากมาย ไม่มีรถขับ และไม่มีโทรศัพท์แพงๆ ใช้
“เหงาเหรอ” เสียงที่ถามอ่อนโยนลง ดวงตาที่เหลือบมามาเต็มไปด้วยความห่วงใย
“เปล่า” วาริชส่ายศีรษะไปมา “ผมชินแล้ว อยู่ได้ เพื่อนเยอะดี แต่...” เสียงที่พูดเงียบลง
“แต่อะไร”
“แต่บางทีก็คิดถึงพ่อ คิดถึงอาเพ ลุงพนา อาคีย์ คิดถึงพี่มะลิ แล้วก็คิดถึงพี่ขุนด้วย”
“เคยอยู่บ้านคนเยอะๆ มาอยู่แบบนี้ก็ต้องเหงาบ้างเป็นธรรมดา ถ้าคิดถึงก็โทรหาพี่” มือใหญ่ยื่นมาวางบนศีรษะของเขา ลูบเบาๆ ก่อนปล่อยมือลง
“จะมาหาผมเหรอ” วาริชสบตากับดวงตาที่มองมา
“ใช่ พี่จะไปหา”
เด็กหนุ่มยกยิ้มกว้าง หัวใจเต็มตื้น พี่ขุนก็ยังเป็นพี่ขุนของเขาเสมอ
• • • • •
ภูผาอยู่คุยกับวาริชจนดึก จึงแยกมาอาบน้ำเพื่อพักผ่อน เขาใช้เวลาในห้องน้ำเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินออกมา เพื่อพบว่ามีใครบางคนยึดเตียงของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
“พี่นุ่นจัดห้องให้เราแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมาแย่งเตียงพี่” เสียงที่ถามออกไปทางเอ็นดูมากกว่า วาริชจึงส่งยิ้มกว้างไปให้
“เมื่อก่อนผมยังแบ่งที่นอนให้พี่ขุนเลย”
“ทวงพี่เหรอ”
“เปล่า~ ผมแค่จะบอกว่าถ้ารักกันจริงก็แบ่งที่นอนกันได้”
“หึๆ”
“หรือพี่ขุนไม่รักผม”
“ถามตั้งแต่เด็กยันโตไม่เบื่อบ้างหรือไง” ร่างสูงนั่งลงที่ขอบเตียง วางมือลงบนศีรษะของเขา จับเขย่าเบาๆ
“ไม่เบื่อ” วาริชส่ายศีรษะ
“ตกลงจะนอนที่นี่ใช่ไหม”
“ให้นอนไหมล่ะ”
“เรามันแสบเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ถ้าพี่ไม่ให้นอนก็จะหาว่าพี่ไม่รักอีก อยากนอนก็นอนไป”
“เหอะ ไม่ได้รู้อะไรเล้ยย” วาริชพึมพำอยู่ในลำคอ
“อะไรที่เราว่าพี่ไม่รู้”
“ทีงี้ดันได้ยิน” คนพูดทำเสียงขึ้นจมูก
“ไม่ใช่ว่าเราตั้งใจพูดให้พี่ได้ยินเหรอ เจ้าแสบ” ผมของวาริชยุ่งเพราะโดนขยี้เบาๆ ภูผาเลี้ยงอีกฝ่ายมากับมือทำไมเขาจะเดาไม่ได้
“ก็เนี่ยที่ไม่รู้ แสบที่ไหนกัน แบบที่ผมทำเขาเรียกว่าอ้อน เข้าใจหรือเปล่า” คนพูดหน้ามุ่ย
“อ้อน?” คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง รอยยิ้มขำแต้มที่ริมฝีปาก “ไม่ใช่ข่มขู่พี่อยู่เหรอ”
วาริชผุดลุกขึ้นนั่ง ใช้สายตามองพี่ชายไล่ตั้งแต่ศีรษะลงไป ก่อนตวัดสายตากลับขึ้นมาจ้องตา ยกมือขึ้นกอดอกอย่างที่ชอบทำ
“หน้าตาก็หล่อขึ้น หุ่นก็เท่ขึ้น ไหงยังซื่อหมือนเดิมก็ไม่รู้”
“หึๆ เรามันก็แสบไม่เปลี่ยน”
มือใหญ่ยกขึ้นจับใบหน้าของเขาทั้งสองข้าง ดวงตาสองคู่สบประสานกัน
“พี่ขุน”
“หือ?”
“คนนั้นแฟนเหรอ”
“คนไหน”
“พี่เอวา”
“ไม่ใช่”
“แต่เขาชอบพี่ขุนใช่ไหม”
“ไม่รู้สิ พี่ไม่เคยถาม”
“ตอบงี้แล้วผมจะไปต่อยังไงล่ะ”
“ไปต่อไม่ได้งั้นก็เลิกถาม”
“ไม่เอา แล้ว...” ดวงตาของวาริชหลุบต่ำลงก่อนจะเงยขึ้นอีกครั้ง “พี่ขุนชอบพี่เอวาหรือเปล่า”
“แล้วเราจะอยากรู้ไปทำไม”
“ก็ผมยังไม่อยากให้พี่ขุนมีแฟน ผมเพิ่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เองนะ ถ้าพี่ขุนมีแฟนแล้วใครจะดูแลผม”
“มีแฟนก็ดูแลได้”
“แปลว่าพี่ขุนชอบพี่เอวาเหรอ” ดวงตาของวาริชเบิกกว้าง สีหน้าตื่น
“หึๆ หวงพี่ชายเหรอ” ภูผานึกเอ็นดูเด็กหนุ่มตรงหน้า ติดเขามาตั้งแต่เด็กจนโตก็ยังไม่เปลี่ยน
“.....”
“พี่ไมได้ชอบแล้วก็ยังไม่ได้คบใครด้วย เราจองพี่ไว้ไม่ใช่เหรอจะมีได้ยังไง”
สายตาที่ส่งมาล้อเลียน วาริชแกล้งทำหน้ามุ่ย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง
“ใครบอก พี่ขุนต่างหากที่จองผม”
“งั้นเหรอ งั้นพี่ถอนสัญญาได้ไหม” ใบหน้าคมเข้มโน้มเข้าไปใกล้ ดวงตาเป็นประกายล้อเลียน วาริชเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนส่ายศีรษะไปมา
“ไม่มีทาง”
“หึๆ ตกลง งั้นพี่จะให้เราเป็นคนตัดสินใจดีไหม จะถามเราก่อนว่าชอบหรือเปล่า”
“พูดจริงนะ” นิ้วชี้ถูกยกขึ้น ชี้ตรงมายังใบหน้าของเขา ดวงตาเจ้าเล่ห์
“จริงสิ แต่ช่วยเพลาๆ มือหน่อยนะ พี่ไม่อยากขึ้นคานตลอดชีวิต”
“ไม่ขึ้นอยู่แล้ว เชื่อมือผมได้” วาริชใช้นิ้วโป้งปัดปลายจมูก เสียงหัวเราะของภูผาจึงดังขึ้น
“สบายใจหรือยัง ทีนี้ก็นอนได้แล้ว พรุ่งนี้พี่ต้องตื่นไปซ้อมแต่เช้า”
“ผมยังไม่ง่วงเลย”
“งั้นจะย้ายไปนอนห้องโน้นไหมจะได้ไม่ต้องรีบนอน เผื่อเราอยากเล่นเกมหรือดูหนัง”
“ผมง่วงแล้ว” วาริชคว้าผ้าห่มจากปลายเตียงก่อนล้มตัวลงนอน เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงศีรษะ ตะแคงข้างหันหลังให้พี่ชาย
“หึๆ” ภูผามองก้อนผ้าห่มด้วยสายตาขำ
“พี่ปิดไฟล่ะนะ”
“ผมหลับแล้วตอบไม่ได้” เสียงพูดอู้อี้ดังลอดออกมา
ภูผามองร่างภายใต้ผ้าห่มสีขาวด้วยดวงตาอ่อนโยนลง ไม่ว่าจะโตแค่ไหนก็ยังเป็นคุณหนูอาโปตัวแสบเหมือนเดิม
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 3
ปฏิบัติการสกัดดาวรุ่ง
“มันจะยากอะไรขนาดนี้เนี่ย เราจะรอดปีหนึ่งไหม” จิรดาโอดครวญ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยอาการหมดแรง
“สมพรปาก”
“ทำไมเป็นเพื่อนที่ดีอย่างนั้นละคะคุณสิงห์”
“ก็เห็นบ่นอยู่ได้”
“ขี้เกียจพูดกับนายแล้ว หาอะไรจรรโลงใจดูดีกว่า” จิรดาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เปิดแอปพลิเคชันอินสตาแกรมขึ้นมา ใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอไล่ดูไปเรื่อยๆ
“โอ้~” ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้น “โปเห็นรูปนี้หรือยัง” จิรดาหันหน้าจอให้เพื่อนดู เป็นรูปเทียนยืนกอดคอภูผา ในอินสตาแกรมของเอวา
“ยัง” วาริชส่ายศีรษะ
“เอาเหรียญรางวัลมาให้ได้นะ เราจะคอยเชียร์” จิรดาอ่านคำบรรยายเสียงดัง “แล้วไอคอนหัวใจคืออะไร ให้สองคนหรือว่าให้คนเดียว”
“เออใช่! วันนี้พี่ขุนกับพี่เทียนแข่งรอบชิงนี่หว่า” สิงหาเพิ่งนึกได้ว่ามีแข่งบาส เขาลืมไปสนิทใจ
“อืม สิงห์กับจีจะไปเชียร์ด้วยกันไหม”
“ไป”
“ไปอยู่แล้ว” จีรดาไม่มีทางพลาด “ว่าแต่โปไม่โพสต์ให้กำลังใจพี่ขุนบ้างเหรอ โพสต์แล้วแท็กพี่ขุนด้วย อย่าน้อยหน้า”
“โพสต์ทำไม”
“อ้าว ก็ให้กำลังใจไง”
“เดี๋ยวไปให้ที่สนามก็ได้”
“มันเหมือนกันที่ไหนเล่า” จิรดาบ่นเบาๆ เมื่อเพื่อนไม่ได้ดั่งใจ
“เพราะแบบนี้ไงฉันถึงไม่อยากมีแฟน ผู้หญิงคิดอะไรซับซ้อนฉิบ วางแผนกันเป็นขั้นเป็นตอน น่ากลัว”
“ให้มีคนเอานายก่อนไหมค่อยพูด”
วาริชนั่งฟังเพื่อนต่อปากต่อคำกันด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม เขารู้ว่าทำไมจิรดาถึงอยากให้เขาโพสต์ พอๆ กับที่เดาได้ว่าเพราะอะไรเอวาถึงลง สิงหาอาจพูดถูกหนึ่งอย่างคือผู้ชายกับผู้หญิงบางทีก็คิดต่างกัน รวมถึงวิธีการด้วย
• • • • •
“อยู่โน่นไง” จิรดาชี้มือไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ข้างสนาม พวกเขาจึงเดินตรงเข้าไปหา
“มาเชียร์พี่ชายเหรอ” เทียนยิ้มทักน้องชายเพื่อนสนิท
“มาเชียร์พี่เทียนด้วยครับ” ความฉลาดของวาริชทำให้เทียนอดยิ้มไม่ได้
" อยู่เป็นนี่เรา พูดแบบนี้เดี๋ยวถ้าชนะพี่เลี้ยงข้าว"
“งั้นผมยกน้ำขวดนี้ให้ครับ” วาริชส่งขวดชาเขียวในมือให้เทียน
“มีน้ำใจซะด้วย”
“เปล่าครับ ผมจะเก็บท้องไว้กินของฟรี” วาริชส่งยิ้มกว้างจนตาหยีไปให้เทียน อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆ น้องนายน่ารักชะมัด มาเป็นน้องพี่แทนไหม”
“ไปไม่ได้ครับ พี่ชายหวง”
“จริงเหรอวะขุน”
“อืม”
วาริชซ่อนรอยยิ้มเมื่อพี่ชายพยักหน้า
“ขึ้นไปนั่งเถอะคนเริ่มมาเยอะแล้ว” ภูผาเห็นว่าใกล้แข่งแล้ว เขากลัวจะไม่มีที่นั่ง
“ครับ” วาริชรับคำ เขายื่นมือไปหาภูผา มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเปื้อนรอยยิ้ม ภูผายื่นมือมาจับกับน้อง ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา พวกเขาแค่บีบมือกันเบาๆ
“ไม่อวยพรพี่ขุนเหรอ” จิรดากระซิบถามเพื่อนระหว่างเดินขึ้นไปนั่งบนอัฒจรรย์ วาริชอมยิ้มหันไปสบตากับเพื่อน
“เรียบร้อยแล้ว”
• • • • •
“อาโปกับขุนเหมือนพี่น้องกันจริงๆ เลย ดูสนิทกันมาก”
วาริชละสายตาจากเกมการแข่งขันตรงหน้าไปมองเจ้าของเสียง เอวามองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“สนิทกันมากครับ” เขาเลือกตอบ
“ขุนไม่ค่อยพูดเรื่องของตัวเองเท่าไหร่เลย บางทีถามก็ไม่ยอมตอบ”
“พี่ขุนเป็นคนพูดน้อยครับ”
“นั่นสิ ว่าแต่..ขุนเคยคบกับใครหรือเปล่า”
รอยยิ้มจุดขึ้นที่ริมฝีปากของวาริช เขาส่ายศีรษะช้าๆ “ไม่เคยครับ”
“อย่างนั้นเหรอ แต่ก็น่าจะมีผู้หญิงมาชอบพี่ของอาโปเยอะใช่ไหม”
“ก็น่าจะเยอะนะครับ”
“มีใครพิเศษหรือเปล่า พี่หมายถึงเพื่อนสมัยมัธยมของขุน น่าจะยังมีติดต่อกันบ้างมั้ง”
“ก็มีครับ แต่ไม่ใช่คนพิเศษ”
“งั้นเหรอ”
เขาเห็นความดีใจและโล่งใจบนใบหน้าของเอวา
“พี่เอวามีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่าจ้ะเปล่า พี่ก็แค่สงสัยเพราะไม่เห็นขุนคบใครเลย ก็เลยนึกว่ามีคนพิเศษตั้งแต่สมัยมอปลาย”
“ไม่มีหรอกครับถ้ามีผมต้องรู้แล้ว วันก่อนผมก็ถาม พี่ขุนบอกว่ายังไม่มีใครน่าสนใจ”
วาริชส่งยิ้มให้เอวา เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อเอาแต่นั่งนิ่ง เขาจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับเกมการแข่งขัน ก็เขาถามภูผาจริงๆ นี่ ถึงคำตอบที่ได้จะไม่ใช่แบบนี้เป๊ะๆ ก็เถอะ
• • • • •
“ขอบคุณนะครับน้องโปสุดน่ารักที่กรุณาพี่” เทียนขอบคุณน้องชายเพื่อนที่เลือกมาทานสุกี้ ทำให้กระเป๋าของเขาปลอดภัยขึ้นอีกนิด
“ไม่เป็นไรครับพี่เทียน กินสุกี้ดีแล้วเบาท้องดี ผมจะได้เหลือพื้นที่ไปกินของหวาน”
“ทำไมน้องนายร้ายแบบนี้วะ” เทียนหันไปถามภูผา
“เขาเรียกว่าเด็กฉลาด ใช่ไหมโป”
“ใช่ครับพี่ไหมมุก”
“เด็กอะไรเนี่ย ยิ้มทีหน้าตาน่าฟัดชะมัด มาขอพี่ฟัดที” นิ้วเรียวยื่นมาจับหมับที่แก้มของเขาก่อนดึงเบาๆ วาริชไม่ได้เอนตัวหลบ เพราะเขาชินกับการโดนดึงแก้มแล้ว
“จะทำอะไรก็มองหน้าพี่ชายอาโปด้วย ขุนหวงน้องลืมแล้วเหรอ” เทียนเตือนเพื่อนขำๆ
“จีกับสิงห์อยากทานอะไรเพิ่มก็สั่งได้เลยน่ะ ไม่ต้องเกรงใจพี่”
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจละนะครับ” สิงหาเอื้อมมือไปหยิบเมนูที่วางอยู่มาเปิดดู
“เอาเลย พี่ว่ายังไงมันคงถูกกว่าของหวานร้านที่อาโปจะไปกิน”
คำตอบของเทียนทำให้เกือบทั้งโต๊ะหัวเราะออกมาเว้นเอวา หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดตั้งแต่ได้คุยกับวาริชที่สนามบาส เธอเริ่มไม่ชอบน้องชายของอีกฝ่ายเท่าไหร่ ยิ่งเมื่อคิดได้ว่าเดี๋ยวนี้เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดภูผาเลย ไปไหนมาไหนก็ต้องไปเป็นกลุ่มใหญ่ตลอด เอวาไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับภูผาตั้งแต่แรก แต่เพราะเธอชอบอีกฝ่ายจึงเอาตัวเข้ามาใกล้ชิด พยายามตีสนิทกับทั้งกลุ่ม
“เรียนเป็นยังไงบ้าง” เธอรอให้เสียงหัวเราะเงียบลงจึงถามขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพื่อไม่ให้ใครรู้ความรู้สึกข้างใน
“ก็ดีค่ะพี่เอวา ยากดี” จิรดาเป็นคนตอบคำถาม
“ตอนพี่อยู่ปีหนึ่งพี่ก็เป็น อะไรก็ดูยากไปหมด ต้องใช้เวลาปรับตัวเป็นเดือนๆ”
“ถูกต้องเลยค่ะ จีจะหัวหงอกก่อนวัยแล้ว”
“ถ้างั้นช่วงนี้ขุนก็อย่าชวนน้องเที่ยวบ่อย เอาไว้ให้ชินกับการเรียนในมหา’ลัยก่อน ปีหนึ่งกิจกรรมเยอะด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะจีก็บ่นไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ขนาดนั้นหรอกค่ะ” จิรดาหน้าเสีย กลัวว่าเธอจะพาความซวยมาเยือนเพื่อน แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินวาริชพูดขึ้น
“ผมเห็นด้วยกับพี่เอวา ช่วงนี้พี่ขุนอยู่ช่วยติวให้ผมก่อนนะอย่าเพิ่งหนีน้องเที่ยว” วาริชหันไปยิ้มอ้อนภูผา ยิ่งทำให้อารมณ์ของเอวาคุกรุ่นมากขึ้น
“คนละคณะกันน่าจะสอนไม่ได้มั้งจ้ะ”
“เดี๋ยวพี่ช่วยดูให้”
“ขอบคุณครับ”
เอวาเผลอกัดริมฝีปาก เมื่อไม่มีใครสนใจคำพูดของเธอ
“ผมด้วยนะพี่ขุน” สิงหาพาตัวเองเข้าไปเป็นลูกศิษย์ของภูผาอีกคน
“ไหนบอกว่าเรียนเข้าใจดีไง” จิรดาอดกัดเพื่อนไม่ได้
“ก็เข้าใจไง เข้าใจแค่ที่เข้าใจ” สิงหายักคิ้ว ยิ้มรับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักเงินยกอาหารมาเสิร์ฟพอดี ความสนใจของทุกคนจึงมุ่งไปที่การกินแทน
• • • • •
“ฝากบอกคุณปู่กรว่าวันศุกร์ผมจะไปนอนที่บ้าน” วาริชบอกภูผาเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าหอพัก จิรดาไม่ได้มาด้วยเพราะโทรให้มารดาไปรับที่ห้าง
“เดี๋ยวพี่บอกคุณปู่ให้”
“โอเครับ งั้นผมขึ้นหอแล้ว”
“เดี๋ยวโป” วาริชชะงักมือที่เอื้อมไปเปิดประตูเมื่อภูผาเรียกไว้
“ครับ?”
“อ่า..งั้นผมขึ้นไปก่อน สวัสดีครับพี่ขุน” สิงหาลงจากรถอย่างคนรู้หน้าที่ ในรถจึงเหลือเพียงแค่สองคน
“พี่ขุนมีอะไรเหรอ”
“ของเรา” เหรียญทองถูกห้อยลงมาที่คอ ดวงตาของวาริชเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ เขาจับเหรียญยกขึ้นดู ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับภูผา ดวงตาเต็มไปด้วยความสุข
“ให้ผมเหรอ พี่ขุนไม่เก็บไว้เหรอ”
“เราขอพี่ไม่ใช่เหรอ”
“ผมขอเหรอครับ?” วาริชเลิกคิ้วขึ้น เพราะเขาจำไม่ได้ว่าขอ
“ใช่ วันที่พี่แข่งนัดแรกเราบอกพี่ว่า..ผมอยากได้เหรียญเอามาให้ได้นะ”
“พี่ขุน” วาริชเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเต็มตื้น หัวใจของเขาพองโต ตอนที่พูดเขาหมายถึงให้เอาชัยชนะมาให้ได้ ไม่คิดว่าภูผาจะเอาเหรียญมาให้จริงๆ
“เก็บไว้ให้พี่ด้วย”
“จะเก็บอย่างดีเลย”
ภูผายกมือขึ้นจับศีรษะเล็กเขย่าเบาๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจจนตาหยีของอีกฝ่าย
“ขอบคุณครับที่พี่ขุนจำได้”
“พี่เคยลืมสัญญาของเราด้วยเหรอ”
“เคยหรือเปล่านะ” วาริชแกล้งคิดก่อนยิ้มจ้าเล่ห์ออกมา
“ถึงลืมก็ไม่เป็นไรครับ ผมจะทวงพี่ขุนเอง”
“หึๆ”
“พี่ขุนกลับเถอะจะได้พักผ่อน” ถึงจะเสียดายเวลาดีๆ แบบนี้แค่ไหน แต่วาริชก็อยากให้ภูผากลับไปพักผ่อนมากกว่า ไหนจะแข่งมาเหนื่อยๆ ต้องพาพวกเขาไปทานข้าว แล้วยังต้องขับกลับมาส่งอีก
“อืม”
“ถึงแล้วส่งข้อความบอกผมด้วยนะ”
“อืม”
“บอกว่าฝันดี”
“หึๆ”
มือใหญ่แตะลงบนศีรษะของเขา วาริชยิ้มกว้าง สบตากับดวงตาคู่นั้นด้วยสายตารักใคร่
“ไปล่ะนะครับ ขับรถดีๆ”
เขาเปิดประตูลงจากรถ ยืนส่งจนรถลับไปจากสายตา มือยกขึ้นแตะเหรียญทองที่ห้อยอยู่ที่คอ ไม่ว่าเมื่อไหร่พี่ขุนก็น่ารักเสมอ
• • • • •
จะเก็บไว้อย่างดีเลย
ภาพเหรีญทองวางอยู่บนหมอนถูกโพสต์ลงบัญชีอินสตาแกรม วาริชคิดว่ารูปนี้คงมีคนกดถูกใจหลายคน ยกเว้นคนที่เพิ่งติดตามเขาเมื่อวาน
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 9
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
วาริชระบายยิ้มบนใบหน้า รู้สึกสบายจนไม่อยากลืมตาตื่น การได้อยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ท่ามกลางอากาศเย็นแบบนี้มันช่างสบายเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อได้ไออุ่นจากคนนอนร่วมเตียง
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ดวงตากลมโตค่อยลืมขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่คลี่ออกกว้าง เพื่อพบว่าเขาได้กล่าวอรุณสวัสดิ์กับหมอนที่ว่างเปล่า ลืมไปได้ยังไงว่าภูผาตื่นเช้าแค่ไหน ป่านนี้ไปหาลุงพนาที่เรือนใหญ่แล้วมั้ง เขาลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจไปมา ก่อนลงจากเตียงก้าวไปยังห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว
“อรุณสวัสดิ์” จีรดาหันมายิ้มให้ ดูเหมือนเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ออกมายังระเบียงบ้าน
“ข้าวต้มเหรอ” วาริชเดาสิ่งที่อยู่ในชามเพื่อน
“ใช่แล้ว ข้าวต้มหมูใส่เห็ดหอมอร่อยมาก อาเพให้คนยกมาให้”
“พี่พี พี่ขุนไปหาลุงพนาเหรอ” เด็กหนุ่มถามลูกพี่ลูกน้องขณะที่มือก็ตักข้าวต้มใส่ถ้วยไปด้วย
“ใช่ สวนกับพี่ตอนเดินมา”
“งั้นก็ไม่ต้องรอ น่าจะทานข้าวเช้าที่โน่นเลย”
“เออฉันลืมไปเลย พี่ขุนฝากให้บอกนายว่าจะทานข้าวเช้าที่เรือนใหญ่” สิงหาเพิ่งนึกได้เมื่อวาริชพูดขึ้น
“เราว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทำไมโปเรียกลุงพนาว่าลุงล่ะ ลุงพนาจะเป็นเพื่อนอาสารินไม่ใช่เหรอ” จีรดาถามในสิ่งที่เธอสงสัย
“ใช่ พ่อกับลุงพนาสนิทกันตอนเรียนมหา’ลัย เราเรียกว่าลุงเพราะพ่อเป็นคนสอน ตามอายุจริงๆ ลุงพนาแก่กว่าพ่อปีหนึ่ง” วาริชไม่ได้ลงรายละเอียดว่าเพราะลุงพนามาทำงานเป็นผู้จัดการสวนดอกไม้ พ่อต้องการให้เขานับถือลุงพนาเป็นญาติผู้ใหญ่ ไม่ใช่คนงานในสวนจึงสอนจึงให้เรียกแบบนั้น เพื่อให้รู้ว่ามีอาวุโสกว่า
“อ๋อแบบนี้นี่เอง” จีรดาพยักหน้าก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอเกือบลืมพูดไป
“โปเราคุยกับสิงแล้ววันนี้ไม่ต้องพาไปเที่ยวก็ได้นะ อยู่แถวนี้แหละแค่นี้ก็สนุกแล้ว โปจะได้อยู่กับคุณอา นานๆ กลับบ้านที”
“ไม่ทันแล้วจี” รพีกรพูดขึ้นด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม “อาเพเตรียมปิกนิกให้ชุดใหญ่ จะให้ไปเที่ยวน้ำตกกัน ขนาดพี่ยังถูกสั่งพักงานเลย”
“เหรอคะ จีเกรงใจจัง”
“เกรงใจทำไม เดี๋ยวนี้กรุงเทพฯเชียงใหม่ใกล้นิดเดียว พออาโปหายยุ่งกับการเป็นนิสิตใหม่เดี๋ยวก็มาได้เรื่อยๆ อาเพกับอาสารินเองก็ไปกรุงเทพฯ บ่อย เพราะต้องไปเยี่ยมพ่อแม่อาเพ
“ฟังแล้วค่อยโล่งอก ตอนนี้พร้อมเที่ยวแล้วค่ะ”
“งั้นก็รีบกินข้าวให้เสร็จ เดี๋ยวพี่ขุนขนของขึ้นรถแล้วจะมารับ เห็นว่าจะพาไปเที่ยวสวนเพทายก่อนแล้วค่อยไปน้ำตกกัน”
“ค่า”
• • • • •
น้ำตกขนาดเล็กไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการตั้งอยู่ห่างจากบ้านไม่มากนัก จึงเป็นสถานที่พักผ่อนที่ชาวสวนพัดพารัดชามากันเป็นประจำ วาริชมาเที่ยวน้ำตกแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็กจนโต แต่ก็สนุกทุกครั้งไม่เคยเบื่อ
“ถึงแล้ว” วาริชบอกเพื่อนเมื่อเดินจนถึงน้ำตกด้านใน
“ไม่เห็นเล็กอย่างที่บอกเลย” จีรดาตาโต จากคำบอกเล่าของเพื่อนเธอจินตนาการว่าเป็นแค่ทางน้ำไหล ไม่ใช่น้ำตกที่มีแอ่งน้ำให้ลงไปเล่นแบบนี้
“น่าเล่นใช่ไหม จีจะลงเลยก็ได้นะเดี๋ยวจัดของแล้วจะตามลงไป”
“ได้ยังไงล่ะต้องช่วยกันก่อนสิ”
จีรดาปูเสื่อผืนใหญ่ที่เธอเป็นคนหอบหิ้วมาลงบนพื้นราบใกล้น้ำตก สิงหาและวาริชวางตะกร้าของกินเล่นและปิ่นโตอาหารลงบนเสื่อ ตามด้วยกระติกน้ำแข็งที่เทียนเป็นคนถือมาและลังเครื่องดื่มที่รพีกรกับภูผาเป็นคนยก
“ใครจะลงก็ลงเลยพี่จะตั้งวง” รพีกรประกาศตัวชัดเจน หยิบขวดเบียร์ออกจากลังเป็นอย่างแรก
“จะดื่มตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอพี่พี” วาริชจ้องลูกพี่ลูกน้องเขม็ง
“เด็กๆ ก็เล่นน้ำไป ผู้ใหญ่จะสังสรรกัน”
“เหอะ” เด็กหนุ่มเบ้ปาก แต่มือก็จัดการลำเลียงปิ่นโตออกจากเถา อำนวยความสะดวกให้คนกินเต็มที่
“โปจะลงเลยไหม” สิงหาถามหลังจัดของเสร็จเพราะอยากลงน้ำเต็มที่
“ลงเลย” วาริชถอดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่ใส่คลุมเสื้อยืดออก เขาใส่ขาสั้นเตรียมไว้อยู่แล้วจึงสามารถลงน้ำได้ทันที
“เย็น!” จีรดาร้องเสียงหลงเมื่ออุณหภูมิในน้ำเย็นกว่าที่เธอคิดจึงโดนเพื่อนหัวเราะขำ เธอกวักน้ำสาดใส่ทั้งสองคน จึงเกิดสงครามกลางน้ำขึ้นมา
“พอก่อนน” จีรดายกมือขึ้นห้าม ผมเปียกน้ำจนลู่ติดศีรษะ เมื่อเห็นเพื่อนยอมแพ้สิงหากับวาริชจึงยอมรามือ
“พี่ขุนลงมาเร็ว” วาริชกวักมือเรียกภูผา ชวนอีกฝ่ายลงมาเล่นน้ำด้วยกัน
“โปเล่นเถอะพี่จะนั่งดู”
“มาเล่นด้วยกันเถอะ” เด็กหนุ่มยังไม่ยอมแพ้ ส่งสายตาอ้อนไปหา
"โปเล่นกับเพื่อนเลย"
"เดี๋ยวนี้คุณเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณเขาไม่ลงมาเล่นกับเด็กๆ หรอก" วาริชย่นจมูกเข้าหากัน แกล้งหันไปฟ้องเพื่อน
"หึๆ เมื่อวานใครบอกพี่ว่าโตแล้ว"
"อุ๊บ" เด็กหนุ่มเม้มปากเข้าหากัน เขายอมเลิกราแต่โดยดี หันไปว่ายน้ำเล่นพร้อมกับใช้ความคิดไปด้วย
ก่อนมาวาริบมีความหวังเล็กๆ ว่าใครบางคนจะรู้ตัวว่าชอบเขาที่นี่ เหมือนที่พ่อรู้ตัวว่าชอบอาเพ เขารู้เรื่องนี้เพราะพี่มะลิเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นมัธยมต้น เหมือนว่าฟังมาจากอาคีย์อีกที เห็นทีว่าประวัติศาสตร์จะไม่ยอมซ้ำรอย
จริงสิ! วาริชหยุดยืนตาเบิกกว้างขึ้นมาทันที ลืมไปได้ยังไงถ้าจะให้เหมือนมันก็ต้อง... เขาหันซ้ายหันขวาก่อนตัดสินใจท่องน้ำไปหาสิงหา
"สิงห์"
"อะไร"
"ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม นะนะ" เด็กหนุ่มใช้สายตาอ้อนเพื่อน
"อะไรวะ"
"แกล้งจีบเราที"
"หะ!"
"ชู่ววว" วาริชรีปิดปากเพื่อนเมื่อสิงหาแผดเสียงดังลั่น
"แค่แกล้งสนิทสนมก็ได้เอ้า" เด็กหนุ่มรีบลดคำขอร้องลงเมื่อเห็นว่าสิงหาทำท่าจะไม่เล่นด้วย
"นี่ก็สนิทกัน หรือนายไม่สนิทกับฉันวะ"
"ไม่ใช่แบบนั้น~"
"ฮ่าๆ รู้น่าแซวไปงั้นเอง"
"สิงห์จะยอมช่วยใช่ไหม" วาริชมองเพื่อนด้วยสายตามีความหวัง
"ไม่"
"สิงงงงง"
"ฉันชอบนายนะแต่ชอบพี่ขุนมากกว่าว่ะ ไม่อยากโดนโกรธ"
"พูดแบบนี้..สิงห์คิดว่าพี่ขุนจะหึงเหรอ" หัวใจมันพองๆ ชักเริ่มมีความหวังขึ้นนิดหน่อย
"เปล่า ฉันกลัวพี่ขุนรำคาญ"
เด็กหนุ่มคอตกทันที คิดไปคิดมาเขาว่ามันคงไม่ได้ผล คนอย่างพี่ขุนคงถอยให้ทันทีมากกว่า คงไม่มาแสดงอาการหึง หรือคิดจะแย่งชิงเขาหรอก
"อีกอย่าง.."
"อะไร" คนคอตกใช้มือตีน้ำเล่น พูดด้วยเสียงหงอยๆ
"มาโน่นแล้ว"
"หือ?" วาริชเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของเพื่อน ริมฝีปากคลี่ยิ้มจนกว้างเมื่อเห็นว่าใครบางคนเดินลงน้ำมา
"พี่ขุน"
ผิวสีแทนทำให้ร่างสูงดูกำยำมากขึ้น แผ่นอกเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อรวมไปถึงซิกแพคที่หน้าท้อง กางเกงเซิร์ฟเกาะอยู่ที่สะโพก มองเห็นวีเซฟที่โผล่พ้นขึ้นมา เด็กหนุ่มใจหวิว รู้สึกหายใจติดขัด
"ไง" รอยยิ้มของคนตรงหน้าทำเอาเขาตาพร่า ได้แต่เงยหน้าขึ้นจ้องมอง
"อาโป?”
"ทำไมพี่ขุนไม่ใส่เสื้อ" เป็นคำถามที่โง่มากแต่เขาก็ถามออกไป
"พี่ไม่เคยใส่เสื้อเล่นน้ำ" น้ำเสียงคนพูดกลั้วหัวเราะ ดวงตาที่มองมาเป็นประกายขำ มันทำให้เขาอดหัวเราะตามไม่ได้
"ก็มันไม่ชิน" เสียงพูดอุบอิบอยู่ในคอ
"ไม่ชินอะไร"
"นี่ไง" วาริชแตะนิ้วชี้ลงบนแผ่นอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เขามองมันก่อนเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของร่างกาย
"เมื่อก่อนพี่ขุนผอมเก้งก้างจะตาย"
"เมื่อก่อนเราก็ตัวกลมแก้มป่อง เอาไปซ่อนที่ไหน" มือใหญ่ยกขึ้นจับแก้มของเขาทั้งสองข้าง วาริชย่นจมูกใส่อีกฝ่าย
"ไม่ได้ซ่อน มันหายตั้งแต่พี่ขุนไปเรียนมหา'ลัยแล้ว ผมเหงาไม่มีเพื่อนเล่นผอมเลย"
"หึๆ"
"หัวเราะแบบนี้ไม่เชื่อผมเหรอ"
"ลิตเคยเล่าให้พี่ฟังว่าตอนเรียนมอปลายเราแสบที่สุดในชั้น ไม่น่าจะเหงานะ"
"โห~ ลิตจะเผากันทำไมเนี่ย" วาริชยิ้มกว้างจนตาหยีเมื่อโดนจับได้ ลิตที่ภูผาพูดถึงคือลิลิต ลูกผู้จัดการสวนส้มของอาผิง ที่อยู่ไม่ไกลจากสวนพัดพารัดชา เล่นกันมาตั้งแต่เด็กแต่มาสนิทกันที่สุดตอนเรียนมัธยม มาแยกกันตอนที่เขาไปเรียนที่กรุงเทพฯ ส่วนลิลิตเรียนอยู่ที่เชียงใหม่
"พูดแล้วผมชักคิดถึง พรุ่งนี้ก่อนกลับเราแวะไปสวนอาผิงกันไหมครับ"
"เอาสิ"
"ถ้าอย่างนั้นก็.." วาริชลากเสียงยาว ดวงตาจุดประกายเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
"เล่นน้ำกัน!" เขากระโดดขึ้นใช้สองมือกดไหล่ของภูผา หมายจะกดอีกฝ่ายลงน้ำ แต่ร่างสูงแข็งแกร่งกว่าที่คิด คนที่รูดจนจมลงไปในน้ำจึงกลายเป็นตัวเขาเอง
"อาโป" เสียงเรียกเต็มไปด้วยความขำ มือใหญ่สอดเข้าใต้แขนช่วยดึงขึ้นจากน้ำ วาริชกอดแขนไปรอบลำคอหนา ขาเกี่ยวกระหวัดที่เอว ซบหน้ากับกับบ่าของภูผา ไอจนหน้าแดง
"แกล้งผม" เสียงพูดงอแง
"หึๆ เราต่างหากคิดจะแกล้งพี่"
“ก็พี่ขุนไม่ยอมลงน้ำ”
“เราเลยลงแทนพี่ใช่ไหม”
มือใหญ่โอบมาที่เอวเพื่อช่วยประคองตัวเขาไม่ให้ตก แรงจับส่งผลให้ร่างกายด้านหน้าแนบชิดเข้าหากัน เด็กหนุ่มหน้าแดงซ่าน รับรู้ถึงความลื่นของผิวที่สัมผัส
"โอ๊ะ!" คนกำลังเขินตกใจจนหลุดเสียงอุทานออกมาเมื่อร่างกายถูกปล่อยลงน้ำโดยไม่มีการบอกกล่าว
"พี่จะขึ้นแล้วโปเล่นต่อเถอะ"
"แต่พี่ขุนเพิ่งลงมาเอง" วาริชมองพี่ชางงๆ
ภูผายกมือขึ้นวางบนศีรษะของเขา ยิ้มให้ก่อนหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนฝั่ง
อะไรว้า~
หมดกันโอกาสอุตส่าห์มาถึงตัว ไม่ได้เรื่องเล้ยย ประวัติศาสตร์คงอดซ้ำรอยแล้วแน่ๆ แต่ก็ช่างเถอะ วาริชยักไหล่ อาโปเสียอย่างไม่ท้ออยู่แล้ว
• • • • •
บรรยากาศยามเย็นเงียบสงบ ท้องฟ้าเป็นสีอมชมพู ลมพัดเอื่อยๆ วาริชยืนชิดราวระเบียงเรือนขาวมองไปยังทิวทัศน์ด้านหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พอคิดว่าต้องกลับกรุงเทพฯ จู่ๆ ก็รู้สึกเหงาขึ้นมา
“คิดอะไรอยู่”
“อาเพ” เด็กหนุ่มหันไปมองคนที่ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง เขาส่งยิ้มให้ผู้เป็นอา
“คิดถึงบ้านครับ คิดถึงอาเพ คิดถึงพ่อ คิดถึงทุกคนเลย ไม่อยากกลับ”
“คิดถึงก็กลับมาเยี่ยมได้ แต่ตอนนี้โปต้องทำเพื่ออนาคตของตัวเองก่อน”
“ครับอาเพ”
“นอกจากคิดถึงบ้าน โปมีเรื่องอื่นอยากคุยกับอาอีกไหม”
“ครับ?” วาริชสบตาผู้เป็นอา เขาเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก เห็นความอบอุ่น เห็นความเป็นห่วงและเห็นความเข้าใจอยู่ในนั้น
“อาคีย์~” ดวงตาของเขาเบิกกว้าง รู้ได้ทันทีว่าอาผู้เปรียบเสมือนแม่ของเขารู้เรื่องแล้ว
“อาคีย์บอกอาว่าอย่าบอกอาโปนะ ให้ทำเหมือนเพิ่งรู้เรื่องถ้าอาโปมาขอคุยด้วย”
“โธ่~”
“อาคีย์เป็นห่วงโป เป็นห่วงจิตใจของโปถึงมาพูดกับอาก่อน”
“ผมเข้าใจครับ ไม่ได้โกรธอาคีย์เลย ว่าแต่..พ่อรู้ไหมครับ” หัวใจของเขาเต้นแรง ทั้งกลัวทั้งไม่แน่ใจ
“อาคุยแล้ว”
“พ่อว่ายังไงบ้างครับ” ใบหน้าของวาริชเหยเก ผู้เป็นอาจึงยกมือขึ้นตบหลังเบาๆ
“พ่อบอกว่า...”
“ครับ?” เขาลุ้นด้วยใจระทึก
“สงสารพี่ขุน”
คนรอฟังเข่าแทบทรุด เมื่อได้ยินคำตอบจึงหัวเราะออกมาด้วยความโล่งอก
“อาเพเรียกผมหรือเปล่าครับ”
วาริชสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงทุ้มของภูผาดังขึ้น เขาหันกลับไปมองทันที โชคดีที่อีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปพอสมควร กำลังช่วยคีตกานต์จัดโต๊ะอาหารสำหรับมื้อค่ำ
“เปล่าอาไม่ได้เรียก อากำลังพูดกับน้องว่าอยู่ที่โน่นก็อย่าทำให้ขุนปวดหัวมาก”
“ผมเปล่านะครับ” วาริชแก้ตัวด้วยเสียงอุบอิบ
“ผมพอไหวครับอาเพ”
“ถ้าไม่ไหวก็บอกอานะ”
“ครับผม”
เพทายส่งยิ้มให้ภูผาก่อนหันกลับมามองหน้ากังวลของลูกชาย
“ไปเดินเล่นกับอาดีกว่า”
“ครับผม”
เพทายโอบเอวหลานชาย ดินลงบันไดระเบียงไปยังสนามหญ้า
“โปกำลังกังวลใช่ไหมว่าอากับพ่อคิดยังไง”
“ครับ”
“อากับพ่อตกใจนิดหน่อย แปลกใจด้วย แล้วก็..ขำ”
“ขำเหรอครับ” สีหน้าของเด็กหนุ่มดีขึ้นเพื่อเห็นรอยยิ้มของผู้เป็นอา
“ใช่ ขำที่อาโปของอาพูดคำไหนคำนั้นจริงๆ อานึกว่าโตมาคงลืม”
“ผมไม่เคยลืมเลยครับ” วาริชคลี่ยิ้มกว้าง ความกังวลเดียวที่มีถูกปัดเป่าด้วยความรักของผู้เป็นอาและพ่อ
เพทายมองรอยยิ้มนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขายกมือขึ้นลูบแขนลูกชายเบาๆ ก่อนปล่อยมือ
“อากับพ่อคุยกันว่าเราจะปล่อยให้เป็นเรื่องของทั้งสองคน จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจใดๆ แต่อาขอโปแค่อย่างเดียว ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวังอย่าทิ้งการเรียน อย่าทิ้งอนาคตของตัวเอง ให้เดินต่อไปข้างหน้า โปยังจะได้เจอคนดีๆ อีกมาก พี่ขุนก็เหมือนกัน อาขอแค่นี้ได้ไหม”
“ได้ครับ”
“อาเคยนึกอยากมีหลานสาวจะได้ยกให้พี่ขุน แต่ตอนนี้อาไม่ต้องเสียดายแล้ว”
“อาเพ” วาริชกอดเอวเพทายไว้แน่น เขามีความสุขจนหัวใจพองโต
“พ่อมาแล้ว” เพทายใช้สายตามองไปข้างหน้า เมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินตรงมาเด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปหา
“พ่อครับ~”
“พี่ควรจะรีบหนีไปหรือเปล่า” สารินพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อลูกชายเข้ามากอดแขนมองด้วยสายตาอ้อน
“ไม่ต้องครับ” เพทายส่ายศีรษะ ใบหน้าติดรอยยิ้ม “คราวนี้ไม่ได้ขออะไร”
“ใช่ครับ” วาริชพยักหน้า ยกยิ้มกว้างจนตาหยี “คราวนี้ไม่ขอพ่อ เดี๋ยวผมไปขอลุงพนาแทน”
“หึๆ” สารินหัวเราะในลำคอ นึกสงสารเพื่อนขึ้นมาจับใจ นอกจากต้องเจอกับคีตกานต์แล้วยังต้องมาเจอกับความแสบของลูกชายเขาอีก
“ขอบคุณครับพ่อ ขอบคุณครับอาเพ” เสียงที่พูดเบาลง วาริชมองทั้งสองคนด้วยสายตาเคารพรัก
“จะขอบคุณพ่อทำไม ความรักของโปเป็นของโป ไม่มีใครตัดสินใจแทนโปได้แม้แต่พ่อหรืออาเพ ตราบใดที่มันไม่ใช่เรื่องผิด และคนๆ นั้นเป็นคนที่ดีพอ”
“ครับพ่อ”
“แต่ความรักไม่ใช่การบังคับ ไม่ใช่ความเกรงใจ ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้เสียใจ ความรักมีหลายรูปแบบ ถึงพี่ขุนเป็นหลานก็เหมือนลูกพ่อคนหนึ่ง อย่ามีความสุขแค่คนเดียว ถ้าจะรักกันต้องมีความสุขทั้งสองคน โปเข้าใจใช่ไหม”
“ผมเข้าใจครับพ่อ”
“ดีแล้ว ได้ยินแบบนี้พอก็สบายใจ” มืออ่อนโยนลูบลงบนศีรษะของเขา
“ขึ้นไปเถอะข้างบนรอกินข้าวแล้ว”
“ไปครับ” วาริชแทรกตัวเข้าไปยืนตรงกลาง กอดแขนไว้ทั้งซ้ายและขวา ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย
ความรักเป็นเกราะคุ้มกันที่ดีที่สุด ไม่ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเขาก็พร้อมที่จะเดินไป
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
** วันนี้อัพสองตอนนะคะ มีตอนที่ 14 อยู่ด้านล่างด้วย (ท้ายๆ ของหน้า) **
ตอนที่ 13
คนสำคัญ
“อาทิตย์นี้พี่ขุนยังยุ่งอยู่อีกเหรอ”
“อืม” วาริชพยักหน้า เขาเห็นความสงสัยในสายตาของจีรดาแต่อีกฝ่ายไม่พูดมันออกมา
“ไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้ว”
“ก็ตั้งแต่ไปค้างที่บ้าน”
“งั้นเหรอ”
“จีมีอะไรหรือเปล่า” ดวงตาของวาริชหรี่ลง จีรดาเป็นคนเก็บอาการไม่ค่อยเก่ง ความรู้สึกจึงมักจะแสดงออกมาทางสีหน้า
“เปล่าไม่มีอะไร” เสียงที่ขึ้นสูงและดวงตามีพิรุธทำให้เขายิ่งมั่นใจมากขึ้น
“จี”
“ก็บอกไปสิว่าวันก่อนเจอเพื่อนฉันที่เรียนคณะเดียวกับพี่ขุน มันบอกเพิ่งสอบย่อยเสร็จ ไม่เห็นปีสี่ยุ่งอะไร”
“สิงห์!” ดวงตาของจีรดาเบิกกว้าง เธอเขม่นตาใส่เพื่อน ก่อนหันกลับมามองวาริชด้วยรอยยิ้มแหย
“มันอาจไม่มีอะไรก็ได้”
“เราเข้าใจ” เขาบอกเพื่อให้เพื่อนสบายใจขึ้น
“โปหมายถึงเข้าใจเราหรือเข้าใจพี่ขุน”
“เข้าใจทุกคน” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มบางที่ริมฝีปาก
“ไม่กังวลเหรอ”
“จะเหลือเหรอ” รอยยิ้มกว้างออกในทันที เขาหัวเราะเบาๆ “กังวลอยู่แล้ว ตอนนี้ในหัวก็คิดไปสารพัดแต่ก็เข้าใจได้ คนหนึ่งไม่ยุ่งก็ใช่ว่าอีกคนจะต้องไม่ยุ่งด้วย”
“จริงด้วย” สีหน้าของจีรดาดีขึ้นทันที
“ถ้าอยากรู้ก็ไปหาพี่ขุนเลยสิ” สิงหาไม่ชอบอะไรที่ค้างคาใจอยู่แล้วเขาจึงโพล่งออกมา
“ไม่ดีมั้ง” เขาสองจิตสองใจ ใจหนึ่งก็อยากรู้ แต่ใจหนึ่งก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ
“แล้วก็มานั่งหงอยเป็นหมาถูกทิ้งอยู่แบบนี้เหรอ”
“เกินไป” วาริชหัวเราะ เขารู้สึกดีขึ้นเพราะขำเพื่อน
“เอางี้ นายก็ซื้อขนมไปฝากพี่ขุนสิ ถ้าพี่เขายุ่งจริงก็เหมือนไปให้กำลังใจ”
“แบบนี้ก็เข้าท่านะโป” จีรดาเห็นด้วยกับความคิดของสิงหา
“ก็ดีเหมือนกัน”
วาริชไปหาภูผาที่คณะพร้อมกับสิงหา เขาไม่ได้ส่งข้อความมาบอกก่อนเพราะอยากไปเซอร์ไพรส์มากกว่า ช่วงนี้ภูผากลับค่ำทุกวันเขามั่นใจว่ายังไงก็ต้องเจอ
“อยู่ไหนวะ” สิงหามองไปรอบๆ ช่วยเพื่อนมองหาพี่ชาย
“ไม่มี”
“อาโป”
วาริชหันไปตามเสียงเรียก เห็นรพีกรโบกไม้โบกมือให้ เขาจึงเดินเข้าไปหา
“มาหาพี่ขุนเหรอ”
“ครับ พี่พีเห็นไหม”
“ไม่อยู่ ออกไปกับพี่เทียน พี่ไหมมุก พี่เอวา น่าจะไปห้างมั้ง ได้ยินแว่วๆ ว่าจะไปซื้อของกัน”
“เหรอครับ” เสียงที่พูดเบาลง
“โปเป็นอะไรหรือเปล่า” รพีกรหรี่ตาลงเมื่อเห็นหน้าซีดๆ ของน้องชาย
“เปล่าๆ” วาริชฝืนยิ้ม “ผมซื้อขนมมาฝากเลยเอามาให้ พี่พีทานสิอร่อยนะ” เด็กหนุ่มส่งขนมสองถุงให้ลูกพี่ลูกน้อง
“เดี๋ยวพี่เก็บไว้ให้พี่ขุนเอง น่าจะกลับมากันนะเห็นเอารถไปคันเดียว”
“ไม่เป็นไรพี่พีทานเถอะ ผมเอามาสองถุงกะว่าถ้าเจอพี่พีจะให้ถุงหนึ่งอยู่แล้ว”
“โป ไม่เป็นไรแน่นะ”
“จะเป็นอะไรพี่พี ผมเดินตากแดดมาแดดมันร้อน”
“แดดร้อนมันต้องหน้าแดงสิ ไม่ใช่หน้าซีดแบบนี้”
“พี่พีคิดไรเนี่ย ฮ่าๆ ผมไม่เป็นไรจริงๆ ขนมมันต้องทานร้อนๆ ถึงจะอร่อย พี่พีเอาไปแบ่งกับเพื่อนเลย”
“ทำไมเราพูดถึงขนม พี่ไม่ได้พูดถึงขนม”
รพีกรเห็นคนตรงหน้าเม้มริมฝีปากเข้าหากัน
“พี่ขุนบอกโปว่าพักนี้ยุ่งเรื่องเรียนไม่ค่อยว่างไปเจอน่ะพี่พี” สิงหาอดรนทนไม่ไหวจึงพูดออกไป “พอมาเห็นแบบนี้เลยคิดมาก”
“อาโป” รพีกรเรียกชื่อน้องชายตัวเอง
“คิดมากอะไรกันผมไม่ได้คิด ถึงจะบอกว่ายุ่งมันก็ต้องมีเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างอยู่แล้ว”
“โป” รพีกรลงเสียงหนัก เขาไม่อยากเห็นน้องชายพยายามปิดบังความเศร้า
“เราชอบพี่ขุนใช่ไหม”
“พี่พี!” ดวงตาของวาริชเบิกกว้าง “พี่พีรู้ได้ยังไง”
“ก็ไม่แน่ใจนักหรอก เพิ่งแน่ใจตอนนี้”
“ก็ตามนั้นแหละพี่พี” วาริชไม่ได้คิดจะปิดบังอยู่แล้ว เขาแค่ตกใจเท่านั้น
“เอาเถอะ เราก็อย่าคิดอะไรมาก แค่ออกไปกับเพื่อนมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย”
“อื้อ” แม้จะพยายามเข้าใจแต่เสียงของเด็กหนุ่มก็ยังเศร้าอยู่ดี
“เดี๋ยวพี่บอกพี่ขุนให้ว่าเรามาหา”
“ไม่ต้องๆ เอาไว้ผมนัดพี่ขุนใหม่ก็ได้”
“เอาอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ”
“ก็ได้”
“ผมกลับแล้วนะพี่พี”
“อืม” รพีกรวางมือบนศีรษะน้องชาย เขย่าเบาๆ ก่อนปล่อยออก เขามองตามหลังทั้งคู่ด้วยสายตาครุ่นคิด
• • • • •
“พี่ขุน อาโปเอาขนมมาฝาก” ถุงขนมวางลงบนโต๊ะตรงหน้าภูผา รพีกรรอจนอีกฝ่ายกลับมาถึงคณะจึงเดินไปหา
“อาโปมาเหรอ”
“ใช่แต่กลับไปแล้ว ดูเศร้าๆ ชอบกล ผมไม่เคยเห็นอาโปเป็นแบบนี้เลย”
“มานานหรือยัง”
“เกือบสองชั่วโมง ป่านนี้น่าจะกลับหอแล้วมั้ง”
รพีกรลอบสังเกตอาการของพี่ชาย ความร้อนรนฉายชัดในดวงตา
“ผมก็กำลังจะกลับเหมือนกันแต่พี่ขุนมาพอดี ไปล่ะ”
“ขอบใจมากพี”
“ไม่เป็นไรครับ” รพีกรยกยิ้มมุมปาก เขารู้สึกได้ว่ามีม่านบางๆ กางกั้นระหว่างคนทั้งคู่ และเขาคงไม่ใช่คนที่สามารถช่วยได้ แต่ไม่มีปัญหา เขารู้ว่าใครจะจัดการได้ดี
“ขุนจะไปไหน!” เอวารีบเรียกอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อร่างสูงลุกพรวดพราดขึ้นยืน
“ผมกลับก่อน”
“แต่งานยัง..”
“เทียนฝากด้วยนะ”
“อืม ไปเถอะ”
ร่างสูงก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของเธอ
“เกิดอะไรขึ้น” เอาวาหันไปมองเทียนเพื่อขอคำตอบ
“ทำงานๆ ไหนบอกว่าอยากได้คะแนนพิเศษไม่ใช่เหรอ”
“ขุนยังไม่อยู่เลย”
“ถึงขุนไม่ได้คะแนนพิเศษก็ติดท๊อปอยู่แล้วอย่าห่วงเลย” เทียนทำเป็นไม่เข้าใจเสีย เขารู้ว่าเอวาคิดอย่างไรกับขุน และรู้ว่าขุนคิดอย่างไร แต่ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะพูดออกไป
• • • • •
“พี่ขุน! มาได้ยังไงครับ”
หลังจากเขาส่งข้อความไปหาบอกว่ารออยู่ด้านล่างหอพัก วาริชก็รีบลงมาทันที
“มาหาเพื่อนกินขนม” ภูผายกถุงขนมให้ดู มันคือขนมที่เขาคว้าติดมือมาด้วย
“โธ่ ผมบอกพี่พีแล้วว่าไม่ต้องบอก”
“แล้วทำไมต้องปิดพี่”
“ไม่มีอะไรครับ” ใบหน้าคนพูดหงอยไปทันตา ภูผามองด้วยสายตาอ่อนโยน
“มีตรงไหนให้พี่นั่งได้บ้าง”
“ตรงโน้นก็ได้ครับ” วาริชชี้มือไปที่ม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้
“นำไปสิ”
“ครับ”
“อร่อย” ภูผาเอ่ยชมเมื่อทานขนมที่อีกฝ่ายซื้อไปฝาก
“ถ้าทานร้อนๆ จะอร่อยกว่านี้” วาริชรีบอวด
“ขอบใจมาก”
“ก็ผมอยากให้พี่ขุนทานของอร่อยๆ จะได้หายเหนื่อย..” เหมือนคนพูดจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเงียบเสียงลง
“อาโปรู้ไหมว่าอาทิตย์หน้าจะมีงานวิชาการ ช่วงนี้อาจารย์ถึงไม่เน้นเรื่องเรียนมากเท่าไหร่”
“รู้ครับ”
“ในฐานะนักศึกษาปีสี่ที่ต้องลุ้นเกรดจบ” ภูผายกยิ้มมุมปาก “เราพยายามจะช่วยงานอาจารย์ให้มากที่สุด เผื่อจะได้คะแนนพิเศษมาช่วยบ้าง”
“งั้นที่พี่ขุนบอกว่ายุ่งๆ ก็ยุ่งเรื่องงานนี้เหรอครับ”
“ใช่” ภูผาพยักหน้า เขาเห็นดวงตาของวาริชสว่างขึ้น ใบหน้าหงอยๆ สดชื่นขึ้นมาทันตา
“ค่อยยังชั่ว” สีหน้าโล่งอกของคนพูดทำให้หัวใจของเขากระตุก
“ผมนึกว่าพี่ขุนจะทิ้งกันซะแล้วครับ”
“ถ้าพี่หายไปเราเสียใจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แน่สิครับ พี่ขุนเป็นคนสำคัญสำหรับผมนะ ไม่มีทางทำหายเด็ดขาด”
“อาโป”
“เชื่อใจผมได้เลย”
ภูผาสบสายตากับดวงตาเป็นประกายของอีกฝ่าย เขาเห็นความรัก ความศรัทธาและความมุ่งมั่นอยู่ในนั้น
“อาโปก็สำคัญสำหรับพี่ รู้ใช่ไหม”
“รู้ครับ น่ารักอย่างผมจะไม่รักได้ยังไง”
“หึๆ”
“พี่ขุน”
“หือ?”
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่ดีใจที่เห็นพี่ขุนมาเท่านั้นเอง”
ดวงตาที่มองมาสุกใส รอยยิ้มที่ส่งมาให้ทำให้ภูผาอดยิ้มตามไม่ได้ เขาเหมือนเห็นภาพเด็กชายอาโปซ้อนทับขึ้นมา เด็กชายที่เป็นแก้วตาดวงใจของเขา
“พี่สัญญา”
“สัญญาอะไรครับ” คนพูดเอียงคอมอง คิ้วขมวดเข้าหากัน
“สัญญาว่าพี่จะทำให้ดีที่สุดเพื่อทุกคน”
“ผมเชื่อพี่ขุนครับ”
“อืม”
“แต่ว่า...” ดวงตาของวาริชฉายแววเจ้าเล่ห์ เจ้าตัวยกยิ้มมุมปาก
“แต่ว่าอะไร” ภูผาอดขำสีหน้าของเด็กแสบไม่ได้
“แต่ว่าถ้าจะให้ดี พี่ขุนแค่ทำให้ตัวเองมีความสุขก็พอครับ แค่นั้นก็ดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้ว”
“อาโป”
“ผมมั่นใจครับว่าคุณปู่กร ลุงพนา อาคีย์ ก็คงคิดแบบผม”
“ขอบใจมาก”
“พี่ขุนจะทำแบบนั้นใช่ไหมครับ”
“....”
“พี่ขุน?”
“อืม”
“เห็นไหมครับ” รอยยิ้มของวาริชกว้างขึ้นทันที ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกาย
“เห็นอะไร”
“ก็แค่พี่ขุนตอบรับผมก็มีความสุขมากแล้ว”
“หึๆ” ภูผาอดไม่ได้จริงๆ เขาวางมือลงบนศีรษะเล็ก ความอบอุ่นแล่นผ่านฝ่ามือ
“พี่เชื่อแล้ว”
“แล้วนี่พี่ขุนไม่กลับไปทำงานแล้วใช่ไหมครับ”
“ไม่”
“งั้นไปหาอะไรกินกัน ผมหิวจะแย่แล้ว”
“หือ?” ภูผาขมวดคิ้ว “เย็นป่านนี้แล้วเรายังไม่ได้กินอะไรอีกเหรอ”
“โอ๊ะ!” วาริชทำตาโตเมื่อถูกจับได้ ก่อนส่งยิ้มประจบประแจงมาให้
“ก็รอพี่ขุนมาเลี้ยงนี่ไง”
“หึๆ”
“ไปเร็วครับ ตอนนี้ผมหิวจนกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”
ภูผาลุกขึ้นยืนตาม เขาหัวเราะคำพูดของอีกฝ่าย “จะกินช้างก็ตามใจแค่ไม่กินพี่ก็พอแล้ว”
“ใครว่าล่ะ”
“อะไรนะ”
“เปล๊า~ อาหารญี่ปุ่นนะครับ” แขนเล็กกว่าสอดเข้ามากอดแขนของเขา ภูผาหลุบสายตาลงมองด้วยรอยยิ้ม บอกตัวเองว่าเขาจะลองหาทางอีกสักครั้งเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน โดยเฉพาะกับหัวใจของเขาเอง
:::: ♥ TBC ♥::::
สปอย**
.
.
.
ตอนหน้ามาฟังเหตุผลของพี่ขุนกันค่ะ ใบ้ว่า...ยังไม่มีใครทายถูกเลย ><
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
** วันนี้อัพให้สองตอนนะคะ ใครยังไม่ได้อ่านตอนที่ 13 ย้อนอ่านก่อนค่า **
ตอนที่ 14
ทางออก
ภูผาชะงักเท้า มองใครบางคนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนริมฝีปากจะยกยิ้มกว้าง
“อาคีย์! ไม่เห็นบอกเลยครับว่าจะมา ผมจะได้ไปรับ”
“นานๆ อาก็อยากทำเซอร์ไพรส์ลูกชายบ้าง” คีตกานต์ส่งยิ้มให้ลูกชาย ภูผานั่งลงบนโซฟา ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“แต่อามีเซอร์ไพรส์มากกว่านี้อีกนะ”
“มีอีกเหรอครับ” ภูผาหัวเราะ มองดวงตาวาวๆ ของผู้เป็นอา
“มีสิ อาถึงมานั่งรอขุนอยู่นี่ไงจะได้ประหลาดใจ” คีตกานต์ลุกขึ้นยืน เขาเดินตรงไปยังบันไดขึ้นสู่ชั้นบนของบ้าน ก่อนเลี้ยวไปยังห้องนั่งเล่น
“ขุนเข้าไปสิ”
“ครับ” ภูผาเปิดประตู ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าใครอยู่ในห้อง
“พ่อ อาสาริน อาเพ!”
ภูผารีบยกมือขึ้นไหว้ทุกคนเมื่อหายจากอาการตกตะลึง
“เกิดอะไรขึ้นครับ” วูบแรกเขารู้สึกกังวล แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเพทายก็พออุ่นใจขึ้นมา
“เรื่องนี้ต้องถามพี” สารินชี้ไปยังคนที่นั่งหลบุมมอยู่ ภูผาเบนสายตาไปมองรพีกร
“พี มีอะไรหรือเปล่า?”
“ก่อนอื่นผมขอแก้ตัวก่อนนะพี่ขุน ผมโทรหาอาคีย์แค่คนเดียว ไม่คิดเหมือนกันครับว่าจะมาครบทุกคน” รพีกรหัวเราะแห้ง เขาไมได้ตั้งใจทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย แค่จะโทรไปปรึกษาในสิ่งที่เขาเห็นกับคีตกานต์เท่านั้น
“โทรหาอาคีย์? เรื่องอะไร”
“คือ..” รพีกรเอารอยยิ้มเข้าสู่ ก่อนโบ้ยไปยังคีตกานต์ “ให้อาคีย์เป็นคนพูดดีกว่าครับ”
“ขุนนั่งลงก่อนจะได้คุยกัน” คีตกานต์บอกลูกชาย ตัวเขาเองก็เดินไปนั่งลงข้างพนา
“ใครจะเริ่มก่อนดีครับ” คีตกานต์มองไปรอบๆ หลังจากภูผาลงนั่งเรียบร้อยแล้ว
“พี่เอง” สารินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงของผู้ใหญ่ที่น่าเกรงขาม
“อามีเรื่องอยากถามขุน สัญญากับอาได้ไหมว่าขุนจะตอบความจริง”
“ได้ครับ” ชายหนุ่มยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เขาก็พร้อมจะสัญญากับสาริน
“ขุนชอบอาโปหรือเปล่า”
“อาสาริน!”
“พีคิดว่าขุนอาจชอบอาโปมันจริงไหม”
“ผม..” ภูผาไม่เคยโกหกผู้ใหญ่เขาจึงคิดหนัก สุดท้ายก็เลือกที่จะตอบออกไปตามความจริง
“ครับ ผมชอบอาโปครับ”
“ชอบแบบไหน ขุนชอบอาโปแบบคนรักหรือแบบพี่น้อง”
“ผมขอโทษครับ” ภูผายกมือไหว้สาริน ศีรษะค้อมลงต่ำ
“อาไม่ได้ให้ขุนขอโทษ อาถามว่าขุนชอบน้องแบบไหน”
“ผม..” ภูผาหลุบสายตาลงต่ำ ก่อนเงยขึ้นประสานสายตากับผู้เป็นอา “ผมชอบอาโปแบบคนรักครับ”
“เรื่องจริงสินะ อาขอบใจที่ขุนยอมรับตามตรง สิ่งที่อาจะพูดต่อไปนี้อาไม่ได้พูดในฐานะพ่อของอาโป แต่อาจะพูดในฐานะอาของขุน”
“ครับ”
“ขุนคิดจะบอกน้องไหม”
“ไม่ครับ”
“อาก็คิดอยู่แล้ว เห็นพีบอกว่าขุนพยายามจะออกห่างน้อง”
“ผม..”
“มีเหตุผลไหม”
“มีครับ”
พนามองลูกชายด้วยสายตาค้นคว้า เมื่อคำตอบที่ได้รับเป็นคำสั้นๆ โดยไม่ยอมบอกเหตุผล เขาก็เริ่มมองเห็นอะไรลางๆ
“เรื่องนี้เกี่ยวกับพ่อกับอาสารินด้วยใช่ไหม ขุนถึงบอกเหตุผลไม่ได้”
“พ่อ” ภูผาหันไปมองผู้ที่เป็นยิ่งกว่าผู้ให้กำเนิดของเขา
“ผมขอโทษครับ”
“ไม่ใช่เพราะคิดไปเองว่าอาจะไม่เห็นด้วยใช่ไหม คิดว่าอาจะมองว่ามันไม่ถูกต้องเหรอ ถ้าอาคิดแบบนั้นอาคงไม่รักอาเพ พ่อพนาของขุนก็คงไม่รักอาคีย์” สารินพุ่งประเด็นไปเรื่องการยอมรับ
“เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”
“หรือขุนติดเรื่องความเหมาะสม” คีตกานต์เข้ามามีส่วนร่วมด้วยความร้อนใจ “อาเคยบอกขุนแล้วไม่ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของขุนจะเป็นใคร แต่ขุนเป็นลูกที่แท้จริงของอา ของพี่พนา ขุนไม่มีอะไรด้อยกว่าคนอื่นเลย”
“ตัดเรื่องนั้นไปเถอะคีย์” สารินขัดคีตกานต์ทันที “ถ้าขุนคิดแบบนั้นอาจะถือว่าขุนดูถูกอา ว่าอาเห็นเงินสำคัญกว่าหลานอย่างขุน”
“ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยครับอาสาริน” ภูผารีบตอบ เขาไม่อยากให้สารินเข้าใจผิด
“ที่ขุนไม่ยอมพูดเพราะคิดว่าทุกคนจะไม่เห็นด้วยใช่ไหม” พนามองลูกชาย เขาเป็นคนเลี้ยงขุนมาตั้งแต่เกิด เขามั่นใจว่าเขารู้จักลูกชายดีพอ ขุนมีนิสัยส่วนคล้ายกับเขามากโดยเฉพาะการประมาณตัว
“ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรพ่ออยากให้ขุนพูดออกมา เราเป็นครอบครัวไม่ใช่เหรอ ทุกปัญหาเราจะแก้ด้วยกัน”
ภูผาสบตากับบิดา ความรักรู้สึกหนักในอกราวกับได้รับการแบ่งเบา
“พูดมาเถอะพ่อรอฟังอยู่”
“ครับพ่อ” ภูผาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาเรียบเรียงความคิดในหัวออกมาเป็นคำพูด
“ที่ผมไม่คิดจะบอกน้องหรือแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าตัวเองไม่คู่ควร ไม่ใช่เพราะผมกังวลว่าอาสารินกับอาเพจะไม่ยอมรับ แต่เป็นเพราะว่าผมไม่เห็นหนทางระหว่างผมกับอาโปครับ”
“ไม่เห็นหนทาง?” เพทายทวนคำ “ขุนกลัวว่าน้องจะไม่คิดกับขุนแบบนั้นใช่ไหม กลัวว่าต้องแตกหักกันไป”
“ไม่ใช่ครับอาเพ อาจจะฟังเข้าข้างตัวเองไปสักนิด แต่ผมคิดว่าอาโปก็ชอบผมเหมือนกัน เพียงแต่อาสารินมีอาโปคนเดียว อาคีย์เองก็มีผมแค่คนเดียว”
“โธ่อาก็นึกว่าเรื่องอะไร อาไม่สนใจหรอกว่าขุนจะมีทายาทให้อาไหม อาสารินก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“อาคีย์พูดถูกแล้ว” สารินพยักหน้า เพื่อยืนยันคำพูดของคีตกานต์
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องทายาทครับ แต่เพราะอาสารินมีอาโปคนเดียว ต่อไปอาโปก็ต้องอยู่ช่วยงานแบ่งเบาภาระอาสาริน อาเพ ที่สวนพัดพารัดชา อาคีย์มีผมแค่คนเดียวเหมือนกัน ผมเองก็ต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลบริษัทแทนอาคีย์”
“เรื่องนั้นไม่เห็นยากเลย” คีตกานต์ถอนใจโล่งอก
“ผมรู้ครับว่าอาคีย์ต้องพูดแบบนี้ พ่อก็คงเหมือนกัน คงบอกให้ผมทำงานอยู่ที่สวนกับอาโป แต่ถ้าเป็นแบบนั้นอาคีย์ก็ต้องลงมาดูแลบริษัทเองเพราะคุณปู่ไม่มีใครแล้ว ผมไม่อยากให้พ่อต้องแยกกันอยู่กับอาคีย์ หรือถ้าพ่อตัดสินใจมาอยู่กรุงเทพฯ ผมก็รู้ว่าพ่อจะไม่มีความสุข พ่อไม่ชอบเมือง ไม่ชอบธุรกิจ พ่อให้ชีวิตผม ทำเพื่อผมมามาก ผมปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ครับ” ภูผาหยุดหายใจก่อนพูดต่อ
“ผมรู้ว่าอาสารินกับอาเพก็คงเหมือนกัน คงบอกผมว่าไม่เป็นไร ให้อาโปมาอยู่กับผมที่นี่ก็ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นอาสารินจะไม่มีใครแบ่งเบาภาระเลย ไม่มีใครสานต่องานที่อาสารินสร้างมากับมือ ไม่มีลูกชายคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นถ้าเพียงแค่ผมไม่เริ่ม ถ้าผมหักห้ามใจตัวเองได้ สักวันอาโปก็ก้าวต่อไป ได้เจอคนดีๆ ที่จะอยู่ด้วยกัน ช่วยกันดูแลพัดพารัดชาได้ การตัดใจอาจจะยากแต่ผมเชื่อว่าอาโปจะทำได้ครับ”
“โธ่” คีตกานต์กับเพทายได้แต่อุทานออกมา
สารินมองหลานชายด้วยสายตาชื่นชม จะมีเด็กหนุ่มสักกี่คนที่จะเลือกเสียสละความสุขของตัวเองเพื่อคนอื่น ขณะนี้พนามองลูกชายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความภาคภูมิใจ
“เรื่องของผู้ใหญ่ควรให้ผู้ใหญ่ตัดสิน พ่อกับอาคีย์จะคุยกันเองว่าเราจะทำยังไง ขุนมีหน้าที่ตัดสินใจชีวิตของตัวเองก็พอ”
“พ่อ”
รพีกรที่นั่งฟังการสนทนาอยู่เงียบๆ คลี่ยิ้มออกกว้าง เขาตัดสินใจพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่เห็นจะยากเลยครับ เรื่องแค่นี้สบายมาก”
ทุกสายตาหันมาจับจ้องชายหนุ่มเป็นตาเดียวกัน
“พีหมายความว่ายังไง” สารินถามหลานชาย
“ง่ายๆ เลยครับอา ตระกูลเราถึงจะแยกกันทำงานแต่ก็เกือบเหมือนกงสี ผมเองไม่ชอบงานบริหารอยู่แล้ว ชอบงานในสวนมากกว่า ผมก็แค่แลกกงานกับอาโป ให้อาโปอยู่ช่วยพ่อผมกับอาริสาที่กรุงเทพฯ ส่วนผมก็ไปช่วยอาสารินอยู่ที่โน่น รับรองว่าผมจะช่วยงานกับดูแลอาสารินกับอาเพอย่างดีเลย ส่วนพ่อกับแม่ผมมีลูกสองคน เรื่องดูแลยามแก่เฒ่าไม่ต้องห่วงครับ แค่นี้ก็ลงตัวแล้ว”
รพีกรยังยิ้มกว้างขณะที่ทุกคนในห้องกำลังนั่งอึ้ง ก่อนที่สารินจะหัวเราะออกมา
“ว่าไงขุนแบบนี้ใช้ได้ไหม แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” เพทายยกมือขึ้นแตะแขนสามี
“ทำไมเหรอเพ”
“เหมือนเราบังคับยกลูกให้ขุนเลยน่ะสิครับ”
“พี่ลืมคิดเรื่องนั้นไป” สารินหัวเราะออกมา “งั้นเอาเป็นว่าเรื่องผู้ใหญ่ไม่มีอะไรติดขัดแล้ว อาคิดว่าพี่ชายอาก็คงไม่มีปัญหาเหมือนกัน”
“พ่อกับแม่ไม่มีปัญหาแน่นอนครับอาสาริน” รพีกรตอบได้อย่างมั่นใจ เพราะเขาเคยเปรยๆ ว่าอยากไปชวนงานอยู่ที่สวนพัดพารัดชามากกว่า ก็ไม่มีใครขัดข้องอะไร
“ก็ตามนั้น จริงๆ แล้วที่อาอยากบอกก็คือ ขุนไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องของผู้ใหญ่มากังวลอีกแล้ว ส่วนเรื่องของอาโป ถ้าขุนชอบน้องจริงและน้องเองก็รักขุนจริง อากับอาเพก็ไม่มีปัญหาอะไร เราเต็มใจต้อนรับขุนเข้ามาเป็นลูกชายเสมอ หรือถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คิด อาก็ยังต้อนรับขุนในฐานะหลานชายอยู่ดี”
“ขอบคุณมากครับอาสาริน อาเพ”
ภูผายกมือขึ้นไหว้ด้วยความนอบน้อม เพทายส่งยิ้มอ่อนโยนให้หลานชายที่เขาเองก็มีส่วนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก
“ส่วนอากับพ่ออยู่ข้างขุนอยู่แล้ว อะไรที่เป็นความสุขของขุนก็เหมือนความสุขของเรา ใช่ไหมครับ” คีตกานต์หันไปยิ้มให้สามี
“ใช่” พนาพยักหน้า “และพ่อจะมีความสุขยิ่งไปกว่านี้ถ้าขุนจะไม่ทำแบบนี้กับตัวเองอีก พ่อเป็นพ่อของขุน ต่อให้ขุนโตแค่ไหนพ่อก็ยังเป็นพ่อ ไม่มีพ่อคนไหนอยากให้ลูกชายเสียสละเพื่อตัวเอง”
“พ่อครับ”
“ทำตามที่หัวใจขุนอยากทำเถอะ แค่นี้พ่อก็ภูมิใจในตัวขุนมากแล้ว”
“ขอบคุณครับพ่อ”
ภูผานั่งลงกับพื้น กราบไปที่เท้าของพนา หัวใจของเขาเต็มตื้น
“โล่งอกไปที แบบนี้ต้องฉลองกันหน่อย” คีตกานต์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
“เพคืนนี้ค้างด้วยกันที่นี่สิ พรุ่งนี้ค่อยไปค้างบ้านคุณลุงคุณป้า” คีตกานต์หมายถึงพ่อแม่ของเพทาย
“เอาสิ” เพทายตอบรับเพื่อนรัก
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปรับอาโปมาด้วยดีไหมครับ” รพีกรเสนอตัว “แต่จะให้บอกว่าอะไรดี”
“บอกว่าอากับอาสารินตัดสินใจลงมาพร้อมอาคีย์เลย อามีเกริ่นไว้แล้วว่าอาทิตย์นี้จะลงมาเยี่ยมที่บ้าน”
“โอเคครับ”
“เดี๋ยวพี่ไปรับเอง” ภูผาบอกรพีกร
“เอางั้นก็ได้ครับ”
“ขอบใจมากนะพี”
“เรื่องเล็กน้อยพี่ขุน ผมอยากไปอยู่ที่โน่นอยู่แล้ว”
“เรื่องที่พีตัดสินใจบอกอาคีย์ด้วย”
“แค่ไม่ด่าผมก็พอครับ” รพีกรยิ้มกว้าง ภูผาหัวเราะออกมา เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาขอบคุณ
“ขอบใจ”
“ยินดีครับพี่ขุน”
รพีกรยืนมองรถของภูผาแล่นออกไปจากบ้านผ่านทางหน้าต่างห้องนั่งเล่น เขาหันกลับมามองคีตกานต์ที่ยืนอยู่ด้วยกัน
“ผมสงสัยอย่างหนึ่งกับอาคีย์”
“อะไรเหรอ”
“ไม่บอกพี่ขุนไปเลยละครับว่าใจตรงกัน ว่าอาโปคุยกับอาคีย์กับอาเพแล้วเรื่องนี้”
“หึๆ”
“หรือเพราะไม่อยากยุ่งเรื่องของเด็กครับ”
“เรื่องนั้นก็ด้วย แต่ที่สำคัญก็คือ...” คีตกานต์ยกยิ้ม ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์
“คืออะไรครับ”
“ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดก็คือตอนจีบกันน่ะสิ อาเลยไม่อยากให้ทั้งสองคนพลาดตรงนั้นไป”
“จริงด้วยครับ” รพีกรพยักหน้าแต่เพียงครู่เดียวเขาก็ชะงัก
“อาคีย์ครับ”
“หือ?”
“แน่ใจเหรอครับว่าพี่ขุนจีบเป็น”
“พีคิดว่าขุนจะเป็นคนจีบเหรอ”
“หา~”
“อาล้อเล่น” คีตกานต์หัวเราะเสียงดัง “ความรักมันมีอานุภาพกว่าที่พีคิดนะ เชื่ออาเถอะว่าขุนทำได้”
“ผมก็หวังแบบนั้นครับ จะได้สมหวังกันสักที”
“ส่วนพีก็ค่อยไปมีแฟนที่เชียงใหม่นะ”
“ทำไมละครับ”
“อาขี้เกียจขึ้นมาทำงานที่กรุงเทพฯ เผื่อแฟนพีไม่ให้ไป”
“อาคีย์” รพีกรหัวเราะเสียงดัง เขารู้ว่าคีตกานต์แซวเล่น แต่คิดอีกทีแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน
• • • • •
“มาแล้วครับ” เสียงร่าเริงดังมาก่อนตัว ภูผายกยิ้มมุมปากมองร่างที่วิ่งเข้ามาหา
“ค่อยๆ เดินก็ได้”
“ก็ผมดีใจนี่ครับ อยากเจอพ่อกับอาเพเร็วๆ”
“งั้นก็ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มเปิดประตูรถให้วาริชขึ้นนั่ง ก่อนเดินอ้อมหน้ารถไปยังฝั่งคนขับ
“ทำไมวันนี้พี่ขุนดูอารมณ์ดีจังครับ”
“หือ? พี่เหรอ”
“ครับ”
“ทำไมโปคิดแบบนั้น”
“ก็วันนี้พี่ขุนดูไม่เคร่งขรึมเหมือนทุกวัน บางครั้งพี่ขุนเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่”
“หึๆ”
ถึงแม้เขาไม่ได้พูด ถึงแม้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมา แต่คนที่ผูกพันกันมาเกือบทั้งชีวิตก็ยังมองออก
“พี่โล่งใจน่ะ”
“งานเสร็จแล้วเหรอครับ” ดวงตาคนพูดเบิกกว้าง น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“อื้อ”
“เย่~ แบบนี้พี่ขุนก็มีเวลาว่างให้ผมแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่”
“เป็นข่าวดีที่สุดในโลกเลย” มือทั้งสองข้างกางออกกว้าง คนพูดยิ้มจนตาหยี
“ดีกว่าอาสารินกับอาเพมากรุงเทพฯ อีกเหรอ”
“น้อยกว่าสิครับ แต่ผมก็รักพี่ขุนนะ” รอยยิ้มที่ส่งมาประจบประแจง
ภูผาหัวเราะออกมา สมองของเขาปลอดโปร่ง หัวใจเต้นเต็มจังหวะ และสายตาไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป
“อาโป” เสียงเรียกทุ้มนุ่ม
“ครับ” ดวงตาที่มองมาสดใส รอยยิ้มระบายทั่วใบหน้า
“พี่ก็รักอาโปนะ”
“อีกทีได้ไหมครับ” คนพูดชูนิ้วชี้ขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“หือ?”
“ผมจะบันทึกเสียงเอาไว้”
คนตัวเล็กกว่าวุ่นวายกับการหยิบโทรศัพท์ออกมา จัดการเปิดแอปพลิเคชันบันทึกเสียง มองมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ผมจะกดละนะครับ หนึ่ง สอง สาม”
“วันนี้อากาศดี”
“พี่ขุน~”
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
**คุยกันก่อนอ่าน
เรื่องนี้อีก 3 ตอนจบนะคะ ทั้งหมดมี 21 ตอน
ที่ไม่เขียนเป็นเรื่องยาวมาก เพราะอยากอัปเดตความรักของขุนกับอาโปเท่านั้น เหมือนเป็นภาคต่อสั้นๆ ให้รู้ว่าเด็กๆ เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ
ส่วนภาคจบจะเป็นเรื่องของพี รพีกร จะพาย้อนกลับไปที่พัดพารัดชา
นายเอกเป็นเพื่อนของอาโป ชื่อลิลิต ทำงานเป็นผู้จัดการสวนส้มของอาผิง(เพื่อนสนิทเพทาย)
ภาคจบจะเป็นเรื่องยาวนะคะ ที่สำคัญมีเด็กน้อยด้วย ><
ตอนที่ 18
ตกลง
“พี่ขุนเดี๋ยวช่วยแวะตลาดของฝากด้วยนะครับ ผมจะซื้อของ”
“ได้สิ จะซื้อไปฝากจีกับสิงห์ใช่ไหม เดี๋ยวพี่จ่ายให้”
ภูผามีเงินเก็บมากพอสมควรจากเงินที่ได้รับในโอกาสพิเศษต่างๆ อย่างเช่นวันเกิด รวมถึงเงินที่ได้ใช้ประจำเดือน ในปีแรกที่เข้ามาเรียนคุณกรชัยขอเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างแต่พนาไม่ยอม จึงกลายเป็นว่าเขาได้รับเงินสองทาง และมันเป็นจำนวนที่เยอะเกินความจำเป็น แต่เมื่อไม่สามารถปฏิเสธได้เขาจึงเก็บสะสมมันไว้
โดยนิสัยของภูผาไม่ใช่คนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพราะรู้คุณค่าของเงินดี แต่ถ้าเป็นเรื่องของวาริช อะไรที่อีกฝ่ายชอบ อะไรที่อีกฝ่ายอยากทาน อะไรที่อีกฝ่ายอยากซื้อเขาไม่เคยขัดเลย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะวาริชเองก็รู้คุณค่าของเงิน ถึงจะใช้จ่ายมากกว่าเขา แต่ก็อยู่ในจุดที่รับได้ไม่มากมายเกินไป
“ขอบคุณครับ ผมจะซื้อให้จีกับสิงห์แล้วก็ซื้อให้แต้วด้วย แต้วซื้อขนมมาฝากผมบ่อยๆ ผมเลยอยากจะซื้อไปฝากบ้าง”
ชื่อนี้ทำให้ภูผาชะงัก แม้จะบอกตัวเองว่าดีแล้วที่วาริชมีเพื่อนเยอะแต่เขาก็อดรู้สึกไม่ได้
“พี่ขุนจำแต้วได้ใช่ไหมครับที่เจอกันวันนั้น”
“จำได้” ภูผาพยักหน้า
“แต้วนิสัยดีมาก น่ารัก ผมชอบ”
“เรานี่ไม่เปลี่ยนเลยนะซื้อได้ด้วยขนมตลอด” รพีกรพูดมาจากเบาะหลัง
“ซื้ออะไรกันพี่พี คนมีน้ำใจกับเราก็ต้องน่ารักสิ”
“น่ารักมากไหม สวยหรือเปล่า แนะนำพี่หน่อยสิ” รพีกรชะโงกตัวมาเบาะหน้า สีหน้าสนใจเป็นอย่างมากเลยโดนน้องชายย่นจมูกใส่
“ไม่ให้”
“อะไรวะ”
“คนดีๆ แบบแต้วต้องได้กับคนดีๆ”
“เดี๋ยวเราจะโดน คนดีๆ แบบไหน แบบพี่ขุนหรือไง”
“ใช่ที่ไหน ต้องแบบผมนี่”
รถเกิดอาการแฉลบจนเทียนที่นั่งหลับตามาตั้งแต่ตลาดลืมตาขึ้นมอง
“เกิดอะไรขึ้น”
“เปล่า” คนขับตอบเสียงเรียบ “เหมือนเห็นอะไรกลางถนนน่ะแต่ไม่มี น่าจะเป็นเพราะง่วง”
“งั้นฉันขับเองนายมาพักเถอะ” เทียนขยับตัวขึ้นนั่งตัวตรง ยกมือขึ้นตบต้นคอ
“ไม่เป็นไร”
“ฉันยังอยากกลับให้ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ จอดข้างหน้านั่นแหละเดี๋ยวฉันขับเอง”
“อืม”
ภูผารับคำ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าถูกวาริชจับได้ว่าเขากำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร
• • • • •
โปเลิกห้าโมงเย็นใช่ไหมเดี๋ยวพี่ไปรับ
ใช่ครับแต่วันนี้ไม่กวน ผมจะไปดูหนังกับแต้ว
เพิ่งนัดกันเมื่อเช้าเลยยังไม่ได้บอกพี่ขุน
ที่ไหน เดี๋ยวพี่ไปรับกลับ
ไม่เป็นไรครับ เอารถไป
อืม
“มีอะไรหรือเปล่าขุน” ไหมมุกถามเมื่อเห็นสีหน้าเนือยๆ ของเพื่อน
“เปล่า”
“เคยตอบคำอื่นไหม เปล่าตลอด บอกมาเร็วมีเรื่องอะไร”
“ไม่มี” ภูผายิ้มเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเพื่อน
“อาโปเหรอ”
ชื่อนี้ทำให้เขาชะงัก
“ว่าแล้ว” เธอเดาได้ทันทีจากสีหน้าของเพื่อน ภูผาเพิ่งบอกเธอหลังกลับจากไปเที่ยวทะเล ไม่รู้เธอคิดไปเองหรือเปล่าแต่คล้ายกลับก่อนหน้านี้ที่ภูผาไม่บอกเพราะติดเรื่องบางอย่าง สังเกตจากสีหน้าของเพื่อนที่ก่อนหน้านี้เหมือนคนมีอะไรให้คิดตลอดเวลา แต่ตอนนี้คล้ายปลดล็อคได้แล้ว
“ไหนว่ามาสิเราจะช่วยเอง”
“เป็นกูรูความรักตั้งแต่เมื่อไหร่” เทียนแซวไหมมุกด้วยน้ำเสียงปนขำ
“ตั้งแต่เราอกหักมาสองครั้ง โดนนอกใจครั้งหนึ่งกับโดนบอกเลิกด้วยเหตุผลห่วยๆ ว่าเราดีเกินไปอีกครั้งหนึ่งก็เป็นกูรูเลย”
“ฮ่าๆ” คราวนี้เขาขำจริงๆ
“ไม่มีอะไร อาโปบอกว่าวันนี้ไม่ต้องไปรับแล้วจะไปดูหนังกับเพื่อน เลยกำลังคิดว่าจะกลับบ้านหรือไปไหนดี ไปหาอะไรทานกันไหม”
“จุ๊ จุ๊” ไหมมุกทำเสียงในลำคอ “ประเด็นมันอยู่ตรงไปดูหนังกับเพื่อนนี่แหละใช่ไหม”
“ไม่มีอะไร” ภูผายังพูดซ้ำประโยคเดิม
“ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร แต่เราจะบอกอะไรให้อย่างนะ ช้าๆ ไม่ได้พร้าเล่มงามเสมอไปหรอก ระวังจะโดนตาอยู่ชิงเอาไป”
“เดี๋ยวนะไหมมุก ถ้าขุนเป็นตาอินแล้วใครเป็นตานา” เทียนอดข้องใจไม่ได้
“แหม คิดว่าว่าน่ารักอย่างอาโปจะมีคนมาชอบแค่คนเดียวเหรอ”
“ฮ่าๆ เอออันนี้จริง รีบๆ เข้าเถอะวะขุน สุภาพบุรุษมากไปมันก็ไม่ดี”
“ใช่ปล้ำเลย”
“เฮ้ย!” สองเสียงร้องขึ้นพร้อมกัน ไหมมุกยิ้มปลื้มที่เพื่อนชอบความคิดของเธอ
• • • • •
“พี่ขุน” น้ำเสียงร่าเริงดังมาก่อนตัว วาริชยิ้มสดใสเดินตรงมาหาเขาที่รถ
“คุณปู่ให้เอาของฝากมาให้เรา” คุณกรชัยเพิ่งบินกลับมาจากฝรั่งเศสจึงฝากให้เขาเอาของฝากมาให้วาริช ภูผาส่งข้อความบอกและขับรถมาหาที่คณะในตอนเช้า
“ฝากขอบคุณปู่กรด้วยนะครับ บอกว่าวันศุกร์ผมเข้าไปหา”
“อืม”
“โป” เสียงเรียกดึงสายตาของทั้งคู่ให้หันไปมอง
“มาแล้วเหรอ” เสียงทักบ่งบอกถึงความดีใจ รวมถึงรอยยิ้มที่กว้างขึ้นด้วย
“แต้วรอแป๊บหนึ่งเดี๋ยวขึ้นตึกพร้อมกัน”
“ได้”
“ผมไปเรียนก่อนนะครับพี่ขุน ไว้เจอกันตอนเย็น”
“ไปเถอะ”
ภูผามองตามหลังทั้งคู่ไป ใบหน้าที่หันมาคุยกันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มือบางที่แตะลงบนต้นแขนของวาริชให้ความรู้สึกสนิทสนม ภูผาไม่รู้ตัวเลยว่าเขานั่งอยู่นานแค่ไหน แม้ทั้งสองคนจะลับสายตาไปแล้วแต่เขาก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม
“โป ตกลงวันเสาร์นี้จะไปด้วยกันหรือเปล่า”
“เดี๋ยวผมบอกแต้วอีกทีนะ ขอลองชวนพี่ขุนก่อนไม่รู้จะยอมไปด้วยกันไหม”
“อืม ชวนมาให้ได้นะ”
“อยากเจอเหรอ”
“เปล่า หมั่นไส้แฟนตัวเอง ตอนนี้ไม่รู้แล้วเนี่ยว่ารักโปหรือรักเรามากกว่ากัน”
“ฮ่าๆ”
“โปไปดูหนังด้วยกันไหม แต้วซื้อไปฝากโปด้วยสิท่าทางชอบกินขนม แหม เราชักจะคิดแล้วนะ”
“ฮ่าๆ คนมันน่ารักก็แบบนี้แหละแต้วต้องทำใจ”
“ไม่หลงตัวเองเลยนะ” เสียงหัวเราะกังวานใส
วาริชสนิทกับแฟนของเพื่อนด้วย อีกฝ่ายเอ็นดูเขาเหมือนน้องชาย เรื่องรักใคร่ในทางชู้สาวไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะเจ้าตัวรักแฟนมาก เขาอิจฉาทุกครั้งที่เห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกัน
• • • • •
“อิ่มจนพุงจะแตกเลยครับ” วาริชลูบมือที่ท้องระหว่างเดินจากร้านอาหารมาลานจอดรถ
“พี่บอกแล้วว่าเดี๋ยวจะปวดท้อง”
“ก็มันอร่อย”
ภูผากดรีโมทเปิดประตูรถ วาริชเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งข้างคนขับ ส่วนเขาประจำตำแหน่งคนขับรถเช่นเดิม
“จะกลับหอหรือจะไปค้างที่บ้าน”
“กลับหอครับ พรุ่งนี้ผมนัดกับแต้วไว้แต่เช้าจะได้ไม่ต้องรีบตื่น”
“จีกับสิงห์ล่ะ”
“ไม่ได้ไปครับ อาจารย์ให้จับคู่ทำรายงาน จีทำกับสิงห์ ผมทำกับแต้ว”
“อย่างนั้นเหรอ”
“ครับ”
ภูผาขับรถออกจากลานจอด ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดมากมายจนเผลอเงียบไป
“พี่ขุนเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบจัง”
“พี่คิดเรื่องงานน่ะ”
“อ๋อ งั้นผมไม่กวนก็ได้ครับ”
ระยะทางจากร้านอาหารไปถึงหอพักของวาริชไม่ไกล เพียงครู่เดียวพวกเขาก็มาถึง ภูผาจอดรถ เขาลดไฟหน้าลงต่ำ ปลดสายเข็มขัดนิรภัยออก หันไปมองวาริชทั้งตัว
“คุยกันก่อนอย่าเพิ่งขึ้นไป พี่มีอะไรอยากถาม”
“ได้ครับ” วาริชปลดเข็มขัดนิรภัยออก
“โปชอบแต้วหรือเปล่า”
“ชอบครับ”
“แล้วพี่ล่ะ”
“ชอบสิครับ” ดวงตาที่มองมาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แต่ชอบไม่เหมือนกันนะ”
“.....”
หัวใจของภูผาหวั่นไหว มีไม่กี่ครั้งที่เขาควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เขาไม่สามารถสงบเยือกเย็นได้เหมือนทุกครั้ง
“แล้วพี่ขุนชอบผมหรือเปล่าครับ” ใบหน้าเล็กยื่นเข้ามาใกล้ ริมฝีปากจุดรอยยิ้มพราย
“ชอบสิ”
“แบบไหนครับ”
ภูผาจ้องมองใบหน้านั้นครู่หนึ่ง เขาถอดทอนหายใจออกมา คงไม่สามารถเก็บความรู้สึกเอาไว้ได้อีกแล้ว เขากลัวว่ามันจะสายเกินไป
“พี่รักอาโป”
คนตรงหน้าส่ายศีรษะไปมา ดวงตาเจ้าเล่ห์
“ไม่ได้ถามแบบนั้นสักหน่อย ผมถามว่าแบบไหนครับ”
“แบบพ่อกับอาคีย์ แบบอาสารินกับอาเพทาย แบบคนที่อยากใช้ชีวิตด้วยกัน”
“แบบแฟนเหรอครับ”
“ใช่”
“ก็แค่นั้น” คนตรงหน้ายิ้มกว้าง “ไม่เห็นจะพูดยากพูดเย็นตรงไหนเลย”
“...”
“ทำไมช้าจังเลยละครับ ผมรอจนจะหงอยแล้ว”
“อาโป” เสียงเรียกทุ่มนุ่ม
“ผมรักพี่ขุนครับ เราเป็นแฟนกันเถอะ”
ภูผาหัวเราะในลำคอ มองใบหน้าทะเล้นของของวาริช
“ตกลงไหมครับ”
“ไม่รอพี่ขอเราเหรอ”
“ไม่ครับ ขนาดบอกรักพี่ขุนยังช้าเป็นเต่าคลาน ขืนรอให้ขอเป็นแฟนผมอาจจะสามสิบก่อนก็ได้”
“หึๆ”
“ผมรักพี่ขุนครับ รักที่สุด รักมาตลอด รักมาตั้งนานแล้ว”
“พี่ก็รักเรา”
ดวงตาสองคู่สบประสานกัน มันเต็มไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง ภูผาดึงวาริชเข้ามากอด จรดริมฝีปากลงบนหน้าผาก เขารู้แล้วว่าบ้านของเขาอยู่ที่ไหน
“พี่ขุน” ใบหน้าเล็กผละออกจากอก เงยขึ้นส่งยิ้มกว้างจนตาหยีให้เขา
“ผมเก่งไหมครับ มาเรียนกรุงเทพฯ แป๊บๆ ก็จีบพี่ขุนติดแล้ว”
“ตกลงเราจีบพี่เหรอ” ภูผาเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาเป็นประกาย
“ใช่สิครับ ของมันแน่อยู่แล้ว” วาริชพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเอง
“อืม อาจจะจริงก็ได้ แต่เราจีบพี่มานานแล้วนะไม่ใช่เพิ่งจีบ”
“อันนั้นเขาเรียกว่าจองครับ ผมจองพี่ขุนมานานแล้ว หนีไปไหนไม่พ้นหรอก”
“หึๆ ตกลงครับ พี่จะไม่หนีไปไหน”
“ก็ลองผิดสัญญาสิครับ”
“เราจะทำอะไร”
“จะปล้ำให้ดู”
“ฮ่าๆ” ภูผาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ไม่ว่าวาริชจะทำอะไรเขาก็มองว่ามันน่าเอ็นดูไปทั้งหมด
“จริงสิ วันนั้นที่พีถามเรื่องแต้วทำไมโปถึงตอบตัวเอง”
“ถามเรื่องแต้ว?” วาริชทำหน้าคิด “อ๋อ เรื่องที่ว่าจะให้คู่กับใครใช่ไหมครับ”
“ใช่”
“ก็เรื่องอะไรจะตอบพี่ขุนละครับ ผมหวงของผม ผมจองแล้ว ไม่ให้ใครทั้งนั้น”
“หึๆ” ในที่สุดเขาก็กระจ่าง
วาริชซ่อนยิ้มในสีหน้า เขามองรอยยิ้มของภูผาด้วยความพอใจ ให้รู้ไม่ได้หรอกว่าเขาตั้งใจทำ ทั้งเรื่องที่ไปไหนมาไหนกับแต้วบ่อยๆ ทั้งคอยพูดถึงแต้วเสมอ ขืนไม่ทำแบบนี้พี่ขุนก็ใจเย็นเป็นสุภาพบุรุษไม่ยอมทำอะไรเสียที ก็บอกแล้วว่าเขาจะเป็นคนพิสูจน์เรื่องนี้เอง
“ว่าแต่ความลับที่พี่พีขายพี่ขุนคือเรื่องอะไรเหรอครับ ผมอยากรู้” เด็กหนุ่มเพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“พีจะบอกโปว่าพี่ชอบ จะบอกว่าเราใจตรงกัน”
ดวงตาของวาริชเบิกกว้าง สีหน้าตื่นเต้น ดีใจ
“พี่ขุนชอบผมมานานแล้วเหรอครับ”
“พี่ถึงบอกว่าโปจีบพี่มานานแล้ว แล้วก็ติดนานแล้วด้วย”
“โธ่เอ๊ยยย รู้งี้ไม่น่าเสียเวลา ปล้ำให้จบๆ ไปเลยก็ดีหรอก”
“เดี๋ยวเราจะโดนพี่ตี” ภูผาส่ายหน้าให้ความทะเล้นของอีกฝ่าย
“แล้วทำไมพี่ขุนไม่เคยบอกผมเลยละครับ”
“เพราะโปยังเด็ก พี่เองมีเรื่องให้คิด”
“เรื่องอะไรครับบอกผมได้ไหม”
“ได้” ภูผาตัดสินใจเล่าเรื่องที่เขาคิด และเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นให้วาริชฟัง
“โธ่เอ๊ยย ถ้ามาบอกผมนะเรียบร้อยไปนานแล้ว”
“เราจะทำยังไง”
“ผมก็จะเผาสวนของพ่อซะเลยสิครับ ทีนี้พ่อก็มาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกันได้แล้ว”
“อาโป”
วาริชแลบลิ้นออกมา “ผมล้อเล่นครับ พอพี่ขุนพูดแบบนี้ผมก็กังวลขึ้นมาเหมือนกัน โชคดีที่มีพี่พี”
“อืม”
“เดี๋ยวผมจะหาแฟนให้พี่พีเอง เป็นของรางวัล”
“พี่ว่าพีน่าจะดีใจมากกว่านะถ้าอาโปอยู่เฉยๆ”
“พี่ขุน~”
“หึๆ” ภูผาดึงตัวเด็กหนุ่มเข้ามากอดเพื่อเป็นการปลอบใจ เขาซบใบหน้าลงกับศีรษะของอีกฝ่าย
“พี่ขุน”
“หือ?”
“เราเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่”
“แล้วพี่ขุนจะไม่จูบผมเหรอ”
!!!
เจ้าเด็กแสบ!
ใบหน้าที่แหงนเงยขึ้นมองยิ้มกว้างจนตาหยี “เป็นแฟนกันแล้วก็จูบกันได้”
ให้ตายเถอะ! เขาคงแพ้เด็กคนนี้ไปทั้งชีวิต
“อื้อ”
เสียงอู้อี้ดังในลำคอ เมื่อริมฝีปากประกบเข้าหากัน ร่างกายของวาริชสั่นสะท้าน สัมผัสที่เพิ่งเคยได้รับทำให้หัวใจเต้นรัวเร็ว แข้งขาอ่อนแรง
ความรักมากมายยังคงอยู่เพียงแต่จากนี้จะไม่ใช่แค่พี่น้องอีกต่อไป เขามีแฟนแล้ว วาริชบอกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 19
รอยยิ้มของตัวแสบ
"นึกว่าจะไม่รอดวิชาสุดท้ายแล้ว" สิงหาบ่นเบาๆ เขาหมุนลำคอเพื่อไล่ความเมื่อยล้าและความง่วงจากการนั่งเรียนติดกันหลายชั่วโมงออกไป
"ไปหาอะไรหวานๆ กินกันไหม เพิ่มน้ำตาลให้ร่างกายหน่อย" จีรดาเสนอความคิด เธอเองก็มีสภาพไม่ต่างจากเพื่อนเท่าไหร่
"ได้" สิงหาตอบรับ เขาไม่มีโปรแกรมจะไปไหนอยู่แล้ว
"ชวนพี่ขุนไปด้วยได้ไหม"
"แหมตั้งแต่เป็นแฟนกันตัวติดกันตลอดเลยนะ ไหนบอกช่วงนี้พี่ขุนกลับมายุ่งแล้วไง ไปเจอบ่อยๆ จะดีเหรอ" จีรดาแซววาริชเมื่ออีกขอชวนแฟนหมาดๆ ไปด้วย
"ยุ่ง แต่เราไม่ยุ่งไง เวลาไปก็นั่งเล่นอยู่เงียบๆ ไม่กวน"
"เหมือนพี่ขุนเลี้ยงเด็กเลย" สิงหาหัวเราะขำ แทนที่วาริชจะงอนกลับพลอยหัวเราะไปกับเพื่อนด้วย
"เหมือนจริงๆ" เหมือนตอนเป็นเด็กไม่มีผิด เด็กชายขุนนั่งอ่านหนังสือไป เด็กชายอาโปก็เล่นของเล่นไป
“ตกลงให้ชวนไหมหรือไปกินกันเองก็ได้นะ เดี๋ยวเราให้พี่ขุนตามไปรับ” วาริชถามย้ำ เขามักจะถามเพื่อนก่อนเสมอเพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ
"เราอยากให้พี่ขุนไปด้วยอยู่แล้วแต่เกรงใจ พี่ขุนจ่ายให้ทุกครั้งเลย" จีรดาบอกเหตุผลที่ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าควรชวนภูผาไปด้วยดีไหม
"ชวนได้ พี่ขุนเต็มใจ เรากินกันไม่เยอะไม่ถึงกับล้มทับหรอก"
"ใช่เรากินไม่เยอะเว้นนาย" สิงหาชี้หน้าเพื่อน เขาไม่เข้าใจเหมือนกันวาริชกินเก่งมากแต่ทำไมไม่อ้วน ได้ข่าวว่าตอนเด็กๆ อ้วนไม่ใช่เหรอ
คนกินเยอะหัวเราะ ยอมรับโดยไม่เถียงสักคำ
"รออยู่นี่นะเดี๋ยวมารับ"
"อ้าวอาโปจะไปไหน" จีรดามองเพื่อนด้วยสายตาแปลกใจ
"ไปหาพี่ขุนที่คณะ"
"ไม่โทรหรือส่งข้อความไปชวนล่ะ ง่ายกว่าไม่เหนื่อยด้วย" เธอสงสัยว่าเพื่อนจะเดินไปทำไม
"ไปดีกว่า ชอบเวลาพี่ขุนแปลกใจ แป๊บเดียวเดี๋ยวมา"
"เออไปเถอะ ไม่รีบ" สิงหาไม่คิดจะขัด ขัดไปก็เท่านั้นยังไงก็คงไปอยู่ดี ดื้อตาใสคือวาริชที่แท้จริง
• • • • •
เด็กหนุ่มเดินมาถึงคณะของภูผา เขากวาดสายตาไปรอบๆ ลานกว้าง แต่ไม่เห็นคนที่อยากให้แปลกใจ
"อาโป"
"พี่เทียน" รอยยิ้มกว้างฝุดขึ้นที่ริมฝีปากเมื่อเห็นอีกฝ่าย วาริชเดินตรงเข้าไปหา เทียนเพิ่งเดินลงมาจากตัวตึก
"พี่ขุนละครับ"
"กำลังลงมา อาจารย์เรียกไว้พี่เลยลงมาก่อน"
"อ๋อครับ"
"โปนัดขุนไว้ใช่ไหม"
"ครับ วันนี้ผมจะไปนอนบ้านโน้น แต่ผมจะชวนไปหาอะไรทานกับสิงห์กับจีก่อน พี่เทียนไปด้วยกันนะ"
"อืม เอาสิ"
"นึกว่าใคร" เสียงที่ได้ยินทำให้การสนทนาหยุดลง วาริชหันไปมอง สายตาของเขาประสานเข้ากับสายตาเกลียดชังของเอวา
"สวัสดีครับ" เด็กหนุ่มยิ้มให้ แม้ไม่ชอบอีกฝ่ายเช่นกันแต่ถึงยังไงก็ยังได้ชื่อว่าเพื่อนของภูผา
"ไหมมุกล่ะ" เทียนรับรู้ได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดที่เกิดขึ้น แต่เขาทำเป็นไม่รู้เพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ไปกว่าเดิม
"กลับไปแล้ว"
วาริชประเมินจากท่าทางของอีกฝ่าย เขาฟันธงได้เลยว่าเอวารู้เรื่องที่เขาเป็นแฟนกับภูผาแล้ว หรืออย่างน้อยก็รู้ว่าเขาคือก้างชิ้นใหญ่ที่ขวางทางอยู่
“โปหาที่นั่งรอก่อนเดี๋ยวขุนก็ลงมา”
“ครับพี่เทียน” วาริชคิดว่าเป็นการดีที่แยกกับอีกฝ่าย เขาจึงหมายตาโต๊ะว่างที่อยู่ห่างออไป
“เดี๋ยวสิ”
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ว่าจะไม่แล้วนะ ไม่รู้จักหลานอาคีย์ ลูกอาเพซะแล้ว
“ได้ข่าวว่าเป็นแฟนกับขุนแล้วเหรอ”
วาริชหมุนตัวกลับไปช้าๆ เขาส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ครับ”
“คิดไหมว่าทำไมขุนถึงยอมคบด้วย ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอที่เอาแต่รบกวนขุนไม่เลิก”
“เอวา!” เทียนใช้น้ำเสียงปรามเพื่อน
“ก็มันจริงไม่ใช่เหรอเทียน เพราะขุนต้องยอมมาตลอด เราก็เห็นๆ กันอยู่ว่าใครคอยตามตื้อ จะเอาให้ได้”
“มันเป็นเรื่องของคนสองคน ผมว่าเราอย่าเข้าไปยุ่งดีกว่า” เทียนพยายามเตือนสติแต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล
“ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเราทำให้ขุนกลายเป็นตัวประหลาด ผู้ชายที่เป็นหน้าตาของคณะกลายเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน”
“งั้นเหรอครับ” วาริชพยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนเทียนเกิดความเป็นห่วงขึ้นมา ก่อนที่ใบหน้านั้นจะปรากฏรอยยิ้มจนกลายเป็นยิ้มกว้าง ดวงตาที่มองเอวาเต็มไปด้วยความขำ
“แต่ผมว่าป้าเอวามากกว่ามั้งครับที่ประหลาด”
“อะไรนะ!” เสียงที่ได้ยินบ่งบอกว่าคนอุทานทั้งแปลกใจและตกใจ
“ผมบอกว่า..” วาริชพูดช้าๆ แบบชัดถ้อยชัดคำ “ป้าเอวามากกว่ามั้งครับที่เป็นตัวประหลาด”
“หึ” เทียนพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ จากที่เป็นห่วงวาริชกลัวเด็กหนุ่มจะคิดมาก กลายเป็นว่าเขาเริ่มรู้สึกเป็นห่วงเอวาแทน
“พี่อุตส่าห์พูดดีๆ กับเรา ทำไมเป็นคนไม่มีมารยาทแบบนี้ ป้าบ้าอะไรของเรา” ดวงตาที่มองมาโกรธจนเกือบลุกเป็นไฟ ขณะที่ดวงตาของวาริชกลับรื่นรมย์
“ความคิดเก่าเก็บแบบนี้ไม่เป็นป้าแล้วให้เป็นอะไรละครับ หรือไม่ก็เป็นกบเอ้า กบอยู่ในกะลาถึงไม่รู้ว่าโลกมันเปิดกว้างไปถึงไหนแล้ว”
เทียนต้องเบือนหน้าไปมองทางอื่นเพราะเขากลัวจะกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหว แสบจริงๆ แสบสมคำเล่าลือ
“อย่าว่าผมสอนเลยนะครับ เดี๋ยวนี้โลกมันไปถึงไหนๆ แล้ว ป้าเอวาควรตามโลกให้ทันหน่อยเดี๋ยวเขาจะหาว่าล้าหลัง ทำตัวแก่มากไปมันไม่ดีนะครับ แล้วไม้ป่าเดียวกันอะไร คำที่ใช้ก็โคตรแก่เดี๋ยวนี้เขาเรียก LGBT ครับ”
“ไอ้เด็กบ้า!”
“แน่นอนครับ เต่งตึง เนื้อแน่นๆ แบบผมต้องเรียกว่าเด็กอยู่แล้ว เขาว่าครีมที่มีมีส่วนผสมของสารสกัดจากเมล็ดองุ่นดีนะครับ ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ ป้าเอวาลองหามาทาดูสิครับเผื่อจะลดความแก่ลงได้บ้าง แต่ถ้าอยากฉลาดขึ้นต้องกินโอเมก้าสามครับ เชื่อผม”
เทียนต้องใช้วิธีนับเลขอยู่ในใจเพื่อไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะออกมา งานนี้เขาไม่เข้าข้างเอวาเพราะผิดเต็มๆ ถึงวาริชจะดูลามปามไปบ้างแต่ก็เพื่อปกป้องตัวเองและภูผา พูดตรงๆ ว่าเขาอดชอบใจไม่ได้
“แต่ผมรู้ครับว่าที่พูดก็พราะเป็นห่วงพี่ขุน เพื่อนกันก็คงอดเป็นห่วงกันไม่ได้ ขอบคุณมากครับ”
เทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงที่อ่อนลงของวาริช เขาไม่คิดสักนิดว่าอีกฝ่ายจะตบท้ายด้วยคำพูดแบบนี้ แถมยังยิ้มให้โดยไม่มีความโกรธเคืองในดวงตาคู่นั้น
“....”
“พี่เทียนผมนั่งรอพี่ขุนตรงโน้นนะ”
“อืม เดี๋ยวพี่ตามไป”
“ครับ”
“เอวา” เทียนสบตากับเพื่อน เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เด็กนั่นมันว่าเรา!”
“เอวาเริ่มก่อน เรารู้กันอยู่แล้วว่าขุนให้ความสำคัญกับอาโปแค่ไหน รู้ตั้งแต่ก่อนเจอตัวจริงอาโปด้วยซ้ำ ถึงจะไม่รู้ว่าชอบแบบแฟนก็เถอะ ผมอยากให้เอวาคิดให้ดีๆ ว่าอยากแตกหักกับขุนจริงเหรอ เขาว่ากันว่าอยากได้ผลลัพธ์แบบไหนให้ทำแบบนั้น ถ้าคิดว่าจะไม่คบหากันแล้วผมก็ตามใจ แต่ผมไม่อยู่ข้างคนที่ทำไม่ถูกต้องแน่”
“เทียน” เสียงเรียกชื่อเขาแผ่วเบา
“กลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“..... อืม”
เทียนถอนหายใจออกมา แวบหนึ่งเขาก็เห็นความลังเลในดวงตาของเอวา เขามั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าอีกฝ่ายจะคิดได้
• • • • •
“น้ำ” เทียนวางขวดน้ำลงบนโต๊ะ ส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่
“ขอบคุณครับ” วาริชหยิบขวดน้ำมาไว้ใกล้ตัว มองเทียนที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม
“พีเทียน”
“หือ”
“ผมพูดแรงไปหรือเปล่า เมื่อกี้ผมโมโหไปหน่อย”
“นั่นโมโหอยู่เหรอพี่ดูไม่ออกเลย”
“นิดหน่อยครับ ว่าผมไม่เท่าไหร่แต่ว่าพี่ขุนแบบนี้ผมไม่ยอม”
“หึๆ” เทียนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอ็นดู
“แล้วพี่ที่เอวาพูดจริงหรือเปล่าครับ พี่ขุนโดนมองไม่ดีเหรอ”
“เรื่องนี้พี่ว่าอาโปถามขุนเองดีกว่า”
“ผมไม่อยากพูดให้พี่ขุนไม่สบายใจ”
“เชื่อพี่เถอะ เรื่องแบบนี้พี่แนะนำให้คุยกัน”
“ครับ”
“อย่าหงอยสิ เดี๋ยวจะไปกินขนมกับเพื่อนไม่ใช่เหรอ โน่นขุนมาแล้ว”
“พี่ขุน”
น้ำเสียงและสีหน้าวาริชร่าเริงขึ้นมาทันทีราวกับไม่มีเรื่องไม่สบายใจเกิดขึ้น ลุกขึ้นยืนโบกไม้โบกมือเรียกภูผา เทียนมองด้วยดวงตาอ่อนแสง เขาพอเข้าใจแล้วทำไมภูผาถึงทั้งรักและผูกพันกับอีกฝ่าย ความรักและความห่วงใยที่มีให้กันมันมากเกินคำบรรยาย
• • • • •
“โปมีอะไรอยากพูดกับพี่หรือเปล่า” ภูผาวางหนังสือในมือลง หันไปให้ความสนใจกับคนที่นั่งพิงหมอนอยู่ด้วยกันบนเตียง วาริชตาโตเมื่ออีกฝ่ายพูดเหมือนนั่งอยู่กลางใจเขา
“พี่ขุนรู้ได้ไงครับ! อ๋อ หรือคุยกับพี่เทียน”
“ไม่เห็นต้องคุยเลยแค่เห็นหน้าเราพี่ก็รู้แล้ว ไหน มีอะไร”
“....”
“อาโป”
“ผมกำลังคิดว่าจะพูดดีไหม”
“พูดเถอะ พี่อยากให้เราคุยกันได้ทุกเรื่อง”
“ผมกลัวพี่ขุนไม่สบายใจ”
“พี่จะไม่สบายใจมากกว่าถ้าเห็นอาโปทำหน้าไม่สบายใจแบบนี้” ปลายจมูกโดนมือใหญ่บีบเบาๆ
“ก็ได้ครับ” วาริชพยักหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูด
"วันนี้ตอนผมไปรอพี่ขุนที่คณะ เจอกับพี่เอวา...” เด็กหนุ่มเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ภูผาฟัง
“เข้าใจแล้ว” ภูผาพยักหน้ามองใบหน้าเล็กด้วยสายตาอ่อนโยน
“ขอโทษครับที่ผมพูดจาไม่ดี ผมรู้ว่าผมทำตัวไม่น่ารักแต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ผมไม่ชอบให้ใครมาว่าพี่ขุน”
“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจอาโป แต่วันหลังก็ปล่อยไปเถอะ พี่ไม่เคยใส่ใจ”
“แปลว่ามีคนพูดเยอะใช่ไหมครับ” สีหน้าของเด็กหนุ่มกังวลขึ้นมาทันที
“ผมถามพี่เทียนพี่เทียนบอกให้มาถามพี่ขุนเอง”
“ก็มีบ้าง บางคนพูดเอาสนุกโดยไม่ได้คิดอะไร แค่แซวกันเล่น แต่บางคนก็อาจไม่ชอบความรักแบบเราจริงๆ ซึ่งนั่นก็เป็นสิทธิ์ของเขา”
“มันก็ใช่ครับ เขามีสิทธิ์ไม่ชอบแต่ก็ไม่มีสิทธิ์พูดจาไม่ดีกับคนอื่น”
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดได้ ตราบใดที่ยังมองว่าสิ่งที่เขาคิดคือสิ่งที่ถูกต้อง และทุกคนควรคิดและทำตามนั้น”
“โลกแคบจังเลยครับ”
“ใช่ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนแบบนี้อยู่จริงบนโลกใบนี้ และเราต้องอยู่ร่วมกับพวกเขาให้ได้”
“ครับ” วาริชพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นผมไม่ไปหาพี่ขุนที่คณะดีกว่า อีกแค่ไม่กี่เดือนพี่ขุนก็จะจบแล้ว เราปิดไว้ก่อนดีไหมครับ”
“ปิดไม่ทันแล้ว” ภูผาหัวเราะ มองใบหน้าเล็กด้วยสายตาเอ็นดู
“ผมหมายถึงเราปล่อยให้เรื่องเงียบๆ ไป จะได้ไม่มีใครมาพูดอะไรไม่ดีกับพี่ขุน”
“พี่ไม่เป็นไร”
“ผมก็ไม่เป็นไร เจอกันข้างนอกก็ได้ครับ ที่บ้านก็ได้ ที่คณะผมก็ได้ แป๊บๆ เดี๋ยวพี่ขุนก็จบแล้ว”
“เราดื้อกับพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” ดวงตาที่มองมาแม้ไม่ดุแต่ก็ทำให้วาริชเกรงใจ เสียงที่พูดจึงอ่อยลง
“ผมดื้อที่ไหนกันครับ เปล่าสักหน่อย”
“ถ้าไม่ดื้อก็เชื่อพี่สิ”
“แต่...”
“อาโปชอบทุกคนบนโลกใบนี้หรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงหวังให้ทุกคนชอบพี่ล่ะ มันไม่มีทางเป็นไปได้ เราไม่ชอบคนอื่นได้ เขาก็ไม่ชอบเราได้เหมือนกัน ทุกครั้งที่รู้สึกพี่อยากให้อาโปบอกตัวเองแบบนี้ อย่าใส่ใจ อย่าเก็บเอามาเป็นอารมณ์”
“ครับพี่ขุน ผมเข้าใจแล้ว”
“เด็กดี” ภูผาลูบแก้มนุ่มเบามือ
วาริชย่นจมูกแต่ดวงตาเป็นประกาย “เมื่อกี้ยังว่าผมดื้ออยู่เลย”
“หึๆ”
“เฮ้อ”
“ถอนใจทำไม ไหนโปว่าเข้าใจแล้ว”
“เปล่าครับผมไม่ได้ถอนใจเรื่องนี้” วาริชล้มตัวลงนอนบนตักภูผา จับมือของอีกคนมาสะบัดเล่น
“ผมเฮ้อเพราะเดือนนี้โควต้ามานอนบ้านนี้หมดแล้วต่างหาก”
“หึๆ” ภูผาส่ายศีรษะเบาๆ ทั้งขำทั้งเอ็นดู
“เอาไว้พี่ขออาเพเพิ่มให้ไหม”
“จริงเหรอครับ! พี่ขุนน่ารักที่สุดในโลกเลย” มือของภูผาถูกจับไปแนบแก้ม เขามองท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆ ด้วยสายตาเอ็นดู ใครจะคิดอย่างไรกับเขาไม่สำคัญ ขอเพียงแค่คนตรงนี้รักเขาก็พอ
• • • • •
“ตาย เราตาย ตายจริงๆ ตายไปเลย” จีรดาโอดครวญ ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ
“ผีอะไรเข้าอีกคราวนี้” สิงหาแซวเพื่อน
“ผีขี้อิจฉาไง ไม่เชื่อดูนี่” เธอหันหน้าจอโทรศัพท์ไปทางสิงหา
ภาพที่เห็นเป็นภาพวาริชส่งยิ้มกว้างให้กล้องจนตาหยี มีคำบรรยายเขียนกำกับไว้ว่า..
You are the password of my smile.
“หึ” สิงหาหัวเราะในลำคอ หันไปมองวาริชที่นั่งยิ้มจนแก้มปริ
“ดีใจใหญ่สิ”
“อืม”
ดวงตาของวาริชพราวระยับ ที่เขาดีใจไม่ใช่เพราะภูผาลงรูปของเขาในอินสตาแกรมส่วนตัวเท่านั้น แต่เป็นเพราะมันตอกย้ำสิ่งที่อีกฝ่ายพูดกับเขาตอนเช้าก่อนแยกไปคณะ
“อย่าคิดมากเข้าใจไหม พี่บอกโปแล้วว่าพี่ไม่เป็นไร ใครจะแซวจะว่าก็ปล่อยเขาไป เพราะคนที่ทำให้พี่ยิ้มได้ไม่ใช่คนพวกนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ต้องแคร์”
ตอนนี้วาริชรู้แล้วว่าภูผาแคร์ใคร เขานี่เอง
:::: ♥ TBC ♥::::
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)
ตอนที่ 21
Promise [ End ]
“กลับบ้านเรากัน”
ภูผายิ้มเมื่อได้ยินเสียงสดใสของคนที่นั่งเบาะหน้าข้างคนขับ รถยนต์มุ่งหน้าออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันเสาร์
“เสียงสดชื่นแบบนี้นอนมาเต็มอิ่มแล้วใช่ไหม”
“แน่สิครับ” คนตอบหันมาส่งยิ้มกว้างให้
“ไหนเมื่อคืนบอกพี่ว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ”
“ทำไมเดี๋ยวนี้พี่ขุนร้ายครับ”
“หึๆ” ภูผาหัวเราะในลำคอ ขำสายตาจับผิดของอีกฝ่ายที่มองมา
“คุยกันตามสบายเลยนะครับเดี๋ยวผมนอนก่อน” เสียงพูดดังมาจากเบาะหลัง วาริชจึงหันไปมอง
“พี่พีหลับได้เลยเดี๋ยวผมนั่งเป็นเพื่อนพี่ขุนเอง”
“พี่ประชด”
“รู้” คนน้องยักคิ้วให้ รพีกรจึงยื่นมือไปตีศีรษะเบาๆ
“จะสวีทกันก็เห็นใจบุคคลที่สามบ้าง แฟนก็ไม่มียังต้องมานั่งฟังอีก”
“พวกผมสวีทที่ไหน คุยกันธรรมดาๆ”
“ธรรมดามากก” รพีกรลากเสียงยาว หยิบหมอนอิงที่อยูในรถวางลงกับเบาะก่อนล้มตัวลงนอน ได้แซวนิดๆ หน่อยๆ ก็สบายใจแล้ว
“เห็นอาเพบอกว่าพ่อกับลุงพนานัดกันว่าจะขึ้นไปค้างที่บ้านบนเขาครับ” วาริชเลิกสนใจรพีกร หันกลับมาคุยกับภูผาเหมือนเดิม
“ช่วงนี้บนนั้นน่าจะหนาวแล้ว”
“ครับ พูดแล้วก็คิดถึงไม่ได้ไปตั้งนาน”
“นั่นสิ” ภูผาพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นที่พีอยากมาด้วยเพราะจะขึ้นไปที่สวนบนเขาใช่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบรับวาริชจึงหันไปมอง เขาหัวเราะออกมาเบาๆ
“หลับไปแล้วครับ ถ้าอย่างนั้น..” เด็กหนุ่มยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“อะไร”
“เราก็สวีทได้แล้วใช่ไหมครับ ไม่มีคนอิจฉาแล้ว”
“หึๆ”
ภูผาหันไปมองวาริช ดวงตาที่มองตอบเป็นประกายสดใส ใบหน้ากระจ่างไปด้วยรอยยิ้มทำให้เขาพลอยยิ้มตามไปด้วย
‘กลับบ้านเรา’ เขาชอบคำนี้ อบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้ยิน
• • • • •
“อาเพ” วาริชเดินเร็วๆ เข้าไปกอดเพทาย เมื่ออีกฝ่ายลงมารับถึงที่รถ
“คิดถึงอาเพที่สุดเลยครับ”
“อาก็คิดถึงเรา เดินทางเป็นยังไงบ้าง”
“สบายที่สุด”
“สบายที่สุดเพราะไม่ต้องขับรถใช่ไหม” เพทายพูดอย่างรู้ทัน
“พี่ขุนไม่ให้ขับครับ” เมื่อได้โอกาสต้องฟ้องเสียหน่อย ภูผาไม่ยอมให้เขาจับรถเลย บอกว่าหัดมาแล้วก็ไม่ยอม
“ดีแล้ว พี่ขุนตัดสินใจได้ดีมาก”
“อาเพคร้าบ~”
คนถูกเรียกยิ้มด้วยความเอ็นดู โตแค่ไหนก็ยังขี้อ้อนเหมือนเดิม
“สวัสดีครับอาเพ”
เพทายยกมือรับไหว้ภูผากับรพีกร ส่งยิ้มให้ทั้งสองคนเป็นการต้อนรับ
“มากันเหนื่อยๆ ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาก่อน กระเป๋าไม่ต้องเอาขึ้นไปนะเดี๋ยวอาให้คนงานย้ายไปอีกคัน”
“จะไปเย็นนี้เลยเหรอครับอาเพ” ภูผาถามเพทาย
“ใช่ จะได้ค้างที่นั่นสักสองคืน”
“ครับ”
วาริชเดินนำไปกับเพทาย เขามีเรื่องคุยกับอีกฝ่ายมากมาย แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่เขาคบกับภูผาแล้ว เพราะเรื่องนั้นเขาโทรมาเล่าให้ฟังตั้งแต่คืนแรก ใครว่าเขาเห่อไม่จริงเลย
• • • • •
วาริชยืนอยู่บนระเบียงกว้างของบ้านบนเนินเขา ทิวทัศน์ที่คุ้นตาทำให้เขาหลุดรอยยิ้มออกมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ถึงแม้ไม่ได้แวะมาบ่อยนักแต่เขาก็รักและผูกพันธ์กับบ้านหลังนี้
“เผลอเดี๋ยวเดียวลูกชายพ่อก็โตจนมีแฟนแล้ว”
เด็กหนุ่มหันไปมอง เขาส่งยิ้มกว้างให้สารินที่เดินเข้ามาหา
“อย่าแซวสิครับพ่อ”
“หึๆ” สารินโอบมือไปบนไหล่ของลูกชาย ก่อนตบมือลงเบาๆ
“พ่อดีใจที่โปมีความสุข”
“ขอบคุณครับ”
“แต่พ่อก็อยากให้โปรู้ว่าความรักมันไม่ใช่เรื่องง่าย ดูอย่างพ่อกับแม่ ถึงจะรักกันแต่สุดท้ายเราก็ต่างเจ็บปวดจากความรักนั้น จำไว้นะลูกอย่าตัดสินใจทุกอย่างด้วยอารมณ์ ใช้สติ ใช้เหตุผลให้มาก อย่าทำให้ตัวเองและคนที่รักตกอยู่ในความอึดอัด เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกแบบนั้นความรักมันไม่มีทางไปรอด”
“ครับพ่อ”
“พ่อเป็นห่วงเพราะขุนกำลังจบออกไปทำงาน แต่โปยังเพิ่งเริ่มต้นในรั้วมหา’ลัยได้ไม่นาน ความต่างจะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมากมาย พ่อไม่ได้พูดถึงโปฝ่ายเดียว แต่หมายถึงทั้งสองฝ่าย ความไม่เข้าใจ ความห่างไกล ความหึงหวงจะทำให้ความรู้สึกสั่นคลอนในบางครั้ง แต่จำไว้นะลูก ไม่มีสิ่งใดที่ความรักทำไม่ได้ ความรักจะทำให้เราก้าวผ่านทุกอย่างไปได้”
“.....”
“แต่โปก็ต้องจำอีกอย่างด้วยว่าหากวันใดทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะความรักฟันฝ่าไปไม่ได้แต่เพราะมันไม่เหลือความรักอยู่แล้วต่างหาก ถ้าถึงวันนั้นก็ขอให้ก้าวออกมา”
“พ่อ”
“พ่อไม่ได้บอกว่ามันจะเกิดขึ้น แต่เราต้องใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท พ่ออยากให้โปเข้าใจธรรมชาติของมัน”
“ผมจะจดจำไว้ครับ ขอบคุณครับพ่อ” วาริชยกมือขึ้นไหว้ เขาซึมซับทุกคำพูดไว้ในใจ
“คุยอะไรกันอยู่ครับพ่อลูก” เสียงอ่อนโยนที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนหันไปส่งยิ้มให้
“พ่อกำลังสอนผมเรื่องความรักอยู่ครับอาเพ”
“อาคิดจะคุยกับโปเหมือนกัน แต่ให้พ่อคุยดีแล้วเพราะพ่อเก่งเรื่องนี้มากกว่าอาเยอะ”
“พี่ไม่ได้เก่ง” ร่างสูงออกอาการร้อนตัว
“ผมไม่ได้ว่าอะไรครับ ผมชมจริงๆ” เพทายหัวเราะเบาๆ
วาริชมองทั้งสองคนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุข บอกตัวเองว่าเขาจะดูแลความรักของตัวเองไม่ให้แพ้พ่อกับอาเพเลย
“บ้านนี้ชุมนุมอะไรกันครับไม่เรียกบ้างเลย” เสียงร่าเริงดังมาก่อนตัว เมื่อหันไปจึงเห็นว่าคีตกานต์เดินมาพร้อมกับพนา ภูผาและรพีกร
“นินทาคีย์อยู่” สารินตอบด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม
“เรื่องอะไรครับพี่สาริน”
“เรื่องว่าเดี๋ยวคีย์ต้องออกมาโวยวายที่ไม่เรียกแน่”
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นโดยพร้อมเพรียง พนายิ้มเอ็นดูสีหน้าของคนรัก ไม่มีเวลาไหนที่มีความสุขเท่ากับเวลาที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกแล้ว
• • • • •
หมอกปกคลุมรอบตัวบ้านในยามเช้า วาริชเดินออกมาที่ระเบียง อากาศเย็นทำให้เผลอห่อตัวเข้าหากัน
“อาโป” เสื้อสเวตเตอร์ถูกยื่นมาตรงหน้า
“ขอบคุณครับ” วาริชรับเสื้อมาจากภูผา เขาสวมมันเข้าไป คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนตัวสูง
“พี่ขุนยิ้มทำไมครับ”
“น่ารักดี”
เสื้อเป็นของภูผาเมื่ออยู่บนร่างที่เล็กกว่าของวาริช มันจึงยาวลงมาคลุมมือทำให้ดูตัวเล็กลงไปอีก ชายหนุ่มจัดการพับแขนเสื้อให้พ้นมืออีกฝาย
“พี่ขุน”
“หือ?” ภูผาเงยหน้าขึ้นสบตา
“จำตอนเราเด็กๆ ได้ไหมครับ ตอนที่เรามาที่นี่กัน อาคีย์เล่าให้ผมฟังว่าตอนนั้นผมพูดว่าพี่ขุนเป็นของผม ผมรักที่สุด”
“พี่จำได้”
“อาคีย์เลยแซวว่าพูดแบบนี้พี่ขุนจะไปไหนรอด ผมยังเด็กเลยร้องไห้โวยวายใหญ่ เพราะไม่รู้ว่ารอดคือที่ไหน รู้แต่ว่าไม่ยอมให้พี่ขุนไป " วาริชยิ้มกว้าง ขำตัวเองที่ทำไปได้
"ตอนนี้รู้แล้ว โปจะตอบอาคีย์ว่ายังไง" เสียงถามอ่อนโยน
"ก็ต้องตอบว่าถึงไปได้ก็ไม่ให้พี่ขุนหนีไปไหนหรอกครับ ผมจะจับไว้ให้มั่นเลย"
"แล้วโปรู้ไหมว่าตอนนั้นอาคีย์พูดอะไรต่อ"
"อาคีย์ไม่ได้เล่าให้ฟังครับ เล่าแค่ว่าผมพูดอะไรบ้าง"
"อาคีย์ถามพี่ว่า..ขุนจะอยู่ไหม น้องไม่ยอมให้ไปแล้ว”
"แล้วพี่ขุนตอบว่าอะไรครับ"
"พี่ตอบว่า..อยู่ครับ ผมเคยบอกโปแล้วว่าไม่ไปไหน จะอยู่ด้วยกัน”
“พี่ขุน” ดวงตาที่มองภูผาเต็มไปด้ยวความรัก เชื่อใจและศรัทธา
"พี่สัญญากับโปตั้งแต่วันนั้น ถึงจะยังเด็กแต่พี่ก็ไม่เคยลืม เอาไว้ให้โปเรียนจบแล้วเราจะอยู่ด้วยกัน"
"พี่ขุน" ดวงตาของวาริชคลอไปด้วยหยดน้ำ เขาไม่อยากร้องไห้แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้
"ตกลงไหม ไม่เห็นตอบพี่เลย"
"ไม่น่าถามเลยครับ ผมเซย์เยสอยู่แล้ว"
"พี่ยังไม่ได้ขอเราแต่งงาน" ภูผาอดแซวไม่ได้เมื่อได้ยินคำตอบของวาริช
"เสียใจครับ ผมโมเมไปแล้วว่าพี่ขุนขอ ไม่ให้ยกเลิกด้วย" ดวงตาเจ้าเล่ห์มองตรงมาที่่เขา
"มัดมือชกพี่เหรอ"
"เปล่าสักหน่อย ผมรู้ว่าพี่ขุนต้องขออยู่แล้วต่างหาก" คนพูดยิ้มทะเล้น ภูผาพยักหน้าช้าๆ ดวงตาจุดประกายวาววับขึ้นมา
"ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไม่ต้องคิดวิธีเซอร์ไพรส์ขออาโปแล้วใช่ไหม ดีเลย"
"หา~"
"พี่เคยคิดว่าตัวเองจะทำอะไรเซอร์ไพรส์โรแมนติกได้หรือเปล่า ตอนนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว"
"พี่ขุน~"
"โปตกลงแต่งแล้วใช่ไหม งั้นก็ข้ามไปเลยนะ" ภูผาซ่อนยิ้มเอาไว้ พยายามทำสีหน้าให้ปกติที่สุด
"ผมเปลี่ยนใจแล้ว ยังไม่ตกลง"
“แต่เมื่อกี้พี่ได้ยินใครพูดว่า..ผมโมเมแล้ว ไม่ให้ยกเลิก”
ภูผากลั้นยิ้มเมื่อเห็นหน้าจ๋อยของน้องน้อยที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นคนรักของเขาแล้ว
“ตกลงพี่ขอแล้วหรือยังไม่ได้ขอ”
“ยัง ยังเลย พี่ขุนยังไม่ได้ขอ” ดวงตาคู่นั้นสว่างวาบขึ้นมาทันที น้ำเสียงที่พูดกลับมากระตือรือร้น
“หึๆ ถ้าอย่างนั้นจองไว้ก่อนได้ไหม”
“เอ๋?” ดวงตาของวาริชฉายแววแปลกใจ
“พี่จองโปไว้ก่อน เรียนจบแล้วค่อยแต่งงานกัน”
โลหะเย็นถูกสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายแต่หัวใจของวาริชกลับอบอุ่น เขามองแหวนทองคำขาวแบบเรียบที่สวมอยู่ที่นิ้วของตัวเอง
"พี่ขุน"
มือที่เกาะกุมมือของเขาสวมแหวนแบบเดียวกันที่มือข้างเดียวกัน
"กลับไปกรุงเทพฯ แล้วเราไปหาแม่กับน้องของโปกัน พี่อยากไปบอกท่านว่าพี่จะขอเป็นคนดูแลโปเอง"
ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากของวาริช มีเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความรักจนหมดหัวใจ
"อีกสามปีกว่าโปจะจบ พี่สัญญาว่าถึงวันนั้นโปจะมีสวนดอกไม้เป็นของตัวเอง"
"ไม่ใช่สักหน่อย" วาริชส่ายศีรษะไปมา มีความสุขจนไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ได้
"หือ?"
"ของเราต่างหากครับ ของผมกับพี่ขุน"
"ใช่ ของเรา"
"พี่ขุน"
"ครับ?" วาริชสบตากับดวงตาเป็นประกายที่แหงนเงยขึ้นมอง
"รักผมหรือเปล่าครับ"
"หึๆ"
"ว่าไงครับ ไม่เห็นตอบเลย"
"รักสิ พี่รักอาโป"
"ผมก็รักพี่ขุนที่สุดในโลกเลย"
ภูผาดึงเด็กแสบของเขาเข้ามากอด แตะริมฝีปากลงบนหน้าผากแผ่วเบา จากความผูกพันในวัยเด็กค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรักที่ลึกซึ้งมากขึ้น พวกเขาอยู่ด้วยกันมาเกือบทั้งชีวิตและจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
“ขุน อาโป เข้ามาเร็วจะไปสวนกันแล้ว”
“ครับอาเพ”
มือสองข้างประสานเข้าด้วยกัน ไม่ว่าอีกนานแค่ไหนพวกเขาจะไม่มีวันปล่อยมือ
รักกันต้องอยู่ด้วยกันสิ
“ขูนนน ขูนจาปายเป่า อย่าไปน้า โปม้ายหายปาย”
“ไม่ไปครับ พี่จะอยู่กับอาโป”
“ฉันยาแล้วน้า”
“สัญญาครับ”
:::: ♥ END♥::::
** ขอบคุณที่ติดตามเด็กๆ ตั้งแต่ต้นจนจบนะคะ หวังว่าจะทำให้มีความสุขกัน ^^
สถานีต่อไป >> คุณคนเดียวกัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69630.0) (ไม่ใช่คู่ฝนเรนนะคะ เป็นเรื่องใหม่ค่ะ)
ปล. ภาคจบของสวนพัดพารัดชาจะกลับมาอีกครั้งช่วงปลายปีนะคะ เป็นเรื่องของรพีกรกับผู้จัดการสวนส้ม(นายเอก) กระซิบว่าภาคนี้มีเด็กน้อยด้วยนะคะ ชื่อเรื่อง ผลส้มกับดอกไม้ เจอกันเร็วๆ นี้ค่ะ
Darin ♥ FANPAGE (https://www.facebook.com/Ratidarin-433468596858519/)
Twitter : primdarin (https://twitter.com/primdarin)