-
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
Warning!
นิยายเรื่องนี้มีการกล่าวถึง เรื่องเพศ ความรุนแรง
และประเด็นอ่อนไหวทางครอบครัว
กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่านและคอมเม้นต์นะคนับ!
(http://image.free.in.th/v/2013/ip/150615075910.jpg)
Nightmare ... อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย
(YAOI : PSYCHO-DRAMA 18+)
.
.
"กลางคืนที่สดใสน่ะ มันมีแต่ในความฝันเท่านั้นแหละ"
.
.
สารบัญ
twilight .. before the night begin (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.0)
1st Night …Circle... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3094673#msg3094673)
2nd Night …Backward... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3095808#msg3095808)
3rd Night …Encounter... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3096743#msg3096743)
4th Night …Pain... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3098759#msg3098759)
5th Night …A Bad Start... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3100205#msg3100205)
6th Night …Hate... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3102417#msg3102417)
7th Night …Cigarettes... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3103456#msg3103456)
8th Night …Escape... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3104579#msg3104579)
9th Night …Make up... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3105830#msg3105830)
10th Night …Hunters... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3107979#msg3107979)
11th Night …Unconscious... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3111899#msg3111899)
12th Night …Astray... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3112841#msg3112841)
13th Night …White Lies... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3115002#msg3115002)
14th Night …Selfish... 50% (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3117874#msg3117874)
14th Night …Selfish... 100% (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3119006#msg3119006)
15th Night …Dinner... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3121494#msg3121494)
16th Night …Saliva... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3123859#msg3123859)
17th Night …Choice... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3125991#msg3125991)
18th Night …First Step... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3128722#msg3128722)
อิมเมจตัวละคร (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3128774#msg3128774)
19th Night …Rain... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3133809#msg3133809)
20th Night …Strom... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3135786#msg3135786)
Special Night I …Jealous... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3137002#msg3137002)
21st Night …Tomb Keeper & Cerberus... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3141180#msg3141180)
22nd Night …HuaHin... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3145288#msg3145288)
23rd Night …Habitude... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3149588#msg3149588)
24th Night …Unspoken Word... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3152145#msg3152145)
25th Night …Secret... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3154766#msg3154766)
26th Night …Broken past... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3157548#msg3157548)
27th Night …Normal... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3159498#msg3159498)
28th Night …I’m not joking... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3162216#msg3162216)
29th Night …Thank you... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3165907#msg3165907)
30th Night …Begin again... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3168399#msg3168399)
31st Night …Sand Castle... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3169948#msg3169948)
32nd Night …Happiness... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3171678#msg3171678)
33rd Night …Promise... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3173295#msg3173295)
34th Night …When people die... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3175981#msg3175981)
35th Night …Betray... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3177859#msg3177859)
36th Night …Dote & Lost... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3179408#msg3179408)
37th Night …On the chair... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3180761#msg3180761)
38th Night …As Same As... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3184052#msg3184052)
39th Night …Hope... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3186563#msg3186563)
40th Night …Happy Birthday... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3189229#msg3189229)
41st Night …Truth... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3192158#msg3192158)
42nd Night …Truth II... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3194447#msg3194447)
43rd Night …Truth III... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3198361#msg3198361)
44th Night …Suspicion... + อวดปก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3201849#msg3201849)
45th Night …Let's play the game... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3204564#msg3204564)
46th Night …The last game I... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3206717#msg3206717)
47th Night …The last game II... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3210839#msg3210839)
48th Night …Bang... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3213371#msg3213371)
49th Night …Separation... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3213371#msg3213371)
50th Night …Morning... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47376.msg3213371#msg3213371)
-
Twilight ... before the night begin
เสียงดนตรีบรรเลงดังแว่วมากับสายลม ทำให้ร่างโปร่งที่กำลังจมอยู่กับกองหนังสือตรงหน้ารู้ว่าได้เวลาที่เขาต้องลุกขึ้นมาแล้วออกไปเผชิญกับโลกภายนอกสักที เสื้อโค้ทตัวใหญ่ถูกหยิบขึ้นสวมพร้อมด้วยถุงมือหนังสีน้ำตาลที่ชวนให้คิดถึงผู้เป็นเจ้าของที่มอบให้เขาก่อนที่จะจากมาไกลถึงอิตาลี
"สองปีแล้วสินะ... ตอนนี้คงกำลังซนได้ที่เลย"
ใบหน้าหวานคมยกยิ้มหน่อยๆทั้งที่ดวงตาโศกเศร้า แม้จะไม่มีรูปสักใบไว้ดูต่างหน้าแต่ความทรงจำมากมายก็ยังคงตราตรึงแน่นเหมือนกับพันธนาการที่ไม่มีกุญแจให้ไขออก แสงสีทองส้มเริ่มเลือนหายไปจากท้องฟ้า ความมืดมิดเริ่มเข้าโอบล้อมกรุงมิลานให้เข้าสู่รัตติกาลอันยาวนานอีกครั้ง
ร่างบางเค้นยิ้มกับตัวเองก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่เริ่มตีตื้นขึ้นมา เขารีบใส่ถุงมือหนาก่อนจะหยิบเอากระเป๋าเงินพร้อมกับกุญแจห้องใส่โค้ทไว้แล้วหมุนตัวออกไปจากห้อง โดยได้ทิ้งเจ้าขวดยาแก้วที่ควรจะต้องติดตัวไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษซึ่งถูกขย้ำทิ้งกองเท่าภูเขา
โดยข้างๆกันนั้นก็มีกรอบรูปสองใบ ของคนสองคน
ที่คงไม่มีวันได้พบกันอีก...
----------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
สวัสดีคนับ!ชาวเล้าเป็ดทุกท่าน!
วันนี้ได้โอกาสลงนิยายที่นี่เป็นครั้งแรก(หลังจากสิงเล้ามาสักพัก)
ในนามนักเขียนหน้าใหม่ที่ใช้ชื่อว่า 'Vivace' ขอบอกว่าตื่นเต้นมากกับความโนเนมของตัวเอง
กลัวจะเขียนแล้วแป๊กอยู่เหมือนกัน!
บอกก่อนนะคนับ ว่าเช่ไม่ใช่นักเขียนที่เก่งอะไร แต่เรื่องทั้งหมดเช่มั่นใจได้เลยว่าเกิดจากความตั้งใจของเช่จริงๆ
ซึ่งหวังแค่ว่าคนที่ผ่านมาอ่านจะมีความสุขกับมัน และเช่ก็อยากให้ทุกคนมีความสุข
(เอาง่ายๆ อยากให้มีคนอ่านเยอะเย้ออออ!!)
อยากติชมอะไรก็เม้นทิ้งไว้หรือแวะไปคุยกันได้ที่แฟนเพจเช่เลย
https://www.facebook.com/pages/Vivace-Story/1449951678656400 (เปิดใหม่เหมือนกัน ร้างคนมว๊าก!)
สุดท้ายนี้ เช่จะพยายามมาอัพให้บ่อยๆนะคนับ
แม้ว่าจะเรียนรัดตัวมากแต่จะเป็นนักเขียนที่มีวินัยให้ได้
ขอฝากเช่ และโลกของเช่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะ^^
-
แวะมาเจิมเรื่องใหม่ รอติดตามครับ
-
1st Night
…Circle...
แสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องของผู้บริหารบริษัทสำนักพิมพ์ชื่อดังแม้เวลาจะล่วงเข้าสู่วันใหม่ไปแล้ว ร่างสูงโปร่งของ “รัตติกาล” กำลังนั่งเอนเหมอมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ถูกแซมด้วยแสงไฟของกรุงเทพมหานครอย่างเหม่อลอยจนกระทั่งมือถือของเจ้าตัวที่กำลังสั่นอย่างเอาเป็นตายดึงสติของเขากลับมา
“ว่าไง”
“ไอ้กาล ทำไมมึงยังไม่กลับบ้าน”
เสียงของ “นิล” ที่ควบตำแหน่งทั้งเพื่อนสนิทและนักเขียนมือทองประจำสำนักพิมพ์ของรัตติกาลดังลอดออกมาพร้อมกับเสียงดนตรีที่คลอมาตามสายทำให้รัตติกาลรู้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีคงกำลังนั่งดื่มอยู่ที่คลับประจำของพวกเขา ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนหยิบกุญแจรถและกระเป๋าเอกสารใบย่อมพลางปิดไฟที่โต๊ะก่อนออกมาจากห้องอย่างไม่รีบร้อนอะไร
“อยู่เคลียร์เอกสารนิดหน่อย เดี๋ยวเจอกันที่ร้าน”
“ห่า ไม่ต้องมา กลับบ้านไปพักบ้างไป”
“หึ ไปแดกเหล้ากับมึงนี่ไงพักของกู”
รัตติกาลปล่อยให้เพื่อนตัวดีบ่นกระปอดกระแปดไปคนเดียวอย่างนั้นจนตัดสายไปเอง เขาพาร่างของตนมายังรถที่จอดไว้ก่อนจะขับออกไปอย่างไม่รีบร้อน แต่ด้วยถนนโล่งๆยามนี้ก็ทำให้เขามาถึงสถานบันเทิงตามที่ตั้งใจไว้ในเวลาไม่นานนัก
แม้ว่าเวลาจะดึกมากแล้วแต่นักท่องราตรีทั้งหลายก็ยังคงมีอยู่ไม่น้อยและสายตาเหล่านั้นก็กำลังจับจ้องมาที่ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนที่เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับคาบบุหรี่ไว้ในปากซึ่งเดินตรงไปยังส่วนของบาร์ที่มีเพื่อนของตนนั่งหมุนแก้ววอดก้าในมือเล่นไปมา รัตติกาลเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆโดยไม่ต้องขออนุญาตซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทางอะไรกับการมาของเขา นิลทำเพียงแค่เลื่อนแก้วเครื่องดื่มอีกใบส่งให้โดยไม่พูดอะไรปล่อยให้เขากระดกแก้วขึ้นดื่มแล้วค่อยๆสูบบุหรี่ที่คาบไว้จนหมดมวน ก่อนจะเปิดปากพูดทำลายความเงียบ
“มึงรู้ได้ยังไงว่ากูยังไม่กลับบ้าน”
“ป้าจันทร์โทรมาถามว่ามึงอยู่กับกูรึเปล่า แต่เอาจริงๆกูก็กะแล้วว่าอย่างมึงถ้าไม่นั่งบ้าทำงานยันเที่ยงคืนอยู่บริษัท ก็คงไปหาที่ลงอยู่แถวๆนี้”
“รู้ดี”
“หึ ว่าแต่คืนนี้จะกลับบ้านหรือหาอะไรแดกก่อน”
“...น่าจะอย่างหลัง”
นิลแสยะยิ้มมาให้กาลอย่างรู้ทัน เพราะตั้งแต่ที่เพื่อนเขาคนนี้เดินเขามาทั้งสาวสวยและแม้แต่หนุ่มหน้าตาดีหลายคนก็ลอบมองร่างกายสูงโปร่งของกาลกันไม่วางตา แต่ในกรณีของผู้หญิงอย่างสาวในชุดเดรสรัดรูปสีขาวโต๊ะขวามือนั้นคงไม่ได้สานต่ออะไรกับเพื่อนเขาของแน่นอนเพราะเป็นอันรู้กันดีว่าเจ้าของใบหน้าหวานแต่ยังคงมีความคมเข้มอย่างรัตติกาลนั้นไม่ชอบผู้หญิง ซึ่งคนที่มีแววจะผ่านเข้ารอบน่าจะเป็นชายหนุ่มโต๊ะถัดมาที่มองเพื่อนของเขาอยู่เงียบๆโดยไม่มีทีท่าจาบจ้วงใดๆเพราะคนมี ‘พันธะ’ อย่างรัตติกาลนั้นจะไม่เลือกคนที่ส่อแววสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตตนเองแน่นอน
รัตติกาลอยู่คุยกับนิลอีกครู่ใหญ่เรื่องงานที่สำนักพิมพ์ก่อนจะขอตัวเดินออกไปจากคลับพร้อมกับชายหนุ่มอีกคนอย่างที่นิลคาดเอาไว้ โดยที่ก่อนหน้านี้ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่ร่างโปร่งก็ฝากให้บริกรส่งโน้ตเล็กๆไปให้อีกฝ่ายเป็นการทำการรู้จักพร้อมกับเหล้าราคาแพงแทนไมตรีจิตที่มอบให้ เขายืนรออีกฝ่ายอยู่ที่ลาดจอดรถเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่ก่อนที่ต่างฝ่ายจะขับรถของตัวเองออกไปยังโรงแรมที่นัดกันไว้ ดวงตาของกาลยังคงเรียบเฉยแม้จะยกยิ้มให้คนข้างกายที่กำลังใช้ปลายนิ้วสัมผัสไปตามสันกรามของเขาอย่างแผ่วเบา ไม่จำเป็นต้องตกลงอะไรให้มากความ ร่างกายของบุรุษเพศทั้งสองก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงของโรงแรมอย่างไม่สนใจโลกภายนอก
“อ๊ะ บะ เบาหน่อยครับ ลึกไปแล้ว”
“อืม อา แล้วนายไม่ชอบรึไง”
รัตติกาลถดสะโพกออกมาก่อนจะตบเข้าไปใหม่อย่างหนักหน่วง ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังครวญครางอย่างทรมานอยู่ใต้ร่างเขายิ่งไม่มีความคิดจะผ่อนแรงอย่างที่อีกคนร้องขอก่อนจะจับขาทั้งสองขึ้นพาดบ่าทำให้สะโพกกลมพร้อมกับช่องทางแดงช้ำที่ถูกเติมเต็มด้วยกลางกายของเขาลอยเด่น เขาเสือกกายใส่อีกฝ่ายอย่างรุนแรงจนอีกคนต้องร้องขอให้เขาเร่งความเร็วขึ้นอีก ซึ่งเขาก็ทำตามจนเกิดเสียงเฉอะแฉะดังไปทั่วทั้งห้อง อีกฝ่ายเอื้อมคว้าคอเขาลงไปละเลียดเลียแล้วดึงดูดย้ำอยู่จนเกิดรอยแดงประปรายด้วยความเสียวซ่าน ปกติแล้วรัตติกาลไม่ค่อยชอบให้ใครทิ้งรอยไว้ตามร่างกายของเขาเพราะไม่อยากที่จะตอบคำถามขอใครแต่เพราะเรื่องที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขามาตลอดทั้งวันทำให้เขาละเลยเรื่องจุกจิกพวกนี้หนำซ้ำเจ้าตัวเองก็เป็นฝ่ายฝากทั้งรอยดูดและรอยกัดไว้ตามร่างกายของคนที่เพิ่งรู้จักกันไปไม่น้อย
เสียงหวีดร้องของคนใต้ร่างดังขึ้นบ่งบอกว่าใกล้จะถึงปลายทางแต่รัตติกาลยังไม่อยากจะให้มันจบลงตรงนี้ ร่างโปร่งชะลอความเร็วลงแล้วจับร่างที่เล็กกว่าพลิกคว่ำลงทั้งที่ตัวตนของเขายังสอดใส่อยู่ มือเรียวลูบไล้ก่อนบีบขย้ำก้นกลมตรงหน้าอย่างหนักมือพลางขยับสะโพกอย่างเชื่องช้าจนอีกคนตัวสั่นระริก
“อย่ากะ แกล้งกันสิ ผมจะไม่ไหวแล้วนะ”
“อืม ใจเย็นๆสิ รัดผมไว้แน่นๆอย่างนั้นแหละ อา”
“อึก แต่ว่า..”
“นะ”
“อ๊า อา อา”
“ได้โปรด...อยู่กับผมก่อน”
รัตติกาลพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะบรรเลงลีลาบนร่างกายอีกฝ่ายโดยไม่เอ่ยอะไรอีก แม้ว่าจะใกล้แตะขอบสวรรค์กี่ครั้งเขาก็ดึงอีกฝ่ายที่อารมณ์กำลังไต่สูงให้ตกลงมาอย่างโหดร้ายและสุขสมไปพร้อมกัน จนเสียงเตือนจากโทรศัพท์ที่ตั้งไว้ดังขึ้นบอกเวลา รัตติกาลเอื้อมมือขึ้นไปกดปิดเสียงมันทำให้กลางกายดันลึกเข้าไปจนอีกฝ่ายต้องยกมือดันหน้าท้องของเขาไว้อย่างทนไม่ไหว เขาก้มลงสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างจาบจ้วงก่อนจะรัวสะโพกไม่ยั้งเพื่อจบเกมที่ดำเนินมาอย่างเนินนานตลอดทั้งคืน รัตติกาลสอดใส่ตัวตนที่ร้อนระอุด้วยแรงอารมณ์พร้อมกับใช้มือชักรูดกลางกายให้เพื่อดึงอารมณ์ของอีกคนให้จบลงพร้อมกัน เหงื่อที่ไหลซึมตามไรผมทำให้กาลสะบัดใบหน้าปัดเส้นผมที่ปรกลงมาก่อนจะแหงนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าให้เห็น
ในขณะที่อารมณ์ทางกายกำลังดิ่งขึ้นสูง
แต่รัตติกาลกลับเอาแต่ครุ่นคิดและจมลงเรื่อยๆ
คิดถึงแสงของดวงตะวันที่เคยสาดส่องตัวเขาและ “ใครคนนั้น”...
.
.
.
‘จันทร์’ คนดูแลบ้านที่ทำหน้าที่นี้ให้กับ ‘บ้านพัฒนเดชา’ มาตั้งแต่สมัยพ่อและแม่ของรัตติกาลยืนมองรถของคุณหนูที่เธอรักเหมือนลูกขับเข้ามาจอดในโรงรถหลังจากไม่ได้กลับมาพักที่บ้าน ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่ารัตติกาลนั้นดูแลตัวเองได้ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้แต่เธอก็ไม่สามารถคลายความเป็นห่วงในตัวคุณหนูของเธอได้ อีกทั้งเสียงร้องไห้เล็กๆที่ร้องหารัตติกาลทุกครั้งที่ไม่กลับบ้านยังคงดังก้องอยู่ในหูของจันทร์ที่ทำได้แค่อยู่ปลอบคุณหนูเล็กของเธอจนคล้อยหลับไปทั้งที่น้ำตานองหน้า
“สวัสดีครับป้าจันทร์”
รัตติกาลยกมือไหว้หญิงแก่ตรงหน้าอย่างไม่ถือตัว กลับกันเขารู้สึกเคารพรักจันทร์เหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่เคยถือตัวว่าเป็นเจ้านาย รอยยิ้มอ่อนถูกส่งให้อย่างรู้สึกผิดที่ตนเองทำให้หญิงชราผู้นี้ต้องคอยห่วงกังวลในตัวเขาอยู่เสมอแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยปริปากบ่นเลยกับการกระทำของเขา
“ทานอะไรมารึยังคะ”
“ยังเลยครับ”
“งั้นอยู่ทานข้าวต้มสักหน่อยก่อนค่อยขึ้นไปพักผ่อนนะคะ ป้าให้นิ่มเตรียมไว้ให้แล้ว”
“ผมไม่...”
“ไม่ต้องห่วงหรอกคะ คุณพีเธอเพิ่งตื่นยังไม่ลงมาตอนนี้หรอก”
“...”
ช่วงขายาวชะงักก่อนจะยอมเดินไปยังโต๊ะอาหารของบ้านอย่างปฏิเสธไม่ได้ ทั้งที่อยากขึ้นไปพักผ่อนบนห้องแต่เมื่อโดนคนที่ผ่านโลกมามากอย่างจันทร์พูดดักทางออกมารัตติกาลเลยไม่กล้าขัด เขารีบลงมือกินข้าวต้มกุ้งที่เด็กในบ้านยกมาให้ทันทีที่ถูกจัดเสร็จ แต่วันนี้คุณหนูเล็กของจันทร์ที่เพิ่งตื่นได้ไม่นานจะจัดการตัวเองได้เสร็จเร็วกว่าทุกที
แขนป้อมของเด็กน้อยในชุดนักเรียนชั้นอนุบาลคว้าเอวของรัตติกาลจากด้านข้างโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าของ “รพี” ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาเงยขึ้นมองคนเป็นพ่อพร้อมกับเสียงสะอื้นน้อยๆที่ถูกส่งออกมาพร้อมกับไหล่เล็กที่สั่นเทา
เขาชายตามองดวงตากลมแดงกล้ำจากการร้องไห้กำลังมองมาที่เขาอย่างตัดพ้อแต่ก็ยังแสดงความดีใจอย่างเก็บไว้ไม่มิด ริมฝีปากแบะออกทั้งที่ยังสั่นยิ่งมองดูยิ่งน่าสงสารในสายตาของจันทร์และนิ่มแต่กับรัตติกาลที่เป็นพ่อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยมองดูลูกชายสะอึกสะอื้นต่อหน้าตนเองอยู่อย่างนั้น
“พ่อกาล ฮึก พ่อกาลไปไหนมา”
“...”
“พีรอพ่อกาล ฮึก ไหนยายจันทร์บอกว่าพ่อกาลจะกลับบ้าน”
“พ่อต้องทำงาน”
“แต่พีคิดถึงพ่อกาล เมื่อวาน ฮึก พีรอพ่อกาลทั้งคืนเลย พีรอให้พ่อกาลดูรูปที่พีวาดที่โรงเรียน ฮึก”
จันทร์ที่ทนไม่ไหวเดินมาดึงร่างป้อมนั้นให้ออกห่างจากคนเป็นพ่อพลางตบแผ่นหลังเล็กที่สั่นเพราะแรงสะอื้นเบาๆก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ แต่เด็กน้อยก็ยังคงดื้อดึงผละตัวออกมาหาพ่อของตนอีกครั้ง รัตติกาลเริ่มขมวดคิ้วกับการกระทำดื้อดึงของลูกชายแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่รู้สึกถึงความไม่พอใจของคนเป็นพ่อ สิ่งที่เด็กตัวน้อยคิดตอนนี้มีเพียงอยากให้พ่อกาลที่รักแสดงความสนใจออกมาเท่านั้น
แม้จะอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่รัตติกาลก็ไม่ค่อยกลับบ้าน ไม่ต้องพูดถึงความเอาใจใส่ในฐานะพ่อที่แทบไม่ถูกแสดงออกมาตั้งแต่รพียังเด็ก ตั้งแต่รพีจำความได้มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่พ่อจะยอมอยู่กับตนนานๆ คนที่ดูแลรพีมาตลอดนั้นกลับเป็นจันทร์ นิ่ม และคนดูแลบ้านทั้งหลายที่ช่วยกันดูแลและพยายามให้ความอบอุ่นกับคุณหนูเล็กของบ้านเพื่อทดแทนความอบอุ่นที่เด็กน้อยไม่เคยได้รับทั้งจากคนเป็นพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ก็เหมือนไม่มี และแม่ที่รพีไม่เคยพบเจอมาก่อน
ใช่...
รพี ไม่มีแม่
“คุณพีปล่อยคุณพ่อแล้วมานั่งทานข้าวก่อนนะคะ”
“ไม่เอา ฮึก พีจะอยู่กับพ่อกาล”
“รพี...อย่าดื้อ”
รัตติกาลดุลูกชายด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นจนคนฟังรู้สึกได้ถึงความเย็นชา จันทร์เข้าไปดึงเด็กน้อยออกมาอีกครั้งก่อนจะพยายามยิ้มปลอบรพีที่เม้มปากจนสั่นแต่ก็ยังจ้องพ่อของตนไม่วางตาราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไปอีกถ้าเขาเผลอหันไปที่อื่น
“ทานข้าวก่อนนะคะ คุณพ่อจะได้ทานเหมือนกัน ถ้าคุณพ่อไม่ได้ทานข้าวจะไม่สบายนะ คุณพีไม่อยากเห็นคุณพ่อป่วยใช่ไหมคะ”
จันทร์ยกสุขภาพของรัตติกาลมาอ้างเพราะรู้ว่าเด็กชายรักและเป็นห่วงพ่อของตนมากแค่ไหน กลับกันเธอไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้จากอีกคนเลยแม้แต่น้อย
“จะ จริงหรอฮะ”
รพีมองหน้ารัตติกาลด้วยความเป็นห่วงลืมความกลัวที่ถูกคนเป็นพ่อดุเมื่อกี้ไปจนหมด จันทร์พยักหน้าให้เบาๆแทนร่างโปร่งที่กินข้าวต้มต่ออย่างไม่สนใจอะไร เด็กชายรีบพาตัวเองขึ้นไปนั่งเก้าอี้ข้างคนเป็นพ่อด้วยความช่วยเหลือของจันทร์ทำให้รัตติกาลชะงักมือที่กำลังจะตักอาหารตรงหน้าแต่ก็พูดอะไรไม่ได้เมื่อสบตากับหญิงแก่ที่ส่งสายตาขอร้องมาให้
พอข้าวต้มร้อนๆถูกนำมาเสิร์ฟรพีก็ลงมือกินทันทีด้วยความหิว เพราะความดีใจที่เห็นรถของพ่อขับเข้ามาในบ้านทำให้พีรีบจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบวิ่งมาหาอย่างไม่กลัวจะหกล้ม แม้จะยังอยู่ในชั้นอนุบาลแต่รพีเป็นเด็กที่พยายามช่วยตัวเองทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ นอกจากการร้องขอเวลาจากรัตติกาลแล้วแทบไม่มีเลยที่พีจะงอแงอย่างที่เด็กทั่วไปเป็นกัน ความเข้มแข็งที่รพีพยายามแสดงออกทำให้หลายคนที่ทั้งรู้สึกเอ็นดูและสงสารไปพร้อมๆกัน
“อยู่ส่งคุณพีขึ้นรถไปโรงเรียนก่อนนะคะ ป้าขอ”
จันทร์พูดขอออกมาเบาๆเมื่อร่างโปร่งทำท่าจะลุกออกไปทันทีที่กินเสร็จ ทั้งคู่มองตากันอยู่สักพักก่อนรัตติกาลจะเป็นฝ่ายยอมแพ้ถอนหายใจออกมาทำให้หญิงแก่ระบายยิ้มอ่อนอย่างดีใจที่วันนี้เธอได้มีโอกาสทำให้คุณหนูเล็กมีความสุขหลังจากที่อดทนรอคนเป็นพ่อมาหลายวันโดยไม่ได้พบหน้ากัน ถึงแม้จะเล็กน้อยแค่ไหน จันทร์ก็อยากจะทำทุกอย่างที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ของคนที่เธอรักทั้งสองดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
จันทร์ให้นิ่มยกน้ำขิงร้อนมาเสิร์ฟให้รัตติกาลจิบแทนกาแฟรอจนรพีทานข้าวเสร็จพลางมองดูเด็กน้อยที่เมื่อครู่ยังร้องไห้งอแงทานข้าวข้าวไปสลับกับหันมาเล่าเรื่องราวที่โรงเรียนให้พ่อฟังไป เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายทำให้บรรยากาศในบ้านเช้านี้ดูอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย มือเล็กๆเอื้อมขวามือเรียวที่แม้จะเย็นแต่กลับทำให้ตนรู้สึกอบอุ่นเต็มหัวใจมาจับไว้ก่อนจะพากันมายังรถอีกคันที่คนขับรถจอดรอไว้หน้าบ้าน แม้ว่าจะยังอยากคุยกับพ่ออยู่แต่รพีก็รู้ดีว่าตัวเองจะต้องไปโรงเรียนแล้ว เด็กน้อยหมุนตัวหันมาหาร่างโปร่งที่รับกระเป๋าเป้ใบเล็กจากนิ่มมาสวมให้ลูกชายที่กำลังมองเขาเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง
“คือ พ่อกาลฮะ”
“มีอะไร”
“ที่น้องพีบอกเมื่อเช้าว่าได้วาดรูปพ่อกาลที่โรงเรียน”
“...”
“น้องพีได้คะแนนเต็มด้วย คุณครูก็ชมว่าน้องพีเก่ง”
“...”
“น้องพีเลยอยากได้รางวัลจากพ่อกาล...ได้ไหมฮะ”
ดวงตากลมเล็กสบกับดวงตาคมอย่างเว้าวอน ชายเสื้อของร่างโปร่งที่ถูกอีกฝ่ายจับเอาไว้กระตุกตามแรงมือที่บีบเข้าหากันอย่างกังวลว่าจะทำให้คนเป็นพ่อไม่พอใจกับความเอาแต่ใจของตนเอง รัตติกาลถอนหายใจยาวก่อนจะถามออกไปเพราะอยากขึ้นไปพักผ่อนบนห้องเต็มที
“อยากได้อะไร”
“น้องพีอยากให้พ่อกาลไปรับที่โรงเรียน!”
เด็กชายรีบบอกออกมาอย่างรวดเร็ว ใช่ว่าโอกาสแบบนี้จะมีบ่อยๆเสียเมื่อไหร่ที่พ่อจะยอมทำตามใจเขา รพีรู้สึกดีใจที่ตัวเองพยายามตั้งใจวาดภาพ ‘ครอบครัวของฉัน’ อย่างสุดความสามารถจนได้คะแนนเต็ม แต่ก็จะได้มาร่างเล็กก็ต้องหยิบมาให้จันทร์ช่วยดูหลายรอบกว่าตัวเองรู้สึกพอใจ แม้ว่ารูปของเขาจะไม่เหมือนของเพื่อนคนอื่นในห้องที่ในรูปมีทั้งพ่อและแม่ ในขณะที่รูปของรพีมีเพียงพ่อและตนเองยืนจับมือกันเท่านั้น
.
.
“พ่อคงไม่ว่าง”
รอยยิ้มที่ระบายเต็มหน้าค่อยๆหายไปจากดวงหน้าเล็กที่กำลังคิดว่าจะไปอวดกับเพื่อนที่โรงเรียนว่าพ่อจะมารับเย็นวันนี้ จันทร์รีบเดินมายืนขนาบข้างรัตติกาลก่อนจะจับแขนร่างโปร่งไว้แล้วส่งสายตาขอร้องมาให้
“คุณกาลคะ..”
“ผมไม่ว่างจริงๆครับป้า บ่ายนี้มีประชุมกับฝ่ายขาย”
“เริ่มตอนบ่ายไม่ใช่หรอคะ กว่าโรงเรียนอนุบาลจะเลิกก็เกือบเย็น อย่างน้อยรับปากป้ากับคุณพีได้ไหมว่าถ้าประชุมเลิกเร็วจะมารับ”
รัตติกาลมองหน้าจันทร์อย่างลำบากใจ ถ้าจันทร์ไม่ช่วยพูดเขาคงจะยืนยันกับร่างป้อมไปแล้วว่าไปรับไม่ได้แม้ว่าความจริงคงจะไม่ได้ประชุมยืดเยื้อขนาดนั้น แต่จันทร์ที่เห็นรัตติกาลมาตั้งแต่เด็กก็รู้นิสัยคุณหนูของเธอดี แม้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดถึงเธอก็เลือกที่จะผลักดันให้ร่างโปร่งทำหน้าที่ของคนเป็นพ่อบ้าง
เธอรู้ดีว่าชายหนุ่มที่แสนเย็นชาตรงหน้าผ่านอะไรมาบ้าง ถึงอยากจะแบ่งเบาบาดแผลของคนที่รักเอาไว้บ้าง แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอดีตของใครได้ สิ่งที่เธอทำได้นั้นมีเพียงพยายามเยียวยา ‘ปัจจุบัน’ของคนที่เธอรักทั้งสองคน ไม่ว่า ‘อดีต’ จะเคยมีอะไรเกิดขึ้น ให้มันไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้
“เฮ้อ ก็ได้ถ้างานเสร็จเร็ว แต่ถ้ายังประชุมไม่เสร็จพ่อจะให้ลุงสิทธิไปรับ"
“ตกลงฮะ พีรักพ่อกาลที่สุดในโลกเลย!”
ร่างป้อมกระโดดกอดเอวพ่อไว้แน่นจนร่างโปร่งเซไปด้านหลังเล็กน้อย รัตติกาลมองดูรอยยิ้มที่เหมือนกับ ‘ใครคนนั้น’ ซ้อนทับอยู่บนใบหน้าของรพีจนเกือบเผลอสัมผัสแผ่นหลังเล็กเข้า มือเรียวบีบจนแน่นเหมือนตอกย้ำอะไรบางอย่างให้จำขึ้นใจ จันทร์มองการกระทำด้วยสายตาหดหู่ สงสารคุณหนูทั้งสองของเธอจับใจ
ไม่ว่ากี่คืนจะผ่านพ้นไป
ไม่ว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นมาใหม่อีกกี่ครั้ง
แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงรัตติกาลที่เหน็บหนาว
และฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนไม่รู้จบ
.
.
.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ลงให้แล้วนะคนับกับตอนแรก นิยายเช่เป็นแบบโคตรบรรยายอาจจะมีหลายคนไม่ค่อยชอบ
ตัวอักษรเยอะไปนิด แต่นี่มันเป็นสไตล์เช่จริงๆฮะ แก้ไม่ได้ (เคยลองแล้ว) ฮ่าๆ ^^
ฝากแฟนเพจด้วยนะ แวะมาพูดคุยกับเช่หน่อย เช่เหงา T^T
https://www.facebook.com/pages/Vivace-Story/1449951678656400
-
ชี้แจงนิดนึงนะคนับ!
นิยายเรื่องนี้จะเป็นการเล่าเรื่องพาร์ทปัจจุบันแทรกด้วยพาร์ทอดีตแทรกมา
มีทั้งเป็นพารากราฟเลยและเป็นเพียงคำพูดบางประโยค
ดังนั้นส่วนที่เป็นพาร์ทอดีต เช่จะเขียนด้วย ตัวเอียง เพื่อให้ง่ายแก่การสังเกตนะคนับ!
-------------------------------------------------------------------------------
2nd Night
…Backward...
“หลบไป”
เลขาส่วนตัวของรัตติกาลมองเพื่อนรักเจ้านายของเธออย่างนิลมายืนจังก้าขวางเต็มประตูทันทีที่การประชุมตอนบ่ายเสร็จ หญิงสาวไม่ได้สนใจเรื่องของทั้งสองคนนิดในหัวมีแต่งานกองโตบนโต๊ะที่อยากรีบกลับไปเคลียร์ให้เสร็จๆก่อนที่ของเซลในห้างดังที่เธอเล็งไว้จะถูกคว้าไปจนหมด ‘ธิชา’ ถอนหายใจพลางขมวดคิ้วใส่ร่างสูงแต่นิลกลับไม่มีทีท่าสนใจเธอเลย แม้แต่สายตาดุๆและเสียงเรียบเย็นของเจ้านายเธอยังทำอะไรผู้ชายคนนี้ไม่ได้สักนิด
“ไปรับพีด้วยกันเลยไอ้กาล”
“เพ้อเจ้ออะไร”
“ห่า ดูปากกูนะ...ไป-รับ-ลูก-ซะ-ไอ้-พ่อ-เฮง-ซวย!!!”
“กูไม่ไป”
หญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เดินดุ่มๆมานิลลากคอเจ้านายของเธอออกไปทำให้เธอสามารถกลับโต๊ะทำงานไปได้สักที เสียงของทั้งสองคนเดินเถียงกันมาตลอดทางไม่ได้ทำให้เธอสนใจเท่าไหร่แต่ความสงสัยที่ติดใจเธอมาตั้งแต่เธอมาตลอดทำเอาคิ้วที่บรรจงเขียนอย่างดีขมวดน้อยๆ เธอรู้ดีว่ารัตติกาลเป็นเกย์ ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงคนนี้ไม่เคยปกปิดรสนิยมเรื่องเพศของตัวเอง ด้วยความสามารถและการวางตัวในที่ทำงานอย่างดีนั้นทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้ามีปัญหากับรัตติกาลสักเท่าไหร่
จากที่เธอเคยได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากสาวๆในบริษัทที่เสียดายในความหล่อเหลาของเจ้านายเธอพูดคุยกันก็ทำให้เธอรู้ว่ารัตติกาลเป็นเกย์มานานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่เธอก็ไม่รู้หรอก แต่ที่แน่ๆรัตติกาลกับนิลนักเขียนมือทองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ โดยที่รัตติกาลเป็นเกย์ในขณะที่นิลเป็นไบเซ็กชวล หญิงสาวยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ในเมื่อรัตติกาลเป็นเกย์ ทำไมถึงมีคุณหนูรพีได้?
เสียงปิดประตูดังดึงสติของเลขาสาวให้กลับเข้าที่พร้อมกับร่างของชายหนุ่มทั้งสองหายไปหลังประตูบานใหญ่ ภายในห้องนั้นนิลกำลังจ้องมองกาลที่กำลังจุดบุหรี่สูบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างไม่ชอบใจ ทำไมอยู่ดีๆไอ้เพื่อนคนนี้ถึงนึกครึ้มเดินเข้ามาในบริษัททั้งที่ปกติปีๆหนึ่งจะโผล่มาแบบนับครั้งได้ แล้วยังมาบังคับให้เขาไปรับลูกชายที่โรงเรียนอีก แม้จะรู้ดีว่านิลเองก็เอ็นดูลูกชายของตนไม่น้อยแต่มันก็ไม่ก้าวก่ายเรื่องครอบครัวของเขาเลยสักครั้ง
“ไม่ต้องหาข้ออ้างอะไรทั้งนั้น ยังไงเย็นนี้มึงก็ต้องเป็นคนไปรับรพีที่โรงเรียน”
“อย่าเซ้าซี้ได้ไหมวะ กูมีงานต้องเคลียร์”
“เคลียร์เหี้ยอะไร ลายมือธิชาเขียนอยู่โต้งๆว่าให้เซ็นก่อนอาทิตย์หน้า รวยจะตายห่าไม่ต้องเสือกมาขยันตอนนี้”
“แต่กูจะทำ”
“ไม่ได้ ไอ้ห่าลูกรออยู่”
“มึงเป็นบ้าอะไรวะไอ้นิล ทำแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่”
รัตติกาลเพ่งมองนิลอย่างกดดันแต่อีกคนกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน กลับเดินลอยหน้าลอยตาไปหยิบกระเป๋าเอกสารของร่างโปร่งมาไว้กับตัวแล้วลากเจ้าตัวให้ออกจากห้องไปด้วยกัน แต่ยังไม่ทันจะพ้นเขตประตู รัตติกาลก็ออกแรงขืนตัวเอาไว้พร้อมกับมองตาเพื่อนสนิทอย่างจริงจัง
“เฮ้อ เออๆ เมื่อสายป้าจันทร์โทรมาบอกว่าทำแกงขี้เหล็กไว้ กูเลยแวะไปฝากท้องที่บ้านมึงมาเขาเลยเล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ฟัง”
“แล้วยังไง? ป้าจันทร์เขาขอให้มึงมาลากกูไปรับรึไง?”
“ป่าว ป้าแกไม่ได้ขอ กูคิด กูทำของกูเอง”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่มึงจะต้องเข้ามายุ่ง..”
รัตติกาลกระชากแขนตัวเองกลับมาพร้อมกับจ้องหน้านิลอย่างฉุนเฉียว พวกเขาเป็นเพื่อนกันมานานพอที่จะยอมรับพื้นที่ส่วนตัวของอีกฝ่าย ดังนั้นการที่นิลเข้ามายุ่งเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจไม่น้อย ร่างสูงถอนหายใจออกมาก่อนพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงและเต็มไปด้วยความห่วงใยซึ่งหวังให้คนฟังเข้าใจถึงความเป็นห่วงของเขาต่อเรื่องนี้
“กูแค่เป็นห่วง กูไม่อยากเห็นมึงทรมานตัวเองแบบนี้”
“กูไม่ได้ทรมานอะไร”
“กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปีไอ้กาล ถึงกูจะไม่เข้าไปยุ่งแต่กูก็ไม่ได้ตาบอดจนมองไม่เห็นว่ามึงมองพีด้วยสายตาแบบไหนมาตลอดเกือบหกปี”
“งั้นมึงคงรู้ว่ากูเกลียดเด็กนั่น”
รัตติกาลเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาอย่างไม่ยี่หราสักนิด
ใช่...เขาเกลียดรพีที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของตัวเอง
เกลียดดวงตาซื่อๆ เกลียดมือเล็กๆที่พยายามไขว่คว้าตัวเขาทุกครั้งที่เจอหน้า ริมฝีปากแดงที่เอาแต่ร่ำร้องหาคนเป็นพ่อไม่เคยทำให้รัตติการรู้สึกอะไรนอกจากความรำคาญ ไม่ว่ารพีจะพยายามแค่ไหนก็ไม่เปลี่ยนความรู้สึกของคนเป็นพ่อได้เลย
“รพีไม่ได้เป็นคนผิด มึงเองนั่นแหละเป็นคนที่รู้ดีที่สุด”
“...”
“ ไม่ว่ามึงจะเกลียดรพีแค่ไหน สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยน เกือบหกปีแล้วนะไอ้กาล เมื่อไหร่มึงจะเกิดไปข้างหน้าสักที อดีตก็คืออดีต มึงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
แรงบีบที่หัวไหล่ไม่ได้ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกดีขึ้น คำพูดของนิลเป็นจริงทุกอย่าง แต่ความจริงที่ทุกคนอยากให้เขายอมรับมันกลับไม่เคยช่วยให้หัวใจของเขาเจ็บน้อยลงเลยสักนิด เสียงล้อของเตียงผู้ป่วยที่บดเบียดไปตลอดแนวทางเดินมุ่งหน้าสู่ห้องฉุกเฉิน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งกับร่างของคนสองคนที่นอนนิ่งไม่ได้สติยังอยู่ตรงหน้าเขา ภาพ เสียง และกลิ่นที่เหมือนยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกราว แม้ว่าจะผ่านมาเกือบหกปีแต่กลับไม่มีวันไหนเลยที่รติกาลจะลืมความทรงจำเหล่านั้นลง
.
,
,
,
,
,
รัตติกาลที่ดูอ่อนวัยกว่าปัจจุบันกำลังยืนนิ่งมองดูแพทย์และพยาบาลช่วยกันยื้อชีวิตของผู้ป่วยสองคนอย่างสุดความสามารถ แต่ดูเหมือนพิษบาดแผลที่รุนแรงจากการถูกซากรถบดขยี้ร่างทำให้กราฟแสดงอัตราการเต้นของหัวใจนั้นถี่น้อยลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงทางด้านซ้ายได้รับแรงกระแทกโดยตรงจนแขนและขาขวาบิดเบี้ยวผิดรูป ลิ่มเลือดที่ไหลออกจากศีรษะกลบใบหน้าคมจนจำแทบไม่ได้ ส่วนเตียงทางด้านขวามีร่างของหญิงสาวที่เขารู้จักดี กำลังนอนหายใจรวยรินแม้บาดแผลตามร่างกายจะไม่มากเท่ากับอีกคน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือหน้าท้องโป่งนูนที่มือเล็กๆนั้นประคองกอดไว้แม้ยามไม่ได้สติราวกับต้องการจะปกป้องสิ่งที่อยู่ภายใน
ร่างโปร่งจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอัดแน่นในหัวใจ จ้องมองอยู่อย่างนั้นจนเกิดเสียงแหลมดังยาวออกมาจากเครื่องมือทางเตียงทางฝั่งซ้าย ลมหายใจของคนตรงหน้าดับสิ้นลงต่อหน้าต่อทางเขาที่หัวใจแหลกสลายไม่มีสติพอที่จะร้องไห้ออกมา มีเพียงเสียงกรีดร้องจากข้างในที่ไม่ใครได้ยินและจะไม่มีแม้โอกาสได้ยินอีกแล้ว และเหมือนมัจจุราชจะยังไม่พอใจ อีกร่างก็เริ่มกระอักออกมาเป็นเลือดกองใหญ่ความวุ่นวายโกลาหนเกิดขึ้นอีกระรอกในห้องฉุกเฉินแห่งนี้ แพทย์ที่แสดงสีหน้าเคร่งเครียดตะโกนสั่งพยาบาลหลายคนที่กำลังช่วยกันยื้อชีวิตผู้ป่วยคนเดียวที่ยังอยู่แต่ก็เกือบหมดทางที่จะยื้อและหนึ่งชีวิตเล็กๆในท้องที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก
“เราต้องผ่าเด็กออกเดี๋ยวนี้!!”
.
.
.
.
.
“กาล ไอ้กาล!!!”
ร่างโปร่งถูกดึงสติกลับมาด้วยแรงเขย่าจากนิลที่มองเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บุหรี่ที่เคยอยู่ในมือของเขาร่วงหล่นบนพื้นพรมจนเกิดรอยไหม้เป็นดวง
“กูไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น”
“กู...ขอโทษวะ”
“ไม่ต้องขอโทษ มันก็แค่อดีตอย่างที่มึงว่า แต่มันเป็นอดีตที่ไม่ยอมเป็นอดีต อดีตที่ยังดื้อดึงคาบเกี่ยวอยู่ปัจจุบันแล้วทำร้ายคนที่จำมันได้อย่างร้ายกาจ”
“...”
“มันเป็นแค่ฝันร้าย ฝันร้ายที่ยาวนาน”
“มึงไม่ได้ตัวคนเดียว รู้ใช่ไหมไอ้กาล”
“...”
“มึงจะอ่อนแอแค่ไหนก็ได้ จะพึงพาคนอื่นก็ได้ ขอแค่มึงกล้าก้าวออกมาข้างหน้า ตื่นจากฝันร้ายนั้นซะ มึงติดอยู่ในความฝันนั้นตลอดไปไม่ได้”
“ถ้ากูทำได้ไม่ใช่แค่เรื่องวันนั้นที่กูเลือกที่จะลืม ความทรงจำทั้งหมด เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘คนสองคนนั้น’ กูไม่อยากเก็บมันไว้แม้ว่าครั้งหนึ่งกูจะเคยคิดว่ามันคือฝันดีที่กูต้องการ”
“ไม่ใช่เพราะว่ามึงเคยเชื่อว่ามันเป็นฝันดีหรอวะ มึงถึงทิ้งมันไม่ลง”
ดวงตาหวานคมวูบไหวเล็กน้อยจากคำพูดของคนตรงหน้า เป็นอย่างที่นิลว่านั่นแหละ เพราะยังคงโหยหาในฝันดีที่ไม่มีวันกลับมา รัตติกาลจึงยอมกอดมันไว้ทั้งที่ยากที่จะแบกรับ ทรมานตัวเองมาตลอดจนความเจ็บปวดนั้นกัดกินตัวตนเปลี่ยนให้เขาเป็นคนเย็นชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ‘ผลพวงของอดีต’ อย่างรพีซึ่งโดนอดีตทำร้ายผ่านความเกลียดชังของรัตติกาล
“ปล่อยมันไปสักทีกาล ทิ้งมันไปแล้วอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับคนที่รักมึงอย่างไม่มีข้อแม้อย่างรพี...เด็กจะคนนั้นไม่มีวันหันหลังให้มึง”
“หึ...กูไม่มีทางทำให้รพีมีความสุข”
“แล้วการทำแบบนั้นมันทำให้มึงมีความสุขขึ้นตรงไหน”
“...”
“ความหมายของ ‘รพี’ หมายถึงดวงอาทิตย์ ชื่อที่มึงตั้งให้เด็กคนนั้น หรือไม่ใช่ว่ามึงเองก็หวัง... หวังให้ดวงอาทิตย์ดวงนั้นนำพาเช้าวันใหม่มาให้ ขอแค่มึงลืมตาขึ้นมาแค่นั้นเองไอ้กาล ตอนเช้าที่ไม่มีฝันร้ายอาจจะอยู่ตรงหน้ามึงมานานแล้วก็ได้”
.
.
.
.
.
.
“พีๆ ไปเล่นอันโยกๆกับข้าวนะ”
รพีมอง ‘ข้าว’ ที่ตัวเล็กกว่าเขาหน่อยวิ่งเข้ามาหาพร้อมดึงเขาไปทางม้ากระดกหรืออันโยกๆที่เจ้าตัวเรียกซึ่งว่างอยู่พอดี ตอนนี้เพิ่งเลิกเรียนไม่นานสนามเด็กเล่นของโรงเรียนจึงแน่นไปด้วยเพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นกันเต็มสนาม และถือว่าโชคดีมากที่วันนี้ม้ากระดกซึ่งปกติไม่ค่อยจะได้เล่นเพราะคนแย่งกันว่างอยู่ ข้าวที่เห็นจึงรีบวิ่งมาตามรพีไปเล่นด้วยกันก่อนที่มันจะถูกแย่งไปโดยแก๊งเด็กอันธพาลประจำห้องซึ่งตัวโตกว่าที่ตอนนี้กำลังสนุกอยู่กับการเล่นลูกแก้วที่กระบะทรายไม่ไกลนัก
ร่างป้อมมองม้ากระดกอย่างลังเล เขาอยากเล่นกับข้าวก่อนเหมือนกันแต่ก็อดกังวลไม่ได้ว่าถ้าคนเป็นพ่อมารับแล้วจะไม่เห็นตน รพีมองมันกระดกตรงหน้าสลับกับประตูทางเข้าที่เริ่มมีผู้ปกครองทยอยมารับลูกกลับบ้านกันบ้างแล้ว ท่าทีเลิ่กลั่กของรพีทำเอาข้าวเกาหัวยุ่งๆจากการนอนกลางวันอย่างฉงน
“พีไม่อยากเล่นกับข้าวหรอ”
“เปล่า แต่วันนี้พ่อกาลบอกว่าจะมารับพีที่โรงเรียน”
“จริงอะ! พ่อกาลของพีอะนะ”
ข้าวเขย่าแขนของรพีไปมาอย่างตื่นเต้นเพราะนี่อาจเป็นครั้งแรกที่ตนเองจะได้เจอกับพ่อกาลของรพีที่เคยได้ยินแต่ชื่อมานาน รพีชอบพูดถึงพ่อของตนให้ร่างเล็กฟังบ่อยๆว่าใจดีและเป็นคนเก่ง น่าชื่นชมมากแค่ไหน ซึ่งข้าวก็เชื่อแบบนั้นเพราะในสายตาของตนเองรพีเองก็ทั้งใจดีและเก่งมากๆ ข้าวที่ตัวเล็กกว่าเพื่อนวัยเดียวกันมักจะถูกคนอื่นแกล้งอยู่เสมอมีแต่รพีนี่แหละที่ใจดีกับร่างเล็กและคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ
“งั้นเราไปนั่งรอพ่อกาลของพีกันเถอะ ข้าวจะไปด้วย!”
“พีไปรอคนเดียวก็ได้ ข้าวอยากเล่นม้ากระดกไม่ใช่หรอ”
ร่างป้อมพูดออกมาเสียงแผ่วเกรงใจ เขารู้ดีว่าเพื่อนตัวเล็กอยากเล่นเครื่องเล่นนี้มากขนาดไหน แต่ข้าวกลับยิ้มยิงฟันมาให้อย่างสดใสแทนที่จะทำสีหน้าเสียดายเหมือนที่รพีคิด
“เอาไว้เล่นวันอื่นก็ได้ ตอนนี้ข้าวอยากเจอพ่อกาลของพีมากกว่า”
“แต่ว่า...”
“นะๆ ถ้าไม่ได้เล่นกับพีข้าวก็ไม่สนุกอยู่ดี”
“งั้นเอาแบบนี้ ข้าวนั่งฝั่งนี้นะ แล้วพีจะนั่งฝั่งนี้จะได้เห็นถ้าพ่อกาลเดินเข้ามา”
รพีจัดแจงให้เพื่อนตัวเล็กนั่งอีกฝั่งขณะที่ตัวเขาเลือกนั่งฝั่งที่หันหน้าออกไปทางเข้าที่พอจะทำให้เห็นได้ว่ามีใครเดินเข้ามาบ้าง ข้าวพยักหน้ารัวก่อนจะปีนขึ้นม้ากระดกแล้วสลับกันโยกไปมาด้วยความสนุกสนาน โดยที่รพีมองข้าวและทางเข้าสลับกันเป็นระยะ
จนเวลาผ่านไปสักพักร่างสูงโปร่งของรัตติกาลก็เดินเข้ามาพร้อมกับนิล รพีที่เห็นพ่อของตนก็ฉีกยิ้มกว้างร้องบอกเพื่อนอย่างตื่นเต้นก่อนจะพากันลงมาจากม้ากระดกแล้ววิ่งจับมือมาหารัตติกาลที่กำลังยืนกอดอกแล้วมองไปรอบๆ
“พ่อกาลมารับน้องพีจริงๆด้วย!!”
ร่างป้อมปล่อยมือจากเพื่อนแล้ววิ่งเข้าไปสวมกอดรัตติกาลแน่น รพีกำลังดีใจมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่รัตติกาลยอมมารับตนที่โรงเรียน ที่ผ่านมาหน้าที่รับส่งรพีถูกมอบหมายให้ลุงสิทธิหรือคนอื่นๆในบ้านเป็นคนดูแล ในส่วนของธุระกับทางโรงเรียนไม่ว่าจะวันพบผู้ปกครองหรือกิจกรรมอื่นๆจะเป็นหน้าที่ของจันทร์ที่รับหน้าที่เป็นผู้ปกครองให้
เสียงตะโกนของรพีทำให้ครูที่ยืนส่งเด็กคนอื่นกลับบ้านรู้ในทันทีว่าหนึ่งในผู้ชายสองคนที่เธอไม่คุ้นหน้านั้นเป็นพ่อของรพีที่เธอเองไม่เคยเจอมาก่อน ครูสาวเดินมาทักทายพ่อของเด็กชายก่อนจะพูดถึงเรื่องราวของรพีให้คนเป็นพ่อฟังซึ่งรัตติกาลก็รับฟังโดยไม่โต้ตอบอะไรมากนัก รพีลืมทุกอย่างรอบตัวทันทีที่เห็นคนเป็นพ่อมายืนอยู่ตรงหน้า ลืมแม้แต่ข้าวที่กำลังมองตาแป๋วอยู่ข้างๆและอานิลเพื่อนของพ่อกาลที่ถึงแม้จะดูน่ากลัวไปบ้างแต่ก็ใจดีชอบซื้อของฝากมาให้ตนบ่อยๆ
“เจอพ่อแล้วไม่ทักอาเลยนะ”
“อานิลสวัสดีฮะ”
รพีผละออกจากคนเป็นพ่อก่อนจะหันมาพนมมือไหว้นิลที่ยืนยิ้มมองอยู่ก่อนจะหัวเราะแหะๆไปให้อย่างขัดเขิน พอถูกนิลทักขึ้นทำให้รพีจำได้ว่าตัวเองตั้งใจพาข้าวซึ่งเป็นเพื่อนสนิทมาทักทายพ่อกาลที่ตัวเองเคยพูดถึงให้คนตัวเล็กฟังอยู่บ่อยๆ
“พ่อกาลฮะ อานิลฮะ นี่เพื่อนของน้องพีเองชื่อข้าว ข้าวนี่พ่อกาลของพีนะ ส่วนนี้อานิลเป็นเพื่อนของพ่อกาล”
รพีสิ่งยิ้มสดใสมาให้ข้าวที่พนมมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างที่เคยถูกสอนมาซึ่งนิลก็ส่งยิ้มน้อยๆทักทายออกมาส่วนรัตติกาลนั้นทำเพียงหันหน้ามามองเท่านั้น
ข้าวมองดูเพื่อนตัวเองที่ส่งยิ้มกว้างส่งเสียงเจื้อยแจ้วคุยกับพ่อไม่หยุดอย่างแปลกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าวเห็นความสดใสสมวัยของรพีซึ่งปกติมักจะดูโตกว่าเพื่อนในห้องทุกคนในขณะที่มือเล็กของรพีหยิบคว้ามือของผู้เป็นพ่อมาจับไว้ ยืนฟังคุณครูประจำชั้นคุยกับพ่อของตนอย่างตื่นเต้น เขาอยากให้พ่อรู้ว่าตัวเองเป็นเด็กดีแค่ไหนระหว่างอยู่ที่โรงเรียน คำชมมากมายที่หญิงสาวเอ่ยออกมาจุดความหวังในตัวรพีว่ามันคงทำให้รัตติกาลภูมิใจในตัวเขาได้บ้าง
นิลยืนมองเพื่อนรักและลูกชายด้วยความหวังว่าสักวันภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นในทุกๆวัน หลังจากที่รัตติกาลเงียบไปพักใหญ่ นิลได้พูดขออีกครั้งโดยอ้างว่าอยากมานั่งดื่มด้วยกันที่บ้านของร่างโปร่ง แล้วขอให้มาแวะรับรพีที่โรงเรียนซึ่งเป็นทางผ่านอยู่แล้วเท่านั้น แน่นอนว่าตอนแรกรัตติกาลทำท่าจะปฏิเสธแต่จู่ๆธิชาก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับขอเอกสารบนโต๊ะไปเรียบเรียงใหม่เพราะเอกสารบางส่วนเพิ่งถูกส่งมาให้ ร่างโปร่งหมดข้ออ้างที่จะไม่มารับรพีที่โรงเรียน ถึงอย่างนั้น แม้ว่าวันนี้นิลจะพารัตติกาลมาได้แต่เขาก็รู้ดีว่า ความห่างเหินที่อีกฝ่ายมอบให้กับลูกตัวเองเป็นเวลาเกือบหกปีคงไม่ถูกลบไปง่ายๆ
ความเป็นห่วงในตัวรัตติกาลและรพีเป็นเรื่องจริง แต่ก็มีอีกเหตุผลที่ทำให้เขาออกมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเพื่อนที่นิลไม่ได้ออกไป ม่านหมอกแห่งฝันร้ายที่ปกคลุมมาเนินนานกลับค่อยๆคลายออกจนเห็นเงาตะคุ้มเงาหนึ่งที่ทำให้นิลสังหรณ์ว่ามันจะนำพาความวุ่นวายมาสู่ชีวิตของรัตติกาลอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าภายหลังม่านหมอกนั้นมีอะไรซ่อนอยู่
เบอร์โทรศัพท์ของนักสืบเอกชนอยู่บนรายชื่อโทรออกล่าสุดของเขาก่อนที่จะเข้าไปที่บริษัทเมื่อตอนบ่าย คำไหว้วานที่เขามอบให้กับคนปลายสายเป็นสิ่งที่เขาจะให้รัตติกาลรู้ตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
มีคำพูดที่ว่า สายน้ำ การกระทำ และเวลาเป็นสิ่งที่ไม่อาจย้อนกลับ
ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาอยากให้มันเป็นจริงเท่าครั้งนี้
เพราะนิลเองก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า
ถ้า ‘อดีต’ ที่โหดร้ายย้อนกลับมา
‘ปัจจุบัน’ ที่เปราะบางนี้จะถูกทำร้ายจนย่อยยับแค่ไหน
.
.
.
ภาพครอบครัวตรงหน้าอยู่ในสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องอยู่ไม่ไกลพร้อมกับรูปถ่ายใบเก่าในมือ ภาพของคนสี่คนในชุดนักศึกษาโดยที่แต่ละคนต่างก็มีรอยยิ้มประดับใบหน้า สองในสี่คนนั้นกำลังยืนอยู่กับเด็กน้อยที่กำลังโบกมือลาเด็กอีกคนด้วยรอยยิ้ม แม้จะผ่านมาหลายปีแต่ดวงหน้าหวานคมนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย มีเพียงแค่รอยยิ้มสดใสในรูปใบนี้กลับไม่มีเหลืออยู่แล้ว ส่วนอีกสองคนที่เหลือคือชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนเคียงข้างกัน ในภาพชายที่ตัวใหญ่กว่ากำลังกอดคอรัตติกาลไว้แน่นขณะที่มืออีกข้างก็กำลังกอบกุมมือของผู้หญิงอีกคนไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
นี่ก็เข้าตอนสองแล้ว อาจจะดำเนินเรื่องช้าไปสักนิดนะฮับ แล้วก็อย่างที่แจ้ง ปมเรื่องนี้ผูกกันอดีตซะมาก
อาจจะทำให้สับสนกันไปหน่อย แต่พอผ่านไปสักพักจะเริ่มเห็นเค้าร่างแล้ว อดีตที่พ่อกาล มันเว่อวังมาก ปวดหัวสุดๆ!
และที่สำคัญ พระเอก(?) ของเรายังไม่ออกมาเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ อดใจรอกันหน่อยนะๆ เปิดตัวแซ่บๆสมกับเป็นพระเอกหน่อย
นิยายเช่ อาจจะไม่ใช่แนวตลาดมากนัก เอาตรงๆเช่เขียนพวกแนวหวานๆแอ๊วๆไม่ค่อยได้ เอ็นซีนี่ไม่ต้องพูดถึง(จะพยายามจัดให้บ้างนะฮับ)
อาจจะเป็นเรื่องที่อ่านไปยาวๆถึงจะว่าสนุก เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงจุดนั้นก็ขอให้ติดตามเช่ต่อไปด้วยนะ^^
อยากอ่านต่อ อยากให้กำลังใจเช่ ก็เม้นก็โหวตกันตามศรัทธานะ ราบุ~~
-
3rd Night
…Encounter...
“ป้าขอบคุณคุณนิลมากเลยนะคะ ที่ช่วยพูดให้คุณกาลเธอไปรับคุณพีที่โรงเรียนจนได้”
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นกับข้าวสักสองสามอย่างให้ผมเอากลับไปกินที่คอนโดก็แล้วกันนะครับป้าจันทร์”
จันทร์ยิ้มอ่อนออกมาพลางมองดูสองพ่อลูกที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องนั่งเล่นของบ้าน รัตติกาลที่โดนลูกชายลากตัวมานั่งที่โซฟาทันทีที่ก้าวลงมาจากรถ ร่างป้อมหันไปอ้อนขอให้นิลเฝ้าพ่อของตนไว้ให้ก่อนรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านจนโดนจันทร์ดุเอ็ดที่ทำอะไรไม่ระวัง ทันทีที่รพีวิ่งไปลับสายตาร่างโปร่งก็หันหลังเตรียมเดินขึ้นห้องแต่อานิลที่แสนใจดีก็ไม่ทำให้รพีต้องผิดหวัง ร่างสูงทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวแม้ว่าก้อนน้ำแข็งเดินได้อย่างรัตติกาลกำลังทำสีหน้าไม่พอใจใส่เขาอยู่
ไม่นานนักร่างป้อมก็กลับลงมาพร้อมกับภาพวาดสีเทียนที่ทั้งไม่ละเอียดอ่อนและสวยงามในสายตาของผู้ใหญ่ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่เจ้าของภาพแสดงออกไว้อย่างเต็มที่ ภาพของพ่อและเด็กน้อยข้างกายยืนจับมือกันอยู่ท่ามกลางบ้านติดภูเขาเป็นแพตเทิร์นเดิมๆเหมือนกับภาพที่เด็กวัยนี้มักวาดกัน แต่ที่ดูแปลกตาเห็นจะเป็นรูปประกอบอื่นๆที่ไม่ได้เข้ากับเนื้อหาภายในภาพ ทั้งลูกฟุตบอล แผนที่ รถยนต์ กล้องถ่ายรูป และสิ่งที่รัตติกาลเดาเอาว่ามันคือตะหลิววาดอยู่ประปรายเต็มรูปภาพไปหมด แม้ทีแรกเขาจะไม่รู้สึกสนใจภาพนี้เลยสักนิด แต่ด้วยความประหลาดของภาพทำให้ร่างโปร่งอดที่จะถามไม่ได้
“นี่มัน..ตะหลิว? ใช่ไหม?”
“นั่นไม้กอล์ฟฮะ...พีวาดไม่เหมือนหรอ”
“แล้วทำไมถึงมีไม้กอล์ฟอยู่ในรูปล่ะ ทั้งลูกบอล รถพวกนี้อีก”
รัตติกาลรีบเปลี่ยนเรื่องพูดเมื่อเห็นรพีกำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เพราะผิดหวังที่รูปซึ่งเจ้าตัวตั้งใจวาดไม่เหมือนของจริงจนร่างโปร่งไม่เข้าใจ เขาไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ไม่อยากได้ยินเสียงร้องไห้น่าปวดหัวอย่างเมื่อเช้าอีกเท่านั้น
“คือ...พีเห็นว่าถึงจะเป็นวันหยุดแต่พ่อกาลไม่ค่อยอยู่บ้าน ยายจันทร์บอกว่าพ่อกาลออกไปตีกอล์ฟกับเพื่อนทุกที”
“...”
“พีก็เลยอยากไปตีกอล์ฟกับพ่อกาลบ้าง จะได้อยู่กับด้วยกันทั้งวันเหมือนคนอื่น”
ริมฝีปากเล็กเอ่ยอ่อมแอ้มออกมาราวกับว่าความหวังนั้นมันน่าอาย รพีไม่อยากบอกพ่อว่าตัวเองพยายามให้ยายจันทร์อธิบายตั้งนานว่ากอล์ฟคืออะไรแต่ก็ยังไม่เข้าใจสักที ทั้งที่หวังว่าถ้าตัวเองเข้าใจเรื่องพวกนี้มากขึ้นแล้วคงจะขอพ่อติดสอยห้อยตามไปในช่วงวันหยุดได้ ถึงแม้จะยาก ถึงแม้จะมีแต่เรื่องไม่เข้าใจก็อยากจะพยายาม แม้สุดท้ายจะทำไม่ได้ เขาก็แค่หวังว่าจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับพ่อมากขึ้นเท่านั้นเอง
ร่างโปร่งมองกริยาของลูกชายอย่างคาดไม่ถึงว่ารพีจะแสดงออกถึงความว้าเหว่ออกมาในรูปแบบนี้ ไม่ต้องถามต่อให้มากความ เขาเข้าใจได้ทันทีถึงความหมายของรูปที่เหลือ มันล้วนเป็นกิจกรรมที่เจ้าตัวเล็กอยากทำร่วมกับเขาทั้งนั้น มือเล็กบีบเข้าหากันอย่างเก้อๆราวกับไม่รู้ว่าจะเอามันไปวางไว้ตรงไหน รพีที่เคยพูดไม่หยุดเสียความมั่นใจไปไม่น้อยจากการที่ต้องเปิดเผยความเป็นเด็กออกมาให้ผู้เป็นพ่อได้เห็น
รัตติกาลเกือบจะยื่นมือออกไปลูบกลุ่มผมเรียบนุ่มนั้น แต่ส่วนลึกในจิตใจก็หวนนึกถึงความทรงจำโหดร้าย ความรู้สึกเจ็บหน่วงยังคงฉุดรั้งเขาให้ฝังลึกลงไปจนยากจะก้าวเดินออกมา
อย่างที่เขาเคยบอกกับเพื่อนรักเอาไว้
ว่ารัตติกาลไม่มีวันทำให้รพีมีความสุข
นั่นก็เพราะเขา...ไม่อยากเห็นรพีมีความสุข
อยากให้เด็กคนนี้สัมผัสถึงความรู้สึกโหยหาอย่างที่เขาเป็น
ทรมานเหมือนกับตัวเขาที่ถึงแม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนาน
ก็ยังคงหลงอยู่ในฝันร้ายเพียงลำพัง...
.
.
.
.
เสียงกลองสันทนาการถูกตีดังสนั่น รุ่นพี่หลายคนออกมาเต้นกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงเนื่องในโอกาสพิเศษวันเปิดสายรหัสหลังจากที่ผ่านการรับน้องอันยาวนานมาร่วมสองเดือน รัตติกาลในชุดนักศึกษานั่งต่อแถวจากเพื่อนๆเรียงตามรหัสนิสิตเพื่อรอให้พี่รหัสของตัวเองเดินเข้ามาหาเหมือนกับเพื่อนในคณะคนอื่นๆ
ร่างโปร่งสังเกตเพื่อนคนอื่นเป็นระยะ มีทั้งคนที่โชคดีก็ได้รับขนมกองใหญ่ที่มาพร้อมกับตะกร้าใส่ผ้าที่ถูกใช้แทนถุงพลาสติกเพื่อที่จะสามารถนำไปใช้ต่อได้ แต่ปัญหามันอยู่ที่จะขนขึ้นมอเตอร์ไซค์กลับหอกันยังไงเนี่ยสิ กลับกันบางคนก็ไม่ได้อะไรเลยนอกจากขนมไม่กี่ห่อที่เขาคิดว่าพวกรุ่นพี่ตั้งใจแกล้งให้น้องรหัสใจเสียเล่นซะมากกว่า แต่ก็นะอย่างน้อยทุกคนก็ยังมีรุ่นพี่มาหา ไม่เหมือนเขาที่นั่งกร่อยอยู่คนเดียวไร้วี่แววของพี่รหัส จนรุ่นพี่ของนิลเพื่อนใหม่ของเขาซึ่งนั่งต่อแถวอยู่ใกล้ๆนำเลย์สองห่อมาให้เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่มีอะไรในมือเลย
ก็ไม่ได้หวังว่าจะต้องได้ของอะไรมากมาย แต่เขาที่เสียเวลามานั่งทำกิจกรรมกว่าชั่วโมงแล้วไม่เจอใครแบบนี้ก็อดเสียความรู้สึกไม่ได้ ร่างโปร่งนั่งอยู่อย่างนั้นจนรุ่นพี่ในคณะเริ่มทยอยเดินกันออกไปเพื่อเริ่มกิจกรรมอื่นต่อ เขาถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆที่สุดท้ายตัวเองก็มาเสียเที่ยว ในขณะที่กำลังนึกตำหนิพี่รหัสที่ไม่เคยเห็นหน้าอยู่นั้นก็มีเสียงฮือฮาจากผู้หญิงดังขึ้น ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร
ในตอนนั้นเองถุงบะหมี่เกี๊ยวแยกน้ำก็ถูกยื่นมาจากด้านหลัง ถึงแม้กลิ่นหอมของน้ำซุปจะเรียกน้ำย่อยของคนที่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นได้เป็นอย่างดีแต่รัตติกาลกลับหันไปมองหาคนที่ยื่นมันมาให้เขามากกว่าจะให้ความสนใจกับของตรงหน้า
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมใส่เสื้อยืดสีขาวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออยู่ภายใต้เสื้อช็อปสีเลือดหมูยื่นถุงร้อนๆนั้นมาให้เขาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างทั้งที่หอบจนตัวโยน ใบหน้าเข้มสมชายรับเข้ากับดวงตาขี้เล่นที่ทำให้คนคนนี้ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย แต่มากกว่าความสนใจกลับเป็นความสงสัยซะมากกว่า ร่างโปร่งมองคนตรงหน้าสลับกับถุงบะหมี่เกี๊ยวไปมาอย่างตั้งคำถาม แน่ล่ะเขาเรียนคณะอักษรศาสตร์นะ ทำไมรุ่นพี่วิศวะถึงได้เอาของมาให้เขาได้
“น้องรัตติกาล รหัส0056 ใช่ไหม”
“ครับ...แล้วนี่อะไร”
“บะหมี่เกี๊ยวไง ไม่เคยกินหรอ”
รัตติกาลขมวดคิ้วมุ้ยอย่างไม่ชอบใจที่โดนกวนประสาทเข้าให้ จริงอยู่ที่ภาพลักษณ์ของเขาออกจะเหมือนคุณชายไปสักหน่อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยกินของพวกนี้ ทางบ้านของร่างโปร่งเป็นคนมีฐานะโดยที่ทั้งพ่อและแม่ของเขาเป็นอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัยกันทั้งคู่ซึ่งนอกจากนอกจากรับเงินเดือนประจำแล้ว ท่านทั้งสองคนก็มีรายได้จากการเล่นหุ้นและธุรกิจเล็กๆน้อยๆทางภาคใต้ซึ่งทำให้ฐานะทางการเงินของบ้านพัฒนเดชาค่อนข้างมั่นคงและถือว่าร่ำรวยในสายตาคนนอก แต่พ่อแม่ของเขามักสอนเสมอถึงคุณค่าของเงินและความไม่แน่นอนของมันทำให้ตัวเขาไม่เคยหลงระเริงกับเงินที่พ่อแม่หามาให้ เขาบอกตัวเองเสมอว่าคนที่รวยคือบิดามารดาของตนมากกว่าไม่ใช่ตัวเขาที่ยังทำงานหาเงินเองไม่ได้สักแดง
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พี่ล้อเล่น อะ พี่ซื้อมาให้”
“ซื้อให้ผม? พี่อาจจะไม่สังเกตที่นี่คือคณะอักษรไม่ใช่วิศวะนะครับ”
“ฮ่าๆๆๆ ฉลาดพูดซะด้วย พี่รู้หรอกว่าที่นี่ตึกอักษร ยังอยู่แค่ปีสองไม่ได้แก่จนตาฟางขนาดนั้น”
“แล้ว? ยังไง?”
“ความจริงแล้วพี่ไม่ใช่พี่รหัสน้องหรอก พี่รหัสน้องน่ะ อะ นั่นไงมาพอดี”
ร่างโปร่งมองตามไปยังทางที่อีกคนชี้ไป หญิงสาวในชุดนิสิตห้อยตุ้งติ้งของคณะอักษรกำลังเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน กวาดสายตามองอยู่สักพักก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นร่างสูงในชุดช็อปยืนโบกมือให้ ร่างเล็กเดินตรงเข้ามาก่อนจะหันมามองน้องรหัสที่เธอสืบหาตัวมาได้สักพัก เคยแต่แอบมองอยู่ไกลๆ พอมาเจอกันตัวต่อตัวแบบนี้ ‘พะแพง’ ยิ่งรู้สึกว่าน้องรหัสของเธอน่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่ คิ้วที่ขมวดกันอย่างสงสัยไม่ได้ทำให้รัตติกาลดูแย่เลยแม้แต่น้อยกลับทำให้ใบหน้าขาวนี้ดูดีขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ
“ขอโทษทีมาช้านะน้องกาล ขอเรียกสั้นๆแล้วกันเนอะ พี่ชื่อพะแพงนะ เป็นพี่รหัส0056ปีสอง ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“สวัสดีครับ”
รัตติกาลพนมมือไหว้รุ่นพี่ตรงหน้าแล้วถือโอกาสขอบคุณสำหรับบะหมี่เกี๊ยวที่อีกฝ่ายให้รุ่นพี่วิศวะคนนี้วิ่งเอามาให้ก่อนที่ตัวเองจะรีบเดินตามมา พะแพงขอโทษที่ตัวเองทำให้รัตติกาลต้องรอนานแต่เนื่องจากรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งที่ใช้ประจำเกิดเสียขึ้นมาทำให้ต้องวุ่นวายหาร้อนซ่อมเสียแทบตายจนเกือบมาไม่ทัน รัตติกาลยิ้มให้แล้วบอกกับอีกฝ่ายว่าตนเองไม่ได้โกรธเคืองอะไร ถึงแม้ตอนแรกจะหงุดหงิดนิดหน่อยแต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็รีบมาจนทันด้วยสภาพนี้ ต่อให้ไม่มีขออะไรมาให้เขาก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว
พะแพงพูดคุยกับรัตติกาลอย่างเป็นกันเองสลับกับชายหนุ่มข้างกายเป็นพักๆโดยที่มีรัตติกาลมองอย่างสงสัยในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ และดูเหมือนหญิงสาวจะรับรู้ถึงความคิดนั้นเธอยิ้มน้อยๆก่อนจะแนะนำตัวชายหนุ่มข้างกายที่ทั้งสองกำลังจับมือกันไม่ยอมปล่อย
“จริงสิ คุยมาตั้งนานยังไม่ได้แนะนำเลย พี่คนนี้ชื่อ ‘นที’ นะน้องกาล แฟนพี่เองจ๊ะ เรียนอยู่วิศวะที่นี่แหละ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ รัตติกาล..”
เสียงทุ้มนุ่มเป็นเอกลักษณ์เอ่ยชื่อของเขาออกมา รัตติกาลพยักหน้าก่อนจะเงยสบตากับคนตรงหน้าที่มอบรอยยิ้มอบอุ่นที่ให้เขาอย่างมีไมตรีจิต ริมฝีปากบางขยับเอ่ยกลับไปด้วยคำพูดเดียวกัน โดยที่เขาเองก็ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขานึกเสียใจที่ได้รู้จักคนคนนี้
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ พี่นที..”
.
.
.
ยิ่งนานวันร่างโปร่งยิ่งสงสัย...ตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านมานิลพยายามช่วยให้รัตติการและรพีใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งให้ไปรับไปส่งที่โรงเรียน พากันไปกินข้าวนอกบ้าน และแม้แต่การที่นิลที่ปกติแทบจะไม่โผล่มาที่บริษัทถ่อมาลากเขาที่กำลังจะออกไปดื่มเหมือนทุกครั้งให้กลับบ้านตั้งแต่หัวค่ำ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของนิลทำให้ เขารู้สึกว่านิลกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง ทั้งที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานิลยืนอยู่ในตำแหน่งของผู้สังเกตการณ์มาตลอดกลับพาตัวเองเข้ามาในวังวนแห่งความวุ่นวายแบบนี้มันผิดปกติเกินไปจนเขารู้สึกสังหรณ์ใจ
รัตติการอ่านข้อความที่นิลส่งมาให้เมื่อชั่วโมงที่แล้วระหว่างที่เขากำลังประชุมกับฝ่ายจัดพิมพ์อยู่ โดยอีกฝ่ายชวนให้เขาไปรับลูกชายที่โรงเรียนแล้วออกไปทานข้าวเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เคยไปด้วยกันบ่อยๆ ร่างโปร่งขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่นิลกำลังทำ แม้จะถามไปหลายครั้งคำตอบก็ยังคงวนเวียนอยู่แค่ความห่วงใยความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ได้มีแค่นั้น ใช่ว่าเขาเพิ่งจะมาทำตัวเย็นชากับลูกชายซะเมื่อไหร่ เขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วทำไมทุกคนถึงพยายามสมานรอยร้าวให้พวกเขาในตอนนี้
ควันสีเทาลอยฟุ้งออกมาจากริมปากบางที่คาบแท่งนิโคตินมวนที่ห้าของวัน ร่างโปร่งจำเป็นต้องสูบอัดควันพิษนี้เพื่อกระตุ้นให้ตื่นตัวและสามารถทำงานต่อไปได้ทั้งที่อดนอนมาตลอดสองสัปดาห์ที่เรื่องบ้าๆนี่เกิดขึ้น ร่างกายที่เคยชินกับการดำรงชีวิตยันเช้ากลับต้องมาเข้านอนก่อนเที่ยงคืน ตารางชีวิตที่เปลี่ยนไปสร้างภาระให้ร่างกายของเขาไม่น้อยเพราะไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
รัตติกาลใช้เวลาเกือบทั้งคืนนั่งฟุ้งซ่านถึงอดีตเพียงลำพังในห้องนอนที่เมื่อก่อนตัวเองไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่ ถ้าเป็นปกติเขาคงโหมทำงานอย่างบ้าคลั่งไม่ก็หาคนมาอยู่เป็นเพื่อนยันเช้าเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่เขาควงหนุ่มที่คลับเข้าโรงแรมก่อนจะกลับบ้าน
ร่างโปร่งอ่านข้อความในมือถืออีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจต่อสายถึงเจ้าของข้อความที่ชักจะเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตเขามากเกินไปจนแทบรับไม่ไหว เสียงรอสายดังอยู่สักพักก่อนอีกฝ่ายจะพูดทักทายออกมาก่อน
“ว่าไงไอ้กาล”
“เย็นนี้กูไม่ว่าง ถ้ามึงยังอยู่ที่บ้านกู ช่วยบอกลุงสิทธิด้วยว่าให้ไปรับพีเย็นนี้”
“อย่ามาโกหกกูไอ้กาล กูเช็คตารางงานมึงจากธิชามาแล้ว วันนี้มึงมีประชุมตอนบ่ายแต่ก็ไม่ใช่ประชุมใหญ่อะไร ยังไงมึงก็ไปรับลูกที่โรงเรียนทันอยู่แล้วต่อให้รถติดก็เถอะ”
“มึงชักจะยุ่งเรื่องของกูมากไปแล้ว...ไอ้นิล”
นิลรับรู้ถึงเสียงกดต่ำจากปลายสาย ถ้าเป็นปกติเขาคงจะขอโทษแล้วเลิกทำอะไรที่ขัดใจเพื่อนของตน แต่เพราะเรื่องที่เขาให้คนไปตามสืบนั้นยังไม่มีอะไรคืบหน้า ร่างสูงเป็นกังวลถึงอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับเขาตอนนี้การทำให้รัตติกาลหลุดพ้นจากบ่วงนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แล้วคนที่จะทำลายบ่วงนั้นได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ...รพี
“กูยอมรับว่ากูเสือก แต่กูอยากทำให้เรื่องมันดีขึ้น”
“ไม่มีอะไรดีขึ้นทั้งนั้น และมันจะไม่มีวันดีขึ้นด้วย!!!”
ความอึดอัดที่ตีตื้นขึ้นทำให้รัตติกาลลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดังสนั่นก่อนจะตะโกนใส่ปลายสายไปอย่างโกรธจัด
“หวังดีหรอ? เป็นห่วงหรอ? ถ้าเป็นห่วงกูจริงทำไมมึงไม่ถามกูบ้างว่ากูต้องการอะไร กูไม่เคยขอร้องให้มึงช่วย!!!”
“...”
“ทั้งๆที่กูเชื่อมาตลอด ว่ามึงคือคนเดียวที่เข้าใจความเจ็บปวดของกู แล้วทำไมวะ ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้”
“แล้วสิ่งที่มึงต้องการคืออะไรวะกาล”
“...”
“มึงต้องการอะไรจากพี มึงต้องการอะไรจากโลกใบนี้กันแน่ มึงทำร้ายพีเพราะมึงเจ็บ แต่ยิ่งทำมึงก็ยิ่งลืมไม่ได้ แล้วการที่มึงเจ็บปวดเพราะคนอื่นแต่มึงกลับเลือกที่จะโยนความผิดนั้นให้เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรมันถูกต้องแล้วหรอวะ"
“กูอยากทำให้มันเจ็บ!!! เจ็บยิ่งกว่าที่กูเคยเจ็บ!!! ให้สาสมกับสิ่งที่พ่อแม่มันทำไว้กับกู!!!”
“รพีไม่ได้ทำอะไรผิด คนผิดคือสองคนนั้น แต่พวกเขาก็ตายไปแล้ว พี่แพงกับพี่ทีเขาตายไปแล้วไอ้กาล!!!”
“แม้ว่าพวกมันจะตายไปแล้วกูก็จะทำให้มันรู้ ราคาที่พวกมันต้องจ่ายจากการทรยศกูมันแพงแค่ไหน”
“มึง... แม่งเอ้ย! พอสักทีเหอะไอ้กาล เมื่อไหร่มึงจะเข้าใจว่ามึงแค้นไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วสุดท้ายคนที่เจ็บก็คือมึง!”
“ไม่ใช่...มึงคิดผิดแล้วไอ้นิล”
“...”
“สุดท้ายคนที่จะต้องเจ็บ คือรพีไม่ใช่กู”
มือเรียวกดตัดสายทิ้งก่อนจะปิดเครื่องทันที เขาเก็บเอกสารต่างๆลงในลิ้นชักก่อนจะหยิบเพียงกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์ออกมาพาร่างของตัวเองไปยังรถคันหรูที่จอดไว้ วิวสองข้างทางเต็มไปด้วยถนนทอดยาวออกไป ร่างโปร่งกำลังขับรถผ่านทางด่วนมอเตอร์เวย์เพื่อออกต่างจังหวัดเพื่อหวังสงบสติอารมณ์ที่เกือบจะขาดสะบั้น รัตติกาลคิดว่าดีแล้วที่เขาและนิลไม่ได้เผชิญหน้ากันตรงๆ เพราะร่างโปร่งไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะไม่ลงมือทำร้ายนิลได้
ร่างโปร่งตบไฟเลี้ยวซ้ายหมุนพวกมาลัยรถเข้าไปยังโรงแรมของเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยอีกคนซึ่งเป็นลูกของเจ้าของ ด้วยความที่มาพักกะทันหันเขาจึงไม่มีสัมภาระอะไรมาก รีเซฟชั่นสาวรับบัตรเครดิตของเขาไปเพื่อจัดการชำระค่าห้องพักจำนวน1คืน
แม้ว่าจะอยากหนีไปให้ไกลๆแต่รัตติกาลก็ไม่สามารถทิ้งงานที่บริษัทไปได้ ที่นั่นแรกเริ่มเดิมที่เป็นเพียงโรงพิมพ์เล็กๆที่ร่างโปร่งเคยใช้บริการจัดพิมพ์หนังสือของตัวเองตอนที่กำลังเรียนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ แต่อาจจะเพราะเลือดนักบริหารในตัวเมื่อโรงพิมพ์แห่งนี้มีทีท่าจะไปไม่รอดจากพิษเศรษฐกิจเขาจึงตัดสินใจนำเงินมรดกที่พ่อและแม่ทิ้งไว้ให้หลังจากการเสียชีวิตขณะที่เขาเพิ่งขึ้นชั้นปีที่3ได้ไม่นานมาซื้อโรงพิมพ์นี้ไว้แล้วเข้ามาบริหารพัฒนาธุรกิจที่เกือบจะล้มจมจนกลายมาเป็นสำนักพิมพ์รายใหญ่ได้อย่างทุกวันนี้
“เห้ย ไอ้กาลนี่หว่ามาไงวะ”
“เดินมามั้งไอ้ห่า”
รัตติกาลหันไปกอด ‘คณิต’ เพื่อนของตนซึ่งอยู่ในชุดผู้จัดการโรงแรมอย่างคิดถึงจนคนในล็อบบี้หันมามองแต่พวกเขาก็ไม่คิดสนใจอะไร คณิตเป็นผู้ชายแท้ๆเพียงไม่กี่คนในคณะที่เขารู้จัก ด้วยความที่คณะของพวกเขาบังเอิญรวมผู้คนที่มีรสนิยมทางเพศหลากหลายเอาไว้ด้วยกัน คณิตจึงเคยชินและไม่คิดรังเกียจอะไร อีกทั้งรัตติกาลถือว่าเป็นเกย์ที่รู้จักการวางตัวในสังคมเป็นอย่างดี ถ้าไม่นับเรื่องที่เพื่อนของเขาชอบผู้ชายในสายตาของคณิต รัตติกาลนั้นเป็นเหมือนผู้ชายแสนเพอร์เฟ็คที่สาวๆทั้งหลายหมายปอง ในตอนที่ยังเรียนอยู่ด้วยกันแม้รัตติกาลจะเป็นเกย์แต่ก็ยังมีผู้หญิงพยายามเข้าหาอยู่เรื่อยๆ
“ไม่เจอกันนานเลยวะ ขึ้นไปกรุงเทพตอนนั้นได้เจอแต่ไอ้นิล”
“เออมันก็บอกอยู่ พอดีกูยุ่งๆเรื่องปิดต้นฉบับนิดหน่อยเลยไม่ได้ไปกินด้วย”
“แล้วนี่มาคนเดียวหรอวะ ของเขิงก็ไม่มี”
“พอดีเครียดๆเลยขับรถมาพักสักหน่อย”
“ห่า พักไกลเลยนะมึง ยิงยาวมาถึงบางแสนเนี่ย ว่าแต่มาทั้งทีคืนนี้ดื่มกันหน่อยไหม กูเลี้ยงเอง”
“หึหึ ไม่บอกก็กะจะให้เลี้ยงอยู่แล้ว”
“หาเรื่องแดกฟรีตลอด เงินเยอะแยะเอามาใช้บ้าง กะเก็บไว้ให้ลูกอย่างเดียวเลยรึไง”
อารมณ์ที่เพิ่งจะดีขึ้นหลังจากเจอเพื่อนเก่า ถูกฉุดให้ต่ำลงเมื่อรพีถูกพูดถึง คณิตที่สังเกตเห็นสีหน้าของเพื่อนแย่ลงจึงตบไหล่บางนั้นเบาๆอย่างขอโทษ รัตติกาลไม่ได้บอกเรื่องของรพีกับใครเลย มีเพียงป้าจันทร์และนิลเท่านั้นที่รู้ว่ารพีเป็นลูกของ นทีและพะแพง พี่รหัสของเขา
รัตติกาลเก็บความเจ็บปวดและเรื่องราวต่างๆในอดีตไว้โดยให้เพื่อนและญาติคนอื่นๆรู้จักรพีในฐานะลูกของรัตติกาลกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเคยหลับนอนด้วยความอยากลอง จนฝ่ายหญิงตั้งท้องขึ้นมารัตติกาลจึงเลือกที่จะรับลูกไว้เลี้ยงดูแล้วเลิกรากับฝ่ายหญิงไปเท่านั้น ทุกคนจึงคิดว่าที่ร่างโปร่งเย็นชากับรพีเพราะเป็นเด็กที่เกิดมาโดยความไม่ตั้งใจและรัตติกาลยังคงเสียใจกับผลการกระทำของตัวเองมาถึงทุกวันนี้ จึงไม่มีใครรับรู้ถึงความจริงที่ถูกเก็บซ่อนไว้มานานเกือบหกปี
“เอาเป็นว่าหนึ่งทุ่มไปเจอกันที่บาร์ เดี๋ยวกูจะค้นไวน์เก่าๆมาให้ดื่มแก้เครียด”
“เออ ขอบใจวะ”
หลังจากนั้นร่างโปร่งก็ขึ้นมานอนพักบนห้องจนถึงเวลาพักเขาก็ไปนั่งดื่มกับคณิตตามที่นัดไว้ เรื่องราวมากมายที่ทั้งสองได้พบเจอถูกหยิบมาพูดผลัดกันอยู่เรื่อยๆจนขวดไวน์ว่างเปล่าวางอยู่เต็มโต๊ะ นาฬิกาตีบอกเวลาสองทุ่ม ข้างนอกฝนกำลังตกหนักจนรู้สึกหนาวกายไปหมด เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของคณิตดังขึ้นจนเจ้าตัวกดรับสาย รัตติกาลที่กำลังสาละวนอยู่กับขวดไวน์ตรงหน้าไม่ได้สนใจฟังบทสนทนาของเพื่อนข้างกายจนกระทั่งอีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มาให้เขาพูดสาย
“ฮัลโหล”
“มึงไปอยู่ที่ไหนไอ้กาล!”
เป็นเสียงของนิลที่ดังมาจากปลายสาย ร่างโปร่งหันไปมองเพื่อนข้างๆ คณิตพูดโดยไม่ออกเสียงว่า ‘มันบอกธุระด่วน’ รัตติกาลจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดตอบไป
“กูมาพักโรงแรมไอ้คณิต วันนี้คงไม่กลับ มึงช่วย...”
“เรื่องใหญ่แล้วไอ้กาล มึงต้องกลับมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
“เรื่องใหญ่? ทำไม? มีอะไรเกิดขึ้น?”
“พีหายตัวไป!!!”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ตัวละคนเริ่มโผล่กันมาแล้วนะคนับ! ตอนนี้พ่อกาลโคตรจะพาลเลย แอบสงสารน้องพีกันบ้างไหม T^T
แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เช่เป็นไรท์โรคจิต ชอบเห็นคนอ่านจิตตก และดราม่า ฮ่าๆๆๆๆ มันมีมากกว่านี้แน่นอน
แต่เชื่อเช่ดิ ดราม่าของเช่สุดท้ายแล้วทุกคนต้องประทับใจ ใครที่ผ่านมาอ่านแล้วคิดว่านิยายเรื่องนี้น่าเบื่อ
ก็ขอให้ลองติดตามกันยาวๆนะคนับ^^ ขอบคุณทุกคนนะ เอาจริงๆเช่ไม่คิดนะว่าจะมีคนมาอ่าน
โนเนมไม่มีไรไปสู้ใครเขาเลย ฟิคไม่ใช่แนวตลาดด้วย แต่เช่จะพยายามสร้างเรื่องดีๆออกมาให้อ่านกันนะ
ใครอยากพูดคุยหรือสอบถามไรเช่ เชิญได้ที่แฟนเพจหรือเม้นทิ้งไว้นะ
สุดท้าย...รักคนอ่าน หลงคนเม้น<3
-
เนื้อเรื่องน่าสนใจจจจ เรื่องภาษาบรรยายยาวๆ เราไม่ค่อยติดใจค่ะ อ่านได้หมด อาจจะต้องระวังเรื่องใช้คำเยิ่นเย้อไปบ้าง แต่รวมๆเราโอเคเลยนะคะ ชอบนิล ตอนแรกนึกว่ากาลเป็นพระเอก นิลเป็นนายเอก............. แต่ผิดโผไปมากทีเดียว ไม่เป็นไรค่ะ เราว่านะพระเอกต้องเป็นอะไรกับนทีแน่ๆ อาจจะชื่อ อัคคี ไม่รู้ เดามั่วสุดๆค่ะ :laugh: เอาเป็นว่าติดตามตอนต่อไปจ้า
ปล.เราจะติดตามว่าpsycho-drama เรื่องนี้จะเป็นยังไง อิอิอิ ส่วนตัวชอบเสพดราม่าแนวชีวิตชิทแฮพเพ่นอยู่แล้ววว จัดมาหยักๆเลยค่าา :pig4:
-
มาต่ออีกนะฮะ อยากอ่านไปเรื่อยๆ
-
คือมันดีมาก
-
4th Night
…Pain...
“พีหายตัวไป!!!”
“มึงว่าอะไรนะ”
ใบหน้าหวานคมเคร่งเครียดทันทีที่ได้ยิน ถึงเขาจะบอกตัวเองว่าเกลียดชังรพีมากแค่ไหนแต่ก็ปฏิเสธความรู้สึกกังวลในอกนี้ไม่ได้ การที่เด็กคนหนึ่งหายไปจากบ้านมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่เขาจะทำเป็นเมินเฉยไม่รับรู้ได้
“หลังจากมึงตัดสายไปกูโทรให้ลุงสิทธิไปรับพีที่โรงเรียนแล้วค่อยไปหามึงที่บริษัทแต่พอไปถึงธิชาก็บอกว่ามึงออกไปแล้วตั้งแต่บ่าย กูพยายามตามหามึงไปทั่วแต่ก็ไม่เจอเลยโทรไปถามป้าจันทร์ที่บ้านว่ามึงกลับถึงบ้านรึยัง”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่พีหายไป”
“ป้าจันทร์บอกว่าก่อนหน้าที่กูจะโทรไปก็ยังเห็นพีนั่งรอมึงอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แต่พอหกโมงตอนจะมาตามพีไปกินข้าวก็หายไปแล้ว”
“เด็กทั้งคนจะหายไปได้ยังไงวะ ค้นที่บ้านกันดีรึยังเผื่อไปเล่นซนอยู่ตรงไหน”
“ค้นจนทั่วแล้ว ทั้งในบ้านแล้วก็ซอยข้างๆแต่ก็หาไม่เจอ กูพยายามโทรหามึงก็ไม่ติดเลยไล่โทรหาพวกเพื่อนเราดูจนมาติดที่เบอร์ไอ้คณิตนี่แหละ”
“แล้วแจ้งตำรวจรึยัง”
“แจ้งแล้ว ตอนนี้พวกสายตรวจกำลังช่วยกันหาอยู่ มึงก็กลับมาที่กรุงเทพก่อนดีกว่า เดี๋ยวกูจะโทรหาเรื่อยๆถ้ามีอะไรคืบหน้า”
“อืม”
ร่างโปร่งหยุดคิดสักพักก่อนจะตอบกลับไป คณิตมองหน้าเพื่อนของตนด้วยความกังวลเมื่อพอจะประติดประต่อเรื่องได้ แม้คณิตเสนอตัวออกช่วยหารพีด้วยแต่รัตติกาลก็ปฏิเสธไปเพราะรู้ดีว่างานของเพื่อนนั้นรัดตัวมากแค่ไหน ทั้งคู่บอกลากันโดยที่ร่างใหญ่บอกย้ำกับเขาว่าถ้าหากต้องการความช่วยเหลืออะไรให้ติดต่อมา
แม้จะดื่มไวน์ไปพอสมควรแต่รัตติกาลก็ยังไม่มีอาการเมามายแต่อย่างใด ไม่รู้ว่าด้วยเพราะความร้อนใจหรือเหตุผลอะไรทำให้เขาขับรถด้วยความเร็วมากกว่าปกติ ร่างโปร่งพยายามนึกถึงสถานที่ที่รพีน่าจะไปแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เพราะตลอดมาตัวเขาไม่เคยเข้ามาสนิทสนมใกล้ชิดให้เกินความจำเป็น นิลโทรมาหาเขาเรื่อยๆโดยบอกถึงตำแหน่งที่สายตรวจค้นหาแล้วไม่เจอ แม้ขอบเขตการค้นหาจะแคบลงแต่ก็ยังไม่สามารถคาดได้เลยว่าร่างป้อมไปอยู่ที่ไหน
รัตติกาลไม่อยากยอมรับว่าตัวเองกำลังร้อนใจ
ทั้งที่การหายตัวไปของอีกฝ่ายไม่น่าจะผลต่อความรู้สึกของตน
ทั้งที่เป็นอย่างนั้นแต่ทำไม...หัวใจถึงรู้สึกหนักอึ้งขนาดนี้
.
.
.
“คุณกาลยังไม่กลับมาบ้านเลยค่ะ ส่วนคุณพีมาถึงแล้ว”
บทสนทนาที่มีชื่อของรัตติกาลเรียกความสนใจให้รพีที่กำลังเดินไปที่ห้องครัวเพื่อจะหาน้ำดื่มระหว่างรอให้พ่อของตนกลับมาบ้านหยุดฟังจันทร์ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครก็ไม่รู้ ร่างป้อมกำลังจะเดินเข้าไปแต่หาบทสนทนาต่อมากลับทำให้รพีรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกผิด
“อะไรนะคะ แล้วคุณกาลเธอออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“...”
“คุณพีมาถึงนานแล้วค่ะ กำลังรอให้คุณพ่อกลับบ้านพอดี”
“...”
“เป็นไปได้ไหมคะว่าคุณกาลเธออาจจะย้อนกลับไปรับคุณพีที่โรงเรียน”
เด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าปลายสายคือใครหรือกำลังพูดอะไรรู้สึกตกใจกับคำพูดที่จันทร์เอ่ยออกมา ความรู้สึกผิดแล่นริ้วเข้ามาในอก ถ้าคนเป็นพ่อตั้งใจไปรับตนที่โรงเรียนนั่นหมายความว่าเขาได้ทิ้งให้รัตติกาลรอโดยที่ตนชิงกลับบ้านมาก่อน รพีทั้งรู้สึกแย่และเป็นกังวลว่าการกระทำครั้งนี้อาจสร้างความไม่พอใจจนรัตติกาลจะไม่ไปรับเขาที่โรงเรียนอีก
ร่างป้อมวิ่งออกไปทางบ้านพักคนงานที่อยู่ใกล้ๆเพื่อตามหาลุงสิทธิหวังจะขอให้ขับรถพาไปหารัตติกาลที่โรงเรียน แต่พอไปถึงรพีกลับเห็นลุงสิทธินอนให้นิ่มนวดหลังให้พร้อมกับบ่นว่าปวดเมื่อยไม่หยุด รพีซึ่งเป็นเด็กรู้สึกเกรงใจ ไม่อยากฝืนให้ลุงแกต้องทำตามใจเขาไปซะทุกเรื่อง
“เอาไงดีล่ะ ไม่อยากกวนลุงสิทธิ แต่ว่า...เราจะไปที่โรงเรียนยังไง”
ในตอนนั้นเองรายการข่าวในทีวีกำลังเสนอข่าวเกี่ยวกับการบริการของรถเมล์ทำให้เขานึกได้ว่าเขาเคยเห็นรถแบบนี้ขับผ่านที่โรงเรียนบ่อยๆ ไม่รอช้ารพีเดินไปยังประตูรั้วบ้านแต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือโชคร้ายประตูที่ไม่มีใครในบ้านสังเกตเห็นคุณหนูเล็กของบ้านค่อยๆเดินลัดเลาะผ่านสนามหญ้าจนออกไปจากบ้าน
รพีรีบเดินไปตามถนนโดยหวังว่าจะพบเข้ากับป้ายรถเมล์ เท้าคู่เล็กลากเดินไปตามถนนในซอยอย่างเร่งรีบด้วยความร้อนใจ แต่ยิ่งหาก็เหมือนยิ่งหลง รพีใช้เวลาร่วมชั่วโมงแต่ก็ยังไปไม่ถึงหน้าปากซอย ด้วยความที่บ้านของตนอยู่ลึกเข้าไปข้างในโครงการมากทำให้แทบจะไม่มีรถผ่านเข้ามาเลยในบริเวณนี้ แต่ทันใดนั้นเองเด็กชายก็เห็นเด็กวัยรุ่นผู้ชายสามคนท่าทางผอมกะหร่องเดินผ่านมาพร้อมกับหอบขวดเบียร์กันเต็มสองมือ รพีที่คิดแต่จะไปหาพ่อไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร รีบเดินตรงเข้าไปหาชายกลุ่มนั้นก่อนจะกระตุกชายเสื้อชายคนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มซึ่งคาบมวนบุหรี่ไว้ในปาก
“เห้ย เด็กที่ไหนวะ”
“พี่ฮะๆ พีจะไปปากซอยต้องไปทางไหนฮะ”
“แม่งตัวอย่างขาว แต่งตัวก็ดีสงสัยพวกลูกคุณหนูแหงๆเลยวะ”
ชายกลุ่มดังกล่าวไม่ได้สนใจตอบคำถามของรพีเลยสักนิด เด็กน้อยไม่รู้ตัวเลยว่าเกือบชั่วโมงที่เขาพยายามหาทางออกได้เดินหลงเข้ามาใกล้กับแค้มป์คนงานก่อสร้างของโครงการบ้านจัดสรรที่กำลังดำเนินการสร้างอยู่ห่างไปไม่มากจากบ้านของตน รพีไม่ได้รู้สึกถึงความไม่น่าไว้วางใจของคนพวกนี้เลยสักนิดจึงถามออกไปอีกครั้ง
“พีจะไปหาคุณพ่อ พี่ช่วยบอกทางไปปากซอยให้พีหน่อยได้ไหมฮะ พ่อกาลกำลังรอพีอยู่”
ด้วยคำพูดคำจาและท่าทางของเด็กชายทำให้กลุ่มวัยรุ่นพวกนี้ยิ้มกริ่มให้กันอย่างชั่วร้าย ชายคนที่รพีกระตุกเสื้อหันไปพูดอะไรบางอย่างกับชายคนที่ยืนข้างๆก่อนจะหันมายิ้มให้ร่างป้อมที่ยืนรออยู่
“มึงจะไปหาพ่อหรอวะ”
“ฮะ พ่อกาลรอพีอยู่ที่โรงเรียน”
“หรอ.. ว่าแต่มึงเรียนที่ไหนวะ”
“พี่อยากรู้ไปทำไมหรอฮะ?”
“ไอ้โง่! กูจะได้ไปส่งมึงหาพ่อที่โรงเรียนไง”
“ไม่เป็นไรฮะ พี่แค่บอกทางพีเฉยๆ เดี๋ยวพีไปเองก็ได้”
“ไม่เป็นไร พอดีพวกกูเป็นคนดีวะ ฮ่าๆๆ”
ทั้งสามคนหัวเราะลั่นก่อนจะจับมือของร่างป้อมไว้มั่นแล้วออกแรงลากไปตามทางที่รพีไม่รู้จัก ช่วงขาสั้นแทบจะเดินตามผู้ใหญ่ไม่ทันจนเหมือนกับรพีกำลังวิ่งอยู่ และเพราะเดินติดต่อกันมาแล้วเกือบชั่วโมงทำเอาความเหนื่อยล้าแล่นริ้วไปทั่วร่างกายจนไม่มีแรงที่จะขัดขืน
แสงอาทิตย์ที่เคยเป็นสีส้มบัดนี้เลือนหายไปแล้วหลงเหลือแต่เพียงความมืดมิดรอบกาย ขาของรพีปวดหนึบจนน้ำตาคลอ แรงบีบที่ข้อมือก็เหมือนคีมเหล็กจนผิวบางขึ้นรอยแดงเป็นทาง เด็กชายพยายามร้องขอให้ปล่อยตัวเขาแต่คนพวกนี้ก็ไม่สนใจสักนิด วิวรอบกายเปลี่ยนไป ร่างป้อมมองเห็นแค้มป์คนงานที่ทำขึ้นมาจากเศษไม้อัดต่อกันอย่างไม่เรียบร้อยนัก ที่ตรงนั้นมีทั้งผู้ใหญ่และเด็กใช้ชีวิตอยู่
รพีที่เริ่มรู้สึกกลัวพยายามร้องให้คนช่วยแต่ฝ่ามือหยาบกร้านก็เอื้อมมากดปิดริมฝากปากเล็กนั้นไว้อย่างแรงจนรับรู้ถึงรสเฝื่อนภายในปาก ชายคนที่เหลือโยนขวดเบียร์ที่พวกตนดื่มมาจนหมดตลอดทางทิ้งแล้วหันมาจับขาที่ไร้เรี่ยวแรงของรพียกขึ้นโดยที่เด็กชายไม่อาจขัดขืนอะไรได้เลย พวกมันช่วยกันพารพีมายังเพิ่งไม้ที่สุมกันไว้แค่พอมีที่บังแดดบังฝน ชายคนหนึ่งหยิบเศษผ้าสกปรกแถวๆพื้นมามัดมือ เท้าและปากของรพีไว้ก่อนจะโยนเด็กชายเข้าไปข้างใน
“อื้ออออ”
“หยุดดื้นซะ ไม่งั้นกูปาดคอมึงแน่!”
ชายตัวเล็กยื่นขวดเบียร์ที่ถูกทุบจนเป็นปากฉลามมาแถวลำคอขาวของรพีที่ชะงักกึกเมื่อเห็นความคมกริบของคมแก้ว ดวงตากลมแดงกล้ำ น้ำตาไหลเต็มใบหน้าที่เปื้อนฝุ่น ในจังหวะที่รพีหลุดสะอื้น คมแก้วก็สัมผัสเข้ากับผิวกายจนเด็กชายรู้สึกแสบที่ลำคอ โลหิตแดงไหลซึมออกมาตามรอยแผลพร้อมกับความรู้สึกเจ็บทำให้รพีแทบสติแตก ความรุนแรงที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิตทำให้เด็กชายคิดถึงแต่หน้าพ่อของตน...คิดถึงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“เอาล่ะ ทีนี้มาคุยกันดีๆ อย่ามองหน้าพวกกูแบบนั้นสิ กูแค่มีเรื่องอยากให้มึงช่วยนิดหน่อย”
ผู้ชายคนที่เอามือปิดปากรพีพูดขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มเย็นๆน่าขนลุก ไหล่เล็กสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับคนตรงหน้าจนคางเล็กถูกมือกร้านบีบแน่นก่อนจะดึงให้หันมาสบตากับผู้พูดอีกครั้ง
“พอดีช่วงนี้พวกกูกำลังเสี้ยนยา ถ้าไม่ได้แดกกูคงทรมานแย่”
ร่างใหญ่พูดไปเรื่อยๆพลางปลดปมผ้าปิดปากให้คลายออก แต่เพราะดวงตาเหี้ยมที่จ้องมาอย่างขมขู่ทำให้รพีไม่กล้าร้องตะโกนให้ใครช่วยเหลือ แม้แต่เสียงสะอื้นก็ยังไม่กล้าจะปล่อยออกมา ฝ่ามือหนาคว้ากระจุกผมตรงท้ายทอยของรพีก่อนจะกระชากอย่างรุนแรง จนรพีขบกัดริมฝีปากแน่นด้วยความกลัว
“มึง...ต้องติดต่อพ่อคนรวยของมึง...เอาเงินมาให้พวกกู เข้าใจไหม?”
“ฮึก ฮือ อึก..”
“กูถามว่าเข้าใจไหม!!!!!”
“ไม่เอาแล้ว ฮือ พีจะหาพ่อกาล ฮึก พีกลัว”
เพี้ยะ!!
ใบหน้าเล็กหันไปเพราะแรงตบก่อนจะถูกกระชากกลับมาอีกครั้ง รพีที่สติหลุดพยายามดิ้นหนีอย่างรุนแรง ร้องเรียกหาพ่อไม่หยุดจนถูกวัยรุ่นพวกนี้ตบตีไปไม่น้อย ความเจ็บปวดตามร่างกายทำให้ร่างป้อมโต้ตอบไปตามสัญชาติญาณ มือเล็กยกขึ้นทุบตีคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดอย่างเอาเป็นเอาตาย จนหนึ่งในนั้นบันดาลโทสะหยิบคว้าเอาขวดปากฉลามที่ถูกทิ้งไว้อยู่ไม่ไกลมาไว้ในมือแล้วตวาดลั่นด้วยความโกรธ
“ฤทธิ์เยอะนักนะไอ้เด็กเวร ตายซะเถอะมึง!!!”
.
.
.
รัตติกาลกำลังยืนหน้าเครียดอยู่ในโรงพักพร้อมกับจันทร์ที่เอาแต่ร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงรพีที่หายตัวไปแล้วนานร่วม 3 ชั่วโมง ทันทีที่กลับถึงบ้านหญิงแก่ก็ตรงเข้ามาร้องไห้ขอโทษขอโพยร่างโปร่งเป็นการใหญ่ที่ปล่อยให้รพีคลาดสายตาจนหายไปอย่างนี้ รัตติกาลไม่ได้พูดอะไรออกไปทำเพียงแค่กอดร่างอวบตรงหน้าไว้อย่างปลอบโยนก่อนจะพากันมายังโรงพักโดยให้นิ่มและคนอื่นๆรอฟังสถานการณ์อยู่ที่บ้าน
“ถ้าคุณพีเธอเป็นอะไรไป ป้าคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง”
“อย่าโทษตัวเองเลยครับป้าจันทร์ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นหรอก”
“เป็นเพราะป้าไม่ดีเอง คุณเธอถึงได้หายไปทั้งที่มีคนอยู่เต็มบ้าน”
“ถ้าเรื่องนี้จะมีใครผิดก็เป็นเจ้าตัวนั่นแหละครับที่ไปไหนไม่ยอมบอกผู้ใหญ่ หยุดร้องไห้เถอะครับป้าจันทร์เดี๋ยวจะเป็นลมล้มพับไปซะก่อน”
ร่างโปร่งยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ผู้ใหญ่ที่เคารพรักซึ่งมีสีหน้าอิดโรยจากความเครียดและเพลียหลังจากร้องไห้มาเป็นเวลานาน อีกไม่กี่ปีจันทร์ก็จะอายุย่างเข้าเลขเจ็ดแล้ว ต่อให้ตามปกติจะแข็งแรงแค่ไหนแต่ก็อาจเป็นอันตรายได้ง่ายๆ หลังจากกลับมาถึงรัตติกาลมีโอกาสได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดภายในบริเวณบ้าน ภาพของรพีที่เดินลัดผ่านสนามหญ้าออกประตูหน้าไปในจังหวะที่ไม่มีคนเป็นหลักฐานอย่างดีที่บอกได้ว่าไม่มีใครบุกเข้ามาเอาตัวเด็กหนุ่มออกไปจากบ้าน
“คุณกาลอย่าตำหนิคุณพีเลยนะคะ ปกติเธอเป็นเด็กดีไม่เคยทำให้ใครต้องเป็นห่วง ป้าเชื่อว่าเธอคงมีเหตุผลจริงๆที่ทำแบบนี้”
“ก็แค่อวดเก่งเท่านั้นแหละครับ”
จันทร์ถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยิน ร่างโปร่งเองถึงจะพูดแบบนั้นแต่คิ้วโก่งก็ยังขมวดกันเป็นปมแน่นไม่คลายลงเลยตั้งแต่กลับมาถึง นิลติดต่อมาเป็นระยะจนเวลาล่วงเข้าไปจนเกือบสี่ทุ่ม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รัตติกาลกดรับอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนรัก แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไรเสียงความวุ่นวายจากปลายสายก็ทำให้เขาเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ไอ้กาลมึงรีบมาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย!!”
“อะไร ทำไมต้องไปโรงพยาบาล เกิดไอ้ขึ้นไอ้นิล!?”
“เราเจอพีแล้ว พีโดนไอ้พวกติดยาแถวโครงการบ้านจัดสรรที่กำลังสร้างลากไปทำร้าย ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉินมึงรีบมาเดี๋ยวนี้เลย”
.
.
.
ตุบ!
“เป็นอะไรไปคะคุณกาล ทำไม มีอะไรเกิดขึ้นคะ!!!”
ทันทีที่ได้ยินมือของเขาก็เหมือนไร้เรี่ยวแรงจนโทรศัพท์ที่ถืออยู่ตกลงสู่เบื้องล่าง ร่างกายสูงโปร่งสั่นเทิมจนจันทร์รู้สึกใจไม่ดี หญิงแก่พยายามร้องเรียกให้รัตติกาลได้สติจนตำรวจที่กำลังทำหน้าที่อยู่วิ่งออกมาดู ใบหน้าหวานคมซีดขาวแทบไม่มีสี ภาพความโหดร้ายที่โรงพยาบาลในคืนที่รพีถือกำเนิดขึ้นฉายชัดขึ้นอีกครั้งทันทีที่รู้ว่าตอนนี้เด็กชายอยู่ที่ไหน
รัตติกาลเคยคิดว่าหนทางเดียวที่จะไม่ต้องสูญเสีย คือการไม่เคยครอบครองตั้งแต่แรก เขาถึงได้ทิ้งหัวใจของตัวเองไปตั้งแต่คืนนั้นที่เสียงร้องของทารกดังลอดออกมาจากห้องทำคลอดของโรงพยาบาล
ทั้งที่คิดว่าไม่มีแล้ว
แต่ทำไมถึง...
เจ็บขนาดนี้...
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
หายไปวันหนึ่ง T^T เมื่อวานเช่ทำงานถึงเกือบห้าทุ่ม ปั่นไม่ไหวเลยของดไปนะฮับ
แต่วันนี้ก็จัดให้แล้ว หนึ่งตอน ที่สั้นมาก 5555 กำลังพยายามดำเนินเรื่องให้เร็วขึ้น
เพราะผ่านมาสี่ตอน 'พี่ห้าว' ของเรายังไม่โผล่มาเลย (ห้าวอะไร ใครคือห้าว ชื่อคนหรืออะไร อิอิ)
จากตอนที่ผ่านมา เริ่มมีคนเม้นให้เช่เยอะขึ้น อยากบอกว่าเช่...ซึ้งใจค่ะ (ทำเสียงเหมือนโฆษณาชาวเกาะ)
อ่านทุกคอมเม้นต์แล้วนะคนับ อยากตอบทุกเม้นแต่ก็เกรงว่าจะเป็นการปั่นบอร์ด เลยไม่ทำ
แค่อยากบอกว่า หนึ่งเม้นของคุณต่อกำลังใจให้นิยายเรื่องนี้จริงๆ เพราะมีฟิลแอบท้ออยู่บ้าง
แต่ตอนนี้กำลังใจเริ่มกลับมาเต็มเปี่ยมแล้ว คำติชมที่ทุกคนให้มา เช่จะพยายามนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น
เพื่อให้ทุกคนไม่ผิดหวังที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ของนักเขียนโนเนมอย่างเช่นะคนับ! ^^
-
พ่อจริงๆของรพียังไม่ตายหรือเปล่านะ เดาๆ ชอบอะ ชอบบบบบบบบบบบบบบบ ยังไม่รู้ใครจะคู่กับกาลลลลลลล
-
5th Night
…A Bad Start...
“ไอ้กาล ทางนี้”
นิลเรียกร่างโปร่งที่เดินนำคู่มากับนายตำรวจคนหนึ่งและจันทร์ที่ได้พยาบาลคอยพยุงเดินตามมาข้างหลัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงรัตติกาลเดินตรงไปยังประตูห้องฉุกเฉินแต่ยังไม่ทันที่จะเปิดประตูเข้าไปขายาวก็หยุดชะงักอย่างลังเล นิลเดินมาตบบ่าเพื่อนรักอย่างให้กำลังใจก่อนจะพูดปลอบออกมาด้วยเสียงอ่อนแต่กลับมั่นคง
“พีจะต้องไม่เป็นอะไร”
“หมอ…บอกว่ายังไงบ้าง”
“ยังไม่มีใครออกมา มีคนโทรไปแจ้งสายตรวจว่าได้ยินเสียงเด็กร้องขอให้ช่วย กูอยู่แถวนั้นพอดีเลยเข้าไปด้วยกันเพราะคิดว่าน่าจะเป็นพี แล้วมันก็ใช่...”
“...”
“กูไม่แน่ใจว่าพีโดนทำร้ายอะไรบ้าง ตอนไปเจอพีก็สลบไปแล้ว บาดแผลตามตัวที่กูเห็นไม่น่าห่วง แต่ยังไงก็ต้องให้หมอตรวจโดยละเอียดก่อน”
พรึบ!!
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดขึ้น เตียงผู้ป่วยถูกเข็นออกมาพร้อมกับร่างบอบช้ำของรพีที่ยังคงสลบอยู่ แขนเล็กๆถูกเข็มน้ำเกลือเจาะเสียบเข้าไป รอยฟกช้ำที่ใบหน้าและลำตัวทำให้จันทร์ร้องไห้โฮออกมาก่อนจะเดินไปลูบใบหน้าเล็กอย่างแผ่วเบา
รัตติกาลได้แต่ยืนอึ้ง ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบแต่ข้างในอกกลับเดือดพล่านเหมือนมีใครเอาไฟมาสุมไว้
“คนที่มันจับตัวรพีไปอยู่ที่ไหน...”
“ไอ้กาล ใจเย็นๆ”
“กูถามว่าพวกมันอยู่ที่ไหน!!!”
ร่างโปร่งตวาดเสียงดังลั่นแม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ในโรงพยาบาล นิลมองเพื่อนรักที่แสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดอย่างไม่เข้าใจ รัตติกาลที่บอกเสมอว่าตนเองเกลียดแค้นรพีจนไม่อาจยินยอมให้อีกฝ่ายมีความสุขได้ ชายคนที่ไม่เคยเหลียวแลลูกนอกไส้อย่างรพีมาตลอดหกปีกลับแสดงท่าทางราวกับราชสีห์กางเคี้ยวเล็บเตรียมขย้ำศัตรูที่บังอาจมาทำร้ายลูกของตน
เสียงคนจำนวนหนึ่งเดินเท้าเข้ามาตามทางเดินเรียกสายตาของทุกคนให้หันไป ตำรวจสายตรวจและตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ร่างกายสกปรกเต็มไปด้วยฝุ่น เลือดสีแดงข้นไหลอาบแขนขวาไล่เรื่อยมาตั้งแต่หัวไหล่ หนวดเครารกรุงรังปิดบังใบหน้าที่แท้จริงไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ ถึงจะไม่นับเรื่องรูปกายภายนอกแต่บาดแผลจากการต่อสู้พวกนี้ก็ยืนยันให้รัตติกาลรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือไอ้ระยำที่ทำร้ายรพีเป็นแน่
“ไอ้ระยำเอ้ย!!”
ร่างโปร่งประเคนฝาเท้าเต็มหน้าท้องของอีกฝ่ายจนร่างสูงใหญ่ล้มลงเพราะไม่ทันตั้งตัว วงแขนที่ถึงแม้จะเรียวยาวแต่ก็มีมัดกล้ามอยู่ประเคนหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายไม่ยั้งจนตำรวจที่เดินเข้ามาด้วยกันต้องมาช่วยห้าม แต่ในขณะที่รัตติกาลกำลังโดนตำรวจคนหนึ่งล็อคแขนไว้ หมัดหนักของคนที่ล้มลงก็กระแทกเข้ากับโหนกแก้มของเขาอย่างแรงจนรสเลือดเค็มปร่าคละคลุ้มทั่วทั้งปาก
“แม่งเอ้ย! เป็นบ้าอะไรวะ!!!”
เสียงห้าวแหบสบถดัง ดวงตาคมกริบจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่องพร้อมกับร่างของอีกฝ่ายที่กระโจนเข้าใส่ทันที ความวุ่นวายเกิดขึ้นจนเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลต้องออกมาช่วยห้าม ร่างโปร่งที่โดนความโกรธครอบงำไร้สติไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง จนร่างของนิลมายืนขวางรัตติกาลเอาไว้ก่อนที่เขาจะขว้างหมัดออกไป
“ไอ้กาลหยุด!!!”
“แม่ง... หลบไปไอ้นิล!!!”
“ฟังบ้างได้ไหมวะ ที่มึงกระทืบอยู่น่ะไม่ใช่คนร้าย เขาเป็นคนที่ไปช่วยพี!!!”
.
.
.
ร่างโปร่งเบิกตากว้าง คลายหมัดที่กำแน่นออกแล้วหันไปมองหน้าคนที่เขาพุ่งเข้าใส่ด้วยความเข้าใจผิดซึ่งกำลังมองหน้าเขาอย่างโกรธจัด มือเรียวที่ถูกใช้งานจนข้อแตกยกขึ้นบีบคลึงบริเวณขมับแล้วบีบมันไว้อย่างนั้น รัตติกาลไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะทำตัวเหมือนคนบ้าไม่มีเหตุผลแค่เพราะเห็นคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนร้าย ร่างโปร่งถอนหายใจแรงๆก่อนจะหันไปเผชิญหน้าของคู่กรณีที่ยังไม่คลายสีหน้าโกรธเคืองลงเลยแม้แต่น้อย
“ผมขอโทษ”
“ขอโทษเฉยๆแล้วมันหายหรอวะ! อยู่ดีๆก็พุ่งกัดคนอื่นอย่างกับหมาบ้า คิดว่าแค่ขอโทษกูจะยอมรึไง!!!”
“ผมขอเถอะครับคุณอารัณย์ ที่เพื่อนผมเป็นแบบนี้ก็เพราะลูกชาย ช่วยเข้าใจหน่อยเถอะ”
นิลหันไปพูดกับอีกฝ่ายแม้คำพูดจะเป็นคำขอร้องแต่แววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความกดดันจน ‘อารัณย์’ ยอมหยุด นิลถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปขอโทษเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่เกิดทำเสียงดังรบกวนคนอื่นแต่ยังดีที่ห้องฉุกเฉินนี้จัดอยู่โซนด้านในจึงไม่ได้รบกวนใครมากนัก
“คุณรัตติกาล พ่อของเด็กชายรพีที่ถูกทำร้ายใช่ไหมครับ ผมร้อยตำรวจโท ‘ฤทธิชาติ’ เป็นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคดีนี้”
ตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งเดินเข้ามาหารัตติกาลที่นั่งกุมขมับเครียดอยู่คนเดียว ในขณะที่จันทร์ตามเข้าไปหารพีที่ห้องพักฟื้น เมื่อสักครู่หมอได้เดินเข้ามารายงานรายการของเด็กชายให้เขาทราบ รพีมีแผลฟกช้ำจากการทำร้ายร่างกายอยู่จำนวนหนึ่งแต่ไม่ได้รุนแรงมาก แต่ก็ยังแผลที่เกิดจากการโดนของมีคมบาดบริเวณลำคอทำให้รพีต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนเพื่อความแน่ใจว่าจะไม่เกิดอาการแทรกซ้อนใดๆ
“ครับ ผมเอง ขอโทษด้วยนะครับที่สร้างความวุ่นวายให้”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณรับปากว่าจะไม่ทำมันอีก”
ตำรวจหนุ่มยิ้มให้ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆก่อนจะอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้รัตติกาลฟังด้วยท่าทีสบายๆเพื่อให้ร่างโปร่งคลายความเครียดลง
“มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวแค้มป์คนงานก่อนสร้างโทรมาแจ้งกับทางเราว่าได้ยินเสียงเด็กร้องโวยวายมาจากเพิงไม้ไม่ไกลจากแค้มป์ที่พวกเด็กวัยรุ่นชอบมามั่วสุมเสพยากันอยู่บ่อยๆ ซึ่งนับว่าโชคดีที่คนงานเห็นวัยรุ่นสามคนกำลังเดินจูงเด็กผู้ชายอายุประมาน6-7ขวบไปทางนั้น แต่เพราะการแต่งตัวที่ดีมากผิดกับอีกสามคนทำให้พวกเขาสงสัยเลยเดินมาบอกกับคนที่โทรแจ้งเราให้ไปตรวจสอบดู”
“ถ้าพวกเขาสงสัยทำไมถึงไม่เข้าไปช่วยทั้งที่ช่วยได้”
ร่างโปร่งกัดฟันพูดออกมาอย่างเจ็บใจกับความเมินเฉยของคนสมัยนี้
“ไม่แปลกหรอกครับที่พวกเขาจะไม่กล้าเข้าไปยุ่ง ในแค้มป์คนงานเองก็มีอะไรหลายอย่างที่อยากเก็บไว้ให้ไกลหูไกลตาตำรวจอย่างพวกผม”
“หึ พูดแบบนี้เดี๋ยวผมก็คิดหรอกครับว่าคุณตั้งใจละเลยในหน้าที่”
“เรื่องบางเรื่องเราก็จำเป็นต้องทำเป็นมองไม่เห็นเพื่อคนที่อ่อนแอไร้ทางสู้และกฎหมายคุ้มกะลาหัว...อย่างน้อยก็ตราบที่พวกเขาไม่สร้างความวุ่นวายอะไร”
รัตติกาลหันไปมองหน้าฤทธิชาติที่กำลังมองเขาอยู่ก่อนด้วยรอยยิ้มเท่ๆ พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นทาบกับริมฝีปากเหมือนกับขอให้ร่างโปร่งเก็บเรื่องที่ตนพูดไว้เป็นความลับ เขาส่ายหัวเล็กน้อยอย่างอ่อนใจแล้วมองตาอีกฝ่ายตรงๆเพื่อให้พูดต่อ
“ในตอนที่เราไปถึงที่เกิดเหตุนั้นกำลังเกิดการต่อสู้อยู่ระหว่างคุณอารัณย์กับเด็กวัยรุ่นพวกนั้น ผมพาตำรวจเข้าไปควบคุมสถานการณ์ก่อนจะโทรเรียกรถพยาบาลให้มารับเด็กชายรพีไป แต่คุณเชื่อไหม อันที่จริงตอนแรกผมก็คิดว่าคุณอารัณย์เป็นคนร้ายเหมือนกับคุณนั่นแหละครับ เกือบจะจับเขาใส่กุญแจมือแล้วเชียว ก็นะ ดูเถื่อนอย่างกับโจรป่าขนาดนั้น ฮ่าๆ”
“เหมือนกับคุณที่พูดจาเหมือนกับไม่ใช่ตำรวจสักนิดใช่ไหม”
“ก็มีคนบอกแบบนั้นอยู่บ่อยๆ^^”
“เฮ้อ.... ว่าแต่หลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”
.
.
.
.
.
.
“ฤทธิ์เยอะนักนะไอ้เด็กเวร ตายซะเถอะมึง!!!”
มือขวาที่ยกขึ้นเตรียมจ้วงแทงไปยังร่างของเด็กชายที่เบิกตาโพลงกรีดร้องอย่างหวาดกลัว แต่ยังไม่ทันทีคมแก้วจะได้เข้าใกล้ คนร้ายก็โดนถีบเต็มแผ่นหลังจนร่างกายผ่ายผอมจากการติดยาล้มกลิ้งไปบนพื้นไม้ที่ปูหยาบๆด้วยเศษเสื่อน้ำมัน โดยที่ยังไม่ทันทีจะตั้งตัว อารัณย์พุ่งเข้าไปปล่อยหมัดแกร่งเต็มใบหน้าของอีกสองคนที่เหลือจนล้มกลิ้งไปตามๆกัน
ชายหนุ่มเจ้าของร่างกายสูงใหญ่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือขณะที่กำลังเดินผ่านเพื่อเดินทางกลับบ้าน อารัณย์รีบวิ่งเข้ามาก่อนจะเข้าไปถีบอีกฝ่ายเต็มแรงทันทีเมื่อเห็นขวดปากฉลามถูกยื่นเข้าไปใกล้ร่างของเด็กน้อยที่ส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัว
“ไอ้หนู!เป็นอะไรมากไหม”
อารัณย์ตบใบหน้าเล็กเบาๆเพื่อเรียกสติของรพีที่สลบนิ่งไปจากอาการช็อค ร่างใหญ่รีบอุ้มเด็กชายขึ้นเพื่อจะพาออกไปจากที่นี่ แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นประตูร่างของรพีก็ร่วงลงสู่พื้นห้องอีกครั้งเมื่อคนร้ายที่ตัวเล็กที่สุดลุกขึ้นมาถีบสีข้างของอารัณย์อย่างแรงจนทำให้ร่างไร้สติของรพีร่วงตกไป
“ไอ้สัตว์ อย่ามาแส่ไม่เข้าเรื่อง!!”
ขวดปากฉลามที่กลิ้งตกอยู่ไม่ไกลนักถูกหยิบขึ้นแล้วแทงไปยังร่างที่อารัณย์ที่ยังทรุดตัวอยู่ที่พื้น ในเสี้ยววินาทีร่างสูงก็เบี่ยงตัวไปข้างๆเพื่อหลบอันตรายที่พุ่งเข้ามาหา แต่ก็ยังไม่เร็วพอที่จะหลบได้โดยไร้รอยแผล อารัณย์ลุกขึ้นพร้อมกับกุมไหล่แกร่งข้างขวาถูกแก้วคมกริบเฉือนจนเลือดอาบ
ไม่มีแม้แต่เวลาจะร้องเจ็บ ร่างสูงพุ่งเข้าไปหมุนบิดข้อมือของอีกฝ่ายจนร้องอวดครวญด้วยความทรมาน ความเจ็บปวดที่ข้อมือทำต้องยอมปล่อยขวดแก้วตกลงสู่พื้น เขาเตะมันทิ้งไปไกลๆก่อนจะหันมาต่อยหนุ่มขี้ยาไม่ยั้ง ผู้ชายอีกคนที่เพิ่งลุกได้พยายามเข้ามาช่วยเพื่อนของตนแต่ก็โดนอารัณย์โยนร่างสะบักสะบอมที่กำลังโดนเขาปล่อยหมัดใส่ไปทางเดียวแล้วใช้จังหวะที่ทั้งสองคนเซตัวล้มลงกระทืบเข้าเต็มหน้าท้องจนเลือดข้นไหลทะลักออกปาก
อารัณย์ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ เขามองหาอาวุธที่อยู่ใกล้ๆเพราะไม่รู้ว่าที่วิ่งมาคือพรรคพวกที่เหลือของคนพวกนี้หรือใคร แต่นับว่ายังโชคดี ภาพที่ปรากฏทันทีที่เสียงฝีเท้าเหล่านั้นหยุดลงเป็นภาพของตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบวิ่งเข้ามาพร้อมกับยกปืนชี้ขึ้นมาทางตนที่ถืออาวุธอยู่คนเดียวในขณะที่คนร้ายขี้ยาสามคนนอนสะบักสะบอมอยู่บนพื้น
“วางอาวุธและยกมือขึ้นเหนือหัวซะ!”
“ผมเป็นคนที่ผ่านเข้ามาช่วย คนที่ทำร้ายเด็กคือสามคนนั้น เด็กที่โดนจับมาได้รับบาดเจ็บ โทรตามรถโรงพยาบาลด้วย!”
“พี!!!”
นิลที่วิ่งตามตำรวจมาตะโกนลั่นเมื่อเห็นรพีนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น ร่างกายแดงช้ำจากการถูกทำร้าย ร่างสูงหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนกดปิดแผลที่ลำคอของเด็กชายเพื่อห้ามเลือดก่อนจะตะโกนให้คนโทรตามรถพยาบาล
ตำรวจเข้าควบคุมตัววัยรุ่นทั้งสามคนที่นอนอยู่บนพื้นทันทีพร้อมตรวจพบยาเสพติดจำนวนหนึ่งที่ซุกซ่อนไว้ และแม้แต่อารัณย์เองก็ถูกตำรวจกักตัวเพราะไม่มีพยานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จริงอย่างที่อ้าง
“คุณตำรวจไม่เห็นสภาพพวกมันหรอ ถ้าพวกเดียวกันผมจะกระทืบมันทำไม”
“แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน ผมคงต้องกักตัวคุณไว้ก่อนจนกว่าเด็กจะฟื้นขึ้นมา ตอนนี้เขาคงเป็นคนเดียวที่เป็นพยานให้คุณได้”
“เหอะ! เวรจริงๆ”
ฤทธิชาติยิ้มให้อีกฝ่ายแต่อารัณย์กลับคิดว่ารอยยิ้มหลอกๆแบบนี้มันน่าขนลุกสิ้นดี ริมฝีปากแดงคล้ำสบถออกมาอย่างไม่พอใจ ก็รู้หรอกว่าบุคลิกของเขานั้นน่าสงสัย แต่พอนึกว่าถ้าตนเองไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเขาคงกำลังนอนจิบเบียร์ดูทีวีอยู่บนที่นอนนุ่มๆของตนไปแล้ว
เสียงไซเรนรถพยาบาลดังขึ้นพร้อมกับแสงไปสีแดงวูบวาบที่สาดส่องมาทั่วพื้นที่โล่ง บุรุษพยาบาลสองคนพร้อมอุปกรณ์ลงมือปฐมพยาบาลให้เด็กชายที่ชื่อรพีซึ่งยังคงไม่ได้สติอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มคนที่ดูเหมือนจะเป็นญาติของเด็กยืนดูอยู่ไม่ห่างจนร่างของเด็กถูกห่ามขึ้นรถพยาบาลไป นิลยืนคุยโทรศัพท์อยู่สักพักก่อนจะเดินออกมา ช่วงขายาวของผู้ชายที่ตัวสูงน้อยกว่าอารัณย์หน่อยหยุดลงตรงหน้าพร้อมกับดวงตาคมกริบที่มองมาอย่างไม่ไว้ใจสักนิดซึ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
“คุณมีแผล ไปโรงพยาบาลพร้อมกันเลยแล้วกัน”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“...ขึ้นรถซะ”
มันไม่ฟังกันเลยนี่หว่า! แม้คำพูดและท่าทางจะดูสุภาพแต่แววตาชอบออกคำสั่งแบบนั้นทำเอาอารัณย์กัดฟันกรอด นายตำรวจหนุ่มที่ยืนดูอยู่ข้างๆหัวเราะออกมาโดยไม่กลั้นขำรักษามารยาทเลยสักนิดกลับซ้ำยังดันหลังของเขาให้ขึ้นไปบนรถพยาบาลพร้อมกันอีกต่างหาก
.
.
.
ทั้งที่เคยคิดไว้ว่าบนรถแบบนี้น่าจะแคบและเต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์มันกลับมีที่ว่างเหลือพอให้ผู้ชายตัวใหญ่ๆสามคนนั่งเบียดกันได้โดยที่อีกฝั่งเป็นบุรุษพยาบาลซึ่งสวมใส่เครื่องแบบของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่กำลังตรวจเช็คความดันของเด็กชายตัวเล็กที่บอบช้ำไปทั้งร่าง พอมาเห็นชัดๆร่างสูงยิ่งสงสัยว่าทำไมเด็กผู้ชายท่าทางสะอาดสะอ้านอย่างผู้ดีถึงได้พลาดท่าโดนพวกขี้ยาจับมาได้ ยิ่งบริเวณนั้นเป็นพื้นที่กำลังก่อสร้างเป็นไปไม่ได้เลยที่พ่อแม่เด็กจะยอมให้ลูกหลานมาเดินเล่นแม้ว่ารอบๆโครงการจะมีหมู่บ้านจัดสรรอื่นล้อมรอบอยู่ก็ตาม ถ้าเกิดวันนี้เขาไม่นึกขี้เกียจเดินอ้อมแล้วเลือกเดินลัดเข้ามาผ่านบริเวณนั้น ก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหนึ่งชีวิตเล็กๆตรงหน้าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
“ผมยังไม่ปักใจเชื่อว่าคุณเป็นผู้บริสุทธิ์”
นิลเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบบนรถที่กำลังมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว อารัณย์เสหน้าหันไปสบตากับอีกฝ่ายที่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาเรียบเฉยราวกับไม่มีความรู้สึกอะไรแต่กลับรู้สึกกดดันอย่างประหลาด
“ไม่ต้องบอกก็รู้ ไม่งั้นคุณคงไม่บังคับให้ผมขึ้นรถมาด้วย”
“ใช่”
“...”
“และผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อว่าคุณเป็นคนร้ายเหมือนกัน”
คำพูดต่อมาเรียกความสนใจของร่างสูงได้อีกครั้ง แต่คราวนี้คนพูดกลับไม่ได้หันมามองที่เขา สายตาที่ทอด้วยความเป็นห่วงเป็นใยถูกส่งผ่านไปยังเด็กชายที่ดูอิดโรย มือขาวเล็กถูกยกขึ้นมาบีบเบาๆโดยคนข้างๆที่มีทีท่าอ่อนโยนต่างออกไป
“ขอบคุณ”
“อย่าเพิ่งพูดเลยถ้าคุณยังไม่รู้สึกอยากจะพูด รอให้ทุกอย่างถูกพิสูจน์ก่อนค่อยบอกก็ยังไม่สาย”
“ไม่หรอก พูดตอนนี้แหละดีแล้ว”
“....”
“ถ้าคุณเข้าไปช้ากว่านี้อีกนิดเดียว รพีอาจจะเจ็บตัวยิ่งกว่านี้”
“คุณคงเป็นห่วงลูกชายมาก”
“เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกผมหรอก พ่อของเขากำลังเดินทางมาที่โรงพยาบาล”
ร่างสูงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจและไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน จึงถามออกไปอย่างไม่ลังเล
“แล้วพ่อของเด็กนี่ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้”
“อะแฮ่ม!ผมก็ไม่อยากจะขัดหรอกแต่การซัดทอดผู้ต้องสงสัยขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สืบสวนนะครับคุณนิล”
“หูหนวกรึไงคุณ ผู้ต้องหาของคุณต่างหากที่กำลังสอบสวนผมอยู่!”
นายตำรวจหนุ่มที่นั่งอยู่ปิดท้ายกระแอมขึ้นก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงแบบไม่ได้ดูบรรยากาศ ทำเอานิลที่นั่งอยู่ด้านในพูดท้วงออกมาก่อนจะเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ อารัณย์มองทั้งคู่สลับกันไปมาแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรขึ้นมาอีก
บรรยากาศในรถเป็นไปด้วยความเงียบอีกครั้ง
สิ่งที่ยังเคลื่อนไหวมีเพียงเสียงและแสงวูบวาบของไซเรน
และความสงสัยในคำถามที่ไม่มีคำตอบ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ใครโผล่มาแล้ว 555555 พี่รัณย์ของเราห้าวเป้งไปเลยใช่ไหมล่ะ ควรจั่วหัวนิยายว่าSMด้วยไหม -_-
แต่ที่ห้าวกว่าคงไม่พ้นคุณพ่อท่านนั่นแหละคนับ! บอกไว้เลยว่าพ่อกาลของเช่ไม่ใช่นายเอก(?)ประเภทบอบบางแน่ๆ
มันก็เป็นของมันอย่างเงี้ย! แถมต่อไปเราจะเห็นว่าอารมณ์ของพ่อกาลช่างไม่คงที่เอาซะเลย
ซึ่งมันจะส่งผลกับเรื่องยังไง อันนี้ต้องติดตามกันต่อไปนะคนับ!
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต เช่ได้อ่านทั้งหมดเลยนะ ดีใจจริงๆแหละ :)
-
เรื่องนี้ต้องดันๆๆๆ
-
คืนนี้ไม่มาหรอ
-
คืนนี้ไม่มาหรอ
มะ มีคนรอด้วย!!! :hao5: :hao5: :hao5:
เมื่อวานเน็ตมหาลัยเช่เสีย เจอกันคืนนี้นะคนับ! :o8:
-
6th Night
…Hate...
เครื่องปรับอากาศในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างดีเยี่ยมแต่กลับสู้แรงกดดันจากคนภายในห้องนี้ไม่ได้เลยสักนิดในความรู้สึกของนิ่ม เด็กสาวเดินทางมาที่โรงพยาบาลเพื่อนำเสื้อผ้าและของใช้สำหรับรัตติกาลและนิลมาให้ พร้อมกับมาดูแลคุณๆทั้งหลายแทนจันทร์ที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนให้กลับไปพักผ่อนที่บ้านแทน
แก้วกาแฟหอมกรุ่นสองใบพร้อมกับแซนด์วิชง่ายๆถูกเสิร์ฟให้รัตติกาลและนิลที่เข้าไปทำธุระส่วนตัวพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อย ร่างสูงของนิลลงมือทานอาหารที่นิ่มเตรียมไว้ให้โดยไม่พูดอะไรผิดกับรัตติกาลที่ไม่แตะต้องจนเครื่องดื่มสีดำเข้มเย็นชืด ร่างโปร่งเอาแต่มองไปยังร่างป้อมบนเตียงด้วยสายตาเรียบนิ่งผิดกับทุกครั้ง นิลไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเพื่อนรักได้เลยว่าความสงบในตอนนี้จะนำพามาซึ่งอะไร
เมื่อคืนหลังจากให้ปากคำกับตำรวจเสร็จ รัตติกาลก็เดินทางเข้ามาในห้องแห่งนี้ ร่างโปร่งเอาแต่มองร่างของเด็กชายแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมา แม้แต่จันทร์ที่อยากจะเข้าไปพูดคุยด้วยความเป็นห่วงก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ ส่วนของอารัณย์ที่ยังคงอยู่ในฐานะผู้ต้องสงสัยยังคงอยู่ในการควบคุมของฤทธิชาติ ซึ่งทั้งคู่ได้เดินทางมาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่แปดโมงเพื่อเฝ้าดูอาการของรพีที่ยังคงไม่ได้สติ
“คุณกาลได้พักผ่อนรึยังครับ”
นายตำรวจหนุ่มใจกล้าเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาด้วยสีหน้าระรื่นไม่ดูบรรยากาศอีกทั้งยังเรียกชื่อเช่นของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ ร่างโปร่งที่ถูกถามเงยหน้าขึ้นมองตาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเช่นเดิมแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ฤทธิชาติมองการกระทำดังกล่าวอย่างไม่นึกโกรธเคืองกลับซ้ำยังยิ้มตอบไปให้
“พักผ่อนสักหน่อยเถอะครับ สีหน้าคุณแย่มาก”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าน้องพีตื่นมาเห็นคงเสียใจที่ตัวเองทำให้คุณพ่อต้องเป็นห่วงขนาดนี้
“หึ ไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก ผมแค่หงุดหงิดจนนอนไม่หลับ”
“เฮอะ!”
ร่างโปร่งปฏิเสธออกมา ทำเอาทุกคนในห้องนึกหมั่นไส้ในความปากแข็งนั้นแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร ผิดกับอารัณย์ที่สบถออกมาเสียงดังเรียกสายตาไม่พอใจจากรัตติกาลได้เป็นอย่างดี ท่าทางไม่เป็นมิตรของร่างสูงทำเอารัตติกาลที่เงียบมาตลอดอดรนทนไม่ไหวจึงถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คุณมีปัญหาอะไรกับผมรึเปล่า”
“ปัญหาน่ะไม่มีหรอก แต่ถ้าหมั่นไส้ล่ะก็หลายเรื่อง”
“ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืนล่ะก็ผมขอโทษด้วย จะให้ชดใช้ยังไงก็บอก”
“หึ พวกคนรวยนี่มันชอบคิดว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยเงินสินะ”
อารัณย์พูดเย้อหยันกลับไป ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของพ่อที่เป็นห่วงลูกชาย ไม่แม้แต่จะเก็บมาคิดแค้นเคืองเรื่องที่คนตรงหน้าต่อยเขาเพราะเข้าใจผิด แต่ท่าทางหยิ่งผยอง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้ต่างหากที่ทำให้เขาไม่ชอบใจ
“เผื่อคุณจะไม่เข้าใจ คำว่าชดใช้ที่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุหรือเงินทอง แต่ถ้าคุณคิดได้แค่นี้มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
ร่างสูงกัดฟันกรอดเมื่อโดนรัตติกาลตอกกลับอยากเจ็บแสบ พูดราวกับว่าเขาเป็นพวกใจแคบที่คิดแต่เรื่องเงินทอง ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงกันด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่นัยน์ตากลับฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครยอมใครทำเอานิลเหลือบมองด้วยความแปลกใจที่ผู้ชายหนวดเครารุงรังคนนี้ทำเพื่อนของเขาพูดออกมาเป็นประโยคยาวๆได้เป็นครั้งแรกหลังจากที่เงียบปากมาตลอด ในขณะที่นายตำรวจหนุ่มกลับนั่งมองการทั้งสองคนเถียงกันด้วยสีหน้าสนุกสนานราวกับมันเป็นรายการทีวีที่เพลิดเพลินจนหยุดดูไม่ได้
“หึ แทนที่จะมานั่งปากดี ผมว่าคุณเอาเวลาไปนั่งทบทวนตัวเองดีกว่ามั้ง ว่าเลี้ยงลูกภาษาอะไร ลูกคุณถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
“คุณอารัณย์!”
นิลพูดชื่ออีกฝ่ายเสียงดังอย่างไม่พอใจ แม้แต่นายตำรวจหนุ่มที่เมื่อครู่เอาแต่ยิ้มแย้มก็หุบยิ้มลงก่อนจะหันไปมองหน้ารัตติกาลที่นั่งนิ่ง ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคยแต่มือเรียวกลับกุมประสานกันอยู่บนตักบีบแน่นจนรู้สึกเจ็บ
ร่างโปร่งไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรขึ้นมา ไม่อยากแม้แต่จะมองใบหน้าดุเข้มนั้นอีก รัตติกาลเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียงเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีวันเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและเขาก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้เข้าใจด้วย
ในสายตาคนนอกรัตติกาลคงเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง ตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาก็ได้รับคำตำหนิติเตียนจากคนรอบข้างที่ไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นว่าทำตัวเย็นชากับรพีมากเกินไป แม้รพีจะเป็นเด็กที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของเขาก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยเก็บคำพูดพวกนั้นมาใส่ใจเพราะเชื่อว่ายังคงมีคนที่เข้าใจความเจ็บปวดของเขาอย่างจันทร์และนิลอยู่ แต่ตอนนี้รัตติกาลกลับรู้สึกไม่มั่นใจในความคิดนั้นอีกแล้ว เมื่อเพื่อนที่ไม่เคยตำหนิเขาเรื่องนี้ก็กลับมาเรียกร้องให้เขาหันมาสนใจลูกนอกไส้อย่างรพี ทั้งที่นิลเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่ารัตติกาลต้องเจอกับอะไรมาก่อน
มันไม่ใช่ความน้อยใจหรืออะไรแบบนั้นหรอก
ก็แค่รัตติกาลอดคิดไม่ได้ว่าบนโลกนี้คงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกขมขื่นของเขาเหลืออยู่อีกแล้ว
“คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก...”
เสียงแผ่วเบาของรัตติกาลถูกเอ่ยออกมาโดยมีเพียงนิลที่ได้ยิน ร่างสูงมองเพื่อนรักอย่างอ่อนใจ ท่าทางเฉยเมยไม่ยี่หระต่อสิ่งรอบข้างเป็นเหมือนกำแพงหนาที่รายล้อมอยู่รอบตัวของรัตติกาลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทีท่าหยิ่งผยองไม่แสดงความอ่อนแอออกมา ทำให้ภายนอกรัตติกาลก็เหมือนกับก้อนหินแกร่งที่ไร้หัวใจ แต่ภายในที่ไม่มีใครรู้นั้นกลับบอบบางจนน่าใจหาย ก้อนหินก้อนใหญ่ที่จริงแล้วเป็นเพียงซากไม้พุพังที่ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็แตกหักได้ง่ายจนแหลกคามือ
.
.
.
.
ภายในร้านค้าสวัสดิการของโรงพยาบาล ร่างสูงของนิลกำลังยืนเลือกซื้อของกินเล่นเล็กๆน้อยๆขึ้นไปฝากรัตติกาลที่ยังคงไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้าขณะที่นิ่มกำลังเดินทางกลับไปที่บ้านเพื่อพาจันทร์มาที่นี่ นิลเลือกหยิบของกินที่เพื่อนของตนชอบอย่างรู้ใจแถมด้วยนมอีกนิดหน่อยเผื่อไว้ให้รพี นึกถึงตรงนี้นิลก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ผ่านไปกว่าครึ่งค้อนวันรพีก็ยังไม่มีทีท่าจะฟื้นขึ้นมาแต่อย่างใด แพทย์ให้ความเห็นว่าเป็นเพราะความอ่อนเพลียและกระทบกระเทือนทางความรู้สึกจึงทำให้เด็กชายยังคงหลับลึกอยู่อย่างนั้น แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่บาดแผลตามร่างกายไม่มีอาการติดเชื้ออย่างที่กังวล
“ทำหน้าบึ้งแบบนี้ เดี๋ยวพวกพยาบาลสาวๆที่แอบมองคุณก็หนีไปหมดหรอก”
นิลสะดุ้งน้อยๆเมื่อเสียงทุ้มติดสำเนียงทะเล้นของนายตำรวจหนุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง ท่าทางตกใจของร่างสูงเรียกเสียงหัวเราะจากฤทธิชาติได้เป็นอย่างดี ทั้งที่เขาเดินตามอีกฝ่ายออกมาจากห้องแต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลยสักนิด ร่างกายสูงใหญ่ภายใต้ชุดเครื่องแบบตำรวจครึ่งท่อนจึงได้ยืนสำรวจท่าทางกริยาของนักเขียนหนุ่มอยู่สักพักก่อนจะเดินมาทักเมื่อเห็นว่าจู่ๆนิลก็มีสีหน้าเครียดขรึมขึ้นมา นิลเองเมื่อหันมาเจอกับนายตำรวจที่ทิ้งหน้าที่ลงมาซื้อของคนเดียวก็อดที่จะพูดจาค่อนแคะใส่ไม่ได้
“ทิ้งผู้ต้องหาไว้คนเดียวแล้วลงมาเดินเล่นแถวนี้ ถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่รึเปล่าคุณตำรวจ”
“ถ้าว่าตามวินัยก็ถือว่าใช่”
“แล้วยังมีหน้ามายืนอยู่ตรงนี้อีกหรอครับ?”
“ฮ่าๆๆ อย่าเครียดไปสิคุณ ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้านายอารัณย์เป็นคนร้ายจริง คุณกาลก็คงไม่ปล่อยให้เขาหนีไปง่ายๆ”
“นั่นยิ่งน่าเป็นห่วงกว่าเดิมอีกไม่ใช่รึไง”
ถึงรัตติกาลจะเคยทำผิดด้วยการไปต่อยอีกฝ่ายทั้งที่เป็นคนที่ช่วยรพีไว้ แต่นิลก็คิดว่าอารัณย์นั้นตั้งแง่หาเรื่องกับเพื่อนของเขามากเกินไป ตลอดทั้งวันสองคนนั้นทำตัวเหมือนพร้อมจะพุ่งเข้าใส่กันได้ตลอดเวลาที่มีโอกาส โดยทุกครั้งจะเป็นอารัณย์ที่เป็นฝ่ายพูดจาหาเรื่องรัตติกาลไม่ว่าร่างโปร่งจะทำอะไร ถึงแม้สิ่งเดียวที่เพื่อนของเขาทำจะเป็นการนั่งนิ่งๆ แต่นิลคิดว่าสิ่งที่ทำให้อารัณย์ไม่สบอารมณ์คงจะเป็นคำพูดเย็นชาบาดหูที่ออกมาจากปากของรัตติกาลนั่นแหละ
“เอาน่าๆ เพื่อนคุณก็ดูมีความอดทนสูงถ้าไม่นับตอนที่เลือดขึ้นหน้าแล้วไปต่อยผู้ต้องสงสัยเข้า ต่อให้นายอารัณย์กวนประสาทแค่ไหนก็คงทำเมินอยู่นิ่งๆ ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบุ่มบ่ามแน่ๆ”
“ความอดทนสูงหรอ หึ สาบานได้ไหมว่าที่พูดมาไม่ได้ประชด”
“ฮ่าๆๆ ผมคงสาบานให้ไม่ได้หรอก”
นิลมองอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์แบบนี้จะเป็นถึงนายตำรวจยศสูง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันตอนออกตามหารพีเขายังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำงานอย่างจริงจังสักครั้ง แถมยังละหลวมจนอยากจะทำตัวเป็นคนขี้ฟ้องแจ้งไปยังต้นสังกัดซะให้เข็ด
“งั้นผมขอเปลี่ยนจากความอดทนสูง มาเป็น ‘คุณรัตติกาลเป็นคนชอบหนีปัญหา’ เรื่องนี้ผมสาบานให้คุณได้แน่”
คำพูดของคนข้างๆสะกิดใจของนิลเข้าอย่างจัง เพราะสิ่งที่ร่างสูงพูดนั้นเหมือนกับสิ่งที่เขาเคยคิดมาตลอด
“อะไรที่ทำให้คุณคิดแบบนั้น”
“อืม อาจจะเพราะวิธีที่คุณกาลเลือกที่จะเงียบทุกครั้งที่เจอปัญหาล่ะมั้ง เมื่อก่อนผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ทำแบบนี้ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรหรือทำร้ายมันเท่าไหร่มันก็เลือกที่จะเงียบแล้วทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำแบบนั้นมาตลอด..”
น้ำเสียงที่เคยฟังดูทะเล้นกลับจริงจังมากขึ้นจนนิลต้องหันหน้ามามอง ยามที่ฤทธิชาติพูดถึงเพื่อนคนนั้นสีหน้าของร่างสูงนั้นแสดงความรู้สึกคิดถึงออกมาจนคนฟังรู้สึกได้ นายตำรวจหนุ่มที่รู้ว่านิลกำลังมองตนอยู่ก็หันมาสบตามพร้อมกับยิ้มอ่อนให้น้อยๆก่อนจะพูดต่อ
“แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดวิธีแบบนี้หรอกนะ คิดดูแล้วการทำเป็นไม่รับรู้มันอาจไม่ช่วยแก้ปัญหาแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าแก้ปัญหาแบบไร้สติ ผมว่าบางทีทั้งเพื่อนผมและคุณกาลอาจจะแค่ไม่อยากให้อะไรแย่ลงกว่าเดิม”
“หลอกตัวเองซะมากกว่า”
นายตำรวจหนุ่มขำออกมาเบาๆ ก่อนจะชวนนิลที่หยิบของเสร็จแล้วไปคิดเงินที่เคาท์เตอร์ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังห้องพักโดยที่ตัวเองไม่ได้ซื้อของอะไรเลยสักอย่าง นิลมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเพียงแค่คิดว่าอีกฝ่ายคงหาเรื่องลงมาอู้งานข้างล่างเท่านั้น ท่ามกลางความเงียบขณะที่ทั้งสองยืนอยู่ในลิฟต์ตัวเดียวกัน ไฟแสดงลำดับชั้นกำลังไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ ฤทธิชาติก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา
“อาจจะฟังดูละลาบละล้วงไปสักหน่อย แต่ผมอยากรู้ว่าคุณแม่ของน้องพีไปไหนล่ะครับ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมไม่เห็นเลย”
“ไม่มีหรอก เลิกกันไปตั้งแต่รพีเกิด”
“คุณกาลเลยเลี้ยงลูกมาคนเดียวสินะ”
“ก็ ช่วยๆกันเลี้ยงมาทั้งนั้นทั้งผม ป้าจันทร์แล้วก็คนในบ้าน”
“หรือว่านี่เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณกาลทำตัวห่างเหินกับลูกตัวเองขนาดนี้”
“หยุดยุ่งเรื่องชาวบ้านได้แล้วมั้ง มันจะรักหรือไม่รักก็ไม่มีผลต่อคดีอยู่แล้ว”
“ฮ่าๆ ตรงจังเลยนะครับ”
“ไม่หรอก ความจริงอยากพูดว่า ‘อย่าเสือก’ ด้วยซ้ำ”
ฤทธิชาติหัวเราะลั่นจนชายหญิงคู่หนึ่งสะดุ้งตกใจทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นที่หมาย นิลส่ายหัวไปมาอย่างเหนื่อยใจในความหน้ามึนของอีกฝ่ายก่อนจะเดินนำออกไปโดยไม่หันมาสนใจอะไรอีกแต่ไม่นานนัก ช่วงขายาวของฤทธิชาติก็ก้าวตามมาทันก่อนจะชะลอความเร็วลงเพื่อให้เดินอยู่เคียงข้างกัน
“ผมล่ะไม่สงสัยเลยว่าทำไมคุณสองคนถึงเป็นเพื่อนกันได้ ฝีปากพอๆกันเลย”
“ก็มีแต่คนว่าอย่างนั้น”
“ว่าแต่เป็นเพื่อนกันมานานแล้วหรอครับ”
“ก็เพิ่งบอกว่าอย่าเสือกๆ”
“พอดีเป็นนิสัยที่แก้ยากครับ^^”
“เฮ้อ... อืม คบกันมาตั้งแต่สมัยอยู่มหาลัย”
“คบกันนานดีจัง ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนผมคงแอบคิดไปแล้วว่าคุณสองคนเป็นแฟนกันเห็นสนิทกันขนาดนี้”
“แล้วถ้าคบกันอยู่จริงๆล่ะ”
“ก็คง...น่าเสียดายสุดๆเลยแหละ”
“หึ คิดอะไรกับไอ้กาลมันจริงๆรึไง”
ร่างสูงส่ายหัวน้อยๆเมื่อคนข้างกายแสดงทีท่าว่าสนใจเพื่อนของตนอยู่ไม่น้อย นัยน์ตาคมมองป้ายชื่อของรพีที่แปะหราอยู่หน้าห้องหมายเลข7ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ในจังหวะที่นิลกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูบานใหญ่ตรงหน้า เสียงทุ้มนุ่มที่เจือไปด้วยความรู้สึกเอ็นดูจนคนฟังรู้สึกได้ก็ดังขึ้นพร้อมกับมือของนายฤทธิชาติที่เอื้อมซ้อนมาจากด้านหลังเพื่อเปิดประตูตรงหน้าให้แทน
“ผมหมายถึงคุณต่างหาก”
“คุณ...”
เพล้ง!
“คุณกาลพอเถอะค่ะ!!”
ยังไม่ทันที่นิลจะได้พูดอะไร เสียงดังเหมือนของตกแตกและจันทร์ที่ร้องขอจนเสียงหลงดังขึ้น ทำให้ผู้ที่เพิ่งมาถึงทั้งสองคนหยุดบทสนทนาเมื่อครู่แล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้อง เศษซากแจกันแก้วกองอยู่ที่พื้น ดอกไม้ที่นิ่มจัดใส่ไว้เมื่อเช้าโดนเหยียบย้ำจนไม่เหลือความสดใสเหมือนที่เคยเป็น
นิลรีบตรงเข้าไปจับรัตติกาลที่แสดงสีหน้าโกรธจัดพยายามเข้าไปหารพีที่ร้องไห้จ้าอยู่ภายในอ้อมกอดของจันทร์และนิ่มที่น่าจะเพิ่งมาถึง ส่วนฤทธิชาติก็เดินเข้าไปห้ามอารัณย์ที่ยืนขวางรัตติกาลอยู่ด้วยท่าทีโกรธขึงไม่แพ้กัน
“มึงจะโทษกูอีกรึไง จะโทษว่าเป็นเพราะกูใช่ไหมมึงถึงได้เจอเรื่องแบบนี้!!!”
“ไอ้กาลหยุด!!!”
“สร้างเรื่องให้กูไม่เว้นแต่ละวัน คิดบ้างไหมว่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนมากแค่ไหน!!!”
“ฮือออ พีขอโทษ ฮึก พีขอโทษ!!”
“เด็กอย่างมึงแม่ง ไม่น่าเกิ...”
ผัวะ!!
ร่างใหญ่ของอารัณย์พุ่งเข้าไปกระแทกหมัดใส่สันกรามของรัตติกาลโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดหมดประโยชน์ ฤทธิชาติและนิลที่ถูกผลักกระเด็นออกไปด้วยรีบตรงเข้าไปห้ามทั้งสองคนที่ซัดกันนัวอยู่บนพื้น นายตำรวจหนุ่มพยายามล็อคแขนทั้งสองข้างของอารัณย์ที่คร่อมร่างสูงโปร่งไว้บนพื้นแล้วรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายเองก็ถีบเข้าไปเต็มหน้าท้องแกร่งเมื่อได้โอกาส
“อย่าทำพ่อกาลนะ ฮึก พีผิดเอง อย่าทำพ่อกาล!!!”
ท่ามกลางความวุ่นวายเสียงร้องไห้ของรพีและจันทร์กับนิ่มที่พยายามร้องห้ามดังระงมไปหมด
“มึงมันเป็นพ่อภาษาเหี้ยอะไร มึงพูดหมาๆแบบนี้กับลูกมึงได้ไงวะ!!!”
“เป็นคนนอกอย่าเสือก ลูกกู กูจะด่าจะว่ามันยังไงก็ได้!!!”
“ทำตัวเหี้ยขนาดนี้ยังมีหน้าเรียกเด็กนี่ว่าลูกอยู่อีกหรอ มึงมีหน้าเรียกตัวเองว่าพ่ออีกรึไง!!!”
“เออกูนี่แหละพ่อมัน กูเป็นเจ้าชีวิตมัน ใครจะทำไมวะ!!!”
“ไอ้เหี้ยกาล หยุด กูบอกให้หยุดไง!!!”
นิลอาศัยจังหวะที่ทั้งคู่อ่อนแรงลงดึงร่างของเพื่อนตนไว้ให้ห่างจากอารัณย์ที่ถูกฤทธิชาติลากออกไปอีกมุมห้อง ร่างกายสูงใหญ่พยายามดิ้นเพื่อจะตรงเข้าไปหาคู่กรณีอีกครั้งก่อนเสียงลั่นกุญแจมือจะดังขึ้นพร้อมกับข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกพันธนาการด้วยฝีมือของนายตำรวจหนุ่ม
“ใส่กุญแจมือกูทำไม ปล่อยสิวะ!!!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นายอารัณย์ ถ้ายังไม่หยุดผมคงต้องใช้มาตรการที่รุนแรงกว่านี้”
“เหอะ มึงตาบอดรึไงไอ้ตำรวจ คนที่มึงควรต้องจับโยนเข้าคุกไม่ใช่กูแต่เป็นมันต่างหาก!!!”
ดวงตาแข็งกร้าวมองไปยังรัตติกาลอย่างโกรธแค้น เช่นเดียวกับร่างโปร่งที่ส่งสายตาแบบเดียวกันกลับมาพร้อมกับยืนตัวสั่นด้วยความโกรธแต่ก็ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้เพราะร่างของนิลยืนขวางเอาไว้อยู่พร้อมกับส่งสายตาตำหนิมาให้
เด็กน้อยที่เพิ่งฟื้นร้องไห้จนดวงตาเล็กบวมแดงน่ากลัวพยายามผละร่างของตนออกจากอ้อมกอดของจันทร์ก่อนจะปีนลงจากเตียงด้วยความทุลักทุเลไม่ได้สนใจแม้แต่สายน้ำเกลือที่เสียบทิ่มอยู่ในแขนของตนแม้แต่น้อย จันทร์ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเลือดข้นไหลย้อนออกมาตามท่อสายยางก่อนจะหลุดออกจากท่อนแขนเล็กที่แดงฉาน รพีพาร่างสะบักสะบอมของตนเดินกระโพลกกะเพลกมาหารัตติกาลที่มองมาที่ตนอย่างเดียดฉันท์ ถึงแม้จะรู้สึกหวาดกลัวความโกรธเกรี้ยวตรงหน้าแต่ความรู้สึกข้างในก็บอกให้เด็กชายเดินต่อก่อนจะมาทรุดนั่งลงกับพื้นพร้อมกับพนมมือไว้แนบอก
“พีขอโทษ ฮึก พีขอโทษ พีผิดเองที่ออกไปข้างนอกคนเดียว พีทำให้พ่อกาลเดือดร้อน...”
“...”
“พีสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก ฮึก พีจะไม่ทำให้พ่อกาลเดือดร้อนอีกแล้ว พีจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟังทุกอย่าง”
“...”
“ขอแค่ ฮึก.. ขอแค่พ่อกาลอย่าเกลียดพีเลยนะฮะ”
รพีร้องไห้จนร่างกายสั่นสะท้าน คำพูดที่กลั่นกรองจากความรู้สึกของเด็กน้อยทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนในห้องยกเว้นรัตติกาลต่างมองร่างป้อมที่ทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้นด้วยความเห็นใจสงสาร
จันทร์ที่ทนมองภาพนั้นไม่ไหวเดินมาตระกรองกอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมกอดก่อนจะลูบหัวทุยนั้นอย่างแผ่วเบา สายตาตำหนิจากหญิงแก่ถูกส่งไปให้รัตติกาลที่กำลังยืนมองภาพเหล่านั้นอยู่
“ถ้าจะโกรธจะเกลียดใคร ขอให้คนนั้นเป็นป้าเถอะค่ะคุณกาล จะไล่ป้าออกก็ได้ แต่หยุด...หยุดทำร้ายคุณพีด้วยคำพูดพวกนั้นสักที”
“ป้าจันทร์...”
“ถ้าคุณอยากจะทำร้ายใครสักคนขอให้เป็นป้าแทนได้ไหม ถ้ามันจะช่วยหยุดความแค้นของคุณได้ป้าก็ยินดีที่จะทำ”
“ป้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“คุณพีเธอก็ไม่เกี่ยวเหมือนกัน”
“...”
“ขอร้องเถอะค่ะ อย่าทำให้ป้าต้องผิดหวังในตัวคุณมากไปกว่านี้เลย”
.
.
.
สิ้นเสียงของจันทร์ รัตติกาลก็เหมือนนกปีกหักที่ร่วงลงสู่พื้น นัยน์ตาที่แสดงความผิดหวังไว้เต็มเปี่ยมถูกส่งมาให้อย่างไม่ปิดปัง วินาทีนั้นรัตติกาลได้รู้ถึงความโดดเดี่ยวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ร่างโปร่งผลักแขนของนิลที่จับตัวเองไว้แน่นออกก่อนจะหมุนตัวออกไปจากห้องโดยไม่หันกลับมามองจนยามที่ประตูห้องปิดลงพร้อมกับเสียงของนิลที่ร้องเรียกชื่อของตนจะเงียบหายไป
ร่างกายสูงโปร่งทรุดนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นลิฟต์โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมา ไหล่บางสั่นสะท้าน ดวงตาชอกช้ำแต่กลับไม่มีน้ำตาให้ไหล
“เกลียดชะมัด...”
ตัวเขานี่มัน...
น่ารังเกียจสิ้นดี...
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ก่อนอื่นขอโทษนะคนับที่หายไปหนึ่งวัน เน็ตมอเน่ากระจุยทำไรไม่ได้เลย วันนี้เลยเอาตอน(โคตรเครียดมาฝาก)
ณ จุดๆนี้คงมีคนอยากฟาดกบาลพ่อกาลกันบ้าง 5555 โหดกับน้องมันเหลือเกิน อิตาพี่ห้าวคนนั้นก็ไม่แพ้กัน
แต่งานนี้เช่ชอบคุณตำรวจแหละ กวนได้ใจจริงๆ >////< แถมนิลนี่ก็เป็นที่ชื่นชอบมากกว่าที่คิดนะ
ขอบคุณสำหรับทุกเม้น ทุกโหวตนะคนับ! อยากตอบทุกเม้นเลยแต่กลัวจะเป็นการปั่นมากเกินไป
ถ้าใครอยากคุยกับเช่ หรือติดตามการเคลื่อนไหวก็เข้าไปที่แฟนเพจนะ เช่รออยู่ วันไหนอัพไม่อัพจะได้รู้ ไม่รอเก้อเน้อ^^
:-[ :-[ :-[
-
เฮอ..สงสานน้องพีจังเลย.. :m15: :m15:
ไอ้คุณกาล..นั้นมันจะโกรธจะแค้นอะไรนักหนา.. :z6:
-
อารัณนี่คู่คุณพ่อหรือเปล่า ว่าแต่ใครจะรุกจะรับล่ะ เหมือนจะแมนทั้งคู่เลย /ฉากของรพีคือเห็นภาพเลย น้ำตาล่วงอัตโนมัติ .__.)
-
จะร้องไห้แล้วน่ะ
-
ไล่อ่านจากตอนแรกจนถึงล่าสุด บอกเลยว่าปวดใจมากกกกกกกกก สงสารน้องพีสุดๆ อยากให้น้องเจอชีวิตที่ดี ฮรึกกก :mew6: :mew6: :mew6:
แล้วก็เบื่ออิรัตติกาลมาก ถ้าไม่รักก็ให้คนอื่นเลี้ยงไป!!!!!!! :angry2: :angry2: :m31: :z6: :z6: :fire: :fire:
5555555555555555555555555 พอใจละมาระบายอารมณ์ในเม้นเดียว :laugh: :laugh: :laugh:
เม้นให้กำลังใจให้คนเขียนค่ะ สู้ๆๆ :กอด1: :กอด1:
-
กาลนี่น่ารังเกียจจริงๆแค้นได้แม้กระทั่งเด็ก
-
7th Night
…Cigarettes...
“วันนี้จะออกไปไหนไหมครับพี่กาล”
ร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนอาร์มแชร์ตัวใหญ่ส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะหันไปมองท้องฟ้ากว้างที่ถูกบดบังด้วยควันบุหรี่ที่ลอยฟุ้ง ร่างกายสมส่วนของชายหนุ่มที่รัตติกาลมาพักอยู่ด้วยเป็นวันที่สามเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงบนตักแกร่ง ริมฝีปากสีแดงชาดกดจูบตามสันกรามที่มีไรเคราขึ้นอ่อนๆอย่างออดอ้อนเอาใจ รัตติกาลไม่ได้พูดอะไรออกไปทำเพียงแค่เอียงคอน้อยๆให้อีกฝ่ายมอบจูบให้เขาอย่างไม่อิดออด
“งั้นออกไปเที่ยวกันไหม”
“ไม่ล่ะ ถ้าอยากไปก็หยิบบัตรเครดิตในกระเป๋าพี่ไปแล้วกัน”
“ไม่เอาอะ ปูนไม่ได้อยากได้เงินพี่กาลสักหน่อยพูดงี้น้อยใจนะ”
รัตติกาลเอียงคอมองใบหน้าง้ำงอของเด็กหนุ่มข้างกายที่เขารู้จักเมื่อสามวันก่อนที่บาร์แถวอโศกหลังจากที่เขาเดินหนีออกมาจากโรงพยาบาล ในขณะที่ร่างโปร่งดื่มจนเมามายอยู่เพียงลำพังแต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าหาเพราะสีหน้าเคร่งเครียดกลบเสน่ห์ดึงดูดที่ตนมีจนหมด มีเพียงแต่‘ปูน’ นักศึกษาปีสุดท้ายที่ทำงานพิเศษเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่นั่นเท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนคุยให้กับเขาและใจดีให้ที่พักพิงในยามที่เขาไม่อยากกลับไปที่บ้าน
“ขอโทษๆ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ขอโทษที่กวนใจพี่กาลนะ ปูนไม่อยากเห็นพี่เครียด”
เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง แม้จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางแต่ปูนก็รู้ดีว่ารัตติกาลกำลังทุกข์ทรมานเพราะอะไรบางอย่าง แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรเซ้าซี้ออกไป มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มตอบของอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะประทับจูบลงไปด้วยความเป็นห่วง นัยน์ตาคมที่แสนเย็นชาของคนตรงหน้าทำให้เขาประทับใจตั้งแต่แรกเห็น แม้รู้ตัวว่ารัตติกาลไม่มีทางมาจริงจังกับเด็กหนุ่มธรรมดาแบบเขาแต่ก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายไม่ได้
“ขอบใจนะ วันนี้มีเรียนไหม”
“มีครับ เดี๋ยวตอนบ่ายปูนต้องเข้าไปเอางานกับเพื่อนที่คณะ พี่กาลรออยู่ที่ห้องก็ได้ ไปแป๊บเดียวแหละเดี๋ยวกลับมาทำของอร่อยให้กินนะ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไร ปูนไปเองก็ได้พี่กาลพักเหอะ เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน”
“บอกว่าจะไปส่งก็ไปส่งสิ เมื่อคืนเราเอาใจพี่มาเยอะแล้ว ให้พี่เอาใจเราบ้างแล้วกัน”
นิ้วเรียวยาวดีดหน้าผากมนของร่างบนตักเบาๆก่อนจะพาทั้งตัวเองและปูนลุกขึ้นไปจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาที่แต่งตัวเสร็จก่อนแล้วนั่งมองรัตติกาลที่ท่อนบนเปลื่อยเปล่าอวดหน้าท้องแกร่งเป็นลอนสมชายกำลังเลือกหยิบเสื้อโปโล่ของตนมาสวมใส่อย่างหลงใหล
“ถ้าพี่กาลอยู่เอาใจปูนตลอดไปก็คงดีเนอะ”
ปูนเผลอพูดออกมาตามที่ใจคิด ใบหน้าเรียบเฉยของร่างโปร่งหันมามองเขาที่กำลังนั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนเตียงกว้าง เด็กหนุ่มที่รู้ตัวว่าพูดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกมาก็ส่งยิ้มอ่อนให้อีกฝ่ายก่อนจะหัวเราะน้อยๆ
“ทำไม อยากให้พี่อยู่ด้วยหรอ”
“ปูนจะไม่พูดหรอกถ้าพี่กาลไม่อยากฟัง”
“รู้ใจกันเกินไปแล้ว”
รัตติกาลพูดก่อนจะสวมเสื้อโปโลสีเทาอ่อน ส่องกระจกอยู่สักครู่ก่อนจะหยิบเอากุญแจรถและกระเป๋าเงินมาถือไว้ ช่วงแขนยาวออกแรงดึงร่างกายสมส่วนของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะพากันเดินออกไปที่ประตูห้อง แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวออกไปรัตติกาลก็เอื้อมคว้าร่างของเด็กหนุ่มมากอดจากทางด้านหลังพร้อมกับกดจูบไปที่ท้ายทอยขาวของอีกฝ่ายเบาๆ
“ขอโทษนะ”
“พูดคำนี้บ่อยไปแล้วนะครับ ไม่เอาอย่าคิดมากดิ ปูนเต็มใจเองพี่ก็รู้”
“งั้นเปลี่ยนเป็น ขอบคุณแทนแล้วกัน”
“ฮ่าๆ ยินดีครับ เอาที่พี่กาลสบายใจเลย”
.
.
.
.
รถยนต์คันหรูจอดเทียบฟุตบาทอยู่ไม่ใกล้จากตึกเรียนตามที่เด็กหนุ่มบอก รัตติกาลเอื้อมไปหยิบกระเป๋าของอีกฝ่ายจากเบาะหลังมาให้โดยมีปูนมองดูกาลกระทำเหล่านั้นอย่างรู้สึกดีใจเป็นที่สุด
“ใครได้พี่กาลเป็นแฟนนี่โชคดีชะมัด เอาใจเก่งเกินไปแล้ว”
“หึ มีเราคนแรกเลยมั้งที่คิดแบบนั้น”
“จริงอะ ฮ่าๆๆ ปูนนี่ตาถึงจริงๆด้วย”
“ตาถั่วล่ะสิไม่ว่า อย่าไว้ใจคนให้มันง่ายนัก ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้เราโดนฆ่าไปแล้วมั้งยอมให้ไปนอนด้วยง่ายๆแบบนั้น”
“ถึงได้บอกว่าไงปูนตาถึง ถึงได้ดูออกว่าพี่กาลไม่ใช่คนไม่ดี”
“ประมาทเกินไปแล้ว”
“เอาน่าๆ พี่กาลกลับไปรอที่ห้องเลยก็ได้เอากุญแจปูนไป เดี๋ยวปูนกลับเอง”
“อยู่นานรึเปล่าล่ะ”
“อืม.. ก็ไม่น่าจะนานนะ แค่เอางานกับเพื่อนแล้วก็อยู่คุยกันอีกนิดหน่อยอะ ป่านนี้พวกมันก็น่าจะมาถึงแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวพี่รอเลยจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา”
“แต่ว่า...”
“บอกว่ารอก็รอสิ”
“ ‘ให้พี่เอาใจเราบ้าง’ ฮ่าๆ โอเคครับ งั้นปูนไปนะ ไปรอที่สะพานริมสระน้ำก็ได้ มีร่มไม้เยอะเลย ถ้าเสร็จแล้วปูนจะตามไป”
เด็กหนุ่มแกล้งดัดเสียงแล้วพูดประโยคเดียวกับที่ร่างโปร่งพูดกับตนเมื่อเช้าก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้แล้วเปิดประตูลงไปจากรถโดยไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก รัตติกาลส่ายหัวให้ความขี้เล่นนั้นน้อยๆก่อนจะเลี้ยวรถออกไปจอดบริเวณริมสระน้ำใหญ่ของมหาวิทยาลัยที่พอมีร่มไม้ให้ความร่มรื่นอยู่บ้าง
ร่างกายสูงโปร่งนั่งทอดขาอยู่ริมสะพานไม้ท่ามกลางความสงบ แม้แสงแดดช่วงกลางวันจะร้อนมาก แต่สายลมอ่อนๆที่พัดอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวแต่อย่างใด นัยน์ตาคมทอดมองเหล่านักศึกษาที่กำลังนั่งคุยเล่น บ้างก็อ่านหนังสืออยู่ตามม้านั่งข้างทางพลางคิดถึงช่วงชีวิตในอดีตของตนเองที่ผ่านมาแล้ว
รัตติกาลกำลังคิดว่าตัวเองในวันนี้กับวันวานนั้นแตกต่างกันมากกันมากจริงๆแม้จะไม่ได้สดใสแต่ตัวตนในอดีตของเขากลับไม่ได้เน่าแฟะน่ารังเกียจเหมือนทุกวันนี้ รัตติกาลเป็นคนรักตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรสนิยมทางเพศหรือลักษณะนิสัยที่คนอื่นมองว่าเย็นชาเขาก็รักมันทั้งหมด ไม่ว่าใครจะว่ายังไงเขาก็ไม่เคยเกลียดตัวเองเลยสักครั้ง และนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่บนโลกนี้ได้มาตลอด
‘ยืนหยัดอยู่บนความเป็นตัวเองแม้ว่าใต้ฝ่าเท้าจะไม่มีพื้นให้เหยียบ’
นั่นแหละคือตัวตนที่รัตติกาลรัก
แต่ตอนนี้เขากลับไม่หลงเหลือความมั่นใจอยู่อีก การกระทำอันไร้สติและเหตุผลที่เกิดขึ้นวันนั้น อันที่จริงต้องบอกว่าตลอดเวลาเกือบหกปีที่ผ่านมา ย้อนกลับมาทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองเป็นครั้งแรกว่าสิ่งที่เขายึดถือมาตลอดนั้นทำไปเพื่ออะไร
เขารู้ดีว่ารพีหวังดีและเป็นห่วง เมื่อเด็กชายที่ฟื้นขึ้นจากหลับใหลร้องไห้หาเขาราวกับภาพที่ตัวเองโดนทำร้ายยังคงติดตา ตอนนั้นเขาทำเพียงยืนนิ่งๆ เก็บกลืนถ้อยคำที่อยากต่อว่าร่างเล็กนั้นไว้ข้างในเมื่อมองเห็นน้ำตาที่ไหลนองหน้าของเด็กชาย แต่พอได้ฟังเหตุผลในการกระทำนั้นสติของเขาก็ขาดผึง
‘เพราะพ่อกาลไม่กลับบ้านพีเลยเป็นห่วง’
‘เพราะพ่อกาลรออยู่พีเลยไปหา’
‘เพราะพ่อกาลหายไป’
‘เพราะพ่อกาล’
‘เพราะกาล’
‘มันเป็นเพราะกาล พี่เลยต้องทำแบบนี้!’
เสียงของรพีถูกซ้อนทับโดยภาพในอดีต สติสัมปชัญญะหมดไปพร้อมกับร่างของเขาที่พุ่งเข้าไปบีบกระชากคอของอีกฝ่ายเต็มแรง นิ้วมือของเขาบีบไปบนลำคอเล็กๆนั้นจนสัมผัสได้ถึงของเลวอุ่นไหลซึมออกมาจากรอยแผลที่บอบช้ำ ภาพในหัวของรัตติกาลพร่ามัวไปหมดจนกระทั่งร่างกายสูงใหญ่ของอารัณย์จะกระชากตัวเขาออกมาจนแจกันแก้วที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงจะหล่นลงมาแตกกระจายเต็มพื้นไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดจะดำเนินต่อไป
นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของคนที่เคารพรัก และเพื่อนสนิทที่ไม่เคยทอดมองมาที่เขาแบบนั้นทำให้รัตติกาลได้สติและรู้สึกเกลียดตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังมองดูแผ่นหลังของคนที่เขารักค่อยๆเดินจากไปทีละคนๆ จนพอมารู้ตัวอีกทีเขาก็โดดเดี่ยว พอหันมามองอีกทีรอบตัวกลับไม่เหลือใคร เหน็บหนาวจนไม่อยากรับรู้อะไรอีก
สุดท้ายเขาก็เลือกทำสิ่งที่เลวร้ายอย่างการให้ความหวังกับบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่เขาเจอที่บาร์ แค่มองตาก็รู้ว่ากรีนชอบพอในตัวเขามากแค่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรทำแต่เขาก็เลือกที่จะกระโจนเข้าหากองไฟเล็กๆนั้นเพื่อบรรเทาความหนาวให้ตนเอง
แม้จะรู้ว่ามันไม่มั่นคงยาวนาน
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าสุดท้ายเขาจะเกลียดตัวเองมากขึ้น
แม้จะรู้ทั้งรู้...แต่สุดท้ายก็ยังทำ
.
.
.
.
“กาลกินโทสต์ด้วยกันนะ อยากกินอะแต่กลัวกินไม่หมด”
“โห้ย ไม่ต้องกลัวหรอกพี่แพง เห็นสั่งมาทีไรก็ฟาดเรียบตลอดไม่เคยเหลือไปถึงไอ้กาลสักครั้งอะ น้ำหนักขึ้นแล้วอย่ามาบ่นให้ได้ยินนะ”
“กะ ก็ถึงได้ไดเอทอยู่นี่ไง”
“ที่หลังคงต้องนั่งนับแล้ววะว่าพี่พูดอย่างนี้กี่รอบ น่าเอาไปแทงหวยชิบหาย”
“มาเนียนกินฟรีก็อย่าพูดมากดินิล”
ริมฝีปากแดงเป็นกระจับยู่เข้าหากันอย่างไม่พอใจ ก่อนจะยกเมนูในมือตีหัวทุยของนิล รุ่นน้องคนสนิทที่เป็นเพื่อนของรัตติกาลอย่างหมั่นไส้ ร่างโปร่งมองภาพตรงหน้ายิ้มๆ ดูเหมือนว่าเพื่อนตัวดีจะสนุกสนานกับการแหย่พี่รหัสของเขาเหลือเกิน
ในครั้งแรกที่พะแพงตั้งใจจะเลี้ยงข้าวรัตติกาลที่เป็นน้องรหัสก็มีน้ำใจให้เขาชวนนิลมากินด้วยกันเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิท หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะนิลที่เข้ากับพะแพงได้ดีมากกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่รัตติกาลก็ไม่เคยน้อยใจอะไรกลับดีใจเสียอีก เพราะถ้าปล่อยให้คนมนุษย์สัมพันธ์แย่อย่างเขามาคนเดียวรับรองว่าไม่มีทางที่เขาจะสนิทสนมกับอีกฝ่ายได้ขนาดนี้
“ว่าไงอะกาล กินป่ะ? นะๆๆๆ ช่วยหน่อยนะ”
“สั่งมาเลยครับ เดี๋ยวผมช่วย”
‘ถ้าเหลือให้ช่วยอะนะ’ ร่างโปร่งแอบพูดต่อในใจอย่างขำๆไม่ให้ใครได้ยิน หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจก่อนลงมือสั่งฮันนี่โทสต์ของโปรดพร้อมกับกาแฟปั่นของแฟนหนุ่มอย่างนทีที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
นทีในชุดเสื้อช็อปส่งยิ้มอ่อนไปให้แฟนสาวข้างกายที่รู้ใจตนเป็นอย่างดี ก่อนจะหันมามองรพีที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันซึ่งกำลังให้ความสนใจกับเมนูในมือแต่ก็ยังเลือกไม่ได้สักที ต่างกับอีกสองคนที่ออเดอร์ส่วนของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ยังเลือกไม่ได้อีกหรอกาล”
“อ่า ครับ”
“จริงๆพี่ว่ากาลไม่ต้องดูเมนูก็สั่งได้นะ น้องครับขอคาโบนาร่าทีนึง”
เสียงทุ้มเอ่ยสั่งกับบริกรให้อย่างถือวิสาสะจนทำให้รัตติกาลที่กำลังครุ่นคิดหันมามองหน้านทีอย่างงงงวยปนไม่พอใจเล็กๆ
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างงั้นน่า มาทีไรก็เห็นสั่งแบบนี้ทุกที”
“แล้วไม่คิดบ้างหรอว่าวันนี้ผมจะอยากกินอย่างอื่น”
“ไม่คิดหรอก ครั้งที่แล้วก็เลือกตั้งนานสุดท้ายก็สั่งเหมือนเดิมอยู่ดี หึหึ”
รัตติกาลสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจที่โดนรู้ทัน ดวงตาซุกซนมองที่เขาอย่างขำๆพลางหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจ ซึ่งอากัปกิริยาดังกล่าวทำให้พะแพงซึ่งนั่งดูทั้งคู่เถียงกันอยู่ยิ้มขำออกมา
“ดูท่าทางกาลจะไม่ชอบทีน่าดูนะเนี่ย ทีก็แกล้งน้องเราน้อยๆหน่อยเหอะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”
รัตติกาลปฏิเสธออกมาเพราะไม่อยากให้พะแพงเข้าใจผิดว่าตนเองไม่ชอบหน้าแฟนหนุ่มของเธอซึ่งเป็นพี่รหัส อันที่จริงเขาก็แค่หมั่นไส้อีกฝ่ายที่มักจะกวนประสาทเขาเสมอตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน แต่ถึงอย่างนั้นความเกรงใจในตัวหญิงสาวก็มีมากกว่าจึงทำให้รัตติกาลไม่เคยตอกกลับร่างสูงแรงๆสักครั้ง
“ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก กวนประสาทขนาดนี้”
“อะไรอะแพง ไม่คิดจะปกป้องกันเลยว่างั้น น้อยใจว่ะบอกเลย”
ร่างสูงแกล้งร้องโอดครวญอย่างน้อยใจ มือเล็กๆของพะแพงยกขึ้นหยิกแก้มสากทั้งสองข้างของแฟนหนุ่มก่อนจับดึงยืดเข้ายืดออก เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนได้เป็นอย่างดี
ไม่นานนักของที่สั่งก็ถูกยกมาเสิร์ฟทั้งสี่คนลงมือรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อยพลางพูดคุยเกี่ยวกับงานโอเพ่นเฮ้าส์ที่เพิ่งผ่านพ่นไปอย่างสนุกสนานโดยมีนิลและพะแพงเป็นฝ่ายพูดเสียมากผิดกับรัตติกาลที่เอาแต่ฟังแล้วตอบกลับไปเมื่อถูกถามเท่านั้น
ผ่านไปได้สักพัก รัตติกาลก็ขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ ร่างโปร่งเดินออกมาบริเวณหลังร้านด้านนอกที่ห้องน้ำถูกสร้างไว้เป็นอาคารเล็กๆแยกออกมา เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วร่างโปร่งจึงถือโอกาสนั่งเล่นบริเวณสวนหย่อมที่ถูกจัดไว้ข้างกันก่อนแทนที่จะเดินกลับเข้าไปในร้าน
ความง่วงสะสมจากการอยู่ทำพรีเซนเทชั่นโปรเจคสุดท้ายของเทอมนี้เกือบทั้งคืนตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ประกอบกับสายลมเย็นที่พัดปะทะผิวกายอ่อนทำให้รัตติกาลหลับตาอย่างเหนื่อยล้า อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะพะแพงชวนมาป่านนี้เขาคงกำลังนอนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ที่หอพักให้สมใจอยาก
ร่างโปร่งนั่งหลับตาคิดโน้นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยท่ามกลางความเงียบ แต่ไม่นานความสงบนั้นก็ถูกทำลายลงพร้อมกับกลิ่นฉุนของควันบุหรี่ที่ถูกพ่นออกมาโดยนทีที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างถือวิสาสะ
“หนีออกมานั่งคนเดียว ไม่สนุกรึไง”
ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นพลางสูบอัดนิโคตินจนชุ่มปอด ก่อนจะหันหน้าไปอีกทางเพื่อปล่อยควันเมื่อสังเกตเห็นคนข้างๆเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
“ขอโทษที ไม่ชอบใช่รึเปล่า”
“ไม่ได้เกลียดหรอกครับ แค่ตอนนี้ได้กลิ่นแล้วปวดหัว”
“ไม่สบายหรอ”
นทีดับบุหรี่ในมือทิ้งก่อนจะยกฝ่ามือหนาขึ้นทาบทับไปยังหน้าผากมนอย่างแผ่วเบา ร่างโปร่งสะดุ้งน้อยๆอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายสัมผัสร่างกายของตนอย่างกะทันหัน ใบหน้าหล่อเข้มยื่นเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดจนรัตติกาลรู้สึกร้อนผ่าว ร่างโปร่งยกมือขึ้นดันอีกฝ่ายออกไปห่างตัวแล้วขยับออกมานั่งห่างไปจากเดิมเล็กน้อย
“เห้ยอย่าเพิ่งดิ ขอวัดไข้ก่อน เขยิบมานี่มา”
“ไม่ต้องวัดหรอกครับ ผมไม่เป็นอะไร”
“ยังบ่นว่าปวดหัวอยู่เลยจะบอกว่าไม่เป็นไรได้ยังไง หรือว่า...เขิน?”
“ขอโทษนะครับ หน้าผมดูเหมือนเขินอยู่รึไง”
รัตติกาลตอบหน้าตายออกมาจนนทีหัวเราะลั่นก่อนจะยกมือขยี้กลุ่มผมนุ่มอย่างนึกเอ็นดู ร่างโปร่งเบ้ปากเล็กน้อยที่โดนอีกฝ่ายปฏิบัติด้วยราวกับว่าเขาเป็นเด็กๆ เป็นเพราะรูปร่างที่ไม่ใหญ่โตเหมือนคนในวัยเดียวกันและใบหน้าหวานคมเหมือนกับใบหน้าของแม่ทำให้เขามักจะโดนใครต่อใครเอ็นดูเกินความจำเป็นมาตั้งแต่เด็ก และถึงแม้เขาจะยอมรับว่าตัวเองรู้สึกเสน่หาผู้ชายมากกว่าผู้หญิงแต่กลับไม่เคยมีความคิดว่าอยากถูกปกป้องดูแลอย่างสตรีเพศแต่อย่างใด ออกจะเกลียดเลยด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆ อย่าทำหน้างี้ดิ พี่ล้อเล่น”
“ช่างเถอะครับ พี่กลับเข้าไปข้างในเถอะ ผมจะนั่งรับลมอยู่ตรงนี้สักพักก่อน”
“ไม่ล่ะ ขอสูบบุหรี่อยู่ตรงนี้แหละ แพงเขาไม่ค่อยชอบ บอกว่าเหม็น”
“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ชอบเหมือนกันล่ะ”
ร่างโปร่งพูดขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าเขาอยากนั่งอยู่คนเดียวมากกว่า แต่นทีกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ใบหน้าหล่อเข้มส่งยิ้มกวนๆมาให้เหมือนทุกครั้งก่อนจะหยิบยื่นแท่งนิโคตินในมือประเคนให้เขาจนถึงปาก รสชาติขมเฝื่อนปลายลิ้นแผ่ซ่าน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รัตติกาลได้ลิ้มรสของบุหรี่จากที่เคยสงสัยมาตลอดว่ามีดีอย่างไรผู้คนถึงได้เสพติดมัน
ขมจนแสบลิ้น
ควันสีเทาก็ทำให้น้ำตาคลอไหล
เขายังคงไม่เข้าใจ ว่าสิ่งเสพติดนี้มีดีตรงไหน
ทั้งที่ไม่มีอะไรให้น่าพิสมัยเลยสักนิด
แต่ถึงอย่างนั้น...
รัตติกาลก็ไม่ได้ผลักไสมือของนทีออกไป...
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
กลิ้งสามตลบแล้วกอดขาพ่อกาล!! เช่ขอโทษ!!!!! จากตอนที่แล้วรีทแม่งสาบส่งแกมากเลยอะ *จ่ายโบนัสให้*
จะสงสารก็หมั่นไส้มัน (ขนาดว่าแต่งเอง) แต่เอานะ นิยายเช่บอกเลยว่าเป็นสีเทาเข้มๆออกดำ ทุกตัวละครไม่มีขาวสะอาด
จะเทามาก เทาน้อยก็แล้วแต่กันไป เหตุผลการกระทำของกาลอีกนานๆเราคงจะรู้กัน แต่ถึงตอนนั้นเช่ว่าคนก็ด่ามันอยู่ดี คิคิ
ตอนนี้เลยเอาพี่นทีกับน้องปูนมาเปรมพ่อกาลหน่อย เรื่องที่หลายคนสงสัยว่าพ่อกาลจะ รับ หรือ รุก
อืม...... นั่นสินะ 555555555 #หัวหน้าสมาคมนิยมคนห้าว!!!
ขอบคุณทุกเม้น ทุกโหวต อ่านทุกเม้นนะคนับ ดีใจที่มีคนอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ เช่อยากได้ฟีดแบคจากทุกคนนะ
จะเอามาปรับปรุงการเขียนของตัวเองให้ดีขึ้น หวังว่าทุกคนจะพอใจกับโลกของเช่ นะคนับ!
-
ต้องมีใครกี่คนที่ต้องเจ็บปวด คนที่ตายไปแล้วชดใช้ให้ไม่ได้เหรอ
-
ชอบมากเลยค่ะ ตอนแรกไม่กล้าเข้ามาอ่านเพราะยังเห็นแค่หน้าเดียว
ประมาณว่าเจอบ่อย อ่านแล้วชอบจะมีไม่กี่หน้า แต่สักพักหาย
แต่อันนี้เข้ามาอ่านเพราะชอบแนวดราม่า และไม่ค่อยมีมาเท่าไหร่
แล้วก็ไม่ผิดหวัง ยาวมาก :L2:
อ่านแล้วสงสารพี เกิดมากำพร้า พ่อบุญธรรมยังไม่รักอีก ก็เข้าใจนะรักมากเกลียดมากแค้นมาก
แต่เด็กเขาไม่รู้เรื่องอะไร ถึงต่อไปจะรู้เหตุของการกระทำก็คงบอกได้ว่าไม่ชอบกาลอยู่ดี
อยากรู้ใครคือคนที่นิลกังวลน่ะ เขาจะเข้ามาทำอะไร รอติดตามค่ะ
-
พี่นทีกับกาลจะต้องมีซัมติ่งต่อกันแน่ๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ :hao7: :hao7: :hao7:
เราจะพยายามไม่เกลียดนายมากละกันนะกาล จะพยายามเข้าใจๆๆๆ ถึงแกจะบีบคอลูก ฮึ่มมมมมมมมมมม :z6: :beat: :m16: :m31: :angry2:
นี่พยายามใช่ป่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
-
มีคำถามนิดหน่อยค่ะ คนับ แปลว่าอะไรอ่ะคะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน 55555
ขออนุญาตวิจารณ์นะคะ แบบว่าถ้าทำให้อึดอัดหรือยังไง เราขออภัยล่วงหน้าจริงๆ เรายินดีลบเม้นท์ให้นะคะ ยิ่งพล้อตเรื่องน่าสนใจแต่รายละเอียดบางอย่างชวนขัดใจ (อาจจะเป็นแค่เรารึเปล่าไม่รู้) ทำให้เราอ่านแล้วอารมณ์สะดุดๆน่ะค่ะ :hao5:
คือเราแอบหมั่นไส้พีนิดนึง แบบ นี่เด็ก 6 ขวบจริงเหรอ พฤติกรรมคำพูดมันดูโตกว่านั้น( อาจจะสัก 8-10 ขวบ ยังพอถูไถ) พิ่งโดนคนร้ายปาดคอมา ไม่มีอาการผวา กลัว ช็อก ซึม หรืออะไรเลย แล้วโดนพ่อดุด่าแล้วมีความคิดซัยซ้อนถึงขนาดบอกว่าตัวเองผิดเอง.... แง.... มันขัดความรู้สึกง่ะ ส่วนกาล เราสับสนในตัวนายเหลือเกิน... อะไรคือการที่นายต่อยพี่ห้าว(รึเปล่า?) ด้วยความโกรธแค้น คิดว่าจะทำร้ายพี แต่พอเจอพี นายกลับดุด่าว่าเด็ก... เรางงอ่ะนาย อีกจุดเรารู้สึกว่าคนงานก่อสร้าง...มันดูตัวร้ายเหลือเกิน(แน่สิยะหล่อน มันเป็นตัวร้าย) ดูขาดมิติ คหสตถ้าเป็นคนต่างด้าว โหดๆ ไปเลย น่าจะทำให้มีมิติมากขึ้น
สู้ๆ นะคะคนเขียน เป็นกำลังใจให้ค่ะ :3123:
-
ไม่รู้จะส่งสารใครดี
-
ขอตอบเม้นคุณ ชอร์ปสติ๊ก นะคนับ! (คนับอีกแล้ว 555)
ก่อนอื่นเลยขอบคุณมากนะฮะ เม้นยาวๆเช่ชอบ ^^ อยากตอบตั้งแต่ครั้งที่แล้วแต่ไม่อยากปั่นเม้น
คำถามแรกเลย 'คนับ!' คือคำวิบัติที่เลียนแบบคำว่า 'ครับ' จ้า เช่ชอบติดเวลาคุยกับเพื่อนแต่รับรองไม่เอาลงในนิยายแน่นอน!
ต่อมาคำถามที่คลุมขาว ขอคลุมขาวตอบเหมือนกัน เพราะเกรงว่าอาจจะเป็นการสปอยได้ (มันไม่สปอยตรงๆหรอก)
ใครไม่อยากอ่านก็ข้ามไปนะคนับ ทุกอย่างจะค่อยๆเผยในเรื่องแน่นอน!
เรื่องอายุรพีเอาตรงๆเช่ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรอบเลยแหละ ฮ่าๆ แต่การที่รพีดูโตกว่าวัย ก็เป็นความตั้งใจของเช่เอง...
บอกเลยฮะ ตัวละครทุกตัวของเช่ไม่มีสีขาว รพีเองก็ไม่ใช่เด็กธรรมดาเหมือนกัน ซึ่งรพีที่เช่สร้าง คือเด็กที่มีพัฒนาการผิดปกติฮะ
พอดีเช่เรียนครูอยู่ เลยต้องเรียนจิตวิทยาเด็กเยอะ มันจะมีทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการพวกนี้ ซึ่งอาจารย์ที่สอนก็เคยเล่าถึงหลายๆเคสที่น่าสนใจให้เช่ฟัง ในเรื่องเองเช่ก็จะแทรกเรื่องพวกนี้ไปด้วย (ในคลังที่ตุนไว้ ก็มีพาร์ทที่อธิบายนิสัยของรพีแล้ว)
กังวลกับความดูไม่สมเหตุสมผลเหมือนกัน แต่เช่คิดว่าปัญหาคือเช่ยังเขียนสื่อได้ไม่ดีพอเนี่ยแหละฮะ ร้างลามาหลายปีก็เหมือนเริ่มใหม่ จะพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นนะคนับ!
ส่วนพ่อกาล :katai5: มันผีเข้าผีออกแบบนี้แหละ 5555555 แต่แน่นอนว่าทุกอย่างมีเหตุผล ความคิด บุคลิกของกาลที่ดูแปลกๆ
เช่ก็จะค่อยๆแทรกที่มาและอาการให้เห็นเหมือนกับรพี (แค่นี้ยังไม่หนักหรอกฮะ หนักๆมีกว่านี้อีก) เรื่องนี้ปมเล็กปมน้อยเยอะมาก เป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของเช่ที่ชอบวางปมจนคนอ่านสับสนและถามประจำว่าปมเยอะขนาดนี้ตอนจบลื้อจะจบยังไง 555 Nightmare เป็นนิยายที่โคตรพ่อโคตรแม่ยาวแน่ๆฮะ อาจจะเพราะเช่ร้างลามานานเลยยังเกร็งๆ บวกกับละเมียดเนื้อเรื่องเกินไป (แต่อ่านเองก็มองว่ายังชุ้ยอีกเยอะ) จะพยายามไม่ดึงเรื่องมากจนน่าเบื่อนะฮะ ขอบคุณมากเลยที่ติชมเช่มา ดีใจอะ เขินด้วย :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ส่วนเรื่องคนร้าย ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆนะเออ :z10: :z10: :z10:
มีคำถามนิดหน่อยค่ะ คนับ แปลว่าอะไรอ่ะคะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน 55555
ขออนุญาตวิจารณ์นะคะ แบบว่าถ้าทำให้อึดอัดหรือยังไง เราขออภัยล่วงหน้าจริงๆ เรายินดีลบเม้นท์ให้นะคะ ยิ่งพล้อตเรื่องน่าสนใจแต่รายละเอียดบางอย่างชวนขัดใจ (อาจจะเป็นแค่เรารึเปล่าไม่รู้) ทำให้เราอ่านแล้วอารมณ์สะดุดๆน่ะค่ะ :hao5:
คือเราแอบหมั่นไส้พีนิดนึง แบบ นี่เด็ก 6 ขวบจริงเหรอ พฤติกรรมคำพูดมันดูโตกว่านั้น( อาจจะสัก 8-10 ขวบ ยังพอถูไถ) พิ่งโดนคนร้ายปาดคอมา ไม่มีอาการผวา กลัว ช็อก ซึม หรืออะไรเลย แล้วโดนพ่อดุด่าแล้วมีความคิดซัยซ้อนถึงขนาดบอกว่าตัวเองผิดเอง.... แง.... มันขัดความรู้สึกง่ะ ส่วนกาล เราสับสนในตัวนายเหลือเกิน... อะไรคือการที่นายต่อยพี่ห้าว(รึเปล่า?) ด้วยความโกรธแค้น คิดว่าจะทำร้ายพี แต่พอเจอพี นายกลับดุด่าว่าเด็ก... เรางงอ่ะนาย อีกจุดเรารู้สึกว่าคนงานก่อสร้าง...มันดูตัวร้ายเหลือเกิน(แน่สิยะหล่อน มันเป็นตัวร้าย) ดูขาดมิติ คหสตถ้าเป็นคนต่างด้าว โหดๆ ไปเลย น่าจะทำให้มีมิติมากขึ้น
สู้ๆ นะคะคนเขียน เป็นกำลังใจให้ค่ะ :3123:
-
เจ้มจ้น
-
8th Night
…Escape...
ร่างโปร่งของรัตติกาลกำลังเดินตามหลังเด็กหนุ่มที่มองหาผักที่ตัวเองต้องการจากชั้นวางของในซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆกับหอพัก รัตติกาลหยิบมือถือของตนเองขึ้นมาเปิดเครื่องในรอบสามวัน ทันทีที่ระบบปฏิบัติการทำงานของมันเสร็จ ข้อความแจ้งเตือนสายที่ติดต่อหาเขาตลอดเวลาที่ปิดเครื่องก็ไหลเข้ามาไม่หยุด ร่างโปร่งมองดูรายชื่อของเพื่อนหลายๆคนและเบอร์ของที่บ้านด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนจะปิดข้อความเหล่านั้น เปิดหาแอพพลิเคชั่นเพื่อเช็คอีเมล์ที่ตนใช้สำหรับเรื่องงานเพื่อตรวจดูว่าเลขาสาวอย่างธิชาได้ส่งงานมาให้เขาหรือไม่ตลอดเวลาสามวันที่ไม่ได้เข้าไปทำงาน
“แปลกแหะ พี่กาลจับมือถือด้วย”
ปูนที่กำลังถือแครอทอยู่เต็มสองมือหันมาพูดกับร่างโปร่งยิ้มๆ จนรัตติกาลเอื้อมมือไปขยี้หัวทุยนั้นเบาๆอย่างเอ็นดูไม่ได้แคร์สายตาผู้คนที่มองมาอย่างสนใจแม้แต่น้อย
“เช็คงานน่ะ”
“โดดงานมาหลายๆวันไม่เป็นไรหรอครับ”
“ไม่เป็นไร ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากหรอก ยังอยู่กวนเราได้อีกหลายวัน”
“งั้นปูนขอเก็บค่าเช่าแล้วกันนะ”
“หึ เอาสิ”
เด็กหนุ่มแลบลิ้นให้เขาอย่างน่ารักก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับผักตรงหน้าต่อ พอได้ของจนครบทั้งสองคนก็เดินตามกันมาขึ้นรถของรัตติกาลที่จอดไว้ก่อนจะขับกลับไปยังหอพักของปูนที่อยู่ไม่ใกล้
ปูนเป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาที่ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ยากแค้นอะไร หอพักระดับกลางๆไม่เล็กไม่ใหญ่จึงสะดวกสบายพอให้ร่างโปร่งไม่รู้สึกอึดอัดอะไรหนำซ้ำยังมีที่จอดรถยนต์ให้ ถือว่าคุ้มค่าด้วยซ้ำกับหอพักระดับนี้
ทั้งสองคนเดินคุยกันมาเรื่อยๆจนถึงชั้นห้าที่ห้องของเด็กหนุ่มอาศัยอยู่ แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปจู่ๆรัตติกาลก็ถูกดึงแขนจนผงะถอยไปทางด้านหลังปะทะกับแผ่นอกแกร่งเข้าอย่างจังจนของในมือที่ถืออยู่ร่วงตกไปที่พื้น
“อะไรวะแม่ง!”
“ทำไมมาอยู่ที่นี่!!”
เสียงทุ้มห้าวที่เคยได้ยินเมื่อสามวันก่อนดังขึ้นเรียกความสนใจให้รัตติกาลหันไปมอง ใบหน้าคมเข้มภายใต้หนวดเครารุงรังยังคงแสดงสีหน้าโกรธขึงใส่เขาเหมือนกับทุกครั้งที่เผชิญหน้า รัตติกาลเผลอแสดงสีหน้างงงวยใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อจู่ๆคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกกลับมายืนทำหน้าถมึงทึงใส่เขาอยู่ตรงนี้
“นาย...”
“หายตัวไปสามวัน ปิดมือถือใครก็ติดต่อไม่ได้ ทำคนอื่นเดือดร้อนตามหากันให้วุ่น หึ สุดท้ายกลายเป็นว่ามากกอยู่กับเด็ก”
ร่างสูงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้อหยันก็จะปรายตามองเด็กหนุ่มที่อยู่กับรัตติกาลด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ร่างโปร่งสะบัดมือของอีกฝ่ายทิ้งก่อนจะเดินมายืนบังปูนไว้ทั้งตัวเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่เสียไปนิดเมื่อถูกว่ากระทบเพราะเขา
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่นายจะเข้ามายุ่ง”
“ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งนักหรอก แต่กูต้องมาเดือดร้อนเพราะมึงแค่ไหนรู้บ้างไหม ทำตัวแบบนี้แล้วยังมีหน้าไปด่าลูกว่าชอบสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น หึ ไม่ดูตัวเองเอาซะเลย”
ปูนที่ยืนฟังอยู่เงียบๆหน้าเจื่อนไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่าลูกออกมาจากปากชายร่างสูงตรงหน้าที่เหมือนจะเป็นคนรู้จักของรัตติกาลที่นิ่งไปเหมือนกัน คำพูดส่อเสียดไม่ได้ทำให้ร่างโปร่งเจ็บปวดมากเท่าการคิดถึงเรื่องของเด็กชายที่เขาพยายามหนีมาตลอดสามวันซึ่งถูกขุดคุ้ยออกมาด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
อารัณย์หยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาก่อนจะกดโทรออกพร้อมกับจ้องหน้ารัตติกาลไปด้วยราวกับว่าถ้าหันหน้าหนีไปคนคนนี้จะหายไปอีก เสียงรอสายดังรอไม่นานนัก อีกฝ่ายที่เขาโทรหาก็กดรับอย่างรวดเร็ว
“ไอ้คุณตำรวจ กูเจอแม่งแล้ววะ”
“...”
“ก็ไอ้คุณกาลห่าเหวอะไรของมึงนั่นแหละ เสียเวลาหาตั้งนานเสือกอยู่ใต้จมูก เจอแม่งกกอยู่กับเด็กที่อพาร์ทเม้นท์เดียวกับกู”
“...”
“ไม่ต้อง รอแม่งอยู่นั่นแหละเดี๋ยวกูลากมันไปเอง”
ร่างโปร่งไม่อยากอยู่รอฟังจนจบบทสนทนาตั้งแต่ได้ยินว่าอีกฝ่ายคือใคร รัตติกาลหันกลับก่อนจะดันหลังให้ปูนเดินไปที่ห้อง เด็กหนุ่มที่พอจะดูออกว่ารัตติกาลไม่อยากจะอยู่คุยกับคนน่าสงสัยคนนี้ต่อเลยรีบหยิบกุญแจห้องแล้วไขประตู แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินเข้าไป มือแกร่งของอารัณย์ก็คว้าหมับเข้าที่ลำคอของรัตติกาลเต็มแรงก่อนจะดึงให้ร่างโปร่งที่กำลังเดินหนีหันหน้ามาเผชิญหน้ากับตน
“สัส! ปล่อย!!!”
ถึงแม้จะเจ็บที่ต้นคอแต่รัตติกาลก็เลือกที่จะข่มความเจ็บนั้นไว้แล้วหันไปกัดฟันพูดใส่อีกฝ่ายอย่างแค้นเคือง แต่ร่างสูงกลับไม่สะทกสะท้าน ชายหนุ่มเตรียมจะปล่อยหมัดใส่คนตรงหน้าแต่อารัณย์ก็ไวกว่า เขาคว้าเอาข้อมือบางข้างหนึ่งเอาไว้ด้วยมือข้างเดียวก่อนจะดันร่างกายสูงโปร่งที่เล็กกว่าตนหันหน้าอัดเข้ากำแพงโดยไม่สนใจเลยว่าการกระทำของตนเองจะทำให้อีกฝ่ายร้องออกมาด้วยความเจ็บ
“อึก สัส ปล่อยสิวะ!!”
“คุณทำอะไรพี่กาลน่ะ ปล่อยนะ!!”
เด็กหนุ่มที่เห็นรัตติกาลโดยกระทำแบบนั้นก็หลงลืมความกลัวเดินเข้าไปหาคนที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองมากพร้อมกับตวาดเสียงดัง มือเรียวยกขึ้นพยายามจับแขนของอีกฝ่ายที่บีบรัดคอของร่างโปร่งเอาไว้ให้คลายออกเพราะสีหน้าของรัตติกาลเริ่มไม่สู้ดี แต่จะมีหรือที่คนตัวเล็กๆอย่างปูนจะทำอะไรอารัณย์ได้ ร่างสูงทำเพียงเปรยตามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกดดันเย็นชา
“คนนอก...อย่าเสือก”
“ไม่ต้องไปว่ามัน อึก มึงเองก็คนนอก เลิกเสือกกับกูสักที!!”
“หูหนวกหรอแม่ง กูก็บอกอยู่ว่าเพราะมึงกูถึงเดือดร้อน คิดว่ากูอยากเสือกเรื่องมึงนักรึไง หมดเรื่องเมื่อไหร่ไม่ต้องโผล่หน้ามาให้กูเห็นเลยสัส”
อารัณย์ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ เขากระชากตัวรัตติกาลให้เดินตามกันออกมาก่อนจะลากให้เดินลงบันไดไปทั้งอย่างนั้น แม้ร่างโปร่งจะดิ้นรนมากแค่ไหนแต่เพราะเรี่ยวแรงที่มากกว่าก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น รัตติกาลหวิดตกบันไดอยู่หลายครั้งแต่อารัณย์ก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด มีเพียงปูนที่วิ่งตามมาด้วยมองตามด้วยความเป็นห่วง จนอารัณย์ลากร่างโปร่งมาถึงที่จอดรถเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจวิ่งไปขวางหน้าไว้
“คุณจะพาพี่กาลไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้”
“พูดไม่รู้เรื่องไงวะ กูบอกว่าเสือก!!”
“แต่พี่กาลเขาไม่ได้เต็มใจไปกับคุณ!”
“กูไม่สนใจว่ามันจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ก็รู้แต่ถ้ามันไม่ไปกับกู กูก็ยังจะติดคดีอยู่อย่างนั้น จะไปทำงานก็ทำไม่ได้ ถ้ากูรวยขนาดงอมืองอเท้าได้อย่างมันกูคงไม่ต้องมาเที่ยวตามหามันงงๆตลอดสามวันแบบนี้หรอก!!”
“...”
“แล้วก็นะ กูจะบอกอะไรให้มึงหายโง่สักหน่อยนะไอ้หนู... ไอ้เวรนี่มันมีลูกมีเมียแล้ว ถ้าอยากหาคนรวยๆเกาะแดกก็ไปหาเอาที่อื่นเถอะวะ”
คำพูดของอารัณย์เหมือนฝ่ามือหนาตบเข้าใบหน้าของปูนจนชา แม้จะรู้ดีว่ารัตติกาลไม่ได้จริงจังกับเรื่องของตนเองแต่การมารับรู้ว่าอีกฝ่ายมีครอบครัวแล้วเขาคงไม่สามารถโกหกได้ว่าไม่รู้สึกอะไร
“มีเรื่องกับกูก็ด่ากู เรื่องนี้ปูนไม่เกี่ยว!”
ฝ่ายรัตติกาลเองพอได้ยินอารัณย์พูดแบบนั้นก็รู้สึกผิดจับใจที่ปูนต้องถูกคนถ่อยนี่ด่าทอว่าเป็นพวกหิวเงินทั้งที่ไม่ใช่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักหรือแม้แต่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายแต่เขาก็รู้สึกขอบคุณเด็กหนุ่มจากใจจริงที่ยอมเป็นที่พักพิงให้เขากอบโกยความสบายใจอยู่ฝ่ายเดียวอย่างเห็นแก่ตัว
“ถ้าไม่อยากให้กูด่าแม่งก็ไปขึ้นรถ ไม่งั้นกูจะป่าวประกาศให้รู้ไปทั่วว่าไอ้หน้าอ่อนนี่เป็นเด็กมึง”
ร่างโปร่งกัดฟันอย่างเจ็บแค้น ทั้งที่ไม่อยากจะไปแต่ก็ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ปูนมากไปกว่านี้ มืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ล้วงหยิบกุญแจรถออกจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดรีโมทเพื่อปลดล็อค อารัณย์เห็นดังนั้นก็จับลากร่างโปร่งให้เดินไปรถหรูที่เพิ่งปล่อยไฟกระพริบออกมา แต่ยังไม่ทันจะไปถึงรถ ร่างกายสมส่วนของปูนก็วิ่งมาขวางทางไว้อีกครั้ง
“ถ้าพี่ไม่อยากไปก็บอกว่าไม่อยากไป ไม่ต้องห่วงผม ผมไม่เป็นอะไร”
“ปูน...”
“ผมไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว พี่ก็รู้”
“...”
“...”
“พี่...ขอโทษ”
สิ้นเสียงนั้นร่างสูงก็จับรัตติกาลเข้าไปนั่งในที่ข้างคนขับก่อนตนเองจะเดินอ้อมมานั่งอีกฝั่งแล้วออกรถไปทันทีโดยไม่สนใจเด็กหนุ่มที่มองมายังรัตติกาลด้วยสายตาปวดร้าว ร่างโปร่งมองร่างของปูนผ่านกระจกมองหลังจนลับตาก่อนจะเบือนหน้าหันไปมองข้างทางด้วยเพราะไม่อยากจะเห็นหน้าของเจ้าคนถ่อยนี่แม้แต่สักวินาที
“หึ แค่นี้ทำเป็นจะเป็นจะตาย”
“หุบปากแล้วขับไปซะ”
ร่างสูงเหยียดยิ้มก่อนจะเหยียบคันเร่งให้แรงขึ้นอีก รถยนต์คันหรูขับไปตามถนนอย่างรู้ทางโดยที่เจ้าของบ้านไม่ต้องบอก ตอนแรกรัตติกาลค่อนข้างแปลกใจอยู่เหมือนกันแต่พอคิดได้ว่าตลอดเวลาที่เขาหายไปกว่าสามวันแล้วจากบทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อครู่ ร่างสูงเองก็คงเป็นอีกคนที่คอยตามหาเขาจึงไม่น่าแปลกที่อารัณย์อาจจะเคยมาที่บ้านของตน
อารัณย์ตบไฟเลี้ยวก่อนจะหักพวกมาลัยเข้าไปในรั้วบ้านหลังใหญ่ที่ประตูบ้านเปิดอ้าไว้คอยผู้เป็นเจ้าของให้กลับมา ช่วงขายาวเหยียบเบรกอย่างรุนแรงจนตัวของรัตติกาลดันกระแทกไปทางด้านหน้า ใบหน้าหวานคมหันมามองอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้นแต่ก็ไม่อยากแม้แต่จะเสวนากับคนป่าเถื่อนแบบนี้อีก
“คุณกาลกลับมาแล้วจริงๆด้วย”
เสียงเรียกของจันทร์ดึงสติของร่างโปร่งกลับมา หญิงแก่ในชุดแม่บ้านรีบเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมกับสีหน้าที่แสดงถึงความเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลกลับไม่อยากจะก้าวลงไปเผชิญหน้ากับจันทร์เลยสักนิด
ทั้งกลัว สับสน และผิดหวัง ความรู้สึกเหล่านี้ลอยวนอยู่เต็มอก มือเรียวจับที่เปิดประตูแต่ก็ยังไม่มีความกล้าพอที่เปิดมันออกไป ความเงียบนิ่งของร่างโปร่งอยู่ในสายตาของอารัณย์ที่มองมานิ่งๆ แต่ร่างสูงก็ไม่ได้คิดจะรอจนกว่ารัตติกาลจะทำใจได้ เขาเอื้อมตัวไปด้านที่นั่งข้างๆก่อนจะเปิดประตูให้เองอย่างถือวิสาสะ จนรัตติกาลหันมามองหน้าอีกฝ่ายที่อยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหน้า
ดวงตาคมเข้มของอีกฝ่ายกำลังจ้องมองนัยน์ตาของเขาอย่างจริงจัง มันไม่มีความโกรธแค้นหรือกวนประสาทอย่างที่เคยเป็น มีเพียงสายตาที่เรียบนิ่งและดุดันจนรัตติกาลไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“คนเราทำอะไรไว้ก็ต้องกล้ารับ”
“...”
“มึงหนีความจริงไปได้ไม่ตลอดหรอก เผชิญหน้ากับมันซะ”
หลังจากพูดจบร่างสูงก็ถอยกลับไปก่อนจะเปิดประตูฝั่งของตนออกบ้าง อารัณย์ยกมือไหว้จันทร์ที่ส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะหันไปมองประตูฝั่งข้างคนขับที่ถึงแม้จะปลดล็อคออกมาแล้วแต่เจ้านายของเธอก็ยังไม่ก้าวลงมา
รัตติกาลนั่งนิ่งคิดถึงคำพูดของอารัณย์ที่พูดทิ้งไว้เมื่อครู่ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนังสือที่เปิดกว้างอยู่บนฝ่ามือของฝ่าย ถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง ถึงจะเจ็บใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เป็นเพราะสิ่งที่เขาทำเขาถึงได้สูญเสียสายสัมพันธ์กับคนรอบข้าง อยากจะหนีไปให้ไกลๆแต่ตัวเขาก็รู้ดีว่าเรื่องมันไม่มีทางจบ ถึงจันทร์จะทำดีกับเขาเหมือนเคยแต่รัตติกาลก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางเหมือนเดิม
ร่างโปร่งรู้ดีว่าจะนั่งอยู่แบบนี้ตลอดไปไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูแล้วก้าวลงมาจากรถ มองหน้าจันทร์ที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาเป็นห่วง มีเรื่องมากมายที่เขาอยากจะพูด อยากจะอธิบายให้เข้าใจแต่มันกลับพูดไม่ออก หญิงแก่ที่ใช้ชีวิตมาเนิ่นนานรู้ดีจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดทำลายความเงียบให้แทน
“กินอะไรมารึยังคะ ป้ากำลังเตรียมข้าวเย็นอยู่เลย”
“กินมาแล้วครับ”
อารัณย์รู้ว่ารัตติกาลกำลังโกหก ภาพของที่ร่างโปร่งและเด็กนั่นกำลังหอบหิ้วของสดบ่งบอกได้ดีว่ารัตติกาลยังไม่ได้ทานอะไรมาแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจ ไม่ว่าคนคนนี้จะกินหรือจะลีลาต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องของเขา
“ไอ้ตำรวจมาถึงรึยังครับป้า”
“ยังเลยค่ะ คุณชาติโทรมาบอกว่าจะเข้ามาพร้อมกับนิลทีเดียวเลย คุณรัณย์เองก็อยู่ทานอะไรด้วยกันก่อนนะคะ”
จันทร์เอ่ยชวนร่างสูงอย่างสนิทชิดเชื้อ ตลอดสามวันที่เขาไม่อยู่คนพวกนี้คงสนิทสนมกันมากขึ้นพอตัว และแม้แต่นิลเองก็คงจะเหมือนกัน ความรู้สึกเจ็บเสียดแทงไปทั่วทั้งอก ความรู้สึกว้าเหว่ทำให้เขาอยากหนีไปจากตรงนี้เต็มทน จึงเอ่ยปากบอกกับจันทร์ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนกับใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมา
“ผมขอตัวขึ้นไปบนห้องก่อน ถ้าตำรวจมาถึงแล้วให้คนขึ้นไปตามแล้วกัน”
“คุณกาลคะ เดี๋ยวก่อนค่ะคุณกาล”
รัตติกาลไม่สนใจเสียงของจันทร์ที่ร้องเรียก ช่วงขายาวเดินขึ้นไปบนห้องของตนพร้อมกับกดล็อคประตูทันทีที่เดินเข้ามา ร่างโปร่งทรุดนั่งลงบนพื้นพรมอย่างเหนื่อยล้า ทั้งที่ที่นี่คือบ้านของเขาแต่รัตติกาลกลับรู้สึกอึดอัดจนน่าแปลกใจ เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาในบ้านหลังนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว..
.
.
.
.
ร่างสูงปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปโดยที่ตัวเองหยุดนิ่ง จนท้องฟ้าสีครามค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีทองส้ม เสียงเครื่องยนต์รถดังขึ้นมาจากข้างล่างทำให้รัตติกาลรู้ว่าผู้มาเยือนได้มาถึงแล้วแต่เขาก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปจนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“กูเอง”
เสียงของนิลดังออกมาจากอีกฝากฝั่งของประตู ตามปกติเขาคงเปิดมันออกไปอย่างไม่ลังเลแต่ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เผชิญหน้ากับจันทร์ทำให้ร่างโปร่งเอาแต่มองลูกบิดประตูนิ่งไม่ได้ขยับไปไหน
“กูเป็นห่วงมึงนะไอ้กาล”
ร่างสูงของนิลเอ่ยออกมาเพราะรู้ว่าเพื่อนของตนกำลังคิดอะไรอยู่ เวลาสามวันที่รัตติกาลหายไปนั้นไม่ได้เยียวยาความรู้สึกของร่างโปร่งเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำความห่างเหินกับคนรอบตัวกลับกว้างขึ้นจนเขาคิดค้านคำพูดของนายตำรวจหนุ่มที่เคยพูดเอาไว้ว่าการหนีปัญหาไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร
การที่รัตติกาลทำตัวเหมือนอยู่คนเดียวบนโลกแบบนี้หรอ
ที่เรียกว่าไม่แย่ลงกว่าเดิม?
บานประตูค่อยๆเปิดออกพร้อมกับร่างของรัตติกาลที่ยืนนิ่งอยู่อีกฝากฝั่ง สีหน้าเรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ หรือทรมานแค่ไหน แต่ครั้งนี้มันกลับดูเงียบเหงาจนคนเป็นเพื่อนรู้สึกใจหาย
ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้
เขากลับรู้สึกเหมือนตัวตนของรัตติกาลกำลังหายไป
ความรู้สึกไร้ตัวตน มันเป็นแบบนี้เองหรอ...
นิลเอื้อมคว้าร่างโปร่งเข้ามากอด พยายามถ่ายทอดความอบอุ่นและความเป็นห่วงเต็มหัวใจให้อีกฝ่ายรับรู้ อยากให้รัตติกาลนึกให้ออกว่าที่ผ่านมาเคยสำคัญกับเขายังไงวันนี้ก็ยังคงสำคัญเหมือนอย่างวันนั้น ไม่ว่าจะเคยผิดใจหรือโกรธเคืองกันแค่ไหนความหวังดีที่เคยให้ก็ไม่ลดลงเลยสักนิด
ร่างสูงรู้ตัวว่าทำผิด ผิดที่ไม่ตามรัตติกาลไปตั้งแต่ตอนนั้น เขาเลือกที่จะทิ้งให้รัตติกาลที่กำลังบอบช้ำเผชิญปัญหาแต่เพียงลำพัง ต่อให้แก้ตัวว่าต้องดูแลรพีก็ชดเชยกันไม่ได้ เขาชะล่าใจคิดว่าร่างสูงจะยังพยุงตัวเองอยู่ได้เขาถึงได้เลือกที่จะเข้าไปช่วยรพีก่อน แต่พอหันหลังกลับมา จิตใจของรัตติกาลก็จมดิ่งไปจนเขาสัมผัสไม่ถึง
“กูขอโทษ... ขอโทษจริงๆ”
“...”
“กลับมานะกาล กลับมาหากู”
“กูก็อยู่นี่แล้วไง”
“ไม่ใช่.. มันไม่ใช่แบบนี้”
“แล้วแบบไหนล่ะที่มึงอยากได้..นิล”
รัตติกาลผละนิลออกก่อนจะยิ้มชืดให้อีกฝ่าย นิลมองดูรอยยิ้มนั้นแล้วได้คิดว่าไม่มีครั้งไหนเลยในชีวิตที่เขาอยากเห็นรัตติกาลร้องไห้เท่าตอนนี้
รอยยิ้มที่ทั้งสวยงามและว่างเปล่า
มันไม่เหมาะกับเพื่อนรักของเขาเลย
“รัตติกาล ก็คือ รัตติกาล”
“...”
“กลางคืนที่สดใสน่ะ...มันก็มีแต่ในฝันเท่านั้นแหละ”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
จริงๆเรื่องนี้แอบตอบเม้นท์ในเล้าไปแล้ว แต่ขอพูดรวมๆอีกทีนะคนับ! เรื่องนิสัยตัวละครที่บางทีดูไม่สมเหตุสมผล
เนื้อเรื่องต่อๆไปจะมีการพูดถึงสาเหตุต่างๆด้วย เรื่องนี้เช่จั่วหัวว่าเป็น PSYCHO DRAMA มันอาจจะไม่ใช่นิยายจิตจัดๆ
แต่เช่อยากจะแทรกเรื่องของจิตวิทยาไปด้วย มันยาก T^T แต่เช่ก็อยากจะทำมันให้สำเร็จ ฝีมืออาจจะยังไม่ถึงขั้นแต่จะ
พยายามทำให้ทุกคนไม่ผิดหวังนะคนับ!
เริ่มมีคนอ่านนิยายเช่เยอะขึ้นแล้ว จากตอนแรกๆที่ลงแทบไม่มีคนเข้ามาดู บอกเลยว่าขอบคุณมาก เพราะเกือบถอดใจไปแล้ว
นิยาย Nightmare เป็นเหมือนบทพิสูจน์สำหรับเช่บทหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีค่ามาก ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่เช่อยากให้เกิด
ก็คืออยากให้มีคนคิดว่า "นิยายเรื่องนี้ดีจังเลยนะ" อะไรแบบนี้ ทางยังอีกยาวไกล แต่ก็จะสู้ต่อนะฮะ^^
สุดท้ายขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต ติชมได้ พรุ่งนี้ไม่แน่ใจว่าจะมาอัพได้ไหม ทั้งสอบทั้งทำงานร่างสิ้นมาก T^T
อัพได้ไม่ได้ยังไงจะแจ้งทางเพจอีกทีนะคนับ! https://www.facebook.com/pages/Vivace-Story/1449951678656400
ปล. คุณชอร์ปสติ๊กฮะ เช่ตอบเม้นคุณไว้แล้วอยู่ข้างนะฮะ ^^ :-[ :-[ :-[
-
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะครับ....สู้สู้ ครับ :L2:
-
ดีแล้ว
-
งื้อออ TT บางมุมก้อรู้สึกว่าตัวเองไปยืนอยู่ตรงนั้น
การอยู่เหมือนไร้ตัวตน มันยากจิงๆเนาะ
-
มาจาก ครับ นี่เอง.. เราก็แบบ อะไร.. คำนับ เอ๊ะ แล้วคำนับทำไม...หรือยังไง :o12: (เกลียดตัวเองแปป)
โอเคค่ะ เราเข้าใจความตั้งใจคุณครูเช่กระจ่างแจ้งแล้ว ตอนนี้กาล...สุดๆ ไปเลยนะนาย นายมีปมอะไรแย่กว่าแอบมีซัมติงกับพี่นทีและแฟนสาวซึ่งเป็นพี่รหัสของนาย(ขอโทษนะคะ เราจำชื่อเธอไม่ได้ YY) เขามีลูกกัน เอาลูกมาให้นายเลี้ยง ทำชีวิตนายพัง... แต่เอ๊ะ เราเห็นนายก็ยังอยู่อย่างสบายอยู่ดีนี่นา มีบ้าน มีงานดีๆ แล้วมีป้าจันทร์ที่เป็นคุณป้าแม่บ้านแสนดีดูแลพีให้นายอีก นายมีเพื่อนแบบคุณนิล(ที่เราอวย อิอิ) ที่เศร้าเสียใจหรืออะไร นายทำตัวเองทั้งนั้น เราไม่สงสารนายนะ แต่ก็เฉยๆ ไม่ได้เกลียดนาย (คุณครูเช่อย่าเพิ่งงอนเรานะ เราสัญญาจะเป็นแฟนคลับที่ดีของคุณนิล) ถ้าขืนนายยังเป็นแบบนี้ต่อไปเราจะเชียร์ให้คุณนิลพานายไปหาหมอนะกาล(หรือนายเคยไปมาแล้ว....) แล้วรู้อะไรมั้ยกาล เมื่อนายไม่มีความสุขในชีวิต ไม่ใช่นายคนเดียวที่เจ็บปวด คนรอบตัวนายเจ็บเหมือนๆ กัน นายไม่เห็นแก่เด็กก็เห็นแก่ป้าจันทร์หรือคุณนิลเหอะ อย่าทำให้เขาไม่สบายใจเพราะความเอาแต่ใจของนายเลย... สำคัญที่สุดนายยังมีพี่ห้าว(ซึ่งใช่คนเดียวกับอารัณย์รึเปล่าไม่รู้....) อีกคนนะ รีบๆลุกได้แล้วกาล เราว่าคนรอบตัวช่วยฉุดนายจนเบื่อละ(ได้ข่าวนี่เพิ่งผ่านมา 8 ตอน) 55555
สู้ๆค่ะคุณครูเช่ เราจะติดตามตอนต่อไปและเป็นแฟนคลับคุณนิลอย่างเหนียวแน่น... :กอด1:
ปล. เห็นน้องปูนตอนนี้แล้วนี่ขึ้นมาเลยค่ะ #ฉันรักผัวเขา 555555 ขำๆนะคะคุณครูเช่ :o8:
-
โดยส่วนตัวเราชอบแนวแบบนี้นะ เป็นคนชอบอะไรซับซ้อนจนคนรอบข้างไม่ค่อยเข้าใจเรา ติดตามจ้า :katai2-1:
-
9th Night
…Make up...
“ถือว่าคุณกาลรับรู้เป็นที่เรียบร้อยนะครับ ว่านายอารัณย์ที่เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีลักพาตัวและทำร้ายร่างกายเด็กชายรพี พัฒนเดชา ผ่านการสืบสวนในเบื้องต้นแล้วว่าไม่มีความผิดจริง ถือว่าพ้นการเป็นผู้ต้องสงสัย ส่วนผู้ต้องหาตัวจริงที่เหลือทั้งสามคนทางเราจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้จนถึงที่สุด”
นายตำรวจหนุ่มอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้รัตติกาลฟัง ณ บริเวณห้องนั่งเล่นของบ้านโดยมีทั้ง อารัณย์ นิล และจันทร์นั่งฟังอยู่อย่างพร้อมเพรียงกัน ร่างโปร่งพยักหน้าอย่างตอบรับก่อนจะติดต่อทนายส่วนตัวให้ไปจัดการเรื่องที่เหลือทั้งหมดตามครรลองของกฎหมายอย่างที่ควรจะเป็น
ฤทธิชาติส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน ไม่ได้ตำหนิอะไรที่อีกฝ่ายหนีหายไปกว่าสามวันจนทั้งคนทางบ้านและเขาต้องออกติดตามตัวเสียยกใหญ่ ยังดีที่ไม่ถือเป็นคดีเพราะนิลเลือกที่จะไม่แจ้งความคนหายเนื่องจากรู้ดีว่ารัตติกาลแค่หลบไปพัก สามารถดูแลตนเองได้ แต่ก็คงดูได้แต่ตัวเท่านั้น ดวงตาที่ว่างเปล่าแสดงให้เห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่หายไปในช่วงเวลาสามวัน และร่างสูงก็รู้ดีว่าคนที่จะรู้สึกผิดที่สุดคงไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเพื่อนสนิทอย่างนิลที่เอาแต่จ้องมองรัตติกาลไม่ห่างตั้งแต่พากันลงมาจากชั้นสองของบ้าน
“นี่ก็ใกล้เวลาที่คุณพีจะกลับมาจากโรงเรียนแล้ว คุณๆก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะคะ ป้าเตรียมไว้ให้แล้ว”
สามคนยกเว้นรัตติกาลตอบรับ มีเพียงแต่ร่างโปร่งที่ยังไม่ได้พูดอะไร จันทร์มองคุณหนูของเธอด้วยความรู้สึกเป็นห่วง จนกระทั่งรัตติกาลลุกขึ้นก่อนจะหันมาพูดกับจันทร์ที่นั่งมองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ผมไม่ค่อยหิว อยากจะพัก ใครจะทำอะไรก็ตามสบายแล้วกัน”
“เดี๋ยวสิวะไอ้กาล”
“พ่อ!!!”
ในขณะที่นิลพยายามรั้งเพื่อนของตนไว้ เสียงเรียกของรพีก็ดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน เด็กชายตัวน้อยในชุดนักเรียนโรงเรียนอนุบาลวิ่งเข้าพร้อมกับโยนสัมภาระทิ้งไว้ตามทางอย่างไม่สนใจอะไรนอกจากการวิ่งเข้าไปสวมกอดท่อนขาของผู้เป็นพ่อด้วยน้ำตานองใบหน้า
“พีขอโทษ ฮึก พ่อกาลกลับบ้านนะ ฮึก พ่อกาลอย่าทิ้งพีไปไหนนะ”
รพีร้องไห้จนตัวสั่น รัตติกาลมองดูร่างของเด็กชายที่บัดนี้รอยฟกช้ำต่างๆจางหายไปมากจนแทบมองไม่เห็น ยกเว้นแต่รอยแผลตรงลำคอที่เกิดจากของมีคมและฝ่ามือของเขาที่ยังคงเหลืออยู่ ทั้งที่ผู้ใหญ่ยังอยากให้เด็กชายรักษาตัวอยู่ที่บ้านแต่รพีก็ยังคงดึงดันทีจะไปจนจันทร์ต้องเป็นคนจัดหาผ้าพันคอมาพันไว้ให้ระหว่างที่รพีต้องไปโรงเรียน
“ปล่อย...”
น้ำเสียงเย็นชาไม่แพ้แววตาเอ่ยขึ้นในขณะที่จับจ้องไปยังร่างป้อมเบื้องล่าง เด็กชายที่เฝ้าแต่โทษตัวเองมาตลอดกลัวจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้แต่ก็ยังไม่ก้าวถอยกลับไป รัตติกาลรู้สึกได้ถึงสายตาทุกคู่ในห้องจ้องมองมายังพวกเขาไม่กระพริบ ความอึดอัดรัดแน่นจนหายใจไม่ออก ความชิงชังที่สุมอยู่ในอกยังไม่จางหายไป รัตติกาลครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา สิ่งที่เขาได้ทำและได้รับมา ตลอดสามวันที่หายไปมันนานพอที่ทำให้เขาได้เรียนรู้แล้วจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง...
“พ่อกาลยังโกรธพีอยู่หรอฮะ พีขอโทษจริงๆ พีสัญญาว่าพีจะไม่ดื้อไม่ซน ฮึก แต่พ่อกาลกลับมาอยู่บ้านเรานะ อย่าทิ้งพีไว้คนเดียว”
“พ่อบอกให้ปล่อย...”
“คุณกาลคะ”
จันทร์ร้องเตือนออกมาด้วยความกังวลว่ารัตติกาลจะทำร้ายรพีอีก ร่างโปร่งเปรยตามองทุกคนในบ้านก่อนจะทำบางอย่างที่ทุกคนไม่คาดคิด
รัตติกาลก้มตัวลงสวมกอดรพีไว้เต็มอ้อมแขน ฝ่ามือบางที่ไม่เคยสัมผัสกำลังลูบไปตามกลุ่มผมนิ่มเบาๆอย่างอ่อนโยนเป็นครั้งแรก รพีรู้สึกแน่นไปทั้งอก ความรู้สึกที่โหยหามาตลอดหกปีกำลังรายล้อมอยู่รอบๆตัวเขาจนพูดไม่ออก
“พ่อขอโทษ...ที่คอเจ็บมากไหม”
“พะ พ่อกาล...”
“ขอโทษนะที่ไม่ยอมฟังอะไรเลย ขอโทษที่ทำร้ายพี พ่อผิดเอง”
“ไม่ ฮึก พ่อกาลไม่ผิด พีผิดเอง พีดื้อกับยายจันทร์ เพราะพีเอง ฮึก”
“พอได้แล้ว ไม่ต้องร้อง”
ร่างสูงตบบ่าเล็กที่สั่นสะท้าน ในขณะที่รพีเอาแต่ยิ้มร่าทั้งน้ำตา พลอยทำให้สาวใช้และจันทร์ที่ยืนมองยิ้มออกมาพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า มีเพียงคนสามคนเท่านั้นที่มองภาพดังกล่าวด้วยความรู้สึกแตกต่างกันออกไป ฤทธิชาติยังคงยกยิ้มเช่นเคยแต่ดวงตานั้นกลับไม่ยิ้มตามเหมือนกับนิลที่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาเป็นคลื่นใต้น้ำที่ไม่มีใครดูออก
ในชั่วขณะที่ที่รัตติกาลละสายตาจากรพี เขาก็ได้สบตาเข้ากับอารัณย์ที่มองมาราวกับรู้ความคิดของเขา ร่างโปร่งส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะรู้สึกผิดอย่างที่เจ้าตัวคิดว่าแนบเนียนที่สุดแล้ว
“ขอบคุณจริงๆนะครับ ที่คุณช่วยรพีเอาไว้”
ร่างสูงไม่คิดจะพูดตอบรับคำขอบคุณของอีกฝ่าย เขาทำเพียงแค่ยืนนิ่งมองการกระทำตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนจันทร์จะพาทุกคนไปยังโต๊ะอาหารที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว รพีรีบพาพ่อของตนมานั่งที่หัวโต๊ะก่อนจะพยายามปีนขึ้นเก้าอี้ แต่รัตติกาลกลับเป็นฝ่ายอุ้มเด็กชายขึ้นไปส่งให้แทนเรียกรอยยิ้มกว้างจากรพีพร้อมกับเสียงบอกขอบคุณอย่างฉะฉานมีชีวิตชีวา ส่วนนิล ฤทธิชาติ และอารัณย์ก็นั่งลงตามๆกัน ภาพของทุกคนที่กินกันพร้อมหน้าอย่างมีความสุข เป็นภาพที่จันทร์อยากเห็นมาตลอดชีวิต หากนับตั้งแต่ที่เจ้านายทั้งสองของเธอเสียชีวิตไปนี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสได้ถึงความเป็นครอบครัวในห้องอาหารแห่งนี้
รพีคอยตักอาหารให้รัตติกาลอย่างเอาใจ จนร่างโปร่งต้องหันไปดุให้เด็กชายหันไปกินเองบ้าง จันทร์คอยเดินเติมข้าวและอาหารให้ทุกคนเมื่อพร่องลงไปด้วยรอยยิ้ม จนเวลาล่วงเลยไปกว่าชั่วโมงมื้ออาหารที่ยาวนานนี้จึงสิ้นสุดลงก่อนที่รัตติกาลและรพีจะเดินมาส่งแขกผู้มาเยือนทั้งสามคนให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ
“ขอบคุณที่เป็นธุระให้ตลอดนะครับคุณชาติ ยังไงพรุ่งนี้ทนายของผมคงเดินทางไปหาคุณที่โรงพักเพื่อจัดการเรื่องคดีที่เหลือทั้งหมด”
“ไม่เป็นไรครับ ตำรวจไทยยินดีรับใช้ประชาชนเสมออยู่แล้ว แต่ทางที่ดีก็อย่ามีเรื่องให้ต้องมาเจอผมบ่อยๆแล้วกัน”
นายตำรวจหนุ่มพูดติดตลกก่อนจะไขกุญแจรถเข้าไปนั่งรอ โดยที่จะมีอารัณย์ติดรถออกไปด้วยกันแต่ร่างสูงใหญ่นั้นยังคงยืนนิ่งมองหน้ารัตติกาลอย่างไม่วางตา
“ผมขอขอบคุณคุณอีกทีนะครับที่ช่วยพีไว้ ขอโทษด้วยกับเรื่องเข้าใจผิดทุกอย่าง”
ร่างโปร่งเอ่ยย้ำอีกครั้งอย่างจริงใจ รพีเองก็ได้เอื้อมมือเล็กๆของตนขึ้นไปกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่ามากให้หันกลับมามอง
“น้ารัณย์ๆ”
“ว่าไงครับ”
อารัณย์ก้มมองก่อนจะทรุดตัวลงนั่งให้อยู่ระดับเดียวกันกับคนตัวเล็กกว่าก่อนจะยิ้มให้เด็กชายอย่างอ่อนโยน รัตติกาลเอาแต่มองรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าแบบนี้ให้เห็นอย่างครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็นึกเคลงใจในความสนิทสนมของทั้งสองคนที่ดูท่าจะก่อเกิดขึ้นมาไม่น้อยในขณะที่เขาไม่อยู่ที่บ้าน
“พ่อกาลขอโทษน้ารัณย์แล้ว น้ารัณย์จะหายโกรธพ่อกาลได้รึยัง”
“ก็นะ... ถ้าพ่อเราเขาจะไม่ทำร้ายเราอีก”
อารัณย์พูดประโยคนั้นพร้อมกับเงยหน้ารัตติกาลที่มองมาด้วยรอยยิ้ม สำหรับรพีคงไม่ได้สังเกตอะไร แต่ร่างโปร่งรู้ดีว่าคำพูดนั้นคือคำเตือนที่ร่างสูงส่งมาถึงเขา อย่างที่คิดเลย แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูดิบเถื่อนแต่ผู้ชายคนนี้ฉลาดใช่เล่น
รัตติกาลเกือบจะเก็บรอยยิ้มร้ายๆไว้แทบไม่ทันเมื่อนึกถึงความสนุกที่รออยู่ตรงหน้า หากนี้คือเกมการไม่มีผู้ต่อสู้มันคงเป็นเกมที่จืดชืดไม่น้อย สำหรับเขาแล้ว แววตาที่บ่งบอกว่ารู้ทุกอย่างของอารัณย์นี้แหละคือสิ่งที่สร้างความบันเทิงให้เขามากที่สุด
“พี่ไปก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆ”
ร่างสูงเอ่ยกับเด็กชายแล้วเดินขึ้นรถไป ก่อนที่ประตูจะปิดลงเขาก็ได้ส่งคำเตือนผ่านสายตาไปให้รัตติกาลอีกครั้งแต่อีกฝ่ายกลับยังคงส่งรอยยิ้มน่าสะอิดสะเอียนนั้นมาให้อย่างไม่รู้สึกรู้สา จนรถของนายตำรวจหนุ่มเคลื่อนที่ออกไปจากบ้านลับสายตา เหลือเพียงแต่นิลที่ยังคงยืนมองเพื่อนของตนอยู่เงียบๆ
“มึงจะกลับเลยรึเปล่าไอ้นิล หรือจะค้างที่นี่”
“อยู่ค้างไม่ได้วะ พีครับ พีไปบอกป้าจันทร์ให้อาทีนะว่าพรุ่งนี้บ่ายๆอาจะเข้ามาให้ช่วยสอนทำขนมบัวลอย”
นิลพูดตอบรัตติกาลก่อนจะหันไปไหว้วานเด็กชายที่ยิ้มรับก่อนจะเอ่ยลาเขาแล้วเข้าไปหาจันทร์ตามที่เขาสั่ง ร่างสูงหันมาสบตากับเพื่อนของตนที่มองตามรพีไปอย่างยิ้มๆด้วยสีหน้าหวาดระแวงจนรัตติกาลที่หันกลับมาเห็นอดจะขำไม่ได้
“หึ ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ”
“มึงเป็นอะไรรึเปล่าไอ้กาล”
“กูหรอ? กูก็ไม่ได้เป็นอะไรนิ ถามอะไรแปลกๆ”
“ไอ้กาล กูเพื่อนมึงนะทำไมกูจะไม่รู้”
“...”
“มึงคิดจะทำอะไรกันแน่ ทำไมอยู่ๆถึงได้หันมาทำดีกับรพี”
รัตติกาลนิ่งไปก่อนจะยิ้มอ่อนให้นิล วงแขนยาวยกขึ้นโอบไหล่ลาดของเพื่อนรักก่อนจะพากันเดินไปที่บ่อปลาหน้าบ้านที่เงียบสงบไม่มีใคร ดวงไฟสีส้มถูกเปิดอยู่รอบข้างทำให้นิลยังคงมองเห็นสีหน้าของรัตติกาลได้ชัดเจน
“มันเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากให้กูทำไม่ใช่หรอวะ กูก็ทำให้แล้วนี่ไง”
“มันไม่ใช่แบบนั้น...”
“แล้วแบบไหนวะ บอกกูมาสิ”
ร่างโปร่งหันมาจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของอีกฝ่ายอย่างตั้งคำถาม นิลพยายามมองหาพิรุธภายในแววตานั้นแต่มันกลับว่างเปล่า เป็นสายตาเดียวกับที่รัตติกาลมองเขาเมื่อตอนอยู่บนห้องไม่ผิดแน่
“มันไม่มีใครบังคับใครได้ กูอยากให้มึงทำดีกับรพีด้วยความจริงใจ ถ้ามึงทำแค่เพราะกูอยากให้ทำสู้มึงอยู่เฉยๆอย่างเดิมจะดีกว่า”
“ฮ่าๆ มึงนี่แม่งเอาใจยากชิบหาย ตกลงจะอยากให้กูทำดีหรือไม่ดีกันแน่”
“มึงรู้ดีไอ้กาลว่ากูหมายความว่ายังไง”
“อืม กูรู้ แล้วมึงล่ะรู้ไหมว่ากูคิดอะไรอยู่”
รัตติกาลกระตุกยิ้มให้พร้อมกับตั้งคำถามๆเดียวกับที่นิลกำลังถามตัวเองอยู่ เขารู้ว่าเพื่อนของตนกำลังทำอะไรบางอย่างแต่เขากลับไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ารัตติกาลจะทำอะไร คำถามที่ไม่มีคำตอบทำให้ร่างโปร่งเลือกที่จะพูดต่อไปโดยไม่หวังจะให้นิลพูดอะไรกลับมา
“กูร้ายกับเด็กนั่นมาเยอะ มึงจะระแวงกูก็คงไม่แปลก”
“...”
“บอกตามตรงตอนนี้กูเองก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิมอย่างที่เคยรู้สึก เกลียดยังไงก็ยังคงเกลียดอยู่อย่างนั้น”
“แล้วทำไม...”
“กูแค่อยากจะเปลี่ยน”
“...”
“ถ้ากูทำแต่เรื่องเดิมๆ สักวันกูคงไม่เหลือใคร แววตาที่ป้าจันทร์กับมึงมองกูในวันนั้น มันเหมือนกับสัญญาณเตือนว่าสุดท้ายทุกคนจะทิ้งกูไปหมด”
“มึงก็รู้ว่ากูไม่มีทางทิ้งมึง ไอ้กาล”
“แต่ก็ไม่มีใครรู้อนาคต”
“...”
“ถ้าการที่กูทำดีกับรพีแล้วจะรักษาคนที่กูรักเอาไว้ได้ กูก็พร้อมจะยอมเปลี่ยน”
“กาล...”
นิลคว้ารัตติกาลมากอดเอาไว้แน่น ไม่ว่าร่างโปร่งคิดจะทำอะไรสิ่งเดียวที่ไม่มีวันเปลี่ยนคือเขาจะไม่มีทางทำให้สิ่งที่รัตติกาลกลัวเกิดขึ้น มือเรียวยกขึ้นกอดเพื่อนรักตอบก่อนจะกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้นจนสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจของอีกคนที่เต้นอยู่เป็นจังหวะเดียวกันกับของเขา
“มึงจะระแวง จะขวางกูยังไงก็ได้ แต่ขอแค่มึงเชื่อกูสักนิด เชื่อว่ากูจะเปลี่ยนไป กูไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นไหมแต่กูก็หวังว่ามันจะมีสักวันที่กูจะยิ้มให้รพีได้อย่างที่มึงต้องการ”
“...”
“บนโลกใบนี้กูเหลือแค่มึงกับป้าจันทร์เท่านั้น”
“...”
“กูเสียมึงไปไม่ได้ รู้ใช่ไหมนิล”
“กูรู้...”
ร่างสูงพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับความคิดบางอย่างที่ลอยวนอยู่ในหัว ท่ามกลางไฟสีส้มและผิวน้ำที่ไหวกระเพื่อมราวกับสัญญาณเริ่มต้นของคลื่นใต้น้ำลูกแรกที่กำลังเคลื่อนตัวท่ามกลางความสงบ
นิลไม่มีทางได้มองเห็น รอยยิ้มราวกับผู้ชนะที่ประดับอยู่บนใบหน้าของรัตติกาลที่กำลังรู้สึกสนุกสนานกับการค่อยๆกลืนกินแสงอาทิตย์อย่างเงียบเฉียบ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ตอนนี้สั้นเนอะ T^T ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ เพิ่งกลับจากทำงานมาคนับ ร่างแทบสิ้นแต่มาลงให้ก่อน
ขอบคุณฟีดแบคจากทุกคนเลย ตอนหน้าก็จะตอนที่สิบแล้วรู้สึกเนื้อเรื่องมันไม่ค่อยเดินเลย เหอๆ =w=
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต ขอบคุณทุกกำลังใจนะฮะ ติดตามข่าวสารพูดคุยกันได้ที่แฟนเพจเลย คุยกันนะๆ^^
https://www.facebook.com/pages/Vivace-Story/1449951678656400
:hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
-
อย่าทำร้ายตะวันดวงน้อยดวงนี้เลย
-
ทำไมกาลใจร้ายขนาดนี้
สงสารน้องพีมากๆ เลย
-
อยากอ่านเรื่อยๆทั้งคืนเลยโอ๊ยยยยยยยยยชอบยบบบบบ
-
เพิ่มเริ่มเข้ามาอ่าน ไล่ทันถึงตอนที่7แล้ว
ภาษาลื่นไหลดีมากๆเลย ช่วง2-3ตอนแรกอาจจะนำเดินเรื่องช้าไปหน่อย
แต่ตอนนี้เข้มข้นฟุดๆ :a5:
อยากกระโดดถีบอีพ่อกาลรัวๆ คือรพีเป็นลูกของพะแพงกับนทีใช่ไหม?
กาลเอาน้องรพีมาเลี้ยงเพื่อแก้แค้น? :fire:
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียดกาลอ่ะ
-
อ่าาาาาาาาาาาาา อ่านตอนนี้แล้วสงสารกาลจัง ในอดีตคงจะโดนมาเยอะสินะ อยากรู้ในอดีต 2 คนนั้นทำอะไรไว้กับกาล
ได้กลิ่นเคะจากกาลโชยมายังไงก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ สู้ๆนะกาล :katai3: :katai3:
-
โอ้วววววววววววววววววววว เริ่มจะมันส์ละ อยากรู้อิพี่กาลจะทำอะไร
รัณย์ปราบกาลให้ได้นะ เอาให้อยู่หมัด ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เชียร์รัญย์สุดฤทธิ์ :mew3: :mew3: :mew1: :mew1:
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่าาาาา :L2: :L2:
-
มามั้ยเอ่ยคืนนี้ จงมาจงมา
-
10th Night
…Hunters...
เช้าวันนี้เป็นเช้าที่รพียิ้มได้กว้างกว่าทุกวัน เรื่องน่าแปลกใจเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เด็กชายเดินลงมาเพื่อกินข้าวเช้าข้างล่างหลังจากแต่งตัวเสร็จ โต๊ะอาหารที่เคยมีเพียงเขานั่งอยู่เพียงลำพังกลับปรากฏร่างของรัตติกาลนั่งจิบกาแฟรออยู่ก่อนจะหันมาเรียกลูกชายให้เข้าไปกินข้าวด้วยกัน
รพีแอบคิดแบบเด็กๆ ว่าพรที่เคยขอในทุกๆโอกาสที่ผ่านมาคงถูกใช้หมดไปตั้งแต่เมื่อเย็นวานที่รัตติกาลเข้ามาทำดีด้วย เด็กชายบอกตัวเองตลอดคืนว่าตื่นเช้ามาแม้เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ความฝันเขาก็จะไม่เสียใจ แต่ภาพของรัตติกาลที่อยู่เคียงข้างกันก็ทำให้เขาได้ยิ้มจนปวดแก้ม
พ่อกาลที่เขารัก กำลังยิ้มให้เขา...
“ไม่ลืมอะไรใช่ไหม”
“ไม่ลืมฮะ พีจัดกระเป๋าตั้งแต่ก่อนนอนแล้ว”
“ดีมาก งั้นตั้งใจเรียนนะ เป็นเด็กดีล่ะ”
ร่างโปร่งเอ่ยกับลูกชายพร้อมกับส่งยิ้มให้ขณะที่พวกเขาทั้งสองคนนั่งอยู่บนรถซึ่งจอดอยู่ริมฟุตบาทหน้าโรงเรียน เช้านี้รัตติกาลเป็นคนอาสาพารพีมาส่งที่โรงเรียนให้แทนลุงสิทธิ ร่างสูงยังนึกขำเมื่อเห็นคนในบ้านพัฒนเดชามองเขาราวกับว่าเห็นสัตว์ประหลาดมายืนอยู่ตรงหน้า ก็นะ ประหลาดจริงๆนั่นแหละ...
“เออ พ่อกาลฮะ”
ร่างป้อมเรียกพ่อของตนอย่างลังเลโดยยังไม่ก้าวลงไปจากรถ รัตติกาลรู้ดีว่ารพีต้องการจะพูดอะไรแต่ก็เลือกที่จะเงียบเพื่อให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดขึ้นมาเอง
“ว่าไงครับ”
“คือ.. เย็นนี้พ่อกาลจะมารับพีไหมฮะ”
“อยากให้พ่อมารึเปล่าล่ะ”
รพีพยักหน้าเร็วๆเป็นคำตอบเพราะกลัวว่าร่างโปร่งจะเปลี่ยนใจ รัตติกาลหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูตารางงานใหม่ที่เลขาส่งมาให้เมื่อเช้าเนื่องจากตนขาดงานไปหลายวัน นับว่าโชคยังเข้าข้างรพีอยู่ ช่วงบ่ายของวันนี้เขายังพอมีเวลาว่างปลีกตัวมารับเด็กชายที่โรงเรียนได้เห็นดังนั้นร่างโปร่งจึงหันมาบอกกับลูกชายที่รอฟังคำตอบอยู่
“อาจจะเย็นหน่อย รอได้ไหม”
“ได้ฮะ พีรอได้”
“งั้นรอพ่ออยู่ที่นี่ อย่าออกไปที่ไหนคนเดียวอีก เข้าใจไหม”
ร่างโปร่งเผลอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนรพีไม่กล้าสบตาคนเป็นพ่อ เด็กชายที่เข้าใจว่าพ่อของตนพูดด้วยความเป็นห่วงจึงไม่อยากจะทำให้รัตติกาลเป็นกังวลอีก
ถึงจะทำเป็นไม่รู้สึกแต่รพีก็ยังคงไม่ลืมภาพของรัตติกาลที่เกรี้ยวกราดในวันนั้น ฝ่ามือที่บีบรัดรอบลำคอของตนทำให้เด็กชายรู้สึกเป็นครั้งแรกว่ารัตติกาลนั้นน่ากลัว ถึงแม้จะไม่เคยถูกปฏิบัติดีๆด้วยแต่ก็ยังไม่เคยถูกมองด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความรังเกียจชัดเจนแบบนั้น
รพีอยากจะลืม
ไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงมันอีก
เขาจึงเลือกที่จะยิ้มอย่างที่พวกผู้ใหญ่ชอบแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เข้าใจฮะ รพีจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อกับพ่อกาลเด็ดขาด...”
.
.
..
.
ตลอดทั้งเช้ารัตติกาลอยู่เคลียร์งานไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งตอนเที่ยงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพร้อมกับชื่อของปูนที่ปรากฏขึ้นมา ถึงแม้จะอยากขอโทษและขอบคุณ แต่ร่างโปร่งก็ลังเลที่จะรับสาย สิ่งดีๆที่อีกฝ่ายมอบให้เขาตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมามันมากพอที่จะทำให้เขาเลือกที่จะไม่ทำร้ายเด็กหนุ่มคนนั้นอีก
เขาเชื่อว่าปูนเองก็รู้ว่าหวังอะไรกับคนแบบเขาไม่ได้ แต่เรื่องของความรู้สึกต่อให้พยายามยังไงเมื่อมันเริ่มขึ้นแล้วคงไม่สามารถหยุดได้ง่ายๆ สิ่งเดียวที่รัตติกาลสามารถทำให้ได้ก็คือการเลือกที่จะตัดสายทิ้งก่อนจะบล็อกเบอร์ของอีกฝ่ายเพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจบลงเสียก่อนที่จะถลำลึกกับเขาไปมากกว่านี้
รัตติกาลก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไปโดยไม่หยุดพักจวบจนเวลาล่วงเข้ามาสู่บ่ายสี่โมงเย็น เอกสารแฟ้มสุดท้ายถูกอ่านจนรอบคอบก่อนที่ร่างโปร่งจะเซ้น ชื่อลงไปแล้วยื่นส่งให้กับธิชาที่ยืนรอรับเอกสารนั้นไปจัดการต่อ
รถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้าไปจอดในที่จอดรถของผู้ปกครองด้านใน รัตติกาลใช้เวลาไม่มากเท่าที่คิดในการเดินทางมาที่โรงเรียน แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนนักเรียนที่ยังคงรอผู้ปกครองอยู่ที่โรงเรียนก็เหลือไม่มากแล้ว ครูประจำชั้นสาวที่เคยคุยกับร่างโปร่งเมื่อครั้งที่แล้วจดจำเจ้าของใบหน้าหวานคมนั้นได้ดีว่าเป็นพ่อของใคร หญิงสาวเดินเข้ามาทักทายรัตติกาลอย่างเป็นกันเองก่อนเดินพาร่างสูงให้เข้าไปที่ชั้นเรียนซึ่งเด็กชายกำลังนั่งเล่นรอพ่อของตนอยู่
“ครูเสียใจด้วยนะคะ กับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
ร่างโปร่งรู้ดีว่าครูสาวคนนี้กำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่รพีถูกลักพาตัว แต่เขาพนันได้เลยว่าเธอไม่มีทางรู้ว่ารอยบีบรอบลำคอเล็กๆนั้นเป็นฝีมือของเขาหาใช่ฝีมือของคนร้ายไม่ รัตติกาลเหยียดยิ้มน้อยๆในยามที่ครูสาวไม่ได้มองมาที่เขาก่อนจะพูดตอบกลับไปหาอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแสดงความขอบคุณ
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ ผมเองก็ผิดที่ดูแลรพีไม่ดี”
“ครูเองก็ตกใจมากตอนที่ทราบเรื่อง ยิ่งรู้ว่ารพีตั้งใจกลับมารอคุณพ่อที่โรงเรียนยิ่งทำให้ทางเราร้อนใจมาก เมื่อวันก่อนบอร์ดสมาคมผู้ปกครองเลยมีการประชุมกันเรื่องมาตรการการรับส่งนักเรียน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาดจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เดือดร้อนไปกันหมด”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่วันนี้เห็นคุณพ่อมารับน้องด้วยตัวเอง ครูก็ดีใจแล้ว”
“...”
“รพีเป็นเด็กดีนะคะ เป็นผู้นำในกลุ่มเพื่อนๆเสมอ แต่ก็มักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน เพราะอย่างนั้นครูถึงอดเป็นห่วงไม่ได้”
“เป็นห่วง..?”
หญิงสาวหันกลับมายิ้มให้ชายหนุ่มด้วยสีหน้าอ่อนโยน ก่อนจะพูดในสิ่งที่เธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป หวังให้คนที่อยู่ข้างๆเธอหวนคิดถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเด็กแบบรพีที่เธอดูแล้วมาแล้วนับไม่ถ้วน
‘เด็กที่ต้องการความรักจากพ่อแม่’
“คนเราทุกคนย่อมมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ความต้องการที่แรงกล้าจนบิดเบี้ยวนั้นจะรุนแรงแตกต่างกันไปตามความ ‘ขาด’ ที่แต่ละคนมีไม่เท่ากัน และแต่ละคนก็มีวิธีการที่ใช้จัดการความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน”
“...”
“สำหรับรพีที่ดูภายนอกอาจจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่ข้างในดวงตาของน้องกลับเหมือนกำลังรอคอยอะไรบางอย่างมาตลอด ในตอนแรกที่ครูเข้ามาเป็นครูประจำชั้น รพียังมีวิธีจัดการความรู้สึกนั้นเหมือนเด็กวัยเดียวกัน เขาร้องขอ เรียกร้องในสิ่งที่ต้องการ แต่นานวันไปเขาก็เริ่มเปลี่ยน”
“...”
“รพีเริ่มที่จะ ‘ให้’ เพื่อสิ่งที่คาดหวัง ทั้งการทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ปกป้องดูแลมอบความรักให้กับคนอื่น เขามอบสิ่งที่เขาไม่มี สิ่งที่เขาอยากได้ไปด้วยความรู้สึกที่เชื่อว่าสิ่งนั้นจะย้อนกลับมาหาเขาสักวัน”
“หึ ความรักสินะ...”
รัตติกาลเผลอพึมพัมออกมาเบาๆเมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการสื่ออะไร สีหน้าเรียบนิ่งทอดสายตามองออกไปยังสนามเด็กเล่นที่ยังพอมีเด็กน้อยวัยเดียวกับรพีวิ่งซนอยู่ หญิงสาวมองดูสีหน้าของรัตติกาลที่เปลี่ยนไปพร้อมกับเกิดความคิดบางอย่าง แต่เธอก็ไม่พูดอะไรออกไปเพราะรู้ตัวดีว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง
“การให้เพื่อหวังผลไม่ใช่เรื่องผิดค่ะ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วเขาไม่ได้รับในสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ รพีก็จะไม่เหลืออะไรไว้ให้ยึดเหนี่ยวอีก”
“...”
“เด็กๆน่ะ...มีโลกของตัวเอง...มันเป็นโลกที่เราไม่เข้าใจและมันก็เติบโตขึ้นทุกวัน เร็วจนน่ากลัวเลยล่ะค่ะ”
ร่างบางพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะผายมือไปยังห้องๆหนึ่งที่เหนือประตูได้ติดหมายเลขห้องของรพีไว้ รัตติกาลสะบัดความคิดที่ฟุ้งซ่านจากคำพูดของครูประจำชั้นออกก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เหมือนอย่างเคย ช่วงขายาวเดินเข้าไปในห้องพลางมองของใช้ทุกอย่างมีขนาดเล็กมากกว่าขนาดปกติที่ผู้ใหญ่ใช้
“พ่อกาลมารับแล้วจริงๆด้วย!!!”
รพีละสายตาจากของเล่นตรงหน้าก่อนจะวิ่งเข้าไปหารัตติกาลที่ส่งรอยยิ้มลูกชายอย่างอ่อนโยน เด็กชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีใจที่พ่อมารับจนทิ้งให้คนที่อยู่เล่นเป็นเพื่อนตนรอเวลานั่งมองภาพตรงหน้าอยู่อย่างนั้น
“พ่อกาลมารับพีจริงๆด้วย พีดีใจที่สุดเลย!”
“ครับ พ่อมารับแล้ว แล้วพีล่ะ วันนี้เป็นเด็กดีไหม”
“ฮะ! พีเป็นเด็กดี พ่อกาลถามครูสากับน้ารัณย์ได้เลย”
“น้ารัณย์?? อารัณย์น่ะหรอ?”
ร่างโปร่งทวนชื่อนั้นอีกครั้งเพราะคิดว่าตนเองฟังผิดไป แต่ภาพของรพีที่พยักหน้ารัวๆกลับมาแทนคำตอบกลับเขาต้องขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ ทำไมรพีถึงพูดเหมือนนายอารัณย์นั่นอยู่ที่นี่ด้วย?!
ยังไม่ทันที่ร่างโปร่งได้ถามอะไรเพิ่มเติม เงาของคนคนหนึ่งก็ค่อยๆเดินเข้ามาตรงหน้า ความรู้สึกบางอย่างสั่งให้เขาเงยขึ้นไปดูแล้วภาพที่เขาเห็นก็ทำให้รอยยิ้มที่รัตติกาลประดิษฐ์ขึ้นมาถูกทำลายลงในช่วงเวลาสั้นๆ
แม้จะไม่มีหนวดเครารุงรังให้รกตาอย่างที่เคยเป็นแต่เขาก็จำดวงตาคมกริบคู่นั้นได้ดี ร่างกายสูงใหญ่ผิวพรรณกร้านแดดถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนพร้อมกับป้ายชื่อของอีกฝ่ายที่ระบุตำแหน่ง ‘พี่เลี้ยงเด็ก’ แทนคำตอบได้เป็นอย่างดีว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมายืนอยู่ที่นี่
“คุณกาลคงรู้จักครูรัณย์ดีอยู่แล้วใช่ไหมคะ”
ครูสาวเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบจนรัตติกาลได้สติหันไปปั้นหน้าใส่อีกฝ่ายได้อย่างทันท้วงที แต่ดูเหมือนกริยาตรงหน้าจะสร้างความขบขันให้อีกฝ่ายมากกว่าจนรัตติกาลได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจที่ทำพลาด เผลอเผยช่องว่างให้ร่างสูงเห็น
“ไม่ได้รู้จักดีขนาดนั้นหรอกครับ อย่างน้อยผมก็ไม่รู้ว่าคุณอารัณย์ทำงานอยู่ที่นี่ด้วย”
รัตติกาลพูดด้วยประโยคบอกเล่าที่แฝงด้วยคำถามซึ่งต้องการคำตอบ เขานึกถึงสาเหตุที่ชายคนนี้ตามจองล้างจองผลาญเขาไม่เลิกเพราะคดีความที่ยังไม่เสร็จสิ้น จนมีปัญหาตามมาอย่างที่ร่างสูง ทั้งที่เป็นอย่างนั้น แล้วทำไมมันถึงมายืนอยู่ตรงหน้าเขาตรงนี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงบุคลิกหยาบคายของอีกฝ่ายที่มองยังไงก็ไม่น่ามาเป็นพี่เลี้ยงเด็กได้เลย นับว่าฉลาดที่รู้จักกำจัดหนวดเคราเข้มพวกนั้นทิ้งก่อนไม่อย่างนั้นทั้งโรงเรียนคงระงมไปด้วยเสียงร้องไห้จ้าของเด็กๆเป็นแน่
“ผมผิดเองแหละครับที่ไม่ได้แนะนำตัวกับคุณก่อน ผม ‘นายอารัณย์ ทินโชติ’ เพิ่งมาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่โรงเรียนนี้ครับ”
รัตติกาลรู้ดีว่าไม่ได้มีเพียงแต่เขาที่กำลังสวมหน้ากากอยู่ ณ ที่นี่ อารัณย์ส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้พร้อมกับเสียงทุ้มที่เอื้อนเอ่ยวาจาสุภาพผิดกับทุกที ทั้งที่พวกเขาไม่เคยพูดจากันดีๆแม้แต่ครั้งเดียว แต่มนุษย์ตรงหน้ากลับตีหน้าเป็นคุณครูผู้แสนสุภาพจนรัตติกาลแอบเห็นครูสาวที่ยืนอยู่ข้างๆตนมองอารัณย์ด้วยความชื่นชม
“เห็นคุณบอกว่าเพราะคดีของรพี คุณเลยเจอปัญหาไม่น้อย”
“นับว่าโชคไม่ดีเลยที่มามีเรื่องแบบนั้นหนึ่งวันก่อนหน้าวันเริ่มงาน ทางโรงเรียนเลยให้ผมชะลอการเข้าทำงานไปก่อน แต่ก็ต้องขอบคุณทนายส่วนตัวของคุณนะครับที่ช่วยจัดการเรื่องทุกอย่างให้ตั้งแต่เช้า”
“ไม่เป็นไรครับ...มันเป็นสิ่งที่ผมต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว”
รัตติกาลนึกกนด่าทนายส่วนตัวในใจก่อนจะฉีกยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วหันไปล่ำลาครูสาว ขอโทษอีกครั้งที่สร้างความเดือดร้อนให้ รัตติกาลรับกระเป๋าสะพายของรพีมาถือไว้ก่อนจะจูงมือเด็กชายให้เดินตามกันมา ทันทีที่หันหลังให้กับอารัณย์ที่ออกมายืนส่งพวกเขาที่หน้าห้อง ใบหน้าเปื้อนยิ้มของรัตติกาลก็หายไปกลายเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิดชิงชังจนเด็กชายได้แต่มองพ่อด้วยความสงสัย
มือเรียวที่กอบกุมมือของรพีไว้เริ่มบีบแน่นไปตามแรงอารมณ์จนรพีสะดุ้งด้วยความเจ็บ ช่วงขาสั้นเริ่มเดินตามพ่อไม่ทัน แม้ไม่อยากจะโอดครวญให้พ่อนึกรำคาญใจ แต่ความทรงจำก่อนครั้งที่โดยวัยรุ่นติดยาพวกนั้นลากจูงพาไปทำร้ายย้อนกลับมาจนรพีต้องร้องเตือนคนเป็นพ่อ
“พะ พ่อกาล พีเจ็บ”
สิ้นเสียงของรพี รัตติกาลก็กลับมาได้สติอีกครั้ง ร่างโปร่งมองใบหน้าซีดของเด็กชายที่ตัวสั่นน้อยๆด้วยความกลัว แล้วรู้ตัวว่าได้ทำพลาดไปอีกแล้ว
“ขอโทษ พ่อรีบไปหน่อย”
รัตติกาลย่อตัวลงจนอยู่ในระดับเดียวกันกับรพีที่ส่ายหน้าน้อยๆ เพื่อบอกว่าตนเองไม่ถือสาโกรธเคืองอะไร ร่างโปร่งมองข้อมือเล็กที่เป็นรอยแดงเพราะเขาก่อนจะลูบมันเบาๆอย่างอ่อนโยน พอรพีมีท่าทีสงบขึ้นจากเดินรัตติกาลจึงเปิดปากถามถึงสิ่งที่สงสัย
“นายนั่น.. พ่อหมายถึงนายอารัณย์นั่น.. เขาทำอะไรพีบ้างรึเปล่า”
“อืม... ไม่นี่ฮะ ตอนแรกพีก็จำน้ารัณย์ไม่ได้เพราะวันนี้น้ารัณย์ไม่มีหนวด เพื่อนๆในห้องก็กลัวน้ารัณย์กันเพราะตัวใหญ่ แต่พอบ่ายน้ารัณย์พาทุกคนไปเล่นไล่จับที่สนามเลยไม่มีใครกลัวน้ารัณย์แล้ว”
เด็กชายเล่าออกมาเจื้อยแจ้วเมื่อคิดถึงตอนที่ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องเรียนของตน ใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ถูกบดบังด้วยหนวดเคราทำให้รพีจำอารัณย์ไม่ได้เลยจริงๆจนอีกฝ่ายต้องเดินมาทัก น้ำเสียงทุ้มที่คุ้นเคยทำให้เด็กชายนึกออกทันทีว่าพี่เลี้ยงคนใหม่คือคนเดียวกับพี่ชายใจดีที่เข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้จากพวกวายร้าย รวมถึงคอยอยู่เคียงข้างตนมาตลอดสามวันที่จมอยู่กับความรู้สึกผิด
รพีรู้สึกดีใจที่ต่อไปจะมีอารัณย์มาคอยดูแลตัวเองที่โรงเรียนด้วย อาจจะเพราะเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาทำให้ร่างป้อมรู้สึกเชื่อใจและเห็นอารัณย์เป็นที่พึงพิงที่ตนเองในส่วนลึกจึงเกิดความรู้สึกอยากให้อีกฝ่ายปกป้อง
แต่กลับกัน รัตติกาลรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลยที่เรื่องมันกลับตะละปัดกลายมาเป็นแบบนี้ เขาคาดไม่ถึงว่าคนดิบเถื่อนแบบนั้นจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของรพีผ่านการเป็นพี่เลี้ยงเด็กได้ กริยาหยาบโลนที่อีกฝ่ายกระทำกับเขาตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรก ไม่ได้ทำให้รัตติกาลสัมผัสถึงความอ่อนโยนจากอีกฝ่ายได้สักนิด
ที่สำคัญที่สุด...คืออีกฝ่ายรู้น่าจะรู้ดีว่าเขาคิดจะทำอะไร แววตาที่บ่งบอกว่ารู้ทันเคยทำให้เขารู้สึกสนุกราวกับเป็นผู้ล่า แต่ในกรณีนี้มันกลับสร้างความกังวลให้เขาไม่น้อย ทีท่าของรพีที่ดูจะชื่นชอบอารัณย์ทั้งที่ปกติเด็กชายจะไม่แสดงท่าทางแบบนี้กับใครนอกจากเขา แม้แต่กับนิลที่มักจะใจดีกับรพีอยู่เสมอเขาก็ยังไม่เคยเห็นแววตาแบบนั้นของรพีมองไปที่ใคร
“พ่อกาลฮะ พ่อกาล!”
“หะ หื้ม”
“พ่อกาลเป็นอะไรเหม่อๆ ทำงานเหนื่อยหรอฮะ”
“นิดหน่อยน่ะ”
“งั้นกลับบ้านกันเถอะฮะ พ่อกาลจะได้พัก”
“อืม..”
รัตติกาลลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะจับมือของรพีขึ้นมาจูงใหม่แล้วพากันเดินไปที่รถซึ่งจอดไว้ไม่ไกลนัก ร่างโปร่งปลดล็อคประตูจัดแจงให้รพีขึ้นไปนั่งที่ข้างคนขับก่อนที่ตนจะบอกให้เด็กน้อยนั่งรอสักครู่แล้วหลบมุมออกมายืนสูบบุหรี่ ห่างออกมาไม่ไกลนัก
ควันสีเทาลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศ เหมือนกับความคิดของรัตติกาลที่ล่องลอย แผนการต่างๆที่ร่างโปร่งคิดจะทำ ถูกเรียบเรียงใหม่เพื่อให้พร้อมรับมือกับตัวแปรแทรกสอด อย่างอารัณย์ ที่โผล่เข้ามาอย่างไม่ได้รับเชิญ รัตติกาลสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่บอกเขาว่าผู้ชายคนนี้คงจะนำพาความวุ่นวายมาสู่ชีวิตเขาในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว
“หึ บุหรี่ไม่ดีต่อเด็กๆ แค่นี้ก็ไม่รู้หรอครับ..คุณพ่อ”
รัตติกาลหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลัง ร่างกายสูงใหญ่ที่เปลี่ยนมาอยู่ในชุดเสื้อยืดคลุมทับด้วยเสื้อหนังสีดำพร้อมกับหมวกกันน็อคใบโตในมือ ทำให้รัตติกาลรู้ว่ารถมอเตอร์ไซด์สีเทาคันใหญ่เพียงคันเดียวที่จอดอยู่ที่นี่เป็นของใคร ร่างโปร่งเดินออกมายืนอยู่ข้างๆพลางเปรยตามองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องเขาด้วยสายตากวนประสาทก่อนจะประดิษฐ์ยิ้มที่คิดว่าสวยที่สุดให้อีกฝ่าย
“ไม่น่าเชื่อนะ ว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งแบบนี้”
“นั่นสิ รู้สึก...ซวยชะมัด”
รัตติกาลกระตุกยิ้มเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของอีกฝ่าย
“บุคลิกแบบคุณไม่น่าใช่คนรักเด็ก”
“ก็นะ คนเรามันดูกันแต่ภายนอกไม่ได้ ไอ้พวกใส่สูทผูกไททำตัวเป็นคนดี ใครจะรู้ว่าเนื้อในมันเน่าเฟะขนาดไหน”
“ใช่ คนสมัยนี้มันไว้ใจไม่ค่อยได้ ยังไงผมก็คงต้องฝากรพีให้คุณดูแลด้วย”
รัตติกาลทำเป็นพูดฝากฝัง ช่วงขายาวเดินมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่ขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซด์ของตนเป็นที่เรียบร้อย มือเรียวยกขึ้นจับสายรัดคางของหมวกกันน็อคที่อีกฝ่ายสวมไว้บนหัวก่อนจะออกแรงดึงน้อยๆพอให้ใบหน้าของอารัณย์เคลื่อนลงมาใกล้กับตน
“หวังว่าคุณ...คงไวพอที่จะจับมันทัน”
อารัณย์ยิ้มรับก่อนจะยกมือของตนขึ้นจับมือของรัตติกาลที่กำลังจัดสายรัดคางให้เข้าที่ ดวงตาคมกริบจ้องมองนัยน์ตาหวานอย่างนายพรานจ้องเหยื่อ และนายพรานหนุ่มก็กำลังรู้สึกสนุกที่เหยื่อของตนไม่ใช่กวางโง่ๆแต่เป็นพญาเสือที่พร้อมจะหันกรงเล็บเข้าใส่เขาได้ถ้าหากพลั้งเผลอ
“ไม่ต้องห่วง ถ้าจับได้จะคั้นให้ตายคามือ ไม่ปล่อยไปแน่”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
เซอร์ไพร์สไหม อารัณย์เป็นพี่เลี้ยงเด็กแหละ 55555 หัวเราะไปสามบ้านแปดบ้าน ตอนแต่งเช่นี่ขำไม่หยุด
เชื่อว่าต้องมีคนท้วงเรื่องความสมจริงแน่นอน อะนะฮะ รอดูกันไป พี่แกเป็นคนอบอุ่นจริงๆนะ ^^
หลายคนคงคิดว่าไนท์แมร์มันเป็นนิยายที่โลดโพน ปมพันกันมั่วไปหมด มันก็เป็นแบบนั้นแหละฮะ แต่งไปปวดหัวไป
อาทิตย์หน้าเช่สอบด้วย อาจจะไม่ได้อัพทุกวัน แต่จะพยายามมาอัพให้ถ้าว่าง อัพไม่อัพจะแจ้งล่วงหน้าไว้ที่เพจนะคนับ!
https://www.facebook.com/pages/Vivace-Story/1449951678656400
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต ไม่บังคับนะคนับ แต่ถ้าชอบอยากให้กำลังใจเช่ก็จิ้มกันเบาๆ #เขิน
:-[ :-[ :-[ :-[ :-[
-
กาลเป็นรับแน่ๆเลย
-
รัณย์รีบจับให้ได้แล้วเล่นให้หนัก หึหึหึหึ :hao7: :hao7: :hao7:
สะจายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
คนเขียนสอบก็สู้ๆนะค้าาาาาาาาาาา :3123: :3123: :3123:
-
ขอเลื่อนอัพไปอีกสองวันนะคนับ เจอกันอีกทีวันพฤหัสเลยถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอีก
ทั้งสอบ ทั้งโปรเจครุมเร้า :sad4: :sad4: :sad4:
-
รอต่อปายยย
-
11th Night
…Unconscious...
ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา รัตติกาลทำหน้าที่เที่ยวรับส่งรพีด้วยตนเอง จนเริ่มคุ้นชินกับใบหน้ากวนประสาทของอารัณย์ที่ออกมายืนรับส่งนักเรียนหน้าโรงเรียนในทุกๆวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งที่สร้างความหงุดหงิดให้เขามากที่สุดก็คือไม่มีใครสังเกตเห็นความหยาบโลนของอีกฝ่ายเลยนอกจากเขา
“พี่รัณย์สวัสดีฮะ!!”
“ว่าไงข้าว วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ”
“ข้าวนัดกับพีไว้ว่าจะมาเล่นด้วยกันตอนเช้า อ๊ะ! นั่นไงพีมาพอดีเลย พีๆ!”
รัตติกาลยืนมองอยู่ตั้งแต่เพื่อนของรพีวิ่งเข้าไปหาอารัณย์โดยที่อีกฝ่ายส่งยิ้มอ่อนโยนให้เด็กชายก่อนจะลูบหัวทุยนั้นเบาๆ ร่างโปร่งเหยียดยิ้มให้กับภาพตรงหน้าก่อนจะเดินจูงรพีเข้าไปในบริเวณโรงเรียนที่มีอารัณย์และครูประจำชั้นของลูกชายทำหน้าที่คอยต้อนรับนักเรียนในเช้าวันนี้
อารัณย์เองเมื่อได้ยินว่ารพีมาถึงก็ละสายตาจากเด็กน้อยขึ้นไปมอง ภาพของสองพ่อลูกที่เดินจูงมือกันเข้ามาเริ่มเป็นที่คุ้นชินตามากขึ้นต่างจากช่วงแรกๆ ที่ไม่มีใครรู้เลยว่ารัตติกาลเป็นพ่อของรพี แต่หลังจากนั้นไม่นานร่างสูงก็มักจะได้ยินพวกผู้ปกครองและครูคนอื่นแอบซุบซิบกันโดยมีเรื่องของรัตติกาลเป็นหัวข้อสนทนาอยู่เสมอ
ก็สมควรอยู่... ใบหน้าหวานคมดูมีเสน่ห์ รูปร่างสูงโปร่งกับผิวขาวสะอาดสะอ้าน รวมถึงการแต่งกายในชุดสูทเรียบร้อยในทุกๆวัน ทำให้รัตติกาลกลายเป็นที่สนใจของสาวๆหลายคนในเวลาอันรวดเร็ว
แถมเรื่องที่เจ้าตัวเป็น ‘คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว’เลี้ยงดูรพีด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีภรรยาคอยช่วยกลับยิ่งขับเสน่ห์ของร่างสูงให้มากขึ้นไปอีก นึกถึงตรงนี้แล้วอารัณย์ก็อยากจะขำออกมาดังๆ คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวอะไรกัน การที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าพ่อของรพีมาก่อนก็เป็นเพราะร่างโปร่งไม่เคยทำหน้าที่นี้เลยไม่ใช่รึไง
“สวัสดีค่ะคุณกาล มาเช้าเชียวนะคะวันนี้”
“สวัสดีครับครูสา วันนี้ก็ขอฝากรพีด้วยนะครับ”
อารัณย์มองรัตติกาลที่กำลังทักทายกับครูสาวอย่างสุภาพด้วยความรู้สึกรังเกียจการกระทำของอีกฝ่าย ภายใต้เปลือกแสนสวยหรูของร่างโปร่ง อารัณย์รู้ดีว่าแท้จริงแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีความเป็นพ่อคนเลยสักนิด ภาพของชายหนุ่มที่ตรงเข้าไปด่าทอลูกชายด้วยถ้อยคำหยาบคาย หนำซ้ำยังลงมือทำร้ายเด็กตัวเล็กๆที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมาทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจคนคนนี้เลยแม้แต่นิดและสิ่งที่ตอกย้ำความเชื่อของเขาว่ารัตติกาลเป็นคนร้ายกาจก็คือคำพูดที่เจ้าตัวตะโกนออกมาในวันนั้น...ว่ารพีไม่สมควรได้เกิดมา
ต่อให้มีเหตุผลอะไรก็เถอะ
สำหรับเขาแล้ว...มันเป็นสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้
.
.
.
.
“คุณกาลคะ คุณนิลขอเข้าพบคะ”
เสียงธิชาดังผ่านอินเตอร์โฟนเข้ามา รัตติกาลขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยเพราะปกติแล้วเพื่อนของเขาจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเองทุกครั้งโดยไม่สนใจว่าธิชาจะห้ามยังไง ร่างโปร่งตอบรับกลับไปหลังจากนั้นไม่นานร่างสูงของนิลก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับท่าทีอิดโรยกว่าทุกที
“เป็นอะไรวะไป วันนี้มาแปลกๆ”
“ปั่นต้นฉบับยันเช้าน่ะ จะตายแล้วแม่ง”
“ที่หลังก็อย่าหมกงานไว้ทำทีเดียวสิวะ ธิชา ขอกาแฟดำให้ผมแก้วนึงนะ”
ถึงจะสงสัยในท่าทางของเพื่อนแต่เพราะสภาพของคนตรงหน้าก็ทำให้ร่างโปร่งเลือกที่จะปล่อยผ่านมันไปก่อนจะสั่งเครื่องดื่มให้อีกฝ่าย หวังว่าเครื่องดื่มสีดำที่ร่างสูงชอบกินมันจะทุเลาอาการง่วงซึมของนิลได้บ้าง
นอกจากเรื่องที่เขาต้องเจอหน้าอารัณย์มาทั้งอาทิตย์แล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปในชีวิตก็เห็นจะเป็นการไม่ได้เจอหน้านิลอีกเลยตั้งแต่วันนั้น รัตติกาลเองเคยติดต่อไปทางโทรศัพท์บ้างแต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนมีธุระบางอย่างรัดตัวจนไม่เคยปลีกเวลามาเพื่อพูดคุยกับเขายาวๆได้เลย
ดวงตาคมมองภาพเพื่อนรักที่เอาฝ่ามือขึ้นมาปิดดวงตาไว้ในขณะที่นอนเอนหลังอยู่บนโซฟารับแขกตัวยาวก่อนจะพ่นเสียงถอนหายใจหนักๆออกมา ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเลขาสาวพร้อมกับกาแฟและของว่างเล็กๆน้อยๆที่เธอติดเผื่อมาด้วย
ร่างโปร่งลุกขึ้นก่อนจะทำสัญญาณมือให้ธิชารู้ว่าเธอควรทำทุกอย่างด้วยความเงียบ ร่างบางเอนคอน้อยๆด้วยความสงสัยแต่พอเธอหันไปเห็นร่างเพื่อนรักของเจ้านายเธอกำลังหายใจเข้าออกเป็นจังหวะก็ทำให้เธอยิ้มรับด้วยความเข้าใจ
“ขอบใจมาก คุณไปทำงานต่อเถอะ”
รัตติกาลลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตนก่อนจะเดินมารับของที่หญิงสาวจัดหามาให้ด้วยตัวเองพลางพูดกับอีกฝ่ายด้วยเสียงที่แผ่วเบาเพราะกลัวจะไปรบกวนการนอนของนิลเข้า เขารับถาดสีเงินวาวนั้นมาก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะตัวเล็กหน้าโซฟาชุดแล้วจึงเดินไปหยิบเอกสารที่อ่านค้างอยู่ เปลี่ยนบริบทมานั่งอ่านสบายๆที่โซฟาเดี่ยวตัวข้างๆกัน รัตติกาลมองหน้าของนิลอยู่นานก่อนจะเริ่มลงมืออ่านรายงานผลประกอบการประจำเดือนที่แล้วต่อไปอย่างเงียบๆ
“มึง...อย่าเปลี่ยนไปได้ไหมนิล”
.
.
.
.
“อืม...”
ร่างสูงของนิลเพิ่งได้สติหลังจากหลับใหลมานาน ด้วยความที่ช่วงกลางวันห้องของรัตติกาลจะเลื่อนปิดม่านกันแสงไว้หมดเลยทำให้เขาไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปนานแค่ไหน ชายหนุ่มดันตัวขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่พลางบิดร่างกายไปมาเพื่อคลายอาการเมื่อยขบ เขามองหาเพื่อนของตนที่ควรจะอยู่ในห้องแต่บัดนี้กลับไร้เงาของรัตติกาล มีเพียงแต่งานกองพะเนินบนโต๊ะ และถาดของว่างที่นิลเดาว่าธิชาคงเอามาให้เขาตั้งแต่เช้าแล้ว
“บ่ายสองแล้วหรอวะ เผลอหลับยาวเลยกู”
นิลดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะถอนหายใจออกมา ด้วยเพราะความที่ต้องไปจัดการธุระบางอย่างทำให้เขาแทบไม่ได้พักผ่อนเลยตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ว่างแม้แต่จะหาเวลาปรับความเข้าใจกับรัตติกาลที่ถึงแม้เจ้าตัวจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เขาก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่มันได้ห่างเหินไปจากเดิมมากพอตัว นิลเอื้อมหยิบคุกกี้ที่เริ่มอ่อนตัวลงขึ้นมากินอย่างไม่เรื่องมากพลางหยิบโทรศัพท์คู่ใจออกมาเปิดเช็คข้อความจากคนที่เขากำลังรอให้ติดต่อกลับมาอยู่ แต่หน้าจอกลับว่างเปล่าจนเขาต้องถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดที่อะไรๆก็ดูไม่เป็นใจไปซะหมด
“ตื่นแล้วหรอวะ”
เสียงของรัตติกาลดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่เปิดออก ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหอบหิ้วแฟ้มเอกสารจำนวนหนึ่งติดตัวกลับมาด้วยหลังจากเดินไปคุยงานกับหัวหน้าแผนกอื่นมา เขาวางแฟ้มพวกนั้นลงบนโต๊ะก่อนจะขมวดคิ้วใส่เพื่อนรักที่เอาแต่เคี้ยวขนมงุบๆขณะที่จ้องมองมาที่เขา
“มันนิ่มแล้วมึงก็จะยังกินอยู่ได้ ไม่ออกไปเอาใหม่วะ”
“แม่งก็เหมือนกันนั่นแหละ กูแดกได้ ว่าแต่มึงเหอะทำไมไม่ปลุกกูวะ”
“เหอะ.. ทำเหมือนปลุกแล้วจะตื่น นอนเป็นตายขนาดนี้ไปทำอะไรมาถามจริง เมื่อตอนสายๆลงไปดูต้นฉบับรอบนี้ที่ให้ส่งก็มีไม่เท่าไหร่ อย่างมึงไม่น่าจะต้องถึงขั้นโหมหนักจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน”
“แม่งก็มีบ้างป่าววะช่วงที่เขียนไม่ออก ใช่ว่ามึงจะไม่เคยเป็น”
ร่างสูงทำท่าแก้ตัวอย่างขอไปทีก่อนจะส่งคุกกี้ชิ้นสุดท้ายลงท้องไปพร้อมกับกาแฟชืดๆ นิลลุกขึ้นยืนแล้วเปลี่ยนไปนั่งบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับรัตติกาล ก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“เย็นนี้ไปไหนป่าววะ”
“อืม ต้องไปรับพีที่โรงเรียน”
“เห็นป้าจันทร์บอกว่ามึงไปทุกวันเลยช่วงนี้”
“ก็เท่าที่ยังไปได้ ถ้าถึงช่วงปิดรอบคงอาจจะต้องวานลุงสิทธิเหมือนเดิม”
“เอาจริงแล้วใช่ไหมวะไอ้กาล...”
นิลเอ่ยถามสิ่งที่แอบคิด ว่ากันตรงๆเขาเองก็ยังไม่ค่อยไว้ใจเพื่อนของตนเท่าไหร่ว่าจะกลับใจมาทำตัวดีกับรพีได้จริง เพียงแต่เพราะท่าทีของรัตติกาลที่เปลี่ยนไปตั้งแต่การกลับมาหลังจากหายตัวไปครั้งนั้นทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของร่างโปร่งได้อย่างเคย รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างขำๆในสีหน้าหวาดระแวงของนิลที่พักหลังมานี้แสดงออกให้เขาเห็นบ่อยเหลือเกิน ทั้งที่เมื่อก่อนนิลเป็นเพื่อนที่เชื่อใจเขามากที่สุด
“ทำไม คิดว่ากูวางแผนชั่วๆอะไรไว้รึไง”
“กูไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น”
“ไม่เป็นไรหรอกถ้ามึงจะคิดอย่างนั้นจริงๆ กูร้ายมาตลอดจู่ๆให้มาทำดีด้วยเป็นใครก็คงไม่เชื่อ”
“ไอ้กาล กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึงนะเว้ย”
“แล้วแม่งคืออะไรวะ.. ทั้งอาทิตย์มึงหายไปไหนมา”
ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ถามเพราะไม่อยากจะทำให้ช่องว่างที่กว้างขึ้นนั้นห่างไปกว่าเดิม แต่รัตติกาลก็อดใจไม่ไหวต้องถามออกไปเพราะความอึดอัดที่อยู่ในอกเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเพื่อนรัก
“กูมีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อย”
“ธุระอะไรบอกกูได้ไหม”
“ก็เหมือนเดิม พวกเหนียวหนี้พ่อกูน่ะ”
ร่างสูงเอ่ยถึงธุรกิจของทางบ้านตนที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเปิดกิจการบ่อเลี้ยงพันธุ์กุ้งและสัตว์น้ำอื่นๆเพื่อเพาะพันธุ์เลี้ยงไว้เองและมีบางส่วนแบ่งขายให้กับชาวบ้านที่พอจะมีพื้นที่สร้างบ่อมารับเอาไปเลี้ยงอีกทางเพื่อยังชีพ ตามปกติแล้วใครจะมาเอาพันธุ์กุ้งจากบ้านของตนไปต้องจ่ายเงินสดเท่านั้น แต่ด้วยเพราะความใจดีของพ่อแม่ตนที่ยอมผ่อนปรนให้ชาวบ้านเก่าแก่ที่มักจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเอากุ้งไปโดยติดเงินเอาไว้ก่อนทำให้นิลต้องปลีกตัวกลับไปจัดการหนี้สินอยู่บ้างเป็นบางครั้ง
“แน่ใจนะว่าเรื่องจริง”
“หึ ว่าแต่กูมึงเองก็ไม่เชื่อใจกูหรอวะ”
“เปล่า... กูเชื่อมึงอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมีมึงคนเดียวนั่นแหละที่หวังดีกับกู”
“คนอื่นเขาก็หวังดีกับมึงไอ้กาล อย่าปิดกั้นตัวเองนักสิวะ”
“ช่างมันเถอะ กูมีแค่มึงคนเดียวก็พอแล้ว”
รัตติกาลพูดออกมาจากใจจริง ตลอดเวลาที่ผ่านมานิลคือคนที่หวังดีกับเขามากที่สุด แม้รอบตัวเขาจะมีเพื่อนฝูงมากมายแค่ไหนแต่คนคนเดียวที่รัตติกาลเชื่อใจก็คือนิลที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับอะไร แม้ภายนอกจะดูเป็นพวกแข็งกระด้าง แต่เขารู้ดีที่สุดว่านิลเป็นคนที่อ่อนโยนกว่าใคร
“ฮ่าๆ ขนลุกว่ะสัส ว่าแต่มึงอะสูบจัดไปไหม กลัวไม่ได้แก่ตายรึไง”
นิลขำออกมาน้อยๆก่อนจะเอื้อมมือเข้ามาหยิบแท่งนิโคตินที่รัตติกาลคาบเอาไว้ออกมาจากปาก ร่างโปร่งชักสีหน้าไม่พอใจใส่แต่นิลก็ทำทีเป็นไม่สนใจก่อนจะจุดไฟแล้วสูบอัดควันสีเทานั้นเข้าปอดตัวเองแทน
“ถ้าอยากเป็นคุณพ่อที่ดี แนะนำเลย เลิกบุหรี่ซะ”
ชายหนุ่มพูดออกมาลอยๆก่อนจะหันไปส่งยิ้มล้อเลียนให้ร่างโปร่งที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ แต่นิลคงไม่รู้ว่าที่รัตติกาลออกอาการอารมณ์เสียอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เพราะโดนแย่งบุหรี่ไปแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะพอพูดถึงบุหรี่ ใบหน้ากวนประสาทของคนบางคนที่เคยว่ากระทบเขาเรื่องนี้กลับลอยขึ้นมาจนต้องสบถคำหยาบออกมาอย่างหงุดหงิด
“อย่าพูดเหมือนไอ้เวรนั่นได้ไหมแม่ง...”
.
.
.
.
“คุณกาลจะออกไปไหนคะ”
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม นิ่มที่เดินสำรวจไฟรอบๆบ้านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้านอนร้องทักชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์สบายๆ กำลังเดินควงกุญแจรถในมือเล่นขณะมุ่งหน้าไปที่โรงจอดรถข้างๆบ้านด้วยท่าทีไม่รีบร้อน ช่วงขายาวหยุดชะงักก่อนจะหันมามองสาวใช้ในบ้านที่กำลังมองเขาอยู่
“ออกไปหาเพื่อนนิดหน่อย ไม่ต้องไปเปิดประตูให้หรอก นิ่มไปนอนเถอะ”
“แต่ว่านี่มันก็ห้าทุ่มแล้ว...”
“แล้วยังไง?”
“ปะ เปล่าค่ะ”
นิ่มไม่กล้าพูดอะไรต่อ เพราะสายตาแสนเย็นชาของเจ้านายเธอเหมือนคำเตือนที่สั่งให้เธอหุบปากให้สนิท ร่างโปร่งพาตัวเองขึ้นนั่งบนรถคันหรูก่อนจะถอยรถแล้วขับออกมาโดยใช้รีโมทกดเปิดประตูรั้วบ้านออกไปอย่างรวดเร็ว
จุดหมายปลายทางของรัตติกาลคืนนี้คือไนต์คลับอีกแห่งที่ไม่ใช่ที่ประจำที่เขาไปกับนิล ไม่ใช่ว่าอยากจะหลบหน้าหรือกลัวคนจับได้ราวกับเด็กทำความผิด รัตติกาลแค่อยากจะหนีจากเรื่องทางบ้านไปให้ไกลๆ ที่ต้องทำดีกับเด็กนั่น เขาก็รู้สึกเหมือนต้องใช้ความอดทนของทั้งปีหมดไปแค่ในเวลาอาทิตย์เดียว
หากไม่ใช่เพราะเป้าหมายที่ตั้งไว้
ต่อให้ตายยังไงเขาก็ไม่มีทางทำดีกับมันเด็ดขาด..
ผิวขาวของร่างโปร่งดึงดูดสายตาของหนุ่มสาวรอบข้างให้มองมาเป็นทางเดียว ยิ่งมีแสงแบล็คไลท์ยิ่งทำให้รัตติกาลดูโดดเด่นที่สุดในค่ำคืนนี้ เขานั่งจิบเครื่องดื่มดีกรีแรงอยู่คนเดียวในส่วนของเคาท์เตอร์บาร์ รับรู้ถึงสายตามามายที่จ้องมาที่ตัวเองแต่ก็ยังไม่ตัดสินใจเลือกว่าคนไหนที่เขาจะเข้าไปสานสัมพันธ์ด้วย
“ขอนั่งด้วยคนนะครับ”
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสั่งเครื่องดื่มเพิ่มก็มีเสียงชวนคุยดังมาจากเก้าอี้ตัวข้างๆที่มีคนถือวิสาสะเข้ามาจับจองก่อนที่เขาจะตอบอะไร เด็กชายวัยรุ่นรูปร่างหน้าตาพอใช้ได้ภายใต้ชุดเสื้อยืดสกรีนลายกราฟิกเท่ๆกำลังส่งยิ้มมาให้เขาพร้อมกับดวงตาที่ฉ่ำปรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ มองเลยไปด้านหลังร่างโปร่งก็เห็นกลุ่มเด็กผู้ชายที่แต่งตัวแนวเดียวกันกับคนตรงหน้ากำลังมองมาทางนี้พร้อมกับซุบซิบกันไม่หยุดทำให้เขารู้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงโดนเพื่อนยุให้เดินมาหาเขาแน่ๆ
“ขอทำไม ก็นั่งไปแล้วนี่”
“ฮ่าๆนั่นสิเนอะ พี่ชื่ออะไรหรอครับ ผมชื่อกรีนนะ”
ร่างโปร่งพยักหน้าอย่างรับรู้ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ หมุนแก้วเหล้าในมือเล่นโดยไม่หันไปมองเด็กหนุ่มคนข้างๆ อีกฝ่ายที่รอให้เขาตอบชื่อก็เริ่มแสดงสีหน้าง้ำงอก่อนจะถือโอกาสคล้องแขนของเขาแล้วออกแรงดึงจนสุราราคาแพงกระฉอกคามือ
“ปล่อย...”
“ไม่ปล่อยอะ ผมบอกชื่อพี่แล้วพี่ก็บอกชื่อตัวเองมาสิ ขี้โกงนะ”
“ผมไม่อยากยุ่งกับคุณ ช่วยปล่อยแขนผมด้วย”
“อะ อะไรนะ... กล้าดียังไงถึงมาพูดกับผมแบบนี้ แค่หน้าตาดีหน่อยก็อย่ามาเล่นตัวนักเลย!
เด็กหนุ่มรู้สึกทั้งโกรธและอับอายจนหน้าแดงกล้ำ ยิ่งกลุ่มเพื่อนของตนซึ่งอยู่ไม่ไกลได้ยินคำพูดตัดรอนของชายหนุ่มที่ตนหมายปองบอกตัดบทเขาอย่างไม่ไว้หน้ายิ่งทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจร่างโปร่งจนเผลอตะโกนใส่อีกฝ่ายอย่างไม่มีสติ
รัตติกาลเองที่เกลียดความวุ่นวายแบบนี้เป็นทุนเดิมก็ถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ร่างโปร่งหยิบกระเป๋าเงินของตนขึ้นมาแล้ววางแบงค์พันสองใบไว้บนเคาท์เตอร์บาร์ก่อนจะเดินออกมาเพื่อตัดรำคาญ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวออกไป เด็กหนุ่มคนเดิมก็มายืนขวางเขาไว้ทั้งที่ตัวเองยังจะพยุงร่างที่โอนเอนนั้นไม่ไหวอยู่แล้ว
“จะไปไหน ผมยังพูดไม่จบเลยนะเว้ย!”
“ถ้าเมาแล้วก็ไปไกลๆ...”
“ใครเมา ผมไม่ได้เมา!! พี่แม่งกวนตีนวะ!!”
ร่างโปร่งที่สติขาดผึงเมื่ออีกฝ่ายพาลใส่ตน คว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มแล้วกระชากเข้าหาตนอย่างไม่เกรงกลัว นัยน์ตาคมกริบจ้องเข้าไปในดวงตาที่ฉายความหวาดหวั่นของอีกฝ่ายพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำจนคนฟังตัวสั่นสะท้าน
“ถ้ามึงไม่หยุด...กูเอามึงตายแน่”
“พะ พี่จะทำอะไรผม ปะ ปล่อยนะ”
“หึ ทำไมไม่ปากเก่งให้ได้ตลอดละวะ”
รัตติกาลปล่อยมือออกจากคอเสื้อของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มที่ได้รับอิสรภาพรีบถอยตัวออกมาข้างหลังแต่ก็ยังไม่เร็วพอ นัยน์ตาเย็นชาของอีกฝ่ายเปลี่ยนมาเป็นฉายแววความสนุกสนานเหมือนเวลาเด็กเจอของเล่น มือเรียวคว้าหมับไปที่แก้มตอบของอีกฝ่ายก่อนจะออกแรงบีบจนใบหน้าขาวเนียนนั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากที่ถูกบี้เข้าหากันไม่แม้แต่จะสามารถร้องขอให้คนตรงหน้าหยุดการกระทำนี้ ร่างกายบอบบางสั่นระริกด้วยความกลัวแต่ก็ยังพยายามดึงมือของอีกฝ่ายให้ออกไปจากหน้าของตนเอง
“เงียบทำไม เถียงต่อสิ ด่ากูต่อสิ... ถ้ามึงไม่พูดกูจะกระทืบมึงตรงนี้แหละ!”
“มึงจะทำอะไร ปล่อยเพื่อนกูนะเว้ย!!!”
กลุ่มเพื่อนของเด็กหนุ่มวิ่งกรูกันเข้ามาพยายามกระชากรัตติกาลให้ออกห่างจากเพื่อนของตนที่กำลังยืนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ร่างโปร่งทำสีหน้าไม่สะทกสะท้านกับการกระทำของตัวเองหนำซ้ำยังหันไปกราดมองเพื่อนของเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าไม่พอใจและพร้อมจะพุ่งเข้ามาหาเขาทุกเมื่อ
“ที่หลังถ้าไม่อยากให้เพื่อนมึงโดนกระทืบตาย ก็หัดหาโซ่มาล่ามมันไว้ไม่ให้ออกไปแรดใส่คนอื่น..”
“พูดเกินไปแล้วไอ้เหี้ย!!”
“กูทำได้มากกว่าพูดอีก มึงจะเอาไหมล่ะ!”
“เอาดิ คิดว่ากูกลัวมึงรึไงวะ!!!”
หลังจบคำพูดนั้นอีกฝ่ายก็เป็นคนปล่อยหมัดเสยเต็มปลายคางของร่างโปร่งก่อนทั้งคู่จะลงมือซัดกันนัว ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีคนมากกว่าแต่เพราะชั้นเชิงและร่างกายของหนุ่มโตเต็มวัยก็ทำให้รัตติกาลได้เปรียบ ช่วงขายาวแตะอัดเข้าเต็มท้องของเด็กคนหนึ่งจนกระอักเลือดออกมา เสียงหวีดร้องโกลาหนดังไปทั่ว ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นรัตติกาลได้ยินเสียงคนร้องเรียกหาทีมการ์ดแต่อารมณ์ของเขาก็มาไกลเกินกว่าจะหยุดยั้งได้แล้ว
“ฮ่าๆๆๆ พวกมึงแม่งอ่อนวะ!!!”
รัตติกาลหัวเราะร่าอย่างสะใจเมื่อตนเองจัดการล้มอีกฝ่ายลงไปได้แล้วสองคน ก่อนจะหันมาคว้าเอาเก้าอี้เหล็กที่อยู่ใกล้ๆฟาดเข้าเต็มแผ่นหลังของเด็กหนุ่มทีพยายามวิ่งหนีเขาจนล้มลงกองกับพื้น ร่างโปร่งยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาเดินฝ่าฝูงคนที่มุงดูอยู่อย่างวาดกลัวไปหยิบเอาขวดเบียร์ที่วางอยู่บนโต๊ะแถวๆนั้นมาถือไว้ก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาเด็กหนุ่มที่ยกมือไหว้เขาจนท่วมเพื่อขอให้หยุดสิ่งที่เขาคิดจะทำ
“ผมกลัวแล้วพี่!พะ พวกผมยอมแล้ว ปล่อยพวกผมไปเหอะ!!”
“ตอนกูบอกให้หยุดมึงไม่หยุด... หึ ตอนนี้มึงอย่ามาหวังเลย”
“ฮึก ผมขอร้อง พี่หยุดเหอะ ฮึก อย่าทำผมเลย!!”
“หยุดเถอะกาล..”
“...”
“พี่บอกให้พอสักทีไง!”
“ไม่...”
“หยุด!”
“ผมไม่หยุด!!”
“เลิกทำแบบนี้สักที!!!”
“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่มีวันเลิกกับพี่!!!!!!”
เพล้ง!!!
“รัตติกาลหยุด!! เวรเอ้ย! ผมบอกให้หยุดไง คุณทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหม!!!”
ความเจ็บแปลบตรงข้ามแก้มดึงสติของรัตติกาลให้กลับเข้าที่ เสียงกรีดร้องดังระงมปะปนกับเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของกลุ่มเด็กวัยรุ่นพวกนั้นดังอยู่ตรงหน้าเขา ทั้งที่มีเรื่องกันอยู่ แต่ทำไมไม่มีใครกล้าสบตากับเขาสักคน...
เอ๋?
กองเลือดนั่นมันอะไร?
นั่นมันเด็กคนที่เข้ามาต่อยเขานิ...
ทำไมถึงลงไปนอนอยู่ตรงนั้น??
เพล้ง!!!
ความรู้สึกเจ็บแล่นริ้วจากฝ่ามือขึ้นมาถึงแขนจนรัตติกาลเผลอสะบัดมือทำให้วัตถุบางอย่างที่เขาถือเอาไว้ร่วงลงสู่พื้น มันคือขวดเบียร์ที่ตามปกตินั้นเป็นสีเขียว แต่เศษซากที่กองอยู่กับพื้นกลับเต็มไปด้วยน้ำสีแดงข้นคลั่กจนเห็นได้แม้ในความมืด ร่างโปร่งรู้สึกมึนงงและสับสน ทำไมถึงมีเลือดเต็มไปหมด แล้วทำไมพอเขาทำขวดเบียร์ในมือตกทุกคนถึงได้มีท่าทางหวาดกลัวแบบนั้น ไม่ใช่แค่เด็กพวกนั้นที่ตอนนี้ก็ยังไม่กล้ามองหน้าเขา แม้แต่คนที่มุงดูยังพากันถอยหลังออกไปราวกับว่าเขาเป็นตัวอันตรายอะไรสักอย่าง รัตติกาลไม่เข้าใจ มันเกิดอะไรขึ้น?
“มีคนโทรเรียกรถโรงพยาบาลรึยัง!”
เสียงๆเดียวกับเสียงที่ดึงสติเขากลับมาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด นัยน์ตาหวานคมหันกลับไปมองก็เห็นร่างสูงใหญ่ของนายพี่เลี้ยงเด็กที่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอวีสีเทาคลุมทับด้วยสูทสีขาวซึ่งเปื้อนไปด้วยเลือดกำลังถอดสูทตัวนั้นออกแล้วใช้กดทับไปยังหัวของเด็กผู้ชายที่นอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น
ถึงอยากจะถามว่าอีกฝ่ายมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงแต่ภาพที่ร่างสูงกำลังช่วยปฐมพยาบาลคนเจ็บก็ทำให้รัตติกาลเลือกที่จะเข้าไปช่วยอีกฝ่ายด้วยก่อนเป็นอันดับแรก แต่พอเขาจะก้าวเดินเข้าไปใกล้เด็กคนที่ชื่อกรีนซึ่งนั่งตัวสั่นอยู่บนพื้นก็กรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ
“อย่าเข้ามานะ ไอ้ฆาตกร!!!”
“หะ? ฆาตกรอะไร? ใคร?”
“มึงนั่นแหละ!! ฮึก มึงฆ่าไอ้โอม ฮือ.. มึงทำเพื่อนกูทำไม!!!”
“ฆาตกรหรอ... เราเนี่ยนะ?”
รัตติกาลส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ เขาเบือนหน้าหันไปหาอารัณย์ที่ยังคงพยายามห้ามเลือดคนเจ็บอยู่แต่อีกฝ่ายทำเพียงแค่มองหน้าเขานิ่งๆอยู่สักครู่ก่อนจะให้ความสำคัญกับชีวิตที่เด็กคนนั้นบอกว่าเขาได้คร่าเอามันไป
ร่างโปร่งนึกเอะใจเลยก้มลงดูตัวเอง เสื้อเชิ้ตที่เคยเป็นสีขาวสะอาดกลับเลอะคราบสีแดงเป็นวงกว้าง มือของเขาที่เคยรู้สึกเจ็บนั้นเต็มไปด้วยเศษแก้วและรอยแตกตามข้อจนช้ำ รัตติกาลเริ่มประติดประต่อเรื่องราวจนเริ่มเข้าใจ มือของเขาก็สั่นจนควบคุมไม่ได้
ทำไม อะไรกัน...
เขา...ทำอะไรลงไป?
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
กอดคนอ่าน!! กลับมาแล้วคนับหลังจากอู้มาหลายวัน คิดถึงเช่ไหม <3 เปิดมาด้วยของเครียดเลย หึหึ
ตอนนี้หลายคนคงเริ่มคิดแล้วว่าอารมณ์พ่อกาลของเราทำไมมันยังกะสตรีมีประจำเดือนขนาดนี้ เป็นจุดที่อยากให้สังเกตกันนะ
ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับฝีมืออันน้อยนิดของเช่แล้วแหละว่าจะสื่อออกมาให้ทุกคนเข้าใจตรงกันได้ไหม สารภาพเลยว่านั่งด่าตัวเอง
ตลอดว่าทำไมต้องแต่งเรื่องที่แม่งโคตรยุ่งยาก คิดตลอด ปวดหัว แต่มันได้แค่ฟิลนี้จริงๆทั้งที่ฝีมืออ่อนหัดแต่ก็อยากแต่ง ฮ่าๆ
ช่วงนี้งานก็คงรุมเร้าเหมือนเดิม แต่จะพยายามมาให้ได้ตลอด (กลัวคนอ่านหายคนับ สารภาพ ฮ่าๆ)
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตนะคนับ ขอบคุณคนที่ไลค์แฟนเพจด้วย เช่อาจจะเพ้อเจ้อในนั้นไปบ้างอย่ารำคาญนะ^^
ปล. เช่มีพล็อตเรื่องอื่นต่อยอดจากไนท์แมร์แล้วแหละ กำลังฟุ้งมาก แต่มันยังอีกห่างไกล ขอเอาเรื่องนี้ให้รอดก่อนเนอะ!
-
หายไปสักพักจะยังมีคนรออยู่ไหม :hao3:
ช่วงนี้ยังคงไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ ทั้งเรียนทั้งทำงาน แต่เช่จะไม่หายหน้าไปเลยนะฮะ จะเข้ามาทักตลอด
ปอลอลิง คิดถึงคนอ่านนะคนับ! :o8:
-
เริ่มดาร์กขึ้นเรื่ิอยๆ อร๊ากก ปวดใจ
-
12th Night
…Astray...
รัตติกาลเกลียดโรงพยาบาล...
แต่เขาก็หนีมันไม่พ้นสักที...
ร่างโปร่งนั่งนิ่งอยู่ในห้องรับรองของโรงพยาบาลเอกชนโดยข้างๆกับทนายส่วนตัวที่ทำงานให้ครอบครัวของตนมาตั้งแต่สมัยพ่อกับแม่ยังอยู่ แผลตามใบหน้าและร่างกายของรัตติกาลถูกรักษาเรียบร้อยแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของคู่กรณีที่บาดเจ็บสาหัสกว่าเมื่อประเมินด้วยสายตา
“คุณควรพักสักหน่อยนะครับ”
ชายแก่พูดกับเขาอย่างห่วงใย แต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลกลับเลือกที่จะปฏิเสธแล้วเอาแต่จับจ้องไปที่ปลายเท้าของตัวเอง พยายามนึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแต่พยายามเท่าไหร่เขาก็นึกไม่ออก สิ่งที่เขาจำได้มีเพียงความเจ็บปวดที่โดยต่อยในหมัดแรกแต่มันก็เลือนราง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่นายอารัณย์นั่นเข้ามาตบหน้าเขาเพื่อเรียกสติ รัตติกาลตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้เมามายจนทำร้ายคนอื่นอย่างไม่มีสติและไร้สำนึก ผลจากความรุนแรงนั้นมากมายจนเขาเองยังนึกกลัว แทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าตนเองจะเป็นคนทำร้ายเด็กพวกนั้นเองกับ
ในตอนนั้นเองคนที่เข้ามาช่วยเรียกสติเขาที่คลับก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มโยนเสื้อคลุมเปื้อนเลือดทิ้งไปแล้วเหลือเพียงเสื้อคอวีสีเทาตัวบางที่ยังคงมีคราบเลือดให้เห็น อารัณย์เดินตรงมานั่งเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับรัตติกาล จ้องมองหน้าอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความสับสนนิ่งๆก่อนจะหันไปพูดกับทนายของรัตติกาลที่เขาเคยพบมาก่อนแล้ว
“ลุงนเรศช่วยออกไปรอข้างนอกสักครู่ได้ไหมครับ ผมมีเรื่องจะต้องคุยกับเขา”
“แต่... อืม เสร็จเมื่อไหร่ก็ออกไปตามลุงนะ”
ชายแก่มีท่าทางอึกอักในตอนแรกเพราะไม่อยากปล่อยให้นายจ้างของตนต้องอยู่กับชายหนุ่มที่เคยเป็นคู่กรณีกันมาก่อนตามลำพัง แต่สายตาที่จริงจังของอารัณย์ก็ทำให้เขาตัดสินใจตอบรับคำขอของอีกฝ่ายแล้วเดินออกมาจากห้อง
“ขอบ.. นายไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง”
รัตติกาลอยากจะขอบคุณอีกฝ่ายที่เข้าไปหยุดเขา แต่อคติที่มีอยู่เต็มอกก็ทำให้เขาไม่พูดมันออกมาแล้วถามคำถามกลับไปแทน อารัณย์เองก็พอจะรู้ว่าร่างโปร่งตั้งใจจะพูดอะไรแต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าสาเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี่
“มันไม่สำคัญหรอก ว่าแต่มึงเถอะ...ทำแบบนี้ทำไม”
“...”
“...”
“เด็กพวกนั้น...เข้ามาหาเรื่องผมก่อน”
“แล้วยังไง แค่พวกมันหาเรื่องเลยไปกระทืบเขาจนปางตายแบบนี้น่ะหรอ”
คำว่าตายที่ร่างสูงพูดออกมา ทำให้หัวใจของรัตติกาลกระตุกวาบ มือไม้ที่วางอยู่บนตักเริ่มสั่นจนอารัณย์สังเกตเห็น ร่างโปร่งพยายามบีบมือทั้งสองข้างเข้าหากันเพื่อให้มันหยุดแต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะตอนนี้แม้แต่ไหล่ของเขาก็เริ่มสั่นด้วยเช่นกัน
“เฮ้อ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น เด็กนั่นยังไม่ตาย”
อารัณย์ตัดสินใจพูดความจริงออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเขาเริ่มกดดันตัวเองมากเกินไป รัตติกาลที่ได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ริมฝีปากบางเม้มกันแน่นจนขึ้นเป็นรอยฟันชัดเจน
อารัณย์ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ร่างสูงวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาดูเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของนักท่องเที่ยวภายในร้านและมีคนบางส่วนรีบวิ่งไปตามทีมการ์ดที่ปกติจะประจำอยู่ตรงประตูทางเข้าแต่วันนี้กลับหายหัวไปกันหมดจนไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่แถวเคาท์เตอร์บาร์ที่อยู่โซนด้านใน
อารัณย์ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ว่าคนที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเอาแต่ลงมือซ้อมเด็กวัยรุ่นที่นอนกองอยู่บนพื้นไม่หยุดคือพ่อของรพีที่เพิ่งจะพบหน้ากันเมื่อร่างโปร่งมารับลูกชายในตอนเย็นของวันนี้
แม้จะเคยเห็นความเกรี้ยวกราดของรัตติกาลมาแล้วแต่ภาพตรงหน้ามันต่างกันออกไป มันเหมือนพายุโหมกระหน่ำไม่มีแม้แต่การหยุดพักและไว้หน้าใคร แม้ว่าอีกฝ่ายจะร้องขอยังไงร่างโปร่งนั้นก็ยังคงแสดงความรุนแรงออกมาเรื่อยๆไม่หยุด ผู้คนที่มุงดูไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม ผู้หญิงบางคนร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ผู้ชายบางคนยังเมินหน้าหนีจากภาพความรุนแรงตรงหน้า
อารัณย์เผลอกลั้นหายใจเมื่อรัตติกาลกำลังเดินตรงมาทางเขาแต่กลับไม่ใช่ ร่างโปร่งเดินผ่านเขาไปราวกับไม่มีใครสะท้อนอยู่ในแววตาคู่นั้น ขวดเบียร์สีเขียวคล้ำถูกหยิบขึ้นมาก่อนที่ร่างสูงจะค่อยๆเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างสบายใจในขณะที่คู่กรณีกลับยกมือขึ้นท่วมหัวเพื่อขอให้หยุด
แต่รัตติกาลไม่สนใจ...
อารัณย์สังเกตเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเหมือนสับสนกับอะไรสักอย่าง ร่างโปร่งเริ่มร้องตะโกนออกมาโดยที่เขาไม่เข้าใจคำพูดพวกนั้น ดวงตาของรัตติกาลฉายแววเกรี้ยวกราดระคนเจ็บปวดออกมาเมื่อสิ้นเสียงตะโกนเสียงสุดท้าย
“ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่มีวันเลิกกับพี่!!!!!!”
ช่วงแขนยาวฟาดขวดแก้วลงเต็มศีรษะของเด็กหนุ่มผู้โชคร้าย เสียงกรีดร้องดังระงมพร้อมกับเลือดข้นที่ไหลทะลักออกมาจากปากแผลซึ่งคนที่โดนทำร้ายหมดสติลงไปทันที ร่างโปร่งยังไม่หยุดแค่นั้น ช่วงขายาวเตะซ้ำเข้ากลางลำตัวของอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณีก่อนจะย่อตัวลงพร้อมกับแขนที่ชูสูงขึ้น
จังหวะนั้นเองที่อารัณย์ได้สติตัดสินใจวิ่งเข้าไปกระชากตัวอีกฝ่ายขึ้นมา พอมีคนใจกล้าเข้ามาห้าม ผู้ชายที่อยู่แถวนั้นก็วิ่งเข้ามาดูคนเจ็บที่เหลือทันที รัตติกาลดิ้นไปมาไม่ยอมให้เขาจับตัว แววตาเกรี้ยวกราดนั้นจ้องมองมาที่เขาอย่างกับคนไม่รู้จักกัน ตอนนี้ร่างโปร่งเหมือนกับเสือบ้า พร้อมจะพุ่งเข้าหาทุกอย่างที่ขวางหน้าแม้ไม่ใช่ศัตรู
ร่างโปร่งยกแขนขึ้นสูงอีกครั้งในคราวนี้เป้าหมายไม่ใช่เด็กวัยรุ่นพวกนั้นแต่เป็นเขา อารัณย์เอื้อมมือตามไปบีบข้อมือของอีกฝ่ายอย่างแรงแต่รัตติกาลก็ไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บปวดออกมา บางเอาแต่พร่ำด่าใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก ดวงตาที่เกรี้ยวกราดเริ่มมีน้ำตาคลอเต็มหน่วย ราวกับว่ามีความไฟแห่งความแค้นสุมอยู่ในนั้น และรัตติกาลก็กำลังจมอยู่กับมัน
เขาตัดสินใจตบอีกฝ่ายเต็มแรงจนหน้าหัน โชคดีที่คราวนี้รัตติกาลดูเหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้างแต่มันกลับทำให้อารัณย์รู้สึกกลัวคนตรงหน้าเป็นครั้งแรก แววตาของร่างโปร่งจู่ๆก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ท่าทางแสดงความสงสัยกับสถานการณ์ตรงหน้า รัตติกาลทำเหมือนจำไม่ได้ว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไปหน้ำซ้ำยังทำท่าจะเข้าไปช่วยเหลือคนที่ตัวเองเพิ่งทำร้ายเองกับมือ
‘ฆาตกร’
เหมือนว่าคำๆนี้จะเป็นสิ่งที่ทิ่มแทงจิตใจร่างโปร่งอยู่ไม่น้อย ซึ่งคำว่า ‘ตาย’ ที่เขาเพิ่งพูดออกไปก็คงมีผลไม่ต่างกัน อารัณย์ตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ตนเห็นให้คนไม่ได้สติฟังทั้งที่อีกฝ่ายเป็นคนลงมือ รัตติกาลเอาแต่ส่ายหัวไปมาราวกับว่ารับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ แน่แหละ...คงไม่มีใครยอมรับด้านมืดของตัวเองได้ง่ายๆ ทั้งที่ทุกคนก็มีมันเหมือนกันหมดรวมถึงเขาด้วย
“ตอนนี้เด็กทุกคนยกเว้นคนที่โดนตีที่หัวหมอให้กลับบ้านได้แล้ว เด็กคนนั้นตอนนี้ยังไม่ได้สติ แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต”
“ผม...ผมต้องไปเยี่ยม”
"อย่าเพิ่งเลย รอสักพักก่อน ไปตอนนี้มึงอยากให้พ่อแม่เขาลุกขึ้นมากระทืบมึงอีกรอบรึไง น้ำมันกำลังเชี่ยวอย่าเพิ่งเอาตัวเองเข้าไป ให้ลุงนเรศเข้าไปจัดการแหละดีแล้ว”
ถึงจะอยากดื้อดึงแต่รัตติกาลก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่อารัณย์พูดนั้นถูกต้อง ร่างโปร่งยกมือขึ้นบีบขมับระบายความเครียด โดยมีอารัณย์จ้องมองอยู่ไม่ห่าง ความเงียบภายในห้องรับรองของโรงพยาบาลยังคงดำเนินไปอย่างนั้นจนกระทั่งร่างของนเรศเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับนายตำรวจหนุ่มที่ยังคงรักษาท่าทางให้สงบนิ่งได้เหมือนทุกครั้ง
“ทั้งที่พูดไปแล้วแท้ๆ แต่เรากลับมาเจอกันเร็วกว่าที่ผมคิดอีกนะครับ”
“ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวนคุณอีก”
“ผมได้เข้าไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในร้าน จากภาพแสดงให้เห็นว่าหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นเป็นฝ่ายเข้ามาพูดคุยกับคุณก่อนจะเริ่มเถียงกันจนคุณเดินหนีไป ก่อนที่จะเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นโดยที่อีกฝ่ายเป็นคนลงมือก่อน”
“...”
“ถึงแม้สุดท้ายการทะเลาะวิวาทครั้งนี้จะเป็นฝ่ายนั้นที่เจ็บหนักกว่าคุณมาก แต่เพราะทั้งสองฝ่ายอยู่ในอาการมึนเมาทั้งคู่และหลักฐานว่าทางนั้นเป็นคนเริ่มก่อนทำให้ผู้ปกครองของอีกฝ่ายเลือกที่จะไม่เอาความดำเนินคดีขอเพียงค่าเสียหายจากการรักษาพยาบาลเท่านั้น”
“คุณนเรศช่วยจัดการให้พวกนั้นด้วยนะครับ รวมถึงค่าทำขวัญและการชดใช้ค่าเสียหายกับทางร้านทั้งหมดด้วย ผมจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
“ครับ”
“ช่วยแจ้งกับพ่อแม่ของทุกคนด้วยว่าผมจะเข้าไปพบด้วยตัวเองทีหลัง”
รัตติกาลหันไปบอกทนายส่วนตัวให้จัดการในสิ่งที่ตนคิดให้ก่อนนเรศจะขอตัวไปพบกับพ่อแม่ของกลุ่มวัยรุ่นทุกคนทั้งที่ยังอยู่โรงพยาบาลและกลับบ้านไปแล้ว นายตำรวจหนุ่มมองไปรอบๆราวกับกำลังมองหาใครสักคน จนรัตติกาลอดที่จะถามออกไปไม่ได้
“คุณชาติมองหาอะไรหรอครับ”
“อ่อ มองหาคุณนิลน่ะครับ เขาไม่มาด้วยหรอ”
“ผมไม่ได้บอกนิลกับคนที่บ้านเรื่องนี้ และหวังว่าคุณทั้งสองคนจะทำเหมือนกัน”
คำพูดที่แฝงไปด้วยคำสั่งทำเอาอารัณย์ขมวดคิ้ว ก่อนจะถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ทำไมถึงบอกไม่ได้”
“นั่นก็เพื่อความสบายใจของทุกคน...”
รัตติกาลเกือบเผลอที่จะตอบร่างสูงไปว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่คนนอกจะเข้ามายุ่ง แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะถ้าคืนนี้อารัณย์ไม่อยู่ที่คลับนั้น เขาเองก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความเมาจะรุนแรงมากแค่ไหน
ถึงจะบอกว่าเพื่อความสบายใจของทุกคนแต่จริงๆแล้วร่างโปร่งเลือกที่จะไม่ให้คนที่บ้านและนิลรับรู้ก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น ในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่คงที่รัตติกาลเองก็ไม่อยากให้ทั้งนิล ป้าจันทร์ และแม้กระทั่งรพีมองเขาในแง่ร้ายมากขึ้นไปอีก ภาพความรุนแรงที่เขาเคยกระทำกับเด็กชายคงถูกตอกย้ำจนจำขึ้นใจของทุกคนเป็นแน่ถ้าพวกเขารับรู้ถึงเหตุการณ์ครั้งนี้
“ถ้าอยากให้ทุกคนสบายใจก็ไม่ควรจะมาเที่ยวในที่แบบนี้ตั้งแต่แรก แล้วยิ่งถ้าเมาแล้วชอบอาละวาดยิ่งน่าจะระวังตัวมากกว่านี้”
“ผมเองก็ไม่ได้อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
“คนทำผิดมันก็พูดแบบนี้กันทุกคนนั่นแหละ ‘ไม่ได้ตั้งใจ’ ‘รู้เท่าไม่ถึงการณ์’ คำพูดสวยหรูพวกนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากใช้เป็นข้อแก้ตัวเท่านั้น”
“คุณจะเอายังไงกับผมอีก ถึงจะมีบุญคุณที่เข้ามาช่วยห้าม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาพูดจาแบบนี้กับผมได้”
“แล้วต้องรอให้เด็กพวกนั้นตายไปก่อนรึไงกูถึงจะพูดได้ ต้องให้มีคนเจ็บตัวอีกกี่คนเพราะอารมณ์ร้ายๆของมึง แม้แต่รพีลูกแท้ๆมึงยังไม่เว้นเลย”
ชื่อของเด็กชายถูกอารัณย์หยิบยกขึ้นมาพูดโดยไม่ตั้งใจ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ควรยกประเด็นนี้มาพูดแต่มันก็คือความจริง ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูสุภาพสงบนิ่ง อารัณย์สังเกตเห็นความรุนแรงที่ถูกเก็บงำไว้ภายใน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวหรือไม่แต่มันก็มักจะถูกดึงมาใช้ทุกครั้งเมื่อรัตติกาลอยู่ในจุดที่อารมณ์ไม่มั่นคง คราวที่ร่างโปร่งต่อยเขาเพราะเข้าใจผิดนั่นก็เหมือนกัน ตอนแรกอารัณย์คิดว่าอีกฝ่ายคงทำร้ายเขาเพราะรักและเป็นห่วงลูกชายเพียงคนเดียวมาก แต่ความโหดร้ายที่ทำต่อเด็กตัวเล็กๆทั้งทางกายและคำพูดทำให้อารัณย์ไม่คิดอย่างนั้นอีกต่อไป
‘รัตติกาลก็คือความมืด ที่แม้จะมองไม่เห็นแต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรซ่อนอยู่’
“ขอโทษที่ต้องขัด แต่ผมคิดว่าเรื่องภายในครอบครัวเขาคนนอกอย่างเราไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเท่าไหร่นะครับคุณรัณย์”
ฤทธิชาติพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มจะรุนแรงขึ้นเพราะอารมณ์และความยึดมั่นในความคิดตนเองของทั้งสองฝ่าย อารัณย์หันมามองหน้านายตำรวจหนุ่มอย่างไม่พอใจที่โดนว่ากลายๆแต่ก็ยอมที่จะยุติบทสนทนาลง รัตติกาลเองก็หันมาก้มหัวให้เขาน้อยๆอย่างขอบคุณที่ช่วยหยุดพวกเขาทั้งสองคนให้ ทั้งๆที่ตั้งใจจะออกมาผ่อนคลายอารมณ์จากเรื่องที่บ้าน แต่กลับเป็นว่าต้องเครียดและมีเรื่องที่ต้องปิดบังทุกคนมากกว่าเดิมซะอีก
“ถ้าคุณกาลตัดสินใจแบบนั้นผมเองก็จะไม่บอกคุณนิลและทางบ้านคุณ แต่ผมก็เห็นด้วยกับคำพูดของคุณรัณย์ในเรื่องของการควบคุมตัวเองของคุณ ครั้งนี้ยังถือว่าโชคดีที่อีกฝ่ายยังไม่ได้รับอันตรายถึงชีวิตทั้งๆที่ได้รับการกระทบเทือนที่หัวซึ่งเป็นจุดที่อันตรายมาก ถ้าคุณยังปล่อยอารมณ์ให้อยู่เหนือเหตุผลแบบนี้อีกคงจะมีสักวันที่ผมคงได้เป็นฝ่ายพาคุณเดินเข้าห้องขังด้วยตัวเอง”
นายตำรวจหนุ่มพูดออกมาด้วยประโยคที่ยาวและจริงจังกว่าทุกครั้ง ท่าทางที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายทำให้รัตติกาลไม่แม้แต่จะกล้าขัดออกมา รัตติกาลเองก็ยอมรับ ว่าเพราะเหตุการณ์นี้เขาก็กังวลเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ของตัวเองที่เหมือนจะมีอะไรผิดแปลกไปทั้งที่วันนี้ตนเองก็ไม่ได้ดื่มมากจนเมามาย แต่ร่างโปร่งก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอาจจะเป็นเพราะคำพูดที่คู่กรณีพูดดูถูกตัวเองนั้นเป็นเหมือนการจุดชนวนให้เขาลงมือทำร้ายอีกฝ่ายอย่างไร้สติ
รัตติกาลได้แต่คิดถึงตัวตนของตัวเองที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมที่เคยเป็น เขาคิดถึงปรัชญาบทหนึ่งกล่าวไว้ว่าคนเราทุกคนเกิดมาเหมือนกับผืนผ้าสีขาวที่แต่ละวันจะถูกแต่งแต้มด้วยสีต่างๆตามประสบการณ์ที่พบเจอมาให้ชีวิตของแต่ละคน รัตติกาลได้แต่นึกหัวเราะเยาะตัวเองที่บัดนี้ผืนผ้าของเขากลายเป็นสีโสมม ซึ่งเกิดจากเรื่องราวต่างๆมากมายที่เขาได้ประสบพบเจอมากับคนคนนั้น
.
.
.
.
.
“มึงสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะไอ้กาล”
ร่างสูงของนิลทักขึ้นเมื่อเพื่อนคนข้างๆล้วงหยิบเอาบุหรี่นอกราคาแพงจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจุดสูบเงียบๆหลังจากที่ตามมาสมทบกับพวกเขาที่ร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน รัตติกาลหันมามองหน้าเพื่อนรักของตนเองก่อนจะเอ่ยตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่ยี่หระอะไร ราวกับว่าพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของตนเองไม่ใช่เรื่องแปลก
“ไม่นาน สักสองอาทิตย์ได้มั้ง”
“สองอาทิตย์... อย่าบอกนะว่ามึงหันมาสูบเพราะที่พี่ทีให้มึงลองดูดวันนั้น”
“มึงเห็น?”
“เออสิวะ มึงลืมไปรึไงว่าวันนั้นเรานั่งโต๊ะติดกระจก”
นิลพูดถึงวันที่เขาและรัตติกาลไปเลี้ยงฉลองกันที่คาเฟ่เล็กๆกับพี่รหัสของร่างโปร่งและแฟนหนุ่มอย่างนทีที่นิลไม่ได้สนิทสนมด้วยเท่าไหร่ ผิดกับพะแพงที่เขาพูดคุยด้วยได้มากกว่า และวันนั้นหลังจากที่รัตติกาลขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำอยู่นานเขาก็หันไปเห็นเพื่อนรักกำลังนั่งพูดคุยกับแฟนหนุ่มของพี่รหัสด้วยระยะห่างที่ดูเหมือนทั้งคู่จะสนิทสนมกันผิดกับคำบอกเล่าของร่างโปร่งที่มักจะมาบ่นกับเขาเสมอว่ารู้สึกไม่ชอบใจกับท่าทางกวนประสาทของอีกฝ่าย
“ไม่มีใครบังคับกูได้หรอก กูชอบกูเลยสูบแค่นั้น ไม่มีอะไรมากมายกว่านี้”
รัตติกาลพูดออกมาก่อนจะหันไปมองผู้คนรอบตัวที่เริ่มออกมาระบายความเครียดผ่านเสียงดนตรี แม้แต่ตัวเขาเองยังคิดไม่ถึงว่าหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติขมเฝื่อนของนิโคตินในวันนั้น เขาจะเลือกกลับมาลองสูบมันอีกด้วยตัวเองผ่านคำแนะนำของเพื่อนชายที่เขาสนิทสนมด้วยช่วงนี้ มวนกระดาษสีดำยี่ห้อ SWISHER Black Stone ถูกยื่นไปให้นิลที่นั่งอยู่ข้างๆแต่ร่างสูงกลับส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกันเพื่อรักษาน้ำใจของเพื่อนแทน
“ว่าแต่มึงไปสนิทกับพี่เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้ยังบอกกับกูอยู่เลยว่าไม่ชอบหน้า”
“ไม่ได้สนิท จากที่เคยไม่ชอบก็ยังไม่ชอบอยู่”
“หรอ นึกว่ามึงจะหันมาลองเล่นอะไรที่ผิดศีลธรรมดู”
“ถึงจะเพื่อนกันแต่กูก็ไม่ต้องระยำแบบมึงนิ”
ร่างโปร่งพูดกัดกลับไปจนนิลระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่ถือสา อันที่จริงเขาก็พูดแซวไปอย่างนั้นเพราะรู้เรื่องรสนิยมทางเพศกันดี และนิลก็รู้ว่ารัตติกาลเคารพพะแพงมากกว่าที่แสดงออกให้คนอื่นเห็น
เสียงบีทหนักๆดังกระหึ่มไปทั่วทั้งชั้นสองที่โต๊ะของพวกเขาตั้งอยู่ เพื่อนคนอื่นเริ่มออกอาการเมามายกันโดยไม่สนใจว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเขามีเรียนกันตั้งแต่เก้าโมง แต่ด้วยเพราะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศที่มีการแข่งขันสูงทำให้นักศึกษาแต่ละคนมีความกระตือรือร้นเรื่องเรียนอยู่เสมอพอๆกับการปลดปล่อยอารมณ์ที่ต้องทำไว้ไม่ให้ขาดเช่นกัน
“อืม.. อะ อีกนิด อ้าปากให้กว้างกว่านี้หน่อย”
มือเรียวของรัตติกาลจิกขยุ้มกลุ่มผมของอีกฝ่ายให้ขยับเข้าออกเป็นจังหวะไล่ให้อารมณ์ของเขาไต่สูงมากขึ้น ปลายลิ้นร้อนหยอกล้ออยู่กับปลายอวัยวะเพศของเขาอย่างรู้งาน ผู้ชายที่รูปร่างผอมบางกว่าเขาซึ่งเป็นพนักงานภายในร้านกำลังนั่งกองอยู่บนพื้นระหว่างขาของร่างโปร่งพลางชักรูดกลางกายของตนที่มีสภาพไม่ต่างกันไปด้วย
“กาล อ๊า... พี่ไม่ไหวแล้ว ทะ ทำพี่ที”
ร่างที่อยู่เบื้องล่างร้องขอสิ่งที่เร้าอารมณ์ยิ่งกว่าพลางหยอกล้อความแข็งขืนที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าไปด้วยอย่างอ้อนวอน ร่างโปร่งที่เริ่มหน้ามืดเพราะความกระสันพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่ให้ตอบรับคำขอของอีกฝ่ายไปทั้งที่ตัวเองไม่พร้อม
“อืม... ไม่มีถุงยาง”
“สดก็ได้ อ๊า..พี่ไม่ถือหรอก ถ้าเป็นกาล อึก พี่ได้หมด”
รัตติกาลรู้ดีว่าคนคนนี้สนใจในตัวเขามานานหลังจากที่เคยเข้ามาใช้บริการในร้านครั้งแรกเมื่อประมานสองเดือนก่อน แม้ว่าเซ็กซ์ระหว่างผู้ชายจะไม่ต้องกังวลเรื่องการคุมกำเนิดแต่อันตรายจากโรคนั้นเป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้
ร่างโปร่งเลือกที่จะนั่งลงบนฝาชักโครกโดยที่ปากของอีกฝ่ายยังคงครอบครองตัวตนของเขาไว้จนเต็มปาก เขาจัดท่าให้อีกคนจากที่เคยนั่งกองอยู่บนพื้นให้โน้มตัวมาด้านข้างพร้อมกับชูสะโพกผายให้สูงขึ้นมากพอที่นิ้วยาวของเขาจะชำแรกแทรกสอดเข้าไปในช่องทางฝืดคับของอีกฝ่ายอย่างแรงจนตัวสั่นกระตุกเกร็ง
“อ๊า..กาล อึก กาล..”
“อืม ทำไปเรื่อยๆ อย่าหยุดล่ะ”
มือข้างหนึ่งของรัตติกาลประคองหัวของอีกฝ่ายที่โยกขึ้นลงอย่างรุนแรงโดยช่วงลำตัวพาดอยู่บนเข่าของเขา ส่วนมืออีกข้างก็กำลังจ้วงแทงเข้าไปในตัวของอีกคนที่ปาดเอาคราบน้ำลายที่เปียกชุ่มกลางกายของเขามาป้ายที่ช่องทวารของตนเองเพื่อหล่อลื่นให้ร่างโปร่งกระหน่ำนิ้วได้อย่างไม่ติดขัด
ความร้อนและเสียงหอบกระเส่าดังก้องห้องน้ำของพนักงานที่ถูกลอบใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์แต่สองร่างที่ต่างมัวเมาในกามอารมณ์กลับไม่ได้สนใจสักนิดว่าจะมีใครผ่านมาได้ยิน นิ้วที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำหล่อลื่นเพิ่มขึ้นเป็นสามในคร่าวเดียวพร้อมกับจังหวะที่เร่งเข้าจนเกิดเสียงเฉอะแฉะดังไปทั่ว แต่ร่างบางที่ร่อนสะโพกเข้าหานิ้วเขากลับไม่ได้ผ่อนความเร็วของริมฝีปากลงแต่อย่างใด
คลื่นอารมณ์พัดพาพวกเขาจนใกล้เข้าถึงฝั่ง รัตติกาลผลักอีกฝ่ายที่กำลังเมามันไม่ต่างกันให้กลับไปนั่งลงกับพื้นโดยที่มือยังคงชักนำแท่งร้อนของตัวเองไปด้วย ร่างโปร่งใช้เข่าดันช่วงอกของอีกฝ่ายให้ถอยไปจนแผ่นหลังแนบชิดกับกำแพงเย็นชืดก่อนจะจับเอาตัวตนที่พร้อมจะระเบิดอารมณ์อยู่ทุกเมื่อแทงพรวดเดียวเข้าไปในช่องปากจนมิดด้าม สะโพกแน่นตบเข้าหาศีรษะของคนใต้ร่างอย่างไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดจากการกระทำนี้มากแค่ไหน แต่จากเสียงครางอื้ออึงที่ดังขึ้นกลับทำให้รัตติกาลเข้าใจดีว่าฝ่ายนั้นก็รื่นรมย์อยู่ไม่น้อย
“อื้อ ... อื้ออออออ”
คนใต้ร่างครางระงมก่อนจะปลดปล่อยออกมาเต็มฝ่ามือของตัวเอง รัตติกาลเห็นเช่นนั้นก็จัดการเร่งความเร็วสะโพกของตัวเองให้เร็วขึ้นจนอีกฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นรับความใหญ่โตที่จ้วงเข้าออกอย่างไม่ปราณี ร่างโปร่งรู้สึกได้ถึงของเหลวที่ใกล้จะพุ่งตัวออกมาจากปลายแท่งบวมเป่ง เขาดึงตัวตนของตัวเองออกมาแล้วชักรูดต่อทางด้านนอกเร็วระรัวก่อนจะส่งเสียงครางต่ำตามกันมาพร้อมกับน้ำกามสีขาวขุ่นไหลพุ่งเต็มใบหน้าของอีกคนที่อ้าปากรอรับราวกับคนกระหายน้ำ
รัตติกาลชักรีดจนมั่นใจว่าขับแรงอารมณ์ออกไปจนหมดแล้ว เขาหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองในกระเป๋ากางเกงทางด้านหลังยื่นให้อีกฝ่ายทำความสะอาดมือและใบหน้าเพื่อตอบแทนกับการที่อีกฝ่ายจัดการทำความสะอาดกลางกายของเขาให้ด้วยลิ้นร้อนๆนั้นตบท้ายก่อนทั้งสองคนจะจัดแต่งเครื่องแต่งกายที่หลุดลุ่ยให้เข้าที่แล้วพากันเดินออกมาจากห้องน้ำที่ปิดล็อกพร้อมกับนำป้ายกำลังทำความสะอาดมาตั้งไว้ด้านหน้าเพื่อพลางสายตาผู้คน
“ถึงจะเสียดายที่กาลยังไม่ได้พี่ แต่ก็สนุกมาก ขอบใจนะ”
“ครับ”
รัตติกาลตอบรับสั้นๆจนอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆในท่าทางนิ่งสงบสวนทางกับลีลาร้อนแรงเมื่อครู่ ร่างบางเขย่งตัวขึ้นจูบริมฝีปากแดงของรัตติกาลตบท้ายก่อนจะเปิดประตูออกไปเพื่อพบกับเสียงเพลงดังกระหึ่มด้านนอก แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่างทางมุมมืดด้านขวาของบานประตู ช่วงขาที่สั้นกว่าหยุดเดินสักครู่ก่อนจะก้าวออกไปทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อากัปกริยาของคนที่เพิ่งมีความสัมพันธ์ด้วยทำให้รัตติกาลเกิดความสงสัยน้อยๆ ในจังหวะที่เขากำลังเดินออกมาตามกันจึงหันไปมองทางด้านขวาเหมือนที่อีกคนทำ ก่อนจะเกิดอาการหยุดชะงักไม่ต่างกัน
ร่างกายของคนที่บดเบียดตัวเข้าหากันไม่ต่างจากสิ่งที่เขาทำเมื่อครู่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่เป็นจุดสังเกตแต่ถ้ามองดีๆก็ยังสามารถเห็นได้ชัด ร่างบางของผู้หญิงผมยาวในชุดเสื้อซีทรูสีดำตัวบางกับกางเกงขาสั้นจนน่าหวาดเสียงกำลังขยับร่างเข้าหาชายหนุ่มที่กำลังมอบจูบให้เธอย่างเร้าร้อนพอๆกับมือหยาบของฝ่ายชายที่ล้วงเข้าไปลูบแผ่นหลังเนียนบริเวณตะขอบราเซียของเธอราวกับอยากจะปลดมันออกใจจะขาด ในสถานบันเทิงประเภทนี้การจะเห็นภาพคนกำลังระบายอารมณ์ใส่กันไม่ใช่เรื่องแปลกและไม่ใช่เรื่องที่รัตติกาลจะให้ความสนใจ แต่สิ่งที่เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ก็คือใบหน้าของฝ่ายชายที่เขาจำได้ดีว่าเป็นใบหน้าเดียวกับคนที่ทำให้เขาได้ลิ้มรสของบุหรี่เป็นครั้งแรก
ร่างสูงที่รู้สึกตัวว่ามีคนกำลังจ้องมองตนเองอยู่เบนสายตาขึ้นมองจนสบเข้ากับนัยน์ตาคมที่ส่อแววตำหนิระคนตกใจมาให้เขา แต่แทนที่จะหยุดนทีทำเพียงแค่มองไปในดวงตาของอีกคนให้ลึกเข้าไปอีกทั้งที่ยืนอยู่ห่างกัน
ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นในอกของรัตติกาลที่ปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉย สบตาของอีกฝ่ายนิ่งๆโดยที่ไม่พูดอะไรก่อนจะก้าวเท้าออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
-
คุยกับเช่!
ตอนนี้แอบหยอดNCไว้แบบงงๆ ถึงจะเป็นกับตัวประกอบแต่ไม่รู้สิตอนเขียนๆอยู่รู้สึกแบบ...จังหวะนี่แหละ! แล้วมันก็ออกมาเลย
วันนี้อ่านๆย้อนดู รู้สึกว่าไนท์แมร์นี่มันช่าง...ไม่หวานเอาซะเลยเนอะ =3= แต่ไม่ต้องห่วงคนับ อีกไม่นานเกินรอจะมีอะไรให้อิ๊อ๊ะ
ถ้าเกิดว่าเช่ไม่คิดเล่นอะไรพิเรณไปซะก่อน บางทีก็สงสารคนอ่านเหมือนกันว่าคงไม่อยากอ่านอะไรเครียดๆมาก
แต่ไม่รู้สิ สำหรับเช่เองรู้สึกแบบ อืม นี่แหละ 555555 มีความเป็นโดะเอสลึกๆข้างใน ชอบเห็นคนเจ็บปวด แต่วางใจนะ
ยังไงเช่ก็ชอบตอนจบแบบไม่ปวดตับมาก แม้จะสปอยอินโทรไว้แบบนั้น ต้องดูกันต่อไปเนอะ ^^
เหมือนเดิม~~ ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตนะคนับ คุณไม่รู้หรอกว่าแค่คำพูดไม่กี่คำทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขและกำลังใจแค่ไหน
:-[ :-[ :-[
-
โอ่ะ!! สงสารใครดี
-
ชอบๆเราชอบหน่วงๆ
-
เดียวนะ นทีเองก็นอกใจพะแพงใช่ป่ะ?! แบบไปมีอะไรกับคนอื่นลับหลังพะแพง
หรือว่าคนในคลับนั้นคือพะแพง? งงตุง :ruready
และกาลเองสุดท้ายก็แอบคบกับนที...... :hao4:
เรื่องนี้ช่างลึกลับซับซ้อนมาก
น้องรพีก็น่าสงสารทุกตอน :hao5:
กาลก็แอบจิตสุดๆ คาดเดาไม่ค่อยได้ว่าจะทำชั่วอะไรต่อ 555555
รอตอนต่อไปนะคับ :katai2-1:
-
นั่นไงๆๆ กาลแอบคบกับพี่นทีแน่ๆ แล้วทีนี้แฟนพี่นทีก็ท้อง กาลเลยเสียใจ อืมมมมมมมมมม สงสารกาลลลล รัณย์ได้โปรดช่วยเยียวยากาลเร็วๆด้วยเถอะ :sad11: :sad11:
-
วันนี้เช่ไปรับงานถ่ายรูปข้างนอกมา เลยไม่ได้ปั่นเลยคนับ
ขอเลื่อนไปหนึ่งวันนะ *กระพริบตาปริบๆ* :mew2: :hao3:
-
13th Night
…White Lies...
เช้าวันใหม่ในบ้านพัฒนเดชาเต็มไปด้วยคำถามว่านายใหญ่ของบ้านอย่างรัตติกาลไปทำอะไรมาใบหน้าหล่อเหลาถึงได้เต็มไปด้วยรอยช้ำ หนำซ้ำมือที่เคยใช้ได้สะดวกก็ถูกพันไว้ด้วยผ้าที่ยังมีเลือดไหลซึมให้เห็นอยู่ จันทร์มองหน้าคุณหนูของเธอพร้อมกับตั้งคำถามแต่ร่างโปร่งกลับตอบเพียงแค่ว่ามันเป็นอุบัติเหตุทำให้เธอไม่กล้าที่จะถามอะไรเพิ่มเติมทั้งที่ไม่เชื่อคำแก้ตัวนั้นเลยสักนิดเลยสักนิด
“พ่อกาล เจ็บมากไหมฮะ”
รพีที่ทำสีหน้ากังวลเอ่ยถามเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของพ่อตลอดการเดินทางมาที่ที่โรงเรียน แม้จะรู้สึกรำคาญคำถามซ้ำซากพวกนี้แต่เพราะอารมณ์ที่ติดค้างมาจากเมื่อวานทำให้รัตติกาลสงบปากสงบคำแล้วส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปเสียทุกครั้ง
ร่างสูงของอารัณย์ ยืนมองสองพ่อลูกที่เดินเคียงคู่กันมาจนถึงประตูโรงเรียน ใบหน้าหวานคมที่เคยดูดีทุกระเบียดนิ้วกลับมีร่องรอยจากการต่อสู้จนคนที่จำรัตติกาลได้ต่างอุทานด้วยความตกใจไม่เว้นแม้แต่ครูสา ครูประจำชั้นของรพีที่รีบเดินเข้าไปสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง
รพียังคงจับมือของพ่อแน่น เห็นรัตติกาลอยู่ในสภาพนี้จิตใจของเด็กน้อยก็ไม่เป็นอันเรียน แม้แต่ความตั้งใจเดิมที่อยากมาโรงเรียนเช้าๆเพื่อเล่นเครื่องเล่นที่ตั้งอยู่เต็มลานก็ถูกพับเก็บไป เหลือเพียงความกังวลระบายอยู่เต็มใบหน้าไม่เหลือเค้าของความร่าเริงอย่างที่เคยเป็นจนหญิงสาวได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง
“รพี เข้าโรงเรียนได้แล้วครับ”
ร่างโปร่งเอ่ยกับลูกชายที่จับมือเขาไม่ยอมปล่อย รพีที่เคยว่าง่ายกลับแสดงอาการดื้อดึงออกมาผิดวิสัยที่เป็น รัตติกาลที่อยากจะกลับไปจัดการเรื่องทุกอย่างจนเต็มแก่รู้สึกหงุดหงิดไม่ชอบใจ อยากจะสะบัดร่างป้อมนี่ออกไปไกลๆแต่ก็ทำอย่างที่ใจคิดไม่ได้ นัยน์ตาสีดำขลับแสดงความขุ่นเคืองผ่านทางแววตา แม้รพีจะสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของพ่อแต่ความรู้สึกเป็นห่วงนั้นมีมากกว่าจึงทำใจกล้าไม่ยอมปล่อยมือข้างที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าสีขาวออกราวกลับกลัวว่าจะมีใครมาทำร้ายมันอีก
อารัณย์ที่ยืนต้อนรับเด็กๆอยู่ที่ประตูชั้นในสังเกตอาการของเด็กชายอยู่สักพักหนึ่งแล้ว รวมถึงอารมณ์ขุ่นมัวของคนโมโหร้ายที่ทำให้ร่างสูงกังวลว่าความเกรี้ยวกราดเหมือนเช่นเมื่อคืนจะถูกแสดงออกมาต่อหน้ารพีที่ยืนตาแดงตัวสั่น ช่วงขายาวภายใต้กางเกงกีฬาสีดำก้าวฉับๆเข้ามาทักทายร่างป้อมเพื่อดึงความสนใจของเด็กชายให้มาอยู่ที่ตัวเอง
“รพี สวัสดีครับ”
“น้ารัณย์... สวัสดีฮะ”
“วันนี้เป็นอะไรครับ ไม่ร่าเริงเลย แล้วทำไมไม่เดินเข้าโรงเรียนสักทีละครับ”
“พีเป็นห่วงพ่อกาล...”
เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน ดวงตาเล็กๆนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวลขนาดที่คนมองรับรู้ได้ถึงความรักและเป็นห่วงที่ถูกอัดแน่นอยู่ภายใน มือใหญ่ยกขึ้นเพื่อลูบเส้นผมสีเข้มเหมือนกับคนเป็นพ่อเบาๆ อารัณย์เลือกที่จะส่งยิ้มให้เด็กน้อยที่กำลังสับสน เสียงทุ้มถูกใช้ออกไปผิดกับภาพลักษณ์ที่รัตติกาลเคยเจอ จนอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
“เป็นเด็กดีจังนะ แต่ว่าคุณพ่อของพีโตแล้ว ท่านดูแลตัวเองได้ครับ”
“แต่พ่อกาล...เจ็บ พีต้องพาพ่อกาลไปหาหมอ”
“อืม แต่ถ้าพีไม่ยอมเข้าเรียน คุณพ่อจะไม่สบายใจนะ”
“...”
“เชื่อน้านะ เข้าห้องเรียนกันแล้วคุณพ่อเราจะได้ไปหาคุณหมอเร็วๆไง”
รพีนิ่งไปครู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันที่รัตติกาลรู้สึกขอบคุณและทึ้งในทักษะของคนตรงหน้า เด็กชายคลายมือที่จับเขาไว้แต่ก็ยังไม่ละสายตาไปไหน ร่างโปร่งย่อตัวลงนั่งเพื่อให้อยู่ระดับเดียวกันเด็กชาย ท่ามกลางสายตาของคนรอบข้างที่กำลังมองมาที่พวกเขาทั้งสามคนอย่างสนใจ
“พ่อกาล ต้องไปหาคุณหมอนะฮะ”
“พ่อไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“แต่พีเป็นห่วง...”
“...”
“นะฮะ...”
ร่างโปร่งยอมพยักหน้าเพื่อตอบรับคำขอร้องนั้น ทั้งที่ภายในใจกลับไม่มีความคิดจะทำตามเลยสักนิด รัตติกาลลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะลูบหัวกลมของลูกชายแล้วหันไปบอกลาครูประจำชั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปที่รถโดยไม่ได้เอ่ยทักอารัณย์ที่ยืนอยู่เคียงข้างรพี ทั้งที่เมื่อคืนร่างสูงได้ให้ความช่วยเหลือเขาไว้อีกครั้งโดยที่ไม่ได้ร้องขอ อารัณย์เองก็ไม่ได้ให้สนใจรัตติกาลมากไปกว่าเด็กน้อยที่ยังคงมองตามพ่อของตนไปด้วยความกังวล
“เข้าโรงเรียนกันนะ”
.
.
.
.
ตลอดทั้งวันรพีไม่ได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการเรียนอย่างเคย จนครูสาอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ แม้แต่เพื่อนตัวน้อยอย่างข้าวมีน้ำใจแบ่งปันขนมของโปรดให้เมื่อเห็นสีหน้าของรพีก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจากเด็กชายมากไปกว่าการก้มหน้าให้น้อยๆแล้วหันไปมองที่ประตูราวกับว่ากำลังรอคอยการมาถึงของใครบางคน
“พีคงเป็นห่วงคุณพ่อมากเลยเนอะ”
“...”
อารัณย์ไม่ได้พูดอะไรกลับไป ร่างสูงมองรพีที่นั่งอยู่คนเดียว ณ มุมห้อง ไม่ยอมออกไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นอย่างที่เคยทำ หลังจากพักกลางวันซึ่งเป็นชั่วโมงอิสระ เด็กชายก็แยกตัวออกมานั่งคนเดียวเงียบๆไม่สนใจใคร แม้แต่หญิงสาวที่เข้าไปพูดคุยด้วยความเป็นห่วงก็ไม่รู้จะจัดการยังไงไหวกับอาการเงียบนิ่งดังกล่าว แม้จะอยากอยู่เคียงข้างแต่ภาระหน้าที่ของเธอก็ไม่ได้ผูกติดอยู่กับเด็กชายแค่คนเดียว ยิ่งวันนี้มีเด็กที่ไม่สบายอยู่ถึงสองคนในห้องทำให้เธออดที่จะเป็นกังวลไม่ได้
หลังขบคิดอยู่นาน อารัณย์ตัดสินใจเดินไปหาร่างป้อมที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก เขาลงนั่งกับพื้นเบื้องหน้าโดยเว้นระยะห่างไว้น้อยๆไม่รุกล้ำจนเกินไปก่อนจะพูดทักรพีด้วยน้ำเสียงอบอุ่น พยายามสื่อถึงความห่วงใยที่มีต่อคนตรงหน้า
“พีครับ”
“...”
“เป็นห่วงคุณพ่อใช่ไหม”
รพีที่ตอนแรกไม่ยอมแม้แต่จะหันมามองร่างสูงกลับค่อยๆเบือนหน้ากลับมาสบตาเมื่ออารัณย์พูดถึงรัตติกาล คนที่รพีเป็นห่วงอยู่เต็มหัวใจ เด็กชายไม่พูดแต่พยักหน้าให้น้อยๆตอบรับทั้งที่น้ำตาเอ่อคลอ
“เห็นแก่พีที่เป็นเด็กดี เป็นห่วงคุณพ่อ เพราะฉะนั้น...พี่จะบอกความลับเกี่ยวกับยาวิเศษให้ฟัง”
“ยาวิเศษ...”
“อืม ต่อให้ป่วยเป็นอะไร เจ็บมากแค่ไหน ถ้าได้ยานี้ล่ะก็ ก็จะไม่เจ็บปวดอีก”
“ยาอะไรหรอฮะน้ารัณย์ พีจะซื้อยานั่นได้จากที่ไหน!”
เด็กชายพูดด้วยความรนราน มือเล็กขยำชายผ้ากันเปื้อนของร่างสูงแน่นอย่างต้องการคำตอบ แค่ได้ยินว่ามีสิ่งที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของผู้เป็นพ่อได้รพีก็คิดแต่จะตามหาสิ่งนั้นให้ได้เท่านั้น
“ยานี้หาซื้อไม่ได้ครับ”
“ซื้อไม่ได้ ละ แล้วพีจะทำยังไง...น้ารัณย์มีไหมฮะ ขอ...พีขอได้ไหม”
“ยานี้หาซื้อไม่ได้ ขอจากใครก็ไม่ได้”
“เอ๋...”
“มันเป็นยาที่เกิดขึ้นในตัวเราเมื่อได้ทำสิ่งที่อยากทำ ได้กินของที่ชอบ ได้เห็นสิ่งที่อยากเห็น ได้หัวเราะ ได้ยิ้มกับสิ่งรอบตัว เป็นสิ่งที่...เราต้องสร้างด้วยตัวเอง”
“...”
“และตัวเราต้องมีมันให้ตัวเองก่อน เราถึงจะแบ่งปันมันให้กับคนอื่นได้”
“พีไม่เข้าใจ...ตกลงยานั่นมันคืออะไรฮะ”
“ยาวิเศษนั่นนะ...ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสุข’ ”
“ความสุข...”
เด็กชายขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจว่าความสุขที่ว่าจะทำให้คนหายเจ็บปวดได้ยังไง อารัณย์ยกนิ้วขึ้นนวดเบาๆบนหัวคิ้วของรพีที่ขมวดเป็นปมก่อนจะพูดต่อเพื่ออธิบายให้เด็กชายเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามสื่อ
“ตอนเด็กๆเวลาน้าป่วย น้าเองก็ได้รับยาวิเศษนี้จากแม่ประจำ”
“...”
“แม่ของน้าจะทำกับข้าวอร่อยๆให้กิน เล่านิทานให้น้าฟัง คอยอยู่ข้างๆ ยิ้มให้แล้วปลอบน้าว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร ขอแค่อยู่ด้วยกัน...วันต่อมาน้าก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว”
“...”
“รอยยิ้มของคนที่เรารักน่ะ มีพลังมากรู้ไหมครับ”
“แล้วรอยยิ้มของพี จะทำให้พ่อกาลหายเจ็บได้ไหมฮะ”
“...”
“พีน่ะ...ช่วยพ่อกาลได้จริงๆใช่ไหม”
เด็กชายเอ่ยถามด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวังทั้งที่ไม่มั่นใจ อารัณย์รู้ในสิ่งที่รพีกังวล แม้ลึกๆข้างในต่างก็รู้ดีว่าคำตอบนั้นสามารถฆ่าคนฟังให้ตายตั้งเป็นได้จึงเลือกที่จะพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามเพราะไม่อยากเห็นดวงตาสิ้นหวังของเด็กชายที่เผลอแสดงออกมา
“ได้สิ ถ้าพีมีความสุข พ่อของพีต้องมีความสุขเหมือนกัน...”
รพีระบายยิ้มเต็มใบหน้า แสงแห่งความหวังถูกจุดขึ้นในดวงตากลมที่หรี่เล็กลงทำให้เด็กชายกลับมามีสีหน้าที่เริ่มกลับสดใสอีกครั้ง เด็กชายนิ่งไปสักครู่ก่อนร่างป้อมจะก้าวลงจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วพาร่างของตนไปยังมุมศิลปะของห้องเรียน หยิบคว้าเอากระดาษและดินสอสีในตระกร้าแล้วถือมันกลับมาอารัณย์ที่นั่งมองเด็กชายอยู่ไม่ห่าง
ร่างสูงส่งยิ้มให้รพีที่ร้องบอกกับเขาว่าจะลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นของขวัญให้พ่อของตน ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงลงมือช่วยตัดกระดาษแผ่นใหญ่ให้เล็กลงพอดีกับความต้องการของเด็กชาย ที่ลงมือทำพลางพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดจนเพื่อนตัวน้อยอย่างข้าวที่เล่นอยู่อีกมุมรีบวิ่งมาดูทันทีเมื่อเห็นรพีกำลังลงมือทำอะไรบางอย่างด้วยท่าทางร่าเริงผิดกับเมื่อครู่
ภายใต้รอยยิ้มอ่อนโยน อารัณย์รู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ คำโกหกสีขาวที่พูดออกไปนั้นไม่ได้เพียงสร้างภาพลวงตาให้เด็กน้อยที่ต้องการความหวัง แต่มันกลับกรีดซ้ำลงไปในภาพความทรงจำที่เขาเองอยากจะลืมเช่นกัน
รัตติกาลโกหก
อารัณย์เองก็โกหก
ความจริงที่ถูกซ่อนไว้...คือรัตติกาลจะไม่ยิ้มเมื่อรพีมีความสุข
และตัวเขาเอง...ก็ไม่เคยได้รับยาวิเศษที่ว่านั่นเลยสักครั้ง
.
.
.
.
ไม้ฝาราคาถูกส่งกลิ่นอับชื้นเมื่อต้องแบกรับน้ำฝนที่ตกหนักอยู่ตลอดสัปดาห์ เด็กชายตัวเล็กร่างกายผอมแห้งมีแต่ผิวหนังหุ้มกระดูกใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงบิดผ้าที่สะอาดพอเท่าที่หาได้ให้หมาดน้ำ ก่อนจะเช็ดลูบไปตามผิวหนังที่เต็มไปด้วยรอยแผลของมารดาที่เมามายไม่ได้สติ
ร่างตรงหน้าปัดป่ายมือไปมาเมื่อรู้สึกรำคาญสัมผัสที่รบกวนเวลานอน ลมในท้องตีขึ้นเกิดเป็นเสียงเรอดังจนกลิ่นเหล้าราคาถูกเหม็นคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ซึ่งเด็กชายยังคงลงมือปรนนิบัติมารดาของตนต่อไปโดยไม่รังเกียจ เพราะมีเพียงแค่ช่วงเวลาแบบนี้เท่านั้นแหละ ที่เขาจะสามารถเข้าใกล้เธอได้โดยไม่ต้องร้องไห้
ภายใต้เสื้อกล้ามสีขาวตัวเก่า รอยฟกช้ำมากมายถูกประดับเต็มแผ่นหลังเล็กที่โค้งงอเล็กน้อยเมื่อต้องก้มลงหยิบกะละมังเพื่อเปลี่ยนเอาน้ำสกปรกทิ้งไปก่อนจะทำแบบเดียวกันซ้ำๆจนกว่าแม่ของตนจะสามารถหลับได้อย่างสบายตัว
“ไอ้รัณย์ มึงอยู่ไหนวะ ไอ้รัณย์!!!!”
เสียงที่กาลครั้งหนึ่งเคยเพราะพริ้งจับใจคนฟังกลับแหบแห้งเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ตะโกนลั่น เด็กชายอารัณย์ในวัยเก้าขวบรีบวิ่งกุลีกุจอเข้ามาหาแม่ของตนที่คว้าเอาที่วางยากันยุงซึ่งอยู่ใกล้มือเขวี้ยงไปชนกับกำแพงห้องอีกด้านเสียงดัง จนห้องข้างๆลุกขึ้นมาทุบกำแพงพร้อมกับตะโกนด่าด้วยความไม่พอใจที่โดนรบกวนเวลานอนแบบนี้ซ้ำๆเกือบทุกคืน
“รัณย์อยู่นี่ครับแม่ แม่จะเอา...”
เพี้ยะ!!!
“มึงเอาเหล้ากูไปไหนห๊ะ ไอ้เด็กขี้ขโมย!!!!”
“ระ รัณย์เปล่านะแม่ มันหมดแล้ว รัณย์แค่เอาขวดไปทิ้ง”
“อย่ามาตอแหล!!! มึงขโมยมันไปใช่ไหมไอ้เด็กเวร!!!”
“รัณย์เปล่า ฮึก แม่อย่า แม่!!”
เด็กชายร้องห้ามเมื่อแม่ของตนพยุงร่างที่โอนเอนเข้ามาใกล้แล้วลงมือทุบตีร่างกายเล็กนั้นอย่างไร้ความปราณีอีกครั้ง รอยช้ำวงใหญ่กลางแผ่นหลังถูกตีซ้ำๆจนเจ็บไปถึงกระดูก แขนผอมเหมือนกิ่งไม้ถูกยกขึ้นสูงเมื่อเจ้าของพยายามใช้มันป้องกันใบหน้าของตนเองจากการโดนทำร้าย ทันทีที่ไม่มีอะไรขวาง หญิงที่ทรุดโทรมจนดูแก่กว่าวัยก็ใช้ฝ่ามือที่ครั้งหนึ่งเคยประคองเด็กชายด้วยความรักฟาดเข้าเต็มใบหน้าเล็กจนหันไปอีกทาง เลือดข้นผสมกับน้ำลายไหลย้อยมาตามมุมปาก ผสมกับน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล
“เพราะมึง เพราะมึงคนเดียวชีวิตกูเลยต้องเป็นแบบนี้!!!”
“ฮึก รัณย์ขอโทษ แม่ รัณย์ขอโทษ...”
“ถ้าไม่มีมึงสักคน ขอแค่ไม่มีมึง ฮึก... ไอ้ตัวซวย!!!”
“รัณย์ขอโทษ..ฮึก รัณย์ขอโทษ”
.
.
.
.
“เฮ้อ...”
รัตติกาลถอนหายใจออกมาดังๆหลังจากเข้าพบกับพ่อแม่ของเด็กวัยรุ่นที่มีเรื่องกับตนเมื่อคืนรายสุดท้าย ค่าเสียหายและค่าทำขวัญถูกโอนเข้าบัญชีของคนพวกนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยฝีมือของทนายนเรศที่ลงมือทำงานอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากทุกครั้ง อาจจะเพราะท่าทางดูภูมิฐานของเขาหรือหลักฐานที่มัดตัวอีกฝ่ายแน่นว่าเป็นคนลงมือก่อนทำให้ผู้ปกครองพวกนั้นไม่กล้าเรียกร้องอะไรกับเขามาก จะมีก็เพียงแต่รายที่โดนตีเข้าที่หัวเท่านั้นแหละ ที่ดูเหมือนจะรับไม่ได้กับความจริงข้อนี้และผิดหวังกับการที่ไม่สามารถเล่นงานเขาตามกฎหมายได้
รถยนต์คันหรูหยุดลงในที่จอดรถประจำตำแหน่ง ร่างโปร่งพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เข้ามาทักทายเขาเหมือนอย่างเคย ช่วงขายาวก้าวเดินไปตามทางผ่านแผนกต่างๆที่มีพนักงานกำลังปฏิบัติหน้าที่กันอย่างขะมักเขม้นเพราะเวลาปิดรอบใกล้จะวนมาถึงอีกครั้ง
รัตติกาลเลี้ยวขวาในทางแยกสุดท้ายจนห้องทำงานปรากฏขึ้นตรงหน้า โต๊ะทำงานที่ควรมีคนนั่งประจำอยู่กลับไร้วี่แววของเลขาสาว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มหมุนลูกบิดประตูพาร่างของตนเข้าไปในห้องแต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อสบตาเข้ากับนิลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของเขาพร้อมกับมองมาที่ตนราวกับสิงโตจ้องเหยื่อ
“มึงไปทำอะไรมา”
“เฮ้อ...ถ้ารู้อยู่แล้วก็ไม่ต้องถาม”
“กูรู้ แต่ก็อยู่รู้ว่ามึงจะโกหกกูไหม”
ร่างโปร่งส่ายหัวน้อยๆก่อนจะปิดประตูห้อง พาร่างของตนไปนั่งบนโซฟาตัวยาวที่ไว้ต้อนรับแขก หยิบเอาเอกสารที่อยู่ในกระเป๋าขึ้นมาอ่านโดยไม่ให้ความสนใจกับเพื่อนของตนที่ยังคงจ้องมาไม่วางตา นิลสบถเบาๆแล้วลุกขึ้นมานั่งเคียงข้างรัตติกาลแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่รอยช้ำตรงมุมปากเบาๆแต่ก็ทำให้ผู้ถูกกระทำเจ็บมากพอ จนรัตติกาลต้องสะดุ้งตัวโยน
“ทำอะไรของมึงเนี่ย!”
“ทำให้เจ็บ นึกว่าชอบเห็นหาเรื่องเจ็บตัวไปทั่ว”
“หึ เป็นคนชอบประชดประชันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องไอ้กาล บอกกูมาดีๆว่าได้แผลนี้มายังไง”
“อุบัติเหตุนิดหน่อย”
“กูเหมือนป้าจันทร์หรอ ถึงว่ากูจะยอมแกล้งเชื่อมึงกับเหตุผลสั่วๆนั้น”
ร่างโปร่งรับรู้ได้ทันทีว่าคนที่คาบข่าวไปบอกนิลไม่ใช่อารัณย์และฤทธิชาติที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมด นั่นนับว่ายังดีที่เขาสามารถหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญที่ไม่อยากให้เพื่อนรักรับรู้ไปได้ รัตติกาลวางแฟ้มในมือลงก่อนจะหันมาพูดกับนิลยังคงมองตนอย่างคาดคั้นดีๆ
“มีเรื่องตอนเมานิดหน่อย”
“นิดหน่อยเหี้ยอะไร หน้ามึงแหกขนาดนี้ทั้งที่มือตีนมึงหนักกว่ากูอีก”
“พวกมันมากันหลายคน”
“เห้ย อย่าบอกนะว่ามึงโดนรุม!”
“อืม แต่ไม่เป็นไร พวกมันเจ็บกว่ากูอีก”
“แล้วมึงออกไปไหนทำไมไม่ชวนกูวะกาลง...ถ้ากูอยู่มึงคงไม่เป็นขนาดนี้”
‘ดีแล้วที่มึงไม่ไปด้วย’ ร่างโปร่งคิดในใจไม่ได้พูดมันออกมา เขากลบเกลื่อนความคิดตัวเองด้วยการจุดบุหรี่ขึ้นสูบพลางเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย นัยน์ตาสีดำถูกปิดลง คิดถึงเรื่องเมื่อคืนว่าถ้านิลไปด้วยเจ้าตัวอาจจะสามารถหยุดเขาได้ก่อนที่เหตุการณ์รุนแรงจะเกิดขึ้น แต่อีกใจหนึ่งเขากลับไม่อยากแม้แต่จะให้นิลเห็นเขาในสภาพนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่วันนั้น หากเป็นเมื่อก่อนไม่ว่ามันจะดำมืดแค่ไหนเขาก็ไม่เคยปกปิดมันเหมือนกับนิลที่แสดงตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าเขาเช่นกัน ผิดกับตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย แม้จะไม่อยากหวาดระแวงแต่รัตติกาลกลับห้ามตัวเองให้เลิกกลัวไม่ได้
ให้มันห่างขึ้นดีกว่าขาดจากกันไป
ต่อให้มันไม่มั่นคงแค่ไหนเขาก็เลือกที่จะยื้อมันไว้ในแบบของตัวเอง
“กูแค่เหนื่อยๆ อยากดื่มคนเดียว”
“เพราะเรื่องรพีสินะ”
นิลพูดดักออกมาอย่างรู้ทัน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ารัตติกาลฝืนตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็เพราะรับปากเอาไว้ถึงไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย ถึงแม้จะอยากเห็นร่างโปร่งเปิดรับรพีแล้วมีความสุขกับชีวิต ลืมความแค้นที่คอยทำร้ายแล้วเริ่มต้นใหม่อย่างที่หวัง แต่สิ่งที่ร่างโปร่งกำลังทำกลับไม่ได้ทำให้เขาสบายใจเลยแม้แต่น้อย
“ประมานนั้น”
รัตติกาลเองก็ตอบกลับมาตรงๆอย่างไม่คิดปิดบัง อันที่จริงปิดไปนิลก็คงรู้อยู่ดี สู้ยอมรับตรงๆซะยังดีกว่า หนำซ้ำความจริงข้อนี้อาจจะเรียกความน่าเห็นใจให้ตัวเขาบ้าง ในฐานะคนที่มีความพยายามจะกลับตัว มันก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่...
“ถึงกูจะอยากเห็นมึงทำดีกับรพี แต่กูก็ไม่อยากให้มึงฝืนตัวเองแบบนี้”
“หึ จะใจอ่อนกับกูแล้วรึไง มึงก็รู้ว่าถ้ากูเลิกตอนนี้ สิ่งที่มึงหวังจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้อีก”
“เพราะฉะนั้นมึงเลยเดิมพันสุดตัวเลยสินะ...”
“ประมานนั้น ถ้าสุดท้ายกูทำไม่สำเร็จ กูคงไม่เหลืออะไรเลย”
“...”
“แต่ถ้ากูทำสำเร็จ...กูก็จะได้ทุกอย่างกลับคืนมา”
ทั้งความเชื่อใจที่ป้าจันทร์มีต่อเขา
ทั้งความความสัมพันธ์ของเขาและนิล
รวมไปถึงโอกาส...ในการแก้แค้นครั้งสุดท้าย
“ถ้ามึงตัดสินใจอย่างนั้นกูคงทำอะไรไม่ได้ แต่ระวังนะไอ้กาล”
“...”
“คนที่แพ้...อาจจะไม่ใช่แค่คนคนเดียวก็ได้”
-
คุยกับเช่!
เป็นไงกันบ้างคนับ! ความเครียดโชยมาเลย (คนอ่าน : ไหนบอกจะหวานแล้วไง ไหนห๊ะเช่!!!) 555555555
ตอนนี้เป็นการอธิบายเหตุผลว่าทำไมอารัณย์ถึงได้ดูเป็นห่วงรพีออกนอกหน้า ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน และก็อาจจะเป็นเหตุผล
ที่เจ้าตัวมาทำอาชีพเกี่ยวกับเด็กๆทั้งที่ดูบุคลิกแล้วห๊าวห้าว ไม่เหมาะเอาซะเลย ตัวละครตัวนี้เช่สร้างอยากให้เป็นกาวใจ
สมานความสัมพันธ์ของสองพ่อลูก แต่คนอย่างกาล ให้ไปพูดดีๆคงไม่ได้ผล อาจจะต้องเจอคนที่มีอดีตพอๆกันเนี่ยแหละ หึหึ
บอกล่วงหน้าเลยว่าไปอัพไปสองวันนะคนับ เจอกันวันพุธเลย เช่ต้องออกกอง ถ่ายรูปถ่ายงานสองวันติด ว่าไงดีล่ะ
เช่ไม่อยากอัพเป็นแบบ% อยากจะลงให้ทีเดียวเต็มๆเลย เพราะตอนนึงของเช่ไม่ได้ยาวมาก บวกกับบางทีเขียนๆไปจะจบแล้ว
พอรู้สึกว่ามันไม่ได้ ไม่ใช่ เช่ก็ลบทิ้งเกลี้ยงเลย 55555 ตอนแรกมีสต็อกเผื่อไว้ แต่ตอนนี้หมดแล้วด้วย เลยอาจจะช้ากว่าที่เคย
ทั้งที่พูดไว้แล้วว่าอยากมาอัพให้ทุกวัน แต่ก็ดันทำตามที่พูดไม่ได้ซะอย่างนั้น รู้สึกแย่นะคนับ กลัวคนไม่รอ T^T อย่าลืมเช่นะ
แต่ถึงมาช้าก็ยังมีคนรออยู่ คนไลค์เพจก็เริ่มมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คิดอยู่ว่าถ้าครบร้อยอาจจจะมีตอนพิเศษให้แต่ยังไม่รับปากนะ
คือเรื่องมันมาแนวนี้จะตอนพิเศษยังไงวะ 555555555 อาจจะเป็นเรื่องสมัยมหาลัยของนิลกาลงี้ ดูก่อนๆ ดูแบบยาวๆเลย
สุดท้ายเหมือนเดิม ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตทุกไลค์ กำใจจากทุกคนที่ให้เช่อยากเขียนต่อ ขอบคุณนะคนับ^^
แม้มันจะร้าง จะเงียบยังไงก็เถอะ เช่ด้านฮะ จะลงต่อไปแบบนี้เรื่อยแหละ~~~ #รัก
:oo1: :oo1: :oo1:
-
เห้ออออ
-
ดีละครับเขียนต่อไปขอแค่ให้จบ ผมคนนึงที่รออ่าน เบื่อมากพวกคนที่เขียนแล้วหยุดไปดื้อๆ สู้ๆ
-
แนะนำให้กาลไปพบจิตแพทย์นะคะ ฮ่าๆๆๆๆๆ สงสารกาลควบคุมอารมณ์ไม่ได้
พี่นทีนี่ก็ใช่ย่อยเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ
-
ดาร์กสุดๆ เฮ้ออออออออออออออออออ :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ขอหวานมั่งนะคะคนเขียนนนนนนนน ต้องการน้ำตาลอย่างด่วน ฮ่าๆๆๆๆ
-
ดาร์กสุดๆ เฮ้ออออออออออออออออออ :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ขอหวานมั่งนะคะคนเขียนนนนนนนน ต้องการน้ำตาลอย่างด่วน ฮ่าๆๆๆๆ
เรื่องหลักอาจจะขมจนน้ำตาเล็ด แต่เตรียมหวานเบาๆกับตอนพิเศษนะคนับ คิดพล็อตออกแล้ว!
-
14th Night
…Selfish... (50%)
“แน่ใจนะว่ากูไม่ต้องไปรับรพีที่โรงเรียน”
“เออ พักสักวัน”
รัตติกาลถามย้ำให้แน่ใจ หลังจากพูดคุยกันในห้อง ต่างฝ่ายต่างเคลียร์งานของตนเองจนบ่อยคล้อย นิลก็เป็นคนจัดการโทรไปบอกที่บ้านให้ออกรถเพื่อไปรับรพีที่โรงเรียนแทนเขาสักวัน ตอนแรกร่างโปร่งคิดว่าตัวเองฟังผิดไป แต่นิลก็ยืนยันตามนั้นโดยลากเขาให้มาซื้อของไปทำอะไรกินกันที่บ้านเป็นมื้อค่ำวันนี้
“ของพวกนี้บ้านกูก็มีอยู่แล้ว จะต้องออกมาซื้อใหม่ทำไมวะ”
“บางอย่างมันไม่มี ไหนๆก็อยู่ข้างนอกแล้ว ดีกว่าให้นิ่มออกมาซื้อเสียเวลา”
“หึ เจ้ากี้เจ้าการซะอย่างกับเป็นบ้านตัวเอง”
“แน่นอน กูรอหุบบ้านมึงอยู่รู้ไหม คนในบ้านมึงสนิทกับกูทั้งนั้น”
ร่างโปร่งส่ายหัวน้อยๆอย่างระอา ไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับคำพูดนั้น รัตติกาลมองดูแซลมอนสีส้มสวยที่ถูกคัดมาอย่างดีสำหรับทำสเต็กเป็นมื้อค่ำ ในขณะที่นิลกำลังยืนเลือกเบค่อนรมควันที่ตนเองชอบกินอยู่อีกมุมของร้าน ทั้งคู่ต่างช่วยกันเลือกซื้อของสดเหมือนกับวันเก่าๆในช่วงที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย พวกเขามักจะหาโอกาสมาทำอาการกินกันเองบ้างเดือนละครั้งสองครั้ง แน่นอนว่าคนไร้พรสวรรค์อย่างนิลจะเป็นฝ่ายคิดเมนูและคอยช่วยหยิบจับอะไรเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้ลูกศิษย์ก้นครัวป้าจันทร์อย่างรัตติกาลเป็นจัดการ แม้ว่าจะอายุจะย่างเข้าเลขสามกันแล้วทั้งคู่บทบาทเหล่านี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน
นิลเลือกเอามันฝรั่งลูกโตได้เป็นอย่างสุดท้าย เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้วพวกเขาจึงพากันเดินไปคิดเงินที่เคาท์เตอร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“พี่กาล...”
เสียงของเด็กหนุ่มที่ร่างโปร่งตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ด้วยเรียกดังมาจากทางด้านหลัง ปูนในชุดนักศึกษากำลังถือตะกร้าแบบเดียวกัน ร่างบางมีสีหน้าตกใจอยู่สักครู่ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนมาให้เขาทั้งที่ดวงตาไม่ได้ยิ้มตาม ชายหนุ่มที่ถูกเรียกไม่แม้แต่จะยิ้มตอบ รัตติกาลยืนนิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ สภาพของปูนไม่ได้ทรุดโทรมอย่างคนที่ตรอมใจ ใบหน้าที่แม้จะดูธรรมดาก็ยังคงแฝงไปด้วยเสน่ห์เหมือนที่เคยเป็น แต่แววตาที่เคยสดใสกลับเศร้าหมองด้วยสาเหตุที่เขาเองรู้ดียิ่งกว่าใคร และนั่นก็ยิ่งทำให้รัตติกาลรู้สึกผิด
นิลที่หันมามองเมื่อได้ยินเสียงคนเรียกเพื่อนรักกำลังสำรวจเด็กหนุ่มซึ่งไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาคงจะไม่ติดใจอะไรถ้ารัตติกาลไม่ได้มีท่าทีอึกอักอย่างที่ไม่ค่อยแสดงให้เห็น ชายหนุ่มอยากจะถามว่าเด็กคนนี้เป็นใคร มีความสัมพันธ์กันอย่างไรแต่ก็เลือกที่จะเงียบ จนรัตติกาลเอ่ยปากขอให้เขาอยู่คิดเงินเพียงคนเดียว แล้วยังคว้าเอาตะกร้าของอีกฝ่ายมาให้เขาคิดเผื่อด้วย
รัตติกาลแตะข้อศอกของปูนเป็นสัญญาณบอกว่าให้ร่างบางเดินตามตนมา ช่วงขาที่ยาวกว่าก้าวนำคนที่บังเอิญเจอกันไปยังที่จอดรถใต้ดินซึ่งรถของเขาจอดทิ้งไว้ ร่างโปร่งปลดล็อคยานพาหนะคู่ใจเปิดประตูด้านข้างคนขับเพื่อให้เด็กหนุ่มนั่งก่อนจะพาร่างของตนเข้าประจำที่แล้วปิดประตูเพื่อกันเสียงรบกวนจากภายนอก และป้องกันไม่ให้ใครได้ฟังบทสนทนาที่เขาไม่อยากให้คนอื่นรับรู้
ทั้งสองคนหยุดนิ่ง จนเด็กหนุ่มได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นรัวอยู่ในอก แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่เคยได้ยินเสียงหัวใจของคนข้างกายเลยสักครั้ง ทั้งที่ทำใจไว้แล้ว รู้ดีว่าเรื่องราวของพวกเขาควรจบตั้งแต่วันที่รัตติกาลเลือกที่จะปฏิเสธการช่วยเหลือของตนในวันนั้น แต่ก็ยังดึงดันตอกย้ำตัวเองด้วยเสียงสัญญาณบอกซ้ำๆว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ร่างโปร่งเคยให้ไว้ไม่มีวันส่งไปถึง คำบอกกล่าวที่ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ว่าเราทั้งสองไม่ควรจะพบกันอีก
“ไม่คิดเลยว่าจะเจอพี่กาลที่นี่ พี่...สบายดีไหม”
“...”
“หน้าพี่ไปโดนอะไรมา ใครเป็นคนทำครับ...”
“...”
“ผมรู้ว่าพี่ไม่อยากเจอผมอีก...ขอโทษนะครับที่ทักออกไป”
“...”
“แต่...ฮึก แต่ผม...เป็นห่วงพี่”
“พี่ขอโทษ”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าแรงๆ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ใบหน้าเล็กหันไปสบตากับอีกฝ่ายที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว รู้ดี..ว่าคนคนนี้ทั้งเย็นชาและไม่เคยรักเขาที่เป็นเพียงที่พักพิงชั่วคราว แต่ก็เพราะความห่วงใยที่เจ้าตัวสื่อมาให้โดยไม่รู้ตัวนี่แหละที่ทำให้ลึกๆปูนยังไม่อยากตัดใจจากชายคนนี้
วงแขนเล็กเอื้อมไปกอดร่างโปร่งอย่างไม่สามารถหักห้ามใจได้ เด็กหนุ่มซบหน้าลงบนบ่าของอีกฝ่ายจนรัตติกาลรู้สึกถึงความเปียกชื้นผ่านเสื้อเชิ้ตตัวหรูพร้อมกับอาการสั่นน้อยๆของคนที่พยายามโอบกอดเขาไว้ทั้งที่ตัวเองเจ็บแทบขาดใจ ร่างโปร่งยกแขนขึ้น ลังเลที่จะกอดร่างเล็กนี้ตอบ เฝ้าบอกตัวเองว่าไม่ควรทำ สุดท้ายก็ทำได้แค่ใช้ฝ่ามืออุ่นร้อนของตนลูบเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่ายเบาๆเป็นการปลอบโยนทั้งที่ลังเลเท่านนั้น
“อย่าหวังอะไรจากพี่เลยปูน”
“ฮึก...พี่กาล...”
“พี่ไม่ได้ดีพอ ขนาดที่ปูนจะมาเสียน้ำตาให้หรอกนะ”
ปูนเป็นเด็กดี...แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ด้วยกันแต่เขาก็รับรู้ถึงความรู้สึกของเด็กคนนี้ได้ รับความหวังดีของอีกฝ่ายมาแต่ไม่มีอะไรตอบแทนให้ ดื้อดึงไปก็รังแต่จะสร้างบาดแผลให้ร่างเล็กนี่ซะเปล่าๆ เพราะรัตติกาลรู้ตัวดี ว่าหัวใจของเขามันไม่สามารถเปิดรับใครได้อีกแล้วตั้งแต่หลงรักคนคนนั้น
“ผมไม่ใช่คนดีอย่างที่พี่คิดหรอก ฮึก...ทั้งๆที่พี่มีครอบครัวอยู่แล้ว ผมก็ยังหยุดความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เลย”
“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก...”
“...”
“ครอบครัวที่ว่า...มันไม่ได้สวยงามอย่างที่ปูนคิด”
ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ตนหลงรักอย่างไม่เข้าใจ ฝ่ามือเรียวเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าขาวอย่างอ่อนโยน ห้ามตัวเองไม่ให้ทำดีกับเด็กหนุ่มไม่ได้ รู้ดีว่าการกระทำตัวเองเองรังแต่จะสร้างความหวังให้กับคนตรงหน้าแต่เขาก็ยังจะทำมันด้วยความเห็นแก่ตัวที่ลึกๆ
เพราะอยากได้ความอ่อนโยนจากคนอื่น อยากเป็นที่รักของใครสักคนทั้งที่ตัวเองไม่สามารถมอบมันให้ใคร กอบโกยความรู้สึกและความอ่อนโยนจากเขาไว้ รับมาแต่ไม่เคยให้กลับไป ช่วงชิงมันไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว
“พี่คงบอกปูนทุกอย่างไม่ได้ แต่อยากให้ปูนรู้ไว้...ว่าสิ่งที่คนพวกนั้นเหลือทิ้งไว้ให้พี่ มันเป็นแค่ก้อนความแค้นที่มีเลือดเนื้อเท่านั้น”
“พี่กาล...”
“พี่น่ะ โสมมกว่าที่ปูนคิด... งมงาย ยึดติดกับอดีต มองแต่ตัวเองจนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ขนาดคนที่เคยคิดว่าจะไม่ทิ้งพี่ไปก็ยังเลือกมัน...”
“...”
“แค่เด็กคนเดียว...พี่ยังสู้มันไม่ได้เลย หึ น่าสมเพชใช่ไหมล่ะ ”
ปูนไม่เข้าใจในสิ่งที่รัตติกาลพูดแต่สามารถรับรู้ได้ถึงความทรมานที่คนคนนี้ต้องแบกรับไว้ผ่านแววตาที่ดุดันและแห้งแล้งดวงนั้น ภายใต้ท่าทางสงบนิ่งคนคนนี้เหมือนมีหลุมดำหลุมใหญ่ที่คอยเก็บทุกอย่างที่เผชิญไว้ทั้งที่ตนเองแทบจะแบกรับไม่ไหว เจ็บปวด...ทรมาน...นี่คือสิ่งที่คนที่เขาหลงรักกำลังเผชิญมันแต่เพียงลำพัง
“พี่กาลเหนื่อยไหม”
“...!”
“ที่พี่ต้องแบกรับมันไว้คนเดียวน่ะ พี่ไม่เหนื่อยหรอ”
“ปูน...”
“ไม่ต้องรักผมก็ได้...ขอแค่พี่ไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้คนเดียว ให้ผมได้ช่วย ได้อยู่ข้างพี่ต่อไปไม่ได้หรอครับ”
“...”
“จนกว่าพี่จะได้สิ่งที่ต้องการ...เมื่อถึงวันนั้นผมจะไปเอง”
“อย่าทำให้พี่เป็นคนเห็นแก่ตัวมากไปกว่านี้เลย”
“ผมต่างหากล่ะที่เห็นแก่ตัว...โอกาสที่จะได้อยู่กับพี่น่ะ ต่อให้ต้องใช้วิธีอะไรผมก็จะคว้าไว้”
“...”
“บอกแล้ว...ผมไม่ใช่เด็กดีอย่างที่พี่คิด”
ริมฝีปากเล็กกดจูบบริเวณสันกรามของคนที่กำลังมองเขาด้วยความสับสน ความอบอุ่นที่แฝงไปด้วยความต้องการถูกประทับลงบนกลีบเนื้อสีชาดแผ่วเบาก่อนจะสอดลิ้นเข้าไป หวังให้อีกฝ่ายส่งสิ่งเดียวกันกลับมาซึ่งรัตติกาลก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มผิดหวัง สะโพกเล็กเคลื่อนจากเบาะหนังฝั่งของตัวเองมาประทับบนตักแกร่งของชายหนุ่มที่กำลังลูบแผ่นหลังของเขาแผ่วเบาผ่านสาบเสื้อสีขาวตัวบางที่เริ่มเปียกชื้นจากอุณหภูมิที่พุ่งสูงเพราะแรงอารมณ์ที่ถูกจุดขึ้นด้วยจุมพิตหวานปนขมซึ่งยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าปูนจะสังเกตเห็นร่างสูงที่มากับรัตติกาลกำลังยืนมองพวกเขาอยู่ผ่านฟิล์มดำมืดของกระจกรถ เขาก็ยังไม่หยุดที่จะป้อนสัมผัสหวาบหวามให้กับคนที่เขาปรารถนา
ผมจะไป...ในวันที่พี่ได้สิ่งที่ต้องการ
จนกว่าจะถึงวันนั้น...
“มาคนเดียวรึเปล่าครับ”
“...”
“ถ้ามาคนเดียว ขออนุญาติเสิร์ฟแก้วนี้เป็นแก้วสุดท้ายนะครับ”
“หึ มีหน้าที่รินก็รินมาเถอะ ฉันมีเงินจ่าย”
“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักหน่อย...”
“...”
“เมาแล้วขับไม่ดีนะครับ”
“สังเวชฉันรึไง”
“เป็นห่วงต่างหากล่ะ”
“...”
“ไม่ว่าจะโดนใครทำร้ายมา ก็อย่าทำร้ายตัวเองมากไปกว่านี้เลยนะครับ”
-----------------------------------------------------------50%--------------------------------------------------------------------
-
คุยกับเช่!
โบราณว่า...ไม่ชอบอะไรได้อย่างนั้น ทอล์คที่แล้วบอกว่าไม่ชอบอัพเป็น% ตอนนี้เลยได้จัดมาแค่50%ก่อนเลย หึหึ
คลานเข่างามๆ วางพานพุ่มดอกไม้แล้วประเคนให้ เช่....แต่งไม่ทัน T^T ตอนแรกว่าจะชิวๆแต่งทั้งวัน
แต่กลายเป็นโดนพ่อลากไปโรงพยาบาล ตรวจสุขภาพแล้วไปต่อใบขับขี่ที่ขนส่งมาวันนี้เลย จากตอนแรกจะทำสิ้นเดือน
คิวเลื่อนหมด บวกกับตอนนี้เป็นอะไรที่ยาวพอสมควรเลย (คนอ่านบอกนี่ยาวแล้วหรอ 5555) ขอโทษนะคนับ
ครึ่งหลังจะรีบเอามาเส้นให้โดยไวเลย T^T ขอสัญญาด้วยจุ๊บจากน้องพี (คิดถึงน้องเนอะ คิคิ)
:monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
น้องปูนของเช่กลับมาแล้ว!!!! ติดใจน้องมาจากคิดว่าโปรเจคต่อไปจะเอาเรื่องน้องมาแต่งเนี่ยแหละ
คิดไว้สองเรื่องคือน้องปูน กับรพีเวอร์ชั่นโตแล้ว (จะมีโอกาสเห็นพ่อกาลตอนแก่ไหมหนอ อยากแต่งมาก!)
เรื่องการเจอกันของกาลกับปูน เลยจะมีพูดถึงไม่เยอะมากในไนท์แมร์ แต่จะปูเต็มที่ในเรื่องของปูนเลยคนับ
แต่...เอาเรื่องนี้ให้รอดก่อนเนอะ แต่งยากขึ้นทุกวัน หมดแรง ปวดตับ อยากให้พ้นพาร์ทเครียดๆไปเร็วๆ
แต่งไปออกแนวทรมานตัวเองและคนอ่านไป แต่มีข่าวดีคนับ แจ้งไว้ในเพจแล้วว่า อีกไม่นานจะแต่งตอนพิเศษมาให้ยล
รับรองว่าไม่เครียด เอาไว้เบรคดราม่าของเรื่องหลักบ้าง ติดตามรอกันได้เลย แต่อาจจะต้องใช้เวลา
เพราะบอกแล้วว่า เช่แม่ง....หวานไม่เก่งเลย (ชีวิตจริงก็อย่างนั้น แฟนบ่นประจำ) รอกันหน่อยนะ^^
สุดท้ายเช่นเคย ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตที่เป็นกำลังใจให้ อ่านทีไรมีกำลังใจแต่งต่อจริงๆนะ ขอบคุณคนับ! :katai2-1:
-
สั้นๆแต่ได้ใจความ กลัวปูนร้ายจัง หาคู่ให้นางหน่อย
-
:katai5:
-
เศร้า!!
-
14th Night
…Selfish... (100%)
“ส่งผมตรงนี้แหละพี่กาล ไม่ต้องเข้าไปข้างในหรอก”
“แน่ใจนะ ถือของไหวไหม”
ร่างบางพยักหน้าให้น้อยๆก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ทั้งรัตติกาลและนิลที่นั่งอยู่เบาะหน้า ปูนเปิดประตูหลังแล้วลงไปจากรถพร้อมกับโบกมือลาร่างโปร่งอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในหอพักของตนเองที่รัตติกาลไม่คิดว่าเขาจะได้กลับมาที่นี่อีก หลังจากเด็กหนุ่มออกไปแล้ว นิลที่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยปากถามเพื่อนของตนที่ดูจะผ่อนคลายขึ้นนิดหน่อยเท่าที่เขาสังเกตเห็น
“เด็กมึงหรอ”
“อืม...”
แม้จะไม่สบอารมณ์ที่ต้องยืนมองฉากรักของเพื่อนอยู่นอกรถอยู่เกือบสามสิบนาที แต่นิลกลับไม่มีอารมณ์จะถากถางใคร ถึงจะแอบคิดไปเองก่อนแล้วว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันยังไงแต่เขาก็ยังอยากได้ยินเรื่องทั้งหมดจากปากรัตติกาลเองอยู่ดี
“ถึงกับแดกกันบนรถ หลงมากหรอวะ”
“หึ อิจฉารึไง”
“อิจฉาเหี้ยอะไรล่ะ กูกลัวยามมาเห็นฉิบหาย กูไม่อยากขึ้นโรงพักกับมึงข้อหาทำอนาจารในที่สาธารณะนะเว้ย อับอายตายห่า”
“ไม่ดีรึไง ดูเหมือนจะมีตำรวจบางนายที่เขาอยากเจอมึงอยู่”
นิลขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจทันที แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อก็รู้ว่าเจ้าเพื่อนตัวดีหมายถึงใคร ใบหน้ากวนประสาทของนายตำรวจหนุ่มที่เพียรโทรมาหาเขาทุกวันลอยขึ้นมาจนรู้สึกหงุดหงิด แต่ที่น่าโมโหยิ่งกกว่าคงเป็นคนนั่งข้างๆที่เอาแต่ส่งยิ้มล้อๆมาให้เขาทั้งที่ตากำลังมองถนนอยู่
“กวนตีนนะไอ้กาล ถึงจะแดกผู้ชายได้แต่กูก็เลือก”
“แล้วไม่ชอบหรอวะ”
“ชอบเหี้ยอะไรล่ะ หยุดๆ ถ้ามึงไม่เลิกชงกูกับไอ้ตำรวจนั่นกูจะจับมึงปล้ำทำเมียแทน แล้วกูก็จะแย่งเด็กมึงด้วย”
“สัส ของเพื่อน”
“หึ ว่าแต่ไปหามาจากไหนวะ คนนี้กูไม่เคยเห็น”
“ช่วงสามวันที่กูหายไป กูไปอยู่กับเขามา”
“...”
“ปูนเป็นคนดูแลกูตอนที่ลำบาก...ก็แค่นั้นแหละ”
น้ำเสียงของรัตติกาลนิ่งขึ้นเมื่อพูดถึงช่วงเวลาที่เขาอาศัยอยู่กับเด็กหนุ่มที่ยืนยันกับตนว่ายินดีจะอยู่เคียงข้างกันแม้จะไม่ได้อะไรกลับไปนอกจากความพอใจที่ได้อยู่กับเขา รัตติกาลลังเลในตอนแรกแต่ก็เพราะความอ้างว้างเขาเลยเลือกที่จะตอบรับคำเชิญนั้นโดยทำไม่รู้ไม่เห็นว่าในอนาคตข้างหน้าคนที่จะเจ็บปวดก็คือเด็กคนนั้น
ภายใต้เปลือกที่สวยงามพวกเขาเลือกที่จะเปิดเผยความดำมืดในจิตใจให้อีกฝ่ายเห็น ไม่ว่าจะเป็นความแค้น หรือความหลงที่ไม่อาจหักห้ามได้ ทั้งเขาและปูทำเพื่อตัวเองด้วยเหตุผลที่เราทั้งคู่ยอมรับมัน ราวกับต่างฝ่ายต่างโอบกอดกันไว้พร้อมกับปิดตาของอีกคนด้วยมือของตัวเองแล้วพากันเดินไปบนทางคดเคี้ยวทั้งที่ตามองไม่เห็น แต่แล้วยังไงล่ะ...อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญความกลัวนั้นแค่คนเดียว
ปูนต้องการเขา เพราะรัก
เขาต้องการปูน เพราะไม่มีใคร
กิเลสกำลังกัดกินพวกเขาทั้งสองคนช้าๆ เพราะหักห้ามใจไม่ได้แม้รู้ว่าผิด
ทั้งอ่อนแอและน่าสมเพช แต่เราก็เลือกมันแล้ว...
“จริงจังหรอวะ”
นิลที่เห็นรัตติกาลเงียบไปถามขึ้นอีก แม้จะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเด็กที่ชื่อปูนแต่พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่คอยดูแลรัตติกาลในเวลาที่ย่ำแย่ก็ทำให้เขาไม่สามารถว่าอะไรได้ แม้จะรู้สึกแปลกๆแต่การพบกันของทั้งสองคนก็เป็นเพราะตัวเขาเองที่ไม่ยืนอยู่ข้างเพื่อนในวันที่เจ้าตัวต้องการ จนช่องว่างนั้นมันมากพอที่จะมีคนอื่นเดินเข้ามาแทน...
“ไม่รู้สิ ดูๆกันไป แต่กูคงไม่ได้รักใครง่ายๆอย่างเมื่อก่อน มึงก็รู้”
“อืม เอาที่มึงสบายใจ ขอแค่อย่าเจ็บกลับมาก็พอ”
“เป็นห่วง หรือ หึง?”
“โถ่ไอ้สัส พูดอะไรเกรงใจท้องไส้กูบ้าง!”
รัตติกาลระเบิดหัวเราะเสียดังลั่นรถ โดยมีเสียงหัวเราะของนิลดังคลอกันมาพอๆกัน เรื่องราวเก่าๆถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงทำให้ระยะทางที่ดูยาวนานกลับสั้นลงอย่างคาดไม่ถึง ร่างโปร่งหักพวงมาลัยพายานพาหนะคันใหญ่เข้ามาจอดยังหน้าบ้านที่ยังพอเห็นคนงานบางส่วนต่างทำหน้าที่ของตัวเองอยู่
นิลจัดการส่งของสดที่ซื้อมาให้นิ่มที่ยืนรออยู่นำไปไว้ในครัวหลังจากโทรมาบอกที่บ้านแต่บ่ายแล้วว่าเย็นนี้นายใหญ่ของบ้านจะเป็นคนโชว์ฝีมือเอง รัตติกาลเอื้อมหยิบเอกสารของตัวเองโดยไม่ให้ใครต้องมาถือให้ เสื้อคลุมมีน้ำเงินเข้มถูกพับพาดไว้ที่แขนอย่างเคยชิน ขณะที่เดินเข้าไปในตัวบ้านก็ยังคงหันมาคุยกับเพื่อนรักถึงหนังสือแปลเรื่องใหม่ที่อีกไม่นานจะวางแผงให้ลูกค้าได้จับจอง
“พ่อกาล!!”
เสียงรพีดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏตัวออกมาจากบริเวณบ่อน้ำข้างบ้าน ร่างป้อมที่ดูสดใสกว่าเมื่อเช้าเล็กน้อยวิ่งเข้ามากอดช่วงขาของบิดาเต็มรัก ใบหน้ากลมใสเงยขึ้นมองพ่อเพื่อสำรวจรอยแผลตามร่างกายอย่างเป็นกังวล
“แผลเป็นยังไงบ้างฮะ พ่อกาลไปหาหมอมารึยัง”
“ไม่เป็นไรแล้ว แล้วนี่สวัสดีอานิลรึยัง”
“ขะ ขอโทษฮะ...อานิล สวัสดีฮะ”
เด็กชายรีบหันมายกมือไหว้ร่างสูงทันทีเมื่อเห็นสายตาตำหนิของรัตติกาล นิลที่ไม่อยากให้บรรยากาศแย่ๆเกิดขึ้นก็ยิ้มให้กับเด็กชายพร้อมกับลูบกลุ่มผมนั้นเบาๆเป็นการตอบรับ
“สวัสดีครับ ได้ข่าวว่าเมื่อเช้างอแงไม่ยอมไปโรงเรียนหรอ”
“อะ เอ่อ...ขอโทษฮะ พีแค่เป็นห่วงพ่อ”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วงมันหรอก พ่อเราหนังเหนียว สิบล้อชนยังไม่ตายเลย”
“เอ๋ ไม่ตายจริงหรอฮะ!”
ร่างป้อมได้ยินดังนั้นก็รีบกระตุกชายเสื้อของบิดาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะความที่ชื่นชมพ่อของตนเป็นทุนเดิม คำพูดเชิงหยอกของนิลจึงเป็นเหมือนเรื่องน่าตื่นเต้นขนาดที่ว่าเจ้าตัวเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ขาสั้นกระโดดเหย๋งๆไปมาเพื่อเรียกร้องคำตอบจากร่างโปร่ง โดยรพีไม่ได้สังเกตเลยว่าใบหน้าที่เคยขึ้นสีกลับขาวซีดลงกะทันหัน ผิวกายเย็นชืดเหมือนแช่อยู่ในน้ำ นัยน์ตาหวานคมสั่นระริกจนนิลที่หัวเราะอยู่ข้างๆเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติดังกล่าว
“เห้ยไอ้กาล เป็นอะไรวะ”
“...”
“กาล เห้ย กาล!”
รัตติกาลพยายามประคองพวงมาลัยและหัวใจที่ปวดร้าวให้ยังคงดำเนินต่อไปได้ ทัศนวิสัยพร่าเลือนเพราะหยดน้ำที่ไหลคลอเต็มหน่วยตา ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นหรือเสียงอื่นใดในห้องโดยสารที่รัตติกาลนั่งอยู่เพียงลำพัง ต่างกับบรรยากาศบนรถอีกคันที่เขากำลังฝืนทนมองดูแผ่นหลังของคนที่ตนรักสองคนนั่งเคียงคู่กันโดยทั้งสองคนไม่ได้รับรู้ถึงการมาของคนโง่อย่างเขา แม้ว่าเจ็บจนอยากเบือนหน้าหนี แต่เขาก็ยังคงมองภาพนี้โดยไม่กระพริบตา
ทั้งที่น้ำตาควรจะบดบังทุกสิ่ง
แต่ภาพรอยยิ้มของทั้งคู่ที่มอบให้กันกลับชัดเจนจนน่าขัน
ทั้งที่รวมหัวกันปิดหูปิดตา...ทรยศเขามาตั้งนาน
แล้วทำไมถึงต้องทำให้เขารับรู้มัน ในวันที่ไม่อาจถอนตัวได้อีก
รัตติกาลกำพวงมาลัยแน่นจนฝ่ามือเริ่มเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งในห้วงความคิด เขาอยากเหยียบคันเร่งให้สุดปลายเท้า พารถยนต์ทั้งสองพุ่งตกปากเหวจนตายตกตามกันไป ให้คมหินบาดลึกไปในหัวใจทั้งสองดวง ที่ตนสงสัยว่ายังคงมีอยู่หรือว่าถูกเจ้าของมันทิ้งไป ตั้งแต่วันที่ทั้งคู่ตัดสินใจทรยศเขา คนโง่ที่ปักใจเชื่อว่าคนคนนั้นจะซื่อสัตย์ ทั้งที่เรื่องราวของเราทั้งคู่ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ดีอยู่แล้ว...คนรักอย่างนทีที่รัตติกาลเคยแย่งมาได้ จะหักหลังคนรักของตัวเองอีกสักครั้งก็ไม่แปลกอะไร
แม้แต่คนที่รักกันมานานอย่างพะแพง นทียังเคยปล่อยมือเธอมาหาเขาได้นับประสาอะไรกับอดีตแมวขโมยอย่างเขา ที่วันนี้จะเป็นฝ่ายโดนหักหลังเสียเองด้วยฝีมือเจ้าของเดิม ปิดหูปิดตาเชื่อน้ำคำของคนรักที่สัญญาว่าจะทิ้งอดีตเพื่อยืนอยู่เคียงข้าง แต่สุดท้ายรัตติกาลก็เป็นแค่เพียงปลาทองในโหล่แก้ว ใช้ชีวิตอยู่ในโลกปลอมๆที่คนอื่นสร้างเอาไว้ให้อาศัยจวบจนวันที่โลกทั้งใบของมันถูกทำลายลงจนต้องตื่นจากฝัน
“พี่ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง...พี่ที พี่แพง”
“คนอย่างพวกพี่น่ะ...ฮึก...คนอย่างพวกมึง...”
“ไปตายกันซะให้หมด”
โครม!!
เหมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เพียงเสี้ยววินาทีที่คำพูดนั้นสิ้นสุดลง รถสิบล้อที่บรรทุกเอาซากไม้เก่าเต็มคันรถวิ่งผ่าไฟแดงมาจากแยกด้านขวาพุ่งชนรถยนต์คันที่รัตติกาลกำลังขับตามอยู่เข้าเต็มแรง
เสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า โครงเหล็กบุบบี้ตามรอยอัดกระแทกเหวี่ยงตัวไปปะทะเข้ากับเสาไฟต้นใหญ่ข้างทาง ตัวรถอีกด้านที่ไม่ถูกชนโดยตรงอัดเข้ากับเสาเหล็กจนโครงสร้างรถบิดเบี้ยวไม่แพ้กัน กระจกแก้วแตกกระจายจนชิ้นส่วนกระเด็นสาดมาโดนรถของรัตติกาลที่เบรกแรงจนตัวรถหมุนคว้างอยู่กลางถนนอยู่ครู่หนึ่ง
“โอ้ย!”
ใบหน้าด้านขวาชาไปทั้งแทบจากการกระแทกเพราะแรงเหวี่ยงของรถ ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะบริเวณเบ้าตาขวาที่เจ็บจนเริ่มไร้ความรู้สึก นอกจากอาการปวดเมื่อยไปทั้งตัว เขาสัมผัสไม่ได้ถึงความชื้นแฉะของเลือดอย่างที่กังวล ร่างโปร่งพยายามขยับร่างกายส่วนต่างๆเพื่อเช็คตัวเอง นอกจากอาการมึนงงและศีรษะที่กระแทกกับกระจกดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้บาปเจ็บตรงไหนอีก
รัตติกาลปลดล็อกประตูด้านของตัวเองก่อนจะพยายามพยุงร่างที่ปวดระบมราวกับตกจากที่สูงลงมาจากรถ กลิ่นยางที่บดกับพื้นถนนส่งกลิ่นเหม็นไหม้ไปทั่วบริเวณ เสียงชาวบ้านตะโกนกันด้วยภาษาถิ่นที่ตัวเขาไม่คุ้นเคยแต่กลับสัมผัสได้ถึงความตกใจและโกลาหน ชายไทยตัวสูงใหญ่หลายคนวิ่งผ่านเขาไปยังกลุ่มควันตรงหน้า หลายคนตะโกนด่าเขาที่ยืนนิ่งขวางทาง อยากจะขยับหลบทางให้แต่ร่างของรัตติกาลเหมือนโดนแท่งหมุดหนาปักให้ตรึงอยู่กับที่
ดวงตาที่หรี่เล็กลงเพราะความเจ็บปวดฝืนลืมขึ้นเพื่อดูภาพตรงหน้าทั้งที่บางส่วนในใจสั่งให้ปิดมันลงแล้วหันหลังหนีไปซะ มือที่เคยกำกันแน่นสั่นระริกราวกับไม่ใช่มือของตัวเอง เหงื่อกาฬไหลจากไรผมปะปนกับน้ำตาที่กำลังไหลรินอยู่จนแยกไม่ออก แรงบีบรัดในช่องอกรุนแรงจนรัตติกาลต้องใช้มือจิกมันไว้จนตัวสั่นระริก แต่ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเขาก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะยังครองสติไว้ได้
ควันไฟที่พวยพุ่งค่อยๆจางลงเพราะสายลมที่พัดผ่านมา ซากโครงเหล็กที่บิดเบี้ยวจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ปรากฎขึ้นเต็มสายตา เศษกระจกแตกกระจายเต็มพื้นถนนทำให้ทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไปใกล้เกิดเสียงของการแตกหักดังอยู่ใต้ฝ่าเท้า รัตติกาลได้ยินชาวบ้านพยายามร้องเรียกคนข้างในให้ได้สติ ใบหน้าขาวใสของหญิงสาวที่เคยมีรอยยิ้มประดับเสมอโชกไปด้วยเลือดเช่นเดียวกับชายหนุ่มข้างกายที่แม้จะยืนอยู่ไกลๆเขาก็สังเกตเห็นได้ถึงความผิดปกติของท่อนแขนซึ่งบิดเบี้ยวผิดรูปไปจากเคย
ความเจ็บปวดทางร่างกายไม่อาจสู้หัวใจที่รวดร้าว ใบหน้าที่คุ้นเคยของคนทั้งสองซึ่งเต็มไปด้วยเลือดหันหน้าเข้าหากันแม้แต่ในวินาทีสุดท้าย ฝ่ามือใหญ่ที่เคยสัมผัสตัวเขาด้วยความรักยังคงไขว่คว้าเอามือของหญิงสาวมากอบกุมไว้ก่อนสิ้นสติ
เสียงความวุ่นวายรอบตัวค่อยๆเงียบหายไป ท้องถนนกว้างที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มุงดูและหน่วยกู้ภัยกลับว่างเปล่า ในขณะที่รัตติกาลได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาไหลรินทั่วใบหน้า ดวงตาไร้แววของร่างโปร่งนั้น สะท้อนแต่ร่างโชกเลือดของคนทรยศทั้งสองและคำพูดสุดท้ายของตัวเองที่ดังก้องอยู่ในหัวเหมือนเทปที่เปิดวนซ้ำๆพร้อมกับความบางอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับมัน
“ผม...ขอโทษ”
“ไอ้กาล เห้ยไอ้กาล!!”
ภวังค์แห่งอดีตเลือนหายไปพร้อมกับเสียงเสียงที่ฟังดูกระวนกระวายของเพื่อนรักที่เขย่าตัวเขาอย่างแรง นิลจ้องมองเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วงเมื่อเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเองนั้นพูดสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา ทำไมถึงโง่แบบนี้วะนิล!
“ไอ้กาล กูขอโทษ คือกู...”
“ไม่เป็นไร...กูไม่เป็นไร”
รพียืนมองผู้ใหญ่ทั้งสองที่ทำตัวแปลกไปอย่างมีทราบสาเหตุ พ่อกาลที่ยังยืนยิ้มให้เขาจู่ๆก็กลับยืนนิ่งหน้าซีดจนเด็กชายใจเสีย อานิลเรียกชื่อพ่อของเขาซ้ำๆด้วยสีหน้าเหมือนไม่สู้ดี เด็กชายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งมึนงงและเป็นห่วง ความรู้สึกที่พยายามเก็บมันไว้ตลอดทั้งวันเริ่มหวนกลับคืนมาจนนัยน์ตากลมมีน้ำตาไหลคลออย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“พ่อกาล ฮึก พ่อกาลเจ็บตรงไหนฮะ”
“พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว ร้องไห้ทำไม...”
ร่างโปร่งเอ่ยกับเด็กชายที่ผวาเข้ามากอดเขาแน่น อยากจะฝืนยิ้มให้แต่อาการปวดหัวกำลังเข้าโจมตีรัตติกาลพร้อมกับภาพความทรงจำในอดีตที่ไหลเข้ามาในหัวไม่หยุด สีหน้าที่แย่ลงกว่าเดิมทำให้รพีไม่เชื่อในคำพูดของพ่อตนเลยสักนิด เด็กชายผละมือที่กอดขาของบิดาออกแล้ววิ่งเข้าไปในตัวบ้านเพื่อตามคนให้มาช่วย รัตติกาลอยากจะตะโกนบอกให้อีกฝ่ายหยุดแต่แค่เอ่ยปากพูดเบาๆอาการบีบรัดบริเวณกระบอกตาก็ทำเล่นงานจนร่างโปร่งต้องบีบขมับตัวเองแรงๆ
“มึงปวดหัวหรอกาล เห้ยอย่าบีบแรงแบบนั้นดิวะ”
“ปวดวะนิล แม่ง...”
“ขอโทษวะ เป็นเพราะกูคนเดียวเลย”
ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้เอ่ยตอบไป เด็กชายที่วิ่งออกไปเมื่อครู่ก็วิ่งกลับมาพร้อมกับจูงมือคนที่ตัวสูงใหญ่กว่ามากให้มาด้วยกัน
รัตติกาลที่ปวดหัวมากอยู่แล้วตอนนี้รู้สึกราวกับก้อนเนื้อในกะโหลกกำลังจะระเบิดออกเมื่อเห็นหน้าคนที่ตัวเองไม่อยากพบเจอและเสวนาด้วย อารัณย์ในชุดเสื้อคอวีสีตุ่นกางเกงยีนส์สีสนิมก้าวเร็วๆเข้ามาที่เขาพร้อมกับสีหน้าขมวนเคร่ง
“อารัณย์...ทำไมนายมาอยู่ที่นี่”
“กูชวนมาเองแหละ”
นิลตอบแทนคนที่ถูกถาม รัตติกาลที่ได้ยินดังนั้นก็หันกลับไปมองหน้าเพื่อนเพราะต้องการคำอธิบาย แต่คนมาใหม่ก็ไม่อยากให้คนป่วย(?)ต้องยืนคุยอยู่ตรงนี้นานๆ ท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้อประดับอย่างสวยงามช้อนประคองตัวคนที่ตัวเล็กกว่าตนไม่มากจากทางด้านหลังโดยไม่สนใจสีหน้าเหวอๆของอีกฝ่าย
“จะ จะทำอะไร”
“หุบปากแล้วเดินตามมาซะ”
รัตติกาลที่ตกใจในคราวแรกพอเข้าใจเจตนาของอารัณย์ก็ออกอาการบึ้งตึงขนาดที่นิลรู้สึกได้ เหตุผลที่คนสนิทอย่างเขาไม่ประคองเพื่อนเข้าไปในบ้านอย่างที่อารัณย์กำลังทำ เพราะรู้ดีว่ารัตติกาลเกลียดการถูกประคบประหงมแบบนี้ขนาดหนัก สำหรับคนอื่นการประคองกันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่เพื่อนตัวดีของเขากลับถือว่าเป็นการดูถูกเอามากๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ สำหรับรัตติกาลที่มักโดนคนนอกมองว่าสูงส่งและน่าดูแลเพราะฐานะและรูปร่างหน้าตา ที่ถึงจะไม่ค่อนไปทางผู้หญิงแต่กลับมีบางมุมที่ทำให้ใครๆต่างก็อยากทะนุถนอมเอาใจมันกันทั้งนั้น และแน่นอนว่ารัตติกาลไม่เคยชอบมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอารัณย์ที่เขม่นกันมาตลอดสำหรับรัตติกาลแล้วคงไม่ต่างอะไรกับการโดนอีกฝ่ายดูถูกทั้งที่คนทำไม่ได้มีเจตนา
“ปล่อย...”
“ไม่สบายก็อยู่เฉยๆไป”
“บอกว่าให้ปล่อย”
อารัณย์จ้องอีกคนกลับเมื่อน้ำเสียงที่ปกติฟังดูเย็นชานั้นแย่และแข็งขึ้นจนรพีที่ยืนตัวลีบอยู่ข้างๆทำหน้าเลิ่กลั่ก ร่างสูงถอนหายใจหนักๆอย่างนึกรำคาญ อยากจะทำเป็นไม่สนใจตามที่เจ้าตัวเขาบอก แต่ก็เพราะดวงหน้าที่เคร่งเครียดอยู่ตลอดขาดสีเลือดลงจนเหมือนคนตรงหน้าเขาพร้อมจะทรุดลงได้ทุกวินาที
“อย่ามาทำหยิ่งไม่เข้าเรื่อง ทั้งที่ตัวเองจะไม่ไหวอยู่แล้ว”
“จะไหวไม่ไหวก็เรื่องของผม”
“ปากดี อวดเก่ง...โตเป็นควายแล้วยังดื้อไม่อายเด็ก”
“วะ ว่ายังไงนะ!”
“ไอ้กาลใจเย็น!”
นิลรีบเข้ามาขวางเพื่อนรักไม่ให้หันไปกระทืบคนใจกล้าที่ด่ารัตติกาลตรงๆได้อย่างไม่กลัวเกรง อารัณย์มีสีหน้าเบื่อหน่ายผิดกับอีกคนที่ถึงแม้จะไร้สีเลือดก็ยังไม่สิ้นลาย ส่งสายตาข่มขู่ราวกับจะพุ่งเข้ามาฉีกกระชากร่างของเขาให้หายแค้น ร่างสูงถอนหายใจอีกครั้ง อยากจะทิ้งคนอวดดีให้ช่วยเหลือตัวเองอย่างที่ต้องการแต่สายตาของเด็กชายที่มองมาอย่างขอร้องก็ทำให้อารัณย์ตัดสินทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชอบใจนักเช่นเดียวกับผู้ถูกกระทำที่โวยลั่นจนคนงานแอบชะโงกหน้ามาดูกันเป็นแทบ
ฝ่ามือหนาที่เคยประคองอยู่ตรงช่วงแขนคว้าหมับเข้าที่เนคไทสีเข้มรั้งเอาลำคอขาวของรัตติกาลให้เข้ามาใกล้แล้วเดินนำไปยังห้องนั่งเล่นของบ้านโดนไม่สนใจสักนิดว่าเจ้าของมันมีสีหน้ายังไง
รัตติกาลอยากขัดขืนแต่ก็ไม่อาจฝืนตัวไว้ได้เพราะชิ้นผ้าของตนกลายเป็นเหมือนบ่วงรัดคอ ที่ถูกเจ้าคนไร้มารยาทใช้มันบังคับเขาให้เดินตามที่ต้องการ ชายหนุ่มที่โมโหจัดจนหน้ากลับมามีสีได้แต่โวยวายเท่าที่แรงจะอำนวย ความโกรธและไม่พอใจประดังประเดเข้ามาแทนที่ความสับสนจากอดีตที่รัตติกาลหลงลืมมันไปชั่วขณะ
จันทร์ที่เดินถือกล่องยาออกมาจากห้องครัว ยืนมองนายของตนพ่นคำด่าโวยวายใส่แขกของลูกชายเสียดังลั่น โดยที่คู่กรณีไม่โต้ตอบอะไรทำเพียงก้าวขาให้ยาวและเร็วขึ้นทุกครั้งที่คำพูดของรัตติกาลกวนประสาทเสียจนคิ้วกระตุก หญิงชรามองกล่องสีขาวในมือตนสลับกับชายหนุ่มทั้งสองคน ก่อนจะถือมันกลับไปทางเดิม แล้งเดินเข้าไปในครัวเพื่อจัดการเรื่องอาหารมื้อนี้ให้แทน
“คุณกาลเธอคงไม่เป็นอะไรมากล่ะมั้ง...”
-
อัพให้ครบแล้วนะคนับ ยาวสุดเลยมั้งตอนนี้ แล้วสุดท้ายก็มีโมเม้นต์รัณย์กาลแล้ววววว TwT คนลืมคู่หลักหมดแล้ว
ปาเข้าไปตอนที่สิบกว่าๆ เหมือนยังปูเรื่องไม่เสร็จเลยเนอะ 55555 รายละเอียดมันเยอะหรือเช่มันอู้ (น่าจะอย่างหลัง)
แล้วก็เช่นเดิมคนับ ศุกร์เสาร์ทำงานนะ ถ้าเสร็จแล้วจะอัพให้เลย น่าจะมาได้วันอาทิตย์ ช่วงนี้งานเข้าเยอะมาก ขอโทษด้วยนะ
ปอลอลิง~ ในเล้าไม่รู้จะอัพเพลงยังไง เอาเป็นว่าไปหาเพลง "ก่อนจะรักไปกว่านี้" ของดิว อรุณพงศ์มาฟังกันนะคนับ!
เพลงหลักประกอบไนท์แมร์เลย โดนมาก >////< (เช่บ้านนอก ไม่เคยดูเล่ห์รตีเลยเพิ่งได้ฟังเมื่อวานเองคนับ แหะๆ)
-
สมัครยูสมาเพื่อเม้นเลยค่ะทรมานใจมาก :z3: :z3: :z3:
ไม่ชอบอะไรดาร์กๆแต่ตอนนี้ติดไปแล้ว ยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้างแต่เขียนได้โอเคเลย
เหมือนจะเดาพล็อตออกแต่ก็เดาไม่ออกลุ้นมาก สงสารน้องพี เป็นห่วงพ่อกาล :katai1:
จะช่วยดันนะ อยากให้คนอ่านเรื่องดีๆกันเยอะๆ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
-
หน่วง :monkeysad:
-
กลัวนทีกับพะแพงยังไม่ตายจัง เป็นไปได้ป่าว 555555
-
คนมีปมสองคนมาเจอกัน มันอาจเติมกันได้เนาะ
-
แวะมาดันตอนบ่าย วันนี้จะอัพไหม รอๆ :mew2:
-
แวะมาดันตอนบ่าย วันนี้จะอัพไหม รอๆ :mew2:
เขียนได้ประมาน 40% เองคนับ กำลังจะออกไปทำงานอีกแล้ว ไม่อยากรับปากเลยว่าคืนนี้จะมา
เร็วสุดคงเป็นพรุ่งนี้ช่วงเช้าๆนะคนับ :hao5: :hao5: :katai4: :katai4:
ปอลอลิง! ดีใจจังสมัครยูสมาเม้นให้เช่ด้วย :mew1:
-
15th Night
…Dinner...
รัตติกาลเคยคิดว่า บนโลกนี้คนที่กล้ากวนประสาทเขาเวลาที่หงุดหงิดคงมีแค่คนเดียว แต่ดูเหมือนเขาคงต้องบันทึกชื่อ ‘อารัณย์’ เข้าไปเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่มีความรักตัวกลัวตายอีกคน
“มองหน้าทำไมครับคุณ กินเข้าไปซิของดีๆทั้งนั้น”
อารัณย์พูดว่าก่อนจะหันไปตักเนื้อปลาแซลมอนที่ถูกย่างจนได้สีสวยคลุกเคล้ากับผักและน้ำยารสไม่จัดมากให้รพีซึ่งยกมือไหว้ขอบคุณชายหนุ่มอย่างมีมารยาท ร่างสูงยิ้มรับท่าทางนั้นก่อนจะหันมารับประทานอาหารในจานตัวเองต่อโดยไม่คิดจะเซ้าซี้เจ้าของบ้านให้ทานอาหารตรงหน้าอย่างที่บอกอีก รัตติกาลนั่งกำช้อนและส้อมในมือตัวเองแน่นอย่างไม่พอใจ ที่แขกของลูกชายเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการภายในบ้านของเขาราวกับเป็นเจ้านายคนหนึ่ง
‘นิ่ม ขอยาดมให้คุณรัตติกาลหน่อย’
‘จะทำสเต็กหรอครับป้า นี่ก็ค่ำแล้วผมว่าเปลี่ยนเป็นเมนูเบาๆดีกว่า ยำแซลมอนก็ดีนะ พีชอบไหมครับ?’
‘เห้ยนิล! เบค่อนนี่มึงซื้อมาหรอวะ ถ้าได้เบียร์แกล้มสักหน่อยนะ... พวกไม่ต้องทำงานกับเด็กน่าอิจฉาชะมัด’
‘พีล้างมือก่อนครับ ค่อยมากินข้าวกัน’
‘นี่คุณน่ะ จะนั่งหน้าบึ้งอีกนานไหม มานั่งสิคนอื่นเขารอกินข้าวอยู่!’
นิลชำเลืองมองหน้าเพื่อนรักนั่งจ้องแขกที่ทำตัวราวกับเจ้าของบ้านเขม็งอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่อารัณย์ลากรัตติกาลเข้ามาในบ้าน ร่างสูงที่มาถึงก่อนก็แสดงน้ำใจแบบแปลกๆด้วยการจัดการคนงานของบ้านชนิดไม่ไว้หน้านายจ้างตัวจริง แล้วยังลามมาถึงรพีและเขาที่พลอยกลายมาเป็นเครื่องมือที่อารัณย์ใช้กวนประสาทรัตติกาลซึ่งทำหน้าไม่รับแขกจนสาวใช้ไม่กล้าเดินเข้ามาใกล้
ร่างสูงหันควับไปพูดคุยกับป้าจันทร์ว่าขอให้ตักข้าวเพิ่มทันทีที่รัตติกาลเบนหน้าหันมามองที่ตนอย่างคาดโทษ นิลขอโทษเพื่อนรักในใจรวมแล้วสามจบถ้วน ข้อหาให้รพีเชิญอารัณย์ที่เขาเพิ่งรู้ว่าทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่โรงเรียนเดียวกับลูกชายของเพื่อนให้มาทานอาหารด้วยกันเพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลรพีให้ โดยเฉพาะในวันที่เด็กชายเกิดอาการงอแงเพราะเป็นห่วงคนเป็นพ่อ
ทั้งที่เจตนาของเขาดีแท้ๆแต่ดันมีปัญหาตรงที่เจ้าเพื่อนตัวดีและแขกผู้มาเยือนดูท่าจะไม่กินเส้นกันมากกว่าที่เขาคิด เรื่องของรพีก็ผ่านมาสักพักแล้วใครจะไปรู้ว่ารัตติกาลจะยังผูกใจเจ็บอยู่ แถมตาอารัณย์นี่ก็กวนประสาทเพื่อนเขาแบบหน้านิ่งๆทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา ผลซวยเลยมาตกอยู่ที่นายนิลคนนี้ ที่หวังดีแสดงน้ำใจอย่างไม่เข้าท่า แต่ก็นะตอนนั้นรัตติกาลเองก็ยัง ‘ยุ่ง’ อยู่กับเด็กที่ชื่อปูนไม่มีเวลามาทักท้วงการตัดสินใจของเขา จะโทษกันฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะเพื่อน...
“พ่อกาลไม่กินหรอฮะ”
รพีที่เห็นคนเป็นพ่อยังไม่กินอะไรเลยสักคำ เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง รัตติกาลที่ยังหงุดหงิดเผลอตวัดสายตาไปจ้องรพีอย่างไม่สบอารมณ์จนเจ้าตัวเล็กผงะด้วยความตกใจ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับหมองลงเมื่อรู้ว่าคนที่ตนรักกำลังอารมณ์ไม่ดี แม้จะอยากพูดคุยด้วยอีกแต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้ไปมากกว่านี้
อารัณย์มองเด็กชายที่เมื่อครู่ยังทานอาหารด้วยความอร่อย นั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ชายหนุ่มหันไปมองหน้าคนอารมณ์ร้ายวางช้อนลงกระแทกกับจานก่อนจะหันมองออกไปนอกบ้าน ทำท่าราวกับว่าไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวนี้แม้แต่วินาทีเดียว
ร่างสูงคงจะเข้าไปกระชากคอเสื้อถามว่าจะทำตัวงี่เง่าไปถึงไหน ก็รู้หรอกว่าเขาก็ผิดที่แกล้งแหย่รัตติกาลมากเกินไป แต่เพราะกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่พอจะแยกออกว่ามีมากกว่าหนึ่งกลิ่นตีกันทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวไปทำอะไรมาก่อนกลับมาจากบ้าน ไม่ได้อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องบนเตียงของใคร แต่พอนึกถึงรพีขึ้นมาก็อดที่จะนึกตำหนิอีกฝ่ายไม่ได้ หนำซ้ำนี่เป็นอีกครั้งที่รัตติกาลกำลังทำสิ่งที่อารัณย์เกลียดที่สุด
“กินซะ”
ร่างสูงตักยำและผัดผักใส่จานของรัตติกาลเป็นการขอโทษในแบบของเขาและบังคับให้อีกฝ่ายลงมือทานข้าวอย่างกลายๆ แต่เจ้าของจานกลับทำเพียงแค่ปรายตามองแล้วหันไปให้ความสนใจกับทีวีที่กำลังฉายข่าวภาคค่ำราวกับว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ลำพังถ้าแค่รัตติกาล อารัณย์ก็คงไม่นึกแคร์อะไรถ้าใครจะประชดเขาด้วยการไม่กินข้าวกินปลา แต่เด็กชายที่มองพ่อของตนด้วยความเป็นห่วง อยากจะพูดด้วยแต่ก็ไม่กล้า ทำให้อารัณย์เกิดความรู้สึกผิดเล็กๆที่ทำให้รพีต้องมารู้สึกแย่ทั้งที่เวลาที่ได้อยู่กับพ่อคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับรพี และเจ้าตัวก็ได้เตรียมของบางอย่างไว้ให้บิดาตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน
“ไม่ทันไรจะก็ดีแตก หึ อ่อนชะมัด”
เสียงพูดคุยเบาลงกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบ รัตติกาลหันมามองคนที่พูดกับตนด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายยุยงเขาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอวดดี หนำซ้ำเป็นเพราะคำพูดนั้นทำให้รัตติกาลรู้ตัวว่าเขาเองได้ทำพลาดไปอีกครั้ง ด้วยการปล่อยให้อารมณ์หงุดหงิดเข้าครอบงำจนพาลแสดงท่าทางไม่เหมาะสมใส่รพีจนทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ และภาพลักษณ์พ่อแสนดีที่ตนกำลังสร้าง ถูกสั่นคลอนด้วยคนนอกเพียงคนเดียว
แม้จะเจ็บใจที่ต้องปั้นหน้าเพราะคำพูดของอารัณย์ แต่เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า รัตติกาลจึงถอนหายใจแล้วหันไปส่งยิ้มอ่อนให้รพีที่หน้าเสีย ตักไข่ตุ๋นของโปรดเด็กชายเสียพูนช้อนแล้วป้อนให้รพีที่ทำท่าทางอึกอักเพราะปรับอารมณ์ตามไม่ทันเมื่อเขายื่นช้อนไปให้
“กินสิ พ่อป้อน”
รพีรับเอาไข่ตุ๋นคำโตมาเคี้ยวไว้เสียเต็มปาก รัตติกาลเห็นร่างป้อมกลับมาอารมณ์ดีได้อย่างเดิมก็เริ่มทานอาหารในจานของตัวเอง แต่ก็ไว้เชิงไม่กินกับข้าวที่อารัณย์ตักไว้ให้เสียจนเต็มจาน ร่างสูงส่งเสียงหึ ออกมาเบาๆกับการพยายามเอาชนะแบบเด็กๆของรัตติกาล แต่ขอแค่รพียิ้มได้เขาก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำแล้วดำเนินมื้ออาหารนี้ต่อไปท่ามกลางความโล่งใจของจันทร์และนิล ที่คอยลุ้นเสียจนตัวเกร็งเพราะกลัวว่ารัตติกาลจะอาละวาดอีก
“พ่อกาลฮะ...พีทำนี่มาให้”
.
.
.
.
.
หลังจากทานอาหารเสร็จรัตติกาลที่นั่งดูรายการสารคดีสัตว์อยู่ในห้องนั่งเล่นขณะนิลและอารัณย์อยู่คุยกับจันทร์อยู่หลังบ้าน รพีก็วิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมกับซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลังแล้วยื่นมันให้กับเขาด้วยท่าทีประหม่า
รัตติหันมามองการ์ดใบเล็กในมือของลูกชายที่ยื่นมันให้กับตน ชายหนุ่มรับกระดาษใบน้อยไว้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะอ่านตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือแบบเด็กๆของเจ้าของ ซึ่งเขียนไว้ว่า ‘ขอให้พ่อหายป่วย’ ประดับด้วยรูปวาดต่างๆคล้ายกับรูปที่รพีเคยนำมาให้เขาดูในคราวที่ได้รับคำชมจากครู
“วาดรูปเก่งขึ้นนะ”
รัตติกาล เผลอเอ่ยชมเด็กชายออกมาจากใจจริง แต่มันก็เป็นเรื่องดีเพราะรพีที่เคยมีท่าทางไม่มั่นใจกลับระบายยิ้มเสียจนตาหยี่ ร่างป้อมปีนขึ้นมาบนโซฟาตัวเขื่องแล้วกอดเขาเสียจนเต็มแรงด้วยความดีใจ รัตติกาลยกมือข้างที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลขึ้นลูบกลุ่มผมสีดำสนิทเบาๆเพื่อแทนคำขอบคุณ
“พ่อกาลมีความสุขไหมฮะ”
“หืม ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
“ก็...ตอบพีมาก่อนสิ นะๆ”
“อืม พ่อมีความสุข”
ร่างโปร่งยิ้มให้ลูกชายปกปิดความจริงเบื้องหลังโกหกไว้ไม่ให้ใครรู้ แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใสที่สุดแต่รพีก็รู้สึกเต็มตื้นขึ้นมาจนต้องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก หัวทุยถูแผ่นอกกว้างของบิดาด้วยความรักเลยไม่ทันได้เห็นยามที่รอยยิ้มประดิษฐ์นั้นเลือนหายหลงเหลือไว้แต่ความเย็นชาในดวงตาที่มองมายังตน
“พีจะพยายามนะฮะ”
“?”
“น้ารัณย์บอกว่า ถ้าคนที่เรารักมีความสุข เราก็จะมีความสุข...ตอนนี้พีมีความสุขมากก็เพราะพ่อกาล”
“...”
“พีรักพ่อนะ”
รัตติกาลยังคงลูบหัวของลูกชายนอกสายเลือดอย่างแผ่วเบาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแม้แต่คำโกหกที่สมควรพูด สายตาว่างเปล่ามองดูกระดาษแผ่นน้อยในมือด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งอยากเก็บมันไว้และอยากเผาไหม้มันให้เป็นจุณไม่เหลือแม้ธุลี ท่าทางซื่อๆของรพี ทำให้รัตติกาลอยากบอกเด็กชายถึงอีกด้านของคำสอนที่อารัณย์คงไม่ได้บอกให้ฟัง ว่าแม้ความสุขจากการให้มันจะยิ่งใหญ่และน่ายินดีแค่ไหน แต่สุดท้ายเมื่อให้ไปจนหมดโดยไม่เคยได้รับอะไรกลับมา ตัวเรานั่นแหละที่จะไม่เหลืออะไรเลย...
.
.
.
.
.
ร่างโปร่งมองของสองสิ่งในมือด้วยสายตาเรียบนิ่ง หนึ่งคือของขวัญจากลูกชายนอกสายเลือดที่เต็มไปด้วยความรู้สึก และอีกหนึ่งคือของขวัญจากคนเคยรักที่ไม่เคยตัดใจทิ้งมันได้ลงสักที ฝาซิปโป้ถูกเปิดปิดด้วยมือข้างเดียว เปลวไฟถูกจุดขึ้นและดับลงท่ามกลางความมืดมิด
แผ่นหลังของรัตติกาลเอนพิงกำแพงมุมข้างบ่อน้ำของบ้านอยู่พักใหญ่ ใบหน้าหวานคมที่สว่างขึ้นเพราะแสงจากเปลวไฟฉายแววสับสนพร้อมกับฝาซิปโป้ที่เปิดค้าง ริมฝีปากสีชาดเม้มกันจนเป็นเส้นตรงก่อนเจ้าของมันจะตัดสินใจยื่นกระดาษแผ่นน้อยในมือข้างขวามาใกล้กับความร้อนแรงนั้นจนขอบการ์ดเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาล
‘พีรักพ่อนะ’
คำพูดของรพีดังขึ้นในหัวก่อนที่เปลวไฟจะเผาไหม้กระดาษนั้นตรงๆ ความลังเลผุดขึ้นในหัวใจทุกขณะจิต รัตติกาลชะงักมือของตนไว้ทันทีที่คำพูดนั้นย้อนกลับเข้ามาในหัว ไม่อยากยอมรับแต่ก็รู้ดีว่าหัวใจของเขาเต้นแรงแค่ไหนเมื่อได้ฟังคำๆนั้นจากปากคนที่ตัวเองชิงชัง ทั้งที่เกลียดแต่ดันเผลอรู้สึกเต็มตื้นเพราะสิ่งที่ตัวเองสิ้นศรัทธาไปแล้วเสียได้
‘พี่รักกาลนะ’
ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายผู้ให้กำเนินที่แท้จริง ถูกซ้อนทับด้วยรอยยิ้มและคำพูดหลอกลวงของผู้ล่วงลับที่ยังตามหลอกหลอน ความอบอุ่นในหัวใจถูกถมซ้ำด้วยฝันร้ายจนไม่อยากยอมรับความพองโตในหัวใจที่เกิดจากคำว่ารักที่ได้รับจากรพี ร่างโปร่งสูดหายใจราวกับรวบรวมความกล้า มือที่เคยหยุดไปเคลื่อนเอาของขวัญจากลูกชายเข้าสู่เปลวไฟช้าๆ สิ่งแทนใจของรพีกำลังถูกแผดเผาด้วยของขวัญจากพ่อแท้ๆจนลูกไฟดวงเล็กขยายใหญ่ขึ้น แต่ยังไม่ทันไรเสียงสวบสาบก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังพร้อมกับเสียงพูดอย่างเกรี้ยวกราดจากแขกของบ้านที่โผล่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ
“ต่อให้ทำยังไงก็คิดไม่ได้เลยสินะ!”
กระดาษในมือ ถูกกระชากเอาไปก่อนอารัณย์จะจับมันตบลงกับพื้นดินชื้นใกล้ๆจนเปลวไฟเริ่มมอดแล้วดับสนิทลง อารัณย์ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รพีเลือกใช้สีเทียนในการระบายเสียจนเต็มแผ่นจนกระดาษไม่ไหม้เร็วอย่างที่ควร แววที่ขุ่นเคืองปนด้วยความผิดหวังจ้องมองไปยังรัตติกาลที่ยังคงยืนนิ่งราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องเดินออกมาขวาง
“นึกว่าจะออกมาเร็วกว่านี้ซะอีก”
“กำลังลองใจว่าคนเราจะพัฒนาขึ้นบ้างไหม แต่ดูเหมือนว่ากูจะมองมึงในแง่ดีมากเกินไป”
“ปกติผมก็ไม่ใช่คนว่ายาก แต่ครั้งนี้พิเศษ คราวนี้ถือซะว่าตอบแทนเรื่องบนโต๊ะอาหารแล้วกัน”
“หึ พลาดแล้วพาลแบบนี้ ไม่น่าใช่นิสัยของคนที่โตพอจะเป็นพ่อคนได้”
“เรื่องพาล พวกผู้ใหญ่ก็ชอบทำไม่แพ้เด็กๆนั่นแหละ แล้วก็นะ คุณก็ไม่ได้มองว่าผมเหมาะกับการเป็นพ่อมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่รึไง”
รัตติกาลกระตุกยิ้มก่อนจะใช้ซิปโป้เก่าในมือจุดมวนบุหรี่ตัวโปรดแล้วอัดควันเข้าเต็มปอด ร่างโปร่งสาวเท้าเข้ามาใกล้อารัณย์แล้วคว้าเอาของขวัญที่พี่เลี้ยงคนเก่งพยายามรักษามันไว้ แต่อารัณย์กลับไม่ยอมมอบมันกลับให้เขา ดวงตาดุดันจ้องเขม็งมาที่ริมฝีปากสีสวยที่คาบแท่งกระดาษม้วนเอาไว้อย่างไม่ชอบใจ รัตติกาลยักไหล่อย่างไว้ท่าแต่ก็ยอมสูดควันส่งท้ายจนชุ่มปอดแล้วทิ้งมันลงกับพื้นหญ้าตามที่อีกฝ่ายต้องการพร้อมกับแบมือเพื่อขอของตัวเองคืนอีกครั้ง
“รพีตั้งใจทำมันมาก ตั้งแต่เช้าเขาแทบไม่เป็นอันเรียนจนครูเป็นห่วงกันไปหมด แต่พอกระตุ้นว่าน่าจะทำอะไรให้มึง เด็กนั่นก็ตั้งใจจนไม่ลืมหูลืมตา”
“เห็นรพีบอกว่าคุณพูดอะไรไร้สาระให้ฟัง”
“ก็อาจจะไร้สาระอย่างที่ว่า สำหรับคนที่คิดถึงแต่ตัวเองแบบมึง”
“ธรรมชาติของมนุษย์ต่างหาก ไม่มีใครอยากเล่นบทเป็นฮีโร่พี่เลี้ยงเด็กแบบคุณนักหรอก ถามจริงคิดยังไงมาทำอาชีพนี้”
“ก็แค่เบื่อทำงานกับผู้ใหญ่ตอแหล อยู่กับเด็กแล้วสบายใจกว่า”
อารัณย์ตั้งใจพูดกระทบกระทั่งอีกฝ่าย แต่รัตติกาลก็ยังคงนิ่ง ใบหน้าหวานคมพยักไปมาราวกับฟังเรื่องดินฟ้าอากาศ หยิบการ์ดที่ไหม้ไปเล็กน้อยพลิกไปมาเพื่อสำรวจความเสียหายทำเหมือนกับมันน่าสนใจเสียเต็มประดา
“จะทำยังไงกับมัน”
“หมายถึงอะไร การ์ด? หรือรพี?”
“ทั้งสองอย่าง”
“ก็ไม่ทำอะไร แค่เก็บไว้”
“ทั้งสองอย่าง?”
“อืม ทั้งสองอย่าง”
“จนถึงเมื่อไหร่ล่ะ?”
“...”
“จะแกล้งทำดีกับรพีไปถึงเมื่อไหร่...”
“ไม่คิดว่าคุณจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ที่เคยบอกว่าจะจับผมให้ได้นั่น ยอมแพ้แล้วไปแล้วรึไง”
“ไม่ ตอนนี้ก็ทำอยู่ แค่อยากรู้ว่ามึงจะทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“ความอดทนน้อยกว่าที่คิด”
“ใครจะเหมือนรพี ที่ทนให้คุณโขกสับมาได้จนอายุขนาดนี้”
“ผมไม่เคยขอให้เขาทน”
“แค่ตีสองหน้าเป็นพ่อที่ดีเพื่อให้เด็กนั่นขาดมึงไม่ได้...ใช่ไหมล่ะ”
รัตติกาลเบิกตากว้างอย่างตกใจเพียงครู่ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง ผิดกับอารัณย์ที่ยังคงยืนนิ่งไม่ยินดียินร้ายกับกริยาดังกล่าว ร่างโปร่งพยายามหยุดร่างกายที่สั่นเทาจากการหัวเราะ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงรื่นเริงเสียเต็มประดา
“เดาเก่งนิ ผมควรให้รางวัลอะไรคุณไหม”
“ขออัดหน้ามึงแรงๆสักที ไม่สิ ขอหลายๆที”
“ผมไม่ชอบความรุนแรง”
“เทียบกับมึงคนเมื่อคืนแล้วไม่น่าจะใช่”
“ก็แค่เมาน่ะ แต่ประเด็นคือคำตอบของคุณมันยังไม่สมบูรณ์”
“หมายความว่า...”
“มันยังมีตอนต่อ... คุณคิดว่าผมจะทำอะไรกับลูกของตัวเองต่อล่ะ”
อารัณย์สบตาคนที่เดินมาใกล้เขามากขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน รัตติกาลเงยหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะยกยิ้มที่ใครๆมักมองว่ามันมีเสน่ห์ให้อีกฝ่ายแล้วผละออกมา ร่างโปร่งโบกมือให้น้อยๆแทนคำอำลาแล้วหันหน้าเพื่อเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่ขายาวที่กำลังก้าวเดินก็หยุดชะงักลงเพราะคำถามที่เมื่อก่อนทั้งนิลและจันทร์มักจะถามเขาอยู่เสมอ และครั้งนี้อารัณย์ก็เป็นผู้ที่ถามมันกับเขาอีกครั้ง
“ทำไมมึงถึงเกลียดรพีขนาดนั้น เด็กนั่นทำผิดอะไร”
“ไม่...รพีไม่ได้ทำอะไรผิด”
“...”
“ก็แค่...ปล่อยให้มีความสุขไม่ได้”
“ไม่มีเหตุผล”
“มีสิ...เหตุผลน่ะ มีอยู่แล้ว”
รัตติกาลเอ่ยด้วยเสียงเรียบเย็นจนคนฟังทั้งสองคนรู้สึกได้ถึงเส้นขนที่ลุกชัน ร่างโปร่งหันมาสบตาอารัณย์อีกครั้งด้วยสายตาที่แสนว่างเปล่า ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับไปมองอารัณย์ที่ยืนอยู่ที่เดิม และไม่ทันได้สังเกตเห็นนิลที่หลบอยู่ข้างเสา
“ถ้าหาเหตุผลที่ว่าเจอ...กูจะหยุดมึงได้ไหม รัตติกาล”
.
.
.
.
.
ภายในห้องพักที่ติดแอร์เย็นช่ำต่างจากห้องขังร้อนระอุที่อยู่ติดกัน โต๊ะทำงานที่ฤทธิชาติเคยคิดว่ามันใหญ่ไปเกินกว่าความจำเป็นถูกกองเอกสารมากมายเกี่ยวกับคดีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่จังหวัดลำปาง เมื่อประมานหกปีที่แล้ว ภาพของผู้เสียชีวิตทั้งสองรายเป็นชายและหญิงอายุยี่สิบห้าปี คือ ’นายนที กวีวิมนตร์’ และ ‘นางสาวพะแพง มหาเกียรติ’ ถูกวางไว้เด่นหร่าโดยข้างๆเป็นเอกสารของตำรวจในพื้นที่ที่นายตำรวจหนุ่มเพิ่งได้รับมาในช่วงสายของเมื่อวาน
วันเกิดเหตุทั้งคู่กำลังเดินทางไปยังรีสอร์ทเพื่อพักผ่อนฉลองสิ้นปี ณ จุดเกิดเหตุ เวลาประมาน 15.00 นาฬิกา รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลของนายนทีได้ถูกรถบรรทุกสิบล้อพุ่งชนโดยการผ่าไฟแดงบริเวณสี่แยกก่อนถึงตัวเมือง จากการสืบสวนพบผู้พนักงานขับรถบรรทุกเกิดการหลับในจนเป็นเหตุทำให้ สองสามีภรรยาได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนจะเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา โดยทางญาติผู้เสียชีวิตไม่ติดใจในสาเหตุการตายสอดคล้องกับผลการชันสูตรศพจากสถาบันนิติเวชของโรงพยาบาล
ฤทธิชาติปลดกระดุมชุดเครื่องแบบของตนออกจนเหลือเพียงแต่เสื้อยืดคอกลมมีตรากรมตำรวจประดับอยู่ ชายหนุ่มหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องเบอร์ส่วนตัวที่กำลังสั่นอย่างเอาเป็นเอาตายขึ้นดูก่อนจะยกยิ้มที่ใครๆมักบอกว่ามันดูเจ้าเล่ห์ผิดกับภาพลักษณ์ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นชื่อของคนปลายสายที่โทรมาหาเขาเร็วกว่าที่คิด ร่างสูงทิ้งให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปโดยไม่เปิดช่องให้คนโทรมาได้พูดอะไรก่อน
“คุณติดหนี้ผมก้อนใหญ่แล้ว เตรียมเลี้ยงข้าวผมได้เลย”
:hao7:
-
คุยกับเช่!
มัน...สั้นเนอะ =w= ไม่ๆ ตอนที่แล้วมันยาวไปต่างหาก มานั่งดูอีกที ตอนที่แล้วเช่น่าตัดออกเป็นสองตอน จะได้หาเรื่องอู้
แต่ก็ไม่ทันแล้วแหละ บอกในเล้าว่าจะลงให้ตอนเช้าแต่มาเสร็จเอาตอนนี้ เค้าขอโทษ~~ ไม่มีข้อแก้ตัวคนับ ตื่นสายจริงๆ
เหมือนเรื่องจะลึกลับ(?)มากขึ้น อย่าคิดมากกันนะคนับ นิยายเช่มันไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นหรอก ทำให้เหมือนจะซับซ้อน
เท่านั้นเอง อ่านสบายๆ(?) เดี๋ยวอะไรดีๆก็ตามมา ตอนนี้อารัณย์เริ่มให้ความสนใจในการหาเหตุผลของกาลแล้ว
มาดูกันว่าพ่อเลี้ยง เอ้ย! พี่เลี้ยงหนุ่มจะรู้อดีตของคุณพ่อสุดหล่อได้ยังไง แล้วจะทำยังไงต่อไป
สุดท้าย.... คุณตำรวจกลับมาแล้ววววว ไม่ใช่ๆ ^^ ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตนะคนับ อ่านทั้งหมดแล้ว อยากตอบทำไงดี?
:hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
-
ชาติโผล่มาแบบแย่งซีนมากอะ
รัณย์กวนทีนสุดๆไม่ใช่กาลก็คงอยากตื้บแกเหมือนกัน
เราว่าจริงๆกาลคงไม่ได้เกลียดรพีขนาดนั้น ตอนรพีมาบแกรักก็ยังเหมือนมีมุมอบอุ่นๆให้เห็นอยู่
อยากให้กาลหายเจ็บ ตื่นจากฝันซะที :mew2:
-
อยากให้กาลโดนกด
-
เค้าจะทำไรกัน มันจะเจ้บกันอีกแร้วสินะ
-
อาการของกาลเหมือนคนไข้จิตเวชเลย อยากให้คนรอบข้างสังเกตเห็นจัง จะได้รีบรักษาก่อนที่จะสายเกิน
กลัวใจกาลนะ กลัวว่าสุดท้ายกาลจะพยายามฆ่าตัวตายจัง หลังจากคิดว่ารพีขาดตัวเองไม่ได้แน่ๆน่ะ
-
จริงๆแล้วกาลเป็นคนน่าสงสารนะ ยึดติดกับอดีตมากเกินไป ซึ่งมันไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ แล้วการที่มาลงกับเด็กอย่างรพีที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ นทีกับแพงก็ได้ชดใช้ให้กาลไปแล้วด้วยชีวิต เฮ้ออออออ ถ้าไม่รักรพีก็ปล่อยให้คนอื่นเลี้ยงเถอะ ให้คนที่รักและสามารถสร้างความอบอุ่นให้รพี ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เด็กโตขึ้นก็จะเป็นเด็กมีปม มีปัญหาทางด้านจิตใจ โดยที่โดนผู้ใหญ่ยัดเหยียดให้ เจ็บปวดดดดดด เฮ้ออออออออออออออออ :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ได้ระบายแล้วสบายใจ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao7: :hao7:
รัณย์ต้องรีบๆช่วยกาลนะ ให้กาลหลุดจากอดีตสักที :mew6: :mew6:
ปล.หายไปนาน ติดซี่รี่ย์อยู่ กลับมาอีกทีคนเขียนเขียนไปสองตอนเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ เป็นกำลังให้ค่า สู้ๆ :L2: :L2:
-
16th Night
…Saliva...
กรุงเทพมหานครฯ เมืองศิวิไลซ์ ศูนย์รวมความเจริญและทันสมัยที่หลายคนมองว่าน่าอยู่ แต่สำหรับอารัณย์แล้วเมืองนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ากล่องแข็งๆที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและมลพิษ เขาจึงเลือกที่จะนอนอุตุอยู่ห้องในช่วงบ่ายของวันหยุดที่มีเพียงสองวันต่อสัปดาห์แทนการออกไปเที่ยวเพื่อผ่อนคลายข้างนอก
“หิวโว้ย!!”
ร่างสูงตะโกนเป็นครั้งที่ห้าของวันแต่ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ตู้เย็นเล็กๆนั้นไม่มีอะไรพอยาไส้ได้ ถังข้าวสารก็ว่างเปล่า แม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ไม่มีเหลือให้เห็นสักห่อ ไม่ใช่ว่าเขาจนมากขนาดที่ว่าไม่มีอะไรจะกินแต่การเป็นพี่เลี้ยงโรงเรียนอนุบาลนั้นหนักหนามากกว่าที่ใครๆคิด
แม้จะมีวันหยุดมากกว่าเหล่ามนุษย์เงินเดือนตามบริษัทแต่พลังงานที่ใช้รบรากับเด็กวัยกำลังซนในแต่ละวันก็มากชนิดที่สลบเหมือดทันทีที่หัวถึงหมอน ไม่ต้องพูดถึงทำข้าวกินเอง แค่แต่ละเย็นจะเหลือแรงมาจัดการห้องหับยังลำบาก ว่าแล้วก็เปรยตามองกองผ้ากองใหญ่ อยากจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแต่ชุดที่เขาต้องใส่มันในวันจันทร์ก็ยังนอนเน่าอยู่ในนั้น ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างยอมแพ้ เขาคว้าเอากระเป๋าเงินและตะกร้าผ้า ผงซักฟอกและเหรียญสิบสามเหรียญจากกล่องที่ใช้เก็บมันโดยเฉพาะ ก่อนจะพาร่างสะโหลสะเหลของตนออกมาจากห้องพัก
เขาจัดการยัดผ้าทั้งหมดลงในเครื่องแล้วปล่อยให้มันทำงานตามโปรแกรม ร้านข้าวแถวห้องพักถูกเลือกเป็นแหล่งเติมพลังงานให้ตัวเองรวบมื้ออาหารทั้งเช้าบ่าย ข้าวผัดแหนมรสชาติธรรมดาถูกชายหนุ่มยัดเข้าปากเรื่อยๆ พร้อมกับตาที่กวาดอ่านข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อฆ่าเวลา
อารัณย์ใช้ชีวิตแสนน่าเบื่อของตัวเองไปเรื่อยๆด้วยความพอใจ แม้กับข้าวจะไม่อร่อย แต่ก็ยังมีอะไรตกถึงท้องไม่เหมือนเมื่อก่อน อย่างน้อยก็ยังดีกว่าคนบางคนที่ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนอย่างขอทานเฒ่าที่อาศัยร่มเงาข้างตึกสูงพักร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างสูงเรียกเด็กชายวัยประถมที่น่าจะเป็นลูกชายเจ้าของร้านแล้วสั่งข้าวผัดหมูพิเศษและน้ำเปล่าลิตรหนึ่งขวดให้กับขอทานเฒ่าคนนั้นเหมือนกับที่เคยทำทุกวัน เด็กชายพยักหน้าอย่างเข้าใจคำสั่งก่อนจะตะโกนบอกแม่ของตนที่กำลังสาละวนอยู่หน้าเตาด้วยท่าทีแข็งขัน
“ป้าครับ เอาคะน้าหมูกรอบไข่เจียวสองจาน”
เสียงติดหวานตะโกนตามเสียงของเด็กชายมาติดๆ คอลัมน์เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเล็กๆในสหภาพยุโรปเรียกความสนใจของอารัณย์ได้มากกว่าการอยากรู้ว่าลูกค้าในร้านจะสั่งอะไร ชายหนุ่มคบคิดเกี่ยวกับนโยบายการแก้ปัญหาของประเทศดังกล่าวพลางส่งข้าวผัดแหนมเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน แต่บทสนทนาที่ดังมาไม่ไกลทำให้เขาต้องหยุดสายตาตัวเองที่กำลังเลื่อนไปอ่านข่าวในกรอบต่อไป
“พี่กาลแน่ใจนะว่ากินได้”
“ได้สิ สมัยเรียนพี่ก็กินแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ก็ยังกินอยู่”
“รู้ว่ากินง่าย แต่อย่างน้อยน่าจะให้ปูนทำให้กินมากกว่า”
“ของสดในห้องหมดแล้วไม่ใช่หรอ ไว้มื้ออื่นก็ได้ ตอนนี้หิวแล้วเสียเวลา”
เด็กหนุ่มที่อารัณย์อาศัยอยู่หอพักเดียวกับอารัณย์พยักหน้าให้คนข้างกายอย่างว่าง่าย ร่างสูงแอบมองทั้งคู่ผ่านหนังสือพิมพ์ที่กางอยู่จนแทบจะปิดบังใบหน้าของเขาทั้งหมด ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วตั้งแต่มื้อค่ำวันนั้นที่บ้านพัฒนเดชาที่อารัณย์ไม่ได้เห็นหน้าคุณพ่อสุดหล่อขวัญใจแม่บ้านที่โรงเรียน ด้วยเพราะเป็นบุคลากรผู้ชายเพียงไม่กี่คนในแผนกปฐมวัยทำให้อารัณย์โดนครูใหญ่วานให้เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมสถานที่แทนการออกไปรับนักเรียนในช่วงเช้า จึงห่างหายจากการแอบสังเกตรัตติกาลในช่วงเช้าอย่างที่เคย
และดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญที่รัตติกาลติดธุระที่ทำงานจนทำให้ไม่สามารถมารับรพีในตอนเย็นได้แต่ดูเหมือนเด็กชายก็ยอมรับในเรื่องนั้น หน้าตาและรอยยิ้มที่สดใสของรพีต่างทำให้ครูที่เคยเป็นห่วงเรื่องพัฒนาการด้านอารมณ์ของร่างป้อมต่างก็ใจชื้นขึ้นไปตามๆกัน แต่สำหรับอารัณย์คำถามที่รัตติกาลถามเขาในคืนนั้นทำให้เขาไม่สามารถวางใจเหมือนคนอื่นได้
“มันยังมีตอนต่อ... คุณคิดว่าผมจะทำอะไรกับลูกของตัวเองต่อล่ะ”
มันคือคำถามที่คนนอกไม่อาจคาดเดา ระหว่างเขาและรัตติกาลไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าคนสองคนที่บังเอิญรู้จักกันผ่านความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ และแน่นอนว่าตลอดช่วงเวลานั้นไม่เคยเลยที่เขาทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อดีตของรัตติกาลเขาไม่เคยรู้ และอดีตของเขาก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน
ทั้งที่ไม่ควรได้เกี่ยวข้องกันอีกแต่ทุกครั้งที่คิดถึงใบหน้าเศร้าสร้อยของรพี อารัณย์รู้สึกเหมือนกาลเวลาที่ไม่เคยย้อนกลับนั้นเดินถอยหลังได้ แม้คุณภาพความเป็นอยู่จะต่างกันแต่นอกจากวัตถุแล้วบ้านหลังใหญ่นั่นก็ไม่ต่างอะไรไปจากห้องเช่าเล็กๆในย่านสลัมที่เขาเคยอยู่อาศัย ถ้าจะมีอะไรที่ต่างกันก็คงจะเป็นเรื่องที่เขาเป็นลูกแท้ๆของแม่ต่างจากรพีที่เป็นลูกเลี้ยงของรัตติกาล
“สองคนนั้นไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆ”
นิลพูดขึ้นขณะกำลังขับรถไปส่งเขาที่หอพัก อารัณย์เดาได้ทันทีว่าเงาตะคุ่มหลังเสาที่เขาเห็นเป็นเงาของเพื่อนเจ้าของบ้านที่เขาพอจะพูดคุยสนิทสนมด้วยได้ในระดับหนึ่ง อารัณย์นึกสงสัยว่ามันมากพอขนาดที่นิลไว้ใจพูดเรื่องสำคัญขนาดนี้ให้ฟังได้จริงๆหรอ แต่ก็แค่นั้น...นักเขียนหนุ่มไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมอะไรกับเขาอีก ไม่บอกแม้แต่เหตุผลที่เขาสมควรรู้
เขาไม่ได้ถามอะไรอีก ความจริงข้อนี้ไม่ได้ทำให้อารัณย์เข้าใจการกระทำของรัตติกาลมากขึ้น หนำซ้ำกลับเพิ่มความสงสัยว่าอะไรคือเหตุผลที่รัตติกาลเลือกเก็บลูกนอกไส้ที่ตัวเองเกลียดชังไว้ใกล้ตัว และมันยิ่งทำให้เขาคาดเดาสิ่งที่รัตติกาลถามกับเขาไม่ได้เลย
“วันเสาร์หน้าพี่กาลว่างไหม”
“อืม ทำไมหรอ”
“ปูนต้องไปทำงานแทนเพื่อนที่ชลบุรี พี่กาลไปกับปูนนะ”
รัตติกาลนิ่งไปนิดเหมือนกับกำลังขบคิด อารัณย์อดคิดในใจไม่ได้ว่าภาพตรงหน้าเหมือนกับฉากเวลาอิหนูทั้งหลายอ้อนขอป๋าให้พาไปเที่ยว แม้ว่ารัตติกาลจะไม่ได้เป็นตาแก่ลงพุงเหมือนในละคร ทั้งที่อายุปาเข้าไปเลขสามแต่เพราะใบหน้าที่ติดออกไปทางหวานมีเสน่ห์ทำให้คนคนนี้ยังคงน่ามองไม่แพ้คนหนุ่มที่อายุน้อยกว่า เด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆเอื้อมมากุมมืออีกฝ่ายไว้เป็นการอ้อนขอแบบไม่เซ้าซี้เกินไปดี และนั่นก็ทำให้รัตติกาลตัดสินใจตอบตกลงไปพร้อมกับจับมือตอบโดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้างที่มองทั้งคู่อย่างสนใจ
อารัณย์ไม่รังเกียจเรื่องรักร่วมเพศ แต่ก็ไม่เคยเข้าใจคนที่มีความรักประเภทนี้ คนรอบตัวที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแต่เรื่องความรักฟังจากปากคนอื่นเล่าก็ไม่ต่างอะไรจากนิทานที่ทั้งดูเพ้อฝันและเกินจริง ยอมรับอยู่หรอกว่าสองคนที่เขากำลังแอบมองดูเหมาะสมกันไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกตาจนเกินไป ดูเผินๆก็ไม่ต่างอะไรกับคู่รักชายหญิงทั่วไปเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กๆจนเลือกที่จะหลบฉากจ่ายเงินค่าข้าวแล้วออกจากร้านไปโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว
เพราะออกจากร้านมาเร็วกว่าที่คิด อารัณย์จึงต้องยืนรออีกประมานสิบห้านาทีจนกว่าผ้าที่ซักไว้จะเสร็จ ด้วยราคาที่ถูกหอพักนี้จึงไม่มีลิฟต์ให้บริการเขาจึงเลือกที่จะรอแล้วขึ้นไปข้างบนในทีเดียว ร่างสูงแบกตะกร้าที่หนักอึ้งไปด้วยเนื้อผ้าที่อมน้ำแม้จะปั่นหมาด เขาเดินฮัมเพลงเรื่อยๆอย่างอารมณ์ดีผ่านขั้นบันไดจากชั้นล่างเรื่อยมาถึงชั้นที่ตัวเองพักอาศัย ผ่านประตูห้องที่เรียงกันเป็นแถวยาวจนใกล้ถึงห้องของตัวเองที่อยู่เกือบสุดทาง อารัณย์ควานหากุญแจจากในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่รีบร้อนแต่ก่อนที่ประตูบานนั้นจะถูกไขออก ประตูของห้องตรงข้ามก็เปิดขึ้นพร้อมกับ ร่างของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่นักกินข้าวอยู่กับรัตติกาลข้างล่างก็เดินออกมาจากห้อง
“พี่กาล เดี๋ยวปูนลงไปเอาของในรถแปปนึงนะเอาอะ...คะ คุณ!”
ปูนมองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ คนที่เคยเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่กลับไม่เคยลืมกำลังมองหน้าเขาด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่แฝงด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ปูนรู้สึกไม่พอใจและไม่ถูกชะตากับคนคนนี้ ภาพที่รัตติกาลถูกใช้กำลังฝืนบังคับและเสียงที่พูดจาดูหมิ่นขมขู่ตนในวันนั้นทำให้ปูนรู้สึกไม่ชอบหน้าชายคนนี้จนเผลอชักสีหน้าใส่ โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่น้อยหน้า เขายิ้มมุมปากเหมือนกำลังเยาะเย้ยอยู่ในทีจนมือที่จับค้างอยู่ที่ลูกบิดประตูถูกเก็บเข้าข้างลำตัวแล้วกำแน่นด้วยความไม่พอใจ
“มาทำอะไรที่นี่...จะมาทำร้ายพี่กาลอีกรึไง”
อารัณย์มองดูเด็กหนุ่มที่ชื่อปูนกำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง แต่ท่าทางคุกคามนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับลูกแมวที่พองขนขู่แฟ่ดๆไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด ร่างสูงว่างตะกร้าในมือลงก่อนจะเดินเข้ามาหาอีกฝ่ายที่ถอยหลังออกไปด้วยความตกใจจนแผ่นหลังเล็กนั้นปะทะเข้ากับกำแพงห้อง ด้วยเพราะความสูงที่ต่างกันพอสมควรปูนจึงเหมือนจมหายไปทั้งตัวเมื่ออารัณย์ยกแขนขึ้นเท้ากำแพง ใกล้จนแอบเห็นดวงตาคู่นั้นสั่นแต่ก็ยังแข็งกร้าวอย่างไม่ยอมแพ้
“พี่กาลอย่างนั้น พี่กาลอย่างนี่ ตกลงยอมเป็นเมียน้อยเต็มตัวแล้วสินะ”
“อย่ามาพูดจาดูถูกผมกับพี่กาลแบบนี้นะ!”
“อ้าว พูดถูกก็ไม่ได้หรอ งั้นยังไงดี เป็นพี่น้องท้องติดกันแบบนี้ได้รึเปล่า”
“ทุเรศ!”
“ด่าใครน่ะ ตัวเองหรอ?”
อารัณย์กลั้นขำเมื่อเด็กหนุ่มโกรธเสียจนหางหูตั้งไปหมด ริมฝีปากสีอ่อนเม้มแน่นแม้มันจะดูสวยราวกับปากของผู้หญิงแต่ก็นึกสงสัยว่าตอนจูบกับคนพวกนั้นไม่รู้สึกแปลกๆอะไรบ้างรึไง ปูนที่โมโหจนพูดไม่ออกยกมือขึ้นทุบหน้าอกคนตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงน้อยนิดของเขาจะไม่สามารถทำอะไรให้อีกฝ่ายสะดุ้งสะเทือนได้เลยหนำซ้ำยังหัวเราะออกมาราวกับมันเป็นเรื่องขบขัน
เกลียดคนคนนี้...คนที่ไม่พูดจาดูถูกความสัมพันธ์ของเขาและพี่กาล คนที่ทำเหมือนศักดิ์ศรีของเขาเป็นสิ่งไร้ค่า เกลียด เกลียดที่สุด...
“ปูน!”
“พี่กาล!”
รัตติกาลได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันจึงเดินออกมาดูจนเห็นร่างของปูนถูกชายคนหนึ่งกักตัวไว้เสียจนมิด เขารีบก้าวยาวๆไปผลักชายคนนั้นให้ออกไปก่อนจะคว้าร่างของเด็กหนุ่มที่มองเขาด้วยน้ำตาคลอให้มายืนหลบอยู่ข้างหลัง ท่าทางหวาดกลัวของคนที่คบหาทำให้รัตติกาลรู้สึกเดือดดาลได้ไม่ยาก เขาหันหน้ากลับไปเพื่อจะเอาเรื่องอีกฝ่ายแต่กลับต้องยืนนิ่งเมื่อเห็นว่าคนที่คุกคามปูนอยู่เมื่อครู่เป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยทำสิ่งเดียวกันกับเขาที่หอพักแห่งนี้
“อารัณย์!!!”
“หึ ไม่ต้องทำหน้าดุอย่างนั้น กูยังไม่ได้ทำอะไรเด็กมึงสักหน่อย แค่ทักทายเท่านั้นเอง”
“ทักทายอะไร ทำไมปูนถึงเป็นแบบนี้!!”
“กูก็แค่พูดความจริงนิดหน่อย ใครจะรู้ว่าเด็กมึงจะอ่อนไหวจนทนฟังไม่ได้”
ปูนกอดรัดท่อนแขนของรัตติกาลแน่นราวกับทนไม่ได้กับคำบริภาษที่โดนกล่าวหา แม้จะทำเป็นเข้มแข็งและรับความจริงข้อนี้ได้แต่เรื่องที่รัตติกาลมีครอบครัวอยู่แล้วก็เหมือนปมในใจที่เด็กหนุ่มพยายามซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น รัตติกาลมองดูเห็นความเจ็บปวดที่คนข้างกายพยายามเก็บมันไว้ไม่แสดงออกแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่อารัณย์พูดคงกระทบความรู้สึกร่างเล็กนี้มากซึ่งก็ไม่น่าพ้นเรื่องของเขา
ร่างโปร่งหันมามองอารัณย์ด้วยความไม่พอใจ เขาสาวเท้าขึ้นไปผลักอกอีกฝ่ายจนชิดผนังอีกด้านแทนซึ่งร่างสูงก็คว้าเอาคอเสื้อของเขาได้ทันควัน ทั้งคู่สบตากันอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เป็นอารัณย์ที่กำลังมองมาด้วยความรู้สึกขบขัน ทั้งที่แค่กะจะแกล้งเด็กนั่นเล่นๆเพราะอีกฝ่ายทำท่าทางไม่ชอบขี้หน้าเขาซะเต็มประดา กลับลุกลามกลายเป็นว่าเขากับรัตติกาลต้องมายืนจ้องหน้ากันอย่างกับฉากในละครน้ำเน่า แต่สีหน้าเหวี่ยงๆของรัตติกาลที่มักหลุดให้เขาเห็นเสมอยิ่งทำให้เขายังไม่อยากจบละครฉากนี้เร็วนัก อารัณย์ดุนลิ้นในโพรงปากก่อนจะกระชากคอเสื้อของรัตติกาลให้เข้ามาใกล้ กลิ่นไอเย็นจากอาฟเตอร์เชฟทำเอาร่างสูงสูดความหอมเข้าไปเต็มปอดอย่างเผลอตัว
“ไม่ไปรับลูกตอนเย็น เพราะแบบนี้รึเปล่า”
“คิดได้แต่เรื่องต่ำๆ”
“อย่าหงุดหงิดไปน่า แค่ถามเฉยๆ เวลารพีถามหามึงจะได้ตอบได้ไง”
“หึ อยากดับโลกสวยๆของเด็กนั่นก็ลองดู”
“เข้าใจขู่นะ แต่พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า ตั้งใจกินกันลับๆ ไม่ได้คิดจะเปิดตัวสิท่า”
อารัณย์เปรยตามองปูนที่แววตาสั่นระริกเมื่อได้ยินแล้วยิ่งกระชับแอ้มแขนให้แน่นขึ้นไปอีก รัตติกาลสบตาอารัณย์อย่างไม่ชอบใจ ถึงจะไม่ได้รักชอบปูนจริงอย่างที่ว่า แต่การที่คนอื่นมาหักหน้าคนในปกครองของเขาแบบนี้เป็นสิ่งที่ร่างโปร่งรับไม่ได้
“จะเปิดหรือจะปิดมันก็เรื่องของกู ถ้าว่างมากนักก็เอาเวลาไปนั่งคิด...ว่าคนอย่างมึงจะปกป้องเด็กนั่นจากกูได้ยังไง”
สรรพนามที่เคยสุภาพเปลี่ยนไปทุกครั้งที่อารมณ์ครุกรุ่น แทนที่จะไม่พอใจอารัณย์กลับระบายยิ้มเสียเต็มใบหน้า ร่างสูงรู้สึกสนุกทุกครั้งที่เปลือกนอกแสนสวยงามของรัตติกาลค่อยๆพังลงเพราะความโกรธทำให้คนที่เชิดหน้าทำตัวสูงสงดูต่ำลงกิเลสที่ตัดไม่ขาด
“นี่ก็ทำอยู่... กลัวว่ารพีจะได้แม่เลี้ยงคนใหม่ ว่าไง...อยากเป็นไหมล่ะ?”
อารัณย์พูดกับรัตติกาลก่อนจะหันไปถามเด็กหนุ่มในตอนท้าย ปูนที่โดนถามเชิงดูถูกแบบนั้นกำหมัดจนแน่นด้วยความโมโห ร่างเล็กผละออกมาจากรัตติกาลแล้วเดินเข้าไปซัดหมัดบนใบหน้าซีกขวาของอีกฝ่ายจนเต็มแรง
แม้หมัดของปูนจะไม่แรงมากพอให้เลือดออกแต่อารัณย์ก็รู้สึกเจ็บไม่น้อย แววตาที่เคยแสร้งเป็นหยอกล้อแข็งขึ้นจนเด็กหนุ่มแอบรู้สึกหวั่นยามที่ร่างสูงจ้องเข้ามาในตาของตนพร้อมกับขยับต้นคอไปมา แต่ถึงอย่างนั้นปูนก็กัดฟันพูดตอบไป
“อย่ามาดูถูกพี่กาลแบบนี้”
“หึ นี่เลี้ยงกระดูกหรือหญ้าแห้งวะ? ทั้งเชื่องทั้งโง่”
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้!”
“ปกป้องกันจังนะ ว่าแต่สงสัยมาตั้งนานแล้ว ในเมื่อมึงเป็นเกย์ แล้วแม่ของรพีเป็นใครวะ?”
อารัณย์ถามออกไปทั้งๆที่รู้ว่ารพีไม่ใช่ลูกแท้ๆ แล้วปฏิกิริยาที่รัตติกาลแสดงออกก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ร่างโปร่งกัดฟันแน่นจนสันกรามเด่นชัดขึ้น มือทั้งสองข้างคว้าเอาคอเสื้อของร่างสูงที่ทำสีเย้อหยัน สิ่งที่อารัณย์พูดไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบ คนคนนี้มีเจตนาที่จะดูถูกรสนิยมทางเพศของเขาเท่านั้น แววตาของอารัณย์เป็นแววตาแบบเดียวกันกับคนคนนั้นยามที่พูดถึงความรักที่ผิดแปลกจากธรรมชาติของเขา แววตาที่ทำเหมือนกับความรักของคนอย่างพวกเขามันไม่มีค่าและน่าตลกขบขันทั้งที่ทุกคนล้วนแต่มีความเป็นคนเท่าๆกัน
“อยากรู้ไหมล่ะ ว่าเกย์อย่างกูทำลูกกันยังไง?”
ทันทีที่พูดจบ รัตติกาลก็ดึงเอาคอเสื้อของอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ก่อนจะประกบริมฝีปากของตัวเองลงไปแล้วบดคลึงอย่างหยอกล้อ ลิ้นนุ่มเลียวนอยู่เหนือกลีบเนื้อแดงคล้ำเหมือนเป็นการเหยียดหยามคนที่เบิกตาด้วยความตกใจเมื่อโดนจู่โจมด้วยสัมผัสที่ผู้ชายปกติทั่วไปคงไม่ปรารถนาจะได้รับจากผู้ชายด้วยกัน
แต่ราชสีห์หนุ่มกลับชะล้าใจเผลอหันหลังให้นายพรานที่ยังไม่สิ้นลม ในเสี้ยววินาทีที่ปลายลิ้นกำลังละจากมา ฝ่ามือที่หยาบหนาก็คว้าเข้าที่ท้ายทอยขาวของรัตติกาลเต็มแรงแล้วเคลื่อนใบหน้าที่ถอยห่างออกไปให้กลับเข้ามาใกล้เสียจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นอีกครั้ง
ริมฝีปากสีแดงคล้ำดูดดึงลิ้นนุ่มโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว รสจูบดุดันถูกป้อนให้คนที่ลงมือจู่โจมก่อนโดยไม่เว้นจังหวะให้กลับตัวเอาคืนแต่อย่างใด หยาดน้ำสีใสไหลเปื้อนในขณะที่อารัณย์กำลังไล่ต้อนรัตติกาลอย่างเอาเป็นเอาตาย รสเลือดเค็มปร่าเอ่อวนอยู่ในแอ่งน้ำทั้งสองจวบจนสัมผัสสุดท้ายเมื่อร่างโปร่งตัดสินใจกัดปลายลิ้นที่รุกล้ำเกี่ยวรัดเขาอย่างน่าหวาดเสียวเข้าเต็มแรง จนอารัณย์ต้องละออกไปทิ้งไว้เพียงสายน้ำที่ยืดออกตามสัมผัสที่จากมา
“อันนี้เขาเรียกว่าจูบ แล้วทำลูกล่ะเขาทำกันยังไง?”
(ต่อเม้นล่างคนับ ตัวอักษรเกิน)
-
นิลและเพื่อนคนอื่นกำลังถกกันเกี่ยวกับการพารุ่นน้องไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ดังขึ้นบริเวณม้าหินหลังตึกคณะเรื่อยยาวมาตั้งแต่พักเที่ยงจนถึงบ่ายแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าสุดท้ายแล้วจังหวัดไหนที่จะเป็นสถานที่จัดกิจกรรมในปีนี้
“กูว่าชลบุรีนี่แหละใกล้ดี”
“แต่ปีเราก็ไปที่นี่นะ ไม่เบื่อหรอ อยากไปน้ำตกบ้างอะ”
“ห่า กิจกรรมน้องไม่ใช่งานสนองนี๊ดพี่”
“แล้วรู้ได้ไงว่าน้องไม่นี๊ดน้ำตก นครนายกก็ได้ใกล้แค่นี้เอง”
“กูว่าไม่เหมาะวะ ไปน้ำตกมันคุมคนยาก อยู่ในป่าในเขา”
“ทะเลก็ไม่ง่ายนะเว้ย ปีเรากูยังจำได้เลยตอนที่รุ่นพี่ต้องช่วยกันจับตอนไอ้เพรียวเมาแล้วตกมันจะวิ่งลงทะเล ฮ่าๆๆๆ”
สาว(?)น้อยชื่อเพรียว ตัวฮาประจำชั้นปีค้อนควับใส่นิลเสียวงใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้สลดคว้าเอาร่างนุ่มนิ่มนั้นมากอดไว้แล้วหอมแก้มเข้าเต็มรักจนสาวเจ้าอายม้วนแทบตกเก้าอี้ เพื่อนๆที่เหลือต่างพากันทำท่าโก่งคออ้วกกันเป็นแทบเมื่อเห็นการล้อเล่นที่ฝ่ายหญิงได้กำไรไปเต็มๆส่วนฝ่ายชายก็หัวเราะร่าที่เห็นคนอื่นทำหน้ารับไม่ได้
“เลือกที่ไหนก็เอาเถอะ แต่อย่าให้แพงมากนะ งบยิ่งจะไม่พออยู่”
รัตติกาลท้วงขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ ชายหนุ่มทำหน้าที่เหรัญญิกประจำชั้นปีหยิบเอาสมุดบันทึกงบประมาณของคณะขึ้นมาให้เพื่อนๆดูรายละเอียดหวังให้ตัวเลขที่ใกล้จะติดตัวแดงกระตุ้นต่อมจิตสำนึกของแต่ละคนที่หวังแต่จะไปเที่ยวให้หันมามองความจริงบ้าง แต่เพื่อนสนิทที่ดำรงตำแหน่งเฮดสวัสดิการอย่างนิลกลับเบ้ปากใส่แล้วทำหน้าไม่สบอารมณ์ซะอย่างงั้น
“ทำไมค่าหลีดแพงจังวะ พอๆกับงบสวัสดิการกูเลย”
“อย่างงี้แหละนิล ค่าชุดมันแพง ขนาดให้ร้านประจำตัดให้แล้วนะ”
จ๋าสาวสวย เซนเตอร์หลีดประจำคณะเอ่ยขัดขึ้นทันทีด้วยสีหน้าลำบากใจ ถ้าไม่นับส่วนของสวัสดิการแล้ว ค่าใช้จ่ายของหลีดก็ถือว่าเป็นส่วนที่ใช้งบเยอะที่สุดทั้งที่ใช้คนเพียงไม่กี่คน เมื่อเทียบกับปากท้องของเด็กปีหนึ่งทั้งคณะแน่นอนอยู่แล้วว่าคนที่ไม่ได้ทำงานตรงส่วนนี้ย่อมไม่เข้าใจในราคาที่สูงลิ่วพอๆกัน
“ก็รู้หรอกว่ามันแพง แต่หาราคาถูกกว่านี้ไม่ได้หรอวะไอ้กาล พวกกูอะไม่เท่าไหร่ แต่คนอื่นที่เขาไม่เข้าใจจะว่าเอาได้นะเว้ย”
“นี่ถูกที่สุดแล้ว ค่าเครื่องสำอางหลีดแต่ละคนเอามาเองด้วยซ้ำ ใครจะว่าอะไรก็ว่ามา ใบเสร็จทุกใบกูเก็บไว้ครบ”
เหรัญญิกที่เป็นหลีดควบคู่กันไปด้วยเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเรียบนิ่งเหมือนเคย นิลที่ไม่ได้คิดจะตำหนิอะไรเพื่อนแต่แรกเพราะรู้นิสัยกันดีพยักหน้าให้อย่างเข้าใจก่อนที่คนอื่นจะทำตามๆกันเพราะต่างก็รู้ว่าหลีดที่ต้องทำการแข่งทั้งภายในมหาวิทยาลัยและกิจกรรมนอกนั้นต้องใช้งบประมานสูงและเป็นงานที่หนักแบบที่คนนอกคิดไม่ถึง
ยิ่งรัตติกาลที่ทำหน้าที่ของคณะสองอย่างคู่กันยิ่งต้องเหนื่อยกว่าทุกคน เนื่องจากคนที่มีความสามารถและเสียสละทำเพื่อส่วนรวมนั้นมีไม่มากทำให้ร่างโปร่งต้องบริหารเวลาทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรม จนผ่านชีวิตปีหนึ่งมาได้ด้วยความลำบาก แต่ผลของมันก็ทำให้รัตติกาลกลายมาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่ทั้งเพื่อนนักศึกษา และคณาจารย์ต่างก็ให้ความเชื่อถือ
คณะกรรมการปีสอง ประชุมกันไปเรื่อยๆจนบ่ายคล้อยเลยพอจะมีรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์การจัดกิจกรรมพวกนี้เดินเข้ามาช่วยเหลือคอยให้คำแนะนำอยู่บ้างจนข้อสรุปต่างๆที่ถกเถียงกันมานานเริ่มลงตัว
“กาล! คิดถึงจัง!”
แรงกอดรัดจากทางด้านหลังทำให้รัตติกาลเอี้ยวตัวกลับไปมอง ร่างเล็กของพี่รหัสที่ยังไม่เจอหน้ากันตั้งแต่ขึ้นปีการศึกษาใหม่ พะแพงส่งยิ้มให้กับรัตติกาลที่พยายามยกมือไหว้เธอทั้งที่หญิงสาวยังกอดเอวจากทางด้านหลัง
“สวัสดีครับพี่แพง ไม่เจอกันเลย”
“เทอมนี้เรียนยากมาก เข้าภาคเต็มตัวแล้วพี่เลยไม่ค่อยว่าง กาลสบายดีนะ ได้ยินว่างานกรรมการหนักมาก ไหวไหม?”
“พอไหวอยู่ เอาจริงๆก็มีคนอื่นคอยช่วยด้วยไม่ได้หนักอย่างที่คิดหรอกครับ”
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอก เพื่อนพี่นี่อิจฉาพี่กันทั้งนั้นมีน้องรหัสเก่งๆ แล้วนี่รู้รึยังว่าหลานรหัสพี่เป็นใคร ยังไม่ได้ไปแอบดูเลย”
“ให้นิลไปส่องให้แล้ว ชื่อเมลล์อยู่เอกฝรั่งเศส”
“จริงอะ น่ารักไหมๆ”
พะแพงทำท่าทางดีใจจนรัตติกาลอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ร่างโปร่งหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่เคยให้นิลแอบไปถ่ายรูปน้องรหัสมาเปิดให้หญิงสาวดู ซึ่งตามที่คาด เมื่อพะแพงเห็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาน่ารักสมกับชื่อก็ร้องออกมาเสียงดังก่อนจะถือวิสาสะยืมโทรศัพท์ของรัตติกาลไปให้เพื่อนคนอื่นดูรูปหลานรหัสคนแรกของตัวเองด้วยท่าทางตื่นเต้นจนน่าขัน
“กาล เห็นแพงไหม”
เสียงทุ้มนุ่มที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้นจากทางด้านหลัง นทีในชุดนักศึกษาที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักเดินเข้ามาทักร่างโปร่งที่ยืนอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเป็นมิตรต่างจากรัตติกาลที่ยังคงรักษาท่าทางนิ่งเฉยได้เหมือนทุกๆครั้งที่เจอกัน แม้ว่าสิ่งที่รัตติกาลเห็นในร้านเหล้าวันนั้นจะยังติดอยู่ในความทรงจำไม่ได้หลงลืมก็ตาม
“ไปคุยกับเพื่อนอยู่ เดี๋ยวก็กลับมา”
“หรอ งั้นเราไปนั่งรอแพงตรงนั้นกันดีกว่า เดี๋ยวพี่เลี้ยงน้ำ”
ร่างสูงชี้ไปยังม้านั่งข้างโรงอาหารที่ยังพอมีนักศึกษานั่งกันอยู่ประปราย รัตติกาลมองหน้าแฟนของพี่รหัสนิ่งก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆเพื่อเป็นการปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมต้องไปประชุมต่อแล้ว”
“เถอะน่า แปปเดียว เราเองก็มีเรื่องที่จะพูดกับพี่ไม่ใช่รึไง...เรื่องคืนนั้นน่ะ”
นทียักคิ้วให้รัตติกาลด้วยท่าทีขี้เล่น มือที่ใหญ่กว่าคว้าเอาแขนของรุ่นน้องแล้วลากไปยังม้านั่งตัวยาว กดอีกฝ่ายให้นั่งลงกับที่แล้วเดินไปซื้อน้ำอัดลมมาสองแก้วโดยไม่คิดจะถามความคิดเห็นใดๆ นทีวางมันลงให้กับทั้งรัตติกาลและตัวเองก่อนจะนั่งหันหน้าเข้าหาอีกฝ่ายที่ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยใส่เขาได้เหมือนทุกครั้ง แม้แต่ตอนที่เห็นว่าเขากำลังกอดจูบผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่พะแพงก็ตาม...
“มีอะไรจะถามไหม”
“ผม...ไม่มีอะไรจะพูด”
“ไม่คิดจะบอกแพงเรื่องที่เห็นรึไง”
“ถึงอยากจะเตือนแค่ไหน ผมก็ไม่มีงานอดิเรกเป็นการยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
“ฮ่าๆ แต่ชาวบ้านที่บ้านนี่ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดานะ พี่รหัสของกาลไม่ใช่หรอ ไม่เป็นห่วงบ้างรึไง”
“กล้าถามนะครับ ทั้งๆที่ทำอะไรไม่คิดถึงใจพี่แพงเลยแท้ๆ”
“ก็นะ แค่เล่นๆไม่ได้ผูกพันอะไร กาลเองก็ทำไม่ใช่หรอ”
นทีพูดย้อนใส่รุ่นน้องที่พูดจาเหน็บแนมเขาอยู่กลายๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้มีท่าทางตกใจซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด
“กรณีผมกับพี่ไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้มีพันธะเหมือนพี่”
“นั่นสินะ อีกอย่างพี่น่ะเล่นกับผู้หญิง แต่กาลเล่นกับผู้ชาย...เด็กเสิร์ฟคนนั้นน่ารักดีนะ”
รัตติกาลแสยะยิ้มให้นทีที่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้กับตน มันทั้งสุภาพและหลอกลวงอย่างน่าขัน ร่างโปร่งคิดว่าเพราะรอยยิ้มนี้นี่แหละที่ทำให้ผู้หญิงหน้าโง่พวกนั้นยอมให้ผู้ชายมักมากคนนี้เอาเปรียบ นักฆ่าในคราบของนักบุญกำลังหยอกล้อเขาด้วยลูกไม้แบบเดียวกัน สีหน้าที่ดูเหมือนจะหวังดีปกปิดความเย้อหยันในดวงตาได้ไม่หมดและเขาก็เห็นมัน...นทีคงคิดไม่ถึงว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมารัตติกาลต้องพบเจอสายตาดูถูกของผู้คนเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของตัวเองมามากแค่ไหน และเขาคงผ่านมันมาไม่ได้ถ้าหากไม่มีวิธีรับมือกับมัน
“จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็เท่านั้น สิ่งที่เราต่างกันคือผมแค่รักสนุก แต่พี่มันสารเลว...กินไม่เลือกทั้งที่ของเดิมยังกองอยู่เต็มท้อง”
“ฮ่าๆๆ เด็กอักษรนี่ด่าเจ็บเหมือนกันทุกคนรึเปล่านะ”
“ไม่รู้สิครับ ผมก็ขอให้พี่อย่าได้รู้คำตอบด้วยการพิสูจน์จากพี่แพงแล้วกัน”
รัตติกาลยืนขึ้นโดยที่ไม่ได้แตะต้องน้ำที่อีกฝ่ายมีน้ำใจหยิบยื่นมาให้ แต่ยังไม่ทันที่ร่างโปร่งจะเดินกลับไปสมทบกับเพื่อน ข้อมือบางก็โดนคว้าไว้พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เข้ามาประชิดตัวโดยที่รัตติกาลไม่ทันได้สังเกต นทีหยิบแก้วน้ำพลาสติกยัดใส่มือร่างโปร่งที่ทำสีหน้าไม่พอใจใส่ตนเป็นครั้งแรกของวัน ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บแสบจากคำพูดของรุ่นน้องไม่น้อยแต่การทำให้ใบหน้าเย้อหยิงนี่เปลี่ยนไปได้ก็นับว่าคุ้มค่า
“จะปิดปากผมรึไง”
“ไม่หรอก ถ้ากาลจะพูด พี่คงได้รู้คำตอบนั้นนานแล้ว”
“ก็แค่ครั้งนี้ อย่างที่พี่ว่า พี่แพงไม่ใช่คนอื่น พี่เขาเป็นคนดีแล้วความดีของเขาอาจจะทำให้ผมอาจจะอยากทำตัวเป็นผู้ผดงความยุติธรรมบ้างก็ได้”
“ฮ่าๆ แย่ล่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่คงต้องหาอะไรมาปิดปากกาลจริงๆซะแล้ว”
ร่างสูงส่งยิ้มให้น้องรหัสของแฟนสาวที่ยังคงมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเหมือนทุกที ในจังหวะที่กล้องสันทนาการดังขึ้น เหล่านักศึกษาที่นั่งอยู่รอบๆต่างก็วิ่งไปดูกิจกรรมในปีการศึกษาใหม่เป็นสัญญาณบอกถึงจุดเริ่มต้นที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
ริมฝีปากสีชาดอิ่มของรัตติกาลสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของน้ำรสซ่า ไหลผ่านปลายลิ้นแล้วหายไปทิ้งไว้เพียงสัมผัสอุ่นชื้นที่ยังคงคลอเคลียเก็บโกยหยดน้ำที่ไหลล้นริมฝีปาก ดวงตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความเหยียดหยามมองสบโดยไม่ละไปที่อื่นจวบจนรสชาติหวานซ่าเจือปนด้วยกลิ่นบุหรี่จะถอยห่างออกไป
“ค่าปิดปากล่วงหน้า...นะครับ”
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
คุยกับเช่!
จูบ จูบ จูบ จูบเต็มไปหมดเลย!!! ทำไมใช้น้ำลายเปลืองกันจังเลยตอนนี้ =3= :hao7: :hao7: :hao7:
รัณย์ของเช่ ชักจะเหมือนตัวร้ายในละครหลังข่าวเข้าไปทุกที นอกจากรักเด็กแล้วฉันหาข้อดีแกไม่เจอเลยนะ!
แถมยังชอบแกล้งน้องปูนอีก (แอบมีจิ้น รัณย์ปูน ไปวูบนึง555) แกล้งคนโปรดเช่มากๆระวังโดนเปลี่ยนพระเอก!
สักพักเช่จะหาอิมเมจตัวละครหลักๆมาลงให้ดูเพิ่มนอกจากคู่พระนาง(?) นะคนับ! กำลังกวานหาอิมเมจน้องปูนอย่างแข็งขัน
ความหวาน(?) เริ่มเข้ามาแล้ว อยากรู้จริงๆเลยว่าพ่อกาลจะสอนให้น้ารัณย์ทำลูกยังไง หึหึ :m25: :hao6:
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตนะคนับ ตอนนี้หลบดราม่ามาให้พักหายใจหายคอกันหน่อย หวังว่าคงชอบ
ตอนต่อไปได้อัพเมื่อไหร่จะบอกนะ ตามกันได้ที่แฟนเพจและกล่องคอมเม้นต์คนับ! #รัก
-
ปูนช็อคตายไปแล้วมั้ง :katai1:
แอบเหมือนว่ารัณย์จะคล้ายๆกับนทีเลย กลัวไม่อยากให้สองคนนี้เหมือนกัน
ถ้าสุดท้ายกาลต้องเจ็บซ้ำอีกจะทำยังไง :sad4:
-
เห้ออ!! สงสารกาลเหมือนกันนะ
-
ทำไมรู้สึกสะใจเวลาที่รัณย์ด่านะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao7: :hao7: :hao7:
รอคุณตำรวจกับนิล อิอิอิ อยากจะรู้ว่าเป็นไงแล้วววว :impress2: :impress2:
-
ขอให้รพีเปลี่ยนใจกาลได้สักทีนะ
เพี้ยง
-
ตกแล้ว ดันๆๆๆๆ รอตอนต่อไปนะคะ :katai4:
-
พาร์ทอดีตแซ่บดีอะ
-
17th Night
…Choice...
อารัณย์ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมานั่งก้มหน้าสำนึกผิดในห้องปกครองตอนอายุยี่สิบปลายๆ ขนทั่วร่างลุกชันเพราะอุณหภูมิที่เย็นผิดกับอากาศข้างนอกพาลให้คิดสงสัยว่าห้องปกครองทุกห้องใช้แอร์ยี่ห้อเดียวกันหมดรึเปล่า ไม่ว่าจะตอนเด็กๆที่โดนครูเรียกเพราะแอบไปตกปลาในบ่อของวิชาเกษตร หรือตอนนี้ที่ต้องมานั่งสงบนิ่งเพราะรอยช้ำตามใบหน้า บรรยากาศเย็นๆแบบนี้น่ะ คนอารมณ์ร้อนแบบเขาไม่ชอบเป็นที่สุด
“คุณอยากอธิบายเกี่ยวกับแผลพวกนี้บ้างไหม”
หญิงแก่ท่าทางใจดีกำลังส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับเสียงพูดเนิบนาบแต่ก็แฝงด้วยความกดดัน อยากพูดสิ อยากอธิบายใจจะขาดแต่จะบอกได้ยังไงว่าโดนผู้ปกครองนักเรียนเล่นมาเพราะดันไปจูบปากเขาต่อหน้าแฟนเด็ก
ทันทีที่พูดประโยคน่าอายนั่นจบ ทั้งรัตติกาลและเด็กปูนก็ช่วยกันรุมประชาทัณฑ์เขาด้วยทั้งเท้าและมือกันอย่างแข็งขันอย่างกับนักโทษคดีข่มขืน โดยเฉพาะเด็กนั่นเห็นตัวเล็กๆแบบนั้นโดนเข้าไปเยอะๆก็เจ็บไม่ใช่เล่น แถมต่อยไปร้องไห้ไปจนรัตติกาลต้องหยุดหมัดของตัวเองแล้วหันมากอดปลอบเด็กมันก่อนจะพากันเข้าห้องโดยหันมาด่าด้วยภาษาผู้ดีตบท้าย เรียกได้ว่างานนี้เขาเล่นเองเจ็บเองไม่มีสปอนเซอร์ช่วยจ่ายค่ารักษาเลยสักราย ให้ตายสิ คนที่เริ่มก่อนมันไอ้เกย์นั่นไม่ใช่รึไง คนที่โดนฝืนใจน่ะ นั่นมันเขานะ!
นั่งนึกแล้วก็อยากต่อยตัวเองสักสองที หมัดแรกให้กับความกล้าบ้าบิ่นที่จูบรัตติกาลตอบเพราะเกลียดความพ่ายแพ้ แม้จะรู้สึกขนลุกจากสัมผัสนั้นแต่ถ้าเขาแสดงอาการออกมาก็เท่ากับหมอนั่นแกล้งเขาได้สำเร็จ ใครจะยอมกันล่ะ! งานนี้ต่อให้อยากกัดลิ้นตายแค่ไหนก็ต้องสู้สุดฤทธิ์
และหมัดที่สองขอมอบให้กับสติของตัวเองที่หลุดลอยไปตั้งแต่เห็นหน้าที่ขึ้นสีจัดของรัตติกาล ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากความโมโหหรือเพราะเขินกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรตอนที่เห็นหูแดงๆนั่นเขาก็เอาแต่หัวเราะเป็นคนบ้า จนเหมือนกับที่ตัวร้ายในละครทำหลังจากได้ลวนลามนางเอก แล้วมันก็ไปกระตุ้นต่อมโมโหของสองคนนั้นเข้าอย่างจัง จนช่วยกันกระทืบเขาชนิดที่ทบต้นทบดอกงานนี้ไม่มีขาดทุน
“ขอโทษครับ ผมจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
เมื่อคิดว่าอธิบายไปก็ไม่ได้ความ อารัณย์จึงศิโรราบต่อดวงตาดุๆภายใต้กรอบแว่นนั้นด้วยใบหน้าสลด หญิงแก่ส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะยกกาแฟหวานหอมขึ้นจิบเพื่อระงับอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเอง
“คุณยังเด็ก อย่างน้อยก็สำหรับครู แต่อย่าลืมว่าที่โรงเรียนนี้มีคนที่เด็กกว่าคุณมากและพวกเราก็เป็นแบบอย่างให้กับเด็กพวกนั้นไม่ใช่แค่ในชั้นเรียน การที่คุณไม่อธิบายอะไรออกมา นั่นแปลว่าคุณมีเหตุผลที่จำเป็นจริงๆที่จะไม่พูด ครูจะไม่คาดคั้น แต่ก็ขอให้คุณระวังการกระทำของตัวเองให้มากกว่านี้”
“...”
“ถ้าสายตาของยายแก่อายุหกสิบปลายๆคนนี้ยังไม่ฝ้าฟางจนเกินไป ฉันก็คิดว่าตัวเองเลือกคนมาทำงานนี้ได้ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว จนกว่าแผลจะหายดีขอให้คุณไปช่วยครูอ๋องดูแลสระว่ายน้ำไปก่อน แล้วก็รับนี้ไปด้วยนะคะ”
ครูใหญ่ส่งยิ้มให้เขาพร้อมกับพลาสเตอร์ยาและหน้ากากอนามัยมาให้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ รับของมาแล้วออกจากห้องมุ่งตรงไปยังสระน้ำใหญ่ของโรงเรียนด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งเล็กๆจากคำพูดของหญิงแก่คนนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะความคะนองของตัวเองทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนมากแค่ไหน
“คิดง่ายไปหน่อยแหะ...”
อารัณย์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่สว่างจ้าจนแสบตาแล้วตัดสินใจบางอย่างก่อนจะก้าวให้เร็วขึ้น มุ่งหน้าไปยังสระน้ำสีฟ้าสดใสและหน้าที่ใหม่ที่รอเขาอยู่
.
.
.
.
.
.
บรรยากาศภายในห้องกินข้าวของบ้านพัฒนเดชาอบอวลไปด้วยความสุข เด็กชายรพีส่งยิ้มกว้างให้บิดาหลังจากที่ทานหน่อไม้ฝรั่งและบล็อกโคลี่คำใหญ่จนหมดทั้งที่ผักที่ตัวเองไม่ชอบรองจากมะเขือพวง รัตติกาลยิ้มให้ลูกชายก่อนจะลูบหัวกลมๆนั้นแทนคำชมแล้วลงมือทานอาหารในจานของตัวเองต่อ โดยมีจันทร์และนิ่มคอยบริการและยืนมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
เสียงของรพีพูดเจื้อยแจ้วเกี่ยวกับชีวิตในโรงเรียนดังมาไม่ขาดสาย ร่างโปร่งพยักหน้าราวกับให้ความสนใจเสียเต็มประดาแต่ในห้วงความคิด รัตติกาลกำลังวางแผนในใจว่าในวันเสาร์ที่จะถึงนี้จะนำรถซีอาร์วีคันใหญ่ของบ้านออกต่างจังหวัดแทนคันที่ใช้อยู่เป็นประจำ เพื่อพาปูนไปทำงานที่จังหวัดชลบุรีแล้วถือโอกาสเที่ยวพักผ่อนตามที่รับปากอีกฝ่ายไว้แล้ว
“กว่าพีกับข้าวจะหารามเจอก็เกือบถึงเวลากินนมแล้ว ก็ช้างเล่นไปแอบอยู่ในห้องแต่งตัวที่สระ เลยโดนน้ารัณย์ดุใหญ่เลย”
เด็กชายเล่าถึงตอนที่พยายามตามหา ’ราม’ เพื่อนร่วมห้องที่เล่นซ่อนหาด้วยกันในช่วงเบรกก่อนพักทานนม รัตติกาลที่นั่งฟังอยู่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในเย็นหลังจากวันที่มีเรื่องกัน รพีได้เล่าให้เขาฟังเรื่องที่อารัณย์ถูกวานให้ไปช่วยครูพละดูแลความเรียบร้อยที่สระว่ายน้ำ จนเด็กๆในห้องโอดครวญกันเป็นแถวรวมถึงลูกชายของเขาด้วย
ตามปกติแล้วแต่ละห้องเรียนนอกจากครูประจำชั้นแล้วจะต้องมีพี่เลี้ยงประจำอยู่ด้วยห้องละหนึ่งคนเพื่อช่วยดูแลเหล่าทโมนน้อยทั้งหลาย จากคำบอกเล่าของครูสา ก่อนหน้าที่ทางโรงเรียนจะรับอารัณย์เข้ามาพี่เลี้ยงคนเก่าได้ลาออกไปเพื่อเตรียมตัวเลี้ยงลูกที่กำลังจะเกิดมา จนต้องรีบจัดหาคนมารับหน้าที่แทนกันให้วุ่น ดังนั้นการที่ให้อารัณย์เข้าไปช่วยในส่วนอื่นแทบจะไม่สามารถทำได้หาไม่มีเหตุผลอันสมควร สาเหตุเดียวที่รัตติกาลคิดได้ ก็คงเป็นเพราะรอยฟกช้ำที่เขาฝากไว้นั่นแหละที่ทำให้พี่เลี้ยงหนุ่มต้องถูกย้ายให้ไปช่วยงานในส่วนอื่น
“อารัณย์กลับมาช่วยงานที่ห้องแล้วหรอ”
“ฮะ ตั้งแต่วันพุธแล้ว แต่ครูอ๋องบอกว่าน้ารัณย์เก่ง เลยยังให้ไปช่วยที่สระอยู่ วันนี้น้ารัณย์สอนพีตีนขาในน้ำด้วย”
เด็กชายพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงความสนุกยามที่ได้เล่นอยู่ในน้ำ รพีพูดเจื้อยแจ้วเหมือนเดิมจนรัตติกาลต้องเอ็ดดุแล้วขู่ว่าจะไม่ช่วยสอนทำการบ้านให้ ร่างป้อมปิดปากเงียบแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเร่งรีบเสียจนรัตติกาลต้องคอยบอกให้ค่อยๆกินช้าลงหน่อย เด็กชายยิ้มและพยักหน้าให้บิดาแล้วคิดในใจว่าไม่อยากให้มีอะไรมาพรากช่วงเวลาดีๆแบบนี้ไปเลย
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะการรับประทานอาหารของสองพ่อลูก รัตติกาลล้วงหยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องจิ๋วจากกระเป๋ากางเกงที่ส่งเสียงเรียกพร้อมกับชื่อของปูนที่ถูกบันทึกเอาไว้ ร่างโปร่งนึกสงสัย ว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้โทรหาเขาในตอนนี้ ปูนรู้ตัวดีว่าควรหรือไม่ควรทำอะไรและการติดต่อมาในเวลาแบบนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้น รัตติกาลลังเลเล็กน้อยแต่เพราะรพีที่มองมาอย่างสงสัยทำให้เขาตัดสินใจรับสายด้วยท่าทางปกติ
“ฮัลโหล”
“พี่กาล นี่ปูนนะ”
“อืม ว่าไง โทรมาตอนนี้มีอะไรรึเปล่า”
“คือ...พี่กาลกินข้าวรึยัง มาหาปูนได้ไหม ปูนทำกับข้าวไว้เยอะแยะเลย”
“ถือสายรอแปปนึงนะ...พี กินข้าวไปก่อนนะครับ ขอพ่อคุยโทรศัพท์แปปนึง”
รัตติกาลว่าก่อนจะลุกออกมาจากโต๊ะโดยมีรพีมองตาม ร่างโปร่งหลบฉากมายังอีกมุมหนึ่งของบ้านที่ไม่มีใครอยู่ เขายกหูขึ้นเพื่อจะคุยกับร่างเล็กต่อแต่เสียฮึดฮัดเหมือนคนกำลังร้องไห้ทำให้ ความโมโหเล็กๆที่อีกฝ่ายโทรมารบกวนหายไปทันที
“ปูนเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“ปะ เปล่าฮะ ปูไม่ได้ร้อง แค่ไม่สบายนิดหน่อย”
“อย่าโกหกพี่”
“ไม่ได้ร้องจริงๆฮะ เมื่อคืนฝนตกตอนกลับห้องเลยโดนฝนนิดหน่อย ว่าแต่พี่กาลกินข้าวแล้วหรอฮะ...”
รัตติกาลคิดว่าปูนคงได้ยินที่เขาพูดกับลูกชายเมื่อครู่ ร่างโปร่งถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบปลายสายกลับไป
“อืม ว่าแต่เราเถอะ นึกยังไงทำกับข้าวรอ พี่บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าวันธรรมดาพี่ต้องทานข้าวกับที่บ้าน”
“ขอโทษครับ ปูนแค่ป่วยแล้วงอแงนิดหน่อยน่ะ...”
“เอาเถอะ ว่าแต่เป็นอะไรมากรึเปล่า ไปโรงพยาบาลไหม”
“มีไข้นิดหน่อยครับ แต่...อยากให้พี่กาลมาหา...ได้ไหม”
“ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอปูน”
ปลายสายสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจเล็กๆของรัตติกาลที่ตัวเองโทรมารบกวนเวลาครอบครัวทั้งที่ไม่ควรทำ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรกลับไป เสียงเล็กๆเหมือนเสียงเด็กก็ดังขึ้นให้ได้ยินจนปูนเผลอกำมือถือในมือแน่น
“พ่อกาลฮะ พีกินข้าวเสร็จแล้วสอนการบ้านพีหน่อย”
“อย่าวิ่งครับพี พ่อคุยโทรศัพท์อยู่เห็นไหม”
รัตติกาลหันมาพูดกับลูกชายที่รีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับกอดขาของเขาไว้ ร่างโปร่งตีเบาๆที่ขาของรพีแต่ไม่ได้ทำท่าคุกคามอะไรทำให้เด็กชายรู้ว่าพ่อแค่ดุที่ตนวิ่งเข้ามาหาเท่านั้น รพียกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวคำขอโทษก่อนจะออดอ้อนบิดาให้ช่วยสอนตนคัดภาษาอังกฤษ รัตติกาลรับปากแล้วบอกให้ร่างป้อมไปรอตนที่ห้องนั่งเล่น แต่พอจะหันมาพูดกับปลายสายอีกที ปูนก็ตัดสายทิ้งไปซะแล้ว
‘ขอโทษครับที่กวน’
ร่างเล็กส่งข้อความมาให้ทางโปรแกรมแชท รัตติกาลอยากโทรกลับไปแต่เสียงพูดคุยของรพีกับจันทร์กลับทำไม่ให้เขาทำแบบนั้น ชายหนุ่มจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดความวุ่นวายรอบตัว เขาเลือกส่งข้อความกลับไปหาเด็กหนุ่มแทนก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแล้วเดินไปหารพีที่นั่งรอเขาอยู่พร้อมกับสมุดคัดลายมือเล่มโต
‘กินยาแล้วนอนซะ พรุ่งนี้พี่จะเข้าไปหา’
.
.
.
.
.
.
รัตติกาลดับเครื่องยนต์ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบผลไม้และกระเพาะปลาเจ้าโปรดที่ปูนเคยพาเขาไปกินเมื่ออาทิตย์ก่อน หอพักในช่วงบ่ายวันทำงานเงียบสนิทเช่นเดียวกับห้องตรงข้ามที่ไม่มีเสียงใดๆลอดออกมาให้ได้ยิน รัตติกาลมองดูประตูห้องบานใหญ่แล้วนึกถึงเรื่องวันนั้น ที่ตนเองเสียเหลี่ยมให้อารัณย์ป้อนจุมพิตให้ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
เขาไม่ใช่สาวน้อยวัยรุ่นที่ต้องอาลัยอาวรณ์ริมฝีปากตัวเอง กลับกันด้วยซ้ำ สัมผัสชวนให้ใจหวิวแต่กลับไม่ลึกซึ้งเป็นสิ่งที่เขามักมอบให้ใครมากมายโดยไม่คิดอะไรมาก แต่จูบที่มาพร้อมกับแววตาอยากเอาชนะแบบนั้นต่างหากที่ทำให้เขาหงุดหงิดและรู้สึกเสียหน้า คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายที่ไม่มีรสนิยมใคร่ในเพศเดียวกันจะกล้าตลบหลังเขาด้วยวิธีเดียวกัน ทำให้รัตติกาลรู้ว่านอกจากไม่รักตัวกลัวตายแล้ว อารัณย์เป็นพวกที่เกลียดความพ่ายแพ้จนยอมทำได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเขาจะประมาทไม่ได้...
ร่างโปร่งใช้กุญแจสำรองที่เจ้าของห้องมอบไว้ให้ไขเข้าไปอย่างถือวิสาสะ ด้วยเพราะเป็นห้องฝั่งที่ไม่หันปะทะแดดโดยตรงแม้จะไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศก็ยังคงรู้สึกเย็นสบายประกอบกับระเบียงห้องที่เปิดโล่งจนผ้าม่านสีขาวขุ่นพลิ้วไหวไปตามลม รัตติกาลวางของที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะตัวเล็กแล้วเดินไปยังห้องนอนที่เขาคาดว่าเจ้าของมันกำลังหลับอยู่ข้างใน
“ปูน”
รัตติกาลเรียกร่างเล็กที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ ผ้าปูที่นอนสีขาวทำให้ปูนดูเหมือนกับจมหายไปในกองผ้า จมูกโด่งเป็นสันสูดความหอมที่ซอกคอของคนที่นอนหลับใหลจนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่าปกติ นิ้วยาวเกลี่ยแก้มคนขี้เซาเบาๆ สัมผัสที่รบกวนเวลานอนทำให้ปูนค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะยกยิ้มอ่อนเมื่อเห็นว่าใครกำลังนอนมองหน้าเขาอยู่บนเตียงหลังเดียวกันเหมือนกับในความฝันที่เพิ่งตื่นขึ้นมา
“พี่กาล...”
“ตัวยังอุ่นอยู่เลย”
“ดีขึ้นแล้ว...เพราะพี่กาลมาหา”
“ป่วยแล้วอ้อนหรอเรา”
ชายหนุ่มพูดแล้วลูบหน้าผากมนของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ปูนยิ้มเพราะสัมผัสนั้นก่อนจะถดตัวเข้ามาใกล้ความอบอุ่นที่ใฝ่หา ฝังใบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างที่เจ้าของกำลังลูบหลังเขาด้วยความอ่อนโยน
“แล้วปูน...อ้อนได้ไหม”
“ได้สิ อยากได้อะไรล่ะ”
“วันเสาร์นี้ พี่ไปชลบุรีกับปูนนะ ค้างที่นั่นสักคืน...ได้ไหม”
“พี่ก็ตกลงจะพาเราไปอยู่แล้วไง กลัวพี่ลืมหรอ”
“อืม ปูนกลัวจริงๆนั่นแหละ...ขอโทษนะครับ”
รัตติกาลไม่รู้ว่าคำขอโทษนั้นมีไว้ให้กับเรื่องไหน แม้จะหงุดหงิดที่เมื่อวานโดนรบเร้าอย่างที่ปูนไม่เคยทำ แต่พออารมณ์เย็นลงบ้างเขาก็คิดได้ว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มเรียกร้องจากเขามันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาเอาเปรียบมาโดยตลอด ร่างโปร่งประคองใบหน้าหวานแล้วกดจูบลงบนกลีบปากนิ่มที่อุ่นกว่าปกติพาลให้รู้สึกดี ลมหายใจอุ่นร้อนของร่างเล็กหอบแรงขึ้นเรื่อยๆตามจังหวะของท่อนลิ้นหยาบที่พันเกี่ยว หยอกล้อกัน จนรู้สึกเหมือนไข้ที่ลดลงจากเมื่อวานกำลังพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง
“พะ พี่กาล...”
“ขอโทษนะ ที่ไม่ได้มาหา”
“ไม่เป็นไรครับ ปูนผิดเองแหละ”
“ขอโทษ...ที่เลือกปูนไม่ได้”
“.....ไม่เป็นไร...แต่ขอแค่ตอนนี้...พี่เลือกปูนทีนะ”
ร่างเล็กยิ้มให้เขาพร้อมกับหยดน้ำที่ไหลออกจากดวงตา รัตติกาลจุมพิตเบาๆบนหน้าอกด้านซ้ายแทนคำตอบและยืนยันว่าตอนนี้ตัวเขานั้นอยู่กับใคร ฝ่ามือเล็กลูบไล้ไปตามแนวสันหลังไล่มาถึงแผ่นอกอุ่นของคนที่ตนรักแล้วทำสิ่งเดียวกันกลับไปทั้งน้ำตา ผ้าเนื้อบางถูกปลดเปลื้องออกจากกายของทั้งสองที่ดึงดูดเข้าหากันเป็นจังหวะ จนหยดเหงื่อที่ไหลเคลือบทั่วร่างค่อยๆซึมหายไปพร้อมกับผ้าปูที่นอน เหลือไว้เพียงเสียงกระทบกันของโมบายที่ดังมาตามสายลม
.
.
.
.
.
.
.
ร่างป้อมของรพีกำลังก้มลงเก็บของเล่นที่วางอยู่เกลื่อนกลาดลงกล่องใบใหญ่ ท่าทางตั้งใจยามที่ต้องแยกประเภทของตัวต่อตามสีเรียกรอยยิ้มเอ็นดูของเหล่าผู้ปกครองที่มองเห็นการกระทำนั้นจากทางเดินห้องขณะที่กำลังจูงมือลูกของตนออกไป เหลือไว้เพียงรพีที่ยังอยู่เป็นคนสุดท้ายของห้อง
“เก็บถึงไหนแล้วพี ให้น้าช่วยไหม”
“ใกล้เสร็จแล้วฮะ น้ารัณย์ไม่ต้องช่วยนะ พีจะทำคนเดียว”
“ฮ่าๆๆ ทำไมล่ะ ให้น้าช่วยดีกว่า จะได้ออกไปเล่นข้างนอกด้วยกันไวๆไง”
อารัณย์ว่าดังนั้นก่อนจะนั่งลงบนพื้นช่วยรพีคัดแยกตัวต่อที่เหลืออยู่ไม่มากต่อ โดยที่อีกฝ่ายยู่ปากใส่อย่างไม่พอใจเล็กๆ ที่พี่เลี้ยงหนุ่มยืนยันจะช่วยตนเองทั้งที่เขาสามารถทำมันได้ ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็เอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมนุ่มนั้นเบาๆอย่างหมั่นเคี้ยวในความดื้อรั้นแบบเด็กๆของรพีที่ไม่ค่อยแสดงออกมาบ่อยนัก
“วันนี้ลุงสิทธิมาช้าจัง”
“ป้าจันทร์โทรมาบอกน้าว่า แถวหน้าบ้านพีมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นรถเลยติดหนัก แต่นี่ก็ผ่านมาสักพักแล้วไม่นานลุงแกก็คงถึง”
“อุบัติเหตุ? คืออะไรหรอฮะ”
“ก็แบบเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรแบบนั้น สิ่งที่เราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นน่ะ”
“อืม...งั้น...พ่อกาลกับพีก็เป็นอุบัติเหตุใช่ไหมฮะ”
“หื้ม ฮ่าๆๆๆ ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
รพีที่เห็นอารัณย์หัวเราะคำพูดของตนเองก็ตีหน้ายุ่งน้อยๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบด้วยความไม่มั่นใจ
“ก็...เดี๋ยวนี้พ่อกาลใจดีกับพีมากๆ มันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่หรอ...”
“พูดอย่างนี้หมายความว่าพ่อเขาใจร้ายกับเรามากรึไง”
ถึงในใจอารัณย์จะมีคำตอบอยู่แล้วแต่ก็อยากรับฟังความคิดของเด็กชายที่ถูกคนเป็นพ่อหวังร้ายอยู่โดยที่ไม่รู้ตัว และเขาก็คิดว่าดีแล้วที่ไม่รู้ สีหน้ายามที่รพีพูดถึงบิดาที่ตัวเองไม่รู้ว่าจริงๆแล้วรัตติกาลไม่ใช่พ่อแท้ๆมันดูมีความสุขมากแม้จะเคยถูกมือคู่นั้นทำร้ายมาโดยตลอด แผลเป็นเล็กๆบนลำคอขาวตอกย้ำถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นทุกครั้งที่มองเห็น ภาพที่ร่างโปร่งกำลังบีบลำคอเล็กๆนี้ด้วยความเกรี้ยวกราดยังคงฝั่งลึกอยู่ในความทรงจำของอารัณย์แล้วเติบโตกลายเป็นอคติที่ทำให้เขาไม่อยากยอมรับคนที่ทำร้ายเด็กที่ไม่มีทางสู้ได้
“พ่อกาลใจดีออก ทำไมคนอื่นชอบบอกว่าพ่อกาลใจร้ายก็ไม่รู้”
“คนอื่น? ใครหรอ?”
“รามกับคนอื่นในห้อง... รามชอบพูดแบบนี้ตอนที่ลุงสิทธิมารับพี”
“แล้วพีไม่โกรธพ่อหรอ ที่เมื่อก่อนไม่เคยมารับ”
เด็กน้อยส่ายหน้าแรงๆจนผมสะบัด รพีฉีกยิ้มกว้างแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข
“ไม่โกรธฮะ ก็เดี๋ยวนี้พ่อมาส่งพีทุกวันเลยนี่นา แล้วครูสาก็สอนไว้ว่า เพราะมีพ่อรพีถึงได้เกิดมา เห็นไหม...พ่อกาลใจดีจะตาย”
รพีพูดถึงพ่อด้วยความภาคภูมิใจ โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นลูกกาเหว่ที่ถูกฟูมฟักโดยแม่กา ยิ่งเห็นว่ารพีรักและเทิดทูนรัตติกาลมากแค่ไหนอารัณย์ก็ไม่กล้าจะปล่อยให้ความจริงทำลายโลกความฝันของเด็กชายที่เชื่อว่าคนใจร้ายคนนั้นคือผู้ให้กำเนิดตัวเอง และนั่นคงเป็นเหตุผลข้อเดียวที่รพียอมให้อภัยบิดาที่ทำร้ายตัวเองเรื่อยมาทุกครั้ง
“รพี...”
“ฮะ?”
“รพี...รักพ่อกาลมากไหม”
“รักมากฮะ รพีรักพ่อกาลที่สุดในโลกเลย”
อารัณย์คว้ารพีที่ยิ้มจนตาหยี่เข้ามากอดไว้เต็มอ้อมแขน คนโดนกอดได้แต่มองแผ่นอกกว้างด้วยความสงสัยก่อนจะยกมือเล็กๆขึ้นลูบไปตามลำแขนแกร่งของอีกฝ่ายแทนคำปลอบโยนเพราะคิดว่าร่างสูงกำลังรู้สึกไม่สบายใจ
“น้ารัณย์เป็นอะไร...ไม่เอาไม่ร้องนะ”
“ฮ่าๆ น้าไม่ได้ร้องสักหน่อย รพีใจดีจังนะ”
“พีก็ใจดีเหมือนกันหรอ?”
“อื้ม เพราะฉะนั้นน้าจะให้รางวัลคนใจดี ให้พีกับคุณพ่อนะ”
อารัณย์ล้วงหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อกันเปื้อนที่ตัวเองสวมอยู่ รพีมองกระดาษสองแผ่นที่เต็มไปด้วยตัวอักษรที่ตัวเองไม่เข้าใจ เด็กชายเงยหน้ามองอารัณย์ที่จ้องตนอยู่ก่อนแล้วยกยิ้มให้ด้วยความอ่อนโยน
“‘วานา นาวา’...ไปเที่ยวหัวหินกัน”
-
คุยกับเช่!
แพ็คของแล้วไปเที่ยวกัน!!! ว่าแต่พ่อกาลจะจัดการกับรถไฟสองขบวนนี้ยังไง 'ลูกปลอม ปะทะ กิ๊กเด็ก' งานงอกแล้วคุณพ่อ :hao3:
รู้ไหมวันนี้วันอะไร? วันครบรอบ1เดือนของไนท์แมร์ไงคนับ! ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนกับ17ตอน (เยอะอะ!) :mc4: :mc4: :mc4:
เทียบกับตอนแรกๆที่แทบไม่มีคนอ่าน เช่รู้สึกภูมิใจและดีใจกับพื้นที่เล็กๆของตัวเองมาก เนื้อเรื่องยังอีกไกล
หวังว่าทุกคนจะยังติดตาม อยู่เป็นเพื่อนเช่จนกว่าฝันนี้จะจบนะคนับ เช่ก็จะทำให้ดีที่สุดเลย ขอบคุณนะ^^
ตอบไม่ได้ว่าจะอัพตอนหน้าวันไหน ศุกร์-อังคาร เช่ติดถ่ายงานกับตัดต่อสารคดีเรื่องนึง แล้วก็โฆษณาอีกตัว :katai4: :hao5:
งานงอกพอกพูนมากๆช่วงนี้ แล้วสอบอีก ปวดหัวปวดตับปวดไตไปหมดแล้วคนับ แต่จะไม่ทิ้งไปนานแน่นอน
มีเวลาเมื่อไหร่จะเขียนทีละนิดละหน่อย เตรียมแพ็คกระเป๋ารอวานา นาวากันได้เลย ซัมเมอร์~
-
ปูนชักจะเยอะขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ
กาลจะเลือกไปไหน ชลบุรีหรือหัวหิน :really2:
-
อธิบายไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง รออ่านต่อนะ
-
อ่านแล้วน้ำตาไหลไม่รู้ตัว
-
รอค่าๆๆ จะอัพไหม :ling1:
-
18th Night
…First Step...
“ครับ พรุ่งนี้เจ็ดโมงพี่ไปรับนะ”
นิลนั่งหาวจนปากกว้างอย่างไม่ไว้ฟอร์ม ฟังเสียงเพื่อนรักคุยโทรศัพท์กับเด็กของมันเคล้าเพลงสากลอยู่ภายในรถซึ่งติดแหง็กยาวเป็นหางว่าวจนเห็นไฟสีแดงส่องเป็นทาง แรงสั่นในกระเป๋ากางเกงเรียกสติให้ชายหนุ่มหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาดู โปรแกรมแชทสีเขียวยอดนิยมขึ้นแจ้งเตือนว่าเจ้าคนน่ารำคาญนั่นส่งข้อความมาหาเขาทั้งที่ไม่จำเป็นอีกแล้ว
‘ผู้ต้องหายังมีแฟนมาเยี่ยม แต่ผมต้องกินข้าวคนเดียว...อิจฉาจัง’
ข้อความที่หาสาระไม่ได้ถูกส่งมาพร้อมกับภาพข้าวในกล่องโฟมที่ดูเหมือนจะเป็นอาหารเย็นของคนปลายทางที่ยังคงต้องทำงานทั้งที่เป็นเย็นวันศุกร์ นิลเผลอส่ายหัวอย่างระอาในความดื้อดึงของอีกฝ่ายที่หมั่นส่งข้อความมารายงานการดำเนินชีวิตทุกฝีเก้ายิ่งกว่าคนเป็นแฟนกัน แม้ว่าเขาจะไม่เคยส่งอะไรกลับไป มีเพียงสถานะข้อความที่ขึ้นว่าอ่านแล้วจากฝั่งของเขาเท่านั้นที่ทำให้นายตำรวจหนุ่มรู้ว่าบัญชีนี้มีการใช้งานจริงแต่เจ้าของมันไม่อยากจะเสวนาด้วยเท่านั้น
“ไม่ตอบหรอวะ”
คนข้างๆที่จัดการกับกิ๊กเด็กของมันเสร็จหันมาพูดกับเขาด้วยสีหน้าราบเรียบอย่างเคย แต่มีหรือเพื่อนที่คบกันมานานอย่างเขาจะไม่เห็นแววตาล้อเลียนที่แฝงอยู่นั่น ให้ตายสิ ใครบอกว่ารัตติกาลเป็นคนที่ทั้งนิ่งและเย็นชา สำหรับเขามันก็แค่ไอ้เชือดนิ่ม กวนประสาทหน้าตายเท่านั้นแหละ!
“เสือก”
“เป็นแฟนกันยัง”
“เสือก”
“ใครกดใครวะ”
“โอ้ย ไอ้เหี้ยกาล! เลิกเสือกเรื่องกูแล้วเอาเวลาไปสไลด์กับเด็กมึงไป!”
แทนที่จะสลดรัตติกาลกลับหัวเราะร่วน แถมยังไม่มีความเกรงใจคว้ามือถือของเขาไปเลื่อนอ่านหน้าตาเฉยทั้งที่ไม่ได้ขออนุญาต นิลถอนหายใจอย่างนึกรำคาญแต่ก็ปล่อยให้เพื่อนรักเปิดอ่านข้อความที่นายตำรวจหนุ่มส่งมาหยอดเขาเรื่อยๆตั้งแต่ช่วงที่เรื่องของรพีจบลงด้วยดี
“แซวแต่กู จะพากิ๊กเด็กไปเที่ยว ขอลูกรึยังเหอะมึง”
“ทำไมต้องขอ?”
“ไอ้ห่านี่ดีแตก ไหนบอกจะกลับตัว?”
“ไปเที่ยวกับปูนไม่ได้แปลว่ากูละเลยรพีสักหน่อย อีกอย่างตั้งใจพาน้องมันไปทำงานเลยได้โอกาสไปพักบ้างแค่นั้น”
“กูไม่ใช่ผัวมึง ไม่ต้องแก้ตัวปัญญาอ่อนแบบนั้นก็ได้ จะไปไหนก็ไปเหอะแต่แค่บอกรพีด้วย มึงทำงานมาเกือบทั้งอาทิตย์ วันหยุดเด็กมันก็หวังจะได้อยู่กับพ่อมันบ้าง”
“อืม กะจะบอกว่าไปสัมมนา”
“ซั่มมนาล่ะสิไม่ว่า เช้าถึงเย็นถึงขนาดนี้ไม่พาเข้าบ้านซะให้รู้แล้วรู้รอด”
“หึ อย่างกับว่าจะทำได้ หลานรักมึงคงได้ร้องไห้ลั่นบ้าน”
“เรื่องรพีก็เรื่องหนึ่ง ประเด็นหลักคือมึงไม่ยอมลงหลักปักฐานกับใครมากกว่า ใครจะไปรู้ ถ้ามึงมีใครสักคนตอนนี้รพีอาจจะชอบใจก็ได้ ถือซะว่าได้แม่ใหม่ถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ”
“ยุ่งยาก ให้รพีคิดว่าแม่ของตัวเองทิ้งไปตั้งแต่เล็กก็พอ อีกอย่างเด็กนั่นก็ไม่เห็นเคยจะสนใจเรื่องแม่”
“เคยครับ แต่มึงลืม แล้วที่รพีไม่กล้าพูดก็เพราะตอนนั้นมึงเหวี่ยงจนบ้างแทบพัง แถมขู่อีกว่าถ้าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีกจะออกไปจากบ้าน ห่า อารมณ์มึงนี่นะ...กูล่ะสงสัยว่าใครกันแน่เป็นเด็กอนุบาล”
นิลจิกกัดเพื่อนของตนจนรัตติกาลหันมาขมวดคิ้วใส่อย่างไม่ชอบใจนัก คำพูดของร่างสูงทำให้เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเคยมีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นตอนรพีน่าจะเพิ่งขึ้นอนุบาลสามได้ไม่นาน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเป็นคืนก่อนวันแม่ที่โรงเรียนจะส่งหนังสือเชิญผู้ปกครองให้มาร่วมกิจกรรม แม้แต่เด็กที่กำพร้าแม่อย่างรพีก็ยังถูกดึงเข้าไปมีส่วนร่วมโดยเชิญเขาที่มีศักดิ์เป็นบิดาให้ไปแทน
แต่คิดหรอว่าคนอย่างรัตติกาลในตอนนั้นจะไป จำได้ว่าเขาเสียแจกันใบโปรดของพ่อไปในวันนั้นเพราะความโมโหที่เด็กชายเซ้าซี้ถามถึงแม่ที่ไม่เคยพบว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เขาเลือกตอบเหมือนกับที่บอกคนอื่นๆว่าไม่มีแล้ว เขาและแม่ของรพีเลิกรา และแยกกันใช้ชีวิตตั้งแต่วันที่คลอดรพีออกมา
แต่เด็กน้อยวัยเพียงห้าขวบไม่เข้าใจถึงคำว่าหย่าร้าง เอาแต่เว้าวอนให้เขาออกตามหาแม่ของตนเอง ที่ความจริงแล้วไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง ความรำคาญและอดีตที่หวนนึกถึงทำให้เขาขาดสติคว้าเอาแจกันจีนใบใหญ่เขวี้ยงใส่ผนังเสียจนเต็มแรงพร้อมกับลั่นคำขู่ไว้ว่าหากมีใครพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีกรัตติกาลจะไม่ออกไปใช้ชีวิตคนเดียวข้างนอกแล้วไม่กลับมาอีก ความสงสัยใคร่รู้ทั้งหมดถูกฝังกลบไปพร้อมกับแจกันแตกๆใบนั้น และรพีก็ไม่เคยพยายามตามหาแม่ของตัวเองอีกเลย
“ช่างเถอะ อายุตั้งขนาดนี้แล้ว”
“ไอ้กาลครับ ขอโทษเถอะ มึงลืมไปรึเปล่าว่ารพียังอายุไม่ถึงหกขวบด้วยซ้ำ ไม่มีเด็กอายุเท่านั้นคนไหนยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆหรอก รพีแค่ไม่อยากให้มึงโมโหเลยทำเป็นเข้มแข็งก็แค่นั้น หึ ขนาดไม่พ่อลูกกันจริงๆแต่นิสัยอวดเก่งนี่เหมือนกันฉิบหาย พี่แพงกับพี่ทีก็ไม่เห็นมีนิสัยแบบนี้สักหน่อย”
“เลิกพูดเถอะ”
รัตติกาลพูดขัดขึ้นเพราะไม่อยากได้ยินชื่อของสองคนนั้นอีก นิลเหนื่อยใจกับนิสัยชอบหนีปัญหาของคนข้างกาย จนต้องเบือนหน้าหันไปมองวิวข้างนอกที่เปลี่ยนไปพร้อมกับรถยนต์ที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้งอย่าเชื่องช้า อากาศครึ้มฝนยิ่งทำให้ความอึนครึมในห้องโดยสารขนาดเล็กนี่ทวีความรุนแรงขึ้นอีก รัตติกาลชำเลืองมองเพื่อนรักที่เงียบตามที่ตนบอกด้วยความไม่สบายใจที่ตนเองไม่เคยเข้มแข็งพอที่จะดูแลตัวเองได้อย่างที่ปากว่า
“ขอโทษว่ะ...กูยังไม่พร้อมที่จะฟัง”
“อืม...กูรอมึงได้เสมอแหละ แต่มึงอย่าลืมนะเว้ยกาล”
“...”
“การที่รพีกำลังจะอายุครบหกขวบ มันหมายความว่าพี่แพงกับพี่ทีจากเราไปจะหกปีแล้วเหมือนกัน กูรู้ว่ามึงเบื่อที่จะฟัง แต่ไอ้กาล... เวลาหกปีกูว่ามันมากพอที่จะพิสูจน์แล้วนะว่าต่อให้มึงรอแค่ไหนพวกเขาก็ไม่มีวันกลับมาชดใช้ความผิดที่ทำไว้กับมึงได้ และมันก็นานพอที่มึงควรจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครสักคนที่มึงต้องการ ความรักของมึงกับพี่ทีจบลงแล้ว มึงต้องเดินต่อแล้ว...เข้าใจนะ”
นิลพูดในสิ่งที่ตนคิดพร้อมกับเอื้อมไปกุมมือของรัตติกาลไว้ อยากให้คนโง่ที่ทรมานตัวเองมานานรู้ว่าโลกนี้มันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอย่างที่คิด คำถามที่รัตติกาลถามอารัณย์ในวันนั้น เขาก็ยังหาคำตอบของมันไม่ได้ สิ่งที่อยู่ในหัวหลังจากที่ได้ยินมีเพียงความกลัวใจที่บางครั้งก็เด็ดเดี่ยวเกินไปสำหรับการตัดสินใจบางอย่าง
ตั้งแต่เรื่องวุ่นวายทั้งหมดเกิดขึ้น นิลถามกับตัวเองตลอดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะยังคงเลือกทำในสิ่งเดิมไหม คำพูดที่เขาบอกกับรัตติกาลที่กำลังร้องไห้ สารภาพถึงความรักที่ผิดบาปกับคนรักของพี่รหัสให้เขาฟัง...เขาที่ยืนมองนทีก้มลงจูบรัตติกาลโดยที่ไม่ทำอะไรในวันแรกพบของคณะตอนขึ้นปีสอง
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้...
ตัวเขาที่รับรู้โศกนาฏกรรมระหว่างทั้งสามคน...
จะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมดบ้าง?
.
.
.
.
.
.
“มึงมีอะไรจะเล่าให้กูฟังป่ะ”
รัตติกาลเงยหน้าขึ้นมองนิลที่กำลังกระดกกระป๋องเบียร์ในมือขึ้นดื่ม ร่างโปร่งแขวนเสื้อตัวสุดท้ายที่เปียกหมาดไว้กับราวตากผ้าก่อนจะเดินมายืนอยู่เคียงข้างนิลที่ยังคงมองไปยังแสงสีมากมายที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิดบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่ไม่หลับใหล
“ถามอะไรของมึงวะ”
“กูถามก็ตอบมาเถอะน่า”
“อยากรู้อะไรก็ถามมาตรงๆดิวะ พูดแบบนี้กูก็นึกว่ามึงจะหลอกถามเรื่องที่แอบไปกินเด็กเก่งมึงเข้าน่ะสิ”
ร่างโปร่งตอบกวนๆกลับไปแล้วหันไปคว้าเบียร์กระเป๋าใหม่มาเปิดกินบ้าง มือเรียวหยิบเอาซองบุหรี่ที่วางอยู่ข้างๆกันขึ้นมาจุดสูบโดยที่นิลไม่ได้ต่อว่าอะไร กลิ่นหอมเมทอลอ่อนๆกลายเป็นเหมือนกลิ่นประจำกายของรัตติกาลไปซะแล้ว
“วันนั้นพี่ทีเขาจูบมึงทำไมวะ”
นิลถามไปตรงๆอย่างที่เพื่อนว่า เลยทำให้รัตติกาลกลายเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปซะเอง ร่างโปร่งสูบอัดควันสีเทาเข้าปอดอีกครั้งแล้วขยี้ปลายมวนแดงลงบนขอบปูนของระเบียงอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ไอ้เหี้ยนั่นมันกวนตีนกู”
สรรพนามที่หยาบคายชนิดที่ไม่น่าเป็นคำใช้เรียกคนคุ้นเคยทำให้นิลหันกลับมามองหน้าเพื่อนรักที่บูดบึ้งไปเสียแล้ว
“พี่มันทำอะไรมึง”
“มันรู้ว่ากูเป็นเกย์ เลยแกล้งกูเล่น”
“เรื่องที่มึงเป็นเกย์? มึงก็ไม่เคยปิดป่าววะ พี่แพงก็รู้”
“อืม กูก็ไม่แน่ใจว่ามันรู้ตั้งแต่ตอนไหน แต่คืนวันที่เราไปแดกเหล้าหลังสอบเสร็จ มันเห็นกูออกมาจากห้องน้ำกับเด็กเสิร์ฟที่ร้านนั่น แล้ว...”
“แล้ว?”
รัตติกาลนิ่งไปนิดเพราะไม่รู้ว่าตัวเองสมควรพูดเรื่องที่รับรู้มาด้วยตาตัวเองให้นิลรับรู้ดีหรือไม่ อย่างที่เขาบอกกับนทีว่าตัวเองไม่ใช่พวกชอบสอดเรื่องชาวบ้าน ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่านิ่งดูดายไม่สนใจว่าพี่รหัสจะต้องโดนสวมเขาแต่รัตติกาลคิดว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคนไม่ว่าจะเป็นตอนที่เริ่มต้นหรือวันที่จากลา สิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นเพียงสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวอย่างที่ชายคนนั้นพูด หรืออาจจะลึกซึ้งกว่านั้นตัวเขาก็ไม่อาจรู้และไม่มีสิทธิก้าวเข้าไปตัดสินชีวิตใคร ที่พูดไปวันนั้นก็เพียงแค่อยากเตือนให้อีกฝ่ายรู้ ว่าสิ่งใดควรทำและสิ่งใดควรหยุดเท่านั้น
“กูไม่เล่าได้ป่าววะ”
“ทำไม มีเรื่องอะไรที่ใหญ่กว่ามึงจูบกับแฟนพี่รหัสอีกหรอวะ”
“กูไม่ได้จูบมัน มันจูบกูเองแล้วมันก็ไม่ได้เป็นเกย์ด้วย”
“หึ ใครจะไปรู้ ไอ้เหี้ยเพรียวมันยังเล่าให้ฟังอยู่เลยว่าเด็กวิทยาที่มันแดกไปเมื่อวันก่อนตามติดมันแจ”
“มันแดก? ไม่ใช่ว่าโดนแดกหรอ?”
“เออ มันนั่นแหละแดกเอง ขนาดไอ้เพรียวนะเว้ย ยังล้างผลาญทรัพยากรผู้ชายได้ แล้วหน้าอย่างมึงจะทำให้พี่ทีหวั่นไหวไม่ได้เลยรึไง”
“ใครจะหวั่นไหวก็เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับกู”
“มึงไม่สนใจว่างั้น”
“ถึงกูเป็นอย่างนี้ กูก็คิดเป็นป่าววะ...พี่แพงเขาดีกับกูมากแล้วก็กับมึงด้วย”
“ห่า อย่าเอากูไปเกี่ยว งานนี้ใครจะเอาใครกูไม่อยากยุ่ง แต่ถ้ามึงคิดได้แบบนี้ก็ดี พูดตรงๆกูไม่อยากเห็นคนใกล้ตัวมาผิดใจกันเองว่ะ”
นิลว่าอย่างนั้นแล้วก้มลงเก็บกระป๋องเบียร์ว่างเปล่าใส่ถังขยะที่วางอยู่ใกล้ๆ รัตติกาลหยุดคิดแล้วเหลือบไปมองเพื่อนที่ถึงเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานแต่กลับสนิทใจกันยิ่งกว่าเพื่อนคนอื่นๆที่ตัวเองเคยมี
“นิล”
“หื้ม?”
“ถ้าเกิดวันหนึ่งกูต้องผิดใจกับพี่แพงขึ้นมาจริงๆ...มึงจะทำยังไงวะ”
รัตติกาลเอ่ยถามทั้งที่ไม่รู้ว่าอยากจะรู้ไปทำไม เขามั่นใจว่าตัวเองจะไม่มีวันหลงไปกับความใกล้ชิดที่นทีมอบให้ มันเป็นเพียงความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น นิลเงยหน้าขึ้นมองรัตติกาลก่อนจะลุกขึ้นยืนพิงระเบียงอยู่ข้างๆเพื่อนสนิท ที่ไม่ได้มองหน้าเขาตอบ ทำราวกับว่าไม่ใส่ใจในคำถามนั้นเท่าไหร่
“กูคงไม่ทำอะไรเลยมั้ง...ไปกินข้าวกับพี่แพงอย่างที่เคยทำ อยู่กับมึงเหมือนที่เคยอยู่ กับพี่ทีจะให้กูไปฆ่าแกงเขาก็ไม่ใช่...สิ่งที่กูทำได้คงมีแค่ ยอมรับการตัดสินใจของทุกคน”
“อืม...”
“ผิดหวังรึเปล่าวะ ที่กูไม่เข้าข้างมึง”
“ไม่หรอก...มึงที่เป็นอย่างนี้แหละดีแล้วนิล...ดีแล้วจริงๆ”
.
.
.
.
.
.
.
“ลุงครับ ช่วยเตรียมรถคันใหญ่ให้ผมที พรุ่งนี้จะขับออกต่างจังหวัดแต่เช้า”
รัตติกาลหันไปบอกลุงสิทธิที่กำลังเดินมารับกุญแจรถที่ตน ชายวัยห้าสิบต้นๆขมวดคิ้วอย่างงงๆ แต่ก็รับมันมาโดยไม่ถามอะไรมาก
“หรือว่าคุณกาลจะรู้แล้ว...”
ในขณะที่ร่างโปร่งกำลังหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน เสียงพูดงึมงำของคนขับรถที่ดังไล่มาสร้างความสงสัยให้ร่างโปร่งจนต้องหันหลังกลับมามองหน้าคนพูดอีกครั้ง
“ลุงว่าอะไรนะครับ?”
“ปะ เปล่าครับคุณ”
ชายแก่ส่ายหน้าก่อนจะขอตัวไปจัดการเรื่องรถให้เรียบร้อย รัตติกาลยังนึกสงสัยแต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก เขาพาตัวเองเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ที่มีเสียงพูดของรพีดังเจื้อยแจ้วออกมาให้ได้ยินตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้าไปภายในบ้าน รัตติกาลมองดูเด็กชายเงยหน้าขึ้นพูดกับเพื่อนรักของตนที่มาฝากท้องที่บ้านด้วย
“พี ทำไมไม่พาอานิลเข้าไปข้างในก่อนล่ะ”
ถึงปากจะดุว่าลูกชายที่ปล่อยให้แขกคนสนิทยืนคุยกับตัวเองไม่ให้เข้าไปพักข้างใน แต่รัตติกาลก็แสร้งส่งยิ้มให้รพีได้อย่างแนบเนียนในความคิดของตนเอง ร่างป้อมที่ได้ยินเสียงของพ่อก็ละความสนใจกับคุณอาที่ตัวเองเคารพ ขาสั้นๆพาร่างแกร็นเข้ามาหา มือสองข้างชูขึ้นสูงเพื่อขอกระเป๋าเอกสารใบใหญ่หวังว่าจะได้ช่วยถือ การประจบเอาใจเล็กๆนั่นสร้างรอยยิ้มให้ใครต่อใครที่มองดู แม้แต่รัตติกาลเอง ครู่หนึ่งก็เผลอยิ้มให้การกระทำนั้นโดยที่ไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มเลือกที่จะส่งเสื้อสูทตัวใหญ่ให้ลูกชายถือแทนกระเป๋าที่ดูท่าจะหนักเกินไปสำหรับเด็กตัวเล็กๆ ถึงแม้จะขัดใจอยู่บ้างแต่รพีก็รับมันมาถือไว้โดยไม่อิดออด จันทร์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องทานอาหาร กวักมือเรียกรพีที่พยายามยกผ้าตัวหนาให้ไม่ตกระพื้นให้เข้าไปหา รัตติกาลยกมือไหว้คนที่เคารพ ก่อนจะพานิลเดินไปทางห้องทานอาหารที่ดูท่าเพิ่งจะจัดโต๊ะเสร็จได้ไม่นาน
แต่ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึง กระเป๋าเดินทางใบย่อมสองใบที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นทำให้ร่างโปร่งต้องหยุดมองด้วยความสงสัย เขาจำไม่ได้ว่าได้บอกใครเรื่องที่จะไปต่างจังหวัดยกเว้นนิล ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีคนในบ้านรู้แล้วถือวิสาสะเก็บสัมภาระไว้ให้
“อะไรวะเนี่ย”
“คุณพีเธอบอกให้ช่วยจัดไว้ให้น่ะค่ะ”
นิ่มที่ยืนอยู่แถวนั้นเอ่ยขึ้นตอบความสงสัยของเจ้านายที่เอาแต่มองกระเป๋าสองใบนั้นไม่วางตา แม้อยากจะพูดมากกว่านี้แต่ก็คิดได้ว่าเรื่องสำคัญแบบนี้ควรจะให้เจ้าของความคิดเป็นคนอธิบายด้วยตัวเองดีกว่า ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้ถามต่อ ร่างป้อมที่เพิ่งเอาเสื้อสูทของบิดาเข้าไปเก็บด้านในตามคำบอกของจันทร์ก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับถืออะไรบางอย่างเข้ามาด้วย
“ให้เก็บกระเป๋าไปทำอะไร รพี”
เด็กชายไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มให้แล้วยื่นสิ่งที่ตนถือมาให้เขา พร้อมกับนิลที่ชะโงกหน้ามาดูด้วยความอยากรู้ บัตรเข้าสวนน้ำแนววอเตอร์ จังเกิ้ล ชื่อดังซึ่งตั้งอยู่ที่หัวหินสองใบไม่ใช่สิ่งที่เด็กอย่างรพีจะหามาได้ รัตติกาลกำลังจะเอ่ยปากถามถึงที่มาของบัตรแต่รพีก็พูดขัดขึ้นซะก่อน
“อานิลฮะ น้ากาลบอกว่าให้โทรหา”
ชื่อของบุคคลที่สามถูกพาดพิงถึงทำให้รัตติกาลและนิลรู้ได้ทันทีว่ารพีได้บัตรของวานา นาวาจากใคร นิลรีบส่ายหน้าใส่รัตติกาลที่จ้องมาอย่างเอาเรื่องเพื่อปฏิเสธว่าตัวเองไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้สักนิด พลางนึกด่าอารัณย์ในใจที่หาเรื่องมาให้เขาไม่รู้จักหยุดจักหย่อน แม้อยากจะคาดคั้นความจริงจากปากผู้ต้องสงสัยมากแค่ไหน แต่รัตติกาลก็เลือกที่จะถามตัวต้นเรื่องที่กำลังจ้องเขาตาแป๋วราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
“รพี...ไปเอาบัตรนี่มาจากไหน”
รัตติกาลถามในสิ่งที่ตัวเองค่อนข้างมั่นใจอยู่แล้วอีกครั้ง
“น้ารัณย์ให้พีมาฮะ เป็นรางวัลให้พีกับพ่อกาล”
“ให้พ่อ?”
“ฮะ! น้ารัณย์บอกว่าพ่อกาลใจดี เลยต้องให้รางวัล”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”
นิลที่ยืนฟังอยู่ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างอดกลั้นไว้ไม่ไหว นี่มีใครมาตั้งกล้องแอบถ่ายแถวนี้รึเปล่า? อย่างไอ้รัณย์เนี่ยนะบอกว่าไอ้กาลใจดี?? ให้ไอ้กาลไปฟันชะนียังจะดูเป็นไปได้มากกว่า ปกติก็ตีกันจะตายห่า ไม่เคยพูดกันดีๆสักครั้งแล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง งานนี้ถ้าไม่ใช่รพีเข้าใจผิดไปเอง ไอ้รัณย์ก็คงเลี้ยงเด็กจนบ้าไปแล้วแน่ๆ
คนใจดีที่ว่ากำลังโกรธจนตัวสั่น ทั้งที่ใจก็ไม่ได้เชื่อหรอกว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากพี่เลี้ยงเด็กคนนั้นได้แต่มันก็อดโมโหไม่ได้อยู่ดี รัตติกาลนับหนึ่งถึงสิบในใจ จนเลยไปถึงสามสิบความครุกรุ่นในใจก็ไม่ได้ทุเลาลง จนต้องระบายออกด้วยกันหันไปฟาดแขนล่ำภายใต้เสื้อแขนยาวของนิลเข้าเต็มแรง แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้มีท่าทางโกรธอะไร หนำซ้ำยิ่งขำมากกว่าเดิมซะอีก
“บัตรนี่แพงมาก รพีไม่ควรไปรับของน้าเขามานะครับ”
รัตติกาลสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อตั้งสติ ก่อนจะหันมาพูดกับลูกชายที่มองเขาและนิลสลับกันอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจแต่ก็ยังคงรอยยิ้มไว้อย่างเดิม แต่คำพูดที่ชวนให้คนฟังรู้สึกว่าต้องเกรงใจกลับไม่ทำให้รพีสะทกสะท้าน
“น้ารัณย์บอกว่าได้มาจากครูอ๋องฮะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ครูอ๋อง?”
“ครูสอนว่ายน้ำฮะ ครูอ๋องให้น้ารัณย์มาตอนไปช่วยที่สระ”
เด็กชายอธิบายไปตามสิ่งที่อารัณย์บอกตัวเองมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะคิดว่าพ่อของตนคงจะเกรงใจน้ารัณย์ที่แสนใจดีคนนั้นแน่ๆ รัตติกาลทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ข้ออ้างที่เพิ่งคิดได้ถูกโต้กลับมาด้วยเหตุผลที่ดักทางไม่ให้เขาปฏิเสธได้เลย ร่างโปร่งอ่านรายละเอียดในบัตรอีกครั้ง ตราปั้มสีแดงที่เขียนว่า ‘Not for sale’ บ่งบอกว่าบัตรนี่ไม่ได้ได้มาจากการซื้อขายแบบปกติ ตัวอักษรเล็กๆในมุมด้านขวาระบุถึงวันสุดท้ายที่บัตรนี้จะสามารถใช้ได้ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เท่านั้น
“พีครับ”
“ฮะ! พ่อกาลจะไปใช่ไหม พีให้ยายจันทร์จัดของไว้หมดแล้ว!”
“พ่อต้องทำงานวันเสาร์”
รพีที่กำลังพูดเจื้อยแจ้วหยุดนิ่งไปทันทีที่ได้ยิน รอยยิ้มที่เคยระบายเต็มใบหน้าค่อยๆหดหายไป เด็กน้อยมองหน้าพ่อของตนก่อนจะก้มลงมองพื้นแข็งๆราวกับว่ามันน่าสนใจหนักหนา ไหล่เล็กสั่นน้อยๆเหมือนกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่าง นิลที่มองอยู่กำลังจะเดินเข้าไปหารพีด้วยความสงสารแต่เด็กชายก็เงยหน้าขึ้นมองคนเป็นพ่อก่อนจะส่งยิ้มอ่อนๆให้ทั้งที่ดวงตากำลังสื่อถึงความผิดหวัง
“มะ ไม่เป็นไรฮะ”
“ไอ้กาล...”
นิลเผลอเรียกชื่อเพื่อนของตนทั้งที่ไม่ควรทำ งานนี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่ารัตติกาลจะอยากพารพีไปเที่ยวหรือไม่แต่มันยังเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังรอเพื่อนของเขาด้วยความหวังเช่นกัน ร่างโปร่งรู้สึกกดดันยิ่งขึ้นอีกแค่นิลเอ่ยชื่อเขาออกมา ยอมรับว่าต่อให้นิลไม่พูดเขาก็รู้สึกหนักใจไม่น้อย ทั้งที่น่าจะรู้สึกสะใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
ความเจ็บปวดที่คนที่เรารักเลือกคนอื่นน่ะ...
รพีก็ควรได้รู้สึกถึงมันไม่ใช่หรอ?
จากเดิมที่ตั้งใจไว้ เขากับปูนจะเดินทางไปที่ชลบุรีตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าแล้วกลับมากรุงเทพพร้อมกันในวันอาทิตย์ตอนเย็น ไม่มีทางเลยที่เขาจะขับรถกลับมาพาเด็กชายไปเที่ยวในสถานที่ไกลพอๆกันได้ ใจหนึ่งรัตติกาลบอกตัวเองว่าไม่ต้องทำอะไร รพีก็พูดเองว่ามันไม่เป็นไรเพราะฉะนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเพื่อเด็กนั่น แต่กลับมีอีกเสียงหนึ่งที่แม้จะแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบแต่เขากลับสลัดมันทิ้งไม่ได้
‘ความรู้สึกที่ต้องเป็นฝ่ายรอ...เราเข้าใจมันดีไม่ใช่หรอกาล’
เสียงกระซิบที่ฟังคล้ายกับเสียงของตัวเขาเองดังขึ้นอยู่อย่างนั้น หากแต่มันไม่ฟังดูแห้งแล้งเหมือนตัวเขาที่แสนโสมมในวันนี้ นิลมองดูรัตติกาลที่มีท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด เขานึกว่ารัตติกาลอาจจะพอใจกับสถานการณ์แบบนี้ ถ้าหากอยากให้รพีเข้าใจความเจ็บปวดของตัวเอง รัตติกาลคงจะฉวยโอกาสนี้ไว้โดยไม่ต้องคิดหนัก แต่สีหน้าของเพื่อนรักตอนนี้ไม่มีสักส่วนเสี้ยวเลยที่บ่งบอกถึงความคิดนั้น
“ไอ้กาล...”
“กู...กูขอใช้โทรศัพท์หน่อย”
รัตติกาลว่าดังนั้นแล้วเดินเลี่ยงออกมาด้านนอก ก่อนจะที่ก้าวพ้นประตูไปร่างโปร่งแอบหันกลับมามองยังร่างเล็กที่ไหล่ตกลู่อย่างน่าสงสาร เขาคิดว่ารพีคงจะต้องมองดูเขาด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความหวังเหมือนที่เคยทำ แต่เด็กน้อยกลับยังคงก้มลงมองปลายเท้าของตัวเองอยู่อย่างนั้นไม่แม้แต่จะร้องไห้
เขามองเบอร์ของปูนอย่างลังเล ภาพของรพีเมื่อครู่ไม่อาจทำเป็นลืมได้เช่นเดียวกับปูนที่เคยมองเขาด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน ทั้งที่บอกตัวเองว่าทั้งคู่คือคนที่เราไม่จำเป็นต้องแคร์แต่สุดท้ายเขาเองกลับลำบากใจที่ต้องเลือก ทั้งที่คำตอบมีแค่หนึ่งเดียวแต่กลับรู้สึกเหมือนไร้หนทาง
พี่ทีครับ...
ตอนที่พี่ต้องเลือกระหว่างผมกับพี่แพง...พี่รู้สึกเหมือนผมรึเปล่า?
“ฮัลโหลพี่กาล โทรมาเร็วเชียว”
“ปูน...”
“ปูนเก็บของเรียบร้อยแล้วนะ พี่กาลเก็บรึยัง อ่อ ไม่ต้องเอาครีมกันแดดไปนะ ปูนเอาไปเผื่อแล้ว”
“ปูน...พี่...”
“ครับ? พี่กาลเป็นอะไรรึเปล่า?”
ปลายสายจับน้ำเสียงที่ผิดปกติของรัตติกาลได้จึงหยุดฟังด้วยหัวใจที่จู่ๆก็บีบรัดจนรู้สึกเจ็บ เสียถอนหายใจยาวดังขึ้นยิ่งทำให้ปูนเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นเข้าไปอีก รัตติกาลตั้งสติสักครู่ก่อนจะพูดในสิ่งที่น่าหนักใจออกไปด้วยความรู้สึกผิด
“เพิ่งมีธุระด่วนเข้ามา...”
“งานหรอครับ”
“...”
“น้องพีใช่ไหมครับ”
“ปูน...”
“ไม่เป็นไรครับ ปูน...ไม่เป็นไร”
คำนี้อีกแล้ว...รัตติกาลไม่เคยคิดว่าฝ่ายที่โดนยกโทษให้จะต้องรู้สึกอึดอัดขนาดนี้ ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสองคนนั้นเต็มไปด้วยความหลอกลวงแต่สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับการให้อภัย
“แค่วันเสาร์ได้ไหม พี่อยู่กับเราได้แค่วันเดียวได้ไหมปูน...อีกวันพี่ต้องกลับมาหาเขา...”
ปูนที่นั่งนิ่งเบิกตาโพลงพยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ
“ได้หรอครับ... เวลาของพี่กาล...”
“ได้สิ แต่พี่ขอโทษที่ให้เราได้แค่วันเดียว”
“แค่นี้ก็ดีแล้วครับ ถึงจะแค่นาทีเดียวที่พี่เลือกปูน...แค่นั้นก็พอแล้ว”
รัตติกาลยืนฟังเสียงร่ำไห้ที่ไม่รู้ว่าของมันกำลังรู้สึกแบบไหน เสียใจ หรือดีใจที่เยื่อบางๆระหว่างเราไม่ถูกสะบั้นลงในคราวเดียว เขาเดินกลับเข้าไปภายในบ้านที่เงียบสนิทไม่คึกคักอย่างที่เคย ทั้งที่บ้านหลังนี้เพิ่งกลับมามีเสียงหัวเราะได้ไม่นานแต่มันกลับทำให้รู้สึกโหวงเหมือนกับสิ่งสำคัญมันหายไป
รพีนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว พอเขาเดินเข้ามาเด็กชายก็เงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มมาให้ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น กระเป๋าสองใบหายไปจากห้องนั่งเล่น ไม่มีใครพูดตำหนิเขาเลยแม้แต่ป้าจันทร์หรือนิลที่นั่งอยู่ในที่ประจำ หญิงแก่เอ่ยบอกให้นิ่มตักข้าวให้ทุกคนเพื่อเริ่มมื้ออาหาร เด็กชายใช้แขนสั้นๆนั้นตักเอาเนื้อไก่ตุ๋นชิ้นใหญ่ใส่จานของพ่อก่อนตัวเอง แล้วถึงลงมือทานอาหารตรงหน้าด้วยท่าทาฝืดคอ
“พี...”
“ฮะ...”
“วันเสาร์พ่อไม่ว่าง”
“ไม่เป็นไรฮะ พีขอให้อานิลโทรหาน้ารัณย์ให้แล้ว น้ารัณย์บอกว่าไม่เป็นไร”
“ถ้าไปแค่วันอาทิตย์ได้ไหม คงไม่ได้ค้าง แต่ต้องออกแต่เช้านะ ถ้าพีอยากจะเล่นน้ำที่นั่น”
“...”
“ไปเที่ยวกัน...นะ”
เด็กชายส่งเสียงฮึดฮัด หยดน้ำกลมไหลกลิ้งออกจากดวงตาอาบเต็มใบหน้าที่เจ้าของพยายามฝืนมันไว้จนเหยเก หัวกลมผงกขึ้นลงยอมรับข้อเสนอของพ่อ มือเล็กวางช้อนลงแล้วยกขึ้นปาดน้ำตาด้วยท่าทางน่าสงสารแต่คนที่อยู่ในห้องนั้นกลับมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม
นิลมองรัตติกาลที่ยกมือขึ้นอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็วางมันลงบนกลุ่มผมสีดำสนิทแล้วลูบมันอย่างแผ่วเบา รัตติกาลคงไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน แววตาที่เขาไม่เคยเห็นมานานหลายปี ถึงแม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็ยังสะท้อนอยู่ในนั้น
อย่างที่กูบอกแหละกาล สุดท้ายแล้วกูก็ไม่ทำอะไรเลย
เพราะลึกๆแล้ว กูก็ยังอยากเชื่อว่าเวลาจะรักษาทุกอย่างได้
ถึงมันจะนานเกือบหกปี แต่วันนี้มันก็เริ่มขึ้นแล้วนะ
ถึงจะเป็นแค่ก้าวเล็กๆ แต่มึงก็เดินออกไปแล้ว
-
คุยกับเช่!
ตอนนี้มัน...ดีเนอะ พอจะมองกาลในแง่ดีกันขึ้นหน่อยไหม 5555 ถึงจะลมเพลมพัดไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็มีพัฒนาการนะ :hao3:
บางคนอาจจะคิดว่ากาลเหมือนจะกลับตัวง่ายไปหน่อย ไม่ง่ายหรอกคนับ เรื่องมันยาว มีอะไรให้เล่นอีกสักพัก
ส่วนเรื่องเสียงที่กาลได้ยิน ก็คือเสียงของตัวเองในอดีตนะคนับ เป็นเสียงที่ทำให้ตอนนี้กาลฉุกคิดได้ ว่าตอนที่ตัวเองเป็นฝ่ายรอ
มันเจ็บปวดแค่ไหน กาลเลยตัดสินใจแบบเซฟที่สุด ว่าจะแบ่งเวลาอันน้อยนิดของหนุ่มฮอตให้กับทั้งสองคน
ตอนนี้พระเอกเราไม่มา ค่าตัวแพ๊งแพง เดี๋ยวแม่เปลี่ยนเป็น กาลปูนซะเลย! ล้อเล่น555 :katai3:
น่าจะหายไปสองสามวันเหมือนเดิมนะคนับ งานทับตายจะอ้วกแล้ว อาจจะต้องรอหน่อย ขอโทษนะ แต่ไม่ทิ้งแน่นอน
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต หวังว่าตอนนี้จะพอทำให้คนติดตามหายใจหายคอโล่งๆบ้างนะ ^^
-
เอาอิมเมจตัวละครมาฝากประกอบการจิ้นกันนะคนับ
อนึ่งเรื่องราวในนิยายทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลผู้ปรากฎในภาพ :man1:
(http://image.free.in.th/v/2013/ii/150719060157.jpg) รัตติกาล (http://image.free.in.th/v/2013/im/150719060256.jpg) อารัณย์
(http://image.free.in.th/v/2013/ir/150719060547.jpg) นที (http://image.free.in.th/v/2013/id/150719055539.png) ปูน (http://image.free.in.th/v/2013/iy/150719060347.jpg) รพี
(http://image.free.in.th/v/2013/ih/150719054936.jpg) นิล (http://image.free.in.th/v/2013/it/150719055212.jpg) ฤทธิชาติ
-
ชอบนิลมากอะ เอฟซีเลย
ดีใจที่กาลเริ่มจะคิดอะไรได้บ้าง
อย่าให้มีอะไรมาทำให้คลั่งอีกเลย
-
นะ ก็ยังบีบหัวใจอยู่
-
มันจะโอเคใช่มั้ย ^^!
-
คนเขียนหายไปไหน :ling3:
-
19th Night
…Rain...
รัตติกาลขับรถพาปูนออกจากกรุงเทพตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า แม้สภาพจราจรบนถนนมอเตอร์เวย์ไม่ได้ติดขัดมากอย่างที่เคยเป็นแต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็เลือกที่จะเดินทางเร็วกว่าทุกครั้งเพราะฟ้าครึ้มในช่วงปลายฝนต้นหนาวทำให้รัตติกาลต้องการเผื่อเวลาไว้สักหน่อยให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มจะไปให้ทันทำงานตอนเก้าโมง
ร่างโปร่งอ้าปากงับแซนด์วิชชิ้นเล็กที่ปูนป้อนให้ถึงปาก เพราะไม่อยากเสียเวลากับการแวะกินอาหารข้างทาง ร่างเล็กจึงเลือกที่จะตื่นให้ไวขึ้นกว่าที่ตั้งใจเพื่อเตรียมของทานเล่นง่ายๆให้กับเขาและตนเอง ส่วนมื้อหลักเราทั้งคู่ตกลงกันว่าจะไปกินกันที่โรงแรมอันเป็นสถานที่ทำงานเลย
“น้องพี น่ารักจังนะครับ”
ปูนพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะดูรูปถ่ายของรพีและเขาที่นิลอัดมาให้ตั้งแต่เมื่อวาน รัตติกาลไม่เคยมีความคิดอยากให้ทั้งสองคนทำความรู้จักกันแต่เพราะทนแรงรบเร้าของคนข้างกายไม่ไหว เขาจึงหยิบมันติดมือมาด้วย เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นรูปอีกใบที่มีภาพของนิลและรพีที่ทำท่าโพสประหลาดๆในขณะที่เขายังคงยืนนิ่งอยู่เหมือนเดิม ร่างโปร่งชำเลืองมองดวงหน้าหวานที่แสดงออกถึงความสุขอย่างนึกประหลาดใจ ทั้งที่รพีขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ทำให้กำหนดการพักผ่อนของเราพังลงแล้วทำไมปูนถึงยังยิ้มให้กับคนที่แย่งความสุขของตัวเองไปได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
“ทำไมถึงไม่โกรธล่ะ”
“ครับ?”
รัตติกาลเผลอถามไปตามที่ใจคิด ร่างเล็กหันมาสบตาเขา ทำหน้าเหลอหลาไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาถาม
“รพีน่ะ...”
“อ่อ นั่นสินะครับ...ทั้งๆที่รู้สึกอิจฉาน้องมากๆ...จนถึงเมื่อวาน”
“จนถึงเมื่อวาน?”
เด็กหนุ่มหันมายิ้มให้เขาก่อนจะมองออกไปนอกกระจกรถ ผมสีอ่อนถูกจัดไว้เป็นทรงถูกปัดให้เรียบไปทางด้านหลังเพราะต้องรับหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์ในงานเลี้ยงใหญ่ที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมที่บังเอิญเป็นคู่แข่งกับโรงแรมของคณิตเพื่อนของเขา
“ผมนึกว่าพี่ จะเกลียดน้องพีซะอีก”
แทนที่จะตอบคำถาม ปูนกลับตอบเขาด้วยคำถามอื่นแทน ถึงจะไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง แต่รัตติกาลเคยเปรยเกี่ยวกับความรู้สึกและส่วนหนึ่งของความตั้งใจที่จะทำให้คนข้างกายได้ทราบ และนั่นก็ทำให้ร่างเล็กรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับการตัดสินใจของรัตติกาล
“มันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่...”
“แล้วทำไมถึงเลือกที่จะผิดสัญญากับผมล่ะ”
“โกรธรึไง?”
“ไม่หรอกครับ อันที่จริงพี่กาลจะไม่มากับปูนเลยก็ได้ ถ้าทำแบบนั้น...น้องพีคงเจ็บปวดเหมือนกับที่พี่หวังเอาไว้”
“นั่นสินะ...”
อย่าว่าแต่ปูนที่แปลกใจ รัตติกาลเองก็ขบคิดถึงการตัดสินใจของตัวเองเกือบทั้งคืน เสียงที่ดังอยู่ในหัว แม้แต่การคำนึงถึงความรู้สึกของนที คนที่เขาบอกกับตัวเองว่าต่อให้ตายไปแล้วก็จะไม่มีวันให้อภัย ล้วนแต่เป็นสิ่งที่รัตติกาลไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเลยสักนิด
“ใจอ่อนแล้วหรอครับ”
“คิดว่างั้นหรอ”
“ก็นะ น้องพีน่ารักขนาดนั้น พี่กาลจะรู้สึกเอ็นดูบ้างก็ไม่แปลกอะไร ขนาดปูนยังชอบน้องเลย”
“คิดว่าพี่ควรใจอ่อนให้ลูกของคนที่พี่เกลียดไหมล่ะ”
“แม่ของน้องหรอครับ”
รัตติกาลไม่ได้ตอบ เพราะถ้าตอบไปคงเลี่ยงที่จะให้เด็กหนุ่มรับรู้เรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ ถึงแม้จะมั่นใจว่าต่อให้รู้เรื่องปูนจะยังคงยืนอยู่เคียงข้างเขา แต่เพราะพื้นที่ข้างกายเด็กหนุ่มเหมือนที่พักพิงที่รัตติกาลเลือกจะมาอาศัยยามที่เหน็ดเหนื่อยจากการเสแสร้งทั้งหลาย เขาต้องการพักผ่อน...ไม่อยากจะคิดอะไรทั้งนั้น แม้แต่เรื่องที่ว่าความจริงแล้วความรู้สึกนี้มันไม่ใช่ความรัก
“ปูนคงถามมากไปสินะครับ”
“อืม...”
“ครับ แต่ขอปูนบอกพี่กาลสักอย่างได้ไหม”
“.....ว่ามาสิ”
เด็กหนุ่มยิ้มให้เขาก่อนจะหันไปมองถนนแล้วพูดต่อ
“พี่อย่าหลอกตัวเองนะ...ไม่ว่าจะเกลียด...หรือรัก...พี่กาลต้องซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเองนะรู้ไหม”
“...”
“ไม่ว่าจะล้างแค้น หรือให้อภัย ก็ขอให้ทำมันด้วยความรู้สึกจริงของตัวเอง อย่าฝืนนะครับ”
“เชื่อแล้วว่าเราชอบรพีจริงๆ”
“ฮ่าๆ คิดว่าปูนพูดแบบนี้เพราะน้องหรอ ปูนไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอกน่า”
“...”
“ปูนแคร์แค่พี่กาลเท่านั้นแหละ”
.
.
.
.
.
.
ร่างโปร่งขับพาเด็กหนุ่มมาส่งยังที่หมาย อันเป็นหนึ่งในสาขาของโรงแรมชื่อดังระดับประเทศที่ได้รับความไว้วางใจจากนักท่องเที่ยวทั้งจากคนไทยและชาวต่างชาติ ตามกำหนดการเดิมเขาควรจะต้องเข้าพักที่นี่สองคืนแล้วตีรถกลับกรุงเทพในช่วงเช้าวันจันทร์ แต่เพราะแผนที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้สามารถพารพีเดินทางไปหัวหินได้ตั้งแต่เช้าตรู่วันอาทิตย์ รัตติกาลจึงต้องเดินทางกลับตั้งแต่เย็นวันนี้ไม่ได้อยู่ค้างอย่างที่หวัง ด้วยเพราะงานเลี้ยงที่เด็กหนุ่มต้องเข้าไปดูแล ถูกจัดตั้งแต่เช้าเรื่อยไปจนถึงเย็น ทำให้การมาชลบุรีครั้งนี้เป็นไปเพื่อรับส่งปูนเท่านั้น
“เสร็จงานแล้วโทรตามพี่นะ”
รัตติกาลว่าดังนั้นแล้วจึงเปลี่ยนเป้าหมายเดินทางมายังโรงแรมของเพื่อนแทน แม้จะไม่มีสาขามากมายแต่เพราะความเก่าแก่และชื่อเสียงที่สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นแรกทำให้สามารถพูดได้เต็มปากว่าโรงแรมของคณิตเป็นก้างชิ้นโตที่คอยขวางทางคู่แข่งหลายๆเจ้าไม่ให้ตีตลาดทั้งหมดของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ไปได้
“เห้ย ไอ้กาล!”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นทักทายเพื่อนในชุดสูทหรูที่กำลังก้าวยาวๆมาทางเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ คณิตกอดแล้วตบไหล่คนที่ตัวเล็กกว่าตนเล็กน้อย ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างซึ่งไม่ได้เห็นได้บ่อยๆของนักบริหารหนุ่มเรียกสายตาของพนักงานและแขกเหรือที่มาเข้าพักหันมามองเป็นทางเดียวกัน
“มาโผล่ที่นี่ได้ไงวะ แล้วนี่มาคนเดียว?”
“พอดีพาคนมาทำธุระแถวนี้ เลยกะมานั่งรอที่โรงแรมมึง แขกเยอะเลยนี่หว่า”
“กว่าจะได้มาขนาดนี้ก็วางแผนกันแทบแย่ ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวได้ขนาดนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว ว่าแต่อย่าทำเนียนๆ...แอบพาใครมากก สารภาพมาดีๆ”
คณิตชี้หน้าร่างโปร่งอย่างรู้ทัน รัตติกาลส่ายหน้าอย่างระอาในความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนที่ถึงไม่อาจพูดได้ว่าสนิทเท่านิล แต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่รู้ใจเขาดีพอสมควร
“รุ่นน้องที่รู้จักน่ะ มารับจ็อบเป็นบาร์เทนเดอร์ให้งานเลี้ยงโรงแรมคู่แข่งมึง”
“อ่อ ไอ้งานประมูลที่ว่านั่นหรอ...ช่างเรื่องน่าปวดหัวพวกนั้นเถอะ กูว่าระดับที่คุณรัตติกาลผู้งานรัดตัวอุตส่าห์ขับรถพามาส่งถึงบางแสนนี่ คงไม่ใช่รุ่นน้องธรรมดาซะล่ะมั้ง”
“ก็ตามนั้น”
“ร้ายว่ะ! รุ่นน้องที่ทำงาน?”
“เปล่า ยังเรียนมหาลัยอยู่”
“เห้ย! เดี๋ยวนี้หัดเลี้ยงต้อยหรอวะ”
ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่สักพักก่อนจะพากันมายังห้องอาหารของโรงแรม ด้วยเพราะกว่าจะเดินทางมาถึงก็ใกล้เวลาที่นัดหมายทำให้ปูนและรัตติกาลไม่ได้ทางอาหารเช้าด้วยกันอย่างที่ตั้งใจไว้ อาหารเบาๆจึงถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกับน้ำผลไม้และกาแฟรสเข้ม รัตติกาลลงมือทานไปพูดคุยกับคณิตไป โดยส่วนมากเป็นเรื่องของงานเขียนที่ยังคงเป็นหัวข้อบทสนทนาที่สนุกเสมอสำหรับเด็กอักษรอย่างพวกเขา
“ว่าแต่มีเด็กเลี้ยงอย่างนี้ ลูกไม่ว่าเอาหรอวะ”
“ไม่รู้สิ ไม่ได้บอก”
“เอาดีๆนะเว้ย พีก็ยังเด็กจะทำอะไรก็คิดถึงใจลูกหน่อยแล้วกัน”
“หึ ตอนแรกยังเห็นดีเห็นงามกับกูอยู่เลย”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ไม่อยากเห็นมึงมีปัญหากับลูกอีก คราวก่อนโทรไปหาไอ้นิลมันเล่าให้ฟังว่าช่วงนี้เรื่องมึงกับพีดีขึ้นแล้ว”
“อืม...ก็ตามนั้น”
“อ้าว แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ”
คณิตมองหน้ารัตติกาลที่ทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่าง สีหน้าที่ดูสนุกยามพูดถึงสิ่งที่ชอบดูสับสนเมื่อพูดถึงลูกชายที่กำลังรอคอยพ่ออยู่ที่บ้าน
“...ไม่มีอะไรหรอก”
“อืม กูก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไรมากนะเว้ย แค่เป็นห่วงวะ กูเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่จะปรับกันง่ายๆ แต่เอาเถอะ...ไม่ว่ามึงจะหาผัวหรือเมียเข้าบ้าน ไอ้นิลก็ตามล้างตามเช็ดมึงได้อยู่ดี”
รัตติกาลหัวเราะร่วนกับคำพูดของเพื่อน คณิตอยู่คุยกับร่างโปร่งอีกนิดหน่อยก่อนจะขอตัวออกไปดูแลความเรียบร้อยในโรงแรมตามเดิมโดยไม่ลืมกำชับรัตติกาลว่าให้แจ้งชื่อของตนไว้ในบิลทุกใบเพื่อแสดงไมตรีจิต
ร่างโปร่งใช้เวลาทั้งบ่ายไปกับสายลมเย็นๆและหนังสือปกหนาที่เขาหยิบติดตัวมาด้วย โซนสระน้ำของโรงแรมซึ่งเป็นที่เปิดโล่งรับกลิ่นไอทะเลแม้จะทำให้รู้สึกเหนียวตัวแต่รัตติกาลกลับรู้สึกผ่อนคลายจนกว่าจะรู้ตัวอีกทีหนังสือเล่มใหญ่สองเล่มก็ถูกอ่านจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว แสงไฟวูบวาบและแรงสั่นสะเทือนจากโต๊ะตัวข้างๆทำให้ชายหนุ่มต้องวางหนังสือในมือลงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่ปรากฏชื่อของจันทร์ขึ้นมาดูแทน
“สวัสดีครับ”
“พ่อกาล! นี่พีเองนะฮะ”
เสียงเด็กน้อยดังเจื้อยแจ้วมาจากปลายสายเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนรัตติกาลหลุดขำ บริกรหนุ่มที่กำลังเดินเก็บแก้วน้ำที่ลูกค้าคนอื่นวางไว้เผลอหันมามองรอยยิ้มสวยนั้นอย่างหลงใหลโดยที่เจ้าของมันไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด
“ว่าไงครับ”
“นี่เย็นแล้ว พ่อกาลจะกลับบ้านรึยัง”
ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา เข็มสั้นชี้เลยจากเลขห้ามาเล็กน้อยทั้งที่ท้องฟ้ายังสว่างจ้าเหมือนตอนบ่าย ถ้าจำไม่ผิด ปูนบอกเขาไว้ว่าส่วนของงานเลี้ยงตอนเย็นจะเลิกตอนหกโมงครึ่งซึ่งก็ยังอีกนานกว่าเขาจะได้เดินทางกลับตามที่ตั้งใจไว้
“ยังครับ ประมานหนึ่งทุ่มพ่อถึงจะกลับได้ พีกินข้าวได้เลยไม่ต้องรอ”
“หรอฮะ...แล้วพ่อกาลจะกลับมาทันใช่ไหม”
เสียงที่เมื่อครู่ยังฟังดูร่าเริงเจือไปด้วยความกังวลเมื่อได้ยินคำตอบนั้น
“ทันสิ บางแสนใกล้แค่นี้เอง”
“เอ๋ บางแสน? พ่อกาลไปหาอานิดหรอฮะ”
รพีนึกถึงใบหน้าคมเข้มที่มักแย้มยิ้มให้ตนเสมอเมื่อได้มีโอกาสเจอกัน แม้จะไม่บ่อยนักแต่เด็กน้อยก็จดจำเพื่อนของพ่อตนได้เสมอโดยเฉพาะกับคนที่มักส่งของขวัญมากมายมาให้เขาในวันสำคัญต่างๆ อย่างเช่นวันเกิดที่กำลังจะเวียนมาถึงในอีกไม่นาน รพีก็คงได้รับของขวัญจากบรรดาอาๆทั้งหลายเหมือนเคย
“พ่อมาทำธุระครับ แต่ก็ได้เจออานิดอยู่ดี นี่อาเขาฝากของมาให้พีด้วยนะ”
รัตติกาลชำเลืองมองน้ำองุ่นคั้นสดของฝากขึ้นชื่อที่ปลูกและผลิตโดยโรงแรมจำนวนหนึ่งแพ็ค แถมด้วยตุ๊กตาโลมาตัวใหญ่ที่เจ้าตัวยืนยันจะฝากไปให้หลานทั้งที่ร่างโปร่งทักท้วงแล้วว่ารพีเลยวัยที่จะเล่นตุ๊กตายัดนุ่นแล้ว
“จริงหรอฮะ พีอยากเจออานิดจัง”
“ไว้ครั้งหน้าพ่อจะพามานะ อะ เอ้ย...”
“จริงหรอฮะ! พ่อกาลใจดีที่สุดเลย!”
รัตติกาลอยากตบปากฉาดใหญ่ ฝ่ามือเรียวยกขึ้นกุมขมับอย่างเคร่งเครียด เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเขาถึงหลุดเผลอทำดีกับเด็กชายบ่อยนักทั้งที่มันอยู่นอกแผนที่วางเอาไว้ ชายหนุ่มได้ยินเสียงรพีพูดอวดกับจันทร์เป็นกาลใหญ่ เป็นการตัดสิทธิที่จะกลับคำจึงได้แต่ถอนหายใจในความสับเพร่าของตัวเอง
หลังจากพูดคุยต่อสักพัก เด็กชายก็เปลี่ยนมาให้คนเก่าแก่ของบ้านเป็นคนพูดแทน จันทร์ย้ำเรื่องการขับรถในยามวิกาลกับเขาด้วยน้ำเสียงเจือความห่วงใยจนคนฟังรู้สึกดี ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณแล้วให้สัญญากับรพีอีกครั้งก่อนจะวางสาย
“พ่อกาลต้องมารับพีนะฮะ...สัญญานะ”
“....อืม...พ่อสัญญา”
ทั้งที่เป็นคนไม่ให้สัญญากับใครง่ายๆแต่รัตติกาลก็พูดมันออกมา นึกฉงนในความคิดอ่านของตัวเองที่หวั่นไหวจนน่าตกใจเพียงเพราะเสียงในหัวที่ได้ยิน ณ ตอนนั้น เขาพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่ว่ามันจะเป็นเพราะอะไรสุดท้ายการกระทำทุกอย่างจะทำให้เด็กชายรักและเชื่อใจในตัวเขา
ขอแค่ให้รพีรักเขา...ยิ่งกว่ารักตัวเอง
แผนการสุดท้ายจะได้เริ่มขึ้นสักที
ชายหนุ่มย้ายที่นั่งมายังห้องอาหารของโรงแรมที่ถูกเปลี่ยนจากการออเดอร์ตามเมนูมาเป็นบัฟเฟ่ต์อาหารค่ำที่มีทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ รัตติกาลเลือกหยิบอาหารที่ไม่หนักท้องมานักมาทานเพราะไม่รู้ว่าปูนจะได้ทานมื้อเย็นมาเลยรึเปล่า ถ้าไม่เขาก็คงจะต้องแวะพาเด็กหนุ่มทานอาหารสักที่แล้วค่อยตีรถกลับกรุงเทพ
รัตติกาลเลือกนั่งในโซนด้านในที่คนไม่พลุกพล่านแทนที่จะเป็นที่นั่งติดกระจกอย่างที่คนทั่วไปนิยม ร่างโปร่งนั่งทานอาหารที่ตัวเองตักมาพร้อมกับสั่งเบียร์ขึ้นมากินแกล้มกันอย่างไม่รีบร้อน บรรยากาศภายในร้านเป็นไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวที่พากันมาเที่ยวพักผ่อน ณ ทะเลบางแสน แม้จะมีบ้างที่เด็กตัวเล็กๆร้องไห้งอแงกันระงมแต่คนเป็นพ่อแม่ก็จะช่วยปลอบลูกของตนจนสงบลงได้ราวกับมีเวทย์มนต์
ร่างโปร่งนึกย้อนไปถึงเมื่อรพียังเป็นเพียงเด็กทารกที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้ นอกจากวันที่พารพีมาให้จันทร์ช่วยเลี้ยงดูรัตติกาลก็แทบไม่มาดูดำดูดีเด็กนั่นเลยแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาที่เขาจมอยู่กับคำว่าสูญเสีย แทบไม่มีสักส่วนเสี้ยวในหัวใจที่ว่างพอจะใส่ใจเลือดเนื้อเชื้อไขของคนตายที่ไม่มีวันกลับมาให้เขาได้ทวงคืนความสุขที่ถูกฝ่ายนั้นช่วงชิงไป
จันทร์และนิลเคยถามเขาหลายครั้ง ว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะรับอุปการะเด็กคนนั้นไว้ทั้งที่เขาเกลียดชังพ่อแม่ของรพีจนไม่ยอมไปเผาผี
แต่รัตติกาลไม่ตอบ...เพราะไม่เคยมีคำตอบ...
นอกจากทรมานที่เหมือนคมมีดถูกกรีดลงในอก เขานึกอะไรไม่ออกเลย...
“อ๊ะ ขอโทษคะ”
แรงกระทบที่หน้าขาเรียกความสนใจของรัตติกาลให้ก้มลงมองต่ำลง เด็กผู้หญิงตัวเล็กอายุน่าจะไล่เลี่ยกับรพี กำลังยืนมองเขาพร้อมกับลูบหน้าผากที่ปรกด้วยปอยผมเบาๆด้วยความเจ็บ ร่างโปร่งมองเห็นอมยิ้มอันใหญ่ซึ่งแตกออกเป็นสองเสี่ยงตกอยู่ที่พื้นทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าเด็กหญิงคนนี้คงก้มลงหยิบขนมที่ตกโดยไม่ระวังจนชนเข้ากับช่วงขายาวของเขาที่นั่งเบนตัวออกด้านข้าง
“ไม่เป็นไรนะ”
รัตติกาลเอ่ยกับเด็กหญิง ถามถึงอาการบาดเจ็บและขนมที่เสียไปซึ่งเจ้าตัวดูจะเสียดายอยู่ไม่น้อยเห็นได้จากแววตาเศร้าที่มองไปยังอมยิ้มที่ตกอยู่ที่พื้น
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ”
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นบอกกับเขาพร้อมกับพยายามฝืนยิ้มให้ทั้งๆที่กำลังเสียใจและเสียดายเจ้าอมยิ้มที่เธอยังไม่ได้กิน รัตติกาลมองอาการนั้นออกก็นึกเอ็นดูก่อนจะควานหาของดีบางอย่างที่ติดอยู่ในกระเป๋า เจ้าตัวยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะยื่นไปให้คนตรงหน้าที่ยื่นมือออกมารับอย่างไม่รู้อะไร
“อะ... น้าให้ ถึงจะใหญ่สู้ของหนูไม่ได้ก็เถอะ”
“ลูกอม! รสองุ่นด้วย!”
ร่างเล็กยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นลูกอมรสองุ่นยี่ห้อที่เห็นบ่อยๆในโฆษณาทีวี ทำให้ลืมความเศร้าไปหมดสิ้น รัตติกาลรู้สึกดีใจที่เขายังไม่ได้ทิ้งขนมที่รพีให้มาเมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน รอยยิ้มไร้เดียงสาทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปลูบหัวกลมๆนั้นด้วยความเอ็นดู จนพาลทำให้คิดถึงรอยยิ้มของรพีขึ้นมา
“ขอบคุณนะคะคุณน้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่หลังก็เดินระวังๆนะ”
“ค่ะ!”
รัตติกาลโบกมือลาเด็กหญิงที่ส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเดินกลับไปอีกทาง ร่างโปร่งมองตามไปเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กนั่นจะไม่ไปซุ่มซ่ามเดินชนอะไรเข้าอีก แต่ก่อนที่จะละสายตากลับมา แผ่นหลังที่คุ้นเคยซึ่งนั่งอยู่ในอีกมุมหนึ่งของร้านกลับดึงดูดให้เขาไม่สามารถหันหนีไปที่ไหนได้
นัยน์ตาคมเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น เหงื่อกาฬไหลออกทางฝ่ามือจนชุ่ม ก้อนเนื้อในอกเต้นเร็วจนต้องมือขึ้นบีบมันไว้
“พี่ที...”
:hao5:(มีต่อเม้นล่าง) :hao5:
-
ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว... รัตติกาลลุกขึ้นยืนกะทันหันโดยไม่สนใจว่าจะทำให้เกิดเสียงดังเพียงใด เขาก้าวยาวๆไปยังอีกมุมร้านที่แผ่นหลังอันคุ้นเคยนั่งอยู่โดยไม่ปล่อยให้คลาดสายตา ทุกย่างก้าวที่เดินเหมือนมีกลองรบตีรัวอยู่ในอกราวกับว่าเขาเป็นโรคหัวใจ หน่วยตามีน้ำเอ่อล้นคลอเบ้า ริมฝีปากสีชาดเม้มแน่นจนสั่นแต่รัตติกาลก็ไม่ได้ลดความเร็ว ช่วงแขนยาวยื่นไปตรงหน้าพร้อมกับกระชากให้คนที่นั่งอยู่หันกลับมามองเขา...
โครงหน้าได้รูปผิวพรรณสะอาดสะอ้าน รับกับดวงตาเรียวรีภายใต้กรอบแว่นจับจ้องมาที่เขาด้วยความตกใจ แต่นั่นกลับไร้ความหมายสำหรับรัตติกาลเมื่อความผิดหวังถาโถมเข้ามาซัดความคาดหวังที่เกิดขึ้นซ้ำๆทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ไม่ใช่....ไม่ใช่พี่ที”
“เอ่อ...คุณ...มีอะไรรึเปล่าครับ”
“ทำไมกัน...อึก...ทั้งๆที่...”
“คุณครับ...”
เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมากระจุกอยู่ที่คอหอย มือที่กำสาบเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่นคลายลงก่อนจะเดินถอยออกมาพร้อมกับส่ายหน้าราวกับว่ารับความจริงตรงหน้าไม่ได้
อ่อนแอ... รัตติกาลรู้สึกอ่อนแออย่างถึงที่สุดเพียงแค่มองเห็นแผ่นหลังที่คล้ายกับของคนคนนั้น แผ่นหลังที่เขาชอบที่จะซบเมื่อยามเหนื่อยล้า แผ่นหลังที่ทั้งเย็นชาและอบอุ่นเมื่อได้มองตอนที่อยู่บนเตียงเดียวกัน แผ่นหลังที่หันให้กับเขาและจากไปพร้อมกับความโหดร้ายที่ยังคงฝังลึกอยู่จนถึงทุกวันนี้
“พี่ที...ไม่ใช่พี่ที...”
“คุณ คุณเป็นอะไรไหม”
“ไม่ใช่..ไม่ใช่...อ่า... บ้าชะมัด โง่...โง่ที่สุด”
“รัตติกาล!”
เสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นจางทางด้านหลัง แผ่นอกกว้างปะทะเข้ากับหลังที่ลู่ลงอย่างที่ไม่เคยเป็นจนคนที่พบเห็นรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ ใบหน้าหวานคมหันมามองคนข้างหลังที่ประคองเขาไว้ก่อนจะพบเข้ากับเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าและดวงตาที่มองมาด้วยความไม่เข้าใจเจือปนด้วยความกังวลอย่างปิดไม่มิด
“อารัณย์...”
“มึง...เป็นอะไร...แล้วมาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
คำพูดของอารัณย์ดึงสติของร่างโปร่งให้กลับมา รัตติกาลผละออกมาจากวงแขนของคนตัวสูงกว่าก่อนจะสังเกตไปรอบตัว แขกหลายคนหันมามองเขาด้วยความสงสัย รวมไปถึงคนที่เขาเข้าใจผิดว่าเป็นนทีกำลังยืนมองเขาอยู่ด้วยความเป็นห่วง
“ผม...เอ่อ...”
“เป็นอะไรไหมครับ สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ขอโทษด้วย ผม...จำคนผิด”
รัตติกาลพูดตอบอีกฝ่ายที่ถามไถ่ด้วยความกังวลก่อนจะหันกลับมาหาร่างสูงที่ยังคงยืนมองเขาอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าอ่านยาก ร่างกายกำยำถูกปกคลุมด้วยเสื้อโปโล่สีน้ำเงินดูดีผิดไปจากทุกครั้ง ร่างโปร่งขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัยแล้วถามอารัณย์ที่ยังคงไม่พูดอะไร
“นายมาทำอะไรที่นี่”
“เรื่องของกูมันไม่สำคัญหรอก ว่าแต่มึงเถอะ ทำไมมาอยู่ที่นี่...มึงควรอยู่กับรพีที่หัวหินไม่ใช่รึไง”
“ผม...มาทำธุระ”
“เอ่อ...รัณย์ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ขอตัวกลับก่อนนะ”
ชายหนุ่มที่สวมแว่นพูดกับร่างสูงเพื่อขออนุญาตก่อนจะปลีกตัวออกไป ทำให้รัตติกาลรับรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงเป็นคนรู้จักของนายอารัณย์เป็นแน่ แต่รัตติกาลก็ไม่ได้สนใจ เขาไม่อยากคิดอะไรอีกเพราะความผิดหวังที่จุกแน่นอยู่เต็มอก ความคาดหวังลมๆแล้งๆที่เขาไม่อยากให้อภัยตัวเองที่ยังมีมันอยู่ลึกๆข้างใน
อารัณย์คว้าแขนของร่างโปร่งไว้แล้วลากตัวออกมาด้านนอก บริกรที่เดินเข้ามาเมื่อเห็นว่าลูกค้ากำลังจะมีปัญหากันถูกร่างสูงพูดปัดไปว่าพวกเขารู้จักกัน จึงไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง ลมทะเลพัดเอื่อยๆมาปะทะร่างของทั้งสองที่ยืนประจันหน้ากันอยู่บริเวณสระน้ำที่ไร้เงาของแขกคนอื่น รัตติกาลดึงแขนของตัวเองกลับมาด้วยความหงุดหงิดทันทีที่อารัณย์หันกลับมาประชันหน้ากับเขาอีกครั้ง
“ว่าไง ทำไมมึงถึงไม่พารพีไปเที่ยว”
“หูหนวกรึไง ผมบอกแล้วว่ามีธุระ”
“ธุระบ้าอะไร กูเห็นแต่มึงนั่งชิลกินอาหาร ไหนล่ะธุระที่ว่า”
“ผมจำเป็นต้องรายงานคุณทุกเรื่องรึไง! เลิกยุ่งเรื่องผมสักทีเถอะ บัตรนั่นก็ทีนึงแล้ว ทำไมถึงชอบสร้างเรื่องปวดหัวให้ผมนัก!”
รัตติกาลระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อโดนอารัณย์ถามต้อน ความรู้สึกมากมายที่ประดังประเดเข้ามาทำให้ร่างโปร่งรู้สึกปวดหัวจนต้องกุมขมับ ช่วงขายาวก้าวไปยังเก้าอี้นอนตัวยาวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลแล้วนั่งลงทั้งแบบนั้น อารัณย์ที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติดังกล่าวจึงเดินตามมาแล้วยื่นมือไปทาบทับหน้าผากมนนั่นอย่างถือวิสาสะ
“เป็นอะไรไป ปวดหัวอีกแล้วหรอ”
อารัณย์เผลอถามออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ไม่เคยพูดจาดีด้วยสักครั้ง มีแต่ประชดประชันและว่ากล่าวด้วยคำพูดหยาบคายจนอดแปลกใจในความอ่อนโยนเล็กๆน้อยๆนี้ไม่ได้
“เพราะใครกันล่ะ...”
“กูแค่ถาม ยังไม่ทันว่าอะไรเลย”
“หึ แค่คำถามก็หาเรื่องกันชัดๆ”
รัตติกาลปัดฝ่ามือหยาบออกไปก่อนจะยืดตัวขึ้นสูดอากาศสดชื่นให้เต็มปอด แต่นอกเหนือจากไอทะเลาเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นชื้นๆที่ลอยมาตามลมเช่นกัน ร่างโปร่งมองดูคนอารมณ์แปรปรวนที่พยายามผ่อนคลายตัวเอง เขายกมือเรียกบริกรที่ยืนมองมาทางนี้อยู่แล้ว ขอน้ำเปล่ามาหนึ่งแก้วแล้วยื่นให้กับรัตติกาลที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ
“ทำหน้างงอะไร นี่น้ำ ถือสิ”
ชายหนุ่มรับมาอย่างงงๆ พอมือว่างแล้วอารัณย์ก็หยิบเอากระเป๋าสตางค์ท่าใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงทางด้านหลัง พาราเซตามอนแผงเล็กตัดแบ่งไว้ติดตัวถูกหยิบออกมาพร้อมแกะพลาสติกที่ซีนอยู่ออกให้เสร็จแล้วยื่นให้กับคนตรงหน้า
“กินซะ”
“อะไร?”
“พาราไง อย่าบอกนะว่าแพ้”
“เปล่า...แต่คุณให้ผมทำไม”
“เอ้า ก็มึงปวดหัว อย่าถามมาก แดกๆเข้าไปซะ”
รัตติกาลอยากปฏิเสธแต่เพราะความหน่วงในหัวทำให้เขาตัดสินใจรับเม็ดยาสีขาวสองเม็ดไว้แล้วทานอย่างไม่อิดออด เขาหลับตาลงช้าๆพยายามไม่คิดอะไรให้อาการปวดนี้หนักขึ้นไปอีก
“เอาล่ะ อธิบายมาได้รึยังว่าทำไมไม่ไปหัวหินกับรพี”
“ถ้าไม่อยากให้ผมปวดหัวมากไปกว่านี้ก็อย่าถามอีก”
“ชิ...ตอบๆมาเถอะน่า...กูไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
น่าเชื่อตายแหละ...ใบหน้าคมเสหันไปมองด้านข้างราวกับเด็กที่โดนจับได้ว่ากำลังพูดโกหก รัตติกาลหัวเราะหึออกมาเพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายแสดงด้านเด็กๆให้เขาเห็น จนเกือบลืมไปแล้วว่าพี่เลี้ยงหนุ่มคนนี้อายุน้อยกว่าตัวเอง
“มาทำธุระ ส่วนหัวหิน...จะไปพรุ่งนี้”
“กับรพี?”
“ถ้าไม่ใช่รพีจะให้ไปกับใคร”
“หึ ก็เด็กมึงไง”
ให้ตายสิ พูดดีกันได้ไม่นานอีกฝ่ายก็หัดมาจิกกัดเขาราวกับว่าตัวเองเป็นพวกผู้หญิงปากเปราะ ทั้งที่ต่อหน้าคนอื่นไม่เห็นจะแสดงท่าทางแบบนี้ออกไปเลยแท้ๆ
“ถ้าจะมาแดกดันกันแบบนี้จะไปไหนก็ไป ขอบคุณสำหรับยา”
“แล้วมึงจะไม่กลับบ้านรึไง”
“กลับ...แต่ธุระยังไม่เสร็จ”
อารัณย์ขมวดคิ้ว เห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าเหมือนกำลังทำธุระสำคัญแต่อย่างใด อีกทั้งเวลาที่ล่วงเลยมาถึงหกโมงเย็นจึงทำใจเชื่อได้ยากว่าร่างโปร่งมาทำธุระจริงอย่างที่ปากว่า พี่เลี้ยงหนุ่มจ้องมองดวงตามีดำแวววาวล้อกับแสงไฟ เสื้อผ้าสบายๆที่อีกฝ่ายสวมใส่ไม่เป็นที่คุ้นชินมากนัก ยกเว้นแต่ครั้งนั้นที่เขาเจอรัตติกาลกำลังก้อร่อก้อติกอยู่กับเด็กมหาลัยซึ่งพักอยู่ที่เดียวกับตน
“วันเสาร์หน้าพี่กาลว่างไหม”
“อืม ทำไมหรอ”
“ปูนต้องไปทำงานแทนเพื่อนที่ชลบุรี พี่กาลไปกับปูนนะ”
บทสนทนาในร้านอาหารตามสั่งลอยขึ้นภายในหัว อารัณย์เบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้โดยมีรัตติกาลสังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของคนตรงหน้า
“มากับเด็กนั่นสินะ”
“ห๊ะ?”
“พาเด็กปูนนั่น มากกถึงนี่เลยสินะ”
อารัณย์พูดเชิงเย้อหยันอยู่ในที รัตติกาลเองก็ตกใจที่ร่างสูงคาดเดาถูกว่าเขามาที่นี่กับใคร ร่างโปร่งพยายามแปลกใจไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้ ริมฝีปากสีชาดยกยิ้มอ่อนๆแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้สึกตกใจที่อีกฝ่ายรู้ทัน
“ใช่ แล้วยังไงล่ะ”
“ก็ไม่ยังไง แค่หลงคิดไปว่ามึงจะคิดได้บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นพวกมากตัณหาอยู่ดี"
“จะพูดยังไงก็เชิญเถอะ เรื่องนี้กับเรื่องของรพีไม่เกี่ยวกัน...คุณไม่มีสิทธิมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบนเตียงของผม”
“กูจะไม่ยุ่ง ตราบใดที่เรื่องคาวๆของมึงไม่ทำให้รพีเดือดร้อน”
รัตติกาลรู้สึกไม่ชอบใจคำพูดแล้วการเป็นห่วงเกินพอดีของอารัณย์ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้รัตติกาลก็ขบคิดมาตลอดว่าอารัณย์ดูเป็นห่วงเป็นใยรพีมากเกินไป แม้จะบอกว่าเป็นพี่เลี้ยงที่โรงเรียนหรือถูกชะตากันก็เถอะ ไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวเที่ยวยุ่งเรื่องของชาวบ้านที่ตัวเองไม่มีส่วนได้ส่วนเสียขนาดนี้หรอก
“ดูท่าคุณจะเป็นห่วงรพีมากเลยนะ”
เขาถามไปตามที่ใจคิด ดวงตาดุดันหันมาสบกับเขา รัตติกาลสาบานว่านัยน์ตาคู่นั้นวูบไหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าของมันจะปรับให้แข็งกร้าวดังเดิมแล้วตอบเขา
“ก็เพราะคนเป็นพ่ออย่างมึงไม่ดูดำดูดีลูกตัวเองไง”
“ก็นั่นน่ะสิ ขนาดผมเป็นพ่อยังไม่สนใจ แล้วคุณเป็นใคร...ทำไมต้องมาหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อน”
อารัณย์ตีหน้าครึมเดินเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายที่พูดจาไม่มีความรับผิดชอบออกมากระแทกใจเขาจังๆ ใบหน้าของคนประเภทที่เขาเกลียดกำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ยอมแพ้ มุมปากหนายกเหยียดขึ้นด้วยรังเกียจความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ที่ทำเหมือนเด็กอย่างพวกเขาเป็นผักปลา ไม่ดูดำดูดี...ไม่เคยมีคุณค่า
“อยากรู้หรอว่ากูเป็นใคร...”
“...”
“กูก็คือ...คนที่รู้ดีว่าต่อให้เป็นพ่อแม่...ก็เกลียดลูกของตัวเองได้”
รัตติกาลมองนิ่งไปในดวงตาคมคู่นั้น ไม่มีความเจ็บปวดหรือโหยหาเจือปนอยู่ มีแต่ความเย็นชาและหมดหวัง ร่างโปร่งเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อสัมผัสได้ถึงความกดดันที่ไม่เคยได้รับมาก่อนจากคนตรงหน้า แม้จะต่อปากต่อคำกันมาตลอด ต่อยตีก็หลายครั้งแต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่รัตติกาลจะรู้สึกหวาดกลัวอารัณย์เหมือนอย่างตอนนี้...แพนโดร่า...อารัณย์เหมือนกล่องปริศนาที่กักเก็บความโหดร้ายไว้ภายใน
“หมายความว่ายังไง”
“ไม่สิ...คำพูดนี้ใช้กับมึงไม่ได้นี่นะ”
“อย่ามาเล่นลิ้นนะอารัณย์...”
“กูไม่ได้เล่นลิ้น กูพูดผิดเองแหละ”
“...”
อารัณย์ถอยหลังออกมาให้ห่างจากรัตติกาล แผ่นหลังกว้างเหยียดตรงทำให้ร่างโปร่งรู้สึกเหมือนตัวเองยิ่งตัวเล็กลงเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายซึ่งกำลังมองมาที่เขาพร้อมกับยิ้มเหยียดเหมือนที่ชอบทำ กลิ่นความชื้นติดปลายจมูกชัดเจนขึ้นเมื่อละอองน้ำจากฟ้าค่อยตกกระทบผิวกายที่เย็นลงเพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป เม็ดฝนที่ใหญ่ขึ้น ตกลงมาเรื่อยๆ ทำให้ผ้าเนื้อดีเริ่มลู่ติดผิวแต่ทั้งสองก็ยังคงเผชิญหน้ากันอยู่ตรงนั้น
“ในเมื่อพ่อแม่แท้ๆยังเกลียดลูกของตัวเองได้...นับประสาอะไรกับพ่อจอมปลอมอย่างมึง...ใช่ไหมรัตติกาล”
“...!”
“บอกกูมา...ว่าพ่อที่แท้จริงของรพีคือใคร”
-
คุยกับเช่!
ขอโทษคับ หายไปหลายวันเลย เพิ่งจะเคลียร์งานเสร็จสดๆร้อนๆ เมื่อวันก่อนก็ไปเข้าโรงพยาบาลมา ชีวิตฮ็อตมากจริงๆ :katai1:
จู่ๆตอนนี้ก็ดราม่าซะงั้น แต่ถ้าเช่บอกว่าตอนหน้าคู่พระนายของเราจะมีพัฒนาการมากขึ้นจะเชื่อเช่ไหมเนี่ย หุหุ
ควรจะมีได้แล้วแหละ ปาไปจะยี่สิบตอนแล้ว เดี๋ยวมันจะยืดเป็นร้อยตอนเอา แค่นี้ก็มีคอมเม้นต์มาว่าตารัณย์ไม่เด่น
แหมๆ ใจเย็นๆนะคับ ตามประวัติเช่ พวกเด่นที่หลังนี่มาแรงทุกคน ^^ ตั้งแต่ตอนหน้าเรื่อยยาวไปจนจบทริปหัวหิน
รับรองว่ารัณย์กาลพี ยึบยับแน่นอน (เอาน้องปูนไปพักก่อน จะโดนหนามทุเรียนอยู่แล้ว) :hao7: :hao7:
ถึงจะเคลียร์งานเสร็จแต่สอบยังไม่เสร็จนะคับ อาทิตย์หน้าโน้นกว่าเช่จะปิดซัมเมอร์ (และงานนอกก็จ่อรออยู่เช่นกัน)
อาจจะช้าไปบ้าง แต่เพราะแต่ละตอนเริ่มมีความยาวเยอะขึ้น ช่วยรอกันหน่อยนะคับ เช่เองก็อยากอัพให้เหมือนกัน
อย่าม่ากันนะ เดี๋ยวท้ายๆเรื่องก็ไม่ม่าแล้ว o13
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต :z2: :heaven
เช่รออ่านคอมเม้นต์จากทุกคนอยู่นะ มีอะไรอยากให้เพิ่มเติมหรือติชมแนะนำก็โพสไว้ได้ อยากเม้าท์มอยก็เชิญที่เพจได้เลย
-
ว่าจะไม่อ่านแล้วน่ะ แต่มันอดไม่ได้ :hao5:
-
ว่าจะไม่อ่านแล้วน่ะ แต่มันอดไม่ได้ :hao5:
หายไปนานเลยนะคับ :mew6: :mew1:
-
เพ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้
ไม่น่าพลาดเลย
ดาร์กได้ใจมาก
กาลเป็นอะไรรึเปล่า ปวดหัวบ่อยๆ
เครียดมากไปไม่ดีนะ
ไม่รู้จะเม้นยังไง
เอาเป็นว่าชอบกาลมากๆๆๆๆๆๆ
รออ่านตอนต่อไปจ้า
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ
ชอบมากๆเลย
-
เห้ออออTT
-
กาลจะตอบว่าไงล่ะเนี่ย ยิ่งอ่านนิ่งรู้สึกว่ารัณย์นี่ไม่ค่อยมีมาดพระเอกเลยเหะ ประชดเก่งจริงๆ :katai3:
-
20th Night
…Strom...
“ในเมื่อพ่อแม่แท้ๆยังเกลียดลูกของตัวเองได้...นับประสาอะไรกับพ่อจอมปลอมอย่างมึง...ใช่ไหมรัตติกาล”
“...!”
“บอกกูมา...ว่าพ่อที่แท้จริงของรพีคือใคร”
ทันที่ที่สิ้นประโยค หมัดแกร่งก็ประเคนเข้าสันกรามของอีกฝ่ายเต็มแรง รัตติกาลไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัว ร่างโปร่งอัดเข่าเข้ากลางลำตัวของอารัณย์จนต้องร้องออกมาด้วยความจุก เขาคว้าเข้าคอเสื้อโปโล่แล้วกระชากให้เข้ามาเผชิญหน้ากัน ดวงตาที่เหมือนมีกองเพลิงสุมอยู่ข้างในบอกอารมณ์ของรัตติกาลได้ดีโดยไม่ต้องเอ่ยถาม แต่อารัณย์ก็ไม่มีทีท่าว่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“กูไม่สนว่ามึงไปฟังเรื่องเหลวไหลนี่มาจากไหน...แต่เลิกยุ่งเรื่องนี้ซะ”
“....”
“เด็กนั่นเป็นของกู และจะเป็นตลอดไป...ไม่ว่าใครก็แย่งมันไปจากกูไม่ได้”
“หึ เรื่องเหลวไหลอย่างเดียวที่กูรู้ คือแม่กาอย่างมึงยอมปล่อยให้ลูกนกกาเหว่โตขึ้นมาในรังของตัวเองทั้งที่รังเกียจเชื้อมันจะตายห่า กูสิต้องถามว่ามึงไปเอาความคิดเหลวไหลนี่มาจากไหน...นี่ชีวิตจริงไม่ใช่ละครรัตติกาล...รพีเป็นคนและมึงก็ไม่มีสิทธิเล่นตลกกับชีวิตใครแม้ว่ามึงจะส่งเสียเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ แล้วยิ่งมึง...คนที่ไม่เคยมอบความรักใคร...ยิ่งไม่มีสิทธิเล่นกับความรักของคนอื่น”
“คนอย่างมึงมันจะไปรู้อะไร!!!”
“เออ ก็กูไม่รู้ไง!!! บอกกูสิ...เหตุผลที่มึงเที่ยวทำร้ายคนอื่นอย่างกับคนบ้า”
“...”
“มึงทำตัวเหมือนสัตว์เจ็บ...ทั้งที่ต้องการความช่วยเหลือแต่ก็ไม่ไว้ใจใคร...อะไรทำให้มึงเป็นแบบนี้รัตติกาล”
“หึ...บอกมึงหรอ น้ำหน้าอย่างมึงจะช่วยอะไรกูได้ ไม่มีใครช่วยอะไรใครได้ทั้งนั้น!! ไม่ว่าจะรพีหรือกู สุดท้ายคำพูดสวยหรูของมึงก็ช่วยใครไว้ไม่ได้สักคน!!!”
ไม่รู้ว่าเพราะดวงตาอันแสนเศร้าหรือคำพูดที่สะท้อนความสิ้นหวังออกมา อารัณย์ไม่อยากได้ยินคำพูดที่ทำให้เขาเห็นเหมือนคนตรงหน้ากำลังเหนื่อยล้าและพร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ กลีบเนื้อหนาประกบลงบนริมฝีปากเย็นชืดของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีดำแววเบิกกว้าง ร่างกายที่ถึงแม้จะสมชายแต่ก็ยังเล็กกว้างดิ้นคลุกคลักอยู่ภายใต้กรงแขนแกร่งของอารัณย์ที่กกกอดรัตติกาลไว้เต็มแรง
“ยะ หยุด! อื้อ!!...”
ละออกมาเพียงชั่วครู่อารัณย์ก็ปิดปากอีกฝ่ายอีกครั้ง ลิ้นหยาบกวาดเก็บหยาดฝนที่ปะปนกับน้ำลายซึ่งไหลออกทางมุมปากยามที่เขากระวัดรัดก้อนลิ้นนุ่มของรัตติกาลอย่างดุดัน หมัดที่เคยว่าหนักถูกร่างสูงรวบไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวยิ่งรัตติกาลพยายามดันเจ้าคนหยาบคายนี้ออกไปมากเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ยิ่งกวดตามราวกับจะต้อนเขาให้จนมุมก็ไม่ปาน
ชายหนุ่มปรือตามองคนอายุน้อยกว่าที่เอาแต่ป้อนจุมพิตเอาแต่ใจให้เขาไม่รู้จักเหน็ดจากเหนื่อย เพราะฝนที่ตกไม่หยุดกอปรกับความปวดหน่วงในศีรษะที่ยังไม่ทุเลาลงทำให้รัตติกาลรู้สึกเหมือนถูกสูบเอาแรงไปจนหมดสิ้น พยายามปฏิเสธ พยายามดิ้นรนเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ผละมาได้เพียงครู่ก็ถูกไล่ตามมาจนกลีบเนื้อสีชาดรู้สึกชา
ในเสี้ยววินาทีที่อารัณย์ลืมตาขึ้นแล้วดวงตาสองคู่ได้สบกันเหมือนหยดน้ำรอบกายหยุดนิ่ง อารัณย์หยุดแล้ว...รัตติกาลก็หยุดเช่นกัน...ลมหายใจหอบของทั้งสองดังแผ่วท่ามกลางเสียงธรรมชาติ ต่างฝ่ายต่างพยายามหาคำตอบในการกระทำของอีกคนแต่กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา ไม่แม้แต่จะพยายามผละถอยจากกันไป
อารัณย์ไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับรัตติกาลที่ไม่เข้าใจ ทั้งที่รู้สึกสับสนแต่ใบหน้าคมเข้มกลับโน้มเข้าไปใกล้ดวงหน้าหวานที่ซีดลงเพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำ มีเพียงลมหายใจร้อนของร่างสูงเท่านั้นที่ทำให้รัตติกาลรู้สึกอบอุ่นในยามนี้ ห่างเพียงเส้นผมกางกั้น ในขณะที่ริมฝีปากของทั้งสองกำลังดึงดูดเข้าหากันอีกครั้ง พื้นกระเบื้องที่ลื่นเพราะน้ำฝนก็ทำให้ร่างกายสูงโปร่งของรัตติกาลเอนวูบไปทางด้านหลัง
ตู้ม!!!
กลิ่นคลอรีนฉุนขึ้นจมูก รัตติกาลเผลอกลืนน้ำไปหลายอึกจนแสบไปทั่วทั้งอก รัตติกาลไม่ถูกกับน้ำ...ไม่ได้อ่อนด้อยขนาดว่าว่ายน้ำไม่เป็นแต่พอตกลงมาในสระโดยไม่ทันได้ตั้งตัวสมองที่ตื้ออยู่แล้วก็ประมวลผลช้าลงจนไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง
ในขณะที่แขนขาพยายามตะกายเพื่อเอาชีวิตรอดอ่อนแรงลงจนร่างเหนื่อยอ่อนค่อยๆจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ ท่อนแขนแกร่งที่กอดกักเขาไว้เมื่อครู่กอดรัดเข้าที่เอวบาง แรงกระชากตัวทำให้ชั่วอึดใจร่างทั้งสองก็โผล่พ้นผิวน้ำ ริมฝีปากเย็นเฉียบอ้าเอาอากาศเข้าไปเมื่อหายใจไม่ทัน อารัณย์ที่ยังคงมีแรงอยู่เต็มเปี่ยมลากรัตติกาลที่สิ้นฤทธิ์ว่ายเข้าขอบสระ ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามดันลำตัวที่ซีดขาวให้ขึ้นไปนอนเกยอยู่บนบกก่อนตนจะปีนขึ้นมานั่งหอบอยู่ข้างๆกัน
“กาล!!! เป็นอะไรไหม!!!”
อารัณย์ตบใบหน้าของคนที่ตนเผลอเรียกด้วยชื่อเล่นเบาๆเพื่อเรียกสติ ทำให้เจ้าของขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจที่โดนคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้มาพูดจาสนิทสนมทั้งที่เพิ่งก่อเรื่องไว้ ร่างกายที่สั่นเทาเพราะความหนาวพยายามลุกขึ้นยืนโดยคนตัวสูงกว่าคอยให้ความช่วยเหลือ แต่รัตติกาลก็ถือทิฐิปัดมันทิ้งพร้อมกับมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
“ทำบ้าอะไร...”
“...”
“คุณนั่นแหละที่กำลังเล่นตลกกับชีวิตคนอื่น…”
ร่างสูงเถียงไม่ออก แม้แต่จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองอารัณย์ก็ไม่อยากทำ ฝนยังคงตกหนักจนเหมือนกลายเป็นพายุ เสียงหวีดร้องของสายสมกรีดแทงจนแสบหูแต่ทั้งคู่ก็ยังคงยืนนิ่งจ้องกันอยู่อย่างนั้น
“เห้ยไอ้กาล! เป็นอะไรป่าววะ!”
เจ้าของโรงแรมหนุ่มถือร่มสีดำคันใหญ่วิ่งมาทางนี้โดยที่ไม่กลัวลื่น คณิตที่กำลังรับรองลูกค้าวีไอพีวิ่งตรงไปยังสระน้ำทันทีที่พนักงานเข้ามารายงานเขาว่าเจ้าเพื่อนตัวดีกำลังต่อยตีกับลูกค้าคนอื่นอยู่ที่สระกลางแจ้ง ในขณะที่ฟ้ารั่วฝนตกหนักจนเขาต้องสั่งให้พนักงานที่ทำหน้าที่อยู่ด้านนอกทั้งหมดกลับเข้ามาด้านใน
คณิตยื่นร่มไปทางรัตติกาลที่ยืนตัวสั่นจ้องชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ไม่วางตา เขาไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครและทำไมถึงมาชกต่อยกับรัตติกาลได้ แต่เพราะหน้าที่และใจรักบริการที่ถูกปลูกฝังมาตลอดทำให้คณิตตัดสินใจเชิญทั้งสองคนเข้าไปข้างในก่อนที่จะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นอีก
“เข้ามาข้างในก่อน แล้วค่อยเคลียร์กัน”
เขาดันหลังรัตติกาลให้เดินนำไปก่อนจะผายมือให้แขกอีกคนเดินตามอย่างมีมารยาท พนักงานโรงแรมที่ไม่กล้าเข้ามาขวางมวยคู่เอก ยืนรออยู่พร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่สองผืนยื่นให้แขกของเจ้านายและคู่กรณีพร้อมกับพาทั้งสองไปยังห้องรับรองส่วนตัวของเจ้านายที่ปรับอุณหภูมิไว้ให้อุ่นกำลังดี
“เอาล่ะ จะบอกผมได้รึยังมีเรื่องอะไรกัน”
สรรพนามสุภาพถูกเลือกใช้เพราะมีแขกคนอื่นอยู่ด้วย คณิตมองทั้งคู่ที่ตัวเปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า หากจะบอกว่าเป็นการทะเลาะวิวาทเขาเองก็ไม่อยากเชื่อเพราะใบหน้าหวานคมของรัตติกาลไม่ยักกะมีรอยฟกช้ำอะไรให้เห็น ผิดกับคนตัวโตข้างๆที่มุมปากแตกจนเห็นได้ชัด
“ไม่มีอะไร คณิต...ขอเสื้อผ้าเปลี่ยนหน่อย”
“กาล...”
“บอกว่าขอเสื้อเปลี่ยนหน่อย...หนาว”
คณิตถอนหายใจ รู้ดีว่าอารมณ์ตอนนี้ของรัตติกาลคงไม่ยอมปริปากบอกอะไรแน่ๆ ร่างกายสูงใหญ่ไม่แพ้อารัณย์ลุกออกไปด้านนอกไม่นานนักก็ได้ชุดลำลองของตัวเองซึ่งถูกเก็บไว้ที่ห้องพักและชั้นในที่พอมีขายในร้านค้าของโรงแรมสำหรับสองคนถูกยื่นให้กับทั้งรัตติกาลและแขกที่เขาไม่รู้ชื่อ ร่างโปร่งหันมามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ที่จัดหาเสื้อผ้าให้คนที่มันเพิ่งมีเรื่องกัน แต่จะให้ทำยังไงได้ ยังไงเขาก็เป็นเจ้าของโรงแรมและยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้ใครผิดใครถูก จะทำมึนตึงเพราะอีกฝ่ายเป็นศัตรูของเพื่อนก็ทำไม่ได้
“มึงไปเปลี่ยนในห้องน้ำแล้วกัน ส่วนคุณ...ตามผมมาครับ”
รัตติกาลไม่พอใจแต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะต่อล้อต่อเถียง หลังจากร่างโปร่งเดินเข้าห้องน้ำไปคณิตก็พาอารัณย์มาเปลี่ยนชุดในห้องพักของพนักงานที่อยู่ติดกัน เขายืนมองร่างกายสูงใหญ่ตรงหน้าอย่างนึกสงสัย ถึงแม้ลึกๆรัตติกาลจะเป็นคนอารมณ์ร้ายอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่น่าจะมีเรื่องถึงขั้นชกต่อยกับคนแปลกหน้าได้โดยที่ไม่มีเหตุผล
“คุณรู้จักกับกาลมาก่อนรึเปล่า”
เจ้าของโรงแรมเอ่ยปากถาม อารัณย์ที่เพิ่งสวมเสื้อตัวใหม่เสร็จหันมามองก่อนจะตอบกลับไป
“ครับ ผมชื่ออารัณย์”
“ผมคณิตครับ เป็นเพื่อนของกาลแล้วก็เป็นเจ้าของโรงแรมนี้”
ร่างสูงพยักหน้า ในหัวตื้อเกินกว่าจะคิดเรื่องใด ทั้งสับสนในการกระทำตัวเอง และสั่นไหวเพราะคำพูดของคนที่ไม่อยากยอมรับ คณิตมองดูอาการมึนตึงของอารัณย์ ดูท่าอีกฝ่ายไม่ได้ดูเหมือนกับคนมีรสนิยมรักร่วมเพศเหมือนเพื่อนของเขา แล้วทำไมถึงได้ไปยืนปล้ำจูบกับเกย์ตัวพ่ออย่างรัตติกาลจนพากันร่วงลงไปในสระได้
ใช่...คณิตเห็นมันทั้งหมดนั่นแหละ แต่ ณ จุดๆนั้นใครกล้าเข้าไปขวางก็บ้าแล้ว ถึงจะไม่ได้ยินว่าทั้งคู่พูดคุยอะไรกันแต่สีหน้าท่าทางที่สับสนของอารัณย์ก็ทำให้เขานึกสนใจในตัวชายหนุ่มคนนี้ไม่น้อย
“กาลมันไม่ยอมพูด...แต่ผมอยากรู้ว่าพวกคุณมีเรื่องอะไรกัน”
“...ผมว่าคุณไปถามเพื่อนคุณดีกว่า”
“นอกใจมันหรอ?”
“...!!!?”
“ถ้าจะไม่จริงจังกับเพื่อนผมก็หยุดซะ ไปหาคนอื่นเถอะ”
“หมายความว่ายังไง”
คณิตเดินประชิดตัวอีกฝ่าย แม้จะมีส่วนสูงพอๆกันแต่ออร่าบางอย่างทำให้อารัณย์รู้สึกถึงความน่าเกรงขามภายใต้ความสุภาพจนอดขนลุกไม่ได้
“ผมไม่ใช่เกย์ แต่ไม่ใช่ไม่รู้ว่าความรักแบบนั้นมันไม่มักไม่สมหวัง และผมก็รู้ว่ามันฝืนกันไม่ได้ ถ้าคุณไม่รักกาลมันจริงก็ถอยออกมาซะ”
“...”
“กาลมันเป็นคนแข็งๆ จนคนชอบคิดว่ามันไม่รู้สึกอะไร แต่คุณรู้ไหม คนที่เข้มแข็งอยู่แล้วไม่จำเป็นเลยที่ต้องสร้างเกราะหนาให้ตัวเองขนาดนั้น กาลมันเคยผิดหวังและผมก็ไม่อยากเห็นมันอยู่ในสภาพนั้นอีก ถ้าแววตาสั่นไหวของมันตอนอยู่ที่สระเกิดขึ้นเพราะคุณ ผมขอร้อง...หยุดมันซะ”
อารัณย์ยืนนิ่ง ปล่อยให้คนที่เข้าใจผิดต่อว่าเขาอยู่แบบนั้น แม้ไม่ใช่เรื่องที่เกินจะคาดเดา แต่พอได้ยินจากปากคนอื่นก็ทำให้อารัณย์รู้สึกผิดพอๆกับความอยากรู้ว่าในอดีตดวงตาแข็งกร้าวดวงนั้นเคยสะท้อนภาพของใคร และมันเกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่รัตติกาลมักหยิบมาใช้รึเปล่า
“เขา...เคยเจออะไรมา”
ท่าทางอยากรู้ของอารัณย์ทำให้คณิตปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายคงเป็น ‘เด็ก’ ที่รัตติกาลบอกว่าพามาทำธุระด้วยเป็นแน่ ถึงจะดูโตเกินกว่าจะเป็นเด็กมหาลัยไปซะหน่อยแต่เขาก็มองข้ามมัน เด็กสมัยนี้โตเร็วจะตาย...
“ตกลงนอกใจมันจริงๆใช่ไหม”
“...ผมเปล่า”
อารัณย์ปลอบใจตัวเองว่าเขาไม่ได้โกหก แค่ไม่แก้ความเข้าใจผิดนั้นเพื่อรอฟังในสิ่งที่เขาสงสัย
“งั้นผมขอถามสักข้อ นอกจากกาล...คุณคบผู้ชายคนอื่นในทำนองนี้อีกไหม”
“ไม่...”
อารัณย์ส่ายหน้า ไม่ต้องพูดถึงผู้ชายคนอื่น แค่กับรัตติกาลก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ถึงจะคิดแบบนั้นร่างสูงก็เผลอแลบเลียริมฝีปากที่แตกเพราะบทจูบร้อนแรงที่เขาป้อนมันให้กับรัตติกาลที่สระน้ำ
“คุณไม่ใช่เกย์?”
“ผมไม่ได้เป็นเกย์”
“เฮ้อ...ไอ้กาลนะไอ้กาล ทำไมชอบไปยุ่งกับของที่กินไม่ได้นักวะ”
เจ้าของโรงแรมดูเหมือนรำพันกับตัวเองมากกว่ากำลังบอกมันกับเขา
“กาล...เคยคบกับผู้ชายแท้ๆมาก่อนหรอ”
ร่างสูงเลือกที่จะเรียกชื่อเล่นของรัตติกาลแทนที่ชื่อเต็มๆเพื่อความแนบเนียน ถ้าอีกฝ่ายเข้าใจว่าเขากำลังคบกับหมอนั่นจริง การที่เขาถามซอกแซกแบบนี้คงไม่น่าสงสัยจนเกินไป...
คณิตมองหน้าอารัณย์แล้วนึกถึงคนที่มีใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้กัน รุ่นพี่ที่มักโผล่หน้ามาที่ตึกอักษรเสมอแม้เจ้าตัวจะสวมเครื่องแบบของวิศวะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พี่นที แฟนหนุ่มของพี่พะแพงจะมารับส่งคนรัก แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ใครๆต่างก็สังเกตเห็น ว่าแฟนหนุ่มคนนั้นดูสนิทกับน้องรหัสของแฟนจนน่าสงสัย
เขาไม่เคยถาม...เพียงแต่สังเกตมาตลอด สมัยเรียนคณิตเองก็เป็นนักเที่ยวตัวยงพอๆกับนิล เขารู้ดีว่าหนุ่มวิศวะคนนั้นมีนิสัยยังไง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นเพียงคนนอกที่นั่งมองอยู่ในมุมมืดเงียบๆ
มองดูความรักต้องห้ามของทั้งสองที่เริ่มต้นขึ้น
และเสียใจที่ไม่ได้หยุดเพื่อน จนกระทั่งมันล้มลง...โดยที่เขาได้แค่มอง
“นที”
“...!!”
“ชื่อไอ้สาระเลวคนนั้นไง”
:katai2-1:(อ่านต่อเม้นท์ล่าง) :katai2-1:
-
ร่างของผู้คนกำลังเบียดเสียดกันด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น คณิตชำเลืองมองหน้าท้องขาวของสาวเจ้าที่กำลังขยับร่างกายไปมาตามเสียงเพลง ใบหน้าสวยเฉี่ยวหันมามองแล้วส่งยิ้มเชิญชวนให้กับเขา ชายหนุ่มจึงยกแก้วขึ้นเพื่อทักทายอีกฝ่ายกลับไป
“มานานยังมึง”
“นานแล้วสัด ไม่รอจนร้านปิดก่อนล่ะถึงจะโผล่มา โคโยตี้เหลืออีกแค่รอบเดียวแล้วเนี่ย อดไปไอ้ห่า”
นิลยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ มันคว้าเอาแก้วทรงสูงที่ใส่เบียร์ไว้จนเต็มยกขึ้นดื่มทีเดียวจนหมด เรียกเสียงโห่ร้องจากเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นได้ดี
“ไอ้กาลอะ?”
“กำลังมา เดี๋ยวมีพี่มานั่งด้วย เป็นไรป่าววะ”
“เอาดิ ว่าแต่ใครวะ”
“พี่ที”
“นทีวิศวะ แฟนพี่พะแพงอะนะ”
“อืม”
“สนิทกันหรอวะ”
“ก็...มั้ง พี่เขยไอ้กาลมันนิ”
คณิตพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่นานนักร่างสูงโปร่งของรัตติกาลก็เดินหน้าบึ้งเข้ามาในร้านพร้อมกับนทีที่มีสีหน้าตรงกันข้าม รัตติกาลตวัดหางตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆเขาปล่อยให้นทีไปนั่งข้างนิลในฝังตรงข้าม
“แดกไรมึง”
“เหล้าน้ำ”
คณิตจัดแจงชงเครื่องดื่มให้เพื่อนตามที่ขอ แล้วเผื่อแผ่ไปยังรุ่นพี่ที่เอาแต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดียามที่มองใบหน้าบูดบึ้งของรัตติกาล นทีเอ่ยขอบคุณเขาพร้อมกับส่งเงินจำนวนหนึ่งให้เพื่อเป็นค่าเหล้า คณิตก็ไม่อิดออดที่จะรับไว้ ถึงไม่ได้ใช้ก็ยังเก็บเผื่อไว้เป็นกองกลางสำหรับการสังสรรค์ครั้งหน้า
“ได้ที่ฝึกงานยังพี่”
คณิตเองก็พอมีเพื่อนที่เรียนวิศวะอยู่ ถ้าเขาจำไม่ผิดที่มหาลัยของเขาวิศวะจะฝึกงานกันในช่วงซัมเมอร์ก่อนขึ้นปีสี่ แต่ถ้าหากอยากได้ที่ฝึกงานดีๆบางคนก็จะเตรียมติดต่อบริษัทตั้งแต่เนิ่นๆ
“ก็มองๆไว้อยู่ ไม่อยากไปไกลจากมอเท่าไหร่วะ”
“อ้าว ทำไมวะพี่ เพื่อนผมมีแต่คนบอกว่าถ้าจะฝึกจะไปไกลๆ มันเบื่อร้านเหล้าแถวมอกันแล้ว”
“ฮ่าๆก็เบื่ออยู่หรอก...แต่ไม่อยากห่างคนทางนี้น่ะ”
นทียิ้มแล้วส่งสายตามายังรัตติกาลที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆเขา คณิตเอะใจแล้วก็ยั้งความอยากรู้ไว้ไม่อยู่เมื่อแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปทำให้เขากล้ากว่าปกติ
“ใครอะ...กิ๊กพี่หรอ ระวังนะ เดี๋ยวไอ้กาลเอาไปฟ้องพี่แพงมาจะยุ่ง”
“ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วง กาลไม่บอกแพงหรอก...จริงไหม”
“...”
“ก็คนที่พี่ไม่อยากห่าง...คือแพงนี่นะ”
รัตติกาลเหยียดยิ้มก่อจะลุกไปทักเพื่อนโต๊ะข้างๆ ทิ้งให้คนที่มาด้วยกันนั่งหัวเราะราวกับเรื่องที่คุยมันตลกนักหนา นทีคุยกับพวกเขาอยู่สักพักก่อนจะขอตัวออกไปสูบบุหรี่ด้านนอก ทั้งโต๊ะเหลือเพียงเขากับนิลที่นั่งชนแก้วกันเรื่อยๆในขณะที่คนอื่นวิ่งไปเกาะขอบเวทีรอซื้อดริ้งโคโยตี้ในรอบสุดท้าย
“นิล...พี่ทีกับไอ้กาลนี่ยังไงวะ ตอนพี่แกตอบกูเผลอแดกจุดไปนิดนึงเลย”
“ก็...ไม่ยังไง”
“ไอ้ห่านี่กั๊ก รู้อะไรก็บอกกูบ้าง เป็นห่วงไอ้กาลมันนะเว้ย พี่ทีแม่งไม่ใช่เล่นๆ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ไอ้กาลมันดูแลตัวเองได้”
“มึงไม่ห่วงมันเลยหรอวะ ไหนจะเรื่องที่พี่ทีเป็นแฟนพี่รหัสมันอีก”
“ห่วงอะไร? มันบอกว่าไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไร กูขี้เกียจเสือก”
“เซฟโซนตลอด กูล่ะเกลียดนิสัยแบบนี้ของมึงฉิบหาย”
“เรื่องของกูเหอะ มึงก็อย่าไปเสือกเรื่องมันมาก ระวังไอ้กาลจะจับทำเมียเอา”
“ขู่กูจัง คิดว่ากูกลัวรึไง”
“แล้วกลัวไหมล่ะ?”
“กูไม่กลัวมันหรอก กูกลัวป๊ากูกระทืบข้อหาพาผู้ชายเข้าบ้าน”
“หึ หงอไอ้สัด”
สักพักรัตติกาลก็กลับมานั่งคุยด้วย ส่วนนทีก็หายหัวไปพร้อมกับบุหรี่ซองนั้นแล้วไม่ได้กลับเขา แต่ร่างโปร่งที่มาด้วยกันก็ไม่มีทีท่าเดือดร้อนอะไร พวกเขาสามคนนั่งดื่มกันไปอย่างนั้น มีคนมาขอชนแก้วด้วยก็ชนกลับไปเพื่อความสนุกสนาน พอมารู้ตัวอีกทีนิลเป็นคนแรกที่ออกไปนั่งคลอเคลียกับเด็กหนุ่มหน้าตาดีทั้งที่ก่อนหน้านี้มันยังซื้อดริ้งโคโยตี้อยู่เลย รัตติกาลเองก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน คณิตมึนงงจนไม่อยากสนใจใคร ความปวดหน่วงบริเวณท้องน้อยทำให้เขาเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อขับของเสียออกมาบ้าง แต่พอเดินเข้ามาเขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นว่าคนที่ขอตัวไปสูบบุหรี่ข้างนอกกำลังไล่งับติ่งหูหญิงสาวในชุดรัดรูปอยู่ คณิตมองไปยังห้องน้ำด้านนอกสุดที่ประตูเปิดทิ้งไว้แล้วรีบพาร่างของตนเข้าไปข้างในเพราะไม่อยากขัดจังหวะของคนทั้งคู่
เสียงครางอย่างสุขสมดังอยู่สักพัก คณิตที่พยายามจัดการตัวเองให้เบาที่สุดนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนฝาชักโครกรอเวลาให้ได้ออกไป ไม่นานนักเสียงอื้ออึงนั่นก็เงียบลง ชายหนุ่มลุกขึ้นปัดกางเกงแล้วเตรียมตัวออกไปด้านนอก
“เมื่อไหร่พี่จะเลิกทำตัวมักง่ายแบบนี้สักที”
เสียงเพื่อนของเขาดังขึ้นก่อนที่คณิตจะผลักประตูออกไป เขาหยุดมือที่กำลังจะปลดล็อคกลอนแล้วยืนนิ่ง รอฟังบทสนทนาต่อไปโดยที่รัตติกาลและนทีไม่รู้ตัว
“หึงหรอครับ”
“รำคาญต่างหาก ทีหลังถ้าจะไปเอากับใครก็อย่าโทรมา ผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น ถ้าพี่ชอบอยากให้คนอื่นเห็นตัวเองตอนทำเรื่องอุบาทว์ก็ไปหาที่อื่น”
“ฮ่าๆ ใครว่าละ พี่อยากให้กาลหยุดพี่ต่างหาก ผิดหวังแหะ”
“ไปบอกพี่แพงเถอะครับ ถ้าแฟนพี่ยังหยุดพี่ไม่ได้ คนอื่นก็ไร้ประโยชน์”
“ใครว่าล่ะ ไม่แน่นะกาลอาจจะหยุดพี่ได้ก็ได้...”
“ตลกตายล่ะ”
“พูดจริงนะครับ”
“งั้นก็ยืนยันได้เลยว่าตอแหล”
“ฮ่าๆ กาลกำลังทำให้พี่เป็นบ้านะ ฟังกาลด่าทีไรรู้สึกเหมือนกำลังได้รับความรักอยู่เลย”
“พี่บ้าของพี่อยู่แล้ว อย่าลากผมเข้าไปยุ่ง”
“น่าน้อยใจจังนะ ทั้งๆที่พี่กำลังบ้ากาลอยู่แท้ๆ”
ตึง!!
คณิตสะดุ้งเฮือก ประตูไม้อัดที่เขากำลังยืนพิงอยู่ถูกกระแทกเข้าเต็มแรงจนเผลอผงะไปทางด้านหลัง ร่างสูงใหญ่ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าทั้งสองคนกำลังทำอะไร บทสนทนาที่เต็มไปด้วยเรื่องน่าสงสัยทำให้เขาอยากปีนออกไปดูด้านนอก
“ออกไป”
“ฮ่าๆ พี่ชอบหน้ากาลตอนโมโหจัง”
“ขอแก้ความเข้าใจผิดหน่อยแล้วกัน ไม่ได้โมโห แต่รังเกียจ”
“ปากร้ายๆนี่ก็ชอบนะ”
“เฮ้อ พี่จะทำอะไรก็เรื่องของพี่ เลิกวุ่นวายกับผมสักทีเถอะ”
“ปากไม่ตรงกับใจ”
“ทั้งปาก ใจ และเท้าผมตรงกันครับ อยากลองไหม?”
“ไม่ไหวแล้ว มีเสน่ห์เกินไปแล้ว”
“เฮ้อ เลิกแกล้งทำเป็นว่าสนใจผมสักที มันทำให้ผมรำคาญมากกว่าจะรู้สึกดี”
“รู้ได้ไงว่าพี่แกล้ง พี่รู้สึกดีกับกาลนะ”
น้ำเสียงที่ดูล้อเล่นมาตลอดเปลี่ยนเป็นจริงจังในประโยคสุดท้าย ทั้งห้องน้ำตกอยู่ในความเงียบจนคณิตนึกสงสัยว่าคนในผับมากมายไม่มีใครปวดห้องน้ำแบบผิดเวลาเหมือนเขาบ้างรึไง ทำไมเขาถึงต้องเป็นคนได้ยินเรื่องบ้าๆนี่ทั้งหมดด้วย
“ผมนึกว่าพี่จะฉลาด”
“...”
“ความรู้สึกดีกับความรัก...ไม่เหมือนกันนะครับ”
รัตติกาลพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนคณิตจะได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินจากไป เขายืนนิ่ง ไม่มั่นใจว่าตัวเองควรเดินออกไปไหม จนเวลาล่วงเลยไปกว่าสามนาที เขาปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีใครยืนอยู่ข้างนอกนั่น แต่ก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกไป คณิตก็ต้องชะงักมืออีกครั้ง
“นั่นสินะ...มันไม่เหมือนกันสักหน่อย”
“...”
“แต่อย่าลืมล่ะ ว่าความรักที่เติบโตจากความเกลียดชัง...มันก็มีเหมือนกัน”
.
.
.
.
.
.
เสียงฝนสาดดังขนาดห้องข้างในยังได้ยิน โทรทัศน์ในห้องรับรองกำลังรายงานข่าวพายุซึ่งกำลังเคลื่อนที่ผ่านอ่าวไทย แต่มีหรือคนที่อื่นจะรู้ซึ้งเท่ากับคนในพื้นที่ เวลาล่วงเลยมาถึงสามทุ่มกว่า ความโกลาหลจากธรรมชาติก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง เขาส่งข้อความบอกปูนให้จองห้องพักในโรงแรมไปก่อน ส่วนตัวเองต้องมานั่งจับเจ่าอยู่กับคนที่ไม่ชอบหน้าโดยที่คณิตออกไปจัดการธุระข้างนอกยังไม่กลับมา มีเพียงอารัณย์ในชุดคล้ายๆกันเดินหน้านิ่งมานั่งบนโซฟาตัวข้างๆ ไม่พูดไม่จาแต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี เขาเองก็ไม่อยากพูดเหมือนกัน
“ดูท่าจะไม่หยุดตกจนถึงเช้า”
คณิตที่ดูเหนื่อยล้าเดินเข้ามาพร้อมกับปลดเนคไทออก เสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มวางพาดกับเก้าอี้ ร่างสูงวางจานของวางลงบนโต๊ะกลางห้องให้เป็นของรองท้องแขกทั้งสองที่ต่างก็ทำทีท่าเฉยชาใส่กัน อารัณย์เองพอได้ยินชื่อของนทีก็ยืนนิ่ง สีหน้าครุ่นคิดของคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นคนรักของเพื่อนทำให้คณิตเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการเวลา จึงไม่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
แค่รู้ชื่อยังเป็นขนาดนี้...ถ้าเขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังจะขนาดไหน...
“กูจะกลับกรุงเทพ”
รัตติกาลเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“ฝนตกยังกับห่าลง ลมก็แรงขนาดต้นมะพร้าวยังไหว ต่อให้มึงขับรถแข็งแค่ไหนก็อย่าเสี่ยงเลยไอ้กาล ไปนอนข้างบนเดี๋ยวกูเปิดห้องให้”
“ไม่ล่ะ กูต้องพารพีไปหัวหินแต่เช้า”
“หัวหิน?”
“อืม...สัญญาไว้แล้ว”
รัตติกาลนั่งชั่งใจอยู่นาน จริงอย่างที่คณิตว่า...เขาไม่ควรเสี่ยงขับรถฝ่าพายุออกไปตอนนี้ แต่เพราะคำสัญญาที่เขามอบให้อีกฝ่ายไปโดยไม่มีจุดประสงค์อื่น และยิ่งกว่านั้น...รัตติกาลเกลียดคนที่ผิดสัญญา ถ้าหากเป็นไปได้เขาเองก็ไม่อยากทำมันกับคนอื่นเช่นกัน
“แต่ฝนมัน...”
“ไม่เป็นไร ใช่ว่ากูจะไม่เคยขับฝ่าพายุมาก่อน พอพ้นชลบุรีไปน่าจะซากว่านี้”
ร่างโปร่งลุกขึ้น หยิบถุงเสื้อผ้าและของฝากที่คณิตให้มาตั้งแต่กลางวัน เพื่อนตัวสูงรู้ดีว่าถ้าตัดสินใจแล้วก็เกินความสามารถจะห้ามปราม รอยคล้ำรอบดวงตาบอกได้ดีกว่าคณิตแทบจะฝืนสังขารไม่ไหวแล้ว รัตติกาลให้คณิตพักผ่อนอยู่ในห้องไม่ต้องออกไปส่งตัวเอง เขาเดินผ่านพนักงานที่จับกลุ่มคุยกันเดินทะลุออกมาถึงลานจอดรถ แต่ก่อนที่ร่างโปร่งจะได้กดรีโมทเพื่อปลดล็อค เสียงพูดที่ดังจากทางด้านหลังก็ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง
“ไปรถกู”
“...ไม่ต้องมายุ่ง”
“กูก็จะกลับกรุงเทพเหมือนกัน แล้วถ้ามึงขับรถกลับเด็กมึงจะทำยังไง อย่าบอกนะว่าจะปล่อยให้มันนั่งรถตู้”
คำพูดนั้นทำให้รัตติกาลนึกขึ้นได้ เขาเชื่อว่าปูนจะไม่ว่าอะไรหากเขาตีรถกลับไปก่อน แต่ก็เหมือนกับเรื่องของรพี...เขารับปากอีกฝ่ายไว้แล้วว่าจะคอยไปรับไปส่ง หากต้องผิดสัญญาอย่างน้อยต้องไม่ใช่ว่าเขาปล่อยให้ปูนนั่งรถตู้กลับเพียงลำพังอารัณย์สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของร่างโปร่ง เขาเดินนำไปยังรถรุ่นโฟล์ครุ่นเก่าที่จอดถัดจากรถของรัตติกาลไปไม่กี่คัน
“ไม่ต้องห่วง ถึงจะเก่าแต่เจ้าของเขาก็ดูแลดี ขับฝ่าฝนได้สบาย”
รัตติกาลไม่โต้เถียงอะไร เขายอมฝากของไว้บนรถคันนั้นก่อนจะเดินกลับไปฝากกุญแจรถไว้กับรีเซฟชั่น แจ้งชื่อจริงของปูนแล้วติดต่อเด็กหนุ่มว่าให้มาขับรถของเขากลับไปกรุงเทพในวันพรุ่งนี้
“พี่กาลจะขับรถไปตอนนี้จริงๆหรอ”
“อืม ไม่ต้องห่วง ถ้าถึงแล้วพี่จะโทรหา”
“ครับ...บอกเพื่อนพี่ขับช้าๆนะ”
ร่างโปร่งบอกลาโดยปล่อยให้ปูนเข้าใจผิดไปทั้งแบบนั้น จะให้บอกได้ยังไงว่าเขาต้องนั่งรถกลับกับโจทย์เก่าที่ทั้งเขาและปูนเคยมีเรื่องด้วยมาก่อน สีหน้าไม่พอใจของร่างเล็กในวันนั้นรัตติกาลยังจำได้ดี เด็กหนุ่มที่ดูเป็นมิตรกับทุกคนปฏิเสธตัวตนของอารัณย์อย่างสุดใจแม้แต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ และแม้แต่เขาเอง ก็เกลียดชังอารัณย์เช่นกัน...
ใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มสะท้อนกับไฟส่องถนนยิ่งทำให้ดูคมคาย รัตติกาลเผลอจ้องมองริมฝีปากของอีกฝ่ายที่มอบสัมผัสให้กับเขาเป็นครั้งที่สองโดยปราศจากเหตุผล ทั้งที่เคยคิดว่าตอนที่จูบกันครั้งแรกนั้นเลวร้ายจนไม่อยากจดจำ แต่ครั้งนี้กลับเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะรัตติกาลหาสาเหตุที่อารัณย์จูบตนไม่ได้เลย...
“ไปเส้นหลังเขาเขียวนะ ฝ่าตัวเมืองไปไม่ไหวทั้งรถติดทั้งน้ำท่วม”
รัตติกาลไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ได้แต่เปรยตามองคนที่ย้ำนักย้ำหนาก่อนออกมาว่ารถบุโรทั้งคันนี้สามารถขับฝ่าฝนได้ เขาถอนหายใจนั่งฟังเพลงจากเทปคลาสเสดที่ไม่คิดว่าจะยังมีคนใช้อยู่ในยุคสมัยนี้ จังหวะดนตรีพิมพ์นิยมในยุค90’s เคล้ากับเสียงฝนได้อย่างน่าประหลาดใจ ยาแก้หวัดที่คณิตเพิ่งให้เขาทานก่อนออกมาเริ่มออกฤทธิ์ รัตติกาลแอบนึกดีใจที่ตัวเองไม่ดื้อดึงขับรถกลับด้วยตนเอง ต่อให้เขาขับรถแข็งขนาดไหนก็มีสิทธิประสบอุบัติเหตุได้เมื่อร่างกายขาดความพร้อม
“ถ้าง่วงก็นอนไป ผ้าห่มอยู่หลังเบาะ”
“ไม่ต้อง”
“อย่าหยิ่ง เป็นหวัดขึ้นมาแล้วจะยุ่ง มึงยอมฝ่าพายุกลับเพื่อจะรักษาสัญญากับรพีไม่ใช่รึไง...อย่าทำมันพังเพราะทิฐิบ้าๆ”
“มีคนเคยทักคุณไหม ว่าคุณเป็นคนพูดมาก”
อารัณย์ไม่ได้เถียงอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มมุมปากมองดวงหน้าหวานที่ขึ้นสีแรงระเรื่อเพราะพิษไข้ ทั้งเขาและคณิตสังเกตตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องรับรองแล้วว่ารัตติกาลกำลังไม่สบาย มีเพียงเจ้าตัวนี่แหละที่ไม่ประมานตนเอาซะเลย
ถึงปากจะจิกกัดแบบนั้น แต่รัตติกาลก็ยอมเอื้อมตัวไปหยิบผ้าสำลีเนื้อนุ่มมาจากหลังเบาะคนขับ ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวทำให้รัตติกาลต้องการพักผ่อนเกินกว่าจะมาโต้เถียงกับใคร ร่างกายสูงโปร่งเอนพิงเบาะที่ปรับให้ได้องศา ผ้าห่มเนื้อบางแต่ทว่าอบอุ่นคลุมทั่วร่าง กอปรกับฤทธิ์ยาทำให้รัตติกาลเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว
ในชั่วขณะก่อนรัตติกาลจะไม่ได้สติ
เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบดังลอยมาจากที่ไกลๆ
พร้อมกับกระแสแห่งความคิดถึงที่หวนกลับมา
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
รีบอัพให้ก่อนจะไม่ว่างคับ ดีใจอะ ตอนนี้รัณย์กาลเพียบเลย (หลังจากโดนบ่นว่าพระเอกของเราบทน้อยเกิน หึหึ)
ตอนนี้ทั้งสองคนมันรวนมาก ทั้งสับสนและอะไรหลายอย่างเลยบังเกิดเป็นโมเม้นดีๆอย่างที่เห็น (นี่ดีแล้ว??)
เนื้อเรื่องต่อๆไปคงจะดำเนินเร็วขึ้นไม่ช้าอย่างที่ผ่านมาแล้วคับ กำลังเข้าเฟสที่สองของเรื่องแล้ว
จำนวนตอนอาจจะไม่มากอย่างที่คิด ถ้าเช่ไม่พาออกทะเลอีก เท่าที่จัดหน้าสำหรับตีพิมพ์ ก็300นิดๆแล้ว o22
ใช่แล้วคับ อ่านไม่ผิด จัดหน้าสำหรับตีพิมพ์ =w= อย่าถามว่าเช่ไปเอาความมั่นใจว่าจะมีคนซื้อมาจากไหน 555
ทำเพื่อสนองนี๊ดตัวเองล้วนๆ ตั้งแต่ตอนแต่งฟิคแล้ว อยากรวมก็รวม ไม่ค่อยสนจำนวน (จริงๆก็สนนิดหน่อย)
ไนท์แมร์ก็ลังเลนะว่าจะรวมดีไหม แต่ก็ตัดใจ จำนวนเท่าไหร่ก็เอาเหอะ หลักสิบเช่ก็ปลื้มแล้ว อยากเก็บงานตัวเองเป็นเล่ม
ดังนั้นถ้าใครอยากเก็บงานเช่เก็บตังวันละ5บาท 10บาทนะ อีกนานแหละ แต่ก็เก็บไว้เรื่อยๆ ราคาไม่แพงเกินจริงแน่นอน :katai4:
ตอนนี้กำลังเขียนสเปไว้ตอนนึง รอให้คนไลค์เพจครบ100คน (ดีใจยังกับครบ1000) เป็นสเปที่ไม่เครียดและแหวกมาก
เพิ่งรู้นี่แหละว่าแต่งแนวสบายๆมันดีแบบนี้นี่เอง ไม่ต้องคิดไรเลย T^T เปลี่ยนตอนนี้ทันไหม ฮ่าๆ รออ่านกันนะคับ
ไปไลค์เพจกันได้ อัพไม่อัพเช่จะบอกไว้ แล้วก็มีสเปอัพให้ตามโอกาส^^
ป.ล. เหมือนเดิม ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตคับ ช่วงนี้อาจจะเว้นสักหน่อยเพราะแต่ละตอนเริ่มยาวขึ้น เวลาเขียนนานขึ้น
แต่จะไม่หายหน้าไปเลยนะ ยังไงก็น่าจะได้อาทิตย์ละตอนเป็นอย่างต่ำ อย่างขยันก็วันเว้นวัน^^
ขอตอบเม้นท์หน่อย อยากบอกว่าคุณ Fujoshi เป็นคนแรกเลยที่บอกว่าชอบกาลนะคับ ปลื้มมมมม
:sad4: :z2:
เพ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้
ไม่น่าพลาดเลย
ดาร์กได้ใจมาก
กาลเป็นอะไรรึเปล่า ปวดหัวบ่อยๆ
เครียดมากไปไม่ดีนะ
ไม่รู้จะเม้นยังไง
เอาเป็นว่าชอบกาลมากๆๆๆๆๆๆ
รออ่านตอนต่อไปจ้า
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะ
ชอบมากๆเลย
-
รัณย์แอบหวั่นไหวแล้วใช่ไหม
คณิตพลาดอะ แต่ก็ดีนะ รัณย์จะได้มาดามใจกาลสักที
นทีเลวแบบไม่ไหวแล้ว
-
โหยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ชื่นใจ กาลเริ่มเปลี่ยนแล้ว จุดพลุฉลองดีไหมเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
น้องพีหนูต้องเอาความน่ารักของหนูเข้าสู้นะลูก :-[ :-[
ได้อ่านโมเม้นของรัณย์กาลแล้วปริ่ม นี่มุ้งมิ้งที่สุดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ :hao7: :hao7:
ป.ล.หายไปนานเลย ยอมรับเลยค่ะว่าที่หายไป ไปทำใจมา ฮ่าๆๆๆๆๆๆ พอมาเจอโมเม้นรัณย์กาลแล้วดีใจมากค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ถือเป็นก้าวเล็กๆ o13 o13
-
เห้ออ!! กาลน้อกาล
-
Special Night I
…Jealous...
“รพี! อย่าวิ่งลงบันไดครับ!!”
ฝ่าเท้าเล็กๆชะงักกึก ใบหน้ากลมมนตามวัยเบ้น้อยๆเพราะโดนคุณพ่อดุตั้งแต่เช้า รพีค่อยๆเดินลงไปชั้นล่างตามคำเตือนของรัตติกาลที่ยืนจังก้ารออยู่ที่ตีนบันได อยากจะวิ่งเข้าไปกอด ออดอ้อนเหมือนทุกครั้งแต่การยืนกอดอกแล้วเปรยตามองอย่างดุๆของบิดาทำให้เด็กชายไม่กล้าดื้อด้วยเหมือนทุกครั้ง
“พ่อกาลดุแต่เช้าเลย”
“ก็น่าโดนดุไหมล่ะ หรืออยากโดนเย็บคางอีกพ่อจะได้ไม่ว่า”
รัตติกาลหัวเราะเบาๆเมื่อรพีรีบหดคอเข้าเหมือนลูกเต่าตัวน้อย รอยแผลเป็นจางๆที่คางเป็นหลักฐานชิ้นดีซึ่งยืนยันคำพูดของเขาได้ ทันทีที่เท้าแตะพื้น เจ้าตัวป้อมก็รีบวิ่งมาพันเข่งพันขาเขาทั้งที่ยังทำหน้าง้ำงอ
“พีหิวอะพ่อ...”
รพีรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องน่าอายนั่นอีก เพราะเพื่อนตัวจ้อยอย่างข้าวนั่นแหละที่ร้องเรียกรพีให้วิ่งไปดูปลาคาร์ฟตัวใหญ่ที่พ่อกาลเพิ่งนำมาลงบ่อ รพีตื่นเต้นจัดรีบวิ่งลงบันไดโดยไม่ฟังคำเตือนของยายจันทร์ จนพลาดท่าสะดุดปลายเท้าตัวเองกลิ้งหลุ่นๆตบท้ายด้วยแรงกระแทกเต็มปลายคาง เด็กซนร้องไห้จ้าจนวุ่นวายไปทั้งบ้าน ยิ่งคิดยิ่งเจ็บจนรพีอดที่จะยกมือขึ้นมาลูบเบาๆบนรอยแผลเย็บไม่ได้
“ไม่รอน้ารัณย์ก่อนรึไง”
“ก็น้ารัณย์ช้าอ่ะ...นะๆ พ่อไปกินกับพีก่อนนะ”
รัตติกาลส่ายหัวให้กับความขี้อ้อนของลูกชาย ชายหนุ่มยกมือขยี้กลุ่มผมนุ่มนั้นอย่างเอ็นดูแล้วดันรพีให้เดินเข้าไปในห้องทานข้าว จันทร์ที่กำลังยืนกำกับนิ่มซึ่งจัดโต๊ะอยู่หันมายิ้มให้เจ้านายทั้งสองแล้วลงมือตักข้าวสวยร้อนๆให้ด้วยตัวเอง
“คุณกาลจะให้ป้าเอาของที่เตรียมไว้ขึ้นรถเลยไหมคะ”
“ไม่ต้องครับป้า เดี๋ยววันนี้ไปรถอารัณย์”
“ค่ะ แล้วนี่คุณเขายังมาไม่ถึงอีกหรอคะ”
“ส่งข้อความมาบอกแล้วครับว่ารถติด แต่อีกสักพักก็น่าจะถึง”
“น่าสงสารจังนะ เมื่อไหร่คุณกาลจะใจอ่อนยอมให้เข้ามาอยู่บ้านนี้สักที จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”
หญิงแก่พูดบ่นไปเรื่อยตามประสา รัตติกาลยิ้มขำเมื่อนึกถึงใบหน้าง้ำงอไม่แพ้เจ้าลูกชายเมื่อโดนเขาบ่ายเบี่ยงเสมอยามที่พูดกล่อมเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ รพีที่นั่งเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ยส่ายหัวแรงๆแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย เด็กชายรีบกลืนอาหารให้หมดก่อนจะเปิดปากพูดตามมารยาทที่ยายจันทร์สอนไว้
“พีไม่ให้น้ารัณย์มาอยู่ด้วยหรอก!”
“หึหึ”
“ทำไมล่ะคะ คุณพีก็ชอบเล่นกับคุณรัณย์ไม่ใช่หรอ”
ยายแก่ทักท้วง คุณหนูเล็กของเธอติดพี่เลี้ยงเด็กนั้นไม่แพ้พ่อของตัวเองเลย รพีทำหน้าชั่งใจครุ่นคิดถึงคำทักท้วงนั้น
รพีชอบน้ารัณย์...น้ารัณย์ก็บอกว่าชอบรพี
แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่น้ารัณย์ก็ชอบพ่อกาลเหมือนกันนี่แหละ!
“โห กินข้าวก่อนไม่ยอมรอกันเลยนะ”
รัตติกาลหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับควงกุญแจรถในมือเล่น ชายหนุ่มเคาะนาฬิกาข้อมือเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าตัวเองมาสายกว่าเวลานัดจนเขาต้องยอมให้เจ้าตัวดีกินข้าวกินปลาซะก่อนที่จะร้องงอแงด้วยความหิว คนมาใหม่ยิ้มแหยยอมรับในความผิดพลาดนั้น ใครจะไปคิดว่าถนนเมืองกรุงในเช้าวันเสาร์ที่ปกติจะโล่งพอสมควรวันนี้กลับเบียดแน่นจนอารัณย์ต้องอาศัยทางลัดพาเจ้ารถกระป๋องเดินทางมาถึงนี่
“น้ารัณย์ช้า!”
“ครับๆขอโทษนะ วันนี้รถติดมากเลยกาลรีบกินรีบออกเถอะ”
อารัณย์เอ่ยกับเจ้าตัวจ้อยก่อนจะหันไปพูดกับคุณพ่อสุดหล่อที่ยังคงดูดีในชุดลำลองสบายๆ ร่างสูงนึกดีใจที่เหล่าสมาคมแม่บ้านที่โรงเรียนไม่เคยเห็นชายหนุ่มในสภาพนี้ ใบหน้าหวานคมถูกล้อมกรอบด้วยทรงผมที่ไม่ได้จัดเซ็ตจนดูเป็นทางการ กางเกงสีชาขาสั้นประมานเข่าเข้ากันได้ดีกับเสื้อเชิ้ตคอวีสีขาวครีมที่ดูเบาสบายเหมาะกับวันอากาศร้อนๆ
ให้ตายสิ...ชักจะไม่อยากพาออกไปเที่ยวไหนเลยแหะ
“แล้วไม่หิวหรอ กินอะไรก่อนแล้วค่อยออกก็ได้”
“เป็นห่วงหรอ?”
“พูดมาก...”
ร่างสูงส่งยิ้มกรุ่มกริ่มให้คนปากแข็ง อารัณย์คว้าฝ่ามืออุ่นของอีกฝ่ายที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะมาเล่นอย่างย่ามใจ นิ้วยาวลูบไปตามรอยลายมือแผ่วเบาแล้วออกแรงนวดหวังให้รัตติกาลผ่อนคลาย แต่เจ้าของมันกลับหันมามองคนรักที่กำลังแต๊ะอั๋งตัวเองด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย อารัณย์ยิ้มอ่อนยอมปล่อยมือของรัตติกาลแล้วลงมือจัดการอาหารตรงหน้าโดยไม่สนใจสายตาของรพีที่มองมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากทั้งสามคนจัดการอาหารเช้าของตัวเองเสร็จ อารัณย์และรัตติกาลก็จัดการยกของที่จันทร์จัดเตรียมไว้ให้ขนใส่ท้ายเจ้ากระป๋อง รถคันย่อมของอารัณย์ที่ราคาสูงพอๆกับอายุการใช้งานที่เก่าแก่ อารัณย์เข้าไปนั่งประจำที่คนขับ ร่างสูงหันไปมองยังที่ข้างๆซึ่งปกติจะมีร่างสูงโปร่งของรัตติกาลจับจองเป็นประจำแต่ตอนนี้กลับถูกเจ้าตัวซนพาร่างป้อมๆของตัวเองขึ้นมานั่งเคียงคู่สารถีอย่างเขาจนคนเป็นพ่อต้องระเห็จไปนั่งข้างหลังโดยไม่ได้อิดออดอะไร
“พี ทำไมมานั่งนี่ล่ะครับ ปกตินั่งข้างหลังไม่ใช่หรอ”
“ก็วันนี้พีอยากจะดูรถ”
“ดูรถ? ข้างหลังก็ดูได้ครับ นั่งข้างหน้าไม่หนาวรึไง”
“ก็หนาว...แต่พีจะนั่งข้างหน้า น้ารัณย์อย่าบ่นสิ”
รพีที่ปกติจะไม่ชอบนั่งข้างหน้าเพราะเจ้าตัวทนไม่ได้กับแรงเป่าของแอร์ที่ทำเอาหนาวสั่น เด็กชายขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะเถียงข้างๆคูๆออกมาจนรัตติกาลซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังใช้หนังสือที่หยิบติดมือมาด้วยยกขึ้นซ่อนใบหน้าเปื้อนยิ้มของตัวเองไว้
“น้าไม่ได้บ่นสักหน่อย จะนั่งข้างหน้าก็นั่ง กาล...หยิบผ้าห่มหลังเบาะผมให้หน่อยสิ”
รัตติกาลหยิบผ้าห่มเนื้อสำลีสีอ่อนส่งให้เด็กชายที่มองอย่างชอบใจ ตัวละครจากอนิเมชั่นชื่อดังอย่างมินเนี่ยนถูกพิมพ์พร้อยไปทั้งผืน รพีรับผ้านุ่มๆมากอดไว้แน่น รู้สึกอบอุ่นจนชักอยากนอนขึ้นมาตะหงิดๆ แล้วก็เป็นไปตามที่คาดรพีได้ผ้าห่มไปก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยไม่นานก่อนจะผล่อยหลับ รัตติกาลต้องชะโงกตัวมาถ่ายภาพน่าเอ็นดูนั้นไว้ด้วยกล้องโทรศัพท์แล้วส่งให้นิลดู
“พีแย่งที่...อดจับมือกาลเลย”
“เพ้อเจ้อน่า ขับไปดีๆอย่าวอกแวก”
“ใจร้ายจัง นี่แฟนนะครับไม่ใช่คนขับรถ”
“หรอ ถ้าใช้ไม่ได้ก็บอกที่หลังจะได้ขับเอง”
“ประชดอีกแล้ว กาลใช้อะไรผมทำให้หมดแหละ...แค่อยากได้รางวัล”
รัตติกาลหัวเราะออกมาเบาๆแล้วสบตากับคนที่กำลังมองเขาผ่านกระจกมองหลัง ใบหน้าที่ใครๆมักบอกว่าดูดุดันไม่เหมาะกับการเป็นพี่เลี้ยงเด็กส่งยิ้มอ่อนมาให้เขาแต่ดวงตากลับออดอ้อนแล้วแฝงไปด้วยความปรารถนาบางอย่าง ร่างโปร่งถอนหายใจ...ภายนอกอารัณย์เป็นหนุ่มที่ร้ายกาจและเคร่งขรึม แต่สำหรับรัตติกาลหนุ่มอายุน้อยกว่าคนนี้เหมือนหมาตัวโตที่กำลังออดอ้อนเจ้าของด้วยสายตา
ร่างโปร่งโน้มตัวไปข้างหน้าจนอารัณย์ได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆที่เชิญชวนจนอยากฝากรอยรักสีกุหลายไว้บนสันกรามนั้นใจจะขาด ดวงตาสีนิลยังคงจ้องมองเขาอยู่ไม่มีการหลบหลีกอย่างเขินอาย แต่อารัณย์ก็ตาไวพอที่จะสังเกตเห็นใบหูเล็กๆนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อ
“หึ เจ้าเด็กขี้อ้อน”
ริมฝีปากนุ่มสัมผัสกับไหปลาร้าสวยที่โผล่พ้นคอเสื้อโปโลสีคราม อารัณย์รู้สึกเจ็บจี๊ดๆก่อนจะสัมผัสได้ถึงปลายลิ้นนุ่มที่ละเลียละเลียดบนผิวเนื้อที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เสียงหัวเราะเบาๆของรัตติกาลดังอยู่ข้างหูก่อนที่เจ้าตัวจะผละออกมา นั่งพิงเบาะแล้วยกหนังสือขึ้นอ่านตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฝากไว้ก่อนเถอะ...”
.
.
.
.
.
.
.
เสื่อผืนใหญ่ถูกปูลงบนพื้นหญ้าใต้ต้นใหญ่ แม้จะเป็นช่วงเที่ยงที่อากาศร้อนอบอ้าวแต่เพราะลมเย็นๆที่พัดเอื่อยๆและร่มไม้ทำให้การมานั่งเล่นที่สวนรถไฟตอนนี้ก็ไม่แย่นัก อารัณย์และรพีช่วยกันขนของลงมาจากรถ เด็กชายที่เพิ่งตื่นนอนเดินสะลึมสะลือกอดผ้าห่มมินเนี่ยมไว้ไม่ยอมปล่อยโดยที่มืออีกข้างถือตะกร้าของว่างที่รัตติกาลตื่นมาทำตั้งแต่เช้าซึ่งไม่หนักมากนักอารัณย์จึงยกให้เจ้าตัวจ้อยเป็นคนถือ
“พ่อ...พีง่วง”
“นอนมาตลอดทางยังง่วงอีกหรอ มาช่วยพ่อจัดขนมดีกว่ามา”
รพีพยักหน้า เดินต้วมเตี้ยมมาหาบิดาพร้อมยื่นตะกร้าหวายให้ปล่อยให้อารัณย์ขนของที่เหลือเพียงคนเดียว รัตติกาลหยิบจานกระดาษและช้อนพลาสติกออกมาวางแล้วใช้ผ้าคลุมทับอีกชั้นเพื่อกันฝุ่น ของทานเล่นที่ลูกชายชอบอยากชีสบอล นักเก็ต และมันบดถูกยกออกมา รวมไปถึงก๋วยเตี๋ยวลุยสวนที่คนขับรถส่วนตัวบ่นว่าอยากกินตั้งแต่อาทิตย์ก่อนก็ถูกห่ออย่างสวยงามทานคู่กับน้ำจิ้มรสเด็ดที่ร่างโปร่งภูมิใจในรถมือตัวเองตั้งแต่สมัยเรียน
ร่างป้อมพอเห็นของโปรดก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ทั้งที่เพิ่งทานข้าวเช้าไปแต่ระยะเวลาที่ต้องอยู่บนรถก็ทำให้กระเพาะน้อยๆร้องครวญครางอีกครั้ง เด็กชายหยิบเอาชีสบอลที่อยู่ใกล้มือเข้าปาก พาเมซานชีสเหนียวนุ่มห่อหุ้มด้วยเกล็ดขนมปังกรอบออกรสเค็มปะแล่มๆทั้งถูกปากถูกใจรพีเป็นที่สุด มือเล็กเตรียมจะหยิบกินเป็นชิ้นที่สองแต่ยังไม่ทันจะเข้าปาก อารัณย์ที่โผล่มาจากข้างหลังก็งับเอาของโปรดรพีลงท้องโดยไม่ขออนุญาต
“น้ารัณย์!!! คุณพ่อน้ารัณย์แย่งพี!!”
“ไม่เป็นไรๆมีอีกตั้งเยอะไม่ต้องแย่งกัน”
รัตติกาลรีบปลอบลูกชายที่แบะปากเตรียมร้องไห้พลางส่งสายตาคาดโทษไปยังคนก่อเรื่องที่ลอยหน้าลอยตาเคี้ยวของที่แย่งมาจนแก้มตุ่ย รพีที่โมโหจนน้ำตาคลอคว้ากล่องชีสบอลมากอดไว้กับตัวไม่ยอมให้ใครมาแย่ง อารัณย์เห็นแบบนั้นก็ยิ้มขำในความหวงของของหลานชาย
“พีอย่าทำแบบนี้ครับ เดี๋ยวหก”
“ก็น้ารัณย์จะแย่งของพี”
“แบ่งกันกินสิครับ พ่อทำมาตั้งเยอะ จะกินส่วนของน้าเขาด้วยก็ได้”
“ไม่เอาอะ ของน้ารัณย์มีแต่ผัก!”
“ไม่กินผักระวังตัวเตี้ยนะพี”
อารัณย์พูดทักขึ้น มีความสุขที่ได้แกล้งหยอกเด็กชายที่กอดกล่องของกินไว้ไม่ยอมปล่อยทั้งที่ของข้างในยังร้อนจนแขนสั้นๆนั้นเริ่มแดง
“ครูสาสอนว่ากินนมเยอะๆโตไปแล้วจะสูง พีกินนมเก่ง แต่ตอนนี้ยังเด็กอยู่ โตไปเดี๋ยวก็สูงเอง สูงกว่าน้ารัณย์ด้วย!”
“ครับๆ แต่กินแต่ของทอดก็ไม่ดีนะ ระวังจะอ้วนเป็นหมู”
“พีไม่อ้วนสักหน่อย ข้าวยังบอกเลยว่าพีผอม”
รัตติกาลมองพุงกลมๆของคนที่บอกว่าตัวเองผอม ถ้าจำไม่ผิดกราฟเปรียบเทียบน้ำหนักและส่วนสูงในสมุดตรวจสุขภาพที่ครูประจำชั้นให้เขาดูเมื่อเดือนก่อน ค่าBMIของรพีอยู่ชิดเส้นขอบของช่วงเกณฑ์ปกติแล้ว...
“เด็กดีต้องกินผัก...”
รพีแบะปาก สบตากับรัตติกาลที่มองมานิ่งๆ ไม่ดุว่าไม่กดดันแต่คนฟังกลับมือสั่น ร่างป้อมมองชีสบอลและก๋วยเตี๋ยวลุยสวนสลับกันแล้วก้มลงดูก้อนไขมันน้อยๆของตัวเองที่ข้าวชอบหนุนตอนนอนกลางวัน ดวงตากลมเหมือนเม็ดลำไยช้อนมองบิดาของตนอีกทีเพื่อขอคำยืนยัน รัตติกาลไม่พูด เขาเพียงแค่ส่งยิ้มให้ลูกจนตาหยี รพีค่อยๆวางกล่องชีสบอลลงบนเสื่อ เปรยตามองโรลผักสีเขียวแซมด้วยสีส้มของแครอทแล้วห่อด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวบางๆ น้ำจิ้มรสเด็ดอยู่ในถ้วยที่วางอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเพราะแสงแดดรึเปล่าเจ้าผักรสขมนี่ถึงได้ดูเขียวมากกว่าปกติข่มขวัญของรพีเสียจนกระเจิง
“ปะ ป้อนหน่อย...”
รัตติกาลทำตามที่ลูกชายอ้อน ร่างโปร่งบรรจงตักชิ้นที่เล็กที่สุดราดด้วยน้ำจิ้มที่ไม่เผ็ดจนเกินไปแล้วยื่นให้ตรงปากของรพีรอแค่เจ้าตัวเอาเข้าปาก รพีมองก้อนสีเขียวๆนั้นด้วยสายตาสั่นระริก ข้างๆเป็นอารัณย์ที่ยกกล้องขึ้นถ่ายช็อตสำคัญพยายามกลั้นขำแทบตายเพื่อไม่ให้เจ้าตัวป้อมหมดกำลังใจ
“อ้าม...”
ร่างโปร่งส่งเสียงกระตุ้นลูกชาย รพีกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ริมฝีปากเล็กค่อยๆอ้ารับก๋วยเตี๋ยวลุยสวนเข้าไปเต็มปาก ใบหน้าที่เหยเกในคราวแรกค่อยๆดีขึ้นเมื่อรสหวานอมเปรี้ยวของน้ำจิ้มช่วยกลบกลิ่นแรงๆของผักจนไม่รู้สึกแย่อย่างที่คิด หมูและกุ้งสับที่สอดไส้อยู่ข้างในก็หวานหอมเข้ากันได้ดีกับความกรอบของแครอทและผักกาดแก้ว คิ้วที่ขมวดเป็นปมคลายลง กลายเป็นรพีทำหน้าพอใจกับรสชาติจนรัตติกาลหัวเราะออกมา ผู้ใหญ่สองคนลูบหัวเด็กชายอย่างเอ็นดูโดยที่รพีเอนคอรับสัมผัสจากมือทั้งสองอย่างออดอ้อน
“อร่อยไหม”
“อื้อ อ้อ อาน อำ อะ อ่อย” (อื้ม พ่อกาลทำอร่อย)
“อร่อยก็กินเยอะๆนะ”
“กาลๆ ป้อนผมด้วย”
เด็กโข่งข้างๆสะกิดคนรัก รอยยิ้มทะเล้นส่งมาให้ อารัณย์สบตารัตติกาลสลับกับของโปรดเป็นการขอให้ร่างโปร่งบริการตนเองแบบเดียวกับลูกชาย แต่ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ช้อนในมือของชายหนุ่มก็ถูกรพีที่เคี้ยวหมดคำแล้วแย่งไปยัดใส่มือพี่เลี้ยงหนุ่มที่ก้อร่อก้อติกบิดาของตนอยู่
“น้ารัณย์โตแล้ว กินเอง!!!”
.
.
.
.
.
.
เสียงหัวเราะและพูดคุยของคนที่เขารักทั้งสองดังมาจากไกลๆ รัตติกาลที่เอนหลังพิงกับต้นไม้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือมองดูอารัณย์ที่กำลังสอนรพีให้ปั่นจักรยานสองล้อสำหรับเด็กที่เช่ามา ขาที่ยาวไม่ถึงพื้นพยายามเหยียบบันไดแล้วถีบพาตัวไปข้างหลังภายใต้การประคับประคองของคนตัวโตที่สอนเด็กน้อยอย่างใจเย็น
“นั่งตัวตรงๆ อย่าเกร็งสิพี”
“ไม่ได้เกร็งสักหน่อย!”
“เอนตัวไปข้างหน้ามากไปแล้ว!”
“อย่าปล่อยนะ!!”
ทุกอย่างเป็นไปด้วยความทุลักทุเล รอยถลอกเล็กๆตามขาเหมือนเป็นแผลแห่งเกียรติยศสำหรับเด็กๆรัตติกาลจึงไม่ได้เป็นห่วงมากนัก เขาจิบน้ำมะตูมที่จันทร์ทำไว้ให้ดับร้อน รสหวานช่วยให้ร่างโปร่งที่ไม่ค่อยถูกกับอากาศร้อนๆผ่อนคลายลงได้ยิ่งได้ลมที่พัดเอื่อยๆตลอดวันช่วยกว่าจะรู้ตัวอีกทีเวลาก็เลยมาถึงบ่าย
รัตติกาลมองทั้งสองคนที่หัวเราะให้กันด้วยรอยยิ้มอดขำไมได้ ที่วันนี้เจ้าลูกชายออกอาการ ‘หวง’ เขาเสียจนออกนอกหน้า ใบหน้าง้ำงอที่โต๊ะกินข้าว การแย่งที่นั่งที่ประจำ และอาการหวงของกินที่ปกติเจ้าตัวเป็นเด็กมีน้ำใจทำให้รัตติกาลนึกขำ เพราะแบบนี้นี่แหละถึงยังไม่ตอบตกลงกินอยู่กับอารัณย์เต็มตัว
“บ้านแตกแน่ๆ”
อารัณย์คว้าตัวรพีก่อนที่จะลงไปกลิ้งพร้อมกับจักรยานคันใหญ่ เด็กชายมีท่าทางตกใจแต่ก็ยังหันมาหัวเราะกับร่างสูงอย่างสนุกสนาน ฝ่ามือใหญ่ยีกลุ่มผมนุ่มอย่างเอ็นดูก่อนจะแนะนำวิธีการทรงตัวให้รพีฟังใหม่อีกครั้ง ร่างป้อมขานรับอย่างเข้าใจก่อนจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งและอีกครั้ง
คนตัวสูงรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตน ดวงตาสีนิลวาววับมองทอดมายังเขาและลูกชายที่สังเกตเห็นคนเป็นพ่อแล้วเหมือนกัน รพีโบกมือให้รัตติกาลด้วยท่าทางร่าเริงเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่กำลังฉายแสงอยู่บนท้องฟ้า ส่วนรัตติกาลก็ส่งยิ้มอ่อนกลับมาให้ เป็นกลางคืนที่ทั้งสงบและอบอุ่นชวนให้หลับสบาย อารัณย์มองภาพของทั้งสองคนแล้วยิ้มตาม เขายืดตัวขึ้นแล้วโบกมือให้คนรักบ้างโดยมีเจ้าตัวจ้อยที่ยืนอยู่ข้างๆร้องโหวกแหวกโวยวายไปเรื่อยตามประสาเด็กขี้หวง...
เสียงนกกระพือปีกปลุกรัตติกาลให้ตื่นจากภวังค์ นภาสีฟ้าสดแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มอิฐ สวนรถไฟที่เคยสงบมีผู้คนมากมายเดินจนหนาตา หลายคนมองมาที่เขา หัวเราะคิกคักเหมือนเห็นของถูกใจ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่มาเดินออกกำลังกายต่างส่งยิ้มมาให้พร้อมปากเอ่ยว่าช่างน่าเอ็นดู รัตติกาลเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงที่ตัดผมทรงนักเรียนแบบผิดระเบียบมากันเป็นกลุ่มใหญ่ เด็กสาวพวกนั้นหยุดเดินแล้วส่งเสียงกรี๊ดเบาๆยกมือถือออกมาแล้วหันกล้องมาทางพวกเขา เสียงหัวเราะคิกคคักทำให้รัตติกาลไม่ชอบใจแต่ก็ได้แต่นั่งนิ่งเพราะยังมึนงงกับสถานการณ์
“อื้อ...”
เขาก้มหน้าลงมองตักของตัวเอง ทั้งสองที่ปั่นจักรยานเล่นเมื่อบ่ายนอนสลบไสลอาศัยตักแข็งๆของเขาเป็นที่เอนหัวทั้งสองข้าง ด้านซ้ายเป็นลูกชายตัวป้อมที่อ้าปากกว้างจนน้ำลายไหลเปื้อนกางเกงสีชาเป็นวง ด้านขวาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ใบหน้ายามหลับใหลนั้นดูเคร่งครึมผิดกับนิสัยที่แท้จริง
“นอนไม่รู้เรื่องเลย...”
รัตติกาลใช้นิ้วบดคลึงหัวคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมเพราะความเมื่อยล้าที่ต้องนอนบนพื้นแข็งๆ คนอายุมากกว่าลูบกลุ่มผมสีเข้มของคนตัวโตเบาๆแทนคำขอบคุณที่เจ้าตัวยอมเสียสละวันหยุดพาเขาและลูกชายมาเที่ยวแทนที่จะได้พัก และเพื่อเป็นการตอบแทนที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอมา
เปลือกตาสีไข่ขยับน้อยๆก่อนเจ้าตัวจะลืมตาขึ้น อารัณย์ยกยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของคนรักทันทีที่ตื่นขึ้นเหมือนกับฝันที่แอบหวังมาตลอด ร่างโปร่งคว้ามือเรียวที่ลูบผมเขามากุมไว้แล้วกดจูบเบาๆบนฝ่ามือขาว เขาแนบใบหน้าเข้าหาหน้าท้องแบนราบเรียบภายใต้เสื้อเชิ้ตตัวบาง ออดอ้อนร้องขอ...อยากอยู่แบบนี้ตลอดไป
“กาล”
“หื้ม”
“อยู่กันแบบนี้ตลอดไปนะ”
“...”
“เราทั้งสามคนเลย”
“รัณย์...”
“ครับ”
“ลุก...เหน็บกิน”
“...”
“...”
อืม...เอาเถอะ...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
เป็นไงคนับตอนพิเศษ แต่งสนุกมากมาย แต่งไม่ต้องคิดไรเยอะ ชอบ!!! 55555555 เปลี่ยนแนวทันไหมเนี่ย :mew4:
หวานพอไหม?? คือถ้าให้เช่หวานก็ประมานนี้แหละคับ ไม่รอดจริงๆ เรื่องต่อๆไปคิดแล้วว่าอยากให้มีมุมแบบนี้มากขึ้น
คงต้องฝึกปรือฝีมือกันอีกนาน นี่ก็ถือว่าเป็นตอนสนุกๆ ไว้เบรกความดาร์กแล้วกัน^^ :katai2-1:
อธิบายนิดนึง หลายคนอาจจะสงสัยในนิสัยของรพีว่าทำไมแปลกๆ อนึ่งตอนพิเศษนี่ตามที่เขียนเลยครับ มันเป็น "ฝัน"
เพราะฉะนั้นนิสัยตัวละครจะไม่เหมือนกับเนื้อเรื่องหลัก เช่อยากสื่อว่าถ้าเกิดรพีไม่โตมาแบบเรื่องหลัก
น้องก็จะเป็นแค่เด็กดื้อๆติดคุณพ่อธรรมดา ไม่เหมือนรพีปกติที่ติดนิสัยแปลกๆ กล้าๆกลัวๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ในอนาคตรพีจะโตขึ้นมาเป็นยังไง จะได้มีโอกาสเห็นน้องร่าเริงแบบนี้ไหม ก็เอาใจช่วยกันนะ
รวมถึงตัวละครอื่นด้วยโดยเฉพาะกาล ถ้าไม่มีเรื่องให้จิตตกก็ใช้ได้เลยใช่ไหมล่ะ เช่ชอบ^^
ตอนพิเศษตอนนี้แต่งเนื่องในโอกาสฉลองคนไลค์เพจเช่ครบ 100 คนนะคับ
ตอนพิเศษอื่นๆรับรองว่ามีแน่ แต่ดูตามโอกาสกันไป ติดตามข่าวสารได้ทางเพจเหมือนเดิมนะ
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตในตอนที่แล้ว เช่จะพัฒนาตัวเองให้เก่งๆกว่านี้นะ^^
โหยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ชื่นใจ กาลเริ่มเปลี่ยนแล้ว จุดพลุฉลองดีไหมเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
น้องพีหนูต้องเอาความน่ารักของหนูเข้าสู้นะลูก :-[ :-[
ได้อ่านโมเม้นของรัณย์กาลแล้วปริ่ม นี่มุ้งมิ้งที่สุดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ :hao7: :hao7:
ป.ล.หายไปนานเลย ยอมรับเลยค่ะว่าที่หายไป ไปทำใจมา ฮ่าๆๆๆๆๆๆ พอมาเจอโมเม้นรัณย์กาลแล้วดีใจมากค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ถือเป็นก้าวเล็กๆ o13 o13
หายไปนานเลย เช่คิดถึงนะคับ ^^ ดีใจที่กลับมา :กอด1:
-
นึกว่าตาฝาด ฟินนนนนนนนนนมากกกกกกกกกก
กาลน่ารักอะ ราชินีมาเลย ขอลุคนี้ในเรื่องหลักบ้างได้ไหมอะ ชอบๆๆๆๆๆ โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ฮาไม่ไหวแล้วค่าาาาา
ชอบตอนนี้มาก แต่เรื่องหลักก็เขียนไปตามปกติเถอะคะ ขอแค่มีพิเศษใส่ไข่ให้พักหายใจหายคอบ้าง
-
จะมีโอกาสเห็นภาพแบบนี้ในเร็ววันไหม
-
ตอนพิเศษน่ารักมากเลยค่ะ o13 o13 o13
เอาแบบนี้มาเยอะๆนะคะ ฮ่าๆๆๆๆ
ป.ล.แฮร่ๆๆ คิดถึงคนเขียนเหมือนกันค่าาา จะมาบ่อยๆน้าาาา :3123: :3123:
-
ปลื้มปริ่มกับตอนพิเศษ
น้องพีอ้วนกลมดูมีความสุขสุดๆ
-
สนุกมากก
:heaven
เราชอบมาม่าเรื่องนี้สุดสุด เข้มข้นถึงใจ
อ่านรวดเดียวเลย ฮุฮุ
มาต่อไวไวน้าาา ติดตามๆ
-
มันจะต้องโอเคเนาะ เหงตอนพิเศษละก้อใจชื่น
-
ไม่อ่านตามอ่านตั้งหลายตอน คิดถึงเรื่องนี้
คือยังอยากด่ากาลเหมือนเดิมว่า ทำไมถึงแค้นคนที่ตายไปแล้ว
ตัวเองก็เป็นคนแย่งนทีมากจากแพงไม่ใช่เรอะ?
หรือว่ามันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น?' o22
-
21st Night
…Tomb Keeper& Cerberus...
แสงไฟที่แยงตาปลุกรัตติกาลให้ตื่นจากภวังค์ ใบหน้าที่แสดงความตระหนกปนกับตำหนิของจันทร์ทำเอาชายหนุ่มอดที่จะยิ้มอ่อนไม่ได้ หญิงแก่ที่ถูกนิ่มปลุกขึ้นกลางดึก รีบพาร่างท้วมของตนมายังบ้านใหญ่ในเวลาร่วมตีสอง พอมาถึงจันทร์ก็ต้องยกมือทาบอกด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพรถบุโรทั่งของอารัณย์ที่ขับพานายของเธอกลับมาถึงกรุงเทพ
“ต่อให้คุณกาลโตแล้ว ป้าก็ตีคุณได้นะคะ!”
“ขอโทษครับที่ทำให้เป็นห่วง”
“รู้ว่าป้าห่วงก็ยังจะทำนะคะ ไม่อยากเห็นป้าแก่ตายรึไง ทำอะไรคิดถึงใจคนแก่บ้างเถอะค่ะ”
“ครับๆ แต่ยังไงป้าก็แข็งแรงอยู่แล้วไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก”
รัตติกาลพูดเอาใจคนที่เขารักเหมือนกับพ่อแม่แท้ๆ แม้จะเหนื่อยล้าแต่หัวใจกลับรู้สึกอบอุ่นเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้ จันทร์เอาแต่ส่ายหน้าพลางพูดตำหนิคุณหนูของตนไม่หยุดจนนิ่มที่ยืนอยู่ข้างๆแอบขำ หญิงสาวยังจำสีหน้าของคนแก่ตอนที่เธอเข้าไปบอกว่าคุณผู้ชายเพิ่งฝ่าพายุกลับมาถึงบ้านได้ขึ้นใจ
รัตติกาลหันไปมองที่นั่งว่างเปล่าฝั่งคนขับ เขาไม่เห็นชายหนุ่มเลยตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา อันที่จริงต้องบอกว่าตั้งแต่ที่เขานอนหลับไปถึงจะถูก
“แล้วนี่...เขาไปไหนครับ”
“เขา? คุณอารัณย์น่ะหรอคะ”
“ครับ”
อยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แต่หลักฐานว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณอีกฝ่ายก็ยังคาตา รัตติกาลแปลกใจที่ตัวเองเผลอหลับเป็นตายยาวจากชลบุรีเรื่อยมาถึงกรุงเทพแม้จะต้องอยู่ในห้องโดยสารกับคนที่เรียกได้ว่าเป็นศัตรูสองต่อสอง ปลอบใจตัวเองว่าคงเป็นเพราะฤทธิ์ยา แต่สำหรับคนที่ต้องพึ่งยานอนหลับมาเกือบหกปีก็ทำใจหลอกตัวเองได้ยาก เขาคงจะเหนื่อยล้ามากจริงๆถึงได้ไม่ระวังตัวแบบนี้...
“ป้าเห็นคุณเขามีแผล เลยให้ลูกศรพาไปทำแผลข้างในก่อนแล้วค่ะ”
“อ่า...ครับ”
“แล้วไปไงมาไงคะถึงได้มาด้วยกัน”
“ผมบังเอิญไปเจอเขาที่นั่น เลยติดรถกลับมาด้วย”
“แล้วรถคุณกาลล่ะคะ?”
“ผมทิ้งไว้ให้เพื่อนที่ไปด้วยกันไว้ใช้น่ะครับ”
จันทร์รู้ดีว่ารัตติกาลมีเรื่องปิดบังเธออยู่ นิสัยที่ชอบจับผมทัดหูตัวเองเวลาพูดโกหกเป็นนิสัยที่แก้ได้ยากที่หญิงแก่เชื่อว่ารัตติกาลเองก็ไม่รู้ตัว ใบหน้าที่เหนื่อยล้าและคำบอกเล่าของแขกผู้มาเยือนว่าเจ้านายของเธอมีไข้เพราะตากฝนทำให้จันทร์ไม่เซ้าซี้ถาม ทั้งที่นึกสงสัยอยู่เต็มแก่ ว่าคนที่เป็นดั่งไม้เบื่อไม้เมากับรัตติกาลถึงได้ดูมีท่าอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ความจริงคุณกาลน่าจะกลับซะพรุ่งนี้ ไม่น่าฝืนกลับมาเลย”
“ผม...ไม่อยากผิดสัญญา”
รัตติกาลตอบอ้อมแอ้ม เวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้โตขึ้นเลยจากเมื่อก่อน จันทร์ยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำตอบ มือที่หยาบกร้านและเต็มไปด้วยริ้วรอยตามอายุที่เพิ่มขึ้นยกขึ้นลูบหลังของผู้ชายที่เธอเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก
“ป้าดีใจที่คุณคิดแบบนี้นะคะ แต่ยังไงป้าก็เป็นห่วงอยู่ดี”
“...”
“คุณหนูของป้า...โตแล้วสินะ”
รัตติกาลหลุบตาลงมองพื้น รู้ตัวดีว่ามีชนักปักหลัง ทำให้ไม่สามารถตอบรับคำชมนั้นได้เต็มปาก ถ้าจันทร์รู้ถึงความตั้งใจของเขาหญิงแก่คงผิดหวังมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เดินมาไกลเกินกว่าจะถอยแล้ว
เสียงลากสลิปเปอร์เรียกสายตาทั้งสองคู่ให้หันไปมอง อารัณย์ที่แผลช้ำตรงมุมปากเห็นชัดขึ้นเดินออกมาจากห้องรับแขกคู่มากับลูกศร เด็กรับใช้ในบ้านอีกคน ร่างสูงที่ท่าทางเหนื่อยอ่อนเพราะขับรถฝ่าฝนมานานหลายชั่วโมงยกมือขึ้นไหวจันทร์ที่ทอยิ้มมองเขาอยู่ อารัณย์เหลือบมองรัตติกาลที่มีสีหน้าดีขึ้นกว่าตอนที่อยู่บนรถ
“ขอบคุณนะครับป้าที่ให้เด็กทำแผลให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ คนกันเอง”
“งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
“จะกลับตอนนี้เลยหรอคะ ฝนยังไม่หยุดตกเลย”
เป็นอย่างที่จันทร์ว่า สาเหตุที่อารัณย์ต้องใช้เวลาถึงสามชั่วโมงกว่าๆในการขับรถกลับเข้ากรุงเทพทั้งที่ปกติแค่ถ้าเขาขับแบบไม่เร่งรีบแค่สองชั่วโมงก็ถึงแล้ว พายุฝนส่งอิทธิพลไปทั่วทั้งภูมิภาคแล้วยังเผื่อแผ่มาถึงกรุงเทพที่อยู่ติดกัน ทำให้สายฝนยังคงตกมอบความชุ่มฉ่ำแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงป่านนี้
“ไม่เป็นไรครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว อยากกลับไปพักบ้างเหมือนกัน”
อารัณย์ยกยิ้มแกนๆให้ อยากนอนจนเต็มแก่ ยิ่งเห็นคนข้างๆนอนหลับสบายมาตลอดทางยิ่งทำให้พี่เลี้ยงหนุ่มมีความคิดอยากจอดพักข้างทางเสียตั้งหลายรอบแต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่อดทนพาทั้งรถและคนที่สภาพไม่เอื้ออำนวยฝ่าฝนมาถึงที่หมายได้อย่างปาฏิหาริย์
จันทร์หันไปสบตารัตติกาลเพื่อขอความคิดเห็น ถึงจะเป็นคนเก่าแก่แต่เธอก็ไม่ใช่เจ้าของบ้าน ชายหนุ่มเข้าใจในสิ่งที่จันทร์ต้องการสื่อ เขามองรถคันเก่าและอารัณย์สลับกันไปมาพร้อมกับครุ่นคิด จนสุดท้ายร่างโปร่งก็ถอนหายใจก่อนจะหันมาพูดกับอารัณย์ที่ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเอ่ย
“นอนนี่สิ”
“ห๊ะ?”
“นอนที่นี่...พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ”
“เออ...ไม่เป็นไร”
“ผมไม่ชอบเป็นหนี้ใคร ถือซะว่าตอบแทนที่ขับรถมาส่ง วานจัดการเรื่องห้องทีนะครับป้า เสร็จแล้วก็เข้านอนได้เลยผมเองก็จะขึ้นห้องแล้ว”
รัตติกาลสั่งโดยไม่สนว่าอารัณย์จะตอบรับหรือปฏิเสธ เขาพาร่างของตัวเองขึ้นไปยังชั้นสองโดยทิ้งอารัณย์ที่จ้องแผ่นหลังของอีกฝ่ายนิ่งและจันทร์ที่น้อมรับคำสั่งของเจ้านายด้วยความยินดี
แม้จะอาบน้ำมาแล้วจากห้องของคณิตแต่รัตติกาลก็ยังเอนหลังพิงอ่างอาบน้ำปล่อยให้กระแสน้ำอุ่นช่วยคลายความเมื่อยล้าและความสับสนที่มีมากเกินไปจนรู้สึกว่าเกินจะรับไหว ไอน้ำขุ่นมัวลอยฟุ้งไปทั่วทั้งห้องเหมือนดั่งม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่ในหัวใจ ทั้งคำพูดและรอยจุมพิตที่อีกฝ่ายฝากไว้ให้อยากจะคิดว่าเป็นเพียงการหยอกล้อเหมือนที่เคยทำ แต่แววตาและท่าทางที่แปลกไปกลับทำให้เขาไม่อาจทำใจให้สงบลงได้ สัญญาณเตือนบอกเขาว่าไม่ควรจะอยู่ใกล้ชายคนนั้นมากไปกว่านี้
“หึ คิดอะไรบ้าๆ”
ชายหนุ่มจัดการหาเสื้อผ้ามาสวมใส่แล้วมายืนอัดนิโคตินเข้าปอดที่ระเบียงห้อง อาจเพราะได้นอนหลับสนิทมาพอสมควรรัตติกาลจึงไม่อาจข่มตาหลับต่อได้ กระดาษที่ไหม้ไฟอยู่ปลายมวนทำให้ร่างโปร่งรู้สึกอบอุ่นทางกายแต่ภายในกลับยังหนาวสั่น เขาขยี้บุหรี่ที่สูบไปเพียงครึ่งตัว ก่อนจะเดินไปยังห้องข้างๆอันมีร่างของรพีกำลังนอนหลับใหลอยู่เพียงลำพัง
ใบหน้าละม้ายคล้ายพ่อหลับตาพริ้มไม่รู้ถึงการมาเยือนของเขา ตุ๊กตาที่นิลซื้อให้ครั้งก่อนถูกรพีกอดไว้เต็มอ้อมแขนเพื่อทดแทนความอบอุ่นที่ขาดหายไป รัตติกาลมองความไร้เดียงสานี้ด้วยความรู้สึกอิจฉาและเจ็บไปทั่วทั้งอก
“ดีจังนะ ที่ยังนอนหลับฝันดีได้อยู่...”
อยากจะลองเข้าไปในความฝันของเด็กคนนี้สักครั้ง อยากจะเห็นว่าสิ่งที่ทำให้คนคนหนึ่งสามารถยิ้มได้ทั้งที่ตกอยู่ในห้วงนิทรานั้นเป็นอย่างไร คงสวยงามและอบอุ่น ตัวเขาในความฝันนั้นคงกำลังยิ้มและหัวเราะให้กับลูกชายที่ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต่างอะไรกับภาพความฝันที่เขาบรรจงสร้างให้รพีในทุกวันนี้ เหลือเพียงรอเวลา...ให้สักวันเด็กชายตื่นขึ้นมาพบว่า เรื่องทั้งหมดนั้นไม่มีอยู่จริง
แตกต่างกับรัตติกาลที่ไม่เคยตื่นจากฝันร้าย เสียงร้องไห้ คำโป้ปด และคราบเลือด ยังคงชัดเจนไม่ว่ายามหลับหรือลืมตา เป็นฝันร้ายที่เกิดจากความจริง เป็นความทรมานที่เขาใช้ค้ำจุนตัวเองให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แม้ใครๆจะบอกว่าวิธีการนี้มันโง่เขลาและน่ารังเกียจ แต่สำหรับคนที่ไม่เหลืออะไรต่อให้ความเกลียดชังเป็นฟางเส้นสุดท้ายเขาก็จะคว้ามันไว้ด้วยความยินดี
แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าเจ็บใจที่รัตติกาลยังคงแอบหวังว่าจะได้นอนหลับฝันดีแม้เพียงสักคืน อยากจะหลับแล้วไม่ต้องตื่นมาพบเจอความโหดร้ายที่ทิ้งมันไปไม่ได้ ท่องเที่ยวไปทั่วโลก อยู่กับหนังสือที่ตัวเองรัก มีพ่อแม่และเพื่อนอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องโกรธแค้น ไม่ต้องชิงชังใคร อยู่ท่ามกลางแสงสว่างโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น
“ถ้าพรุ่งนี้ฝนหยุดตก...ก็คงดี”
.
.
.
.
.
.
เสียงเพลงลูกกรุงจากวิทยุเครื่องเก่าเคล้ากลิ่นหอมของใบชาเป็นสิ่งที่นิลโปรดปรานมากที่สุด ชายหนุ่มรูปร่างสูงเจ้าของใบหน้าเฉยเมยกำลังตักไข่กะทะเข้าปากอย่างสบายอารมณ์อยู่ในร้านกาแฟเจ้าเก่าย่านวิสุทธิกษัตริย์ เพราะฝนที่โปรยปรายตั้งแต่วานเย็นทำให้เช้าวันนี้แขกในร้านไม่คึกคักอย่างเคย นอกจากนิลแล้วยังมีกลุ่มอาแปะเจ้าประจำสองสามคนกำลังนั่งส่องพระเครื่องกันอย่างแข็งขันไม่รู้จักเบื่อหน่าย
หมูสับชิ้นสุดท้ายถูกจัดการเรียบร้อยก่อนจะตามด้วยโอเลี้ยงรสเข้มเข้าไปล้างคาว นาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่ในร้านตีบอกเวลาเก้าโมงทว่าก็ยังไร้วี่แววของคนที่ทำให้นักเขียนหนุ่มต้องลากสังขารพาร่างที่ทรุดโทรมเพราะต้องปั่นต้นฉบับมานั่งรอ ถึงแม้ปกติเขาจะมาแวะทานอาหารที่ร้านนี้เป็นประจำแต่ก็ไม่ใช่กับช่วงเวลาเร่งด่วนที่แค่ลุกไปอาบน้ำยังขี้เกียจ
‘ผมกลับล่ะ ส่งเอกสารมาทางเมล์ก็แล้วกัน’
ความอดทนเป็นสิ่งที่มีอยู่น้อยนิดในตัวของนิล เขาส่งข้อความไปทางโปรแกรมแชทอย่างไม่ลังเลเมื่อเวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ร่างสูงลุกขึ้นจ่ายเงินค่าอาหารเช้าแล้วสั่งขนมปังสังขยาไปเป็นของว่างทานเล่นที่คอนโดเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ในจังหวะที่นักเขียนหนุ่มจะเอื้อมมือไปรับของที่สั่งก็มีมือดีชิงตัดหน้าคว้ามันไปเสียก่อน
“จะกลับแล้วหรอครับ ใจร้อนจัง”
คนมาสายส่งยิ้มให้พร้อมกับชูถุงขนมปังขึ้นเสมอใบหน้า ไม่รอให้คนต้องรอว่ากล่าว นายตำรวจหนุ่มถือวิสาสะคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้แล้วจูงออกจากร้านโดยไม่ถามความคิดเห็น
“นิลอิ่มแล้วแต่ผมยังไม่อิ่ม นั่งทานมะตะบะเป็นเพื่อนก่อนนะครับ”
ฤทธิชาติหันมาพูดก่อนจะพาคนหน้านิ่งมาที่ร้านโรตีซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก เก้าอี้กลมขาเหล็กถูกลากออกมาให้นิลนั่งก่อนที่นายตำรวจหนุ่มจะพาร่างในชุดตำรวจครึ่งท่อนไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“นิลเอามะตะบะเหมือนผมนะ”
“ไม่เอา รีบพูดธุระซะ ผมยังมีงานต้องทำ”
แต่เหมือนคำพูดนั้นจะไม่เข้าหู รอไม่นานนักโรตีร้อนๆสองที่พร้อมชาไทยก็ถูกยกมาเสิร์ฟให้กับแขกทั้งสองคน ฤทธิชาติจัดแจงหยิบช้อนให้นิลอย่างเอาใจ ร่างสูงที่เบื่อหน่ายกับนิสัยทำตามใจตัวเองของอีกฝ่ายได้แต่ถอนหายใจก่อนจะลงมือทานเพราะขี้เกียจทะเลาะด้วย
“ขอโทษด้วยที่มาช้า พอดีมีคำสั่งใหม่มาก่อนผมจะออกเวรแค่สิบห้านาที กว่าจะติดต่อกลับไปทางนั้นเสร็จก็ปาไปร่วมยี่สิบนาที”
“ช่างเถอะ ว่าแต่เรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว”
“ถามเข้าเรื่องเลยหรอ กินให้หมดก่อนเถอะเดี๋ยวจะพาลเสียรสหมด น้ำจิ้มเจ้านี้เขาเด็ดจริงๆนะคุณ แต่ที่หนึ่งต้องยกให้ที่ท่าพระจันทร์ ว่างๆไปกินกันไหม”
“นิสัยไหลไปเรื่อยยังน่ารำคาญไม่เปลี่ยน ส่งเอกสารมาให้ผมแล้วหลังจากนั้นเชิญคุณไปท่าพระจันทร์กับคนที่เขาเต็มใจเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องกล่อมกันอีกนาน... โอเคๆ เลิกพูดแล้วก็ได้ นี่ครับเอกสารที่นิลขอ”
นายตำรวจหนุ่มยกมือยอมแพ้เมื่อเห็นหัวคิ้วของอีกฝ่ายกระตุกอย่างไม่พอใจที่โดนบ่ายเบี่ยง ซอกเอกสารสีน้ำตาลสองชุดถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับรูปถ่ายอีกสองใบที่นิลเป็นคนให้กับฤทธิชาติไว้เองในวันที่ชายหนุ่มได้ไอดีไลน์ของเขาไป
“บันทึกข้อความจากสภ.เมืองลำปาง และเอกสารจากนิติเวช ผมตรวจสอบแล้วว่าทั้งหมดเป็นของจริงและไม่มีพิรุธอะไรอย่างที่คุณกังวล”
น้ำเสียงที่เคยฟังดูขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นจนนิลแอบคิดไม่ได้ ว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ทำท่าทางแบบนั้นกับเขา ฤทธิชาติก็เป็นคนหนึ่งที่น่าสนใจ แต่เหตุผลหนึ่งเดียวที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่ ก็เพราะเรื่องราวที่นิลวานให้นายตำรวจหนุ่มช่วยสืบต่างหาก
“แล้วคุณตามตัวคนในรูปนี้ได้ไหม”
“ขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่าผมทำไม่ได้ การตามหาคนที่บังเอิญถูกถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์ต่อให้เป็นผมก็ยากอยู่ดี”
นิลเงยหน้ามองสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายแล้วได้แต่ถอนหายใจ รูปถ่ายที่ว่าเขาให้คนรู้จักที่พอมีฝีมือแสกนจากหนังสือพิมพ์ ปรับแต่งให้ชัดเจนแล้วอัดมาให้ ภาพที่ถูกถ่ายในกิจกรรมปลูกป่าการกุศลซึ่งจัดขึ้นในจังหวัดกาญจนบุรีธรรมดาๆ คงไม่สามารถทำให้คนไม่แคร์ธรรมชาติอย่างนิลสนใจได้ ถ้าเกิดมันไม่ปรากฏภาพของคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกับคนที่เขารู้จักดี และคนคนนั้นก็ขึ้นชื่อว่าตายไปแล้ว...
“คล้ายกันมากเกินไป...”
“เขากับคุณนทีน่ะหรอครับ”
ฤทธิชาติมองดูรูปถ่ายที่เขามองมันจนทะลุปรุโปร่งแล้วอีกครั้ง ภาพของชายคนหนึ่งยืนหันข้างให้กับกล้องที่ถูกขยายจนเห็นได้ชัดกว่าปกติ และภาพของ ‘นที’ หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถคว่ำที่จังหวัดลำปางเมื่อห้าปีก่อนถูกวางคู่กัน เขาไม่รู้ว่าคนจากทั้งสองภาพเป็นใครแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันดูละม้ายคล้ายกันมากจนน่าสงสัย แต่หลักฐานที่ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรจากทั้งสองที่ก็ระบุไว้ตรงกัน ว่าผู้ชายคนในภาพที่สองนั้น...ตายไปแล้ว
“คุณอาจจะคิดมากเกินไป อีกอย่างนี่ก็แค่รูปๆเดียว มันคงเป็นความบังเอิญที่ทำให้คุณเข้าใจผิด”
“ผมยอมทำทุกอย่างให้มันเป็นแค่การเข้าใจผิด...แล้วอีกรูปล่ะ”
“ภาพนั้นค่อนข้างดูยากครับ เกรงว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“ให้ตายสิ ต้องรออีกแล้วหรอ”
นิลรำพันกับตัวเองแต่ชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับได้ยินชัดทุกคำ สีหน้าเคร่งเครียดของคนที่เขาแอบปลื้มดูเหมือนยังไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ว่าสิ่งที่ตัวเองกังวลนั้นไม่เป็นเรื่องจริง
“นิล...คุณจะสบายใจขึ้นไหม ถ้าคุณเล่าให้ผมฟัง”
“...”
“ผมคิดว่าผมมีสิทธิรู้”
“อย่าเข้ามายุ่งมากไปกว่านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะผมรีบคงไม่วานให้คุณช่วย”
อาจจะเพราะนักสืบเอกชนที่นิลจ้างทำงานช้า หรือไม่ก็เป็นเขาเองที่ใจร้อนเกินไปจึงเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอให้นายตำรวจหนุ่มใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ สืบหาตัวคนในภาพและนำเอกสารยืนยันการตายของนทีและพะแพงมาให้แลกกับเงินจำนวนหนึ่ง แต่ฤทธิชาติกลับปฏิเสธมัน คนที่ตีหน้ายิ้มได้เสมอตอบรับข้อตกลงของเขาโดยไม่รับสิ่งใดตอบแทนยกเว้นเบอร์โทรศัพท์และไอดีไลน์เพื่อใช้ติดต่อเท่านั้น
“ผมขอเดาว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับคุณรัตติกาลไม่ผิดแน่”
“หึ...อะไรที่ทำให้คุณมั่นใจแบบนั้น”
“สัญชาตญาณล่ะมั้ง”
“ผมนึกว่าคุณเป็นตำรวจธรรมดา ที่ไหนได้...หมาตำรวจชัดๆ”
“ก่อนมีพวกมันเข้ามาช่วย คนอย่างเราก็ต้องจมูกไวไม่ต่างจากสัตว์”
“ถ้าอย่างนั้นช่วยหาหมาเก่งๆให้ผมสักตัว ให้จ่ายค่าอาหารค่ากระดูกคงคุ้มกว่ามาเปลืองตัวกับคุณแบบนี้”
“พูดแบบนั้นผมเสียหายนะ แค่ไลน์ไปหาฝ่ายเดียวกับนั่งกินมะตะบะด้วยกันไม่เรียกว่าเปลืองตัวหรอก ถ้าจะให้เป็นอย่างนั้นคงต้องทำอย่างอื่น...”
“เห็นไหม อย่างน้อยเสียงหมาเห่าก็น่าฟังกว่านี้”
“นิลยังไม่ได้ฟังเสียงผมเลยนะ เชื่อเถอะ...มันน่าฟังกว่าเป็นไหนๆ”
นิลขมวดคิ้วใส่ฤทธิชาติที่ส่งยิ้มกรุ่มกริ่มมาให้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่พูดออกมาแต่ ‘เสียง’ ที่ว่าคงไม่ใช่เสียงพูดคุยแบบปกติแน่ๆ ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างปลงๆ นึกขอคืนคำทั้งหมดที่บอกว่านายตำรวจหนุ่มเป็นคนน่าสนใจ...ดูยังไงก็พวกบ้าหม้อชัดๆ
“ผมชักสงสัยว่าคุณผ่านการคัดเลือกเข้ามาเป็นตำรวจได้ยังไง กะล่อนก็เท่านั้น กวนตีนเป็นที่หนึ่ง แถมยัง...ทำผิดซะเอง”
นักเขียนหนุ่มเปรยตามองเอกสารในมือ เขาไม่คิดว่าฤทธิชาติจะตบปากรับคำง่ายๆ ทั้งที่ถ้าเรื่องแดกขึ้นมาอีกฝ่ายคงไม่วายโดนเด้ง ยอมรับว่าตอนที่ตัดสินใจยื่นข้อเสนอนั้นนิลเองก็แอบกลัวว่าอีกฝ่ายจะแจ้งความเขากลับข้อหาพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ แต่ใบหน้าที่ผ่อนคลายและการพูดจาแบ่งรับแบ่งสู้ในวันนั้นทำให้นิลแอบสงสัยว่านายตำรวจคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่
“ไม่ต้องห่วงหรอก มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำตัวไม่สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตราบใดที่นิลไม่เอามันไปทำเรื่องไม่ดีก็ไม่มีปัญหา แล้วอีกอย่าง...ผมรู้สึกปลอดภัยกว่าให้คุณไปหาข้อมูลพวกนี้ด้วยตัวเอง...”
“ทำไม?”
“ไม่รู้สิ ก็คงเป็นสัญชาตญาณอีกล่ะมั้ง”
“เฮ้อ พูดกั๊กอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด...”
ร่างสูงถอนหายใจ เขากระดกชาไทยที่เริ่มเย็นจนหมดแก้ว เงินค่าอาหารทั้งหมดถูกวางลงบนโต๊ะแต่ยังไม่ทันที่จะได้ลุกไปนายตำรวจหนุ่มก็ยัดธนบัตรเหล่านั้นกลับมาในมือของเขาอีกครั้ง ฝ่ามือหยาบกร้านเพราะจับปืนกอบกุมมือทั้งสองข้างของเขาไว้เสียจนมิด ดวงตาขี้เล่นหายไปเหลือไว้เพียงแค่ความเป็นห่วงที่ทำให้นิลเผลอไม่ป้องกันตัวเองอย่างที่เคย ปล่อยให้อีกฝ่ายมอบสัมผัสให้ตนอยู่แบบนั้น
“ผมเป็นห่วงนิลรู้ใช่ไหม...ห่วงเพื่อนได้แต่อย่าทำอะไรเกินตัว”
“คุณเป็นคนยืนยันเองว่าสองคนนั้นตายไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ผมต้องกลัว”
“ในฐานะตำรวจ ทุกครั้งที่ผมเห็นคนพยายามทำลายความสงบของอดีต...มันไม่ได้มีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้น”
“น่าเศร้าที่ต้องบอกว่าแม้แต่ในอดีตมันก็ไม่เคยสงบแต่เพราะต้องการปกป้องปัจจุบันต่างหาก...ผมเลยต้องทำ”
“คุณกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้”
“ผมไม่เคยอยากแก้ไขมัน...ต่อให้ต้องรู้สึกผิดกับสองคนนั้น สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงแค่ทำให้แน่ใจว่าทั้งคู่จะไม่มีทางฟื้นขึ้นมาจากหลุมได้อีก”
“...”
“คนตายก็คือคนตาย ไม่ว่ามีเรื่องอะไรติดค้างอยู่ที่โลกฝั่งนี้ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิข้ามกลับมา มีเพียงแค่คนเป็นเท่านั้น...ที่ยังมีโอกาสใช้ชีวิตต่อไป”
“ฟังดูเย็นชาชะมัด”
“เป็นอย่างนั้นมาตลอดนั่นแหละ”
นิลบิดข้อมือออกจนหลุดจากการกอบกุมของอีกฝ่าย ร่างกายสูงสง่ายืนขึ้นหยิบโทรศัพท์และถุงขนมปังที่เย็นชืดก่อนจะก้มลงสบตากับฤทธิชาติที่มองอยู่ก่อนแล้ว
“แต่คุณว่าไหม ว่าต่อให้ไม่มีทางกลับมา คนตายก็ยังน่าอิจฉาอยู่ดี”
“...”
“ไม่ต้องทรมาน ไม่ต้องต่อสู้กับโลกที่โหดร้าย ต่อให้ถูกเกลียดชัง ถูกสาปแช่งแค่ไหน...พวกเขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้อีกแล้ว มีแค่คนเป็นเท่านั้นแหละที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดกันต่อไป...เพราะแบบนั้นนั้นผมถึงได้ภาวนา...
“...”
“ขอให้คนเป็นเข้มแข็ง และให้คนตายอยู่ในที่ที่เขาควรอยู่...สิ่งที่ผมทำได้มีแค่นี้จริงๆ”
นิลยิ้มเยาะราวกับเวทนาในความสามารถของตน ที่เคยบอกว่าไม่อยากแก้ไขอดีตนั้นเขาไม่ได้โกหก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร...
“เหมือนกับ Tomb keeper เลยนะครับ”
ฤทธิชาติเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มเศร้าๆมาให้
“ผู้เฝ้าสุสาน?”
“ครับ...เหมือนกันเลย”
“Tomb keeper หึ... Cerberus น่าจะเหมาะกว่า แต่เอาเถอะ...จะเรียกยังไงก็แล้วแต่คุณแล้วกัน”
นิลพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะออกจากร้านไป ทิ้งไว้แต่นายตำรวจหนุ่มที่กำลังใช้ช้อนชาคนเครื่องดื่มในแก้วที่ไม่หลงเหลือความร้อนอยู่อีกแล้วจิบมันไปเพียงนิด
“Cerberus…สุนัขสามหัวงั้นหรอ...”
ชายหนุ่มเค้นยิ้ม เขาวางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านไป ความวุ่นวายในเมืองหลวงแม้ในย่านเมืองเก่าก็ยังคงมีให้เห็น พ่อค้าแม่ขายหลายคนที่คุ้นหน้ากันดีส่งยิ้มให้นายตำรวจหนุ่มเพื่อแทนคำทักมาย ต่างจากคนงานท่าทางซอมซ่อผิวกายดำกร้านบ่งบอกเชื้อชาติที่ก้มหน้าหลบตา ราวกับภาวนาให้เขารีบเดินพ้นไปเร็วๆ
ฤทธิชาติหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดโปรแกรมแชทที่เขาใช้งานมันบ่อยๆในระยะหลัง ข้อความสั้นๆที่อีกฝ่ายส่งมาเพื่อตกลงเรื่องการนัดหมาย เป็นเพียงข้อความเดียวที่นักเขียนหนุ่มยอมตอบกลับหลังจากหมางเมินความพยายามนับร้อยครั้งที่ดูท่าจะไม่มีความหมายใดๆกับอีกฝ่ายเลย
‘เมื่อกี้ตอนที่จับมือ ตัวนิลอุ่น’
‘ดูแลตัวเองด้วยนะครับ...ผมเป็นห่วง’
ชายหนุ่มยิ้มเยาะให้ความดันทุรังของตัวเอง เขาเงยหน้ามองฟ้าแล้วเริ่มต้นเดินใหม่อีกครั้ง แต่ก่อนที่โทรศัพท์จะถูกเก็บกลับเข้ากระเป๋าตามเดิม หน้าจอสี่เหลี่ยมก็สว่างวาบ ขึ้นสถานการณ์แจ้งเตือนจากคนที่คาดไม่ถึง
‘ไม่อุ่นก็ตาย…บ้า’
:katai4:(ต่อเม้นล่างคนับ) :katai4:
-
“หึ เสียเวลาชะมัด”
นิลบ่นกับตนเองหลังจากพาร่างที่เหนื่อยล้ากลับมายังรถยนต์ที่จอดไว้ริมถนนไม่ไกลนัก อีโมติค่อนรูปยิ้มถูกส่งกลับมาสั้นๆหลังจากที่นักเขียนหนุ่มตัดสินใจตอบข้อความของอีกฝ่ายที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเกินความจำเป็นนั่นไป
ดวงตาเฉยเมยเปรยมองตัวเลขดิจิตอลบอกเวลาว่าตอนนี้ล่วงมาถึงสิบโมงกว่าๆ เขาหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่วางไปเมื่อสักครู่ขึ้นมาใหม่ก่อนต่อสายไปยังเพื่อนรักที่วางแผนออกเดินทางไปเที่ยวกับลูกชายที่เจ้าตัวเอ่ยปากว่าเกลียดชัง แต่มันคงไม่รู้ตัวหรอกว่าระยะหลังมาแววตาของรัตติกาลที่ใช้มองรพีนั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ
“ถึงไหนแล้ววะ”
นิลถามนำไปก่อนโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยทักเพื่อแสดงมารยาท เสียงถอนหายใจของรัตติกาลดังมาตามสาย ก่อนน้ำเสียงทุ้มนุ่มจะตอบกลับมาอย่างติดรำคาญ
“กำลังจะเข้าเพชรบุรีแล้ว”
“ทำไมช้าจังวะ ออกจากบ้านสายรึไง”
“ก็...มีเรื่องนิดหน่อย”
“มีเรื่อง? อย่าบอกนะว่าทะเลาะกับรพีแต่เช้า”
“เปล่า”
“อ้าว แล้วมีเรื่องอะไรวะ?”
“ช่างแม่งเหอะ แค่นี้นะ”
“เดี๋ยวๆ ของกูคุยกับรพีหน่อย”
“จะคุยอะไร?”
“เออน่า กูจะอ้อนขอของฝากหลานกู รู้ว่ารอพ่อมันก็ไม่ได้แดก”
“ได้ข่าวว่ากูก็ต้องจ่ายอยู่ดี...รพีครับ อานิลจะคุยด้วย”
รัตติกาลบ่นงึมงำก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้ลูกชายที่กำลังเคี้ยวซาลาเปาเซเว่นจนแก้มตุ่ย ร่างป้อมพยายามบรรจงวางซาลาเปาหมูแดงที่ถูกกัดไปแล้วกว่าครึ่งจนไส้ปลิ้นลงในถุงตามเดิม รัตติกาลมองดูท่าทางทุลักทุเลของลูกชาย ก่อนจะหวังดีหยิบก้อนแป้งนุ่มๆที่ยังกินไม่หมดมาถือไว้เองเพราะเกรงจะหกเลอะรถ รพียิ้มกว้างพนมมือไหว้ขอบคุณพ่อที่ยื่นมือถือมาให้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เด็กชายรับมันไว้แล้วเอ่ยทักปลายสายที่กำลังสตาร์ทรถของตัวเองเพื่อเดินทางกลับคอนโด
“สวัสดีฮะ อานิล!”
“ว่าไงตัวแสบ ได้ไปเที่ยวกับคุณพ่อ ตื่นเต้นรึเปล่า”
“ตื่นเต้นฮะ! เมื่อคืนพีแทบนอนไม่หลับเลย!”
“แล้วอย่างนี้จะมีแรงเล่นน้ำหรอเรา ว่ายไม่ไหวขึ้นมาจะทำยังไง”
นิลพูดด้วยความเป็นห่วง แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของอีกฝ่ายดังมาตามสายผิดจากที่คาดไว้
“พีว่ายน้ำเก่งจะตาย แถมน้ารัณย์ก็อยู่ด้วยไม่เป็นไรหรอกฮะ!”
“น้ารัณย์?”
เท้าที่เตรียมจะแตะคันเร่งเปลี่ยนมาเหยียบเบรกเข้าเต็มแรงจนรถที่กำลังจะออกตัวชะงักกึก ชายหนุ่มที่ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่หลานชายพูดเป็นเรื่องจริง นิลหายใจเข้าลึกๆแล้วรวบรวมสติถามกลับให้แน่ใจ
“พีว่าไงนะครับ น้ารัณย์มาเที่ยวด้วยหรอ?”
“ฮะ! น้ารัณย์ไปเที่ยวกับพีด้วยตอนนี้กำลังขับรถแทนพ่อกาลอยู่ อานิลจะคุยกับน้ารัณย์ไหมฮะ?”
“เออ... ขอน้าคุยกับพ่อเราแทนแล้วกัน”
เสียงกุกกักทำให้เขารู้ว่าโทรศัพท์ได้ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว เสียงพูดติดรำคาญของรัตติกาลดังขึ้นเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่นิลกลับสัมผัสได้ว่ามันแฝงไปด้วยความหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าเสือกถามอะไรตอนนี้ กูอารมณ์ไม่ดี...”
“เรื่องจริงหรอวะ!!! โอ้ย ไอ้เหี้ย กูขำ!!! ฮ่าๆๆๆๆ!!!”
นิลหัวเราะลั่นเมื่อรู้ว่าสิ่งที่รพีพูดนั้นเป็นความจริง รัตติกาลสบถกลับมาหลายครั้งแต่เพื่อนตัวดีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อารัณย์ผู้รับหน้าที่สารถีจำเป็นชำเลืองมองคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆทำหน้าบูดบึ้งขัดใจไม่ต่างจากเมื่อเช้าเลยสักนิด
ภาพของรพีที่กินเลอะเทอะเพราะตื่นเต้นกำลังถูกรัตติกาลซึ่งนั่งดื่มกาแฟอยู่ข้างกันใช้ผ้ากันเปื้อนมาเช็ดมุมปากที่เต็มไปด้วยคราบซอสให้เรียกรอยยิ้มของอารัณย์ได้เป็นอย่างดี รัตติกาลเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาดำวาวสบเข้ากับดวงตาสีเดียวกันของอีกฝ่ายที่หรี่ลงเพราะรอยยิ้มหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์นัก รพีที่เห็นท่าทางแปลกไปของพ่อก็หันไปมองตามก่อนเด็กชายจะรีบปีนลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปหาอารัณย์ที่ย่อตัวลงนั่งยองๆกับพื้นอ้าแขนรับร่างของรพีที่วิ่งมาสวมกอดเข้าเต็มแรง
“น้ารัณย์จริงๆด้วย!!! มาอยู่บ้านพีได้ยังไงฮะ”
“พอดีเมื่อคืนน้าขับรถมาส่งพ่อเราน่ะครับ”
“จริงหรอฮะ ทำไมไม่บอกพีก่อนล่ะ พีจะได้ไปนอนด้วย”
“น้ากับพ่อเรากลับมาก็ดึกมาแล้วครับ แล้วนี่กินอะไรกันอยู่”
อารัณย์เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากให้เด็กชายถามอะไรไปมากกว่านี้ เขาแปลกใจตัวเองที่กล้าตบปากรับคำอีกฝ่ายพอๆกับที่แปลกใจในการกระทำของรัตติกาลที่แสดงน้ำใจเชื้อเชิญให้ศัตรูอย่างเขาพักค้างคืนที่บ้านทั้งที่จะไล่กลับไปก็ไม่มีใครว่าได้
รพีจูงมือพาคนตัวสูงมานั่งเก้าอี้ตัวถัดไปจากตนโดยมีนิ่มเดินเข้ามาตักข้าวต้มปลาที่ส่งกลิ่นหอมฉุยไปถึงชั้นสองให้อย่างรู้หน้าที่ ร่างสูงชำเลืองมองรัตติกาลที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ไม่ได้สนใจเขานัก พี่เลี้ยงหนุ่มจึงลงมือทานอาหารที่เจ้าบ้านจัดไว้ให้อย่างไม่อิดออดเพราะความหิว
“หลับสบายไหมคะคุณรัณย์ ที่จริงตื่นสายกว่านี้หน่อยก็ได้นะคะ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบจะเช้าแล้ว”
จันทร์ที่เพิ่งเดินเข้ามา รีบดิ่งมาทักทายร่างสูงที่ยกมือไหว้หญิงแก่อย่างมีสัมมาคารวะ
“ไม่เป็นไรครับป้า เกรงใจเจ้าของบ้านเขาเปล่าๆ”
อารัณย์พูดพลางชำเลืองมองรัตติกาลไปด้วย แต่คนที่ถูกพาดพิงกลับยังคงนั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด แต่ร่างสูงคงไม่มีทางเห็นสีหน้าที่บูดบึ้งข้างหลังหนังสือพิมพ์ที่กางอยู่นั่น
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถ้าไม่ติดว่าต้องพาคุณพีไปเที่ยวตามสัญญา คุณหนูของป้าคงไม่ตื่นมาทานข้าวเช้าในวันหยุดแบบนี้เหมือนกัน”
“พูดแบบนี้ ป้าจันทร์ไม่รักผมแล้วหรอครับ”
รัตติกาลเผลอตัดพ้อหญิงแก่ตามความเคยชินโดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้แสดงความเป็นเด็กให้แขกผู้มาเยือนได้เห็นเป็นครั้งแรก อารัณย์นึกแปลกใจในท่าทางของอีกฝ่ายไม่น้อย คนที่มักวางมาดทำท่าเฉยชาต่อทุกสิ่งรอบตัวกลับทำหน้าบูดบึ้งน้อยๆพอน่าเอ็นดูใส่จันทร์พร้อมพูดจาประชดประชันแต่คนฟังกลับหัวเราะด้วยอารมณ์นึกขัน
หญิงแก่เติมกาแฟให้รัตติกาลอย่างเอาใจ ก่อนจะพูดกับคุณหนูใหญ่ของตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนที่เคยใช้กับอีกฝ่ายมาตลอดช่วงชีวิตของรัตติกาล
“รักสิคะ ป้าเลี้ยงของป้ามาตั้งแต่เด็ก จะให้ไม่รักได้ยังไง”
“ก็เห็นเข้ากับคนนอกได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย”
“แซวเล่นเท่านั้นแหละค่ะ ขี้น้อยใจจริงเชียว อย่าทำหน้าบึ้งแบบนี้สิคะ เดี๋ยวจะได้ไปพักแล้ว ยิ้มให้ป้าชื่นใจหน่อยเร็ว”
ร่างโปร่งยิ่งทำหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นอารัณย์ยกยิ้มยามได้ฟังบทสนทนาของเขากับคนเก่าคนแก่ที่เคารพรัก รัตติกาลแสร้งจิบกาแฟทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของจันทร์ หญิงแก่ที่มองอาการของคนที่ตัวเองเลี้ยงดูมาออกก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตักข้าวต้มปลาหอมๆใส่ชามของรัตติกาลด้วยตัวเองแล้วบอกให้ชายหนุ่มวางกาแฟแล้วลงมือทานมื้อเช้าอย่างจริงจังเสียที
“พี เตรียมห่วงยาวสวมแขนไปรึยังครับ”
เมื่อนึกขึ้นได้อารัณย์จึงเอ่ยเตือนเด็กชายที่ยังคงว่ายน้ำได้ไม่แข็งพอที่จะไม่ต้องใช้เครื่องช่วยพยุงตัวตลอดเวลา แม้จะเรียนรู้ทักษะครบทุกท่าแต่ถ้าพูดถึงความชำนาญรพีก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มเด็กว่ายน้ำไม่แข็งเช่นเดียวกับข้าวที่รายนั้นยังต้องใช้ห่วงยางสวมแขนอยู่ตลอด
อารัณย์ที่เคยสอนเด็กชายว่ายน้ำในตอนที่ไปช่วยงานครูอ๋องที่สระรับรู้ความสามารถของรพีดี พี่เลี้ยงหนุ่มเลยลงทุน เป็นธุระไปยืมอุปกรณ์จากสระว่ายน้ำของโรงเรียนมาให้พร้อมกับบัตรเข้าสวนน้ำนั่นแหละ
“เตรียมแล้วฮะ...แต่พีไม่อยากใช้เลย”
“ทำไมล่ะครับ?”
“มัน...ไม่เท่”
อารัณย์หัวเราะแล้วยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แม้แต่รัตติกาลที่นั่งฟังอยู่ก็เผลอยกยิ้มเมื่อได้ยิน
“รู้จักห่วงหล่อแล้วหรอเรา แต่ยังไงก็ต้องใส่ครับ ปลอดภัยไว้ก่อน คุณพ่อกับน้าจะได้สบายใจ”
“แต่ตอนว่ายที่โรงเรียนพีไม่เห็นต้องใส่ ครูอ๋องยังชมเลยว่าพีว่ายน้ำเก่ง”
“แต่พียังว่ายนานๆไม่ไหวครับ แถมที่นั่นไม่มีครูอ๋องคอยเฝ้าเราตลอดนะ ถ้าพีเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วยทัน”
“กะ ก็...พ่อกาลไง”
เด็กชายหันไปมองหน้าบิดาอย่างมีความหวัง คนถูกพาดพิงได้แต่ขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายเพราะแต่เดิมรัตติกาลตั้งใจที่จะไม่ลงเล่นน้ำด้วยอยู่แล้ว บรรยากาศสนุกสนานแบบวัยรุ่นไม่ใช่สิ่งที่เขาชื่นชอบนัก บวกกับเรื่องที่ว่ายน้ำไม่แข็งเหมือนกับรพีทำให้รัตติกาลตั้งใจที่จะหอบหนังสือไปอ่านรอ ปล่อยให้รพีไปสนุกตามลำพัง
“ที่นั่นมีไลฟ์การ์ดดูอยู่ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“แต่ป้าเคยเห็นในทีวี ที่นั่นคนเยอะมากเลยไม่ใช่หรอคะ แล้วอย่างนี้จะดูแลกันทั่วถึงได้ยังไง”
จันทร์ที่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทอดที่จะถามด้วยความกังวลไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้น น้ารัณย์ก็ไปด้วยกันสิฮะ!”
รพีเริ่มมองเห็นความหวังที่จะไม่ต้องสวมปลอกแขนโพล่งพูดออกมาทันทีจนทำให้ผู้ใหญ่ที่นั่งฟังอยู่ตกใจไปตามๆกันโดยเฉพาะรัตติกาลที่เผลอปล่อยช้อนกระทบกับชามข้าวต้มจนเกิดเสียงดังเรียกความสนใจของคนอื่นในห้องให้หันกลับไปมอง
“พูดอะไรน่ะรพี...อย่าไปรบกวนคนอื่นเลยครับ”
รัตติกาลเว้นวรรคไปก่อนจะพูดต่อด้วยถ้อยคำที่ฟังดูเป็นคนดีขี้เกรงใจทั้งที่ความจริงแล้วร่างโปร่งไม่ต้องการให้อารัณย์ไปด้วย เพราะความสัมพันธ์ที่แย่มาตลอดสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานจึงเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แม้แต่รัตติกาลเองก็นึกไม่ออกเลยว่าทำไมตัวเองถึงปล่อยให้มันเกิดขึ้นทั้งที่เขาไม่ชอบหน้าอารัณย์ ทุกสิ่งรอบตัวมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจนชายหนุ่มรับไม่ทัน และรัตติกาลก็ไม่ได้ลืมหรอกนะว่าอีกฝ่ายทำอะไรไว้จนต้องนอนคิดมากทั้งคืน...
“แต่ว่า...”
“ไปกับพ่อสองคนพอครับ รพีไม่ไว้ใจพ่อหรอ”
รัตติกาลพูดกับลูกชายด้วยเสียงกดต่ำคล้ายกับจะขมขู่จนรพีเผลอปล่อยช้อนลงกระแทกชามแล้วนั่งก้มหน้านิ่ง เสียงหัวเราะในห้องหายไปเหลือเพียงความเงียบและบรรยากาศที่น่าอึดอัดแม้แต่คนที่ทำให้เกิดบรรยากาศแบบนี้ยังรู้สึก
อารัณย์มองใบหน้าด้านข้างของรพีที่ก้มลงมองตักของตัวเอง ความกังวลและหวาดกลัวแบบนี้เขารู้จักมันดี ภาพของอารัณย์ในวัยเด็กซ้อนทับขึ้นมา ตัวเขามักจะทำท่าทางแบบนี้ทุกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่ามารดาเริ่มไม่พอใจ ไม่ว่าตัวเองจะทำผิดจริงหรือไม่เด็กๆก็มักจะต้องก้มหน้ายอมรับการตัดสินจากผู้ใหญ่ทั้งที่มันอาจไม่ถูกต้องเสมอไป โดยที่ผู้ใหญ่นั้นไม่รับรู้เลยว่าสำหรับเด็กวัยนี้แค่เพียงพ่อแม่ไม่ยิ้มให้ก็เหมือนกับโลกทั้งใบกำลังล่มสลาย
อารัณย์คิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมารพีคงเจ็บช้ำเพราะรัตติกาลมามาก เด็กชายถึงมีท่าทางหวาดกลัวและไม่กล้าขัดใจบิดา เหมือนกับตัวเขาที่ไม่กล้าแข็งข้อกับแม่ที่โหดร้ายคนนั้น นอกเหนือจากความโกรธที่เห็นรพีโดนกระทำเหมือนกับตนในอดีตภายในหัวของร่างสูงกลับมีความสับสนและใคร่รู้เกิดขึ้นมาด้วย
‘นที’ ชื่อของชายที่เคยเป็นคนรักของรัตติกาล
เป็นชื่อที่เขาสลัดออกไปจากหัวไม่ได้...
“เอาสิครับ น้าว่างพอดี”
“นี่คุณ!”
“ไม่ต้องห่วงนะครับป้า เดี๋ยวผมดูแลรพีให้เอง”
อารัณย์เมินรัตติกาลที่ตะคอกใส่เขาด้วยความไม่พอใจ พี่เลี้ยงหนุ่มหันไปฝากฝังตัวกับหญิงแก่ที่ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่รัตติกาลไม่กล้าขัดเพราะความเกรงใจ จันทร์เองพอได้ยินข้อเสนอนั้นก็ยกยิ้มกว้าง
“จริงหรอคะ ขอบคุณนะคะ ป้าจะได้วางใจหน่อย”
“แต่ป้าครับ…”
“ให้คุณรัณย์ไปด้วยเถอะค่ะคุณกาล คุณเองก็ว่ายน้ำไม่แข็ง ให้คนหนุ่มไปด้วยแบบนี้คงดีกว่า ป้ารบกวนคุณรัณย์ด้วยนะคะ”
จันทร์อธิบายให้รัตติกาลฟังโดยไม่สนใจท่าทางที่อยากโต้แย้งของเจ้านายตัวเองพร้อมกับหันไปตบปากรับคำกับแขกผู้มีน้ำใจจนเสร็จสรรพ ร่างโปร่งได้แต่ข่มความไม่พอใจไว้ภายใน อยากจะไล่คนคนนั้นกลับไปแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด
สีหน้าพอใจของจันทร์และรอยยิ้มที่กลับคืนมาของรพีทำให้รัตติกาลรู้สึกพ่ายแพ้ ดวงตาที่แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราดตวัดคนอายุน้อยกว่าที่กำลังพูดคุยกับรพีก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่ได้เต็มไปด้วยความเย้อหยันเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่รัตติกาลก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี
แววตาที่เหมือนกับพยายามมองลึกเข้าไปแบบนี้น่ะ
รู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลย...
.
.
.
.
.
“ถ้ายังไม่อยากตาย ก็หันไปมองถนนซะ”
เสียงของรัตติกาลปลุกอารัณย์ขึ้นจากภวังค์ จนต้องหันไปมองตรงอย่างที่อีกฝ่ายว่า แม้จะไม่ตกหนักเหมือนกับที่ชลบุรีแต่แถบนี้ก็มีฝนตกประปรายตั้งแต่เมื่อคืน เหลือไว้เพียงแหล่งน้ำขังตามข้างทางที่ทำให้ผู้ขับขี่ต้องระมัดระวังมากขึ้นกว่าปกติ
รถโฟล์คคันเก่าถูกนำมาใช้ในการเดินทางแทนที่จะเป็นรถอีกคันของรัตติกาลด้วยเหตุผลที่จันทร์เห็นพ้องต้องกัน(กับอารัณย์)ว่ารถคันนี้สามารถบรรทุกสิ่งของได้มากกว่า และบทพิสูจน์เรื่องประสิทธิภาพก็เป็นที่ยอมรับตั้งแต่มันสามารถพาทั้งอารัณย์และรัตติกาลฝ่าพายุกลับมาได้โดยไม่สึกหรอ พวกเขาทั้งสามคนเลยกำลังมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ด้วยรถของอารัณย์อย่างที่เห็น
“กูขับรถเก่งขนาดฝ่าพายุกับมึงมาได้...ยังไม่ไว้ใจกูอีกรึไง”
“คนอย่างนายมันไม่น่าไว้ใจในทุกๆเรื่องนั่นแหละ”
รัตติกาลไม่รู้ว่าคำพูดของอารัณย์หมายถึงเรื่องไหนบ้าง ชายหนุ่มได้แต่หันไปมองภูเขาข้างทางที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเพราะสายฝนที่นำพาความชุ่มชื้นกลับสู่ผืนดิน อากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไปทำให้เขาเลือกที่จะเลื่อนกระจกลงเพื่อรับเอาลมบริสุทธิ์ของธรรมชาติที่พอได้กลิ่นทะเลจางๆชวนให้รู้สึกดี เส้นผมสีดำขลับของรัตติกาลพลิ้วไหวตามลมจนเผยให้เห็นใบหน้าหมดจดที่เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
“ดีนะ ที่วันนี้ฝนหยุดตกแล้ว”
อารัณย์พูดกับตัวเองแต่รัตติกาลก็ได้ยินมันชัดเจน เขาหันมามองสารถีหนุ่มด้วยความสงสัยก่อนจะหันกลับไปทางเดิมอีกครั้ง...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
หายไปหลายวันกลับมาพร้อมกับตอนที่ยาวที่สุดที่เคยเขียนมาเลย แก้หลายรอบด้วย กลัวพลาดมาก T^T (ข้อเสียของนิยายเรื่องนี้ ปมเยอะไปไหนเนี่ยยย แต่งไปกลัวพลาดไป) จริงๆเสร็จตั้งแต่บ่ายแต่ก็แก้มาตลอดจนถึงตอนนี้ หวังว่าจะชอบกันนะฮะ
ตอนพิเศษได้รับผลตอบรับที่น่าพอใจมาก 5555 หวังว่าจะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้เหล่ามาโซของเช่ได้นะคับ เคยคิดเล่นๆว่าถ้าคนที่อ่านนิยายเรื่องนี้จนจบได้ต้องอดทนมากอะ เช่นั่งอ่านย้อนหลังยังด่าตัวเองเลย แม่มจะม่าไปไหนฟะ! เพราะฉะนั้นจะทำพาร์ทหวานๆบ้างมาให้เป็นรางวัลนะ แต่จริงๆหลังจากนี้ความหวานก็น่าจะเริ่มพบเจอได้บ้างในเรื่องหลักแล้วแหละ แหม พ่อกาลของเราโตขึ้น(?)แล้วขนาดนี้ ให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้างก่อนที่จะโดนปลดจากตำแหน่ง
ตอนนี้มีชาตินิลด้วยยยยยย ตอนแรกกะจะให้มีโมเม้นหลังคู่หลักกลับจากหัวหินแต่ท่าจะอีกนาน นี่ผ่านไปกี่ตอนแล้วหละ รพีเพิ่งจะถึงเพชรบุรีเอง 5555 เลยจัดมาเซ่นก่อน แซ่บนำคู่หลักไปบ้างก็พออิ๊อ๊ะกันไปนะคับ ว่าแต่แต่งไปทำไมมันชักเหมือนนิยายสืบสวน =w= มันจะแนวไปแล้วนิยายเรื่องนี้!!!
ตอนต่อไปอาจจะใช้เวลาสักนิดเพราะเช่ไม่ได้ไปหัวหินนานมากกกกกก ลืมๆไปบ้างต้องฟื้นความจำกันนานหน่อย อาจไม่สมจริงบ้างก็ต้องขอโทษมาก่อนด้วยนะคับ มองหาแต่รัณย์กาลแล้วกันเนอะ^^
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต เช่ยินดีรับทุกคนติชมของทุกคนมาพัฒนาตัวเองนะฮะ เม้นยาวเม้นสั้นไม่ว่ากัน แค่รู้ว่ามีคนชอบมีคนอ่านเช่ก็มีกำลังใจแต่งต่อแล้ว^^ :katai4:
-
โอ้ย ตอนนี้กาลดีขึ้นเยอเลยอะ ดีแล้วๆ
เริ่มต้นชีวิตใหม่นะกาล เอารัณย์นี่แหละ เหมาะดี
รถเก่าไปหน่อยแต่ก็น่าจะโอเคนะ :hao6:
-
ขอให้มันโอเคขึ้นเรื่อยๆ
-
ชอบเรื่องนี้นะ ไม่ค่อยแคร์หรอกว่าตัวละครจะเทาๆหม่นๆ ไม่ได้ดีตามคาแรคเตอร์พิมพ์นิยม แค่ยังไม่ค่อยเข้าใจฟีลกาลที่แค้นนทีมากมายขนาดนั้น คือก็รู้อยู่ว่านทีเป็นชายแท้ แถมส่ำสอนลับหลังแฟนด้วย กาลมาทีหลังแทรกกลางระหว่างนทีกับพะแพง ดูแล้วรูปการณ์ก็มีแต่ผิดหวังเป็นไปไม่ได้ ถ้าหลงคารมคำหวานก็น่าจะรู้ดีว่าผู้ชายพรรค์นี้ปากหวานไปเรื่อยอยู่แล้ว ไม่น่าติดกับได้ง่ายๆ ไปรักเขาขนาดนั้นเข้าได้อย่างไร
ในประเด็นการแก้แค้น คือการแก้แค้นที่หอมหวานที่สุดมันควรต้องลงกับคนที่เราแค้นป่ะ รพีนี่ไม่เกี่ยวอะไรเลยหรือถ้าจะแก้แค้นผ่านทางลูก ก็ต้องให้พ่อแม่เขาอยู่รับรู้ความทุกข์ทรมานของลูกเขาด้วยมันถึงจะสะใจ นี่เขาก็ตายไปแล้วมันดูองค์ประกอบไม่ครบ นทีเนี่ยะตายจริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่เท่าที่อ่านผ่านมาเหมือนกาลก็เชื่อว่าตายไปแล้ว เลยรู้สึกว่าที่กาลทำๆอยู่นี่มันลอยๆชอบกล
คงมีปมอะไรที่คนเขียนยังไม่คลาย รออ่านต่อไปค่ะ
-
ชอบๆๆๆๆ รัณย์กาลเริ่มพัฒนาละ 5555555555555
นิลน่ารักมากค่ะ ชอบตอบที่ตอบไลน์ 55555 ตอบได้ดีๆๆๆ :laugh:
-
22nd Night
…HuaHin...
“ร้อนชะมัด”
รัตติกาลได้ยินคนที่ยืนข้างๆบ่นอย่างนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง ร่างกายสูงใหญ่ที่ดูเหมือนจะทนต่อแดดร้อนๆได้ไม่ดีนักทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวตรงข้ามกับเขาพร้อมกับหยิบเอาหมวกแก๊ปสกรีนลายเท่ๆที่ใส่อยู่ขึ้นมาโบกพัดด้วยท่าทางหงุดหงิดน้อยๆ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนกันไปมา จากที่รัตติกาลเห็นลูกค้าส่วนมากจะเป็นวัยรุ่นซึ่งมาเที่ยวกันเป็นกลุ่มใหญ่ส่งเสียงเจี้ยวจ้าวตามประสา ชายหนุ่มรู้สึกเสียดายไม่น้อยเพราะดูท่าความตั้งใจเดิมที่จะมานั่งอ่านหนังสือรอสงบๆคงเป็นไปได้ยาก
“แล้วมึงไม่เปลี่ยนชุดรึไง”
อารัณย์หันมาถามรัตติกาลโดยที่ตัวเองจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้วก่อนหน้านี้พร้อมกับรพีที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านโบชัวร์ที่ทางปาร์คแจกมาให้แม้ว่าจะไม่เข้าใจภาษาเหล่านั้นเลยก็ตาม รัตติกาลสังเกตเห็นเด็กสาววัยรุ่นหลายคนลอบมองมาที่ชายตรงหน้าด้วยท่าทางสนใจ ท่อนขาแข็งแกร่งที่เห็นได้ชัดเพราะกางเกงว่ายน้ำรัดรูปขนาดพอดีเข่าทำให้อารัณย์ดูเหมือนหนุ่มนักกีฬามากกว่าพี่เลี้ยงเด็ก พอบวกกับผิวกายสีน้ำตาลอ่อนยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูดีมากขึ้นไปอีก แต่ก็เท่านั้นลองให้หมอนี่เปิดปากสิ...สวนทางกับหน้าตาจนน่าเสียดาย
“ไม่ล่ะ ถ้าจะเล่นค่อยไปเปลี่ยน”
“หึ กะจะไม่เล่นอยู่แล้วก็บอก เปลืองค่าบัตรชะมัด”
“ไม่เห็นต้องสนใจ ยังไงบัตรนั่นผมก็ได้มาฟรี คุณต่างหากที่ควรรีบๆไปเล่นซะให้คุ้ม นี่คงไม่ได้คิดจะเสียเงินเป็นพันเพื่อมานั่งเถียงกับผมใช่ไหม”
รัตติกาลพูดกระตุ้นให้อีกฝ่ายได้คิด เขาไม่ได้ฟอร์มจัดขนาดว่าปฏิเสธบัตรที่อารัณย์ให้รพีมา การซื้อบัตรเองไม่ได้ให้รัตติกาลลำบากแต่ถ้าจะต้องทิ้งไปเพราะไม่ชอบหน้าคนให้ก็ดูงี่เง่าเกินไปหน่อย หนำซ้ำร่างโปร่งยังรู้สึกสะใจพิลึกตอนที่อารัณย์ต้องต่อแถวเข้าคิวซื้อบัตรอย่างลูกค้าคนอื่นขณะที่เขากับรพีทำเพียงแค่ยื่นบัตรที่ได้มาแล้วเข้ามานั่งรอด้านในสบายๆปล่อยให้คนขี้ร้อนยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงคนมากมาย...แค่มองก็อึดอัดแทนแล้ว
“เงินเดือนพี่เลี้ยงเด็กโรงเรียนคุณหนูมันไม่ได้แย่อย่างที่มึงคิดหรอก แต่เอาเถอะ กูขี้เกียจมานั่งเถียงกับมึงให้อารมณ์เสีย”
“งั้นก็ดี...รพีครับ มานี่เร็ว เราจะย้ายไปนั่งทางนู้นกัน”
ร่างโปร่งตะโกนเรียกลูกชายที่นั่งเล่นอยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำสีเข้ม เมื่อได้ยินเสียงของบิดารพีก็รีบวิ่งเข้ามาหา เด็กชายคว้าเอามือของรัตติกาลจับไว้แล้วเงยหน้าสบตา ร่างโปร่งเข้าใจความต้องการของลูกชายดีและเพราะเห็นแก่ว่าเป็นวันพักผ่อนเขาจึงไม่ได้สะบัดมันทิ้งอย่างที่ควรจะทำ
ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างที่เหลือหยิบกระเป๋าใส่สัมภาระขึ้นมาพาดไว้บนไหล่ รัตติกาลพารพีมายังศาลาหลังเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้เครื่องเล่นสำหรับเด็กซึ่งเขาติดต่อเจ้าหน้าที่ขอเช่าไว้ระหว่างที่รออารัณย์ต่อแถวซื้อบัตรเข้าปาร์ค
โซฟานอนบุด้วยผ้าสีอ่อนพร้อมหมอนอิงและเก้าอี้เดี่ยวอีกสองตัวถูกจัดไว้เหมาะสมกับราคา ทรายเนื้อละเอียดถูกโรยไว้ตามพื้นชวนให้ได้บรรยากาศเหมือนกำลังนั่งอยู่ริมทะเลจริงๆทำให้รัตติกาลพอใจอยู่ไม่น้อย เขาวางสัมภาระของตัวเองลงก่อนจะจัดแจงหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาเตรียมไว้ให้ ในขณะที่รพีทำหูตาโตเมื่อได้เห็นโซน Kiddie Cove ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
“ใหญ่จังเลย! พีไปเล่นได้รึยังฮะพ่อ!”
“ใจเย็นๆครับ กินอะไรก่อนแล้วค่อยไป”
ระหว่างรอรัตติกาลก็ได้แต่มองรพีที่กำลังนั่งตักของอารัณย์พูดถึงสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยความตื่นเต้น ท่าทางเวลาอยู่กับเด็กของร่างสูงดูเป็นธรรมชาติจนใครๆที่เดินผ่านศาลาหลังนี้มาต่างก็เผลอยิ้มให้กับภาพตรงหน้าด้วยความเอ็นดูกันทั้งนั้น
“ถังอันเขียวๆนั่นน้ำจะลึกมากไหมฮะ”
“ถ้าเป็นอันจำลองของเด็กก็ไม่น่าจะลึกมากครับ พีเล่นได้”
“แล้วท่อสีส้มใหญ่ๆนั่นล่ะฮะ...พีเล่นได้ไหม”
รพีชี้ทำหน้าเหมือนกำลังชั่งใจก่อนจะชี้ไปยังสไลด์เดอร์อันใหญ่เกินตัว
“อืม...ถ้าเล่นคนเดียวคงไม่ไหว ต้องให้น้าพาไปนะ ตกลงไหม”
“ฮะ! พ่อกาลก็ไปเล่นกับพีด้วยนะฮะ”
รัตติกาลทำเพียงยกยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ รอไม่นานนักอาหารที่สั่งไว้ก็ถูกยกมาให้ รัตติกาลจัดแจงจ่ายค่าบริการพิเศษให้กับพนักงาน ก่อนจะแบ่งอาหารที่มีปริมาณพอรองท้องให้กับรพีโดยไม่ลืมเผื่อแผ่ให้กับอารัณย์ตามมารยาท
“พีลงมานั่งที่เก้าอี้ดีๆครับ”
ร่างโปร่งบอกกำกับเด็กชายที่ยังคงนั่งอยู่บนตักของอารัณย์ ดูเหมือนเก้าอี้ส่วนตัวอันนี้จะสบายอยู่ไม่น้อยร่างป้อมจึงมีท่าทางอิดออดไม่ยอมลงจนต้องเดือดร้อนเจ้าของตักต้องอุ้มรพีวางลงบนโซฟาตัวใหญ่ในขณะที่เขาและรัตติกาลนั่งลงบนเก้าอี้เดี่ยวอีกสองตัวที่เหลือ
“พีกินไม่หมดได้ไหมฮะ...ยังอิ่มอยู่เลย”
“พ่อเตือนแล้วใช่ไหมว่าอย่ากินขนมเยอะ”
“ก็...น้ารัณย์ซื้อให้”
“อ้าว โทษน้าซะงั้นเลยพี”
อารัณย์ท้วงพลางหัวเราะเบาๆเมื่อโดนเจ้าตัวเล็กพาดพิง รพียิ้มแหยให้อีกฝ่ายอย่างขอโทษ แต่ที่พูดไปเพราะคิดไว้แล้วว่าคุณน้าใจดีคงไม่โกรธตนแน่ๆ รัตติกาลส่ายหัวให้กับข้ออ้างของรพีแต่จะว่าไม่จริงก็ไม่ใช่ ระหว่างแวะปั้มข้างทางเขาเองก็เห็นพี่เลี้ยงหนุ่มซื้อขนมเอาใจร่างป้อมซะหลายอย่างแต่หนักท้องที่สุดคงเป็นซาลาเปาหมูแดงใบใหญ่ที่ทำให้รพีรู้สึกอิ่มมาถึงตอนนี้
“แต่ยังไงก็ต้องกินครับ ใกล้เที่ยงแล้ว กินเท่าที่กินได้ก็แล้วกัน”
“ฮะ!”
รพีลงมือทานฮอดดอกโดยมีอารัณย์ช่วยกำกับอีกที ร่างสูงสังเกตรัตติกาลที่นั่งทานส่วนของตัวเองไปเงียบๆแต่ก็มักจะชำเลืองมองคนที่ตัวเองบอกว่าเกลียดชังอยู่บ่อยครั้ง มือที่ครั้งหนึ่งเคยบีบลำคอเล็กของรพีเพราะความโกรธยกขึ้นเช็ดคราบซอสบนแก้มนุ่มอย่างอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าที่ถึงแม้จะนิ่งเฉยแต่กลับชวนให้รู้สึกสงบของรัตติกาลทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนคนเป็นพ่อปกติทั่วไป แม้จะไม่ชัดเจนแต่ความเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆกลับชวนให้รู้สึกอบอุ่นจนยากจะเชื่อว่าชายคนนี้กำลังมีแผนร้ายอยู่ในใจ ความโหดร้ายของรัตติกาลอารัณย์ได้เห็นมาแล้วเต็มสองตา คำประกาศกร้าวว่าจะทำลายรพียังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ และเขาก็ใช้มันตัดสินว่าชายคนนี้ไม่คู่ควรสำหรับคำว่าพ่อ
แต่ภาพตรงหน้าเขาล่ะ...มันเป็นแค่ละครฉากหนึ่งรึเปล่า?
เด็กชายทานไปได้ประมาณครึ่งหนึ่งรัตติกาลก็ไม่คะยั้นคะยอให้กินต่อ อารัณย์อาสาพารพีไปล้างมือที่ห้องน้ำใกล้ๆโดยรัตติกาลทำหน้าที่เก็บขยะต่างๆไปทิ้งก่อนจะหยิบเอาครีมกันแดดสำหรับเด็กที่จันทร์เตรียมไว้ให้มาวางไว้เพื่อให้รพีทาก่อนลงไปเล่นในสระ
“พ่อกาลไม่เปลี่ยนเสื้อหรอฮะ”
รพีเอ่ยขึ้นขณะที่อารัณย์กำลังลงมือทาครีมกันแดดลงบนแผ่นหลังเล็ก รัตติกาลละสายตาจากหนังสือแล้วสบเข้ากับดวงตาเล็กที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ขอพ่ออ่านหนังสือจบก่อนนะ”
ปากบอกว่าอย่างนั้น แต่รัตติกาลเพิ่งอ่านมันไปได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของเล่มเลยด้วยซ้ำ หนังสือที่หนาพอๆกับวรรณกรรมแปลชื่อดังต่อให้เป็นคนอ่านเร็วแค่ไหนคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน รพีไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำพูดนั้น มีเพียงแต่อารัณย์ที่เข้าใจคำปฏิเสธแบบกำปั้นทุบดินของรัตติกาล
รพีพยักหน้าอย่างยอมรับ ร่างป้อมรีบสาวเท้าไปยังลานน้ำพุน้อยๆที่มีเด็กวัยเดียวกันนั่งเล่นกับสายน้ำที่ผุดขึ้นมาจากพื้นเป็นจังหวะ
“จะไม่เล่นจริงๆรึไง”
ศาลาหลังเล็กเหลือพวกเขาอยู่เพียงสองคน อารัณย์เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าอีกฝ่ายแต่รัตติกาลกลับเพียงตอบด้วยท่าทางเรียบเฉยไม่แม้แต่จะละสายตาออกจากหนังสือเล่มหนาราวกับว่าถ้าไม่อ่านตอนนี้จะเกิดเรื่องคอขาดบาดตาย
“ผมจะเฝ้าของ”
“พนักงานเดินกันให้ขวัก ของมีค่าก็ใส่ไว้ในล็อคเกอร์หมดแล้ว”
“ผมจะอ่านหนังสือ”
“มึงเป็นเด็กรึไง เถียงเก่งยิ่งกว่ารพี”
หัวคิ้วของรัตติกาลชนกันทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำลามปามของอารัณย์
“เผื่อคุณจะไม่รู้...ผมอายุมากกว่าคุณ”
“กูรู้ แล้วไง? ทำยังกับกูกับมึงเคยพูดกันดีๆ”
“โอเค...ผมเข้าใจระดับมารยาทคุณแล้ว จะไปเฝ้ารพีก็ไปซะ”
รัตติกาลพูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะย้ายร่างของตัวเองไปเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ หนังสือเล่มใหญ่ถูกพลิกไปยังหน้าต่อไปคล้ายกับการขับไล่คนข้างๆ แต่มีหรือที่อารัณย์จะสนใจ ร่างสูงไร้มารยาทอย่างที่รัตติกาลว่า เขาเขยิบไปนั่งบนพื้นที่ว่างที่เหลือบนโซฟาตัวเดียวกัน ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าคว้าเอาสิ่งรวมความสนใจของรัตติกาลมาถือไว้แทนอย่างถือวิสาสะ
“มึงกลัวน้ำใช่ไหมเลยไม่กล้าลงสระ”
“คนบ้าอะไรกลัวน้ำ...เอาหนังสือคืนมา”
“เป็นอย่างที่ป้าจันทร์ว่าสินะ”
“ป้าจันทร์บอกว่าผมว่ายน้ำไม่แข็ง ไม่ใช่กลัวมัน ถ้าคุณเข้าใจแล้วก็เอาหนังสือคืนมาแล้วไปทำหน้าที่ของคุณซะ”
“หรือมึงเคยจมน้ำมาก่อน? จะว่าไปตอนนั้นมึงก็เกือบจมแล้วนี่หว่า”
“ตอนนั้น?”
“ที่โรงแรมเพื่อนมึงไง ตอนที่มึงตกไปในสระหลังจากที่กูจูบ... อุ๊บ!!”
รัตติกาลไม่ได้ขอสมบัติของตนคืนอีก กลับกันเขาเป็นฝ่ายดันหนังสือที่ร่างสูงถือไว้ไปตรงหน้าของอารัณย์จนมันกระแทกปากพล่อยๆของอีกฝ่ายเข้าเต็มแรง
“โอ้ย! ปากกู มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย!”
“กระแทกหมาออกจากปาก”
อารัณย์จ้องรัตติกาลอย่างไม่พอใจ รสเค็มปะแล่มในช่องปากทำให้เขารู้ว่าแรงกระแทกเมื่อครู่คงทำให้เขาเสียเลือดไปจนได้ ดวงตาดื้อรั้นของรัตติกาลจ้องกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ เขาไม่ได้ทำไปเพราะรู้สึกเคอะเขินเหมือนสาวเสียจูบแรกแต่เพราะนึกหมั่นไส้คนตรงหน้าเสียมากกว่าที่ทำเหมือนว่าการจูบกับเขาเป็นเรื่องปกติทั้งที่ไม่ใช่...
“น้ารัณย์ฮะ ทำไมช้าจังเลย”
รพีวิ่งเข้ามาโดยไม่ได้ดูสถานการณ์ก่อน รัตติกาลอาศัยช่วงที่ร่างสูงเผลอคว้าเอาหนังสือของตนคืนมาแล้วถดตัวไปนั่งยังอีกมุมของโซฟาโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างป้อมมองผู้ใหญ่สองคนอย่างงงๆเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นขณะที่ตัวเองไปเล่นจนตัวเปียกปอน อารัณย์ถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย เขาขยี้กลุ่มผมเปียกชื้นของรพีแล้วบอกให้เด็กชายไปต่อแถวรอที่อีกด้านของสระ
รัตติกาลไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร เขาพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองให้จดจ่ออยู่กับตัวหนังสือภาษาอังกฤษตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล ร่างโปร่งยังคงอ่านไปไม่พ้นประโยคเดิมทั้งที่เป็นไวยากรณ์ง่ายๆ
“นี่!...”
ร่างโปร่งร้องขึ้นเมื่อจู่ๆตัวหนังสือที่เขากำลังให้ความสนใจลอยหายไปต่อหน้าต่อตา อารัณย์ที่อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมลงสระขโมยหนังสือของเขาไปอีกครั้งพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรัตติกาลรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดแก้มนวลของตน นัยน์ตาสีนิลจ้องมองชวนให้รู้สึกเหมือนถูกคุกคาม ลมหายใจของรัตติกาลหยุดไปดื้อๆ แม้แต่มือที่ควรผลักอีกฝ่ายออกไปก็ทำเพียงกำกันแน่นจนรู้สึกเจ็บแปลบ
“กูแค่จะบอกว่าไม่มีใครว่ายน้ำเป็นมาตั้งแต่เกิด”
“...”
“ถ้าโชคดีก็ไม่ต้องเจอความทรงจำแย่ๆ แต่ถ้าไม่...ก็คงเหมือนมึงที่กลัวจนขยาด แต่ก็นะ...มึงหนีไปได้ไม่ตลอดหรอก”
“...”
“ถ้าถึงวันหนึ่งที่มึงจำเป็นต้องเอาชีวิตรอด สิ่งเดียวที่มึงต้องทำก็คือว่ายต่อไปทั้งที่กลัวมันนั่นแหละ”
คนที่ผ่านโลกมาน้อยกว่าทิ้งคำพูดสั่งสอนเขาไว้ก่อนจะวิ่งไปหารพีที่กำลังต่อแถวคอยอยู่ น้ำเสียงและสายตาที่จริงจังของอารัณย์ยังคงชัดเจนอยู่ในหัว วนเวียนเหมือนเทปที่ถูกเปิดซ้ำ
รัตติกาลรู้อารัณย์ไม่ได้สื่อถึงเรื่องอื่น แต่ก็ห้ามความรู้สึกสั่นไหวในอกไม่ได้ เขาสับสนจนต้องละสายตาออกจากตัวหนังสือแล้วมองไปยังแผ่นหลังกว้างที่ยืนอยู่ไกลๆ อารัณย์ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา พี่เลี้ยงเด็กอวดดีคนนั้นกำลังส่งยิ้มให้รพีพร้อมกับยื่นมือไปจับกันไว้แน่น
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้กลัว...”
.
.
.
.
.
.
.
เวลาล่วงเลยไปกว่าบ่ายสองโมง อารัณย์และรพีที่ตัวเปียกปอนขึ้นจากนั่งพักที่ศาลาเป็นครั้งที่สามในขณะที่รัตติกาลก็ยังคงนั่งตัวแห้งอ่านหนังสือเงียบๆเพียงลำพังโดยปฏิเสธคำเชิญทุกครั้งเสียจนทั้งสองคนถอดใจ
รัตติดกาลทอดสายตามองอารัณ์และรพีที่กำลังสนุกอยู่กับสายน้ำและเครื่องเล่นซึ่งมีกลไกแปลกตา เด็กชายหันไปยิ้มให้อารัณย์ก่อนจะแกล้งวักน้ำใส่ใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มแรงที่เจ้าตัวพอจะทำได้ ชายหนุ่มก็แกล้งร้องโอดโอยเกินความเป็นจริงจนคนที่อยู่แถวนั้นต่างหัวเราะกับภาพของทั้งคู่ที่ดูสนิทสนมกันจนใครต่อใครต่างพากันพูดถึงสองหนุ่มกันอย่างสนุกปาก
“ผู้ชายคนนั้นหล่อดีเนอะ ดูอบอุ่นดีจัง”
“เธอว่านั่นใช่น้องชายเขาไหม แต่ดูแล้วก็ไม่คล้ายกันเท่าไหร่...”
“อยากขอถ่ายรูปจัง เด็กคนนั้นน่ารักจังเลย”
“หรือว่าจะเป็นพ่อลูกกัน แล้วแม่เด็กล่ะ?!”
“ให้ตายสิ ไม่เคยอยากลองเล่นสระเด็กเท่าวันนี้เลย!!!”
เสียงเซ็งแซ่ดังมาจากทั่วทุกสารทิศ รัตติกาลกรอกตาที่ซ่อนอยู่หลังหนังสือเล่มหนาไปมาอย่างนึกระอา ผู้คนส่วนมากต่างหลงในรูปกายภายนอกแล้วสรรเสริญเจ้าคนหยาบคายนั่นจนเกินความจริงไปโข เสียงวี๊ดว้ายดังขึ้นอีกระลอกเพราะพี่เลี้ยงหนุ่มในชุดกางเกงว่ายน้ำรัดรูปช่วยโยนลูกบอลส่งคืนให้กับกลุ่มสาววัยรุ่นที่ต่างกรูกันเข้าไปขอบคุณอารัณย์กันยกใหญ่
รัตติกาลส่ายหัวให้กับเหตุการณ์นั้น ไม่ได้รู้สึกอิจฉา แต่ขอโทษเถอะ ไอ้มุขทำของตกแล้วให้คนช่วยเก็บนี่มันไม่เก่าไปหน่อยรึไง...คลาสสิคเกินไปแล้ว
เขาละสายตาจากภาพตรงหน้ามายังโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหลังจากที่เพิ่งใช้มันโทรไปบ้านเพื่อรายงานความเรียบร้อย หวังจะคลายกังวลให้จันทร์ที่ทำท่าพะวงเกินเหตุ ชื่อของเด็กหนุ่มที่รัตติกาลเดินทางไปชลบุรีด้วยแต่ไม่ได้กลับมาพร้อมกันตามที่หวังปรากฏขึ้น
‘Poon’
ดวงตาสีนิลฉายแววลำบากใจ นอกจากเรื่องเมื่อวานเขาก็ผิดคำพูดกับปูนอีกครั้งที่รับปากไว้ว่าจะโทรหาแต่รัตติกาลก็ยังไม่ได้ทำ จนอีกฝ่ายต้องติดต่อมาหาเขาเอง
“ฮัลโหลปูน...”
“สวัสดีครับพี่กาล เป็นยังไงบ้าง ถึงหัวหินนานรึยัง”
“อืม มาถึงตั้งแต่ก่อนเที่ยงแล้ว ปูนล่ะอยู่ไหนแล้ว”
“ผมถึงหอได้สักชั่วโมงกว่าๆเอง ตื่นสายน่ะครับ กว่าจะเช็คเอ้าท์จากโรงแรมก็สิบเอ็ดโมงแล้ว แถมปูนยังขับรถไม่เก่งอีกเลยมาถึงเอาป่านนี้”
ร่างเล็กพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนเช่นทุกครั้งแต่กลายเป็นรัตติกาลเสียเองที่รู้สึกแย่เมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มต้องลำบากก็เพราะเขา
“ขอโทษนะ”
“หื้ม? ขอโทษทำไมล่ะครับ ปูนไม่เป็นไรสักหน่อย พี่อย่าคิดมากสิ”
“พี่ไม่น่าทิ้งปูนไว้คนเดียว อย่างน้อยก็น่าจะพากลับมาด้วยกัน”
“ไม่เอาหรอก เกรงใจเพื่อนพี่กาลแย่ อีกอย่างกลัวพี่จะโดนแซวว่ากินเด็ก”
ปูนพูดเล่นตามประสา มีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่เด็กหนุ่มจะหยิบมาแซวคนอายุมากกว่าได้แม้จะรู้ว่ารัตติกาลคงไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรแต่เขาก็ยังใช้มันเพื่อลดความตึงเครียดในบทสนทนา โดยไม่รู้ว่าตัวเองดันไปเหยียบกับระเบิดลูกย่อมๆเข้าให้แล้ว
“อืม...เพื่อนพี่มันไม่ว่าอะไรหรอก”
นอกจากผิดสัญญาแล้วก็ยังโกหก รัตติกาลเลือกที่จะไม่บอกว่าเขานั่งรถมากับโจทย์เก่าอย่างอารัณย์ เด็กหนุ่มรู้เพียงว่าคนที่ตัวเองหลงรักเดินทางกลับมากับเพื่อนที่บังเอิญเจอกันเลยสามารถทิ้งรถไว้ให้ตนใช้งานได้ ปูนไม่ชอบอารัณย์...รัตติกาลรู้เลยบอกตัวเองว่า ถ้าไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยากมากกว่านี้ เขาควรจะปิดบังมันต่อไปรวมถึงเรื่องในวันนี้ด้วย
“ครับๆ แล้วนี่พี่กาลจะกลับเย็นนี้เลยรึเปล่า”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเกิดไม่มีอะไรผิดพลาด”
รัตติกาลแหงนหน้ามองฟ้าที่ยังคงฟ้าอยู่ แม้จะไร้เงาเมฆฝนแต่ก็ยังไม่อยากไว้วางใจลมฟ้าอากาศที่แม้แต่กรมอุตุก็ยังกะเกณฑ์ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
“ถ้ากลับมาแล้วบอกผมนะ เงินออกแล้วว่าจะทำของอร่อยให้กิน"
“เก็บไว้ใช้เถอะ ของพี่ซื้อไปเอง เราคอยแสดงฝีมืออย่างเดียวแล้วกัน”
ปูนตอบตกลงแล้วพูดย้ำกับเขาเรื่องขับรถโดยไม่รู้ว่าเขามีอารัณย์มาทำหน้าที่นั้นให้แทน รัตติกาลวางสายแล้วหันไปมองทางสระอีกครั้ง อารัณย์ยังคงบ้าพลังให้รพีขี่คอแล้วว่ายไปมาในสระน้ำตื้นๆทำเหมือนกับว่ามันสนุกนักหนา
อากาศที่ร้อนขึ้นทำให้สมาธิของร่างโปร่งไม่จดจ่ออยู่กับหนังสืออีกต่อไป เขาปล่อยความคิดให้ล่องลอยขณะที่เอนตัวลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่ ทิ้งเปลือกตานวลให้ค่อยๆหลับลงเพื่อคลายความอ่อนล้า แต่ไม่ทันไรเงาบางอย่างที่กำลังทาบทับมาจากด้านบนก็ให้ชายหนุ่มต้องลืมตาขึ้นมอง
“พ่อกาลหลับ...”
รพีที่กำลังยืนเกาะขอบโซฟาพูดกับเขา เด็กชายที่วันนี้ยิ้มและหัวเราะบ่อยกว่าเคยมองพ่อของตนพร้อมกับยื่นมือเล็กที่เย็นจัดเพราะน้ำเข้าไปสัมผัสแก้มนวลของรัตติกาลด้วยความห่วงใย ร่างโปร่งหลับตาลงรับสัมผัสนั้น อุณหภูมิที่ต่ำกว่าร่างกายทำให้เขารู้สึกดีมากกว่าที่คิด
“เปล่าครับ แค่พักสายตานิดหน่อย”
เขายันกายขึ้นแล้วจับมือเล็กๆตอบโดยไม่ทันยั้งคิด เด็กชายมองมาที่พ่อของตนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักแม้แต่รัตติกาลก็ยังสังเกตได้ รพีทำหน้าเหมือนกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป จนคนถูกมองทนไม่ไหวเอ่ยปากถามก่อนด้วยความอยากรู้
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“คือ...พ่อกาลไม่สนุกหรอฮะ”
“หื้ม?”
“พีอ้อนให้คุณพ่อพามา แต่พีสนุกอยู่คนเดียว...”
รพีพูดแบบนั้นก่อนจะส่งยิ้มแกนๆมาให้ ร่างกายเล็กๆสั่นเทิมจนเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยรัตติกาลไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความหนาวหรือความกลัวกันแน่
“พ่อไม่ได้เบื่อ...แค่ไม่ชอบว่ายน้ำเท่าไหร่”
“ไม่ชอบ?...ทำไมล่ะฮะ?”
“ก็...มีเรื่องไม่ดีเคยเกิดขึ้นน่ะ”
“เรื่องไม่ดี...หรือว่าพ่อกาลเคยจมน้ำ”
จะว่าจมน้ำก็ไม่ใช่ แต่ไหนแต่ไรรัตติกาลมีนิสัยรักการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ จะมีก็แต่กีฬาทางน้ำนี่แหละที่ดูท่าจะไม่ถูกโฉลกกับเขาเท่าไหร่ แม้ว่าจะไม่เคยจมน้ำอย่างที่อารัณย์ปรามาส แต่ความรู้สึกยามถูกมวลหนักๆของน้ำกดทับจนขยับแขนขาไม่ได้ดั่งใจก็ทำให้เขาไม่ชอบมันอยู่ดี
ร่างที่เปียกปอนของรพีปีนขึ้นมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันด้วยความช่วยเหลือของรัตติกาลที่นึกสงสัยว่าเด็กชายกำลังจะทำอะไร พอขึ้นมาได้ทั้งตัวรพีก็พยุงร่างของตัวเองขึ้นด้วยเข่าทั้งสองข้าง เขาใช้มันคลานเข้าไปหาบิดา มือเล็กทั้งสองข้างป้องไปยังหูข้างขวาของรัตติกาล รพีมองซ้ายมองขวาก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครอื่นได้ยิน
“อย่าบอกน้ารัณย์นะฮะ จริงๆแล้วพีก็ไม่ชอบว่ายน้ำเหมือนกัน”
รพีละออกมาเพื่อสบตากับบิดาที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ชอบ? ก็เห็นเล่นกันสนุกดีนี่”
“มันไม่เหมือนกัน ที่นี่มีแต่ของสนุกๆ แต่สระที่โรงเรียน พีไม่ชอบ...”
เด็กชายทำสีหน้าลำบากใจยามที่พูดถึงมัน แม้จะไม่ได้ใส่ใจฟังแต่รัตติกาลก็จำคำพูดของอารัณย์ตอนที่เล่าถึงความกระตือรือร้นของรพีในชั่วโมงพละได้
“ที่โรงเรียนมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีปัญหาอะไรฮะ ครูอ๋องสอนเก่ง น้ารัณย์ก็ใจดี แต่...มันน่ากลัว”
“กลัว? แล้วทำไมไม่บอกครู!”
รัตติกาลไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาตะคอกรพีแต่น้ำเสียงที่เจือด้วยความห่วงใยนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รพีเม้มปากพลางเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา ความอึดอัดที่ถูกปลดเปลื้องออกทางสีหน้าทำให้รัตติกาลสัมผัสได้ว่าร่างเล็กๆนี่คงทนเก็บความกลัวไว้เพียงลำพังเป็นเวลานาน ก่อนมันจะพังทลายลงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาเอง
“พีกลัว...แต่พีอยากว่ายน้ำเก่งๆ”
“...”
“ฮีโร่ในการ์ตูนบอกว่า...คนที่แข็งแรงจะปกป้องคนอื่นได้”
“ปกป้องงั้นหรอ...”
รัตติกาลคิดถึงคำพูดที่ครูสาเคยบอกกับเขา กอปรกับสิ่งที่ร่างโปร่งเห็นมันด้วยตาตัวเองบ่อยครั้งจากความใกล้ชิดที่เพิ่มขึ้นในระยะหลัง บ่อยครั้งที่เข้าเห็นรพีเสียสละสิ่งที่ตัวเองชอบให้เพื่อนแล้วแอบทำหน้าเสียดายลับหลัง และแม้แต่เรื่องในโรงเรียนที่รพีเล่าให้เขาฟังก็มักจะเป็นเรื่องราวทำนองนี้อยู่เสมอ
ทั้งที่ข้างในก็ยังคงอ่อนไหวและไม่มั่นคงเหมือนเช่นเด็กในวัยเดียวกันแต่ก็แสร้งทำเป็นว่าเข้มแข็งอยู่เสมอ แม้แต่ตอนนี้รัตติกาลก็ยังแอบเห็นความสั่นไหวในดวงตาของคนที่พยายามทำเพื่อคนอื่นด้วยการทำร้ายตัวเอง
รพีเป็นคนที่ตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง รัตติกาลไม่ชอบเอาเปรียบใครแต่การต้องเบียดเบียนตัวเองเพื่อคนอื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบทำ มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นที่เขาแหกกฎนั้นและผลของมันก็ร้ายกาจยิ่งกว่าที่คาด ความรู้สึกเหมือนนกที่พยายามสยายปีกอยู่ท่ามกลางมวลน้ำ มันทั้งทรมานและไร้จุดหมาย
“ชีวิตที่ต้องพยายามเพื่อคนอื่นน่ะ น่าเบื่อจะตาย”
“พี่ชอบตัวเองเวลาอยู่กับกาล...แล้วกาลล่ะชอบตัวเองเวลาอยู่กับพี่ไหม?”
คำพูดที่คนคนหนึ่งเคยมอบให้เมื่อครั้งอดีตย้อนกลับมาเหมือนจดหมายในขวดแก้วที่เคยกว้างทิ้งไปลอยย้อนกลับเข้าหาฝั่ง แม้จะมีใบหน้าที่คล้ายกันแต่เด็กชายตรงหน้าเขากลับมีความเชื่อมั่นในตนเองแตกต่างจากผู้เป็นพ่อเสียจนน่าขัน
ในขณะที่รพีพยายามว่ายน้ำให้เก่งเพื่อปกป้องคนอื่น
เขาคนนั้นคงบอกว่ามันงี่เง่าแล้วตะกายเข้าหาฝั่งด้วยท่าทางที่ทุเรศที่สุด
“กลัวก็คือกลัว...ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่มีใครทำเพื่อคนอื่นได้ทุกอย่างหรอก”
“แต่...”
“ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจริงๆก็ไม่ต้องฝืน”
“...”
“ชีวิตที่ต้องพยายามเพื่อคนอื่นน่ะ...”
“...”
“มันน่าเศร้านะ”
รพีเอนคอมองอย่างไม่เข้าใจ ไม่ต่างจากรัตติกาล ใบหน้าหวานคมฉายแววสับสนอยู่เพียงครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะต่อความคิดที่ยังวนเวียนถึงคนที่ไม่ควรค่าแม้แต่จะมีตัวตนในความทรงจำ
“พ่อกาลเป็นอะไร”
เด็กชายวางฝ่ามือของตนลงบนแก้มทั้งสองข้างของบิดา ใบหน้าพิมพ์เดียวกับคนไร้ค่าคนนั้นกำลังทอดสายตามองเขาด้วยความห่วงใยเหมือนเช่นทุกครั้ง รัตติกาลอยากบอกให้รพีหยุด อยากให้รพีเลิกพยายามทำเพื่อคนอื่นโดยเฉพาะเพื่อเขา แต่ถึงอย่างนั้นการนั่งมองตัวเองในแววตาของอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้
“ถ้าพีเห็นแก่ตัวบ้าง...เรื่องมันคงไม่ยากขนาดนี้”
รัตติกาลคว้ารพีมากอดไว้เพื่อปิดปากของรพีที่กำลังจะเอ่ยถามและปิดดวงตาคู่นั้นไม่ให้เห็นความอ่อนแอในตัวเขา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รัตติกาลต้องบอกตัวเองซ้ำๆว่าต้องเกลียดคนตรงหน้า ฝันร้ายที่เขาเคยอยากวิ่งหนีบัดดี้กลายเป็นรัตติกาลเองที่อยากกระโจนเข้าหามัน
อย่าหลงลืมความทรงจำเลวร้ายนั้น
อย่าหลงลืมจุดยืนของตัวเองสิ...รัตติกาล
.
.
:ruready(มีต่อเม้นท์ล่าง) :ruready
-
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอิฐ รพีโบกมือลามาสคอตของปาร์คที่กำลังบอกลาบรรดาลูกค้าที่มาใช้บริการจนถึงกลุ่มสุดท้าย อารัณย์ช่วยขนสัมภาระที่มีอยู่ไม่มากขึ้นท้ายรถในขณะที่รัตติกาลเป็นคนเดินไปคืนอุปกรณ์ต่างๆที่ยืมมากับพนักงานแล้วให้คำติชมต่างๆด้วยแบบสอบถามตามนิสัยของคนทำธุรกิจด้วยกัน
“ผมขับให้เอง”
รัตติกาลเอ่ยกับอารัณย์ขณะที่ร่างสูงจัดการลำเลียงกระเป๋าใบสุดท้ายเสร็จ เขายื่นมือไปตรงหน้าเพื่อขอกุญแจโดยไม่สนใจสายตาเคลือบแคลงของพี่เลี้ยงหนุ่ม
“กูขับเองเหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ คุณเล่นน้ำกับรพีมาทั้งวัน เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ฝืนขับช่วงเช้ามาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว”
“กูไหว”
“นานๆครั้งทำตัวว่าง่ายหน่อยก็ได้ แค่ขับรถให้คงไม่ทำให้คุณเสียศักดิ์ศรีอะไรมากมาย ขึ้นรถซะ”
คนอายุมากกว่าพูดสอนก่อนจะคว้าเอากุญแจออกจากมือของอีกฝ่ายไปอย่างถือวิสาสะ อารัณย์ทำท่าจะแย่งมันกลับมาแต่พอเหลือบไปเห็นรพีที่กำลังหาวหวอดๆก็ชะงัก ร่างสูงถอนหายใจ เขายอมแพ้ให้รัตติกาลเป็นครั้งแรก
“เอารพีมานอนกับกูข้างหน้าแล้วกัน ท่าทางคงง่วงมาก”
“เอาซิ”
รัตติกาลขึ้นนั่งประจำที่คนขับ แทนที่อารัณย์ที่ประคองรพีให้นั่งลงบนตักของตัวเองแล้วปล่อยให้หัวทุยซบลงบนอกแข็งๆที่ทำให้รพีรู้สึกปลอดภัยจนเผลอหลับไปในเวลาไม่นาน
ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าขายของฝากที่ยังคงเปิดบริการแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงป่านนี้ พวกเขาออกมาจากปาร์คช้ากว่าที่คิดเพราะจำนวนคนที่หลังไหลเข้ามาใช้บริการในช่วงบ่ายทำให้ห้องอาบน้ำเต็มเอี๊ยดแม้แต่ฝั่งของผู้ชายที่แต่ละคนใช้เวลาไม่นานนัก อารัณย์จัดแจงหายาแก้ไข้ให้รพีกินตั้งแต่ตอนอยู่ข้างในหลังจากที่เด็กชายกินฮอทดอกที่เหลือไวครึ่งหนึ่งด้วยความหิว จึงมีเพียงแค่เขากับร่างสูงเท่านั้นที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องหลังจากฮอทดอกตอนมื้อเที่ยง
“แวะหาอะไรกินก่อนไหม”
รัตติกาลเอ่ยขึ้นโดยไม่ละสายตาออกจากถนน
“มึงหิว?”
“อืม จะได้แวะซื้อของฝากแล้วขับยาวเข้ากรุงเทพทีเดียว”
“เอางั้นก็ได้ ขับเลยเขาตะเกียบไปหน่อยจะมีพวกร้านอาหารอยู่”
ร่างโปร่งพยักหน้ารับรู้ เขาพารถบุโรทั่งของอารัณย์ไปตามทางด้วยความเร็วที่ไม่มากนักเพราะการจราจรที่ถึงแม้จะไม่ติดขัดก็ไม่คล่องตัวขนาดที่สามารถเหยียบคันเร่งเต็มที่ได้ เมื่อเลยเขาตะเกียบมาได้ไม่ไกล รัตติกาลก็สังเกตเห็นร้านอาหารทะเลสร้างไว้เรียงกันตลอดข้างทาง ลูกจ้างที่ทนตากแดดตากลมมาตลอดทั้งวันยืนโบกเรียกรถที่ขับผ่านไปมาให้เข้าร้านของตนด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เด็กวัยรุ่นผิวดำแดงคนหนึ่งทำสีหน้าแช่มชื่นขึ้นเมื่อรถของอารัณย์กำลังเลี้ยวเข้ามาที่ร้านของตัวเอง
“จอดเลยพี่! กี่ที่ครับ!”
“ผู้ใหญ่สอง เด็กหนึ่ง คนเยอะไหมน้อง”
“เยอะพี่ แต่พ่อครัวผมเยอะกว่า ลงเลยๆรับรองว่าอร่อยสุดในแถบนี้แล้ว!”
เด็กโบกรถยิ้มให้จนรัตติกาลเห็นฟันขาวๆของอีกฝ่ายเต็มปาก ร่างโปร่งยิ้มตอบอย่างเป็นมิตรก่อนทั้งหมดจะพากันลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในร้านโดยมีเด็กเสิร์ฟสาวนำทางไปนั่งด้านใน
“น้อง ขอเก้าอี้ให้เด็กตัวหนึ่ง”
อารัณย์บอกกับเด็กเสิร์ฟผู้ชายที่เดินสวนมา พี่เลี้ยงหนุ่มยังคงอุ้มประคองรพีที่เหมือนยังไม่ตื่นนอนดีไว้ในอ้อมแขน รัตติกาลจึงยืนอ่านเมนูด้วยไม่นั่งลงไปก่อนจนเก้าอี้ที่ขอไปจะถูกเปลี่ยนให้
ร่างป้อมที่เพิ่งถูกปลุกจากความฝันเมื่อได้กลิ่นเกลือทะเลและกลิ่นหอมของอาหารก็เริ่มตื่นเต็มตา นิ้วเล็กๆจิ้มชี้ไปตามเมนูไม่หยุดจนรัตติกาลต้องหันไปบอกเด็กเสิร์ฟให้จดออร์เดอร์ตามคำบอกของเขาเท่านั้น
“พีอยากกินอันนี้”
เด็กชายชี้ไปยังรูปปูผัดผงกะหรี่จานใหญ่ เพียงเพราะสีสันที่ดูน่าทานทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รัตติกาลคิดอยู่สักพักก่อนจะสั่งไปตามที่รพีต้องการโดยไม่ลืมกำชับว่าไม่เอารสจัดมาก อารัณย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสองพ่อลูกละสายตาที่มองดูอาการของคนทั้งสองก่อนจะลงมือสั่งของที่ตัวเองอยากกิน รอไม่นาน ทั้งปูผัดผงกะหรี่ ทะเลเผา ต้มยำโป๊ะแตก ห่อหมกทะเล และกุ้งชุบแป้งทอดก็ถูกลำเลียงมาวางไว้เต็มโต๊ะเร็วเหมือนที่เด็กโบกรถคนนั้นโม้ เหลือแต่เพียงรสชาติเนี่ยแหละที่ยังต้องพิสูจน์
“พ่อกาล อันนี้กินยังไงฮะ”
หลังจากจดๆจ้องๆอยู่นาน รพีก็เอ่ยปากถามบิดาถึงวิธีกินเมนูปูที่ตัวเองสั่ง ร่างโปร่งเผลอยิ้มอ่อนๆ ยังดีที่เขาคิดเผื่อไว้แล้วว่าเจ้าตัวป้อมนี่คงแกะปูไม่เป็นจึงจัดการสั่งเป็นปูนิ่มมาให้แทน
“อันนี้เขาเรียกปูนิ่ม กินได้ทั้งตัว แต่ถ้าเป็นจานนั้นต้องแกะกระดองออกก่อนถึงจะกินเนื้อข้างในมันได้”
รพีพยักหน้าแล้วลงมือทานปูนิ่มในจานตามที่พ่อบอก กลิ่นเครื่องเทศที่ไม่ฉุนมากส่งกลิ่นตลบอบอวนเข้ากันได้ดีกับความมันของเนื้อปูจนอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มทั้งที่ของกินอยู่เต็มปาก อารัณย์ยิ้มตามเมื่อเห็นภาพนั้นก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นตีหน้านิ่งเหมือนเดิมเมื่อรัตติกาลเงยหน้าขึ้นมามองพอดี
ร่างโปร่งพอเห็นรอยยิ้มของอารัณย์ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเอาใจใส่รพีเกินความจำเป็นอีกแล้ว คนมีชนักติดหลังพยายามปลอบใจตัวเองว่าการทำดีด้วยนี้ก็เป็นไปเพื่อแผนการขั้นแรกที่เขายังไม่พอใจกับผลของมัน เด็กชายจัดการเนื้อปูและกุ้งชุบแป้งทอดที่อารัณย์ตักเพิ่มให้จนหมดแล้วนั่งคิดว่าจะกินอะไรต่อ รพีมองกราดไปทั่วโต๊ะจนสายตาไปหยุดเข้าที่ปูเผาตัวใหญ่ซึ่งพ่อกาลบอกว่าต้องแกะเปลือกมันก่อนถึงจะกินได้
รพีเอื้อมสุดแขนหยิบเอาปูเผาตัวโตที่ล่อตาล่อใจมาวางไว้บนจานของตัวเอง มื้อเล็กๆไร้เรี่ยวแรงพยายามแงะกระดองที่ทั้งแข็งและร้อนอย่างไม่รู้ประสาอยู่นานก็ไม่มีทีท่าว่าเจ้ากระดองที่ว่าจะหลุดออกจากกันให้เห็นเนื้อ
“คุณพ่อ...พีแกะไม่เป็น”
เด็กชายร้องเรียกบิดาอย่างยอมแพ้ รัตติกาลที่มองอยู่นานหัวเราะออกมาเบาๆนึกถึงไปตอนตัวเองพยายามแกะปูเองครั้งแรกก็มีสภาพไม่ต่างจากรพีเลยสักนิด ร่างโปร่งกำลังจะหยิบเอาปูเจ้าปัญหาไปแกะให้แต่ก็ไม่ทัน ชายหนุ่มที่นั่งทานเงียบๆอยู่ฝั่งตรงข้ามคว้าเอาก้ามปูที่ชูอยู่ไว้ได้ก่อนเขา อารัณย์ลงมือแกะกระดองและก้ามออกอย่างคล่องแคล้วทำเอารพีร้องอู้อ้าออกมาด้วยความตื่นเต้น
“นี่ครับพี เนื้อปู”
เนื้อปูสีขาวนวลและไข่ปูร้อนๆถูกวางลงบนจานให้เด็กชาย รพียกมือขึ้นไหว้ขอบคุณก่อนจะเอาเข้าปากโดยไม่ใส่น้ำจิ้มใดๆตามคำแนะนำของคนแกะแล้วเจ้าตัวยุ่งก็ได้กินไปอมยิ้มไปอีกครั้งเพราะความอร่อยที่ไม่แพ้ปูผัดที่กินไปก่อนหน้านี้เลย
รัตติกาลลอบกลืนน้ำลายตามเมื่อเห็นท่าทางเคลิบเคลิ้มของคนที่ได้ลิ้มรสปูเผาเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มหันไปมองปูเผาที่ยังเหลืออยู่ในจานอีกเพียงหนึ่งตัวหลังจากโดนจัดการไปแล้วสอง รัตติกาลเตรียมจะคว้าเอามันมาใส่จานตนเองแต่ก็ต้องถูกเจ้าคนมือไวคนเดิมชิงตัดหน้าไปอีกครั้ง
ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เมื่อเจ้าก้ามสีส้มอมน้ำตาลที่อยู่แค่เอื้อมหายไปต่อหน้าต่อตาเขาหลงเหลือไว้เพียงจานว่างเปล่าและซากกระดองที่ถูกกินซะเรียบ รัตติกาลเสหน้าหันไปมองทะเล ไม่อยากหันไปสบตาอีกฝ่ายให้เสียอารมณ์ เขาเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่ร้องโวยวายเพราะถูกแย่งของกิน กะอีแค่ปูตัวเดียวไม่เห็นจะต้องเสียใจมากมาย รัตติกาลบอกตัวเองอย่างนั้นแล้วหันไปซดน้ำโป๊ะแตกร้อนๆแก้เก้อ ก่อจะสะดุ้งน้อยๆเพราะลืมเป่าเอาไอร้อนออกไปก่อน
“หึหึ”
เจ้าโจรมือไวหัวเราะเยาะเขา รัตติกาลเม้มปากที่ขึ้นสีแดงอย่างเจ็บใจแล้วตักข้าวขาวคำโตเข้าปากเพื่อแก้อาการเผ็ดร้อน รสชาติจืดสนิทของข้าวไม่ได้ทำให้ใจเขาสงบลง ชายหนุ่มเคี้ยวข้าวอยู่สักพักแต่ก่อนที่เขาจะกลืนมันลงท้องไป เนื้อปูสีขาวและไข่สีส้มทองสะท้อนกับแสงไฟก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า
“แดกดิ”
“...”
“เร็วๆ จะแดกไม่แดก”
ไม่รอให้พูดซ้ำสอง รัตติกาลประคองปูชิ้นใหญ่จากช้อนของอีกฝ่ายลงบนจานของตัวเอง เขาได้ยินเสียงอารัณย์หัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำเสียงนั้นกลับนุ่มนวลอย่างน่าประหลาดจนไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นเสียงของอารัณย์จริง
รัตติกาลเปรยตามองคนตรงหน้าสลับกับเนื้อปูในจาน พี่เลี้ยงหนุ่มไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มลงมือแทะก้ามปูที่เนื้อน้อยกว่าไม่แม้แต่จะหันมามองเขาอีก เช่นเดียวกับรัตติกาลที่ราดน้ำจิ้มซีฟู๊ดลงบนเนื้อขาวแล้วตักมันเข้าปากเช่นกัน
“...”
“ขอบใจ...”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
เป็นตอนที่ขัดใจมากกก เขียนแก้เขียนแก้เป็นร้อยรอบเลยคับ (ตอนทำหนังสืออาจจะต้องรีไรท์ใหม่) บอกแล้วว่าไม่ถนัดซีนฟิลกู๊ด 5555555 แต่พอเนื้อเรื่องดำเนินไปแบบนี้เช่ก็รู้สึกดีนะ อะไรๆดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว คำถามที่คนอ่านถามมาหลายอย่างคงได้เริ่มคลี่คลายบ้างแล้วหลังจากนี้ หวังว่ากาลของเช่จะถูกด่าน้อยลง =w= :sad4:
ขอบคุณทุกเม้นท์ทุกโหวตนะคับ ดีใจที่มีคนให้ความสนใจเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็มาพร้อมกับความกดดันที่มากขึ้นเช่นกัน แต่ก็นะเช่ก็ยืนยันคำเดิมว่าคงจะทำไปตามแนวของตัวเอง หวานน้อยหวานช้าหน่อยก็อดทนกันนะคับ ช่วงนี้คงไม่อัพถี่เหมือนเดิมแต่จะพยายามรักษาระดับคุณภาพไว้ให้ได้นะ :mew1:
-
ไม่แย่นะคะ ให้ฟิลเรื่อยๆดีแต่เราแอบกลัวความเรื่อยๆของคนเขียนนี่แหละ
อ่านเรื่องนี้เหมือนต้องระแวงหลังอยู่ตลอดเวลา
กาลน่ารักมากกกกกกก คือถ้าไม่มีเรื่องพวกนี้กาลคือสุดยอดคุณพ่อได้เลยนะ
ลืมๆความแค้นไปบ้างก็ได้กาล รักรพีให้มากๆอยู่กับปัจจุบันนะ
-
อยากเห็นแผนการของกาลต่อไป ไม่ชินความหวานในเรื่องนี้555
-
ฮั่นแหนะ!! เริ่มมีใจไม่รู้ตัวปะนะ
-
ชอบบค้า
อยากทราบว่าคนเขียนมีผลงานเรื่องอื่นอีกไหมคะจะได้ตามไปอ่าน
-
ชอบบค้า
อยากทราบว่าคนเขียนมีผลงานเรื่องอื่นอีกไหมคะจะได้ตามไปอ่าน
เรื่องนี้เป็นวายไทยเรื่องแรกคนับ แต่เคยแต่งแฟนฟิคเมื่อประมาน6ปีที่แล้ว :hao3:
ซึ่ง... ขอไม่บอกนามปากกาเดิมนะคนับ ฮ่าๆๆๆ พอหันมาเขียนวายไทยเช่เลยลาชื่อเดิมมาเลย
ไม่อยากกินบุญเก่าคับ แต่ที่สำคัญคือ.... กลัวโดนทวง :hao5: :z3: (ทิ้งมา6ปี ปัจจุบันยังทวงกันอยู่เลย อึดไปแล้ว!)
จริงๆนิยายเรื่องนี้ เช่เอาแฟนฟิคที่เขียนค้างไว้มา Renovate ใหม่คับ แต่งของเดิมต่อไม่ได้เพราะข้อจำกัดของแฟนฟิคนั่นแหละ
ห่างงานเขียนมานานขนาดนี้ ฝีมือขึ้นสนิมไปหมดแล้วด้วย ไม่ต่างจากมือใหม่หรอกคับ (เด็กเดี๋ยวนี้เก่งมากจนน่าตกใจ :mew1:)
สรุปคือ ปัจจุบันมีไนท์แมร์ให้อ่านอยู่เรื่องเดียวนี่แหละคับบบบบ :-[
-
23rd Night
…Habitude...
“พี่กาลกินข้าวได้แล้วครับ กำลังร้อนๆเลย”
ปูนในชุดนักศึกษาสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีอ่อนตะโกนเรียกนักบริหารหนุ่มที่กำลังจดจ่ออยู่กับรายงานสรุปที่ธิชานำมาให้ตั้งแต่เช้าจนไม่รับรู้สรรพสิ่งรอบตัว เด็กหนุ่มส่ายหัวอย่างอ่อนใจ เขาถอดผ้ากันเปื้อนวางพาดไว้บนโต๊ะตัวเล็กแถวๆนั้นก่อนจะเดินไปหารัตติกาลที่เอาของฝากจากหัวหินมาให้และมานำรถของตนกลับ
หลังจากอาหารมื้อนั้นจบลง รัตติกาลก็ยังคงเป็นฝ่ายขับรถพาทั้งสามชีวิตกลับมาสู่กรุงเทพได้โดยสวัสดิภาพ จันทร์ที่อยู่รอขอบคุณอารัณย์เสียยกใหญ่ พี่เลี้ยงหนุ่มระบายยิ้มเป็นมิตรให้เช่นเคยก่อนขอตัวกลับไปนอนพักที่ห้องของตัวเอง โดยไม่ได้บอกลาเจ้าของบ้านซึ่งกำลังยืนประคองกอดลูกชายไว้ในอ้อมแขนอยู่ไม่ไกล ทั้งคู่สบตากันท่ามกลางความเงียบเหมือนดังเช่นช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในห้องโดยสารเล็กๆ รัตติกาลเป็นฝ่ายหลบฉากกลับเข้าไปในบ้านก่อน ทิ้งให้อารัณย์จากไปพร้อมกับรถคันเก่งที่เครื่องยนต์ของมันส่งเสียงคำรามส่งท้าย
“พี่ครับ กินข้าวกัน”
ร่างเล็กพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแตะเบาๆบนไหล่กว้างที่เหยียดตรงจนดูเครียดขึง รัตติกาลเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารสบตากับเด็กหนุ่มที่มักมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอผ่านกรอบแว่น นัยน์ตาสีอ่อนสะท้อนความเหนื่อยล้าแต่สีหน้ายังคงแสดงความอ่อนโยนไว้เช่นเคย
“เสร็จนานแล้วหรอ”
“ปูนเพิ่งผัดฉ่าเสร็จพอดี เมื่อกี้ก็เรียกแล้วแต่พี่ไม่ได้ยิน”
“หรอ? ขอโทษที ไปกินข้าวเถอะ”
ปูนส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งสองคนพากันมานั่งล้อมโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่มีอาหารฝีมือเด็กหนุ่มวางอยู่พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆสองจาน ซึ่งล้วนแต่ทำมาจากวัตถุดิบทะเลที่รัตติกาลซื้อมาจากร้านที่แวะทานข้าวก่อนกลับเข้ากรุงเทพนั่นแหละ ร่างโปร่งตักไข่เจียวปูให้ปูนเป็นการเริ่มต้นมื้ออาหาร ทั้งคู่ทานอาหารท่ามกลางความเงียบเหมือนเช่นทุกครั้ง โดยมีเสียงนุ่มๆเด็กหนุ่มพูดคั่นขึ้นข้างเป็นบางครั้ง
“งานด่วนหรอครับ”
“เปล่าหรอก แค่รายงานประจำเดือนน่ะ แต่ต้องคอยเช็คให้ดี”
“งานยุ่งเหมือนกันนะครับนักธุรกิจเนี่ย นึกว่าจะแค่นั่งเซ็นเอกสารเฉยๆเหมือนที่เห็นในละครซะอีก”
รัตติกาลยิ้มมุมปาก ตอนที่เขาอายุเท่ากับร่างเล็กก็เคยมีความคิดที่ผิดเพี้ยนคล้ายๆกัน พ่อแม่ของรัตติกาลมีธุรกิจส่วนตัวแม้ว่าจะเป็นครูอาจารย์กันทั้งคู่ และเพราะเข้าใจในธรรมชาติของลูกชายเพียงคนเดียวรัตติกาลจึงเติบโตมาโดยไม่เคยเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบในธุรกิจของครอบครัวเลยสักครั้ง
ชายหนุ่มเลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบโดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากคนที่ตนรักทั้งสอง แม้จะมีความกังวลอยู่บ้างเรื่องงานที่ต้องสานต่อ แต่ทั้งพ่อและแม่ของรัตติกาลก็เชื่อว่าสักวันเมื่อลูกชายมองโลกได้กว้างพอ ร่างโปร่งจะยินดีเดินเข้าสู่เส้นทางนี้ด้วยความเต็มใจ แต่สังขารและเวลาไม่เคยรั้งรอ ในวันที่บุพการีจากโลกนี้ไปภาระทุกอย่างก็ถูกส่งต่อมาถึงมือรัตติกาลที่ต้องแบกรับมันไว้ด้วยกำลังของตัวเองเพียงลำพัง...และความจริงนั้นก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาเคยคิด
“ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีสิ”
“เหนื่อยมากหรอครับ”
“เบื่อมากกว่า”
เด็กหนุ่มมองคนที่ตนรักด้วยความสงสัย แต่ท่าทีที่บ่งบอกว่าไม่อยากให้ถามอะไรปูนจึงปิดปากเงียบแล้วตักอาหารใส่จานให้รัตติกาลอย่างเอาใจตลอดมื้ออาหาร แม้จะเสนอตัวเป็นคนล้างจานให้แต่ปูนก็ยังคงยืนยันว่าจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองเพื่อเป็นการตอบแทนตามที่ตั้งใจไว้ รัตติกาลจึงมานั่งรับลมที่ระเบียงให้แท่งนิโคตินในมือพัดพาความเหนื่อยล้าออกไปบ้าง ชายหนุ่มปล่อยให้เวลาหมุนไปช้าๆ พยายามให้หัวสมองว่างเปล่ารอให้ถึงเวลาที่จะเดินทางไปรับรพีที่โรงเรียน
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นปลุกรัตติกาลออกจากภวังค์ ชายหนุ่มมองไปที่ประตูด้วยความสงสัย โดยที่เจ้าของห้องกำลังฮัมเพลงไปด้วยล้างจานไปด้วยจึงไม่ได้ยินอย่างที่เขาได้ยิน ร่างโปร่งเดินกลับเข้าไปด้านในห้องยืนพิงกำแพงส่วนที่ติดกับครัวแล้วพูดบอกร่างเล็กที่หันกลับมามองเมื่อสังเกตเห็นเงาของรัตติกาล
“ปูน เมื่อกี้มีคนมาเคาะห้อง”
“หรอครับ ปูนไม่เห็นได้ยินเลย”
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ร่างเล็กที่ครั้งนี้ก็ได้ยินเช่นกันมองมือเปื้องฟองของตัวเองอย่างหนักใจ รัตติกาลเห็นดังนั้นจึงยกมือขึ้นขยี้หัวกลมของเด็กหนุ่มเบาๆ แล้วอาสาเป็นผู้เปิดประตูให้แทน
“มาหาใครครับ”
ชายแปลกหน้ากำลังมองรัตติกาลอย่างสำรวจ ผมสีเข้มที่ถูกตัดจนสั้นแซมประปรายด้วยสีดอกเลาไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าดูมีอายุจนเกินไป ใบหน้าที่มีริ้วรอยพอประมานนิ่งอึ้งไปสักพักเมื่อต้องเผชิญกับคนไม่คุ้นหน้าก่อนอีกฝ่ายจะยกยิ้มละไมมาให้อย่างมีไมตรี
“นี่ใช่ห้องของปูนรึเปล่าครับ”
“ครับ แล้วนี่คุณ...”
“ผมเป็นลุงของปูนครับ”
ชายมีอายุบอกกับรัตติกาลเช่นนั้นก่อนจะมองเลยไปทางด้านหลัง ซึ่งเจ้าของห้องที่เพิ่งจัดการล้างไม้ล้างมือเสร็จกำลังเดินเข้ามาเพื่อดูว่าใครเป็นแขกของตน
“คุณลุง...”
“ว่าไงปูน มัวทำอะไรอยู่ถึงต้องให้แขกมาเปิดประตูให้”
คำติที่เจือไปด้วยน้ำเสียงเอ็นดูถูกเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนโยนของผู้มาใหม่ ปูนพนมมือไหว้ญาติของตัวเองแล้วรีบเดินแทรกเข้าไปรับถุงกระดาษสองถุงใหญ่ซึ่งบรรจุขนมไทยต่างๆไว้จนเต็มโดยมีรัตติกาลคอยให้ความช่วยเหลือภายใต้สายตาที่มองมาด้วยความสงสัยอย่างปิดไม่มิด
“ลุงครับ นี่ รัตติกาล...รุ่นพี่ของปูนเอง”
“สวัสดีครับ”
รัตติกาลไม่ได้นึกตำหนิเด็กหนุ่มที่แนะนำเขาไปในฐานะนั้น ความสัมพันธ์คลุมเครือที่เชื่อมพวกเขาไว้ด้วยกิเลสนั้นไม่มีชื่อเรียกและคงดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มยกมือไหว้คนที่มีศักดิ์เป็นอาของเด็กหนุ่มตามมารยาท โดยที่อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้ารับรู้แล้วหันไปพูดกับหลานของตนต่อ
“ไม่เคยเห็นเราเล่าให้ฟังเลย”
“ปูนมารู้จักกับพี่เขาตอนทำงานที่ร้าน เลยไม่ได้เล่าให้ลุงฟัง”
“ร้าน? นี่ยังไม่เลิกทำงานในที่แบบนั้นอีกหรอ”
“คือปูน...”
“เข้าไปนั่งคุยกันในห้องเถอะครับ ปูน เดี๋ยวพี่กลับเลยแล้วกัน”
รัตติกาลไม่รอให้ปูนเถียง เขาแตะข้อศอกเด็กหนุ่มที่กำลังทำสีหน้าลำบากใจพร้อมกับบอกเบาๆว่าไม่เป็นไร ร่างโปร่งจัดการหยิบของๆตนเองที่มีไม่มาก รวมถึงบุหรี่และกุญแจรถมาถือไว้ รัตติกาลไหว้ลุงของร่างเล็กอีกครั้งเพื่อบอกลาพร้อมกับรอยยิ้มการค้าที่ถูกส่งไปให้หวังจะบรรเทาความอึดอัดที่เกิดขึ้นในห้องๆนี้
“เดี๋ยวปูนโทรหานะครับ”
ปูนผละออกมายืนส่งเขาที่ประตูโดยมีสายตาของผู้เป็นลุงมองมาไม่ห่าง
“อืม คุยกับลุงดีๆล่ะ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอก”
“ครับ...ขอโทษด้วยนะ”
“อย่าคิดมาก”
เขาส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนจะเดินจากมา สีหน้าลำบากใจของปูนทำให้รัตติกาลนึกเป็นห่วงแต่ก็ทำอะไรมากไปนี้ไม่ได้ ร่างโปร่งไม่รู้ว่าที่บ้านของปูนทราบรสนิยมของร่างเล็กหรือไม่เพราะปูนเองก็ไม่เคยพูดเรื่องครอบครัวให้เขาฟังสักครั้ง ถึงจะไม่อยากอยากเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของอีกฝ่ายแต่ก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี
รัตติกาลพาร่างของตนเองมายังรถยนต์ที่จอดไว้เรียบร้อยไร้รอยขีดข่วน แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของร่างโปร่งมากกว่ากลับเป็นเจ้ากระป๋องวิ่งได้ที่จอดอยู่ข้างกันด้วยความบังเอิญ รถตู้โฟล์คสีเขียวไข่กามีรอยขีดข่วนอยู่บ้างตามการใช้งานที่ยาวนาน ยางปัดน้ำฝนที่เริ่มสึกส่งเสียงเอี๊ยดอาดเป็นจังหวะดังแทรกขึ้นแข่งกับเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคา ภาพของรพีที่หลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของชายคนนั้น ผู้กำลังเหม่อมองทุ่งหญ้าและต้นไม้ใหญ่ข้างทางผ่านความมืดมิดและสายฝนที่โปรยปราย รัตติกาลประคองพวงมาลัยต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ปริปาก จนกระทั่งเสียงทุ้มไร้ความส่อเสียดดังขึ้น
“วันนี้มึงมีความสุขบ้างไหมวะ”
“...”
“กูไม่เข้าใจ...คิดยังไงก็คิดไม่ออก เพราะต้องหยุดมึง กูต้องคิด...คิดไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายกลายเป็นกูเองที่สับสน จนไม่อยากคิดอะไรแล้วตอนนี้...”
“...”
“มึงแสร้งทำดีกับรพีแต่กลับไม่ใช่ทุกครั้ง รอยยิ้มจอมปลอมของมึงมันเศร้าแต่รอยยิ้มจริงๆของมึงก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกัน ทั้งที่บอกว่าเกลียดแต่มึงกลับเป็นห่วงคนที่อยากทำลาย มึงไม่สับสนบ้างหรอวะ แม้แต่กูยังสับสนเลย...ว่าควรหยุดมึงไว้หรือแค่รอไปเรื่อยๆจนกว่าอะไรจะดีขึ้น”
“คุณ...ควรเลิกยุ่งเรื่องนี้สักที”
รัตติกาลตอบไปพร้อมกับกำพวงมาลัยให้แน่นขึ้น อารัณย์หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยเสียงที่ไม่ได้ฟังดูขัดหูเหมือนเช่นทุกครั้ง
“คิดว่ากูไม่อยากทำรึไง เรื่องครอบครัวมึงมันโคตรวุ่นวาย รพีโชคดีที่วันนั้นได้กูช่วยไว้ แต่กูแม่ง...โคตรซวย ทั้งเกือบโดนจับ ทั้งโดนมึงต่อย ไหนจะต้องช่วยคนที่มึงไปกระทืบเขาไว้อีก ที่หนักสุดก็คือเรื่องของมึงกับรพี”
“ถ้าอยากโชคดีบ้างก็เลิกใจดีไปทั่วซะ ยอมรับเถอะว่าคุณช่วยใครไม่ได้ มีชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องสับสนวุ่นวายเพราะใครอีก”
“ถ้าทำอย่างที่ว่ากูคงสบาย แต่กลายเป็นรพีที่ลำบาก...แม้แต่มึงก็ด้วย”
“...ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของพวกผมสองคนเถอะครับ”
“มันไม่ใช่เรื่องของมึงแค่สองคน...พ่อของรพี...คนที่มึงไม่ยอมพูดถึง...อย่างน้อยก็ต้องนับเขาเข้าไปด้วย”
“ผมบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล...ผมเป็นพ่อของรพี...เป็นมาตลอดและจะเป็นตลอดไป”
“ถ้าอย่างนั้นแม่ของเด็กนี่อยู่ที่ไหน”
“...ผู้หญิงคนนั้น...ไม่อยู่แล้ว”
เสียงของรัตติกาลเรียบนิ่งไร้ความไขว้เขว เขาไม่ได้โกหกเพียงแต่คายความจริงออกมาไม่หมดเท่านั้น
“กูคงถามผิด งั้นกูจะถามใหม่...แม่ของรพีคือใคร”
“ไม่มีความจำเป็นที่ผมต้องตอบ”
“จำเป็นสิ อย่างน้อยถ้ามันมีน้ำหนักพอกูคงเลิกยุ่งเรื่องของมึงไปเอง”
“...”
“ว่าไง ตอบได้รึเปล่า”
“ผมเคยนอนกับเธอแต่พลาด...เรามีรพีด้วยความไม่ตั้งใจ ผมเป็นฝ่ายเก็บเด็กไว้ส่วนเธอไปมีชีวิตใหม่ ก็แค่นั้น...”
“ที่มึงตอบว่าเขาไม่อยู่แล้วเป็นความจริง...แต่คำตอบสุดท้ายเป็นเรื่องโกหก”
ใบหน้าที่เหม่อมองความมืดหันกลับมามองรัตติกาลพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูเหมือนตอนที่ผู้ใหญ่จับได้ว่าเด็กน้อยกำลังทำผิด
“ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องโกหก”
“มีสิ...มีอยู่แล้ว เพียงแต่กูไม่รู้เท่านั้น”
“...”
“มึงเคยเห็นคนโดนมีดแทงไหม”
อารัณย์หันกลับไปมองยังถนน ลูบแผ่นหลังเล็กของคนในอ้อมกอดเบาๆ ปลอบให้เด็กชายที่กระสับกระส่ายเพราะเสียงรบกวนสงบลงอีกครั้ง
“เวลาคมมีดแทงทะลุเข้าไปในเนื้อ สิ่งที่เราจะทำมีอยู่แค่สองอย่าง ถ้าไม่ดึงมันออก...ก็ต้องกดมันไว้”
“ถ้าดึงมันออก...ก็อาจจะต้องตาย”
“แต่การเก็บมันไว้...ก็แค่ประวิงเวลา”
“...”
“มึงคิดจะใช้ชีวิตทั้งที่คมมีดปักอยู่คาหัวใจไปถึงเมื่อไหร่”
“ก็คง...จนกว่าผมจะตาย”
รัตติกาลหยุดคิด เขาไม่ตอบส่งๆไปเหมือนเช่นทุกครั้งเพราะจับความจริงจังในน้ำเสียงของอารัณย์ได้ ชายคนนี้ดูออก...ว่าภายใต้เกราะหนาที่เขาใช้ปกป้องตัวเองมีอะไรซ่อนไว้ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็มากพอที่จะสั่นคลอนความมั่นใจจนสีหน้าที่เคยเรียบนิ่งสะท้อนความโศกเศร้าออกมาให้เห็น
“มึงมันบ้า”
“อย่างน้อย...ก็ยังดีกว่าต้องตายในตอนนี้”
“ถ้าเสี่ยงดึงมีดออก มึงอาจจะรอด”
“ก็แค่อาจจะ แม้แต่คุณก็ไม่มีความมั่นใจที่จะทำมันใช่ไหมล่ะ”
รัตติกาลแตะเบรก รถที่เคลื่อนตัวอยู่ค่อยๆชะลอตัวลงก่อนจะจอดนิ่งอยู่ข้างทาง ชายหนุ่มหันไปสบตากับอารัณย์ที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว น้ำเสียงที่เคยฟังดูแข็งขืนกลับเจือไปด้วยความเย้อหยันในตนเอง
“คุณจะคิดจะพูดยังไงก็ได้ เพราะสุดท้ายคนที่ต้องตายก็ไม่ใช่คุณ”
“...”
“ต่อให้มันน่าสมเพชขนาดไหนก็ช่าง ในเมื่อยังมีสิ่งที่ผมต้องทำ ผมก็จะซื้อมันไว้...เวลาที่จะต้องตายน่ะ ผมจะเลือกมันให้ตัวเอง”
“กู...จะไม่ให้มึงตาย”
“...!”
อารัณย์ใช้มือข้างหนึ่งทาบทับลงไปบนมือของรัตติกาลที่กำลังกำพวงมาลัยแน่น ความอบอุ่นนั้นไม่เหมือนกับมือของเขา สัมผัสที่ได้รับสร้างทั้งความสับสนและตื้นตันในหัวใจทั้งที่ไม่อยากจะยอมรับ ชายหนุ่มพยายามปัดมือของอีกฝ่ายออกแต่อารัณย์กลับยิ่งกระชับมันไว้แน่น รัตติกาลละความพยายามแล้วหันมามองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ แต่คำตอบที่ได้มีเพียงภาพของคนที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าเกลียดชังตัวเขากำลังใช้ดวงตาที่สงบนิ่งสบกลับมาเท่านั้น
“ตัวเลือกที่มึงไม่ได้เลือก กูจะบังคับให้มึงเลือก ไม่ว่ามีดที่ปักอกมึงอยู่จะลึกแค่ไหนกูจะดึงมันออกมา มึงอาจจะต้องเจ็บเจียนตาย แต่มึงจะไม่ตาย...จำไว้รัตติกาลว่ามึงจะต้องรอด”
“...”
“เชื่อใจกูสิ”
อารัณย์พูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะปล่อยมือของเขาให้เป็นอิสระ รัตติกาลขับรถต่อจนกลับมาถึงบ้านโดยไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก รัตติกาลรู้สึกว่าตัวเองทำพลาด คำพูดที่คาดไม่ถึง จากคนที่ไม่เคยรู้อะไรสร้างความสั่นไหวให้หัวใจเขาอย่างประหลาด เส้นทางมืดมิดที่เคยเดินอยู่เพียงลำพัง กลับปรากฏทางแยกเล็กๆที่เต็มไปด้วยหมอกขาวทำให้ไม่รู้ว่ามันจะไปบรรจบที่ตรงไหน ความลังเลเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแต่กลับตราตรึงเขาไว้ที่ปากทางนั้นด้วยคำเพียงหนึ่งคำ
‘เชื่อใจ’
ไม่รู้ว่าหมอนั่นกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้กล้าขอให้เขาเชื่อใจทั้งที่ไม่มีหลักประกันอะไรสักอย่าง สถานะระหว่างเขาทั้งสองเป็นเพียงผู้ล่าและเหยื่อโดยมีรพีเป็นตัวกลาง เท่านั้น อารัณย์ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังขอสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุดจากรัตติกาล ยิ่งกว่าขอความรักหรือชีวิต คำว่าเชื่อใจสำหรับเขาแล้วเป็นมากกว่าทุกสิ่ง และเป็นคำที่ทำให้เขาเจ็บเจียนตายมาถึงทุกวันนี้
ตั้งแต่วันนั้น รัตติกาลก็ตั้งใจไว้แล้ว
ว่าจะไม่เชื่อใจใครอีก นอกจากตัวเอง...
.
.
.
.
.
:man1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :man1:
-
ความเคยชิน มันน่ากลัว...
อารัณย์มองแผ่นหลังเล็กของรพีกำลังไหวไปมาเพราะแรงไกวของชิงช้า ร่องรอยแห่งความสุขบนใบหน้าเหมือนตอนอยู่ที่หัวหินค่อยๆเลือนหายไป เด็กชายตัวน้อยเหม่อมองเพื่อนร่วมชั้นสวมกอดบิดามารดาแล้วพากันเดินจูงมือจากไปทิ้งไว้เพียงดวงตะวันดวงเล็กที่ได้แต่รอคอยรัตติกาลทั้งที่รู้ว่าไม่มีวันมาบรรจบกันได้
ร่างสูงจนปัญญาที่จะแก้ไข สายจากบ้านพัฒนเดชาต่อตรงถึงพี่เลี้ยงหนุ่มเพื่อวานขอให้เขาทำหน้าที่รับรพีไปส่งที่บ้านแทนเพราะไม่มีคนว่าง ทั้งลุงสิทธิที่หลังยอกขณะนำต้นไม้ลงดินเมื่อเช้า และรัตติกาลที่เริ่มหายหน้าไปตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้ว
ในวงการธุรกิจ ‘ข้อมูล’ คืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งยอมจ่ายเงินซื้อแผ่นดิสก์แผ่นเดียวในราคาสูงกว่าเจ็ดหลักเพียงเพราะข้อมูลสำคัญที่ไม่สามารถใช้วิธีการธรรมดาหามาได้ อย่างเช่นที่ซุนวู นักพิชัยสงครามชาวจีนกล่าวไว้ว่า ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ‘ ข้อมูลที่มีศักยภาพสามารถกลายเป็นอาวุธร้ายซึ่งนำพาผู้ใช้ไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ แต่กลับกันหากข้อมูลนั้นตกอยู่ในมือขู่แข่งเมื่อไหร่ก็ไม่ต่างกับการเผยจุดตายให้ศัตรูได้เห็น
“คุณกาลคะ คุณวิโรจน์จากแผนกบุคคลขอเข้าพบค่ะ”
“ให้เข้ามาได้”
ธิชาพยักหน้าแล้วถอยออกไปจากห้องก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับชายวัยกลางคนที่พยายามกลบเกลื่อนสีหน้าลุกลี้ลุกลนด้วยรอยยิ้มจอมปลอมที่รัตติกาลเห็นมานักต่อนัก ชายคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่ถูกรัตติกาลเรียกพบหลังจากเกิดเหตุการณ์ข้อมูลการเซนต์สัญญากับบริษัทคู่ค้ารั่วไหลไปถึงสำนักพิมพ์คู่แข่งในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะไม่มากเพราะการรับมือที่ทันท้วงที แต่ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในความปลอดภัยของบริษัทก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถกอบกูกลับมาได้ง่ายๆตราบที่ยังจับมือปล่อยข้อมูลไม่ได้เรื่องก็ยังไม่จบ
นายวิโรจน์เป็นหนึ่งในพนักงานที่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลสำคัญหลายอย่างรวมถึงส่วนที่เผยแพร่ไป แววตาที่เรียบเฉยแต่กลับรู้สึกเหมือนโดนกรีดแทงทำเอาพนักงานระดับกลางเผลอกลั้นหายใจหลายครั้งยามที่ต้องตอบคำถาม อากัปกริยาทั้งหมดอยู่ภายใต้การสังเกตของนักบริหารหนุ่มที่พยายามเก็บทุกรายละเอียดไม่ให้คลาดสายตา แม้จะเป็นคนที่ร่วมงานกันมานาน ทั้งยังเคยร่วมหัวจมท้ายฝ่าฟันวิกฤตมาหลายครั้ง แต่รัตติกาลก็ไม่สามารถโอนอ่อนตามความรู้สึกส่วนตัวของตนได้
กว่าสองอาทิตย์หลังจากลับมาจากหัวหินที่รัตติกาลเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงาน เอกสารมากมายถูกกองเป็นชั้นสูง รายงานย้อนหลังของบริษัทถูกนำมาอ่านซ้ำๆขนาดที่ว่าแม้แต่ข้อผิดพลาดเล็กๆก็ไม่สามารถปล่อยให้หลุดรอดไปได้ ร่างโปร่งใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านน้อยลงแล้วมาสิงสถิตอยู่ที่ออฟฟิศมากขึ้น หน้าที่รับส่งรพีถูกโอนกลับไปให้ลุงสิทธิรับผิดชอบแทนเหมือนกับก่อนหน้า ทำให้รัตติกาลแทบจะไม่ได้เจอกันไปโดยปริยาย
“คุณกาลคะ จะให้ธิสั่งข้าวไว้ให้เหมือนเดิมไหม”
เลขาสาวเคาะประตูเพื่อขออนุญาตก่อนจะเดินเข้ามา เธอมองร่างสูงโปร่งของเจ้านายที่โทรมลงอย่างเห็นได้ชัดจากการโหมงานเป็นบ้าเป็นหลัง ใบหน้าหล่อเหลาของยังคงน่ามองเช่นเคย เพียงแต่ดวงตาที่สดใสขึ้นในระยะหลังกลับดูหม่นแสงลงเพราะความเหนื่อยล้า ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเข็มสั้นของนาฬิกาซึ่งชี้ไปยังเลขเจ็ดพลางขยับแว่นสายตาให้เข้าที่
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณกลับบ้านเถอะ”
“ค่ะ ยังไงคุณกาลก็เหลืองานไว้ให้ธิทำบ้างนะคะ พรุ่งนี้ธิจะเข้ามาช่วยแต่เช้า”
หญิงสาวพูดติดตลกก่อนจะทิ้งโพสต์อิทที่จดเบอร์ร้านข้าวไว้ให้ แผ่นหลังที่ปวดเกร็งเพราะต้องก้มหน้าอ่านเอกสารทั้งวันเอนพิงบนเก้าอี้หวังคลายความเมื่อยล้าแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ รัตติกาลปล่อยเบอร์โทรศัพท์ให้อยู่บนโต๊ะไปทั้งอย่างนั้นเพราะอาการปวดแสบในช่องท้องที่กำเริบขึ้นตั้งแต่ชั่วโมงก่อนทำให้ชายหนุ่มไม่รู้สึกอยากอาหาร อาศัยเพียงยาเคลือบกระเพาะใช้บรรเทาอาการเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
บุหรี่นอกมวนสีดำถูกเปลวไฟเผาไหม้จนควันลอยคลุ้งทั่วทั้งห้อง รัตติกาลหยิบโทรศัพท์เบอร์ส่วนตัวขึ้นดูหลังจากที่ไม่ได้แตะต้องมันเลยตลอดทั้งวัน ชื่อของนิลเป็นเบอร์ล่าสุดที่พยายามติดต่อเขาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว นอกจากนั้นก็มีเบอร์ของที่บ้านโทรมาในช่วงเวลาเดิมๆเหมือนเช่นทุกครั้ง
รัตติกาลเลือกเบอร์บ้านแล้วกดโทรออก เขาหลับตาขณะที่ถือสายรอสักพักจนกระทั่งเสียงนวลของจันทร์ดังขึ้นจากปลายทาง
“สวัสดีค่ะ บ้านพัฒนเดชาค่ะ”
“ผมกาลเองครับป้า”
“คุณกาลหรอคะ เป็นยังไงบ้าง ป้าโทรไปหาตั้งแต่ห้าโมงเย็นแต่ไม่มีใครรับสาย”
“ตอนนั้นผมอยู่ในห้องประชุมพอดีครับ ป้ามีอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกคะ แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง แล้วนี่คุณกาลทานอะไรรึยังคะ”
“...เรียบร้อยแล้วครับ”
รัตติกาลโกหกเพราะไม่อยากให้คนเฒ่าคนแก่ต้องไม่สบายใจ โดยหลงลืมไปว่าตัวเองไม่เคยปิดปังจันทร์ได้สักเรื่อง
“โกหกคนแก่ไม่ดีนะคะ”
“อืม...แล้วนี่รพีไปไหนซะละครับ”
ร่างโปร่งรีบเฉไฉไปพูดเรื่องอื่นโดยมีจันทร์หัวเราะคลอเบาๆเพราะนึกขันมุมเด็กๆของเจ้านาย
“ทำการบ้านกับคุณรัณย์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นค่ะ”
“อารัณย์?...เขามาที่บ้านหรอครับ”
“เธอมาส่งคุณพีให้น่ะค่ะ เจ้าสิทธิมันยอกหลังตอนเอาต้นกล้วยลงในแปลงหลังบ้าน คนงานผู้ชายคนอื่นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวป้าเลยโทรไปวานคุณรัณย์พามาส่งให้ แต่อีกใจ...ก็เพราะกลัวคุณพีเธอจะเหงา”
จันทร์พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เธอไม่อาจว่ากล่าวใครในเรื่องนี้ได้ ในวันที่เกิดเรื่องรัตติกาลต้องออกจากบ้านไปตั้งแต่กลางดึกทั้งที่เพิ่งเข้านอนไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะกลับมาตอนรุ่งเช้าพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียดมากกว่าทุกครั้ง คนแก่อย่างเธอไม่อาจเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถ่องแท้แต่ก็รับรู้ได้ว่ามันใหญ่พอที่จะทำให้คนที่ดำเนินธุรกิจด้วยความใจเย็นอย่างรัตติกาลต้องโมโหจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง
รพียิ้มรับคำอธิบายของพ่อทั้งที่ตัวเองไม่เข้าใจ รัตติกาลจากไปโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะจัดการเรื่องทางบ้านให้เรียบร้อย ในช่วงแรกๆชายหนุ่มยังพอปลีกตัวมากินข้าวด้วยได้บ้างแต่หนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ในขณะที่ยังหาตัวการไม่ได้พวกเขาก็ทำได้เพียงติดต่อกันผ่านโทรศัพท์เท่านั้น
“รพีบอกหรอครับว่าเหงา...”
“เปล่าหรอกค่ะ คุณคนนี้เขาปากแข็งไม่แพ้พ่อ คุณกาลก็รู้”
“...”
“คุยกับเธอหน่อยไหมคะ”
“...ครับ”
ระหว่างรอสายรัตติกาลคิดทบทวนตัวเอง ความวูบไหวในอกที่เกิดขึ้นทำให้รัตติกาลกลัวความรู้สึกที่เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ กระจกบานใหญ่ตรงหน้ากำลังสะท้อนภาพกรุงเทพย่ามค่ำคืนเหมือนดังที่เคยเป็นมา ผิดไปก็แต่เงาของรัตติกาลที่ดูอ่อนแอลงจนแทบจำไม่ได้ เพียงเพราะความรู้สึกโหยหาที่เกิดขึ้นมาเมื่อความเคยชินถูกทำลาย มันโหดร้ายยิ่งกว่าการที่ไม่เคยได้ครอบครองตั้งแต่แรก
“พ่อกาล!”
เสียงของคนที่วนเวียนอยู่ในหัวดังขึ้น รัตติกาลกลืนก้อนขมในคอแต่มือกลับสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ เขาพยายามฝืนปรับน้ำเสียงไม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมในขณะที่ดวงตาค่อยๆพร่าลงจนต้องปิดมันไว้
“ครับ...พ่อเอง”
“พ่อกาลกินข้าวรึยัง...เหนื่อยมากไหมฮะ”
“ไม่เหนื่อยครับ...พีล่ะ...วันนี้เป็นเด็กดีไหม”
“พีเป็นเด็กดีฮะ พีไม่ดื้อ พีไม่งอแง แต่...พะ พี...ฮึก พีคิดถึงคุณพ่อ”
เป็นอย่างที่จันทร์ว่า รพีนั้นปากแข็งไม่แพ้บิดา ร่างป้อมพยายามฝืนมันไว้แต่เพราะอารมณ์ที่อ่อนไหวกว่าทำให้เด็กชายที่ทำเสียงร่าเริงในทีแรกหลุดสะอื้อนออกมาเมื่อความคิดถึงถาโถมจนไม่อาจทนไหว เสียงครางฮือบาดลึกเข้าไปในหัวใจคนฟัง รัตติกาลรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ที่ทำให้รพีไม่มายืนอยู่ตรงหน้าเขา เพราะร่างโปร่งมั่นใจว่าทิฐิทั้งหลายที่สั่งสมมาคงพังลงโดยง่ายในวินาทีที่เห็นน้ำตาของเด็กคนนั้น
“พ่อกาลกลับบ้าน ฮึก กลับบ้าน กลับ ฮือ...”
“รพี...”
“พี ไม่เอาไม่ร้องนะครับ หายใจเข้าลึกๆ”
ในขณะที่รัตติกาลได้แต่กำโทรศัพท์ในมือด้วยความปวดใจ เสียงทุ้มของอารัณย์ก็ดังแทรกขึ้นมาให้ได้ยิน ร่างสูงกอดปลอบเด็กชายที่สะอื้นฮัดในอ้อมแขน รพีซึ่งร้องไห้แทบขาดใจค่อยๆสงบลงเมื่อฝ่ามือใหญ่ของอารัณย์คอยลูบบนหลังเบาๆพร้อมกับริมฝีปากอุ่นกดจูบตามขมับจนแรงบีบรัดในหัวบรรเทาลงเหลือไว้เพียงความคิดถึงที่รักษาไม่หาย ถ้อยคำและน้ำเสียงที่อ่อนโยนของอารัณย์ไม่เพียงปลอบประโลมร่างป้อมให้คลายความทุกข์แต่กลับส่งผลถึงคนปลายสายให้พลอยสงบใจลงด้วยเช่นกัน
“พีครับ ได้ยินพ่อไหม”
อารัณย์ได้ยินเสียงของรัตติกาลแว่วมาจากหูโทรศัพท์ ชายหนุ่มวานให้จันทร์ที่กำลังยืนมองภาพตรงหน้าน้ำตาคลอจัดการเปิดโหมดสปีกเกอร์โฟนให้เพราะรพีเอาแต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของพี่เลี้ยงหนุ่มจนไม่อาจถือสายโทรศัพท์ได้
“พีครับ คุณพ่อเรียกได้ยินไหม”
“ฮึก พ่อกาล”
“ไม่ร้องนะครับ พีร้องแบบนี้คุณพ่อฟังไม่รู้เรื่องนะ”
ชายหนุ่มพูดกล่อมจนรพียอมฝืนกลั้นสะอื้นจนตัวสั่น ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มถูกใช้เช็ดทั้งน้ำตาและน้ำมูกที่ไหลเปื้อนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเลอะเป็นดวง
“รพีครับ...”
รัตติกาลลองเรียกลูกชายอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แหบสั่นจนอารัณย์รู้สึกได้
“ฮะ...”
“อย่า...อย่าร้องไห้”
“ฮึก”
“เป็นเด็กดี...รอพ่ออยู่ที่บ้านนะครับ”
“ฮะ ฮึก พีจะไม่ร้อง”
“เก่งมาก...พ่อขอคุยกับน้าอารัณย์หน่อยครับ”
อารัณย์ได้ยินดังนั้นก็อุ้มรพีที่ตัวสั่นเทาให้จันทร์ดูแลต่อ ร่างสูงหยิบโทรศัพท์บ้านไร้สายขึ้นแล้วเดินไปยังอีกมุมของห้องเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นของรพีดังรบกวนอีกคนที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งไม่ต่างกับเด็กชายตัวน้อย
“ว่าไง”
“รพี...เป็นยังไงบ้าง”
“ป้าจันทร์ปลอบอยู่ อีกสักพักคงหยุดร้องได้”
“...หรอ”
“ถ้าเป็นห่วงนักก็กลับมาบ้านสิ”
“ผมไม่ได้เป็นห่วง...”
“เลิกปากแข็งสักทีเถอะ ได้ยินเสียงของตัวเองบ้างไหมว่ามันสั่นแค่ไหน”
“...”
“อย่างน้อยก็กับกู...บอกแล้วไงว่าจะช่วย”
รัตติกาลไม่กล้ามองเงาของตัวเองในกระจกด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่รพีที่ห่างเขาไป การไม่ได้ไปรับส่งลูกชายด้วยตัวเองทำให้ร่างโปร่งไม่ได้พบหน้าอารัณย์อีกเลยตั้งแต่วันนั้น คำพูดอวดดีของอีกฝ่ายยังดังก้องอยู่ในหัวเหมือนกับเมื่อวานพวกเขาเพิ่งเดินทางกลับจากหัวหิน ความเป็นห่วงเป็นใยที่ไม่เคยได้รับจากคนที่เอาแต่ตั้งท่าใส่กันตั้งแต่วันแรกที่เจอ ทำให้คนที่หัวใจแล้งน้ำได้กลิ่นสายฝนที่ใกล้เข้ามา
“ขอบคุณ...ที่เป็นธุระเรื่องรพีให้”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่มึงเถอะ งานยุ่งมากเลยหรอวะ”
“อืม คงจะต้องนอนที่นี่ไปอีกพักหนึ่ง”
“แล้วไม่มีคนคอยช่วยเลยรึไง”
“ในบริษัทมีเกลือเป็นหนอน...ผมไว้ใจใครไม่ได้”
“ให้ตายสิ! มึงนี่มันบ้าได้ทุกเรื่องจริงๆ”
อารัณย์สบถออกมาก่อนจะตัดสายไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งให้รัตติกาลได้แต่มองมือถือที่ส่งเสียงดังเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่องด้วยความงงงวย เขาลังเลที่จะโทรไปที่บ้านอีกครั้งแต่เมื่อไม่มีการติดต่อกลับมาทำให้รัตติกาลคิดไปว่าทางนั้นคงหมดธุระที่จะคุยแล้วจริงๆ ร่างโปร่งลุกขึ้นเดินไปยังห้องพักส่วนตัวที่ถูกสร้างไว้ด้านใน เตียงนอนขนาดหกฟุตและตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินสีเบจถูกออกแบบไว้อย่างเรียบง่าย เขาคว้าเอาผ้าเช็ดตัวและเสื้อคลุมอาบน้ำพอดีตัวไว้ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าก่อนจะพาร่างของตนแช่ลงในอ่างน้ำวนที่อุณหภูมิอุ่นกำลังพอดี
รัตติกาลถดร่างของตัวเองให้จมลงในอ่าง ปล่อยให้กระแสน้ำชำระล้างความสั่นไหวที่เกาะกุมหัวใจออกไปให้สามารถครองความเป็นตัวเองได้อยู่ เสียงร้องไห้ของรพีและคำพูดของอารัณย์ดังอยู่ในหัวท่ามกลางความเงียบในที่ที่อากาศเข้าไปไม่ถึง เขาลืมตาขึ้นเห็นดวงไฟที่พร่าเลือนเมื่อมองผ่านน้ำ มันวูบไหวไม่ต่างจากภาพของไฟหน้าห้องฉุกเฉินที่เขามองผ่านน้ำตา
ภาพอดีตที่วุ่นวาย และปัจจุบันที่สับสน ทับซ้อนกันจนรัตติกาลอยากลืมไปให้หมดสิ้น ในขณะที่บอกตัวเองว่าต้องเกลียดชังลูกชายของคนทรยศ รอยยิ้มของรพีก็ลอยขึ้นมา คำว่ารักที่นทีเคยมอบให้ยังคงสร้างบาดแผลให้เขาจนถึงวินาทีนี้ แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พอนึกถึงเสียงของรพีที่บอกรักเขาก็ดังขึ้นเช่นกัน
“พี่รักกาลนะ”
“พีรักพ่อกาลที่สุดในโลกเลย”
.
.
.
“เชื่อใจกูสิ”
ทำไมต้องคิดถึงมันด้วย...
จะเชื่อได้จริงๆหรอ...
“กาล!!!”
แรงมหาศาลกระชากรัตติกาลให้โผล่พ้นขึ้นมาจากน้ำ เขาคว้าเอาขอบอ่างไว้ด้วยความตกใจแต่ร่างกายกำยังของแขกผู้มาเยือนกลับดึงเขาเข้าหาตัวจนร่างกายเปลือยเปล่าของรัตติกาลถลาออกไปทาบทับอยู่บนร่างของอารัณย์ที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าอยู่ครบชุด
“มึงบ้าไปแล้วรึไง!!!! ลงไปทำเหี้ยอะไรในน้ำ!!!!”
ถึงแม้มันจะถามเขาแต่อารัณย์กลับไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ตอบ ร่างสูงตบเบาๆบนแก้มซีดขาวเพื่อเรียกสติทั้งที่รัตติกาลรับรู้ทุกการกระทำของตัวเอง อารัณย์ทำสีหน้าตื่นตกใจเหมือนเพิ่งผ่านพ้นความตายมาอย่างหวุดหวิดในขณะที่รัตติกาลมีสีหน้างงงวย ไม่เข้าใจว่าพี่เลี้ยงหนุ่มตื่นกลัวอะไรและทำไมอารัณย์ถึงมาอยู่ที่นี่
“กูรู้ว่ามึงบ้าแต่ไม่คิดว่าจะไร้หัวคิดขนาดนี้ ทำไมถึงทำแบบนี้วะ!!!”
“หยุดด่าผมได้รึยัง!”
รัตติกาลตะคอกอีกฝ่ายที่เอาแต่ปรามาสเขาไม่หยุดด้วยเสียงที่เหนื่อยหอบ ร่างโปร่งใช้มือปิดปากที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยวาจาไร้สตินั้นพลางจ้องเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายที่ดูท่าจะสติหลุดมากกว่าที่เขาเป็นเสียอีก
“ใจเย็นแล้วฟัง! ผมไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณคิด ผมแค่ลงไปแช่น้ำคุณจะตกใจอะไรนักหนา!”
อารัณย์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน ชายหนุ่มที่ตีตนไปก่อนไข้เอ่ยถามรัตติกาลผ่านทางสายตาจนร่างโปร่งที่ถูกเข้าใจผิดถอนลมหายใจยาวๆแล้วปล่อยมือออกให้อีกฝ่ายได้ถามเขาอย่างอิสระ
“มึงลงไปแช่น้ำ?”
“เออ”
“ไม่ได้จะฆ่าตัวตาย?”
“เออ!”
“แล้วแช่น้ำบ้าอะไรต้องลงไปทั้งตัวแบบนั้น!!”
“มันเรื่องของผม! คุณนั่นแหละที่จู่ๆก็พรวดพลาดเข้ามาแล้วคิดไปเองทั้งนั้น!”
“เป็นใครเขาก็คิดเหมือนกูทั้งนั้นแหละ ตะโกนเรียกมึงอยู่ตั้งนานก็ไม่มีใครตอบ เห็นประตูเปิดอยู่เลยเดินเข้ามาเจอมึงนอนจมอยู่ก้นอ่าง ให้ตายสิ!!!”
อารัณย์สบถหนัก เขาใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้เท้าอยู่ที่พื้นขึ้นเสยเส้นผมที่เปียกลู่ไม่ให้ปกคลุมใบหน้า ร่างสูงถอนหายใจก่อนมองรัตติกาลด้วยสายตาที่ทั้งโล่งใจแต่ยังแฝงแววหวาดกลัวอยู่ในนั้นจนร่างโปร่งได้แต่หลบสายตาหันไปมองที่อื่น
“ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้อีก”
“ผมไม่ได้เล่น ผมแค่อาบน้ำ”
“นั่นแหละ ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าว่ายน้ำแข็งคิดบ้าอะไรถึงลงไปแช่ทั้งตัวแบบนั้น ถ้าเกิดจมไปจริงๆจะเป็นยังไง!”
“ผมไม่จมหรอก...”
“ปากเก่งตลอด! กูอยู่หน้าห้องมึงเกือบนาทีแสดงว่ามึงก็ต้องดำอยู่นานกว่านั้น ถ้าเกิดกูไม่เข้ามามึงจะเป็นยังไงคิดบ้างไหมกาล คิดถึงหัวอกคนอื่นบ้างสิ!”
รัตติกาลทำหน้าบึ้งเมื่ออีกฝ่ายดุเขาราวกับเด็กๆ ร่างโปร่งสะบัดตัวออกก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำที่แขวนอยู่ใกล้ๆมาสวมใส่ เขารีบเดินออกมาจากห้องน้ำโดยไม่สนใจเสียงเรียกของอารัณย์ที่ดังไล่หลังมา ชายหนุ่มเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก เลือกเอาเสื้อคอกลมสีขาวธรรมดาและกางเกงผ้ายืดออกมาอย่างละหนึ่งตัวเพื่อจะใช้ใส่นอน แต่ก่อนที่เขาจะได้จัดการตัวเองให้เรียบร้อย ท่อนแขนที่ซีดขาวก็ถูกกระชากไปทางด้านหลังจนริมฝีปากของรัตติกาลปะทะเข้ากับเสื้อชื้นน้ำของอีกฝ่าย
“ทำบ้าอะไรอีกเนี่ย!”
“สัญญามาก่อนว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก”
“ห๊ะ!”
“สัญญามา!”
“สัญญาอะไรอีก! ปล่อยสิผมจะใส่เสื้อผ้า!”
“สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้ สัญญาว่าจะไม่ฆ่าตัวตาย สัญญาสิ!”
“...”
“ขอร้องล่ะ...สัญญาสิ”
ชายหนุ่มที่เคยมีแต่ความมั่นใจ ดูหวาดกลัวอย่างที่เขาไม่เคยเห็น อารัณย์ร่ำร้องผ่านทางสายตาจนทำให้คนตรงหน้าดูไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เคย รัตติกาลไม่รู้ว่าอารัณย์กำลังหวาดกลัวอะไร แต่เขารู้จักสายตาแบบนี้ดี มันคือแววตาของคนที่หวาดกลัวการสูญเสีย แววตาของคนที่กำลังพยายามไขว่คว้าหาที่พึ่ง...เป็นแววตาแบบเดียวกันกับที่เขามีเมื่อยามที่เห็นรพีเป็นครั้งแรก
“บอกอีกครั้งว่าผมไม่ได้ฆ่าตัวตาย หัดฟังคนอื่นซะบ้าง”
“...”
“สัญญา...”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
เป็นตอนที่โคตรจะยาวนาน ปรับเนื้อหาไปสี่ห้ารอบ แถมฉบับสมบูรณ์ก็หายไปเพราะคอมรวนเลยต้องนั่งพิมพ์ใหม่ทั้งหมด เช่แบบรวดร้าวมากเลยคับ โดยเฉพาะบทพูดของรัณย์กาลบทรถขากลับจากหัวหิน แบบมันลืม!!! เขียนใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม T^T โอ้ยเศร้า ที่หลังเขียนเสร็จต้องอัพเลย ปวดตับมาก :heaven :jul1:
เนื้อหาพาร์ทที่คุยกันบนรถเช่ไม่ได้ทำตัวเอียงไว้ให้ แต่คิดว่าน่าจะเข้าใจกับนะคับว่าเป็นบทพูดในอดีต เป็นตอนที่เริ่มรู้สึกว่าพี่ห้าวของเราเริ่มหลุดๆล่ะ เก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ จากที่เคยคิดไว้ว่าอยากให้อารัณย์เป็นคนเท่ๆ แต่ไปๆมาๆกลายเป็นคนกวนประสาทธรรมดานั่นแหละ ไม่เท่เอาซะเลย~ แถมเป็นพระเอกเรื่องนี้โคตรลำบาก เหมือนเป็นการแย่งความรักระหว่างคนสามคน รพี นที แล้วก็อารัณย์ ^^ สนุกคนอ่านแต่ลำบากคนเขียนก็เรื่องนี้แหละ (เขียนไปเขียนมาทำไมกาลรพีมันหวานกว่าไปได้เนี่ย!)
เช่เปิดเทอมใหม่แล้วนะคับ แรกๆคงยังพออัพให้ได้บ่อยหน่อย (อาทิตย์ละมากกว่า1ตอน) แต่หลังจากนั้นต้องดูกันอีกทีเพราะมีแต่วิชาทำชิ้นงานทั้งนั้น น่วมแน่ๆ แต่ก็จะไม่หายไปไหนนะ ยังยืนยันว่าไม่อยากอัพเป็นเปอร์เซ็นต์เพราะเช่ชอบเปลี่ยนเนื้อเรื่องตัวเองตลอดเวลา เขียนๆไปย้อนกลับมาแก้เนื้อหาข้างบนๆ เพราะฉะนั้นก็ช่วยรอหน่อยนะคับ จะได้อ่านกันยาวๆทีเดียวเลย
ขอบคุณทุกโหวตทุกเม้น ตามพูดคุยกันได้ที่แฟนเพจนะคับ ใกล้จะ200คนแล้ว อยากแต่งสเป~ :fire:
-
คุณพี่เลี้ยงเริ่มติดใจกาลแล้วใช่ไหมล่ะ
-
อยากให้มีฉากอย่างว่าไวๆ 5555
-
อ้อยน่อ!! รักษากันให้หายนะ
-
เข้ามาถูกจังหวะจริงเนอะ อิอิ กาลโป้ :ruready
ตอนแรกคิดว่ากาลต้องตกหลุมรักก่อน กลายเป็นรัณย์พลาดหรอเนี่ย :-[
-
24th Night
…Unspoken Word...
อารัณย์จ้องมองชายหนุ่มที่กำลังให้ความสนใจกับเอกสารในมือราวกับว่าตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพัง กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกพลิกอ่านไปเรื่อยๆบ้างก็ถูกขีดเขียนในจุดที่น่าจะเป็นเบาะแส ทิ้งให้กาแฟสีดำสนิทที่ยังไม่ถูกแตะต้องจนเย็นชืดลง เช่นเดียวกับแขกผู้มาเยือน
รัตติกาลไม่ได้มีน้ำใจหยิบยื่นเสื้อผ้าให้อีกคนได้เปลี่ยน เสื้ออารัณย์ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าชื้นๆอยู่จนพาลนึกอิจฉาตัวต้นเรื่องที่นั่งตัวแห้งทำงานต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มถอนหายใจ เป็นครั้งแรกที่เขาอยากเห็นรัตติกาลสติแตกมากกว่านี้ ไม่เอาถึงขั้นลุกขึ้นมาต่อยเหมือนตอนที่เข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนร้ายลักพาตัวรพีหรือตอนซ้อมเด็กที่ผับ แค่ช่วยรู้ตัวมากกว่านี้หน่อยว่าเพิ่งหนีพ้นคมเคียวของมัจจุราชมา
พี่เลี้ยงหนุ่มนึกขอบคุณป้าจันทร์ที่รู้ใจเจ้านายตนเป็นอย่างดี ทันทีที่เขาตัดสายปิ่นโตขนาดสองชั้นก็ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับแผนที่ของตึกสูงแห่งนี้ อารัณย์บิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจลัดเลาะผ่านการจราจรที่ติดขัดโดยใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที ลุงยามหน้าตึกยอมปล่อยให้ชายหนุ่มเดินเข้ามาง่ายๆทันทีที่บอกว่าป้าจันทร์ส่งเขามาจนอารัณย์นึกสงสัยในมาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่
เขายังรู้สึกถึงความบีบรัดในอกยามที่เห็นร่างซีดขาวของรัตติกาลนอนนิ่งอยู่ในอ่าง อารัณย์ทิ้งทุกอย่างแม้แต่สติที่พึงมี เขาตวาดรัตติกาลอย่างบ้าคลั่ง มือสั่นอย่างน่าสมเพช ชายหนุ่มใช้มันบีบรัดรัตติกาลไว้ราวกับกลัวว่าจะทำสิ่งสำคัญหลุดมืด ทั้งที่มันไม่ควรให้ความสำคัญแท้ๆ...
“ถ้าจะมานั่งแย่งอากาศผมหายใจเฉยๆ ก็กลับไปเถอะ”
รัตติเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของร่างสูงดังขึ้นเป็นรอบที่สาม อารัณย์ขมวดคิ้วใส่ เขาลุกขึ้นยืนแล้ววางปิ่นโตสีเงินที่ลงไปกลิ้งกับพื้นมาก่อนหน้านี้ลงบนโต๊ะรับแขกแล้วเปิดมันออกด้วยใจระทึก...อืม...สภาพดูไม่จืด
อารัณย์เอ่ยขอโทษจันทร์อยู่ในใจ ไข่เจียวถูกเทไปกองอยู่รวมกันจนหมดเค้าความน่าทาน ผักต้มนานาชนิดก็มีสภาพไม่ต่างกันโดยเฉพาะมะเขือสีเขียวสดที่ถูกกระแทกจนไส้ปลิ้นส่งกลิ่นเหม็นเขียวไปทั่งทั้งกล่อง ยังดีที่น้ำพริกฝีมือป้าจันทร์ถูกมัดใส่ถุงอีกชั้นไม่อย่างนั้นรัตติกาลคงต้องทำงานทั้งคืนพร้อมกับนั่งดมกลิ่นกะปิไปด้วย
“มันเละแล้ว เดี๋ยวกูออกไปซื้อให้ใหม่”
อารัณย์เอ่ยอย่างมีน้ำใจ แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่เขาก็เป็นคนปล่อยปิ่นโตเถาน้อยให้ลงไปนอนกลิ้งจนมีสภาพไม่น่าทานแบบนี้เอง ชายหนุ่มล้วงหยิบเอากุญแจรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจพร้อมกับเงินสดจำนวนหนึ่งติดตัว แต่ก่อนที่อารัณย์จะก้าวออกจากห้องไป เจ้าของร่างกายสูงโปร่งก็เดินมาหยุดลงตรงหน้าอดีตข้าวกล้องแสนน่าทานที่จันทร์ตั้งใจทำสุดฝีมือเพื่อเจ้านายของตัวเอง
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกินอันนี้แหละ”
“จะกินได้ยังไง สภาพแม่งยังกับกองขยะสด”
“ผมจะกินไม่ลงเพราะคำเปรียบเทียบของคุณนั่นแหละ...”
รัตติกาลพูดพลางส่ายหน้าอย่างนึกระอา ร่างโปร่งเดินออกไปจากห้องแล้วกลับมาพร้อมกับช้อนกลางหนึ่งคัน เขาจัดการโกยข้าวที่กระจายระเกะระกะให้กลับมาอยู่เป็นกองเดียวกันแล้วตักไข่เจียวและผักต้มที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามลงบนนั้น ก่อนน้ำพริกหอมกลิ่นเคยทะเลจะถูกราดลงไปทั้งหมดในคราวเดียว รัตติกาลถือโถข้าวไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวก่อนจะตักกินด้วยท่าทางสบายๆไร้มาดเจ้าของบริษัทจนคนมองนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“มึงจะกินจริงๆงั้นหรอ”
“ก็กินอยู่ ไม่เห็นรึไง”
“แต่มันเละแล้ว”
“แล้วยังไง มันก็กลิ้งของมันอยู่ในนั้นไม่ได้หยิบจากพื้นมากินสักหน่อย”
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่ แล้วก็หยุดชวนผมคุยซะ คุยไปกินไปไม่มีมารยาท”
รัตติกาลว่าดังนั้นก่อนจะลงมือทานต่อโดยไม่สนใจอารัณย์อีก ทิ้งให้พี่เลี้ยงหนุ่มเบ้หน้าใส่ความย้อนแย้งในตัวของรัตติกาลที่มักสร้างความแปลกใจให้เขาเสมอเรื่องมาก แต่ดันอยู่ง่าย เหมือนจะเป็นคนสบายๆ แต่ก็เจ้าระเบียบกว่าที่คิด ไม่ต้องพูดถึงอารมณ์ร้อนๆที่ขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกนั่นอีก อยากรู้จริงๆว่าภายใต้เกราะหนานั้นรัตติกาลเป็นคนยังไง
เป็นอย่างที่เขาพูดกับรัตติกาลบนรถในคืนนั้น ความอ่อนโยนที่รัตติกาลแสดงออกมาในระยะหลังทำให้เขาสับสนจนแทบหลงลืมไปแล้วว่าต้องจับตาดูคุณพ่อตัวปลอมคนนี้ไปเพื่ออะไร จริงอยู่ที่มันไม่ใช่ทั้งหมด แววตาที่ทอด้วยความโกรธแค้นยังคงฉายชัดอยู่ในชั่วขณะหนึ่งก่อนเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายครั้งดวงตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูนั้นจะทำให้เขาหันไปมองที่อื่นไม่ได้
“คุณไม่ต้องรอเอาปิ่นโตไปคืนป้าหรอก กลับไปเถอะ”
เสียงของร่างโปร่งปลุกเขาให้ออกจากภวังค์ อารัณย์เผลอยืดตัวขึ้นด้วยความตกใจจนรัตติกาลมองท่าทางแปลกๆนั้นด้วยความฉงน
“เป็นอะไร”
“ปะ เปล่า”
รัตติกาลยังคงมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไร เขาลุกขึ้นจัดการนำของทั้งหมดไปล้างที่ห้องชงกาแฟซึ่งอยู่ไม่ใกล้ ปล่อยให้อารัณย์ที่ทำท่าทางประหลาดๆอยู่ในห้องของตนต่อแต่เพียงลำพัง ร่างกายสูงใหญ่ของอารัณย์ลุกขึ้นเดินสำรวจแก้เก้อ ชายหนุ่มกนด่าตนเองในใจที่ทำท่าราวกับคนขวัญอ่อนออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็น พี่เลี้ยงหนุ่มสะบัดหัวแรงๆไล่ความคิดวุ่นวายออกไปแล้วหันมาให้ความสนใจกับชั้นวางหนังสือสูงจรดเพดานที่กินพื้นที่กำแพงด้านหนึ่งของห้องไปทั้งหมด
นวนิยายแปล อัตชีวประวัติคนดัง รวมไปถึงหนังสือแปลกๆที่อารัณย์ไม่เคยเห็นและไม่คิดจะอ่านวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ชายหนุ่มสะดุดตากับโมเดลหอไอเฟลเล็กๆที่วางรวมกับโมเดลสถานที่เที่ยวยอดนิยมระดับโลกซึ่งว่างอยู่ในชั้นมุมขวาล่างสุด ร่างสูงนั่งลงกับพื้นพรมก่อนให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
โปสการ์ดมากมายที่รัตติกาลจ่าหน้าถึงตัวเองถูกมัดรวมไว้ด้วยเชือกสีน้ำตาลเส้นเล็ก อารัณย์แกะมันออกอย่างถือวิสาสะ รูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศถูกส่งมาพร้อมกับลายมือหวัดๆแต่ดูมีเอกลักษณ์ซึ่งขีดเขียนเรื่องราวต่างๆที่เจ้าตัวคงได้พบเจอระหว่างการเดินทางให้ได้มาซึ่งกระดาษแผ่นน้อยเหล่านี้
‘ว่ากันว่าถ้าโดนนกอึใส่จะโชคดี ชายคนนั้นคงได้สูทใหม่เร็วๆนี้ ยินดีด้วย’
‘สะพานชาร์ลส์ตอนตีห้า สวย แต่ง่วงชะมัด’
‘อาหารใต้คือที่สุด!’
‘ปากหนุ่มอิตาเลียนหวานไม่แพ้ทีรามิสุเลยแหะ’
อารัณย์เผลอขมวดคิ้วตอนอ่านโปสการ์ดใบที่เป็นรูปแม่น้ำเมืองเวนิส เขาเปิดอ่านไปเรื่อยๆพร้อมกับซึมซับถ้อยคำที่สะท้อนความขี้เล่นในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากรัตติกาลคนปัจจุบัน จนมีหลายครั้งที่ร่างสูงเผยยิ้มออกมาเมื่อได้อ่านมุขตลกประหลาดๆที่เขาว่ามันไม่มีความขำเอาเสียเลย
พี่เลี้ยงหนุ่มสัมผัสได้ถึงมนต์เสน่ห์ของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆผ่านทางรูปภาพและเรื่องราวที่ร่างโปร่งได้พบเจอ อารัณย์พยายามจินตนาการถึงใบหน้าของรัตติกาลยามที่เขียนจดหมายที่เต็มไปด้วยความสุขพวกนี้ว่าเป็นแบบไหน รัตติกาลที่ตื่นเต้นราวกับเด็กๆเมื่อได้เห็นอะไรแปลกๆ รัตติกาลที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้านกาแฟคอยสังเกตผู้คนพร้อมกับเขียนเรื่องราวต่างๆลงไปด้วย รัตติกาลที่ไร้พิษสง รัตติกาลที่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความสุข...รัตติกาลในอดีตที่เขาไม่รู้จัก
อารัณย์อ่านไปเรื่อยๆจนมาถึงโปสการ์ดใบสุดท้ายที่แตกต่างจากโปสการ์ดใบอื่น ภาพของพระธาตุลำปางหลวงในยามอาทิตย์ใกล้ตกดินดูสวยงามแต่กลับให้ความรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างประหลาด ลายมือหวัดๆของรัตติกาลไม่เหมือนเดิม ฝีปากกาที่เคยพลิ้วไหวกลับหนักแน่นเพราะแรงกดจนทิ้งรอยร่องลึกไว้บนเนื้อกระดาษ แม้แต่เรื่องราวที่เขียนถึงก็ไม่ได้เป็นมุขตลกหรือถ้อยคำบอกอารมณ์ตื่นเต้นอย่างเคย
‘Don’t want your memory in my head now.
I want you here with me…Nathee.’
“นที...งั้นหรอ”
ชื่อของชายคนที่คณิตพูดถึงถูกเขียนอยู่บนโปสการ์ดใบสุดท้ายพร้อมกับการเดินทางที่สิ้นสุดไปตั้งแต่วันนั้น อารัณย์อ่านมันซ้ำๆจนจำขึ้นใจก่อนจะมัดกระดาษทุกใบรวมกันไว้ด้วยเชือกเส้นเดิม เขาลุกขึ้นในจังหวะเดียวกันกับที่ประตูบานนั้นเปิดออกอีกครั้งปรากฏร่างของรัตติกาลที่กลับมาพร้อมกับกาแฟถ้วยใหม่ ร่างโปร่งหันมามองอารัณย์ด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยปากถาม
“ทำไมคุณยังไม่กลับไปอีก”
“...ป้าจันทร์ฝากให้กูมาดูมึง”
“ดูผม? ถ้าอย่างนั้นคุณก็กลับไปได้แล้ว ถ้ากลัวป้าแกไม่เชื่อก็หยิบเอาปิ่นโตบนโต๊ะข้างนอกกลับไปให้แกแล้วกัน ผมจะทำงานต่อแล้ว”
“ทำงานต่อ...นี่มึงไม่คิดจะพักบ้างรึไง”
“ถ้าผมมีเวลามากพอที่จะพักคงไม่ระเห็จตัวเองมานอนที่นี่”
รัตติกาลรำพันกับตัวเอง เขาพาร่างที่เหนื่อยล้าเต็มทนแต่ก็ยังคงฝืนได้อยู่นั่งลงบนเก้าอี้ล้อหมุนตัวใหญ่ หนังสือเวียนต่างๆที่ถูกส่งให้กับหน่วยงานภายนอกบริษัทถูกหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้งเพื่อหาเบาะแส ร่างโปร่งควานหาปากกาคู่ใจโดยไม่ละสายตาออกไปจากตัวหนังสือแม้แต่จังหวะเดียว แต่สิ่งที่เขาคว้าได้กลับกลายเป็นมือแข็งๆของอีกหนึ่งชีวิตในห้องที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาตำหนิ
“ฝืนเกินไปแล้ว”
“ผมไหว...ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปกรุณาปล่อยปากกาผมด้วย”
“มันไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าของบริษัท อย่างน้อยก็ต้องมาคณะกรรมการสอบสวนไม่ใช่รึไง”
“มี...แต่ผมก็ตรวจสอบตัวเองเท่าที่จะทำได้”
“ขนาดนี่ไม่เรียกว่าเท่าที่จะทำได้แล้ว มึงมันบ้า”
“ผมชินกับประโยคนี้แล้วล่ะ ปล่อยเถอะ”
“รพีต้องอดทนรอมึงมากี่วันแล้วรู้บ้างรึเปล่า!”
อารัณย์ตวาดเขาด้วยเสียงที่ไม่ดังนักแต่ก็ยังสะท้านในความรู้สึก รัตติกาลคิดว่าวันนี้เขาจะพูดคุยกับอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องขึ้นเสียงใส่กันอีกแล้ว ตอนที่ร่างสูงเข้ามาช่วยเขาไว้แม้ว่าจะเป็นการเข้าใจผิดทำให้รัตติกาลคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายคงคลายความเกลียดชังในตัวเขาไปบ้าง รัตติกาลดีใจที่มันเป็นอย่างนั้น เพราะเขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะมาสู้รบปรบมือกับใครในตอนนี้
“ผมรู้โดยไม่ต้องให้คุณมาย้ำ...หน้าที่พ่อที่ดีน่ะผมต้องกลับไปทำมันอยู่แล้ว”
“หน้าที่พ่อที่ดี?”
“ใช่ สิ่งที่ทุกคนอยากจะให้ผมเป็นกันนักหนา ทั้งนิล ป้าจันทร์ แม้แต่คนนอกอย่างคุณ ที่มองเห็นแต่รพี...แต่กลับไม่มีใครมองเห็นผมเลย”
รัตติกาลเค้นยิ้มให้ตนเองแล้วกระชากปากกาในมืออีกฝ่ายกลับมา เขาก้มหน้าอ่านเอกสารต่างๆทั้งที่มันพร่าเลือนเพราะความรู้สึกที่โดนสั่นไหว ร่างโปร่งเสียใจที่ยั้งปากตัวเองไว้ไม่ทัน คำพูดน่าอายพวกนั้นไม่สมควรออกมาจากปากคนทะนงตนอย่างเขา คำพูดราวกับว่าตัดพ้อ คำพูดของคนอ่อนแอแบบนั้นมันน่าอายสิ้นดี
อารัณย์ยืนนิ่ง มองเส้นผมที่ปกคลุมใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้น ทั้งตกใจในสิ่งที่รัตติกาลพูดและแปลกใจที่ตัวเขาเองรู้สึกผิดเมื่อได้ยินมัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงหัวเราะเยาะอีกฝ่ายแล้วบอกว่าก็เพราะทำตัวแบบนี้ใครเขาจะสนใจ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่...เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ
“มันไม่ใช่แบบนั้น”
“...”
“ทุกคนเขาก็เป็นห่วงมึง ทั้งป้าจันทร์ ทั้งไอ้นิล เขาอยากให้มึงพัก...”
“ไม่ต้องเป็นห่วง...ตัวผม...ผมดูแลตัวเองได้”
อารัณย์ทำท่าเหมือนกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดมันออกมา เขาลังเลใจจนอดไม่ได้ที่จะขยี้ผมที่เซ็ตมาเป็นอย่างดีของตนเองจนมันเละไม่เป็นท่า พลางส่งเสียงร้องโอดครวญเพราะความสับสนก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกันที่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ
“โอ้ยยยยยย มันแบบ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่แบบนั้น!”
“...”
“ขอโทษ...”
รัตติกาลเงยหน้าขึ้นจากตัวหนังสือที่ต่อให้ก้มต่อไปก็อ่านไม่รู้เรื่อง อารัณย์ปกปิดใบหน้าหล่อเหล่าด้วยฝ่ามือจนทำให้เขาเห็นเพียงดวงตาดุดันที่เสหันไปมองที่อื่นและใบหูที่ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างน่าขำ...แต่รัตติกาลกลับขำไม่ออก
“อะไรนะ”
“...”
“คุณบอกว่าขอโทษผมหรอ”
“...เออ”
“พูดดีๆ”
“ก็บอกว่าเออไง!”
“...ถ้าไม่เต็มใจพูดก็ไม่ต้องพูด เสร็จธุระแล้วก็กลับไปสักที”
“โอเค! กูขอโทษ! ไม่ได้ตั้งใจจะสื่อแบบนั้น กูสงสารรพีแต่ก็ไม่ใช่ว่า...”
“...”
“กูจะไม่...”
อารัณย์ตกใจกับความคิดตัวเองแต่ยังดีที่ไม่ได้พลั้งปากออกไป เขาดีดตัวลุกขึ้นยืนแล้วพาร่างของตัวเองไปยืนมองวิวยามค่ำคืนโดยไม่หันมาสนใจคนฟังที่ไม่กล้าเติมประโยคที่พูดไม่จบนั้นด้วยความคิดของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
นักบริหารหนุ่มเผลอกำมือแน่น หัวใจที่เคยปกติเปลี่ยนเป็นเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งจนน่ากลัว รัตติกาลรู้สึกขอบใจที่อารัณย์ลุกขึ้นไปชมวิวทิ้งให้เขานั่งอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง เพราะชายหนุ่มเองก็ไม่มั่นใจเลยว่าสีหน้าที่เคยเรียบนิ่งมันจะสงบได้เหมือนเช่นทุกครั้ง ความรู้สึกน้อยใจหายไปหลงเหลือไว้เพียงแต่ความรู้สึกสับสนที่เข้ามาแทนที่ พวกเขาทั้งสองปล่อยให้เวลาไหลไป รัตติกาลลงมืออ่านงานของตัวเองต่อในขณะที่อารัณย์กลับมานั่งบนโซฟารับแขกตัวยาวพร้อมกับหยิบหนังสือบนชั้นมาอ่าน โดยที่ในใจยังคงได้ยินคำที่พูดออกไปไม่ได้วนเวียนอยู่อย่างนั้น
‘เป็นห่วงมึง’
เวลาล่วงเลยไปกว่าเที่ยงคืน รัตติกาลยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจเพื่อคลายความเมื่อยล้า หลังจากความเงียบพัดพาบรรยากาศที่บอกไม่ถูกนั้นหายไป ร่างโปร่งก็กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองอารัณย์อีกครั้ง
พี่เลี้ยงหนุ่มพล่อยหลับไปทั้งๆที่หนังสือเล่มใหญ่วางอยู่บนตัก ดวงตาที่ดูร้ายกาจถูกปกปิดไว้ด้วยเปลือกตาสีไข่นวลจนทำให้คนตรงหน้าดูไร้พิษภัยผิดกับเวลาตื่นนอน รัตติกาลลุกขึ้นยืน เขาพยายามเดินด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุดไปยังห้องพักด้านใน ผ้านวมสีเทาผืนใหญ่ถูกหยิบออกมาก่อนเขาจะค่อยๆใช้มันปกคลุมร่างของอารัณย์ที่เข้าสู่ห้วงนิทราสงบทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงาน
“หรือเราควรจะปลุกให้เขากลับบ้าน”
รัตติกาลพูดพึมพำกับตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าด้วยระยะที่ใกล้เพียงสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆจะทำให้อารัณย์ตื่นขึ้นมาจนได้
“...!”
ฝ่ามือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนขาวของรัตติกาลที่ไม่ทันตั้งตัว รัตติกาลเบิกตากว้างพอๆกับอารัณย์ที่ไม่มีอาการงัวเงียทันทีที่เห็นใบหน้าหวานคมนั้นมาลอยอยู่ใกล้ๆ ทั้งคู่หยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่รัตติกาลจะตั้งสติได้ก่อน ร่างโปร่งสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เขาพาร่างของตัวเองกลับไปนั่งยังที่ประจำแล้วยกกาแฟถ้วยที่สองของคืนขึ้นดื่มราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อารัณย์พยายามรวบรวมสติที่กลับไปแตกกระจายพอๆกับตอนที่ได้ยินคำพูดน่าอายนั้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่างลู่ต่ำลงบริเวณลำตัว เขาก้มหน้าลงมองผ้าห่มผืนใหญ่ที่ปกคลุมช่วงล่างของเขาไว้จนรู้สึกอุ่น อารัณย์จับปลายผ้าด้านหนึ่งขึ้นมองดูมันสลับกับใบหน้านวลของรัตติกาลที่ยังคงให้ความสนใจแต่กับเครื่องดื่มในมือไม่ยอมหันกลับมามองทางเขา
อารัณย์ยิ้ม...
เขาไม่เอ่ยถามอะไรเพราะคำตอบมันเห็นอยู่ทนโท่ ในตึกนี้ไม่มีใครนอกจากเขา รัตติกาล และยามหนึ่งคนที่ไม่มีทางทิ้งหน้าที่ออกมาจัดหาผ้าอุ่นๆคลายหนาวให้แขกอย่างเขาเป็นแน่ อารัณย์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหอบผ้านวมไว้เต็มอ้อมแขน ถึงมันจะอุ่นแค่ไหนก็คงไม่ดีนักที่เขาจะแย่งเจ้าของห้องมาใช้แล้วสุขสบายอยู่เพียงคนเดียว เขานำมันกลับไปวางไว้ในห้องนอนอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาว่าเขาเผลอหลับไปจนล่วงมาถึงเที่ยงคืนครึ่ง
“มันดึกมากแล้ว มึงเลิกทำเหอะ”
อารัณย์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุๆแต่ไม่ได้ฟังดูน่ากลัวสักนิด
“ผมจะอ่านตรงนี้ให้จบก่อน คุณนั่นแหละกลับไปได้แล้ว”
“ตรงนี้น่ะคือทั้งหมดที่วางบนโต๊ะใช่ไหม เฮ้อ...กูพูดจริงๆนะกาล สิ่งที่มึงทำมันบ้ามาก ต่อให้มึงเก่งแค่ไหนแต่สิ่งที่มึงกำลังพยายามทำก็เกินตัวอยู่ดี”
“...ข้อมูลที่ถูกปล่อยออกไปเป็นข้อมูลระดับเอคลาส มีคนไม่ถึงยี่สิบคนที่สามารถเข้าถึงได้แต่กลับไม่มีใครหาตัวการเจอ”
“ไม่มีใครในบริษัทที่มึงไว้ใจได้เลยรึไง”
“ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าคนพวกนั้นจะไม่ทรยศผม”
อารัณย์สังเกตเห็นแววตาที่แข็งขึ้นเมื่อรัตติกาลพูดถึงคำว่าทรยศ เขาสงสัยและอยากจะถามแต่ก็ไม่อยากให้บรรยากาศในห้องแย่ลงไปกว่านี้ ชายหนุ่มหยุดคิดหาหนทางทั้งที่ไม่จำเป็น เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดไล่รายชื่อคนรู้จักไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่รายชื่อหนึ่งที่ทั้งเขาและรัตติกาลรู้จักดี
“มึงแจ้งความไปรึยัง”
“แจ้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเท่าไหร่”
“งั้นก็แจ้งอีกรอบเถอะ”
“...?”
“พอดีมีตำรวจบางนายติดค้างค่าของฝากกูอยู่”
.
.
o13(อ่านต่อเม้นต์ล่าง) o13
-
.
“ขอบคุณครับ”
สาวเสิร์ฟผู้โชคดียิ้มรับด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงจัด เธอใช้ถาดพลาสติกปิดบังหน้าของตัวเองไว้แล้วรีบเดินเร็วๆเข้าไปยังหลังร้านเพื่อกรีดร้องกับเพื่อนสาวคนอื่นๆที่หลบมุมมองเธอด้วยความอิจฉาที่ได้บริการลูกค้าโต๊ะในมุมอับของร้านแต่กลับเรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมองเป็นทางเดียวกัน
นายตำรวจหนุ่มในชุดเต็มยศยกกาแฟร้อนขึ้นจิบอย่างใจเย็นเช่นเดียวกับรัตติกาลที่คนชาในถ้วยของตัวเองไปเรื่อยๆด้วยมาดนิ่งที่ทำให้ผู้พบเห็นอยากจะแปลงร่างกายเป็นเครื่องดื่มสีขุ่นที่ผู้ชายหน้าคมคนนั้นเอาแต่จ้องมองจนไม่สนใจอย่างอื่น ผิดกับนิลที่มีสีหน้าบูดบึ้งต่างจากเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคน นักเขียนหนุ่มใช้ปากกาเขียนบ่นเป็นภาษาฝรั่งเศสที่ตัวเองถนัดลงไปในสมุดโน้ตเล่มเล็กที่พกติดตัวอยู่เสมอ รัตติกาลละสายตาจากถ้วยชาไปมองเพื่อนรักที่เอากนด่านายตำรวจที่นั่งข้างๆด้วยภาษาที่น่าจะมีแต่เขาและนิลที่เข้าใจ แต่ร่างโปร่งสาบานว่าเมื่อครู่เขาเห็นฤทธิชาติเหลือบมองดูสมุดโน้ตเล่มนั้นแล้วจุดยิ้มตรงมุมปากอย่างอารมณ์ดี
“คุณคงลำบากแย่เลยนะครับ”
นายตำรวจหนุ่มเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อนหลังจากนั่งนิ่งคิดถึงคำบอกเล่าของรัตติกาลอยู่สักพัก เอกสารแสดงรายละเอียดวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาในเช้าของวันนี้ทันทีที่เขาวางสายจากอารัณย์ที่โทรมาทวงบุญคุณค่าของฝากจากประจวบคีรีขันธ์ด้วยราคาที่ไม่คุ้มค่ากันเลย
หมายถึงมันน้อยเกินไปน่ะ เมื่อเทียบกับการที่ได้นั่งมองคนอารมณ์บูดข้างๆ...
“ยังดีที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทัน แต่ทางลูกค้าก็ยังมีความกังวลอยู่มากจนสัญญาใหม่ที่ตั้งใจว่าจะเซ็นในเดือนหน้าถูกขอเลื่อนออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด”
“แล้วคุณกาลสงสัยใครเป็นพิเศษบ้างไหม”
“...ไม่ครับ ไม่มีใครแสดงพิรุธออกมาเลย”
รัตติกาลถอนหายใจ นายวิโรจน์เป็นคนสุดท้ายที่เขาได้ตรวจสอบแต่กลับไม่พบเจอสิ่งน่าสงสัยอื่นใดนอกจากความตื่นกลัวจนน่าขันนั่น นิลมองเพื่อนรักด้วยความเห็นใจ ถึงจะอยู่ร่วมบริษัทเดียวกันแต่เขากลับช่วยอะไรรัตติกาลไม่ได้เลยเพราะความสามารถทั้งหมดถูกทุ่มไปกับการเป็นนักเขียนหาได้มีหัวทางธุรกิจอย่างคนอื่นเขา ฤทธิชาติพยายามส่งยิ้มให้อย่างเคยเผื่อให้รัตติกาลผ่อนคลายทั้งที่รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้อีกฝ่ายปล่อยวาง
“ผมพอมีเพื่อนเก่งๆที่ทำคดีพวกนี้อยู่บ้าง ไม่ต้องห่วงนะครับ”
“ไว้ใจได้แน่หรอครับ”
“...?”
“ตำรวจพวกนั้นน่ะ แน่ใจหรอครับว่าไว้ใจได้”
“ไอ้กาล...”
นิลครวญเสียงอ่อน รู้ดีว่าเพื่อนคนนี้หมดความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวคนอื่นไปนานแล้วแต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้ ฤทธิชาตินิ่งไปนิดก่อนจะหยิบเอาตราตำรวจที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อวางลงบนโต๊ะตรงหน้า โลหะสีเงินส่องประกายแวววับล้อกับแสงไฟน่ามอง มันดูแข็งแกร่งและน่าเกรงขามไม่ต่างจากชายในชุดเครื่องแบบที่กำลังมองมาด้วยความมาดมั่นนี่เลย
“ที่ผมยังไปไม่ถึงยศร้อยตำรวจเอกก็เพราะนิสัยไม่เข้าตามตรอกออกทางประตูของตัวเอง แต่เชื่อผมเถอะครับว่าคุณสามารถไว้ใจผมได้”
รัตติกาลพูดไม่ออก ความจริงใจที่ถูกส่งมานั้นทำให้เขาไม่กล้าเถียงอะไรออกไปแม้ในใจจะยังร้องประท้วงอยู่ ชายหนุ่มถอนหายใจเป็นครั้งที่สองก่อนจะเลื่อนตราตำรวจนั้นกลับไปให้ผู้เป็นเจ้าของที่ส่งยิ้มละไมให้กับเขา นิลมองซีนดราม่าตรงหน้าแล้วเบ้ปากพลางนินทาชายหนุ่มคนข้างๆเป็นภาษาฝรั่งเศสเช่นเดิม
ฤทธิชาติหัวเราะ เขาเก็บเอาตรากลับเข้ากระเป๋าเสื้อก่อนจะล้วงเอากล่องของขวัญสีเงินวางลงตรงหน้าชายคนที่ตัวเองตามจีบอยู่นานแทน นิลมองมันจนหยุดปากของตัวเองไปในทันที ดวงตาที่เบิกโตค่อนๆหรี่เล็กลงพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มแน่น ฝ่ามืออุ่นๆของนายตำรวจหนุ่มเอื้อมไปจับต้นขาภายใต้กางเกงแสล็คสีเข้มของคนข้างกาย นักเขียนหนุ่มพยายามปัดมันออกแต่กลายเป็นว่าคราวนี้เขาโดนจับมือเอาไว้แทน
“ส่วนนิล ผมสาบานด้วยนาฬิกาเรือนนี้เลยว่าเมื่อคืนผมต้องไปธุระด่วนกับนายจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะหายหน้าไปเฉยๆ...ขอโทษนะครับ”
“เฮอะ...หน้ากูเหมือนคนเห็นแก่ของขนาดนั้นเลยรึไง”
“คิดมาก นี่น่ะตั้งใจซื้อให้นิลตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้ให้สักที”
“ซื้อให้กู? เรื่องอะไรต้องมาเที่ยวซื้อของให้กูด้วยวะ”
“ก็อยากให้ สวยดี เห็นแล้วคิดถึงนิล”
ผู้หมวดหนุ่มพูดยิ้มๆขณะที่นักเขียนดาวรุ่งเอาแต่อ้าปากพะงาบๆอย่างหมดคำพูด ใบหน้าที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์เหมือนเพื่อนสนิทขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามองจนฤทธิชาติอดมาได้ที่จะใช้นิ้วอุ่นๆเขี่ยแก้มนุ่มนั่นเล่นอย่างเอ็นดู ก่อนจะโดนนิลต่อยต้นแขนแข็งๆนั่นอย่างแรงแต่มีหรือที่เขาจะสะดุ้งสะเทือน
รัตติกาลยกชาจิบทำเหมือนกับว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เขายกมือเรียกพนักงานที่ยืนนิ่งเป็นหินเพราะได้ยินบทสนทนาทั้งหมดมาสั่งเค้กอีกสองชิ้นสำหรับทานที่ร้านกับใส่กล่อง ชายหนุ่มทวนออร์เดอร์อีกครั้งเพื่อเตือนสติพนักงานสาวจนเจ้าหล่อนรีบพยักหน้ารัวๆแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ด้วยใบหน้าสลดต่างจากครั้งแรก
“มึงหยุดยิ้มเลยนะไอ้เชี่ยกาล!”
เมื่อนิลเห็นท่าว่าจะทำอะไรคนข้างๆไม่ได้จึงหันมาเล่นงานเพื่อนรักของตนแทน รัตติกาลเลิ่กคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัยก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มแบบที่นิลไม่ชอบใจนัก
“กูไม่ได้ยิ้ม หึ ไม่ทันไรก็มองโลกเป็นสีชมพูซะแล้วหรอมึง”
นิลกัดฟัน ถึงจะเป็นเพื่อนกันมานานแต่ท่าทางกวนประสาทเบื้องล่างของรัตติกาลก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำใจให้ชินได้ง่ายๆเลย เสียงโมบายแก้วและเสียงกล่าวต้อนรับของพนักงานดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่ามีแขกมาเพิ่ม นักเขียนหนุ่มที่นั่งหันหน้าไปยังทางเข้าเป็นฝ่ายแสยะยิ้มบ้างจนรัตติกาลที่เตรียมตั้งรับอยู่เลิ่กคิ้วขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย แต่ไม่ต้องรอนาน โซฟาเดี่ยวบุด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนที่ว่างอยู่ถูกจับจองด้วยผู้มาเยือนคนใหม่ อารัณย์ในชุดเสื้อยืดธรรมดาสวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำดูดุดันทิ้งตัวลงบนที่ว่างดังกล่าวก่อนจะทำหน้าฉงนเมื่อรัตติกาลส่งสายตาไม่พอใจใส่ตนทั้งที่เพิ่งมาถึงยังไม่ได้แม้แต่พูดทักทายด้วยซ้ำ
“ว่าไงรัณย์ ได้ข่าวว่าช่วงนี้เข้าออกบ้านไอ้กาลเป็นว่าเล่นเลยหรอ”
ยิงเข้าเป้าตั้งแต่นัดแรก...ตัวต้นเรื่องนั่งยิ้มกริ่มเพราะนึกขันในนิสัยเถรตรงเกินไปของคนข้างๆ อย่างน้อยก็น่าจะทักทายกันก่อนก็ยังดี...
“หื้ม?...อืม บางทีต้องไปส่งรพี ทำไมวะ”
“ไม่ทำไมหรอก แค่คิดว่าที่หัวหินมันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า พวกมึงถึงได้ญาติดีกันได้ ปกติแค่มองหน้าก็กัดกันอย่างกับหมา”
คนที่ถูกหาว่าเป็นหมากำลังจ้องนิลอย่างกินเลือดกินเนื้อ นักเขียนหนุ่มยักไหล่ไม่แคร์สายตากดดันของเพื่อนรักเลยสักนิดหนำซ้ำยังหันไปมองคนมาใหม่ที่ยังคงงงๆกับสถานการณ์ตรงหน้า อารัณย์หันไปมองหน้าฤทธิชาติเพื่อขอคำอธิบายแต่นายตำรวจหนุ่มก็เอาแต่ยิ้มกวนประสาทอย่างเคยไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“ก็ไม่ได้มีอะไร พวกกูไม่ใช่คนบ้าทำไมจะพูดกันดีๆไม่ได้”
“อ่อหรอ ‘พวกกู’ งั้นสินะ สนิทจนนับเป็นพวกกันได้จริงๆด้วย”
“ถ้ายังไม่หุบปาก มึงอดแดกข้าวฝีมือป้าจันทร์ไปตลอดชีวิตแน่ไอ้นิล”
“อู้ยยยย น่ากลัวๆ”
รัตติกาลสอดขึ้นแต่นิลกลับไม่หวาดกลัวคำขู่นั่นเลยสักนิด นี่แหละข้อเสียของการสนิทกันมากเกินไป คำขู่ของรัตติกาลใช้ไม่ได้ผลกับนิลมานานแล้ว ทั้งโต๊ะมีเพียง ฤทธิชาติที่ยังหัวเราะออก ผู้หมวดหนุ่มแอบลูบหลังมือของนิลที่อยู่ใต้โต๊ะเบาๆเพื่อห้ามปรามก่อนที่รัตติกาลจะโกรธขึ้นมาจริงๆ นิลที่ได้เอาคืนเพื่อนจนพอใจแล้วก็ยอมหยุด เขาเอนหลังลงจิบกาแฟเย็นในแก้วของตัวเองโดยลืมที่จะปัดมืดสากๆที่กำลังเย้าแหย่เขาอยู่ออกไปเหมือนเช่นทุกครั้ง
“แล้วตกลงเรื่องนั้นเอายังไง มึงช่วยอะไรกาลได้ไหมไอ้ตำรวจ”
“เรื่องคดีผมจะให้เพื่อนตำรวจอีกคนสืบเรื่องจากอีกบริษัทให้ แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อย ยังไงช่วงนี้คุณกาลก็ตรวจสอบเอกสารเหมือนอย่างเคยไปก่อนนะครับ”
“ทำไมยังต้องตรวจอีกวะ ก็เห็นอยู่ว่ามันไม่เจอพิรุธอะไร”
“ถึงจะไม่เจอพิรุธก็ต้องทำครับ อย่างน้อยก็อย่าให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน เราต้องทำให้ทางนั้นคงคิดว่าคุณกาลคงกำลังพยายามด้วยตัวเองอยู่เหมือนเคย ถ้าเกิดจู่ๆคุณกาลหยุดการสอบสวนไปอาจจะทำให้พวกนั้นสงสัยได้”
อารัณย์ครางในลำคอก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม รัตติกาลตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรมาก ต่อให้ฤทธิชาติไม่บอกเขาก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะตรวจสอบด้วยตัวเองอีกทาง ถึงนายตำรวจหนุ่มจะเอาศักดิ์ศรีของตำรวจเป็นเครื่องประกันแต่เขาก็ไม่คิดจะเชื่อใจใครทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ออยู่ดี
“แล้วก็นอกจากนี้ ผมอยากให้คุณกาลหาคนที่ไว้ใจได้มาติดตามคุณด้วย”
“ติดตามผม? ทำไมครับ”
“จากคำบอกเล่าของคุณดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่คดีลักขโมยข้อมูลธรรมดา ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลของบริษัทคุณไม่ใช่กระจอกแต่ก็ยังมีคนแอบเข้าไปฉกข้อมูลมาได้โดยที่ไม่ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ทั้งที่มีผู้ต้องสงสัยไม่ถึงยี่สิบคน มันอาจมีอะไรมากกว่าที่เราคิด เพื่อความปลอดภัยของคุณเองกรุณาทำตามที่ผมบอกด้วยครับ”
“...คุณคิดว่ามันจะฆ่าผมงั้นหรอ”
รัตติกาลพูดด้วยโดยไม่มีท่าทางตื่นตกใจ อารัณย์เหลือบมองคนข้างๆที่รักษามาดไว้ได้อย่างเคยไม่ต่างจากตอนที่เขาช่วยร่างโปร่งให้พ้นจากการจมน้ำ นิลที่เมื่อครู่ยังทำท่าทีเล่นทีจริงก็นิ่งไปเมื่อได้ยิน เขาหันหน้ามามองคนที่มีลางสังหรณ์แม่นอย่างไม่สบายใจนักจนฤทธิชาติต้องสงเสียงหัวเราะเบาๆเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ
“แค่กันไว้ดีกว่าแก้น่ะครับ ผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องทำตาม ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“ไอ้กาล...อย่าทำแบบนี้ดิวะ”
“กูไม่เป็นอะไร ยังไงก็คลุกอยู่ที่ออฟฟิศทั้งวันอยู่แล้วไม่ออกไปยืนล่อลูกตะกั่วใครเขาหรอก”
“มึงอย่าลืมว่าคนร้ายอยู่ในบริษัท ต่อให้มึงขังตัวเองอยู่ในห้องก็อาจจะโดนเป่าหัวโดยไม่รู้ตัวก็ได้”
รัตติกาลนิ่งไปนิดเมื่อนิลพูดเตือนเขาอย่างจริงจัง สิ่งที่นิลพูดมานั้นถูกต้อง แม้แต่เขาเองยังแอบคิดเลยว่าข้อสันนิษฐานของฤทธิชาติฟังดูเป็นไปได้ แต่จะให้ทำยังไง การให้เขาหาคนที่ไว้ใจได้อาจจะยากกว่าการหาคนร้ายตัวจริงเสียอีก
อารัณย์มองความอึดอัดตรงหน้าด้วยความไม่สบายใจ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการจู่โจมจากมือที่มองไม่เห็นคงจะเป็นความไม่รักตัวกลัวตายของรัตติกาลเสียมากกว่า รัตติกาลแบ่งแยกคนออกเป็นสองประเภทอย่างชัดเจนคือมิตรและศัตรู แต่น่าเสียดายว่าต่อให้เป็นคนที่จัดอยู่ในประเภทแรกก็ยังไม่สามารถทำให้คนคนนี้ไว้ใจคนพวกนั้นได้อยู่ดี
พี่เลี้ยงหนุ่มชั่งใจอยู่สักพัก เขาเอนตัวมาทางด้านหน้าก่อนจะหันไปมองรัตติกาลอย่างเต็มตา ร่างโปร่งพอรู้สึกตัวก็หันไปสบดวงตาสีดำคู่นั้นกลับ ความหมายมั่นบางอย่างทำให้รัตติกาลไม่อยากเอ่ยถามจนกระทั่งอารัณย์เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นเอง
“กูจะทำเอง”
“...?!”
“อีกสองวันก็ปิดเทอมเล็กพอดี กูมีเวลาว่างสามอาทิตย์ มันนานพอที่มึงจะตามตัวคนร้ายได้ไหมไอ้ชาติ”
“...น่าจะทันครับ ผมจะลงไปช่วยอีกแรงหลังจากเคลียร์คดีที่ทำอยู่เสร็จ”
“งั้นเอาตามนี้”
“เดี๋ยวสิคุณ!”
รัตติกาลกระชากแขนของอารัณย์ให้หันกลับมามองตนเอง พี่เลี้ยงหนุ่มรู้ดีว่ารัตติกาลรู้สึกหรือคิดอะไรอยู่ตอนนี้เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน...สับสน
“มึงอาจจะไม่ชอบใจ แต่เราไม่มีตัวเลือก ในเมื่อมึงไม่ไว้ใจคนในนั้น คนนอกอย่างกูก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
“แต่มันไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“ใช่...แต่กูก็ปล่อยให้มึงเป็นอะไรไม่ได้”
“...”
“ในเมื่อเราเป็นศัตรูกันอยู่แล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องระแวงกันอีก คนที่แสร้งเป็นมิตรกับมึงตอนนี้ต่างหากที่มึงต้องระวังไม่ใช่กู”
ร่างโปร่งเถียงไม่ออก แม้แต่นิลและฤทธิชาติที่นั่งฟังยังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาขบคิด พยายามหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ที่จะป้องกันตัวเองได้โดยไม่ต้องใกล้ชิดกับอารัณย์ให้สับสนไปมากกว่าเดิม แต่น่าขัน แม้กระทั่งตอนนี้คำพูดที่หายไปของอารัณย์ก็ยังรบกวนใจเขาอยู่ดี
“เพื่อรพี...และตัวมึงเอง”
“...”
“เชื่อใจกูสักครั้ง”
“...”
“...”
“...ตกลง”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
สุขสันต์วันแม่นะคนับ! ขอให้คุณแม่ทุกคนมีความสุข เลยได้โอกาสเอาพ่อกาลมาเสิร์ฟ ซึ่งแม่งจะกลายเป็นนิยายสืบสวนอยู่แล้ว หึหึ แต่ก็ดีเนอะ หนุ่มๆของเช่เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้นแล้ว ว่าแต่คู่ชาตินิลนี่อะไร นำหน้าคู่หลักไปถึงไหนแล้วเนี่ย หุหุ >< :hao6:
ช่วงนี้ยุ่งกับงานรับน้องบ้าง โปรเจคมากมายที่ทยอยมาตั้งแต่ต้นเทอมเล่นเอาสมองตันกันไปช่วงหนึ่งเลย อาจจะมาช้าบ้างอะไรบ้างแต่อย่างที่บอกคับ ยังไงก็ต้องจัดอาทิตย์ละตอนแน่นอน รอเช่นะ^^
คนที่ชอบในความดาร์กของไนท์แมร์อาจจะแปลกใจที่ตอนนี้มันกลายเป็นสีชมพูหม่นๆ แต่ไม่ต้องห่วงคับ ปมไหนเช่ผูกไว้ตามแก้ทุกปมแน่นอน ช่วงนี้ให้คู่พระนางได้ใกล้กันบ้าง แค่นี้ก็โดนแซวว่าบทน้อยสุดในเรื่องแล้ว =w= อารัณย์สู้ๆนะ เช่สู้ๆนะ :katai4:
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตและทุกการติดตาม เช่ตามอ่านทั้งหมดนะคับขอบคุณมากเลย การอ่านคอมเม้นต์คือความสุขที่สุดของเช่เลยแหละ มีอะไรอยากติชมก็ทิ้งไว้ได้ ติดตามการอัพนิยายเชิญได้ที่เพจคนับ! :katai2-1:
-
o13
-
อยู่ใกล้ชิดกันคุณพี่เลี้ยงต้องหลงเสน่ห์กาลแน่ๆ
-
ร้ายกลายดี
-
กาลนอยน่ารักอะ แต่ก็น่างอนอยู่หรอก
มัแต่คนห่วงพี ไม่ค่อยมีคนห่วงกาลเลย
ชาติน่ารักมากกกกก เท่ด้วย ฟินสุด
รอตอนต่อไปนะ :z13:
-
กลับมาแล้วววววว (มัวแต่ติดแกล้งจุ๊บไต้หวันอยู่ :heaven )
ดีใจฝุด ก้าวหน้าไปทีละนิด ชื่นใจมากกกกกกกก รู้สึกเหมือนได้น้ำมาหล่อเลี้ยงหัวใจ ฮ่าๆๆๆๆๆ
แต่คู่รองนี่ไปไกลกว่า มีจับมงจับมืออออออ :hao7: :hao7: :hao7:
เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รัณย์สู้ๆ กาลสู้ๆ พีสู้ๆ :กอด1: :กอด1:
-
25th Night
…Secret...
ไม่ชิน...
รัตติกาลเหลือบมองโซฟากลางห้องที่กลายมาเป็นที่นั่งประจำของพี่เลี้ยงหนุ่มว่างงานผู้ซึ่งกำลังให้ความสนใจกับหนังสือแปลที่หยิบออกมาจากชั้นหนังสือใกล้ๆกัน ชายหนุ่มหันไปมองที่ประตูทันทีที่เสียงเคาะดังขึ้น ร่างบางภายใต้ชุดกระฉับกระเฉงของธิชาปรากฏขึ้นพร้อมกับกาแฟและของวางถาดใหญ่
“กาแฟค่ะ คุณกาล คุณรัณย์”
“มาครับผมช่วย”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายรับถาดหนักๆนั่นมาถือไว้เอง ธิชายิ้มรับอย่างยินดีก่อนจะส่งมันให้กับอารัณย์แล้วหมุนตัวออกไปจากห้องปล่อยให้บอดี้การ์ดจำเป็นเป็นคนบริการนายของเธอเหมือนเช่นทุกครั้ง มอคค่าร้อนๆถูกวางลงตรงหน้าพร้อมกับขนมอีกสองสามอย่าง อารัณย์ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับรัตติกาลที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำจนแทบไม่ได้ลุกออกไปไหนถ้าไม่มีการเรียกประชุม เขายกส่วนของตัวเองขึ้นดื่ม แม้เครื่องดื่มร้อนๆและหนังสือในห้องจะทำให้เขาผ่อนคลายลงบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการหมกตัวอยู่แต่ในห้องมันน่าเบื่อไม่น้อย
“ไม่คิดจะออกไปไหนบ้างรึไง”
อารัณย์เอ่ยถามขึ้นหลังจากทนอุดอู้อยู่กับรัตติกาลแบบนี้มากว่าสามวัน มันเป็นเพียงแค่คำถามที่ไม่มีความกดดันใดๆอยู่ในนั้นแต่เจ้าของห้องผู้ซึ่งกำลังยกกาแฟขึ้นดื่มเช่นเดียวกันเบนสายตามองมาทางเขาด้วยท่าทางเอือมระอา
“ถ้าเบื่อก็กลับไปเถอะ มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่คุณชาติว่า”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา กูแค่อยากให้มึงออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันบ้าง”
“ห้องนี้มีหน้าต่าง”
อารัณย์เบ้หน้า นี่คืออีกด้านของรัตติกาลที่เขาได้เรียนรู้มันหลังจากต้องมาทำหน้าที่ดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด เขาเคยคิดว่าชายตรงหน้าคือนักธุรกิจผู้เงียบขรึมปากร้ายและเจ้าอารมณ์นิดๆ แต่หลังจากนี้คงต้องเพิ่มว่ากวนประสาทเป็นที่หนึ่งเข้าไปด้วย รัตติกาลลอบยิ้มกริ่มรู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งจะเอาชนะอารัณย์ได้หมาดๆ ปฏิกิริยายามอีกฝ่ายโดนเขากวนเป็นความบันเทิงเพียงหนึ่งเดียวที่หาได้จากห้องทำงานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งนี้
“กูเคยเกลียดท่าทางหยิ่งๆของมึงนะ แต่ตอนนี้ชักจะคิดถึงมันหน่อยๆ”
“ผมก็คือผม คุณแค่ไม่รู้จักผมดีพอ”
รัตติกาลยักไหล่อย่างเป็นต่อ เขาหันมาให้ความสนใจกับเอกสารตรงหน้าอีกครั้งหลังจากสร้างความสำราญให้ตัวเองจนน่าพอใจ รายงานยอดตีพิมพ์ถูกส่งถึงมือธิชาทันทีที่หญิงสาวเดินทางมาถึง มันถูกตรวจสอบโดยเลขาสาวคนเก่งก่อนจะวางบนโต๊ะของรัตติกาลอย่างที่เคยทำ แม้จะอยากทุ่มกำลังทั้งหมดไปกับการจัดการคนร้ายแต่หน้าที่หลักในบริษัทก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มจะละเลยไปได้ รัตติกาลอ่อนล้าแต่ก็ยังคงทำต่อไปภายใต้การสังเกตการณ์ของแขกประจำคนใหม่ที่เผลอมองด้วยความเป็นห่วง
อารัณย์ปล่อยให้รัตติกาลจมอยู่กับงานที่เขาไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้จากบ่ายจรดหัวค่ำ ร่างสูงดึงแฟ้มสีกรมท่าออกจากมือของอีกฝ่ายแล้วลากจูงร่างที่อ่อนล้านั้นให้เดินไปตามทางด้วยกันโดยไม่ฟังคำคัดค้านใด รถโฟล์คคันเก่ากลายมาเป็นพาหนะที่พาทั้งสองคนกลับมายังบ้าน ซึ่งกลายมาเป็นกิจวัตรที่อารัณย์ยัดเยียดให้กับรัตติกาลในช่วงสามวันมานี้แลกกับการไม่บังคับให้ร่างโปร่งต้องกลับมานอนที่บ้านเพื่อให้เขายังมีเวลาทำงานต่อได้จนดึก
“พ่อกาลมาแล้ว!”
ร่างป้อมของรพีวิ่งมากอดขาของรัตติกาลอย่างรักใคร่ ชายหนุ่มย่อตัวลงจนอ้อมแขนเล็กๆนั้นสามารถเอื้อมถึงตัวของเขาได้พร้อมกับลูบหัวกลมๆของลูกชายด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
“วันนี้ยายจันทร์ทำแกงส้มที่พ่อชอบด้วย พีช่วยยายแกะกุ้งด้วยนะฮะ”
เด็กชายรายงานบิดาด้วยน้ำเสียงร่าเริงผิดจากสภาพเดิมตอนที่รัตติกาลหายหน้าไปกว่าสองอาทิตย์ คนเป็นพ่ออิจฉาลูกชายที่มีเวลาเหลือเฝือผิดจากผู้ใหญ่ พาลให้นึกถึงช่วงเวลาก่อนๆสมัยที่เขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมหากช่วงเย็นไม่มีกิจกรรมใดต้องทำต่อ ชายหนุ่มก็จะตรงกับบ้านเพื่อเจียดเวลามาคอยลงครัวกับจันทร์เหมือนกับรพี
“พีพาคุณพ่อเข้าบ้านเถอะ จะได้กินข้าวกัน”
อารัณย์เอ่ยขึ้นราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน รัตติกาลตวัดสายตามองจอมจุ้นจ้านแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะขี้เกียจจะสาวความยืด รพียิ้มรับอย่างแข็งขัน ทั้งสามคนพากันเดินเข้าไปในห้องทานอาหารซึ่งมีจันทร์กำลังกำกับให้นิ่มและลูกศรคอยจัดจานตามที่เธอบอก
หญิงแก่มองรอยคล้ำรอบดวงตาของเจ้านายแล้วได้แต่ถอนหายใจแล้วตักข้าวเพิ่มให้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องรอให้ร้องขอ รัตติกาลเป็นคนดื้อเงียบ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยอมกินข้าวเปล่าเพราะโดนนายหญิงบังคับให้กินตับที่ไม่ชอบหรือตอนนี้ที่ดึงดันจะแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยตัวเองก็ไม่ต่างกันเลย
“ลำบากคุณรัณย์หน่อยนะคะ”
จันทร์แอบหลบมาพูดคุยกับอารัณย์ในขณะที่รัตติกาลขึ้นไปอาบน้ำบนห้องของตัวเองโดยมีรพีกำลังนั่งอ่านหนังสือนอกเวลารออยู่ที่ห้องรับแขกของบ้าน
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้”
“แค่นี้ก็มากพอแล้วล่ะค่ะ ถ้าไม่มีคนคอยคุมคงได้โหมงานจนล้มป่วยอีกแน่ๆ”
“...เขาเป็นแบบนี้บ่อยหรอครับ”
“ก็ไม่บ่อยหรอกค่ะ แต่คุณกาลนิสัยเหมือนคุณพ่อเธอที่ไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆ เวลาเกิดปัญหาก็มักจะทุ่มให้งานจนลืมดูแลตัวเองทุกที”
จันทร์พูดพาลให้นึกถึงวันเก่าๆ ในวัยที่เธอยังสาวและสวยกว่านี้ก็มักจะได้รับหน้าที่คอยดูแลเรื่องปากท้องคนในบ้านรวมถึงสุขภาพที่ถูกบั่นทอนไปเพราะงานของผู้เป็นนาย โดยเฉพาะคุณกนกพ่อของรัตติกาล
“พ่อกับแม่ของรัตติกาล...ไม่อยู่แล้วหรอครับ”
“ค่ะ เสียไปตั้งแต่สมัยคุณกาลเรียนมหาวิทยาลัย...เพราะเรื่องนั้นเธอเลยต้องฝืนแบกรับทุกอย่างไว้ทั้งที่ใจไม่ชอบ”
สีหน้าของจันทร์หม่นลงจนอารัณย์สังเกตได้ แต่ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะได้ถามต่อ รัตติกาลในชุดเสื้อยืดกางเกงผ้าสบายๆก็เดินลงมาจากบ้านพร้อมกับกระเป๋าซึ่งใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เอาไว้ด้วย
“ผมไปแล้วนะครับป้า ฝากดูแลบ้านด้วย”
“ค่ะ คุณกาลก็ดูแลตัวเองดีๆนะคะ”
“ครับ...พี มาหาพ่อหน่อยสิ”
รัตติกาลเรียกรพีที่กำลังยืนทำหน้าปั้นยากอยู่ข้างหลังร่างกายสูงใหญ่ของอารัณย์ เด็กชายค่อยๆก้าวออกมาแล้วเดินไปหาบิดาซึ่งน้อมตัวลงมาด้านล่างเพื่อพูดคุยกับคนตัวเล็กกว่าให้ถนัด รัตติกาลล้วงหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยืนมันไปตรงหน้าเด็กชายที่กำลังจดจ้องสิ่งนั้นด้วยความสงสัย
‘รูบิค’
ของเล่นทรงลูกบาศ์กอยู่ในมือของรพีที่เพิ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก รัตติกาลระบายยิ้มที่ทั้งเศร้าและอ่อนโยนให้คนตรงหน้าพร้อมกับลูบกระหม่อมของรพีเบาๆโดยมีอารัณย์สังเกตเห็นความย้อนแย้งในดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง
“ถ้าวันไหนที่รพีทำให้แต่ละสีไปรวมกันอยู่ในด้านเดียวกันได้เมื่อไหร่ พ่อจะกลับบ้าน...”
“จริงหรอฮะ”
“อืม...พ่อสัญญา”
เด็กชายยิ้มไร้เดียงสายึดถือคำมั่นนั้นแม้ว่ามันจะยากขนาดที่รพีคิดไม่ถึง รัตติกาลมองทอดสายตาไปยังแสงไฟตามถนนขณะที่เพลงสากาเก่าๆจะดังทั่วห้องโดยสารที่มีเพียงเขาและอารัณย์อยู่เพียงตามลำพัง ชายหนุ่มคิดถึงรอยยิ้มของเด็กชาย คิดถึงรอยยิ้มของผู้ชายคนนั้น และคิดถึงของสำคัญที่เขาบังเอิญเจอขณะที่กำลังค้นหาเอกสารเก่าๆภายในห้องทำงานของตัวเอง
“รูบิคมันยากไปสำหรับเด็กวัยห้าขวบ”
อารัณย์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นขณะที่กำลังติดแหง่กอยู่กลางถนนที่ตัวเลขสีแดงนับถอยหลังไปเรื่อยๆ
“รพีจะหกขวบแล้ว แต่ก็ยังยากไปอย่างที่คุณว่า”
“แล้วทำไมถึงให้สัญญาแบบนั้น”
“ก็แค่ให้ไป...ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก”
“...”
“คุณว่ารพีจะทำได้หรือไม่ได้”
รัตติกาลเงียบไปก่อนจะถามขึ้น เขายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยให้แสงไฟตามข้างทางอาบใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ อารัณย์เองก็กำลังจดจ้องอยู่บนตัวเลขดิจิตอลที่น้อยลงเรื่อยๆขณะที่ในหัวก็ขบคิดไปด้วย
“รพีจะทำสำเร็จไหมไม่สำคัญเท่ามึงอยากให้ผลลัพธ์มันออกมาแบบไหน”
“...”
“ได้เวลาที่ทุกคนต้องก้าวออกไปข้างหน้าซะที”
เขาว่าดังนั้นก่อนตัวเลขสีเขียวจะปรากฏขึ้น อารัณย์เข้าเกียร์แล้วออกทะยานไปข้างหน้าโดยทิ้งคำพูดกำกวมเอาไว้ น่าเสียดายที่ท้องถนนในกรุงเทพไม่สามารถทำให้ผู้ขับขี่ละสายตาจากมันไปได้ ไม่อย่างนั้นอารัณย์คงได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากของรัตติกาลเป็นแน่
.
.
.
.
.
.
.
.
รัตติกาลเป็นโรคนอนไม่หลับ...
นั่นคืออีกหนึ่งเรื่องที่เขาเรียนรู้เกี่ยวกับชายตรงหน้า
เป็นเวลากว่าอาทิตย์ที่อารัณย์เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในห้องทำงานของรัตติกาลแทนที่จะเป็นอพาร์ทเม้นต์หลังย่อมของตนเอง ภาพของรัตติกาลที่หาวจนปากกว้างขณะที่หลับหูหลับตาติดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองมันคุ้นตาพอๆกับภาพที่อารัณย์ส่ายหน้าอย่างระอาแล้วจัดการวางอาหารเช้าง่ายๆให้อีกฝ่าย
เขาเหลือบมองขวดแก้วบรรจุยาที่ช่วยให้การนอนง่ายขึ้นในลิ้นชักโต๊ะทำงานของรัตติกาล ร่างสูงเพิ่งเห็นมันนอนนิ่งอยู่ในนั้นเมื่อสองวันที่แล้วขณะรับอาสานำเอกสารบางอย่างมาส่งแทนให้เลขาสาวแล้วบังเอิญว่าลิ้นชักไม้นั่นมันเปิดค้างไว้อยู่
ยาเม็ดสีขาวนวลตอบคำถามที่อารัณย์แอบสงสัยได้เป็นอย่างดี ในคืนแรกที่เขาทั้งสองต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อารัณย์ซึ่งกำลังนอนอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงปิดประตูแม้ว่ามันจะแผ่วเบา เขาลืมตาขึ้นกระพริบตาสองสามครั้งให้มันคุ้นชินกับความมืดแล้วพยายามสอดส่องหาต้นตอของเสียง แล้วเขาก็เห็น...
แผ่นหลังเปลือยเปล่าของรัตติกาลปรากฏขึ้นภายในห้องที่เขากำลังแสร้งทำเป็นว่าหลับอยู่ รัตติกาลชันขาที่อยู่ภายใต้กางเกงผ้าขายาวขึ้นมากอดไว้แล้วเหม่อมองออกไปด้านนอก หากไม่ใช่เพราะอารัณย์ยื่นคำขาดแล้วเอาเอกสารที่เขาต้องอ่านไปเก็บไว้เอง รัตติกาลคงใช้เวลานี้ทำงานฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เขาไม่มีแรงแม้แต่จะเถียง สุขภาพมันทดถอยจนรู้สึกได้แม้ว่าจะได้อีกคนคอยดูแลเรื่องปากท้อง ร่างกายของรัตติกาลต้องการพักผ่อน...แต่กะเพราะของเขาก็ไม่สามารถทนรับยาใดๆได้อีก
อาการนอนไม่หลับของรัตติกาลเหมือนจะดีขึ้นในช่วงหลังเพราะต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมาพักใหญ่ แต่ทันทีที่วงจรชีวิตกลับไปเป็นแบบเดิมโรคดังกล่าวก็กลับมารุมเร้าเขาอีกครั้ง ร่างโปร่งจุดแท่งนิโคตินขึ้นสูบแล้วหวังว่าอารัณย์จะไม่ตื่นขึ้นมากลางคัน เขาวางขาลงกับพื้นข้างหนึ่งในขณะที่อีกข้างเขายังคงกอดมันไว้เพื่อใช้เป็นหลักยึด ควันสีเทาลอยฟุ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเครื่องปรับอากาศจะทำหน้าที่ของมันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องจนคนที่กำลังแอบมองนึกสงสัยว่ารัตติกาลแอบทำแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
“พี่จะรู้ไหมว่าสิ่งที่เราสร้างมาด้วยกันมันเติบโตขึ้นจนผมเริ่มจะแบกไม่ไหว”
รัตติกาลรำพันกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาไม่ได้ร้องไห้ เขาเพียงแค่พูดลอยๆกับตัวเองหวังให้ความอัดอั้นมันบรรเทาลงไป อารัณย์นอนนิ่งจ้องมองแผ่นหลังนั้นไปเรื่อยๆจนพล่อยหลับไป
เช้าวันนั้นเขาตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเป็นคนจัดการเรื่องอาหารของรัตติกาลอย่างที่รับปากกับป้าจันทร์ไว้ โจ๊กหมูใส่เครื่องในไม่ใส่ตับวางลงบนโต๊ะทำงานตัวเดิมเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้รัตติกาลที่ทำตัวเหมือนเช่นปกติชะงักไปคือไข่ลวกอีกสองฟองที่ถูกตอกใส่ลงในชามโจ๊กด้วย
“ไข่ช่วยบำรุงสมอง กินเข้าไปเถอะ”
อารัณย์บอกแค่นั้นโดยละประโยชน์เรื่องช่วยทำให้นอนหลับสบายออกไป หลังจากนั้นทุกมื้ออาหารรัตติกาลจะต้องได้กินไข่ไก่อย่างน้อยสองฟองเป็นอย่างต่ำ จนชายหนุ่มแอบกังวลว่าระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของเขาจะพุ่งสูงขึ้นเพราะมัน วันนี้ก็เช่นกัน ไข่ตุ๋นถ้วยใหญ่วางอยู่ข้างๆผัดขิงรสร้อนที่จันทร์ฝากให้เด็กในบ้านนำมาส่งให้ตั้งแต่เช้า รัตติกาลลงมือทานพร้อมกับอารัณย์ที่นั่งคอยอยู่ ซึ่งเป็นมารยาทไม่กี่อย่างที่ชายหนุ่มแสดงออกมาให้เจ้าของห้องได้เห็น
“ตอนมึงอาบน้ำไอ้ชาติโทรมาหา มันบอกว่าเพื่อนตำรวจมันให้ทีมสอบสวนพิเศษลงไปดูให้แล้ว”
“...”
“แต่...ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วย”
มือที่กำลังถือช้อนชะงัก ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคู่ที่มองอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าจริงจัง
“หมายความว่ายังไง”
“ไม่มีการโอนเงินที่ผิดสังเกตออกจากบัญชีพวกผู้บริหารที่นั่น แม้แต่พนักงานระดับต่างๆก็ไม่มี จะว่าง่ายๆก็...ไม่มีหลักฐานเรื่องการซื้อขายข้อมูลที่ว่านั่นเลย”
“มันจะต้องเป็นข้อผิดพลาด...”
“กูก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น”
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรออกมา แต่กำลังคิดในสิ่งเดียวกัน มันเงียบเกินไป...ไม่มีทางที่การโจรกรรมข้อมูลระดับนั้นจะไม่หลงเหลือหลักฐานทิ้งไว้เลย ไม่ว่าจะความพยายามของรัตติกาลหรือของทางตำรวจกลับไม่เจอเบาะแสที่จะชี้เป้าไปที่ใครได้ยิ่งทำให้รัตติกาลร้อนใจมากขึ้นไปอีก
“กาล...มึงเคยไปขัดขาใครมาก่อนไหม”
จู่ๆอารัณย์ก็เอ่ยขึ้น รัตติกาลที่ฟังอยู่เงียบไป ร่างโปร่งพยายามนึกขณะนิ่งอยู่สักพักก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงที่ติดจะกังวล
“คิดว่าไม่”
“คิดว่า? มึงพูดเหมือนไม่มั่นใจ”
“...”
“มีอะไรที่มึงอยากเล่ารึเปล่า”
ร่างสูงรวบช้อน เขาตั้งใจฟังโดยที่พยายามไม่กดดันรัตติกาลจนเกินไป ใบหน้าหวานคมเสไปทางอื่นเหมือนกับพยายามจะรวบรวมคำพูด
“กูรู้ว่ามึงยังไม่เชื่อใจกู”
“...”
“แต่กูปล่อยให้มึงแบกรับไว้คนเดียวไม่ได้”
‘พี่ทิ้งกาลไว้ไม่ได้’
‘หัดพึ่งพาคนอื่นซะบ้าง’
‘กาลไม่ได้อยู่คนเดียวนะ’
รัตติกาลหลับตาลง...เขาไม่อยากจะนึกถึงมัน ในห้องๆนี้ ช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ กาลครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับคำพูดที่ทักทอขึ้นจากความห่วงใยของชายคนนั้นเหมือนกับที่อารัณย์พยายามจะทำกับเขา
อารัณย์จะเหมือนนทีไหม...
ในหัวใจของรัตติกาลมีคำถามนี้เกิดขึ้นจนไม่รู้ตัวว่าเผลอทำหน้าตาแบบไหนออกไป อารัณย์เอื้อมมือมาแตะเบาๆลงบนหลังมือเย็นเฉียบ เขาทำเพียงเท่านั้น ไม่แม้แต่จะส่งสายตากดดันใดๆ เขาเพียงรอด้วยความอดทนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน รอจนคนที่ถูกรอเป็นฝ่ายพลิกฝ่ามือขึ้นเพื่อสัมผัสมือของเขากลับด้วยตนเอง ก่อนที่จะดึงมันกลับมาเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
“เมื่อก่อน...ที่นี่ไม่ได้มีแค่ผม”
รัตติกาลเปรยขึ้นเบาๆพร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาไม่อยากสบตาอารัณย์ตอนนี้เพราะเกรงว่าจะกลัวจนหยุดพูดไปเสียก่อน
“เมื่อก่อนที่นี่เป็นแค่บริษัทผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เล็กๆที่ไม่มีลูกค้ามากนัก ผมรู้จักมันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่อักษร มันเป็นที่ที่ดีนะ...แต่เพราะการบริหารที่แย่ทำให้เขาแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินไม่ได้ บริษัทกำลังล้ม ผมจึงใช้เงินมรดกเทคโอเวอร์มาแล้วเริ่มพัฒนามันอีกครั้ง...พร้อมกับคนคนหนึ่ง”
“...”
“นที กวีวิมนตร์...นั่นคือชื่อของเขา”
นับเป็นครั้งแรกที่ชื่อนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของรัตติกาลเอง น้ำเสียงที่สั่นพร่าสะท้อนความห่วงหาระคนเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน อารัณย์เห็นไม่ชัดว่าดวงตาของรัตติกาลนั้นวูบไหวเพียงไหน แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เห็น...อารัณย์รู้สึกอย่างนั้น
“ผมไม่ใช่นักธุรกิจที่เก่ง ถ้าเทียบกับพ่อแม่ผมคงเข้าขั้นห่วยแตกชนิดว่าถ้าพวกท่านยังไม่เสียคงไม่มีทางปล่อยให้ผมลงมาเดินบนเส้นทางนี้”
“แต่ดูเหมือนมึงก็ทำได้ดีนิ”
“ดูเหมือน...แค่เหมือนว่าจะทำได้ดี คนที่ทำได้ดีจริงๆน่ะ...คือนทีต่างหาก”
“...”
“ถ้าไม่มีเขาอยู่ด้วย...ที่นี่คงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้”
รัตติกาลลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือซึ่งอารัณย์คิดว่ามันผ่านตาเขามาทั้งหมดแล้ว ร่างโปร่งไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่บนชั้น เขาเอื้อมมือไปสะกิดช่องว่างเล็กๆทางด้านหลังทำให้ซองกระดาษสีน้ำตาลอันหนึ่งหลุดออกมา
ชายหนุ่มวางมันลงบนโต๊ะ ภายในนั้นเป็นเอกสารอีกชุดหนึ่งนอกเหนือจากที่ทนายนเรศเก็บไว้ เป็นเอกสารที่เก็บหลักฐานการทำธุรกรรมต่างๆในนามบริษัทที่มีลายเซ็นของทั้งรัตติกาลและนทีกำกับไว้ในนามผู้ถือหุ้นที่มีเปอร์เซ็นต์เท่าๆกัน อารัณย์รับมันเปิดอ่านผ่านๆตา สิ่งหนึ่งที่เขาเห็นจากมันคือความเสี่ยงชนิดที่ว่าแม้แต่คนนอกอย่างเขาก็ยังดูออก
“เยอะใช่ไหมล่ะ เงินพวกนั้นน่ะ...คงมีไม่กี่คนที่กล้าเอาเงินเป็นสิบล้านไปลงทุนกับเรื่องพวกนี้”
“แล้วผลของมันล่ะ”
“...เราได้กำไรกลับมาเป็นสองเท่าในเวลาแค่สี่ปี”
“...”
“เขาทั้งฉลาดและมีโชค แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่มี...คือคุณธรรม”
เอกสารอีกชุดถูกยื่นให้อารัณย์ดู หมายเรียกจากศาลมากมายถูกส่งมาถึงนทีในฐานะผู้ต้องหาคดีแพ่งหลายคดี รวมคดีอาญาอย่างการหมิ่นประมาทด้วย
“ตอนนี้เขาอยู่ไหน อย่าบอกนะว่าติดคุกอยู่”
“...ตายไปแล้ว”
ร่างโปร่งเอ่ยออกมาพร้อมกับเค้นยิ้ม ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดมันทั้งดูตลกและน่าสมเพชเสียจนอดขำไม่ได้ อารัณย์มองสีหน้านั้นแล้วเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น
นทีที่เขารู้จักจากปากของคณิต ...
คืออดีตคนรักที่ดูท่าจะจบกับรัตติกาลได้ไม่สวย
นทีที่เขารู้จักจากปากรัตติกาล ...
คืออดีตหุ้นส่วนฝีมือดีแต่ชั่วช้า ที่รัตติกาลดูยินดีเมื่อพูดถึงการตายของเขา
แต่นทีคนที่เขารู้จักผ่านโปสการ์ดใบสุดท้าย...
คือชายที่รัตติกาลคะนึงถึงและรอคอยให้กลับมาหา
นทีกับรัตติกาล...ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นแบบไหนกันแน่
“แล้วปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน”
อารัณย์เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปสักพัก
“ก็อย่างที่เห็น ถึงเขาจะตายศัตรูที่เขาเคยไปสร้างเรื่องไว้ไม่ได้หายไปด้วย ถึงแม้ทางกฎหมายคุณนเรศจะจัดการให้หมดแล้ว แต่ถ้าเป็นนอกศาล...ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับมาทวงคืนอะไรอีกไหม”
สีหน้ารัตติกาลดูเครียดขึ้นเมื่อพูดถึงจุดนี้ เขาเก็บเอกสารทั้งหมดลงในซองตามเดิมแล้วใส่มันลงไปในลิ้นชักพร้อมกับลั่นกุญแจไว้อย่างเรียบร้อยเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเข้ามาเห็น อารัณย์เหลือบมองที่ซ่อนเดิมของมันพลางนึกขำนิสัยด้านเด็กๆของรัตติกาลที่เก็บของสำคัญไว้ในที่แบบนั้น
“มึงควรจะบอกเรื่องนี้ให้ไอ้ชาติรู้”
“ผมจะติดต่อคุณนเรศแทน”
รัตติกาลพูดขัดออกมาทันควันแล้วหันไปจัดการอาหารเช้าต่อตามเดิม อารัณย์ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอื้อมมือไปหยุดช้อนที่ร่างโปร่งกำลังจะยัดมันเข้าปากจนคนถูกขัดต้องขมวดคิ้วใส่ด้วยอีกคน
“เรื่องมันใหญ่ขนาดนี้มึงยังจะปิดอีกหรอวะ”
“ต่อให้ใหญ่กว่านี้ผมก็ไม่คิดจะบอกมันกับตำรวจ...คิดสิอารัณย์ว่าทำไมคนอย่างผมถึงยอมเป็นหุ้นส่วนกับคนเลวแบบนั้นได้”
ร่างโปร่งดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย เขาวางช้อนลงแล้วหันมาเผชิญหน้ากับอารัณย์อีกครั้งด้วยใบหน้าร้ายๆที่ร่างสูงเกือบจะลืมไปแล้วว่ารัตติกาลก็มีมันเช่นกัน
“คงไม่มีคนดีที่ไหนทำแบบผมหรอกอารัณย์”
.
.
:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:
-
‘เพื่อนมึงเป็นมาโซคิสม์หรอวะ’
นิลอ่านข้อความนั้นซ้ำๆก่อนจะหัวเราะลั่นจนฤทธิชาติที่กำลังดูรูปถ่ายต่างๆอยู่หันมามองด้วยความตกใจ คนตัวสูงทำสีหน้าเหมือนกับสะใจอะไรบางอย่างก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปยิกๆจนนายตำรวจหนุ่มต้องลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเองแล้วมายืนซ้อนอยู่ทางด้านหลังเพื่อให้เห็นว่าคนที่มาทำให้คนปากหนักของเขาหัวเราะร่าได้คือใคร
‘อาจจะเป็นไปได้ แต่ที่แน่ๆอย่าทิ้งรอยไว้ล่ะ ไอ้กาลมันไม่ชอบ’
“รู้ดีจังเลยนะครับว่าคุณกาลเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร”
เสียงเย็นๆของคนตัวใหญ่กว่าดังขึ้นจากทางด้านหลังจนนิลต้องละสายตาออกจากหน้าจอแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองจนหัวกลมของเขาปะทะเข้ากับอกแกร่งของอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ประชิดตัว
“ก็เพื่อนกัน”
“รู้ครับว่าเพื่อน ทุกทีก็บอกแบบนั้น”
“แล้วประชดทำซากอะไร รู้อยู่ว่ากูไม่ง้อ”
“ครับ นิลไม่ต้องง้อผมหรอกแค่อยู่เฉยๆเดี๋ยวผมจัดการ ‘ง้อ’เอง”
นายตำรวจหนุ่มว่าดังนั้นพร้อมกับยิ้มพราย เขาก้มตัวก่อนจะลงลิ้นในแอ่งหูตื้นของอีกฝ่าย ติ่งหูนิ่มอันเป็นเป้าหมายต่อไปค่อยๆถูกแทะเล็มโดยเน้นไปที่จิวเย็นๆเป็นพิเศษ นิลเอนคอไปอีกด้านน้อยๆเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนเจ้าเล่ห์ได้จัดการตัวเขาได้ถนัดมากยิ่งขึ้น เสียงครางแผ่วๆดังอื้ออึงอยู่ภายในห้องพักส่วนตัวของฤทธิชาติที่กดจูบซ้ำๆลงบนผิวกายบริเวณต้นคอจนเป็นลายพร้อยปรากฏให้เห็น
“อื้อ พอแล้ว”
นิลห้ามเสียงเขียวเมื่อมือซุกซนของฤทธิชาติกำลังเลื้อยไปยังจุดที่อยู่ต่ำกว่าสะดือโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากเขา คนมือไวละหน้าออกจากไหล่ลาดแต่โดยดีก่อนจะสูดความหอมจากซอกคอขาวๆนั้นทิ้งท้าย ทั้งที่ใจยังอยากต่อมันให้จบ
“ถ้าอยากให้ผม ‘ง้อ’ ตัวเองอีก ก็พูดถึงคุณกาลบ่อยๆนะครับ”
“พูดมาก เป็นอะไรกับกูรึก็เปล่า”
นักเขียนหนุ่มยักไหล่ราวกับไม่สนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ฤทธิชาติที่หลุดมาดเผลอชักสีหน้าเพราะคำพูดของคนที่ตัวเองยังตามจีบไม่สำเร็จย้ายลงมานั่งบนโซฟาตัวเดียวกันก่อนจะคว้าเอวที่บางกว่าของตัวเองเข้ามาใกล้โดยที่นิลเองก็ไม่ได้ขัดขืน
“จะบอกว่านิลยอมให้ทุกคนทำแบบนี้กับนิลได้รึไง”
“ขอแค่กูพอใจ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหา”
“อยากให้ผมงอนอีกรอบใช่ไหมเนี่ย”
“จะงอนจะง้อก็ตามใจ แต่อย่างที่ตกลงกันไว้ ถ้ากูไม่ปลื้มเมื่อไหร่มึงก็จบ”
นิลใช้มือข้างหนึ่งคว้าเอาใบหน้าคมคายของฤทธิชาติเข้ามาใกล้ก่อนจะมอบจุมพิตลงบนกลีบปากร้อนๆของอีกฝ่ายด้วยจังหวะที่เนิบนาบแต่ชวนให้รู้สึกวาบหวิว ลิ้นเล็กละเลียดเลียไปตามเพดานปากของนายตำรวจหนุ่มที่ครางฮืออย่างพอใจแล้วกัดริมฝีปากล่างเบาๆทิ้งท้ายก่อนจะถอยออกมา
นายตำรวจหนุ่มสบตาอีกฝ่ายอย่างเว้าวอน ความโป่งพองภายใต้เครื่องแบบสีดำเข้มทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนเกือบจะเผลอแสดงสัญชาติญาณออกมาถ้าเกิดไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับนิลจะจบลงทันทีเช่นกัน นักเขียนหนุ่มรู้ดีว่าคนข้างกายต้องการอะไร แต่ความรู้สึกหมั่นไส้นั้นมีมากกว่าความปรารถนาทำให้นิลเลือกที่จะทำเป็นไม่เห็นแล้วเบียดร่างกายเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่รู้สำนึก
“กับคุณกาลผมไม่รู้ แต่นิลนี่...ซาดิสม์ของแท้เลย”
“แน่นอน รู้แล้วจะล้มเลิกไหมล่ะ”
“เลิกไม่ได้หรอกครับ สงสัยผมเองคงจะเป็นเอ็มนิดๆเหมือนกัน”
“ฮ่าๆเข้าท่านี่ แต่แววตามึงไม่เหมือนคนที่จะยอมสิโรราบให้กูเลยนะ”
นิลหัวเราะอย่างถูกใจยามที่เห็นดวงตาดุดันดังสัตว์ร้ายของนายตำรวจหนุ่มที่ไม่บ่อยนักที่จะยอมเผยออกมา ฤทธิชาติยิ้มอ่อนเมื่อเห็นคนที่เคร่งเครียดไม่แพ้เพื่อนตนเองดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เขาปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระแล้วหยิบเอารูปภาพจากกล้องวงจรปิดซึ่งดูค้างไว้อยู่มาเพื่อให้นิลดูพร้อมๆกันเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งที่เขาได้หลักฐานใหม่ๆมา
“มีอะไรน่าสงสัยไหม”
ฤทธิชาติเอ่ยถามคนที่น่าจะให้คำตอบเขาได้ดีที่สุด ถึงแม้ว่านิลจะไม่ได้เข้าไปในบริษัทบ่อยนักแต่ก็สามารถบอกถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องระวังว่าจะเป็นข้อมูลเท็จจากคนที่อาจจะเป็นสายให้กับศัตรู
“เท่าที่เห็นก็ดูก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไร แถมพวกห้องสำคัญๆต้องใช้คีย์การ์ดที่แจกให้เฉพาะคนเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้”
“บันทึกการเข้าออกที่ว่าผมกับคุณกาลตรวจสอบแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ”
“ก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติแบบนี้ไง ถึงได้เป็นปัญหาอยู่อย่างนี้”
นิลพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่ชอบการทำธุรกิจ ไม่ชอบการแข่งขันและเล่ห์เหลี่ยมที่ถูกใช้เพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ เขาหลับตาลงแล้วเอนซบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างต้องการที่พึ่งพิง ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารัตติกาลเป็นเพื่อนรักเขาคงไม่เข้ามายุ่ง ถึงแม้ข้อมูลที่ถูกปล่อยออกไปจะส่งผลกระทบถึงเขาด้วยนิลก็ไม่คิดจะสนใจ แต่ที่ยังทำก็เพราะว่าทั้งสงสารและสงสัยว่ารัตติกาลที่มีนิสัยคล้ายๆกันจะทนได้นานอีกเท่าไหร่กับสิ่งที่ฝืนมันเหลือเกิน
“คุณกาลเขามีศัตรูที่ไหนไหม”
“ไม่มีหรอก ถ้าไม่ไปเมาจนเผลอเหยียบตีนใครเขาคงไม่มีใครกล้ายุ่งกับมัน”
“อืม...แต่เมาแล้วไปฟาดหัวเขาเข้านี่เคยมาแล้วนะ”
ฤทธิชาติพูดงึมงำ จนนิลต้องหันมามองว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรแต่นายตำรวจหนุ่มก็ยิ้มแป้นใส่แล้วจูบแก้วใสๆนั้นกลบเกลื่อนไปเพราะไม่อยากให้นิลรู้
“ว่าแต่ไอ้คนร้ายนี่มันก็บ้านะ บริษัทไอ้กาลใช่ว่าจะใหญ่ทำแบบนี้ไปถ้าโดนจับมันจะได้ไม่คุ้มเสีย”
“ทุนจดทะเบียนขนาดนั้นไม่เรียกว่าบริษัทเล็กๆหรอกนะครับนิล”
“เฮอะ...ฝีมือพี่นทีทั้งนั้นแหละ”
“นที?”
นิลที่เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกไปแทบอยากจะจับหัวเกรียนๆของนายตำรวจหนุ่มโขกกับพื้นเพื่อให้ลืมไปมันไปซะ แต่คนรู้ทันดันคว้าข้อมือของเขาที่กำลังเลื้อยไปตามต้นคอของอีกฝ่ายไว้แน่นพร้อมกับส่งยิ้มจอมปลอมมาให้ จนกลายเป็นนิลเองที่ได้แต่เบ้หน้าอย่างไม่พอใจ
“ผมว่านิลยังมีเรื่องที่ต้องเล่าให้ผมฟังอยู่นะ”
“อย่ามาทำหน้าเอสใส่กูนะ ไหนบอกว่าตัวเองเป็นเอ็ม มาคาดคั้นกูทำไมเนี่ย”
“เปลี่ยนเรื่องไม่ได้ผลหรอกครับ เล่ามาเลย”
“ไม่เอา เรื่องของไอ้กาลกูไม่อยากยุ่ง”
“ยุ่งมาขนาดนี้ถอยไม่ทันแล้วล่ะครับ เล่ามาเถอะ”
“มันไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเราสมควรจะเข้าไปยุ่ง”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องคอคาดบาดตายนิลคงไม่พยายามปิดผมซะขนาดนี้ ผมเองก็เป็นห่วงคุณกาลไม่แพ้นิล อะไรที่ผมทำได้ผมก็อยากจะช่วย เชื่อผมเถอะนะครับ”
แววตาจริงจังของฤทธิชาติทำให้นิลพูดไม่ออก เขาชั่งใจ ถ้าเกิดบอกคนคนนี้ไปหลายสิ่งในอดีตคงถูกขุดคุ้ยขึ้นแม้แต่ความตายของสองคนนั้นคงถูกหยิบมาพูดถึงจนอาจสร้างแผลใจให้รัตติกาลอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นความคิดอีกด้านหนึ่งกลับบอกให้นักเขียนหนุ่มเปิดเผยเรื่องราวน้ำเน่านั่นออกไปเพราะความกังวลเกี่ยวกับคนที่อาจจะกลับมายังคงสร้างความหนักใจให้เขามาตลอดหลายเดือน
“ถ้ากูบอกไปอะไรจะเกิดขึ้น”
“...ผมก็ไม่รู้หรอกครับ มันอาจจะไม่มีอะไรดีขึ้นหรืออาจจะเลวร้ายลง แต่อย่างน้อยถ้านิลอยากระบายมันออกมา ผมก็ยินดีที่จะแบกรับมันไปกับคุณ”
“พูดออกมาได้ ไม่กระดากปากบ้างรึไง”
“ก็นิดหน่อย เขินจนตัวแดงแล้วเนี่ย อยากดูไหม”
“เก็บไว้ให้เด็กมึงดูเถอะ ว่าแต่บอกมึงไปแล้วกูจะได้อะไรวะ มึงน่ะได้เบาะแส กูมีแต่เสี่ยงเจอตีนไอ้กาล”
“เอางี้ ถ้านิลเล่าให้ผมฟัง ผมจะบอกความลับของผมให้นิลฟังสองอย่าง”
แววตาขี้เล่นเปลี่ยนเป็นจริงจังจนนักเขียนหนุ่มไม่อาจละสายตาจากมันไปได้ นิลไม่เคยบอกให้ฤทธิชาติรู้ว่าทุกสิ่งที่รวมกันเป็นฤทธิชาติ สำหรับเขาแล้วดวงตาคู่นั้นคือสิ่งที่น่าลุ่มหลงมากที่สุด ไวกว่าความคิด ลิ้นอ่อนนุ่มของร่างสูงก็แลบเลียบริเวณหางตาของอีกฝ่ายก่อนจะไล่ไปตามกกหู กลิ่นเนื้อหอมของผู้ชายถูกปล่อยออกมาจนนิลรู้สึกปวดกลางลำตัว
“ซนอีกแล้วนะ”
ฤทธิชาติยิ้มกริ่ม เขาพลิกตัวจนนิลที่เริ่มหายใจหอบลงมาอยู่ใต้ร่างเขาอย่างหมดท่า ฝ่ามืออุ่นลูบใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ นิลเองเมื่อรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนในสัมผัสนั้นก็เอนหน้าเข้าหาฝ่ามือของนายตำรวจหนุ่มที่หลุดยิ้มจริงใจออกมาเพราะท่าทางออดอ้อนอย่างเป็นธรรมชาติที่เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“ว่าไงครับ ตกลงไหม”
“...อืม งั้นบอกความลับแรกมาสิ”
นายตำรวจหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็โน้มตัวลงจนริมฝีปากจรดข้างหูของอีกฝ่าย เสียงกระซิบทุ้มมีเสน่ห์ดังขึ้น ก่อนที่นักเขียนหนุ่มจะนิ่งอึ้งไปแล้วระเบิดหัวเราะในภายหลัง
“ผมน่ะเอ็มนิดๆ แต่ที่เหลือ....เป็นเอสทั้งหมดเลย”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
เมเดย์ๆ มีการแย่งซีนกันเกิดขึ้น 5555555 :haun4: :pighaun:เกือบไปแล้ววว เกือบเขียนฉากอัศจรรย์ให้คู่รองก่อนคู่หลักไปแล้ว ไม่ต้องห่วงนะรัณย์ เช่ไม่ปล่อยให้คนด่าแกว่าเป็นพระเอกบทน้อยไปมากกว่านี้แน่ แต่ขอนะ ตอนหน้าย้อนอดีตเต็มๆเลย อดทนไปก่อนนะ หุหุ
ตอนหน้าคิดว่าจะเป็นตอนที่ตอบข้อสงสัยของใครหลายๆคนได้ว่าทำไมกาลถึงรักนทีทั้งที่มันโคตรจะเลวได้ เป็นการบ้านที่หนักสุดๆของเช่เลยคับ กับโจทย์ที่ว่าทำไมคนที่หลงรักคนเลว (ด้วยความที่เช่ไม่เคยรักคนเลว เลยออกอาการมืดแปดด้าน) ตอนหน้าอาจจะยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา หรืออาจจะสั้นกว่าที่คิดก็ได้ แล้วแต่ฟิลคับ รอติดตามกันได้เลย
ปูลู เหมือนเดิม~~ ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต หวังว่าคงจะสนุกกับนิยายเช่กันนะคับ เทอมนี้งานเยอะมาก ต้องเดินทางเข้ากทม.บ่อยๆ ปวดตับแท้ TT
:z10: :z10: :z10:
-
รออ่านตอนหน้าเลยคะ จะได้หายสงสัยซะทีเลยพี่ นทีเนี่ยะ
-
สงสารอารัณย์อะ ค่าตัวแพงเนอะ
รออ่านพาร์ทอดีตค่า เจ้มจ้นขึ้นเรื่อยๆ :hao6:
-
ตัดฉับบบบบบบบบบบบบบบบบ
โถ่ววววววววววววววววววววว กำลังจะสวยเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :z1: :z1:
เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆๆ o13 o13 o13
-
ดูเหมือนอารัณย์จะห่วงกาลมากขึ้นทุกทีเลยน้าาาาาา~
-
26th Night
…Broken past...
นที กวีวิมนตร์…คือผู้ชายที่ไม่สมควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
รัตติกาลเปรยตามองร่างที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นบุหรี่กำลังจับจองโซฟาตัวยาวของเขาอย่างถือสิทธิ กระเป๋าเอกสารกองอยู่ในมุมหนึ่งของห้องไม่ต่างจากรองเท้าหนังมันแปลบที่ดูไม่เข้ากับคนอย่างนทีเอาเสียเลย ร่างโปร่งถอนหายใจแล้วเดินไปปิดไฟจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง เขากลับไปซุกตัวลงในผ้านวมอุ่นๆหลังจากที่ต้องฝืนจากมันมาเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นในเวลาสองนาฬิกาของทุกๆวันจนอดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนข้างห้องที่เป็นเด็กศิลปกรรมคงกรนด่าเขาอยู่ทุกวันเป็นแน่
“ราตรีสวัสดิ์นะกาล”
เสียงทุ้มของนทีดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ รัตติกาลที่ยังคงลืมตาอยู่ค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆพลางคิดว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเคยชินกับการมีคนคนนี้มาบอกราตรีสวัสดิ์กับเขาทุกค่ำก่อนจะหายตัวไปก่อนที่เขาจะตื่นนอน
รัตติกาลใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเรียบง่ายมาตลอดเวลาเกือบสามปี ภาระที่ต้องแบกรับถูกถ่ายทอดให้รุ่นน้องรับผิดชอบต่อไปจนเขาแทบจะไม่ได้โผล่หัวไปที่สโมสรนิสิตอย่างเคย เช่นเดียวกับคนรอบตัวที่เริ่มทยอยหายหน้าไปเรื่อยๆเพื่อเข้าเรียนในสาขาวิชาที่แตกต่างกัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มีแค่คณิตกับนิลเท่านั้นที่ยังไปมาหาสู่กันอยู่ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับรุ่นพี่ต่างคณะที่แวะเวียนมาบ่อยกว่าใคร
รัตติกาลไม่เคยใจอ่อนปล่อยให้เสน่ห์เหลือร้ายของนทีทำให้เขาไขว้เขว อันที่จริงต้องบอกว่าเขาเคยชินกับนิสัยหมายอกไก่ของนทีเสียจนต่อให้อีกฝ่ายจับเขาจูบกลางผับต่อหน้าผู้คนมากมายรัตติกาลก็ไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือนจนกลายเป็นนทีนั่นแหละที่ได้แต่เบ้หน้าอย่างไม่ถูกใจในปฏิกิริยานั้นเสียเอง
สถานะของทั้งคู่ที่เคยเป็นมายังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของนทีและพะแพงที่ถึงเหมือนเดิมแม้จะไม่ราบรื่นอย่างเคยเพราะไม่ใช่ทุกคนจะยอมปิดปากไม่พูดถึงสิ่งที่นทีทำลับหลังแฟนสาวเหมือนอย่างรัตติกาล
“พี่เลิกกับทีไม่ได้...พี่รักเขา”
ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ร่างโปร่งไม่ชอบใจเอาเสียเลยนั่นก็คือพี่รหัสเลือกที่จะมาปรึกษาเขาเสมอเมื่อผู้หญิงคนอื่นๆของนทีโทรมารุกราน พะแพงเข้าใจผิดไปมากโขว่าทั้งสองคนสนิทกันเพราะหลายครั้งที่เธอเห็นเองกับตาว่าข้างกายของน้องรหัสมักจะมีแฟนหนุ่มของเธอวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
“เขาไม่ยอมเปลี่ยน พี่แพงก็รู้”
รัตติกาลจำไม่ได้ว่าพูดประโยคนี้ไปแล้วกี่สิบครั้ง แต่ที่เหมือนเดิมทุกๆครั้งคือพะแพงยังคงยืนยันจะรักนทีต่อไปทั้งที่ความเชื่อใจระหว่างสองคนนั้นเบาบางลงทุกที มีครั้งหนึ่งที่รัตติกาลต้องไปโรงพยาบาลกลางดึกเพื่อจ่ายค่ารักษาให้นทีที่ต้องเย็บแผลเพราะทะเลาะกับแฟนสาว แจกันดอกไม้ที่พะแพงเคยนำมาอวดว่าแฟนหนุ่มเป็นคนซื้อให้แตกไปพร้อมกับหัวของนทีและความอดทนที่พังทลายลงนับตั้งแต่คืนนั้น
เสียงโทรศัพท์ที่ไม่ใช่เครื่องของรัตติกาลดังขึ้นก่อนจะเงียบลงไปในเวลาอันสั้น ร่างที่โงนเงนเพราะความเหนื่อยล้าของนทีเดินออกไปนอกระเบียงที่เต็มไปด้วยไม้ประดับเล็กๆก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนาที่ต่อให้มันแผ่วเบาแค่ไหน รัตติกาลก็ได้ยิน
“ทีอยู่ห้องกาล ก็แพงล็อคห้องจะให้ทีไปนอนที่ไหน!”
“ก็บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าช่วงนี้ต้องกลับดึก พี่เลี้ยงฝึกงานชวนไปกินเหล้าจะไม่ให้ทีไปได้ยังไง มีเหตุผลหน่อยสิวะ!”
“ใครพาล? แพงนั่นแหละที่พาล ทีอยู่ของทีดีๆหาเรื่องทะเลาะอยู่ได้”
“เออ ทีเลวเองพอใจยัง พูดอย่างงี้แพงจะหยุดใช่ไหม!”
“ไม่ต้องกลัวหรอกว่าทีจะไปเที่ยวกับใคร เช็คGPSอยู่ตลอดไม่ใช่หรอ หึ...”
“แพงแม่งพูดไม่รู้เรื่องว่ะ ถ้ายังไม่พร้อมจะคุยก็ไม่ต้องคุย แค่นี้นะ!”
ชายหนุ่มสบถอยู่สักพักก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง รัตติกาลหลับตาลงอีกครั้งพยายามรักษาลมหายใจให้สม่ำเสมอแม้จะรู้สึกได้ถึงแรงยวบของที่นอน เสียงแชะดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นขมที่ร่างโปร่งคุ้นเคยดี
“ของพี่หมด ขอยืมก่อนแล้วกัน”
รัตติกาลไม่ได้ตอบคำขอนั้น เขาปล่อยให้อีกฝ่ายดื่มด่ำกับความผ่อนคลายเพียงชั่วคราวไปตามลำพัง แขกที่ไม่ได้รับเชิญถดตัวขึ้นไปนั่งพิงหัวเตียงอย่างถือวิสาสะ นทีหลับตาลงทั้งๆที่มวนกระดาษติดไฟยังคาที่ปากอยู่อย่างนั้น
“อย่ามาทำที่นอนผมไหม้ล่ะ”
“อืม นอนเถอะ”
ฝ่ามือเย็นๆของนทีสัมผัสเส้นผมของเขาอย่างแผ่วเบาอยู่อย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้ทำให้รัตติกาลรู้สึกเคลิบเคลิ้มแต่อย่างใด ร่างโปร่งปัดมันออกอย่างนึกรำคาญจนนทีหัวเราะออกมาเพราะกวนเขาได้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วในความมืด พยายามไม่ต่อกรอะไรเพราะเขาเองก็เหนื่อยล้าไม่แพ้กัน รัตติกาลค่อยๆจมสู่ห้วงนิทราปล่อยให้นทีทำตามใจตัวเองอยู่แบบนั้นก่อนที่จะกลับไปล้มตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาวเช่นเดิม
.
.
.
.
.
“โอ้ย กูอยากเปลี่ยนเมเจอร์!”
คณิตที่ขอบตาคล้ำขึ้นตะโกนดังลั่นก่อนจะหันไปซบไหล่ลาดของนิลอย่างหาที่พึ่ง ชายหนุ่มที่มีสภาพไม่ต่างกันมาหยิบเอาสารนุกรมเล่มหนาขึ้นมาฟาดหัวฟูๆของเพื่อนอย่างไม่ปรานีก่อนจะแย่งเอากระทิงแดงในมือของรัตติกาลไปดื่มจนเกือบหมด
“บ่นเหี้ยอะไรนักหนา คะแนนดีกว่าเพื่อนแล้วมาทำรวนนะมึง”
“เยอะกว่าแค่ศูนย์จุดห้าไม่ได้ทำให้ชีวิตกูดีขึ้นเลย คะแนนช่องอื่นกูแม่งยังกับหญ้าคา เป็นฐานให้ไอ้พวกยอดเหยียบย่ำจนตายห่าไปหมดแล้ว”
ชายหนุ่มโอดครวญก่อนจะบุ้ยหน้าไปทางพวกยอดที่ว่าอย่างนึกหมั่นไส้ รัตติกาลหัวเราะน้อยๆกับท่าทางของเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะแย่งเครื่องดื่มชูกำลังจากนิลคืนมาเพื่อพบว่ามันหมดไปแล้ว
“เชี่ยนิลแม่ง...กูกลับห้องก่อนนะ”
นิลโบกมือลารัตติกาลที่บ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่รู้สำนึก ร่างกายสูงโปร่งภายใต้ชุดนิสิตสะอาดสะอ้านเดินผ่านลานหน้าคณะไปยังรถมอเตอร์ไซด์คู่ใจโดยมีสายตาของเหล่ารุ่นน้องที่มองมาทางรัตติกาลด้วยสายตาที่มีทั้งชื่นชมและไม่ชอบใจในภาพลักษณ์ที่แสนจะเย้อหยิ่งนั้น
ร่างโปร่งใช้เวลาไม่นานนักเพื่อกลับมายังห้องพักไม่เล็กไม่ใหญ่ที่รัตติกาลมักจะมาคลุกตัวอยู่เป็นประจำหากไม่ต้องไปทำธุระที่อื่น รัตติกาลวางกระเป๋าสะพายคู่ใจลงบนโซฟาที่นทีเคยอาศัยนอนเมื่ออาทิตย์ก่อนก่อนจะหายตัวไปโดยไม่แม้แต่จะโผล่หัวมากวนใจเขาอย่างเคย ร่างโปร่งปลดชุดนิสิตออกก่อนจะสวมชุดลำลองง่ายๆ หยิบงานที่อาจารย์ประจำวิชาตรวจเสร็จพร้อมกับชี้จุดที่ต้องแก้ไขขึ้นมาดู เขาใช้เวลากับมันอยู่สักพักจนล่วงเข้าบ่ายคล้อย แรงสั่นจากโทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงไปตั้งแต่เข้าชั้นเรียนแรงขึ้นจนทำให้รัตติกาลต้องละสายตาแล้วยิ้มออกมาแล้วรีบกดรับเมื่อเห็นว่าปลายสายนั้นคือใคร
“แม่!”
“ว่าไงเจ้ากาล ทำอะไรอยู่ลูก”
รัตติกาลถอดแว่นสายตาของตัวเองออกก่อนจะมองใบหน้าของตัวเองที่คล้ายกับรัตนาผู้เป็นมารดาผ่านทางกระจกเงาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ
“แก้งานที่อาจารย์ตรวจมาอยู่ครับ แล้วแม่ทำอะไรอยู่ กินข้าวรึยัง”
“กินเรียบร้อยแล้วจ๊ะ นี่แม่กับพ่อกำลังจะลงไปดูงานทางใต้พอดีเลยโทรมาหากาลก่อน กลัวลูกจะโวยวายถ้ากลับบ้านงวดนี้ไม่เจอพ่อกับแม่”
รัตนาพูดถึงโรงงานแปรรูปน้ำยางที่เธอและกนกผู้เป็นสามีไปลงทุนไว้ในหลายจังหวัดทางภาคใต้ ด้วยเพราะความสามารถและความต้องการที่จะช่วยอุดหนุนเกษตรกรสวนยางที่มักจะประสบปัญหาด้านการเงินเพราะราคายางตกต่ำ ทำให้กนกที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยเข้าไปลงทุนไว้เพื่อหากำไรและให้ความรู้กับชาวบ้านเรื่องการเพิ่มมูลค่าของยางไปพร้อมๆกัน
“ไปนานหรอครับ”
“อาทิตย์กว่าจ๊ะ พ่อเขาต้องลงมาสัมมนามหาวิทยาลัยแถวนี้ด้วยเลยอยู่ยาวเลย ว่าจะชวนกาลลงมาดูงานด้วยก็ใกล้จะสอบปลายภาคแล้วนิ ใช่ไหม”
“ครับ...”
“กาลเป็นอะไรไป คิดมากหรอลูก”
รัตนาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยจนคนเป็นลูกทั้งรู้สึกสบายใจและลำบากใจในคราวเดียวกัน ตั้งแต่เด็กรัตติกาลนับถือทั้งพ่อและแม่เป็นแบบอย่างโดยเฉพาะหลักในการดำเนินชีวิตที่ทั้งสองสอนให้ลูกชายเพียงคนเดียวเรียนรู้ที่จะทำเพื่อคนอื่นอยู่เสมอ รัตติกาลตัวน้อยเติบโตขึ้นมาภายใต้ความภาคภูมิใจของพ่อแม่แต่กลับมีเพียงสองเรื่องเท่านั้นที่ร่างโปร่งทำให้ไม่ได้...นั่นคือการมีทายาทและการสานต่อธุรกิจที่เขาไม่เคยให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย
“กาล...ขอโทษนะแม่”
“อ่า...แม่สิต้องขอโทษที่เผลอเร่งรัดกาลอีกแล้ว”
รัตติกาลส่ายหัวทั้งที่ไม่มีทางที่ปลายสายจะมองเห็น ร่างโปร่งได้ยินเสียงพ่อและแม่คุยกันอยู่สักพัก ก่อนที่เสียงทุ้มของบิดาจะดังขึ้นแทน
“กาล นี่พ่อนะ”
“ครับพ่อ...”
“อย่าเข้าใจผิดคิดว่าพ่อแม่จะบังคับฝืนใจแก แกมีความฝันขอแก และพ่อกับแม่ก็เป็นกำลังใจให้แกเสมอ กาลรู้ใช่ไหม”
“ครับ ขอบคุณนะครับพ่อ”
“จริงอยู่ที่โรงงานยางมันคือธุรกิจแต่นอกเหนือจากนั้นพ่อกับแม่ก็หวังให้มันเป็นเหมือนโรงเรียนที่จะถ่ายทอดความรู้ให้ชาวบ้าน ให้เขาพึ่งพาตัวเองได้ ไม่ต้องเสียรู้นายทุนหน้าเลือดพวกนั้น”
“...”
“มันคือความฝันของพ่อและแม่ที่ไม่อยากเห็นชาวบ้านต้องลำบาก แต่พ่อก็ไม่เคยคิดจะให้แกทิ้งความฝันของตัวเอง ขอแค่สักวันหนึ่งเมื่อแกได้ทำความฝันของตัวเองจนสำเร็จแล้ว ถ้าแกเข้าใจความฝันของพ่อก็ค่อยกลับมา...พ่อรอแกได้เสมอ”
“กาลน่าจะมีลูกสักคน พ่อกับแม่จะได้ยกมันให้หลานแทน”
รัตติกาลพูดติดตลกด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูร่าเริงขึ้นจนคนเป็นพ่อยิ้มได้ เช่นเดียวกับมารดาที่นั่งฟังบทสนทนาทั้งหมดอยู่เช่นกัน
“โอ้ยอย่าพูดเลย อย่างกับแกจะหามาให้พ่อกับแม่ได้”
“หาได้สิพ่อ กาลก็ผู้ชายนะ”
“ผู้ชายที่หาเขยเข้าบ้านล่ะสิไม่ว่า เรื่องหลานพ่อกับแม่ทำใจนานแล้ว ต่อให้มีแล้วนิสัยเหมือนแกก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
“โห่ พูดงี้กาลน้อยใจนะ”
“ไม่ต้องมาทำน้อยใจ พ่อรักแกนะเว้ยไอ้ลูกชาย เอ้า คุยกับแม่แกไป”
“ตาคนนี้นิ จะบอกรักลูกก็ทำเป็นเขิน...กาล แม่ก็รักกาลนะลูก”
“ครับแม่ กาลรักพ่อกับแม่นะ”
“จ้า กาลเป็นลูกที่พ่อกับแม่ภูมิใจเสมอนะไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง ดูแลตัวเองดีๆ อย่าโหมอ่านหนังสือมากไปล่ะ เดี๋ยวกลับมาแม่จะผัดสะตอให้กิน”
“ครับกาลจะรอนะ”
รัตติกาลวางสายไปด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า เขาแหงนมองแผ่นที่โลกซึ่งติดอยู่บนข้างฝา หมุดเล็กๆถูกปักไว้ตามเมืองที่เขาเคยได้มีโอกาสเดินทางไปเรียนรู้เรื่องราวของผู้คนที่มีทั้งสุขสบายและลำบากปะปนกัน มันทำให้รัตติกาลเข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงอยากช่วยเหลือคนพวกนั้น เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา...รัตติกาลยังต้องการรู้จักโลกใบนี้ให้กว้างกว่าเดิมจนถึงวันที่เขาจะสานต่อเจตนารมณ์ของบิดามารดาด้วยความสมัครใจอย่างแท้จริง
“รอกาลหน่อยนะพ่อ...”
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ณ เวลาสองนาฬิกาหลังจากที่รัตติกาลไม่ได้ยินมันมานานกว่าหนึ่งอาทิตย์ ร่างที่เหนื่อยล้าของนทียังคงยืนยิ้มให้เขาอยู่เบื้องหลังประตูบานนั้นเหมือนอย่างเคยโดยไม่มีคำอธิบายใดๆถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา
“ยังไม่นอนอีกหรอ”
“ผมควรจะเป็นคนถามพี่มากกว่า ดึกป่านนี้ทำไมถึงไม่กลับห้อง”
“ก็กลับมาแล้วไง...ห้องของกาล”
ชายหนุ่มรูปงามว่าดังนั้นก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตจากเจ้าของห้องเช่นเคย รัตติกาลถอนหายใจ ถึงแม้จะเคยชินกับนิสัยเอาแต่ใจของอีกฝ่ายแล้วแต่ก็อดที่จะเบื่อหน่ายไม่ได้ ชามสองใบถูกวางลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่เคยมีหนังสือของรัตติกาลวางอยู่ก่อนมันจะถูกย้ายไปวางบนพื้นแทน นทีลงมือแกะบะหมี่เกี๊ยวลงในชามทั้งสองใบโดยมีร่างโปร่งมองดูอยู่ห่างๆ
“กินดิ พี่ซื้อมาฝาก”
“กินเสร็จแล้วพี่จะกลับไปไหม”
“อย่าถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วสิ”
รัตติกาลส่ายหน้าอย่างจนปัญญาจะไล่ เขาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับนทีก่อนจะคว้าเอาบะหมี่ชามโตมากินอย่างไม่ขัดศรัทธา เส้นบะหมี่สีเหลืองนวลและหมูแดงที่หั่นจนบางยิ่งกว่ากระดาษทำให้เขาอดที่จะคิดถึงการพบกันครั้งแรกไม่ได้
“คราวนี้ทะเลาะอะไรกันมาอีกล่ะครับ”
ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบก่อนจะคีบเกี๊ยวแบนๆเข้าปากอย่างสบายใจ ผิดกับคนโดนถามที่ขมวดคิ้วมุ้ยขึ้นมาทันที
“พูดแบบนี้พี่กินไม่ลงขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็ไม่ยังไง ผมกินแทนก็ได้”
นทีเลื่อนชามบะหมี่หลบตะเกียบของรัตติกาลที่เกือบจะคีบเอาหมูแดงแผ่นบางของเขาไปได้อย่างหวุดหวิด
“โหดร้ายเกินไปแล้ว ทั้งวันพี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ”
“เฮ้อ เลิกเฉไฉแล้วตอบมาสักที ผมจะได้ทำงานต่อ”
รัตติกาลมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง แต่นทีก็ทำแค่ยักไหล่อย่างไม่รู้สึกรู้สา คีบกวางตุ้งเข้าปากแล้วตอบด้วยท่าทางราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“ก็เหมือนเดิม พี่ไปกินเหล้ากับพี่เลี้ยงฝึกงานมาแพงเลยไล่ออกจากห้อง”
“ไม่ใช่เพราะพี่ไปกินเหล้าหรอกครับ ปกคอเสื้อข้างในน่ะ มีลิปสติกติดอยู่”
นทีดึงคอเสื้อของตัวเองดูแล้วหัวเราะออกมาเมื่อเห็นรอยแดงที่ว่า รัตติกาลมองรอยยิ้มร้ายเดียงสานั้นถอนหายใจกับสันดานที่ไม่เคยเปลี่ยนของอีกฝ่ายและการดึงดันที่ไร้ความหมายของพี่รหัสตนเอง
“ถ้าพี่ไม่คิดจะเลิกทำแบบนี้ อย่างน้อยก็ไปเช่าหอไว้อีกสักห้องเถอะครับ มานอนนี่ทุกวันมันรบกวนผม”
“ไม่เอาล่ะ อยู่กับกาลแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
“ไม่ดีครับ ผมรำคาญ”
“นี่ไง อยู่ให้กาลด่าแบบนี้ทุกวันดีจะตาย”
“ถ้าอยากโดนด่าก็เชิญกลับไปง้อพี่แพงที่ห้องเถอะครับ ร้องรองพี่ได้สำลักความสุขจนตายแน่”
“เหมือนกันซะที่ไหน กาลก็คือกาล พี่ชอบให้กาลด่าแต่กับแพงพี่ไม่ชอบ...”
น้ำเสียงขี้เล่นฟังดูกระด้างขึ้นในประโยคหลัง รัตติกาลสังเกตเห็นดวงตาคมเข้มคู่นั้นแสดงความไม่พอใจออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นแฝงด้วยความร่าเริงจอมปลอมเหมือนอย่างเคย ทำให้อดที่จะขนลุกกับความปลิ้นปล้อนของอีกฝ่ายไม่ได้
“นั่นมันเรื่องของพี่สองคน แต่อย่ามาทำให้ผมเดือดร้อนด้วยจะได้ไหม”
“เดือดร้อนยังไง? ที่แพงโทรมาด่าพี่ให้กาลฟังน่ะหรอ”
“ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็ช่วยไปเกาะคนอื่นแทนผมสักทีเถอะครับ”
นทีแสยะยิ้มก่อนจะเท้าคางมองใบหน้าหวานคมของรัตติกาลที่แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง
“ถ้ารำคาญขนาดนั้น...ทำไมไม่ยุให้แพงเลิกกับพี่ไปซะล่ะ”
“เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผม...”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมกับนำชามบะหมี่ที่เหลือแต่น้ำไปล้างตรงมุมครัว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงฟอง รัตติกาลก็ถูกร่างของนทีกักขังไว้จากทางด้านหลัง ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดพวงแก้มจนร่างโปร่งรู้สึกได้ แต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลก็ไม่ได้แสดงท่าทางตระหนกตกใจอะไรออกมา
“ก็ทำให้เป็นเรื่องของกาลซะสิ...”
“เชิญตกนรกไปคนเดียวเถอะครับ เจอพี่แค่ชาติเดียวผมก็เอียนจะแย่”
“ถ้าได้อยู่กับกาล ต่อให้เป็นสวรรค์หรือนรก พี่ก็จะไป”
ริมฝีปากสีเข้มจดจูบบริเวณไหปลาร้าขาว นทีสูดหายใจเอากลิ่นหอมสบู่อ่อนๆเข้าไปจนชุ่มปอดก่อนจะเลื่อนมือที่เท้าอยู่กับเคาน์เตอร์มาโอบรัดร่างที่เล็กกว่าตนไม่มากไว้ รัตติกาลเอนคอหลบหนีสัมผัสพลางแกะมือของอีกฝ่ายออกไป ไม่สนใจแม้แต่เสียงหัวเราะทุ้มๆของชายหนุ่มที่ดูท่าจะถูกใจการขัดขืนของรัตติกาลอยู่ไม่น้อย
ในจังหวะนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นแต่กลับไม่ใช่เครื่องของนทีอย่างเคย ร่างสูงยอมเบนตัวออกให้รัตติกาลไปรับโทรศัพท์ของตัวเองโดยที่มีเขายืนมองร่างกายสมส่วนนั้นด้วยสายตาอ่านยาก ร่างโปร่งพยายามไม่แสดงอาการอะไรออกไปมากกว่านี้โดยหวังให้นทีหยุดท่าทางคุกคามนั้นไปเอง เขาหยิบโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อปรากฏเบอร์ของลุงนเรศทนายความส่วนตัวของบิดาปรากฏขึ้นมา
“สวัสดีครับลุงนเรศ”
“คุณกาลครับ ตอนนี้คุณกาลอยู่ที่ไหน”
“ผมอยู่ที่หอครับ ลุงมีอะไรรึเปล่า”
“...ทำใจดีๆนะครับคุณกาล”
“...”
“คุณกนกกับคุณรัตนาประสบอุบัติเหตุ...
“...!!!”
“ทั้งสองคน...เสียชีวิตแล้วครับ”
รัตติกาลคิดว่าตนหูฝาด เสียงที่เคยฟังดูนุ่มนวลจากปลายสายกลับก้องกังวานจนเขาไม่อาจทรงตัวไว้ได้หากไม่มีโซฟาให้ยืนพิง มือที่ถือโทรศัพท์อยู่กำลังสั่น เขารู้แต่เขาหยุดมันไม่ได้เช่นเดียวกับแรงบีบรัดในอกที่รุนแรงราวกับมีใครกำลังจะพรากหัวใจออกไปจากเขา
ตุ๊บ!
“กาล!”
นทีรีบเข้ามาพยุงร่างที่ทรุดลงไปกองกับพื้น ดวงตาที่เคยหรี่มองเขาอย่างไม่ชอบใจเบิกกว้างราวกับไม่รู้ว่าควรจ้องไปทางไหน ตัวของรัตติกาลสั่นและไร้กำลังที่จะยืดหยัดขึ้นยืนด้วยตัวเอง ชายที่เคยเย้อหยิ่งเอาแต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับพึมพำซ้ำๆ
“ไม่...ไม่จริง...โกหก...ไม่จริง”
“กาล กาลเป็นอะไร กาล!”
“ไม่ใช่เรื่องจริง...พ่อกับแม่...ไม่ใช่...ต้องไม่ใช่พ่อกับแม่...โกหก”
นทีที่เริ่มคาดเดาเหตุการณ์ได้หยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ปลายสายยังไม่วางไปขึ้นมาคุยเองอีกครั้งโดยมืออีกข้างหนึ่งพยายามกดใบหน้าซีดเผือกของรัตติกาลไว้กับอก ร่างสูงนิ่งไปเมื่อได้ยินรายละเอียดจากคนปลายสายที่อธิบายเขาฟังอีกครั้ง ชายหนุ่มกำมือถือในมือแน่น เขาตอบรับคำขอร้องของนเรศด้วยสีหน้าปวดร้าวไม่แพ้ลูกชายแท้ๆของคนที่เพิ่งจากไป
นทีวางสายก่อนจะหันมาประคองคนที่ควบคุมสติไม่ได้ให้หันกลับมามองตน แต่ก็ไร้ประโยชน์ ดวงตาของรัตติกาลไม่มีอะไรสะท้อนอยู่ในนั้นนอกจากความหวาดกลัวจับใจจนคนมองรู้สึกปวดรัดไปทั้งอก
“กาล...ตั้งสติไว้กาล”
“ไม่จริง เขาโกหก... พ่อกับแม่ไม่ได้เป็นอะไร มันโกหก!!!!”
รัตติกาลที่เหมือนสติหลุดรอยระเบิดอารมณ์ออกมาก่อนจะกรีดร้องอย่างทรมาน นทีไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกอดคนที่ร้องไห้จนสั่นไปทั้งร่างเอาไว้แบบนั้น จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของจันทร์และสิทธิที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและตกใจไม่แพ้กัน
“คุณกาลค่ะ ฮึก เข้มแข็งไว้นะคะคุณหนูของป้า”
ชายหนุ่มปล่อยให้รัตติกาลที่สติเลื่อนลอยอยู่ในความดูแลของหัวหน้าแม่บ้านที่เอาแต่พร่ำเรียกหาคุณหนูของตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รัตติกาลซุกตัวลงกับเบาะหลังเอามือกุมหัวตัวเองไม่พูดจากับใคร ปล่อยให้น้ำตารินไหลปล่อยให้หยดน้ำจมหายไปกับเบาะ นทีที่รับหน้าที่ขับรถแทนได้แต่มองทุกอย่างผ่านทางกระจกมองหลังไม่สามารถแม้แต่จะมอบคำปลอบใดๆตลอดทางไปจนถึงสนามบิน
:katai4:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :katai4:
-
นิลมองดูเพื่อนรักที่ซูบผอมลงไปมากแม้เพิ่งจะผ่านการสูญเสียมายังไม่ทันครบเจ็ดวัน รัตติกาลเอาแต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่สนใจแม้แต่คนเก่าคนแก่อย่างจันทร์ที่ร้องไห้แทบขาดใจตอนร้องขอให้นายคนเดียวที่เหลืออยู่ยอมกินอาหารประทังชีวิต แต่ร่างกายที่อ่อนล้าก็ไม่เหลือแรงมากพอที่จะประคองสติไว้ได้ รัตติกาลถูกหามตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากทรุดไปกลางพิธีสวดศพที่เต็มไปด้วยลูกศิษย์ลูกหาของทั้งกนกและรัตนาที่ต่างเดินทางมาบอกลาทั้งคู่เป็นครั้งสุดท้าย
“นิล...พี่สงสารกาล”
พะแพงพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือจนรุ่นน้องคนสนิทต้องคอยกระชับมือที่จับกันไว้อยู่ให้แน่นขึ้น ไม่แปลกหรอกที่พะแพงจะร้องไห้ แม้แต่ผู้ชายอย่างเขาก็ไม่อาจสกัดกั้นมันไว้ได้เช่นกัน รัตติกาลในตอนนี้แทบไม่หลงเหลือเค้าเดิมให้เห็น ดวงตาที่บอบช้ำลอยคว้าง ร่างที่เหมือนพร้อมจะแตกสลายนอนนิ่งไม่ขยับ รัตติกาลเอาแต่มองไปข้างหน้า ทั้งที่ความจริงแล้วตัวเองกลับจมอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้...ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ว่าต่อให้เข้มแข็งแค่ไหนก็พังทลายได้เช่นกัน
“นิล...พาแพงไปส่งที่ห้องเถอะ ดึกมากแล้ว”
นทีที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องพูดขึ้น โดยไม่ละสายตาไปจากร่างว่างเปล่าบนเตียงนั่น หญิงสาวหันมามองคนรักของตนด้วยความปวดร้าว เธอหันมาซุกกายลงในอ้อมแขนของนทีที่เปิดรับอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับร้องไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความเวทนาสุดหัวใจ ชายหนุ่มไม่พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ลูบเบาๆบนแผ่นหลังเล็กนั้นอย่างปลอบโยนก่อนจะพยักหน้าให้รุ่นน้องที่หันมาสบตากับตน
“แล้วพี่ล่ะ ไม่กลับด้วยกันหรอ”
“...เราทิ้งกาลเอาไว้คนเดียวไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะอยู่เอง”
“นิล...มันใช่เวลาที่จะมาเถียงกันเรื่องนี้ไหม”
นทีพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำจนคนในอ้อมแขนเผลอสั่นด้วยความกลัว พะแพงผละออกมามองหน้าคนรักที่ดูเรียบนิ่งไม่มีทีท่าขี้เล่นอย่างเคย เธอรู้ข่าวการจากไปของพ่อและแม่น้องรหัสพร้อมๆกับนิล พวกเขาทั้งคู่รีบเดินทางไปยังวัดที่ตั้งอภิธรรมทันทีที่ศพถูกลำเลียงมาถึงกรุงเทพ วินาทีแรกที่เธอเห็นรัตติกาลที่เคยดูดีกลายเป็นเหมือนคนไร้วิญญาณที่แทบทรงตัวไว้ไม่ไหวแต่ยังดีที่มีคนรักของเธอคอยยืนอยู่ใกล้ๆด้วยท่าทางเงียบขรึมเหมือนกับตอนนี้
“กลับกันเถอะนิล ให้ทีอยู่คงช่วยกาลได้มากกว่าเรา”
พะแพงไม่ได้พูดประชด เธอจูงมือนิลแล้วพากันเดินออกไปจากห้องทั้งที่หนุ่มรุ่นน้องดูท่าไม่อยากจะทิ้งเพื่อนของตนไว้กับคนรักของเธอตามลำพัง นิลสบตากับนทีอย่างไม่ชอบใจนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาถอนหายใจพร้อมกับมองไปยังร่างบนเตียงนอนนั้นด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะยอมผละออกไปพร้อมกับหญิงสาวที่ไม่เคยรู้เลยว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้นเป็นแบบไหน
“กาล”
นทีเรียกชื่อคนที่นอนไม่รับรู้อะไรด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาลูบเบาๆตามลำแขนที่ซูบผอม รอยแผลจากการให้น้ำเกลือยังคงไม่หายดี มันทั้งแดงช้ำและยังมีเลือดซึมแต่ดูเหมือนความเจ็บปวดทางกายจะไม่สามารถทำอะไรรัตติกาลได้อีกแล้ว
“อยากกินอะไรไหม”
“...”
“พี่ถามว่าเราอยากกินอะไรไหม”
“...ออกไป”
“...”
“กูบอกให้ออกไปไง...”
รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและว่างเปล่าเช่นเคย นทีที่ย้ายร่างลงมานั่งบนเตียงนั้นพยายามจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของร่างโปร่งแต่ทว่าไร้การตอบสนอง
“ไม่ไปหรอก กาลไล่ยังไงพี่ก็ไม่ไป”
“ออกไป...ออกไปซะ”
“ไม่”
“ออกไป ได้โปรด...ผมอยากอยู่คนเดียว”
ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มคล้ายจะเอ็นดู เขาเอนตัวลงนอนข้างๆกันแล้วจับร่างของรัตติกาลให้ตะแคงข้างหันมาเผชิญหน้ากับตน
“โกหก”
“...”
“พูดความจริงออกมาสิ”
ดวงตาที่เคยว่างเปล่าเริ่มมีน้ำเอ่อคลอก่อนจะพังทลายลงมาเช่นเดียวกับความเข้มแข็งที่พยายามหลอกทุกคนแม้กระทั่งตัวเอง เสียงกรีดร้องราวกับมีใครมาพรากดวงใจออกไปจากอกดังก้องจนคนฟังรู้สึกสะท้าน แต่นทีก็ยังคงยิ้มแล้วลูบแผ่นหลังนั้นเบาๆปล่อยให้รัตติกาลได้อ่อนแอเท่าที่อยากจะทำ
“อย่าทิ้งผมไป ฮือ พ่อ ฮึก ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”
“...”
“ฮึก ทำไมไม่พากาลไปด้วย...กาลไม่อยากอยู่แล้ว ฮือ...แม่พากาลไปที”
“ไม่ได้หรอกกาล...กาลยังไปไม่ได้”
“ไม่ ฮึก กาลจะไปอยู่กับแม่...กาลไม่อยากอยู่แล้วพี่...กาลไม่ไหวแล้ว”
นทีปาดน้ำตาให้รัตติกาลและปิดปากที่ร้องขอความตายนั้นด้วยปากของตนเอง ก้อนลิ้นนุ่มดันเอายาเม็ดเล็กเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายโดยไม่สนใจรัตติกาลที่เอาแต่ดิ้นคลุกคลักแล้วร้องขอให้เขาหยุดการกระทำนั้น จุมพิตที่เกลื้อไปด้วยน้ำตามันทั้งขมและทรมานแต่ในขณะเดียวกันมันกลับทำให้หัวใจที่เจ็บแปลบของรัตติกาลเต้นรัวขึ้น นทีประคองท้ายทอยของอีกฝ่ายไว้ด้วยสองมือเขากดจูบซ้ำๆ ส่งปลายลิ้นเข้าเกี่ยวรัดรัตติกาลให้รู้สึกถึงชีวิตของตนเองไว้ จนกระทั่งฤทธิ์ยาค่อยๆฉุดสติของรัตติกาลให้จมดิ่งลงทั้งที่ยังกำชายเสื้อของอีกฝ่ายแน่น
ภาพรอยยิ้มของพ่อและแม่
คำบอกรักและคำสัญญาว่าจะกลับมายังก้องอยู่ในหัว
แต่วันนี้...ต่อให้ร้องหาแค่ไหน...ก็คง...ไม่มีทางได้ยินอีกแล้ว
พ่อรักแกนะเว้ยไอ้ลูกชาย...
แม่ก็รักกาลนะลูก...
.
.
.
.
.
.
“ไอ้นิล มึงว่าช่วงนี้สองคนนั้นสนิทกันมากไปหน่อยป่าววะ”
คณิตถามขึ้นพลางยกน้ำสีอำพันขึ้นดื่มก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางหัวโต๊ะอีกด้านที่รัตติกาลและนทีกำลังนั่งดื่มอยู่ด้วยกัน ร่างสูงของเพื่อนสนิทผู้ซึ่งรู้สึกเช่นเดียวกันเหลือบไปมองสองคนที่ว่านั่นด้วยสายตาอ่านยาก
“เมื่อวานไอ้เพรียวมาเล่าให้ฟังว่าไอ้กาลมันไปงานเลี้ยงสายพี่ที แถมช่วงนี้กูก็เห็นมันมากินเหล้าด้วยกันบ่อยๆ...ตกลงระหว่างกาลกับพี่ทีมันยังไงกันแน่วะ”
“ไม่รู้ดิ...
“เอ้า แล้วทำไมมึงไม่ถามมันอะ”
“แล้วทำไมกูจะต้องถามมัน...ถ้ามันอยากเล่าเดี๋ยวก็พูดออกมาเอง”
“พูดซะกูนึกว่ามึงน้อยใจมัน แต่ว่านะเว้ย...กูว่าไอ้กาลมันแปลกๆว่ะ”
“แปลก? แปลกยังไง”
คิ้วเข้มๆของคณิตขมวดกันเป็นปม ชายหนุ่มทำสีหน้าลำบากใจอยู่สักพักขณะที่มองไปเห็นรัตติกาลกำลังโน้มหน้าไปต่อไฟจากรุ่นพี่ต่างคณะแบบมวนต่อมวนไม่พึ่งไฟเช็ค เขาถอนหายใจก่อนตัดสินใจพูดสิ่งที่กังวลออกมาให้เพื่อนฟัง
“ตั้งแต่พ่อแม่เสีย กูว่ามันทำอะไรไม่ค่อยคิดว่ะ อย่างบุหรี่เมื่อก่อนมันไม่เคยเอามาสูบที่มอแต่เดี๋ยวนี้แม่งหยิบบ่อยกว่าโทรศัพท์อีก ไหนจะเรื่องผู้ชาย คราวก่อนแม่งไปล่อเด็กไอ้โต้งมา ไอ้ห่านั่นไม่ตามมากระทืบกาลมันก็บุญแล้ว”
“มันคงสับสนนั่นแหละ...ให้เวลามันหน่อยเถอะ”
“เรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหา กูกลัวแค่มันจะทำอะไรรุนแรงกว่านี้ กูกลัวพี่ทีมันจะพาไอ้กาลไปเสียคน”
“ดูท่ามึงจะอคติกับพี่แกน่าดูเลยเนอะ”
คณิตยิ้มแหย ถึงจะผ่านมาเกือบปีแต่ชายหนุ่มก็ยังคงไม่ลืมเรื่องที่ตนได้ยินในห้องน้ำวันนั้น จริงอยู่ที่เขาไม่เคยเข้าไปยุ่งแต่คณิตก็แอบสังเกตท่าทีของทั้งสองคนมาตลอด เขาเคยมั่นใจว่ารัตติกาลจะไม่มีทางหักหลังพี่รหัสตัวเองมาคบกับนที แต่ตอนนี้คณิตไม่สามารถพูดได้เต็มปากอีกแล้วว่ารัตติกาลจะไม่เล่นด้วย...
“กูแค่ไม่อยากเห็นมันเจ็บ”
“เราทำอะไรไม่ได้หรอก...สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าไอ้กาลมันจะเลือกอะไร”
“มึงไม่เป็นห่วงมันบ้างหรอวะไอ้นิล...”
ดวงตาเรียวมองไปยังก้อนน้ำแข็งที่ค่อยๆละลายเพราะเครื่องดื่มรสร้อนแรง เช่นเดียวกับสิ่งรอบตัวที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ไม่ใช่แค่รัตติกาลที่เสียหลัก แม้แต่นที พะแพง และตัวเขาเองก็กำลังยืนอยู่ในจุดที่ต้องตัดสินใจเช่นกัน
“ห่วง...แต่ชีวิตกูไม่ได้มีแค่มันคนเดียวให้แคร์”
“...พวกมึงแม่งเข้าใจยากเกินไปป่าววะ”
นิลยิ้มให้เพื่อนที่กำลังเกาหัวตัวเองเพราะจนปัญญาที่จะเข้าใจ เสียงแก้วกระทบกันดังขึ้นอีกครั้งก่อนบทสนทนาทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นแทน ในขณะที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าชายสองคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอีกด้านได้หายไปตั้งแต่วงดนตรีสดยังไม่เริ่มขึ้นแสดง
“อื้อ กาล เบาๆหน่อย”
เสียงฝาชักโครกดังเป็นจังหวะคลอกับลมหายใจหอบต่ำของทั้งสองคนที่กำลังโยกกายเข้าหากันอยู่ภายในห้องแคบๆ นทีเหม่อมองควันบุหรี่สีเทาที่ลอยฟุ้งโดยไม่คิดจะสนใจประตูห้องน้ำที่สั่นไหว เขาเปลี่ยนมายืนพิงกำแพงอีกด้านแทนแต่ก็ยังปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น นทียืนฟังอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงคราวหวิวของรัตติกาลจะกระชั้นขึ้นแล้วหยุดลง เขาส่งยิ้มให้ชายหนุ่มเจ้าของสีหน้าแดงระเรื่อที่เพิ่งเดินออกมาโดยไร้เงาของคนที่นทีกำลังเฝ้ารอ
“อ้าวที มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ย”
“มายืนฟังคนเอากัน”
“บ้า หึหึ ที่หลังไม่ต้องแอบฟังนะ บอกตรงๆเดี๋ยวเราทำให้”
“สัส ขนลุก มึงจะไปไหนก็ไปไป”
เขาเบ้หน้าพลางโบกมือไล่เกย์สาวที่คุ้นเคยกันดีโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้คิดโกรธเคืองการกระทำหยาบคายนั้นหนำซ้ำยังหัวเราะร่าออกมาอย่างชอบใจเมื่อได้แหย่เสือร้ายอย่างนทีที่ช่วงนี้เอาแต่ตามติดรัตติกาลจนเขาลือกันไปทั่วถึงความสัมพันธ์อันเป็นปริศนาของทั้งสองคน
“สบายตัวรึยังล่ะ”
ชายหนุ่มเอ่ยกับคนที่กำลังนั่งไขว้ห้างอยู่บนฝาชักโครกโดยที่ยังไม่ได้รูดซิปกางเกงให้เรียบร้อย นทีชำเลืองมองกลางกายสีแดงกล่ำที่ยังคงมีร่องรอยความเปียกชื้นหลงเหลืออยู่ด้วยสายตาขี้เล่น
“ไอ้โรคจิต”
รัตติกาลลุกขึ้น เขาเดินผ่านนทีไปก่อนจะหยุดลงตรงหน้าอ่างล้างมือแล้วจัดการทำความสะอาดคร่าวๆโดยมีเจ้าโรคจิตคนที่ว่าจดจ้องอยู่ทุกอิริยาบถ ร่างโปร่งรับผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินที่อีกฝ่ายอื่นมาให้เช็ดมืออย่างไม่อดออด แม้แต่การหลบเลี่ยงปลายคางแหลมที่กำลังเกยอยู่บนไหล่เขาก็ไม่คิดจะทำ
“ให้พี่ยืนรอตั้งนาน เมื่อยจะแย่”
“ใครใช้ให้รอ ถ้าว่างนักก็กลับไปหาพี่แพงซะ โทรจิกขนาดนั้นไม่สงสารเขาบ้างรึไง”
“เดี๋ยวก็กลับแล้ว แต่ต้องพากาลไปส่งห้องก่อน”
“ผมกลับเองได้ เลิกตามประคบประหง่มผมสักที แค่นี้คนเขาก็คิดว่าพี่เปลี่ยนมาชอบประตูหลังกันหมดแล้ว”
นทีหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินเข้าไปกอดคออีกฝ่ายแล้วถือวิสาสะลากออกมาจากร้าน เขานั่งลงประจำที่คนขับในขณะที่รัตติกาลเอนกายลงบนเบาะข้างๆกัน กลิ่นเมทอลที่หลงเหลืออยู่จางๆแม้ตอนนี้จะไม่มีใครจุดบุหรี่ขึ้นสูบไม่เป็นปัญหาต่อสิงห์อมควันอย่างรัตติกาลแต่อย่างใด ผิดกับแฟนสาวที่มักจะทนไม่ได้เสมอเมื่อต้องโดยสารรถคันนี้จนหลังเบาะคนขับนั้นเต็มไปด้วยสเปรย์ดับกลิ่นที่หญิงสาวจัดหาเอาไว้ให้แต่นทีกลับไม่เคยคิดใช้มัน
“เรื่องโรงงานยางตอบลุงนเรศไปรึยัง”
สิ่งที่นทีเอ่ยขึ้นไม่เพียงแค่ทำลายความเงียบแต่มันกลับทำลายอารมณ์ที่ดีขึ้นนิดหน่อยของรัตติกาลลงด้วยเช่นกัน
“ถ้าจะพูดเรื่องนี้ก็ช่วยจอดป้ายหน้าให้ด้วย”
“ก็ไม่อยากจะพูดหรอกแต่ลุงแกฝากให้พี่มาถามกาล”
“หึ ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่คนแถวนี้ไม่ยอมกลับบ้านแถมไม่รับโทรศัพท์จนเขาต้องโทรมาหาพี่แทน ให้ตายสิ แค่แพงคนเดียวก็จะบ้าอยู่แล้ว ทนายบ้านกาลนี่น่ารำคาญใช้ได้เลยนะ”
“งั้นที่หลังก็ไม่ต้องรับ บล็อคเบอร์ไปเลยก็ได้”
“อยากจะทำอย่างนั้นอยู่หรอกแต่กลัวว่าคราวนี้จะโดนบุกมาถึงห้องแทน ยิ่งใกล้วันเปิดพินัยกรรมแล้วทางนั้นไม่ยอมปล่อยกาลไปแน่ๆ”
“...”
“เลิกหนีได้แล้วมั้ง”
ริมฝีปากสีแดงช้ำเม้มเข้าหากันแน่น รัตติกาลมองออกไปนอกหน้าต่างไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำแนะนำที่คนข้างๆให้มาเพราะตัวเขาเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำมันไร้สาระแค่ไหน ร่างโปร่งขบคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงปิดประตูห้องดังขึ้นเรียกสติ เขาหมุนตัวกลับไปมองแขกผู้มาเยือนถือวิสาสะหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่มโดยไม่ใช้แก้วก่อนจะหันมายื่นมันให้กับรัตติกาลโดยไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย
“ผมถึงห้องแล้ว พี่จะไปไหนก็ไปเถอะ”
“คืนนี้จะนอนนี่ กลับห้องไปตอนนี้โดนแพงเขวี้ยงรองเท้าใส่แน่ๆ”
“พรุ่งนี้ฝึกงานวันสุดท้ายไม่ใช่รึไง ถนนหน้าหอผมรถโคตรติดเดี๋ยวก็ไปไม่ทัน”
“ก่อนหน้านี้ยังไปได้เลยไม่ต้องมาอ้าง คิดจะออกไปนอนกับคนอื่นอีกอย่าคิดว่าพี่ไม่รู้”
รัตติกาลมองหน้าคนรู้ทันที่ส่งยิ้มมาให้แต่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย นทีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา มือหยาบที่แข็งดังคีมเหล็กบีบลงบนไหล่ลาดเบาๆแต่ร่างโปร่งรู้ดีว่าคนคนนี้กำลังอารมณ์เสีย...มันคือคำเตือนว่าเขาสมควรหยุดพยศแล้วตั้งใจฟังในสิ่งที่นทีกำลังจะพูด
“ต่อให้พินัยกรรมเปิดไม่ได้เพราะกาลไม่ยอมไปฟัง ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อกับแม่ของกาลยังมีชีวิตอยู่”
นทีไม่มีอ้อมค้อม คำพูดที่เปรียบได้กับหมัดฮุคกระแทกใจคนฟังเข้าอย่างจังจนนัยน์ตาที่ดูเย็นชาเปลี่ยนเป็นสั่นไหวเหมือนกับคืนที่รัตติกาลกอดผู้ชายคนนี้ร้องไห้
“ผมไม่อยากได้...ทั้งเงิน ทั้งความฝันที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้...ผมเกลียดมันจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”
“...”
“สานต่อแล้วยังไง มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าสุดท้ายพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของผม ผมเคยคิดจะรักษามันเพื่อเขา...แต่ไม่มีแล้วพี่ เหตุผลที่ผมจะเดินต่อไปน่ะ...มันไม่มีแล้ว”
รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดระคนกับสมเพชตัวเอง เขายังจำคำที่ให้สัญญากับตัวเองได้ว่าสักวันเขาจะสานต่อรอยเท้านั้นแต่สุดท้ายมันกลับพังลงมาจนเขาไม่อยากเดินต่อ รัตติกาลไม่เข้มแข็งพอที่จะยิ้มรับมันได้อย่างหน้าชื่นตาบานแล้วใช้ชีวิตทั้งหมดที่เหลือไปกับซากความฝันอันปรักหักพังของพ่อแม่
“ถ้าอย่างนั้นก็ทิ้งมันไป”
“...!”
“ถ้าความฝันของพ่อแม่ที่ว่ามันขวางทางจนกาลเดินต่อไปไม่ได้ ก็แค่หันหลังแล้วเดินออกมาซะ สานต่อแทนพ่อแม่หรอ หึ บ้ารึเปล่า”
ร่างสูงคลายมือที่บีบหัวไหล่ออกก่อนจะเปลี่ยนมากอบกุมมือทั้งสองข้างของรัตติกาลไว้แน่น ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน มันไม่ใช่ความมั่นคงหรือจริงจังที่ทออยู่ในนั้น แต่เป็นความอ่อนโยนในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจากชายผู้นี้ ความอ่อนโยนที่สั่นไหวได้แม้กระทั่งภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของรัตติกาล
“ชีวิตที่ต้องพยายามเพื่อคนอื่นน่ะ...น่าเบื่อจะตาย”
“...”
“มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองสิกาล จนกว่าลมหายใจของเรามันจะหมดลง จนกว่าจะถึงวันนั้น...จงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า เหมือนกับที่พ่อแม่ของกาลทำ”
“พ่อไม่เคยคิดจะให้แกทิ้งความฝันของตัวเอง ขอแค่สักวันหนึ่งเมื่อแกได้ทำความฝันของตัวเองจนสำเร็จแล้ว ถ้าแกเข้าใจความฝันของพ่อก็ค่อยกลับมา...พ่อรอแกได้เสมอ”
คำพูดของพ่อที่เขาหลงลืมมันไปดังขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินอาบหน้า นทีประคองกอดรัตติกาลที่ร้องไห้งอแงเหมือนเด็กๆ แต่เขารู้ดีว่ารัตติกาลเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อแล้ว
“ขอบคุณนะพี่ ฮึก ขอบคุณที่อยู่กับผม”
:hao7:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao7:
-
รัตติกาลแหงนหน้ามองโรงพิมพ์ที่ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลาแต่กลับเต็มไปด้วยคุณค่าและความทรงจำ เขาลูบเบาๆไปเคาน์เตอร์ไม้ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยยืนอยู่ในฝั่งของลูกค้าเพื่อตกลงเรื่องราคากับเถ้าแก่ที่เพิ่งเสียไปได้ไม่นาน
“คุณแน่ใจหรอครับว่าจะซื้อมันต่อ”
ลูกชายของเถ้าแก่คนนั้นถามขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนมาให้ ดวงตาที่ยังไม่คลายความเศร้ามองตรงมาทางเขาด้วยความไม่มั่นใจในแบบที่รัตติกาลเองก็เคยเป็นตอนตัดสินใจขายธุรกิจที่พ่อแม่สร้างมากับมือให้กับนายทุนคนอื่นที่เขามั่นใจว่าจะไม่เอาเปรียบชาวสวนยางมากจนเกินไป รัตติกาลเคยกังวลไม่ต่างจากชายคนนี้ ความรู้สึกที่ทั้งอยากจะรั้งไว้และปล่อยมันทิ้งมีอยู่เท่าๆกันจนแทบแยกไม่ออกแต่เขาก็ผ่านมันมาได้เช่นเดียวกับชายคนนี้ที่สักวันหนึ่งจะทำมันได้เช่นกัน
“ครับ แต่คงต้องปรับปรุงใหม่อีกมาก”
ร่างโปร่งปล่อยให้ทนายนเรศจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดโดยที่ตัวเองปลีกตัวมานั่งดื่มกาแฟในร้านข้างทางที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เขาเปรยตามองขนมปังลูกเกดที่ตัวเองไม่ชอบกินบนมือของหุ้นส่วนคนใหม่ด้วยสายตาไม่ชอบใจก่อนจะดันมันไปให้คนที่ยังคงกวนประสาทเหมือนเคย
“มาสายแล้วยังทำเล่นอีกนะครับ”
“เอาน่า ปล่อยให้ลุงจัดการไปเถอะ อดีตวิศวะอย่างพี่ไม่รู้เรื่องกฎหมายพวกนั้นหรอก เข้าไปเกะกะเปล่าๆ”
“ไม่เข้าใจก็เริ่มศึกษาได้แล้วครับ ผมไม่อยากให้บริษัทเจ๊งทั้งที่เพิ่งเซ้งมันมาหรอกนะ”
“อย่าดูถูกกันซิ ปั่นหุ้นจนมีตังมาช่วยกาลตั้งบริษัทได้ก็เก๋าพอตัวอยู่นะ”
“ขี้โกงล่ะสิไม่ว่า ถ้าไม่ได้คุณนเรศช่วยพี่คงได้เข้าไปนอนในคุกไม่ก็ต้องจ่ายค่าปรับจนหลังอาน”
“ว่าแต่พี่...อย่าคิดนะว่าพี่ไม่รู้ว่ากาลไปทำอะไรกับคณิตมา”
รัตติกาลยิ้มกริ่ม เขาไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นแม้แต่น้อย หลังจากเอกสารทุกอย่างถูกจัดการจนเสร็จพวกเขาทั้งสองคนก็เดินทางมาฉลองการเปิดบริษัทใหม่ที่ร้านอาหารย่านทองหล่อโดยมีนิลและพะแพงร่วมแสดงความยินดีด้วย
“ยินดีด้วยนะกาล ขอให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำนะ”
พี่รหัสที่ยังคงสวยไม่ต่างจากวันวานเพียงแต่ใบหน้าที่เคยไร้เครื่องสำอางตอนนี้ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันต่างๆพอประมานทำให้ดูน่ามองกว่าเดิม แชมเปญขวดใหญ่ถูกยื่นให้พร้อมกับอ้อมกอดเล็กๆที่อบอุ่นเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน พะแพงผละออกมาก่อนจะหันมาสวมกอดคนรักที่ยืนอยู่ข้างๆกันพร้อมกับอวยพรให้นทีประสบความสำเร็จด้วยอีกคน
“นักเขียนไส้แห้งอย่างกูไม่มีตังซื้อของแพงๆให้นะเว้ย เอานี่ไปแทนแล้วกัน”
ร่างโปร่งขมวดคิ้วก่อนจะรับเอาซองเอกสารที่นิลยื่นให้มาถือไว้ ดวงตาเรียวเล็กเบิกโพลงเมื่อต้นฉบับนิยายที่เพิ่งได้รางวัลจากงานประกวดมาอยู่ในมือเขาพร้อมกับคำอวยพรสั้นๆที่เจ้าของผลงานเขียนไว้ในมุมหนึ่งของซองกระดาษ
“มึงแน่ใจแล้วหรอ”
“แน่สิวะ แต่ขอส่วนแบ่งเยอะกว่าในสัญญาที่จะเซนต์แล้วกัน”
“ฮ่าๆ หน้าเลือดนะมึงน่ะ”
พวกเขากอดกัน รัตติกาลยิ้มกว้างเมื่อคนที่เขาเรียกว่าเพื่อนรักกำลังอวยพรด้วยเสียงที่อ่อนโยนกว่าทุกที บรรยากาศบนโต๊ะเต็มไปด้วยความปิติยินดีและเรื่องตลกในที่ทำงานของพะแพงที่หญิงสาวหยิบยกขึ้นมาเล่าจนคนฟังต่างก็หัวเราะจนท้องแข็งไปตามๆกัน
“กาล นิล พี่กับทีมีเรื่องจะบอกแหละ”
พะแพงเอ่ยขึ้นขณะที่รัตติกาลกำลังตักของหวานเข้าปาก หน้าพี่รหัสของเขาขึ้นสีแดงระเรื่อชวนมองอาจจะเพราะแชมเปญที่เพิ่งจะหมดไปหรือความประหม่าที่ทำให้เธอต้องกุมมือคนรักไว้แน่น นทียกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มเงียบๆเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแต่กระชับมือเล็กๆของพะแพงไว้ให้แน่นกว่าเดิม
“ปลายปีนี้ พี่กับที...เราจะแต่งงานกันจ๊ะ”
แกร๊ง!
นิลเผลอปล่อยช้อนในมือจนตกลงไปทันทีที่ได้ยิน โชคดีที่รัตติกาลไม่ได้ถืออะไรไว้ไม่อย่างนั้นอาจจะมีอะไรแตกก็ได้ นิลที่ตั้งสติได้ก่อนลุกขึ้นสวมกอดทั้งคู่พร้อมกับอวยพรเสียยกใหญ่ พะแพงกำลังยิ้มเช่นเดียวกับนทีที่ยืนอยู่ข้างๆ ทุกคนกำลังยิ้ม มีเพียงแต่รัตติกาลที่ได้แต่แสดงสีหน้าเรียบเฉยพร้อมรู้สึกถึงความเจ็บในอุ้งมือ
“ไม่ยอมบอกกันก่อนเลยนะครับ เซอร์ไพร์สจริงๆ”
หลังจากเงียบอยู่นาน รัตติกาลก็เลือกที่จะพูดกับนทีเป็นคนแรก หุ้นส่วนคนใหม่และว่าที่เจ้าบ่าวก้มหน้าลงมองเขาก่อนจะส่งยิ้มขี้เล่นมาให้อย่างเคย
“เพิ่งตัดสินใจขอเมื่อคืนนี้เอง”
“รีบแต่งแบบนี้...พี่แพงท้องหรอครับ”
“ฮ่าๆได้แบบนั้นก็ดีสิ แต่ก็แค่รู้สึกว่าควรแต่งได้แล้วมั้ง”
รัตติกาลเค้นยิ้มทั้งที่ในอกปวดร้าว เขาสวมกอดนทีแน่นๆทั้งที่หัวใจเต้นรัวจนเจ็บ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่กอดกัน แต่เป็นครั้งแรกที่รัตติกาลกอดนทีไว้ด้วยความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่ทั้งสวยงามและทรมานไปพร้อมๆกัน
“ยินดีด้วยนะครับ”
“จะร้องไห้หรอ”
“คงจะเพราะสงสารพี่แพงมากกว่ารู้สึกยินดี”
“ตัดรอนแบบนี้ทำเอาใจหายเหมือนกันแฮะ”
นทีลูบหลังของรัตติกาลเบาๆ หลับตาลงทำเป็นมองไม่เห็นไหล่ที่กำลังสั่นอยู่ตรงหน้า ปล่อยให้เสียงดนตรีและเสียงพูดคุยลอยผ่านไปแล้วรับรู้ถึงคำพูดทุกคำของคนในอ้อมแขน
“นิสัยกินไม่เลือกเลิกซะนะครับ...อย่าทำให้พี่แพงร้องไห้อีก”
“อืม...พูดยากแฮะ”
“นะครับ ผมเชื่อว่าพี่ทำได้”
“เฮ้อ เก่งจริงๆนะเรื่องบังคับคนอื่นเนี่ย”
ร่างสูงหัวเราะพร้อมกับโยกตัวไปมา รัตติกาลยิ้มรับก่อนจะผละไปแสดงความยินดีกับว่าที่เจ้าสาวบ้าง คืนนั้นพวกเขาเมามายจนต้องเปิดห้องของโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆแทนการขับรถกลับ แล้วคืนนั้นนิลก็นอนกอดรัตติกาลที่กำลังร้องไห้เอาไว้จนกระทั่งพล่อยหลับไป
.
.
.
.
.
นที กวีวิมนตร์…คือผู้ชายที่ไม่สมควรเชื่อใจ
รัตติกาลเปรยตามองร่างที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นบุหรี่กำลังจับจองโซฟาตัวยาวของเขาอย่างถือสิทธิ กระเป๋าเอกสารกองอยู่ในมุมหนึ่งของห้องไม่ต่างจากรองเท้าหนังมันแปลบที่ดูไม่เข้ากับคนอย่างนทีเอาเสียเลย ร่างโปร่งถอนหายใจแล้วเดินไปปิดไฟจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง เขากลับไปซุกตัวลงในผ้านวมอุ่นๆหลังจากที่ต้องฝืนจากมันมาเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นในเวลาสองนาฬิกาหลังจากที่เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นซ้ำซากเมื่อสองปีที่แล้ว...และมันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง
“ราตรีสวัสดิ์นะกาล”
เสียงทุ้มของนทีดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ รัตติกาลยังคงลืมตาอยู่และไม่รู้สึกอยากนอนอีกเลยตั้งแต่ชายคนนี้ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง นี่เป็นครั้งที่สามในรอบสัปดาห์ที่หุ้นส่วนคนสำคัญมาเคาะห้องเขากลางดึก นทีอาศัยนอนอยู่บนโซฟาที่ใหญ่กว่าตัวเดิมในห้องแคบๆสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัย และเพราะที่นี่คือคอนโดหรูใจกลางเมืองกรุงรัตติกาลจึงไม่มีโอกาสรับรู้ว่าคนที่นอนอยู่ในห้องรับแขกกำลังทำอะไรหรือได้รับโทรศัพท์จากใคร
‘นทีมีคนอื่น’
คำพูดที่เต็มไปด้วยความรวดร้าวต่างจากวันนั้นทำให้รัตติกาลรู้สึกใจหาย ทั้งที่เพิ่งผ่านมาได้เพียงเดือนกว่าที่เขาต้องตัดใจจากคนที่ไม่สมควรจะรัก แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้และคำบอกเล่าของพะแพงกลับกลายเป็นว่าความรู้สึกเก่าๆถูกกวนให้ลอยฟุ้งขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความผิดหวังต่อทั้งนทีและตัวเขาเอง
“เขา...ไม่มีวันเปลี่ยน”
รัตติกาลบอกตัวเองด้วยประโยคเดียวกับที่เขาพูดเตือนพะแพงไป มันทั้งเจ็บปวดและน่าสมเพชที่เขาผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยพูดมันออกไปด้วยความรู้สึกเวทนาต่อความโง่งมของผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้เขาผู้ซึ่งรู้สันดานของนทีดีกลับหลงลืมมันแล้วตกลงในวังวนนั่นเสียเอง
ร่างโปร่งพยายามข่มตานอน อยากจะทำตัวประชดรักแบบวัยรุ่นดูบ้างเหมือนกันแต่เพราะหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบทำให้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ โชคดีที่ก่อนนอนรัตติกาลได้ทานยาแก้ปวดไปทำให้เขาใช้เวลาไม่มากที่จะกลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งก่อนจะตื่นเช้าขึ้นมาพบว่าแขกผู้มาเยือนได้หายไปแล้วเหมือนเช่นทุกครั้ง ทิ้งไว้เพียงจดหมายขอบคุณและขนมปังปิ้งแห้งๆที่อีกฝ่ายทำไว้ให้ดูต่างหน้า
บริษัทกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีเพราะความสามารถของผู้บริหารทั้งสองและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่นทีติดต่อไว้ให้ ของขวัญวันเปิดตัวบริษัทจากนิลสร้างกระแสได้เป็นอย่างดีจนสำนักพิมพ์น้องใหม่นี้เริ่มกลายเป็นที่รู้จักตามท้องตลาด
แต่ความสำเร็จที่ได้มาต้องแลกด้วยเวลาที่เสียไป รัตติกาลชำเลืองมองนทีที่เอาแต่ก้มหน้าอ่านเอกสารในมือโดยไม่สนใจโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง ชื่อของพี่รหัสเขาปรากฏขึ้นมาแล้วดับไปวนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรัตติกาลทนไม่ไหว ร่างโปร่งสาวเท้าไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ใกล้ๆกัน ชายหนุ่มถือวิสาสะหยิบมือถือของนทีขึ้นมาก่อนยื่นให้คนเป็นเจ้าของที่มองมาที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจ
“อย่างน้อยก็บอกเขาหน่อยเถอะครับว่าไม่สะดวกจะคุยด้วย”
“...ปล่อยมันไปอย่างนั้นแหละ”
“พี่เคยสอนผมไม่ให้หนี”
“แต่พี่ไม่เคยบอกว่ามันทำไม่ได้...ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวก็เลิกโทรไปเอง”
‘ถ้าเป็นอย่างนั้นได้มันก็ดี’ รัตติกาลพูดตอบเพียงในใจก่อนจะวางโทรศัพท์คืนแล้วกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ร่างโปร่งสัมผัสได้ว่าการทะเลาะกันครั้งนี้แตกต่างจากที่เคย แม้ว่าจะโต้เถียงกันแรงแค่ไหนแต่ตลอดเวลาที่เขามองดูสองคนนี้คบกันไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่นทีจะทำกับพี่รหัสเขาแบบนี้
มันเป็นโอกาส...
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว รัตติกาลสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้นออกไปแม้มันจะน่าเย้ายวนแต่เขาก็ยังรู้ผิดชอบชั่วดีมากพอที่จะไม่คล้อยไปกับมันเหมือนอย่างที่ทำมาตลอดสองปีนับตั้งแต่วันที่รู้ใจตัวเอง
นทีและเขาใช้เวลาเกือบทั้งอาทิตย์อยู่ในออฟฟิศไม่แม้แต่จะกลับไปนอนที่คอนโดอย่างเคย หลังจากตัดสินใจสร้างบริษัทรัตติกาลก็ปลีกตัวออกมาอาศัยอยู่ที่คอนโดแทนที่จะเป็นบ้านหลังใหญ่ที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ แต่ก็เพราะนึกห่วงใยว่าคนเก่าคนแก่อย่างจันทร์จะเหงาอย่างน้อยจึงต้องมีสักหนึ่งวันในหนึ่งอาทิตย์ที่รัตติกาลจะกลับมาพักที่บ้านเหมือนอย่างในวันนี้
“ทานอีกสิคะคุณกาล ซูบไปเยอะเลย”
“ซูบอะไรครับป้า กาลน้ำหนักขึ้นมาตั้งสองโลเลยนะ กางเกงคับไปหมดแล้ว”
“สองกิโลเองค่ะ ยังไม่พอๆต้องทานไปอีกเยอะๆ มาค่ะ ป้าเติมข้าวให้”
หญิงแก่ไม่ฟังคำทัดทานจากผู้เป็นนาย มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยตักข้าวสวยทัพพีใหญ่ใส่จานให้ทั้งที่ของเดิมยังพร่องไปแค่นิดเดียว รัตติกาลส่ายหน้าให้ความเป็นห่วงเกินพอดีของจันทร์แต่ก็ลงมือทานต่อไปจนหมดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ
ปรี๊นๆ
เสียงแตร์รถดังขึ้นจากหน้าบ้านทั้งที่ตอนนี้ล่วงมาถึงหัวค่ำและฝนก็ตกอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่บ่าย รัตติกาลลุกขึ้นไปดูด้วยตัวเองโดยบอกให้จันทร์ไม่ต้องเดินตามมา เขามองออกไปยังด้านนอกก่อนจะเห็นรถยนต์สีดำคุ้นตาที่ผู้เป็นเจ้าของยังขังตัวเองอยู่ด้านใน
รัตติกาลสังหรณ์ใจแปลกๆเขาเดินฝ่าสายฝนไปยังรถคันนั้นโดยไม่สนใจเสียงห้ามของสาวใช้คนหนึ่ง ร่างโปร่งเคาะกระจกอยู่สองสามครั้งก่อนทีประตูฝั่งคนขับจะเปิดออกพร้อมกับร่างของนทีที่ลุกออกมาให้เห็น
“พี่...”
ชายหนุ่มครางเสียวแผ่วเมื่อเห็นสีหน้าของนที ใบหน้าที่เคยร่าเริงกลับไม่เหลือเค้าของความสุขใดๆแม้แต่ดวงตาขี้เล่นก็ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด รัตติกาลก้าวออกไปหานทีทั้งที่ฝนโปรยปราย ฝ่ามือเย็นจัดยกขึ้นลูบเบาๆบนใบหน้าอมทุกข์นั้นด้วยความรู้สึกที่แย่ไม่ต่างกัน นทียกมือขึ้นจับมือเขาตอบแต่แรงที่บีบกลับมาทำให้รัตติกาลรับรู้ถึงความอัดอั้นที่กำลังระเบิดออกมา
“พี่เลิกกับแพงแล้ว”
“...!”
“แพงมีคนอื่น...แพงทำ...เหมือนที่พี่เคยทำ น่าสมเพชนะว่าไหม พี่ไม่สมควรจะร้องไห้ด้วยซ้ำ”
“ร้องเถอะครับ...ร้องออกมาเท่าที่พี่อยากร้อง...ผมจะอยู่กับพี่เอง”
สิ้นสุดคำนั่นใบหน้าเศร้าโศกของนทีก็ซบลงบนไหล่ของรัตติกาล คนที่เคยเข้มแข็งกว่าใครกำลังร้องไห้ราวกับจะขาดใจพร้อมกับเรียกชื่อของผู้หญิงคนนั้นไม่หยุด รัตติกาลโอบกอดร่างที่อ่อนล้าของอีกฝ่ายไว้หวังให้ความอบอุ่นของตัวเองทำให้นทีเศร้าใจน้อยลง ทั้งที่สงสารและอยากให้เขามีความสุขแต่ในขณะเดียวกันความรู้สึกที่เขากักเก็บมันไว้มาตลอดก็ไม่อาจฝืนมันไว้ได้แล้วเช่นกัน
“พี่ครับ...ผมรักพี่”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
เฮ้ยยาววววววว >< (ในเล้านี่แยกเป็น3เม้นต์เลยทีเดียว)น่าแยกเป็นสองตอนนะว่าไหม แต่ยาวขนาดนี้พาร์ทอดีตก็ยังไม่จบแหละ แต่อุบไว้ก่อน เป็นยังไงกันบ้างคับ เป็นอย่างที่คาดกันไหวไหม หุหุ งงล่ะสิ แม้แต่นทีที่ว่าเลวยังมีมุมแบบดีๆกับเขาเหมือนกัน นั่นเป็นคำตอบที่เช่หาให้ตัวเองคับที่ถามว่าทำไมคนบางคนถึงรักคนเลว เช่ว่าสุดท้ายแล้วไม่มีใครอยากรักคนเลวหรอก เพียงแต่เราไม่อาจห้ามใจไม่ให้รักด้านดีๆในตัวคนเลวๆคนนั้นได้ อย่างนทีถึงมันจะมั่วขนาดไหนแต่มันก็เป็นคนที่อยู่กับกาลในวันที่ลำบาก ทำให้กาลก้าวเดินต่อไปได้เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่กาลหลงรักคนที่ไม่สมควรจะรัก พาร์ทหลังๆดูห้วนไปบ้าง แต่คิดว่าพอประมานแล้วสำหรับตอนนี้ ถ้าปมไหนต้องขยายเป็นพิเศษเดี๋ยวมันก็งอกมาอีกคับไม่ต้องคิดมาก หุหุ (แอบวางระเบิดไปลูกนึง...จะมีใครสังเกตเห็นไหมหนอ) :hao7:
ตอนหน้ารัณย์กาลมาแน่!!!! ใครที่น้อยใจว่าคู่หลักมันช่างลูกเมียน้อยเหลือเกินนี่เข้าใจเช่หน่อยนะคับ คือกาลอดีตดราม่าขนาดนี้จะให้รัณย์จับกดแล้วรักกันเลยก็ไม่ได้ ขนาดนทีกว่ากาลจะรักยังผ่านต้องผ่านเรื่องราวเยอะแยะ พอเป็นรัณย์ที่กาลปิดตายตัวเองไปแล้วก็คงจะฟู่ฟ่าไม่ได้ ค่อยๆมีความสุขกับรักที่เริ่มเติบโตขึ้นมาของทั้งคู่กันดีกว่านะคับ^^ :mew1: :mew1:
เหมือนเดิม ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวต หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับนิยายเรื่องนี้นะคับ สำหรับคนที่อยากจับจองหนังสือเก็บตังตั้งแต่เนิ่นๆนะ เช่กลัวเหลือเกินว่ามันคง3เล่มเป็นแน่ TwT ร้องไห้หนักมาก :hao3: :sad4:
-
อ่านจุใจมาก ดำเนินเรื่องไม่รู้สึกขัดเลยครับ
-
โห ไม่รู้จะเม้นอะไรก่อนดี หลายอารมณ์มาก
สงสารกาลอะ ทั้งที่เสียพ่อแม่ไปแล้วก็เรื่องนที
ไม่รู้ว่านทีรักกาลบ้างไหม ทำดีกับกาลไปทำไม
แต่ที่ข้องสุดคือนิลอะ ทำไมไม่ช่วยกาลเลย
เหมือนจะปล่อยให้กาลตัดสินใจเองนะ
แต่เราว่าเหมือนไม่ได้เป็นเพื่อนกันเลยอะ
มันแลห่างๆไงไม่รู้
ยาวมากค่ะตอนนี้ จุใจสมกับการรอคอยจริงๆ
ีอะาร์ทรัณย์กาลต่อนะ
-
ตอนนี้มาแบบจุใจมากๆๆๆเลยครับ.....
...ยังไงก็มาแบบยาวๆได้ใจแบบนี้อีกนะครับ...ชอบๆๆๆๆๆ :L1:
-
เหัออ อออ
-
สงสารกาลที่สุดแล้ว
-
เฮ้อออออออออออออออออออออ ถึงขั้นเหนื่อย ปวดใจแทนกาล :ling2: :ling2: :ling2:
-
27th Night
…Normal...
รัตติกาลกำลังขีดฆ่าวันที่บนปฏิทินทิ้ง เหลือเวลาอีกแค่วันเดียวเท่านั้นภาคเรียนใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการสิ้นสุดของช่วงเวลาสั้นๆที่พวกเขาทั้งสองถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องมาอยู่ร่วมกัน พี่เลี้ยงหนุ่มที่รับหน้าที่ตามประกบเขากำลังจัดการกับเอกสารตรงหน้าด้วยท่าทางเคร่งเครียด นิ้วมือเรียวยาวไล่ไปตามรายละเอียดแต่ละบรรทัดไม่ปล่อยให้หลุดรอด อารัณย์ที่กำลังทำงานอย่างจริงจังเป็นภาพที่รัตติกาลไม่เคยเห็นมาก่อนและเขาไม่อาจละสายตาจากมันไปได้
“กาล ดูเหมือนตัวเลขตรงนี้จะมีปัญหา”
อารัณย์ลุกขึ้นจากโซฟาตัวยาวมาพร้อมกับใบกำกับภาษีปึกใหญ่ ร่างสูงแจกแจงตัวเลขเหล่านั้นอย่างคล่องแคล่วแล้วชี้ไปยังจุดที่ตัวเลขไม่ตรงกัน ซึ่งถ้าไม่อ่านให้ละเอียดจริงๆคงไม่มีใครให้ความสนใจกับใบสั่งซื้อรายการย่อยๆพวกนี้เป็นแน่
“จริงด้วย...ขอบใจมาก เดี๋ยวผมจะติดต่อให้ฝ่ายนั้นเอง”
“ไม่ต้องหรอก มึงอยู่เคลียร์งานของตัวเองไปเถอะ จะได้กินข้าวสักที”
ชายหนุ่มว่าดังนั้นแล้วถือวิสาสะเดินไปหาฝ่ายการเงินด้วยตัวเองทิ้งให้รัตติกาลมองตามแผ่นหลังนั้นไปพร้อมกับนึกสงสัยในความสามารถของอารัณย์และตัวเขาเองที่ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ
รัตติกาลถอนหายใจ ดวงตาคมกริบมองจดหมายลาที่ส่งตรงถึงเขาเมื่อเช้านี้ โดยเพื่อนของธิชาที่ทำงานอยู่แผนกอื่นนำมันมาส่งให้พร้อมกับคำยืนยันว่าแม่ของเลขาสาวป่วยหนักจนต้องหามส่งเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนทำให้เธอจำเป็นต้องลางานเพื่อดูแลแม่ซึ่งเป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์
แน่นอนว่ามันสร้างความลำบากให้รัตติกาลไม่น้อยแต่เขาก็ไม่คิดจะรั้งไว้ ตะกอนความทรงจำเกี่ยวกับพ่อและแม่ของรัตติกาลทำให้เขาเข้าใจดีว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ ธิชามีความสามารถและเป็นคนทำงานหนักมาตลอด ดังนั้นต่อให้เป็นช่วงเวลาที่เขาต้องการเธอที่สุดรัตติกาลก็ยินดีจะให้เธอได้ตอบแทนคุณบุพการีซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำมันได้อีกแล้ว
“ถ้าแค่ตรวจเอกสาร กูก็พอจะช่วยได้”
อารัณย์บอกกับรัตติกาลเช่นนั้นในขณะที่เขากำลังหัวหมุนกับใบกำกับภาษีที่ตัวเองเป็นคนขอให้ฝ่ายการเงินนำมาให้ตรวจ มันคงไม่เป็นปัญหาอะไรถ้าเกิดไม่บังเอิญว่าเอกสารสำคัญจากบริษัทคู่ค้าก็เพิ่งส่งมาถึงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
รัตติกาลนึกลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากคนนอกที่ทั้งไม่มีประสบการณ์และความรู้ทางด้านนี้โดยตรง แต่สุดท้ายเพราะไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เขาจึงยอมให้อารัณย์ตรวจดูใบเสร็จในส่วนที่เขานึกสงสัยโดยสอนงานอีกฝ่ายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที และมันช่างน่าตกใจที่นักเรียนคนนี้ทำได้ดีเกินคาด
‘ก็ดีแล้วนี่ ให้มันช่วยงานซะบ้าง ปล่อยให้นอนเปื่อยอยู่ได้เป็นอาทิตย์’
นิลส่งข้อความตอบกลับมาเมื่อรัตติกาลได้โอกาสเล่าให้เพื่อนฟัง ชายหนุ่มถอนหายใจ ความจริงรัตติกาลก็เคยบอกให้อีกฝ่ายเลิกตามประกบเขาอย่างที่ฤทธิชาติขอแต่อารัณย์ก็ยังคงยืนยันที่จะทำแม้ว่าจะเป็นการปล่อยให้วันหยุดอันน้อยนิดเสียไปกับการอ่านหนังสือจนหมดทั้งชั้น รวมไปถึงจัดการเรื่องอาหารการกิน และคอยบังคับให้เขาเข้านอน จนรัตติกาลอดคิดไม่ได้ว่าอารัณย์คงมองว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ตัวเองต้องดูแลเหมือนกับรพีก็เป็นได้
“เขาบอกว่าขอเวลาเช็คอีกครึ่งชั่วโมงจะเอาขึ้นมาให้ใหม่”
ร่างสูงกลับเข้ามาในห้องหลังจากหายไปได้สักพักใหญ่ ใบหน้าที่ดูจริงจังกว่าทุกครั้งทำให้อารัณย์ดูภูมิฐานผิดจากที่เคย อารัณย์ที่เขารู้จักถ้าหากไม่นับช่วงเวลาที่อ่อนโยนเมื่ออยู่กับเด็กๆแล้วก็เป็นเพียงคนหนุ่มที่มุทะลุและทำตัวห่ามไม่เกรงกลัวใครโดยเฉพาะกับรัตติกาล ถึงอย่างนั้นอารัณย์เองก็ยังมีมุมที่ชอบดูแลคนอื่น พอพึ่งพาได้บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ร่างสูงดูเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับตอนนี้
“ขอบใจมาก...ยังไงก็ช่วยตรวจเอกสารต่อไปด้วยแล้วกัน”
“อืม”
ทั้งสองคนต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไปโดยมีรัตติกาลคอยชำเลืองมองอารัณย์อยู่ไม่ห่าง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะสามารถอยู่ร่วมกับคนที่ตัวเองคิดว่าเกลียดได้นานขนาดนี้ ห้องทำงานที่เงียบงันกลับถูกแทนที่ด้วยเสียงเพลงเบาๆที่ดังลอดออกมาจากหูฟังของอารัณย์ โซฟาตัวยาวที่นานๆจะมีแขกมาใช้งานถูกจับจองอย่างถาวรโดยร่างสูงใหญ่ของคนที่ดูท่าจะพอใจในความนุ่มสบายของมันแม้ว่าเวลานอนขาจะยาวเลยออกมาก็ตามที ความว่างเปล่าในห้องๆนี้ถูกทดแทนด้วยสิ่งที่เขาไม่ชอบใจ ทั้งที่น่ารำคาญ ทั้งที่วุ่นวาย แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รัตติกาลเลิกคิดว่าอารัณย์ไม่ควรอยู่ที่นี่...
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
อารัณย์ที่กำลังสะพายเป้ขึ้นบ่าหันกลับมาสบตากับคนที่จู่ๆก็พูดประโยคนี้ขึ้นมาทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาหมอนี่ไม่เคยพอใจที่มีเขามาอยู่ด้วยเลยสักครั้ง รัตติกาลไม่ได้ยิ้ม ร่างโปร่งเพียงแค่พูดมันด้วยท่าทางเย้อหยิ่งเช่นเดิมแต่มันกลับไม่ดูขัดตาเหมือนทุกครั้ง อารัณย์ยิ้มมุมปากพลางคิดว่าความเคยชินนั้นช่างน่ากลัวอย่างที่ใครเขาว่า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เผลอมองห้องนี้พร้อมกับรู้สึกวูบโหวงในอก เป็นอาการเดียวกันกับที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้
“ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่ากูจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมายก็เถอะ”
ชายหนุ่มเกาท้ายทอยไม่รู้ว่าควรจะวางมือไว้ตรงไหน ตามปกติถ้าคนเป็นเพื่อนกันเขาคงเข้าไปกอดแล้วตบบ่าอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง แต่สำหรับคนตรงหน้ามันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่
“กินข้าวกันไหม”
“...!”
คราวนี้อารัณย์ยกมือค้างไว้กลางอากาศเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ออกมาจากปากของรัตติกาล คนที่ถูกบังคับให้กินข้าวด้วยกันกับเขามาเกือบสองอาทิตย์โดยเจ้าตัวไม่เคยเต็มใจ ถึงแม้ระยะหลังๆจะไม่แอบชักสีหน้าใส่เหมือนแรกๆ แต่เขาก็ไม่คิดว่ารัตติกาลจะชอบให้เขานั่งร่วมโต๊ะอาหารอยู่ดี
“กินข้าว? กับกูเนี่ยนะ”
“อืม ตกใจอะไรนักหนา แค่เลี้ยงขอบคุณ”
“...”
“อีกอย่างเราคงไม่ต้องร่วมโต๊ะกันอีกแล้ว งานนี้ต้องฉลองหน่อยว่าไหมล่ะ”
รัตติกาลแสร้งยิ้มร้ายเขาถือกุญแจรถแล้วเดินนำออกไปจากห้องในขณะที่อารัณย์ได้แต่หัวเราะในลำคอแล้วเดินตามไปพลางจ้องแผ่นหลังของอีกฝ่ายไม่วางตา รู้อยู่หรอกว่าโดนรัตติกาลพูดแกล้งแต่มันน่าโมโหน้อยเสียเมื่อไหร่
พวกเขาทั้งสองคนเดินมายังที่จอดรถผู้บริหารซึ่งมีรถยนต์หรูของรัตติกาลจอดรออยู่ ชายหนุ่มหยุดมือที่กำลังควงกุญแจแล้วกดมันเพื่อปลดล็อค แต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูเข้าไปนั่งอารัณย์ที่เดินตามมาก็คว้าแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไร?”
“มึงบอกว่าจะเลี้ยงขอบคุณกู งั้นกูจะรีเควสอะไรก็ได้ใช่ไหม”
“...ก็ใช่”
“งั้นก็อยู่เงียบๆแล้วเป็นเด็กดีเดินตามกูมา”
ร่างโปร่งขมวดคิ้วเป็นปมเมื่ออารัณย์กำลังแสยะยิ้ม คนตัวสูงแย่งกุญแจในมือมาถือเอาไว้เองก่อนจะกดมันอีกครั้งเพื่อล็อครถไว้ตามเดิม อารัณย์ออกแรงลากให้รัตติกาลเดินตามกันมาโดยไม่สนใจเสียงที่ร่างโปร่งร้องโวยวายให้หยุด พนักงานออฟฟิศทั้งของบริษัทรัตติกาลเองและของที่อื่นมองมายังทั้งสองคนขณะที่เดินไปยังป้ายรถเมล์หน้าบริษัทอย่างสนใจ โดยเฉพาะบรรดาลูกน้องของรัตติกาลที่จำเจ้านายตัวเองได้ รวมไปถึง ‘คุณอารัณย์’ ชายหนุ่มปริศนาที่คอยเฝ้าเช้าเฝ้าค่ำนักบริหารใหญ่จนเป็นที่นินทากันไปทั่ว
“อารัณย์หยุด! คุณจะพาผมไปไหน!”
“ขึ้นรถไง”
“รถผมจอดอยู่ข้างใน!”
“เราจะไปรถเมล์กัน”
อารัณย์หันมายักคิ้วให้โดยที่ไม่ยอมปล่อยข้อมือที่เล็กกว่าของรัตติกาล ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ทันทีที่รู้ว่าอารัณย์กำลังคิดอะไร คนคนนี้กำลังคิดว่าเขาเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อเหมือนกับที่คนอื่นๆเห็นเขาเป็นอย่างนั้น ใบหน้าของรัตติกาลบูดบึ้งขึ้นมาทันทีจนอารัณย์นึกขำ เขารู้อยู่แล้วว่ารัตติกาลไม่ใช่พวกคนรวยที่ไม่เคยปล่อยให้เท้าเปื้อนดิน แต่สีหน้าไม่สบอารมณ์แบบนี้ต่างหากล่ะที่เขาอยากจะเห็น
“คุณนี่มัน!...ได้! ไปรถเมล์ก็รถเมล์!”
อารัณย์ลากแขนของรัตติกาลให้เดินไปยังรถเมล์ปรับอากาศที่กำลังเทียบป้ายพอดี แต่ร่างโปร่งออกแรงรั้งไว้เขาเปลี่ยนเป็นคนนำแล้วพาอารัณย์ไปยังรถอีกคันที่จ่อคิวอยู่ด้านหลัง ร่างสูงมองสิ่งที่คล้ายกับเศษเหล็กตรงหน้าแล้วหัวเราะร่าจนคนฟังยิ่งไม่สบอารมณ์ ทั้งสองคนพากันขึ้นไปยังรถมินิบัสที่กระเป๋ารถกำลังร้องเรียกผู้โดยสารทั้งๆที่ตอนที่เขาเดินขึ้นไปก็แทบไม่มีที่ว่างให้ยืน
“หึ เด็กชะมัด”
นักบริหารหนุ่มได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังแต่รอบตัวกลับไม่มีที่ว่างมากพอให้เขาหันไปต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายได้ ร่างโปร่งบ่นงึมงำอย่างไม่พอใจมันไม่ดังพอที่คนอื่นจะได้ยินจะมีก็แต่คนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังนั่นแหละที่กำลังยืนยิ้มมีความสุขเมื่อเห็นว่าตัวเองแกล้งยั่วรัตติกาลได้สำเร็จ
“ค่าโดยสารด้วยครับพี่!”
เด็กวัยรุ่นผิวคล้ำร้องบอกผู้โดยสารทั้งคันรถที่ต่างเตรียมเงินพร้อมกันอยู่แล้ว รัตติกาลชะงัก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาขึ้นโดยสารแบบนี้เลยไม่ได้เตรียมเศษเงินมาเลยสักบาท กระเป๋าสตางค์บางๆของร่างโปร่งมีเพียงแค่พวกเอกสารสำคัญ บัตรเครดิตและแบงก์พันสองสามใบที่พกไว้ติดตัวเท่านั้น
“สองคนน้อง”
ช่วงแขนยาวยื่นข้ามหัวเขามาจากทางด้านหลังพร้อมกับยื่นแบงก์ยี่สิบให้เด็กรถที่เพิ่งเดินมาถึงที่ที่เขายืนอยู่ รัตติกาลไม่พอใจแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธเงินของอารัณย์ได้เหมือนกัน ร่างโปร่งสบถเบาๆอย่างไม่พอใจก่อนจะสะบัดหน้าหันไปมองนอกรถเลยไม่ทันได้เห็นสายตาล้อๆของกระเป๋ารถเมล์ที่มองมายังทั้งสองคน
“มึงออกค่าข้าว กูออกค่ารถ แบบนี้ก็แฟร์ดีออก”
ร่างสูงพูดขึ้นเห็นสีหน้าบูดบึ้งของรัตติกาลจนพอใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆหวังให้อีกคนได้ผ่อนคลายมากกว่านี้ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายทำให้ควันออกหู อารมณ์ดีๆที่มีมาตลอดทั้งวันรวมถึงทัศนคติที่มีต่ออีกฝ่ายถูกพังลงไปทันตา อารัณย์น่ะหรอดูน่าเกรงขามพึ่งพาได้ ดูยังไงก็แค่ไอ้เด็กปีนเกลียวคนหนึ่งเท่านั้นแหละ!
“แล้วมึงลากกูขึ้นสายนี้มาตั้งใจจะพาไปไหน”
เพราะอารัณย์ทักมารัตติกาลจึงเพิ่งนึกได้ เขามองไปยังด้านหน้ารถพอให้เห็นหมายเลขสาย ร่างโปร่งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกเมื่อจุดหมายปลายทางของรถคันนี้นั้นห่างจากร้านอาหารเดิมที่เขาตั้งใจจะพาไปชนิดอยู่คนละฟากฝั่ง
“ไม่รู้ มันไปคนละทางกับร้านที่จองไว้ต่อรถกลับไปคงไม่ทัน หึ กวนตีนจนได้เรื่อง...กินอาหารตามสั่งไปแล้วกัน”
“อาหารตามสั่งก็ได้นะ กูไม่ถือ”
“แต่ผมถือ”
“ไหนบอกให้กูรีเควสได้ไง”
รัตติกาลถอนหายใจ เขาเบื่อหน่ายที่จะต้องเถียงกับอีกฝ่ายเลยได้แต่พยักหน้าส่งๆไป อารัณย์เห็นดังนั้นก็ยิ้มกริ่ม ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดกริ่งให้รถหยุดลงตรงป้ายหน้า เขาพูดขอทางคนที่ยืนขวางตัวเองอยู่ก่อนจะจับมือรัตติกาลให้เดินตามกันออกมา ร่างโปร่งอยากจะขัดขืนแต่อากาศร้อนๆบวกกับคนที่อัดแน่นจนเต็มคันทำให้คนที่ไม่ได้นั่งรถมินิบัสมานานอย่างเขาแทบทนไม่ไหวเหมือนกัน
ร่างโปร่งเงยหน้ามองป้ายไม้ที่เขียนว่า ‘อ้วน ข้าวต้มโต้รุ่ง’ ลืมสังเกตไปเหมือนกันว่ารถสายนั้นต้องขับผ่านแถวหอพักที่อารัณย์และปูนอาศัยอยู่ พี่เลี้ยงหนุ่มแตะข้อศอกรัตติกาลเบาๆแล้วเดินนำไปยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากหน้าร้าน
แม้เวลาจะเพิ่งล่วงเข้าสู่หัวค่ำแต่ผู้คนต่างก็พากันมานั่งกินกันจนแน่นเหมือนเช่นทุกครั้งที่รัตติกาลคอยสังเกตยามมีโอกาสได้มาส่งปูนที่หอ การจัดร้านที่ดูโล่งโปร่งสบายบวกกับการให้พ่อครัวมาจัดการปรุงอาหารกันตรงหน้าร้านทำให้รัตติกาลอยากจะมาลองชิมดูสักครั้งเหมือนกัน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เขาได้มานั่งกินด้วยจะกลายเป็นอารัณย์แทนที่จะเป็นปูนอย่างที่ควรจะเป็น
“เอายำไข่เค็ม ผัดกระเฉด ไข่เจียว กะเพราไข่เยี่ยวม้า ต้มจืดหมูเด้ง แล้วก็ข้าวสวยกับข้าวต้มอย่างละสอง”
อารัณย์จัดการสั่งอาหารโดยไม่ต้องดูเมนู แต่รัตติกาลก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เขามองไปรอบๆตัว พลางนึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยมหาวิทยาลัยที่มักจะมาฝากท้องกับร้านริมทางแบบนี้เสมอ
“ร้านแบบนี้กินได้ใช่ไหม”
“อย่ามาหลอกถาม คุณจัดข้าวให้ผมกินมาสองอาทิตย์น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าผมไม่เรื่องมากเรื่องกิน”
“ก็ใช่อยู่ แต่เรื่องมินิบัสนี่คาดไม่ถึงแฮะ”
“สมัยเรียนผมก็นั่งประจำ ถ้าวันไหนไม่ได้ขับมอเตอร์ไซด์แล้วไม่อยากไปสายก็ต้องนั่งรถเขียวนั่นแหละ”
“ขับมอเตอร์ไซด์ด้วย? บ้านก็รวยทำไมไม่เอารถไปใช้”
“แล้วทำไมต้องเอารถใหญ่ไปใช้ ที่จอดรถก็ไม่มี ขืนเอาไปก็ต้องจอดไว้ไกลๆเสียเวลาเดินเข้าตึกอยู่ดี”
อารัณย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยในสิ่งที่รัตติกาลพูด นักธุรกิจหนุ่มขยับตัวเพื่อถอดเอาเสื้อสูทสีเทาออกมาวางพาดไว้บนเก้าอี้ว่างอีกตัวเพราะเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาของลูกค้าในร้านที่มองมา ไม่รู้เหมือนกันว่ามันแปลกตรงไหนที่คนแต่งตัวดีอย่างเขาจะมานั่งกินข้าวในร้านบ้านๆแบบนี้เหมือนกับคนอื่น ต่อให้รวยล้นฟ้าแค่ไหนก็เถอะ คงไม่มีใครทนกินร้านอาหารแพงๆได้ทุกวันหรอก
“เห็นไอ้นิลบอกว่ามึงเรียนที่เดียวกับมัน”
“อืม เรียนอยู่เมเจอร์เดียวกัน สนิทกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งนั่นแหละ ว่าแต่คุณเถอะ รู้อยู่ว่าพวกผมแก่กว่าไม่คิดหน่อยหรือว่าไม่ควรจะพูดจาแบบนี้ด้วย”
“ที่พูดกูพูดมึงแบบนี้เนี่ยนะ? ไม่เห็นเป็นไรเลย ไอ้นิลไม่เห็นว่าสักคำ”
“ถ้าอย่างนั้น ถ้าผมว่าคุณ คุณจะหยุดพูดไหม”
“อืม...ไม่”
รัตติกาลทำหน้าบึ้งใส่คนที่ยิ้มกวนประสาทมาให้อย่างไม่รู้สึกรู้สา ก็ไม่ใช่ว่าอยากให้อารัณย์มาเคารพนับถืออะไรกันหรอก แค่รู้สึกขัดหูเวลาได้ยินเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาอยากจะเอาชนะเจ้าเด็กอวดดีนี่บ้างเหมือนกัน
“ต้องทำยังไงคุณถึงจะเลิกพูด”
“แล้วทำไมมึงถึงอยากให้กูเลิกพูดนัก อยากดูแก่กว่ามากนักรึไง”
“ถึงจะไม่ใช่เหตุผลหลักแต่ผมก็แก่กว่าจริงๆ อย่างน้อยเมื่อเทียบกับเด็กเพิ่งจบแบบคุณ ผมคงเป็นรุ่นทวดของคุณได้มั้ง”
“ปีนี้มึงอายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบเก้า”
“ปีนี้...กูยี่สิบเจ็ด แก่กว่าแค่สองปีไม่เรียกว่ารุ่นทวดหรอกนะ”
“ยี่สิบเจ็ด?”
อารัณย์ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นรัตติกาลทำหน้างงใส่ เขารับน้ำแข็งเปล่ามาจากเด็กเสิร์ฟแล้วจัดแจงรินน้ำชาจางๆจากเหยือกที่ทางร้านบริการให้ฟรี ร่างสูงยื่นให้คนที่ยังงงอยู่หนึ่งแก้วแล้วหยิบอีกแก้วที่เหลือขึ้นมาดื่มผ่านหลอดด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนที่จะตอบกลับไปราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่น่าตกใจนัก
“ตอนเด็กๆมีปัญหานิดหน่อยเลยได้เรียนมัธยมช้ากว่าคนอื่น”
“ปัญหาอะไรทำไมถึงช้าขนาดนี้”
ตามปกติส่วนใหญ่เด็กที่เพิ่งจบจากรั้วมหาวิทยาลัยจะอยู่ในช่วงอายุประมานยี่สิบสองปีถ้าไม่นับเด็กซิ่วหรือคณะที่เรียนนานกว่าปกติอย่างหมอหรือพยาบาล แต่นี่กลับอายุมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันถึงห้าปี หมายความว่าในขณะที่อารัณย์เข้าเรียนชั้นมอหนึ่งเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ขึ้นมอหกกันหมดแล้ว
“เรื่องที่บ้านน่ะ ไม่น่าฟังนักหรอก เอาเป็นว่ามึงแก่กว่ากูแค่สองปีคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมถ้ากูจะไม่คิดจะเรียกมึงว่าพี่”
อารัณย์ยังคงยียวนได้อย่างหน้าตาเฉยแล้วปล่อยให้เขาสงสัยอยู่แบบนั้น รัตติกาลอยากรู้แต่ก็ไม่อยากจะถาม ช่วงเวลาที่หายไปกว่าห้าปีของเด็กคนหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มันเป็นอย่างนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่
“เอาเถอะ อยากเรียกอะไรก็เรียก ให้ผมทำใจคงง่ายกว่าเปลี่ยนใจคุณ”
“หึหึ”
ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ กับข้าวต่างๆก็ถูกทยอยมาเสิร์ฟเสียจนเต็มโต๊ะ ข้าวต้มร้อนๆควันลอยฉุยถูกวางลงเป็นอย่างสุดท้าย รัตติกาลจัดแจงหยิบทั้งช้อนส้อมและตะเกียบให้อารัณย์อย่างรู้งาน ร่างโปร่งตักผัดกระเฉดทานเป็นอย่างแรก เต้าเจี้ยวเม็ดกลมๆเป็นหนึ่งในของโปรดของรัตติกาลที่บังเอิญถูกปรุงมาพร้อมกับผักกระเฉดที่เขาชอบมากเช่นเดียวกัน
ในจังหวะที่รัตติกาลกำลังตักอาหารเข้าปาก ไข่ที่ถูกหมักจนกลายเป็นสีดำเข้มก็ถูกวางลงบนจานพร้อมกับหมูสับที่ส่งกลิ่นร้อนแรงของใบกะเพรา ยังไม่ทันที่ร่างโปร่งจะได้กล่าวขอบคุณ ลมหายใจที่ร้อนไม่แพ้กันก็เป่ารดเข้าที่ใบหูนิ่มของเขาจนเผลอวางช้อนในมือลงทั้งอย่างนั้น
“กะเพราไข่เยี่ยวม้าร้านนี้อร่อยมาก กินเยอะๆนะครับ...พี่กาล”
ร่างโปร่งนั่งนิ่งเหมือนโดนสาปในขณะที่อารัณย์กลับลงไปนั่งที่ของตัวเองแล้วลงมือทานทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังมีการยักคิ้วเข้มๆนั่นใส่เขาอีกต่างหาก ถึงร้านนี้จะไม่ติดแอร์แต่ก็ไม่ได้อบอ้าวจนน่าอึดอัด แต่ตอนนี้รัตติกาลกลับกำลังรู้สึกทั้งร้อนและอึดอัดจนต้องรีบยกน้ำดื่มเพื่อให้ทั้งตัวและใจเย็นลงก่อนที่เหตุการณ์นองเลือดจะเกิดขึ้น
“ไอ้เด็กเวร!”
รัตติกาลกัดฟันพูดแล้วตักข้าวคำโตเข้าปาก แต่แทนที่คนถูกด่าจะสำนึก อารัณย์กลับหัวเราะออกมาดังๆจนคนทั้งร้านหันมามองครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับไปเมื่อเห็นว่าโต๊ะนั้นมีเพียงผู้ชายหน้าตาดีสองคนกำลังฟาดฟันกันทางสายตาเท่านั้น
หนึ่งคนกำลังก้มหน้าก้มตากินข้าว
แล้วช้อนตาขึ้นมองฝั่งตรงข้ามเขม็งเป็นพักๆ
ในขณะที่อีกหนึ่งคนกำลังมองฝั่งตรงข้ามกันด้วยรอยยิ้ม
ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวเป็นพักๆเช่นเดียวกัน
.
:o8:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :-[
-
“อะ กูเลี้ยง”
รัตติกาลก้มมองลอดช่องสิงค์โปรที่อีกฝ่ายยื่นมาให้พร้อมกับถุงที่มีกุยช่ายและก๋วยเตี๋ยวหลอดชุดใหญ่อยู่ในนั้น อารัณย์จัดการยัดมันใส่มือรัตติกาลที่ไม่รับมันไปสักทีก่อนจะลงมือกินลอดช่องอีกแก้วที่ซื้อให้ตัวเอง ร่างโปร่งมองคนที่บอกให้เขายืนรออยู่หน้าร้านข้าวต้มที่เพิ่งทานกันเสร็จแล้วเดินหายไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมกับขนมและของว่างมากมายพวกนี้ทำให้รัตติกาลรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เลี้ยงขอบคุณอารัณย์จริงๆจังๆอย่างที่ตั้งใจไว้
“กุยช่ายกับก๋วยเตี๋ยวหลอดฝากให้ป้าจันทร์กับรพี เจ้านี้เขาอร่อยกูกินประจำ”
“ขอบใจ”
รัตติกาลยอมรับของฝากพวกนั้นแต่โดยดี เขาก้มลงดูดลอดช่องจากหลอดขนาดใหญ่พอที่จะนำเส้นแป้งสีเขียวเหนียวนุ่มนั่นลงคอได้อย่างไม่ลำบาก รสชาติที่หวานมันกำลังดีทำให้รัตติกาลนึกติดใจ อดนึกเสียดายไม่ได้ว่าเขาน่าจะมาเดินหาของกินแถวนี้ดูบ้างไม่ใช่แค่มองดูเหมือนอย่างก่อนหน้า
ร่างโปร่งพาลนึกถึงคนบางคนที่ห่างหายกันไปตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นวายทั้งหมด นอกจากการติดต่อกันผ่านโทรศัพท์และโปรแกรมแชทก็เกือบเดือนแล้วที่เขาไม่ได้เจอกับปูน เด็กหนุ่มที่ตัวเองได้สานสัมพันธ์ไว้ รัตติกาลถือถุงของว่างและแก้วลอดช่องไว้ในมือเพียงข้างเดียวก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาคนที่กำลังคิดถึงโดยมีอารัณย์แอบชำเลืองมองอยู่ไม่ห่าง ร่างโปร่งรออยู่สักพักก่อนที่ปลายสายจะกดรับ เสียงที่แหบพร่าราวกับคนไม่สบายดังขึ้นทำให้รัตติกาลอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
“ครับ พี่กาล”
“เสียงแย่เชียว ไม่สบายหรอปูน”
อารัณย์ที่ได้ยินร่างโปร่งเรียกชื่อนั้นเผลอบีบแก้วพลาสติกในมือแรงขึ้นจนน้ำกะทิไหลออกมาเลอะมือของตนแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เขามองไปยังรัตติกาลที่มองตรงไปข้างหน้า คิ้วเข้มขมวดกันเป็นปมด้วยความเป็นห่วงขนาดที่คนฟังยังรู้สึกได้
ภายในตัวของอารัณย์กำลังรู้สึกอึดอัด ชายหนุ่มแปลกใจ เขาไม่ได้กินมากไปกว่าปกติ ทุกครั้งที่ออกมาหาของกินยังถนนเส้นนี้ เขาจะแวะกินข้าวที่ร้านข้าวต้ม แล้วตามด้วยลอดช่องเจ้าอร่อยตบท้าย วันนี้เขาก็กินเหมือนเดิมเพียงแค่เก้าอี้ตัวตรงข้ามไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเช่นทุกครั้ง อาแปะที่ขายลอดช่องเผลอทำให้เขาเพียงแก้วเดียวทั้งที่วันนี้เขาสั่งถึงสองแก้วเลยทำให้เขาเดินกลับมาหารัตติกาลช้า
อาแปะบอกว่าโทษแกไม่ได้เพราะปกติเขาสั่งลอดช่องแค่แก้วเดียว
ใช่...มันเป็นเรื่องปกติที่เขาควรจะต้องเดินบนทางสายนี้เพียงลำพัง
และมันก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน...ที่รัตติกาลจะห่วงใยคนของตัวเอง
มันเป็นเรื่องปกติ...ที่ไม่ปกติเอาเสียเลย
“พี่อยู่แถวหอปูน อยากกินอะไรไหมพี่จะแวะเอาไปให้”
“ไม่ดีกว่าครับ...ปูนกำลังจะนอนแล้ว”
“นอน? ตอนนี้เนี่ยนะ ไม่สบายหรอครับ”
“...ครับ ปูนปวดหัวมากเลย”
“ปวดมากไหม ให้พี่ขึ้นไปดูเราดีกว่า”
“ไม่เป็นไรครับ ปูนกินยาแล้วแค่นอนพักเดี๋ยวก็หาย พี่กาลไม่ต้องมาหรอก”
“แน่ใจนะ”
“ครับ”
รัตติกาลยอมพยักหน้าอย่างจำใจทั้งที่เป็นห่วง เขาบอกลาเด็กหนุ่มอยู่สักพักก่อนจะวางสายแล้วหันกลับไปมองคนที่เดินเยื้องอยู่ด้านหลัง อารัณย์ยังคงเดินตามเขามาเช่นเดิมเพียงแต่ใบหน้าคมเข้มนั้นเสหันไปมองที่อื่นไม่ยอมสบตา
ชายหนุ่มมองแก้วลอดช่องในมือใหญ่ๆนั่น มันยังคงไม่พร่องไปจากเดิมทั้งที่แต่กลับมีคราบสีขาวไหล่เลอะจนอดคิดไม่ได้ว่าอารัณย์ถือมันประสาอะไร เขาเก็บมือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิมแล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีเดียวกับเสื้อสูทออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ช่วงขายาวหยุดลงรอจังหวะให้คนตัวสูงก้าวมาทันกัน รัตติกาลเอื้อมรั้งอารัณย์ไว้ เขาใช้ผ้าผืนเล็กของตัวเองเช็ดไปยังมือของอีกฝ่ายที่เปรอะเปื้อนโดยไม่เสียดายราคาที่เทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ถือไม่ระวังเอาซะเลย แบบนี้น่ะหรอจะไม่ให้คิดว่าคุณเด็กกว่า”
“...”
“แล้วก็รีบๆกินไปได้แล้ว ขืนรอน้ำแข็งละลายหมดก็ไม่อร่อยกันพอดี”
“มึงทำแบบนี้ให้ทุกคนรึเปล่า”
“...!?”
รัตติกาลชะงักเมื่อสบเข้ากับแววตาที่ทอด้วยความสงสัยของอีกฝ่าย เขาไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่เข้าใจในสิ่งที่อารัณย์ตั้งใจจะถาม แต่รัตติกาลไม่คิดว่าอารัณย์จะหมายความว่าแบบนั้น มันไม่มีเหตุผลอะไรที่อารัณย์จะตัดพ้อเขา คนที่ชิงชังเขามาตลอดอย่างอารัณย์ไม่มีทางจะสนใจหรอกว่าเขาทำแบบนี้ให้กับทุกคนรึเปล่า รัตติกาลเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบนิ่ง เขาพยายามไม่หลบสายตาของอีกฝ่ายที่มองมา แผ่นหลังกว้างเหยียดตรงเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอด รัตติกาลที่เย้อหยิ่งและเย็นชา...จะต้องไม่หวั่นไหวจนคิดเข้าข้างตัวเองอย่างน่าสมเพช
“หมายถึงอะไรล่ะ กินข้าว เดินถนน หรืออะไร”
“ทุกอย่าง”
“...ผมทำมัน กับทุกคนที่พอใจ”
“...”
“แต่อย่าห่วงไป กับคุณผมแค่เลี้ยงขอบคุณ...ไม่ได้มีเจตนาแฝงอะไรทั้งนั้น”
อารัณย์มองรอยยิ้มของรัตติกาลด้วยความรู้สึกแปลกไปกว่าทุกครั้ง เขาเคยคิดว่ามันสวยงามจนไม่อยากละสายตา แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากเห็นมัน ไม่อยากให้รัตติกาลยิ้มให้เขาด้วยความรู้สึกแบบนี้ อารัณย์คว้าเอาผ้าเช็ดหน้าในมือของอีกฝ่ายมาถือไว้เอง เขากำมันจนแน่นขณะที่ไม่แม้แต่จะเปรยตามองผู้เป็นเจ้าของ ชายหนุ่มเดินตรงไปข้างหน้าไม่อยากจะเป็นผู้เดินตามหลังอย่างที่เคยเป็นมา เขายกลอดช่องดูดกินรวดเดียวจนหมดก่อนจะโยนแก้วเปล่าทิ้งไป
“แยกกันตรงนี้แล้วกัน ผมจะเดินไปขึ้นรถที่ถนนใหญ่”
“เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก จะย้อนไปย้อนมาทำไม”
“กูคิดถึงรพี...อยากเจอหน้า”
“...”
“ก็แค่กูจะไปส่ง...ไม่ได้มีเจตนาแฝงอะไรทั้งนั้น...ไม่มี”
รัตติกาลมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายที่ยังคงไม่หันมามองเขา ก่อนจะยอมเดินตามอารัณย์ไปโดยปล่อยให้ความเงียบเป็นสิ่งเชื่อมโยงระหว่างเขาสองคน ร่างสูงสตาร์ทมอเตอร์ไซด์คันโปรดที่ถูกจอดทิ้งไว้กว่าสองอาทิตย์โดยไม่ได้ใช้งาน อารัณย์นำกระเป๋ามาสะพานด้านหน้าเพื่อให้รัตติกาลสามารถนั่งซ้อนได้อย่างสบายทั้งที่ควรจะนำสัมภาระไปเก็บก่อนแต่พี่เลี้ยงหนุ่มกลับบอกเขาว่ามันเสียเวลา
สายลมเย็นที่พัดกระทบใบหน้าทำให้รัตติกาลรู้สึกดี เช่นเดียวกับกลิ่นโคโลญอ่อนๆที่พอมาใกล้ชิดกันแบบนี้ร่างโปร่งถึงเพิ่งสัมผัสได้ เพราะมีหมวกกันน็อคแค่ใบเดียวรัตติกาลจึงไม่สามารถเห็นใบหน้าของอารัณย์ได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ดีแล้ว การมองไม่เห็นมันดีกว่าการเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น
เขาคิดถึงใบหน้าโกรธจัดของอารัณย์ในวันแรกที่พบกัน เขาคิดถึงใบหน้าชิงชังของอารัณย์ที่มองมายังเขายามที่อีกฝ่ายต้องการปกป้องรพี เขาคิดถึงใบหน้าคาดคั้นของอารัณย์ที่ถามถึงอดีตของเขา เขาคิดถึงใบหน้าเป็นห่วงของอารัณย์ที่พูดสั่งให้เขาพักผ่อน...เขาคิดถึงใบหน้าที่แสนสับสนของอารัณย์...และคิดว่าเขาไม่น่าเห็นมันเลย
“หลับหรอ”
เสียงอู้อี้ของอารัณย์ดังขึ้นปะทะกับสายลมแต่ก็ยังฟังชัดเจน
“เปล่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็นั่งดีๆ เดี๋ยวตก”
“...อืม”
“...”
“นี่อารัณย์...วันนี้ขอบใจมากนะ”
“...”
“สองอาทิตย์ที่ผ่านมา...ขอบคุณมาก”
“...”
“ต่อจากนี้เราสองคนก็...จะได้ใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองสักที”
“หึ...ปกติงั้นหรอ”
รัตติกาลไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาหลับตาลงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลืมตามองแสงไฟสีส้มที่ส่องเป็นทางยาว เส้นทางที่คุ้นเคยกับเพื่อนร่วมทางที่ไม่คุ้นเคย ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เส้นทางสายนี้จะเหลือเพียงแค่เขาเช่นเดิม จะเหลือเพียงแค่เขาที่ต้องเดินไปเพียงลำพังเหมือนเช่นทุกครั้ง มันดีแล้ว สิ่งที่ปกตินั้นหมายถึงสิ่งที่ไม่สามารถทำลายเราได้ เพราะมันเป็นปกติเขาถึงยังได้ดำรงอยู่ เพราะความเดียวดายอย่างที่เคยเป็นมาทำให้เขายังไม่ล้มลงไป เพราะฉะนั้น...เขาจึงควรปล่อยสิ่งที่ไม่ปกติให้หายไปซะ
เครื่องยนต์สองล้อเลี้ยวเข้ามายังปากทางเข้าหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยร้านรวงเช่นเดียวกับหมู่บ้านอื่นๆก่อนความวุ่นวายจะค่อยๆหายไปเมื่อเข้าสู่โซนที่พักอาศัย ไฟข้างทางที่มีอยู่เป็นระยะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มอบแสงสว่างให้ถนนที่มืดมน รัตติกาลนั่งหลังตรงเมื่อคลายความเมื่อยล้า เขาจะกลับไปนอนพักยังบ้านของตัวเองตามที่รับปากกับรพีไว้แลกกับการออกมาเลี้ยงส่งอารัณย์จนต้องเบี้ยวมื้อเย็นกับทางบ้าน
เขามองตรงไปข้างหน้าก่อนจะก้มลงไปมองกระจกมองข้างที่สะท้อนให้เห็นหมวกกันน็อคใบใหญ่ที่ปกคลุมหน้าของอารัณย์จนมิด ก่อนที่หางตาของรัตติกาลจะสังเกตเห็นเงาตะคุมที่เคลื่อนที่ตามมาด้วยความเร็วพอๆกัน
“อะไรน่ะ...”
รัตติกาลรำพันกับตัวเองก่อนจะหันหลังกลับไปมอง รถมอเตอร์ไซด์สีดำสนิทเช่นเดียวกับเงาของคนสองคนที่ซ้อนกันอยู่บนนั้น ร่างโปร่งขมวดคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเปิดไฟหน้าทั้งที่ถนนแถวนี้มืดมากแม้จะมีไฟทางคอยส่อง ในขณะที่รัตติกาลกำลังสงสัยในท่าทางมีพิรุธเหล่านั้น เขากลับต้องเบิกตาขึ้นเมื่อเห็นแสงแวววับสะท้อนมาจากฝั่งนั้น เขาภาวนาให้มันไม่ใช่ แต่จู่ๆรถคันนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นจนเกือบตามมาทัน รัตติกาลเห็นสิ่งที่อยู่ในมือคนพวกนั้นชัดขึ้นและสิ่งที่เขากลัวก็เป็นจริง
“อารัณย์หนีเร็ว มีคนตามเรามา!!!”
“ห๊ะ!!?”
“มันมีปืน เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้าเร็ว!!!”
ปัง!!!!
เสียงดังราวกัมปนาทดังขึ้นทำให้อารัณย์เผลอสะดุ้งจนหน้ารถส่าย เขารีบตั้งสติแล้วหักเลี้ยวไปยังซอยตามที่รัตติกาลบอกโดยที่ผู้ที่มอบคำเตือนให้กับเขากำลังกำชายเสื้อของเขาแน่น
“กาลเป็นอะไรไหม!! กาล!!!”
“ผมไม่เป็นไร เราต้องรีบออกไปจากที่นี่!!!”
อารัณย์มองกระจกมองหลัง เขายังเห็นเงาตะคุมขับตามมาด้วยความเร็วที่ไม่ต่างกันมากจึงยังพอทำให้สามารถรักษาระยะได้อยู่แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เขาบิดเร่งความเร็วให้มากขึ้นเพื่อให้ไปถึงบ้านของรัตติกาลก่อนที่อีกฝ่ายจะตามทัน แต่มือที่เคยกำชายเสื้อของเขาไว้เปลี่ยนมาเป็นคว้าเข้าที่คอเสื้อด้านหลังของเขาจนเต็มแรงก่อนรัตติกาลจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดันและเด็ดขาด
“อย่าไปทางนั้น จะกลับไปบ้านผมไม่ได้!!!”
“ทำไม อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ตอนนี้เราต้องเข้าไปหลบก่อน!!!”
“ไม่ได้!!! รพีอยู่ที่นั่น เราจะปล่อยให้พวกนี้ตามไปถึงบ้านไม่ได้!!!”
“...!!!!”
“ที่บ้านมีแต่ผู้หญิง คนแก่ กับเด็ก มันอันตรายเกินไป เราต้องไปที่อื่น...”
รัตติกาลหยุดนิ่งไปแต่ในขณะเดียวกันระยะห่างกับรถของคนร้ายก็สั้นลงเรื่อยๆ เพราะปืนของมันไม่เก็บเสียงอารัณย์จึงหายห่วงว่ามันคงไม่คิดยิ่งมั่วซั่วจนชาวบ้านต้องแจ้งตำรวจ เขารู้ว่ารัตติกาลกำลังคิดอะไร ร่างโปร่งคงกำลังคิดหาสถานที่ที่พวกเขาจะสามารถหลบหนีจากดงกระสุนนี้ไปได้โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
“กูมีอยู่ที่หนึ่ง...เราต้องหลบไปที่นั่นก่อน”
“จะที่ไหนก็ได้ขับไปซะ เดี๋ยวผมจะโทรบอกชาติเอง”
“ดี เอาตามนั้น แล้วบอกมันด้วยว่า...กาล!!! ก้มหัวลง!!!”
ปัง!!!! ปัง!!!!!
รัตติกาลก้มตัวลงอย่างที่อารัณย์ว่าพร้อมกับยกมือปิดหูไว้แน่น พวกเขาคิดผิดว่าคนร้ายจะไม่กล้ายิงพวกเขาทั้งที่ระยะห่างยังไม่ใกล้พอแต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่อยากรออีกแล้ว รัตติกาลตัวสั่นเทา เขาห้ามความรู้สึกกลัวในใจตนเองไม่ได้แต่ก็พยายามข่มมันเพื่อไม่ให้สติที่หลงเหลืออยู่หายไป ร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวที่คุ้นเคยดี กลิ่นที่เขาแสนเกลียดเพราะความทรงจำร้ายๆที่ตามหลอกหลอนเขามาตลอด และบัดนี้มันกลับฉุนราวกับจ่ออยู่ที่ปลายจมูก
“อารัณย์! คุณโดนยิง!!”
“กูไม่เป็นไร!”
ทำเป็นปากเก่งแต่อารัณย์กำลังทรมานจนต้องกัดฟันของตัวเองไว้แน่น เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสเปียกชื้นแถวแขนของตัวเองแต่บริเวณที่คิดว่าลูกตะกั่วเข้าไปฝั่งอยู่มันชาจนเขาไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกอะไรได้อีก ชายหนุ่มพยายามประคองรถไว้ไม่ให้ล้มถ้าหากพลาดขึ้นมาพวกมันคงไม่ปล่อยให้เขาแก้ตัวเป็นครั้งที่สอง
“เลือด...คุณเลือดออก...รัณย์ เลือดคุณ!!!”
“ตั้งสติกาล!!! กูไม่เป็นอะไร!!!”
“อะ อืม แต่แขนคุณ..เราต้องห้ามเลือด มันไหลใหญ่แล้ว!”
“...กอดกูไว้แน่นๆ”
อารัณย์ตัดสินใจดับไฟหน้ารถของตัวเองเช่นเดียวกับรถของคนร้าย กว่าจะรู้ตัวเขาก็สังเกตได้ว่ารถของเขาขับเข้ามาใกล้ไซต์ก่อสร้างที่รพีเคยโดนจับตัวมา ร่างสูงอาศัยความชินทางจากตอนที่มักจะใช้เส้นทางนี้เดินลัดไปยังหลังหอพัก แต่เขาจะไม่กลับไปที่นั่น...
ร่างสูงเร่งความเร็วจนถึงขีดสุด ถ้าเกิดมีใครสักคนหรืออะไรตัดหน้าตอนนี้พวกเขาคงตายกันทั้งคู่แต่อารัณย์ก็ไม่สามารถผ่อนคันเร่งได้ ความชาบริเวณแผลที่โดนยิงเริ่มหายไปกลายเป็นความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่ เขารู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่เต้นตุบๆมันเหมือนว่าแขนของเขาจะปริออก ทรมานจนอยากร้องออกมาดังๆแต่ก็ทำไม่ได้
ถ้าเขาสติแตกตอนนี้ รัตติกาลคงประคองตัวเองต่อไปไม่ได้
“อีกนิดเดียวกาล อีกนิดเดียว...”
เขาเลี้ยวเข้าไปยังทางลัดอีกทางที่ทั้งรกร้างและไร้แสงไฟ มันเสี่ยงและไม่รู้เลยว่าคนร้ายจะมีพวกอื่นแอบซุ้มดักพวกเขาอยู่อีกรึเปล่า แต่อารัณย์ต้องไป เขาต้องพารัตติกาลไปให้พ้นจากที่นี่ให้ได้ เขาหรี่ตาเมื่อเห็นแสงไฟจากถนนใหญ่ใกล้เข้ามาทุกที อารัณย์ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองข้างหลังว่าอีกฝ่ายยังขับตามมาอีกไหม สิ่งเดียวที่ทำให้เขายังคงตรงไปข้างหน้านั่นก็คืออ้อมแขนที่สั่นระริกของคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลัง รัตติกาลกำลังสั่นแต่ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งก็ไม่คิดจะปล่อยเขาไป
“เราต้องปลอดภัยกาล เราต้องปลอดภัย”
“...”
“เชื่อใจกูนะ...”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
ตอนนี้ความยาวปกติ แต่ครบรสเลยค้าบบบ :oo1: ปรับอารมณ์กันทันใหม่หลังจากที่ดราม่ามาเมื่อตอนที่แล้ว ^^ พักนทีไปก่อนให้อารัณย์มีบทบ้าง โดนแซะจะแย่แล้ว แต่กลับมาที่กลายเป็นต้องเสียเลือดเซ่นเช่ซะอย่างงั้น แหม เข้าพล็อตละครไทยจริงๆเนอะ แต่เอาเถอะ เช่แม่งก็เป็นพวกที่โตมากับละครไทยนี่แหละ (ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ได้ดูเลย ดูแต่วายจีน วายยุ่น คิคิ) ติดตามกันต่อไปนะคับ!
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต มีความสุขมากคับ เพิ่งครบรอบสองเดือนของไนท์แมร์ไปหมาดๆ เราอยู่ด้วยกันมาถึงสองเดือนแล้วนะให้ตายสิ เช่รู้สึกเหมือนคนที่ตามอ่านเหมือนผู้กล้าเลย ต้องทนกับความดาร์กของเช่ไปเพื่อพบกับแสงสว่าง โฮกกกก โคตรเท่ Survivor สุด!!! แต่ไม่ต้องห่วง ความมุ้งมิ้งเล็กๆกำลังรอเราอยู่คับ ขอบคุณทุกคนเลยนะที่ติดตามกันมา แล้วก็ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะ^^
:z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
-
อารัณย์ดูเท่ห์เลยยยยยยยยยยยย
ค้างเลยอ่ะ รออ่านตอนต่อไปน้าาาาา
รอความมุ้งมิ้งของกาลลลลลล 555555
-
อารัณย์มุ้งมิ้งกว่ากาลอีกอะ ขี้แกล้งตลอด
คนเขียนแต่งฉากของกินเก่งจริงๆนะคะ
เรานี่ลุกไปเปิดตู้เย็นเลย
-
ง๊าาา!! อารายเนี่ย
-
เข้ามารอตอนต่อไป ค้างๆๆๆ
-
28th Night
…I’m not joking...
เสียงลมหายใจถี่หอบของนิลดังก้องไปทั่วทางเดินที่เงียบสงัด นักเขียนหนุ่มที่เพิ่งทิ้งงานของตัวเองสาวเท้าพาร่างกายอันเหนื่อยล้าวิ่งไปยังรถยนต์คันคุ้นตาซึ่งกำลังจอดเทียบฟุตบาทอยู่ไม่ไกลจากคอนโดส่วนตัวของเขา
“หมายความว่ายังไงที่บอกว่าไอ้กาลโดนดักยิง!!!”
นิลตะคอกถามนายตำรวจหนุ่มที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกันด้วยเสียงอันดัง แต่ฤทธิชาติไม่มีแม้แต่เวลาที่จะหยุดตอบ ชายหนุ่มเปลี่ยนเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งพารถส่วนตัวไปยังงสน.ที่ตัวเองประจำอยู่ เขาหยุดรอให้คนที่รีบออกมาทั้งที่สวมใส่ชุดอยู่บ้านได้พักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายให้นิลได้รับรู้
“เมื่อประมานชั่วโมงที่แล้วมีชาวบ้านโทรมาแจ้งว่าได้ยินเสียงปืนแถวบ้านพัฒนเดชา สายตรวจที่อยู่แถวนั้นเลยเข้าไปดูแล้วเจอรอยเลือดอยู่บนพื้นถนนในซอยใกล้ๆกับบ้านคุณกาล”
“ไอ้กาลบอกว่าวันนี้จะกลับบ้าน...มันถูกยิงงั้นหรอ!”
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันไปถามคนข้างๆซึ่งยื่นมามากอบกุมมือของเขาไว้หวังปลอบให้อีกคนใจเย็นลงสักหน่อย
“ผมโทรเข้าไปถามที่บ้านนั้นแล้ว ป้าจันทร์บอกว่าคุณกาลยังไม่กลับบ้าน เห็นว่าพารัณย์ไปเลี้ยงขอบคุณ”
“แล้วคุณติดต่อสองคนนั้นรึยัง”
“สายติดแต่ไม่มีคนรับทั้งสองเบอร์”
ความจริงที่ได้รับฟังยิ่งทำให้นิลแทบคุมสติไว้ไม่อยู่ ทั้งที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเสียงปืนที่ชาวบ้านได้ยินนั้นเกี่ยวข้องกับเพื่อนของตนไหม หรือแม้แต่เลือดที่ตำรวจพบจะเป็นเลือดของใครแต่เขาก็ห้ามความคิดแง่ร้ายของตนเองไม่ได้อยู่ดี
“ตอนนี้ตำรวจกำลังทำเรื่องของตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากร้านสะดวกซื้อและบ้านพักแถวนั้นแต่ก็ต้องใช้เวลา ระหว่างนี้เราต้องพยายามติดต่อสองคนนั้นให้ได้”
“...คุณได้บอกป้าจันทร์เรื่องเสียงปืนรึเปล่า”
“ไม่ครับ...”
“ดีแล้วแหละ”
นิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทั้งคู่ต่างนั่งเงียบจนเดินทางมาถึงยังที่หมายที่มีนายตำรวจบางส่วนยังคงปฏิบัติงานอยู่ทั้งที่เวลาล่วงมาเกือบค่อนคืน นิลเดินเข้าไปนั่งพักในห้องทำงานของชายหนุ่มที่ตัวเองกำลังดูใจด้วยตามคำบอกของฤทธิชาติที่ขอตัวไปติดต่อกับสายตรวจคนที่ว่า เขานั่งกุมขมับด้วยความกังวลแต่ก็ไม่อาจปล่อยตัวเองให้อ่อนแอในสถานการณ์แบบนี้ได้ นิลพยายามตั้งสติแล้วเริ่มต่อสายหาเพื่อนรักอีกครั้ง เสียงสัญญาณเป็นจังหวะดังขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
“รับสิวะกาล...”
เขาลองสลับไปโทรเข้าเบอร์ของพี่เลี้ยงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของรัตติกาลมากเหลือเกินในระยะหลัง เสียงสัญญาณเป็นจังหวะดังขึ้นไม่ต่างจากเบอร์ของรัตติกาลจนรู้สึกท้อใจ นิลต่อสายไปซ้ำๆเกือบสิบครั้งแต่ก่อนที่เขาจะกดตัดสายทิ้งเพื่อลองโทรใหม่ เสียงแผ่วที่แทรกเข้ามาก็ทำให้เขาหยุดชะงักแล้วรีบพูดกลับไปโดยไม่ทันฟังว่าปลายสายพูดว่าอะไร
“อารัณย์ มึงได้ยินกูรึเปล่า!!!”
“นิล นี่กูกาลเอง”
“ไอ้กาล! ทำไมมึงไม่รับสาย แล้วนี่มึงอยู่ไหน!!!”
นิลทั้งดีใจและตกใจเมื่อได้ยินเสียงของรัตติกาลดังขึ้นมาแทนที่ เขารีบลุกขึ้นแล้วสืบเท้าไปหาฤทธิชาติที่นั่งคุยกับนายตำรวจคนอื่นอยู่อีกห้อง ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาเมื่อนิลถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตแต่เมื่อได้ยินว่านิลกำลังพูดอยู่กับใครเขาก็รีบรุดหน้าเขาไปหาด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน
“ตอนนี้กูมาหลบอยู่แถวพระรามสอง มึงรู้เรื่องที่มีคนดักยิงพวกกูแล้วใช่ไหม”
“เออ ตอนนี้กูอยู่สถานีตำรวจตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าเป็นมึงเหมือนกัน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่วะ อย่าบอกนะว่ามันเกี่ยวกับเรื่องในบริษัท”
“นิลครับ ผมขอพูดกับกาลหน่อยได้ไหม”
ผู้หมวดหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นเมื่อคนข้างๆเริ่มสันนิษฐานไปเอง ถึงแม้จะมีความคิดที่คล้ายๆกันแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะตัดประเด็นอื่นทิ้งได้หากยังไม่มีการสืบสวน นิลมองหน้าคนที่เข้ามาขัดจังหวะอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเห็นแววตาจริงจังของอีกฝ่ายเขาก็เริ่มมีสติแล้วยินยอมที่จะยื่นโทรศัพท์ของตัวเองไปให้แม้ว่าจะยังไม่คลายกังวลก็ตาม
“กาล นี่ผมชาตินะครับ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน มีใครบาดเจ็บอะไรรึเปล่า”
“ผมมาหลบอยู่ที่ปั้มแถวพระรามสอง ผมไม่เป็นอะไรแต่อารัณย์โดนยิง!”
รัตติกาลไม่อาจหยุดเสียงที่สั่นของตัวเองได้ อารัณย์พยายามประคองทั้งรถและคนที่เริ่มสติหลุดเมื่อเห็นเลือดอย่างเขาไว้จนมาถึงที่นี่ก่อนจะทรุดตัวลงไปทันทีที่ลงจากรถ ใบหน้าที่เคยมีสีสันกลับซีดขาว ร่างโปร่งนึกตำหนิตัวเองในใจที่ควบคุมความกลัวไม่ได้จนทำให้อารัณย์ต้องลำบาก
ชายหนุ่มไม่กล้าแตะต้องปาดแผลเหวอะหวะบนต้นแขนขวา จึงได้แต่ใช้อุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่พอจะหาซื้อได้จากร้านค้าใกล้ๆมาเช็ดทำความสะอาดปากแผลเท่าที่ทำได้ในมุมเล็กๆของปั้มน้ำมันที่ไม่มีใครเดินผ่านเพราะทั้งกลัวและหวาดระแวงว่าอาจจะยังมีคนตามฆ่าเขาอยู่ รัตติกาลจึงไม่กล้ากระโตกกระตากขอความช่วยเหลือจากใครหรือแม้แต่พาอารัณย์ไปส่งโรงพยาบาล
“ใจเย็นๆนะครับกาล อารัณย์โดนยิงที่ไหน แล้วยังมีสติอยู่รึเปล่าครับ”
“โดนยิงที่ต้นแขนข้างขวาครับ ผมปฐมพยาบาลไปแล้วแต่ไม่รู้ว่าหัวกระสุนมันฝังอยู่ด้วยรึเปล่า แถมตอนนี้อารัณย์ยังสลบไปอีก”
รัตติกาลมองใบหน้าไร้สีของร่างที่เขาประคองให้นอนลงบนม้านั่ง เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวกับที่ยื่นให้อารัณย์เมื่อตอนหัวค่ำมาล้างน้ำให้สะอาดบิดให้หมาดแล้วเช็ดตามใบหน้าของร่างสูงหวังให้อีกคนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“กาลห้ามเลือดให้เขาแล้วรึยังครับ”
“ผมทำแล้วครับ...อยากพาเขาไปโรงพยาบาล แต่ผมก็ไม่กล้า ไม่รู้ว่าจะยังมีใครตามเรามาอีกรึเปล่า”
ร่างโปร่งพยายามมองฝ่าความมืดสังเกตไปรอบๆ ในเวลาปิดทำการของปั้มน้ำมัน นอกจากสุนัขจรจัดแล้วก็ไม่มีแม้แต่เงาของพนักงานสักคน เหลือไว้เพียงแสงไฟเพียงไม่กี่ดวงที่ยังพอให้แสงสว่างได้บ้าง
รัตติกาลกำลังสั่นไม่ว่าด้วยความกลัวหรืออะไรก็ตามแต่ ร่างโปร่งพยายามบอกตัวเองว่าให้เข้มแข็งไว้ ชายหนุ่มมองใบหน้าของคนที่พยายามปกป้องเขาจนตัวเองล้มพับไปด้วยความเป็นห่วง คำพูดที่มอบให้กันยามที่ความกลัวครอบงำหัวใจยังคงก้องอยู่ในหัว รัตติกาลจับมือของอารัณย์ไว้ให้แน่นขึ้นอีก มันเป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะให้อีกฝ่ายตื่นมาเถียงกับเขาอีกไวๆ
“รอผมกับนิลอยู่ที่นั่นนะครับ อย่าเพิ่งออกไปไหน”
“ครับ แต่เดี๋ยวชาติ ผมขอถามอะไรหน่อย...”
“ครับ?”
“...พวกคนร้ายไม่ได้เข้าไปที่บ้านผมใช่ไหม”
ใบหน้าของรพีและจันทร์ลอยขึ้นมาเช่นเดียวกับตอนที่ตัดสินใจบอกให้อารัณย์เลี้ยวรถหนีไปที่อื่น เขาหยุดความกังวลที่ไม่ควรมีอยู่ของตัวเองไว้ไม่ได้ พยายามปลอบใจว่ามันเป็นเพราะคนเก่าคนแก่ของบ้านแต่ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับนทีก็ทำให้เขาเจ็บในอกไปพร้อมๆกัน
“คนที่บ้านคุณปลอดภัยครับ แต่ยังไม่มีใครทราบเรื่องนี้”
“...งะ งั้นหรอ”
“ครับ ยังไงกาลก็ช่วยซ่อนตัวไว้จนกว่าพวกผมจะไปถึง อย่าปิดมือถือนะครับ”
รัตติกาลมองมือถือที่สัญญาณถูกตัดไป เขาหยิบเครื่องของตัวเองที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาเช่นกัน แต่เพราะต้องปฐมพยาบาลให้อารัณย์ทำให้ก่อนหน้านี้เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะรับโทรศัพท์จากใครทั้งนั้น
“อือ...”
“อารัณย์!”
คนเจ็บร้องครางเบาๆออกมาอย่างไม่ได้สติ รัตติกาลจัดแจงเปลี่ยนผ้าพันแผลที่ชุ่มเลือดทิ้งไปแล้วนำผืนใหม่มาจัดการพันไว้อย่างประณีตเพื่อให้กระทบน้อยที่สุดแม้ว่าขณะนี้มือของเขาก็ยังคงสั่น
“บ้าชะมัด...ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ๆ”
เขาพูดกับคนที่ไม่แม้แต่จะได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือที่เจือด้วยความไม่เข้าใจ รัตติกาลลูบเบาๆตามใบหน้าของคนที่บอกให้เขาหลบกระสุนกลับเป็นฝ่ายรับมันไว้เองทั้งที่จะทิ้งกันไว้แล้วเอาตัวรอดก็ยังได้ เพราะมันแน่ชัดอยู่แล้วว่าสิ่งที่คนพวกนั้นต้องการคือชีวิตของรัตติกาลไม่ใช่อารัณย์ แต่ถึงอย่างนั้นหมอนี่ก็ยังชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่เรื่อย ทั้งที่ไม่จำเป็นเลยแท้ๆ
“ผมขอร้องล่ะ...อย่าทำอะไรให้ผมมากไปกว่านี้เลย”
รัตติกาลเค้นยิ้มให้ชายตรงหน้าก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกอดเข่ากับพื้นแล้วรอคอยความช่วยเหลือที่กำลังเดินทางมาถึง ในขณะที่เปลือกตาสีไข่ของอารัณย์ขยับเบาๆก่อนจะนิ่งไปอีกครั้งพร้อมกับสติที่หลุดลอยไปโดยที่ยังไม่ทันได้ตอบกลับคำพูดสุดท้ายของรัตติกาล
.
.
.
.
.
.
.
“กาล ไอ้กาล ตื่น...”
“อือ...”
แรงที่เขย่าร่างของเขาอยู่ปลุกรัตติกาลที่เผลอหลับให้หลุดจากภวังค์ก่อนจะสะดุ้งแล้วหันกลับไปมองคนที่ยังนอนอยู่ข้างหลังแต่เขากลับไม่เห็นใครนอกจากเพื่อนรักที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยความเป็นกังวล
“อะ ไอ้นิล”
“กูเอง อย่าเพิ่งพูดอะไร มานี่ก่อน”
นิลว่าดังนั้นก่อนจะออกแรงดึงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้นแล้วเดินตามกันไปยังรถที่จอดหลบมุมไว้ไม่ไกลจากปั้มน้ำมันมากนัก รัตติกาลมองย้อนกลับไปข้างหลังด้วยความเป็นกังวลเพราะคนที่สมควรจะนอนสลบอยู่กลับหายไป ร่างโปร่งพยายามยื้อแขนของตัวเองไว้ แล้วร้องบอกนิลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เดี๋ยวนิล อารัณย์หายไป!”
“ไม่ต้องโวยวาย รีบตามกูมาก่อน”
“แต่หมอนั่นโดนยิง แล้วนี่มันหายไปจะไม่ให้กูโวยวายได้ยังไงวะ!”
“กาลใจเย็นดิวะ มึงจะตะโกนให้ชาวบ้านชาวช่องเขาตื่นมาด่ามึงรึไง”
“มึงนั่นแหละใจเย็นเกินไปแล้วไอ้นิล อารัณย์หายไปมึงไม่เข้าใจหรอ!”
“ถ้ามันหายไปแล้วยังไง อย่าบอกนะว่ามึงเป็นห่วงมัน”
เสียงเรียบนิ่งของนิลพูดขึ้นขณะที่ทั้งคู่หยุดลงตรงหน้ารถตู้สีดำคันใหญ่ รัตติกาลไม่อยากสบดวงตาที่ราวกับจะบีบเค้นความจริงจากเขาของนิล ร่างโปร่งเสหน้าหันไปมองทางอื่นพร้อมกับเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นขณะที่เพื่อนตัวสูงคอยสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงไปของรัตติกาลทุกอย่าง
“เขา...ช่วยกูไว้”
“มึงเลยเป็นห่วงมัน?”
“...”
“มึงเปลี่ยนไปนะกาล...แต่ไม่ใช่ในทางที่ไม่ดี”
ร่างสูงยกยิ้มก่อนจะหันไปเลื่อนเคาะบานประตูแล้วเลื่อนมันออกทำให้รัตติกาลเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านใน นัยน์ตาสีดำเบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่ตัวเองกำลังร้องหานั่งนิ่งให้ฤทธิชาติทำแผลให้ใหม่อยู่บนรถคนนั้น นายตำรวจหนุ่มยิ้มรับทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่รัตติกาลรู้สึกได้ว่ามันดูอารมณ์ดีกว่าทุกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่อยากก้าวขึ้นรถตามไปมากที่สุดเห็นจะเป็นคนเจ็บซึ่งกำลังมองมาที่เขานิ่งๆด้วยสีหน้าแปลกใจ
“รีบขึ้นมาสิวะกาล เดี๋ยวมีคนมาเห็น”
นิลพูดเรียกสติเพื่อนรักขณะที่พยายามไม่หัวเราะออกมาดังๆเมื่อรัตติกาลผู้เงียบขรึมเผลอแสดงสีหน้าอ้ำอึ้งออกมาเพราะคิดไม่ถึงว่าคนเจ็บที่มันเป็นห่วงนักหนากำลังนั่งอยู่บนรถแล้วดูท่าว่าจะได้ยินบทสนทนาที่มันพูดกับเขาทุกคำ
ร่างโปร่งขึ้นมาบนรถอย่างเสียไม่ได้ ภายในรถตู้คันใหญ่ถูกดัดแปลงให้ห้องโดยสารข้างในโล่งว่าง มีเพียงเบาะนั่งยาวที่ถูกติดตั้งไว้ทั้งสองฝั่งเท่านั้น รัตติกาลทรุดนั่งลงตรงข้างเพื่อนรักโดยไม่คิดจะหันไปสบตากับคนที่ยังคงจ้องมองเขาไม่หยุด ภายใต้สีหน้าที่ถูกเปลี่ยนให้กลับมาเรียบนิ่งอีกครั้งมันเต็มไปด้วยความกังวลและไม่มั่นใจว่าอารัณย์จะได้ยินคำพูดของเขาหรือไม่ นึกแล้วก็อยากหันไปแพ่นกบาลเพื่อนตัวดีให้สาแก่ใจ คิดหรอว่าเขาจะไม่เห็นมันแอบขำเมื่อกี้นี้
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ ตอนพวกเรามาถึงกาลก็หลับไปแล้ว มีแต่อารัณย์ที่ตื่นอยู่ผมเลยให้เขาเข้ามาทำแผลก่อนให้นิลไปปลุกคุณ”
ผู้หมวดพูดอธิบายให้คนมาใหม่เข้าใจ โดยละในส่วนที่ว่าในตอนที่พวกเขามาถึงก็เห็นคนเจ็บที่หน้าแทบไร้สีเลือดลงทุนลงมานั่งเคียงข้างคนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราทั้งที่สังขารไม่เอื้ออำนวย รัตติกาลพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะเหลือบมองต้นแขนที่ถูกทำแผลจนเรียบร้อยดีแล้ว นายตำรวจหนุ่มอธิบายเพิ่มอีกว่าแผลของอารัณย์ไม่สาหัสมากเพียงแต่ร่างกายอ่อนเพลียเท่านั้น ถือว่าโชคดีที่หัวกระสุนไม่ฝังเข้าเนื้อในไม่อย่างนั้นเรื่องทุกอย่างคงแย่กว่านี้
“ผมอยากให้คุณกาลกับอารัณย์ไปกบดานอยู่ที่อื่นสักพัก อย่างน้อยก็จนกว่าที่ตำรวจจะหาตัวมือปืนพบ”
“ผมไม่อยากหนี เรื่องมันใหญ่โตขนาดนี้ผมคงชิงเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้”
รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังไม่แพ้กัน เขาไม่รู้ว่าคนร้ายคือใครและต้องการอะไร แต่การที่ชีวิตเขาต้องมาวุ่นวายเพราะมันถึงขั้นต้องหนีการตามล่าหัวซุกหัวซุนยิ่งทำให้รัตติกาลไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันดำเนินต่อไปอย่างที่เคย เขาจะต้องจบมันให้เร็วที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเขาหนีไปหลบอย่างที่ฤทธิชาติว่าคงไม่ได้ประโยชน์อะไรนอกจากเป็นการซื้อเวลา
“ผมว่าการที่คุณกลับบ้านต่างหาก...ยิ่งจะทำให้ทุกคนตกอยู่ในอันตราย”
“...!”
“มันไม่บังเอิญมากไปหน่อยหรอครับ ที่คนร้ายเลือกที่จะลงมือในวันนี้ทั้งๆที่คุณเองก็กลับบ้านทุกวัน ทำไมถึงต้องเป็นวันที่อารัณย์จะได้ดูแลคุณเป็นวันสุดท้าย”
“คุณจะบอกว่า...”
“เรื่องอารัณย์ควรมีแค่เราสี่คนที่รู้...มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไปแล้วครับ”
อีกสามชีวิตบนรถนั่งนิ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่สะกิดใจนายตำรวจหนุ่มให้สังเกตเห็นความผิดปกติที่เริ่มปรากฏ นิลยกมือขึ้นจับปลายคงยามต้องใช้ความคิดในขณะที่รัตติกาลรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องจนต้องเงยหน้าขึ้นสูงๆแล้วหายใจเขาเพื่อเรียกสติ
“ผม...ควรทำยังไง”
“มันแน่ชัดแล้วว่าคนร้ายต้องการเอาชีวิตคุณ เพราะฉะนั้นจนกว่าจะรู้ว่าตัวการคือใครผมคงต้องขอกันคุณออกจากคนใกล้ชิดไปก่อน ผมจะให้ลูกน้องบางส่วนคอยเฝ้าที่บ้านและบริษัทให้ และคุณกับอารัณย์จะต้องกบดานอยู่ที่อื่น”
“ผมไม่มีปัญหาอะไร...แต่อย่าลากอารัณย์เข้ามาเกี่ยว”
ไม่ใช่แค่คนถูกอ้างชื่อเท่านั้นที่มีสีหน้าตกใจ แม้แต่นิลหรือชาติต่างก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินรัตติกาลพูดถึงอารัณย์ด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ร่างโปร่งหลับตาลง กลิ่นคาวเลือดและเขม่าปืนยังไม่จางหายไปจากปลายจมูก เขายังจำความรู้สึกตอนที่เห็นอารัณย์ถูกยิงได้และไม่อยากจะเห็นมันอีก
“คุณบอกว่าผมควรอยู่ห่างจากทุกคน ดังนั้นก็ไม่สมควรมีใครอยู่กับผมทั้งนั้น โดยเฉพาะคนนอกอย่างเขา...”
รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตากับอารัณย์ด้วยแววตาที่จริงจังและเย็นชาเช่นเดิม เขารู้ดีว่าอารัณย์คงจะยินดีช่วยเขาเหมือนอย่างที่เป็นมาแต่เขาจะปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพียงเพื่อตัวอารัณย์เอง แต่ก็เพื่อไม่ให้เขาเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้
“กูจะอยู่”
อารัณย์พูดขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในอก คำว่าคนนอกที่รัตติกาลมักบอกว่าเขาเป็นไม่เคยสร้างความอึดอัดให้เขามากขนาดนี้มาก่อน แขนข้างที่เจ็บคว้าเข้าที่ข้อมือบางโดยไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง
“คุณไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“อย่ามาอ้างแบบนี้กาล! มึงจัดการเรื่องทั้งหมดนี้คนเดียวไม่ได้”
“ไม่ว่าผมจะจัดการได้หรือไม่มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“เกี่ยวสิ! ร่วมหัวจมท้ายกันมาขนาดนี้ยังบอกว่ากูไม่เกี่ยวอีกหรอ!”
“ต่อให้มากกว่านี้ก็ไม่เกี่ยว...พอเถอะอารัณย์ อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีก”
รัตติกาลไม่ได้สะบัดมันมือของอารัณย์ทิ้ง เขาทำเพียงแค่จับสิ่งที่กำลังพันธนาการเขาไว้เพียงแผ่วเบาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกถึงความต้องการอันแรงกล้าของคนที่ไม่มีวันเปลี่ยนใจ
“คุณ...จะต้องไป”
“...”
“ได้โปรด...ไปจากชีวิตผมสักที”
.
:ling2:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :ling2:
-
เช้าวันนี้รัตติกาลตื่นขึ้นเพราะเสียงของชาวบ้านที่เริ่มออกมาทำงานตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน พื้นไม้แข็งและฟูกแผ่นบางทำให้เขานอนไม่สบายตัวนักแต่เมื่อเทียบกับการต้องแอบไปนอนตามปั้มแล้วบ้านพักริมคลองแบบนี้นับว่าดีกว่ามากโข
“พ่อกาลจ๊ะ ลงมากินข้าวด้วยกันมา”
ยายพิศเจ้าของบ้านเช่าส่งเสียงเรียกรัตติกาลที่กำลังยืนชมวิถีชีวิตชาวบ้านอยู่เงียบๆเพียงลำพัง ชายหนุ่มในชุดสบายๆที่นิลจัดหามาให้ก่อนเขาจะมาหลบอยู่ที่นี่ยิ้มบางให้หญิงแก่ที่อายุพอๆกับจันทร์อย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนแคบๆที่ไร้เครื่องอำนวยความสะดวกใดๆแม้แต่ไฟฟ้าไว้ให้ใช้สอยก็ยังมีจำกัด
เสียงพื้นไม้ที่ลั่นทุกจังหวะการเดินเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดในบ้านหลังนี้ ความทรงจำวัยเด็กที่เจ้าตัวมักจะติดสอยห้อยตามบิดาไปยังต่างจังหวัดแล่นกลับเข้ามาให้คิดถึง กลิ่นแกงกะทิหอมๆลอยอบอวนไปทั่วใต้ชั้นล่างของบ้านที่อยู่ติดกับลำคลองทำให้สามารถลงนั่งให้เท้าสัมผัสน้ำได้อย่างสบายๆ แต่เพราะความหิวและกลิ่นยั่วน้ำลายนั้นก็ทำให้รัตติกาลเลือกที่จะเดินไปหายายพิศแทนที่จะนั่งลงเล่นน้ำอย่างที่เขาชอบทำ
“อรุณสวัสดิ์ครับยาย”
“จ๊ะ ยายเอาข้าวมาให้ เหลือจากเอาไปใส่บาตรพระ พ่อกาลกินได้ไหม”
แกงกะทิสายบัวถูกใส่ไว้จนเต็มหม้อใบเล็กดูน่าทานคล้ายกับที่จันทร์เคยทำให้กิน ร่างโปร่งพยักหน้ารับก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณอย่างมีมารยาท
“ขอบคุณมากนะครับ ของโปรดผมเลย”
“ดีแล้วล่ะจ๊ะ งั้นกินเยอะๆนะ ยายเจียวไข่มาเผื่อด้วย”
“ที่หลังยายไม่ต้องหาข้าวให้ผมก็ได้นะครับ ตลาดอยู่แค่นี้เองเดี๋ยวผมออกไปหาของมาทำกินก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ดีซะอีกได้พ่อกาลมาช่วยกันกิน ปกติยายกับตาก็กินกันไม่หมดอยู่แล้ว ดีกว่าเหลือทิ้งให้บูดคาหม้อ”
รัตติกาลยิ้มรับอย่างไม่อาจหาคำปฏิเสธใดๆ เขานั่งลงกินข้าวที่เจ้าของบ้านเช่าจัดหามาให้อยู่เพียงลำพังแต่กลับไม่รู้สึกเหงา เสียงเด็กๆกระโดดลงน้ำดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะสลับกับเสียงเรือหางยาวที่นานๆทีจะแล่นผ่านทำให้รัตติกาลไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบากแต่อย่างใด
วันนี้เป็นวันที่สองแล้วที่เขามาอาศัยอยู่ที่บ้านริมคลองแถวบางขุนเทียนตามที่ฤทธิชาติจัดหาไว้ให้แล้วทิ้งโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ไว้ให้ใช้ติดต่อกันแทนเครื่องเดิมที่อาจจะถูกคนร้ายติดตามได้ นิลบอกให้เขาพักให้สบายใจ โดยที่เจ้าตัวอาสาเข้าไปดูแลบริษัทให้ในตอนที่เขาไม่อยู่ซึ่งรัตติกาลรู้ดีว่านอกจากเก่งงานเขียนแล้วเขาก็สามารถไว้วางใจนิลให้ดูแลบริษัทได้เช่นกัน
อารัณย์กับเขาไม่ได้พูดคุยกันอีก หลังจากที่รัตติกาลพูดขอให้อีกฝ่ายออกไปจากชีวิตเขา สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงแววตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อและผิดหวังจากอารัณย์เท่านั้น
รัตติกาลกำลังนึกถึงวันแรกที่เขาและอารัณย์ได้พบกัน ความเข้าใจผิดและความขาดสติคงทำให้อีกฝ่ายไม่ชอบหน้าเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นแต่นั่นคงไม่มากเท่าการลงมือทำร้ายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของตัวเองและนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้ามาของอารัณย์ที่ทำให้รัตติกาลรู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของตัวเองในตอนนี้
เขากำลังรู้สึกกลัว...
รัตติกาลก้มลงมองมือของตัวเองที่บัดนี้ไร้กลิ่นคาวเลือดเหมือนดังเช่นคืนนั้น ในตอนที่เขาซุกหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างของอารัณย์มือของเขาก็สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้อที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดไปจนหัวใจบีบรัดไปหมด
เขาไม่อยากถามตัวเองว่าอารัณย์สำคัญมากพอที่จะทำให้เขารู้สึกกลัวการสูญเสียได้จริงๆหรอ เพราะลึกๆแล้วเขาเองนั่นแหละที่ไม่อยากได้ยินคำตอบนั้น รัตติกาลสัมผัสได้ถึงตัวตนที่บิดเบี้ยวไปตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ช่วงเวลาที่มีทั้งความเกลียดชัง ความอยากเอาชนะ และความห่วงใยทำให้รัตติกาลสับสนจนไม่อยากจะคิดอะไรเกี่ยวกับอารัณย์อีกแล้ว
เขาไม่อยากเปลี่ยนไป
รัตติกาลที่อ่อนแออย่างในอดีตน่ะ...เขาไม่อยากเป็น
ร่างโปร่งมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนเป็นเงาอยู่บนผิวน้ำ มันชัดเจนอยู่เพียงครู่ก่อนจะค่อยๆแตกออกไปเมื่อใบไม้ใบเล็กปลิวมาตามลมแล้วหล่นลงสัมผัสพื้นน้ำนั้นเพียงแผ่วเบา รัตติกาลเค้นยิ้ม ตัวเขาในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับรูปสะท้อนบนผิวน้ำที่พร้อมจะพังทลายลงเพียงแค่ได้พบใบไม้ไหว มันช่างสวยงามแต่กลับอ่อนแอจนนึกสังเวชอยู่ในใจ หากเขาไม่เคยเจ็บมาก่อนคงยินดีกับความสวยงามเพียงชั่วครู่นี้ก่อนจะทรมานเหมือนตายในภายหลัง
“เราจะต้องไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีกรัตติกาล”
หลังจากกินข้าวเสร็จรัตติกาลก็ใช้เวลาครึ่งวันไปกับการจัดการทำความสะอาดบ้านในส่วนที่ยังทำไม่เสร็จต่อจากเมื่อวาน เขานึกเสียดายที่ไม่มีหนังสือสักเล่มไว้ให้เขาอ่านแก้เหงา จะออกไปหาซื้อก็ไม่ควรเขาจึงเลือกที่จะสวมใส่รองเท้าแล้วเดินลัดไปตามทางเดินเล็กๆจนปรากฏเงาของบ้านหลังขนาดเท่าๆกันกับบ้านเช่าแต่กลับมีสภาพที่ดีกว่าเพราะไม่ถูกปล่อยให้ร้างผู้ใช้งาน
“ยายพิศครับ อยู่ไหมครับ!”
“ใครมาโวยวายอยู่หน้าบ้าน...อ้าวพ่อกาล มาทำอะไรเนี่ย!”
ร่างคุ้มงอของตาไทยเดินออกมาจากฉากไม้ด้านหลัง นัยน์ตาฝ้าฟางเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะควักมือเรียกเด็กหนุ่มที่อายุห่างกับตนหลายรอบให้เดินเข้ามาใกล้ รัตติกาลยกมือไหว้ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาร่างที่โงนเงนไปตามวัยด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับตา พอดีผมอยู่ว่างๆเลยว่าจะมาของานทำตอบแทนค่าแกงกะทิสายบัวสักหน่อย”
“โอ้ยไม่ต้องหรอกพ่อคุณ ปกติพิศมันก็ทำแจกอยู่แล้ว นี่เดินเอาไปให้ยายเพียงที่บ้านอยู่ฝั่งโน้นตั้งแต่เที่ยงยังไม่กลับมาเลย”
“ไม่เป็นไรไม่ได้หรอกครับ อีกอย่างอยู่เฉยๆผมก็ไม่รู้จะทำอะไร”
“แต่คุณเป็นแขกของไอ้เจ้าชาติมัน ตาไม่กล้าใช้งานหรอก”
คนแก่พูดติดตลกพลางคิดว่าคนหนุ่มผิวกายขาวสะอาดอย่างรัตติกาลจะทำงานอะไรได้นอกจากนั่งโก้เก๋เหมือนในละคร
“แขกอะไรกันครับ ผมก็คนเช่าคนหนึ่งเท่านั้น อย่าเกรงใจเลย”
“เอ้า! ดื้อจริงอย่างที่มันว่า งานที่นี่มีแต่ต้องลงแรงทั้งนั้น จะทำไหวหรอ”
“ไหวครับ เห็นอย่างนี้สมัยพ่อกับแม่ยังอยู่ผมก็เคยช่วยงานในสวนยางมาบ้างเหมือนกัน”
รัตติกาลอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองที่เคยผ่านงานหนักมาไม่น้อยสมัยยังเด็กๆที่เคยเข้าไปช่วยงานในสวนยางตอนที่ตามพ่อแม่ลงไปทางใต้ ตาไทยได้ฟังอย่างนั้นก็ทำหน้าครุ่นคิดใจหนึ่งก็ไม่อยากเชื่ออีกใจก็อยากจะลองฝีมือของชายหนุ่มตรงหน้าดูสักหน่อย นัยน์ตาที่เริ่มจะมองไม่ค่อยเห็นพินิจร่างกายของรัตติกาลอย่างถี่ถ้วน จะให้ลงไปช่วยจับปลากับเรือประมงเห็นท่าจะไม่ไหว แต่แล้วชายแก่ก็เริ่มยิ้มออกก่อนจะหันมาพูดกับรัตติกาลด้วยน้ำเสียงติดสนุก
“ชอบกินหอยแครงไหมล่ะพ่อกาล”
.
.
.
.
.
.
“ไหวไหมพ่อ! ทำไม่ได้ก็ขึ้นมาเถอะ!”
ตาเฒ่าส่ายหัวเมื่อชายหนุ่มที่แสนจะดึงดันอย่างที่ไอ้ชาติมันว่าเกือบหัวทิ่มปักเล่นอีกครั้งจนเขาเริ่มนับไม่ถ้วน
“ไหวครับตา!ผมขอลองอีกหน่อย!”
รัตติกาลว่าดังนั้นก่อนจออกแรงแผ่นไม้ยาวคล้ายกระดานโต้คลื่นที่ตัวเองนั่งทับอยู่ให้ไถลไปตามดินเลนนิ่ม พลางมองหารูหอยที่มีลักษณะเป็นหลุมเล็กๆมีน้ำขังอยู่เล็กน้อยพอให้เห็นอยู่ใกล้ๆ ร่างโปร่งเริ่มมองเห็นรูหอยอย่างที่ตาไทยว่า เขาหยุดมือที่ดันแผ่นไม้ก่อนจะพาตัวเองลงไปยืนบนดินเลนที่พอแค่เท้าได้สัมผัสก็ทำให้เขาจมไปเสียครึ่งขา เพราะความที่ไม่เคยมาก่อนทำให้รัตติกาลหวิดเสียหลักเกือบหัวทิ่มไปหลายครั้งจนชาวบ้านคนอื่นที่กำลังหาหอยหาแมงดาอยู่แถวนั้นต่างหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน
“พาใครมาน่ะตา ดูทำเข้าสิ ตลกจังเลย”
ชาวบ้านผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถามตาไทยที่นั่งดูรัตติกาลอยู่บนสะพานไม้ไม่ไกลนัก ชายแก่คายหมากที่เคี้ยวอยู่ทิ้ง ก่อนจะหันกลับไปตอบ
“เพื่อนไอ้ชาติมัน มาจากในเมือง”
“อ่อ ไม่น่าล่ะดูไม่คุ้นเลย แล้วนี่ตาคิดยังไงให้เขาลงมางมหอยแบบนี้”
“มันดื้อจะทำ ข้าห้ามแล้วก็ไม่เชื่อเลยปล่อยให้ลองดู พวกเอ็งก็คอยช่วยๆมันหน่อยแล้วกัน”
ชาวบ้านแถวนั้นพยักหน้ารับ ก่อนจะพากันเดินไปหารัตติกาลอย่างกล้าๆกลัวๆแต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของคนเมืองทักทายมาก่อนก็ทำให้ต่างก็คลายความเกร็งไปได้กันมากโข
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ๊ะพ่อคุณ ชื่ออะไรล่ะเรา เห็นตาแกบอกว่าเป็นเพื่อนเจ้าชาติหรอ”
“ครับ ผมชื่อรัตติกาล”
“ชื่อเพราะเชียวจ๊ะ รูปก็หล่อ แล้วพ่อมาทำอะไรที่นี่จ๊ะ มาเที่ยวหรอ”
“ครับ พอดีเหนื่อยๆชาติเขาเลยแนะนำมาให้พักผ่อนที่นี่”
ร่างโปร่งโกหกออกไปเพื่อไม่ให้ใครต้องเป็นกังวล แต่ความจริงแล้วที่บอกว่ามาพักผ่อนก็ถือว่าผิดจากความจริงนัก
“อ้าว มาพักแล้วมาหาเรื่องงมหอยทำไมให้ตัวเปื้อน ไม่เดินไปเที่ยวในตลาดล่ะ เวลาคนเมืองมาเที่ยวเขาก็ไปเดินกัน”
“ผมอยากลองทำอะไรเหมือนที่ชาวบ้านทำน่ะครับ สนุกดี”
“โถ่พ่อคุณ สนุกเสียจนหน้าเปื้อนดูไม่ได้เลย มาๆ ป้าเช็ดให้”
รัตติกาลยิ้มรับก่อนจะยื่นหน้าไปให้หญิงมีอายุเช็ดใบหน้าที่เปื้อนดินเลนให้อย่างไม่อิดออด หลังจากนั้นชาวบ้านต่างก็พากันมาช่วยสอนรัตติกาลงมหอยกันยกใหญ่ ชายหนุ่มค่อยๆใช้มือจ้วงลงไปในเลนนิ่มๆก่อนจะจับเอาสิ่งที่คล้ายก้อนหินเล็กๆขึ้นมาแล้วยื่นไปให้พวกชาวบ้านดู
“อันนี้ใช่หอยแครงไหมครับ”
“ใช่จ๊ะ แต่ตัวมันเล็กอย่าไปจับมันเลย ปล่อยให้มันโตกว่านี้หน่อย”
ร่างโปร่งร้องอ่อแล้วปล่อยหอยแครงตัวน้อยให้กลับลงสู่ธรรมชาติตามเดิมแล้วลงมือหาใหม่อีกครั้ง ตาเฒ่ามองดูคนหนุ่มที่ลงมือจับหอยอย่างสนุกสนานแล้วได้แต่ยิ้มตาม เสียงโหร้องอย่างดีใจในตอนที่รัตติกาลจับหอยตัวใหญ่ได้ครั้งแรกพาให้ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างก็หัวเราะยินดีไปด้วยทั้งที่มันเป็นสิ่งที่พวกเขาเคยชินกันอยู่แล้ว
เวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย รัตติกาลที่เริ่มจับจังหวะก้าวบนดินเลนได้แล้วออกแรงลากไม้กระดานที่มีถังบรรจุหอยแครงและสัตว์น้ำอื่นไว้จนเต็มถังไปตามทางก่อนจะปีนขึ้นแคร่ไม้ที่มีตาไทยยืนรอรับอยู่
“ไปล้างตัวที่บ้านตาก่อนไป แล้วหอยพวกนี้จะให้พิศมันทำกับข้าวให้กิน”
“ได้เลยครับ ขอบคุณนะครับลุงๆป้าๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้กาลจะมาจับด้วยอีกนะ”
รัตติกาลหันไปบอกลาเหล่าชาวบ้านที่ต่างก็กำลังจะแยกย้ายกลับบ้านของตนเอง ชายหนุ่มเดินช้าๆตามการก้าวเดินของตาเฒ่าอย่างไม่รีบร้อนอะไร เขาระบายยิ้มรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมานาน ความอ่อนล้าที่สะสมมาตลอดเดือนคลายลงไปทั้งที่วันนี้เขาได้ออกแรงมากกว่าทุกครั้ง แต่เพราะสิ่งที่ได้กลับมาต่างหากที่ทำให้รัตติกาลรู้สึกเหมือนได้วางสิ่งที่ต้องแบกรับไว้มาตลอดลง
“เมื่อตอนที่พ่อกาลลงไปงมหอย พิศมันเดินมาหาด้วย”
“อ้าวหรอครับ ผมไม่ทันได้สังเกต”
“ไม่เป็นไรหรอก มันแวะมาบอกเฉยๆว่าวันนี้จะมีคนมาอยู่ที่บ้านกับพ่อกาลด้วย เห็นว่าจะมาพักผ่อนเหมือนกัน”
รัตติกาลพยักหน้ารับ บ้านริมคลองที่สองตายายเปิดให้เช่าเป็นบ้านหลังใหญ่พอสมควรที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนเพื่อสัมผัสบรรยากาศแบบชาวบ้าน โดยเปิดรับทั้งพวกที่มาเป็นครอบครัวและพักคนเดียวแบบเขา จึงไม่น่าใช่เรื่องที่แปลกนักหากจะมีคนอื่นมาอาศัยอยู่ในชายคาเดียวกับเขาด้วย
ร่างโปร่งลากขาที่หนักอึ้งเพราะเนื้อเลนที่เริ่มจับตัวกันเป็นก้อนแข็งมาถึงยังบ้านของสองตายาย ที่ตลบอบอวนด้วยกลิ่นถ่านไม้โกงกางที่ตั้งอยู่มุมหนึ่ง ชายแก่ชี้บอกให้เขาเดินไปล้างตัวล้างขาที่ก๊อกน้ำซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล รัตติกาลวางถังใส่หอยลงก่อนจะเปิดน้ำพลางถูไปตามแข้งขาเพื่อล้างดินออก ก่อนจะรับเอากางเกงเลสีตุ๋นที่ตาไทยยื่นมาให้ใช้เปลี่ยนแทนกางเกงตัวเดิมที่เปื้อนจนไม่เหลือสภาพ
“กลับมาแล้วหรอพ่อกาล เป็นอย่างไงบ้างจ๊ะ ได้หอยกลับมาเยอะไหม”
เสียงของยายพิศดังขึ้นเรียกสายตาของรัตติกาลที่เพิ่งผูกเชือกกางเกงเสร็จให้หันไปมอง ชายหนุ่มรีบรุดเข้าไปช่วยหญิงแก่ถือหม้อซึ่งมีหน่อไม้ใส่อยู่เต็มมาถือให้แทน
“พอสมควรเลยครับ ผมวานยายช่วยทำอะไรให้กินหน่อยนะ”
“ได้เลยจ๊ะ ดีเลยจะได้ไม่ต้องทำกับแกล้มเพิ่มให้ตามัน”
“งั้น เดี๋ยวผมช่วยนะครับ”
หญิงแก่พยักหน้ารับแล้วบอกให้รัตติกาลนำหม้อไปวางไว้ในครัวก่อนที่เขาจะเดินย้อนไปนำถังใส่หอยเข้ามาล้างทำความสะอาดตามคำบอกของยายพิศที่ยืนกำกับอยู่ไม่ห่าง ในขณะที่ร่างโปร่งกำลังตั้งหน้าตั้งแต่ใช้แปรงเล็กๆขัดขี้ดินออกจากเปลือกหอย เขาก็ได้ยินเสียงถ่านติดไฟดังเปรี้ยะๆขึ้นมาจากด้านหลัง
“ถ่านติดไฟแล้วยาย ให้ผมตั้งเตาเลยไหม”
“ตั้งเลยๆ หุงข้าวแบบนี้เป็นไหมพ่อรัณย์”
จ๋อม!
รัตติกาลเผลอปล่อยหอยตัวที่ขัดเสร็จแล้วลงกลับไปในถังอีกครั้ง เขาหันหน้ากลับไปมองด้านหลังก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นอารัณย์กำลังพยายามโกยถ่านที่ติดไฟแดงแจ๋ลงในเตาที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วด้วยมือเพียงข้างเดียว
“มาพอดีเลย พ่อกาลจ๊ะ หนุ่มคนนี้ชื่ออารัณย์นะ จะมาอยู่ที่บ้านกับพ่อกาลตั้งแต่คืนนี้เลย”
หญิงแก่แนะนำคนที่เขาไม่อยากเจอหน้าให้รู้จักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างเคยแต่รัตติกาลกลับรู้สึกว่ามันช่างไม่น่าฟัง ชายหนุ่มลุกขึ้นทั้งๆที่ทำงานค้างไว้อย่างนั้นก่อนจะสาวเท้าก้าวออกมาจากครัวโดยไม่สนใจเสียงเรียกของยายพิศและอารัณย์ที่ดังไล่หลังมา
“กาล หยุด! รัตติกาล โอ้ย!!”
ตุ๊บ!
รัตติกาลกำลังจะออกวิ่งแต่เขาก็ต้องหันหลังกลับไปเมื่อได้ยินเสียงร้องของอารัณย์ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระแทกกับพื้นไม้ ร่างโปร่งไม่ทันยั้งคิดเขารีบเดินกลับไปหาอารัณย์ที่ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นพร้อมกับจับแขนข้างขวาที่เจ็บอยู่ของตัวเองไว้แน่น รัตติกาลหน้าเสียเมื่ออีกฝ่ายแสดงทีท่าเหมือนกับว่าเจ็บปวดเสียจนเขาต้องรีบพยุงร่างที่ใหญ่โตกว่าให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆแล้วถือวิสาสะสำรวจแขนที่มีผ้าสีขาวพันไว้ให้เห็น
“คุณเป็นไงบ้าง เจ็บแผลหรอ!”
“เออดิ อู้ยยย”
“เลือดออกไหม ผมขอดูหน่อย”
“ไม่ต้องๆ ผมไม่เป็นอะไร”
อารัณย์รีบหยุดมือของรัตติกาลที่กำลังจับแขนข้างที่เจ็บของเขาอย่างแผ่วเบา ร่างสูงจับมือที่กำลังสั่นนั่นไว้แทนก่อนจะออกแรงบีบเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวลพลางนึกโทษตัวเองที่ซุ่มซ่ามสะดุดขอบไม้ที่เผยอขึ้นเพียงเล็กน้อยจนล้มไปนอนกลิ้งหมดท่าอยู่แบบนี้ ในขณะรัตติกาลมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งเมื่อได้ยินสรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปจากเดิมและสายตาที่มองมาของอารัณย์
“ผมไม่เป็นไรแล้วกาล ไม่เป็นไร”
ร่างสูงใช้แขนข้างที่เจ็บยกขึ้นก่อนจะลูบเบาๆไปบนกลุ่มผมสีเข้มของรัตติกาล สายตาที่ทอด้วยความอ่อนโยนถูกส่งไปให้อีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบังแม้ว่าสิ่งที่สะท้อนกลับมาจะเป็นเพียงความตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นการหลบตาหันไปมองที่อื่น
“...ถ้าคุณไม่เป็นไร ก็กลับไปได้แล้ว”
รัตติกาลสะบัดมือของอารัณย์ออกแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่คิดจะช่วยคนที่ล้มลงให้อีกฝ่ายเดินตามมาทัน แต่เพราะช่วงขาที่ยาวกว่ารัตติกาลก็ถูกหยุดไว้อีกครั้ง
“กาล อย่าเพิ่งไป!”
“...”
“เรามาคุยกันดีๆก่อนได้ไหม”
“...ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณอีกแล้ว”
“แต่ผมมี”
“...”
“ขอร้องเถอะกาล อย่าทำแบบนี้ เป็นห่วงผมจนต้องถอยตัวเองออกมา แบบนี้น่ะไม่สมกับเป็นรัตติกาลที่ผมรู้จักเลยนะ”
รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่มองอยู่ก่อนแล้วด้วยความไม่เข้าใจ อารัณย์ระบายยิ้มก่อนจะยื่นมือไปคว้ามือที่อีกฝ่ายสะบัดมันทิ้งไปจากเขานับครั้งไม่ถ้วนมากอบกุมไว้อีกครั้งให้แน่นกว่าเดิม
“ แล้วที่บอกว่าไม่ให้ผมทำอะไรเพื่อกาลไปมากกว่านี้น่ะ...ผมทำไม่ได้”
สิ้นคำนั้นริมฝีปากสีเข้มก็โน้มเข้ามาประทับรอยไปบนกลีบเนื้อนุ่มของรัตติกาลด้วยสัมผัสอันแผ่วเบา รัตติกาลเบิกตากว้างพยายามผลักอีกฝ่ายออกไปแต่อ้อมแขนดั่งกรงเหล็กของอารัณย์ก็ตามมากักขังเขาไว้พร้อมกับความวาบหวามที่ถูกป้อนให้อย่างไม่รู้จักอิ่ม ร่างสูงไม่ได้ล่วงล้ำ เขากดริมฝีปากบดคลึงอยู่แบบนั้นตอกย้ำให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงตัวตนของเขาที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ก่อนที่จะค่อยๆละออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบนแก้มที่ถูกถ่ายทอดมาจากอีกคน
“คุณทำอะไรลงไปรู้ตัวรึเปล่า”
“...”
“เผื่อคุณจะไม่รู้ ถึงผมจะชอบผู้ชายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะยินดีจูบกับใครก็ได้โดยเฉพาะกับคนที่ชอบปั่นหัวคนอื่นเล่นแบบคุณ!”
“กาล...”
“คุณอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ คุณไม่เหมือนกับผม...เพราะฉะนั้นเลิกทำตัวแบบนี้สักที”
รัตติกาลผละออกมาพร้อมกับพยายามข่มน้ำตาไม่ให้ไหล เขายิ้มเยาะตัวเองที่สั่นไหวอย่างง่ายดายเพียงแค่เพราะใบไม้เล็กๆที่ร่วงหล่นลงบนผิวน้ำจนภาพข้างหน้ามันพร่าเลือน แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินพ้นไป ร่างทั้งร่างของรัตติกาลก็กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของอารัณย์ที่ยังคงแข็งแกร่งมั่นคงไม่สั่นไหว ชายหนุ่มลูบผมของรัตติกาลเบาๆก่อนจะประทับจุมพิตลงบนหน้าผากใสโดยที่มีรัตติกาลมองการกระทำดังกล่าวอย่างตื่นตะลึง
“ผมยอมรับว่าเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก”
“...”
“แต่ตอนนี้...มันชักจะไม่ตลกแล้ว”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
ตู้มมมมม!! ระเบิดเป็นโกโก้ครันช์กันเลยยยย ตกใจไหมมม :z2: :z2: :z2: เช่ก็ตกใจ55555 อย่าเพิ่งงงว่าทำไมอยู่ดีๆอารัณย์ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบนี้ พาร์ทหน้าจะมีย้อนส่วนของอารัณย์ก่อนพี่แกจะมาตามกาลถึงบ้านริมคลองกันให้หายสงสัยนะคับ
ช่วงนี้เช่ยุ่งมากกกกกก เทอมนี้แบบเล่นเอาอ้วกเลยทีเดียว ต้องวาดการ์ตูน1เรื่อง จัดexhibition2งาน หนังสั้น1เรื่อง วิจัย1เรื่อง และมันจะยังมีมาอีก ปวดตับโฮกคับ นี่เปิดเทอมมาสองอาทิตย์หรือสองเดือนงานทับถมกันชนิดเหมาะแก่การเพาะเห็ดมาก ดังนั้นช่วงนี้เช่อาจจะอัพช้ากว่าที่เคยอย่าว่ากันนะ แต่ไม่หายไปไหนแน่นอน ยังไงก็ต้องอาทิตย์ละอย่างต่ำ1ตอนแน่นอนเป็นมาตรฐาน ไม่งั้นคนหายหมด =w=
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ เริ่มมีบทมุ้งมิ้งมาแก้อาการปวดตับกันบ้างแล้วก็หวังว่าทุกคนจะชอบใจ (ยิ้มมุมปาก) :z1:
-
อูยยยยยยยย รัณย์รุกกาลแล้วจ้าาาาาาาา
นี่ไม่ต้องซื้อบทให้อารัณย์เพิ่มแล้วใช่มั้ย มาเต็มซะขนาดนี้ 5555555
-
อูยยยยยยยย รัณย์รุกกาลแล้วจ้าาาาาาาา
นี่ไม่ต้องซื้อบทให้อารัณย์เพิ่มแล้วใช่มั้ย มาเต็มซะขนาดนี้ 5555555
ไม่ต้องแล้วคับบบบ เดี๋ยวจะกลายเป็นไม่มีพระเอกซะเปล่าๆ ผ่านมาครึ่งเรื่องแล้ว :hao3:
-
เริ่มเห็นความน่ารักของพี่กาลรำไรๆ โมเม้นท์นี้ฟินจ้า :-[
-
โอ่โอ้ววววว!! รักหวานที่ริมคลอง
-
ว๊ายยยยยยยย รุกๆๆๆ :hao6:
-
กาลน่ารักอะ ร้องไห้ด้วย :ling1: ควมมมุ้งมิ้งที่รอมานาน
-
:ruready เข้ามาช่วยดันค่ะ รอๆ
-
มารอค่ะ ค้างมากกกกกก
-
มารอ TT
-
29th Night
…Thank you...
“ได้โปรด...ไปจากชีวิตผมสักที”
ในหัวของเขามีเพียงคำพูดเหล่านี้วนเวียนอยู่พร้อมกับความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย อารัณย์เอนกายที่เริ่มปวดหนึบลงบนโซฟาตัวย่อมภายในห้องพักของตัวเองที่ปล่อยให้ว่างเปล่ามานาน โซฟาขนาดกลางที่เขาเคยคิดว่านุ่มพอดีกลับไม่สบายเท่าตัวที่อยู่ในห้องทำงานของรัตติกาลซึ่งเขาใช้มันอาศัยหลับนอนตลอดช่วงเวลาที่ได้อาศัยอยู่กับเจ้าของมัน ที่เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้
ชายหนุ่มคิดถึงช่วงเวลาที่เขามักจะลอบมองอีกคนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานจากโซฟาตัวนั้น คิดถึงใบหน้าที่แสนพอใจกับรสชาติราวกับเด็กๆเวลาได้กินของอร่อย คิดถึงแผ่นหลังกว้างที่คุดคู้ลงราวกับว่ากำลังแบกรับโลกเอาไว้ทั้งใบแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเดินต่อไปทั้งที่เกินจะรับไว้
อารัณย์นึกขันที่เขาสามารถจดจำรายละเอียดตลอดช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันได้ถึงแม้มันจะแสนสั้น แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นกลับเด่นชัดจนอารัณย์เองยังนึกแปลกใจ ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นค่อยๆทักทอกลายเป็นความเคยชินที่เพิ่มพูนในทุกๆวัน การที่ได้ดูแลรัตติกาลตั้งแต่เช้าจรดค่ำทำให้เขาได้เห็นร่างโปร่งในมุมมองที่ต่างออกไป เป็นความรู้สึกตื่นเต้นราวกับเด็กๆยามได้เห็นของเล่นที่หลบซ่อนอยู่ในหีบของเล่นใบใหญ่ มันช่างน่าตื่นเต้นและน่าค้นหาเสียจนกว่าจะรู้ตัวเขาก็ละสายตาจากร่างโปร่งไปไม่ได้
“ทำหน้าประหลาด”
เสียงของแขกผู้มาเยือนทำให้เขาได้สติ อารัณย์หันกลับไปเห็นนิลที่ยืนมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไม่แพ้ผู้เป็นเพื่อนรักซึ่งอยู่เคียงข้างกับนายตำรวจหนุ่มที่ยังคงมีรอยยิ้มไม่น่าไว้ใจนั้นประดับใบหน้าอยู่เช่นเดิม
แขกทั้งสองถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาอีกด้านโดยไม่คิดจะขออนุญาตใดๆ ทันทีที่หย่อนกายเสร็จ ฤทธิชาติก็จัดแจงกางเอกสารและรูปถ่ายจากกล้องวงจรปิดบางส่วนลงบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กที่เจ้าตัวลากมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาทั้งสามคน
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงอยู่หอเดียวกับเด็กไอ้กาล”
นิลพูดทักขึ้นขณะที่คนข้างๆกำลังสำรวจเอกสารต่างๆอย่างตั้งใจ อารัณย์เงยหน้าขึ้นมองคนพูดพลางขมวดคิ้ว ใบหน้าขาวใสของเด็กคนนั้นผุดขึ้นมาทันทีทั้งที่เขาไม่อยากจดจำเท่าไหร่ แต่เพราะอีกฝ่ายอาศัยอยู่ห้องตรงข้ามทำให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันไม่ได้
“เด็ก? แฟนคุณกาลหรอนิล”
ฤทธิชาติเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนต้องการกระทบกระแทกมากกว่าสงสัย ดวงตาเจ้าเล่ห์นั้นเหลือบมองไฟยังพี่เลี้ยงหนุ่มที่กำลังให้ความสนใจกับรูปภาพมากมายบนโต๊ะด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“อย่าแกล้งโง่ถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว”
“อ้าว ก็ผมไม่รู้จริงๆ”
นิลส่ายหน้าอย่างระอาให้คนที่แกล้งพูดจาหวังกระทบอารัณย์แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่ทำท่าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม ยอมรับว่าเขาเองก็แปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของรัตติกาลที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีอารัณย์เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการยอมให้คนที่เกลียดมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ หรือความห่วงใยที่แสดงออกมาในทุกๆการกระทำให้นิลคิดถึงรัตติกาลคนเก่าที่ยังคงซื่อสัตย์กับตัวเอง...อย่างน้อยก็มากกว่าตอนนี้
“ไม่ตามไปจะดีหรอ”
นักเขียนหนุ่มถามขึ้นตามที่ใจคิด อารัณย์ละสายตาจากรูปบนโต๊ะขึ้นมามองนิลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าออกไปมองผ้าม่านที่พลิ้วไหวอยู่ไกลๆราวกับว่าไม่อยากให้ใครเห็นสิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ตามไปกูก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“มึงน้อยใจ?”
“...เปล่า”
อารัณย์ไม่อยากเรียกความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่าความน้อยใจ เขารับรู้ถึงความห่วงใยที่รัตติกาลมีต่อเขาดีไม่ใช่แค่เพราะคำพูดของร่างโปร่งที่เขาได้ยินก่อนหมดสติไป แต่เพราะการกระทำ สายตาและทุกๆอย่างรวมไปถึงการพยายามตัดเขาออกจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนั้นชัดเจนอยู่แล้วว่ารัตติกาลไม่ต้องการให้เขาต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องที่เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
แม้จะเจ็บแผลแต่อารัณย์ก็ยังคงใช้มือข้างที่ถูกยิงกำมันเสียจนแน่น ในวินาทีที่รัตติกาลไล่เขาออกไปจากชีวิต อารัณย์ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอให้อีกฝ่ายทบทวนดูใหม่ อยากจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง อยากจะถามว่าคิดจะแบกรับเรื่องทั้งหมดไว้จนถึงเมื่อไหร่ แต่เมื่อได้สบตาที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจในตัวเขาคู่นั้น อารัณย์ก็รู้สึกตัวว่าสำหรับรัตติกาลแล้ว...เขามันช่างไร้พลัง
“หึ กูจะพยายามเชื่อก็แล้วกัน”
อารัณย์ถอนหายใจเมื่อนิลพูดออกมาแบบนั้น เขาพยายามให้ความสนใจกับรูปถ่ายมากมายตรงหน้า ภาพจากกล้องวงจรปิดของร้านสะดวกซื้อตรงหน้าปากซอยและของบ้านเรือนแถวนั้นถูกวางอยู่เรียงราย รูปที่รัตติกาลกำลังซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ที่มีเขาเป็นคนขับถูกมาร์คเวลาไว้ในขณะที่อีกรูปหนึ่งได้มาจากกล้องวงจรปิดจากร้านริมถนนอีกฝั่งที่ถ่ายขณะที่เขาทั้งคู่กำลังหนีตายจากคนร้าย
“หลังจากที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าได้ยินเสียงปืนทางตำรวจก็ออกตั้งด่านรอบหมู่บ้านแต่ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย เหมือนกับภาพที่ถูกบันทึกทางกล้องวงจรปิดเราก็ยังไม่เจอทั้งรถและคนที่มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนกับที่คุณว่าไป กล้องตัวสุดท้ายที่จับภาพคนร้ายได้อยู่ห่างจากบ้านของกาลไปประมานห้าร้อยเมตร แต่หลังจากนั้นไปก็ไม่มีกล้องตัวไหนบันทึกภาพคนร้ายไว้ได้อีกเลย”
ทั้งอารัณย์และนิลมีสีหน้าเครียดขึ้นอีกเมื่อได้ฟังดังนั้น ความหวังว่าจะตามตัวคนร้ายให้ได้ไวที่สุดขนาดว่าฤทธิชาติลงทุนทำหนังสือขอความร่วมมือกับชาวบ้านเรื่องกล้องวงจรปิด เพื่อใช้เป็นเบาะแสในการสืบสวนแต่กลายเป็นว่ามันก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี นักเขียนหนุ่มพยายามข่มความหงุดหงิดในใจให้ทุเลาลงก่อนจะถามฤทธิชาติถึงทางเลือกอื่นที่พวกเขาจะสามารถเข้าถึงตัวคนร้ายได้
“แล้วตอนที่คนร้ายขับรถเข้ามาล่ะ อย่างน้อยก็น่าจะจับภาพไว้ได้นิ”
“เราตรวจกล้องวงจรปิดย้อนหลังไปสองวันแต่ก็ไม่เห็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกัน ผมให้ยามของหมู่บ้านเข้ามาให้ปากคำด้วยเขาก็ยืนยันว่าทุกคนที่เข้าออกที่นั่นล้วนแต่เป็นคนที่เขาเคยเห็นหน้าทั้งนั้น แล้วที่สำคัญรถทุกคันจะต้องผ่านการตรวจบัตรก่อนถึงจะเข้าไปได้ เขายืนยันมาว่าอย่างนั้น”
“งั้นมึงจะบอกว่าไอ้เวรสองคนนั่นมันเป็นผีรึไง ตอนมาก็ไม่มีคนเห็น ขนาดขับรถไล่ยิงคนเสียงดังสนั่นก็ยังหายตัวไปดื้อๆขนาดว่าตำรวจทั้งกองยังหาไม่เจอ หึ ความปลอดภัยของคนประเทศนี้อยู่ที่ไหนวะ”
นิลพูดประชดขึ้นเมื่อมันเป็นอีกครั้งที่เขาได้รับคำตอบที่ไม่น่าพอใจจากคดีความทั้งหลายที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เรื่องวุ่นวายในบริษัทที่แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจมือฉมังแต่จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถสาวไปถึงตัวคนร้ายได้ แล้วนี่ถึงขนาดมีคนเอาปืนมาไล่ยิงเพื่อนของเขากลางหมู่บ้าน แต่กลายเป็นว่ามือปืนดันหายตัวไปเฉยๆทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
“ทางตำรวจเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ส่วนตัวผมก็ไม่อยากให้เกิดอันตรายขึ้นกับคุณกาลเหมือนกัน”
ฤทธิชาติไม่ได้พูดประชดแต่กลับเป็นนิลเสียเองที่หน้าเสียไปเมื่อร่างสูงพูดออกมาแบบนั้น ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะขอโทษออกมาเมื่อรู้ตัวว่าพูดแรงเกินไปทั้งที่เขาเองนั่นแหละเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าตำรวจกำลังทำงานกันหนักขนาดไหนเพื่อที่จะคลี่คลายเรื่องราวยุ่งเหยิงทั้งหมดนี่
“ถ้าอย่างนั้น...คนร้ายอยู่ที่ไหน”
อารัณย์จุดประเด็นขึ้นทำให้อีกสองคนกลับมาโฟกัสกับคดีตรงหน้า ร่างสูงไม่อยากด่วนสรุปว่าการลอบยิงครั้งนี้เกี่ยวกับการลักลอบขายข้อมูลของบริษัท แต่เขาก็ไม่เห็นว่ามันสามารถเบี่ยงไปที่ประเด็นอื่นได้อีก อารัณย์คิดถึงเรื่องราวของนทีที่รัตติกาลเล่าให้เขาฟัง เขาเชื่อว่ามันน่าจะมีประโยชน์ในแง่ของการเปิดมุมมองการสืบสวนใหม่ๆแต่อีกใจชายหนุ่มก็ไม่อยากนำเรื่องที่รัตติกาลไว้ใจเล่าให้เขาฟังไปบอกให้คนอื่นรู้ต่อโดยที่เจ้าตัวไม่อนุญาตเช่นกัน
“มันอาจจะไม่ได้ ‘หายไป’ อย่างที่เราว่าก็ได้”
ผู้หมวดหนุ่มทำลายความเงียบหลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขาประสานมือทั้งสองข้างไว้ตรงใต้คางพลางพินิจไปยังตัวเลขระบุวันที่เวลาบนภาพทุกใบ
“หมายความว่ายังไง?”
“ถ้าไม่มีใครเห็นตอนมันออกมา...ก็อาจแปลได้ว่าพวกมันยังอยู่ที่นั่น”
“...!!!”
ร่างสูงกำลังร่ายเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆตั้งแต่คำบอกเล่าของยามที่ยืนยันว่าไม่มีคนนอกเข้ามาในหมู่บ้านในช่วงสองวันก่อนเรื่อยไปจนถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับทันทีที่เสียงปืนนัดสุดท้ายดังขึ้น
อารัณย์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด ถ้าเป็นอย่างที่ฤทธิชาติสันนิษฐานก็แสดงว่าคนพวกนั้นคงวางแผนมาเป็นอย่างดีและเป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะมีแหล่งกบดานอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านพัฒนเดชาของรัตติกาล
“คนที่บ้านของรัตติกาลกำลังตกอยู่ในอันตราย”
นิลและฤทธิชาติพยักหน้ารับกับคำพูดของอารัณย์ นักเขียนหนุ่มขอตัวลุกไปโทรศัพท์เพื่อกำชับกับคนที่บ้านของรัตติกาลว่าห้ามออกไปไหนจนกว่าจะมีคนเข้าไปดูแล ในขณะที่ฤทธิชาติได้ติดต่อไปยังสถานีตำรวจเพื่อขอกำลังคนไปเฝ้าสังเกตการณ์รอบๆบริเวณบ้านและให้อีกส่วนสืบหาสถานที่หลบซ่อนของคนร้ายที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
“ตั้งแต่พรุ่งนี้กูจะไปรับส่งรพีที่โรงเรียน”
อารัณย์พูดขึ้นทันทีที่อีกสองคนกลับมานั่งประจำที่ของตนเอง ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนหวังจะเข้าไปเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดภาคเรียนใหม่ที่เขาสมควรได้ทำมันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำทันทีที่กลับจากส่งรัตติกาลเสร็จแต่ดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน นิลมองการกระทำและสีหน้าของอารัณย์อย่างไม่ชอบใจเล็กๆ
“แน่ใจหรอว่าอยากทำแบบนั้น”
“...!”
“กูว่ามึงรู้ดีอยู่แล้วนะรัณย์ ว่าสิ่งที่มึงอยากทำและที่ที่มึงอยากไปคือที่ไหน”
นิลพูดออกมาตรงๆไม่เล่นลิ้นอย่างเคยเมื่อเรื่องราวทำท่าจะรุนแรงกว่าที่เขาคิดมาก ความปลอดภัยของรพีเป็นสิ่งสำคัญ และเพราะว่าเป็นอย่างนั้นเขาจึงไม่อยากฝากชีวิตหลานไว้กับคนที่ไม่พุ่งความสนใจทั้งหมดมาที่รพี
อารัณย์นิ่งไปพลางเม้มปากเข้าหากันแน่น ความรู้สึกเป็นห่วงรพีไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ภาพที่ปรากฏอยู่ในหัวกลับเป็นใบหน้าตื่นตระหนกของรัตติกาลยามที่เสียงปืนดังไล่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกที แรงบีบรัดจากทางด้านหลังเหมือนกับว่าไม่คลายหายไปไหนจนอารัณย์เผลอจับสาบเสื้อของตัวเองที่รัตติกาลกำไว้แน่นขณะที่ซ้อนมอเตอร์ไซด์ของเขาอยู่ รวมไปถึงคำพูดที่อารัณย์ใช้ปลอบโยนรัตติกาลยังคงก้องอยู่ในหัว คำสัญญาที่ว่ามันจะไม่เป็นไร เราทั้งคู่จะต้องปลอดภัย...
“แต่กู...ทิ้งรพีไม่ได้”
“หลานคนเดียวกูดูแลได้ไม่ต้องห่วง แต่กูอยากถามอะไรสักอย่าง”
“...”
“มึงมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองแค่ไหนอารัณย์”
ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังคำถามของนักเขียนหนุ่มที่กำลังมองตาเขาด้วยดวงตาแววโรจน์คู่นั้น นิลไม่ได้โกรธเพียงแค่กำลังเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้อารัณย์ตอบคำถามนั้นด้วยความจริงใจไม่แพ้กัน
“กาลมันไม่ใช่คนที่พร้อมจะลุกขึ้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มลง ไม่ว่ามึงจะรัก สงสาร หรือเกลียดมัน กูก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น แต่กูขอแค่อย่างเดียว ถ้ามึงรู้สึกดีกับมันก็พยุงให้มันลุกขึ้นใหม่แล้วอย่าทำให้มันล้มลงอีก แต่ถ้าไม่...ก็ปล่อยมันไว้แบบนั้น ต่อให้มันร้องไห้คร่ำครวญแค่ไหนก็อย่ายื่นมือเข้ามาช่วย”
“...”
“อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ถ้ามึงทำไม่ได้...ก็ไปจากชีวิตมันซะ”
นิลลุกออกจากห้องไปโดยไม่อยู่ฟังคำตอบแม้ว่าอยากจะรู้แค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากบีบคั้นอารัณย์ให้ตอบคำถามทั้งๆที่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความสับสนเหมือนอย่างตอนนี้
“ทำให้นิลพูดเยอะขนาดนี้ได้ เก่งจังเลยนะครับ”
ฤทธิชาติหันมายิ้มให้คนที่นิ่งไปราวกับว่าถูกสาป อารัณย์ไม่แม้แต่จะเปรยตามองคนพูด เขาเดินกลับมาที่โซฟาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพลางกุมใบหน้าที่ร้อนผ่าวแล้วคิดถึงคำถามที่นิลทิ้งไว้ให้คิด
“พูดมากเกินไปแล้วต่างหาก”
“เอาน่า นิลก็แค่เป็นห่วงทุกคน ว่าแต่...เริ่มรู้สึกดีๆกับกาลเข้าแล้วหรอครับ”
อารัณย์หันกลับไปมองคนถามด้วยสีหน้าลำบากใจ ฤทธิชาติเห็นดังนั้นก็ไม่อยากจะกดดันเขาจึงถือวิสาสะลุกขึ้นไปชงกาแฟร้อนๆให้กับตัวเองและคนที่ยังสับสนแม้ว่ามันจะไม่เหมาะกับคนป่วยที่ต้องการพักผ่อนก็ตาม
“นิลอาจจะขอคุณมากไปสักหน่อย ถ้ายังทำไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองขนาดนั้นหรอกครับ”
“กูก็อยากทำให้ได้...แต่เพราะอะไรหลายๆอย่างกูถึงยังไม่กล้าตัดสินใจ”
“อะไรที่ว่านั่นคืออะไรล่ะครับ เรื่องอดีตของกาล...หรือใจของคุณเอง”
นายตำรวจหนุ่มว่าดังนั้นก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มด้วยท่าทางสบายใจต่างกับอารัณย์ที่แม้แต่น้ำรสขมของโปรดนี่ก็ไม่สามารถทำสงบจิตใจของตัวเองได้
“ทั้งสองอย่าง”
“อืม...ครึ่งๆกลางๆสินะ”
ฤทธิชาติหัวเราะร่วนแล้วเปิดทีวีดูข่าวในของเช้าวันใหม่ที่โลกภายนอกก็ยังคงวุ่นวายเหมือนเช่นที่เคยเป็น นายตำรวจหนุ่มหยุดฟังข่าวการกวาดล้างผู้ค้าไม้เถื่อนในหลายจังหวัดทางภาคเหนือด้วยความสนใจ ก่อนที่อารัณย์จะพูดขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจจนคนฟังสัมผัสได้
“กูเคยเกลียดรัตติกาลเพราะสิ่งที่มันทำกับรพี “
“ผมนึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องไปแล้วซะอีก”
“กูไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีอย่างมึง”
“ผมไม่เคยมองโลกในแง่ดี เพราะโลกนี้มันไม่ได้มีแต่ด้านดีๆสักหน่อย”
ฤทธิชาติยิ้มเย็นออกมาจนคนข้างๆสัมผัสได้ อารัณย์ยกกาแฟขึ้นดื่ม ปล่อยให้รสขมขืนบาดไปทั่วทั้งลำคอ
“การเอาความแค้นมาลงที่เด็ก ยังไงมันก็ไม่ถูกต้อง”
“ทุกการกระทำมีเหตุผลที่มา คุณอาจจะไม่ชอบใจมันแต่ก็ไม่มีใครสามารถตัดสินคนอื่นได้หรอกครับว่าสิ่งที่เขาทำมันถูกหรือผิด ทุกคนก็แค่คิดไปเองว่าตัวเราเองมีสิทธิที่จะทำแบบนั้น”
อารัณย์พูดไม่ออก เป็นจริงอย่างที่ฤทธิชาติว่านับวันเขายิ่งรู้สึกสงสัยในเหตุผลที่รัตติกาลฝืนทำตัวร้ายกาจกับรพีทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้มีความสุขจากการกระทำนั้นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งในระยะหลังที่ร่างโปร่งแสดงด้านอ่อนโยนกับรพีออกมามากขึ้นและดูเป็นธรรมชาติจนเขาเกือบลืมไปแล้วว่ารัตติกาลเคยประกาศกร้าวเอาไว้ว่าจะทำร้ายจิตใจของเด็กคนนั้น
ในขณะที่อารัณย์กำลังคิดหาเหตุผลให้การกระทำนั้น นายตำรวจหนุ่มก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขี้เล่นจนคนฟังเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน
“เมื่อกี้คุณพูดว่า ‘เคยเกลียด’ คุณกาล”
“...กะ ก็ใช่”
“แล้วตอนนี้ล่ะครับรู้สึกยังไง”
“ก็ไม่ได้เกลียดอะไรแล้ว...ถ้ากูเกลียดคงไม่ทำให้ขนาดนี้”
“งั้นผมขอถามใหม่”
“...?”
“คุณ รัก รัตติกาลรึเปล่า”
อารัณย์แทบจะสำลักกาแฟที่เพิ่งกินไปเมื่อได้ยินคำถามที่ชวนให้หัวใจกระตุกวูบ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดมุมปากที่น้ำรสขมไหลเลอะออกมาโดยมีสายตาของผู้หมวดหนุ่มมองมาอย่างล้อๆจนเขาต้องหลบตาแล้วหันไปมองดินมองฟ้าปิดบังความเขินอายไม่ให้ใครเห็น
“ถามเหี้ยอะไรของมึง มันผู้ชายนะเว้ย”
“ผู้ชายแล้วยังไงครับ คุณนิลก็เป็นผู้ชายผมยังจีบได้เลย”
“ก็นั่นมันมึง!”
“เอาน่า จูบก็จูบมาแล้วไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรเลย”
“ไอ้สัสชาติ! กูไม่ได้เล่าให้มึงเอามาล้อกูที่หลังนะเว้ย”
ร่างสูงชกเข้าที่แขนล่ำของเพื่อนที่หัวเราะร่าจนอารัณย์คิดว่าห้องข้างๆคงกำลังด่าพ่อล่อแม่เขาอยู่เป็นแน่ ฤทธิชาติชูมือทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่อขอยอมแพ้แต่กว่าร่างสูงจะยอมหยุดนายตำรวจหนุ่มก็รู้สึกเจ็บแปลบๆที่ต้นแขนพอสมควรเลย
“เอาเป็นว่าคุณยกเรื่องเพศมาอ้างกันผมไม่ได้ คร่าวนี้จะตอบผมได้รึยังว่ารู้สึกยังไงกับกาลกันแน่”
“กู...กูไม่รู้ว่ะ”
อารัณย์เกาท้ายทอยเก้อๆ เขาหันไปมองทีวีที่เปิดทิ้งไว้หวังสงบหัวใจที่กำลังเต้นรัวยามที่ได้ฟังคำว่ารักที่ฤทธิชาตพูดถึง ไม่ใช่ว่าไม่เคยถามตัวเองว่าเขาคิดยังไงกับรัตติกาล เพียงแต่ทุกครั้งที่นึกถึงคำนี้ เขาก็มักจะเลิกคิดถึงมันเพราะลึกๆแล้วอารัณย์เองก็ยังไม่มีความมั่นใจในอะไรหลายๆอย่าง แล้วก็เพราะว่ามันทำให้เขารู้สึกว่ากำลังควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนอย่างเคย
“กาลมันไม่ได้เป็นคนอย่างที่กูเคยคิดไว้เลย ร้ายกาจ...แต่บางครั้งกูก็รู้สึกเหมือนว่ามันพยายามจะทำตัวเองให้ดูเป็นอย่างนั้น ทั้งที่ความจริงมันก็เป็นคนธรรมดาติดออกจะมีลูกบ้าหน่อยๆด้วยซ้ำ กูมีความสุขนะที่เห็นมันเป็นแบบนั้น จนบางทีกูก็คิดว่ากูแม่งเหมือนคนบ้า ชอบแกล้งให้มันอารมณ์เสียแล้วค่อยทำให้อะไรให้มันอารมณ์ดีที่หลัง มันเอือมกูจะแย่แต่กูก็ชอบที่จะทำแบบนั้นอยู่ดี”
“อืม...บ้าจริงๆด้วย”
อารัณย์ตวัดตาขึ้นมองฤทธิชาติอย่างไม่พอใจที่โดนขัด จนอีกคนหัวเราะเบาๆออกมาเพราะเห็นสีแก้มที่แดงระเรื่อของชายหนุ่ม
“...กูหงุดหงิดเวลามันพูดถึงคนอื่นต่อหน้ากู แล้วกูก็หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมตอนที่กาลมันทำเหมือนไม่แคร์เลยว่ากูจะรู้สึกยังไง”
“...”
“น่าขำใช่ไหม ทั้งที่เคยบอกว่าเกลียดมันแต่ตอนนี้กูเป็นห่วงมันแทบบ้า อยากปกป้อง อยากเป็นที่พึ่งให้มันได้บ้างแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่มันจะยอมลงให้กูอย่างที่มันลงให้คนอื่น บางทีกูก็คิดว่าถ้าเรากลับไปเกลียดกันอย่างเก่ามันคงดีกว่า ต่อให้เขาไล่ ต่อให้บอกว่ากูเป็นคนนอก...กูคงไม่รู้สึกเสียใจอย่างนี้”
“ เราต่างก็เป็นคนนอกสำหรับคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองกันทั้งนั้นแหละครับ แต่แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะหยุดอยู่ตรงเส้นที่กาลเขาขีดขั้นไว้ หรือจะก้าวข้ามไปหาเขาด้วยตัวเอง”
ฤทธิชาติยกยิ้มจริงใจให้พลางตบลงบนบ่าข้างที่โดนยิงของอารัณย์จนเจ้าตัวสะดุ้งโหย่ง ชายหนุ่มหัวเราะกับอาการนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบเอาแก้วกาแฟทั้งสองใบที่ว่างเปล่ามาถือไว้แล้วพูดกับอารัณย์ในขณะที่ล้างมันไปด้วย
“ถ้าสิ่งที่ทำให้คุณลังเลคืออดีตของกาลและใจของคุณเอง ทำไมไม่ลองเลือกแค่อย่างเดียวแล้วคิดทบทวนดูใหม่อีกครั้งล่ะครับ”
“เลือก...มึงจะให้กูเลือกระหว่างรพีกับรัตติกาลหรอวะ”
“ก็ไม่ใช่ว่าจะให้ไม่ดูดำดูดีกันเลยหรอกครับ ผมแค่อยากให้คุณให้โอกาสตัวเองบ้างเท่านั้น คุณไม่ใช่ฮีโร่นะอารัณย์...ถ้าแบกมันไม่ไหวบางครั้งก็ต้องตัดใจทิ้งมันไปซะบ้าง”
“...”
“ไม่จำเป็นต้องเลือกสิ่งที่คิดว่าสำคัญหรือดีกว่า แค่เลือกสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขที่สุดก็พอ เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อเรามีความสุข...นั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุด”
“ความสุข...งั้นหรอ”
อารัณย์หวนคิดถึงคำพูดที่เขาเคยบอกกับรพีไว้เรื่องความสุขของตัวเองแต่ช่างน่าขันที่กลายเป็นว่าเขากลับลืมมันไปซะได้
ชายหนุ่มก้มมองฝ่ามือทั้งสองข้างอยู่ครู่หนึ่ง เขานึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มของรพี และรอยยิ้มที่หายไปของรัตติกาลที่เขาปรารถนาจะทำให้มันเบ่งบานขึ้นอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถทำมันได้ดีแค่ไหน เขาไม่ได้เก่งกาจขนาดว่าสามารถเปลี่ยนใจใครได้เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมันคงเปลี่ยนไปนานแล้ว
ถ้าเกิดเขาทิ้งรัตติกาลแล้วเลือกที่จะปกป้องรพี รัตติกาลก็คงทำตามแผนที่วางไว้แล้วทำลายเราทั้งหมดไปพร้อมๆกับความแค้นที่ไม่มีวันมอดดับลง แต่ถ้าเกิดเขาเลือกรัตติกาลและทอดทิ้งให้รพีรับมือกับสิ่งที่ไม่ได้ก่อเพียงลำพังอนาคตของเด็กคนนั้นจะเลวร้ายแค่ไหนเขาก็ไม่อาจจินตนาการได้
ภาพของตัวเขาในอดีตซ้อนทับขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บแปลบทั้งหัวใจ อารัณย์ยังคงจำคำสาปแช่งของมารดาที่มอบมันให้กับเขาได้เหมือนว่าเรื่องทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เขาหลับตาลงพยายามเก็บความทรงจำเลวร้ายนั้นไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ วินาทีนี้อารัณย์ไม่รู้เลยว่าเขาควรเลือกใคร สิ่งเดียวที่เขารู้คือเขาอยากจะเห็นรอยยิ้มของคนทั้งคู่...นั่นคือสิ่งเดียวที่เขามั่นใจ
“กูเลือกไม่ได้ว่ะ...ไม่ว่าจะรพี หรือรัตติกาล กูไม่อยากทิ้งใครไปทั้งนั้น”
“ก็นะ คิดอยู่แล้วว่าคุณต้องเลือกแบบนี้”
นายตำรวจหนุ่มยักไหล่ทำท่าราวกับว่ารู้คำตอบของอารัณย์อยู่แล้ว
“...กูตัดสินใจแล้ว”
“หืม?”
“ถ้าแค่คนใดคนหนึ่งมีความสุข กูคงไม่สามารถเรียกมันว่าความสุขจริงๆได้เพราะฉะนั้นกูจะทำทุกอย่างเพื่อให้ทั้งรัตติกาลและรพีมีความสุข เพื่อที่สักวันหนึ่ง...กูจะมีความสุขไปพร้อมๆกับสองคนนั้น”
“...ครับ”
“การที่กูเลือกแบบนี้...มันผิดไหมวะ”
ฤทธิชาติระบายยิ้มแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถโฟล์คที่อยู่ในกระเป๋าเป้ของอารัณย์ยื่นให้ผู้เป็นเจ้าของพร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กที่เขียนแผนที่และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของบ้านพักที่เขาจัดการให้รัตติกาลไปซ่อนตัวอยู่ในเวลานี้
“อย่างที่เคยบอกไม่มีใครมีสิทธิตัดสินคนอื่นได้หรอกครับว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดหรือว่าถูกต้อง สิ่งที่เดียวที่ผมพอจะทำได้ คืออวยพรขอให้คุณและพวกเขาได้พบความสุขที่แท้จริงอย่างที่หวังนะครับ”
อารัณย์รับมันมาด้วยสีหน้าที่ดีกว่าเดิม หัวใจเขาเต้นสงบขึ้น พายุที่วิ่งวุ่นอยู่ข้างในค่อยๆคลายตัวลงกลายเป็นสายลมพลิ้วไหวที่ทำให้เขาอยากจะไปอยู่ในที่ที่หัวใจเรียกร้องอย่างที่นิลว่า
“ฝากบอกนิลด้วย...ว่ากูจะไปหากาล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับรพีหรืออยากให้ช่วยอะไรก็โทรตามกูได้ทันที”
“ครับ ผมจะบอกให้”
“ส่วนมึงก็พยายามเข้าล่ะ ทั้งเรื่องมือปืนกับเรื่องที่บริษัท...จับตัวคนที่จ้องจะทำร้ายรัตติกาลออกมาให้ได้”
“แหม พอเริ่มรู้ใจตัวเองเข้าหน่อยนี่ออกโรงปกป้องกันเต็มที่เลยนะครับ”
“ไม่ต้องมาแซวกูเลย เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ไอ้นิลมันยังไม่ตอบตกลงคบมึงเป็นแฟนไม่ใช่รึไง”
“อีกไม่นานหรอกครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก ห่วงตัวเองดีกว่า เมื่อกี้นิลกระซิบบอกผมว่าเด็กของกาลที่อยู่หอนี้น่ารักใช่ย่อยเลย”
“ห่า เลิกพูดเรื่องไอ้เด็กนั่นเลย”
“ฮ่าๆ คิดยังไงแสดงออกทางสีหน้าหมดเลยนะครับ”
ฤทธิชาติหัวเราะร่าเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของอารัณย์ยามพูดถึงคู่แข่งอีกคนที่สร้างความหวั่นใจให้ร่างสูงไม่น้อย พี่เลี้ยงหนุ่มส่ายหัว เขาเข้าไปจัดกระเป๋าเดินทางใบใหม่ก่อนจะเดินออกมาโดยถือโทรศัพท์ไว้ในมือ
“กูไปแล้วนะ จะออกไปเมื่อไหร่ก็ล็อคห้องให้ด้วยแล้วกัน”
“ครับ ว่าแต่จะตรงไปหากาลเลยรึเปล่า”
“อืม แต่ก่อนอื่น...กูต้องจัดการเรื่องนั้นก่อน”
อารัณย์กระชับกระเป๋าในมือแล้วเดินจากไปพร้อมกับเป้าหมายใหม่ที่ทำให้หัวใจเต้นรัว เบอร์โทรศัพท์สิบหลักถูกกรอกลงไปก่อนที่เขาจะกดต่อสาย ชายหนุ่มฟังเสียงสัญญาณอยู่สักพักก่อนอีกฝ่ายจะกดรับในจังหวะเดียวกับที่เขากำลังก้าวขึ้นรถแท็กซี่โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่บ้านไม้ริมคลองซึ่งมีรัตติกาลผู้กำลังสนุกสนานกับวิถีชีวิตชาวบ้านอาศัยอยู่
:t3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :t3:
-
“กินเยอะๆนะพ่อรัณย์ หอยนี่กาลเขาไปเก็บมาเองเชียวนะ สดๆทั้งนั้น”
“จริงหรอยาย งั้นผมขอเติมข้าวอีกหน่อยแล้วกัน”
รัตติกาลมองคนที่ใช้มือเพียงข้างเดียวพยายามตักข้าวใส่จานด้วยท่าทางทุลักทุเลเสียจนยายพิศทนมองไม่ได้ต้องเข้ามาช่วย อารัณย์ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มเล็กๆตรงมุมแก้ม ชายหนุ่มพยายามยกมือขอบคุณแต่ก็โดนยายแก่บอกปัดเสียยกใหญ่ ตาไทยที่นั่งจิบเหล้าขาวอยู่ใกล้ก็หัวเราะร่าออกมาก่อนจะอัดยาเส้นหอมเข้าปอด
ร่างโปร่งเห็นรอยยิ้มของทั้งสามคนในที่นี่แล้วรู้สึกสงบใจกว่าที่คิดทั้งๆที่หนึ่งในนั้นเพิ่งทำให้เขาเสียน้ำตาโดยไม่ได้ตั้งใจ รัตติกาลตักแกงแดงเข้าปากแล้วหันไปมองวิวโดยรอบไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในวงสนทนาแต่อย่างใด จนคนที่พยายามเอาใจคนแก่อยู่อย่างอารัณย์อยากจะลุกข้ามฝั่งมาหาแต่ติดที่ว่าทำอย่างนั้นไม่ได้
“แล้วนี่พ่อรัณย์จะค้างถึงวันไหนจ๊ะ ยายจะได้เตรียมข้าวให้ถูก”
“จัดการให้ผมเหมือนกาลเลยยาย...เขากลับเมื่อไหร่ผมก็กลับ”
“อ้าว นี่รู้จักกันหรอ ถึงว่าเดินออกไปคุยกันเสียนาน”
หญิงแก่พูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจเช่นเดียวกับรัตติกาลที่ตวัดสายตาขึ้นมองคนขี้ตู่อย่างไม่ชอบใจนัก ร่างโปร่งพยายามเคี้ยวข้าวในปากให้หมดเพื่อปฏิเสธคำกล่าวอ้างของอารัณย์ แต่ร่างสูงก็ชิงพูดขึ้นก่อนเพราะรู้ดีว่ารัตติกาลกำลังจะทำอะไร
“ครับ เห็นกาลบอกว่าที่นี่บรรยากาศดีมากผมเลยขอมาเที่ยวด้วย”
“จริงหรอจ๊ะ แหม ขอบใจมากเลยนะพ่อกาล ถ้ารู้ก่อนยายจะได้เตรียมตัวต้อนรับให้ดีกว่านี้”
“มะ ไม่เป็นไรครับ”
รัตติกาลรับคำอย่างเสียไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าดีใจของยายพิศที่เข้าใจไปว่าได้ลูกค้าเพิ่มเพราะการบอกต่อของรัตติกาล ร่างโปร่งหันไปจ้องอารัณย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขม็ง ฝ่ายร่างสูงเองเมื่อเห็นสายตาที่รัตติกาลมองมาก็ยิ้มอ่อนอย่างชอบใจ เป็นอย่างที่บอกฤทธิชาตินั่นแหละ...เขามันเหมือนคนบ้าจริงๆ
“ถ้ารู้จักกันก็ดีแล้ว คืนนี้นอนด้วยกันจะได้ไม่ลำบากใจ”
“อะไรนะครับ!?”
ทั้งสองคนตะโกนออกมาพร้อมกันแต่สีหน้าต่างกันสิ้นเชิงเสียจนตาไทยที่เป็นคนจุดประเด็นได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย รัตติกาลพยายามเก็บสีหน้าไม่พอใจทันทีที่รู้สึกตัวว่าเผลอแสดงท่าทางไม่สมควรออกไปขณะที่อารัณย์ยังคงยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อโอกาสที่จะได้พูดจาปรับความเข้าใจกับรัตติกาลมาถึงเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ร่างโปร่งมองคนที่ไม่คิดจะเก็บอาการอย่างนึกหมั่นไส้ เขาตัดสินใจยื่นมือเข้าไปใต้โต๊ะแล้วหยิกลงบนผิวเนื้อต้นขาแข็งๆเพื่อให้อีกคนเก็บอาการ แต่กลายเป็นว่าอารัณย์กลับยิ้มกว้างกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มเพียงแค่โอดครวญเบาๆไม่ได้นึกโกรธเคืองแต่อย่างใด
“อู้ย... เออ คือ มีปัญหาอะไรหรอครับ”
“พื้นอีกห้องมันไม่ค่อยดีน่ะ ตาเองก็ลืมไปเลยยังไม่ได้ซ่อม ขอให้เจ้ารัณย์ไปนอนด้วยสักคืนได้รึเปล่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ตาจะตามเด็กมันมาซ่อมให้”
ตาเฒ่าพูดตอบอารัณย์ก่อนจะหันไปถามรัตติกาลในท้ายประโยคแต่ร่างโปร่งกลับทำสีหน้าลำบากใจเมื่อได้ยินคำขอที่เขาไม่กล้าปฏิเสธเช่นนั้น จนอารัณย์ที่ลอบมองอยู่ต้องพูดขัดขึ้น
“ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกตา ให้ข้างล่างก็ยังไหว ติดก็แค่เกรงใจกาลเขา”
อารัณย์หมายความตามที่พูด ถึงแม้จะดีใจแต่เขาก็นึกเกรงใจร่างโปร่งอยู่ไม่น้อย วินาทีแรกที่เห็นรัตติกาลกำลังก้มลงล้างหอยแครงอย่างขะมักเขม้นทำให้อารัณย์ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินทางมาถึงที่นี่
รัตติกาลดูมีความสุขอยู่กับสถานที่และช่วงเวลาหยุดนิ่งต่างจากความเป็นจริงที่ความวุ่นวายกำลังทำลายความสงบสุขของพวกเขาอย่างช้าๆ เรื่องของมือปืนที่ไม่มีความคืบหน้าทำให้อารัณย์กังวลไม่น้อย เพราะอย่างนั้นเขาจึงอยากให้รัตติกาลมีความสุขมากที่สุดในช่วงเวลาที่ยังยิ้มออกได้ ก่อนที่พายุร้ายลูกนั้นจะหวนกลับมาทำร้ายทุกคนอีกครั้ง
ร่างโปร่งพินิจมองกริยาของอารัณย์ที่กำลังตอบผู้เฒ่าทั้งสองด้วยท่าทางติดจะเกรงใจจริงๆไม่ได้ทำประชดแต่อย่างใด เรื่องพื้นไม้อีกห้องที่พุพังเขาก็เห็นมันเองกับตาในตอนที่เข้าไปทำความสะอาดภายในบ้านจึงแน่ใจได้ว่าไม่ใช่แผนการของร่างสูงที่หวังจะทำตัวรุ่มร่ามกับเขาอีก
พอคิดถึงตรงนี้รัตติกาลก็รีบหยิกแขนของตัวเองด้วยเพราะตกใจกับความคิดที่คาดการณ์ไปไกลเกินกว่าจะเป็นจริง แม้ความอบอุ่นที่อารัณย์มอบให้ในชั่ววินาทีนั้นยังคงสร้างแรงสั่นไหวในหัวใจเขาได้อยู่แต่รัตติกาลก็ไม่อยากเก็บมันมาคิดมากไปกว่านี้ เหมือนกับในอดีตที่เคยเป็นมา
“ให้เขานอนห้องผมสักคืนก็ได้ครับ...ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันอยู่แล้ว”
รัตติกาลตอบตาไทยกลับไปก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวของตัวเองต่อแม้รสชาติมันจะไม่อร่อยอย่างเคยแล้วก็ตาม อารัณย์มองคนที่ตอบรับคำขอนั้นด้วยสีหน้าอ่านยากอย่างไม่เข้าใจ รัตติกาลที่ดูผ่อนคลายกลายเป็นเงียบขรึมขึ้นอีกจนแม้แต่ตายายทั้งสองยังรู้สึกได้ถึงท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
อารัณย์วางกระเป๋าเป้ใบเขื่องของตัวเองลงตรงมุมห้องขนาดกลางที่มีเตียงไม้สักถูกครอบอยู่ใต้มุ้งสีขาวหลังใหญ่ที่เขาเห็นมันครั้งสุดท้ายตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กๆ เขาเดินไปเปิดหน้าต่างปล่อยให้ลมทะเลพัดพากลิ่นเกลืออ่อนๆเข้ามาพอทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ ไม่นานนักรัตติกาลก็เดินเข้ามาในห้องก่อนจะหยิบของใช้จำเป็นและเสื้อผ้าตัวใหม่ออกไปโดยไม่หันมาพูดกับร่างสูงสักคำ
ฝ่ายรัตติกาลเองเมื่อได้สิ่งของที่ต้องการแล้วก็ลงมือขัดเนื้อขัดตัวล้างดินเลนที่ยังมีติดอยู่ตามตัวออกไปอย่างไม่รีบร้อน ด้วยหวังสงบความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวให้บรรเทาลงก่อนจะต้องกลับไปใช้ห้องร่วมกับอารัณย์จริงๆเป็นครั้งแรก ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่ใช้ห้องนอนซึ่งอยู่ในห้องทำงานของบริษัทโดยที่อารัณย์อาศัยโซฟารับแขกในห้องทำงานหลับนอนเท่านั้น
เขาไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดจะมารู้สึกเขินกับความใกล้ชิดแบบนี้ แต่เพราะกำลังรู้สึกกังวลกับคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายที่ทิ้งไว้ให้ต่างหากที่ทำให้รัตติกาลต้องจัดการกับจุดยืนและความรู้สึกของตัวเองให้ชัดเจนก่อนที่อะไรๆจะสายเกินแก้ เสื้อยืดตัวบางและกางเกงเลสีเขียวแก่ถูกผูกลงบนเอวบางอย่างแน่นหนา ร่างโปร่งเดินออกมาจากห้องน้ำก่อนจะนำเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วไปแช่ใส่กะละมังไว้รอเวลาที่จะลงมาซักมันในตอนเช้าของอีกวัน
ชายหนุ่มเดินกลับไปยังห้องนอนที่อารัณย์กำลังจัดแจงสัมภาระของตัวเองอย่างเก้กังๆเพราะแขนที่เจ็บจนรัตติกาลอดที่จะถอนหายใจแล้วถามออกไปไม่ได้
“ให้ช่วยไหม”
“ไม่เป็นไร กาลนอนเถอะ เห็นยายเล่าว่าลงไปงมหอยมาทั้งวัน”
“...จะกลับไปพูดเหมือนเดิมก็ได้นะ ถึงจะเคยพูดว่าอยากให้เปลี่ยนแต่จริงๆแล้วมันก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น ผมไม่ได้ถืออะไร”
“จำเป็นสิ อย่างน้อยก็กับผม”
“...”
“เข้านอนซะ ไม่ต้องห่วงผมจะนอนพื้นข้างล่างเอง”
“ฝืนตัวเองเกินไปแล้วอารัณย์ คุณไม่ควรทำตัวแบบนี้”
“...”
“มันไม่มีประโยชน์หรอก”
“ไม่มีประโยชน์...งั้นสินะ”
รัตติกาลมองรอยยิ้มแกนๆของอารัณย์ก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่นจนกระทั่งเสียงปิดประตูไม้ดังขึ้นเขาจึงย้ายร่างของตัวเองมานั่งลงบนเตียงหลังใหญ่ที่ต่อให้มีอารัณย์มานอนด้วยก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก
“ไอ้นิลมันต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ”
ร่างโปร่งหยิบเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กที่ไร้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ยากแก่การตามตัวที่ฤทธิชาติจัดการหาไว้ให้ต่อสายถึงเบอร์โทรศัพท์เบอร์ใหม่ของนิลที่เปิดใช้เพื่อการนี้เช่นเดียวกัน เขารอสายอยู่สักพักก่อนที่เสียงของเพื่อนรักเคล้าด้วยดนตรีบรรเลงแผ่วๆจะดังขึ้นให้ได้ยิน
“ว่าไงไอ้กาล”
“ทำไมอารัณย์ถึงมาที่นี่ได้”
“มันถึงแล้วหรอวะ เร็วดีเหมือนกันนี่”
“นิล...กูซีเรียส ไหนเราตกลงกันแล้วว่าจะไม่ให้อารัณย์เข้ามาเอี่ยวอีก”
“มึงกับชาติต่างหากที่ตกลงกันเองไม่เกี่ยวกับกู”
“...กูไม่สนว่าความผิดใคร แต่พวกมึงต้องมาพามันกลับไปซะ”
“มันมาของมันเองก็ให้มันหาทางกลับเองสิวะ อีกอย่างมึงก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะกาล ว่ามันไปที่นั่นเพราะอะไร”
“...ก็เพราะรู้ไงถึงต้องให้กลับ”
นิลได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาจากปลายสายจนเขาสามารถจินตนาการสีหน้าลำบากใจของเพื่อนตัวเองได้ไม่ยากนัก หนึ่งเรื่องที่เขาไม่ได้บอกกับอารัณย์คือความใจแข็งของรัตติกาลที่แม้แต่ตัวเขาก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าสามารถพูดให้ร่างโปร่งเปลี่ยนใจได้ และก็ดูเหมือนว่ารัตติกาลจะตั้งกำแพงที่กั้นระหว่างตัวเองและอารัณย์ไว้สูงโข แค่คิดก็เหนื่อยแทน
“เอาน่ะ มันอยากทำอะไรก็ให้มันทำ กูเป็นห่วงไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียวเลยยุมันไปนิดหน่อย ไม่ใช่ว่ากูคิดจะประเคนมันใส่พานไปถวายมึงสักหน่อย”
“ถ้าเป็นห่วงจริงขอเป็นปืนสักกระบอกก็พอ ส่งคนเจ็บมาจะช่วยอะไรได้”
“อย่างน้อยมึงก็มีที่ระบาย ด่ามันไปเยอะๆเดี๋ยวก็กลับไปเองแหละ”
“หึ ถ้าเป็นได้แบบนั้นก็ดี”
“ว่าแต่โทรมาเหวี่ยงกูแบบนี้แสดงว่ามันทำอะไรให้มึงอารมณ์เสียอีกแล้วสิ”
“...”
“ไม่ตอบแสดงว่าทำจริง มันปล้ำมึง?”
“ปล้ำเหี้ยอะไรล่ะ แม่ง...แค่นี้นะกูจะนอนแล้ว”
“ฮ่าๆ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะเพื่อน อย่าเสียรู้เด็กไปซะก่อนล่ะ”
“เด็กบ้าอะไรมันยี่สิบเจ็ดแล้วเหอะ”
“อ้าวหรอวะ...เออๆช่างแม่ง เรื่องคดีถ้ามีอะไรคืบหน้าเดี๋ยวกูติดต่อไปอีกที”
“อืม ขอบใจมาก งานถ้าทำไม่ไหวก็ส่งให้กูทำที่นี่แล้วกัน”
“พักผ่อนไปเหอะสัด ขาดทุนบ้างจะเป็นไรไป แค่นี้นะ”
รัตติกาลส่ายหัวกับคำพูดคนปลายสายในจังหวะเดียวกันนั้น ประตูไม้ก็เปิดขึ้นพร้อมกับการกลับมาของอารัณย์ที่มีสภาพดูไม่จืดต่างจากตอนที่เดินออกไป ผมสีดำขลับเปียกชุ่มจนเสื้อยืดสีขาวนวลลู่ลงจนเห็นแผงอกสมชาย เช่นเดียวกับผ้าพันแผลตรงต้นแขนข้างขวาที่โดนน้ำจนเสียรูปร่างทำเอารัตติกาลอยากหันไปด่าคนที่ไม่รู้จักระวังตัวเอง
“ยังไม่นอนอีกหรอ”
“ไฟเปิดโร่ขนาดนี้ผมคงหลับลงมั้ง”
“อ่า...ขอโทษที ขอทำแผลแปปเดียวเดี๋ยวดับไฟให้”
อารัณย์ว่าดังนั้นก่อนจะเดินไปที่มุมห้องแล้วเริ่มจัดการแผลด้วยตัวเองอย่างที่ปากว่า รัตติกาลมองท่าทางเร่งรีบนั้นอย่างไม่ชอบใจมากนัก ทันทีที่ร่างสูงดึงผ้าก็อตที่ใช้ปิดแผลออกเขาก็เห็นเนื้อแดงๆที่มีรอยช้ำเขียวอยู่รอบๆ
“อูยยย”
ร่างสูงครวญครางอยู่คนเดียวเพราะเผลอลงแรงมือมากไปจนต้องสะดุ้งสุดตัว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำแผลต่อสำลีในมือก็ถูกแย่งไปพร้อมกับเสียงถอนหายใจของรัตติกาลที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“พอเลย ผมทำให้เอง”
“แต่...”
“นั่งไปเฉยๆ”
อารัณย์นั่งนิ่งเพราะเสียงที่คล้ายกับจะออกคำสั่ง เขาพินิจใบหน้าของคนที่ทำให้ใจเต้นรัวใกล้ๆ ไม่สนใจแม้แต่ความรู้สึกแสบยิบๆยามที่ยาล้างแผลถูกป้ายลงไปอย่างระมัดระวัง รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตากับอารัณย์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกันไปให้ความสนใจกับแผลต่อพยายามไม่นึกภาพและความทรงจำหวานอมขมที่อีกฝ่ายมอบไว้ให้ที่ริมน้ำนั้น ร่างโปร่งจึงไม่ทันเห็นว่าคนที่ทำให้เขาต้องว้าวุ่นใจถึงเพียงนี้กำลังระบายยิ้มอ่อนเมื่อสังเกตเห็นริ้วแดงบนผิวแก้มของรัตติกาล
“โตจนป่านนี้ไม่รู้รึไงว่าไม่ควรให้แผลโดนน้ำ”
“ไม่ทันระวังน่ะ ใช้มือซ้ายตักอาบมันไม่ถนัด”
“ถ้าอย่างนั้นจะมาลำบากที่นี่อยู่ทำไม กลับไปเถอะ ผมดูแลตัวเองได้”
“ไม่ล่ะ...ผมก็ดูแลตัวเองได้เหมือนกัน”
มือที่กำลังควานหาผ้าพันแผลถูกคว้าไว้ด้วยมืออีกข้างของอารัณย์ที่มองมาด้วยสายตาตัดพ้อจนรัตติกาลใจสั่น
“ถ้าอยากจะทำดีด้วยเพื่อให้ผมกลับไปก็ไม่ต้อง ผมทำเองได้”
“...อย่ามางี่เง่านะอารัณย์”
“ผมก็คงงี่เง่าอย่างที่กาลว่า เพราะอย่างนั้นก็ทำใจไว้ได้เลย ว่าต่อให้กาลใช้วิธีไหนผมก็จะไปกลับถ้าเกิดไม่มีกาลกลับไปด้วย”
“...”
“ผมจะไม่ทิ้งกาลไว้ที่นี่คนเดียว”
อารัณย์คลายมือของรัตติกาลที่เขากอบกุมไว้ลงก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาเตรียมพันแผลด้วยตัวเอง เขาพยายามยึดชายผ้าด้านหนึ่งเอาไว้ด้วยคางก่อนจะพันมันไปรอบๆอย่างเก้กังๆโดนแผลบ้างไม่โดนแผลบ้างจนรัตติกาลต้องกลายเป็นฝ่ายคว้ามือของอารัณย์มาจับไว้เพื่อให้ชายหนุ่มหยุดการกระทำนั้น
“พอ ให้ผมทำแผลให้คุณจนกว่าจะเสร็จเถอะ”
“ไม่ต้อง”
“ไม่ได้จะไล่...แต่คุณได้แผลนี้มาก็เพราะผม”
“...ป่าวเลยกาล ผมได้แผลนี้มาเพราะคนร้ายพวกนั้นต่างหากไม่ใช่คุณ”
“...”
“เลิกโทษตัวเองซะ ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น แล้วผมก็ยังไม่ตาย...ผมยังหายใจอยู่กาล”
ร่างสูงยอมนั่งนิ่งให้รัตติกาลทำแผลให้แต่โดยดี แม้มีเรื่องมากมายอยากจะพูดแต่คนทั้งสองก็ปล่อยให้ความเงียบเป็นสิ่งที่ปกคลุมอยู่รอบๆตัวพวกเขา อารัณย์หลับตาลงพยายามรวบรวมความคิดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัวเพื่อหาคำพูดที่ดีที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะช้ากว่า
“ขอบคุณนะ”
“...!”
“ที่ปกป้องผม...ขอบคุณจริงๆ”
รัตติกาลนั่งนิ่งแม้ว่าเขาจะจัดการบาดแผลของอารัณย์เสร็จแล้ว ใบหน้าที่เคยติดจะเย็นชาหันหนีไปทางอื่นปล่อยให้อีกคนจ้องมองตัวเขาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขที่เห็นได้ทางหางตา อารัณย์กำลังยิ้ม ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะใช้มือข้างที่เจ็บยกขึ้นลูบเบาๆบนกลุ่มผมนิ่มนั้นแล้วตอบรับคำของรัตติกาลด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นยิ่งกว่าแสงจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ
“ไม่เป็นไร...ผมยินดีเสมอ”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
หายไปหลายวัน โดนทวงบานเลย หุหุ (รู้สึกดีมีคนรอเราด้วย) :hao5: มาอัพให้แต่เช้า ตื่นมาเขียนตอนตีสามเพิ่งเสร็จคับ งานเยอะมาก กำลังจะกลับชลบุรีแล้ววันนี้ ตอนต่อไปมาเมื่อไหร่จะบอกนะคับ ส่วนตอนนี้อาจจะปวงๆไปบ้างขอโทษด้วย (มันปวงตามคนเขียน) :hao7:
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ พอเขาเริ่มหวานกันเลยมีคนดี๊ด๊ามากขึ้นเช่ก็ดีใจ^^ (ทอล์คสั้นเพราะเช่ง่วง) :t3:
-
มาแล้ว ปักๆๆๆ เย็นนี้มาอ่านต่อจ๊ะ :katai2-1:
-
หวานกันแบบเบาๆ :o8:
-
เหมือนกาลกำลังจะใจอ่อน แต่ก็ไม่น่า...
จากคำที่นิลทิ้งท้ายไว้ แต่ก็ไม่แน่
:hao3: มาจิ้มคุณคนเขียน
ขอให้เดินทางปลอดภัยค่ะ ^^
แล้วจะรอติดตามชมตอนต่อไปค่ะ
-
อ่านแล้วจ้า หวานกันเบาๆ โมเม้นทำแผลอารัณย์ขี้งอนได้อีก ขอหวานอีกเยอะๆให้สมกับที่ช้ำกันมานานนะค่ะ
ทั้งเรื่องงานเรื่องนิยาย เราเป็นกำลังใจให้
-
มันจะดีขึ้นเรื่อยๆสินะ
-
30th Night
…Begin again...
รัตติกาลชอบทำอาหาร...แต่เกลียดการจ่ายตลาด
ใบหน้าหวานคมที่ปกติติดจะเฉยชากลับบูดบึ้งมากกว่าทุกครั้ง ผู้คนที่เดินสวนกันไปมาบนทางเดินไม้แคบๆซึ่ง ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้ บ้างก็วางอยู่กับพื้นทำให้เขาต้องระวังไม่เผลอไปเหยียบของของชาวบ้านเข้าแม้ว่ามันจะทำได้ยากก็ตามที
“กาล ไหวไหม”
เสียงทุ้มของอารัณย์ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผิวกายกร้านแดดเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬทำให้รัตติกาลอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าคนเจ็บจะเป็นลมไปเสียก่อนเพราะแม้แต่เขาเองก็แทบแย่แล้วเหมือนกัน
พี่เลี้ยงหนุ่มมองรัตติกาลด้วยความสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายมองเขานิ่งๆ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร คนที่เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจ้องอารัณย์นานเกินไปก็พยักหน้าแทนคำตอบก่อนจะเดินต่อไปข้างหน้าโดยมีชายหนุ่มผู้ที่แขนข้างขวามีผ้าสีขาวพันเอาไว้อย่างเรียบร้อยเดิมหลังไปอย่างเงียบๆ
“มา ผมถือให้”
อารัณย์พูดพร้อมกับชี้ไปยังตะกร้าหวายใบใหญ่ที่มีเนื้อหมูและผักบางชนิดอยู่ในนั้น รัตติกาลมองตะกร้าที่ยังหนักไม่มากสลับกับแขนข้างที่เจ็บของร่างสูงแล้วส่ายหัวอย่างระอาในความดื้อดึงของอารัณย์ที่ขยันหาเรื่องลำบากใส่ตัวทั้งที่ยังเจ็บอยู่
“ไม่เป็นไร มันไม่ได้หนักมาก”
ร่างสูงพยักหน้ายอมรับในคำปฏิเสธนั้น ถึงแม้จะยอมรับว่าตัวเอง สนใจ รัตติกาลแต่เขากลับไม่เคยมองว่าอีกฝ่ายเหมือนผู้หญิงจนต้องออกตัวเทคแคร์ทุกอย่างเหมือนที่คนอื่นทำ
ชายหนุ่มเหลือบมองเสี้ยวหน้าชื้นเหงื่อของรัตติกาลพลางพิจารณาถึงข้อแตกต่างระหว่างร่างโปร่งและผู้ชายคนอื่นที่อยู่รอบตัวเขา แต่เขากลับหามันไม่เจอ แม้จะมีใบหน้าที่ติดออกหวานแต่มันกลับทำไม่ทำให้รัตติกาลดูตุ้งติ้งแต่อย่างใด อีกทั้งการวางตัวที่ดูน่าภูมิฐานยิ่งเสริมให้อีกฝ่ายดูดีเสียจนชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านมาหันมามองกันเป็นแถว
“ผมว่าจะทำไข่พะโล้ไปเยี่ยมตาไทยซะหน่อย”
รัตติกาลพูดขึ้นขณะนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตนเองต้องมาเดินในตลาดที่คลาคล่ำด้วยผู้คนชวนให้เวียนหัว เมื่อเช้าหลังจากตื่นนอนได้ไม่นาน ‘เข้ม’ เด็กที่อยู่บ้านติดกับยายพิศได้เดินมาหาเขาที่บ้านพร้อมกับตะกร้าหวายใบนี้และคำขอโทษจากหญิงที่ไม่สามารถจัดการเรื่องอาหารการกินให้อย่างที่เคยรับปากเอาไว้
“ตาลื่นในห้องน้ำเมื่อเช้า ยายเลยต้องพาไปโรงพยาบาล”
ร่างโปร่งเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยิน ณ เวลานั้นเขาลืมเรื่องปากท้องของตัวเองไปจนหมดสิ้น พยายามถามอาการและทางไปโรงพยาบาลกับเด็กชายตัวเล็กที่ถึงแม้จะอยู่ในวัยที่โตกว่ารพีแต่ร่างกายกับแคระแกรนจนทำให้ขนาดตัวไม่ต่างกันมาก
เข้มพยายามบอกให้รัตติกาลใจเย็นลงพอดีกับที่อารัณย์เดินลงมาจากชั้นสองร่างสูงจึงได้โอกาสเข้ามาปลอบรัตติกาลให้ใจเย็นลงแล้วรับฟังเรื่องราวที่เหลือจากปากของเด็กชายซึ่งยืนยันว่าตาไทยไม่ได้อาการหนักเพราะก่อนจะล้มลงไปแกคว้าขอบโอ่งไว้ได้ทันจึงไม่ทำให้หัวฟาดพื้น
แต่เพราะความเป็นห่วงยายพิศจึงบังคับสามีให้ไปตรวจอาการที่โรงพยาบาล ด้วยเหตุนี้รัตติกาลจึงสงบใจลงได้แต่ก็ไหว้วานเด็กชายให้รีบมาบอกเขาทันทีหากสองเฒ่านั้นเดินทางกลับมาจากโรงพยาบาล
“ก็ดีนะ ไข่ช่วยบำรุงร่างกายได้”
อารัณย์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะคิดถึงบรรดาเมนูไข่ที่เขาเคยจัดสรรให้รัตติกาลกินตลอดช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกัน รัตติกาลหันกลับมามองคนที่เดินตามหลังอย่างสงสัยเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังคลอมา มุมปากกยกได้รูปเสริมให้ใบหน้าคมเข้มดูอ่อนโยนขึ้นถนัดตา อารัณย์เลิ่กคิ้วมองอีกฝ่ายแทนคำถามว่าหันมาทำไม แต่รัตติกาลไม่ตอบแถมยังพูดเรื่องที่เถียงกันตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านออกมาแทน
“ความจริงคุณไม่ต้องมาด้วยก็ได้”
“ก็ไม่เป็นไร เดินตลาดแค่นี้เอง”
“แต่แผลคุณยังไม่หายดี มาเดินในที่แบบนี้เดี๋ยวก็ติดเชื้อเข้าหรอก”
“คุณพันแผลให้ผมดีกว่าพยาบาลอีก อย่าว่าแต่เชื้อโรคเลย อากาศยังเข้าไปไม่ได้เลยมั้ง”
อารัณย์แกล้งพูดแซวออกมาจนรัตติกาลเผลอคิ้วกระตุกด้วยความไม่ชอบใจ อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่มากนัก ติดแค่ที่ว่ารัตติกาลพันผ้าให้เขาเสียแน่นจนดูเหมือนอารัณย์มีแผลฉกรรจ์ทั้งที่ความจริงแล้วแผลโดนปืนถากก็ไม่ได้รุนแรงมาก ไม่ต้องเย็บแผลเลยด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มมองใบหน้าบูดบึ้งนั้นอย่างเอ็นดูถึงแม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าก็ตาม ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นขยี้กลุ่มผมนั้นเบาๆตามที่ใจคิด แต่ก็โดนรัตติกาลปัดมันออกแทบจะทันทีจนอารัณย์ต้องหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ฮ่าๆ เอาน่า ยังไงผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”
ถึงอารัณย์จะตอบไปแบบนั้นแต่ความจริงนั้นเป็นเพราะยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของรัตติกาลอยู่ไม่น้อย เมื่อคืนขณะที่เขากำลังจะไปอาบน้ำ ฤทธิชาติได้ส่งข้อความบอกความคืบหน้าสั้นๆมาให้ว่าทางตำรวจกำลังจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดในหมู่บ้านย้อนหลังเพิ่มเติม แต่นั่นก็ยังทำให้เขาไม่สามารถวางใจได้อยู่ดี
“แล้วงานคุณล่ะ วันนี้เปิดเทอมแล้วไม่ใช่หรอ”
“อืม แต่แขนเป็นอย่างนี้ยังไงก็กลับไปทำงานไม่ได้อยู่ดี”
อารณย์ยกแขนข้างที่เจ็บขึ้นให้รัตติกาลดู
“...ผมขอโทษด้วยแล้วกัน ถ้ากลับไปผมจะเข้าไปคุยกับทางโรงเรียนให้”
ร่างสูงมองรัตติกาลที่มีสีหน้ากังวลอยู่ไม่น้อย เขาถอนหายใจก่อนจะระบายยิ้มอ่อนออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของรัตติกาล ที่เจ้าตัวมักจะเผลอแสดงมันออกมาเสมอโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ไม่เป็นไร ได้อู้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
อารัณย์ว่าดังนั้นก่อนจะปล่อยให้รัตติกาลเดินซื้อของต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ได้ขัดอะไร จนกระทั้งร่างโปร่งเดินมาหยุดตรงร้านขายไข่ที่แม่ค้าซึ่งเป็นยายแก่ๆกำลังคุยเรื่องละครหลังข่าวอยู่กับคนขายผักแผงข้างๆอย่างถึงพริกถึงขิงเสียจนรัตติกาลต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อนแทน
“ยายครับ ไข่พวกนี้ขายยังไงครับ”
“อ้าว แปปนึงนะลูก...ไหนๆ...อ่อ ไข่เป็ดขายตะกร้าละร้อยยี่สิบจ๊ะ”
ยายแก่ที่กำลังคุยอยู่อย่างสนุกสนานรีบหันกลับมาบอกราคาก่อนจะยิ้มให้ลูกค้าคนหนุ่มทั้งสองเสียจนเห็นฟันที่เปลี่ยนเป็นสีดำเพราะยางของหมาก
“งั้นผมเอาตะกร้านึงครับ เก็บไว้ได้นานไหมยาย”
“นานลูก เป็ดไก่พวกนี้หลานยายมันเลี้ยงไว้เองไม่ได้รับมาจากเจ้าอื่น ไข่นี่ก็เพิ่งเก็บมาเมื่อเช้า ไม่ต้องใส่ตู้เย็นก็เก็บได้เป็นอาทิตย์”
รัตติกาลพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะยื่นตะกร้าหวายที่ยายพิศทิ้งไว้ให้อีกฝ่ายลำเลียงไข่พวกนั้นลงไปแทนการใช้ทุกพลาสติก แม้จะเป็นลูกค้าแต่รัตติกาลก็ทรุดตัวนั่งยองๆกับพื้นแล้วช่วยหยิบไข่ใส่ตะกร้าด้วยเช่นกัน อารัณย์ที่มองรัตติกาลอยู่ก่อนจากทางด้านหลังจึงตัดสินใจลงมาช่วยบ้างทั้งที่ใช้มือไม่ถนัดเลยโดนร่างโปร่งหันมามองหน้าอย่างตำหนิ แต่อารัณย์ก็ทำทีเป็นไม่ใส่ใจ
“เดี๋ยวผมทำเอง”
“ไม่เป็นไร ผมอยากช่วย”
“แต่...”
“เอาน่า หิวแล้ว จะได้เสร็จเร็วๆไง”
“มาเที่ยวกันหรอลูก ยายไม่เคยเห็นหน้าเลย”
ยายแก่ถามขัดขึ้นขณะที่มองดูรัตติกาลและอารัณย์เถียงกันไปแย่งงานของเธอทำไปด้วยความรู้สึกเอ็นดู พี่เลี้ยงหนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบพลางพูดด้วยน้ำเสียงติดจะอ้อนๆเหมือนกับที่ใช้คุยกับยายพิศ
“ครับ มาพักอยู่บ้านยายพิศตรงฝั่งนู้น”
“อ่อ ถึงว่าไม่คุ้นหน้าเลย แล้วนี่จะมาพักกันกี่วันละลูกถึงซื้อไข่ไปเยอะเชียว”
“ยังไม่แน่ใจครับ ขอพักให้เหนื่อยก่อนแล้วค่อยกลับ”
“แล้วมาเที่ยวกันสองคนหรอลูก หรือมากับเมีย”
รัตติกาลที่นั่งฟังอารัณย์พูดคุยกับยายคนนั้นอยู่เงียบๆเงยหน้าขึ้นมามองทันทีที่ได้ยินขณะที่ร่างสูงกลับหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างชอบใจเสียจนแม่ค้าแถวนั้นหันมามองกันเป็นแถบ
“หัวเราะทำไมลูก มีอะไรรึเปล่า”
“ฮ่าๆ เปล่าครับๆ แล้วก็...ผมยังไม่มีเมียนะครับ แต่คนนี้มีแล้ว”
อารัณย์ตอบพลางชี้ไปยังรัตติกาลที่ยังนั่งงงอยู่ให้งงมากขึ้นไปอีก ร่างสูงนำนิ้วชี้มาวางไว้ตรงริมฝีปากเพื่อขอให้รัตติกาลยังไม่ต้องพูดอะไร โดยที่แม่ค้าขายไข่เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่าออกมาด้วยความพอใจ
“จริงหรอ แล้วอยากมีเมียไหม หลานสาวยายมันเพิ่งจะจบปวช.มา งานบ้านทำได้ทุกอย่าง สวยเหมือนยายสมัยสาวๆเลยนะ สนใจไหมล่ะ”
ยายแก่เสนอขึ้นเพราะพอใจในรูปลักษณ์และบุคลิกท่าทางของอารัณย์อยู่ไม่น้อย นึกเสียดายก็แต่พ่อรูปหล่ออีกคนที่ดันมีเมียไปก่อนแล้วแต่นั่นก็ทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างพึงใจได้อยู่ดี โดยไม่รู้เลยว่าพี่เลี้ยงหนุ่มคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นอีหรอบนี้ จึงชิงตัดสะพานไม่ให้ยายสาวไปถึงรัตติกาลได้เสียก่อน
“สวยเหมือนยายเลยหรอ อืม...”
รัตติกาลหันมามองร่างสูงที่ทำหน้าคิดหนักสงสัยว่าอารัณย์คิดจะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก โดยที่เขาเองก็เผลอระบายยิ้มอ่อนๆออกมาอย่างชอบใจ
“น่าสนใจนะครับ แต่...ผมมีคนที่กำลังตาม จีบ อยู่ คงจะดองกับยายไม่ได้”
ร่างสูงหันมาสบตากับรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้ยายเฒ่าที่ทำสีหน้าเสียดายอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่อีกคนหุบยิ้มทันทีที่ได้สบกับนัยน์ตาดำขลับคู่นั้น
“น่าเสียดายจริง แต่เอ๊ะ...บอกว่าจีบแสดงว่ายังไม่ได้เป็น ผัวเมีย กันใช่ไหม”
เธอทักขึ้นทันทีที่นึกขึ้นได้ สีหน้าผิดหวังเมื่อครู่ดูมีประกายความหวังขึ้นอีกครั้งแต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น อารัณย์ก็ดับฝันของหญิงแก่ลงอีก
“ครับ...แต่อีกไม่นานหรอก”
“แต่มันก็ไม่แน่ไม่ใช่หรอ มาเอาหลานยายดีกว่าไม่ต้องจีบ เอาไปได้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ของแบบนี้บังคับกันไม่ได้ ผมว่าหลานยายเองก็คงอยากอยู่กับคนที่ตัวเองรัก...ผมเองก็เหมือนกัน”
ยายแก่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินดังนั้นแล้วไม่คิดจะตอแยอะไรอีก เธอแถมไข่ให้ทั้งคู่อีกจำนวนหนึ่งก่อนจะบอกลากัน ขากลับจากตลาดอารัณย์เป็นฝ่ายถือตะกร้าที่มีของใส่อยู่เต็มผิดกับตอนขามาโดยที่รัตติกาลไม่แม้แต่จะห้ามหรือพูดอะไรออกมาสักคำหลังจากที่เขาบอกกับแม่ค้าขายไข่ไปอย่างนั้น
“เป็นอะไรรึเปล่า”
พี่เลี้ยงหนุ่มถามขึ้นขณะที่เขาสองคนเดินไปถึงตีนสะพานข้ามคลองที่มีผู้คนอยู่ไม่มากนัก รัตติกาลไม่ตอบ อีกฝ่ายแค่เดินช้าลงจนอารัณย์เดินตามมาทันทำให้ร่างสูงสามารถเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจของรัตติกาลได้
“อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ”
จู่ๆก่อนที่พวกเขาจะก้าวขึ้นบันไดไม้ไปรัตติกาลก็พูดขึ้นพร้อมกับหันมาสบตากับอารัณย์อย่างขอร้อง ถ้าเป็นเมื่อก่อนร่างสูงคงรู้สึกสนุกที่ตัวเองสามารถทำให้ภูเขาน้ำแข็งอย่างรัตติกาลสั่นไหวได้แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาเองนั่นแหละที่กลัวคำพูดของรัตติกาลเหลือเกิน
“พูดอะไร”
“อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้...ผมบอกแล้วใช่ไหมว่ามันไม่ตลก”
“...ผมเองก็บอกแล้วว่าไม่ตลกเหมือนกัน”
รัตติกาลถอนหายใจ ไม่ชอบใจทั้งสถานการณ์ตอนนี้และตัวเองที่หวั่นไหวไม่เข้าเรื่อง ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าไม่รู้สึกดีที่อีกฝ่ายทำดีด้วย ยิ่งกับอารัณย์ที่ครั้งหนึ่งเคยชิงชังกันถึงขั้นเกือบเป็นศัตรูพอสงบศึกกันได้มันทำให้เขาพอใจอยู่ไม่น้อย เขายังจำได้ดีว่าหัวใจที่เจ็บปวดดวงนี้มันเต้นแรงแค่ไหนตอนที่ถูกปกป้อง แต่มันก็ไม่มากเท่ากับการเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆที่ร่างสูงทำให้จนรัตติกาลรู้สึกตัวว่าเคยชินกับมันไปเสียแล้ว
และมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย...
“ผมว่าคุณกำลังสับสน เราคงใกล้ชิดกันมากเกินไปเพราะเรื่องคดี...แต่มันก็แค่นั้น มันไม่มีอะไรเลยอารัณย์...คุณก็แค่คิดไปเองว่าสนใจผม”
ร่างโปร่งตัดสินใจพูดออกมาตรงๆโดยไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะกล่าวหาว่าเขาหลงตัวเอง รัตติกาลไม่ใช่เด็กอมมือที่จะดูไม่ออกว่าสิ่งที่อารัณย์พูดกับยายแก่คนนั้นหมายถึงเขา แน่นอนว่าหัวใจของเขาเต้นแรงแต่ในขณะเดียวกันมันก็อึดอัดเสียจนเขาทนเก็บมันต่อไปไม่ไหวแล้ว
อารัณย์มองดูสีหน้าลำบากใจของรัตติกาลด้วยหัวใจที่ปวดแปลบ รู้อยู่แล้วว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายกำแพงหนานั้นเข้าไปแต่พอวิ่งชนมันเข้าจังๆเขาก็เจ็บจนแทบอยากจะถอยหลังกลับมาเหมือนกัน เพราะสำหรับเขา...การยอมรับความรู้สึกตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายพอๆกับการทำให้คนตรงหน้าเชื่อใจเขา
“ถ้าผมบอกไปกาลจะเชื่อรึเปล่าล่ะ...ความรู้สึกของผมน่ะ”
“...!”
“ผมรู้ว่ากาลคงไม่เชื่อ เพราะผมเองก็แทบไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกัน”
ชายหนุ่มยิ้มให้คนที่มองมายังตนเองด้วยความตะลึงงัน เขายื่นตะกร้าไปให้รัตติกาลถือไว้ก่อนจะใช้แขนข้างที่ไม่เจ็บออกแรงดึงให้รัตติกาลเดินตามกันมายังอีกฝั่งของสะพานไม้ที่ไร้ผู้คน มีเพียงแค่แมวจรจัดสองสามตัวที่นอนขดอยู่ตามกระถางต้นไม้อย่างเกียจคร้านเท่านั้น
“ผมไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน”
อารัณย์เปิดประเด็นขึ้นอีกครั้งทันทีที่แผ่นหลังของทั้งคู่เอนลงบนม้านั่งตัวยาวที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ร่างสูงมองไปยังคลองสายเล็กที่อีกฝากฝั่งเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ช่างน่าแปลกใจที่คนที่เขากำลังนั่งอยู่ข้างกายเขาตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยชิงชังกันจนน่าขัน...คนที่เขาไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งจะกลายมาเป็นคนที่เขาปรารถนาจะมอบความรู้สึกที่บีบรัดอยู่ในอกนี้ให้
“ผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความรักแบบนี้ ต่อให้ถามคนอื่นมันก็เหมือนนิทานที่ผมเข้าไม่ถึง ผมเคยสงสัยนะ ว่าผู้ชายอย่างเราเราจะรักกันเองได้ยังไงในเมื่ออีกคนมีทุกสิ่งเหมือนเราหมดทุกอย่าง สิ่งที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อกันและกันน่ะ...ผมไม่เคยเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้”
“...”
“เอาจริงๆผมก็มองไม่ออกหรอกว่ากาลแตกต่างจากผู้ชายคนอื่นตรงไหน กาลไม่ได้เหมือนผู้หญิง ไม่มีแม้แต่จริตจะก้านที่น่าจะทำให้ผมหวั่นไหวได้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่...ที่ผมเริ่มรู้สึกดีกับการที่มีกาลอยู่ใกล้ๆ”
“ความรักกับความรู้สึกดี...ไม่เหมือนกันหรอกนะ”
รัตติกาลเค้นยิ้ม เขาอ้างถึงคำพูดที่เคยมอบมันให้กับนทีเมื่อนานมาแล้ว และมันก็เป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีวันลืมอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะถ้ารัตติกาลลืมมันคงซ้ำรอยเดิมกับการที่เขาหลอกตัวเองว่าการทำดีของนที...คือความรัก
“นั่นสินะ...แต่ความรักมันก็รู้สึกดีไม่ใช่หรอ”
“...!”
“มันอาจจะใช่ความรัก...หรือไม่ใช่อย่างที่กาลว่า แต่อย่างน้อยตราบเท่าที่ความรู้สึกนี้ทำให้เราทั้งคู่รู้สึกดี มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ”
“....”
“ถึงวันนี้กาลอาจจะยังไม่เชื่อผม แต่สักวันหนึ่งเราทั้งคู่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกนี้คืออะไร...มาพิสูจน์ไปด้วยกันได้รึเปล่า”
อารัณย์คว้ามือของรัตติกาลมากุมไว้พร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาดำวาวคู่นั้นอย่างสื่อความหมาย อยากทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงสิ่งที่ลอยฟุ้งอยู่ในหัวใจของเขา เหมือนกับที่เขาอยากจะแน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน
ใบหน้าคมเข้มของอารัณย์เคลื่อนเข้าไปมาใกล้จนรัตติกาลสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดอยู่บนผิวแก้ม ร่างโปร่งเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในตาคู่นั้น ในยามนี้รัตติกาลช่างดูอ่อนไหว ภาพตัวเขาในตอนนี้เป็นภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว ร่างโปร่งยกมือขึ้นคว้าชายเสื้อของอีกฝ่ายมากำไว้ อยากจะผลักออก แต่ใจเจ้ากรรมกลับไม่ยอมฟังคำเตือนจากอดีตอันเลวร้ายที่บอกให้ล่าถอยออกมา
อย่าฟังเขานะกาล...คำพูดพวกนั้นก็แค่คำโกหก
อย่ามองเขานะกาล...ความอ่อนโยนพวกนั้นก็แค่การแสแสร้ง
อย่าเชื่อเขานะกาล...ถ้าเรารักเขา...สุดท้ายเราก็ต้องเจ็บอีกครั้ง
ดวงตาของรัตติกาลสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาปกปิดความรู้สึกกลัวเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปจนอารัณย์ที่มองอยู่ยังรู้สึกได้
“คุณทำแบบนี้...เพราะรพีใช่ไหม”
“...!!”
“คุณกลัวว่าผมจะทำลายลูก คุณกลัวว่ารพีจะไม่มีความสุข คุณไม่ได้...!!”
อารัณย์ปิดปากที่กำลังเอ่ยสิ่งที่ไม่น่าฟังลงด้วยปากของตัวเอง รัตติกาลพยายามขัดขืนแต่แรงบีบทีท้ายทอยกลับทำให้เขาขยับศีรษะได้ไม่มากเท่าที่ใจคิด อารัณย์ไม่ได้หลับตาลงเช่นเดียวกับรัตติกาล ดวงตาคู่นั้นมันช่างดุดันและปวดร้าวในคราวเดียวกันจนร่างโปร่งไม่อาจทนมองมันได้ เขาหลับตาลงแล้วรองรับสัมผัสจาบจ้วงจากคนที่โกรธฉุนด้วยความไม่เต็มใจ แต่ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งก็ยังนึกสังเวชตัวเองไม่น้อยเพราะเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกดีกับมัน
ร่างสูงผละริมฝีปากของตัวเองออกมาก่อนจะกลับเข้าไปใหม่พร้อมกับปลายลิ้นหยุ่นที่แทรกเข้าไปเกี่ยวรัดก่อนเนื้อนุ่มของรัตติกาลเป็นจังหวะ เขาลูบไปตามผิวกายที่แดงระเรื่อเพราะไอแดดและอุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้น ฟันคมขบกัดเบาๆไปตามกลีบปากสีชาดจนเจ้าของมันสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจแต่อารัณย์ก็ไม่คิดที่จะหยุดมัน
“อือ อารัณย์ ปล่อย!”
“อย่าพูดแบบนี้อีก!”
“หยุดนะ ผมเจ็บ!”
“ผมเจ็บกว่าคุณอีกกาล รู้บ้างรึเปล่า!”
รัตติกาลพยายามหลบตาที่มองมายังตนอย่างตัดพ้อ นั่นเป็นเพราะเขาเองก็รู้ว่าตัวเองได้ดูถูกความรู้สึกของอารัณย์ไปอย่างไม่น่าให้อภัย แต่เพราะความกลัวที่ส่งเสียงเตือนอยู่ในหัวทำให้เขาเลือกที่จะดักทางอีกฝ่ายออกไปแบบนั้นแม้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก
“ผมเป็นห่วงรพีก็จริง แต่ผมจะไม่มีวันใช้คุณเป็นเครื่องมือแบบนั้น!”
“...”
“ผมจะปกป้องรพี และผมก็จะปกป้องคุณด้วย ผมเลือกคุณทั้งคู่ ทั้งคุณและลูกของคุณ...ผมจะไม่ทิ้งใครไปทั้งนั้น”
“แต่คุณจะรักผมได้ยังไง...ในเมื่อผมเองที่ทำเลวแบบนั้น”
“...!”
“คนที่ใช้รพีเป็นเครื่องมือแบบผมน่ะ คุณรักไม่ลงหรอก”
รอยยิ้มของรัตติกาลตอนนี้มันไม่น่าดูสักนิด รอยยิ้มที่เย้อหยันตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลทำให้อารัณย์ต้องตะกรองกอดอีกฝ่ายไว้แน่น แม้แผลที่ต้นแขนจะเจ็บจนเหมือนกับว่ากำลังจะปริแตก
ร่างสูงลูบเบาๆไปบนแผ่นหลังที่สั่นน้อยๆของรัตติกาล เขาทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของผู้คนที่เริ่มมองมายังเขาทั้งคู่ด้วยความสงสัย ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนพวกนั้นจะเรียกสิ่งที่พวกเขากำลังทำว่าอะไร คนเดียวที่เขากำลังให้ความสำคัญคือคนที่พยายามร้ายกาจอย่างถึงที่สุด แต่ตอนนี้รัตติกาลที่แสนเย็นชาคนนั้นกลับกำลังร่ำไห้เงียบๆ มีเพียงแค่ร่างที่สั่นและสัมผัสเปียกชื้นบนบ่าเท่านั้นที่ทำให้อารัณย์รู้ว่ารัตติกาลอ่อนแอแค่ไหน
“คุณทำผิด แต่คุณไม่ได้เป็นคนเลว”
“...!”
“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่สั่งให้คุณทำร้ายรพีแบบนั้น แต่ผมเชื่อว่าจริงๆแล้วคุณรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด...แก้ไขมันนะกาล คุณเข้มแข็งมากที่สามารถยอมรับความผิดของตัวเองได้ ขอแค่เข้มแข็งอีกนิดแล้วเปลี่ยนมันซะ”
“...”
“ผมเชื่อว่าคุณทำได้...เริ่มต้นกันใหม่นะกาล”
:hao7:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao7:
-
“ขอบใจมากนะจ๊ะ จริงๆไม่ต้องลำบากทำมาให้ก็ได้”
ยายพิศหันมาขอบอกขอบใจแขกทั้งสองเสียยกใหญ่ทันทีที่รัตติกาลเดินถือหม้อใบโตเข้ามาพร้อมกับอารัณย์มีขนมหวานเล็กๆน้อยๆที่ซื้อจากตลาดอยู่ในมือ ร่างสูงแยกตัวไปพูดคุยกับตาไทยในมุมหนึ่งตามประสาคนเจ็บด้วยกัน จึงมีเพียงยายพิศและรัตติกาลเท่านั้นที่กำลังจัดแจงอาหารต่างๆอยู่ในครัว
“ยายไปพักสักหน่อยก็ดีนะครับ เดี๋ยวกาลทำให้เอง”
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ ช่วยกันนี่แหละจะได้เสร็จเร็วๆ อยากชิมพะโล้ฝีมือพ่อกาลจะแย่แล้ว”
ยายแก่พูดไปยิ้มไปจนรัตติกาลต้องอมยิ้มตามอย่างอดไม่ได้
“ไม่รู้ว่าจะพอกินได้รึเปล่านะครับ ไม่ได้ทำนานแล้วเหมือนกัน”
“แค่นี้ก็เก่งแล้วล่ะจ๊ะ หลานยายไม่มีใครทำเป็นสักคนแม้แต่ผู้หญิงก็เถอะ เขาบอกว่ามันทำยาก เอะอะก็ซื้อกินข้างนอกเอาไม่เสียเวลา”
“กาลเองก็ไม่ค่อยได้ทำหรอกครับ แต่ตอนเด็กๆคุณป้าที่บ้านชอบให้ฝึกมือบ่อยๆ กลัวผมจะได้กินของไม่ถูกปากถ้าต้องอยู่คนเดียว”
“ดีแล้วแหละพ่อกาล มีเสน่ห์ปลายจวักแบบนี้สาวๆเขาชอบกันนักนะ”
ยายพิศพูดแซวคนหนุ่มให้ได้เขินโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองได้เหยียบกับระเบิดเข้าอย่างจัง ผิวหน้าของรัตติกาลร้อนผ่าว ภาพความทรงจำตรงม้านั่งริมสะพานย้อนกลับมาในหัว ร่างโปร่งนึกตำหนิตัวเองที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดเมื่อได้ปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจออกไปให้อารัณย์ได้ฟัง
ชายหนุ่มกอดเขาไว้แน่นโดยไม่พูดอะไรอีกจวบจนมีเสียงนักท่องเที่ยวกำลังเดินผ่านสะพานมานั่นแหละพวกเขาทั้งคู่ถึงได้รู้สึกตัวแล้วพากันกลับมายังบ้านเช่าท่ามกลางอากาศร้อนจัดและมือที่จับกันไว้ไม่คลายลงไป
“พะโล้พ่อกาลนี่รสกลมกล่อมใช้ได้เลยนะ ไม่หวานไปไม่เค็มไป”
รัตติกาลได้สติเมื่อหญิงแก่พูดขึ้นหลังจากที่ตักน้ำพะโล้ที่เขาทำขึ้นมาชิมเสียช้อนใหญ่ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยิ้มอ่อนอย่างพอใจจนพลอยทำให้รัตติกาลยิ้มกว้างภูมิใจในฝีมือตนเอง
“ตากับยายแก่แล้วน่ะครับ ผมกับอารัณย์เลยไม่อยากทำรสจัดมาก”
“กำลังดีเลยจ๊ะ ดีแล้วแหละที่ทำแบบนี้ นี่หมอก็บอกให้เพลาๆเค็มหวานลงหน่อยเหมือนกัน ความดันชักจะสูงขึ้นทุกที”
ร่างโปร่งยืนยิ้มฟังยายพิศพูดไปเรื่อยทำให้นึกถึงตอนที่เขาลงมือต้มพะโล้เมื่อบ่าย ผิดกับหญิงแก่ อารัณย์ไม่ได้พูดมากตอนที่เขากำลังเข้าครัว ร่างสูงทำเพียงแค่คอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆเสียจนเขาหยิบจับอะไรไม่ถนัด สุดท้ายก็ทนไม่ไหวอารัณย์เลยโดนเขาไล่ให้ไปนั่งปอกเปลือกไข่อยู่อีกมุมขณะที่รัตติกาลเป็นคนจัดการใส่เครื่องเทศต่างๆลงในหม้อที่มีหมูสามชั้นถูกหั่นเป็นชิ้นหนาลอยอยู่เต็มไปหมด
รัตติกาลไม่รู้ว่าควรตอบรับคำพูดของอารัณย์ยังไง ความรู้สึกที่ถูกเหมือนโดนอ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่งทำให้เขาไม่คุ้นชินเลยสักนิด ทั้งที่คิดมาตลอดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กที่ทำทุกอย่างไปตามอารมณ์ แต่วันนี้ความคิดความอ่านหลายอย่างของอารัณย์กลับทำให้เขานิ่งอึ้งไปได้เหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องของรพี
ในตอนที่เขาทยอยนำไข่เป็นต้มสุกใส่ลงในหม้อพะโล้ อารัณย์ก็ส่งโทรศัพท์ให้เขาคุย ตอนแรกรัตติกาลคิดว่าเป็นนิลที่โทรมาเรื่องคดีไม่ก็เรื่องที่ทำงานแต่ทันทีที่โทรศัพท์แนบหู เสียงฮึดฮัดน้อยๆของรพีก็ดังมาตามสายให้ได้ยิน
“พ่อกาลอยู่ไหน...”
รัตติกาลยิ้มไม่ออก เสียงที่ติดจะน้อยใจเอามากๆของเจ้าตัวป้อมทำเอาใจที่พองฟูเมื่อครู่หายไปจนหมด อารัณย์เดินมาแย่งทัพพีในมือเขามาถือไว้เองแล้วจัดการพะโล้หม้อใหญ่แทนรัตติกาลโดยไม่พูดอะไรออกมา
“รพี...”
“ไหนพ่อกาลบอกว่าจะกลับมาอยู่กับพีแล้วไง”
“พ่อ...ขอโทษครับ”
เขาหลับตาลงไม่อยากให้น้ำตาไหลออกมา แต่เสียงที่สั่นน้อยๆของรัตติกาลก็ทำให้อารัณย์ต้องละมือมาโอบไหล่กว้างของร่างโปร่งไว้พร้อมกับจูบเบาๆตรงกลางกะหม่อมโดยที่รัตติกาลอ่อนแอจนไม่สามารถปฏิเสธสัมผัสนั้นได้
“...แล้วเมื่อไหร่พ่อการจะกลับบ้าน พีเหงา พีคิดถึงพ่อ”
“พ่อไม่รู้ครับ...ไม่รู้จริงๆ”
ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับ รัตติกาลเองก็เหนื่อยล้ากับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดเสียจนอยากใช้ชีวิตเงียบๆเหมือนกับเมื่อก่อนสมัยที่ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรมากมายแบบนี้ เขาอยากกลับบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยมีพ่อและแม่รออยู่แม้ว่าวันนี้จะไม่มีแล้วก็ตาม
“พีครับ นี่น้ารัณย์นะ”
อารัณย์แย่งโทรศัพท์มาคุยเองเลยทำให้จำเป็นต้องปล่อยมือที่โอบรัตติกาลไว้ไปแทน แต่ร่างสูงก็ยังคงอยู่ใกล้ๆคนที่เอาแต่ก้มหน้าอย่างไร้หนทาง
“น้ารัณย์หรอฮะ ทำไมน้ารัณย์อยู่กับพ่อกาลล่ะ!?”
“รพีใจเย็นๆนะ ฟังน้าพูดก่อนนะครับ”
“...ฮะ”
“ตอนนี้มีคนรอจะทำร้ายพ่อของพีอยู่ ทำให้น้ากับพ่อเรากลับไปตอนนี้ไม่ได้”
รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบตากับอารัณย์ทันทีที่อีกฝ่ายตัดสินใจบอกรพีไปตรงๆแบบนั้น ร่างโปร่งสับสน เขาไม่อยากให้รพีรู้แม้ว่าร่างป้อมจะยังเด็กมากจนไม่เข้าใจคำพูดของอารัณย์เลยก็ตาม
“ทำร้ายพ่อกาล? มีคนจะแกล้งพ่อหรอฮะ?”
เด็กชายพยายามประติดประต่อเรื่องราวในแบบที่ตัวเองเข้าใจซึ่งนั่นก็ทำให้อารัณย์ยิ้มออกมาอย่างพอใจในความฉลาดของรพี
“ครับ คนไม่ดีพวกนั้นจ้องจะแกล้งพ่อกาลของพีอยู่”
“ใครฮะ พีจะไปฟ้องคุณครู!”
“น้าก็ไม่รู้ครับ แต่น้าฟ้องอาชาติไปแล้ว อาชาติเป็นตำรวจอีกไม่นานเขาต้องจับคนไม่ดีพวกนั้นได้แน่ๆ”
ร่างสูงพูดออกมาด้วยเสียงอันหนักแน่นเสียจนรพีที่กำลังจะโวยวายยอมสงบลงทันทีเช่นเดียวกับรัตติกาลที่รู้สึกได้เช่นกันว่าคำพูดของอารัณย์นั้นกำลังปลอบโยนจิตใจที่สั่นไหวของเขาอยู่
“...แล้วพีต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ พีคิดถึงพ่อ”
“อีกไม่นานหรอกครับ พีต้องอดทนนะ พ่อกาลของพีเองก็กำลังอดทน”
“...”
“ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง พีทำเพื่อพ่อกาลได้ไหมครับ”
อารัณย์ไม่รอฟังคำตอบ เขายื่นมันให้กับคนที่สมควรได้รับฟังคำนั้นมาถือไว้แทน รัตติกาลรับโทรศัพท์มาอย่างไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยอมยกมาไว้แนบหู เขาฟังความเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่น้ำเสียงหนักแน่นของรพีที่เขาไม่เคยได้ยินมันมาก่อนจะดังขึ้น
“ครับ พีจะเข้มแข็งเพื่อพ่อกาล พีจะรอ”
รัตติกาลไม่รู้ตัวเลยว่าตอนได้ฟังคำนั้นเขาร้องไห้หนักหรือยิ้มกว้างแค่ไหน ความรู้สึกผิดที่ทรมานเขาอยู่ค่อยๆทุเลาลงไปจนร่างโปร่งยอมให้คนตัวสูงกว่าโอบกอดเขาไว้แล้วโยกตัวไปมาราวกับเด็กๆ อารัณย์ปลอบโยนเขาพร้อมกับลูบเบาๆบนแผ่นหลังพาลทำให้รู้สึกดีจนไม่อยากผละออกไป แต่รัตติกาลก็ต้องถอยออกมา...เพื่อการเดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง
มื้ออาหารเย็นวันนี้เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของทั้งสี่คนผิดกับเมื่อวาน ยายพิศบ่นเกี่ยวกับสุขภาพของสามีให้แขกทั้งสองฟังยาวเหยียดเสียจนตาไทยแทบจะอยากตักข้าวคำโตใส่ปากให้อีกฝ่ายหยุดพูดแต่ก็ไม่กล้าทำอยู่ดี อารัณย์มองรัตติกาลที่กำลังยิ้ม แม้จะไม่สดใสมากแต่มันก็ทำให้ใบหน้าที่เคยเย็นชาดูดีขึ้นมากจนใจเขาสั่น ร่างสูงแอบหยิกต้นขาของตัวเองเพื่อดึงสติที่หลุดลอยกลับมา อารัณย์ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า วันที่เขามองรัตติกาลว่าน่ารักจะมาถึง
“พ่อรัณย์ ร้อนหรอจ๊ะ หน้าแดงเชียว”
“ปะ เปล่าครับ”
อารัณย์ปฏิเสธเสียงตะกุกตะกักเมื่อยายพิศทักขึ้นแบบนั้น รัตติกาลหันไปมองร่างสูงที่เกาท้ายทอยแก้เก้อด้วยท่าทางเงอะงะอย่างที่ไม่เคยเป็นพลางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะเห็นว่าผิวกร้านของอารัณย์ขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างที่ยายแก่ว่า
“ผม...เผ็ดน่ะครับ ผัดกบนี่เผ็ดมากเลย ฮ่าๆๆ”
ร่างสูงชี้ไปยังผัดเผ็ดกบจานใหญ่ที่เจ้าบ้านลงมือทำมาให้กินคู่กับไข่พะโล้ฝีมือรัตติกาล มันอร่อยเสียจนเขาตักไปหลายช้อน รสเค็มเผ็ดกลมกล่อมกำลังดีแต่ตอนนี้ก็ต้องขอโบ้ยความผิดไปให้มันก่อนแล้วกัน
“เผ็ด? เคี้ยวโดนพริกเข้าหรอ”
ตาไทยถามขึ้นเพราะตัวเองก็สังเกตเห็นพ่อหนุ่มคนนี้ดูท่าจะติดใจผัดกบจนกินข้าวได้เยอะกว่าปกติ แล้วทำไมถึงได้มาบ่นเผ็ดเอาได้ตอนข้าวเกือบจะหมดจาน
“คะ ครับ เต็มๆเลย...”
อารัณย์พูดรับพลางเหลือบมองไปยังรัตติกาลที่ทำหน้านิ่งแต่แท้จริงแล้วกำลังกลั้นขำแทบตาย หากตอนนี้มีใครก้มลงเก็บของคงจะได้เห็นคนมีมาดกำลังหยิกขาของตัวเองยิกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองเป็นแน่
“ว่าแต่แย่เลยนะ ตามาปวดหลังแบบนี้เลยไม่ได้ซ่อมพื้นบ้านให้สักที แล้วพ่อรัณย์จะทำยังไงล่ะจ๊ะ”
“ผมลงมานอนข้างล่างก็ได้ครับ ไม่ได้ลำบากอะไร ลมก็พัดโกรกดี”
อารัณย์ยืนยันกับอีกฝ่ายไปแบบนั้นเพราะเขาเองก็ไม่อยากรบกวนความเป็นส่วนตัวของรัตติกาลไปมากกว่านี้ อีกทั้งถ้าต้องนอนบนเสื่ออย่างเมื่อคืนจะนอนชั้นสองหรือชั้นล่างคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ รัตติกาลมองร่างสูงที่ลงมือกินข้าวต่ออยู่ครู่หนึ่งแล้วทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ให้เขานอนห้องผมเหมือนเดิมก่อนก็ได้ครับ”
“ได้หรอจ๊ะพ่อกาล ไม่ลำบากแน่นะ”
“ครับ...ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก มุ้งก็ออกจะกว้าง”
“ดีเลยจ๊ะ ขอบใจนะ เดี๋ยวถ้าตาดีขึ้นแล้วจะยายจะรีบให้คนมาจัดการให้ ตกลงคืนนี้นอนห้องเดิมนะพ่อรัณย์ อ้าว แล้วนี่เป็นอะไร เผลอเคี้ยวพริกเข้าอีกแล้วหรอ”
ยายแก่คุยกับรัตติกาลก่อนจะหันมาพูดกับอารัณย์ในท้ายประโยค แต่เธอกลับต้องทำหน้าประหลาดใจเมื่อผิวแก้มของอารัณย์ขึ้นสีแดงจัดยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“คะ ครับ”
“...”
“เม็ดใหญ่เลย”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
บอกคำเดียวเลย...เขินนนนนนนนนนน :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ ตอนนี้ช้าไม่ต้องสงสัยนะคับ เช่เขียนไปดิ้นไปอยู่บนเตียงนั่นแหละ บอกแล้วว่าเขียนหวานๆไม่เก่ง มันก๊าวอะ :hao5: เขียนไปพักทุกห้านาที มันเลยได้แค่นี้จริงๆ (ไม่อยากคิดถึงฉากอัศจรรย์เลยแม่เจ้า เช่จะตายไหม) เห็นป้อจายมุ้งมิ้งใส่กันบ้างเช่ก็ดีใจ หวานอีกๆ ฉากอัศจรรย์ยังไม่มาเราต้องสุมน้ำตาลใส่เรื่องนี้ให้มากกว่านี้อีก!!!
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยนะคับ ฝ่าความดาร์กกับเช่มาถึงขนาดนี้แล้วขอให้ได้ฟินกันทั่วหน้า แล้วสุดท้าย...จัดหน้าA5ตอนนี้ทะลุ560หน้าไปแล้ว หนังสือคงหนาว๊ากกก เตรียมตังกันๆ :mew1: :katai4:
-
เดี๋ยวๆ...ใครทำน้ำตาลหกแถวนี้รึป่าวววววววว 55555
มุ้งมิ้งมากอ่ะ~ ฟินนนน
-
อ๊ากกกกกกกกกกก ฟินๆๆๆๆๆๆๆๆ
อารัณย์โมเอะะะะะ ทำเป็นเขินแต่แกก็มือปลาหมึกนะยะ :hao7:
-
31st Night
…Sand Castle...
“กำลังหวังอะไรอยู่รึเปล่า?”
รัตติกาลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ นัยน์ตาสีท้องฟ้ายามราตรีเปรยมองอารัณย์ที่นั่งจ่อมอยู่บนพื้นขณะที่มือก็กำลังสะบัดผ้าห่มผืนบางไปด้วย ชายหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าไม่ตอบ ดวงตาคมคู่นั้นหันไปมองรัตติกาลสลับกับมุ้งกันยุงหลังใหญ่จริงอย่างที่อีกคนว่า ใหญ่จนสามารถกินพื้นที่ข้างๆเตียงทำให้ร่างโปร่งสามารถนอนบนพื้นได้โดยไม่ต้องกังวลว่ายุงจะกัดอย่างเมื่อคืน
“เจ้าเล่ห์...”
อารัณย์บ่นอุบอิบเบาๆแล้วทรุดตัวลงนอนไปทั้งๆที่ยังไม่ให้รัตติกาลทำแผลให้ ชายหนุ่มซ่อนใบหน้าที่สะท้อนความผิดหวังและอับอายของตัวเองไว้ใต้ผ้าห่มผืนนั้นพร้อมกรนด่าตนในใจว่าทำไมถึงกล้าคิดอะไรเลยเถิดทั้งๆที่ก็รู้นิสัยของรัตติกาลอยู่แล้ว
ว่าแล้วใบหน้าคมเข้มก็ขึ้นสีแดงอ่อนๆ ตอนที่รัตติกาลเอ่ยปากให้เขานอนด้วยอีกคืนสมองช่างจินตนาการของเขาก็ดันคิดไปถึงอะไรต่อมิอะไรที่คนปกติมักอยากจะทำกับคนที่ตัวเองชอบอยู่แล้ว พี่เลี้ยงหนุ่มเลยได้ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ
แล้วเขาล่ะ....อยากทำมันกับรัตติกาลรึเปล่า?
“ลุกมาทำแผลก่อนอารัณย์”
คนนอนเตียงสะกิดคนนอนพื้นเบาๆพลางเอ่ยเรียก ใจหนึ่งอารัณย์ยังไม่อยากจะโผล่ออกไปเจอหน้ารัตติกาลเพราะความคิดสัปดนที่ติดอยู่ในหัวแต่อีกใจก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากจะสัมผัสความอ่อนโยนยามที่รัตติกาลทำแผลให้เหมือนทุกๆครั้ง จนสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว คนตัวโตยอมโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มสีกะปิแต่ใบหน้าบูดบึ้งก็ยังไม่คลายไปจนร่างโปร่งต้องจุดยิ้มที่มุมปาก
“ทำหน้าบึ้งแบบนี้ไม่เมื่อยบ้างรึไง”
“แล้วกาลล่ะ ทำหน้านิ่งแบบนี้ไม่เมื่อยบ้างหรอ”
“ไม่ ทำมานานชินแล้ว”
“ถ้ากาลไม่ผมก็ไม่ ต้องฝึกไว้ให้ชิน...เพราะต้องตามจีบคนใจร้าย”
“ไม่มีใครบังคับสักหน่อย”
รัตติกาลส่ายหัวอย่างอ่อนใจขณะที่ปลดผ้าพันแผลผืนเก่าทิ้งลงในถังขยะ เขาสำรวจรอยช้ำที่เริ่มขึ้นเป็นสีม่วงขณะที่ปากแผลเริ่มที่จะแห้งแล้วเพราะฤทธิ์ยาที่หมอให้มา ชายหนุ่มลงมือเช็ดรอบๆมันอย่างพิถีพิถันโดยมีคนเจ็บจ้องมองขนตายาวของรัตติกาลอย่างตั้งใจ
“ผม...เอาจริงนะ”
อารัณย์ยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง รัตติกาลเงยหน้าขึ้นสบกับร่างสูงที่จ้องมาอยู่ก่อนพอดีแล้วตอบกลับไปด้วยเสียงที่จริงจังไม่แพ้กัน
“คิดให้ดีๆก่อนเถอะ คุณเข้าใจรึเปล่าว่าการจีบผู้ชายหมายความว่ายังไง”
“มันหมายความว่าอย่างอื่นได้ด้วยหรอ? ผมแค่ชอ...อุ๊บ!”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดคำคำนั้นออกไปรัตติกาลก็ใช้มือข้างที่วางอยู่ปิดเข้าที่ริมฝีปากหนาคู่นั้นจนอารัณย์ไม่สามารถพูดอะไรได้ พี่เลี้ยงหนุ่มมองคนข้างกายอย่างไม่เข้าใจในขณะที่รัตติกาลยังคงมองอารัณย์อยู่ด้วยสายตาเช่นเดิม
“ตอนนั้นคุณถามว่าถ้าคุณพูดผมพร้อมที่จะฟังมันไหม...คำตอบคือไม่”
“...”
“ขอเวลาผมหน่อย เหมือนกับที่คุณควรให้เวลากับตัวเอง”
รัตติกาลยอมปล่อยมือออกมาแต่อารัณย์กลับคว้ามือข้างนั้นมากุมไว้เองไม่ปล่อยคืนให้เจ้าของ ซึ่งร่างโปร่งก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด
“ทำไม...ไม่อยากฟัง”
“ผมไม่พร้อม”
“กำลังหนีอะไรอยู่”
“...”
“ถ้ากาลไม่ชอบผม กาลคงไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าผมจะพูดยังไง แต่นี่กาลไม่ยอมให้ผมบอกความรู้สึกของตัวเอง...ผมว่ามันต้องมีเหตุผล”
“...ผมก็คงกำลังหนีอย่างที่คุณว่า”
ร่างโปร่งขืนมือของตัวเองออกแล้วลงมือทำแผลให้อารัณย์ต่ออีกครั้ง ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งจนรัตติกาลพันผ้าผืนสุดท้ายแล้วยึดมันเป็นปมบางๆอย่างที่เคยทำ เขาจัดการนำทุกอย่างไปวางไว้ตรงมุมห้องก่อนจะกลับเข้ามาในมุ้งโดยเลือกที่จะนั่งลงบนพื้นข้างอารัณย์แทนที่จะเป็นเตียงอุ่นๆของตน รัตติกาลคว้ามือของอารัณย์มากุมไว้เองเป็นครั้งแรกจนคนโดนจู่โจมเบิกตากว้างหัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น
“ผมไม่คิดจะมีความรักอีกครั้ง”
“...!!!”
ใจที่พองโตเป็นลูกโป่งเมื่อครู่ฟีบลงทันทีที่รัตติกาลเอ่ยปาก รอยยิ้มของอารัณย์หายไปในขณะที่รัตติกาลเผยรอยยิ้มแสนเศร้าขึ้นมาแทน
“รู้ใช่ไหมว่าผมว่ายน้ำไม่เก่ง”
“...อืม”
“เป็นอย่างที่คุณว่า ผมเคยเกือบจบน้ำมาก่อน ตอนนั้นพ่อกับแม่พาผมไปเที่ยวแถวกระบี่ เพิ่งหัดว่ายน้ำได้ไม่นานก็คิดว่าตัวเองแน่เลยหนีไปเล่นคนเดียว แล้วก็เกือบจมไปโชคดีที่มีคนแถวนั้นเห็นเลยมาช่วยไว้ได้ทัน...แล้วหลังจากนั้นผมก็ไม่คิดอยากจะว่ายน้ำอีกเลย”
รัตติกาลหันมามองหน้าอารัณย์พร้อมกับรอยยิ้มหม่นๆเช่นเดิม ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างในดวงตาคู่นั้น รัตติกาลกลัวการว่ายน้ำจริงๆ ไม่ใช่ว่าว่ายไม่ได้...แต่เขาไม่คิดจะทำมันอีก
“ไม่ใช่แค่ว่ายน้ำ ถ้าผมได้ทำอะไรแล้วต้องเจอเรื่องแย่ๆ ผมจะไม่อยากทำมันอีกเป็นครั้งที่สอง...ถึงแม้ผมจะเคยชอบมันมากก็ตาม”
“หนีมาตลอดเลยสินะ”
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่จริงๆแล้วผมแค่ไม่ชอบเรื่องเจ็บตัวน่ะ ไม่มีใครหรอกที่พร้อมจะรับความเจ็บปวดได้ตลอดไป ถ้าอดทนหน่อยก็อาจจะทำมันได้สำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกความพยายามจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า”
“...”
“ผมเหนื่อยกับมันมามากแล้วอารัณย์...ความรักน่ะ”
ร่างสูงถอนหายใจ เขาเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออกไปเพราะไม่รู้จะระบายความอัดอั้นนี้ยังไง เลยได้แต่ทำท่าหงุดหงิดงุ่นง่านจนรัตติกาลแอบเอ็นดูในท่าทางแบบนั้นของอารัณย์
“นี่เป็นครั้งแรกที่กาลเปิดใจเล่าเรื่องในอดีตให้ผมฟัง แต่แม่ง!...ทำไมต้องเป็นเรื่องแบบนี้ด้วย”
“ขอโทษแล้วกันที่ชีวิตผมมีแต่เรื่องแบบนี้”
“ไม่ใช่แบบนั้น...”
อารัณย์ทำท่าเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็เปลี่ยนใจคว้าคนที่ทำท่าอดอาลัยตายอยากมากกอดไว้แทน
“นทีใช่ไหม”
“...!”
“ไอ้เวรที่ทำให้กาลปิดใจ ไม่ยอมให้ผมจีบคือไอ้นทีใช่รึเปล่า”
รัตติกาลที่ตอนแรกรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากที่อารัณย์เอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา แต่น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจแบบสุดๆกับแรงบีบรัดที่มากขึ้นนั้นทำให้เขาอดที่จะขำออกมาเบาๆไม่ได้
ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าคนที่ครั้งหนึ่งเคยวางมาดใหญ่โตพูดจาสั่งสอนเขากำลังพาลใส่คนอื่นแค่เพราะทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ยอมรับว่าถูกใจไม่น้อยกับมุมเด็กๆของอารัณย์ที่แสดงออกให้เขาเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เรียกว่าไอ้เลยหรอ...เขาแก่กว่าผมอีกนะ”
“แล้วไงใครสนกันล่ะ! ทำตัวเหี้ยแบบนั้นใครจะอยากให้ความเคารพ”
“รู้ได้ยังไงว่าเขาทำตัวไม่ดี เขาอาจจะไม่ใช่คนที่ทำให้ผมเจ็บก็ได้”
“จะเป็นใครได้อีก คนที่ทำให้กาลทำหน้าแบบนั้นได้น่ะ...ก็มีแต่มัน”
ร่างโปร่งขมวดคิ้วสงสัยในสิ่งที่อารัณย์พูดเขาจึงผละตัวออกจากอ้อมกอดของร่างสูงแล้วจ้องมองใบหน้าไม่สบอารมณ์ของชายหนุ่มเพื่อหาคำตอบ
“ผมทำหน้าแบบไหน?”
“ต้องบอกด้วยหรอ”
พูดเองก็หงุดหงิดเอง อารัณย์คิดย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่รัตติกาลเอ่ยถึงผู้ชายคนนั้นเป็นครั้งแรกแล้วได้แค่กำหมัดแน่นด้วยความไม่ชอบใจ ร่างโปร่งพอเห็นท่าว่าอีกคนคงจะไม่ยอมปริปากบอกสิ่งที่เขาสงสัยได้ง่ายๆ รัตติกาลจึงยกมือขึ้นลูบแก้มสากของอารัณย์เบาๆเพื่อปลอบโยนให้อีกฝ่ายคลายความหงุดหงิดนั้นลง
“ไม่ต้องมาอ้อนเลย ผมไม่อยากบอก”
อารัณย์พูดอย่างรู้ทัน เขาตวัดตามองอีกฝ่ายแต่รัตติกาลกลับขำออกมาแทนที่จะไม่พอใจอย่างที่ควรเป็น อารัณย์คงไม่รู้ว่าในสายตาของรัตติกาลนั้นสิ่งที่ร่างสูงกำลังทำมันใกล้เคียงกับการอ้อนอย่างที่เจ้าตัวว่ามากกว่าซะอีก
“ขำอะไร”
“ฮ่าๆ เปล่า...ว่าแต่จะไม่บอกจริงหรอ”
“...จริง”
“ทำไมล่ะ”
“ยังจะถามอีกว่าทำไม ผมกำลังจีบกาลอยู่นะอย่าลืมซิ...ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเองชอบนึกถึงแฟนเก่านักหรอก”
อารัณย์ว่าดังนั้นแล้วหันหน้าหนีไม่ยอมสบตากับรัตติกาลอีก
“บอกมาเถอะ ผมอยากรู้จะได้ไม่ทำอีก ผมเองก็ไม่อยากจะจำมันนักหรอก”
ร่างสูงยอมหันกลับมามองรัตติกาลด้วยสีหน้าอ่านยาก เขาไม่ได้ดีใจกับสิ่งที่อีกคนพูดกลับกันคำพูดนั้นมันกลายเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่งชายที่ชื่อนทีเคยมีความสำคัญกับรัตติกาลมากแค่ไหน ไม่สิ...แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงสำคัญอยู่
“กาลรักเขามากเลยหรอ ผู้ชายคนนั้นน่ะ”
อารัณย์ถามไปตามที่ใจคิด เขาไม่อยากจะคาดเดาเรื่องพวกนี้ไปเพียงฝ่ายเดียว แม้มันจะยากสำหรับรัตติกาลแต่เขาก็ต้องถามเพื่อให้รู้ว่าบาดแผลที่นทีสร้างเอาไว้นั้นมันบาดลึกแค่ไหน
“ต้องบอกด้วยหรอ...”
รัตติกาลย้อนคืนด้วยคำพูดเดียวกันแต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและแค้นเคืองจนคนฟังรู้สึกได้ อารัณย์พยายามคลายมือที่กำกันแน่นของรัตติกาลออกแล้วให้อีกฝ่ายบีบมือเขาไว้แทน
“ไม่ต้องหรอก เพราะเอาจริงๆผมก็ไม่กล้าฟัง”
“...”
“กาล...ให้โอกาสผมนะ”
อารัณย์นำมือของรัตติกาลมาวางไว้ตรงตำแหน่งหัวใจ เขาหลับตาลงอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับรัตติกาลอีกครั้ง
“ถึงกาลจะบอกว่าเหนื่อยแต่ผมก็ยังอยากให้กาลเดินไปด้วยกันอยู่ดี กาลบอกว่าไม่คิดจะรักใครอีกแต่ผมก็ไม่อยากยอมแพ้แล้วทิ้งกาลไว้กับอดีตแบนนั้น “
“...”
“ผมอาจจะไม่ดีเท่าเขา ผม...อาจจะทำให้กาลรักเท่าที่เขาเคยทำไม่ได้ แต่ผมจะทำให้กาลมีความสุขกว่าที่เขาเคยทำ ผมจะทำให้กาลยิ้มมากกว่าเวลาอยู่กับเขาให้ได้ เชื่อผม...ให้โอกาสผมนะกาล ”
“เอาแต่ใจชะมัด”
ถึงปากจะว่าแต่รัตติกาลกลับซุกใบหน้าที่ร้อนผ่าวลงบนไหล่ลาดของอีกฝ่าย เขาหลับตาลงปล่อยให้มือของอารัณย์สัมผัสเส้นผมของตนไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะห้ามปราม ความรู้สึกที่แฝงมากับคำพูดของอีกฝ่ายค่อยๆเติมเต็มรูโหว่ในอกของเขาอย่างช้าๆ แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวแต่มันก็มากพอที่จะทำให้รัตติกาลยิ้มออกมาได้ทั้งๆที่มีน้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า
“ผมไม่รับปากหรอกนะ ว่าคุณจะได้สิ่งที่หวัง”
“โห ขี้งกว่ะ”
“รับไม่ได้ก็เลิกไป ไม่ได้ง้อ”
“ขี้งอนอีกต่างหาก จะจีบไหวไหมเนี่ย”
“หึ เด็กน้อยชะมัด”
รัตติกาลผละออกมาแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงโดยไม่สนเสียงบ่นโอดครวญของคนที่เพิ่งตัดสินใจให้โอกาสก้าวเข้ามาทำลายกำแพงหนาที่เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้นทีละนิดโดยที่ไม่มีใครรู้ เขาสะบัดผ้าห่มให้คลุมทั่วร่างแล้วหลับตาลงในขณะที่อารัณย์ยังคงนั่งอยู่บนพื้นโดยที่ใบหน้าหล่อเหลาเท้าอยู่บนเตียง
“มาว่าผมเด็ก กาลก็ชอบเด็กอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”
“หื้ม?”
“ไอ้เด็กปูนนั่นไง กลับไปก็จัดการบอกเลิกให้เรียบร้อยด้วย”
“ทำไมต้องทำอย่างนั้น ผมแค่ให้โอกาสยังไม่ได้ตกลงคบด้วยสักหน่อย”
“ก็ผมหึง ถ้าไม่อยากให้เด็กนั่นเดือดร้อนก็เลิกซะ”
“อันธพาล”
“เขาเรียกว่านักเลง”
ร่างโปร่งส่ายหน้าอย่างอ่อนใจทั้งที่หลับตาอยู่อย่างนั้น ครู่หนึ่งเขาก็สัมผัสได้ว่าไฟดวงใหญ่ถูกดับลงพร้อมกับความมืดสนิทที่เข้ามาแทนที่ เสียงแมลงร้องกันระงมแทนเสียงกล่อมจากธรรมชาติให้ผู้คนที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันได้หลับใหลเพื่อที่จะใช้ชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ แต่ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้ทำเช่นนั้น ฟูกแข็งๆของเขาก็ยุบตัวลงจนชายหนุ่มต้องเบิกตาโพลงแล้วมองหาตัวต้นเหตุที่กำลังตีเนียนอิงหมอนใบเดียวกันอยู่
“อารัณย์!”
“หื้ม ลุกมาทำไมนอนต่อสิ”
“คุณนั่นแหละลุกเลย ใครให้มานอนบนนี้”
“ก็พื้นมันแข็ง นอนไม่หลับเลย เตียงก็ออกจะกว้างแบ่งๆกันนอนสิ”
“ไม่...ลงไป”
รัตติกาลปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับชี้ไปบนฟูกบางๆซึ่งปูไว้บนพื้นด้วยฝีมือของอารัณย์เองนั่นแหละ
“คืนเดียวเองกาล พื้นมันแข็งจริงๆนะ ปวดหลังอะ”
“แข็งจริงหรอ”
“อืม”
“งั้น...บอกด้วยแล้วกันว่าแข็งมากไหม!”
ผลัก!!
“โอ้ย!!! กาล! ถีบผมทำไมเนี่ย!”
อารัณย์ลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นทันทีที่รัตติกาลออกแรงถีบเข้าเต็มลำตัว ใบหน้าคมเหยเกเพราะความเจ็บแต่ยังถือว่าโชคดีที่แขนข้างที่โดนยิงไม่ได้ถูกกระแทก ร่างสูงลูบสะโพกของตนปอยๆ พลางมองคนที่ทำร้ายตัวเองอย่างไม่ชอบใจ
“แค่นี้ต้องถีบกันเลยหรอ ผมเจ็บนะเว้ย”
“ก็ทำให้เจ็บ พูดดีๆไม่ฟัง โดนซะบ้าง”
รัตติกาลทำสีหน้าราวกับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งถีบผู้มีพระคุณลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น
“กาลแม่งใจร้ายว่ะ”
“ก็รู้อยู่แล้วนิ”
ร่างโปร่งล้มตัวลงนอนแต่ก็ยังส่งสายตาคาดโทษไปให้อารัณย์ที่นั่งหน้าบึ้งจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่คอยดูทีท่ากันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอารัณย์มั่นใจแล้วว่าคืนนี้รัตติกาลไม่มีทางใจอ่อนยอมให้เขานอนร่วมหมอนเป็นแน่จึงตัดใจล้มตัวลงนอนทั้งที่ไม่รู้เลยว่าจะข่มตาให้หลับลงได้รึเปล่า
“กาล”
“อะไร”
“จะไม่ให้นอนด้วยจริงหรอ”
“จริง”
“งั้น...ขอจับมือหน่อยได้ไหม”
“...มันเมื่อย”
อารัณย์ได้ยินดังนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แม้อีกฝ่ายจะยอมอ่อนลงให้เขาบ้างแล้วแต่ดูเหมือนว่ารัตติกาลจะยังไม่คิดอะไรเกินเลยกับเขาเลยแม้แต่น้อย
“มึงแม่งทะลึ่งว่ะรัณย์...คิดเหี้ยอะไรอยู่ได้วะ”
ชายหนุ่มบ่นงึมงำแล้วพยายามกล่อมตัวเองให้หลับลงแม้ว่าจะยังมีหลายอย่างที่คั่งค้างอยู่ในใจ ด้วยความที่อากาศไม่หนาวมากอารัณย์จึงไม่ได้ห่มผ้า เขาปล่อยให้สายลมเอื่อยๆพัดพาความร้อนจากร่างกายให้บรรเทาเบาบางลงบ้าง
แต่ในจังหวะหนึ่งขณะที่เขาลืมตาขึ้นมองในความมืด อารัณย์ได้เห็นบางอย่างแล้วยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับความหวังที่ถูกจุดขึ้นมาใหม่
“ขอบคุณครับ”
อารัณย์เอื้อมมือขึ้นไปจับมือเรียวยาวที่โผล่พ้นของเตียงออกมาเพียงเล็กน้อย แม้จะไม่ถนัดและเมื่อยแค่ไหนเขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยมันไป อารัณย์หลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มในขณะที่รัตติกาลยังคงลืมตาโพลงอยู่อย่างนั้นพร้อมกับทบทวนเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้ที่เขาลืมตา
เขาจะก้าวข้ามมันได้รึเปล่า?
เขาจะต้องผิดหวังอีกไหม?
รัตติกาลเฝ้าถามตัวเองถึงแม้จะรู้ดีว่าไม่มีใครรู้อนาคตของตัวเองได้
แต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลก็ตัดสินใจแล้วว่าจะลองดูอีกครั้ง
ตั้งแต่วินาทีที่ฝ่ามืออุ่นๆของอารัณย์กอบกุมมือที่เย็นเฉียบของเขาไว้
:mew3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :mew3:
-
“กาล ตาฝากถามว่าวันนี้จะไปป่าด้วยกันรึเปล่า”
เสียงอารัณย์ตะโกนดังมาจากชั้นล่างทำให้รัตติกาลที่กำลังยุ่งอยู่กับการเขียนหนังสือต้องผละจากงานแล้วลุกขึ้นมาพูดคุยกับคนที่ยืนรอคำตอบที่ระเบียงไม้
“คุณอยากไปรึเปล่าล่ะ?”
“อยากไป อยู่นี่มาอาทิตย์นึงแล้วยังไม่ได้ไปเลย”
“ก็ตอนนั้นแผลยังไม่หายดี จะไปให้สกปรกทำไม”
“ตอนนี้หายแล้ว งั้นไปกันนะ อยากเห็นกาลงมหอย”
รัตติกาลส่ายหัวให้กับความทะเล้นของอารัณย์ สุดท้ายแล้ววันนั้นร่างโปร่งก็ไม่ได้เขียนหนังสือที่ค้างไว้ให้จบบท ทั้งสองคนเดินเคียงคู่กันไปโดยมีตาไทยเดินนำหน้า รัตติกาลคอยตอบคำถามอารัณย์ที่ชี้นกชี้ไม้ด้วยความสงสัยทั้งที่ความจริงแล้วควรถามเจ้าถิ่นอย่างตามากกว่าแทนที่จะเป็นรัตติกาลที่เคยมาแค่ครั้งเดียว
“ไอ้แหลมๆนั่นมันคืออะไรหรอกาล เหมือนรากไม้เลย”
“ก็รากไม้นั่นแหละ เรียกว่ารากดินสอ แทงจากใต้ดินขึ้นมาบนบกใช้หายใจ”
อารัณย์พยักหน้าเมื่อได้ฟังคำตอบตามที่สงสัย ก่อนจะยกกล้องที่คล้องคออยู่ขึ้นถ่ายคอยเก็บภาพบรรยากาศต่างๆไปด้วย ภาพรัตติกาลและอารัณย์เริ่มเป็นที่ชินตาของชาวบ้าน โดยเฉพาะร่างโปร่งที่เคยมางมหอยแครงก่อนหน้านี้แล้วเลยต้องคอยตอบคำทักทายเสียยกใหญ่ แม้แต่อารัณย์เองที่ไม่เคยมาก็ยังพอเป็นที่รู้จักบ้างเหมือนกัน
“อ้าวอารัณย์ แผลหายดีแล้วหรอจ๊ะ”
“ครับ จริงๆหายตั้งนานแล้วแต่กาลยังให้ปิดแผลไว้ก่อน”
“ดีแล้ว แถวนี้มีแต่ดินแต่โคลนสกปรก เชื่อฟังกาลไว้นะอย่าดื้อให้โดนดุอีกล่ะ”
ชาวบ้านที่มารวมตัวกันต่างหัวเราะกันครืนเมื่ออารัณย์โดนแซวไปแบบนั้นจนเจ้าตัวทำหน้าบึ้งเพราะสิ่งที่คนพวกนั้นพูดเป็นความจริงทั้งนั้น ตั้งแต่วันที่รัตติกาลยอมตกลงให้อารัณย์เดินเครื่องจีบเขาเต็มตัว ทั้งสองคนต่างก็ค่อยๆเปิดเผยนิสัยที่แท้จริงให้แต่ละฝ่ายศึกษากันอย่างค่อยเป็นค่อยไป
รัตติกาลยิ้มขำเมื่อคนที่ดูภายนอกค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่อย่างอารัณย์แท้จริงแล้วมีมุมขี้เล่นอย่างที่คิดไม่ถึง โดยเฉพาะเวลาอยู่กับ คนแก่ และรัตติกาล เจ้าตัวจะออกอาการออดอ้อนจนไม่เหลือเค้าของพี่เลี้ยงหนุ่มขวัญใจเด็กๆ ที่มักจะแสดงความเป็นผู้ใหญ่ออกมาเมื่อต้องเจอคนที่มีวุฒิภาวะต่ำกว่า นับว่าเป็นคนที่พึ่งพาได้จนลูกเด็กเล็กแดงแถวนั้นต่างติดใจพี่อารัณย์กันเป็นแถว
สำหรับรัตติกาลเองก็ถูกอารัณย์เอาใจใส่ไม่ต่างกัน แม้เจ้าตัวจะบาดเจ็บแต่ร่างสูงก็มักจะพยายามดูแลรัตติกาลทุกทางเท่าที่จะทำได้ ในทุกๆวันรัตติกาลที่นอนขี้เซากว่าจะตื่นขึ้นมาด้วยกินหอมของกับข้าวที่ลอยฟุ้งจนไม่อาจทนนอนต่อไปได้ แม้กับข้าวที่อารัณย์ทำให้จะไม่ใช่อะไรพิเศษไปกว่า ไข่เจียว ผัดผัก หรือข้าวต้มอ่อนๆแต่ร่างโปร่งก็ทานมันจนหมดทุกครั้งเพื่อตอบแทนน้ำใจอีกฝ่ายที่ยิ้มแก้มปริทุกครั้ง
“กาลจะลงด้วยกันไหม”
ร่างโปร่งส่ายหน้า เขาเอื้อมมือไปรับกล้องถ่ายรูปจากอารัณย์มาถือไว้แทนปล่อยให้คนตัวโตลงไปยืนตั้งหลักอยู่บนดินเลนเหมือนกับที่เขาเคยทำ รัตติกาลอดไม่ได้ที่จะมองแผลของอารัณย์อย่างเป็นกังวล แม้เขาจะเห็นว่ามันหายดีแล้วแต่ก็ยังไม่อยากให้ชายหนุ่มใช้งานมันหนักมากอยู่ดี อารัณย์เองเมื่อเห็นรัตติกาลมองมาด้วยสายตาแบบนั้นก็ยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นกังวล
“ไม่เป็นไรหรอก สัญญาว่าจะไม่เล่นอะไรแผลงๆ”
“อืม...ระวังด้วยล่ะ”
อารัณย์พยักหน้าแล้วเริ่มออกเดินตามชาวบ้านไป ทิ้งให้รัตติกาลนั่งอยู่บนสะพานไม้เคียงข้างกับตาเฒ่าที่แก่เกินกว่าจะลงไปงมกุ้งหอยเองเช่นกัน
“ไอ้หนุ่มนี่มันเก่งกว่าเอ็งเยอะเลยนะ แปปเดียวก็เดินคล่องแล้ว”
“โถ่ตา แค่อารัณย์ช่วยซ่อมพื้นหน่อยเดียวเข้าข้างกันใหญ่เลยนะครับ”
“ไม่ได้เข้าข้างเว้ย ตายังจำได้อยู่เลยว่าเอ็งเดินไปแค่สามก้าวก็หัวทิ่มแทบจะปักไปบนเลนอยู่แล้ว กินเยอะๆหน่อยสิจะได้แข็งแรงอย่างพ่อรัณย์มัน เดินคู่กันมันนี่แทบจะบังเอ็งมิด”
ตาแก่พูดไปตามเรื่อง ดวงตาที่ผ่านช่วงเวลามามากมายมองตรงไปยังอารัณย์ที่พูดคุยกับชาวบ้านอย่างสนุกสนาน เช่นเดียวกับรัตติกาลที่ไม่อาจละสายตาจากรอยยิ้มของอารัณย์ไปได้ ร่างโปร่งยกกล้องของอารัณย์ขึ้นแล้วกดถ่ายภาพนั้นไว้โดยที่เจ้าของมันไม่รู้ตัว
“วันนี้มันก็ได้ย้ายกลับไปห้องมันแล้ว พ่อกาลจะได้นอนสบายๆสักที”
“...ครับ”
“เออว่าแต่ไอ้เจ้าอารัณย์นี่มันก็แปลกคน ตอนซ่อมพื้นเสร็จมันมาถามตาว่าแข็งแรงพอไหม มีตรงไหนพังอีกรึเปล่าจะได้ซ่อมไปทีเดียว พอตาบอกว่าไม่เป็นไรรอพวกเอ็งกลับค่อยซ่อมจะได้ไม่ต้องรบกวนเอ็งนาน มันนี่ทำหน้าเสียดายใหญ่จนยายพิศเห็นแล้วขำไม่หยุดเชียวแหละ”
รัตติกาลยิ้มอ่อน นึกถึงเมื่อคืนก่อนที่อารัณย์ถามทีเล่นทีจริงว่าจะทำยังไงให้พื้นอีกห้องซ่อมไม่เสร็จ ชายหนุ่มคิดเป็นจริงเป็นจังถึงขั้นโทรไปถามฤทธิชาติเพื่อขอความเห็นแต่ก็โดนอีกฝ่ายกวนกลับมาจนต้องมานั่งบ่นเป็นหมีกินผึ้งให้เขาฟัง
“ตาว่าไอ้เจ้ารัณย์มันติดเอ็งแล้วล่ะพ่อกาล”
จู่ๆตาไทยก็พูดขึ้นทำให้รัตติกาลที่กำลังลั่นชัตเตอร์อยู่ชะงักทันทีที่ได้ยิน เขาไม่ได้กังวลมากนักว่าชาวบ้านที่นี่จะรับรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร จะห่วงแต่ก็ภาพพจน์ของอารัณย์ที่อาจจะแค่เผลอไผลไปชั่วขณะ แม้เขาจะยอมรับว่าตนเองก็เริ่มรู้สึกดีที่มีอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆแต่ก็ยังไม่อยากคิดอะไรไปไกลกว่านี้ เพราะถ้าวันหนึ่งที่เราต้องตื่นจากฝันคนที่อาจจะเสียหายมากที่สุดคงเป็นอารัณย์ไม่ใช่เขา
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกตา อารัณย์ก็อ้อนคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยแหละครับ”
“ตาว่าไม่ใช่นะ ทั้งวันเห็นมันป้วนเปี้ยนอยู่กับเอ็งคนเดียวนั่นแหละ ถ้าเอ็งไม่โผล่ไปไหนมันก็ไม่ไปเหมือนกัน วันก่อนยายไปเรียกให้มันมากินข้าวข้างด้วยกันตอนเอ็งยังนอนอยู่มันยังไม่ยอมมาเลย”
รัตติกาลยิ้มแหย เริ่มรู้สึกไม่สบายใจที่คนบ้านนั้นมองว่าอารัณย์เป็นคนเป็นแบบนี้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไหร่ ร่างสูงยังคงโบกมือให้รัตติกาลจากที่ไกลๆจนตาไทยที่เห็นเช่นนั้นหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆ นั่นไง เป็นอย่างที่ไหมล่ะ”
“...ครับ”
“เอาน่า อย่าคิดมากไป ถ้ามันน่ารำคาญนักคืนนี้ก็ไล่มันกลับห้องไป”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยอมรึเปล่า...”
ร่างโปร่งบ่นพึมพำกับตัวเองทำให้ตาไทยไม่ได้ยิน เขานั่งรออารัณย์ร่วมชั่วโมงก่อนอีกฝ่ายจะเดินกลับมาพร้อมกระป๋องที่ใส่หอยไว้จนเต็มแถมด้วยขนมตาลและน้ำตาลสดที่ชาวบ้านฝากไว้ให้ไปลองชิมอีกจำนวนหนึ่ง รัตติกาลยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้อารัณย์ใช้เช็ดหน้าที่แดงกล่ำเพราะแดดแต่มันกลับยิ่งทำให้คนตัวโตดูดีขึ้นเสียจนชายหนุ่มแอบชื่นชมในใจ
“มองทำไม หล่ออะดิ”
“หล่อ...ตายห่า”
รัตติกาลกล้ากวนกลับไปเพราะตาไทยเดินกลับไปก่อนแล้วจึงเหลือพวกเขาเพียงแค่สองคนเท่านั้น อารัณย์หัวเราะเสียงดังก่อนจะยกมือข้างที่เพิ่งล้างเสร็จขึ้นขยี้หัวของร่างโปร่งแรงๆจนรัตติกาลต้องไล่ตีมือที่ทำร้ายตนเองอยู่เป็นพัลวัน อารัณย์ยิ้มชอบใจที่เห็นรัตติกาลทำหน้าบึ้งพลางบ่นกระปอดกระแปดเพราะกลัวว่ากลิ่นโคลนจะติดไปกับผม จนคนตัวโตต้องคว้าเอวบางให้มายืนอยู่ใกล้ๆแล้วก้มลงสูดความหอมบนกะหม่อมของรัตติกาลโดยไม่สนใจเลยว่าอีกคนจะรู้สึกยังไง
“ไม่เห็นเหม็นเลย หอมจะตาย”
“รัณย์!ปล่อย!”
“อะไร กอดนิดเดียวเอง”
“เดี๋ยวมีคนมาเห็น นี่ไม่ได้อยู่ในบ้านเข้าใจไหม”
รัตติกาลพูดในสิ่งที่กังวลออกมา เพราะอย่างที่ว่าเขาจึงไม่ค่อยอยากให้อารัณย์แสดงท่าทีกับตนในที่สาธารณะเท่าไหร่ แต่ความหวังดีของรัตติกาลกลับทำให้อีกคนมองมาอย่างไม่ชอบใจเหมือนกับทุกๆครั้งที่ร่างโปร่งปฏิเสธการสัมผัสจากเขา
“ไม่เห็นไปไรเลย ใครจะเห็นก็เห็นไป”
“มันดูไม่ดี”
“ไม่ดีตรงไหน เราไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย”
“คนอื่นน่ะไม่เดือดร้อนหรอก...คุณต่างหากที่จะเดือดร้อน”
อารัณย์ขมวดคิ้ว ร่างสูงคว้าเอากระป๋องมาถือไว้แล้วใช้อีกมือหนึ่งคว้าเอามือของรัตติกาลมาจับโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะขันขืนแค่ไหน ไม่ว่าด้วยเพราะแรงที่มากกว่าหรือความดึงดันที่อารัณย์แสดงออกทางสายตาทำให้รัตติกาลต้องหันหน้าหนีแล้วค่อยๆผ่อนแรงที่ขืนไว้ลง
“มีใครมาพูดอะไรรึเปล่า”
“...เปล่า”
“ตาไทยหรอ? ตาว่ากาลมาใช่ไหม”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
“แล้วแบบไหน ทำไมจู่ๆกาลถึงพูดแบบนี้ออกมา”
รัตติกาลถอนหายใจ เขาออกแรงจูงอารัณย์ให้เดินตามกันมาจนถึงปลายสะพานที่ไร้ผู้คนมีเพียงเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ทอดยาวไปกับพื้น พวกเขาเดินไปเรื่อยๆจนถึงชายหาดเล็กๆที่แม้จะไม่สวยงามและลงเล่นน้ำไม่ได้แต่ก็ถือเป็นจุดแปลกตาที่รัตติกาลชอบทันทีที่ได้เห็นมันครั้งแรก เขาให้อารัณย์วางสัมภาระลงบนโขดหินใหญ่ใกล้ๆแถวนั้นแล้วพากันถอดรองเท้าออกปล่อยให้ผิวหนังเปลือยเปล่าสัมผัสกับพื้นทรายและน้ำทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง
“อารัณย์...ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมารู้สึกยังไงบ้าง”
“มีความสุข”
อารัณย์ตอบได้โดยไม่ต้องคิดสีหน้าจริงจังนั้นทำให้รัตติกาลยิ้มออกมาได้ทั้งที่ความกังวลยังสุมแน่นอยู่ในอก เขาทรุดตัวลงค่อยๆใช้มือโกยทรายบนพื้นเข้าหากันแล้วพยายามปั้นมันให้เป็นรูปร่าง
“ช่วยหน่อยสิ”
“ฮะ?”
“ปราสาททรายน่ะ...ผมอยากเห็น”
ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำสอง อารัณย์เดินตรงมายังที่ที่รัตติกาลอยู่แล้วนั่งลงกับพื้นโดยไม่กลัวเลยว่าตัวเองจะแปดเปื้อนแค่ไหน มือทั้งสองคู่ค่อยๆบรรจงสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นจากสิ่งที่ไม่มั่นคงอย่างเม็ดทราย ทุกครั้งที่ปราสาทนั้นทรุดลงทั้งสองคนก็พยายามที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่
เวลาล่วงเลยไปจนฟ้าสีครามเลือนหายกลายเป็นสีส้ม อารัณย์และรัตติกาลยืนมองความตั้งใจของทั้งคู่ที่แฝงอยู่ในเม็ดทรายตั้งแต่ฐานจรดปลายยอด ร่างสูงเดินไปหยิบกล้องคู่ใจมาถ่ายภาพแห่งความทรงจำโดยไม่ลืมที่จะเก็บอิริยาบถของรัตติกาลตอนเผลอไว้ อารัณย์มองภาพๆนั้นด้วยความพึงพอใจ ใบหน้าด้านข้างของรัตติกาลที่นั่งอยู่เคียงข้างปราสาททรายหลังเล็กกำลังมองไปยังเส้นขอบฟ้า ความสุขสงบที่เผยผ่านทางสีหน้าทำให้อารัณย์รู้ว่ารัตติกาลอยากเก็บช่วงเวลาสำคัญนี้ไว้มากแค่ไหนเพราะเขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
“อารัณย์”
“หื้ม”
“ผม...ก็มีความสุขเหมือนกัน ขอบคุณนะ”
ร่างสูงยิ้มแทนคำตอบเขาเดินกลับไปแล้วนั่งลงเคียงข้างรัตติกาลก่อนที่จะยื่นกล้องออกไปสุดแขนเพื่อเก็บภาพของพวกเขาทั้งคู่ไว้ให้เฟรมเดียวกัน อารัณย์กดชัตเตอร์ด้วยความลำบากแต่ผลของมันก็คุ้มค่าเสียจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าภาพๆนี้คือภาพที่สวยที่สุดที่เขาเคยมี ไม่ใช่เพราะวิวทะเลที่สวยงาม ไม่ใช่เพราะปราสาททรายสวยที่พวกเขาบรรจงสร้าง แต่เป็นเพราะรอยยิ้มของพวกเขาทั้งสองคนที่ถูกบันทึกไว้
“อารัณย์”
“ครับ เรียกบ่อยจังเลย ฮ่าๆ”
“เรื่องของเรา...มันไม่มั่นคงหรอกนะ”
“...”
“ถึงเราจะพยายามสร้างมันจนสวยงามแค่ไหน สุดท้ายมันก็ต้องหายไปอยู่ดี”
“...”
“อย่าจริงจังกับผมมากไปกว่านี้เลยนะ”
อารัณย์เบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆปิดมันลง รัตติกาลได้ยินเสียงคนข้างๆถอนหายใจ เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองว่าอารัณย์กำลังทำหน้าแบบไหน เขากลัว...กลัวว่าตัวเองจะเปลี่ยนใจหากได้เห็นสีหน้าผิดหวังของร่างสูง หากแต่อารัณย์กลับไม่ยอมปล่อยให้รัตติกาลหนีตนไปอีกครั้ง
ฝ่ามือหยาบจับใบหน้าของรัตติกาลให้หันกลับมามองที่ตน อารัณย์จ้องมองไปยังดวงตาที่หวั่นไหวคู่นั้น หากเปรียบเป็นทะเลมันคงเป็นนาวาที่เต็มไปด้วยมรสุมเสียจนกลัวว่ามันจะแตกสลาย รัตติกาลมองใบหน้าของอารัณย์ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ อยากจะหันหนีแต่ก็ไม่อาจทำได้ เขาหลับตาลง ไม่อยากสบตากับอารัณย์มากไปกว่านี้จนกระทั่งเขาสัมผัสได้ถึงปลายจมูกของร่างสูงที่จรดอยู่บนปลายจมูกของเขา...
โป้ก!!!
“โอ้ย!!!!”
รัตติกาลกุมหน้าผากของตัวเองจนเสียหลังลงไปนอนกองกับพื้นทรายเช่นเดียวกับคนที่ลงมือทำร้ายแต่ดีกว่าหน่อยตรงที่อารัณย์ตั้งหลักได้ทันจึงยังคงนั่งอยู่กับที่แล้วมองมายังรัตติกาลด้วยสีหน้าสะใจจนเกินบรรยาย
“ทำอะไรวะ เจ็บนะเว้ย!!!”
“ก็ทำให้เจ็บไง หมั่นไส้คน!”
ร่างโปร่งพยุงตัวเองขึ้นแล้วคว้าคอเสื้อของอารัณย์มากำไว้ด้วยความไม่พอใจ อารัณย์มองรัตติกาลที่ฟึดฟัดด้วยท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจจนทำให้รัตติกาลโมโหมากขึ้นกว่าเดิม
“เพ้อเจ้อว่ะกาล อ่านหนังสือเยอะไปหน่อยไหม”
“จะพูดอะไรกันแน่!”
“ก็จะบอกว่ากาลน่ะบ้า เพ้อเจ้อ คิดมากไปรึเปล่าวะ!”
“...”
“เคยเรียนไหมพระพุทธศาสนาน่ะ เขาสอนว่าทุกสิ่งไม่เที่ยงไม่ใช่หรอ แล้วกาลมาเพ้อทำไมว่าสักวันทุกอย่างมันจะพัง มันพังแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีอยู่เป็นนิรันดร์ได้ คนเราสักวันหนึ่งก็ต้องตาย สักวันเราก็ต้องจากกันอยู่ดี”
อารัณย์คว้ารัตติกาลมากอดไว้แน่นไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอนแค่ไหน ร่างโปร่งขืนตัวอยู่สักพักแต่ก็ยอมสงบลงเมื่ออารัณย์ลูบลงบนแผ่นหลังตนเบาๆ
“ความสวยงามของการเดินทาง อยู่ที่ระหว่างทางไม่ใช่จุดหมาย...จำได้ว่าเคยอ่านเจอจากหนังสือสักเล่มในห้องกาล อ่านไปตั้งเยอะเคยจำมาใช้บ้างป่ะเนี่ย”
“...ทำมาเป็นสอน”
“ก็สอนไง อยากสอนเยอะกว่านี้อีก คิดได้ไงมาบอกให้ผมไม่ต้องจริงจังด้วย คนฟังใจหายแค่ไหนรู้บ้างรึเปล่า”
“...รู้”
“ถ้ารู้ก็อย่าทำ...มันเจ็บ”
“ขอโทษ”
รัตติกาลยกมือขึ้นกอดอารัณย์ตอบแล้วซบหน้าลงบนแผ่นอกหนาที่อบอุ่นสำหรับเขาเสมอ
“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าจะทำให้กาลมีความสุข”
“อืม”
“แล้วตอนนี้กาลมีความสุขไหม”
“...มาก”
“แค่นั้นก็พอแล้ว แค่ตอนนี้กาลมีความสุขต่อให้สักวันมันต้องหายไปก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าอนาคตเราจะอยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม ขอแค่กาลจำมันไว้ก็พอ”
ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงสายลมเคล้ากลิ่นทะเลลอยมาทำให้ผมสีดำเข้มถูกพัดจนร่วงมาปรกใบหน้า คนอายุน้อยกว่าจับปอยผมสีท้องฟ้ายามค่ำคืนไว้แล้วทัดมันเข้ากับใบหูของผู้เป็นเจ้าของโดยไม่รู้เลยว่าการกระทำของตนเองนั้นทำให้ใครบางคนรู้สึกเหมือนปราสาททรายที่สั่นไหวเพราะคลื่นทะเล
“ตราบเท่าที่กาลยังจดจำความรู้สึกของผมได้ ผมจะอยู่กับกาลเสมอ”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
แน่ะๆ คิดอะดิว่าจะเจอฉากอัศจรรย์ :z1: :pigha2: รอไปก่อนนะ 5555555555 ขอใสๆอีกสักตอน ส่วนตอนหน้า...ลุ้นกันต่อไป (ถ้าเช่ไม่ออกทะเลก็คงได้อ่านมั้ง) :man1:
ตอนนี้มาเร็วนิดหน่อย รีบปั่นให้ก่อนไม่ว่างคับ ทุกวันนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์มาก นี่คนหรือเห็ดรา แยกร่างเร็วเว่อร์ทำโน้นทำนี่หัวหมุนไปหมดเลย อยากพาพี่กาลกลับบ้านแล้ว เช่จะได้เข้าเฟสสามสักที อัดเอ็มร้อยแล้วเขียนต่อไป! :katai1:
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตคับ มากน้อยเช่อ่านหมดเลยแต่ไม่รู้จะตอบยังไงหมด (อยากตอบมาก แต่ไม่อยากให้รก) ขอบคุณนะคับที่เป็นกำลังใจให้เช่มาตลอด เหนื่อยๆมานั่งอ่านคอมเม้นต์นี่ยิ้มแก้มปริ ไม่ใช่ไร อ้วน T^T ช่วงนี้กินเยอะมาก (สังเกตได้จากฉากของกินที่เพิ่มขึ้นทุกที) :katai3:
-
หวานเกิ้นนน หมั่นไส้ 5555
-
:o8:
-
ฮาาาาาาา ลำใยมากกกกกกก
รัณย์น่ารักอะ พ่อพระด้วย กาลรีบหลงได้แล้ว
สุดท้ายขำเช่มากตรงยิ้มแก้มปริเพราะอ้วน
คนอ่านก็อ้วนค่ะ เจอฉากของกินดึกๆเนี่ย
-
:o8: :-[ :pig4:
-
32nd Night
…Happiness...
“หรอ แล้วอานิลทำยังไงต่อ”
อารัณย์ที่เพิ่งกลับจากอาบน้ำเดินเข้ามาในห้องแล้วมองไปยังร่างของรัตติกาลที่ยืนคุยโทรศัพท์กับลูกชายอยู่ที่ระเบียง กลิ่นสบู่อ่อนๆและเสียงประตูทำให้ร่างโปร่งหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามาชายหนุ่มก็กลับไปคุยโทรศัพท์ แล้วชมวิวภายนอกอีกครั้งจนทำให้อีกคนหน้าบึ้งเพราะคิดว่ารัตติกาลไม่สนใจ
นับว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นหลังจากที่รัตติกาลเริ่มเปิดใจให้อารัณย์เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น นอกจากการยอมให้ร่างสูงเดินหน้าจีบเต็มกำลังแล้วก็มีเรื่องที่รัตติกาลโทรคุยกับรพีทุกวันนี่แหละ ที่ทำให้ชายหนุ่มเห็นพัฒนาการทางอารมณ์ของร่างโปร่งได้ชัดเจน
ก่อนหน้าที่อารัณย์คอยตามประกบรัตติกาลอยู่ที่ออฟฟิศไม่ใช่ว่าร่างโปร่งจะไม่เคยโทรหาลูกชาย แต่ในทุกๆครั้งก็เป็นเพราะต้องโทรหาจันทร์อยู่แล้วและที่สำคัญอารัณย์ไม่เคยเห็นสีหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนๆประดับอยู่เหมือนกับตอนนี้เลยสักครั้ง ถึงแม้จะเล็กน้อยแต่ความอ่อนโยนที่แสดงออกมา และคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ก็มากพอที่จะทำให้รัตติกาลดูเหมือนพ่อจริงๆขึ้นมาบ้าง
“รพี พ่อขอคุณโทรศัพท์กับยายจันทร์หน่อยครับ อื้อ...”
รัตติกาลเบนหน้ากลับมามองคนที่พุ่งตรงมากอดตนไว้จากทางด้านหลัง เส้นผมที่ยังชื้นอยู่ของอารัณย์คลอเคลียไปตามคอระหงของร่างโปร่งเมื่อใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มซุกลงตรงไหปลาร้าขาวแล้วขยับยุกยิกไปมา แม้ว่ารัตติกาลจะพยายามเบี่ยงหลบแต่อีกฝ่ายก็ไม่คิดที่จะยอมถอยห่างออกไปเลยแม้แต่นิด
เมื่อเห็นว่าอารัณย์ยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ รัตติกาลจึงต้องตัดใจคุยโทรศัพท์กับจันทร์ที่รับสายต่อจากรพีไปทั้งอย่างนั้นโดยเขาก็ไม่ลืมที่จะกำชับว่าให้ทุกๆคนอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวและคอยเป็นหูเป็นตาดูแลรพีในช่วงที่เขายังไม่กลับบ้าน
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณกาล นี่คุณนิลก็เพิ่งให้คนมาติดกล้องวงจรปิดเพิ่มไปเมื่อเช้านี้เองค่ะ”
“ก็ดีแล้วล่ะครับ แต่เราก็อย่าประมาทดีกว่า”
“ค่ะ แล้วคุณกาลเป็นยังไงบ้างคะ อยู่ทางโน้นลำบากมากไหม”
“ไม่ลำบากเลยครับ ชาวบ้านที่นี่ดูแลผมดีมาก สนุกจนรู้สึกตัวเองมาแอบอู้แล้วปล่อยให้ไอ้นิลทำงานแทนเลยแหละครับ”
“ฮ่าๆ ดีแล้วล่ะค่ะ แล้วแผลคุณรัณย์หายดีรึยังคะ”
“คุยกับเจ้าตัวเลยแล้วกันครับป้า”
พอพูดเสร็จรัตติกาลก็จัดแจงยื่นโทรศัพท์ไปให้คนตัวโตคุยต่อแล้วถือโอกาสขืนตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของอารัณย์ที่ชี้หน้าคาดโทษคนเจ้าเล่ห์ไว้ ร่างโปร่งเดินเลี่ยงเข้ามาด้านใน เขาหยิบเอาสมุดเล่มเล็กที่ตนเองเขียนงานค้างไว้อยู่ก่อนจะนอนคว่ำลงบนเตียง รัตติกาลเขียนเรื่องราวต่างๆตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ลงไปโดยมีเสียงทุ้มนุ่มของอารัณย์ดังคลอพอให้รู้สึกไม่น่ารำคาญ
“ยังไม่รู้เลยครับ ถ้ากลับไปได้ผมจะบอกอีกทีนะ ครับ สวัสดีครับ”
อารัณย์วางสายแล้วว่างโทรศัพท์ที่ใช้โทรเข้าออกได้อย่างเดียวลงบนโต๊ะไม้ข้างเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเคียงข้างรัตติกาลที่กำลังจมอยู่ในโลกส่วนตัวโดยไม่สนใจเขาอีกครั้ง ร่างสูงเขยิบตัวเข้าไปใกล้ วางปลายคางแหลมลงบนบ่าของอีกฝ่ายจนรัตติกาลเบ้หน้าเพราะความเจ็บ
“รัณย์เอาคางออกไป มันเจ็บ”
“อยากให้เอาออกก็หันมาสนใจกันหน่อยสิ เขียนอะไรอยู่ได้”
ร่างสูงทำท่าจะแย่งสมุดในมือไปดูแต่รัตติกาลกลับไวกว่า เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วกอดสิ่งที่อารัณย์หวังจะแย่งไปไว้กับอก
“ไม่ต้องรู้หรอก แล้วก็ลงไปนอนข้างล่างได้แล้ว อย่ามาเนียน”
อารัณย์เบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจกับความหัวแข็งของรัตติกาลที่ไม่เคยยอมให้เขานอนร่วมเตียงทั้งที่เปิดเผยความในใจให้อีกฝ่ายได้รู้มานานกว่าอาทิตย์ ร่างสูงไม่ได้หวังจะทำเรื่องอย่างว่า(ถ้าเกิดรัตติกาลไม่เต็มใจ) อารัณย์หวังเพียงแค่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองพึงใจตามประสาคนที่ชอบสื่อสารผ่านภาษากายเป็นทุนเดิมเท่านั้น
“แค่นอนด้วยเฉยๆเอง ไม่ได้จะทำอะไรกาลสักหน่อย”
“ถ้านอนเฉยๆข้างล่างก็นอนได้”
“พื้นมันแข็ง อยากนอนเตียง”
“เตียงห้องคุณไง ซ่อมเสร็จแล้วนิ”
รัตติกาลยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อที่เห็นคนที่เด็กกว่าตนเถียงออกมาไม่ได้อย่างเคย อารัณย์ขมวดคิ้ว เขาพยายามหาข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองยังสามารถอยู่ที่ห้องนี้ต่อไปได้แต่จนแล้วจนรอดก็หมดหนทาง คนตัวโตกว่าจึงตัดสิ้นใจทิ้งตัวลงนอนแล้วซุกใบหน้าที่มีไรเคราขึ้นจางๆลงบนหน้าท้องของรัตติกาลผ่านผ้าเนื้อบางที่กางกั้น
“ไม่ไปไม่ได้หรอ ขอนอนห้องนี้นะ”
“หึๆ คิดว่าทำอย่างนี้แล้วตัวเองน่ารักหรอ”
“อืม น่ารัก...แล้วรักป่ะ?”
ร่างโปร่งส่ายหน้าให้คนที่เนียนถามได้อย่างหน้าตาเฉย เขาหยิกลงบนแก้มสากของอารัณย์เพื่อระบายความมันเขี้ยว แต่ก็โดนอีกฝ่ายกัดเบาๆเข้าที่ข้อมือกลับมา
“รัณย์! กัดมาได้ เป็นหมาหรอ”
“ป่าวเป็นคน คนน่าสงสารด้วย ถามแล้วกาลไม่ยอมตอบ”
“อยากฟังคำตอบจริงอะ”
“อืม...ตอนนี้ยังดีกว่า”
อารัณย์ลังเลก่อนจะปฏิเสธไปเพราะกลัวว่าคำตอบของรัตติกาลจะไม่ใช่สิ่งที่เขาหวัง ร่างโปร่งพอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะลูบเส้นผมของอารัณย์เล่นเบาๆโดยที่อีกฝ่ายก็หลับตาพริ้มรับสัมผัสนั้น
“กาล ป้าจันทร์ถามว่าลอยกระทงจะกลับไปที่บ้านได้ไหม”
“อ่า อีกสองวันเองสินะ”
รัตติกาลไล่วันที่ในใจแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้ายมากนัก
“ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะ ไม่ตื่นเต้นหรอ”
“อายุตั้งขนาดนี้แล้ว อีกอย่างก็ไม่ได้ลอยมานานแล้วด้วย”
“งั้นกาลลอยกระทงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“อืม...รู้สึกว่าปีสุดท้ายที่ลอยก็ก่อนหน้าที่พ่อแม่จะเสียนั่นแหละ”
ร่างสูงพอได้ยินก็นิ่งไป เขาเอื้อมคว้ามือของรัตติกาลมาจับไว้แทนคำขอโทษที่ตัวเองทำให้รัตติกาลต้องนึกถึงเรื่องราวแย่ๆ
“ผมไม่เป็นไรหรอก มันผ่านมานานแล้ว”
รัตติกาลยิ้มให้อารัณย์แต่ในใจก็พาลนึกไปถึงความสูญเสียที่พลิกชีวิตของเขานับตั้งแต่วันนั้น ทั้งมุมมองที่เปลี่ยนไปและสาเหตุที่ทำให้เขาเริ่มหันมาสนใจนทีที่อยู่เคียงข้างในวันที่ลำบาก เช่นเดียวกับตอนนี้ที่เขามีอารัณย์อยู่ค้างๆ แต่รัตติกาลกลับรู้สึกว่ามันต่างกัน...เขาพยายามบอกตัวเองเช่นนั้น
“เข้มแข็งจังนะ”
“ไม่หรอก แค่คิดว่าร้องไห้ไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี”
“งั้นหรอ...นั่นสินะ”
รัตติกาลเห็นอารัณย์ยิ้มมุมปากในขณะที่สายตาที่เคยเต็มไปด้วยความอบอุ่นจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างขึ้นมาในเสี้ยววินาที ร่างสูงยันกายขึ้นก่อนจะกลับไปทรุดตัวลงนอนอีกครั้งบนฟูกบางๆของตนเองซึ่งปูอยู่บนพื้นไม้ ร่างโปร่งมองอาการของพี่เลี้ยงหนุ่มอย่างไม่สบายใจมากนัก
เขาลุกขึ้นไปเก็บสมุดแล้วจัดการปิดไฟจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืด รัตติกาลนอนลงบนเตียงของตนที่ยังคงหลงเหลือความอบอุ่นของอารัณย์ไว้แม้ว่าตอนนี้เจ้าของมันกำลังตกอยู่ในห้องความคิดบางอย่างจนไม่ได้สังเกตเลยว่ารัตติกาลกำลังจ้องมองตนอยู่ด้วยสายตาแบบไหน
“อารัณย์ เป็นอะไรไป”
“ห๊ะ...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”
อารัณย์สะดุ้งน้อยๆก่อนจะตอบรัตติกาลไปด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม
“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วทำไมยิ้มแบนั้น...น่าขนลุก”
“...ขอโทษที”
“นี่...ตอนนี้ ‘เรา’ ไม่ได้อยู่คนเดียว รู้ใช่ไหม”
รัตติกาลเน้นคำว่าเราเพื่อให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาพร้อมที่จะรับฟังในสิ่งที่ทำให้อารัณย์กลายเป็นแบบนี้ ร่างสูงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหอบหมอนผ้าห่มไปวางไว้บนเตียงของรัตติกาลพร้อมกับร่างของตนที่เอนลงบนพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่ โดยที่รัตติกาลก็ไม่ได้เอ่ยค้านอย่างเคย
“ขอกอดหน่อยได้ไหม”
อารัณย์คว้ารัตติกาลมากอดโดยไม่รอฟังคำตอบใดๆ ทั้งคู่นอนฟังเสียงลมหายใจของกันและกันแล้วปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อยๆโดยไม่มีใครคิดจะหลับใหล รัตติกาลรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงเรียบนิ่งของอารัณย์ขึ้น แต่มันกลับเจือไปด้วยความเศร้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“พ่อแม่ผมก็เสียแล้วเหมือนกัน”
“อืม...”
ร่างโปร่งตอบเพียงแค่นั้นแล้วโอบกอดอารัณย์ไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น
“แม่ตายตอนผมเรียนจบมอสาม ส่วนพ่อ...ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาเสียไปตอนไหน แต่มันก็แทบไม่มีความสำคัญเพราะผมไม่เคยเจอหน้าคนคนนั้นแม้แต่ครั้งเดียว”
“...”
“เพราะผม...ไม่ใช่เด็กที่เขาต้องการให้เกิดมา”
เสียงของอารัณย์สั่นในตอนท้ายจนรัตติกาลคิดว่าร่างสูงจะร้องไห้ออกมาแต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเปียกชื้นใดๆ เหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนมันไว้
“แม่ผมเป็นลูกสาวของแม่ค้าที่เปิดร้านข้าวอยู่ใกล้ๆโรงพัก แม่เป็นคนสวยมากจนใครต่อใครก็อยากได้แม่ไปอยู่ด้วยแม้แต่กระทั่งสารวัตรคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพ...คนอีกคนที่มีส่วนให้กำเนิดผมมา”
“...”
“พวกเขาคบหากันโดยที่ชาวบ้านก็รับรู้กันทั่ว มีคนเคยเล่าให้ผมฟังว่าแม่เดินยิ้มไปทั่วตลาดเที่ยวบอกให้ใครต่อใครเรียกตัวเองว่าคุณนาย มีความสุขอยู่กับของแพงๆที่ผู้ชายคนนั้นซื้อมาให้โดยที่ก็รักและดูแลเอาใจใส่กันดีจนทุกคนมั่นใจแล้วว่าอีกไม่นานเขาจะต้องแต่งงานอยู่กินกับแม่แน่ๆ...แต่มันก็ไม่ใช่”
รัตติกาลกอดอารัณย์ไว้ให้แน่นขึ้นอีกเมื่อพอจะเดาเรื่องราวได้รางๆ แต่เขาก็ยังรอฟังโดยที่ไม่พูดอะไรออกไป
“ผู้ชายคนนั้น...เขามีเมียอยู่แล้วที่กรุงเทพ เขากับเมียตามกฎหมายของเขามาคุยกับแม่พร้อมกับเสนอเงินก้อนใหญ่เพื่อให้แม่เลิกยุ่งกับเขาซะ กาลคิดว่าแม่ผมจะทำยังไงล่ะ เมื่อแม่ต้องเลือก...ในวันที่มีผมอยู่ในท้องแล้ว”
อารัณย์ลืมตาขึ้น เขาผลักรัตติกาลให้นอนราบไปกับเตียงก่อนจะย้ายร่างของตนขึ้นไปคร่อมไว้แล้วใช้สองมือกักขังร่างของร่างโปร่งไว้ไม่ให้ขยับไปไหน อารัณย์เคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้จนทั้งสองสามารถมองเห็นกันได้ชัดเจนแม้ว่ารอบกายจะไร้ซึ่งแสงสว่าง รัตติกาลเห็นมัน...ความชิงชังที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“แม่เรียกเงินเพิ่มอีกก้อน...ไว้เป็นค่าทำแท้งผม”
“อารัณย์...”
“ไม่ต้องสงสารผมหรอก เพราะต่อให้แม่ทำยังไงผมก็ไม่ตายอยู่ดี”
ร่างสูงยิ้มให้รัตติกาลแต่คนมองกลับรู้สึกว่ามันช่างเป็นรอยยิ้มที่เย็บเฉียบเสียจนมันทำให้เขานึกย้อนถึงตัวเองที่เคยมีรอยยิ้มแบบเดียวกัน รอยยิ้ม...ที่มีไว้เพื่อสาปแช่งคนทั้งโลก
“ ‘มารหัวขน’ แม่กับยายเรียกผมว่าแบบนั้น เงินที่ได้มาถูกใช้ไปจนหมด ผู้ชายคนนั้นก็ย้ายกลับไปกรุงเทพตั้งแต่วันที่ผมยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก ชาวบ้านที่เคยอิจฉาก็เอาเรื่องของแม่ไปพูดกันซะสนุกปาก ตลาดที่เคยเป็นที่ทำมาหากินกลายเป็นนรกที่ไม่กล้าจะเดินเข้าไป ตาที่เอาเงินแม่ไปผลาญชิงหนีเอาตัวรอดไปก่อนทิ้งพวกผมสามคนไว้กับความอัปยศที่ตัวเองเป็นคนก่อ คืนวันโหดร้ายผ่านไปเรื่อยๆจนยายทนไม่ไหวผูกคอตายไปเป็นคนแรก...เหลือไว้แค่ผมกับแม่ให้อยู่ต่อแบบตายทั้งเป็น”
“พอเถอะ...ไม่ต้องเล่าแล้วอารัณย์”
“ให้ผมเล่าเถอะกาล เพราะตอนนี้ผมมีคุณอยู่...”
รัตติกาลที่น้ำตาคลอยอมพยักหน้าตอบรับคำขอของอารัณย์แม้ว่าจะสงสารคนตรงหน้าแค่ไหน ร่างสูงใช้มือปาดหยดน้ำใสออกจากดวงตาของรัตติกาลเพื่อปลอบโยนอีกฝ่ายแม้ว่าตัวเองจะปวดร้าวไม่แพ้กัน
“ผมโตมาด้วยคำสาปแช่งของแม่ จริงอยู่ที่แม่เป็นเมียน้อยเขาแต่ก็เพราะว่าไม่รู้ ถ้าเลิกกันไปก็คงถูกพูดถึงอยู่ไม่นาน แต่เรื่องทั้งหมดมันแย่ลงเพราะผมดันเกิดมา ลูกที่ควรเครื่องแทนความรักของพ่อแม่เลยกลายมาเป็นเครื่องตอกย้ำความผิดพลาดของแม่ให้ไม่มีวันลบเลือนไปแทน จวบจนวันสุดท้ายที่แม่จบชีวิตตัวเองลงด้วยวิธีการเดียวกับยาย”
อารัณย์นึกถึงภาพที่ตัวเองเห็นหลังจากกลับมาถึงบ้านในวันสำเร็จการศึกษาจากชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม เด็กชายที่รีบวิ่งกลับบ้านโดยไม่สนใจว่ารองเท้าคู่เก่าของตัวเองจะเปรอะเปื้อนแค่ไหนกำลังยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับท่องคำพูดที่รวบรวมความกล้าอยู่ทั้งวันเพื่อจะกลับมามอบมันให้กับมารดา
แม่ของเขาลอยอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว มือที่เคยใช้ทุบตีบุตรหงิกงอจนผิดรูปไม่ต่างจากปลายเท้าที่ลอยเหนือพื้นเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น อารัณย์จ้องมองไปในดวงตาไร้แววของมารดาที่ปูดโปนออกมาแต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่าแม่กำลังจ้องมองตนเองอยู่แม้จะสิ้นลมหายใจไปแล้วก็ตาม เด็กชายในชุดนักเรียนทรุดตัวลง กอดปลายเท้าของหญิงสาวผู้เป็นที่รักไว้แน่น เขากรีดร้องโดยไม่มีเสียง มีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงไปปะปนกับกองเลือดที่กองอยู่บนพื้นเท่านั้น
“รัณย์จบมอสามแล้วนะแม่ รัณย์ทำงานเลี้ยงแม่ได้แล้ว”
แต่สุดท้าย...มันก็ส่งไปไม่ถึง
:o12:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :o12:
-
ริมสองฝั่งคลองเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ออกมาช่วยกันแต่งประดับสองข้างทางด้วยแสงไฟและใบจากที่ถูกแต่งเป็นซุ้มไม้สวยๆ คนหนุ่มที่ยังพอมีกำลังต่างช่วยกันลงมือลงแรงทำงานจนเหงื่อโทรมกายในขณะที่ผู้หญิงและเด็กที่โตพอจะถือของได้เป็นฝ่ายคอยส่งเสบียงและน้ำเติมกำลังให้กับทุกคน
รัตติกาลยิ้มให้กับภาพตรงหน้าก่อนจะหันไปมองอารัณย์ที่รับน้ำจากเด็กสาวผมเปียตัวน้อยที่ยืนแก้มแดงแต่ก็ยังหาเรื่องมาเป็นหัวข้อพูดคุยกับชายหนุ่มไม่ยอมหยุด อารัณย์หัวเราะก่อนจะลูบผมที่ถูกทักอย่างประณีตเบาๆ ไม่เหลือเค้าของคนที่ครั้งหนึ่งเคยผ่านเรื่องราวโหดร้ายมายิ่งกว่าตัวเขาซะอีก
“กาล มาช่วยตรงนี้หน่อยสิ”
ร่างโปร่งเดินไปตามเสียงเรียกของพี่เลี้ยงหนุ่มก่อนจะทำหน้าที่ส่งตะปูตัวยาวให้อีกฝ่ายใช้ค้อนยึดมันเข้ากับโครงไม้ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง รัตติกาลดีใจที่หลังจากคืนนั้นอารัณย์ยังสามารถยิ้มได้ในขณะที่เขาเซื่องซึมอยู่พักใหญ่เพราะเรื่องราวเหล่านั้นยังดังก้องอยู่ในหัว
รัตติกาลเคยคิดว่าตัวเองคือคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก เหตุเพราะโดนคนที่รักหักหลังแล้วทิ้งตนไว้เพียงลำพัง แต่พอได้ฟังเรื่องราวของอารัณย์แล้วส่วนหนึ่งในหัวใจกลับมีความยินดีตีตื้นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำวัยเด็กอันแสนอบอุ่นที่เขาเคยใช้มันร่วมกับพ่อและแม่ที่ถึงแม้วันนี้จะอยู่แล้วก็ยังคงหลงเหลือความดีไว้ให้คิดถึงกัน
แต่กับอารัณย์นั้นไม่ใช่ รัตติกาลไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า อารัณย์ตัวน้อยในตอนนั้นสามารถก้าวข้ามความอัปยศทุกอย่างมาได้อย่างไร ความเกลียดชังและไม่เป็นที่ต้องการแม้แต่กระทั่งจากผู้ให้กำเนิดทำร้ายคนคนนี้มามากแค่ไหน อารัณย์จะรู้สึกยังไงเมื่อต้องโดนขอร้องให้หายไป เขาไม่รู้เลย...ในขณะที่รพีคงเป็นคนที่เข้าใจอารัณย์มากที่สุด
“คิดอะไรอยู่กาล”
เสียงของร่างสูงปลุกเขาจากภวังค์ ตอนนี้ทั้งสองคนกลับมายังห้องพักเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะกลับไปรวมกับชาวบ้านเพื่อเข้าร่วมพิธีขอขมาพระแม่คงคาตามที่ตกลงกันไว้
“เปล่า พอดีคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ”
“คิดอะไรหื้ม? ไปอาบน้ำไปทำงานมาทั้งวัน ตัวเหม็นป่าวไหนดมดิ”
จมูกโด่งของอารัณย์ซุกลงบนซอกคอก่อนจะสูดความหอมเข้าปอดเสียเฮือกใหญ่ รัตติกาลหัวเราะคลอเบาๆแล้วผลักหัวอีกฝ่ายออกไปพลางทำหน้าดุใส่
“เล่นอะไรเนี่ย เหม็นเหงื่อจะตาย”
“ไม่เห็นเหม็นเลย หอมจะตาย ขอดมอีกรอบนะ”
“ไม่ต้องเลย ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวผมจะไปหายายพิศสักหน่อย”
“ยายพิศ? มีอะไรรึเปล่ากาล”
“ยายบอกทำกระทงไว้ให้เราสองคนแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาออกไปซื้อ”
อารัณย์มองเสี้ยวหน้าของรัตติกาลที่กำลังควานหาโทรศัพท์ด้วยความชอบใจ เขามีความสุขทุกครั้งที่รัตติกาลเลือกใช้คำว่าเราเพื่อแทนตัวตนของเขาทั้งสองคน ร่างสูงไม่อยากเชื่อว่าตัวเองสามารถเล่าถึงความทรงจำโหดร้ายที่ถูกฝั่งลึกลงไปได้จนจบ เขาคงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หากวันนั้นไม่มีรัตติกาลอยู่เคียงข้าง คนที่ทรมานไม่ต่างกันร้องไห้ออกมาแทนพลางโอบกอดเขาไว้แล้วพร่ำบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร จนกระทั่งทั้งคู่ตกลงห้วงนิทราในเวลาไล่เลี่ยกัน
“กาล”
“หื้ม?”
“อยากฟังคำนั้นรึยัง...”
ทั้งคู่หันมาสบตากัน อารัณย์มองรัตติกาลด้วยรอยยิ้มให้ขณะที่อีกคนทำหน้าเหรอหราได้อย่างน่าเอ็นดูแม้อายุจะเกือบจะล่วงเข้าเลขสามแล้วก็ตาม รัตติกาลทำหน้าปั้นยากอยู่สักครู่ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้อารัณย์ที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“หลับตาหน่อย”
อารัณย์ยิ้มกว้างก่อนจะหลับตาลงรอรับสัมผัสของรัตติกาลโดยที่คาดไม่ถึง ร่างโปร่งลูบเบาๆตรงข้างแก้มที่เขาเพิ่งโกนหนวดให้อีกฝ่ายไปเมื่อเช้า เขาค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะกระซิบเบาๆตรงข้างหูด้วยน้ำเสียงหวิวๆเหมือนที่ชอบทำสมัยเกี้ยวเด็กหนุ่มตามผับบาร์เวลาเที่ยว
“รัณย์...”
“ครับ”
“ถ้ายังไม่เลิกฝัน...ก็ไปเอาน้ำออกแล้วนอนซะ!!!”
รัตติกาลตะโกนสุดเสียงก่อนจะบีบเข้าที่จมูกโด่งแล้วโยกไปมาจนอารัณย์ร้องโอดครวญไม่หยุด ร่างโปร่งยอมปล่อยมือออกเมื่อได้รังแกพี่เลี้ยงหนุ่มจนสาแก่ใจ เขาตบปั้นท้ายของอารัณย์ทิ้งทวนเบาๆแล้วเดินออกจากบ้านไปโดยไม่อยู่ฟังเสียงโวยวายจากคนตัวโตที่ประกาศกร้าวคาดโทษรัตติกาลแต่หัววัน
“คืนนี้โดนแน่กาล เนื้อๆเน้นๆเลย!!!”
แต่มีหรอที่รัตติกาลจะกลัว?
“คืนนี้กลับไปนอนห้องตัวเองซะนะ”
“เห้ย ได้ไงอะ!”
อารัณย์รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองร้องโวยวายมากกว่าทุกครั้ง ยายพิศที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมามองชายหนุ่มอย่างปรามๆเมื่ออารัณย์พูดโพล่งออกมาขณะที่ชาวบ้านกำลังทำพิธีขอขมากันอยู่
ร่างสูงยกมือขอโทษพร้อมกับยิ้มแหยๆให้ชาวบ้านที่ต่างก็หันมามองเขากันหมด ยกเว้นคนก่อเรื่องที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ฟังเสียงพระสวดไปเรื่อยโดยไม่หันกลับมามองเขาแม้แต่น้อย
“อะไรอะกาล ทำแบบนี้ไม่แฟร์นะ”
“ทำไมจะไม่แฟร์ นี้มันห้องผมนะ ห้องคุณก็เสร็จแล้วก็กลับไปห้องตัวเองสิ ผมอยากจะอยู่แบบเป็นส่วนตัวบ้าง”
“ก็อยู่มาได้เป็นอาทิตย์แล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“ก็เพราะอยู่มาเป็นอาทิตย์แล้วนี่ไง ถึงได้อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง”
“เวลาส่วนตัวกาลก็ใช้มันกับผมไง”
“ตกภาษาไทยหรอ ‘ส่วนตัว’ กับ ‘ส่วนเกิน’ มันคนละคำกันนะคุณ”
“โห พูดโคตรแรงอะ”
อารัณย์ทำหน้าบึ้งแล้วหันหนีไปอีกทางเมื่อโดนรัตติกาลพูดแบบนั้นใส่ จนคนแกล้งเองเริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอพูดไม่ถนอมน้ำใจอีกฝ่ายไปซะแล้ว
“รัณย์...โกรธหรอ”
“...”
“ตัวก็ออกจะใหญ่ ใจอันเล็กนิดเดียวเอง”
รัตติกาลแกล้งพูดยั่วเข้าไปอีกแต่อีกคนก็ยังไม่สะทกสะท้าน หลังจากพระสวดขอขมาเสร็จตัวแทนชายหญิงจากหมู่บ้านที่แต่งตัวด้วยชุดไทยเดิมสวยสง่าต่างก็เดินออกมาพร้อมกับประคองกระทงที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตตามแบบดั่งเดิมไว้ พร้อมกับนำไปลอยน้ำเพื่อเป็นการเริ่มต้นประเพณีวันลอยกระทงตามกลางเสียงโห่ร้องของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาหนาตากว่าทุกครั้ง
อารัณย์ลุกขึ้นพร้อมกับถือกระทงของตนไว้ในมือ ร่างสูงเดินแหวกฝูงชนออกไปทางท่าน้ำโดยไม่คิดรัตติกาลที่ยังคงพูดคุยกับชาวบ้านที่เดินมาทักทายเหมือนเช่นทุกครั้ง ร่างโปร่งยืนคุยอยู่พักหนึ่งด้วยความรู้สึกเป็นกังวล พอได้จังหวะก็บอกลาป้าที่เคยเอาขนมให้กินตอนไปงมหอยแล้วรีบเดินไปตามทางที่อารัณย์เพิ่งเดินไปเมื่อครู่
“หายไปไหนของเขานะ”
แต่เหมือนว่าช้าไป รัตติกาลไม่เห็นแผ่นหลังกว้างของอารัณย์อีกแล้ว ร่างโปร่งเผลอกำมือแน่น อดตำหนิตัวเองไม่ได้ว่าพูดแรงเกินไปทั้งที่รู้ดีว่าลึกๆแล้วอารัณย์เป็นคนอ่อนไหวไม่น้อย รัตติกาลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะโทรออก แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกเขามีโทรศัพท์แค่เครื่องเดียวคือเครื่องที่ฤทธิชาติทิ้งไว้ให้ใช้ติดต่อยามฉุกเฉิน
“อ๊ะ ขอโทษครับ!”
รัตติกาลพูดโพลงออกมาเมื่อเขาเอาแต่จ้องมองมือถือตัวเองเผลอเดินชนคนในงานเข้าเต็มแรง ชายหนุ่มรีบสำรวจความเสียหายกระทงของตนเองก็พบว่ากลีบใบตองที่ถูกจับไว้สวยงามเบี้ยวไปเล็กน้อยแต่ก็พอซ่อมแซมได้ไม่น่าเกลียดอะไร รัตติกาลหันไปเพื่อจะขอโทษนักท่องเที่ยวคนนั้นอีกครั้ง แต่ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อพบว่ากระทงของอีกฝ่ายกลับลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นแทน
“กะ กระทง...ขอโทษนะครับ ผมผิดเอง ขอโทษจริงๆ”
ร่างโปร่งขอโทษอีกฝ่ายไม่หยุดพร้อมกับโค้งให้เพื่อแสดงความสำนึกผิด แต่คู่กรณีกลับหัวเราะออกมาพร้อมกับโบกไม้โบกมือบอกรัตติกาลว่าไม่เป็นไร ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้า รูปร่างสมส่วนสูงกว่าเขาเล็กน้อยยืนอยู่ใกล้เสียจนรัตติกาลเผลอผงะ ดวงตาเรียวเล็กแบบคนจีนบวกกับผิวขาวเกลี้ยงเกลาทำให้เขาอดยอมรับไม่ได้ว่าคนคนนี้เข้าข่ายหน้าตาดีชนิดหาตัวจับยาก
“ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ เดี๋ยวผมจะชดใช้ให้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็เดินไม่ดูทางเหมือนกัน เอาแต่มองหาของกินเลยบังเอิญชนกับคุณเขา”
ชายคนนั้นยิ้มกว้างให้ก่อนจะก้มลงเก็บซากกระทงที่เละแทะไม่เหลือเค้าเดิมให้เห็น รัตติกาลเองพอเห็นดังนั้นก็วางกระทงของตนลงบนม้านั่งใกล้ๆแล้วรีบลงไปช่วยอีกฝ่ายเก็บกวาดด้วยอีกแรง แม้ว่าจะนำกลับมาใช้ไม่ได้อีกแต่ก็ยังดีกว่าให้สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยมีค่าถูกเหยียบย้ำลงไปให้ช้ำกว่าเดิม
“อ่า เสียดายจังเลย”
ดวงตาเรียวเล็กนั้นมองกองดอกไม้อย่างเสียดายจนรัตติกาลยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม แต่ในตอนนั้นเอง ชายคนนั้นก็เริ่มหยิบเอาเอกกุหลาบและดาวเรืองที่ยังพอใช้ได้มามัดรวมเป็นช่อไว้ด้วยใบจากที่แอบเด็ดเอาจากซุ้มประดับที่รัตติกาลเพิ่งช่วยชาวบ้านทำไปเมื่อบ่าย มือที่ใหญ่โตกลับจับสิ่งบอบบางพวกนั้นได้อย่างอ่อนโยนเหมือนเวทย์มนต์ที่เนรมิตบุพผาโรยราเหล่านั้นให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
“สวยจัง”
รัตติกาลเผลอครวญออกมาด้วยความพอใจเมื่อสุดท้ายช่อดอกไม้สดเล็กๆช่อหนึ่งกำลังเบ่งบานอีกครั้งอยู่ในมือของชายคนนั้น ริมฝีปากหยักได้รูปยกยิ้มอ่อนโยนให้รัตติกาลก่อนที่ชายแปลกหน้าจะวางมันลงบนมือของรัตติกาลแทน
“ผมให้ครับ”
“เอ่อ ไม่ดีมั้งครับ”
ร่างโปร่งปฏิเสธเพราะความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายกลับยืนยันด้วยการใช้สองมือประคองมือของรัตติกาลไว้พร้อมกับช่อดอกไม้ที่อยู่ระหว่างทั้งสองคน
“รับไปเถอะครับ แต่ผมขอแลกกับ...”
ชายคนนั้นยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดให้รู้สึก แต่ก่อนที่รัตติกาลจะได้ผลักเขาออกไป อีกฝ่ายก็ชี้ไปยังกระทงที่ยายพิศทำให้ไว้แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
“ขอแลกกับกระทงของคุณ ได้ไหมครับ!”
“กระทงผม?”
ใบหน้าหล่อเหล่าพยักขึ้นลงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ผิดกับรัตติกาลที่ไม่กล้าตัดสินใจทั้งที่เขาควรจะตอบรับคำขอของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าเขาจะหาซื้อกระทงใบใหม่ไม่ได้ แต่น้ำใจที่ยายพิศทำมันให้กับเขาและอารัณย์ทำให้รัตติกาลไม่กล้าตบปากรับคำที่จะมองมันให้กับใครง่ายๆ
“คือ ให้ผมซื้อใบใหม่ให้ดีกว่า ตอนที่ชนใบนั้นก็เสียไปนิดหน่อยเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือ เอาใบนี้แหละ”
“แต่...”
“ยกให้ผมเถอะครับ พอดีผมค่อนข้างเชื่อเรื่องโชคชะตามากพอตัวเลยทีเดียว”
“โชคชะตา?”
รัตติกาลขมวดคิ้วแต่กลับโดนอีกฝ่ายใช้นิ้วคลายปมที่อยู่บนหน้าผากออกไปโดยที่เขาเองก็ไม่ทันตั้งตัว
“ครับ โชคชะตา...การที่เราสองคนเดินชนกัน มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ”
พอได้ฟังดังนั้นความชื่นชมในตัวอีกฝ่ายก็แทบจะหายไปหมด รัตติกาลเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะหาว่าเขาไม่มีมารยาท
“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงให้กระทงใบนี้กับคุณไม่ได้ ยังไงผมจะหากระทงใบใหม่ให้คุณแล้วกัน”
“แต่คุณเป็นคนเดินชนผม ผมมีสิทธิเรียกร้องไม่ใช่หรอครับ”
ร่างโปร่งเริ่มมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเมื่อโดนเล่นลิ้นใส่จากคนที่ยังคงยิ้มให้อย่างมีไมตรี รัตติกาลถอนหายใจ ใจหนึ่งเขาก็อยากให้กระทงไปเพื่อจะให้เรื่องจบแต่อีกใจก็ไม่อยากทำอย่างนั้นเพราะนั่นคือสิ่งที่ชายคนนี้หวังไว้ แล้วในตอนนั้นเอง มือที่รัตติกาลเคยคิดว่ามันช่างเต็มไปด้วยพรสวรรค์ก็จับเข้าที่ข้อมือของร่างโปร่งจนทำให้เขาเผลอปล่อยช่อดอกไม้นั่นลงกับพื้น
“ทำอะไรน่ะ!!”
รัตติกาลรู้ว่านั่นไม่ใช่เสียงของเขา ทันทีที่เสียงตะคอกนั้นดังขึ้นร่างของรัตติกาลก็ถูกดังเข้าไปปะทะเข้ากับแผ่นอกของอารัณย์ที่ชุ่มเหงื่อเสียจนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าร่างสูงไปทำอะไรมา ถึงแม้แต่อยากจะถาม ถึงแม้อยากจะขอโทษแต่จากสีหน้าของอารัณย์ตอนนี้ทำให้รัตติกาลเองก็ไม่กล้าปริปากอะไรออกไปเหมือนกัน
“กาลเป็นอะไรรึเปล่า!”
“ปะ เปล่า ไม่เป็นอะไร”
“แน่ใจนะ”
อารัณย์ถามย้ำเพราะไม่อยากจะปักใจเชื่อ ทันทีที่พิธีเริ่มเขาก็รีบเดินออกมาเพื่อมองหาน้ำดื่มมาใช้คลายอารมณ์ที่คุหน่อยของตนให้เย็นลงไปบ้าง เขารู้ดีว่ารัตติกาลแค่ปากไว ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าตนเป็นส่วนเกินอย่างที่ว่าแต่มันก็อดน้อยใจนิดๆไม่ได้เลยนั่งเช่อยู่คอสะพานไม่ยอมตามหาอีกฝ่าย จนกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควรอารัณย์ก็ยังคงไม่เห็นว่ารัตติกาลจะเดินมาทางนี้ ทั้งที่หากจะกลับไปที่บ้านพักพวกเขาจะต้องเดินผ่านสะพานนี่เท่านั้น
อารัณย์ยอมทิ้งทิฐิที่เคยมีทิ้งแล้วหารัตติกาลจนเหงื่อชุ่ม เขาถามชาวบ้านทุกคนที่รู้จักว่ามีใครเห็นรัตติกาลบ้านใหม่ จนกระทั่งเขาเจอเข้ากับป้าคนหนึ่งที่เคยคุยกันตอนไปป่าชายเลนชี้บอกเขาว่ารัตติกาลได้เดินไปแถวท่าน้ำที่เปิดให้นักท่องเที่ยวใช้ลอยกระทงเป็นจุดๆไป ร่างสูงไปตามทางเรื่อยๆก่อนจะสะดุดเข้ากับภาพที่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังลวนลามรัตติกาลจนเขาต้องรีบพุ่งเข้าไปหาโดยไม่คิด
“มึงเป็นใครวะ!”
“ใจเย็นๆสิครับ ผมเป็นนักท่องเที่ยวที่บังเอิญผ่านมาเท่านั้นเอง”
“แล้วมาจับมือกาลทำไม หาเรื่องหรอวะ!”
“ฮ่าๆ คุณนี่ดุดีจังเลยนะครับ ตลกด้วย”
“กูเพื่อนเล่นมึงหรอห๊ะ!”
“รัณย์ อย่า!”
รัตติกาลรีบดึงอารัณย์ที่ทำท่าจะปรี่ไปหาเรื่องชายแปลกหน้าคนนั้นที่ยังคงยืนยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาว หนำซ้ำยังหัวเราะออกมาอีกยิ่งยั่วให้อารัณย์อารมณ์ขึ้นไปกันใหญ่
“ฮ่าๆ ผมเองก็จะไม่ได้นะว่าเคยมีเพื่อนแบบคุณ”
“หยุดพูดยั่วให้มันโมโหสักทีสิวะ! รัณย์ใจเย็นๆ ผมไปเดินชนกระทงเขาพังเองไม่ได้มีเรื่องอะไรกันทั้งนั้น ชดใช้ให้เสร็จก็จะไปแล้ว”
ร่างโปร่งหันไปเหวใส่ชายคนนั้นด้วยสีหน้าโกรธขึงจนอารัณย์แอบตกใจ ก่อนจะยอมพยักหน้ายอมรับแต่โดนดีเพราะเห็นแล้วว่ารัตติกาลไม่ได้มีทีท่าว่าจะเล่นด้วยเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าจะชดใช้ผมขอยืนยันว่าต้องเป็นกระทงอันนั้นนะครับ”
ชายหนุ่มคนนั้นยังคงยืนยันเจตนารมณ์ของตัวเองแล้วชี้ไปยังกระทงใบตองที่วางนิ่งอยู่บนม้านั่ง อารัณย์มองมันอย่างไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่ากระทงของยายพิศจะสวยมากมายขนาดว่าหาไม่ได้อีกแล้ว มันติดออกจะธรรมดาด้วยซ้ำ ดอกไม้ประดับก็ไม่ได้มากมายอะไร ยายแก่เลือกใช้ใบไม้สีแปลกที่หาได้ในสวยหลังบ้านมาม้วนเป็นดอกแล้วประดับไว้แทน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าชายตาตี่คนนี้จะชอบมันเพราะแบบนั้น
“ถ้าอยากได้เอาอันนี้ไปแทน มันเหมือนกัน!”
อารัณย์ยัดกระทงในมือของตนใส่มือของอีกฝ่ายแทนโดยไม่ฟังคำโต้แย้งใดๆ เขาสาวเท้าเข้าไปหยิบกระทงของรัตติกาลมาแล้วคว้ามือของร่างโปร่งมาจับไว้แน่นก่อนจะพาเดินไปด้วยกันโดยไม่คิดจะบอกลาชายแปลกหน้าคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
รัตติกาลก้าวเท้าให้ไวขึ้นเพื่อตามจังหวะการเดินของอารัณย์ให้ทัน แต่ก่อนที่เขาจะเดินพ้นไปจากตรงนั้น ร่างโปร่งก็หันกลับไปมองทางม้านั่งอีกครั้ง และสิ่งที่เขาเห็นก็คือชายคนนั้นถือกระทงของอารัณย์ไว้แล้วยิ้มอย่างพึงใจก่อนจะโบกมือให้รัตติกาลเพื่อบอกลา
“รัณย์ จะเดินไปไหน”
“ไปให้พ้นหน้ามัน แม่ง กวนประสาทพอๆกับไอ้ชาติเลย!”
“นี่ก็พ้นแล้ว ไม่เห็นเขาแล้ว”
อารัณย์หยุดเดินทันทีแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ใบหน้าที่บึ้งตึงเปลี่ยนเป็นพอใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้งเมื่อร่างสูงเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
“กาลมองตามมันหรอ”
“...เฮ้อ”
รัตติกาลนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา เขาคว้ามือของอารัณย์มาจับไว้แทนแล้วจูงอีกฝ่ายให้เดินตามกันจนไปถึงมุมหนึ่งของสะพานที่ไร้ผู้คน
“พองานเริ่มเดินหายไปไหนมา”
“...หาอะไรกิน”
“หิว?”
“...โกรธมากกว่า”
“...”
“ขอโทษ”
ร่างโปร่งยิ้มให้คนตัวโตที่เอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงสลดจนเขาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ รัตติกาลดึงมือให้อารัณย์นั่งลงเคียงคู่กันบนท่าน้ำเล็กๆที่พอจะให้หย่อนขาลงไปได้โดยอารัณย์วางกระทงที่เบี้ยวไปเล็กน้อยของรัตติกาลลงตรงกลางระหว่างเขาทั้งสอง
“ขอโทษทำไม ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“ผิดดิ...ผิดที่ทิ้งกาลมา”
“...”
“ต่อให้โกรธกาลแค่ไหน ผมก็ไม่ควรทิ้งกาลไว้คนเดียว”
อารัณย์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนคนฟังใจสั่น รัตติกาลกลั้นรอยยิ้มที่แทบจะระเบิดออกมาไม่ได้จนกลายเป็นร่างสูงที่อึ้งไปเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างของรัตติกาลเป็นครั้งแรก
“กาล...ยิ้ม”
“อืม ก็ยิ้มไง ทำไมหรอ”
“สวย...”
ร่างสูงชมออกไปตรงๆด้วยใบหน้าที่แดกเถือก เขาไม่ได้คิดจะชมว่ารัตติกาลเหมือนผู้หญิง หากแต่เป็นรอยยิ้มนั้นต่างหากที่มันสวยเสียจนตาพร่า
“เป็นผู้ชายต้องชมว่าหล่อสิ หึ ขอมือหน่อย”
รัตติกาลพูดขอก่อนจะยื่นมือออกไปแล้วอารัณย์ก็วางมือของตนตามมาทันที
“ทำอะไรน่ะกาล”
“ตัดเล็บ”
กรรไกรอันเล็กถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงของร่างโปร่ง รัตติกาลค่อยๆใช้มันเล็มไปตามขอบเล็บที่ยาวเลยมาจนครบทั้งสิบนิ้วแล้วใส่มันลงในกระทงโดยมีอารัณย์จ้องมองอยู่ทุกอิริยาบถ
“ผมตัดให้”
“...อย่าให้ลึกเกินไปล่ะ”
รัตติกาลยอมยื่นมือไปให้อารัณย์ทำแบบเดียวกัน เขาสัมผัสได้ถึงความทะนุถนอมที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาเสียจนนึกสงสัยว่าอารัณย์มองว่าเขาอ่อนแอหรืออย่างไร รัตติกาลไม่ได้ตุ้งติ้ง ติดจะห่ามๆด้วยซ้ำในบางทีโดยเฉพาะเวลาอยู่กับเพื่อนฝูง เขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายที่ไม่เคยหลงใหลเพศเดียวกันอย่างอารัณย์ถึงหันมาสนใจเขาได้
“จะไม่เปลี่ยนใจจริงๆใช่ไหม”
จู่ๆรัตติกาลก็ถามขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงครื้นเครงที่ลอยมาจากไกลๆ อารัณย์เงยหน้าขึ้นจากการจดจ่ออยู่กับเรียวนิ้วของร่างโปร่ง เขาสบตาอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนแล้วด้วยความจริงใจเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ไม่เปลี่ยนใจ จะถามอีกกี่รอบก็จะตอบว่าอย่างนั้น”
“...นทีก็เคยบอกผมอย่างนั้น แต่สุดท้ายเขาก็กลับไปหาผู้หญิงคนอื่น”
อารัณย์ชะงักกึกในขณะที่หัวใจของรัตติกาลเต้นรัวด้วยความกลัว แต่ไม่ใช่ความกลัวที่จะเปิดเผยเรื่องราวของนทีให้คนอื่นรู้ หากแต่เป็นความกลัวว่าอารัณย์จะรับไม่ได้หากรู้ว่าส่วนหนึ่งของหัวใจเขายังมีชายอีกคนฝั่งรากลึกอยู่ในนั้น
“ผมเป็นผู้ชายคนแรกและคนสุดท้ายของเขา...แต่กลับไม่ใช่คนสุดท้ายที่เขาเลือกจะใช้ชีวิตด้วย”
“แม่งเหี้ย...”
“จริง...แต่ก็นะ มันคงไม่แปลกอะไร เพราะสุดท้ายต่อให้รักแค่ไหน ผมก็มอบสิ่งที่เขาต้องการให้ไม่ได้”
“...”
“รพี...คือลูกของเขา”
น้ำตาของรัตติกาลหยดลงบนหลังมือของอารัณย์ที่กอบกุมมือของตนเองอยู่ ร่างสูงคว้าใบหน้าเปียกปอนของรัตติกาลให้ซบลงตรงบ่าของตัวเองแล้วปล่อยให้เสียงสะอื้นเบาๆนั้นลอยไปตามลม
“ผมรับมันไม่ไหวเข้าใจไหมอารัณย์ ถ้าคุณเป็นเหมือนเขา...ถ้าผมต้องเจอฝันร้ายแบบนั้นอีก ผมก็ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง”
“...”
“ถ้าคุณไม่รักผม...ได้โปรด อย่าทำให้ผมฝันอีกเลย”
อารัณย์ผละออกจากรัตติกาลก่อนจะคว้าท้ายทอยของอีกฝ่ายไว้แน่น ทั้งสองคนมองตากันอยู่อย่างนั้น แววตาที่หวาดกลัวของรัตติกาลค่อยๆสงบลงเมื่อสัมผัสได้ถึงความมั่นคงที่อารัณย์สื่อออกมาให้รู้สึก
“กูรักมึง”
ริมฝีปากของทั้งคู่โผเข้าหากันทันทีที่สิ้นคำนั้น ต่างฝ่ายต่างดูดดึงเรียวลิ้นของอีกคนอย่างไม่มีใครยอมใครจนสุดท้ายรัตติกาลก็ผ่อนแรงยอมให้อารัณย์เป็นฝ่ายคุมเกม ฝ่ามือร้อนไล้ไปตามสาบเสื้อแล้วจบลงบริเวณหน้าอกตรงตำแหน่งเดียวกับหัวใจ ร่างสูงมอบจุมพิตไล่มาตั้งแต่ริมฝีปากผ่านปลายคางและลำคอก่อนจะจบลงที่ตำแหน่งนั้น รัตติกาลสะดุ้งน้อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงฟันคมที่ขบเบาๆบนยอดอกผ่านเนื้อผ้า ร่างสูงจะจูบย้ำอยู่อย่างนั้นจนพอใจก่อนจะผละออกมาแล้วหอมแก้มที่ขึ้นสีของรัตติกาลเบาๆ
“ผมคืออารัณย์...ไม่ใช่นที เพราะฉะนั้นผมจะไม่มีวันทำอย่างเขา”
“...”
“ทิ้งไอ้เหี้ยนั่นไปซะ แล้วมาเป็นของผมนะกาล”
อารัณย์จูบรัตติกาลหนักๆอีกครั้งก่อนจะกอดเอาไว้แน่น ร่างโปร่งพูดไม่ออก ไม่สิ ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปด้วยซ้ำในสถานการณ์แบบนี้ แต่สุดท้ายอารัณย์ก็ไม่คาดคั้นให้รัตติกาลตอบรับ ทั้งคู่ยกกระทงใบตองที่จดไฟเรียบร้อยขึ้นมาอธิษฐานในใจโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนตัวเองรึเปล่า
ทั้งคู่ค่อยๆหย่อนกระทงลงไปในคลองที่น้ำขึ้นสูงมากกว่าทุกวัน ร่างสูงออกแรงวักน้ำจนมันค่อยๆลอยออกไปไกล ส่องสว่างแต่เพียงลำพังบนลำน้ำที่มืดสนิท
“ผมไม่เสียใจนะ ที่รักกาล และจะไม่มีวันเสียใจด้วย”
“...”
“เพราะผมมีความสุขมากจริงๆที่มีกาลอยู่ด้วย...แล้วกาลล่ะมีความสุขไหม”
อารัณย์ยิ้มออกมาแล้วลุกขึ้นก่อนจะยื่นมือไปหารัตติกาลที่มองฝ่ามือนั้นด้วยความรู้สึกตื้นตันและดีใจที่ตัวเองมีโอกาสได้รับความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่จากชายคนหนึ่งที่ถึงแม้จะธรรมดาแต่ก็พิเศษกว่าใคร
“ผม...มีความสุขมาก”
รัตติกาลยิ้มกว้างออกมา เป็นรอยยิ้มเดียวกันกับที่อารัณย์ชอบ ร่างโปร่งจับมือของอารัณย์ไว้แล้วพยุงตัวเองขึ้นยืนเคียงข้างกับคนที่เขาคิดว่าสักวันตัวเองคงจะสามารถมอบคำพูดเดียวกันนั้นกลับไปให้ได้
“กลับบ้านเรากันนะ”
ร่างสูงว่าดังนั้นก่อนจะเดินนำไปทิ้งไว้เพียงรัตติกาลที่มองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยความรู้สึกที่พองโตอยู่ในอก เขาวางมือลงบนสัมผัสที่อารัณย์ทิ้งไว้แล้วนึกถึงจังหวะที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในยามนั้น รัตติกาลนึกถึงคำอธิษฐานของตัวเองต่อพระแม่คงคาแล้วบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้ว
‘ผมขอให้รพี อารัณย์ และตัวผมมีความสุข’
รัตติกาลเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ก่อนจะก้าวเดินออกไปอีกครั้ง แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาก็รู้สึกถึงได้สัมผัสเย็นเฉียบแล่นริ้วขึ้นมาจากข้อเท้า
“กาล...กาล...”
รัตติกาลเบิกตาโพลง ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกมาจากพื้นน้ำเบื้องล่างพร้อมกับแรงบีบที่ข้อเท้าซึ่งแรงขึ้นทุกๆที ร่างโปร่งพยายามไม่คิดว่ามันคือสิ่งนั้น เขากลั้นใจหันหลังกับไปมองความมืดมิดที่ทอเป็นสายนั้นและมือขาวซีดของใครบางคนที่จับข้อเท้าของเขาไว้อยู่
“กาลอย่าทิ้งพี่...อย่าทิ้งพี่...”
“พี่ที...”
ตู้ม!!!
แล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย...
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ชื่อตอนออกสื่อคือ Happiness แต่ชื่อตอนจริงๆคือ นมอวดผีใช่ไหมมมมมมม :ling3:
รัณย์แอบกัดนมพี่กาล >//////////< :pighaun: แล้วผีพี่ทีโผล่มาจากไหน TTT^TTT :sad4:
นี่คือผลข้างเคียงของการฟังเดอะช็อคไปเขียนนิยายไปคับ...
ไปช่วงศูนย์บรรเทาทุกข์ผี เอ้ย ผัวกันไหมรัณย์ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ฟาดกาลสักที 5555555555555
:hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
ปูลู ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ พี่กาลแอบฝากมาตอบเม้นต์ด้วย ที่มีคนบอกว่าตอนที่แล้วพี่กาลสาวแตก
พี่กาล : มันก็แตกมานานแล้วไม่ใช่หรอ -_-
รักพี่กาลจังเลยยยยยย สุดท้ายโปรดฟังคำประกาศจาก ววช.
ตอนหน้ากรุณาเตรียมหมอนมาอย่างต่ำสองใบ โปรดฟังอีกครั้ง...
ตอนหน้ากรุณาเตรียมถึงยางอนามัยมาอย่างต่ำสองกล่อง อ๊ะ ไม่ช่ายยยยยยย =w= ฮี่ๆๆๆๆ :katai3:
เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน~~~ สองสามวันเท่านั้นเองงงงงงง <3 <3 <3
-
:a5: :a5:
-
คืออะไร
-
อิพี่ทีหลอนมาก.................
ตายแล้วยังจะไม่ยอมตาย
ปล.เจอสิ่งนี้ค่ะ
อารัณย์คว้ามือของอารัณย์มากุมไว้
อารัณย์คว้าข้อมือรัตติกาลหรือเปล่าคะ..
-
อิพี่ทีหลอนมาก.................
ตายแล้วยังจะไม่ยอมตาย
ปล.เจอสิ่งนี้ค่ะ
อารัณย์คว้ามือของอารัณย์มากุมไว้
อารัณย์คว้าข้อมือรัตติกาลหรือเปล่าคะ..
wooooooooooow ขอบคุณมากเลยคับที่เตือน :katai4: :กอด1:
-
เห้ยยยยย มันคืออะไรรรรรร
ตกลงทีตายจริงๆหรอ หลอนอะ
นี่นิยายรักจริงๆใช่ไหม
-
33rd Night
…Promise...
“กาล ทำไมไม่ลงมาว่ายน้ำด้วยกันล่ะ”
รัตติกาลเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วมองไปยังคนที่ทิ้งขาทั้งสองข้างลงไปในสระบัวใหญ่ของบ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
“ผมไม่ชอบ”
“หื้ม มีของที่กาลไม่ชอบด้วยหรอ”
“มีสิ อย่างน้อยก็พี่คนหนึ่งแหละที่ผมไม่ชอบ”
“แต่ว่ารักเลย”
นทีหัวเราะร่าออกมาเมื่อรัตติกาลไม่ได้ทัดทานคำพูดของตนเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มโยกตัวไปข้างหน้า หวังที่จะคว้าดอกบัวสีชมพูสดที่บานอยู่ริมสระเอามาไว้เป็นของตัวเองไม่ได้ แต่เพราะว่าอยู่ไกลเกินไป คนที่ทำอะไรไม่ประมานตนจึงร่วงลงสู่ผืนน้ำโดยไม่ทันได้ระวัง
ตู้ม!!
“พี่ที!”
รัตติกาลทิ้งหนังสือเล่มหนาที่อ่านค้างไว้ไปโดยไม่ใยดี เขารีบรุดไปจนถึงริมสระน้ำใหญ่ที่ท้องน้ำกระเพื่อมเป็นคลื่นเพราะร่างของนทีที่ตะเกียดตะกายอยู่ในนั้น
“กาลช่วยพี่ด้วย! ช่วยด้วย!”
“พี่ที จับนี่ไว้ครับ!”
ร่างโปร่งคว้าเอาไม้พายของเรือที่จอดเทียบอยู่ใกล้ๆยื่นไปให้อีกคนใช้จับ แต่ว่านทีกลับเอื้อมไม่ถึงมันสักครั้งทั้งที่อยู่ใกล้ขนาดนั้นแค่เพียงช่วงแขน ชายหนุ่มยังคงร้องขอความช่วยเหลืออย่างทุรนทุราย ใบหน้าหล่อเหลาดำพุดดำว่ายอยู่อย่างนั้นจนไม่หลงเหลือเค้าเดิมให้เห็น
รัตติกาลสั่นเทิมไปทั้งตัว เขาพยายามร้องขอความช่วยเหลือแต่น่าแปลกที่คนงานของบ้านซึ่งปกติจะอยู่ใกล้ๆกลับไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้เลยแม้แต่คนเดียว ร่างโปร่งมองคนรักอย่างลังเล เขาอยากจะกระโจนลงไปในนั่นแต่ความดำมืดของมันกลับทำให้รัตติกาลก้าวขาไม่ออก ความทรงจำเลวร้ายสมัยเด็กย้อนกลับมาย้ำเตือนไม่ให้เขาคิดหาเรื่องใส่ตัว แต่ในขณะเดียวกันความรักและเป็นห่วงในตัวนทีก็บอกให้เขาลงไปช่วยอีกฝ่าย
“กาล...”
ชายหนุ่มเบิกตาโพลงเมื่อเวลาไม่เคยหยุดรอให้เขาตัดสินใจ ร่างของนทีค่อยๆถูกกลืนหายไปพร้อมกับแรงกระเพื่อมที่เริ่มสงบลงอีกครั้ง
“พี่ที พี่อยู่ไหน ผมไม่ตลกด้วยนะ!”
รัตติกาลไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมเสียงของตนไม่ให้สั่น เขาเขยิบเข้าไปใกล้สระมากขึ้นแต่ก็ผงะถอยหลังออกมาเหมือนเป็นปฏิกิริยาต่อต้านของร่างกาย ชายหนุ่มครางฮือนึกเกลียดตัวเองขึ้นมาจับใจที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะก้าวข้ามความกลัวของตนเอง ปลายเล็บแหลมจิกเข้าที่ต้นขาข้างขวา รัตติกาลพยายามเรียกสติให้ตัวเองก่อนที่อะไรจะสายเกินแก้ แต่มันก็ยังช้าไปอยู่ดี...
“โห้ย กาล! ไม่คิดจะลงมาช่วยพี่เลยหรอ!”
ร่างของนทีที่จมหายไปจู่ๆก็โผล่พรวดขึ้นมาบนผิวน้ำ ชายหนุ่มที่เปียกปอนไปทั้งตัวลูบน้ำออกจากหน้าของตนก่อนจะเสยผมให้ปรกไปทางด้านหลัง รัตติกาลนิ่งค้าง เขาอยากจะตบหน้าตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่ฝันแต่สิ่งทำได้มีเพียงแค่การนั่งนิ่งแล้วรู้สึกชาไปทั้งใบหน้าเท่านั้น
“พี่ที...”
“ก็พี่น่ะสิ เห็นว่าเป็นใครล่ะนั่น”
“พี่ที...จริงๆหรอ แล้วเมื่อกี้มัน...”
“...เมื่อกี้พี่แกล้งเล่น ก็กาลเอาแต่อ่านหนังสือ”
“...”
“กาล?”
“พี่แม่งเหี้ยว่ะ!!!”
รัตติกาลตะโกนกร้าวก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปยังเปลญวนซึ่งผูกไว้ใต้ไม้ใหญ่ใกล้ๆกัน เขาหยิบเอาหนังสือและโทรศัพท์ที่โยนทิ้งไว้เพราะความเป็นห่วงชายที่นำความตายของตัวเองมาล้อเล่นโดยไม่สนใจเลยว่ามันจะเสียหายหรือไม่ ในขณะที่อีกฝ่ายกลับไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นห่วงแค่ไหน
“กาลโกรธพี่หรอ”
นทีสวมกอดร่างกายที่สั่นเพราะแรงอารมณ์จากทางด้านหลัง รัตติกาลพยายามขืนตัวออกแต่ผู้รุกรานกลับไม่ปล่อยให้อีกคนได้ทำตามใจ
“ปล่อย ผมจะกลับห้อง!”
“ใจเย็นสิกาล โมโหอะไรเนี่ย พี่ไม่ใช่หรอที่ควรโกรธน่ะ”
รัตติกาลทำหน้าบึ้งเมื่ออีกคนก้มลงสูดความหอมจากแก้มขาวซีด เขาพยายามปัดสัมผัสนั้นออกแต่ก็โดนนทีจับมือเอาไว้ก่อนจะบีบให้แน่นขึ้นอีกเพราะรัตติกาลยังไม่หยุดพยศ
“...ทำไมต้องทำแบบนี้ ผมไม่สนุกด้วยหรอกนะ”
“ขอโทษๆ ก็กาลอยากน่าแกล้งเองนิ”
“โรคจิต”
“แต่ก็นะ อย่างน้อยมันก็ทำให้พี่รู้ว่ากาลไม่ห่วงพี่เลย”
นทีเกยคางลงบนไหล่ของรัตติกาลจนเสื้อสีขาวเปียกชื้นตามไปด้วย รัตติกาลขนลุกชูชันเมื่อผิวกายที่เย็นเฉียบของร่างสูงทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ในน้ำ
“ถ้าพี่จมน้ำไปจริงๆ...ก็คงตายไปแล้ว”
“พี่ที...”
“ถ้าพี่ตาย...กาลคงดีใจใช่ไหม”
“...!”
“ใช่ไหม...รัตติกาล”
รัตติกาลรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เขาพยายามโกยลมหายใจเข้าปอดโดยที่ในขณะเดียวกันนั้นแรงบีบรัดรอบตัวก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น ร่างโปร่งรู้สึกได้ว่าไหล่ของเขาเปียกมากกว่าเดิม ของเหลวบางอย่างกำลังไหลไปตามท่อนแขนที่ไร้เรี่ยวแรง เขาก้มหน้าลงก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นพื้นหญ้าที่เหยียบอยู่นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงชาดเช่นเดียวกับร่างของเขา
“กาลทิ้งพี่...กาลทิ้งพี่ทำไม”
“ผมเปล่า ผมไม่ได้ทิ้งพี่”
“...แล้วกาลยังรักพี่อยู่ไหม”
“ผม...”
“เรายังรักกันอยู่ไหมกาล”
ริมฝีปากของนทีกระซิบคำนั้นอยู่ใกล้ๆเสียจนรัตติกาลรู้สึกถึงริมฝีปากเย็นชืดสัมผัสไปตามใบหู เขากลัวจับใจแต่บางสิ่งบางอย่างกลับดลใจให้เขาหันกลับไปมองก่อนจะกรีดร้องสุดเสียง เมื่อใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ของนทีกำลังจ้องมายังเขาด้วยดวงตาไร้แววสีแดงก่ำคู่นั้น
“กาลจะไม่ทิ้งพี่ใช่ไหม”
“กาล! คุณได้ยินผมไหม กาล!!”
“แค่กๆ”
อารัณย์ยิ้มร่าเมื่อรัตติกาลสำลักน้ำออกมาก่อนจะไอโขลกเสียจนตัวโยน เขาพยุงตัวร่างโปร่งให้นั่งอย่างยากลำบากแล้วลูบแผ่นหลังของรัตติกาลไปด้วยเพื่อให้น้ำที่ค้างอยู่ในคอไหลออกมาให้หมด
“กาลโอเคไหม ค่อยๆหายใจ”
“ผะ ผมอยู่ที่ไหน อึก มันเกิดอะไรขึ้น”
“กาลผลัดตกลงไปในคลอง ผมเลยไปช่วยขึ้นมา”
ร่างสูงมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อนึกถึงวินาทีชีวิตในตอนที่ได้ยินเสียงตกลงน้ำโครมใหญ่ อารัณย์หันกลับมาแล้วรีบวิ่งกลับไปที่ท่าน้ำทันทีเมื่อไม่เห็นรัตติกาลเดินตามกันมา ผืนน้ำที่กระเพื่อมสั่นคลอนจิตใจจนเขารู้สึกกลัว พี่เลี้ยงหนุ่มกระโจนตามลงไปโดยไม่ยั้งคิด เขาดำผุดดำว่ายอยู่นานพลางขวานหารัตติกาลที่จมหายไปในมวลน้ำที่ดำมืดเช่นเดียวกับความหวังที่ริบหรี่ลงทุกวินาที
จนกระทั่งก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายจะหมดลง ขาของเขาก็เหมือนกับเตะโดนวัตถุบางอย่าง อารัณย์หันกลับไปมองแล้วรีบรุดไปหาร่างของรัตติกาลที่ไม่ได้สติ เขาใช้แรงทั้งหมดพารัตติกาลกลับขึ้นมาบนผิวน้ำ พยายามรวบรวมสติที่แตกพล่านแล้วปฐมพยาบาลร่างโปร่งอย่าทุลักทุเลแต่ทุกอย่างก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาไม่รู้เลยว่าหยดน้ำที่หยดลงบนอกของรัตติกาลนั้นไหลมาจากดวงตาของตัวเองหาใช่ที่ไหน
“ร้องไห้ทำไม”
รัตติกาลที่ยังคงงงงวยสัมผัสแก้มสากของอารัณย์แผ่วเบา เขาใช้นิ้วลูบไปตามเปลือกตาที่ขึ้นสีแดงตัดกับความขาวซีด อารัณย์กำลังร้องไห้ ริมฝีปากที่เพิ่งมอบความวาบหวามให้เขาเม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง ในวินาทีนั้นรัตติกาลจึงเพิ่งระลึกได้ถึงเหตุผลที่อารัณย์แสดงความอ่อนแอออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วรัณย์ ผมยังอยู่กับคุณ”
“...”
“มานี่สิ”
อารัณย์โผเข้าหารัตติกาลที่พยายามโอบกอดคนตัวโตไว้อย่างสุดความสามารถ ตัวของอารัณย์สั่นยิ่งกว่าเขาที่หนาวไปจนถึงกระดูก ไม่มีเสียงสะอื้นหรือคำพูดใดๆ ร่างสูงเพียงกอดกักเขาไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อยืนยันทุกอย่างจะไม่เป็นไร
รัตติกาลรอจนกว่าอารัณย์จะสงบลงจนร่างสูงพาเขากลับมายังบ้านพักด้วยการพยุงไว้ทั้งตัวจนเกือบจะกลายเป็นการอุ้มหากแต่เขาไม่ได้บอบบางเสียจนอีกคนสามารถทำแบบนั้นได้
ทั้งคู่พากันไปยังห้องน้ำที่อยู่ชั้นล่างของบ้าน รัตติกาลถอดเสื้อผ้าออกพลางจามออกมาโครมใหญ่เมื่อความหนาวเริ่มทำพิษ ร่างโปร่งกำลังจะหันไปบอกให้อีกคนไปเปลี่ยนเสื้อผ้ารอก่อนเพราะไม่อยากให้เป็นหวัดแต่เขากลับโดนอารัณย์ที่ถอดเสื้อทิ้งไปก่อนแรงผลักให้เข้าไปในห้องน้ำด้วยกันจนแผ่นหลังเปลือยเปล่าปะทะเข้ากับแผ่นไม้เข้าเต็มแรง
“รัณย์! เดี๋ยว!”
อารัณย์ไม่ปล่อยให้รัตติกาลได้พูดต่อ เขากลืนกินริมฝีปากของรัตติกาลด้วยความตะกรุมตะกรามเสียจนร่างโปร่งตั้งรับไม่ทัน ฝ่ามือร้อนสัมผัสไปยังแผ่นอกที่ไร้อาภรณ์แล้วไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆจนเกี่ยวเข้ากับกางเกงขายาวที่อมน้ำจนหนักไปทั้งตัว อารัณย์ใช้มือข้างหนึ่งปลดมันออกในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกำลังโอบรัดส่วนบนของรัตติกาลให้เบียดเข้าหาจนไร้ซึ่งช่องวาง ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือกทันทีที่เสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายถูกปลดออกไปพร้อมๆกับกางเกงตัวยาว ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงจัดเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอารัณย์ด้วยร่างกายแบบไหน
“...กาล”
“หื้อ”
“ไม่โกรธนะ...”
รัตติกาลขบเบาๆบนไหปลาร้าของอารัณย์แทนคำตอบ เขาทำสิ่งเดียวกันให้กับอีกฝ่ายจนส่วนไหวของเขาทั้งคู่ที่เริ่มแข็งตัวขึ้นสัมผัสกันแนบแน่นจนต้องครางออกมาเสียงพร่า รัตติกาลพลิกให้อารัณย์เป็นฝ่ายกลับมายืนชิดกำแพง เขาระดมจูบไปตามไรเคราของร่างสูงอย่างหลงใหลโดยที่มือก็นวดไปตามหัวหน่าวไปด้วยหนักเบาสลับกันไป อารัณย์ร้องซี๊ดออกมาเมื่อฟันคมของรัตติกาลทิ้งรอยเอาไว้ใกล้แอ่งชีพจร ร่างโปร่งยิ้มกริ่มเมื่อตัวเองสามารถทำให้อีกคนทำหน้ากระสันแบบนั้นออกมาได้แต่อารัณย์ก็ไม่น้อยหน้า เขาคว้ารัตติกาลเข้ามากอดก่อนจะฝากรอยไว้ด้วยการกระทำแบบเดียวกัน
“ต้องล้างตัวก่อน”
ร่างโปร่งผละออกมาแต่ก็มีอารัณย์คอยเดินตามไม่ห่าง รัตติกาลใช้ขันตักน้ำราดไปตามตัวของตนและอารัณย์โดยที่คนตัวโตก็หยิบสบู่มาคอยไว้โดยไม่ต้องคอยบอกให้มากความ ฟองสีขาวสะอาดเกิดขึ้นในทุกๆที่ที่มือของอารัณย์ลากผ่าน นิ้วยาวลูบวนรอบๆฐานยอดดอกก่อนจะสะกิดมันเบาๆจนรัตติกาลต้องแอ่นมันเข้าหามือของอีกฝ่ายคล้ายกับการเชื้อเชิญ ร่างสูงมองอาการของคนตรงหน้าด้วยความพอใจเขาจับมือของรัตติกาลให้วางลงบนหน้าขาแล้วดันกลางกายของตัวเองเข้าไปเสียดสีกับมัน แล้วส่งยิ้มกริ่มร้องขอให้ร่างโปร่งทำสิ่งนั้นให้
รัตติกาลเองเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า เขาคว้าเอาแท่งแข่งขืนทั้งของตนเองและร่างสูงเอาไว้ด้วยสองมือแล้วขยับสะโพกไปมาให้มันสัมผัสกันในอาณาเขตที่จำกัด ขอบเนื้อป้านสะกิดกันไปมาโดยมีดวงตาทั้งสองคู่จับจ้องอยู่ที่มันด้วยความพอใจ รัตติกาลยิ้มร้ายก่อนจะบีบท่อนเนื้อทั้งสองไว้จนแน่นแล้วสวนกายขึ้นเป็นจังหวะพร้อมๆกับอารัณย์ที่ทำตามอย่างรู้งาน เสียงครางอื้ออึงดังไปทั่งห้องน้ำแคบจากช้าเนิบนาบก่อนค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อารัณย์ใช้นิ้วคีบยอดอกของรัตติกาลไปด้วย
“อือ กาล..”
“อา... แรงอีก อึก อ๊ะ”
อารัณย์เพิ่มแรงที่ปลายนิ้วในขณะที่มีอีกข้างหนึ่งกำลังบีบขยำบั้นท้ายได้รูปของรัตติกาลด้วยความกระสัน เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกับร่างโปร่งที่ที่สะบัดหน้าไปมาเมื่อความร้อนแรงเบื้องล่างทำให้เขาแทบคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่ รัตติกาลหยุดมือขณะที่ค่อยๆทรุดกายลงนั่งชันเขาบนพื้นไม้ เขาดึงให้อารัณย์ลงมานั่งท่าเดียวกันแล้วเขยิบเข้ามาใกล้กันจนขาทั้งสองข้างของตนเกยอยู่บนหน้าขาของอีกฝ่าย อารัณย์และรัตติกาลใช้มือคนละข้างสานต่อความร้อนแรงเมื่อครู่โดยไม่มีใครอิดออด ทั้งคู่มองตากันโดยที่ท่อนเนื้อกำลังเสียดสีกันไปมาจนร้อนเหมือนไฟที่หลอมละลายยางอายให้อ่อนยวยดุจขี้ผึ้ง
“พร้อมกันนะกาล”
“อ๊ะ อือ”
มือทั้งสองเร่งความเร็วขึ้นจนรัตติกาลต้องแอ่นสะโพกเพราะทนความเสียวไม่ไหว เขาเอนหลังไปพิงตุ่มน้ำที่ตั้งอยู่ด้านหลังแล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ลูบไปตามหน้าขาของอารัณย์ไล่เรื่อยไปถึงร่องเนื้อของตนเองที่ชิดกันแน่นก่อนใช้นิ้วกรีดไปบนนั้นเบาๆจนอารัณย์ที่มองอยู่ต้องเร่งมือตามแรงอารมณ์ที่สูงขึ้น
“อา..กาล อือ”
“แฮ่กๆ เร็วอีก...อีกนิด”
อารัณย์ทำให้ตามคำขอเขาสาวมือให้ไวขึ้นจนรู้สึกปวดหนึบที่ท้องน้อย รัตติกาลปล่อยมือออกมาให้อารัณย์จัดการเรื่องจังหวะแต่เพียงลำพังโดยที่เขาเปลี่ยนมากำส่วนหัวของทั้งสองลำไว้แน่นแล้วถูแรงๆเร้าอารมณ์ที่ใกล้ถึงฝั่งให้โหมหนักขึ้นอีก
“อ๊า อะ อืออออ”
“ฮ๊าาาา”
น้ำสีขาวขุ่นไหลไปตามทางยาวก่อนจะพุงออกมาพร้อมกับทั้งสองร่างที่กระตุกเป็นจังหวะ อารัณย์ปั่นมันเร็วจี๋ โดยที่รัตติกาลกำลังมองดูของเหลวสีน้ำนมทะลักไปตามง่ามนิ้วจนเกิดเป็นภาพน่ามองจนเขาอดที่จะยกมันมาชื่นชมใกล้ๆไม่ได้ ทันทีที่หยาดหยดสุดท้ายถูกหลั่งออกมา อารัณย์ก็คว้ารัตติกาลมากอดจูบอีกครั้ง ปลายลิ้นทั้งสองเกี่ยวรัดแล้วไล่เลียไปตามไรฟันเรื่อยไปจนถึงเพดานที่รวมปลายประสาทเอาไว้
รัตติกาลใช้มือที่เต็มไปด้วยหยาดอารมณ์ป้ายไปตามร่องเนื้อที่กระตุกเป็นจังหวะ ช่องทางที่มีกลีบเนื้อจับตัวเป็นจีบปกปิดมันไว้เปียกชุ่มและมันวาวจนอารัณย์ต้องผละออกมาเพื่อชมมันให้ถนัดตา
“ไหวไหม”
อารัณย์เอ่ยถามเพราะกังวลว่าคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาจะยังไม่พร้อมนักทั้งที่ตัวเองยังคงรู้สึกกระสันอยาก รัตติกาลหัวเราะออกมาเบาๆพลางมองไปยังหลักฐานที่ชี้หน้าเขาอยู่คาตาก่อนจะยิ้มพรายออกมาแล้วพูดกับอีกฝ่ายด้วยเสียงแหบกระเส่าไม่แพ้กัน
“ถ้าบอกว่าไม่ไหว จะหยุดไหม”
“...หยุด”
“โกหก”
รัตติกาลโน้มตัวไปข้างหน้าจนยอดอกของทั้งคู่สัมผัสกัน เขาจับมือข้างหนึ่งของอารัณย์มาวางลบก้นกลมกลึงที่เปียกลื่นด้วยเมือกสีขาว ร่างโปร่งซบหน้าลงบนต้นคอของอีกฝ่ายโดยที่นิ้วมือของอารัณย์กำลังลูบเบาๆไปตามสันร่องราวกับแกล้งทำ
“...รังเกียจไหม จะหยุดก็ได้นะ”
“ไม่มีทาง”
“...”
“ผมรักกาลนะ”
นิ้วชี้ของอารัณย์ชำแรกเข้าไปในช่องทางที่ไร้ผู้บุกรุกมานาน ความคับแน่นที่แม้จะเป็นนิ้วก็ทำให้เขาครางด้วยความพอใจออกมาได้เต้นตุบๆราวกับกำลังทักทายผู้มาเยือนอย่างมีไมตรี รัตติกาลกัดฟัน แม้จะรู้สึกเจ็บแต่ก็ช่วยหย่อนตัวลงให้นิ้วของอีกฝ่ายเข้าไปได้ลึกมากขึ้น เขาผ่อนลมหายใจแล้วควงสะโพกเป็นวงจนสุดท้ายก็กลืนกินนิ้วอารัณย์ไว้จนหมดสิ้น
“อ๊ะ อึก รัณย์”
“เจ็บไหม”
“นิดหน่อย ขยับให้ที”
อารัณย์พลิกกายของรัตติกาลให้นอนลงบนพื้นห้องน้ำ เขาแหวกขาทั้งสองข้างที่ตั้งชันอยู่ให้กว้างออกจนเห็นกลีบเนื้อที่เชื้อเชิญเขาผ่านสายตา อารัณย์ยิ้มกริ่มเขานวดเบาๆไปบนช่องทางนั้นก่อนจะใช้นิ้วอีกข้างควานเอาน้ำลายจากปากของรัตติกาลมาป้ายไว้แล้วส่งนิ้วชี้กลับเข้าไปเพื่อสานต่อสิ่งที่ร่างโปร่งร้องขอ
“อ๊ะ อ๊ะ รัณย์ อื้อออ รัณย์!”
ร่างสูงขยับมือระรัวจนเกิดเสียงเฉอะแฉะดังไปทั่งทั้งห้อง เขาจับจังหวะแล้วสอดนิ้วเพิ่มเข้าไปโดยไม่หยุดพักจนรัตติกาลสามารถรอบรับเขาไว้ได้ถึงสามนิ้วทำให้ช่องทางที่แน่นตึงอ่อนนุ่มขึ้นจนรู้สึกได้ อารัณย์สาวท่อนเนื้อของตัวเองพร้อมกับขยายช่องรักของรัตติกาลไปด้วยจนร่างโปร่งสบตาแล้วร้องขอในสิ่งที่ต้องการ
“เข้ามาเถอะ อื้อ รัณย์ เข้ามา”
“ไหวนะ?”
อารัณย์ถามย้ำเพื่อให้มั่นใจโดยที่รัตติกาลพยักหน้าแทนคำตอบในแทบจะทันที ท่อนแขนแข็งแรงเชยสะโพกของรัตติกาลให้สูงขึ้นจนเห็นกลีบเนื้อหยุ่นสีแดงคล้ำได้ชัดเจน ปลายหัวป้านถูกกดลากไปมาแรงๆเหมือนจะผลุบเข้าไปแต่ก็ยังไม่เข้า รัตติกาลฟาดแขนของอารัณย์แรงๆแล้วมองอีกฝ่ายตาเขียวเมื่อชายหนุ่มยังคงแกล้งกันได้ในสถานการณ์แบบนี้ อารัณย์กระตุกยิ้มเข้าโน้มตัวลงไปตะกรองกอดแล้วหอมเบาๆตามแก้มขาวก่อนจะกระซิบถ้อยคำที่อยากบอกรัตติกาลมากที่สุดตอนนี้
“รัก”
“อื้อออ”
สิ้นสุดคำนั้นตัวตนของอารัณย์ก็ฝังเข้าไปในตัวรัตติกาลทีเดียวเสียครึ่งด้าม ร่างโปร่งสะดุ้งโหย่ง เผลอถดตัวถอยมาตามสัญชาติญาณแต่ก็โดนอารัณย์คว้าเอาไว้แล้วจับสะโพกนวลนั้นไว้แน่น ร่างสูงชำเลือกมองจุดเชื่อมต่อด้วยความพอใจแล้วค่อยๆเสือกตัวเข้าไปลึกขึ้นโดยที่หูก็ฟังเสียงครางหอบของรัตติกาลไปด้วย เขาก้มลงจูบคนที่รักในจังหวะสุดท้ายที่รัตติกาลกลืนกินเขาไว้จนหมดเหมือนเป็นการบอกว่าอารัณย์จะเป็นของรัตติกาลตั้งแต่วินาทีนี้ไป
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทั้งคู่โหมตัวเข้าหากันเป็นจังหวะโดยไม่สนใจเลยว่าเสียงร้องครางและจังหวะที่กระทบเข้าหากันจะเล็ดรอดไปถึงหูคนอื่นไหม ร่างโปร่งแยกขาออกให้กว้างขึ้นเพื่อรองรับอารมณ์ของอารัณย์ที่ไต่สูงขึ้นทุกทีเช่นเดียวกันกับเขาที่สติพร่ามัวเสียจนลืมทุกอย่างแม้แต่ฝันร้ายที่เคยตามหลอกหลอนก็หายไปเหลือไว้แค่ความจริงที่ตัวเขากำลังได้รับความรักจากชายตรงหน้า
อารัณย์ฝากรอยรักเอาไว้จนร่างกายขาวนวลของรัตติกาลเปลี่ยนเป็นสีแดงกุหลาบ ร่างสูงละเลียดเลียไปตามร่องรอยที่ตนทำทิ้งเอาไว้อย่างหลงใหลแล้วจับสะโพกของรัตติกาลให้มั่นก่อนจะโหมแรงเข้าไปก่อนที่บทรักบทต่อไปจะมาถึง
“อา กาล อื้อ รัก”
“แฮ่ก อื้อ รัณย์ อ๊า จะถึงแล้ว”
“พร้อมกันนะครับ”
เขาหอมหน้าผากของรัตติกาลเสียฟอดใหญ่แล้วเทแรงทั้งหมดไปที่เบื้องล่าง สะโพกสอบขยับถี่เร็วจนร่างโปร่งไม่อาจกลั้นความพอใจเอาไว้ได้ เขากอดอารัณย์แน่นขึ้นเช่นเดียวกับร่างสูงที่ใช้สายตาทั้งหมดมองไปยังดวงหน้าของคนที่ตนรัก เสียงหวีดสูงของรัตติกาลดังขึ้นพร้อมกับจังหวะสุดท้ายที่อารัณย์ปล่อยน้ำอุ่นเข้าไปในตัวของเขา ร่างโปร่งกระตุกเกร็งเพราะความรู้สึกที่ห่างหายไปนาน จนอารัณย์ต้องลูบเส้นผมเปียกชื้นของคนที่หอบหนักด้วยความเอ็นดู
“ผมมีความสุขนะกาล มีความสุขมาก...”
“อื้อ อา...”
“ขอบคุณนะ...ที่ยังอยู่กับผม”
“อือ...ผมก็...มีความสุขเหมือนกัน”
รัตติกาลจูบอารัณย์เบาๆก่อนจะกอดอีกฝ่ายไว้แล้วลูบหลังของร่างสูงเหมือนที่เจ้าตัวชอบทำ พวกเขาทั้งสองกอดกันอยู่อย่างนั้นก่อนที่อารัณย์จะช่วยพยุงรัตติกาลที่เกือบจะหลับลึกให้ขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านโดยมีผ้าเช็ดตัวพันไว้อย่างหมิ่นเหม ร่างสูงวางรัตติกาลลงบนที่นอนก่อนจะใช้ผ้าเช็ดตัวอีกผืนเช็ดไปตามร่างที่เปียกชื้นนั้นอย่างทะนุถนอมโดยไม่ลืมที่จะสำรวจช่องทางเบื้องล่างที่ขึ้นสีแดงช้ำเพราะกิจกรรมที่เพิ่งผ่านพ้นมา อารัณย์มองมันแล้วยิ้มอย่างสุขใจ เขาจัดการปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนข้างๆคนที่หลับใหลก่อนจะคว้ามากอดเอาไว้แน่น
“ฝันดี...รัณย์รักกาลนะ”
:m25:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :m25:
-
แสงแดดอุ่นส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาอาบร่างเปลือยเปล่าทั้งสองที่ซุกกอดกันอยู่บนเตียงนอนแม้จะเลยเวลาไก่ขันไปนานโข เปลือกตาสีไข่ไก่ขยับน้อยๆก่อนจะลืมขึ้นมาพร้อมกับการเห็นใบหน้าของชายที่กอดตัวเองไว้ทั้งคืนทันทีที่ได้สติ
“รัณย์...”
รัตติกาลครางชื่อของอีกฝ่ายเสียงแผ่วเมื่อความทรงจำเด่นชัดเมื่อคืนไหลกลับเข้ามาในหัว ใบหน้าที่เคยติดจะเฉยชาขึ้นสีแดงอ่อนอย่างคนเป็นไข้แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมาหาใช่อาการป่วยไม่ คนตัวโตขยับตัวน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังเรียกชื่อของตัวเอง รัตติกาลมองดูอารัณย์ที่ค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วยิ้มให้เขาทันทีที่เห็นว่าคนในอ้อมกอดคือใคร ร่างสูงจูบเบาๆบนหน้าผากมนแล้วซุกตัวเข้าหาอกของรัตติกาลที่มีร่องรอยของเขาประดับไว้อยู่เต็มไปหมด
“ตื่นนานยัง”
“ไม่...เมื่อกี้เอง”
“เจ็บไหม...ข้างล่างน่ะ”
“นิดหน่อย แค่ขัดๆ”
ร่างโปร่งว่าดังนั้นก่อนจะยันตัวขึ้นหนังพิงหัวเตียงแล้วยกหัวของอารัณย์วางลงบนตักแทน รัตติกาลลูบเบาๆบนเส้นผมสีดำสนิทนั้นแล้วยิ้มออกมาเมื่ออีกฝ่ายกำลังหลับตาพริ้มรับสัมผัสอ่อนโยนนั้นไม่ต่างจากสุนัขตัวใหญ่ที่เคยเลี้ยงไว้
“ง่วงจังเลย”
“นอนต่อสิ”
“ไม่เอา อยากคุยกับกาล”
“ตื่นมาค่อยคุยก็ได้”
“คุยตอนนี้แหละ อยากฟังเสียงกาล...โดยเฉพาะเสียงแบบเมื่อคืน”
“ไอ้เด็กบ้า”
รัตติกาลหยิกแก้มของอารัณย์เบาๆโดยที่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่าไม่ได้มีความสำนึกเลยสักนิด ร่างสูงคว้ามือของรัตติกาลมาหอมเสียฟอดใหญ่แล้ววางมันลงบนหัวของตนตามเดิมเพื่อให้รัตติกาลขับกล่อมตนเองอีกครั้ง ไม่รู้จะง่วงอะไรนักหนา ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่คนที่ต้องแบกรับเลยแท้ๆ
“วันนี้ผมว่าจะพากาลไปถวายสังฆทานที่วัด”
“หื้ม อยากทำบุญหรอ”
“อื้ม แล้วก็จะให้หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้กาลด้วย”
“พรมน้ำมนต์?”
“ก็เมื่อคืนไง...ที่กาลตกน้ำ”
ร่างโปร่งหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ความทรงจำลางๆที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคือความฝันหรือความจริงย้อนเข้ามาพร้อมกับความกังวลใจ เสี้ยววินาทีที่ตกลงไปในน้ำ เขาจำได้ว่าได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของตัวเอง มันทั้งแหบแห้งและวังเวงเสียจนน่าตกใจ แรงฉุดตรงข้อเท้าที่เหมือนกับมีใครตั้งจากลากเขาลงไปนั้นยังเด่นชัดจนไม่อยากคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะสรุปว่ามันเป็นความจริง
“ว่าไงกาล ตกลงไปกันนะ”
“...เอาสิ ยังไงก็ได้อยู่แล้ว”
“พอเป็นแฟนกันแล้วว่าง่ายขึ้นเยอะเลยแหะ”
อารัณย์ขำออกมาก่อนจะยันตัวขึ้นนั่งเคียงข้างกับรัตติกาลที่ขมวดคิ้วมุ้ย
“แฟน? ใครเป็นแฟนใคร?”
“ก็เราสองคนไง”
“ใครบอกว่าผมจะยอมเป็นแฟนคุณ”
ร่างสูงมองใบหน้าจริงจังของรัตติกาลอย่างขำไม่ออก หัวใจที่เคยพองโตกลายเป็นลูกโป่งที่โดนปล่อยลมจนฟีบ แถมไม่ใช่ปล่อยลมธรรมดา มันเหมือนกับมีใครเอาเข้มเล่มใหญ่ๆมาเจาะจนมันระเบิดตูมหายไปในเวลาอันสั้น อารัณย์เบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆหรี่ลงเมื่ออีกคนไม่มีท่าทางว่าจะพูดเล่นแต่อย่างใด
“กาล ล้อเล่นใช่ไหม”
“ผมจะล้อเล่นทำไมล่ะ”
“แต่เรา...เมื่อคืน”
“เรื่องเมื่อคืน...ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“...!!!”
“ก็แค่อารมณ์พาไป ใครๆก็เป็นกัน”
อารัณย์เหมือนถูกตบจนหน้าชา เขาถดตัวถอยออกมาเหมือนกับว่ารับความจริงไม่ได้ ใบหน้าคมเข้มก้มลง เขาไม่อยากเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นของรัตติกาลเลยแม้แต่น้อย มันช่างดูมั่นคงผิดกับความมั่นใจของเขาที่สั่นไหวเพียงแค่พบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่การคิดไปเองฝ่ายเดียว
“รัณย์...ไม่โกรธใช่ไหม”
รัตติกาลโน้มตัวมาหาแล้วกอดอารัณย์เอาไว้ทั้งที่อีกฝ่ายยังก้มหน้า เขาจดจมูกลงบนขวัญผมของร่างสูงแล้วนิ่งค้างอยู่แบบนั้นเช่นเดียวกับอารัณย์ที่ไม่กล้าขยับไปไหนอยู่พักหนึ่งก่อนเขาจะตัดสินใจขืนตัวออกมา
“พอเถอะกาล”
“หื้อ พออะไร”
“กาลก็รู้ว่าผมคิดยังไงกับกาล...พอเถอะ”
“รู้สิ แล้วก็รู้ด้วยว่าคุณชอบเรื่องเมื่อคืนแค่ไหน”
“ไม่ใช่”
“...”
“ที่ผมรักคือรัตติกาล...ไม่ใช่แค่เรื่องอย่างว่า”
“...”
“อย่าดูถูกความรักของผมแบบนั้น”
อารัณย์สบตากับรัตติกาลอย่างจริงจังทั้งที่ในใจบีบรัดกันจนเจ็บ เขาพยายามจะลุกขึ้นยืนเพื่อออกไปให้พ้นจากที่นี่แต่ก็โดนร่างโปร่งคว้าข้อมือเอาไว้แล้วถูกดึงให้นั่งลงตามเดิมทั้งที่ไม่เต็มใจ”
“งั้นแสดงว่าถ้าเราเป็นแฟนกัน คุณจะไม่มีอะไรกับผมหรอ”
“...!?”
“ทั้งที่ออกจะชอบมันแท้ๆ น่าเสียดายจัง”
“ว่าไงนะ!!!”
ร่างสูงคว้าหมับเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้างของรัตติกาลแล้วโพลงถามออกมาแทบจะทันที ชายหนุ่มมองดูความตื่นเต้นที่แทบจะทะลุออกมาจากตาทั้งสองข้างของอารัณย์แล้วก็หลุดขำออกมาเสียยกใหญ่จนมันดังก้องไปทั่วทั้งห้อง
“ฮ่าๆๆๆ”
“เดี๋ยวดิ ผมงงไปหมดแล้ว นี่...กาลล้อผมเล่นหรอ”
“ฮ่าๆๆ ก็เออน่ะสิ เกือบจะร้องไห้แล้วใช่ไหมเมื่อกี้ ใช่ไหมๆ”
“กาล...โอ้ยยยย กาลแม่ง!!!”
อารัณย์ขยี้ผมของตัวเองจนมันฟูฟ้องในขณะที่รัตติกาลล้มตัวลงบนที่นอนแล้วหัวเราะร่าออกมาจนไม่เหลือเค้าของนักธุรกิจหนุ่มผู้เคร่งขรึม ร่างสูงมองคนที่หัวเราะได้ใจอย่างคาดโทษก่อนจะพุ่งตัวลงไปฟัดลำคอของอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี แต่รัตติกาลกลับยิ่งชอบที่เห็นท่าทางทำอะไรไม่ถูกของชายหนุ่ม เขาขยี้ผมของอารัณย์จนมันฟูมากขึ้นอีกแล้วลูบจัดทรงเบาๆจนอารัณย์พอที่จะสงบนิ่งลงได้
“กาลนิสัยไม่ดีว่ะ มาแกล้งกันอย่างงี้ได้ไง”
“ฮ่าๆ ก็อยากมาหวานเลี่ยนแต่เช้าทำไมล่ะ ขนลุก”
“ไม่ได้เลี่ยน ปกติเหอะ กาลนั่นแหละที่ขมเกินไป”
“ขมแล้วไง นี่มันตัวผม”
“ไม่แล้วไงหรอกครับ ไม่ต้องหวานมากไปกว่านี้เลย แค่นี้ก็รักจนจะบ้าแล้ว”
รัตติกาลยิ้มอ่อนแล้วโอบกอดอีกฝ่ายตอบแทนความรู้สึกทั้งหมดที่มี เขามองท้องฟ้าผ่านผ้าม่านสีเยื่อไม้ เห็นตะวันดวงใหญ่ที่สองสว่างเสียจนตาพร่า
“ขอบคุณนะอารัณย์”
“...”
“ขอบคุณที่รักผมมากขนาดนี้”
“อื้อ เต็มใจสุดๆเลย”
“...เป็นแฟนกันนะ”
รัตติกาลประคองใบหน้าของอีกฝ่ายไว้แล้วกดจูบเบาๆก่อนที่อารัณย์จะสอดลิ้นเข้ามาเพื่อตักตวงความขมอ่อนๆของร่างโปร่งเอาไว้ตามที่ใจปรารถนา ทั้งคู่สบตากันพร้อมกับรอยยิ้มเจิดจ้าไม่แพ้ดวงตะวันบนใบหน้าของทั้งสองฝ่าย
คนสองคนที่ต่างก็เจ็บช้ำและโหยหาส่วนหนึ่งที่หายไปค่อยๆหันหน้าเข้าหากันแล้วโอบกอดกันไว้ให้แน่นที่สุด รัตติกาลยิ้มทั้งที่มีน้ำตา หัวใจที่ปิดตายถูกแง้มออกด้วยมือของผู้ชายที่ทั้งร้ายกาจและอบอุ่นที่สุดที่เขาเคยเจอ
“ผม...รักคุณ”
ทันทีที่สิ้นคำรักผืนดินที่แห้งแล้งของรัตติกาลก็ถูกรดลงโดยน้ำตาแห่งความดีใจของอารัณย์ ชายหนุ่มก้มลงจูบรัตติกาลอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลคลอและคำสัญญาที่เขามอบให้กับคนตรงหน้าด้วยความสัตย์ทั้งหมดที่มี
“ผมจะดูแลคุณ จะทำให้คุณยิ้มได้ในทุกๆวันต่อจากนี้”
“...”
“ผมสาบาน”
(http://image.free.in.th/v/2013/in/150908125251.jpg)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก เช่ทำมันไปแล้วววววว :pighaun: :z1: พี่กาลโดนฟันแล้วววว จุดพลุ ปุ้งๆๆๆๆๆ :oo1: :-[ ผมนี่ยืนสงบนิ่งเลย หึหึ รัณย์เอ้ยยยย ไม่โดนแซะว่าไร้น้ำยาแล้วนะ (แม้ว่าตอนทำจะโดนพี่รัณย์ไกด์ให้ก็เหอะ) 555555555 :z2:
การเขียนNCตัวเต็มครั้งแรก ไม่รู้พอไหวไหม เขียนไปเช่หูตาลาย รีบเขียนแบบไม่มองเลย มีแอบกินลูกชิ้นขั้นรายการ(อ้วนเข้าไปอีก) ไม่งั้นไม่ไหว ระเบิดแน่ อาจจะปวงๆไปบ้างนะคับ ได้แค่ประมานนี้จริงๆ แม้จะเป็นคนอื่นแต่พอเขียนนี่คนละเรื่องเลย แต่เอาเหอะโน๊ะ ส่งพี่กาลเข้าหอได้ก็ฟินแล้ววววว :o8: :-[
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต ผีพี่ทีนี่สร้างอิมแพคมากกว่าที่คิดแหะ ผีเผลออะไรไม่มีในโลกหรอก พี่กาลเพ้อเจ้อ >< (พี่กาลแบะปากใส่) ต่อจากนี้เรื่องก็คงเริ่มที่จะคลี่คลายมากขึ้นแล้ว ปมต่างๆก็เริ่มจะค้นพบแล้วล่ะ เข้าสู่เฟสที่สามอย่างเต็มตัว! พร้อมกับงานที่พอกหางเช่ไว้ด้วย! เฮ้! ตายแน่เฮ้! :really2:
ป.ล.2 เชิญติดตามเพจกันได้นะคับ เช่จะเริ่มเอาตัวละครมาทอล์คอยู่ขำๆในหน้าเพจบ้าง (ล่าสุดเจอพี่กาลเข้าไป ฟินเลยกับความน่ารักของแก) ส่วนคอมเม้นต์บางทีเช่ก็จะตอบไว้ในเพจนะคับ มาพูดคุยกันได้นะ^^ :katai4:
-
อ๊า ในที่สุด. หึหึหึ
-
เป็นแฟนกันแล้วๆๆๆ
-
อ้าย..กาล..เปี๊ยนไปแล้วคะ... :haun4:
ที่อ่านมาก็ลอตอนนี้แหละค๊ะ.. :haun4: :katai3:
-
อ้อยฟิน >< คือเปงนิยายที่ไม่อ่านข้ามฉากหวิว รู้สึกมันกำลังดี ไม่เกินความจิงเลยอ่าน
ปกติจะข้ามตลอดแฮ่ๆ
-
ฉากที่รอคอย ฟินมากกกกกกกกกกกกกก
กาลร้อนแรงอะ ไหนบอกเป็นเจ้าชายน้ำแข็งไง
เอาอีกนะคะเช่ อยากเห็นรพีมีน้อง :hao6:
-
OMG!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
:haun4: :haun4: :jul1: :jul1: :jul1: :pighaun: :pighaun: :m25: :m25: :oo1: :oo1: :oo1: :oo1:
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด อยากจะจุดพลุฉลองงงงงงงงงงงงงงงง
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยย ในที่สุดก็มาถึงจุดนี้ ฟินสิคะ รอไรอยู่ ฮ่าๆๆๆๆๆ บ้าไปแล้วววววววววว
ชื่นใจสมกับการรอคอยมานาน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
ในที่สุดทั้งพี่กาลและอารัณย์ก็หลุดออกจากอดีตที่เลวร้ายสักที
รอตอนหวานต่อไปค่าาาา อิอิ
ตอนนี้นี่แทบลืมรพีไปเลย ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก
ปรบมือให้ไรเตอร์ดังๆ :m4: :m4: :m4: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ไม่ได้มาเม้นนาน เม้นยาวๆกันไป ฮ่าๆๆๆๆ
:mew1: :mew1: :mew1:
-
34th Night
…When people die...
“เบื่อฉิบหายเลยโว้ย!”
คนที่เกลียดงานนั่งโต๊ะเข้ากระดูกคำรามออกมาโดยไม่สนใจว่าเลขาสาวของเพื่อนรักจะยังอยู่ในห้องด้วยหรือไม่ ธิชาที่กลับมาทำงานได้สักพักยิ้มแหยแล้ววางเอกสารชุดใหม่ให้คนที่ต้องรับภาระทำงานแทนเจ้านายของเธอตรวจสอบมันอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าจะนึกเกรงใบหน้าบูดบึ้งนั้นมากแค่ไหนก็เถอะ
“วันนี้ตรวจแค่ชุดนี้เสร็จก็พอแล้วล่ะค่ะคุณนิล เดี๋ยวธิดูต่อให้เอง”
“อย่าปลอบใจเลยธิชา แค่ชุดเดียวที่ว่ามันกินเวลาไปตั้งเท่าไหร่แล้ว”
หญิงสาวหัวเราะแหะๆเพราะปฏิเสธไม่ได้ นิลถอนหายใจแม้ว่าจะได้พูดแซะเลขาสาวไปก็ไม่ทำให้งานของเขาน้อยลงเลยสักนิด
“ไม่รู้ว่าไอ้กาลทนทำงานพวกนี้ไปได้ยังไง นรกชัดๆ”
“จะทำยังไงได้ล่ะคะ บริษัทของตัวเองจะปล่อยให้เจ๊งก็กระไรอยู่”
“งั้นถ้าผมปล่อยให้มันพังคามือคงแทนไม่เป็นไรใช่ไหม”
เลขาสาวทำหน้ามุ่ยก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งให้นิลทำงานต่อไปเพียงลำพังพลางบ่นไปตามเรื่อง ชายหนุ่มมองงานที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ปล่อยมันพังพินาศไปได้อย่างที่ปากว่า ทั้งที่ปกติกิจการของทางบ้านนิลเองยังไม่เคยคิดจะแตะแต่กลับต้องมาทำงานของคนอื่นงกๆจนต้องพักงานเขียนของตัวเองไว้ช่วงหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ถ้าพ่อแม่บังเกิดเกล้ามาเห็นเขาในสภาพนี้ คงได้เกิดอารมณ์น้อยใจจนต้องหาอะไรขว้างใส่กันบ้างแหละ
“ขยันจังเลยนะครับ”
เสียงทักที่คุ้นเคยดีดังขึ้นทำให้นิลที่เริ่มปวดที่หัวตายอมเงยหน้าจากตัวเลขที่เรียงกันเป็นตับ ร่างกายสูงใหญ่ภายใต้ชุดเครื่องแบบเต็มยศก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่รอคำอนุญาตใดๆพร้อมกับขนมเบื้องเจ้าประจำของนิลกล่องใหญ่และรอยยิ้มพรายที่เจ้าตัวหวังว่าจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของอีกคนลงได้
“อย่าประชดได้ไหม หน้าตากูเหมือนกำลังเต็มใจทำอยู่รึไง”
“ไม่เลยครับ แต่ที่นิลไม่ยอมทิ้งงานของกาลไปทั้งที่เกลียดมันต่างหากที่ทำให้ผมมองว่านิลขยัน”
ฤทธิชาติว่ายิ้มๆก่อนจะจูบลงบนกะหม่อมบางของนิลอย่างเอ็นดูใบหน้าบูดบึ้งนั้น เขาถือวิสาสะนั่งลงตรงกันข้ามกับนักเขียนหนุ่มแล้วยื่นขนมให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ ซึ่งนิลก็ไม่อิดออด คนที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันเปิดกล่องของฝากแล้วจัดการกินมันทันที
“ถูกใจรึเปล่าครับ”
“อือ ว่าแต่ได้นอนบ้างรึยัง”
“ครับ ตอนเช้าหลังจากเข้าแถวเสร็จก็แอบไปงีบที่คอนโดมา”
นิลพยักหน้าอย่างพอใจในคำตอบนั้น เพราะเมื่อวานฤทธิชาติไม่ได้เดินทางมารับเขาอย่างเคยเพราะหน้าที่การงานที่หนักขึ้นหลายเท่าตัวในวันลอยกระทงที่ผู้คนมากมายต่างก็ออกมาทำตามประเพณีพร้อมกับความวุ่นวายที่มีมากขึ้นไม่แพ้กัน
นายตำรวจหนุ่มมองดวงตาคมกริบของนิลด้วยความพึงใจ ริมฝีปากที่ไม่ได้บางอย่างผู้หญิงกำลังเล็มเลียครีมสีขาวโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากริยาแบบนั้นเร้าความสนใจของอีกคนได้ดีแค่ไหน ขายาวออกแรงดันทั้งตัวเองและเก้าอี้ออกไปด้านข้างจนมันเคลื่อนมาอยู่ใกล้นิลในระยะที่ใกล้พอสมควร ชายในเครื่องแบบกางแขนกว้างแทนการร้องบอกให้นักเขียนหนุ่มย้ายร่างของตนมาประทับบนตักของเขา
นิลเลิ่กคิ้วขึ้นทั้งที่เข้าใจดีว่าอีกคนต้องการอะไรก่อนจะจุดยิ้มมุมปากเมื่อคิดอะไรดีๆได้ ชายหนุ่มถอดรองเท้าโดยไม่ใช้มือช่วยแล้วยกมันพาดไว้บนตักของอีกคนแทนที่จะเป็นตัวเขาอย่างที่ฤทธิชาติหวัง นิลหัวเราะออกมาอย่างพอใจแต่ก็ได้ไม่นานนัก เมื่อคนที่ถูกแกล้งอยู่เมื่อครู่กลับใช้กำลังที่มีเหลือเฟือออกแรงยกคนที่ตัวเล็กกว่าให้มานั่งกองอยู่บนตักของตนทั้งตัว
“เฮ้ย! ไม่เอาเดี๋ยวร่วง”
“ช่วยไม่ได้ นิลอย่างซนเองนิ”
“ใครกันแน่วะ ปล่อยนะเว้ย!”
“ขอปฏิเสธครับ อย่าที่เขาว่าขึ้นหลังเสือแล้วคงจะให้ลงไม่ได้ง่ายๆ”
นักเขียนหนุ่มส่ายหน้าอย่างระอาในความปลิ้นปล้อนนั้นพลางหยิบเอาขนมเบื้องชิ้นสุดท้ายยัดใส่ปากที่กำลังยื่นมาทางตนอย่างรู้ทันโดยที่ฤทธิชาติก็ยอมรับมันไปอย่างไม่อิดออดแล้วใช้จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมที่ซอกคอของอีกฝ่ายแทนริมฝีปาก
“ว่าแต่ทำงานแทนกาลมาทั้งอาทิตย์เจออะไรผิดสังเกตบ้างรึยัง”
นายตำรวจหนุ่มถามขึ้นทันทีที่เคี้ยวของหวานในปากหมด นิลที่ยอมสงบลงเอนกายทับร่างของฤทธิชาติที่รองรับไว้อย่างเต็มใจ
“หลายอย่างเลย คิดอยู่แล้วว่าไอ้กาลคงไม่ทันได้สังเกต”
“นั่นสินะ...”
“ถึงการชอบทำงานคนเดียวของมันจะได้งานที่ได้ดั่งใจกับให้ผลตอบรับที่ดีตามระดับความสามารถ แต่ช่องโหว่ที่ร้ายกาจนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะถมให้เต็มได้ง่ายๆ”
“เพราะใกล้เกินไปเลยไม่ทันได้สังเกต...แล้วจะเอายังไงต่อครับ”
“รอดูไปก่อนแล้วกัน ยังไงก็อยากจับให้ได้คาหนังคาเขา...เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น ไอ้กาลคงไม่ยอมเชื่อ”
ฤทธิชาติเห็นด้วยกับความคิดนั้น ทั้งคู่ช่วยกันดูงานของรัตติกาลอยู่พักใหญ่ก่อนจะพากันเดินทางไปรับรพีที่โรงเรียนเหมือนอย่างเคย นายตำรวจหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับต่อสายถึงลูกน้องที่เขาคอยให้เฝ้าสังเกตการณ์อยู่รอบๆโรงเรียนอนุบาลว่าตนเองกำลังจะเดินทางไป ในขณะที่นิลก็เอาแต่สบถเพราะรถที่ติดเป็นทางยาว
“ชิ แม่งจะติดไปไหนวะ”
“อาจจะมีอุบัติเหตุ”
“ไม่เข้าใจจริงๆว่ามันจะชะลอดูกันทำไม ญาติตัวเองรึก็ไม่ใช่”
“ฮ่าๆ อาจจะเพราะว่ากลัวเป็นแบบนั้นล่ะมั้งครับ แต่จริงๆก็คงแค่อยากรู้อยากเห็นตามประสา”
“ก็เพราะว่าเป็นแบบนั้นไงถึงได้น่าโมโห”
“ใจเย็นๆนะ ให้ผมขับแทนไหม”
“ยังไหวอยู่ แค่ไม่อยากให้พีรอนาน”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมบอกให้ลูกน้องเฝ้าต่อจนกว่าเราจะไปถึง”
“หึ ใครได้มาเป็นลูกน้องมึงนี่ซวยชะมัดเลยนะ”
ฤทธิชาติยิ้มออกมาเมื่อได้ฟัง เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากนิลรู้ว่าทุกวันนี้ลูกน้องในการปกครองของเขาบ่นอุบไม่ผิดจากที่ว่าเจ้าตัวจะหัวเราะดังขนาดไหน
“ว่าแต่คิดยังไงถึงได้มาเป็นตำรวจ”
นิลถามขึ้นเมื่อบทสนทนาเมื่อครู่ถูกตัดบทไปด้วยความเงียบ
“หื้ม? อยากรู้หรอครับ?”
“ถ้าไม่อยากรู้จะถามทำไม”
นักเขียนหนุ่มทำหน้าระอาใส่คนที่มีความสามารถในการกวนประสาทเขาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเวลาที่เขาแสนเบื่อหน่ายแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านิลชอบเวลาที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือนกัน
“ฮ่าๆ ก็ปกตินิลไม่เคยสนใจเรื่องของผมเลยนิ ทุกทีเห็นสนใจแต่กาล”
“ตกลงจะหึงมันให้ได้เลยว่างั้น”
นิลเหยียดปากกับข้อหาที่อีกฝ่ายชอบตั้งให้เขาเสียเหลือเกินตั้งแต่การพบกันช่วงแรกๆจนแม้ว่าทั้งคู่กำลังดูใจกันอยู่ก็ยังไม่เว้น ก็รู้อยู่หรอกว่าเขากับรัตติกาลสนิทกันมากและทั้งคู่ก็มีรสนิยมทางเพศคล้ายๆกันแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องสนใจกันเอง กลับกันด้วยซ้ำยิ่งสนิทกับรัตติกาลมากเท่าไหร่นิลก็กลับคิดว่าระหว่างเขากับร่างโปร่งไม่มีวันจะเกินเลยมากกว่านี้เพราะความที่รู้จักกันดีเกินไป
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ นิลไม่ได้ชอบผมอย่างที่ผมชอบนิลนิ คงไม่เข้าใจหรอก”
“ต่อให้ชอบก็ไม่เข้าใจ กูกับไอ้กาลเนี่ยนะ คิดไปได้ยังไง ถามจริงเถอะอะไรทำให้มึงคิดว่ากูชอบมันวะ”
“คงเพราะ...ข้อตกลงของเรามั้งครับ”
“...”
“นิลจะไม่คบใครถ้าเกิดคุณกาลยังไม่มีความสุข...ถ้านิลลองมาเป็นผมบ้าง อาจจะคิดมากไม่ต่างกันก็ได้”
นิลชำเลืองมองอีกฝ่ายที่พูดเรื่องแย่ๆออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่เคยเปลี่ยนทั้งที่เพิ่งทำให้เขารู้สึกจุกไปทั้งอก
“ก็บอกแล้วว่ามีเหตุผล”
“ครับ และนิลก็บอกเหตุผลนั้นกับผมไม่ได้”
“...มึงไม่เข้าใจ”
“ไม่ปฏิเสธครับ ก็ผมไม่เข้าใจจริงๆนิ”
ฤทธิชาติพูดแล้วขำออกมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบต้นขาของอีกฝ่ายเบาๆ นิลไม่ได้หลบเลี่ยงสัมผัสนั้นกลับกันเขาใช้มืออีกข้างตรึงมือของนายตำรวจหนุ่มไว้ที่หน้าขาของตัวเองก่อนจะเหยียบคันเร่งทันทีที่รถข้างหน้าเคลื่อนตัวไป
“อยากหยุดแล้วหรอ”
“ผมไม่ใช่คนที่ชอบหันหลังกลับกลางคัน ถ้าไม่ใช่เพราะอยากไปจนสุดทางผมคงไม่ยอมรับเงื่อนไขของนิลในวันนั้น”
“ดื้อด้านอย่างที่คิดเลย”
“ฮ่าๆ แล้วก็นะ นิลบอกว่าจะไม่คบใครถ้าเกิดคุณกาลยังไม่มีความสุข ไม่ได้บอกว่านิลจะไม่มีวันรักใครสักหน่อย สักวันอาจจะเป็นนิลเองก็ได้ที่ต้องการผมจนทนไม่ไหว ถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นได้คงสนุกน่าดูเลยนะครับ”
“หึ เข้าใจพูดนะ”
นิลยกมืออีกฝ่ายขึ้นแล้วใช้ปลายลิ้นเลียเบาๆบนฝามือที่หยาบกร้าน ฤทธิชาติมองการกระทำของคนข้างๆด้วยความพอใจแม้สุดท้ายมันจะเป็นเพียงการแกล้งกันของนิลก็ตาม
“ถ้าคิดว่าทำแบบนั้นได้ก็ลองดู”
“ผมมันดื้อด้านอย่างที่นิลว่านั่นแหละ เตรียมใจรอไว้ได้เลยครับ”
ฤทธิชาติยิ้มพรายแล้วยกมือของนิลขึ้นแล้วจูบลงบนเนื้อเย็นนั้นกลับก่อนจะขบเบาๆบนนิ้วยาวเหมือนลำเทียนในขณะที่กำลังสบตากับเจ้าของมันอย่างไม่ลดละ
“หึ ว่าแต่จะตอบได้รึยังว่าทำไมถึงมาเป็นตำรวจ”
“ยังสงสัยอยู่อีกหรอครับ ผมดูไม่เหมาะมากเลยหรอ”
“ไม่เลยสักนิด บอกว่าเป็นคนร้ายยังจะเข้าท่ามากกว่า”
นักเขียนหนุ่มพูดไปตามที่ใจคิด มีอยู่หลายครั้งที่เขามักจะได้รับรู้เบื้องหลังการทำงานที่แสนจะแหกกฎของผู้หมวดคนนี้ จนนิลนึกแปลกใจว่าทำไมฤทธิชาติถึงยังสามารถดำรงตำแหน่งอยู่ได้ทั้งที่บางการกระทำมันร้ายแรงจนเขานึกไม่ถึง หนำซ้ำผู้ใหญ่ในกรมหลายคนดูเหมือนจะพอใจกับผลงานของชายคนนี้อยู่มากโข
แต่ชอบก็ส่วนชอบ ตามระเบียบปฏิบัตินายตำรวจชั้นผู้ใหญ่พวกนั้นคงไม่สามารถนำพาให้นายตำรวจคนนี้ออกไปยืนแถวหน้าได้อย่างที่หวัง แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่เดือดร้อนอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่เคยสนใจเลยซะมากกว่า
“ฮ่าๆ อาจจะเป็นเพราะจริงๆแล้วผมเกลียดตำรวจมากก็ได้นะ”
นิลเลิ่กคิดขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบของฤทธิชาติ นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้เขาก่อนจะหันไปมองถนนที่แออัดแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“พ่อผมก็เป็นตำรวจน่ะ เลยได้รับรู้เรื่องราวที่พูดออกมาไม่ได้ตั้งแต่เด็กๆ ผมไม่เคยชอบมัน...จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชอบ”
“แต่ดันมาเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเนี่ยนะ”
“ครับ ก็เพราะว่าไม่ชอบนั่นแหละถึงได้มาเป็น”
“อยากเปลี่ยนแปลงมันหรอ?”
ฤทธิชาติส่ายหน้าออกมาแทนคำตอบ ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งจนกระทั่งนิลสามารถฝ่าการจราจรที่คิดขัดออกมายังทางลัดที่สามารถไปถึงโรงเรียนของรพีได้
“ผมอยากทำลายมัน พูดแบบนี้คงจะตรงตัวมากกว่า”
“...อ่าฮะ ถ้าทำลายได้แล้วจะทำยังไงต่อ”
“นั่นสินะ...เรื่องหลังจากนั้นยังไม่เคยคิดไว้ซะด้วยสิ”
นิลหลุดขำออกมาจนทำให้อีกคนพลอยหัวเราะไปด้วย ภายในห้องโดยสารที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหนักอึ้งของบทสนทนากลับมีเสียงหัวเราะของคนสองคนดังก้องอยู่ในนั้น พาหนะคันใหญ่จอดลงตรงลานใกล้ๆกับสนามเด็กเล่นที่ยังคงมีนักเรียนจับกลุ่มกันอยู่ไม่น้อย นิลพยายามมองหารพี ในขณะที่ฤทธิชาติกำลังโทรหาลูกน้องที่ให้คอยจับตาดูเด็กชายไว้
“สวัสดีค่ะคุณนิล มารับน้องพีหรอคะ”
ครูประจำชั้นของร่างป้อมทักขึ้นในระหว่างที่นิลกำลังเดินเข้าไปด้านใน นักเขียนหนุ่มฉีกยิ้มให้ครูสาอย่างเป็นกันเองก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยท่าทางเป็นมิตรเช่นเคย
“ครับ แล้วนี่พีไปเล่นอยู่ไหน ตอนเดินมาผมไม่ยักกะเห็น”
“เอ๋? เมื่อกี้ครูยังเห็นพีเล่นกับน้องข้าวอยู่เลยนะคะ”
“ว่าไงนะครับ”
สีหน้าของนิลเปลี่ยนไปทันทีที่หญิงสาวพูดจบ เขารีบเดินกลับไปทางเดิมพลางมองหาคนที่มาด้วยกันแต่กลับกลายเป็นว่าฤทธิชาติไม่ได้รออยู่ที่รถอย่างเคย นิลรีบต่อสายหานายตำรวจหนุ่มด้วยความร้อนใจ เขาพยายามเดินหารอบๆนั้นไปด้วยในขณะที่เสียงรอสายดังขึ้นแล้วดับลงอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง จนกระทั่งชายหนุ่มยอมรับมันในครั้งที่ห้าพร้อมกับเสียงขึงขังของฤทธิชาติที่ดังลอดมา
“นิล รีบมาตรงสระน้ำด่วนเลย”
“เดี๋ยวชาติ รพีหายไป”
“น้องพีอยู่กับผมไม่เป็นอะไร แต่คุณรีบมาทางนี้ก่อนเถอะ”
นิลรับปากก่อนจะวางสายพลางออกวิ่งไปด้วยความเร่งรีบ สระน้ำขนาดย่อมที่ส่องประกายรับกับแสงแดดปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มในเวลาไม่นาน นิลรีบรุดเข้าไปด้านในทันทีที่เห็นฤทธิชาติโบกมือให้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก และข้างๆกันนั้นมีร่างของผู้ชายคนที่เขาไม่เคยเห็นกำลังนอนหลับอยู่บนพื้นไม่ได้สติโดยที่รพีกำลังบีบมือของชายคนนั้นอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
“พี!!”
“อานิล!”
เด็กชายรีบวิ่งมาหาคนที่มีศักดิ์เป็นอาก่อนจะกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของนิลที่ปิดสีหน้ากังวลใจไว้ไม่มิด เขาพยายามสำรวจร่างกายของรพีไปด้วยแต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆอย่างที่กังวล จะมีก็แต่ความหวาดกลัวเล็กๆที่แสดงออกมาเท่านั้นที่ทำให้นิลรู้สึกว่าเด็กชายคงเพิ่งผ่านเหตุการณ์บางอย่างมาแน่ๆ
“พีหายไปไหนมา แล้วนี่เป็นอะไรรึเปล่า”
“พีไม่เป็นไรฮะ แต่พี่คนนั้น...”
รพีชี้ไปยังร่างของคนแปลกหน้าที่นอนไม่ได้สติอยู่ริมสระน้ำจนกระทั่งเขาเดินไปพบเข้าหลังจากเดินไปส่งข้าวขึ้นรถกลับบ้าน เด็กชายที่ไม่รู้เรื่องอะไรมากนักพยายามปลุกร่างไร้สตินั้นแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมาจนรพีเริ่มใจเสีย เขาไม่กล้าทิ้งชายคนนี้ไว้แล้วไปตามให้คนอื่นมาช่วยรพีจึงได้แต่นั่งอยู่แบบนั้นขณะที่พยายามปลุกคนแปลกหน้าต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งอาชาติที่ร่างป้อมคุ้นเคยดีจะเดินผ่านมา
“นี่มัน...”
“ลูกน้องผมเอง สลบไปแต่ไม่มีรอยแผล”
นายตำรวจหนุ่มอธิบายสั้นๆก่อนจะต่อสายไปยังโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ไม่ไกล นิลไม่อยากให้ลูกชายของรัตติกาลรับรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแค่ไหนจึงพารพีมายืนอยู่อีกมุมหนึ่งให้ห่างไกลจากร่างที่หลับใหลนั่นแต่ก็ยังไม่อาจห้ามให้เด็กชายเลิกสนใจชายคนนั้นได้
“พี่เขาเป็นอะไรฮะอานิล ทำไมพีปลุกแล้วเขาไม่ตื่น”
“...เขาคงไม่สบายน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ อาชาติโทรตามหมอแล้ว ว่าแต่พีไปไหนมา ทำไมไม่อยู่ใกล้ครูไว้อย่างที่อาบอก”
“พีไปส่งข้าวขึ้นรถมาฮะ แค่แปปเดียวเอง...พีขอโทษ”
เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆในตอนท้ายเมื่อรู้ตัวว่าขัดคำสั่งของผู้ใหญ่ที่เคารพรัก นิลถอยหายใจออกมาก่อนจะลูบหัวกลมๆของหลานแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนเพราะไม่อยากให้เด็กชายกังวลมากไปกว่านี้
“ครับ อายกโทษให้ แต่อย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้าพีเป็นอะไรไปพ่อเราคงเล่นงานอาตายแน่ๆ”
“ฮะ...พีสัญญาว่าจะไม่ทำอีก”
“ดีมากครับ...พี ถืออะไรอยู่น่ะ?”
นิลเพิ่งสังเกตว่าเด็กชายกำลังกำบางอย่างไว้ในมือ รพีเอียงคออย่างสงสัยในท่าทางของผู้ใหญ่ ร่างป้อมยื่นมือที่มีสิ่งของบางอย่างอยู่ออกมาด้านหน้าก่อนจะแบมันออกมาจนเผยให้เห็นวัตถุกลมมนที่อยู่ด้านใน นิลเบิกตากว้าง เขาไม่อาจฟันธงได้ว่ามันคืออะไรแต่ความรู้สึกบางอย่างกำลังร้องบอกเขาว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
“ชาติ!! มานี่หน่อย!!!”
คนที่กำลังดูอาการลูกน้องตัวเองรีบวิ่งมาทันทีที่นิลร้องเรียก ชายหนุ่มชี้ไปยังของบนมือของรพีด้วยความร้อนใจทำให้ฤทธิชาติหันไปมองในทันที เขาหยิบมันออกมาแล้วสังเกตลักษณะภายนอกอยู่สักพักก่อนตัดสินใจยกมันขึ้นมาดมกลิ่นใกล้ๆ ใบหน้าหล่อเหลาของผู้หมวดหนุ่มเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกแล้วรีบเดินแยกไปทันทีพร้อมกับร้องบอกให้อีกคนพาเด็กเดินออกไปให้ห่าง
ไม่นานนักบริเวณรอบสระน้ำก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เด็กชายพยายามชะเง้อมองออกไปนอกคันรถเมื่อมีคนที่แต่งตัวแปลกๆคล้ายมนุษย์อวกาศเดินผ่านรถของนิลเข้าไปทางด้านใน
“อานิลฮะ ทำไมมีคนแต่งชุดแปลกๆเต็มไปหมดเลยล่ะ”
เด็กชายหันมาถามด้วยความไม่รู้แต่กลับทำให้คนที่รู้ดีไม่กล้าที่จะอธิบายออกไป นิลอ่านข้อความที่ฤทธิชาติส่งมารายงานความคืบหน้าเป็นระยะด้วยความร้อนใจกับสถานการณ์ที่เลวร้ายถึงขีดสุด จากที่เคยคิดว่าพวกนั้นเป็นเพียงผู้ไม่หวังดีธรรมดาแต่กลับต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อมันกล้าหยิบยื่นวัตถุอันตรายระดับนั้นให้กับเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างรพีทั้งๆที่มีคนคุ้มกันอยู่หนาแน่น
นิลคอยกอดรพีเอาไว้จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด นายตำรวจหนุ่มเปิดประตูรถด้านคนขับก่อนจะนั่งลงด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนขนาดที่ว่านิลยังรู้สึกได้ เขามองอีกฝ่ายด้วยความห่วงใยระคนกับไม่สบายใจ จนฤทธิชาติต้องโน้มศีรษะของนักเขียนหนุ่มเข้ามาหอมเบาๆแทนคำปลอบโยน
“กลับบ้านกันนะ”
ฤทธิชาติขับรถไปตามทางโดยไม่พูดอะไร ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่รพีที่เคยร่าเริงก็ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดรอบๆตัว นายตำรวจหนุ่มพาทั้งคู่มายังคอนโดของตนแทนที่จะเป็นบ้านพัฒนเดชาอย่างเคย โดยที่นิลก็ไม่ค้านอะไรเพราะเขาเชื่อว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลพอถึงตัดสินใจทำแบบนี้
“น้องพีกินนี่รองท้องก่อนนะครับ อีกสักพักอาหารที่อาสั่งไว้ถึงจะมาส่ง”
“ฮะ ขอบคุณฮะ”
ร่างป้อมยกมือขอบคุณก่อนจะรับขนมปังก้อนใหญ่มาถือไว้ รพีค่อยๆกัดกินมันช้าๆโดยมีผู้ใหญ่ทั้งสองคนมองดูอยู่เงียบๆ ฤทธิชาติปล่อยให้เด็กชายกินจนหมดก่อนจะเริ่มป้อนคำถามพร้อมกับยื่นน้ำส้มแก้วใหญ่ให้
“ของเล่นอันนั้นของพีหรอครับ”
ผู้หมวดหนุ่มจงใจบิดเบือนคำถามเพื่อให้รพีสบายใจที่จะตอบ และมันคงดีกว่าถ้าเด็กชายจะไม่เข้ามารับรู้ว่าตัวเองและพ่อกำลังตกอยู่ในอันตราย
“ของเล่น? ลูกบอลอันนั้นหรอฮะ?”
“ครับ พอดีอาอยากซื้อไปให้หลานอาเล่นบ้าง รพีได้มาจากไหนหรอ”
“พีไม่ได้ซื้อฮะ มีคนให้พีมา”
“ใครครับ น้องพีเคยรู้จักเขามาก่อนรึเปล่า”
เด็กชายพยักหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่ก่อนจะเอ่ยชื่อๆหนึ่งออกมา ผู้ใหญ่สองคนในห้องเบิกตาขึ้นโดยเฉพาะนิลที่เปลี่ยนเป็นกัดฟันกรอดเมื่อถึงใบหน้าของคนคนนั้น เขาลุกขึ้นพร้อมกับถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ชายหนุ่มกดเบอร์โทรศัพท์ที่เพิ่งจำได้ขึ้นใจแล้วรอสายอยู่ไม่นานก่อนที่เสียงของเพื่อนรักจะดังขึ้น
“ไอ้กาล รีบกลับมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลย...เรารู้ตัวคนร้ายแล้ว”
:ling3:(มีต่อเม้นต์ล่างคับ) :ling3:
-
“อายุวัณโณ สุขัง พลัง”
ทั้งสองคนก้มกราบพระพร้อมๆกันกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หลวงพ่อนำไม้มงคลที่ถูกมัดรวมกันไว้จุ่มลงในน้ำมนต์แล้วพรมมันไปรอบๆโดยที่ทุกคนต่างก็ก้มหัวรอรับอย่างพร้อมเพรียง รัตติกาลฟังคำสวดของพระด้วยจิตที่ไม่มั่นคงมากนัก ใบหน้าเปื้อนเลือดของนทีในความฝันและคำพูดของอีกฝ่ายที่ทิ้งเอาไว้ดึงความทรงจำอันเลวที่เขาไม่สามารถสลัดมันออกไปได้ย้อนกลับมาทำให้จิตใจสับสนอีกครั้ง
“กาล คิดอะไรอยู่”
รัตติกาลสะดุ้งน้อยๆเมื่ออารัณย์ซึ่งนั่งอยู่ข้างกันแตะเบาๆบนหลังมือของเขาเพื่อเรียกสติ ในขณะที่หลวงพ่อกำลังพูดคุยกับชาวบ้านกลุ่มอื่นอยู่
“ปะ เปล่า”
“เปล่าแล้วทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น...หรือว่าเจ็บ”
“ไม่ใช่...อย่ามาพูดเรื่องแบบนี้ในวัดได้ไหม เดี๋ยวนรกกินกบาลกันทั้งคู่”
ร่างโปร่งพูดดุๆออกมาแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มร่าไม่สะทกสะท้านใดๆ อารัณย์เขยิบเข้าไปนั่งใกล้รัตติกาลมากขึ้นจนแขนของทั้งคู่สัมผัสกันแต่ทันทีที่ร่างสูงทำแบบนั้นรัตติกาลก็เขยิบถอยออกมาทันทีเช่นกัน
“รัณย์...นั่งดีๆ”
“ก็ดีแล้ว กาลแหละนั่งนิ่งๆ”
อารัณย์ยิ้มให้รัตติกาลที่ขมวดคิ้วใส่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเพราะถึงคิวของพวกเขาแล้วที่จะต้องเข้าไปพูดคุยกับหลวงพ่อเป็นรายสุดท้าย ทั้งสองคลานเข่าเข้าไปหาก่อนจะก้มกราบลงบนพื้นที่ปูด้วยเสื่อธรรมดาผิดจากวัดที่อยู่ในเมืองใหญ่แต่มันกลับให้ความรู้สึกสงบอย่างประหลาด สายลมที่อวลด้วยกลิ่นทะเลนิดๆพอทำให้รู้สึกสดชื่นพัดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาจนผ้าที่ใช้ปูรองพระพุทธรูปไว้ปลิวไสวเป็นพักๆ
“ไม่คุ้นหน้าเลย เป็นนักท่องเที่ยวหรอโยม”
คนในผ้าเหลืองเอ่ยถามทั้งสองคนด้วยใบหน้าเป็นมิตร รัตติกาลและอารัณย์ก้มกราบท่านอีกครั้งก่อนจะสนทนาด้วยท่าทางสำรวมกว่าเคยโดยที่ร่างโปร่งเป็นฝ่ายเอ่ยตอบขณะที่อีกคนก็นั่งพยักหน้าอยู่ใกล้ๆ
“ครับ พวกผมมาพักผ่อนที่นี่ได้พักใหญ่แล้ว”
“หรอ แล้วได้ไปเดินเที่ยวงานเมื่อคืนไหมล่ะ”
“ไปครับ แล้วเมื่อคืนเขาก็พลาดตกน้ำด้วย ผมไม่ค่อยสบายใจเลยอยากพามาให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์สักหน่อย”
อารัณย์ตอบแทนพร้อมกับบอกจุดประสงค์ในการมาทำบุญครั้งนี้ไปด้วย คนอาวุโสกว่าพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะพินิจมองรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่ง ร่างโปร่งเองพอโดนมองอย่างนั้นก็พยายามทำตัวเองให้นิ่งแม้ในใจจะยังกังวลอะไรบางอย่างอยู่
“โยมดูเหมือนมีอะไรอยู่ในใจเลยนะ”
หลวงพ่อพูดกับร่างโปร่งยิ้มๆไม่ได้มีท่าทางเค้นถามอะไร กลับกันคนที่นั่งข้างๆรัตติกาลต่างหากที่ทำสีหน้าเครียดขึงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“ก็...นิดหน่อยครับ”
“ถ้าเก็บไว้กับตัวแล้วมันทุกข์ก็ปล่อยมันทิ้งไปซะ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนแม้กระทั่งความสุขและความทุกข์ อย่ายึดติดกับมันมากเกินไป มองว่ามันเป็นของธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ มีเกิดแล้วก็ต้องดับไปในสักวัน”
รัตติกาลพนมมือรับคำสอนของหลวงพ่อพลางคิดตาม หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่แม้แต่จะรับฟังคำสอนพวกนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในศาสนาแต่เป็นเพราะเคยแต่เอาใจจดจ่ออยู่ที่ปัญหาจนไม่ยอมมองสิ่งรอบตัวต่างหากเลยถึงทำให้รัตติกาลจมอยู่กับมันมาจนถึงตอนนี้
ชายหนุ่มอยากถามถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจแต่ก็ยังลังเล อยากจะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองเหมือนเช่นทุกครั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับแปลกประหลาดเสียจนไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง รัตติกาลมองใบหน้าอิ่มบุญของพระอาวุโสสลับกับพระพุทธรูปที่อยู่ข้างๆกันก่อนสุดท้ายจะตัดสินใจถามออกมาด้วยความกังวล
“หลวงพ่อครับ...คนที่ตายไปแล้วเขาจะยังต้องการอะไรอีกไหม”
อารัณย์ครางชื่อของคนข้างกายทันทีเมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาเผลอกำมือแน่นอยู่ครู่หนึ่งเมื่อรับรู้ได้ว่าร่างโปร่งตั้งใจจะถามถึงใคร แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจของรัตติกาล อารัณย์จึงพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงก่อนจะเอื้อมมือไปทางด้านหลังแล้วโอบร่างโปร่งไว้หลวมๆ
“ความอยากเป็นกิเลสพื้นฐานของสัตว์โลก ต่อให้ตายหรือเป็นเราก็ยังมีมันอยู่กับตัวกันทั้งนั้น ไม่มียกเว้นหรอกโยม”
“...แล้วพวกเขาอยากได้อะไรอีกครับ ทั้งที่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้แล้วแท้ๆ”
คนในผ้าเหลืองยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำถาม หลวงพ่อหยิบกระโถนใบเล็กที่วางอยู่ใกล้ๆขึ้นมาบ้วนน้ำหมากในปากทิ้งก่อนจะตอบคำถามของรัตติกาลด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสงบนิ่งแต่กลับยิ่งใหญ่อย่างประหลาด
“ไม่ว่าเป็นหรือตาย แก่นแท้ของความต้องการก็มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น คืออยากพ้นจากทุกข์ ความต้องการที่ว่ามันแรงกล้าจนสามารถกลายเป็นเชื้อไฟให้คนสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อไขว่คว้ามันไว้แม้จะต้องพ่ายต่อกิเลสที่ยั่วยุเราอยู่ก็ตาม พระพุทธองค์จึงสอนให้รู้จักควบคุมกิเลสไม่ปล่อยใจให้ไหลไปกับมัน”
“ถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อว่า ผมยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองสมควรทำอะไรให้กับคนที่ตายไปแล้ว ในเมื่อไม่ต้องมารับรู้เรื่องทางโลกอีกแล้วเขาจะยังทุกข์อะไรอีก”
“ทุกข์สิ หลวงพ่อว่าโยมรู้ดีว่าวิญญาณที่โยมว่าทุกข์เพราะอะไร”
“...”
“ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า โยมจะให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ไหมเท่านั้นเอง”
ร่างโปร่งสบตาชายในผ้าเหลืองด้วยความไม่เข้าใจ แต่หลวงพ่อกลับทำเพียงยิ้มแล้วอวยพรเขาก่อนจะขอตัวออกไปฉันเพลเมื่อถึงเวลา รัตติกาลออกมาจากวัดด้วยความรู้สึกที่ติดค้างกลายเป็นตะกอนนอนก้นไม่ต่างจากอีกคนที่แม้จะเพิ่งได้ฟังคำว่ารักจากปากคนข้างๆไปเมื่อเช้ามันแต่ก็ไม่ทำให้อารัณย์สบายใจได้เลย
“ทำไมจู่ๆถึงพูดเรื่องหมอนั่นขึ้นมา”
อารัณย์ถามขึ้นเพราะทนเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ พวกเขาหยุดเดินอยู่ตรงบริเวณใกล้ๆกับจุดที่รัตติกาลพลัดตกน้ำเมื่อวานจึงยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกดดันมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เขาเชื่อเรื่องโลกหลังความตายแต่กลับไม่เคยเชื่อว่าผีมีอยู่จริง รัตติกาลจึงคิดหนักสับสนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นคืออะไร มันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความจริงและการคิดไปเอง อยากจะละเลยไม่สนใจแต่ความรู้สึกข้างในกลับบอกไม่ให้เขาทำแบบนั้น
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าสนใจเลย”
“มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง”
ร่างสูงคว้ามือของรัตติกาลมากุมไว้โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืน
“ผมไม่อยากให้กาลแบกรับมันไว้คนเดียว เข้าใจไหม”
“รัณย์...”
“ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยหรือใหญ่แค่ไหน ผมก็อยากให้กาลพึ่งผมบ้าง”
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนที่รัตติกาลไล่เขาออกไปจากชีวิตย้อนกลับมาจนเผลอแสดงสีหน้าปั้นยากออกไป แม้จะได้ใกล้ชิดกันแค่ไหนแต่รอยร้าวที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆแค่เพราะวันนี้เขาได้มีรัตติกาลอยู่ข้างกาย กลับกันมันยังคงย้อนกลับมาย้ำเตือนถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้เขาโหยหาการยอมรับและความไว้ใจจากรัตติกาลมากกว่าใคร
รัตติกาลสังเกตเห็นความน้อยเนื้อต่ำใจในดวงตาของอีกฝ่าย เขายกมือขึ้นสัมผัสข้างแก้มของร่างสูงเบาๆก่อนจะโน้มมันลงมามอบจุมพิตให้อีกฝ่ายหวังให้คลายความขุ่นมัวในใจนั้นลง
“คุณเป็นที่พึ่งให้ผมมากกว่าที่คิดนะ รู้ตัวไหม”
“...!”
“ถ้าไม่มีคุณ ผมอาจจะตาย...”
“ไม่ให้ตายหรอก!”
อารัณย์พูดแทรกขึ้นทั้งที่รัตติกาลยังไม่ทันพูดจบประโยคดี คนตัวเล็กกว่ายิ้มอ่อนแล้วกระชับมือที่จับกันไว้ให้แน่นขึ้น ถ้าหากถามว่าเขาหลงรักอารัณย์ตรงไหน ก็คงจะเป็นความซื่อตรงที่อีกฝ่ายมักแสดงมันออกมาเสมอนี่แหละ ที่เขามองว่ามันน่ารัก
“ก็แค่พูดถึง ผมไม่ได้จะตายสักหน่อย”
“แค่พูดก็ไม่ได้!”
“หึ ไหนตอนนั้นบอกว่าชีวิตคนเราไม่เที่ยง ยังไงก็ต้องจากกันสักวันอยู่เลยไง แล้วทำไมถึงไม่ยอมให้ผมพูดถึง”
“...ก็เพราะว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นไง ถึงได้กลัว”
ร่างสูงเสหน้าหันไปมองทางอื่นด้วยผิวแก้มขึ้นสี รัตติกาลยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดและเห็นท่าทางแบบนั้น เขาออกแรงจูงให้คนตัวโตเดินตามกันมาโดยไม่สนใจว่าชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปผ่านมาจะมองพวกเขาสองคนยังไง สำหรับรัตติกาลตอนนี้เขาแค่อยากจะครอบครองมันไว้โดยไม่ต้องสนใจอะไรอีกเท่านั้นเอง
“เมื่อวานตอนที่สลบไปผมฝันถึงเขา”
“...”
“ในฝันเขาพูดเหมือนกับว่าจะไม่ยอมให้ผมไป”
“ตายไปแล้วยังเสือกหวงก้างอีกนะมึง...”
อารัณย์บ่นพึมพำตามหลังโดยไม่คิดว่ารัตติกาลจะได้ยิน แต่กลายเป็นว่าคนเดินนำกลับหัวเราะออกมาก่อนจะหันมามองเขาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจที่อารัณย์หลงรัก ร่างสูงหน้าแดงแต่ก็พยายามเดินให้เร็วขึ้นอีกเพื่อที่จะได้เห็นหน้าของรัตติกาลใกล้ๆจนกลายเป็นว่าเขาทั้งคู่เดินเคียงข้างกันโดยที่ยังไม่คลายมือที่สอดแทรกกันไว้ออก
“กาลดีใจไหม...ที่ไอ้ผีนั่นมันพูดเหมือนหวงกาล”
“ผีมีจริงซะที่ไหนล่ะ อีกอย่างมันก็แค่ฝัน”
“ก็นั่นแหละ ดีใจรึเปล่าล่ะ”
“...ก็ดีใจ”
“...!!”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน”
ชายหนุ่มที่หน้าเสียไปครู่หนึ่งพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองแล้วตั้งใจฟังในสิ่งที่รัตติกาลกำลังพูด พวกเขาเดินมาถึงบ้านพักของยายพิศแต่ก็ยังนั่งอยู่บนท่าน้ำหน้าบ้านไม่เข้าไปข้างในแต่อย่างใด
“สิ่งที่หลงเหลืออยู่ระหว่างผมกับเขามีแต่ความเจ็บปวด ต่อให้ความตายไม่พรากนทีไป...เราก็ไม่มีวันเดินร่วมทางกันได้อยู่ดี”
“แต่คุณก็ยังเสียใจที่เขาตายใช่ไหม”
“ใช่ ทั้งเสียใจ ดีใจ และแค้น...”
“...”
“ในวันที่เขาตายคือวันที่ผมรู้ความจริงว่าเขาไม่เคยรักผมเลย เขาจากไปโดยที่ผมยังไม่ได้ทวงคืนอะไรให้กับตัวเองเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกทุกอย่าง ทั้งความเสียใจที่เขาตาย ความดีใจที่เห็นเขาได้รับกรรม และความแค้นที่ถูกทรยศหักหลัง ทุกอย่างมันถูกเก็บไว้ให้ตัวผมที่ถูกทิ้งให้อยู่บนโลกนี้เพียงลำพังในขณะที่พวกเขาสองคนตายหนีความผิดไปทั้งคู่”
“...”
“สิ่งเดียวที่ยังผูกพันเราไว้ก็คือความแค้นที่ยังไม่ได้รับการสะสาง ต่อให้มันมีปาฏิหาริย์นำพาเขากลับมา ผมก็คงเป็นฝ่ายส่งเขากลับไปหาความตายเองอีกครั้ง...”
อารัณย์โอบกอดไหล่ของรัตติกาลไว้แล้วจดจูบตรงขมับหวังให้อีกคนคลายความเครียดลง ร่างโปร่งหลับตาแล้วพิงร่างของตนไปที่ชายหนุ่มทั้งตัวโดยไม่กลัวเลยว่าอีกฝ่ายจะปล่อยให้เขาหลุดมือหรือไม่
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอกมันก็แค่ฝัน อีกอย่างผีมันมีจริงที่ไหนล่ะ”
“หึ ขนาดไม่เชื่อว่าผีมีจริงยังต้องไปปรึกษาพระเลยเนี่ยนะ”
“มีโอกาสถามก็ถาม ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
“เป็นดิ หวงเว้ย เข้าใจป่ะ”
ร่างสูงหยิกแก้มที่เอนพิงตัวเองอยู่ด้วยความมันเขี้ยว ส่วนคนที่โดนหยิกกลับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่คาดฝันนั้น
“ฮ่าๆ กับผียังจะหวงอีกหรอ”
“เออ จะคนจะผีก็หวงหมดนั่นแหละ ถ้ามันมาเข้าฝันกาลอีกคราวนี้จะจับลงหม้อถ่วงน้ำให้หมดเลยคอยดู”
“เว่อร์ไปแล้ว”
รัตติกาลว่ายิ้มๆก่อนจะหยิกแก้มอีกฝ่ายตอบแล้วหอมซ้ำลงไป ร่างโปร่งมองใบหน้าที่แดงขึ้นเรื่อยๆของอารัณย์ด้วยความพอใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้าที่เอาแต่อ้ำอึ้งพูดไม่ถูกเมื่อโดนเขาจู่โจมใส่แบบนั้น
“คุณนี่...น่ารักดีเหมือนกันนะ”
“ห๊ะ!”
“น่าสนใจจริงๆด้วย”
“สนใจอะไรแต่อย่าคิดจะเล่นอะไรแผลงๆล่ะกาล ผมหวาดนะบอกตรงๆ”
“ฮ่าๆ แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรอ แล้วแบบนี้จะไปสู้กับใครเขาได้ยังไง”
อารัณย์หน้าเจื่อนทันทีที่รัตติกาลพูดจบ แม้จะได้ครอบครองแต่ลึกๆเขาก็ยังคงมีความไม่มั่นใจอยู่มากว่าอีกฝ่ายจะรักเขาได้อย่างที่เขารัก ร่างสูงกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นราวกับว่ากลัวจะทำหล่นไป รัตติกาลเองก็พอมองออกว่าอารัณย์กังวลอะไรจึงลูบเบาๆตามลำแขนนั้นเพื่อปลอบโยน
“ตัวก็ใหญ่ มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”
“มันเกี่ยวกันซะที่ไหนล่ะ”
“เกี่ยวสิ เพราะต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นคุณจะปกป้องผมใช่ไหม”
“ด้วยชีวิตเลย”
ร่างสูงมอบคำสัตย์ที่สั่นคลอนหัวใจของรัตติกาลได้อีกครั้ง เขาหลับตาลงแล้วซบหน้าลงบนแผ่นอกกว้างที่ทำให้เขารู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด เหมือนกับว่าเป็นสถานที่ที่ตามหามาแสนนาน ที่ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าเขาจะปลอดภัยหากอยู่ตรงนี้
“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นก็ได้ แค่ไม่ทิ้งผมไปไหนก็พอ”
“อื้อ ไม่ทิ้งหรอก ไม่คิดว่าจะมีวันนั้นด้วย”
“หึ น้ำเน่าจริงนะ”
“ฮ่าๆ”
“อารัณย์...”
“หื้ม?”
“ขอบคุณนะที่ทำเพื่อผมมาตลอด”
“...อื้อ”
“ได้โปรด...อย่าไปจากชีวิตผมนะ”
คำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยพันธนาการเขาไว้กับความทุกข์ถูกปลดเปลื้องออกด้วยคำขอร้องที่เขาอยากได้ยินมากที่สุดในชีวิต รัตติกาลยิ้มพรายก่อนจะเข้าไปในบ้านทิ้งให้คนตัวโตนั่งนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินตามหลังไปพร้อมกับความมีชีวิตชีวาของบ้านที่เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน
รัตติกาลใช้เวลาตลอดบ่ายไปกับการเขียนหนังสือโดยมีอารัณย์คอยคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง แม้สถานะระหว่างทั้งสองจะเปลี่ยนไปแต่พวกเขากลับยังคงใช้ชีวิตตามแบบที่เคยเป็น อารัณย์ไม่เคยรู้สึกเบื่อที่ได้แต่มองรัตติกาลท่ามกลางความเงียบสงบ ร่างโปร่งเองก็เริ่มชินกับสายตาที่มองมา เขาปล่อยให้อารัณย์ทำอย่างใจต้องการและทำงานของตัวเองไปโดยจะมีบางครั้งที่ทั้งคู่หันมาพูดคุยกันด้วยเรื่องไร้สาระแต่กลับทำให้อบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด
ช่วงเวลาแสนสงบผ่านเลยไปจนถึงเย็น รัตติกาลลืมตาขึ้นก่อนจะรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งๆที่ใช้หนุนหัวต่างหมอน อารัณย์ยังคงหลับอยู่โดยที่เจ้าตัวอุทิศแขนข้างที่ไม่ถูกยิงให้เขาใช้หนุนนอนโดยที่ตัวเองมีแค่ไม้กระดานแข็งๆรองหัวเท่านั้น รัตติกาลยันกายขึ้นนั่งแล้วประคองศีรษะของอีกฝ่ายมาวางไว้บนตัก ปลายนิ้วเย็นเฉียบไล่ไปตามคิ้วโก่งหนาได้รูปที่ขมวดเป็นปมเล็กๆแม้จะไม่ได้สติ เขาคลึงมันเบาๆพลางคิดไปว่าคนอย่างอารัณย์มีอะไรให้กังวลแม้แต่ในยามหลับฝัน
“จะเป็นเรื่องของผมรึเปล่านะ”
รัตติกาลยิ้มให้กับความหลงตัวเองของตน เขากำลังโลภมาก และคาดหวังกับความรักครั้งใหม่อย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ ชายหนุ่มก้มตัวลงจูบเบาๆบนเปลือกตาของคนที่หลับใหลหวังให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา เขาอยากเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของอารัณย์อีกครั้ง อยากให้ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่เขาตลอดไป
“อารัณย์ ตื่นเถอะ เย็นมากแล้ว”
“อื้อ...”
“เดี๋ยวคืนนี้ก็นอนไม่หลับหรอก ตื่นเร็ว”
“หิว...”
“หิวก็ลุก รีบไปบ้านยายกัน”
อารัณย์พยักหน้าก่อนจะยันกายขึ้นโดยมีรัตติกาลคอยลูบจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงนั้นให้ ร่างสูงปรือตามองคนตรงหน้าแล้วโน้มกายไปจุมพิตลงบนริมฝีปากสีชาดที่ลอยเด่นอยู่อย่างไม่อาจห้ามใจ รัตติกาลเอนคอรับสัมผัสของอีกฝ่ายพร้อมกับเปิดปากออกปล่อยให้เรียวลิ้นของชายหนุ่มเกี่ยวรัดตัวเขาอย่างเอาแต่ใจ ร่างโปร่งคอยลูบหลังของอารัณย์เพื่อให้อีกฝ่ายสงบลงเมื่อรู้สึกถึงความตื่นตัวของสิ่งที่อยู่ในร่มผ้า พี่เลี้ยงหนุ่มยอมผละออกมาแม้ว่าจะรู้สึกขัดใจเพียงใดแต่ก็ไม่วายฝากรอยรักเล็กๆไว้ตรงซอกคอเป็นการวางมัดจำไว้ก่อน
“เดี๋ยวคืนนี้ค่อยมาต่อ”
“ฝันไปเถอะ”
ร่างสูงขยี้ผมของอีกฝ่ายก่อนจะพากันลุกขึ้นไปจัดการล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อนจะเดินทางไปกินข้าวเย็นที่บ้านของยายพิศเช่นเดิม รัตติกาลนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวใหญ่ระหว่างรอให้อารัณย์เดินออกมา เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงแล้วฝูงนกที่บินกลับรังด้วยความชอบใจ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆแต่เขากลับรู้สึกผูกพันกับที่นี่อย่างประหลาดจนนึกอย่างจะมีบ้านไว้ครอบครองสักหลัง
“กลับไปค่อยคุยกับคุณนเรศแล้วกัน”
รัตติกาลบอกกับตัวเองก่อนจะหันไปมองโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องอยู่บนโต๊ะรับแขกซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบมันไว้เป็นจังหวะเดียวกับอารัณย์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ร่างสูงเลิ่กคิ้วขึ้นก่อนจะร้องอ่อเมื่อรัตติกาลบอกว่าเพื่อนรักอย่างนิลเป็นฝ่ายโทรมาหา
ชายหนุ่มเดินไปตากผ้าเช็ดตัวแล้วหวีผมเป็นอย่างสุดท้าย เขาเดินกลับมายังชั้นล่างของบ้านที่มีรัตติกาลกำลังถือหูโทรศัพท์ค้างไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของรัตติกาลวูบไหวแม้แต่ไหล่ลาดก็ยังสั่นจนร่างสูงต้องเข้าไปจับไหว ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วบอกลาคนปลายสายก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับอารัณย์อีกครั้ง
“มีอะไรเกิดขึ้นหรอกาล?”
“นิลบอกว่าให้เรากลับไปบ้านเดี๋ยวนี้...เรารู้ตัวคนร้ายแล้ว”
อารัณย์ไม่รู้สึกดีใจอย่างที่คิดเพราะความตึงเครียดที่รัตติกาลแสดงออกมาบอกเขาว่ามันคงมีอะไรมากกว่านั้น ร่างโปร่งกำโทรศัพท์แน่นแล้วยกมืออีกข้างขึ้นบีบขมับของตัวเองพร้อมกับทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ออกมา
รัตติกาลเดินเข้าสู่อ้อมกอดของอารัณย์ทันทีที่อีกคนกางแขนออก เขาสูดหายใจเข้าปอดหวังให้ตัวเองสงบใจลงมากกว่านี้เพื่อรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า รัตติกาลบอกตัวเองว่าเขาจะหวั่นไหวไม่ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการทรยศที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“ธิชา...เป็นคนทำ”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผักกาด!!! ขอความร่วมมือช่วยตอบโพลนี้ให้เช่ทีนะคับ อย่างที่บอกไปในทอล์คหลายๆตอนว่าเช่จะรวมเล่มไนท์แมร์เลยต้องการเก็บข้อมูลตั้งแต่เนิ่นๆ รบกวนช่วยไปตอบทีนะคับ
https://docs.google.com/forms/d/1Z25QsWRzFK5qH7nRf7LCO_zLN-DD4Zcp51LaEKJiYBQ/viewform?c=0&w=1 (https://docs.google.com/forms/d/1Z25QsWRzFK5qH7nRf7LCO_zLN-DD4Zcp51LaEKJiYBQ/viewform?c=0&w=1)
อนึ่ง สั่งมากน้อยเช่ก็ทำคับ เพราะตั้งใจจะรวมเล่มผลงานตัวเองเก็บไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดมีจำนวนไม่มาก เช่คงมีโอกาสได้พิมพ์แค่รอบเดียวไม่มีรีปริ้น แล้วเช่ก็ไม่คิดจะพิมพ์ผ่านสำนักพิมพ์นะคับ ชอบทำเองมากกว่า เลยไม่อยากให้พลาดกันสำหรับคนที่ต้องการจะเก็บนิยายเรื่องนี้ไว้จริงๆ
ถ้าใครสนใจก็ส่งช่องทางติดต่อมาในคำถามข้อสุดท้ายได้เลย ถ้าเช่มีรายละเอียดการจองหนังสืออะไรยังไงจะได้ส่งไปให้ไม่ตกหล่นคับ^^
คุยกับเช่!!
หายหน้าไปหลายวัน กลับมาแล้วคับ!! :o12: เพิ่งไปทำกิจกรรมให้คณะมา พังทั้งร่างพังทั้งสมองเลยช็อตไปหลายวัน อาทิตย์หน้าเช่ยุ่งมว๊ากกกกกกก มีต้องเข้าไปworkshopที่กรุงเทพด้วย จะแว๊บไปกินมะตะบะตามรอยคู่รองที่หวนกลับมาพร้อมกับดราม่าเล็กๆไม่ใส่ไข่ แต่ไม่ต้องห่วงคับ หลังจากนี้เช่จะไม่ใส่ปมอะไรเข้าไปอีกแล้ว เฟสนี้เป็นการแก้ปมล้วนๆเลย เรียกว่าเรื่องดำเนินมาจนถึงจุดพีคแล้วล่ะนะ งานเช่ก็งอกตามไปด้วย นั่งนึกตลอดว่าไปหว่านอะไรไว้บ้าง เป็นการใช้กรรมของคนเขียนคับ :z13: :heaven
NCตอนที่แล้วคนบอกว่าละมุน เอ่อ...จะบอกว่าตั้งใจให้มันร้อนแรงนะ 55555 :hao3: สรุปมันหวานซะงั้นหรอ งื้ออ แต่ก็โอเคนะ ผลตอบรับพอใจมากคับ ดีใจที่ทุกคนชอบกัน เช่ก็จะพยายามจัดโมเม้นต์รัณย์กาลหนักๆมาถวายให้ท่านแม่ยกอย่างถ้วนหน้า กินมาม่าต่างข้าวกันมาเยอะแล้วได้เวลาสำราญของชาวเราสักที :hao6:
ส่วนเรื่องหนังสือแน่นอนแล้วนะคับว่ามีถึง 3 เล่มแน่นอน อย่างหนา! :really2: ไปรษณีย์เขาจะให้ส่งไหมเนี่ย แล้วที่หนักหนากว่าคือออกแบบปกเนี่ยแหละ เช่ทำได้นะแต่แม่มโคตรขี้เกียจเลย555555 เดี๋ยวรอให้เคลียร์งานไปได้เยอะกว่านี้อีกนิดจะเริ่มทำปกออกให้ยลกันนะคับ ใครชอบอยากเก็บเรื่องนี้ไว้ก็เริ่มเก็บตังกันได้แล้วนะ เช่ไม่อยากขายแพงมากแต่ด้วยจำนวนเล่มแล้วก็คงหลายตังอยู่ดี เก็บไว้ตั้งแต่เนิ่นๆจะได้ไม่ลำบากนะคับ^^ :mew1:
ป.ล. เหมือนเดิมมม ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตและคำแนะนำ เช่คงผลุบๆโผล่เร็วบ้างช้าบ้างเหมือนเดิม ขอเวลาหน่อยนะคับ อยากเก็บงานให้เนียบที่สุดจะได้ไม่ตกหล่นอะไร อัพไม่อัพยังไงติดตามกันได้ที่แฟนเพจ มีข้อสงสัยหรือติชมอะไรก็แวะไปคุยกันได้คับ เช่ตอบเรื่อยๆเลย^^
-
:pig4: :pig4:
-
:mc4:
-
เช่ขออิดิทเพิ่มโพลสำรวจความต้องการซื้อหนังสือไปท้ายตอนที่34 นะคับ
รบกวนตอบให้เช่หน่อยนะ^^ :katai4: :katai2-1:
-
ตกใจจริงๆนะเนี่ยที่เป็นธิชา
-
เห้ยยย พลิกค่ะ ไม่คิดนะเนี่ยวืาจะเป็นนาง
แอบคิดว่าเป็นอีกคน :ling3: ทำแบบนี้ทำไม เรื่องแม่หรอ หรือเกี่ยวอะไรกับนทีอีก
-
เราะพลาดนิยายเรื่องนี้ไปได้ยังไงงง
แบบมันสนุกมากค่ะ
มีครบทุกรสเลยอ่านรวดเดียวเลย
ยิ่งอ่าน เกลียดอิตานทีมากค่ะ
เราขอเดาว่าธิชาน่าจะเกี่ยวกับพะแพงอาจเป็นน้องหรือญาติ555555 เดาอย่างมั่วเลย
ปล.ให้กำลังใจคุณคนเขียนค่า +ให้ด้วย :mew1:
-
35th Night
…Betray...
อารัณย์จับจ้องประตูไม้บานใหญ่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกขุ่นมัวไม่แพ้ฟ้าครึ้มฝนด้านนอก เขาลูบผมของเด็กชายที่หลับใหลอยู่บนตักเบาๆทั้งที่ใจจริงอยากจะเข้าไปในห้องนั้นใจจะขาดแต่เพราะคำปฏิเสธของรัตติกาลทำให้เขาไม่กล้าที่จะฝืนความต้องการที่อยากจะเผชิญหน้ากับคนทรยศตามลำพัง
“ให้ผมพาน้องพีไปเข้านอนก่อนดีกว่านะครับ”
นายตำรวจหนุ่มเอ่ยกับคนที่เพิ่งกลับมาจากการหลบภัยอย่างมีน้ำใจ แต่สิ่งที่ร่างสูงทำกลับเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร ให้นอนไปก่อนเถอะ”
“แต่คงอีกนานกว่าคุณกาลจะออกมา”
อารัณย์เกิดความรู้สึกลังเล เขามองนาฬิกาซึ่งแขวนอยู่บนกำแพงบอกว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาประคองรพีที่ยังคงไม่ได้สติไว้ในอ้อมกอดก่อนจะวางร่างนั้นลงบนโซฟารับแขกตัวยาวที่ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้มันต่างเตียงนอนตอนที่รัตติกาลพยายามใช้ความพยายามทั้งหมดควานหาคนร้ายที่ปล่อยข้อมูลของบริษัท โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่ใกล้ชิดตัวเองที่สุด ณ สถานที่แห่งนี้ จะกลายเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“แล้วมึงไม่ต้องเข้าไปฟังด้วยรึไง”
“ผมสืบสวนเบื้องต้นไปแล้วครับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีเจ้าทุกข์”
“หมายความว่ายังไง?”
“คุณกาลยังไม่ฟ้องเธอครับ อย่างน้อยก็จนกว่าจะเจรจากันเสร็จ”
“แต่ระเบิด...”
“เรื่องนั้นคุณกาลก็ขอให้ผมจัดการไม่ให้เรื่องถึงขั้นเป็นคดี เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงหมดอนาคตแน่”
อารัณย์ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นเดียวกับฤทธิชาติ เขาสองคนปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปโดยที่ต่างคนต่างก็มีเรื่องมากมายวิ่งวุ่นอยู่ในหัว จนกระทั่งผู้หมวดคนสนิทของตัวไปจัดการเรื่องลูกน้องที่โดนทำให้สลบไปเพราะสารเคมีบางอย่างจนภายในห้องกว้างเหลือเพียงร่างสูงและเด็กชายผู้หลับใหลเท่านั้น
เสียงนาฬิกาตีบอกว่าเขาล่วงเข้าวันใหม่มาได้กว่าชั่วโมงแล้ว ในขณะที่อารัณย์กำลังนำผ้าห่มอีกผืนมาคลุมให้กับรพี ประตูที่เขาจ้องมองมันมากว่าชั่วโมงก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของนิลและธิชาที่ทำหน้านิ่งไม่มีร่องรอยของความโศกเศร้าและสำนึกผิดให้เห็น
“มึงเข้าไปอยู่กับไอ้กาลมันก่อนไป”
“แล้วมึงจะพาเขาไปไหน”
“ยังพาไปไหนไม่ได้ ต้องรอไอ้ตำรวจกลับมานี่ก่อน”
นิลถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาดันไหล่เล็กของคนที่ยืนอยู่ข้างๆให้นั่งลงบนอาร์มแชร์ตัวเขื่องก่อนจะพาร่างของตนมาเอนกายอยู่ใกล้ๆรพีโดยระวังไม่ให้ร่างป้อมตื่นมาตอนนี้ อารัณย์ยังคงยืนนิ่งไม่ได้เข้าไปในห้องทั้งๆที่เคยอยากเข้าไปใจจะขาด แต่เขากลับจ้องมองไปยังใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอกัน ใบหน้าของคนที่เคยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเลขาผู้เก่งกาจของรัตติกาล
“คุณทำไปทำไม”
ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในห้อง นิลลืมตาขึ้นมองคนทั้งคู่แต่ก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรออกไป เขาเลือกที่จะนั่งมองทั้งสองคนอยู่เงียบๆ ด้านหนึ่งคืออารัณย์ที่แสดงความผิดหวังออกมาทางใบหน้าไม่ต่างจากเพื่อนของเขา และอีกด้านคือหญิงสาวผู้ที่ไม่มีความร่าเริงอยู่บนใบหน้าอย่างเคย
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องบอกคุณค่ะ”
“...กาลเขาไว้ใจคุณมาก รู้บ้างรึเปล่า”
อารัณย์รู้สึกว่าเสียงของตัวเองที่เปล่งออกมานั้นสั่น เขาไม่ได้ร้องไห้เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันสะเทือนใจเขาเสียจนไม่อาจควบคุมตัวเองไว้ได้เหมือนเช่นทุกครั้ง ผู้หญิงตรงหน้าเขากำลังเค้นยิ้ม ดวงตาที่เคยแสดงความห่วงใยแก่เจ้านายของตนเสมอเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างก่อนจะช้อนขึ้นมองคนที่ตัวเองกำลังสนทนาด้วย
“รู้สิค่ะ เพราะอย่างนั้นไงฉันถึงทำมัน”
“...!”
“น่าเสียดายจริงๆนะคะ...น่าเสียดายจริงๆ”
เธอพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเพื่อยุติบทสนทนาที่อารัณย์เองก็ไม่อยากจะได้ยินคำพูดไร้สำนึกพวกนั้นอีกแล้ว เขาเดินเข้าไปในห้องนอนที่เคยเข้ามานับครั้งได้ กลิ่นอวลของกาแฟยังคงหลงเหลืออยู่เพราะแก้วสามใบที่ของเหลวสีดำในนั้นไม่ได้พร่องลงเลย ร่างสูงเดินผ่านมันไปยังด้านในของห้องที่ร่างของเจ้าของมันกำลังนั่งเหยียดขาอยู่บนพื้นพรมทั้งที่ยังหลับตา
“กาล...”
อารัณย์คุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมกับใช้หัวแม้โป้งลูบไปตามเปลือกตาที่ดูหนักอึ้งผิดจากทุกครั้ง รัตติกาลปล่อยให้คนรักสัมผัสตัวเองอยู่อย่างนั้นโดยที่ร่างโปร่งเลือกที่จะเอื้อมจับไหล่ของอีกคนไว้แทนการบอกว่าเขายังมีสติอยู่ จนกระทั่งอารัณย์เปลี่ยนมาโอบกอดเขาไว้พร้อมกับจับใบหน้าของรัตติกาลให้ซบลงบนบ่า
“ไหวรึเปล่า”
“ไหว...อยากตอบแบบนั้นอยู่หรอกนะ”
“...”
“ผมเหนื่อยจังเลย”
“อาบน้ำสักหน่อยนะ”
ร่างสูงประคองร่างของคนรักให้ลุกขึ้นก่อนจะพาไปยังห้องน้ำด้านในที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมาเจอรัตติกาลในสภาพที่อ่อนแรงแต่ก็ยังน้อยกว่าวันนี้ อารัณย์จัดการปลดกระดุมให้คนที่ยืนนิ่งแล้วถอดเสื้อผ้าออกจนครบทุกชิ้นก่อนจะจับให้ร่างโปร่งเอนกายลงในอ่างที่มีน้ำรองอยู่เต็ม
“ถ้าเสร็จก็ตะโกนเรียกแล้วกัน”
“อยู่ด้วยกันก่อนสิ...นะ...ผมไม่อยากอยู่คนเดียว”
รัตติกาลเอ่ยขึ้นพร้อมกับคว้ามือของอารัณย์มาจับไว้ ทันทีที่ได้ยินดังนั้นร่างสูงก็ทรุดตัวลงนั่งบนขอบอ่างด้านที่ศีรษะของรัตติกาลพิงอยู่ ร่างโปร่งนำมือของอารัณย์มาสัมผัสใบหน้าของตัวเองก่อนจะมองค้างไปในอากาศด้วยใบหน้าที่เฉยชาก่อนที่มันจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นเหยเกเพราะความเจ็บปวดที่ปะทุมาจากข้างใน
“แม่ของธิชาป่วย...เธอเลยต้องทำแบบนั้น พอดีกับมีคนจากบริษัทคู่แข่งยื่นข้อเสนอให้ตอนเธอกำลังจนตรอก เรื่องทั้งหมดก็เลยเกิดขึ้น”
“เขาดูไม่สำนึกผิดเท่าไหร่”
“ไม่หรอก เธอรู้ดีว่าผิด...แค่ยอมรับผลจากการตัดสินใจของตัวเองเท่านั้น เป็นคนแบบนั้นแหละธิชาน่ะ...ผมถึงได้เลือกเธอให้มาเป็นมือขวาด้วยตัวเองไง”
ร่างโปร่งยังจำได้ดีถึงวันแรกที่พบกัน หญิงสาวใบหน้าสะสวยถูกแนะนำโดยเพื่อนต่างคณะที่เคยไปมาหาสู่กันบ่อยๆช่วงที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ตอนแรกเขาไม่คิดสนใจเธอสักนิด แม้ผลการเรียนจะดีแต่ประสบการณ์ทำงานด้านนี้กลับมีไม่มากเพราะมีเหตุให้ต้องลาออกจากที่ทำงานเก่าก่อนครบช่วงทดลองงาน แต่พอได้พูดคุยและลองให้มาทำงานด้วยกัน รัตติกาลก็พบว่าธิชาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงและจริงจังผิดกับหน้าตาที่อ่อนหวาน เป็นหญิงแกร่งที่เขาทั้งนับถือและเชื่อมั่นในความสามารถจนทั้งไว้ใจและเชื่อใจในตัวเธอต่างจากคนอื่นในบริษัท
“รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจพลาดหรอ”
“...ผมไม่อยากคิดว่าตัวเองเลือกคนผิด ที่ผ่านมาเธอก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด แต่แค่ตอนนี้เธอมีคนที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าเท่านั้นเอง”
รัตติกาลยิ้มออกมาแต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่คล้ายกับกำลังเยาะเย้ยตัวเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น อารัณย์โน้มตัวลงกอดคนที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งไว้โดยไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องเปียก เขาพยายามกระชับอ้อมแขนให้มากขึ้นโดยที่รัตติกาลก็ยิ่งเอนกายเข้าหาร่างสูงให้มากขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน
“กาลยังไม่ได้พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดจริงๆเลยนะ”
“...!”
“พูดออกมาเถอะ...ตรงนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้น”
ร่างโปร่งเบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆระบายยิ้มออกมาโดยที่คราวนี้มันดูเศร้าสร้อยเสียจนคนมองรู้สึกสะท้อนในอก มือของรัตติกาลเริ่มสั่น เขาไม่ได้ร้องไห้เพียงแค่ไม่อาจปิดบังความผิดหวังที่ถาโถมอยู่ในใจได้อีกต่อไป
“ทำไมคนเราถึงชอบโกหกกันนักนะ ทั้งที่ถ้าพูดความจริงมาแต่แรกคงจะไม่มีใครต้องเจ็บปวดแล้วแท้ๆ ถ้าเธอบอกผมสักคำว่าตัวเองกำลังลำบาก ถ้าคนที่เธอเลือกที่จะขอความช่วยเหลือเป็นผม เราคงไม่ต้องมาทำร้ายกันเองแบบนี้ใช่ไหม”
“กาล...”
“ทั้งๆที่ผมก็ยินดีรับฟังเธอมาตลอด ผมไม่เคยทำให้เธอต้องลำบากใจแล้วทำไมเธอถึงทำกับผมแบบนี้ ทำไม! ทำไมต้องเป็นผมด้วย!!”
อารัณย์รู้สึกได้ถึงคมเล็บที่จิกลงบนท่อนแขนแต่ก็ไม่ได้ปัดมันออกแต่อย่างใด เขาปล่อยให้รัตติกาลทำร้ายร่างกายตนเองอยู่อย่างนั้นโดยที่พยายามใช้มืออีกข้างลูบไปบนเส้นผมสีดำปลอบประโลมให้อีกฝ่ายใจเย็นลงไปเรื่อยๆ เสียงหายใจถี่หอบเพราะแรงอารมณ์ค่อยๆผ่อนลงจนเริ่มกลายเป็นปกติหลงเหลือไว้เพียงแรงสะอื้นที่ไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมา
“อย่าเสียใจเพราะคนแบบนั้นเลยกาล คุณทำเพื่อเขามามากพอแล้ว อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยนะ”
“ถ้าผมทำดีแล้วทำไมคนอื่นถึงชอบทำร้ายผมนัก ทำไมใครต่อใครต่างก็ทรยศผมทั้งๆที่ผมไว้ใจพวกเขามากกว่าใคร ผมไม่รู้อีกแล้วอารัณย์...ผมไม่รู้จริงๆว่าตัวเองจะสามารถเชื่อใจใครได้อีก แม้แต่ตัวเองผมยังไม่อยากเชื่อเลย”
ร่างสูงหยุดวาจาประชดประชันของรัตติกาลไว้ด้วยริมฝีปากของตัวเอง เขายกคนที่ตัวสั่นเทาให้ขึ้นมาจากน้ำกอดจะเกี่ยวรัดร่างกายเปลือยเปล่านั้นไว้ด้วยเพราะอยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงตัวตนของเขา หวังให้ความปรารถนาดีที่ตัวเองมีให้คนตรงหน้าจะสามารถอุดรอยโหว่ที่คนอื่นทำเอาไว้ทั้งๆที่รู้ดีว่ามันอาจไม่มีทางเป็นไปได้
สิ่งเดียวที่หลงเหลือจากบาดแผลที่เรียกว่าทรยศก็คือความไม่ไว้ใจ
แก้วที่แตกไปแล้วต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่มีวันคืนสภาพกลับมาได้อยู่ดี
“คุณจะไม่ทำแบบนั้นกับผมใช่ไหมอารัณย์ คุณจะไม่ทำร้ายผมอย่างที่คนพวกนั้นทำใช่ไหม”
รัตติกาลมองหน้าเขาอย่างเว้าวอน ความอ่อนแอที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิดถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น ณ วินาทีนั้นเขารับรู้ได้ทันทีว่าบาดแผลที่คนรักในอดีตฝากไว้บนหัวใจของรัตติกาลนั้นมันลึกแค่ไหน เขาสบตาของรัตติกาลกลับพยายามถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองที่มีออกไปก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่กลายเป็นเครื่องผูกมัดเขาทั้งสองคนเอาไว้ด้วยกัน
“ผมสัญญาว่าจะไม่มีวันทรยศคุณ เชื่อใจผมนะกาล”
หลังสิ้นคำนั้นร่างโปร่งก็โผกายเข้าหาคนที่มอบคำสัตย์ให้กับตน มือที่เย็นเฉียบสอดแทรกผ่านเนื้อผ้าเข้าไปสัมผัสผิวกร้านแดดของอารัณย์พร้อมกันนั้นก็พยายามปลุกปั่นแรงอารมณ์ของอีกฝ่ายไปด้วย
อารัณย์ยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยปล่อยให้คนที่กำลังไขว่คว้าหาความมั่นใจปลดกางเกงตัวยาวของเขาออกอย่างทุลักทุเล ริมฝีปากที่ซีดลงเพราะความหนาวไล่ต่ำลงผ่านหน้าท้องสีน้ำตาลไปจนถึงชั้นในตัวบางที่เริ่มนูนขึ้นให้เห็น รัตติกาลค่อยๆเกี่ยวมันออกในระหว่างที่โน้มคอของอารัณย์ให้เข้าหาแล้วแลกลิ้นหยอกเย้ากันไปพลาง
“อ่า กาล”
“อยู่เฉยๆนะ”
รัตติกาลจูบปากของอารัณย์ทิ้งท้ายก่อนจะเคลื่อนลงไปหาจุดกลางลำตัวที่ขึ้นเป็นลำตามปฏิกิริยาของร่างกาย อวัยวะรับรสแตะลงตรงหัวป้านก่อนจะไล่เลียไปตามทางยาวของกลางกายที่เปลี่ยนเป็นสีเข้ม อารัณย์ทำหน้าเหยเกปรือตามองคนรักค่อยๆกลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปทั้งหมดโดยไม่มีท่าทางรังเกียจแม้แต่น้อย
“กาล อึก เดี๋ยว”
ร่างโปร่งไม่ยอมฟังคำทัดทาน เขาหยุดปากของอารัณย์ไว้ด้วยปากของตนที่ขยับขึ้นลงพร้อมกับบีบรัดตัวตนของร่างสูงไว้ด้วย รัตติกาลรู้สึกได้ถึงเลือดในกายกำลังไหลรวมกันอยู่ ณ ปลายยอดไวต่อสัมผัสเช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่มีสรีระไม่ต่างกัน ร่างโปร่งประคองแท่งร้อนของอารัณย์ไว้ด้วยมือที่สั่นน้อยๆขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนลงไปชักพาตัวเองให้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย
อารัณย์มองความต้องการของคนรักที่บวมเป่งผ่านฟองสบู่บนผิวน้ำ มันพร่าเลือนลงเรื่อยๆพร้อมๆกับอารมณ์ที่ขึ้นสูงสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมของรัตติกาลที่เขาสัมผัสมันผ่านนิ้วมือชวนให้รู้สึกหลงใหล อารัณย์ลูบไล้มันอยู่อย่างนั้นก่อนจะเผลอจิกทึ้งเมื่อรู้สึกถึงของเหลวบางอย่างกำลังไหลไปรวมอยู่ที่เดียวกันเพื่อรอการปลดปล่อยที่แสนหวาน
“กาล อีกนิด อึก อ่า ปล่อยก่อน”
รัตติกาลไม่ยอมฟัง ทันทีที่ได้ยินว่าคนรักใกล้ถึงประตูสวรรค์เขาก็ยิ่งเร่งจังหวะให้เร็วและหนักยิ่งขึ้นจนต้องละมือที่กำลังปรนเปรอให้ตัวเองออกมาจับต้นขาของอารัณย์ไว้เพื่อเป็นหลักให้ยึด หัวที่อารัณย์ประคองเอาไว้ขยับขึ้นลงจนเขาแทบตามไม่ทันแต่ความรู้สึกในตอนนั้นมันมากล้นจนเกินกว่าเขาจะหันมาให้ความสนใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ ร่างสูงเอนตัวพิงกำแพงแล้วมองไปยังดวงไฟสีส้มด้วยอารมณ์ที่ขึ้นถึงขีดสุดจนกระทั่งของเหลวสีขาวขุ่นจะปะทุออกมาไหลตกลงไปรวมกับน้ำในอ่างโดยมีบางส่วนตกค้างอยู่ในโพรงปากและใบหน้าของรัตติกาล
“แฮ่ก บอกให้ปล่อยไง อึก ทำไมดื้อจัง”
อารัณย์บ่นไปพลางเช็ดคราบของตนบนใบหน้าของรัตติกาลไปพลาง เขาพยายามสงบใจไม่ปล่อยตัวไปกับสายตาเว้าวอนของร่างโปร่งที่ส่งมา ส่วนกลางลำตัวที่ยังคงชูชันอยู่ใต้น้ำทำให้เขารู้ดีว่าสิ่งที่รัตติกาลกำลังต้องการคืออะไร แต่เขาจะสานต่อทั้งๆอย่างนี้เห็นทีจะไม่ได้
ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะฉุดรั้งให้รัตติกาลยืนขึ้นตาม เขาดึงรัตติกาลให้เข้ามาใกล้แล้วพยุงให้เดินกลับเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับกันไม่ให้ร่างโปร่งเข้าหาเขามากเกินไปจนกลายเป็นว่าครั้งที่สองของทั้งคู่ต้องจบลงที่ห้องน้ำอีกครั้ง
“เช็ดผมก่อน เดี๋ยวเป็นหวัด”
เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการเช็ดผมทั้งๆที่โดนรัตติกาลเล้าโลมอยู่ไม่ห่าง อารัณย์ก็อยากทำเป็นไม่สนใจแล้วกอบโกยความสุขจากร่างกายของคนรักอยู่เหมือนกันแต่เขาเองก็รู้สึกลึกๆว่าสิ่งที่ขับเคลื่อนอารมณ์ของร่างโปร่งตอนนี้นอกจากความปรารถนาแล้วส่วนหนึ่งมันกลับเกิดขึ้นจากความเศร้าและโหยหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปเท่านั้น
“ผมรักกาลนะ รู้ใช่ไหม”
“อือ...”
“เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่มีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยว ผมก็จะไม่ไปจากกาลอยู่ดี”
ร่างสูงว่าดังนั้นก่อนจะก้มลงทำสิ่งเดียวกันให้กับรัตติกาลที่ล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียงหลังกว้าง ภายในหัวใจกำลังซึมซับความเป็นห่วงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาพร้อมกับจ้องมองใบหน้าหล่อเหล่าของอารัณย์ยามทำรักให้ตนเองไปด้วย รัตติกาลละอายใจเพราะวูบหนึ่งของความคิดนั้นไม่ต่างจากที่ร่างสูงว่าเลยสักนิด
“อ๊ะ ขอโทษ อึก ขอโทษนะ”
ริมฝีปากสีหนาจดจูบไล่ตั้งแต่โคนขึ้นมาถึงปลายยอด แม้ในใจจะรู้สึกกระดากอายอยู่บ้างแต่ร่างสูงก็โยนมันทิ้งไปแล้วลงลิ้นบนความยาวเขื่องนั้นเหมือนกับที่รัตติกาลทำให้กับตน ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อความร้อนบนปลายลิ้นตัดกับความเย็นของผิวกายจนมันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกหวาบหวามอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมานาน หัวของอารัณย์ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะแต่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าของคนที่รัก
“อ๊า รัณย์ แฮ่ก รัณย์ ระ เร็ว”
อารัณย์คายตัวตนของรัตติกาลออกมาก่อนจะยิ้มให้ เขาคว้าหัวทุยของร่างโปร่งเข้ามาใกล้ก่อนจะหอมลงไปแทนความรู้สึกที่มี ฝ่ามือหยาบสาวกลางกายร้อนระรัวเมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใกล้ประตูสวรรค์อยู่ร่วมรอ ริมฝีปากหนาจูบไล่ไปตามปลายคางขณะที่รัตติกาลพยายามหายใจทางปากเพราะอารมณ์ที่ตีตื้นจนเขาเริ่มหายใจไม่ทัน
“จะถึงแล้ว อ่า รัณย์ อารัณย์”
ชายหนุ่มทำตามคำขอนั้นเขาขยับมือรัวจนรัตติกาลปลดปล่อยออกมาเต็มฝามือ แผ่นอกขาวขยับขึ้นลงเป็นจังหวะโดยมีอีกคนตามคลอเคลียอยู่เหนือร่างของตนไม่ห่าง รัตติกาลยกแขนขึ้นโอบกอดอารัณย์ไว้แล้วกล่าวคำขอบคุณข้างๆหู ใบหน้าคมเข้มที่ยังคงเห็นได้ชัดจากแสงไฟที่ส่องผ่านมาจากทางด้านนอกมีรอยยิ้มพรายประดับพอให้ใจเต้น เขามองคนที่สงบลงด้วยความรักแล้วเอ่ยถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยออกมา
“นอนซะนะ”
“ไม่ทำต่อหรอ...”
“เอาไว้ก่อน พรุ่งนี้กาลต้องจัดการอะไรอีกเยอะ”
อารัณย์ว่าดังนั้นก่อนจะลุกขึ้นไปนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดทำความสะอาดตามตัวให้ร่างโปร่งอย่างห่วงใยก่อนที่ชุดนอนสองชุดถูกหยิบออกมาสวมใช้โดยคนทั้งคู่ ร่างสูงดันให้รัตติกาลนอนลงบนเตียงพร้อมกับห่มผ้าให้ เขาปล่อยให้คนที่เหนื่อยทั้งกายและใจนอนหลับตาขณะที่ตัวเองเดินออกด้านนอก ก่อนจะพบว่าฤทธิชาติ นิล รวมถึงธิชาจะยังคงนั่งอยู่ที่ห้องทำงานนั้นโดยที่รพีก็ยังหลับไม่ได้สติเช่นเดิม
“เข้าไปทำอะไรวะ นานสัด กูนี่แทบจะหลับตามพีไปอีกคน”
นิลสบถออกมาทันทีที่เห็นอารัณย์เดินกลับมาด้วยสภาพพร้อมนอนเสียจนอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ ร่างสูงละคำตอบไว้ในฐานที่เข้าใจแต่ดูเหมือนว่าคนในห้องจะยังไม่มีใครรู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับรัตติกาลก้าวหน้าไปมากกว่าที่ใครจะคิดถึง
“อาบน้ำด้วยเลยช้าไปหน่อย...แล้วจะกลับเลยไหม”
“เออ แล้วมึงเปลี่ยนชุดนอนแล้วจะนอนนี่หรอวะ ไอ้กาลไม่ด่าเอารึไง”
“กาลหลับไปแล้ว”
นิลจ้องมองคนตรงหน้าอย่างจับผิด ความสงสัยบางอย่างผุดขึ้นในหัวแต่เพราะความง่วงนอนจึงยังไม่อยากซักอะไรมาก ทั้งสามคนพากันลุกขึ้นโดยที่ฤทธิชาติตั้งใจพาธิชาออกไปก่อนเพื่อพาเธอไปกักตัวไว้จนกว่าอะไรๆจะถูกจัดการให้เรียบร้อยโดยเฉพาะประเด็นที่ตัวเขายังคาใจอยู่
“ถ้าพรุ่งนี้พวกคุณตื่นแล้วรบกวนติดต่อผมไปทันทีนะครับ เบอร์โทรศัพท์ให้ใช้เบอร์ฉุกเฉินนั่นไปก่อน ถ้ามีอะไรด่วนก็ติดต่อมาได้เลย”
“เออ ขอบใจมาก แล้วนี่มึงคิดจะพาธิชาไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“ฮ่าๆ ซ่อนอะไรล่ะครับ แค่อยากคุยอะไรด้วยนิดหน่อยเอง”
ฤทธิชาติยิ้มพรายออกมาแต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ทำให้อารัณย์และนิลไม่รู้สึกสบายใจเอาเสียเลย หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องเสหันไปมองที่อื่นทำเป็นไม่สนใจว่าตัวเองกำลังจะต้องเจอกับอะไร นายตำรวจหนุ่มบอกลาคนที่กำลังสานสัมพันธ์ก่อนจะกำชับให้พักผ่อนเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงเรื่องทางนี้ทั้งๆที่รู้ดีว่านิลไม่มีทางทำอย่างนั้น
“แล้วมึงจะกลับคอนโดเลยหรือยังไง นอนที่นี่ด้วยกันไหมล่ะ”
“เตียงไอ้กาลมันใหญ่ก็จริงแต่ผู้ชายตัวควายๆสามคนอัดกันไปได้ขนลุกตายห่า หรือมึงจะเสียสละนอนโซฟาตามเดิมก็ได้นะ กูจะได้นอนเตียงเอง”
“เออ จะเอาแบบนั้นหรอ...”
อารัณย์อึกอักเมื่อโดนนิลถามลองใจ นักเขียนหนุ่มเห็นท่าทางปะหลักปะเหลืองของคนข้างๆแล้วยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตนสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายกว่านั้น
“หึ กูพูดเล่น ง่วงจะตายห่า หิวด้วย ว่าจะกลับไปนอนบ้านไอ้กาลมันแล้วให้ป้าทำอะไรให้กินสักหน่อย ว่าแต่จะให้รพีอยู่ที่นี่ด้วยหรือให้กูพากับบ้าน”
“...พากลับไปก่อนดีกว่า เหมือนเพื่อนมึงกำลังมีไข้ ไม่อยากให้ติด”
“งั้นเอาตามนั้น กูไปล่ะ บอกให้ไอ้กาลโทรหากูด้วยถ้าตื่นแล้ว”
อารัณย์เดินไปส่งนิลที่ประตูก่อนที่จัดแจงล็อคประตูทุกบานแล้วพาร่างของตนไปยังห้องนอนที่รัตติกาลจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราไม่ได้สติ เขาแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันพร้อมกับคว้าร่างนั้นมากอดไว้โดยที่อีกฝ่ายก็ซุกตัวเข้าหาเมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นที่ช่วยบรรเทาความหนาวในหัวใจ
ร่างสูงคิดถึงความอ่อนแอที่รัตติกาลแสดงออกมาและสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เขาคิดถึงคำขอที่นิลเคยให้ไว้ก่อนที่ตัวเขาจะตัดสินใจทำตามที่หัวใจที่ตัวเองเรียกร้อง
“กาลมันไม่ใช่คนที่พร้อมจะลุกขึ้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มลง”
“อย่าทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ถ้ามึงทำไม่ได้...ก็ไปจากชีวิตมันซะ”
อารัณย์เข้าใจทันทีว่าสิ่งที่นิลพูดไม่ได้ผิดไปจากความจริงเลยสักนิด ขนาดแค่เป็นเรื่องในบริษัทรัตติกาลยังแทบเสียศูนย์เมื่อคนที่ไว้ใจให้เป็นมือขวาหันกลับมาแทงข้างหลังเพียงเพราะต้องการเงินไปรักษามารดา แล้วตัวเขาที่ได้ชื่อว่าได้คว้าหัวใจรัตติกาลมาครองล่ะ...จะมีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายมากแค่ไหน
“ผมจะไม่ทำให้กาลเสียใจ...ผมสัญญา”
:z2:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z2:
-
“ตกลงคุณยังยืนยันใช่ไหมว่าลงมือทำเรื่องทุกอย่างเพียงคนเดียว”
“ค่ะ”
ฤทธิชาติเอ่ยกับธิชาที่มีท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดจนรัตติกาลที่นั่งมองอยู่เผลอนึกสงสาร ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่แทบจะไม่พอให้คนห้าคนแย่งอากาศกันหายสร้างสร้างความกดดันที่มองไม่เห็นได้อย่างมหาศาล อารัณย์จับมือของรัตติกาลไว้พร้อมกับห้ามตัวเองไม่ให้เผลอพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไปเพราะแรงอารมณ์ ยิ่งได้เห็นตัวตนที่สั่นคลอนของรัตติกาลเมื่อคืนแล้วเขายิ่งนึกโกรธหญิงสาวคนนี้มากขึ้นอีก
“แล้วมือปืนกับผู้จ้างวานล่ะ”
“เรื่องนั้นฉันไม่ทราบค่ะ ฉันแค่ทำตามที่เขาบอกมาแล้วรับเงินก็แค่นั้น”
“คุณยอมทำตามคำสั่งของคนที่คุณไม่แม้แต่จะเคยเจอตัวจริงเนี่ยนะ”
นายตำรวจหนุ่มเหยียดปากถามด้วยน้ำเสียงถากถางที่รัตติกาลไม่เคยได้ยินแต่ดูเหมือนว่าอีกสองคนจะไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะกับนิลที่เผลอแสยะยิ้มร่วมด้วยอย่างมีอารมณ์
“สิ่งที่ฉันต้องการคือเงิน ตราบใดที่ฉันได้มันตามที่ต้องการก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“ตามที่ต้องการน่ะมันเท่าไหร่กัน”
ธิชานิ่งไปนิดก่อนที่จะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะสั่นน้อยๆ
“...ห้าล้านบาท”
รัตติกาลเบิกตากว้าง จริงอยู่ที่เงินจำนวนเท่านั้นถือว่าไม่เยอะมากสำหรับเขาแต่แค่คิดว่ามีใครสักคนต้องการกำจัดเขาด้วยเงินจำนวนเท่านี้ถือว่ามันไม่น้อยเลยสักนิด แม้แต่ฤทธิชาติที่ผ่านคดีมามากมายก็ยังคิดเช่นนั้น
“เขาโอนเข้าบัญชีที่คุณให้ผมมาเมื่อคืนใช่ไหม”
หญิงสาวยอมพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้โดยที่ไม่อาจรักษาความนิ่งได้อย่างเคย ภายในหัวกังวลไปหมดว่าเงินที่เธอได้มาจากการทรยศเจ้านายตัวเองจะถูกเอาไป ความคิดในหัวถูกแสดงผ่านสีหน้าออกมาจนคนมองรับรู้ได้ รัตติกาลช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงติดเย้อหยันตัวเองเล็กๆ
“ไม่ต้องห่วงหรอก เงินนั้นมันเป็นของคุณ...ถึงผมกับลูกจะไม่ตาย แต่อย่างน้อยก็เสียแขนขาไปอย่างที่พวกมันหวัง”
“...”
“ใช้มันรักษาแม่คุณอย่างที่ต้องการเถอะ”
ธิชาเงยหน้าขึ้นสบตากับรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มมองโต๊ะไม้ต่อไปโดยไม่ตอบอะไรกลับมา อารัณย์กระชับมือของรัตติกาลไว้แน่นกว่าเคยโดยที่คอยสังเกตคนข้างกายไปด้วย ซึ่งคนที่ถูกแทงข้างหลังก็เอาแต่มองอดีตคนของตนไม่วางตา มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง แต่นอกเหนือจากนั้นก็ยังคงมีความห่วงใยให้เห็น
“ขออนุญาตครับหัวหน้า”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับคำขออนุญาต นิลที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุดเป็นฝ่ายเปิดออกไปแล้วรับซองเอกสารที่จ่าหน้าโดยธนาคารแห่งใหญ่เอาไว้แทน ชายหนุ่มวางมันลงแล้วปล่อยให้ผู้หมวดเป็นคนจัดการต่อ ฤทธิชาติเปิดมันออกแล้วอ่านมันอยู่พักใหญ่การจะยื่นมันไปตรงหน้าหญิงสาวที่คอยมองอยู่ก่อนแล้ว
“นี่คือเอกสารที่บอกว่ามีบัญชีไหนบ้างคอยโอนเงินให้คุณตลอดช่วงเวลาที่เปิดบัญชีนี้ขึ้นมา ถ้าคุณไม่โกหกเราอีกจะยังยืนยันใช่ไหมว่ามีบัญชีนี้แค่บัญชีเดียว”
“คนไม่มีเงินไม่จำเป็นต้องมีสมุดบัญชีหลายๆเล่มหรอกค่ะ...”
“...ถ้าอย่างนั้นช่วยยืนยันได้ไหม ว่าทุกครั้งที่มีเงินโอนมาให้ มันจะถูกโอนเข้ามาโดยเลขบัญชีนี้”
ร่างสูงชี้ไปยังตัวเลขที่มีรอยปากกาไฮไลท์คาดทับเอาไว้เพื่อให้เห็นได้ชัด ธิชามองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับแทนคำตอบ
“ถ้าอย่างนั้นรู้จักชื่อเจ้าของบัญชีนี้ไหม”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวจ้องมองตัวอักษรในกระดาษนิ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอดีตเจ้านายที่เธอเพิ่งทรยศแล้วตอบออกมา
“รู้จักค่ะ”
“...”
“เขาชื่อ...นที กวีวิมนตร์”
รัตติกาลแทบลืมหายใจและคนอื่นที่รู้เรื่องก็มีอาการไม่ต่างกัน นิลสบถออกมาแล้วกระชากเอกสารดังกล่าวมาอ่านด้วยตัวเองอีกครั้งก่อนจะเผลอกำมันจนยับเพราะไม่อยากจะเชื่อสายตา
“เป็นไปไม่ได้! มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันเคยพยายามตรวจสอบเลขที่บัญชีนี้ด้วยตัวเองหลายครั้งแล้วผลก็ออกมาเป็นแบบนี้เช่นกัน...คุณนที อดีตหุ้นส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นเจ้าของบัญชีที่โอนเงินให้ฉันทุกครั้งที่ทำงานสำเร็จ”
อารัณย์แทบจะเข้าไปกระชากตัวหญิงสาวที่พูดมันออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แววตาโกรธเกรี้ยวมองคนตรงหน้าอย่างไม่คิดปิดบัง
“โกหกใช่ไหม...คุณโกหกผมอีกแล้วใช่ไหมธิชา”
รัตติกาลที่เงียบอยู่นานเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาที่เคยมั่นคงวูบไหวราวกับว่ากำลังจะร้องไห้ออกมา มือที่อารัณย์จับไว้เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงจนเขาต้องเปลี่ยนเป็นโอบไหล่ของคนข้างกายไว้แล้วดึงเข้าหาตัว หญิงสาวมองสภาพที่เปลี่ยนไปของอดีตเจ้านายแล้วเผยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออกออกมา
“ฉันไม่ได้โกหกค่ะ...มันคือเรื่องจริง”
“เธอเล่นบ้าอะไร...เธอคิดจะทำอะไรกันแน่ธิชา!!!”
“กาลนั่นแหละคิดจะทำอะไร...”
ร่างโปร่งที่กำลังเกรี้ยวกราดหยุดนิ่งเมื่อเสียงที่คุ้นชินดังขึ้นจากทางด้านหลัง อุณหภูมิรอบตัวเย็นขึ้นในชั่วขณะเช่นเดียวกับผู้คนในห้องไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว ลมหายใจชืดๆเบารดต้นคอ ฝ่ามือปริศนากำลังโอบกอดเขาจากทางด้านหลังจนรัตติกาลรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตนกำลังแนบชิดกับอะไรสักอย่างที่เย็นเหมือนกับน้ำแข็ง
“กาลทิ้งพี่...กาลโกหกพี่...”
“ไม่จริง...มันไม่จริง”
“กาลทรยศพี่...กาลต้องโดนลงโทษ...”
“ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่จริง หยุดสักทีได้ไหม!!!”
“กาลเป็นอะไรรึเปล่า”
รัตติกาลลืมตาโพลงก่อนจะมองไปรอบๆห้องๆเดิมแต่กลับอึดอัดยิ่งกว่าเก่า เขารู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลท่วมและแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงอย่างน่ากลัว ร่างโปร่งมองไปตามแขนและลำตัวของตนก็ไม่พบสิ่งปกติใดๆ แม้แต่พื้นที่ว่างเพียงเล็กน้อยทางด้านหลังก็ไร้ซึ่งเงาของสิ่งมีชีวิตมันปรากฏแค่กำแพงสูงตั้งอยู่เท่านั้น
“กาล ผมถามได้ยินไหม”
อารัณย์คว้าไหล่ของคนรักมาจับไว้ด้วยความเป็นห่วง ร่างสูงใช้มือปาดเอาเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ไหลซึมตามไรผมออกให้เบาๆโดยไม่สนใจว่าคนที่เหลือในห้องจะมองการกระทำดังกล่าวว่าประหลาดเพียงใด
“อะ อืม ขอโทษที แค่เหม่อไปหน่อยน่ะ”
อารัณย์ไม่อยากค่อยอยากเชื่อคำพูดของคนรักสักเท่าไหร่เพราะอีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็น เขาเข้าไปยืนให้ใกล้กับรัตติกาลมากขึ้นจนกลิ่นกายอันคุ้นเคยค่อยๆกล่อมให้คนที่สับสนพอสงบใจลงได้บ้าง
“มึงเป็นอะไรรึเปล่าไอ้กาล หน้าซีดมากเลยว่ะ”
“ไม่เป็นไร กูแค่คิดอะไรนิดหน่อย ว่าแต่ชาติครับมันเป็นไปได้หรอที่...คนที่ตายไปแล้วจะยังมีบัญชีที่เคลื่อนไหวได้อยู่”
“อันนี้ผมต้องติดต่อไปยังธนาคารอีกทีถึงจะให้คำตอบได้ ว่าเจ้าของบัญชีคือคุณนทีคนที่ว่าจริงๆ หรือแค่บังเอิญชื่อเหมือนกัน”
รัตติกาลพยักหน้ายอมรับแล้วหันไปยิ้มให้อารัณย์เพื่อบอกว่าตนไม่เป็นไร นิลจ้องมองมือของทั้งสองคนที่กอบกุมกันไว้แน่นด้วยความสงสัยและจับผิดก่อนที่จะเงยขึ้นมาสบตากับอารัณย์ที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว
“กูว่ามึงสองคนมีเรื่องต้องอธิบาย”
“ได้ แต่จัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อยก่อนดีไหม กูไม่หนีไปไหนหรอก”
นักเขียนหนุ่มถอนหายใจแล้วยอมถอยออกไปก่อนอย่างที่อารัณย์ว่า เขาหันไปพูดคุยกับธิชาเรื่องเอกสารบางอย่าง ในขณะนั้นเองร่างสูงก็หันกลับมาเพื่อถามไถ่รัตติกาลอีกครั้ง
“แน่ใจนะกาลว่าไม่เป็นไรจริงๆ ไปโรงพยาบาลกันไหม”
“ผมไม่เป็นไร แค่เหนื่อยๆน่ะ อยากพักแล้ว”
“งั้นกลับบ้านกันนะ จะได้ไปหารพีด้วย ตอนเช้าผมโทรบอกป้าจันทร์แล้วว่าให้หยุดเรียนไปก่อนจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะเคลียร์ได้”
รัตติกาลตกลงตามนั้น เขายืนฟังอีกสามคนที่เหลือพูดคุยกันอยู่สักครู่โดยส่วนมากจะเป็นฤทธิชาติที่สอบถามเรื่องการติดต่อระหว่างธิชาและผู้จ้างวานเพิ่มเติมแต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมามากนอกจากเบอร์โทรศัพท์ที่เปลี่ยนไปทุกๆครั้ง
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะครับ เรื่องบัญชีที่ว่าผมจะจัดการต่อเอง”
“งั้นมึงทำคนเดียวไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูจะกลับไปกับไอ้กาลก่อน”
ฤทธิชาติยิ้มรับก่อนจะเก็บเอกสารต่างๆลงซองดังเดิม แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินออกจากห้องไปรัตติกาลที่เหมือนกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างก็พูดขัดขึ้น
“คุณชาติครับ...”
“ครับ”
“เรื่องธิชา ถ้าปล่อยตัวเธอไปตอนนี้จะเป็นปัญหารึเปล่า”
“ไอ้กาล!!”
นิลท้วงขึ้นทันทีที่รัตติกาลพูดจบ แม้แต่อารัณย์เองที่ไม่อยากให้รัตติกาลคิดแค้นใครก็ยังดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำถามนั้นเช่นกัน รัตติกาลสบตากับนายตำรวจหนุ่มอยู่ครู่ใหญ่ก่อนอีกฝ่ายจะถอนหายใจแล้วตอบคำถามออกมา
“ถ้าทางกฎหมายก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะคุณยังไม่ไปทำเรื่องแจ้งความเลยด้วยซ้ำ แต่ว่ากันตามตรง...ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ อย่าลืมนะครับกาล ว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังยังไม่ถูกจับ เขาอาจจะทำอะไรอีกก็ได้...แม้แต่การฆ่าปิดปาก”
นายตำรวจจงใจพาดพิงถึงคนที่ยืนนิ่งอยู่มุมห้อง อดีตเลขาสาวไม่มองสบตาใคร เธอหันออกไปมองประตูห้องราวกับอยากออกไปจากที่นี่เสียเต็มประดา แต่ก็ไม่อาจปิดบังแววตาที่สั่นไหวนั้นไปได้
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น...ก็ปล่อยธิชาไปเถอะครับ เธอยังมีแม่ให้ต้องดูแล ยังไงซะเราก็จับเธอไว้ตลอดไปไม่ได้”
“ประมาทไปแล้วกาล เรื่องนี้ผมไม่เห็นด้วย!”
อารัณย์เถียงออกมาด้วยเสียงอันดัง แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านั้นเมื่อเห็นความจริงจังบนใบหน้าของอีกฝ่าย
“ผมรู้ว่ามันเสี่ยง แต่จะให้ทำยังไงอารัณย์ ผมเหนื่อยกับเรื่องนี้มากเกินไปแล้วอย่างที่คุณว่า...ผมไม่อยากจะคิดแค้นใครอีกแล้ว”
รัตติกาลพูดออกมาพร้อมกับมองไปยังคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ธิชาที่ยืนอยู่ไม่อาจห้ามน้ำตาให้ไม่ไหลออกมาได้ตั้งแต่เธอได้ยินเจตนาของรัตติกาลที่ตั้งใจจะปล่อยเธอไปทั้งที่หักหลังชายคนนี้อย่างเจ็บแสบ
“ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมครับคุณกาล”
“...ครับ ผมจะไม่แจ้งความ แค่ไล่ออกก็พอ”
“ผมเคารพการตัดสินใจของคุณนะครับ แต่ถึงยังไงผมก็คงปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ผมคงต้องให้คนติดตามคุณธิชาต่อไปจนกว่าจะสาวได้ว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นใคร”
“ครับ...”
นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้รัตติกาลอย่างให้กำลังใจ ผิดกับอีกสองคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อได้ยินแบบนั้น โดยเฉพาะนิลที่สบถออกมาก่อนจะถามด้วยเสียงอันดังโดยไม่สนใจเลยว่าหญิงสาวที่ยืนฟังอยู่จะรู้สึกยังไง
“มึงใจอ่อนเกินไปแล้วกาล เขาเกือบฆ่ามึงนะเว้ย ลูกมึงก็ด้วย ตัวคนจ้างก็ยังจับไม่ได้แล้วมึงจะปล่อยไปได้ยังไง”
“ยกเว้นเรื่องที่ธิชาทำกูจะไปแจ้งความเอาไว้ หลังจากนี้ถ้ามันยังไม่จบก็เล่นกันไปตามกฎหมายแล้วกัน”
“แต่...”
“กูเหนื่อยจริงๆนิล ยิ่งมันเกี่ยวกับพี่ทีกูยิ่งไม่อยากยุ่งมึงเข้าใจกูไหม”
ร่างโปร่งเค้นยิ้ม เขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจะยอมปล่อยเรื่องของอดีตเลขาไปง่ายๆ แต่มันเหนื่อยล้าจนไม่อยากคิดอะไร ยิ่งชื่อของคนที่อยากจะลืมถูกกล่าวอ้างขึ้นมาเขาก็รู้ดีว่าปลายทางของเรื่องทั้งหมดอาจนำพาเขาไปสู่ต้นตอที่ไม่น่าพิสมัยก็เป็นได้
“ถ้ามึงพูดแบบนั้นกูจะว่าอะไรได้...”
“อืม...ขอบใจนะ”
“ไม่ต้องขอบใจกูหรอก กูจะไม่เซ้าซี้มึงให้คิดแค้นใคร แต่หลังจากนี้มันจะเป็นเรื่องของกูกับไอ้เวรนั่น...มึงคงไม่คิดหรอกนะว่ากูจะยอมปล่อยให้คนที่จ้องจะฆ่ามึงลอยนวลไปง่ายๆ”
“นิล...”
“อย่าห่วงเลย กูฉลาดกว่ามึงเยอะ เอาเวลาไปห่วงตัวเองดีกว่าว่าจะอธิบายเรื่องมึงกับไอ้รัณย์ยังไง”
นิลส่งยิ้มให้แต่รัตติกาลกลับรู้สึกขนลุกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ฤทธิชาติหัวเราะลั่นเสียจนนักเขียนหนุ่มต้องหันไปจิกตาใส่ ในขณะที่อารัณย์กลับทำเพียงยิ้มออกมาเล็กๆแล้วจูงมือพารัตติกาลออกมาจากห้องนั้นโดยไม่คิดรอนิลให้เดินตามกันมา
“กาลคิดดีแล้วใช่ไหมเรื่องของธิชา”
อารัณย์เอ่ยถามขึ้นขณะที่พวกเขากำลังเดินมาถึงรถของรัตติกาลที่นิลขับมาให้เมื่อเช้านี้ ร่างสูงปลดล็อคแล้วพาร่างของตนเข้าไปข้างในเช่นเดียวกันกับรัตติกาลซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ
“อืม ผมเองก็อยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างที่คุณว่า”
“กาล...”
“มันทำได้ยากจริงๆนะการให้อภัยใครสักคนน่ะ ผมจะไม่โกหกว่าไม่แค้นธิชาเลย แต่ผมก็ไม่เห็นประโยชน์เหมือนกันว่าแค้นเธอไปแล้วจะได้อะไร”
รัตติกาลว่าดังนั้นก่อนจะเอี้ยวตัวไปหาอารัณย์ที่นั่งอยู่ข้างๆกัน เรียวแขนขาวโอบรอบลำคอของร่างสูงแล้วซุกกายลงบนร่างของอารัณย์ผู้ที่ยินดีรับเขาไว้ด้วยความเต็มใจ รัตติกาลหลับตาพริ้มเมื่อฝ่ามือหยาบของคนรักคอยลูบหัวของตนเบาๆเหมือนเช่นทุกครั้ง จนร่างโปร่งอดคิดไม่ได้ว่ามันคือคำปลอบใจที่ดีที่สุด
“ผมถามตัวเองว่าถ้าผมกำลังจะต้องเสียแม่ไปเหมือนธิชา ผมจะสามารถทรยศคนที่ไว้ใจในตัวผมได้ไหม...น่าแปลกนะที่ผมตอบตัวเองสามารถทำแบบนั้นได้โดยไม่ต้องคิดเลย”
“...งั้นหรอ”
“ผม...เป็นคนเลวใช่ไหมอารัณย์”
“ถ้ากาลเลวผมและคนอื่นๆก็คงเลวเหมือนกันเพราะจริงๆแล้วทุกคนก็แค่ทำเพื่อความสุขของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ...อย่าคิดมากนะ”
ร่างโปร่งยิ้มรับก่อนจะโน้มคออารัณย์ให้เข้ามาใกล้ ทั้งคู่จูบกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ของร่างสูงจะดังขึ้นจนริมฝีปากหยุ่นที่คลอเคลียกันอยู่ไม่ห่างต้องละออกจากกันมา
“แปปนะกาล ผมขอคุยโทรศัพท์ก่อน”
“ธุระด่วนหรอ”
“อืม...เรื่องงานน่ะ”
“งั้นไปคุยดีๆเถอะ เสร็จแล้วโทรตามนิลให้ด้วยนะ”
อารัณย์ยิ้มให้ก่อนจะเปิดประตูออกไปรับสายทางด้านนอก ทันทีที่ร่างสูงเดินพ้นสายตาไปใบหน้าของรัตติกาลก็เปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย ร่างโปร่งพาตัวเองกลับมานั่งบนเบาะของตนพร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยตามเดิมแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาเป็นอย่างสุดท้าย
รัตติกาลกดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของคนที่เขาต้องการจะพึ่งพิงมากที่สุดในเวลานี้ เรื่องราวมากมายที่ธิชาสารภาพถูกเก็บไว้ในหัว เช่นเดียวกับความลับในอดีตที่อาจเชื่อมโยงหากันอย่างที่คาดไม่ถึง
“ลุงครับ...ผมรัตติกาล”
“...”
“ผมไม่เป็นไรครับ แต่มีเรื่องอยากให้ลุงช่วยหน่อย”
“...”
“ไม่ครับ ไม่ต้องบอกใคร แม้แต่นิลก็ไม่ต้อง”
“...”
“เพราะผม...ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!!
ฉากอัศจรรย์มากแบบงงๆ เพราะเช่ก็งงเหมือนกันตอนเขียน5555 :m25: เห็นนิยายปมเยอะอย่างนี้เวลาเขียนจริงๆเช่ไม่ค่อยคิดไรมากหรอกคับ บางทีแบบเขียนๆไปมันควรมีอะไรก็ใส่ไปเลยไม่คิดมาก (แต่ต้องมาลำบากที่หลัง) แต่ไม่ต้องห่วงคับ เช่คงไม่เน้นNCมากจนมันกลบเรื่องหลักหมด แค่เอาไว้เป็นส่วนเสริมให้เห็นอีกมุมของพี่กาลแล้วกันเนอะ คนหื่นก็ได้กำไรกันไป (เช่นั่นแหละ) :z1:
เรื่องรวมเล่มขอบคุณมากนะคับที่เข้าไปตอบแบบสำรวจกัน เท่าที่อ่านคร่าวๆถ้าได้จำนวนตามที่ว่าจริงเช่ก็ปลื้มแหละ คำเสนอแนะที่ให้มาก็เอามาใช้หลายอย่างเลย สรุปได้ดังนี้คับ :katai4:
1. ปกคงจะเป็น art work ฝีมือเช่เอง ไม่ได้ใช้เป็นการ์ตูนล้วนแบบที่ทุกคนอยากได้เพื่อให้ตามธีมเรื่อง และไม่ให้ราคาหนังสือดีดจนเกินไปนะคับ (ของเช่3 เล่ม ถ้าทำ3 ปกนี่ราคาเกือบหมื่นเลยนะ สู้ไม่ไหวคับบอกตรงๆ) แต่เช่จะจ้างเขาวาดจิบิ SD ให้แทนไว้ใส่เสริมในเล่มกับของที่ระลึกซึ่งยังไม่รู้นะคับว่าเป็นอะไร ดูจำนวนคนที่ตอบมาก่อนว่ามีแนวโน้มจะเยอะขนาดไหน จะได้คำนวนราคาถูกคับ :mew1:
2. ตอนพิเศษในเล่มมีให้อ่านจุใจแน่นอน จะพยายามเขียนพวกพล็อตที่รีเควสกันมาด้วย รวมถึงเนื้อเรื่องเสริมที่จะตีผีมุมมองตัวละครอื่นๆให้เข้าใจเรื่องหลักมากขึ้น ทั้งหมดจะมีในเล่ม อาจจะเอามาลงเว็บบ้างแค่ตอนหรือสองตอนในพาร์ทที่เช่คิดว่าคนอ่านทั่วไปควรรู้ อย่างเช่น พาร์ทของนที เป็นต้นคับ (แต่ไม่ต้องห่วง คนซื้อเล่มได้จุใจกว่าแน่นอน ฟินกันตายไปเลย ><) :mew1:
3. Boxset ที่รีเควสกันมามากสุด อยากทำมากคับแต่ยังไม่มีความรู้เลยต้องศึกษากันก่อน ใครเคยทำหรือมีเจ้าไหนแนะนำกรุณาบอกเช่ด้วยนะคับ อยากให้ทุกคนได้ในสิ่งดีๆกัน :mew1:
4. เรื่องราคาที่เช่ห่วงที่สุด จะพยายามให้ไม่สูงมากนะคับ อยากให้คนซื้อเยอะๆมากกว่าหวังฟันกำไรแค่ไม่กี่เล่ม ใจจริงเช่แค่อยากทำเพื่อเก็บผลงานตัวเองไว้เท่านั้น แล้วก็ใครที่ชอบเรื่องนี้คิดว่าอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำก็ซื้อกันไป อาจจะมีค่าน้ำค่าขนมเช่บ้างแต่ไม่ถึงกับเอารวยหรอก 5555 จะทำให้เหมาะสมที่สุดแล้วกันนะคับ แต่ผลที่ตามมาคือของแถมเช่อาจจะไม่หรูอย่างเรื่องอื่นๆเขาเพราะเช่ตัดกำไรตรงนี้ไปเลย คงทำเท่าที่ทำให้ได้แบบตัวเองไม่เดือดร้อน คนอ่านสบายใจนะ^^ :mew1:
5.มีคนแนะนำมาเหมือนกันว่าให้ยื่นตามสนพ.ดู คือ เช่ชอบทำเองคับ ไม่มีความคิดอยากพิมพ์กับสนพ.เลยแหละ 5555 นิยายของเช่ก็คือบรรดาลูกชายอันเป็นที่รักเนี่ยแหละ เช่อยากทะนุถนอมดูแลเขาด้วยตัวเองมากกว่า อีกอย่างถ้าทำตามสนพ.ค่าอะไรต่อมิอะไรมันก็ดีดขึ้นด้วย กลัวจะสู้ไม่ไหวเอา และที่สำคัญ นิยายเช่มันไม่ดังพอที่จะได้พิมพ์กับเขาหรอกคับ 5555 อยู่เป็นครอบครัวเล็กๆแบบนี้ต่อไปแหละดีแล้ว สบายใจดี :mew1:
6. สุดท้ายเลย ใครที่สนใจอยากได้เล่มหรือกำลังลังเลใจอยู่ช่วยไปตอบแบบสอบถามให้เช่ทีนะคับ มันมีผลต่อการตัดสินใจทำเล่มจริงๆโดยเฉพาะเรื่องของจำนวนคน (แต่ขอนะ อย่าไปปั้มโหวตกันเล่นๆ เช่ต้องการเก็บข้อมูลจริงคับ) มันส่งผลต่อของแถมที่จะได้และราคาที่จะประเมินเบื้องต้นนะคับ^^ :mew1:
https://docs.google.com/forms/d/1Z25QsWRzFK5qH7nRf7LCO_zLN-DD4Zcp51LaEKJiYBQ/viewform?c=0&w=1 (https://docs.google.com/forms/d/1Z25QsWRzFK5qH7nRf7LCO_zLN-DD4Zcp51LaEKJiYBQ/viewform?c=0&w=1)
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ช่วงอาทิตย์นี้อาจจะไม่ค่อยได้มาถี่เพระงานเยอะมาก บวกกับต้องเคลียร์ปมด้วยเลยอาจจะช้าหน่อยนะ แต่ไม่หายคับ แวะไปคุยกันได้เรื่อยๆ ตามข่าวกันไป แล้วที่สำคัญ
ในเพจลง #offshot ไว้ล้วยยยยยยยยย (ใครงงว่ามันคืออะไร ก็แบบตอนเสริมเล็กๆคับ >< พอให้มุ้งมิ้งเป็นกระไสย) ลองไปตามอ่านกันได้นะ คิดถึงนะคับ~~~
-
เห้อออ!! ซับซ้อนไปอีก
-
ความลับอะไรอีก เริ่มลัวกาลแล้วอะ :ling3:
-
คุณเช่ค่ะ ถ้าอยากจะแนะนำเรื่องการทำบ๊อกจะติดต่อไปทางไหนได้บ้าง อยากได้ค่ะ :impress2:
-
ตกลงนทีตายหรือยังงง :katai1:
ค้างคาาาาา
-
คุณเช่ค่ะ ถ้าอยากจะแนะนำเรื่องการทำบ๊อกจะติดต่อไปทางไหนได้บ้าง อยากได้ค่ะ :impress2:
หลังไมค์มาทางแฟนเพจก็ได้คับ
-
:hao6:
เห็นอะไร Drama ดราม่าไม่ได้เลย
ปรบมือรัว
-
36th Night
…Dote & Lost...
นิลมองคนสองคนที่ครั้งหนึ่งเคยทะเลาะกันจะเป็นจะตายแต่ตอนนี้กำลังพูดคุยถามไถ่กันด้วยความห่วงใยจากเบาะหลังของรถยนต์คันหรูที่กำลังมุ่งหน้าสู่บ้านพัฒนเดชา นักเขียนหนุ่มถอนหายใจก่อนจะเบือนหน้าหนีไปข้างๆ ไม่ได้รู้สึกผิดหวังหรืออะไรเพียงแค่บรรยากาศสีชมพูหม่นๆในรถคันนี้มันช่างตลบอบอวลเสียจนชายหนุ่มอยากหันไปมองอย่างอื่นที่จรรโลงใจมากกว่า
“ตกลงมึงสองคนคบกันแล้วใช่ไหม”
นักเขียนหนุ่มขัดขึ้นขณะที่อารัณย์กำลังพูดถึงฟุตบอลแมตช์สำคัญที่ตนพลาดไปเพราะต้องไปกบดานอยู่ที่บางขุนเทียนเป็นเวลานาน
“ก็...ตามนั้น”
รัตติกาลเป็นฝ่ายตอบเพราะรู้ดีว่านิลอยากได้ยินคำยืนยันนั้นจากใคร
“ยอมรับง่ายเชียวนะมึง”
“แล้วจะต้องพูดให้ยากทำไม คบก็คือคบ”
“ทีเมื่อก่อนนี่กัดกันอย่างกับมา หึ พูดแบบนี้ได้แสดงว่าแดกกันแล้วสินะ”
“แค่กๆๆ!!!”
รัตติกาลมองคนข้างๆที่ไอโขลกเพราะสำลักน้ำลายทันทีที่นิลพูดจบ นักเขียนหนุ่มเหยียดปากใส่คนรักใหม่ของเพื่อนที่จู่ๆก็ขวัญอ่อนจนน่าขัน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยแซะอีกฝ่ายต่อก็โดนรัตติกาลมองมาอย่างปรามๆผ่านกระจกมองหลัง
“ไม่ต้องมองกูแบบนั้นเลยไอ้กาล ถ้ากูไม่ยุมันให้ตามไปคงไม่ได้มานั่งปล่อยออร่าทำลายล้างตับคนกันแบบนี้หรอก”
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย ถ้ากูไม่เลือกต่อให้มึงจับพวกกูแก้ผ้าแล้วขังอยู่ในห้องเดียวกันยังไงก็รอด”
“ไม่รอด...ต้องแดกตับกันแน่ๆใช่ไหม”
ร่างโปร่งกระตุกยิ้มแล้วยกมือขึ้นชกกับนิลอย่างพอใจ ทำให้อีกคนที่เหลือตวัดสายตาใส่คนรักทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“กาลพูดเหมือนไม่ได้รักผมอย่างนั้นแหละ”
“โอ้ย ไอ้รัณย์มึงเป็นน้องรพีหรอวะ กูพูดกันเล่นๆนี่เก็บมางอนเป็นจริงเป็นจัง ง๊องแง๊งฉิบหาย”
“เสือก!”
“อารัณย์ ขับรถไปดีๆ”
นิลหัวเราะคิกคักเมื่อคู่กรณีโดนดุไปตามระเบียบในขณะที่ตัวเองเอนหลังลงนอนโดยไม่คิดจะสนใจเสียงบ่นของเพื่อนที่บอกให้เขาอย่าแกล้งอารัณย์ให้มากนัก แค่เพียงประมานครึ่งชั่วโมง รถยนต์สีดำคันใหญ่ก็เลี้ยวเข้าไปจอดในลานกว้างของบ้านที่มีร่างท้วมของจันทร์และเด็กชายตัวป้อมยืนรออยู่ด้วยความตื่นเต้น
“คุณกาลกลับมาแล้ว!”
“พ่อ!!”
รพีวิ่งเข้าใส่คนเป็นพ่อแม้ว่าเมื่อวานตัวเองจะได้เจอรัตติกาลแล้วก็ตาม แต่เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งสองคนไม่ได้ทักทายกันมากนัก ร่างโปร่งย่อตัวลงหลังจากมีท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจรับรพีที่ยิ้มกว้างเข้ามาไว้ในอ้อมกอดท่ามกลางสายตาปิติยินดีของผู้คนรอบข้าง
“พ่อกาลจะกลับมาอยู่กับพีแล้วใช่ไหม พ่อจะไม่ไปไหนแล้วใช่ไหมฮะ”
เด็กชายถามพลางโอบรัดรอบคอของบิดาด้วยแขนป้อมๆของตัวเอง แม้จะไม่เห็นหน้าแต่รัตติกาลก็รับรู้ได้ทันทีว่ารพีกำลังทำสีหน้าแบบไหน อารัณย์ที่ยืนอยู่เคียงข้างจันทร์ส่งยิ้มมาให้เป็นกำลังใจและพยักหน้าบอกให้รัตติกาลตัดสินใจทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“ครับ...พ่อกลับมาแล้ว”
รพีร้องเฮออกมาด้วยความดีใจก่อนจะกระโดดไปรอบๆ เสียงเจื้อยแจ้วที่เขาไม่ได้ยินผ่านหูมานานร้องบอกหญิงแก่ถึงความสุขที่ไม่อาจเก็บไว้ในใจคนเดียวได้ ร่างสูงขยับมายืนเคียงข้างคนรักแล้วกอบกุมมือของอีกคนไว้พลางส่งยิ้มให้เพื่อบอกว่ารัตติกาลจะสามารถผ่านมันไปได้โดยมีเขายืนอยู่เคียงข้าง
“เข้าบ้านกันเถอะ...”
มื้ออาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานเมื่อรพีเอาแต่ยิงคำถามถึงสถานที่ที่ทั้งสองคนแอบไปพักผ่อนมาตามความเข้าใจของเด็กชาย อารัณย์เล่าถึงสิ่งที่ตัวเองได้พบเจอ ทั้งการงมหอยที่ป่าชายเลน อาหารแปลกๆ ชาวบ้านที่แสนใจดีรวมไปถึงงานประเพณีที่เพิ่งผ่านพ้นไปอย่างงานสงกรานต์โดยมีรัตติกาลคอยเสริมเป็นพักๆ
“พีอยากไปเที่ยวบ้าง น้ารัณย์ขี้โกงแอบเอาพ่อกาลไปแล้วไม่ชวนพี”
เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดโดยไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนแทบทำให้ผู้ใหญ่ตัวโตสองคนเกือบทำช้อนหลุดมือ นิลเท้าคางลงบนโต๊ะแล้วมองอารัณย์ด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาทเพราะอยากจะรู้ว่าร่างสูงจะตอบลูกชายของแฟนว่าอย่างไร
“ไม่ได้แอบเอาไปครับ น้าไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อกาลไง ถ้าให้พ่อกาลอยู่ที่นั่นคนเดียวพีไม่กลัวพ่อเขาเหงาหรอครับ”
“ก็กลัว...แต่พีก็เหงาเหมือนกันนิ”
รพีตอบพลางทำหน้าบึ้ง อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกันยิ่งได้ยินว่าตลอดช่วงเวลาที่ตัวเองต้องเผชิญกับความเหงาทั้งพ่อและพี่เลี้ยงคนสนิทกำลังสนุกกันอย่างที่อีกฝ่ายว่า ดวงตากลมหลุบลงไม่ยอมสบกับใครซึ่งเมื่อรัตติกาลเห็นดังนั้นก็ยืนมือเข้าไปหาแล้วลูบหัวกลมๆนั้นอย่างปลอบโยน
“ขอโทษนะที่ไม่อยู่บ้าน แต่จะ...ไม่ไปไหนแล้ว”
“จริงหรอฮะ”
รัตติกาลพยักหน้ารับเด็กชายที่ช้อนสายตาขึ้นถามก่อนจะตักไก่ทอดชิ้นใหญ่ใส่จานของรพีพร้อมกับยิ้มน้อยๆให้ จันทร์ที่ยืนอยู่ในมุมหนึ่งมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกแปลกใจแล้วหันมามองนิลนิ่งอย่างต้องการถาม แต่นักเขียนหนุ่มก็ทำแค่ยิ้มให้เท่านั้น
“พีครับ น้ามีอะไรจะบอกแหละ”
อารัณย์พูดขึ้นขณะช่วยตักน้ำจิ้มแบบไม่เผ็ดราดลงบนไก่ชิ้นนั้น เด็กชายเอียงคอน้อยๆอย่างนึกสงสัย ทำให้ผู้ใหญ่ทุกคน ณ ที่นั้นอดที่จะเอ็นดูไม่ได้
“ตอนไปอยู่ที่นั่น ถึงน้าจะทำให้พ่อเราหายเหงาไปได้บ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี...พ่อกาลของพีตั้งหน้าตั้งตารอโทรศัพท์อยู่ทุกวันเลยรู้ไหม”
รัตติกาลรีบเสหันไปมองที่อื่นแต่ก็ไม่อาจปกปิดผิวแก้มที่ขึ้นสีอ่อนๆได้ ร่างป้อมมองหน้าบิดาและพี่เลี้ยงหนุ่มสลับกันไปโดยที่ข้างใจเริ่มพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็น
“แค่น้ากับพ่อเราน่ะไม่ไหวหรอก เราจะต้องมีพีอยู่ด้วย...แบบนั้นแหละดีที่สุด”
“คราวหน้า...ไปบ้านยายพิศกับพ่อนะ”
“พ่อ...”
รพีฟังคำพ่ออย่างอึ้งๆก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา รัตติกาลเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตรงหางตาให้ลูกชายโดยที่มืออีกข้างก็ถูกอารัณย์จับไว้พร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้
ทั้งนิลและจันทร์ปล่อยให้สองพ่อลูกแถมด้วยอีกหนึ่งหนุ่มใช้เวลาร่วมกันหลังจากที่สูญเสียมันไปมาก หญิงแก่ใช้ชายเสื้อซับน้ำตาออกจากใบหน้าของตนแล้วเอ่ยถามนิลที่มองภาพเบื้องหน้าอยู่ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“คุณกาลเธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะ จนป้าเผลอคิดไปเองว่าได้คุณหนูคนเดิมสมัยคุณท่านทั้งสองยังไม่เสียกลับมา”
“ไม่หรอกครับป้า...มันดีกว่าเดิมอีกต่างหากล่ะ”
“เป็นเพราะเขาหรอคะ...คุณอารัณย์น่ะ”
“ฮ่าๆ ยังรู้ใจคุณหนูของตัวเองไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ แต่จับมือกันแน่นขนาดนั้นให้ป้าคิดเป็นอย่างอื่นก็คงไม่ได้”
นิลหัวเราะร่าออกมาพลางคิดไปว่าถ้าสองคนนั้นรู้ว่าป้าจันทร์เห็นการกระทำทุกอย่างจะรู้สึกยังไง กับรัตติกาลเขามั่นใจว่าเพื่อนคงรักษาอาการนิ่งได้อย่างเคยแม้สีหน้าจะเปลี่ยนไปบ้างแต่กับอารัณย์ที่ดูเหมือนมักจะทำตัวเป็นเด็กเสมอเวลาอยู่กับรัตติกาลคงจะลนลานอยู่ไม่น้อย
“คุณเขา...จะหลอกคุณกาลอีกไหมคะ”
“ไม่รู้สิครับ ของแบบนี้ดูกันแค่ผิวเผินคงไม่ได้ แต่คงไม่ต้องเป็นห่วงมันมากหรอก ยังไงซะไอ้กาลคงไม่ปล่อยให้ตัวเองพังลงเพราะความรักเหมือนเก่า”
“...”
“อาจจะฟังดูแย่สำหรับไอ้รัณย์ แต่การที่ไอ้กาลเหลือใจไว้รักตัวเองบ้างนั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นมากที่สุด ผมไม่อยากให้มันระแวงแต่ก็อยากให้ระวัง...อย่างน้อยถ้าวันหนึ่งเขาไม่อยู่ มันจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แม้ไม่มีเขา”
“ป้าก็หวังว่าอย่างนั้นค่ะ”
นิลคลี่ยิ้มออกมา ทั้งยินดีกับภาพตรงหน้าและกลัวว่าสักวันหนึ่งจะมีคนพรากมันจากไปอีกเช่นกัน ความมืดที่ยังไม่คลี่คลายเหมือนม่านหมอกที่ทำให้เขาไม่สามารถปล่อยใจให้ยินดีกับเพื่อนได้ทั้งหมดแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะยิ้มและมีความสุขอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด
“จนกว่ามึงจะมีความสุขได้แม้จะต้องอยู่คนเดียวกาล...จนกว่าจะถึงวันนั้น”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยรอยยิ้มและเสียหัวเราะที่ดังคลออยู่ในห้องทานอาหารของบ้านพัฒนเดชา รพีที่ร่าเริงมากกว่าทุกครั้งนอกจากเรื่องที่ตัวเองจะได้กลับไปเรียนตามปกติแล้วก็เป็นเพราะชายหนุ่มในชุดสูทไม่เป็นทางการซึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงหัวโต๊ะคนนั้น ทำให้ร่างป้อมรู้สึกว่าเช้าวันใหม่มันสดใสกว่าเคย
“ถ้ากินข้าวหมดแล้วดื่มนมด้วยนะรพี เสร็จแล้วจะได้ออกไปกัน”
“ฮะ!”
รพีรับคำแล้วหยิบเอานมแก้วโตมาดื่มเสียจนรอบริมฝีปากเลอะคราบสีขาวไปหมด รัตติกาลส่ายหัวให้กับท่าทางไม่ประสีประสานั้น ชายหนุ่มลุกขึ้นเต็มความสูงคว้าเนคไทที่ยังไม่ได้ผูกมาถือไว้ก่อนจะเดินไปเช็ดปากให้ลูกชายที่ดื่มนมจนหมดตามคำสั่ง รพีคลี่ยิ้มขณะที่เดินเคียงคู่บิดาออกมายังรถคันเดียวกับเมื่อวานที่พารัตติกาลกลับมายังบ้านหลังนี้
“ผมไปนะครับป้า เรื่องข้าวเย็นเดี๋ยวผมโทรบอกอีกที”
“ค่ะ ตั้งใจเรียนนะคะคุณพี คุณกาลก็ด้วย อย่าโหมงานอีกนะคะ”
จันทร์ส่งยิ้มให้กับคุณหนูของเธอทั้งสองก่อนจะยื่นทั้งกระเป๋าเอกสารและกระเป๋าของรพีให้รัตติกาลรับไว้อย่างเคย ร่างป้อมพนมมือไหว้ผู้อาวุโสของบ้านก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะข้างคนขับด้วยการช่วยเหลือของร่างโปร่งที่รับหน้าที่เป็นสารถีให้ลูกชายหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน
“รพีครับ ใช้โทรศัพท์พ่อโทรบอกอานิลให้ทีว่าวันนี้พ่อจะเข้าบริษัท”
ร่างโปร่งยื่นโทรศัพท์ให้ลูกชายที่พอจะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้คล่องพอสมควร เด็กชายงมอยู่กับหน้าจอสักพักก่อนจะต่อสายไปหาอาคนสนิทแล้วบอกอีกฝ่ายตามที่บิดาไหว้วานให้ทำ หลังจากนั้นไม่นานนักทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงโรงเรียนอนุบาลที่มีพ่อแม่ผู้ปกครองพาบุตรหลานมาส่งกันจำนวนมาก รัตติกาลจัดการใส่กระเป๋าสะพายให้รพีแล้วจับผมที่กระดกเล็กน้อยให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น ก่อนที่จะชนเข้ากับแผ่นอกกว้างของใครบางคนในตอนที่กำลังลุกขึ้นจากพื้น
“อ้าว มาทำงานแล้วหรอ”
รัตติกาลทักอารัณย์ก่อนด้วยท่าทางนิ่งๆอย่างเคยจนทำให้ร่างสูงต้องมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู เพราะกริยาดังกล่าวไม่ได้ต่างไปจากที่เขาคิดมากนัก
“อืม ไม่อยากอยู่เฉยๆอีกอย่างไอ้ชาติมันมาจัดการทำเรื่องไว้ให้แล้วด้วย...สวัสดีครับรพี ร่าเริงแต่วันเลยนะ”
อารัณย์ตอบคนรักก่อนจะหันไปทักเด็กชายในตอนท้าย รพียกมือขึ้นไหว้ด้วยท่าทางนอบน้อมอย่างที่จันทร์คอยสอนมา
“สวัสดีฮะน้ารัณย์ วันนี้พ่อกาลมาส่งพีด้วย!!”
“ฮ่าๆ น้าเห็นแล้วครับ ข้าวมาถึงโรงเรียนแล้วเหมือนกันนะ ไปเล่นกับเพื่อนในห้องไปอย่าเพิ่งออกไปไหนมาไหนคนเดียวรู้ไหมครับ”
“ฮะ พ่อกาลฮะพี่เข้าห้องก่อนนะ สวัสดีฮะ”
เด็กชายยกมือไว้แล้วโบกมือลาคนเป็นพ่อที่ยืนมองภาพนั้นยิ้มๆก่อนจะวิ่งออกไปโดยมีเพื่อนวัยเดียวกันคอยทักทายอยู่เรื่อยๆ
“วันนี้แต่งตัวไม่เรียบร้อยเลยนะ รีบหรอ”
อารัณย์ทักขึ้นพร้อมกับใช้นิ้วอุ่นๆจิ้มไปบนลำคอขาวที่โผล่พ้นปกเสื้อออกมาเมื่อเห็นว่าคนรักไม่ได้ใส่เนคไทให้เรียบร้อยอย่างเคย รัตติกาลยิ้มออกมาแล้วเปิดประตูรถเพื่อหยิบของที่อยู่ด้านใน ผ้าชิ้นยาวสีงาช้างถูกยื่นไปให้คนตรงหน้าที่กำลังมองมาอย่างงงๆ
“ผูกให้หน่อย ไม่ได้ใส่นานแล้ว ไม่ชิน”
ร่างสูงหลุดขำออกมาเมื่อได้ฟังคำอ้อนจากชายหนุ่มที่ไม่ค่อยมีมุมแบบนี้สักเท่าไหร่ เขาจัดจางวางมันลงบนเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าที่ปกยกตั้งขึ้นแล้วผูกตามแบบที่ตัวเองถนัดท่ามกลางสายตาของรัตติกาลที่จ้องมองใบหน้าของคนที่ไม่ได้อยู่ร่วมห้องเดียวกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานโดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายก็กำลังคิดไม่ต่างไปจากตน
“เย็นนี้เลิกกี่โมง”
“ไม่แน่ใจ คงต้องเข้าไปจัดการอะไรหลายอย่าง หาเลขาใหม่ก็ด้วย”
“ทำคนเดียว?”
“ป่าว ตามนิลมาช่วยแล้ว เดี๋ยวมันคงตามมา”
“อืม ดีแล้วล่ะ ผมก็อยากจะช่วยกาลนะแต่จะทิ้งงานทางนี้ไปก็ไม่ได้”
“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ช่วยจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว”
อารัณย์ทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทางกรุ่มกริ่มไม่เหมือนเคย รัตติกาลเองเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
“ถ้าอยากตอบแทน งั้นเย็นนี้...ไปเดทกันนะ”
“เดท?”
“อื้ม ไปกันสามคนเลย ผม กาล แล้วก็รพี ไปร้านข้าวแถวหอผมเหมือนเดิมไหม เจ้าเดียวกันกับที่กินคราวก่อนจะเกิดเรื่อง”
รัตติกาลคิดตามก่อนจะตอบรับ ด้วยเพราะนึกติดใจในรสชาติที่ถูกปากและอยากจะให้รพีได้ลองชิมร้านอร่อยแบบนั้นอยู่เหมือนกัน
“เอาสิ จะได้โทรบอกป้าจันทร์ว่าไม่ต้องเตรียมข้าวเย็นให้”
“อืม ตั้งใจทำงานนะ ระวังตัวด้วยล่ะ กาลรู้ใช่ไหมว่ามันยังไม่ปลอดภัย”
อารัณย์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นแต่นั่นก็ทำให้รัตติกาลรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงตนเองแค่ไหน ร่างโปร่งจับมือของอารัณย์ไว้ในมุมที่ไม่คิดว่าน่าจะมีใครมองเห็น อารัณย์เองก็อยากจะคว้าคนรักมากอดไว้เช่นกันแต่ด้วยเพราะหน้าที่และความเหมาะสมก็ทำให้เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้
“ไม่ต้องห่วงหรอก คิดว่าผมจะยอมให้ใครมาทำอันตรายง่ายๆหรอ”
“รู้ว่าเก่ง แล้วกาลล่ะรู้ไหมว่าทำไมผมถึงห่วง...”
เขารู้สึกได้ว่าแรงบีบที่มือมันหนักขึ้นแต่นั่นก็ยิ่งทำให้รัตติกาลรู้สึกอุ่นใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน ร่างโปร่งยิ้มอ่อนให้คนตรงหน้าก่อนจะโน้มหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของอารัณย์ในจังหวะที่คนรอบข้างกำลังให้ความสนใจกับเสียงตามสายที่ทางโรงเรียนเปิด
“รู้สิ...เพราะผมก็รู้สึกเหมือนกัน”
:z3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z3:
-
“มึงยกบริษัทให้กูเลยไหม ถ้าจะให้กูทำขนาดนี้”
นักเขียนหนุ่มจ้องหน้าเจ้านายตัวเองอย่างกินเลือดกินเนื้อแต่มือก็ยังไม่ละไปจากแป้นพิมพ์เลยสักจังหวะ รัตติกาลมองสภาพเพื่อนของตนแล้วหัวเราะออกมาน้อยๆ เขาวางโทรศัพท์ที่เพิ่งใช้มันติดต่อไปยังบริษัทคู่ค้าที่เสียหายจากการขโมยข้อมูลครั้งก่อนเพื่อแจ้งข่าวรวมถึงมาตรการการดำเนินงานต่อจากนี้ให้ทางนั้นได้ทราบ แม้ว่าการพิมพ์เอกสารจะเป็นงานน่ารำคาญแต่นิลก็เลือกที่จะทำมันมากกว่าการที่จะต้องใช้วาจาหากินอย่างเพื่อนของตน
“อยากได้ไหมล่ะ จะยกให้”
“ไม่เอา กูรู้ว่ามึงพูดจริงได้กาล แต่โทษที กูยังไม่อยากได้บ่วงมาคล้องคอ”
“บ่วงที่ไหน เงินทั้งนั้นเลยนะ แถมมึงยังกำหนดเวลาส่งต้นฉบับตัวเองได้ด้วย”
“ถึงกูจะขี้เกียจแต่กูก็ไม่โง่ อย่าเลิกก็ไปบอกขายคนอื่นอย่ามาโบ้ยให้กู”
รัตติกาลแสยะยิ้มเมื่อเพื่อนรักคนนี้รู้ความคิดของเขาดีไม่เคยเปลี่ยน เขามองเอกสารเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกเบาโหว่งกว่าเก่า ไม่ใช่แค่การจับคนร้ายได้จะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงแต่รวมไปถึงประสบการณ์ที่ได้จากบ้านไม้ริมคลองหลังนั้นทำให้เขาโหยหาชีวิตอิสระที่เคยทิ้งมันไปแล้วครั้งหนึ่ง
“แค่ลองพูดดู เผื่อมึงสนใจกูจะได้วางใจขายได้โดยไม่รู้สึกผิด”
“หึ ตอนอยากทำก็รั้นแทบตาย รู้ว่าตัวเองไม่ชอบก็ยังฝืนบ้าจี้ตามไอ้พี่ทีมัน”
“ก็นะ ไม่ใช่เพราะเขาคนเดียวหรอก แต่เพราะอยากลองใช้ชีวิตเหมือนพ่อกับแม่ดูด้วยเลยคิดจะเดินทางนี้ มันสนุกนะ แต่กูเหนื่อยแล้วเท่านั้นเอง”
“แล้วไม่คิดจะเก็บไว้ให้รพีรึไง ลูกมึงก็ชอบทางนี้อยู่ไม่น้อย ครูสาพูดให้กูฟังประจำว่าเก่งภาษามากกว่าเพื่อนคนอื่น”
“เก่งก็ส่วนเก่ง โตขึ้นมาเขาอาจจะอยากทำอย่างอื่นก็ได้”
“เออเว้ย ไอ้รัณย์นี่มันสอนมึงดีจริงๆ พูดจาเหมือนพ่อคนอื่นเขาก็เป็นด้วย”
รัตติกาลหันไปตวัดตามองเพื่อนรักที่ขำออกมาอย่างชอบใจก่อนเสียงหัวเราะนั้นจะค่อยๆเบาลงหลงเหลือไว้เพียงแต่แววตาอ่อนโยนที่นิลมองมาเท่านั้น
“กูดีใจนะเว้ยที่มึงมาได้ไกลขนาดนี้ ตอนแรกยังเปลี้ยไม่เป็นท่าอยู่เลย รู้ตัวอีกทีก็...มีผัวใหม่เป็นตัวเป็นตนพ่วงด้วยลูกชายอีกหนึ่งซะแล้ว”
“เกือบซึ้งล่ะไอ้สัด”
ร่างโปร่งปากระดาษที่ขยำกันเป็นก้อนกลมในมือใส่เพื่อนที่ทำท่ายียวนไม่เลิก แต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลก็ยิ้มออกมาได้อยู่ดี
“เอ้า กูพูดจริง การที่มึงสามารถพูดถึงพี่ทีได้โดยไม่ประสาทไปก่อนนี่ก็ปาฏิหาริย์แล้ว ตอนเขาตายไปใหม่ๆมึงแม่งยังกับคนบ้า”
นิลพูดพลางหัวเราะออกมาโดยไม่ทันสังเกตเลยว่าสีหน้าของรัตติกาลวูบไหวไปครู่หนึ่ง ร่างโปร่งเลื่อนเก้าอี้ของตนให้เข้ามาใกล้กับนักเขียนหนุ่มที่กลับไปพิมพ์งานของตัวเองอีกครั้งก่อนซุกใบหน้าที่สับสนเล็กๆลงบนแผ่นหลังของเพื่อนสนิท
“พูดถึงได้แต่เอาจริงๆกูก็ยังไม่อยากพูดถึงเขาสักเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรหรอกไอ้กาล มึงเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้มึงอาจจะยังเจ็บอยู่แต่กูเชื่อว่าสักวันมึงจะพูดถึงเขาได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย”
“ถ้ามันมาถึงก็คงดี...ตราบใดที่ไม่มีใครคุ้ยเรื่องของเขาขึ้นมา”
“มึงหมายถึงคนที่ยืมมือธิชาทำงานน่ะหรอ”
“อืม...”
นิลถอนหายใจ เขายกมือพาดผ่านไหล่แล้ววางลงบนหัวของรัตติกาล ชายหนุ่มลูบเบาๆบนกลุ่มผมปล่อยให้ร่างโปร่งซึมซับกำลังใจผ่านทางฝ่ามือของเขา
“ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก อีกไม่นานชาติคงลากตัวมันออกมาได้”
“...ขอโทษด้วยนะเว้ยที่ทำให้มึงเดือดร้อน”
“ห่า ทำกูเดือดร้อนมาครึ่งชีวิตแล้วจะมาขอโทษทำไม พอๆเลิกซบกูได้แล้ว ถ้าผัวมึงเห็นมันได้กระทืบกูแน่ตัวยิ่งควายๆอยู่”
รัตติกาลยิ้มออกมาแม้ว่าจะโดนนิลผลักหัวของตนออกแล้วแกล้งทำสีหน้าขยะแขยงไปด้วย ร่างโปร่งยักไหล่นิดๆแล้วกลับไปนั่งหลังตรงตามเดิม
“พูดเล่นกับกูก็พูดได้อยู่หรอก แต่อย่าไปพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นเข้าล่ะ”
“ทำไมวะ”
“...กูไม่อยากให้รัณย์มันอึดอัดใจ”
“ห่า แคร์กันจนกูจะอ้วก แล้วก็นะ ถ้าแค่เปิดเผยว่าได้กับมึงแล้วมันยังไม่กล้าก็ไม่ต้องทำมาหาแดกอะไรกันพอดี”
“เอาน่า ของอย่างนี้มันไม่ต้องแขวนป้ายโชว์หรอกว่าตัวเองเป็นอะไร แค่ที่มันทำให้กูทุกวันนี้ก็ดีมากพอแล้ว”
“เออ เอาที่มึงสบายใจ ถ้ามึงโอเคกูจะว่าอะไรได้วะ ถนอมกันฉิบหาย ไอ้ห่านั่นก็ง๊องแง๊งขึ้นทุกวัน เมื่อวานตอนจะกลับบ้านมองมึงยังกับหมามองกระดูก ถ้าไม่ดูทรงกูนี่นึกว่ามึงเป็นผัวมันซะอีก...หรือว่าใช่วะ”
นิลบ่นไปเรื่อยก่อนจะหันมาถามรัตติกาลด้วยสีหน้าจริงจังในตอนท้าย แต่ก็โดนร่างโปร่งตบหัวกลับมาเบาๆด้วยแฟ้มเล่มใหญ่แทน
“พูดไปเรื่อย”
“ทำมาเป็นด่ากู อย่าบอกนะว่าไม่สน”
รัตติกาลฟังคำของเพื่อนแล้วไม่ได้ตอบอะไร เขาเอาแฟ้มที่เพิ่งฟาดหัวนิลมาหยกๆกางลงบนโต๊ะแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านต่อไป นักเขียนหนุ่มมองคนตรงหน้าอยู่พักหนึ่งอย่างต้องการคำตอบก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้ากรุ่มกริ่มของรัตติกาล
“หึ ไอ้รัณย์ มึงซวยแน่...”
.
.
.
.
.
.
.
.
เด็กชายตัวน้อยมองผู้คนที่เดินผ่านไปมานอกร้านด้วยความสนใจทั้งคุณลุงตัวใหญ่ที่นั่งขายพวกพวงกุญแจและตุ๊กตาตัวเล็กๆอยู่บนพื้น คุณป้าที่เอาแต่พูดโฉ่งฉ่างไม่หยุดโดยที่มือก็สับผลไม้ไปด้วย รวมไปถึงเด็กผู้ชายที่โตกว่าตนหน่อยกำลังหอบเอาตะกร้าที่มีดอกไม้อยู่เต็มเดินไปทักผู้คนที่นั่งกินข้าวอยู่ในร้าน
“กาล”
“หื้ม?”
“วันนี้จะค้างด้วยกันรึเปล่า”
รพีหันไปมองพี่เลี้ยงที่พยายามกระซิบคุยกับพ่อของตนด้วยเสียงอันเบา แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ยังได้ยินมันอยู่ดี
“ค้างไม่ได้ ต้องทำงานไหนจะรพีอีก”
“พีทำไมหรอฮะ?”
เด็กชายถามขึ้นเมื่อได้ยินชื่อของตนในบทสนทนา อารัณย์หัวเราะแหะๆออกมาเมื่อเพิ่งรู้ว่ารพีได้ยินสิ่งที่ตนพูดทุกอย่าง รัตติกาลเองพอเห็นแบบนั้นก็หยิบเอาขนมถุงเล็กๆที่ร้านวางไว้บนโต๊ะเผื่อลูกค้าคนไหนอยากซื้อกินมาแกะออกแล้วส่งให้ลูกชายที่นั่งมองตนตาแป๋วทานเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“ไม่มีอะไรครับ กินนี่ไปก่อนนะ วันนี้คนเยอะคงต้องรอนานหน่อย”
“กินได้หรอฮะ ยายจันทร์บอกว่าไม่ให้กินขนมก่อนกินข้าวมันไม่ดี”
“พ่ออนุญาตวันนึง แต่ที่หลังก็ทำตามที่ยายสอนนะตกลงไหม”
“ตกลงฮะ!”
รพียิ้มร่าแล้วรับถุงขนมที่ตัวเองอยากกินอยู่ก่อนแล้วมาถือไว้แล้วหยิบมันเข้าปากด้วยท่าทางน่าเอ็นดู รัตติกาลหันไปพูดคุยกับอารัณย์ต่อโดยที่เหลือบมองรพีเป็นระยะแล้วคอยใช้มือปัดกางเกงสีแดงสดเบาๆเมื่อมีเศษขนมร่วงออกจากปากของรพีมาตกลงบนนั้น
“ว่าแต่จอดรถมอเตอร์ไซค์ทิ้งไว้ที่โรงเรียนแบบนั้นจะไม่เป็นไรแน่นะ”
“ไม่เป็นไรๆ ครูคนอื่นบางทีก็จอดทิ้งไว้เหมือนกัน”
รัตติกาลจำใจเชื่อคำพูดนั้นแต่ก็ยังนึกเป็นห่วงมอเตอร์ไซค์คันโตที่เจ้าของมันจำใจทิ้งไว้เพื่อที่จะนั่งมาบนรถคันเดียวกับเขาในตอนที่ไปรับอารัณย์และรพีให้มาทานข้าวด้วยกันตามที่นัดไว้
“แล้วตอนเช้าจะไปยังไง ให้แวะมารับรึเปล่า”
“อยากทำเท่แล้วบอกว่าเกรงใจอยู่หรอก แต่อยากให้มารับมากกว่า”
อารัณย์พูดไปยิ้มไปก่อนจะแอบวางมือของตนทับลงบนมือของรัตติกาลในจังหวะที่รพีกำลังให้ความสนใจกับขนมอยู่ ชายหนุ่มแอบทำหน้าดุเล็กน้อยแต่ร่างสูงก็ยังทำเป็นสนใจจนเขาต้องยอมให้อีกฝ่ายทำตามใจตัวเองต่อไปจนกระทั่งอาหารทุกอย่างที่สั่งถูกวางลงบนโต๊ะจนเต็ม
ทั้งสามคนใช้ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารอย่างสนุกสนานและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รพีพยายามตักไข่เจียวปูชิ้นใหญ่ใส่จานให้รัตติกาลในขณะที่อารัณย์ก็ตักผัดกระเฉดผัดเต้าเจี้ยวที่คนรักชอบให้ร่างโปร่งด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มมองจานของตนที่มีกับข้าวมากมายเสียจนเกือบล้นก่อนที่จะบริการตักกับข้าวให้กับทั้งสองคนเป็นการตอบแทน ผัดฉ่ารสจัดถูกวางลงบนข้าวของอารัณย์อย่างสวยงาม ก่อนที่รัตติกาลจะหันมาบรรจงเลาะเนื้อปลาเค็มทอดให้กับลูกชายบ้าง
“จะว่าไปก็เกือบถึงวันเกิดของรพีแล้วนี่เนอะ คิดไว้รึยังว่าอยากได้อะไร”
อารัณย์พูดถึงหลังจากกลืนข้าวคำโตเข้าท้องไป รพีพยักหน้ารัวๆแทนการตอบเพราะตัวเองก็ยังมีอาหารอยู่เต็มปาก
“คิดแล้วฮะ พีจะซื้อของขวัญให้พ่อกาล!”
“ฮ่าๆ พีต้องเป็นคนได้ของขวัญสิ วันเกิดเราไม่ใช่วันเกิดพ่อกาลสักหน่อย”
“แต่พีอยากให้...”
“พ่อไม่อยากได้อะไรหรอก เรานั่นแหละถ้าอยากได้อะไรก็บอกพ่อแล้วกัน”
รัตติกาลวางเนื้อปลาที่แกะแล้วใส่จานของรพีก่อนจะพูดขัดขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองอารัณย์ด้วยความสงสัยว่าร่างสูงรู้เรื่องวันเกิดของรพีได้ยังไง อารัณย์เองพอเห็นคนรักมองตนแบบนั้นก็เหมือนจะเข้าใจได้ว่าอีกคนสงสัยอะไรเลยตอบออกไป
“พอดีเมื่อเช้าครูที่ห้องเอาใบประวัตินักเรียนให้มาช่วยจัดน่ะเลยเห็นเข้า ว่าแต่พีไม่อยากได้อะไรจริงๆหรอ”
“อืม...ยังคิดไม่ออกฮะ ถ้าคิดออกแล้วค่อยตอบได้ไหม”
“ได้ครับ งั้นตอนนี้กินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวจะพาไปกินลอดช่องเจ้าอร่อย”
ทั้งสามคนยุติบทสนทนาไว้แค่นั้นแล้วลงมือทานอาหารตรงหน้าต่อจนหมดจาน อารัณย์เดินเคียงคู่กับรัตติกาลที่อีกมือหนึ่งจับมือของลูกชายเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเด็กน้อยคนนี้จะหายไป ร่างสูงเหลือบมองคนรักที่ทอดสายตาตรงไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายกำลังพยายามปรับตัวเพื่อรพีอย่างมาก แม้บางครั้งจะดูแข็งๆและฝืนใจไปบ้าง แต่ก็นับว่าดีแล้วสำหรับคนที่ครั้งหนึ่งเคยเกลียดชังลูกของอดีตคนรักอย่างถึงที่สุด
“กาล”
“หื้ม?”
“อยากจับมือบ้าง...ได้ไหม”
อารัณย์เอ่ยขอแม้ว่าพวกเขาจะเดินอยู่ริมถนนซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แม้จะมีบางคนที่เขารู้จักแต่ชายหนุ่มกลับไม่นึกแคร์ว่าคนพวกนั้นจะคิดยังไงหากเห็นว่าเขากำลังเดินจับมือกับผู้ชายด้วยกันท่ามกลางเมืองใหญ่ สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้มีเพียงแค่อยากแลกเปลี่ยนความอบอุ่นกับคนข้างกายเท่านั้น
“มือไม่ว่าง ถือลอดช่องอยู่เห็นไหม”
รัตติกาลชูแก้วลอดช่องที่แทบจะยังไม่พร่องลงไปของตัวเองขึ้นให้อีกฝ่ายดูจนอารัณย์ทำหน้าง้ำงอออกมาเพราะเถียงไม่ออก แต่สักพักหนึ่งชายหนุ่มก็ทำเหมือนกับเพิ่งคิดอะไรได้ คนตัวโตรีบกินขนมในแก้วของตัวเองจนหมดแม้ว่าความเย็นจากน้ำแข็งจะเย็นจี๊ดขึ้นสมอง รัตติกาลและรพีหันมามองอารัณย์ด้วยความประหลาดใจแล้วก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นอีกเมื่อร่างสูงวิ่งตรงไปที่ถังขยะทั้งที่หน้ายังเหยเก
อารัณย์ทิ้งแก้วที่เหลือแต่น้ำแข็งของตนไปแล้ววิ่งกลับมาหาอีกสองคนซึ่งหยุดเดินไปตั้งแต่เขาพยายามกินลอดช่องจนหมดในคราวเดียว ร่างสูงเช็ดมือที่เปียกของตนกับขากางเกงแล้วยื่นมันออกมาข้างหน้าพร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดัง
“มือว่างแล้ว!”
รัตติกาลนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาจนรพีและอารัณย์ทำหน้าเหรอหรา ชายหนุ่มแทบสงบสติตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่เพราะคิดไม่ถึงจริงๆว่าอารัณย์จะยอมทุกอย่างเพียงแค่เพื่อที่จะได้จับมือกับเขา
“ทำไมน้ารัณย์ต้องให้พ่อจับมือด้วยล่ะฮะ หรือกลัวว่าจะหลงเหมือนพี”
เด็กชายหันไปถามพ่อของตนอย่างไม่ประสีประสาแต่มันกลับเรียกเลือดให้ขึ้นไปรวมกันที่ใบหน้าของพี่เลี้ยงหนุ่มได้เป็นอย่างดี รัตติกาลมองท่าทางของคนรักด้วยหัวใจที่พองโต เขาจูงมือรพีให้เดินไปหาอารัณย์พร้อมๆกันก่อนจะคว้ามือคนตัวโตมาจับไว้แล้วหันมาตอบคำถามลูกชายที่ยังคงสงสัยไม่เลิก
“น้ารัณย์ไม่ได้กลัวหลงทางหรอกครับ พ่อต่างหากที่ ‘หลง’ แล้วกลัวว่าน้าเขาจะหายไปเลยต้องจับเอาไว้ให้แน่นๆ...คุณเองก็อย่าปล่อยมือผมนะ”
รัตติกาลเอ่ยกับลูกชายแต่สายตากลับหยุดอยู่ที่ใบหน้าคมเข้มขึ้นสีเลือดฝาด อารัณย์ยิ้มกว้างออกมาเช่นเดียวกับรัตติกาลที่กำลังสื่อสารทางสายตาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้ต่างจากความเป็นจริง รพีจ้องมองมือของพ่อและพี่เลี้ยงใจดีที่เกาะกุมกันไว้แน่นไม่ต่างจากของตนแล้วหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เด็กชายก้าวเดินออกไปข้างหน้าพยายามใช้แรงที่น้อยนิดของตนจูงพาผู้ใหญ่ทั้งสองให้เดินต่อไปด้วยกัน
โดยไม่มีใครเห็นเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาอย่างไม่เป็นมิตร...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
ตอนนี้มันงงๆเหมือนคนเขียนก็ไม่ต้องสงสัยนะคับ วันนี้ลงไปนั่งพับเพียบท่ามกลางสายฝนมายังกับดาวพระศุกร์โดนไล่ออกจากบ้าน :hao5: บิ๊กไบท์เขาล้มเพราะสะดุดแอ่งน้ำ แต่เช่แม่งสะดุดทีนตัวเองแล้วต่อด้วยจนฟุตบาทจนหัวทิ่ม ฮืออออออ :o12: :sad4: ไม่อายๆ แค่เด็กเดินเรือคนข้างๆขำเช่ลั่นเท่านั้นเอ๊งงงงงงงง :z3: :impress3:
บอกข่าวหนังสือหน่อย อย่างที่ประกาศไว้ในเว็บนะคับ ได้ร้านทำบ็อคแล้ว ราคาประมาน250บาท (อาจเปลี่ยนแปลงได้แต่ไม่น่าเกินนี้มั้ง) ราคาหนังสือคร่าวๆก็คิดไว้แล้ว ของแถมก็คิดไว้แล้ว เหลือแต่ค่าขนส่งคับต้องรอให้ทางร้านประเมินให้ก่อนถึงจะประกาศราคาพรีออเดอร์ให้ทราบกัน แต่ทั้งหมดทั้งมวลถ้าไอ้เช่มันยังแพล่มไปเรื่อยแม่งก็กะจำนวนหน้าบอกเขาไม่ได้อยู่ดี =w= รอหน่อยเน้อ เก็บตังรอกันไปก่อน คิดว่ายังไงก็หนึ่งพันบาทขึ้นไปแน่นอน แต่แค่พันนิดๆคับไม่โหดมาก จะบีบให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และไม่น่าเกลียดต่อมารดาผู้จ่ายค่าไฟให้เช่จนเกินไปนัก อ่อ ต่อเพื่อนผู้เช่จิ๊กขนมมันกินตอนแต่งนิยายล้วย ฮี่ๆ > < :katai2-1:
https://docs.google.com/forms/d/1Z25QsWRzFK5qH7nRf7LCO_zLN-DD4Zcp51LaEKJiYBQ/viewform?c=0&w=1 (https://docs.google.com/forms/d/1Z25QsWRzFK5qH7nRf7LCO_zLN-DD4Zcp51LaEKJiYBQ/viewform?c=0&w=1)
โพลก็เข้าไปตอบกันได้เรื่อยๆเน้อ เช่เปิดอ่านทุกวันเน้อ!
ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ที่เคยไปสปอยไว้ว่าพี่กาลโหมดดาร์กจะกลับมา ความจริงมันก็ไม่ดาร์กขนาดนั้นหรอก พี่แกเกรียนแตกไปตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วยังไงคงไม่บ้าไปมากกว่านั้น :hao3: เหลือแต่เคลียร์ปมจริงๆนะ มันเหมือนจะมีปมเพิ่มแต่จริงๆไม่มีแล้ว แค่เรื่องเก่าๆมันพุดขึ้นมาเท่านั้นเอง ไม่ต้องเสริมธาตุเหล็กสำรองกันอีกต่อไป เลิกกินมาม่าแล้วคับเดี๋ยวผมจะร่วงหมดหัวเอา :ruready
แต่กินน้ำตาแทน.....หลอกกกกกกก!!!!!!! 5555555 :z2:
ปูลู .... ฝนตกบ่อยอย่าลืมดูแลสุขภาพนะคับ อย่าลืมพกร่ม แต่ถ้าเจอหนุ่มหล่อยืนถือร่มอยู่คนเดียวก็ทิ้งของเราไปซะ!!!! :z1:
-
มาแล้วๆๆ แปะไว้ดี๋ยวกลับมาอ่าาจ้า
-
มาอ่านแล้วค่าาา ครอบครัวนี้สุขสันต์ฒมากเนอะ ดีใจที่กาลทำดีกับพี ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะ
คนที่มองตอนท้ายคือใคร น้องปูนหรอ ว่าไปสงสารนางนะ หายไปนานเลย
-
37th Night
…On the chair...
บ่ายวันอาทิตย์ที่ทั้งร้อนและชื้นฝนทำให้ผู้คนที่เบื่อเกินกว่าจะนั่งจ่อมอยู่ที่บ้านแต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่างก็พากันมานั่งคุย เดินเล่น หาของอร่อย รวมถึงจับจับซื้อของกันเสียงจนห้างสรรพสินค้าแห่งใหญ่ดูแคบไปทันตา
นิลมองจำนวนคนที่มากไม่ต่างจากทุกครั้งด้วยความเบื่อหน่าย เขาเป็นพวกเกลียดการต้องไปอยู่ในที่ที่มีคนมากๆอย่างสถานการณ์ในตอนนี้ทั้งที่ไม่ใช่พวกชอบหนีสังคม ผิดกับเพื่อนอีกคนที่ถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องการคบคนแค่ไหน แต่รัตติกาลกลับชอบที่จะไปอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก โดยเฉพาะที่ที่มีคนจากต่างถิ่นต่างภาษาด้วยเหตุผลว่ามันมักจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆจากคนพวกนั้น
“นิล! รอนานรึเปล่า!”
นักเขียนหนุ่มหันหน้าที่เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างกลับมามองคนที่เพิ่งเดินมาพร้อมกับโปรยยิ้มไปด้วยเสียจนเด็กเสิร์ฟและสาววัยทำงานโต๊ะข้างๆต่างก็เผลอทำตาโตเสียจนเขากลัวแทนเหลือเกินว่าขนตาปลอมที่เจ้าหล่อนอัพเอาไว้จะหลุดออกมา นิลทำหน้าหงิกแทนคำตอบทั้งๆที่ตัวเองเพิ่งมาถึงฤทธิชาติได้เพียงสิบห้านาที กาแฟที่สั่งไว้ก็เพิ่งจะมาถึงแต่แล้วยังไงล่ะ มาสายก็คือมาสาย!
“ทำหน้าบึ้งเชียว ยังไม่ชอบที่คนเยอะๆอยู่อีกหรอครับ”
ให้ตายสิ ดันรู้อีกว่าที่เขาอารมณ์เสียเป็นเพราะต้องมาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะมันมาสาย นิลกรอกตาไปมาแล้วหยิบเมนูส่งให้อีกฝ่ายพลางพูดไปด้วย
“สันดานมันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ มึงก็ด้วย ไอ้นิสัยแจกยิ้มไปทั่วนี่หยุดสักทีได้ไหม เห็นแล้วขนลุก”
“ฮ่าๆ คงจะยากนะครับยิ่งรู้ว่านิลไม่ชอบผมก็ยิ่งอยากทำ”
“ไอ้โรคจิต”
“รู้ตัวครับ แต่ก่อนอื่นเลย...วันนี้แต่งตัวได้ดูดีมากครับ เหมาะกับนิลมาก”
ผู้หมวดยิ้มให้จนตาหยี่พลางจ้องมองไปยังเสื้อเชิ้ตคอจีนสีขาวที่ถูกพับแขนจนขึ้นมาถึงข้อศอกเข้ากันได้ดีกับกางเกงขอสามส่วนสีเวอริเดี้ยนและรองเท้าคัทชูสีไม้เนื้อแดงคู่เก่งของเจ้าตัว
“ขอบใจ ส่วนมึงนี่ก็...เหมือนเดิมเลยนะ”
ฤทธิชาติในชุดเสื้อยืดคอวีกางเกงขายาวรองเท้าผ้าใบแบบธรรมดายิ้มรับอย่างไม่คิดโกรธเคืองอะไรเพราะชายหนุ่มก็เป็นอย่างที่นิลว่า นอกจากเครื่องแบบที่ต้องใส่แล้วในวันที่ไม่ต้องทำงานอย่างเช่นวันนี้เขาก็มักเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ มากกว่าต้องมาเสียเวลาพิถีพิถันกับการแต่งตัว
“แต่งเครื่องแบบหนักๆมาทั้งอาทิตย์แล้ววันนี้ขอสบายๆแล้วกันครับ หวังว่านิลคงไม่อายที่จะเดินกับผม”
“หึ รู้อยู่ว่ากูไม่แคร์แล้วยังเสือกพูดมาก จะแก้ผ้าเดินก็เรื่องของมึงเถอะ”
นิลว่าดังนั้นก่อนจะหันมาตักอาหารตรงหน้าเข้าปากโดยมีนายตำรวจหนุ่มเท้าคางมองท่าทางการกินที่แสนเป็นธรรมชาติของนักเขียนหนุ่มไปด้วย ทั้งคู่ใช้เวลาจัดการปากท้องให้พร้อมต่อการเดินตระเวนไม่นานนัก ก่อนจะพากันเดินเลือกซื้อของสำหรับงานฉลองวันเกิดครบรอบหกปีของรพีที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อาทิตย์
“นอกจากหนังสือแล้วน้องพียังชอบอะไรอย่างอื่นอีกรึเปล่านิล”
ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ร่างสูงส่ายหน้าเป็นพันละวัน ก็เพราะว่าไม่รู้นี้แหละเขาถึงได้เป็นฝ่ายชวนคนที่งานยุ่งมาตลอดให้มาช่วยกันคิดทั้งๆที่อีกฝ่ายควรจะได้ใช้เวลาว่างที่มีไปกับการพักผ่อน
“ไม่ ของเล่นอย่างอื่นที่เคยซื้อให้เล่นแปปเดียวก็วางแล้ว แต่ถ้าเป็นหนังสือเก่าๆที่ไอ้กาลเคยเขียนให้ไปก็แทบจะไม่วางทั้งๆที่อ่านไม่ออก”
“แล้วถ้าเป็นพวกเสื้อผ้าล่ะ”
“อันนี้ก็เรื่องมากเหมือนพ่อมัน ถ้าไม่ได้เลือกเองซื้อให้ไปก็ไม่ใส่หรอก สุดท้ายก็ต้องโดนกองทิ้งไว้ในตู้ให้รามันขึ้น”
“งั้น...พวกบัตรสวนสนุก สวนน้ำแบบที่อารัณย์เคยให้ไปเมื่อคราวก่อนล่ะ”
“กูก็ว่าเข้าท่า...แต่ไอ้กาลมันชิงซื้อมาก่อนแล้ว ขนาดมันเองยังคิดไม่ออกเลย”
“ฮ่าๆ ถ้างั้นผมว่าจับคุณกาลผูกโบว์ให้ไปเลยคงง่ายกว่า หลานนิลคลั่งพ่อตัวเองขนาดนั้นไม่ต้องเสียเวลาเลยครับ”
“หึ คิดว่ากูไม่อยากทำรึไง”
นิลแสยะยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในร้านหนังสือร้านใหญ่โดยมีนายตำรวจหนุ่มเดินตามหลังมาไม่ห่าง ร่างสูงถอนหายใจสุดท้ายปีนี้เขาคงหนีไม่พ้นต้องซื้อหนังสือให้ร่างป้อมเหมือนที่เคยทำ
“ไม่เห็นต้องคิดมากขนาดนั้นเลย ผมว่านิลให้อะไรไปน้องพีก็ดีใจทั้งนั้น”
“ดีใจน่ะก็ใช่ แต่ไม่อยากให้ของที่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่ได้ใช้ เสียดายของ”
“เป็นคนละเอียดอ่อนกว่าที่คิดนะ...นิลเนี่ย”
นายตำรวจหนุ่มว่าดังนั้นก่อนจะคว้ามืออีกข้างของนิลมาจับไว้โดยที่อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ขัดขืนแต่ก็ยังส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอยู่บ้างเพราะทำให้ตัวเองหยิบจับหนังสือไม่ถนัด ฤทธิชาติจึงต้องรับหน้าที่ใช้มือขวาของตนช่วยนิลเลือกหนังสือแทนมือข้างที่ตัวเองยึดเอาไว้
ฤทธิชาติหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาตามที่นิลสั่ง เขาใช้มือประคองสันหนังสือไว้ด้วยมือเดียวแล้วให้นิลใช้มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่พลิกเปิดไปหน้าต่างๆเพื่อดูเนื้อหาข้างใน
“มึงปล่อยแล้วให้กูหยิบเองจะง่ายกว่าไหม เล่นอะไรบ้าๆ”
“สนุกดีออก นึกถึงตอนทำกิจกรรมฝึกความสามัคคีสมัยยังเรียนหนังสือเลย”
“ตอนเป็นนักเรียนเตรียมอะนะ?”
“อืม แต่ก็โหดกว่านี้เยอะ นึกแล้วยังสยองไม่หาย”
ชายหนุ่มพูดยิ้มๆแล้วเก็บหนังสือเล่มนั้นเข้าชั้นแล้วหยิบอีกเล่มขึ้นมาแทน หนังสือนิทานตะวันตกที่มีภาพประกอบสวยงามทำให้นิลถูกใจไม่น้อย รวมถึงคำบรรยายที่มีทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยกำกับ ทำให้เขาคิดว่ามันดีต่อการเรียนรู้ของรพีด้วยเช่นกัน
“แล้วนิลล่ะครับ สมัยเรียนมัธยมเป็นยังไงบ้าง แสบเหมือนกับตอนนี้รึเปล่า”
“ก็ไม่เป็นไง หัวเกรียน กวนตีนชาวบ้าน ชอบหลีหญิงไปวันๆ”
“หลีหญิง? แสดงว่าเริ่มชอบผู้ชายตอนมารู้จักกับกาลหรอครับ”
“หึ ตั้งแต่สมัยมัธยมนั่นแหละ กูเรียนชายล้วน จบนะ”
นิลยักคิ้วใส่คนข้างๆก่อนตัดสินใจเลือกเอาหนังสือนิทานแบบเดียวกันไปอีกสามสี่เล่ม ฤทธิชาติยอมปล่อยมือของนิลออกแล้วรับหนังสือทั้งหมดมาถือไว้แทนแต่ก็ยังคอยมองคนข้างๆไม่ห่าง
“แสดงว่าแสบแต่เด็กจริงๆด้วยสินะ เคยคบกับใครมามากกว่ากันล่ะครับ ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ถามมากจริงนะ...ไม่ได้นับหรอก แทนที่จะมานั่งเลือกว่าจะเอาผู้ชายหรือผู้หญิง ถึงเวลากูก็ไม่เลือกหรอกว่าเพศไหน ถูกใจก็คบ ไม่ต้องคิดอะไรมาก”
นิลว่าไปตามความจริงแต่ก็ยังละเรื่องบางอย่างไว้ว่าแท้จริงแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาเคยมีคนให้เรียกว่าคนรักแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือแฟนสาวจากโรงเรียนหญิงล้วนในเขตเดียวกัน ส่วนอีกคนคือหญิงสาวที่รู้จักกันตอนไปฝึกงาน ถึงแม้จะบอกว่ารับได้ทั้งคู่แต่ผู้ชายส่วนมากที่เคยคบหากลับไม่เคยไปได้ไกลกว่านั้น รวมถึงฤทธิชาติที่ยังอยู่ในสถานะดูใจแม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะลึกซึ้งไปมากแล้วก็ตาม
ทั้งสองคนพากันเดินเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยมาถึงบ่าย ฤทธิชาติเป็นฝ่ายถือหนังสือของนิลไว้โดยที่ชุดเครื่องเขียนของเขานิลจะรับไปถือไว้แทนเพราะเบากว่า พวกเขาหยุดลงตรงหน้าร้านขายของตกแต่งบ้านที่นำเข้าจากประเทศต่างๆ นายตำรวจหนุ่มเดินตรงไปยังชุดถ้วยชามากมายที่มีเอกลักษณ์ของแต่ละถิ่นปรากฏอยู่ ส่วนนิลก็เดินแยกไปอีกทางเพื่อดูหนังสือเก่าต่างๆที่ถูกเจ้าของร้านรวมใส่กล่องไว้ซึ่งไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากนัก
“ชอบหรอครับ”
เสียงทุ้มๆดังขึ้นจากข้างหลัง นิลลุกขึ้นยืนก่อนจะหันกลับไปมองชายคนหนึ่งที่ตัวสูงใหญ่ไม่ต่างจากฤทธิชาติมากนักแต่บรรยากาศรอบๆตัวกลับไม่เหมือนกันเลย ดวงตารีเล็กภายใต้กรอบแว่นสีทับทิมกำลังยิ้มให้กับเขาเช่นเดียวกับริมฝีปาก ผิวกายสะอาดสะอ้านเหมือนคนไม่ค่อยได้ออกแดดรับกับผมรองทรงของอีกฝ่ายทำให้ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นไม่ต่างจากบรรยากาศของร้าน
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีเห็นคุณดูเหมือนจะสนใจหนังสือพวกนี้เลยอยากเข้ามาให้คำแนะนำ”
“อ่อ ผมเป็นชอบอ่านหนังสือน่ะครับ เห็นหนังสือเก่าเป็นไม่ได้ต้องพุ่งเข้าไปหาทุกที”
นิลตอบกลับไปดีๆเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าคุกคามอะไร ชายหนุ่มยิ้มให้เขาก่อนจะเล่าถึงที่มาของหนังสือแต่ละเล่มที่ตนได้ฟังมาจากเจ้าของเดิมที่ส่งต่อกันมาเป็นรุ่นๆ กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกพลิกเปิดไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังคลอเบาๆไปกับเพลงบรรเลงที่ทางร้านเปิด พวกเขาย้ายมานั่งคุยกันแถวโต๊ะและเก้าอี้ที่ตั้งโชว์โดยไม่สนใจเลยว่าลูกค้าคนอื่นจะทำยังไงหากเกิดอยากได้เก้าอี้ตัวที่ว่า แต่ก็ดูท่าจะไม่ใช่ปัญหาเพราะเจ้าของร้านเองก็ดูจะไม่แคร์อะไร
“คุณอิฐเองก็ไปมาเกือบรอบโลกแล้วเหมือนกันนะเนี่ย ขนาดผมชอบเดินทางบางที่ยังไม่เคยไปเลย”
เจ้าของร้านนามว่าอิฐยิ้มรับ ก่อนจะตอบมาด้วยเสียงทุ้มๆที่นิลคิดว่ามันน่าฟังอยู่มาก ไม่ต่างจากเพลงคลาสสิคที่เขาชอบฟัง
“ก็เรื่องงานทั้งนั้นแหละครับ ถ้าไม่ใช่ผมคงไม่คิดจะออกไปไหน มันก็สนุกดีอยู่หรอกแต่อาการเจ็ทแล็คนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย”
“ผิดกับเพื่อนผมคนหนึ่งเลยนะครับ มีอยู่ครั้งหนึ่งมันเล่าให้ฟังว่าไปเที่ยวสามประเทศที่อยู่คนละทวีปภายในอาทิตย์เดียว แทบไม่ได้นอนแต่กลับมาพูดอวดให้ฟังอย่างหน้าชื่นตาบานซะอย่างนั้น”
“จริงหรอครับ ดูท่าผมคงต้องขอเคล็ดลับดูแลตัวเองจากเพื่อนนิลบ้างซะแล้ว”
นิลพูดถึงเรื่องที่รัตติกาลเล่าให้ฟังตอนที่มันหนีพ่อแม่ไปเที่ยวสมัยซัมเมอร์ตอนที่เรียนปีหนึ่ง นักเขียนหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆโดยมีสายตาของคนที่นั่งตรงกันข้ามมองกลับมาอย่างชอบใจไม่ต่างกันนัก เจ้าของร้านรูปหล่อสำรวจคนตรงหน้าด้วยความพึงใจ การวางตัวดีทำให้นิลดูน่าค้นหาและมีเสน่ห์มากกว่าใคร เขามองนิ้วยาวที่กรีดไปตามกระดาษแต่ละแผ่นด้วยความหลงใหลแต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรเกินไปกว่านั้น อิฐก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อแผ่นหลังของเขาโดนสัมผัสด้วยฝ่ามือเย็นๆของใครบางคนที่ค่อยๆเลื้อยมาทางด้านหน้าจนกลายเป็นว่าเขาถูกกอดคอโดยคนที่ไม่รู้จัก
“คุยอะไรกันครับ สนุกกันใหญ่เชียว”
“มึง...เลือกของเสร็จแล้วหรอ”
นิลมองคนมาใหม่ด้วยความไม่สบายใจมากนัก ดวงตาที่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์เสมอตวัดมองเพื่อนใหม่ของเขาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นๆที่นิลไม่เคยชอบมัน
“ครับ ได้ชุดถ้วยชามาสองชุดแล้วก็โมเดลอีกนิดหน่อย แต่ตอนนี้...กำลังสนใจอยากได้เก้าอี้สักตัว”
ฤทธิชาติว่ายิ้มๆก่อนจะมองไปยังเก้าอี้ที่อิฐนั่งอยู่เพื่อสื่อความต้องการของตัวเอง ชายหนุ่มที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ลอบกลืนน้ำลายก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อให้คนมาใหม่ดูเก้าอี้ตัวที่ว่า แต่เขากลับไม่ได้ทำตามที่ใจหวังเมื่อมือเย็นๆของนายตำรวจหนุ่มจับเข้าที่บ่าลาดแล้วกดมันลงแรงๆจาคนที่พยายามจะลุกขึ้นต้องลงไปนั่งตามเดิมเพราะแรงกระแทก
“ชาติ...”
“ครับ?”
นิลเรียกชื่อของอีกฝ่ายเพื่อปรามการกระทำที่เขาดูออกว่าฤทธิชาติทำมันไปเพราะอะไร แต่นายตำรวจหนุ่มทำเพียงหันกลับมายิ้มให้เขาเช่นเดิม
“คิดจะทำอะไร”
“ป่าวครับ ผมแค่คิดว่าเก้าอี้ตัวที่นิลนั่งอยู่...มันสวยกว่าเท่านั้นเอง”
ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตั้งตัว ขายาวๆของนายตำรวมหนึ่งก็ก้าวพรวดเดียวไปถึงเก้าอี้ตัวที่ว่า กล้ามแขนที่เห็นได้ชัดผ่านผ้ายืดบางๆยกเอาผู้ชายที่ตัวไม่ได้เล็กเลยสักนิดอย่างนิลขึ้นก่อนที่เจ้าของมันจะย้ายร่างของตนนั่งลงบนนั้นแทน
ฤทธิชาติยิ้มรับคำสบถของนักเขียนหนุ่มที่ดังพอจะเรียกสายตาคนทั้งร้านให้หันมามอง เขาวางนิลลงบนตักของตนพร้อมกับใช้แขนโอบรอบเอวของอีกฝ่ายไว้แล้วดึงเข้าหาตัวจนร่างสูงหมดสิทธิขยับหนีไปไหน
นิลพูดไม่ออกเมื่อตัวเองต้องมาอยู่ในท่าทางล่อแหลมที่ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหนคงไม่มีใครคิดว่าผู้ชายตัวโตสองคนแค่หยอกกันเล่น เขายกมือขึ้นกุมขมับเมื่อความเครียดเข้าเล่นงานจนปวดหัวจี๊ด ไม่ต่างจากอีกคนที่เผลอปล่อยหนังสือในมือตกพื้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เก้าอี้ร้านนี้แข็งแรงดีนะว่าไหม”
นายตำรวจหนุ่มลอยหน้าลอยตาถามคนบนตักแต่ก็โดนอีกฝ่ายกระทุ้งศอกใส่เข้าเต็มช่องท้องแทนคำตอบ นิลจ้องมองคนเจ้าเล่ห์อย่างไม่พอใจ พลางนึกสาปแช่งความเอาแต่ใจของคนข้างล่าง
“ปล่อยเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากให้กูโกรธ”
นิลกัดฟันพูดแล้วกดเสียงต่ำ แต่ถึงอย่างนั้นอิฐที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ได้ยินอยู่ดี
“ช้าไปแล้วล่ะครับ...เพราะผมโกรธก่อนนิลไปแล้ว”
ฤทธิชาติยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆแล้วกระซิบข้างๆหูด้วยท่าทางน่าหวาดเสียวเสียจนคนที่แอบมองอยู่กลืนน้ำลายกันเป็นแถบๆ นักเขียนหนุ่มเผลอลืมหายใจไปห้วงหนึ่งไม่ใช่เพราะน้ำเสียงเจ้าเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์แต่เป็นเพราะกองเพลิงขนาดย่อมที่แววโรจน์อยู่ในดวงตาคู่นั่น
“...กูไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ครับ นิลไม่ผิด...ผมสิที่ผิดเอง”
“...”
“ผิดที่ใจดีกับนิลมากเกินไป”
ร่างสูงทำหน้าเหยเกเมื่อมือที่วางอยู่รอบเอวของตนถูกบีบเข้าเต็มแรง เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาได้แต่ปล่อยให้ฤทธิชาติพูดคุยเรื่องราคากับเจ้าของร้านที่พูดไม่ออกตั้งแต่คนที่ตัวเองสนใจถูกแสดงความเป็นเจ้าของโดยคนที่ดูแสนจะอันตรายตรงหน้า นายตำรวจหนุ่มบอกตำแหน่งที่จอดรถของตัวเองเพื่อให้พนักงานในร้านขนเก้าอี้ตัวเจ้าปัญหาไปให้โดยที่ตัวเขาและนิลต่างก็เดินตามไปที่หลัง
ผู้หมวดหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขายังคงยิ้มให้นิลเช่นเคยแต่ที่ต่างกันไปเห็นจะเป็นมือที่กอบกุมกันไว้นั้นไร้ซึ่งความอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง นิลอยากตะโกนด่าอีกฝ่ายว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดแต่คนข้างๆก็กำลังตกอยู่ในอารมณ์ที่แปรปรวนยิ่งกว่าฟ้าครึ้มฝนด้านนอก ร่างสูงเลยได้แต่สงบปากแล้วปล่อยให้ความเงียบกลบกองเพลิงที่ลุกโชนนั้นให้ค่อยๆมอดดับลง
แต่เขาก็คิดผิด...
:ling3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :ling3:
-
“อื้อ! ชาติปล่อย!!”
ทันทีที่เก้าอี้ต้นเรื่องถูกวางลงตรงกลางห้องฤทธิชาติที่ยิ้มแย้มก็หันมาขย้ำคนตัวเล็กกว่าเข้าเต็มแรง สะโพกสอบถูกรัดจนเจ็บด้วยท่อนแขนที่แข็งแรงผิดกัน นิลเชิดหน้าขึ้นหนีฟันคมของอีกฝ่ายที่กัดไล่ตั้งแต่แผ่นอกไล่ไปจนถึงปลายคาง ความรู้สึกเหมือนเนื้อโดนฉีกทึ้งทำให้ร่างสูงเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในขณะที่มือทั้งสองข้างก็พยายามผลักอีกฝ่ายให้ห่างออกไป
“ชาติ! อึก ปล่อยกู! กูเจ็บ!!!”
“คิดว่าตัวเองเจ็บเป็นคนเดียวรึไง”
“มึงมันบ้า! เขาแค่มาแนะนำหนังสือให้ไม่ได้ทำอัปรีย์อย่างที่มึงคิดสักหน่อย!”
“หึ อย่าบอกนะว่านิลไม่รู้”
นักเขียนหนุ่มมองคนตรงหน้าที่แสยะยิ้มเย็นพร้อมกับหัวเราะในลำคอ ลิ้นร้อนลากผ่านรอยฟันที่ชำแรกเข้าไปในผิวกายจนมีเลือดไหลซึมออกมา ก้อนเนื้อสากตะวัดชิมน้ำรสคาวแล้วบดคลึงมันอยู่อย่างนั้นจนคนในอ้อมแขนร้องเสียงหลง นิลพยายามประคองสติให้มั่นคงทั้งๆที่ช่วงล่างของทั้งคู่เริ่มตื่นตัวขึ้นมาแล้ว
“อ๊ะ ชาติ กูเจ็บจริงๆนะ อึก หยุด”
“หยุดทำไม นิลออกจะชอบไม่ใช่หรอ...ดูสิ”
ฤทธิชาติบดสะโพกของตัวเองเข้าหาจนกลางกายของทั้งคู่สัมผัสกันผ่านเนื้อผ้า นิลครางหวิว ใจหนึ่งอยากถดสะโพกหนีแต่ความต้องการที่ร่ำร้องอยู่ภายในกลับทำให้เขาเบียดกายเข้าหาอีกฝ่ายอย่างลืมอาย นายตำรวจหนุ่มมองคนที่อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟอย่างพอใจเขาใช้มือข้างหนึ่งจับปลายคางของนิลให้เชิดขึ้นเพื่อให้แววตาดื้อรั้นคู่นั้นหันมาสบกับตน
“นิลอยากให้ผมใจร้ายกับนิลหรอ”
“อ่า...ฮึก มะ มึงพูดอะไร”
“เพราะว่าผมใจดีกับนิลมาตลอดใช่ไหม นิลเลยซนปล่อยให้คนอื่นมาจ้องแบบนั้น ไม่ดีเลยรู้ไหมครับ...”
“อึก..ชาติ”
“ผมไม่อยากใจร้ายกับนิลเลยจริงๆ...ให้ตายสิ”
ถึงปากจะว่าอย่างนั้นแต่สีหน้ากลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง คนตัวโตออกแรงอุ้มนิลจนตัวลอยสูงจากพื้นอีกครั้งแล้วพาไปยังเก้าอี้ตัวที่นิลนึกเกลียดมันจับใจ
“มึงจะทำอะไร...ชาติ ปล่อย!”
กุญแจมือที่นายตำรวจหนุ่มพกติดตัวคู่กับปืนตลอดถูกหยิบออกมาใช้อย่างผิดวิธี ข้อมือบางที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหนักของนิลถูกพันธนาการเอาไว้คู่กับที่วางแขนซึ่งทำจากไม้เนื้อดีที่ไม่มีทางพังได้ง่ายๆ ฤทธิชาติจูบลงบนกระหม่อมบางเพื่อปลอบขวัญ เขาปลดกางเกงขาสามส่วนของอีกฝ่ายออกแล้วพับมันอย่างใจเย็น
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ทำอะไรนิลหรอก”
“ไม่ได้ทำเหี้ยอะไร กูไม่เล่นนะเว้ย!”
“ก็...ไม่มีใครบอกว่าจะเล่นนี่ครับ...ผมเอาจริง”
กระดุมถูกแกะออกจากรังทีละเม็ดไล่จากปลายไปจนถึงคอปก คนที่ถูกตรึงไว้เกร็งหน้าท้องในทุกสัมผัสที่ลากผ่านแต่ไม่อาจส่งเสียงร้องออกมาเมื่อริมฝีปากถูกครอบครองโดยเจ้าของห้องที่ไม่ละสายตาไปจากเขาสักวินาที
นายตำรวจหนุ่มปล่อยให้เสื้อที่ถูกปลดกระดุมจนหมดของอีกฝ่ายค้างอยู่บนร่างทั้งๆแบบนั้น เขาย่อตัวคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับมองดูกางเกงในที่มีรอยเปื้อนเป็นวงแล้วยิ้มออกมาอย่างชอบใจ เพียงแค่ปลายนิ้วชีสัมผัสรอยน้ำนั้นเบาๆเจ้าของร่างก็บิดตัวเกร็งจนต้องปล่อยเสียงออกมา
“สัญญานะครับ ว่าจะไม่ดื้อเหมือนวันนี้อีก”
“อึก มึงมัน โรคจิต!!”
“ยังไม่สำนึกง่ายๆสินะ...”
เขาเปลี่ยนจากนิ้วเป็นลิ้นแทนที่แตะลงบนความโป่งพองนั้น ฤทธิชาติปลดกางเกงในของนิลออกด้วยปากแล้วฝากรอยรักไว้จนเต็มต้นขาด้านใน เขาจ้องตานิลอยู่ครู่หนึ่งแล้วคว้าเอาท่อนเนื้อสีแดงกล้ำมาประคองไว้ด้วยมือพร้อมกับนวดมันไปด้วย ลิ้นสากแตะลงบนปลายยอดแล้วค่อยๆกลืนกินมันเข้าไปโดยไม่คิดจะสวมเครื่องป้องกันใดๆ ฤทธิชาติคลายมันออกก่อนจะครอบครองมันไปใหม่สลับกันไปอยู่อย่างนั้น
“ฮึก ชาติ อึก ปล่อย ปล่อยมือกู”
ชายหนุ่มยิ้มรับแต่กลับไม่ทำตามคำขอ เขาอมนิ้วของตัวเองเสียจนชุ่มแล้วป้ายมันลงบนปากทางที่เคยเข้าไปสำรวจมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นายตำรวจใช้ปลายเล็บสะกิดบนกลีบเนื้อก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปจนมิดข้อ นิลที่ถูกปลุกอารมณ์เสียจนเริ่มไร้สติยั้งคิดแอ่นสะโพกของตัวเองขึ้นตามสัมผัสที่ล้วงล้ำ เขายกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดที่วางแขนอีกด้านจนฤทธิชาติสามารถเห็นเบื้องล่างของเขาได้ชัดเจน
ฤทธิชาติพอใจไม่น้อยกับกริยาลืมอายของคนตรงหน้า เขางอนิ้วของตนพร้อมกับคว้านไปด้านในเป็นจังหวะสลับกับส่งให้ลึกขึ้นเพื่อสัมผัสกับความไวประสาทด้านในเรียกเสียงครางของนิลได้เป็นอย่างดี จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม นายตำรวจหนุ่มมองช่องทางด้านหลังของนิลที่เริ่มปรับตัวจนเปิดสามารถรับวัตถุแปลกปลอมไว้ได้จนน่าพอใจ
นายตำรวจหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วปลดกางเกงขายาวของตนออก นิลที่หอบจนตัวโยนปรือตามองความใหญ่โตของอีกฝ่ายด้วยความต้องการ ไม่ใช่เวลามาเล่นตัว อารมณ์ที่ถูกจุดขึ้นทำให้เขาหลงลืมไปแล้วว่าคนตรงหน้าไร้เหตุผลมากแค่ไหน ชายหนุ่มเดินไปหยิบเจลหล่อลื่นมาจากในห้องนอนแล้วบีบมันลงบนความเป็นชายของตนโดยมีนิลคอยช่วยละเลงมันด้วยมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่
“ถ้าปกตินิลอ้อนผมอย่างนี้บ้างก็คงจะดี”
“ใครอ้อนมึง อึก รับผิดชอบกูซะ”
“ฮ่าๆ แบบนี้แหละครับที่เรียกว่าอ้อน”
ฤทธิชาติฉุดนิลให้ลุกขึ้นแล้วทิ้งร่างของตนลงบนเก้าอี้แทน นักเขียนหนุ่มมองมือที่สาวท่อนเนื้ออยู่พักหนึ่งก่อนจับตั้งเป็นลำราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง นักเขียนหนุ่มกัดฟัน เขาหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วค่อยๆย่อตัวลงจนช่องทางที่ถูกเตรียมจนนุ่มพอดีสัมผัสลงบนความแข็งขืนนั้น
“อ๊า ชาติ ฮึก”
“ค่อยๆนะครับ อึก อย่างนั้นแหละ”
สะโพกของนิลค่อยๆกดลงมารับกลางกายของฤทธิชาติเข้าไป เขาแทบจะดึงตัวเองออกเพราะความคับแน่นที่เกินกว่าจะทนทำต่อไปได้แต่นายตำรวจหนุ่มก็ไม่ปล่อยให้เขาทำอย่างที่หวัง ฝ่ามือหยาบทั้งสองข้างประคองสะโพกของเขาไว้แล้วดึงเข้าหาตัวพร้อมกับสวนตัวเองขึ้นจนนิลแทบพูดไม่ออก ฤทธิชาติมองภาพตรงหน้าด้วยความพอใจ เขาเอนตัวเข้าหานิลแล้วใช้ฟันคมขบไปตามแนวสันหลังของอีกฝ่ายจนปรากฏรอยแดงเป็นหลักฐานของแรงอารมณ์
“อ๊าาาาา ฮึก จุก!”
นิลร้องเสียงหลงเมื่อตนสามารถรับฤทธิชาติไว้ได้ทั้งหมด คนตัวโตยกมือขึ้นปาดน้ำตรงหางตาอีกฝ่ายออกให้ก่อนเปลี่ยนมาเป็นลูบคลำบริเวณท้องน้อยที่มีไรขนรำไรขึ้นให้เห็น เขานวดมันเบาๆพร้อมกับสะโพกที่ที่ขยับเข้าออกด้วยจังหวะช้าเนิบนาบแต่มันกลับยิ่งปลุกความต้องการของนิลให้โหมแรงขึ้นอีก
“ชาติ ฮึก แรงๆ ขะ ขยับสิ”
“หึหึ นี่ผมทำโทษนิลอยู่นะ อ่า.. ขยับเองสิครับ”
“มะ มันไม่ถนัด อื้อ ชาติ ขยับ ฮึก ให้ที”
“ไม่ได้ครับ นิลนั่นแหละ ขยับซะ”
ร่างสูงหน้างอเพราะคำสั่งนั้นแต่ก็ยอมขย่มท่อนเนื้อของอีกฝ่ายเพราะไม่อาจรอคอยได้นานกว่านี้ เสียงกระทบกันของกุญแจมือและเนื้อไม้ดังคลอไปคู่กับเสียงเฉอะแฉะจากกิจกรรมเบื้องล่างและเสียงครางหวานหูของนิล สะโพกสอบขยับระรัวโดยต้องใช้มือทั้งสองข้างจับที่วางแขนไว้แทนหลักยึดทำให้เจ้าตัวรู้สึกปวดหนึบเพราะไม่อาจชักนำตัวเองได้อย่างเคย
“ชาติ ช่วยที อ๊ะ กูปวด”
“ปวดตรงไหน อื้อ ตรงนี้หรอ”
คนชอบแกล้งลูบเบาๆบนลำน้ำที่สั่นระริก นิลครางต่ำเมื่อส่วนนั้นโดนสัมผัสแต่ก็ยังไม่สมใจพอจึงต้องเอนศีรษะไปทางด้านหลังแล้ววางมันลงบนซอกคอของอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน
“นะ กูไม่ไหวแล้ว ฮึก ชาติ”
“งั้นสัญญาก่อน ว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก อ่า ตกลงไหม”
“แต่กูไม่ผิด อ๊า ชาติ อย่าแกล้ง”
“อย่าทำให้ผมหึงอีก เข้าใจไหม...”
“อ๊าาาา!”
ฤทธิชาติพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำแล้วตบสะโพกสวนเข้าไปจนนิลต้องร้องเสียงหลง นักเขียนหนุ่มรีบพยักหน้าระรัวแล้วหันไปจูบตามสันกรามของคนคุมเกมอย่างเอาใจ แม้ในหัวจะยังนึกสาปแช่งอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม
“ไม่ทำแล้ว อึก ชาติ ช่วยที อ่า..”
“ดีมากครับ...อย่าดื้ออีกนะรู้ไหม”
เขาคว้าเอากลางกายของนิลมาจับไว้แล้วออกแรงสาวไปพร้อมๆกับลำเนื้อของตนที่ถูกกลืนกินโดนช่องทางรักของอีกฝ่าย นักเขียนหนุ่มครางเสียงหลงด้วยเพราะจังหวะที่เร็วระรัวตามแรงอารมณ์ที่โหมขึ้นสูงกันทั้งสองฝ่าย นิลปล่อยมือออกมาข้างหนึ่งแล้วโอบรอคอของคนเบื้องล่างไว้ ก่อนจะคว้ามาจูบเพื่อระบายความกระสันโดยที่ฤทธิชาติเองก็ตอบสนองกลับไปด้วยความพอใจที่ไม่ต่างกัน
“ฮ๊า ชาติ ใกล้แล้ว”
“อื้อ พร้อมกันนะครับ อ่า อีกนิด”
ฤทธิชาตประคองทั้งสะโพกและส่วนกลางลำตัวของนิลไว้มั่นแล้วขยับทั้งรัวและแรง ร่างสูงหวีดร้องเขาเริ่ดหน้าขึ้นพร้อมกับสติที่เริ่มหลุดลอยไปเมื่อรู้สึกถึงความอัดแน่นข้างในกำลังจะปะทุออกมา แล้วในจังหวะสุดท้ายก่อนที่หยาดน้ำขาวขุ่นจะไหลเปื้อนกายของทั้งสองคนฟันคมของนายตำรวจก็ฝั่งลงบนท้ายทอยขาวของคนที่ตนหลงใหลเข้าเต็มแรง
“อ๊าาาา! ชาติ ฮึก เจ็บ!”
“นิลสัญญากับผมแล้วนะครับ...สัญญาแล้วนะ”
“อื้อ อึก อย่าเพิ่งขยับ อ่า”
“ผมไม่อยากใจร้ายกับนิลเลยจริงๆนะ...เชื่อผมสิ”
นายตำรวจหนุ่มว่าดังนั้นแล้วหยิบเอากุญแจที่วางอยู่ไม่ไกลมาปลดปล่อยข้อมือที่ถูกบาดจนเป็นแผล เขากดจูบบนขมับของคนที่มองมาอย่างตัดพ้อแต่ดวงตาดื้อรั้นที่มีน้ำตาคลอคู่นั้นกลับทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก ร่างกายที่แข็งแกร่งลุกขึ้นก่อนจะประคองอีกคนไว้ในอ้อมแขนแล้วพาเข้าไปยังห้องนอนที่ไม่ได้ถูกใช้งาน เขาวางร่างของนิลลงบนนั้นก่อนจะนาบร่างของตนตามลงไปพร้อมกับกองไฟที่ถูกพัดโหมขึ้นอีกครั้ง
.
.
.
.
.
.
.
.
เสียงดังก๊อกแก๊กจากนอกห้องเรียกให้สติที่เลือนรางของนิลกลับคืนมา ความอบอุ่นบนผ้าปูที่นอนข้างๆตนทำให้เขารู้ว่าคนที่สร้างความเหนื่อยล้าให้ร่างกายตนตลอดคืนเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน ร่างสูงพยายามยันกายขึ้นแม้เบื้องล่างจะปวดหนัก ยังดีที่ฤทธิชาติจัดการทำความสะอาดให้เขาก่อนจะหลับไปไม่อย่างนั้นความโกรธเคืองอีกฝ่ายที่ทำรุนแรงกว่าทุกครั้งคงมากกว่านี้อยู่มากโข
“ไอ้ชาติแม่ง ดุยิ่งกว่าหมา ถึกอย่างกับควาย ฝันไปเหอะมึงว่ากูจะยอมยกโทษให้ง่ายๆ”
นักเขียนหนุ่มสบถอยู่นานสองนานก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่เจ้าของห้องนำมาวางไว้ให้ตรงหัวเตียงมาหยิบขึ้นดูก่อนจะพบว่าในระหว่างที่เขากำลังทำอะไรต่อมิอะไร ได้มีเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่เคยถูกบันทึกไว้แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จำได้ดีว่าเป็นใครพยายามติดต่อเขามาถึงห้าครั้ง
ชายหนุ่มกดโทรกลับในทันทีโดยที่พยายามลุกขึ้นยืนไปด้วย เขาควานหาผ้าเช็ดตัวที่ปกติผู้หมวดหนุ่มมักจะมีแขวนไว้ใกล้ๆมาถือไว้แล้วเปิดประตูออกไปข้างนอกจนสายตาปะทะเข้ากับแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว
“สวัสดีครับคุณนิล”
เสียงแหบของนักสืบเอกชนที่เขาเคยจ้างวานให้สืบเรื่องบางอย่างดังขึ้นด้วยลักษณะที่กวนประสาทไม่ต่างจากเคย นิลแสยะยิ้มโดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็นเพราะนึกขันในความหลงตัวเองของทางนั้นที่ทำเหมือนว่าเก่งเสียเต็มประดาแต่กลับไม่เคยคว้าข้อมูลดีๆกลับมาให้เขาเลย
“ครับ โทรมามีอะไร”
“ผมจะบอกความคืบหน้าของเรื่องที่ให้ไปสืบ”
“คราวนี้อะไรอีกล่ะ ทางหนังสือพิมพ์ไม่ให้ข้อมูล หรือติดต่อไปที่ตัวแทนโครงการปลูกป่าไม่ได้”
“ดูถูกกันน่าดูเลยนะครับ แต่คงต้องบอกว่าคราวนี้คุณคิดผิด”
รอยยิ้มของนิลคลายลงเมื่อรู้สึกได้ถึงชัยชนะที่อีกฝ่ายสื่อออกมาทางน้ำเสียง เขาชำเลืองมองฤทธิชาติอยู่ครู่หนึ่งแต่ดูเหมือนคนตัวโตจะยังไม่ทันสังเกตว่าเขาออกมาจากห้องแล้วจึงถามออกไปด้วยเสียงที่ค่อยลง
“คุณรู้อะไรมา”
“เรื่องผู้ชายที่ตามเพื่อนคุณอยู่”
“...!!!”
“ผมยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นใคร แต่ดูจากพฤติกรรมมันไม่หวังดีแน่ๆ..."
“มันเป็นใคร...”
“บอกแล้วว่าผมไม่ทราบ แต่ถ้าได้ข้อมูลเพิ่มเมื่อไหร่จะติดต่อไปทันที”
“...”
“ระวังตัวให้มากนะครับ เขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”
“ตื่นแล้วหรอครับนิล”
นักเขียนหนุ่มรีบกดตัดสายทันทีที่เสียงของคนตัวโตจะดังขึ้นจากทางด้านหลัง เขารีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึงแต่ก็ยังรอรับจุมพิตของอีกฝ่ายอย่างไม่เกี่ยงงอน ทำเหมือนกับว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้รับรู้เรื่องคอขาดบาดตายอะไรทั้งนั้น
“ตื่นแล้วสิ กูคงละเมอเดินมามั้ง”
“ฮ่าๆ ตื่นมาก็ร่าเริงเหมือนเดิมเลยนะ”
“ร่าเริงห่าอะไร กูโกรธมึงนะเนี่ยรู้ตัวไหม ทำเหี้ยอะไรไม่มีเหตุผล”
“เหตุผลน่ะมีครับ บอกไปแล้วด้วยหรือว่าต้องให้ย้ำ”
“แบบนั้นกูไม่เรียกว่าเหตุผล กูแค่คุยกับเขาเรื่องหนังสือเฉยๆมึงนั่นแหละที่บ้า หึงห่าไปเรื่อยไม่ได้ดูเจตนากูเลย”
“ครับๆ ไม่เถียงก็ได้...แต่ก็อย่าให้เกิดขึ้นอีกนะ”
ฤทธิชาติยิ้มให้พร้อมกับลูบหัวกลมของนิลไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็ยังสังเกตเห็นแววตาร้ายกาจแบบเดียวกับเมื่อวานปรากฏอยู่ครู่หนึ่ง
“กูชักจะกลัวมึงแล้วนะชาติ ต่อไปถ้าคบกันมึงไม่ฆ่ากูหมกห้องเลยหรอวะ"
“บอกแล้วนี่ครับว่าผมไม่อยากใจร้ายกับนิล ไม่ทำหรอก คิดมากน่ะ”
“ไม่ได้คิดมาก เขาเรียกประสบมากับตัวเลยแหละ”
คนตัวโตหัวเราะร่าอย่างชอบใจก่อนจะฉุดให้นิลลุกขึ้นแล้วพาเดินไปยังโต๊ะกินข้าวที่มีอาหารสองสามอย่างวางไว้พร้อมกับข้าวสวยที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งห้อง นิลมองภาพตรงหน้าแล้วลอบกลืนน้ำลาย ตั้งแต่ทานของว่างไปในร้านกาแฟเขาก็ไม่ทานอะไรอีกเลยจึงไม่แปลกใจที่กับข้าวธรรมดาๆของนายตำรวจหนุ่มจะยั่วน้ำลายได้ถึงเพียงนี้ เขารีบเดินไปที่นั่งประจำของตนในขณะที่เจ้าของห้องก็นั่งลงบนที่ของตัวเองไปเรียบร้อย ผิดกับร่างสูงที่พอเห็นเก้าอี้ที่เปลี่ยนไปก็ถึงกับชะงัก
“นี่มันอะไรกัน”
“เก้าอี้ไงครับ มันก็เข้ากับชุดโต๊ะตัวนี้ดีเลยเอามาแทนของเก่า ไว้ว่างๆเราไปซื้อตัวที่เหลือมาด้วยดีไหม ผมชอบนะ”
“แต่กูไม่ชอบ!”
“ทำไมไม่ชอบล่ะ แข็งแรงดีออกนะ...นิลว่าไหม”
ฤทธิชาติเอ่ยยิ้มๆแล้วตักข้าวเข้าปากโดยไม่คิดรอคนที่ยืนมองมาอย่างกระฟัดกระเฟียด ภาพความทรงจำจากทั้งที่ร้านและความร้อนแรงที่เกิดขึ้นย้อนกลับมาจนใบหน้าหล่อเหล่าขึ้นสีแดงจัด นิลทั้งรู้สึกอับอายและทั้งโมโห ยิ่งเห็นท่าทางชอบอกชอบใจของเจ้าของห้องที่ทำหน้าซื่อยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ จนต้องเตะมันเข้าเต็มแรงเพื่อระบายความแค้น
โครม!!
“เชี้ยแม่ง! ตีนกู!!!”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
โฮกกกกกกกกกกกกกกกก ฉากอัศจรรย์ของคู่รองรีลีสแล้วคับบบบ :heaven เหนื่อย!!!! และคิดว่ามันแอบปวงๆ คู่นี้ไม่SMนะ แค่คุณตำรวจชอบแกล้งนิลของเช่เท่านั้นเอง :hao6: :m25: เอามาให้หายคิดถึงบ้าง เป็นคู่รองที่มีไว้ดำเนินเรื่องให้คู่หลักจริงๆนะเลยต้องเรียกเรตติ้งกันหน่อย ตอนนี้NCมันออกมาสามฉากแล้ว แอบกลัวเหมือนกันว่าเช่อยากจะขายแต่ฉากอย่างนี้ ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ คือถ้ามันจะมีก็มีอะ ไม่ได้เน้นอะไรหรอก อ่านกันขำๆใครไม่ชอบก็ข้ามไปเช่ไม่ซีเรียสนะ (แต่เช่ว่าคงชอบแหละ55) :-[
ชลบุรีฝนตกหนักมากกกกกกก :really2: เมื่อวานเช่ต้องเดินถอดรองเท้ากลับหอ คือไม่หัวทิ่มไปก่อนก็ต้องเสี่ยงว่าจะไปเหยียบอะไรจนเลือดอาบ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ :hao5: ทรหดมากเลยชีวิต งานก็เยอะ ขี้เกียจก็ขี้เกียจเลยหนีความจริงมาเขียนนิยาย (ที่เห้นบอกว่างานเยอะแล้วมาอัพได้นี่ไม่ใช่อะไรนะคับ เช่ใช้นิยายหนีความจริง ทำให้เหมือนตัวเองว๊างว่าง555) :katai3:
เรื่องหนังสือคำนวนราคาคร่าวๆแล้วแต่ยังไม่ประกาศเพราะจำนวนหน้าที่เขียนยังไม่แน่นอน แต่คิดว่าอีกไม่เกินสองตอนจุดพีคสุดของเรื่องจะดำเนินมาถึงแล้วคับ ความลับที่ถูกปิดไว้เผยออกมาแล้ว ส่วนคนที่จ้องรัณย์กาลตอนที่แล้วนี่เดากันไปเถอะ 5555 คนอ่านของเช่นี่เก่งขึ้นทุกวัน =w= แหะๆ ตอนหน้าก็เฉลยแหละ :z13:
ป.ล.ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตแล้วทุกคนที่เข้าไปตอบโพลนะคับ ใครที่ยังไม่เข้าไปตอบก็เข้าไปตอบเลย เก็บข้อมูลกันยาวๆ แบบปกคร่าวๆออกมแล้วดูได้ในแฟนเพจ ตัวจิบิน่าจะได้ยลกันเดือนพ.ย. เพราะน้องคนวาดติดสอบคับ ^^ รับรองน่ารักมาก เช่รับประกัน ตอนหน้ากลับมาอยู่กับรัณย์กาลเหมือนเดิม คิดถึงพี่กาลแล้ว ฮือออออออ อยากแกล้งๆๆๆ =3= :z2:
-
โอ้ยยยย คู่นี้มาแรงแซงทางโค้งมากค่า
กุญแจมือกับเก้าอี้คืออะไรรรร ยิ่งเจอการเขียนแบบบรรยายเห็นภาพซะเขินเลย
นิลแอบน่ารักนะ ตอนสุดท้าย อดทนรอปมถูกคลายแบบไม่ไหวจะเคลียร์เลย
-
ค้างมากค้าาาาา คูรองแซ่บไม่แพ้กันเลยนะครัช :jul1:
:กอด1: ส่งกำลังให้คนเขียน
มาต่อไวไวนะค้าาาา :mew1:
-
โหวววววววววววววววววววววววววว
คู่รองนี่แซ่บมากอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao6: :hao6: :hao6:
สนุกขึ้นเรื่อยๆๆๆ เหลือปมของปูน ปูนจะมาดีหรือมาร้ายเนี่ย
รอๆๆๆๆๆ
:3123: :3123: :3123:
-
เริ่มแระสินะ คลื่นใต้น้ำ
-
มาติดตามผลงาน....ด้วยคนค่ะ!!!!!!
-
38th Night
…As Same As...
“มึงดูง่วงๆนะนิล เมื่อคืนไม่ได้นอนหรอวะ”
รัตติกาลถามเพื่อนที่เอาแต่หาวทั้งที่หนังที่เจ้าตัวบ่นว่าอยากดูนักหนากำลังเข้าสู่จุดไคลแมกซ์ของเรื่อง นิลส่ายหน้าแต่กลับล้มตัวลงนอนบนตักแข็งๆขอนคนที่ไถ่ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“ป่าว กูแค่เพลีย”
“ไปทำอะไรมาถึงเพลียวะ”
“ปั่นต้นฉบับไง ยัยเจ๊คนใหม่นั่นจิกกูยิกๆเป็นไก่เลยสัด กูก็บอกแล้วว่าติดช่วยงานมึงอยู่จะส่งช้า ไม่รู้มีหูไว้แอบฟังเรื่องชาวบ้านอย่างเดียวรึไง”
ร่างโปร่งหัวเราะออกมาก่อนจะกดเปลี่ยนช่องกลับไปดูทีวีธรรมดาเพราะดูเหมือนว่านิลจะเหนื่อยเกินกว่าจะจดจ่ออยู่กับหนังต่อไปได้
“ถ้าเพลียขนาดนี้ทำไมไม่นอนอยู่ห้องวะ ความจริงมึงไม่ต้องมาก็ได้”
“ได้ไงอะ รับปากไว้แล้วนี่หว่า”
นิลบอกไปตามความจริงก่อนจะหาวจนปากกว้างแต่ก็แอบนึกเสียดายในใจที่ไม่ได้นอนซุกผ้าห่มหนาๆหลังจากปั่นต้นฉบับเสร็จอย่างเคย แต่ก็เพราะวันเกิดของรพีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าทำให้ทางนี้ต้องเตรียมการอะไรหลายอย่าง มันคงไม่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรถ้าหากมันไม่ใช่การจัดงานวันเกิดครั้งแรกอย่างเป็นทางการ แต่ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นเพราะปีนี้เป็นปีแรกที่รพีจะได้ฉลองกับรัตติกาล
“แล้วนี่ไอ้รัณย์มันไปไหนวะ นัดกันไว้เที่ยง นี่ปาไปบ่ายโมงแล้วยังไม่โผล่หัว”
“มันไม่ว่าง วันนี้ก็มีแค่มึงกับกูนี่แหละ”
รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างเคยแต่นิลก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผิดหวังเล็กๆในนั้น
“แล้วก็ไม่บอก ปล่อยให้กูนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ได้”
“กูดูมึงเหนื่อยๆเลยคิดว่าจะไม่ไปแล้ว”
“ไอ้กาล กูอุตส่าห์แหกขี้ตามาบ้านมึงเมื่อให้มึงไล่กูกลับไปนอนอีกเนี่ยนะ ไม่เอาเว้ย ลุกๆ ไหนๆก็มาแล้วก็จัดการกันให้เสร็จ”
ร่างสูงดีดตัวขึ้นยืนก่อนจะฉุดรัตติกาลที่เอาแต่นั่งนิ่งให้เดินตามกันมา รถยนต์ส่วนตัวของนิลถูกใช้เป็นยานพาหนะพาทั้งคู่ไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งใหญ่ ที่เดียวกับที่นิลและชาติมาเลือกของด้วยกันเมื่อหลายวันก่อน นักเขียนหนุ่มมองตึกใหญ่โตตรงหน้าที่พาลให้นึกถึงความทรงจำแสนแซบทรวงนั้นแล้วได้แต่ทำสีหน้าแหยเกไม่ชอบใจจนรัตติกาลที่นั่งอยู่ข้างๆต้องทักออกมา
“เป็นไรวะ”
“เปล่า...แค่นึกถึงเรื่องแย่ๆน่ะ”
นิลรีบบอกปัดก่อนจะหักพวกมาลัยเลี้ยวเข้าไปในอาคารจอดรถที่แทบไม่เหลือที่ว่าง พวกเขาขับวนอยู่พักหนึ่งก่อนจะได้ที่จอดซึ่งห่างไกลจากประตูห้างพอสมควรแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพื่อนรักทั้งสองคนพากันเดินเข้าไปข้างในตัวอาคารที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำและคลาคล่ำด้วยผู้คนเช่นเคย
“นอกจากเรื่องอาหารที่ป้าจันทร์เตรียมให้แล้ว เราต้องซื้ออะไรอีกวะ”
“กู...อยากทำบุญวันเกิดให้รพี”
ร่างสูงหันมาเลิ่กคิ้วแทนคำถามเพราะสิ่งที่รัตติกาลพูดมามันห่างไกลจากจินตนาการของเขาอยู่มากโข แค่เรื่องที่รัตติกาลยอมให้จัดงานวันเกิดลูกชายมันก็เหลือเชื่อจะแย่แล้วแต่นี่ถึงกับจะจัดเป็นงานมงคล แสดงว่าเพื่อนของเขาคงต้องมีเหตุผลบางอย่าง
“ทำไมอยู่ดีๆถึงอยากทำ มีอะไรที่มึงไม่ได้บอกกูรึเปล่ากาล”
“ไม่มีอะไรหรอก...จริงๆแล้วกูก็ทำอยู่ทุกปีนั่นแหละ”
รัตติกาลถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินต่อไปโดยมีนิลขนาบข้างไม่ห่าง ท่ามกลางผู้คนที่เดินส่วนกันไปมาเขารู้ดีว่าคงไม่มีใครสนใจฟังเรื่องของพวกเขา นั่นทำให้ร่างโปร่งกล้าที่จะเอ่ยปากแม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับนิลตามลำพังโดยเลือกที่จะบอกความจริงเพียงส่วนหนึ่งและละความไม่สบายใจเกี่ยวกับนทีที่เขาพบเจอเอาไว้
“มึงก็รู้ว่าวันนั้นนอกจากเป็นวันเกิดรพีแล้วมันยังเป็นวันอะไร”
“...วันที่สองคนนั้นตาย”
“ใช่...มันคือวันที่เด็กคนนั้นสูญเสียพ่อแม่ของตัวเองไปโดยไม่ได้รู้ความจริง”
ร่างโปร่งเค้นยิ้ม ในทุกๆปีที่วันแห่งความทรงจำนั้นเวียนมาถึงเขาไม่เคยบังคับใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับรพีได้เลยสักครั้ง รัตติกาลมักจะหลบหน้าผู้คนไปในที่ที่ไม่มีใครหาพบเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามและมอมเมาตัวเองเพื่อให้ผ่านพ้นคืนนั้นไปโดยไม่ต้องทรมาน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน คือหลังจากลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันถัดไปสิ่งหนึ่งที่เขาทำมันทุกครั้งคือการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนที่ตัวเองบอกว่าเกลียดที่สุด
“มึงจะบอกรพีเรื่องพี่ทีกับพี่แพงหรอ”
“...ไม่ รพีจะไม่มีวันรับรู้เรื่องนั้น”
นิลขมวดคิ้วเพราะขณะที่รัตติกาลพูดประโยคนั้นเจ้าตัวกลับระบายยิ้มออกมาราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะทำ
“แต่ถึงอย่างนั้น...กูก็อยากให้เด็กนั่นตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ของตัวเองบ้าง”
“เลยจะให้จัดเป็นทำบุญวันเกิดแทนสินะ”
“อืม...เรื่องบางเรื่องมันก็สมควรถูกฝังไว้ตลอดไป”
“มึงคงคิดมาดีแล้วสินะ”
“อืม กูตัดสินใจแล้ว”
รัตติกาลพยักหน้า เขายิ้มให้เพื่อนรักที่กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกัน นิลมองคนตรงหน้าแล้วได้แต่นึกขอบคุณอารัณย์อยู่ในใจที่ทำให้คนที่ครั้งหนึ่งเคยจมอยู่กับความแค้นจนมันกัดกินตัวเองค่อยๆลืมตาตื่นแล้วก้าวเดินออกมาจากวังวนนั้นได้
“ให้ตายสิ มึงเป็นไปได้ขนาดนี้เพราะมันสินะ หมั่นไส้ชะมัด ขนาดกูเป็นเพื่อนรักมึงแต่กลับไม่เคยเปลี่ยนใจมึงได้ ไอ้รัณย์แม่งเข้ามาแปปเดียวกลับทำได้ง่ายๆ”
“ไม่ง่ายหรอก มึงจำไม่ได้รึไงว่าตอนเจอกันครั้งแรกกูเกือบกระทืบมันตาย”
“นั่นสินะ จะว่าไปมันเหมือนเป็นคนที่ฟ้าส่งมาให้พวกมึงสองพ่อลูกเลยนะ”
ร่างโปร่งยิ้มกริ่ม จุดๆนี้เขาก็คิดไม่ต่างจากเพื่อนรัก เขาเคยถามตัวเองว่าถ้าวันนั้นอารัณย์ไม่เดินผ่านแค้มป์คนงานพวกเขาตอนนี้จะเป็นยังไง รพีอาจจะตายตั้งแต่วันนั้น และเขาอาจจะต้องจมอยู่กับตราบาปและความเศร้าที่ไม่มีทางรักษา เพราะอย่างนั้นเขาถึงรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทำให้เขาได้เจอคนคนนี้ไม่ว่ามันจะเป็นพรหมลิขิตหรือแค่ความบังเอิญก็ตาม
“แต่ที่แม่งเบี้ยวไม่มาวันนี้ก็มีความผิดอยู่ดี กลับมาเมื่อไหร่ต้องเล่นแม่งให้หนัก มึงว่างั้นไหม”
“เออ อันนี้กูก็ว่าถูก”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันก่อนจะหัวเราะร่าออกมาจาคนรอบค้างเหลือบมามอง รัตติกาลและนิลช่วยกันหาซื้อชุดจานและของที่จำเป็นชุดใหม่เพื่อที่จะได้สะอาดพอสำหรับการนำมาใช้ในงานพิธี พวกเขาเดินเลือกของกันมาเรื่อยๆในส่วนที่หนักเกินจะถือไหวร่างโปร่งก็ใช้บริการขนส่งแม้จะต้องบวกค่าบริการเพิ่มไปหน่อยก็ตาม
“ไอ้กาล พักหาไรแดกก่อน หิวจนตาลายแล้วสัด อยากวางของนี่ด้วย”
รัตติกาลมองสองมือที่เต็มไปด้วยข้าวของของทั้งตัวเองและนิลแล้วนึกเห็นด้วยในคำพูดนั้น พวกเขาเดินกันมาอีกนิดหน่อยก่อนจะเลือกเข้าไปในร้านอาหารไทยประยุกต์ชื่อดังที่มีจำนวนลูกค้าพอประมานในช่วงตอนบ่ายเพราะไม่อยากจะต้องรอคิวนานมาก ทันทีที่ก้นแตะพื้นเก้าอี้ นิลก็ครางฮือในลำคอออกมาอย่างพอใจจนรัตติกาลนึกขัน เขาสั่งกับข้าวเผื่อเพื่อนตัวดีที่หมดแรงข้าวต้มไปสองสามอย่าง แล้วสั่งน้ำดื่มสมุนไพรมาสองแก้ว โดยที่ไม่คิดถามความเห็นนิลก่อน
ทันทีที่กับข้าวถูกวางลงบนโต๊ะ นิลก็ลงมือกินโดยทำเหมือนกับตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่ร้านอาหาร เหล่าลูกค้าสาวๆต่างก็มองมาที่โต๊ะของทั้งสองคนด้วยความพึงใจ คนหนึ่งดูเข้าถึงง่าย สบายๆ พูดไปหัวเราะไปไม่หยุด ในขณะที่อีกคนหนึ่งก็น่าค้นหา ใบหน้าได้รูปนั้นอมยิ้มน้อยๆขณะฟังเพื่อนร่วมโต๊ะสนทนาทำเอาผู้คนนึกหลงใหลในความสุขุมนั้น นิลหยิบยกเรื่องของผู้จัดการคนใหม่ขึ้นมาพูดคุยอย่างถึงพริกถึงขิง แต่ในขณะที่เขากำลังจะเล่าถึงความจุกจิกของเจ้าหล่อน ตอนนั้นเองร่างสูงก็หยุดปากลงแล้วมองออกไปด้านนอกร้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ไอ้กาล นั่นมันเด็กเก่ามึงใช่ไหมวะ”
“เด็กกู?”
รัตติกาลขมวดคิ้วแล้วหันกลับไปมองทางด้านหลัง ภาพของเด็กหนุ่มที่เขาคุ้นเคยดีกำลังเดินเคียงข้างมากับผู้ชายร่างสูงใหญ่ในชุดทำงานแบบไม่เป็นทางการมากนัก ปูนหันไปคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายน้อยๆก่อนจะเดินเคียงข้างกันไปโดยมีเพียงหลังมือที่สัมผัสโดนกันเวลาเดิน รัตติกาลเผลอปล่อยช้อนในมือลงกระทบจานจนเกิดเสียงดัง เช่นเดียวกับใบหน้าที่เคยทอประกายความสุขกลับขุ่นเคืองขึ้นมาดื้อๆ
“เด็กนั่น...”
“ไอ้กาล มึงจะทำอะไร”
นิลคว้าเอาแขนของร่างโปร่งที่ลุกขึ้นยืนทันทีที่สองคนนั้นเดินลับสายตาไป นักเขียนหนุ่มดึงให้เพื่อนรักนั่งลงตามเดิมพร้อมกับจ้องไปในดวงตาสีดำคู่นั้นเพื่อปรามอารมณ์ที่ถูกจุดขึ้นสูงของรัตติกาล
“มึงเป็นเหี้ยอะไร จะไปทำอะไรน้องมัน”
“กูเปล่า...”
“อย่าโกหกกูไอ้กาล ท่าทางเมื่อกี้มึงคงหวังจะเดินไปทักเขาเฉยๆมั้ง”
รัตติกาลสะบัดหน้าที่รู้สึกชาไปทั้งแถบหนีไปทางอื่นพร้อมกับพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ นิลมองดูคนตรงหน้าที่อยู่ในสภาพไม่สู้ดีเท่าไหร่ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพอจะประติดประต่อเรื่องราวได้
“มึงอย่าบอกกูนะว่ายังไม่ได้เลิกกับมัน”
“...”
“สัสเอ้ย...กูล่ะปวดหัวกับพวกมึงจริงๆ”
นิลยกมือขึ้นกุมขมับเพราะไม่คิดว่าเรื่องทุกอย่างจะดำเนินมาแบบนี้ เอาจริงๆเขาไม่คิดว่ารัตติกาลจะพลาดไม่จัดการกับเด็กคนนั้นให้เรียบร้อยก่อนตกลงคบกับอารัณย์ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาร่างโปร่งไม่เคยปล่อยให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น
“โอเค กูเข้าใจแล้ว...ไอ้กาล สิ่งที่มึงต้องทำมีแค่อย่างเดียว คือเลือกระหว่างเด็กนั่นกับไอ้รัณย์...มึงจะเลือกใคร”
รัตติกาลสามารถตอบได้โดยไม่ต้องคิดว่าคนที่เขาจะเลือกคืออารัณย์แต่เพราะความรู้สึกด้านมืดลึกๆมันกลับทำให้เขาไม่สบอารมณ์เอาซะเลยเมื่อต้องเห็นคนที่ครั้งหนึ่งเคยเทิดทูนเขาแทบตายกลับไปทำสิ่งนั้นกับคนอื่นทั้งที่เราสองคนยังไม่ตัดสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ...เสียหน้า...รัตติกาลกำลังรู้สึกแบบนั้น
“สมน้ำหน้า...”
ร่างโปร่งรีบเงยหน้าขึ้นทันทีที่มีเสียงประหลาดดังขึ้นข้างหู เขาหันไปมองรอบตัวก็ไม่เห็นว่าจะมีใครจนสบเข้ากับดวงตาคมของนิลที่มองมาอย่างงงๆ
“ไอ้นิล เมื่อกี้มึงพูดอะไรกับกูรึเปล่า”
“ก็พูดสิวะ กูบอกให้มึงเลือกระหว่างสองคนนั้นไง ได้ฟังกูบ้างไหมเนี่ย”
รัตติกาลขมวดคิ้ว สิ่งที่นิลสั่งเขาได้ยินมันอย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนที่เสียงประหลาดนั้นจะดังขึ้น มันแห้งเหมือนคนขาดน้ำแต่กลับฟังดูเย้อหยันเสียจนน่าขนลุก
“เป็นอะไรอีกวะ ทำหน้ายังกับเห็นผี”
“ปะ เปล่า กูไม่เป็นไร”
“งั้นมึงตอบกูได้รึยังว่าจะเอายังไง อย่ามาทำสันดานอย่างนี้นะเว้ยไอ้กาล ถ้ามึงเลือกไอ้รัณย์ก็เลิกยุ่งกับเด็กนั่น น้องมันจะไปมีเมียหรือมีผัวใหม่มึงก็ไม่มีสิทธิไปว่าเขา ถึงแม้ตอนนี้มึงจะยังไม่ได้บอกเลิกกันเด็ดขาดแต่อย่าลืม...ว่ามึงก็นอกใจเขาเหมือนกัน”
นิลพูดด้วยเสียงกดต่ำก่อนเรียกพนักงานมาเช็คบิล ร่างโปร่งถอนหายใจทั้งหงุดหงิดเรื่องเสียงที่ว่าอีกทั้งยังไม่สามารถเถียงคำพูดของนิลได้สักประโยค เขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิดแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หยุดความผิดหวังของตัวเองไว้ไม่ได้
ทั้งสองคนเดินเลือกซื้อของกันต่อด้วยอารมณ์ที่ติดลบผิดจากขามา แม้ว่าความโกรธจะสงบลงแล้วแต่ความขุ่นมัวในใจก็ยังไม่จางหายไป ร่างสูงเห็นสภาพของเพื่อนแล้วก็ยิ่งเร่งมือซื้อของเพื่อที่จะได้พาคนเลือดร้อนไปส่งที่บ้านไวๆ แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่เคยรับฟังคำขอของนิลเลย
“อะ อื้อ อย่าครับ”
ร่างเล็กที่ยังคงสวมเสื้อผ้าครบชุดแต่กลับหลุดลุ่ยไม่เหลือสภาพเดิมกำลังบิดเร้าร่างของตนแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเอียงอาย แต่ทันทีที่ทำอย่างนั้นกลับเหมือนปูนเปิดโอกาสให้คนที่ยืนคร่อมตัวเองอยู่ก้มลงสูดความหอมตรงลำคอขาวที่ตัดกับเสื้อยืนสีเข้มนั้นได้เป็นอย่างดี
รัตติกาลกำหมัดแน่น เขาแทบจะโยนของทุกอย่างในมือทิ้งทันทีที่เห็นภาพตรงหน้าซึ่งเกิดอยู่ใกล้ๆกับรถของนิลที่จอดไว้ ตรงนี้เป็นมุมอับที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านทำให้มีพวกใจกล้ามักมาทำตัวลุ่มล่ามอยู่บ่อยๆแต่ร่างโปร่งกลับไม่นึกเลยว่า เด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมองว่าอ่อนหวานจะเป็นคนประเภทนั้นด้วย
“ฉิบหาย ไอ้กาลใจเย็นๆ!”
นิลสบถและร้องเสียงดังแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หยุดรัตติกาลเอาไว้ไม่ทัน ร่างโปร่งวางของในมือลงกับพื้นแล้วตรงดิ่งไปหาคนทั้งคู่ที่ยังคงไม่รู้ว่าบทรักของตัวเองได้ถูกคนนอกอย่างเขาเห็นเข้าแล้ว
รัตติกาลคว้าไหล่ที่กว้างพอๆกับตนแล้วกระชากเต็มแรงจนอีกฝ่ายผงะถอยหลัง ทันทีที่แยกสองคนนั้นออกจากกันได้เขาก็ใช้กำลังทั้งหมดผลักอกผู้ชายไม่คุ้นหน้าคนนั้นจนแผ่นหลังกระแทกเข้ากับตัวรถของนิลที่อยู่ใกล้ๆกันท่ามกลางเสียงร้องของปูนที่เพิ่งเห็นชัดๆว่าคนที่เข้ามาขวางตนคือใคร
“พะ พี่กาล...”
“นี่มันเรื่องอะไรกันวะ ปล่อยกูนะเว้ย!”
ร่างโปร่งตวัดสายตาไปมองร่างเล็กที่ยืนตัวสั่นแต่ก็ยังไม่คลายมือที่กดบ่าของชายอีกคนไว้ เขาจ้องมองปูนด้วยความผิดหวังระคนกับแค้นใจ โดยไม่คิดจะปกปิดอารมณ์ครุกรุ่นในน้ำเสียงของตนเองเลยแม้สักนิด
“ปูนทำแบบนี้ได้ยังไง...ทำอะไรลงไปห๊ะปูน!!!”
“ไอ้กาล ปล่อยเขาก่อน ใจเย็นๆสิวะ!”
นิลซึ่งตามมาที่หลังดึงแขนของรัตติกาลออกจากชายร่างใหญ่คนนั้น ที่ทรุดลงไปหายใจหอบกับพื้นแล้วหันมามองเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอย่างคาดโทษ มันสบถแล้วกรนด่าในสิ่งที่ไม่มีใครนอกจากปูนที่เข้าใจก่อนจะเข้ามาแย่งของบางอย่างคืนไปจากร่างเล็ก
เด็กหนุ่มขืนสู้อยู่พักหนึ่งโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆจากรัตติกาลแต่ด้วยสรีระที่ต่างกันมาทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ยืนเยื้อจนเกินไป ชายคนนั้นผลักปูนจนล้มลงไปกองกับพื้นก่อนจะวิ่งหนีหายไปทั้งๆอย่างนั้น เด็กหนุ่มหน้าเสียแต่ก็ยังมีสติพอที่จะพยายามลุกขึ้นโดยไม่ร้องขอความช่วยเหลือใดๆจากคนที่กำลังมองมาอย่างโกรธแค้น
“เป็นเด็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ปูน ทำอะไรอยู่รู้ตัวบ้างไหม!”
“รู้สิครับ...อย่างน้อยก็มากกว่าที่พี่รู้”
ปูนเงยหน้าขึ้นตอบรัตติกาลด้วยน้ำเสียงที่เย้อหยันไม่แพ้ใบหน้า รัตติกาลมองรอยยิ้มที่เด็กหนุ่มไม่เคยทำใส่เขามาก่อนด้วยความไม่ชอบใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตะหวาดกลับไปเท่านั้น
“พี่ควรรู้อะไรมากกว่านี้อีกหรอปูน ยังมีอะไรทุเรศมากกว่าที่พี่เห็นอีกหรอ!”
“พี่กาล!!!”
“ไอ้กาลมึงพูดแรงไปแล้วนะเว้ย!!!”
นิลกลับเป็นฝ่ายผลักเพื่อนของตนเข้าเต็มแรงเพราะทนฟังในสิ่งที่รัตติกาลพูดไม่ได้ ร่างสูงคิดว่ารัตติกาลใจเย็นลงแล้วเมื่อได้ตระหนักถึงสถานะของตัวเองและอารัณย์ แต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวดันมาได้เห็นในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในตอนที่ยังไม่สามารถทำใจให้ยอมรับได้เต็มร้อยซะได้
“ทำไมพี่พูดแบบนี้...”
“...”
“ใจร้าย! ฮึก ต่อให้พี่ไม่เคยรักผมแต่แบบนี้มันก็เกินไปแล้วนะ!”
เด็กหนุ่มเดินเข้ามาประชิดตัวแล้วต่อยเข้าที่ไหล่ขวาของร่างโปร่งอย่างไร้เรี่ยวแรง รัตติกาลปัดป้องมันออกโดยที่เบนหน้าหนีพยายามไม่มองน้ำตาที่ไหลนองเป็นทางของเด็กหนุ่มตรงหน้า นิลเข้ามาช่วยพยุงปูนไว้พร้อมกับบอกให้อีกฝ่ายใจเย็น ร่างเล็กๆสั่นเทาอย่างน่าสงสาร แม้ว่าจะร้องไห้แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาที่เคยทอประกายสดใสกลับยังคงจ้องมองไปยังรัตติกาลด้วยความรวดร้าวอยู่ดี
“ผมทำผิดอะไร บอกผมสิพี่กาลว่าผมทำอะไรผิด!”
“...พี่ว่าปูนน่าจะรู้ตัวอยู่แล้วนะ”
รัตติกาลกัดฟันพูดโดยที่ยังคงไม่สบตากับอีกฝ่าย ร่างเล็กเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ยิ่งรู้สึกปวดร้าวในอก เขาแสยะยิ้มให้ความโง่เขลาของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโต้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันดังแต่ก็ยังคงสั่นไหว
“หึ ใช่ ผมรู้ตัวว่าผมผิด แล้วพี่ล่ะครับ...รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่าตัวเองก็เลวพอๆกัน”
ร่างโปร่งหันมามองเด็กหนุ่มที่จ้องมองมาอย่างเคียดแค้นด้วยความไม่เข้าใจ ปูนเดินไปหยิบกระเป๋าถือของตนที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาก่อนจะหยิบเอารูปถ่ายจำนวนหนึ่งออกมาแล้วฟาดมันไปที่ใบหน้าของรัตติกาลเข้าเต็มแรง
ภาพของอารัณย์และรัตติกาลในอิริยาบถต่างๆถูกบันทึกเอาไว้บนกระดาษแผ่นหนาที่ระบุวันที่ไว้ว่าเป็นวันที่เขาพารพีและคนรักไปทานอาหารในร้านใกล้ๆกับหอพักของร่างเล็ก
“ผมไม่เคยเรียกร้องอะไร ผมยินดีเดินไปจากพี่ถ้าพี่ต้องการ...แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ พี่ปล่อยให้ผมรอ พี่ทิ้งผมไว้คนเดียวแล้วไปมีความสุขกับมัน ฮึก พี่คิดบ้างไหมว่าผมจะรู้สึกยังไง!!!”
ร่างเล็กทรุดตัวลงกอดเข่าของตัวเองไว้ราวกับว่ามันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาสามารถไขว่คว้าเอาไว้ได้ รัตติกาลถือรูปพวกนั้นไว้ในมือที่สั่นเทา ความโกรธและเห็นแก่ตัวทั้งหมดหายไปหลงเหลือไว้แต่ความรู้สึกผิดที่เขาได้ทำลายหัวใจของคนคนหนึ่งที่คอยอยู่เคียงข้างในเวลาที่ลำบากลงด้วยความมักง่ายและเห็นแก่ตัว
“พี่เคยบอกว่าเกลียดการทรยศ ฮึก แล้วทำไมถึงทำมันซะเองล่ะครับ ทำไม...พี่กาลต้องทรยศผมด้วย”
“...ปูน”
“แค่พี่บอกผมก่อน...แค่บอกผมเท่านั้นพี่กาล”
“...”
“ผมคงจะไม่...ต้องรู้สึกเกลียดพี่มากขนาดนี้”
“พี่อธิบายได้”
“มันสายไปแล้วครับ...พี่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
เด็กหนุ่มปัดมือของรัตติกาลที่ยื่นมาหาทิ้งแล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองแม้ว่าร่างแทบจะไม่เหลือแรงไว้ใช้ประคองตัว เขาหยิบกระเป๋าถือที่ไม่เหลืออะไรแล้วของตัวเองมาถือไว้ ปาดน้ำตาแล้วต้องมองรัตติกาลด้วยสายตาที่ทั้งจริงจังและเจ็บแค้น
“สักวันพี่จะต้องชดใช้...ด้วยทั้งหมดที่พี่มี”
:o12:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :o12:
-
อารัณย์มองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหนักอึ้งกว่าเคย เขากล่าวทักทายยามที่คุ้นหน้ากันดีพร้อมกับส่งมื้อดึกที่ซื้อมาฝากให้ด้วยใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มต่างจากทุกครั้งจนคนสูงวัยกว่านึกแปลกใจ
ไฟเกือบทั้งบ้านถูกปิด อารัณย์แหงนหน้ามองตำแหน่งห้องของคนรักแล้วพบว่ามันก็เป็นอีกหนึ่งห้องที่ไร้แสงสว่าง เขาเดินเข้าไปข้างในแล้วตรงไปยังห้องนั้นก่อนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่ อารัณย์ลังเลใจอยู่สักพักแต่สุดท้ายเขาก็เอื้อมมือเข้าไปเคาะมันอยู่ดี
ไอเย็นเข้าปะทะใบหน้าทันที่อารัณย์ก้าวเข้าไปด้านใน ทั้งห้องมืดสนิทไม่ต่างจากที่คิดแต่เพราะแสงจันทร์ที่พอมีทำให้เขาสามารถเห็นเค้าลางของคนที่นั่งกอดเข่าตัวเองอยู่บนพื้นได้บ้าง ร่างสูงเดินตรงไปหาร่างนั้น ยืนมองรัตติกาลที่จมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเองพาลให้รู้สึกทั้งสงสารและเสียใจ อารัณย์พยายามสงบสติอารมณ์ที่แปรปรวนกว่าเคยแล้วนั่งลงข้างๆรัตติกาลแต่ไม่เข้าไปคลอเคลียเหมือนเช่นทุกครั้ง
“จะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กาล”
“...”
“เงยหน้าขึ้นมาแล้วเล่าทุกอย่างมาให้ผมฟัง...ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น...ผมอยากได้ยินมันจากปากของกาลเอง”
คำพูดของปูนที่แฝงด้วยความน้อยใจถูกซ้อนทับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งของอารัณย์ รัตติกาลยอมเงยหน้าขึ้นมาเผยให้เห็นดวงตาที่แดงก่ำและริมฝีปากสีคล้ำอันเกิดจากการอัดบุหรี่จดหมดซองทั้งๆที่ร่างโปร่งหยุดสูบมันมาได้สักพักใหญ่ อารัณย์มองรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนีเอาแต่จ้องออกไปนอกหน้าต่างแทนการบอกว่าไม่ต้องการเผชิญหน้า แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เจ็บไปทั้งอกก็ยังไม่ไปไหนจนกว่าจะได้ฟังคำสารภาพจากปากคนที่เขารัก
เรื่องราวตั้งแต่วันที่พบหน้าจวบจบวันที่จากลาถูกถ่ายทอดให้อารัณย์ได้ฟังโดยไม่ขาดตกบกพร่อง รัตติกาลยิ้มเมื่อนึกถึงปูนที่แสนสดใสแต่กลับทำหน้าเศร้าใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไปด้วยความเห็นแก่ตัว
ร่างโปร่งเอื้อมไปจับมือของอารัณย์ไว้แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะจับตอบเหมือนเช่นทุกครั้ง รัตติกาลอยากร้องไห้อ้อนวอนแต่เขากลับทำมันไม่ได้ ชายหนุ่มไม่มีแม้แต่ความมั่นใจว่าตัวเองสมควรได้รับความรักจากใครอีก
“ปูนดีกับผมมาก ในวันที่ผมไม่เหลือใครเด็กคนนั้นเป็นคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาแม้ว่าผมจะเป็นแค่คนแปลกหน้า...ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น...แต่ผมก็รักไม่ได้อยู่ดี”
“พอเถอะกาล...เราต่างก็โตพอจะรู้แล้วว่าความดีไม่ใช่ความรัก”
รัตติกาลเค้นยิ้ม เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกบีบให้เล็กลงในทุกๆวินาที มือที่จับอารัณย์ไว้ก็ทำให้เจ็บไปทั้งหัวใจแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะคลายมันออก
“เด็กนั่น...คงเจ็บใจมากตอนที่รู้ว่าเป็นผม ทั้งที่เคยดูถูกเอาไว้ซะขนาดนั้นแต่สุดท้ายกลับคว้ากาลไปได้ เป็นใครๆก็แค้น”
อารัณย์นึกย้อนกลับไปมองสิ่งที่ตัวเองเคยทำกับทั้งรัตติกาลและปูนเอาไว้ เขายังจำสายตาที่มองมาอย่างไม่ชอบใจและหมัดรุ่นๆที่ต่อยเขาเต็มแรงเพราะบังอาจไปพูดจาดูถูกรัตติกาลเข้า ท่าทางโกรธเกรี้ยวที่เขาเคยมองว่ามันไร้สาระกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อร่างสูงลองคิดกลับกันว่าหากกลายเป็นเขาที่ต้องได้ยินคำพูดพวกนั้นจากปากของคนอื่นแทนก็คงทำไม่ต่างกัน
“ไม่ใช่หรอกอารัณย์ เรื่องนี้คนที่ผิด...คือผมคนเดียว”
“...”
“ปูนไม่ใช่เด็กแบบนั้น เขาเป็นเด็กดี มีชีวิตที่ดีมาตลอดจนเจอผมเข้า ผมหลอกใช้เขา รู้ทั้งรู้ว่าเขารักผมมากแต่ผมก็ยังเห็นแก่ตัวคิดถึงแต่ตัวเอง เป็นเพราะผม ฮึก เพราะผมเอง”
“ตั้งสติหน่อยกาล”
อารัณย์ยอมจับมือของรัตติกาลตอบเมื่ออีกฝ่ายเริ่มโทษตัวเองเสียจนน้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วกลับมาอาบแก้มอีกครั้ง เขากดใบหน้าของร่างโปร่งให้ซบลงบนบ่าของตัวเองความขุ่นมัวในใจจะยังคงมี แต่ก็เพราะว่ารักคำเดียวที่ทำให้อารัณย์ทิ้งรัตติกาลที่อ่อนแอไปไม่ได้
“ต่อให้กาลไม่รั้งเขาไว้ เด็กคนนั้นก็ยังคงเลือกที่จะอยู่ข้างกาลอยู่ดี”
“อย่าปลอบผมเลยอารัณย์ สุดท้ายมันก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้”
“ผิดแล้วกาล ผมไม่ได้จะปลอบคุณเลยสักนิด”
“...!”
“ผมเองก็เหมือนปูน ที่ต่อให้รู้ว่าสุดท้ายเราจะต้องกลายเป็นฝ่ายเจ็บ...แต่ก็ยังอยากอยู่ข้างๆคนที่รักอยู่ดี”
รัตติกาลกระโจนเข้าหาอ้อมแขนของอารัณย์ทันทีที่ได้ยินคำนั้น ทั้งความผิดหวังในตัวเองและความกลัวเข้าถาโถมเสียจนเขาไม่อยากจะห่างจากคนคนนี้ไปไหน รัตติกาลรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นเลวร้ายเกินกว่าจะได้รับความรักจากใคร แม้แต่ในตอนนี้ที่เขากำลังคิดถึงปูนเขาก็ยังโหยหาความอบอุ่นของอารัณย์อยู่ดี
“ผมโกรธกาลนะ ผมนึกว่ากาลเคลียร์กับเขาแล้วเลยไม่เคยพูดถึง พอนิลเล่าให้ฟังว่ากาลไปเจออะไรมาผมเองก็แทบควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนกัน”
“ขอโทษ ฮึก ขอโทษ”
“ทั้งๆที่เรามาด้วยกันขนาดนี้แล้วทำไมกาลถึงไม่บอกผม เพราะกาลไม่อยากให้เขาเสียใจ หรือเพราะว่าไม่อยากเสียเขาไปกันแน่ คำพูดพวกนี้มันเวียนอยู่ในหัวซ้ำๆจนไม่อยากแม้แต่จะมาเจอหน้ากาลอีก แต่ผมก็ทิ้งกาลให้ร้องไห้คนเดียวไม่ได้...”
รัตติกาลสัมผัสได้ถึงปลายเสียงที่สั่นจนเขายิ่งนึกโทษตัวเองมากขึ้นอีก ร่างโปร่งกระชับอ้อมแขนของตนให้แน่นขึ้นก่อนจะโดนอีกฝ่ายโอบรัดเสียจนร่างเขาแทบแหลกสลาย แต่รัตติกาลไม่ขัดขืน เมื่อเทียบกับตอนที่อารัณย์ไม่แม้แต่จะจับมือเขามันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
“เลิกโทษตัวเองซะ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่กาลที่ทำผิด ผมเองก็ด้วย...รู้ทั้งรู้ว่ากาลมีปูนอยู่แล้วก็ยังยื่นมือเข้าไปโดยไม่สนเลยว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง”
อารัณย์จับใบหน้าของรัตติกาลให้มาเผชิญกับตัวเอง ร่างสูงกดจูบไปบนแก้มที่บอบช้ำอย่างอ่อนแรงแต่ก็เต็มไปด้วยความปรารถนา เขายังจำได้ดีว่าตัวเองเคยกลัวแค่ไหนเมื่อต้องคิดถึงว่ารัตติกาลเคยมีใครอยู่เคียงข้าง แต่พอสบโอกาสเขาก็เลือกที่จะไม่คิดถึงมันแล้วแสร้งทำเป็นว่าร่างโปร่งไม่เคยเป็นของใคร
“รู้แต่ก็ทำเป็นลืมมัน สนใจแต่ความสุขของตัวเองโดยไม่สนว่าใครจะต้องเจ็บปวดเพราะมันบ้าง สุดท้ายแล้วผมกับกาลก็ผิดพอๆกันนั่นแหละ แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น...ผมก็ยกกาลให้ใครไม่ได้อยู่ดี”
“...ผมก็เหมือนกัน”
ทั้งคู่กอดกันอยู่อย่างนั้นพร้อมกับตอกย้ำความผิดของตัวเองไว้ในหัวใจ อารัณย์คอยลูบหัวของรัตติกาลไปด้วยจนร่างโปร่งเริ่มเคลิ้มหลับ ในช่วงเวลาที่แทบไม่เหลือสติ รัตติกาลหวนนึกถึงสิ่งที่นทีเคยทำกับเขาและสิ่งที่เขากำลังทำกับปูน ชายหนุ่มยิ้มหยันตัวเองทั้งน้ำตา ถ้อยคำสาปแช่งที่เคยมอบให้ชายคนนั้นหวนกลับมาสู่ตัวเขาเพราะการเลือกที่จะทำร้ายคนอื่นเพื่อความสุขของตัวเอง
ความเห็นแก่ตัวและการทรยศหักหลัง
สุดท้ายอาจกลายเป็นว่า...รัตติกาลกับนทีก็เลวไม่ต่างกัน
.
.
.
.
.
.
.
รัตติกาลมองตรงไปยังจอทีวีที่กำลังฉายหนังแอคชั่นที่เขากับนทีช่วยกันเลือกตอนที่ไปเดินซื้อของตัวกันครั้งก่อน เขาละสายตาจากมันแล้วหันมามองดูมือของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายกอบกุมแล้วบีบเบาๆเป็นจังหวะตามนิสัยของคนที่ตนพิงอยู่
“งวดนี้ต้องไปกี่วันครับ”
ร่างโปร่งเอ่ยถามหลังจากที่ผู้ร้ายในเรื่องสั่งให้ลูกน้องถล่มเรือของพวกพระเอกเสียโครมใหญ่ นทีละสายตาจากทีวีแล้วหันมาให้ความสนใจกับคนข้างๆ ทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงหาในปลายเสียง
“น่าจะอาทิตย์กว่า ทำไม เหงาหรอ?”
“อย่าหลงตัวเองนักเลยครับ...”
นทีหัวเราะร่าแล้วหันไปลูบแก้มใสของอดีตรุ่นน้องที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นคนรักได้เกือบปี รัตติกาลเอนหน้าหนีสัมผัสนั้นแต่ก็ยังไม่วายโดนคนข้างๆตามมากวนเสียจนหนังที่กำลังดำเนินเรื่องอยู่ไม่มีใครให้ความสนใจ
“ถ้าเหงาก็ไปด้วยกันไหม จะได้จองตั๋วเพิ่ม”
“ไม่ทันแล้วล่ะครับ ผมเพิ่งนัดคุยกับลูกค้าเจ้าใหม่ไปเมื่อวันก่อน”
“เดี๋ยวนี้ชักเก่งใหญ่แล้วนะ ไม่ต้องคอยให้ใครสอนอีกแล้ว”
“ก็ใครล่ะขยันหาภาระมาให้”
รัตติกาลบ่นอุบ แต่เริ่มเดิมที่เขาแค่อยากทำสำนักพิมพ์เล็กๆที่สามารถดูแลด้วยตัวคนเดียวได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าได้รับแต่งานใหญ่ๆเข้ามา ทั้งจากในและต่างประเทศเสียจนโดนบริษัทอื่นเขาเกลียดขี้หน้า
แต่ถึงจะพูดว่าแบบนั้นก็ใช่ว่าเขาจะเกลียดมันเสียเมื่อไหร่ บริษัทกำลังก้าวไปในทิศทางที่ดี ลูกค้าประจำเริ่มมีมากขึ้นทั้งที่เปิดให้บริการได้ไม่นานนัก อาจจะด้วยเพราะชื่อเสียงเดิมของบ้านพัฒนเดชา ผลงานเปิดตัวของนิล และการทำธุรกิจแบบไร้จรรยาบรรณของนทีที่ทำให้ทุกวันนี้บริษัทของพวกเขากลายเป็นเสือตัวใหญ่ที่น่าจับตามองที่สุดในสายตาของใครหลายๆคน
“ก็หาเงินไว้เลี้ยงกาลทั้งนั้น นี่ว่าอยากลองจับธุรกิจไร่ชาดูสักหน่อยสนใจป่ะ”
“ไม่ต้องมาอ้างผมหรอกครับ จะหาเงินไว้เลี้ยงน้องๆที่ไหนก็ตามสบาย”
ร่างโปร่งยักไหล่ราวกับไม่ได้ใส่ใจแต่มีหรือที่นทีจะดูไม่ออก เขาคว้ารัตติกาลที่กลับไปให้ความสนใจกับหนังมากอดไว้ แล้วกดจูบเบาๆไปตามซอกคอที่น่าหลงใหล
“มีที่ไหน พี่เลิกหมดแล้วกาลก็รู้”
“ผมรู้เท่าที่พี่อยากให้รู้ต่างหาก เอาเข้าจริงถ้ามีซุกไว้ก็ตามจับไม่ได้อยู่ดี”
“ไม่มีครับ กาลก็รู้ว่าทำไม...”
นทีว่าดังนั้นแล้วโอบรัดรัตติกาลให้แน่นยิ่งขึ้น ร่างโปร่งนิ่งไปแล้วกนด่าตัวเองที่พลาดพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกมาอีกแล้ว
ตั้งแต่ที่รัตติกาลบอกรักนทีในคราวที่เลิกรากับพะแพง เขาก็คอยดูแลชายหนุ่มคนนี้ตลอดเวลาในฐานะเดิมมีเพียงการแสดงเจตนาที่ชัดเจนขึ้นก็เท่านั้น นทีไม่เคยตอบรับแต่ก็ไม่ได้ผลักไส จนกระทั่งความดีสามารถเอาชนะหัวใจที่ยากจะหยั่งถึงของชายหนุ่มรุ่นพี่ลงได้ พวกเขาจึงเริ่มคบหากันโดยที่มีสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไปตลอดกาล
“ผมรู้ว่าพี่เลิกแล้ว...ขอโทษนะครับ”
รัตติกาลเอ่ยขอโทษคนรักที่เขาพยายามกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นในสิ่งที่เจ้าตัวเลิกทำไปแล้วหลังจากโดนพะแพงหักหลังมาด้วยการกระทำเดียวกัน นทีเลิกเจ้าชู้นับตั้งแต่คราวนั้น แม้จะเจ็บใจอยู่บ้างที่รู้ว่านทีเปลี่ยนไปเพราะใครแต่ถึงอย่างนั้น รัตติกาลก็มีความสุขและเป็นฝ่ายที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด
“ช่างมันเถอะ ว่าแต่จะไม่ไปจริงๆใช่ไหม”
“อืม ไปไม่ได้หรอก”
“งั้นพี่จะรีบกลับมานะ แล้วจะพาไปกินขนมเจ้าอร่อย”
ร่างโปร่งยิ้มรับแล้วก็เฝ้ารอคอยให้ถึงวันนั้น แต่ดูเหมือนว่าการเจรจารอบนี้จะยืดเยื้อนานกว่าที่คาด รัตติกาลมองปฏิทินที่ถูกปากกาขีดฆ่า มันบอกว่าเขาไม่ได้เจอหน้านทีมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว
ชายหนุ่มร้อนใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจละทิ้งงานตรงหน้าไปได้ บริษัทกำลังเติบใหญ่เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นจนเขาไม่อยากจะทำลายมันลงเพียงเพราะความระแวงของตัวเอง
“ถ้าคิดมากขนาดนั้นก็ขึ้นไปตามซะให้หมดเรื่อง”
นิลบอกเพื่อนรักที่กำลังยกแก้วบรั่นดีในมือขึ้นจิบ ในขณะที่ตัวเองก็เอาแต่จ้องมองไปยังหญิงสาวโต๊ะข้างๆที่คอยส่งสายตาสื่อความหมายมาให้ไม่ขาดสาย รัตติกาลส่ายหัว ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำแต่เขากลับไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำแบบนั้นมากกว่า ไม่ใช่ว่าเขาจะติดต่อกับนทีไม่ได้เลย พวกเขายังโทรคุยกันทุกเย็นแต่นั่นก็ไม่มากพอที่จะบรรเทาความคิดถึงลงได้
“ไม่ล่ะ พี่เขาบอกว่าไม่เกินสามวันก็กลับแล้ว”
“งั้นมึงจะมาดราม่าทำซากอะไรวะ”
“ไม่ได้ดราม่า...แค่เบื่อๆเท่านั้นแหละ”
“หึ ไอ้ปากแข็งเอ้ย เอ้าดื่มๆ”
นิลผลักหัวของรัตติกาลเบาๆแล้วเซ้าซี้ให้อีกฝ่ายชนแก้วเครื่องดื่มสีอำพันถูกกรอกลงคอไปเรื่อยๆจนร่างโปร่งเริ่มเมามายไม่ได้สติ เสียงเพลงอึกทึกค่อยๆเงียบหายไปจนเหลือแต่ความเงียบและความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ รัตติกาลปรือตาที่หนักจนแทบลืมไม่ขึ้นมองไปรอบๆห้องนอนสีขาวห้องใหญ่ ที่ร่างโปร่งจำได้ดีว่ามันเป็นห้องของคนรักที่หายหน้าไปนานจนความคิดถึงแทบฆ่าเขาทั้งเป็น
“อื้อ พี่ทีหรอ”
“ก็พี่น่ะสิ ไม่อยู่แปปเดียวซ่าจนได้เรื่องเลยนะกาล”
“ไหนบอกว่าจะยังไม่กลับไง...”
“แกล้งพูดไปงั้น จะคอยดูว่ากาลทำตัวเป็นเด็กดีเหมือนที่พี่ขอไหม”
นทีแกล้งพูดแซะแต่ก็ไม่ได้ว่าจริงจังมากนัก รองเท้าคัทชูคู่โปรดถูกถอดออกพร้อมๆกับถุงเท้าแล้วตามด้วยเสื้อผ้าจนรัตติกาลเหลือเพียงแค่ชั้นในติดกาย ผ้าขนหนูหมาดน้ำถูกเช็ดไปตามตัวที่เจอมลภาวะมาทั้งวัน ร่างโปร่งนอนมองคนที่ทำทุกอย่างให้ตนด้วยความรัก เขาค่อยๆเอนกายขึ้นแล้วทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของอีกฝ่ายก่อน
“คิดถึง...”
ร่างสูงคว้ารัตติกาลเข้ามาระดมจูบให้หายคิดถึง ลำแขนขาวโอบล้อมรอบคออีกฝ่ายแล้วเบียดกายเข้าหาโดยที่นทีเองก็เต็มใจรับมันเอาไว้ ชายเจ้าของดวงตาเจ้าเสน่ห์มองไปยังคนที่ครวญครางอยู่ใต้ร่างของตนด้วยความพอใจ เขาก้มลงใช้ลิ้นเลียเบาๆไปตามยอดอกที่กำลังชูชันรับสัมผัสไม่ต่างจากกลางกายส่วนร่างที่เจ้าของมันกำลังใช้มือสาวเพื่อให้สามารถไปแตะขอบสวรรค์ได้พร้อมกัน
“อ๊า พี่ที อื้อออ”
“กาล อึก รัดให้แน่นอีกสิ”
นทีรัวสะโพกไม่หยุดจนกระทั่งคราบสีขาวไหลเปื้อนเป็นทางยาวบนผ้าปูที่นอน รัตติกาลเหนื่อยหอบ เขาเอนหัวของตนพิงลงบนอกของอีกฝ่ายที่หลับตานิ่งเหมือนกับว่าได้หลับไปทันทีที่กิจกรรมทุกอย่างจบลง รัตติกาลยันกายขึ้นมองไปรอบๆ กระเป๋าเดินทางและข้าวของทุกอย่างยังคงวางกองไว้ในมุมหนึ่ง ทำให้ร่างโปร่งรู้ว่าคนรักคงจะออกไปหาเขาทันทีที่เดินทางมาถึง
ชายหนุ่มระบายยิ้มอ่อนๆออกมาก่อนจะฝากรอยจุมพิตไว้บนแก้มกร้านของอีกฝ่ายแทนความรู้สึกขอบคุณและโหยหาที่มี รัตติกาลลุกขึ้นจัดแจงทำความสะอาดให้นทีแม้ว่าเหนื่อยจนแทบอยากหลับไปทั้งๆแบบนั้นแต่ก็ไม่อยากเอาเปรียบคนที่มักจะทำสิ่งเดียวกันให้ทุกๆครั้งจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของทั้งคู่
รัตติกาลเช็ดไปตามซอกแขนและขา เน้นในจุดที่สำคัญเพื่อให้คนรักหลับสบาย เขาทำมันไปเรื่อยๆจนไปถึงลำคอด้านหลัง ร่างโปร่งชุบผ้าลงในอ่างแล้วบิดมันให้หมาดอีกครั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้ใช้มัน ดวงตาคมของรัตติกาลก็สะดุดเข้ากับรอยสีแดงคล้ำในบริเวณตีนผมใกล้กับท้ายทอยที่แทบจะสังเกตไม่เห็น
“นี่มัน...”
มือของเขาสั่น รัตติกาลไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่ารอยพวกนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง ความผิดหวังและความกลัวถาโถมเข้ามาหาจนทนไม่ได้ต้องหนีออกมายืนหายใจหอบอยู่ตรงระเบียงห้องโดยที่ทิ้งทุกอย่างที่ทำค้างไว้แบบนั้น
“พี่ทีไม่ชอบให้มีรอย...แล้วมัน อึก มาจากไหน”
รัตติกาลทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าโดยที่สายตายังไม่ละไปจากร่างที่หลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงนอน ความง่วงหายไป เหลือเพียงหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เขาถามตัวเองว่าควรทำยังไง แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้คำตอบกลับมา รัตติกาลยังคงนั่งนิ่งแล้วขับกล่อมตัวเองด้วยคำว่ารักและเชื่อใจแต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ยังคงร้องไห้อยู่ดี
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
หายไปหลายวันเลยกลับมาพร้อมกับความหะเรี่ยของพี่กาล >/////< :z2: มายแบดกาย! พี่กาลอาจจะเป็นแฟนที่ดีแต่เป็นกิ๊กที่ชั่วคับ สงสารน้องปูนจับใจ (แต่รู้นะมีหลายคนสะใจอยู่ไม่น้อย 5555) ไม่ต้องห่วงคับ ปมของปูนเหลือตบไปตอนหน้าอีกนิดหน่อยก็ไม่มีอะไรแล้ว ใจนึงก็อยากให้พี่กาลมันรับกรรมเยอะๆหน่อยเหมือนกัน แต่เรื่องนี้มัน รัณย์กาล ไม่ใช่ กาลปูน T^T อย่าไปแย่งบทเขามาก รอเรื่องเดียวของหนูก่อนนะน้องปูนของเช่ <3 :call:
แล้วก็...เช่คิดว่าอีกไม่เกิน10ตอนไนท์แมร์คงจะจบแล้วล่ะคับ!! :o12: เหลือปมใหญ่อีกนิดเดียวนอกนั้นก็ค่อยๆเก็บไป ใจหายมาก!!! อนึ่งจำนวนตอนที่ว่าคือถ้าเช่ไม่พอออกทะเลอีกอะนะ 55555555 พรีหนังสือ คงจะเปิดให้พรีได้ในเดือนตุลาคม (มีคนส่งคอมเม้นต์มาว่าอยากให้เปิดหลังปิดเทอม คือเช่ไม่เข้าใจอะไรยังไงT^T) ส่วนจำนวนเดือนที่เปิดให้พรี อาจจะเป็น3เดือนนะคับ ตามราคาหนังสือคือคิดเผื่อให้เก็บเงินยาวๆกันเลย อยากขายง่ะ เข้าใจเช่นะ ^^ :hao5: :hao3:
ช่วงนี้งานเยอะแบบมากมายหลายแสน พอกๆไว้เองทั้งนั้นต้องใช้กรรมกันไปอาจจะมาช้ากว่าที่เคยนะคับ แต่เหมือนเดิม อย่างต่ำอาทิตย์ละตอนเน้อ แต่จะพยายามมาทักในเพจไม่หายหน้าไป ตามไปคุยกันได้นะ
ปอลอลิง ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่กันมานานจนถึงโค้งสุดท้าย ขอบคุณนะคับที่พาเช่มาได้ไกลขนาดนี้^^ :mew1:
-
โอ้ยคุณกาลใจร้ายมาก คุณมีอารัณย์แล้วจะมาหวงน้องทำไม
ไม่สนใจก็อย่ามาทำแบบนี้สิ ปูนมาซบอกป้ามา :hao5:
-
เห้ออออออ!!
-
อารันย์...ใจกว้างมากๆๆๆอ่ะ
เป็นกำลังใจให้กาลค่ะ...ให้มีสติ....55
รออุดหนุนหนังสืออยู่นะค่ะ
รอตอนหน้า..ขอให้มาไวไว :call:
-
ทำไมกาลทำแบบน้านนนนนนนนนนน
-
39th Night
…Hope...
‘การชดใช้ที่สาสมที่สุด ก็คือการที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้’
ความสัมพันธ์ของอารัณย์และรัตติกาลใช่ว่าจะแย่เพราะเรื่องนั้น ร่างสูงเลิกทำเฉยเมยต่อคนรักแม้ว่าจะยังขุ่นข้องหมองใจอยู่บ้างแต่การให้อภัยและช่วยกันแก้ปัญหาคือสิ่งที่อารัณย์เลือกทำมากกว่าผลักไสให้รัตติกาลรับผิดชอบความผิดนั้นเพียงลำพังเพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนทำให้ปูนต้องเสียใจ
แม้จะดูเหมือนปกติแต่ทว่าทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่ามีบางสิ่งระหว่างเขาสองคนที่ไม่เหมือนเดิม รัตติกาลมองดูการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่สุดท้ายสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือยอมรับมัน
“ไอ้รัณย์ มึงเลิกทำตัวเป็นหมาบ้าสักทีได้ไหม หงุดหงิดว่ะ”
นิลเอ่ยขึ้นพร้อมกับเบ้หน้าใส่ชายหนุ่มที่กราดมองโต๊ะของเด็กหนุ่มนักศึกษาที่เอาแต่จ้องมายังรัตติกาลตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน
“เรื่องของกู”
“เออ เรื่องของมึงแต่กูอัดอัด ถ้าจะบ้าหวงไอ้กาลมันขนาดนี้ ที่หลังก็ขังเอาไว้แต่ในบ้านไม่ต้องให้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยดีไหม”
“...ถ้าทำได้กูคงทำไปแล้ว”
ร่างสูงพูดเหมือนบ่นกับตัวเองก่อนจะตักกับข้าวใส่จานให้รัตติกาลที่นั่งนิ่งพูดไม่ออก นักเขียนหนุ่มถอนหายใจแล้วหันไปสบตากับเพื่อนรักอย่างสื่อความหมายว่าทั้งเห็นใจและสมน้ำหน้ามันในคราวเดียวกัน
“อารัณย์ กินเองบ้าง ของผมพอแล้ว”
“หรอ...อืม กินเยอะๆนะ”
รัตติกาลรู้สึกหนักใจไม่น้อยกับอาการที่อารัณย์เป็นแต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงเพราะตัวเองนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ร่างสูงต้องหวาดระแวงทั้งเขาและคนรอบข้าง ร่างโปร่งวางมือของตนลงบนหน้าขาของอีกฝ่ายแล้วออกแรงนวดเบาๆเพื่อให้ร่างสูงคลายกังวล อารัณย์ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจก่อนจะยอมหันมายิ้มให้คนรักที่มีสีหน้าไม่สบายใจจนเห็นได้ชัด
“ขอโทษนะที่เป็นแบบนี้”
“อืม ผมเข้าใจ”
นิลส่ายหน้าให้กับทั้งคู่ที่ทำราวกับว่ากินข้าวอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง คนที่ฉายเดี่ยววันนี้เลยเลือกที่จะหยิบรายการของต่างๆที่ทางวัดแนะนำว่าควรจัดหาไว้สำหรับการทำบุญวันเกิดของรพีรวมไปถึงการอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่จากไปด้วย
“ส่วนใหญ่ที่ต้องเตรียมเพิ่มทางวัดก็บอกให้ไปยืมได้ ไว้ใกล้ๆวันมึงสองคนค่อยพากันไปแล้วกัน ส่วนไอ้พวกของถวายที่เหลือเดี๋ยวกูจัดการเอง”
“ขอบใจนะเว้ยนิล งานนี้มึงรับผิดชอบเยอะกว่ากูอีก”
“แหงแหละ ขืนรอมึงอย่างเดียงคงได้เรื่องอยู่หรอก ช่วยๆกันทำไป อีกอย่างกูก็อยากทำบุญให้สองคนนั้นเหมือนกัน...ยังไงก็พี่”
นักเขียนหนุ่มยิ้มขืนเมื่อคิดถึงบุคคลทั้งสองที่จากไป แม้ว่ารัตติกาลจะเคยขัดแย้งกับสองคนนั้นแค่ไหนแต่นิลก็ไม่เคยเกลียดพวกเขาลงเลยซึ่งเรื่องนั้นร่างโปร่งเองก็เข้าใจดี รัตติกาลหลุบตาลง ยิ่งวันเกิดของรพีใกล้เข้ามามากเท่าไหร่ร่างโปร่งก็ไม่อาจปกปิดความไม่สบายใจได้อย่างเคย
“แล้วมึงคิดรึยังว่าจะอธิบายกับลูกว่ายังไง”
“คิดแล้ว ถึงมันอาจจะไม่ดีนักแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าจะต้องให้รพีมารับรู้เรื่องของผู้ใหญ่ในตอนที่ยังไม่พร้อม”
“ก็แล้วแต่มึงตัดสินใจแล้วกัน ส่วนรูปของสองคนนั้นเดี๋ยวกูเอามาให้”
“รูป?”
อารัณย์ทักขึ้นด้วยความสงสัย โดยมีรัตติกาลคอยตอบคำถามให้ฟังอย่างเคย
“รูปของพ่อกับแม่ของรพีน่ะ...พอดีผมไม่มีเก็บไว้เลย”
“จะพูดให้ถูกคือไอ้กาลมันเผาซะเกลี้ยง เลยต้องเดือดร้อนกูจนได้”
นิลทำเป็นพูดทีเล่นทีจริงเพื่อไม่ให้บรรยากาศแย่ลงอีก พวกเขาอยู่ทานอาหารกันจนเสร็จก่อนนิลจะแยกตัวออกไปเพราะเอารถมาเอง ส่วนรัตติกาลกับอารัณย์ก็มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของร่างโปร่งด้วยรถโฟล์คคันเก่าของพี่เลี้ยงหนุ่ม ที่นานวันรัตติกาลยิ่งชอบใจในความอึดของมัน
“เย็นนี้จะมากินข้าวด้วยกันรึเปล่า รพีบ่นคิดถึงมาหลายวันแล้ว”
“ขอคิดดูก่อนนะ โรงเรียนติดหยุดยาวมาหลายวัน จะกลับไปก็มีงานให้เคลียร์กองพะเนินเลย”
“อ่อ...อืม”
อารัณย์เหลือบมองสีหน้าของรัตติกาลที่ซ่อนความผิดหวังไว้ไม่มิด เนื่องด้วยอาทิตย์ที่ผ่านมามีวันหยุดที่ตรงกับวันพฤหัสทำให้ทางโรงเรียนต้องปิดยาวถึงสี่วัน แต่เพราะติดธุระบางอย่างทำให้ทั้งสี่วันนั้นอารัณย์ได้มาพบรัตติกาลเพียงแค่เวลาสั้นๆ จนทำให้คนที่มีความผิดติดตัวอย่างรัตติกาลอดที่จะกังวลไม่ได้
อารัณย์รู้ดีว่าคนรักกำลังคิดมากเรื่องอะไร ถึงแม้จะสงสารแต่เพราะเรื่องที่ผ่านก็ทำให้อดที่จะอยากแกล้งร่างโปร่งให้มากกว่านี้สักหน่อย พี่เลี้ยงหนุ่มคิดแผนการบางอย่างก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นทำขึงขัง
“กาล...หลังจากอาทิตย์นี้ที่โรงเรียนจะมีงานกีฬา รพีได้บอกรึยัง”
“อืม ก็เห็นพูดๆอยู่ ทำไมหรอ”
“เราคงไม่ได้เจอกันสักพักนะ”
“...!”
“ผมต้องช่วยเตรียมงานด้วยน่ะ แถมหน้าที่รับนักเรียนตอนเช้าครูใหญ่เขายกไปให้คนอื่นทำอีก คงไม่ได้ไปหากาลเหมือนทุกที”
“หรอ...”
“อืม”
“แล้วมัน...นานรึเปล่า”
“ก็น่าจะเกือบเดือน ทำไม เหงาหรอ?”
รัตติกาลเบิกตากว้างก่อนจะค่อยๆหลุบมองต่ำแล้วหันออกไปทางนอกหน้าต่าง ร่างสูงคอยสังเกตท่าทางนั้น แก้มที่ขาวของรัตติกาลเริ่มขึ้นสีชัดก่อนที่เจ้าตัวจะตอบออกมาด้วยเสียงที่เบากว่าทุกที
“อืม...เหงา”
อารัณย์รีบตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทาง ในจังหวะที่รัตติกาลกำลังหันมาถามร่างโปร่งก็ถูกคนที่พยายามเก๊กมาตลอดคว้าไปจูบพร้อมกับโอบกอดเอาไว้แน่น ชายหนุ่มดิ้นคลุกคลักอยู่พักหนึ่งเพราะความตกใจ แต่เมื่อตระหนักได้ว่าคนตรงหน้าคือใครรัตติกาลก็โอนอ่อนแล้วยอมให้อีกฝ่ายเก็บเกี่ยวความหวานได้ตามใจชอบ
ทันทีที่ละริมฝีปากออกมาอารัณย์ก็พูดขึ้นแล้วซุกใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มกว้างลงบนบ่าลาดของรัตติกาลอย่างเขินอาย ใจที่ฟีบแบนพองฟูขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินคนรักพูดแบบนั้น ความกังวลตลอดเวลาที่ผ่านมาค่อยๆบรรเทาเบาบางลงจนรัตติกาลอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาทั้งที่มีน้ำตาคลอ
“ให้ตายสิ ผมเอาชนะกาลไม่ได้จริงๆ”
“นี่คุณแกล้งผมหรอ”
“ฮ่าๆ ขอเอาคืนหน่อยนะ”
อารัณย์หัวเราะแหะๆก่อนจะโดนรัตติกาลทุบหลังเสียอั๊กใหญ่ พี่เลี้ยงหนุ่มคลี่ยิ้มเมื่อคนในอ้อมแขนออกอาการสั่นน้อยๆเหมือนลูกนกพลัดรัง เขารู้ตัวเองในทันทีว่าต่อเหตุการณ์จะเปลี่ยนไปยังไง เขาก็ยังคงชอบที่จะแกล้งให้อีกฝ่ายหลุดมาดอยู่ดี
“ขอโทษๆ ไม่ต้องร้องนะ”
“ใครร้อง เรียกว่าโกรธจนตัวสั่นต่างหาก!”
ร่างโปร่งผละออกมาแล้วชกที่อกของคนรักเข้าเต็มแรง แต่ยังไม่ทันที่อารัณย์จะได้พูดอะไร ริมฝีปากหนาก็ถูกครอบครองด้วยกลีบเนื้อเย็นเฉียบของรัตติกาล ร่างโปร่งบดคลึงมันอยู่ชั่วครู่แต่ไม่ได้รุกล้ำ สัมผัสที่นุ่มนวลไม่สมกับรัตติกาลสร้างความพอใจให้คนขี้แกล้งได้ไม่น้อย พวกเขาถ่ายทอดความรู้สึกกันอยู่แบบนั้นจนรัตติกาลล่าถอยออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“อย่าเล่นแบบนี้อีก...ผมกลัวจริงๆนะอารัณย์”
“เพิ่งรู้ว่ากาลกลัวเป็นด้วย”
“ทำไมจะกลัวไม่เป็น...ผมก็คน”
“ถ้าอย่างนั้นกาลก็ควรให้โอกาสตัวเองบ้าง เพราะไม่มีใครบนโลกนี้ที่ไม่เคยทำผิดพลาด...แม้แต่ผมเองก็เหมือนกัน”
“...”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมไม่ชอบที่กาลอมทุกข์แบบนี้เลยรู้ไหม
อารัณย์จับหัวของคนอายุมากกว่ามาโคลงไปมาราวกับเด็กๆ ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่ารัตติกาลยังมีอะไรติดค้างในใจ ร่างโปร่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนยอมพยักหน้า พี่เลี้ยงหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาพลางลูบหัวทุยของอีกฝ่ายที่คว้ามือของเขามาจับไว้
“ได้คุยกับน้องเขารึยัง”
“ยัง...ผมติดต่อปูนไม่ได้เลย”
รัตติกาลพูดถึงความต้องการที่จะปรับความเข้าใจกับร่างเล็กแต่ดูเหมือนว่าทางนั้นจะพยายามหนีหน้าเขาทุกทาง ห้องพักที่เคยอาศัยไร้วี่แววว่ามีคนอยู่ เบอร์โทรศัพท์ที่เคยใช้ก็ถูกเปลี่ยนไป และการค้นหาครั้งนี้ก็ทำให้รัตติกาลได้รู้ว่าตลอดช่วงเวลาที่เขาหนีไปหลบพักที่บางขุนเทียนปูนได้พยายามติดต่อมาหาเขาเป็นร้อยๆครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะเขาจำเป็นต้องใช้เบอร์ที่ฤทธิชาตินำมาให้แทน
“เดี๋ยวผมกลับไปคุยกับเจ้าของหอให้ เผื่อทางนั้นจะติดต่อกลับมา”
“ผมไปคุยไว้แล้วล่ะ เห็นว่าปูนไม่ได้กลับไปที่นั่นเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้จะไปอยู่ที่ไหน”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาเจอ ยังไงก็ต้องกลับมาเรียนอยู่ดี”
ร่างโปร่งยิ้มขืน ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่เขาก็วางใจไม่ได้และพาลหงุดหงิดตัวเองที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับปูนเลยสักอย่าง อารัณย์นำรถออกวิ่งอีกครั้งหลังจากที่จอดคุยกันได้สักพัก ร่างสูงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของรัตติกาลแล้วนึกสงสัยถึงความรู้สึกที่ชายหนุ่มมี แม้ว่าจะกลัวที่ต้องรู้คำตอบแต่เพื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาในวันข้างหน้า อารัณย์จึงตัดสินใจถามไป
“กาล ผมถามได้ไหมว่าคุณอยากจะพูดอะไรถ้าได้เจอกับปูน”
ร่างสูงมองคนที่จ้องมือของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย รัตติกาลครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่แน่วแน่อย่างที่เขาไม่เคยเห็น
“ผม...อยากขอโทษที่เลือกปูนไม่ได้”
“...”
“มันอาจจะดีถ้าผมยังรั้งให้เขาอยู่กับผมต่อไป แต่สุดท้ายผมคงได้กลายเป็นคนแบบที่ตัวเองเกลียด และที่สำคัญ...ปูนคงไม่มีวันได้เจอกับคนที่รักเขาจริงๆ ผมอยากให้น้องเขามีความสุขจริงๆนะ อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่อยู่กับผม”
“คุณทำดีที่สุดแล้วกาล ผมเชื่อว่าน้องเขาจะต้องเข้าใจคุณ”
อารัณย์ระบายยิ้มให้คนข้างๆที่ถึงแม้จะยังไม่คลายความรู้สึกผิดแต่ก็กำลังรอโอกาสเพื่อจะแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองก่อ เขาหวังอย่างยิ่งว่าหากเมื่อถึงวันที่ทุกฝ่ายพร้อมที่ทุกฝ่ายพร้อมจะหันหน้าเข้าคุยกันความจริงใจที่รัตติกาลมีนั้นจะสามารถบรรเทาเบาบางความเจ็บปวดในหัวใจของร่างเล็กลงได้ สักวันบาดแผลที่ทุกคนทำร้ายซึ่งกันและกันไว้จะต้องหายดีแม้อาจจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้จางๆ แต่ขอแค่ทั้งรัตติกาลและปูนสามารถยิ้มให้กันได้เหมือนเก่า นั่นก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว
“ผมเองก็มีอะไรอยากบอกน้องเขาเหมือนกัน”
“...?”
“ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกาลมาตลอดแล้วก็...พี่จะดูแลเขาเองไม่ต้องห่วง”
รัตติกาลยิ้มขำออกมาเมื่อคนที่จุดประเด็นดันหน้าแดงเพราะคำพูดของตัวเองซะได้ เขามองไปยังฟ้าครึ้มฝนเบื้องหน้าที่ยังคงไม่สดใสและอาจมีอุปสรรคมากมายรออยู่ แต่ถึงอย่างนั้นคนเราก็ต้องเดินต่อไป ก้าวข้ามทั้งอดีตและปัจจุบันที่แสนทรมานเพื่อมีความสุขกับวันข้างหน้า
‘ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเคยรักพี่’
รัตติกาลปรารถนาจะบอกกับคนที่หายไปแบบนั้น
.
.
.
.
.
.
.
.
วันเวลาผ่านไปพร้อมกับงานวันเกิดที่เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่าง บ้านพัฒนเดชาที่เคยเหงาเงียบเหงากลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา รพีที่ถูกจับให้นั่งมองผู้ใหญ่ทำงานเงียบๆอยู่ตรงมุมห้องอ้าปากหาวจนกว้าง ราดหน้าฝีมือพ่อกาลที่เจ้าตัวขอลองทำเพื่อฝึกมือเผื่อวันจริงถูกเติมจนเต็มท้องของเด็กชายจนเริ่มออกอาการเลื้อยไปตามพื้นเพราะไม่อาจต่อต้านความง่วงที่รุมเร้าได้
“พีครับ เข้าไปนอนในห้องไป”
อารัณย์ที่เดินผ่านมาสะกิดเข้าที่พุงกลมๆของรพีที่แทบจะปรือตามองไม่ไหว แขนป้อมยืนไปตรงหน้าทันทีที่เห็นว่าคนที่รบกวนการนอนของตัวเองคือใคร
“น้ารัณย์...อุ้มหน่อย”
“ขี้อ้อนเหมือนพ่อเลยนะ”
พี่เลี้ยงหนุ่มว่ายิ้มๆแต่ก็ยอมรับรพีมากอดไว้ในอ้อมแขนเด็กชายแทบจะเคลิ้มหลับทันทีที่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากอกของร่างสูง อารัณย์ยิ้มอ่อน นานวันเขายิ่งนึกเอ็นดูเด็กชายที่มีนิสัยไม่ต่างจากบิดา เขาพารพีออกมาด้านนอกแทนที่จะเป็นห้องนอนอย่างที่ตั้งใจแค่เพราะอยากให้รัตติกาลเห็นว่ารพีน่ารักแค่ไหน
“กาลๆ”
“หื้ม?”
รัตติกาลที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็คของแล้วจัดอาสนะเงยหน้าคนมาใหม่ที่หนึ่งในนั้นหลับน้ำลายไหลเป็นที่เรียบร้อย อารัณย์ใช้มือข้างที่ว่างชี้ให้ร่างโปร่งดูลูกชายที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตัวเองกำลังโดนผู้ใหญ่ตัวโตพามาแกล้งให้อายเล่น ร่างโปร่งส่ายหน้าอย่างระอา แต่ก็เดินมาหาทั้งสองคนทันทีที่เห็น
“แกล้งเด็ก”
รัตติกาลว่าดุๆก่อนจะหยิกเข้าที่ท้องแขนของคนตัวโตที่แสร้งทำหน้าเจ็บปวดทั้งๆที่เขาใช้แรงเพียงนิดเดียว
“อู้ยยย เจ็บนะกาล เบาๆ เดี๋ยวลูกตื่น”
“ถ้ากลัวจะตื่นแล้วทำไมไม่พาไปนอนบนห้อง ตรงนี้ร้อนจะตาย”
อารัณย์แกล้งกลอกตามองไปเรื่อย เขาจะพูดได้ยังไงว่าที่อยากมาหาก็เพราะนึกเป็นห่วงคนที่ใจลอยอยู่เรื่อยจนร่างสูงกลัวว่าจะพลาดเกิดอุบัติเหตุไปเสียก่อน และดูเหมือนว่าเสียงที่ผู้ใหญ่คุยกันจะดังเกินไป ทำให้ร่างป้อมในอ้อมแขนของอารัณย์กระพริบตาน้อยๆก่อนจะลืมมันขึ้น
“อื้อ พ่อ”
“ครับ ง่วงมากหรอ”
รัตติกาลถามไถ่พลางลูบไปตามใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำลายเบาๆอย่างไม่รังเกียจ เด็กชายพอได้รับความอบอุ่นก็เอนหน้าเข้าหาสัมผัสนั้นอย่างว่าง่าย กริยาที่ไม่ต่างจากลูกแมวอ้อนเจ้านายทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนระบายยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
“ฮะ พ่อกาลทำงานรึยัง ไปนอนกับพีนะ”
เด็กชายพูดอ้อนทันทีเมื่อเห็นว่าบิดาอยู่ในอารมณ์ไหน อารัณย์มองสองพ่อลูกที่พูดคุยกันนุ้งนิ้งด้วยความรู้สึกโล่งใจ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มีทางเห็นรพีกล้าพูดขอรัตติกาลแบบนี้เป็นแน่ แม้จะไม่เท่าเด็กคนอื่นแต่ร่างป้อมก็เริ่มเอาแต่ใจมากขึ้นซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีเมื่อเทียบกับวุฒิภาวะทางอารมณ์ของรพีก่อนที่เขาจะเข้ามา
“พ่อยังทำงานไม่เสร็จครับ ขึ้นไปนอนกับน้ารัณย์ก่อนไป”
“ไม่เอา ไปนอนด้วยกันสิ”
คราวนี้ไม่ใช่รพีที่พูดแต่กลายเป็นผู้ใหญ่ตัวโตอีกคนที่เอ่ยขึ้นแทน ร่างป้อมหันไปมองอารัณย์อย่างงงๆที่จู่ๆพี่เลี้ยงหนุ่มก็พูดแทรกขึ้นมาราวกับรู้ว่ารพีอยากพูดว่าอะไร เด็กชายเกาแก้มขาวๆของตัวเองแล้วเอียงคอถามด้วยสีหน้าซื่อๆ
“น้ารัณย์อยากนอนกับพ่อเหมือนกันหรอฮะ”
ตุ๊บ!
ลูกศรที่ขนเสื่ออยู่ใกล้ๆถึงกับปล่อยมันหลุดมือทันทีที่ได้ยินคำถามของคุณหนูเล็ก หญิงสาวรีบหยิบมันแล้วเดินออกไปให้พ้นสายตาของอารัณย์ที่มองมาแต่ก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มกว้างและแก้มแดงๆนั้นได้ ทันทีที่แผ่นหลังเล็กของสาวใช้เดินพ้นไป พี่เลี้ยงหนุ่มก็เป็นฝ่ายพูดไม่ออกเสียงเองบ้าง เขาแสร้งไอกระแอมเล็กน้อยก่อนจะหันไปสบตากับรพีโดยมีรัตติกาลคอยมองอยู่ด้วยความสมน้ำหน้า
“เออ คือ...ครับ”
“ทำไมหรอฮะ น้ารัณย์กลัวผีหรอ”
เด็กชายถามซื่อๆ เพราะคิดว่าพี่เลี้ยงหนุ่มคงกลัวผีเหมือนกับข้าวที่มักจะขอมานานข้างๆตนเสมอทุกครั้งที่นอนกลางวัน
“อื้อ กลัวมากเลย ขอน้านอนด้วยได้ไหม”
อารัณย์ไหลตามน้ำไปเมื่อเห็นช่องทางที่จะได้เอาคืนคนรักที่ไม่คิดจะช่วยเขาแก้ตัวกับลูกชายเลยสักนิด ตอนนี้เลยกลายเป็นฝ่ายรัตติกาลบ้างที่ทำหน้าอึกอักแล้วลุ้นกับคำตอบของรพีแทน
“แต่นี่กลางวันนะฮะ ผีไม่ออกมาตอนนี้หรอก”
“ผีผ้าห่มไงครับ พีรู้จักไหม”
รัตติกาลทุบหลังคนรักเมื่ออีกฝ่ายเริ่มพูดจาทะลึ่งใส่เด็กที่ไม่ประสา รพีมองผู้ใหญ่ทั้งสองหยอกกันด้วยความตกใจ จนร่างโปร่งต้องหันมาลูบแผ่นหลังเล็กนั้นเบาๆเพื่อปลอบร่างป้อมว่าไม่มีอะไรต้องกลัว
“เลิกพูดเล่นกันสักที พีไปนอนในห้องนั่งเล่นก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วพ่อจะเข้าไปหา”
“ฮะ พ่อรีบๆมานะ”
รพีรับคำอย่างว่าง่ายโดยไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก อารัณย์จัดแจงพารพีไปนอนเล่นตรงที่รัตติกาลว่าโดยไม่ลืมที่จะขอผ้าห่มและตุ๊กตาจากสาวใช้มาให้รพีได้กอดนอนด้วยก่อนที่เขาจะเดินออกไปหาคนรักอีกครั้ง
“ทำร้ายร่างกายผมบ่อยจังนะ นี่เมียหรือนักมวยเนี่ย”
“ลองดูอีกสักหมัดไหมล่ะ”
ร่างโปร่งหันไปยิ้มเย็นพร้อมกับชูหมัดขึ้นขู่คนที่ชักจะลามปามขึ้นทุกวัน อารัณย์หัวเราะร่าเมื่อได้แหย่อีกฝ่ายเล่นสมใจหวัง เขาทรุดกายนั่งลงข้างๆรัตติกาลที่กำลังเช็คบัญชีสิ่งของอยู่บนพื้นไม้ตรงระเบียงบ้าน ร่างสูงมองดูเส้นผมที่โดนลมพัดจนตกลงมาปรกใบหน้าเขายิ้มออกมาก่อนจะจับมันไปทัดไว้ที่ใบหูให้คนรักไม่รู้สึกรำคาญ
“วันนี้เหม่อบ่อยมากเลยนะ ผมทำแทนให้ไหมกาลจะได้พัก”
“ไม่เป็นไรเหลืออีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว แต่พรุ่งนี้คงต้องให้ตื่นมาช่วยกันจริงๆ”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอค่าจ้างเป็นค้างที่ห้องกาลแทนแล้วกัน”
“หึ ทำเหมือนกับจะยอมไปนอนห้องอื่น”
รัตติกาลส่ายหน้าเมื่อโดนอารัณย์ตีเนียนเข้าแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คงต้องยอมให้อีกฝ่ายมานอนด้วยอย่างที่ว่า เพราะงานวันเกิดของรพีที่จะจัดขึ้นพรุ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นงานใหญ่ที่บ้านพัฒนเดชาไม่ได้จัดขึ้นมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่สมัยที่พ่อกับแม่ของรัตติกาลยังอยู่ งานนี้เขาจึงต้องหวังพึ่งกำลังของอารัณย์อย่างเลี่ยงไม่ได้
“รู้หรอกว่ากาลก็อยากนอนกับผม ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน”
“อันนั้นโทษตัวเองที่ติดธุระเถอะ ว่าแต่นี่เคลียร์งานเสร็จแล้วรึไง มาช่วยทางนี้จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ไม่เป็นอะไรหรอก ผมเคลียร์เรียบร้อยแล้วไม่ต้องห่วง”
อารัณย์ส่ายหน้ายิ้มๆแล้วหยิบเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตน ชายหนุ่มมองรัตติกาลที่ยังไม่ละสายตาไปจากงานด้วยความรักก่อนจะยื่นมันไปให้คนตรงหน้าทั้งๆที่ยังไม่เปิดกล่องออก ร่างโปร่งหยุดมือที่กำลังถือปากกานิ่ง นัยน์ตาสีราตรีเบิกกว้างก่อนจะเงยขึ้นสบกับคนที่ยิ้มรออยู่
“เปิดสิ”
“...อะไร”
“อยากรู้ก็เปิด ไม่ใช่แหวนหรอกน่า”
รัตติกาลมองคนรักที่เกาท้ายทอยแก้เก้อก่อนจะรับกล่องกำมะหยีสีน้ำเงินใบเล็กไว้แล้วค่อยๆเปิดมันออกโดยมีอารัณย์ที่กำมือจนแน่นด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน
สร้อยข้อมือทองคำเส้นเล็กถูกวางอยู่ตรงกลางของกล่องนั้น ลวดลายฉลุประณีตบ่งบอกถึงราคาอันสูงค่ารับกับจี้รูปปืนที่ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าเจ้าของที่แท้จริงของมันคือใคร
“พอดีได้กลับไปที่บ้านมาเลยหยิบมาด้วย คิดว่าจะให้เป็นของขวัญรพีเลยอยากบอกกาลไว้ก่อน”
“ไหนว่าพ่อคุณ...”
“ผมยังไม่ได้เล่าสินะว่าหลังจากแม่ตายผมมีชีวิตต่อไปยังไง”
ร่างโปร่งพยักหน้าก่อนส่งสร้อยเส้นนั้นให้อารัณย์ถือไว้ ชายหนุ่มลูบเบาๆบนจี้ที่บ่งบอกตัวตนของบิดาที่เขาไม่มีวันได้พบหน้า ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนจะปล่อยมันออกมา รัตติกาลมองดูคนที่พยายามเรียกความกล้าให้ตัวเองด้วยความเป็นห่วงจนอดที่จะยื่นมือเข้าไปจับขาของอารัณย์ไว้ไม่ได้
“ผมเจอมันตอนย้ายออกจากบ้านหลังนั้นก่อนไปตะเวนทำงานอยู่ต่างจังหวัด น่าขำนะว่าไหม ทั้งที่ผมอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กแต่กลับไม่เคยรู้เลยว่าแม่จะเก็บของมีค่านี้ไว้ทั้งที่เราแทบจะไม่มีข้าวกิน”
“...”
“ผมพยายามบอกตัวเองว่าไม่ใช่ ผู้ชายคนที่ทิ้งเราไว้ไม่มีทางมอบของแทนใจแบบนี้ให้กับผมคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้าหรือแม้แต่ไม่อยากให้เกิดมา เขาจะทำแบบนั้นไปทำไม แล้วไหนจะแม่ที่ยอมแลกชีวิตผมกับเงินก้อนใหญ่ มีหรือที่จะปล่อยทองเส้นนี้ไว้ไม่ยอมเอามันไปแลกเหล้ากินเหมือนสมบัติอย่างอื่น ผมแทบจะเอามันไปขายทันทีด้วยซ้ำที่เจอ อย่างน้อยผมก็ใช้มันทำทุนจะได้ไม่ต้องลำบากอย่างเก่า”
“แต่คุณก็เก็บมันไว้”
รัตติกาลยิ้มเหมือนอย่างที่อารัณย์ยิ้ม พวกเขาสอดมือเข้าประสานกันให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการมีตัวตนของตัวเองผ่านทางความอบอุ่นที่ส่งมา
“ใช่ สุดท้ายผมก็ขายความหวังของตัวเองไม่ลง”
“...”
“ผมไม่รู้ว่าความจริงแล้วสองคนนั้นเคยรักผมบ้างไหม สร้อยเส้นนี้คือสิ่งที่พวกเขาตั้งใจเก็บไว้ให้หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว ขอเพียงแค่มีมันผมก็สามารถผลักดันตัวเองให้เดินหน้าต่อไปข้างหน้าได้ มันเป็นความหวังที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตต่อไป”
อารัณย์น้ำตาคลอขณะที่พูดจนรัตติกาลต้องลุกขึ้นมาโอบกอดคนตัวโตไว้พร้อมกับเอ่ยคำยินดีให้อีกฝ่ายได้ฟัง ร่างสูงยิ้มอ่อนเขาซบหน้าลงบนไหล่ของร่างโปร่งแบบที่ชอบทำ
“คุณควรเก็บมันไว้เองนะ”
“ความหวังคือสิ่งที่ควรส่งต่อไม่ใช่ครอบครองแล้วรอเวลาที่มันจะหายไป”
เขาวางมันลงบนมือของรัตติกาลอีกครั้งโดยที่คราวนี้ผู้รับระมัดระวังการแตะต้องสิ่งนั้นยิ่งกว่าเก่าเมื่อรับรู้ถึงคุณค่าทางจิตใจของมัน
“ผมรู้ว่ากาลเกลียดพ่อกับแม่ของรพี มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสินะที่จะต้องคอยเลี้ยงดูลูกของคนที่ทำร้ายตัวเองขนาดนั้น”
“...”
“ขอโทษที่เคยบอกว่ากาลไม่สมควรถูกเรียกว่าพ่อ ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่กาลต้องเสียสละมาตลอดระยะเวลาเกือบหกปีนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถทำให้คนที่บอกว่าเกลียดได้ง่ายๆ ไม่ว่ากาลจะให้อภัยผมได้ไหม แต่ผมก็อยากบอกว่า...”
“...ฮึก”
“ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงดูรพีจนเติบใหญ่ได้ขนาดนี้”
น้ำตาเม็ดใหญ่หยดลงบนกล่องกำมะหยีจนมันเปียกเป็นดวง อารัณย์ประคองใบหน้าของคนที่กำลังร้องไห้ไว้แล้วนาบหน้าผากของตนลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายจนสามารถเห็นเงาของตัวเองบนดวงตาสีดำคู่นั้นได้ชัดเจน
รัตติกาลสะอื้นจนตัวโยน ความรู้สึกที่เหมือนโดนมองจนทะลุปรุโปร่งทำให้เขาไม่สามารถเก็บงำบาดแผลในใจต่อหน้าคนคนนี้ได้ ร่างโปร่งกำชายเสื้อของอีกฝ่ายแน่นเมื่อหวนนึกถึงฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนตัวเขามาตลอดเวลาที่ได้เห็นเด็กชายอันเป็นที่รักของคนที่ล่วงลับทั้งสองค่อยๆเติบใหญ่ขึ้นทุกวันพร้อมกับความกลัวที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ...ความกลัวที่จะต้องเผชิญกับการสูญเสียอีกครั้ง
“ผมทำผิดกับเด็กคนนั้นมามาก ฮึก มันมากเกินไปจริงๆ”
“ไม่เป็นไร เรามาเริ่มกันใหม่นะกาล เราทั้งสามคนเลย”
“ฮึก มันจะไม่เป็นไรใช่ไหมอารัณย์ ผมจะทำได้ใช่ไหม”
“ยิ่งกว่าทำได้อีก กาลเป็นพ่อที่ดีนะ เชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสิ”
อารัณย์มองคนที่ปาดน้ำตาตัวเองปอยๆด้วยความเอ็นดู เขาหอมหน้าผากนวลของคนรักที่แทบไม่เหลือความมั่นใจให้เห็น
“ผมคงทำไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ...ขอบคุณนะ”
“ยินดีเสมอครับ ลูกกาลก็เหมือนลูกผมแหละ”
รัตติกาลระบายยิ้มกว้างออกมาทั้งน้ำตาก่อนจะเอนตัวไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของอารัณย์จนทำให้อีกคนต้องรีบทำสิ่งเดียวกันนั้นกลับมาด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำ
“ผมรักคุณนะอารัณย์”
“ผมก็รักคุณเหมือนกัน...รัตติกาล”
สองร่างโอบกอดกันไว้โดยมีสายตาของรพีแอบมองมาจากหน้าต่างห้องนั่งเล่น เด็กชายตัวป้อมรีบวิ่งเข้าไปหาบิดาที่ร้องไห้จนตาแดงกล้ำแล้วกระโจนเข้ากอดเต็มแรง ทำให้อารัณย์ต้องร้องโอดครวญขณะโดนศอกของเจ้าตัวป้อมฟาดเข้าเต็มเบ้าตา หญิงแก่ที่ยืนมองจากอีกมุมหนึ่งของบ้านหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาของตัวเองออกเบาๆด้วยหัวใจที่รู้สึกเหมือนโดนปลดปล่อยเมื่อเห็นภาพที่เธออยากเห็นที่สุดเกิดขึ้นในบ้านซึ่งตกอยู่ในวังวนความแค้นมานานหลังนี้สักที
“วางใจได้แล้วนะคะคุณท่าน คุณกาลเธอเจอบ้านของตัวเองแล้ว”
จันทร์รำพันถึงนายผู้ล่วงลับของตนก่อนจะเดินผละไปปล่อยให้สามคนนั้นได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างที่หวัง หญิงแก่คิดไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้วยิ้มพราย หากสิ่งศักดิ์สิทธิมีจริง สิ่งเดียวที่จันทร์อยากขอก็คือให้คุณหนูทั้งสองคนของเธอหลุดพ้นจากความฝันแล้วตื่นมาพร้อมกับอรุณรุ่งของวันใหม่เสียที
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ตอนนี้มาแบบสั้นไปนิด55555เมื่อวานคับรถไปชนกับรถตู้มาคับ ตัวไม่เจ็บ แต่รถเจ็บ T_T จะบ้า :sad4: จบพาร์ทของน้องปูนไปแบบอาจจะไม่ถูกใจหลายๆคนนะคับ แต่เอาเข้าจริงๆถ้าพี่กาลไม่เลือกมันก็เท่านั้นแหละเนอะ ส่วนชีวิตของน้องต่อจากนี้คงต้องติดตามกันในเรื่องต่อไป o13 อย่าเพิ่งหมั่นน้องมันมากจนพาลไม่อ่านนะ 5555 สนุกๆ ไม่ดราม่าเข้มเหมือนไนท์แมร์แล้วแหละ เช่ขอพักตับตัวเองบ้าง แต่ก็คิดว่ายังคงความเป็นเช่ไว้เหมือนเดิมแหละคับ
ตอนหน้าวันเกิดน้องพีแล้วววววว เตรียมฟินกันได้เลย บทหวานๆฟินๆทีไรเช่ลำบากทุกที =3= ช่วงนี้อาจจะมาได้ช้าหน่อยอย่าว่ากันนะคับ ต้องเตรียมอะไรหลายๆอย่าง เรียนด้วย อยากแยกร่างได้เหลือเกิน :katai1:
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต แบบสอบถามการซื้อหนังสือยังแวะเข้าไปทำกันได้ ช่วงนี้นั่งลิสตอนพิเศษแล้วว่าจะเขียนอะไรบ้าง คงจะได้แจ้งในวันเปิดพรีเลย แต่รับรองว่าไม่ผิดหวังกันแน่นอน!
-
อารัณย์ละมุนมาก รอตอนต่อไปจ้า
รอตามเรื่องน้องปูนด้วย :mew1:
-
รอตอนหน้า....ที่จะมาพร้อมความหวาน!!!
-
แอร๊ยยยยยยยย
ละมุนนนนนนนน
-
40th Night
…Happy Birthday...
รพีในเสื้อผ้าชุดใหม่นั่งพับเพียบอยู่เคียงข้างรัตติกาลที่อยู่ในชุดคล้ายๆกัน ร่างโปร่งคลายมือที่พนมอยู่ออกมาจัดหูกระต่ายสีขาวอันเล็กที่หลุดลุ่ยเพราะเด็กชายเอาแต่จับมันก่อนจะบอกให้รพีเลิกขยับไปมาแล้วฟังพระสวดสักที
“อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“...แต่พีเมื่อย”
อารัณย์ที่นั่งอยู่ถัดไปจัดการยกเจ้าตัวป้อมให้มานั่งตักของตนแทนทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น รัตติกาลพอเห็นว่ามีคนคอยช่วยดูลูกก็วางใจ เขาบอกขอบคุณอารัณย์ที่ยิ้มให้เบาๆก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับงานพิธีตรงหน้าต่อ
สำหรับเด็กอย่างรพีคงไม่รู้ว่าการทำบุญวันนี้ผิดแปลกจากปกติไปมากขนาดไหน รัตติกาลเหลือบมองรูปถ่ายสองใบที่นิลจัดการหามาให้พร้อมกับใส่กรอบไม้ราคาแพงให้เสร็จสรรพ ใบหน้าของบุคคลผู้ล่วงลับทั้งสองเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากวาระสุดท้ายในชีวิต ภาพของนทีและพะแพงที่ยืนเคียงคู่และจับมือกันไว้ช่างดูสดใสเหมือนกับช่วงเวลาเหล่านั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน
ร่างโปร่งหลับตาลงพลางตั้งสติมั่นพยายามนึกถึงสิ่งที่ตนเองและคนทั้งสองเคยทำร่วมกันมา ความทรงจำทั้งดีและร้ายตั้งแต่วันแรกที่พบจนวันที่จากต่างไหลเข้ามาจนรัตติกาลแทบตั้งรับไม่ไหวแต่ก็ได้มือที่แสนอ่อนโยนของนิล คอยลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆทุกครั้งที่รัตติกาลเริ่มแสดงท่าทางเหมือนกับจะร้องไห้ออกมา
ที่กรวดน้ำทำจากทองเหลืองถูกลำเลียงให้กับคนในงานพิธีทันทีที่ใกล้จะถึงบทสวดแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลโดยแต่ละคนจะได้รับที่กรวดน้ำคนละชุดไม่ได้จับต่อกันมีเพียงแค่ของรพีเท่านั้นที่รัตติกาลตั้งใจให้ทำไปพร้อมกับตัวเอง
“รพี...มาหาพ่อมา”
เด็กชายตัวป้อมรีบปีนลงจากตักของร่างสูงทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น รพียิ้มกว้างขณะที่คลานเข่าไปหารัตติกาลที่มีของรูปร่างประหลาดวางอยู่ตรงหน้า
“รพีกรวดน้ำกับพ่อนะ”
“กรวดน้ำคืออะไรหรอฮะ”
รพีเอียงคอถามเมื่อได้ยินคำศัพท์ที่ตัวเองไม่รู้จัก รัตติกาลได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอ่อนแต่ก็ยังติดความโศกเศร้าไว้ที่ดวงตา เขาชี้ให้รพีดูรูปในกรอบไม้ทั้งสองใบที่วางอยู่ใกล้กับพระภิกษุพร้อมกับอธิบายให้ฟัง คนสองคนนั้นคือบุคคลที่สำคัญมากแค่ไหน
“การกรวดน้ำคือการอวยพรให้คนที่ตายไปแล้วมีความสุข เรามาอวยพร...ให้พวกเขากันนะ”
“เขาเป็นใครหรอ พีไม่เห็นรู้จักเลย”
“รู้จักสิครับ...พีเองก็เคยเจอพวกเขานะ ในวันนี้เมื่อหกปีที่แล้ว”
“...?”
“พวกเขาคือคนที่ทำให้รพีเกิดมา...เป็นคนที่สำคัญของรพีนะครับ”
ห้องโถงที่ถูกใช้จัดงานพิธีเงียบไปทันตา เหล่าผู้คนที่รับรู้ความจริงทุกอย่างต่างก็เงี่ยหูรอฟังว่าเด็กชายอันเป็นที่รักของสองบุคคลในภาพจะตีความหมายคำพูดของรัตติกาลไปในทิศทางไหน ร่างป้อมขมวดคิ้วหนักเมื่อสิ่งที่รับรู้ขัดแย้งกับสิ่งที่คุณครูสอนในคาบว่าผู้ให้กำเนินนั้นคือบิดามารดา แล้วที่พ่อกาลว่ามันหมายความว่ายังไง
“แต่พีมีพ่อกาลแล้วนี่ฮะ พ่อเป็นคนทำให้พีเกิดมาไม่ใช่หรอ”
รัตติกาลแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ตอนที่เด็กชายเลือกตอบมาแบบนั้น ทั้งที่เขาเป็นแค่คนขี้ขลาดที่ไม่กล้าบอกตรงๆว่าตัวเองไม่ใช่พ่อแท้ๆอย่างที่รพีเคยเข้าใจจึงเลือกใช้คำพูดอธิบายความสำคัญของนทีและพะแพงแทน ร่างโปร่งสูดหายใจให้ลึกขึ้นเพื่อรวบรวมสติและความกล้าก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับเด็กชายที่เติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้เลยว่าชาติพันธุ์ของตัวเองคืออีกาหาใช่กาเหว่าเหมือนที่เคยเข้าใจ
“ครับ พ่อเป็นพ่อของรพี แต่ถ้าไม่มีพวกเขา...รพีคงไม่มีวันได้เจอกับพ่อ”
“...”
“วันนี้รพียังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่จำไว้นะ...ว่าคนสองคนนั้นก็รักรพีไม่ต่างจากพ่อเลย”
ร่างโปร่งกล่าวลงท้ายเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเด็กชายยังไม่คลายความสงสัย ร่างป้อมเองเมื่อได้ยินคำรักของบิดาก็ไม่สนใจอะไร ใบหน้าที่เหมือนกับคนในรูปยิ้มร่าแล้วคลานเข้าไปกอดคนที่เข้าใจว่าเป็นพ่อของตนไว้โดยที่อีกฝ่ายก็กอดกลับมาทันที
“พีก็รักพ่อเหมือนกัน!”
“ครับ...เรามากรวดน้ำกันเถอะ”
รพีพยักหน้าแล้วกลับลงมานั่งเคียงข้างร่างโปร่งที่ยิ้มโดยมีน้ำตาคลอเช่นเดียวกับจันทร์และนิล ที่แอบหันไปซับน้ำตาในจังหวะที่ไม่มีใครเห็น อารัณย์มองภาพของสองพ่อลูกด้วยความรู้สึกที่แน่นอยู่ในอก ทั้งดีใจและหวังว่าคนสองคนที่ทำร้ายกันมามากมายทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ จะสามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ เพื่อสร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่นอย่างที่เขาไม่เคยมี
รัตติกาลหยิบคนโทที่มีน้ำใส่ไว้ขึ้นแล้วบอกรพีให้จับมือของตนรวมถึงพยายามท่องตามไปพร้อมๆกัน พระอาจารย์เองพอเห็นว่าโยมทั้งหลายพร้อมแล้วก็เริ่มสวดบทแผ่นเมตตาทั้งบาลีและไทยช้าๆเพื่อให้ทุกคนในบ้านท่องตามได้
รัตติกาลระลึกถึงความหมายที่แฝงไว้ในทุกตัวอักษรของบทส่วนนั้นหวังให้ทั้งพะแพงและนทีไปสู่ภพภูมิที่ดีอย่าได้อาลัยต่อกัน เช่นเดียวกับตัวเขาซึ่งพร้อมแล้วที่จะปล่อยวางฝันร้ายอันขมขื่นลงแล้วตื่นมาอยู่กับความเป็นจริงสักที
“พี่ครับ ที่ผ่านมาผมอโหสิกรรมให้ อย่าได้มีอะไรติดค้างกันอีกเลยนะครับ”
ร่างโปร่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังท้องฟ้ากว้าง อารัณย์จับมือของรัตติกาลไว้ทันทีที่ปล่อยให้รพีเดินตามนิลไปเพื่อนำน้ำไปรดที่โคนต้นไม้ตามความเชื่อ ชายหนุ่มยิ้มให้คนรักน้อยๆก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าลาดที่มีไว้ให้เขาได้พักพิงเสมอ
“พอรพีโตขึ้นเขาคงจะเรียกผมว่าจอมโกหก”
“ถ้าถึงวันนั้นรพีจะเข้าใจว่ากาลรักเขาขนาดไหน”
“แล้วเขาก็คงจะรู้ถึงเรื่องไม่ดีที่ผมเคยทำไว้ด้วย”
“กาล...”
“ถ้ารพีเลือกที่จะเกลียดผม สิ่งเดียวที่ทำได้คงมีแต่ต้องยอมรับความจริงสินะ”
“...!”
“ถ้าตอนนั้นมาถึง...คุณจะอยู่กับผมใช่ไหมรัณย์”
ร่างสูงขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินคำถามของคนรัก รัตติกาลที่เห็นดังนั้นจึงใช้นิ้วมือบดคลึงไปบนปมกลางหน้าผากเบาๆก่อนจะยิ้มให้แล้วพูดตัดหน้าขึ้นโดยไม่เปิดช่องว่างให้อีกคนได้ไต่ถาม
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ รพีมานู้นแล้ว”
รัตติกาลผละไปอ้าแขนรับรพีที่วิ่งเข้ามาหา พวกเขาพากันเดินกลับเข้าด้านในโดยที่ปล่อยให้บทสนทนาค้างคาใจคนฟังไปทั้งอย่างนั้น แต่เพราะงานพิธีที่ดำเนินมาถึงการถวายเพลทำให้อารัณย์ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับรัตติกาลอย่างเคย
ทั้งเจ้าบ้านและแขกเพียงไม่กี่คนช่วยกันประเคนอาหารที่เตรียมเอาไว้ถวายให้พระภิกษุทั้งหลายได้ฉันกันอย่างพร้อมสรรพ อาหารในสำรับล้วนทำขึ้นสดใหม่ด้วยฝีมือของจันทร์และรัตติกาลที่ช่วยกันตื่นมาเตรียมตั้งแต่ตีสี่ไม่ว่าจะเป็นราดหน้าที่รัตติกาลลองทำไปเมื่อวาน หรือจะเป็นกับข้าวไทยโบราณที่จันทร์ถนัดล้วนถูกจัดไว้อย่างสวยงามบนขันโตกที่อารัณย์ไปจัดหามาให้
รพีซึ่งเป็นที่เอ็นดูของเหล่าพระอาจารย์ทั้งหลายพูดอวดรสมือของบิดาให้เหล่าภิกษุฟังด้วยความกระตือรือร้นจนรัตติกาลต้องดุเบาๆจนเรียกเสียงฮาครืนของทุกคนจนทั้งบ้านตลบอบอวลด้วยเสียงหัวเราะอย่างที่ไม่เคยเป็น นิลมองเพื่อนรักที่ประคองร่างป้อมไว้บนตักพร้อมกับคอยตอบคำถามของเด็กชายขี้สงสัยไปพร้อมกัน ชายหนุ่มมองภาพนั้นก่อนจะหันกลับไปหาภาพของนทีและพะแพงที่มีรอยยิ้มประดับไม่ต่างจากทุกคนที่นี่จนพาลให้นึกหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาทั้งสี่คนจะได้อยู่พร้อมหน้า ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้
“แบบนี้อาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้ ว่าไหมพี่”
เขานั่งมองภาพถ่ายของทั้งคู่อยู่สักพักก่อนจะลุกออกไปเมื่อโทรศัพท์มือถือเครื่องบางส่งเสียงร้องดังพร้อมกับเบอร์ของนายตำรวจหนุ่มที่โชว์ขึ้นหน้าจอ
“ถึงไหนแล้ว ถวายเพลแล้วเนี่ย”
“อยู่หน้าบ้านแล้วครับ นิลออกมารับหน่อย”
“ทำอย่างกับไม่เคยมา เออๆ เดี๋ยวไป”
นักเขียนหนุ่มกดวางสายก่อนจะเดินไปยังหน้าบ้านทั้งที่ปากยังบ่นไปเรื่อยตามนิสัย ร่างสูงเดินมาหยุดตรงหน้ารถคันใหญ่ที่มีฤทธิชาติในชุดเครื่องแบบยืนพิงอยู่พร้อมกับส่งรอยยิ้มเหนื่อยๆมาให้จนนิลต้องเก็บคำที่ตั้งใจดุอีกฝ่ายไว้แล้ววางฝ่ามืออุ่นๆของตนลงบนหน้าผากกว้างนั้นแทน
“เหี้ย...หน้าซีดอย่างกับศพ ได้นอนบ้างไหมเนี่ย”
“ยังเลยครับ เสร็จจากงานก็รีบตรงมาเลย”
“เออๆ เข้าไปหลังบ้านก่อนแล้วกันเดี๋ยวหาอะไรให้กิน”
นิลพาคนที่เหมือนกับพร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อไปยังครัวที่วุ่นวายกว่าทุกวัน เขาสั่งให้อีกฝ่ายนั่งลงตรงโต๊ะไม้ใกล้ๆก่อนตัวเองจะเดินไปตักอาหารที่มีอยู่เต็มหม้อใส่จานชามมาสองสามอย่างพร้อมกับข้าวสวยที่เขาเป็นคนช่วยหุงเองเมื่อเช้า
ทันทีที่สำรับถูกวางลงผู้หมวดที่หิวโซก็รีบตักเข้าปากโดยมีนิลคอยกำกับอยู่ไม่ห่าง จนใบหน้าที่ซีดเซียวค่อยมีสีขึ้นมาหน่อยนั่นแหละ เขาถึงได้เปิดปากถามถึงสาเหตุที่ฤทธิชาติต้องโหมงานหนักถึงขนาดนี้
“งานช้างรึไง ทุกทีไม่เคยเห็นเป็นถึงขนาดนี้”
“ก็หนักเอาการอยู่ครับ นายสั่งมาโดยตรงถ้าไม่ทำให้ดีมีหวังได้โดนเด้ง”
“หึ อย่าทำมาเป็นกลัว กำลังสนุกอยู่ล่ะสิท่า”
“ฮ่าๆ นิลนี่รู้ใจผมจริงๆ”
ฤทธิชาติแกล้งบีบเข้าที่จมูกรั้นแต่ก็โดนอีกฝ่ายปัดออกแล้วหยิกเข้าที่สีข้างกลับแต่นายตำรวจหนุ่มก็ยังตีหน้ายิ้มได้จนนิลต้องก่นด่าถึงความบ้าที่มีมากขึ้นทุกวัน หลังจากนั้นไม่นานคนตัวโตก็จัดการยัดทุกอย่างลงกระเพาะจนหมดก่อนทั้งสองจะพากันเดินเข้าไปด้านใน ที่พระอาจารย์กำลังผูกข้อไม้ข้อมือรับขวัญให้รพีตัวน้อยที่ยังคงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“ทำไมมาช้าวะ”
“มีงานด่วนเข้ามาน่ะครับ ขอโทษกาลด้วยนะที่ไม่ได้เข้ามาช่วย”
นายตำรวจหนุ่มตอบคำถามอารัณย์ก่อนจะหันไปพูดกับรัตติกาลในตอนท้าย เจ้าของบ้านยิ้มรับไม่ได้ว่าอะไร อันที่จริงคนมาใหม่ก็ช่วยเตรียมการอะไรหลายๆไว้ให้จนเขานึกเกรงใจ ยังไม่รวมถึงความช่วยเหลือที่เขาไม่มีทางตอบแทนได้หมดด้วย
“อ่า...นึกแล้วว่าลืมอะไร นิลครับเดี๋ยวผมมานะ พอดีลืมของขวัญน้องพีไว้บนรถ ทั้งของผมแล้วก็ของอารัณย์เลย”
“เออ ไปเอากับมันเองแล้วกัน กูขี้เกียจ”
“รู้อยู่แล้วล่ะครับ”
นิลยักไหล่ไม่สนใจที่อีกฝ่ายประชดกลับ ทั้งอารัณย์และฤทธิชาติก้มลงกราบพระภิกษุตรงหน้าก่อนจะขอตัวเดินออกไปโดยมีสายตาของรัตติกาลคอยมองตามอย่างสงสัย แต่เขาก็จดจ่ออยู่ได้ไม่นานเมื่อเด็กชายที่ข้อมือถูกผูกไว้ด้วยเชือกสีขาวบริสุทธิ์วิ่งมาอวดมันให้รัตติกาลดูด้วยความตื่นเต้น
“พ่อกาลดูสิๆ พระอาจารย์ให้ของขวัญพีด้วย”
“ครับ แล้วขอบคุณท่านรึยัง”
“ฮะ! แล้วพระอาจารย์ก็บอกให้พีทำตัวดีๆ พ่อกาลจะได้ไม่เหนื่อย”
เด็กชายพูดอ้อมแอ้มในตอนท้ายก่อนจะหันไปยิ้มให้ชายแก่ในผ้าเหลืองที่มองมายังสองพ่อลูกด้วยความเอ็นดู รัตติกาลคลานเข่าเข้าไปหาก่อนก้มลงกราบท่านด้วยความเปรมใจพร้อมกับลูกชายที่พยายามทำสิ่งเดียวกันด้วยท่าทางงกๆเงิ่นๆ
“ขอบคุณพระอาจารย์มากนะครับ ที่อุตส่าห์มาในวันนี้”
“ไม่เป็นไรโยม บ้านนี้ร้างงานบุญมาหลายปีได้ทำสักทีอาตมาว่าก็ดีแล้ว”
รัตติกาลขมวดคิ้วเมื่อคนที่ผ่านอะไรมามากพูดเหมือนรู้อะไรบางอย่าง แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเท่านั้น
“ลูกโยมน่ารักนะ เข้าใจพูด เข้าใจทำ ฉลาด...เหมือนกับพ่อของเขา”
“...!”
“นอกจากเลือดเนื้อที่ผูกผันคนเราไว้ ก็คงมีบุญกรรมนั้นแหละที่พันธนาการและนำพาโยมและเขาให้มาอยู่ด้วยกัน...ดูแลเขาให้ดีๆนะ เด็กคนนี้เขารักโยมมากและจะนำพาสิ่งดีๆมาให้ ปล่อยให้เวรกรรมตัดสินอดีต อยู่ปัจจุบันแล้วทำมันให้ดี...รักษาเขาไว้ เราด้วยเจ้าตัวเล็ก อย่าดื้อกับพ่อเขามากเข้าใจไหม”
“ฮะ!”
รัตติกาลยิ้มรับทั้งน้ำตาเมื่อไม่อาจกักเก็บความกังวลใจต่อหน้าคนที่มองเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ก่อนจะสะอื้อฮัดเมื่อพระอาจารย์ชี้ไปยังพื้นที่ว่างเปล่านอกชายคาบ้านราวกับจะบอกว่าท่านเห็นอะไรบางอย่างที่รัตติกาลไม่สามารถมองเห็นได้
“เขาบอกว่าขอบคุณ แล้วก็...ขอฝากด้วย”
ร่างโปร่งปล่อยโฮทันทีที่ได้ยินดังนั้นจนรพีที่อยู่ใกล้ๆต้องรีบปลอบพ่อของตนเป็นการใหญ่ เด็กชายพยายามใช้มือเล็กๆของตัวเองเช็ดไปตามใบหน้าของบิดาที่ยังไม่หยุดร้องจนตัวเองเริ่มจะร้องไห้ตาม ชายแก่หัวเราะร่า ท่านคว้าข้อมือของรัตติกาลมาผูกด้วยสายสิญจน์สีขาวแบบเดียวกับรพีให้แล้วอวยพรให้สองพ่อลูกสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายไปให้ได้
:-[(มีต่อเม้นต์ล่าง) :-[
-
ห้องโถงที่เมื่อเช้าถูกจัดเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาถูกเก็บและเนรมิตมาเป็นงานเลี้ยงย่อมๆที่มีตัวเด่นของงานเป็นเด็กชายจมูกแดงที่เพิ่งหยุดร้องไห้ไปได้พักใหญ่ โต๊ะไม้ตัวเขืองที่ตั้งอยู่ตรงกลางบ้านเต็มไปด้วยของขวัญจากบรรดาอาๆและคนใช้ภายในบ้านที่ต่างก็สรรหาของเท่าที่กำลังจะมีมาให้คุณหนูเล็กของบ้าน โดยมีรพีที่ยิ้มร่ายืนอยู่บนเก้าอี้ที่นิ่มไปลากมาให้
“อันนี้ของยายนะคะคุณพี ขอให้คุณหนูสุขภาพแข็งแรง เรียนหนังสือเก่งๆ อยู่เป็นยอดดวงใจของบ้านเราตลอดไปนะคะ”
“ขอบคุณฮะยาย พีรักยายจังเลย”
เด็กชายกอดเข้าที่แขนนุ่มของยายจันทร์แล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มอย่างเอาใจ หญิงแก่เองเมื่อเห็นท่าทางออดอ้อนนั้นก็อดใจไม่ไหวคว้าร่างป้อมมากอดไว้แล้วหอมกลับไม่หยุดจนรพีต้องหัวเราะคิกคักด้วยความจักกะจี้
“พอแล้วครับป้า ปล่อยหลานมาให้ผมบ้าง”
“ค่ะๆ แหม ไม่ยอมให้คนแก่ได้ชื่นใจบ้างเลย”
จันทร์หันไปตอบนิลที่เอ่ยแซวอย่างไม่คิดอะไรมากก่อนจะยอมคลายอ้อมกอดที่กักตัวรพีไว้ให้นิลและฤทธิชาติที่ยืนคู่กันอยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาหาเด็กชายพร้อมกับของขวัญเต็มสองมือ
“อานิลซื้อหนังสือมาให้พีรึเปล่า”
“แหม หลานคนนี้มันรู้ดีจังเว้ย เอ้า! อันนี้ของอานะเจ้าตัวแสบ เป็นเด็กดี แล้วก็อย่ากินให้มันเยอะนัก กลมแทบจะกลิ้งได้อยู่แล้วนะเราน่ะ”
รพีอมลมจนแก้มพองเมื่อโดนนิลเอ่ยแซวถึงน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นตามปริมาณอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน แต่นักเขียนหนุ่มก็ไม่ปล่อยให้เด็กน้อยต้องงอนนาน เขารีบแกะของที่ตัวเองซื้อมาให้รพีดูทันทีเพราะรู้ว่าเจ้าตัวต้องชอบใจเป็นแน่แล้วก็ไม่ผิดจากที่คาด แก้มอวบยกขึ้นตามรอยยิ้มเมื่อรพีได้รับหนังสือชุดใหญ่อย่างที่หวัง เด็กชายถือมันไว้แนบอกแล้วกระโดดไปมาจนนิลต้องช่วยจับเก้าอี้ไว้เพราะเกรงว่าเจ้าของงานจะตกลงมาจนได้เรื่อง
“ส่วนอันนี้ของอา ขอให้น้องพีมีความสุขมากๆ คิดอะไรสมปรารถนานะครับ”
“ขอบคุณฮะอาชาติ”
“เฮอะ อวยพรได้ไม่มีสีสันเอาซะเลย”
นิลพูดกระแซะขึ้นเมื่อเขาแอบเห็นนิ่มกับลูกศรแอบหันไปซุบซิบด้วยใบหน้าแดงก่ำตอนที่นายตำรวจหนุ่มอวยพรพลางลูบหัวกลมของรพีไปด้วย ฤทธิชาติส่ายหัวให้ความขี้หวงของคนที่ไม่ยอมรับความจริงอย่างอ่อนใจก่อนจะลงมือแกะของขวัญของตัวเองให้เจ้าของวันเกิดดูทั้งที่ตอนแรกอยากให้เจ้าตัวไปเปิดดูเองเสียมากกว่า
“ถึงคำอวยพรของอาจะไม่มีสีสัน แต่ของขวัญอามีสีชุดใหญ่เลยนะ”
“โห! ดินสอสีเพียบเลย!”
เด็กชายทำหูตาแพรวพราวทันทีที่เห็นชุดวาดเขียนชุดใหญ่อยู่ตรงหน้า รพีวางหนังสือของนิลลงแล้วรับกล่องสีสวยนั้นมาดูใกล้ๆด้วยความตื่นตาตื่นใจโดยที่การกระทำนั้นทำให้ผู้ใหญ่ที่หัวเราะแกนๆกันเพราะไม่รู้จะทำยังไง ยกเว้นแต่อารัณย์และรัตติกาลที่หัวเราะร่าด้วยความสะใจ
“มึงแม่ง! ฝากไว้ก่อนเหอะ!”
นิลสบถแล้วมองกองหนังสือของตัวเองด้วยความน้อยใจ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หยิบมันกลับ แขนป้อมของรพีที่กำลังอุ้มกล่องเครื่องเขียนอยู่ก็พยายามหอบเอาหนังสือภาพของนิลที่ตนวางไว้เมื่อครู่กลับคืนมาสู่อ้อมแขน
“ขอบคุณอานิล อาชาติมากเลยนะฮะ พีจะรักษาอย่างดีเลยเลยฮะ”
นักเขียนหนุ่มฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเข้าไปขยี้หัวกลมของรพีเบาๆด้วยความมันเขี้ยว ฤทธิชาติเองก็ยิ้มพรายในระหว่างที่คอยจัดผมของรพีให้เรียบร้อยดังเดิม เด็กชายตัวน้อยยื่นของขวัญในมือให้ลูกศรนำไปเก็บให้ก่อนจะหันมาคว้าอานิลเข้ามากอดแล้วแก้มขาวนั้นเบาๆเหมือนที่ทำกับจันทร์ แต่ในขณะที่นิลกำลังจะหอมอีกฝ่ายกลับนั้นต้นคอของร่างสูงก็โดนกระชากจากทางด้านหลังจนแทบเสียการทรงตัว
“เฮ้ย!”
“อ่า ระวังหน่อยสิครับนิล เดี๋ยวจะเจ็บตัวเอานะ”
“มะ มึง!”
นายตำรวจหนุ่มยิ้มเย็นให้กับคนที่เอนอยู่ในอ้อมกอดของตนด้วยสีหน้าซื่อๆเหมือนกับว่าตนเองไม่ใช่คนที่ดึงนิลออกมา ร่างสูงอ้าปากค้าง เขาอยากจะด่าอีกฝ่ายกลับแต่ฝ่ามือที่โอบรอบต้นคอของเขาไว้ก็บีบเข้าเบาๆคล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนจนนักเขียนหนุ่มเลือกที่จะหุบปากแม้ว่าดวงตาจะจ้องไปยังฤทธิชาติอย่างคาดโทษก็ตาม
“อานิลเป็นอะไร ไม่หอมพีแล้วหรอฮะ”
เด็กน้อยถามซื่อๆเมื่ออาของตนผงะถอยหลังไปในขณะที่รพีกำลังหันแก้มเข้ารับสัมผัสอย่างที่ตั้งใจ ร่างสูงยิ้มแหยๆแทนคำตอบแต่ยังไม่ทันที่นิลจะได้พูดอะไร คุณอาตำรวจคนใหม่ของรพีก็เดินขึ้นมาหยุดลงตรงหน้าร่างป้อมแทน
“อานิลบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดีเลยจะให้อาหอมแทน น้องพีโอเคไหมครับ”
“อานิลไม่สบายหรอฮะ?”
รัตติกาลต้องหันไปซบบ่าของอารัณย์เพราะไม่อาจพยุงตัวจากการหัวเราะอย่างหนักได้ คนที่ถูกกล่าวหาว่าไม่สบายโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแต่จะคร้านเข้าไปเถียงตอนนี้ก็นึกเกรงรอยยิ้มหวานๆที่ไอ้คนเจ้าเล่ห์นั่นส่งมาพาลให้นึกถึงเก้าอี้ใหม่ตัวใหม่ในห้องของฤทธิชาติที่เขานึกเกลียดมันจับใจ
“ครับ อาเขาเลยไม่อยากให้น้องพีติดไข้เลยให้อามาแทน”
“งั้นก็ได้ฮะ แล้วน้องพีจะหอมอาชาติด้วย”
สองอาหลานสลับกันหอมไปมาจนนิลเริ่มหมั่นไส้ในความหน้าไหว้หลังหลอกของนายตำรวจใหญ่ เขาเลือกเดินไปสมทบกับรัตติกาลและอารัณย์ทางด้านหลังแม้จะต้องโดนเจ้าของบ้านมองมาอย่างล้อๆ ก็ตาม
“รพีแม่งเหมือนมึงเกินไปแล้ว อีกหน่อยคงได้ปวดหัวกันทุกวัน”
“ฮ่าๆ งอนเด็กมันรึไง”
“โกรธไอ้โรคจิตนั่นมากกว่า เด็กหกขวบนะเว้ย หกขวบ!”
นิลทำหน้ารับไม่ได้กับความขี้หวงจนเกินเหตุของอีกฝ่าย จนพี่เลี้ยงหนุ่มได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจแล้วพูดปลอบไปตามเรื่อง เลยไม่รู้เลยว่าสำหรับรัตติกาลนั้นอารัณย์กับฤทธิชาติก็ไม่ได้ต่างกันเลย
“ตามึงสองคนแล้ว เร็วๆ จะได้แดกเค้กกัน”
“ห่วงแต่เรื่องกินใช่ไหมเนี่ย”
อารัณย์ว่าขำๆก่อนจะเดินเข้าไปหารพีพร้อมกับรัตติกาลที่ต่างฝ่ายต่างก็มีของขวัญของตนเองอยู่ในมือ ร่างสูงของคนอ่อนวัยกว่าเดินเข้าไปหาร่างป้อมก่อนเพราะอยากให้คนรักได้เป็นคนแสดงความยินดีกับรพีเป็นคนสุดท้าย เขาหยิบเอาของอีกชิ้นที่ฝากให้ฤทธิชาติขนมาให้นอกเหนือจากสร้อยทองตามที่ตัวเองตั้งใจมาซึ่งมันถูกบรรจุไว้ในกล่องกระดาษกล่องใหญ่ที่ถูกห่อมาอย่างดี
“ว้าว กล่องเบ่อเริ่มเลย”
“เปิดเลยไหม”
“ฮะ!”
รพีลงมือแกะกล่องของขวัญนั้นอย่างตื่นเต้นเช่นเดียวกับรัตติกาลที่ไม่รู้มาก่อนว่าอารัณย์ได้เตรียมอะไรมา สองน้าหลานช่วยกันแกะกระดาษที่ห่ออยู่ไม่นานก็เจอเข้ากับแก้วใสที่มีลักษณะเหมือนฝาครอบบางสิ่งบางอย่างที่นอนนิ่งอยู่ในนั้น
“อารัณย์...นี่มัน”
“ผมว่ามันสวยดีน่ะ”
บ้านเรือนไทยจำลองทำจากไม้ถูกจัดวางไว้ในกล่องที่ทำจากกระจกทำให้สามารถเห็นรายละเอียดต่างๆได้อย่างชัดเจน ทั้งพื้นหญ้าและต้นไม้ประดิษฐ์ถูกทำมาให้เหมือนกับของจริงแต่ก็ไม่สวยงามเท่ากับตัวบ้านที่แม้แต่ไม้กระดาษแผ่นเล็กก็ถูกแกะสลักจนปรากฏเป็นลวดลายฉะลุอันประณีตแสดงถึงฝีมือและความทุ่มเทของช่างที่เนรมิตมันขึ้นมา รัตติกาลมองมันอย่างไม่เข้าใจเช่นเดียวกับคนอื่นที่เหลืออยู่ เห็นจะมีก็แต่เพียงเจ้าของวันเกิดเท่านั้นที่ถูกใจบ้านหลังเล็กนี้ไม่น้อย
“สวยจังเลย มันคืออะไรหรอฮะน้ารัณย์”
“บ้านจำลองน่ะครับ เคยเห็นมาก่อนไหม”
“ไม่ฮะ แต่พี...ชอบจังเลย”
เด็กชายวางมือทั้งสองข้างของตนทาบลงไปกับกระจกราวกับว่าอยากจะสัมผัสชิ้นงานที่อยู่ด้านใน อารัณย์อมยิ้มเมื่อเห็นว่าของที่เตรียมมาถูกใจคนรับเป็นอย่างมากแต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของรัตติกาล
“กาล เป็นอะไรรึเปล่า”
“ปะ เปล่า แค่ไม่คิดว่าคุณจะให้ของแบบนี้”
“ผมแค่คิดว่ามันสวยดี”
อารัณย์ว่ายิ้มๆก่อนจะหยิบเอาสร้อยข้อมือของตนออกมาแล้วยื่นให้กับรพีตามที่ตั้งใจไว้ เด็กชายมองของในมืออย่างสงสัย ร่างป้อมรู้ดีว่าสร้อยเส้นนี้มีค่าแต่ก็ไม่อาจประเมินได้เลยว่ามีค่ามากแค่ไหน
“พีรับไว้ไม่ได้หรอกฮะ ยายจันทร์บอกว่าพียังเด็กอยู่”
เด็กชายพูดตามสิ่งที่หญิงแก่เคยบอกไว้ในตอนที่รพีถามถึงสร้อยคอสำอำพันที่จันทร์มีสวมติดคอไว้ในตอนที่ออกไปทำธุระข้างนอกเป็นบางครั้ง ร่างสูงยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำพูดที่สื่อถึงความเชื่อฟังที่รพีมีต่อผู้ใหญ่ยิ่งทำให้เขาอยากมอบมันให้เด็กดีอย่างร่างป้อมมากขึ้นไปอีก
“รับไว้เถอะ ผมขอให้หลานรับไว้ได้ไหมครับยาย”
ร่างสูงพูดกับรพีก่อนหันไปถามหญิงแก่ในตอนท้ายเพราะคิดว่ารพีคงยอมรับหากจันทร์อนุญาตและมันก็เป็นอย่างที่ว่า ทันทีที่จันทร์พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้รพีก็ยกมือไหว้ขอบคุณอารัณย์แล้วจึงรับสร้อยทองเส้นเล็กนั้นมาพินิจใกล้ๆ เด็กชายลูบไปตามลายของมันเบาๆก่อนมาหยุดตรงจี้รูปปูนที่ดูเป็นเอกลักษณ์
“นี่มันคืออะไรหรอฮะ”
“จี้ครับ จี้รูปปืน...สร้อยเส้นนี้เป็นของพ่อน้าเอง”
“อ้าว แล้วน้ารัณย์เอามาให้พีทำไมล่ะฮะ”
“ก็เพราะว่าพีสำคัญสำหรับน้า เหมือนกับคนที่ให้สิ่งนี้กับน้ามาน่ะสิครับ”
ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่าพ่อแท้ๆที่ไม่เคยเห็นหน้าตั้งใจมอบสร้อยเส้นนี้ให้ตนจริงหรือไม่ แต่อารัณย์ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเขาไม่เข้าข้างตนเองจนเกิดไป มันคงมีอยู่สักเศษเสี้ยวของความรักอยู่ในสร้อยเส้นนี้ ไม่ว่าจะน้อยนิดยิ่งว่าเถ้าถลีหรือมากมายดั่งลวดลายบนอำพันนี้ก็ตาม
อารัณย์ลูบหัวของรพีเบาๆพร้อมกับจ้องไปในนัยน์ตาวาวคู่นั้นอย่างรักใคร่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเข้าใจว่าความสัมพันธ์ของพ่อลูกจริงๆนั้นเป็นอย่างไร แต่ความผูกพันที่ก่อเกิดรวมกับความห่วงใยตั้งแต่วันแรกที่พบหน้าทำให้เขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ารักรพีไม่ต่างจากลูกแท้ๆ
“สร้อยเส้นนี้คือสิ่งที่เคยเป็นทุกอย่างสำหรับน้า แต่ตอนนี้น้ามีสิ่งที่สำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกสองอย่าง คือ’รัตติกาล’ และ ‘รพี’ น้าจึงอยากให้สร้อยเส้นนี้เป็นสิ่งแทนคำสัญญาว่าน้าจะดูแลทั้งพีกับพ่อเหมือนกับที่น้าเคยดูแลสร้อยเส้นนี้มา...ด้วยชีวิต”
เด็กชายแม้ไม่อาจเข้าใจได้ถึงความหนักแน่นของคำสัญญาที่ว่า แต่เพราะความจริงใจที่สื่อออกมาก็ทำให้เด็กชายรู้สึกสั่นไปทั้งหัวใจได้ เช่นเดียวกับคนเป็นพ่อที่ไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลตั้งแต่ได้ยินความในใจของคนรักและคำสัญญาที่เอ่ยต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในห้องนี้
นิลและฤทธิชาติยิ้มกริ่ม เช่นเดียวกับจันทร์และสาวใช้คนอื่นที่รู้ความหมายของคำสัตย์นั่นดีและมันก็ทำให้ทุกคนรู้ว่าพี่เลี้ยงหนุ่มคนนี้จะก้าวเข้ามาเป็นคนสำคัญของบ้านพัฒนเดชา ในฐานะคนที่คอยประสานและพัดพาฝันร้ายที่ยาวนานให้พ้นไปจากที่นี่สักที
“ทำแบบนี้มันมัดมือชกกันชัดๆ”
รัตติกาลที่ยืนอยู่ข้างกันยิ้มทั้งน้ำตา อารัณย์ที่เห็นดังนั้นก็ใช้มืออีกข้างนอกเหนือจากข้างที่คอยจับมือร่างโปร่งไว้ยกขึ้นปาดหยดน้ำแห่งความสุขนั้นออกให้อย่างอ่อนโยน
“ผมรู้ว่ากาลต้องตกลง”
“หลงตัวเองชะมัด”
ร่างโปร่งหัวเราะพร้อมกับโผเข้าหาอ้อมกอดของอารัณย์ที่อ้ารอรับอยู่ ฝ่ามือที่เคยทั้งทำร้ายและปลอบโยนลูบหัวเขาเบาๆก่อนกดมันทำให้ใบหน้าของรัตติกาลจมลงบนบ่าของอารัณย์ที่หัวเราะน้อยๆอย่างชอบใจ รัตติกาลพยายามขืนตัวอยู่สักพักแต่ก็โดนคนรักกระซิบเบาๆให้รอก่อนยิ่งทำให้คนที่หยุดร้องไห้ไปแล้วสงสัย แล้วทันใดนั้นเองขากางเกงของรัตติกาลก็ถูกกระตุกเบาๆพร้อมกับแรงกดจากอารัณย์ที่คลายไป
“พ่อกาลฮะ...”
รัตติกาลรู้สึกเหมือนเขาใช้ความสุขทั้งชีวิตหมดไปแล้วในวันนี้ เด็กชายตัวป้อมที่เขาได้เห็นหน้าตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาดูโลกบัดนี้ตัวสูงใหญ่จนสามารถเอื้อมส่งพวงมาลัยช่อสวยให้ถึงมือเขาได้แล้ว รัตติกาลรับมันไว้ก่อนสองเท้าที่เคยเล็กเพียงครึ่งฝ่ามือนำพารพีเดินมาหยุดลงตรงหน้าแล้วทรุดตัวลงจนร่างโปร่งต้องนั่งตาม
“ขอบคุณนะฮะที่ทำให้พีเกิดมา...พีรักพ่อกาลที่สุดในโลกเลย”
ว่าจบแล้วฝ่ามือคู่เล็กก็พนมเป็นพุ่มแล้วก้มกราบลงแทบเท้าของบิดาที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก รัตติกาลแทบไร้การตอบสนองเขาได้ยินเพียงแต่คำพูดของรพีและเสียงร้องไห้ด้วยความปลื้มใจที่ดังมาจากทางเบื้องหลัง เด็กน้อยที่เขาเคยเกลียดชังเงยหน้าขึ้นมาสบตาก่อนจะยิ้มให้เหมือนกับทุกครั้ง ตลอดหกปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะดีร้ายแค่ไหนสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความรักของลูกชายที่มีให้กับเขาเสมอมา
“รพี...พ่อขอโทษนะลูก”
รัตติกาลคว้าอีกฝ่ายมากอดไว้ก่อนน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้จะพรั่งพรูออกมา เหมือนม่านหมอกที่เคยบังตาได้คลายหายไป บัดนี้ร่างโปร่งรับรู้ได้ถึงสิ่งที่คอยตามหาโดยไม่เคยรู้ว่าตลอดมาความรักแท้จริงจะอยู่เคียงข้าง รอคอยให้เขามองกลับมาแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะเข้าใจมัน
ตลอดหกปีที่ผ่านมาเขาเอาแต่โหยหาสิ่งที่เสียไปโดยไม่เคยเหลียวแลสิ่งที่ได้รับมา ทุกครั้งที่เขาเอาแต่มองไปข้างหลังมีเพียงรพีเท่านั้นที่พยายามจะฉุดมือเขาให้เดินไปข้างหน้าโดยผลที่รับกลับไปคือบาดแผลจากการผลักไสของเขาเท่านั้นเอง
“พ่อกาลขอโทษทำไม พีไม่เคยโกรธพ่อสักหน่อย”
“...!”
“พ่ออย่าร้องไห้นะ หรือพวงมาลัยของพีไม่สวย”
“เปล่าครับ พวงมาลัยของรพีสวยมากเลย ขอบคุณนะ”
รัตติกาลส่ายหน้าแล้วพยายามยิ้มให้ร่างป้อมที่มองมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง พวงมาลัยที่กองอยู่บนตักไม่ได้สวยงามเหมือนแบบที่มีขายตามร้านทำให้ร่างโปร่งรับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวป้อมคงแอบไปทำให้เขาด้วยความช่วยเหลือของใครสักคน แต่สงสัยอยู่ไม่นานรัตติกาลก็ได้คำตอบเมื่อสังเกตเห็นรอยจุดแดงๆมากมายตามนิ้วมือของเพื่อนรักที่ไม่เคยจับอย่างอื่นนอกจากปากกา
ร่างโปร่งบอกขอบคุณเพื่อนโดยไม่มีเสียงโดยที่นิลก็เอาแต่เกาจมูกแก้เขินไปทั้งอย่างนั้น รัตติกาลยิ้มอ่อนก่อนจะหยิบเอาของขวัญของตนที่เตรียมไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต เขาวางกล่องไม้ใบเล็กลงไปบนฝ่ามือของรพีที่รอรับอยู่ด้วยความตื่นเต้น เด็กชายมองด้วยความชอบใจก่อนจะเปิดมันดูทันทีที่รัตติกาลอนุญาต
“เปิดสิ...นี่ของขวัญของพ่อเอง”
กุญแจสีเงินดอกใหญ่นอนนิ่งอยู่ในนั้น รพีมองมันอย่างสงสัยแต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามไถ่ ร่างเล็กของเด็กชายก็โดนรัตติกาลคว้าเข้าไปกอดไว้แน่นที่สุดเท่าที่รพีเคยได้รับมา เด็กชายจำได้ว่าวันที่รัตติกาลกลับมาจากหายไปพ่อก็เคยกอดเขาไว้แบบนี้แต่มันกลับไม่อุ่นเท่า กำแพงหนาที่มองไม่เห็นพังทลายลงไปพร้อมกับการมาของวันใหม่แห่งการเริ่มต้นอีกครั้ง
“กุญแจอะไรหรอฮะ”
“สักวัน ลูกจะรู้เอง สัญญากับพ่อนะว่าจะรักษามันไว้จนกว่าจะถึงวันนั้น”
“ฮะ พีสัญญา”
รพีชูนิ้วก้อยของตัวเองขึ้นแล้วยื่นมาตรงหน้าเพื่อให้รัตติกาลทำสิ่งเดียวกันกลับ ร่างโปร่งยิ้มกว้างแล้วชูนิ้วก้อยของตนขึ้นมาเช่นกัน เขาส่งมือของตัวเองออกไปเพื่อผูกผันคำสัญญานั้น แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนที่ทั้งสองจะได้สัมผัสกัน เสียงโวยวายของลูกศรที่เดินออกไปจากห้องนักเล่นครู่ใหญ่ก็ดังขึ้นจนทุกอย่างชะงักลง
“คุณคะ เข้าไปได้นะคะ คุณ!!”
“รพี! รพีอยู่ไหน!!!”
รัตติกาลตัวเย็นวาบจนไม่อาจขยับร่างกายของตนเองได้ เสียงที่เคยได้ยินจนคุ้นชินดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้านก่อนร่างของคนที่สมควรถูกเผาไปพร้อมกับเปลวไฟนั้นจะปรากฏขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนรน
“พี่แพง...”
หญิงสาวที่เคยนับถือกันยืนหายใจหอบอยู่ตรงหน้าโดยที่สายตานั้นจับจ้องอยู่ที่ตัวเขาอย่างไม่มีสั่นไหว เส้นผมสีดำสลวยที่เคยไว้ยาวถูกตัดให้สั้นลงรับกับรูปหน้าที่สวยงามไม่เคยเปลี่ยนแปลง จะมีก็เพียงแต่ความโกรธเกรี้ยวเท่านั้นที่ทำให้รัตติกาลรู้ว่าพี่รหัสของตนไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
“กาล...”
“ทำไม...ทำไมพี่...”
“ลูกพี่ไปไหน รพีไปไหน!!!”
ทันทีที่ระบายโทสะผ่านทางวาจาร่างเล็กนั้นก็กระโจนเข้าหารัตติกาลแต่ก็ไม่อาจมาถึงได้เพราะมีอารัณย์และนิลที่ตกใจไม่แพ้กันเข้ามาขวางไว้ แววตาของนักเขียนหนุ่มสั่นไหว ทั้งดีใจและตกใจเสียจนพูดอะไรไม่ออก ฝ่ามือของเขาบีบเข้าที่ข้อมือเล็กของหญิงสาวรุ่นพี่เพื่อเตือนสติของทั้งตัวเองและพะแพงให้สงบลงจนเธอยอมละสายตาจากรัตติกาลแล้วมองมายังนิลที่แทบจะร้องไห้ออกมา
“พี่แพง ทำไมพี่อยู่ที่นี่...พี่ตายไปแล้วไม่ใช่หรอ”
สิ่งที่เขากลัวที่สุดมันเกิดขึ้นแล้ว นิลไม่มีสติแม้แต่จะสาปแช่นักสืบไร้ฝีมือที่ตัวเองให้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับรูปที่เขาเห็นมันบนหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่เพียงรูปของชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับนทีจนน่าสงสัย...แต่รวมถึงรูปของผู้หญิงอีกคนที่ควรจะตายไปพร้อมกับนทีตั้งแต่วันนั้น
“พี่ไม่ได้ตายนิล แต่วันนี้พี่รู้สึกเหมือนตัวเองตายทั้งเป็น เมื่อต้องรู้ว่าน้องที่ตัวเองรักพรากลูกไปจากพี่!!!”
พะแพงมองมาที่รัตติกาลอย่างเคียดแค้นโดยที่ร่างโปร่งไม่อาจพูดอะไรกลับไปได้ เขาจับมือของรพีที่หลบอยู่ด้านหลังแน่นแต่ก็สัมผัสได้ว่าร่างเล็กๆของลูกชายนอกไส้กำลังสั่นเพราะเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะของคนที่ได้ชื่อว่าตายไปแล้วแต่แท้จริงตัวนั้นยังอยู่
“พ่อกาลฮะ...เขาเป็นใคร”
“รพี...”
“พีกลัว ฮึก พีกลัว”
รัตติกาลทนไม่ไหวเขากลับตัวไปกอดรพีที่กำลังร้องไห้ไว้อย่างหวงแหน แต่ก็เพราะการกระทำนั้นทำให้พะแพงที่กำลังมองหาลูกของตนอยู่เห็นเข้าว่าภายใต้อ้อมกอดอุ่นของรัตติกาลมีร่างของเด็กคนหนึ่งกำลังตัวสั่นเทาอยู่ในนั้น
“รพี...รพีใช่ไหมลูก นั่นรพีใช่ไหม”
หญิงสาวผลักนิลออกไปแล้วพยายามเดินเข้าไปหาแต่ยังไม่ทันที่มือของเธอจะได้เอื้อมถึงอารัณย์ก็หยุดเธอไว้ด้วยการใช้ร่างสูงใหญ่ของตนขวางไม่ให้ผู้มาเยือนไปถึงสองพ่อลูกนั้นได้
“ถอยไปเถอะครับ...”
พะแพงชะงักก่อนจะเค้นยิ้มออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ฝ่ามือผ่ายผอมฟาดเข้าที่แก้มกร้านเต็มแรงจนทำให้ทั้งห้องที่กำลังวุ่นวายหยุดนิ่งลงทันทีที่สิ้นสุดเสียงนั้น ร่างสูงที่หน้าสะบัดไปเพราะแรงตบหันกลับมามองสบตากับหญิงสาวด้วยความมาดมั่นทั้งที่หัวใจกำลังสั่นไหว เช่นเดียวกับรัตติกาลที่แทบจะถลาเข้าไปปกป้องคนรักให้ไม่ต้องเจ็บตัวเพราะเขาอีก
“เธอนั่นแหละที่ต้องถอยไป...อารัณย์”
“...”
“เธอคิดจะทำอะไรถึงได้ไปปกป้องคนที่ทำร้าย ‘พี่สาว’ ของตัวเองแบบนี้”
เหมือนสายฟ้าฟาดขาของรัตติกาลที่กำลังเดินเข้าไปหาคนรักหยุดนิ่ง เขารู้สึกได้ว่าทั้งรอยยิ้มและน้ำตาบนใบหน้าของตัวเองได้หายไปเช่นเดียวกับความมั่นใจที่จะดำเนินเรื่องราวต่อ เขามองหน้าอารัณย์ด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะหันไปมองพะแพงที่หันมาสบตาเขาด้วยความสมเพช
“หรือว่าเธอไม่ได้บอกเขา?”
“...”
“อย่างนี้นี่เอง”
หญิงสาวยิ้มเยาะก่อนจะก้าวเข้าหารัตติกาลที่ไม่มีแรงแม้แต่จะพยุงตัวให้ตรง อารัณย์พยายามเข้ามาขวางไว้แต่ก็โดนผู้หญิงที่ตนนับถือจับเข้าที่วงแขนแกร่งแล้วออกแรงเพียงน้อยนิด ลากร่างสูงให้เดินตามกันมาหยุดอยู่ตรงหน้ารัตติกาลโดยที่เขาไม่มีสิทธิที่จะขัดขืน เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่อารัณย์คิดจะทำให้ผู้หญิงคนนี้เจ็บปวด
“กาล...พี่มีคนจะแนะนำให้รู้จัก”
“...”
“นี่คือ ‘อารัณย์’ น้องชายของพี่เอง”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
ตอนแรกๆเคยมีคอมเม้นต์นึงทักเช่ว่า ทำไมรพีถึงเรียกว่า "น้ารัณย์" ควรจะเป็นอาหรือพี่ไม่ใช่หรอ....
วันนี้ได้คำตอบแล้วนะคับ.... :hao3:
ป.ล.1 ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวต
ป.ล.2 คนเขียนชื่อเช่นะคับ ไม่ใช่ เชี้ย 55555 อ่านตอนนี้อย่าเปลี่ยนชื่อให้กันล่ะ :mew3:
ป.ล.3 ชิ่งล่ะว้อยยยยยยยยยย *หลบรองเท้าคนอ่าน!!!!* :z2:
-
อุตะ...หงัยเป็นงั้นอะ...อารัณ..พะแพง... :z3:
..อย่างนี้กาลจะทนไหวมัยอะ.. :m15:
-
:ling1: :ling1: :ling1: :ling3: :ling3: :ling3:
กาลลลล.....ตั้งสติดีๆนะ!!!!
อารัณย์?????อธิบายด่วนเลย
-
นั่นไงงงงงงง นี่เราบอกตั้งแต่ตอนที่อ่านเรื่องนี้ตอนแรกๆแล้วว่ากาลอ่ะน่าสงสารที่สุดในเรื่อง
-
คุณเช่คะ....แบบนี้มันโหดร้ายเกินไปแล้ว o22 :z3:
-
ชอคหนักไปอีก เห้ออ!!
-
แหงะ สงสารกาลลลล
-
41st Night
…Truth...
“อารัณย์ๆ มีคนมาหาลื้อน่ะ”
เฒ่า ‘หยาง’ เจ้าของโรงสี ตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังงมอยู่กับตัวเลขในบัญชีให้เงยหน้าขึ้นมอง อารัณย์ในวัยสิบเก้าย่างยี่สิบปีขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่อาการส่ายหน้าพร้อมกับโบกพัดสีแดงในมือไปมาของเถ้าแก่ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าคนที่มาหาเขาไม่ใช่คนที่ชายเฒ่ารู้จัก
“รีบไปเร็วๆเข้า เดี๋ยวเขาจะรอนาน”
เถ้าแก่พูดเร่ง แต่อารัณย์กลับไม่สนใจ เขาก้มหน้าลงมองตัวเลขแล้วรัวลูกคิดในมือต่อด้วยความชำนาญ ร่างสูงถนัดใช้มันมากกว่าเครื่องคิดเลขเพราะเฒ่าหยางเป็นพวกหัวโบราณติดจะงกนิดหน่อยเลยไม่ยอมเจียดเงินซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกดีๆให้เขาใช้ แต่อารัณย์ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากใช้มันต่อไปเท่านั้น
หลังจากแม่ตายอารัณย์ก็ทิ้งบ้านหลังเก่าออกมาเร่ร่อนหางานทำไปเรื่อยๆเป็นเวลาเกือบสองปีจนมาถูกตาต้องใจเถ้าแก่ที่นี่เด็กหนุ่มในวัยสิบเจ็บปีก็อาศัยสติปัญญาที่ดีและความขยันทำให้สามารถทำงานได้ดีกว่าคนที่ตาเฒ่าหยางเคยจ้างไว้ชายแก่พอใจเลี้ยงดูอารัณย์ให้มาทำงานด้วยกันตั้งแต่แบกกระสอบข้าวเรื่อยมาถึงดูแลเรื่องเงินท้องโดยให้ค่าจ้างที่มากพอตัวสำหรับเด็กที่มีวุฒิแค่การศึกษามัธยมสามและให้อาศัยชายคาโรงสีเก่าเป็นที่หลับนอนมาจนเกือบบรรลุนิติภาวะ
“ถ้าเฒ่าไม่รู้จัก ผมจะรู้จักได้ไง ไม่ไปหรอกเสียเวลา”
“เวลามันก็มีเหลือเฟือพอๆกับเงินของลื้อนั่นแหละอารัณย์ ไปเร็วๆเข้า ให้แขกรอนานมันไม่ดี เดี๋ยวใครเขาจะด่าเอาได้ว่าอั้วไม่สั่งสอน”
ชายแก่นำพัดในมือของตนเคาะเข้าที่หัวเกรียนของอารัณย์แรงๆจนเกิดเสียงดัง แต่ดูเหมือนอารัณย์กลับเคยชินกับการลงโทษเล็กๆแบบนี้ไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วยอมลุกจากงานมาเพราะไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเฒ่าหยางไปมากกว่านี้ เขาจึงเดินไปยังหน้าโรงสีตามที่ตาแก่บอก
“หรือจะเป็นพวกไอ้ชัยมาขอยืมเงิน...แต่ถ้าเป็นมันเฒ่าหยางต้องรู้จักสิ”
อารัณย์เดินไปเรื่อยๆพลางกับเดาไปด้วยว่าคนที่มาหาตนคือใครทำไมตาแก่ขี้งกนั้นถึงยอมให้เขาสละเวลางานที่มีค่ามาทั้งที่ปกติแค่กลับจากกินข้าวเที่ยงช้าก็โดนบ่นจะแย่ ร่างสูงขมวดคิ้วเมื่อเห็นแผ่นหลังของชายที่สูงกว่าตนไม่มากนั่งยืนอยู่หลังรั้วเหล็กอันใหญ่ เส้นผมสีเทาถูกตัดจนเกรียนตัดกับผิวสีเข้มแต่ก็ยังดูขาวกว่าของเขาที่ทำงานอย่างหนักมาตลอดหลายปี อารัณย์พิจารณาคนตรงหน้าด้วยความสงสัยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยทักออกไปด้วยเสียงห้วนๆ
“คุณมาหาผมหรอ”
เด็กหนุ่มถามออกไปอย่างไม่สุภาพมากนักแต่ก็ถือว่าดีแล้วสำหรับคนที่ห่างหายจากการอบรมมานาน ชายแก่คนนั้นหันหน้ากลับมาทำให้ร่างสูงสบเข้ากับดวงตาเรียวเล็กไม่ต่างกับเขาแต่ผิดกันทีของอีกฝ่ายนั้นดูอ่อนโยนกว่า ในขณะที่ของอารัณย์มีแต่ความแข็งกระด้างเพราะเรื่องราวในอดีต
“อารัณย์ใช่ไหม”
ร่างสูงขมวดคิ้วแน่นเมื่อผู้มาเยือนกลับตอบคำถามด้วยคำถาม เขาสถบเบาๆแต่ก็ยอมพยักหน้าส่งๆไปเพราะไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้
“โตขนาดนี้แล้วหรอ...เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ”
“ผมไม่มีเวลามานั่งฟังลุงเพ้อหรอกนะ ลุงเป็นใครแล้วมีอะไรกับผมก็รีบๆพูดมา ผมมีงานต้องทำ”
ชายแปลกหน้ายิ้มอ่อนแล้วยื่นบกล่องใบเล็กใบหนึ่งผ่านทางซี่ประตูมาให้แต่อารัณย์ก็ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ ชายคนนั้นพยักหน้าให้พร้อมกับรบเร้าให้ร่างสูงเอามันไปจนเขานึกรำคาญแต่ก็เห็นว่าถ้าไม่รับมาตัวเองคงไม่ได้กลับไปทำงานแน่ๆ อารัณย์มองอีกฝ่ายด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะยอมรับสิ่งนั้นมาถือไว้อย่างเสียไม่ได้
“พอจะคุ้นๆบ้างไหม”
คำพูดของชายแปลกหน้าทำให้อารัณย์ตัดสินใจเปิดกล่องนั้นดูก่อนจะเบิกตากว้าง สร้อยข้อมือทองลวดลายแบบเดียวกันกับสมบัติชิ้นเดียวที่เขาหยิบติดตัวมาจากบ้านที่เคยอยู่อาศัยส่งประกายแวววาวเล่นกับแสงอาทิตย์ โดยสิ่งที่ทำให้อารัณย์ตกใจมากที่สุดก็คือจี้รูปปืนที่มีความละเอียดอ่อนไม่ผิดกันเลยแม้แต่น้อย ชายคนนั้นยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นท่าทางของร่างสูง ไม่ต้องให้อีกฝ่ายร้องขอ อารัณย์ยอมเดินข้ามประตูเหล็กบานนั้นไปเพื่อเผชิญหน้ากับอดีตที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อน
“คุณเป็นใคร”
“ก่อนจะตอบคำถามนั้น ขอฉันดูเธอใกล้ๆกว่านี้หน่อยได้ไหม”
อารัณย์เกร็งไปทั้งร่างเมื่อชายสูงวัยลูบไปตามเส้นผมที่หยาบกระด้างของเขา เสียงครางฮือติดจะสั่นเครือดังขึ้นพร้อมกับน้ำที่ไหลออกจากดวงตาทำให้ร่างสูงไม่กล้าปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายคว้าเขามากอดไว้
“เหมือนจริงๆ เหมือนกับเจ้าณพจริงๆ”
ชายแก่เอาแต่พูดถึงชื่อของคนที่อารัณย์ไม่รู้จัก แต่กลับสร้างความคาดหวังให้กับเด็กหนุ่มได้อย่างประหลาดจนแทบตัวเองไว้ไม่ได้ ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับถูกส่งผ่านอ้อมแขนที่ไร้เรี่ยวแรงของชายตรงหน้าและวาจาที่พูดราวกับว่าเขาเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายตามหามานาน
“ลำบากมามากสินะ ทำไมฉันถึงไม่เจอเธอให้เร็วกว่านี้”
“...หมายความว่ายังไงครับ”
“รับนี่ไปสิ”
ชายคนนั้นปาดน้ำตาก่อนจะหยิบเอารูปถ่ายเก่าๆใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นมันให้กับอารัณย์อีกครั้ง คราวนี้ชายหนุ่มรับมันมาอย่างไม่ลังเลใจ รูปใบนั้นปรากฏภาพถ่ายของครอบครัวหนึ่งที่ประกอบไปด้วยคนสี่คน ชายในชุดสูทซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางเป็นคนเดียวกับชายที่ยื่นอยู่ตรงหน้าเขาไม่ผิดแน่ ส่วนหญิงอีกคนที่นั่งอยู่เคียงข้างกันก็ดูอ่อนโยนไม่ผิดกับผู้หญิงอีกคนที่อ่อนวัยกว่ายืนเยื้องไปทางด้านหลัง โดยในทิศตรงกันข้ามกันนั้นเป็นชายอีกคนที่สวมใส่ชุดตำรวจเต็มยศพร้อมกับยิ้มให้กล้องด้วยใบหน้าที่ทำให้อารัณย์พูดไม่ออก
“เหมือนใช่ไหม...กับพ่อของเธอน่ะ”
“คุณ...”
“พ่อของเธอชื่อรรณพ...เขาเป็นลูกของฉันเอง”
อารัณย์รู้สึกเหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงไปชั่วขณะ รูปถ่ายในมือถูกเขาขยำเสียจนยับแต่คนที่อ้างตัวว่าเป็นปู่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหนำซ้ำยังมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งตกใจ ดีใจ และโกรธแค้นด้วยความอาทร
“ผม...ไม่มีพ่อ”
“เธอมี”
“ไม่ครับ...ตั้งแต่วันที่เขาให้เงินแม่มาฆ่าผม”
“เธออาจจะเกลียดมันแต่เชื่อฉันเถอะว่าลูกชายฉันเขาทำไปเพราะครอบครัว”
“ครอบครัวที่คุณว่าคงไม่มีผม...ขอตัวนะครับ”
ร่างสูงไม่อยากรับฟังอะไรไปมากกว่านี้ ความอยากที่จะกระโจนเข้าไปรู้เรื่องราวในอดีตกับอยากลืมเลือนความเจ็บปวดนั้นตีรวนจนเขาสับสนเกินกว่าจะรับไว้ ชายหนุ่มกลับหลังหันแล้วเดินกลับไปที่ประตูโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้หนีไปอย่างที่ใจหวังท่อนแขนแกร่งของอารัณย์ก็ถูกรั้งไว้ด้วยมือที่อ่อนนุ่มอย่างที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
“อย่าเพิ่งไปนะ!”
“...!!!”
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดนักศึกษากอดแขนของอารัณย์ไว้ราวกับว่ากลัวมันจะหายไป ผิวขาวที่ผิดกับเด็กสาวในโรงสีทำให้อารัณย์รีบดึงแขนของตัวเองกลับมาด้วยความไม่คุ้นชินแต่สาวเจ้าก็ไม่ปล่อยให้ทำได้ง่ายๆ
“ปล่อย!”
“พี่ไม่ปล่อย! คุณปู่รีบทำอะไรสักอย่างสิ!”
“ใจเย็นๆพะแพง ปล่อยน้องก่อน เดี๋ยวได้ตะเลิดกันหมด”
คนที่อ้างตัวว่าเป็นปูตบเบาๆที่หลังของหลานสาวแต่อีกมือก็คว้าเข้าที่ไหล่ของอารัณย์ไว้ เด็กหนุ่มมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจแต่ดูเหมือนหญิงสาวตรงหน้าจะไม่ปล่อยให้เขาคิดไปเองนานกว่านี้
“เธอต้องฟังเรานะอารัณย์ ฟังก่อนได้ไหม...นะ”
“ปะ ปล่อย”
อารัณย์ดึงมือของตัวเองออกเมื่อโดนอีกฝ่ายคว้ามันไปจับไว้แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวตรงหน้าก็ยังดื้อดึงคว้าไปจับอีก ผิวกร้านแดดของเขาแดงระเรื่อ ผู้หญิงคนนี้สวยน้อยซะที่ไหน ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยสนใจผู้หญิงเพียงแต่ผู้หญิงที่เขาเคยเจอไม่มีคนที่ทำให้ใจของอารัณย์สั่นไหวได้ขนาดนี้
“อะไรกัน เขินหรอ”
“ไม่ได้เขินเว้ย ปล่อยเลย ผมจะกลับเข้าไปทำงาน”
“อย่าเพิ่งสิ มาคุยกันก่อน พี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้ นะๆ”
ร่างสูงรู้สึกเกลียดคำว่านะที่อีกฝ่ายใช้ลงท้ายประโยคตงิดๆเพราะว่ามันทำให้เขาต้องยอมมานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ร่วมกับผู้มาเยือนทั้งสองคนโดยแลกกับการโดนพัดสีแดงของเฒ่าหยางฟาดเข้าที่กลางกระหม่อมถึงสามครั้ง
“อะ เออ รัณย์เจ็บมากไหม”
“มีอะไรก็รีบพูดมา ผมจะได้กลับไปทำงาน”
หญิงสาวถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงแต่ก็โดนร่างสูงบอกปัดไปพร้อมกับลูบหัวเกรียนๆของตัวเองไปด้วย
“ปู่จะเล่าเองหรือให้แพงพูดกับน้องก่อน”
“ให้ปู่เล่าเองเถอะ”
ชายแก่ยิ้มให้หลานสาวก่อนจะใช้ยาหม่องที่ตัวเองพกติดกระเป๋ามาทาไปบนหัวของอารัณย์อย่างอ่อนโยนแม้จะโดนเด็กหนุ่มปัดมันออกในตอนแรกก็ตาม คนที่อ้างตัวว่าเป็นปู่หัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางเก้งก้างแบบนั้น เขามองร่างสูงที่มีใบหน้าเหมือนลูกชายด้วยความรักและสงสารใสคราวเดียวกันก่อนที่จะบอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาโดยมีเพียงเสียงของสายลมที่ดังคลอเท่านั้น
อารัณย์รับฟังทุกอย่างผ่านอคติที่ถูกสั่งสมมาหลายปีแต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ละสายตาไปจากจี้ทองที่เหมือนกับของเขาทุกระเบียดนิ้ว ความหวังที่เคยทิ้งไปแล้วหลายครั้งหวนกลับมาให้คิดน้อยใจ แม้ว่าเหตุผลที่ได้รับจะดูมีน้ำหนักเท่าไหร่แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาต้องพบเจอมาตลอดชีวิต
“คุณจะบอกว่าที่พ่อต้องทิ้งผมกับแม่ก็เพราะว่าโดนเจ้านายบังคับหรอครับ”
“...ปู่ขอโทษ แต่ตอนนั้นถ้าเจ้าณพมันเลือกแม่ของรัณย์ เจ้านายมันคงไม่ปล่อยให้ทำงานอย่างเป็นสุข”
“หึ เขาจะเลือกได้ยังไงในเมื่อแม่ผมไม่เคยเป็นตัวเลือกของเขาอยู่แล้ว”
“...”
“ถ้าเขาไม่นอกใจเมียตัวเองมายุ่งกับแม่...เรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นแบบนี้”
“ปู่ขอโทษ”
ร่างสูงถอนหายใจ มันป่วยการที่เขาจะมานั่งนึกแค้นคนที่ไม่เหลือลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว หัวใจของอารัณย์ว่างเปล่า แม้จะเสียใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่อยากฟูมฟายให้มันน่าสมเพชมากไปกว่านี้ แค่รับรู้ว่าสุดท้ายความเห็นแก่ตัวและมักมากที่บิดามี เป็นสาเหตุที่ทำให้ชีวิตของแม่และเขาป่นปี้ก็เกินที่จะรับไหว
“ช่างเถอะครับ ยังไงเขาก็ไม่อยู่แล้ว ผมขออโหสิกรรมให้แล้วกัน”
“อารัณย์...”
“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณอยากได้ยิน ก็คงพอใจแล้วนะครับ”
อารัณย์ลุกขึ้นยืนแต่ก็โดนหญิงสาวร่างเล็กรั้งไว้อีกครั้งด้วยน้ำตาคลอเบ้าตั้งแต่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง เธอออกแรงดึงให้เด็กหนุ่มตรงหน้านั่งลงแต่ร่างสูงก็ขืนตัวไว้ ไม่ยอมโอนอ่อนให้คนพวกนี้อีก
“ปล่อยเถอะครับ...แล้วก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน”
“ไม่นะอารัณย์ พวกเราไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้”
“แล้วพวกคุณจะเอาอะไรกับผมอีก”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือในท้ายประโยคราวกับว่าเขาเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะเผชิญกับอดีตที่โหดร้ายต่อไป ชายแก่ลุกขึ้นยืนก่อนจะจับบ่าของอารัณย์ไว้มั่น
“ปู่รู้ว่ามันอาจสายเกินไป แต่เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมอารัณย์”
“...!!!”
“ตอนนั้นปู่ไม่รู้จริงๆว่าแม่ของหลานท้อง เจ้าณพไม่เคยปู่จนกระทั่งมันฝากฝังไว้ก่อนตายพร้อมกับสร้อยเส้นนั้น”
อารัณย์มองสร้อยในมือของตัวเองแล้วกำมันแน่น อยากจะปามันทิ้งไปแต่ความต้องการบางอย่างก็รั้งให้เขาทำแบบนั้นไม่ได้เช่นเดียวกับการทำใจยอมรับเหตุผลแสนเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ได้ลง
“ผมคงยอมรับคนที่เคยอยากให้ผมตายไม่ได้”
ร่างสูงพูดไปตามความจริง ต่อให้แม่เขาจะเป็นเพียงเมียน้อยแต่หากผู้ชายคนนั้นเคยรักแม่ของเขาจริงแม้เพียงสักนิดเรื่องราวทั้งหมดคงไม่มีจุดจบแบบนี้ แต่จะโทษพ่อของเขาคนเดียวคงไม่ได้เพราะแม่ของเขาเองก็เห็นแก่ตัวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สุดท้ายอารัณย์ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวเขาเคยมีความหมายกับสองคนนั้นบ้างรึเปล่า
“ปู่รู้ว่ามันยาก แต่ถึงอย่างนั้นปู่ก็ทิ้งให้หลานของปู่ลำบากไม่ได้”
“ผมไม่ได้ลำบากอะไร ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ถือว่าสบายแล้วด้วยซ้ำ”
เด็กหนุ่มคิดย้อนไปถึงชีวิตแร้งแค้นสมัยเด็กแล้วเผลอกำมือแน่นอย่างอดไม่ได้ ไม่ใช่แค่ความอดอยากทางกายแต่เป็นความโหยหาทางจิตใจต่างหากที่ทำให้เขาเคยนึกเกลียดโลกทั้งใบที่โหดร้ายกับเขาได้ถึงเพียงนี้
“ไม่ได้หรอกนะอารัณย์ เธอจะใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อไปไม่ได้”
หญิงสาวอีกคนลุกขึ้นเผชิญหน้ากับอารัณย์ด้วยท่าทางที่จริงจังกว่าเคยจนเขาไม่กล้าเอ่ยขัด เธอหยิบเอากระดาษใบหนึ่งออกมามันคือเอกสารที่ยืนยันว่าเขาได้เรียนจบชั้นมัธยมต้นเมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว
“แม้ว่าเราจะแก้ไขอดีตให้เธอไม่ได้ แต่ขอได้ไหม...ขอให้พี่กับปู่ช่วยกันสร้างอนาคตที่ดีให้เธอ อย่างน้อยก็คิดซะว่าทำเพื่อตัวเธอเอง”
เธอจับมือของอารัณย์ไว้แล้วมองเข้าไปในดวงตาสั่นไหวคู่นั้นอย่างมาดมั่น ริมฝีปากแดงระเรื่อยกยิ้มอ่อนจนแก้มที่ขึ้นสีเดียวกันจะยกขึ้นตาม จนร่างสูงอดคิดไม่ได้ว่ามันทำให้คนตรงหน้าดูอ่อนโยนยิ่งกว่าคนไหนๆที่เขาเคยรู้จัก
“ฮ่าๆ คุยกันมาตั้งนานพี่ยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยสินะ”
“...”
“พี่ชื่อพะแพงจ๊ะ ลุงณพเป็นพี่ชายของแม่พี่เอง...ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:
-
อารัณย์ไม่เคยรู้สึกว่าสายฝนมันหนาวขนาดนี้ นับตั้งแต่วันที่แม่ตาย...
ชายหนุ่มมองมือทั้งสองข้างของตนที่บีบกันแน่นอยู่บนตัก โดยไม่คิดที่จะแตะต้องอาหารที่แสนน่ากินตรงหน้า ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่รวมไปถึงนิล ฤทธิชาติ และหญิงสาวซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของตนอย่างพะแพง ที่เพิ่งหยุดร้องไห้ไปหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของนิลที่ไม่หลงเหลือเค้าความสุขให้เห็น
“นิลจะให้พี่ทำใจได้ยังไง นั่นลูกพี่ทั้งคนนะนิล”
“ผมรู้...แต่รพีเป็นลูกของไอ้กาลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
“มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงในเมื่อพี่ไม่ได้ตายอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นิล! ทำไมกาลถึงทำแบบนั้นได้”
“...ผมว่าน้องชายของพี่คงให้คำตอบนี้ได้ดีกว่าผม”
นิลนิ่งไปนิดก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำ สรรพนามที่เปลี่ยนไปมาพร้อมกับสายตาโกรธจัดที่ถูกส่งให้คนที่ไม่คิดจะพูดอะไรสักคำหลังจากพยายามร้องเรียกคนรักที่โอบอุ้มรพีไว้ก่อนจะวิ่งหนีไปขังตัวอยู่ในห้องหลังจากได้ฟังความจริงอันโหดร้ายที่ทำให้นักเขียนหนุ่มไม่มีแม้แต่อารมณ์ที่จะตะบั้นหน้าอารัณย์ตามที่ใจอยาก
“ทุกคนต้องฟังคำอธิบาย รวมถึงกาลด้วย”
“มึงยังกล้าพูดแบบนี้อีกรึไง...ทำไมมึงไม่บอกมัน”
“...”
“ทั้งๆที่มึงรู้ดีที่สุดว่าอะไรคือสิ่งที่สามารถฆ่าไอ้กาลให้ตายทั้งเป็นได้ แต่มึงก็ยังทำ...หรือว่ามึงตั้งใจให้เป็นแบบนั้น?”
“...”
“บอกกูสิอารัณย์...ถ้าเป็นแบบนั้นกูจะฆ่ามึงตอนนี้เลย”
ร่างสูงไม่หลบสายตาของนิล กลับกันเขายิ่งมองอีกฝ่ายกลับไปหวังสื่อให้นิลรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ แต่คนที่เขาอยากให้เข้าใจมันมากที่สุด เห็นจะเป็นคนที่แสดงความผิดหวังออกมาผ่านแววตาจนเขารู้สึกได้ ว่านับตั้งแต่วินาทีที่พะแพงพูดคำๆนั้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสร้างด้วยกันมามันได้ทลายลงโดยไม่เหลือชิ้นดี
“ผมว่าตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรมากไปกว่านี้เลยนะครับ นิลก็ด้วย”
ฤทธิชาติพูดขัดขึ้นก่อนจะรินชาแก้วใหม่ให้กับคนที่แทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ภายใต้ท่าทีเรียบนิ่งที่เขาดูออกว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้ พี่เลี้ยงหนุ่มคงไม่เหลือสภาพดีๆไว้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้คนรักฟังเป็นแน่
“จะรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะป้าจะให้คนไปเตรียมให้”
จันทร์เดินเข้ามาถามขัดวงสนทนาที่ดูกดดันไม่แพ้อากาศข้างนอก หญิงแก่ยังรักษามารยาทไว้ได้อย่างเคยจะมีก็แต่ความสุขและแววตาที่เต็มไปด้วยความอาทรเท่านั้นที่หายไปจนทุกคนรู้สึกได้ ทั้งอารัณย์ นิลและฤทธิชาติต่างก็ส่ายหน้าในขณะที่พะแพงไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับหญิงแก่ที่เคยต้อนรับขับสู่เธออย่างดีในอดีต
“ป้าครับ...กาลออกมาจากห้องรึยัง”
อารัณย์ทำใจกล้าถามขึ้นเพราะอดเป็นห่วงคนรักไม่ได้ รวมถึงรพีที่ร้องไห้อย่างหนักในตอนที่ร่างโปร่งพาขึ้นไปข้างบนด้วย
“ยังค่ะ แต่ยอมเปิดประตูให้ป้าเอาอาหารขึ้นไปให้คุณพีทานข้างบนแล้ว”
“ผม...ขอขึ้นไปหากาลหน่อยได้ไหมครับ”
“ป้าไม่มีสิทธิห้ามคุณหรอกค่ะ ถ้าคิดว่าทำให้เรื่องมันดีขึ้นก็ไป...แต่ถ้าไม่ก็อย่าทำร้ายดวงใจของป้ามากไปกว่านี้เลย”
หญิงแก่พูดทิ้งไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกไปจากห้องทิ้งไว้เพียงคำตำหนิที่หนักอึ้งจนคนฟังต่างก็หน้าเสียไปตามๆกันจะมีก็เพียงแต่นิลเท่านั้นที่ยิ้มมุมปากแล้วยกชาที่ฤทธิชาติรินไว้ให้อย่างพอใจในคำพูดนั้น
“พี่ว่าจะถามนานแล้ว...อารัณย์ เธอกับรัตติกาลเกี่ยวข้องยังไงกันแน่”
พะแพงถามขึ้นจนทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่นิลที่ยิ้มเยาะอยู่เมื่อครู่ก็คลายมันลงแล้วรอดูปฏิกิริยาของพี่เลี้ยงหนุ่มว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร
“ผมเป็นคนรักของกาล”
อารัณย์ตอบโดยไม่มีท่าทางลังเล เขามองไปในดวงตาของลูกพี่ลูกน้องสาวอย่างมั่นใจและไม่คิดจะปิดบังอะไรทั้งนั้น
“พี่ไม่เคยรู้ว่ารัณย์...”
“มันไม่เกี่ยวหรอกพี่แพง ว่าเมื่อก่อนผมเคยเป็นยังไง...รู้แค่ว่าตอนนี้กาลคือคนที่ผมรักและอยากจะปกป้องก็พอ”
“แม้ว่าเขาจะทำร้ายพี่สาวของเธอน่ะหรอ...”
หญิงสาวถามด้วยเสียงเรียบนิ่งที่เมื่อก่อนไม่เคยมีสักครั้งที่พะแพงจะใช้มันกับเขา ร่างสูงถอนหายใจเขารับรู้ได้ทันทีว่าเวลาหกปีที่ผ่านมาไม่ใช่แค่รัตติกาลคนเดียวที่เปลี่ยนไป
“ทุกคนต่างก็ทำร้ายกันเองทั้งนั้น...ไม่ว่าพี่แพง นที หรือกาล”
“...”
“และแม้แต่ผมก็ด้วย”
อารัณย์เค้นยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืน เขามองไปที่พะแพงก่อนจะหันไปหานิลที่จ้องมองอยู่ก่อนหน้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ช่วงขายาวพาร่างสูงเดินออกมาจากห้องๆนั้น บ้านทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบไร้ซึ่งเสียงหัวเราะเหมือนกับช่วงกลางวัน ทุกย่างก้าวที่ชายหนุ่มเดิมเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและประหม่าแต่ก็ยังคงมุ่งหน้าไปยังห้องของรัตติกาลที่ให้ความรู้สึกหนักอึ้งมากกว่าทุกครั้ง
“กาล...ผมอารัณย์เอง”
ร่างสูงเคาะประตูอยู่สองสามครั้งก่อนจะเอ่ยทักออกไป ความเงียบที่เปรียบเสมือนคำตอบทำให้อารัณย์รู้สึกปวดร้าวแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น รู้ดีว่าคนในห้องรับรู้ถึงการมาของเขา จะมีก็แต่การตัดสินใจของรัตติกาลเท่านั้นที่ชายหนุ่มไม่มีทางคาดเดาได้เลย
“เปิดประตูให้ผมเถอะกาล ผมอยากให้คุณรู้ทุกอย่างจากปากของผมเอง”
หลังสิ้นประโยคนั้นความเงียบก็ยังคงบาดหัวใจคนรอเหมือนเช่นเคย อารัณย์เม้มริมฝีปากของตัวเองจนแน่น พยายามไม่แสดงความผิดหวังออกมาแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกในใจได้ ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าไม่มีสิทธิแม้แต่จะร้องไห้เพราะคนที่เสียใจที่สุดคือรัตติกาลไม่ใช่เขา
แอ๊ด...
ในระหว่างที่อารัณย์กำลังปลอบใจตัวเองประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดออก ชายหนุ่มรีบเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับรัตติกาลที่ยังคงอยู่ในชุดเดิมเพียงแต่รอยยับตามริ้วผ้านั้นทำให้อารัณย์รู้ดีว่ารัตติกาลตะกรองกอดรพีไว้แน่นแค่ไหน ร่างสูงเดินออกไปหาคนรักที่ไม่ได้พูดอะไร ปลายนิ้วที่เย็นเฉียบไล่สัมผัสตั้งแต่ปลายผม ดวงตาที่บวมช้ำ ไปจนถึงริมฝีปากที่ถูกกัดจนแตก
อารัณย์มองสภาพของรัตติกาลด้วยใจที่ปวดร้าวแต่คงเทียบไม่ได้เลยกับคนที่มองมายังเขาด้วยสายตาว่างเปล่าเสียจนเขานึกสงสัยว่าภายในร่างนี้ยังมีดวงวิญญาณอยู่ไหม ร่างสูงค่อยๆกอดรัตติกาลเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะผลักไสออกมา แต่สิ่งที่คนโดนหักหลังทำเป็นเพียงการยืนนิ่งไม่รับรู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นความอบอุ่นที่คนรักมอบให้ หรือแม้แต่ความเจ็บปวดเพราะโดนทรยศก็ตาม
“กาล...ผมขอโทษ”
“...”
“ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้..ผมแค่อยากเจอหน้าหลาน”
“...”
“ผมไม่เคยอยากทำร้ายคุณเลยกาล เชื่อผมเถอะ”
“ผมเชื่อคุณอารัณย์”
อารัณย์ลืมตาโพลง เขาไม่สามารถหยุดรอยยิ้มที่ระบายเต็มใบหน้าได้ แม้เสียงของรัตติกาลจะสั่นแต่มันก็ทำให้ความมั่นใจที่แทบไม่มีเหลือของเขาถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ปลายจมูกโด่งไล่ตามผิวแก้มไปจนเปลือกตา เขากดจูบเบาๆไปบนนั้นแทนคำขอโทษที่ทำให้อีกฝ่ายช้ำใจ
“...แล้วคุณล่ะเชื่อผมรึเปล่า”
คำพูดของรัตติกาลทำให้ร่างสูงชะงัก เขารีบผละออกมาเพื่อสบตากับคนรักแต่สิ่งที่เห็นกลับขยี้ความหวังของเขาไว้แทบเท้าคนที่ทำมองมาอย่างเย้อหยันราวกับว่าเขาโง่งมที่เชื่อคำพูดนั้น
อารัณย์เชื่อว่ารัตติกาลเชื่อใจตนเอง...แต่สุดท้ายมันกลับไม่ใช่
“โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์ แม้แต่คำสัตย์...หรือความเชื่อใจ”
รัตติกาลยกมือขึ้นวางไปบนใบหน้าไร้สีเลือดของอารัณย์ เขาลูบแก้มสากนั้นเบาๆพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ ก่อนฝ่ามือนั้นจะเลื่อนมาที่ลำคอสีน้ำผึ้งแล้วโน้มมันเข้าหาตัวโดยที่อารัณย์ไม่ทันระวัง
คมเขี้ยวแหลมกัดเข้าเนื้อจนร่างสูงเผลอร้องออกมา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งปากแต่รัตติกาลก็ไม่สนใจ เช่นเดียวกับอารัณย์ที่รู้สึกเจ็บแต่ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาบอกให้ตัวเองหลงลืมความเจ็บปวดแล้วหลับตาลงปล่อยให้คนรักได้ระบายความเจ็บแค้นเพียงเศษเสี้ยวโดยไม่ทัดทานใดๆ
“เจ็บไหมอารัณย์ คุณเจ็บไหม...แต่เชื่อเถอะว่านั่นไม่ถึงเศษเสี้ยวของผมเลย”
“กาล...”
“ทำไมต้องทำแบบนี้ แค่เห็นผมเจ็บเพราะอดีตมันยังไม่สาสมใช่ไหม ถึงต้องทำให้ผมรักแล้วค่อยบีบให้ตายคามือ...ผมผิดมากเลยหรออารัณย์คุณถึงได้ทำแบบนี้ แค่เพราะผมทำหลานคุณเจ็บคุณเลยฆ่าผมทั้งเป็นอย่างนั้นใช่ไหม”
“ไม่ใช่...ไม่ใช่...”
รัตติกาลร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ราวกับว่าของเหลวในร่างกายไม่มีเหลือแม้แต่เลือดที่ทำให้เขารู้สึกถึงการมีชีวิตก็ยังหายไป ร่างโปร่งยืนฟังคำแก้ตัวของอารัณย์อยู่อย่างนั้นแต่มันก็เหมือนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เขาไม่สามารถเชื่อคำพูดใดๆของคนๆนี้ได้อีก ความเจ็บหน่วงในหัวใจยังคอยย้ำเตือนว่าอย่าได้หลงเชื่อมันอีกเป็นครั้งที่สองแม้แต่คำว่ารักที่อารัณย์พูดมาก็ตาม
“แก้วที่แตกไปแล้วต่อให้ทำยังไงมันก็ไม่มีวันเหมือนเดิม”
ร่างสูงกอดรัตติกาลให้แน่นขึ้นด้วยร่างกายที่สั่นไปทั้งตัว ความกลัวทำให้อารัณย์แทบจะประคองสติของตัวเองไว้ไม่ไหว อยากจะอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจแต่ตัวเขานั้นก็ยังสิ่งที่ไม่รู้อยู่มาก สิ่งเดียวที่มั่นใจคือความรักที่มีให้รัตติกาล แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่เชื่อเขาอีกแล้ว
“ผมไม่เลิกนะกาล ยังไงผมก็ไม่เลิก”
“ผมไม่ปล่อยคุณไปหรอกอารัณย์ อย่าห่วงเลย”
รัตติกาลลูบกลุ่มผมดำของคนรักเบาๆเพื่อปลอบโยนและตอกย้ำร่างสูงในคราวเดียว เขาจับใบหน้าของอารัณย์ให้โน้มเข้าหาตนแล้วประกบริมฝีปากเข้าหาก่อนจะเป็นฝ่ายสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวรัดชายหนุ่มไว้โดยไม่สนใจเลยว่าน้ำตาที่คิดว่าหมดไปแล้วของตัวเองจะอาบเปื้อนทั้งใบหน้าของตนและอารัณย์จนเปียกปอนไปหมด
“ต่อให้แก้วของเรามันแตกไปแล้วแต่ผมก็จะเก็บมันเอาไว้ แม้ว่ามันจะบาดเราทั้งคู่จนเจ็บเจียนตายผมก็ไม่สน”
“...”
“จนกว่ามันจะสาสม...คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ชายร่างกายสูงโปร่งมองดูรูปถ่ายจำนวนมากบนโต๊ะพร้อมกับเผยยิ้มร้ายออกมาอย่างชอบใจ เขาหยิบเอารูปของพะแพงที่มีสีหน้าโกรธขึงขณะกำลังโวยวายอยู่หน้ารั้วบ้านพัฒนาชาขึ้นมาดูก่อนเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าสะอิดสะเอียนจะดังก้องไปทั่วทั้งห้องที่ถูกทาด้วยสีขาวซึ่งเจ้าของบอกว่ามันช่วยลดความเครียดและชำระล้างจิตใจได้ แต่สำหรับหญิงสาวกลับคิดว่ามันช่างไร้สาระและเปล่าประโยชน์สิ้นดี
“ฮ่าๆ คนพวกนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังจริงๆ ว่าอย่างนั้นไหม...ธิชา?”
ชายหนุ่มปาดหยดน้ำออกจากหางตาก่อนจะหันมาถามอดีตเลขาสาวของรัตติกาลที่นั่งนิ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ทั้งที่ความจริงแล้วเขาไม่ได้ปรารถนาจะได้รับคำตอบใดๆ...ไม่แม้แต่จะสนใจด้วยซ้ำ
“จะให้ทำตามแผนต่อไปเลยรึเปล่าคะ”
“อืม...เอายังไงต่อดีนะ”
ธิชามองคนที่เท้าคางลงกับโต๊ะแสร้งทำหน้าคิดหนักทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้วอย่างไม่ชอบใจ ชายคนนั้นลุกขึ้นพร้อมกับหยิบรูปของเจ้านายเก่าเธอขึ้นมาหนึ่งใบ เขามองมันพร้อมกับยิ้มอ่อนให้ราวกับว่าคนในภาพจะได้เห็น
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น...อีกไม่นานเขาก็มาหาเราเอง”
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
มาแบบสั้นหน่อย เขียนยากคับ หลังจากกดระเบิดที่วางไว้ไปครั้งที่แล้ว :mew3: พี่กาลได้คะแนนสงสารเต็มเลย แต่ละคนห่วงสุขภาพจิตพี่กาลกันมาก น่ารักกกกกก 55555 ไม่ต้องห่วงคับ ไม่เหลือปมไรให้ผูกแล้ว มีแต่แก้ปมล้วนๆ เขียนยากกกกก :hao5: ช่วงนี้อาจจะช้ากว่าปกติ บวกกับเรียนแล้วก็ทำรูปเล่มด้วยอะไรหลายๆอย่าง อย่าว่ากัน คิดถึงเช่กันเยอะๆนะคับ
หนังสือตามที่ถามไปในกรุ๊ปเฟส เช่น่าจะเปิดพรี ต้นพ.ย.-ก.พ. นะคับ ยาวหน่อย เพราะหนังสือมี3เล่ม รวมแล้วประมาน 1200 หน้า + Boxset ราคาน่าจะประมาน1200บาท ส่วนของแถมจะเป็นที่คั่น3อันกับโปสการ์ดลายจิบิ ซึ่งตอนนี้คุยกับคนวาดแล้วถ้าดราฟเสร็จเมื่อไหร่จะเอามาให้ยลกันทันที ด้วยความที่ราคาค่อนข้างสูงเช่เลยเปิดให้พรีนานนิดนึงนะคับ 3 เดือนกันไปเลย แต่นี่แค่คร่าวๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงยังไงจะแจ้งให้ทราบเรื่อยๆคับ
ขอบคุณทุกเม้นทุกโหวตเลย อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยมากดูแลสุขภาพกันดีๆ ช่วงนี้เช่ก็ห้ามป่วยห้ามตาย งานกองสูงกว่าเม้นด่าอารัณย์ตอนที่แล้วอีก ฮือออออ :sad4: สู้ๆนะ
-
เค้าคือใคร......
กาลสู้ๆนะค่ะ....
ยังดีนะที่เลือกที่จะไม่ปล่อยมือกันไป!!!
-
ฮือออออออ คนเขียนบอกกำลังแก้ปม แต่ทำไมยิ่งอ่านยิ่งสงสัยยย
ค้างมากกกกกกกก
-
หน่วงไปอีกกกกกกก
-
:z3: :z3: :z3:
ทั้งค้าง ทั้งโกรธ ว่าแล้วต้องมีใครสักคนไม่ตาย
แล้วไอเขานั่นมันใคร
สุดท้าย น้องกาลน่าสงสารที่สุด ฮืออออ :hao5:
-
42nd Night
…Truth II...
หลังเคาน์เตอร์ไม้โอ้คในร้านกาแฟย่านหวังฟู่จิงสาวเสิร์ฟคนหนึ่งจับเช็คทรงผมของเธอเป็นครั้งที่สามก่อนจะก้าวออกไปนอกเคาน์เตอร์พร้อมกับถ้วยกาแฟในมือด้วยท่าทางมาดมั่น ริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มให้แดงระเรื่อยกยิ้มขณะที่วางถ้วยกระเบื้องในมือลงให้กับชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทสีน้ำตาลที่เอาแต่วุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์จนเธอต้องยอมเดินจากไปในขณะที่ร่างสูงกำลังต่อสายถึงคนในแดนไกลด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ทำไมปู่ไม่ยอมไปหาหมอ”
อารัณย์ในวัยย่างยี่สิบห้าปีพูดดุคนที่อายุมากกว่าตนหลายรอบปีด้วยน้ำเสียงที่คนฟังคิดว่ามันน่าเอ็นดูและน่าขันอย่างประหลาด ชายแก่วัยไม้ใกล้ฝั่งหัวเราะร่าจนร่างสูงที่ฟังอยู่ปลายสายขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ
“ดุอย่างกับปู่เป็นเด็กเลยนะเจ้ารัณย์”
“ก็ปู่ดื้อ นี่ถ้าพี่ทิพย์ไม่โทรมาบอกผมคงไม่รู้ว่าปู่ไม่สบาย”
“ก็ไปฟังยัยทิพย์มัน ปู่ไม่เป็นอะไรจริงๆ แค่ลุกเร็วไปหน่อยแค่นั้นเอง”
ร่างสูงฟังคำแก้ตัวนั้นอย่างไม่สบายใจเท่าไหร่นัก เมื่อคืนก่อนในขณะที่เขากำลังปั่นรายงานเพื่อส่งให้ที่ปรึกษา เพื่อนบ้านที่ชายหนุ่มไหว้วานให้คอยดูแลปู่ของตนให้ก็โทรเข้ามาเล่าถึงอาการหน้ามืดเป็นลมที่ปู่มักเป็นอยู่บ่อยๆในช่วงนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่อาการที่หนักมากจนน่าตกใจแต่ถึงอย่างนั้นอารัณย์ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“หมดเทอมนี้ผมจะบินกลับไปอยู่กับปู่นะ”
“เฮ้ย ไม่ได้ แล้วเรื่องต่อโทล่ะจะทำยังไง”
ชายแก่ท้วงขึ้นเมื่อหลานชายที่ไปได้ดีกับการเรียนพูดขึ้น หลังจากที่พบกันทั้งเขาและพะแพงต่างก็ช่วยกันผลักดันให้อารัณย์กลับไปเรียนหนังสือแม้ว่าจะช้าไปเกือบห้าปี แต่เพราะประสบการณ์ที่เจ้าตัวสั่งสมมาจากการทำงานกับเถ้าแก่บวกกับความสามารถที่มีติดตัวทำให้ร่างสูงสามารถจบชั้นมัธยมปลายได้โดยใช้เวลาเรียนเพียงแค่หนึ่งปีผ่านระบบการศึกษานอกโรงเรียน
และดูเหมือนความเก่งกาจของร่างสูงนั้นจะเข้าตาอาจารย์พิเศษท่านหนึ่งซึ่งเคยมาบรรยายที่ศูนย์เป็นบังเอิญเป็นคนรู้จักของปู่ ท่านจึงให้คำแนะนำและทุนการศึกษาเพื่อให้อารัณย์ได้ไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังของกรุงปักกิ่ง ซึ่งร่างสูงก็กำลังที่จะสำเร็จการศึกษาภายในสิ้นเทอมนี้แล้ว
“ผมกลับไปเรียนที่นู้นก็ได้ เรียนที่ไหนก็เหมือนกันแหละ”
“ไม่เหมือนๆ เอ็งมีโอกาสที่ดีแล้วจะกลับมาลำบากเพราะปู่ทำไม”
“ไม่เห็นลำบากตรงไหน รูปหล่อโปรไฟล์ดีอย่างผมไปสมัครงานที่ไหนใครเขาก็รับ อีกอย่างอยากกลับเมืองไทยจะตายอยู่แล้ว คิดถึงบ้าน”
อารัณย์แกล้งพูดติดตลกแต่ในคำพูดสุดท้ายนั้นเป็นความสัตย์จริงที่เขาคิดอยู่ทุกวัน โดยบ้านในที่นี่ไม่ได้หมายถึงสถานที่อย่างที่คนอื่นนิยาม แต่หมายถึงครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงแค่สองคนของเขาอย่างพี่แพงและปู่ แม้ว่าตอนนี้พี่สาวที่เขาชื่นชมจะแยกตัวไปมีครอบครัวใหม่แล้วก็ตาม
“คิดถึงก็รีบเรียนให้จบโทแล้วค่อยกลับมา ปู่รอได้”
“ปู่รอได้แต่ผมไม่อยากรอ ไม่มีผมอยู่ใกล้ๆปู่เป็นอะไรไปใครจะดูแล”
“คนทางนี้ก็มีเยอะแยะ นี่เจ้าแพงก็ว่าจะพาหลานมาหาอยู่วันสองวัน”
“พูดอย่างนี้ยิ่งอยากกลับเข้าไปใหญ่เลย”
ชายแก่ได้ฟังก็หัวเราะร่า เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมในสายตาคนอื่นกลับกลายเป็นเพียงเด็กขี้อ้อนเสมอสำหรับเขาและนั่นทำให้เขารู้สึกดีใจทุกครั้งที่เห็นหลานชายคนนี้ค่อยๆกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนกับคนอื่น
“อีกสองปีนะอารัณย์...ขออีกแค่สองปีปู่จะทำให้ครอบครัวเราได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันสักที”
แต่จู่ๆเสียงหัวเราะนั้นก็หายไปกลายเป็นเสียงถอนหายใจยาวดังเข้ามาแทนที่ร่างสูงที่กำลังยกถ้วยกระเบื้องขึ้นจิบขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่คนปลายสายกลับตัดบทไปพูดถึงเรื่องหลานตัวน้อยที่เพิ่งอายุครบสี่ขวบไปได้ไม่นานทำให้อารัณย์ต้องยิ้มและหัวเราะคลอทุกครั้งเวลาที่ชายสูงวัยพูดถึงเรื่องราวสนุกสนานที่เมืองไทย จนพนักงานและแขกสาวๆในร้านต่างก็คิดเหมือนกันว่าท้องฟ้าครึ้มๆด้านนอกดูสดใสขึ้นมาทุกครั้งที่รอยยิ้มนั้นเผยขึ้น
แต่คงไม่มีใครคิดว่าชายหนุ่มผู้ที่สดใสดั่งดวงอาทิตย์คนนั้น จะเป็นคนๆเดียวกันกับชายที่ยืนน้ำตานองหน้าพร้อมกับกอดกรอบรูปใบหนึ่งไว้แน่น อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสว่างที่ปรากฏควันสีดำจากปล่องเมรุให้เห็นลางๆที่ถึงแม้จะสวยงาม แต่ทุกคนกลับคิดเหมือนกันว่ามันช่างแสนเศร้าเช่นเดียวกันกับหัวใจของอารัณย์ที่ดวงตะวันได้ดับหายไปนับตั้งแต่วันนั้น
“ทำไมปู่ไม่รอผม”
อารัณย์พูดกับรูปของคนที่จากไปด้วยรอยยิ้มที่แสนเศร้าจนไม่มีใครกล้าเข้ามาทัก แขกในงานที่มีอยู่น้อยนิดค่อยๆจากไปจนเหลือเพียงร่างกายสูงใหญ่ของหลานชายที่นั่งหลับตาอยู่บนม้าหินใกล้กับศาลาวัด
ชายหนุ่มเพิ่งสำเร็จการศึกษาก่อนหน้าที่ปู่จะเสียได้เพียงวันเดียว แต่มันก็ไม่ทัน อารัณย์ไม่แม้แต่จะได้กลับมาดูใจปู่ สุดท้ายสิ่งเดียวที่เขาได้สัมผัสจากชายชราคือผิวกายที่เย็นเฉียบเหมือนกับที่มารดาของเขาเคยเป็นเท่านั้น
“อารัณย์”
“พี่แพง...”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ พะแพงยิ้มให้น้องชายน้อยๆก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่ายใช้ชะคราบน้ำตาแต่อารัณย์ก็รับมันมาเพื่อถือไว้เท่านั้น
“รัณย์จะไปอยู่กับพี่รึเปล่า หรือจะไปอยู่บ้านปู่”
“ผมคงไม่ไปรบกวนครอบครัวพี่หรอก อีกอย่างผมก็อยากทำเหมือนที่ตั้งใจไว้”
อารัณย์พูดถึงความฝันและคำสัญญาที่จะมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยร่วมกับปู่ ถึงแม้สุดได้ส่วนหนึ่งของมันจะไม่มีวันเป็นจริงชายหนุ่มก็ยังอยากที่จะรักษามันไว้อยู่ดี
“แต่รัณย์ไม่ได้อยู่เมืองไทยมาตั้งนานจะลำบากรึเปล่า อย่างน้อยช่วงแรกๆไปอยู่ช่วยพี่เลี้ยงหลานก่อนก็ได้นะ”
“มันคงไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่มั้ง ไม่เป็นไรน่าพี่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
ร่างสูงจิ้มเบาๆที่แก้มตอบของพี่สาวที่ซูบลงผิดจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งความอ่อนโยนที่เหมือนจะมีมากขึ้นเพราะความเป็นแม่ที่ทำให้หญิงสาวดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“อารัณย์มีอะไรต้องบอกพี่รู้ไหม...อย่าทำเหมือนปู่ที่ไม่ยอมบอกอะไรพี่เลย”
“ครับ ผมรู้น่าว่าความรู้สึกของคนที่ถูกปิดหูปิดตามันเป็นยังไง”
“อืม...ขอบใจนะ”
พะแพงยิ้มรับก่อนจะย้ำเตือนอารัณย์ให้ติดต่อเธอหากต้องการความช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็เกรงใจเกินกว่าที่จะโทรไปให้หญิงสาวกลับมาช่วยเขาจัดการกับข้าวของของปู่ที่ถูกกองไว้ในทุกมุมของบ้าน อารัณย์ใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับการทำความสะอาดและจัดเก็บสิ่งของต่างๆให้เป็นที่ จนเหลือเพียงห้องนอนของปู่ที่เป็นห้องสุดท้ายที่เขายังไม่เคยได้เข้าไป
“ขออนุญาตนะครับ”
ชายหนุ่มพูดขึ้นลอยๆก่อนจะก้าวเข้าไปยังห้องพักซึ่งเป็นที่สุดท้ายที่ปู่ของเขามีลมหายใจก่อนจากไปเพราะโรคหัวใจ อารัณย์มองเตียงไม้หลังใหญ่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดหัวแรงๆเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่พาลจะทำให้เสียน้ำตา เขารื้อผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนและผ้าห่มที่ปู่ใช้มาใส่ในตะกร้าหวายหลังใหญ่เพื่อไปทำความสะอาด
ตุ้บ!
ในจังหวะตอนที่เขากำลังขยับเตียงให้เลื่อนออกมาเล็กน้อยนั้น อารัณย์ก็ได้ยินเหมือนเสียงของบางอย่างหล่นตรงซอกเตียงทั้งที่บริเวณนั้นไม่น่ามีสิ่งของใดๆอยู่ ชายหนุ่มใช้กำลังขยับเตียงให้เขยิบออกมามากขึ้นจนเห็นสมุดเล่มหนึ่งถูกห่อด้วยปกหนังอย่างดีตกอยู่ข้างล่าง
ร่างสูงหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับปัดไล่ฝุ่นออกจนสามารถเห็นชื่อของปู่ที่ถูกสลักไว้บนปกด้วยตัวอักษรสีทองอย่างชัดเจน
“ปู่เขียนไดอารี่ด้วยหรอ”
ร่างสูงพูดยิ้มๆก่อนจะถือวิสาสะเปิดมันอ่านด้วยความสนใจแต่เขากลับต้องถอนหายใจยาวๆด้วยความผิดหวัง เพราะบันทึกเล่มนั้นแทบจะว่างเปล่าและปรากฏรอยฉีกขาดเหมือนบางหน้าถูกดึงจนทำให้มันบางลงกว่าที่ควรจะเป็น เขาเปิดไล่ไปเรื่อยๆจนเกือบถึงหน้าสุดท้ายก่อนสะดุดตาเข้ากับข้อความปู่ที่เขียนเอาไว้บนกระดาษแผ่นบางด้วยลายมือที่ไม่เรียบร้อยนัก
“รพี พัฒนเดชา...”
อารัณย์อ่านชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินออกมาเบาๆและแปลกใจกับร่องรอยการขีดฆ่ารายชื่อต่างๆด้านล่างที่ข้างๆกันนั้นเป็นเบอร์โทรศัพท์ของสำนักงานทนายความที่บางแห่งนั้นแม้แต่เขาเองก็ยังรู้จักด้วยซ้ำ ร่างสูงเปิดอ่านไปเรื่อยๆก็ยิ่งแปลกใจกับความพยายามที่เหมือนจะยังไม่สัมฤทธิ์ผลของปู่เพราะแม้แต่รายชื่อสุดท้ายก็ยังคงถูกขีดทับเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือรูปถ่ายใบหนึ่งและกระดาษอีกแผ่นที่ถูกสอดไว้ในบันทึกหน้าสุดท้าย
“นี่มันอะไรกัน”
มือของร่างสูงสั่นเมื่อพบว่ากระดาษที่ถูกสอดไว้เป็นเอกสารยืนยันการเสียชีวิตของพะแพงแนบมาพร้อมกับผลชันสูตรจากแพทย์ โดยที่สาเหตุการเสียชีวิตถูกระบุว่าเกิดจากการกระกระทบกระเทือนและเสียเลือดมาก ส่วนเวลาและสถานที่เกิดเหตุนั้นเกิดขึ้นที่จังหวัดลำปางในเดือนธันวาคมเมื่อประมานหกปีที่แล้วหลังจากเขาเดินทางไปเรียนที่เมืองจีนได้ไม่นาน
มีแต่คำถามเกิดขึ้นมากมายในหัว อารัณย์ไม่สามารถนึกเหตุผลใดๆออกเลยว่าทำไมปู่ถึงมีของแบบนี้อยู่กับตัว ไม่สิ มันไม่ควรมีด้วยซ้ำเพราะพี่สาวของเขาก็ยังไม่ตายและมีชีวิตที่ดีอยู่กับครอบครัว ชายหนุ่มรีบอ่านเอกสารนั้นอีกครั้งก่อนจะสะดุดตาเข้ากับชื่อของคนคนหนึ่งที่มีอยู่บนเอกสารเช่นกัน เขารีบวิ่งออกไปจากห้องเพื่อต่อสายหาผู้ที่มีศักดิ์เป็นพี่เขยซึ่งอารัณย์ไม่ได้รู้จักดีนักแต่ดูเหมือนว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนที่สามารถตอบคำถามของร่างสูงได้ดีที่สุด
“พี่กับปู่มีอะไรปิดบังพวกเราอยู่ใช่ไหม”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
แสงสว่างที่ส่องลอดผ้าม่านผืนหนาเข้ามาทำให้รัตติกาลรู้สึกแสบไปทั้งกระบอกตา ร่างโปร่งขยับเปลือกตาน้อยๆก่อนจะเปิดมันออกอย่างอ่อนล้า ชายหนุ่มมองลูกชายนอกไส้ที่นอนขดอยู่ข้างตนด้วยความรัก มือเล็กๆที่เขาไม่อยากปล่อยให้อยู่ห่างกายกำรอบนิ้วมือของเขาไว้สื่อถึงเจตนารมณ์ที่มีเหมือนกัน รัตติกาลพยายามดึงมือออกเพื่อจะกอดเจ้าตัวป้อมไว้แต่เด็กชายที่ยังไม่ตื่นจากนิทรากลับไม่ยอมปล่อยความอบอุ่นของบิดาไปทั้งที่ยังไม่ได้สติ
“ตื่นแล้วหรอกาล”
รอยยิ้มที่เคยมีหายไปทันทีที่เสียงของร่างสูงดังขึ้น อารัณย์ที่ตะกรองกอดเขาไว้จากด้านหลังทั้งคืนพูดขึ้นก่อนตัวเขาจะถูกรั้งให้จมไปในแผ่นอกหนาที่นอกจากความอบอุ่นแล้วร่างโปร่งยังรู้สึกถึงเจ็บปวดและไม่ไว้ใจแฝงอยู่ด้วย
“อืม ลุกเถอะ ดูท่าวันนี้คุณมีอะไรต้องทำอีกเยอะ”
สีหน้าของอารัณย์เครียดขึงขึ้นมาทันทีที่คนรักพูดออกมาแบบนั้น เขายอมคลายอ้อมแขนแล้วลุกขึ้นไปจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยปล่อยให้รัตติกาลอยู่กับลูกต่อทั้งที่ในหัวของเขามีแต่เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้วิ่งวุ่นไม่หยุด
ร่างสูงถอนหายใจยาว เขามองเงาของตนที่ฉายอยู่บนกระจกเบื้องหน้าอย่างปวดร้าว รอยเขี้ยวคมของรัตติกาลที่ฝากไว้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีช้ำเขียวเหมือนตราบาปของคนทรยศที่ถึงแม้วันหนึ่งมันจะหายดีแต่ก็ไม่อาจลบล้างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้
“ผมจะต้องทำยังไงนะกาล คุณถึงจะเข้าใจ”
เขาถามตัวเองทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีคำตอบ ร่างสูงหยิบเสื้อของรัตติกาลมาใช้โดยไม่คิดจะปกปิดร่องรอยใดๆ เขาเดินออกไปด้านนอกเพื่อจะเรียกให้อีกฝ่ายมาอาบน้ำต่อแต่ก็ยังคงเห็นคนรักกอดรัดลูกชายเอาไว้ไม่ให้ห่างกายเลยแม้แต่น้อย
“ไปอาบน้ำเถอะกาล เดี๋ยวผมปลุกรพีให้”
“ไม่ต้อง ผมจะเอารพีเข้าไปอาบน้ำด้วย”
อารัณย์นิ่งอึ้ง พูดไม่ออกกับความระแวงที่สื่อออกมาผ่านการกระทำ สองคนที่มีความรักให้กันอย่างมากมายแต่ไร้ซึ่งความไว้ใจอย่างวันวานสบตากันอยู่อย่างนั้น ก่อนรัตติกาลจะหัวเราะเบาๆออกมาขณะที่ลุกขึ้นยืน ร่างโปร่งตรงมาจูบเข้าที่ไรเคราสากอย่างออดอ้อนทำราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“ล้อเล่นน่ะ ผมเชื่อใจคุณนะอารัณย์”
รัตติกาลพูดทิ้งไว้พร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในห้องน้ำ คนที่มีความผิดติดตัวได้แต่กุมขมับของตัวเองอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เขาเดินไปนั่งลงบนพื้นที่ว่างข้างๆเด็กชายที่เป็นดั่งดวงใจของบ้าน
อารัณย์ลูบเส้นผมของรพีเบาๆ ก่อนจะนอนลงแล้วคว้าเด็กน้อยมากอดไว้ เขาอยากระบายให้ใครสักคนเข้าใจ ถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กที่ไม่สมควรได้รู้เรื่องราวอันวุ่นวายของผู้ใหญ่เลยก็ตาม
“อื้อ น้ารัณย์ พ่อกาลอยู่ไหน”
ร่างป้อมถามหาบิดาทันทีที่ลืมตา รพีหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆทั้งที่ยังคงงัวเงียจนอารัณย์อดไม่ได้ที่จะใช้แขนเสื้อเช็ดเบาๆที่มุมปากซึ่งมีคราบน้ำลายติดอยู่
“พ่อกาลอาบน้ำอยู่ครับ พีหิวไหม”
“พีไม่หิว พีอยากหาพ่อ ฮึก พีกลัว”
หยดน้ำใสไหลรินอีกครั้งเมื่อนึกถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เด็กชายรีบซุกเข้าหาอ้อมแขนกว้างของอารัณย์อย่างหาที่พึ่งแม้คนที่ตัวเองต้องการจริงๆจะเป็นรัตติกาลที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ร่างสูงสงสารรพีจับใจที่ต้องเจอเรื่องราวต่างๆที่ประดังประเดเข้ามาในวันเดียว แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะการมาของพะแพงก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน
“ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวแล้วรพี น้ากับพ่อจะปกป้องเราเอง”
“ฮึก เขาเป็นใครหรอฮะ ทำไมเขาถึงรู้จักพีด้วย”
“...พีจำคนที่อยู่ในรูปภาพได้ไหม”
“รูป?”
รพีพยายามนึกตามที่พี่เลี้ยงหนุ่มบอก ก่อนจะร้องอ่อออกมาเมื่อผู้หญิงคนเมื่อวานมีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับคนที่อยู่ในภาพซึ่งตั้งอยู่ในพิธีการทำบุญวันเกิดเมื่อวานเพียงแต่แค่ในรูปดูอ่อนเยาว์กว่าก็เท่านั้น
“เขามาได้ยังไงฮะ ก็พ่อกาลบอกว่าเขาตายไปแล้ว”
“...ไม่ครับ ยังไม่ตาย พี่สาวของน้ายังมีชีวิตอยู่”
“พี่สาว? คนนั้นเขาเป็นพี่สาวของน้ารัณย์หรอฮะ”
อารัณย์พยักหน้าแทนการตอบรับ รพียิ้มออกมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงตามเดิมจนร่างสูงสงสัยจึงถามออกไปตามที่ใจคิด
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“พีไม่ชอบเขา...ทำไมต้องมาตะคอกพ่อของพีด้วย”
ร่างสูงฟังแล้วอดกังวลไม่ได้ว่าหากพี่สาวของตนมาได้ยินคำพูดนี้จะเสียใจมากแค่ไหนที่ลูกซึ่งตนอุ้มท้องมาเกือบเก้าเดือนคิดกับตนเองแบบนั้น แต่อารัณย์ก็เห็นว่าจะโทษรพีหรือแม้แต่รัตติกาลก็ไม่ได้ เพราะความเป็นครอบครัวไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพียงแค่เลือดเนื้อที่ผูกผันเราไว้เท่านั้น
“ไม่ต้องห่วงนะครับ น้าจะไม่ปล่อยให้ใครมาว่าพ่อของพีได้อีก”
“จริงนะฮะ แล้วทำไมพี่สาวน้ารัณย์ถึงพูดเหมือนอยากให้พีไปอยู่ด้วย”
รพีพูดในสิ่งที่อารัณย์ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดออกมาจนเขาไม่อาจปิดบังความกังวลที่ฉายชัดบนใบหน้าได้ ร่างสูงยันกายลุกขึ้นโดยมีเด็กชายพยายามทำสิ่งนั้นตาม อารัณย์คว้าสองมือของรพีมาจับไว้ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ถ้าพี่สาวน้าชวนให้พีไปอยู่ด้วยกันจริงๆ พี่จะไปไหมครับ”
“แล้วพ่อกาลจะไปด้วยกันไหม”
อารัณย์ส่ายหน้าแทนคำตอบ พอเห็นอย่างนั้นรพีก็ตอบออกมาโดยไม่มีท่าทางลังเลแม้แต่น้อย
“งั้นพีก็ไม่ไป พี่จะอยู่กับพ่อ”
ร่างสูงคลี่ยิ้มออกมาแล้วกระชับมือของตนให้แน่นขึ้นอีก อารัณย์พูดกับเด็กชายด้วยคำสัตย์ที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องรักษามันไว้ให้ได้
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องอยู่ด้วยกัน น้าจะไม่ยอมให้ใครพรากเราสามคนไปจากกันอีกแน่...น้าสาบาน”
รัตติกาลทื่ยืนฟังอยู่หลังประตูห้องน้ำไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา เขาปล่อยให้ความทรงจำและความรู้สึกต่างๆไหลกลับเข้ามาเพื่อทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งฝันร้ายครั้งเก่าและฝันร้ายครั้งใหม่ที่ยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่อาจตอบตัวเองได้เลยว่า คำสัตย์ของอารัณย์นั้นจะยังคงมีค่าในความรู้สึกของเขาบ้างรึเปล่า
:mew2:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :mew2:
-
ภายในห้องโดยสารที่เคยคลอไปด้วยเสียงพูดคุยเงียบไปถนัดตาเมื่อมีบุคคลที่สามร่วมเดินทางมาด้วย พะแพงเหลือบมองชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า หนึ่งคือรุ่นน้องที่เคยสนิทสนมกันและอีกหนึ่งคือคนที่เอาแต่ยิ้มซึ่งเธอไม่รู้จัก รวมถึงเป็นเจ้าของห้องที่นิลไปค้างด้วยเมื่อต้องยกคอนโดของตัวเองให้เธอพักเมื่อคืน
“นิลหิวไหมครับ จะแวะทานอะไรกันก่อนรึเปล่า”
“ไม่ล่ะ ไปกินบ้านไอ้กาลทีเดียวแล้วกัน โอเคไหมพี่แพง”
นักเขียนหนุ่มตอบคำถามคนข้างกายก่อนจะหันมาพูดกับคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง หญิงสาวพยักหน้าอย่างยอมรับแต่ภายในใจก็คิดว่าคนของบ้านพัฒนเดชาคงไม่อยากต้อนรับขับสู้เธอเหมือนเคย
“เมื่อไหร่พี่จะได้ลูกคืน...”
พะแพงถามขึ้นจนทำให้ภายในรถที่เงียบอยู่แล้วเข้าขั้นวังเวงขึ้นไปอีก นิลถอนหายใจในขณะที่ฤทธิชาติได้แต่ยิ้มอ่อนแล้วขับรถไปทั้งอย่างนั้น นักเขียนหนุ่มมองดูคนข้างๆแล้วนึกอิจฉาที่หมอนี่สามารถเก็บอาการได้เก่งเหลือเกินแม้ต้องอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ก็ตาม
“ผมไม่รู้หรอก ต่อให้พี่ถามกี่รอบผมก็ไม่รู้”
“แต่...”
“ผมว่าเราอย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้ดีกว่านะครับ”
ผู้หมวดหนุ่มพูดตัดบทโดยไม่สนใจว่าแขกคนสำคัญจะชักสีหน้าไม่พอใจใส่หรือไม่ ฤทธิชาติยังคงยิ้มให้เธอผ่านกระจกมองหลังก่อนจะเหยียบคันเร่งให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิมจนนิลต้องหันมามอง
“มึงเป็นอะไร”
“เปล่าครับ”
“คิดอะไรงี่เง่าอีกล่ะสิ”
“อะไรล่ะครับที่ว่างี่เง่า”
“ชาติ อย่ามากวนตอนนี้ได้ไหม”
“ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ไม่กวนแล้วก็ได้ ทำหน้าดีๆหน่อย คิ้วย่นหมดแล้ว”
“เห้ย ขับรถดีๆสิวะ”
ฤทธิชาติใช้มือข้างซ้ายเอื้อมไปนวดเบาๆที่หัวคิ้วของนิลที่ขมวดกันเป็นปมแน่นโดยมีสายตาของพะแพงมองมาอย่างสงสัย นายตำรวจหนุ่มไม่ได้ว่าอะไรเขากลับยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายซึ่งมันทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกว่าคนคนนี้มีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น
รถของนายตำรวจหนุ่มเลี้ยวเข้าไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ประตูเปิดอ้ารอรับการมาของพวกเขาอยู่ตั้งแต่เช้า ทันทีที่ล้อหยุดหมุนหญิงสาวก็รีบสาวเท้าเข้าไปในบ้านโดยไม่คิดจะหยุดทักทายจันทร์ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
หญิงแก่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจอย่างไม่รู้เหมือนกันว่าเธอควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี ก่อนจันทร์จะหันมายิ้มทักผู้ชายทั้งสองที่ยกมือไหว้เธออย่างมีมารยาท
“ทานอะไรกันมารึยังคะ ป้าจะได้ให้เด็กจัดโต๊ะให้”
“ยังเลยครับป้า แล้วนี่ไอ้กาลเป็นไงบ้าง”
นิลเลือกที่จะถามถึงเพื่อนรักเป็นอย่างแรก ตั้งแต่รัตติกาลหอบลูกหนีขึ้นไปบนบ้านเขาก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอีก โทรศัพท์มือถือก็ติดต่อไม่ได้
“ยังไม่ลงมาเลยค่ะ แต่คุณอารัณย์โทรลงมาตอนเช้าบอกว่าให้เตรียมยาแก้ไข้ไว้ให้ด้วย ดูเหมือนคุณรพีจะไม่สบาย”
“แล้วเมื่อคืน...”
“นอนด้วยกันทั้งสามคนแหละคะ”
นักเขียนหนุ่มพยักหน้ารับรู้แต่ก็อดที่จะชักสีหน้าเมื่อคิดถึงสิ่งที่อารัณย์ทำไม่ได้ ฤทธิชาติเองพอเห็นอาการแบบนั้นของนิลก็เข้าใจ ฝ่ามือใหญ่จึงจับเข้าที่ไหล่ลาดก่อนจะลูบมันเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
“รพี!!”
เสียงตะโกนของพะแพงทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง นิลที่ได้สติก่อนรีบวิ่งเข้าไปด้านในโดยมีนายตำรวจหนุ่มวิ่งตามกันมาจนถึงบริเวณห้องโถงที่ปรากฏร่างของหญิงสาวนั่งกุมข้อเท้าของตัวเองอยู่บนพื้นโดยมีรพีที่น้ำตาคลอหน้าแดงก่ำยืนอยู่บนขั้นบันไดของบ้านห่างออกไปเพียงเล็กน้อย พะแพงพยายามร้องเรียกให้ลูกชายเดินมาหาแต่ร่างป้อมที่กลัวอย่างเห็นได้ชัดกลับเดินหนีขึ้นไปทุกครั้งที่ถูกเรียก
“พี่แพง!”
นิลทำท่าจะเข้าไปช่วยแต่กลับถูกมือของฤทธิชาติฉุดรั้งเอาไว้ ร่างสูงหันมามองคนข้างกายอย่างไม่เข้าใจแต่สายตาของนายตำรวจหนุ่มกลับจับจ้องอยู่ที่สองคนนั้นโดยที่ไม่มองมายังเขาเลย
“ชาติ ปล่อย”
“ขอโทษทีนะครับ แต่เห็นทีจะทำอย่างนั้นไม่ได้”
“...!”
“ขอผมพิสูจน์อะไรอีกนิดเถอะครับ”
ร่างสูงไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนพูด แต่ความสนใจทั้งหมดก็ถูกดึงกลับไปที่สองแม่ลูกเมื่อเสียงร้องไห้ของพะแพงเริ่มดังขึ้นมา หญิงสาวที่ร้องเรียกเท่าไหร่ลูกชายก็ไม่เดินมาหา อีกทั้งสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกว่ากลัวเธอนั้นทำให้คนเป็นแม่รู้สึกเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ
ถึงแม้จะไม่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่ช่วงเวลาที่พะแพงอุ้มชูเด็กชายที่อาศัยอยู่ในครรภ์ของเธอนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกรักและผูกผันกับรพีไปไม่น้อยกว่าใคร โดยเฉพาะกับรัตติกาลที่พะแพงคิดว่าไม่มีทางจะรักลูกของเธอได้อย่างจริงใจเป็นแน่
“รพี ฮึก รพีลูกแม่”
“คุณป้าเป็นอะไร”
เด็กชายถามขึ้นเพราะใจเสียเมื่อเห็นผู้หญิงตรงหน้าร้องไห้ออกมาราวกับว่าทรมานจนไม่อาจทนได้ รพีที่ตั้งใจจะเดินลงมาหาน้ำดื่มในระหว่างที่อารัณย์และรัตติกาลไม่ทันได้สังเกตถูกรั้งไว้ด้วยเสียงเรียกอันดังของหญิงแปลกหน้าที่เอาแต่บอกว่าเธอคือแม่ของเขาทั้งที่ไม่ใช่...พ่อกาลบอกว่าเธอไม่ใช่แม่ของเขา
รพีลังเล ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปช่วยเหลือคนที่ต้องเจ็บตัวเพราะสะดุดล้มตอนที่วิ่งมาหาเขาแต่อีกใจก็กลับนึกถึงภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานและเพราะอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กชายนึกกลัวคนตรงหน้าทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรให้
น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วแทบจะไหลหนักขึ้นไปอีกเมื่อโดนคนเป็นลูกเรียกว่าอย่างนั้น และนอกเหนือจากความเสียใจ ก็ยังมีความโกรธแค้นในตัวรัตติกาลที่มากขึ้นจนเธอไม่อยากเชื่อว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยรักกันดี จนกระทั่งถึงวันที่น้องรหัสคนนี้คิดจะแย่งทุกอย่างไปจากเธอ
“รพี”
เสียงของรัตติกาลดังขึ้นทำให้คนทั้งคู่หันไปมอง ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังพะแพงที่นั่งอยู่เบื้องล่างก่อนจะเบนสายตาไปหาลูกชายที่รีบวิ่งเข้ามากอดขาของร่างโปร่งไว้พร้อมกับเอาตัวหลบไปด้านหลัง ส่วนอารัณย์ที่เดินตามกันมานั้นมองพี่สาวของตนด้วยความตกใจแต่ในขณะที่จะเดินเข้าไปหาคนรักก็หยุดเขาไว้
“กาล...”
“คุณบอกว่าจะยืนข้างผม”
“...”
“ได้เวลาพิสูจน์คำพูดนั้นแล้วอารัณย์”
ชายหนุ่มยิ้มให้แต่มันกลับทำให้คนมองไม่สบายใจนัก อารัณย์มองรัตติกาลและพะแพงสลับกันด้วยความสับสนเต็มหัวใจ ยิ่งเห็นน้ำตาที่ไหลอาบหน้าของหญิงสาวแล้วเขาก็ยิ่งอยากจะเข้าไปประคองไว้ติดแต่ว่าคำพูดของรัตติกาลนั้นมันหนักแน่นเสียจนเขาก้าวขาไม่ออก
“แค่นทีกับลูกพี่ยังไม่พออีกหรอกาล...อย่าบอกนะว่าเธอคิดจะแย่งอารัณย์ไปจากพี่ด้วย”
พะแพงพูดด้วยเสียงที่สั่นเพราะโกรธจนไม่อาจควบคุมมันได้ รัตติกาลยิ้มรับคำของพี่รหัสด้วยท่าทางที่ไม่มีความจริงใจ ก่อนร่างโปร่งจะเดินไปแล้วยื่นมือให้หญิงสาวด้วยตัวของเขาเอง
“มาครับผมช่วย”
หญิงสาวปัดมือของรัตติกาลทิ้งโดยไม่ลังเล นิลที่เห็นท่าไม่ดีก็เดินเข้ามากันเพื่อนของตัวเองไว้ อารัณย์จึงอาศัยจังหวะนั้นเข้าไปประคองให้พะแพงลุกขึ้นโดยมีสายตาของรัตติกาลมองดูอยู่ไม่ห่าง และมันก็ว่างเปล่าเสียจนคนถูกมองใจเสีย
“ถ้าเธออยากจะช่วยพี่...ก็คืนรพีมา”
พะแพงที่ยืนพิงอารัณย์อยู่พูดขึ้นโดยจับจ้องไปยังรัตติกาลอย่างไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มนิ่งไปเพียงครู่ก็จะยิ้มให้ก่อนจะอุ้มลูกชายเข้าไปในห้องทานอาหารที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว โดยไม่ลืมที่จะหันมาชวนทุกคนให้เดินตามกันมา
“ก่อนจะคุยกัน เติมพลังกันก่อนเถอะนะครับ”
นิลรีบเดินตามพร้อมกับสบถไปตลอดทาง หญิงสาวที่โดนรัตติกาลตัดบทรีบบอกให้น้องชายเดินตามไปแต่ร่างสูงกลับหยุดนิ่งไม่ทำอย่างนั้น
“พี่แพง...ผมขอเถอะ คุยกันดีๆได้ไหม”
“ทำไมพี่ต้องพูดดีๆกับคนที่พรากลูกพี่ไปด้วย รัณย์ก็เห็นว่ารพีกลัวพี่ขนาดไหน รัตติกาลต้องทำอะไรลงไปแน่ๆไม่งั้นลูกพี่คงไม่เป็นแบบนี้!”
“ถึงรพีจะเป็นลูกพี่ แต่เป็นกาลที่เลี้ยงเด็กคนนั้นมาตลอดหกปี”
“นั่นก็เพราะมันไม่ใช่รึไง!!”
อารัณย์มองพี่สาวของตนที่แทบไม่เหลือเค้าความอ่อนโยนให้เห็น พะแพงพยายามสกัดกั้นน้ำตาไม่ให้ไหลจึงมีเพียงดวงตาแดงก่ำเท่านั้นที่บ่งบอกอารมณ์ของเธอได้ หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะจ้องมองมายังน้องชายอย่างคาดคั้น
“รับปาก...ว่าจะช่วยพี่”
“พี่แพง...”
“รับปากสิรัณย์ นั่นหลานของเรานะ ลูกของพี่! ถึงจะไม่ได้เลี้ยงแต่พี่ก็อุ้มท้องเขามาพี่จะไม่ยอมให้กาลได้ลูกพี่ไป กาลจะรักรพีเหมือนพี่ที่เป็นแม่แท้ๆได้ยังไง!!”
“ตกลงพี่รักรพีหรืออยากจะเอาชนะกาลกันแน่”
พะแพงหน้าชาเมื่อน้องชายที่เคารพตนมาตลอดพูดแบบนั้น อารัณย์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดแรงเกินไปยกมือขึ้นลูบหน้าของตัวเองเบาๆก่อนจะกล่าวขอโทษพี่สาวแล้วบอกว่าตัวเองคงเหนื่อยมากเกินไปเท่านั้น เสียงหัวเราะของฤทธิชาติที่ยังยืนอยู่ด้วยดังขึ้น นายตำรวจหนุ่มเดินมามองพะแพงอยู่เพียงครู่ก่อนจะหันไปพูดกับอารัณย์ที่ดูสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่าง
“ไปกินข้าวกันเถอะครับ มาเถียงกันอย่างนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร”
“มึงเข้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวกูตามไป”
“จะเอาอย่างนั้นหรอครับ แต่ผมว่า...คุณนั่นแหละที่ต้องใช้พลังงานหนักกว่าเพื่อนเลย ฮ่าๆ แล้วตามมานะ”
ฤทธิชาติเดินจากไปทิ้งให้อีกฝ่ายสบถเบาๆตามหลัง ร่างสูงดันหลังให้พะแพงเดินเข้าไปด้านในถึงแม้หญิงสาวจะไม่เต็มใจในทีแรก ทันทีที่เดินเข้ามาพะแพงก็พบเข้ากับภาพของรัตติกาลที่กำลังเช็ดมุมปากที่เลอะให้กับลูกชายของเธออยู่ ท่าทางที่แสนจะเป็นธรรมชาติจนดูเหมือนว่าสองคนนั้นเป็นครอบครัวกันจริงๆทำให้พะแพงรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา แล้วยิ่งเด็กชายมีใบหน้าคล้ายกับนทีผู้เป็นพ่อและอดีตคนรักของเธออย่างมากยิ่งทำให้หญิงสาวไม่อยากจะเสียที่ตรงนั้นให้ใคร
“พี่แพง ทานข้าวด้วยกันสิครับ”
รัตติกาลพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ก่อนจะหันไปทานข้าวของตัวเองต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อารัณย์ที่เห็นพี่สาวของตนเอาแต่ยืนนิ่งเลยเดินตรงไปนั่งข้างรัตติกาลซึ่งฝั่งตรงข้ามมีรพีนั่งอยู่ทำให้พะแพงต้องมานั่งข้างน้องชายของตน
“พ่อกาล...”
“ไม่เป็นไรครับ กินข้าวต่อเถอะ”
รพีคว้ามือของรัตติกาลมาจับทันทีที่เห็นพะแพงเดินเข้ามาจนร่างโปร่งต้องพูดปลอบเพื่อให้เด็กน้อยคลายกังวล รัตติกาลตักผัดคะน้าให้ลูกชายเพิ่มโดยไม่ลืมที่จะเขี่ยพริกเม็ดโตออกให้อย่างที่เคยทำ ส่วนอารัณย์ก็ตักกับข้าวให้รัตติกาลด้วยความเคยชินเช่นกันโดยที่ร่างโปร่งมองมันอยู่พักหนึ่งก่อนจะตักไข่เจียวใส่จานให้คนรักที่รออยู่บ้าง ซึ่งการกระทำนั้นก็ทำให้รอยยิ้มบางๆถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของอารัณย์
“เออดี แลกจานกันแดกไปเลยไหม”
นิลพูดแซวขึ้น แต่รัตติกาลกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้นักเขียนหนุ่มออกอาการหงุดหงิดเล็กๆที่อีกฝ่ายไม่ได้เขินอายอย่างที่คาด
“คุณชาติครับ รบกวนตักกับข้าวให้นิลหน่อยได้ไหม ท่าทางปากจะว่าง”
“ตามบัญชาครับ”
นายตำรวจหนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะตักผัดคะน้าเน้นพริกเยอะๆให้นิลตามที่เจ้าของบ้านขอ นิลเองพอโดนทั้งเพื่อนและคนข้างๆรุมแกล้งแบบนั้นก็ออกอาการหน้างอจนรัตติกาลหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ อารัณย์มองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆที่ดูควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่าที่เขาคิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ารัตติกาลจะจัดการกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ยังไง
“ป้าครับ แขกที่ผมเชิญมาถึงรึยัง”
รัตติกาลเอ่ยถามจันทร์ที่ยืนคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆขึ้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นแสดงความสงสัยออกมา โดยเฉพาะอารัณย์ที่ไม่รู้เลยว่าคนรักไปติดต่อเชิญใครไว้ตอนไหน ร่างโปร่งยิ้มน้อยๆให้อีกฝ่ายที่ดูไม่สบายใจก่อนจะพูดอธิบายออกมา
“ยังเลยค่ะ ถ้ามาถึงจะให้ป้าเชิญเข้ามาเลยไหมคะ”
“ครับ รบกวนหน่อยนะครับป้า”
หญิงแก่ยิ้มรับก่อนจะเดินออกจากห้องไป แม้จะเป็นเพียงครู่เดียวทั้งนิลและอารัณย์ก็สังเกตถึงความกังวลในดวงตาคู่นั้น นักเขียนหนุ่มมองเพื่อนของตนด้วยความไม่สบายใจ หากเป็นรัตติกาลคนก่อนที่ร้องไห้โวยวายไล่พะแพงออกจากบ้านเขาคงรับมือง่ายกว่านี้ แต่นี่มันไม่ใช่เพราะเพื่อนของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
“มึงคิดจะทำอะไรกันแน่ไอ้กาล”
นิลถามรัตติกาลในขณะที่ร่างโปร่งแยกตัวออกมาเข้าห้องน้ำ รัตติกาลมองเพื่อนที่แสดงความเป็นกังวลออกมา เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบนิลออกไปด้วยสีหน้าท่าทางแตกต่างจากตอนที่อยู่ในห้อง
“ทำให้เรื่องมันจบ”
“ทำยังไง”
“มึงไม่ต้องรู้หรอกนิล เรื่องนี้กูคงรบกวนมึงอย่างเคยไม่ได้”
นักเขียนหนุ่มมองรอยยิ้มฝืนๆของเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เขาบีบเขาที่หัวไหล่มนของรัตติกาลพร้อมกับจ้องตาอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่
“กูเป็นห่วงมึงนะกาล”
“กูรู้ ขอบใจมึงมากแล้วก็...ขอโทษด้วย”
“มึงไม่มีอะไรต้องขอโทษกูทั้งนั้น”
นิลคว้ารัตติกาลมากอดไว้ก่อนจะลูบเบาๆบนกลุ่มผมของเพื่อนที่ซบลงบนไหล่ เขารู้ดีว่ารัตติกาลพยายามแค่ไหนที่จะอดทนผ่านเรื่องราวต่างๆไปให้ได้โดยลำพัง กำแพงหนาที่ถูกอารัณย์พังลงไปก็ยังคงเป็นแบบนั้น รัตติกาลไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนที่ปิดกั้นตัวเองเพียงข้ามวัน เช่นเดียวกันกับความเชื่อใจที่ถูกทำลายลงไป
“กูแปลกใจมากเลยรู้ไหม ที่กูไม่ฆ่าอารัณย์หลังจากรู้ว่ามันเป็นใคร”
“ถ้ามึงต้องการกูจะทำแทน”
“ชาติคงลำบากใจแย่ถ้าจะต้องจับมึงเข้าคุก”
“แต่ถ้ามึงทำรพีก็กำพร้า”
“ที่กูไม่ทำ...อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นก็ได้”
รัตติกาลผละตัวออกมา ร่างโปร่งไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอีกแล้วหลังจากที่ปลดปล่อยอารมณ์ทุกอย่างไปเมื่อคืนแต่ดวงตาก็ยังหลงเหลือไว้ซึ่งความเจ็บปวด
“มันคงถึงเวลาที่กูควรเรียนรู้การยืนด้วยตัวเองสักที”
“...มึงจะเลิกกับมัน?”
“ไม่...อย่างน้อยก็ตอนนี้”
สีหน้าของรัตติกาลดูสงบกว่าที่นิลคาด ร่างโปร่งทำเพียงมองปลายเท้าของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วตอบคำถามเขาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น รัตติกาลกำลังวางแผนบางอย่างและมันก็เป็นการตัดสินใจที่จะส่งผลกับชีวิตของทุกคนแน่นอน เขายิ้มออกมา แม้จะไม่ราบรื่นแต่ความต้องการที่จะเห็นเพื่อนคนนี้มีชีวิตต่อไปได้โดยไม่ต้องพึ่งใครก็เป็นสิ่งที่เขาหวัง
“กูจะเป็นกำลังใจให้มึงแล้วกัน”
“อืม...แล้วกูก็จะเป็นกำลังใจให้มึงด้วย”
“...?”
“กลับเข้าไปกันเถอะ”
รัตติกาลพูดคำพูดที่น่าสงสัยเอาไว้ก่อนจะเดินกลับไปด้านใน แต่ก่อนที่จะออกพ้นประตูห้องไป ร่างโปร่งก็เห็นแผ่นหลังกว้างของอารัณย์ยืนพิงกำแพงอีกด้านอยู่ไม่ไกล เขาหยุดนิ่งเพื่อมองมัน จากระยะนั้นอารัณย์คงได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแล้ว รัตติกาลยิ้มให้ตัวเองแต่มันช่างแสนเศร้าจนเขาอยากกลับไปเป็นคนที่อ่อนแอเหมือนเก่า แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะเขาเองก็อยากจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อตัวเองและลูก
ร่างโปร่งเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรกับอารัณย์สักคำ ร่างสูงเองนั้นก็ไม่ได้รั้งรัตติกาลไว้เพราะยังคงนิ่งอึ้งเมื่อได้รับรู้การตัดสินใจของคนรัก ฝ่ามือใหญ่กำกันแน่น เขาหลับตาลงไม่อยากแม้แต่จะจินตนาการถึงคราวที่ต้องสูญเสียรัตติกาลไปเพราะความคิดตื้นของตัวเอง
“น่ากลัวใช่ไหมล่ะ การที่ต้องไม่รู้อะไรเลยน่ะ”
เสียงของนักเขียนหนุ่มดังขึ้นทำให้อารัณย์ต้องหันไปเผชิญหน้ากับคนที่เดินตามรัตติกาลออกมา นิลมองร่างสูงตรงหน้าด้วยความรู้สึกเห็นใจไม่น้อยแต่ถึงอย่างนั้นความโกรธแค้นกับเรื่องที่อีกฝ่ายทำลงไปนั้นกลับมีมากกว่า
“กูไม่เคยอยากให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้”
“แน่ใจ? กล้าสาบานไหมล่ะว่ามึงไม่เคยคิดแยกไอ้กาลกับรพีออกจากกัน”
“...”
“ช่างเถอะ ต่อให้กูโกรธมึงไปก็เท่านั้นเพราะถึงยังไงคนที่ตัดสินใจคือไอ้กาลไม่ใช่กู...ยอมรับมันซะอารัณย์”
แล้วนิลก็เดินจากไปพร้อมกับทิ้งความหนักอึ้งไว้ให้อารัณย์แบกรับอีกครั้ง ร่างสูงอยากจะตะโกนออกมาดังๆแต่เขาก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ พี่เลี้ยงหนุ่มหยิบเอาสิ่งๆหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูพร้อมกับความกลัวที่จุกแน่นอยู่ในอก
“ถ้าเป็นคุณ...คุณจะทำยังไง”
ชายหนุ่มหัวเราะเยาะความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง เขาเก็บของสิ่งนั้นกลับไปที่เดิมก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทานอาหารที่จานและชามกำลังถูกลำเลียงออกไปโดยที่แต่ละคนยังคงนั่งประจำที่ของตัวเองอยู่ อารัณย์กลับไปนั่งที่เดิมของตัวเองก่อนที่จะเอื้อมไปจับมือของรัตติกาลไว้โดยไม่แคร์สายตาใครรวมถึงคำพูดของคนรักด้วย
“ตกลงกาลจะเอายังไง พี่อยากได้ลูกของพี่คืน”
พะแพงพูดความต้องการของตัวเองออกมาทันทีที่อยู่กันพร้อมหน้า อารัณย์กระชับมือของตนให้แน่นขึ้นเพื่อให้รัตติกาลรู้ว่าเขาเป็นกำลังใจให้แต่ดูเหมือนว่าคนรักของเขาจะเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าต้องมาเจอคำพูดแบบนี้
“ผมคงคืนลูกให้พี่แพงไม่ได้หรอกครับ เพราะที่นี่...มีแต่ลูกของผม”
“กาล ขอร้องเถอะ อย่าให้พี่พูดเรื่องราวร้ายๆในอดีตออกมาให้รพีได้ฟังเลยนะ คืนรพีให้พี่มาแล้วเราก็จบกันเท่านี้ พี่จะไม่เอาเรื่องอะไรเธอทั้งนั้น”
หญิงสาวหันไปมองลูกชายของตนที่จ้องมองไปยังรัตติกาลด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะหันมามองเธออยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นอย่างนั้นพะแพงยิ่งอยากจะเข้าไปกอดรพีไว้แต่ในสถานการณ์ที่เด็กชายกลัวเธอมากขนาดนี้มันคงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก
รัตติกาลยกยิ้ม ดูเหมือนว่าผู้หญิงตรงหน้าคงถูกปิดหูปิดตาไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ ชายหนุ่มหันกลับไปมองลูกศรที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนจะส่งสัญญาณให้พาคนที่เพิ่งมาถึงได้ไม่นานเข้ามา
“ก่อนที่พี่จะได้รู้ความจริง ผมมีอะไรบางอย่างอยากจะบอก”
“...?!”
“ผมดีใจนะครับที่พี่ยังมีชีวิตอยู่...พี่แพง”
สิ้นคำนั้นประตูบานใหญ่ก็เปิดออก พะแพงที่หันไปมองตามเสียงนั้นลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองผู้มาใหม่ด้วยความไม่เข้าใจเช่นเดียวกับคนที่เหลือยกเว้นอารัณย์ที่เอาแต่มองหน้ารัตติกาล ร่างกายสูงโปร่งไม่ต่างจากรัตติกาลมากนักกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มองไปรอบๆบ้านอย่างสนใจ ดวงตากลมโตคู่นั้นจะสอดส่ายไปบรรจบอยู่ที่รัตติกาล เธอทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้ เด็กน้อยดึงมือของตนออกจากพันธนาการของพ่อแล้ววิ่งตรงเข้าไปหารัตติกาลที่มีรพีนั่งนิ่งอยู่บนตัก
“คุณน้าลูกอมนี่นา!!”
“สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้วนะ”
ร่างโปร่งยื่นลูกอมรสองุ่นแบบเดียวกับวันนั้นให้กับเด็กน้อยที่ยิ้มกว้างพร้อมกับเอื้อมมือออกมารับมัน แต่ก่อนที่รัตติกาลจะได้ทำแบบนั้นร่างเล็กๆนั่นก็ถูกอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้นด้วยฝีมือของพะแพงที่มองมายังเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจมากกว่าเก่า
“นี่มันเรื่องอะไรกันกาล เธอจะเล่นตลกอะไรกับพี่อีก!!!”
“ไม่ใช่เรื่องตลกหรอกครับพี่แพง แต่ถึงจะพูดแบบนั้น...ตอนที่ผมรู้ความจริงครั้งแรกก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน”
รัตติกาลพูดกับพี่รหัสก่อนจะหันมามองอารัณย์ที่หน้าแทบจะไร้สีเลือด ร่างโปร่งเค้นยิ้มที่เต็มไปด้วยความผิดหวังในตัวคนรักแล้วหันไปมองชายอีกคนที่มาพร้อมกับซองเอกสารในมือ
ชายคนนั้นมองรัตติกาลอย่างไว้เชิงก่อนจะหันไปมองภรรยาและลูกสาวที่ไม่เคยรับรู้ความจริงอะไรสักอย่าง ช่วงขายาวภายใต้กางเกงแสล็คสีขาวก้าวเข้ามาเรื่อยๆจนชายหนุ่มเดินเข้ามาอยู่ในระยะที่รัตติกาลสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“คราวนี้ผมไม่ได้ทักคุณผิดแล้วนะครับ”
รัตติกาลพูดกับชายที่เขาเคยทักผิดว่าคือนที ณ ห้องอาหารของโรงแรมในคืนที่พายุเข้า ดวงตาเรียวรีในกรอบแว่นคู่นั้นยังคงจับจ้องมาที่เขาเช่นเคยแต่ไร้ซึ่งความตกใจเหมือนครั้งก่อน
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ ทั้งในฐานะของหมอทำคลอดของรพี...และฐานะสามีของพี่แพง”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ตอนนี้รู้สึกพี่กาลกวนตีนมาก 555555555 :hao7: พี่กาลเวอร์ชั่นนี้ไม่วีนไม่เหวี่ยงคับ ซัดอย่างเดียวเลย หุหุ เช่ชอบบบบบ ไม่อยากให้พะแพงดูเป็นนางร้ายจนเกินไป แต่เข้าใจเนอะคนเป็นแม่ แต่ยังไงพ่ออย่างพี่กาลก็ชนะเลิศ! (ลำเอียง 5555) o13
งวดนี้ทอล์คสั้น เพราะเช่จะหนีไปนอน :z6: งานเยอะมาก อยากให้เดือนนึงมีสักร้อยวัน ฮือออ ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ทั้งคนที่ติดตามกันมาตลอดและนักอ่านหน้าใหม่ ฝากนิยายและหนังสือที่กำลังจะออกไว้ในอ้อมใจด้วย เก็บตังกันเถอะ 555
-
:hao3: :hao3: :hao3:
-
กาลลลลล....สู้ตาย!!!!
-
พี่นทีมีฝาแฝด
-
ลุ้นมากกกกกนึกว่าอ่านโคนัน
ชอบกาลแบบนี้อะดีๆเอาให้เข็ด
-
มันชอคหนักมาก
-
ตกลงคือนทีตายคนเดียวใช่ไหม
แล้วทำไมนทีถึงกลับไปหาพะแพง
แล้วทำไมพะแพงถึงเพิ่งหารพีเจอแล้วทำไมถึงมีเอกสารการตาย
แล้วผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังคือใครรร
งงงงงงง ค่ะ อ่านเรื่องนี้มีแต่คำถาม 55555555 :katai1:
รอเฉลยปม
-
ยิ่งกว่าอ่านโคนันอีกกก
-
43rd Night
…Truth III...
“หมายความว่ายังไง”
นอกจากนิลที่พูดประโยคนี้ขึ้นแล้วยังมีพะแพงที่ดูจะช็อคไปกับสิ่งที่รัตติกาลกล่าวถึง หญิงสาวหันไปหาคนมาใหม่อยากต้องการคำตอบ แต่ชายคนนั้นกลับไม่พูดอะไร เขาเดินตรงไปที่เด็กสาวซึ่งพะแพงอุ้มอยู่ก่อนจะพูดกับร่างเล็กด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเสียจนบรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง
“พิมพ์พาน้องไปเล่นข้างนอกก่อนนะคะ เดี๋ยวขอพวกป๊าคุยธุระกันก่อน”
“น้องพีหรอคะ?”
เด็กสาวชื่อพิมพ์ชี้ไปยังรพีที่ยังคงนั่งอยู่บนตักของรัตติกาล รพีเองเมื่อเจอคนแปลกหน้าเยอะๆเข้าก็เอาแต่ซุกหน้าลงในอกอุ่นของบิดาแต่ก็ยังแอบหันหน้ากลับมามองบ้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ครับ เล่นกับน้องดีๆนะ”
“ค่ะ!”
ร่างสูงรับร่างของลูกสาวมาจากพะแพงที่เอาแต่มองเขาอย่างคาดโทษ ทันทีที่เท้าคู่เล็กนั้นแตะพื้น เด็กหญิงพิมพ์ใจก็วิ่งตรงไปที่เก้าอี้ของรัตติกาล เธอยิ้มให้คุณน้าใจดีเจ้าของลูกอมอีกครั้งก่อนจะเอ่ยชวนเด็กชายที่ตัวพอๆกัน
“น้องพี ไปเล่นด้วยกันนะ!”
รพีส่ายหน้ากับอกอุ่นของพ่อจนรัตติกาลต้องลูบกลุ่มผมนุ่มเพื่อปลอบโยน
“รพี ไปเล่นกับพี่พิมพ์เขาก่อนนะ”
“พีไม่อยากไป...”
“แต่พี่เขามาชวนแล้ว เดี๋ยวพ่อให้ยายจันทร์ทำขนมไปให้”
เด็กชายเมื่อได้ยินข้อเสนอที่แสนล่อใจก็ยอมที่จะเงยหน้าออกมาสบตากับบิดา ร่างป้อมหันไปมองคนที่เรียกเขาว่าน้องอย่างสนใจก่อนจะยอมพยักหน้าแล้วร้องขอรัตติกาลให้วางตัวเองลงกับพื้น จันทร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลบอกให้เด็กรับใช้พาเด็กทั้งสองคนออกไปเล่นรอบๆบ้านโดยกำชับไม่ให้ใครเดินเข้ามาในห้องๆนี้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ หญิงแก่มองคุณหนูที่เธอเลี้ยงดูมานานด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อได้เห็นสายตาที่มุ่งมั่นของรัตติกาลเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดประตูที่หนักอึ้งนั้นลง
“คุณรู้มานานเท่าไหร่แล้ว”
อารัณย์ถามขึ้นทันทีที่สาวใช้ทั้งหมดออกจากห้องไป ชายหนุ่มมองหน้าคนรักที่ดูไม่ยินดียินร้ายกับสถานการณ์ตรงหน้าผิดกับคนอื่นๆที่สับสนวุ่นวายไปกันหมด
“จริงๆก็สงสัยตั้งแต่เห็นบ้านไม้จำลองหลังนั้น แต่ถ้าพี่แพงไม่มาผมก็อาจจะยอมปิดหูปิดตาตัวเองต่อไปก็ได้”
รัตติกาลมองไปยังบ้านไม้จำลองหลังเล็กที่อารัณย์นำมาให้เป็นของขวัญวันเกิดของรพี ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปยังกล่องกระจกนั้นซึ่งตั้งอยู่ในอีกมุมหนึ่งของห้องตามคำสั่งของเจ้าของบ้าน เขายกกรอบของมันขึ้นท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน ชายหนุ่มลูบเบาๆไปตามแผ่นไม้ที่ถูกเหลาอย่างประณีตก่อนจะหยิบเอาไม้แผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่งออกมาอย่างง่ายดาย
“ผมเคยซุ่มซ่ามทำมันตกอยู่ครั้งนึง หึ ไม่น่าเชื่อว่าพี่ทีจะไม่สังเกตเห็น”
ร่างโปร่งว่ายิ้มๆก่อนจะวางมันกลับไปอย่างเก่า เขาเดินกลับมานั่งเคียงข้างอารัณย์ที่เริ่มประติดประต่อเรื่องราวบางอย่างได้ก่อนจะหันไปพูดกับคนรัก
“ช่วยแนะนำพี่เขยของคุณ...และเรื่องทั้งหมดให้พวกเรารู้หน่อยได้ไหม”
“ขอให้ผมเป็นฝ่ายพูดเองเถอะครับ”
ชายผู้มาใหม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าแน่วแน่ราวกับเตรียมใจมาก่อนแล้ว เขานั่งลงตรงเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งเมื่อเจ้าบ้านอย่างรัตติกาลพยักหน้าให้ก่อนจะวางซองเอกสารที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะซึ่งนิลก็หยิบมันไปอ่านแทบจะทันที
“เอกสารนี่มัน...ใบมรณะบัตรของพี่แพง”
“ใบมรณะบัตรของพี่??”
หญิงสาวร้องขึ้นอย่างตกใจ แต่ชายคนนั้นก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนรอนาน เขาถอดแว่นที่ตัวเองสวมออกเผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนล้าราวกับคนที่โหมงานอย่างหนัก
“ผมชื่อกันต์ชนก เป็นนายแพทย์ที่ทำคลอดน้องรพีเมื่อหกปีก่อนแล้วก็เป็นสามีในปัจจุบันของแพงอย่างที่คุณกาลว่า”
“เดี๋ยวก่อนนะ...กันต์ชนก”
นิลเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะก้มลงอ่านใบมรณะบัตรอีกครั้ง ก่อนจะเห็นชื่อๆเดียวกันเซ็นกำกับอยู่ในช่องของผู้รับรองอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ครับ เอกสารนั้นผมเป็นคนเซ็นเอง...ทั้งๆที่พะแพงไม่ได้ตาย”
กันต์มองภรรยาของเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกความเสียใจอย่างสุดซึ้ง แต่เขาก็กลั้นใจพูดความจริงต่อไปโดยที่มีสายตาของทุกคนมองมาอย่างกดดันยกเว้นเพียงอารัณย์ที่แทบจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันเลย
“เมื่อหกปีที่แล้วผมไปประจำการอยู่ที่โรงพยาบาลลำปาง ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปีมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแทบตลอดทำให้แม้แต่แพทย์น้องใหม่อย่างผมก็ต้องอยู่ช่วยที่นั่นแทบจะไม่ได้ปลีกตัวไปไหน จนบ่ายวันนั้นผมก็ต้องทำหน้าที่ยื้อชีวิตให้กับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุมา...”
“และนั่นก็คือพี่แพงกับพี่ทีใช่ไหม”
หมอหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบให้นิลที่เอาแต่นั่งกุมขมับ ก่อนจะอธิบายต่อ
“คุณนที...เสียชีวิตเพราะได้รับกระทบกระเทือนที่ศีรษะอย่างแรงแทบจะทันทีที่ถึงมือหมอ ส่วนแพงถึงไม่หนักเท่าแต่เพราะตั้งครรภ์อยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างอันตรายไปหมด เราจำเป็นต้องผ่าเอาเด็กออกทั้งๆที่ยังไม่ครบอายุครรภ์...นั่นทำให้ผมได้ชื่อว่าเป็นคนทำคลอดของน้องรพีครับ”
“โกหกกันมาตลอดเลยสินะ ทำไมคุณทำกับฉันแบบนี้!”
พะแพงลุกขึ้นไปทุบตีร่างของคนรักทั้งน้ำตานองหน้า หมอหนุ่มรับฝ่ามือที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงนั้นไว้ก่อนจะกอดร่างเล็กด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีแม้มันจะไม่ช่วยให้เธอร้องไห้น้อยลงเลยก็ตาม
“ผมขอโทษ...มันจำเป็นจริงๆแพง ถ้าผมไม่โกหกคุณ ทั้งคุณกับลูกอาจจะโดนฆ่าไปตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ได้”
หญิงสาวเบิกตาโพลงเช่นเดียวกับนิลที่หันมามองรัตติกาลแทบจะทันที ร่างโปร่งหันไปมองเพื่อนของตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับพะแพงที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ
“พี่คิดว่าตัวเองรู้จักผู้ชายคนนั้นดีแค่ไหนกัน...พี่แพง”
“...?”
“พี่อาจจะคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่ครั้งหนึ่งเคยรักคนเจ้าชู้แบบนั้น แต่พี่รู้ไหม ว่านั่น...อาจจะเป็นด้านที่ดีที่สุดแล้วที่ทีจะแสดงให้พี่เห็นได้”
รัตติกาลลุกขึ้นไปหยิบเอาบ้านไม้จำลองหลักเดิมมาวางลงบนโต๊ะเพื่อให้ทุกๆคนได้เห็น ร่างโปร่งเหลือบมองฤทธิชาติที่กำลังให้ความสนใจกับวัตถุตรงหน้าอย่างมากแต่เมื่อพอรู้ตัวว่ากำลังโดนรัตติกาลจับจ้องผู้หมวดหนุ่มก็ทำเพียงแค่ยิ้มให้เหมือนกับทุกทีที่เคยทำ
“ทุกคนคิดว่าบ้านไม้หลังเล็กๆหลังนี่ ราคาเท่าไหร่ครับ”
แต่ละคนเลิ่กคิ้วขึ้นก่อนจะลองตอบราคาที่ตัวคาดไว้ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นมีเพียงแค่ฤทธิชาติที่ไม่เสนอราคาใดๆ แต่สุดท้ายไม่ว่าคำตอบไหนรัตติกาลก็เอาแต่ส่ายหน้าก่อนที่ร่างโปร่งจะเฉลยด้วยท่าทางที่เครียดขึงกว่าเดิม
“บ้านจำลองหลักนี้...ราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท”
“ไม้เหี้ยอะไรแพงขนาดนั้นวะ!!!”
นิลร้องขึ้นทันทีที่รัตติกาลพูดจบ ชายหนุ่มหัวเราะร่าเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเพื่อนรัก ไม่ต้องพูดถึงอารัณย์ที่นิ่งอึ้งไปแล้วเพราะไม่เคยรู้เลยว่าของที่ตนนำมาให้รพีเป็นของขวัญมีมูลค่ามากแค่ไหน
“ไม่ใช่ไม้เหี้ย นี่มันไม้พะยูง รู้จักไหม”
นักเขียนหนุ่มร้องอ่อขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อไม้มงคลหายากที่ยังคงมีเหลืออยู่แค่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น ด้วยเพราะความทนทานและความเชื่อที่สืบต่อกันมานานว่าเป็นไม้ของเทพเจ้าทำให้ไม้ชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อมีการใช้ไม้พะยูงในการซ่อมแซมพระราชวังต้องห้ามของประเทศจีนยิ่งทำให้ความนิยมที่มากอยู่แล้วพุ่งสูงพอๆกับราคาที่มากจนคนธรรมดาไม่มีทางเอื้อมถึงได้
“พญาไม้พวกนี้ ถ้าอายุแค่สามสิบปีต้นนึงก็ตกสามถึงห้าแสน แต่ถ้าเป็นเจ็ดสิบปีก็หลักล้าน และจะอัพขึ้นเป็นสิบล้านในอีกไม่กี่ปีถ้ามันยังถูกค้าออกไปเรื่อยๆ”
“หวังว่าคงจะไม่ใช่อย่างที่กูคิดนะ”
“...เป็นอย่างที่มึงคิดนั่นแหละ”
นิลถอนหายใจยาวก่อนจะกุมขมับเมื่อสิ่งที่เพิ่งรับรู้ทำให้เขาไม่อาจจินตนาการถึงความวุ่นวายที่อาจตามมาได้ รัตติกาลหันไปหาหญิงสาวที่ยังคงไม่สามารถเดาได้ว่าความจริงที่นทีซ่อนไว้คืออะไร เพราะโลกที่นทีทำให้เธอเห็นนั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงที่รัตติกาลต้องเผชิญ
“พี่นที...เคยมีส่วนร่วมกับการลักลอบค้าไม้ครับ”
ทั้งห้องนิ่งเงียบไปแทบจะทันที แม้แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆตอนที่นายตำรวจหนุ่มหยิบโทรศัพท์มาปลดล็อคยังเรียกความสนใจของทุกคนได้
พะแพงพยายามหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติ เธอปาดน้ำที่ไหลคลอดวงตาของตนออกแต่ก็ไม่อาจต้านทานความผิดหวังจากข้างใน เธอระบายมันออกมาจนหมดโดยมีกันต์ชนกคอยโอบกอดคนรักของตนไว้พร้อมกับปลอบโยนอยู่ข้างๆ
“พี่มัน...ไปขัดผลประโยชน์กับใครเข้ารึเปล่า”
“หึ สันดานแบบนั้นคิดว่าอยู่เฉยๆได้รึไง”
“ห่าเอ้ย กูรู้ว่าพี่มันโลภแต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้”
“ความทะเยอทะยานของพี่นทีที่มึงเคยเห็นคงไม่ได้สักครึ่งของเขาที่กูรู้จัก”
รัตติกาลเค้นยิ้มก่อนจะนำกรอบแก้วครอบบ้านไม้จำลองไว้อย่างเดิม พร้อมกับมองไปที่นายตำรวจหนุ่มเพื่อดูท่าทางว่าจะจัดการยังไงกับมัน แต่ฤทธิชาติกลับหัวเราะออกมาเบาๆแล้วโบกมือไปมาเพื่อบอกว่าเขาไม่คิดจะสนใจบ้านน้อยหลังนี้
“อุบัติเหตุครั้งนั้น...มันไม่ใช่อุบัติเหตุจริงๆใช่ไหม”
พะแพงกลั้นก้อนสะอื้อของตนแล้วถามออกไปทั้งที่ดวงตายังแดงก่ำ
“ส่วนหนึ่งครับ...คนขับรถบรรทุกคันนั้นไม่ได้หลับใน แต่ไฟจราจรที่ควรเป็นสีแดง เขากลับเห็นมันเป็นสีเขียว”
“...!!!”
“มีคนปรับเปลี่ยนมันในจังหวะที่รถของพี่ไปถึงแยกนั้นพอดี เรื่องนี้มีแค่ผมกับปู่ของอารัณย์และตำรวจบางคนเท่านั้นที่รู้”
“แต่นี่มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ถ้ามันมีหลักฐานว่าเป็นการฆาตกรรมจริงมึงจะปิดเรื่องไปทำไม มึงควรเล่นงานพวกมันไม่ใช่หรอ”
“ก็ใช่...ที่ว่าโลกนี้มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย”
รัตติกาลยิ้มเย็นก่อนจะตอบนิลไปแบบนั้น เขาหยิบเอาเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาจากซองเอกสารที่ถูกวางไว้ในลิ้นชักของตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ร่างโปร่งวางมันไปตรงหน้านายแพทย์หนุ่มที่มองรัตติกาลอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาที่ต้องการจะขอโทษแต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย
“คุณปู่ของพี่กับอารัณย์เป็นคนขอร้องให้ผมรับเลี้ยงรพีไว้ เพราะเรื่องนี้”
“...!!!”
“ชายคนนั้นขอให้ผมใช้ปีกของพัฒนเดชาปกป้องชีวิตเหลนของตัวเอง แลกกับการยุติความสัมพันธ์ทั้งหมด มันเป็นการสูญเสียเพื่อแลกมาซึ่งอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ของรพี...บุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม”
พะแพงพูดไม่ออก แม้แต่นิลที่มีคำถามมากมายอยู่ในหัวก็ด้วย อารัณย์หยิบเอกสารดังกล่าวขึ้นมาดูก่อนจะเห็นว่าในช่องของผู้ปกครองมีลายเซ็นของคุณปู่ตนถูกระบุไว้อย่างชัดเจน เหมือนกับสำเนาที่กันต์ชนกผู้เป็นพี่เขยของเขาเคยนำมาให้ดูในตอนที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง รวมถึงสาเหตุที่พะแพงยังมีชีวิตอยู่ด้วย
“คราวนี้พวกคุณจะอธิบายได้รึยังว่าทำไม...ถึงได้ทรยศผม”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“หมอกันต์คะ มีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามาสองคนรีบมาทางนี้เลยค่ะ”
“ครับ นำไปเลย!”
นายแพทย์หนุ่มลากขาที่ล้าจนไม่อยากเชื่อว่าเขาจะใช้มันวิ่งไปตามทางเดินที่ทอดยาวนี้ได้ ไฟหน้าห้องฉุกเฉินเปิดขึ้นทันทีที่เขาก้าวมาถึง กันต์ชนกมองร่างของชายหญิงคู่หนึ่งที่ร่างกายต่างถูกย้อมไปด้วยเลือด เขาร้องบอกให้พยาบาลตรวจดูบาดแผลที่น้อยกว่าของฝ่ายหญิงก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังร่างที่บิดเบี้ยวของชายหนุ่มที่ไม่เหลือสติอยู่แล้ว แขนและขาข้างขวาที่หักทำให้เขาสันนิษฐานได้ทันทีว่าคนไข้คงได้รับการกระแทกอย่างหนัก ไม่ต่างจากศีรษะที่กะโหลกบางส่วนยุบลงไปจนเห็นได้ชัด
“หมอคะ ความดันคนไข้ตกค่ะ”
ชายหนุ่มมองกราฟที่แสดงความดันและอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งกำลังดิ่งลงจนเขาต้องปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อปั้มหัวใจอย่างไม่ลังเล ฝ่ามือถูกวางลงในตำแหน่งตามที่ฝึกฝนมาก่อนจะออกแรงนวดปั้มเป็นจังหวะพร้อมกับบอกให้พยาบาลฉีดยากระตุ้นหัวใจไปด้วย
“ไม่ไหวค่ะหมอ คนไข้ไม่ตอบสนองเลย!”
กันต์ชนกบอกตัวเองไม่ให้สิ้นหวัง เขาพยายามทำมันอยู่หลายครั้งทั้งด้วยมือเปล่าและเครื่องกระตุ้นแบบไฟฟ้าแต่ร่างนั้นก็ยังนิ่งไม่ไหวติง จนกระทั่งเสียงร้องลากยาวดังขึ้นก้องไปทั่วทั้งห้องและโสตประสาทของทุกคนที่ได้ยินทำให้พวกเขารู้ได้ทันทีว่าการช่วยชีวิตครั้งนี้ไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ไว้ได้
“คุณคะ ทำใจดีๆไว้ค่ะ!!”
“มีเลือดออกทางช่องคลอด ระวังด้วยนะ”
หมอหนุ่มที่แม้ในใจจะยังไม่อยากทิ้งคนตรงหน้าไปแต่เขากลับไม่มีเวลาแม้แต่จะเอ่ยปากขอโทษด้วยซ้ำ กันต์ชนกรีบวิ่งไปยังเตียงทางด้านขวาที่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโอบอุ้มท้องที่ใหญ่โตของตัวเองไว้ราวกับสิ่งล้ำค่า ร่างสูงใช้ไฟฉายส่องดูการขยายของรูม่านตาซึ่งสัมพันธ์กับสัญญาณชีพที่ไม่สู้ดีนัก
“หมอกันต์ค่ะ คนไข้เลือดออกเยอะมาก ฉันเกรงว่า...”
“ผมรู้แล้ว ทุกคนเตรียมตัวครับ เราต้องผ่าเด็กออกเดี๋ยวนี้!!!”
อุแว๊! อุแว๊!!
เสียงเด็กร้องดังขึ้นทันทีที่ผิวกายอ่อนได้สัมผัสอากาศภายนอกเป็นครั้งแรก พยาบาลรีบเข้ามารับเด็กน้อยตัวแดงแจ๋ไปเข้าทำตามขั้นตอนทันทีในขณะที่คนอื่นต้องมุ่งอยู่กับการรักษาชีวิตแม่เด็กต่อไปโดยไม่มีแม้แต่เวลาจะมาร่วมยินดีเหมือนเช่นทุกครั้ง กันต์ชนกพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะได้รับการกระทบกระเทือนไม่น้อยกว่าผู้เป็นสามี จุดสุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ยื้อชีวิตให้เธอต่อไปด้วยท่อออกซิเจนเท่านั้น
“หมอครับ หลานกับเหลนผมเป็นยังไงบ้าง!”
กันต์ชนกมองใบหน้าตื่นตระหนกของชายแก่คนหนึ่งที่รีบก้าวยาวๆมาหาขาทันทีที่เดินออกมาจากห้อง สิ่งเดียวที่เขาเกลียดเวลาต้องทำอาชีพนี้ไม่ใช่ความเหนื่อยล้าหรือเวลาส่วนตัวที่แทบจะถูกลิดรอนไปจนหมด หากแต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องบอกข่าวร้ายกับญาติคนไข้นี่แหละที่ชายหนุ่มรู้สึกทนไม่ได้ทุกครั้งที่ต้องเห็นสายตาพวกนั้น
“เด็กปลอดภัยดีนะครับแต่เพราะคลอดก่อนกำหนดเราเลยต้องให้อยู่ในตู้อบก่อน ส่วนแม่เด็ก...ยังอยู่ในอาการโคม่า”
ชายแก่คนนั้นแทบทรุดลงไปแต่ด้วยเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมามากทำให้ยังคงย้ำเตือนสติตัวเองไว้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำตัวอ่อนแอ เขาพาร่างที่โงนเงนนั้นไปดูอาการหลานสาวผ่านทางกระจกของห้องไอซียู ภาพของหญิงสาวที่นอนหลับใหลท่ามกลางสายของเครื่องมือช่วยชีวิตห้องระโยงระยางแทบคร่าหัวใจคนเป็นปู่ได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น
“บาดแผลภายนอกไม่รุนแรง แต่สมองและอวัยวะภายในบางส่วนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก เราต้องรอดูอาการอย่างใกล้ชิดกันไปก่อน อย่างน้อย...ก็จนกว่าอาการของเลือดที่คั่งอยู่จะดีขึ้น”
“แล้ว...อีกคนล่ะครับ”
“...ฝ่ายชายเสียชีวิตแล้วครับ ผมเสียใจด้วย”
“ผมขอไปดูศพเขาหน่อยได้ไหม”
กันต์ชนกพยักหน้าแล้วพาชายแก่ไปยังห้องดับจิตที่แทบจะคร่าหัวใจของญาติทุกครั้งตามที่หมอหนุ่มเคยเห็น เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ชายคนนั้นได้แต่ยืนมองร่างไร้วิญญาณตรงหน้าด้วยสายตาที่ทั้งเต็มไปด้วยความตำหนิและทรมานใจไปในคราวเดียวกันแม้ว่าจะไม่มีน้ำตาสักหยดให้ไหล
“ปู่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวัง...ทำไมไม่ฟังกันบ้างหึเจ้าที”
ร่างสูงถอยออกมาเพื่อให้ญาติใช้เวลาทำใจอย่างที่ควรเป็น เขาสั่งบุรุษพยาบาลถึงขั้นตอนที่จะต้องแจ้งชายแก่ให้ดำเนินการต่อไปส่วนตัวเขาเองคงจะต้องกลับไปประจำการเพื่อรอคนไข้รายใหม่เหมือนเช่นทุกครั้ง กันต์ชนกพาร่างที่อ่อนล้าเดินไปยังลิฟต์ตัวเก่าแทนการใช้บันไดที่ติดเป็นนิสัย แต่แล้วในทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางกล่องลิฟต์นั่น
“คะ คุณ...เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
เขามองร่างที่สูงพอๆกับตนแต่ไหล่ลาดนั้นกลับลู่ลงเสียจนทำให้ดูตัวเล็กไปถนัดตา ผิวกายซีดขาวราวกับไร้เลือดหล่อเลี้ยวบวกกับดวงตาบวมช้ำทำให้นายแพทย์หนุ่มเผลอคิดไปว่าคนตรงหน้าเป็นสิ่งลี้ลับที่พวกพยาบาลชอบล้ำลือกันหากแต่แผ่นอกที่ขยับเข้าออกแล้วอาการส่ายหน้าแทนคำตอบนั้นทำให้กันต์ชนกรู้ว่าเขาคือคนไม่ใช่ผี
“ห้องดับจิต...ไปทางไหน”
“เออ เลี้ยวตรงสุดทางนี้ก็ถึงแล้วครับ”
ไม่มีการขอบคุณหรืออะไรทั้งนั้น ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงก้าวผ่านเขาไปโดยไม่มีแม้แต่จะเปรยตามองด้วยซ้ำ ชายหนุ่มได้แต่นึกเกรงในความประหลาดนั้นแต่ก็ได้ไม่นาน เขากลับขึ้นไปชั้นบนโดยที่มีแต่เรื่องวุ่นวายของวันนี้อยู่ในหัว ร่างสูงทักทายเหล่าพยาบาลบางส่วนที่เตรียมตัวกลับบ้านตลอดทางไปยังห้องพักที่อยู่ตรงสุดทางเดิน แต่ก่อนที่เขาจะไปถึง ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินมาดักเขาไว้เสียก่อน
“อ้าวป้านิ มาทำอะไรที่นี่ครับ”
“พาน้องพิมพ์ใจมาหาคุณพ่อค่ะ เห็นมืดแล้วยังไม่ยอมกลับซะที”
เธอชูร่างในอ้อมแขนไปตรงหน้านายแพทย์หนุ่มที่ยิ้มออกเป็นครั้งแรกของวัน กันต์ชนกรับร่างนุ่มนิ่มของลูกสาววัยสองเดือนเศษมาอุ้มไว้ตรงอกก่อนจะฝังจมูกโด่งลงบนแก้มนวลที่เป็นก้อนกลมไม่ต่างจากคนเป็นแม่
“น้องพิมพ์เป็นยังไงบ้างคะ คิดถึงป๊าไหมลูก”
เด็กน้อยพ่นน้ำลายใส่แทนคำตอบจนผู้ใหญ่ทั้งสองต่างก็หัวเราะร่ากับความน่ารักของเจ้าตัวเล็กที่ทำไปโดยไม่รู้ประสา กันต์ชนกอุ้มพาลูกสาวของตนและพี่เลี้ยงเด็กที่จ้างไว้ให้ดูแลเข้ามาในห้องพักก่อนจะส่งเด็กน้อยพิมพ์ใจไปให้พี่เลี้ยงอุ้มต่อ
“ช่วงสิ้นปีอย่างนี้แย่เลยนะคะ คงไม่ได้กลับบ้านกลับช่องอีกตามเคย”
“อย่างนี้แหละครับป้า แต่คิดว่าพรุ่งนี้คงได้กลับ”
“หรอคะ ดีจัง น้องพิมพ์จะได้นอนกลับคุณพ่อแล้วนะลูก ดีใจไหม”
“ไหนๆ มาให้ป๊าอุ้มหน่อยสิคะ”
ชายหนุ่มยิ้มอ่อนเมื่อเห็นเด็กสาวชูมือขึ้นกลางอากาศราวกับว่าตัวเองฟังรู้เรื่อง เขาเดินไปรับร่างของพิมพ์ใจมาอุ้มไว้แทนทันทีที่เปลี่ยนเสื้อตัวนอกเสร็จ ทันทีที่ผิวกายนุ่มได้สัมผัสตัวเขาก็พาลนึกถึงเด็กอีกคนที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้โดยที่เด็กคนนั้นคงไม่มีวันได้อยู่ในอ้อมกอดของบิดาเหมือนกับลูกของตน
“หมอกันต์เป็นอะไรคะ ทำสีหน้าไม่ดีเลย”
“ไม่เป็นอะไรครับ แค่รู้สึกแย่นิดหน่อย”
กันต์ชนกเล่ารายละเอียดคร่าวๆให้หญิงพี่เลี้ยงฟังโดยละในส่วนที่ความปกปิดข้อมูลไว้ตามจรรยาบรรณแพทย์ ตลอดการสนทนาร่างท้วมตรงหน้าก็เอาแต่ยกมือขึ้นปิดปากราวกับแทบทนไม่ได้เมื่อได้ฟังเรื่องของโศกนาฏกรรมที่เขาเพิ่งเจอมา
“คุณพระช่วย เวรกรรมแท้ๆ”
“น่าสงสารนะครับ ถ้าแม่เด็กสู้ไม่ไหวอีกคน เจ้าตัวเล็กนั่นคงแย่”
“นั่นสิคะ...ดันมาเกิดเหตุพร้อมกันทั้งสองคนแบบนี้”
เธอครวญแล้วมองไปยังเด็กน้อยที่เริ่มปรือตาลงเมื่อได้รับไออุ่นจากอกของพ่ออันเป็นที่พักพิงเดียวที่เคยได้รับ หมอหนุ่มเค้นยิ้ม เขารู้ดีว่าหญิงพี่เลี้ยงต้องการจะพูดอะไรเพราะครอบครัวของเขาเองก็เพิ่งผ่านประสบการณ์ที่ไม่ต่างกันมากนัก
“อาจฟังดูเลวร้าย แต่เพราะเรื่องวันนี้ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไป”ถ้าผมตรอมใจตายตามอ้อมไปอีกคน...น้องพิมพ์คงไม่ต่างจากเด็กคนนั้น”
ร่างสูงนึกถึงภรรยาที่เสียไปหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรสาวเพราะร่างกายเล็กๆนั้นอ่อนแอเกินจะรับไหว กันต์ชนกใช้เวลาอยู่เกือบเดือนกว่าจะตั้งหลักใหม่ได้ทั้งหมดก็เพียงเพื่อเป็นเสาหลักให้ครอบครัวที่เพิ่งโดนพายุร้ายเข้าถาโถมให้สามารถอยู่ต่อไปได้แม้จะสูญเสียหัวใจของบ้านไปแล้วก็ตาม
“ผู้หญิงคนนั้นต้องรอดค่ะ ป้าเชื่อว่าเธอจะต้องรอด”
“ครับ ผมเองก็จะพยายามเหมือนกัน น้องพิมพ์ก็เป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะลูก ป๊าจะได้มีแรงไปช่วยคุณน้าคนนั้นนะคะ”
กันต์ชนกพูดหยอกล้อกับลูกสาวที่ตกสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อย โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ชีวิตของเขาจะต้องมาผูกผันช่วยเหลือหญิงสาวคนนั้นเหมือนเช่นกับวาจาที่เขาได้ลั่นเอาไว้
:ling1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :ling1:
-
“พะแพง...ตายไปแล้ว”
เท้าของนายแพทย์หนุ่มชะงักทันทีเมื่อได้ยินชื่อคนไข้ที่ตนให้การรักษาถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบนิ่งจากชายแก่คนนั้น เขาถอยหลังกลับมาทันทีก่อนจะเหลือบมองผ่านกระจกห้องไอซียูที่พอจะมีเงาสะท้อนกลับมาให้เห็นบ้าง เขาเห็นชายแก่ผู้เป็นญาติของหญิงสาวคนนั้นกำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ทำให้เขามองไม่เห็นหน้า แต่เพราะคำพูดแปลกๆและบรรยากาศตึงเครียดที่แผ่ออกมาทำให้กันต์ชนกไม่กล้าเดินเข้าไป
“หมายความว่ายังไง...ที่บอกว่าตายไปแล้ว”
“พะแพงอ่อนแอ หลานปู่ทนไม่ไหวแล้วกาล”
เหมือนกับไม่อาจฝืนรักษามาดนิ่งไว้ได้ เสียงที่เคยฟังดูมั่นคงแกว่งในตอนท้ายจนทำให้หมอหนุ่มเผลอคิดว่าท่าทางนั้นคือความจริงทั้งที่มันไม่ใช่ คนไข้ของเขายังไม่ตาย แม้ว่าจะยังไม่ดีขึ้นแต่ก็ยังถือว่าอยู่ทรงตัวอยู่จนกระทั่งเขาเข้ามาตรวจเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ชายอีกคนทรุดลงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขายกมือขึ้นกุมหัวของตัวเองไว้ราวกับกลัวว่ามันจะระเบิดออกมาก่อนเสียงร้องไห้ระงมจะดังขึ้นจนคนที่แอบฟังอยู่สะท้อนใจ สภาพของชายคนนี้ไม่ต่างจากเขาเมื่อตอนที่สูญเสียอ้อมใจไป กันต์ชนกจึงคิดไปเองว่าชายหนุ่มคงมีเกี่ยวเกี่ยวข้องที่ลึกซึ้งกับสามีภรรยาคู่นั้น
“ทำไมทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ ฮึก ทำไม!”
“มันไม่ใช่อุบัติเหตุกาล...มันไม่ใช่”
ไม่ใช่แค่คนที่ชื่อกาลจะหยุดนิ่งไป แม้แต่นายแพทย์หนุ่มก็ด้วย เขาเห็นชายแก่คนนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเพื่อหาอะไรสักอย่างโดยที่เขาไม่สามารถเห็นมันได้จากระยะที่ไกลเช่นนี้ต่างจากชายอีกคนที่เอาแต่จ้องมองไปยังหน้าจอตาไม่กระพริบ
“นี่มัน...”
“ใช่...เป็นพวกมันนั่นแหละ”
“...ผมจะไปฆ่ามัน”
ชายคนนั้นรีบหันหลังกับจนกันต์ชนกที่แอบฟังอยู่ต้องรีบหลบไปอีกทางเพื่อให้ไกลจากสายตาคนทั้งสอง แต่เดินไปไม่ได้นานชายแก่ก็ตรงเข้ามารั้งคนหนุ่มที่เลือดขึ้นหน้าไว้ พร้อมกับพยายามบอกให้อีกฝ่ายมาสติ
“ใจเย็นๆกาล อยากตายรึไง!!”
“ตายก็ตายสิ! แค่นี้ผมก็เหมือนตายทั้งเป็นแล้ว!!!”
จากจุดที่ยืนอยู่ทำให้กันต์ชนกสามารถเห็นชายอีกคนได้อย่างเต็มตา ใบหน้าซีดขาวและดวงตาบอบช้ำไม่ต่างจากเมื่อวานทำให้นายแพทย์หนุ่มจำได้ทันทีว่าเขาเคยเจอชายคนนี้มาก่อน หากแต่ใบหน้าที่เคยติดจะเฉยชากลับบิดเบี้ยวไปด้วยโทสะเสียจนเขาอดที่จะขนลุกไม่ได้
“ไม่ได้นะกาล ถ้ากาลเป็นอะไรไปอีกคนปู่จะทำยังไง!”
“อย่ามาพูดเหมือนห่วงผมหน่อยเลย บางทีถ้าผมตายไปอีกคนปู่คงจะดีใจ!”
ชายแก่หน้าซีดไปถนัดตา มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยปล่อยลงข้างตัวในขณะที่รัตติกาลก็เปลี่ยนท่าทีมาเป็นยืนจ้องมองชายตรงหน้าพร้อมกับเค้นยิ้ม แต่ดวงตาที่เหมือนกับจะแข็งกร้าวกลับแฝงความทรมานบางอย่างไว้ข้างในจนสังเกตได้
“ถ้าคนที่อยู่บนรถคันนั้นเป็นผม ทุกคนคงมีความสุขกว่านี้ใช่ไหม แม้แต่ผมก็คงตายตาหลับไปโดยที่ไม่ต้องรับรู้ว่าตัวเองมันโง่แค่ไหน”
“ปู่รู้ว่าสองคนนั้นทำผิดต่อกาล แต่นทีกับพะแพงเขารักกันจริงๆ”
“แล้วผมล่ะ...ความรู้สึกของผมมันไม่สำคัญเลยใช่ไหมปู่”
“...”
“ทั้งๆที่ผมทุ่มเทให้เขาทุกอย่าง แต่สิ่งตอบแทนที่เขาให้ผมคืออะไร พวกเขาขอให้ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันจบไปแล้วผมก็เชื่อ เขาขอให้ผมช่วยอะไรผมก็ทำ แต่นี่มันอะไรปู่...นี่คือสิ่งที่ผมสมควรได้รับจริงๆใช่ไหม”
รัตติกาลปากระดาษที่ตนถืออยู่ใส่ชายตรงหน้าอย่างไม่คิดรักษามารยาท ชายแก่หยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ มือของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมมันไม่ได้เช่นเดียวกับเรื่องราวต่างๆที่ยุ่งเหยิงเสียจนน่าขัน
“ปู่ไม่เคยรู้”
“งั้นปู่ก็รู้ไว้ ว่าหลานตัวเองทำอะไรกับผมไว้บ้าง”
“...”
“เรื่องเงินผมไม่เสียดาย...แต่ผมเสียใจที่คนที่ผมรักทั้งสองคนทำกับผมแบบนี้”
กันต์ชนกมองภาพที่ชายทั้งสองคนต่างก็ร้องไห้เหมือนกันด้วยความรู้สึกหนักอึ้งจากมุมมองคนละจุด เขาที่พอจะประติดประต่อเรื่องราวต่างๆได้มองดูโศกนาฏกรรมที่หลงเหลือไว้เพียงซากปรักหักพังของคนที่สูญเสียเท่านั้น รัตติกาลปาดน้ำตาพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดแรงๆเพื่อเรียกกำลังที่ขาดหาย ช่วงขายาวเตรียมจะก้าวออกไปแต่คำพูดของชายแก่ก็สามารถรั้งเขาไว้ได้อีกครั้ง
“อย่าไปเลยกาล...ปู่ขอร้อง”
“...”
“ขอให้ปู่ชดใช้ แทนหลานทั้งสองคนเองได้ไหม”
“ไม่มีใครใช้กรรมแทนใครได้ ปู่ก็เหมือนกัน”
“ปู่รู้...แต่ปู่ก็ปล่อยให้กาลกับเหลนของปู่มีชีวิตต่อไปอย่างนี้ไม่ได้”
ร่างโปร่งขมวดคิ้ว ในขณะที่ชายแก่คนนั้นเดินนำรัตติกาลไปอีกทางซึ่งนายแพทย์หนุ่มรู้ดีว่ามันจะนำไปทางไหน ทั้งสองคนพากันเดินผ่านห้องกระจกมากมายไปยังอีกเส้นทางที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความปลื้มปิติของพ่อแม่ผิดกับทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“เด็กในตู้อบทางนั้น...คือลูกของนทีกับพะแพง”
ปู่ชี้ไปยังทารกน้อยตัวแดงแจ๋ที่ดวงตายังไม่สามารถเปิดขึ้นมาดูโลกใบเล็กๆของตัวเองได้จึงทำเพียงขยับท่อนแขนเล็กๆนั้นไปมาเท่านั้น แววตาของรัตติกาลวูบไหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองทางอื่นเพื่อปิดบังความรู้สึกในใจ
“ปู่มันก็ไม่ต่างจากไม้ใกล้ฝั่ง คงไม่มีกำลังจะปกป้องใครได้อีกแล้ว”
“...ปู่คิดจะทำอะไร”
“ทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุด”
“...”
“ปกป้องเด็กคนนั้น...แทนปู่ด้วย”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยกยิ้ม เขาสบตารัตติกาลก่อนจะหันกลับไปมองเด็กน้อยผู้เป็นเหลนที่เขาหวังเหลือเกินว่าจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงได้โดยไม่มีตน ในขณะที่รัตติกาลนิ่งอึ้ง ทั้งความโมโหและงงงวยปะปนกันจนชายหนุ่มไม่สามารถหาคำพูดใดๆมาพูดกับอีกฝ่ายได้
“ปู่จะยกเขาให้เป็นลูกบุญธรรมของกาล”
“ปู่บ้าไปแล้วหรอ...หน้าผมดูเหมือนคนที่ใจดีพอจะอุ้มชูลูกของคนที่ทรยศตัวเองได้ลงรึไง!”
“ใช่...ปู่เชื่อว่ากาลเป็นคนแบบนั้น”
ชายแก่คว้ามือของรัตติกาลมาจับไว้ราวกับจะฝากฝังทุกอย่างไว้ ความอบอุ่นที่แทรกผ่านมาทำให้รัตติกาลไม่กล้าแม้แต่จะสะบัดมันทิ้งไปแม้ในใจจะบอกให้ตัวเองเลิกยุ่งกับครอบครัวนี้สักที
“ทำเพื่อปู่สักครั้ง...เพื่อเด็กคนนั้น และตัวกาลเอง”
“เพื่อผม?”
“ใช่...ปู่เชื่อว่ากาลจะรักเด็กคนนี้เหมือนกับที่เด็กคนนี้จะรักกาล”
รัตติกาลนิ่งไปสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาจนคนแถวนั้นหันมามองกันหมด ใบหน้าหวานคมบิดเบี้ยวไปจนกันต์ชนกที่แอบมองอยู่ไกลๆนึกหวาด ดวงตาเรียวรีจิกมองไปยังร่างเล็กๆในตู้อบนั้นอย่างไม่น่าไว้วางใจเช่นเดียวกับริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นราวกับเป็นผู้ชนะ
“ผมไม่นึกว่าปู่จะทั้งโง่และบ้าได้ขนาดนี้”
“กาล...”
“ถามจริงๆเถอะ เรื่องราวของผมไม่ได้ทำให้ปู่เข้าใจโลกนี้มากขึ้นบ้างเลยรึไง”
ร่างโปร่งหันมาเผชิญหน้ากับคนข้างๆในขณะที่มือก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกไปหาใครสักคน
“คุณนเรศช่วยเตรียมเอกสารรับรองบุตรบุญธรรมและหนังสือสัญญาให้ผมด้วย...ใช่...เอามาให้หมดนั่นแหละ”
รัตติกาลวางสายลงก่อนจะหยิบเอามวนบุหรี่ที่พกติดตัวเสมอคาบไว้ในปากโดยที่ไม่ได้จุดไฟ กันต์ชนกรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างที่แผ่ออกมาจากชายคนนั้นจนเขาแทบจะไม่อยากยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดต่อไปแม้อีกวินาทีเดียว ผิดกับปู่ของพะแพงที่ยังคงยืนหยัดเผชิญหน้าด้วยท่าทางที่ไม่หวั่นเกรงใดๆ
“ปู่รู้ใช่ไหม ว่าผมมันก็ไม่ได้ต่างจากหลานเขยของปู่เลย”
“ไม่หรอก...เธอไม่เหมือนนที”
ร่างโปร่งเลิ่กคิ้วขึ้นแต่ก็ไม่ได้พูดเถียงอะไรทั้งที่ในใจอยากขำจนแทบบ้า รอยแผลเหวอะหวะจากการถูกทรยศทำให้เขาเหมือนคนที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแต่ดูเหมือนชายแก่คนนี้จะไม่เข้าใจสถานการณ์เอาซะเลย
“เลิกพูดยอผมได้แล้ว มันไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นมาหรอก”
“ทำไมเธอถึงแบบนั้น”
“ก็เพราะว่ามันคือความจริงไง ยิ่งกับสิ่งที่ผมคิดจะทำ”
“...?”
“ผมจะรับเด็กคนนั้นมาเป็นคนของบ้านพัฒนเดชา แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่าง”
ดวงตาที่ฝ้าฟางหรี่ลงเมื่อคนหนุ่มเว้นช่องว่างไว้ให้เขาลองจินตนาการถึงข้อแลกเปลี่ยนนั้น รัตติกาลหยิบซิปโป้อันโปรดขึ้นมาก่อนเปิดมันออกปรากฏให้เห็นดวงไฟลูกเล็กๆ เขามองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดมันลงเหมือนสัญญาณว่าหมดเวลา ร่างโปร่งใส่ซิปโป้ของตนลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแขนสั้นของชายชราก่อนจะบอกเงื่อนไขของตนออกไปด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ไม่ว่าผมจะทำอะไรหรือมีอะไรเกิดขึ้น พวกคุณจะไม่มีวันได้เขากลับคืนไป”
“...!!!”
“ถ้าคิดจะทำหัวหมอ ผมว่าปู่เล่นด้วยผิดคนแล้ว”
รัตติกาลเผยรอยยิ้มที่แสนร้ายกาจจนคนมองเสียวสันหลัง แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความโศกเศร้ามีดวงไฟเล็กๆผุดขึ้นในนั้น
“ปู่ไม่ได้รู้จักผมเลยสักนิด”
ร่างโปร่งถอยออกมาก่อนจะเดินออกไปยังทางเดินหนีไฟทิ้งให้ชายแก่ยืนเคว้งอยู่เบื้องหลัง กันต์ชนกลอบถอนหายใจออกมาเมื่อการแอบฟังของตัวเองได้สิ้นสุดลงโดยที่ไม่มีใครจับได้แต่นอกเหนือจากความโล่งใจนั้นชายหนุ่มกลับเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาแทนที่
“หมอกันต์มาทำอะไรที่นี่คะ”
ร่างสูงสะดุ้งโหย่งเมื่อนางพยาบาลสาวที่คุ้นหน้ากันดีทักขึ้นจนเขาเผลอชนเข้ากับวิวแชร์ที่จอดอยู่ใกล้ๆ เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้นไม่เพียงแค่เรียกสายตาของเหล่าพ่อแม่ให้หันมามองแต่รวมถึงชายแก่ที่ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่เห็นท่าทางเลิ่กลักของขายแพทย์หนุ่มที่หลบสายตาของตน
“คุณหมอได้ยินมันหมดแล้วใช่ไหม”
เสียงติดแหบดังขึ้นทำให้กันต์ชนกต้องยอมหันมาเผชิญหน้ากับคนที่เก็บความเศร้าสร้อยไว้ข้างในไม่อยู่ ร่างสูงพยักหน้าน้อยๆก่อนพนมมือขอโทษอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แต่แทนที่เขาจะโดนว่า อีกฝ่ายกลับคว้าข้อมือของเขาไว้แล้วออกแรงเพียงเล็กน้อยพาเขาไปยังอีกมุมที่ลับตาคนโดยเฉพาะกับรัตติกาลที่ไม่อยู่ที่ตรงนี้
“ผมมีเรื่องจะขอร้อง”
กันต์ชนกมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เขาผู้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดจะช่วยอะไรได้ยิ่งหากมันเกี่ยวข้องกับชายที่ดูน่ากลัวคนนั้นนายแพทย์หนุ่มยิ่งไม่มีความมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถต่อกรอะไรฝ่ายนั้นได้เลย
“ช่วยทำให้หลานสาวผมเหมือนว่าตายไปจากโลกนี้แล้วที”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หากไม่นับเสียงของกันต์ชนกแล้วทั้งห้องคงตกอยู่ในความเงียบราวกับป่าช้า นิลเอาแต่จับจ้องไปยังนายแพทย์หนุ่มตลอดเวลา พยายามเก็บรายละเอียดคำพูดทุกคำเช่นเดียวกับฤทธิชาติที่ถึงแม้จะไม่ได้มองดูแต่คนเล่าก็รู้สึกถึงสายตาที่กำลังแสกนไปทั้งร่าง ส่วนอารัณย์ที่รับรู้เรื่องทุกอย่างจากปากของกันต์ชนกมาก่อนหน้าก็ลอบสังเกตกริยาอาการของรัตติกาลที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
“หลังจากนั้นพวกเราก็ทำราวกับว่าพะแพงได้จากโลกนี้ไปแล้ว ผลชันสูตรและใบมรณะบัตรถูกเซ็นด้วยชื่อของผมและเส้นสายของคุณปู่ที่พอมีอยู่บ้าง งานศพถูกจัดขึ้นโดยใช้ศพไร้ญาติเช่นเดียวกับกรณีของรพีที่เอกสารทุกอย่างถูกจัดการผ่านทางทนายของคุณรัตติกาล”
“รวมถึงสัญญาที่บอกว่าพวกคุณจะไม่แย่งรพีไปจากผมด้วย”
ร่างโปร่งพูดขัดขึ้นพร้อมกับมองไปยังนายแพทย์หนุ่มอย่างกดดัน กันต์ชนกลอบกลืนน้ำลายก่อนจะสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“นั่นเป็นเพราะเรารู้มาว่าคุณเลี้ยงรพียังไง”
“ไม่ นั่นเป็นเพราะพวกคุณทรยศจนเคยตัวต่างหาก”
รัตติกาลลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกไปแต่พะแพงที่ยังคงมีน้ำตานองหน้ากลับเดินมาขวางไว้พร้อมกับพูดขอร้องด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
“กาล ฮึก พี่ขอร้อง คืนลูกให้พี่มาเถอะ”
“ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ”
“กาลไม่เห็นใจพี่บ้างเลยหรอ ฮึก พี่รู้ว่าพี่กับทีทำผิดแต่รพีไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ถ้าจะล้างแค้นก็ทำกับพี่เถอะ ทำกับพี่คนเดียว ฮือ พี่ขอโทษ”
กันต์ชนกรีบรุดเข้ามารับร่างของภรรยาที่ทรุดตัวลงร้องไห้ราวกับว่าจะขาดใจ อารัณย์มองดูพี่สาวของตนด้วยความเป็นห่วงแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าภายใต้หน้ากากแสนเย็นชาที่รัตติกาลสวมไว้คนรักของเขาก็กำลังร่ำไห้ไม่ต่างกัน
“มันสายไปแล้วล่ะครับ เพราะผมไม่ได้อยากได้อะไรจากพวกพี่อีกแล้ว”
“...!”
“สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลรพีอย่างที่เคยสัญญากับปู่เอาไว้ แม้ว่าสุดท้ายจะเป็นผมฝ่ายเดียวที่เห็นค่าของมันก็ตาม”
พะแพงส่ายหน้าอย่างไม่ต้องการยอมรับความจริงเหล่านั้น เธอคว้าท่อนแขนของรัตติกาลก่อนจะกอดมันไว้พร้อมกับร้องขอในสิ่งที่เธอเพิ่งรู้สึกว่ามันเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะรับไหว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจทำเป็นเมินเฉยต่อลูกชายได้เหมือนกัน
“พี่ไม่ยอม ฮึก พี่ไม่ยอม!”
“ยอมรับเถอะพี่...เราทุกคนมาถึงจุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว ถ้าพี่ยังดึงดันจะเดินทางนี้สามีและลูกของพี่จะทำยังไง”
“...!”
“ถึงแม้เขาจะโกหก แต่กันต์ชนกก็คือคนที่ดูแลพี่มาตลอดหกปีไม่ใช่รึไง แล้วยังพิมพ์ใจอีก...พี่จะทิ้งเด็กคนนั้นแค่เพราะเขาไม่ใช่สายเลือดของพี่หรอ”
หญิงสาวชะงักงันเมื่อรัตติกาลเอ่ยถึงเด็กหญิงที่เธอเข้าใจว่าเป็นลูกของตนมาตลอด หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พะแพงได้รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเมื่อครึ่งปีให้หลังภายในบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งที่มีผู้ชายอีกคนที่เธอไม่คุ้นหน้ากำลังส่งยิ้มมาให้พร้อมกับเด็กตัวน้อยในอ้อมกอดของชายคนนั้น
“ตอนนั้นพี่ไม่รู้จริงๆ...”
“แล้วตอนนี้ที่พี่รู้ทุกอย่าง พี่รู้สึกยังไงล่ะ”
รัตติกาลพูดทิ้งไว้ก่อนจะแยกตัวออกมาปล่อยให้คนที่ตนเคยเคารพนึกคิดถึงความหมายของสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อถึง ร่างกายที่เหนื่อยล้ามากกว่าที่ตาเห็นทรุดนั่งลงบนม้าหินในมุมหนึ่งของบ้านที่เขาสามารถมองเห็นเด็กน้อยสองคนกำลังเล่นด้วยกันอยู่ไกลๆ ใบหน้าของรพีแดงระเรื่อเพราะแสงแดดเช่นเดียวกับแก้มของเด็กหญิงพิมพ์ใจที่ถูกเลี้ยงมาในฐานะลูกที่พะแพงเข้าใจว่าเป็นลูกของเธอจริงๆ
“คิดอะไรอยู่”
เสียงของอารัณย์ที่เดินตามเขามาดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง รัตติกาลไม่ได้หันกลับไปมองเขาเพียงแค่เขยิบตัวให้นั่งชิดด้านในมากขึ้นจนมีที่เหลือพอที่จะให้ผู้ชายตัวโตอีกคนนั่งเคียงข้างกันได้โดยไม่อึดอัด ร่างสูงจับมือของเขาไว้ก่อนจะยกมันขึ้นจูบเบาๆแทนคำปลอบโยนและคำว่ารักที่อยากตอกย้ำให้รู้สึก แม้ว่าลึกๆข้างในต่างฝ่ายต่างก็ยังเจ็บปวดจากเรื่องราวที่เพิ่งได้ฟังมาก็ตาม
“กำลังคิดอยู่ว่าคุณจะกลับไปทำงานจริงๆของตัวเองเมื่อไหร่ มาเล่นเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่ได้ตั้งนาน...สนุกไหมอารัณย์”
“ไม่สนุก แต่มีความสุขเพราะมันทำให้ผมได้อยู่กับกาล”
อารัณย์ยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งที่ดวงตายังแสดงความรู้สึกผิดออกมาอย่างชัดเจน เป็นอย่างที่รัตติกาลว่า ด้วยเพราะต้องการมาอยู่ใกล้ชิดกับหลานทำให้ร่างสูงต้องเลื่อนกำหนดการเข้ารับตำแหน่งที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งออกไปแล้วแฝงเข้ามาในฐานะพี่เลี้ยงเด็กที่โรงเรียนของรพีแทน
“แม้ว่าตอนแรกคุณจะเกลียดผมน่ะหรอ”
“ไม่เคยเกลียด แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมกาลต้องเอาความแค้นมาลงที่รพี”
“แล้วตอนนี้เข้าใจรึยัง”
“...”
“คุณเห็นบ้านไม้จำลองหลังนั้นใช่ไหม แต่เดิม...ผมกับพี่ทีตั้งใจจะสร้างมันให้เป็นบ้านของเรา”
ศีรษะของรัตติกาลซบลงบนบ่าของอารัณย์ที่ยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มนั้นเบาๆทันทีที่คนรักหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ภายในใจของร่างสูงรู้สึกเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องรับรู้เรื่องราวของผู้ชายคนนั้น แต่เขาก็ยังตั้งใจฟังเช่นเดียวกับรัตติกาลที่กลั่นกรองทุกอย่างออกมาด้วยความรู้สึกทั้งหมด
“ผมเป็นคนเลือกว่าอยากมีบ้านอีกหลังไว้พักผ่อนที่จังหวัดลำปาง ส่วนพี่ทีเป็นคนเลือกแบบและจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเป็นคนให้ผมเลือกผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ในขณะที่เขาเป็นคนเลือกต้นไม้ที่ปลูกไว้รอบๆ พวกปลาในบ่อก็ด้วย เราทำมันทุกอย่างจนเกือบเสร็จสมบูรณ์และตอนนั้นพี่สาวคุณก็กลับมา”
“...”
“เขาบอกกับผมว่ามันไม่มีอะไร ไม่ว่าอดีตเขาจะเคยรักพี่แพงแค่ไหนแต่ปัจจุบันผมคือคนที่เขาอยากอยู่ด้วย ผมบอกตัวเองว่าต้องเชื่อเขา ถ้าผมไม่ยอมปิดตาของตัวเองเมื่อไหร่ผมคงเสียเขาไปแน่ๆ แต่สุดท้ายเมื่อความจริงมาหายใจรดต้นคอ ผมก็ไม่อาจหลอกตัวเองต่อไปได้อยู่ดี”
“เพราะบ้านหลังนั้นใช่ไหม”
“ทั้งใช่...และก็ไม่”
รัตติกาลยันตัวขึ้นก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโอบกอดอารัณย์ไว้แล้วปล่อยน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ให้รินไหลออกมาจนเสื้อของอีกฝ่ายเปียกชุ่ม แม้แต่ร่างสูงเองก็ต้องแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่สั่นไหวไปตามหยดน้ำที่เอ่อคลอในดวงตาของตน
“ผมไม่เคยเสียดายบ้านหลังนั้น ฮึก แต่ผมอยากได้ความรักที่ทุ่มเทให้มันไปกลับคืนมา”
อารัณย์กอดรัดรัตติกาลที่ร้องไห้ปานจะขาดใจไว้ด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี วินาทีนี้เขายินยอมทำทุกอย่างหากมันจะลบล้างความเลวร้ายในอดีตได้ทั้งที่มันคงไม่มีวัน หากตอนนั้นเขารู้สักนิดว่าภายใต้หน้ากากแสนโหดร้ายของรัตติกาลมีสิ่งใดซ่อนไว้เขาคงไม่ทำ...อารัณย์จะไม่ปล่อยให้ความต้องการของตัวเองย้อนกลับมาทำร้ายทั้งตัวเขาและคนรักในท้ายที่สุด
“ผมขอโทษกาล...ผมขอโทษ”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
ปมหลักๆถูกคลายไปหมดแล้วคับ :z13: เหลือแค่รอเปิดไพ่ใบสุดท้ายของเช่เพื่อทำให้เรื่องทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเท่านั้นเอง (น่าจะเดากันออกเนอะ ฮิฮิ) สามตอนที่ผ่านมาเป็นอะไรที่แต่งแล้วเหนื่อยมากกกกกกก นึกว่าโคนันเหอะ :katai1: เรื่องต่อไปจะคิดให้น้อยลงกว่านี้ ลำบากมาก อ่านไปอ่านมานิยายเช่นี่มันรวมมิตรชัดๆ มีทุกรสกินแล้วระเบิดบึ้ม 5555 :really2:
สำหรับรวมเล่ม เช่คำนวนไว้คร่าวๆแล้วนะคับ ว่าตอนพิเศษ น่าจะมีให้มากถึง 10 ตอน :fire: (รวมแล้วประมาน200หน้า) อันนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงเพราะต้องรอดูจำนวนหน้าของเรื่องหลักก่อน ถ้าเช่ปิดเรื่องหลักได้ภายใน1000หน้า จากตอนนี้เข้า882หน้าแล้ว ก็จะจัดตอนพิเศษให้อ่านกันจุใจไปเลย มีทั้งตอนที่มาเติมเต็มเนื้อเรื่องส่วนที่ไม่สมบูรณ์นิดหน่อย รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่เช่ข้ามไปแต่ถ้าไม่อ่านก็ไม่มีผลต่อความเข้าใจเรื่องหลักนะคับ เป็นส่วนเติมเต็มที่เพิ่มความอินเท่านั้น แต่ก็นะ ซื้อเถอะ 5555 :hao7:
คนอ่านเยอะขึ้น เม้นเยอะขึ้น แต่เช่มีเวลาอัพน้อยลง T^T เสียใจอะ ขอโทษด้วยนะคับ งานเยอะจริงๆ พยายามจะมาอัพเร็วๆแต่ก็ไม่อยากให้งานไม่เนี้ยบ ขอบคุณจริงๆที่รอและติดตามกันมาขนาดนี้ เหลืออีกแค่โค้งสุดท้ายนิยายเรื่องนี้ก็จะจบแล้ว ไม่รู้จะพูดยังไงเลยกับสิ่งดีๆที่ได้มา เช่จะพยายามทำมันให้ดีจนถึงท้ายที่สุดนะคับ แม้ในหัวจะมีแต่พล็อตเรื่องน้องปูนก็เถอะ (คนอ่านบอก ช่วยเคลียร์เรื่องนี้ก่อนได้ไหม 5555) :-[
สุดท้ายท้ายสุด.....ใครเรียกคุณตำรวจของเช่ว่า "ชาตี้" 555555555555555555555 ชอบบบบบบบบบบ >///////< :hao6:
-
รอ...รอ...รอตอนต่อไปค่ะ...
สนุก....
ทีมกาลค่ะ
-
ค้าง สงสารกาล
-
เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมกันไปสักที :hao5:
-
กาลน่าสงสารอ่า
-
44th Night
…Suspicion...
รัตติกาลมองเหล่าชิ้นส่วนเล็กๆของโมเดลตรงหน้าหลุดออกมาเพราะเขาเผลอทำหลุดมือตอนที่กำลังจะย้ายมันไปตั้งในตู้อีกตัวเมื่อเช้านี้ ร่างสูงถอนหายใจเพราะความเสียดายหอคอยชื่อดังแห่งกรุงปารีสซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหลงใหลแม้จะเป็นเพียงของจำลองแต่ความทรงจำจากการไปเที่ยวครั้งนั้นทำให้ชายหนุ่มนึกกนด่าตัวเองที่ช่างไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย
“นั่งถอนหายใจไปมันก็ซ่อมตัวเองไม่ได้หรอก”
ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันพูดขึ้นพร้อมกับหยิบเอาช็อคโกแลตเข้าปาก รัตติกาลเปรยตามองคนที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเมื่อเช้าด้วยความไม่ชอบใจ แต่ก็เลือกที่จะเงียบใส่เพราะไม่อยากทะเลาะกัน
“...”
“ไม่ตอบอีก แบบนี้งอนชัวร์ๆ”
“ถ้าไม่คิดจะทำประโยชน์อะไรก็ไปนั่งที่อื่นเถอะครับ เกะกะ”
นทีหัวเราะในลำคอก่อนจะหยิบช็อคโกแลตอีกชิ้นป้อนใส่ปากของแฟนหนุ่มที่บ่ายเบี่ยงจะไม่รับมันแต่สุดท้ายก้อนครีมรสนุ่มนั่นก็เข้าไปละลายอยู่ในปากคอยดับอารมณ์ที่ไม่มั่นคงนั้นให้สงบลงได้ เขานำชิ้นส่วนที่ทำจากโลหะชั้นดีขึ้นมาวางไว้ในมือก่อนจะพิจารณารอยร้าวเล็กๆบนนั้น
“อย่าหน้าบึ้งนักเลยน่า เดี๋ยวพี่เอาไปซ่อมให้”
“...มันไม่เหมือนเดิม”
“งั้นซื้อใหม่”
“ไม่เอา...ผมชอบอันนี้”
รัตติกาลไม่ได้ยึดติดกับสิ่งของ หากแต่เป็นเรื่องราวต่างๆที่เขาได้พบเจอในช่วงเวลากว่าจะได้มันมาเป็นสิ่งมีค่าที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้
“แต่มันพังไปแล้ว ถ้าไม่ซ่อม...กาลก็ต้องทิ้ง”
“…!!”
“บางทีคนเราก็ถึงจุดที่จะต้องเลือกนะกาล”
ร่างโปร่งลอบกลืนน้ำลายก่อนจะหันมามองคนข้างๆที่คอยลูบหัวเขาอย่างปลอบโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง นัยน์ตาคมทอดมองคนรักอย่างเอ็นดูก่อนจะหยิบชิ้นส่วนหนึ่งที่หลุดออกมาถือไว้แล้วยื่นมันให้กับรัตติกาลที่ยังคงตัดสินใจไม่ได้
“แล้วกาลล่ะ...จะเลือกอะไร”
เปลือกตานวลกระพริบน้อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นที่เป่ารดอยู่บนใบหน้า รัตติกาลฝืนลืมตาขึ้นทั้งที่ในหัวยังคิดถึงคำถามของนทีที่ดังวนอยู่ในความฝัน เขาฝังหัวอันหนักอึ้งของตัวเองลงบนอกอุ่นของอารัณย์ที่เอนกายอยู่เคียงข้างก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า
“ฝันร้ายหรอกาล”
อารัณย์ที่รู้สึกได้ถึงอาการหยุกหยิกของคนรักเอ่ยถามขึ้นทั้งที่น้ำเสียงแหบพร่า รัตติกาลส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะพลิกกายที่กำลังก่ายทับร่างสูงเปลี่ยนมาเป็นนอนหงาย เขาก่ายหน้าผากครุ่นคิดถึงสิ่งที่ยังย้ำชัดอยู่ในความทรงจำโดยที่สายตาก็ชำเลืองมองโมเดลหอไอเฟลอันที่ว่าตั้งอยู่ในตู้โชว์ทั้งที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซมหรือซื้อใหม่อย่างที่นทีเสนอ
“หน้ามุ่ยเชียว เป็นอะไรรึเปล่า”
“ป่าว ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ”
ร่างโปร่งยันกายขึ้นก่อนจะเดินไปยังโต๊ะตัวเล็กในอีกมุมห้องที่มีเหยือกน้ำวางไว้เป็นประจำและขวดยาที่เจ้าของห้องจัดหามาวางไว้ในระยะหลัง รัตติกาลหยิบเม็ดยาสีขาวออกมาหนึ่งเม็ดก่อนจะกลืนมันเข้าไปโดยอย่างเคย
“ช่วงนี้กินยาบ่อยนะกาล ไปหาหมอกันไหม”
“ไม่ต้องหรอก แค่เครียดนิดหน่อย...เพราะพี่สาวคุณ”
รัตติกาลว่าไปตามความจริงแต่มันกลับทิ่มแทงคนฟังจนไม่รู้จะแสดงสีหน้าออกมาอย่างไร ร่างโปร่งยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนจะเดินกลับไปจูบเบาๆที่ไรเคราสากของคนรักพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษที่มันช่างไร้น้ำหนักเหลือเกินสำหรับอารัณย์
“พี่แพง...มากวนกาลบ่อยหรอ”
“ฮ่าๆ ถามเขาสิ คุณเป็นน้องเขานะ”
“ตั้งแต่วันนั้น...เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย”
หญิงสาวที่เพิ่งได้เห็นอีกด้านของโลกแสนสวยงามที่อดีตคนรักรังสรรค์ไว้ให้ปวดใจเกินกว่าจะยอมรับความจริง พะแพงมีอาการซึมเศร้าเสียจนกันต์ชนกพี่เขยของเขาเคยโทรมาขอให้อารัณย์เข้าไปพบ แต่เมื่อร่างสูงไปถึงหญิงสาวกลับปฏิเสธทุกทางที่จะต้องเจอกับเขาแต่อารัณย์ไม่นึกโทษใคร...นอกจากตัวเอง
“เอาน่า ให้เวลาเขาหน่อย”
รัตติกาลพูดเหมือนเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เขาเข้าไปจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วปล่อยให้อารัณย์ที่ยังคงสับสนกับท่าทางของคนรักจมอยู่กับความคิดของตัวเองต่อไป ร่างสูงมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าคนรักที่เต็มไปด้วยรอยจูบของตนด้วยความพอใจแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงเจือด้วยความกังวลอยู่
“พ่อกาลฮะ พ่อกาลตื่นรึยัง”
เสียงเจื้อยแจ้วของรพีที่ดังมาจากอีกฝากฝั่งของประตูปลุกร่างสูงออกจากภวังค์ อารัณย์รีบลุกไปปลดล็อคกลอนที่ลั่นไว้ก่อนจะยิ้มรับร่างป้อมในชุดเครื่องแบบเรียบกริบเหมือนทุกวันที่เอาแต่ชะเง้อคอมองหาพ่อของตนเป็นกาลใหญ่
“พ่อกาลอาบน้ำอยู่ครับ พีกินข้าวรึยัง”
“ยังฮะ พีจะรอกินพร้อมพ่อ”
ร่างโปร่งครางรับก่อนจะอุ้มเด็กน้อยที่กางแขนรอไว้แล้วพากันเข้ามาข้างในพร้อมกับจังหวะที่รัตติกาลเปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี
“พ่อกาล!”
“อ้าว ทำไมไม่ลงไปกินข้าวล่ะรพี”
“พีรอพ่อกาลฮะ”
“รอพ่อทำไม เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”
“ไม่ปวดหรอกฮะ ถ้าปวดเดี๋ยวให้น้ารัณย์หายาให้”
เด็กชายหันไปหัวเราะคิกคักกับร่างสูงในขณะที่รัตติกาลเอาแต่ขมวดคิ้วเป็นปม เขาส่ายหน้าอย่างปลงๆกับความเอาแต่ใจของลูกชายที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลัง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
“พีครับ สงสัยพ่อกาลโกรธแน่เลย ทำหน้าบึ้งใหญ่เชียว”
ร่างป้อมหน้าซีดไปทันตาเมื่อได้ยินแบบนั้น มือเล็กๆที่เกาะเกี่ยวแผ่นหลังของอารัณย์ไว้เขย่าคนตัวโตไปมาด้วยความร้อนใจเพราะเกรงว่าจะเป็นแบบนั้นจริงโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มกริ่มของอารัณย์เหมือนที่รัตติกาลเห็น
“นะ น้ารัณย์ ทำไงดี พ่อโกรธพีจริงๆหรอ”
“พีกลัวพ่อกาลโกรธหรอครับ”
เด็กชายรีบพยักหน้าแรงๆจนรัตติกาลกลัวว่าคอเล็กๆนั่นจะเคล็ดไปซะก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงนิ่งเพื่อคอยดูว่าอารัณย์คิดจะทำอะไร
“งั้นหอมคุณพ่อเร็วครับ พ่อกาลจะได้หายโกรธ”
อารัณย์พยักพเยิดพร้อมกับย่อตัวลงจนรพีสามารถโน้มตัวไปหอมแก้มขาวของบิดาได้ถนัด เด็กชายฝังจมูกรั้นของตนลงบนนั้นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าแรงๆจนเกิดเสียงฟอดเบาๆขึ้นเรียกรอยยิ้มของรัตติกาลได้เป็นอย่างดี
“พ่อกาล หายโกรธพีนะ”
เสียงเล็กๆของลูกชายพูดออดอ้อนเสียจนรัตติกาลลืมว่าเขาไม่ได้โกรธรพีจริงๆ ร่างโปร่งยกยิ้มน้อยๆก่อนจะพยักหน้าให้ร่างป้อมที่มีสีหน้าดีขึ้นทันตา
“เย้! น้ารัณย์ พ่อหายโกรธพีแล้ว!”
“หรอครับ ดีจังเลยนะ แต่...เฮ้อ”
ร่างป้อมที่เพิ่งโห่ร้องด้วยความดีใจไปหยกๆ เงียบลงทันทีที่เห็นว่าสีหน้าของคนที่อุ้มตัวเองไว้นั้นแย่เพียงไร
“น้ารัณย์เป็นอะไร”
“คือ...พ่อของพีโกรธน้าอยู่น่ะครับ โกรธตั้งนานแล้วไม่ยอมหายสักที”
รัตติกาลหุบยิ้มทันทีที่รู้ว่าเจตนาของร่างสูงคืออะไร ดวงตากรุ่มกริ่มของอารัณย์จับจ้องมายังเขาก่อนจะหันไปตีหน้าสลดใส่รพีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หนำซ้ำยังเป็นกังวลแทนคนเจ้าเล่ห์ซะอีก
“ทำไมล่ะฮะ น้ารัณย์ไปทำอะไรให้พ่อกาลโกรธหรอ”
“น้า...โกหกครับ น้าทำให้พ่อของรพีเสียใจ”
อารัณย์ตอบรพีด้วยน้ำเสียงที่จริงใจแต่ถึงอย่างนั้นดวงตากลับจับจ้องอยู่ที่รัตติกาลไม่ห่าง ร่างโปร่งเองก็ตั้งใจฟังมันโดยไม่หลบหน้า ฝ่ายรพีพอได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าบึ้งไม่พอใจแล้วถามอารัณย์ต่อด้วยเสียงติดจะดุนิดๆ
“แล้วน้ารัณย์โกหกพ่อกาลทำไม คุณครูบอกว่าโกหกเป็นสิ่งไม่ดีนะฮะ”
“ตอนแรกน้าโกหกเพราะอยากอยู่ใกล้ๆพีครับ แต่หลังจากนั้นน้าต้องปิดบังทุกอย่างไว้เพราะอยากอยู่กับพ่อกาลและพี...น้าอยากให้เราทุกคนได้อยู่ด้วยกัน”
เสียงของอารัณย์แกว่งไปในตอนท้ายพร้อมกับการกำชับอ้อมกอดที่โอบอุ้มรพีไว้ให้มั่นคงยิ่งขึ้น ดวงตาคมกริบทอดมองคนรักที่ขอร้องให้เห็นใจและเข้าใจเหตุผลที่ตัวเองต้องทำไป รัตติกาลอยากบอกร่างสูงเหลือเกินว่าเขาเข้าใจดีว่าทำไมอารัณย์ถึงต้องปิดบังตัวตนของตัวเองไว้ แต่สิ่งทำให้รัตติกาลผิดหวังและเสียใจคือการที่เขาต้องรับรู้ทุกอย่างผ่านปากของคนอื่น
“แล้วน้ารัณย์...จะโกหกอีกไหม”
รพีที่พอได้ยินเหตุผลก็ใจอ่อนผิดจากผู้เป็นพ่อ ร่างป้อมถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ทั้งสับสนว่าการโกหกไม่ดีแต่สาเหตุที่อารัณย์ให้ไว้ก็ทำให้รพีเขวไม่ใช่น้อย ยิ่งหากทำไปเพราะอยากให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน ความรู้สึกนั้นมันไม่ต่างอะไรกับเขาเลย
“ไม่แล้วครับ น้าจะไม่โกหกอีกแล้ว”
“สัญญานะฮะ”
“ครับ...สัญญา”
พอได้ยินดังนั้นเด็กชายก็ยิ้มร่า รพีป้องมือของตนไปที่หูของอารัณย์ก่อนจะกระซิบบอกแผนการให้คนตัวโตได้ฟัง ฝ่ายรัตติกาลพอเห็นว่าลูกชายตนดูเหมือนจะเป็นใจยอมเข้าข้างคนรักเหลือเกินก็ถอนหายใจออกมา และพาลนึกสงสัยว่าหากวันใดที่รพีโตขึ้นและเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆลูกของเขาจะยังเชื่อคำสัญญาของอารัณย์อยู่ไหม
“พ่อกาลฮะ หายโกรธน้ารัณย์นะ”
รพีที่ขอให้อารัณย์วางตนลงบนตักของบิดา เด็กชายกอดเข้าที่แขนขาวก่อนจะร้องขอรัตติกาลด้วยน้ำเสียงออดอ้อนและดวงตาใสแจ๋ว
“กาล หายโกรธผมนะ”
อารัณย์จับจองแขนอีกข้างที่ยังว่างเปล่า ใบหน้าคมเข้มวางลงบนบ่าลาดของรัตติกาลทำให้เสียงทุ้มนุ่มของร่างสูงดังขึ้นข้างๆหูจนทำให้เขาต้องพยายามเบี่ยงหน้าหนีลมหายใจอุ่นๆแต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้เมื่อรพีลุกขึ้นมาทำสิ่งเดียวกันตาม
“หายโกรธนะฮะ”
ฟอด...
“หายโกรธนะครับ”
ฟอด...
แก้มเนียนของรัตติกาลถูกจู่โจมพร้อมๆกันจากคนสองคนที่ดูจะพอใจเหลือเกินเมื่อสังเกตเห็นริ้วเลือดวิ่งขึ้นไปรวมกันบนใบหน้าจนเห็นเป็นเลือดฝาด
“เล่นอะไรกันเนี่ย”
“ไม่ได้เล่นครับ ง้อแฟนอยู่ แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้ผล...ต้องลองอีกที”
อารัณย์สูดความหอมจากผิวกายของคนรักซ้ำๆอยู่แบบนั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าตัวยุ่งที่แม้จะไม่เข้าใจอะไรแต่เมื่อเห็นบิดาและคุณน้าคนสนิทดูมีท่าทางที่ดีต่อกันก็รู้สึกทั้งดีใจและปลอดภัยในคราวเดียว รัตติกาลพยายามเอนตัวหนีสัมผัสนั้นแต่ร่างสูงก็ยังตามรุกคืบไม่ห่างจนเขาหมดปัญญายอมนั่งเฉยๆให้คนตัวโตพูดขอโทษซ้ำๆแต่ทว่าก็ยังคงหนักแน่นในทุกคำที่เอ่ย
“รพีครับ ลงไปบอกป้าจันทร์ให้เตรียมน้ำฝรั่งให้พ่อที”
รัตติกาลหันมาวานลูกชายทั้งที่ยังมีอารัณย์คอยคลอเคลียไม่ห่าง รพีทำหน้ายู่เพราะยังอยากอยู่ดูน้ารัณย์ง้อพ่อกาลของตนต่อแต่ก็ยอมพยักหน้าแล้วเดินลงไปข้างล่างตามคำขอของบิดา โดยที่ไม่รู้ว่าร่างโปร่งหวังแค่กันเด็กชายออกไปเท่านั้น
“หายโกรธนะกาลนะ”
ริมฝีปากอุ่นทาบทับกลีบเนื้อนุ่มของรัตติกาลทันทีที่ประตูบานนั้นปิดลง อารัณย์ช้อนตัวร่างโปร่งให้นั่งลงบนตักของตัวเองพร้อมกับขอร้องด้วยท่าทางที่ไม่ย่อท้อต่ออะไรแม้แต่ความเมินเฉยที่รัตติกาลแสดงออก
“หลอกผมยังไม่พอ ยังหลอกลูกผมอีก แบบนี้จะให้เชื่อกันได้ยังไง”
“ไม่ได้หลอกรพีสักหน่อย ก็กาลโกรธผมจริงๆ”
“หลอกใช้ไง ของถนัดเลยไม่ใช่หรอ”
“กาล...”
อารัณย์ครางชื่อคนรักพร้อมกับทำหน้าคิดหนัก
“อย่าประชดกันแบบนี้ได้ไหม ผมรู้ว่ากาลโกรธแต่ผมก็ไม่อยากให้ทุกวันนี้ของเราแย่ลงกว่าเดิม”
“ถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไปซะ...อาจจะดีกว่านี้ก็ได้”
ร่างสูงจับมือของคนข้างกายไว้อย่างแน่นหนาราวกับจะกักขังอีกฝ่ายไว้ ความเมินเฉยระคนเจ็บปวดที่รัตติกาลแสดงออกมาทำให้อารัณย์รู้ได้ทันทีว่าร่างโปร่งกำลังคิดอะไร และนั่นเป็นสิ่งที่เขาจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้
“ไม่ดีหรอก ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันมันจะไปดีได้ยังไง...”
“แล้วการที่ต้องอยู่ทั้งที่ไว้ใจกันไม่ได้อย่างนี้มันดีตรงไหน”
อารัณย์สะดุดลมหายใจของตัวเองทันทีที่สิ้นคำพูดของคนรัก หากมันเป็นแค่คำพูดที่ทำร้ายใจคนฟังอย่างเดียวก็คงดี แต่เสียงที่สั่นจนจับสังเกตได้ของรัตติกาลนั้นบ่งบอกได้ชัดเจนว่าคนพูดกำลังรู้สึกแบบไหน ร่างสูงจูบลงบนหว่างคิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นของรัตติกาลก่อนจะโอบร่างนั้นไว้ พยายามถ่ายทอดความอบอุ่นของตัวเองละลายน้ำแข็งในหัวใจของรัตติกาลอีกครั้ง
“กาลไว้ใจผมได้ ต่อให้กาลจะไม่เชื่อมันแต่ผมจะไม่มีวันทรยศกาลอีก”
“ครั้งที่แล้วคุณก็พูดแบบนี้”
“แล้วครั้งนี้ผมก็จะพูดเหมือนเดิม”
”...”
“คงไม่มีอะไรสามารถยืนยันความคิดของผมได้ดีเท่าการกระทำและคำๆนั้น แม้กาลจะไม่อยากฟังแต่ผมจะพูดซ้ำๆและทำให้กาลรู้ว่าผมรักกาลมากแค่ไหน สักวันนะกาล...สักวันผมจะทำให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ เพราะฉะนั้นต่อให้วันนี้กาลเกลียดผมมากแค่ไหน เราจะต้องไม่ปล่อยมือจากกันนะกาล”
รัตติกาลนิ่งอึ้ง เขาจ้องตาอารัณย์อยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจยาวออกมาแล้วซบหน้าลงบนบ่าของร่างสูงที่ยังคงอยู่ตรงนี้เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไร ถามว่าเชื่อคำพูดนั้นไหม ก็คงพูดว่าเชื่อได้ไม่เต็มปาก แต่พวกเขาก็ฝ่าฟันอะไรกันมามากจนรัตติกาลสามารถรู้ได้ว่า อารัณย์จะไม่มีวันปล่อยเขาไปจริงๆ
“ขอเวลาผมหน่อย...ผมไม่อยากเดินต่อไปข้างหน้าทั้งที่ยังรู้สึกแบบนี้”
“ทั้งชีวิตก็ยังได้ ขอแค่กาลไม่ไปไหน”
“หึ...นิสัยขี้ตื้อนี่ถอดแบบมาจากปู่ไม่มีผิด”
ร่างโปร่งหัวเราะในลำคอก่อนจะถอยออกมา อารัณย์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆคนรักก็พูดถึงญาติผู้ใหญ่ของเขาที่จากไป จึงเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่สงสัยมานาน
“กาลสนิทกับปู่หรอ”
“อย่าเรียกว่าสนิทเลย เราก็แค่รู้จักกันในฐานะที่ผมเป็นน้องรหัสของพี่แพงน่ะ ตอนที่ยังเรียนอยู่เลยมีโอกาสได้เจอกันเวลาที่ไปส่งพี่แพงที่บ้าน”
“หรอ...สงสัยตอนนั้นปู่ยังคงหาผมไม่เจอ”
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนี้”
อารัณย์ที่ทำสีหน้าปั้นยากยิ้มแหยออกมาก่อนจะเกาแก้มของตัวเองแก้เขิน ความคิดแบบเด็กๆแล่นเข้ามาในหัวอยู่วูบหนึ่ง แม้จะไม่อยากพูดมันออกไปแต่ก็ไม่อยากจะปิดบังอะไรต่อคนรักอีก
“ป่าวครับ...แค่คิดว่าถ้าผมได้เจอกับปู่เร็วกว่านี้ก็คงดี”
“...?”
“ถ้ามันเป็นแบบนั้น เราคงได้รู้จักกันในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ ผมอาจจะรักกาลก่อนที่กาลจะรักนที ถ้าเป็นแบบนั้น...วันนี้คงไม่มีใครต้องเจ็บ”
ร่างสูงพูดไปตามที่ใจคิดพร้อมกับรอยยิ้มที่แฝงความเศร้าไว้ข้างใน รัตติกาลฟังคำพูดนั้นโดยไม่พูดอะไรออกมา เขายันกายลุกขึ้นแล้วจัดเสื้อผ้าที่ยับเป็นริ้วให้เข้าที่เรียบร้อยก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดตัวสีน้ำทะเลของอารัณย์ไปให้เจ้าของ
“ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวรพีรอนาน”
รัตติกาลพูดทิ้งไว้แล้วเดินออกจากห้องไปโดยพยายามไม่สนใจสายตาเว้าวอนของร่างสูงที่มองมา เขาหยุดอยู่ตรงบ่อน้ำที่หมู่มัจฉากำลังแหวกว่ายอยู่เบื้องล่างพลางคิดถึงความทรงจำเมื่อครั้งหนึ่งเขากับคนรักเคยสร้างร่วมกันไว้
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้คะคุณกาล คุณพีรอทานข้าวอยู่นะคะ”
จันทร์ที่เห็นคุณหนูของเธอยืนนิ่งอยู่คนเดียวเดินเข้ามาแตะข้อศอกของรัตติกาลเบาๆแล้วพูดทักด้วยน้ำเสียงที่สร้างความสบายใจให้ร่างโปร่งเสมอ ชายหนุ่มพยายามยกยิ้มให้คนเก่าคนแก่ของบ้านแต่ดูเหมือนว่าจันทร์จะรู้จักเจ้านายของเธอดีจนน่ากลัว
“ถ้าฝืนไม่ไหวก็อย่ายิ้มเลยค่ะ จะพาลรู้สึกแย่ลงซะเปล่าๆ”
“รู้ดียิ่งกว่าตาเห็นอีกนะครับ”
“ก็ป้าเลี้ยงของป้ามาแต่เล็ก แค่นี้ดูออกหรอกค่ะ”
รัตติกาลหัวเราะเบาๆก่อนจะกอดร่างอวบนั้นไว้แล้วปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปในอากาศโดยมีมือของหญิงแก่ลูบเบาๆตามแผ่นหลัง
“ทำไมทุกอย่างมันถึงแย่ลงอีกครับป้า...เมื่อไหร่ผมจะมีความสุขจริงๆสักที”
“เรื่องคุณอารัณย์หรอคะ”
ร่างสูงครางฮือพร้อมกับพยักหน้า จันทร์ที่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของรัตติกาลก็หัวเราะออกมาเบาๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้แย่ลงไป
“ยังโกรธคุณเขาอยู่อีกหรอคะ เห็นคุณพีเล่าให้ฟังนึกว่าคืนดีกันแล้วซะอีก”
“...ยังครับ ผมไม่มั่นใจ”
“ไม่มีมั่นใจในอะไรคะ คุณอารัณย์ หรือความคิดของตัวเอง”
“...”
“ป้าเชื่อว่าคุณหนูของป้าเข้าใจว่าคุณอารัณย์มีเหตุผล แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่เนอะ เป็นป้า ป้าก็โกรธค่ะ แต่การที่เขายังยืนอยู่ข้างเราในวันที่ยากลำบาก มันก็เป็นการพิสูจน์ได้แล้วนะคะว่าความรู้สึกที่เขาให้มาไม่ใช่เรื่องโกหก”
จันทร์มองเลยขึ้นไปบนชั้นสองเมื่อสังเกตเห็นร่างกายสูงใหญ่ของอารัณย์กำลังยืนอยู่พร้อมกับมองมาเบื้องล่างยังแผ่นหลังกว้างของเจ้านายตน หญิงแก่ยิ้มออกมาน้อยๆเมื่อเห็นความอาทรในตาคู่นั้นเช่นเดียวกันกับรัตติกาลที่ถึงแม้จะแสดงความแข็งกระด้างออกมาแต่ข้างในกลับตรงกันข้าม
“บนโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยมีความลับ ต่อให้เราคิดว่ารู้จักกันดีแค่ไหนแต่สุดท้ายทุกคนก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แม้แต่คุณกาลเองก็ด้วยใช่ไหมคะ”
ร่างโปร่งเลิ่กคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเขาไม่สามารถปิดบังอะไรหญิงคนนี้ได้เลยจริงๆ คนที่ผ่านโลกมามากมองเจ้านายของตนด้วยความรักก่อนจะลูบเบาๆที่ใบหน้าของรัตติกาลที่อ่อนล้าเหลือเกิน
“ไม่ว่าจะความสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่เราเลือกจะมองให้มันเป็นแบบไหน แม้ว่าทุกอย่างจะยังไม่ลงตัวแต่ป้าก็เชื่อว่าคุณกาลสามารถมีความสุขกับวันนี้ได้หากอยากจะทำ ก็เชื่อใจใครสักคนก็เหมือนกัน อย่ามัวแต่ตั้งคำถามเลยนะคะ”
“แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไง...ว่ามันจะไม่พลาดอีก”
“แล้ววันนี้กับสิ่งที่เลือก คุณกาลมีความสุขรึเปล่าล่ะคะ”
หญิงแก่ยิ้มส่งท้ายก่อนจะเดินออกไปให้นายของเธอใช้เวลาทบทวนความคิดของตัวเอง ร่างโปร่งถอนหายใจคิดหนัก เขารู้ดีว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไรแต่ถึงอย่างนั้นบาดแผลจากความเชื่อใจยังคงทำให้เขาไม่กล้าที่จะเดินต่ออย่างที่ใครๆว่า
“ขอเวลาผมหน่อยแล้วกันนะอารัณย์ ถ้าเกิดมัน...ไม่สายเกินไป”
:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:
-
นิลคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีความอดทน โดยเฉพาะเวลาต้องรอใครเป็นเวลานานๆแต่เมื่อได้เห็นแก้วกาแฟห้าใบที่ถูกวางทิ้งไว้จนอากาศด้านนอกควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ ชายหนุ่มก็พึงสังวรได้ว่าความอดทนของเขาคงสู้ไม่ได้เลยกับความรั้นของหญิงสาวอย่างพะแพง
“นั่งก่อนสินิล”
หญิงสาวเอ่ยกับชายหนุ่มรุ่นน้องที่เธอนั่งรอมาตั้งแต่เช้า อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญอย่างไม่อิดออด ชายหนุ่มโบกมือเรียกบริกรที่ยืนทำหน้าประหลับประเหลือกอยู่ไม่ไกล นิลสั่งให้เด็กหนุ่มเก็บแก้วกาแฟที่ไม่พร่องลงไปเลยของหญิงสาวรุ่นพี่ทิ้งก่อนจะสั่งกาแฟร้อนแก้วใหม่มาแทน
“พี่แม่งดื้อขึ้นเยอะเลยว่ะ ผมบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าวันนี้ติดงานจริงๆ”
“ไม่เป็นไร พี่รอได้”
“แล้วออกมานี่คุณกันต์เขารู้รึเปล่า หรือว่าพี่หนีมาอีกแล้ว”
นิลพูดอย่างเอือมระอา เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พะแพงพยายามมาพบเขาแม้ว่านั่นหมายถึงการที่ต้องทิ้งสามีและลูกไว้ยังบ้านที่ต่างจังหวัดก็ตาม หญิงสาวหลบสายตาตำหนิของหนุ่มรุ่นน้องจนนิลต้องยอมเป็นฝ่ายล่าถอยออกมาก่อนเพื่อไม่ให้เธอกดดันจนเกินไป ร่างสูงรับกาแฟแก้วใหม่ที่มาพร้อมกับขนมเค้กชิ้นเล็กสองชิ้น เขาเลื่อนมันไปตรงหน้าพะแพงที่คงไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำได้ผมอยากขอให้พี่เลิกทรมานตัวเองซะที...พี่เอาชนะกาลมันด้วยวิธีแบบนี้ไม่ได้รู้ใช่ไหม”
“แล้วนิลจะให้พี่ทำยังไง กาลไม่ยอมคืนลูกให้พี่ อารัณย์ก็ไม่ยอมช่วย พี่คิดถึงลูกจนแทบทนไม่ไหว แค่ขอกันต์ว่าอยากมาเจอหน้ารพีเขาก็ไม่ให้มา ไม่มีเลย...ไม่มีใครเข้าใจพี่สักคน”
พะแพงพูดด้วยท่าทางทุกข์หนัก นิลมองมือที่จิกกันแน่นของหญิงสาวด้วยความกังวลใจก่อนจะยื่นมือออกไปช่วยคลายมันออกจากกัน
“คุณกันต์เขาเป็นหมอมีหน้าที่รับผิดชอบต้องทำ จะให้เขาทิ้งงานที่นู้นแล้วพาพี่มาเฝ้าตามไอ้กาลได้ยังไง แล้วไหนจะน้องพิมพ์อีก พี่เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าเด็กคนนั้นรู้ ว่าพี่ทิ้งเขามาหารพี เขาจะรู้สึกแย่แค่ไหน ผมรู้ว่าพี่รักรพีนะ แต่อย่าลืมสิว่าก่อนหน้าที่จะรู้ความจริง พิมพ์ใจก็คือลูกที่พี่รัก"
“พี่รักพิมพ์ รักยังไงก็ยังคงรักอย่างนั้น ฮึก แต่พี่ทิ้งรพีไม่ได้ ลูกพี่ไม่สมควรอยู่ที่นั่น กับกาลที่เกลียดพี่กับทีขนาดนั้น พี่ปล่อยให้กาลเลี้ยงรพีต่อไปไม่ได้”
หญิงสาวร้องไห้ออกมาจนนิลต้องส่งผ้าเช็ดหน้าของตนเองให้ ชายหนุ่มมองใบหน้าสะสวยที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่บัดนี้กลับโศกเศร้าไม่ต่างจากรัตติกาลในตอนที่ยังจมอยู่กับอดีตก่อนจะมีอารัณย์เข้ามา นิลได้แต่คิดไปเองในใจว่าหากวันนี้เพื่อนของเขาไม่มีคนรักอยู่เคียงข้าง คนที่จะมาร้องไห้ฟูมฟายกับเขาคงเป็นรัตติกาลไม่ใช่พะแพงเหมือนในตอนนี้
“ผมว่าเรื่องนี้ พี่เป็นคนที่ควรจะเข้าใจไอ้กาลมากที่สุดนะ”
“...!!!”
“จริงอยู่ที่ตอนแรกมันเคยทำไม่ดีกับรพีไว้ แต่นั่นก็เป็นเพราะทิฐิที่ทำให้มันไม่อยากจะยอมรับหัวใจตัวเอง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ไอ้กาลมันก็รักรพีเหมือนที่พี่รักพิมพ์ใจถึงแม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆของตัวเองก็เถอะ”
“แล้วพี่ล่ะ ฮึก พี่เป็นแม่แท้ๆของรพีนะนิล เวลาหกปีที่เสียไปไม่ทำให้พี่รักเขาน้อยลงเลย ทันทีที่พี่รู้ว่าลูกแท้ๆของตัวเองคือใคร พี่ดีใจแค่ไหนนิลรู้รึเปล่า”
“ผมรู้แต่ที่สำคัญที่สุด...คือรพีรักไอ้กาล”
ความจริงข้อนั้นคือสิ่งที่ทำให้พะแพงคับแค้นใจมากที่สุด เธอยังจำภาพที่รพีรีบวิ่งเข้าไปหารัตติกาลทันทีที่เห็นหน้าแต่กลับเลือกที่จะเมินเธอ หนำซ้ำยังดูกลัวเธอซะอีก หัวใจคนเป็นแม่ที่อุ้มท้องลูกมารวดร้าวอย่างหนัก แม้รู้ดีว่าความผิดที่เธอกับนทีทำกับรัตติกาลไว้จะใหญ่หลวง แต่ราคาที่ต้องแลกมาด้วยลูกชายหนึ่งคนมันมากเกินกว่าที่พะแพงจะรับได้ โดยเฉพาะเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนตัดสินใจแลกมัน
“พี่จะฟ้องกาล”
“ปู่ของพี่พยายามแล้วแต่ก็ล้มเหลว อารัณย์กับคุณกันต์ก็บอก”
“แต่นั่นมันในกรณีที่เราไม่มีหลักฐานว่ากาลทำไม่ดีกับรพีแค่ไหน”
เสียงของพะแพงเปลี่ยนไปจนนิลเริ่มรู้สึกกังวล ดวงตาที่เคยอ่อนโยนสะท้อนความโกรธเกรี้ยวออกมาโดยที่สาวเจ้าเองก็ไม่รู้ตัว
“พี่จะทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลง”
“มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าพี่เสียรพีไป”
“มีสิ...นั่นคือการที่พี่ไม่เหลืออะไรเลย ถ้าพี่ทำ ทั้งรพี คุณกันต์ พิมพ์ใจ อารัณย์ ไอ้กาล พี่จะสูญเสียพวกเขา...และแม้แต่ผมก็ด้วย”
พะแพงกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นก่อนจะจับมือของหนุ่มรุ่นน้องขึ้นมา เธอซบใบหน้าของตัวเองลงบนนั้นแล้วปล่อยให้น้ำตาแห่งความขับแค้นใจให้ไหลรินจนไหล่บางของเธอสั่น นิลอยากจะปลอบโยนพะแพงมากกว่านี้แต่เขาก็ทำมันไม่ได้
“ทำไมเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ พี่แค่อยากได้ลูกคืน ขอแค่ความยุติธรรมให้พี่ทำไมทุกคนถึงให้ไม่ได้”
“นั่นก็เพราะว่าทุกคนต่างก็ต้องการมันเหมือนกัน พี่ไม่เหนื่อยบ้างหรอ พวกเราทำร้ายกันมามากเกินไปแล้วนะ หยุดได้แล้วพี่แพง”
หญิงสาวโผเข้าหานิลก่อนจะปล่อยโฮออกมา นิลลูบเบาๆไปตามแผ่นหลังเล็กนั่นพร้อมกับพร่ำบอกให้คนในอ้อมแขนหายใจเข้าลึกๆเหมือนที่เคยทำทุกครั้งที่พะแพงมาหาเขาพร้อมกับร้องไห้หลังจากรู้ว่านทีนอกใจเธอยังไง
“อย่าทิ้งพี่ไปนะนิล ฮึก นิลจะทิ้งพี่เหมือนกับคนอื่นไม่ได้ พี่ไม่เหลือใครแล้ว”
“พี่นี่นะ...เอาแต่ใจเหมือนเคยเลย”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
นิลถอนหายใจยาวขณะยืนรอพะแพงเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ หลังจากที่ปล่อยให้หญิงสาวร้องไห้ออกมาจนหมดร่างสูงก็จัดการจ่ายเงินและทิปให้บริกรก่อนจะพาพะแพงที่ตาบวมแดงเข้ามาจัดการตัวเองเสียใหม่ส่วนเขาก็มายืนรอด้านนอกพร้อมกับขบคิดเรื่องราวต่างๆไปด้วย
“ทำไมไม่รับสายวะ”
ชายหนุ่มสบถเบาๆเมื่อคนที่เขาพยายามต่อสายหาไม่ยอมรับโทรศัพท์สักที นิลกดโทรออกอีกครั้งพร้อมกับมองไปรอบๆอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะสังเกตเห็นคนคนหนึ่งเข้า ชายคนนั้นหยิบมือถือไว้ในมือแต่ไม่มีวี่แววจะกดรับแต่อย่างใดทำให้คนที่กระหน่ำโทรหาเป็นบ้าเป็นหลังรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
“กวนตีนแล้วแม่ง”
นิลมองกลับไปยังห้องน้ำอย่างลังเล แต่ก็คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานเขาจึงเดินไปยังทางที่ฤทธิชาติเดินไป แผ่นหลังกว้างภายใต้ชุดไปรเวทต่างจากทุกครั้งยังคงเด่นท่ามกลางผู้คนเสมอทำให้นักเขียนหนุ่มสังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยทักออกไปผู้ชายอีกคนที่เดินมาถึงตัวนายตำรวจหนุ่มก่อนก็ทำให้เท้าของเขาชะงัก
“ไอ้กาล...”
รัตติกาลในชุดทำงานแต่ไร้เงาของอารัณย์อยู่เคียงข้างกำลังพูดคุยกับผู้หมวดหนุ่มด้วยท่าทางสบายๆไม่ต่างจากฤทธิชาติที่ยิ้มรับเหมือนเช่นทุกครั้ง นิลเดินมาหลบอยู่หลังกำแพงของร้านขายเสื้อผ้าที่อยู่ไม่ไกลจากสองคนนั้นนักโดยที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองจะมาหลบทำไม แต่ลางสังหรณ์บางอย่างกลับบอกเขาว่าควรยืนดูความเป็นไปอยู่ห่างๆจะดีกว่า
“มันมาทำอะไรกันวะ”
นักเขียนหนุ่มลองกดโทรศัพท์ของตัวเองหาเพื่อนรักที่ยืนคุยกับคนของตนอยู่ไม่ไกล ทันทีที่สัญญาณต่อถึงรัตติกาลก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นิลสังเกตเห็นแววตาวูบไหวของรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ร่างโปร่งจะกดรับสายของเขา
“ว่าไงนิล”
“มึงอยู่ไหนวะกาล”
“ทำไม...มีอะไรหรอ”
“กูจะเอาต้นฉบับไปให้ดู มึงอยู่ออฟฟิศรึเปล่าเดี๋ยวกูจะเข้าไปหา”
“...กูติดประชุมถึงค่ำเลยน่ะ อยากให้อ่านอะไรก็เอาไปให้ที่บ้านแล้วกัน”
รัตติกาลบอกตัดบทแล้วตัดสายไปทิ้งให้ความผิดหวังตีตื้นจนนิลรู้สึกแน่นไปทั้งอกอย่างพูดไม่ออก นักเขียนหนุ่มมองภาพของสองคนนั้นเดินเคียงข้างกันเข้าไปยังร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ครั้งหนึ่งเขากับรัตติกาลมักจะมานั่งดื่มกินด้วยกันบ่อยๆเพราะถูกใจกับบรรยากาศผ่อนคลายของทางร้าน แต่บัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับทำให้นิลรู้สึกแย่จนไม่อาจฝืนยิ้มต่อไปได้อีก
นักเขียนหนุ่มส่งข้อความขอโทษไปให้พะแพงที่เขาทิ้งไว้ที่ห้องน้ำก่อนจะเดินตามเข้าไปในร้านโดยขอให้บริกรจัดที่นั่งที่ใกล้กับโต๊ะของรัตติกาลให้ในจุดที่มั่นใจว่าสองคนนั้นจะมองไม่เห็นเขา ชายหนุ่มจ่ายทิปเล็กๆให้กับพนักงานคนนั้นแล้วสั่งแค่ไวน์ราคาแพงมาวางทิ้งไว้ แล้วตัวเขาเองก็พยายามตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับการฟังว่ารัตติกาลและฤทธิชาติกำลังคุยอะไรกัน
“ไม่คิดเลยนะครับ ว่ากาลจะเข้ามาหาผมเร็วขนาดนี้”
“อย่ามาเล่นลิ้นเลย คุณเองก็กะเอาไว้แล้วไม่ใช่รึไง”
“ฮ่าๆ คุยกับกาลทีไรรู้สึกสนุกชัดมัดเลย ให้ตายสิ”
“เลิกนอกเรื่องสักที ตกลงเรื่องที่ผมบอกไปคุณคิดว่ายังไง”
นายตำรวจหนุ่มเท้าแขนลงบนโต๊ะพลางยกยิ้มให้รัตติกาลที่มองมาด้วยท่าทีสบายๆไม่รู้สึกกดดันอะไร ผิดกับนิลที่กำก้านแก้วของตัวเองแน่นเสียจนพนักงานที่เดินมารินไวน์ให้กลัวว่ามันจะหักคามือ
“เสี่ยงแต่ผมชอบ แล้วผลประโยชน์ที่กาลต้องการล่ะ คืออะไร”
“ไม่มีอะไรมาก ขอแค่ประกันความปลอดภัยให้ผมกับลูกก็พอ”
“แค่นั้น? แล้วนิลกับอารัณย์ล่ะ”
“สองคนนั้น...ไม่เกี่ยวมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอ”
นิลรู้สึกเหมือนถูกค้อนใหญ่ๆทุบเข้ากลางหัว เสียงของรัตติกาลราบเรียบ ไม่มีแม้แต่อาการสับสนคิดหนักจนเขามั่นใจว่าเพื่อนรักหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เสียงหัวเราะของฤทธิชาติดังขึ้นเหมือนคมมีดที่กรีดซ้ำจนได้แผล ผู้หมวดเจ้าของสายตาเจ้าเล่ห์ลุกขึ้นก่อนจะก้มลงกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของรัตติกาล ท่ามกลางสายตาของนิลที่มองมาพร้อมกับอาการปวดร้าวในใจ
“ตามนั้นก็ได้...ว่าแต่คิดจะโกหกนิลไปถึงเมื่อไหร่”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมยังรู้สึกสนุกอยู่เลย”
“น่าขยะแขยงจริงๆให้ตายสิ ถ้านิลรู้มันคงแหกอกคุณแน่”
“แล้วทำไมกาลไม่บอกล่ะครับ ถ้าเป็นกาลจะบอกความจริงทุกอย่างให้นิลรู้ผมก็ไม่โกรธหรอกนะ”
รัตติกาลยกยิ้มก่อนจะตอบออกมาด้วยคำที่เหมือนกับการเปิดบาดแผลแห่งความไม่เชื่อใจให้เกิดขึ้นในอกของนักเขียนหนุ่ม นิลมองใบหน้าไร้กังวลของเพื่อนรักที่พอหลังจากพูดเสร็จก็ลงมือทานอาหารตรงหน้าต่อก่อนที่จะส่งข้อความมาหาเขาที่นั่งมองทั้งคู่อยู่ไม่ไกล
“ไม่ล่ะ เห็นไอ้นิลมันพล่านบ้างก็สนุกดี”
‘ฝากบอกป้าจันทร์ด้วยว่ากูจะกินข้าวมาจากข้างนอก ไม่ต้องรอนะ’
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
มาช้าไม่พอ แถมสั้นอีก 55555 ที่เคยบอกไว้ในเฟสว่ามีฉากหวานๆก็มีจริงๆนะฮะ ถึงจะปวดหัวกันตอนท้ายก็เถอะ สาบานว่านี่ไม่ใช่การผูกปมแต่อย่างใด แค่มันนำไปสู่การแก้ปมใหญ่สุดท้ายนั่นแหละ >/////< หลังจากนี้เข้มข้นมาก ใกล้จะจบแล้วจริงๆ ในหัวตอนนี้มีแต่พล็อตเรื่องใหม่และเรื่องต่อๆไป (กำลังคิดว่าจะเขียนนิยายฟิลกู๊ดสักเรื่อง เอาเป็นน้องพีวัยมอปลายกับผู้ชายร่างหมี อ๊ากกกกกกกก โลลิค่อนนนนนน)
(http://a.lnwpic.com/1osn08.jpg)
ตัวอย่างปก ฉบับ(น่าจะ)สมบูรณ์มาแล้วนะฮะ ออกแนวเรียบหรูเพื่อง่ายต่อการขนเข้าบ้าน (จริงๆคือไม่มีตังจ้างวาดแฟนอาร์ต) 555555 ของแถมน่าจะแน่นอนแล้วว่า เป็นที่คั่นหนังสือ3ลายไม่ซ้ำ + โปสการ์ดจิบิ + ตอนพิเศษ10ตอน แล้วแน่นอนว่ามาพร้อมกับ Boxset ที่เช่ยังคิดไม่ออกว่าจะออกแบบไงดี =3= ยังบอกราคาไม่ได้นะคับ เช่ขอติดต่อเรื่องน้ำหนักกับโรงพิมพ์ก่อน จะเอามาคำนวนค่าขนส่ง เพราะกลับไปบ้านลองเอาหนังสือความหนาประมาน400 3เล่มมารวมกันแม่งหนาและหนักมากกกกกก TT^TT
ช่วงนี้สปีดอัพนิยายเช่ช้ามาก บวกงานอีกเลยมาอัพช้าโคตรๆ ดีใจที่มีทวงถามแต่ก็แอบรู้สึกผิดไปด้วย ขอโทษจริงๆนะฮะ ชีวิตช่วงนี้แม่งพีคจริงๆ ขอบคุณที่รอและติดตามกันมาตลอด อดทนอีกนิดนึงนะ เช่ก็ด้วย^^
-
ทำอะไรกันอีกนะคู่นี้....
รอเสมอค่ะ...ติดเรื่องนี้งอมแงม
รู้สึกสงสารอารัณย์ลึกๆ!!!
-
ปมเอ๋ย จงซับซ้อนยิ่งขึ้น :hao5:
-
โอ้โห~ นี่กำลังจะแก้ปมจริงๆใช่ป่าววววว ยิ่งอ่านยิ่งค้าง 5555
-
ถ้ากาลเล่นอะไีรแผลงๆอีก กระโดดกัดเช่จีิงๆนะ :z6:
-
อะไรกันอีกละทีนี่ เห้อ!! เอาให้เจ้บ ให้ทรยศกันไปหมดเรยสินะ
-
45th Night
…Let's play the game...
รู้ไหม ทำไมการโดนทรยศถึงได้เจ็บปวดที่สุด?
นั่นก็เพราะ...มันไม่เคยมาจากศัตรู
นิลมองฤทธิชาติที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก นายตำรวมหนุ่มที่กำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากค้างมือไว้แล้วเลิ่กคิ้วขึ้นเชิงถามว่านิลเป็นอะไร แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงแค่ความเงียบเท่านั้น
นักเขียนหนุ่มก้มหน้าแล้วเขี่ยเส้นในชามของตัวเองไปมา ภายในหัวของนิลมีแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทั้งความไม่เข้าใจ สับสนและระแวงทำให้ร่างสูงเหม่อลอยกว่าเคยจนฤทธิชาติแปลกใจ นายตำรวจหนุ่มรวบตะเกียบของตนวางไว้ข้างชามก่อนจะเอ่ยปากถาม
“เป็นอะไรรึเปล่านิล ท้องอืดหรอ”
“อืดเหี้ยอะไรล่ะ”
นักเขียนหนุ่มพึมพำแล้วเริ่มลงมือกินส่วนของตัวเองบ้างท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆของฤทธิชาติและเสียงโวยวายของผู้คนรอบข้างในตลาด นิลเขี่ยถั่วงอกที่ตัวเองไม่ชอบไปรวมกันไว้ที่ขอบชามโดยมีร่างใหญ่ตักไปกินเหมือนทุกครั้งที่เคยทำก่อนจะนำลูกชิ้นที่ถึงตัวเองจะชอบแค่ไหน ก็ต้องยกให้นิลเป็นของตอบแทน
“แดกไปเหอะ”
“ผมให้ครับ ช่วงนี้นิลผอมไปนะ”
“กูไม่อยากแดก”
นิลว่าดังนั้นก่อนจะคีบลูกชิ้นของโปรดคืนเจ้าของมันไป ฤทธิชาติมองคนที่ทำตัวแปลกตั้งแต่หลายวันก่อนด้วยความรู้สึกบางอย่าง เขาจัดการคีบลูกชิ้นลูกเดิมไปไว้ในชามของนิลอีกครั้งแต่ก็โดนร่างสูงคีบมันกลับมาคืนให้เหมือนเดิม นายตำรวจหนุ่มจึงตัดสินใจคีบลูกชิ้นเจ้าปัญหาไปจ่อที่ปากของนิลแทน
“ก็บอกว่าไม่กินไง!”
ไวกว่าความคิด นิลปัดมือของฤทธิชาติอย่างแรงจนทั้งตะเกียบและก้อนเนื้อกลมๆนั้นตกลงไปที่พื้น หนุ่มใหญ่เชื้อสายจีนผู้เป็นเจ้าของร้านมองมาที่ทั้งคู่อย่างไม่พอใจ จนนิลต้องก้มหัวให้พร้อมกับลุกขึ้นไปจ่ายเงินโดยไม่คิดจะกินส่วนที่เหลือให้หมด ชายหนุ่มพยายามกระพริบตาถี่ๆเพื่อดึงสติที่แตกกระจายของตัวเองให้กลับมา เขาเกลียดตัวเองที่กลายเป็นคนงี่เง่าแบบนี้ แต่เกลียดที่สุดคงเห็นจะเป็นคนบ้าที่เดินตามเขามาโดยไม่คิดจะพูดอะไรสักคำ
“ถ้าไม่คิดจะพูดอะไรก็กลับบ้านไป เลิกเดินตามกูต้อยๆสักที!”
นิลหันไปตวาดใส่ฤทธิชาติด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด เขารู้ดีว่าการเล่นกับคนคนนี้หากอยากชนะต้องอย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสมอง แต่นาทีนี้นิลไม่สนอีกแล้ว การกระทำที่นายตำรวจหนุ่มกับเพื่อนของเขาทำร่วมกันทำให้เขาคิดหนัก เขาพยายามปลอบใจตัวเองอยู่นานว่าไม่มีอะไรแต่หัวใจที่มีรอยโหว่กลับไม่สามารถหยุดยั้งอารมณ์ที่ไหลทะลักได้ แล้วก็เหมือนเอาน้ำมันราดบนกองไฟ นิลแทบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่เมื่อนายตำรวจหนุ่มกำลังยกยิ้มให้กับท่าทางของเขา
“แล้วนิลอยากให้ผมพูดอะไรล่ะครับ”
ร่างสูงคิดคำพูดไม่ออก ความรู้สึกโกรธตีตื้นขึ้นจนเขาเลือกที่จะยัดตัวเองเข้าไปในรถคันหรูโดยไม่สนใจว่าคนที่นั่งมาด้วยกันตอนขามาจะกลับยังไง แต่ดูเหมือนนายตำรวจหนุ่มจะไวกว่า ฤทธิชาติพาตัวเองเข้ามานั่งที่ข้างคนขับด้วยความเร็วพอๆกันก่อนจะตรึงแขนของนิลไว้ไม่ให้หนีไปได้อีก
“ปล่อยกูไอ้เหี้ย! ถ้าจะมากวนประสาทกันตอนนี้บอกเลยกูไม่สนุก! แล้วก็เลิกยิ้มแบบนี้สัก กูเกลียดมันจะตายแล้ว!”
สิ้นคำนายตำรวจหนุ่มก็หยุดคำพูดของคนดื้อรั้นไว้ด้วยริมฝีปากอุ่นแต่ทันทีที่นิลตั้งสติได้เขาก็ชกเข้าที่ไหลหนาของอีกฝ่ายเต็มแรงจนฤทธิชาติต้องผละออกไปอย่างไม่เต็มใจ ร่างสูงมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ เขารู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่ายกับการกระทำที่เดาไม่ได้ของคนคนนี้เกินกว่าจะทนไหว
“เลิกเล่นตลกกับกูสักทีได้ไหม”
“ผมก็ไม่เคยบอกนี่ครับว่ามันตลก”
นักเขียนหนุ่มยิ้มหยัน ถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดไว้กับรัตติกาลย้อนกลับเข้ามาในหัวตอกย้ำความสับปลับของคนคนนี้ได้อย่างชัดเจน
“มึงแม่ง...เหี้ย”
ร่างสูงหันหน้าหนีอีกฝ่ายพยายามทำให้อารมณ์ที่สั่นไหวกลับมามีสติมากขึ้น นิลขืนมือที่ฤทธิชาติคว้าไปจับออกแต่ด้วยเรี่ยวแรงที่ต่างกันมากทำให้การกระทำนั้นไม่ได้ผล คนตัวโตกำมือของอีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะพรมจูบลงบนนั้นอย่างที่เคยทำแต่มันกลับไม่ทำให้นิลรู้สึกอบอุ่นอย่างเคย
“เป็นอะไรไปครับ ทำไมอารมณ์ไม่ดีขนาดนี้”
“...”
“ถ้านิลไม่พูดผมคงไม่รู้”
“มึงนั่นแหละที่ไม่เคยพูด เป็นมึง...ที่ทำให้กูเป็นบ้าขนาดนี้”
ฤทธิชาตินิ่งไปนิดก่อนจะยกยิ้มมุมปาก เขายกมือขึ้นเกลี่ยแก้มเนียนของคนข้างๆก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเคย
“นิลร้อนใจเพราะผมขนาดนี้...รู้สึกดีจังเลย”
ใบหน้าคมเข้มเคลื่อนมาใกล้ก่อนจะฝากรอยรักเอาไว้ตรงข้อมือของคนตรงหน้า ดวงตาที่เป็นปริศนาเสยขึ้นสบตากับนิลก่อนมันจะหรี่เล็กลงเพราะรอยยิ้มที่เดาทางไม่ได้ของนายตำรวจหนุ่ม
“’ผมจะบอกนิลก็ได้ แต่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน ตกลงไหม”
นิลปัดมือของร่างใหญ่ทิ้งทันทีที่ได้ยินข้อเสนอนั้น ความจริงไม่ว่าสิ่งที่สองคนนั้นปิดบังเขาคืออะไรมันก็ไม่สำคัญเท่ากับความไว้ใจที่เสียไป แต่เมื่อฤทธิชาติแก้เกมเขากลับด้วยวิธีแบบนี้นิลก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะบอกเขาเลยสักนิด
“ถ้าจะไม่บอกก็พูดตรงๆกูเบื่อเกมบ้าบอของมึงเต็มทีแล้ว”
แต่ยังไม่ทันที่ฤทธิชาติจะได้เอ่ยปากพูดต่อโทรศัพท์ของผู้หมวดก็ดังขึ้นพร้อมกับชื่อของรัตติกาลที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ นิลขบกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขารู้สึกแย่เมื่อได้เห็นชื่อเพื่อนรัก ร่างสูงเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของโทรศัพท์ที่ยังคงไม่รับสายแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นๆ
“ทำไมไม่รับล่ะ มีอะไรที่กูไม่ควรได้ยินรึไง”
“นิลเป็นอะไร นี่เบอร์กาลนะครับ”
ร่างใหญ่มองสีหน้าเจ็บปวดที่อีกฝ่ายแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว นิลกระพริบตาถี่ๆก่อนจะสตาร์ทรถและขับตรงไปยังทางกลับคอนโดของนายตำรวจหนุ่มที่ยังคงมองคนข้างกายด้วยความสงสัยแต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรตามจี้นิลมากไปกว่านี้ ทันทีที่พวกเขามาถึง นิลก็ปลดล็อคพร้อมกับหยิบเอาของของอีกฝ่ายจากเบาะหลังก่อนจะยื่นให้โดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน
“กูกำลังจะเปิดเรื่องใหม่ อยากอยู่คนเดียวสักพัก”
“จะเปิดเรื่อง หรืออยากหนีผมกันแน่ครับ”
“...”
“เอาเถอะ รอให้ใจเย็นกว่านี้แล้วกัน”
ฤทธิชาติถอนหายใจแล้วก้าวลงจากรถ ทันทีที่เขาปิดประตูนิลก็เร่งเครื่องขับออกไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา นายตำรวจหนุ่มมองคนที่จากไปด้วยความไม่สบายใจเช่นเดียวกับนิลที่แทบประคองสติตัวเองไว้ไม่ไหวจนต้องเลี้ยวเข้าจอดในปั้มน้ำมันที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก
“ทำไมมึงเป็นแบบนี้วะนิล แบบนี้มันไม่ใช่มึงเลยนะเว้ย”
ชายหนุ่มพูดกับเงาของตัวเองที่สะท้อนในกระจกแล้วพยายามยิ้มให้มันแต่กลับดูฝืนเสียจนน่าขัน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่ร่างใหญ่ส่งมาหลังจากลงจากรถไปไม่นาน มันเป็นเพียงข้อความแสดงความห่วงใยเหมือนกับที่ถูกส่งมาในทุกๆวันตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน วันที่เขาไม่คิดจะตอบข้อความของอีกฝ่าย วันที่เขาเริ่มตอบกลับไปเป็นครั้งแรก และวันต่อๆมาหลังจากนั้นที่ทำหน้าต่างสนทนานี้เต็มไปด้วยความผูกผันที่สั่นไหวหัวใจของเขาได้
‘ผมไม่รู้ว่านิลโกรธอะไร แต่ก็ขอโทษนะครับ’
นิลมองตัวหนังสือที่บิดเบี้ยวไปเพราะรอยน้ำตาที่แม้จะไม่มากมายแต่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่ไม่ค่อยร้องไห้อย่างเขา ร่างสูงปาดมันทิ้งแล้วเปิดประตูออกไปเพราะไม่อยากปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นอีก เขาสูดเอาอากาศที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์นักเข้าไปเต็มปอด พยายามไม่คิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด บอกตัวเองซ้ำๆว่ามันจะไม่เป็นไรแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำมันไม่ได้อยู่ดี
“พี่ๆ ไม่รับโทรศัพท์หรอ”
ไม่รู้ว่านิลเหม่ออยู่นานเท่าไหร่ เด็กวัยรุ่นที่หอบพวงมาลัยที่บานไปแล้วทั้งพวงเที่ยวเร่ขายให้กับคนเดินถนนเช่นเขาสะกิดที่แขนของนิลแรงๆก่อนจะชี้ไปยังโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงอย่างบ้าคลั่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง
ร่างสูงหยิบมันออกมาพร้อมกับแบงก์ร้อยสองใบแลกมาด้วยพวงมาลัยทั้งหมดพร้อมกับบอกให้อีกฝ่ายกลับบ้าน เด็กหนุ่มคนนั้นยกมือไหว้นิลก่อนจะวิ่งหายไปจนลับตา
“ว่าไงพี่แพง”
“นิล นิลอยู่ที่ไหน!”
“ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอก มีอะไรรึเปล่า”
“ช่วยพี่ด้วยนิล มีคนตามพี่มา ช่วยด้วย!”
เสียงของพะแพงทั้งสั่นและลนลานอย่างที่ไม่เคยเป็น ร่างสูงพยายามตะโกนถามอีกฝ่ายแต่สายก็โดนตัดไปแทบจะทันที นิลรีบวิ่งกลับไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกลพร้อมกับพยายามติดต่อหาหญิงสาวไปด้วยแต่ก็ไม่มีใครรับสาย เขารีบกดเข้าแอพพลิเคชั่นที่พะแพงบอกเขาว่าใช้เป็นประจำแล้วไล่อ่านตามทามไลน์ที่เพิ่งอัพเดทเมื่อประมานสิบนาทีที่แล้ว นิลออกรถทันทีที่เห็นว่าหญิงสาวเช็คอินอยู่ที่ไหนพร้อมกับพยายามต่อสายหาฤทธิชาติไปด้วย
“รับสิวะแม่ง!”
นักเขียนหนุ่มพยายามต่อสายซ้ำๆแต่ก็ไร้การตอบรับจนมันถูกตัดไปในท้ายที่สุด ร่างสูงสบถอย่างหัวเสียก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆที่ใกล้กับสถานที่สุดท้ายที่มีเบาะแสของพะแพง แต่แล้วเขาก็ต้องคำรามออกมาดังลั่น เมื่อคนที่เขากำลังตามหาวิ่งออกมาจากอีกซอยหนึ่งด้วยสภาพที่เสื้อผ้าถูกทำลายจนฉีกขาดและใบหน้าที่เสียขวัญ
“พี่แพง!!!”
นิลจอดรถทันทีโดยไม่สนใจว่ามันจะขวางทางใคร เขาตะโกนเรียกพะแพงที่ปล่อยโฮเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมของตนออกแล้วส่งมันให้หญิงสาวก่อนจะเตรียมวิ่งไปยังทางที่พะแพงหนีออกมา แต่ร่างเล็กกลับกอดเขาเอาไว้แน่นด้วยตัวที่สั่นจนน่ากลัว
“นิล ฮึก ช่วยด้วย ช่วยพี่ด้วย!”
“ไม่เป็นไรพี่ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”
“พี่กลัว อย่าทิ้งพี่ไว้นะนิล อย่าทิ้งพี่”
นิลรับร่างของพะแพงมากอดไว้พร้อมกับพูดปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นเริ่มเปิดประตูหน้าต่างออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ มีชายท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งเดินเข้ามาถามไถ่พร้อมกับภรรยาที่หยิบเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาเพื่อให้พะแพงใช้สวมทับเสื้อคอบัวสีฟ้าของเธอที่ถูกกระชากจนขาดวิ่น นิลมองสภาพของคนตรงหน้าด้วยความร้อนใจ แต่ก็โดนพะแพงห้ามเอาไว้เมื่อเขากำลังจะกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
“อย่าโทรนะนิล ฮึก มันถ่ายรูปพี่ไว้”
“บัดซบเอ้ย! แล้วนี่พี่โดนมันทำอะไรอีกรึเปล่า”
“ไม่ มันพยายามทำร้ายพี่แต่พี่หนีออกมาได้ก่อน”
ชายหนุ่มเช็ดน้ำตาบนแก้มที่บอบช้ำนั้นอย่างเบามือ ก่อนจะหันมาขอบคุณชาวบ้านที่หวังดีทั้งหลายแม้จะต้องปฏิเสธเมื่อพวกเขาต่างเสนอตัวที่จะโทรไปเรียกตำรวจให้โดยบอกไปว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้งส่วนตัวเท่านั้น นิลประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของพะแพงกลับมายังรถของตัวเองโดยพยายามให้อีกฝ่ายได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด เขาพูดขออนุญาตกับหญิงที่ยังร้องไห้ไม่หยุดก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเปล่าที่มีไว้ติดรถ บิดให้หมาดแล้วลูบไปตามแขนและขาที่มีทั้งเลอะและเต็มไปด้วยแผลถลอก
“ผมว่าเราไปโรงพยาบาลกันดีกว่า จะได้ให้หมอเขาเช็คด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกนิล ฮึก พี่แค่ตกใจ”
“ให้ตายสิ นี่พี่ออกมาทำอะไรดึกดื่นๆ แล้วคุณกันต์ล่ะอยู่ไหน”
“กันต์ไม่อยู่ พี่แอบมาดูรพีที่โรงเรียนคนเดียว ฮึก”
นักเขียนหนุ่มกุมขมับทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น เขาพยายามไม่ตะคอกหญิงสาวให้ขวัญกระเจิงมากไปกว่านี้แม้ว่าความจริงจะอยากทำมากแค่ไหน
“พี่พอจะจำหน้าไอ้คนที่ทำได้ไหม แล้วทำไมถึงไปเจอมันได้”
“พี่กำลังจะไปขึ้นรถกลับบ้าน แต่ตอนกำลังจะเดินลัดไปอีกซอยจู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีคนมอง ตอนแรกมันทำเหมือนแค่ต้องเดินทางเดียวกันแต่พอพ้นช่วงคนเยอะมันก็เริ่มวิ่งตามจนพี่ต้องโทรหานิลนั่นแหละ”
นิลฟังไปพร้อมกับลูบแผ่นหลังของหญิงสาวเบาๆเพื่อปลอบประโลมไปด้วย เขาหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาหวังจะโทรหาฤทธิชาติอีกครั้ง แต่มือที่มีรอยแผลของร่างเล็กก็คว้ามันไว้พร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ
“ไม่เป็นไรพี่ ผมแค่จะโทรหาไอ้ชาติ”
“ไม่เอา ฮึก ห้ามโทรนะนิล”
“แต่...”
“พี่ไม่เชื่อใจเขา...หรือนิลจะบอกว่าเราไว้ใจเขาได้”
แม้จะเป็นคนละเรื่องแต่นักเขียนหนุ่มกลับไม่อาจตอบคำถามง่ายๆนั้นกลับไปได้ มือของเขาที่ถือโทรศัพท์ไว้ค่อยๆวางลงข้างตัวเช่นเดียวกับความรู้สึกบางอย่างที่ลดน้อยถอยลงไป หญิงสาวเอนร่างมากอดนิลไว้พร้อมกับพร่ำบอกขอบคุณเขาไม่หยุด แต่สิ่งที่ตกตะกอนอยู่ในตัวตอนนี้มีแค่ความผิดหวังในตัวเองเท่านั้น
ทั้งคู่จมอยู่ในสภาพนั้นอยู่นานสองนานก่อนร่างสูงจะขับรถพาพะแพงกลับไปยังบ้านพักของเธอและสามีที่อยู่ในจังหวัดนครปฐมซึ่งก็ถือว่าไม่ไกลนัก ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินกลับไปในบ้านด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นิลหาซื้อมาให้ พะแพงได้ขอเขาไว้ว่าให้ช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับเพราะไม่อยากให้กันต์ชนกที่งานยุ่งต้องมาเป็นกังวลอีกทั้งเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะความดื้อรั้นของเธอเอง
“งั้นพี่ต้องสัญญากับผม ว่าจะไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวอีก”
“แต่พี่อยากเจอลูก...”
“แล้วถ้าพี่เป็นอะไรไปมันคุ้มกันไหม อย่าลืมสิว่าพี่ไม่ได้มีรพีแค่คนเดียว”
“...ขอโทษ”
“เฮ้อ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าถ้าพี่อยากไปหารพีก็โทรบอกผม ตกลงไหม”
หญิงสาวรับปากอย่างดีใจก่อนที่จะจากไปพร้อมรอยยิ้มผิดกับนิลที่ถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยล้า เขาเก็บขวดยาและอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ใช้ทำแผลให้พะแพงกลับเข้าไปในคอนโซลรถ แล้วออกตัวเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพด้วยร่างกายที่เพลียจนต้องแวะเข้าไปซื้อกาแฟในปั้มมาดื่ม
เขากดลิฟต์ของคอนโดในชั้นที่ตัวเองอยู่ ก่อนจะเอนหลังพิงพนังพร้อมกับหลับตาด้วยความง่วงนอนเต็มที่ เสียงเตือนเบาๆดังขึ้นทำให้นักเขียนหนุ่มต้องเดินออกไปแล้วมุ่งตรงไปยังห้องของตัวเองแต่ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่ยืนขวางประตูอยู่นั้นก็ทำให้เขาแทบจะตื่นเต็มตา
“มึง...”
“ผมเห็นว่านิลโทรมาหาหลายสาย แต่โทรกลับไปอีกทีก็ไม่ติดแล้ว”
นิลสบถอย่างหัวเสียพร้อมกับล้วงหยิบกุญแจห้องในกระเป๋าซึ่งมีโทรศัพท์ที่แบตหมดนอนอยู่ในนั้น ชายหนุ่มไม่เปิดไฟในห้องอย่างเคย เขาโยนสัมภาระของตัวเองไปบนโซฟาด้วยความเคยชินก่อนจะปลดเสื้อผ้าที่ผ่านการผจญภัยมาแทบทั้งวันโดยไม่สนว่าฤทธิชาติจะเดินตามเข้ามาในห้องด้วย
นายตำรวจหนุ่มนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับมองร่างกายเปลือยเปล่าของนิลหายลับไปหลังประตูห้องน้ำ ร่างสูงชำระร่างกายของตัวเองลวกๆก่อนจะหยิบบ็อกเซอร์และเสื้อคอกลมย้วยๆตัวเก่งมาสวมแล้วเปิดประตูออกไปเพื่อจะพบว่าฤทธิชาติยังคงนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่แม้แต่จะลุกมาเปิดไฟ
นิลมองคนตัวโตอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในส่วนของห้องนอนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างแล้วหลับตาแทบจะทันทีปล่อยให้ความเงียบขับกล่อมหัวใจที่ว้าวุ่นให้ค่อยๆสงบลงแม้จะเป็นไปได้ยากก็ตาม เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆโดยที่ใครอีกคนในห้องยังไม่แม้แต่จะขยับตัว จนความเหนื่อยล้าและอาการปวดหัวจะค่อยๆคร่าสติของร่างสูงไปทีละนิด จนกระทั่งในห้วงสุดท้ายก่อนที่เขาจะหลับลงชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นๆที่บริเวณหน้าผากของตน
:sad4:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :sad4:
-
อารัณย์มองบ้านไม้หลังใหญ่สีขาวตรงหน้าด้วยความหนักใจกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแต่ก็รู้ดีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ร่างสูงกดกริ่งที่ประตูรั้วอยู่สองครั้งก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นร่างน้อยๆของหลานสาววิ่งมาหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสเสมอ
“น้ารัณย์ สวัสดีค่ะ!”
“สวัสดีครับ ป๊ากับม๊าอยู่ไหมหนูพิมพ์”
“ป๊าล้างบ่อปลาอยู่หลังบ้านค่ะ แต่ม๊าไม่สบายนอนอยู่บนห้อง”
อารัณย์ยิ้มรับก่อนจะอุ้มเด็กหญิงเข้ามาไว้เต็มอ้อมแขนแล้วเลือกเดินไปยังหลังบ้านเพื่อทักทายพี่เขยก่อนแทนที่จะขึ้นไปหาพี่สาวของตน ร่างสูงยิ้มให้นายแพทย์หนุ่มที่กำลังทำงานบ้านจนเปียกปอนไปทั่วทั้งตัว กันต์ชนกพอได้ยินเสียงเรียกของลูกสาวก็หันมามองแล้วทักทายแขกคนสำคัญอย่างเป็นมิตร
“มาแล้วหรอรัณย์ กินอะไรมารึยัง”
“กินแล้วพี่ แล้วนี่ไม่คิดจะพักบ้างเลยรึไง นานๆจะได้หยุดแท้ๆ”
“ก็อยากพักอยู่หรอก แต่น้องพิมพ์ร้องจะเอาปลาตัวใหม่ ถ้าไม่ล้างสักหน่อยกลัวจะน็อคน้ำตาย”
กันต์ชนกว่าขำๆก่อนจะหันไปบอกลูกสาวให้เตรียมน้ำออกมารับแขก ชายทั้งสองคนมองตามร่างเล็กของเด็กหญิงไปด้วยรอยยิ้มก่อนมันจะค่อยๆคลายลงเช่นเดียวกับบรรยากาศมืดมนในบ้านที่อารัณย์สัมผัสได้
“พี่แพงยังทำใจไม่ได้อีกหรอพี่”
“คงยาก...และน่าจะเป็นไปไม่ได้”
“อาทิตย์นี้หนีไปกี่ครั้งแล้ว”
“สามครั้ง ล่าสุดเมื่อสองวันก่อน กลับมาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่บนห้อง”
ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะถอดหมวกฟางสีซีดออกจนเผยให้เห็นสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด อารัณย์มองคนตรงหน้าอย่างเห็นใจแต่ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะอยู่สภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“แล้วกับหนูพิมพ์...”
“ต่อหน้าลูกแพงก็ยังทำตัวเหมือนเดิม แต่ไม่รู้สิรัณย์ เด็กๆอาจจะไม่สังเกต แต่ผู้ใหญ่อย่างเราต่างก็รู้ดีว่าอะไรๆก็เปลี่ยนไปแล้ว”
“ถ้าตอนนั้นผมไม่ไปเรียนต่อ...เรื่องมันอาจจะไม่แย่ขนาดนี้”
อารัณย์พูดถึงสิ่งที่ค้างคาในใจตนมาตลอด ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเองว่าหากตอนนั้นเขาไม่ไปแล้วอยู่เป็นคนที่ปกป้องทั้งรพีและพะแพงไว้เรื่องต่างๆอาจจะไม่เกิดขึ้น แต่ความจริงมันกลับไม่เป็นอย่างนั้น ชายหนุ่มรู้ดีว่าทำไมปู่ถึงไม่เคยบอกถึงเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง ช่วงที่พะแพงต้องพักรักษาตัวอารัณย์รับรู้แค่ว่าเพราะพี่สาวต้องไปทำงานในที่ห่างไกลทำให้การติดต่อไม่สะดวกเหมือนเคยเท่านั้น
“ไม่หรอก ถึงรัณย์อยู่เราก็อาจทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ คนพวกนั้นน่ากลัวนะ ถึงจะไม่ใช่เพราะต้องการปิดบังคุณกาลเรื่องแพงยังมีชีวิตอยู่ ยังไงปู่กับพี่ก็คงต้องพาแพงหลบมาพักฟื้นที่อื่นอยู่ดี”
“แล้วตอนนี้พวกมัน...
“พี่ก็ไม่รู้ คุณนเรศทนายบ้านคุณกาลเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด แต่ก็ยังมีเส้นสายของปู่ที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนั้นการปิดบังสถานะของแพงไม่ให้คุณกาลรับรู้มันก็เป็นไปแทบไม่ได้ พี่ถึงได้ตกใจมากตอนที่เขาติดต่อมาให้เอาเอกสารทุกอย่างขึ้นไปที่กรุงเทพพร้อมกับให้บอกความจริงทั้งหมด”
อารัณย์รู้ได้ทันทีว่าใครคือมือที่คอยช่วยหนุนรัตติกาลอยู่เบื้องหลัง ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาเป็นหลานที่หายสาบสูญไปนานเรื่องที่อารัณย์เป็นใครคงไม่สามารถปิดบังรัตติกาลมาได้นานขนาดนี้
“แล้วนี่กับคุณกาล คืนดีกันแล้วรึยัง”
“อะ เออ”
ร่างสูงเกาท้ายทอยเก้อๆเมื่อจู่ๆพี่เขยก็พูดถึงความสัมพันธ์ของเขาและรัตติกาลด้วยสีหน้าแสนอ่อนโยนที่แฝงไปด้วยการล้อเลียนจนผิวแก้มของอารัณย์แดงก่ำ เขาพยายามหันหน้าหนีแต่ยิ่งทำแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยิ่งหัวเราะร่าจนอารัณย์ต้องยอมแพ้แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างไปจนหมด
“กาลยังไม่หายโกรธผม แต่ก็ยังดีที่ยอมให้อยู่ใกล้ๆ”
“นั่นก็ดีแล้วล่ะนะ แต่จะทำไงได้ ทางนี้ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจากที่ตั้งใจว่าจะไปแค่สังเกตการณ์กลายเป็นคนของเราดันไปตกหลุมรักเขาซะได้”
“ไม่ต้องมาล้อผมเลย ผมรู้นะว่าพี่แพงก็ยังไม่หายโกรธพี่”
กันต์ชนกสีหน้าสลดลงเมื่ออารัณย์พูดถึงความจริงที่ยังค้างคา มุมปากอิ่มยกยิ้มออกมาด้วยท่าทางลำบากใจที่จะพูดถึง
“เรื่องนั้นพี่ทำใจแล้วล่ะ ยิ่งกว่ารัณย์ พี่โกหกแพงมาตลอดหกปี แถมยังมีหน้าเอาลูกตัวเองไปหลอกว่าเป็นลูกเขาแค่เพราะว่าอยากสร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่ด้วยกัน ขี้ขลาดจนน่าหัวเราะชะมัดเลยว่าไหม”
อารัณย์มองชายตรงหน้าอย่างนึกเห็นใจในความรักที่บริสุทธิ์แต่กลับเต็มไปด้วยรอยด่าง ความอาทรที่ควรมีให้ในฐานะคนไข้ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความรักเพราะความใกล้ชิดที่เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันแม้อีกฝ่ายทำได้แค่นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง ครั้งแรกที่เขารู้เรื่องทั้งหมดจากปากกันต์ชนกมันไร้ซึ่งความโกรธเคืองจนน่าแปลกใจ นั่นเป็นเพราะความรักที่พี่เขยมีให้กับพี่สาวของเขาอารัณย์จึงสามารถให้อภัยได้
“ผมเชื่อว่าสักวันพี่แพงจะรู้ ว่าพี่หวังดีกับเขาจริงๆ ขอบคุณนะพี่ที่ดูแลพี่สาวผมมาตลอด ไม่ว่าอดีตจะเป็นยังไงสำหรับผมพี่กันต์กับพิมพ์ใจคือครอบครัวที่สำคัญของผมเสมอ”
“ขอบใจนะรัณย์”
พวกเขาหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้นเพราะเด็กหญิงตัวเล็กวิ่งกลับมาพร้อมน้ำเย็นๆที่หกไปกว่าครึ่ง ชายหนุ่มรับมันมาดื่มพร้อมกับลูบผมนิ่มของหลานสาวเบาๆก่อนจะตอบคำถามของพิมพ์ใจที่ถามไถ่ถึงรพีที่รัตติกาลพาออกไปทำธุระด้วยกันแต่เช้า
ทั้งสามคนคุยกันจนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยง กันต์ชนกที่นานๆจะว่างสักทีจึงวานขอให้อารัณย์ขึ้นไปตามภรรยาให้ออกไปกินข้าวด้วยกันข้างนอกโดยเลือกร้านโปรดของลูกสาวที่ถูกปากพะแพงอยู่ไม่ใช่น้อย ร่างสูงเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านที่มีภาพครอบครัวของทั้งสามคนแขวนอยู่เป็นระยะ เขามองรอยยิ้มของผู้หญิงในภาพนั้นด้วยความพอใจ ถ้าเป็นไปได้อารัณย์เองก็อยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม
“พี่แพง ผมเข้าไปนะพี่”
อารัณย์เคาะประตูก่อนจะเอ่ยขออนุญาต ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องนอนสีขาวเช่นเดียวกับตัวบ้าน หน้าต่างที่เปิดค้างไว้ทำให้ผ้าม่านปลิวไสว เขาสอดส่ายสายตามองหาพี่สาวแต่กลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของคนในห้อง
“หรือว่าอยู่ในห้องน้ำ”
ร่างสูงลองเดินไปดูห้องน้ำที่อยู่ในตัวห้องแต่ก็ไม่พบใครอีกเช่นกัน อารัณย์เริ่มร้อนใจ เขาสำรวจไปทั้งตัวบ้านแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่สาว ชายหนุ่มรีบวิ่งไปยังหลังบ้านที่กันต์ชนกกำลังซ่อมเปียที่หลุดลุ่ยให้ลูกสาวอยู่ด้วยความร้อนรา นายแพทย์หนุ่มหันมามองอารัณย์ที่เหนื่อยหอบด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“เป็นอะไรไปรัณย์ ทำไมวิ่งมาแบบนี้”
“พี่แพงไม่อยู่ในบ้าน พี่รู้รึเปล่า”
กันต์ชนกตกใจจนเผลอทำหวีในมือตก เขารีบเข้าไปในบ้านเพื่อมองหาภรรยาแต่ก็ไม่พบเช่นเดียวกับที่น้องชายภรรยาได้บอกเอาไว้
“เป็นไปได้ยังไง เมื่อตอนที่เรานั่งคุยกันพี่ยังเห็นแพงชะโงกหน้าออกมาดูทางหน้าต่างอยู่เลย”
“ผมโทรไปถามที่บ้านกาลกับไอ้นิลแล้วแต่พี่แพงไม่ได้ติดต่อทางนั้นไป เดี๋ยวผมจะไปหาดูแถวนี้ พี่กันต์รอกับพิมพ์ใจอยู่ที่บ้านก่อนแล้วกัน”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะมองตามอารัณย์ไปด้วยความร้อนใจไม่ต่างกัน ร่างสูงวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งซอยรวมถึงสอบถามชาวบ้านและวินมอเตอร์ไซด์ว่ามีใครพบเห็นพะแพงเดินผ่านมาบ้างไหมแต่กลับไม่มีเลย เขากดโทรศัพท์เข้าเครื่องของพี่สาวแต่กลายเป็นกันต์ชนกที่รับสายแทนก่อนจะบอกว่าเจอโทรศัพท์ของพะแพงตกอยู่ใต้เตียง
“พี่ว่ารัณย์กลับมาทางนี้ก่อนดีกว่า มันชักจะแปลกๆแล้ว”
“ได้ เดี๋ยวผมโทรตามไอ้ชาติด้วย”
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงนายตำรวจหนุ่มในชุดเครื่องแบบเต็มยศก็มาถึงบ้านพักของกันต์ชนกที่แทบจะนั่งไม่ติดพื้น อารัณย์พยักหน้าให้ร่างใหญ่รวมถึงอีกสองคนที่เดินตามหลังมาคือนิลที่บังเอิญอยู่กับฤทธิชาติพอดี และรัตติกาลที่เขาโทรไปบอกให้รู้
“คุณเห็นคุณพะแพงตอนสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ”
“ประมานชั่วโมงกว่าครับ ตอนผมคุยกับอารัณย์อยู่หลังบ้าน ผมเห็นเธอชะโงกหน้ามาดูทางหน้าต่าง”
ฤทธิชาติฟังคำให้การนั้นพร้อมกับสำรวจหน้าต่างบานที่ว่าไปด้วย เช่นเดียวกับนักเขียนหนุ่มที่เดินไปเดินมาอย่างร้อนใจจนรัตติกาลต้องคอยบอกให้เพื่อนใจเย็นลงอีกนิด นิลมองหน้ารัตติกาลด้วยสายตาที่แปลกไปจนร่างโปร่งรู้สึกได้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเชื่อฟังก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง
“ระหว่างทางที่มาผมประสานงานให้ตำรวจในพื้นที่ตรวจกล่องวงจรปิดบริเวณใกล้ๆให้แต่ก็ไม่พบคุณพะแพงหรือความผิดปกติอะไร แน่ใจรึเปล่าครับ ว่าเธอไม่ได้ออกไปเอง”
กันต์ชนกตอบไม่ได้ เพราะภรรยาของตนมีพฤติกรรมแปลกไปตั้งแต่วันที่ความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย รวมถึงการแอบออกไปพบรพีแม้ว่าจะเป็นการมองดูอยู่ห่างๆก็ตาม ชายหนุ่มเล่าทุกอย่างให้นายตำรวจฟังโดยไม่ลืมพูดถึงอาการเก็บตัวที่เกิดขึ้นหลังจากการขึ้นไปกรุงเทพครั้งสุดท้าย พอพูดถึงตรงนี้ ฤทธิชาติก็สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของนิล ทำให้เขามั่นใจว่าในวันนั้นต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะมันเป็นวันเดียวกัน กับวันที่นิลกลับมาที่คอนโดในสภาพที่เหนื่อยล้าและมีไข้อ่อนๆ
“ก่อนเดินเข้ามา ผมสังเกตว่าบ้านตรงหัวมุมมีกล้องวงจรปิด”
คำพูดของรัตติกาลเหมือนจุดประกายความหวังทั้งในเรื่องของการตามตัวหญิงสาวและความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ของทั้งคู่ อารัณย์ยิ้มกว้าง เขาจูงมือรัตติกาลให้เดินไปด้วยกันแม้อีกฝ่ายจะขัดขืนบ้างแต่เมื่อโดนเซ้าซี้ชายหนุ่มก็ต้องยอมตามใจทั้งที่ตัวเองไม่อยากจะไปเลยสักนิด
กันต์ชนกลูบหัวลูกสาวที่มองตามคุณน้าลูกอมไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว โดยที่ในอีกมุมหนึ่งของห้อง ฤทธิชาติกำลังจับจ้องไปยังนักเขียนหนุ่มไม่วางตา จนนิลทนไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน
“มองกูแบบนี้มีอะไร อยากพูดก็พูด”
“ในคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”
“...คืนไหน”
“นิลรู้ว่าผมหมายถึงอะไร ทำไมนิลถึงกระหน่ำโทรหาผม ทำไมนิลถึงกลับมาในสภาพที่เหนื่อยขนาดนั้น แล้วที่สำคัญ...น้ำมันรดที่หมดไปค่อนถัง จะบอกว่าโกรธผมเลยหนีไปขับรถเล่นรอบกรุงเทพก็ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย”
“หึ มึงเป็นตำรวจหรือสโตรกเกอร์กันแน่”
“มันก็คล้ายๆกันนั่นแหละ แค่ต่างวัตถุประสงค์ เลิกบ่ายเบี่ยงแล้วตอบมาได้แล้วครับ อยากรอให้มีใครเป็นอะไรก่อนรึไง”
นิลฮึดฮัดอย่างไม่พอใจที่โดนคนตรงหน้าไล่ต้อนราวกับเขาเป็นคนร้ายของมัน ทีตัวเองปิดบังเรื่องสำคัญไว้และทำอะไรลับหลังเขา ยังไม่ยอมแม้แต่จะปริปากพูด
“วันนั้นพี่แพงโดนทำร้ายร่างกายตอนที่จะกลับบ้าน เขาโทรมาขอให้กูไปช่วย แต่ไอ้เลวนั้นดันถ่ายรูปพี่แพงไว้ด้วยเราเลยไม่ได้แจ้งความ”
“แม้แต่กับผมเนี่ยนะครับ?”
“กูโทรหามึงแล้วแต่มึงไม่รับ...ไปทำอะไรอยู่ล่ะ อย่าบอกนะว่าคิดหาวิธีง้อกูอยู่ตอนนั้น”
ร่างสูงยิ้มเยาะเมื่อได้ถากถางอีกฝ่ายกลับบ้าง แต่ฤทธิชาติกลับไม่สะทกสะท้าน เขามองหน้านิลนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะยื่นบางอย่างออกไปให้
“ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ถือว่าถูกส่วนหนึ่งครับ”
นักเขียนหนุ่มมองปากกาลูกลื่นอย่างดีในมือพร้อมกับอาการกระตุกที่หัวใจ เขารู้จักรุ่นนี้ดีเพราะมันรุ่นและยี่ห้อที่เขาอยากได้มานานแต่ก็ไม่เคยตัดใจซื้อสักที ตัวด้ามที่ทำจากเงินถูกสลักเป็นชื่อของเขาอย่างสวยงามบ่งบอกว่ามันถูกสั่งมาเพื่อเขาไม่ผิดแน่ ร่างสูงมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ฤทธิชาติจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่นิ่งเฉยผิดกับทุกครั้ง
“ถึงจะโกหกว่าเปิดรอบใหม่ แต่ผมก็อยากให้อยู่ดี”
นิลไม่รู้สึกดีใจมากมายอย่างที่คิด กลับกันเขามองของในมือนั้นพร้อมกับกำมันแน่นด้วยความปวดใจ สิ่งที่เขาอยากได้จากคนตรงหน้าไม่ใช่สิ่งของราคาแพงหรือความเอาใจใส่ทะนุถนอมราวกับว่าเขาเป็นผู้หญิง หากแต่เป็นบางสิ่งที่ร่างสูงรู้สึกว่าเขาไม่เคยได้รับมันเลย
“กูจะรับมันไว้ ก็ต่อเมื่อมึงให้สิ่งหนึ่งกับกู”
“...”
“บอกความจริงมาชาติ เลิกโกหกกันได้แล้ว”
เสียงของนิลสั่นเครืออย่างไม่อาจห้ามไหว แม้ไม่มีน้ำตาแต่ดวงตาคู่นั้นก็แดงก่ำเสียจนคนมองสะท้อนใจ นายตำรวจหนุ่มใช้มือลูบไปตามผิวแก้มเรื่อยไปถึงเปลือกตานวลและหว่างคิ้วที่เครียดขึง เขาเผยรอยยิ้มออกมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนมันจะหายไปพร้อมกับความหวังของคนฟัง
“ผมยังให้นิลไม่ได้ ส่วนปากกาถ้านิลจะทิ้งผมคงต้องยอม”
“...!!!”
เขารู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกทุบอย่างแรงจนมือที่ถือปากกาไว้คลายออก แท่งเงินเรียวรีกลิ้งตกไปบนพื้นเช่นเดียวกับหัวใจที่เหมือนถูกเหวี่ยงตกจากที่สูง ไม่มีน้ำตาให้ไหลมีแต่ความรู้สึกเจ็บในหัวใจที่ยืนยันบางอย่างกับนิลได้
เขารักคนคนนี้
แต่เรายังเลือกอีกฝ่ายไม่ได้
ประตูหน้าถูกเปิดออกพร้อมกับการกลับมาของรัตติกาลและอารัณย์ที่สังเกตได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปในห้องรวมถึงสีหน้าหนักใจของกันต์ชนกที่ถึงแม้ไม่อยากได้ยินแต่ก็รับรู้ทุกการกระทำของสองคนนั้น อารัณย์ทำเป็นไม่สนใจ เขายื่นแผ่นดิสก์ที่บ้านหลังนั้นใส่ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดไว้ให้ทั้งหมดเมื่อได้ยินว่าภรรยาของหมอกันต์หายไปจากบ้าน
พวกเขาทั้งหมดยกเว้นพิมพ์ใจที่โดนผู้เป็นพ่อหลอกล่อให้ไปเล่นอยู่ในห้องนอนกำลังยืนมุงกันอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ฉายภาพวีดิโอที่ส่วนหนึ่งมีภาพของหน้าบ้านหลังนี้ติดมาด้วย ฤทธิชาติไล่ดูภาพตั้งแต่ช่วงที่อารัณย์เข้ามาในบ้านโดยมีพิมพ์ใจวิ่งออกมารับก่อนจะหายเข้าไปข้างในเกือบชั่วโมงโดยไม่มีใครเข้าออกจากบ้านหลังนั้นอีก จนกระทั่งเวลาประมานสิบเอ็ดโมงครึ่ง กล้องวงจรปิดตัวนี้ก็สามารถบันทึกภาพบางอย่างไว้ได้
“ไอ้ชาติ หยุดตรงนี้!”
ภาพของรถปิกอัพสีดำคันใหญ่ไม่ติดแผ่นบ้านทะเบียนจอดลงตรงมุมหนึ่งของถนนใกล้กับถังขยะก่อนที่ชายในชุดสีเดียวกันคนหนึ่งพร้อมหมวกอำพรางใบหน้าได้ปีนรั้วเข้าไปในจุดที่ห่างไกลจากบริเวณที่ทั้งสามคนอยู่ในตอนนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนเดิมก็ออกมาจากประตูหน้าบ้านอย่างอาจหาญโดยมีร่างไร้สติของพะแพงพาดอยู่บนบ่า มันจับหญิงสาวยัดใส่เข้าไปในรถพร้อมกับลงมือทำบางสิ่งที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการมัดมือมัดเท้า ก่อนจะขับรถออกไปในทิศทางตรงข้ามกับที่มันมา
“แพง...”
นายแพทย์หนุ่มครางชื่อภรรยาออกมาอย่างร้อนใจระคนสงสารเมื่อเห็นว่าคนรักของตนโดนกระทำอย่างไร ฤทธิชาติรีบติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อให้ขอภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่ปรากฏในภาพ บรรยากาศเปลี่ยนไปแทบจะทันที กันต์ชนกทรุดนั่งลงกับพื้น แม้แต่อารัณย์ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า ส่วนนิลก็เอาแต่ย้อนเทปนั้นดูซ้ำไปซ้ำมาโดยมีรัตติกาลคอยดูอยู่ไม่ห่างเช่นกัน
“แบบนี้มัน...”
“มีอะไรไอ้กาล”
นักเขียนหนุ่มหันไปถามรัตติกาลที่ทำหน้าเหมือนคิดอะไรออก
“กูยังไม่แน่ใจ...รอข้อมูลจากตำรวจก่อนแล้วกัน”
“แล้วทำไมบอกตอนนี้ไม่ได้ มึงต้องรอให้พี่แพงเป็นอะไรไปก่อนใช่ไหมถึงจะยอมปริปากอีกคน”
นิลไม่ได้ตะคอกหรือแดกดันคนข้างๆ เขาทำเพียงมองรัตติกาลไปตรงๆแล้วพูดในสิ่งที่ใจคิดด้วยใบหน้าเคร่งขึงที่แม้แต่อารัณย์ยังแปลกใจ
“มึงคิดว่ากูอยากให้พี่แพงตายรึไงไอ้นิล กูดูเหมือนคนแบบนั้นหรอ”
รัตติกาลตอกกลับไปด้วยท่าทีนิ่งๆไม่แพ้กัน แต่คำพูดที่เอ่ยมานั้นกลับสื่อได้ดีจนคนฟังรู้สึกว่าตัวเองกล่าวหาเพื่อนของตนแรงเกินไป นิลถอนหายใจก่อนจะขอโทษรัตติกาลด้วยท่าทางคิดหนัก
“ไม่ใช่กูไม่อยากบอก แต่ถ้าพูดไปมั่วๆตอนนี้ผลร้ายมันจะมากกว่าผลดี กูรู้ว่ามึงห่วงพี่แพง แต่อย่าลืมสิว่าตอนนี้สิ่งที่เราควรทำคือจับคนร้าย...ไม่ใช่จับผิดกันเอง”
รัตติกาลมองเพื่อนรักของตนด้วยแววตาที่บ่งบอกว่ารู้ทัน นักเขียนหนุ่มเสหน้าหันหลบไปอีกทางเมื่อครั้งนี้กลายเป็นเขาที่โดนร่างโปร่งไล่ต้อนไม่เหมือนทุกครั้ง พวกเขาที่เหลือนั่งรอข้อมูลจากฝั่งฤทธิชาติท่ามกลางความตึงเครียด โดยที่รัตติกาลเองก็ติดต่อทนายของตนให้ใช้เส้นสายที่มีหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดอีกที
จนเวลาล่วงไปกว่าบ่ายสาม นายตำรวจหนุ่มก็ได้รับข้อมูลที่ต้องการจากผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมและข้อมูลเกี่ยวกับรถที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ รวมไปถึงรูปสเก็ตของคนร้ายด้วย
“นี่มันบังเอิญไปหน่อยรึเปล่า”
อารัณย์พูดออกมาเมื่อพวกเขาเปิดวีดิโอทุกไฟล์จนหมด แต่มันช่างน่าขันที่สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขาและรัตติกาลราวกับมีใครเล่นตลก ไม่มีกล้องตัวไหนจับภาพของคนร้ายได้ทั้งขาเข้าและขาออก แม้แต่รถที่น่าจะมีให้เห็นวิ่งตามท้องถนนบ้างก็แทบจะไม่มี ส่วนคันที่กล้องตรวจจับได้เมื่อนำไปตรวจสอบก็พบว่าไม่มีพิรุธอะไรแม้แต่น้อย กันต์ชนกที่พยายามทำใจเย็นอยู่นานทุบโต๊ะเสียงดังด้วยความคับแค้นใจ จนอารัณย์ที่ถึงแม้จะร้อนรนไม่ต่างกันก็ต้องพยายามมีสติและกล่าวห้ามพี่เขยไม่ให้ทำร้ายตัวเองมากไปกว่านี้
“เป็นไปได้ไหม ว่าคนที่จับตัวพี่แพงไปจะเป็นพวกเดียวกับคนที่เคยพยายามตามฆ่ามึง”
นิลถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก แม้ใจหนึ่งจะยังคงแคลงใจกับความลับที่รัตติกาลปกปิดไว้แต่ทุกอย่างก็ถูกกลบไปด้วยความมาดร้ายของคนรักที่ดูเหมือนจะวางแผนมาดีกว่าที่คิด
“...ไม่ใช่แค่เคย ตอนนี้ก็คงจะยังอยากทำแบบนั้นอยู่”
ทันทีที่สิ้นคำนั้นโทรศัพท์ของรัตติกาลก็ดังขึ้น ทุกคนหันมามองร่างโปร่งพร้อมๆกันโดยที่อารัณย์รีบไปยืนเคียงข้างคนรักแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ซึ่งมีเบอร์โทรที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ปรากฏขึ้นมาดู รัตติกาลแย่งมันกลับมาเมื่ออารัณย์ทำท่าเหมือนกับจะรับสายแทนเขา ก่อนจะกดรับพร้อมกล่าวทักทายออกไป
รัตติกาลขมวดคิ้วเมื่อเสียงที่ได้ยินมาจากปลายสายคือเสียงดนตรีบรรเลงอย่างที่เขาชอบฟัง ร่างสูงยืนฟังมันอยู่สักพักก่อนจะมีเสียงๆหนึ่งดังแทรกเข้ามา
“มาเล่นเกมกันเถอะ~”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
ไคล์แมกซ์แล้วววววววววววว หลังจากปล่อยให้คนนอยไปต่างๆนาๆเมื่อตอนที่แล้วเลยจัดดราม่าคู่รองให้จี๊ดนึง ต้องให้พี่กาลกับชาติออกมาร้องเพลงโปรดอย่าเข้าใจฉันผิดเลยนะ แต่การปิดบังไม่ยอมบอกมันก็น่าเจ็บปวดพอๆกันนั่นแหละ ต้องคอยดูว่าอะไรทำให้กาลที่เกลียดการโดนปิดบังถึงกลืนน้ำลายตัวเองแล้วมาทำแบบนั้นบ้าง งานหนักของเช่จริงๆหลังจากนี้ ปวดตับ ปวดไต ปวดตัวไปหมดเลยคับบบบบบ
แล้วนอกจากนี้ เปิดให้จองหนังสือกันแล้วนะจ๊ะ >3< แต่เพื่อให้เป็นไปตามกฎของเล้า จนกว่าเช่จะลงเรื่องหลักจบจะไม่สามารถให้รายละเอียดในนี้ได้ หากใครสนใจเชิญตามอ่านที่แฟนเพจก่อนได้นะคับ
งานนี้เปิดให้จองและโอนกันยาวๆถึง 4 ก.พ. 2559 ที่ต้องนานขนาดนี้ด้วยเพราะราคาหนังสือที่สูงตามจำนวนหน้าและการทำ boxset นะคับ คนที่หวังราคาถูกกว่านี้เช่ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ตอนแรกกะจะให้เปิดจองทั้งแบบมีboxและไม่มี แต่เกรงว่าจะได้จำนวนขึ้นต่ำไม่เท่ากับที่โรงพิมพ์กำหนดไว้ แต่คิดซะว่า 3 เดือนกว่าๆ เก็บตังวันละ 15 บาทก็ได้แล้วคับ 5555 งานนี้เช่อยากขายจริงๆเพราะคิดว่าคงเปิดพิมพ์แค่รอบเดียวเท่านั้น ไม่รี ไม่สต็อก หมดแล้วหมดเลย ใครพลาดไปอดฟัดพี่กาลกันยาวๆนะจ๊ะ
-
รอต่อไป....ลุ้นๆๆๆๆๆ
-
สงสารนิลมากตอนนี้อยากให้นิลใจแข็งเข้าไว้
-
ครับ แล้วมันก็เริ่มจะงงอีกครั้ง :hao5:
-
ยิ่งอ่านยิ่งเหนื่อย
-
โอ้โหหหหหหค้างงงงงงงงงมากกกกกกกก!!!
-
เห้อ อ
-
:katai1: เอาตอนต่อไปมาเลยนะเช่ เราจะไม่ทน
-
46th Night
…The last game I...
เสียงตอบที่ฟังดูร่าเริงกลับทำให้รัตติกาลปวดหัวเสียจนต้องแสดงออกทางใบหน้า ฤทธิชาติที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลส่งสัญญาณให้ร่างโปร่งเปิดสปีคเกอร์โฟนเพื่อให้ทุกคนในที่นี้ได้ฟังบทสนทนากันทั่วทั้งห้อง โดยเฉพาะกันต์ชนกที่กังวลเกี่ยวกับสถานภาพของภรรยาตนเป็นอย่างมาก ก่อนที่รัตติกาลจะรีบถามกลับไปตามที่นายตำรวจหนุ่มบอกโดยไม่ออกเสียง
“แกเป็นใคร”
“แหมๆ ผ่านไปไม่นานจำกันไม่ได้แล้วหรอ แต่ก็นะ ครั้งนั้นไม่ได้แนะนำตัวเองให้กาลฟังซะด้วยสิ”
ร่างโปร่งขมวดคิ้วแน่นเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่นึกสงสัยไม่ต่างกัน แต่ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้ถามอะไรเพิ่มเติม เสียงเตือนว่ามีอีเมลล์ส่งเข้ามาก็ดังขึ้นจากโทรศัพท์ของกันต์ชนกที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆอารัณย์
“พะแพง!!!”
นายแพทย์หนุ่มร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง เมื่อสิ่งที่ถูกส่งมาคือรูปของหญิงสาวในสภาพไร้สติกำลังถูกตรึงอยู่บนฟูกนอนสีหม่นด้วยกุญแจมือ และรอบๆตัวนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดที่ไม่รู้ว่าเป็นของพะแพงหรือไม่ กันต์ชนกพยายามตะโกนคุยกับคนที่อยู่ปลายสายของรัตติกาลอย่างโกรธแค้น แต่กลับมีเพียงแค่เสียงหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรดังกลับมาเท่านั้น
“ฮ่าๆ ใจเย็นๆสิครับ ทำไมต้องโวยวายด้วย”
“มึงจับเมียกูไว้ที่ไหน!!!บอกมาสิวะ!!!”
“เป็นหมอที่ไม่มีความอดทนเอาซะเลยนะครับ แถมยังขี้ขโมย เอาผู้หญิงของคนอื่นมาเป็นภรรยาได้หน้าตาเฉย”
ทุกคนยกเว้นกันต์ชนกที่สติแตกเริ่มเอะใจ ดูเหมือนว่าคนปลายสายจะรู้เรื่องราวในอดีตของพวกเขามากกว่าที่คิด
“มึงต้องการอะไรกันแน่”
อารัณย์ถามขึ้นบ้าง พลางมองรัตติกาลอย่างคิดหนัก พร้อมกับคว้ามือของคนรักมาจับไว้แม้ว่าร่างโปร่งจะยังรักษาท่าทางได้ดีเป็นปกติ
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมแค่อยากเล่นเกมด้วยเท่านั้นเอง”
“เกมบ้าอะไรของมึง”
“เกมซ่อนหา รู้จักไหมครับคุณน้องชาย”
ชายคนนั้นหัวเราะหึหึในลำคอ ก่อนบางสิ่งบางอย่างจะถูกส่งเข้ามาในอีเมล์ของอารัณย์ ชายหนุ่มรีบเปิดโทรศัพท์ดูแล้วพบว่ามันคือรูปของบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีสภาพทรุดโทรมจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นบ้านร้าง
“พี่สาวของคุณอยู่ที่นั่น หากในสามชั่วโมงพวกคุณยังตามหาเธอไม่พบ คราวนี้พะแพงคงได้ตายสมกับเรื่องที่กุไว้สักที”
“แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงว่าแกจะไม่ทำอะไรเธอ”
รัตติกาลพูดขัดขึ้น
“วางใจได้เลย แต่ความจริงถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรไปซะได้ คุณก็น่าจะดีใจไม่ใช่หรอกาล...คุณคิดแบบนั้นอยู่ใช่ไหม”
ร่างโปร่งไม่ตอบคำถามนั้น เขายังคงยืนนิ่งสายตาไม่แสดงความรู้สึกใดๆไม่ว่าจะเป็นความตระหนกหรือหวั่นไหวต่อคำพูดที่สะกิดรอยร้าวในหัวใจของใครหลายคน รัตติกาลถอนหายใจทำเหมือนกับไม่เห็นสายตาที่อารัณย์มองมาก่อนจะถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเช่นทุกครั้ง
“กติกาล่ะ”
“ก็อย่างที่บอก ถ้าหาผู้หญิงเจอในสามชั่วโมง พวกคุณชนะ แต่ถ้าไม่ชีวิตของพะแพงก็เป็นของผม”
“แล้วแกจะได้อะไรถ้าเกิดเราไปถึงตัวพี่แพงได้ก่อน แกคงไม่ได้ทำเรื่องทั้งหมดแค่เพราะอยากเล่นสนุกหรอกใช่ไหม”
“อืม...ฉลาดเหมือนเคยเลย สนุกจริงๆ ก็ได้ เพราะเห็นว่าเป็นกาลหรอกนะผมถึงยอมบอก”
“...”
“กรรมสิทธิ์ของบ้านไม้ที่ลำปาง ผมต้องการมัน”
รัตติกาลยิ้มหยัน เมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายเรียกร้องไม่ต่างจากที่คาด บ้านไม้ของจริงที่มีลักษณะเหมือนกับบ้านไม้จำลองซึ่งอารัณย์นำมามอบให้รพีถูกปลูกไว้บนที่ดินจำนวนหนึ่งที่จังหวัดลำปาง แน่นอนมูลค่าของที่ดินบริเวณนั้นสูงค่าแต่ไม่อาจเทียบได้เลยกับบ้านไม้ทั้งหลังที่ทำจากเนื้อไม้มงคลแบบเดียวกันกับแบบจำลองของมัน
“หมายความว่าเราจะแลกกันหาสินะ”
“ใช่ ถ้าพวกคุณไปถึงตัวพะแพงได้ก่อนที่ผมจะหาเอกสารนั้นพบ คราวนี้คือชัยชนะของพวกคุณจริงๆ แต่ถ้าผมเจอเอกสารก่อนหรือภายในสามชั่วโมงผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ในกำมือของผม...พวกคุณแพ้”
“ได้ ตกลงตามนั้น”
“อ่อ ส่วนเรื่องตำรวจ อยากแจ้งก็ตามใจ ถ้าคิดว่ามันช่วยได้”
ปลายสายหัวเราะน้อยๆก่อนมันจะถูกตัดไปโดยที่เบอร์นั้นถูกปิดใช้งานทันทีเมื่อร่างโปร่งรอติดต่อกลับไป กันต์ชนกรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนเขากวาดกรอบรูปและของที่วางไว้บนหัวเตียงทิ้งทำให้เกิดเสียงดังโครมครามเสียจนลูกสาวที่เล่นอยู่ในห้องต้องเดินออกมาดูด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา อารัณย์เข้าไปรับพิมพ์ใจมาอุ้มไว้เองก่อนจะยืนมองพี่เขยของตนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในนั้น
“เจอแล้ว!”
กันต์ชนกหยิบเอาเอกสารชุดหนึ่งที่ระบุชื่อของพะแพงไว้ว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นโดยมีลายเซ็นของเจ้าหน้าที่กำกับไว้เรียบร้อยดีทุกประการ ชายหนุ่มรีบยื่นมันให้กับรัตติกาลราวกับเป็นของร้อนก่อนจะคว้ามือของอีกฝ่ายมาจับไว้แล้วอ้อนวอนร่างโปร่งด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความหวัง
“นี่ครับคุณกาล! เอาไปเลย ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นนอกจากให้แพงรอด ได้โปรดช่วยแพงด้วย!”
รัตติกาลรับมันไว้แล้วอ่านทุกตัวอักษรด้วยความปวดร้าวในใจจากแผลจากการทรยศหักหลังที่ยังไม่หายดี อารัณย์ที่เหมือนจะรู้ว่าคนรักกำลังคิดอะไรเข้ามาโอบไหล่ลาดนั้นไว้แล้วส่งพิมพ์ใจให้พ่อแท้ๆที่ปลอบขวัญ
“คุณก็ได้ยินไม่ใช่หรอ ว่าเราต้องเล่นเกมกับมัน...”
“แต่ถ้าสิ่งที่มันต้องการคือบ้านหลังนั้นก็ให้มันไปสิครับ ผมยอมทุกอย่างจะเอามากกว่านี้ก็ยังได้!”
“ถ้าสิ่งที่มันต้องการแค่นั้นจริงๆ มันคงเอาไปนานแล้ว”
“...!!!”
เหมือนความหวังพังทลายลงกับตา กันต์ชนกทรุดตัวลงพร้อมกับกัดฟันแน่นเพราะไม่รู้จริงๆว่าควรหาทางออกให้เรื่องนี้ยังไง รัตติกาลมองดูเอกสารในมือตัวเองอีกครั้งก่อนจะเดินไปหาฤทธิชาติที่ยืนมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ไม่ไกล
“ตรวจสอบตำแหน่งจากเบอร์โทรศัพท์และหมายเลขไอพีที่ส่งอีเมล์มาได้ไหม”
“ได้ครับ แต่ก็เป็นไปได้ว่าตัวคนร้ายไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งนั้น เขาอาจจะใช้วิธีอัดเสียงแล้วสื่อสารมาจากที่อื่น”
“มันต้องมีจุดร่วมสักทีสิ รีบจัดการเข้าเถอะ เรามีเวลาแค่สามชั่วโมงเท่านั้น”
ฤทธิชาติยิ้มรับก่อนจะออกไปโทรศัพท์ที่ระเบียงด้านนอก นิลมองนายตำรวจหนุ่มที่ยังคงรักษาท่าทางใจเย็นไว้ได้เช่นเดียวกับเพื่อนรักของเขาที่ดูเหมือนจะไม่แปลกใจเลยกับสถานการณ์นี้และพยายามหาวิธีรับมืออย่างมีสติแตกต่างจากคนที่เหลือ เขาสงสัยและดูเหมือนรัตติกาลจะรู้ว่านิลต้องการจะรู้อะไร
“ดูเหมือนมึงมีอะไรอยากถามกูเยอะเลยสินะ”
“ใช่ แล้วมึงล่ะมีอะไรที่ควรบอกกูรึเปล่า”
“...ขอพูดแค่ส่วนที่บอกได้ก่อนแล้วกัน”
นิลพยักหน้าตอบรับข้อเสนอนั้นแม้ว่าใจจริงอยากรู้เรื่องทุกอย่างก็ตามที รัตติกาลหันไปเรียกคนรักที่พยายามปลอบพี่เขยของตัวเองอยู่ไม่ห่างให้เข้ามาฟังด้วยกันโดยปล่อยให้พิมพ์ใจอยู่กับพ่อของตนไปก่อน
“กูให้ฤทธิชาติตามสืบเกี่ยวกับคนคนหนึ่งอยู่ได้สักพักแล้ว”
รัตติกาลพูดเปิดขึ้นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องของตนที่อารัณย์ไม่เคยเห็นมาก่อนให้ทั้งสองคนได้ดู บนภาพหน้าจอนั้นปรากฏภาพของธิชาอดีตเลขาของรัตติกาลกำลังเดินเข้าไปในคอนโดหรูแห่งหนึ่งโดยที่ข้างกันนั้นมีชายอีกคนที่ภาพสามารถจับได้เพียงแผ่นหลังและหัวที่ใส่หมวกปกปิดไว้เท่านั้น
“หลังจากให้ตำรวจปล่อยตัวไป กูก็ให้คุณนเรศแอบส่งคนติดตามธิชาจนได้ภาพนี้มา แต่น่าเสียดายที่เราไม่มีเบาะแสอะไรมากกว่านี้”
“ทำไมวะ?”
“...คนที่ถ่ายรูปนี้ ถูกเก็บไปแล้ว”
“...!!!”
“น่าเสียดายที่รูปถูกส่งมาถึงเราแค่ใบเดียว แถมยังไม่ชัดพอที่จะระบุตัวชายคนนั้นได้ ส่วนที่ชัดคงโดนทำลายไปพร้อมกับเจ้าของแล้ว”
“แสดงว่าเลขาของกาลโกหกสินะ”
อารัณย์พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความไม่พอใจเมื่อนึกถึงคำให้การที่ธิชาให้ไว้ว่าไม่รู้จักคนจ้างวานให้เธอปล่อยข่าวของบริษัทและทำร้ายรพี รัตติกาลเค้นยิ้ม เขาไม่ได้รู้สึกผิดหวังเหมือนครั้งแรกเพราะความคาดหวังในตัวผู้หญิงคนนั้นไม่เหลืออยู่แล้วในหัวใจของร่างสูง สิ่งเดียวที่มีอยู่คือความสมเพชในความโลภของมนุษย์เท่านั้น
“กูสันนิษฐานว่าเจ้านายตัวจริงของธิชาคือคนที่พยายามฆ่ากูเมื่อครั้งก่อน ตอนนั้นกูไม่รู้ว่าเหตุผลของมันคืออะไร แต่ตอนนี้เราก็น่าจะสรุปได้แล้ว...”
“พี่ทีอีกแล้วหรอ”
รัตติกาลยิ้มให้เพื่อน เขารู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะแปลกใจกับความจริงข้อที่ว่าชายคนนั้นนำพาเรื่องราววุ่นวายมาให้เขาเสมอ ฤทธิชาติที่โทรศัพท์เสร็จเดินเข้ามาสมทบด้วยท่าทางไม่ร้อนใจอย่างที่ควร
“ผมตรวจสอบออกมาแล้ว ตำแหน่งที่คนร้ายโทรเข้ามากับตำแหล่งเลขไอพีอยู่คนละจุดกัน ดังนั้นก็มีโอกาสมากที่จุดใดจุดหนึ่งจะเป็นตำแหน่งลวง ไม่ก็ทั้งสอง”
“แล้วจะทำยังไง กระจายกันไปหาทั้งสองที่งั้นหรอ”
“คงจะต้องเป็นอย่างนั้น”
ฤทธิชาติเปิดแผนที่จากโทรศัพท์มือถือให้ทุกคนดูรวมถึงกันต์ชนกที่พยายามมีสติแม้ว่าในใจจะตื่นตระหนกแค่ไหน ทั้งสองจุดที่ถูกระบุตำแหน่งไว้อยู่ห่างกันพอสมควรหากเดินทางด้วยรถก็กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว
“เราต้องแบ่งเป็นสองกลุ่ม”
“ไม่...ต้องสาม กาลพาน้องพิมพ์ไปอยู่รอกับรพีที่บ้านซะ”
อารัณย์พูดขัดขึ้นทำให้รัตติกาลรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ดวงตาคมกริบสองคู่ประสานกันโดยที่ฝั่งของรัตติกาลเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดในขณะที่อารัณย์พยายามสื่อความเด็ดขาดออกมาให้คนรักเห็น
“ผมเหมือนคนที่ต้องได้รับการปกป้องมานักรึไง”
“ไม่ ผมรู้ว่ากาลดูแลตัวเองได้แต่อย่าลืมสิ ว่ารพีทำไม่ได้”
ร่างสูงจับไหล่ของรัตติกาลไว้แล้วบีบมันแรงๆเพื่อให้คนตรงหน้าตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดและความกังวลที่เขามี
“เราทิ้งเด็กๆไว้ตามลำพังไม่ได้ ยิ่งคนร้ายอาจมีความเกี่ยวข้องกับนทีและบ้านหลังนั้นเรายิ่งต้องยิ่งระวังตัว สัญญากับผมนะกาล ว่าจะปกป้องรพีและดูแลตัวเองจนกว่าเกมนี้จะจบ”
รัตติกาลนิ่งอึ้ง ความที่อยากไล่ตามเงาที่คอยหลอกหลอนทำให้เขาลืมนึกถึงสิ่งสำคัญที่อารัณย์ไม่เคยลืมและคำนึงถึงเสมอมา ร่างโปร่งพูดไม่ออก เขาไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่คนรักเป็นกังวลได้เลยแม้แต่น้อย
“หากรพีคือหัวใจของกาลก็จงปกป้องเขาด้วยทุกอย่างที่กาลมี ส่วนผม...ก็จะปกป้องกาลที่เป็นหัวใจเอาไว้ด้วยชีวิตเหมือนกัน”
อารัณย์เอ่ยขึ้นก่อนจะยิ้มให้คนรักที่เสหน้าหนีไปทางอื่น ถึงแม้จะไร้คำพูดใดๆกลับมาแต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่ารัตติกาลเข้าใจถึงความหมายที่เขาต้องการจะบอก อารัณย์ลูบเส้นผมสีราตรีของรัตติกาลอย่างทะนุถนอมก่อนจะโน้มตัวลงไปฝากจุมพิตไว้ที่มันโดยไม่สนว่าในห้องนั้นจะมีคนอื่นอยู่นอกจากพวกเขา
“ส่วนพี่แพง ผมกับคนที่เหลือจะหาทางช่วยเอง กาลกลับไปคอยอยู่ที่บ้านพร้อมกับพวกเด็กๆนะ ตกลงไหม”
“...ก็ได้”
ร่างสูงยิ้มออกมาอย่างพอใจในคำตอบก่อนจะหันไปหาฤทธิชาติที่ยิ้มล้อๆรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาตัดสินใจแบ่งกันเป็นสามกลุ่มอย่างที่อารัณย์เสมอ รัตติกาลจะพาพิมพ์ใจกลับไปรออยู่ที่บ้านพัฒนเดชาด้วยกัน และกลุ่มที่ตามหาพะแพงนั้นจะให้นิลและฤทธิชาติไปในจุดที่ระบุได้จากหมายเลขโทรศัพท์ ส่วนอารัณย์และกันต์ชนกจะไปยังจุดที่ถูกระบุโดยหมายเลขไอพี
“ผมจะให้ลูกน้องตามกาลกับกลุ่มของอารัณย์ไปด้วยอย่างละสามนาย ส่วนอาวุธให้ใช้ได้หากสถานการณ์จำเป็นจริงๆซึ่งผมหวังว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น”
รัตติกาลและอารัณย์พยักหน้ารับก่อนที่ฤทธิชาติจะแยกตัวไปพูดคุยกับนายตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวนหนึ่งที่เขาตามตัวมาได้ นิลมองตามแผ่นหลังของร่างใหญ่ไปด้วยหัวใจที่ยังคงขุ่นเขืองไม่หายแต่ก็ต้องหันกลับมาเพราะรัตติกาลที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“กูขอโทษที่ตอนนี้บอกมึงได้แค่นี้ ส่วนที่เหลือมึงต้องฟังมันจากปากของชาติ”
“หึ งั้นกูคงไม่มีวันรู้”
“...อาจจะเป็นอย่างนั้น”
“...”
“ขอโทษ”
นิลเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนที่จู่ๆก็บอกขอโทษเขาด้วยท่าทางสงบนิ่งแต่แววตากลับสื่อออกมาเช่นเดียวกับคำพูดไม่ผิดเพี้ยน
“เหตุผลล่ะ?”
“ยังบอกไม่ได้”
“ฮ่าๆ กูกะแล้ว”
นักเขียนหนุ่มยิ้มออกมาทั้งที่ในใจไม่เป็นเช่นนั้น รัตติกาลมองสีหน้าของเพื่อนที่ช่วยเหลือตนมาตลอดด้วยความเสียใจ แต่สิ่งที่เขากำลังทำมันกลับหนักหนาเสียจนสามารถถ่วงค้ำให้เขายืนอยู่ในจุดที่น่าลำบากใจนี้ต่อไปได้
“ทุกคนล้วนมีความลับที่ไม่อยากบอกใคร”
“ถ้ามึงคิดแบบนั้น มึงคงว่าพี่ทีกับอารัณย์ไม่ได้อีก”
“...ถ้าเรื่องนี้จบ ก็คงจะเป็นแบบนั้น”
รัตติกาลคว้านิลมากอดไว้โดยที่อีกฝ่ายก็ค่อยๆยกแขนขึ้นกอดเขากลับ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของคนรอบข้างและความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทั้งสองคนรู้ดีว่ามิตรภาพของพวกเขากำลังจะก้าวผ่านการพิสูจน์อีกครั้ง
“ดูแลตัวเองด้วย อย่าเป็นอะไรไปล่ะนิล”
“มึงก็ด้วย...อยู่เฝ้าบ้านแล้วบอกให้ป้าจันทร์ทำกับข้าวรอต้อนรับกูได้เลย”
นิลผละออกมาก่อนจะเดินไปทางฤทธิชาติที่ยืนมองอยู่นิ่ง ในขณะที่รัตติกาลก็เดินกลับไปหาอารัณย์ และกันต์ชนกที่อุ้มพิมพ์ใจไว้ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ผมขอฝากพิมพ์ด้วยนะครับ”
“ครับ ส่วนผมขอคืนนี่ให้”
รัตติกาลยื่นเอกสารของบ้านหลังนั้นกลับไปให้นายแพทย์หนุ่มที่ลังเลจะรับมันไว้ แต่เขาก็ยัดมันใส่มืออีกฝ่ายไปอยู่ดี
“มันไม่มีประโยชน์ถ้าผมจะเก็บไว้ ผมไม่อยากได้มันและนั่นคือสิ่งที่คนร้ายต้องการ อย่างน้อยถ้าคุณเจอมันก่อน ก็ใช้มันแลกภรรยากลับมาแล้วกันครับ”
“...ขอบคุณนะครับคุณกาล แล้วก็ขอโทษด้วย”
“มันยังเร็วไปที่จะพูดแบบนั้น รอให้ทุกอย่างจบลงแล้วมาพูดคงยังไม่สาย”
รัตติกาลโค้งให้กันต์ชนกน้อยๆก่อนจะหันมาอุ้มพิมพ์ใจที่ตาบวมแดงเพราะร้องไห้มาไว้ใจอ้อมแขน อารัณย์หันไปบอกพี่เขยของตนให้ไปรอที่รถก่อนที่จะหันมาหาคนรักที่มีรถอีกคันกำลังจอดรออยู่ไม่ไกล
“ดูแลตัวเองนะกาล ถ้าถึงบ้านแล้วโทรบอกผมด้วย”
ร่างโปร่งพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ก็ยังไม่ยอมสบตาอารัณย์อยู่ดี ชายหนุ่มมองคนรักของตนอย่างอ่อนใจก่อนจะหันไปพูดกับหลานสาวที่เอาแต่จ้องมองพวกเขาสลับไปมาอย่างสงสัย
“น้องพิมพ์หลับตาแปปนึงนะคะ”
เด็กน้อยทำหน้างงแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทันทีที่เปลือกตาสีน้ำนมนั้นหลับลงริมฝีปากอุ่นของอารัณย์ก็กลืนกินจุมพิตของรัตติกาลไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี ดวงตาของร่างโปร่งเบิกโพรงอยู่พักหนึ่งก่อนจะค่อยๆหลับลงขณะที่ส่งลิ้นของตัวเองกลับไปรับสัมผัสนั้น ทั้งความอ้อนวอน ความโกรธเคือง ความเป็นห่วง และความรักปนเปและอบอวลอยู่ในห้วงความคิดของทั้งสอง ก่อนที่ร่างสูงจะถอนจูบออกมาแล้วหอมที่หน้าผากมนเป็นการส่งท้าย
“ผมรักกาลนะ ถึงแม้จะไม่เชื่อก็อยากจะบอกไว้”
“...”
“แล้วผมจะกลับมา”
:fire:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :fire:
-
“พี่ลองเลี้ยวเข้าไปดูในซอยนี้หน่อย”
อารัณย์พูดกับนายตำรวจคนหนึ่งที่ฤทธิชาติฝากมาให้ขับรถนำพวกเขาไปยังแถบชานเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านร้างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่บ้านจัดสรรของเศรษฐีเก่าที่จำเป็นต้องปล่อยให้ธนาคารยึดไปเพราะพิษเศรษฐกิจในสมัยก่อน ร่างสูงพยายามสอดส่ายสายตามองหาบ้านหลังที่ใกล้เคียงกับในรูปภาพหรือความพิรุธอื่นๆเช่นเดียวกับกันต์ชนกและนายตำรวจอีกสองคน แต่พวกเขาก็ยังคงหาไม่เจอ
“รัณย์ ทางนั้นว่าไงบ้าง หาเจอไหม”
“ไม่เลยพี่ นี่ก็สองชั่วโมงแล้วด้วย”
“อืม ยังดีที่เอกสารอยู่ที่นี่ เราแค่หาให้ทันกำหนดก็พอ”
นายแพทย์หนุ่มพยายามปลอบใจตัวเองว่าเงื่อนไขที่จะทำให้ภรรยาของเขาเป็นอันตรายถูกตัดไปข้อหนึ่งเพราะเอกสารที่ตนเองถืออยู่ อารัณย์พยักหน้ารับรู้แล้วเปิดประจกรถออกเพื่อใช้ไฟฉายขนาดใหญ่ส่งออกไปไกลๆเพื่อดูตามพงหญ้า พวกเขาขับวนเวียนกันอยู่แบบนั้นร่วมครึ่งชั่วโมงจนทุกคนเริ่มร้อนใจ แม้แต่ตำรวจที่มาด้วย
“ผมว่าติดต่อกลับไปหาผู้หมวดด้วยดีไหมครับ นี่มันใกล้เวลาแล้ว”
“ผมก็ว่างั้น เดี๋ยวผมโทรเอง”
อารัณย์รับคำก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนมากดโทรออกหาฤทธิชาติอย่างจนปัญญา แต่ในเสี้ยววินาทีที่เขาเบนไฟฉายไปให้สูงกว่าเคยหางตาของร่างสูงก็สะดุดเข้ากับหลังคาทรงยุโรปเป็นเอกลักษณ์ซึ่งคล้ายคลึงกับสิ่งก่อสร้างที่ปรากฏในรูป
“นั่นไง บ้านหลังนั้น!!!”
ชายหนุ่มรีบตะโกนด้วยความดีใจก่อนจะสาดไปฉายไปยังมุมที่ทำให้เห็นหลังคาที่ว่านั่นได้อย่างชัดเจน พวกเขารีบจอดรถทิ้งไว้ทางด้านนอกเพราะจากจุดนี้ไม่มีทางให้รถผ่านเข้าไปได้ นอกจากนายตำรวจคนหนึ่งที่อยู่เฝ้ารถไว้พวกเขาที่เหลือต่างก็พากันเดินเข้าไปข้างในด้วยความระมัดระวัง
“ให้พวกผมเดินนำเถอะครับ ถือนี่เอาไว้ด้วย”
ปืนสองกระบอกถูกส่งให้ทั้งอารัณย์และกันต์ชนกที่รับมันมาด้วยความหวั่นใจโดยเฉพาะคนเป็นหมอที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาถืออาวุธที่ใช้คร่าชีวิตผู้คนได้อย่างนี้ ตำรวจนอกเครื่องแบบสองคนเดินนำเข้าไปข้างในโดยอาศัยตาที่เริ่มชินกับความมืดแล้วเลี่ยงไม่ใช้ไฟฉายเพราะเกรงว่าจะทำให้คนร้ายรู้ตัว
เสียงจิ้งหรีดที่ร้องระงมดังกลบเสียงฝีเท้าของทั้งสี่คนที่กำลังย่องเข้าไปในตัวบ้าน สิ่งก่อสร้างที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงามทรุดโทรมลงตามกาลเวลาและขาดการดูแลรักษาแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่เหมือนที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็น ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งให้สัญญาณมือว่าให้พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปโดยที่ตำรวจอีกคนคอยปิดท้ายแถว พวกเขาสำรวจไปเรื่อยๆยังไม่พบวี่แววใดๆจนมาถึงห้องสุดท้าย
“ขอให้เจอทีเถอะ”
กันต์ชนกรำพันกับตัวเองก่อนประตูที่ไม่เหลือความแข็งแรงจะถูกเปิดออกจนเห็นแผ่นกระเบื้องสีขุนปูอยู่ทั่วพื้นห้อง กลิ่นคาวคละคลุ้งลอยเข้าจมูกของทุกคนอย่างจังจนต้องเบ้หน้า มีแต่หมอหนุ่มที่เคยชินกับกลิ่นพวกนั้นดีที่ตั้งสติได้แล้วรีบวิ่งไปยังร่างของภรรยาที่ถูกตรงไว้บนฟูกเก่าๆด้วยท่าทางแบบเดียวกับที่เห็นในรูป
“แพง! อย่าเป็นอะไรไปนะแพง!”
กันต์ชนกรีบสำรวจบาดแผลตามร่างกายของหญิงสาวแม้ว่าเลือดที่เปียกชุ่มไปทั่วบริเวณจะทำให้เขาตระหนกจนมือไม้สั่น ชายหนุ่มพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองแล้วตรวจดูตามความชำนาญโดยมีอารัณย์ที่วิ่งตามมาอีกคนพยายามเรียกสติของพี่สาวตนไปด้วย
“พี่แพง ได้ยินผมไหมพี่!”
“ใจเย็นรัณย์ แพงแค่หมดสติไป”
นายแพทย์หนุ่มพูดขึ้นเมื่อพบว่าชีพจรของพะแพงยังคงมีอยู่ บวกกับลมหายใจที่สม่ำเสมอทำให้กันต์ชนกคิดว่าภรรยาของเขาถูกทำให้สลบไปเท่านั้น นายตำรวจคนหนึ่งรีบนำผ้าชุบน้ำที่หาได้มาให้ใช้เช็ดตามตัวและใบหน้าของหญิงสาวที่หลับใหล ก่อนที่เปลือกตาสีนวลนั้นจะค่อยๆขยับแล้วลืมขึ้น
“แพง!เป็นไงบ้าง”
“คุณกันต์...อารัณย์...”
“นอนลงก่อน รู้สึกเจ็บตรงไหนไหม”
กันต์ชนกดันพะแพงที่พยายามลุกขึ้นนั่งให้นอนลงไปอีกครั้ง ชายหนุ่มทอดสายตามองภรรยาด้วยความห่วงใย โดยที่หญิงสาวกำลังมองไปรอบๆตัวราวกับว่ากำลังมองหาอะไรสักอย่าง
“มะ ไม่ค่ะ แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหนแล้วทำไมคุณกับอารัณย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“บ้านร้างน่ะ มีคนร้ายจับตัวคุณมา”
สีหน้าของพะแพงวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด อารัณย์ที่มองพี่สาวของตนอยู่คิดไปว่าเธอคงตื่นกลัวกับสถานการณ์รอบข้างไม่น้อยจึงลุกขึ้นเดินไปทางอื่นเพื่อให้หญิงสาวไม่รู้สึกกดดันจนเกินไป ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นดูเวลา พวกเขามาถึงที่นี่ทันด้วยเวลาประมานสองชั่วโมงสี่สิบห้านาทีตามที่กำหนดไว้ แต่บางสิ่งบางอย่างกลับผิดปกติจนเขาเป็นกังวล
“ทำไมนอกจากพี่แพงแล้ว ที่นี่ไม่มีใครอยู่เลย”
ปัง!
ทันทีที่อารัณย์พูดจบ เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มควันที่ลอยฟุ้งจนชายหนุ่มมองไม่เห็นทาง เขาได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของหนึ่งในนายตำรวจที่นำทางพวกเขามาดังขึ้นจนสติที่มีสั่นคลอนไปไม่น้อย ชายหนุ่มพยายามวิ่งกลับไปทางเดิมเพื่อไปหากันต์ชนกและพะแพงที่ยังคงอยู่ตรงฟูกกลางห้อง แต่ด้วยเพราะทัศนวิสัยที่พร่ามัวทำให้เขาล้มลงจนแขนไปกระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง
“พี่กันต์ พี่แพง!”
อารัณย์ตะโกนเรียกคนทั้งสองที่เขาสามารถมองเห็นได้เพียงแค่เค้าราง ร่างสูงของกันต์ชนกกำลังกอดบังภรรยาไว้ทั้งตัวโดยไม่นึกห่วงความปลอดภัยของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงชาที่แขนไปทั้งแถบ ควันสีขาวขุ่นถูกเขาสูดดมเข้าไปด้วยความไม่เต็มใจจนสติที่มีค่อยๆพร่าลงอย่างผิดสังเกต
“นี่มัน...ยา...สลบ”
ร่างสูงพยายามฝืนแต่ก็ไม่ไหว ดวงตาของเขาค่อยๆหรี่ลง เช่นเดียวกับภาพตรงหน้าที่ค่อยๆดำมืดจนไม่เห็นอะไรอีก ในสติสุดท้ายก่อนที่เสียงทุกอย่างจะเงียบไป อารัณย์นึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มของรัตติกาลแบบที่เขาชอบ และนึกถึงน้ำตาที่มักจะไหลอาบดวงหน้าของคนที่เขารักเสมอ
“กาล...”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกคาโมมายล์ผสมกับเสียงเปียโนแผ่วๆทำให้อารัณย์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน ราวกับว่าเรื่องวุ่นวายทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง ที่แห่งนี้สบายเสียจนเขาอยากทิ้งกายให้หลับใหลไปตลอดกาล
“รัณย์ ได้ยินพี่ไหม รัณย์!”
เขารู้สึกได้ถึงคิ้วที่ขมวดแน่นของตัวเองแล้วได้แต่ขัดใจ เสียงทุ้มนุ่มของหมอหนุ่มผู้เป็นพี่เขยยังคงก่อกวนให้เขาตื่นจากนิทราแสนหวาน อารัณย์พยายามไม่สนใจแต่อาการชาค่อยๆเปลี่ยนเป็นปวดร้าวแล่นจากปลายนิ้วมาถึงหัวไหล่ทำให้เขาต้องร้องซี๊ดออกมาแล้วค่อยๆลืมตาขึ้น
“รัณย์!”
“นี่มัน...อะไรกัน”
ชายหนุ่มพยายามประคองสติตัวเองขณะมองไปทั่วผนังสีขาวที่รายล้อมพวกเขาไว้ ร่างสูงก้มลงมองร่างของตนที่ถูกตรงไว้บนเก้าอี้สีเดียวกันมีแต่โซสีดำเส้นใหญ่เท่านั้นที่ดูขัดตาเสียจนเขาต้องนิ่วหน้า อารัณย์ลองขยับแขนที่เจ็บไปทั้งแถบดูแต่มันก็ไม่เคลื่อนไหว โซ่เส้นนั้นพันธนาการเขาไว้ให้อยู่กับที่ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้หันกลับไปดูว่าอาการเจ็บที่ว่านั้นเกิดจากอะไร
ร่างสูงค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองตามเสียงเรียกของกันต์ชนกก่อนจะพบว่าพี่เขยของเขากำลังตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน เพียงแต่ฝ่ายนั้นดูไม่บาดเจ็บเหมือนเขาเท่านั้นเอง
“พี่กันต์ ที่นี่ที่ไหน”
“พี่ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว แต่ช่างเถอะ ดูนั่นสิ!”
กันต์ชนกพยักพเยิดให้อารัณย์หันไปมองยังผนังอีกด้าน ชายหนุ่มสบถออกมากับภาพที่เห็น ร่างที่ไร้สติของนิลถูกจัดให้นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัว เช่นเดียวกับฤทธิชาติที่อยู่บนเก้าอี้ตัวถัดไป แต่สิ่งที่ทำให้เขากลัวแทบจับใจคือเลือดที่ไหลอาบไปทั่วทั้งหน้าและลำตัวของนายตำรวจหนุ่มที่ไม่เคยหมดท่าขนาดนี้ อารัณย์ตะโกนเรียกทั้งสองคนหวังให้ได้สติ แม้ว่าทุกครั้งที่ขยับตัวเขาจะเจ็บร้าวไปหมดก็ตาม
“แหมๆตื่นมาก็ทำเสียงดังเชียวนะครับ”
เสียงๆหนึ่งดังขึ้นเรียกสายตาทั้งสองคู่ให้หันไปมอง ชายคนหนึ่งในชุดสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับห้องปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มกว้างและดวงตาเรียวรีที่อารัณย์รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ชายคนนั้นเดินเข้าไปใกล้ร่างของนิลและฤทธิชาติที่ไม่รู้ตัวเลยว่าอันตรายเข้ามาใกล้พวกเขามากแค่ไหน
“ออกมาห่างๆนะเว้ย!!”
“น่าๆ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ผมแค่จะปลุกทั้งสองคนให้ตื่นขึ้นมาเอง”
“อย่ามาตอแหล! มึงจะทำอะไรพวกมัน!!”
“ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย แผลพวกนี้ก็แค่อุบัติเหตุน่ะ เขาพยายามขับรถหนีพวกผมเองช่วยไม่ได้นะครับ”
ชายคนนั้นพยักหน้าขึ้นลงแล้วพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน รอยยิ้มของมันทำให้อารัณย์แทบอาเจียน เช่นเดียวกับสิ่งที่มันกำลังทำ มือใหญ่ๆของมันจับเบาๆบนแขนที่อาบไปด้วยเลือดของฤทธิชาติแล้วจะพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆบีบลงไปจนน้ำสีชาดจะไหลทะลักออกมาจากปากแผลโดยที่เสียงร้องอย่างทรมานของนายตำรวจหนุ่มจะดังขึ้นแทบพร้อมๆกัน
“อ๊ากกกกกกกกกก”
“ไอ้เหี้ย! ปล่อยมันจะเว้ย ปล่อย!!!!”
“นี่ไงๆ ตื่นแล้ว”
เสียงร้องร่าอย่างดีใจขัดกับภาพตรงหน้าอย่างน่าขัน ฤทธิชาติที่ถูกบังคับให้ตื่นด้วยวิธีการอันโหดร้ายค่อยๆลืมตาที่พร่าเลือดขึ้นมองพร้อมกับขบกัดฟันของตัวเองจนแน่น ชายคนนั้นยิ้มให้ร่างใหญ่พลางนำมือที่อาบไปด้วยเลือดของนายตำรวจหนุ่มเช็ดลงบนขากางเกงสีขาวสะอาดของตนแล้วเดินไปหานิลที่ดูเหมือนจะตื่นขึ้นเพราะเสียงร้องของฤทธิชาติเช่นกัน
“อย่ายุ่งกับมัน! ไม่งั้นกูฆ่ามึงแน่!!”
มือที่ยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ชะงักก่อนจะเอื้อมไปถึงใบหน้าซีดขาวของนิลที่ส่ายไปมาเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว ชายคนนั้นหันกลับมามองยังอารัณย์ที่ทำสีหน้าทรมานเมื่อเห็นว่าเพื่อนของตัวเองเจ็บปวดแค่ไหน มุมปากอิ่มยกขึ้นเผยรอยยิ้มสดใสที่แสนบิดเบี้ยวเหลือเกิน
“ฮ่าๆ คุณนี่ดุดีจังเลยนะครับ ตลกด้วย”
“...!!!”
ทันทีที่สิ้นคำนั้นความทรงจำในอดีตก็หวนย้อนมา ผู้คนมากมายที่เดินกันเต็มสองฝั่งคลอง เสียงพลุและดนตรีโห่ร้องนำพาความจริงกลับมาให้อารัณย์เข้าใจ
“มึงมัน...วันลอยกระทง”
“กว่าจะจำได้ใช้เวลานานน่าดูเลยนะครับ คุณอารัณย์”
ภาพตรงหน้าซ้อนทับกับความทรงจำครั้งที่รัตติกาลถูกรั้งไว้ด้วยชายคนนี้ที่ท่าน้ำ กระทงของเขาที่อีกฝ่ายเอาไป และคำพูดแบบเดียวกันที่เคยพูดไว้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจได้ทันทีว่าชายคนนี้จับตาดูพวกเขามานานแค่ไหน
“คงตกใจน่าดูเลยสินะ กาลก็เหมือนกัน ตอนที่เห็นผมเขาก็ทำหน้าแบบนี้”
ชายคนนั้นว่ายิ้มๆก่อนจะเดินไปยังกลางห้องที่มีวัตถุคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าสีขาววางอยู่ตรงนั้น มันหันมายิ้มให้อารัณย์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกแรงดึงผ้าสีขาวให้หลุดออกไป ภายในลูกกรงขนาดใหญ่มีร่างของคนทั้งสามนอนนิ่งอยู่ในนั้น หนึ่งคือหญิงสาวที่เขาเคารพ สองคือเด็กชายที่เป็นหัวใจของทุกคน และสุดท้ายคือชายหนุ่มผู้เป็นทุกอย่างในชีวิตของอารัณย์
“กาล!!!”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
:z6:
แต่งตอนนี้เสร็จ...รู้สึกเหมือนตัวเองโรคจิตจริงๆ 5555555 :hao6: :hao6: ลาสบอสเปิดเผยตัวแล้ววววววว เดากันถูกม้อยยยยยยย สรุปเรื่องนี้เช่แจกhintทั้งเรื่องอะ ใช่แล้ว เขาคือชายตาตี่ที่โผล่มาจะเอากระทงพี่กาลวันที่พี่กาลเสียตัว เอ้ย วันลอยกระทงนั่นเอง :o8: สนุกๆ ตื่นเต้นๆ อธิบายไม่ถูก แต่งไปเหมือนตัวเองเป็นคนอ่านไป หรรษามากกกกก
สำหรับหนังสือคนที่ไม่ได้ตามเพจ อยากบอกว่าจิบิออกแล้วนะคับ เข้าไปดูกันได้ ความคืบหน้าของหนังสือทุกอย่างอยู่ในนั้น ตอนนี้ก็มียอดจองและโอนเข้ามาจำนวนหนึ่งแล้ว ส่วนของแถมพิเศษนิยายจิ๋วสำหรับคนโอน3คนแรก ถูกถามเข้ามาเยอะเหลือเกิน :hao5: เช่ก็อยากทำให้มากกว่านี้แต่กลัวไม่มีเวลาคับ ไว้ถ้าเคลียร์ทุกอย่างเสร็จแล้วมีเวลาเหลืออาจจะ(เน้นว่าอาจจะ) พิจารณาแจกอีกสักเล่มตามแนวเดิมคือ รีเควสเรื่อง ตัวละครอะไรได้ทุกอย่าง ต้องติดตามกันต่อไปนะ :z6:
ขอบคุณทุกเม้น ทุกโหวตและคนที่สนใจหนังสือ มีคนบอกอยากให้เช่ตอบเม้นในนี้บ้างแต่มันลำบากอะคับ 555 จะรีพลายที่เม้นเลยก็ไม่อยากให้เป็นการปั่นเม้นต์กันไป ถ้ามีไรสำคัญอยากถามเชิญทีเพจดีกว่า แต่ที่แน่ๆทุกเม้นทุกที่เช่อ่านหมดนะคับ ไม่ต้องห่วง อยากตอบทุกคนเลยแหละจริงๆนะ :man1:
ป.ล. อีกไม่ถึง5ตอนก็น่าจะจบแล้ว :katai3: :katai3:
-
โอ๊ะโอ....โดนกันหมดเลย!!!!
อิตานี่มันทำเพื่ออะไร!!!?????
-
อ่านรวดเดียวจนจบ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วต้องคอยลุ้นว่าตอนตอไปจะเป็นยังไงทุกๆตอน
ขอบคุณที่แต่งมาให้เราได้อ่านนะค่ะ
-
ลุ้นมากกกกกกกกก :ling3:
-
โหวววววววววววววววววววววววววววววววว
ดีใจที่มาถึงปมสุดท้ายแล้วว หวังว่าทุกคนจะปลอดภัย
ขอให้มีความสุขกันสักทีเถอะ เฮ้อออออออ
:L1: :L1: :L1:
-
47th Night
…The last game II...
“มันวังเวงเกินไปรึเปล่า...”
นิลบ่นกับตัวเองเบาๆยามที่มองไปตามกำแพงสูงหนาที่ไร้แสงของไฟส่องทางอย่างที่ควรเป็น เขาและฤทธิชาติกำลังสำรวจพื้นที่บริเวณชานเมืองอีกฝั่งฝากของกรุงเทพซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกระบุไว้ว่าคนร้ายใช้อินเตอร์เน็ตมาจากที่นี่ แม้จะไม่วังเวงเท่ากับที่ที่อารัณย์ไปแต่พอล่วงเข้าหัวค่ำบริเวณนี้ก็แทบจะไร้เงาผู้คนให้เห็น
“อารัณย์กับกาลติดต่อมารึยังครับ”
“อืม ไอ้กาลถึงบ้านแล้ว ส่วนอารัณย์ก็ยังไม่เจออะไรเหมือนกัน แม่งเอ้ย นี่มันก็ใกล้จะถึงเวลาแล้วด้วย”
ร่างสูงสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่ก็รู้ว่าทุกคนต่างก็กำลังพยายามกันอย่างเต็มความสามารถ ชายหนุ่มทุบตักตัวเองเบาๆก่อนจะลอบมองใบหน้าด้านข้างของนายตำรวจหนุ่มที่ดูเคร่งเครียดมากกว่าทุกครั้งจนนึกเป็นห่วงอยู่ในใจ ทั้งตัวฤทธิชาติเองและสถานการณ์ที่ดูจะวิกฤตมากขึ้นทุกขณะ
“ถ้าถึงเวลาแล้วเรายังหาพี่แพงไม่เจอ จะทำยังไงกันดี...”
“คนร้ายคงไม่ฆ่าคุณพะแพงทันทีหรอกครับ ถ้าสิ่งที่เขาต้องการคือกรรมสิทธิ์ของบ้านหลังนั้น ยังไงการรักษาชีวิตของเธอไว้ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น”
“ถ้ามันต้องการแค่นั้นจริงๆ แล้วจะทำเรื่องให้ยุ่งยากทำไม”
นิลสบถออกมาเมื่อพยายามนึกหาเหตุผลต่างๆมาสนับสนุนการกระทำของคนร้ายไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าสิ่งที่มันต้องการคืออะไรแต่การที่คนร้ายกลับเลือกใช้วิธีที่ทำให้ตัวมันเสี่ยงต่อการเสียบเปรียบหากพวกเขาหาพะแพงเจอก่อน ทำให้นิลทั้งรู้สึกสงสัยและระแวงในคราวเดียวกัน
“มันทำเหมือนกับว่าเกมนี้เราจะไม่มีทางชนะ”
ฤทธิชาติเหลมองนิลทั้งที่มือยังประคองพวงมาลัยอยู่ แต่เพียงเสี้ยววินาทีขณะที่เขากำลังจะเบนสายตากลับไปยังถนนที่มืดมิดอีกครั้งหางตาของเขาก็ปะทะเข้ากับวัตถุบางอย่างที่กำลังพุ่งมาจากทางด้านซ้ายของตัวรถด้วยความเร็วสูง
“นิลเกาะไว้แน่นๆ!”
นักเขียนหนุ่มกำลังจะหันมาถามคนข้างๆแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็หักพวงมาลัยอย่างแรงจนตัวรถดีดไปทางขวาจนเกิดเสียงล้อบดถนนดังสนั่น ชายหนุ่มตะโกนด่าฤทธิชาติลั่น แต่ทันทีที่เขาหันกลับไปมองตามเสียงคำรามของรถอีกคันนิลก็ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ไอ้เหี้ยเอ้ย!”
“คาดเข็มขัดไว้ หยิบปืนที่ใต้เบาะออกมาด้วย”
ฤทธิชาติพูดสั่งโดยที่นิลก็ทำตามอย่างไม่อิดออด รถสภาพแต่งสีดำเช่นเดียวกับความมืดรอบด้านกำลังขับไล่ตามพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตายแม้เข็มบอกความเร็วของทางนี้จะปัดไปที่ร้อยสี่สิบแล้วแต่ก็ยังสลัดไม่หลุด
“ชาติระวัง!”
นิลร้องเตือนพร้อมๆกับจังหวะที่ตัวรถโดนกระแทกจากทางด้านหลังเสียจนสะเทือนไปทั้งคัน ฤทธิชาติหักพวงมาลัยหลบไปมาด้วยความชำนาญ เขาไม่ได้มีท่าทางตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แต่ฝีมือการไล่บี้ของอีกฝ่ายก็เก่งกาจเสียจนเขารู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้เป็นมืออาชีพมากแค่ไหน
“เปิดเบอร์ล่าสุดแล้วโทรออก เล่าสถานการณ์ให้ทางนั้นฟังด้วย”
ร่างใหญ่โยนมือถือในกระเป๋าเสื้อของตัวเองให้คนข้างๆโดยไม่สนใจว่านิลจะรับมันทันหรือไม่ เขาเปิดไฟสูงให้กับรถของตัวเองแล้วพยายามเบี่ยงไปใช้เส้นทางหลักหวังจะมุ่งตรงไปยังถนนใหญ่ที่น่าจะมีกำลังเจ้าหน้าที่บางส่วนตั้งด่านตรวจอยู่เป็นประจำ ท่ามกลางเสียงของนิลที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวและตำแหน่งให้ลูกน้องของตนที่ประจำการอยู่ที่โรงพักทราบเพื่อให้ทางนั้นจัดกำลังมาสมทบ
“ช่วยติดต่อไปยังอีกจุดที พวกไอ้กาลมันอาจจะเจอแบบนี้เหมือนกันก็ได้”
นิลพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นขณะบอกรายละเอียดให้ปลายสายได้ฟัง ในระหว่างนั้นฤทธิชาติก็เอาแต่หมุนพวงมาลัยไปมาเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะของคนร้ายที่พยายามพุ่งเข้าชนพวกเขาอย่างหนักโดยไม่มีความลังเลเลยสักนิด
“จับไว้ให้แน่นๆนะครับ”
เสียงเย็นๆของฤทธิชาติทำให้นิลต้องรีบหาที่ยึดเกาะแล้วคว้ามันเอาไว้อย่างที่อีกฝ่ายว่า ร่างใหญ่กลับรถกลางถนนอย่างฉับพลันจนทำให้คันที่ตามมาไม่ทันได้ระวังโค้งหักศอกที่อยู่ตรงหน้า เสียงปะทะดังสนั่นขึ้นทันทีหลังจากนั้นแต่นายตำรวจหนุ่มไม่คิดแม้แต่จะจอดลงไปดูให้เสียเวลา ผิดกับนิลที่หันกลับไปมองเศษซากรถทางด้านหลังด้วยสายตาที่ไม่อาจข่มความกลัวไว้ได้
“ชะ ชาติรถมัน”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ตายหรอก”
“แต่ว่า...”
“ถ้าเราไม่ทำ คนที่จะตกอยู่ในสภาพนั้นอาจเป็นเราเอง”
นายตำรวจหนุ่มรู้ดีว่าคนข้างกายตกใจกลัวแค่ไหน แม้จะทำตัวห้าวหาญแค่ไหนแต่นิลก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่พยายามใช้ชีวิตให้ห่างไกลจากเรื่องอันตรายพวกนี้ให้ได้มากที่สุด และฤทธิชาติก็หวังว่านี่จะเป็นครั้งที่สุดท้ายที่เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในโลกที่แสนวุ่นวายและไม่น่าพิสมัยพวกนี้
“ขอโทษนะ”
“ห๊ะ?”
ฤทธิชาติยิ้มอ่อนๆให้ก่อนจะพุ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการขับรถมุ่งตรงไปยังถนนใหญ่ นิลมองคนข้างๆอย่างไม่เข้าใจ ทั้งเสียงพูดแผ่วๆราวกับคนคิดหนักและรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกับทุกครั้งทำให้ร่างสูงอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายยังมีอะไรที่อยากจะพูดกับเขาอีก ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่จู่ๆเสียงของการปะทะก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแรงกระแทกที่หัวจนสายตาของเขาพร่าเลือนไปชั่วขณะ
รถยนต์คันใหญ่อีกคันที่ไม่เปิดไฟหน้ารถพุ่งชนด้านคนขับอย่างจังจนฤทธิชาติที่ไม่ทันได้สังเกตร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะแรงปะทะที่มหาศาลนั้นมากพอที่จะทำให้หัวไหล่และแขนขวาของนายตำรวมหนุ่มผิดรูปไปจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เขากลับไม่มีเวลาแม้แต่จะสนใจมัน
ร่างใหญ่รีบประคองพวงมาลัยของรถที่กำลังหมุนคว้างไว้ให้มั่นแม้ว่ามันจะเกิดการควบคุมของเขาไปแล้ว ฤทธิชาติพยายามยื้อมันไว้แต่ด้วยเพราะความเร็วของรถและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการชนครั้งแรกทำให้ทุกอย่างไร้ประโยชน์
“ชาติ!”
นิลที่เห็นสภาพของคนที่ตัวเองรักกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดเลง ฤทธิชาติหันมามองเขาแล้วมอบรอยยิ้มที่แสนเศร้าให้พร้อมกับแผ่นอกหนาที่ปกป้องเขาไว้แทบจะทั้งตัว
“กอดผมไว้แน่นๆนะ”
แล้วทุกอย่าง...ก็ดำมืดไปหมด
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“อ๊ากกกกกกกกกก”
เสียงคำรามราวกับเจ็บปวดอย่างมากของใครสักคนทำให้นักเขียนหนุ่มที่รู้สึกหนักไปทั้งหัวกระพริบตาน้อยๆแต่การเปิดมันออกก็ยากกว่าที่ใจคิด หลังของเขาเจ็บไปหมด แม้แต่หัวหรือแม้แต่คอก็ด้วย ชายหนุ่มได้ยินเสียงใครสักคนกำลังโต้เถียงกัน คลอกับเสียงลมหายใจถี่หอบจากทางด้านขวาที่ทำให้เขาต้องฝืนลืมตาขึ้นมาแล้วมองตรงไปยังจุดนั้นด้วยหัวใจที่สั่นเทา
“ชาติ...”
ฤทธิชาติที่บอบช้ำไปทั้งตัวหันกลับมามองยังนิลที่ลืมตาเพียงครึ่งหนึ่งด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง แต่สภาพของนายตำรวจหนุ่มนั้นกลับเสียดแทงหัวใจของนิลยิ่งกว่า จนดวงตาที่เคยแข็งกร้าวเออคลอไปด้วยน้ำใส นิลกลายเป็นคนอ่อนแอที่แม้แต่คำพูดดีๆยังนึกไม่ออก
“ไม่...เป็นไรใช่ไหม”
นายตำรวจหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบๆ ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะฝืนยิ้มให้ได้อย่างทุกครั้ง ก่อนที่ความสนใจของทั้งห้องจะพุ่งตรงมาที่พวกเขาทั้งสองคน
“อ้าวๆ ตื่นแล้วหรอครับ...คุณนิล”
ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหานิลแม้จะมีเสียงทัดทานของอารัณย์ดังตามมาไม่ขาด ร่างสูงใหญ่พอๆกับเขาโค้งให้อย่างมีมารยาทพร้อมกับเอ่ยทักทายออกมาด้วยรอยยิ้มที่นิลรู้สึกว่ามันเสแสร้งกว่าสิ่งที่ฤทธิชาติทำเสียจนอยากอาเจียน
“เราเพิ่งได้คุยกันครั้งแรกสินะครับ ดูไม่ป่วนเท่าที่นทีเคยเล่าให้ฟังเลย”
นิลเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินชื่อของหนุ่มรุ่นพี่ออกมาจากปากของชายคนนั้น แม้แต่อารัณย์ กันต์ชนก และฤทธิชาติต่างก็ตกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาเช่นกัน
“มึงเป็นใคร”
ร่างสูงพยายามข่มเสียงของตัวเองให้มั่นคงและหนักแน่นขึ้นแม้ในหัวจะปวดร้าวไปหมด เขามองกราดไปรอบๆห้องที่ดูน่าขนลุกแห่งนี้ด้วยความไม่ชอบใจโดยเฉพาะกับกรงขนาดใหญ่ที่กักขังเพื่อนของเขาไว้ตรงนั้น
“แย่จริง ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะครับ แต่ขอทำให้คุณกาลตื่นก่อนได้ไหม พอดีผมเป็นพวกไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆกัน”
ชายแปลกหน้าคนนั้นว่าก่อนจะเปิดประตูกรงหลังนั้นแล้วเดินเข้าไปท่ามกลางสายตาที่เกรี้ยวกราดของอารัณย์ ร่างสูงคำรามในลำคอตะโกนบอกให้อีกฝ่ายหยุดแต่ดูเหมือนมันจะไม่สนใจเสียงของเขาเลยสักนิด
“ออกมาห่างๆกาลซะ อย่ายุ่งกับกาล!!!”
“หนวกหูจัง พูดเป็นอยู่คำเดียวรึไงครับ”
อีกฝ่ายว่ายิ้มๆก่อนจะลงไปนั่งยองๆข้างร่างที่ไร้สติของรัตติกาล ฝ่ามือขาวที่ยังคงมีคราบเลือดของฤทธิชาติอยู่ลูบเบาๆไปบนลำแขนที่โผล่พ้นเสื้อของร่างโปร่งออกมาราวกับต้องการยั่วโทสะของคนที่ถูกตรึงอยู่บนเก้าอี้ไม่สามารถลุกมาทำร้ายใครได้อย่างที่ใจคิด ดวงตาที่เรียวรีอยู่แล้วหรี่เล็กลงอีกเพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างขบขัน ชายคนนั้นเลือนมือไปสัมผัสใบหน้าของรัตติกาลแล้วรอดูปฏิกิริยาของอารัณย์ที่พยายามกระชากตัวเองออกจากพันธนาการทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ กันต์ชนกที่มองเห็นแขนของร่างสูงก็ยิ่งร้องห้ามเพราะโซ่สีดำที่ตรึงแขนของอารัณย์ไว้ถูกย้อมให้กลายเป็นสีเลือดมากขึ้นทุกที
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
คนร้ายไหวไหล่น้อยๆก่อนจะตบใบหน้าของรัตติกาลเบาๆเพื่อเรียกสติของร่างโปร่งให้กลับมา แต่ถึงอย่างนั้นอารัณย์ที่กำลังมองอยู่ก็ไม่ได้รู้สึกวางใจเลยแม้แต่น้อย เขาเฝ้ามองคนรักที่ค่อยๆคืนสติมาพร้อมกับอาการส่ายหน้าไปมาอย่างนึกรำคาญ แต่ทันทีที่เปลือกตาสีมุกนั้นเปิดขึ้น รัตติกาลก็ดีดตัวออกมาอย่างแรงจนแผ่นหลังปะทะเข้ากับแท่งเหล็กเย็นๆของกรงที่กักขังตัวเองอยู่
“มึง!!!”
“หลับสบายไหมครับกาล ขอโทษด้วยนะที่ทำรุนแรงไปหน่อย”
“รพีอยู่ไหน! รพี!!!”
รัตติกาลร้องหาลูกชายทันทีที่ได้สติ ภาพความทรงจำก่อนเขาจะถูกนำมาที่นี่ย้อนกลับมาวิ่งวุ่นอยู่ในหัว ทันทีที่เขาไปถึงบ้านคนงานทั้งหมดรวมถึงจันทร์ถูกนำไปขังไว้ในห้องๆหนึ่งบนชั้นสอง ในขณะที่รพีถูกทำให้หลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของชายแปลกหน้าที่รัตติกาลคิดไม่ถึงว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับตัวเอง
ในตอนนั้นรัตติกาลทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยวเสียจนแทบทำอะไรไม่ถูก ร่างโปร่งกอดพิมพ์ใจที่ร้องไห้จนตัวสั่นไว้พร้อมกับพยายามเข้าไปแย่งยื้อรพีกลับมา แต่เขาก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด ชายหนุ่มจำกลิ่นที่ฉุนไปทั้งโพลงจมูกก่อนที่เขาจะสลบไปได้อย่างแม่นยำมากพอๆกับความทรงจำในคืนวันลอยกระทงนั่น
“ถ้าลูกชายของนทีล่ะก็ เขาอยู่ตรงนั้นไงครับ”
ชายแปลกหน้าชี้ไปยังอีกมุมหนึ่งของกรงที่รพีกำลังนอนนิ่งอยู่บนพื้น รัตติกาลที่เห็นดังนั้นก็รีบลุกเพื่อจะไปหาแต่ลำคอของเขาก็ถูกชายที่เปลี่ยนรอยยิ้มน่าขนลุกเป็นสีหน้าเบื่อหน่ายรำคาญคว้าเอาไว้แล้วดันให้รัตติกาลกลับไปยืนชิดลูกกรงเหมือนเดิมอีกครั้ง
“อึก!!!”
“ใครบอกให้เดินได้ตามใจชอบไม่ทราบ หันรู้สถานการณ์ของตัวเองซะบ้าง”
“ปะ ปล่อยกู!”
“ขอปฏิเสธครับ”
คนร้ายเผยรอยยิ้มอีกครั้งพร้อมกับหยิบกุญแจมือที่ซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาพันธนาการข้อมือของรัตติกาลข้างหนึ่งไว้กับซี่ลูกกรงอย่างแน่นหนา ร่างโปร่งพยายามกระชากมือของตัวเองออกจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วแต่มันกลับไร้ผล
“กาลหยุด! ข้อมือเป็นแผลหมดแล้ว!”
อารัณย์ร้องห้ามคนรักที่ข้อมือถูกเหล็กบาดจนเป็นแผล รัตติกาลที่พอได้ยินเสียงของอารัณย์ก็ได้สติสังเกตไปรอบๆตัวถึงได้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เขากับรพีและชายแปลกหน้าที่อยู่ในห้องๆนี้ อารัณย์มองรัตติกาลด้วยความห่วงใยพร้อมกับสมเพชตัวเองที่ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือคนรักได้ เช่นเดียวกับรัตติกาลที่พอเห็นสภาพของอารัณย์และทุกๆคนก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจมากขึ้นอีก
“เป็นห่วงกันจริงๆนะครับ น่าประทับใจจังเลย”
“มึงเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่”
:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:
-
รัตติกาลกัดฟันถามถึงสิ่งที่คนทั้งห้องสงสัย ชายแปลกหน้ายิ้มน้อยๆก่อนจะเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าร่างโปร่งอีกครั้งโดยไม่ลืมเว้นระยะห่างเล็กน้อย
“ผมชื่อพิภพครับ พอจะคุ้นๆกันบ้างไหม”
แต่ละคนต่างทำหน้าราวกับว่าไม่เคยได้ยินมันมาก่อนยกเว้นเพียงแค่สองคนที่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันกรอด
“พิภพ...”
“ทำเสียงแบบนี้ท่าทางจะรู้จักสินะ สมแล้วกับข้อมูลที่ยอมเล่นนอกเกมเพื่อให้ได้มา เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าว่าไหมครับกาลแล้วก็...คุณตำรวจคนเก่ง”
ชายชื่อพิภพปรบมือให้รัตติกาลและฤทธิชาติที่จ้องมองมายังตนอย่างอาฆาต โดยที่อารัณย์ และกันต์ชนกต่างก็ไม่เข้าใจ ยกเว้นนิลจะพอประติดประต่อมันเข้ากับสิ่งที่ทั้งสองคนนั้นพยายามจะปกปิดเขาไว้
“อย่าบอกนะว่านี่คือเรื่องที่มึงกับกาลแอบไปทำลับหลัง”
นิลเอ่ยถามฤทธิชาติที่นั่งนิ่งแล้วให้ความเงียบแทนคำตอบทุกอย่าง พิภพที่ได้ยินคำถามของนิลเช่นกันก็หัวเราะร่าออกมาก่อนจะช่วยนายตำรวจหนุ่มอธิบายถึงความจำเป็นนั้นแทนอย่างถือวิสาสะ
“น่าๆ อย่าโกรธไปเลยครับคุณนิล การติดต่อกับพวกอดีตมาเฟียค้าไม้ ไม่ใช่สิ่งที่น่าเข้าไปยุ่งหรอก ว่าอย่างนั้นไหม”
“มาเฟียค้าไม้?”
อารัณย์พูดทวนคำพูดนั้นในเชิงถาม พลางหันไปมองหน้ารัตติกาลไปด้วย คนถูกมองเองก็หลบตาเพราะไม่ใช่แค่นิลเท่านั้นที่เขาและฤทธิชาติตั้งใจปิดบังความจริงไว้ การที่เขายอมเสียเงินมหาศาลแลกกับการเข้าไปติดต่อกับอดีตมาเฟียพวกนั้นเพื่อข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งลับลอบค้าไม้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนทีในอดีตไม่ใช่เรื่องที่เขาจะป่าวประกาศให้ใครรู้ได้ และที่สำคัญรัตติกาลมั่นใจว่าหากบอกเรื่องนี้ให้อารัณย์รู้คนรักของเขาจะต้องขัดขวางอย่างถึงที่สุดเป็นแน่
“ครับ แต่ผมไม่ใช่หรอกนะ ฮ่าๆ แค่เคยติดต่อทำธุรกิจด้วยกันเท่านั้นเอง เหมือนกับที่นทีเคยทำ”
พิภพตอบพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ เขาหันไปยิ้มให้รัตติกาลที่กำมือแน่นเมื่อได้ยินถึงตรงนี้ก่อนจะพูดแก้ตัวออกมาราวกับรู้ว่าร่างโปร่งกำลังคิดอะไร
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมไม่ใช่คนที่สั่งเก็บนทีมันซะหน่อย”
“ถึงไม่ได้ลงมือ แต่มึงเป็นคนชี้นำคนพวกนั้นไม่ใช่รึไง”
รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้รับรู้มา เบื้องหลังธุรกิจผิดกฎหมายที่มีเงินหมุนเวียนมหาศาลพอๆกับอำนาจที่มีค่ามากกว่าเงินตราซึ่งทุกคนล้วนแต่แย่งกันไขว่คว้าทั้งสองอย่างไว้ รวมถึงนทีและหุ้นส่วนที่เข้ามาลงทุนพร้อมๆกันซึ่งมีชื่อว่าพิภพตามคำบอกเล่าของอดีตมาเฟียพวกนั้น
ถึงแม้จะเป็นคนละกลุ่มกันแต่เรื่องความขัดแย้งของนทีและพิภพก็เป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งวงการ โดยเฉพาะเรื่องที่นทีลงทุนไปกับการลักลอบนำไม้พะยูงเข้ามาโดยใช้เส้นสายและความสามารถที่ถูกนำมาใช้ผิดๆชิงตัดหน้าพิภพจนเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก นำไปสู่การเปิดโปงกลโกงมากมายที่นทีเคยใช้เพื่อหลอกเอาผลประโยชน์จากกลุ่มมาเฟียเจ้าถิ่นจนทำให้อดีตคนรักของเขาโดนสั่งเก็บตามคำพิพากษาจากศาลเตี้ยที่คนนอกกฎหมายพวกนั้นใช้ตัดสินโทษคนทรยศ
“จะโทษผมก็ไม่ถูกนะครับ ที่นทีมันต้องตายก็เพราะดันไปโกงเสี่ยเขาก่อนทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าต่อให้กลายเป็นวิญญาณ...คนพวกนั้นก็จะไม่มีทางปล่อยมันไป”
พิภพว่ายิ้มๆก่อนจะเหลือบไปมองรพีที่เริ่มขยับไปมาเพราะรู้สึกไม่สบายตัว รัตติกาลมองลูกชายอย่างร้อนใจ คำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้มันทำให้ร่างโปร่งนึกหวั่นว่าสิ่งที่เขากลัวมากที่สุดจะเกิดขึ้นจริงๆ
“อย่า ยุ่ง กับ รพี”
“ทำหน้าตาซะน่ากลัวเชียวนะครับ ไม่ต้องเป็นกังวลขนาดนั้นก็ได้...เพราะผมไม่ใช่คนที่คุณสมควรกลัวมากที่สุด”
“แพง ได้ยินผมไหมแพง!”
กันต์ชนกรีบร้องเรียกภรรยาของตนทันทีที่พิภพเบนเข็มไปยังร่างที่ไม่ได้สติของพะแพง รัตติกาลหันไปมองพี่รหัสของตนซึ่งถูกขังอยู่ในลูกกรงเช่นเดียวกันด้วยความร้อนใจ เขาพยายามกระเสือกกายเข้าไปช่วยเหลือแต่มันก็ไร้ผลเหมือนกับทุกครั้ง ชายหนุ่มตบหน้าของพะแพงเบาๆเหมือนที่ทำกับรัตติกาลโดยใช้เวลาไม่นานหญิงสาวก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับอาการมึนงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก
“คุณ! ทำไม!? นั่นรพีนิ...รพีลูกแม่!”
พะแพงรีบรุดเข้าไปหาเด็กชายโดยที่พิภพไม่ได้ห้ามปรามเหมือนกับคราวของรัตติกาล หญิงสาวประคองกอดรพีไว้ราวกับของล้ำค่า ตั้งแต่จากครรภ์ของเธอมานี่ถือเป็นครั้งแรกที่พะแพงได้กอดลูกชายคนเดียวของเธอไว้ในอ้อมอกอุ่นอย่างนี้ น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลริน แต่มันคงจะซาบซึ้งกว่านี้หากไม่มีรอยยิ้มน่าสะอิดสะเอียดของพิภพฉายขึ้นมาเป็นฉากหลัง
“แหม ถ้าลูกสาวคุณมาเห็นคงเสียใจน่าดูเลยนะครับพะแพง ที่แม่ของตัวเองพอฟื้นขึ้นมาเอาแต่ร้องหาลูกในไส้...ไม่ถามถึงลูกปลอมๆอย่างตัวเองเลยสักคำ”
คำพูดของชายหนุ่มไม่ได้ผิดไปจากความจริงนักจึงหนักราวกับค้อนหนาที่ทุบเข้ากลางใจของผู้ฟังอย่างกันต์ชนกและพะแพงที่เพิ่งได้สติว่านอกเหนือจากเด็กชายที่กำลังสะลึมสะลือใกล้ตื่นในอกของเธอแล้ว ยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเธอเลี้ยงมาในฐานะลูกแท้ๆ และตอนนี้ลูกของเธอไม่ได้อยู่ที่นี่
“พิมพ์ใจ…พิมพ์ใจอยู่ไหน แกทำอะไรเขารึเปล่า!!”
“ใจเย็นๆสิ ผมไม่พาเธอมาด้วย...ตามที่ตกลงกันไว้”
ไม่ใช่แค่พะแพงคนเดียวที่อึ้งไปกับคำพูดของชายตรงหน้า ทุกชีวิตในห้องยกเว้นเด็กน้อยที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวต่างมองไปยังหญิงสาวด้วยความมึนงงและต้องการคำอธิบาย พะแพงเห็นสายตาของสามีและน้องเขยที่มองมาแล้วนึกหวั่น เธอก้มหน้าลงราวกับต้องการหนีปัญหาแต่ถึงอย่างนั้นมันก็หยุดความสงสัยของคนไม่ได้
“หมายความว่ายังไงแพง ที่ผู้ชายคนนั้นพูด...”
“กันต์...”
“ที่เขาบอกว่าตามที่ตกลงกันไว้ มันคืออะไร แพงรู้จักกับเขามาก่อนหรอ”
กันต์ชนกไม่อาจปิดบังความผิดหวังทางสีหน้าและน้ำเสียงได้ ผู้หญิงอีกคนที่เขารักกำลังมองมาที่เขาอย่างอ้อนวอน แต่มันกลับไม่ง่ายเลยที่จะทำใจเย็นอยู่ได้
“ไม่นะ แพงไม่รู้จัก แพงแค่ อึก แพงแค่...”
“แค่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ลูกชายคืนมาเท่านั้นเอง”
พิภพพูดแทนพะแพงที่มัวแต่อ้ำอึ้งอีกครั้ง จนทำให้หญิงสาวแทบอยากร้องไห้ออกมาเมื่อทุกคนต่างมองมายังเธอด้วยความผิดหวังอย่างถึงที่สุด
“อย่าเข้าใจผิดไปนะครับ ทีแรกคุณพะแพงก็ไม่ได้รู้จักผมเหมือนกันนั่นแหละ แต่ผมรู้สึกทนไม่ได้จริงๆที่ทุกคนปิดบังเรื่องราวทุกอย่างไว้ เลยมีน้ำใจ...เป็นคนบอกเรื่องของกาลและรพีให้เขารู้เท่านั้นเอง”
ความสงสัยที่อยู่ในใจของอารัณย์มานานถูกแก้ออก ชายหนุ่มพยายามหาคำตอบว่าพี่สาวของตนรู้เรื่องของรัตติกาลได้ยังไงในเมื่อก่อนหน้าวันเกิดของรพี เขาได้เดินทางมาหากันต์ชนกเพื่อขอให้ปิดทุกอย่างไว้เป็นความลับเหมือนกับที่มันเคยเป็นมา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หญิงสาวจะรู้เรื่องพวกนี้ได้...หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่น
“หยุดนะ! หยุดพูดสักที!”
“อะไรกัน ผมก็แค่ช่วยพูดความจริงให้พวกเขาฟังแท้ๆ ไม่คิดจะขอบคุณกันสักคำเลยหรอ มันยากไม่ใช่รึไงกับการที่จะต้องยอมรับว่าที่ทุกคนมาอยู่ที่นี่ ในสภาพนี้มันเป็นเพราะ...คุณ”
พะแพงแทบอยากจะกลั้นใจตาย พลางนึกกนด่าตัวเองที่ยืมมือชายคนนี้โดยไม่ระวังให้ดีซะก่อน หญิงสาวลืมคิดไปเสียสนิทว่าคงไม่มีใครยอมทำตามความปรารถนาของคนอื่นได้โดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ แล้วยิ่งเป็นความต้องการที่ร้ายแรงอย่างการกำจัดรัตติกาลให้พ้นไปจากชีวิตของเธอและลูกแล้วด้วย...ไม่มีทางเลยที่ราคาของมันจะน้อยนิดอย่างที่หวัง
“ทำไมพี่ทำแบบนี้...”
“ไม่ใช่นะรัณย์! พี่แค่อยากหลอกให้กาลรับปากว่าจะยกรพีให้พี่เท่านั้น พี่ไม่เคยคิดว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนี้เลยจริงๆนะ เชื่อพี่สิ!”
พะแพงรีบพูดแก้ตัวกับน้องชายที่ไม่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน แต่อารัณย์กลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ร่างสูงไม่อยากแม้แต่จะมองใบหน้าของคนที่ตนเคารพรักมาตลอดด้วยสายตาแบบนี้เลยสักนิด แต่การทีคนที่เขารักและเพื่อนของเขาจะต้องมาเจ็บตัวเพราะพี่สาวของตัวเอง อารัณย์ก็ละอายเสียจนพูดไม่ออก
“เป็นเรื่องจริงนะครับ คุณพะแพงแค่ยอมเล่นละครแกล้งว่าโดนจับตัวมาเท่านั้น แต่เรื่องที่จะให้กาลยอมตกลงเรื่องของรพีแลกกับตัวเองนั่นน่ะ...คุณคิดไปเอง”
เสียงหวีดร้องของพะแพงดังขึ้นเมื่อกุญแจมืออีกอันลั่นลงตรงข้อมือของหญิงสาวที่พยายามขัดขืนสุดตัว วินาทีนี้แม้จะยังรู้สึกโกรธเคืองแต่รัตติกาลก็อยากจะเข้าไปช่วยรวมถึงคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จริงๆว่าพิภพต้องการอะไรกันแน่
“ปล่อย! แกจะทำอะไรน่ะ รพี!!”
“อย่ายุ่งกับรพีนะ!”
ทั้งพะแพงและรัตติกาลต่างร้องห้ามพิภพที่คว้าเด็กชายมาอุ้มไว้เอง ร่างป้อมที่ได้ยินเสียงดังรบกวนและโดนกระชากไปมาลืมตาตื่นขึ้นอย่างมึนงง รพีมองไปรอบๆห้องที่ไม่คุ้นเคยก่อนสายตาจะมาบรรจบที่บิดาซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
“พ่อกาล!”
รพียิ้มร่า พยายามจะไปหาแต่ก็โดนมือของชายแปลกหน้ารั้งไว้ เด็กชายหันมามองพิภพอย่างสงสัยแต่เหมือนมีสัญชาติญาณบางอย่างที่บอกรพีว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
“ปล่อยนะ พีจะไปหาพ่อ ฮึก พ่อกาล”
“โอ๋ๆอย่าร้องไห้ไปสิครับ อายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“อย่าทำอะไรรพี อยากได้บ้านหลังนั้นนักใช่ไหม เอาไปสิ! แล้วปล่อยรพีมา”
รัตติกาลพยายามยื่นข้อเสนออย่างที่อีกฝ่ายอยากได้ให้ พิภพนิ่งไปแล้วทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจนร่างโปร่งเริ่มใจชื้น แต่แล้วใบหน้าเครียดขึงนั้นก็เปลี่ยนเป็นยกยิ้ม ก่อนพิภพจะหัวเราะออกมาจนดังก้องไปทั่วทั้งห้อง
“ฮ่าๆ ถ้าหมายถึงเอกสารที่คุณหมอนั่นเอามาด้วยล่ะก็ ผมไม่อยากได้หรอกครับ เพราะว่ามันเป็นของปลอม ส่วนของจริงน่ะ อยู่นี่ต่างหาก...”
ประตูห้องเพียงบานเดียวเปิดออกเผยให้เห็นร่างาสะโอดสะองของธิชาในเสื้อผ้าแบบที่รัตติกาลคุ้นตา หญิงสาวเงยหน้าสบตากับอดีตเจ้านายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข็นเอาบางอย่างที่ถูกวางไว้บนรถเข็นล้อลากออกมา เรียกสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของทุกคนไปหยุดลงตรงที่สิ่งนั้น
บ้านไม้จำลองหลักเล็กซึ่งเป็นของขวัญของรพีปรากฏแก่สายตาทุกคู่ในห้อง กรอบแก้วที่ครอบมันไว้ถูกธิชายกออกก่อนที่พิภพจะเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับอุ้มรพีไปด้วย ชายหนุ่มเอื้อมมือไปในส่วนของพื้นไม้ที่ชิ้นส่วนของมันถูกหยิบออกมาได้เพราะครั้งหนึ่งรัตติกาลเคยทำมันตกพื้นจนชำรุด พิภพค่อยๆใช้อุปกรณ์ที่ธิชาเตรียมมาให้แงะไม้แผ่นที่อยู่ติดกันออกไปจนเผยให้เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนา
“ในที่สุดก็หาเจอ...”
ชายหนุ่มรำพันกับตัวเองพร้อมกับมองสิ่งของในมือตนด้วยดวงตาแววโรจน์ พิภพไม่สนใจร่างป้อมที่เริ่มร้องไห้งอแง เขาเริ่มลงมืออ่านกระดาษแผ่นนั้นราวกับว่ามันสำคัญยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก
“ให้ตายสิ เป็นคนที่กินไม่ลงจริงๆนะครับ...นที”
พิภพยิ้มหยันก่อนจะหันไปส่งสัญญาณบางอย่างกับธิชาที่ยืนเยื้องไปข้างหลัง หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่เธอถือไว้ อาวุธสีดำมะเมื่อมถูกวางลงตรงหน้ารัตติกาลและพะแพงคนละกระบอก ทุกคนในห้องต่างมองของสิ่งนั้นด้วยความไม่เข้าใจ แม้แต่รัตติกาลก็ยังพยายามถามอดีตลูกน้องถึงเหตุผลแต่ธิชาก็ทำเพียงโค้งน้อยๆให้ร่างโปร่งแล้วเดินถอยออกมายืนเคียงข้างพิภพตามเดิม
“เอาล่ะ ได้เวลาเริ่มเกมกันจริงๆสักที”
ชายหนุ่มว่าก่อนจะวางรพีลงบนพื้นที่วางเพียงน้อยนิดบนรถเข็น เด็กชายที่เห็นสีหน้าร้อนใจของบิดารวมไปถึงความหวาดกลัวที่มีเป็นทุนเดิมเริ่มดิ้นหนีแต่แล้วเสียงหวีดร้องของพะแพงก็ดังขึ้น เข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวสีฟ้าใสถูกจ่อไปบนคอของรพีจากทางด้านหลัง เด็กชายที่ไม่ประสีประสาร้องไห้หนักขึ้นแล้วพยายามจะหนีอีกครั้งแต่การทำอย่างนั้นกลับทำให้ลำคอขาวของรพีหลั่งเลือดสีแดงสดออกมา
“พี! อย่าดิ้นลูก อย่าขยับ!!”
“รพี ฮึก ปล่อยลูกฉันเดี๋ยวนี้นะ!!”
ทั้งรัตติกาลและพะแพงต่างร้องห้ามด้วยเสียงกร้าว ความรู้สึกเจ็บแบบเดียวกันกับที่เด็กน้อยเคยเผชิญทำให้รพีนั่งตัวสั่นมองบิดาไม่วางตา ในขณะที่อารัณย์พยายามกระชากตัวออกจากเก้าอี้อีกครั้งโดยไม่สนแล้วว่าแขนของตัวเองจะไร้ความรู้สึกไปแล้ว เช่นเดียวกับฤทธิชาติที่ถึงแม้จะอาการสาหัสก็กำลังพยายามลุกขึ้นทั้งที่มีเก้าอี้ติดตัวอยู่แบบนั้น
“ผมจะปล่อยก็ได้...แต่เราต้องเล่นเกมกันก่อน”
พิภพมองไปยังปืนทั้งสองกระบอกที่ถูกวางอยู่ตรงหน้าคนทั้งสองอย่างสื่อความหมาย รัตติกาลลังเล ส่วนพะแพงไม่...เธอรีบคว้ามันขึ้นมาแล้วหันปลายกระบอกไปยังร่างของพิภพที่ยืนอยู่ด้านหลังของลูกชายตน
“ปล่อยรพีไม่งั้นฉันยิงแกแน่!!!”
“พี่แพงอย่า! เดี๋ยวโดนลูก!”
รัตติกาลร้องห้าม ก่อนจะหันไปมองพิภพเพื่อให้อีกฝ่ายอธิบายกติกามา ชายหนุ่มรู้ดีว่าพวกเขาไม่อยู่ในสถานการณ์ที่จะเลือกได้อีกแล้ว ทางเดียวที่จะผ่านมันไปให้ได้ คือเอาชนะผู้ชายตรงหน้าเท่านั้น
“เกมนี้ง่ายนิดเดียว ปืนแต่ละกระบอกมีกระสุนอยู่แค่หนึ่งนัด พวกคุณแค่หยิบมันขึ้นมาแล้วยิงใครก็ได้ที่อยู่ในห้องนี้ซะ”
“..,!!!”
“ไม่เกี่ยวกับความดีหรือเลวอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณอยากให้ใครหายไปจากชีวิต ก็แค่...ลั่นไกออกมา”
รัตติกาลหันไปมองหน้าพะแพงในจังหวะเดียวกันกับหญิงสาวที่เบนสายตากลับมาที่เขา ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งแล้วรับรู้ถึงหัวใจที่เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“เลือกสิครับ ว่าคนที่ควรหายไป...คือใคร”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!
ก่อนอื่น...มาช้ามากคับ 555 ในแฟนเพจบอกจะอัพเมื่อวาน แต่เช่กลับมากองมาเที่ยงคืนกว่า คุณพระ T^T ไม่ไหวเลยๆ เขียนไปปวดหัวตุ๊บๆ เลยนอนแล้วตื่นมาอัพตอนเช้าแทนแบบนี้นะคับ ขอโทษด้วย :mew2:
ลาสบอสโผล่ออกมาเต็มตัวแล้ว ยากมากกับการที่จะต้องอธิบายผู้ชายคนนี้ในหน้ากระดาษที่จำกัด 555 ดูท่าหนังสือคงเกิน1200แน่ๆแล้ว กำไรคนซื้อหนังสือไปนะคับ (ลุ้นเรื่องเข้าเนื้ออีกแล้ววว) หวังว่าคงจะไม่งงกัน บางเรื่องไม่ใช่เช่ไม่เฉลย แต่จะเฉลยเมื่อถึงเวลา อาจจะไม่พอใจกันบ้างแต่มันเป็นเทคนิคของเช่จริงๆคับ^^ แฮ่
เรื่องหนังสือ ตอนนี้จิบิสำหรับทำโปสการ์ดเสร็จแล้ว!!! :katai4: งานดีงานโมเอะอย่างที่หวัง เหมาะกับเนื้อเรื่องเราจริงๆสิให้ตาย ตอนนี้เช่ก็จะเหลือแค่ทำเนื้อเรื่องให้เสร็จ ตรวจอักษร จัดหน้า แล้วก็จะออกแบบบ็อกเป็นอย่างสุดท้ายเมื่อรู้จำนวนหน้าที่แน่นอนนะคับ ทำให้เวลาเปิดเรื่องใหม่อาจจะช้าสักหน่อย แต่อย่างที่เคยโพสไปในแฟนเฟจว่าเราจะเข็นเรื่องของน้องปูนมาให้ยลกันแน่นอน ไม่ม่าปวดตับปวดหัวเท่าไนท์แมร์ แต่หวังว่าทุกคนคงจะชอบมันไม่น้อยไปกว่าเรื่องนี้นะคับ^^ :man1:
แอบเม้าท์มอยเล็กๆ ไม่กี่วันก่อนเช่ไปดูหมอมา(ตั้งใจไปถามเรื่องเปิดขายหนังสือ ไม่ได้คาดหวังเลยจริงจริ๊งงงงง) !!!!! เขาบอกว่าเช่ถ้าเป็นนักเขียนมีโอกาสรุ่งเลยถามเช่ว่าเขียนแนวไหน ก็บอกไปว่านิยายรักที่มีสืบสวนเล็กๆ เขาก็บอกว่าดีๆ เหมาะกับนิสัยเขียนแนวนี้จะรุ่ง แต่ถ้าเพิ่มความดราม่า ความเครียดเข้าไปอีกนิดจะดีมากเลย โอ้โห เช่นี่นั่งก้มหน้า .... พลาดไปสินะ เพราะตูใส่ไปเพียบเลยว้อยยยยยยยยยย 555555555 :katai1: คนอ่านถึงกับบอกว่าถ้าไม่ happy end จะเลิกติดตาม มันมากเกินไปสินะ 555
ป.ล. ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ อีกสามสี่ตอนจะจบแล้ว ใจหายหน่อยๆ หวังว่าทุกคนที่ทนปวดตับกันมาถึงตอนนี้จะมีความสุขกับงานของเช่นะ (คนอ่านบอก ให้เลือกยิงกันแบบนี้ตูจะมีความสุขได้ไหม 555) :katai3:
ป.ล.ล. ยังสั่งจองหนังสือกันได้นะคับ ยินดีรับเสมอเลย :) :-[
-
:z3: :z3: :z3:
-
ทำไมเราอ่านแล้วเกลียดพะแพงจัง
-
ง่ายๆเลย ยิงตาพิภพนั่นแหละ :ruready
-
โอ้ยยย....หน่วง!!!!
-
48th Night
…Bang...
หากจะมีอะไรที่ทั้งสว่างและดำมืดมากที่สุดในโลกใบนี้
ก็คงจะเป็นหัวใจของมนุษย์นั่นแหละ...
“เลือกสิครับ ว่าคนที่ควรหายไป...คือใคร”
เป็นครั้งแรกที่รัตติกาลอยากจะหัวเราะดังๆเมื่อได้มาอยู่ในห้องๆนี้ ชายหนุ่มตอบตัวเองได้ทันที่ว่าคนที่สมควรหายไปมากที่สุดคือใคร แต่คนคิดเกมอย่างพิภพคงไม่โง่พอที่จะหยิบยื่นเคียวถึงสองอันเพื่อให้มัจจุราชจำเป็นทั้งสองคนสามารถคร่าชีวิตอันบิดเบี้ยวไปได้ง่ายๆ
ร่างโปร่งสบตาลูกชายที่นั่งตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของศัตรูอย่างปวดใจ หากเขาไม่ถูกตรึงไว้ที่ซี่เหล็กนี่ รัตติกาลเข้าไปแย่งชิงรพีมาโดยไม่นึกเสียดายชีวิตแต่ในสถานการณ์เช่นนี้การด่วนทำอะไรไปตามอารมณ์ก็เท่ากับการตัดทางรอดเพียงน้อยนิดของทุกคนทิ้งไปเท่านั้น
“ปล่อยรพีออกมาสิไอ้สวะ! ไม่ต้องมีปืนกูก็ฆ่ามึงได้”
นิลที่ทนดูสถานการณ์ตรงหน้าไม่ไหวตะโกนด่าออกมาเสียงกร้าว แม้จะนึกเจ็บใจในสิ่งที่พะแพงทำแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความระยำของคนตรงหน้าที่นำพาความเลวร้ายทุกอย่างมาหาทุกคน
“อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ตัวเองอาจจะเป็นคนที่ถูกเลือกเหมือนกันแท้ๆ”
พิภพพูดยิ้มๆแต่คนฟังกับขมวดด้วยความสงสัย ชายผู้คุมเกมไว้หันไปมองคนที่ยังคงชี้กระบอกปืนมาทางตัวเองอย่างไม่ร้อนใจแม้มือของพะแพงจะกำลังสั่นจนน่าหวาดเสียวก็ตาม
“คนที่คุณอยากจะฆ่าไม่ใช่ผมหรอกครับ คุณพะแพง”
“แกนั่นแหละ! แกหักหลังฉัน แกทำร้ายทุกคน!!”
“ฮ่าๆ อย่าพูดจาเหมือนตัวเองเป็นคนดีแบบนั้นสิครับ ไม่เอาน่า ตอนที่ผมเสนอข้อตกลงนั้นให้คุณก็ออกจะพอใจกับมันมากแท้ๆ”
รอยยิ้มหยันเหยียดถูกมอบให้หญิงสาวที่เอาแต่ส่ายหน้าไปมาอย่างรับไม่ได้ ชายหนุ่มมองภาพตรงหน้าอย่างพอใจก่อนจะเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก
“ไม่เห็นต้องสนใจเลยนี่ครับว่าคนที่เหลือจะเป็นยังไง คนที่คุณต้องการมีแต่รพี...ลูกชายของคุณกับนทีเท่านั้นไม่ใช่หรอ”
“...!!!”
“ที่พวกเขาบอกให้คุณตัดใจไม่ใช่เพราะไม่มีทาง แต่เขาไม่อยากให้คุณได้อยู่กับลูกต่างหาก อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนที่ปิดหูปิดตาคุณมากว่าหกปี อย่าลืมสิว่าใครเป็นคนที่ทิ้งคำว่าพี่น้องแล้วหันไปเข้าข้างศัตรู อย่าลืมสิว่าใครคือคนที่คอยกันคุณออกจากลูก...เห็นไหม ว่าในที่นี้ไม่มีใครเป็นพวกพ้องของคุณเลยนอกจากผม”
“มะ ไม่ใช่”
“คนพวกนี้ทอดทิ้งคุณ พวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคุณจะรู้สึกยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาหันหลังให้ คุณคงไม่เลือกเดินทางนี้ใช่ไหม...พะแพง”
มือของหญิงสาวสั่นยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับการพังทลายของความเชื่อเดิมที่ถูกสร้างไว้ ปากกระบอกปืนค่อยๆเปลี่ยนทิศทาง พะแพงหันไปมองหน้าทุกคนด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจนผู้ที่ถูกกล่าวหารู้สึกใจหาย กันต์ชนกทั้งรู้สึกละอายและปวดร้าวในขณะเดียวกันเพราะสิ่งที่ชายคนนั้นพูดมาไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ความผิดบาปในใจที่ถูกเก็บไว้มานานทำให้นายแพทย์หนุ่มไม่กล้าสู้หน้าภรรยา ดวงตาภายใต้กรอบแว่นค่อยๆหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกับคำพูดเดียวที่อยากบอกให้ฟังมากที่สุด
“ผมขอโทษ...”
พะแพงร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง สิ่งที่กันต์ชนกพูดออกมาเหมือนตอกย้ำคำพูดของพิภพให้มีน้ำหนักมากขึ้นอีก ดวงตาสีน้ำตาลที่เปียกปอนค่อยๆเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวจนอารัณย์รู้สึกกลัว เช่นเดียวกับนิลที่พยายามตะโกนบอกพะแพงแต่ก็ไร้ผล
“พี่แพง อย่าทำนะ!!”
“เป็นเพราะแก ฮึก เพราะแกคนเดียว”
พะแพงเบนเป้าหมายไปยังรัตติกาลที่ยังคงไม่หยิบอาวุธขึ้นมา ร่างโปร่งตอบรับความอาฆาตนั้นด้วยการกำหมัดแน่นด้วยเพราะไม่รู้จะทำยังไงเช่นกัน รัตติกาลได้ยินเสียงของเพื่อนที่ฟังดูร้อนใจไม่เหมือนเคย และเสียงของคนรักที่เหมือนกับกำลังทรมานเพราะอะไรบางอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็หันกลับไปมองไม่ได้ในระหว่างที่กำลังรับรู้ความโกรธเกรี้ยวของคนที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะคร่าชีวิตของเขา
“ไม่หยิบมันขึ้นมาจะดีหรอครับ”
พิภพพูดขึ้นด้วยเสียงสบายๆเหมือนกับตัวเองไม่ได้เป็นคนทำให้หัวใจของใครบิดเบี้ยวจนผิดรูป รัตติกาลหันไปมองตามเสียงนั้นพร้อมกับตระหนักถึงความน่ากลัวของชายคนนี้ ต่อให้ไม่ต้องไม่ต้องหลบอยู่หลังรพี พิภพก็สามารถกำจัดพวกเขาทิ้งได้โดยมือไม่ต้องเปื้อนเลือดเลยแม้แต่หยดเดียว
“ดีสิ...ก็อยากพูดแบบนั้นอยู่หรอก”
รัตติกาลว่าก่อนจะก้มหยิบปืนของตนขึ้นมา เขามองมันอยู่อย่างนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาวที่ยังคงมองมาที่เขาอย่างแน่วแน่
“ต่อให้พี่ฆ่าผม เรื่องมันก็ไม่จบหรอกรู้ใช่ไหม”
“ไม่หรอก มันจะจบ”
“ไม่จบ เพราะสิ่งที่มันต้องการ...คือเราทั้งคู่ต้องตาย ใช่ไหมพิภพ”
ร่างโปร่งหันไปถามผู้คุมเกมที่เอาแต่มองมาทางนี้อย่างชอบใจ ชายหนุ่มยิ้มรับพลางใช้มืออีกข้างลูบผมของรพีไปด้วยโดยที่การกระทำนั้นยิ่งทำให้เด็กชายกลัวจนตัวสั่น ร่างป้อมรู้สึกได้ว่ามือที่กำลังสัมผัสตัวเองอยู่นั้นเย็นจนน่าขนลุก แม้ว่ามือของพ่อกาลจะเย็นเหมือนกัน แต่ชายคนนี้กลับแตกต่างออกไป
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ ผมไม่เคยบอกว่ามันต้องเป็นแบบนั้นสักหน่อย ผมแค่อยากทำดีส่งท้าย ช่วยจบเกมที่ยาวนานของพวกคุณให้เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มพูดก่อนจะใช้เข็มยาวลูบไปตามลำคอขาวของรพี เด็กชายนั่งเกร็งจนตัวแข็งพอๆกับรัตติกาลที่พยายามเก็บอาการไม่แสดงความหวั่นไหวออกมา
“กาลเองก็เบื่อไม่ใช่รึไง...ฝันร้ายที่ไม่จบไม่สิ้นไปสักที”
“...”
“ได้มาแล้วเสียไป กี่ครั้งแล้วที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น การโกหก ทรยศหักหลัง จะต้องมีอีกกี่ครั้งกันที่ต้องเผชิญกับมันตราบใดที่ยังคงจมอยู่ในอดีตที่วนเวียนอยู่ไม่จบไม่สิ้น...อยากมีไม่ใช่หรอ การเริ่มต้นใหม่น่ะ”
รูปถ่ายสองใบถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงของพิภพ ภาพในวันวานของพวกเขาทั้งสี่คนในชุดนักศึกษา และภาพของเขาและรพีที่ถูกถ่ายขึ้นในงานวันเกิดนั้นปรากฏขึ้นให้เห็นเต็มสองตา
“บางสิ่งบางอย่างต้องถูกทำลายก่อนถึงจะสร้างขึ้นใหม่ได้ ระหว่างอดีตที่ขมขื่นกับอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า กาลจะเลือกอะไรล่ะครับ”
รัตติกาลยืนนิ่งก่อนจะหัวเราะออกมาราวกับว่าสิ่งที่พิภพพยายามพูดกล่อมมันน่าขันเสียเต็มประดา
“นึกว่าจะพูดอะไร ให้ตายสิ นึกว่าจะฉลาดกว่านี้นะเนี่ย”
“ห๊ะ?”
“ขอโทษทีนะที่คำพูดของมึงใช้กับกูไม่ได้ผล ทำลายอดีตเพื่อสร้างอนาคตใหม่หรอ หึ ของแบบนั้นน่ะมันมีจริงซะที่ไหน”
ร่างโปร่งยกปืนขึ้นชี้ไปยังจุดที่พิภพยืนอยู่ด้วยแววตาที่ไร้ความลังเล
“เกมนี้มึงพลาดสองอย่าง หนึ่ง...มึงคงไม่รู้ว่ากูยิงปืนแม่นขนาดไหน แค่ยิงมึงที่ขี้ขลาดขนาดต้องหลบอยู่หลังเด็กตัวเล็กๆมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย และสอง...หากมึงยื่นข้อเสนอให้กูเร็วกว่านี้เกมของมึงมันก็อาจจะได้ผล แต่ตอนนี้ไม่แล้ว...”
“...!!!”
“เพราะอนาคตที่กูต้องการ...ไม่ได้มีรพีแค่คนเดียว”
รัตติกาลยิ้มก่อนจะหันไปสบตาอารัณย์ที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงที่ได้ยินคำพูดของคนรักทุกคำรู้สึกได้ถึงหัวใจพองขึ้นจนคับแน่นไปทั้งอก
“ไม่จริงน่ะ...”
พิภพเผยสีหน้าผิดหวังออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก รัตติกาลปลดตัวเซฟตี้ลงโดยเล็งไปที่ตำแหน่งของศีรษะซึ่งอยู่ไกลจากตัวลูกชายมากที่สุด สิ่งเดียวที่เขาคำนึงถึงไม่ใช่ปืนอีกกระบอกที่กำลังเล็งมาที่ตนเอง หากแต่เป็นเข็มเล่มเล็กๆที่กำลังจ่อคอของรพีอยู่ต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นร่างโปร่งก็ไม่มีทางเลือก สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือปลิดชีพพิภพให้ได้ที่ก่อนที่เข็มนั้นจะฝังลงเนื้อในของลูกชายและก่อนที่คมกระสุนจะเจาะทะลุร่างของเขาเท่านั้น
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
แต่ยังไม่ทันที่รัตติกาลจะได้เหนี่ยวไก เสียงหัวเราะของพิภพก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มถึงขึ้นลดการป้องกันลงโดยปล่อยมือที่กำลังถือเข็มอยู่จนมันกลิ้งตกลงไปบนพื้นทำให้ทุกคน ณ ที่นั้นรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก
“เมื่อกี้กำลังคิดใช่ไหมว่าตัวเองจะชนะ ฮ่าๆๆ ตลกเป็นบ้า อนาคตของพวกเราทั้งสามคน โอ้ยๆๆๆ Happy end ล่ะ!! แต่ว่าน่าเสียดายจังนะ...”
“...!!!”
“เรื่องพวกนั้นผมรู้อยู่แล้วล่ะ”
เร็วกว่าที่รัตติกาลจะได้ตั้งตัว ร่างที่กำลังก้มตัวลงไปขำก็พุ่งเข้ามาหารัตติกาลพร้อมกับเข็มเล่มเดิมที่กลับเข้ามาอยู่ในมือของพิภพอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เหนี่ยวไก อาวุธที่เล็กที่สุดก็เสียบเข้าที่ต้นแขนของร่างโปร่งทะลุเสื้อผ้าก่อนของเหลวสีฟ้านั่นจะถูกกดเข้ามาในร่างจนรัตติกาลรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวในร่างกายของตนเอง ด้วยความตกใจ ชายหนุ่มปืนในมือตกลงก่อนจะใช้มืออีกข้างกดจับบริเวณที่ถูกฉีดยาเข้าไปพร้อมกับร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
อารัณย์ที่เมื่อครู่รู้สึกมีความหวังขึ้นมาตะโกนลั่น เขาลุกออกไปทางที่คนรักล้มลงโดยที่เก้าอี้นั่นยังติดต่างของตัวเองอยู่ แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจ เขาพยายามใช้มันฟาดกับลูกกรงแรงๆเพื่อให้เก้าอี้ไม้สีขาวตัวนี้เสียหายแม้ว่าอีกสิ่งที่กำลังพังลงไปพร้อมๆกันจะเป็นแขนของตัวเองก็ตาม
“กาล!!! อย่าเป็นอะไรไปนะกาล!!!”
เสียงคำรามของร่างสูงทำให้แม้แต่พะแพงที่ยืนอึ้งอยู่เผลอชะงักไปครู่หนึ่ง เธอมองน้องชายของเธอหลั่งน้ำตาออกมาทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว แขนของอารัณย์มีเลือดไหล่มากขึ้นเรื่อยๆจนมันย้อมไม้สีขาวให้เปลี่ยนเป็นสีแดงจนน่ากลัว
“ใจเย็นๆน่า มันไม่ใช่ยาพิษหรอก ผมแค่ทำให้กาลรู้สึกสบายขึ้นเท่านั้นเอง”
“ไอ้หมอลอบกัด!!! มึงมันโรคจิต!!!”
“ว่าผมแบบนั้นจะดีหรอครับ”
อารัณย์กัดฟันกรอดก่อนจะหันมามองรัตติกาลที่ลมหายใจเริ่มหอบหนัก เหงื่อกาฬมากมายไหลซึมออกทางไรผมและผิวกายจนเสื้อที่สวมใส่ลู่ติดผิว ร่างโปร่งงอตัวลงกับพื้น ดวงตาสีดำเบิกกว้างราวกับอะไรบางอย่างกำลังปะทุออกมา อารัณย์พยายามเบียดตัวเองเข้าไปใกล้ลูกกรงให้มากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำไม่ได้
“กาล ได้ยินผมไหมกาล!!!”
“ดูท่าจะไม่ได้ยินหรอกครับ รัตติกาลของคุณกำลังจมดิ่งไปในความของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น”
“หมายความว่ายังไง! มึงฉีดอะไรให้กาล!?”
“ไม่ใช่อะไรร้ายแรงหรอก แค่เป็นของที่ออกฤทธิ์ตรงข้ามกับสิ่งนี้เท่านั้นเอง”
พิภพล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของรัตติกาลที่ไร้การป้องกันใดๆ ขวดบรรจุยาเม็ดมีขาวขนาดเล็กที่อารัณย์คุ้นตาถูกชายหนุ่มชูขึ้นให้ทุกคนในห้องดู
“ทำหน้าแบบนี้คงเคยเห็นเขาใช้มันอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ”
“นั่นมันยาแก้ปวดธรรมดา”
“ฮ่าๆ เขาบอกคุณว่าแบบนั้นหรอ แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้คงบอกคนอื่นไม่ได้โดยเฉพาะกับคุณ”
พิภพลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากกรงมุ่งตรงไปยังกันต์ชนกที่ยังคงทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก ขวดยาสีขาวนั้นถูกยื่นออกไปตรงหน้าเพื่อให้นายแพทย์หนุ่มสามารถเห็นได้อย่างถนัด ชายหนุ่มพินิจมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เบิกตาขึ้นเมื่อเห็นตัวอักษรดำซึ่งถูกพิมพ์อยู่บนฉลากยานั่น กันต์ชนกมองมันสลับกับร่างของผู้ใช้ที่นอนกองหมดสภาพอยู่บนพื้น ก่อนริมฝีปากที่ถูกกัดจนแตกจะค่อยๆเอ่ยออกมา
:z3:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z3:
-
“นี่มัน...ยาระงับอาการทางจิต”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่เสียงลมหายใจก็เหมือนจะสะดุดไป นิลที่นึกว่าตัวเองหูฝาดรีบหันกลับไปมองรัตติกาลก็เห็นเพียงเพื่อนรักที่กำลังต่อสู้กับตัวเองโดยมีอารัณย์มองดูอยู่ด้วยแววตาปวดร้าวอย่างถึงที่สุด ร่างสูงหันกลับมามองนายตำรวจหนุ่มเพื่อถามว่าฤทธิชาติรู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่ร่างใหญ่ก็ปฏิเสธด้วยสีหน้าที่แสดงความตกใจไม่ต่างกัน
“ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนว่ากาลเองจะเริ่มรู้ตัวตั้งแต่ครั้งที่ไปอาละวาดที่คลับจนเกือบทำคนตายมานั่นแหละ”
“...!!!”
“ตอนนั้นกาลแค่เข้าไปหาหมอเพื่อขอยาลดความเครียด ผมคิดว่ามันน่าสนใจดีเลยอยากลองทำอะไรสักหน่อย จำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหมครับคุณอารัณย์ หลังจากที่กาลตกน้ำไปตอนนั้นมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นบ้างไหม”
พิภพถามในสิ่งที่ตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว แต่เขาเพียงต้องการให้ร่างสูงใช้สติปัญญาขบคิดถึงอดีตที่เพิ่งผ่านมาไม่นาน ภาพของรัตติกาลที่ดูสับสนย้อนกลับเข้ามาพร้อมกับคำพูดที่เขาเคยใช้ปลอบอีกฝ่ายไปว่าคงเป็นเพราะความคิดมากแต่ดูเหมือนว่าเบื้องหลังสิ่งเหล่านั้นจะมีมากกว่าที่อารัณย์เคยคิด
“ที่กาลบอกว่าฝันเห็นนที...”
“นั่นน่ะไม่ใช่ความฝันหรอกครับ”
“...!!!”
“ผมให้คนแอบลงไปซ่อนตัวอยู่ในน้ำใกล้กับจุดที่พวกคุณพลอดรักกันอยู่ ใกล้ขนาดว่าได้ยินทุกคำเลยแหละ ฮ่าๆ แล้วพอพวกคุณกำลังจะกลับไปก็...ตู้ม!! ผมให้ลูกน้องดึงกาลลงมาแล้วพูดอะไรเป่าหูเขานิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“มึงมัน...ทำแบบนี้มันสกปรกเกินไปแล้ว!!”
“เอ๋ จะว่ากันแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ ผมแค่กระตุ้นนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง คนรักของคุณเขาบ้าอยู่ก่อนแล้วต่างหาก ดูสิ ทำท่าทางมีความสุขใหญ่เชียว”
รัตติกาลที่เมื่อครู่ทำสีหน้าทรมานเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมาพร้อมกับมองไปกลางอากาศโดยที่ตรงหน้านั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เลย ร่างโปร่งค่อยๆยันกายขึ้น รัตติกาลหันซ้ายหันขวาก่อนโฟกัสสายตาจะไปตกที่รพีซึ่งยังคงนั่งร้องไห้อยู่บนรถเข็นคันนั้น”
“รพี...รพีลูกพ่อ”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง เขาพยายามคลานเข้าไปหาแต่ก็ไปได้แค่สุดเขตของแขนที่ถูกกุญแจมือพันธนาการไว้อยู่แต่ในสภาวะที่จิตใจของรัตติกาลกำลังล่องลอยอยู่แบบนี้ ร่างโปร่งจึงเหมือนคนที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ เขาพยายามดึงมือของตัวเองออกซ้ำๆกันแบบนั้น ไม่สนใจแม้แต่ข้อมือที่เริ่มเป็นแผลเหวอะจากคมเหล็กที่กรีดเข้าไปข้างในเนื้อ อารัณย์พยายามร้องห้าม เช่นเดียวกับพะแพงที่กลัวว่ารัตติกาลจะเข้ามาทำร้ายรพีในสภาพนี้ ละแล้วพิภพก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ทุกคนกลัวอีกครั้ง ชายหนุ่มใช้ลูกกุญแจปลดกุญแจมือข้างที่ยึดติดกับลูกกรงไว้ปล่อยให้รัตติกาลเข้ากอดลูกชายได้สมใจอยาก
“พ่อกาล ฮึก พ่อกาล”
“ไม่เป็นไรแล้วนะรพี ไม่เป็นไรแล้ว”
รัตติกาลกอดลูกชายไว้อย่างแรงจนรพีรู้สึกเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดีกว่าการต้องตกอยู่ในความเดี่ยวดายและอันตรายเหมือนเช่นเมื่อครู่ ร่างป้อมพยายามกอดตอบพ่อของตนไว้โดยไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นมีเพียงผู้ใหญ่ที่เหลือเท่านั้นซึ่งกำลังมองดูภาพตรงหน้าด้วยความร้อนใจ
“กาลถอยออกมานะ ไม่งั้นพี่ยิงเราแน่!!!”
“ไอ้กาล ใจเย็น! แม่งเอ้ยปล่อยกูสิวะ!”
“แพงใจเย็นๆก่อน อย่าเพิ่งยิง ถ้ายิงตอนนี้โดนรพีแน่ๆ”
“กาล!! ได้ยินผมไหมกาล ได้โปรดเถอะ ตอบผมที!!!”
อารัณย์พยายามร้องหาคนรักแต่ดูเหมือนรัตติกาลกำลังตกลงไปในโลกที่มีเพียงตัวเองและเด็กชายที่ตัวเองต้องการปกป้องเท่านั้น พิภพค่อยๆเดินเข้าไปใกล้พ่อลูกที่กำลังกอดกันแน่นผ่านแนวหลังของลูกกรง พะแพงที่กลัวว่าชายคนนี้จะทำอะไรอีกอยากจะยิงปืนออกไปเพื่อสกัดไว้แต่ติดแค่ลูกกระสุนมีเพียงแค่หนึ่งนัดเท่านั้น
“กาลครับ โลกใบนี้มันโหดร้ายมากเกินไปใช่ไหม”
“...!!!”
“ไม่ว่าใครต่างก็เอาแต่ทำร้ายกันตลอด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกระทำหรือคนที่โดนทำร้าย มันต่างก็เจ็บปวดเหมือนกันใช่ไหม”
“...ใช่”
เพียงคำเดียวที่รัตติกาลเอ่ยออกมากลับสั่นไหวหัวใจของเหล่าคนฟังได้อย่างร้ายกาจ ชายหนุ่มลูบไปตามเปลือกตาที่บวมช้ำของลูกชายแล้วปล่อยให้น้ำตาของตัวเองรินไหลอย่างไม่คิดห้าม
“ทำไมเราต้องทำร้ายกันด้วยนะ ทั้งที่แค่อยากอยู่ด้วยกันอย่างสงบแท้ๆ”
“นั่นสินะ”
“ถ้าหากว่ามี...”
“ถ้าหากมีโลกที่...”
“เราสามารถอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องทำร้ายกันก็คงดี”
“โลกที่...ไม่ต้องมีใครร้องไห้อีกต่อไป”
มือทั้งสองข้างของรัตติกาลค่อยๆเคลื่อนไปกอบรัดลำคอที่มีรอยแผลของรพีไว้ ชายหนุ่มยิ้มให้ลูกชายก่อนจะออกแรงตรงหัวแม่โป้ง กดมันลงไปตรงจุดที่ทำให้เด็กน้อยเริ่มอึดอัด ร่างป้อมที่ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมองบิดาที่ยิ้มมาให้ด้วยความไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่ตนรักทำหน้าเหมือนกับว่ากำลังมีความสุข
“อึก พะ พ่อ”
“นิดเดียวนะ อดทนหน่อย”
“อือ”
รพียิ้มรับแล้วค่อยๆหลับตาพริ้ม แต่ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะดับไป ฝ่ามือเล็กๆของเด็กน้อยก็เอื้อมขึ้นไปแตะลงบนใบหน้าของรัตติกาลที่มองดูอยู่เท่านั้น
“ร้องไห้ อึก ทำไม”
“...!!!”
“นะ น้ำตาล่ะ...”
มือที่กำลังใช้คร่าชีวิตลูกน้อยหยุดลง พร้อมกับสติที่ไหลกลับเข้ามา เสียงร้องตะโกนผู้คนรอบข้างดังขึ้น แม้แต่เสียงร้องไห้ของอารัณย์ก็สามารถทำให้เขาเจ็บไปทั้งอกได้ในตอนนี้ รัตติกาลมองดูมือของตัวเองและลำคอที่แดงก่ำของลูกชายที่หายใจหอบเอาอากาศเข้าปอด ชายหนุ่มหันไปมองอารัณย์ที่ทรุดกายลงแล้วร้องเรียกหาเขาด้วยน้ำตานองเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากนิลที่กำลังทำเหมือนกำลังทรมานอย่างถึงที่สุด
“ฮึก ออกไปนะ ออกไปจากลูกฉัน!!!”
เสียงเกรี้ยวกราดของพะแพงทำให้รัตติกาลต้องหันกลับไปมองอีกทาง มือที่สั่นของหญิงสาวหยุดลงแล้ว แม้จะกำลังร้องไห้แต่ความแน่วแน่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่าต่อให้ไม่เคยจับปืนมาก่อนหญิงสาวจะไม่พลาด รัตติกาลเริ่มสำนึกได้ถึงสิ่งที่ตัวเองเกือบจะทำพลาดไป ความเกลียดชังและความเสียใจที่ถูกส่งมาให้ถูกตอกย้ำลงบนหัวใจที่ผิดบาปของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแม้แต่ตัวเองก็เกินจะรับไหว
“เรา...ทำอะไรลงไป”
รัตติกาลมองดูฝ่ามือของตัวเองด้วยความเกลียดชัง ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขานึกรักเกียจตัวเองมากขนาดนี้ แม้แต่ครั้งก่อนที่เขาบีบคอรพีด้วยความโมโห ก็ไม่เท่ากับตอนที่เกือบจะคร่าชีวิตของคนที่ตัวเองรักไปเพียงเพราะความอ่อนแอที่หลบซ่อนอยู่ในหัวใจ ไร้ค่า...รัตติกาลรู้สึกว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตแบบนั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็มีสิ่งเดียวที่ควรทำ”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วพบกับร่างของนทียืนอยู่เหนือกระบอกปืนสีดำนั้น อดีตคนรักกำลังยิ้มให้ มันเป็นรอยยิ้มที่เขาทั้งเกลียดชังและปรารถนาในมันมาตลอดแม้แต่ในวาระสุดท้ายที่เห็นมัน รัตติกาลก็อดคิดไม่ได้ว่ามันช่างสวยงามจริงๆ
“พี่ที...”
“มาทางนี้สิกาล มาอยู่ด้วยกัน”
“แต่ผม...”
“หากมาทางนี้กาลจะไม่ต้องทำร้ายใครอีก”
“...!!!”
“รพีจะไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป”
น้ำตาของรัตติกาลหยุดไหล รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังถือปืนกระบอกนั้นไว้ในมือเสียแล้ว ชายหนุ่มลูบคลำมัน สัมผัสเย็นจัดที่รู้สึกได้เหมือนกรีดแทงเข้าไปในวิญญาณเช่นเดียวกับอนุภาพของมันที่ทำให้สิ่งที่เขาปรารถนาเป็นจริงได้
“ถ้าไม่มีผม...รพีจะไม่ร้องไห้...พี่แพงจะได้ไม่ต้องเป็นฆาตกร”
รัตติกาลยิ้มให้ตัวเอง เขาหันไปทางลูกชายที่กำลังมองมาด้วยสีหน้าแบบเดียวกันกับที่เคยเป็นตลอดมา...สีหน้าที่เต็มไปด้วยความรัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีน้ำตา
“ไม่ร้องนะครับ อย่าร้องไห้”
“ฮึก พ่อกาล พีกลัว”
“ไม่ต้องกลัวนะ พีจะไม่เจ็บอีกแล้ว พ่อจะไม่ทำร้ายพีอีกแล้ว”
“จริงหรอ”
“อื้ม...หลับตาลงนะครับ เดี๋ยวก็จบแล้ว”
รพีหลับตาลงตามคำพ่อว่า แม้จะกลัวจนตัวสั่นแค่ไหนก็ตาม รัตติกาลที่เห็นว่าลูกชายทำตามแล้วดังนั้น ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รพีจะไม่เห็นว่าเขาจากไปเช่นไร ชายหนุ่มมองปืนในมือของตัวเอง แล้วยกมันขึ้นจรดตรงขมับข้างศีรษะจนปากกระบอกที่เย็นเฉียบทำให้เขารู้สึกสงบมากกว่าเคย เสียงรอบตัวเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจเป็นจังหวะของตัวเองเท่านั้นที่เขาได้ยิน
“ลาก่อน...”
เสียงของนทีที่มีตัวตนอยู่ในจินตนาการของเขามาตลอดดังขึ้นก่อนเปลือกตาบางจะปิดลง ในหัวของเขามืดสนิท มันว่างเปล่าเสียจนน่าขันแต่ถึงอย่างนั้นรัตติกาลก็คิดว่ามันดีแล้วที่เป็นแบบนี้ ปลายนิ้วของเขาค่อยๆสัมผัสไกปืน มันไม่ได้สั่นเลยแม้แต่น้อย ราวกับความเคลื่อนไหวต่างๆหยุดลง เขายิ้มให้ตัวเองอีกครั้งก่อนจะขยับมัน
“อย่าลืมสัญญาของเราสิกาล”
“...!!!”
“เราจะอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรอ อย่าทิ้งผมไปแบบนี้”
รัตติกาลรู้สึกได้ถึงสัมผัสคุ้นเคยตรงผิวแก้ม เป็นความสิ่งที่ย้ำชัดอยู่ในอณูผิวราวกับว่าเขาเคยได้รับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่อาจหลงลืมมันได้ ร่างโปร่งเคยๆลืมตาขึ้นมา เขาเห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งที่บอกว่ารักเขาสุดหัวใจกำลังร้องไห้ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด มือและแขนของอารัณย์โชกไปด้วยเลือด ทั้งรอยบาดเป็นทางยาวและบางส่วนที่ผิดรูปไปสร้างความเจ็บปวดให้ชายหนุ่มอย่างร้ายกาจแต่ก็ไม่มากเท่ากับสิ่งที่คนรักของเขาคิดจะทำ น้ำตาของรัตติกาลไหลอีกครั้งพร้อมกับมือที่ค่อยๆลดระดับลง
“อารัณย์...”
“ถ้ากาลไม่อยู่มันจะดีได้ยังไง มันต้องไม่ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ...ถ้าไม่มีกาลอยู่แล้วผมจะอยู่ต่อไปได้ยังไง”
“ฮึก”
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ สัญญาได้ไหม อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้”
รัตติกาลพยักหน้าก่อนจะโผเข้าหาอารัณย์แม้ว่าจะมีลูกกรงกางกั้น เขาร้องไห้ออกมาอย่างสุดทน ทั้งความเสียใจ ความละอาย และความยินดีที่ยังมีคนเห็นค่าอัดแน่นกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาที่เหมือนว่าจะไม่มีวันหมดไป อารัณย์ใช้มืออีกข้างที่มีรอยแผลไม่ต่างกันลูบใบหน้าของรัตติกาลเบาๆด้วยความรัก แต่แล้วเขาก็ต้องเบิกตาขึ้นเมื่อปืนของรัตติกาลที่ถูกปล่อยทิ้งไปกำลังตกอยู่ในมือของชายที่อันตรายที่สุด
“แย่จังนะ แต่ก็ไม่เป็นไร”
“พิภพ!!!”
“ถึงจะอยากเล่นด้วยอีกหน่อยก็เถอะ แต่ทางนี้ก็ไม่คิดจะรอแล้วเหมือนกัน”
ชายหนุ่มว่าก่อนจะส่งยิ้มร้ายให้พร้อมกับยกในมือขึ้นจ่อไปยังร่างของรัตติกาลที่สติพร่าเลือนเต็มที่ ร่างโปร่งเห็นว่าอารัณย์พยายามใช้ร่างบังเขาไว้ แต่เพราะสิ่งที่กีดกันพวกเขาออกจากกันทำให้คนรักทำสิ่งนั้นได้ไม่ถนัด รัตติกาลพยายามประคองสติตัวเองให้กลับมา แต่ถึงอย่างนั้นมันฝืนเต็มที
“ลาก่อนนะครับ ถือซะว่าหมดเวรหมดกรรมกันไปก็แล้วกัน”
ปัง!!!
สิ้นเสียงนั้นทุกอย่างก็เงียบลง รอยยิ้มของพิภพถูกจุดขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจของอารัณย์ ชายหนุ่มก้มลงมองดูชุดสีขาวของตัวเองที่บัดนี้เปื้อนรอยแดงเป็นวงใหญ่ มันค่อยๆขยายมากขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกับความรู้สึกชาไปทั่ว
“อ่า แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าแทงข้างหลัง”
“ผิดแล้วล่ะค่ะ...ฉันยิงคุณต่างหาก”
ร่างของพิภพค่อยๆทรุดลงพร้อมกับปืนที่หลุดมือไปอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยถาม ประตูบานใหญ่ซึ่งหญิงสาวผู้ลั่นไกเคยเดินออกมาก็เปิดออกพร้อมกับการมาของตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบหลายคนที่ต่างกรูเข้ามาจัดการใส่กุญแจมือให้กับพิภพที่ถูกยิงเข้าตรงช่องท้อง และช่วยปลดพันธนาการและปฐมพยาบาลแก่ผู้คนที่เหลืออยู่ในห้อง
“นี่มันอะไรกัน...”
นิลเอ่ยขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ขณะมองร่างของรัตติกาล อารัณย์ และรพีถูกห่ามออกไปข้างนอกด้วยแปลสีขาวอันใหญ่แบบเดียวกันกับที่ฤทธิชาติกำลังนอนอยู่บนนั้น นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้กับเขาด้วยสีหน้ากวนประสาทเช่นเดิม แต่ครั้งนี้นิลกลับรู้สึกโล่งอกพอๆกับไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
“นิลคงไม่คิดว่าผมจะยอมปล่อยคนที่เกือบต้องคดีอาญาร้ายแรงให้ลอยนวลไปเฉยๆ โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลยใช่ไหม”
“ยะ อย่าบอกนะว่า!!”
นักเขียนหนุ่มหันกลับไปมองอดีตเลขาของรัตติกาลที่โค้งให้กับเขาจากมุมหนึ่งของห้องด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังสังเกตเห็นถึงความโล่งอกในดวงตาที่เฉยชาคู่นั้น
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นี่มัน...!!!”
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยครับ เรายังมีอะไรต้องทำอีกเยอะไม่ใช่หรอ”
“...!!!”
“แต่ก่อนอื่น...”
ฤทธิชาติคว้าคนที่ยังคงทำหน้าสงสัยมากอดไว้ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตัวเอง นิลอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะเงียบไปเมื่อสัมผัสบางอย่างได้...แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ร่างกายของฤทธิชาติกำลังสั่น
“ขอบคุณพระเจ้าที่คุณไม่เป็นอะไร...”
“อือ...มันจบลงแล้วสินะ”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
สั้นแต่มาเต็ม โฮกกกกกกกกกกกกกก เช่ผ่านมันมาแล้วววววว :ling1: บทที่เครียดที่สุดและเขียนยากที่สุด ฮือออออออออ เราผ่านมันมาได้แล้วคับทุกคน อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก :hao5: :hao5: :hao5: น้ำตาจะไหลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล
คือนั่งคิดไม่ออกว่าจะเขียนยังไงดีมาหลายวัน เขียนๆลบๆ บทสรุปมันมีอยู่แล้วแต่การกะจังหวะดริฟเรื่องนี้มันยากจริงๆนะ (คือลองนับดูแม่งหลายครั้งมาก พลิกไปพลิกมายังกับย่างปลาหมึก 5555) :hao7: ตอนที่ควรจะยาวที่สุดเลยออกมาแค่20หน้า A5 เฟสนี้ดำเนินเรื่องแบบไม่ยืดติดจะเร็วกว่าทุกทีด้วยซ้ำเพราะเช่คิดว่าจังหวะมันต้องประมานนี้ล่ะเน้อ กระชับๆ ปังๆ เขียนไปใจเต้นไปยังกับเป็นคนอ่านเอง หวังว่าทุกคนคงชอบนะคับ ทุกข์โศกทั้งหลายหมดลงแล้ว หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย สรรพเคราะห์เสนียนจัญไรจงหายไปๆ พิ้วๆ :mew1: :mew4:และหลังจากนี้....อีกเพียงแค่สองตอนเท่านั้นจะลาจอแล้วจ้าาาาาาา :call:
เช่จะพยายามเร่งให้ได้มากที่สุดแต่แน่นอนต้อง smooth ด้วยสิ่งที่ยังค้างคากันเล็กๆน้อยๆจะถูกไขในตอนหน้า ก่อนที่ตอนสุดท้ายคือคืนที่50 จะเป็นบทสรุปอย่างเต็มขั้นที่เช่หวังว่าทุกคนจะพอใจ มาถึงจุดนี้ใจหายมาก บวกกับท้องร้องอย่างแรงเพราะตื่นมาเขียนตั้งแต่ตี5 ยังไม่ได้กินอะไรเล้ยยยย :a5: ขอหาไรยัดใส่ท้องก่อนนะ ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตเลยคับ ทุกคนคือผู้กล้า จุ๊บๆ :impress2:
-
มันสนุกจนอ่านจบเร็วไป หรือมันสั้น :sad4:
-
เสียดในอก.....น้ำตาไหลพรากกกก!!
-
ตามอ่านจนทัน เมามันมาก สองวันรวด
เริ่มมาหน่วงจิตหน่วงใจ มาท้ายๆสวมบทโคนันคิดคดีตามแทบแย่ 5555
ชอบๆค่า พลิกไปพลิกมา ถึงช่วงพีค ลาสบอสจะดูเหมือนเหตุผลอ่อนไปหน่อยตามความคิดคนอ่าน แต่ก็สนุกค่ะ รออ่านช่วงสุดท้ายค่า
-
:hao5: :hao5: :hao5:
-
ต้องบอกเลยว่าเช่เก่งจริงๆ อึ้งทั้งตอน
-
ขอบคุณที่พ้นภัย
-
49th Night
…Separation...
รัตติกาลลืมตาขึ้นภายในห้องสีขาวคล้ายกับที่ที่เขาอยู่ก่อนสติจะดับลงไป เพียงแต่ห้องๆนี้ไม่มีกลิ่นเลือดอันคลื่นเหียน มันถูกแทนที่ด้วยกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ฉุนติดจมูกจนร่างโปร่งต้องเบ้หน้าด้วยความไม่ชอบใจ รัตติกาลยันกายลุกขึ้นนั่ง ด้วยความสับสน เขาพยายามสำรวจตัวเองจนพบว่านอกจากอาการปวดในหัวแล้วตามเนื้อตัวของเขากลับไม่มีบาดแผลซะเท่าไหร่ ผิดกับฤทธิชาติที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเพื่อนรักของเขาที่ทำหน้าตกใจก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“ไอ้กาล!”
“เบาๆก็ได้ ยิ่งปวดหัวอยู่”
นิลด่าเขากลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ นักเขียนหนุ่มรีบเดินออกไปข้างนอกทิ้งเขาไว้กับฤทธิชาติซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นที่แทบจะมีผ้าพันไว้ทั้งตัวโดยเฉพาะช่วงแขนที่ใส่เฝือกไว้ทำให้ขยับได้ไม่สะดวกเหมือนเคย
“อารัณย์ล่ะครับ”
รัตติกาลถามหาคนรักทันทีที่นึกขึ้นได้ ชายหนุ่มพยายามไม่แสดงความผิดหวังออกทางสีหน้าเมื่อยังไม่พบเห็นร่างสูงทั้งที่อีกฝ่ายน่าจะไม่ยอมอยู่ห่างเขา
“อารัณย์ไปจัดการอะไรนิดหน่อยน่ะครับ อย่าน้อยใจไปล่ะ ระหว่างที่กาลสลบไปสามวันเขาก็เพิ่งยอมอยู่ห่างคุณวันนี้เป็นวันแรก”
“ผมหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรอ”
“จริงๆก็ตื่นมาครั้งหนึ่งครับ แต่เพราะฤทธิ์ยากาลคงจำมันไม่ได้”
นายตำรวจหนุ่มบอกรัตติกาลไปตรงๆโดยที่อีกฝ่ายก็เข้าใจความหมายของมันได้อย่างดี ร่างโปร่งยกมือขึ้นแตะบริเวณลำคอที่ถูกพิภพฉีดยาบางอย่างให้จนเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้จะไม่หลงเหลือความเจ็บปวดใดๆแต่ความทรงจำที่ฉายชัดนั้นกลับย้ำเตือนเขาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องสีขาวห้องนั้น
“ทุกคนคง...ผิดหวังมากเลยสินะครับ”
“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ เรื่องที่มึงแอบไปทำกับไอ้ผู้หมวดที่ถูกพักงานนี่ เรื่องที่ไม่ยอมบอกว่าป่วย หรือเรื่องที่ทำลงไปโดยไม่รู้ตัวกันแน่”
ฤทธิชาติไม่ได้พูด แต่เป็นนิลซึ่งกลับมาพร้อมหมอกับพยาบาลชุดใหญ่ที่ต่างกรูกันเข้าไปตรวจเช็คร่างกายและสติของรัตติกาลกันเสียจนวุ่นวายไปทั้งห้อง ร่างโปร่งตอบคำถามและให้ความร่วมมือกับแพทย์เป็นอย่างดี แต่ในหัวก็ยังคงขบคิดถึงคำพูดของเพื่อนที่จ้องมองเขาอยู่ทุกอิริยาบถ
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วล่ะครับ ที่หลับไปนานคงเป็นเพราะร่างกายและจิตใจอ่อนเพลียมากจริงๆอาการข้างเคียงของยาที่ได้รับมาก็ทุเลาไปมากจนแทบไม่แสดงออกมา ส่วนอาการทางจิตจิตแพทย์ของคุณจัดยามาให้แล้ว ยังไงระยะนี้ก็อย่าทำให้ตัวเองเครียดมากไปกว่านี้นะครับ”
นายแพทย์ผู้ตรวจดูอาการพูดกับรัตติกาลด้วยน้ำเสียงสบายๆก่อนจะขอตัวออกไปโดยไม่ลืมกำชับเรื่องความเครียดกับเขาอีกครั้งจนวินาทีสุดท้าย นิลที่ดูจะเคลื่อนไหวคล่องตัวที่สุดในที่นี้ลุกขึ้นโค้งขอบคุณก่อนจะเดินไปส่งทั้งหมอและพยาบาลทั้งหมดที่หน้าประตูห้อง ทันทีที่พวกนั้นจากไปนิลก็เดินกลับมาหารัตติกาลด้วยใบหน้าที่ถึงแม้จะแสดงความตำหนิแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ว่าไง ตกลงคิดว่ากูผิดหวังเรื่องไหน”
“รู้ว่าอยากบ่น แต่ขอรู้สถานการณ์ตอนนี้ก่อนได้ไหม”
“ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดีกว่ากูอยากพูดอะไร ถ้าไม่ติดว่าป่วยกูนี่จะกระทืบมึงซ้ำแต่ว่าก่อนหน้านั้น...มึงมีเรื่องต้องบอกกูก่อนไม่ใช่หรอไอ้กาล”
“นิลครับ หมอเขาเพิ่งบอกว่าอย่าทำให้กาลเครียด”
นิลหันไปขู่ใส่นายตำรวจหนุ่มที่นั่งเกาแก้มอยู่ข้างๆ รัตติกาลก้มลงมองมือของตนเองที่ยังคงปรากฏรอยแผลจากกุญแจมือให้เห็น เขาลูบคลำมันอยู่แบบนั้นพร้อมกับนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปด้วย
“ถ้าเป็นเรื่องอาการป่วย มึงคงได้ฟังจากหมอแล้ว”
“ใช่ แต่กูอยากได้ยินจากปากมึง...ไม่ใช่คนอื่น”
ลมหายใจของรัตติกาลสะดุดไปครู่หนึ่งเมื่อนิลพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความผิดหวังได้อย่างชัดเจน ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในแววตาของนิลแต่ครั้งนี้มันกลับสั่นไหวเพราะหยดน้ำที่คลออยู่ในนั้น
“มันไม่สำคัญหรอกว่ามึงจะเป็นอะไร หรือเปลี่ยนไปแค่ไหน อย่าว่าแต่เป็นบ้าเลย ตอนมึงสภาพแย่กว่านี้กูเคยหนีจากมึงไปไหมกาล กูเคยทิ้งมึงรึเปล่า”
“นิล...”
“เรื่องที่แอบไปติดต่อกับพวกมาเฟียลับหลังกูเข้าใจว่ามึงเป็นห่วง ไม่อยากให้กูโดนหางเลขไปด้วย แต่กับเรื่องนี้มันไม่เหมือนกัน มึงเคยฉุกคิดสักนิดไหม ว่าถ้าวันหนึ่งที่อะไรๆมันสายเกินแก้พวกกูจะรู้สึกยังไง”
“ขอโทษ กูแค่กลัว...กลัวว่าจะเสียทุกอย่างไป”
รัตติกาลยกมือที่เล็กซูบยิ่งกว่าเดิมขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของนิลเบาๆ เขาพยายามฝืนยิ้มให้เพื่อนแต่มันก็ดูหนักหนาเกินกว่าจะทำต่อไปได้
“ตอนแรกกูคิดว่าเป็นเพราะความเครียด แต่มันกลับหนักขึ้นทุกที มันสับสนไปหมด กูไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร จนสุดท้ายกูก็เริ่มที่จะกลัวตัวเอง แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าการที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนเป็นอะไร...ก็คือการที่อาจจะต้องเสียรพีไป”
“ไอ้กาล...”
รัตติกาลพูดด้วยแววตาที่สะท้อนความหวาดกลัวของตัวเองได้เป็นอย่างดี หากมีคนรู้ว่าเขากำลังป่วยเป็นอะไร ความจริงข้อนี้จะกลายเป็นข้อเหตุผลชั้นดีที่สามารถพรากรพีไปจากเขาได้อย่างง่ายดาย ร่างโปร่งจึงเลือกที่จะเก็บความเจ็บปวดนี้ไว้ภายใต้รอยยิ้มที่มอบให้คนรอบข้างเหมือนเช่นทุกครั้ง แม้ว่าเบื้องหลังของมันจะหม่นหมองแค่ไหนก็ตาม
“กูเสียรพีไปไม่ได้ ถ้าไม่มีเด็กคนนั้นชีวิตกูก็เหมือนหายไปครึ่งหนึ่ง กูรู้ว่ามึงเข้าใจแต่กับกฎหมายมันไม่ใช่ เขาต้องเอารพีไปจากกูแน่ๆนิล...เพราะกูเป็นแบบนี้”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับ”
ฤทธิชาติพูดขัดขึ้นทำให้รัตติกาลที่กำลังกำมือแน่นเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ นายตำรวจหนุ่มยิ้มให้ร่างโปร่งน้อยๆก่อนจะพูดต่อ
“ดูเหมือนว่าเขาคนนั้น จะหาทางออกที่ดีที่สุดไว้ให้กับทุกคนแล้ว”
ทันทีที่สิ้นคำประตูห้องพักของรัตติกาลก็เปิดออก เสียงหายใจหอบของอารัณย์ดังขึ้นพร้อมๆกับร่างที่ถลาเข้ามาโดยไม่สนใจเลยว่าแขนข้างที่หักของตนจะกระแทกกับอะไรไปบ้าง คนตัวโตคว้ารัตติกาลเข้าไปกอดเต็มแรงก่อนจะผละออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนรักของตนเพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บ อารัณย์ทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ความในใจมันกลับมากมายเสียจนเขาเรียบเรียงไม่ได้ รัตติกาลยิ้มน้อยๆให้กับท่าทางแบบนั้น ร่างโปร่งจึงลูบใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆให้ใจเย็นลง
“เจ็บมากไหมกาล”
“ผมไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
พอได้ยินอย่างนั้นอารัณย์จึงพอยิ้มออกมาได้ เขามีอะไรอยากพูดกับคนรักอีกมากมายรวมถึงอยากขอโทษที่ไม่อยู่ข้างๆในตอนที่รัตติกาลลืมตาตื่น แต่เพราะความจริงบางอย่างที่ถูกนำพามาจากอดีตทำให้เขาจำยอมฝากรัตติกาลไว้กับฤทธิชาติและนิลแทนในขณะที่ตัวเองต้องเดินทางไปพาคนที่เหลือมาที่นี่
“พี่แพง...”
รัตติกาลครางชื่อของหญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเบาๆ ใบหน้าที่อิดโรยกว่าทุกครั้งไม่เผยรอยยิ้มใดๆ พะแพงมองหน้าน้องรหัสที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้อยู่ครู่เดียวแล้วเสหน้าหันไปทางอื่น ก่อนที่กันต์ชนก และทนายนเรศจะเดินตามเข้ามา
“มากันครบแล้วนะครับ อันที่จริงคุณรพีต้องอยู่ด้วยแต่ถือว่าให้คุณรัตติกาลซึ่งเป็นผู้ปกครองในปัจจุบันรับทราบแทนแล้วกัน”
ชายสูงวัยพูดขึ้นหลังจากกล่าวทักทายเจ้านายของตนด้วยท่าทีนอบน้อมอย่างเคย นเรศหยิบเอาซองกระดาษสีน้ำตาลชุดหนึ่งออกมา รัตติกาลเม้มปากแน่นเมื่อทนายนเรศพูดถึงลูกชายที่ตัวเองอยากเห็นหน้าแต่ก็ไม่กล้าจะถามถึงเพราะสิ่งที่ทำเอาไว้ อารัณย์เองเมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนรักก็พอจะเดาความรู้สึกของรัตติกาลออกจึงคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้เพื่อให้กำลังใจ
“สิ่งนี้คือเอกสารสำคัญที่ทางตำรวจยอมคืนมาให้หลังจากนำไปใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการเอาผิดนายพิภพเรียบร้อยแล้ว”
“แสดงว่ามันคือ...”
“ใช่ครับ มันคือกระดาษที่ถูกซ่อนไว้ในบ้านไม้จำลองซึ่งเดิมทีเป็นของคุณนที”
นเรศหันไปตอบรัตติกาลที่เอ่ยถามขึ้นก่อนจะลงมือแกะซองสีน้ำตาลนั่นแล้วหยิบเอากระดาษสองใบซึ่งอยู่ข้างในออกมา
“เอกสารประกอบด้วยด้วยเอกสารสองฉบับ อย่างแรกคือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในการถือครองบ้านไม้ที่จังหวัดลำปาง ซึ่งหลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าฉบับนี้ถือเป็นฉบับจริงไม่ใช่ฉบับที่คุณพะแพงถือครองอยู่แต่เดิม”
พะแพงพยักหน้ารับ เธอดูไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่ได้ยินเท่าไหร่ซึ่งรัตติกาลก็พอเดาสาเหตุได้ไม่อยาก เพราะเขาเองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างกัน ว่าบ้านหลังนั้นไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ต้องสูญเสียไปมากมายเพราะมัน
“ส่วนฉบับที่สอง...คือพินัยกรรมที่คุณนทีทำไว้ก่อนที่จะเสียชีวิต”
รัตติกาลและพะแพงหันไปมองหน้านเรศแทบจะทันที ผิดกับคนอื่นที่เหลือซึ่งพอจะรู้ถึงความสำคัญและใจความคร่าวๆที่ถูกเขียนไว้บนนั้นแล้ว
“ใจความของพินัยกรรมฉบับนี้ได้ระบุไว้ว่าให้ยกทรัพย์สินทั้งหมดที่คุณนทีหามาด้วยตัวคนเดียวให้กับคุณพะแพง ผู้เป็นภรรยาแม้ว่าจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็ตาม ส่วนทรัพย์สินรวมถึงหุ้นของบริษัทซึ่งสร้างขึ้นร่วมกับคุณรัตติกาลก็ขอให้ยกทุกอย่างคืนให้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ยกเว้นแต่...บ้านไม้หลังนั้น คุณนทีระบุไว้ในพินัยกรรมว่าต้องการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งบ้านและที่ดินผืนนั้นให้กับทั้งคุณรัตติกาลและคุณพะแพงถือครองร่วมกัน หรือถ้าจะขายต่อก็ขอให้แบ่งมูลค่าสินทรัพย์คนละครึ่ง ยกเว้นแต่ในกรณีเดียวคือทั้งสองคนต้องการจะยกกรรมสิทธิ์นี้ให้บุตรทางสายเลือดหรือก็คือคุณรพีจึงจะอนุญาตให้ทำได้ครับ”
รัตติกาลพยักหน้ารับ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ต่างคนต่างก็มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในใจอยู่แล้วทั้งคู่แต่ก็ยังไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมา ชายสูงอายุที่มองท่าทีของคนทั้งสองอยู่จึงยิ้มน้อยๆก่อนจะเอ่ยถึงข้อความสุดท้ายที่นทีตั้งใจเขียนไว้ถึงบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสามคน
“และสุดท้าย...”ข้าพเจ้านายนที กวีวิมนตร์ มีความต้องการอยากขอร้องให้นายรัตติกาล พัฒนเดชา รับอุปการะบุตรของข้าพเจ้าหากข้าพเจ้ามีอันเป็นไปไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใดๆ แต่ยังขอให้มารดาผู้ให้กำเนิดบุตรของข้าพเจ้าคือนางสาวพะแพง มหาเกียรติ ยังคงมีสิทธิในตัวบุตรยกเว้นด้านอำนาจปกครองตามที่กฎหมายระบุไว้ โดยจะตัดสินใจอย่างไรขอให้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจจากทั้งสองฝ่าย”
“หึ ขี้โกงยังไงก็ยังขี้โกงอย่างนั้น”
ร่างโปร่งพูดออกมาเบาๆทันทีที่ฟังคำขอสุดท้ายนั้นจบ เหมือนพันธะที่หนักอึ้งซึ่งเหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้ด้วยกันถูกปลดออก รัตติกาลและพะแพงมองหน้ากันแม้จะไร้รอยยิ้มแต่ทั้งคู่ต่างก็สังเกตเห็นความโล่งใจในแววตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
หญิงสาวเม้มปากของตัวเองแน่น เธอมองสิ่งที่อยู่ในมือของทนายแล้วคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างพวกเขาทั้งสามคน และการแย่งชิงตัวรพีที่สร้างความเจ็บปวดให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง พะแพงหลับตาลงก่อนจะลืมมันขึ้นแล้วจ้องมองนัยน์ตาของรัตติกาลอย่างแน่วแน่ละเต็มไปด้วยความรู้สึก
“พี่น่ะ...เกลียดกาลมากเลยรู้ไหม”
“...”
“ตั้งแต่ตอนที่พี่กับทียังรักกัน พี่มักจะอิจฉากาลเสมอ แม้จะทำเหมือนว่าไม่ถูกกันแต่ทุกๆครั้งพี่กลับรู้สึกเหมือนทั้งสองคนมีอะไรบางอย่างที่พี่ไม่สามารถเข้าไปแทรกได้ กาลเข้าใจทีมากกว่าพี่ และทีก็เป็นเพียงไม่กี่คนที่กาลยอมให้อยู่ข้างกายได้ ผิดกับพี่ที่เป็นคนรักแต่กลับรู้สึกเหมือนว่าระหว่างเรามันเริ่มห่างไกลกันเสียจนเกินจะรั้งไว้ จนกระทั่งพี่ตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่ควรที่สุดไป”
“...”
“พี่เสียใจนะ แต่กลับไม่มากเท่าตอนที่รู้ว่าหลังจากเลิกกันแล้วนทีกลับมาคบกับน้องรหัสของตัวเอง ทั้งที่พี่คิดว่ากาลเป็นหนึ่งคนที่รู้ว่าพี่รักนทีแค่ไหน ความคิดที่ว่าจะแพ้กาลไม่ได้น่ะ...พี่ห้ามมันไม่ได้เลย”
“แต่สุดท้ายพี่ทีก็เลือกพี่ ไม่ใช่ผม”
“จะเป็นอย่างนั้นแน่หรอ”
พะแพงเค้นยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหันไปมองหน้าสามีที่คว้ามือของเธอมาจับไว้ หญิงสาวเอ่ยขอบคุณกันต์ชนกเบาๆแล้วหันมาคุยกับรัตติกาลต่อ
“พี่รักรพี พี่มั่นใจว่ามันคือความรักไม่ใช่ความอยากเอาชนะ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ได้กลับมาพบกันแต่ความรู้สึกที่พี่มอบให้เขาตลอดเวลาที่รพีอยู่ในท้องไม่ใช่สิ่งที่จะลบหายไปได้ง่ายๆ และถึงแม้จะยังมีปัญหาอยู่บ้างพี่ก็อยากจะเลี้ยงดูเขาไปพร้อมกับพิมพ์ใจโดยไม่ต้องให้กาลช่วย แต่...ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“...!!!”
“จนกว่ารพีจะบรรลุนิติภาวะ พี่ยินดีจะทำตามความต้องการของนที หากถึงตอนนั้นแล้วรพียังยืนยันที่จะอยู่กับกาลพี่ก็ยินดีที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ว่า แต่ถ้าไม่...พี่จะขอลูกชายของพี่คืน”
รัตติกาลได้แต่นิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังเจตนารมณ์ของหญิงสาวที่ไม่แสดงอาการหวั่นไหวเลยตลอดเวลาที่พูดกับเขา แม้ในใจของพะแพงจะยังคงเจ็บปวดและต้องการเหนี่ยวรั้งและรพีไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดอยู่ในหัวของเธอไม่จางหายไปก็คือภาพที่รพีเรียกร้องและกอดรัตติกาลไว้แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายตัวเองแค่ไหนก็ตาม
“พี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีและแม้แต่ในฐานะแม่ก็ยังบกพร่องอยู่มาก พี่ใช้ความอยากเอาชนะกาลปิดหูปิดตาตัวเองแล้วทำในสิ่งที่ไม่สมควรที่สุดลงไป พี่ทิ้งลูกที่เลี้ยงดูมาอย่างพิมพ์ใจ และพยายามครอบครองรพีไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว เราทั้งคู่ต่างก็แย่งยื้อรพีกันไปมาโดยไม่มองเลยว่ามีใครบ้างที่เจ็บปวดเพราะมัน ทั้งรพี พิมพ์ใจ กันต์ อารัณย์ และนิล ทุกคนต่างต้องมาคอยรับผลจากการกระทำที่ไม่ยั้งคิด และแม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่มีความสุข...พี่พอแล้วกาล พี่ไม่อยากทำพลาดซ้ำอีกแล้ว”
น้ำตาของพะแพงไหลในตอนท้ายประโยค ครู่หนึ่งรัตติกาลเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นหญิงสาวคนเดียวกันกับคนที่รักและห่วงใยเขาเสมอเหมือนในอดีต แม้ว่าปัจจุบันหัวใจของพวกเขาจะเต็มไปด้วยรอยแผลและยากที่จะสมานคืนได้เพียงข้ามวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เหมือนกับที่พะแพงบอก...รัตติกาลเองก็เหนื่อยล้าเสียจนไม่อยากเวียนวนอยู่ในฝันร้ายที่เขาใช้มันเป็นข้ออ้างในการทำร้ายคนอื่นอีกต่อไป
“จนกว่าจะถึงวันที่รพีจะต้องเลือก ได้โปรด...ให้ความรักกับลูกชายของผมในฐานะแม่ด้วยนะครับ”
“แน่นอน...มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
พะแพงลุกขึ้นยืนพร้อมๆกันต์ชนกแล้วหันมาบอกลาน้องชายและคนที่เหลือ ก่อนจะเดินออกจากห้องนั้นไป นายแพทย์หนุ่มที่ยังคงกอบกุมมือของภรรยาตนไว้ มองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวที่พยายามใช้ความเข้มแข็งปกปิดรอยร้าวในใจไว้อย่างสุดความสามารถ แต่สำหรับคนที่เฝ้าดูเธอมาตลอดมันกลับบอบบางเสียจนเห็นได้ชัดเจน
“แพงทำดีแล้วใช่ไหม”
“อืม...แพงเท่มากเลย ลูกทั้งสองคนจะต้องคิดเหมือนกันแน่ๆ”
“ฮ่าๆ ชมกันแบบนี้ไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด”
หญิงสาวหัวเราะออกมาก่อนจะออกแรงกระชับมือของอีกฝ่ายไว้ทั้งที่ตัวเองกำลังสั่น เธอหยุดขาที่กำลังก้าวเดินแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีท้องฟ้ากว้างตั้งตระหง่านอยู่เหมือนเช่นทุกวันด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนทุกวัน
“แพงน่ะ...ไม่ใช่คนดีหรอกนะกันต์ ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่เอากระสุนออกไปก่อนหน้านั้น แพงคงได้ฆ่ากาลไปแล้วจริงๆ”
“แต่ที่แพงทำไป ก็เพราะอยากปกป้องรพีไม่ใช่หรอ”
กันต์ชนกเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของหญิงสาวอันเป็นที่รักด้วยความอ่อนโยนก่อนจะกอดเธอไว้แล้วปล่อยให้เวลาเคลื่อนผ่านพวกเขาทั้งสองคนไปอย่างช้าๆ พะแพงมองดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าไกล เธอเอื้อมมือหมายจะไปคว้ามันเอาไว้ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งทำมากขึ้นเท่าไหร่ดวงตาของเธอก็พร่าเลือนลงทุกที
“ตอนนี้แพงรู้สึกโล่งใจมากๆเลย”
“ดีจังนะที่กาลไม่เป็นอะไรมาก”
“ไม่ใช่...เพราะว่าตอนนั้นแพงได้เหนี่ยวไกไปแล้วต่างหาก”
“...”
“ถึงแม้กาลจะไม่ตาย แต่แพงก็ฆ่ากาลไปแล้ว แพงทำไปแล้ว”
“...งั้นหรอ”
กันต์ชนกยิ้มออกมาแล้วกอดพะแพงไว้ให้แน่นกว่าเดิม เขามองเศษซากความแค้นที่เหลือทิ้งไว้ในตัวตนอันบิดเบี้ยวของหญิงสาวด้วยความรู้สึกโล่งใจอยู่ลึกๆ ขอแค่นำต้นตอออกไปได้ต่อให้บอบช้ำแค่ไหนเขาจะรักษามันจนกว่าจะหายดี ขอแค่วันนี้พวกเขายังอยู่ด้วยกัน...แค่นั้นมันก็มากเกินพอแล้ว
“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะแพง”
.
.
.
.
.
.
.
.
“จะเอาอะไรก็ไลน์มาบอกแล้วกัน”
นิลบอกกับคนที่นอนอยู่บนเตียงทั้งๆที่ไม่มองหน้า เขาหยิบเอาเสื้อผ้าที่ใช้แล้วกับสิ่งของบางส่วนเก็บกลับเข้ากระเป๋าสะพายไปเล็กโดยมีสายตาของฤทธิชาติจับจ้องอยู่ไม่ห่างซึ่งร่างสูงก็รู้สึกถึงมันได้แต่เขาไม่คิดจะหันกลับไปมองตอบ
“นิลไม่คิดจะอยู่เฝ้าผมหน่อยหรอครับ”
นายตำรวจหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ้อนๆจนทำให้นิลเผลอกระตุกยิ้มที่มุมปาก แต่เป็นเพราะความหมั่นไส้หาใช่เพราะชอบใจในการกระทำของอีกฝ่าย เขารูดซิบก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นพาดไหล่ เขามองไปรอบๆเพื่อดูว่าตัวเองลืมอะไรอีกไหม แต่ดูเหมือนสิ่งเดียวที่เขายังไม่เก็บเขากระเป๋าไปคงจะเป็นสายตาอ้อนวอนของคนบนเตียง
“พยาบาลเดินอยู่เต็มตึก อยากให้มีคนเฝ้าก็ไปป้อเอาเองแล้วกัน”
“แทนกันไม่ได้หรอก ผมอยากให้นิลอยู่ด้วย”
“เลิกพูดมากแล้วนอนไปซะ ตัวเองก็ใช่ว่าจะดี ฟื้นก่อนไอ้กาลแค่วันเดียวยังทำเก่งจัดการทุกอย่างไปทั่ว”
นิลพูดตัดบทแล้วกำลังจะเดินจากไปแต่ฤทธิชาติก็คว้ามือของเขาไว้แล้วดึงเข้าหาตัวด้วยเรี่ยวแรงมากมายเหมือนกับทุกครั้ง นักเขียนหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ แต่ร่างใหญ่กลับยังคงยิ้มเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบบางอย่างจากกระเป๋าที่วางไว้ใกล้กับหัวเตียงโดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองกำลังเจ็บหนักขนาดไหน กล่องสีเงินแวววาวใบใหญ่ซึ่งติดชื่อยี่ห้อแบบเดียวกับปากกาที่นิลเคยเห็นมันครั้งหนึ่งถูกยื่นมาให้เขาอีกครั้งด้วยสถานการณ์ที่ต่างไปโดยเฉพาะหัวใจของคนที่ยังคงไม่ส่งมือไปรับมัน
“ยังไม่ทิ้งมันไปอีกหรอ”
“ผมให้นิลไปแล้ว คนเดียวที่จะทิ้งมันได้ก็คือนิล แต่เอาเข้าจริงผมจะไม่มีวันปล่อยให้ทำแบบนั้นแน่”
“เอาแต่ใจจริงๆนะ หึ ของก็จะให้ ความลับก็ไม่ยอมบอก”
“ถ้าอย่างนั้นผมมีข้อเสนอใหม่ ถ้านิลรับปากกาแท่งนี้ไปพร้อมกับยอมรับฟังความลับทุกอย่างของผม เรามาเป็นแฟนกันนะ”
รอยยิ้มของฤทธิชาติหายไปเหลือไว้เพียงสีหน้าที่ดูจริงจังมากกว่าทุกครั้ง หัวใจของนิลกำลังสั่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหยุดคิดไม่ตอบรับอีกฝ่ายไปทันทีเพราะใจหนึ่งก็กลัวใจสิ่งที่นายตำรวจหนุ่มปิดบังเอาไว้ แม้จะแน่ใจว่าความรู้สึกที่ดังก้องอยู่ในอกนี้มันคืออะไรและกำลังร้องเรียกใครก็ตาม
“พร้อมจะเลือกกูแล้วรึไง”
สิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจถูกถามออกไปตรงๆ นิลรู้ดีว่าคนคนนี้รักเขา แม้จะทำทีเล่นทีจริงไปบ้างแต่ความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายแสดงออกมาตลอดก็พิสูจน์ความรู้สึกนั้นได้อย่างดี แต่หนึ่งสิ่งที่ขาดหายไปก็คือความพร้อมที่จะเดินไปด้วยกันที่ฤทธิชาตินั้นไม่เคยแสดงออกให้เขารู้สึกมาก่อน
“อืม พร้อมแล้วล่ะ ถ้าเป็นตอนนี้คิดว่าคงให้นิลได้ทั้งหมดแล้ว”
นิลถอนหายใจแล้วยอมนั่งลงเคียงข้างกัน ชายหนุ่มปลดกระเป๋าที่สะพายอยู่ออกแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ยอมปล่อยมือของเขาไปแม้สักวินาที
“จำได้ไหม ที่เคยบอกว่าผมมีความลับอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือจริงๆแล้วผมเป็นสายS อื้อ!”
นักเขียนหนุ่มใช้มือของตัวเองตบเข้าที่ปากของอีกฝ่ายที่จู่ๆก็พูดเรื่องน่าอายพรรณนั้นออกมา ฤทธิชาติที่เห็นสีหน้าหงุดหงิดของคนข้างกายก็หลุดขำ
“ฮ่าๆ ผมแค่อยากเท้าความให้ฟังเฉยๆน่ะครับ เพราะหลังจากตอนนั้นนิลเองก็ดูเหมือนว่าจะเลิกสนใจมันไปแล้ว”
“หึ ถ้าให้เก็บคำพูดทุกคำของมึงมาคิด คงหัวระเบิดตายพอดี”
“แล้วที่ผมพูดถึง Tomb Keeper กับ Cerberus ล่ะจำได้ไหม”
“ผู้เฝ้าสุสานกับสุนัขสามหัว? จำได้ แล้วมันเกี่ยวอะไร”
นิลนึกไปถึงสิ่งที่ฤทธิชาติพูดเปรียบเปรยไว้ในตอนที่พวกเขาออกมาพบกับเพื่อคุยเรื่องคดีของนทีและพะแพงเป็นครั้งแรก นายตำรวจหนุ่มพอได้รู้ว่าคนตรงหน้ายังจำเรื่องที่เขาพูดได้ขึ้นใจก็ยิ้มออกมาด้วยแววตาที่แฝงความสนุกสนาน
“จริงๆแล้ว คนที่เป็น Tomb Keeper น่ะ คือผมต่างหาก”
“...!!!”
“ผู้เฝ้ารอการกลับมาของคนตาย เพื่อแลกกับการให้อีกฝ่ายแสดงความทรงจำของตนที่ถูกช่วงชิงไปให้เห็นอีกครั้ง นั่นคือผมเอง...ส่วนนิลก็คือสุนัขสามหัวผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูนรกไม่ให้ดวงวิญญาณของคนตายเหล่านั้นกลับมาสู่โลกมนุษย์ได้อีก”
“...กูไม่เข้าใจ”
ฤทธิชาติยิ้มให้ก่อนจะคลายปมคิ้วที่ขมวดกันแน่นของนิล เขายื่นกล่องสีเงินซึ่งบรรจุปากกาไว้ให้นิลอีกครั้งซึ่งอีกฝ่ายก็ยังลังเลที่จะรับมันไปเหมือนกับครั้งแรก แต่พอเมื่อได้เห็นความมุ่งมั่นที่แสดงออกมา นักเขียนหนุ่มก็ยอมรับมันไปแล้วเปิดมันออกเพื่อดูสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ภายใน
รูปถ่ายสองใบถูกวางไว้ข้างในเหนือปากกาสีเดียวกับกล่องซึ่งมีชื่อของผู้รับสลักไว้ หนึ่งใบนั้นคือรูปถ่ายในอดีตของนิล รัตติกาล พะแพง และนทีที่พวกเขามีครอบครองกันไว้คนละใบ โดยที่รูปของเขาและรัตติกาลถูกเก็บไว้เก็บไว้อย่างดี ในขณะที่รูปของนทีถูกพิภพแย่งชิงไป ร่างสูงอยากจะหันไปถามฤทธิชาติว่าทำไมถึงมีรูปใบนี้ได้แต่รูปถ่ายอีกใบที่วางอยู่เคียงข้างกันนั้นกลับดึงดูดความสนใจของเขาได้มากยิ่งกว่า
“สำหรับนิลแล้ว สิ่งที่ต้องการจะทำก็คือการรักษาความสงบสุขของคนเป็นไว้แม้จะต้องทำร้ายคนตาย แต่สำหรับผม...สิ่งเดียวที่อยากได้ก็คือความทรงจำที่จะหวนกลับมาพร้อมกับวิญญาณของคนตาย แม้ว่านั่นจะเป็นการทำลายโลกของคนเป็น”
“ยะ อย่าบอกนะว่าคนในรูปนี้คือ...”
นิลมองรูปถ่ายของเด็กผู้ชายสองคนในมือสลับกับใบหน้าของฤทธิชาติที่ยังคงเค้าโครงเดิมไว้ให้เห็น ไม่ต่างจากอีกคนที่ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไป ดวงตาคมกริบที่ส่อแววดื้อรั้นนั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด
“ครับ น่ารักใช่ไหมล่ะ...ผมกับอารัณย์ตอนเด็กๆ”
:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:
-
“แล้วนี่ไม่ไปเยี่ยมเพื่อนคุณบ้างหรอ”
รัตติกาลเอ่ยถามอารัณย์ที่เพิ่งเข้ามานั่งประจำที่คนขับ ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตกึ่งทางการหันมายิ้มให้คนรักน้อยๆแล้วส่ายหัวแทนคำตอบนั้น
“ไม่เป็นไรหรอก มันตายยาก”
“งั้นหรอ แต่ก็จริงนะ ถูกไอ้นิลซัดไปขนาดนั้นแล้วไม่โดนส่งเข้าห้องฉุกเฉินอีกรอบก็ถือว่าทนไม้ทนมือดี”
“ฮ่าๆ แต่ล่อซะตาเขียวแบบนั้นคงออกไปไหนไม่ได้อีกนานนั่นแหละ”
อารัณย์พูดขำๆก่อนจะเหยียบคันเร่งพารถโฟล์คคันเก่งของตนออกไปจากลานจอดรถของโรงพยาบาล หลังจากรัตติกาลฟื้นคืนสติพวกเขาก็ใช้เวลาเพื่อรอดูอาการทางร่างกายรวมถึงจิตใจอยู่ระยะหนึ่ง โดยมีอารัณย์คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง แม้จะมีจุดที่ลำบากอยู่บ้างแต่จิตแพทย์ก็ลงความเห็นว่าสิ่งที่ร่างโปร่งกำลังเป็นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆคิด
ชายหนุ่มยื่นกระปุกสีฟ้าใสซึ่งมียาที่เขาจัดเป็นชุดๆไว้ให้พลางชี้ไปยังหน้าปัดนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบเที่ยงตรง รัตติกาลเห็นดังนั้นจึงรับมาเปิดกินอย่างไม่อิดออดโดยมีสายตาของอารัณย์คอยมองอยู่ไม่ห่าง
“ยังเหลือเวลาอีกเยอะ แวะไปหาลูกหน่อยไหมกาล”
ร่างสูงเอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบทำให้มือที่กำลังถือขวดน้ำไว้ชักงักในทันที รัตติกาลแสดงท่าทางกังวลออกมาแต่ก็ได้มือของอารัณย์ที่คอยประคับประคองไว้ทำให้เขาค่อยๆผ่อนลมหายใจแล้วคลายความเครียดลง
“ผม...ยังไม่พร้อม”
“แต่นี่มันสองอาทิตย์แล้วนะกาล”
รัตติกาลหันหน้าหนีไปมองที่อื่น คำบอกเล่าเกี่ยวกับอาการของรพีที่อารัณย์นำมาบอกเขาในทุกๆวันไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเบาใจเลยสักนิด เด็กชายตัวน้อยที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงเป็นครั้งที่สองของชีวิตไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงจนน่าเป็นห่วง แต่กลับกัน ท่าทางปกติที่อีกฝ่ายแสดงออกมาต่างหากที่ทำให้รัตติกาลรู้ดีว่าภายในหัวใจดวงน้อยนั้นได้เกิดบาดแผลใหญ่จากสิ่งที่เขาทำเอาไว้
“ผมรู้ว่ากาลกำลังโทษตัวเอง แต่ผมก็ขอยืนยันคำเดิมนะว่ากาลไม่ผิด ต่อให้เป็นผมหรือใครถ้าโดนยานั่นเข้าไปก็มีอันต้องขาดสติกันทุกคนนั่นแหละ”
“แต่คงไม่มีใครทำร้ายคนที่ตัวเองรักแบบผม”
อารัณย์รีบตบไฟเลี้ยวเพื่อนำรถจอดลงตรงข้างทางทันที เขาเอี้ยวตัวมาประคองใบหน้าซีดขาวของรัตติกาล ความรู้สึกผิดที่ฉาดชัดในดวงตาหยั่งรากลึกจนเขาหมดปัญญาที่จะพูดกล่อม ชายหนุ่มจูบเบาๆลงบนกระหม่อมบางของคนรักพลางตำหนิตัวเองในใจ ที่ต่อให้รักมากแค่ไหนแต่สิ่งที่เขาทำให้รัตติกาลกลับมีเพียงน้อยนิด
“คุณจำได้ไหม ว่าครั้งหนึ่งผมเคยตั้งใจไว้ว่าจะทำลายรพีด้วยมือตัวเอง”
“อืม...จำได้สิ”
“ในตอนนั้นสิ่งที่ผมต้องการคือทำลายเหตุผลในการมีชีวิตต่อของเด็กคนนั้น ทำยังไงก็ได้ให้การหายใจเป็นสิ่งที่ยากจะทำ ให้เขาทรมานกับความทรงจำที่จะตามหลอกหลอนเหมือนกับที่ผมเจอ ผมคิดจะทำแบบนั้นจนกระทั่งได้รักคุณ ผมคิดว่าตัวเองลืมสิ่งที่เคยตั้งใจทำไปได้ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่ามันยังอยู่ในใจผมมาตลอด”
“กาล...”
“มันหมายความว่ายังไงอารัณย์ ที่จริงแล้วผมยังอยากทำร้ายลูกอยู่ใช่ไหม ทำไมล่ะ ทำไมผมถึงทำแบบนี้ สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการฆ่าคนให้ตายคือทำลายเขาทั้งเป็น ผมเกือบฆ่าตัวตายต่อหน้าลูก ถ้าคุณไม่ห้ามไว้รพีคงจะต้องตกอยู่ในฝันร้ายตลอดชีวิต ผมกลัวอารัณย์ ผมกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำแบบนั้นอีก”
รัตติกาลไม่ได้ร้องไห้ หากแต่ดวงตานั้นสะท้อนความผิดหวังและหวาดกลัวออกมาอย่างถึงที่สุด อารัณย์โอบกอดรัตติกาลไว้แต่มันช่างไร้ประโยชน์ แม้จะทำไม่สำเร็จแต่บาดแผลที่เกิดขึ้นในใจของทุกคนใช่ว่าจะจางหายไปง่ายๆ เขารู้ดีว่ารัตติกาลกำลังกลัวแค่ไหนแต่เขากลับไม่รู้เลยว่าตัวเองสามารถทำอะไรชเพื่อคนที่รักได้บ้าง
“กาลยังมีผมนะ เชื่อสิว่าเราต้องผ่านมันไปได้”
“ผมดีใจนะที่เรายังอยู่ด้วยกัน...แต่แบบนี้มันดีแล้วจริงๆหรอ”
“...!!!”
“ขอโทษที...ออกรถเถอะ”
ร่างโปร่งที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปรีบบอกปัดแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นทิ้งไว้แค่หัวใจของอารัณย์เต้นรัวด้วยความกลัว ชายหนุ่มชำเลืองมองใบหน้าคิดหนักของคนรักที่สร้างความหวาดหวั่นให้เขาอย่างมาก อารัณย์ได้ยินบางสิ่งบางอย่างกำลังส่งสัญญาณเตือนมาจากข้างใน แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับกลัวเกินกว่าที่จะคาดเดา
‘ศาลอาญา’
อารัณย์ยืนมองป้ายสีเงินที่ดูน่าเกรงขามอยู่ครู่หนึ่งเช่นเดียวกับรัตติกาลที่คว้ามือของคนรักมาจับไว้เพื่อเรียกกำลังใจให้ตนเอง ทั้งคู่เดินเข้าไปหาลูกน้องของฤทธิชาติที่มายืนรออยู่ก่อนแล้วเพื่อให้นำทางพวกเขาไปยัง สถานที่ที่ชายผู้ขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมดถูกจองจำไว้ด้วยความผิดที่ก่อขึ้น
“ยังมีอะไรจะต้องพูดกันอีกรึไง”
พิภพในชุดนักโทษสีน้ำตาลเปรยตามองทั้งคู่อย่างไม่ยินดียินร้าย ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น อารัณย์ที่ยืนมองอยู่รู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้าแต่ก็ไม่อยากต่อปากต่อคำให้เสียเวลา ผิดกับรัตติกาลที่ยังคงรักษาท่าทางของตัวเองไว้ได้
“ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ”
“อยากถาม? แค่ข้อมูลที่พวกตำรวจรีดไปยังไม่พอหรอ?”
“พอ แต่ผมคิดว่าคุณไม่ได้พูดความจริง”
สายตาที่กำลังจับจ้องไปบนกำแพงอย่างเลื่อนลอยเบนกลับมามองรัตติกาลทันทีก่อนพิภพจะแผ่รังสีคุกคามออกมาจนคนถูกมองรู้สึกได้ แต่รัตติกาลไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิดกลับกันมันยิ่งตอกย้ำความสงสัยของเขาให้มากขึ้นไปอีก
“ที่คุณบอกศาลไปว่าทำเพราะต้องการเงินน่ะผมเชื่อ แต่มันยังมีอะไรอยู่เบื้องหลังการกระทำของคุณอีกใช่ไหมพิภพ...สาเหตุที่คุณเข้ามาทำลายชีวิตเรา”
“หึ คิดลึกไปรึเปล่า นอกจากเงินแล้วยังมีอะไรที่ทำให้มนุษย์เผยธาตุแท้ออกมาได้อีก ผมแค่ต้องการเงินมันก็เท่านั้น...อยากรู้แค่นี้ใช่ไหม”
พิภพลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมเดินกลับไปยังที่ที่จะจองจำตนไว้ตลอดกาล แต่คำพูดต่อมาของรัตติกาลกลับหยุดขาที่กำลังก้าวเดินของร่างสูงให้หยุดนิ่ง
“แล้วทำไมคุณถึงไม่ทำร้ายพิมพ์ใจ...ผู้ชายที่หักหลังทุกคนได้แบบคุณกลับรักษาสัญญาเพียงข้อเดียวที่ให้กับพี่แพงไว้ว่าจะไม่แตะต้องเด็กคนนั้น ทำไมคุณถึงทำมัน ตอบผมได้รึเปล่า”
“...จะมีอะไรล่ะ มันน่ารำคาญน่ะสิ”
“น่ารำคาญหรือว่าทำไม่ลงกันแน่”
“...”
“คนของผมสืบมาว่าคุณมีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง”
“...เลิกยุ่งเรื่องนี้ซะ”
“พวกมันขู่จะทำร้ายลูกสาวคุณ ถ้าหากเอาบ้านของนทีไปให้มันไม่ได้ใช่ไหม”
“กูบอกว่าอย่ายุ่งไง!!!!”
พิภพใช้มือที่ถูกโซ่ตรวนรัดไว้ทุบเข้าที่แผงกระจกที่กางกั้นจนผู้คุมต้องเข้ามาห้ามปราม รัตติกาลมองดวงตาแววโรจน์ของอีกฝ่ายซึ่งเต็มไปด้วยโทสะ เขารู้จักมันดี เขาเคยเห็นความโกรธเกรี้ยวแบบเดียวกันนี้ในดวงตาของพะแพงในตอนที่ตั้งใจจะยิงเขาเพราะต้องการจะปกป้องรพีที่กำลังถูกทำร้าย
“ผมจะช่วย”
“ไม่ต้องมาเสือก มึงช่วยกูไม่ได้ ไม่มีใครช่วยกูได้ทั้งนั้น!!!”
“แต่คุณต้องยอม เพราะตอนนี้ครอบครัวของคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย”
ชายหนุ่มนิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเย้อหยัน เขากระชากตัวออกจากการจับกุมของผู้คุมแล้วเดินมาเข้ามาใกล้กับรัตติกาล แม้รู้ดีว่าทำยังไงก็ไม่มีทางทำร้ายอีกฝ่ายผ่านทางกระจกได้
“เป็นคนจับกูยัดเข้ามาอยู่ในนี้แท้ๆยังมีหน้าอยากจะเป็นฮีโร่อีก คิดว่ากูจะซาบซึ้งบุญคุณรึไง มึงไม่รู้ถึงความน่ากลัวของคนพวกนั้น มันจะไม่หยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ พวกมันอยากได้บ้านหลังนั้น ไม่ว่าจะทำยังไงก็ต้องได้ คราวนี้กูพลาด แต่สักวันมันก็ต้องส่งคนอื่นมาอีก คิดว่านทีตายแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบหรอ หึ มึงคิดผิดแล้ว”
“ผมรู้ และเพราะแบบนั้นคุณถึงต้องทำตามที่ผมสั่ง...บอกตำรวจทุกอย่างที่คุณรู้ซะ แล้วทางนี้จะจัดการเอง”
“ฮ่าๆๆๆ คิดว่าตำรวจจะทำอะไรมันได้รึไง ไม่ใช่เพราะรัฐไร้น้ำยาหรอกหรอป่าเมืองถึงเหลือแต่ตออย่างทุกวันนี้”
“แล้วคนมีน้ำยาแบบคุณตอนนี้ทำอะไรได้บ้าง”
“มึง!!”
“อย่าเข้าใจผิดว่าคิดว่ามันเป็นทางเลือกสิ มันคือสิ่งที่คุณต้องทำต่างหาก ผมต้องการแค่ข้อมูลที่สามารถสาวไปถึงตัวการใหญ่ทั้งหมดได้แลกกับการรับรองความปลอดภัยของครอบครัวคุณ และถ้าหากข้อมูลที่คุณให้ทำให้ตำรวจสามารถกวาดล้างคนชั่วพวกนั้นได้สถานการณ์ทางนี้ของคุณก็คงจะดีขึ้น”
รัตติกาลสังเกตเห็นความลังเลในสีหน้าของพิภพเมื่อเขาพูดจบ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วตั้งใจเดินออกไปจากห้องเพื่อให้เวลาพิภพคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองควรจะทำ ส่วนอารัณย์ที่กำลังเดินตามหลังมากลับหยุดนิ่งก่อนจะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับพิภพที่ดูเหมือนว่ากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
“หวังว่าพอจบเรื่องนี้ มึงจะเลิกยุ่งกับครอบครัวเราสักที”
“จะบอกว่าเป็นสิ่งที่กูต้องทำอีกแล้วสิ”
“ใช่ มึงต้องทำ เพราะถ้ามึงไม่ทำคนที่จะต้องตกอยู่ในฝันร้ายคือมึง”
“ฝันร้ายงั้นหรอ หึ มึงรู้ไหมว่าคนเราถึงกลัวความฝัน”
“...?”
“เพราะเรากลัวว่ามันจะเป็นจริงยังไงล่ะ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
อารัณย์คอยลูบปลอบแผ่นหลังที่ขยับขึ้นลงเพราะแรงหอบ เขากอดรัตติกาลที่เหนื่อยอ่อนไว้พลางกระซิบคำรักให้อีกฝ่ายได้ฟังเหมือนกับทุกๆครั้ง ชายหนุ่มยิ้มให้กับภาพของรัตติกาลที่ค่อยๆหลับตาก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปเอาผ้าขนหนูมาเช็ดคราบไคลตามร่างกายหวังให้อีกฝ่ายสบายตัว แต่รัตติกาลกลับลืมตาขึ้นแล้วเอาแต่จ้องมาที่เขา
“ไม่ง่วงหรอ”
“อืม...คุณคิดว่ารพีจะรู้ไหมว่าผมกลับมาบ้านแล้ว”
รัตติกาลถามขึ้นด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล หลังจากเข้าไปทำข้อตกลงกับพิภพที่ศาล รัตติกาลก็ขอให้ร่างสูงขับรถพาตัวเองไปเที่ยวแถวบางขุนเทียน สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเขาแต่อารัณย์รู้ดีว่าคนรักแค่ต้องการยื้อเวลาเพื่อจะกลับบ้านในเวลาที่รพีเข้านอนไปแล้วเท่านั้น
“ไม่อยากเจอหน้าลูกขนาดนั้นเลยหรอ”
“อยาก...แต่ว่าเจอไม่ได้”
ร่างโปร่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยก่อนจะซบหน้าของตนลงบนมือของอารัณย์ที่กำลังใช้ผ้าเช็ดไปตามใบหน้าของเขาอยู่ ร่างสูงใช้มืออีกข้างหยิบผ้าขนหนูโยนทิ้งไปก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างรัตติกาล เขาพยายามใช้ความอบอุ่นโอบกอดความกลัวที่คนรักมีแต่มันกลับไม่มากพอที่จะคลายความกลัวของรัตติกาลลงได้
“อารัณย์”
“หืม?”
“ผมอยากไปเที่ยว”
“เที่ยว? ก็ดีนะ หมอบอกเหมือนกันว่าน่าพากาลไปผ่อนคลายที่อื่นบ้าง ถ้าเป็นช่วงนี้ไปแถวภาคเหนือก็ดี รพีก็น่าจะชอบด้วย”
“...แต่ผมจะไปคนเดียว”
มือที่กำลังลูบไปตามเส้นผมนุ่มหยุดชะงักไป อารัณย์ผละตัวออกมามองหน้าคนรักที่ดูนิ่งสงบกว่าเคย มือของเขาสั่นเช่นเดียวกับความรู้สึกข้างในที่สั่งให้ร่างสูงรีบพูดกลับไปด้วยเสียงที่ดูร้อนรนจนน่าขัน
“ทำไมล่ะกาล ไปด้วยกันสิ เราสามคนไง ผม กาล แล้วก็รพี”
“ขอโทษนะ แต่ครั้งนี้พวกคุณไปกับผมไม่ได้”
“...”
“ผมคุยกับหมอแล้วเรื่องให้ส่งผมไปรักษาที่อิตาลี ที่นั่นมีจิตแพทย์เก่งๆอยู่เยอะ อีกอย่างจะได้เปลี่ยนบรรยากาศด้วย”
“อยากเปลี่ยนบรรยากาศหรือจะหนีกันแน่”
“...”
“มันจะต้องเป็นแบบนี้อีกกี่ครั้งกาล คุณจะหนีไปถึงเมื่อไหร่!!!”
อารัณย์บีบแขนของรัตติกาลแน่นพร้อมกับระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ร่างโปร่งกลับนอนนิ่งราวกับว่าทำใจรับสถานการณ์แบบนี้ไว้แล้ว
“ผมไม่อยากหนี แต่...ผมทำใจไม่ได้”
“ให้ผมช่วยสิ! คุณมีผมไว้ทำไมกาล เราเป็นคนรักกันนะ ถ้าคุณพลาดผมก็จะช่วย ถ้าคุณท้อผมก็จะอยู่ข้างๆ ขอแค่เรายังอยู่ด้วยกันแค่นั้นมันก็พอแล้ว!”
“มันไม่พอหรอกอารัณย์ คุณก็รู้ว่าผมในตอนนี้อยู่กับรพีไม่ได้...”
“กาลคิดไปเองต่างหาก หมอก็บอกว่ากาลจะหาย หมอดีๆในเมืองไทยก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องไปที่นั่น อึก...ทำไมต้องไปในที่ที่ไม่มีผมด้วย”
รัตติกาลเปลี่ยนเป็นฝ่ายกอดคนรักที่กำลังสั่นไปทั้งร่างไว้พร้อมกับกดจูบลงบนแก้มกร้านของชายหนุ่มไปด้วย อารัณย์กอดรัตติกาลกลับโดยที่ร่างโปร่งก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นแม้ว่าแรงที่อีกฝ่ายใช้จะมากมายจนเขารู้สึกเจ็บไปทั้งตัวก็ตาม
“ผมอยากอยู่กับคุณตลอดไปอารัณย์ ผมอยากอยู่กับลูก อยากอยู่กับคุณ แต่เพราะแบบนั้นผมถึงต้องไป...”
“ไม่...ผมไม่ให้ไป”
“ขอร้องเถอะนะ ถ้ายังเป็นแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะลุกขึ้นมาทำร้ายรพีอีกเมื่อไหร่ ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น เพราะถ้ามันเกิดขึ้นอีกผมคงทนอยู่ต่อไปไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาผมไปด้วย”
“ไม่ได้ ถ้าคุณไปใครจะปกป้องรพี คุณก็ได้ยินแล้วว่าคนพวกนั้นยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ...ผมไม่ไว้ใจใครอีกแล้วนอกจากคุณ ได้โปรดอารัณย์ ช่วยปกป้องลูกชายผมไว้จนกว่าวันที่ผมสามารถอยู่ร่วมกับทุกคนได้”
รัตติกาลค่อยๆคลี่ยิ้มแบบที่อารัณย์ชอบออกมาแต่มันกลับแฝงไปด้วยความเศร้า ริมฝีปากของทั้งคู่โผเข้าหากันพร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลอาบเปื้อนแก้ม
“เมื่อไหร่ล่ะ กาลจะไปนานแค่ไหน”
“ผมไม่รู้แต่ผมสัญญาว่าจะกลับมา...รอผมนะ รอจนกว่าผมจะหาย”
“ขี้โกงชะมัด...กาลพูดแบบนี้แล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไง”
“ขอบคุณนะ...ผมรักคุณ อารัณย์”
ผู้ที่ได้รับคำรักหลั่งน้ำตาออกมาก่อนจะเริ่มรุกล้ำกายของคนใต้ร่างที่อ้าแขนรับเขาไว้ทั้งน้ำตาเช่นเดียวกัน ทั้งสองกอดกันไว้ราวกับกลัวว่าจะต้องพรากจากกันไปเช่นเดียวกับจันทร์กระจ่างที่เคลื่อนเลือนหายไปจากท้องฟ้า เพื่อรอเวลาที่ดวงตะวันจะฉายขึ้นแทนที่
“คุณต้องกลับมานะกาล ผมจะรอ”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!!
ตอนนี้เขียนนานมากกกกก และก็ยังไม่ถูกใจเท่าไหร่เลยคับ :mew2: มีแนวโน้มว่าตอนทำเล่มจะรีไรท์ตอนนี้ใหม่ แล้วเรื่องกฎหมายอะไรพวกนี้เช่ก็มั่วบ้างไรบ้าง อย่าไปถือจริงจังมากนะคับ (จริงๆมันก็มั่วอยู่เยอะเลยแหละ) ปมทั้งหมดถูกแก้ลงในตอนนี้แล้ว ยกเว้นในส่วนความคิดความอ่านของนทีที่จะใส่ไว้ในตอนพิเศษที่จะลงให้ในเว็บด้วยหนึ่งตอนเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง
และที่สำคัญ คู่แรร์ที่เราซ่อนมาตลอดก็ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว....นั่นก็คือ "ชาติรัณย์" นั่นเองงงงงง :-[ :hao3:เขาเป็นเพื่อนกันแหละๆๆๆๆๆ มีใครจับไต๋เช่ได้ไหมเนี่ย หากยังจำได้ ตอนที่ชาตินิลเจอกันแรกๆแล้วชาติเคยพูดถึงเพื่อนของตัวเองที่ชอบหนีปัญหาเหมือนกาล คนคนนั้นก็คืออารัณย์นั่นเอง!!! 55555 นึกแล้วเขิน เรื่องราวของสองคนนี้จะถูกใส่ไว้เป็นตอนพิเศษที่มีเฉพาะในเล่ม เป็นเรื่องราวในวัยเด็กของทั้งคู่ เขาจะเคยมีซัมติงกันไหม เคยกิ๊กกันรึเปล่า ต้องติดตามกันนะคับ ฮี่ๆ :katai3:
ตอนหน้าจบแล้วนะ :katai4: ใจหายมาก มาคอยติดตามกันนะคับ ว่านิยายทรมานตับของเช่จะจบลงแบบไหน กาลที่ออกไปฉายเดียวจะกลับมาในรูปแบบใด และพระเอกหัวใจมุ้งมิ้งของเราจะอกแตกตายไปก่อนรึเปล่า5555 ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตที่ให้กำลังใจกันมาตลอดนะคับ เช่หวังว่าตอนหน้าจะเป็นตอนที่ทุกคนมีความสุขกันมากที่สุด o13
-
พิภพทำเพื่อเงินกับครอบครัวไม่น่าจะมาเสียเวลาเล่นเกม เรารู้สึกว่าพิภพควรมีปมอะไรที่ให้แค้นมากกว่านี่
แต่ไม่อยากให้จบเลย :hao5:
-
อีกตอนเดียวสินะ
-
ไม่อยากให้จบเลย :mew2:
-
50th Night
…Morning...
ดวงตากลมโตเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย รพีในวัยสิบเอ็ด ย่างเข้าสิบสองเท้าคางลงกับโต๊ะพลางกวาดสายตาไปยังบรรดาเด็กนักเรียนที่ต่างพากันวิ่งเล่นอยู่ด้านล่างหลังจากที่ต้องทนอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆมาตลอดทั้งวัน
“พี! เป็นอะไรเหม่อเชียว”
ร่างของเด็กชายแนบชิดกับโต๊ะมากขึ้นเมื่อถูกแรงโถมจากด้านหลังอันมีต้นเหตุมาจากเพื่อนตัวน้อยอย่างข้าวที่ยังคงตัวเล็กจนมักโดนเพื่อนๆแกล้งเหมือนตอนอยู่อนุบาล ต่างกับรพีที่ตอนนี้สูงเป็นอันดับสองของห้องและนับวันใบหน้าของเขาก็ยิ่งละม้ายคล้ายกับบิดาแท้ๆมากขึ้นทุกที
“ป่าวแค่ง่วงๆน่ะ แล้วข้าวทำไมยังไม่กลับบ้าน พ่อยังไม่มารับหรอ”
“วันนี้เราขอป๊ากลับเองน่ะ แต่ว่าจะอยู่รอให้เย็นกว่านี้หน่อย กลับไปตอนนี้มีหวังโดนใช้ให้ทำงานบ้านแน่ๆ แล้วพีล่ะ ที่บ้านยังไม่มารับหรอ”
“ยัง วันนี้น้ารัณย์ติดธุระเลยจะมาช้าหน่อย”
รพีตอบยิ้มๆเมื่อพูดถึงน้าชายที่คอยดูแลเขามาตลอดช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยาวนานเกือบหกปี เด็กชายนั่งฟังเพื่อนตัวน้อยเล่าเกี่ยวกับเกมใหม่ไปเรื่อยๆแต่ภายในหัวกลับคิดไปถึงเรื่องงานวันเกิดของตนที่น้าชายบอกว่าจะจัดให้
“ปีนี้พีอยากได้อะไรเป็นของขวัญ”
ทันทีที่รพีเข้ามานั่งในรถ อารัณย์ที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานก็ถามขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหมือนเช่นที่เคยเป็น แต่ทว่าเด็กชายกลับส่ายหน้าแล้วยื่นใบเกียรติบัตรที่ตนเองชนะเลิศการประกวดเรียงความให้แทน
“ไม่อยากได้อะไรครับ แค่ทานข้าวด้วยกันที่บ้านเฉยๆก็พอ”
“ขืนทำอย่างนั้นแม่เราวีนน้าตาย นี่เห็นว่าเตรียมจะมาพักที่บ้านล่วงหน้าสักอาทิตย์ เผื่อว่าพีอยากไปไหน”
“หรอครับ แล้วพี่พิมพ์มาด้วยรึเปล่า”
“ก็คงมาด้วยแหละ แต่ลุงกันต์มาไม่ได้นะ”
เด็กชายยิ้มรับแต่ก็อดเสียดายไม่ได้ที่จะไม่ได้อยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าอย่างที่หวัง รพีนึกแปลกใจตัวเองเล็กๆที่เวลาเพียงไม่กี่ปีจะทำให้เขาสามารถยอมรับความจริงอันซับซ้อนเหล่านี้ได้อย่างสนิทใจ แม้จะเลือนรางแต่เด็กชายจำได้ว่าตอนเด็กๆนั้นเขากลัวพะแพง ผู้เป็นมารดาแท้ๆแค่ไหน แต่พอเรื่องราววุ่นวายผ่านพ้นไป น้าอารัณย์ก็เป็นคนเข้ามาปลอบเขาพร้อมกับเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำใจยอมรับ โดยเฉพาะความจริงที่ว่าตัวเขานั้นเป็นใคร รพียิ้มขัน ตัวเขาในวัยเพียงหกขวบเศษไม่อาจเข้าใจความหมายของคำว่าตายได้พอๆกับความหมายของคำว่าแม่ เด็กที่ถูกเลี้ยงมาโดยไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากมารดาพยายามหลีกหนีความจริงข้อนั้นจนทำให้พะแพงร้องไห้เสียใจอยู่หลายครั้ง แต่ทุกๆครั้งเธอก็จะเดินเข้ามาหาเขาใหม่โดยไม่ย่อท้อเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่สิ่งหนึ่งขาดหายไปเขากลับได้สิ่งอื่นมาแทนที่...รอยยิ้มของเด็กชายหายไปเมื่อนึกถึงการลาจากที่ไม่มีแม้แต่คำบอกลา ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่รพียังคงจำใบหน้าของคนคนนั้นได้ ทั้งดวงตาเกรี้ยวกราด น้ำตา และรอยยิ้มนั้นชัดเจนเป็นภาพที่ไม่อาจลบไปจากใจ แต่กลับกัน ฝ่ายนั้นสามารถทิ้งเขาไปอย่างง่ายได้โดยไม่ให้แม้แต่เหตุผลหรือโอกาสที่จะหยุดยื้อ
“คิดอะไรอยู่”
อารัณย์พูดขึ้น เมื่อสังเกตเห็นดวงตาเคว้งคว้างของหลานชายที่เงียบไปผิดกับทุกครั้ง คนถูกเรียกหันหน้ามามองก่อนจะฝืนยิ้มน้อยๆให้
“คิดว่าน้ารัณย์จะเอาหนังสือเล่มใหม่มาให้ผมรึยัง รอจนเบื่อแล้ว”
“ฮ่าๆ นึกว่าเรื่องอะไร อยู่หลังรถน่ะ หยิบไปสิ”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้นรพีก็รีบเอี้ยวตัวไปหยิบหนังสือเล่มใหม่ที่วางไว้ข้างหลังเบาะตามที่คนเป็นน้าบอก ดวงตาที่หม่นลงของเขาเป็นประกายขึ้น รพีค่อยๆลูบไปตามตัวอักษรที่นูนขึ้นจากปกอย่างหลงใหลจนคนมองอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“ชอบขนาดนั้นเลยหรอ เล่มเก่าเห็นป้าจันทร์บอกว่าอ่านจนเกือบขาดแล้ว”
“ชอบสิครับ แต่ที่หนังสือเกือบขาดน่ะฝีมือข้าวต่างหาก อ่านไม่ระวังเลย ที่หลังผมไม่ให้ยืมแล้ว”
อารัณย์หัวเราะร่าเมื่อนานๆครั้งจะเห็นคนข้างๆออกอาการหงุดหงิดออกมาบ้างเพราะปกตินอกจากทำหน้านิ่งๆแล้วยิ้มไปตามเรื่องแล้วรพีแทบจะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย นับตั้งแต่วันที่รัตติกาลตัดสินใจจากไปรักษาตัวทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นของวันนั้น เด็กชายที่ไม่ได้บอกลาและรับไม่ได้กับการสูญเสียคนที่รักที่สุดไปก็ค่อยๆเก็บตัวเงียบ จากเด็กที่เคยร่าเริงก็กลับกลายเป็นเงียบขรึม แต่ยังดีที่มีแรงจากคนรอบข้างคอยพยุงทำให้รพียังคงเดินหน้าต่อไปได้แม้จะไม่ได้เจอรัตติกาลอีกเลยก็ตาม
“คราวนี้เขาไปที่ไหนครับ ใช่ที่ซูริครึเปล่า”
“ใช่ ว่าแต่เดาถูกได้ไงเนี่ย”
“ก็เห็นเขาเขียนถึงมาหลายรอบแล้วว่าอยากไปเห็นน้ำตกที่นั่น”
ร่างสูงได้ฟังแล้วก็เอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมของรพีด้วยความเอ็นดูโดยที่เด็กชายไม่คิดจะปัดมันออกแต่อย่างใด เขาเปิดไปยังหน้าคำนำจากผู้แต่งเจ้าของนามปากกาว่า ‘Luna’ หนึ่งในนักเขียนมือฉมังที่มีผู้ติดตามมากพอๆกับนิลที่ตอนนี้เข้ามาควบกรรมการบริหารของสำนักพิมพ์ ซึ่งมีอารัณย์เข้ามานั่งเก้าอี้ประธานแทนรัตติกาลซึ่งจากไป ภาษาสละสลวยที่ตรึงใจรพีตั้งแต่คราวแรกทำให้เด็กหนุ่มจมดิ่งเข้าไปในโลกที่ตัวเองไม่เคยพบเจอได้อย่างง่ายดาย เขาคลี่ยิ้มน้อยๆก่อนจะบอกขอบคุณออกมา
“ขอบคุณนะครับน้ารัณย์ ไว้วางขายจริงเมื่อไหร่ผมจะไปซื้ออีก”
“ถ้าอยากได้เผื่อไว้ก็เข้าไปเอาที่บริษัทก็ได้นิ”
“ได้ยังไงกันครับ แค่ได้อ่านก่อนคนอื่นก็ขี้โกงมากแล้ว”
“...ถ้า Luna รู้ว่ามีคนชอบผลงานตัวเองขนาดนี้คงดีใจนะ”
อารัณย์ว่ายิ้มๆก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับทางตรงหน้าต่อ รพีลอบมองใบหน้าที่หมองลงเล็กๆของน้าชายแล้วได้แต่เก็บความสงสัยระคนเป็นห่วงเอาไว้ เด็กชายเลือกที่จะเงียบแล้วอ่านหนังสือในมือไปตลอดทางจนถึงบ้านที่มีทั้งยายจันทร์ พี่นิ่ม พี่ลูกศรและคนอื่นๆรอคอยเขากลับไปเหมือนกับทุกๆวัน
เด็กชายตรงเข้าไปกอดร่างท้วมของจันทร์ที่ทรุดโทรมขึ้นทุกวันด้วยความรัก โดยไม่ลืมที่จะอวดหนังสือให้หญิงแก่ดูราวกับมันเป็นของล้ำค่า จันทร์พูดเออออด้วยความดีใจโดยไม่ลืมหันไปขอบคุณอารัณย์ที่ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องรับแขกของบ้านก่อนที่จะลงมาทานอาหารเย็นด้วยกันอย่างเคย
“ยายครับ เห็นแม่บอกว่าจะลงมาที่บ้านสักอาทิตย์ก่อนหน้าวันเกิดผม ยังไงก็ช่วยเตรียมห้องไว้ให้หน่อยนะครับ ให้พี่พิมพ์นอนห้องผมก็ได้”
“เรื่องห้องน่ะไม่มีปัญหาค่ะ แต่กับคุณหนูพิมพ์ใจนี่ต้องแยกห้องกันนะคะ ถึงจะเป็นพี่น้องกันแต่ให้ผู้ชายผู้หญิงมานอนร่วมห้องมันไม่งามค่ะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ ทุกทีพี่พิมพ์ก็นอนห้องผมตลอด”
“นั่นมันตอนเด็กๆค่ะ แต่ตอนนี่จะขึ้นป.6กันแล้ว มันไม่ดีกับพี่สาวนะคะ”
รพีที่ได้ฟังเหตุผลก็ยอมพยักหน้าอย่างทำใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองโตขึ้นจากเดิมแค่ไหนแต่เพราะความเคยชินทำให้เขาไม่เคยคิดว่าการอยู่ร่วมห้องกับพิมพ์ใจจะเป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด อารัณย์ที่กำลังตักข้าวเข้าปากมองหลานชายอย่างเข้าใจในความต้องการนั้นแต่ก็เป็นอย่างที่ป้าจันทร์ว่า เขาจึงได้แต่ตักของโปรดที่เจ้าตัวชอบใส่จานของรพีไปเป็นการปลอบใจเท่านั้น
“เอาน่า ไว้ไปลำปางเมื่อไหร่ลองนอนเต็นท์กันดูไหม เดี๋ยวน้ากับแม่จะนอนด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหา”
“เต็นท์?”
เด็กชายทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย ก่อนที่อารัณย์จะยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปของบ้านหลังหนึ่งโชว์อยู่ให้แทนคำตอบ
“เมื่อกี้น้าโทรคุยกับแม่เราแล้วว่าวันเกิดพีจะไปพักที่ลำปางกัน บ้านไม้ของพ่อนทีไง จำได้ไหมที่น้าเคยเล่าให้ฟัง”
รพีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าน้อยๆ เขาไม่ได้แสดงท่าทางดีใจอออกมาย่างที่ควรเป็นเพราะจากคำเล่าและความทรงจำอันน้อยนิดของรพีบ้านหลังนี้ไม่เป็นอะไรเลยนอกจากต้นเหตุความขัดแย้งทั้งหมดในสายตาเขา
“น้ารู้ว่าพีไม่อยากไป แต่เราไปกันเถอะนะ”
“...ผมถามได้ไหมว่าทำไม”
“อืม...เพราะปีนี้ครบ1รอบที่เกิดอุบัติเหตุนั่นพอดี น้ากับแม่พีเลยอยากทำบุญให้พ่อนทีกันน่ะ ขอโทษนะที่ตัดสินใจกันโดยไม่ถามพีก่อน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไร”
รพีส่ายหน้าน้อยๆแต่ก็ยังคงแสดงความเป็นกังวลออกมา อารัณย์ที่เห็นดังนั้นก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะกลับไปเคลียร์เอกสารใจห้องว่าถ้าหากรพีไม่สะดวกใจจริงๆพวกผู้ใหญ่ก็พร้อมจะเปลี่ยนแผน แต่นั่นกลับสร้างความวุ่นวายในใจให้เด็กหนุ่มยิ่งกว่าเดิมจนเขาอ่านหนังสือได้ช้ากว่าเก่า
ทว่าความหลงใหลในตัวอักษรนั้นก็ทำให้รพีค่อยๆถูกกลืนเข้าไปในโลกอีกใบที่สร้างความตื่นเต้นให้เขาได้เสมอ Luna พูดถึงการเดินทางตั้งแต่ซูริคไปจนถึงเมืองรองอย่างบาเซิล สิ่งที่เขาพบเจอระหว่างทาง และผู้คนซึ่งมีทั้งเป็นมิตรและไม่หวังดีถูกเล่าลงด้วยสำนวนเฉพาะตัวที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินเคียงข้างไปกับพระจันทร์ดวงนั้น เขาไล่สายตาไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้เบื่อหน่ายจนกระทั่ง Luna เที่ยวเตร่ไปถึงสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ไม้เก่าแก่ที่มีชื่อว่า Mittere Rhienbrucke
‘ก่อนจะเดินเลยผ่านไป ตาของผมเหลือบไปเห็นแม่กุญแจมากมายถูกแขวนไว้จนเต็มประตูเหล็กของป้อมกลางสะพาน ชื่อของคู่รักและผู้คนที่ไม่อยากพรากจากกันถูกเขียนลงบนนั้น มีทั้งที่ยังชัดเจนและเลือนรางไปตามสภาพ สิ่งที่ผมนึกเมื่อเห็นมันคือผู้คนเหล่านี้ยังจำความรู้สึกของตนตอนที่ยืนอยู่จุดๆนี้ได้ไหม พวกเขายังคงปรารถนาสิ่งเก่า หรือกำลังไขว่คว้าหาจุดหมายใหม่ๆโดยหลงลืมช่วงเวลาเหล่านี้ไปแล้วกันแน่ ผมล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่ว่างเปล่าก่อนจะจับได้เพียงหัวใจและความทรงจำที่หนักอึ้งนอนนิ่งอยู่ในนั้น ก่อนที่ผมจะนึกถึงใครบางคน
เขากำลังปรารถนาสิ่งใดและกำลังเดินไปทางไหน...
ผมไม่รู้เลยได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ความผิดบาปโอบล้อมตัวเองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับลงแล้วดวงจันทร์ผลัดแสงขึ้นแทนอย่างโดดเดี่ยว
ผมกำลังปรารถนาสิ่งใดและกำลังเดินไปทางไหน...
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ผมอยากเจอเขา ผมอยากไปหาเขา…’
“อยากเจอ...งั้นหรอ”
เด็กหนุ่มอ่านซ้ำคำนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในใจพร้อมกับใบหน้าของคนคนหนึ่งที่ทำให้เขาถามตัวเองด้วยสิ่งนั้นเช่นกัน
“แล้วพ่อ...ไม่อยากเจอผมบ้างรึไง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
อากาศหนาวยามเช้าที่จังหวัดลำปางช่วงเดือนธันวาคมทำให้อารัณย์ต้องกระชับเสื้อแขนยาวเข้าหาตัวพลางมองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่รอบๆวัดป่าแห่งหนึ่งอย่างชอบใจ ต่างจากพวกเด็กๆที่เอาแต่บ่นกระปอดกระแปดเพราะโดนปลุกทั้งที่กำลังนอนฝันหวานอยู่บนรถ
“พิมพ์ พี มานี่เร็วลูก”
พะแพงร้องเลี้ยงลูกทั้งสองคนให้เดินตามเธอไปยังเจดีย์เล็กๆที่อดีตคนรักของเธอกำลังหลับใหลอยู่ในนั้น รพีหันไปมองหน้าอารัณย์ที่เดินถือพวงมาลัยตามมาน้อยๆก่อนจะโดนร่างสูงดันหลังให้เดินไปด้วยกันตามที่พะแพงว่า หญิงสาวยื่นผ้าขนหนูให้ลูกทั้งสองช่วยกันทำความสะอาดป้ายหินอ่อนที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกต่างๆ อารัณย์มองภาพนั้นแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะนำพวงมาลัยวางลงไปตรงหน้ารูปของนที
“ผมหน้าเหมือนพ่อมากเลยหรอน้ารัณย์”
รพีเอ่ยถามน้าชายที่ยืนหลบมุมอยู่ไม่ไกลหลังจากไหว้พ่อแท้ๆเสร็จ
“น้าไม่เคยเจอเขาตัวจริงซะด้วยสิ แต่ดูจากรูปก็พอเหมือนอยู่นะ ทำไมหรอ”
“...เพราะผมหน้าเหมือนพ่อ เขาเลยไม่กลับมารึเปล่า”
เสียงของเด็กชายเบาลงจนแทบไม่ได้ยินแต่ถึงอย่างนั้นมันกลับบาดลึกลงไปในหัวใจคนฟัง รอยยิ้มของรพีหายไปเช่นเดียวกับอารัณย์ ร่างสูงวางมือของตนลงบนหัวกลมของคนที่ลึกๆแล้วยังโทษตัวเองอยู่ในใจก่อนจะลูบมันเบาๆเหมือนกับที่เคยทำ
“ถึงจะชอบหนีปัญหา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลหรอกนะ...พ่ออีกคนของพีน่ะ”
“แล้วเหตุผลของเขาคืออะไรหรอครับ ในเมื่อน้าบอกว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เลี้ยงดูผม แต่ทำไม...ถึงทิ้งผมไว้แบบนี้”
อารัณย์ได้แต่ทำหน้าลำบากใจ แต่เพราะคำสัญญาเมื่อตอนนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องปกปิดความลับสุดท้ายไว้ตามความปรารถนาของคนที่จากไป แม้จะรู้สึกสงสารแต่ก็เข้าใจว่าทำไมคนรักถึงเลือกที่จะทรมานหัวใจของตัวเองแบบนี้
“อย่าบอกรพีนะว่าทำไมผมถึงต้องไป”
รัตติกาลพูดขึ้นหลังจากรับถุงมือที่อารัณย์ยื่นให้ไว้ ท่ามกลางความวุ่นวายของเหล่าผู้คนในสนามบิน ร่างสูงมองคนรักอย่างไม่เข้าใจแต่ยังไม่ทันที่จะถามต่อ รัตติกาลก็เป็นฝ่ายพูดอธิบายขึ้นมาเอง
“เด็กคนนั้นต้องโทษตัวเองแน่ๆถ้ารู้ว่าผมจากมาเพราะไม่กล้าเจอหน้าเขา”
“แต่ผมไม่คิดว่าการไปโดยไม่บอกอะไรรพีเลยจะทำให้เขาเข้าใจขึ้นหรอกนะ”
“อืม...รพีอาจจะยังคงโทษตัวเองเหมือนกัน แต่แบบนี้แหละดีแล้ว ผมไม่อยากให้เขายึดติดกับผมมากเกินไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมทำให้โลกของลูกมีแต่ผมอยู่ในนั้น หากไม่มีผมอยู่รพีก็ต้องอยู่คนเดียวตลอดไป ผมถึงตัดสินใจแล้วว่าจะทำลายโลกใบนั้นอารัณย์...โลกที่รพีรักผมมากที่สุด”
รัตติกาลพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่แม้ในดวงตาจะมีน้ำเอ่อคลอ เขาปาดมันออกลวกๆก่อนจะหยิบเอากระเป๋าสะพายใบเล็กที่มีเพียงเสื้อผ้าเพียงเล็กน้อยและรูปของพ่อกับแม่ที่เขานำมันติดตัวไปด้วย
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง...เห็นแก่ตัว ไม่เคยคิดถึงใจลูกจริงๆสักครั้ง จนสุดท้ายก็ลงเอ่ยด้วยการทำร้ายเขาจนได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ผมที่ต้องเข้มแข็งขึ้น รพีเองก็เหมือนกัน...ผมจะไปจนกว่าจะสามารถเป็นพ่อที่ดีกว่านี้ได้ แล้วถ้าหากวันนั้นรพียังต้องการ ผมจะกลับมา”
ร่างโปร่งยิ้มออกมาก่อนจะโน้มร่างของอารัณย์มากอดไว้พร้อมกับสลักคำรักลงไปในใจของคนที่ไม่อาจลืมมันได้ลง
“ดูแลลูกให้ผมด้วย...สัญญานะ”
คำขอสุดท้ายยังก้องอยู่ในหัวใจของเขา ชายหนุ่มที่เคยอ่อนแอและไร้กำลังคว้าเด็กชายที่ตัวสูงเพียงแค่อกของตัวเองมากอดไว้ด้วยความรู้สึกที่ว่าจะปกป้องดูแลคนที่เขารักทั้งสองคนให้ดีที่สุด
“น้าคงบอกไม่ได้ว่าทำไมพ่อเราถึงต้องไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่น้าอยากให้พีมั่นใจ คือไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พีจะยังคงเป็นครอบครัวคนสำคัญที่รัตติกาลจะกลับมาหาในสักวัน”
“น้ารัณย์...”
“แล้วอีกอย่างนะ สำหรับน้าพีเหมือนเขามากกว่าพ่อนทีอีก โดยเฉพาะนิสัยคิดมากแล้วก็ชอบหมกตัวอยู่กับหนังสือ ฮ่าๆ สงสัยถ้าวันไหนเขากลับมา ดูท่าน้าคงต้องให้สร้างห้องสมุดไว้ในบ้านซะแล้วล่ะมั้ง”
คำพูดติดตลกที่อารัณย์และรพีต่างก็อยากให้มันเป็นความจริงเหมือนประกายแห่งความหวังที่จุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของทั้งสอง ร่างสูงจับมือเด็กชายแล้วพากันเดินกลับไปยังรถที่มีพะแพงและพิมพ์ใจยืนโบกมือมาให้จากไกลๆ รพีโบกมือกลับให้ทั้งคู่ก่อนจะหันมาถามน้าชายถึงอีกสิ่งที่ยังค้างคาอยู่
“แล้วน้ารัณย์คิดว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่”
อารัณย์หยุดขาที่กำลังก้าวเดิน ก่อนจะหันมาตอบเด็กชายด้วยน้ำเสียงที่ทั้งหนักแน่นและจริงจังโดยที่รอยยิ้มนั้นระบายอยู่เต็มใบหน้า
“คงจะหาทางกลับบ้านอยู่ล่ะมั้ง”
:mew1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :mew1:
-
“บ้านพีหลังใหญ่จังเลย”
เด็กหญิงพิมพ์ใจที่มีศักดิ์เป็นพี่สาวพูดขึ้นพลางกวาดตามองไปทั่วตัวบ้านหลังใหญ่ที่ทำจากไม้เนื้อสีออกแดงๆสวยงามแบบที่เธอไม่เคยเห็น เธอคลายมือที่จับกับแม่ไว้ออกก่อนจะวิ่งไปสำรวจรอบๆอย่างตื่นเต้นผิดกับรพีที่ยืนนิ่งมองมันอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่นึกดีใจเลยสักนิด
“เป็นอะไรไปพี ไม่สบายหรอ”
พะแพงที่ยังคงยืนอยู่ข้างลูกชายพูดขึ้นพลางทาบมือไปบนหน้าผากเพื่อตรวจดูว่าลูกของเธอมีไข้ไหม แต่รพีก็กลับส่ายหน้าทั้งๆที่ยังคงออกอาการเซื่องซึมอยู่
“ป่าวครับ ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นเข้าไปนอนในบ้านก่อนไหม ส่วนเต็นท์ค่อยมากางนอนกันคืนนี้”
“ก็ได้ครับ”
“งั้นรอแปปเดียวนะ เดี๋ยวแม่ไปหยิบกุญแจบ้านมาก่อน”
หญิงสาวว่ายิ้มๆแล้วเดินไปหาน้องชายที่กำลังวุ่นอยู่กับการขนกระเป๋าเสื้อผ้าลงมาจากรถ เธอเอ่ยปากขอกุญแจที่อารัณย์เก็บไว้ ชายหนุ่มก็รีบควานหาให้โดยทันที แต่ดูเหมือนว่าของที่สมควรอยู่ในลิ้นชักหน้ารถจะไม่ได้อยู่ในที่ของมัน
“แน่ใจนะว่าหยิบมาด้วย ไม่ใช่ว่าลืมไว้ที่กรุงเทพนะ”
“ผมไม่ได้ลืม หยิบเอามาใส่ไว้ในรถตั้งแต่เมื่อคืนก่อนแล้ว ผมว่าน่าจะตกอยู่ในนี้นี่แหละ ตอนหยิบของอย่างอื่นคงไม่ได้ระวังกัน”
“งั้นรีบหาให้เจอเถอะ พี! เข้านั่งรอตรงระเบียงข้างบนก่อนก็ได้ลูก”
รพีพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปรอด้านในตามที่คนเป็นแม่ว่า เขาเดินไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ตรงหน้าบันไดสูงยาวแบบบ้านเรือนไทยที่เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์หรือตามหนังสือ มือเล็กสัมผัสเนื้อไม้เย็นเฉียบเบาๆด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปข้างบน
บ้านไม้ที่มีรูปทรงแบบเดียวกับบ้านไม้จำลองที่ตั้งอยู่ในห้องนอนของรพี ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามไม่ผิดเพี้ยน ทั้งประตูบานใหญ่ ระเบียงหรือแม้แต่ขอบหน้าต่างที่มีลวดลายสวยงามถูกขัดให้เป็นเงาบ่งบอกถึงความประณีตและราคาสูงลิ่วได้อย่างไม่ต้องสงสัย เด็กชายเดินสำรวจไปเรื่อยๆพลางสูดดมกลิ่นไม้เนื้อหอมที่ปลูกไว้โดยรอบอย่างชอบใจ เมื่อมาอยู่ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายก็พลอยทำให้อคติที่มีต่อบ้านหลังนี้ค่อยๆจางหายไปด้วย
แกร๊ก..
ในระหว่างที่เขากำลังก้มลงดูรูปปั้นดินเผาที่วางอยู่บนพื้นนั้น ก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากในตัวบ้าน รพีรีบหันไปมองทางต้นกำเนินของเสียงแต่ก็ไม่เห็นอะไร เขานึกสงสัยขึ้นมาทันที ในเมื่อบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่แล้วกุญแจที่อารัณย์เก็บไว้ก็ยังหาไม่เจอ ก็ไม่น่าจะมีเสียงอะไรดังขึ้นจากข้างในได้
“หรือว่าจะเป็นขโมย”
เด็กชายรีบวิ่งกลับไปยังที่บันไดเพื่อจะไปบอกเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ แต่พอรพีมาถึงเขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของครอบครัวทั้งสามคนที่มาด้วยกัน
“แม่ พี่พิมพ์ น้ารัณย์!”
รพีตะโกนเรียกแต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา หนำซ้ำบ้านยังสร้างไว้ลึกพอสมควรทำให้สัญญาณโทรศัพท์ไม่มีเหมือนในเมือง ความกลัวเข้าโจมตีรพีเข้าอย่างจัง เรื่องราวเลวร้ายในอดีตที่เคยเกิดขึ้นเพราะบ้านหลังนี้ทำให้เด็กชายเริ่มคิดวิตกไปต่างๆนาๆ เขาวิ่งไปรอบๆบ้านอย่างร้อนใจ พยายามมองหาแต่ก็ไม่เห็น แล้วในจังหวะที่รพีกำลังจะวิ่งกลับไปที่รถเขาก็สะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนใหญ่เข้า
“โอ้ย!”
ร่างเล็กที่ล้มลงค่อยๆยันกายขึ้นพร้อมกับหัวเข่าที่เต็มไปด้วยรอยแผล เด็กชายมองดูเลือดที่ไหลซึมออกมาด้วยความกลัวที่เพิ่มทวีคูณ รพีพยายามกลืนก้อนสะอื้นกลับเข้าไปข้างใน ริมฝีปากบางถูกขบกัดจนแน่น แต่เด็กชายกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ไหวปลดปล่อยมันออกมาด้วยร่างกายที่สั่นเทา
“ฮึก แม่ พี่พิมพ์ น้ารัณย์...ทุกคนไปอยู่ไหน”
เขาควานเข้าไปในคอเสื้อคว้าเอาจี้ของสร้อยที่ตัวเองแขวนอยู่เสมอมากำไว้แน่นก่อนจะดึงมันออกมาแล้วมองดูพร้อมกับนึกถึงใบหน้าผู้ที่มอบของสำคัญชิ้นนี้ให้กับเขา...มันคือกุญแจสีเงินดอกใหญ่ของขวัญชิ้นสุดท้ายจากรัตติกาลที่เขาได้มาในวันเกิดปีที่หกของตัวเอง
“ช่วยด้วย ฮึก พ่อกาล...พีกลัว”
เด็กชายยกเข่าขึ้นมากอดและหลับตาลงเหมือนทุกครั้งที่รู้สึกหวาดกลัว ใบหน้าของเขาเปียกชุ่มแต่รพีกลับไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว ในหัวของเด็กชายมีเพียงความทรงจำที่แสนหวงแหน ทั้งรอยยิ้ม ดวงตาแสนเย็นชา และฝ่ามืออุ่นๆของคนคนนั้น คือสิ่งที่สามารถปลอบประโลมจิตใจของเขาได้ แต่แล้วสติของเขากลับต้องแตกพล่านเมื่อมีเสียงฝีเท้าของคนบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที
“ฮึก ช่วยด้วย ...พ่อ”
เสียงฝีเท้านั้นหยุดลงแล้ว พร้อมกับความรู้สึกว่ากำลังถูกใครบางคนจดจ้องอยู่ตรงหน้า รพีกำกุญแจในมือจนข้อขาว เขาอยากวิ่งหนีแต่ก็ไม่กล้า ภายในใจได้แต่ภาวนาให้ใครสักคนโผล่มาช่วยตนเอง
“พี”
มือที่กำลังสั่นของรพีหยุดนิ่ง เมื่อเสียงที่กำลังเรียกชื่อของเขานั้นคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เงยหน้าขึ้นไปมอง กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มก็กำลังถูกลูบเบาๆด้วยฝ่ามือเย็นของใครบางคน
“ลืมตาขึ้นสิรพี ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว”
เด็กชายลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ความรู้สึกบางอย่างกลับสั่งให้เขาทำตามคำพูดนั้นอย่างง่ายดาย รพีค่อยๆลืมตาที่พร่าเลือนขึ้น แสงตะวันที่ฉายทอดมาตรงหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตาลงก่อนที่จะได้เห็นใบหน้าของคนที่กำลังลูบหัวเขาอยู่อย่างชัดเจน
ผมยาวสีดำสนิทถูกรวบไว้ทางด้านหลัง ดวงตาที่ยังคงดูเย็นชาขัดกับรอยยิ้มที่มอบมาให้ด้วยความคิดถึง ลำคอของรพีแห้งผาก แม้แต่คำพูดสั้นๆอย่างสวัสดี หรือคิดถึงยังไม่สามารถถูกกลั่นกรองออกไปได้ น้ำตาที่หยุดไปแล้วเริ่มไหลรินอีกครั้ง พร้อมกับแรงสะอื้นจนตัวโยนที่ทำให้รัตติกาลที่กำลังมองดูอยู่ขำออกมาน้อยๆ
“ยังไม่ทันไรก็ร้องไห้ซะแล้ว”
“ฮือ พ่อ!!!”
รพีกระโจนเข้าสู่อ้อมกอดของคนตรงหน้าแล้วปล่อยโฮออกมาสุดเสียง เด็กชายไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วนอกจากคำว่าคิดถึงที่เขาอยากฟังมาหลายปีที่รัตติกาลกำลังเอ่ยให้ลูกชายฟังด้วยน้ำเสียงติดจะสะอื้นเล็กๆ ความกลัวที่เคยมีหายไป มีแต่ความดีใจเข้ามาแทนที่ รพีเอาแต่เรียกชื่อบิดาซ้ำๆด้วยใบหน้าที่เปื้อนทั้งน้ำตาและรอยยิ้มจนแยกไม่ออก
“พ่อหายไปไหนมา ทำไม ฮึก ทำไมทิ้งพีไว้คนเดียว”
“พ่อขอโทษ”
“ห้ามทำอีกนะ ห้ามทิ้งพีไปอย่างนี้อีก ไม่เอาแล้ว...”
“อืม...ไม่ทำแล้วครับ พ่อไม่ไปไหนแล้ว”
รัตติกาลผละออกมาก่อนจะยิ้มให้ลูกชายด้วยความคิดถึง เขาใช้แขนเสื้อของตัวเองเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของรพีที่ยังคงไม่ยอมห่างจากเขาไปจนกระทั่งเงาของคนกลุ่มหนึ่งจะเดินเข้ามาจากด้านหลัง รัตติกาลหันไปมองภาพของพะแพงที่เดินจูงมือพิมพ์ใจเข้ามาหาพร้อมกับ นิลและฤทธิชาติที่เดินเถียงกันมาอย่างเคย
“มึงแม่งเล่นอะไรบ้าๆ หลานเจ็บตัวเลยเห็นไหม!”
“อ้าว นิลเป็นตัวต้นคิดว่าอยากทำเซอร์ไพรส์น้องพีไม่ใช่หรอครับ จะมาโทษผมคนเดียวได้ยังไง"
“แต่มึงเป็นคนบอกให้ทุกคนซ่อนตัวไว้ เพราะงั้นมึงผิด!”
“ครับๆ ผิดก็ผิดครับ”
นิลส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะชะงักเมื่อรัตติกาลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับจูงรพีที่ยังคงสะอื้นอยู่ให้เดินมาด้วยกัน
“ไม่ต้องเถียงกัน เดี๋ยวจะจัดให้ทั้งสองคนนั่นแหละ”
“โห้ย ทำมาเป็นขู่ มึงนั่นแหละตัวดีเลยไอ้กาล”
รัตติกาลส่ายหน้าก่อนจะเขกหัวเพื่อนรักเบาๆจนอีกฝ่ายร้องโอดโอยไม่หยุด ร่างโปร่งละความสนใจจากนิลมาหาหญิงสาวที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆกันพร้อมกับยกมือไหว้
“ในที่สุดก็ยอมกลับมาสักทีนะ”
“ครับ...ผมกลับมาแล้ว”
ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้นโดยมีสายตาทุกคู่จ้องมอง โดยเฉพาะรพีที่เริ่มดึงสติกลับมาได้บ้างแล้ว เด็กชายเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นว่าพ่อบุญธรรมและแม่แท้ๆของตนไม่มีทางท่าเกลียดชังกันอย่างที่เคยกลัว
“พี่แพงครับ...ผม...”
“พี่รู้ว่ากาลอยากพูดอะไร แต่ช่างมันเถอะ...แค่พี่ได้เห็นรพีกลับมายิ้มและร้องไห้เหมือนที่เด็กคนอื่นเป็น แค่นี้พี่ก็พอใจแล้ว”
รัตติกาลยกมือไหว้พะแพงอีกครั้งแล้วกล่าวทักทายพิมพ์ใจที่ยังคงจำชายผู้มอบลูกอมให้กับเธอได้เป็นอย่างดี รพีมองภาพตรงหน้าที่ไม่ต่างจากความฝันด้วยความปลาบปลื้มใจ จนกระทั่งรัตติกาลสังเกตว่ามือที่ตัวเองกำลังจับไว้เริ่มสั่นขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าที่คมคายขึ้นกว่าเก่าหันมามองรพีด้วยความรักและคิดถึงไม่ต่างกัน
“รพี...สุขสันต์วันเกิดนะลูก”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“กูมาทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย”
อารัณย์พูดกับตัวเองเบาๆพลางยกกาแฟขึ้นจิบอยู่ในคาเฟ่เล็กๆริมทางด่วนที่มีลูกค้ากำลังเข้ามาใช้บริการกันอย่างมากมาย ชายหนุ่มถอนหายใจกับเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขารำคาญหรืออะไร แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมนิลกับฤทธิชาติที่จู่ๆก็โผล่มาบอกให้เขาขับรถของพวกมันออกมารับเค้กที่สั่งไว้ตั้งแต่ก่อนเที่ยงทั้งๆที่ใบนัดบอกว่าให้มารับตั้งบ่ายสองโมง และเขาก็ดันบ้าจี้ทำตามคำบอกของไอ้คู่รักหลุดโลกพวกนั้นโดยที่ไม่สงสัยอะไรสักนิด
“ขอโทษนะคะที่ให้รอนาน”
หญิงสาวเจ้าของร้านในชุดกันเปื้อนก้าวยาวๆเข้ามาหาพร้อมกับเค้กกล่องโตที่ถูกห่อขึ้นอย่างสวยงาม อารัณย์เห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นมารับไว้แทนแต่เพราะส่วนสูงที่ต่างกันมากและใบหน้าคมเข้มที่ดูอ่อนโยนกลับทำให้สาวเจ้าเกือบทำเค้กหลุดมือซะได้
“ขะ ขอโทษค่ะ!”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่ดันมาก่อนเวลา”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยินดีให้บริการอยู่แล้ว”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วก็ขอบคุณนะครับ กาแฟอร่อยมาก”
อารัณย์ส่งยิ้มพิมพ์ใจให้อีกฝ่ายก่อนจะหันหลังเพื่อเดินออกจากร้านไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวพ้นประตูชายเสื้อโปโลของร่างสูงก็ถูกหญิงสาวที่ยืนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงจับไว้ด้วยอาการขวยเขิน
“คะ คือ...”
“ครับ?”
“เค้กนี่...เป็นของใครหรอคะ...ลูกของคุณรึเปล่า”
ร่างเล็กกลั้นใจถามเรื่องส่วนตัวของลูกค้าแม้ว่ามันคือสิ่งที่เธอไม่สมควรทำ อารัณย์เลิ่กคิ้วขึ้นน้อยๆอย่างไม่เข้าใจในจุดประสงค์นั้นแต่ก็ยอมตอบกลับมาตรงๆ
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“จริงหรอคะ! งั้นก็...”
“แต่เป็นลูกชายของแฟนผมเอง ขอตัวก่อนนะครับ”
ชายหนุ่มว่ายิ้มๆก่อนจะเดินออกไปจากร้านโดนทิ้งให้เจ้าของร้านสาวงสวยยืนใจสลายอยู่ตรงนั้น เขาวางกล่องเค้กลงบนที่นั่งข้างคนขับแล้วรีบออกตัวรถเพื่อกลับไปยังบ้านไม้หลังนั้นอย่างไม่เร่งรีบ เมื่อขับมาได้ครู่หนึ่งอารัณย์ก็ใช้มือเพียงข้างเดียวประคองพวงมาลัยรถ แล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตนมากดโทรออกไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่จุดหมายปลายทางอยู่ต่างประเทศแต่กลับไม่มีใครรับสาย
“สงสัยลืมชาร์จมือถืออีกแล้ว ให้ตายสิ”
อารัณย์บ่นก่อนจะยอมตัดใจวางโทรศัพท์ในมือลงเคียงข้างกับเค้กกล่องนั้น ในขณะที่ในใจกำลังนึกถึงคนรักในแดนไกลที่เขาติดต่อไม่ได้มาสามวันแล้ว
ตั้งแต่รัตติกาลเดินทางไปรักษาตัวที่อิตาลีเมื่อเกือบหกปีก่อน อารัณย์เหมือนกับถูกสถานการณ์บังคับให้เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ตัวเขาที่ลึกๆไม่อยากปล่อยคนรักให้อยู่ไกลหูไกลตา ต้องฝืนทนข่มความเศร้าของตัวเองไว้และใช้กำลังทั้งหมดดูแลและปกป้องรพีให้ได้อย่างที่รับปาก
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเดิมๆที่เคยมีกันและกันแต่เพียงลำพัง แต่ถึงอย่างนั้นอารัณย์ก็บอกตัวเองเสมอว่าเขาจะผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปให้ได้เช่นเดียวกับรัตติกาลที่กำลังพยายามอยู่ในอีกฝั่งหนึ่งของโลก แม้จะไม่ถึงกับตัดขาด แต่อารัณย์ก็ไม่สามารถไปหารัตติกาลทุกครั้งตามที่ใจต้องการ มีบ้างอยู่เหมือนกันที่เขาได้มีโอกาสได้พบคนรักในระหว่างที่ต้องเดินทางไปติดต่อธุรกิจแต่เมื่อเทียบกับเวลาที่ผ่านเลยไปแล้ว มันเหมือนกับการรินน้ำหยดเล็กๆลงบนพื้นทะเลทรายเท่านั้น
เวลาที่เดินผ่านไปโดยที่ไม่มีรัตติกาล มันทั้งเจ็บปวดและสวยงามในคราวเดียวกัน ความห่างไกลนั้นสอนให้อารัณย์รู้จักความหมายของความรักในอีกแง่มุมหนึ่งที่เขาไม่เคยสัมผัส ยิ่งได้เห็นว่าคนรักของเขากำลังมีความสุขแค่ไหนที่ได้ไล่ตามความฝันอีกครั้ง อารัณย์ก็บอกตัวเองว่าเขาจะเป็นคนที่เข้มแข็งพอที่จะปกป้องทั้งหมดของคนรักไว้ ทั้งครอบครัว ความฝัน และหัวใจ เขาจะรักษามันไว้จนกว่ารัตติกาลจะกลับมา
ร่างสูงเลี้ยวรถเข้าไปจอดในมุมหนึ่งของบ้าน ข้างกับรถของตนที่จอดพักเอาไว้ เขาหยิบเอากล่องเค้กมาไว้ในมือก่อนจะเดินขึ้นไปบนบ้านที่ล็อคข้างหน้าถูกปลดออก โดยมีทั้งเสียงหัวเราะและพูดคุยดังลอดมาให้ได้ยิน
“อ้าวไง กลับมาแล้วหรอมึง”
“ขอบคุณนะครับ ที่เป็นธุระให้”
นิลกับฤทธิชาติที่หันหน้ามาทางประตูเป็นคนที่เห็นเขาเดินเข้ามาก่อนจึงร้องทักด้วยท่าทางที่กวนประสาทเบื้องล่าง โดยเฉพาะเพื่อนสมัยเด็กอย่างฤทธิชาติที่อารัณย์ที่โดนเขาลากให้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดแอบสังเกตเห็นอีกฝ่ายหลุดขำเล็กๆ จนร่างสูงอดใจไม่ไหว เดินไปตบหัวนายตำรวจหนุ่มเข้าอย่างจัง
“กวนตีนเขานัดบ่ายสองเสือกให้กูไปเอาซะสิบเอ็ดโมง แล้วเสือกเลือกร้านซะไกลเลยนะมึง ที่หลังขับรถไปเอาเองเถอะ”
“รัณย์ อย่าพูดไม่เพราะต่อหน้าหลาน”
พะแพงที่กำลังนำเนื้อไก่มาเสียบไม้บาร์บิคิวอยู่เอ็ดน้องชายเสียงเขียว จนคนตัวโตต้องหยุดปากของตัวเองโดยพลัน
“น่าๆ ถือซะว่าเป็นของขวัญให้พีไง เนอะ”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับน้ารัณย์”
รพีรับคำของนิลก่อนจะหันมายิ้มให้อารัณย์ด้วยใบหน้าอิ่มสุขจนร่างสูงแปลกใจ ร่างเล็กเอียงคอน้อยๆเมื่อเห็นน้าชายจ้องตัวเองไม่วางตา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางแบบนั้นทำให้อารัณย์คิดถึงรัตติกาลมากแค่ไหน
“แล้วตกลงกุญแจไปตกอยู่ที่ไหน ถึงเข้ามาในบ้านได้”
“กุญแจดอกนั้นยังหาไม่เจอครับ แต่พีใช้ดอกนี้ไขเข้ามาแทน”
เด็กชายยกลูกกุญแจที่ครั้งหนึ่งเคยใช้แขวนคอขึ้นให้น้าชายดู อารัณย์เมื่อเห็นสิ่งนั้นก็จำได้ทันทีว่ารพีได้มาจากไหน ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเข้าใจถึงความหมายที่รัตติกาลสื่อไว้ในนั้น รวมถึงความตั้งใจที่จะนำบ้านหลังนี้กลับมาเป็นของรพีแม้ว่าเรื่องที่นทีทิ้งพินัยกรรมเอาไว้ให้จะไม่เกิดขึ้นก็ตาม
“กาลคงคิดไว้แล้ว ว่าอยากให้รพีได้กลับมาที่นี่เลยให้มันเป็นของขวัญ”
“ฮ่าๆ เป็นคนดันทุรังเหมือนกันนะหมอนั่น”
“นั่นสินะ แถมชอบทำอะไรตามใจตัวเองอีกด้วย”
หญิงสาวยิ้มกรุ่มกริ่มให้น้องชายแล้วหันไปให้ความสนใจกับงานตรงหน้าต่อ โดยมีพิมพ์ใจคอยหัวเราะคิกคักเป็นลูกคู่อยู่ข้างหลัง
“งั้นเดี๋ยวผมขอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ เหนียวตัวจะแย่”
“จ๊ะ รัณย์นอนห้องใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายมือนะ พี่ขนของเข้าไปให้แล้ว”
“ห้องใหญ่? นั่นมันห้องเจ้าของบ้านไม่ใช่หรอพี่ ผมนอนห้องเล็กข้างๆกันก็ได้”
“เอาน่า ห้องก็มีเหลือตั้งเยอะไม่ต้องห่วงไปหรอก”
ร่างสูงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เขาวางกล่องเค้กลงบนโต๊ะที่มีของกินตั้งอยู่เรียงรายก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอนที่ว่า แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มถูกหยุดด้วยคำพูดชวนสงสัยของเพื่อนทั้งสอง
“ทำเบาๆนะเว้ย หึ กูหมายถึงเดินน่ะ”
“อย่าลืมนะครับว่านี่เป็นบ้านไม้ ยังไงก็ระวังๆด้วย”
“อะไรของพวกมึงวะ”
นิลและฤทธิชาติทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะหันไปช่วยพะแพงจัดเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงของรพีกันต่อ อารัณย์เมื่อไม่ได้รับคำตอบก็ได้แต่จำใจเดินเข้าไปในห้องที่มีสัมภาระทั้งหมดถูกวางกองไว้อย่างที่พี่สาวว่า ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า เขาหลับตาลง พยายามซึมซับกลิ่นของธรรมชาติที่ไม่มีในเมืองกรุงด้วยความเหงาใจ
“ถ้าวันนี้คุณอยู่ด้วยคงดี”
“คุณนี่...หมายถึงผมรึเปล่า”
อย่างกับโดนสายฟ้าฟาด ริมฝีปากของอารัณย์ถูกช่วงชิงไปอย่างง่ายดายโดยชายที่ยืนแอบอยู่ข้างประตูโดยที่ร่างสูงไม่ทันสังเกตเห็น ข้อมือของอารัณย์ถูกกดล็อคลงกับเตียงพร้อมๆกับเรียวลิ้นที่แทรกเข้าไปข้างในโพลงปากโดยที่เจ้าของมันไม่ทันได้ตั้งตัว คนที่ถูกทักทายด้วยภาษากายรีบเบิกตาขึ้นดูพร้อมกับเวลาที่หยุดนิ่งไปอีกครั้ง
จังหวะที่นุ่มนวลและเร้าร้อนในคราวเดียวเหมือนห่าฝนที่โปรยปรายลงบนพื้นทรายแล้งน้ำ ความสุขใจตีตื้นขึ้นเต็มอก เช่นเดียวความคิดถึงที่สะท้อนผ่านทางแววตา อารัณย์เอ่ยทักรัตติกาลกลับไปด้วยความรัก เขาขืนข้อมือของตัวเองออกก่อนจะกอดรัดร่างที่สมส่วนของคนรักไว้แน่นแม้ยามที่ริมฝีปากผละออกจากกัน
“นี่มัน...ความฝันใช่ไหม”
“ตัวผมในความฝันของคุณ จูบเก่งได้เท่านี้รึเปล่าล่ะ”
รัตติกาลว่ายิ้มๆก่อนจะก้มลงมอบจุมพิตให้ชายที่ตัวเองรักอีกครั้ง น้ำตาของร่างโปร่งไหล เช่นเดียวกับคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง เขาทิ้งตัวลงบนร่างกำยำของอีกฝ่ายปล่อยให้ท่อนแขนที่แข็งแรงกว่าปราการใดๆกอดกักเขาไว้ด้วยทุกอย่างที่มี
“จูบเก่งพอกัน แต่กาลในฝันไม่ได้ตัวหอมขนาดนี้”
“ฮ่าๆ งั้นนี้ก็คือความจริง เพราะอารัณย์ในฝันของผมไม่ได้หื่นกามขนาดที่น้องชายแข็งปั๋งเพียงเพราะโดนจูบแน่ๆ”
อารัณย์หัวเราะในลำคอแล้วพลิกให้รัตติกาลเป็นฝ่ายจมอยู่ใต้ร่างของตน เขาฝังจมูกลงบนพวงแก้มไล่ไปยังไรหนวดน้อยๆและลำคอที่เขาแสนคิดถึง
“ทำไมไม่บอกว่าจะกลับมา ถ้าผมหัวใจวายตายไปจะว่ายังไง”
“ฮ่าๆ แค่อยากมาดูว่าคุณแอบมีคนอื่นระหว่างที่ผมไม่อยู่บ้างรึเปล่า”
“จะไปมีได้ยังไง แค่กาลคนเดียวผมก็ไม่เหลือหัวใจไว้ให้รักใครแล้ว”
รัตติกาลคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำนั้น มันเป็นรอยยิ้มที่สวยงามอย่างที่เคยสามารถสั่นไหวหัวใจของอารัณย์ได้ จากคนที่ชิงชังกัน กลายมาเป็นคนที่ครอบครองหัวใจของเขาไว้ได้ทั้งหมด ความรักที่ค่อยๆเบ่งบานขึ้นโดยมีขวากหนาวล้อมรอบ ทั้งเรื่องราวในอดีต และความขัดแย้ง แม้จะต้องปล่อยมือกันไป แต่สุดท้ายความรักนั้นก็นำพาพวกเขากลับมายืนเคียงข้างกันอีกครั้ง
“จะไม่ปล่อยไปอีกแล้วนะ จะไม่อยู่ห่างกาลอีกแล้ว”
“อืม ผมก็ไม่อยากร่อนเร่ไปที่อื่นแล้วเหมือนกัน”
“...ขอบคุณนะที่กลับมา ขอบคุณที่รักษาสัญญา”
พวกเขามองตากันก่อนจะประสานมือที่กอบกุมกันไว้ให้แน่นขึ้นอีก กลิ่นไม้หอมที่ลอยมาตามลม โอบอุ้มทั้งตัวพวกเขาและความรักที่ทั้งสองร่วมสร้างกันมาไว้ราวกับแสดงความยินดี สมุดโน้ตเล่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างถูกสายลมนั้นพัดทำให้หน้ากระดาษพลิกเปิดไปเรื่อยๆจนถึงหน้าสุดท้าย
‘ผมมักถามตัวเองเสมอ ว่าสิ่งที่ผมกำลังตามหาคืออะไร ดินแดนแห่งความฝัน เมืองที่เต็มไปด้วยความสุข หรือที่ที่ผู้คนไม่ต้องร้องไห้ หลังจากการเดินทางอันยาวนาน ผมได้พบเจอกับสถานที่เหล่านั้น ดินแดนที่ทำให้ผมอิ่มเอม เมืองที่ทำให้ผมยิ้ม ที่ที่ผมไม่ต้องเห็นคนร้องไห้ แต่สุดท้ายการเดินทางของผมกลับไม่เคยจบลง
ผมเดินไปเรื่อยๆจนไม่มีที่ใดในโลกนี้ที่ผมไม่รู้จัก เดินต่อไป...ต่อไป...ต่อไปเรื่อยๆจนเหลือเพียงสถานที่สุดท้ายที่ผมไม่เคยคิดว่าจะเดินทางมาถึง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง สถานที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’ ซึ่งมีคำตอบที่หารอคอยอยู่ที่นี่
สิ่งที่ผมกำลังตามหาคืออะไร
สิ่งที่ผมตามหา...คือคนที่พร้อมจะเดินไปกับผมในทุกๆที่
ทั้งความฝัน ความสุข หรือน้ำตา
ต่อจากนี้ผมจะไม่ต้องเผชิญมันแต่เพียงลำพัง
……………………………………………………… Luna ’
“ผมรักคุณ...รัตติกาล”
“ผมก็รักคุณ...อารัณย์”
…Never Ending…
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!! ส่งท้าย
จบแล้วนะ จบแล้วแหละ :hao5: ปวงยังตอนสุดท้ายจริงๆด้วย (ขอโอกาสหน้ารีไรท์ใหม่นะคับ) time skip ไปไกลมาก ไกลยิ่งกว่าตอนintro ซะอีก ตอนแรกคิดว่าจะให้พี่กาลไปสองปี แต่สั้นไปเนอะ ยาวๆกันเลยแล้วกัน น้องพีโตแล้ว ขรึมตามคุณพ่อมาเลย ชอบมากกกก :-[ :-[ :-[ อาจจะปรับอารมณ์ไม่ถูกกันบ้าง แต่คิดว่าแบบนี้ดีที่สุดแล้วคับ คือผ่านเรื่องร้ายๆมาขนาดนั้นจะให้บาดแผลทุกอย่างหายในเวลาสั้นๆมันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เวลาเกือบหกปี รพีก็โตขึ้น กาลก็ได้รักษาตัว ได้รีเซ็ตตัวเอง อารัณย์ก็ได้ปกป้องคนอื่น ได้ทำในสิ่งที่ทำไม่ได้คือปกป้องคนที่ตัวเองรัก พะแพงที่ใจพังไปก็ค่อยๆกลับมา ต่างคนต่างเยียวยากันและกัน จนสุดท้ายก็กลับมาอยู่ด้วยกันได้ เช่ว่าดีที่สุดแล้ว
ในตอนพิเศษของรัณย์กาลที่จะลงให้ จะเป็นตอนที่รัณย์ไปหาพี่กาลที่เมืองนอก นะคับ อาจจะเสริมพัฒนาการตัวละครที่ข้ามๆไปจะได้เห็นชัดกันยิ่งขึ้น แล้วก็ตอนพิเศษของนทีอีกคนอย่างที่บอกไว้ เจอกันหลังเช่ส่งหนังสือไปหมดก่อนนะคับ^^
และเหมือนทุกๆครั้ง เช่ขอบคุณทุกคนมากๆที่อยู่กับเช่มานานขนาดนี้ เช่ไม่เคยคิดว่าจะทำมันได้ ท้อหลายครั้งมาก ทั้งจากตัวเองและอะไรหลายอย่าง แต่ในเมื่อมีคนอ่านเช่ก็เขียนต่อ จากโนเนม จนได้ติดอันดับที่ธันวลัยบ้าง ถือว่าเป็นความสุขเล็กๆที่ทุกคนตอบแทนให้เช่ ขอบคุณนะคับ รวมถึงคอมเม้นต์จากทุกๆที่ที่เช่ไปลง อาจจะไม่ได้ตอบทั้งหมดแต่อ่านหมดทุกเม้นต์แน่นอน ทั้งคำติและคำชม เช่ยินดีรับมันมาทั้งหมดอย่างที่เคยบอกไว้ และนิยายเรื่องต่อไปอย่าง Broken Man 'ใจแตก' เช่ก็หวังว่าทุกคนจะติดตามเช่ต่ออีกนะ ไม่ม่าแล้ว พักตับกันบ้าง ไม่งั้นจะสตรองเกินไป >//////< ไปมิ้งๆกับน้องปูนสุดที่รักกันดีกว่า
สุดท้ายนี้ ใครอยากครอบครองหนังสือยังจองและโอนกันเข้ามาได้ อย่างที่บอกไปคับ เรื่องนี้คงไม่มีรีปริ้นจริงๆ เพราะจำนวนถือว่าไม่เยอะ อันนี้ไม่ได้โปรโมท แต่ประสบการณ์เดิมตอนรวมฟิคแล้วคนมาถามหาหนังสือตอนที่ไม่มีเหลือแล้วมันเซ็งมาก 5555555 เพราะฉะนั้นใครอยากได้ก็จองกันเข้ามานะคับ ใครมีปัญหาเรื่องเงินแต่อยากได้จริงๆอาจจะโอนช้าหรืออะไรก็ลองมาคุยกับเช่ก่อนได้ทางแฟนเพจ ขอแค่อย่ากดเล่น ถ้าเปลี่ยนใจก็เมล์บอกกันสักนิดก็พอ
(สำหรับชาวเล้าเป็ด อ่านรายละเอียดเม้นต์ถัดไปนะคับ)
ขอบคุณนะคับ แล้วเจอกันใหม่ในอนาคตอันใกล้ :)
(บ่น : อยากอ่านเม้นจังเลย555555)
-
แจ้งข่าวการรวมเล่มหนังสือ
สำหรับชาวเล้า เช่ต้องขออภัยเป็นอย่างมากเลยนะคับที่ลงรายละเอียดหนังสือให้ได้ช้ากว่าที่อื่น เพราะต้องลงให้จบก่อน
แล้วที่สำคัญคือเช่ส่งเมล์ขอ ID ห้องซื้อขายไปแต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับเลยคับเพราะเขาเปิดรับเป็นรอบๆ เลยกังวลอยู่ว่าจะบอกเรื่องหนังสือยังไงดี เลยขอลงเป็นรายละเอียดคร่าวๆ รายละเอียดเต็มๆขอให้ไปอ่านในแฟนเพจหรือลิ้งจองของเช่นะคับ
รายละเอียดหนังสือ
- หนังสือนิยายมีจำนวน 3 เล่ม เล่มละประมาน 400 หน้า หรือมากกว่านี้ (1ชุดประมาน 1200หน้า)
- เนื้อภายใน แบ่งออกเป็นเนื้อเรื่องหลักทั้งหมด (ลงในเว็บ) + ตอนพิเศษ11ตอน แบ่งออกเป็น
* Special Night I .... Jealous... [ลงในเว็บ]
* ตอนพิเศษ รัณย์กาล 4 ตอน [ลงในเว็บ1ตอน ไม่ลง3ตอน]
* ตอนพิเศษ ชาตินิล 3 ตอน [ไม่ลงในเว็บ]
* ตอนพิเศษ นที 1 ตอน [ลงในเว็บ]
* ตอนพิเศษ ชาติรัณย์(วัยเด็ก) 1 ตอน [ไม่ลงในเว็บ]
* ตอนพิเศษ รพี(ม.ต้น) 1 ตอน [ไม่ลงในเว็บ]
- หนังสือตีพิมพ์ขนาดA5 ปกกระดาษอาร์ตการ์ด 260 แกรม เนื้อในกระดาษถนอมสายตา75แกรม เข้าเล่มไสกาว
- หนังสือ1 ชุด ประกอบไปด้วย ***ไม่ขายแยกเด็ดขาด***
* หนังสือนิยาย 3 เล่ม
* Boxset
* ที่คั่นหนังสือ 3 อันลายไม่ซ้ำกัน
* โปสการ์ด ขนาด 4*6 นิ้ว 1 อัน
- หนังสือราคาชุดละ 1240 บาท ไม่รวมค่าส่ง
สามารถจองและโอนเงิน ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 4 ก.พ. 2559
https://docs.google.com/forms/d/1amBQXJTkGIoRW_M2d8tXE_mrSm2VxSHxObbLSwn53Lw/viewform?c=0&w=1 (https://docs.google.com/forms/d/1amBQXJTkGIoRW_M2d8tXE_mrSm2VxSHxObbLSwn53Lw/viewform?c=0&w=1)
หากใครคิดว่าเช่ควรลบบอกได้เลยนะคับ ยินดีลบให้ หากทีมงานตอบเมล์เช่กลับเมื่อไหร่จะลงให้ถูกต้องทันที
แล้วถ้าใครไม่มั่นใจ อยากได้เอกสารยืนยันตัวตนสามารถขอได้หลังไมค์หรือทางแฟนเพจเหมือนกัน
ขอบคุณคับ :hao5:
-
ปริ่มมมมม...กับการกลับมา....!!!
ขอบคุณเช่นกันที่เขียนอะไรดีๆให้ได้อ่าน...
จองๆๆๆๆ..จะเอารัตติกาลมาไว้ในครอบครอง!!!!
-
เป็นตอนจบที่อิ่มเอม มีความสุขสุดๆเลยค่ะ
ดีใจที่สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกเวลารักษา ต่างคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง
รพีได้มีทั้งพ่อและแม่ กาลได้กลับบ้าน รัณย์ได้ดุแลคนที่รัก อยากอ่านคู่รองมากกว่านี้ รอในเล่มแล้วกัน
ขอบคุณเช่นะคะ เก่งมากเลย ติดตามเรื่องต่อไปแน่ๆ
-
จองเรียบร้อยแล้วนะ
-
เรื่องจบแล้วนะคับ เหลือแต่ตอนพิเศษ รบกวนทีมงานย้ายให้ทีคับ :pigha2:
-
สวยงามจิงๆเลย
-
สารภาพว่าไม่กล้าอ่านแบบที่ยังอัพไม่จบ เพราะกลัวดราม่าแล้วอารมณ์ค้าง
พอเห็นว่าจบแล้วเลยจัดเลย ฮา
ตอนที่กาลมีเรื่องที่ผับก็คิดนะว่า กาลน่าจะมีอาการทางจิตบางอย่าง ควรจะไปพบจิตแพทย์
ส่วนเรื่องบ้านไม้พยูงเจ้าปัญหา ส่วนตัวคิดว่าเป็นของร้อน การที่กาลกับพะแพงคิดจะมอบมันให้กับรพี เป็นเรื่องดีแล้วจริงๆเหรอ
เพราะมันอาจนำอันตรายมาให้ลูก(บุญธรรมและลูกแท้ๆ)ในอนาคต แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่รพีต้องคิดแก้ปัญหาต่อไปสินะ
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะสำหรับนิยายเรื่องนี้ รอติดตามเรื่องหน้าอยู่ค่ะ
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4:
-
เข้ามาอ่านกาลรอเรื่องน้องปูนจ้า :katai5:
-
คือ มันดีมาก มีครบทุกรสชาติ รัก เศร้า เหงา แค้น ชิงชัง อิจฉา ริษยา เหนือความคาดหมายจริงๆ ตอนแรกคิดว่าเป็นนิยายแนวหลอนๆ มองจากชื่อเรื่อง อ่านไปใหม่ๆนึกว่าแนวชีวิต ปมปัญหาชีวิตตัวละคร แต่ผ่านไปซักพักเริ่มได้กลิ่นสืบสวนสอบสวน จนเป็นบทสรุป ชิงรักหักสวาท ความแค้นที่แผดเผา โดยมีปมของธุรกิจมืดมาเฟีย การฆาตรกรรมซ้อนหนุนอยู่ข้างหลัง พลิกบทบาทและตัวละครกันแบบหลายตลบ
สนุกมากและมันครบเครื่องจริงๆ ปูพื้นฐานมาในแนวดราม่า พื้นเพของตัวละครแต่ละตัวก็เด่นชัดและถูกเล่ามาทีละน้อย ค่อยๆปล่อยออกมาให้เห็นแง่มุม ทำให้ไม่น่าเบื่อเกินไป หลังจากนั้นก็ดึงเนื้อต่อให้เขวอีกนิดแล้วขมวดเข้าปมหลักแก่นที่หลับไหลซ่อนอยู่ ทำให้เนื้อหามันดูสมจริง มีที่มาที่ไปชัดเจน อ่านแล้วอินได้ง่ายๆเลยครับ ทั้งสำนวนการเขียน บทบรรยาย และ บทสนทนา สมจริงเข้าปากตัวละคร ... ขอชื่นชมมากครับ
แต่แอบสงสัยว่าไม้พะยูงนี่ถ้ามีไว้ในครองครองเกินกี่ลูกบาศก์เมตรมันจะถือว่าผิดกฎหมายนะ แล้วบ้านไม้ที่เหนือเนี่ย สร้างจากไม้พะยูงหรือเปล่า ด้วยเนื้อหาเยอะอ่านรวดเดียวจบเช้าถึงเย็นเลยไม่ได้เก็บรายละเอียดครบ แต่เข้าใจว่าเป็นไม้พะยูงนะ ถึงได้แย่งกัน บทสรุปน่าจะจัดการปัญหานี้อีกนิด จะได้ชัดเจนและเป็นการบอกกล่าวแถลงไขเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับไม้พะยูงและบทกฎหมายไปในตัว
-
:pig4:
-
เนื้อหาชวนติดตามครับ การจูงอารมณ์คนอ่านทำได้ดี มีบางส่วนที่อาจจะยังดูไม่สมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง เล็ก ๆ น้อย ๆ และบางส่วนที่สามารถเพิ่มเติมให้ดียิ่งขึ้นได้ครับ
ขอบคุณที่สร้างนิยายดี ๆ อีกเรื่องหนึ่งมาให้คนอ่านได้อ่านกัน ขอบคุณครับ
-
สนุกมากกกกก คร่า เรื่องนี้ หลากหลายรสมากกกกกก
คุณเช่เก่งมากเลย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆสนุกๆนะคะ
รอตอนพิเศษอย่างใจจดใจจ่อ อิอิ
-
ได้ไอดีมาหลายวันแล้ว เพิ่งได้มีโอกาสลงรายในเอียดในเว็บอย่างถูกต้องนะคับ
ใครที่สนใจซื้อหนังสือ สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดและจับจองกันได้ที่ :mew1:
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50584.msg3249970 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50584.msg3249970)
-
เดาเรื่องไม่ถูกเลยจริงๆ สนุกมากค่ะ มีทั้งเศร้า หน่วง และหวาน ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องดีๆ แบบนี้มาให้อ่านกัน
-
จบแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
สนุกมากเลยค่ะ เรื่องแอบเข้มข้น ดราม่า เครียดอยู่เหมือนกัน ยอมรับเลยค่ะ ว่าอ่านไปแล้วเกือบเลิกอ่าน 5555+ ก็ไม่เชิงค่ะ แบบหยุดอ่านไปพักนึง ไปหาเรื่องเบาๆๆ อ่านขั้นก่อนเลย แล้วก็กลับมาอ่านต่อจนจบ
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริงๆจังๆ ทำเอาเดาเรื่องไม่ออกเลย
สนุกมากค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
-
มารอตอนพิเศษ น้าๆๆๆๆ น้าๆๆๆๆ น้าๆๆๆๆๆ :m15:
-
ดันๆๆๆๆๆ รอตอนพิเศษจ้า :z10:
-
เอาตรงๆนะ ตอนแรกๆยิ่งอ่านยิ่งไม่อยากให้จบ มันสนุกมาก ผูกเรื่องได้น่าสนใจดี และพล็อตเรื่องก็ต่างจากหลายๆเรื่องที่เคยอ่านมา แต่พอมาหลังๆยิ่งอ่านกลับยิ่งอยากให้จบ คือเราว่ามันน่าจะจบตรงที่ทุกคนรู้ความจริงเกี่ยวกับนทีก็พอแล้ว แต่นี่ผูกปมไปอีกมากมาย บางทีมีปมเยอะๆมันก็ทำให้น่าเบื่อเหมือนกันนะ และตรงท้ายเรื่องให้รัตติกาลไปรักษาตัวตั้ง 6 ปี เราว่ามันนานเกินไปนะ แค่ 3 ปีก็ว่านานแล้วนะ แต่นี่ตั้ง 6 ปี นานมากๆ คือถ้าเมียท้องนี่กลับมาอีกทีลูกเข้าอนุบาลเลย มันนานเกิน ไปแบบนี้เหมือนไม่เห็นใจคนรอเลย ใจร้ายมากๆ และแปลกใจนิดหนึ่งนะไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องนี้หรอก เรื่องอื่นๆก็ด้วย ทำไมนิยายวายอะไรๆก็ต้องประเทศอิตาลีตลอดเลย นี่ขนาดขนาดไปรักษาตัวยังไปอิตาลี ทั้งๆที่จริงอิตาลีไม่ใช่ประเทศที่คนนิยมไปรักษาตอนป่วยเลย น่าจะไปพวกอเมริกา อังกฤษ อะไรเถือกๆนี้มันจะคือกว่า แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ชอบเรื่องนี้นะ สนุกมากอ่านเพลินดี
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
เจ้ามาอ่านอีกรอบรอเล่มๆ :katai2-1:
-
สนุกมากค่ะ
-
แวะมาเตือนนะคับ ว่าพรุ่งนี้โอนเงินวันสุดท้ายแล้ว
ใครอยากได้พี่กาลมาจับจอง อย่าลืมนะคับๆ เพราะอาจจะไม่มีรี :mew4:
-
สนุกมากอ่านแล้วเข้าใจถึงความคิดของตัวละครแต่ละตัว ดีใจที่ทุกอย่างจบลงด้วยดี รอตอนพิเศษ
ผล.เรื่องนี้ปมปัญหาเด็ดจิงๆซับซ้อนสุดๆ
-
สนุกมากเลยค่ะ รักทุกตัวละครเลย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้นะคะ :mew1:
-
นิยายหน่วงตับ!!
นี่คือนิยามสั้นๆที่อยู่ในหัวเราตั้งแต่ต้นจนจบ อ่านทุกตัวอักษรด้วยความรู้สึกอึมครึม แต่มันครบรสหว่ะเช่! บอกเลย นิยายนายดีมาก!!!! เขียนเก่งนะ ภาษาก็โอเคเลย คำผิดน้อย จนแทบจะไม่เลย พล็อตเรื่องก็ดี แต่ตินิ้ดดดดนึงนะ ปมเยอะ แต่มันคลายไม่หมดในความรู้สึกเราอ่ะ เราว่ามันจะต้องมีเหตผลมารองรับการกระทำของตัวร้ายมากกว่านี้ แต่เช่บอก มีตอนพิเศษที่จะคลายปมอีก เราก็จะรอดู เช่ นายเป็นนักเขียนที่เลอค่ามากกก ทำนิยายให้นักอ่านหลายๆคนรวมทั้งเรารู้สึกอินได้ขนาดนี้ นับว่าเป็นความสำเร็จของนายอีกก้าวแล้วนะ รักษามาตรฐานนี้ไว้ แล้วเราจะตามนายไปทุกเรื่อง
-
o13
-
ตามมาจากอีกเรื่อง อยากรู้ว่ารติกาลเป็นคนยังไง
เขียนสนุกนะค่ะ ลุ้นตลอดว่าใครจะหักหลังใคร
แต่บางปมที่เฉลยเช่นรัณย์น้องแพง หรือพิภพ
ระยะเวลาที่เกิดเหตุมันทิ้งช่วงนานเกินไป (6ปี) เลยไม่ค่อยอิน
ยิ่งตอนจบกลับมาไทย เวลาผ่านไปขนาดนี้กับการไม่บอกอะไรรพี
มันนานจนดูเห็นแก่ตัวมากกว่าจะเห็นดีด้วยในความเห็นเรานะ
-
อ่านไป ซับน้ำตาไป :hao5: สงสัยเรื่องบ้านไม้เหมือนคนอื่นเลยค่ะ ตกลงครอบครองได้ ไม่ผิดกม.เหรอคะ?
-
คือเป็นนิยายดราม่าไม่กี่เรื่องที่อ่านจบ ส่วนมากเวลาเจอดราม่านี่คือแทบกดออกอะ แต่เรื่องนี้ทำให้เราอ่านต่อ ชอบบทส่งท้ายของหนังสือการจัง
-
:hao5: :hao5: :hao5: :sad4: :sad4: :sad4: ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ หน่วงชิบหายยยยยยยยย ฮือๆๆๆ :o12: :o12: :o12: :o12:
-
:z2:
-
แวะมาบอกข่าวว่าตอนนี้ที่เพจเช่มีกิจกรรมแจกหนังสืออยู่นะคับ
เป็นหนังสือรอบรีปริ้นกับสำนักพิมพ์ EverY หากใครสนใจเข้าไปร่วมสนุกกันได้นะคับ
**** ตอนพิเศษพี่กาลที่ติดไว้2ตอน จะมาอัพหลังจากลงเรื่องใจแตกจบนะคับ ****
(http://www.mx7.com/i/e25/PrehAX.jpg)
-
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
จบ!
-
Nathee’s Night
…Bird...
ผมมองออกไปยังหน้าต่างที่เห็นแสงแดดอุ่นๆส่องมารำไรผิดกับอุณหภูมิรอบกายที่เย็นจัดจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้มันเคยร้อนเสียจนผมแทบทนอยู่เฉยๆไม่ไหว
“จะกินอะไรรึเปล่าครับ เดี๋ยวให้คนไปทำมาให้”
เสียงทุ้มๆดังมาจากทางด้านหลัง ผมไม่ได้หันกลับไปมองจึงทำเพียงแค่ส่ายหัวเบาๆแทนคำตอบไปเท่านั้น ริมฝีปากสีคล้ำปล่อยควันสีเทาให้ลอยไปทั่วห้องอย่างสำราญ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความสุขชั่วคราวที่พร้อมจะหายไปแค่เพียงเสี้ยววินาที แต่มันก็สวยงามเสียจนผมหยุดที่จะทำมันไม่ได้
“เมียมึงจะกลับมาเมื่อไหร่”
ผมเอ่ยถามเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับออกมาจากห้องอาบน้ำ พิภพที่ตัวสูงชะลูดพอๆกันเดินถือรายงานการซื้อขายที่ยังตรวจสอบไม่เสร็จดีมาแล้วทรุดนั่งลงตรงหน้า โดยไม่สนใจเลยว่าผมกำลังดื่มด่ำกับวิวของที่นี่อยู่
“อาทิตย์หน้ามั้งครับ เงินหมดเมื่อไหร่เดี๋ยวก็กลับมาเอง”
“งั้นก็ระงับวงเงินบัตรซะสิ ถ้าอยากให้เมียกลับมาเร็วๆ”
“งั้นเปลี่ยนเป็นไม่จำกัดวงเงินน่าจะดีกว่า”
พิภพพูดติดตลก แต่ทำไมผมจะไม่รู้ว่าหมอนี่มันคิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ
“หึ ถ้าเบื่อเขาขนาดนั้นทำไมไม่หย่าไปซะให้จบๆ”
“พูดมันง่ายนี่ครับ ไหนจะค่าเลี้ยงดู ไหนจะลูก พูดแล้วยิ่งโมโห นี่ก็ใกล้จะคลอดแล้วยังคิดจะออกไปตะลอนๆข้างนอกอยู่ได้ แต่ที่สำคัญที่สุด...”
“...”
“ต่อให้ผมหย่า ผมก็ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่ดี”
ผมนั่งฟังมันบ่นไปเรื่อยตามประสาโดยไม่ออกความคิดเห็นใดๆ แม้ว่าหูจะรับฟังแต่ภายในใจกลับเกิดขบคิดถึงเรื่องประหลาด ที่ยิ่งเมื่อได้มองเห็นรอยแดงเป็นจ้ำตามผิวกายของพิภพ ผมยิ่งถามตัวเองบ่อยขึ้นทุกที
‘ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ผมคิดว่าการนอนกับผู้ชายเป็นเรื่องธรรมดา’
ใบหน้าของ ‘รัตติกาล’ ลอยขึ้นมาทุกครั้งที่ผมถามตัวเองแบบนั้น แม้ว่ากาลจะไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ผมนอนด้วย แต่คงพูดได้ว่าเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ผมหวั่นไหว ไม่ใช่เพราะใบหน้าคมที่ติดหวานนิดๆ หรือการวางตัวที่ดูดีเสมอนั่นหรอกนะ ที่ทำให้ผมตัดสินใจคบกับกาลแม้ว่าก่อนหน้านั้นสำหรับผมการมีเซ็กซ์กับผู้ชายจะเป็นเพียงแค่ความท้าทายเล็กๆบนเตียงนอน
ความสัมพันธ์ของผมกับกาลเหมือนเรื่องตลก แรกเริ่มเราทั้งคู่มองกันราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู กาลเห็นผมเป็นตัวอันตราย ในขณะที่ผมมองอีกฝ่ายเหมือนนกที่ลอยสูงอยู่บนฟ้า ล่อตาล่อใจนายพรานอย่างผมจนอดไม่ได้ที่จะลั่นไกปืนออกไปหมายจะคว้ามาเชยชม แต่รัตติกาลทั้งฉลาดและรู้เท่าทันอยู่เสมอ ผมจึงทำได้เพียงมองนกตัวนั้นจากตรงพื้นดินด้วยความรู้สึกที่ไม่แย่เท่าไหร่
ผมสามารถเป็นตัวเองได้เสมอเวลาอยู่ต่อหน้าคนคนนี้
และผมสามารถแสดงความร้ายกาจออกมาได้
โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะแตกสลาย
รัตติกาลแข็งแกร่งจนน่าประหลาดใจ
ผมคิดแบบนั้น จนกระทั่งวันที่ปีกของมัน...หักลง
ภาพแผ่นหลังของกาลที่คุดคู้จนไม่เหลือสภาพยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวของผมจนถึงทุกวันนี้ คนที่ไม่เคยเสียน้ำตาให้กับเรื่องอะไรกลับต้องมาร้องไห้แทบขาดใจเพราะไม่อาจเหนี่ยวรั้งคนที่ตนรักไว้ได้ แม้จะรู้ดีว่าสักวันเราทุกคนต้องจากกัน แต่ความอ่อนแอของมนุษย์นั้นกลับมีอยู่ในตัวคนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัตติกาล
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้เกลียดชังความอ่อนแอของกาลหรอกนะ นกถึงแม้จะร่วงหล่นจากฟ้าแต่มันก็ยังเป็นนกอยู่วันยันค่ำ แม้ว่าจะเสียปีกไปจนบินไม่ได้แต่ความสวยงามนั้นก็มีค่าพอที่ผมจะจับมันขังไว้ในกรงแทนที่จะปล่อยให้มันสิ้นลมไปซะเฉยๆ
ผมทำให้รัตติกาลมีชีวิตต่อไปทั้งที่ในใจสิ้นหวัง ผมเฝ้าดูแลนกตัวนั้นที่ถึงแม้จะไร้ปีกบินแต่ก็ยังคงมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา... วันแล้ววันเล่าจนกระทั่งความเจ็บปวดจากการสูญเสียค่อยๆจางหาย แล้วสุดท้ายนกตัวนั้นก็เคยชินกับกรงทองที่ผมสร้างไว้ให้โดยไม่รู้ตัว
“นที ฟังอยู่รึเปล่า”
“หื้ม?”
“เหม่อเชียว ง่วงหรอ”
“เปล่า พอดีคิดอะไรอยู่นิดหน่อย”
“คิด? อย่าบอกนะว่าเรื่องของสองคนนั้น”
พิภพเผยรอยยิ้มร้ายๆออกมา ในขณะที่ผมทำแค่หัวเราะเบาๆ
“หึ คงอย่างนั้นมั้ง”
“แล้วตกลงคิดได้รึยังว่าจะเลือกใคร เมียเก่า...หรือว่าเมียใหม่”
“หมายถึงใครล่ะวะเมียเก่าเมียใหม่ที่ว่า”
“นั่นสินะ เมียเก่าที่เลิกไปแต่ดันยูเทิร์นกลับมาใหม่...กับเมียใหม่ที่กำลังจะกลายเป็นของเก่า ฮ่าๆ นิยามให้ไม่ถูกเลย”
พิภพว่าเยาะๆก่อนจะแย่งบุหรี่ไปสูบหน้าตาเฉย ผมไม่ได้แสดงท่าทางยินดียินร้ายออกไป เพียงแค่คว้าคออีกฝ่ายมากัดไปจนเต็มเขี้ยวเพราะนึกหมั่นไส้ท่าทางกวนประสาทของมันที่ทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มได้เสมอ พิภพร้องซี๊ดออกมาอย่างถูกใจ อาจจะเป็นเพราะผมดันไปกระตุ้นสันดานเดิมของมันมากไปหน่อย พิภพจึงพยายามคว้าบ่าของผมไปกัดเล่นบ้าง
เพี้ยะ!
ฝ่ามือหนาฟาดเข้าที่แก้มตอบของพิภพเต็มแรงจนเลือดสีแดงสดไหลออกที่มุมปาก ผมลุกขึ้นยืนแล้วกระชับเสื้อคลุมอาบน้ำที่หลุดไปให้เข้าที่ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองไอ้โรคจิตนั่นแม้แต่นิดเดียว
ใช่...ไอ้หมอนี่มันบ้า ผมตบไปแรงขนาดนั้นแต่มันกลับหัวเราะตามมาเหมือนกับกำลังมีความสุข แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะในระหว่างที่พิภพกำลังถูกใจกับความเจ็บปวดเล็กๆที่ผมฝากไว้ให้ มันเลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าเอกสารสำคัญอีกชุดที่วางอยู่โต๊ะได้หายไปแล้ว
‘ไปสืบข้อมูลของเสี่ยวิชิตมา แล้วส่งให้กูก่อนเที่ยงวันนี้’
ผมนั่งอยู่ในห้องน้ำ ถ่ายรูปเอกสารทุกแผ่นไว้จนหมดก่อนจะส่งข้อความบอกให้ลูกน้องที่คอยรับใช้ผมอยู่ในเงามืดไปสืบหาข้อมูลที่มีสามารถชี้จุดอ่อนของเป้าหมายได้โดยไม่เกี่ยงว่ามันจะต้องใช้เงินมากขนาดไหน แน่นอนว่าต่อให้เสียเป็นล้านก็คุ้มเกินกว่าจะคุ้มเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมหมายตามานาน ไม้พะยูงล็อตใหม่มูลค่ามหาศาลที่กำลังจะถูกขนเข้ามาผ่านชายแดนเป็นสิ่งที่คนค้าไม้ปรารถนาจะได้มารวมถึงผมด้วย แม้ว่าความตั้งใจที่จะนำมันไปใช้จะกำลังเป็นปัญหาอยู่ก็ตาม
รัตติกาล...หรือพะแพง
เป็นอย่างที่พิภพมันว่า ชีวิตของผมที่กำลังดำเนินไปกับนกน้อยในกรงทองอย่างกาลถูกสั่นคลอนเพียงเพราะการกลับมาของพะแพง...ผู้หญิงซึ่งเป็นคนที่ผมเคยรักและแม้แต่ในตอนนี้ก็อาจจะยังรักอยู่
ผมเจอพะแพงอีกครั้งด้วยความบังเอิญที่เธอเรียกมันว่าพรหมลิขิต ผู้หญิงคนที่ครั้งหนึ่งเคยนอกใจผมอ้อนวอนขอความเห็นใจด้วยเหตุผลที่ว่าหลังจากเลิกรากันไปเธอไม่อาจทำใจรักใครใหม่ได้ ผิดกับผมที่เลือกคบกับรัตติกาลผู้ที่เป็นน้องรหัสของพะแพงโดยไม่สนว่าใครจะรู้สึกยังไง ผมทำเป็นลืมว่าที่พะแพงเลือกคบกับชายคนอื่นก็เพราะว่าผมนอกใจเธอก่อน แต่สิ่งที่ผมตั้งใจทำคือการตัดสินใจคบกับกาลจะรู้ดีว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันและพะแพงไว้ใจกาลมากแค่ไหน
ผมทำลายมิตรภาพระหว่างสองคนนั้นด้วยความตั้งใจ
เพียงเพื่อให้คนหนึ่งรู้สึกแบบที่ผมรู้สึก
และเพราะเพียงหวังคำปลอบโยนจากใครอีกคน
อย่างที่บอกว่าตอนนี้ผมก็อาจจะยังรักพะแพงอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผมตัดสินใจนอนกับเธอลับหลังคนรักอย่างรัตติกาลที่มีความเชื่อใจให้ผมเต็มเปี่ยม แม้ว่าผมจะทำให้เขาเห็นร่องรอยที่คนอื่นฝากเอาไว้ให้ด้วยความตั้งใจของตัวเอง แต่เขาก็ยังทำเฉยจนความรักของเรามันพังลงถึงจุดที่ผมเพิ่งตัดสินใจบอกเลิก...แต่รัตติกาลก็ยังคงยืนยันว่าจะไม่ไปจากกรงของผมอยู่ดี
‘ผมจะไม่มีวันเลิกกับพี่!!!’
คำคำนี้เป็นคำสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะขับรถออกมาระบายความโมโหลงกับคนที่เต็มใจจะรับมันไว้อย่างพิภพ ไม่ใช่ว่าผมอยากจะกลับไปหาพะแพงจนตัวสั่น แต่อาจจะเป็นความลำเอียงของสวรรค์ก็ได้มั้ง ที่ทำให้ผมต้องตัดใจเลือกที่จะปล่อยนกน้อยในกรงทองของตัวเองไปทั้งที่ยังอยากจะเชยชมมันอยู่
พะแพงกำลังตั้งท้องลูก
ลูกที่กาลมีให้ผมไม่ได้...
ผมไม่ปฏิเสธว่าตัวเองเลว เอาจริงๆผมออกจะชอบความชั่วช้าของตัวเองด้วยซ้ำ ผทชอบที่จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ดีกว่าจมอยู่ในกรอบที่คนใครก็ไม่รู้มาสร้างไว้แล้วทำให้ตัวเองไม่มีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นคนเลวอย่างผมก็มีความฝันเหมือนกัน...ความฝันที่จะสร้างครอบครัวอันสมบูรณ์ขึ้นมา
ครอบครัวทางแม่ของผมพื้นเพเดิมเป็นคนจังหวัดลำปาง ความจริงผมคงยังมีญาติอยู่ที่นั่นบ้าง แต่เพราะถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อผู้ซึ่งเป็นคนกรุงเทพเพียงลำพังผมจึงไม่เคยได้รู้จักคนที่นั่นเลย แม่ของผมตายตั้งแต่ผมยังเล็ก ชีวิตวัยเด็กของผมจึงถูกบ่มเพาะโดยความทะเยอทะยานของพ่อ แต่ผมไม่ได้ขาดความอบอุ่นหรอก พ่อเลี้ยงดูผมมาดีมาก ถือว่าดีเกินไปด้วยซ้ำ
ชายที่สูญเสียภรรยาไปเพราะโรคร้ายคนนั้นพยายามสร้างฐานะให้ผมซึ่งเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก่อนจะตายไปด้วยโรคหัวใจเพราะฝืนทำงานหนัก ผมในวัยสิบแปดปีไม่ได้กล่าวโทษใครทั้งนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงเงาของผมคนเดียวมันดูเงียบเหงาเสียจนอยากร้องไห้ออกมา
ใช่...ผมก็เป็นเพียงมนุษย์ที่มีความอ่อนแอเหมือนกับคนอื่นๆ
ก่อนหน้าที่พะแพงจะกลับมา ผมบอกตัวเองให้ทำใจเรื่องลูกแล้วเริ่มคุยกับกาลไว้ว่าอยากจะสร้างที่ที่เป็นของเราขึ้นมา เราอยากมีบ้านที่ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็เป็นที่ของเราจริงๆ ผมกับคนรักสร้างความฝันนั้นขึ้นมาด้วยกัน เริ่มจากบ้านไม้หลังพะยูงหลังเล็กที่มือของเราทั้งสองคนค่อยๆประกอบมันขึ้นมาทีละชิ้นจนมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันจะเสร็จสมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์ของผมก็กำลังเล่นตลกกับเราอีกครั้ง
วันที่ผมกอดพะแพง กาลบังเอิญทำบ้านไม้หลังเล็กนั่นตกลงพื้น
วันที่ผมคอยไปเฝ้าพะแพงที่ป่วยไว้ทั้งคืน กาลก็ต้องซ่อมมันเพียงลำพัง
และในวันที่พะแพงบอกกับผมว่าเธอกำลังอุ้มท้องลูกของเรา
กาลก็เข้ามาบอกกับผม...ว่าอยากให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไป
การที่ฝันซึ่งผมทิ้งมันไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาเป็นจริงได้ ทำให้ผมไม่กล้าตอบรับคำพูดนั้น แม้แต่คำโกหกที่ผมมักใช้มันเสมอก็ไม่สามารถใช้กลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองได้อย่างเคย ผมเคยพอใจกับคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่ไม่สมบูรณ์แต่ตอนนี้กลับหันหลังให้มันเพราะคำว่า ‘ลูก’ ซึ่งเป็นเหมือนแผ่นไม้ชิ้นสุดท้ายที่จะเข้ามาเติมเต็มความฝันของผมให้กลายเป็นจริง
ความฝัน...ที่ไม่มีกาลอยู่ในนั้น
ผมถอนหายใจแรงๆ บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าควรตัดสินใจยังไง ภาพของบ้านไม้หลังใหญ่ที่ควรจะมีเพียงผมและกาลถูกแทรกขึ้นโดยภาพของหญิงสาวที่กำลังลูบหน้าท้องซึ่งพองนูนออกมาด้วยความรักใคร่ บ้านที่ถูกสร้างขึ้นโดยความรักแต่ไม่อาจเสร็จสมบูรณ์เพราะขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรเดินไปทางไหนแต่สุดท้ายไม่ว่าผมจะตัดสินใจยกมันให้กับใคร ผมก็คงเสียใจกับการเลือกของตัวเองอยู่ดี
ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอีกชุดที่เตรียมมาจนเรียบร้อยก่อนจะเดินไปเพื่อเปิดประตูห้อง แต่สิ่งที่รอผมอยู่กลับเป็นใบหน้ายิ้มแย้มของพิภพที่กำลังส่งรอยยิ้มน่าขนลุกมาให้
“อาบน้ำนานจังนะครับ”
“แล้วไง? หลบไป กูจะกลับแล้ว”
“คุณเอาเอกสารผมไปรึเปล่า”
ผมไม่คิดว่ามันจะถามออกมาตรงๆ แต่ยังดีที่ประสบการณ์ในวงการนี้ทำให้ผมไม่เป็นสองรองใครเรื่องตีสีหน้า
“ถ้าคิดว่ากูเอาไป ก็เชิญตรวจดูให้มั่นใจ”
ผมพูดออกไปด้วยเสียงอันมั่นคงแม้ว่าความจริงจะกำลังโกหกอยู่ก็ตาม โชคดีที่ผมขี้ระแวงมากพอที่จะชิงทำลายหลักฐานโดยการเผาเอกสารพวกนั้นด้วยไฟจากปลายมวนบุหรี่ก่อนจะทิ้งขี้เถ้าทั้งหมดลงชักโครกจนไม่เหลือร่องรอยใดๆ
“ฮ่าๆ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ความจริงผมอาจจะลืมมันไว้ที่อื่นก็ได้ แย่จังเลยนะ...ทั้งที่เป็นของสำคัญแท้ๆ”
ดวงตาของพิภพไม่ได้รู้สึกแย่อย่างคำพูด กลับกันมันยิ่งลุกโชนเหมือนกับนักล่าที่กำลังมองดูเหยื่อ แต่ถึงอย่างนั้นการแสดงออกแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดจากที่คาด
“ถ้าเป็นของสำคัญที่หลังก็เก็บไว้ให้ดีๆ อย่าพลาดอีก...เข้าใจไหม”
ผมว่าก่อนจะเดินผ่านมันไปยังประตูโดยทุกย่างก้าวนั้นรู้สึกได้ถึงสายตาของพิภพที่คอยจ้องอยู่ไม่ห่าง จนผมเองเผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดขึ้นมาว่านอกจากกาลแล้วก็มีพิภพนี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกได้เสมอ
“นที เรามาเล่นเกมกันไหม”
ผมขมวดคิ้วน้อยๆก่อนจะหันไปมองมันที่ยังคงรักษารอยยิ้มของตัวเองอยู่ได้ ผิดกับผมที่ความรู้สึกบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในใจ...ความรู้สึกที่บอกว่าผมควรจะต้องระวังมันให้มากกว่าที่เคย
“อยากพูดอะไรกันแน่”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากชวนคุณเล่นเกมเท่านั้น”
“คิดว่ากูจะเชื่อมึงรึไง หึ ไปชวนคนอื่นเถอะ”
“แล้วถ้าของรางวัลในเกมนี้คือ ‘สิ่งที่สำคัญที่สุด’ ของผู้แพ้ล่ะ”
ดวงตาที่ไม่มีวี่แววความขี้เล่นอย่างเคยทำให้ผมเริ่มตระหนกจนเผลอคุมสติตัวเองไม่ได้ ผมก้าวยาวๆเข้าไปกระชากคอเสื้อพิภพอย่างแรงทันทีก่อนจะจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของมันอย่างเกรี้ยวกราด
“แค่กูนอนกับมึงก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะยอมมึงทุกอย่าง...พิภพ”
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย แล้วอีกอย่าง...ไม่ว่าจะบนเตียงหรือตอนนี้ผมก็ยอมให้นทีอยู่เหนือผมตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
“ถึงจะแค่โกหกแต่ถ้ามึงยอมรับอย่างนั้นได้ก็ดี...อยู่ในที่ของตัวเอง แล้วเลิกยุ่งเรื่องของกูซะ”
มันยิ้มรับคำขู่น้อยๆก่อนจะโน้มหน้าลงมาขบกัดปากของผมเหมือนอย่างที่ชอบทำ ผมเองถึงแม้จะยังแคลงใจกับการกระทำของพิภพแต่ก็ยังส่งลิ้นกลับไปเกี่ยวรัดสู้ตามสัญชาติญาณ เสียหายใจหอบของเราทั้งสองคนดังขึ้นก่อนจะค่อยๆผละออกจากกันด้วยอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนขึ้นกว่าเก่า
“น่าเสียดายที่คุณไม่สนใจ...แต่มาถึงขนาดนี้แล้วผมจะบอกคุณก็ได้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจวางเดิมพันกับคุณคืออะไร”
“...”
“สิ่งสำคัญที่สุดของผมที่ว่า...ก็คือคุณนั่นแหละนที”
ผมนึกว่าตัวเองหูฝาด หรือเพราะว่ามีเซ็กซ์กับมันมากไปจนหลอน แทนที่จะเขินอายผมกลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น มันตลกเสียจนผมแทบทรงตัวไว้ไม่ไหวเลยต้องพิงร่างกายสูงใหญ่ของมันไว้ทั้งอย่างนั้น ส่วนพิภพทำเพียงจุดยิ้มเล็กๆราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆๆ ตั้งแต่รู้จักกันมากูก็เพิ่งรู้เนี่ยแหละ ว่านอกจากโรคจิตแล้วมึงยังเป็นคนตลกด้วย สุดยอดเลยว่ะ มุกนี้กูขำมากจริงๆ งั้นเอาอย่างนี้...กูจะบอกบ้างแล้วกัน ถือว่าแลกกับการที่มึงทำกับกูหัวเราะได้”
ผมยิ้มให้พิภพมันก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบเบาๆตรงข้างหู มันยังคงนิ่งอย่างที่เคยเป็นแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว ผมโบกมือลามันน้อยๆก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วก้าวเท้าออกไปจากคอนโดหรูใจกลางกรุงเทพที่ผมกับมันมักมาเจอกันที่นี่เสมอ ทั้งที่ความจริงผมเกลียดสีขาวของห้องๆนั้นแทบตายไม่ต่างกับที่นึกเกลียดเจ้าของแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากไม่มีมันผมคงเบื่อน่าดู
‘สิ่งที่สำคัญที่สุดของกู...ไม่ใช่มึง พิภพ’
“น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ”
คล้อยหลังของนทีไป ร่างของพิภพที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่นทีเคยนั่ง ภาพเมืองและความวุ่นวายเบื้องล่างไม่ได้ทำให้เขาสำราญใจเลยแม้แต่น้อย เพราะในหัวตอนนี้มีแต่คำพูดและการกระทำของชายคนนั้นวนเวียนอยู่ซ้ำไปซ้ำมา
“อุตส่าห์จะทำให้เกมนี้มันแฟร์แล้วแท้ๆ แต่ในเมื่อคุณเลือกอย่างนั้นเองผมก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะครับ”
พิภพต่อสายหาลูกน้องคนสนิทของตัวเองให้คอยสังเกตสิ่งที่นทีกำลังจะทำโดยไม่คลาดสายตา และไม่ลืมที่จะฝากคำเตือนเกี่ยวกับการทรยศหักหลังไปถึงเสี่ยที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นเกมอีกคน
“ถึงจะไม่อยาก...แต่เกมมันได้เริ่มขึ้นตั้งแต่คุณคิดจะหักหลังเราแล้วนที”
ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะหลับตาลงแล้วคิดถึงคำพูดสุดท้ายที่นทีทิ้งไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในสายตาของคนคนนั้นไม่เคยมีเขาอยู่ตั้งแต่แรก และต่อให้ไม่บอก พิภพก็สามารถเดาคำตอบที่ชายผู้ซึ่งเป็นคนสำคัญของเขาพยายามปกปิดไว้ได้อย่างง่ายดายเหมือนการอ่านฝ่ามือของตัวเอง
“สองคนนั้นไม่มีทางเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคุณได้หรอก เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คุณคงเลือกใครคนใดคนหนึ่งไปนานแล้ว...และคงไม่มานอนกับผู้ชายแบบผมเพียงเพราะต้องการยืนยันความรู้สึกของตัวเองหรอก”
“...”
“เพราะฉะนั้นตัวเลือกสุดท้ายที่เป็นไปได้ก็มีแค่อย่างเดียวเท่านั้น”
พิภพหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดดูภาพจากการอัลตร้าซาวด์ที่เผยให้เห็นร่างของลูกสาวที่กำลังหลับใหลอยู่ในครรภ์ภรรยาของตน
“เห็นแก่ที่คุณทำให้ผมมีความสุขมาตลอดและเพราะลูกของเราคงเกิดมาคงอายุไล่เลี่ยกัน...ถ้าถึงตอนนั้นพวกเสี่ยยอมปล่อยลูกคุณไป ผมเองก็จะยอมปล่อยเขาไปก็ได้ แต่ถ้าไม่...ก็อย่าโกรธกันเลยนะ”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆก่อนจะดับบุหรี่ในมือของตนลงแล้วหลับตา ภาพของนทีที่กำลังจับมือของเขาไว้ปรากฏขึ้นเหมือนกับทุกๆครั้ง พวกเขากำลังเดินไปด้วยกันบนถนนที่ทอดไกลสุดสายตา ไม่ว่าไกลแค่ไหนก็เดินไป...แม้แต่แดดร้อนๆหรือพายุฝนที่หนาวเหน็บก็ไม่เคยหยุดพวกเขาได้
ยกเว้นแต่นกปีกหักตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในกรงสีทองอร่าม
ที่สามารถพรากสายตาของนทีไปจากเขาได้เสมอ...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
เอามาลงให้เรียบร้อยแล้วนะคับตามสัญญากับตอนพิเศษของนทีที่ติดค้างกันไว้ คงจะตอบความสงสัยในเรื่องของสองคนนี้ได้พอสมควร แต่เช่ก็เหลือช่องว่างให้จิ้นกันต่อไปนะคับ (เป็นพวกชอบกั๊กจริงๆสินะ)
แล้วก็เรื่องสำคัญซึ่งเช่ประกาศไปสักพักหนึ่งแล้วแต่อยากจะพูดอีกรอบก็คือนิยายพี่กาลจะได้รีปริ้นอีกรอบผ่านสนพ. EverY นะคับ โดยกำหนดการณ์วางแผนจะอยู่ประมานวันที่24สิงหาคม ใครพลาดรอบเช่พิมพ์เองไปก็สามารถหาซื้อรอบใหม่ได้เลย เนื้อหาเหมือนกัน ไม่มีการเพิ่มตอนพิเศษจะได้ไม่เสียเปรียบกันนะคับ
ส่วนตอนพิเศษอีกตอนที่จะลงคือตอนของคู่รัณย์กาลตามที่ตกลงไว้ ขอลงให้อาทิตย์หน้านะคับ งานเยอะจริงๆเลย TwT
-
อนทีนี่แม่งเลวจริงๆ ขนาดตอนพิเศษมันยังอยู่กับคนอื่น สงสารรัตติกาลอ่า ทำเวรทำกรรมกับนทีมาเยอะจริงๆ ชาตินี้ถึงได้มาชดใช้
-
ยกเว้นแต่นกปีกหักตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในกรงสีทองอร่าม
ที่สามารถพรากสายตาของนทีไปจากเขาได้เสมอ...
o18 หมายความว่าพี่กาล คือคนสำคัญของนทีหรอ ใช่มั้ย เช่! งง (ขอให้ได้มโนเข้าข้างพี่กาล 55555)
รออ่านตอนพิเศษตอนต่อไป :o8:
-
LanKarn’s Night
…Goodbye...
ทันทีที่เท้าแตะพื้นสนามบิน อารัณย์ที่ไม่ได้เจอคนรักมากว่าสองปีก็เพิ่งตระหนักได้ว่าช่วงเวลาที่ล่วงเลยไปนั้นหัวใจของเขาเหมือนกับจำศีลอยู่ในฤดูหนาว ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่ไม่ได้ใช้งานหนักมานานกลับเต้นรัวเพียงแค่เห็นประตูทางออกอยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มที่ไม่มีสัมภาระอะไรมากมายนอกจากกระเป๋าสะพายใบเดียวตรงดิ่งไปยังเส้นทางนั้นอย่างไม่ลังเลแล้วกวาดสายตามองหาคนที่อีเมล์มาบอกว่าจะรอเขาอยู่ที่หน้าประตูไปด้วย
รัตติกาลไม่ได้บอกเขาว่าจะมาในชุดไหน
เสื้อสีอะไร...ตัดผมทรงไหน...อารัณย์ไม่รู้อะไรสักอย่าง
แต่เขามั่นใจว่าต่อให้เห็นแค่เพียงแผ่นหลัง
อารัณย์ก็สามารถจดจำคนรักของตนได้
“กาล...”
อารัณย์เอ่ยชื่อของคนที่วนเวียนอยู่ในความฝันของเขามาตลอดสองปีด้วยเสียงที่ไม่หนักแน่นเอาซะเลย มันเบาหวิวเหมือนกับจะหลุดหายไปง่ายๆเช่นเดียวกับข่าวคราวของคนที่หลบมารักษาตัวไกลถึงอิตาลี เส้นผมสีท้องฟ้ายามราตรียังคงเป็นสีเดิมเพียงแต่ความยาวที่เคยระเพียงต้นคอบัดนี้คลอเคลียมาถึงแผ่นหลัง ผิวกายที่ขาวเป็นทุนเดิมดูซีดไม่ต่างจากเจ้าของประเทศจนอารัณย์ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปสัมผัสเพราะกลัวว่ามันจะขึ้นรอยแดง
“อารัณย์”
ชายหนุ่มเกือบจะทำกระเป๋าในมือของตนหลุดมือทันทีที่ได้ยินชื่อของตัวเองเปล่งผ่านริมฝีปากที่เขาโหยหามันมานาน รัตติกาลที่เขาได้แต่ฝันถึงกำลังยืนส่งยิ้มมาให้โดยมีฉากหลังเป็นทุ่งหิมะสีขาวตัดกับสีท้องฟ้า อารัณย์มองรอยยิ้มของคนที่เป็นเหมือนดวงตะวันของใจด้วยร่างกายที่สั่นเทา ชายหนุ่มรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลคลอเต็มหน่วยตาแต่ก็พยายามสะกดกั้นมันไว้อย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งรัตติกาลที่มองดูเขาอยู่เช่นกันยกแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วกางออก ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ อารัณย์ก็ยินยอมเดินเข้าไปหาอ้อมกอดนั้นแต่โดยดี
“คิดถึง...”
ชายหนุ่มมีเพียงคำคำนี้ที่ดังก้องอยู่ข้างใน ท่อนแขนที่เคยทั้งทำร้ายและปกป้องตะกรองกอดคนรักเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าถ้าหากเผลอรัตติกาลจะหายไปเหมือนภาพความฝันที่เขาต้องอยู่กับมันมานาน...นานจนเจ็บไปทั้งใจ
“คิดถึงเหมือนกัน”
“...”
“ร้องไห้หรอ?”
“เปล่า...แต่ถ้าออกมาจากเกตแล้วไม่เจอกาล...ก็ไม่แน่”
รัตติกาลหัวเราะเบาๆให้กับคนรักที่ดูเหมือนเด็กขี้อ้อนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ผิดกับคำบอกเล่าของนิลที่บอกว่าอารัณย์เปลี่ยนไปมากแค่ไหน
นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ไม่มีหัวใจ...
ไม่ใช่ไม่มีหรอก แค่หัวใจอยู่ห่างไกลไปหน่อยเท่านั้นเอง...
“หิวรึเปล่า? อยากนอนพักไหม?”
“หิว”
“หรอ อยากกินอะไรล่ะ”
“อยากกินกาล”
“...”
“ขอ...กินได้ไหม”
ผิวแก้มของคนถูกขอร้องขึ้นสีแดงอย่างห้ามไม่ได้ นอกจากนิสัยขี้อ้อนของอารัณย์จะเหมือนเดิมแล้ว ก็คงมีนิสัยขี้ตามใจของเขานี่แหละที่ไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน
“Va bene (ตกลง)”
กลิ่นหอมของแอสเพรสโซ่อบอวนอยู่ในห้องเช่าเล็กๆแถวชานเมืองมิลานเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแต่วันนี้ห้องที่เคยมีคนอาศัยอยู่เพียงหนึ่งกลับแออัดลงไปเพราะผู้ชายร่างกายสูงใหญ่ที่กำลังนอนอ่านกระดาษมากมายที่ถูกขีดเขียนด้วยลายมือบอกเล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่แสนวุ่นวายแห่งนี้ด้วยแง่มุมที่ต่างกันออกไป อารัณย์เห็นภาพความลำบากและสิ่งต่างที่รัตติกาลพบเจอมาตลอดสองปีผ่านตัวหนังสือที่คนรักตั้งใจสื่อออกมา มันทั้งน่าอิจฉาและมีความสุขเสียจนชายหนุ่มไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนรักที่เดินเข้ามาใกล้
“ไปใส่เสื้อสิรัณย์ ไม่หนาวรึไง”
รัตติกาลพูดว่าแต่ตัวเองกลับล้มตัวลงนอนทับแผ่นอกของร่างสูงที่กระเพื่อมเป็นจังหวะตามลมหายใจ เขาหยิบเอากระดาษที่มีผลงานเขียนของตัวเองออกจากมือของอารัณย์เพื่อให้คนที่กำลังจดจออยู่กับมันกลับมาสนใจตัวเขา
“หนาว แต่ตอนนี้อุ่นแล้ว”
ไม่พูดเปล่าคราวนี้อารัณย์เลือกที่จะโอบกอดเอวบางของรัตติกาลไว้แทนกระดาษเย็นชืดแล้วซุกไซร้จมูกไปตามไหปลาร้าขาวๆที่มีร่องรอยจากตัวเขาปรากฏอยู่ประปรายจนรัตติกาลอมยิ้มให้กับคนที่อ้อนไม่หยุดตั้งแต่ได้เจอกัน
“กอดอยู่นั่น ไหนล่ะของฝากที่บอกว่าจะเอามาให้”
“อยู่ในกระเป๋า มีหนังสือจากนิลกับไอ้ชาติ ชาสมุนไพรจากป้าจันทร์ แล้วก็จดหมายจากรพีด้วย”
อารัณย์ลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนรักแต่มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดโดยเฉพาะเมื่อชื่อของคนที่รัตติกาลคิดถึงสุดใจถูกเอ่ยออกมา ร่างโปร่งทำแค่เพียงยิ้มน้อยๆแม้แววตาจะยังคงมีตะกอนแห่งความเศร้าหลงเหลืออยู่แต่มันก็นับว่าดีมากแล้วเมื่อเทียบกับรัตติกาลก่อนที่จะหนีจากมา
“อ่านให้ฟังหน่อยได้ไหม...จดหมายน่ะ”
“ไม่อ่านเอง?”
“อืม...ผมยังไม่เข้มแข็งขนาดนั้น”
ทั้งสองมองตากันอยู่พักหนึ่งก่อนที่อารัณย์จะลุกขึ้นไปหยิบของฝากทั้งหมดรวมถึงจดหมายจากรพีมาเปิดอ่านให้รัตติกาลฟัง เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตที่ไร้เงาของบิดาคอยเลี้ยงดู ทั้งเพื่อนที่โรงเรียน หมาตัวน้อยที่รบเร้าอยู่นานกว่าน้ารัณย์จะยอมให้เลี้ยงได้ การปรับตัวเข้ากับครอบครัวที่เพิ่มขึ้นมาอย่างพะแพง หมอกันต์ และพิมพ์ใจ รวมไปถึงชีวิตแสนเรียบง่ายที่เกิดขึ้นในทุกๆวันภายใต้ร่มเงาของบ้านพัฒนเดชาที่เงียบเหงาถูกบอกเล่าด้วยสำนวนที่เรียบง่ายแต่สื่อถึงความปรารถนาที่อยากจะพบเจอกันของผู้เขียนอย่างรพีได้เป็นอย่างดี
“พ่อดูแลตัวเองดีๆนะครับ อย่าลืมคิดถึงพีด้วย”
อารัณย์อ่านมันอย่างใจเย็นจนถึงประโยคสุดท้ายที่ไร้ซึ่งคำขอร้องให้คนเป็นพ่อกลับมาบ้าน เช่นเดียวกับใบหน้าที่ไร้ซึ่งคราบน้ำตาแต่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าต่อให้ไม่แสดงออกแต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับยังตอกย้ำอยู่ในหัวใจของทุกคน
“ขอบคุณนะที่เอามาให้”
“ไม่เป็นไร แต่กว่าที่จะกล่อมไม่ให้รพีโดดเรียนตามมาด้วยก็แทบแย่”
“ฮ่าๆ เดี๋ยวนี้ดื้อขนาดนั้นเลยหรอ”
“ขนาดนั้นเลยแหละ ชักจะเหมือนกาลขึ้นทุกวัน”
คนถูกว่ากระทบแกล้งมองดุๆใส่คนรักที่กำลังเก็บจดหมายกลับเข้าไปในซองแล้วยกของฝากทั้งหมดไปวางตามที่ต่างๆให้ จนทำให้อารัณย์ไม่ทันได้เห็นสีหน้าที่แสดงความอ่อนแอและโหยหาออกมาอย่างไม่ปิดบังใดๆ แต่ความจริงอาจจะเป็นเพราะอยากให้รัตติกาลยอมรับความรู้สึกของตัวเองก่อนก็ได้ ชายหนุ่มจึงหลบฉากไปจัดข้าวของเงียบๆ
เวลาเดินผ่านไปพร้อมกับการดำเนินชีวิตอยู่ในห้องพักเล็กๆที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและพูดคุยที่ห่างหายมานาน อารัณย์เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ เมืองไทยเพื่อให้คนที่อยู่ไกลบ้านเกิดความรู้สึกอยากหวนกลับไปบ้างแต่กำแพงที่สูงชันของรัตติกาลนั้นก็ยังคงตั้งตรงและไกลเกินกว่าจะทำให้คนที่ถูกความกลัวเกาะกุมจิตใจเห็นความสวยงามของอีกฟากฝั่งซึ่งมีครอบครัวรออยู่ได้
“กาลอยากกลับไปหาลูกบ้างไหม”
“ยังกลับไปไม่ได้หรอก ถึงจะดีขึ้นมากแต่ผมก็ยังต้องได้รับการรักษาอยู่”
“ผมรู้ แต่แค่แปปเดียว ช่วงวันเกิดของรพีก็ได้”
อารัณย์รู้ว่าเขากำลังเอ่ยปากขอในสิ่งที่ไม่สมควรขอ แต่ความห่างเหินและห่วงหาก็ทำให้เขาไม่สามารถข่มกิเลสและความเห็นแก่ตัวในใจตนได้ รัตติกาลยิ้มน้อยๆแต่กลับไม่ได้ตอบอะไร ร่างโปร่งลุกขึ้นจากเตียงนอนนุ่มๆแล้วคว้าเอาเสื้อผ้าที่ตกอยู่ตรงพื้นขึ้นมาสวมใส่
“คุณอยากไปเที่ยวไหนไหม มาถึงมิลานทั้งที”
“ถ้าเอาจริงๆก็ไม่...แต่ก็ไปกันเถอะ ถ้ากาลต้องการ”
ร่างสูงไม่ได้แสดงท่าทางประชดอะไร เขาแค่อยากให้รัตติกาลได้คิดทบทวนคำร้องขอนั้นอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นการไปเดินเล่นชมเมืองที่เจ้าตัวคุ้นเคยกว่าอาจจะผ่อนคลายความกังวลของคนรักลงได้
สองข้างทางของถนนในเมืองเล็กๆอย่างมิลานดูวุ่นวายสับสนแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามในแบบที่ไม่เหมือนกับเมืองไหนๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนซึ่งตอนแรกคิดแค่อยากจะพาคนรักมาเปลี่ยนบรรยากาศจะเริ่มหลงใหลกับเสน่ห์แบบที่ไม่เคยพบมาก่อนจนรัตติกาลต้องเอ่ยปาก
“กินเยอะไปแล้วรัณย์ จะแวะกินกาแฟมันทุกร้านเลยรึไง”
“เอาน่า ผมไม่ได้มีโอกาสแวะมากินได้ทุกครั้งเหมือนกาลนี่”
ปากพูดไปมือก็กำลังสาละวนอยู่กับขนมหวานในจานเล็กๆที่ราคาไม่เล็กตามไปด้วย เมื่อเห็นว่าห้ามไม่ได้รัตติกาลก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก แต่สุดท้ายคืนนี้เขาก็คงถูกกวนโดยคนที่กินกาแฟจนตาค้างทั้งคืนแน่ๆ
“Ciao Karn! (ไง กาล!)”
ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังตกลงเรื่องร้านอาหารที่จะไปกินกันตอนเย็นก็มีชายท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งเดินเข้ามาทักรัตติกาลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจนอารัณย์ต้องหยุดมือที่กำลังตักขนมเค้กเข้าปากแล้วจ้องมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาจับผิด
“ไง ลอเรนซ์ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
รัตติกาลตอบกลับไปด้วยภาษาอิตาเลี่ยนที่อารัณย์ฟังไม่รู้เรื่อง ร่างสูงได้แต่นั่งฟังคนรักและหนุ่มที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นชาวอิตาลีอย่างสนุกสนาน เขากนด่าตัวเองในใจที่ไม่สนใจเรียนภาษาอิตาเลี่ยนพื้นฐานจากนิลก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาน่าจะพอฟังออกบ้างว่าชายคนนี้กำลังพูดอะไรทำไมถึงทำให้รัตติกาลยิ้มออกมาได้กว้างขนาดนี้...
“พอดีเลย อารัณย์ นี่ลอเรนซ์ จิตแพทย์ที่ดูแลผมอยู่”
ร่างโปร่งที่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำแพทย์ประจำตัวให้กับคนรักได้รู้จักก็หันไปพูดกับอารัณย์ด้วยภาษาอังกฤษเพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ตรงกัน ซึ่งพอรัตติกาลทำแบบนั้นคนที่นั่งหน้าบูดมาพักใหญ่ก็ได้ทีเหยียดหลังตั้งตรงแล้วหันไปพูดคุยกับลอเรนซ์ด้วยอังกฤษที่มีสำเนียงไม่ต่างจากเจ้าของภาษาเลยสักนิด
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมอารัณย์เป็นคนรักของกาล”
“อ่อ คุณนั่นเอง ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะครับ”
นายแพทย์หนุ่มเจ้าของนัยต์ตาสีเขียวมะกอกตอบกลับมาเสียงดังแล้วเข้ามาเขย่ามือของอารัณย์แรงๆราวกับรู้จักมาเป็นชาติ เล่นเอาร่างสูงที่ตอนแรกตั้งแง่กับลอเรนซ์ไปแล้วต้องหันมามองรัตติกาลเพื่อขอคำอธิบาย
“ลอเรนซ์รักษาผม ผมเลยจำเป็นต้องเล่าปัญหาทุกอย่างให้เขาฟังน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกเขาไว้ใจได้ และแต่งงานแล้วมีลูกสองคน”
รัตติกาลอธิบายพร้อมกับพูดดักทางอารัณย์ที่เขาเดาออกได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คนขี้หึงพอได้ฟังอย่างนั้นก็ใจชื้นแต่สุดท้ายความขี้หวงของเขาก็กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาหลักบนโต๊ะที่มีลอเรนซ์เพิ่มเข้ามาอีกคน
“ถึงว่าทำไมกาลถึงโทรมาขอเลื่อนนัดตรวจกับผมเป็นวันอังคาร ที่แท้ก็ต้องมาคอยต้อนรับแฟนจากเมืองไทยนี่เอง”
“อ้าว เลื่อนนัดทำไมล่ะกาล แบบนี้จะไม่เป็นไรหรอ”
“ไม่เป็นไรหรอก นัดตรวจที่ว่าก็แค่เข้าไปคุยเรื่องสัพเพเหระเท่านั้นแหละ”
“ใช่ๆ เรื่องสัพเพเหระที่ว่าก็เรื่องที่บ้านกับคุณนั่นแหละ”
อารัณย์ทำหน้าแปลกใจในขณะที่รัตติกาลหันมาแยกเขี้ยวใส่จิตแพทย์หนุ่มที่หัวเราะเสียงดังเมื่อได้แกล้งคนไข้ที่ควบสถานะเพื่อนต่างแดนให้เขินเล่น หลังจากนั้นลอเรนซ์ก็เผารัตติกาลให้อารัณย์ฟังจนหมดเปลือก ร่างโปร่งเบ้ปากใส่คู่หูคู่ใหม่ที่ตอนแรกจ้องกันแทบตายแต่ตอนนี้กลายมาเป็นกอดคอคุยกันสนุกปาก
“กาล ผมวานไปซื้อเจลาโต้จากร้านข้างๆให้หน่อยได้ไหม ขอรสเดิมนะ”
“เรื่องอะไร ก็ไปซื้อเองสิ”
“ก็สาวเสิร์ฟคนนั้นเธอจ้องคุณตาเป็นมันทุกครั้งเลยนี่ เอาเถอะน่า ซื้อมาเผื่ออารัณย์ด้วยก็ดีนะ”
ลอเรนซ์เท้าคางมองรัตติกาลที่ทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมเดินไปซื้อให้แล้วทิ้งอารัณย์ที่แอบเอนตัวไปมองสาวเสิร์ฟที่ว่าไว้กับคนที่รอโอกาสนี้อยู่นาน
“คุณอารัณย์ครับ”
“อะ อ่า ครับ?”
“ผมอยากคุยกับคุณเรื่องอาการของรัตติกาลหน่อย”
เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวบรรยากาศสบายๆที่ดำเนินมากว่าครึ่งชั่วโมงก็หายไปในพริบตา คิ้วของร่างสูงขมวดเป็นปมรสของครีมในปากเปลี่ยนเป็นขมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“แต่คงใหญ่มากพอที่จะต้องคุยกับผมตามลำพังสินะ”
ลอเรนซ์อมยิ้มเมื่อคนตรงหน้าเป็นอย่างที่รัตติกาลเล่าให้เขาฟังทุกประการ เหมือนจะเป็นคนอ่านง่ายแต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่คาดเดาอะไรได้ยาก ฉลาดแต่ก็ดึงดูดให้น่าเข้าหา แข็งแกร่งแต่ก็อ่อนโยนกว่าใคร สมแล้วที่คนอย่างรัตติกาลเลือกที่จะวางหัวใจที่บอบช้ำไว้กับคนแบบนี้
“อย่าเพิ่งขอให้กาลกลับไปกับคุณเลยนะครับ”
“...!”
“จริงอยู่ที่ตอนนี้กาลแทบจะหายเป็นปกติแล้ว ยาที่กินอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแค่ยาบำรุงประสาทไม่มีความจำเป็นใดๆที่เขาต้องอยู่ที่นี่อีก...แต่ว่ามันเป็นแค่อาการทางกายเท่านั้นที่ผมพูดถึง”
รอยยิ้มแสนอบอุ่นของหมอไม่ทำให้อารัณย์รู้สึกสบายใจเลยสักนิด คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบตอกย้ำความจริงที่ลอเรนซ์กำลังจะบอกเขาได้อย่างดี
“ตอนที่ภรรยาผมตั้งท้องลูกสาวคนแรก ผมแทบจะไม่กลับบ้านเลยรู้ไหม แน่นอนผมดีใจที่เธอมีลูกให้ผมแต่สำหรับคนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลแทบทั้งวันผมแทบจะประสาทไปเลยเมื่อต้องจินตนาการว่าตามเสื้อผ้า เส้นผม และผิวหนังของผมมันมีเชื้อโรคมากมายขนาดไหน ความจริงผมรู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีผลกระทบอะไรแต่สุดท้ายกว่าผมจะทำใจเข้าไปหาเธอได้ลูกของผมก็ใกล้จะลืมตาดูโลกแล้ว”
“...”
“ผมเสียเวลาที่ควรอยู่เคียงข้างภรรยาไป...ผมควรเป็นคนคอยประคองเธอเวลาเธออยากเข้าห้องน้ำ ผมควรจะเป็นคนฝ่าหิมะออกไปซื้อของหวานให้เธอกินกลางดึก เตียงนอนของลูกคนแรกผมก็ควรจะเป็นคนเลือก แต่สุดท้ายผมก็เสียโอกาสทุกอย่างไปแค่เพราะผมสูญเสียความมั่นใจ...ในฐานะพ่อของตัวเอง เหมือนกับที่กาลกำลังเป็นอยู่”
“เสียความมั่นใจ...”
“ใช่ครับ ตอนนี้ความกลัวในหัวใจของกาลหายไปเกือบจะหมดแล้ว เขาสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้อารมณ์เข้ามาครอบงำได้เป็นอย่างดี เขาไม่ฝันร้ายหรือแม้แต่นอนไม่หลับอีกแล้วอย่างน้อยก็ในระยะสองเดือนที่ผ่านมา บาดแผลที่เกิดจากคนอื่นและบาดแผลที่กาลสร้างมันให้ตัวเองตอนนี้มันหายดีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่กล้าที่จะเดินต่อไปข้างหน้า”
ลอเรนซ์หยิบแท็บเล็ตในกระเป๋าถือของตัวเองออกมาแล้วเปิดเว็บบล็อคที่มีบันทึกของคนที่ใช้ชื่อว่า ‘Luna’ ซึ่งได้พบปะกับผู้คนในโรงพยาบาลมากมาย ทั้งคนที่มีความสุขและคนที่สูญเสีย คนที่กำลังจะให้กำเนินชีวิตใหม่และคนที่ทำได้แค่นอนรอความตายอยู่บนเตียง Luna บอกเล่าความหมายของสิ่งที่เรียกว่า ‘ชีวิต’ ผ่านแง่มุมและคำบอกเล่าของคนเหล่านั้น อารัณย์อ่านมันไปเรื่อยๆแล้วคิดกับตัวเองว่าเจ้าของนามปากกานี้ได้ทำในสิ่งที่อัศจรรย์และมีความหมายเหมือนกับชื่อ Luna เสียจริง
เหมือนกับพระจันทร์ที่คอยส่งแสงนำทางผู้คนในช่วงเวลาที่มืดมิด...
“นี่มันดีมากๆเลย”
“ใช่ไหมล่ะครับ น่าภูมิใจใช่ไหมล่ะ...คนรักของคุณน่ะ”
อารัณย์ไม่แปลกใจนักกับคำตอบที่ลอเรนซ์เฉลยให้เขาฟัง ร่างสูงก็จำลักษณะและสำนวนการเขียนของคนรักได้แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคืออารมณ์ที่สื่อออกมาผ่านตัวหนังสือพวกนี้ต่างหาก มันทั้งมีชีวิตชีวาและเศร้าในคราวเดียวกัน เหมือนนักเดินทางที่เหนื่อยล้าแต่ก็ยังคงยิ้มให้กับทุกสิ่งที่เผชิญ
“ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่ากาลเขาจะทำได้ดีถึงขนาดนี้ การที่ให้เขาได้เรียนรู้ความสุขและความทุกข์ของคนอื่นเป็นสิ่งที่ผมอยากให้เขาทำ แต่การที่แบ่งปันสิ่งเหล่านั้นให้กับผู้คนอีกมากมายเป็นสิ่งที่กาลตัดสินใจทำมันด้วยตัวเอง ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังจะพูดมันไม่ยุติธรรมกับคุณและลูกของกาลเท่าไหร่...อารัณย์ ถ้าคุณพากาลกลับไปเมืองไทยตอนนี้ ทุกสิ่งที่กาลตั้งใจทำมามันคงเสียเปล่า”
“...”
“ถึงแม้จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่กาลก็กำลังพยายามอย่างหนักที่จะยืนขึ้นด้วยตัวเองอีกครั้ง เขาทำให้ผู้คนมากมายเข้าใจและเห็นคุณค่าของชีวิต และในทางกลับกันสิ่งนั้นก็ทำให้เขาตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองด้วยเช่นกัน คุณเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะบอกใช่ไหม”
“ครับ...ผมเข้าใจ”
“...”
“และทางที่เขาเลือก...มันไม่มีผมอยู่สินะ”
:hao5:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :hao5:
-
“ลอเรนซ์พูดอะไรแปลกๆให้ฟังรึเปล่า”
รัตติกาลเอ่ยถามคนที่ทำหน้าเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา อารัณย์ที่ได้ยินเสียงของคนรักก็สะดุ้งน้อยๆก่อนจะหันมาตอบ
“เปล่า แค่บอกว่ากาลแอบไปหม้อพยาบาลสาวๆบ่อย”
“หึ ไอ้บ้า มันจะเป็นไปได้ยังไง”
อารัณย์แสร้งหัวเราะทั้งที่ในหัวของเขายังมีคำพูดของลอเรนซ์วนเวียนอยู่จนปวดไปหมด รัตติกาลมองสีหน้าแปลกๆของร่างสูงแล้วนิ่งไปก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วไปหยิบอะไรบางอย่างจากโต๊ะเขียนหนังสือโดยมีอารัณย์มองตามไป
“ตัดผมให้หน่อย”
รัตติกาลยื่นกรรไกรตัดกระดาษอันหนึ่งมาให้คนรักก่อนที่จะจัดการคว้ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ใกล้ๆมาปูลงกับพื้นแล้วถอดเสื้อสีคอกลมสีหม่นที่ตัวเองสวมอยู่ออกโดยไม่รอให้อารัณย์สั่ง
“เฮ้ย เอาจริงหรอ ผมตัดไม่เป็นนะ”
“อืม ไม่เป็นไรหรอกน่าตัดๆไปเถอะ”
ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งตรงพื้นแล้วหันหลังให้กับอารัณย์ที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ร่างสูงมองเส้นผมสีดำสนิทที่ยาวลงมาอย่างเสียดายบวกกับที่ไม่มีความมั่นใจในฝีมือของตัวเองเลยสักนิดจึงไม่กล้าลงกรรไกรสักที
“สาวเสิร์ฟที่ร้านเจลาโต้บอกว่าชอบผมยาวๆของผมมากเลยนะ”
“โอเค งั้นตัดเลย”
รัตติกาลหัวเราะขำเพราะต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นนิสัยขี้หวงจนเว่อร์ของอารัณย์ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด คมของกรรไกรค่อยเฉือนเส้นผมของรัตติกาลออกไปทีละน้อยอย่างระมัดระวังจนเผยให้เห็นต้นคอขาวสะอาดที่เคยถูกบดบังจนมองไม่เห็น อารัณย์พยายามตัดปลายผมของรัตติกาลให้เป็นทรงงุ้มเข้าแต่เจ้าตัวกลับบอกให้ทิ้งมันไว้ตรงๆแบบนั้นเพราะกลัวว่าแทนที่มันจะสวยจะกลายเป็นเละเทะกว่าเดิมเสียมากกว่า เลยทำให้ตอนนี้ผมของรัตติกาลสั้นขึ้นมาอยู่ที่ระดับคอจนอารัณย์อดใจไม่ไหวที่จะฝากรอยรักลงไปบนเนื้อนุ่มนั้น
“ให้ตายสิ น่ารักกว่าเดิมอีก”
“คนที่มองผู้ชายอย่างผมน่ารักได้ก็มีแต่คุณเท่านั้นแหละ”
“หึ ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถอะ”
อารัณย์บ่นขณะที่ก้มลงกวาดเส้นผมของรัตติกาลด้วยมือเพื่อจะเอาไปทิ้งแต่มือคู่นั้นกลับถูกหยุดไว้ด้วยจูบของรัตติกาลที่สัมผัสลงบนหน้าผากของอารัณย์อย่างแผ่วเบาจนคนที่ถูกมอบความรักให้ไม่ทันได้ตั้งตัว
“ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ขอแค่คุณยังมองว่าผมน่ารักเสมอเท่านี้ได้ไหม”
“...มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
ร่างสูงละมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วเปลี่ยนมาจับใบหน้าของรัตติกาลไว้ให้มั่นก่อนจะมอบจุมพิตให้กับคนที่หลับตารออยู่แบบแทบจะลืมหายใจ เสื้อแขนขาวของอารัณย์ถูกถอดออกไปโดยคนที่ไม่สวมเสื้ออยู่ก่อนแล้ว ฝ่ามืออุ่นร้อนของทั้งคู่ลูบไล้ไปตามร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายราวกับต้องการจดจำทุกรายละเอียดของคนตรงหน้าให้ได้มากที่สุด
“ไปที่เตียงนะ”
รัตติกาลผงกหัวรับคำอย่างว่าง่าย พวกเขากอดก่ายกันไปตลอดทางจนแผ่นหลังของร่างโปร่งสัมผัสกับพื้นเตียงกว้างโดยมีร่างของอารัณย์กำลังมองลงมาจากเบื้องบนด้วยความต้องการ คนตัวโตกว่าจัดการปลดกางเกงทั้งของตัวเองและคนที่อยู่ใต้ร่างจนส่วนอ่อนไหวของทั้งคู่ออกมาเผชิญหน้ากันด้วยสภาพที่แข็งตัวพร้อมใช้งาน รัตติกาลสะดุดลมหายใจของตัวเองเมื่อจู่ๆคนที่กำลังมอบจุมพิตให้กับเขาเคลื่อนตัวลงไปข้างล่างแล้วคว้าเอากลางกายที่แข็งขืนมามอบความอบอุ่นให้ด้วยโพรงปากชุ่มน้ำลายจนร่างโปร่งต้องครางเสียงหลง
“อื้ออออ อารัณย์ อ๊ะ..”
ลิ้นของอารัณย์เกี่ยวรัดตัวตนของรัตติกาลเป็นจังหวะพร้อมกันนั้นก็สอดนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านล่างเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับคนรักที่ให้ความร่วมมือด้วยการแยกขาทั้งสองข้างออกจนกว้าง อารัณย์คายสิ่งที่สั่นระริกด้วยความกระสันออกมาแล้วหันมาให้ความสนใจกับกลีบเนื้อที่เต้นตุบๆตามแรงอารมณ์ เขาเอี้ยวตัวไปหยิบเจลหล่อลื่นจากหัวเตียงมาบีบลงบนร่องบั้นท้ายของรัตติกาล
“เย็น อึก รัณย์ อ๊ะ...มันเย็น”
“ไม่เป็นไร...เดี๋ยวก็ร้อนแล้ว”
นิ้วยาวของอารัณย์สอดเข้าไปด้านในเป็นจังหวะแล้วพยายามควานหาจุดที่ทำให้รัตติกาลรู้สึกดีได้ ร่างสูงทำอย่างนั้นอยู่สองสามครั้งก่อนที่รัตติกาลจะหลุดร้องเสียงสูงขึ้นมาเป็นสัญญาณบอกว่าสิ่งที่อารัณย์กำลังตามหาอยู่ที่ไหน
อารัณย์เลียริมฝีปากของตัวเองอย่างกระหายก่อนจะรัวนิ้วเข้าไปไม่หยุดแม้ว่ารัตติกาลจะร้องขอให้ปราณีตนเองบ้างก็ตาม ลำคอของร่างโปร่งแห้งผากเช่นเดียวกับความคิดที่ไม่หลงเหลือเรื่องใดนอกจากความปรารถนาที่มีต่อคนตรงหน้า แล้วรัตติกาลก็ต้องหวีดร้องออกมาอีกครั้งเมื่อแท่งเนื้ออุ่นของอารัณย์แทรกเข้าไปในร่างกายของเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“อ่าาาาาาาา รัณย์!”
“อึก กาล ซี๊ดดดด”
ร่างสูงจับขาของรัตติกาลทั้งสองข้างขึ้นมาพาดอยู่บนบ่าของตัวเองเพื่อที่จะสามารถรับรู้ความอบอุ่นของคนรักได้ลึกยิ่งขึ้น เสียงเฉอะแฉะของสารหล่อลื่นดังไปทั่วทั้งห้องแข่งกับเสื้อเนื้อกระทบกันและเสียงครางระงมของรัตติกาลจนแทบแยกไม่ออก รัตติกาลพยายามฝืนลืมตาที่ปรือปรอยเมื่อมองเข้าไปในความคิดของคนรักที่กำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่เช่นกัน
“ผมรักคุณนะ อึก อารัณย์ ฮึก ผมรักคุณ...”
เหมือนห้องที่มืดมิดถูกเปิดออก ความอึดอัดที่สั่งสมมาข้างในแปรเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าและหยดน้ำตาแห่งความคิดถึง รัตติกาลยันกายที่ยังคงรองรับแรงกระแทกอย่างต่อเนื่องขึ้นมาแล้วจูบซับน้ำตาของอารัณย์ไว้ก่อนจะกระซิบบอกคำรักที่ข้างหูเพื่อให้ร่างสูงมั่นใจว่าต่อให้อะไรจะเกิดขึ้น ความรู้สึกของเขาจะยังเป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป
“ขอโทษนะกาล ผมรักคุณนะ”
“เชื่อใจผมนะอารัณย์ อ่า...รอผมหน่อยเถอะนะ”
อารัณย์เร่งสะโพกของตัวเองให้เร็วขึ้นแทนคำตอบ นิ้วยาวของรัตติกาลกรีดไปตามแผ่นหลังของร่างสูงแล้วฝากรอยเล็บเอาไว้แทนหลักฐานว่าตอนนี้เขาทั้งคู่กำลังมีความสุขกันมากแค่ไหน สองขาของรัตติกาลเปลี่ยนมาเป็นรั้งสะโพกของอารัณย์ให้เข้ามาใกล้ตัวของเขาเองให้มากยิ่งขึ้นเมื่อปลายทางของอารมณ์เคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที อารัณย์ประโลมจูบคนรักแล้วถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ ทั้งความโลภ ทะนุถนอม เหนี่ยวรั้ง และต้องการมอบอิสระให้จวบจนหยาดหยดสุดท้ายที่ปลดปล่อยออกมาจนรัตติกาลรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งใจและร่างกาย แล้วในวินาทีสุดท้ายก่อนที่สติของร่างโปร่งจะค่อยๆเลือนหายรัตติกาลก็ได้ยินคำบอกรักที่ทรมานที่สุดจากปากของอารัณย์
“ผมรักคุณนะกาล ผม...จะยอมให้คุณไป”
อารัณย์กลับมายืนอยู่ในสนามบินมัลเปนซาอีกครั้งโดยที่คราวนี้เขามีกระเป๋าลากใบใหญ่เพิ่มมากอีกใบเพื่อใส่ของที่รัตติกาลตั้งใจซื้อฝากให้เหล่าคนไกลที่เขาคิดถึง แม้อากาศภายในสนามบินจะอุ่นกว่าข้างนอกมากแต่มือของทั้งคู่ก็ยังคงเกาะกุมกันอยู่ไม่ห่างโดยไม่แคร์ว่าใครต่อใครจะมองพวกเขายังไง
“เห็นเขาว่าอาทิตย์หน้าหิมะจะตกหนักกว่านี้อีก กาลอย่าลืมไปหาผ้าห่มมาเพิ่มนะ ของที่ห้องผมว่ามันบางไปหน่อย”
“รู้แล้วน่า คุณย้ำผมมาหลายรอบแล้วนะ”
“รู้แล้วก็ทำด้วยล่ะ อาหารก็กินให้ครบห้าหมู่ด้วย ถ้าเบื่อๆก็ลองไปเดินแถวไชน่าทาว์นกับลอเรนซ์ดูก็ได้ เห็นหมอนั่นบอกว่ารู้จักร้านดีๆเยอะเลย”
“หึ ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย ทีแรกยังเห็นจ้องจนตาแทบถล่น”
“ก็นะ อย่างน้อยผมก็มั่นใจได้ว่าลูกสาวทั้งสองคนของเขาคงไม่อยากได้คุณเป็นแม่คนที่สองแน่ๆ”
อารัณย์แกล้งพูดหยอกถึงลูกสาวของลอเรนซ์ที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เวลาเห็นหน้ารัตติกาลทีไรถึงได้ร้องไห้จ้าทุกที แต่กับอารัณย์ที่ถึงแม้จะสื่อสารกันด้วยภาษาอิตาเลี่ยนไม่ได้เด็กสาวกลับติดร่างสูงแจเสียจนคนเป็นพ่อหมั่นไส้
“ส่วนที่ไทยก็คงร้อนเหมือนเดิมสินะ ฝากบอกทุกคนให้ดูแลสุขภาพด้วยแล้วกัน โดยเฉพาะป้าจันทร์ ผมฝากดูแลแกหน่อยนะ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว”
“ไม่ต้องห่วงหรอก รายนั้นยังมีแรงบ่นผมที่กลับบ้านดึกได้อีกนานเชื่อสิ”
รัตติกาลหยุดขาที่กำลังก้าวเดินจนทำให้อารัณย์ต้องหันมามองแล้วเลิกคิ้วขึ้นแทนการตั้งคำถาม
“อารัณย์เรื่องที่บริษัทน่ะ...ไม่จำเป็นต้องพยายามมากขนาดนั้นก็ได้นะ”
“...”
“มันคงไม่ดีถ้าต้องพูดแบบนี้ แต่ผมไม่อยากให้คุณหรือใครต้องมาติดอยู่กับสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความฝันของผมกับพี่ที...บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมันไปแล้วก็ได้”
รัตติกาลสื่อความในใจของตัวเองออกไปเพราะทั้งไม่อยากมีอะไรค้างคาอีกและเสียดายความสามารถของอารัณย์อยู่ไม่น้อย ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนรักของเขาเก่งกาจมากแค่ไหน แต่มันกลับน่าเจ็บใจที่คนมีความสามารถอย่างอารัณย์กลับต้องมาแบกรับภาระของเขาทั้งที่มีโอกาสในชีวิตอีกมาก แต่สิ่งที่ทำให้รัตติกาลเจ็บใจมากที่สุดเห็นจะเป็นการที่อารัณย์สูญเสียความเยือกเย็นในฐานะนักธุรกิจไปเพราะเขา...แค่เพราะอยากจะรักษาบริษัทของเขาไว้ให้ได้
“จริงอยู่ที่ความฝันของกาลกับพี่นทีจบไปนานแล้ว”
“...”
“แต่ความฝันของผมกับกาล มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นต่างหาก”
อารัณย์พูดก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบหน้าผากของรัตติกาลเบาๆแล้วกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของคนรัก ร่างโปร่งฟังแล้วก็นิ่งไปก่อนที่รอยยิ้มกว้างจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งคู่ที่โผเข้าหากันแทนการจากลาครั้งสุดท้าย
“เราจะจากกันแค่วันนี้นะ เพราะว่าครั้งต่อไปผมจะไม่มีวันปล่อยให้กาลไปไกลจากผมอีกแล้ว”
“จะจับขังว่างั้น?”
“อื้อ จะเล่นไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยแหละ”
ร่างสูงพูดติดตลกแม้ว่าในอนาคตข้างหน้าหากพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งรัตติกาลและอารัณย์คงเข้าใจความหมายของคำว่าชีวิตและความรักมากขึ้นกว่าตอนนี้ แม้จะรักกันมากแต่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงพวกเขาไว้ยังคงไม่แข็งแรงพอที่จะนำพาทุกคนที่พวกเขารักให้เดินไปข้างหน้าด้วยกันได้
“ฝากดูแลรพีด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วง รพีก็เหมือนลูกของเรานั่นแหละ”
“อื้ม ฝากความคิดถึงไปให้พี่แพงด้วย แล้วผมจะพยายามโทรไปคุยกับพี่สาวคุณบ่อยๆ”
“ได้ แต่อย่าบ่อยมากกว่าคุยกับผมแล้วกัน”
รัตติกาลยิ้มรับก่อนจะจูบลาแล้วก้าวถอยออกมาในขณะที่อารัณย์ก็ก้าวเข้าไปในจุดที่ร่างโปร่งไม่สามารถเดินตามเข้าไปได้อีก พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ร้องไห้เพราะมันไม่ใช่การจากลาที่ไร้ความหมาย ทั้งคู่มองตากันและกันราวกับต้องการจะจดจำคนตรงหน้าให้ได้มากที่สุดรวมถึงความรักที่แผ่ซ่านออกมาจนอุ่นไปทั้งใจ
“กาล...ผมจะรอนะ”
“...”
“จนกว่าจะถึงวันนั้นก็พยายามเข้าล่ะ...Luna”
“อื้ม...คุณก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะ”
“...”
“สักวัน...เราจะได้พบกันอีก”
ทั้งสองคนบอกลากันครั้งสุดท้ายผ่านรอยยิ้ม อารัณย์โบกพาสปอร์ตในมือก่อนจะหันหลังให้คนรักแล้วเดินเข้าไปด้วยแววตาที่มุ่งมั่นกว่าเก่าเช่นเดียวกับรัตติกาลที่เดินตรงไปยังทางออกโดยไม่มีความลังเลใดๆ
“ลาก่อน...”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับตอนพิเศษตอนสุดท้ายที่เช่จะลงให้อ่านในเว็บนะคับ แต่ในส่วนต้นๆคนที่ไม่เคยอ่านในหนังสืออาจจะงงสักหน่อยเพราะก่อนหน้าที่จะมีตอนนี้มันจะถูกคั่นด้วยตอนของชาตินิลที่เช่ขอสรุปสั้นๆว่า ระหว่างที่รัตติกาลไปรักษาตัวอยู่เมืองนอกอารัณย์ก็เข้าไปดูแลบริษัทแทน แต่ด้วยเพราะความเคร่งเครียดและภาระของตัวเองที่อารัณย์ต้องแบกรับแทนทำให้รัตติกาลถึงกับเอ่ยปากให้อารัณย์วางมันลงในตอนนี้นะคับ (แม้ว่าสุดท้ายจะดื้อไม่ยอมวางก็เถอะ55555)
ช่วงที่ยังไม่ได้ลงตอนพิเศษ มีหลายคนบ่นกับเช่เหมือนกันว่า6ปีดูเหมือนจะนานเกินไป แต่สำหรับเช่ เช่มองว่ามันไม่นานไปนะคับสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของคนคนหนึ่ง จริงอยู่ที่โรคร้ายอาจจะรักษาได้แต่การฟื้นฟูทางจิตใจนั้นทำได้ยาก ยิ่งถ้าเป็นรัตติกาลถ้าหากไม่เข้มแข็งพอคงไม่ยอมกลับไปแน่ๆ พี่กาลนี่พี่กาลจริงๆ
ความคืบหน้าหนังสือเมื่อกลางสัปดาห์ทางบก.EverY ได้ส่งปกมาให้เช่ดูแล้วนะคับ ดีงามพระรามแปดมาก น่าเก็บสะสมจริงๆ (ยั่ว55555) ใครที่เคยซื้อแล้วและไตยังแข็งแรงก็ลองเก็บเพิ่มอีกสักปก ส่วนใครยังไม่เคยซื้อรับรองคุ้มค่าแน่ๆคับ
ป.ล. สำหรับ Nightmare คงจะจบกันที่ตรงนี้นะคับ เจอกันใหม่เรื่องหน้า..... Midnight (ที่ยังไม่ว่างแต่งสักที ฮือออออ) :call:
-
:m4:
-
ขอบคุณสำหรับความหน่วงค่ะ o22
:pig4: :pig4:
-
สนุกมากๆเลยค่ะ
-
เพิ่งอ่านเรื่องนี้จบไป สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ครบรสสุดๆ มีความมุ้งมิ้ง มีความแซ่บพระนาย มีความหลอน มีความดราม่าสุดๆ
ปกติเราไม่ค่อยชอบอ่านนิยายดราม่าเท่าไหร่ แต่คืออ่านเรื่องนี้แล้วหยุดไม่ได้
คือแบบต้องอ่านต่อให้จบอ่ะ ยิ่งเป็นนิยายไสตล์บรรยายยิ่งชอบ โฮววววว เสียน้ำตาด้วยค่ะ เข้มข้นสุด
ตัวละครที่ชอบที่สุดคืออารันย์ คือสตรองมากอ่ะ ผ่าานอดีตที่แล้วร้ายมาขนาดนั้น
รู้สึกว่าเป็นที่พักพิงให้กับรัตติกาลกับรพี เหมือนอารนย์เป็นส่วนเติมเต็มอย่างงัยอย่างนั้น
นี่ถ้าพ่อกาลไม่เจอน้ารันย์ก้ไม่รุ้จะเป็นงัยต่อไป ดีใจมากที่สุดท้ายแล้วก้แฮปปี้เอนถึงระยะเวลาหกปีจะนานในความรุ้สึกคนรอก้ตาม
แต่แค่นี้ก้ดีแล้ว ในสุดพ่อกาลก้ตื่นจากฝันร้ายสักที ต่อไปนี้ก็ขอให้พ่อกาลฝันดีตลอดไปนะ
อีกคนที่ชอบก้คือนทีดูแบดบอยดีอ่ะ ดูเลวแต่ก็ดูเป็นคนมีสเน่ห์ไปพร้อมกัน
แต่มาทำให้พ่อกาลของน้องพีเจ็บก็ไม่โอนะคะ เทใจให้น้ารันย์ดีกว่า
ได้อ่านตอนพิเศษ ชอคเล็กๆสำหรับ นทีพิภพ เหนือความคาดหมายจริงไรจริง ฮ่าาา
นึกว่ากาลจะเป็น ผู้ชายคนแรกและคนเดียวสำหรับนที สงสารกาลอ่ะพอได้รุ้ว่านทีคิดงัยกับกาล เง้อ
แต่เราว่าจริงๆแล้วนทีก้คงรักกาลบ้างแหละ ไม่งั้นก้คงไม่เขียนพินัยกรรมแบบนั้น เพราะรักทั้งคู่เลยเลือกไม่ได้มั้ง
ส่วนพ่อกาลน้องพีอานิลอาชาตินี่ก็ชอบไม่แพ้กันเลย ถ้าไม่มีคู่นี้ความมุ้งมิ้งเรื่องคงดาร์กไปกว่านี้
สงสารน้องพีสุดติ่ง แงๆ จริงๆน้องพีไม่รุ้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำแต่ต้องมาติดอยู่ในวังวลของความแค้นผู้ใหญ่
แต่ท้ายที่สุดแล้วความรักชนะทุกสิ่งจริงๆ
แต่คนที่สงสารที่สุดก็คงเป็นกาล ติดอยู่ในวังวนความแค้นปล่อยวางไม่ได้ มันทรมานนะ
กว่ากาลจะผ่านมันได้ ก็ใช้เวลาไปนานโข แต่เราว่าจริงๆเวลาหกปีที่การไปรักษาตัวเราว่าคุ้มค่านะ
เมื่อเทียบกับเวลาที่เหลือยู่ทั้งชีวิต ดีใจที่กาลก้าวผ่านความเลวร้ายที่ไปได้ด้วยดี ^^
-
เรื่องนี้น่าสนใจค่ะ โดยส่วนตัวชอบเเนวอิงจิตวิทยาเนี่ยเเหละ
เพราะเราคิดว่าคนทุกคนย่อมมีความจิตเป่นของตัวเอง
เรื่องราวในชีวิตทำให้คนเราจิตได้ อยู่ที่ใครจะเอาชนะ จะเเกไขยังไง
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
-
ใครอยากอ่านเรื่องของนิลต่อ เชิญได้ที่เรื่อง
{MIDNIGHT....กาลครั้งหนึ่งคืนนั้น} http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55576.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55576.0)
-
:pig4: :pig4:
-
เป็นนิยายที่ดีมากเรื่องนึงเลยครับ ให้แง่คิดที่ดี่ครับ ขอบคุณนะครับ
-
ชอบเรื่องนี้มากกกกก. แหวกมีอะไรมาโผล่อยูเรื่อยๆๆๆ. ถึงแม้พระเอกเราบทจะไม่เด่น. เหมือน. นที. และ. กาล. เพราะเนื้อเรื่องเหมือนเป็นเรื่องของกาลกับนที. มากกว่า. มีหักมุมนิดหน่อย. แต่ก้อเสริมด้วยความซึ้งใจเล็กๆๆๆ. เราชอบนิยายแนวนี้มาก. หวังว่าคงมีแนวคล้ายๆๆแบบนี้มาให้อ่านอีกนะ. เซ่แต่งได้สนุกมากครัช. อ่านวางไม่ลงจริงๆๆ. ขอบคุณ. และตามอ่านเรื่องต่อไปครัช
-
อ่านจบแร้วววว ตอนแรกกลัวมากว่าจะดราม่าหนัก แล้วก็หนักจริงๆ55555 แต่ก็สนุกมากๆๆเหมือนกัน ชอบมากเลยค่ะ ถึงแม้จะมีบางการกระทำของบางคนที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไว้จะกลับมาอ่านอีกรอบแน่นอนค่ะ :-[ อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้โกรธใครไม่ลงสักคน เพราะทุกคนก็มีเรื่องผิดพลาด มีเหตุผลเป็นของตัวเองทั้งนั้น ยกเว้นเรื่องที่นทีนอกใจคนรักบ่อยๆนะ อันนี้โกรธมาก555 รักความอารัณย์ ที่ดูแข็งๆแต่จริงๆแล้วไทป์หมามากเลยอะ น่าร้ากกก ชอบกาลด้วย เคะราชินีขั้นสุดจริงๆ ตอนที่กาลเหมือนกำลังจะแตกสลาย นี่อยากจะเข้าไปกอดปลอบมากๆ น่าสงสารที่สุด ชอบคู่นิลกับชาติด้วย หลุดโลกได้ใจจริงๆค่ะ อ่านแล้วกรี๊ดแรง5555
ป.ล. ขอบคุณคุณคนแต่งด้วยนะคะ ที่แต่งนิยายดีๆเรื่องนี้ออกมา ถึงจะเป็นเรื่องแรกแต่ก็แต่งออกมาได้ดีมากๆเลย ชอบปมของเรื่องทุกๆอย่าง มันทำให้น่าติมตามมากๆเลยค่ะ เลิฟฟฟ :กอด1:
-
กลับมาอ่านกี่ครั้งก็ยังสนุก ชอบความดราม่ามากแต่จบแบบสุขนิยม 55
-
“พ่อคงไม่ว่าง”
ใจม๋ามาก
-
“ไม่...รพีไม่ได้ทำอะไรผิด”
“...”
“ก็แค่...ปล่อยให้มีความสุขไม่ได้”
เลวมาก ไม่รู้จะหาคำอะไรมาด่ามันแล้ว
ถ้าตอนจบของเรื่อง รัตติกาลมีความสุข แปลว่ากฏแห่งกรรมไม่มีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไม่เป็นความจริง
-
…Strom...[/color][/b][/center]
STORM
-
สนุก ถึงจะหน่วงจนจบ ภาษาดี คำผิดก็แทบจะไม่มี อ่านลื่่นไหลดี เอาเป็นว่าใครชอบแบบหน่วงๆ มีปม อ่านเถอะ