สวัสดีค่า zearet 17 ค่าา :L2:
แวะมาเปิดเรื่องใหม่ในปีใหม่ แม้เรื่องเดิมยังไม่จบก็ตาม 5555
เรื่องนี้ได้ inspiration มาจากหนุ่มรอยสักค่ะ ทั้งเจาะเยอะๆด้วย
ดูเป็นรสนิยมที่บางครั้งเราเองก็เข้าไม่ถึง แต่ก็เห็นว่ามีเสน่ห์ดี จนทุกวันนี้อยากไปสักแล้ว 55555
โทนเรื่องโดยรวม feelgood ค่ะ ไปเรื่อยๆ ไม่ดราม่าแต่ก็มีปมเล็กๆให้คิดตาม
ไม่รู้จะถูกใจรึเปล่าแต่ฝากอ่านมันด้วยนะฮะ
ถ้าเล่นทวิตเตอร์ฝากติดแท็ก #น้องคนดีมีรอยสัก ด้วยนะคะ เราจะตามไปป่วน :]
*ตอนแรกว่าจะลง #ผู้ชายในทินเดอร์ ให้จบก่อน แต่ทนความฟุ้งซ่านตัวเองไม่ไหวค่ะ 555555
*เรื่องนี้จะอัพอาทิตย์ละครั้งทุกวันอังคารนะคะ เพราะจะกลับมาเขียนเป็นนิยายตอนยาวแบบปกติ ไม่ได้สั้นกุดแบบผชในทินเดอร์ แบบนั้นเราเกรงใจคนอ่าน มันทำให้มาได้ไวก็จริงแต่ก็สั้นเกินTT ส่วนเรื่องนี้ประมาณ 15-17 ตอนจบค่ะ
*จริงๆคือชื่อเรื่องยังคิดไม่ออกค่ะ 55555
________________________________________________________________
Intro : กลุ่มดาวที่ไม่ได้อยู่บนท้องฟ้า
...เขาดูเหมือนจะน่ากลัว โดดเดี่ยวและรักอิสระ แต่พอมองลึกลงไปเขากลับเปราะบางและเคยแตกหัก ถึงจะเป็นแบบนั้นลวดลายที่เคยแตกร้าวกลับสวยจนละสายตาไม่ได้....
ผมนั่งมองผมสีน้ำตาลเข้มหนาที่ยาวประบ่า มันถูกตัดตรงเหมือนกับว่าเจ้าตัวจงใจให้มันเท่ากันเหมือนไม้บรรทัด หน้ารูปไข่ของเขาจ้องมองกระดานไวท์บอร์ดข้างหน้าอย่างตั้งใจ สิ่งที่ดึงความสนใจใครหลายคนจากห้องนี้คือจิลสีเงินที่แทงอยู่ตรงหางคิ้วซ้ายได้รูป
ภายใต้เสื้อนิสิตแขนสั้นตัวโคร่ง ผมมองเห็นลวดลายสีดำโผล่ออกมานอกชายเสื้อตัดกับแขนผอมบางขาวสว่าง ข้อนิ้วเรียวสวยมีลายตัวอักษรจีนตัวบางที่อ่านไม่ออกสักไว้ที่บางนิ้ว ในตอนที่ผมพึ่งนึกได้ว่าจ้องเขานานจนเกินไป เจ้าตัวก็หันกลับมามอง ตาสีน้ำตาลกลมโตจ้องที่ตาผมก่อนจะเสหลบไป
“กลุ่มสามคนว่ะ รู้แบบนี้ลากไอ้จินมาลงจิตวิทยาอีกคน กูแม่งไม่ชอบวิชาเรียนรวมต่างคณะแบบนี้เลย”
เพื่อนผมบ่น ผมถือกระดาษรวบรวมรายชื่อเดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่คนเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว
“มีกลุ่มยัง”
เขาดูตกใจอยู่ในทีกับแต่ก็หันมาตอบ
“ยังครับ”
เสียงเขาดูธรรมดากว่าที่คิด ผมที่คาดหวังให้มันแหลมกว่าโทนผู้ชายสักหน่อยสลัดความคิดนั้นออกจากหัว
“เรียนคณะอะไร”
“สินกำครับ”
“มิน่า”
เพื่อนผมที่นั่งทายว่าเขาเรียนคณะไหนมาตั้งแต่ต้นคาบเรียนหลุดปากออกไป
“กูชื่อคราม อยู่รัฐศาสตร์”
ผมบอกก่อนจะยื่นกระดาษเขียนรายชื่อให้
“กูชื่อแซมอยู่รัฐศาสตร์เหมือนกัน”
เพื่อนผมบอก เขายิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ
“ชื่อคนดีครับ”
“จริงเหรอวะ”
เพื่อนผมอดแปลกใจไม่ได้ ผมเองก็เหมือนกัน
“อ่า...ครับ”
“เลือกหัวข้ออะไรดีวะ ทำไมกูไม่เคยได้ยินสักอย่าง”
แซมว่า ผมหันไปมองคนที่กำลังมองไปที่กระดาน
“เลือกให้หน่อย”
ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นแต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรเมื่อเพื่อนผมพูดออกมาก่อน
“เรื่องที่ 3 ไหม พฤติกรรมนิยม น่าจะหาข้อมูลง่าย”
เขาพยักหน้ารับก่อนจะเขียนหัวข้อที่ต้องทำลงไป มือเรียวยาวของเขาจับปากกาแปลกดี ผมมองเล็บเรียวสวยที่ทาสีดำไว้บางนิ้วก่อนจะมองข้อมือบางที่มีรอยสักเล็กๆรูปสายรุ้งเจ็ดสีไว้ ถ้าศิลปะคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เขาอาจจะเป็นศิลปะหนึ่งอย่างที่ผมเห็นว่าสวย...แต่ก็เข้าไม่ถึง
“ปราชญ์ โอกาวะ ลูกครึ่งเหรอ”
ผมถามถึงชื่อที่เขียนไว้บนกระดาษ
“พ่อเลี้ยงเป็นคนญี่ปุ่นครับ ผมเป็นคนไทยแท้ บ้านอยูปากคลองตลาด”
แซมหัวเราะ ก่อนจะยกนิ้วให้
“มุขนี้ได้ๆ พวกไอ้กรมารอแล้ว”
มันว่า ท้ายประโยคบอกก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเรียนรวมขนาดใหญ่เพื่อไปหากลุ่มเพื่อน
“ไม่ได้มุกนะ”
เขาว่า ผมมองนาฬิกาที่ได้เวลาจะห้าโมงเย็นแล้ว ได้เวลาที่นัดกับเพื่อนไว้แล้ว ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้เขา
“เบอร์หรือไลน์ก็ได้ ไว้ติดต่องาน”
มือผอมบางของเขารับมันไปก่อนจะพิมพ์ชื่อให้ ผมกดเพิ่มเพื่อนในโปรแกรมแชท อดไม่ได้ที่จะกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ของเขา...ที่มีแค่ท้องฟ้าเวิ้งว้าง
.
.
.
.
“พี่ครามคะ พรุ่งนี้แนนเลิกดึกนะ อยู่ซ้อมหลีด”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่มารับ”
ผมตอบรับคนที่นั่งอยู่ข้างกันก่อนจะหันไปมองคนที่พึ่งเจออยู่ตรงป้ายรถเมล์ ไม่ว่าจะมองจากตรงไหน...เขามักจะโดดเด่นออกมาเสมอ
“เพื่อนเหรอคะ”
“ไม่เชิงครับ เจอในคาบเรียนรวม”
“อ๋อ นั่นพี่คนดีนี่”
ผมมองคนข้างกาย
“รู้จักเหรอคะ”
“พี่เขาพึ่งได้รางวัลวาดภาพประกอบอะไรสักอย่างที่ฝรั่งเศส เห็นในเว็บม.ลงข่าว เพื่อนหนูชอบพี่เขามากเลย”
ผมยังจำท่าจับปากกาแบบแปลกๆของเขาได้ติดตา
“ถ้าไม่สักกับเจาะ พี่เขาจะดูเข้าถึงง่ายกว่านั้นนะหนูว่า”
ผมแอบเห็นด้วยกับที่เธอบอก
“แต่พี่เขาสวย เป็นผู้ชายแต่สวยจนน่าอิจฉา”
“ก็ไม่ได้สวยขนาดนั้นนะ”
ผมที่นั่งเขามองอยู่นานบอก ผมว่าเขาดึงดูด แต่ก็ไม่ได้สวยแบบที่แนนหรือเพื่อนแนนสวย เขาดูตัวบางแต่ไม่ได้ดูนุ่มนิ่มหรือบอบบาง
“แนนสวยกว่าใช่ไหมคะ”
เธอถามพร้อมกับยิ้มสวย ผมเลิกคิ้วก่อนจะตอบรับ
“ใช่ค่ะ”
“พูดแบบนี้อยากให้แนนค้างใช่ไหม คิดถึงเค้าเหรอ”
ผมหัวเราะคนรู้ทัน ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวเธอ
“รู้ก็ดีแล้ว”
.
.
.
.
ผมมองมือถือที่บอกเวลาเกือบตีสาม แซมกับกรแชทมาบอกให้ผมเข้าไปร่วมกลุ่มเพื่อเล่นเกมส์ ผมมองรูปท้องฟ้าก่อนจะกดเข้าไปแล้วพบว่าเขากดรับผมเป็นเพื่อนแล้ว จุดสีเขียวตรงหน้าบ่งบอกว่าเขายังไม่นอน
ผมกดสติกเกอร์รูปหมีสีน้ำตาลที่มีติดเครื่องไป เขาอ่านมันในทันทีและตอบกลับมาด้วยกระต่ายตัวสีขาว ที่ทำหน้างงๆ
“ทำอะไรอยู่”
ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าถามเขาทำไม แต่ผมนึกภาพไม่ออกว่าดึกขนาดนี้เขาจะทำอะไรอยู่ ทำแบบที่ผมทำอยู่หรือเปล่า
[ทำงานครับ]
“งานอะไร”
“ออกแบบให้ลูกค้า”
ผมกำลังจะถามเขาต่อว่างานออกแบบที่ว่าคืออะไร คนที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำก็เรียกก่อน
“พี่ครามคะ หยิบโลชั่นตรงนั้นให้หนูหน่อย”
.
.
.
.
ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) นักคิดกลุ่มนี้มองธรรมชาติมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลางคือไม่ดีไม่เลว การกระทำของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า (stimulus-response) การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง การเรียนรู้ของกลุ่มนี้ใช้การวัดและสังเกตุและทดสอบพฤติกรรม
“ทำไมกูไม่เข้าใจเลยวะ”
แซมอ่านสิ่งที่ตัวเองสรุปมาในสมุด ก่อนจะหันมาถามคนที่นั่งอยู่ใกล้กัน
“เข้าใจไหม”
“ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกรึเปล่าครับ”
พวกเรานั่งทำงานอยู่ที่บ้านของแซมที่ไม่ได้ไกลจากม.นัก ผมว่ามันสะดวกดี ถึงได้นัดเขามาที่นี่ แทนที่จะเป็นห้องสมุดของม.ที่คนเบียดเสียดกันแทบจะตลอดเวลา
ผมมองลายมือเป็นระเบียบของเขาในสมุดไม่มีเส้นก่อนจะถาม
“ทำถึงไหนแล้ว”
“เหลือยกตัวอย่างครับ”
เขายื่นสมุดเล่มนั้นให้ดู กลิ่นหอมอ่อนๆจากผมยาวของเขาปัดผ่านจมูกผม เขาดูตกใจ
“ผมขอโทษ”
เขาว่าก่อนจะใช้หนังยางอยู่ตรงข้อมือรวบขึ้นไป ในตอนที่ผมสีเข้มถูกรวบขึ้นไป ผมก็เห็นว่าตรงต้นคอขาวเนียนด้านหลังมีเส้นเรียวบางรูปร่างคล้ายหมาจิ้งจอกอยู่
“ไอ้เสือ หลุดฉิบหาย”
แซมว่า ผมหันไปเจอมันกำลังจ้องอยู่ ถึงได้ส่งนิ้วกลางให้ที
“ยกตัวอย่างแบบข่าวล่าสุดนี่ได้ไหมวะ ที่ลุงข่มขืนหลานแล้วเด็กก็กลับมาฆ่าเพื่อแก้แค้น”
แซมเสนอ อีกคนนิ่งไป ลิ้นของเขาเลียอยู่ตรงจิลสีเงินตรงมุมปากล่างเหมือนติดเป็นนิสัยเวลาที่ใช้ความคิด
“แล้วสิ่งเร้าของลุงคือตรงไหนครับ”
“เออว่ะ”
แซมว่าพร้อมกับถอนหายใจ
“สมมุติขึ้นมาก็ได้มั้งครับ”
“งั้นเดี๋ยวเขียนให้”
ผมว่าก่อนจะลองเขียนสมมุติฐานขึ้นมาหนึ่งอัน
“ลายตรงต้นแขนคืออะไร ถามได้ไหม”
แซมถามพร้อมกับชี้ไปที่ท่อนแขนข้างซ้ายด้านในของเขา
“เข็มทิศครับ”
“บนตัว มีกี่ลาย”
ผมถามบ้าง เขามองตรงมาก่อนจะตอบ
“จำไม่ได้เหมือนกันครับ”
“เริ่มสักตั้งแต่เมื่อไหร่”
แซมกับผมสลับกันถามเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้จะปิดบังอะไร ที่ผมเห็นตอนนี้คือรอยเล็กๆที่ต้นคอ เส้นเข็มทิศที่แขนซ้าย ตัวอักษรจีนที่ข้อนิ้วบางนิ้ว แปลกที่พออยู่บนตัวเขา ลายบางๆพวกนั้นไม่ได้ทำให้ดูรกแต่อย่างใด แต่ยังไง...แบบทีขาวสะอาดก็น่าจะดีกว่า
“ตั้งแต่จบม.หก สี่ปีพอดีครับ”
แซมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเขาบอกแบบนั้น
“อยู่ปีไหน”
“ปีสี่ครับ"
“ฉิบหาย”
แซมบอก ผมมองหน้าเพื่อนที่พึ่งขึ้นปี 3 มาด้วยกัน
“ไม่เป็นไรๆ ผมไม่ถือครับ”
เขาว่าพลางยิ้มในตอนที่แซมไหว้ขอโทษเขาหลายต่อหลายครั้ง
.
.
.
.
พวกเรานั่งทำงานกันตั้งแต่เที่ยง จนตอนนี้เกือบห้าโมงเย็นแล้ว แซมที่นัดกับเพื่อนในกลุ่มว่าจะไปรับเข้ามากินข้าวกันตอนเย็นลุกขึ้นเมื่อเห็นว่างานที่ตัวเองรับผิดชอบเสร็จหมดแล้ว
“ไปรับพวกเหี้ยกรที่ปากซอยก่อนนะ”
“ตกลงพวกมันจะมากินข้าวหรือกินเหล้า”
ผมถามถึงพวกที่ชวนกันในกลุ่มแชท
“เออ มันบอกจะมากินข้าวแต่แบกเบียร์มาสองลัง พี่เอาอะไรไหม”
ปลายประโยคแซมหันมาถามคนที่ยังนั่งทำงานอยู่ เขาส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้
“ไม่เป็นไรครับ"
“จะกลับตอนไหน”
ผมถามคนที่ยังนั่งพิมพ์สรุปอยู่ ตรงนิ้วนางข้างซ้ายเขาผิดรูปแปลกๆ มันเลยทำให้เขาจับปากกาแปลกแบบที่ผมเคยเห็น
“ทำเสร็จ เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
เขาว่า แต่ตาก็ยังมองตรงที่จอคอม ท่าทางนั่งขัดสมาธิหลังตรงของเขาทำให้ผมนึกถึงน้องสาวตัวเองเวลานั่งทำงาน
“นี่”
“ครับ”
เขาหันมามองผม
"ตรงข้อมือทำไมถึงเป็นรุ้งเจ็ดสี ตรงอื่นเห็นเป็นขาวดำ”
ผมมองมันมาสักพักแล้วถึงถาม เขาเสหลบตาก่อนจะตอบ
"คือผม...ชอบผู้ชายครับ”
เขาว่าพร้อมกับขยับนาฬิกาข้อมือที่ดูหลวมให้ปิดตรงข้อมือ
"มันน่าเกลียดใช่ไหม บางคนก็ไม่ชอบ”
ผมมองการกระทำแบบนั้นก่อนจะบอกออกไป
“ชอบสิ”
“หมายถึง...ก็สวยดี”
“อ่า ขอบคุณครับ”
ผมมองยิ้มสวยนั่นก่อนจะเบนสายตามาที่ตรงเอวเขาแทน ตอนที่เขายกมือขึ้นผมเห็นดาวหลายดวงตรงนั้น
“ที่เอว เป็นลายอะไร”
เขาเลิกเสื้อขึ้นนิดหน่อยให้เห็นก่อนจะตอบ
“ถ้าฝั่งนี้ เป็นดาวครับ”
“ขอดูได้ไหม”
ผมถาม เขามองตรงมายังผมก่อนจะค่อยๆเลิกเสื้อตัวโคร่งให้สูงขึ้น และใช้อีกมือดึงขอบกางเกงให้ต่ำลง
“มันลึกนิดหน่อย”
ดาวเล็กๆที่เป็นลายเส้นสีเข้มประปรายไล่ตั้งแต่ขอบชายโครงลงไปยังเอวและสะโพก ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ไม่รู้ทำไมถึงแตะมือยังไปยังเอวบาง เขาสะดุ้งเล็กน้อย มือบางข้างหนึ่งกุมมือผมไว้เหมือนกำลังจะบอกให้ขยับออกไป แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ผมมองจมูกเรียวโด่งกับตากลมสวยของเขานิ่ง มือที่แตะเอวเนียนเปลี่ยนเป็นจับมันให้แน่น ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปหาเจ้าของกลุ่มดาวเหล่านั้น
“นี่”
ผมเรียกในตอนที่ปลายจมูกของตัวเองชนกับปลายจมูกเขา ผมไม่เข้าใจตัวเองพอๆกับไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ดึงดูดนัก
“มาช่วยแบกของหน่อย"
เสียงดังเอะอะมะเทิ่งดังมาจากหน้าบ้านในตอนที่รถของแซมดับลง แลปกดีเหมือนกันที่ผมไม่ได้ยินเสียงรถมันเลย
“ขอเข้าห้องน้ำได้ไหมครับ”
เขาว่าในตอนที่ผมผละตัวออกมา
“เอาสิ เลี้ยวขวาตรงนั้น”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินออกไปหาพวกเพื่อนที่ขนกันมาถล่อมบ้านไอ้แซม
“ขนอะไรกันมาวะ”
“ของกินเล่น”
ผมมองเบียร์และขนมขบเคี้ยวที่เป็นกับแกล้มอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนจะช่วยพวกมันขนเข้าไปในบ้าน เห็นใครบางคนเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“ใครวะ”
เพื่อนผมถาม
“พี่ที่เรียนวิชาเลือกด้วยกัน มาทำรายงาน”
แซมตอบให้ ก่อนจะหันมาถามผม
“เออแล้วพี่เขาจะกลับเลยไหวมะ เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปส่งเอง”
.
.
.
.
“ตรงนี้ก็ได้ครับ”
เขาว่าก่อนจะชี้ไปที่ป้ายรถเมล์หน้าม.
“เมื่อเช้าแซมก็มารับที่นี่เหรอ”
ผมถามก่อนจะมองไปตรงป้ายรถเมล์ที่ไม่มีคนอยู่เลย ติดจะมืดมากด้วยซ้ำ
“ใช่ครับ”
“บ้านอยู่ไหน”
“แถวดอนเมืองครับ”
ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปถามเขา
“แล้วเมื่อเช้ามายังไง”
“ก็มารถตู้แล้วต่อรถไฟฟ้ากับรถเมล์มา”
ผมที่กะว่าจะส่งเขาใกล้ๆรถไฟฟ้าเปลี่ยนใจหักเลี้ยวขึ้นทางด่วนที่อยู่ใกล้ๆ
“ทำไมไม่บอกว่าไกล”
“ไม่เป็นไรครับ”
เขาบอกพร้อมกับมองมือผมที่ส่งมือถือให้
“กด gps ให้หน่อย เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ส่งแถวนี้ ผมกลับได้”
“ฝนจะตกแล้ว”
ผมจ้องหน้าคนข้างตัวด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่ ตัวก็แค่นี้ ใส่เสื้อตัวขาวบางๆ ในกระเป๋าผ้าใบบางนั้นก็ไม่มีร่มหรืออะไรที่ดูเหมือนจะฝ่าฝนไปได้เลย
“ผมเกรงใจ”
ผมมองมือถือตัวเองในมือเขาเพื่อบอกให้รีบหน่อย เพราะถ้าเกิดเข้าผิดเลนส์มันจะแย่เอา
“ถ้าเส้นนี้ ต้องวิ่งไปดินแดงครับ”
ผมมองฝนปรอยแล้วมองไปยังป้ายที่บอกว่าทางด่วนดินแดงต้องวิ่งไปเส้นไหน ก่อนจะบอกคนข้างตัว
“บอกทางด้วยก็แล้วกัน”
.
.
.
.
‘ขอบคุณอีกครั้งนะครับ’
[ไม่เป็นไร]
ผมมองโทรศัพท์ที่ปกติเอาไว้เล่นเกมส์ด้วยความรู้สึกต่างออกไป
“เป็นเหี้ยอะไร หายไปสามชั่วโมง ไอ้ห่า นึกว่าเสือครามกูไปส่งพี่เขาที่เชียงใหม่”
ไอ้กรที่เมาล่วงหน้าไปแล้วบ่น ก่อนที่แซมจะบอกบ้าง
“คนนี้ไม่ธรรมดามึง”
“ยังไงวะ”
ปัณณ์เพื่อนในกลุ่มอีกคนขมวดคิ้วแน่น
“ก็ทำให้ระดับพี่ครามที่ดาวอักษรจีบไม่ติดเสียอาการได้”
“เสียเหี้ยอะไร”
ผมหันไปหาไอ้แซมที่เริ่มสนุก
“พวกมึงต้องมาเห็นตอนที่มันมองพี่เขา”
กรหัวเราะก่อนจะหันมาหาผม
“เปลี่ยนมาชอบพวกติดเข็มเหรอมึง”
ผมจ้องหน้าเพื่อนตัวเองที่พอเมาแล้วจะปากไม่ดีเท่าไหร่ ก่อนจะเตือนด้วยความหวังดี
“พูดจาดีๆหน่อย”
.
.
.
.
TBC.
เห็นหลุมอะไรไหมคะ อ๋อ หลุมรัก 55555555555555
เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นเขา
คนดี
ถ้าโลกใบสีฟ้านี้ประกอบด้วยธาตุเหล็ก นิกเกิลและธาตุบางชนิด โลกของผมคงจะประกอบด้วยโต้ซังกับพี่คู้
ผมไม่เคยมีแฟน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการมีแฟนคืออะไร เพราะผมเองมีความสุขอยู่แล้วที่ได้เรียนสิ่งที่ชอบ มีโต้ซังคอยสนับสนุนทุกอย่างที่อยากทำ กลับบ้านมามีพี่คู้คอยทำกับข้าวให้ ผมว่าสำหรับคนแบบผมความสุขแค่นี้ก็เกินพอแล้ว
จนได้มาเจอคราม...
ผมชอบครามมากๆ ชอบแบบที่ครามคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมผมถึงชอบเขาขนาดนั้น ผมเจอครามครั้งแรกในคาบเรียนรวม ครามโดดเด่นออกมาจากกลุ่มเพื่อนและคนในห้องนับร้อย เขาเป็นคนที่หน้าตาและรูปร่างดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายๆคนถึงชอบเขา ตอนนั้นผมจำได้ว่าเผลอจ้องเขานานมากจนครามเองหันมาสบตา
ผมถึงได้หันกลับมามองมือตัวเอง รอยสักสีเข้มทำให้ผมนึกได้ว่าผมคงไม่เหมาะกับเขาเลยไม่ว่าจะตรงไหนก็ตาม
ตอนนั้นในห้องโถงใหญ่นั้นไม่มีเพื่อนผมสักคน ผมไม่รู้จะทำงานกับใคร แถมทุกคนก็ยังมองผมเหมือนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ครามกลับเดินเข้ามาหากัน น่าแปลกเหมือนกันที่ครามเลือกที่จะทักผมก่อน บางทีเขาอาจจะเห็นผมนั่งเหงาอยู่คนเดียวก็ได้
สำหรับผมครามเป็นคุณหมีตัวโตที่ใจดี แต่คนรอบตัวผมเตือนอยู่ประจำว่าเขาเป็นเสือไม่ใช่หมี ผมว่าผมพอจะเข้าใจแต่ถ้าวันหนึ่งเขากลายเป็นเสือขึ้นมา ผมก็คงต้องปล่อยเขาไป เพราะผมเองไม่คิดด้วยซ้ำวันวันนี้ผมเองจะได้เป็นแฟนเขา
ผมมองตามสายตาของสา เห็นคนที่กำลังผุดลุกผุดนั่งอยู่ข้างนอกห้องโถงสำหรับทำงาน
“ทะเลาะกันเหรอวะ ทำไมไอ้ครามมันไม่เข้ามา”
สาหันมาถามผม ผมกับสาสนิทกันมากเพราะสาเป็นคนที่เข้าใจคนเซ่อซ่าอย่างผมได้เป็นอย่างดี ไม่แปลกเลยที่สาจะดูออก
“อ่า ครับ”
“ไปเคลียร์ไป โตๆกันแล้ว”
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ในห้องก่อนจะเดินออกไปหาผู้ชายตัวใหญ่ด้านนอก
“เข้ามานั่งข้างในไหมครับ ตรงนั้นยุงเยอะ”
“คนดี”
ครามแตะแขนผมเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมาจับมือไว้
“โกรธครามไหม”
ผมส่ายหน้า ผมไม่ได้โกรธเลยจริงๆ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมครามถึงต้องโกหก ถ้าครามอยากจะคุยหรือคบกับผู้หญิงผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
“งอนใช่ไหม”
ผมมองใบหน้าคม ผมเคยงอนพี่คู้บ่อยๆเหมือนกันเพราะพี่คู้ชอบยึดเคโระไป ถึงได้รู้ว่าตัวเองคงงอนมากกว่าโกรธ
“ครับ”
ผมตอบตามจริง ครามถอนหายใจก่อนจะดึงมือผมออกไปที่ลานหญ้าด้านหลังตึกติดกับทะเลสาปของม. ผมกับพวกเพนท์ชอบมานั่งวาดรูปที่นี่บ่อยๆเพราะมันค่อนข้างเงียบ
“ครามกลัวคนดีคิดมาก เลยตัดสินใจโกหก”
ผมยิ้มพร้อมกับมองมือที่จับกันไว้ ครามมีผิวขาวเนียนสะอาดสะอ้านต่างจากหลายๆคนและก็ต่างจากผมที่ด่างพร้อยไปทั้งตัว
“แล้วคนที่ครามไปส่งที่รถไฟฟ้าวันนั้นคือเขาใช่ไหมครับ”
ครามพยักหน้า ผมบอกตัวเองว่าคงไม่เป็นไรก่อนจะดึงมือออกจากมือใหญ่ของเขา แต่พอเห็นตาแดงเหมือนจะร้องไห้ของเขาผมก็รู้ว่าคงทำอะไรผิดไป
“ผมไม่น่าถามเลย ขอโทษนะครับ”
“เอื้อเป็นแฟนเก่าคราม”
ผมถอยออกมาหนึ่งก้าวเพราะไม่อยากอยู่ใกล้กับครามมาก มันทำให้ผมทำตัวไม่ถูก แต่เขากลับดึงผมเข้าไปกอด
“ฟังครามก่อนนะคะ”
ปกติผมจะชอบกอดของครามมากๆ เพราะมันอุ่น แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกว่าความผิดหวังที่ผมเกลียดมีอิทธิพลมากกว่า
“ครามกับเอื้อเลิกกันไปตั้งแต่ครามอยู่ปี 1 แล้วหลังจากนั้นครามก็คุยไปทั่วเลย แบบที่คนดีรู้”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เพื่อนๆผมบอกอยู่ตลอด
“ครามเจ้าชู้”
ผมพูดแบบที่ได้ยินมาจากคนอื่น เขาลูบหัวผมเบาๆอย่างเคย
“ตอนนั้นครามโดนเอื้อบอกเลิกเลยหาคนคุยไปทั่ว แต่สุดท้ายก็เลิกทำพราะว่ามันไม่ดี”
ผมเองไม่เคยรักมาก่อนได้แต่เงียบฟัง โต้ซังเคยสอนว่าความรักมีหลายแบบ ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่าความรักของครามเป็นแบบไหน
“ตอนที่ไปส่งเพราะครามบังเอิญเจอเอื้อที่ห้าง เขาขอติดรถไปลงรถไฟฟ้า ส่วนเรื่องหมวก ครามผิดเอง...”
ครามกดจมูกลงที่ไหล่ผม
“ครามไม่อยากให้คนดีคิดมาก”
ผมแปลกใจเหมือนกันที่ครามคิดมากขนาดนี้
“แล้วถ้าวันนี้ผมไม่รู้ ครามก็จะคุยกับเขาต่อไปเหรอครับ”
ผมถามตามตรง ก่อนจะดันตัวครามออก เพราะถ้าคนอื่นมาเห็นคงไม่ดีเท่าไหร่ ผมเองไม่มีปัญหาอะไรแต่กลัวว่าคนจะเอาเขาไปพูดในทางที่ไม่ดี
“ครามไม่ได้คุยกับเขาลับหลังเลยนะคะ ครามบอกเขาไปแล้วว่ามีแฟน”
ผมได้แต่สงสัยว่าทำไมถึงต้องเป็นผม คนแบบครามไม่ควรที่จะต้องมาง้อผมแบบนี้ด้วยซ้ำ
“ไหน ขอดูหน้าลูกเจี๊ยบหน่อย”
ผมที่ก้มหน้ามาสักพักเงยหน้ามองตาคราม นอกจากโต้ซังกับพี่คู้แล้วผมไม่หวังให้ใครมารักผมอีก เพราะขนาดพ่อแม่จริงๆ เขายังไม่รักผมเลย เพราะฉะนั้นการที่มีครามเป็นแฟนผมถึงได้ทำตัวไม่ค่อยถูก
“หายงอนคุณหมียังคะ”
ผมยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้เขา เพราะผมชอบครามมากๆ ถึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องงอนนานๆ
“ขอโทษนะคะ ต่อไปนี้ครามจะไม่โกหกอีก คนดียกโทษให้ครามนะ”
ผมพยักหน้าอีกรอบอีกคนถึงได้ดูโล่งใจ
“ขอกอดอีกทีนะคะ”
ผมมองซ้ายขวาก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกคนที่อ้าแขนไว้ ครามกอดผมแน่นก่อนจะก้มจูบแก้มอยู่หลายครั้ง
.
.
.
.
ที่ผมเริ่มสักไม่ใช่เพราะความชอบ แต่สักเพราะอยากปิดร่องรอยแผลเป็นบนร่างกาย ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรหากผิวผมจะเป็นรอยมีดบาดลึกหรือเป็นแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุ แต่ถ้าเป็นแผลที่เกิดจากความทรมานตอนเด็ก ผมเลือกที่จะซ่อนมันไว้ใต้รอยสีดำ
และอย่างที่หลายๆคนบอก ถ้าได้ลองสักครั้งแรกแล้วจะมีครั้งต่อๆไป
ผมเลือกลายช่อมะกอกจะเป็นลายสุดท้าย ผมคิดไว้ตั้งแต่แรกว่าถ้าหากผมสามารถจัดการกับจิตใจตัวเองได้ในระดับที่ดีแล้วผมจะสักมัน ประจวบเหมาะกับที่ตกลงคบกับครามและเป็นช่วงที่จะเรียนจบพอดี
“คนดี”
“ครับ”
ผมขานรับคนที่คิดว่าหลับไปแล้ว ครามขยับตัวมากอดผมไว้ เขาวนจูบที่แผ่นหลังผมอยู่หลายครั้ง
“ครามเป็นแฟนคนดีใช่ไหมคะ”
ผมพลิกตัวมาหาเขา ครามขยับตัวไปเปิดโคมที่หัวเตียง ผมมองแผ่นอกกว้างของเขาก่อนจะโดนดึงไปกอดไว้อีกรอบ เพราะเราเปลือยกันทั้งคู่ ผมถึงได้รู้สึกว่ามันน่าอาย แต่ครามเขาชอบแกล้งเขาชอบทำให้ผมอาย
“ครามถามได้ไหม”
ผมผยักหน้าเบาๆกับอกเขา
“รอยพวกนี้ มาจากไหน”
เขาแตะไปทั่วตัวผม ผมเองแตะไปที่รอยแผลเล็กๆตรงอกเขาบ้าง
“แล้วรอยนี้มาจากไหนครับ”
ครามขำเพราะรู้ว่าผมกำลังบ่ายเบี่ยง
“โดนลูกเจี๊ยบข่วนค่ะ เผลอฟัดแรงไปหน่อย”
“เจ็บไหมครับ ผมขอโทษ”
ผมลูบมันเบาๆและขอโทษที่ทำให้ผิวเขาเป็นรอย แต่ถ้าเล็บผมไม่เผลอไปข่วนเข้า ป่านนี้คุณหมีก็คงยังไม่หยุดแกล้ง
“เจ็บ แต่ก็คุ้ม”
ผมหัวเราะคนขี้แกล้ง
“วันนั้นผมเห็นครามโมโห”
ผมพูดถึงวันก่อนที่มีคนขับรถมาเบียดเขา ครามมักจะใจร้อนอย่างเห็นได้ชัดเวลาขับรถ วันนั้นครามหน้านิ่งแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน เขาสบถอยู่สองสามคำ บทสนทนาที่เรากำลังคุยกันเรื่องของแต่งบ้านถึงได้จบไปเพราะผมไม่อยากให้เขาอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิม
“ถ้าไม่มีคนดีอยู่ด้วยอาจจะเป็นข่าวหน้าหนึ่ง”
ผมมองหน้าของคนที่เป็นคุณหมีใจดีกับผม แต่บางมุมของครามก็ดูน่ากลัว
“คนดีกลัวครามเหรอ”
ผมมองมือของตัวเองที่โดนจับไปจูบ ครามชอบจูบนิ้วนางของผมที่มันเบี้ยวเพราะเคยหักมาก่อน
“ตอนเด็กๆผมโดนคนโมโหทำร้ายบ่อยๆครับ เลยไม่ชอบ”
ผมว่าตามจริง ผมเองก็ไม่อยากจะปิดเรื่องที่เคยเกิดขึ้น แต่ที่ผมไม่อยากเล่าเพราะทุกครั้งที่ผมเล่ามักจะมีคนเดือดร้อนเพราะผมบ้าง และมันก็เหมือนกับการราดแอลกอฮอล์ลงที่แผลเดิมซ้ำๆ
มันเป็นแผลที่ทำยังไงก็ไม่หาย...
“พ่อกับแม่ใช่ไหม”
ครามเดาถูก ผมยิ้มทั้งๆที่ก้อนน้ำตาจุกอยู่ในลำคอ ผมไม่ชอบตัวเองเวลาอ่อนแอพอๆกับไม่ชอบที่ตัวเองเผลออ้อนครามไปมากขนาดนี้ ผมกอดแผ่นหลังไว้แน่น ครามลูบหลังผมไปมา
คุณหมีใจดีกับผมมากๆเพราะคอยถามผมอยู่บ่อยๆว่าผมมีเรื่องอะไรไม่สบายใจไหมหรือมีอะไรให้ช่วยไหม ซึ่งมันยิ่งทำให้ผมเกรงใจเขา ที่ผมไม่อยากเล่าให้ครามฟังเพราะไม่อยากให้เขาคอยเป็นห่วงผมแบบที่โต้ซังเป็น และอีกใจผมเองก็ไม่อยากพึ่งครามมากเกินไป
เพราะผมไม่รู้จริงๆว่าผมกับเขา...เราจะยังอยู่กันแบบนี้อีกนานไหม ผมไม่กล้าหวังอะไรเลย
“ครามอยากแบ่งความไม่สบายใจของลูกเจี๊ยบมาบ้าง ลูกเจี๊ยบไม่ไว้ใจครามใช่ไหมคะ”
ครามถามผมหน้าเศร้า ผมเลยลูบแก้มเขาเบาๆแบบที่ครามชอบทำเวลาปลอบผม
“โต้ซังกับพี่คู้ เหมือนเทวดาเลยครับ”
ผมเริ่มเล่าเหมือนที่เล่าให้โต้ซังฟัง มันยาก แต่พอเล่าจบก็จะโล่ง ถ้าครามจะเกลียดผมหลังจากนี้ ผมก็คงทำได้แค่กลับไปยืนที่เดิมที่เคยมา
“ยังไงคะ”
ผมซุกหน้าเข้ากับอกเขา ร่างกายของเรากอดก่ายกันจนไร้ช่องว่าง
“โต้ซังกับพี่คู้ใจดีมากๆเลยครับ ทั้งๆที่ไม่ใช่พ่อกับพี่แท้ๆ แต่โต้ซังกับพี่คู้ก็ให้ทุกอย่างที่โต้ซังให้ได้”
โต้ซังเป็นพ่อที่ดีมากๆ พี่คู้เองก็เหมือนกัน ถึงตอนเด็กๆเราจะตีกันบ่อย แต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะไม่รักพี่คู้
“เพราะทุกคนรักคนดีไง”
ครามว่า มือใหญ่ของเขาลูบที่แผ่นหลังผม
“ผมรู้ ผมก็รักโต้ซังมากๆ แต่โต้ซังก็เอาแต่โทษตัวเอง”
ผมพยายามบอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้
“ตอนประถม พ่อแม่เคยมาขอผมคืน ผมดีใจมาก เลยขอโต้ซังว่าจะกลับไป”
โต้ซังไม่เคยโกหกผมเลยตั้งแต่เด็กว่าเราไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมยังรู้สึกค้างคาอยู่ในใจตลอดก็คือเรื่องของพ่อกับแม่แท้ๆ โต้ซังไม่เคยเล่าถึงเรื่องพวกนั้น
“ตอนแรกโต้ซังไม่ยอม แต่ผมเด็ก ไม่ค่อยเข้าใจ รู้แต่ว่าคิดถึงพ่อแม่มากๆ”
ครามดึงตัวออก เขามองหน้าเปื้อนน้ำตาของผม
“สุดท้ายโต้ซังก็ให้กลับไปเหรอคะ”
“ครับ ผมดื้อ”
ตอนนั้นผมรั้นมากจริงๆ ผมเคยพูดไม่ดีขนาดที่บอกว่าโต้ซังไม่รักผมถึงไม่ยอมให้ผมกลับไป ครามจ้องหน้าผม เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาให้ ก่อนจะดึงให้ผมลุกขึ้นนั่งคร่อมตัวเขาไว้
“กอดไว้แบบนี้นะคะ”
ครามยิ้มให้เหมือนอยากจะให้กำลังใจ ก่อนจะจูบลงที่ไหล่ผม
“แผลพวกนี้ ตอนที่กลับไปบ้านหลังนั้น...”
ภาพที่ผมแบกกระเป๋าใบโตกลับไปหาพ่อแม่ยังแจ่มชัด โต้ซังเดินเข้าซอยแคบๆในชุมชนแออัดเพื่อไปส่งผมในบ้านไม้หลังเก่า พ่อแม่ผมตอนนั้นพึ่งอายุ 20 ปลายๆ เขายิ้มเหมือนดีใจที่ผมกลับไป
ผมก้าวเท้าขึ้นไปในบ้านหลังนั้น นอนในห้องแคบๆที่ด้านหลังติดกับคลองน้ำ ช่วงวันแรกๆพ่อกับแม่ดูจะดีใจที่มีผม ต่างจากน้องชายวัย 8 ขวบของผมที่ไม่ยอมพูดอะไรเลย
แต่หลังจากนั้นแค่ไม่นานผมก็โดนใช้ไปขายของช่วยพี่แถวบ้านเพื่อเป็นค่าแรงเข้าบ้าน ผมเข้าใจว่าต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน แต่ผมเริ่มเห็นความแตกต่างจากตอนที่ผมอยู่กับโต้ซัง
พวกเขาไม่ชอบใจที่ผมขอไปโรงเรียน...พวกเขาเริ่มด่าทอและทุบตีผม
“ชู่ว ลูกเจี๊ยบไม่ร้องนะคะ คนดีของคราม”
เสียงของครามทำให้ผมนึกได้ว่าผมไม่ใช่เด็กตัวเล็กเมื่อก่อนแล้ว ผมไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็นอีกแล้ว ตอนนี้ผมรู้เลยว่าที่ของผมคือที่ไหน
“โต้ซังนี่เป็นคุณพ่อที่สุดยอดเลยนะ พาคนดีของครามกลับมาได้”
ดูเหมือนครามจะเข้าใจโดยไม่ต้องเล่าอะไรมากไปกว่านี้ พอยิ่งโดนปลอบก็ยิ่งรู้สึกอยากร้องไห้มากกว่าเดิม
“คนดีรู้ไหม ถ้าจะทำให้โต้ซังหรือพี่คู้ไม่เป็นห่วง คนดีต้องเล่าทุกอย่างให้โต้ซังฟังนะ”
“ผมทำให้ทุกคนลำบาก”
ผมว่าด้วยเสียงแหบพร่า ครั้งนั้นก็เป็นโต้ซังที่ต้องวิ่งเต้นทุกอย่างเพื่อที่จะได้ผมกลับมา ทำแม้ทุกอย่างเพื่อไม่ให้พ่อแม่เข้ามาใกล้ผมได้อีก
“ครามไม่ลำบากเลย จะลำบากก็แต่ตอนที่คนดีไม่เล่าให้ฟัง พอไม่รู้เลยดูแลคนดีไม่ได้”
ผมเบียดตัวเข้าไปหาคราม ซบหน้าลงตรงบ่าเขา
“คนที่ครามเห็น เขาคือน้องชาย”
โต้ซังบอกว่าตอนเด็กๆผมไม่คุยกับคนแปลกหน้าเลยเพราะกลัว ทำให้ผมนึกถึงน้องชายที่อยู่ที่นั่น น้องชายของผมตัวสูงใหญ่ต่างจากผม แต่ตอนเด็กๆเขาก็ไม่พูดอะไรเลยเหมือนกัน
“เขามาหาเพื่อบอกว่าผมหนีเอาตัวรอดคนเดียว”
ผมยิ้มให้กับตัวเอง ถ้าตอนนั้นผมโตพอ ผมคงกล้าที่จะดึงเขาออกมาจากที่นั่นด้วย แต่ผม...
“เขาพาผมกลับบ้านหลังนั้น ไปดูพ่อ พ่อป่วยหนัก เขาอยากให้ผมกลับไปดูแล”
วันที่ครามติดธุระเป็นวันที่น้องชายผมมาหาอีกครั้ง ผมยอมไปกับเขาแต่โดยดีเพราะเขาร้องไห้แบบคนหมดหนทาง ผมเดินตามทางคับแคบกลับไปยังบ้านหลังนั้น มันยังคับแคบและอับชื้นอย่างเคย
กลิ่นของความทรงจำผุดขึ้นมาจนผมแทบจะอาเจียน ผมจำได้ดีว่าผมเคยโดนตีหรือโดนทำร้ายร่างกายตรงพื้นที่ตรงไหนบ้าง
“ผมไม่รู้จะช่วยเขายังไง ผมไม่อยากกลับไป"
น้ำตาที่เริ่มเหือดไปไหลลงมาอีกครั้ง
“ผมอ่อนแอใช่ไหมครับ ผมเป็นลูกที่ไม่ดีใช่ไหม ผมสงสารน้อง...”
เด็กผู้ชายคนนั้นเติบโตจากที่ๆโต้ซังสร้างให้ผมโดยสิ้นเชิง ผมเคยคิดว่าผมเป็นคนที่พ่อแม่ไม่รักเพราะโดยทอดทิ้ง แต่เมื่อได้กลับไปเจอน้องชายแท้ๆของตัวเองแล้วถึงรู้ว่า...ผมเองโชคดีเหลือเกิน
“ไม่เลย คนดีเข้มแข็งมากต่างหาก แล้วคนดีก็เป็นลูกที่โต้ซังภูมิใจมากๆนะ”
ครามลูบหัวผมเบาๆ
“ถ้าเป็นคราม คงโตมานิสัยน่ารักแบบนี้ไม่ได้”
ครามกอดผมไว้หลวมๆ จนผมเริ่มสงบลงแล้ว เขาถึงได้ช้อนหน้าผมขึ้น
“ปวดหัวไหม”
ผมส่ายหน้า ครามยื่นมือไปหยิบทิชชู่ตรงหัวเตียงมาให้ เขายิ้มตอนที่เห็นผมปาดน้ำมูก
“มา ครามช่วย”
ผมรีบส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับ”
ครามยิ้มก่อนจะขยับตัวออกจากตัวผม เขาเดินไปในห้องน้ำก่อนจะออกมาด้วยผ้าเปียกผืนเล็ก
“ครามอาจจะช่วยคนดีได้ไม่หมด แต่ครามจะทำเท่าที่ครามทำได้ เพราะฉะนั้นคนดีไม่ต้องเกรงใจนะ”
มือใหญ่ถือผ้าผืนเล็กไว้ในมือก่อนจะค่อยๆเช็ดหน้าให้ผม สำหรับผม...ครามใจดีมากจริงๆ
“ตอนไปรับผมกลับมาอีกรอบ โต้ซังพูดอยู่ตลอดเลยว่าจะเลี้ยงพี่คู้กับผมให้ดี แล้วโต้ซังก็ทำดีมากๆ”
ผมเล่าไปปล่อยอีกคนเช็ดหน้าให้ไปด้วย
“คนดีทำให้ครามคิดถึงคุณพ่อเลย พ่อครามเสียเร็วไปเลยไม่มีโอกาสตอบแทนบุญคุณเขา ทำได้แค่จะโตแล้วดูแลทุกคนในบ้านให้ดี คนดีก็อยากดูแลโต้ซังใช่ไหม”
ผมพยักหน้า
“ส่วนเรื่องพ่อแม่กับน้องชายของคนดี ครามขอพูดในฐานะแฟนได้ไหมคะ”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง
“คนดีช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้นะ ไม่ต้องรู้สึกผิด ครามเข้าใจว่าใครๆก็รักพ่อแม่แต่...แคร์คนที่เขารักเรานะ”
ผมพยักหน้าพร้อมกับสูดหายใจเข้าให้ลึก
“ผมรักโต้ซัง รักพี่คู้มากๆ"
ผมบอกพลางสบตาคราม
“แล้วคุณหมีรักคนดีไหมครับ”
ครามยิ้มกว้างก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด
“รักค่ะ รักมากๆเลย”
.
.
.
.
สวัสดีค่า zearet 17 ค่าา :L2:
แวะมาเปิดเรื่องใหม่ในปีใหม่ แม้เรื่องเดิมยังไม่จบก็ตาม 5555
เรื่องนี้ได้ inspiration มาจากหนุ่มรอยสักค่ะ ทั้งเจาะเยอะๆด้วย
ดูเป็นรสนิยมที่บางครั้งเราเองก็เข้าไม่ถึง แต่ก็เห็นว่ามีเสน่ห์ดี จนทุกวันนี้อยากไปสักแล้ว 55555
โทนเรื่องโดยรวม feelgood ค่ะ ไปเรื่อยๆ ไม่ดราม่าแต่ก็มีปมเล็กๆให้คิดตาม
ไม่รู้จะถูกใจรึเปล่าแต่ฝากอ่านมันด้วยนะฮะ
ถ้าเล่นทวิตเตอร์ฝากติดแท็ก #น้องคนดีมีรอยสัก ด้วยนะคะ เราจะตามไปป่วน :]
*ตอนแรกว่าจะลง #ผู้ชายในทินเดอร์ ให้จบก่อน แต่ทนความฟุ้งซ่านตัวเองไม่ไหวค่ะ 555555
*เรื่องนี้จะอัพอาทิตย์ละครั้งทุกวันอังคารนะคะ เพราะจะกลับมาเขียนเป็นนิยายตอนยาวแบบปกติ ไม่ได้สั้นกุดแบบผชในทินเดอร์ แบบนั้นเราเกรงใจคนอ่าน มันทำให้มาได้ไวก็จริงแต่ก็สั้นเกินTT ส่วนเรื่องนี้ประมาณ 15-17 ตอนจบค่ะ
*จริงๆคือชื่อเรื่องยังคิดไม่ออกค่ะ 55555
________________________________________________________________
Intro : กลุ่มดาวที่ไม่ได้อยู่บนท้องฟ้า
...เขาดูเหมือนจะน่ากลัว โดดเดี่ยวและรักอิสระ แต่พอมองลึกลงไปเขากลับเปราะบางและเคยแตกหัก ถึงจะเป็นแบบนั้นลวดลายที่เคยแตกร้าวกลับสวยจนละสายตาไม่ได้....
ผมนั่งมองผมสีน้ำตาลเข้มหนาที่ยาวประบ่า มันถูกตัดตรงเหมือนกับว่าเจ้าตัวจงใจให้มันเท่ากันเหมือนไม้บรรทัด หน้ารูปไข่ของเขาจ้องมองกระดานไวท์บอร์ดข้างหน้าอย่างตั้งใจ สิ่งที่ดึงความสนใจใครหลายคนจากห้องนี้คือจิลสีเงินที่แทงอยู่ตรงหางคิ้วซ้ายได้รูป
ภายใต้เสื้อนิสิตแขนสั้นตัวโคร่ง ผมมองเห็นลวดลายสีดำโผล่ออกมานอกชายเสื้อตัดกับแขนผอมบางขาวสว่าง ข้อนิ้วเรียวสวยมีลายตัวอักษรจีนตัวบางที่อ่านไม่ออกสักไว้ที่บางนิ้ว ในตอนที่ผมพึ่งนึกได้ว่าจ้องเขานานจนเกินไป เจ้าตัวก็หันกลับมามอง ตาสีน้ำตาลกลมโตจ้องที่ตาผมก่อนจะเสหลบไป
“กลุ่มสามคนว่ะ รู้แบบนี้ลากไอ้จินมาลงจิตวิทยาอีกคน กูแม่งไม่ชอบวิชาเรียนรวมต่างคณะแบบนี้เลย”
เพื่อนผมบ่น ผมถือกระดาษรวบรวมรายชื่อเดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่คนเดียวมาตั้งแต่แรกแล้ว
“มีกลุ่มยัง”
เขาดูตกใจอยู่ในทีกับแต่ก็หันมาตอบ
“ยังครับ”
เสียงเขาดูธรรมดากว่าที่คิด ผมที่คาดหวังให้มันแหลมกว่าโทนผู้ชายสักหน่อยสลัดความคิดนั้นออกจากหัว
“เรียนคณะอะไร”
“สินกำครับ”
“มิน่า”
เพื่อนผมที่นั่งทายว่าเขาเรียนคณะไหนมาตั้งแต่ต้นคาบเรียนหลุดปากออกไป
“กูชื่อคราม อยู่รัฐศาสตร์”
ผมบอกก่อนจะยื่นกระดาษเขียนรายชื่อให้
“กูชื่อแซมอยู่รัฐศาสตร์เหมือนกัน”
เพื่อนผมบอก เขายิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ
“ชื่อคนดีครับ”
“จริงเหรอวะ”
เพื่อนผมอดแปลกใจไม่ได้ ผมเองก็เหมือนกัน
“อ่า...ครับ”
“เลือกหัวข้ออะไรดีวะ ทำไมกูไม่เคยได้ยินสักอย่าง”
แซมว่า ผมหันไปมองคนที่กำลังมองไปที่กระดาน
“เลือกให้หน่อย”
ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นแต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรเมื่อเพื่อนผมพูดออกมาก่อน
“เรื่องที่ 3 ไหม พฤติกรรมนิยม น่าจะหาข้อมูลง่าย”
เขาพยักหน้ารับก่อนจะเขียนหัวข้อที่ต้องทำลงไป มือเรียวยาวของเขาจับปากกาแปลกดี ผมมองเล็บเรียวสวยที่ทาสีดำไว้บางนิ้วก่อนจะมองข้อมือบางที่มีรอยสักเล็กๆรูปสายรุ้งเจ็ดสีไว้ ถ้าศิลปะคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เขาอาจจะเป็นศิลปะหนึ่งอย่างที่ผมเห็นว่าสวย...แต่ก็เข้าไม่ถึง
“ปราชญ์ โอกาวะ ลูกครึ่งเหรอ”
ผมถามถึงชื่อที่เขียนไว้บนกระดาษ
“พ่อเลี้ยงเป็นคนญี่ปุ่นครับ ผมเป็นคนไทยแท้ บ้านอยูปากคลองตลาด”
แซมหัวเราะ ก่อนจะยกนิ้วให้
“มุขนี้ได้ๆ พวกไอ้กรมารอแล้ว”
มันว่า ท้ายประโยคบอกก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเรียนรวมขนาดใหญ่เพื่อไปหากลุ่มเพื่อน
“ไม่ได้มุกนะ”
เขาว่า ผมมองนาฬิกาที่ได้เวลาจะห้าโมงเย็นแล้ว ได้เวลาที่นัดกับเพื่อนไว้แล้ว ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้เขา
“เบอร์หรือไลน์ก็ได้ ไว้ติดต่องาน”
มือผอมบางของเขารับมันไปก่อนจะพิมพ์ชื่อให้ ผมกดเพิ่มเพื่อนในโปรแกรมแชท อดไม่ได้ที่จะกดเข้าไปดูรูปโปรไฟล์ของเขา...ที่มีแค่ท้องฟ้าเวิ้งว้าง
.
.
.
.
“พี่ครามคะ พรุ่งนี้แนนเลิกดึกนะ อยู่ซ้อมหลีด”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวพี่มารับ”
ผมตอบรับคนที่นั่งอยู่ข้างกันก่อนจะหันไปมองคนที่พึ่งเจออยู่ตรงป้ายรถเมล์ ไม่ว่าจะมองจากตรงไหน...เขามักจะโดดเด่นออกมาเสมอ
“เพื่อนเหรอคะ”
“ไม่เชิงครับ เจอในคาบเรียนรวม”
“อ๋อ นั่นพี่คนดีนี่”
ผมมองคนข้างกาย
“รู้จักเหรอคะ”
“พี่เขาพึ่งได้รางวัลวาดภาพประกอบอะไรสักอย่างที่ฝรั่งเศส เห็นในเว็บม.ลงข่าว เพื่อนหนูชอบพี่เขามากเลย”
ผมยังจำท่าจับปากกาแบบแปลกๆของเขาได้ติดตา
“ถ้าไม่สักกับเจาะ พี่เขาจะดูเข้าถึงง่ายกว่านั้นนะหนูว่า”
ผมแอบเห็นด้วยกับที่เธอบอก
“แต่พี่เขาสวย เป็นผู้ชายแต่สวยจนน่าอิจฉา”
“ก็ไม่ได้สวยขนาดนั้นนะ”
ผมที่นั่งเขามองอยู่นานบอก ผมว่าเขาดึงดูด แต่ก็ไม่ได้สวยแบบที่แนนหรือเพื่อนแนนสวย เขาดูตัวบางแต่ไม่ได้ดูนุ่มนิ่มหรือบอบบาง
“แนนสวยกว่าใช่ไหมคะ”
เธอถามพร้อมกับยิ้มสวย ผมเลิกคิ้วก่อนจะตอบรับ
“ใช่ค่ะ”
“พูดแบบนี้อยากให้แนนค้างใช่ไหม คิดถึงเค้าเหรอ”
ผมหัวเราะคนรู้ทัน ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวเธอ
“รู้ก็ดีแล้ว”
.
.
.
.
ผมมองมือถือที่บอกเวลาเกือบตีสาม แซมกับกรแชทมาบอกให้ผมเข้าไปร่วมกลุ่มเพื่อเล่นเกมส์ ผมมองรูปท้องฟ้าก่อนจะกดเข้าไปแล้วพบว่าเขากดรับผมเป็นเพื่อนแล้ว จุดสีเขียวตรงหน้าบ่งบอกว่าเขายังไม่นอน
ผมกดสติกเกอร์รูปหมีสีน้ำตาลที่มีติดเครื่องไป เขาอ่านมันในทันทีและตอบกลับมาด้วยกระต่ายตัวสีขาว ที่ทำหน้างงๆ
“ทำอะไรอยู่”
ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าถามเขาทำไม แต่ผมนึกภาพไม่ออกว่าดึกขนาดนี้เขาจะทำอะไรอยู่ ทำแบบที่ผมทำอยู่หรือเปล่า
[ทำงานครับ]
“งานอะไร”
“ออกแบบให้ลูกค้า”
ผมกำลังจะถามเขาต่อว่างานออกแบบที่ว่าคืออะไร คนที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำก็เรียกก่อน
“พี่ครามคะ หยิบโลชั่นตรงนั้นให้หนูหน่อย”
.
.
.
.
ทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) นักคิดกลุ่มนี้มองธรรมชาติมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลางคือไม่ดีไม่เลว การกระทำของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า (stimulus-response) การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง การเรียนรู้ของกลุ่มนี้ใช้การวัดและสังเกตุและทดสอบพฤติกรรม
“ทำไมกูไม่เข้าใจเลยวะ”
แซมอ่านสิ่งที่ตัวเองสรุปมาในสมุด ก่อนจะหันมาถามคนที่นั่งอยู่ใกล้กัน
“เข้าใจไหม”
“ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกรึเปล่าครับ”
พวกเรานั่งทำงานอยู่ที่บ้านของแซมที่ไม่ได้ไกลจากม.นัก ผมว่ามันสะดวกดี ถึงได้นัดเขามาที่นี่ แทนที่จะเป็นห้องสมุดของม.ที่คนเบียดเสียดกันแทบจะตลอดเวลา
ผมมองลายมือเป็นระเบียบของเขาในสมุดไม่มีเส้นก่อนจะถาม
“ทำถึงไหนแล้ว”
“เหลือยกตัวอย่างครับ”
เขายื่นสมุดเล่มนั้นให้ดู กลิ่นหอมอ่อนๆจากผมยาวของเขาปัดผ่านจมูกผม เขาดูตกใจ
“ผมขอโทษ”
เขาว่าก่อนจะใช้หนังยางอยู่ตรงข้อมือรวบขึ้นไป ในตอนที่ผมสีเข้มถูกรวบขึ้นไป ผมก็เห็นว่าตรงต้นคอขาวเนียนด้านหลังมีเส้นเรียวบางรูปร่างคล้ายหมาจิ้งจอกอยู่
“ไอ้เสือ หลุดฉิบหาย”
แซมว่า ผมหันไปเจอมันกำลังจ้องอยู่ ถึงได้ส่งนิ้วกลางให้ที
“ยกตัวอย่างแบบข่าวล่าสุดนี่ได้ไหมวะ ที่ลุงข่มขืนหลานแล้วเด็กก็กลับมาฆ่าเพื่อแก้แค้น”
แซมเสนอ อีกคนนิ่งไป ลิ้นของเขาเลียอยู่ตรงจิลสีเงินตรงมุมปากล่างเหมือนติดเป็นนิสัยเวลาที่ใช้ความคิด
“แล้วสิ่งเร้าของลุงคือตรงไหนครับ”
“เออว่ะ”
แซมว่าพร้อมกับถอนหายใจ
“สมมุติขึ้นมาก็ได้มั้งครับ”
“งั้นเดี๋ยวเขียนให้”
ผมว่าก่อนจะลองเขียนสมมุติฐานขึ้นมาหนึ่งอัน
“ลายตรงต้นแขนคืออะไร ถามได้ไหม”
แซมถามพร้อมกับชี้ไปที่ท่อนแขนข้างซ้ายด้านในของเขา
“เข็มทิศครับ”
“บนตัว มีกี่ลาย”
ผมถามบ้าง เขามองตรงมาก่อนจะตอบ
“จำไม่ได้เหมือนกันครับ”
“เริ่มสักตั้งแต่เมื่อไหร่”
แซมกับผมสลับกันถามเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้จะปิดบังอะไร ที่ผมเห็นตอนนี้คือรอยเล็กๆที่ต้นคอ เส้นเข็มทิศที่แขนซ้าย ตัวอักษรจีนที่ข้อนิ้วบางนิ้ว แปลกที่พออยู่บนตัวเขา ลายบางๆพวกนั้นไม่ได้ทำให้ดูรกแต่อย่างใด แต่ยังไง...แบบทีขาวสะอาดก็น่าจะดีกว่า
“ตั้งแต่จบม.หก สี่ปีพอดีครับ”
แซมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเขาบอกแบบนั้น
“อยู่ปีไหน”
“ปีสี่ครับ"
“ฉิบหาย”
แซมบอก ผมมองหน้าเพื่อนที่พึ่งขึ้นปี 3 มาด้วยกัน
“ไม่เป็นไรๆ ผมไม่ถือครับ”
เขาว่าพลางยิ้มในตอนที่แซมไหว้ขอโทษเขาหลายต่อหลายครั้ง
.
.
.
.
พวกเรานั่งทำงานกันตั้งแต่เที่ยง จนตอนนี้เกือบห้าโมงเย็นแล้ว แซมที่นัดกับเพื่อนในกลุ่มว่าจะไปรับเข้ามากินข้าวกันตอนเย็นลุกขึ้นเมื่อเห็นว่างานที่ตัวเองรับผิดชอบเสร็จหมดแล้ว
“ไปรับพวกเหี้ยกรที่ปากซอยก่อนนะ”
“ตกลงพวกมันจะมากินข้าวหรือกินเหล้า”
ผมถามถึงพวกที่ชวนกันในกลุ่มแชท
“เออ มันบอกจะมากินข้าวแต่แบกเบียร์มาสองลัง พี่เอาอะไรไหม”
ปลายประโยคแซมหันมาถามคนที่ยังนั่งทำงานอยู่ เขาส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้
“ไม่เป็นไรครับ"
“จะกลับตอนไหน”
ผมถามคนที่ยังนั่งพิมพ์สรุปอยู่ ตรงนิ้วนางข้างซ้ายเขาผิดรูปแปลกๆ มันเลยทำให้เขาจับปากกาแปลกแบบที่ผมเคยเห็น
“ทำเสร็จ เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
เขาว่า แต่ตาก็ยังมองตรงที่จอคอม ท่าทางนั่งขัดสมาธิหลังตรงของเขาทำให้ผมนึกถึงน้องสาวตัวเองเวลานั่งทำงาน
“นี่”
“ครับ”
เขาหันมามองผม
"ตรงข้อมือทำไมถึงเป็นรุ้งเจ็ดสี ตรงอื่นเห็นเป็นขาวดำ”
ผมมองมันมาสักพักแล้วถึงถาม เขาเสหลบตาก่อนจะตอบ
"คือผม...ชอบผู้ชายครับ”
เขาว่าพร้อมกับขยับนาฬิกาข้อมือที่ดูหลวมให้ปิดตรงข้อมือ
"มันน่าเกลียดใช่ไหม บางคนก็ไม่ชอบ”
ผมมองการกระทำแบบนั้นก่อนจะบอกออกไป
“ชอบสิ”
“หมายถึง...ก็สวยดี”
“อ่า ขอบคุณครับ”
ผมมองยิ้มสวยนั่นก่อนจะเบนสายตามาที่ตรงเอวเขาแทน ตอนที่เขายกมือขึ้นผมเห็นดาวหลายดวงตรงนั้น
“ที่เอว เป็นลายอะไร”
เขาเลิกเสื้อขึ้นนิดหน่อยให้เห็นก่อนจะตอบ
“ถ้าฝั่งนี้ เป็นดาวครับ”
“ขอดูได้ไหม”
ผมถาม เขามองตรงมายังผมก่อนจะค่อยๆเลิกเสื้อตัวโคร่งให้สูงขึ้น และใช้อีกมือดึงขอบกางเกงให้ต่ำลง
“มันลึกนิดหน่อย”
ดาวเล็กๆที่เป็นลายเส้นสีเข้มประปรายไล่ตั้งแต่ขอบชายโครงลงไปยังเอวและสะโพก ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ไม่รู้ทำไมถึงแตะมือยังไปยังเอวบาง เขาสะดุ้งเล็กน้อย มือบางข้างหนึ่งกุมมือผมไว้เหมือนกำลังจะบอกให้ขยับออกไป แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ผมมองจมูกเรียวโด่งกับตากลมสวยของเขานิ่ง มือที่แตะเอวเนียนเปลี่ยนเป็นจับมันให้แน่น ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปหาเจ้าของกลุ่มดาวเหล่านั้น
“นี่”
ผมเรียกในตอนที่ปลายจมูกของตัวเองชนกับปลายจมูกเขา ผมไม่เข้าใจตัวเองพอๆกับไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ดึงดูดนัก
“มาช่วยแบกของหน่อย"
เสียงดังเอะอะมะเทิ่งดังมาจากหน้าบ้านในตอนที่รถของแซมดับลง แลปกดีเหมือนกันที่ผมไม่ได้ยินเสียงรถมันเลย
“ขอเข้าห้องน้ำได้ไหมครับ”
เขาว่าในตอนที่ผมผละตัวออกมา
“เอาสิ เลี้ยวขวาตรงนั้น”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินออกไปหาพวกเพื่อนที่ขนกันมาถล่อมบ้านไอ้แซม
“ขนอะไรกันมาวะ”
“ของกินเล่น”
ผมมองเบียร์และขนมขบเคี้ยวที่เป็นกับแกล้มอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนจะช่วยพวกมันขนเข้าไปในบ้าน เห็นใครบางคนเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“ใครวะ”
เพื่อนผมถาม
“พี่ที่เรียนวิชาเลือกด้วยกัน มาทำรายงาน”
แซมตอบให้ ก่อนจะหันมาถามผม
“เออแล้วพี่เขาจะกลับเลยไหวมะ เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปส่งเอง”
.
.
.
.
“ตรงนี้ก็ได้ครับ”
เขาว่าก่อนจะชี้ไปที่ป้ายรถเมล์หน้าม.
“เมื่อเช้าแซมก็มารับที่นี่เหรอ”
ผมถามก่อนจะมองไปตรงป้ายรถเมล์ที่ไม่มีคนอยู่เลย ติดจะมืดมากด้วยซ้ำ
“ใช่ครับ”
“บ้านอยู่ไหน”
“แถวดอนเมืองครับ”
ผมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปถามเขา
“แล้วเมื่อเช้ามายังไง”
“ก็มารถตู้แล้วต่อรถไฟฟ้ากับรถเมล์มา”
ผมที่กะว่าจะส่งเขาใกล้ๆรถไฟฟ้าเปลี่ยนใจหักเลี้ยวขึ้นทางด่วนที่อยู่ใกล้ๆ
“ทำไมไม่บอกว่าไกล”
“ไม่เป็นไรครับ”
เขาบอกพร้อมกับมองมือผมที่ส่งมือถือให้
“กด gps ให้หน่อย เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ส่งแถวนี้ ผมกลับได้”
“ฝนจะตกแล้ว”
ผมจ้องหน้าคนข้างตัวด้วยความไม่ชอบใจเท่าไหร่ ตัวก็แค่นี้ ใส่เสื้อตัวขาวบางๆ ในกระเป๋าผ้าใบบางนั้นก็ไม่มีร่มหรืออะไรที่ดูเหมือนจะฝ่าฝนไปได้เลย
“ผมเกรงใจ”
ผมมองมือถือตัวเองในมือเขาเพื่อบอกให้รีบหน่อย เพราะถ้าเกิดเข้าผิดเลนส์มันจะแย่เอา
“ถ้าเส้นนี้ ต้องวิ่งไปดินแดงครับ”
ผมมองฝนปรอยแล้วมองไปยังป้ายที่บอกว่าทางด่วนดินแดงต้องวิ่งไปเส้นไหน ก่อนจะบอกคนข้างตัว
“บอกทางด้วยก็แล้วกัน”
.
.
.
.
‘ขอบคุณอีกครั้งนะครับ’
[ไม่เป็นไร]
ผมมองโทรศัพท์ที่ปกติเอาไว้เล่นเกมส์ด้วยความรู้สึกต่างออกไป
“เป็นเหี้ยอะไร หายไปสามชั่วโมง ไอ้ห่า นึกว่าเสือครามกูไปส่งพี่เขาที่เชียงใหม่”
ไอ้กรที่เมาล่วงหน้าไปแล้วบ่น ก่อนที่แซมจะบอกบ้าง
“คนนี้ไม่ธรรมดามึง”
“ยังไงวะ”
ปัณณ์เพื่อนในกลุ่มอีกคนขมวดคิ้วแน่น
“ก็ทำให้ระดับพี่ครามที่ดาวอักษรจีบไม่ติดเสียอาการได้”
“เสียเหี้ยอะไร”
ผมหันไปหาไอ้แซมที่เริ่มสนุก
“พวกมึงต้องมาเห็นตอนที่มันมองพี่เขา”
กรหัวเราะก่อนจะหันมาหาผม
“เปลี่ยนมาชอบพวกติดเข็มเหรอมึง”
ผมจ้องหน้าเพื่อนตัวเองที่พอเมาแล้วจะปากไม่ดีเท่าไหร่ ก่อนจะเตือนด้วยความหวังดี
“พูดจาดีๆหน่อย”
.
.
.
.
TBC.
เห็นหลุมอะไรไหมคะ อ๋อ หลุมรัก 55555555555555