พิมพ์หน้านี้ - << วิมานไม้สน >>

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Belove ที่ 02-12-2017 19:57:42

หัวข้อ: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 02-12-2017 19:57:42

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง


ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






                                 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:


 
  นิยายเรื่องนี้ ไม่มีที่ว่างให้คุณปลูกทุ่งลาเวนเดอร์วิ่งเล่นกับม้ายูนิคอร์น




                                               :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:




สารบัญ


บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3746808#msg3746808)
บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3747227#msg3747227)
บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3750876#msg3750876)
บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3754434#msg3754434)
บทที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3806503#msg3806503)
บทที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3809528#msg3809528)
บทที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3811846#msg3811846)
บทที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3817450#msg3817450)
บทที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.0)
บทที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3828954#msg3828954)
บทที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3831911#msg3831911)
บทที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3844806#msg3844806)
บทที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3846591#msg3846591)
บทที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3856167#msg3856167)
บทที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3860698#msg3860698)
บทที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3866964#msg3866964)
บทที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3868932#msg3868932)
บทที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3869585#msg3869585)
บทที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3870075#msg3870075)
บทสุดท้าย วิมานของผม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64165.msg3870090#msg3870090)










                                                :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทนำ #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 02-12-2017 20:03:53


                                                                         วิมานไม้สน

                                                                            บทนำ


                  ผมนอนกองอยู่บนผืนดินหยาบกระด้างไม่ต่างอะไรจากวันแรกที่ตะเกียกตะกายหนีมาจากขุมนรกนั่น ร่างกายนี้อ่อนแรงและ

เหนื่อยล้าเหลือเกิน อ่อนแรงลงไปเรื่อย ๆ จนลมหายใจแทบจะปลิดปลิวไปแล้ว ชีวิตที่เกิดมาอย่างไร้ค่าก็คงจะต้องแตกดับไปราวกับฝุ่น

ธุลีที่จับอยู่ตามเนื้อตัวปะปนไปกับความเจ็บปวดที่ได้รับ

               ผมเจ็บจนด้านชา หนาวจนไม่รู้สึก เปลือกตาหนาหนักลืมเกือบไม่ขึ้นแต่ก็พอกะพริบจนมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้า ราวกับ

แสงระยิบระยับเหล่านั้นกำลังเชิญชวนให้ผมไปอยู่กับมัน ผมยกท่อนแขนที่สั่นระริกขึ้นไปช้า ๆ ก่อนที่มันจะตกลงมาฟาดลงกับพื้นเพื่อ

บอกให้รู้ว่าไม่มีวันที่ผมจะเจิดจรัสเช่นดวงดาวได้



               อาจเป็นห้วงสุดท้ายที่ผมจะได้ระลึกถึงชะตากรรม หรือบางทีอาจเป็นการเลือกเดินเส้นทางที่พาไปสู่หายนะ ไม่ใช่ฟ้าลิขิต

แต่เป็นหัวใจที่หลงผิด ภาพแห่งความหลังที่ทำให้ผมต้องพบจุดจบด้วยการนอนข้างถนนเหมือนหมาขี้เรื้อนค่อย ๆ ฉายชัดอยู่ในมโน

สำนึก



             ไม่รู้ว่าพวกคุณจะอยากรู้หรือเปล่าว่าชีวิตของผมเป็นอย่างไร แต่ขอให้ผมได้เล่า อย่างน้อยก็เพื่อปลดปล่อยความระทมทุกข์

ของผม ก่อนที่ผมอาจจะไม่มีลมหายใจในเฮือกต่อไป



                     มาสิ ผมจะเล่าให้คุณฟัง ถึงเรื่องในวิมานของผม วิมานที่ทำจากไม้สนที่แสนจะเปราะบาง และมันกำลังจะพังทลาย

ลงในอีกไม่นานนี้แล้ว
 
 
   
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทนำ #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 02-12-2017 20:18:48
ตามมาเจิมเรื่องใหม่ของคุณบีเลิฟค่า
แอบเหนภาพประกอบเรื่องนี้ในเพจ
ดูพอร์นมว้ากกกกก คึคึ

แต่พออ่านอินโทรแล้วสงสัยจะไม่ใช่
น่าจะงานดราม่ามาเต็มแน่ๆ
ฮืออออ ต้องเตรียมใจขนาดไหนคะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทนำ #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 02-12-2017 23:15:33
 :katai1:  แวะมาเจิมจร้าาา

แต่ทำไมเซ้นมันร้องรัวๆๆเลยว่างานนี้ดราม่าแน่นวลลล
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทนำ #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-12-2017 01:22:43
ดราม่าฮาร์ดคอร์ แน่ๆ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทนำ #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 03-12-2017 09:59:00
ปูเสือ ต้มน้ำรอ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทนำ #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 03-12-2017 10:04:51
สงสารหนักมาก
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทนำ #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 03-12-2017 10:07:23
แค่เริ่มก็หน่วงแล้วอะ
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 1 [03/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-12-2017 12:34:01


                                                                             วิมานไม้สน

                                                                               บทที่ 1

                เสียงลมหายใจกระเส่าผสมปนเปไปกับเสียงคล้ายกรนของคนเจ้าเนื้อดังอยู่ภายในห้องนอนส่วนตัวแสนหรูหรา บนเตียง

กว้างท่ามกลางความเย็นจัดของเครื่องปรับอากาศมีร่างของคนสองคนที่กำลังประกอบกิจกรรมพื้นฐานที่สุดของสัตว์โลกแม้กระทั่ง

มนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ



                  “อะ ฮัก ฮัก ท่าน ท่านช่วยสนด้วยสิครับ”



                 ร่างเพรียวบางผิวสีขาวเนียนราวกับไม่เคยออกแดดนั่งคร่อมอยู่บนเอวที่พอกพูนด้วยไขมันของชายสูงวัยที่อายุมากกว่าหก

สิบไปหลายปีแล้ว ใบหน้าหวานฉ่ำกว่าบุรุษเพศคนอื่นกำลังจือปากขบฟันด้วยแรงอารมณ์ที่เขาต้องกระตุ้นตนเองขณะบดสะโพกลงไป

ถูไถกับสิ่งที่สอดอยู่ในช่องทางเบื้องล่างของเขา



                    “ฉันยกเอวไม่ไหวแล้วสน โอ๊ย ดี อย่างนั้นแหละ เสียวโว้ย”



                   เจ้าของชื่อสนฉัตรอยากจะตะโกนออกมาด้วยความอัดอั้น เพราะคนที่นอนพังพาบอยู่เบื้องล่างอายุมากและอ้วนเผละ ตรง

ส่วนนั้นก็ยิ่งหดสั้นจนแทบจะเหลือเท่านิ้วก้อยในยามปกติ ขนาดว่าเขาเพียรปลุกปั่นก่อนหน้าที่จะสอดใส่มันเข้ามา แต่มันก็เหมือนใช้ไม้

จิ้มฟันสะกิดเนื้อหนังของเขาเท่านั้น



                       “ฉันไม่ไหวละสน โอยจะแตก”



                      “ท่านครับ อย่าเพิ่ง ผมยังไม่ได้...”



                สนฉัตรสบถออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อรับรู้ว่าท่อนเนื้อที่อยู่ภายในนั้นหมดแรงลงอย่างกะทันหัน ชายชราเบื้องล่างหายใจ

หอบหนักอย่างยากลำบากจนน่ากลัวว่าจะขาดอากาศทั้งที่ใบหน้ายิ้มกริ่มด้วยความสุขสมไปแล้ว โดยไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร



                   “เก่งจริง ๆ สน ไม่เสียแรงที่ฉันเอาแกมาชุบเลี้ยงจากเด็กข้างถนน แต่ตอนนี้ฉันไม่ไหวละ”



                 “เหี้ยเอ๊ย”



                 ชายหนุ่มที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบปีหลุดคำหยาบออกมาเต็มปากเต็มคำเมื่อเห็นชายชราเจ้าของบ้านแผ่พังพาบและนอนกรน

เสียงดังสนั่นทั้งที่เขาก็ยังนั่งคร่อมอยู่บนเอว เขาลุกออกจากตรงนั้นก่อนจะเดินลงส้นเข้าไปยังห้องน้ำหรูและใช้มือจัดการตัวเองที่ยัง

ค้างเติ่ง จนกระทั่งน้ำเมือกขาวขุ่นพุ่งรดมือจึงได้สบถด้วยความหงุดหงิดอีกครั้งแล้วจึงอาบน้ำเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าชุดเดิมออกจากห้องน้ำ


               สนฉัตรเดินมาหยุดยืนปลายเตียงจ้องมองชายชราอย่างสมเพช ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ระดับที่เคย

เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญมาแล้วหลายกระทรวงแต่ก็ต้องหยุดบทบาททางการเมืองเพราะปัญหาความรุนแรง แต่ถึงกระนั้นนายทรง

เดชก็ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ให้บริหารและยังมีอิทธิพลในสังคมอยู่มาก


                   แต่ตอนนี้ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองนอนแผ่ไม่เป็นท่ากับเซ็กส์ห่วย ๆ ที่ไม่เคยทำให้คู่นอนอย่างเขาได้สุขสมสักครั้งในระยะ

หลังมานี้ ทั้งที่เจ้าตัวพยายามแสดงออกให้ผู้ใต้อำนาจรู้ว่ายังเตะปี๊บดังอยู่และมีคนข้างตัวคือชายหนุ่มรุ่นหลานอย่างสนฉัตร ใครจะรู้ว่า

ทุกครั้งที่ทรงเดชมีความต้องการนั้นสนฉัตรคือผู้ที่ต้องช่วยให้คนแก่อย่างทรงเดชบรรลุเป้าหมาย แต่เขาเองกลับไม่เคยอิ่มเอมจากเพศ

รสแม้สักครั้ง



                     “เมื่อไหร่จะตายตามเมียมึงไปสักทีไอ้อ้วนหมูตอนแก่หงำเหงือก”



                   สนฉัตรเค้นเสียงอยู่ในลำคอ เขายังไม่กล้าออกฤทธิ์มากกว่านี้เพราะตัวเองก็ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของทรงเดช อันที่จริงก็

ถือว่าทรงเดชมีบุญคุณต่อสนฉัตรอยู่เหมือนกันที่เก็บเขามาชุบเลี้ยงตั้งแต่อายุได้สิบขวบ แต่สำหรับสนฉัตรบุญคุณนั้นหมดไปแล้วตั้งแต่

นายทรงเดชบังคับให้เขาปรนนิบัติด้วยร่างกายตั้งแต่เพิ่งจะใช้คำนำหน้าว่านายได้ไม่กี่เดือน


                 นายทรงเดชเคยมีภรรยา ใช้คำนำหน้าว่าคุณหญิงอะไรสักอย่างที่สนฉัตรไม่อยากใส่ใจ สตรีที่ทำคอเชิดอยู่ในวงสังคมว่า

อุทิศตนเพื่อผู้ยากไร้แต่เมื่ออยู่ในบ้านกลับกดหัวคนในบ้านจนเทียบเท่าฝุ่นละออง ตอนที่สนฉัตรเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ใหม่ ๆ เมียของ

นายทรงเดชมองเขาราวกับเป็นขยะ เขาถูกเลี้ยงต่ำต้อยยิ่งกว่าคนรับใช้ในบ้าน ยังดีที่มีทรงเดชคอยปรามได้บ้าง จนกระทั่งในวันหนึ่งที่

รับรู้ว่าสามีบังคับให้เด็กผู้ชายในบ้านมาปรนเปรอความสุข เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นจากสตรีวัยหกสิบกว่า



                    “คุณจะบ้าหรือไงถึงไปเอาไอ้สนมานอนด้วย”



                  สนฉัตรจำได้แล้วว่าเมียของทรงเดชชื่อคุณหญิงอำไพ วันนั้นเขาถูกตบตีจนผิวขาวขึ้นรอยเป็นริ้ว ในขณะที่ชายแก่ที่ทั้ง

สร้างและทำลายเขาทำได้เพียงนั่งส่ายหน้าอย่างระอา



                 “จะโวยวายให้มันได้อะไรขึ้นมาอำไพ”



                 ทรงเดชตวาดตัดบท เขามองภรรยาของเขาด้วยความเบื่อหน่าย



                 “คุณควรจะสบายใจมากกว่าที่ผมเลือกไอ้สนมาช่วยบำบัดความต้องการที่คุณซึ่งเป็นเมียทำไม่ได้”



                “แต่ไอ้สนมันเป็นผู้ชาย” อำไพไม่ยอมแพ้



                “นี่คุณวิปริตผิดเพศถึงกับเอาผู้ชายด้วยกันแล้วหรือไง ถ้าใครรู้เข้าว่าอดีตรัฐมนตรีทรงเดชเอาเด็กผู้ชายมาทำเมีย ฉันจะเอา

หน้าไปไว้ไหน”



                  “ก็ไว้บนบ่านั้นแหละ” ทรงเดชหงุดหงิดจนอดตอบโต้ไม่ได้



                “ถ้าไม่มีใครในบ้านเอาไปโพนทะนาก็ไม่มีใครรู้หรอก ไอ้ผมน่ะไม่เท่าไหร่จะมีก็แต่คุณเองนั่นแหละที่หน้าบางทนไม่ไหว ถ้า

ไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็หุบปากของคุณไว้ดีกว่า”



                       ในวันนั้นคุณหญิงอำไพโกรธจนความดันขึ้นต้องส่งโรงพยาบาล และหลังจากนั้นภรรยาของทรงเดชก็เริ่มป่วยกระเสาะ

กระแสะเพราะวัยที่มากขึ้น อำไพเคยล้มเพราะเส้นเลือดในสมองแตกจนกลายเป็นอัมพาตนอนติดเตียงอยู่นาน จนกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อ

ปีที่แล้ว ทรงเดชและอำไพไม่มีบุตรด้วยกันประมุขของบ้านจึงไม่ลำบากใจนักที่จะเริ่มเปิดเผยต่อคนใกล้ชิดในพรรคการเมืองว่ามีความ

สัมพันธ์กับเด็กในบ้านอย่างสนฉัตร


                  ต่อหน้าทรงเดชพวกลูกน้องที่รู้ว่าเขาเป็นเด็กเลี้ยงในบ้านก็จะพินอบพิเทา แต่สนฉัตรรู้ดีว่าพวกเขาเหล่านั้นส่งสายตา

เหยียดหยามลับหลัง สนฉัตรจำเป็นต้องทำเหมือนไม่สนใจสายตาเหล่านั้นทั้งทีในหัวใจมีแต่ความกรุ่นโกรธ เขาได้แต่ระบายความขุ่น

ข้องด้วยการจับจ่ายใช้เงินที่ทรงเดชมอบไว้ให้ใช้บำรุงบำเรอความสุขตนเอง


                 ทรงเดชเลี้ยงดูเขาเหมือนนกน้อยในกรงขัง หากสนฉัตรจะเดาออกสักนิดว่าทำไมทรงเดชถึงรับเขาที่นอนเจ็บอยู่ข้างถนน

มาเลี้ยงให้ข้าวให้น้ำ จนสนฉัตรกลายร่างจากหนอนน่าเกลียดเป็นผีเสื้องดงามตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม นั่นเพราะทรงเดชเห็นวี่แววความ

หน้าตาดีของสนฉัตรตั้งแต่แรกเห็นถึงแม้สนฉัตรจะมอมแมมทั้งตัว ทรงเดชส่งเสียให้สนฉัตรเรียนหนังสือแต่อำไพก็ขัดคอและบังคับให้

เขาเรียนที่โรงเรียนวัดไม่ไกลจากบ้านนัก ทรงเดชไม่อยากขัดภรรยาเรื่องนี้จึงต้อนโอนอ่อนผ่อนตาม และในที่สุดเมื่อสนฉัตรอายุได้สิบ

ห้านิด ๆ เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่สาม รูปร่างหน้าตาของเขาก็เปล่งประกายออกมา


                   สนฉัตรไม่ใช่คนสูงมากนักเมื่อยืนเทียบกับเด็กหนุ่มวัยเดียวกัน เขามีรูปร่างผอมบางเพรียวลม และใบหน้าของเขาก็ออก

จะไปในแนวหวานคล้ายผู้หญิง ด้วยความที่ต้นกำเนิดจากมารดาที่ใช้อาชีพขายตัวและท้องกับแขกที่เป็นชาวต่างชาติ สนฉัตรจึงกลาย

เป็นเด็กลูกครึ่งที่ไม่รู้ว่าอีกครึ่งคือชาติไหน แต่ส่งผลให้เขามีเครื่องหน้าคมกริบไปทุกส่วน ผมสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติ คิ้วโก่งเรียวคล้าย

ถูกกันจากช่างเสริมสวยฝีมือดี จมูกโด่งรับกับปากอิ่มสีแดงระเรื่อ และนั่นเองที่ทำให้ทรงเดชตัดสินใจครอบครองร่างกายนี้ตั้งแต่ตอนนั้น

เป็นต้นมา ทรงเดชบังคับให้สนฉัตรออกจากโรงเรียนเมื่อจบชั้นมัธยมต้น เขาหวงสนฉัตรโดยไม่คำนึงว่าสนฉัตรจะอยากเรียนต่อแค่ไหน



                 “เรียนไปทำไมมากมาย หือไอ้สน ยังไงแกก็ต้องมาคอยปรนนิบัติฉันอยู่ดี” นั่นคืออีกอย่างที่สนฉัตรเจ็บช้ำใจ



               บัดนี้สนฉัตรอายุสิบเก้าปีเศษ เก้าปีเต็มตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างมาสู่บ้านหลังใหญ่ที่มีรั้วสูงกักขังเขาจากโลกภายนอก สี่ปี

เต็มที่กลายเป็นสมบัติของทรงเดช สนฉัตรเกลียดชะตาชีวิตเช่นนี้ เขาก่นด่าอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ต้องเผชิญแต่ความเลวร้ายตั้งแต่จำ

ความได้ หากปีกกล้าขาแข็งเมื่อไหร่สนฉัตรจะไปเสียให้พ้นความน่าชิงชังขยะแขยงนี้


                เขามองร่างอ้วนพุงพลุ้ยของทรงเดชด้วยสายตาเกลียดชังก่อนจะสะบัดหน้าหนีและเดินออกมาจากห้องนอนของทรงเดชที่

เหมือนนรกสำหรับเขา สนฉัตรเดินมายังชั้นล่างของตัวบ้านหลังใหญ่ในเวลาเที่ยงคืน มีแต่ความมืดสลัวของแสงไฟจากภายนอกและ

ความเงียบสงัดเป็นเพื่อน


                 ทรุดตัวลงนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ สนฉัตรคว้าแก้วใสเจียรนัยอย่างดีมาใบหนึ่งจากนั้นจึงดึงขวดเหล้าราคาแพงที่เคยเปิดไว้แล้ว

ออกมารินใส่แก้ว เขายกมันกรอกเข้าปากก่อนจะกลืนลงไปพลางทำหน้าเหยเกกับฤทธิ์ร้อนของแอลกอฮอล์


                 ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำจากประตูทางเข้าบ้าน สนฉัตรไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำว่าเป็นใคร เขาสนใจแต่เหล้าสีอำพัน

ในขวดที่เทใส่แก้วแล้วสาดลงลำคอเป็นแก้วที่สอง จนกระทั่งฝีเท้านั้นมาหยุดลงตรงหน้า






มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 1 [03/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-12-2017 12:42:12
อ่านต่อตรงนี้...



                   “โอ้โฮ ถึงว่าช่วงนี้ทำไมอากาศปรวนแปร เพราะคุณนกหงส์หยกมานั่งดื่มอยู่คนเดียวตอนมิดไนท์นี่เอง”


                  “เสือก”


                  สนฉัตรเงยหน้ามองเจ้าของเสียงแดกดันนั้น คนตรงหน้าเป็นผู้ชายที่อายุมากกว่าเขาสี่ปี รูปร่างสูงหน้าตาคมเข้มผิวสีแทน

ด้านหลังสะพายกล่องเก็บกีต้าร์คู่ใจที่ใช้เป็นเครื่องมือหารายได้เสริมด้วยการเป็นนักดนตรี

                 ผู้ชายคนนี้ชื่อจริงว่าปวิธ ชื่อเล่นเปลว เขาเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ก่อนหน้าสนฉัตรในฐานะหลานคนหนึ่งของทรงเดช

แต่ก็เป็นหลานที่ค่อนข้างห่างหากจะนับญาติ ยายของปวิธเป็นลูกพี่ลูกน้องของทรงเดชไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ และเมื่อแม่กับพ่อของปวิธ

ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็กยายของปวิธไม่มีปัญญาเลี้ยงดู ปวิธจึงถูกส่งมาอยู่กับญาติห่างๆ อย่างทรงเดช ปวิธคิดอยู่เสมอว่า

เขามาพึ่งพาอาศัยใบบุญของทรงเดช เขาจึงไม่ขออะไรมากไปกว่าค่าเทอมการศึกษา ปวิธเลือกเรียนทางสายเทคนิคเพื่อที่เขาจะมีเวลา

หางานพิเศษอื่น ๆ ทำ ปวิธประพฤติตนเช่นนี้จนกระทั่งเขาเรียนในปีสุดท้ายระดับปริญญาตรีในวิทยาลัยเทคนิคคณะสถาปัตยกรรม


               คุณหญิงอำไพให้ความเอ็นดูปวิธมากตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่เขาเป็นเพียงหลานห่าง ๆ ของสามี เขาให้ความเคารพคุณหญิง

อำไพและเริ่มรู้สึกไม่ดีกับสนฉัตรตั้งแต่รู้ความจริงว่าเด็กหนุ่มกำพร้าคนนี้สร้างความแตกแยกให้แก่ผู้มีพระคุณของเขา และยิ่งคุณหญิง

อำไพต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บช้ำจนเสียชีวิตเขาก็ยิ่งชิงชังหน้าตาหวาน ๆ ที่สนฉัตรใช้เป็นเครื่องมือไปสู่ความสุขสบาย

                     ปวิธเดาท่าทีของสนฉัตรออกตั้งแต่เด็กแล้ว คนตรงหน้ามักจะเชิดหน้าผยองและมองเขาด้วยหางตาทุกครั้งราวกับเขา

เป็นไส้เดือนกิ้งกือ และเมื่อทรงเดชเริ่มเปิดเผยความสัมพันธ์ สนฉัตรก็ยิ่งทำตัวเห่อเหิมใช้เงินเป็นเบี้ยอย่างคนไม่รู้คุณค่าจนปวิธอดไม่

ได้ที่จะค่อนแคะบ่อยครั้ง


                 “สงสัยคุณนกหงส์หยกจะเหงา ให้ผมนั่งเป็นเพื่อนแก้เหงาไหมล่ะ”


                 ปวิธไม่สนใจคำด่าทอหยาบคาย ยิ่งแหย่ให้สนฉัตรอารมณ์เสียได้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น เขามองใบหน้า

หวานที่กำลังขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เจ็บใจที่ต้องยอมรับว่าขนาดทำหน้าบึ้งตึงแต่สนฉัตรก็ยังดูดีเสมอ


                  “ไปให้ไกลๆ กูไอ้เปลว”


                แม้ปวิธจะอายุมากกว่าถึงสี่ปีแต่สนฉัตรก็ไม่เคยเคารพ คำพูดคำจาระหว่างกันจึงเป็นภาษาที่ไม่ไพเราะเท่าใดนัก สนฉัตร

เกลียดหน้าปวิธตั้งแต่ยังเด็กที่มีคุณหญิงอำไพหนุนหลัง เขามองว่าปวิธคือหนึ่งในเครื่องมือที่คุณหญิงอำไพใช้กลั่นแกล้งเขา


                 “หงุดหงิดอะไรนักหนาล่ะ หรือว่าวันนี้คุณลุงปรนเปรอให้ไม่พอ ก็เลยร้อนรุ่มอยากหาที่ระบาย”


                “ไอ้เปลว”


                 “ถ้าอยากมากเดี๋ยวกูไปตามบอดี้การ์ดของลุงมาสักสองสามคนให้ช่วยสงเคราะห์มึงเอาไหมไอ้สน”


                 “ไอ้เหี้ยเอ๊ย”


                 สนฉัตรเลือดขึ้นหน้า เขาวางแก้วเหล้าอย่างแรงจนมันแตกกระจาย จากนั้นเขาก็โผเข้าหาและง้างหมัดชกไปที่ใบหน้าของ

ปวิธ อีกฝ่ายขยับตัววูบจนปลายหมัดเพียงแค่ถากแก้มของปวิธเท่านั้น ปวิธฉวยโอกาสคว้าข้อมือเล็กของสนฉัตรไว้ได้ คนตัวเล็กกว่าส่ง

สายตาเดือดดาลก่อนจะใช้อีกมือหมายจะต่อยอีกครั้ง คราวนี้ปวิธก็ยังไม่พลาด เขาคว้าแขนของสนฉัตรได้อีกข้าง ทั้งคู่จึงยื้อยุดกันไป

มา


                   “ทำไม กูพูดจี้ใจดำมึงเหรอไอ้สน” ปวิธลอยหน้าลอยตาถาม


                 “คนเราถ้าไม่ร่านจริงจะยอมให้คนแก่คราวปู่ระเบิดเหมืองทองหรือไงวะ”


                 “ไอ้เปลว!”


                สนฉัตรเจ็บใจกับคำพูดดูหมิ่นของปวิธจนขอบตาร้อนผ่าว เขาเชิดหน้าขึ้นแค่นยิ้มเยาะหยันส่งกลับ


                “แล้วมึงล่ะดีกว่ากูตรงไหนไอ้เปลว ไอ้ที่คุณหญิงป้าของมึงรักมึงนักหนาน่ะ อย่าให้สืบได้นะว่าเขารักเพราะมึงปรนเปรอผู้

หญิงคราวยาย”


                  “ไอ้สน!”


                 ปวิธเดือดขึ้นมาทันทีเมื่อเจอคำใส่ความของสนฉัตร เขาปล่อยมือจากข้อมือเล็กและเงื้อแขนสูง หากแต่กำปั้นกลับชะงัก

เมื่อสนฉัตรไม่คิดหลบแถมยังเชิดหน้าท้าทาย


                 “โมโหเหรอ เอาซี้ ต่อยหน้ากูนี่ แรง ๆ เลยนะ กูจะได้เอาหน้าที่มีรอยฟกช้ำไปอวดลุงของมึง แล้วก็ฟ้องว่าถูกหลานที่แสนดี

ต่อยมาเพราะโมโหที่กูพูดความจริง”


                  ปวิธโมโหจนพูดไม่ออก ทั้งคู่สบตากันราวกับโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติก่อน สนฉัตรเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบด้วยน้ำ

เสียงที่พยายามกดให้ราบเรียบที่สุด


                “อย่ามายุ่งกับกูอีก มึงก็อยู่ส่วนของมึงไป มึงเกลียดกูและกูก็เกลียดมึง เพราะฉะนั้นก็อยู่อย่างคนที่เขาเกลียดกันนั่นแหละ

ดีแล้ว”


                 ปวิธมองตามร่างโปร่งที่สะบัดหน้าหนีก้าวเร็ว ๆ ขึ้นบันไดไปยังชั้นสองและหายลับไปในห้องส่วนตัวที่ทรงเดชจัดไว้ให้

ความร้อนระอุยังอัดแน่นอยู่ในอกจนแทบระเบิดออกมา


                เขาเกลียดสนฉัตร คนที่ทำทุกอย่างเพื่อความสุขสบายแม้จะไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีทางที่ปวิธจะยอมญาติดีกับคนอย่างสนฉัตร




                 ไม่มีทาง!



                                                                       TBC


เปิดตัวเรื่องใหม่ ฮ่า ๆๆๆๆ เรื่องเก่าก็ยังค้างอยู่ ช่างกล้า

นิยายเรื่องนี้เป็นแนวดราม่าที่แรงที่สุดตั้งแต่บีเลิฟเคยแต่งมา

สายดราม่าเป็นกำลังใจให้ด้วยน้า


ส่วนเรื่อง วิญญาณเสน่หา กับ มนุษย์ทาสแมว

ก็จะแต่งสลับกันไปจ้า ได้อ่านสลับอารมณ์กันทุกเรื่องเลย


                                  :a2: :a2: :a2: :a2: :a2:






หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 1 [03/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 03-12-2017 12:50:00
คนละแนวเลยค่ะ 55 รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 1 [03/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-12-2017 19:24:12
เกลียดกันเหรอ น่าสนใจ  :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 1 [03/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 03-12-2017 20:21:33
สังหรว่ามันจะดราม่ามาก กลัวใจนักเขียนมากๆๆๆๆ จากอินโทรคิดว่านางคงตายแน่ๆ ไม่จริงใช่ไหม :katai1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 1 [03/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 03-12-2017 20:26:41
สงสารนางถึงมีคนเลี้ยงก็เหมือนเลือกหนูตะเพา
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 1 [03/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 08-12-2017 16:48:10
รอตอนต่อไป :katai2-1:
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 2 [09/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 09-12-2017 19:46:56


                              เนื้อหาในบทนี้มีความรุนแรงเชิงสังคม

                                            ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ค่ะ




                                                                                 วิมานไม้สน

                                                                                    บทที่ 2


              สนฉัตรปิดประตูห้องดังปังอย่างไม่กลัวว่าใครจะมาด่าทอเพราะบนตึกใหญ่มีเพียงเขากับทรงเดชเท่านั้น ส่วนปวิธนั้นอาศัยอยู่

ในห้องเล็ก ๆ ทางด้านหลังของตัวบ้านหลังใหญ่ที่เขาขอให้ทรงเดชต่อเติมเป็นห้องสี่เหลี่ยมไว้ให้เขาได้ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนเพราะปวิธมี

อาชีพเสริมเป็นนักดนตรีในตอนกลางคืน เวลาเข้าออกจากบ้านจะได้ไม่เป็นการรบกวนคนในบ้านมากนัก


                 ตั้งแต่อำไพเสียชีวิต ทรงเดชก็ยกห้องชั้นบนให้สนฉัตรห้องหนึ่ง ยิ่งทำให้เขาตกเป็นขี้ปากของคนในบ้านที่ยังภักดีต่ออำไพ

สนฉัตรได้แต่เก็บงำความขมขื่นเอาไว้และได้แต่เชิดหน้าสวนกระแสสายตาเหล่านั้น ทำไมล่ะ อย่างน้อยเขานี่แหละคือคนที่เจ้าของบ้าน

ทั้งรักทั้งหลง ส่วนใครจะมองอย่างไรก็มองไป สนฉัตรจะไม่สนใจทั้งนั้น


                 ชายหนุ่มล้มตัวลงบนที่นอนนุ่ม หากแต่ความกว้างของมันกลับทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน สนฉัตรเกลียดความ

รู้สึกเหล่านี้ มันทรมานจนแทบขาดใจกว่าที่เขาจะข่มตาให้คล้อยหลับลงได้


                  ภาพแห่งความหลังปะทุขึ้นมาอยู่ในจิตใต้สำนึกแม้ว่าสนฉัตรจะพยายามลืมมันให้หมด แต่ใครจะรู้ว่ามันฝังลึกอยู่ในจิตใจ

จนกลายเป็นตะกอนสีดำและพร้อมจะลอยวนขึ้นมาตลอดเวลาหากมีสิ่งใดมาสะกิด ร่างกายบอบบางสั่นสะท้านจนต้องขดตัวงออยู่ภายใต้

ผ้าห่มผืนใหญ่เมื่ออดีตของเขาผุดขึ้นมาเป็นความฝันที่แสนเลวร้าย
 






               “ทำสิ กูบอกให้มึงทำ ดื้อนักเหรอมึง”



                เด็กชายสนฉัตรตัวน้อยไม่เกินหกขวบแทบจะปลิวไปกองกับพื้นเมื่อถูกฝ่ามือของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าพ่อเลี้ยงตบลงมาดังฉาด

แก้มเนียนของเด็กน้อยขึ้นรอยสีแดงก่ำจนเจ้าตัวร้องไห้จ้า



              “ดื้อชิบหาย เด็กเหี้ยอะไรวะ กูบอกให้มึงอม---ให้กูไง หูมึงแตกเหรอ”



               เส้นผมสีน้ำตาลละเอียดถูกกระชากจนตัวลอยขึ้นมาทั้งที่ยังร้องไห้ สนฉัตรถูกกดหัวจนใบหน้าถูไถอยู่กับท่อนลำแข็งกระด้าง

ของผู้ชายคนนั้น



                  “ไอ้ป๋อง มึงก็เบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวข้างห้องเขาก็ด่าเอาอีกหรอก”



                  ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นแม่แท้ ๆ ส่งเสียงเตือนพลางตะไบเล็บทาสีแดงสดอย่างไม่สนใจสิ่งที่สามีใหม่กำลังทำต่อลูกในไส้

หล่อนมองภาพสามีที่อายุน้อยกว่าหลายปีกำลังกดหัวลูกชายวัยหกขวบให้จัดการตรงนั้นของเขาอย่างนึกระอาเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ดัง

ลั่น



                  “ก็ดูลูกมึงสิอีจ๋า”



                  ป๋องตวาดเมื่อไม่ได้ดังใจ



                “มึงสั่งสอนลูกของมึงบ้างหรือเปล่าว่าให้เชื่อฟังพ่อแม่ นี่อะไรกูสั่งให้อมยังนั่งโง่อยู่ได้”



               “ไอ้สนมันยังเด็ก ประสาที่ไหน มานี่กูทำให้ก็ได้”



                จ๋าขยับลุกจากที่นั่งหน้าโต๊ะกระจกในห้องเช่าแคบ ๆ เพียงก้าวเดียวก็ถึงตัวสามีกับลูกชาย ป๋องมองหน้าภรรยาก่อนจะสบถ

หยาบคายและยกเท้าขึ้นถีบจนจ๋าร่วงไปกองกับพื้น



                 “ไอ้เหี้ยป๋อง มึงถีบกูทำไม”



                จ๋าส่งเสียงกรี๊ดออกมาเมื่อถูกทำร้ายร่างกาย



                “มึงอยู่ตรงนั้นแหละอีกะหรี่ แก่จนรูหลวมโพรกแล้วอย่ามาสะเออะ ไอ้สนมานี่”



                “แม่ แม่จ๋า”



                 สนฉัตรร้องไห้ฮือตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่อใบหน้าของเขาถูกบีบจนบิดเบี้ยว แล้วทันใดนั้นท่อนเนื้อใหญ่ยักษ์ก็เสียบ

เข้ามาในปากเล็กอย่างไม่ใยดี



               “ไอ้ป๋อง ไอ้เหี้ย นี่มึงเมายาหรือเปล่า เดี๋ยวไอ้สนมันก็ตายหรอก”



               จ๋ายังพอจะสนใจลูกอยู่บ้าง หล่อนผวาขึ้นมาและพยายามผลักให้ป๋องปล่อยสนฉัตร แต่สามีวัยรุ่นหันมามองตาขวาง ป๋อง

ผลักสนฉัตรออกไปก่อนจะหันมากระชากเส้นผมของจ๋าและตบลงไปบนใบหน้าเสียงดังหลายฉาด



                  “อีจ๋า อีกะหรี่แก่ สำนึกบ้างว่าทุกวันนี้มึงอยู่ได้เพราะเงินของใคร น้ำหน้าอย่างมึง รูหลวม ๆ อย่างมึงไปนอนแบกลางถนน

ยังไม่มีใครอยากเอา ถ้ามึงไม่มีกูเลี้ยงอยู่เพราะไอ้เงินที่กูขายยา มึงกับลูกกะหรี่ของมึงก็ไปนอนตายข้างถนนเหอะ”



                จ๋าทรุดฮวบไปกองกับพื้นเมื่อหล่อนสู้แรงสามีไม่ไหว ใบหน้าของหล่อนบวมปูดอย่างเห็นได้ชัด ป๋องยังไม่สาแก่ใจจนต้อง

ยกเท้าขึ้นมากระทืบลงไปบนหน้าท้องของจ๋าที่ได้แต่ส่งเสียงร้องโหยหวน



              “ยังอีกอีโง่ ยังไม่รีบบอกให้ลูกมึงมาทำให้กูอีก อยากโดนกระทืบจนตายคาตีนใช่ไหม”



                จ๋าระบมไปทั้งตัว แต่หล่อนก็ต้องซมซานไปหาสนฉัตรที่นั่งร้องไห้อยู่ไม่ไกลนัก”



               “มึงจะร้องทำไมไอ้ตัวดี”



              จ๋ากัดฟันฝืนความเจ็บกายตะคอกใส่ลูก



                “มึงอยากเห็นกูตายเหรอไอ้มารหัวขน มันให้ทำอะไรมึงก็ทำ ๆ ไปเถอะ เร็วสิ”



                 คนเป็นแม่ผวาเมื่อเห็นผัววัยรุ่นเงื้อเท้าขึ้นมาอีกครั้ง จ๋ารีบกระชากสนฉัตรเข้ามาและเป็นฝ่ายกดหัวสนฉัตรให้จ่ออยู่ตรงหน้า

ท่อนเนื้อแข็งกระด้างของป๋องเสียเอง



             “อ้าปาก อม ๆ เข้าไปสิไอ้สน ไม่ตายหรอกน่า”



            จ๋าตวาดเมื่อเห็นลูกชายยังหวาดกลัว สนฉัตรจำใจอ้าปาก เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อป๋องเสียบมันเข้ามาในปากเล็กจนมุมปากแทบฉีก



             “เลียสิวะไอ้นี่ เอ้าอีจ๋าสอนลูกมึงหน่อย อย่าให้เสียชื่อกะหรี่มืออาชีพ”



                เด็กชายสนฉัตรน้ำตาไหลรินเมื่อถูกแม่ของเขาบังคับให้ทำเพื่อปรนเปรอความสุขแก่สามีของแม่โดยไม่เคยคิดถึงใจของเขา

แม้แต่น้อยและเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยไม่มีใครกล้าช่วยเหลือเขาแม้แต่คนเดียว







                “อีจ๋า พาไอ้สนไปกับกูหน่อย”



               วันหนึ่งในเวลาค่ำพ่อเลี้ยงของสนฉัตรออกปากสั่งให้แม่พาเขาขึ้นรถกระบะคันหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครไปด้วย จ๋าพาสนฉัตร

ขึ้นไปนั่งบนตักข้างกับพ่อเลี้ยง



               “ไปไหน แล้วนี่รถใคร”



               “หุบปากเถอะอีนี่ สงสัยอะไรนักหนาวะ”



                 ป๋องหันมาตวาดหน้าตามีพิรุธขณะเหยียบคันเร่งไปตามถนนเส้นเลียบชายทะเลในจังหวัดทางภาคตะวันออกที่เขาเกิดและ

อาศัยอยู่ที่นี่ จ๋าหันไปมองสามีหนุ่มพลางถามเสียงขุ่น



                   “ไม่ใช่ว่ามึงเอากูกับไอ้สนมาส่งยากับมึงนะไอ้ป๋อง”



                   ผลัวะ



                 หลังมือของป๋องลอยมากระทบปากของจ๋าทันที



                 “กูบอกให้มืงเงียบ”



                  ป๋องเหยียบคันเร่งอย่างระแวดระวัง แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกใจเมื่อมองเห็นรถตำรวจคันหนึ่งจอดซุ่มอยู่ใต้ต้นไม้ เสียง

ไซเรนดังขึ้นบาดแก้วหูจนสนฉัตรตกใจร้องไห้เสียงดังลั่น จ๋าเองก็หน้าซีดเผือด



                  “ไอ้ป๋อง พ่อมึงมา”



                 “สัสเอ๊ย”



                ป๋องสบถก่อนจะหักพวงมาลัยและเหยียบคันเร่งหนี รถตำรวจขับติดตามมาอย่างรวดเร็ว



              “เอาไงดีไอ้ป๋อง โอ๊ยไอ้สนเงียบหน่อย”



               ทั้งผัวทั้งเมียใจเต้นด้วยความตื่นเต้นและเคร่งเครียด ป๋องตัดสินใจคว้าปืนจากลิ้นชักด้านข้างออกมา



               “ไอ้ป๋อง จะบ้าหรือไง มึงจะสู้ตำรวจเหรอ ไอ้สนมาด้วยนะ”



                 “ดีสิ อีจ๋า มึงอุ้มไอ้สนชูขึ้นมาไอ้เหี้ยพวกนั้นจะได้ไม่กล้าทำอะไรเพราะเรามีเด็กมาด้วย”



                “แต่ว่า...”



                ด้ามปืนทุบลงมาที่ขมับของจ๋าจนหล่อนลนลาน



                “กลัวแล้ว คุณตำรวจ อย่ายิง มีเด็กมาด้วยค่ะ”



                 จ๋าอุ้มสนฉัตรขึ้นมาให้ตำรวจมองเห็น ระหว่างนั้นป๋องรีบเหยียบคันเร่งคิดจะหนี เขาไม่นึกว่าจะมีรถตำรวจอีกคันพุ่งมาดัก

หน้าจนเขาเบรกรถด้วยสัญชาตญาณ



               “เหี้ยเอ๊ย ตายไปเหอะพวกมึง”



                ป๋องตัดสินใจยิงสู้ และเมื่อเสียงปืนนัดแรกจากป๋องดังขึ้นสนฉัตรก็ตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินเสียงปืนอีกหลายนัดตามมา จ๋า

ตกใจจนปล่อยมือจากสนฉัตร เด็กน้อยเอาตัวรอดด้วยการลงไปอยู่ในช่องว่างวางเท้าและขดจนตัวงอ กว่าเสียงปืนจะเงียบลงก็พักใหญ่

จากนั้นเขาได้ยินเสียงแม่กรีดร้องขึ้นมาแทน สนฉัตรเงยหน้าขึ้นไปมองจึงเห็นว่าที่แม่กรีดร้องเพราะพ่อเลี้ยงของเขามีแต่เลือดและนอน

นิ่งอยู่ตรงเบาะรถ
 




มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 2 [09/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 09-12-2017 19:55:42


อ่านต่อตรงนี้...




                     เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นเร็วมาก สนฉัตรมาเข้าใจตอนโตแล้วว่าพ่อเลี้ยงของเขาถูกวิสามัญฆาตกรรม ส่วนแม่ถูกจับกุม

ตัวเข้าคุกในข้อหาร่วมกันค้ายาบ้า และสนฉัตรก็ถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

                    ชีวิตของเด็กในสถานสงเคราะห์เหมือนจะดีขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ยังมีข้าวให้กินแม้จะไม่อร่อยเท่าไหร่ เด็กในบ้านมี

จำนวนมากจนต้องนอนรวมกันราวห้องละสิบคนบนที่นอนฟองน้ำที่วางไว้เรียงราย ในช่วงปีแรกสนฉัตรต้องปรับตัวกับเด็กโตกว่าที่มา

รังแก แต่ไม่นานเขาก็พอจะเข้ากับเพื่อนได้บ้าง

                      เด็กชายสนฉัตรในวัยแปดขวบค่อย ๆ เจริญเติบโตมีเนื้อมีหนังขึ้นบ้าง เขาไม่เคยคิดถึงแม่ และความรุนแรงที่พ่อเลี้ยง

กระทำยังคงฝังใจ ความเลวร้ายยังไม่จบกับเขาแค่นั้นเมื่อสถานสงเคราะห์เด็กมีครูผู้ปกครองคนใหม่เข้ามาทำงาน

                      ครูผู้ปกครองเป็นผู้ชายสูงอายุหน้าดุ หากใครดื้อเขาจะสั่งให้เข้าไปในห้องปกครองและลงโทษด้วยการตีจนน่องลาย

เด็กทุกคนขยาดหวาดกลัวจนไม่กล้าทำอะไรขัดคำสั่งแม้แต่ตอนที่ครูก้าวเข้ามาในห้องนอนของเด็กตอนกลางคืนและเอนกายลงนอน

ขนาบข้างอยู่ด้านหลัง เช่นในคืนนี้คนที่โชคร้ายคือสนฉัตร!

                     สนฉัตรสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีท่อนแขนใหญ่โอบลงมาบนเอวของเขา รวมทั้งอีกมือที่ปิดลงมาบนปากเล็ก


                    “ชู่ว ครูเอง”


                     เด็กน้อยได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา เขาจำได้ทันทีว่านั่นคือเสียงครูห้องปกครอง


                      “ครูมาเยี่ยมสนนะ”


                     สนฉัตรกวาดสายตาในความมืด ไม่มีเพื่อนสักคนที่ขยับตัว ทุกคนนอนนิ่งราวกับไร้ลมหายใจ


                   “อึก ครู”


                    “สนอย่าร้องนะ ครูแค่อยากมาดูว่าเด็ก ๆ นอนกันหลับไหม”


                  พูดอย่างนั้นแต่มือสากกลับเลื่อนมาอยู่ที่เป้ากางเกงของสนฉัตร เด็กชายนอนตัวแข็งเมื่อมันกำลังลูบไล้ไปมา เสียงของครู

สั่นพร่าขณะกระซิบ ตอนนี้สนฉัตรขนลุกไปหมดทั้งตัว


                “ถอดกางเกงสิสน ครูขอถูนิดเดียว อย่าดื้อ”


                 สนฉัตรนอนตัวสั่นเมื่อครูดึงกางเกงขาสั้นของเขาลง รู้สึกถึงอะไรบางอย่างถูไถอยู่ที่ร่องก้นของเขา


               “สนเป็นเด็กน่ารัก อย่าดื้อกับครูนะ รู้ใช่ไหมว่าถ้าดื้อกับครูผลจะเป็นยังไง ครูจะตีจนคลานเลย อา”


                 เขานอนตะแคงหันหลังและปล่อยให้ครูล่วงเกินอย่างจำใจ สนฉัตรไม่อยากถูกไม้เรียวฟาดลงมาจนน่องปูด น้ำตาของเด็ก

น้อยไหลรินจนกระทั่งได้ยินเสียงครูครางอย่างสุขสม


               “ดีมาก สนน่ารักจริง ๆ”


                  ครูลุกออกไปแล้ว ประตูห้องปิดลงจนเหลือแต่ความเงียบคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น สนฉัตรได้แต่เหลียวมองไปรอบห้องด้วย

น้ำตาแห่งความหวาดกลัว เขาสบตากับเพื่อนคนอื่นจึงได้รู้ว่าไม่มีใครหลับแต่ก็ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือ  ทุกคนอยู่ด้วยความหวาดระแวง

                  ไม่นานหลังจากนั้นโชคร้ายก็มาเยือนสนฉัตรอีกครั้งหลังจากวนเวียนไปหาเพื่อนห้องอื่นพักใหญ่ สนฉัตรนอนตัวแข็งเมื่อ

ร่างใหญ่ราวกับยักษ์ในสายตาของสนฉัตรมาเยือน


                 “สนคนดีของครู”


                “ครูครับ สนไม่...”


                 “อยากถูกทำโทษใช่ไหม”


                 สนฉัตรสะดุ้งสุดตัวเมื่อท้องของเขาถูกครูหยิกอย่างแรง เขาเผลอร้องออกมาแต่เพื่อนในห้องก็เงียบกริบเช่นเคย


                 “ก็รู้อยู่ถ้าดื้อจะโดนอะไร หันหลังสิสนเหมือนเคยนั่นแหละ”


                 เด็กน้อยจำใจหันหลัง เขาถูกมือใหญ่ล่วงเกินด้านหน้าด้วยการลูบคลำ ด้านหลังเขาถูกท่อนเนื้อถูไถไปตามร่องก้น แต่วันนี้

สนฉัตรตัวแข็งเมื่อปลายนิ้วของครูสอดเข้ามาในก้นของเขา


                “ถ้าร้อง ครูจะตีเธอ”


               เสียงครูใหญ่กระซิบข่มขู่ สนฉัตรกัดฟันกั้นก้อนสะอื้นเมื่อปลายนิ้วนั้นแหวกวนอยู่ในช่องทาง สนฉัตรขยะแขยงเสียเหลือเกิน

แต่เสียงไม้เรียวแหวกอากาศกลายเป็นเครื่องมือข่มขู่เขาได้เป็นอย่างดี


                 “อา ตัวแค่นี้แต่ทำให้ครูเสียวมาก พรุ่งนี้ไปหาครูที่ห้องนะ”


                “ไม่ ครูครับ สนไม่...”


               “บอกแล้วว่าครูเกลียดเด็กดื้อ”


                เสียงเหี้ยมดังกลบเสียงหัวใจเต้น สนฉัตรสะอื้นออกมา


               “ถ้าไม่ไป ครูจะจัดการขั้นเด็ดขาด เธอก็รู้ว่าครูทำได้”


                 ร่างยักษ์มารก้าวออกไปแล้ว สนฉัตรดึงกางเกงขึ้นมาใส่พลางขดตัวงอราวกับเด็กทารกหาที่คุ้มภัย



                 “มึงจะไปหาครูหรือเปล่า”



                ในเย็นวันรุ่งขึ้น เพื่อนในห้องที่นอนติดกันเอ่ยถาม สนฉัตรกัดฟันตอบ



                “ไม่ กูไม่ไป”



                 “แต่ว่ามึงจะโดนตีนะโว้ย”



                 แม้จะกลัวแต่สนฉัตรอยากจะลองเสี่ยง และแล้วสนฉัตรก็รู้ว่าเป็นการเสี่ยงที่ได้ไม่คุ้มเสียเลยเมื่อเขาถูกกระชากจากที่นอน

ในยามดึกลากออกมานอกห้องและถูกตีด้วยไม้เรียว



                 “ดื้อนักหรือ รู้ไหมจุดจบของเด็กดื้อเป็นยังไง กล้าหือกล้าขัดคำสั่งใช่ไหม ห้ามร้องนะ”



                  ไม้เรียวฟาดเข้าที่ร่างกายของสนฉัตรนับครั้งไม่ถ้วนกว่าที่ครูจะปล่อยให้เขาซมซานกลับไปนอนจนไข้ขึ้น หลังจากวันนั้น

สนฉัตรจำเป็นต้องยอมให้ครูล่วงเกินเขาจนในที่สุดสนฉัตรก็ทนไม่ไหว เขาตัดสินใจหนีออกไปจากขุมนรกเมื่ออายุได้สิบขวบ
 





                 “พรุ่งนี้จะมีรัฐมนตรีกระทรวงอะไรก็ไม่รู้จากรุงเทพมาทำพิธีเปิดอาคารใหม่”



                เพื่อนบอกกับเขา สนฉัตรหูผึ่ง



                “เขาจะเลี้ยงข้าวกลางวันเราด้วยนะไอ้สน กูงี้ล้างท้องรอตั้งแต่วันนี้เลย”



                  ความหวังของสนฉัตรทอขึ้นมา ในวัยสิบขวบสนฉัตรพอจะรู้เรื่องมากแล้ว เขารู้ว่าในวันเช่นนี้การดูแลเด็กในสถาน

สงเคราะห์จะหละหลวมเป็นพิเศษ


                  ในคืนนั้นครูเลือกเขาเป็นที่ระบาย สนฉัตรจำใจยอมด้วยความขยะแขยง นิ้วมือสากล้วงเข้าไปในก้นของเขาพร้อมกับถูไถ

ท่อนเนื้ออยู่ตรงร่องก้นเพื่อแสวงหาความสุขโดยไม่คำนึงว่าจะสร้างบาดแผลให้กับผู้กระทำขนาดไหน สนฉัตรหันไปมองแผ่นหลังของ

ครูแล้วถ่มน้ำลายตามหลังเมื่อครูเดินออกไปจากห้อง อีกไม่กี่ชั่วโมงสนฉัตรจะไปสู่อิสรภาพ และสนฉัตรจะไม่กลับมาที่ขุมนรกนี้อีก


                   เด็กและคุณครูในสถานสงเคราะห์ออกมายืนที่สนามหญ้าหน้าเสาธงท่ามกลางป้ายต้อนรับรัฐมนตรีที่มาทำพิธีเปิดอาคาร

แห่งใหม่ในตอนสายของวัน จังหวัดที่สนฉัตรอาศัยอยู่เป็นฐานเสียงที่สำคัญของพรรคการเมืองที่ท่านรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค สนฉัตร

กระสับกระส่ายเมื่อมองหาช่องทางหนีจนได้โอกาสเหมาะ

                     ช่วงเลี้ยงอาหารกลางวันนั่นเองเพราะรัฐมนตรีจะไปยืนอยู่ด้านหน้าและครูทุกคนต้องไปห้อมล้อมบุคคลสำคัญ สนฉัตร

กวาดสายตาไปมาก่อนจะค่อย ๆ เบี่ยงกายออกจากแถว เขาเดินก้าวถอยหลังอย่างระมัดระวังจนเมื่อพ้นมุมอาคารเขาก็วิ่งตับแลบไปทาง

กำแพงสูงด้านหลังที่สนฉัตรเล็งไว้แล้ว เขารีบปีนกำแพงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว



                     “เฮ้ย ไอ้สน ทำอะไรวะ”



                      เสียงภารโรงดังขึ้นจนสนฉัตรตกลงมาดังตุ๊บ เขาร้องลั่นเมื่อเจ็บไปหมดทั้งตัว สนฉัตรมองทางภารโรงที่กำลังวิ่งตรงมา

เขาฝืนความเจ็บตะกายขึ้นกำแพงและปีนขึ้นไปอีกครั้ง ปลายเท้าของเขาถูกภารโรงคว้าไว้ตอนที่เขาปีนอยู่ตรงปลายกำแพงแล้ว สน

ฉัตรรีบสะบัดให้หลุดแล้วโผลงไปกับพื้นอีกฝั่งทันที


                ร่างน้อยกระแทกพื้นคำรบสอง สนฉัตรนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกราวกับกระดูกลั่นกร๊อบ ความหวาดกลัวทำให้เขาต้องรีบลุกขึ้นและ

ลากปลายเท้าวิ่งหนีด้วยเนื้อตัวมอมแมม อย่างน้อยก็ขอให้พ้นไปจากขุมนรกแห่งนี้ก่อน สนฉัตรวิ่งไม่คิดชีวิต ไม่ต้องดูทิศทาง สนฉัตร

ไม่รู้จักโลกภายนอก ที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้นจนกระทั่งแรงของเขาหมดลงที่ริมถนนแห่งหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่

                   สนฉัตรนอนนิ่งอยู่ข้างถนน  ท้องร้องหิวแต่เขาก็ไม่มีแรงลุก ได้แต่นอนมองแสงแดดยามบ่ายคล้อยที่แสบตาจนน้ำตาไหล

ตอนนั้นเองที่สนฉัตรมองเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่หลายคนมามุงโดยรอบและจับเขาลุกนั่งเพื่อให้คนที่เพิ่งลงมาจากรถยนต์คันหรูเดินตรง

เข้ามาหา


                       รัฐมนตรีคนนั้น ที่มาเปิดอาคารใหม่



                    สนฉัตรเบิกตากว้างเมื่อเขาได้พบกับรัฐมนตรีทรงเดชในระยะประชิด สายตาของผู้สูงอายุยังคงคมปลาบขณะจ้องมองเด็ก

มอมแมมที่เนื้อตัวมีแต่บาดแผล ริมฝีปากบนใบหน้าอวบอูมคลี่ยิ้มแปลก



                    “หน่วยก้านไอ้เด็กคนนี้มันดี นี่ใส่เสื้อของสถานเลี้ยงเด็กนี่นา”



                    เด็กชายสะดุ้งเฮือก เขาจ้องมองท่านรัฐมนตรีด้วยสายตาอ้อนวอนขอร้อง



                   “ท่านครับ ผมขอร้อง อย่าส่งผมกลับไปเลย ผมไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกแล้ว”



                    รัฐมนตรีทรงเดชหรี่ตานิ่งคิด สนฉัตรไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จนกระทั่งเขาได้ยินคำสั่งที่ทรงเดชมีต่อลูกน้อง



                    “พาเด็กคนนี้ขึ้นรถ ฉันจะพามันไปเลี้ยงที่กรุงเทพ”

 


                                                                     TBC


                                เนื้อหาในเรื่อง อาจจะเครียดไปบ้าง แต่จะได้รู้ปูมหลังตัวละครนะคะ

                                                   o1 o1 o1 o1 o1 o1





หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 2 [09/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-12-2017 22:00:27
ชะคาชีวิตของสนช่างโหดร้ายจริงๆ  :mew2:
แม้แต่แม่แท้ๆก็ไม่ดีต่อลูก
พ่อเลี้ยงก็สัตว์นรกชัดๆ  :fire: :fire: :fire:
ครูในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ชิงนรกมาเกิด  :fire: :fire: :fire:
รทต.ทรงพล ก็ไม่ต่างกัน
แต่อย่างน้อย สนไม่ถูกทำร้ายร่างกาย
กินดีอยู่ดี  แต่อารมณ์เพศแย่หน่อย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ปวิธ ไม่รู้ความเป็นมา ก็โกรธแทนป้าสะใภ้
โกรธเกลียดผิดคนแล้วปวิธ  คนเลวน่ะลุงตัวเอง  :angry2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 2 [09/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 10-12-2017 01:34:39
เข้าใจสนฉัตร ยิ่งมีอดีตแบบนี้ ยิ่งสงสาร อยากให้สนเจอคนที่ดี ทีมสนฉัตร :mew1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 2 [09/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 10-12-2017 12:28:45
เท่าที่ตามอ่านของบีเลิฟมาเรื่องนี้สงสัยดราม่าหนักสุดพยายามอ่านจนจบตามต่อไปนะถึงจะไม่ใช่แนวเลยก็ตาม
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 2 [09/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 11-12-2017 11:04:43
เดาว่าสนกับปวิธจะลอบได้เสียกัน แม้ปากจะบอกเกลียดก็ตาม ฮ่าๆๆๆ

ไม่หวังว่าจะจบดีตอนอินโทรเฉลยมาขนาดนั้น

บางทีอ่านแนวนี้ก้อคิดเนอะน.ข.ต้องใจดำขนาดไหนถึงย่ำยีตัวละครได้ขนาดนี้

จิตใจต้องสตรองมากแฟนคลับต้องเป็นไฟต์เตอร์ตาม จะตามอ่านต่อปาย
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 2 [09/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 11-12-2017 11:44:32
เราไม่ค่อยชอบนิยายแนวข่มขืนเท่าไหร่เลยยิ่งทำกับเด็กยิ่งเกลียดอ่านแล้วมันรู้สึกทรมานยังไงไม่รู้ แต่ตอนที่ผ่านมายังพอรับได้อยู่ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง ก็ไม่รู้ว่าถ้ามันมีจุดพีคจริงๆจะทนอ่านไหวรึเปล่า ทั้งๆที่เราเป็นคนชอบนิยายดราม่าแท้ๆ
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 3 [16/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-12-2017 00:31:55



                                                                              วิมานไม้สน

                                                                     บทที่ 3




             ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ต่อเติมจากตัวบ้านหลังใหญ่ปวิธก็รีบวางกล่องกีตาร์ลงและหงายหลังลงไปกับ

เตียงที่มีขนาดพอดีกับร่างสูงของเขา ห้องนี้ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรที่เกินความจำเป็นเพราะเขาไม่เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญ
 
           แผ่นหลังของสนฉัตรยามเดินหนีบทสนทนายังตามมารบกวนจิตใจให้หงุดหงิดในเวลานี้ ปวิธก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็น

เพราะเหตุใด เขาหงุดหงิดเพราะดูออกว่าก่อนหน้าที่จะได้ปะทะคารมกันสนฉัตรคงเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจที่ต้องดูแลทรงเดชญาติผู้มี

พระคุณของเขา ดูจากดวงตาแดงก่ำนั่นสิว่ายังทิ้งรอยความใคร่เอาไว้ให้เห็นตอนที่ได้สบตากัน


              เก้าปีแล้วที่ปวิธได้รู้จักสนฉัตร เด็กชายตัวมอมแมมสกปรกไปทั้งเนื้อตัวในวันแรกที่ทรงเดชพาลงมาจากรถยนต์หลังจาก

เดินทางไปจังหวัดฐานเสียง ทรงเดชสั่งให้คนรับใช้ในบ้านพาเด็กชายแปลกหน้าไปอาบน้ำทำความสะอาด ตอนนั้นเองที่ปวิธมองเห็นรูป

ร่างหน้าตาที่แท้จริงของเด็กคนนั้น


             เด็กชายสนฉัตรตัวแคระแกร็นเหมือนเด็กขาดสารอาหาร แต่กระนั้นก็รู้ว่าเป็นเด็กหน้าตาดี ผิวพรรณสีขาวเนียนเส้นผมสี

น้ำตาลละเอียด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน จมูกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากสีแดงจิ้มลิ้ม ถ้าหากสนฉัตรมีนัยน์ตาไร้เดียงสาเหมือนเด็กวัย

เดียวกันสักนัดปวิธก็คงอดสงสารไม่ได้ แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามเด็กคนนี้ไม่เคยมีแววตาที่น่าไว้ใจเลย



             “คุณจะเลี้ยงเด็กคนนี้หรือ”



              คุณหญิงอำไพภรรยาของทรงเดชเอ่ยถามพลางขมวดหัวคิ้วเมื่อทราบเรื่อง ทรงเดชกล่าวตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ



              “แค่เด็กคนเดียว เลี้ยงมันเอาบุญเถอะคุณ มันก็เหมือนกับที่คุณทำงานเพื่อการกุศลนั่นแหละ”



               “เหมือนตรงไหน” อำไพไม่เห็นด้วย



               “พวกมูลนิธินั่นก็แค่บริจาคเงินแล้วถ่ายรูปออกสื่อ แต่นี่คือคุณกำลังจะเอาเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายตีนมาอยู่ในบ้าน”



              “ผมโทรไปถามประวัติเด็กมันจากสถานสงเคราะห์แล้ว มันไม่มีญาติโกโหติกามาให้คุณกลัวหรอกน่าอำไพ”



                ทรงเดชตอบภรรยาเช่นนั้นก่อนจะหันมามองปวิธที่อยู่ไม่ไกลนัก



               “คิดเสียว่าเลี้ยงเอาบุญเหมือนเลี้ยงไอ้เปลวก็แล้วกัน”



              “เปลวน่ะถึงยังไงมันก็เป็นหลานของคุณแม้จะห่าง ๆ กันก็เถอะ แต่ไอ้เด็กคนนี้มันไม่ใช่”



                ปวิธเดาว่าอำไพคงไม่ชอบใจนักเมื่อเห็นสนฉัตรนั่งเงียบพลางบิดมือตัวเองไปมาไม่มีวี่แววของความเคารพเจ้าของบ้าน

อย่างเธอ แต่ในที่สุดอำไพก็ขัดใจสามีไม่ได้จำต้องยอมให้ทรงเดชรับเลี้ยงสนฉัตรตั้งแต่วันนั้น



               “ให้มันนอนที่ห้องแถวคนใช้นั่นแหละ”



               ในเมื่อจำเป็นต้องยอมรับอำไพก็ทำได้เท่าที่ทำ



              “มีห้องว่างอยู่ห้องหนึ่งก็ให้มันอยู่ที่นั่น เปลวมันอยู่ได้เด็กสนนี่ก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน”



                ปวิธเข้ามาอาศัยที่บ้านหลังนี้ก่อนหน้าสนฉัตรสองปี แต่เขารู้ตัวดีว่าเป็นแค่ญาติห่าง ๆ ของทรงเดชเขาจึงไม่ต้องการอะไร

มากนอกจากที่ซุกหัวนอนและเล่าเรียนอย่างที่ต้องการ จนตอนนี้เขาเรียนใกล้จะจบมัธยมต้นที่โรงเรียนวัดแถวบ้านนั่นเอง ปวิธวางแผน

ไว้ว่าเขาจะเลือกเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคนิคเพราะจะได้มีเวลาทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วย จะได้ไม่ต้องพึ่งพาแต่เงินของทรงเดช

มากนัก



              “จะให้ไอ้สนมันเรียนหนังสือที่ไหนดี”



              อีกไม่นานก็ใกล้ถึงเวลาเปิดภาคเรียนทรงเดชจึงปรารภออกมาให้ได้ยิน ตอนนั้นสนฉัตรมาอาศัยที่บ้านหลังนี้ได้ราวสาม

เดือน ปวิธไม่ค่อยได้คุยกับสนฉัตรมากนักเพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนช่างพูด แต่มีวันหนึ่งที่เขาเห็นสนฉัตรประจบทรงเดชกับตาตัวเอง



              “ท่านครับ สนอยากเรียนโรงเรียนดี ๆ”



             มือเล็กนวดเฟ้นท่อนขาอวบอูมของทรงเดช เจ้าของบ้านมองอย่างอารมณ์ดีแต่ปวิธกลับรู้สึกแปลก ๆ กับพฤติกรรมของทั้งคู่



              “ท่านส่งให้สนเรียนโรงเรียนฝรั่งได้ไหมครับ สนจะได้ฝึกพูดภาษาอังกฤษ”



              “เอางั้นเหรอสน เออ นวดเก่งดีว่ะ เดี๋ยวฉันถามคุณหญิงก่อนนะ”



               สนฉัตรหน้ามุ่ยเมื่อรู้ว่าความต้องการของตัวเองต้องผ่านความเห็นชอบของอำไพ และแล้วก็เป็นดังคาดเมื่ออำไพไม่เห็น

ด้วย



              “ทำไมต้องเรียนโรงเรียนค่าเทอมแพงอย่างนั้น คนเราถ้ามันจะเก่งอยู่ที่ไหนมันก็ต้องเก่งสิ ขนาดเปลวที่เป็นหลานคุณมัน

ยังเรียนโรงเรียนวัดได้เลย ฉันไม่ได้จะรังคัดรังแกอะไรนะแต่เห็นว่าคุณน่ะควรจะยุติธรรม ในเมื่อเลี้ยงเด็กสองคนก็ต้องเท่าเทียมกันคน

อื่นจะได้ไม่ครหา”



                ความเห็นของอำไพมีเหตุผลมากพอจนทรงเดชต้องยอมรับ เขาส่งให้สนฉัตรเรียนโรงเรียนเดียวกับปวิธนั่นเอง หลังจาก

วันนั้นสนฉัตรก็มองปวิธอย่างไม่เป็นมิตรอีกเลย


                 เมื่อสนฉัตรโตขึ้นจนเข้าชั้นมัธยมร่างกายก็เปลี่ยนแปลงตามลำดับ แต่ก็ยังถือว่ารูปร่างเพรียวบางกว่าเด็กผู้ชายวัย

เดียวกัน และยิ่งดูออกชัดเจนว่าสนฉัตรน่าจะเป็นลูกครึ่งต่างประเทศเพราะเครื่องหน้าของสนฉัตรเด่นชัดและหวานกว่าเด็กชาย จนดูผิว

เผินคล้ายเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำและช่วงนั้นปวิธก็ยิ่งผิดสังเกตกับสายตาของผู้เป็นลุงมากขึ้น



               “ไอ้สนนี่มันโตขึ้นแล้วหน้าตาดีจริง ๆ นะ แกคิดอย่างนั้นไหมเปลว”



                วันหนึ่งทรงเดชเอ่ยถามเขา ปวิธฉุกใจคิดแต่เขาก็ตอบได้เพียงสั้น ๆ



                “ครับคุณลุง”



               “แล้วมันก็ช่างอ้อนนะ”



               คนที่สนฉัตรอ้อนคงมีคนเดียวคือทรงเดชเท่านั้นที่ปวิธเห็น และรางวัลของคนช่างอ้อนก็จะมีธนบัตรลอยเข้ามือสนฉัตรอยู่

บ่อยครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจที่สนฉัตรจะกลายเป็นคนช่างอ้อน และตอนนั้นเองที่ปวิธเริ่มมีบทสนทนากับสนฉัตร



                “อย่าขอเงินคุณลุงบ่อยนักจะดีกว่า”



               ปวิธเอ่ยเตือนสนฉัตร นับเป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับสนฉัตรตั้งแต่อยู่ใต้รั้วบ้านเดียวกันมาปีกว่า ๆ



                “เราเป็นแค่คนอาศัยเขาอยู่ แค่หลังคาบ้านที่เขาให้ซุกหัวนอนก็เยอะแล้ว อย่าไปรบกวนคุณลุงบ่อย ๆ อยากได้อะไรก็

เก็บเงินซื้อเองสิ”



                ดวงตากลมโตของสนฉัตรฉายแววกระด้างผิดกับเวลาอยู่ต่อหน้าทรงเดช มุมปากกระจับเหยียดยิ้มจนปวิธเห็นแล้วหมั่นไส้



               “ที่ห้ามนี่เพราะอิจฉาที่ท่านไม่ให้เงินหรือไง”



                เสียงเล็กที่แม้จะแตกแล้วก็ยังไม่ห้าวเหมือนเด็กหนุ่มคนอื่นดังขึ้นเหมือนประชด



               “ท่านรับกูมาเลี้ยง กูอยากได้อะไรก็แค่ขอแล้วท่านก็ให้กูผิดตรงไหน ทำไมกูต้องสนใจคนอื่นด้วย”



                สนฉัตรเด็กกว่าปวิธสี่ปี ตอนนั้นปวิธเรียนปวช.แล้วแต่สนฉัตรกลับไม่ได้พูดจาเคารพความอาวุโสแม้แต่สักนิด ปวิธรู้

ประวัติเลวร้ายของสนฉัตรจากลุงของเขาที่ไปสืบมาจากสถานสงเคราะห์ เขาเข้าใจว่าสนฉัตรเติบโตมาจากครอบครัวแบบไหน แต่ก็นึก

ไม่ถึงว่าความกระด้างจะฝังอยู่ในนิสัยของเด็กคนนี้



               “กูเตือนเพราะหวังดี”



              ในเมื่ออีกฝ่ายพูดจาหยาบคาย ปวิธก็ไม่คิดจะพูดดีด้วย



               “จะทำอะไรก็คิดถึงความเหมาะสมบ้าง เรื่องเงินนี่ก็เรื่องนึง ไอ้เรื่องที่ไปเกาะแข้งเกาะขาประจบประแจงคุณลุงก็อีกเรื่องนึง

มันไม่เหมาะสม”



               สายตาคู่นั้นดูแคลนเขาจนปวิธเลือดขึ้นหน้า



               “ที่พูดมานี่ทั้งหมดเพราะอิจฉาที่ทำไม่ได้เหมือนกูว่างั้น เป็นหลานแท้ ๆ แต่ท่านเอ็นดูกูมากกว่ามึงก็เลยอิจฉาสินะ”



               พลัก!



                เขาผลักร่างเล็กจนล้มลมก้นจ้ำเบ้าด้วยความโมโหในวาจาเหล่านั้น สนฉัตรเงยหน้ามองเขาอย่างเคียดแค้นก่อนจะลุกขึ้น

เดินหนีไป ปวิธเองรู้สึกผิดอยู่ในใจเมื่อเขาลงมือทำร้ายเด็กที่อายุน้อยกว่าเพราะอารมณ์ แต่ความรู้สึกผิดเหล่านั้นกลับมลายหายไปเมื่อ

เขาถูกเรียกขึ้นไปบนบ้านในยามค่ำ



               “อยู่บ้านเดียวกันทำไมต้องทะเลาะกัน”



                ทรงเดชผู้เป็นลุงมองเขาด้วยความไม่พอใจนักโดยมีคู่กรณีของเขานั่งพับเพียบอยู่กับพื้นข้าง ๆ นั่นเอง สายตาที่มองมา

ราวกับจะยิ้มเยาะที่ปวิธถูกดุ



              “แล้วไปรังแกไอ้สนมันทำไม มันตัวเล็กกว่ามึงตั้งเยอะไอ้เปลว”



              “เอะอะอะไรกัน”



                 คุณหญิงอำไพได้ยินเสียงจึงเดินมาจากห้องส่วนตัวบนชั้นสอง สามีภรรยาเจ้าของบ้านแยกห้องกันอยู่หลายปีแล้วตั้งแต่

เข้าสู่วัยเริ่มชรา



              “ไอ้เปลวหลานตัวดีของเธอน่ะสิ ผลักไอ้สนจนเขียวไปหมดทั้งตัว”



               ปวิธถึงกับงง เขาผลักสนฉัตรแค่ครั้งเดียวไม่น่าจะถึงกับรุนแรงอย่างที่ทรงเดชพูด เขาหันขวับไปมองหน้าสนฉัตรที่เอาแต่

ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ อำไพที่เอ็นดูปวิธเบ้ปากทันที



              “แล้วไปทำอะไรให้ไอ้เปลวมันทำอย่างนั้นเข้าล่ะ นี่ ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้านะไอ้สน ส่วนคุณน่ะก็อย่าตามใจมันจนเคยตัว

อย่าลืมว่ามันเป็นแค่ลูกเสือลูกตะเข้เก็บมาเลี้ยง ไป แยกย้ายกันได้แล้ว”



                 นึกขอบคุณที่อำไพช่วยจบเรื่องในวันนั้น แม้จะปากร้ายแต่อำไพก็เอ็นดูปวิธอยู่มากถึงจะเป็นเพียงป้าสะใภ้ อาจเป็นเพราะ

ปวิธเป็นเด็กมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่เช่นเธอและไม่ใช่คนทะเยอทะยาน บ่อยครั้งที่อำไพมักจะบ่นให้ปวิธฟัง



               “ฉันไม่เคยไว้ใจไอ้เด็กสนเลยนะเปลว หูตามันแปลก ๆ ผิดกับเด็กคนอื่น ฮึ ขออย่าได้มาสร้างความเดือดร้อนในบ้านหลังนี้

ก็แล้วกัน”



                แต่แล้วความเดือดร้อนนั้นก็เกิดขึ้นในบ้านจนได้เมื่อตอนที่สนฉัตรเพิ่งจะใช้คำนำหน้าว่านายเพียงไม่กี่เดือน



                  ในวันนั้นทรงเดชกลับบ้านเร็วกว่าปกติ เขามาทันเห็นสนฉัตรยืนจับมือกับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่งไม่ไกล

จากประตูรั้วเมื่อรถยนต์ของเขากำลังจะเลี้ยวเข้าบ้าน และนั่นเองทำให้ทรงเดชโกรธมาก ในเย็นวันนั้นทรงเดชตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้

สนฉัตรหลุดมือไปได้ และตั้งแต่วันนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป


                  ที่ผ่านมาเกือบสิบปีหากจะถามว่าใครที่รู้จักสนฉัตรดีที่สุดแล้วล่ะก็ ตอบได้เลยว่าคือเขานี่แหละ


                  ปวิธนอนมองเพดานห้อง เขาสบถอย่างหงุดหงิดเมื่อมองเห็นใบหน้าของสนฉัตรลอยเด่นอยู่ในจินตนาการ
 



มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 3 [16/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-12-2017 00:41:05


ต่อกันตรงนี้...




              สนฉัตรลืมตาตื่นมาในตอนสายพร้อมกับข่าวใหญ่ประจำวัน เมื่อไม่นานมานี้เกิดการรัฐประหารจนคณะรัฐมนตรีต้องหยุดการ

ปฏิบัติงานเป็นผลให้ทรงเดชเครียดจัด และวันนี้สิ่งที่ทรงเดชกลัวก็เกิดขึ้นแล้วเมื่อเขาและคณะรัฐมนตรีอีกหลายคนถูกฟ้องในข้อหาโกง

เงินงบประมาณแผ่นดิน

               สนฉัตรเดินลงมาจากชั้นสองเงียบ ๆ เขากวาดสายตามองความวุ่นวายในห้องรับแขกเมื่อมีผู้คนที่อยู่ในความสนใจของสังคม

มารวมกันด้วยสีหน้าไม่ดีนัก แต่ละคนสนฉัตรรู้จักว่าเป็นสส.ของพรรค บางคนเป็นรัฐมนตรี ไม่มีใครสนใจเขาที่ปรากฏตัวเพราะมีเรื่องที่

ต้องปรึกษากันอย่างเร่งด่วน สนฉัตรได้แต่ปลีกตัวไปอยู่มุมหนึ่งของโถงกว้างที่ดูคับแคบไปถนัดตา

                 เสียงรถยนต์สองถึงสามคันฝ่าด่านนักข่าวที่เกาะอยู่หน้าประตูรั้วเข้ามาจอดหน้าตัวบ้าน สนฉัตรมองเห็นใครอีกหลายคนที่

ทยอยกันลงจากรถ เขาส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่ายเพราะอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ สนฉัตรจึงเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อไปนั่งดูหนังฟัง

เพลงในห้องโฮมเธียเตอร์จนกระทั่งนึกอยากเข้าห้องน้ำจึงได้เดินไปยังห้องน้ำ

                 จัดการธุระเรียบร้อยจึงเปิดประตูออกมา สนฉัตรตกใจเมื่อประตูเกือบจะชนคนที่ยืนอยู่นอกห้องน้ำ


               “ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวัง...”


                เสียงของสนฉัตรหายไปทันทีเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนที่สูงกว่า บอกไม่ถูกว่าหัวใจของสนฉัตรมันหยุดเต้นหรือว่า

มันกำลังเต้นไหวระรัวอยู่กันแน่

                คนตรงหน้าเป็นผู้ชายอยู่ในช่วงอายุราวสามสิบกว่าแต่งกายด้วยชุดสูทเรียบหรู ใบหน้านั้นหล่อเหลาแม้จะมีแว่นตากรอบใส

เป็นเครื่องประดับ บุคลิกของเขาช่างดูสุขุมและฉลาดเฉลียว เพียงแค่เขาคลี่ยิ้มออกมาสนฉัตรก็พร้อมจะลืมทุกอย่างบนโลกใบนี้


                 “ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่นึกว่าจะมีใครใช้ห้องน้ำอยู่”


                  น้ำเสียงของเขาทุ้มและนุ่มกำลังดี สนฉัตรจมอยู่ในภวังค์จนกระทั่งสะดุ้งเมื่อชายแปลกหน้าแตะปลายนิ้วที่ข้อศอกของสน

ฉัตรอย่างสุภาพเพื่อเดินออกมาจากหน้าห้องน้ำ


               “ผมชื่อจิรัชครับ เป็นทีมทนายความของพรรค”


              ชื่อของเขาฝังลึกลงไปในใจของสนฉัตรทันที


              “ผมชื่อสนฉัตร”


               ตอบออกไปแทบจะไม่รู้ตัว สนฉัตรแทบละลายเมื่อมองเห็นความสดใสอยู่ในนัยน์ตาหลังกรอบแว่นใส


              “คุณสนฉัตรเป็นหลานของท่านทรงเดชหรือครับ”


                  จิรัชรู้มาว่ารัฐมนตรีทรงเดชไม่มีบุตรกับภรรยาที่เสียชีวิตไป มีเพียงหลานชายที่รับเลี้ยงไว้เท่านั้น และคำถามของเขาเป็น

สิ่งที่ปลุกให้สนฉัตรตื่นจากภวังค์ หน้าของสนฉัตรเปลี่ยนสีทันที


              “ผม เอ่อ... ครับ ผมเป็นหลานท่าน”


              จะให้บอกว่าเขาเป็นเด็กเลี้ยงของทรงเดชอย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง


               สนฉัตรเม้มปากแน่นเมื่อพูดปดออกไป อย่างน้อยจิรัชก็ไม่ได้สงสัย เขายิ้มแย้มให้สนฉัตรอีกครั้ง


               “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณสนฉัตร แต่ตอนนี้ผมขอเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ เดี๋ยวผู้ใหญ่จะรอ”


              “อ๊ะ ขอโทษครับ เชิญเลย”


                 สนฉัตรรีบขยับเปิดทางให้จิรัชเดินไปยังห้องน้ำ และก่อนจะปิดประตูเขายังหันมายิ้มให้อีกครั้ง


                ยิ้มให้กับประตูห้องน้ำจากนั้นสนฉัตรจึงเดินตัวลอยกลับไปยังห้องโฮมเธียเตอร์ หากแต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจภาพยนตร์ที่

เปิดอยู่แม้แต่น้อยเมื่อตอนนี้เขานึกถึงแต่ใบหน้าหล่อเหลาของจิรัชจนได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว





                จิรัชเดินออกมาจากห้องน้ำเขาก็ไม่เห็นชายหนุ่มร่างเพรียวบางที่เพิ่งพบเสียแล้ว ได้แต่นึกเสียดายที่ไม่ได้คุยมากไปกว่านี้

เขาเดินกลับไปยังห้องรับแขกที่มีผู้คนอุ่นหนาฝาคั่งเมื่อต้องหาทางรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้น จิรัชเป็นทนายความหน้าใหม่ของทีมที่ทำงาน

ให้พรรคการเมืองที่มีทรงเดชเป็นหัวหน้าพรรค


                  นั่งลงใกล้กับรุ่นพี่ในสำนักทนายความที่พักดื่มกาแฟอยู่มุมห้องชื่อสมศักดิ์ รุ่นพี่จิบกาแฟพลางเอ่ยถาม



               “เป็นไง ไหวไหมจิรัช”


               จิรัชพยักหน้ารับ ก่อนจะเข้ามาทำงานร่วมกับสำนักทนายความแห่งนี้เขาฝึกปรือประสบการณ์จนเข้าตาหัวหน้าทีมจึงได้ถูกดึง

ตัวมาช่วย



                “ก็หนักเอาการครับพี่ แต่คิดว่าพวกพี่ ๆ เก่งกันทุกคนผมก็ได้แต่เรียนรู้”



                เขาเป็นคนคิดก่อนพูดเสมอ อะไรที่จะทำให้ตนเองดูไม่ดีจิรัชจะไม่เอ่ยออกมาเด็ดขาด



               “เมื่อครู่ผมเจอหลานของท่านทรงเดชด้วย”



                 “เหรอ แปลกดีนะ ปกติไม่ค่อยมีใครเจอหรอก หลานของท่านเขาไม่ค่อยออกสังคมส่วนใหญ่จะเรียนแล้วก็เล่นดนตรีตอน

กลางคืน”



                “งั้นหรือครับ” จิรัชนึกถึงใบหน้าหวานนั้น



               “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนักดนตรีเลย”



              “เดี๋ยวนะจิรัช ที่เจอนี่ รูปร่างหน้าตายังไง”



               “ตัวเล็กผิวขาว หน้าตาลูกครึ่ง”



                เขาบรรยายออกไปทันที แปลกใจที่เห็นรุ่นพี่ทนายความเหยียดยิ้ม



               “อ๋อ งั้นไม่ใช่หลานหรอก เด็กของท่านน่ะ”



              “อะไรนะครับ”



               จิรัชนึกว่าเขาฟังผิด แต่สมศักดิ์ยังตอกย้ำคำเดิม



               “เด็กไง เด็กเลี้ยงน่ะ เด็กคนนั้นชื่ออะไรนะ สนๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ ท่านเลี้ยงของท่านมาแต่เด็กก่อนจะจับทำเมีย จุ๊จุ๊ อย่า

พูดดังไป คนใหญ่คนโตก็ต้องมีความลับกันทั้งนั้นแหละ”



                  จิรัชนิ่งงันเมื่อนึกถึงความลับของรัฐมนตรีทรงเดช
 
 


                                                                              TBC


                                                         :confuse: :confuse: :confuse: :confuse: :confuse: :confuse:



หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 3 [16/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 16-12-2017 01:29:39
ขอตอนต่อไปเลยได้ไหม อยากรู้เรื่องราวของสนฉัตร
ตอนนี้มีจิรัชมาเพิ่มอีกคน  :mew2: ดูเหมือนสนฉัตรจะถูกใจ แต่อยากให้มีฉากเปลวกับสนฉัตร
 :ling1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 3 [16/12/60] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 16-12-2017 10:24:31
ไม่อยากให้เป็นอย่างที่เดาเล๊ยยเละเทะแน้สนเอ๋ยเดาว่าสนนี่คงได้
กับใครหลายคนแบบลำยองไรงี้ :katai1:ส่วนประวิธคงต้องดูไปก่อนเพราะดูเขาไม่ชอบมากกว่ารัก
ถ้าได้กันคงไม่ได้หวานซึ้งก็ชู้นะจะซึ้งตรงไหน
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 4 [19/03/61] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 19-03-2018 23:37:46



                                                               วิมานไม้สน

                                                                 บทที่ 4

   


             การประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่บ้านของนายทรงเดชกินเวลาจนถึงมืดค่ำจึงได้สิ้นสุดลง หลายครั้งที่สนฉัตรแง้มประตูห้องโฮมเธียเตอร์ออกไปเพื่อมองหาเจ้าของดวงตาอบอุ่นหลังกรอบแว่นใสคนนั้น และทุกครั้งหัวใจของสนฉัตรก็ต้องเต้นตึกตักเมื่อจิรัชหันมาสบตาและยิ้มให้เขา สนฉัตรเดินตัวลอยกลับขึ้นไปบนชั้นสองเข้าห้องส่วนตัวอย่างอารมณ์ดี


             แม้จะปิดไฟจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืด ดวงตาของสนฉัตรที่นอนมองเพดานก็ยังมีภาพของจิรัชแสดงอยู่ให้เห็น เขานอนเกลือกกลิ้งไปทั่วเตียงพร้อมกับจินตนาการว่าเขาได้อยู่เพียงลำพังกับจิรัช จนดึกดื่นเสียงฝีเท้าจากภายนอกจึงดังก้องเข้าหู สนฉัตรจำได้แม่นว่านั่นคือเสียงเดินของทรงเดช


              นึกดีใจที่ทรงเดชไม่ได้เรียกให้เขาเข้าไปบำเรอความสุขในคืนนี้ อาจเป็นเพราะการประชุมแสนเคร่งเครียดตลอดทั้งวันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองจนทำให้มีเรื่องขบคิดมากมาย น่าแปลกที่สนฉัตรรู้สึกรังเกียจตนเองขึ้นมาทันใดเมื่อคิดถึงสายตาของจิรัชเพราะร่างกายนี้ตกเป็นของนักการเมืองชื่อดังไปแล้ว


              “ทำไมไม่เจอกันเร็วกว่านี้วะ”


              โกรธเกลียดชะตาชีวิตของตนจนน้ำตารื้น สนฉัตรได้แต่ปัดความคิดเหล่านั้นออกและแทนที่ด้วยภาพใบหน้าของจิรัชจึงได้หลับลงและเป็นคืนแรกตั้งแต่เกิดมาที่สนฉัตรรู้จักคำว่าฝันดี








              โดยปกติกว่าสนฉัตรจะตื่นก็สายมากแล้ว หากแต่ในเช้าวันนี้เขากลับลุกจากเตียงเร็วกว่าปกติเพราะรู้ว่าการประชุมอย่างไม่เป็นทางการอย่างเมื่อวานนี้จะมีอีกครั้ง และสนฉัตรคาดว่าคนที่ปรากฏตัวในฝันของเขาจะมาด้วย


              เริ่มมีสมาชิกพรรคการเมืองหลายคนแล้วในห้องโถงใหญ่ของบ้านเพื่อรอนายทรงเดชที่ยังไม่ออกมาจากห้อง สนฉัตรลงจากบ้านหลังใหญ่มาเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่สวนหน้าบ้าน ชายหนุ่มยืนชะแง้แลหาบุคคลที่อยู่ในความสนใจไปทางประตูรั้วถนนสำหรับรถแล่นมาจอดหน้าบ้านอย่างกระวนกระวาย


                 “มองหาใครหรือครับ”


                  สนฉัตรสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงทุ้มนั้นดังมาจากเบื้องหลัง เขาหันขวับไปมองพลันหัวใจพองคับอกเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือจิรัชนั่นเอง สายตาเบื้องหลังกรอบแว่นใสยังคงฉายแววอ่อนโยนจนสนฉัตรแทบจะวางตัวไม่ถูก


                 “เอ่อ .. เปล่าครับ ผมแค่ตื่นเต้นที่เห็นว่ามีนักข่าวเต็มหน้าบ้านไปหมด”


                 พยายามหาข้อแก้ตัวที่ดูดีที่สุด สนฉัตรใจสั่นเมื่อเห็นรอยยิ้มของจิรัช


                “เป็นธรรมดาครับ ท่านทรงเดชอยู่ในกระแสสังคมตอนนี้ ใคร ๆ ก็อยากรู้ข่าว”


                “คุณมาเช้าจัง”


               เมื่อจิรัชพูดคุยกับเขาด้วยน้ำเสียงสุภาพ สนฉัตรก็วางใจขึ้น เขากล้าพูดคุยกับจิรัชโดยไม่เก้อกระดาก


              “ผมเพิ่งเข้าทีมทนายมาใหม่ ยังต้องเรียนรู้งานอีกเยอะไม่กล้ามาสายหรอกครับ”


              จิรัชใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่ข้อศอกของสนฉัตร เพียงแค่นั้นหัวใจของสนฉัตรก็เต้นโครมคราม


              “การประชุมยังไม่เริ่ม เราไปนั่งคุยกันที่โต๊ะตรงนั้นดีกว่า”


               สนฉัตรเดินนำไปที่ชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของสวนสวย จิรัชเป็นฝ่ายชวนเขาพูดคุยเรื่องต่าง ๆ จนสนฉัตรคลายจากความเคอะเขิน เสียงทุ้มและนุ่มในการเจรจาของจิรัชทำให้สนฉัตรเพลิดเพลินและแทบจะหลงไปกับเสน่ห์ของทนายหนุ่ม


                 “แล้วสนอยู่ที่นี่มานานหรือยัง”


                จิรัชเริ่มตั้งคำถามในเรื่องส่วนตัวของสนฉัตรโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว


               “หลายปีแล้วครับพี่จิรัช ท่านพาผมมาอยู่ที่นี่ก็เกือบสิบปีแล้ว”


               เมื่อพูดคุยกันมากขึ้นสนฉัตรเริ่มกล้าเรียกอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม


              “งั้นหรือ แล้วนี่สนอายุเท่าไหร่ เรียนหนังสือที่ไหน หน้ายังอ่อน ๆ อยู่เลย”


              “สิบเก้าแล้วครับพี่ เรื่องเรียน เอ่อ ท่านให้สนออกตั้งแต่จบมอสาม”


               นัยน์ตาของสนฉัตรเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง แม้จะชั่วระยะเวลาแวบเดียวแต่จิรัชก็สังเกตเห็น เขาส่งสายตาแสดงความเห็นใจตอบกลับไป


                “ทำไมท่านทำอย่างนั้นล่ะ การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญนะ ขนาดจบปริญญาตรียังหางานทำยากเลย แล้วนี่เรียนแค่มอสาม พี่สงสารสนนะ”


                 สนฉัตรนึกไม่ถึงว่าจิรัชจะวางมือมาบนหลังมือของเขาแล้วบีบกระชับเบา ๆ มันเป็นความอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ดวงตาสวยเอ่อท้นไปด้วยหยาดน้ำตาพลางมองจิรัชอย่างตื้นตัน


                “ขอบคุณครับพี่จิรัช เพิ่งมีพี่นี่แหละที่เข้าใจสน”


              “ถ้าไม่ลำบากใจ สนบอกพี่ได้ไหมว่าสนกับท่านทรงเดชเป็นอะไรกัน”


                วินาทีนั้นสนฉัตรลืมความอับอายแล้ว แค่เพียงมีคนที่พร้อมจะรับฟังปัญหาของเขาที่อัดแน่นคล้ายบาดแผลฝีหนอง สนฉัตรก็อยากจะระบายมันออกมา


                “ตอนเด็กสนหนีจากสถานสงเคราะห์มานอนรอความตายอยู่ข้างถนนแล้วท่านมาช่วยเอาไว้ ท่านพามาอยู่บ้านหลังนี้ให้ข้าวให้น้ำ แต่แล้วท่านก็ให้สนทดแทนบุญคุณด้วยการ...”


                คำพูดจุกอยู่ในอกจนจิรัชยิ่งกระชับมือแทนคำปลอบโยน น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงอาบแก้มสนฉัตรทันที


              “โธ่ สน นานหรือยังที่สนต้องตกอยู่ในสภาพนี้”


               “นานแล้วครับพี่จิรัช ตั้งแต่สนอายุสิบห้า”


              ได้ยินเสียงทอดถอนหายใจจากคู่สนทนา สนฉัตรอับอายจนไม่กล้าสบตาจิรัชเมื่อเปิดเผยความจริงถึงความสัมพันธ์ของเขากับทรงเดช


              “เฮ้อ ท่านทรงเดชก็ไม่น่าเลย ถ้าเรื่องนี้ได้ยินถึงหูนักข่าวต้องแย่แน่ เพราะนี่ถือว่าพรากผู้เยาว์นะ ทำไมไม่มีใครช่วยเหลือสนเลยล่ะ”


              สนฉัตรเหยียดยิ้ม ใครเล่าจะกล้าเอาเรื่องกับคนมีอำนาจอย่างทรงเดช


              “หลายคนในพรรคก็รู้เรื่องนี้ ทนายแก่ ๆ ที่ทำงานกับพี่เขาก็รู้นี่ครับ แต่ไม่เห็นจะมีใครสนใจเรื่องนี้เลย”


              “พี่ไงล่ะ” จิรัชยิ้มอ่อนโยน “พี่สนใจเรื่องนี้เพราะพี่เห็นใจสน ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ต้องมาเจอกับเรื่องเลวร้าย ถ้าหากพอจะเป็นกำลังใจให้สนได้พี่ก็จะทำ”


              “พี่จิรัช”


               สนฉัตรประทับใจเหลือเกิน เขามองสบตากับจิรัชที่แสนจะอบอุ่น แม้จะเพิ่งพูดคุยกันไม่นานแต่ผู้ชายตรงหน้าเหมือนเทวดาสำหรับสนฉัตร จิรัชคือน้ำทิพย์ชโลมใจให้หัวใจแห้งแล้งดวงนี้


                เสียงรถยนต์ของเจ้านายจิรัชดังแว่วมาจากประตูรั้วขัดจังหวะการสนทนา จิรัชจำใจต้องคลายมือเรียวของสนฉัตรอย่างเสียดาย


                “คุยกับสนแล้วสนุกดีนะ อยากคุยด้วยบ่อย ๆ ขอเบอร์โทรของสนได้ไหม”


                สนฉัตรรีบบอกเบอร์โทรไปอย่างไม่อิดออด จิรัชเองก็รีบดึงโทรศัพท์ออกมากดเบอร์บันทึกลงไป


               “พี่จะแอดไลน์ไปด้วยนะ”


               อีกฝ่ายยิ้มเจื่อนทันที


              “โทรศัพท์ของสนรุ่นเก่าครับ ท่านไม่อนุญาตให้สนใช้สมาทโฟน สนไม่มีไลน์กับเขาหรอก”


               จิรัชมองสนฉัตรด้วยสีหน้าแปลกใจ


               “ไม่มีไลน์เหรอ เฟซบุ๊คล่ะ มีไหม อายุเท่าสนใคร ๆ ก็เล่นพวกนี้ทั้งนั้นแหละ เอาไว้ติดต่อเพื่อนและดูข่าวสารไง”


                สนฉัตรส่ายหน้า


                “ท่านไม่ให้สนติดต่อใคร ให้อยู่แต่ในบ้าน ถ้าหากไปไหนก็ต้องมีคนของท่านติดตามไปด้วย สนไม่มีเพื่อน จะมีก็พี่จิรัชนี่แหละครับที่สนคุยด้วย”


                 อีกครั้งที่จิรัชถอนหายใจ เขายิ้มให้กับสนฉัตรจนคนมองแทบละลาย


                “คุยกันที่บ้านนี้ก็ไม่ค่อยสะดวก อืม พี่รู้มาว่าท่านจะไปสนามกอล์ฟเพื่อไปพบกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน พี่กับหัวหน้าต้องไปด้วย กอล์ฟน่ะไม่ได้เล่นจริงจังหรอกคงหาที่คุยกันให้พ้นหูพ้นตานักข่าวเสียมากกว่า สนลองขอไปกับท่านด้วยสิ เผื่อเราจะได้คุยกันอีก”


                  จิรัชยิ้มและโบกมือให้อีกครั้งเมื่อเขาต้องเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน สนฉัตรมองตามแผ่นหลังนั้นและได้แต่นั่งยิ้ม จิรัชเป็นคนดีเหลือเกิน ดีจนความประทับใจฝังลึกจนสนฉัตรแอบฝันว่าหากได้อยู่กับจิรัชชีวิตของเขาคงเหมือนได้ขึ้นสวรรค์


                  สนฉัตรคงจะนั่งฝันต่ออีกพักใหญ่ถ้าไม่มีเสียงกระแอมดังขึ้น หน้าสวยหุบลงทันทีเมื่อเห็นว่าคนนั้นคือปวิธ


                “ไม่นึกว่าจะเห็นนกหงส์หยกตื่นก่อนตะวันตรงหัว”


                 เพราะทุกทีสนฉัตรจะตื่นเกือบเที่ยง ปวิธจึงแทบไม่ได้เห็นหน้าหากเขาต้องไปเรียนตอนเช้า แต่วันนี้ปวิธแปลกใจเมื่อได้เห็นสนฉัตรนั่งเหม่อขณะที่เขาเดินลัดมาจากห้องเล็กด้านหลังของเขา และถ้าตาไม่ฝาดก่อนเขาจะเดินตรงมาทางนี้ปวิธเห็นสนฉัตรกำลังคุยกับใครบางคนอยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่


                “ถ้าไม่ได้เสือกเรื่องของกู ชีวิตมึงคงเหมือนปลาในหม้อต้มแกงละมั้งไอ้เปลว”


                สนฉัตรลุกขึ้นยืนและเบ้ปากใส่ วันนี้เขาอารมณ์ดีเกินกว่าจะมาเสียเวลาเสวนากับคนปากหมาอย่างปวิธ


                 “มึงจะไปเรียนก็ไป กูไม่อยากคุยกับมึง”


                 พูดจบเจ้าตัวก็หันหลังให้และเดินผิวปากจากไป ทิ้งให้ปวิธมองตามหลังอย่างแปลกใจ เขาไม่เคยเห็นสนฉัตรรื่นเริงเช่นนี้มาก่อน เขาได้แต่ปัดความคิดนั้นทิ้งเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของเขา จากนั้นปวิธจึงเดินออกไปจากบ้านและลืมเรื่องของสนฉัตรไปเสีย







               สนฉัตรเดินงุ่นง่านอยู่ภายในห้องของตนในยามค่ำคืน ตลอดทั้งวันเขาได้แต่เฝ้าแอบมองจิรัชอยู่ในมุมต่าง ๆ จนกระทั่งก่อนกลับจิรัชยังลอบส่งยิ้มและพูดโดยไม่มีเสียงให้กับสนฉัตรที่อยู่ไกลออกไป


               “อย่าลืมนัดพรุ่งนี้”


                 สนฉัตรอ่านปากของจิรัชได้ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกอยากจะออกจากบ้านไปไหนพร้อมทรงเดชเท่าพรุ่งนี้มาก่อนแต่เพราะพรุ่งนี้มีจิรัชสนฉัตรจึงอยากไป เขาเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงทรงเดชเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกันสนฉัตรจึงรีบตามเข้าไปทันที


                 “ท่านครับ”


                 สนฉัตรส่งยิ้มยั่วยวนให้เจ้าของร่างอวบอ้วนในวัยชรา ได้ยินมาว่านายทรงเดชเป็นทั้งเบาหวานและไขมันในเส้นเลือดจนหมอต้องเตือนให้ระวังสุขภาพ แม้จะรังเกียจแต่สนฉัตรยังต้องเอาใจทรงเดชเพราะเขายังอยู่ใต้อาณัติของคนๆนี้


               “เหนื่อยไหมครับ สนเห็นประชุมติดต่อกันหลายวันแล้ว”


               จริตของสนฉัตรใช้ได้ดีเสมอกับทรงเดช เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปหาเจ้าของบ้านที่นั่งพักอยู่บนเตียง ความเครียดยังปรากฏอยู่ในสีหน้าเพราะเหตุทางการเมืองที่อาจส่งผลให้ทรงเดชต้องถูกอายัดทรัพย์


              “เหนื่อยสิวะ มาก็ดีแล้ว มาช่วยฉันหน่อย”


              สนฉัตรตรงเข้าไปอย่างรู้งาน เขาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นระหว่างขาของทรงเดช มือเล็กเรียวรูดซิปกางเกงของทรงเดชลงพลางคว้าท่อนเนื้อที่ใหญ่กว่าหัวแม่มือของสนฉัตรไม่มากขึ้นมาอยู่ในมือก่อนจะอ้าปากดูดมันเข้าไป


               “อืม ปากดีชิบไอ้สน”


               ทรงเดชส่งเสียงอืออาไม่กี่ครั้งสนฉัตรก็เรียกน้ำออกมาได้ เขาแอบบ้วนทิ้งด้วยความขยะแขยงแล้วก็ต้องรีบเงยหน้าฝืนยิ้มขึ้นมา


                “พอช่วยให้ท่านหายเครียดไหมครับ แล้วพรุ่งนี้ต้องไปข้างนอกหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ไปสนจะได้ดูแลท่าน”


               “ไปสิ”


                ชายชราทิ้งกายหงายลงไปบนเตียงปล่อยให้เด็กหนุ่มรุ่นหลานปรนนิบัติเอาใจ


               “ต้องไปสนามกอล์ฟ นัดกับรัฐมนตรีชิงชัยไว้ เกลียดมันฉิบหายแต่ก็ต้องร่วมมือกับมัน ไม่งั้นพากันตายหมู่แน่”


               สนฉัตรไม่สนใจว่าใครจะตายหมู่ จุดประสงค์ของเขาคือต้องการไปสนามกอล์ฟในวันพรุ่งนี้ เขายิ้มโปรยเสน่ห์ก่อนจะถอดเสื้อผ้าของทรงเดชออก


               “ให้สนไปด้วยได้ไหมครับ”


                ทรงเดชผงกหัวมองเด็กในปกครองก่อนจะทิ้งลงไปกับที่นอนนุ่มอีกครั้ง


                “ไปทำไม มีแต่เขาคุยกันเรื่องการเมือง เคยให้ไปด้วยหลายครั้งก็ทำหน้าบึ้งตลอด”


               “ไม่เหมือนกันนี่ครับ คราวนี้ท่านมีเรื่องให้คิดเยอะ สนก็อยากไปดูแลท่าน นะครับ นะ”


               ออดอ้อนวอนขอพร้อมกับขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนเอวที่พอกพูนด้วยไขมัน ทรงเดชจึงส่งเสียงอือออตอบรับ


               “เออ จะไปก็ไป แล้วจะมาบ่นหรือทำหน้าบึ้งไม่ได้นะ อ๊ะ อีกนิดสิ จะแตกแล้ว”


               ชายชรานอนหอบพักใหญ่ก่อนจะส่งเสียงกรนสนั่นดั่งเช่นเคย สนฉัตรยิ้มสมใจจึงค่อยลุกออกจากร่างนั้นเดินไปยังห้องน้ำ เขาสาวรูดตัวเองอย่างเช่นทุกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ในจินตนาการกลับมีจิรัชเป็นตัวกระตุ้นชั้นเลิศ


               “อา...”


               สนฉัตรพิงกายไปกับผนังห้องน้ำเปียกชื้นเมื่อปลดปล่อยออกมา ดวงตาของเขาลอยคว้างเมื่อเฝาแต่คิดถึงใบหน้าของจิรัช จะดีแค่ไหนถ้าได้สัมผัสกับเทพบุตรของเขา แค่คิดสนฉัตรก็เกิดอารมณ์จนต้องจัดการตัวเองอีกครั้ง





มีต่ออีกนิด...






หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 4 [19/03/61] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 19-03-2018 23:48:15


ต่อกันตรงนี...





               ทรงเดชพาสนฉัตรไปยังสนามกอล์ฟตั้งแต่เช้าเพื่อไปพบกับนายชิงชัยหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ต่างฝ่ายก็มีลูกน้องคนสนิทและทีมทนายติดตามมาด้วย เกมกีฬาแทบไม่ได้แตะเพราะส่วนใหญ่ผู้นำของพรรคใช้เวลาไปกับการปรึกษากันในเรื่องการเมือง


                 สนฉัตรนั่งอยู่บนรถไฟฟ้า เขามองกลุ่มคนวัยชราอย่างเบื่อหน่าย แต่เมื่อเบนสายตาไปหาร่างสูงในชุดลำลองหัวใจของสนฉัตรก็พลันเต้นรัวทุกครั้ง เขาอยากจะอยู่กับจิรัชและพูดคุยกันให้ออกรสชาติแต่ก็ไม่ถึงจังหวะเหมาะเสียที จนกระทั่งจิรัชส่งสายตาเป็นสัญลักษณ์มาให้ สนฉัตรจึงปั้นหน้ายิ้มแย้มเดินไปหาทรงเดช


                “ท่านครับ สนไปหาเครื่องดื่มที่สโมสรนะครับ คอแห้งจังเลย”


                 ทรงเดชหันมามองก่อนพยักหน้า


               “มีเงินหรือเปล่า”


                ควักเงินจากกระเป๋าส่งให้ คนในวงสนทนาไม่มีทีท่าแปลกใจนักเพราะรู้ว่าสนฉัตรเป็นเด็กเลี้ยงของทรงเดชมานานแล้ว สนฉัตรรับเงินมาแล้วจึงเดินไปยังรถไฟฟ้าอีกครั้งเพื่อให้ไปส่งที่สโมสร


               “ผมขอติดรถไฟฟ้าไปเข้าห้องน้ำนะครับ”


               จิรัชกระซิบบอกหัวหน้าทีมทนายที่พาเขามาด้วย ทนายรุ่นพี่พยักหน้าอนุญาตจิรัชจึงรีบเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าเคียงข้างสนฉัตรทันที ทั้งคู่นั่งนิ่งเพราะกลัวคนขับรถไฟฟ้าจะผิดสังเกต จนรถมาถึงด้านหน้าสโมสรให้ได้ลงกัน


              “นึกว่าสนจะไม่มาแล้ว”


                เสียงของจิรัชยังนุ่มเหมือนเมื่อวาน เขาแตะข้อศอกให้สนฉัตรเดินตรงเข้าไปในสโมสรที่มีคนใช้บริการบางตาเพราะไม่ใช่วันหยุด


               “ถ้าไม่มาล่ะครับ”


               สนฉัตรส่งเสียงสดใสกว่าทุกวัน แค่ได้เห็นหน้าของจิรัชหัวใจของเขาก็พองโตแล้ว


              “ถ้าสนไม่มาพี่คงเสียใจ เพราะพี่หวังไว้มากว่าจะได้พบกับสน”


              คำหวานนั้นทำให้สนฉัตรแทบจะลอยได้ เขารู้สึกมีคุณค่าขึ้นมาทันที จากเด็กที่ขาดแคลนและโหยหาความรักมาตลอดชีวิต จิรัชเปรียบเสมือนทุ่นลอยน้ำให้เขาเกาะกลางทะเลเวิ้งว้าง


              “สนก็อยากเจอพี่ อยากคุยกับพี่ พี่จิรัชเป็นคนเดียวที่เข้าใจสน”


               จะว่าสนฉัตรขาดที่พึ่งก็ได้ เด็กหนุ่มเหมือนไม้เลื้อยที่ไร้หลักยึด เพียงพบเจออะไรที่พอจะให้ฝังรากเพื่อความอยู่รอดเขาก็ต้องคว้าไว้ แม้จะเป็นต้นไม้ที่เพิ่งรู้จักไม่นานก็ตาม


               เมื่อพ้นสายตาคนจิรัชจึงคว้าข้อมือของสนฉัตรเพื่อให้เดินตามเขา สนฉัตรไม่ได้คัดค้าน วินาทีนี้ต่อให้จิรัชพาเขาไปไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น


                 จุดหมายของจิรัชคือห้องน้ำห้องสุดท้ายที่มีไว้สำหรับอาบน้ำ ห้องน้ำของสโมสรที่เก็บค่าสมาชิกราคาแพงสะอาดสะอ้านและปราศจากผุ้คนในตอนนี้ จิรัชดึงแขนให้สนฉัตรเดินตามเข้าไปในห้องและปิดประตูตามทันที ร่างของสนฉัตรถูกผลักเบา ๆ จนแผ่นหลังชิดกับผนังโดยมีจิรัชก้าวเข้ามายืนแนบชิด คางของสนฉัตรถูกปลายนิ้วบังคับให้เงยหน้าขึ้น


                 แทบไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจาเมื่อดวงตาบอกถึงความต้องการในกันและกัน จิรัชโน้มใบหน้าลงมาและบดริมฝีปากลงอย่างรวดเร็ว สนฉัตรเผยอปากรับลิ้นร้อนให้ส่งผ่านเข้ามาตวัดอย่างชำนาญ ร่างบางสั่นระริกไปกับจูบหนักหน่วงที่เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรกในชีวิต




                                                                 TBC



                                           กลับมาแล้วจ้า หลังจากที่เรื่องนี้หายไปสามเดือน


                                            :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7: :m7:







หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 4 [19/03/61] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 20-03-2018 00:30:57
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 4 [19/03/61] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-03-2018 02:12:19
คิดว่าจิรัชก็ไม่ได้จริงจัง
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 4 [19/03/61] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 20-03-2018 15:48:52
 :ling3: ชีวิตรันทดเริ่มแล้วสินะ :katai1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 4 [19/03/61] #นิยายสีเทา
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 21-03-2018 17:00:21
เป็นเด็กที่น่าสงสารได้ขนาดนี้ได้ยังไงกัน
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 5 [26/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 26-03-2018 14:11:17



                                                        วิมานไม้สน

                                                           บทที่ 5



               ไม่รู้ว่าสนฉัตรจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตนเองนั้นมีแรงดึงดูดทางเพศรุนแรงมาก แต่จิรัชรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่สบตากับสนฉัตรแล้ว รูปร่างเพรียวเอวคอดกิ่วผิวพรรณขาวเนียนละเอียดสะดุดสายตาของจิรัชจนอดไม่ได้ที่จะพาตัวเองเข้ามาพูดคุยทักทาย ไหนจะดวงตาเรียวหวานที่มีแพขนตาหนาเป็นเครื่องประดับนั่นอีกเล่า ยามที่ได้สนทนาออกรสชาติมันช่างมีประกายยั่วยวนโดยที่เจ้าของไม่ต้องทำอะไรเลย

              จิรัชไม่แปลกใจว่าทำไมทรงเดชถึงเก็บสนฉัตรมาเลี้ยงและครอบครองร่างกายนี้ตั้งแต่เพิ่งจะพ้นวัยหนุ่ม แถมยังปกครองราวกับอีกฝ่ายเป็นนกน้อยในกรงทอง คงเป็นเพราะความหวงแหนในสมบัติล้ำค่านี้ จิรัชรู้ว่าสนฉัตรมีเจ้าของแต่เพราะเสน่ห์ของสนฉัตรทำให้เขาอดใจไว้ไม่อยู่จริง ๆ

               กลิ่นกายของสนฉัตรกรุ่นอยู่ตรงจมูกขณะที่เขาบดขยี้ริมฝีปากลงไปกับกลีบปากนุ่มที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของ ลิ้นเล็กหวานฉ่ำยามจิรัชตักตวงจนน้ำลายชื้นเปียกปอน ดูเหมือนสนฉัตรจะไม่ประสาสักนิดกับจูบหนักหน่วงเช่นนี้ จิรัชนึกเสียดายของแทนทรงเดชว่าชายชราช่างใช้สมบัติได้ไม่คุ้มค่าเสียเลย

              มือร้อนของจิรัชควานสอดลึกเข้าไปในเสื้อยืดเนื้อบางเบาที่สนฉัตรสวมใส่ เขาสัมผัสเนื้อหนังนุ่มมือทั้งแผ่นอกและแผ่นหลังจนได้ยินเสียงครางลึกจากลำคอของสนฉัตร ตัวเขาเองก็กำลังตื่นไปกับความปรารถนาอันแรงกล้าที่ผุดขึ้นมาราวกับลาวาของภูเขาไฟอันร้อนระอุ และจิรัชก็รู้ว่าสนฉัตรกำลังเตลิดไม่ต่างจากเขา

         
                “ถ้าสนไม่รีบห้าม พี่ก็จะไม่อดทนแล้วนะ”


                จิรัชผละจากเรียวปากหวานเพื่อจะสบตากับสนฉัตร นัยน์ตาวาบหวามล่องลอยพร้อมกับเบียดกายเข้าหากลายเป็นคำตอบที่ไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมา สองแขนของสนฉัตรไขว่คว้ารอบลำคอของจิรัชราวกับจะยึดเขาไว้เป็นที่พึ่ง และนั่นทำให้ความยับยั้งชั่งใจหมดสิ้นลง

                 จิรัชสบถบางอย่างที่สนฉัตรจับใจความไม่ได้ก่อนที่เขาจะดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกงเพื่อหยิบซองถุงยางอนามัยที่พกไว้ สนฉัตรรู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นแต่เขาก็หยุดมันไว้ไม่ได้จริง ๆ เด็กหนุ่มที่เป็นเพียงนกซึ่งไร้อิสรเสรีอยากรู้อยากเห็นโลกใบใหม่ดึงกางเกงตนเองจนถึงต้นขาในขณะที่จิรัชจัดการป้องกันเสร็จสรรพเขาก็จับสนฉัตรให้หันหลังเข้าหาผนังห้องน้ำ มือใหญ่ดึงใบหน้าของสนฉัตรให้เหลียวกลับมารับจูบของเขาพร้อมกับเปิดกรงขังปล่อยนกตัวน้อยให้บินออกสู่โลกกว้างในทันที


                  “อา...”


                  สนฉัตรสั่นระริกไปทั่วร่างราวกับมันจะฉีกขาด ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดซึ่งกันและกันเมื่อจิรัชปรนจูบให้เขา จังหวะเหล่านั้นเนิบนาบในช่วงแรกแต่กลับเร่งเร้าในนาทีถัดมา มันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่สนฉัตรไม่เคยได้รับจากทรงเดชเลยแม้แต่สักครั้งเมื่อชายชราผู้เป็นเจ้าของเรือนร่างไม่มีเรี่ยวแรงและพละกำลังจะทำให้สนฉัตรสุขสม ทั้งที่เป็นคนแรกที่สอนให้เขารู้จักเพศรส แต่จิรัชผู้ซึ่งรู้จักกันแค่สองวันกลับทำให้เขาตื่นเต้นและดื่มด่ำไปกับความหฤหรรษ์ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้เอง


                จิรัชดึงไหล่บางให้หันกลับมาเผชิญหน้า เขายกท่อนขาข้างหนึ่งของสนฉัตรพลางออกแรงไปกับร่างโปร่งที่หันหลังพิงผนังเป็นหลักยึด เสียงลมหายใจกระเส่าที่ต่างพยายามเก็บกลั้นเพื่อป้องกันเสียงเล็ดลอดไปสู่ภายนอก มือเรียวของสนฉัตรจิกแน่นอยู่ตรงบ่าของเขาบอกให้รู้ว่าสวรรค์รออยู่ตรงหน้า


                 “เก่งมากครับสน อีกนิดเดียวนะครับ”


                 เขาปลอบประโลมพลางยกแขนเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของสนฉัตร ใบหน้าหวานแดงก่ำบิดเบี้ยวด้วยไฟสวาทที่ช่วยกันจุดจนโหมแรงเผาไหม้ แม้จะรู้ว่ามันร้อนก็พร้อมกระโจนเข้าหา และในที่สุดสนฉัตรก็ถึงกับก้มหน้าไปกับไหล่ของจิรัชและกัดลงไปด้วยฟันเพื่อห้ามเสียงที่จะเปล่งออกมาเพราะความสุขสม


                “อื้อ..”


                จิรัชเองก็เกร็งไปทั้งตัว เขาโอบรัดเอวของสนฉัตรเข้าหาจนไม่เหลือช่องว่างเมื่อเขาปลดปล่อยออกมาเต็มการป้องกัน ร่างทั้งสองนิ่งอยู่ในท่านั้นพักใหญ่ก่อนที่จิรัชจะถอนตนเองออกมาและดึงถุงยางอนามัยเปียกชื้นออกทิ้ง เขาสบตากับสนฉัตรและจูบหนักหน่วงอีกครั้ง

                ดูเหมือนเขาจะหลงเสน่ห์ร่างกายนี้เสียแล้ว จิรัชบอกตนเองเช่นนั้น แม้จะเป็นเซ็กส์ที่เร่งรีบและเป็นความลับเขาก็ยังหลงใหลไปกับบทรักของสนฉัตร นึกเสียดายที่ต้องปล่อยร่างเพรียวนี้และช่วยจัดการดึงกางเกงกลับเข้าที่ให้ก่อนจะจัดการตนเอง จิรัชใช้ปลายนิ้วลูบไล้ริมฝีปากนั้นแทนคำพูดเขาจูงมือให้สนฉัตรออกจากห้องอาบน้ำมาหยุดยืนหน้ากระจกด้านนอก[/font]

               สนฉัตรมองเห็นใบหน้าตนเองแล้วตกใจไม่น้อย มันแดงก่ำหยาดเยิ้มอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาแวววาวด้วยน้ำหล่อเลี้ยงกับความสัมพันธ์เกินเลยนี้ แถมเนื้อตัวยังสั่นไหวไม่เลิกจนจิรัชต้องประคองไว้


               “ไหวไหมครับสน”


              เด็กหนุ่มสบตาจิรัชในกระจก เขาตกเป็นทาสของจิรัชเข้าแล้วกับสิ่งที่จิรัชสอนให้รู้จัก


             “สนไม่นึกว่าเราสองคนจะ เอ่อ...”


             “พี่ก็ไม่นึกเลย”


               จิรัชจูบที่ขมับของสนฉัตรพร้อมกับถอนหายใจ


              “พี่คงหลงรักสนเข้าเสียแล้ว”


               หัวใจดวงน้อยยิ่งอิ่มเอิบมากขึ้น คำรักที่ไม่เคยได้ยินทำให้สนฉัตรหลงวนอยู่ในความเสน่หา จนกระทั่งจิรัชเอ่ยคำที่กระชากให้เขากลับมาสู่โลกแห่งความจริงจนหัวใจเหี่ยวเฉา


                “แต่ตอนนี้เราต้องกลับไปที่สนามก่อน เดี๋ยวจะมีคนสงสัยนะครับ พี่จะไปก่อน สนเดินไปซื้อเครื่องดื่มแล้วค่อยตามไปทีหลังนะ”


               “พี่จิรัช แล้วเรื่องของเรา...”


                 สนฉัตรผวาเกาะแขนจิรัช เมื่อได้รู้จักโลกใบใหม่สนฉัตรก็อยากจะบินไปกับมันมากกว่าจะกลับไปอยู่ในกรงคับแคบ จิรัชกลายเป็นที่พึ่งของเขาที่จะพาไปสู่โลกกว้างและหลุดพ้นจากความน่ารังเกียจทั้งปวง


               “ใจเย็นนะสน พี่รู้ว่าสนคิดอะไรอยู่ พี่ไม่ทิ้งสนแน่”


               จิรัชปลอบประโลมก่อนที่เขาจะเดินนำออกไปจากห้องน้ำ ทิ้งให้สนฉัตรได้แต่สบตาตนเองในกระจก

               ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากเกินกว่าสนฉัตรจะคาดคิด แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ร่างกายที่ยังสั่นเทาเป็นหลักฐานถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขากำลังสับสนว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้องหรือไม่ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีส่วนหนึ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องควรทำเพราะเขายังอยู่ในการปกครองของทรงเดช แต่กับอีกใจหนึ่งที่ถลำลึกไปแล้วกลับบอกว่านี่คือทางออกของชีวิต สนฉัตรจะไม่ต้องทนกับสายตาเหยียดหยามของใครต่อใครอีก ชีวิตนี้คือชีวิตของสนฉัตร[/font]

                หน้าเรียวหวานเชิดสูงกับคำตอบที่ได้รับ สนฉัตรมองเห็นหนทางเส้นใหม่ที่เขาจะเลือกเดินไปแล้ว






                 ตลอดเวลาหลังจากที่นั่งรถไฟฟ้ากลับไปยังกลางสนามกอล์ฟสนฉัตรก็ได้แต่ลอบสบตากับจิรัชเป็นระยะ เขากลับถึงบ้านด้วยใจเบิกบานผิดกับทรงเดชที่การเจรจาทางการเมืองไม่เป็นผลจนหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด


                 “ไอ้สน ขึ้นไปบนห้องเดี๋ยวนี้”


                 สีหน้าเกรี้ยวกราดของทรงเดชทำให้สนฉัตรไม่อยากเดินตาม แต่เพราะยังเกรงกับอำนาจของทรงเดชทำให้เขาจำต้องเดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปในห้องนอนหรูหราที่สนฉัตรแสนเกลียด


                “ทำให้กูหน่อย เร็วเข้า”


                สนฉัตรอึกอัก เขาไม่อยากปรนนิบัติทรงเดชในเวลาเช่นนี้ เขาอยากจะเก็บความทรงจำระหว่างจิรัชกับเขาไว้และไม่อยากให้ทรงเดชมาประทับรอยซ้ำกับความสุขของเขา


              “เร็วสิวะ ยืนโง่อยู่ได้”


              “ท่านครับ วันนี้สนไม่ไหว ตากแดดทั้งวันสนเพลียจังเลย”


              สนฉัตรฝืนยิ้มและส่งเสียงออดอ้อนอย่างที่เคยได้ผล แต่วันนี้ที่ทรงเดชมีแต่ความเครียดมันกลับใช้ไม่ได้ ชายชราอยากจะระบายมันออกมาและสิ่งที่ทำได้คือสมบัติที่เขาชุบเลี้ยงมากับมือ


              “อย่ามาดัดจริตนะไอ้เด็กข้างถนน”


               ฝ่ามืออวบอูมซัดเผียะเข้าที่แก้มของสนฉัตรจนขึ้นรอยแดง ทรงเดชกระชากเส้นผมของสนฉัตรและเหวี่ยงให้ร่างนั้นถลาร่วงไปบนเตียง สนฉัตรเจ็บทั้งตัวและหัวใจจนน้ำตาซึม


               “ท่าน อย่า!”


               พยายามส่งเสียงห้ามปรามแต่ไม่สำเร็จ ทรงเดชตามเข้ามาดึงทึ้งเสื้อผ้าของสนฉัตรก่อนจะกระแทกกายเข้าใส่เขาด้วยแรงอารมณ์ สนฉัตรได้แต่นอนนิ่งให้ทรงเดชกระทำตามอำเภอใจ มันไม่มีความสุขใดเลยเมื่อมีแต่ความรุนแรงของไขมันบนร่างที่โถมทับลงมา เด็กหนุ่มขยำผ้าปูที่นอนจนยับย่นกับความอดสูใจจนกระทั่งทรงเดชสาแก่ใจแล้วจึงได้หลับคาอยู่บนร่างของเขา

              สนฉัตรผลักร่างของทรงเดชออกด้วยความรังเกียจ เขาคว้าผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างได้ก็เดินดุ่มลงมาชั้นล่างของตัวบ้าน เคาน์เตอร์บาร์ที่มีขวดเหล้าเรียงรายคือที่ประจำของสนฉัตรเพื่อจะระบายความอัดอั้น เขาสาดเหล้าลงคอพลางยกหลังมือเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา

               เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาจากด้านหลัง สนฉัตรจำได้ว่าเป็นเสียงของปวิธคู่ปรับของตน แต่ในตอนนี้สนฉัตรไม่อยากจะสนใจอะไรอีกแล้วนอกจากเหล้าในขวดที่ตั้งตรงหน้า

 
                “โอ้โห วันนี้คุณนกหงส์หยกดูแลเจ้านายตั้งแต่หัววันเลยนะ”


               ปวิธมองแผ่นหลังเนียนที่อวดอยู่ตรงหน้า วันนี้เขากลับบ้านเร็วเพราะไม่มีงานเล่นดนตรี และในเวลาหัวค่ำที่ราตรีเพิ่งเริ่มต้นเขากลับพบสนฉัตรแล้ว ทั้งที่ปกติสนฉัตรจะลงมาดึกกว่านี้ มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวหุ้มกายท่อนล่างหมิ่นเหม่เท่านั้น

               ยอมรับว่ารูปร่างของสนฉัตรสะโอดสะองจนไม่นึกว่าเป็นชายด้วยกัน ปวิธมองผิวขาวของแผ่นหลังที่ไร้สิวฝ้า เขารู้อยู่แล้วเพราะเห็นสนฉัตรมาตั้งแต่เด็ก รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสนฉัตร


               “ทำตัวแบบนี้สินะ คุณลุงถึงได้หลงมึงหัวปักหัวปำนัก ช่างยั่วเหลือเกินนะ”


               เสียงแก้วแตกดังเพล้งเมื่อสนฉัตรปามันลงกับพื้นเพื่อระบายอารมณ์


              “อย่ามายุ่งกับกูไอ้เหี้ยเปลว”


                ปวิธกำลังจะตอบโต้แต่เขากลับชะงักเมื่อสนฉัตรหันมาหาเขา ปวิธขมวดคิ้วเมื่อเห็นสภาพของสนฉัตรชัดๆ ผิวกายด้านหน้าที่ขาวเนียนเต็มไปด้วยร่องรอยเป็นจ้ำ มุมปากข้างหนึ่งบวมเจ่อกลายเป็นสีเขียว ปวิธถึงกับถอนหายใจออกมา


               “คุณลุงทำมึงเหรอ”


               สนฉัตรถ่มน้ำลายปนเศษเลือดลงพื้น ดวงตางามเต็มไปด้วยความเกลียดชัง


               “ใช่สิ ลุงที่มีบุญคุณท่วมหัวมึงยังไงล่ะไอ้เปลว บุญคุณที่มีไว้กดหัวมึงให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าตลอดชีวิต”


               “ไอ้สน”


               เป็นครั้งแรกที่ปวิธเรียกชื่อนี้ด้วยน้ำเสียงเห็นใจ แต่ดูเหมือนสนฉัตรจะไม่รับรู้


                “คุณลุงอาจจะเครียดเรื่องงาน มึงก็รู้ว่าเขากำลังจะเล่นงานคนของรัฐบาลที่แล้ว”


               “มึงเห็นร่างกายกูเป็นแค่เครื่องมือระบายความเครียดของลุงมึงเหรอ”


               น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมาเปื้อนแก้มจนสนฉัตรต้องรีบเช็ดมันออก


                “กูเป็นคน กูมีหัวใจ กูไม่ใช่สิ่งของให้ใครมากระทืบเล่นนะไอ้เปลว”


               สนฉัตรหันหลังกลับพร้อมกับกระแทกเท้าหนีการสนทนา ปวิธมองตามแผ่นหลังนั้นไปพร้อมกับความแปลกใจที่เขานึกสงสารร่างกายบอบบาง ชายหนุ่มได้แต่สะบัดหน้าขับไล่ความรู้สึกของตนเองและเตือนว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องระหว่างทรงเดชกับสนฉัตรทั้งที่ทำได้ยากเหลือเกิน





มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 5 [26/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 26-03-2018 14:19:43


ต่อกันตรงนี้....




               สนฉัตรตื่นสายในวันรุ่งขึ้น ร่างกายบอบช้ำมีไข้ตลอดทั้งคืนจนต้องซมซานหายาลดไข้กินยามดึก ริมฝีปากบวมเจ่อนั้นทุเลาลงแล้วแต่ยังมีร่องรอยฟกช้ำทิ้งไว้ให้เห็นเมื่อเขาเดินมาหาอาหารปะทังความหิวในห้องอาหาร

             เมื่อท้องพอมีอาหารตกถึงสนฉัตรจึงได้มีแรงมองความเป็นไปภายในบ้าน ห้องโถงด้านหน้าผู้คนมากมายเช่นเคยและดูเหมือนจะมากเป็นพิเศษ ไม่มีใครสนใจไม้ประดับอย่างเขายกเว้นคนหนึ่งที่เดินปลีกตัวมาหา แม้จะไม่ได้ยืนใกล้ชิดแต่สนฉัตรก็ยังดีใจที่ได้เห็นหน้า


               “พี่จิรัช”


               “เกิดอะไรขึ้น ทำไมหน้าของสนเป็นแบบนี้ ใครทำร้ายสน หรือว่า...”


                สนฉัตรกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เขาอยากจะบอกจิรัชว่าไมใช่แค่ใบหน้า หากเขาถอดเสื้อได้จิรัชก็จะเห็นร่องรอยบนเนื้อตัวของเขา


               “ท่านรัฐมนตรีทรงเดชใช่ไหมสน”


               หน้าเรียวก้มต่ำ สนฉัตรเกลียดความจริงที่เกิดขึ้น


               “เขาข่มขืนสนเพราะสนไม่ยอมปรนนิบัติเขา พี่จิรัช สนทนไม่ไหวแล้ว เขาทำเหมือนสนไม่ใช่คน”


               จิรัชมองซ้ายมองขวา เขาดึงแขนสนฉัตรให้เดินไปยังมุมที่มีเหลี่ยมบังสายตาคนอื่นและดึงสนฉัตรเข้ามากอด


               “พี่เข้าใจและสงสารสนมาก ทนอีกนิดได้ไหม อีกนิดเดียว วันนี้ช่วงบ่ายจะมีแถลงข่าวเรื่องผลการตัดสินเรื่องท่านทรงเดช พี่เดาว่าท่านอาจจะถูกฟ้องและอายัดทรัพย์”


               “พี่จะให้สนทำยังไง”


              สนฉัตรกระซิบถาม เขาอยากอยู่ภายใต้อ้อมกอดนี้ตลอดไป


              “หนีไปกับพี่”


              เสียงกระซิบตอบของจิรัชทำให้สนฉัตรตกใจไม่น้อย เขาผละออกจากอ้อมกอดและมองจิรัชด้วยความตื่นเต้น


              “หนีงั้นเหรอ แต่พี่จิรัชทำงานให้เขานะ”


              “พี่จะถอนตัว พี่คงทำงานกับคนที่ทำผิดทั้งที่รู้อย่างนี้ไม่ได้”


                สนฉัตรตื้นตัน เขามองว่านี่คือความเสียสละของจิรัช โลกใบใหม่รอเขาอยู่ สนฉัตรจะมีอนาคตโดยไม่ต้องจมปลักอยู่กับความอัปยศอีกแล้ว


                 “แล้วสนจะหนีไปกับพี่ได้ยังไง”


                “ฟังนะสน ถ้าข่าวการตัดสินออกแล้วบ้านหลังนี้จะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย นักข่าวจะมารุมเต็มหน้าประตูรั้วแน่ๆ และไม่ว่าผลจะออกมายังไงท่านทรงเดชก็ต้องให้สัมภาษณ์นักข่าว สนใช้จังหวะนั้นแอบหนีออกไปแล้วไปรอพี่ที่ถนนใหญ่ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพี่จะขับรถไปรับ”


               “สนไม่ได้เตรียมตัว เสื้อผ้าของใช้ล่ะ”


               สนฉัตรตกใจกับความฉุกละหุก แต่จิรัชก็รีบปลอบ


             “ไม่ต้อง เอาตัวเองออกไปให้ได้ก็พอแล้ว ทุกอย่างค่อยไปหาซื้อใหม่ พี่เลี้ยงเมียของพี่ได้”


              สนฉัตรแทบจะโผเข้ากอดจิรัชด้วยความยินดีหากไม่มีเสียงกุกกักดังขึ้นจากทางด้านหลังของห้องอาหารเสียก่อน

              ปวิธนั่นเองที่เดินเข้ามาหาของกินยามเที่ยง เขามองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสนฉัตรยืนคุยกับชายแปลกหน้า


              “มองอะไรไอ้เปลว”


              พยายามทำสีหน้าให้ปกติที่สุดเมื่อปวิธเดินตรงเข้ามา เมื่อเห็นสายตาของปวิธที่มองจิรัชสนฉัตรก็รีบเอ่ยแนะนำ


              “พี่เขาชื่อจิรัช เป็นทนายความคนใหม่ของพรรค ส่วนนี่ชื่อเปลวครับ หลานชายห่าง ๆ ของท่าน”


               ปวิธยิ้มตามมารยาท น่าแปลกที่เขาไม่ถูกชะตากับจิรัชเอาเสียเลย


              “ทนายคนใหม่ของพรรคนี่เอง มิน่าล่ะครับผมถึงไม่เคยเห็น”


               แม้ว่าปวิธจะไม่ค่อยแสดงตัวว่าเป็นหลานของทรงเดช แต่เขาก็รู้จักคนในพรรคการเมืองและคนอื่นที่เกี่ยวข้อง แม้แต่ทีมรักษาความปลอดภัยของทรงเดชปวิธก็เคยโอภาปราศรัยด้วยทุกคน


                 “ครับ ผมเพิ่งจะเข้ามาในทีม ยินดีที่รู้จักนะครับคุณเปลว และคงต้องขอตัวก่อน วันหน้าค่อยคุยกันใหม่นะครับ ผมไปนะครับสน”


                หันมายิ้มให้สนฉัตรก่อนจะเดินจากไป ปวิธจึงหันมาหาสนฉัตรและตั้งคำถามขึ้น


              “เขามาคุยกับมึงเรื่องอะไร”


              สนฉัตรแอบสะดุ้งในใจ เขาแสร้งทำสีหน้ารำคาญกลบเกลื่อนพิรุธ


               “เขามาถามหาห้องน้ำน่ะ เสร็จธุระแล้วก็แวะมาขอบใจกูเท่านั้นแหละ”


              ปวิธไม่ได้พูดถึงจิรัชอีก เขามองใบหน้าของสนฉัตรที่มีรอยฟกช้ำให้เห็น


              “มึงเป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”


              ไม่อยากจะคิดว่าน้ำเสียงที่ปวิธพูดมีกระแสความห่วงใยปะปนมาอยู่ สนฉัตรแค่นยิ้มและย้อนกลับมา


              “ก็อย่างที่เห็น กูยังไม่ตาย”


             “ไปหาหมอไหม เดี๋ยวกูพาไป”


               “ไม่ต้อง” สนฉัตรปฏิเสธ “มึงไม่ต้องมาสนใจกูหรอกไอ้เปลว กูยังไม่ตายง่าย ๆ ชีวิตกูยังมีอีกยาวไกล”


               ร่างโปร่งนั้นเดินหนีไปแล้ว  ทิ้งให้ปวิธมองตามด้วยความสับสนกับความรู้สึกของเขา





                                                          TBC


                                             สนฉัตรตัดสินใจดีแล้วแน่เหรอ

                                           
                                                o6 o6 o6 o6 o6 o6






หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 5 [26/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 26-03-2018 15:51:45
ปวดตับบอกเลอ :katai1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 5 [26/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 26-03-2018 17:32:43
จิรัชไม่น่าไว้ไจ  :mew2:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 5 [26/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 30-03-2018 15:17:15
รออยู่นะค้าาาา :mew1: :mew1:
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 31-03-2018 23:51:48



                                                         วิมานไม้สน

                                                            บทที่ 6



                ความวุ่นวายเกิดขึ้นจริง ๆ ในช่วงบ่ายของวันเมื่อมีคำสั่งจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบให้อายัดทรัพย์ของคณะรัฐมนตรีจากรัฐบาลเก่าหลายคน หนึ่งในนั้นคืออดีตรัฐมนตรีทรงเดช สีหน้าของผู้เคยมีอำนาจแต่ถูกช่วงชิงไปเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด สมาชิกในพรรคการเมืองและทีมกฎหมายที่อยู่ภายในบ้านต่างพูดคุยกันอื้ออึง รวมทั้งกองทัพนักข่าวที่เกาะรั้วรอตั้งแต่ช่วงเช้าต่างก็ส่งเสียงขอสัมภาษณ์ จนในที่สุดทรงเดชก็เปิดบ้านให้นักข่าวเข้ามาเพื่อแถลงข่าว
หัวใจของสนฉัตรเต้นตึกตักเมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ เขาเดินเลาะจากบันไดออกไปด้านนอกผ่านทางด้านหลังของตัวบ้านเพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจ บรรยากาศวุ่นวายจากเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองทำให้ทุกคนรวมถึงบอดี้การ์ดของทรงเดชไปรวมกันอยู่ภายในห้องโถง สนฉัตรเดินขาสั่นผ่านรถยนต์หลายคันที่จอดเรียงรายกันอยู่โดยไม่มีใครห้ามปราม เขามองประตูรั้วที่กักขังเขามาตลอดหลายปีพร้อมกับความหวัง อีกไม่กี่ก้าวสนฉัตรจะมีชีวิตใหม่กับคนที่เขาปรารถนา


                “ไอ้สน จะไปไหน”


                สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงปวิธ สนฉัตรพยายามระงับความตื่นเต้นแล้วแสร้งแสดงสีหน้าบึ้งตึงเหมือนทุกครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับปวิธ


                 “อ้าว มึงไม่ได้ไปเรียนเหรอเปลว”


                 “เวลาคับขันของคุณลุงกูจะไปเรียนได้ไง มึงนั่นแหละจะไปไหน”


                 “กูอยู่แล้วจะช่วยอะไรท่านได้” สนฉัตรตวัดเสียงใส่


                 “กูมันแค่เด็กที่ท่านเลี้ยงไว้ ไม่เหมือนหลานสุดที่รักอย่างมึงนี่”


               “แต่คุณลุงก็รักมึง ยังไงท่านก็เลี้ยงมึงมาเป็นอย่างดีนะ”


               ปวิธขมวดคิ้ว วันนี้เขายอมขาดเรียนเพราะรู้ว่าเป็นวันชี้ชะตาของทรงเดช และเมื่อรู้ข่าวว่าลุงของเขาถูกตั้งข้อหาแน่นอนแล้วเขาก็ยิ่งกังวลแทน และเมื่อเห็นสนฉัตรกำลังจะเดินออกไปนอกรั้วเขาจึงเอ่ยถาม เพราะโดยปกติเขาไม่เคยเห็นสนฉัตรมีท่าทีผิดสังเกตเช่นนี้


                “กูจะไปร้านขายยาหน้าปากซอย”


                สนฉัตรตอบคำถามอย่างขอไปที


               “จะไปซื้อยาแก้ปวดหน่อย ที่เคยซื้อไว้มันหมดแล้ว”


              ปวิธนึกขึ้นได้ว่าเนื้อตัวของสนฉัตรฟกช้ำเพราะลุงของเขา เสียงของปวิธจึงอ่อนลงบ้าง


              “ไปไหวหรือเปล่า ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม”


              “ไม่ต้อง กูไม่ได้ใจเสาะอ่อนปวกเปียกขนาดนั้น มึงจะไปเป็นกำลังใจให้ท่านก็ไปสิ ป่านนี้นักข่าวรุมสัมภาษณ์กันยกใหญ่ล่ะมั้ง”


               พยายามเบี่ยงเบนความสนใจให้ออกห่างจากตัว สนฉัตรหลบสายตาปวิธที่ยังคงจ้องมองเขา


             “ถ้างั้นก็รีบไปรีบกลับนะ”


               ปวิธหันหลังเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน สนฉัตรพ่นลมหายใจระบายความอึดอัดและตื่นเต้นออกมาเมื่อในที่สุดหนทางก็เปิดโล่ง เขารีบเดินตัวปลิวก้าวข้ามผ่านประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่ออกมา

               ราวกับนกที่โบยบินออกจากกรงขังแสนคับแคบ สนฉัตรเงยหน้ามองท้องฟ้ายามบ่ายจัดน้ำตาคลอ ต่อจากนี้เขาจะได้มีชีวิตใหม่และหลุดพ้นจากนรกที่อยู่ในใจแล้ว

                 สนฉัตรมองถนนที่ทอดยาวเบื้องหน้า รถราแล่นตามกันอยู่บนช่องทางจราจร ผู้คนต่างเดินขวักไขว่อยู่บนฟุตปาธโดยที่ไม่มีใครสนใจใยดีเขาเมื่อสนฉัตรก้าวเดินไปอีกครั้งพร้อมกับอนาคตที่เขาตัดสินใจเลือกเอง





               สนฉัตรเฝ้าอดทนรอด้วยความกระวนกระวายจากบ่ายคล้อยจนเย็นย่ำ เขานึกกลัวว่าจะมีคนของทรงเดชมาเห็นเขาเข้าเสียก่อน สนฉัตรได้แต่ซ่อนตัวเองด้วยการทำตัวปะปนไปกับผู้คนบนถนนมากมายจนกระทั่งฟ้ามืด เขาสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์รุ่นโบราณของเขามีเสียงดังขึ้น เบอร์หน้าจอแสดงว่าคนที่โทรเข้ามาคือจิรัช สนฉัตรรีบรับสายทันที


                “พี่จิรัช” เขาเรียกอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น


                “สนรออยู่นานแล้วครับ”


               “ใจเย็นนะสน ทางนี้เพิ่งจะเลิกวุ่นวาย พี่กำลังไปรับสนจำรถพี่ได้ใช่ไหม”


               สนฉัตรรีบก้าวไปยังริมถนนพลางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง ไม่นานนักเขาก็เห็นรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งชะลออยู่ริมถนน สนฉัตรยิ้มด้วยความดีใจเมื่อจำได้ว่านั่นคือรถของจิรัช เขารีบเปิดประตูขึ้นไปนั่งและจิรัชก็รีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว


                 “พี่จิรัช สนดีใจจังเลย ในที่สุดพี่ก็ช่วยให้สนออกมาจากบ้านท่านได้”


                สนฉัตรอยากจะกอดจิรัชเหลือเกินถ้าไม่ติดว่าเขากำลังขับรถอยู่ จิรัชหันมายิ้มให้เขาพลางดึงมือนุ่มของสนฉัตรไปจูบที่หลังมือ


                “พี่บอกว่าจะช่วยพี่ก็ต้องทำให้ได้ สนเริ่มต้นชีวิตใหม่กับพี่นะครับ”


              “พี่ไม่รังเกียจสนใช่ไหม ที่สนเคย เอ่อ...”


              จิรัชหันมายิ้มให้อีกครั้ง มันช่างแสนอบอุ่นในสายตาของสนฉัตร


              “อย่ารังเกียจตัวเองเลยสน สนทำเพื่อเอาตัวรอด ลืมเรื่องร้ายที่ผ่านมาเถอะ อ้อ สนถอดซิมการ์ดโทรศัพท์ทิ้งไปเลยนะ จะได้ไม่มีใครตามได้”


                สนฉัตรพยักหน้า เขารีบถอดซิมการ์ดแล้วหักมันทิ้ง เขาจะไม่ให้ใครตามตัวได้อีกแล้ว

                 จิรัชขับรถยนต์มาไกลจากบ้านของทรงเดช เขาจอดรถที่ตลาดนัดข้างทางและพาสนฉัตรไปซื้อเสื้อผ้าพร้อมกับแวะกินร้านอาหารตามสั่ง ในตอนนี้อาหารรสชาติแย่แค่ไหนก็อร่อยสำหรับสนฉัตร เมื่อท้องอิ่มแล้วจิรัชก็พาสนฉัตรมายังคอนโดมิเนียมขนาดกลางแห่งหนึ่งในซอยที่มีผู้คนพลุกพล่านและมีที่อยู่อาศัยเช่นนี้หนาตา


                 “พี่เช่าคอนโดอยู่ที่นี่ อาจจะเล็กเท่ารูหนูถ้าเทียบกับบ้านของท่านทรงเดช”


                 จิรัชกล่าวเช่นนั้นเมื่อเปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไปในห้องพัก ขนาดของห้องยังเล็กกว่าห้องนอนที่ทรงเดชให้สนฉัตรอยู่ ยังดีที่กั้นห้องเป็นห้องนอนเล็ก ๆ เป็นสัดเป็นส่วน ด้านนอกเป็นห้องโถงอเนกประสงค์ มีโต๊ะทำงานของจิรัชและชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้สำหรับรับประทานอาหาร เฟอร์นิเจอร์ก็มีเท่าที่จำเป็น ตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ เตาไมโครเวฟ กระติกน้ำร้อน มีประตูบานเลื่อนเปิดไปด้านนอกที่เป็นระเบียบแคบ ๆ สำหรับตากผ้า


                “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ สนเลือกที่จะมาอยู่กับพี่ แค่นี้สนก็ถือว่าเป็นสวรรค์แล้ว”


                สนฉัตรยิ้มให้จิรัช ตอนนี้ทุกอย่างสวยงามแล้วในสายตา แค่เพียงมีจิรัชอยู่ด้วยสนฉัตรจะอดทนทุกอย่าง เขาสบตากับชายที่มอบชีวิตใหม่ให้เขา


                  “พี่สัญญาว่าจะทำให้สนมีความสุขที่สุดเท่าที่พี่จะทำได้ ให้สมกับที่สนเป็นเมียของพี่ ต่อจากนี้เราจะเป็นผัวเมียกันนะครับคนดี”


                   ดวงตาของจิรัชบอกถึงความต้องการในตัวสนฉัตร เขาดึงร่างเพรียวที่เขาหลงใหลเข้ามาหาตัวและจูบหนักหน่วง สนฉัตรเงยหน้ารับอย่างเต็มใจเพราะเขาเองก็โหยหาจิรัชไม่ต่างกัน ทั้งคู่ต่างช่วยกันถอดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายอย่างร้อนรนจนเนื้อตัวเปล่าเปลือย จิรัชช้อนแขนอุ้มสนฉัตรขึ้นและเดินเข้าไปในห้องเล็กที่เขาจัดไว้เป็นห้องนอน

                  มีเพียงเตียงขนาดห้าฟุตกับโทรทัศน์กับเครื่องเสียงขนาดเล็ก จิรัชเปิดเครื่องปรับอากาศขับไล่อากาศร้อน เสียงทำงานของมันดังหึ่ง ๆ ไม่เหมือนห้องของสนฉัตรที่บ้านของทรงเดชที่มันเงียบกริบ จิรัชวางสนฉัตรลงบนเตียง เขามองร่างกายเปลือยเปล่าของสนฉัตรตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

                 รูปร่างของสนฉัตรโปร่งสมส่วน ผิวกายขาวละเอียดมีร่องรอยถูกกระทำทิ้งไว้จาง ๆ จนจิรัชนึกเสียดาย ยอดอกสีชมพูเปล่งปลั่งเย้ายวนรับกับเอวคอด เขาไล่สายตามาถึงจุดกึ่งกลางที่มีแก่นกายพอเหมาะกับเจ้าตัว สีของมันอ่อนหวานเร้าอารมณ์ยิ่งนัก ต้นขาอ่อนหนั่นแน่นชวนสัมผัส และเมื่อไล่สายตากลับไปก็พบกับวงหน้าหวานฉ่ำที่มองเขาราวกับกำลังเชิญชวน

                จิรัชดอมดมกลิ่นกายจากผิวผ่อง เขาไม่รู้ว่าสนฉัตรใช้โลชั่นทาผิวยี่ห้ออะไรถึงได้มีกลิ่นกรุ่นเข้าเนื้อขนาดนี้ จิรัชกอดจูบลูบคลำให้สมกับที่เขาช่วงชิงของมีค่ามาได้จากคนใหญ่คนโต เสียงสะท้านซ่านดังแว่วมาจากปากแดงฉ่ำเมื่อเขาปรนเปรอสนฉัตรให้รู้จักเซ็กส์อันสมบูรณ์แบบ


                “อา พี่จิรัช”


                 สนฉัตรผวาเร่าร้อนไปกับการเล้าโลมนั้น เซ็กส์ที่ไม่ได้มีเพียงความเอาแต่ได้ในความรู้สึกของสนฉัตร จิรัชโลมเลียแม้กระทั่งจุดอ่อนไหวของเขาที่กลืนกินเข้าไปในปาก หรือแม้กระทั่งรอบช่องทางเบื้องล่างจิรัชก็ยังลงลิ้นไปกับรูจีบพับ สนฉัตรขึ้นสวรรค์ไปแล้วครั้งหนึ่งทั้งที่จิรัชยังไม่ได้สอดใส่เข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างกายของสนฉัตรนวลเนียนไปทั้งตัวแม้แต่ตรงเนินนั้นก็ไม่มีสิ่งเกะกะเพราะเจ้าตัวดูแลตนเองเป็นอย่างดี


                “พี่จิรัชครับ เข้ามาเถอะ สนอยากให้พี่เข้ามาแล้ว”


                เขาเป็นฝ่ายร้องขอเสียงกระเส่า สนฉัตรชันขาขึ้นจนเท้าชิดสะโพกเปิดทางให้จิรัชได้ล่วงล้ำเข้ามา เสียงครางแผ่วเบาดังเป็นระยะกับความเป็นชายในวัยหนุ่มใหญ่ที่ยังแข็งแรงสอดลึกเข้าไปภายในจนคับแน่นอย่างที่สนฉัตรไม่เคยได้รับจากทรงเดชทำให้สนฉัตรหลงเข้าไปกับราคะอันร้อนแรง


                 “โอ สน แน่นมา ตอดพี่เสียอยู่หมัด”


                 จิรัชรู้สึกดีกว่าตอนมีเซ็กส์ครั้งแรกกับสนฉัตรที่สนามกอล์ฟเสียอีก ในวันนั้นมันรีบร้อนเกินไปจนไม่ได้รับรู้ถึงความหวามไหวเช่นในตอนนี้ เขายกกายขึ้นมองสนฉัตรที่กำลังหลับตาพริ้มใบหน้าบอกถึงความเสียวซ่านในอารมณ์ แรงขับทางเพศทำให้จิรัชเริ่มขยับเคลื่อนไหว สนฉัตรเองก็ไม่ได้อยู่เฉยเขาโยกสะโพกเข้าจังหวะพร้อมกับแหงนหน้ารับจูบของจิรัชที่คลอเคลียเป็นระยะ


                 “เมียพี่ลีลาเด็ดชะมัด”


                 จิรัชพ่นเสียงออกมาเมื่อช่องทางนั้นตอดรัดบีบเค้น เขายกเอวของสนฉัตรจนลอยขึ้นมาเพื่อให้เขาออกแรงเข้าออกได้ลึกและเร็วขึ้น สนฉัตรกัดฟันใช้มือโยกรั้งส่วนอ่อนไหวของตนเองด้วยความทรมานกับการตะกายสู่ฝั่งฝัน


                 “พี่จิรัช จะแตกแล้ว อีกนิดเดียว”


                   สนฉัตรร้องลั่น หน้าท้องเกร็งแข็งเมื่อเขาปลดปล่อยออกมา มือเรียวยังคงรูดรั้งตนเองรีดพิษออกมารดหน้าท้องด้วยความสุขสม จิรัชเห็นดังนั้นเขาก็กลั้นใจจังหวะสุดท้ายก่อนที่เขาจะดึงเอวออกมาแล้วฉีดน้ำคาวขาวขุ่นรดลงไปบนหน้าอกเนียนเรียบนั้น


                 “ไม่ไหวแล้ว ตอดชิบ”


                 จิรัชทิ้งตัวลงไปบนร่างนุ่มเมื่อพากันหอบหายใจหนักหน่วง สนฉัตรตาลอยด้วยความสุขสมกับเซ็กส์อันยาวนานครั้งแรกของเขา จิรัชได้มอบประสบการณ์ใหม่ให้สนฉัตรได้รู้จักและไม่ใช่แค่ครั้งเดียว กว่าทุกอย่างจะจบลงก็ผ่านไปครึ่งคืนกับสมรภูมิอันยาวนาน ร่างกายของสนฉัตรเต็มไปด้วยเหงื่อไคลและน้ำกามบนเตียงนอนยับยู่ยี่ เขาหมดเรี่ยวแรงไปพร้อมกับจิรัชที่นอนหลับกรนเบา ๆ อย่างสบายตัว


                 สนฉัตรได้แต่ซุกกายอยู่ในอ้อมกอดของจิรัชและหวังว่าจะฝากชีวิตไว้กับจิรัชตลอดไป




มีต่ออีกนิด....





หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 01-04-2018 00:02:38


ต่อกันตรงนี้...



              กว่าความวุ่นวายจะจบลงเวลาก็ผ่านไปจนดึกดื่น ปวิธมองลุงของเขาที่คล้ายจะชราลงไปด้วยความเห็นใจ อยู่กับทรงเดชมานานจนพอรู้เรื่องเกมทางการเมืองว่าชิงไหวชิงพริบกันแค่ไหน หากเป็นปวิธเองคงไม่นำตัวเข้าไปสู่ความวุ่นวายเหล่านั้น


             “ดื่มอะไรสักหน่อยไหมครับ”


             “ก็ดี เหนื่อยว่ะเปลว”


                  ทรงเดชยกมือกุมขมับกับความตกต่ำทางการเมือง ดีที่ไหวตัวทันจึงสั่งให้สมศักดิ์ทนายความเก่าแก่คู่ใจลอบโอนทรัพย์สินของเขาบางส่วนไปบ้างแล้วโดยที่ไม่มีใครรู้ เหลืออีกไม่มากเท่าที่เคยชี้แจงบัญชีทรัพย์สินไปเท่านั้น

                รับแก้วนมที่ปวิธส่งให้มาดื่มช้า ๆ วันนี้อาหารเย็นยังไม่ตกถึงท้องเพราะความวุ่นวายจนลืมหิว ยังดีที่มีหลานชายคอยอยู่เป็นเพื่อนรับฟังปัญหาของเขา


                 “งานนี้มันกะจะฟันลุงไม่เลี้ยง สงสัยจะต้องหาทางหนีทีไล่ให้ดี”


                 ปวิธได้แต่เป็นผู้ฟังที่ดี เขาปล่อยให้ทรงเดชบ่นระบายความหนักใจจนกระทั่งอีกฝ่ายถามหาคนใกล้ตัว


                 “ได้แต่วุ่น ๆ จนลืมไอ้สนมันเลย เมื่อคืนรุนแรงกับมันไปหน่อยไม่รู้เป็นยังไงบ้าง”


                 ทรงเดชเองก็ห่วงสนฉัตรไม่น้อย ในตอนเช้ามืดที่เขาตื่นก่อน เมื่อเห็นร่องรอยบนร่างของสนฉัตรที่เกิดเพราะฝีมือตัวเองทรงเดชก็ถึงกับส่ายหน้า เป็นเพราะความเครียดที่สะสมมาหลายวันจนเผลอระบายอารมณ์กับเด็กหนุ่มที่เลี้ยงมา


                 “ก็มีรอยช้ำอยู่บ้างล่ะครับ แต่คงเบาแล้ว เห็นว่าไปหาซื้อยาแก้ปวดมากินแล้ว”


                  หลานชายพูดให้สบายใจ เขารู้ว่าทรงเดชทั้งรักทั้งหลงสนฉัตรมาก เพราะทรงเดชเคยพูดให้ฟังตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิต ปวิธยังจำบทสนทนาเหล่านั้นได้ขึ้นใจ


                    “เด็กมันเจอเรื่องร้ายมา ไอ้เราก็เมตตามันนั่นแหละ แต่ก็นะหน้าตาท่าทางมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารักมันแล้วก็หวงมัน ในที่สุดก็ห้ามใจไม่อยู่จริง ๆ”


                   “คุณลุงจริงจังกับสนหรือครับ”


                 จำได้ว่าตอนนั้นเขาถามออกไปด้วยความสงสัย ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและมีหน้าที่การงานใหญ่โตจะจริงจังกับเด็กที่หนีออกมาจากสถานสงเคราะห์


                  “ลุงรักมัน นี่ก็ไม่ได้ปิดบังคนอื่นว่ามีไอ้สนอยู่ ตอนคุณหญิงยังอยู่ลุงก็เกรงใจเขาเพราะถึงอย่างไรก็เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันมา รู้ว่าทำผิดที่เอาไอ้สนมาเป็นเมียคุณหญิงอยากได้อะไรลุงถึงให้ไม่เคยขัดเพราะอยากชดเชยให้เขา พอคุณหญิงตายจากไปถึงอยากจะทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง นี่ถ้าไอ้สนเป็นผู้หญิงลุงคงจะแต่งงานใหม่กับมัน เสียดายที่มันเป็นผู้ชายก็เลยได้แค่เลี้ยงมันไว้ใกล้ตัว”


                 เพราะทรงเดชรักสนฉัตรปวิธถึงได้แต่พยายามจะไม่สนใจเด็กคนนั้น บุญคุณของทรงเดชที่ส่งเสียให้เขาเรียนจนใกล้จะจบปริญญาตรีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้เตือนให้เขารู้ว่าสนฉัตรคือความสุขของทรงเดช และพยายามห่างสนฉัตรให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


                “เฮ้อ เดี๋ยวไปดูมันหน่อย ถ้าไม่ดีขึ้นพรุ่งนี้จะได้ให้คนพามันไปหาหมอ”


                 ทรงเดชวางแก้วไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน ปวิธได้แต่มองตามลุงของเขาก่อนจะถอนหายใจ

                 ไม่รู้ว่าการที่เขามีอารมณ์ขุ่นเคืองทุกครั้งที่เห็นหน้าสนฉัตรคืออะไร แค่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนของทรงเดชอย่างนั้นหรือ หากสนฉัตรไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ หากสนฉัตรไม่ใช่เด็กเลี้ยงของทรงเดช หากสนฉัตรเป็นคนธรรมดาที่พบเจอได้ตามท้องถนนทั่วไป ปวิธก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อสนฉัตรจะเปลี่ยนไปหรือไม่

                   สะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโวยวายของทรงเดชดังมาจากชั้นบน ปวิธรีบวิ่งขึ้นบันไดไปทันที เขาไปหยุดอยู่หน้าห้องส่วนตัวของสนฉัตรที่มีลุงของเขายืนตะลึงหน้าแดงก่ำ


                “เกิดอะไรขึ้นครับคุณลุง”


                “ไอ้สนไม่อยู่ในห้องนี้ ห้องลุงก็ไม่มี ลองโทรศัพท์หาก็ไม่รับสาย”


                   ปวิธขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน ร้อยวันพันปีไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้ นกหงส์หยกจะรอเจ้านายในห้องเสมอ


                 “เดี๋ยวผมจะไปให้พวกพี่การ์ดตามหา”


                   ปวิธรีบวิ่งไปยังชั้นล่าง เขาแจ้งให้คนในบ้านช่วยกันตามหาทุกซอกทุกมุมรวมถึงบริเวณรอบตัวบ้าน แสงไฟสว่างจ้าเต็มไปด้วยความโกลาหลเมื่อคนสำคัญของเจ้าของบ้านหายไป แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา ปวิธสำรวจข้าวของในห้องนี้ เสื้อผ้าของสนฉัตรยังอยู่ครบมีเพียงกระเป๋าสตางค์ที่หายไป ทรงเดชทุ่มข้าวของลงพื้นด้วยโทสะพร้อมกับตะโกนด่าเสียงดังลั่น


                “ไอ้สน ไอ้เด็กเลี้ยงไม่เชื่อง นี่มันหนีไปงั้นเหรอ”


                 ชายหนุ่มฉุกคิดถึงครั้งสุดท้ายที่พบสนฉัตร ครั้งสุดท้ายที่ประตูรั้วกับสีหน้ามีพิรุธ ใครจะนึกว่านกน้อยในกรงจะบินหนีไป ปวิธเจ็บใจที่ตนดูไม่ออกในวินาทีนั้น


                  “เปลว สั่งคนตามหาให้ทั่วว่ามันหนีไปไหน นักสืบของเรามีกี่คนให้มันตามไอ้สนกลับมาให้ได้”


                   ชายชราทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ทรงเดชยกมือกุมหน้าอกที่เจ็บแปลบขึ้นมากับความเครียดที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องงานและเรื่องสนฉัตร ปวิธมองลุงของเขาด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ว่าทรงเดชเป็นโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง เขากลัวทรงเดชจะเป็นอะไรมากกว่านี้

                   คิดถึงสนฉัตรแล้วปวิธก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจเช่นกัน เขาไม่เชื่อว่าสนฉัตรจะกล้าทำอะไรเช่นนี้ตัวคนเดียวเพราะหากจะหนีก็คงหนีไปนานแล้ว ปวิธอยากรู้นักว่าใครที่ให้การช่วยเหลือจนสนฉัตรหนีออกไปจากบ้านหลังนี้ได้




                                                            TBC


                                             สนฉัตรหนีไปแล้ว จะไปรอดไหมเนี่ย

                                      o6 o6 o6 o6 o6 o6


หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 6 [01/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 01-04-2018 12:52:59
เขาจะหนีไปมีความสุขปวิธเสือกไรด้วยอะ อย่าเอาเรื่องเนรคุณมาอ้างเล้ยไอ้วิธ คุณมึงอะอยากได้ตัวสนฉัตรใช่ป่าว

ขึ้นๆเลยทำเอาลุงมาอ้าง
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 6 [01/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 02-04-2018 02:20:36
ตามไปจับนุ้งสนกลับมาค่ะพี่เปลว
#เปลวสน  อยากให้คู่กัน :mew1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 6 [01/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 02-04-2018 07:52:53
ไม่ชอบเมะคนไหนซักคนเลยระแวง
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 6 [01/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Minnie~Moo ที่ 02-04-2018 10:00:17
 :sad4: สงสารสน  อยู่ไหนก็โดนรังแกโดนเอาเปรียบ แล้วสุดท้ายชีวิตจะเป็นยังไงเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 6 [01/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-04-2018 22:17:57
ตั้งแต่เล็กๆ เลยนะสน โดนย่ำยีมาตลอด น่าสงสารมาก
 :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 6 [01/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-04-2018 13:27:15
 :pig4: :pig4: :pig4:

เฮ้อ...น่าสงสารทุกตัวละคร
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 7 [13/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 13-04-2018 22:03:10



                                                                 วิมานไม้สน

                                                                    บทที่ 7



               เวลาผ่านไปเดือนเศษก็ยังไม่มีใครพบร่องรอยของสนฉัตร ประกอบกับเรื่องยุ่ง ๆ ภายในพรรคการเมืองที่บุคคลชั้นนำต้องทยอยเข้าให้ปากคำเรื่องทุจริตงบประมาณแผ่นดิน ทำให้ทรงเดชยิ่งอ่อนล้าลงไปเรื่อย ๆ ชายวัยชรากลับบ้านดึกทุกวันพร้อมกับความเคร่งเครียด จนปวิธต้องเลิกเล่นดนตรีในตอนกลางคืนเพื่อมาดูแลลุงของเขาเมื่อกลับมาถึงบ้าน และทุกครั้งทรงเดชก็จะถามถึงเรื่องของสนฉัตรที่ยังคว้าน้ำเหลว ชายผู้เคยยิ่งใหญ่ระดับประเทศยิ่งมีใบหน้าหมองคล้ำจนปวิธสงสาร


               “คุณลุงสีหน้าไม่ดีเลยครับ ผมรู้ว่าทุกเรื่องในตอนนี้ทำให้คุณลุงคิดมาก แต่ผมก็อยากให้คุณลุงเลิกคิดถึงมันบ้าง”


                ทรงเดชยกปลายนิ้วนวดขมับ เขารู้ว่าปวิธเป็นห่วงจากใจจริง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูแลใกล้ชิดแต่ทรงเดชก็มองออกว่าปวิธเป็นหลานที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่เคยขออะไรที่เกินตัวเกินวัยทั้งที่ก็ทำได้


                “จะให้เลิกคิดได้ยังไงวะเปลว นี่คงโดนยึดทรัพย์แน่นอนล่ะ พวกนั้นมันจ้องอยู่แล้วเพียงแต่จะเอามากเอาน้อย หึหึ ถามหน่อยเถอะ เมื่อมีโอกาสแล้วหน้าไหนบ้างจะไม่โกง ส่วนที่บ้านเมียแม่งก็หนีไป ชีวิตตกต่ำชิบหาย”


                  ปวดจี๊ดขึ้นมาที่ท้ายทอย ทรงเดชไม่อยากบอกปวิธว่าวันนี้เขาเวียนศีรษะจนต้องแวะไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าความดันของเขาขึ้นสูงและน้ำตาลในเลือดก็สูงด้วย ร่างกายในวัยใกล้ฝั่งทำให้อ่อนล้าเต็มทน


                 “ปล่อยไอ้สนมันไปไม่ดีหรือครับ ในเมื่อมันอยากไปเองก็ปล่อยมันไป”


                 เสียงถอนหายใจจากทรงเดชทำให้ปวิธรู้ว่าสิ่งที่เขาเอ่ยออกไปไม่มีทางเป็นไปได้


                “ลุงเลี้ยงมันมาให้อยู่แต่ในบ้าน จะว่าผิดมันก็ใช่ สนมันไม่รู้จักชีวิตนอกรั้วหรอกว่าเป็นยังไง มันไม่ทันคนไม่รู้ว่าใครจะมาดีมาร้าย ที่ลุงเป็นห่วงก็เรื่องนี้แหละ”


                 ทรงเดชกล่าวก่อนจะหลับตาลงด้วยฤทธิ์ของยานอนหลับที่หมอจ่ายให้เขา ปวิธมองผู้มีพระคุณหลับไปทั้งที่สีหน้ายังไม่ดีนักก่อนจะส่ายหน้าออกมา


                มันเป็นความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวมาตั้งแต่ต้น เพื่อให้ทรงเดชสบายใจเขาก็จะร่วมมือกับลูกน้องของทรงเดชตามหาสนฉัตรต่อไปแม้จะมืดแปดด้านก็ตาม



                   
                 ในช่วงสายของวันรุ่งขึ้นปวิธกำลังจะออกไปมหาวิทยาลัย เขาพบว่าในห้องโถงใหญ่ของบ้านมีการประชุมของผู้นำในพรรคการเมืองที่ทรงเดชเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งหลังจากที่เว้นช่วงไปพักใหญ่ ปวิธเดินออกมาจากห้องเล็กของเขาด้านหลังเลาะออกมายังสวนด้านหน้า เขามองเห็นทนายความรุ่นหนุ่มคนหนึ่งยืนสูบบุหรี่ลำพัง

                  คิ้วของปวิธขมวดเข้าหากัน ความสังหรณ์ใจบางอย่างวิ่งวูบขึ้นมาจนใจเต้น เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเห็นสนฉัตรยืนพูดคุยกับทนายคนนี้ในมุมลับตาคนด้วยความสนิทสนม ทั้งที่ร้อยวันพันปีสนฉัตรไม่เคยเปิดปากพูดจากับใคร และนั่นเองที่ทำให้ปวิธเดินเข้าไปหาทนายคนนั้น


                 “สวัสดีครับ”


                ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางทักทาย ทนายหน้าตาดีในวัยหนุ่มใหญ่ชะงักและหันมายิ้มคืนให้ปวิธ


                “อ้าว สวัสดีครับคุณเปลว”


                “ครับ เอ่อ ถ้าจำไม่ผิดคุณจิรัชใช่ไหมครับ”


               ปวิธทบทวนความทรงจำจนนึกออกว่าคนที่ยืนเผชิญหน้าชื่อว่าอะไร จิรัชพยักหน้ารับพลางสนทนาต่อ


              “ไปเรียนหรือครับ ใกล้จบหรือยังครับนี่”


               “ใกล้แล้วฮะ เดือนหน้าก็จะสอบปลายภาคครั้งสุดท้าย ถ้าสอบผ่านก็จะจบแล้ว”


               “คุณเปลวเรียนคณะอะไรครับ”


               จิรัชชวนพูดคุยอย่างคนอัธยาศัยดี ปวิธจำต้องตามน้ำเพื่อสังเกตท่าทีของเขา


               “เรียนสถาปัตย์ครับ”


               “เหมาะกับคุณเปลวดีนะครับ”


              “ผมไม่เห็นคุณจิรัชมาที่นี่เลยช่วงหลังๆ ที่มีประชุม”


               ปวิธเริ่มดึงบทสนทนาให้เข้าสู่ความสนใจของเขา จิรัชยังไม่มีความผิดปกติให้เห็น


              “ผมถูกดึงเข้ามาให้ช่วยเพราะต้องการทีมทนายสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้น่ะครับ อันที่จริงผมยังไม่เคยมีส่วนร่วมในคดีด้านการเมืองมาก่อนเลย แต่พี่สมศักดิ์เขาเห็นผลงานของผมก็ถูกใจเลยทาบทามให้มาเข้าทีม แต่ก็ช่วยแค่เรื่องเก็บข้อมูลเพราะเรายังใหม่มาก”


               “มันเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ คุณลุงเครียดมาก แล้วไหนจะเรื่องที่ไอ้สนมันหนีออกจากบ้านอีก”


               สีหน้าของจิรัชไม่ได้เปลี่ยนไปนักผิดกับน้ำเสียงที่ฟังดูตกใจ


               “อ้าว น้องสนหนีออกจากบ้าน  ตายละ ทำไมทำอย่างนี้ท่านทรงเดชเป็นห่วงแย่เลย”


               “นั่นสิครับ คุณลุงอุตส่าห์ชุบเลี้ยง ไม่รู้ว่าหนีตามใครไป เลวจริง ๆ เลวทั้งไอ้สนและคนพาหนีเลย”


                แววตาที่วูบไหวชั่วเสี้ยววินาทีแต่ปวิธก็มองเห็นเพราะเขาจับตาดูอยู่แล้ว แต่จิรัชก็ยังไม่แสดงอะไรที่เป็นพิรุธออกมา เขาส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ


              “เฮ้อ เห็นใจท่านเหลือเกิน ทั้งเรื่องงานเรื่องส่วนตัว”


              “ครับ อ้าว คุยเพลินเดี๋ยวสาย ผมไปเรียนก่อนนะครับ”


              ปวิธเอ่ยคำอำลาและเดินจากจิรัชมายังหน้ารั้วบ้านที่มีลูกน้องของทรงเดชยืนรักษาความปลอดภัยอยู่


              “อ้าวเปลว จะไปเรียนเหรอ”


              ปวิธไม่ใช่คนหยิ่งยโสแม้จะเป็นหลานเจ้าของบ้าน เขาให้ความนับถือกับลูกน้องของทรงเดชทุกคน


             “พี่ดำ พี่จำทนายความคนที่อายุน้อยสุดได้ไหม” ปวิธกล่าวเข้าเรื่อง


             “พี่ให้ใครก็ได้ตามเขาที ผมสังหรณ์ใจว่าที่ไอ้สนหนีไปนายคนนี้อาจจะรู้เรื่อง”


               นายดำหูผึ่งทันที เขากับเพื่อนตามหาสนฉัตรมานานแล้วแต่ก็ยังไม่เจอตัว


             “คนไหน เอาให้ชัด ทนายมีหลายคน”


             ปวิธบอกรูปพรรณของจิรัชให้ดำเข้าใจ


              “อย่าให้เขารู้นะพี่เดี๋ยวแผนแตก แล้วถ้ามีเรื่องคืบหน้าพี่ดำมาบอกผมก่อนนะ”


              กำชับแล้วปวิธจึงเดินออกจากเขตบ้าน สมองมีแต่ความวุ่นวายเมื่อเต็มไปด้วยเรื่องของสนฉัตรทั้งนั้น






                สนฉัตรเปิดโทรทัศน์ดูด้วยความเบื่อหน่าย เขาเปิดช่องโน้นช่องนี้สลับกันไปมาจนไม่รู้จะดูอะไรแล้ว เดือนกว่าที่ตัดสินใจหนีออกจากกรงทองที่กักขังเขาไว้มาอยู่กับจิรัชในช่วงแรกสนฉัตรเต็มไปด้วยความสุขกายสบายใจกับชีวิตใหม่ แต่เมื่ออยู่แต่ภายในห้องพักแคบ ๆ แห่งนี้อย่างเดียวความเบื่อหน่ายก็เริ่มมาเยือน


                “พี่จิรัชพาสนไปเที่ยวห้างหน่อยได้ไหม สนอยากไปเที่ยว ไปเดินดูของ”


                เขาเคยขอจิรัชอย่างนั้น แต่กลับได้การปฏิเสธเป็นคำตอบ


              “สนจะไปได้ยังไง เดี๋ยวถ้าคนของไอ้แก่ทรงเดชมันมาเจอก็ซวยหรอก”


               เมื่ออยู่กันจนคุ้นชิน คำพูดที่เคยสุภาพก็เริ่มจางหายไป แต่สนฉัตรก็พยายามจะไม่คิดถึงเรื่องนี้


             “งั้นพาสนไปกินข้าวที่ร้านอาหารนะ สนเห็นโฆษณาในทีวีแล้วอยากไป”


               พอสนฉัตรบอกชื่อร้านและสถานที่จิรัชก็ส่ายหน้า


               “ไม่เอา มันแพง ร้านหรูขนาดนั้นรายได้ทำคดีสองคดีเลยนะกว่าจะจ่ายได้ นี่ สนต้องประหยัดสิพี่ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังเหมือนไอ้ผัวแก่ของสนที่มันโกงบ้านโกงเมืองมาจนร่ำรวยนะ”


               สนฉัตรอยากจะตะโกนระบายความรู้สึกออกมา เขาอยากจะทวงคำพูดที่จิรัชเคยรับปากว่าจะดูแลให้เขาสบาย แต่นี่เหมือนกักขังให้เขาอยู่ในกรงที่คับแคบและไร้อิสระเสียยิ่งกว่าบ้านของทรงเดชด้วยซ้ำ


               เสียงประตูห้องเปิดสนฉัตรไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าคนก้าวเข้ามาคือจิรัช เมื่อเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้สนฉัตรจึงค่อยหันไปมองสามีคนปัจจุบัน


               “วันนี้กลับดึกนะพี่ ไหนว่าจะพาสนไปเที่ยวตลาดนัดไง ผิดคำพูดอีกแล้วนะ”


              “เรื่องมากจริงโว้ย พี่เหนื่อยนะสน ผัวกลับมาบ้านจะเอาน้ำเอาท่ามาต้อนรับน่ะมีไหม ดีแต่นั่งดูทีวีเปลืองค่าไฟ”


             สนฉัตรฟังแล้วชักโมโห เสียงที่ตอบโต้จึงเริ่มแข็งกว่าเดิม


               “ไม่ให้สนดูทีวีแล้วให้ทำอะไร อยากไปเที่ยวก็ไม่ให้ไป บังคับให้ขลุกอยู่แต่ในห้อง เงินก็ให้ไว้แค่พอลงไปซื้อข้าวซื้อก๋วยเตี๋ยวข้างล่างคอนโดกินกันตายแค่นั้นเอง”


               “โว้ย รำคาญ”


               จิรัชส่งเสียงดัง เขาถอดเสื้อผ้าโยนใส่ตะกร้า หน้าที่บึ้งยิ่งบึ้งไปอีก


                “แล้วทำไมไม่ซักผ้า อยู่ห้องทั้งวันนี่ทำงานอะไรบ้างหือสน ผ้าเต็มตะกร้า กินข้าวไม่ล้างจาน โอ๊ย กูจะบ้า”


               “เครื่องซักผ้ามันเสีย สนบอกพี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”


               “มือมีทำไมมึงไม่ซัก”


              “แล้วทำไมต้องขึ้นมึงขึ้นกูใส่สนด้วย นี่สนเป็นเมียพี่นะ”


              สนฉัตรลุกขึ้นส่งเสียงดังบ้าง เขาชี้มือกวาดไปบนพื้นห้อง


              “สนเก็บกวาดห้องก็เหนื่อยแล้ว ก็พี่น่ะทิ้งของไว้เกลื่อนห้อง สนบอกให้เก็บพี่ก็ไม่ฟัง ถุงเท้าเนี่ยบอกให้ใส่ตะกร้าพอถอดออกมาพี่ก็เหวี่ยงลงพื้น จะให้สนตามเก็บไปถึงเมื่อไหร่”


              จิรัชมองสนฉัตรอย่างระอา เมื่ออยู่กันนานวันจิรัชเริ่มเบื่อกับความเอาแต่ใจของสนฉัตรจนความรักและหลงใหลในช่วงที่เคยเร่าร้อนมันเริ่มมลายไป


               “กูไม่เถียงกับมึงแล้ว วันนี้ไปประชุมบ้านผัวเก่ามึงมาเหนื่อยชิบหาย ไปอาบน้ำนอนดีกว่า”


               สนฉัตรเบิกตากว้าง เขาถามตามหลังจิรัชที่เดินเข้าห้องน้ำ


              “ไหนพี่บอกว่าจะเลิกทำคดีของมันไงล่ะ แล้วทำไมยังไปที่บ้านอยู่”


             “กูจะเลิกได้ไงไอ้สน เลิกแล้วจะเอาอะไรแดกเงินทั้งนั้นนะมึง ชื่อเสียงที่ได้ร่วมกับทีมทนายดังอีกล่ะ ใครเลิกก็โง่แล้ว”


              สนฉัตรมองจิรัชที่ก้าวเข้าห้องน้ำด้วยความโมโห เขากระฟัดกระเฟียดก้าวเข้าไปในห้องนอนและดึงผ้าห่มมานอนโดยไม่รอจิรัช จนเคลิ้มใกล้หลับก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกถึงการล่วงล้ำเข้ามาในร่างกายทั้งที่ไม่ได้เตรียมตัว


               “เดี๋ยวพี่จิรัช ทำเหี้ยอะไรวะ โอ๊ย”


               ถึงอย่างไรร่างกายของสนฉัตรก็เป็นผู้ชาย การมีความสัมพันธ์โดยไม่ทันได้เตรียมพร้อมก็สร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อย จิรัชดึงกางเกงขาสั้นของสนฉัตรออกและจับขาของเขาแยกออกจากกัน จากนั้นเขาก็ดันเอวเข้าไปทั้งที่ยังไม่ได้เล้าโลมให้สนฉัตรเกิดความต้องการ


              “มึงเป็นเมียก็ต้องให้ผัวเอาน่ะถูกแล้ว”


              “สนเจ็บนะ เบา ๆ สิ โอ๊ย”


               สนฉัตรน้ำตาซึมเมื่อช่องทางที่ยังแห้งผากถูกความเป็นชายของจิรัชกระแทกกระทั้นเข้ามา จิรัชช่วยเหลือเขาเพียงแค่โยกคลึงจุดอ่อนไหวให้สนฉัตรเท่านั้นที่พอจะทำให้สนฉัตรคล้อยตามได้บ้าง เขากัดฟันสร้างอารมณ์ให้บังเกิดจนพอจะหายจากความเจ็บปวด แต่ยังไม่ทันเข้าถึงฝั่งฝันจิรัชก็ปลดปล่อยออกมาเสียก่อน


                “วู้ สุดยอด”


               “เฮ้ย เดี๋ยวพี่ สนยังค้างอยู่เลย”


                 สนฉัตรรีบบอกด้วยเสียงกระเส่า จิรัชมองกลับอย่างนึกรำคาญ เขาดันเอวเร่งจังหวะและบีบเค้นโยกคลึงมือให้เร็วขึ้นจนพาให้สนฉัตรตะกายติดตามมาได้ก็รีบชักเอวออก


              “สบายหรือยัง เฮ้อ เบาตัวไปหน่อย นอนดีกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก”


               จิรัชพลิกกายกลับไปนอนหงายและหลับไปอย่างง่ายดาย สนฉัตรมองอย่างน้อยใจเขาพลิกตะแคงหันหลังให้จิรัชพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา


                ไม่รู้ว่าความโรแมนติกเหมือนครั้งแรก ๆ นั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีสนฉัตรก็เหมือนเป็นแค่ตุ๊กตายางให้จิรัชระบายความใคร่ ก็ยังดีที่เขาทำให้สนฉัตรถึงฝั่งบ้าง แต่ถึงกระนั้นสนฉัตรก็ยังอดน้อยใจไม่ได้


                 เป็นอีกครั้งที่สนฉัตรนึกถึงคำพังเพยไทยที่ว่า หนีเสือปะจระเข้





มีต่ออีกนิด...



หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 7 [13/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 13-04-2018 22:12:53


อ่านต่อตรงนี้....



               ผ่านไปสามวันนายดำก็มาหาปวิธด้วยสีหน้าตื่นเต้น


               “เปลว จริงอย่างที่เปลวบอกว่ะ สนมันไปอยู่กับไอ้ทนายนั่นจริง ๆ”


               ดำยื่นโทรศัพท์มือถือของเขามาให้ปวิธ ชายหนุ่มรับมามองรูปในโทรศัพท์ด้วยความรุ่มร้อน


               “พี่ลองตามไอ้ทนายนั่นไป มันพักอยู่ที่คอนโดนี้ พอรู้ที่อยู่พี่ก็ให้คนไปนั่งเฝ้าหน้าคอนโดมัน แล้วก็โป๊ะเชะ เจอไอ้สนมันหอบเสื้อผ้ามาซักที่ร้านเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ”


                 คิดไว้ไม่ผิด ความใกล้ชิดสนิทสนมเกินเหตุนั่นก็เพราะจิรัชลอบเป็นชู้กับสนฉัตรและพาหนีไป


               “เปลวจะให้พี่ทำยังไงต่อ ไปชิงตัวไอ้สนคืนให้ท่านแล้วกระทืบมันดีไหม”


               “อย่าเพิ่งครับพี่ดำ” ปวิธรีบห้าม


               “อย่าเพิ่งบอกใครนะพี่ คุณลุงกำลังเครียดมาก เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง”


                ปวิธลงทุนขาดเรียน โชคดีที่เขาเหลืออีกไม่กี่วิชาและเวลาเข้าเรียนครบหมดแล้ว เขาไปนั่งอยู่ร้านกาแฟตรงกันข้ามกับคอนโดมิเนียมที่ดำให้ที่อยู่มา เขานั่งนิ่ง ๆ ทั้งวันเพื่อสังเกตทางเข้าออกและผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในอาคารแห่งนี้ จนรู้ได้ว่าที่นี่เป็นคอนโดมิเนียมขนาดกลางและมีอายุมากแล้ว ระบบรักษาความปลอดภัยก็ไม่เคร่งครัดนัก คนที่อาศัยอยู่มีทั้งนักศึกษาและพนักงานออฟฟิศ จนวันที่สองปวิธก็ยังมานั่งตำแหน่งเดิม

              ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อในที่สุดในช่วงบ่ายวันนี้เขาเห็นสนฉัตรเดินออกมาประตูทางเข้าพร้อมกับตะกร้าเสื้อผ้า หัวใจของปวิธเต้นรัวด้วยความรู้สึกหลายหลากปะปนกัน มันมีทั้งความตื่นเต้นที่ได้เห็นหน้าหวานนั่นอีกครั้งและความชิงชังที่สนฉัตรสวมเขาให้ลุงของเขา ความคิดของปวิธกลั่นกรองความต้องการของตนออกมาว่าเขาอยากจะทำอะไรกับคนเลวอย่างสนฉัตร

               ในวันที่สาม ปวิธจึงปรากฏกายที่หน้าคอนโดมิเนียมอีกครั้งในชุดของพนักงานส่งพิซซ่าที่เขายืมเพื่อนมา พร้อมกับกล่องพิซซ่าร้อน ๆ ที่เขาลงทุนซื้อ ปวิธก้าวเข้าไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยวัยใกล้ปลดประจำการที่นั่งโงกหัวอยู่หน้าทางเข้า


                  “สวัสดีครับคุณลุง”


                  ปวิธส่งยิ้มทักทาย


                “อ้าว ว่าไงล่ะพ่อหนุ่ม มาส่งพิซซ่าเหรอ ห้องไหนล่ะ”


               “นั่นสิครับคุณลุง เขาไม่ได้แจ้งห้องไว้ รู้แต่ว่าคนสั่งชื่อจิรัชน่ะครับลุง”


               “อ๋อ” คุณลุงลากเสียงยาวเฟื้อย


                 “รู้ละ คุณทนายคนดังนั่นเอง คงสั่งมาให้น้องชายล่ะมั้ง เห็นมีไอ้หนุ่มหน้าสวยมาอยู่ด้วย ให้ลุงเอาไปให้ไหม”


                  ปวิธแอบลิงโลดในใจ แต่ก็ต้องพยายามเก็บมันไว้


                “ไม่เป็นไรครับลุง รบกวนแค่ลุงโทรให้เขาเปิดประตูรับ เดี๋ยวผมเอาไปให้เอง เกรงใจลุงน่ะครับ”


                 “เออดี ใกล้ถึงเวลาออกกะแล้ว ลุงขี้เกียจขึ้นไป ห้อง...นี้นะ ไปเข้าไป เดี๋ยวลุงโทรไปบอกคนในห้องให้”





                สนฉัตรนั่งหน้ามุ่ยขณะรีดผ้าให้จิรัช ตาก็จ้องรายการในจอโทรทัศน์สลับกันไปจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะดังขึ้น เขาขมวดคิ้วเพราะไม่เคยมีใครโทรเข้า


                 “สวัสดีครับ”


                “เออ ห้องคุณจิรัชใช่ไหมครับ ที่สั่งพิซซ่าไว้ พนักงานเขามาส่งแล้วนะคุณ เปิดประตูรับเขาหน่อย”


                 สนฉัตรงงกับประโยคที่ได้ยิน


               “เดี๋ยวนะครับ ผมไม่ได้สั่งพิซซ่า”


               “คุณจิรัชเขาคงสั่งไว้ให้คุณล่ะมั้ง รับไปเหอะคุณ เขามาส่งแล้ว”


                เสียงขาดหายไปแล้วทั้งที่สนฉัตรยังไม่เข้าใจ ชายหนุ่มได้แต่ยักไหล่ ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้ลิ้มรสพิซซ่ามานานแล้ว  จิรัชอาจจะใจดีสั่งไว้ให้ก่อนออกไปทำงานเพื่อง้อที่มีปากเสียงกันเมื่อคืนก็ได้


                ความคิดสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู สนฉัตรเดินตรงไปแล้วเปิดประตูออก พนักงานในชุดร้านพิซซ่ายืนอยู่ด้านหน้า แต่แล้วสนฉัตรก็ต้องชะงักตัวแข็งทื่อเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองเห็นว่าคนส่งพิซซ่านั้นเป็นใคร


                 “ไอ้เปลว”


                 สนฉัตรอุทานด้วยความตกใจ เขารีบปิดประตูทันทีแต่ปวิธใช้มือยันไว้ สู้กันด้วยแรงครู่หนึ่งสนฉัตรก็หงายหลังเมื่อปวิธผลักประตูใส่เขา ก่อนที่ร่างสูงของปวิธในชุดพนักงานร้านพิซซ่าจะชิงก้าวเข้ามาในห้องและปิดประตูตามอย่างรวดเร็ว




                                                                TBC


                                                         โอยยย ยิ่งแต่งยิ่งปวดตับ


                                              :o11: :o11: :o11: :o11: :o11: :o11:



หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 7 [13/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-04-2018 22:50:18
ตื่นเต้นดี สงสารสนเน๊อะ นึกว่าจะหนีไปได้ดี สุดท้ายไม่ต่างจากอยู่ที่เดิม
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 7 [13/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 13-04-2018 22:52:56
สงสารสน อยากให้เจอคนดีๆบ้าง

รอตอนต่อไป  :mew1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 7 [13/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-04-2018 23:12:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชีวิตรันทดจริง ๆ

น่าเศร้าแทน 
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 7 [13/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 15-04-2018 23:45:58
สงสารสนอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรับแกเต็มไปหมด ฮืออออ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 7 [13/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 16-04-2018 08:56:42
เกลียดแม่มหมดทุกคนเลยอะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 7 [13/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: KittybabymApi ที่ 16-04-2018 19:15:02
เรื่องนี้ไม่มีพระเอก.. เกลียดหมดอ่ะ จะมีไหมคนดีที่จริงใจกะนู๋สน :mew2: :z13:
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 8 [21/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 21-04-2018 21:25:05



                                                             วิมานไม้สน

                                                                บทที่ 8




               สนฉัตรนั่งก้นจำเบ้าอยู่บนพื้นหน้าซีดเผือดเมื่อสบตากับร่างสูงที่ยืนจังก้าค้ำหัวเขาอยู่ ในขณะที่ปวิธมองกลับด้วยสายตาดุดัน สนฉัตรจำเป็นต้องรีบลุกขึ้นยืนพลางเชิดหน้าทำใจดีสู้เสือ


              “เมื่อไหร่จะเลิกเสือกเรื่องของกู”


              ปวิธมองใบหน้าที่เขาจำได้ขึ้นใจนั้น เขาแยกไม่ถูกว่าความรู้สึกในตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ เพราะมันปนเปกันทั้งความยินดีที่หาตัวสนฉัตรพบและความชิงชังกับการกระทำที่คนตรงหน้าก่อเรื่องร้ายแรงขึ้น


                “กูไม่ได้อยากจะยุ่ง ถ้าคนที่มึงทรยศไม่ใช้คุณลุงที่เลี้ยงมึงมา”


              “ทั้งที่มึงก็รู้ว่าลุงของมึงเขาเห็นกูเป็นสัตว์เลี้ยงงั้นเหรอไอ้เปลว”


               สนฉัตรน้ำตานองหน้า ไม่มีใครเข้าใจเขาแม้แต่คนเดียว แม้กายจะสบายแต่เมื่อจิตใจถูกกักขัง ใครบ้างจะมีความสุข


               “คุณลุงรักมึง ท่านอาจจะทำผิดแต่ก็รักมึง”


               “แต่กูไม่ได้รักมัน” สนฉัตรตะโกนใส่หน้า


              “กูเกลียดตัวเองทุกครั้งที่ถูกมันเอา กูขยะแขยงที่ต้องเป็นตัวรองรับความอยากของคนเห็นแก่ตัว”


                “แล้วการที่มึงหนีออกจากบ้านตามผู้ชายในฝันมึงมาไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวเลยงั้นสิ”


                ปวิธทนไม่ไหว เขาเอื้อมมือคว้าต้นทั้งสองข้างของสนฉัตรมาเขย่าหวังจะให้รู้สึกตัว


                 “มึงก็ทำเพื่อตัวเองเหมือนกันไอ้สน แล้วมึงคิดเหรอว่าคุณลุงเขาจะปล่อยมึงไว้ ในเมื่อมึงทำเลวขนาดนี้ ทั้งมึงทั้งไอ้ทนายใจคดนี่อีก ถึงคุณลุงจะถูกพักการเมืองแต่มึงอย่าลืมนะว่าอิทธิพลของคุณลุงก็ยังเยอะอยู่”


                ตอนแรกปวิธก็ยังไม่ได้คิดจะใช้เรื่องนี้เพื่อข่มขู่สนฉัตร แต่เมื่อหลุดปากพูดออกไปแล้วสีหน้าของสนฉัตรยิ่งซีดเผือดลงเหมือนเขาไปกระตุ้นให้สนฉัตรออกจากโลกของตนมาสู่โลกแห่งความจริง สนฉัตรนิ่งงันดวงตากลอกไปมาด้วยความสับสน


                “เปลว กูออกมาแล้ว กูไม่อยากกลับไป ท่านต้องฆ่ากูแน่ กูจะทำยังไงดี”


             ใจหนึ่งก็นึกสงสารเมื่อเห็นแววตาหวาดหวั่นคู่นั้น แต่อีกใจปวิธก็สาแก่ใจกับสิ่งที่สนฉัตรทำลงไป น้ำเสียงของสนฉัตรสั่นเบาเหมือนลูกนกปีกหักร้องครวญคราง เมื่อปวิธมองใบหน้าที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กกะโปโลจนถึงวันนี้ เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าตนเองจะเอ่ยประโยคถัดไปออกมา


               “ให้กูช่วยไหมล่ะ คุณลุงยังไม่รู้เรื่องที่กูเจอมึงหรอก กูจะปิดเรื่องที่กูมาเจอมึงไว้เป็นความลับ”


               สนฉัตรเงยหน้าทันที ดวงตาคู่หวานมีประกายความหวังเรืองรองราวกับใบไม้ผล


               “เปลว มึงจะช่วยกูจริงเหรอ จริงใช่ไหมเปลว”


             “ใช่” ปวิธกดยิ้มมุมปาก


             “แต่มึงก็ควรจะมีอะไรตอบแทนที่กูจะรูดซิปปากเรื่องนี้บ้าง”


                ร่างบางสั่นเทา สนฉัตรก็พอเดาได้ว่าปวิธไม่ได้คิดกับตนในด้านดีสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้สนฉัตรไม่มีสมบัติอะไรสักอย่าง เงินสดที่ติดตัวมากับกระเป๋าสตางค์ก็หมดไปนานแล้ว


                “กูไม่มีอะไรให้มึง กูไม่มีเงิน ไม่มีของมีค่าอะไรสักอย่าง”


           สนฉัตรเจ็บลึกกับดวงตาคมของเปลวที่จ้องมองเขาคล้ายจะเหยียดหยัน หากแต่คำพูดต่อจากนี้ต่างหากที่ทำให้สนฉัตรปวดร้าวราวกับหัวใจถูกกรีดแทง


               “จ่ายกูมาด้วยร่างกายของมึงไงสน หรือว่าแม้แต่ร่างกายของมึงก็ไม่มีค่าเหมือนกัน”


                “ไอ้เปลว”


               สนฉัตรตะลึงงัน ใครจะนึกว่าปวิธเสนอทางเลือกนี้


                “ว่าไง หรือมึงจะให้กูขี่ม้าสามศอกไปฟ้องคุณลุงว่าเจอมึงในคอนโดแคบ ๆ กับไอ้ทนายที่คาบมึงมาแดกทั้งที่ทำงานกินเงินจากท่านอยู่”


              “มึงมันเหี้ย ไหนมึงเคยบอกว่ามึงเกลียดกู แล้ววันนี้มึงทำแบบนี้ทำไม”


               สนฉัตรตะโกนใส่หน้าปวิธด้วยความกรุ่นโกรธ ปวิธยักไหล่พลางมองสนฉัตรด้วยแววตาขบขัน


                “กูก็ไม่เคยบอกว่ากูเป็นคนดีนะ แต่มึงเพิ่งจะได้เห็นด้านเหี้ยของกูวันนี้ไงล่ะ แล้วการเอากันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับรักหรือเกลียด มึงไม่มีอะไรปิดปากกูเองนี่หว่า”



              ปวิธไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงชะงักเมื่อเห็นสายตาเกลียดชังที่สนฉัตรมองเขา เขาปัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไปและรีบสำทับเมื่อรู้ว่าสนฉัตรกำลังสับสน


               “ว่าไงล่ะ แค่ยอมให้กูเอา ปรนนิบัตรกูสักพัก เรื่องของมึงจะเป็นความลับ คิดให้ดี ๆ นะโว้ย”


              พูดจบปวิธก็ยืนกอดอกรอคำตอบอย่างใจเย็น ส่วนสนฉัตรนั้นขบคิดอย่างเร่งด่วน


                 หากเขาไม่ยอม ปวิธต้องไปบอกเรื่องนี้กับทรงเดชแน่ สนฉัตรรู้ดีว่าอาการ “หวงของ” ของทรงเดชนั้นร้ายกาจขนาดไหน ทั้งเขาและจิรัชอาจจะตายอยู่ข้างถนนหรือหายไปโดยไร้ร่องรอยก็เป็นได้


               ก็แค่ยอมให้ปวิธมีเซ็กส์ด้วย ร่างกายของสนฉัตรก็ใช่จะบริสุทธิ์ผุดผ่อง คิดเสียว่าใช้ร่างกายลงทุนเพื่อแลกกับความปลอดภัยของชีวิต แค่ครั้งเดียวเท่านั้นปวิธก็คงจะสาแก่ใจแล้ว


               “กูเกลียดมึง”


                สนฉัตรเค้นเสียงออกไปอย่างยากเย็น ปวิธเลิกคิ้วเอียงคอมองรอให้สนฉัตรเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเอง


               “จะทำก็รีบ ๆ ทำแล้วไสหัวไปซะ”


               ปวิธมองสนฉัตรตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มันเป็นความคุ้นเคยในสายตากับร่างโปร่งบางรับกับหน้าตาที่ปวิธยอมรับว่าดีมาก หลายครั้งที่เขาเคยสงสัยว่าทำไมทรงเดชถึงได้ติดใจสนฉัตรจนเรียกได้ว่าหลงใหลขนาดนี้


               “นั่นประตูห้องนอนใช่ไหม”


               ถามโดยไม่หวังคำตอบเพราะเดาได้อยู่แล้วกับห้องพักในคอนโดมิเนียมเช่นนี้ ปวิธตรงเข้าหาแล้วรวบเอวสนฉัตรขึ้นมาแบกอยู่บนบ่าอย่างง่ายดาย เขาเดินตรงเข้าไปใช้เท้าถีบประตูและเมื่อถึงเตียงนอนในห้องแคบ ปวิธก็โยนสนฉัตรลงไปบนเตียงก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแต่เสื้อกล้ามและกางเกงชั้นใน


           สนฉัตรนอนตัวสั่นเมื่อปวิธตามขึ้นมาบนเตียง ร่างสูงใช้วงแขนที่มีแต่มัดกล้ามเนื้อยันที่นอนคร่อมศีรษะของเขา สีหน้าของปวิธในยามนี้แตกต่างไปจากทุกวันที่เขาเห็น มันมีทั้งความอยากรู้อยากลอง ความสาแก่ใจและประกายบางอย่างที่สนฉัตรเดาไม่ถูก รู้แต่ว่าเมื่อทุกอย่างรวมกันแล้วมันทำให้สนฉัตรสั่นเป็นลูกนกในยามนี้


              “เตียงนี้ใช่ไหมที่มึงเอากับไอ้ทนายนั่น”


              ปวิธเค้นเสียงถาม เขาได้กลิ่นจิรัชจากผ้าปูที่นอน หมอน และผ้าห่ม ยิ่งทำให้ปวิธต้องการในเรือนร่างที่ทอดกายเบื้องล่างนี้เสียเหลือเกิน”


               “ทำให้กูมีความสุขเหมือนที่มึงทำให้มัน”


               ปวิธดึงเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่สนฉัตรสวมใส่ออกแล้วโยนทิ้ง แม้จะเคยเห็นสนฉัตรในสภาพไม่เรียบร้อยนักอยู่บ่อยครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสนฉัตรเปลือยเปล่าเต็มตา ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมทรงเดชถึงหวงแหน และทำไมจิรัชถึงยอมเสี่ยงขนาดพาสนฉัตรหนีออกจากบ้านผู้มีอิทธิพล ก็เพราะร่างนี้อย่างไรเล่า


                ผิวกายของสนฉัตรเนียนตาเหลือเกิน ไร้ซึ่งขนดกดำอย่างที่บุรุษเพศควรจะมี ก้มไปมองส่วนอ่อนไหว สิ่งปกคลุมก็แค่บางเบานุ่มละเอียด ยอดอกสีชมพูยั่วตาจนปวิธอดใจไม่ไหวต้องใช้ปลายนิ้วสัมผัสมัน


          สนฉัตรเม้มปากเมื่อเจอกับนิ้วสากที่ลูบไล้อยู่บนยอดอกก่อนที่ปวิธจะหมุนคลึงช้า ๆ ได้แต่มองตามเมื่อคนที่เอ่ยปากบอกว่าชิงชังก้มหน้าลงมาใช้ริมฝีปากเม้มติ่งเข้าไปและใช้ปลายลิ้นโลมเลีย แม้จะบอกตัวเองว่านี่คือเซ็กส์ที่เขาไม่เต็มใจ แต่สนฉัตรก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านจนเผลอแอ่นอกตาม


              “อื้อ”


              สะดุ้งเมื่อปวิธขบฟันลงมาบนเนื้ออ่อนรอบลานนม เจ็บแต่ดึงสติของสนฉัตรจนแทบหลุดออกจากกาย ฝ่ามือหยาบร้อนไล่สัมผัสลูบไล้เนื้อตัวของเขาอย่างหยาบกระด้าง สนฉัตรได้แต่แหงนหน้าหลับตาพลางขมวดคิ้วมุ่นเมื่อไฟแห่งกามารมณ์กำลังถูกจุด ไม่รู้เลยว่าปวิธถอดเสื้อกล้ามกับกางเกงออกตอนไหนเพราะรู้สึกอีกทีร่างสูงก็ทาบร่างแนบเนื้อลงมาเสียแล้ว


             ปวิธลากริมฝีปากและลิ้นไปตามผิวหนังชุ่มชื้น ผิวกายของสนฉัตรหอมหวานเหมือนกลิ่นอโรมาที่เปิดในห้องปรับอากาศ มันเย้ายวนจนปวิธติดใจดอมดมและชิมรสไปทั่วทุกสัดส่วน เขายกต้นขาของสนฉัตรขึ้นโลมเลียและขบฟันไปเบา ๆ ทิ้งรอยไว้ตรงเนื้อขาว จากนั้นปวิธก็แยกท่อนขานั้นออกโดยร่างกายตนเอง เขาเลียที่เนินสามเหลี่ยมก่อนจะคว้าจุดอ่อนไหวที่เริ่มชูชันของสนฉัตรและครอบปากตนเองลงไป


                 “ฮึก อื้อ”


               สนฉัตรดิ้นพล่าน ลิ้นของปวิธร้อนระอุอยู่ภายในช่องปากชื้นฉ่ำ ไหนจะปลายฟันที่ครูดไปกับเส้นเอ็นนั่นอีก สติของสนฉัตรกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้วขณะที่เขาใช้มือเรียวเสยเข้าไปในกลุ่มผมดกดำของปวิธแล้วกำไว้แน่น น้ำลายใสของปวิธไหลลงสู่ที่ต่ำจนถึงรูจีบพับ ที่ปวิธใช้ปลายนิ้วแหย่เข้าไปสำรวจภายใน


               ร่างกายนี้ร้อนแรงเหลือเกิน


               เสียงครวญครางนั้นกระชากอารมณ์ดิบและทำให้ปวิธลืมเลือนทุกอย่างไปแล้ว เขาชันกายขึ้นปล่อยให้จุดอ่อนไหวของสนฉัตรตื่นตัว มือใหญ่ดันต้นขาของสนฉัตรให้ยกสูงเปิดทางให้เขามองเห็นบั้นท้ายหนั่นแน่นกับทางเข้าไปสู่แรงปรารถนา และปวิธจะไม่รออีกต่อไป





มีต่ออีกนิด.....





หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 8 [21/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 21-04-2018 21:38:30


ต่อกันตรงนี้...




              เขาถ่มน้ำลายใส่มือตัวเองเพื่อไปถูไถความเป็นชายที่อวดกายรออยู่แล้ว ปวิธดันเอวเข้าไปในช่องทางที่เขาสำรวจเมื่อครู่ เขากัดฟันรับกับความคับแน่นขณะที่แทรกส่วนสำคัญเข้าไป อดที่จะส่งเสียงออกมาไม่ได้เมื่อในที่สุดเขาก็ดันตัวเองเข้าไปจนกระทั่งถุงแฝดกระทับกัน


               “อา”


               นิ่งงันอยู่ในท่านั้นเพื่อซึมซับความเสียวซ่านที่บังเกิด ปวิธก้มลงมองกายขาวที่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเพราะเลือดในกายวิ่งพล่าน ร่องรอยที่เขาทิ้งไว้กระจายกันอยู่ทั่วทั้งตัว สีหน้าหวานของสนฉัตรบ่งบอกถึงความต้องการขั้นสูงสุดโดยที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว


                 ปวิธโน้มกายลงไปบดจูบกับกลีบปากอิ่มที่คอยแต่จะสรรหาคำมายอกย้อนเขา นิ้วสากบีบกรามของสนฉัตรให้กว้างขึ้นจนเขาแทบจะกวาดลิ้นลงไปถึงลำคอ เขาไม่สนใจเสียงอึกอักคล้ายสำลักนั่น พร้อมกันนั้นปวิธก็เริ่มขยับเอวและเคลื่อนไหวในช่องทางแคบ


               “อึก ฮัก ฮัก เปลว เบาหน่อย”


                บอกอะไรไปปวิธก็คงไม่ฟังเพราะเขาเคลื่อนไหวโดยสัญชาตญาณเยี่ยงสัตว์ป่าเสียแล้ว แต่แปลกที่สนฉัตรกลับเตลิดไปกับเซ็กส์อันเร่าร้อนดิบเถื่อนเช่นนี้ มันแตกต่างจากความเนิบนาบของจิรัชที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงและค่อย ๆ ดึงให้เขาหวามไหว หากแต่ความหยาบกระด้างของปวิธกลับดึงให้สนฉัตรวูบวาบคล้ายจะขาดใจ


                 “เปลว อ๊ะ จะแตกแล้ว”


                 สนฉัตรเกร็งกายค้างเมื่อเขาปลดปล่อยออกมาเต็มฝ่ามือตนเอง ปวิธยอมหยุดให้เขาได้กำซาบกับความสุขสมและหายใจหอบหนัก ร่างทั้งสองเต็มไปด้วยเหงื่อภายในห้องที่มีเสียงเครื่องปรับอากาศรุ่นเก่าทำงานอยู่จนแทบไม่รู้สึกถึงความเย็นเมื่อร่างบนเตียงร้อนไปด้วยไฟราคะ


                ปวิธรอให้สนฉัตรหายเหนื่อยในขณะที่เขายังคงแข็งแรงอยู่ เขาจับกายโปร่งบางให้พลิกตัวคุดคู้คล้ายสุนัขโดยมีเขาคุมเกมอยู่ด้านหลัง ปวิธลูบไล้แผ่นหลังนั้นไปมาเมื่อเขาเริ่มต้นกับยกใหม่ของสนฉัตร


                  เมื่อไม่มีสายตาของสนฉัตรคอยจับจ้องแล้วปวิธจึงสูดหายใจเข้าปอด เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสนฉัตรถึงได้เป็นที่ต้องตาต้องใจนัก ร่างกายนี้รองรับได้ยอดเยี่ยมและมีแรงดึงดูดมากมายเหลือเกิน แม้แต่เขาก็อาจตกไปสู่วังวนของแรงดึงดูดของสนฉัตรก็เป็นได้


                 “เหี้ยเอ๊ย แน่นชะมัด”


                  ปวิธเค้นเสียงอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เขาโน้มกายกระแทกกระทั้นจนได้เห็นสนฉัตรขยับเอวรับตอบโต้ สนฉัตรซุกหน้าลงกับหมอนแต่ว่าโยกบั้นท้ายสอดรับการเคลื่อนไหวนั้น ลมหายใจหอบกระเส่าผสานปนเปกันจนไม่แน่ใจว่าเสียงไหนคือเสียงของตนเองกันแน่


                 “เปลว เปลว อีกนิดเดียว”


                  ปวิธคำรามก้อง เขายึดเอวของสนฉัตรไว้ขณะทุ่มแรงใส่เต็มที่ ได้ยินเสียงกรีดร้องของสนฉัตรเมื่อเขาปลดปล่อยคำรบสอง ตอนนั้นเองที่ปวิธดึงเอวตนเองออกมาจากช่องทางเปียกชื้น เขาผลักให้สนฉัตรนอนแผ่หงายพร้อมกันกับที่เขาใช้มือตนเองรูดรั้งท่อนเนื้อที่พองตัวเต็มที่ก่อนจะปล่อยให้มันพุ่งรดอยู่บนใบหน้าของสนฉัตรลากยาวมาถึงแผ่นอกชื้นเหงื่อและน้ำลาย
ทิ้งกายลงไปทับอยู่กับร่างบางแม้จะเลอะเทอะคราบคาว ปวิธหอบหายใจถี่ยิบกับบทเซ็กส์เร่าร้อน จนกระทั่งหายเหนื่อยเขาจึงยอมยกศีรษะขึ้นสบตากับดวงตาแดงก่ำของสนฉัตรที่ยังเต็มไปด้วยน้ำหล่อเลี้ยงจากความรุนแรงของเขา


                “เป็นไงบ้างไอ้สน บทอัศจรรย์ของกูพอจะสู้กับไอ้ทนายเหี้ยนั่นได้ไหม”


                สนฉัตรสะบัดมือตบหน้าปวิธดังเผียะ เขาเกลียดสายตาของผู้ชนะของปวิธในขณะนี้เหลือเกิน


                “สาแก่ใจมึงแล้วใช่ไหมไอ้เหี้ยเปลว ไปให้พ้นจากชีวิตกู”


                 ปวิธยึดข้อมือของสนฉัตรล็อกไว้ สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจัง สนฉัตรสะท้านวูบเมื่อสบตาคู่นั้น


                 “วันนี้กูจะไป แต่ขอให้มึงรู้ไว้ว่าชีวิตของมึงขึ้นอยู่กับกู จะทำอะไรก็คิดถึงความจริงข้อนี้ด้วยนะ”


                 ร่างสูงลุกจากไปแล้ว สนฉัตรได้ยินเสียงปวิธเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอก สักพักก็ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดและปิดตามหลัง ในขณะที่เขายังนอนทอดกายอยู่บนเตียง น้ำตาแห่งความอดสูไหลรินจนเปียกปอนหมอน พักใหญ่กว่าสนฉัตรจะลุกจากเตียงไปส่องกระจกสำรวจร่างกายตนเอง


                ดวงตาเรียวที่เขารักยังคงมีร่องรอยความสุขสมจากเซ็กส์ดิบเถื่อนเมื่อครู่ เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่อยรอยที่ปวิธทิ้งไว้ สนฉัตรถอนหายใจก่อนจะจัดการกับเตียงที่เต็มไปด้วยความยับยู่ยี่และกลิ่นคาวให้กับคืนสภาพเดิม จะให้จิรัชรู้ไม่ได้ว่าเขามีเซ็กส์กับปวิธบนเตียงของจิรัช


             ยอมรับว่าเซ็กส์ของปวิธทำให้เตลิด ปวิธร้อนแรงและหยาบเหมือนสัตว์ป่ายามสมสู่ แต่นั่นเป็นอีกรสชาติที่สนฉัตรอดเปรียบเทียบไม่ได้ เขารีบโยนความคิดเหล่านั้นทิ้ง ปวิธคือศัตรู สนฉัตรจะต้องท่องจำให้ขึ้นใจ






                 คืนนี้เป็นคืนแรกที่สนฉัตรรู้สึกดีกับการกลับดึกของจิรัช เขากลัวจะแสดงพิรุธออกมาให้จิรัชจับได้ เมื่อได้ยินเสียงจิรัชเปิดประตูห้อง สนฉัตรก็รีบใช้ผ้าห่มคลุมและแสร้งทำเป็นหลับทันที


                 จิรัชขึ้นมาบนเตียง เขาเขย่าร่างที่คลุมโปงแล้วเรียกด้วยเสียงหงุดหงิด


                “สน สน ทำไมวันนี้หลับเร็ว ทุกทียังเห็นดูทีวีอยู่”


                “สนไม่สบาย แพ้อากาศ”


               ส่งเสียงงัวเงียให้เหมือนคนสะดุ้งตื่น จิรัชสบถออกมา


              “แค่แพ้อากาศไม่ตายหรอกน่า มาให้พี่ทำหน่อย พี่เครียด”


              “พี่จิรัช สนไม่ไหว”


                ความจริงแล้วเพราะสนฉัตรกลัวจิรัชเห็นรอยบนร่างกายตัวเองต่างหาก แต่ดูเหมือนสามีจะไม่พ่อใจ


              “เป็นเมียก็ต้องให้ผัวทำนะสน ไม่งั้นจะเอามาอยู่ด้วยทำไมวะ”


               “อย่าหงุดหงิดสิพี่ มา นอนลง สนช่วยให้สบายตัวก่อนนอนก็ได้”


               สนฉัตรเดินไปปิดไฟเพื่อใช้ความมืดอำพราง เขาจัดแจงดึงท่อนเนื้อของจิรัชมาปรนเปรอด้วยปากของเขาจนกระทั่งจิรัชสบายตัว


                “ใช้ปากเก่งฉิบหาย ทำให้ผัวเก่าบ่อยเหรอ”


                 จบคำพูดแล้วจิรัชก็เงียบเสียง ครู่ใหญ่ก็ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ บอกให้รู้ว่าเขาหลับสนิท ในขณะที่สนฉัตรยังนั่งกอดเข่าตนเองในความมืด


                  สนฉัตรซุกหน้าลงกับเข่าพลางทอดถอนหายใจกับชีวิตที่ไม่เคยได้ดั่งใจตนเองสักครั้ง





                                                              TBC


                                        ไอ้เปลวววว แกก็เลวไม่ต่างจากคนอื่นเลย


                                           
                                                 :o :o :o :o :o :o 











หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 8 [21/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-04-2018 22:12:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหมือนชีวิตสนจะถูกสาป 

เป็นได้แค่ "วัตถุรองรับอารมณ์" ของใครต่อใคร
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 8 [21/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-04-2018 22:39:41
ไม่ชอบคำพูดจิรัชเหมือนเหยียดสนเห็นแก่ตัว
สงสารสนที่ยังอ่อนต่อโลกไม่ทันคน
หลงคำหวานเกิน
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 8 [21/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-04-2018 23:38:11
สงสารสนเหลือเกิน มีแต่คนตักตวงร่างกาย จะมีใครที่รักจริงบ้างไหมนะ
 :mew4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 8 [21/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 22-04-2018 08:09:36
เฮ้อ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 8 [21/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 22-04-2018 13:14:24
ไม่กล้าอ่านต่อแล้ว :ling3:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 8 [21/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 25-04-2018 11:58:08
จะเป็นยังไงต่อเนี่ย สงสารสนฉัตร  ฮือ+ :mew2:
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 9 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 09-05-2018 15:42:43



                                                            วิมานไม้สน

                                                              บทที่ 9




              ไม่อยากยอมรับว่าคิดถึงร่างกายนั้นจนนอนไม่หลับ

             แต่ปวิธก็ต้องยอมรับความจริง เขากระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนเพราะในหัวมีแต่รสสวาทของสนฉัตรอยู่เต็มไปหมดจนกระทั่งตาค้างมาถึงตอนเช้า เขาหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจและพยายามตัดใจจากความต้องการสนฉัตรด้วยความยากลำบาก
แค่ครั้งเดียวแต่ปวิธกลับฝังใจราวกับเขาพบสิ่งที่ต้องการมาเนิ่นนาน และเมื่อได้ลิ้มชิมรสแล้วว่าทั้งหอมหวานปวิธก็อยากจะกลืนกินมันอีกแม้เขาจะรู้ว่าความหวานนั้นเจือด้วยยาพิษ


                  “มันต้องการไปจากที่นี่ ก็แค่ปล่อยมันไป มึงจะไปสนใจมันทำเหี้ยอะไร”


                   เขาด่าตัวเองในกระจก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนปนเปกับความชิงชังและความต้องการที่ต่อสู้กันอยู่ในจิตใจ ปวิธสะบัดหน้าไปมาก่อนจะสบถหยาบคายเมื่อในที่สุดเขาก็ยอมแพ้


                ก่อนเที่ยงวันปวิธจึงปรากฏตัวขึ้นหน้าคอนโดมิเนียมกลางเก่ากลางใหม่อีกครั้งในชุดของพนักงานร้านพิซซ่าเช่นเคย เขาเลือกเวลานี้เพราะจากที่เคยมาซุ่มมองแล้วจึงรู้ได้ว่าเป็นเวลาเปลี่ยนกะของยามเฝ้าประตูทางเข้า เมื่อเขาสามารถลอบเข้าไปในคอนโดมิเนียมได้อีกไม่นานลุงยามคนเก่าก็จะออกเวรและเปลี่ยนเป็นยามคนใหม่ที่จะไม่รู้และสนใจเลยว่าเขาจะเดินออกจากคอนโดมิเนียมในชุดเสื้อผ้าปกติที่เขาเตรียมใส่กระเป๋ามาตอนไหน

                  เขาจุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าส่งให้ลุงยามที่นั่งหาวหวอดอยู่หน้าประตู


                 “สวัสดีครับลุง”


                 “อ้าวไอ้หนุ่มร้านพิซซ่า วันนี้มาอีกแล้ว สงสัยจะอร่อยจนลูกค้าสั่งซ้ำบ่อย ๆ สินะ”


                ลุงยามพูดคุยอารมณ์ดี ปวิธรีบรับสมอ้างทันที


               “ครับลุง วันนี้ผมมีพิซซ่าถาดเล็กมาฝากลุงด้วย เอากลับไปกินที่บ้านนะลุง”


               “เฮ้ย แพงหรือเปล่า ลุงไม่มีปัญญาจ่ายนะเอ็ง”


             “ฟรีครับลุง โปรโมชั่นช่วงนี้ ลุงรับไปเถอะใกล้จะออกเวรแล้วไม่ใช่เหรอ”


              “เอ้า เอ็งมีน้ำใจลุงก็ไม่ปฏิเสธ ขอบใจนะพ่อหนุ่ม ไปสิ จะไปส่งพิซซ่าก็เข้าไป”


               ปวิธก้าวผ่านประตูด่านหน้ามาอย่างปลอดโปร่ง จนกระทั่งมาหยุดหน้าประตูห้องที่เขามาเมื่อวานนี้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเคาะและหยุดรอให้มันเปิดออก


               “ไอ้เปลว”


               คนที่อยู่ด้านในทำหน้าเหมือนเห็นผีและรีบปิดประตูใส่เขา ปวิธไม่ได้ดึงดันเหมือนเมื่อวาน วันนี้เขาทำแค่ส่งเสียงให้ดังพอจะลอดผ่านประตูที่ขวางกั้นตรงหน้าเข้าไปเท่านั้น


               “มึงอยากให้คนอื่นรู้เรื่องระหว่างมึงกับกูงั้นเหรอ กูจะได้ประจานมึงให้เขารู้กันทั้งตึก”


               รอแค่อึดใจปวิธก็สามารถเดินตัวปลิวเข้าไปภายในและกดล็อกประตูให้อีกต่างหาก เขาส่งกล่องใส่พิซซ่าให้สนฉัตรที่ยืนหน้าบูดบึ้งต้อนรับ


               “กูซื้อพิซซ่ามาฝาก”


               “มึงมาทำไมอีก”


               สนฉัตรขึ้นเสียงใส่เขา แปลกที่วันนี้ปวิธกลับอารมณ์ดีพอจะฟังเสียงเกรี้ยวกราดนั้นอย่างเพลิดเพลิน


              “ไหนมึงบอกว่าถ้ากูยอมมึงแล้ว มึงจะปล่อยกูไป ไม่มายุ่งกับกูอีกไงไอ้เหี้ยเปลว”


               “กูพูดตอนไหน มึงสับสนเองต่างหาก”


               ปวิธยักไหล่ เขาก้าวเข้าไปหาในขณะที่สนฉัตรถอยหลังกรูด และในที่สุดเขาก็คว้าแขนเรียวนั้นไว้ได้


                “กูบอกแค่ว่ากูจะไม่บอกคุณลุงเรื่องของมึง ส่วนเรื่องที่กูจะมาเจอมึงซ้ำอีกกูไม่ได้พูดสักคำ”


                “ไอ้เปลว มึงมันเลว”


                 สนฉัตรมองเขาด้วยความโกรธแค้น ปวิธเจ็บแปลบเมื่อมองเห็น ในสายตาของสนฉัตรเขาคงไม่มีค่าอะไรเลย


                “ทำเหมือนว่ามึงเคยมองว่ากูเป็นคนดีอย่างนั้นแหละ”


                ปวิธกระชากให้สนฉัตรลอยตามแรงมาปะทะแผงอกของเขา มือใหญ่ฉวยโอกาสโอบรอบเอวของสนฉัตรไว้ทันที ได้กลิ่นลมหายใจอ่อน ๆ ของสนฉัตรที่เป่ารดอยู่ตรงปลายคางของเขา มันทำให้เลือดในกายหนุ่มร้อนระอุไปหมด


               “กูอยากเอามึงอีก”


            ปวิธพูดออกไปตรง ๆ เขาใช้ปลายนิ้วบีบคางสนฉัตรไม่ให้หนีหน้าไปไหน นัยน์ตาหวานเย้ายวนบอกให้ปวิธรู้ว่าสนฉัตรเองก็หวั่นไหว ปวิธไม่รอช้าเขากดริมฝีปากของเขาลงไปกับกลีบปากนุ่มนั้นทันที


              “อื้อ เบาสิ”


              ครู่แรกสนฉัตรขัดขืนอยู่บ้าง แต่ไม่นานหลังจากนั้นร่างโปร่งก็เบียดกายแนบชิดและยังยกแขนคล้องไปรอบคอของปวิธด้วย จูบนั้นต่างโหยหาและเรียกร้องซึ่งกันอย่างไม่ยอมแพ้ ปวิธใช้กายที่หนากว่าบังคับให้สนฉัตรก้าวไปยังห้องนอนเล็กพร้อมกับเขา เมื่อถึงเตียงปวิธก็รวบเอวของสนฉัตรให้ล้มลงไปพร้อมกัน


              “มึงนี่มันยั่วจริง ๆ”


           ปวิธบ่นพึมพำขณะที่ช่วยกันถอดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกจนเปล่าเปลือยทั้งคู่ เมื่อเห็นร่างขาวผ่องปวิธก็ตาลุกแต่สนฉัตรยั้งเขาไว้ก่อนและมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน


           “เปลว มึงอย่ากัด อย่าทิ้งรอย เดี๋ยวพี่จิรัชสงสัย”


             ขบกรามกรอดเพราะรู้ว่าตนเองนั้นก็ไม่ได้ต่างจากชายชู้ที่ขโมยปลาย่างมากินเมื่อเจ้าของไม่อยู่เฝ้า ปวิธเหยียดยิ้มพลางใช้ฝ่ามือลูบไล้ผิวกายอ่อนนุ่มนั้นอย่างกระหาย


               “มึงต้องการแค่นี้ใช่ไหมสน ได้สิ กูจะเอามึงอย่างไม่ทิ้งรอยเลย”


               ไฟของปวิธโหมไหม้ไปทั่วร่างกายของสนฉัตร ยอดอกเม็ดเล็กถูกริมฝีปากของเขาขบเม้มบดคลึงเรียกเสียงสยิวซ่านอย่างลืมตัว ลีลาของปวิธมุทะลุดุดันร้อนแรงด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านและวัยเลือดร้อน หากแต่มันกลับทำให้สนฉัตรเตลิดไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ทุกแรงกระแทกสนฉัตรถึงกับผวาเข้ากอดเกี่ยวเนื้อกายร้อนฉ่า


              “เปลว อื้อ เสียว เปลว เปลว”


               ยิ่งครางปวิธก็ยิ่งออกแรงเข้าใส่ ชายหนุ่มเองก็หน้ามืดไปหมดกับความคับแน่นพอดีกับของเขา ไม่ว่าจะเปลี่ยนท่ากี่ครั้งสนฉัตรก็ยังรับได้อย่างเหนียวแน่นกว่าเขาจะส่งไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ


                 “เปลว อ๊ะ ไม่ไหวแล้ว”


                “โอ๊ย บีบฉิบหาย”


               ปวิธเร่งเครื่องหลังจากทำให้สนฉัตรปลดปล่อยไปหลายน้ำ เขากลั้นใจครั้งสุดท้ายก่อนกระชากแรงเปียกปอนจนต้องทิ้งกายลงไปกับร่างนุ่มที่ยังนอนหอบกระเส่าเบื้องล่าง เนิ่นนานกว่าความเหน็ดเหนื่อยจะคลายลงทิ้งไว้แต่ความสบายตัวกับกิจกรรมบนเตียง


              “จะไปไหน”


               ปวิธส่งเสียงเข้มเมื่อสนฉัตรผลักแขนของเขาออกจากกาย


              “สมใจมึงแล้วก็ปล่อยกูสิ”


              “มึงจะเล่นตัวทำไมสน เพิ่งเอากันเสร็จเหนื่อยจะตาย มึงจะนอนนิ่ง ๆ ไม่ได้หรือไง”


              ปวิธไม่ยอมให้สนฉัตรหนีไปได้ เขากดให้ศีรษะของสนฉัตรซุกอยู่กับอกของเขา อ้อมกอดของปวิธทำให้สนฉัตรต้องหยุดดิ้นรนและปล่อยให้ปวิธกอดเขาต่อไป


              “ไอ้จิรัชมันรู้เรื่องที่กูเอาเมื่อวานไหม”


             “มึงอยากให้เขารู้เหรอ หือ ไอ้คนชั่ว”


             ถึงแม้จะด่าแต่ก็ไม่ใช่เสียงแข็ง คงเป็นเพราะความอบอุ่นแปลก ๆ ที่ส่งผ่านมาจากวงแขนที่โอบรัดอยู่


           “เมื่อตะกี้ที่กูเอามึง มึงมีความสุขไหมสน”


            สนฉัตรแปลกใจกับเสียงอ่อนโยนนั่น ปวิธไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเขา


          “ถามทำเหี้ยอะไร”


          “ถามให้มึงตอบ ไม่ได้ถามทำเหี้ย ตอบกูสิว่ามึงมีความสุขไหม”


            สนฉัตรถามตัวเอง จิตใจของสนฉัตรสับสนไปหมด หากจะว่าไม่มีความสุขก็ไม่ใช่เพราะปวิธปรนเปรอให้เขาจนล้นทะลัก


              “อืม”


              “อะไรนะ”


              “ไอ้เหี้ย”


             ปวิธหัวเราะ นานแล้วที่ไม่ได้หัวเราะอย่างนี้


             “แปลกเนอะ มึงกับกูรู้จักกัน เจอหน้ากันด่ากันมาตลอดสิบปี ใครจะนึกว่าเราเพิ่งจะมาคุยกันดี ๆ ในช่วงเวลาแบบนี้”


             สนฉัตรเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน ใครจะนึกว่าวันหนึ่งเขากับเปลวจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันเช่นนี้


            “ไอ้จิรัชมันให้ในสิ่งที่มึงอยากได้หรือเปล่าสน”


              สนฉัตรนิ่งงัน คำถามของปวิธตอบยากเหลือเกิน


             “อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่กูเลือกว่ะเปลว”


              ปวิธถอนหายใจ วูบหนึ่งที่เขาสงสารร่างเปลือยในอ้อมกอดกับชีวิตที่ไร้ทางเลือก เขาเชยคางสนฉัตรออกจากอกให้สบตา ดวงตาเรียวหวานยังคงฉ่ำชื้นเป็นประกายจากกิจกรรมบนเตียง


             “มึงอยากได้อะไรล่ะสน ไอ้สิ่งที่มึงใฝ่ฝันนักหนาน่ะ”


            สนฉัตรนิ่งคิด คนอย่างเขาน่ะเหรอที่จะมีความฝัน


            “กูต้องการแค่พื้นที่ของกู พื้นที่ที่กูจะเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงล่ะมั้งเปลว อาจจะบ้านเล็ก ๆ สักหลังที่สร้างจากไม้สนฉัตรเหมือนชื่อกู อยู่กับใครสักคนที่รักกูจริงไม่เห็นกูเป็นสิ่งของหรือสัตว์เลี้ยง”


              “ไม้สนฉัตรมันเป็นไม้เนื้ออ่อน ไม่มีใครเขาเอามาสร้างบ้านกันหรอก มันไม่มั่นคง อย่างดีเขาก็เอาไว้ทำเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้าน พอพังเขาก็ทิ้ง”


                ปวิธลืมตัวพูดตามประสาสถาปนิกที่ใกล้เรียนจบแล้ว ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น เขาไม่นึกว่าคำพูดโดยไม่ทันคิดจะเสียดแทงเข้าไปในหัวใจอันมีแต่บาดแผลของสนฉัตร


              “ใช่สินะ ค่าของกูก็มีแค่นี้ ของประดับที่เจ้าของมันพร้อมจะทิ้ง”


              ดวงตาแดงจัดเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาก่อนจะหยดลงมาทำให้ปวิธตกใจ เขาอยากจะตบปากตัวเองนักที่พูดไม่ทันคิด ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะดีกลับต้องมาชะงัก


               “กูขอโทษที่พูด กูไม่ได้ตั้งใจ”


               ปวิธเอ่ยคำขอโทษทั้งที่ตลอดมาเขาไม่เคยรู้สึกผิดกับสนฉัตรเลยสักครั้ง ปลายนิ้วสากไล่เช็ดน้ำตาให้สนฉัตรจนหมดก่อนที่เขาจะค่อย ๆ จูบตามลงไปที่ผิวหน้าชุ่มฉ่ำ


               “อย่ามัวทะเลาะกันเลย เดี๋ยวกูจะทำให้มึงมีความสุขอีกรอบก่อนกูกลับนะสน”


              ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ปวิธกลับใจอ่อนเสียแล้ว ในเมื่อสนฉัตรไม่ได้ดื้อดึงปวิธก็ได้แต่จูงมือให้สนฉัตรติดตามเขาไปในห้วงเสน่หา ระหว่างกันนั้นเหมือนไฟกับน้ำมันที่จุดติดง่ายดาย ปวิธใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดก่อนที่เขาจะกลับออกไปจากคอนโดมิเนียมแห่งนี้เมื่อยามบ่ายคล้อยของวัน





มีต่ออีกนิด...




หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 9 [09/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 09-05-2018 15:52:52


อ่านต่อตรงนี้ ...




             กลับไปถึงบ้านปวิธก็รีบทำงานของเขาที่อาจารย์สั่งมาให้เสร็จ เหลือสอบต้นเดือนหน้าอีกไม่กี่วิชาเขาก็จะเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ความตั้งใจอันดับแรกในเรื่องการเรียนต่อใกล้จะเป็นจริง จนกระทั่งได้ยินเสียงรถยนต์ของทรงเดชเขาจึงลุกออกไปจากห้องเล็กของเขา

             สีหน้าของทรงเดชเคร่งเครียดอย่างเช่นทุกวัน ลุงของเขานั่งนวดขมับอยู่ที่ห้องรับแขกโดยมีลูกน้องคนสนิทยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าบ้าน ปวิธไม่ได้พูดอะไรนอกเสียจากนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวถัดไป


            “บางทีกูอาจจะต้องหาทางหนีทีไล่ว่ะเปลว”


             ทรงเดชเอ่ยกับหลานด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก


             “นอกจากมันจะยึดทรัพย์ มันยังกำจัดลุงอีกด้วย ถ้าสู้ไม่ไหวจริง ๆ ลุงอาจต้องลี้ภัยทางการเมือง”


             ปวิธใจหาย เขาเป็นห่วงทรงเดชในเรื่องนี้มาก การเมืองทำให้คนมีอำนาจ แต่อำนาจนั้นก็หอมหวานที่จะมีแต่คนแย่งชิงโดยทำทุกวิถีทางให้ได้มา


            “เจอไอ้สนหรือยัง”


             เปลี่ยนเรื่องกะทันหันจนปวิธสะดุ้ง ความที่ไม่เคยโกหกมาก่อนทำให้เขานิ่งคิดหาข้อแก้ตัว โชคดีที่ทรงเดชคิดว่าความเงียบของปวิธคือการปฏิเสธ


              “คิดถึงมันว่ะ ป่านนี้จะไปลำบากอยู่ที่ไหน เฮ้อ ลุงไปพักก่อนละ เหนื่อยว่ะ”


               ทรงเดชลุกขึ้นเดินจากไป ไหล่ของชายวัยชราค้อมลู่เข้าหากันจนปวิธยิ่งรู้สึกผิด


              “ท่านทั้งเครียดทั้งเหนื่อย วันนี้แวะไปที่โรงพยาบาลด้วยเห็นว่าเจ็บหน้าอก”


            ดำ ลูกน้องคนสนิท เดินเข้ามาพูดคุยกับปวิธ


            “ยังไม่ได้บอกท่านเรื่องไอ้สนกับชู้อีกเหรอ”


             ปวิธส่ายหน้า


            “เดี๋ยวสักพักนะพี่ดำ รอดูสถานการณ์ก่อน ไม่อยากเอาเรื่องเครียดไปเพิ่มให้คุณลุงอีก”


           “ไอ้สนแม่งก็โง่” ดำสบถออกมา


             “หนีไปกับไอ้ทนายปากดีนั่น คิดเหรอว่าเขาจะจริงใจกับมัน ก็แค่สนุกชั่วครั้งชั่วคราวแล้วมันก็จะชิ่งไปหาคนที่เกาะแดกได้”


             ปวิธเงยหน้ามองดำด้วยความสงสัย ดำจึงส่งโทรศัพท์มือถือส่งให้ เขารับมาดูจึงเห็นว่าเป็นรูปของจิรัชยืนคู่กับหญิงสาวคนหนึ่งในห้างสรรพสินค้ากลางกรุง


            “นักสืบไปเจอไอ้เหี้ยนี่ควงสาวไปเที่ยว ตอนนี้กำลังสืบว่าผู้หญิงเป็นใคร ถ้าชัวร์แล้วพี่จะรีบบอกเปลว”


             ปวิธนึกถึงใบหน้าของสนฉัตร หากรู้ว่าคนที่ปักใจจนถึงขั้นยอมหนีตามไปคิดนอกใจ สนฉัตรจะเจ็บปวดแค่ไหน


              เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย ความรู้สึกที่คล้ายกับว่าปวิธรักและผูกพันกับสนฉัตรโดยที่เขาเพิ่งจะรู้ตัว ทั้งที่ความจริงเขาอาจจะรู้สึกเช่นนี้มานานแล้วแต่เขาไม่กล้ายอมรับความจริงมาโดยตลอด







             วันนี้จิรัชกลับดึกกว่าทุกวันจนสนฉัตรเผลอหลับรอหน้าโทรทัศน์ จนได้ยินเสียงประตูเปิดออกสนฉัตรจึงได้สะดุ้งตื่น เขางัวเงียขึ้นมามองจิรัชพลางเอ่ยอย่างไม่พอใจนัก


              “นึกว่าจะกลับมาตอนสว่าง”


             “อย่าพูดมาก อยากจะนอนก็นอนไป กูไม่ได้ขอให้มึงมารอ”


              จิรัชเสียงแข็งใส่สนฉัตรจึงเถียงกลับบ้าง


            “อ้าว พูดแบบนี้ได้ไง สนเป็นเมียพี่นะ ถ้าไม่รอจะรู้ไหมว่าผัวกลับดึกไปไหนมา”


             “โอ๊ย หุบปากไอ้สน หนวกหู”


            กระเป๋าเอกสารใบหนักลอยมาจากมือของจิรัชเฉียดหน้าสนฉัตรไปนิดเดียว


               “กูจะไปไหนมันก็เรื่องของกูมึงไม่ต้องมาเสือก อีเมียที่ดีแต่เย...อย่างเดียว ทำห่าอะไรก็ไม่ได้ จะเชิดหน้าชูตาผัวสักนิดก็ไม่มี เบื่อโว้ย”


             จิรัชก้าวฉับ ๆ เดินหนีเข้าไปในห้องนอน น้ำตาของสนฉัตรไหลออกมาด้วยความน้อยใจ เขาได้แต่ขดตัวนอนอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวแคบตลอดทั้งคืนที่เหลืออยู่พร้อมกับเสียงสะอื้นแผ่วเบา



                                                        TBC

                   
                        เป็นกำลังใจให้สนฉัตรแล้วอย่าลืมเป็นกำลังใจให้คนแต่งด้วยนะคะ
                                   คนอ่านน้อยจัง ตามที่คาดคิดเลย 555

                                       
                                     :ling2: :ling2: :ling2: :ling2: :ling2:











หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 9 [09/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 09-05-2018 16:56:39
สงสารสนจัง หนีเสือปะจระเข้
 :mew4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 9 [09/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 09-05-2018 21:52:19
เราตามอ่านอยู่น้า
สงสารชีวิตสนฉัตร
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 9 [09/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 09-05-2018 23:41:19
โอ้ยยยยย
ชีวิตสนมัยรันทดแบบนี้
ลองเปลี่ยนไปอยู่กับปวิธไหม
เค้าอาจจะรักสนมากกว่าคนที่อยุ่ด้วยตอนนี้นะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 9 [09/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-05-2018 23:19:03
 :pig4: :pig4: :pig4:

จากนกน้อยในกรงทอง

หนีออกจากกรงด้วยคาดหวังว่าเขา "รัก"

แต่กลับเป็นว่าเขาแค่ "หลงในรูป" ซึ่งไม่นานเขาก็ "เบื่อ"

ชีวิตนี้ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 9 [09/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 10-05-2018 23:51:23
รอสนฉัตรอยู่เสมอ  :mew1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 9 [09/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: KittybabymApi ที่ 15-05-2018 12:03:20
รอสนฉัตรเสมอค่ะไร้ท์ เป็นกำลังใจให้สนฉัตรและไร้ท์ด้วย เรื่องนี้เป็นนิยายวายที่รี้ดชอบมากจริงๆนะคะ อยากให้มีคนแต่งวายแนวแบบนี้มานานแล้วอยากอ่านมากๆๆๆ มาอัพบ่อยหน่อยนะคะไร้ท์ถึงจะมีคนอ่านน้อยแต่รับรองว่ามีรี้ดคนนี้ที่ชอบเรื่องนี้มากค่ะ รักไร้ท์ จุ๊บจุ๊บ :hao5:
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 10 [16/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-05-2018 00:33:32



                                                 วิมานไม้สน

                                                   บทที่ 10




              สนฉัตรนั่งดูโทรทัศน์อย่างเบื่อหน่าย เขานึกถึงปลาทองที่ต้องว่ายเวียนวนอยู่ในอ่างเลี้ยงปลาแคบ ๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทางตันล้อมรอบ ตอนนี้ชีวิตของนกในกรงเปลี่ยนมาเป็นปลาตัวน้อยที่ไร้การเหลียวแลจากเจ้าของ ต้องคอยว่ายขึ้นไปหายใจเหนือผิวน้ำสกปรกเพื่อต่อชีวิตตนเอง
เสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะดังขึ้น สนฉัตรสะดุ้งก่อนจะเดินไปรับ


               “สวัสดีครับ”


              “ไอ้สน ออกมารับก็หน้าประตูคอนโดหน่อย”


               หัวใจของสนฉัตรเต้นรัวขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อจำเสียงได้แม่นว่าใครโทรมา


               “ไอ้เปลว”


               “เออ กูเอง”


              “แล้วทำไมมึงไม่เข้ามาเองล่ะ เก่งนักไม่ใช่หรือไง”


               “เพื่อนมันเอาชุดส่งพิซซ่าไปทำงาน ลุงยามกะตอนเช้าก็กลับบ้านไปแล้ว มึงจะถามทำไมให้เสียเวลาเนี่ย ออกมารับกูเข้าไปหน่อย”


               ใจหนึ่งกลัวความลับจะแตก อีกใจหนึ่งสนฉัตรก็คิดถึงรสชาติเผ็ดร้อนของปวิธ ลังเลไม่นานสนฉัตรก็ตัดสินใจเดินลงไปรับปวิธจากหน้าตึกให้เดินตามขึ้นมาบนห้อง เมื่อประตูห้องปิดสนิทปวิธก็ดึงเขาไปจูบทันที สนฉัตรเงยหน้ารับจูบแถมยังเบียดกายเข้าไปชิดใกล้และปล่อยให้มือร้อนของปวิธบีบเค้นบั้นท้ายของเขาอย่างมันมือ

              อันที่จริงสนฉัตรไม่ควรจะเปรียบเทียบ แต่สมองส่วนหนึ่งกระทำไปโดยอัตโนมัติ ผู้ชายคนแรกของสนฉัตรคือทรงเดชที่อายุคราวปู่ เขาไม่เคยได้รับความอิ่มเอมเลยสักนิด พอได้มาพบกับจิรัชนั่นคือความสดใหม่กับเรื่องอย่างว่า สนฉัตรเพิ่งจะรู้รสความสุขสมแม้จะเนิบนาบไปบ้าง หากแต่ปวิธคือรสชาติ ความรุ่มร้อนดุดันช่วยเติมเต็มให้สนฉัตรติดใจ


                “คิดถึงมึงฉิบหายไอ้เด็กชอบยั่ว”


                ปวิธรวบกายของสนฉัตรขึ้นแล้วก้าวมาวางลงบนเบาะโซฟาหน้าโทรทัศน์นั่นเอง เขาสูดดมกลิ่นหอมธรรมชาติตามผิวกายของสนฉัตร เสื้อยืดกางกางเกงราคาถูกที่สนฉัตรสวมใส่ถูกถอดออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว


               “เปลว อื้อ”


                สนฉัตรกัดริมฝีปากเมื่อความรัญจวนใจบังเกิด ปวิธทรุดนั่งอยู่ระหว่างขาทั้งสองของเขาที่ถูกแยกให้ห่าง หน้าคมโน้มกายเข้าหาดอมดมอยู่ตรงกึ่งกลางกายก่อนจะเปิดปากกลืนกลินจุดอ่อนไหวของสนฉัตรเข้าไปเสียเกือบมิด ลิ้นสากของปวิธลากไล้อยู่ภายในทันทีที่เข้าขยับใบหน้าเข้าออก


                “ปละ เปลว อะ ฮึก”


                สนฉัตรบิดกายซ้ายขวา อดไม่ได้ที่จะโยกเอวเข้าไปหาช่องปากร้อนฉ่ำของปวิธ มือหนึ่งยึดพนักโซฟาไว้เป็นหลักยึด อีกมือก็เสยเข้าไปในกลุ่มผมของปวิธแล้วกำไว้แน่น ไม่นานสนฉัตรก็แหงนหน้าส่งเสียงดังลั่นเมื่อปวิธดูดน้ำของเขาไปเสียทุกหยาดหยดก่อนจะยอมคายให้เขาออกสู่โลกภายนอก

               ยังไม่ทันหายเหนื่อยปวิธก็ดึงต้นขาของสนฉัตรลงจนมันพ้นจากเบาะ ปวิธรูดซิปกางเกงชุดนักศึกษาลงแค่พ้นต้นขาตนเอง ท่อนเนื้ออหังการ์รออยู่นานแล้วเมื่อเขาดันให้สนฉัตรยกสะโพกสูง ปวิธดันกายเข้าไปในช่องทางสีกุหลาบของสนฉัตรทันที เขาสูดปากเมื่อพบกับความคับแน่นที่ถวิลหามาตลอดทั้งวันทั้งคืน และเมื่อสอดกายจนหมดลำปวิธก็ไม่รอช้าที่จะโยกเอวเข้าใส่


               “รูมึงนี่แน่นตลอด”


               ปวิธเอ่ยเสียงกระเส่า เขากดทับน้ำหนักลงไปกับร่างนุ่มมือจนสนฉัตรแทบจะจมลงไปกับเบาะนั่ง ร่างกายของสนฉัตรก็ตอบรับดีเหลือเกิน ทุกครั้งที่ได้กระทำก็ราวกับปวิธลืมผิดชอบชั่วดีไปหมดสิ้นแล้ว เหลือแต่ความต้องการที่จะพาสนฉัตรไปสู่การปลดปล่อยสัญชาตญาณความเป็นปุถุชน


               “เปลว เสียว”


              สนฉัตรร้องระงม ความลึกและความเร็วที่ปวิธกระแทกลงมาเกือบทำให้เขาขาดใจ ห้องโถงด้านนอกไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศทำให้เหงื่อไหลปะปนกันเป็นสายน้ำ ปวิธรวบเอวของสนฉัตรไว้ก่อนจะลุกขึ้นเปลี่ยนท่าให้ตัวเขาเองเป็นฝ่ายนั่งลงไปบนโซฟาและสนฉัตรนั่งทับคร่อมอยู่บนเอวของเขา


               “สน กูหมดแรงแล้ว มึงขยับหน่อยสิ นะ”


                เสียงแหบพร่ากระซิบอยู่ข้างหูคล้ายจะออดอ้อน สนฉัตรจึงบดคลึงกดน้ำหนักลงไปที่เอว เขาปล่อยให้ปวิธเปิดปากโลมเลียยอดอกสีสวยของเขาขณะที่ตนเองเป็นฝ่ายควบคุมเกมในยกนี้


                “อึก สน เบาหน่อย เดี๋ยวของกูจะหักเสียก่อน”


                ปวิธเอ่ยเย้าเมื่อสนฉัตรหย่งกายขึ้นลงเป็นจังหวะ โครงหน้าหวานแดงฉ่ำด้วยเลือดลมเมื่อความต้องการไต่ระดับไปถึงขีดสุด ปวิธช่วยเหลือด้วยการใช้มือกอบกุมจุดอ่อนไหวพอดีมือนั้นไว้และโยกรั้งไปมา ไม่นานสนฉัตรก็แหงนหน้ากรีดร้องและซบหน้าลงกับบ่าของปวิธเมื่อสุขสมอีกคำรบ
เมื่อส่งสนฉัตรถึงฝั่งแล้วปวิธจึงใช้ฝ่ามือแหวกเนื้อบั้นท้ายของสนฉัตรออกจากกัน เขากัดฟันรัวเอวเข้าใส่นับครั้งไม่ถ้วน ความอุ่นร้อนของช่องทางทำให้ปวิธหน้ามืดขึ้นมาครามครัน


                “สน จูบกูหน่อย เร็ว”


                ริมฝีปากประกบเข้าหากันพลางแลกลิ้นดูดดื่ม ไม่นานปวิธก็ส่งเสียงคำรามออกมาเมื่อเขาดึงกายออกและปล่อยให้น้ำคาวพุ่งวาบ เขาหอบหายใจคอแห้งเหนียวหนับไม่ต่างจากสนฉัตรที่ทิ้งน้ำหนักซบมาอยู่บนร่างของเขา


              “เสร็จหรือเปล่าวะ”


               ปวิธกระซิบถามข้างหูน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ได้รับคำตอบเป็นกำปั้นเล็ก ๆ ที่ทุบลงมาบนแผงอก


               “ถามทำเหี้ยอะไร”


                หลักฐานยังเปียกชื้นอยู่ทนโท่ทั้งตัว สนฉัตรค่อย ๆ ขยับกายทีละนิด


              “แม่ง เอาจนกูตายก่อนดีไหม กูบอกให้เบา ๆ”


               ดวงตาคมของปวิธเป็นประกาย เขาจูบที่ปากอิ่มอย่างมันเขี้ยวอีกครั้ง


               “เอามึงทีไรเบาไม่ไหวจริง ๆ ว่ะสน”


               สนฉัตรหยิกไปที่หนังหน้าท้องของปวิธเสียครั้งหนึ่งโทษฐานที่ทำให้เขาปวดเมื่อยไปทั้งตัว เขาขยับลงจากต้นขาของปวิธมายืนอยู่บนพื้นพลางคว้าผ้าเช็ดตัวที่เขากองไว้ข้างโซฟาตั้งแต่อาบน้ำเสร็จตอนเช้ามาห่อกายไว้


                “ปากหมา กูไปอาบน้ำดีกว่า มีแต่น้ำลายหมาบ้าเต็มตัวไปหมด”


                ปวิธดึงสนฉัตรจนล้มมาอยู่บนตักเขาอีกครั้ง


               “กูก็ฉีดวัคซีนกันหมาบ้าใส่มึงไปตั้งเยอะ ไม่เป็นไรหรอกน่ามึงมีภูมิคุ้มกันแล้วล่ะ”


               “ไอ้เหี้ยเปลวนี่ เดี๋ยวเหอะ”   


                อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเจอคารมกวน ๆ จากหน้าตายของปวิธ สนฉัตรผลักไหล่ให้ปวิธออกห่างก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปชำระล้างร่างกายในห้องน้ำ ปวิธผิวปากอย่างอารมณ์ดีแต่ก็ต้องชะงักเมื่อโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มขยับกายนั่งและรูดซิปกางเกงกลับคืน


              “ว่าไงพี่ดำ”


               รับโทรศัพท์จากดำ ลูกน้องฝีมือดีของทรงเดช อีกฝ่ายตอบกลับทันทีเช่นกัน


               “ได้เรื่องเพิ่มละเปลว ผู้หญิงที่ไอ้ทนายผัวใหม่ไอ้สนมันคั่วอยู่”


               เรื่องที่ดำแจ้งข่าวมานั้นเรียกความสนใจจากปวิธได้เป็นอย่างดี


               “ใครเหรอพี่”


                 “ลูกสาวเสี่ยณรงค์เจ้าของห้างสรรพสินค้า...ไง ที่เพิ่งกลับจากเมืองนอกน่ะ เสี่ยเขาเป็นสปอนเซอร์หลักของพรรคท่านด้วย มันคงไปเจอตอนงานเลี้ยงพรรคแล้วก็ตีสนิทเขา นี่ถึงขั้นจูบกันแล้วนะเดี๋ยวส่งรูปไปให้ดู”


              ดำส่งรูปมาให้เขาหลายรูปก่อนจะวางสายไป เป็นรูปจิรัชเดินเคียงคู่ไปกับหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างดีแต่งหน้าจัด และรูปหนึ่งจิรัชกำลังจูบกับผู้หญิงคนนี้ ปวิธขบกรามกรอดเมื่อรู้ว่าจิรัชคบซ้อนกับคนอื่นที่มีฐานะทางสังคมสูงกว่าทั้งที่หลอกล่อให้สนฉัตรหนีออกมาอยู่ด้วย


                 “ดูอะไรวะ ทำหน้าเครียดเชียว เอ๊ะ นี่มัน...”


                ปวิธสะดุ้งเมื่อได้ยินสนฉัตรจากด้านหลัง เพราะมัวแต่คิดว้าวุ่นจนลืมสนใจสนฉัตร ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายออกจากห้องน้ำมาตั้งแต่ตอนไหน


               “ไม่มีอะไรหรอกน่า”


               “เอามือถือมึงมาให้กูเดี๋ยวนี้ไอ้เปลว”


              สนฉัตรรีบยื้อยุดโทรศัพท์กับปวิธจนกระทั่งหลุดมือร่วงลงพื้น สนฉัตรฉวยโอกาสใช้ความคล่องตัวคว้ามันมาอย่างรวดเร็ว และรูปให้โทรศัพท์ทำให้สนฉัตรหน้าซีดปากสั่น


               “มึงมีรูปพี่จิรัชได้ยังไง แล้วอี...ผู้หญิงคนนี้ใคร”


               “เอามือถือคืนมาน่า ไม่มีอะไรหรอก”


               “โกหก มึงอย่ามาโกหกกู บอกความจริงกูมาเดี๋ยวนี้”


                สนฉัตรตวาด ภาพที่จิรัชกำลังจูบผู้หญิงทำให้สนฉัตรทั้งโมโหและน้อยใจ ขอบตาของเขาร้อนผ่าวเมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วจิรัชไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อเขา ปวิธถอนหายใจก่อนยอมบอกความจริง


               “พี่ดำไปสืบมา ไอ้จิรัชมันไปคั่วลูกสาวเจ้าของห้างใหญ่ คราวนี้มึงคงจะมั่นใจได้แล้วว่ามันไม่ได้จริงใจกับมึงเลยสักนิด”


                “กูจะไปตบมัน” สนฉัตรตะโกนอย่างเคียดแค้น “ทั้งผัวทั้งกิ๊ก ไอ้ผัวเลว”


                “จะบ้าเหรอ” ปวิธรีบคว้าต้นแขนของสนฉัตรเพื่อห้ามอารมณ์ร้อนของอีกฝ่าย


               “มึงรู้แล้วก็แค่เลิกกับมัน จะไปอยู่กับมันทำไม อย่าลืมนะว่ามึงก็มีกูไม่ได้ต่างอะไรกับมันที่มีคนอื่นเลย”


               สนฉัตรชะงักงัน ใช่สินะ เขาเองก็ลอบมีความสัมพันธ์กับปวิธโดยที่จิรัชไม่รู้ ครั้งแรกอาจจะเพราะความจำเป็นที่ต้องการปิดบังเรื่องของตัวเอง แต่ในครั้งหลัง ๆ เป็นเพราะเขาก็ต้องการปวิธเช่นกัน มิหนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์กันให้ห้องของจิรัชด้วยซ้ำ


                “เลิกกับมัน แล้วไปอยู่กับกู”


               ปวิธยื่นข้อเสนอเมื่อมองเห็นความสับสนในดวงตาของสนฉัตร


               “อีกไม่ถึงเดือนกูจะสอบและเรียนจบแล้ว ไปอยู่กับกูนะไม่ต้องไปสนใจไอ้เหี้ยนี่หรอก มันหลอกมึงได้ หลอกผู้หญิงคนนี้ได้ มันก็พร้อมจะหลอกคนทั้งโลกนั่นแหละ”


             สมองของสนฉัตรทำงานอย่างหนัก เขาไม่เคยต้องคิดอะไรมากมายขนาดนี้ เขาสบตากับปวิธด้วยความลังเลแม้ว่าปวิธจะใช้ความแข็งกระด้างแต่สนฉัตรก็รู้ว่าเขาทำได้ หากแต่จิรัชก็เป็นความรักครั้งแรก เป็นหนทางที่เขาเลือกตัดสินใจจะก้าวเดิน


               “เปลว กูไปกับมึงไม่ได้” สนฉัตรพูดเสียงสั่นเครือ


               “ถึงยังไงกูกับพี่จิรัชก็ตกลงใจจะเป็นผัวเมียกันแล้ว เขาอาจจะออกนอกลู่นอกทาง กูเองก็ยังทำผิดเลย ทางที่ดีมึงปล่อยกูไว้แบบนี้เถอะ”


                “ทั้งที่รู้ว่ามันหลอกมึง มึงก็ยังจะทนเหรอไอ้สน”


                ปวิธตะโกนใส่หน้าด้วยโทสะ ดวงตาของเขาแข็งกร้าวจนสนฉัตรตัวสั่น


             “ต่อจากคนนี้ มึงคิดว่ามันจะหยุดเหรอ มึงเลือกความรักความฝันจอมปลอมของมึงงั้นเหรอ โธ่ โง่ฉิบหาย”


              มือแข็งที่ยึดต้นแขนของสนฉัตรปล่อยอย่างรวดเร็ว สนฉัตรทรุดฮวบไปนั่งกองอยู่กับพื้นพลางร้องไห้ออกมา


                “เออ กูมันโง่ มึงอย่าสนใจคนโง่ ๆ อย่างกูเลย”


                 ปวิธมองร่างบางที่นั่งร้องไห้อยู่บนพื้นห้องด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งรักทั้งแค้นและสมเพชเวทนาในสิ่งที่สนฉัตรตัดสินใจ


               “มึงทำให้กูผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เชิญมึงใช้ชีวิตกับสิ่งที่มึงเลือกเถอะไอ้สน มึงคงจะสบายใจอยู่กับความอกไหม้ไส้ขมของมึงนั่นแหละ”


                ปวิธหันหลังกลับ สนฉัตรสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงประตูปิดตามหลังดังปัง เขาได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อรู้ว่าต่อไปนี้ชีวิตของเขาจะโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง




มีต่ออีกจ้า....






หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 10 [16/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 16-05-2018 00:41:55
ต่อกันตรงนี้....




            ปวิธกลับถึงบ้านในตอนเย็นด้วยอาการหงุดหงิดไม่หาย การที่สนฉัตรตัดสินใจเลือกว่าจะอยู่กับจิรัชต่อทำให้เขาทั้งเสียใจและโกรธเป็นอย่างมาก เมื่อมาถึงบ้านปวิธเห็นรถยนต์จอดอยู่สองถึงสามคัน ดำรีบปรี่เข้ามาหาเขาทันที


            “ท่านเรียกทีมทนายมาที่บ้านไอ้จิรัชมันก็เลยตามก้นลูกพี่ของมันมาด้วย พี่ละเจ็บใจที่เห็นมันทำหน้าตาเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งที่หิ้วไอ้สนหนีไปจากท่าน แค้นว่ะเปลว”


               ปวิธพยักหน้ารับ เขาเองแค้นแทบกระอักเลือดยิ่งกว่าดำเสียอีก ยิ่งเมื่อก้าวเข้าไปแล้วเห็นหน้าฝ่ายตรงข้ามนั่งหน้าเกลื่อนยิ้มสุขุมต่อหน้าทรงเดชและทนายความรุ่นพี่อีกสองสามคนคนเขาก็ยิ่งแค้นแทนลุงของเขา


              ไม่นานนักดูเหมือนว่าการประชุมเล็ก ๆ จะสิ้นสุดลงเพราะเริ่มมีการเก็บเอกสารบนโต๊ะ จิรัชเป็นคนแรกที่ลุกออกมาจากโต๊ะ เมื่อเดินออกมาถึงห้องโถงด้านหน้าเขามองเห็นหลานเจ้าของบ้านนั่งหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ จิรัชสร้างรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าอย่างอัตโนมัติ


             “อ้าว สวัสดีครับคุณเปลว”


             ปวิธเกลียดความหน้าไหว้หลังหลอกนี้ และเขาเป็นคนสร้างภาพไม่เป็น เกลียดก็คือเกลียด


            “สวัสดีครับคุณจิรัช ไม่นึกว่าจะยังกล้ามาพบคุณลุงอีกนะครับ”


             เขาแค่นยิ้มส่งให้ จิรัชชะงักไปวูบหนึ่งก่อนจะกลับมาด้วยสีหน้าปกติ


              “ท่านเรียกทีมทนายมาด่วนน่ะครับ ผมก็เลยต้องวางงานอื่นมาช่วยพี่สมศักดิ์ พบคุณเปลวแล้วก็นึกถึงน้องสน เจอตัวหรือยังครับ”


               ก็ที่คอนโดของมึงไงล่ะ


             “ไอ้สนมันคงจะหนีไปเพราะคิดว่าสิ่งที่มันเลือกดีกว่าที่เดิม ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นแค่ขยะเปียกที่สร้างรั้วทองมาปิดบังสายตาเท่านั้นเองครับ”


               น้ำเสียงประชดประชันนั้นทำให้จิรัชหน้าตึง เขารู้สึกว่าปวิธกำลังพูดถึงเขาอยู่ จิรัชฝืนยิ้มกล่าวตอบทั้งที่ใจเริ่มเดือดปุด ๆ


                 “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก สนอาจจะไม่อยากจมปลักอยู่กับนรกในใจกระมังครับ”


              “ก็เลยหนีไปอยู่นรกขุมอื่น เอาเถอะครับ เลือกทางไหนก็คงไม่พ้นกระทะทองแดงทั้งคนหนีกับคนพาไป”


               จิรัชเกือบจะเสียอาการแล้ว เขาสังหรณ์ใจว่าปวิธอาจจะรู้ว่าสนฉัตรหนีไปกับเขาจากคำพูดคำจาที่ดูแปลกและกระด้าง รวมถึงสายตาที่มองเขาอย่างพร้อมจะมีเรื่องได้ตลอดเวลา


              “คุณเปลวพูดราวกับว่ารู้แล้วว่าน้องสนหนีไปที่ไหน ไปกับใคร ถ้ารู้แล้วทำไมถึงไม่ตามกลับมาล่ะครับ”


             ปวิธเกลียดสำนวนพูดจาแบบทนายเช่นนี้เหลือเกิน ทำเป็นยิ้มทั้งที่ใจคงอยากจะกระชากคอเสื้อของเขาไปชกเสียเต็มประดาแต่จำต้องอดทนไว้ ปวิธแสร้งยิ้มตอบกลับบ้าง


               “ตามมาทำไมครับ คนไม่ซื่อสัตย์อย่างนั้น ขนาดคุณลุงเลี้ยงดูอย่างดียังหนีไปกับคนอื่นที่มีแต่ลมปาก แต่ขนาดหลงคนใหม่ขนาดนั้นก็ยังกล้าสวมเขาซ้อนอีกชั้นหนึ่ง”


                เพราะความโมโหทั้งสนฉัตรและจิรัชทำให้ปวิธลืมตัว จิรัชได้ยินถึงกับขมวดคิ้วหัวร้อนวูบวาบ


                “หมายความว่ายังไงครับ สวมเขาซ้อนอีกชั้น”


                ปวิธหัวเราะในลำคอ


              “มันก็พอกันทั้งผัวทั้งเมียไงครับ ผัวก็คบซ้อน เมียก็เปิดบ้านให้คนอื่นไปเที่ยวหา ถึงได้บอกว่าลงท้ายทางเดินก็จบที่กระทะทองแดงกันทั้งหมดนี่แหละ”


               คราวนี้จิรัชมั่นใจแล้วว่าปวิธต้องรู้เรื่องทั้งหมดแล้วเป็นแน่ เขาเจ็บใจที่เคยมองว่าปวิธเป็นแค่หลานที่ไม่เคยสนใจเรื่องราวของลุงตนเอง แต่ตอนนี้จิรัชคิดผิด


                 “คุณเปลวพูดเหมือนตัวเองเป็นแอดมินเพจใต้เตียงดารา รู้อะไรมาก็พูดให้หมดดีกว่า”


                ปวิธเอียงคอยกคิ้วสูงทำท่ายียวน เขามองจิรัชด้วยความสมเพช


                “ระหว่างที่คุณไปเที่ยวกับลูกสาวเจ้าของห้างสรรพสินค้า พอจะรู้บ้างไหมครับว่าห้องที่คุณอาศัยอยู่ก็ไม่ได้ว่างเปล่า กิจกรรมหรรษาระหว่างนั้นก็ถึงใจทีเดียว”


               “อย่าบอกนะว่า...”


                จิรัชเบิกตากว้างราวกับผีหลอก สาแก่ใจปวิธยิ่งนัก


              “ไม่บอกก็ได้ครับ แต่ผมว่าจะให้สนมันเรียกช่างประปาไปดูก๊อกน้ำที่รั่วในห้องน้ำหน่อย จะได้ไม่มีเสียงหยดติ๋ง ๆ กวนใจ แต่ถ้าคุณจิรัชยังสงสัยหรือไม่มั่นใจก็ถามผมได้นะว่าไอ้สนมันมีไฝฝ้าอยู่ตรงไหนบ้าง ที่ผมจำได้แม่นก็ตรงคXXมัน รู้สึกจะมีขี้แมลงวันอยู่เม็ดหนึ่งตรงฝั่งขวา”


               “มึง ไอ้เหี้ยเปลว”


                จิรัชเงื้อหมัดโผเข้าหา ปวิธที่จ้องอยู่แล้วแค่เอี้ยวตัวหลบนิดเดียวจิรัชก็เสียหลักถลาไปทันที ความรุนแรงตั้งท่าจะเกิดขึ้น แต่ก็พลันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ยังแฝงอำนาจดังขัดจังหวะ


                “หยุด นี่มันเรื่องอะไรกัน”




                                            TBC


                             ไม่ได้แต่งเรื่องนี้นานมาก กลับมาแล้วจ้า


                                    :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:










หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 10 [16/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-05-2018 01:37:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

ถ้าลุงรู้ว่าหลานไปเอาเมียเด็กของลุง  ลุงจะว่าอย่างไรหนอ?
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 10 [16/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 16-05-2018 23:45:51
ตายแน่ๆสนเอ๋ย
จิรัสกลับถึงห้องเมื่อไหร่สนไม่รอดแน่
ปวิธก้หึงจนเลือดขึ้นหน้า หลุดปากไปแบบนี้สนก้ตายสิ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 10 [16/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-05-2018 06:28:34
แต่ละคนก็น้าา อย่างว่าละ บางทีชีวิตก็บีบคั้นเกินไป สงสารแต่สน
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 10 [16/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: KittybabymApi ที่ 21-05-2018 09:06:13
บางทีก็ไปเม้นในอีกเวบ แต่เราจะตามทวงตอน11ในทุกๆเวบ555 ชอบเรื่องนี้ค่ะไร้ท์ จริงๆก็ชอบทุกเรื่องของไร้ท์แหละค่อยๆเก็บตามอ่านให้ครบทุกเรื่อง อิอิ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 10 [16/05/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: KittybabymApi ที่ 28-05-2018 20:50:41
มาตามหาความเจ็บปวดเผื่อไร้ท์จะใจดีจัดให้สัก2-3ตอนรวด555  :z6:
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 11 [11/06/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 11-06-2018 15:52:36



                                                               วิมานไม้สน

                                                                 บทที่ 11



               หนึ่งคนที่กำลังเลือดร้อนกับอีกหนึ่งคนที่ถูกอีกฝ่ายยั่วโทสะจำเป็นต้องหยุดชะงักเมื่อเจ้าของบ้านเดินออกมาเห็นเหตุการณ์ สมศักดิ์ทนายความรุ่นพี่ที่พาจิรัชมาด้วยรีบก้าวไปยืนถามรุ่นน้องด้วยสีหน้าตกใจ


              “เกิดอะไรขึ้นวะจิรัช”


              เจ้าตัวไม่ตอบ ได้แต่มองปวิธด้วยความเคียดแค้นซึ่งไม่ได้แตกต่างจากปวิธเลย


              “ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น”


              ทรงเดชถามเสียงกร้าว ปวิธจึงได้ตอบเสียงเข้ม


             “ทนายคนนี้หลอกให้ไอ้สนหนีไปกับมันครับ”


              ราวกับทั้งห้องมีแต่อากาศเมื่อตกอยู่ในความเงียบ สมศักดิ์หน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่ารุ่นน้องที่ชักชวนให้มาช่วยงานทำอะไรลงไป เขารู้ว่าทรงเดชหวงสนฉัตรแค่ไหน สมศักดิ์กลืนนำลายเหนียวหนืดลงคอทันทีที่หันไปมองทรงเดชที่ยืนนิ่งหากแต่สีหน้าบอกถึงความโกรธเคือง


              “มึงทำจริงเหรอจิรัช”


               จิรัชใจสั่นด้วยความหวาดหวั่น ถึงแม้ทรงเดชจะหมดอำนาจทางการเมืองแต่เขาก็ยังพอมีอิทธิพลกว้างขวางอยู่ แต่ประสบการณ์การเอาตัวรอดของจิรัชก็มีไม่น้อย ชายหนุ่มทำใจดีสู้เสือฝืนยิ้มออกมา


              “ผมไม่ได้หลอกสนฉัตร เขาขอร้องให้ผมพาไปจากที่นี่เพราะทนการถูกทารุณกรรมเหมือนเป็นวัตถุทางเพศไม่ได้ ทั้งที่ความจริงสนจะแจ้งความในข้อหาพรากผู้เยาว์ก็ได้เพราะเขาถูกล่วงเกินตั้งแต่อายุเพิ่งครบสิบห้าเท่านั้นเอง ทั้งหมดที่ผมทำไปคือการช่วยเหลือเด็กคนหนึ่ง ท่านควรจะเข้าใจผมนะครับตอนนี้เรื่องการเมืองของท่านก็ยังต้องแก้ไขปัญหา ถ้ามีเรื่องของสนฉัตรเข้ามาแทรกอีกเรื่องคงไม่ดีแน่”


               ทรงเดชขบกรามจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ คำพูดของทนายความคนนี้คือการขู่ในเรื่องที่เขากระทำความผิดต่อสนฉัตรและใช้มันเป็นข้อได้เปรียบ และมันคือความจริงที่ทรงเดชปฏิเสธไม่ได้ เขามองหน้าจิรัชราวกับชายหนุ่มคืองูพิษ


               “สมศักดิ์ พาคนของคุณกลับไปและอย่าพามาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฉันอีก”


                ทรงเดชข่มใจกล่าวเสียงเครียดและสมศักดิ์ก็รีบกระทำทันที


               “ครับท่าน ผมขอโทษแทนจิรัชด้วย ไป ไอ้จิรัช กลับเดี๋ยวนี้”


               สมศักดิ์รีบลากแขนจิรัชให้เผ่นออกจากบ้านหลังนี้โดยเร็วที่สุด เขาเองยังไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องฉาวนี้ด้วย และเมื่อทั้งคู่ลับสายตาไปแล้วทรงเดชก็ก้าวไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่อย่างหมดแรง ปวิธตามไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวด้วยความเห็นใจลุงของเขา


              “ไม่คิดว่าจะเป็นคนที่เข้านอกออกในนี่เอง”


              ทรงเดชยกมือนวดขมับ ตอนนี้เขาทั้งผิดหวังและเสียใจที่รู้ความจริง


              “มึงรู้ข่าวนานแล้วหรือเปลว”


              “สักพักแล้วครับ”


              ปวิธตอบสีหน้าสลดเมื่อเห็นท่าทางของทรงเดช


              “แล้วมึงได้ไปตามไอ้สนให้มันกลับมาหรือเปล่า”


            “คุณลุงปล่อยมันไปเถอะครับ ในเมื่อไอ้สนมันต้องการจะไปจนถึงกับยอมทำทุกอย่างแม้แต่เอาตัวเข้าแลก แสดงว่ามันคงจะไม่อยากอยู่ที่นี่จริงๆ”


               แม้จะเต็มไปด้วยความเครียดแต่ทรงเดชก็ยังเอะใจกับคำพูดของหลานชายคนเดียว


             “มึงหมายความว่ายังไง”


              ปวิธนิ่งไปอึดใจ ความสำนึกผิดทำให้เขาเลื่อนกายลงไปนั่งกับพื้นและกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ


             “ผมไปหามันและบังคับให้สนกลับบ้านแต่มันไม่กลับ ผมลองใจมันด้วยการเสนอให้มันนอนกับผมเพื่อรักษาความลับและมันก็ยอม คุณลุงครับผมผิดไปแล้วที่ทำแบบนี้”


                ปวิธก้มลงกราบแทบเท้าของทรงเดชที่ดูเหมือนจะยิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังคำสารภาพจากปากของปวิธ


               “ผมผิดที่นอนกับมันทั้งที่รู้ว่าสนฉัตรเป็นของคุณลุง แต่นั่นก็ทำให้มั่นใจได้ว่าสนฉัตรมันไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ คุณลุงครับ ปล่อยสนฉัตรไปตามที่มันอยากจะไปเถอะครับ”


              ปวิธเดาไม่ออกว่าทรงเดชคิดอะไรอยู่เพราะลุงของเขาปิดปากนิ่งสนิท ชายวัยชราทิ้งกายไปกับพนักโซฟาอ่อนนุ่มและหลับตาลงอันเป็นกิริยาที่ปวิธรู้ว่าทรงเดชต้องการอยู่เพียงลำพัง เขาก้มลงกราบเท้าของทรงเดชอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับห้องเล็กของตน ปวิธส่องกระจกสบตากับตัวเอง


             “ไอ้เหี้ยเปลว มึงทำอะไรลงไป”


               ยกกำปั้นชกกระจกจนมันแตกละเอียด เศษกระจกบาดหลังมือจนเป็นแผลเลือดไหลซิบ ๆ แต่ปวิธก็ไม่สนใจ เขาทิ้งกายลงบนเตียงและปล่อยให้น้ำตาของผู้ชายคนหนึ่งไหลลงมาเพราะเสียใจและสำนึกผิดกับการกระทำของตนเอง







               จิรัชกลับมาถึงคอนโดมิเนียมด้วยความหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด เขาถูกสมศักดิ์ต่อว่ารุนแรงและบอกเลิกการทำงานร่วมกับทีมทนายความชั้นนำ แต่นั่นก็ยังไม่น่าหงุดหงิดเท่ากับการเสียหน้าที่ถูกหยามศักดิ์ศรีจากปวิธ


               เขาขึ้นลิฟท์และเดินไปที่ห้อง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นสนฉัตรนั่งหน้าบอกบุญไม่รับรออยู่แล้ว เมื่อสนฉัตรเห็นจิรัชเดินเข้ามาเขาก็รีบลุกขึ้นมาเอ่ยปากต่อว่าเอาเรื่อง


               “พี่จิรัช สนรู้เรื่องที่พี่ไปคั่วอยู่กับอีนั่นแล้วนะ ทำไมพี่ทำแบบนี้ โอ๊ย!”


              สนฉัตรทรุดฮวบไปกองกับพื้นเมื่อถูกจิรัชตบหน้าอย่างแรง และยังไม่ทันตั้งตัวคอเสื้อก็ถูกกระชากจนละลิ่วติดมือจิรัชขึ้นมา


              “ตอแหล ดอกทอง กูเอามึงนี่ไม่เคยพอใช่ไหม ร่านไปหาให้คนอื่นเอาแถมยังมาเอาในห้องกู หือ ไอ้สน”


              “พี่จิรัช!”


              สนฉัตรเบิกตากว้าง เขาตกใจแทบสิ้นสติเมื่อจิรัชรู้เรื่อง


             “กูอุตส่าห์พามึงออกมาจากบ้านไอ้อ้วนแก่ตัณหากลับ แต่มึงเสือกมาสวมเขาให้กู มึงเห็นกูเป็นควายใช่ไหม”


                  ใบหน้าอีกซีกชาดิกเมื่อถูกตบด้วยฝ่ามือหนาอีกครั้ง จิรัชปล่อยให้สนฉัตรนอนกองอยู่กับพื้น ริมฝีปากบวมเห่อเลือดอาบ


               “อย่าทำสน สนผิดไปแล้ว สนขอโทษ”


                สนฉัตรร้องไห้โฮ เขากระถดตัวหนีแต่จิรัชก็ยังตามมาเงื้อเท้าสูงและกระทืบลงมาใส่ร่างกายของเขาด้วยโทสะ


               “มึงให้ไอ้เหี้ยเปลวมาเอามึงถึงเตียงกู หยามหน้ากู สารเลวที่สุด”


               จิรัชสติหลุดไปแล้ว เขาทำร้ายสนฉัตรแม้ว่าสนฉัตรจะร้องขอให้หยุดจนกระทั่งเสียงนั้นแผ่วหาย สนฉัตรหมดแรงอยู่บนพื้นห้องดวงตาลอยคว้าง ตอนนั้นเองที่จิรัชพอจะทุเลาความโกรธได้บ้าง เขามองร่างที่นอนระทดระทวยนั้นอย่างขยะแขยง ความรักความต้องการที่เคยมีให้กันมลายหายไปหมดสิ้น


                จิรัชเดินเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้สนฉัตรนอนซมอยู่กับพื้นอย่างไม่สนใจใยดีอีก จนกระทั่งเช้ามืดของวันรุ่งขึ้นเขาจึงได้เดินออกมาจากห้องนอนและมาเท้าเอวมองสนฉัตรที่ยังนอนซมอยู่ในท่าเดิมด้วยความบอบช้ำ จิรัชดึงร่างของสนฉัตรขึ้นมาและพาลงไปที่รถยนต์ของเขา ชายหนุ่มขับรถไปยังโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เมื่อส่งสนฉัตรเข้าห้องฉุกเฉินแล้วเขาจึงแจ้งกับเจ้าหน้าที่


               “เขาถูกจิ๊กโก๋รุมทำร้ายครับ อ๊ะ ผมไม่ใช่ญาติครับแค่ผ่านมาพบเหตุการณ์ แต่เขาบอกผมว่าเป็นเด็กของนักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีชื่อทรงเดช ยังไงคุณลองติดต่อไปที่ที่ทำการพรรคของเขาก็แล้วกันครับ”


              เสร็จเรื่องจิรัชก็เดินตัวปลิวมาที่รถ ถ้าถ่มน้ำลายรดความซวยทิ้งได้เขาก็จะทำ จิรัชขับรถยนต์ออกจากโรงพยาบาลอย่างไม่แยแสว่าชีวิตของสนฉัตรที่เขาพาออกมาจากบ้านของทรงเดชจะเป็นอย่างไรอีก สนฉัตรก็เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งที่ผ่านมาในชีวิตที่ไม่มีคุณค่าควรแก่การจดจำก็แค่นั้นสำหรับจิรัช





มีต่ออีกนิด...




หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 11 [11/06/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 11-06-2018 15:58:54


ต่อกันตรงนี้...





                ทรงเดชจำเป็นต้องไปทำงานแม้จะยังเครียดหนักจนนอนไม่หลับ อาการปวดศีรษะและเจ็บหน้าอกแล่นมาเป็นริ้วขณะนั่งประชุมกับคณะกรรมการบริหารพรรค พรรคการเมืองของเขาอาจถูกตัดสินให้ยุบพรรคหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิด จนกระทั่งช่วงบ่ายจัดเลขาหน้าห้องจึงได้เข้ามาแจ้งข่าว


                “ท่านครับ โรงพยาบาลโทรมา บอกว่ามีคนไข้ชื่อสนฉัตรแอดมิทเมื่อตอนเช้ามืดเพราะถูกทำร้ายร่างกาย แต่ตอนนี้ได้สติและอาการดีขึ้นแล้วหมอให้กลับได้ ท่านจะให้ทำยังไงครับ”


                ทรงเดชเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาไม่ได้บอกว่าตนเองนั้นรู้สึกเช่นไร ชายชรานิ่งคิดอยู่พักหนึ่งจึงได้เอ่ยออกมา


                “บอกให้ดำไปรับมาที่นี่”


                 “ครับท่าน”


                ทรงเดชตัดสินใจวางมือจากงานและนั่งนิ่งทบทวนเรื่องราวทั้งหมดเพราะรู้ดีว่าตอนนี้คงทำงานต่อไม่ไหว รออยู่ชั่วโมงเศษ ๆ ดำก็พาเด็กหนุ่มที่ทรงเดชนำมาเลี้ยงดูมานั่งตัวสั่นอยู่ในห้อง


               “ท่าน”


               สนฉัตรร้องไห้ เขาสมเพชตัวเองที่ในที่สุดก็หนีทรงเดชไม่พ้น ซ้ำยังกลับมาในสภาพบอบช้ำ เขาสบตากับทรงเดช ยังเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่


              “สนขอโทษ”


               ทรงเดชมองร่างโปร่งที่เต็มไปด้วยร่องรอยถูกทำร้ายร่างกาย ใบหน้าหวานบัดนี้เขียวช้ำไปหมด ทรงเดชถอนหายใจออกมา


              “ทางที่มึงเลือก มันดีต่อมึงไหมสน”


             สนฉัตรสะอึกสะอื้น เขาเจ็บกับคำพูดของทรงเดช


             “กูรักมึง ที่ผ่านมาทำไปก็เพราะรักมึง ผิดบ้างถูกบ้างก็เพราะรักแต่มึงทำให้กูผิดหวังเสียใจ”


              “ท่านครับ ให้อภัยสนนะ”


               เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีที่พึ่งที่ไหนอีกแล้วสนฉัตรก็คลานไปเกาะแทบเท้า แต่ทรงเดชกลับชักเท้ากลับ


              “ที่ผ่านมากูทำผิดกับมึง กูก็จะขอคืนอิสรภาพให้มึงนะสน มึงเคยมาอย่างไรก็จงไปอย่างนั้น กูเคยนำตัวมึงมาจากดินโดยไม่มีอะไรเลย มึงก็จงไปอย่างที่มึงเคยจากมา”


             “ท่านครับ ไม่นะ สนสำนึกผิดแล้ว อย่าทำกับสนแบบนี้ ฮือ”


             น้ำเสียงนิ่งเรียบของทรงเดชบอกให้รู้ว่าเขาตัดสินใจเช่นนั้นจริง สนฉัตรใจหายกับการไม่ใยดีของทรงเดช ชายชราหลับตาลงเพื่อจะไม่ต้องเห็นการคร่ำครวญของสนฉัตรอีกต่อไป


              “ดำ มึงให้ไอ้โตขับรถพาไอ้สนไปส่ง ที่ไหนก็ได้”


             “ครับท่าน”


                 บอดี้การ์ดคนสนิทมองร่างโปร่งของสนฉัตรที่เห็นมาแต่เด็ก ความรู้สึกปนเปทั้งเวทนาและสมน้ำหน้าในสิ่งที่ทำลงไป คำสั่งของทรงเดชคืองานของเขา ดำหิ้วปีกสนฉัตรที่ยังร้องไห้ไม่เลิกออกไปจนพ้นห้อง ทรงเดชนั่งนิ่งฟังเสียงนั้นจนกระทั่งเสียงของสนฉัตรจางหาย ชายชรานิ่วหน้าเมื่ออาการเจ็บหน้าอกทวีมากขึ้นคล้ายใครยกกระสอบหนักมาวางทับจนหายใจไม่ออก เขายกมือวางไปกับหน้าอกข้างซ้ายพร้อมกับสูดลมหายใจอย่างทรมาน






                 ปวิธออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพราะวันนี้มีการสอบและแสดงผลงานของนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมปีสุดท้าย แม้จะยังไม่สบายใจแต่เขาก็จำเป็นต้องวางเรื่องทั้งหมดลงและตั้งใจกับการสอบครั้งนี้ จนกระทั่งถึงช่วงบ่ายการสอบจึงเสร็จสิ้น เขาพอจะยิ้มออกมาได้บ้างเมื่อผลงานเป็นที่น่าพอใจ


                 “ไอ้เปลว ไปแดกเหล้ากันฉลองสอบเสร็จ”


               เพื่อนของเขาชวน เปลวรีบส่ายหน้า


              “ขอบใจว่ะ พวกมึงไปกันเหอะ เดี๋ยวกูไปหาลุงกูหน่อย”


               เพื่อน ๆ ของเขารู้ว่าปวิธเป็นหลานห่าง ๆ ของนักการเมืองชื่อดังที่กำลังมีคดีทางการเมือง เมื่อปวิธปฏิเสธก็เข้าใจได้ และไม่ได้เซ้าซี้ ปวิธกำลังจะกลับบ้านแต่โทรศัพท์จากดำก็ดังขึ้นเสียก่อน


               “ว่าไงพี่ดำ”


                “เปลว ท่านแย่แล้วว่ะ ฟุบลงที่ทำงานจนต้องรีบเรียกรถโรงพยาบาล ตอนนี้พี่อยู่ที่โรงพยาบาลนะ ท่านถูกพาเข้าห้องไอซียูไปแล้ว เขาบอกว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดว่ะ มึงรีบมาเร็วเข้าเหอะ เขาถามหาญาติตอนนี้มึงเป็นญาติคนเดียวของท่านนะ”


               ปวิธหน้าซีดเมื่อได้ยิน เขารีบถามต่อทันที


              “โรงพยาบาลไหนพี่ดำ”


                รีบวางสายเมื่อรู้ที่หมาย ปวิธรีบไปที่โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่ดำบอกทันที เมื่อไปถึงเขาจึงแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นญาติของทรงเดช ปวิธได้รับข้อมูลว่าตอนนี้อาการของทรงเดชหนักมากต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ในห้องผู้ป่วยอาการหนัก ปวิธมึนงงไปหมด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนจะทำอย่างไรต่อไป


               “ก็ท่านเครียดหลายเรื่อง เรื่องงานด้วยเรื่องไอ้สนด้วย สุดท้ายก็พามันไปปล่อยเหมือนหมาข้างถนน”


                “อะไรนะพี่ดำ”


                ปวิธชะงัก เขาหันขวับไปหาดำทันที


               “เกี่ยวอะไรกับไอ้สนด้วย”


               “ก็เจอตัวไอ้สนแล้วไง ถูกผัวใหม่กระทืบแล้วเอาไปทิ้งที่โรงพยาบาล ท่านให้พี่ไปรับมาที่พรรค พอเห็นไอ้สนท่านก็สั่งให้ไอ้โตเอาไปปล่อยที่ไหนก็ได้แล้วกระซิบให้กูพาคนไปจัดการกับไอ้เหี้ยจิรัช กูไปจัดการกระทืบไอ้เหี้ยนั่นจนน่วม กลับมาเจอท่านเป็นลมอยู่ในห้อง ก็แม่งตกใจรีบเรียกรถโรงพยาบาลนี่แหละ”


                ปวิธตกใจอย่างหนักเมื่อรู้ว่าทรงเดชทำเช่นนั้นกับสนฉัตร เขานึกเป็นห่วงสนฉัตรจนกระวนกระวาย


               “พี่โตเอาไอ้สนไปที่ไหน พี่ดำ โทรถามพี่โตให้หน่อย เร็วเข้า”


                ปวิธตัดสินใจจะไปรับสนฉัตร อาจจะไปฝากไว้กับเพื่อนของเขาก่อน แต่ขณะที่รอให้ดำโทรศัพท์หาโต พยาบาลให้หอผู้ป่วยก็ออกมาแจ้งข่าวกับเขา


               “คุณทรงเดชหัวใจหยุดเต้น เรากำลังปั๊มหัวใจให้ท่านอยู่ค่ะ”


               ปวิธจำเป็นต้องเลิกสนใจสนฉัตรก่อนเมื่อความเป็นความตายของผู้มีพระคุณมารออยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มสับสนเมื่อวิกฤติมาเยือนในชีวิตอย่างตั้งตัวไม่ทัน




                                                         TBC

                                                   โอ๊ยยย เครียดดดด

                                                        :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:






หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 11 [11/06/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 11-06-2018 16:02:10
อยากร้องไห้อย่างเดียวเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 11 [11/06/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-06-2018 09:01:24
 :pig4: :pig4: :pig4:

จะว่าสนทำตัวเองก็ไม่เชิง 

น่าสงสารนางอ่ะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 11 [11/06/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 12-06-2018 09:13:49
มีแต่คนเห็นแก่ตัว
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 11 [11/06/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 12-06-2018 09:57:24
เฮ้ออออ ชีวิตที่ถูกกระทำเหมือนสิ่งของนี่จะทนไปได้อีกสักแค่ไหนกัน แต่ละคนก็เอาแต่ใจตัวเองกันทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 11 [11/06/61] #ที่นี่ไม่มีทุ่งลาเวนเดอร์ให้คุณวิ่งเล่น#
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-06-2018 10:33:17
ถ้าเป็นเรื่องจริง ชีวิตช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 15-06-2018 00:22:24



                              คำเตือน // บทนี้มีคำหยาบค่อนข้างเยอะ เยาวชนควรอ่านพร้อมกับไตร่ตรองไปด้วย


                                                              วิมานไม้สน

                                                               บทที่ 12




              “พี่โต อย่าทิ้งสนไว้แบบนี้ พี่โต”


               สนฉัตรคร่ำครวญร้องไห้แทบขาดใจเมื่อโตลากแขนของเขาลงมาจากรถยนต์ มือเรียวยึดแขนของโตราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้าย โตมีสีหน้าลำบากใจเมื่อมองใบหน้าน่าเวทนาของสนฉัตร


               “กูก็ไม่รู้จะช่วยมึงยังไงสนเอ๊ย มึงก็ไม่น่าทำตัวแบบนี้เลย ถึงกูจะสงสารมึงก็ช่วยมึงไม่ได้คำสั่งท่านถือเป็นเด็ดขาดโว้ย”


              “แต่ตรงนี้มันที่ไหนก็ไม่รู้ สนไม่เคยมา มืดแล้วด้วยเงินติดตัวก็ไม่มีสักบาท พี่โตจะทิ้งสนไม่ได้นะ สนไหว้แล้วพี่”


                “โอ๊ย มึงอย่าให้กูต้องตกงานเพราะช่วยเหลือมึงเลยว่ะสน ถ้าช่วยมึงแล้วกูโดนไล่ออก ลูกเมียที่บ้านกูก็พลอยซวยไปด้วยมึงก็เห็นแก่ปากท้องกูด้วยนะสน”


                “ไม่นะ พี่โต”


                สนฉัตรปล่อยโฮเมื่อโตสลัดแขนที่เกาะอยู่และรีบก้าวหนีไปขึ้นรถ สนฉัตรวิ่งตามไปเกาะที่กระจกและทุบอย่างไม่กลัวมันจะแตก


                “พี่โต อย่าไป พี่โต”


                โตมองสนฉัตรอย่างเห็นใจ เขาเองก็ทำงานให้ทรงเดชมาหลายปีรู้จักสนฉัตรเป็นอย่างดีจะไม่ให้รู้สึกเวทนาเลยก็ไม่ได้ แต่หากเขาขัดคำสั่งเจ้านายอาจเป็นเขาเองที่ถูกลงโทษ โตไม่รู้จะช่วยสนฉัตรอย่างไรนอกจากคว้าข้าวกล่องและขวดน้ำเปล่าที่เขาซื้อเก็บไว้ในรถตั้งแต่บ่ายหย่อนทิ้งไว้นอกกระจกและรีบปิดกระจกหนี โตรีบเหยียบคันเร่งขับรถหนีไปทันที


              “พี่โต พี่โต”


               สนฉัตรทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างหมดแรง โตขับรถไกลออกไปเรื่อย ๆ ปะปนกับรถคันอื่นบนท้องถนนจนหายลับไปจากสายตา ทิ้งไว้แต่ความอ้างว้างท่ามกลางสถานที่ที่สนฉัตรไม่รู้จัก อาจจะเป็นชานเมืองหลวงสักจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพนัก แต่ทว่านกปีกหักอย่างสนฉัตรก็หาได้รู้จักไม่

               เหลียวมองรอบกายที่ความมืดเริ่มปกคลุมถนนแปดเลนรถราวิ่งกันขวักไขว่ สนฉัตรมีเพียงข้าวกล่องและขวดน้ำที่โตทิ้งไว้เพราะความสมเพช เงินแม้แต่เหรียญสลึงยังไม่มีติดตัว สนฉัตรคว้าข้าวกล่องนั้นมาเปิดและตักกินโดยไม่รู้สึกถึงรสชาติ ข้าวเย็น ๆ อาหารชืด ๆ ผสมกับน้ำตาของเขาก็แค่พอประทังให้ท้องหายร้องได้อีกสักพัก สนฉัตรมองไปรอบทิศอย่างเคว้งคว้าง

              นึกถึงเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา สนฉัตรนอนระบมเพราะถูกจิรัชทำร้าย ยังไม่หนำใจพอเมื่อคนที่สนฉัตรคิดว่าเขาคือเทพบุตรที่เปิดกรงมอบอิสระกลับกลายเป็นซาตานลากเขาที่ยังสิ้นไร้เรี่ยวแรงไปยังรถยนต์


             “พี่จิรัชจะพาสนไปไหน ไม่นะ”


              มีเพียงเสียงแผ่วเบาอ่อนระโหยจากเนื้อตัวปวกเปียกแต่ก็ไม่ได้ทำให้จิรัชสงสาร เขาโยนร่างของสนฉัตรเข้าไปในตอนหลังของรถและขับไปในสถานที่ใดสนฉัตรก็ไม่รู้ จนกระทั่งจิรัชจอดรถและหันมาพูดกับเขาด้วยสีหน้าราวกับปีศาจ


              “ไปให้พ้นจากชีวิตกูซะไอ้สน คนร่านอย่างมึงก็ไปหาคนอื่นที่เหมาะกับมึงเถอะ พูดแล้วคันตัวเองฉิบหาย ไปยุ่งกับของสกปรกอย่างมึงได้ยังไงวะ”


               จำได้ว่าสนฉัตรร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดกับวาจาเชือดเฉือน จากนั้นจิรัชก็เปิดประตูและกวักมือเรียกพนักงานเข็นเปลของโรงพยาบาลให้มารับเขาที่รถ นั่นคือภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นจิรัช


                นั่นคืออดีตที่เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ แต่ตอนนี้สนฉัตรต้องคิดถึงปัจจุบันที่มองไม่เห็นอนาคต เมื่อท้องพออิ่มสนฉัตรจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวเดินไปตามไหล่ถนนอย่างไม่มีจุดหมาย รถราที่วิ่งอยู่บนถนนฝั่งที่เขาเดินอยู่ผ่านไปอย่างไม่ใยดีในบางครั้งที่สนฉัตรหันไปโบกรถ เขาเดินจนกระทั่งหมดแรงอีกครั้งร่างโปร่งทรุดลงกับพื้นทันควันจนรถบรรทุกคันหนึ่งที่แล่นมาใกล้ถึงกับเบรกจนรถสะเทือน


               “เฮ้ย มึงมองไม่เห็นรถบรรทุกหรือยังไงวะ ถ้ากูเบรกไม่ทันมึงกลายเป็นผีเฝ้าถนนแน่”


               เสียงตะโกนด่าทอดังมาจากคนขับรถบรรทุกที่โผล่หน้ามาจากที่นั่งคนขับ สนฉัตรเงยหน้ามองพลางพนมมือ


              “ขอโทษจ้ะน้า ผมหมดแรงเดินจริง ๆ”


               สายตาของคนขับรถบรรทุกเขม้นมองอย่างไม่ไว้ใจนัก เรื่องคนเป็นนกต่อล่อว่าบาดเจ็บแล้วเรียกพวกมารุมก็มีข่าวให้ฟังอยู่บ่อยๆ


               “มึงเป็นอะไรไอ้หนุ่ม”


              จะเรียกว่าหนุ่มก็กระดากปาก คนที่นั่งกองอยู่บนพื้นดูผอมแห้งแรงน้อยเกินกว่าจะเรียกว่าผู้ชายแต่ก็เป็นผู้ชายจริง ๆ


              “ผมถูกทำร้าย ไม่มีที่ไปแล้ว น้าช่วยผมได้ไหมครับ”


              น้ำเสียงนั่นก็อีก แผ่วเบาเหมือนใกล้จะขาดใจตาย สภาพอย่างนี้คงไม่ใช่คนร้ายหรอก


             “แล้วมึงจะไปไหน”


              “ไม่รู้ครับ ผมไม่รู้ว่าจะไปไหน”


              สนฉัตรส่ายหน้า คนขับรถบรรทุกได้แต่โคลงหัว


              “เฮ้อ ถามเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ เอ้า มึงขึ้นรถมากูจะช่วยเอาบุญ”


               สนฉัตรเบิกตากว้าง อย่างน้อยก็ยังมีแสงสว่างพอให้มองเห็นแม้จะริบหรี่เหลือเกิน เขายันกายขึ้นจากพื้นและกระเสือกกระสนปีนขึ้นไปตอนหน้าของรถบรรทุกที่เจ้าของเปิดประตูด้านข้างคนขับรออยู่แล้วขึ้นไปนั่ง มือเรียวพนมมือแต้


                “ขอบคุณครับน้า”


                “เออ กูชื่อสาย แล้วมึงล่ะ”


                สายเอ่ยถามพร้อมกับเริ่มขับรถไปตามถนนเบื้องหน้าอีกครั้ง เขาเหลือบตามองเด็กหนุ่มที่รับขึ้นมาบนรถเพื่อให้เห็นเด่นชัดกว่าข้างถนนเมื่อครู่นี้


                 “ผมชื่อสน”


                 สนฉัตรตอบอย่างอ่อนแรง เขาโล่งใจไปเปราะหนึ่งที่ไม่ต้องเดินข้างถนนอีกแล้ว


               “แล้วมึงมาเดินท่อมๆ อยู่ข้างถนนทำไมไอ้หนุ่ม”


                ผมทะเลาะกับ เอ่อ แฟนน่ะครับ”


              สายเหลือบสายตามองเด็กหนุ่มด้านข้างเป็นระยะ รูปร่างหน้าตาแม้จะมอมแมมและยังมีร่องรอยถูกทำร้ายแต่ก็ปิดบังความงดงามได้ไม่มิด คำตอบว่าทะเลาะกับแฟนทำให้สายกังขา น้ำหน้าแบบนี้ถ้ามีแฟนเป็นผู้หญิงก็คงจะทำร้ายแฟนไม่ไหวแน่


              “น้าสายจะไปที่ไหนหรือครับ”


                สนฉัตรเอ่ยถามเพื่อสร้างสัมพันธไมตรี อย่างน้อยสายก็ช่วยเขามาจากข้างถนน


               “ขึ้นเหนือ กูขับรถไปส่งของเสร็จแล้วจะตีรถเปล่าไปส่งคืนเสี่ยที่เช่ารถเขามา”


                 สายควานหาขวดน้ำจากฝั่งของเขาแล้วโยนให้สนฉัตร


               “กินน้ำแล้วมึงจะนอนเอาแรงก่อนก็ได้ กว่าจะถึงก็คงรุ่งเช้านั่นแหละ”


                สนฉัตรรับขวดน้ำมาดื่มอย่างกระหาย จากนั้นเขาก็ซุกศีรษะกับกระจกรถและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย






               “สน ไอ้สน ตื่นสิวะ”


               สนฉัตรสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงปลุก เขาสะบัดหน้าไล่ความงัวเงียและนึกได้ว่าตอนนี้เขาอาศัยมากับคนขับรถบรรทุกที่ชื่อสาย


               “กูแวะเติมน้ำมัน มึงจะลงมาขี้เยี่ยวล้างหน้าล้างตาก็ได้นะ อีกไม่นานก็ถึงแล้ว”


               พยักหน้ารับก่อนจะปีนลงจากรถเดินไปเข้าห้องน้ำของปั้มน้ำมัน สนฉัตรล้างหน้าล้างตาจนสดชื่นแล้วจึงได้มองไปรอบ ๆ ป้ายชื่อของร้านบริเวณปั้มบอกให้รู้ว่าเขาอยู่ในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ


             “เสร็จแล้วเหรอ รอกูเดี๋ยว”


              สายที่เพิ่งจะเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อในมือมีเครื่องดื่มชูกำลังถืออยู่ ชายวัยกลางคนกระดกจนหมดขวดจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ สนเดินไปรอใต้เสาไฟจนสายเดินออกมา

               เมื่อสายจัดการธุระเสร็จแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาเห็นสนฉัตรยืนอยู่ภายใต้แสงไฟสว่างผิดกับข้างถนนและในรถบรรทุกของเขา สายถึงกับกระดกลิ้นพลางมองตาไม่กะพริบ


             “แม่เจ้าโว้ย เจอของดีมาด้วยอยู่ในรถตั้งค่อนคืน กูโง่ฉิบหาย”


             สายกวาดสายตามองเด็กหนุ่มที่อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี รูปร่างโปร่งบางผิวพรรณนวลผุดผ่องสะท้อนแสงไฟ ใบหน้ารึก็สวยกว่าเมียที่บ้านเป็นไหน ๆ กางเกงขาสั้นเหนือเข่าเผยให้เห็นเนื้ออ่อนรำไรยั่วอารมณ์ดีนัก


               “เสร็จแล้วหรือน้าสาย”


               สายสะดุ้ง เขาเผลอเลียริมฝีปากอย่างกระหาย แต่จะให้ไก่ตื่นก็จะอดขึ้นสวรรค์ก่อนถึงบ้านเป็นแน่


             “เออ เสร็จแล้ว ไป ขึ้นรถ เดี๋ยวก็ถึงบ้านกูละ”


              สายรีบเดินนำไปที่รถบรรทุกที่เขาขับมาและรีบขับรถออกจากปั๊มน้ำมันทันที


               “ถึงบ้านกู มึงก็พักที่บ้านกูก่อนก็ได้ เมียกูใจดี”


               ใจดีกับผีน่ะสิอีเมียช้างน้ำ ปากก็ดุยิ่งกว่าตะไกรตัดผ้า ไหนจะสู้คนที่นั่งมาด้านข้างได้


               “กูสงสารมึงว่ะสน ที่มาลำบากแบบนี้”


               สายเอื้อมมือไปวางที่ต้นขาของสนฉัตรพลางลูบไล้ไปมา อา เนื้อมันนุ่มมือดีแท้ คิดแล้วของมันขึ้นจริง ๆ


              “ขอบใจน้าสายนะครับ ถ้าไม่ได้น้าผมคงตายแน่”


               เหี้ยเอ๊ย ยิ้มทีแม่งน่าเอาฉิบหาย


              “ไม่เป็นไร น้าก็ช่วยสนไม่ได้หวังผลตอบแทน ถือว่าเอ็นดูเด็ก”


               สนฉัตรกะพริบตาเอะใจ คำพูดของสายดูเหมือนจะดี หากแต่มือหยาบนั้นกลับขยับสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ สายตาที่เหลือบมองสลับกับมองถนนเบื้องนอกก็ดูหื่นกระหาย สนฉัตรขยับตัวไปชิดประตูโดยอัตโนมัติ


              “เอ่อ น้าสายเอามือออกจากขาของผมก่อนได้ไหม”


             ไก่ตื่นแล้ว หากไม่จัดการตอนนี้ก็คงไม่ได้ขึ้นสวรรค์ก่อนกลับบ้าน บริเวณนี้มีแต่ป่าเขาแถมยังมืดสนิทเหมาะกับสวรรค์โดยแท้ คิดได้แล้วสายก็ตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางและเปิดไฟกะพริบไว้ ก่อนจะคว้าท่อนแขนของสนฉัตรที่มองมาอย่างหวาดระแวง


              “รังเกียจน้าหรือสน นี่น้าช่วยสนไว้นะ สนตอบแทนน้าหน่อยได้ไหม”


             สนฉัตรเบิกตากว้าง เข้าใจทันทีว่าสายต้องการอะไร เขาดิ้นหนีแต่สายก็กระชากคอเสื้อของเขาแล้วผลักลงกับเบาะรถ


               “น้า อย่าทำผม”


               ยกมือไหว้ปะหลกๆ แต่แววตาหื่นกระหายของสายก็ยังไม่จางลง


              “ไม่ทำก็โง่แล้วโว้ย อัดอั้นมาตั้งหลายวันเงินตีกะหรี่ก็ไม่มี ไหน ๆ กูก็ช่วยมึงแล้ว มึงก็ช่วยกูคืนจะเป็นไรไป”


              “น้า!”


                สายมองใบหน้าตระหนกนั้น ทันใดสมองของเขาก็คิดหาทางต่อยอดจากของที่ได้มาฟรี หากจะได้เงินมาเพราะช่วยสนฉัตรขึ้นมาจากถนนข้างทางก็เท่ากับกำไรสองต่อ แต่ถ้าหากเขาทำอะไรสนฉัตรร่างกายนี้ก็ต้องบอบช้ำจนราคาตกแน่ สายใคร่ครวญรวดเร็ว ไปไม่ถึงสวรรค์ขอแค่ตีนป่าหิมพานต์ก็ยังดี


               “ลุกขึ้นมา กูไม่ทำมึงแล้วก็ได้เดี๋ยวเสียราคา แต่ว่าถึงยังไงมึงก็ต้องตอบแทนกูอยู่ดี”


               สายรูดซิปกางเกงลงแล้วจิกผมของสนฉัตรไว้ในขณะที่สนฉัตรส่ายหน้าตาเรียวเบิกกว้าง รู้ทันทีว่าสายต้องการให้ตนทำอะไร


             “ไม่ น้า อย่า ผมไม่ทำ”


              “อ้าปาก อ้าปากสิวะ”


             มือหนึ่งจิกผม อีกมือหนึ่งบีบจมูกของสนฉัตรจนสำลักลมหายใจ สายกดใบหน้าของเด็กหนุ่มลงมาจนเขากระแทกท่อนเนื้อเข้าปากสนฉัตรได้


              “กูช่วยมึงมาจนมีแรงขนาดนี้ หรือมึงจะให้กูโยนลงจากรถ แถวนี้มีแต่ภูเขามึงอยากตายเพราะตกเขาหรือถูกเสือในป่ามันขย้ำ ฮะ ไอ้สน ถ้าไม่อยากตายก็ทำให้กูเดี๋ยวนี้”


                 ท่อนเนื้อสกปรกในปากทำให้สนฉัตรคลื่นไส้ แต่สายก็ไม่เปิดโอกาสให้สนฉัตรได้สู้ สายผลักให้สนฉัตรลงไปนั่งกับพื้นรถและใช้ท่อนขาหนีบศีรษะของสนฉัตรไว้พลางขู่เข็ญจนสนฉัตรขยาด มองไม่เห็นทางอื่นนอกจากจะต้องยินยอมทำเพื่อรักษาชีวิต


              “สัสเอ๊ย ปากเลียดีฉิบหาย ซี้ดด เอาอีก ไอ้สัส เอาอีก”


                สายสูดปากพลางก้มหน้ามองสนฉัตรที่กำลังทำให้เขา นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องการกำไรจากสนฉัตรเขาก็คงขึงพืดแล้วจัดการจนฟ้าสางแน่ ๆ


               “เหี้ย จะออกแล้ว มึงเร่งเข้าสิ อมเข้าไป อ้าปากกว้างๆ สิวะ”


                 ถ้อยคำหยาบคายหลุดออกมาระคายหู สายกระแทกเอวเข้าไปในโพรงปากเล็กอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะขยะแขยงเพียงใด สนฉัตรน้ำตาไหลเมื่อน้ำเมือกรสคาวพุ่งเข้าสู่ลำคอแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อสายยังยึดใบหน้าของเขาไว้ จนกระทั่งสายกระแทกอีกสองถึงสามครั้งจึงได้ดึงท่อนเนื้อออกแล้วหัวเราะชอบใจ


             “ฮ่า ฮ่า น้ำกูอร่อยไหมล่ะ อิ่มไหมล่ะมึง โอย เบาตัวเลยโว้ย มึงนี่ปากเก่งแท้ๆ”


                พูดจบสายก็สตาร์ทรถและเริ่มขับรถอีกครั้ง สนฉัตรโผล่หน้าออกมานอกหน้าต่างโก่งคออาเจียนออกมาจนหมดท้อง น้ำตาไหลไม่ยอมหยุดเมื่อคนที่คิดว่ามีน้ำใจช่วยเหลือก็ยังกลายเป็นปีศาจในที่สุด


              “เดี๋ยวกูจะพามึงไปหาสวรรค์ที่แท้จริง ถ้ามึงทำตัวดีๆ สวรรค์เป็นของมึงแน่”


                สายหันมาพูดโดยไม่สนใจว่าสนฉัตรจะนั่งกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้น สายตาโลมเลียนั้นยังดูเหมือนจะหยุดไม่อยู่


                 “ไหน ๆ ก็ใกล้จะถึงแล้ว มึงเอาให้กูอีกสักรอบสิวะ”




มีต่ออีกนิด...


หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 15-06-2018 00:31:05


ต่อกันตรงนี้...



              จวบจนท้องฟ้ามีแสงรำไรมองเห็นบ้านเรือนผู้คน อากาศยามเช้าหนาวจับใจรถบรรทุกที่สายขับมาจึงได้จอดลง ชายวัยกลางคนที่บังคับฝืนใจอีกฝ่ายหลายต่อหลายใจกว่าจะถึงจุดหมายมองสนฉัตรอย่างเสียดาย


              “ถ้าไม่คิดถึงเงินนี่กูไม่อยากให้มึงไปเลยไอ้สน ติดใจปากมึงฉิบหาย”


               แน่ละ สายปลดปล่อยเพราะปากเล็กเสียหลายรอบ จนรอบปากของสนฉัตรมีแต่คราบคาวของเขาประดับไว้ สายโยนขวดน้ำอีกขวดส่งให้สนฉัตร


                “ล้างปากเดี๋ยวนี้”


                สนฉัตรยังคงนั่งนิ่งสีหน้าอมทุกข์ สายขัดเคืองเมื่ออีกฝ่ายไม่ทำตามคำสั่งจึงบีบกรามสนฉัตรให้อ้าปากพร้อมกับเทน้ำลงไปจนสนฉัตรสำลัก


                “รออยู่นี่นะมึง”


               สายลงจากรถไปแล้ว สนฉัตรทดลองเปิดประตูทั้งสองฝั่งแต่ก็เปิดไม่ได้เพราะสายล็อกขังเขาไว้ สนฉัตรได้แต่ล้มตัวนอนคุดคู้อยู่ที่เบาะและร้องไห้ออกมาอีกครั้ง






                  สายเดินไปที่โกดังเก็บรถ เขาเดินตรงไปยังคนที่นั่งคุมบัญชีอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งพลางยิ้มประจบ


                 “สวัสดีครับเสี่ย ผมมาส่งรถ”


                  คนที่สายเรียกว่าเสี่ยเงยหน้าขึ้นมอง


                 “งวดนี้มาตรงเวลานี่หว่า แสดงว่าไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหนใช่ไหมไอ้สาย”


                “โธ่ เสี่ย จะไปเถลไถลทุกงวด อีช้างน้ำที่บ้านด่าตายห่า เอ่อ เสี่ย ไอ้ที่ผมติดเสี่ยไว้หลายงวดแล้วน่ะ”


               “ทำไม อย่าบอกนะว่าจะจ่ายทีเดียววันนี้เลย”


                 “เสี่ย เอาอะไรมาพูด จะขอจากเสี่ยอีกสักหน่อยล่ะไม่ว่า แต่งวดนี้มีของมาฝากนะ รับรองว่าเด็ดทั้งเผ็ดทั้งมัน ผมอยากกินเองยังไม่กล้า เก็บเอามาฝากเสี่ยโดยเฉพาะไม่ให้บูดให้เน่า ถ้าเสี่ยเห็นของฝากแล้วถูกใจเสี่ยก็ยกหนี้ให้ผมกับทิปอีกหน่อยก็พอ”


                 อีกฝ่ายหันมามองอย่างรู้ทัน


                “ถ้าไม่เด็ด มึงเตรียมจ่ายกูทบต้นทบดอกนะไอ้สาย”


               “เสี่ย นี่เด็ดจริง ไปดูกับผมสิ รับรองถ้าเห็นเสี่ยจะยอมเสียเงินทิปผมเลยล่ะ”






                สนฉัตรสะดุ้งเมื่อประตูฝั่งที่นั่งถูกเปิดออก เขาถูกลากให้ลงจากรถบรรทุกไปยืนบนพื้นดินเพื่อเผชิญหน้ากับใครอีกคนที่จ้องเขาตาไม่กะพริบ


                 “นี่ไงเสี่ย เป็นไงล่ะเด็ดจริงใช่ไหม เรามันคนกันเองผมรู้สเป็คเสี่ยดี เสี่ยชอบแบบนี้ใช่ไหมล่ะ”


                 ผู้ชายที่สายเรียกว่าเสี่ยรูปร่างท้วมอายุราวสี่สิบปี แต่งกายคล้ายเป็นเศรษฐีบ้านนอกมีทองเส้นโตห้อยอยู่ที่คอ ดวงตาเล็กหยีมองสนฉัตรวาววามจนคนถูกมองผวา


                “ไอ้สน ต่อไปมึงต้องอยู่บนเสี่ยบัญชานะ เอาใจเสี่ยไว้นะมึงแล้วจะสบายเชื่อกู เสี่ย ตกลงว่าชอบไหมครับ ถ้าชอบผมจะได้ขอเงินเสี่ยค่าเหนื่อยที่หิ้วมันมาส่งเสี่ยสักหน่อย”


                   สนฉัตรหลับตาลงอย่างปวดร้าวเมื่อรู้ว่าสายนำเขามาขายให้กับเสี่ยบัญชา




                                                           TBC


                                   ชั้นรู้ว่าสายดาร์กยังทนไหว ทุ่งลาเวนเดอร์นี่มันไม่มีจริงๆ



                                       :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:








[/size]               
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 15-06-2018 00:34:35
สงสารสน เวรกรรมจริงเจอแต่ผู้ชายชั่วๆ :m15:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 15-06-2018 06:31:55
หดหู่จัง
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-06-2018 11:29:11
สงสารสนจริงๆ ชีวิตนี้จะได้มีความสุขกับเขาหรือเปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 15-06-2018 11:56:19
จบแบบแบดเอนแน่เลย :sad4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 15-06-2018 18:25:05
เวรกรรม สมกับชื่อเรื่องวิมานไม้สนจริงๆนี่ถ้าตอนจบของเรื่องแล้วสนจะป่วยตายไปก็ไม่แปลกใจเลยจริงๆนะ โดนซะขนาดนี้
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-06-2018 21:08:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชาติก่อนทำกรรมอะไรไว้ไม่รู้เนอะ  ชาตินี้วิบากกรรมของสนจึงเป็นเยี่ยงนี้
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 15-06-2018 22:15:01
สงสารสนจัง
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 12 [15/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: JanLec ที่ 16-06-2018 02:38:30
หายไปนานเลย ชอบแนวนี้มาต่ออีกน้าา
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 13 [05/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 05-07-2018 20:21:30



                                                               วิมานไม้สน

                                                                 บทที่ 13



                ตอนนี้เป็นเวลาย่ำรุ่ง ดวงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่ขึ้นมาจับขอบฟ้า เหนือขึ้นไปยังเป็นแสงเรืองรองตัดกับท้องฟ้าที่ยังมีสีดำ สนฉัตรได้ยินเสียงนกร้องและไก่ขันขณะที่เขายืนอยู่กลางลานดินหน้าโกดังเก็บรถเช่า ไกลออกไปมีแนวขุนเขาให้พอมองเห็นบอกให้รู้ว่านี่คือพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศ สนฉัตรควรจะสดชื่นรื่นเริงในยามอาทิตย์อุทัยหากไม่ใช่ว่ากำลังยืนเผชิญหน้ากับเสี่ยบัญชาในตอนนี้

               เสี่ยบัญชาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาจ้องมองสนฉัตรไม่วางตาขณะควักกระเป๋าสตางค์ออกจากกางเกงยีนส์สีมอแล้วล้วงธนบัตรปึกหนึ่งส่งให้สาย คนขับรถบรรทุกตาวาวก่อนจะเอื้อมมือรับและหัวเราะร่า


               “โอ๊ย ลาภปากไอ้สายจริงโว้ย อย่าลืมนะไอ้สน ดูแลเสี่ยเขาดีๆ ประเคนให้ถึงใจ กูรับรองว่ามึงจะสบาย”


                สายยกมือไหว้เสี่ยบัญชาแล้วก็รีบก้าวหนีไปทิ้งไว้เพียงสนฉัตรกับบัญชา สนฉัตรเหลียวหลังแลหน้าไปมาด้วยความหวาดหวั่นราวกับตนเองเป็นเหยื่อรอหมาป่าขย้ำ บัญชาเห็นอาการแล้วจึงได้กล่าวกับสนฉัตรคำแรก


                “ตามมาสิ”


              เขาหันหลังเดินกลับไปยังโกดังใหญ่ที่มีรถบรรทุกเปล่าจอดอยู่หลายคัน บอกให้รู้ว่าเป็นคนมีฐานะไม่น้อย ด้านในของโกดังมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่งที่เขาใช้สำหรับคุมบัญชีรายรับรายจ่ายและคุมเวลาเช่ารถ บัญชาตะโกนเรียกลูกน้องคนหนึ่งให้มานั่งคุมแทนเพราะเวลานี้คนขับรถบรรทุกจะเริ่มทยอยเดินทางกลับมาถึง จากนั้นเขาก็เดินนำสนฉัตรเข้าไปด้านในประตูกระจกบานหนึ่ง

             ด้านในเป็นห้องทำงานติดเครื่องปรับอากาศแต่บัญชายังไม่หยุดแค่นั้น เขาผลักประตูกระจกติดฟิล์มดำหลังโต๊ะทำงานและรอให้สนฉัตรเดินเข้าไปจึงค่อยเดินตาม และหลังจากนั้นบัญชาจึงปิดประตูล็อกจากด้านใน

             ทันทีที่เห็นว่าภายในคือห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีเตียงนอนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ฝั่งหนึ่งมีประตูห้องน้ำ หน้าเตียงมีชุดโฮมเธียเตอร์อย่างดีตั้งไว้ สนฉัตรก็สั่นเป็นเจ้าเข้า เขาหันไปหาเสี่ยบัญชาและพนมมือแนบอกพลางเอ่ยเสียงปนสะอื้น


             “เสี่ย เสี่ยครับ อย่าทำอะไรผมเลย ผมไม่ได้ขายตัวครับ แค่บังเอิญไปเจอไอ้สายกลางทางแล้วมันเก็บผมมา เสี่ยครับ ผมขอร้อง”


              บัญชาจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า นายสายรู้ใจเขาดีนักถึงได้หาของถูกใจมาให้ รูปร่างเล็กเพรียวหน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวราวหยวกกล้วย แค่เห็นแวบแรกก็ไม่ลังเลที่จะจ่ายเงินให้นายสายเป็นค่านายหน้า และบัญชาก็ไม่ใช่คนใจบุญที่จะจ่ายเงินแล้วมานั่งมองสินค้าด้วยความสงสารด้วย


               “ฉันจ่ายเงินซื้อเธอมาแล้ว” เสี่ยบัญชาพูดน้ำเสียงนิ่งเรียบในขณะที่ดวงตาก็ยังจ้องสนฉัตร “ฉันไม่สนใจที่มาว่าเธอจะมาจากไหน แต่อะไรที่ฉันจ่ายไปจะต้องได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า เอาเถอะ ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจฉันจะให้รางวัลเธอแน่ แต่ถ้ายังอิดออดเธออาจจะได้ไปนอนในป่าโดยที่ไม่มีใครหาเธอพบตลอดไป”


              สนฉัตรร้องไห้โฮ ดูจากฐานะและอิทธิพลของบัญชาแล้วสนฉัตรรู้ว่าบัญชาทำได้จริงๆ อย่างที่ขู่ แต่บัญชาไม่ได้สนใจน้ำตาของสนฉัตรเลยสักนิด


              “ไปอาบน้ำ ฉันชอบคนสะอาดสะอ้าน”


             ชี้มือไปยังห้องน้ำแต่สนฉัตรก็ยังคงร้องไห้ไม่เลิก บัญชาจึงกระชากแขนเรียวจนตัวปลิวให้ก้าวตามมาในห้องน้ำ สนฉัตรไม่มีเวลาชื่นชมการตกแต่งภายในแม้แต่น้อยว่าของทุกชิ้นภายในห้องลับแห่งนี้มีแต่ของราคาแพงทั้งสิ้นเมื่อบัญชาจับเขาแก้ผ้าจนล่อนจ้อน


             “รูปร่างดีมาก ฉันชอบเธอนะ ขอให้ถึงใจฉันอาจจะเลี้ยงเธอไว้นานๆ ก็ได้ ชื่ออะไรนะ สนใช่ไหม”


            “เสี่ย อย่าทำผม ผมขอ”


              พยายามเป็นครั้งสุดท้ายแต่บัญชาก็ยังไม่เมตตา เขาคว้าฝักบัวขึ้นมาเปิดน้ำเป็นสายแล้วหันไปยังร่างบางที่ยืนเปลือยอยู่ บัญชาจัดการใช้สบู่เหลวถูไถไปทั่วสินค้าชิ้นงามก่อนจะผลักให้สนฉัตรหันหน้าเข้าผนังและสอดนิ้วแข็งเข้าไปในก้นของสนฉัตรโดยที่ไม่ทันตั้งตัว


               “เสี่ย ผมเจ็บ”


              สนฉัตรหันกลับมามองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวแต่บัญชามองว่าคล้ายกับลูกแมวตัวเล็กที่พยายามขู่ฟ่อมากกว่า เขาขยับเข้าชิดและล้วงนิ้วเข้าไปจนสุดความยาวพร้อมกับยิ้มอย่างพึงใจ


             “คับแน่นดีมาก เอาล่ะ ข้อแรกผ่าน”


             บัญชาดึงนิ้วออกมา เขาใช้น้ำล้างฟองสบู่ออกจากร่างกายของสนฉัตรและส่งผ้าขนหนูให้ผืนหนึ่งก่อนลากสนฉัตรออกมาจากห้องน้ำ และเมื่อก้าวมาหยุดกลางห้องเสี่ยบัญชาก็ถอดเสื้อผ้าของเขาจนไม่เหลืออะไรเช่นกัน เขามองสนฉัตรตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ่งชะล้างคราบดินออกแล้วก็ยิ่งมองเห็นความยั่วยวนทั้งที่อีกฝ่ายก็แค่ยืนสั่นสะท้านเท่านั้น


            “เธอไม่มีทางเลือก ชีวิตของเธอคือเงินของฉัน ทางเลือกเดียวที่ทำได้คือทำให้ฉันพอใจ ถ้าเธอไม่โง่เธอต้องเข้าใจคำพูดของฉันและรู้ว่าควรจะทำอะไรในตอนนี้”


             สนฉัตรหลับตาลงด้วยความปวดร้าว น้ำตาไหลลงมาเป็นทางกับชีวิตที่ผกผันครั้งแล้วครั้งเล่า และคราวนี้ก็เช่นกันที่ต้องเลือกรักษาชีวิตไว้ทั้งที่หัวใจปวดร้าวเหลือเกิน


              ร่างบางขึ้นไปบนเตียงและนอนหงาย สนฉัตรมองเพดานห้องราวกับจะปล่อยให้หัวใจของเขาโผผินไปจากห้องนี้ทั้งที่ร่างกายคล้ายถูกจองจำอีกครั้ง บัญชาตามขึ้นมาบนเตียงพลางคุกเข่าอยู่ปลายเท้า เขามองสนฉัตรราวกับจะกลืนกิน แผ่นอกเนียนเรียบขาวผ่องมียอดอกสีชมพูสองเม็ดประดับอย่างงดงามต่ำลงมาเป็นเอวคอดกิ่วหน้าท้องแบนราบ จุดอ่อนไหวแค่ท่อนเนื้อเล็กอยู่บนพรมบางเบาสีดำอ่อน เขาไม่รู้ว่าสนฉัตรเป็นใครมาจากไหน รู้แต่ตอนนี้บัญชาต้องการเชยชมร่างกายนี้เหลือเกิน

            มือหยาบวางลงไปบนแผงอกเรียบ ปลายนิ้วบดขยี้ยอดอกจนมันแข็งเป็นไต ลานโดยรอบออกสีแดงเรื่อจึงได้ยอมเลื่อนมือมายังแอ่งสะดือ บัญชาบีบเค้นสะโพกหนั่นแน่นก่อนจะลากมือมาที่จุดอ่อนไหวและบีบลงไป สนฉัตรถึงกับสะดุ้งเฮือก ชายหนุ่มยอมละสายตาจากเพดานห้องเพื่อสบตากับบัญชาหวังว่าจะร้องขออีกครั้ง แต่ทว่าความกระหายที่ฉายชัดออกมานั้นทำให้สนฉัตรรู้ว่าไม่มีทางที่เขาจะเปลี่ยนใจบัญชาได้


                เสี่ยหนุ่มใหญ่ขยับกายขึ้นไปนั่งคร่อมเหนือหน้าอกของสนฉัตร เขาจ่อความเป็นชายที่ปากเล็ก


               “ปลุกฉันหน่อย เร็วเข้า”


                อีกครั้งที่สนฉัตรเกลียดริมฝีปากตนเองเมื่อมันต้องรองรับสิ่งเหล่านี้ คำขู่ก่อนหน้านี้ของบัญชาทำให้สนฉัตรต้องยอมอ้าปากและรับท่อนเนื้อนั้นเข้ามาภายใน บัญชาดันเอวเข้ามาจนแทบจะสำลักเพื่อให้สนฉัตรได้ปรนเปรอเขาด้วยลิ้นเล็กและกลีบปากนุ่ม


              “อา ดีมาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำให้ผู้ชายใช่ไหม”


              บัญชาผ่อนลมหายใจ เขายังไม่อยากแตกคาปากเล็กนี่ รอจนมันขยายตัวเต็มที่จึงได้ดึงออกมาจากปากและเลื่อนตัวลงต่ำมาหยุดระหว่างขาของสนฉัตร ท่อนขาเรียวถูกยกสูงเพื่อเปิดทางให้เห็นรูจีบพับ บัญชาถ่มน้ำลายตนเองใส่มือและถูไถเข้ากับท่อนเนื้อของเขาและดันหัวเข้าไปทันที


              “ฮือ ฮือ”


              สนฉัตรอดไม่ไหวกับความเป็นเบี้ยล่าง เขาร้องไห้อีกครั้งเมื่อร่างกายกำลังถูกข่มเหงด้วยอำนาจ บัญชาล่วงล้ำเข้ามาเต็มที่พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยไฟปรารถนา และขับเคลื่อนตนเองไปสู่ความสุขสมแม้ว่าสนฉัตรจะไม่เต็มใจเลยก็ตาม


             “ขยับสิ นอนนิ่งอยู่ทำไม”


             บัญชาช้อนยกสะโพกของสนฉัตรขึ้นมาและสาวเอวเป็นจังหวะ แม้ว่าจะไม่เต็มใจแต่ร่างกายยามถูกล่วงล้ำก็ยังตอบรับโดยสัญชาตญาณของมนุษย์ สนฉัตรจำเป็นต้องปล่อยให้ความต้องการนำทางอย่างน้อยเพื่อเอาชีวิตรอด


             “เสี่ย เสี่ยครับ ตรงนั้น”


             เมื่อสนฉัตรเริ่มมีอารมณ์ร่วมบัญชาก็ส่งเสียงออกมาอย่างพอใจที่ทำให้คู่นอนคล้อยตามได้ เขาจับสนฉัตรนอนคว่ำกางขาจากนั้นจึงออกแรงขย่มลงไปจนเตียงสะเทือน


            “ให้มันได้อย่างนี้สิ สะใจจริงโว้ย”


              สบถออกมาอย่างลืมตัวเมื่อปลดปล่อยออกมาในที่สุด บัญชาดึงกายออกมานอนแผ่เคียงข้างสนฉัตรที่นอนคว่ำฝังหน้าลงบนหมอนพลางหอบหายใจหนัก รอจนต่างก็หายเหนื่อยบัญชาจึงดึงเอวสนฉัตรเข้ามากอด


              “เธอนี่มันสุดยอดจริงๆ ลีลาเด็ดจนไม่อยากจะเชื่อ หน้าตาก็ยั่วฉิบ เห็นแล้วเกิดอารมณ์ตลอด เอาเป็นว่าฉันติดใจเข้าแล้ว ถ้ายังไม่มีที่ไปก็อยู่เสียที่นี่แหละ เมียฉันมันก็อยู่แต่ที่บ้านไม่ค่อยได้มาข้องแวะที่นี่หรอก ฉันจะเลี้ยงเธอเอง เอาไหมสน มีที่กินอิ่มท้อง นอนหลับสบายในห้องแอร์ งานของเธอมีแค่บนเตียงให้ฉันสุขสบาย หรืออยากจะไปเสี่ยงตายข้างนอก”


              คำพูดกึ่งข่มขู่นั้นทำให้สนฉัตรคิดหนัก หากเขาไม่ยอมทำตามข้อเสนอของเสี่ยบัญชาสนฉัตรก็ยังหาทางออกไม่เจอว่าจะไปทำอะไรที่ไหน ความรู้ก็มีแค่มัธยมต้นแบบพอสอบผ่านจะไปหางานที่ไหนก็คงไม่มีใครรับ จะไปอยู่ไหนก็ไม่รู้จักใครสักคน เสี่ยบัญชาเองก็ไม่ได้มีทีท่าโหดร้ายเท่าใดนักเพียงแค่ยอมกลับมาเป็นนกน้อยอีกครั้ง อาจจะไม่ได้กรงทองอย่างเมื่อก่อนแต่ก็พอมีที่คุ้มหัว


              “เสี่ยจะเลี้ยงผมจริงใช่ไหม ไม่หลอก ไม่ทำร้ายผมใช่ไหม”


              สนฉัตรถอนสะอื้นพลางเอ่ยถามเสียงอ่อน เสี่ยบัญชาเปิดตู้หัวเตียงดึงเงินปึกหนึ่งออกมาแล้วส่งให้สนฉัตร


            “นี่เงินก้อนแรกที่ฉันให้ เก็บไว้ซื้อเสื้อผ้าดีๆ มาใส่ แล้วถ้าเธอทำให้ฉันชอบล่ะก็ ก้อนต่อไปจะมาเรื่อยๆ”


             รับเงินมาพลางคิดในสมอง ร่างกายของสนฉัตรก็ไม่ใช่บริสุทธิ์ผุดผ่องที่ไหน เขาเองก็เคยผ่านการเป็นไม้ประดับให้กับทรงเดชมาแล้ว การทำตามใจตนเองด้วยการเลือกหนีไปกับจิรัชก็ไม่ใช่หนทางที่ดีอย่างที่ใจฝัน หากจะต้องใช้ร่างกายนี้เพื่อเอาตัวรอดสนฉัตรจำเป็นต้องทำ


             “ถ้าเสี่ยรับปาก ผมยอมก็ได้”


             บัญชาหัวเราะลั่น เขาดึงสนฉัตรมาจูบ นึกถูกใจทั้งที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาแต่บัญชาก็ไม่สนใจ เขาสนแค่ว่าร่างกายนี้ทำให้เขาสุขสมอย่างไม่เคยได้พบที่ไหนมาก่อน


              “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มงานของเธอได้แล้ว ทำให้ฉันมีความสุขอีกสักรอบก่อนจะออกไปทำงานต่อสิสน”


            ชีวิตที่ไม่มีทางเลือก หรือถ้ามีสนฉัตรก็จำเป็นต้องเลือกทางนี้ ความเจ็บช้ำทั้งหมดถูกโยนไว้เบื้องหลังเมื่อสนฉัตรต้องปลุกใจตนเองก่อนจะขยับขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนเอวของบัญชา เขาจับท่อนเนื้อไว้และกดเอวลงไปจนสุดโคน


             หลับตาลงและปล่อยตนเองไปกับจินตนาการ น่าแปลกที่ในความมืดมิดหลังเปลือกตากลับมีภาพของปวิธปรากฏขึ้น ผู้ชายคนนั้นจะรู้หรือไม่ว่าสนฉัตรมีลมหายใจอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ห่างไปจากเขาคนนั้น ปวิธจะรู้หรือเปล่าว่าสนฉัตรต้องใช้เขาเพื่อขับเคลื่อนพาคนเบื้องล่างและตนเองไปสู่จุดหมาย


           “อา ดีมาก สน เซ็กซี่มาก”


             ไม่รู้ว่าบัญชาเอ่ยอะไรอีกแต่สนฉัตรกัดฟันเมื่อร่างกายไต่ระดับไปสู่จุดหมาย สนฉัตรพยายามอย่างหนักที่จะไม่ส่งเสียงให้พ้นออกมาจากไรฟัน


             “อึก เปลว อ๊า”


             ร่างบางทิ้งกายลงไปกับอกของผู้ชายคนใหม่ทั้งที่ยังโหยหาอดีตที่ผ่านมา





มีต่ออีกนิด.....




หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 13 [05/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 05-07-2018 20:34:47


อ่านต่อตรงนี้...



         
              เวลาผ่านไปเกือบสามเดือนแล้วที่สนฉัตรอยู่ภายใต้การดูแลของบัญชา ช่วงแรกเขาอาศัยอยู่ที่โกดังเช่ารถบรรทุกแต่เมื่อบัญชาถูกใจและรับเลี้ยงเขาจึงเช่าบ้านหลังเล็กในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งให้สนฉัตรได้อยู่ เสี่ยใหญ่ให้เงินใช้ในระดับอยู่ได้สบายหากไม่ฟุ้งเฟ้อ เขามาหาสนใจสัปดาห์ละสองถึงสามวัน


              “มาทุกวันไม่ได้ เดี๋ยวอีแก่ที่บ้านจะแหกอกเอา”


              เสี่ยบัญชามีเมียแล้ว เป็นเจ้าของตลาดแห่งหนึ่งคอยเก็บค่าเช่าแผงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้เสี่ยเคยมีเด็กเลี้ยงทั้งผู้หญิงและเด็กผู้ชายที่เสี่ยส่งเสียค่าเทอมให้ แต่ตอนนี้เสี่ยกำลังหลงใหลสนฉัตรจนโงหัวไม่ขึ้น และสนฉัตรที่ปรับตัวได้แล้วจึงใช้ความหลงใหลนี้ให้เป็นประโยชน์


             “เสี่ย ทองเส้นนี้สวยหรือเปล่า”


             เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา สนฉัตรจะไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ หากจำเป็นต้องใช้ร่างกายเข้าแลก สิ่งที่จะได้รับก็ต้องคุ้มค่า


              “อยากได้หรือสน”


               บัญชามองสร้อยทองในแคตตาลอกที่สนฉัตรส่งให้ ทองหนักหนึ่งบาทไม่มากไม่น้อย


              “ใช่ครับเสี่ย ถ้าเสี่ยให้สนนะ คืนนี้สนจัดชุดใหญ่ไฟกะพริบให้เลย”


               ส่งเสียงออดอ้อนราวกับเป็นแมวน้อย มัดใจหนุ่มใหญ่ได้ชะงัด บัญชารวบเอวสนฉัตรมานั่งบนตักพลางซุกไซ้ต้นคอสูดกลิ่นหอมอ่อนๆของเนื้อหนังอย่างติดใจ


              “แต่ถ้าสนจัดให้สักดอกตอนนี้ ตอนเย็นฉันจะพาสนไปซื้อเลยนะ”


              สนฉัตรตาโตพลางคลี่ยิ้มหวานยั่วยวน เขาขยับขานั่งคร่อมเอวของบัญชาบนโซฟารับแขกนั่นเอง สนฉัตรบดคลึงบั้นท้ายลงไปเพื่อปลุกเร้าให้ส่วนนั้นขยับอัดแน่น บัญชารูดซิปกางเกงลงและควักมันออกมา สนฉัตรกดเอวลงไปอย่างช่ำชอง


              “สนของฉันนี่รู้ใจจริงๆ”


              บัญชาพูดเสียงแหบพร่า ตั้งแต่ได้สนฉัตรมาเรื่องบนเตียงก็เต็มอิ่มตลอด เด็กหนุ่มคล้องขาอยู่กับเอวของเขาขณะโยกเอวขึ้นลง เสียงครางแผ่วอยู่ข้างหูยิ่งทำให้บัญชาเตลิด


            “อยู่นี่เอง โอ๊ย อัปรีย์กันจริง”


              เสียงดังลั่นพร้อมกับประตูบ้านที่ถูกผลักเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญทำให้ทั้งคู่ที่กำลังจะขึ้นสวรรค์ตกใจ แต่เป็นสนฉัตรที่ตกใจกว่าเมื่อสตรีสาวใหญ่ที่บุกรุกก้าวทีเดียวถึงตัวกระชากผมเขาออกจากเอวของบัญชาร่วงไปกองอยู่กับพื้นแถมยังตบหน้าเขาดังฉาด


              “กูละเบื่อผัวจริงๆ มีเมียน้อยให้กูผู้หญิงบ้างผู้ชายบ้าง ใครรู้เข้าอายเขาฉิบหาย”


               “อาฮัวปล่อยสนฉัตรเดี๋ยวนี้”


              บัญชากระชากแขนเหม่ยฮัวหรือชื่อไทยว่าอารีภรรยาของเขาให้แยกจากสนฉัตร อารีดิ้นรนพลางทุบตีสามีขนานใหญ่


             “เฮีย ฉันได้ข่าวแว่วมาว่าเฮียซื้อบ้านเลี้ยงเมียน้อย แล้วก็จริงเสียด้าย เฮียหลงมันมากจนบ้านช่องไม่กลับ มึงก็เหมือนกัน หน้าตาก็ดีคิดยังไงมาเป็นเมียน้อยผัวกู”


               อารีทำท่าจะปรี่เข้ามาอีกครั้งบัญชารีบยื้อยุดไว้


              “เฮียบอกให้หยุดไงอาฮัว ฟังกันบ้าง จะมาโวยวายทำไม เฮียไม่ได้มีไอ้สนมันคนแรกสักหน่อย”


              “แต่เฮียไม่เคยหลงใครเท่ามัน ลีลามันเด็ดล่ะสิถึงได้เอากันทั้งที่ยังกลางวันแสกๆ มึงเป็นกะหรี่หรือไง”


               สนฉัตรเจ็บจี๊ดขึ้นมากับคำบริภาษนั้น เขาผุดลุกขึ้นมาเถียงอารีเสียงดังลั่น


               “กูไม่ได้เป็นกะหรี่ ผัวมึงมาติดใจกู อ้อนวอนขอให้กูอยู่ด้วยจะให้กูทำยังไง มึงเป็นเมียไม่มีปัญญาดูแลผัวปล่อยให้ผัวมาหากูเองนี่”


               “กรี๊ดดด อีตุ๊ด มึงเอากับผัวกูแล้วยังมาด่ากูอีก มาให้กูตบเดี๋ยวนี้”


               บัญชารีบแยกทั้งคู่ออกจากกันอย่างยากเย็นจนต้องส่งเสียงตวาด


               “หยุด หยุดทั้งคู่ ไอ้สนก็หยุด ลื้อก็หยุดด้วยอาฮัว” แทบจะหอบกว่าจะหยุดได้สำเร็จ


              “อาฮัว เธออย่าโวยวายให้อายคนอื่น ยังไงลื้อก็เมียแต่งที่ป๊าหาให้ ไม่ต้องเดือดร้อนนักหรอก เอางี้ จะไปเที่ยวฮ่องกงหรือสิงคโปร์ก็ไป เดี๋ยวเฮียออกเงินค่าตั๋วกับค่าของแบรนด์ที่ลื้อบ่นอยากได้ให้ แต่ตอนนี้กลับบ้านไปก่อน”


              “เฮีย ปกป้องเมียน้อยเหรอ แตะต้องไม่ได้เชียวนะ”


              อารียังไม่หายโกรธ บัญชามองตาเขียว


             “จะเอาไหมเงินกับตั๋วเครื่องบิน ถ้าเอาก็กลับบ้านไปแล้วอย่ามายุ่งกับไอ้สนมันอีก ต่างคนต่างอยู่แล้วเฮียจะแบ่งเวลาให้เท่าๆกัน”


             อารียังกระฟัดกระเฟียดใส่ แต่เพราะของกำนัลที่สามีเสนอให้ล่อใจจนต้องค้อนขวับ


            “ขอให้จริงอย่างพูดเถอะ ถ้ามาขลุกอยู่กับมันฮัวจะมาฉีกอกมันแน่ ระวังตัวไว้เถอะมึง”
ก่อนกลับยังฝากความแค้นไว้ สนฉัตรถอนหายใจก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนโซฟาพลางยกมือกุมแก้มที่มีรอยแดงของฝ่ามือ


             “เจ็บหรือเปล่า”


             บัญชานั่งเคียงข้างพลางโอบกอดเอาใจ สนฉัตรผลักไสสะบัดหน้าใส่


             “ไปเลยเสี่ย อย่ามายุ่ง ไหนบอกเมียเสี่ยไม่มากวนหรอก แล้วนี่อะไร สนโดนตบจนแก้วหูเกือบทะลุแล้วนะ”


              “ใครจะไปรู้ว่าเมียมันจะสืบได้เล่า แต่ฉันก็จัดการไล่เปิดไปแล้วไงล่ะ อย่าทำหน้าบึ้งสิเดี๋ยวพาไปซื้อทองสองเส้นเลย จะได้อารมณ์ดีขึ้น”


               สนฉัตรฝืนยิ้ม อย่างน้อยก็ยังพอเอาตัวรอดมาได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ทำได้ตอนนี้คือเอาใจเสี่ยบัญชาให้ติดใจเขาได้มากที่สุดเพราะเสี่ยบัญชาคือที่พึ่งพิงเดียวของสนใจในตอนนี้





                                                   TBC

                            ทางเลือกของสนมีไม่มากนัก แต่คนแบบนี้ก็มีอยู่เยอะในสังคมนะ



                                       :o11: :o11: :o11: :o11: :o11: :o11:


หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 13 [05/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-07-2018 20:49:16
คนเรา เกิดมาเป็นคน แต่ชีวิตนั้นไม่เหมือนกัน
แล้วแต่กรรมแต่เวรปางก่อน เฮ้อ
พูดแล้วเหมือนแก่ ไม่ได้ ๆ เรายังน่ารักอยู่ อิอิอิ
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 13 [05/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 05-07-2018 20:52:27
เมื่อไหร่สนจะหลุดพ้น กลัวติดโรค
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 13 [05/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 06-07-2018 00:13:03
ฮือออออ
น้องสนลูกกกกกกก
ชีวิตหนูลอยเคว้งไปมา
แต่สุดท้ายก้มาจบทีเมียน้อย
เปลวไปไหน มาตามหาสนเร็วๆ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 13 [05/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 06-07-2018 00:26:15
ยิ่งอ่านยิ่งคิดได้ว่าเรื่องนี้คงแบดเอนด์ ชีวิตสนที่ต้องร่อนเร่หาที่เกาะใหม่ไปเรื่อย สุดท้ายแล้วจะจบที่ตรงไหนกัน
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 13 [05/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 06-07-2018 17:32:05
สงสารสนกลัวได้ติดโรคตายก่อนที่จะเป็นอิสระจริงๆ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 13 [05/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-07-2018 02:05:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

หนีเสือปะจระเข้   

ชีวิตของสนเหมือนถูกสาปเลยนะ 

เป็นได้แค่ที่สนองตัณหา
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 13 [05/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-07-2018 09:45:02
เรื่องนี้ให้แง่คิดอะไรได้หลายอย่างเลย
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 14 [15/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 15-07-2018 23:06:17

                                                              วิมานไม้สน

                                                                บทที่ 14





             ปวิธทิ้งกายลงไปบนเตียงนอนนุ่มพลางยกปลายนิ้วนวดขมับ เกือบสามเดือนที่ผ่านมาชีวิตของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ และเขาต้องพยายามปรับตัวเองให้เข้ากันมัน

              อดีตรัฐมนตรีทรงเดชมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยด่วน อีกสัปดาห์กว่าๆต่อมาก็หมดลมหายใจ ชีวิตเดิมของปวิธก็จบลงหลังจากนั้น เขาต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่จากการรายงานโดยทนายความของทรงเดชว่าทรัพย์สินทั้งหมดของทรงเดชได้โอนเป็นชื่อของเขาไว้นานแล้วตั้งแต่ทรงเดชยุติบทบาททางการเมืองและมีแนวโน้มว่าจะถูกยึดทรัพย์


                 “ตอนนั้นท่านคาดว่าการยึดทรัพย์ต้องมีแน่นอนครับ ก็เลยให้ผมรีบทำการโอนย้ายอสังหาริมทรัพย์และหุ้นต่างๆส่วนใหญ่ใส่ชื่อคุณเปลวซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียวของท่าน แต่ก็มีทรัพย์สินที่ดินบางแปลงที่ท่านแบ่งใส่ชื่อให้สนฉัตรในฐานะบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย ส่วนบ้านหลังนี้ท่านให้โอนเป็นชื่อของคุณเปลวกับสนฉัตรร่วมกัน หากจะทำนิติกรรมอื่นๆ ก็ต้องมีชื่อร่วมกัน”


               เมื่อเสร็จสิ้นงานศพของทรงเดชที่ปวิธเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดอย่างสมเกียรติ เขาก็เปลี่ยนจากชายหนุ่มที่เพิ่งสอบผ่านระดับปริญญาตรีหมาดๆกลายมาเป็นมหาเศรษฐีคนใหม่ในชั่วข้ามคืน จากนายปวิธหรือเปลวหรือไอ้เปลว ก็กลายเป็นคุณเปลวของลูกน้องเก่าทรงเดช และกลายเป็นคุณปวิธในสังคมเซเลเบรตี้ของเมืองไทยที่ข่าวสังคมจับตามองในฐานะทายาทางการเมืองเพียงคนเดียวของอดีตนักการเมืองชื่อดัง

                วันที่เปิดพินัยกรรม สมศักดิ์ที่เป็นทนายความส่วนตัวของทรงเดชยื่นจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้ปวิธ


                “เป็นจดหมายที่ท่านเขียนด้วยลายมือตนเอง ในวินาทีก่อนที่ท่านจะป่วยหนักครับ ท่านเขียนและให้เลขาของท่านมอบให้ผมเก็บไว้ให้คุณเปลวในวันที่ท่านจากไปแล้ว”


                 ปวิธรับจดหมายฉบับนั้นมาเปิดอ่าน วันที่เขียนจดหมายตรงหัวกระดาษคือวันสุดท้ายที่ปวิธได้พูดคุยกับทรงเดชและสารภาพความจริงว่าเขากับสนฉัตรมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ข้อความในจดหมายทำให้เขาระลึกถึงพระคุณของทรงเดช ไม่ว่าในสายตาของคนทั่วไปลุงของเขาจะเป็นคนเลวเช่นใดก็ตาม



              “ถึงเปลว


              วันที่เขียนจดหมายฉบับนี้ลุงยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ลุงรู้ดีว่าคงอยู่ได้อีกไม่นานเพราะร่างกายย่ำแย่เหลือเกิน เพียงแต่ลุงยังไม่อยากบอกใครเท่านั้น

              เรื่องที่หลานกับสนฉัตรมีอะไรกัน ก็จงอย่าคิดว่าตัวเองผิดต่อลุง เพราะเรื่องราวทั้งหมดที่ผิดก็เริ่มจากลุงก่อน ที่เสือกไปหลงรักเด็กมันและก็ทำผิดต่อมัน ลุงเลี้ยงสนแบบผิดๆ และชีวิตช่วงเด็กของมันก็เจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะ จิตใจของมันก็คงจะแสวงหาหลักยึด ซึ่งหลักอย่างลุงก็ดันไปเพิ่มบาดแผลให้มันอีก

           เมื่อครู่ลุงเพิ่งไล่มันไป อยากให้มันไปลองใช้ชีวิตของมัน แต่ลุงยังห่วงอยู่ดี ลุงฝากให้เปลวดูแลสนด้วย ถ้าไม่ไหวจริงๆก็เอามันกลับมาเลี้ยง ไม่มีใครที่รู้จักสนฉัตรดีเท่าเปลวอีกแล้ว

                 สมบัติของลุงมอบให้เปลวเพราะรู้ว่าเปลวจะรักษาไว้ได้ ขอให้เข้มแข็งนะหลานรัก”

                                                                                                   ทรงเดช




                 ลายมือโย้เย้ไม่มั่นคงบอกให้รู้ว่าคนเขียนต้องพยายามต่อสู้กับความทรมานของร่างกายแค่ไหน ตอนนั้นเองที่น้ำตาลูกผู้ชายของปวิธไหลลงมา ตลอดเวลานับตั้งแต่ทรงเดชป่วยเขาไม่เคยมีเวลาเพื่อตัวเองแม้แต่วินาทีเดียว เขาต้องจัดการงานต่างๆ ของทรงเดชที่ยังคั่งค้าง ให้สัมภาษณ์กับสื่อ และดูแลตัดสินใจแนวทางการรักษาอาการทรงเดช เมื่อทรงเดชเสียชีวิต
ปวิธก็ต้องจัดงานศพ และต้องเข้าไปดูแลธุรกิจที่เพิ่งรู้ว่ามีชื่อของเขาเป็นเจ้าของ

                ผ่านไปเกือบสามเดือนเพิ่งจะมีวันนี้ที่เขาได้มีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง ปวิธอยากจะนอนนิ่งๆ และปิดการรับรู้จากเรื่องทั้งหมด แต่เขาก็ทำไม่ได้เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มือใหญ่คว้าโทรศัพท์ใกล้ตัวมารับด้วยน้ำเสียงเหน็ดเหนื่อย


                “ว่าไงพี่ดำ”


               ลูกน้องของทรงเดชหลายคนตัดสินใจทำงานให้ปวิธต่อ ซึ่งเขาก็ยินดีรับ และหากใครต้องการไปหางานที่อื่นปวิธก็มอบเงินก้อนหนึ่งให้ไปเป็นทุนด้วย


              “ได้เรื่องไอ้สนแล้วคุณเปลว”


               จากเปลวเฉยๆ กลายเป็นคุณเปลว ดำรีบรายงานข่าวด่วนที่ปวิธสั่งให้เขาตามหาตัวสนฉัตรมาได้พักใหญ่


               “พูดมาเลยพี่ดำ”


               ปวิธลุกขึ้นนั่ง หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นมา บอกไม่ถูกว่าเพราะเป็นห่วงสนฉัตรหรือเปล่า”


               “ตอนที่ไอ้โตมันเอาสนไปปล่อยน่ะ มันไปแถวเส้นเอเชีย พี่ก็ลองสืบไปเรื่อยๆ จนเจอว่าสนมันไปอยู่กับเศรษฐีไร่อ้อยแถวภาคเหนือชื่อบัญชา ไอ้เสี่ยนี่มันก็มีฐานะอิทธิพลพอตัวล่ะนะเพราะมันมีรถบรรทุกให้เช่าหลายคันด้วย”


               “ส่งรายละเอียดมาให้ผมด่วนเลยนะพี่ดำ”


               ปวิธกระวนกระวาย สามเดือนที่ผ่านมาถึงแม้จะวุ่นวายแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่ปวิธหลับตาก็ยังมีภาพของสนฉัตรมาปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ คล้ายกับว่าเขาจะไม่มีทางตัดเด็กหนุ่มคนนั้นออกจากชีวิตได้เลย






                “อ้าวเสี่ย วันนี้ต้องอยู่บ้านเมียไม่ใช่เหรอครับ”


              สนฉัตรเอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นเสี่ยบัญชาขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังเล็กที่ให้เขาอาศัยอยู่ในตอนเย็น บัญชาลงจากรถคล้องคอสนฉัตรให้เดินเข้าไปในห้องนอน


               “คิดถึงลื้อ เสน่ห์แรงว่ะสน อยู่กับลื้อมาจะสามเดือนแล้วยังไม่เลิกหลงเสียที”


               “ก็เข้าใจนะเสี่ย แต่ถ้าวันนี้เสี่ยไม่ไปนอนค้างบ้านเมีย อาฮัวของเสี่ยได้มาฉีกอกผมแน่”


              “ก็เอาลื้อสักน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวกลับน่า ลื้อไม่โดนฉีกอกหรอก แต่ต้องฉีกขาให้ฉันก่อน”


                บัญชายอมรับว่าเขาหลงเสน่ห์สนฉัตร เด็กหนุ่มที่เขาไม่เคยถามที่มาที่ไป เสี่ยใหญ่ไม่สนใจว่าสนฉัตรจะเป็นใครมาจากไหน เขารู้แต่ว่าร่างกายนี้ทำให้เขาสุขสมจนโงหัวไม่ขึ้น


                  เขามองรูปโฉมงดงามนั้น ติดตาตรึงใจยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนหรือแม้แต่ผู้ชายที่เขาเคยลิ้มลอง สนฉัตรมีความดึงดูดทางเพศสูงมาก กลิ่นกายหอมตามธรรมชาติชวนให้ฟอนเฟ้นไปเสียทุกส่วน เหมือนอย่างที่บัญชากำลังทำอยู่ในตอนนี้


                 “ตัวของลื้อมันหอมน่ากินจริงๆพับผ่า กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยอิ่ม”


                 บัญชาโลมเลียไปทั่วตัว กับสนฉัตรมันไม่ใช่แค่เซ็กส์ที่พอทำให้เสร็จไปอย่างขอไปที เด็กหนุ่มลีลาเด็ดบนเตียงเสมอ ท่าทียั่วยวนคล้ายแมวน้อยเอาแต่ใจทำให้บัญชาไม่อาจทำได้แค่พอให้น้ำแตก เขาอยากให้สนฉัตรสุขสมไปด้วยเพราะหากถึงเวลานั้นสนฉัตรจะหน้าแดงตัวแดงก่ำร้องครวญครางระงมจนคู่นอนเช่นเขารู้สึกดี


                 “เสี่ยจะพูดอีกนานไหม จะเข้าก็เข้าสักทีสิครับ”


                 หน้าหวานย่นหัวคิ้วใส่ บัญชาหัวเราะชอบใจก่อนจะจับขาเรียวแยกออกจากกันแล้วดันเอวเข้าไป ช่องทางของสนฉัตรกำลังดีสำหรับเขา ทางเข้าแน่นหนาภายในก็ไม่โหวงว่าง มันบีบรัดอุ่นร้อนเสียวซ่านถึงทรวง


               “ขี้บ่นจริงไอ้เด็กขี้ยั่ว เดี๋ยวจะจัดการให้บ่นไม่ออกเลย”


                บัญชาเริ่มจะลงพุงตามวัย แต่สนฉัตรก็ไม่เคยปากมากเหมือนเมียน้อยคนอื่น นี่เป็นอีกข้อที่บัญชาชอบ ใครๆก็ไม่อยากได้ยินคำพูดจาที่ทำให้หมดกำลังใจ เด็กหนุ่มฉลาดพอที่จะเรียนรู้ว่าเมื่ออยู่กับเขาควรทำอะไรให้เป็นที่พอใจ


                “อื้อ เสี่ย แรงดีนะครับวันนี้ แต่ อื้อ ขอด้านขวาแรงๆอีกนิดนะครับ”


               “ตรงนี้ใช่ไหม ได้เลย”


               เสี่ยใหญ่กระแทกเอวเข้าไปเต็มที่ สนฉัตรเปิดปากร้องครวญเสียงหวาน สะโพกกลมกลึงไม่ได้อยู่เฉย มันเด้งขึ้นลงรับกับแรงของบัญชาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเขาจะจับร่างบางนุ่มเนื้อพลิกซ้ายพลิกขวาปรับเปลี่ยนไปท่าไหน สนฉัตรก็จะรองรับได้ดีเสมอ


               “เสี่ย ฮึก เสียวจัง ไม่ไหวแล้ว”


               มือเรียวคว้าแก่นกายตนรูดรั้งเป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง หน้าหวายยกสูงหลับตาพริ้มจือปากสูดลมขณะใกล้ถึงฝั่งฝัน บัญชาเห็นอย่างนั้นจึงเร่งแรงติดตามเร็วรี่ก่อนที่หนุ่มใหญ่จะทิ้งกายลงไปบนอกเนียนพลางหอบจนตัวกระเพื่อม


                “ฉันว่าฉันคงจะขาดสนไม่ได้แล้ว”


                เขาจูบที่แก้มนุ่มอย่างหลงใหล สนฉัตรหัวเราะเบาๆ


                “อย่าให้เมียที่บ้านได้ยินนะเสี่ยประโยคนี้น่ะ”


                “ถามจริงๆเหอะสน สนคิดจะอยู่กับฉันไปอีกนานแค่ไหน”


                 บัญชาอยากรู้ ตอนนี้นอกจากอารีที่เป็นภรรยาตัวจริงแล้ว เขาไม่ได้มีใครอื่นอีกตั้งแต่พบกับสนฉัตร บัญชาคิดจะเลี้ยงดูสนฉัตรเป็นเรื่องเป็นราว


                 “ตอบตรงๆนะเสี่ย ตอนแรกที่มาอยู่กับเสี่ยผมก็ไม่รู้หรอกว่าชีวิตจะเป็นยังไงต่อ แต่อยู่ไปนานๆ เสี่ยก็เลี้ยงดูผมได้ไม่ต้องให้ลำบาก ให้ความสุขกับผมได้ เอาเป็นว่าถ้าเสี่ยยังเป็นที่พึ่งให้ผม คุ้มกะลาหัวผมได้ ผมก็ไม่คิดจะไปจากเสี่ยหรอกครับ”


                 “ตอบได้ดี” บัญชาหัวเราะชอบใจ “ถ้าลื้อยอมทำดีลงให้อาฮัวสักหน่อย ต่อไปถ้าอาฮัวมันใจอ่อน ฉันอาจจะพาไปอยู่ที่บ้านก็ได้นะ”


                สนฉัตรยิ้มรับ เขาจูบเอาใจเสี่ยใหญ่จนอารมณ์พิศวาสบังเกิดเสียอีกหนึ่งรอบกว่าบัญชาจะยอมถอนกายออกและยอมกลับบ้านของเขา





มีต่ออีกนิด...




หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 14 [15/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 15-07-2018 23:14:00


ต่อกันตรงนี้...




              บัญชาก้าวเข้าห้องนอนที่อารีนอนดูโทรทัศน์อยู่ หลังจากได้ไฟเขียวจากสามีหล่อนก็เก็บข้าวของเตรียมบินไปถลุงเงินที่บัญชาอนุมัติให้


               “กลับมาแล้วเหรอเฮีย”


                อารีลุกจากเตียงเดินเข้าไปกอด แต่กลิ่นที่ติดกายสามีมาทำให้รู้ว่าบัญชาเพิ่งจะไปบ้านเมียหนุ่มหน้าหวานมา อารีค้อนควักวงใหญ่


                “นี่ไปหาอีเมียตุ๊ดมาใช่ไหม เฮียบอกมานะ”


                 “อย่าโวยวายน่าอาฮัว”


                บัญชาปัดมืออารีออกพลางล้มตัวลงนอนอย่างสบายตัวเพราะสุขสมมาจากสนฉัตรเต็มที่แล้ว


               “ไอ้สนมันก็ไม่ได้มาระรานหรือเรียกร้องอะไรเลย ลื้อทำใจกว้างๆ หน่อยน่า ลื้อต้องยอมรับว่าบางอย่างลื้อก็ให้เฮียได้ไม่เต็มที่ เฮียก็ต้องไปหาจากที่อื่น ส่วนลื้อเฮียก็ไม่ได้ทอดทิ้งหรอก เฮียก็รักลื้อที่เป็นเมียเป็นแม่ของลูก แล้วเฮียก็ทดแทนให้ลื้อด้วยสมบัติจนตายไปก็เอาไปไม่หมด”


                “เฮียก็พูดอย่างผู้ชายเห็นแก่ตัว ผู้หญิงที่ไหนก็อยากจะให้ผัวมีเราเป็นเมียคนเดียวทั้งนั้นแหละ ฮัวไม่ดีตรงไหนเฮียก็บอกสิฮัวจะได้ปรับปรุงตัว ไม่ใช่ไปหาไอ้ที่ถูกใจที่อื่นแบบนี้แล้วโทษว่าเป็นความบกพร่องของฮัว”


                 อารีต่อว่าตัดพ้อก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องด้วยความน้อยใจ บัญชาส่ายหน้าระอาตามหลังภรรยาของตนก่อนจะเปลี่ยนช่องโทรทัศน์เป็นช่องกีฬา เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าไม่ใช่เบอร์ที่บันทึกไว้


               “ฮัลโหล บัญชาพูด”


               “สวัสดีครับเสี่ยบัญชา”


              เสียงนั้นยิ่งไม่คุ้นหู บัญชาตอบกลับเสียงห้วน


              “นั่นใคร โทรมาขายประกันหรือเปล่า ถ้าใช่อั้วจะด่าให้ยับเลยที่โทรมากลางค่ำกลางคืนแบบนี้”


              “ผมชื่อ ปวิธ วรพัฒนากุล โทรมาหาคุณเรื่องของสนฉัตร”


             คำแนะนำตัวยิ่งทำให้หัวคิ้วย่นเข้าหากันอีก นามสกุลของคนโทรมาคุ้นหูมาก และชื่อของสนฉัตรเรียกความสนใจจนถึงกับลุกขึ้นมานั่งคุยจริงจัง


            “สนฉัตร ใคร ไอ้สนงั้นหรือ คุณรู้จักมันหรือ”


             “รู้จักดีครับ สนฉัตรเป็นเด็กในความปกครองของคุณลุงของผม อดีตรัฐมนตรีทรงเดช วรพัฒนากุลที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน”


               บัญชาตาโต นักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ ใครบ้างจะไม่รู้จัก


               “แล้วยังไงครับ ทำไมคุณถึงต้องโทรมา”


              น้ำเสียงเสี่ยใหญ่เปลี่ยนไปเป็นนุ่มขึ้น คนระดับนี้โทรมาต้องมีอะไรที่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่


              “สนฉัตรอยู่กับคุณลุงของผมมาตั้งแต่เด็ก แต่มีเรื่องเข้าใจผิดกันรุนแรงจนสนฉัตรต้องออกไปเผชิญโลกด้วยตนเอง แต่ว่าตอนนี้คุณลุงก็เสียชีวิตไปแล้ว ท่านฝากให้ผมดูแลสนฉัตรต่อ ผมเพิ่งจะสืบหาได้ว่าสนฉัตรไปอยู่กับคุณ”


                “แล้วไง หมายความว่าคุณจะมาทวงไอ้สนคืนไปงั้นสิ”


               บัญชาเริ่มไม่สบอารมณ์ ยอมรับว่าเขาไม่อยากเสียสนฉัตรไป


                “อย่าใช้คำว่าทวงเลยครับ ผมเองก็ไม่ได้มีส่วนตัดสินใจแทน ชีวิตก็ยังเป็นของสนฉัตรอยู่ และที่สืบรู้มาเสี่ยก็ดูแลสนฉัตรได้ดี เพียงแต่ผมจะขอเวลาพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับสนฉัตรถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พูดจากันแล้วก็ขอให้สนฉัตรเป็นคนเลือก ถ้าหากสนเลือกอยู่กับเสี่ยอยู่ผมก็ไม่ขัดข้อง แต่ถ้าหากสนเลือกจะกลับมาอยู่กับผม หวังว่าเสี่ยเองก็คงไม่ขัดข้องหรือห้ามปรามเช่นกัน”


             เสี่ยใหญ่สะอึก ยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดจามีเหตุผลชัดเจน และดักทางหากเขาคิดจะบังคับสนฉัตรอีกด้วย บัญชาตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก


               “ก็ได้ คุณจะมาเมื่อไหร่”


                 “ผมจองตั๋วเครื่องบินได้เที่ยวพรุ่งนี้ตอนเย็น เมื่อไปถึงสนามบินผมจะโทรหาเสี่ยทันที ขอบคุณนะครับที่ยอมรับข้อเสนอของผม”


                เมื่อวางสายแล้วบัญชาก็ถึงกับกุมขมับ นามสกุลของคนที่โทรมาทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงแม้ว่าเขาเองก็มีอิทธิพลอยู่ในแถบนี้ แต่มันเป็นแค่ระดับท้องถิ่น ไหนเลยจะเทียบได้กับคนดังระดับประเทศ บัญชาได้แต่หวังว่าสนฉัตรจะเลือกอยู่กับเขาต่อแทนที่จะกลับไปยังที่ๆจากมา






                “เสี่ยว่างหรือครับวันนี้”


                สนฉัตรถามเมื่อเสี่ยบัญชามารับเขาในยามสาย สีหน้าของบัญชาเคร่งขรึมกว่าทุกวัน


               “ใช่ ฉันมารับสนไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน”


               สนฉัตรขึ้นรถยนต์ของเสี่ยบัญชาตามคำสั่ง เขาไม่กล้าเอ่ยถามว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรถึงได้ดูเคร่งเครียดเช่นนี้ ได้แต่นั่งเงียบจนมาถึงร้านอาหารชื่อดังของตัวจังหวัดจึงได้ลงจากรถเดินเข้าไปในร้านอาหาร


               “อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ”


                บัญชาเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ ทั้งสั่งอาหารที่รู้ว่าสนฉัตรชอบ ตักอาหารใส่จานให้จนสนฉัตรทนไม่ไหว


              “เสี่ย เป็นอะไรเนี่ย แปลกๆนะครับวันนี้”


               คนถูกถามถอนหายใจ เขาดึงมือนุ่มของสนฉัตรมากุมไว้


                “สน ที่ผ่านมาฉันทำดีกับสนใช่ไหม ความดีของฉันมันมากพอจะทำให้สนคิดรักฉัน คิดจะอยู่กับฉันตลอดไปหรือเปล่า สนเคยอยากจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมหรือเปล่า”


               คำถามของบัญชาทำให้สนฉัตรเอะใจ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ได้คุยกันมากไปกว่านั้นเมื่อมีเสียงทักทายจากด้านหลัง


               “อ้าว เสี่ยบัญชานี่เอง”


                บัญชาหันไปตามเสียงเรียก และบุคคลเจ้าของเสียงก็ทำให้เขาถึงกับลุกขึ้นยืนยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อม


               “สวัสดีครับท่าน สนลุกมาสวัสดีท่านเร็ว”


               ลุกขึ้นยืนพลางยกมือทักทายตามคำสั่ง เขาเป็นชายวัยใกล้หกสิบปีอยู่ในชุดตำรวจเต็มยศ ด้านหลังมีผู้ติดตามทั้งนอกเครื่องแบบและในเครื่องแบบ ดาวบนบ่าทำให้สนฉัตรที่เติบโตมาในบ้านนักการเมืองรู้ว่าบุคคลผู้นี้มียศเป็นถึงพลตำรวจโท เมื่อเหลือบมองป้ายติดหน้าอกสนฉัตรก็รู้ว่าเขาเดาถูก ชายวัยใกล้ชราผู้นี้ชื่อว่า พล.ต.ท.อาคม


                “ไม่เป็นไรเสี่ย คนกันเองทั้งนั้น แล้วนี่ใครล่ะ”


                 สายตาน่าเกรงขามจับจ้องมาทางสนฉัตร เขาอึดอัดไม่น้อยเมื่อตกเป็นเป้าสายตา เสี่ยบัญชาอึกอักคำตอบ อาคมจึงยกมือห้ามพลางหัวเราะเบาๆ


             “เออๆ เข้าใจละ ไม่ต้องอธิบาย เราเข้าใจกันดีใช่ไหมเสี่ย นานๆ มาเจอกันทีต้องฉลอง สั่งอาหารมาอีกสิ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”


                สนฉัตรนั่งลง เขาได้แต่ปั้นหน้ายิ้มเฝื่อนเมื่อสังเกตได้ว่าอาคมมองเขาไม่วางตาในขณะที่สนทนากับเสี่ยบัญชา




                                                                  TBC


                                                 เครื่องบินที่อีพี่เปลวจองตั๋วไว้มากี่โมงฟระ


                                      :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:










หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 14 [15/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-07-2018 23:21:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

อะไรจะ sex appeal จัดขนาดนั้นหนอ

มีแต่ผู้(เฒ่า)มาหลงเสน่ห์เนี่ย  อิอิ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 14 [15/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-07-2018 10:14:18
โอ๊ยยยยย ตายๆ อะไรจะเสน่ห์แรงป่านนี้สน แล้วจะยังทันได้เจอเปลวไหมเนี่ย
ไม่ใช่อิตำรวจอาคมนี่จะขอสนจากตาเสี่ยไปก่อนนะแย่เลย
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 14 [15/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 16-07-2018 10:45:56
ไม่รอดอีกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 14 [15/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-07-2018 12:56:33
คนอะไรมีแต่คนแย่งยังก็ของเซลในห้าง จากที่ชีวิตรันทด ไหนจะเรื่องร้ายๆ ที่เข้ามาเพราะหน้าตาเป็นเหตุอีกละ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 14 [15/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 16-07-2018 14:05:11
จะมีคนของพี่เปลวคอยจับตาดูสน คอยช่วยอยู่ไหม...
ต้องมีสิ..ต้องมี.. :katai1:
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 28-07-2018 22:54:24




                                                                 วิมานไม้สน


                                                                  บทที่ 15




               “เขาใหญ่มากเหรอเสี่ย ถึงต้องหงอใส่เขาขนาดนั้น”



                สนฉัตรถามขึ้นหลังจากอาหารมื้อกลางวันจบลงและบัญชาพาเขาขึ้นรถขับกลับบ้าน อาการพินอบพิเทาที่มีต่อนายตำรวจยศสูงก่อนจากกันนั้นสร้างความข้องใจให้สนฉัตรไม่น้อย



              “ใหญ่สิวะสน” บัญชาตอบขณะจ้องมองถนนเบื้องหน้า



              “ก็คุมทั้งภาคเหนือล่ะ ต้องส่งส่วยเดือนเป็นแสน ไม่อย่างนั้นวิ่งรถบรรทุกไปก็โดนจับตลอดทางแน่ นี่ไม่ใช่เฉพาะของฉันรายเดียวนะ คนอื่นๆที่ต้องจ่ายมีอีกเยอะ มีอิทธิพลไปถึงอีสานด้วยเพราะก่อนหน้าย้ายมาเคยคุมแถวชายแดนฝั่งโน้น นี่ได้ข่าวว่าสิ้นปีนี้จะย้ายเข้ากรมไปรับตำแหน่งรองผู้บัญชาการเชียวนะ”



              ไม่แปลกใจนักเมื่อได้ฟังบัญชาเล่าถึงอิทธิพลของนายตำรวจคนนี้ การกินสินบนของเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องชินตาของสนฉัตรไปแล้ว แต่ที่สนฉัตรเป็นกังวลก็คงจะไม่พ้นสายตาที่มองมาทางเขาเกือบตลอดมื้ออาหารนั่นต่างหาก ได้แต่บอกตัวเองว่าอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้



              ขับรถมาได้ครึ่งทางกลับบ้านเช่าเสี่ยบัญชาก็ต้องรับโทรศัพท์ เขากดรับสายทั้งที่ยังขับรถอยู่



              “ฮัลโหล”



              “เสี่ยบัญชา ผมเองนะ อาคม”



               ชื่อของคนโทรหาทำให้บัญชาแปลกใจ



              “ครับท่าน มีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ”



              “มีสิ จำได้ว่าเสี่ยเคยเล่าให้ฟังว่าจะขนไม้ไปส่งทางกรุงเทพไม่ใช่เหรอ ถ้าทำจริงผมจะช่วยเปิดทางสะดวกให้”



              เสี่ยบัญชาแทบจะตะโกนด้วยความลิงโลด เขารีบกรอกเสียงนอบน้อมตอบทันที



              “ครับท่าน ผมมีโครงการมาพักใหญ่แล้ว ถ้าท่านช่วยงานคงเดินเร็วขึ้น ไม่ทราบว่าท่านจะให้ผมตอบแทนน้ำใจของท่านอย่างไรดีครับ”



             อาคมเงียบเสียงไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ



             “ตอนนี้เงินทองมีเยอะ ข้าวของก็ใช้ไม่หมด ถ้าเสี่ยมีน้ำใจจะตอบแทนผมก็ขอเป็นเด็กที่มากับเสี่ยได้ไหม”



              เสี่ยบัญชาเหยียบเบรกจนรถสะเทือน เคราะห์ดีที่ไม่มีรถขับตามหลังมา สนฉัตรตกใจอุทานเสียงดัง เขาแทบจะลอยจากเบาะรถ ดีที่ใส่เข็มขัดนิรภัยไว้



               “เสี่ย เบรกทำไม่เนี่ย หัวสนเกือบโขกกระจกแล้วนะ”




               บัญชารีบบังคับรถเข้าจอดข้างทาง เขาลงจากรถไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกเพราะไม่อยากให้สนฉัตรได้ยินบทสนทนา



                “ท่านครับผมขอร้อง ผมคิดจะเลี้ยงดูไอ้สนมันจริงจัง ถ้าท่านอยากได้อะไรผมจะหามาให้ แต่ขอให้ผมเก็บสนไว้เถอะครับ”



                 คำตอบของบัญชาไม่ได้ทำให้อาคมแปลกใจนัก มีเรื่องที่บุรุษสูงวัยผู้มากไปด้วยอำนาจไม่ได้บอกกับเสี่ยใหญ่ เรื่องที่เขาเพิ่งจะติดต่อกับอารีภรรยาของบัญชาเมื่อเย็นวานนี้ ฝั่งนั้นก็มีคอนเน็กชั่นกับเขาเช่นกันเพราะครอบครัวของอารีเองมีธุรกิจที่ต้องผ่านทางเขาอยู่ อารีเล่าเรื่องที่สามีหลงเด็กใหม่จนแทบไม่ได้จับงานอื่นให้ฟัง



               “หลงมากค่ะท่าน เป็นผู้ชายอายุยี่สิบได้มั้ง รูปร่างหน้าตาดียิ่งกว่าสาวๆอีก แต่มันหว่านเสน่ห์เก่งค่ะไม่รู้ไปลงนะหน้าทองที่ไหนมา เฮีนนี่หลงมันหัวปักหัวปำจนฮัวน้อยใจ เคยไปบ้านที่เฮียเช่าให้มันอยู่ทีนึง โดนไล่กลับอย่างกับหมูกับหมา โอ๊ย ไม่อยากจะเล่า แต่ฮัวว่านะ สเป็คท่านก็ราวๆนี้นะคะ ถ้าท่านเห็นหน้ามันอาจจะชอบก็ได้ ถ้าได้เห็นแล้วถูกใจลองขอเฮียดูสิคะ เฮียไม่กล้าขัดท่านหรอกค้า”



               เสียงเล็กเสียงน้อยของคนเป็นภรรยาทำให้อาคมอยากเห็นหน้าเด็กคนใหม่ของบัญชาที่อารีมาโฆษณาให้ฟังนัก ทำไมจะเดาไม่ออกว่าอารีใช้เขาเป็นเครื่องมือกำจัดเมียน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหากจะไปดูโฉมหน้าเสียหน่อย ลูกน้องของเขารายงานว่าเห็นเสี่ยบัญชาขับรถไปยังร้านอาหารชื่อดัง คงไม่แปลกถ้าเขาจะไปหาอาหารกลางวันใส่ท้องที่ร้านเดียวกัน
และผลปรากฏว่าเด็กใหม่ของเสี่ยบัญชารูปร่างหน้าตาถูกใจเขาอย่างที่อารีบอกไว้จริงๆ เขาแทบละสายตาจากเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้เลย และอาคมยอมเป็นเครื่องมือของอารีในครั้งนี้



                 “ผมเข้าใจเสี่ยนะ เด็กมันหน้าตาดีจริงๆเสี่ยคงถูกใจมาก แต่เสี่ยก็ต้องคิดถึงธุรกิจของเสี่ยด้วย ทั้งให้เช่ารถบรรทุกเอย ธุรกิจค้าขายไม้เอย มันก็ต้องอาศัยทางสะดวกทั้งนั้น อย่าเอาความมั่นคงมาแลกกับเด็กคนเดียวเลยมันได้ไม่คุ้มเสียหรอก เราสองคนติดต่อกันขอกันกินมากกว่านี้ อย่าให้มันจบลงแค่เด็กคนนี้เลยน่า”



               บัญชานิ่งงันเมื่อได้ยินคำขู่จากอาคม น้ำเสียงนั้นนิ่งเรียบก็จริงแต่เด็ดขาดจนเสียวสันหลัง เขากลืนน้ำลายลงคอเมื่อรู้ว่าต้องเสียสนฉัตรไปแน่ๆไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ทั้งจากคนที่สนฉัตรเคยอยู่ด้วยที่จะมาถึงในเย็นวันนี้หรือจากอาคมที่เอ่ยปากขออย่างถือไพ่เหนือกว่า แล้วเขาจะเลือกทางไหน ความเสียดายในตัวสนฉัตรวิ่งวนอยู่ในหัวสมองแต่บัญชาจำเป็นต้องทำ



              ถ้าหากจะรอคนที่ชื่อปวิธมาถึง สนฉัตรอาจเลือกเขาหรือไม่ก็กลับบ้านเดิม บัญชาก็จะไม่ได้อะไรเลย แต่กับอาคมที่คุมเกมเหนือกว่าอาจเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง เสียสนฉัตรไปเขาก็ยังมีโอกาสพบเจอเด็กใหม่คนอื่น หรือถ้ายังติดใจสนฉัตรอยู่ก็รอจนอาคมเบื่อหน่ายแล้วค่อยขอคืนมาก็ยังไม่สาย แถมยังได้ไฟเขียวในการขนส่งไม้อีกต่างหาก เมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วบัญชาจำเป็นต้องโยนความเสียดายทิ้งไป



                 “ท่านจะดูแลไอ้สนมันอย่างดีใช่ไหมครับ หรือถ้าท่านเบื่อมันแล้วส่งมันกลับมาหาผมจะได้ไหมครับ”



                  เสียงอ่อนข้อของบัญชาทำให้อาคมรู้ว่าฝั่งนั้นคงยอมยกให้แน่แล้ว เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มลง



                “ได้สิเสี่ย ผมจะเลี้ยงดูเด็กของเสี่ยอย่างดีไม่ต้องห่วง ถ้าเห็นว่าระยะเวลาเหมาะสมก็จะส่งกลับมาให้ดูแลเสี่ยต่อ”



                “แล้วท่านจะให้ผมพาสนไปหาท่านเมื่อไหร่ครับ”



                 “ตอนนี้เลย ผมต้องไปอีสานบ่ายนี้ จะได้พาเด็กไปเที่ยวด้วย เสื้อผ้าของใช้ไม่ต้องเอามา เดี๋ยวผมหาให้เอง ผมจะรออยู่ที่ถนนเลี่ยงเมืองนะ”



                อาคมวางสายไปแล้ว บัญชาเจ็บจี๊ดกับการสูญเสียโดยไม่ทันตั้งตัว นึกเห็นใจสนฉัตรไม่น้อยและรู้สึกผิดที่ใช้สนฉัตรเป็นเครื่องมือเพื่อธุรกิจ เขาลบความคิดเหล่านั้นด้วยการหาข้ออ้างให้ตัวเองว่าสนฉัตรก็ควรจะทดแทนบุญคุณที่เขาให้ความสุขสบายมาตลอดหลายเดือน และสนฉัตรก็ไม่ได้ไปตกระกำลำบากที่ไหน คิดได้ดังนั้นจึงเปิดประตูก้าวเข้าไปในรถ สีหน้าเคร่งเครียดของบัญชาทำให้สนใจสงสัย



              “เสี่ย ใครโทรมาถึงทำหน้าแบบนี้”



               บัญชาไม่ตอบคำถาม เขาสตาร์ทรถขับยูเทิร์นกลับไปทางเดิม ทำให้สนฉัตรยิ่งแปลกใจมากขึ้น



               “แล้วนี่จะไปไหนอีก”



               “เงียบๆหน่อยได้ไหมสน ฉันจะไปธุระ”



                 เสียงเข้มของบัญชาทำให้สนฉัตรต้องยอมนั่งเงียบและเก็บความสงสัยไว้ในใจ จนกระทั่งบัญชาขับรถยนต์มาถึงถนนเลี่ยงเมืองและจอดรถที่ป้อมตำรวจแห่งหนึ่ง เสี่ยใหญ่ลงจากรถด้วยสีหน้าไม่ดีนัก



              “ลงมาข้างล่างสิสน”



               ก้าวลงตามคำสั่งก่อนจะถูกบัญชาเกี่ยวแขนไว้และพาเดินเข้าไปด้านในป้อมตำรวจ สนฉัตรเอะใจเมื่อเห็นอาคมและลูกน้องนายตำรวจหลายคนยืนห้อมล้อมอยู่



             “เสี่ย นี่มันอะไรกัน!”



              สนฉัตรฝืนตัวไว้แต่บัญชายังยึดแขนเรียวไว้เหนียวแน่น ซ้ำร้ายนายตำรวจคนหนึ่งก้าวไปคุมเชิงตรงประตูอีกด้วย หัวใจของสนฉัตรเต้นรัวหวาดหวั่น เขารู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น



              “ไม่นะเสี่ย”



              “ผมพาสนมาส่งท่านแล้วนะครับ หวังว่าท่านจะรักษาสัญญา”



               “เสี่ย ทำแบบนี้ทำไม ไหนเสี่ยว่าจะปกป้องสน ดูแลสนไงล่ะ”



                ดวงตาคู่หวานเบิกกว้าง สนฉัตรละล่ำละลักพูดเสียงสั่น แต่บัญชากลับหลบตาเขา



                “ยกโทษให้ฉันเถอะสน ถ้าไม่ทำอย่างนี้งานของฉันต้องเจ๊งแน่ ฉันรักสนนะแต่ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้”



                “เสี่ย!”



                 สนฉัตรตะลึงมองอย่างคาดไม่ถึง แม้แต่คนที่คิดว่าจะคุ้มครองเขาได้ก็ยังขายเขาเพื่อผลประโยชน์ แล้วเขาจะเชื่อใจใครได้อีกเล่า



              “ไปเถอะเสี่ย ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งตัดเยื่อใยไม่ขาด ฉันบอกว่าจะช่วยเสี่ยก็คือช่วย เราไม่ใช่เพิ่งรู้จักกันเสียหน่อย”



               บัญชาหันมาสบตากับสนฉัตรอีกครั้ง เขาเองก็เสียใจที่ต้องทำเช่นนี้ แต่มันจำเป็นจริงๆ ใครเล่าจะกล้าสู้กับคนที่มีอิทธิพลเหนือกว่า บัญชาตัดใจก้าวเดินดุ่มๆออกจากป้อมตำรวจ สนฉัตรผวาจะก้าวตาม



                “เสี่ย อย่าไป”



                 ร่างของเขาถูกตำรวจคนที่เฝ้าประตูผลักจนเซกลับเข้ามายืนสั่นต่อหน้าอาคม นายตำรวจใหญ่ลุกขึ้นยืนมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาบ่งบอกถึงความพอใจ



                “อย่ากลัวไปเลย ชื่อสนใช่ไหม อยู่กับตำรวจจะกลัวอะไรเล่า ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอกน่า”



                “ท่านครับ ผมขอ ผมไม่อยากใช้ร่างกายทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว ปล่อยผมไปนะครับ”



               สนฉัตรยกมือไหว้น้ำตาไหลอาบแก้ม เขาชิงชังชะตาชีวิตที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ หัวใจของสนฉัตรปวดร้าวไปหมด แต่ดูเหมือนอาคมจะไม่สนใจเสียงอ้อนวอนของเขาเลย



                “ไปกันเถอะ เสียเวลามากแล้ว”



                เมื่อเจ้านายออกคำสั่งลูกน้องจึงรีบปฏิบัติตาม แขนข้างหนึ่งของสนฉัตรถูกหิ้วปีกให้เดินไปขึ้นรถตู้คันหนึ่ง คันเดียวกับอาคมที่ตามมานั่งเบาะเดียวกัน ด้านหน้ามีคนขับรถและนายตำรวจอีกคน ไม่มีใครหันมองทางเจ้านายและผู้โดยสารคนใหม่ สนฉัตรสะดุ้งเมื่อเสียงไซเรนรถตำรวจนำขบวนด้านหน้าดังขึ้น ด้านหลังมีรถตำรวจอีกคันประกบท้าย ทั้งหมดขับเคลื่อนออกจากหน้าป้อมตำรวจไปยังที่หมายใดสนฉัตรก็สุดจะรู้



                     สนฉัตรพิงศีรษะกับกระจกรถด้านข้างอย่างหมดแรง เขาปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มโดยไม่คิดจะเช็ดมันออกแม้แต่หยดเดียว






มีต่ออีกนิด....






หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 28-07-2018 23:03:54





                บัญชาไม่อยากกลับบ้านตนเองและไม่อยากกลับบ้านเช่าที่ปราศจากสนฉัตร เขาขับรถมายังโกดังเก็บรถบรรทุกและเก็บตัวอยู่ภายในจนค่ำมืด หลายชั่วโมงแล้วที่เขาส่งสนฉัตรบรรณาการต่อนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ความรู้สึกผิดเอ่อท้นจนเพิ่งจะเข้าใจความเจ็บปวด จนกระทั่งรถยนต์รับจ้างคันหนึ่งมาจอดด้านหน้า เขาจึงจำใจลุกออกไป


               “สวัสดีครับเสี่ย ผมชื่อปวิธที่โทรหาเสี่ยเมื่อวานนี้”


                 คนมาเยือนเป็นชายหนุ่ม หน้าตาท่าทางไม่น่าอายุเกินยี่สิบห้าปี สีหน้าของเขาราวกับพยายามระงับความตื่นเต้นไว้ขณะพูดคุยกับบัญชา ตามมาด้วยลูกน้องหน้าตาน่าเกรงขามอีกคนหนึ่งรออยู่ที่รถ บัญชาลำบากใจเพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้ามาเพื่อเหตุใด


              “ผมรู้ คุณปวิธใช่ไหม”


              “เครื่องบินดีเลย์ไปเกือบชั่วโมง ผมมาช้ากว่าที่นัดไว้ สนฉัตรล่ะครับ ผมขอคุยกับเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและให้เขาได้เลือกเองอย่างที่ผมบอกเสี่ยไว้”


               สีหน้าสลดของเสี่ยบัญชาทำให้ปวิธเอะใจ หรือว่าเสี่ยใหญ่คนนี้จะเล่นตุกติกอะไรกับเขา


              “ไอ้สนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”


               “อะไรนะครับ เสี่ยหมายถึงอะไร เราพูดคุยกันเข้าใจแล้วนี่ครับ”


                บัญชาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเงยหน้าสบตากับปวิธและพูดด้วยน้ำเสียงอัดอั้น


                 “ผมน่ะเข้าใจ ก็อยากจะให้ไอ้สนมันเลือกทางเดินของมันอยู่หรอก แต่มีคนอื่นชิงตัวมันไปเมื่อตอนเที่ยงนี้เอง คนที่ผมไม่กล้าขัดเขาไม่งั้นความซวยจะมาเยือน”


              ปวิธทั้งตกใจทั้งโกรธ จนดำที่มาด้วยก้าวเข้ามาถาม


              “เกิดอะไรขึ้นคุณเปลว”


               พยายามห้ามตนเองไม่ให้ปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อบัญชาอย่างยากเย็น ปวิธโกรธจนควันออกหู


             “ใคร คุณยกไอ้สนให้ใคร ไหนคุณบอกกับผมว่าคุณคิดจะเลี้ยงมันจริงจัง แต่พูดไม่ถึงวันก็ยกมันให้คนอื่นแล้วอย่างนั้นเหรอ”


              “แล้วจะให้ผมทำยังไงวะ” บัญชาเองก็น็อตหลุด “ใช่ว่าผมไม่เสียใจ แต่มันแม่งถือไพ่เหนือกว่า ถ้าผมไม่ยอมก็คงถูกหิ้วหายไปโผล่อีกทีเจอกลายเป็นศพแน่ ขั้นเบางานก็เจ๊งค้าขายไม่ได้ เป็นคุณจะทำยังไง”


                ปวิธกัดฟันข่มโทสะสุดชีวิต เขาเอ่ยถามเสียงเข้มจนบัญชาเองยังหนาวยะเยือก


                “บอกผมมา คุณยกไอ้สนให้ใคร”


                 “ผมบอกไม่ได้หรอก ผม...”


               “บอกมา!”


                 ตรงเข้าคว้าคอเสื้อของบัญชาและตวาดเสียงดังโดยมีดำยืนคุมเชิง ลูกน้องหลายคนของเสี่ยบัญชาที่อาศัยอยู่ในโกดังโผล่หน้ามาเมียงมอง บัญชาสบตาคมวาวเอาจริงของหนุ่มอ่อนวัยกว่าหลายปีแล้วถึงกับต้องกลืนน้ำลายเหนียวหนับลงคอ ถ้าปวิธหักคอเขาได้ก็คงจะทำ


                  “มันเป็นตำรวจชื่ออาคม พลตำรวจโทอาคม คุณเคยได้ยินชื่อไหมเล่า โว้ย เอาอะไรกับกูกันนักหนาวะ”


                   บัญชาปัดมือปวิธออกแล้วเดินหนีเข้าไปด้านในอย่างหงุดหงิด ปวิธยืนอึ้งสีหน้าเครียดจัด


                   “มาช้าไปแป๊บเดียวเอง”


                 ดำบ่นอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน ปวิธเดินนำดำกลับไปยังรถยนต์ที่เขาจ้างมา


               “กลับไปที่โรงแรมก่อน เราต้องคิดให้ถี่ถ้วนที่จะช่วยไอ้สนเพราะเรากำลังจะสู้กับคนมีสีและมีอิทธิพล”


                 ดำพยักหน้าเห็นด้วย สนฉัตรหลุดมือไปคราวนี้ไม่ใช่จะเจรจาได้โดยง่าย  ปวิธเคยได้ยินชื่อเสียงของอาคมมาก่อน เขาต้องหาวิธีให้รอบคอบเพื่อรักษาชีวิตของสนฉัตรไว้








              สนฉัตรนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาตั้งแต่ยามเที่ยงจนดวงอาทิตย์ลับแสงไปหลายชั่วโมงแล้ว เขาไม่ได้สนใจสายตาของอาคมที่มองเขาบ่อยๆ รวมถึงมือเหี่ยวย่นที่เอื้อมมาวางอยู่บนต้นขาของเขา จนกระทั่งรถตู้คันใหญ่เดินทางจากภาคเหนือมายังจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสานที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน  รถตำรวจนำขบวนและรถตู้จอดรถหน้าบ้านหลังใหญ่ที่มีรั้วรอบขอบชิด เมื่อประตูเปิดออกอาคมจึงออกคำสั่ง


                “ลงมาได้แล้ว”


                 กระทำตามราวกับเป็นหุ่นยนต์ อาคมเดินนำเข้าไปในตัวบ้านที่เปิดไฟสว่างไสว คนรับใช้ยังคล้ายเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยอีกด้วย อาคมหันมาออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิทหลายคนที่ติดตามกันมา


            “พักผ่อนที่บ้านคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปตรวจงานฝั่งโน้น พวกมึงจะเรียกสาวมาแก้เสี้ยนกันก็ได้นะ เดี๋ยวกูจ่ายค่าตัวให้”


              เสียงลูกน้องขานรับคำสั่งดังสะท้อนห้องโถง อาคมหันมองสนฉัตรที่เริ่มตัวสั่นราวกับรู้อนาคตอันใกล้


             “ตามมา”


              เหลียวมองรอบตัวสนฉัตรก็ยิ่งหวาดกลัว ไม่มีทางที่เขาจะหนีพ้นออกไปจากบ้านหลังนี้ได้เลย หวังให้ใครช่วยได้เล่าก็ทุกคนในบ้านหลังนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทั้งนั้น สนฉัตรเดินคอตกตามอาคมขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง จนกระทั่งก้าวเข้าไปในห้องนอนกว้างขวางตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรา เสียงประตูที่ปิดตามทำให้สนฉัตรสะดุ้งสุดตัว


              “ท่านครับ” สนฉัตรเข่าอ่อนก้มลงกราบกับพื้น “ผมขอร้อง ท่านเมตตาผมเถิดนะครับ อย่าทำอะไรผมเลย”


              อาคมวางอาวุธปืนลงบนโต๊ะตัวหนึ่ง เขาถอดเสื้อเครื่องแบบออกด้วยสีหน้าเฉยเมยราวกับไม่ได้ยินเสียงอ้อนวอนนั้น สนฉัตรผวาเมื่อแขนถูกกระชากให้ลุกจากพื้น อาคมจ้องมองเขาด้วยนัยน์ตากระหาย


               “ฉันก็เมตตาอยู่นี่ไงล่ะ อยู่ที่เธอนั่นแหละว่าจะทำตัวให้สมกับความเมตตาของฉันหรือเปล่า”


               ร่างเพรียวลอยละลิ่วสู่กลางเตียงกว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วไหลรินอีกครั้งกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น




                                                             TBC


                   อันนี้มันก็มีจริงอะนะ ไอ้เรื่องขอกันแบบนี้ ไม่พูดอะไรมากดีกว่า อยากสะท้อนสังคมให้รู้กันไว้

                                    :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:











หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 29-07-2018 00:04:33
อะไรมันจะโชคร้ายขนาดนี้กันสนฉัตร  :ling2: :ling1: :ling3:
ติดใจตรงปืนที่วางอยู่ที่โต๊ะ สนจะหยิบมาใช้ไหม..

 :pig4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-07-2018 00:40:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

เจอแต่พวกตัณหาจัดเนอะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-07-2018 00:48:43
สงสารน้องสนจัง
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 29-07-2018 02:26:16
เมื่อไหร่สนจะหลุดพ้นจากพวกตันหากลับซะที :ling2:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 29-07-2018 03:05:23
จะเรียกว่าวงจรอุบาทว์ได้มั้ย ชีวิตสนไปทำกรรมอะไรไว้ถึงต้องวนเวียนมีชีวิตแบบนี้ ผลัดจากคนโน้นมาคนนี้แล้วก็ไปคนนั้น กว่าสนจะได้ชีวิตตัวเองคืนจิตใจคงแหลกสลายไม่มีชิ้นดีแล้ว ต้องให้สนตายรึเปล่าถึงจะหลุดพ้น
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-07-2018 04:15:22
เชื่อและรู้ว่ามันมีแบบนี้จริงเรื่องเลี้ยงเด็กและขอกันเนี้ย ยิ่งพวกนกม ขรก แม้กระทั่งพวกศ พวกนี้ตัวดีเลย(ไม่ได้หมายถึงทุกคน) เกลียดมาก ยิ่งมาอ่านยิ่งเกลียดเข้าไปอีก นึกภาพออกเลย ไรท์ก็คงรู้เห็นไรมาบ้างละ(มั้ง)ถึงได้ยืนยันหนักหนาว่ามันมีจริง สะท้อนสังคม หึหึ!! ^^ //รวดเดียว15ตอน เหนื่อยจริง เหนื่อยไปกับสน ชีวิตบัดซบยังมีได้อีก แม่งเอ้ยยย!!! เรามองจากตรงนี้ใจนึงก็อยากให้สนฆ่าตัวตายไปซะ ตายไปซะเลยดีไหม(นะ) ถ้าจะไปเป็นอีตัวเรื่อยๆแบบนี้ แต่สน(คง)ไม่ทำหรอกเพราะถ้าจะทำคงทำไปนานแล้ว คงคิดว่าชีวิตมันต้องมีทาง ต้องมีสักวัน มันต้องมีสิที่จะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ ถึงได้รักษาชีวิตให้รอดอย่างนี้ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นคงสะบักสะบอมกันเลยทีเดียว ยังคิดอยู่ว่าถ้าเปลวช่วยออกมาให้หลุดพ้นนำหลับมาได้ ต้องพบจิตแพทย์ก่อนไหม ติดค้างในใจนึงคือสนจะเป็นโรคเสพติดเซ็กส์ไหม สนจะแยกออกไหม ไหนเซ็กส์ ไหนความรัก หรือเราคิดมากไป เริ่มเครียด  อินมาก 5555 //เราที่มองดูสนฉัตรกระเสือกกระสนไหว้วอนขอความเห็นใจไว้ชีวิต ช่างน่าเวทนาจริง อยากยื่นมือเข้าไปผ่านหน้าจอ ดึงสนออกมาซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำไม่ได้ คงได้แต่ฝากความหวังไว้กับเปลวว่าจะช่วยได้ แต่มันสะกิดใจตรงบทนำ ท้ายที่สุดแล้ว ชะตาชีวิตสนจะจบลงที่ข้างถนนหรือป่าว อะไรคือหัวใจที่หลงผิด โอวววว ไม่นะ มันช่างน่าเศร้า สนุกมากกกกค่ะ รอตอนต่อไป ตามติดชีวิตสน ขอให้รอดเจอทางออกที่ดี อย่าไปเรื่อยไปไกลกว่านี้เลย หดหู่ แต่ชอบจังเรื่องนี้ หึหึ!! F5 รอค่ะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-07-2018 06:36:18
คิดไว้แล้วว่าอิเสี่ยมันต้องขัดไม่ได้ เมื่อไหร่หนอชีวิตไอ้สนมันจะดีขึ้น ไม่อยากให้มันต้องติดโรคร้ายตายนะ อย่างงั้นมันก็น่าเศร้าเกินไปสนมันจะได้มีความสุขบ้างไหมนะ เศร้าจัง :hao5: กับชีวิตสน
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 15 [28/07/61]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 29-07-2018 20:40:15
เปิดอินโทรมาแบบนั้น คือสุดท้ายแล้ว
สนก็ฝันลมแล้งหรอคะ ดราม่าหนักเลย

ตอนนี้ถึงกับเครียด ทำไมชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้
พอจะหยุด ก็เลือกไม่ได้ ถูกจับโยนเหมือนสิ่งของ
สนเอ้ยย ถ้าไม่ติดใจคนชั่วแบบนั้น ตอนนี้ก็มีความสุขไปแล้ว

ลุงทรงเดชคือรักจริง ดูแลจริง และไม่ทอดทิ้งเลย สนพลาดเอง

เปลวตามสนกลับมาให้ได้นะ ถึงจะไม่เต็มร้อยแต่อยากให้พากลับมา
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 16 [02/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 02-08-2018 00:38:00



                                                           วิมานไม้สน

                                                             บทที่ 16



                เป็นครั้งแรกที่สนฉัตรนึกถึงทรงเดชผู้ที่เก็บเขาจากข้างถนนมาชุบเลี้ยง ตลอดเวลาตั้งแต่เข้าไปอาศัยในบ้านหลังใหญ่ บุรุษสูงอายุคนนั้นมองสนฉัตรด้วยนัยน์ตาที่ไม่เคยปกปิดได้ถึงความต้องการในตัวเขา ตอนนั้นสนฉัตรนึกถึงแต่การดิ้นรนให้หลุดพ้นจากความเลวร้ายของสถานสงเคราะห์เด็ก เขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนเริ่มโตเป็นหนุ่มน้อย


                เมื่อใกล้จบมัธยมต้นสนฉัตรมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในโรงเรียนรัฐบาลที่เขาเรียนอยู่ หน้าตาของเขาออกแนวหวานจนเรียกว่าดูดีกว่าผู้หญิงในโรงเรียนเกือบทุกคน จนเริ่มมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาข้องแวะแม้กระทั่งหนุ่มหล่อต่างโรงเรียนยังอาสามาส่งในตอนเย็นหลังเลิกเรียน สนฉัตรภาคภูมิใจกับความมีชื่อเสียงจนลืมนึกไปถึงคนที่ชุบเลี้ยงเขามา


                ทรงเดชรู้เรื่องในวันหนึ่ง วันที่เขาใกล้จะเรียนจบมัธยมต้นแล้ว เพราะผู้ชายจากโรงเรียนชายล้วนขับรถยนต์คันโก้มาส่งหน้าบ้านในวันที่ทรงเดชกลับมาถึงเร็วกว่าปกติและคุณหญิงอำไพไม่อยู่บ้าน วันนั้นเองที่ความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวของสนฉัตรกับทรงเดชเกิดขึ้นมา


               “กูส่งมึงไปเรียนก็เพื่อให้มีความรู้ ไม่ใช่แส่ไปหาผัว”


                ทรงเดชโกรธจนหน้าแดง ร่างบางเก้งก้างของสนฉัตรถูกลากเข้าไปในห้องนอนห้องใหญ่ของเจ้าของบ้าน สนฉัตรพยายามอ้อนวอนอย่างเช่นทุกครั้ง


                “ท่านครับสนขอโทษ ไอ้เจมส์มันแค่เพื่อนมันมาส่งสนเพราะโรงเรียนเลิกเร็ว เดี๋ยวสนไปบอกมันเองว่าอย่ามายุ่งกับสนอีก ท่านอย่าโกรธสนเลยนะครับ”


               เด็กหนุ่มที่เพิ่งผ่านพ้นวัยสิบห้าปีไม่นาน บัตรประชาชนที่เพิ่งใช้คำนำหน้าว่านายยังใหม่เอี่ยมในกระเป๋ายกมือไหว้แนบอก แต่ทรงเดชกลับยิ่งรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของในร่างกายนี้


               “มึงอยากให้กูหายโกรธมึงหรือสน ได้สิ กูมีวิธี”


                ทรงเดชตรงเข้าไปจับสนฉัตรถอดเสื้อผ้า เด็กหนุ่มตกใจหน้าซีดมือเรียวผลักไสแต่ก็ไม่พ้นแรงรักแรงหวงของชายวัยที่เรียกว่าปู่ยังได้สำหรับเขา ทรงเดชพร่ำพูดเพื่อให้สนฉัตรสำนึกทั้งที่อีกฝ่ายร้องไห้เปรอะเปื้อนใบหน้า


               “มึงนึกถึงข้าวที่มึงกินอิ่มท้อง คิดถึงหลังคาที่คุ้มหัวมึงอยู่ คิดถึงกูที่ดูแลมึงมาตลอดหลายปี เพราะอะไร เพราะกูรักมึงไงสน มึงต้องตอบแทนบุญคุณของกู ตอบแทนความรักของกู รับรองว่ากูจะดูแลมึงไปตลอดชีวิต”


                  เพราะคำทวงบุญคุณเหล่านั้นทำให้สนฉัตรต้องนอนนิ่งเพื่อให้ร่างกายเจ้าเนื้อระบายอารมณ์ลงมา ส่วนนั้นของทรงเดชไม่ได้ใหญ่โตจนสร้างความเจ็บปวดให้ร่างกายสนฉัตรมากนัก แต่ความชอกช้ำมันขยายวงกว้างอยู่ในหัวใจดวงน้อย แม้ว่าเขาจะนอนนิ่งให้ทรงเดชกอดเมื่อเขาอารมณ์เย็นลงแล้ว


                 “สน ขอโทษนะ สนเจ็บมากไหม ฉันโมโหมากไปหน่อย”


                 เมื่อรู้สึกตัวทรงเดชก็พูดจาหว่านล้อมได้น่าฟังด้วยประสบการณ์ของนักการเมืองผู้ช่ำชองมาตลอดชีวิตของเขา


                “ฉันรู้ว่ามันอาจจะเร็วไปหน่อยที่ทำแบบนี้ แต่สนก็รู้ไม่ใช่หรือว่าฉันรักสนแค่ไหน เร็วหรือช้าฉันก็ต้องได้ร่างกายของสนอยู่ดี สนอย่าโกรธอย่าน้อยใจไปเลยนะ อยากได้อะไรล่ะเสื้อผ้าใหม่ดีไหมเดี๋ยวฉันจะซื้อให้ ขอแค่สนทำให้ฉันมีความสุขอยากได้อะไรฉันจะให้ทุกอย่างเลย”


                 ทรงเดชจากไปแล้ว สนฉัตรรู้จากข่าวดังตอนที่อยู่กับเสี่ยบัญชา จากไปโดยที่สนฉัตรไม่มีโอกาสได้ไปแม้แต่เคารพศพหรือกล่าวอโหสิกรรม สนฉัตรในวันนี้มีชีวิตอยู่โดยปราศจากผู้ปกป้องอย่างแท้จริง


               เขาร้องไห้กับวินาทีแห่งความจริง วินาทีที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้มีอิทธิพลไม่น้อยกว่าทรงเดช แต่สำหรับอาคมไม่มีแม้แต่คำว่าปรานีต่อให้เขาคร่ำครวญจนคอแตกก็ตาม


                “ท่านครับ อย่า”


              สนฉัตรปกป้องตนเอง เขาดิ้นรน เข็มขัดหนังเส้นเขื่องที่เพิ่งหลุดจากเอวของอาคมถูกพันรอบข้อมือเล็กทั้งสองเพื่อให้พ้นจากความน่ารำคาญ อาคมเบิกตามองร่างเปลือยกลางเตียง ผิวพรรรณของเด็กหนุ่มกระตุ้นความต้องการของเขาจนพลุ่งพล่าน


               “ไอ้เสี่ยบัญชามันไปหาเด็กมาจากไหนวะ งานดีฉิบหาย”


               ยกมือลูบรอบริมฝีปากระบายความไฟราคะที่ลุกโชนขึ้นมา อาคมโถมกายลงไปบนร่างเพรียวก่อนจะจับท่อนขาแยกออกจากกัน เขาดันเอวเข้าไปโดยไม่สนใจว่าคนเบื้องล่างจะพร้อมรับกับแรงที่เขาใส่ไปหรือไม่ ยิ่งได้ยินเสียงกรีดร้องเขาก็ยิ่งย้ำแรงมากขึ้นไปอีก


                “ไม่ เจ็บ ปล่อยกูไป ฮือ”


                 ไม่มีทางต่อสู้ได้เลยจากผู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่บังคับขู่เข็ญ เขานึกถึงทรงเดชที่แม้จะเคยหักหาญน้ำใจแต่หลังจากนั้นก็ยังดูแลกันมา เขานึกถึงปวิธที่เคยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน เขารู้ว่าถึงแม้จะทะเลาะกันมาตลอดแต่ปวิธคือคนที่รู้จักความเป็นสนฉัตรที่สุด


               “ท่านครับ สนขอโทษที่หนีท่าน เปลว มึงมาช่วยกูที กูจะทนไม่ไหวแล้ว”


               น้ำตาของสนฉัตรหลั่งไหลจนตาบวมเมื่อต้องนอนนิ่งปล่อยให้อาคมย่ำยีร่างกายของเขาโดยไม่มีทางต่อสู้ได้เลย







              ปวิธขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพโดยปราศจากสนฉัตร เขาเคยคิดไว้แล้วว่าอาจจะไม่ได้สนฉัตรกลับมาแต่ปวิธอยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยเป็นความสมัครใจของสนฉัตร ไม่ใช่เพราะถูกส่งต่อให้ผู้มีอิทธิพลเช่นนี้ เขานั่งหน้าเครียดตลอดเวลา


              “กำลังจะขึ้นหม้อเลยมึงเอ๊ย”


               ดำสบถให้ฟังเมื่อหาข้อมูลจากวงในแล้วรู้ว่าอาคมกำลังจะได้ย้ายมานั่งตำแหน่งสำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ที่ลึกกว่านั้นวงในของดำแจ้งมาถึงธุรกิจสีเทาที่อยู่ภายในสีกากีของอาคม


              “คุมถนนเส้นภาคเหนือ สติกเกอร์ติดหน้ารถสิบล้อแผ่นละเป็นแสน คุมบ่อนทางชายแดนฝั่งอีสาน มึงจะเหมาหมดหรือไงวะ”


              “อยู่สายใครพี่ดำ”


              วงราชการก็ต้องมีเส้นสายเป็นเรื่องปกติ ปวิธรู้จักคนพวกนี้ไปถึงลำไส้ อาคมเองก็ต้องมีแบ็คหนุนหลังไม่อย่างนั้นก็คงไม่ก้าวหน้าขนาดนี้


             “เด็กปั้นท่านสมภพ”


               ชื่อของพลตำรวจเอกสมภพ รองผบ.ตร ทำให้ปวิธยิ่งคิดหนัก คู่ต่อสู้ของเขามีอำนาจใช่เล่น


              “ต้องคิดให้ถี่ถ้วนนะคุณเปลว ถ้าจะช่วยไอ้สน เราต้องงัดข้อกับตัวใหญ่”


              ดำเตือน เขาเห็นปวิธมานาน และสนิทกันพอสมควรจึงกล้าเอ่ยเตือนนายคนใหม่ ปวิธยังหนุ่มแน่นและเลือดร้อนพอตัว เขาไม่อยากให้ชายหนุ่มเสี่ยงกับความเดือดร้อน


               การตักเตือนของดำทำให้ปวิธเองก็ต้องไตร่ตรองอย่างหนัก เขาไม่เคยดูถูกว่าดำเป็นแค่บอดี้การ์ดของทรงเดช จริงอย่างที่ดำพูดว่าเขากำลังจะก้าวขาไปแหย่รังแตนของผู้มีอิทธิพล หากเป็นก่อนหน้านี้ปวิธจะไม่คิดมาก แต่บัดนี้เขามีผู้คนที่อยู่ภายใต้การดูแลที่เขาต้องคิดถึง การหักไม้ใหญ่ด้วยความรุนแรงอาจไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสม


               อาจจำเป็นจะต้องใช้ไม้ที่ใหญ่กว่ามาช่วย ปวิธไม่คิดถึงขั้นล้มไม้อย่างอาคมลง เขาขอแค่ดึงสนฉัตรกลับมาได้ก็พอแล้ว คิดได้ดังนั้นเขาจึงติดต่อไปหาไม้ใหญ่ที่พอจะเปิดทางให้เขาได้


                “สวัสดีครับคุณหญิงขจี ผมปวิธหลานของคุณลุงทรงเดชและคุณหญิงอำไพครับ”


                     คุณหญิงอำไพป้าสะใภ้เคยให้ปวิธช่วยขับรถไปรับไปส่งสมัยยังมีชีวิตอยู่บ่อยครั้ง เขาพอจะรู้จักบรรดาคุณหญิงไฮโซจากงานการกุศลและงานเลี้ยงต่างๆ ปวิธเลือกภรรยาของพล.ต.อ เอกชัย ผบ.ตรในขณะนี้เป็นใบเบิกทางสำหรับคนโนเนมอย่างเขา ชายหนุ่มค้นเบอร์โทรศัพท์จากสมุดนัดหมายของอำไพ โชคดีที่ยังไม่ได้ทิ้งไปหลังจากเสียชีวิต


                     “ขอบพระคุณครับที่จำผมได้ ผมมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่านเอกชัยครับ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับเรื่องงานแต่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อยากจะขอพบท่านเป็นการส่วนตัวครับ เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อะไรนะครับ เย็นนี้ที่บ้านท่าน ขอบคุณคุณหญิงมากครับ”


                  หวังแค่ว่าอำนาจที่สูงที่สุดของสายการบังคับบัญชาจะเปิดทางได้ ปวิธต้องการแค่ทางสว่างเพื่อเจรจากับอาคมขอให้เขาได้สนฉัตรกลับคืนมาเท่านั้น





มีต่ออีกนิด....


หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 16 [02/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 02-08-2018 00:45:04


ต่อกันตรงนี้...



               “ลุกขึ้นมาได้แล้ว ฉันจะต้องไปทำธุระอีก”


                เสียงคำสั่งดังขึ้นคล้ายกับร่างบางที่นอนฟุบอยู่บนเตียงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา สนฉัตรกลืนน้ำลายเหนียวหนับลงคอพลางพยุงตัวขึ้นด้วยความยากลำบาก ร่างกายของเขาบอบช้ำไม่น้อยจากความต้องการของอาคมที่นั่งอยู่ปลายเตียง


             “นี่เสื้อผ้าชุดใหม่ ไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้า อ้อ เธอทำให้ฉันสบายตัวมาก”


                สนฉัตรคว้าเสื้อผ้าชุดใหม่จากมือของอาคมโดยไม่มองหน้าชายสูงวัยสักนิด เขาเดินอ่อนแรงเข้าไปในห้องน้ำ สารรูปที่สะท้อนจากกระจกเงาทำให้น้ำตาไหลออกจากดวงตาบวมเป่ง สนฉัตรโผไปที่ชักโครกแล้วโก่งคออาเจียนออกมา เขาอยากจะตะโกนถามอะไรก็ตามที่ทำให้เขามีลมหายใจในโลกนี้ว่าเกลียดชังอะไรหนักหนาถึงต้องมีชีวิตที่บัดซบขนาดนี้


                แต่เมื่อยังมีลมหายใจสนฉัตรก็ยังต้องดิ้นรน แม้หนทางจะมืดมิดเขาก็ยังเชื่อว่าสุดทางข้างหน้าอาจจะมีแสงสว่างแม้เพียงน้อยนิดส่องทางให้บ้าง มือเรียวยันพื้นลุกขึ้นชำระล้างคราบคาวออกจากร่างและใส่เสื้อผ้าลวกๆ เขาก้มหน้านิ่งราวกับเป็นหุ่นยนต์ตามอาคมไปโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก


                ลงมาถึงชั้นล่างอาคมเดินนำไปที่โต๊ะอาหาร เขาชี้ให้สนฉัตรนั่งลงด้านข้าง จานอาหารวางลงตรงหน้าจากคนรับใช้โดยปราศจากเสียงเช่นกัน มีเพียงอาคมเท่านั้นที่ออกคำสั่งได้


                    “กินเสียสิ เรายังต้องไปกันอีกไกล”


                     สนฉัตรกินอาหารโดยไม่รู้รสชาติ กินเพื่อให้ร่างกายยังมีแรงต่อสู้กับเรื่องทุกอย่าง กินเพียงหวังว่าเขาจะยังมีลมหายใจอยู่ได้บนโลกเลวร้ายใบนี้


                     “อิ่มแล้วก็ไปกันได้”


                    อาคมลุกขึ้นยืน สนฉัตรจึงลุกตาม เดินผ่านนายตำรวจลูกน้องของอาคมที่ยืนรอเจ้านายจนขึ้นไปบนรถตู้คันเดิม สนฉัตรก้าวขึ้นไปนั่งตำแหน่งเดิม เขาไม่สนใจว่าอาคมจะมุ่งหน้าไปที่ไหนเมื่อรถตำรวจนำขบวนเริ่มเคลื่อนที่นำพาเขาและอาคมออกเดินทางจากบ้านหลังใหญ่


                 “เมื่อคืนฉันเอาเธอสะใจดีไหม”


                  คำพูดหยาบหูดังขึ้น สนฉัตรอยากจะหันไปกรีดร้องระบายความรู้สึกแต่เขาทำได้เพียงนั่งนิ่งมองภาพข้างทางนอกหน้าต่าง


                  “นานแล้วที่ไม่ได้เอาแรงขนาดนี้ ร่างกายเธอนี่มันออกแบบมาเพื่อเรื่องนี้หรือเปล่า”


                   “คุณไม่ควรดูถูกผม” สนฉัตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยผสมกับความเจ็บปวด “ผมไม่ได้สมัครใจมานอนให้คุณเอา คุณข่มขืนผม”


                 “ปากดีใช้ได้”


                  อาคมหัวเราะในลำคอ เขาถูกใจร่างกายของสนฉัตร ถึงแม้จะผ่านประสบการณ์มาแล้วแต่สนฉัตรทำให้เขากลับไปกระชุ่มกระชวยได้กว่าคนอื่นๆที่ผ่านมาของเขาเสียอีก


                   “กว่าจะถึงบ่อนก็อีกสักพัก เธอจะลองใช้ปากดีๆของเธอทำให้ฉันหายเบื่อได้ไหมล่ะ”


                    นายตำรวจที่นั่งคู่กับคนขับรถนั่งตัวตรงตามหน้าที่ เขาไม่ได้หันมองเมื่อเจ้านายใช้ฝ่ามือวางแนบท้ายทอยของเด็กที่หอบหิ้วมาด้วยแล้วกดลงมาจนใบหน้าอยู่ตรงจุดสำคัญ สนฉัตรอดสูใจนักเมื่อต้องใช้ปากในการเอาตัวรอดอีกครั้ง แต่หากไม่ทำเช่นนี้ร่างของเขาคงซุกอยู่กับพงหญ้าข้างทางเป็นแน่


                    ใช้ฟันขบซิปกางเกงแล้วรูดลง สนฉัตรใช้ลิ้นและปากจัดการให้อาคมจนระบายออกมา ชายสูงวัยหายใจหนักเมื่อปลดปล่อย ตอนนั้นที่เขายอมปล่อยมือจากท้ายทอยของสนฉัตร ชายหนุ่มเด้งตัวขึ้นสายตาจ้องมองอย่างเคียดแค้น มือบางยกขึ้นเช็ดรอบปากด้วยความรังเกียจ ตอนนั้นเองที่รถตู้จอดลง อาคมรูดซิปกางเกงกลับก่อนจะก้าวลงไปด้านล่าง สนฉัตรก้าวตาม เขามองรอบตัวอย่างตื่นตา


                    ระยะทางบอกให้รู้ว่าที่นี่คือชายแดนไทยกับเพื่อนบ้าน ท่ามกลางความเขียวชอุ่มของป่าเขากลับมีอาคารสูงสามชั้นใหญ่โตตั้งอยู่ นอกนั้นเป็นลานดินกว้างเต็มไปด้วยรถยนต์หลายระดับจอดคละกัน สนฉัตรเดินตามหลังอาคมและลูกน้องที่วันนี้อยู่ในชุดไปรเวท เข้าไปด้านในตัวอาคาร เสียงอึกทึกของผู้คนจำนวนมากและเสียงเพลงจากลำโพงดังลั่น


                  บ่อน!


                  เคยได้ยินมาว่าอาคมเป็นเจ้าของบ่อน สนฉัตรเพิ่งจะได้เห็นเต็มตา โต๊ะเล่นพนันตั้งอยู่ทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสอง นักพนันบางคนยิ้มแย้มเพราะมือขึ้น ส่วนใครดวงตกก็หน้าบูดหน้าบึ้ง อาคมเดินนำเขาผ่านขึ้นบันไดไปยังชั้นสามบนสุดที่จัดไว้เป็นบาร์เครื่องดื่ม มีนักร้องขึ้นร้องเพลงบนเวทีและมีเก้าอี้โซฟาให้แขกได้นั่งใช้บริการ ด้านข้างลึกเข้าไปด้านในหลังทางเข้าที่มีม่านบังตาแบ่งซอยเป็นห้องเล็กๆ หลายห้อง สนฉัตรรู้ในทันทีว่ามีเพื่ออะไร


                 อาคมเดินนำเข้าไปในห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ภายในมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ตั้งอยู่ ด้านข้างมาโซฟาชุดรับแขกราคาแพง เขาชี้ให้สนฉัตรไปนั่งตรงนั้น


                 “รอตรงนี้แหละ ฉันตรวจงานหน่อย”


                  ผู้จัดการบ่อนเดินตามเข้ามาส่งแฟ้มหลายแฟ้มให้อาคม เขาอธิบายที่มาที่ไปของรายได้ให้อาคมฟัง มีบ้างที่อาคมพยักหน้ารับรู้และบางครั้งเขาสบถออกมา ช่วงเวลานั้นสนฉัตรได้แต่นั่งนิ่งจนกระทั่งอาคมโบกมือให้ผู้จัดการหอบแฟ้มกลับออกไป เสียงแหลมแสบหูจึงดังขึ้นพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินสวนเข้ามา


                  “ท่านขา ท่านของหนูมาแล้ว คิดถึงท่านจังเลยค่า”


                  สตรีนางนั้นแต่งตัวน้อยชิ้นเปิดทั้งด้านบนด้านล่าง หล่อนก้าวเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจว่าใครอยู่ด้วย ตรงไปยังเจ้าของบ่อนและกอดคอหอบแก้มเอาใจชายสูงวัยทันที


                  “คราวนี้ท่านไม่มาหาหนูเป็นเดือน หนูคิดทึ้งคิดถึง หนูไม่ได้ปรนนิบัติท่านเลยนะคะ”


                  อาคมแกะมือที่เกาะอยู่อย่างรำคาญแต่ก็ไม่ได้ตัดรอนจริงจัง


                  “อย่าปะเหลาะให้มาก งานที่ใช้ให้ทำน่ะเข้าเป้าบ้างไหม”


                    “หูย ท่านขา หนูทำงานให้ท่านจนไม่ได้พักผ่อนนะคะ หาเด็กหน้าตาดีมาทำงานให้ท่านจนขอบตาดำขนาดนี้ท่านต้องให้รางวัลหนูด้วย ท่านไปดูเถอะค่ะ หนูได้เด็กใหม่ๆมาทำงานในบ่อนจนหลังๆลูกค้าตั้งใจจะมาหาเด็กของหนูอย่างเดียวแล้วนะคะท่าน”


                   สนฉัตรก้มหน้านิ่ง เขาเหยียดปากเมื่อได้ยินคำสนทนาของทั้งคู่ แม่เล้าดีๆนี่เองกับสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ทำ นอกจากการพนันแล้วที่นี่ยังให้บริการเรื่องบนเตียงด้วย


                   “เออ ดีแล้ว เธอทำงานดีรับรองได้โบนัสเยอะแน่ เออ สน หิวหรือเปล่า ออกไปหาอะไรกินก็ได้นะ บอกว่ามากับฉันไม่ต้องจ่ายเงินหรอก”


                    วินาทีนั้นที่สนฉัตรเงยหน้าขึ้นมา เขาเพิ่งเห็นใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งอยู่บนตักของอาคมเต็มสองตา เช่นเดียวกับผู้หญิงคนนั้นที่เงยหน้าขึ้น ทั้งคู่จ้องมองและสบตาก่อนที่จะเบิกตากว้างพร้อมๆกัน


                   หัวใจของสนฉัตรเต้นรัว ความทรงจำในวัยเด็กย้อนคืนมา เขาไม่ได้ไร้เดียงสาจนจำอะไรไม่ได้เมื่อตอนที่พบกับผู้หญิงคนนี้เป็นครั้งสุดท้าย ริมฝีปากสั่นระริกเมื่อพยายามเปล่งเสียงที่เขาอยากจะตะโกนแต่ทำได้แค่เพียงพึมพาแหบโหย


                   “แม่!”




                                                                 TBC


                                            แต่งบทนี้เครียดมาก สมองจะแตก สงสานสนฉัตร โฮ


                                                                          :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:





หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 16 [02/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-08-2018 07:17:39
คนอะไร ชีวิตจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ขนาดนี้ สงสารสนจัง
 :mew6:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 16 [02/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-08-2018 20:24:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

ชีวิตรันทดขนาด

มีแม่  ก็เป็นแม่เล้า

ตัวเอง  ก็เป็นดั่งนางบำเรอ 

เฮ้อ...
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 16 [02/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 02-08-2018 21:39:49
เครียดอุตส่าดองกะว่าคงผ่านช่วงรันทนสักวัน

ดันมาเป็นชุดเลยTT
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-08-2018 19:37:06



                                                                 วิมานไม้สน

                                                                   บทที่ 17




               ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนมองไม่เห็นเนื้อในที่แท้จริงเพ่งมองสนฉัตรด้วยความแปลกใจ แต่ที่เจ็บปวดสำหรับคนเป็นลูกก็คือไม่มีวี่แววของความตื่นเต้นดีใจปะปนอยู่บนสีหน้าเลยสักนิด สาวใหญ่ในวัยเฉียดสี่สิบก้าวเดินฉับๆมาหาสนฉัตรพร้อมกับถามเสียงห้วน


               “ไอ้สนเหรอ ไม่เจอกันตั้งนานหน้ามึงยังเหมือนเดิมนะ แล้วนี่มึงมาทำอะไรที่นี่”


                 สนฉัตรเคยจินตนาการอยู่บ้าง ถ้าหากว่าเขาได้พบกับผู้ให้กำเนิดอีกครั้งทั้งเขาและแม่จะมีปฏิกิริยาต่อกันอย่างไร แม่จะตื่นเต้นยินดีสวมกอดเขาด้วยความคิดถึงหรือไม่ หรือว่ามีแต่เขาฝ่ายเดียวที่อาจมีความหวังว่าแม่จะดีใจเมื่อได้พบลูกชาย นึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้และสนฉัตรก็ได้คำตอบแล้ว เขาอยากให้เวลาย้อนกลับไปเมื่อสักสิบนาทีก่อนหน้านี้ที่แม่จะก้าวเข้ามาในห้อง สนฉัตรจะรีบหนีไปให้ไกลเพื่อไม่ต้องสะเทือนใจกับความเป็นจริง


                  “รู้จักกันอย่างนั้นหรือ”


                  กลายเป็นอาคมที่เอ่ยขัดขึ้น จ๋ารีบหันไปฉีกยิ้มให้เจ้านายและชิงตอบทันที


                “เด็กข้างบ้านสมัยก่อนน่ะค่ะท่าน จ๋าเคยเลี้ยงมันมาตอนเด็กแต่ไม่นึกว่าจะได้เจอกันอีก ท่านจะตรวจงานใช่ไหมคะ เดี๋ยวจ๋าพาไอ้สนไปหาอะไรกินข้างนอกเองค่ะ”


                  อาคมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะก้มหน้าไปตรวจบัญชีรายรับรายจ่ายต่อ จ๋ารีบดึงแขนสนฉัตรออกมานอกห้อง จนได้อยู่เพียงลำพังสองคนจึงได้ปล่อยมือ สนฉัตรมองแม่ด้วยความน้อยใจ


                “แม่ออกจากคุกเมื่อไหร่”


                 จำได้ว่าจ๋าถูกจับเพราะเกี่ยวข้องกับพ่อเลี้ยงที่เป็นเอเย่นค้าขายยาเสพติดและถูกวิสามัญฆาตกรรมไป เด็กชายสนฉัตรในวันนั้นจึงต้องถูกส่งไปสถานสงเคราะห์เด็ก


                 “กูออกจากนรกนั่นมาหลายปีแล้ว”


                 จ๋าอยู่ในเรือนจำห้าปีเศษจึงได้กลับมาสู่สังคมภายนอก ในตอนนั้นผู้หญิงอายุสามสิบกว่าปีที่ไร้การศึกษาไร้ทุนทรัพย์จะมีหนทางหากินอื่นใดอีกเล่านอกจากกลับไปขายตัวแลกเงินอีกครั้ง แต่ด้วยร่างกายที่เริ่มโรยราก่อนวัยจริงเพราะกรำศึกหนักทำให้ลูกค้าเริ่มลดน้อยถอยลงจนต้องคิดหาวิธีอื่น โชคดีที่จ๋าได้มาทำงานในบ่อนใหญ่ของอาคมและเปลี่ยนทางหากินเป็นการเสาะหาหนุ่มสาวหน้าตาดีมาให้บริการกับลูกค้าในบ่อน และกับอาคมจ๋าก็มีความสัมพันธ์ด้วยบ่อยครั้ง เงินรายได้จากบ่อนมากโขพอจะทำให้ชีวิตสุขสบายมีเงินจับจ่ายโดยไม่ต้องยั้งคิด


                  “แล้วมึงล่ะมากับท่านได้ยังไง”


                  จ๋าไม่สนใจว่าสนฉัตรจะใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงสิบสองปีที่แยกจากกัน หล่อนลืมว่ามีลูกชายไปแล้วด้วยซ้ำ จนวันนี้จ๋าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเลือดก้อนหนึ่งเติบโตมาจากท้อง แต่ที่จ๋าสนใจคือท่าทีเอาใจใส่ของอาคมต่อสนฉัตร มันผิดสังเกตมาก หรือว่า....


                 “หรือว่าท่านเอามึง โอ๊ย กูไม่ยอมนะ มึงจะมาแย่งบ่อเงินบ่อทองของกูไม่ได้ ไอ้ลูกอกตัญญู”


                  จ๋าตาลุก หล่อนโวยวายและทุบตีสนฉัตรเหมือนตอนยังเด็ก สนฉัตรปัดป้องขอบตาร้อนผ่าว


                 “แม่ เลิกตีสนได้แล้ว สนโตแล้วนะ”


                  “ก็เพราะมึงโตน่ะสิ โตจนมาแย่งของที่เป็นของกูได้แล้ว จำใส่กะโหลกมึงไว้นะกูจะไม่ยอมเสียท่านไปแน่”


                  คนเป็นแม่สะบัดหน้าหนีเดินจากไป สนฉัตรหมดแรงยืนจนต้องทรุดนั่งอยู่ข้างผนัง เขาฟุบหน้าลงไปกับเข่าทั้งสองที่ยกขึ้นมากอดไว้โดยไม่สนใจว่าใครจะเดินผ่านไปมาหรือเสียงเพลงจะดังแค่ไหน แม้ว่ากระเพาะจะประท้วงดังโครกครากเขาก็ไม่แยแส จนกระทั่งเย็นย่ำอาคมจึงเดินมาพบเขา


                 “ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้”


                    เจ้าของบ่อนผู้มีอาชีพหลักเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ดึงแขนของเขาให้ลุกจากพื้น สภาพอิดโรยของสนฉัตรทำให้เขาต้องส่งเสียงห้วนดังลั่น


                  “อีจ๋า อยู่ไหน”


                   “ขาท่าน จ๋าอยู่นี่ค่ะ”


                 คนถูกเรียกเสนอหน้าออกมา หล่อนไปอาบน้ำแต่งหน้าสวยมาใหม่หวังจะรับใช้เจ้าของบ่อนและรับทรัพย์กระเป๋าตุงเช่นที่ผ่านมา แต่เมื่อมาถึงกลับถูกอาคมผลักศีรษะโขกกับกำแพงจนหน้าหงาย


                  “กูบอกให้มึงพาไอ้สนไปหาข้าวแดก แล้วทำไมสภาพมันถึงเป็นแบบนี้”


                 จ๋ากัดฟันกลั้นเสียงร้องอุทาน หน้าผากกระทบผนังปูนอย่างแรงจนบวมปูด หล่อนอยู่กับอาคมมานานจะพอจะรู้นิสัยเจ้านาย หากคร่ำครวญจะยิ่งถูกทำโทษซ้ำหนักกว่าเดิมอีก


                  “ท่านขา อาหารมันไม่ถูกปากเด็กมันไอ้สนมันเลยไม่กิน ไม่ใช่ว่าจ๋าไม่ดูแลนะคะ จริงหรือเปล่าไอ้สน”


                  หันไปคาดคั้นกับลูกชายที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง อาคมเห็นแล้วก็ยิ่งโมโหจนเงื้อมือใหญ่ตบลงบนใบหน้าของจ๋าเสียงดังสนั่น


                 “มึงจะไปไหนก็ไป”


                 “ท่านคะ แล้วท่านไม่ให้จ๋าไปดูแลท่านหรือคะ”


                 แม้จะเจ็บตัวแต่จ๋าชินแล้ว หล่อนไม่ชินกับเงินที่ใกล้จะขาดมือมากกว่า ภาพอาคมลากแขนสนฉัตรให้เดินตามไปยังห้องพักส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุดของชั้นสามทำให้จ๋าอยากจะกรีดร้อง นึกเจ็บใจที่สนฉัตรโผล่มาขัดลาภในวันนี้







               สนฉัตรยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่กลางห้อง แม้จะเป็นที่พักชั่วคราวเวลามาตรวจงานในบ่อนแต่มันก็ยังสุขสบายราวกับห้องในโรงแรมห้าดาว อาคมมองด้วยสายตากระหาย


                “ยืนนิ่งอย่างนี้คือมึงจะดื้อกับกูใช่ไหม รู้หน้าที่หน่อยอย่าให้ต้องลงมือเหมือนเมื่อคืนเลย”


                 ลมหายใจของสนฉัตรร้อนผ่าว ปวดกระบอกตาลามมาถึงจมูกเมื่อร่างกายต้องกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ใคร่ของผู้มีอำนาจเหนือกว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาจำเป็นต้องทำเพื่อยังมีแรงหยัดยืนในวันข้างหน้า เขานอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยปราศจากอารมณ์ร่วมและไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่อาคมก็ไม่ได้สนใจเมื่อตนเองนั้นระบายออกไปแล้ว สนฉัตรนอนมองเพดานพยายามไม่สนใจเสียงกรนดังสนั่นของอาคม


                    เขาใช้ชีวิตบนโลกนี้แค่ยี่สิบปี แต่เป็นยี่สิบปีที่ไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริง ถึงแม้จะเคยมีเงินทองใช้แต่นั่นก็ยังเป็นสุขจอมปลอมที่เขาหลอกตัวเอง หลอกเพื่อปกปิดความเลวร้ายที่สร้างความเจ็บปวดจนเหมือนอสุรกายดำมืด มาถึงตอนนี้สนฉัตรไม่ได้ต้องการเงินทองสิ่งล้ำค่าใดๆอีกแล้ว นอกจากใครสักคนที่อาทรสนฉัตรจากใจจริง


                      ไม่มีใคร ไม่มีใครเลย


                       สนฉัตรสะอื้นฮัก เขาร้องไห้จนตัวโยนกับอนาคตที่มืดมนไร้หนทางก้าวเดิน









                  “ไอ้พวกฝั่งโน้นมันเขม่น หาว่าเราไปดึงลูกค้ามันมาครับ มันก็เลยชอบมาตอดเล็กตอดน้อยเล่นงานเราทีเผลอ”


                   ผู้จัดการบ่อนบอกกับอาคมในตอนบ่ายจัดใกล้ถึงยามเย็น อาคมนั่งหน้าเครียดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


                   “อยู่คนละฝั่งคนละเขตแล้วมันจะมาหาเรื่องกันทำไมวะ วอนแล้วไอ้พวกนี้”


                    อาคมยังหัวเสียไม่เลิกเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แต่คนที่โทรมาทำให้เขาต้องปั้นเสียงนอบน้อมตอบกลับ


                   “สวัสดีครับพี่สมภพ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”


                    “กูน่ะไม่มีหรอก” พล.ต.เอก สมภพตอบกลับด้วยเสียงไม่สบอารมณ์เช่นกัน “ได้ข่าวว่ามึงหิ้วเด็กใหม่ไปทัวร์ชายแดนเหรอ ได้สืบที่มาบ้างหรือเปล่าว่ามาจากไหน”


                   อาคมขมวดคิ้ว ความแปลกใจมาเยือนกับคำถามของสมภพ เด็กใหม่ที่ว่าคงหมายถึงสนฉัตรที่เขาชิงตัวมาจากบัญชา ก็แค่เด็กเลี้ยงคนหนึ่ง ทำไมสมภพถึงกับโทรด่วนมาด้วยเรื่องนี้


                    “มันเป็นแค่เด็กของเสี่ยคนหนึ่งที่ผมคุมอยู่น่ะพี่”


                  “กูว่าไม่ใช่แค่นั้นหรอกมั้ง ไม่อย่างนั้นเอกชัยมันจะโทรมาหากูทำไม มันบอกว่าเด็กที่มึงหิ้วไปเป็นลูกบุญธรรมของนายทรงเดชที่เพิ่งตายไปไม่นาน”


                   อาคมขยับท่านั่งทันที ชื่อของอดีตรัฐมนตรีทรงเดชทำให้เขาร้อนขึ้นมาบ้าง


                  “ก็ตายไปแล้วจะเอาไงอีก เด็กมันก็มีอิสระแล้วไง”


                  “มันจะแค่นั้นที่ไหนเล่า ผู้ปกครองทางกฎหมายมันมีอยู่  โน่น  พอรู้ว่าเด็กอยู่กับมึงมันวิ่งไปเข้าทางเอกชัยโน่น แล้วเอกชัยมันก็โทรมาหากูให้กูบอกมึงว่าให้ปล่อยเด็ก แล้วมึงจะให้กูทำยังไง ถึงมันจะเรียนรุ่นเดียวกับกูแต่มันก็เป็นเจ้านาย นายใหญ่สุดสั่งมาแบบนี้ กูว่าถ้ามึงยังไม่อยากตกกระป๋องอย่าทำอะไรเสี่ยงๆเลยว่ะ แค่เด็กคนเดียวหาใหม่ก็ได้”


                  สมภพเกลี้ยกล่อมยาวเหยียด แต่อาคมยังดื้อดึง


                 “มันก็แค่ญาติรัฐมนตรีที่ตายไปแล้วหรือเปล่าพี่ แถมยังโดนคดีการเมืองจนจะถูกยึดทรัพย์แล้ว กลัวอะไรกับมัน”


                 “มึงก็พูดเพราะไม่รู้จริง” สมภพส่งเสียงดังมาทางโทรศัพท์ “ไอ้พวกนี้มันล้มบนฟูก เงินทองมันมีเยอะแยะแล้วก็แม่งรู้จักคนเยอะ มันไม่ได้เล่นมึงทางตรงหรอกแต่จะเล่นทางอ้อม ถึงขนาดเข้าทางหลังบ้านเอกชัยมันได้ แสดงว่าสายป่านมันก็แน่นพอตัว อาคม มึงอย่าเอาตัวเข้าแลกกับเด็กแค่คนเดียวเลยว่ะ ถ้าไม่เชื่อ ระวังจะไม่ได้ตำแหน่งที่หมายปองนะโว้ย”


                  คำเตือนของรุ่นพี่ที่ตนอาศัยเป็นใบเบิกทางทำให้อาคมถอนหายใจ ร่างกายของสนฉัตรยังหอมติดจมูก แต่สิ่งที่สมภพเตือนก็มีเหตุผลมากจนต้องยอมรับ


                  “ผมจะอยู่ที่นี่อีกวันสองวัน กลับไปผมจะพามันไปส่งคืนก็แล้วกัน”


                    ระหว่างนี้อาคมจะได้ตักตวงความสุขจากสนฉัตรเสียให้เต็มคราบก่อน แต่ประโยคต่อมาของสมภพทำให้อาคมถึงกับอึ้ง


                    “ไม่ทันหรอก เขาจะไปหามึงที่บ่อนและเจรจาขอตัวเด็กคืน คงไปถึงค่ำๆวันนี้แหละ มึงก็คืนๆเขาไปเถอะ แล้วอย่าไปทำอะไรเขาล่ะ อย่าลืมว่านี่สายตรงของเอกชัยนะโว้ยเจ็บนิดเดียวมึงนั่นแหละจะซวย”


                    สมภพวางสายไปแล้ว ชื่อผู้บังคับบัญชาสูงสุดในสายงานทำให้อาคมจำเป็นต้องตัดใจ สนฉัตรทำให้เขาติดใจก็จริงแต่อำนาจและเงินตรามีประโยชน์ต่อเขามากกว่า


                      แต่ยังไม่ทันจะคิดหรือทำอะไรมากกว่านี้ เสียงปืนไร้ที่มานัดหนึ่งดังเปรี้ยงบาดแก้วหู จากนั้นเหตุการณ์โกลาหลก็บังเกิดขึ้นภายในบ่อนที่อาคมเป็นเจ้าของ





มีต่ออีกนิด...






หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 03-08-2018 19:43:36


ต่อกันตรงนี้...



                   จ๋ามองสนฉัตรตาเขียว เป็นที่แน่นอนแล้วว่าความเข้าใจของหล่อนถูกต้อง ลูกชายที่เพิ่งจะกลับมาพบกันด้วยความบังเอิญเป็นเด็กใหม่ของอาคมจริงๆ และเท่าที่จ๋ารู้จักนายตำรวจใหญ่มานานจึงดูออกว่าบ่อเงินบ่อทองของหล่อนกำลังหลงสนฉัตรมากแม้จะไม่ได้แสดงอาการให้เห็นเด่นชัด

                  เมื่อทั้งคู่ออกจากห้องพักในวันรุ่งขึ้น อาคมพาสนฉัตรไปที่ร้านอาหารของบ่อนและสั่งอาหารหลายอย่างมาบำรุงบำเรอ ในขณะที่จ๋าได้แต่เมียงมองอยู่ห่างๆ หล่อนไม่ได้อยู่ในสายตาของอาคมแม้แต่นิดเดียว จ๋านึกไม่ถึงเหมือนกันว่าอาคมจะสนใจผู้ชายเพศเดียวกันด้วย หรือความสนใจนี้มีให้แค่ลูกชายของหล่อนเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดจ๋านึกอิจฉาสนฉัตรจนอารมณ์ของหล่อนไม่ดีนัก


                    “นึกว่าชีวิตจะเจริญรุ่งเรือง ที่ไหนได้ สุดท้ายแกก็ใช้ร่างกายแลกเงินเหมือนกันล่ะวะ”


                     จ๋าพูดเสียงห้วน ไม่มีความสงสารเห็นใจอยู่ในน้ำเสียงแม้แต่น้อย สนฉัตรน้อยใจจนเลิกน้อยใจ เขาได้แต่หันหน้าหนีแม่ไปทางอื่น จ๋าลุกขึ้นมาจับยึดหัวไหล่ของสนฉัตรแล้วเขย่าเหมือนตอนที่เขายังเด็ก


                    “มึงบอกมานะไอ้สน ว่ามึงทำยังไงท่านถึงได้หลงนัก ท่านเสียบรูมึงลึกขนาดไหน แล้วมึงใช้ท่าไหนปรนเปรอท่าน มึงบอกกูมาเดี๋ยวนี้ กูจะได้เอาไปทำบ้าง ว่าไงล่ะ หรือว่ามีไม้เด็ดแล้วแอบเก็บเอาไว้ใช้คนเดียว”


                     “แม่” สนฉัตรขัดขึ้นอย่างเหลืออด น้ำตาเอ่อคลอ “แม่ถามสนบ้างสิว่าสนเต็มใจไหม สนจะรู้สึกยังไงที่ถูกเขาทำเหมือนทาสแบบนี้”


                       “มึงจะต้องสนใจทำไม เกิดมาก็ใช้ร่างกายให้คุ้มสิวะไอ้ลูกโง่ มันเป็นทุนที่เราลงไปโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย ที่เหลือคือตักตวงจากไอ้พวกตัณหากลับพวกนั้น”


                        จ๋าจิ้มหัวลูกชายและสั่งสอนอย่างเห็นแก่ตัว หล่อนอาจจะด่าทอสนฉัตรรุนแรงกว่านี้ถ้าไม่มีเสียงปืนดังขึ้น


                        “กรี๊ด เกิดอะไรขึ้น”


                         จ๋ากรีดร้องดังลั่นแข่งกับสาวบริการคนอื่น ความอลหม่านเกิดขึ้นทั่วทั้งบ่อนเมื่อไฟฟ้าดับวูบลง นักพนันนักเที่ยวต่างวิ่งหนีกันอย่างโกลาหลท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นเสียงปืนนัดต่อไปจึงดังขึ้นมาติดๆกัน


                     “เดี๋ยว อีดาว มันมีอะไรกันวะ”


                      จ๋าคว้าแขนหญิงบริการรุ่นน้องคนหนึ่งมาถามด้วยความตกใจ ดาวละล่ำละลักตอบ


                     “เขาบอกกันว่าไอ้พวกฝั่งโน้นมันยกโขยงมาปล้นบ่อน ท่านพาลูกน้องไปสู้กับมันอยู่ แต่เราต้องหนีไปด้านหลังบ่อนก่อนนะพี่จ๋าเพื่อความปลอดภัย ไม่งั้นโดนลูกหลงไปด้วยแน่”


                      พูดจบดาวก็สะบัดแขนแล้ววิ่งจากไปในความมืด เสียงเอะอะเอ็ดตะโรของนักพนันผนวกกับเสียงปืนดังติดต่อกันหลายนัดโดยไม่รู้ว่าดังจากฝ่ายไหนทำให้สนฉัตรหวาดกลัวจนจะเป็นลม


                     “มึงจะยืนโง่อยู่ทำไม วิ่งสิวะไอ้สน ตามอีดาวไปทางด้านหลังนั่นแหละ”


                      จ๋าตวาดเรียกสติสนฉัตรกลับคืนมา เขาวิ่งตามดาวไปทางออกด้านหลัง ดีที่ดาวและจ๋าคุ้นเคยกับทางเข้าออกในบ่อนทั้งสามคนจึงออกมาทางประตูด้านหลังได้สำเร็จ เสียงปืนยังคงเกิดขึ้นภายในบ่อนอย่างต่อเนื่อง นักพนันที่หนีออกมาได้บ้างก็ไปที่รถยนต์ของตนและขับหลบหนี บ้างก็วิ่งเตลิดเข้าป่าเข้าพง แสงวูบวาบจากปลายกระบอกปืนยังมีให้เห็นจากด้านใน สนฉัตรได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง เสียงตะโกนของผู้ชายปะปนกันจนเขาตัวสั่นขณะวิ่งหนีตามดาวและจ๋าเข้าไปในป่าหลังบ่อน เขาวิ่งโดยไม่รู้ทิศทางจนกระทั่งดาวและจ๋าหยุดฝีเท้าลงกลางป่าไกลออกมาจากบ่อน เห็นเพียงประกายแสงของปืนอยู่ลิบตา


                     “หยุดทำไมวะอีดาว เรารอดแล้วใช่ไหม”


                      ถึงแม้จะทำงานในบ่อนมานานแต่จ๋าก็ไม่เคยมาในป่าด้านหลัง หล่อนชอบแสงสีชอบความเจริญจึงมักจะติดสอยห้อยตามพนักงานผู้ชายไปในเมืองเสียมากกว่า จ๋ากวาดสายตามองโดยรอบด้วยความหวาดหวั่นขณะที่สนฉัตรยังตกใจไม่หาย และเขายิ่งตกใจหนักขึ้นกว่าเดิมเมื่ออยู่ๆ ก็ปรากฏว่ามีผู้ชายหน้าตาโหดเหี้ยมราวสิบคนที่หลบซ่อนอยู่ในป่าก้าวออกมาล้อมรอบเขาและแม่ด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร จ๋าเอะใจจ้องมองดาวพร้อมกับเค้นเสียงถามด้วยความเจ็บใจ


                   “อีดาว มึงอย่าบอกนะว่ามึงเป็นนกต่อล่อกูออกมา หรือว่ามึงเป็นสายให้พวกมันเข้ามาปล้นบ่อน หือ อีดอกทอง”


                    ดาวแหงนหน้าหัวเราะสะใจ หล่อนเดินไปยืนเคียงข้างชายคนหนึ่งลักษณะคล้ายเป็นหัวหน้าคนพวกนี้


                     “กูก็ดอกทองเหมือนมึงนั่นแหละอีจ๋า อีสารเลว จำไม่ได้เหรอว่ามึงทำอะไรไว้กับกูบ้าง มึงไม่ใช่เหรอที่หลอกกูมาที่บ่อนให้ไอ้พวกแมงดามันข่มขืนกู บังคับให้กูขายตั๋ว อีสันดานเลว ผู้หญิงกี่คนแล้วที่มึงหลอกมา มึงยังไม่เห็นใจผู้หญิงด้วยกันเลย”


                      คำต่อว่ารุนแรงออกมาจากปากของดาว ยังจำได้แม่นถึงวันที่จ๋าเข้ามาตีสนิทและชักชวนมาเที่ยวในบ่อน สาววัยใสในตอนนั้นหลงเชื่อคำพูดของเพื่อนใหม่ ใครจะนึกว่าถูกหลอกมาให้พนักงานชายข่มขืนและบังคับให้ขายตัว หากไม่ยอมก็จะถูกทำร้ายร่างกาย ดาวไม่กล้าแจ้งความเมื่อรู้ว่าเจ้าของบ่อนเป็นนายตำรวจ เมื่อทนกับความเจ็บปวดไม่ไหวดาวจึงต้องยอมขายตัวในที่สุด พวกมันจึงได้เลิกควบคุมตัว ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาดาวไปรู้จักกับผู้ชายประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นหุ้นส่วนของบ่อนฝั่งนั้นโดยบังเอิญ เขาให้ดาวเป็นสายให้และดาวไม่ปฏิเสธ หล่อนเกลียดอาคม เกลียดจ๋า เกลียดทุกคนในบ่อนแห่งนี้


                       “เมียจะให้ผัวทำยังไงกับมัน”


                        เสียงภาษาไทยแปร่งๆจากผู้ชายที่ยืนข้างดาวถามขึ้น ดาวหันมายิ้มเยาะใส่คนที่หล่อนเกลียดชัง


                      “ให้ลูกน้องพี่จัดหนักเลยสิ เอาที่สบายใจเลยกว่าเพื่อนของพี่ทางโน้นจะเคลียร์ที่บ่อนได้ เดี๋ยวหนูจะรีบกลับไปทำทีเป็นไม่รู้เรื่องอะไรจะได้ไม่มีความผิด ส่วนอีจ๋านี่จะทำยังไงก็เอาเลย”


                    ดาวหันมาหาสนฉัตร คนแปลกหน้าที่บังเอิญติดตามมาด้วย ดาวไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นใคร เห็นแต่ติดตามอาคมมาและจ๋าก็พูดคุยอยู่ด้วยตั้งนาน


                      “ขอโทษนะ ช่วยไม่ได้ที่เสือกตามมาไม่ดูตาม้าตาเรือ ซวยตามอีจ๋าไปก็แล้วกัน”


                     “อีดาว อีดาว มึงกลับมาเดี๋ยวนี้นะ อีตอแหล”


                     จ๋าตะโกนลั่นแต่ดาวก็ไม่สนใจ หล่อนใช้ความเป็นคนในพื้นที่ชำนาญเส้นทางวิ่งจากไปในความมืด ทิ้งให้จ๋าและสนฉัตรตกอยู่ในวงล้อมของผู้ชายกลัดมันนับสิบ คราวนี้จ๋าตกใจกลัวจริงๆ เพราะรู้ดีว่าพวกมันไม่ได้หมายแค่สุขสมแน่ๆ


                  “พวกพี่ ฉันขอร้อง” จ๋าก้มลงยกมือไหว้สีหน้าตระหนก “อย่าทำอะไรฉันเลยจ้ะ ฉันแก่แล้วสารรูปเหี่ยวแห้งไม่ถึงใจพี่หรอก อย่าทำอะไรเลยนะ ถ้าพี่อยากจริง”


                    ดวงตาหลุกหลิกเอาตัวรอดหันมาทางสนฉัตรจนเขาสะดุ้ง


                   “ไอ้สนนี่เลยจ้ะพี่ มันยังเด็ก หน้าตาสะสวยกว่าผู้หญิงอีก มันรับมือพวกพี่ได้แน่จ้ะ”


                     “แม่!”


                     สนฉัตรทรุดฮวบลงกับพื้นดินแข็งกระด้างเมื่อคนเป็นแม่เอาตัวรอดด้วยการส่งเขาให้กลายเป็นเหยื่อแทนตัวเอง


                   “ไอ้สน มึงอย่ามามองกูแบบนี้ มึงเป็นลูกนะ ต้องเสียสละทดแทนบุญคุณที่กูอุ้มท้องมึงมาสิวะ หลับหูหลับตาให้พวกพี่ๆเขาเอาคนละยกพี่เขาก็พอใจแล้ว เดี๋ยวเขาก็ปล่อยเราไป ใช่ไหมจ๊ะพี่ๆ”


                    ดวงตาของสนฉัตรพร่างพรายด้วยหยาดน้ำตา หัวใจดวงน้อยแหลกสลายไม่มีชิ้นดีเมื่อแม้แต่คนที่ควรจะปกป้องสนฉัตรมากที่สุดก็ยังทำร้ายจิตใจของเขาจนยับเยิน


                    “มึงนี่มันเลวอย่างที่อีดาวบอกจริงๆ”  จ๋าถูกชายคนนั้นถ่มน้ำลายใส่


                     “แม้แต่ลูกในไส้มึงยังขายเพื่อเอาตัวรอดได้ แต่เลวอย่างนี้ก็เหมาะกับพวกกูแล้ว ส่วนไอ้หนู ช่วยไม่ได้นะที่แม่ของมึงพามึงมาร่วมวงด้วย กูจะปล่อยมึงไว้ให้มาชี้ตัวพวกกูไม่ได้หรอก แต่หน้าตายั่วแบบมึงจะให้ตายตามแม่ไปเฉยๆก็คงไม่ดี เอาเป็นว่ากูจะให้มึงร่วมความสนุกขึ้นสวรรค์ไปกับพวกกูก่อนจะตามแม่มึงไปก็แล้วกันนะ”


                      สนฉัตรตกใจแทบสิ้นสติ เขาตะเกียกตะกายหนีแต่กลับถูกดึงข้อเท้าลากกลับมา ร่างบางดิ้นรนขัดขืนอยู่บนพื้นดินแข็งกระด้าง เบื้องบนที่มองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ากลับมีใบหน้าหื่นกระหายของชายฉกรรจ์ล้อมรอบอยู่ สนฉัตรตะโกนร้องแต่ปากของเขากลับถูกมือใหญ่ปิดไว้จนแทบหายใจไม่ออก หมัดหนักของใครบางคนกระแทกลงมาที่ลิ้นปี่จนสนฉัตรตัวงอหมดแรงดิ้นรน แขนขาของเขาถูกจับแยกออกจากกัน สติของสนฉัตรดับวูบลงจนไม่รู้อีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้




                                                                TBC

                                         เดี๋ยวๆๆๆ เรารู้ว่าพวกเธอจะพูดอะไรกัน ฮืออ

                                             ตอนหน้าจบแล้วจ้า พรุ่งนี้ค่ำๆมารออ่านกัน


                                                :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:








หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 03-08-2018 20:10:58
หดหู่
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 03-08-2018 20:52:23
ไม่กล้าอ่าน รอจบเลยนะ เราเซ๊นซิทีพ ขอดูก่อนว่าจบแบบไหนแล้วค่อยย้อนเถอะโลกแม่งโคตรใจร้ายกะสนมากเลย ขอให้ท้ายที่สุดสนมีความสุขจริงๆนะ ขอให้เจอที่อยู่ของตัวเองซักที
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-08-2018 21:52:03
 :a5:
โอ๊ย...อะไรจะปานนั้นนะสน
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-08-2018 22:02:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

โอย.......ชีวิตคนเรามันจะรันทดได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

ชาติก่อนทำกรรมชั่วอะไรไว้น้อ  ชาตินี้ถึงต้องชดใช้กรรมเยี่ยงนี้เนี่ย?
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 03-08-2018 22:03:58
อ่านแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจชีวิตคนๆนึงมันจะเลวร้ายได้ขนาดนี้เลยเหรอ ไม่มีดีอะไรเลยเจอแต่ความโสมมจากคนรอบข้าง นี่คาดหวังแบดเอนด์กับเรื่องนี้ไว้มากนะ ถ้าสุดท้ายสนฉัตรต้องจบชีวิตลงเพราะติดโรคนี่ก็จะไม่ว่าอะไรเลยจริงๆ เพราะชีวิตผาดโผนมากโดนคนโน้นลากไปคนนี้ลากมา ถ้าอยู่รอดปลอดภัยโดยที่ไม่เป็นอะไรเลยนี่คงไม่เมคเซ้นท์เท่าไหร่นะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-08-2018 23:24:40
ให้สนรอดปลอดภัยบ้างเถอะอุตส่าห์ตามตั้งแต่บทจนจะจบ :call:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 04-08-2018 03:28:49
คิดว่าไม่ใช่ความผิดของสนนะ เด็กมันอยากเลือกทางเดินชีวิตที่ดี แต่ผู้มีอำนาจชอบใช้ความตายมาข่มขู่.. เหี้-ยในโลกนี้มีเยอะ ไม่เห็นว่าคนอื่นเป็นมนุษย์ ตั้งแต่ทรงเดชลงมาเลย  ข่มเหงเอาเด็กครั้งแรก บอกชดใช้ด้วยพาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่(นี้โครตเฮี้ย)  ไม่พอใจก็สั่งเอาเด็กไปปล่อยทิ้งไว้ข้างถนน (ตายไป อยากชดใช้บาป  แล้วมันทันไหม  ขอให้ตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด)... คนแบบเสี่ย แบบอาคม แบบจ๋าส่วนใหญ่ไม่ตายดี ... เจอข่าวแบบนี้ในชีวิตจริงก็ด่าเหมือนกัน นั่งอ่านนิยายอยู่นี่ก็ด่า
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทที่ 17 [03/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 04-08-2018 06:55:35
 :hao5:
หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> Writer 's Talk [4/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 04-08-2018 19:06:36

Belove’s Talk



                ฮัลโหลววว แปลกใจกันล่ะสิที่คนแต่งมาทอล์กตอนนี้ ปกติจะคุยกันก่อนอ่าน หรือไม่ก็ตอนจบไปเลย     แต่เรื่องนี้บีเลิฟอยากมาคุยกับทุกคนก่อน ไม่ต้องแปลกใจน้า


                  เรื่องนี้โหดสุด ดราม่าสุด ปวดหัวที่สุดตั้งแต่แต่งนิยายมา ชีวิตใครจะโซแซดเท่าสนฉัตรอีกเล่า แต่หากทุกคนลองอ่านข่าวที่เกิดทุกวันขึ้น  จะรู้ว่าบีเลิฟหยิบจากข่าวในชีวิตจริงของมนุษย์เรานี่แหละ คนเราทุกคนไม่ใช่ขาวหรือดำสุดโต่ง เรามีมุมเทาๆ เพราะความเป็นมนุษย์ อาจจะโหดร้ายแต่อยากให้ทุกคนได้แง่คิดจากเรื่อง วิมานไม้สน นี้บ้างนะคะ


                อ่านจบแล้วได้โปรดช่วยบีเลิฟด้วยการรีวิวบอกเล่าความรู้สึก แสดงความคิดเห็นและช่วยโปรโมทให้บ้างในเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ก็ได้ บีเลิฟอยากให้มาอ่านกันเยอะๆ  สมกับยาพาราและยาคลายเครียดที่กินตอนที่แต่งเรื่องนี้ 555



                  ฝากน้องสนและพี่เปลวไว้ในอ้อมใจด้วยจ้า


        Belove
:m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1: :m1:





หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 18 [4/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 04-08-2018 19:37:06



                                                            วิมานไม้สน

                                                              บทที่ 18



                   เมื่อได้รับไฟเขียวจากตำแหน่งสูงสุดของสำนักงานตำรวจเปลวก็ไม่รอช้า เขาสั่งให้ดำจัดทีมลูกน้องฝีมือดีหลายคนขึ้นรถโฟร์วีลขับไปยังจังหวัดที่ตั้งของบ่อนนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดำไม่ประมาทจัดเตรียมอาวุธครบมือไปพร้อม


                   “อาได้ยินข่าวเรื่องอาคมมานานแล้ว ทั้งรับส่วยและธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ไม่อยากจะไปยุ่งเพราะเห็นเป็นคนของเพื่อน แต่คราวนี้มันแรงเกินไปจริงๆ เปลวจะไปรับน้องคืนก็ไปเถอะ เดี๋ยวอาจะเปิดทางให้เอง”


                    พล.ต.เอก เอกชัย เปิดทางให้เขาในทางลับ จึงไม่มีด่านตรวจค้นพบเจออาวุธปืนที่ลูกน้องของปวิธนำติดตัวมา เอกชัยยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ให้การช่วยเหลือปวิธอีกด้วย ดำบอกกับปวิธอย่างผู้มีประสบการณ์ว่า เอกชัยคงคิดจะขจัดเนื้อร้ายแต่ไม่กล้าออกหน้า เมื่อปวิธมาขอความช่วยเหลือก็ไปเข้าทางเอกชัยพอดี


                  “ไม่ว่าใครก็ต้องการผลประโยชน์ทั้งนั้นแหละพี่ดำ ของฟรีไม่มีในโลก แต่ในเมื่อผลประโยชน์ของเขากับผมมันเอื้อกันได้ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย” ปวิธตอบกลับเช่นนั้น


                  เดินทางมาถึงสุดขอบชายแดนไทยที่ตั้งของบ่อนใหญ่หลายบ่อนกระจายกันอยู่แนวตะเข็บชายแดนทั้งฝั่งไทยและเพื่อนบ้าน ท่ามกลางป่าไม้ขุนเขาโอบล้อมเมื่อถึงบ่อนแต่ละแห่งบรรยากาศราวกับคนละโลก แต่ละที่แข่งกันแย่งลูกค้าด้วยโต๊ะพนัน เหล้ายาและขายบริการ รถขับเคลื่อนสี่ล้อของปวิธเข้าเขตพื้นที่บ่อนของอาคม พวกเขากลับแปลกใจที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเหมือนกำลังมีการต่อสู้กัน คนขับรถของปวิธจำเป็นต้องหยุดดูสถานการณ์อยู่ด้านหน้าที่จอแจไปด้วยรถยนต์ของลูกค้าที่หนีตายกันออกมา ปวิธหน้าเครียดด้วยความร้อนใจเป็นห่วงสนฉัตร


                    “สวัสดีครับ ผมชื่อปวิธ ที่ท่านเอกชัยให้ผมมา” ปวิธโทรศัพท์ไปหาตำรวจในพื้นที่ที่เอกชัยให้เบอร์ไว้ “ผมมาถึงบ่อนแล้ว แต่มีการยิงต่อสู้กันอยู่ เกิดอะไรขึ้นครับ”


                    “คุณมาถึงแล้วหรือ ผมได้รับการแจ้งข่าวว่ามีการปล้นบ่อนเกิดขึ้น นี่ผมกับลูกน้องกำลังจะถึงบ่อนเหมือนกัน คุณใจเย็นก่อน”


                 จอดรถหลบรอข้างทางไม่นานรถตำรวจพื้นที่หลายคันส่งเสียงนำมาก่อน เจ้าหน้าที่ทุกคนลงจากรถกระจายตัวกันเดินปูพรมเข้าไปด้านใน ผู้กำกับสถานีตำรวจสั่งกำชับพื้นที่อยู่วงนอก ปวิธรีบเข้าไปแนะนำตัว


                    “ผมรู้แล้ว ท่านสั่งมาแล้วคุณอย่าเพิ่งวู่วาม ใครจะนึกว่าพวกที่ขัดผลประโยชน์กันมันคิดลงมือวันนี้พอดี ตอนนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ของผมก่อน”


                     ปวิธและลูกทีมยืนมองการปะทะกันอย่างกระวนกระวาย พักใหญ่เสียงปืนจึงเงียบลงและได้รับสัญญาณให้เข้าไปด้านในได้ ทั้งหมดจึงเข้าไปอย่างระมัดระวัง ทั่วทั้งบ่อนเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ที่เหลือนั่งรวมกันอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ หัวใจของปวิธแทบจะหล่นไปกองอยู่กับพื้น เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของสนฉัตรเหลือเกิน


                 “ผู้การอาคมเสียชีวิตแล้ว ถูกยิงตัดขั้วหัวใจพอดี” ผู้กำกับสถานีบอกเขาเช่นนั้น “คุณไปดูตามชั้นสองและชั้นสามก็ได้ว่ามีคนที่คุณตามหาหรือเปล่า”


                   ปวิธกับลูกน้องช่วยกันตามหาสนฉัตรทั่วทุกชั้นแล้วยังไม่พบแม้แต่เงา เขาลงมาหาเจ้าของสถานที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวหญิงสาวคนหนึ่งไว้ หล่อนหน้าซีดปากสั่น


                 “หนูไม่รู้เรื่องนะคะคุณตำรวจ หนูทำงานในบ่อนก็จริงแต่ใครทะเลาะกันหนูไม่รู้หรอกค่ะ”


                “ตอบให้เป็นเรื่องจริงนะอีหนู ตอบไม่จริงเจอข้อหาหนักพี่จะบอกไว้ก่อน”


                  คำขู่ของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งทำให้เจ้าหล่อนยิ่งสั่นด้วยความกลัว ปวิธตรงเข้าไปเปิดรูปสนฉัตรในมือถือให้ผู้หญิงคนนั้นดู


                  “ผมมาตามหาผู้ชายคนนี้ คุณเคยเห็นเขาไหม”


                 หน้าตาโดดเด่นขนาดนี้ เห็นแค่ครั้งเดียวก็ต้องจำได้แน่ แวบหนึ่งที่นัยน์ตาของผู้หญิงคนนี้มีร่องรอยจดจำสนฉัตรได้ ปวิธรีบกล่าวย้ำต่อไป


                  “เขาเป็นคนของผมเองเขาถูกพาตัวมาโดยไม่ได้เต็มใจ ผมมาช่วยเขาและรับเขากลับไป”


                  จุดประสงค์ที่ได้ฟังทำให้ผู้หญิงตรงหน้าลังเลใจ ก่อนที่จะพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน


                 “เขาหนีเข้าป่าทางหลังบ่อน คุณรีบไปสิ”


                ได้ยินดังนั้นปวิธก็ไม่รอช้า เขาพยักหน้ากับดำและรีบนำลูกน้องของเขาไปตามหาสนฉัตรทันที









            ฟ้ามืดลงแล้ว หรือว่าดวงตาของเขามองไม่เห็นอะไรอีก มีเพียงเสียงหายใจกระเส่า กักขฬะ เลวร้ายดังก้องเข้าไปในหู


              “อย่า กรี๊ด เจ็บโว้ย กูเจ็บ”


              ได้ยินเสียงแม่ดังแว่วเข้ามา เสียงกรีดร้องบาดหูก่อนที่เสียงนั้นจะจางลงไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปด้วยความทรมาน


             “ลูกพี่ อีผู้หญิงนี่มันตายแล้ว เอาไงต่อ”


              “พวกมึงเสร็จกันหรือยังล่ะ”


              “เสร็จกันหลายรอบแล้วพี่ ทั้งแม่ทั้งลูก รีดจนน้ำหมดแล้ว”


              “งั้นก็ไปกัน”


              “แล้วไอ้หนุ่มหน้าสวยเมียพวกเราจะส่งขึ้นสวรรค์เลยไหม แต่จริงๆมันก็ใกล้ขาดใจตายแล้วล่ะนะ”


             “จัดการไปเลยก็แล้วกัน จะได้จบๆไป”


                ลมหายใจรวยรินสะท้านเฮือก ดวงตาบวมเป่งปิดบังจนมองไม่เห็นอะไรอีก สติที่เหลือเพียงเล็กน้อยร่ำร้องถึงชีวิตที่ยังมีอยู่ หยดน้ำไหลจากหางตาเมื่อรู้ว่าในอีกไม่ช้าความทรมานจะจบลงแล้ว


                เสียงไซเรนดังแว่วจากบ่อนดังมาถึงในป่าเงียบสงัด พลันพวกคนโหดเหี้ยมสะดุ้งกันถ้วนหน้า


               “พ่อพวกมึงมากันแล้ว รีบหนีเร็ว ไอ้นี่ปล่อยมันไป ยังไงก็ไม่รอดหรอก”


               ฝีเท้ากระทบดินของพวกมันดังแว่วมาเป็นสิ่งสุดท้าย ทิ้งสนฉัตรไว้กับความเงียบสงัด มืดมิด ร่างบางที่แสนอ่อนล้านอนกองอยู่พื้นดินแข็งกระด้าง ลมหายใจแผ่วลงเรื่อยๆราวกับใกล้จะปลิดปลิวเต็มที่ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและคราบคาวไม่ต่างอะไรกับธุลีดิน


                สนฉัตรเจ็บจนด้านชา หนาวจนไม่รู้สึก เปลือกตาหนาหนักลืมเกือบไม่ขึ้นแต่ก็พอกะพริบจนมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้า ราวกับแสงระยิบระยับเหล่านั้นกำลังเชิญชวนให้เด็กหนุ่มไปอยู่กับมัน เขายกท่อนแขนสั่นระริกขึ้นช้าๆ ก่อนที่มันจะตกลงมาฟาดลงกับพื้นเพื่อบอกให้รู้ว่าไม่มีวันที่เขาจะเจิดจรัสเช่นดวงดาวได้

                อาจเป็นห้วงสุดท้ายที่สนฉัตรจะได้ระลึกถึงชะตากรรม หรือบางทีอาจเป็นการเลือกเดินเส้นทางที่พาไปสู่หายนะ ไม่ใช่ฟ้าลิขิตแต่เป็นหัวใจที่หลงผิด ภาพแห่งความหลังที่ทำให้เขาต้องพบจุดจบด้วยการนอนข้างถนนเหมือนหมาขี้เรื้อนค่อยๆฉายชัดอยู่ในมโนสำนึก


             “สน สนฉัตร ไอ้สน อยู่ไหน”


               เสียงใครบางคนแว่วมา ดังจากที่ไหนสักแห่ง เสียงนั้นชัดขึ้นเรื่อยๆ สนฉัตรคลี่ยิ้ม อาจเป็นยิ้มสุดท้ายเมื่อร่างของเขาถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดที่แสนอบอุ่น นั่นคือสิ่งสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไป





มีต่ออีกนิด...




หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทที่ 18 [4/8/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 04-08-2018 19:42:21


ต่อกันตรงนี้...




                ปวิธนั่งซึมอยู่หน้าหอผู้ป่วยวิกฤติของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในตัวจังหวัด ร่างที่เขาหอบหิ้วมาอาการหนักเกินกว่าจะไปกรุงเทพในช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มนึกถึงวินาทีที่เขาเห็นสนฉัตรนอนกองอยู่บนพื้น ร่องรอยบาดเจ็บถูกทิ้งไว้ทั่วตัวแต่เขาก็ไม่นึกรังเกียจขณะโอบกอด


                 “สน สน มึงลืมตามาคุยกับกูสิวะ ด่ากูก็ได้ที่กูมาช้า กูขอโทษ”


                  น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอย่างไม่นึกอายลูกน้อง ส่วนหนึ่งของความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับสนฉัตรมีสาเหตุมาจากเขา ปวิธอยากให้สนฉัตรลืมตามาด่า ต่อว่า ต่อยหน้าหรือทำอะไรก็ได้ ขอแค่ยกโทษให้เขาก็พอ


                 “คุณเปลว อย่าเพิ่งสติแตก ไอ้สนมันยังไม่ตายเราต้องรีบพามันไปหาหมอ”


                  ดำเป็นคนเรียกสติกลับมา ปวิธอุ้มสนฉัตรวิ่งออกจากป่าอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ลูกน้องคนหนึ่งที่มาถึงรถรีบสตาร์ทเครื่องคอย พวกเขาพาสนฉัตรมาถึงโรงพยาบาลได้ทันแต่ร่างกายของสนฉัตรอ่อนแรงเหลือเกิน ปวิธได้แต่เฝ้ามองผ่านกระจกกั้นและเข้าเยี่ยมได้ตามเวลาที่โรงพยาบาลกำหนด ทุกครั้งที่เข้าเยี่ยม เขาได้แต่เวทนาเมื่อเห็นสายน้ำเกลือระโยงรยางค์อยู่บนร่างกายนี้


               “ตื่นมาสิสน กูรอมึงอยู่”


               มือใหญ่ลูบเส้นผมที่บัดนี้แข็งกระด้าง บาดแผลตามร่างกายถูกชะล้างแล้ว เหลือแต่จิตใจที่ถูกทำร้ายเจียนตาย นายแพทย์เจ้าของไข้แจ้งอาการของสนฉัตรต่อเขาที่เป็นญาติเพียงคนเดียวเมื่อการรักษาผ่านมาแล้วสามวัน


                 “ร่างกายถูกล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ผมแจ้งแพทย์แผนกนิติเวชให้ทราบแล้วครับ เขาจะเขียนรายงานการตรวจร่างกายเผื่อเป็นคดีความให้ ผลการตรวจเลือดเบื้องต้นไม่พบการติดเชื้อเอชไอวี แต่คุณต้องพาคนไข้ไปตรวจซ้ำในอีกสามเดือนข้างหน้าเพราะอาจเป็นระยะฟักตัวของไวรัส ตอนนี้คนไข้พ้นระยะวิกฤติแล้ว หากคุณต้องการจะพาไปรักษาต่อที่กรุงเทพก็ได้ ผมจะส่งต่ออาการและการรักษาที่ได้ให้ไปกับสาขาที่กรุงเทพให้ และจะจัดรถกับพยาบาลไปส่ง”


                ปวิธเห็นดีตามนั้น เมื่อจ่ายค่ารักษาแล้วเขาจึงเดินทางมาพร้อมรถของโรงพยาบาลและให้ดำกับพวกขับรถตามมา เขากุมมือบางมาตลอดทางจนถึงโรงพยาบาลในกรุงเทพ จนล่วงเข้าสู่วันที่สี่หลังเหตุการณ์เลวร้ายเปลือกตาที่เริ่มยุบลงจึงเปิดขึ้น ปวิธตื่นเต้นเมื่อสนฉัตรตื่นจากหลับใหลเสียที


              “สน สน มึงเป็นยังไงบ้าง”


              นัยน์ตาเลื่อนลอยหันมาประสานกับเขา ปวิธคาดหวังว่าสนฉัตรจะด่าทอหรืออะไรก็ได้ แต่คำพูดแรกที่สนฉัตรเอ่ยออกมากลับทำให้หัวใจของปวิธเจ็บปวด


                “ใคร ใคร”


              ชายหนุ่มเรียกหมอเรียกพยาบาล สนฉัตรถูกส่งไปตรวจเอกซเรย์สมองซ้ำอีกครั้ง แพทย์เจ้าของไข้บอกกับปวิธว่าสมองไม่ได้รับความกระทบกระเทือนใดๆ และขอปรึกษาแพทย์แผนกจิตเวชให้มาตรวจร่างกายอย่างละเอียด


               “จากข้อมูลที่คุณเล่าให้หมอฟังและจากที่หมอประเมินแล้ว คนไข้ได้พบเรื่องสะเทือนใจมามากมาย จนเขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป คุณสนฉัตรจึงปิดกั้นการรับรู้ทั้งหมดและสร้างโลกของเขาขึ้นมาใหม่ โลกที่ไม่มีความเจ็บปวด”


                ปวิธใจหาย หมายถึงโลกใบใหม่ของสนฉัตรจะไม่มีเขาอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ


               “ต้องรักษาอย่างไรครับคุณหมอ สนฉัตรถึงจะกลับมาเป็นคนเดิม”


                “การรักษาด้านจิตเวชต้องอาศัยเวลา หากร่างกายของคุณสนฉัตรแข็งแรงกว่านี้หมอขอให้ย้ายไปโรงพยาบาลจิตเวชที่หมอทำงานประจำอยู่ คุณสนฉัตรจะต้องกินยาและช็อตด้วยไฟฟ้าเพื่อปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง เมื่อดีขึ้นหมอถึงจะให้กลับบ้าน ส่วนคุณที่เป็นคนใกล้ชิดจะต้องสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ ทำให้คุณสนฉัตรรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ แต่หมอให้คำตอบไม่ได้ว่าใช้เวลานานแค่ไหน หรือเขาจะกลับมาเหมือนเดิมร้อยเปอเซ็นต์หรือไม่ มันอยู่ที่ตัวเขาเองว่าจะยอมออกจากโลกของเขามาสู่โลกแห่งความจริงหรือเปล่า”





             1 ปีผ่านไป


                 ร่างสูงของปวิธเดินจากบ้านหลังใหญ่ไปยังพื้นที่ด้านหลังของอาณาเขต ที่ดินว่างเปล่าบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยบ้านไม้หลังเล็กที่เขาออกแบบเอง ไม้ที่ใช้สร้างบ้านปวิธใช้ไม้สนเป็นหลัก


                  “มันจะทนหรือว้าคุณเปลว ทำไมไม่ใช้ไม้เนื้อแข็งอย่างอื่นล่ะ ไอ้ไม้นี่มันดูเปราะๆยังไงก็ไม่รู้ ประเดี๋ยวก็พัง”


                  ดำเคยทักแบบนี้ตอนที่เขาออกแบบและสร้างมันขึ้นมาในช่วงที่สนฉัตรรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช เขายิ้มกับคำถามของดำ


                 “ไม่เป็นไรพี่ดำ มันพังผมก็สร้างใหม่ได้ เอาใจสนมันเสียหน่อย ถ้ามันเห็นจะได้ดีใจว่าสิ่งที่มันเคยอยากได้ตอนนี้เป็นเรื่องจริงแล้ว”


                 สนฉัตรรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชสองเดือนเต็มจึงได้กลับบ้าน ปวิธจ้างคนดูแลสนฉัตรในยามกลางวัน ส่วนกลางคืนเขาจะมานอนกับสนฉัตรที่บ้านไม้สนหลังนี้เกือบทุกคืน เว้นแต่ต้องไปงานเลี้ยงทางสังคมที่ต้องกลับดึก หรือไปต่างจังหวัดจึงจะจ้างคนดูแลเป็นกรณีพิเศษ การกระทำของเขาทำให้ดำซึ่งกลายเป็นมือขวาส่ายหน้าระอา


               “บ้านหลังเบ้อเร่อมีก็ไม่อยู่กัน ดันมาขลุกกันอยู่กระท่อมน้อยปลายนาอย่างกับเงาะป่ากับรจนาโดนไล่จากวัง”


                ปวิธหัวเราะชอบใจ ช่วยไม่ได้ที่เขามีความสุขอยู่ในบ้านไม้หลังเล็กที่มีสนฉัตรอยู่ด้วย แต่ถึงสนฉัตรจะดีขึ้นเขาก็ยังมีนัดที่โรงพยาบาลทุกเดือน ปวิธจะเป็นคนพาสนฉัตรไปตามนัดทุกครั้ง ต่อให้มีนัดหมายที่สำคัญกว่าเขาก็จะยกเลิก


                ไม่มีอะไรสำคัญกว่าสนฉัตรอีกแล้ว โชคดีอีกอย่างที่ผลการตรวจเลือดอีกสองครั้งหลังยืนยันว่าไม่พบเชื้อเอชไอวีทำให้เขาโล่งใจ


                ปวิธกลายเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงและมีชื่อเสียง เขาปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเขาหลายต่อหลายคน อย่างเช่นวันนี้ที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเกาะแขนตามมาที่บ้านไม้สนด้วย ส่วนดำที่รับหน้าที่บอดี้การ์ดเดินตามห่างๆ ปวิธส่งยิ้มให้สนฉัตรที่นั่งอยู่หน้าบ้านกับคนดูแล


                “สนฉัตรเป็นยังไงบ้างครับ วันนี้ดื้อหรือเปล่า”


                นานๆครั้งสนฉัตรก็จะอาละวาดบ้าง แต่เมื่อปวิธมาถึงสนฉัตรก็จะหยุดนิ่ง คนดูแลส่ายหน้าและบอกว่าวันนี้สนฉัตรเป็นเด็กดี


              “คนบ้าที่ไหนคะเปลว ทำไมมาอยู่ในบ้านคุณได้เนี่ย”


               สาวสวยในชุดแดงที่ยืนเคียงข้างเบ้ปากด้วยความรังเกียจเมื่อเห็นสนฉัตร คนถูกพูดถึงเงยหน้าสบตาที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอาง สนฉัตรเบิกตากว้างก่อนจะตะโกนลั่นและทำท่าเหมือนจะปรี่เข้าหา ผู้หญิงคนนั้นร้องวี้ดว้ายแต่ปวิธกลับไม่สนใจ เขาโผเข้าดึงสนฉัตรมากอดและเรียกสติกลับคืน


              “สน ไม่มีอะไรสน อย่าร้องนะ อย่าดิ้น เป็นเด็กดีนะ”


              ปลอบอยู่พักใหญ่สนฉัตรจึงยอมสงบลง ปวิธสั่งให้คนดูแลพาสนฉัตรเข้าไปในบ้านก่อนจะหันไปมองตาขุ่นใส่ผู้หญิงคนนั้น


             “คุณไม่มีสิทธิ์พูดอย่างนี้กับคนของผม”


             “ทำไมล่ะคะเปลว เราสองคนคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ อีกหน่อยถ้าเราแต่งงานกันฉันก็ต้องมาอยู่กับคุณ เรื่องในบ้านฉันก็ต้องรู้อยู่แล้ว”


              เสียงแหลมประกาศถึงความสัมพันธ์ ปวิธหัวเราะเบาๆ


               “ผมบอกคุณเหรอว่าเราคบกัน ไหนคุณบอกว่าเราจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไม่ผูกมัดไงล่ะ แต่ตอนนี้คุณคิดจะผูกมัดผมไว้เหรอ แต่ผมไม่ได้ต้องการคบกับผู้หญิงที่ดูถูกคนอื่นหรอกนะ”


                “คุณหมายความว่ายังไง” หล่อนส่งเสียงกรีดร้องและโผเข้ากอดแขนปวิธ


               “หมายความว่าคุณจะทิ้งฉันเหรอ ไม่นะเปลว ฉันชอบคุณมากนะ”


               ปวิธดึงมือหล่อนออกอย่างไม่สนใจเสียงคร่ำครวญนั้น เขาออกคำสั่งกับดำ


              “พี่ดำ ให้ใครก็ได้พาออกไปที แล้วต่อไปนี้คุณไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก”


                ดำทำตามคำสั่ง ลูกน้องของเขาคนหนึ่งลากตัวคู่ควงชั่วคราวของปวิธออกไป ชายหนุ่มไม่มีแม้แต่จะหันไปมองจนกระทั่งได้ยินเสียงดำหัวเราะอยู่ด้านหลัง


               “โอ๊ย พ่อหนุ่มเนื้อหอม ผู้หญิงหลงทั่วกรุงเทพแล้วมั้ง แล้วคนนี้นี่ ถ้าจำไม่ผิดเป็นคนที่ควงอยู่กับไอ้ทนายจิรัชตอนที่พาไอ้สนหนีไปไม่ใช่หรือไง แก้แค้นให้ไอ้สนมันเหรอ”


               หลังจากทรงเดชรู้ความจริงเรื่องจิรัชพาสนฉัตรหนีออกจากบ้าน ทนายคนนั้นถูกพรรคพวกของดำเล่นงานจนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่หลายวัน งานทนายความลดน้อยลงเพราะถูกแบล็กลิสต์จากสมศักดิ์ที่ทำงานให้ทรงเดช จนเจ้าตัวไม่มีงานในกรุงเทพ ต้องกลับไปรับว่าความงานเล็กงานน้อยที่บ้านต่างจังหวัด


               ปวิธก้าวเข้าไปในบ้านไม้สน เขาเอ่ยปากให้คนดูแลสนฉัตรกลับบ้านได้ เพราะหลังจากนี้เขาจะดูแลสนฉัตรเองจนกลายเป็นกิจวัตร เขามองร่างบางที่นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ ปวิธเดินไปทักทาย


               “สวัสดีครับสนฉัตร พี่เปลวมาแล้ว วันนี้เป็นเด็กดีหรือเปล่า”


              ดวงตาคู่สวยมองมายังเขาแวบหนึ่ง แค่นั้นปวิธก็ดีใจแล้ว เขายกมือปัดปอยผมที่ตกลงมาระหน้าผากมนออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น


              “ผมยาวเร็วจังน้า พรุ่งนี้พี่เปลวไม่ทำงาน พาสนไปเที่ยวห้าง ตัดผมหล่อๆ แล้วดูหนังกันดีไหม”


               ปากอิ่มคลี่ยิ้มพยักหน้าเบาๆ ปวิธดึงสนฉัตรมากอดไว้


              “นอนเร็วหน่อยนะ พี่เปลวง่วงแล้ว วันนี้ทำงานเหนื่อยจัง”


               มีคนเคยบอกว่าแก้วแตกไปแล้วทำอย่างไรก็ไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก ปวิธไม่เถียงความจริงในข้อนั้น แต่ปวิธจะสร้างแก้วใบใหม่จากดินทรายกองเดิม เขาจะเจียรนัยจนมันกลายเป็นแก้วแสนสวยอีกครั้ง


                ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้นอนบนเตียงนุ่มๆในบ้านไม้หลังเล็กและมีสนฉัตรในอ้อมกอด เขายิ้มเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของสนฉัตร บ้านไม้ที่เป็นวิมานแสนอบอุ่นตลอดไป



                                                       จบแล้วจ้า


                                      แต่ๆๆๆ     อย่าเพิ่งปิดน้า เดี๋ยวมี End credit จ้า

                                                :m3: :m3: :m3: :m3: :m3: :m3:







หัวข้อ: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 04-08-2018 20:09:06


                                                         บทส่งท้าย

                                                        วิมานของผม



               วิมานของผมเป็นวิมานแสนสวย


               ผมมักจะขลุกตัวอยู่ในวิมานที่มีสวนดอกไม้รายล้อม มันเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครเข้ามายุ่งได้ แม้แต่ปีศาจที่แสนโหดร้าย ผมเคยเห็นพวกมันนานๆครั้ง พวกมันน่ากลัว น่าขยะแขยง แต่พวกมันก็จะหนีไปเมื่อเจ้าชายของผมมาไล่พวกมัน


              ใช่แล้ว ผมมีวิมาน มีปราสาท และผมก็มีเจ้าชายของผม


              เจ้าชายเป็นผู้ชายตัวสูง ผิวสีเข้ม หน้าตาหล่อเหลา ก็เขาเป็นเจ้าชายก็ต้องหล่อสิ


              เขามาหาผมทุกวัน มาร้องเพลงให้ฟัง บางทีก็ดีดอะไรไม่รู้จนเกิดเป็นเสียงเพลงแสนไพเราะ


              “สนลองฝึกเล่นกีตาร์ไหมครับ พี่เปลวจะสอนให้เอง”


                เจ้าชายจับมือให้ผมใช้ปลายนิ้วกรีดลงไปบนลวดเส้นเล็กจนเกิดเป็นเสียง ผมยิ้มแม้ว่ายังเล่นไม่เป็นเพลง ผมชอบรอยยิ้มของเจ้าชาย มันเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์เสียอีก


               “วันนี้เราไปหาหมอกันนะ”


                บางครั้งเจ้าชายจะพาผมออกไปนอกปราสาท ไปหาคุณน้าแสนสวยและใจดี แต่บางครั้งผมก็โกรธคุณน้าที่เอา เหล็กแหลมอันเล็กๆปักใส่ผิวหนังบนหัวของผม ทันใดนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงมาจนผมสั่นไปทั้งตัว มีเพียงอ้อมกอดของเจ้าชายที่ทำให้ผมหายกลัว


               “ไม่เป็นอะไรแล้วครับสน อยู่นิ่งๆนะคนเก่ง วันนี้คุณหมอลดกระแสไฟลงแล้ว สนดีขึ้นมากแล้วนะ มาหาคุณหมอครั้งหน้าไม่ต้องช็อตไฟฟ้าแล้วล่ะ”


                เสียงปลอบแสนอ่อนโยน อ้อมกอดอบอุ่น จะมีใครดีไปกว่าเจ้าชายของผมล่ะ


               “อ้าปากกินข้าวนะ พี่เปลวป้อนให้”


              เขาหลอกล่อเวลาผมไม่อยากกินผักรสขม เจ้าชายหัวเราะขำตอนผมแอบคายออก


             “ไม่ชอบเหรอ เดี๋ยวพี่เปลวบอกแม่ครัวให้ว่าคราวหน้าอย่าใส่มาให้สนกินอีก”


              เมื่อถึงเวลานอน เจ้าชายจะกอดผมไว้ ปกป้องผมจากปีศาจร้าย ผมรู้สึกปลอดภัยอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าชายผมจะหลับสนิทไปจนถึงรุ่งเช้า


                “พี่ต้องไปทำงานแล้ว สนอย่าเป็นเด็กดื้อนะ เลิกงานพี่เปลวจะรีบกลับมาหาสน ไหน มากอดหน่อยซิ พี่เปลวรักสนนะครับ”


                 ผมก็รักเจ้าชายของผมครับ แผ่นหลังของเจ้าชายน่ากอดจัง เอ๊ะ เจ้าชายของผมชื่ออะไรนะ


              “เปลว พี่เปลว”


               ผมเรียกเจ้าชายไว้ เจ้าชายหันขวับมาพร้อมกับหน้าตาตื่นเต้นจนน่าตลก เขาวิ่งกลับมากอดผมถามเสียงละล่ำละลัก


              “เรียกพี่ว่าไงนะ ตะกี้สนพูดว่าอะไร”


               ผมยิ้มให้เจ้าชาย ก็เรียกชื่อเจ้าชายยังไงล่ะ


              “พี่เปลว”


              เจ้าชายน้ำตาคลอ ใครทำเจ้าชายเจ็บเหรอ ผมยกมือเช็ดน้ำตาและปลอบใจเขาเหมือนที่เขาปลอบผมบ่อยๆ


             “ไม่เป็นไรนะ พี่เปลว”


               เจ้าชายร้องไห้ เขาดึงผมไปกอดจนหายใจเกือบไม่ออก ผมรู้ว่านั่นเป็นอ้อมกอดจากความรักที่เจ้าชายมีให้ผม ผมจึงกอดเจ้าชายไว้เช่นกัน


              วิมานของผม เป็นวิมานที่มีความสุขที่สุด


             คุณคิดเหมือนผมไหมครับ





                                                        The end


                                             ในที่สุดก็อ่านกันจนจบ โอ๊เย 

                            อย่าลืม Review / Comment / Promote ให้บ้างนะคะ

                                                        ขอบพระคุณค่ะ


                                            :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:







หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 04-08-2018 20:29:40
 :o12:
โถถถถถ ลูกเอ๊ยยยย  ทำไมชีวิตหนูสนมีนรันทดขนาดนี้นะ  จนจบแล้วก็ยังเป็นบ้าไปอีก  สงสารจริงๆ  อยากให้หายนะ  แต่ก็กลัวจะจำอะไรร้ายๆแบบนั้นได้อีก โอ๊ยยย น้ำตาชั้นไหลหมดแล้ว
ปล. มีรวมเล่มมั้ย มีตอนพิเศษรึเปล่า
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-08-2018 20:39:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

อดีตที่น่าสงสาร  ถูกกักเก็บไว้ในซอกหลืบของความทรงจำ

ความทรงจำใหม่ถูกสร้างขึ้น

ก็ดีเหมือนกัน  อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนทุกข์กับเรื่องราวในอดีตที่ไม่น่าจดจำ

แทงคิ้ว

หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 04-08-2018 21:30:15
จบแบบนี้ก็ดี
ชีวิตจริงโหดร้ายพอแล้ว หลบมาอยู่ในโลกนิยาย ผู้อ่านก็อยากจะได้แบบแฮปปี้เอนดิ้ง
หวังว่าสนจะค่อยๆจำได้ และใช้ความรักจากเปลวรักษารอยแผลในจิตใจให้หายดี
ยังไงผู้ร้ายก็ตายไปหมดแล้ว  ชีวิตที่รอดมาได้ก็ขอให้มีแต่ความสุขและความเจริญ
ขอบคุณผู้แต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 04-08-2018 21:49:07
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านมาแล้วอึดอัดที่สุด มันไม่ใช่ดราม่าแบบหน่วงๆแต่เป็นดราม่าแบบที่หายใจไม่ออก เราเกลียดความไม่ทันที่เกิดขึ้นในเรื่อง เกลียดการกระทำของหลายๆตัวละคร จนเราคิดว่าถ้ามันจบแบบ bad end ก็คงดี ในสนได้ไปอยู่บนฟ้าอาจจะดีกว่าต้องมาจมกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้ แต่ก็เข้าใจว่านักเขียนคงไม่อยากใจร้ายเกินไปเลยทำให้มันจบออกมาในรูปแบบนี้ ถึงเราจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่แต่เราก็คิดว่านักเขียนคงตัดสินใจดีแล้วละ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 04-08-2018 22:04:26
พุ่งมาอ่านทันทีที่เห็นคำว่า END
ลากปร๊าด ๆ ปรู๊ด ๆ จบในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
ไม่สามารถอ่านทุกคำได้ และไม่มีทางย้อนกลับมาอ่านอีกแน่นอน

เข้าใจว่าชีวิตจริงโหดร้ายค่ะ
และจะเป็นชีวิตจริงมาก ถ้าจบแบบ "สน" ตายตรงนั้น
แต่เพราะสนไม่ตาย แถมความทรงจำยังหายไปอีก
มันก็เลยกลายเป็น "นิยาย" ทันที

เอาว่าเส้นเรื่องโหดเนอะ
ยิ่งพอเล่าให้เพื่อนฟังคร่าว ๆ 2 บรรทัด
เพื่อนบอกว่า "ไม่อ่านดีกว่า" ... ก็สรุปว่า ตรงใจค่ะ
เพราะ "นิยายวาย" สำหรับเรา มีไว้อ่านเพื่อ feel good เท่านั้น

เจอกันเรื่องหน้า... ถ้าจะไม่สาดดราม่าใส่กันขนาดนี้นะคะ
 
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-08-2018 01:38:52
แบบนี้ก็ดีให้สนไม่มีอะไรในใจให้มันว่างเปล่า มีแค่เปลวก็พอ  ดราม่าแต่สนุกดี
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 06-08-2018 15:09:11
สนุกมาก :katai2-1:ให้นักเขียนเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 06-08-2018 17:32:32
ทั้งอดทนอ่านทั้งจะอ้วกจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกเพราะขยะแขยงมากกว่าพวกบัดซบที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นตัวละครแม้จะเป็นแค่ในนิยายแต่บนโลกความเป็นจริงกับมีคนเหล่านี้อยู่เกลื่อนมากมายสงสารก็แค่สนที่ต้องรับชะตากรรมเลวร้ายแต่เด้กมันหดหู่มากจริงๆนับถือใจคนเขียนที่ถ่ายทอดออกมาได้สุดๆบีบคั้นมาก ขอบคุณมากสำหรับนิยายสีเทาเรื่องนี้ค่ะ :heaven :pig4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 07-08-2018 01:12:15
ยังดีทีสนไม่เป็นร้ายส่วนเปลวก็ไม่ทอดทิ้งสนทั้งยังรักและดูแลอย่างดี :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> บทส่งท้าย วิมานของผม [4/8/61] #จบแล้วจ้า รบกวนย้ายห้อง#
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 07-08-2018 13:21:31
สนนน~~เหออออ!!ค่อยยังชั่ว ดีใจด้วยนะเปลว อย่างน้อยสนก็ยังเริ่มพูดแล้ว ต่อไปอาการก็คงดีขึ้นเรื่อยๆอดทนหน่อยนะ //ดีแล้ว จบแบบนี้ดีแล้ว เป็นนิยายที่โอเคมากทำให้เราคิดต่อหลังอ่านจบทุกตอนเลย ว่าจะเป็นแบบนี้ยังงี้จะเป็นยังไงต่อไป อ่านจบอารมณ์ไม่จบ 5555 ก่อนหน้าตอนจบก็เหมือนกัน คิดอยู่ว่าสนจะลงเอยยังไงดีว่ะ  คิดไว้2ทางคือ1.ตาย เพราะดูจากบทนำ แต่ตอนคิดนั้นก็กลัวนะว่าอย่าให้ออกมาแบบนี้เลย 55555 หรือไม่ก็ 2.แบบนี้เลย ความจำเสื่อม ลืมเลือน ปิดกั้นเรื่องที่กระทบจิตใจ อยู่ในโลกใหม่ นิยายที่นายเอกโดนทำร้ายจิตใจมากถึงมากที่สุด มักกะจบลงแบบนี้เท่าที่อ่านมา ส่วนสนที่คิดว่าโอเคที่จบแบบนี้ เพราะถ้าจบด้วยตาย มันจะว่างเปล่ามาก ที่ผ่านมาคืออะไร การที่สนเอาตัวรอด ไม่ใช่สิ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่างหาก มันจะไม่มีความหมายใดเลย แต่พอจบลงแบบนี้อย่างน้อยก็ถือว่าสิ่งที่สนพยายามมา ไม่เคยรอดแต่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ มันได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งดีใจกับสนมาก ถึงแม้อยู่ในโลกใหม่นี้ก็ยังโอเค //ส่วนตอนนี้กำลังคิดต่ออีกว่า อยากจะให้สนจำอดีตได้ไหมวะ ใจนึงก็อยากให้จำได้ทั้งหมดเลยจากการบำบัด เมื่อจำได้แล้วก็อยากให้ทำใจ ยอมรับแล้วผ่านมันไปได้ จะถือว่าสนแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว แต่อีกใจก็ อดีตมันร้ายเกินไปมาก ถ้าเกิดจำได้สนจะตอบรับยังไงว่ะ ก็เลยอยากให้อยู่โลกใหม่ไปเลย สร้างมันขึ้นมาใหม่ แต่ก็นะ ความรู้สึกชั่งน้ำหนักแล้วไปทางอยากให้สนจำได้ แล้วผ่านมันไปได้ มากกว่า 555 ก็ในเมื่อเปลวรับได้และอยู่เคียงข้าง สู้ๆเขานะสน เอาใจช่วย มโนคิดต่อไปเองได้อีกกรู แต่รู้ๆคือ รอตอนพิเศษจะมีไหมคะ 55555 ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆดีตรงที่อ่านแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนคนบีบคอพอกำลังจะตายก็คลายออก กลั้นหายใจ ชอบมากๆค่ะ  55555555555
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-08-2018 00:51:15
อนาคตอยากให้สนหายนะคะ แต่หายแบบลืมอดีตได้ไหม อยากให้น้องได้ใช้ชีวิตสดใสสมวัยแบบเด็กคนอื่น เจอเรื่องร้ายๆมาเยอะแล้ว เขียนให้อินขนาดนี้ได้ยังไงอ่ะคะ คืออยากเอาปืนมายิงพวกคนที่ข่มขืนน้องอ่ะ ใจทรามมาก ชั่ว สาบานว่าถ้าเรามีปืนเราจะยิงมันให้หมด แค่เด็กคนนึงที่อยากมีชีวิตอยู่ ทำไมมันถึงยากขนาดนี้ก็ไม่รู้ ขอบคุณสำหรับนิยายสะท้อนสังคมอีกเรื่องนะคะ อินมาก โมโหมากกกก   :katai1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 11-08-2018 19:22:21
สำหรับเราตอนจบคือแฮปปี้สุดแล้ว ขอให้สนฉัตรมีความสุขในวิมานไม้สนนะ ดีแล้วที่ลืมทุกอย่างแบบนี้ พี่เปลวต้องดูแลสนดีๆนะ เจ้าชายอย่าให้ใครมาทำร้ายสนอีกนะ ขอบคุณคุณบีเลิฟมากๆเลยที่เขียนนิยายแบบนี้ออกมา มันดีมากๆ คุณเก่งมากๆที่ทำให้เราอินขนาดนี้ ความรู้สึกตอนอ่านคือมันมวนท้องอยากจจะอ้วกมากๆ ขยะแขยงตัวละครที่ทำน้อง พออ่านจบก็ดาวน์เลย ร้องไห้ไม่ออกแต่มันกลับรู้สึกจุกในอก ต้องยอมรับจริงๆว่าสังคมสมัยนี้ก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริง
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 11-08-2018 21:20:55
สนไม่ต้องได้ความสงจำคืนมาเลย เริ่มสร้างความสงจำใหม่แบบนี้ดีที่สุด สรุปจบแบบแฮปปี้   :pig4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 13-08-2018 20:36:13
เราขอยอมรับว่าอ่านไม่จบ มันหดหู่จนใจเรารับไม่ได้
แต่งได้ดีทำเราอินจนไปต่อไม่เป็นเลย
 :m15: :m15:
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 15-08-2018 14:20:50
เปลวดูแลสรดีๆนะ ฮืออออ นี่คงดีที่สุดแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 17-08-2018 19:46:19
จิตใจต้องหนักแน่นเบอร์สุดมากถึงจะสามารถอ่านเรื่องนี้จนจบได้  :o12:  เราชอบนะ ไหนๆก็จะรัดทนแล้วก็เอาให้มันสุด ซึ่งก็สุดจริงๆ เราชอบตอนจบที่อย่างน้อยสวรรค์ / หรือคุณ Belove ก็ยังปราณีให้น้องสนลืมเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้น ให้น้องได้มีชีวิตและอยู่ต่อไปในโลกใบใหม่ที่ขาวสะอาด และมีความสุขสักที / ถ้าจบแบบยังจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้นะ โอ๊ยยยยไม่อยากคิด สงสารน้อง  :ling3:

ขอบคุณมากนะคะคุณ Belove สำหรับนิยายดีๆแบบนี้ คนอ่านเรื่องนี้อาจจะไม่เยอะ แต่ก็ยังมีคนชอบและติดตามอยู่นะคะ  สู้ๆค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 17-08-2018 22:48:44
ดีใจที่ตอนจบเป็นแบบนี้ คิดว่าจะจบแบบน้องสนตายแล้วค่ะ  อยากให้สนหายนะ หายแบบที่กลับมาใช้ชีวิตปกติได้แต่ไม่ต้องได้ความทรงจำคืนมา พี่เปลววววว เจ้าชายของสน  ดูแลสนตลอดไปเลยนะคะ ฮื้อ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 21-08-2018 19:55:21
อ่านรวดเดียว จบ .. สนุกมาก
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ อีกเรื่อง
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 31-08-2018 14:14:43
คน ๆ นึงจะแปดเปื้อนได้มากขนาดไหน... :hao5:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 22-09-2018 09:20:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 22-09-2018 18:23:24
อ่านเรื่องนี้จบแล้วรู้สึกว่าสะท้อนสังคมจริงๆ มันมีอะไรหลายอย่างที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อนถูกบอกกล่าวในนิยายเรื่องนี้ เช่น การล่วงละเมิดในสถานสงเคราะห์โดยคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครู สติ๊กเกอร์รถบรรทุกราคาเป็นแสน ไหนจะการยกนายบำเรอเพื่อธุรกิจนั่นอีก

จากที่เคยอ่านดราม่าดาร์กๆแนวนี้มาหลายเรื่องทั้งแนวนอมอลและวาย เราถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีแต่เหตุการณ์ร้ายๆมาประดังประเดมากที่สุด(ยังดีที่ไรท์ปรานีไม่เขียนให้สนเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) ชอบที่สนไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา สนเป็นคนสู้ชีวิตพอสมควรเลยนะ ถึงแม้ว่าแต่ละอย่างที่ได้ประสบพบเจอจะมีแต่เรื่องบัดซบๆทั้งนั้น เค้าก็ยังมีความหวังที่จะมีชีวิตดีๆและต่อสู้เพื่อให้ได้มา แต่เพราะความใสซื่อ ไม่ได้คิดไปในทางร้ายๆ ไม่ได้มองให้ถี่ถ้วนเพราะเป็นการตัดสินใจอย่างกระชั้นชิด ทำให้การเลือกในแต่ละครั้งมีแต่ผลลัพธ์ในทางที่แย่ เรารู้สึกว่าทุกครั้ง กับทุกคนที่กำชีวิตของสนอยู่ สนจะต้องถูกบังคับด้วยคำว่า 'บุญคุณ' อยู่เสมอเลย ทั้งกับลุงเดชนักการเมือง นายเปลวที่จะทวงค่าปิดปาก อิลุงสายคนขับรถบรรทุก เสี่ยเจ้าของกิจการรถบรรทุก ตำรวจอาคม แม้กระทั่งแม่แท้ๆก็ยังถูกคำว่า 'บุญคุณที่อุ้มท้อง' มาบังคับสนอ่ะ คือสงสารมากจริงๆ อะไรหลายๆอย่างทำให้เลือก/ปฏิเสธไม่ได้ แต่อะไรที่พอเลือกเองได้และหวังว่าจะนำความสุขมาให้ก็กลับเผยธาตุแท้และหักหลังกันซะอย่างนั้น(เกลียดอิทนายจิรัชมากกกกกก) แล้วยิ่งตอนสุดท้ายที่มาโดนย่ำยีก็ยิ่งแย่ไปอีก คือมันสมควรเลยที่สุดท้ายแล้วสนจะสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาเพื่อหลบหนีจากความเจ็บปวดทางใจอ่ะ เพราะมันสู้กับอดีตที่คอยหลอกหลอนไม่ได้จริงๆ จะตายก็ไม่ได้ตาย แล้วการที่สนต้องรับการรักษาอาการทางจิตด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้านี่คือมันจุกมากๆอ่ะ เพราะการรักษาด้วยวิธีนี้มันทรมานจริงๆ  ใจนึงเราก็อยากให้สนหายจากอาการป่วย แต่ใจนึงก็ไม่อยากให้สนต้องมาเผชิญกับความจริง มารับรู้กับอดีตที่เจ็บปวดอ่ะ ยี่สิบกว่าปีที่โดนมามันไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับและทำใจได้ง่ายๆนะเว่ย คือต้องใช้กำลังใจจากตัวเองและคนรอบข้างมากขนาดไหนอ่ะถึงจะยอมรับอดีตที่เกิดขึ้นได้ ต่อไปก็อยากให้เปลวดูแลสนให้ดีๆนะ เราให้อภัยนายส่วนหนึ่งที่อย่างน้อยตอนนี้สนยังมีนายดูเเลอยู่ แต่เรื่องที่นายบังคับจะเอาสนในตอนแรกเราไม่ยกโทษให้หรอก ถึงครั้งหลังๆมาสนจะพอใจกับเซ็กซ์และความอบอุ่นของนายและที่นายทำแบบนันก็เพราะว่านายชอบสน แต่ยังไงทำไม่ดีก็คือไม่ดี คุณไม่สามารถเอาความดีตอนนี้มาลบล้างได้ มันแยกส่วนกันค่ะ!!!!!

ปล. ลุงเดชนักการเมืองกับเสี่ยเจ้าของรถบรรทุกก็ยังมีความหวังดีให้สนปนๆอยู่ให้เห็น แต่อิครูสถานสงเคราะห์ อิลุงรถบรรทุก กับอิแม่เนี่ย แย่มากๆ
ปล.2 นักเขียนเขียนดีมากๆค่ะ ขอบคุณที่ทำงานหนักเสมอเพื่อให้เราได้อ่านเรื่องดีๆแบบนี้



หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 23-09-2018 17:37:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: Carina ที่ 17-01-2019 20:13:16
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: Pawana ที่ 21-01-2019 13:32:15
บอกตรง.    มันบีบหัวใจและความรู้สึกอย่างแรงสมาก   มองว่า สน คือเหยื่อ จากการกระทำของคนที่มีอิทธิพล อำนาจ และของสนเองที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการ.  ในช๊วิตจริงคงมีคนแบบนี้. อาจจะทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจที่จะเป็น.  ถ้าชีวิตจะถึงขนาดนี้.   อย่าเกิดดีกว่า. คนอะไรมันที่สุดของที่สุดในช๊วิตของคนคนหนึ่งจริงๆ.   อ่านไปรับไม่ได้กับชีวิตที่เกิดมาแล้วต้องเป็นอย่างสน.  ตั้งแต่อ่านนิยายมาหลายปีละ. ไม่เคยที่ความรู้สึกและอารมณ์จากหัวใจมันต้องขนาดนี้.    โอยยยย  มันเจ็บปวดแทนจริงๆ.   วิมานของสนไม่อาจเป็นที่ต้องการของคนทุกคนได้. เชื่อเถอะ. ไม่มีใครอยากไปอยู่ในวิมานแบบสน.      เจ็บ.  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> [Pre order ถึง 5 มิ.ย.62]
เริ่มหัวข้อโดย: Belove ที่ 29-04-2019 00:15:17





Pre-order วิมานไม้สน

ชื่อ: วิมานไม้สน

จำนวนหน้า:250 หน้า มีบทพิเศษ 4 บทไม่ลงในเว็บ

ของแถมในเล่ม: ที่คั่น 1 แผ่น/โปสการ์ด 1 แผ่น

ราคาปก: 250 บาท

ราคาช่วงพรีออเดอร์: 230 บาท

ค่าจัดส่ง: 1 เล่ม 35 บาท(ลทบ) / 2 เล่ม 60 บาท(kerry) / 3-4 เล่ม 70 บาท(kerry)

5 เล่มขึ้นไปและราคาร้านค้าออนไลน์รบกวน Inbox

ระยะเวลา : 18 เมษายน- 5 มิถุนายน 62

อ่านรายละเอียดในโพสปักหมุดในเพจของบีเลิฟนะคะ


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> [Pre order ถึง 5 มิ.ย.62]
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 04-06-2019 20:10:25
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> [Pre order ถึง 5 มิ.ย.62]
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 04-06-2019 20:10:44
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> [Pre order ถึง 5 มิ.ย.62]
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 04-06-2019 20:11:08
 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >> [Pre order ถึง 5 มิ.ย.62]
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 04-06-2019 20:17:04
อ่านจนจบก็รูสึกสะท้อนใจ
ปกติแล้วไม่ชอบเลยอ่านนิยายดราม่า โศกนาฏกรรมทั้งหลาย
เพราะเรารู้สึกว่าชีวิตจริงคนเรามันก็ต้องเผชิญความทุกข์กันพอแล้ว
เลยอยากอ่านนิยายฟีลกู้ดให้อารมณ์ดี มีความสุข สร้างกำลังใจอะไรพวกนี้
คนเราอยู่ได้ด้วยความหวัง แม้ชีวิตจะโหดร้ายยังไงก็ต้องมีความหวัง
ถ้าไม่มีความหวังก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว ไม่รู้จะมีชีวิตไปทำไม
ดังนั้น จึงหวังว่าสุดท้ายแล้วน้องสนมีความสุขบ้าง
จึงจะรออ่านตอนพิเศษในเล่มนะคะ pre-order ไปละ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: Pankwun ที่ 04-10-2019 00:11:08
สนุกมากกกกเลยค่ะ อ่านวันเดียวจบ ดีมากๆ
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 05-10-2019 19:24:28
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:06:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: yochiki1404 ที่ 25-04-2020 09:26:27
ขอบคุณที่แต่งนิยายดี ๆ แบบนี้ให้เราได้อ่าน
สังคมทุกวันนี้มันมีปบบนี้อยู่จริง ๆ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าใครทำอะไรบ้าง หมดเคราะห์แล้วนะสน
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 27-04-2020 07:57:42
จบแบบนี้ยังดีกว่าจะให้สนจากโลกนี้ไป TT
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 03-05-2020 15:01:36
เศร้ามาก ต้องใช้พลังใจ ในการอ่าน มากที่สุด
หัวข้อ: Re: << วิมานไม้สน >>
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำหูู้ปาโก๋ ที่ 09-09-2020 09:56:49
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดี :impress2: