พิมพ์หน้านี้ - บันทึกของทอม Day 3o : Trick or Treat จบแล้วค่ะ #novelber2017 - 14/03/2018
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sweetsky ที่ 19-11-2017 13:12:34
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่ 1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่ 2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ 3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ 4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ 5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว 6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน 7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง 7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด 7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ 7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ 8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง). 9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ 10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป 11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป 12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด 13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ 14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ 15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ... (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ (2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง ....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ - ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง) - ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ - ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ - ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์ - ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail 16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข 17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ) ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้ 18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
Day 1 Forest แม้ว่าเข็มนาฬิกาจะยังไม่แสดงว่าเป็นเวลา 6 โมงเย็นแต่สำหรับประเทศที่มีอุณหภูมิเพียง 15 องศาคงไม่แปลกที่แสงอาทิตย์จะหายไปและถูกทดแทนด้วยแสงของพระจันทร์อย่างรวดเร็วจนทำให้ใครหลายคนต้องคอยยกนาฬิกาที่ข้อมือหรือที่มือถือขึ้นมาเพื่อเช็คเวลาให้แน่ใจอีกครั้งว่านี่ยังไม่ใช่ยามดึกสงัดอย่างที่ตาเห็น หนึ่งในนั้นที่เอาแต่มองนาฬิกายู่เรื่อยก็คือ ‘ทอม’ ผู้ที่เพิ่งย้ายมาทำงานที่เมืองนี้ได้ไม่นาน แต่เหตุผลที่ทำให้ทอมต้องดูเวลาบ่อยครั้งอาจจะไม่เหมือนคนอื่นเพราะเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความมืดแต่เขากำลังเช็คให้แน่ใจเขายืนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้วต่างหาก ทอมย้ายมาอยู่เมืองที่มีอากาศหนาวยาวนานมากกว่าอากาศร้อนอย่างที่เขาคุ้นเคยตั้งแต่เด็กได้เพียงแค่ 2 เดือนทำให้ตอนนี้เขาถึงกับยืนสั่นแม้ว่าเขาจะห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อผ้าที่หนามากแล้ว คิดแล้วก็ถอนใจพร้อมกระชับเสื้อหนาวให้มั่นขึ้นเขายังต้องอยู่ที่นี่ไปอีก 10 เดือนก็ได้แต่ภาวนาให้ตัวเองสามารถปรับตัวได้โดยเร็วโดยที่ไม่แข็งตายไปเสียก่อนแล้วกัน "ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเราจะสามารถเช็คตารางรถเมล์ได้จากไหนอีกไหมครับ? พอดีผมลองเช็คดูในแอปพริเคชั่นแล้วในนั้นขึ้นแค่ว่า real data not available นะครับ" และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้ทอมต้องดูนาฬิกาแทบจะทุกนาทีหลังจากที่ยืนรอมานานจนเบื่อจนพยายามคิดโน้นนี้ไปเรื่อยจนเขาแน่ใจแล้วว่าเขาแทบไม่เหลืออะไรให้คิดอีกแล้วเขาจึงตัดสินใจเดินไปหยุดขวางตรงหน้าของหญิงสาวผู้สูงอายุคนนึงที่กำลังจะเดินผ่านหน้าเขาไปเอาไว้ "คุณไม่ได้ดูข่าวเมื่อเช้านี้เหรอคะ?" "ไม่ได้ดูครับ ไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?" "วันนี้รถเมล์ไม่ให้บริการถนนเส้นนี้ค่ะ” "ครับ?" "เห็นว่าเขาต้องการประท้วงเกี่ยวกับเรื่องค่าแรงหรือสวัสดิการของผู้ให้บริการอะไรนี่ล่ะค่ะดิฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่" "ขอบคุณมากครับ" "ไม่เป็นไรค่ะ" สิ้นคำบอกเล่าเขาถึงได้มองไปรอบๆ อย่างพินิจพิจารณามิน่าเล่าที่ป้ายรถเมล์ป้ายนี้ถึงได้มีเขายืนอยู่เพียงลำพังทั้งที่ปกติแล้วโอกาสที่จะให้นั่งรออย่างสบายยังยากที่จะหาเจอสักครั้ง เอาละเมื่อรู้แล้วว่ารถเมล์ไม่ใช่ทางเลือกในการเดินทางกลับบ้านเขาจึงเริ่มหาเส้นทางของการเดินทางใหม่โดยใช้เจ้ามือถือเป็นเครื่องนำทางให้กับเขา 'บ้าเอ้ย' ทอมสถบออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเส้นทางในมือถือบอกว่าทางที่ดีที่สุดคือเขาต้องเดินไปตามถนนมากกว่า 5 กิโลไปต่อรถไฟเพื่อไปลงสถานีที่ใกล้ที่พักของเขามากที่สุดแล้วเดินจากสถานีอีก 500 เมตร ทอมตัดสินใจปิดมือถือละทิ้งข้อมูลทั้งหมดที่เพิ่งได้มาแล้วเดินตรงไปที่จุดบริการให้คนเรียกแท๊กซี่ สายลมเย็นทำให้ทอมใจสงบลงและเริ่มออกเดินจากที่ตามทางเขาเดินเพียงคนเดียวบนทางเท้ายิ่งใกล้จุดที่ให้เรียกแท๊กซี่เขาก็เห็นผู้คนหนาตามากขึ้นจนเวลาที่เขามองตรงไปทางด้านหน้าเขาแอบเทียบกลุ่มคนที่ยืนออและเดินอยู่นั้นเปฌนเหมือนกับกลุ่มต้นไม้เล็กใหญ่ที่ขึ้นเรียงกันอย่างหนาทึบใน 'ป่าใหญ่' ปึก ปึก "ขอโทษครับ" "ขอโทษครับ" ทอมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องเอ่ยขอโทษกับคนข้างหน้าอยู่หลายครั้งทั้งที่การที่เขาเดินไปกระแทกคนข้างหน้านั้นมันเกิดจากที่เขาโดนเบียดและโดนดันมาจากคนข้างหลังอีกทีทั้งที่เขาเองก็พยายามเว้นช่องห่างกับคนข้างหน้าไว้ประมาณครึ่งช่วงแขนเลยด้วยซ้ำ อาจจะเพราะเมื่อคืนเขาเพิ่งได้ดูสารคดีสัตว์ป่าในตอนที่เขากำลังกำลังเก็บล้างจานหลังอาหารมื้อค่ำภาพเหล่านั้นเลยยังติดตาทำให้เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเขาเห็นภาพของชัยชนะในการแย่งชิงรถแท๊กซี่จากคนที่เชื่องช้าโดยคนที่รวดเร็วและแซงคิวได้เป็นภาพของเสือชีต้าร์ที่วิ่งไปถึงฝูงกวางก่อนสัตว์ตัวอื่นและแย่งเอาเนื้อกวางอันโอชะมากินให้อิ่มท้องก่อนสัตว์ตัวอื่นที่เชื่องช้ากว่า เช่นกระทิงป่าเป็นภาพซ้อนขึ้นมา ทอมเห็นภาพของคุณลุงคนแก่ที่กำลังเอาไม้เท้าสะกิดเด็กวัยรุ่นที่แซงหน้าแกไปนั้นซ้อนทับกับภาพของกระทิงป่าที่โดนวิ่งแซงกำลังไล่ขวิดตัวที่แซงมันไปแล้วไปแย่งเหยื่อจากมัน ส่วนเด็กที่ยืนเล่นมือถืออย่างเฉยเมยนั้นเป็นเสือตัวที่เอาแต่ก้มหน้าห้มตากัดกินเหยื่อโดยไม่สนใจว่าตัวเองกำลังโดนขวิดจากอีกตัว เขาเห็นภาพของหญิงสาวสองคนกำลังแย่งยุดรถแท๊กซี่โดยที่มือทั้งสองคนไม่ปล่อยออกจากประตูรถทั้งยังตะโกนต่อว่ากันด้วยเสียงอันดังนั้นเป็นภาพเดียวกับภาพที่เสือชีต้าร์สองตัวกำลังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงเพื่อที่จะแย่งเนื้อกวางจากตัวที่ล้มลงตรงหน้าของเสื้อสองตัวนั้นพอดี "เอ้า พ่อหนุ่มสรุปจะไปเรียกแท๊กซี่ไหมเนี่ยเดินช้าเหลือเกินคนข้างหลังแถวยาวไปถึงต้นถนนฝั่งนั้นแล้วเห็นไหม?" "งั้นเชิญลุงก่อนเลยครับ" คุณลุงอีกคนที่เดินตามทอมมาทางด้านหลังมากำลังสั่งให้เขาเร่งเดินอีกครั้งหลังจากที่พยายามผลักหลังเขามาหลายรอบแล้ว ความจริงตอนที่โดฺนต่อว่าเขาอยากจะตอบกลับไปเหลือเกินว่า 'ต่อให้เขาออกวิ่งก็คงได้เท่านี้เช่นกันเพราะคนข้างหน้านั้นก็ไม่ได้ขยับมากสักเท่าไหร่' แต่แล้วเขาก็ไม่อธิบายแล้วปล่อยให้คุณลุงคนนั้นเดินมาแทนที่จะได้เห็นภาพด้วยตัวเอง "เดินเร็วๆ หน่อยสิ" แต่ดูเหมือนว่าทอมจะคิดผิดไปเมื่อคุณลุงยังคงส่งเสียงบอกให้คนข้างของข้างหน้าเร่งเดินอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ พอมองดูแถวรอแท๊กซี่อยู่นี้จะว่าไปพวกเขาก็เหมือนฝูงกวางที่พยายามหาทางเอาตัวรอดใน 'ป่าใหญ่' เมื่อหลายภาพที่เกี่ยวกับเรื่องในป่าเริ่มมากขึ้นเขาจึงสบัดหัวไล่ความคิดเปรียบเทียบเมืองที่แสนศิวิไลนี้เข้ากับป่าทึบที่กว้างใหญ่นั้น "ไปไหนครับ?" "ตึกรีจิสตรงถนนพิสครับ" ทอมทิ้งตัวลงนั่งกับเบาะหลังรถอย่างเหนื่อยล้าหลังจากที่เขาต้องยืนขาแข็งรอคิวมา 40 นาที เขาเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่างดูแสงสีตอนกลางคืนพร้อมกับคิดถึงรายการและหนังที่เขาจะดูเพื่อผ่อนความเหนื่อยจากการทำงานและเดินทางและแน่นอนว่าคืนนี้ช่องสารคดีสัตว์ป่าคงไม่ได้เป็นตัวเลือกในการที่จะอยู่เป็นเพื่อนเขาในยามค่ำคืนของคืนนี้อย่างแน่นอน TBC สวัสดีค่ะ เรื่องนี้เราแต่งตามหัวข้อ Twitter #Novelber2017 มี 30 ตอน จาก 30 หัวข้อค่ะ ความจริงเราแต่งจนมาถึงวันที่ 19 แล้วค่ะ แต่ไม่ได้เอามาลงที่นี่เพราะตอนนั้นยังไม่รู้แนวทางของเรื่องที่แน่ชัดว่าจะไปทางไหนดี แต่ตอนนี้รู้แล้วค่ะ แหะๆ ฝากติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ตาม
Day 2 - รีโมทคอนโทรล Rewrite ตอนที่ทอมชะโงกไปดูมิทเตอร์รถเขาก็แอบเสียอารมณ์เล็กๆ ที่พวกคนขับรถต่างรวมใจกันประท้วงหยุดงานเพราะมันทำให้ค่าเดินทางสูงขึ้นกว่าทุกวันแพงก็แพงแถมกว่าจะได้รถก็รอคิวนานทั้งทีเวลาแบบนี้เขาควรกำลังทานอาหารค่ำอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ที่ใดสักที่ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือร้านอาหารแต่วันนี้เขากลับต้องมาท้องร้องด้วยความหิว แต่ความหงุดหงิดนั้นก็หายไปเมื่อเขาใช้เวลาเดินทางจากจุดรอรถมาจนถึงสะพานกลับรถใกล้กับที่พักของเขาเพียง 20 เท่านั้นและก็พบว่าเป็นช่วงเวลานี้นั้นแหละที่เขาไม่ต้องนั่งหงุดหงิดกับการจราจรที่ติดขัดอย่างที่เคยเป็นทอมเลยไม่รู้ว่าเขาควรที่จะขอบคุณการประท้วงนั้นจนทำให้ผ่านช่วงเวลาน่าโมโหในท้องถนนที่เกิดขึ้นเป็นประจำดีหรือไม่ “เดี๋ยวจอดตรงทางหน้าปากซอยเลยครับ” มื้อเย็นที่คิดเอาไว้ตั้งแต่ช่วงบ่ายว่าจะทำหมูทอดง่ายๆ เพราะต้องการกำจัดพวกเนื้อหมูที่เขาหมักค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานก่อนที่มันจะเสียก็เปลี่ยนเป็นซื้ออะไรง่ายๆ ที่หน้าปากซอยกินเป็นมื้อค่ำแทน ถึงแม้ว่ารถจะไม่ติดและใช้เวลาเพียงไม่นานแท๊กซี่ก็พาเขามาถึงที่หมายแต่ถ้าเขาต้องหิ้วท้องที่ร้องอย่างหนักมานั่งทำมื้อเย็นต่อทอมคาดว่ากว่ามื้อเย็นจะเสร็จเขาคงได้กินหมูดิบเพราะคงรอให้มันสุกไม่ไหว กลิ่นหอมโชยออกมาจากกล่องที่ถูกบรรจุสปาเก็ทตี้มารินาล่าที่เขาแวะซื้อมาจากร้านเจ้าประจำที่ตั้งอยู่ทางเข้าหน้าปากซอยที่พักทำให้แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องคอนโดขนาดกลางเขาก็รีบถอดพวกเครื่องป้องกันความหนาวทิ้งแบบลวกๆ เพิ่มความสบายอีกนิดด้วยการปลดกระดุมเสื้อกับกางเกงคลายความอึดอัดนั่งลงกับพื้นหน้าทีวีเอื้อมมือไปหยิบรีโมทคอนโทรลทีวีที่ถูกวางไว้กับพื้นห้องมาเปิดแล้วเลือกช่องเพื่อเพิ่มอรรถรสของอาหารมื้อค่ำ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ เสียงเรียกเข้าที่ดังหลายครั้งจากแอปพลิเคชั่นไลน์ดึงความสนใจจากหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายซีรี่ย์สืบสวนสอบสวนที่เขาชื่นชอบแต่ยังที่ทอมได้หยิบมันขึ้นมาอ่านเนื้อความที่ถูกส่งมาเสียงโทรเข้าก็ดังแทรกขึ้นมาทำให้หน้าข้อความนั้นมันดับหายไป “ฮัลโหลครับพ่อ” “เป็นยังไงบ้าง? หายไปหลายวันเลยลูก” “ผมสบายดีเรื่อยๆ ไม่มีอะไรครับ” “ดีแล้วแต่ทีหลังอย่าหายไปหลายวันสิพ่อนะไม่เท่าไหร่แต่ย่าเราเป็นห่วงเรามากเห็นแกบ่นว่าปกติเราต้องส่งข่าวคราวมาบ้าง งั้นเดี๋ยวเราคุยกับย่าเขาหน่อยนะเขาจะได้หายกังวล พ่อกำลังเดินไปหาย่าอีกห้อง” “ได้ครับพ่อ” ดูท่าการโทรมาของพ่อในครั้งนี้ทอมคงไม่สามารถตัดจบบทสนทนาลงในช่วงเวลาอันสั้นแน่นอนเขาจึงหันไปหยิบรีโมทคอนโทรลของเครื่องอัดที่ต่อเข้าไว้กับทีวีกดบันทึกซีรี่ย์ให้เรียบร้อยจะได้เก็บเอาไว้ดูวันหลังได้เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็จัดการหรี่เสียงทีวีให้เบาลง “แม่ครับ ทอมอยู่ในสายครับ” “ตาทอมติดต่อมาแล้วเหรอ?” รอยยิ้มของทอมปรากฎอยู่บนใบหน้าทันทีที่เสียงของคุณย่าคนที่ดูแลเขามาตั้งแต่เขามาตั้งแต่ยังเด็กทะลุเข้ามาในสายแต่ในขณะเดียวกันการได้ยินเสียงที่แสนดีใจของย่าเมื่อรู้ว่าเขาโทรมามันทำให้เขารู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำให้คนสูงวัยเป็นกังวล ถ้าจะให้ทอมหาข้อแก้ตัวดีๆ สักข้อกับการที่ทำให้คนแก่ต้องมานั่งกังวลเรื่องของเขาก็คงต้องโทษที่ช่วง 2 -3 วันมานี้เขาโดนขอให้ย้ายไปช่วยอีกแผนกแทนแผนกที่เขาได้ทำเรื่องขอมาแลกเปลี่ยนเขาก็เลยค่อนข้างวุ่นวายทั้งเรื่องเอกสารที่ต้องเรียนรู้ใหม่แล้วไหนจะต้องส่งต่องานจากแผนกเก่าให้กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องมารับช่วงต่อจากเขาอีกแล้วก็ด้วยความยุ่งนี้เองที่ทำให้เขาลืมที่บ้านไปเสียสนิท “สวัสดีครับย่า” “หายไปตั้งหลายวันรู้ไหมว่าย่าเป็นห่วง?” “ผมหายไป 2 วันเองนะครับ” “ยังจะมาต่อปากต่อคำกับย่าอีก” “ขอโทษครับย่าพอดีช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อยครับ” “ถ้ามันยุ่งมากนักทำไมไม่กลับมาบ้านเราละ?” “ผมกลับไม่ได้ครับผมบอกย่าแล้วไงว่าผมได้เซ็นสัญญาไปแล้ว” “ก็กลับมาเลย เรื่องงานนั้นนะ...” “แม่ครับเราพูดกันแล้วไง” “เธอนี่ก็จริงๆ เลยปล่อยลูกไปที่ไกลๆแบ...” ทั้งที่หน้าต่างในห้องทุกบานก็ถูกปิดสนิทแต่ความหนาวที่อยู่ข้างนอกนั้นก็ยังคงสามารถทะลุกำแพงเข้ามาได้ ทำให้ทอมเอาไหล่หนีบกับโทรศัพท์เอาไว้ข้างหูแล้วเอาทั้งสองมือค้นหารีโมทคอนโทรลของเครื่องทำความร้อนมาปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้น 2 เดือนนิดๆ ที่เขาต้องมาอยู่ไกลบ้านทำให้ทอมเกือบลืมเสียงเถียงกันระหว่างย่ากับพ่อที่มักจะดังคลอในบ้านอยู่ทุกวัน ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ใบบางครั้งเขาเคยรู้สึกรำคาญเสียงเหล่านั้นแต่มาในวันนี้เขากลับรู้สึกว่าเขาคิดถึงเสียงเหล่านี้เหลือเกินถ้าทำได้เขาก็อยากย้อนเวลากลับไปแล้วกดอัดเสียงเหล่านี้เก็บเอาไว้ในมือถือจะได้เปิดฟังเวลาที่เขารู้สึกเหงาหรือคิดถึงบ้านหรือไม่อย่างน้อยตอนที่เสียงเหล่านี้ดังขึ้นเขาก็จะไม่ทำหน้าเบื่อหน่ายหรือเดินหนีแบบที่เขาเคยทำ “ไม่รู้แหละตาทอมถ้าครั้งหน้าหายไปนานแบบนี้อีกย่าจะบินไปตามเรากลับมาจริงๆ ด้วย” “งั้นแบบนี้ผมต้องรีบหายไปอีกเพื่อให้ย่ามาหาผมดีไหมครับ?” “ตาทอม!!” “ผมล้อเล่นครับย่า อย่าอารมณ์เสียไปผมจะพยายามไม่หายไปนานแบบนี้อีกนะครับ” “ให้มันจริงเถอะไม่ใช่หลอกคนแก่ไปวันๆ” “ผมไม่หลอกย่าหรอกครับ” “ทางนั้นดึกแล้วละสิไปพักผ่อนเถอะลูก” “ย่าอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ” “จ๊ะ รักหลานนนะ” “ทอมลูก คุยกับพ่อแป้ป” ก่อนที่ทอมจะกดวางสายแล้วไปอาบน้ำเตรียมพักผ่อนหลักจากที่เหนื่อยมาทั้งวันเสียงที่เปลี่ยนมาเคร่งขรึมของพ่อก็ทำให้เขาชะงักมือแล้วเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง “ครับพ่อ?” “วันนี้แฟรงค์มาที่บ้าน” “....” “เขามาถามว่าลูกอยู่ไหน” “......” “ก่อนไปทำงานที่นั้นลูกไม่ได้พูดกับเขาให้เรียบร้อยก่อนใช่ไหม?” “....” “ทอม?” “ผม...ไม่ได้บอกอะไรเขาครับ...แล้วพ่อได้พูดอะไรกับเขาไหม?” “พ่อไม่ได้พูดอะไรบอกแค่ว่าลูกไม่อยู่ที่บ้านแล้วถ้าเกิดเขามีอะไรก็ให้เขาไปถามจากลูกเอาเอง” “ผมขอโทษครับพ่อ” “พ่อไม่ได้ว่าที่เขาจะมาที่บ้านเรานะทอม พ่อแค่อยากให้เคลียร์เรื่องให้มันจบอย่าให้คาราคาซังแบบนี้” “แล้วผมจะหาเวลาคุยกับแฟรงค์ให้เข้าใจดูครับ” “ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน” “ขอบคุณครับพ่อ” พ่อวางสายไปนานจนหน้าจอทีวีที่เคยฉายซีรี่ย์ที่เขาชอบเปลี่ยนมาเป็นรายการขายของยามดึกเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ตามแต่ตัวเขายังคงนั่งอยู่ที่โซฟไม่ขยับไปไหน ทอมนั่งมองรายการขายของนั้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่าแม้ว่าโทรทัศน์จะกำลังเล่นอยู่แต่ภาพที่กำลังฉายชัดในหัวของเขาคือภาพในอดีตระหว่างเขากับแฟรงค์ ภาพที่ฉายชัดขึ้นมาในสมองของทอมนั้นมันมีทั้งภาพที่ทั้งสองคนยิ้มให้กัน กอดกัน บอกรักกัน ภาพที่เขาทั้งสองคนช่วยกันทำความสะอาดบ้านหลังที่เกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของเขาทั้งสองแต่ภาพเหล่านั้นไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ภาพของความสุขแต่มันยังฉายไปถึงภาพที่เขากับแฟรงค์กำลังยืนร้องไห้แต่เหตุผลที่มาของน้ำตาของคนทั้งสองมันต่างกัน “ไม่เอาทอมผมไม่มีวันเลิกกับคุณ อย่าได้พูดคำว่า‘เลิก’ ออกมาอีก” “แฟรงค์ผมไม่ได้ขอให้เราเลิกกันแต่ผมก็ไม่สามารถอยู่กันแบบนี้ได้อย่างน้อยให้เวลาผมได้คิดได้โปรดให้ช่องว่างกับผม” “คุณต้องการเวลาไปเพื่ออะไร? คนรักกันก็ต้องเคลียร์กันอยู่ด้วยกัน ทอมที่รักคุณฟังผมนะยังไงผมก็เลือกคุณอยู่แล้วผมรักคุณทอมคุณก็รู้เพราะว่าคุณรู้ใจของผมดีกว่าใคร” “แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือสิ่งที่เรียกว่าคุณรักผมแบบนั้นหรือไง?” “มันก็แค่ความผิดพลาดเพียงเท่านั้น!! ก็แค่เผลอไม่ใช่ความรักมันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!!” การพูดจาของเขาทั้งสองไม่เคยเจอจุดความต้องการที่ตรงกันแล้วก็คงไม่แปลกที่มันทำให้เขาสองคนต้องทะเลาะกันเรื่องเดิมๆ ในทุกวันจนทอมเองก็เริ่มที่จะกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถรับสถานการณ์นี้ได้อีกนานและถ้าถึงเวลานั้นเขาอาจจะพูดคำว่า ‘เลิก’ ออกไปอย่างที่แฟรงค์กลัวเพราะแบบนี้เขาถึงรีบตกลงข้อเสนอกับโครงการแลกเปลี่ยนการทำงาน 1 ปีต่างเมืองจากหัวหน้าของเขา ซ่า รายการขายสินค้าที่ฉายอยู่ที่หน้าจอของโทรทัศน์ถูกทดแทนด้วยภาพเม็ดละเอียดขาวดำแสดงให้รู้ว่าเวลานี้ดึกเกินกว่าที่สถานีไหนจะทำงานทอมจึงหยิบรีโมทมาปิดเครื่องอัดวีดีโอและโทรทัศน์ “อ้าว” แต่กลายเป็นว่ารีโมทที่เขาหยิบขึ้นมาในตอนแรกเป็นรีโมทที่ใช้กับเครื่องทำความร้อนแทนพอดูที่โต๊ะก็เห็นว่ามันถูกวางเรียงกันทั้งสามอันจึงแต่ที่น่าเสียดายสำหรับเขาก็คือแม้ว่าเขาจะมี ‘รีโมทคอนโทรล’ ล้อมตัวอยู่ถึง 3 อัน แต่ไม่มีอันไหนเลยที่เขาสามารถใช้มันปิดภาพที่กำลังเล่นอยู่ในหัวสมองของเขาได้และก็ไม่มีอันไหนเลยที่เขาสามารถใช้มันเพื่อกรอกลับไปในอดีตแล้วกดลบเรื่องราวที่ไม่ต้องการจะจำหรือกดเพื่อข้ามเหตุการณ์ที่เลวร้ายเหล่านั้น บางทีถ้าเขาสามารถกดบังคับให้ความทรงจำเหล่านั้นให้กระโดดข้ามไปมาได้ความเจ็บปวดความเสียใจมันคงอยู่กับเขาไม่นานหรืออย่างน้อยถ้าเขาสามารถกด fastforward เรื่องความทุกข์ไปข้างหน้าได้เขาก็คงไม่ต้องมานั่งทนและรับมือกับความเสียใจอยู่แบบนี้เมื่อไหร่กันนะที่จะมีคนสร้าง ‘รีโมทคอนโทรล’ ที่ทำเรื่องแบบนี้ได้สักที เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาตี 3 ของเช้าวันใหม่ซึ่งเขาคิดว่ามันก็ควรแก่เวลาที่ควรจะข่มตานอนเสียทีเพราะการประชุมใหญ่ยังรอเข้าอยู่ในตอนเช้า ก่อนนอนทอมเอื้อมมือไปปิดไฟตรงหัวเตียงที่ถูกประดับด้วยกรอบรูปที่ได้รับมาจากย่าและแน่นอนว่ามันคือรูปของครอบครัวเล็กๆ ของเขาที่ประกอบไปด้วย ย่า พ่อ และ แฟรงค์ จำได้ว่าวันที่ถ่ายรูปนี้เป็นวันที่เขามีความสุขมากที่สุดเพราะมันเป็นวันแรกที่ย่าพูดยอมรับแฟรงค์เป็นคนในครอบครัว พอคิดมาถึงตรงนี้ว่าแล้วเรื่อง “รีโมทคอนโทรล” อะไรนั้นทอมว่าให้มันทำแค่หน้าที่เท่าที่มันทำอยู่เท่านี้ก็คงพอแล้วละเพราะถ้าเขาเอาแต่กรอเรื่องไม่ดีอย่างเช่นเรื่องที่ย่าไล่ตะเพิดเขาออกจากบ้านในวันที่เขาเอาแฟรงค์ไปเปิดตัวแล้วเอาแต่กรอเดินหน้ามาหาเรื่องราวตอนที่ย่ายอมรับแฟรงค์แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถรู้สึกดีใจที่ในที่สุดคนในครอบครัวทุกคนก็ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นในวันนั้นได้มากเท่าวันนี้ไหม? TBC โปรดติดตามวันต่อไป ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ ถึงคุณ ♥►MAGNOLIA◄♥ ขอบคุณมากค่ะ // โค้งงามๆ :L2:
Day 3 - กรีดร้อง Rewrite “เดี๋ยวผมลงไปเอง คุณไม่ต้องลงไปหรอกใครก็ไม่รู้” “แต่ผมลงไปจะสะดวกกว่านะ” “แล้วถ้าคนในรถนั้นไม่ได้มาดีละ?” “จะบ้าเหรอแฟรงค์นี่มันหมู่บ้านเรานะคงไม่มั้ง” “เดี๋ยวผมลงไปเอง” “แต่…” ตอนที่เขากับแฟรงค์กำลังจะเอารถเข้าไปจอดในบ้านก็เห็นว่ามีรถคันนึงจอดขวางประตูรั้วหน้าบ้านเอาไว้เขาผู้ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งของผู้โดยสารเตรียมตัวลงไปพูดให้เจ้าของรถคันนั้นขยับรถแต่แฟรงค์กลับห้ามเขาเอ่ยปากห้ามและขอจะลงไปเองทั้งที่เขาลงไปมันน่าจะสะดวกกว่าอีกอย่างสีหน้าของแฟรงค์แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างมากเขาจึงไม่อยากให้แฟรงค์เป็นคนลงไปเจรจาด้วยกลัวว่าจากเรื่องจอดรถขวางหน้าบ้านอาจจะบานปลายเป็นเรื่องอื่นได้ยิ่งกับคนอารมณ์ร้อนอย่างแฟรงค์ด้วยแล้วเขาไม่ควรเสี่ยง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปลดสายเข็มขัดนิรภัยเสร็จเสียงปิดประตูจากทางด้านคนขับก็ดังขึ้นทอมได้แต่ส่ายหัวกับความเป็นห่วงเขาที่มากเกินไปของ ‘แฟรงค์’ คนรักของเขา ทอมเอี้ยวตัวไปทางเบาะหลังรวบเอาถุงวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อค่ำวันนี้เอาไว้ด้วยกันแล้วเอามาวางรวมกันไว้ที่วางเท้าของตัวเองจะได้เร็วขึ้นตอนเอาของเข้าบ้าน เงยหน้าขึ้นมาอีกทีทอมก็เห็นผู้หญิงเจ้าของรถพยายามเปิดประตูลงมาจากรถโดยที่แฟรงค์กำลังพยายามที่จะดันประตูบานนั้นปิด ทอมไม่รู้ว่าสองคนนั้นยื้อยุดกันแบบนั้นกันอยู่นานแค่ไหนเพราะเพลงจากสถานีวิทยุที่เปิดดังอยู่ในรถนั้นมันกลบเสียงของการพูดคุยของ 2 คนทางด้านนอกจนหมดที่เขาไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่หน้าบ้านเพราะทอมคิดเพียงว่ารถคันนั้นคงมาหาใครสักคนในหมู่บ้านและมารอผิดบ้านเท่านั้นแต่จากสิ่งที่เขาเห็นเขาคิดว่าคงต้องลงไปแก้สถานการณ์ตรงหน้าก่อนที่มันจะบานปลายไปมากว่านี้ “แฟรงค์ฉันมาถึงที่นี่แล้วนะเราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง” “ลิสผมบอกให้กลับไปไง” “มีอะไรกันรึเปล่าครับ? แฟรงค์?” “ไม่มีอะไรผู้หญิงคนนี้กำลังจะเลื่อนรถให้เราแล้วทอมคุณไปเตรียมเลื่อนรถเข้าบ้านได้เลยเดี๋ยวผมต้องช่วยผู้หญิงคนนี้โบกรถ” “ได้สิ” ทอมยอมเดินกลับมาเลื่อนรถตามที่แฟรงค์บอกโดยที่ไม่มีข้อโต้เถียงใดๆ ทั้งที่ในหัวสมองของเขากำลังเริ่มตั้งคำถามเพราะถ้าเขาฟังไม่ผิดเหมือนจะได้ยินผู้หญิงคนนั้นเรียกชื่อของแฟรงค์และเหมือนแฟรงค์เองก็รู้จักชื่อของผู้หญิงคนนั้นเช่นกันถ้าแค่มาจอดรถผิดบ้านทั้งสองคนจะรู้จักกันได้ยังไง “ยังไม่ลงมือเหรอคุณ รอให้ผมช่วยอะไรนะสิ มาๆ บอกมาเลยลูกมือพร้อมแล้วครับ” กว่าทอมจะรู้ตัวว่าตัวเองเอาแต่ยืนนิ่งเกาะซิ้งค์ล้างจานโดยที่เปิดน้ำให้ไหลผ่านผักที่เตรียมเอามาล้างทิ้งไว้ก็ตอนที่เสียงของแฟรงค์ดังเข้ามาทำลายความคิดที่อยู่ในหัวของเขา “ทำไมนานจังคุณ?” “พอดีผู้หญิงคนนั้นขอถามทางนะ” “เขาต้องการจะไปไหนเหรอครับ?” “แล้วคุณจะไปอยากรู้เรื่องของเขาทำไม? มาทำมื้อเย็นดีกว่าผมเริ่มหิวแล้วละ” “คุณรู้จักเธอเหรอ?” “ผมจะไปรู้จักได้ยังไง? อะไรกันทอมคุณถามเรื่องเธอมากขนาดนั้นหรือว่าคุณสนใจเธอเหรอ? มานี่เลยมาให้ผมลงโทษซะดีๆ” “ไม่เอาๆๆๆ ฮาๆๆๆ ไม่เอาแฟรงค์ไม่เล่นไหนว่าหิวไงไม่ปล่อยไม่ได้กินนะ” แฟรงค์ดึงตัวเขาเข้าไปกอดรัดเอาไว้แน่นพร้อมกับไล่หอมไปทั่วช่วงหัวไหล่แถมยังแกล้งปล่อยลมหายใจแรงๆให้กระทบกับใบหูและช่วงต้นคอซึ่งมันเป็นที่แฟรงค์ก็รู้ดีว่ามันคือจุดอ่อนในร่างกายของเขาทำให้เขาต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่และก่อนที่เขาจะขาดใจจากแรงจักจี้เขารีบยกมือขึ้นทุบหลังของแฟรงค์ให้หยุดพร้อมส่งสัญญาณขอยอมแพ้ “คราวนี้จะเลิกสนใจคนอื่นได้หรือยังครับ?” “โอเคๆ ไม่ถามแล้วครับ” “งั้นมาเริ่มเลยดีกว่าผมช่วย” เรื่องราวของผู้หญิงคนนั้นจางหายไปจากความคิดของทอมตามช่วงเวลาที่ผ่านไปจนเขาเองก็เกือบลืมถึงความข้องใจนั้นไปแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งที่หน้าบ้านที่เดิมเพียงแค่เปลี่ยนสถานการณ์ว่าครั้งนี้มีเพียงเขาที่ออกมารดน้ำต้นไม้ที่หน้าบ้านโดยที่ไม่มีแฟรงค์ยืนอยู่ด้วยกันและผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้มาจอดรถขวางทางแต่อย่างไร “คุณคงชื่อทอมใช่ไหมคะ?” “ครับ คุณ?” “ดิฉันลิสค่ะคุณพอจะจำดิฉันได้ไหมคะ?” “ผมคิดว่าผมคุ้นหน้าคุณอยู่บ้าง....เอ่อคุณคือคนที่มาจอดรถที่หน้าบ้านวันนั้นใช่ไหมครับ?” “ใช่ค่ะ ความจำของคุณดีจัง” “ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรให้ผมช่วยครับ?” “ดิฉันมาเรื่องของแฟรงค์ค่ะ” “แฟรงค์อยู่ในบ้านครับงั้นรอสักครู่นะครับเดี๋ยวผมจะเข้าไปเรียกแฟรงค์ให้” “ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันต้องการที่จะพูดกับคุณ” “ผม?” “ค่ะ” “งั้นเข้ามาในบ้านก่อนดีไหมครับ?” “ถ้าแฟรงค์อยู่ด้วยดิฉันคงไม่ได้พูด ขอดิฉันพูดตรงนี้แล้วกันค่ะ” “เชิญครับ” “คือดิฉัน...” “ทอมเข้าบ้าน ส่วนเธอจะมาที่นี่อีกทำไมก็บอกไปแล้วไงว่าอย่ามาที่นี่อีก!!” เสียงตะโกนของแฟรงค์ที่เหมือนเสียง ‘กรีดร้อง’ด้วยความไม่พอใจดังออกมาจากข้างในบ้าน เสียงที่ดังออกมาโดยที่ไม่ได้ทันตั้งตัวทำให้ทอมตกใจจนสายยางที่อยู่ในมือตกลงพื้น “แล้วถ้าฉันไม่มาเมื่อไหร่เราจะคุยกันรู้เรื่องคุณจะปล่อยให้เรื่องนี้มันคาราคาซังไปนานอีกแค่ไหน?” “เดี๋ยวผมจัดการเองนั้นแหละอย่ามาวุ่นวายที่นี่” “จัดการ จัดการอะไรนี่มันกี่อาทิตย์ กี่เดือนเข้าไปแล้วและที่อยู่ในนี้ละจะเอายังไง!!” ผู้หญิงที่ชื่อลิสตะโกนกลับใส่แฟรงค์พร้อมกับเอามือทุบที่หน้าท้องของตัวเอง แฟรงค์ยืนมองภาพนั้นนิ่งอยู่กับที่แต่กลับเป็นเขาเสียเองที่ทนดูไม่ได้เปิดประตูบ้านออกไปวิ่งเขาไปจับมือของลิสให้เลิกทำร้ายตัวเอง “มานี่ทอมออกมาอย่าไปยุ่งกับคนบ้า” “มันเกิดอะไรขึ้นแฟรงค์?” “ที่รักคุณเข้าบ้านไปก่อนผมสัญญาว่าผมจะอธิบายให้คุณได้รู้นะครับผมสัญญา ส่วนเธอถ้าเกิดอยากจะยืนทำร้ายตัวเองอยู่หน้าบ้านคนอื่นเพื่อประจานตัวเองแบบนี้ก็ตามสบาย” แฟรงค์เดินตามมาดึงตัวเขาให้กลับเข้าไปในรั้วบ้าน ทอมอยากจะยั้งตัวเองเอาไว้แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความขอร้องของแฟรงค์ทำให้เขาเลือกที่จะทำตามที่คนรักเอ่ยปากขอโดยการปล่อยมือจากลิส แต่เมื่อมือของเขาหลุดออกจากมือของเธอความสงสัยที่เขามีมาตลอดก็ได้รับคำเฉลย “คุณไม่อยากรู้เหรอว่าฉันมาที่นี่ทำไม?” มันคือคำที่ทำให้ขาของเขาหยุดก้าวเดินและยืนนิ่งเพื่อรอฟังประโยคถัดมา “อย่าไปฟังเขาทอมที่รักได้โปรดอย่าฟังเดินตามผมมา” “ฉันท้องกับเขา ฉันท้องกับแฟรงค์คุณได้ยินไหมทอมฉันท้องกับเขา!!” “หุบปากแล้วไปจากที่นี่ซะ!!” “ไม่ไปฉันไม่ไป ได้ยินไหมในนี่มีลูกของแฟนคุณอยู่ได้ยินไหม!!” “ทอมฟังผมนะ ฟังผม ผมยังไม่รู้เลยว่าในนั้นเป็นลูกของผมจริงไหมอาจจะไม่ใช่ลูกของผมก็ได้อย่าไปฟังเขา ที่รักได้โปรดมองหน้าผมมองมาที่ผมและฟังผมเชื่อผมสิ” “นี่นายหาว่าฉันส่ำส่อนหรือไง? กล้าดียังไง!!! ยังไงงงงงง!!!!!!!” เสียงตะโกนใส่กันของทั้ง 2 คนที่ดังข้ามตัวของเขาไปมามันไม่ต่างอะไรกับเสียงที่ทั้งสองกำลัง ‘กรีดร้อง’ และระบายความไม่พอใจใส่กัน จากประโยคที่เขาได้ยินแฟรงค์คงไม่พอใจที่ลิสจะมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาส่วนลิสเธอคงไม่พอใจที่แฟรงค์ไม่ยอมรับว่าเป็นพ่อของเด็กในท้องของเธอ แล้วเขาละเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้คนที่กำลังเจ็บปวดกับความจริงที่เพิ่งได้รู้ความจริงที่ว่าคนรักของเขาเคยไปนอกกายกับคนอื่นเคยทำอะไรที่ลับหลังเขาโดยที่ยังเรียกเขาว่าที่รักเขาสามารถไประบายหรือกรีดร้องความไม่เป็นธรรมนี้ได้ที่ไหนบ้าง? ติ๊ดๆๆๆๆๆ เสียงนาฬิกาดังปลุกให้ทอมสะดุ้งตื่นในยามเช้าปกติเขาจะงัวเงียและเคืองนาฬิกาอยู่เล็กน้อยที่ปลุกเขาจากฝันแต่เช้านี้เขาไม่รู้สึกโกรธที่นาฬิกาส่งเสียงให้เขาตื่น ทอมรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ดวงตาเขายกมือขึ้นมาแล้วปาดหยดน้ำที่เหลืออยู่ที่ข้างแก้มออกไปแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามปาดมันเท่าไหร่หยดน้ำมันก็ไม่หมดไปเสียทีมันคอยที่จะเอ่อไหล่เพิ่มขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!” ทอมพลิกตัวหันหน้าเข้ากับหมอนแล้วตะโกนอัดเสียงของตัวเองลงไปในนั้นพร้อมกับปล่อยให้น้ำตามันไหลโดยที่ไม่พยายามที่เช็ดมันอีกต่อไป และนี่มันก็เป็นครั้งแรกนับจากเหตุการณ์ในวันนั้นที่ทอมได้ปลดปล่อยเสียง ‘กรีดร้อง’ เสียงที่บ่งบอกว่าเขาเจ็บปวดจากการถูกหักหลัง ว่าเขาอึดอัดที่ต้องซ่อนเสียงเหล่านั้นเอาไว้ข้างในและแสดงออกมาว่าไม่เป็นไรแบบที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ปลดปล่อยความเจ็บปวดออกมาด้วยเสียงกรีดร้องเสียที TBC ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
:pig4: :pig4: :pig4:
Day 4 (7) Rewrite “ย่าเข้าไปนอนแล้วเหรอ?” “ครับ ผมเข้าไปส่งคุณย่าที่ห้องแล้ว...เรื่องของทอม คือผม…” “แฟรงค์ฟังพ่อนะ” “ครับ” “พ่อบอกเราไม่ได้จริงๆ ว่าทอมเขาอยู่ที่ไหน ถ้าเราจะมาที่นี่เพื่อเยี่ยมพ่อกับย่าพ่อไม่เคยห้ามเราอยู่แล้วแต่ถ้าเราจะมาเพียงเพราะต้องการมาถามเรื่องของทอมอันนี้พ่อจนปัญญา” “ผมเข้าใจครับผมแค่อยากลองพยายามดูอีกสักครั้ง” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แฟรงค์โดนปฎิเสธเรื่องข้อมูลที่อยู่ของทอมแต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อเขายังคงกลับมาที่บ้านหลังนี้ด้วยความหวังที่ว่าสักวันพ่อของทอมจะใจอ่อนยอมบอกว่าตอนนี้ทอมอยู่ที่ไหนและให้โอกาสได้เจอกับทอมอีกครั้ง มีหลายครั้งที่แฟรงค์อยากจะใช้วิธีลัดโดยการถามเอากับย่าของทอมแต่แฟรงค์ก็รู้ดีว่าถ้าเขาทำแบบนั้นทอมคงไม่มีวันให้อภัยการกระทำนี้ไปตลอดโทษฐานที่ทำให้ญาติผู้ใหญ่ที่ทอมรักต้องกังวลและร้อนใจ “พ่อบอกทอมไปแล้วว่าให้เคลียร์กับเราให้เข้าใจ พ่อก็ไม่รู้ว่าทำไมยังเป็นแบบนี้” อีกอย่างแค่นี้แฟรงค์ก็รู้สึกละอายใจที่ทำให้พ่อของทอมเข้าใจผิดว่าลูกชายของตัวเองหนีปัญหาและทิ้งทุกอย่างเอาไว้ข้างหลัง ทั้งที่ความเป็นจริงเขากับทอมได้เคลียร์ถึงปัญหานี้เป็นที่เรียบร้อยเพียงแต่เขาเองที่ไม่สามารถรับเงื่อนไขอันนั้นของทอมได้และก็เป็นเขาเองอีกนั้นแหละที่ไม่ยอมรับการตัดสินใจของทอมทำให้เรื่องราวมันเคลียร์ไม่ลงตัวจนทอมต้องหนีไป “พ่อครับถ้าเกิดผมจะขอเข้าไปนั่งเล่นในห้องนอนของทอมก่อนที่จะผมจะกลับได้ไหมครับ?” “จะต้องขอทำไมลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนหน้านี้เราเข้าออกบ้านหลังนี้บ่อยแค่ไหนอีกอย่างพ่อบอกแล้วไงว่าพ่อเองก็เห็นแฟรงค์เป็นลูกชายอีกคนของพ่อเพราะงั้นต่อให้เราจะอยากค้างที่นี่เรายังทำแบบนั้นได้เลย” “...” “ต่อให้อะไรเกิดขึ้นจำเอาไว้นะว่าเราก็คือลูกของพ่อไม่เปลี่ยนแปลง” “ขอบคุณครับ” แฟรงค์รู้สึกได้ถึงแรงตบเบาๆ ที่บ่าข้างซ้ายพร้อมกับการบีบให้กำลังใจเขาจึงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพ่อของคนที่เขารักหลังจากที่ตลอดการสนทนาที่ผ่านมาเขาเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา “พ่อไม่รู้หรอกนะว่าอะไรคือสาเหตุทำให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้น ทอมเขาไม่ได้อธิบายอะไรแต่พ่อเชื่อว่าถ้าเราสองคนรักกันจริงเราสองคนจะต้องผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้” น้ำตาของแฟรงค์กำลังลื้นขึ้นมาที่ขอบตาเพราะเขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้กำลังใจจากพ่อของคนที่เขาทำให้เจ็บจนต้องหนีไปแม้ว่าความผิดพลาดนั้นเขาจะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นก็ตาม พ่ออาจจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแต่พ่อก็น่าจะรู้ว่าลูกชายของตัวเองกำลังเสียใจขนาดรู้แบบนั้นแต่พ่อยังคงดีกับเขาไม่เปลี่ยนจากเมื่อก่อนเลยสักนิด “ขอบคุณครับพ่อ” เมื่อได้กำลังใจที่ดีก็ได้เวลาที่จะพาตัวเองขึ้นไปทางด้านบนของบ้านระหว่างทางแฟรงค์หยุดแวะดูกรอบรูปที่ถูกประดับเอาไว้ที่ข้างฝา ทุกครั้งที่มาบ้านหลังนี้เขาไม่เคยได้ใช้เวลาสังเกตุรูปเหล่านี้มาก่อนเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ารูปที่ติดเอาไว้เกือบครึ่งที่ฝาบ้านจะต้องมีเขาอยู่ในรูปนั้นด้วย ตั้งแต่รูปที่ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย รูปรับปริญญา รูปไปเที่ยวต่างจังหวัดกับมหาวิทยาลัย นั้นสินะ ‘7 ปี’ ที่ผ่านมามันดูเหมือนผ่านมาไม่นานแต่พอมาได้มาดูรูปเหล่านี้แฟรงค์ก็ได้ให้คำตอบกับตัวเองแล้วว่าชีวิตที่ผ่านมาความทรงจำที่ดีๆ ทั้งหมดของเขามันได้อยู่ที่นี่หมดแล้ว ตลอดเวลาเกือบ 3 เดือนที่เขาไม่ได้นอนเคียงข้างไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับทอมตลอดเวลาที่เขาออกตามหาตลอดเวลาที่ทอมหายไปตลอดเวลานั้นไม่มีวันไหนที่ผ่านไปไม่มีวันไหนที่เขาจะสามารถล้มตัวลงนอนได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ไม่น่าเชื่อว่าแค่เขาได้เข้ามาอยู่ในห้องที่มีกลิ่นอายของทอมหลงเหลืออยู่ใจของเขาก็สามารถสงบลงได้แม้มันจะไม่มากแต่ก็ไม่เต้นด้วยความบ้าคลั่งเหมือนอย่างเคย แฟรงค์ล้มตัวนอนลงที่เตียงของทอมหวังที่จะซึมซับเอาสิ่งที่ทอมยังหลงเหลือเอาไว้ที่เตียงนี้ติดตัวกลับไปเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าถ้านานเกินกว่านี้เขาจะลืมสิ่งที่เป็นตัวตนของทอมเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากลืมมากที่สุด ‘คุณไปอยู่ที่ไหนกัน?’ มันเป็นคำถามที่แฟรงค์ถามตัวเองอยู่ทุกวันและมันก็ทรมาณที่เขาไม่เคยได้รับคำตอบสำหรับคำถามนี้ เขาออกตามหาในทุกที่ที่เขาเคยไปกับทอมไม่ว่าจะตามชานเมืองหรือแม้กระทั่งไปดักรอเจอที่หน้าบริษัทเขาก็ทำมาแล้วแต่เขาก็ไม่เจอทอมเลยสักที่ เขาลองไปถามคนที่ทำงานของทอมก็ได้คำตอบมาเพียงแค่ว่าทอมไม่ได้ทำงานประจำอยู่ที่นั้นแล้วแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าทอมย้ายไปประจำที่ไหน เขาตอนนี้หมดปัญญาแล้วว่าจะไปตามหาทอมได้ที่ไหนอีก ในระหว่างที่แฟรงค์กำลังนอนมองไปรอบห้องของทอมสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นปฎิทินตั้งโต๊ะที่ถูกวางเอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ปฎิทินที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนจากปากกาจากลายมือของทอมแฟรงค์มองลายมือนั้นด้วยรอยยิ้มเขาหยิบมันขึ้นมาอ่านในสิ่งที่ทอมเขียน ในนั้นเต็มไปด้วยตารางนัดและสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันทอมก็เป็นซะแบบนี้ปฎิทินตั้งโต๊ะกับทอมคือสิ่งที่ขาดกันไม่ได้เขาเคยบอกให้ทอมลองเปลี่ยนมาจดทุกอย่างในมือถือแทนการเขียนลงปฏิทินจะได้เปิดดูได้ทุกเมื่อที่ต้องการแฟรงค์จำได้ว่าเห็นทอมพยายามลองทำได้อยู่แค่อาทิตย์เดียวมั้งหลังจากนั้นเจ้าตัวก็กลับมาเขียนตารางชีวิตลงปฎิทินตั้งโต๊ะเหมือนเดิม แฟรงค์เปลี่ยนจากนอนมานั่งพิงกับหัวเตียงพร้อมกับเอาปฏิทินมานั่งอ่านอย่างจริงจังด้วยความอยากรู้ว่าเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมาทอมทำอะไรบ้าง แล้วสายตาของแฟรงค์ก็เคร่งเครียดเมื่อเขาเห็นข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นในปฎิทิน ‘ส่งเอกสารตอบรับโครงการแลกเปลี่ยน’ “ผมมาขอพบกับหัวหน้าแผนกครับ” “ไม่ทราบว่าได้นัดเอาไว้รึเปล่าคะ?” “เปล่าครับ” งั้นก็ต้องทำนัดก่อนนะคะ” “แต่ผมมีเรื่องด่วนครับ” “ไม่ได้จริงๆ ค่ะ” “งั้นขอทำนัดพบที่เร็วที่สุดด้วยครับ” แฟรงค์ตรงมาที่ทำงานของทอมในวันรุ่งขึ้นเขาพยายามถามถึงเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนนี้กับเพื่อนร่วมงานของทอมแต่ก็ไม่มีใครบอกอะไรเขาได้บอกแค่ว่าเป็นโครงการของบริษัทที่มีการแลกเปลี่ยนพนักงานกับบริษัทในเครือแต่ก็ไม่รู้ว่าทอมได้ไปที่เมืองไหนหรือประเทศอะไรคนเดียวที่รู้ข้อมูลพวกนี้ก็คือหัวหน้าแผนกแฟรงค์จึงขึ้นมานั่งรอหัวหน้าของทอมตั้งแต่เช้าแต่เขาก็ไม่เห็นวี่แววของหัวหน้าเจอแต่ผู้ช่วยเขาตัดสินใจเลิกรอและขอเข้าพบแต่แล้วคำตอบที่ได้มาก็คือต้องทำนัดเพียงเท่านั้นและวันนี้หัวหน้าของทอมก็ไม่มีคิวว่างที่จะเจอกับเขาได้ “เฮ้ย แฟรงค์รึเปล่า?” เสียงเรียกตะโกนชื่อของเขาที่ดังมาจากอีกฝั่งถนนทำให้แฟรงค์หยุดเดินและหันกลับไปมองหาต้นเสียงแล้วเขาก็พบว่าเจ้าของต้นเสียงคือเพื่อนสนิทของทอมที่เขาเคยเจอตอนที่มารับทอมที่บริษัท “นายมาทำอะไรที่นี่?” “ไบรอัน” “มีอะไรๆ เฮ้ยๆ อะไร” แฟรงค์รู้สึกเหมือนตัวเองเจอทางออกเขารีบข้ามถนนไปหาไบรอันและลากไปที่ด้านข้างของตึกเพื่อที่จะถามเกี่ยวกับทอม “ไบรอันบอกผมทีว่าทอมเขาไปไหน ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” “เดี๋ยวๆๆๆๆๆ แฟรงค์หยุดเขย่าผมแล้วไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่าไหม? ผมเหลือเวลาอีก 10 นาทีก่อนเข้างาน” “เอาสิ” แฟรงค์ปรามความตื่นเต้นของตัวเองแล้วเดินตามไบรอันไปทางด้านหลังของบริษัทนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนที่เป็นที่นั่งพักของพนักงานให้เรียบร้อยแล้วค่อยเอ่ยถามเกี่ยวกับทอมอีกครั้ง “ทอมเขา…” “ถ้าทอมเขาไม่บอกคุณผมว่าผมก็คงไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นคนพูด” “แต่ผมต้องการเจอเขาจริงๆ” “แต่ทอมอาจจะยังไม่พร้อม” “ผมรู้แต่ผมไม่อยากให้มันนานมากไปกว่านี้คุณพูดแบบนี้รู้เรื่องทั้งหมดแล้วใช่ไหม?” “ทอมก็มีพูดกับผมบ้าง เฮ้อ มันก็จะหนักหน่อยนะ 7 ปีแล้วนิเนอะสำหรับคู่ของคุณนะ ไม่แน่นะมันอาจจะเป็นอาถรรพ์ 7 ปีก็ได้เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” “อะไรคืออาถรรพ์7 ปี?” “คุณไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาว่ากันว่าคู่ไหนที่คบกันมาถึงเจ็ดปีแล้วปีที่ 7 มักจะเป็นที่ต้องเป็นปีที่มีปัญหาและส่วนมากก็ต้องเลิกกัน” “ผมไม่เชื่ออะไรพวกนั้นหรอก” “ก็แค่เล่าให้ฟังถ้ายังไงก็ผมก็ขอให้คุณผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้แล้วกันผมคงทำได้แค่เอาใจช่วยขอโทษนะที่ผมช่วยได้เท่านี้” “ไม่เป็นไรผมเข้าใจ” อาถรรพ์ 7 ปี งั้นเหรอไม่มีทางซะหรอกที่เขาจะยอมแพ้กับความรักของเขาเพียงแค่ความเชื่อเหล่านั้น เพราะสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดก็คือคนเรามีสองมือ มือข้างหนึ่งอาจจะทำตามสิ่งที่สวรรค์สร้างสั่งเอาไว้ ส่วนอีกมือนั้นมันคือสิ่งที่เขาต้องสร้างเองเพื่อประคับประคองสิ่งที่สวรรค์สรรสร้างมาและครั้งนี้เขาก็จะใช้มืออีกข้างนี้นี่แหละประคองความรักของเขาไปให้ได้เขาจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด แฟรงค์หยิบมือถือขึ้นมากดส่งข้อความไปหาทอมอีกครั้งเหมือนที่เขาเคยทำมาตลอดทุกวันเกือบสามเดือนที่ผ่านมา เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าทอมจะยังสามารถรับข้อความของเขาได้หรือเปล่าเพราะไม่ว่าเขาจะส่งไปเท่าไหร่เขาก็ไม่เคยได้รับข้อความกลับมาไม่ขึ้นว่าอ่านด้วยซ้ำแต่เขาก็แค่อยากลองอีกสักครั้ง แฟรงค์ : ‘ผมไม่รู้นะว่าคุณยังได้รับข้อความของผมอยู่ไหม แต่สิ่งที่ผมอยากให้คุณรู้คือผมไม่มีวันยอมแพ้และผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไปจากผม 7 ปีที่ผ่านมาความรักที่สวยงามแบบนั้นผมรู้ว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันพังลงแต่ผมขอโอกาสสร้างมันกลับขึ้นมาอีกครั้งผมขอโอกาสแสดงให้คุณเห็นว่าผมรักคุณมากแค่ไหนผมจะตามหาคุณจนเจอที่รักโปรดรอผม’ TBC :pig2: ถึงคุณ Zetnezz :L2:
Day 5 หนังสือพิมพ์: Rewrite “สวัสดียามเช้าค่ะคุณทอมวันนี้รับเป็นแฟลตไวท์เหมือนเดิมรึเปล่าคะ?” “วันนี้ผมขอเป็นดับเบิ้ลช๊อตครับ” “ครั้งแรกเลยนะคะที่ดิฉันเห็นคุณสั่งกาแฟเข้มแบบนี้” “วันนี้ถ้าไม่ได้กาแฟแรงๆ ผมคงอยู่ไม่ถึงเย็นแน่ครับ” “ช่วงนี้งานหนักมากใช่ไหมคะ? ดิฉันเข้าใจค่ะยิ่งช่วงใกล้จะสิ้นปีแบบนี้เห็นประจำค่ะไม่ใช่แค่คุณทอมค่ะพนักงานบริษัทหลายคนเลยที่เดินหน้าตาเหนื่อยเข้ามาในร้านแบบคุณทอม งั้นเดี๋ยวจะเพิ่มความเข้มให้เป็นพิเศษแล้วกันนะคะจะได้มีแรงถึงเย็น” “ขอบคุณครับ” บาลิสต้าสาวยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้าเห็นด้วยให้กับความคิดของตัวเองและส่งสายตาเห็นอกเห็นใจให้ทอม คิดแล้วสภาพอดนอนของเขาคงจะหนักเอาการถึงได้รับการเห็นใจมากขนาดนี้ แม้จะรู้สึกท้อใจกับสภาพของตัวเองแต่อย่างน้อยถ้ามองในแง่ดีสภาพแบบนี้นี่แหละที่ช่วยให้เขาก็ได้กาแฟรสเข้มกว่าเดิมในราคามาตราฐานมาทำให้ตาสว่างได้ก็แล้วกัน ทอมกวาดตามองไปทั่วด้านหน้าของร้านที่มีแผงหนังสืออยู่ตรงมุมร้านในนั้นแม้จะเป็นมุมเล็กๆ แต่ก็จะมีหนังสือหลายอย่างวางอยู่ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ไปจนถึงนิตยสารแฟชั่น แต่สิ่งที่เขามองหาและซื้อทุกเช้าก็คือหนังสือพิมพ์ที่มาจากหัวของ Post Post ที่เขาซื้อของหัวสำนักพิมพ์นี้มันไม่ใช่เพราะว่าข่าวของที่นี่ถูกต้องหรือว่าเยอะกว่าเล่มอื่นที่วางอยู่ด้วยกันแต่มันเป็นเพราะเขาติดเกมส์ที่อยู่ในหนังสือพิมพ์นั้นต่างหากไม่ว่าจะเป็น crosswords หรือ filling in the blank หลังจากเขามองหาเพียงครู่เขาก็เจอสิ่งที่เขาต้องการ “ขอโทษครับ” // “ขอโทษครับ” เสียงขอโทษดังขึ้นมาพร้อมกันจากคน 2 คน คนนึงก็คือตัวเขาเองที่ดันไปจับลงบนมือของผู้ชายอีกคนที่กำลังหยิบหนังสือพิมพ์เล่มเดียวกับเขา แม้เขาจะไม่รู้จักคนที่ต้องการสิ่งเดียวกันเป็นการส่วนตัวแต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีเพราะคนนี้ก็คือคนที่เขามักจะเจอแทบทุกเช้าที่ร้านกาแฟร้านนี้ ทอมเป็นคนที่ยอมผละมือออกมาแม้จะนึกเสียดายเมื่อเห็นว่าเล่มนั้นมันคือเล่มสุดท้ายบนแผงนี้และเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นก็จะสังเกตุเห็นเหมือนกันจึงยังไม่ยอมหยิบมันไปจ่ายเงินสักที “เชิญคุณครับ” ทอมดูจากสถานการณ์เมื่อกี้มือของเขาอยู่ทางด้านบนของชายคนนี้มันก็สามารถตีความได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาเอื้อมมือไปถึงหนังสือพิมพ์ทีหลัง “เอ่อ เจนครับ คุณมี Post Post เหลือเล่มเดียวเหรอครับ?” “อ้าวคุณจอห์น สวัสดีค่ะต้องขอโทษด้วยค่ะวันนี้มีเพียงเท่าที่เห็นเลยค่ะ” “โอ้...” ผู้ชายคนนั้นหันมามองเขาอีกครั้งหลังจากที่ได้รับคำตอบจากบริต้าสาวว่าไม่มีเหลือแล้วทอมเผยมือออกไปทางด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่าคนนั้นสามารถหยิบไปได้เลย “ขอบคุณครับ งั้นคุณ…” “ทอมครับ” “ครับคุณทอม คุณแน่ใจนะครับ?” “คุณเอาไปเถอะครับผมมาที่หลัง” “ถ้าให้ผมเดาคุณทอมคงชอบเล่มเกมส์ที่อยู่ในเล่มนี้” “และถ้าให้ผมเดาคุณจอห์นก็คงจะชอบเล่มเกมส์เดียวกันกับผม” “ใช่ครับผมนะต้องซื้อเล่มนี้ทุกเช้าก็เพื่อที่เกมส์เท่านั้นแหละครับ” “ครับ” “...หายากนะครับที่จะเจอคนที่ยังชอบเล่นเกมส์ที่อยู่บนกระดาษแบบนี้ คนส่วนใหญ่รอบข้างผมตอนนี้ใครๆ ก็ชอบที่จะเล่นในมือถือมากกว่ามีคนหาว่าผมเป็นพวกยุคหินด้วยซ้ำ” “ผมคงเสพติดในกลิ่นของหมึกมั้งครับเลยทำใจไปเล่นในมือถือไม่ได้เสียทีอีกอย่างเวลาผมได้กลิ่นของมันผมว่าสมองผมว่าผมแก้เกมส์ได้เร็วกว่าในมือถือ” “เหมือนกันเลยครับ ผมน่ะยังแอบหยิบขึ้นมาดมกลิ่นของมันก่อนอ่านอยู่บ่อยๆ เลย แต่ต้องแอบทำนะครับกลัวคนอื่นหาว่าผมโรคจิต” “ไม่ต้องห่วงครับคุณจอห์นคุณไม่ได้เป็นคนเดียวถ้าคนโรคจิตผมคงเป็นโรคเดียวกับคุณสำหรับผมกลิ่นของมันค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่อยากจะเลียนแบบครับ” “คุณทอมค่ะกาแฟได้แล้วค่ะ หวังว่ามันจะเข้มพอที่จะทำให้คุณสู้งานได้ทั้งวันนะคะ” เสียงของบาลิต้าสาวทำให้ทอมหยุดบทสนทนาที่เขารู้สึกว่ามันไหลลื่นเป็นพิเศษกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน “ขอบคุณครับ” ทอมยิ้มลากับบาลิสต้าก่อนที่จะหันกลับไปหาคนรู้จักคนใหม่ของเขา “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณจอห์น” ทอมเดินจากออกมาด้วยกาแฟแก้วเล็กโดยที่ไม่มีหนังสือพิมพ์เล่มโปรดติดตัวมาด้วยถ้าเป็นเช้าอื่นเขาอาจจะรู้สึกผิดหวังเล็กๆ แต่เช้าวันนี้เขากลับรู้สึกว่าไม่เป็นไรอาจจะเป็นเพราะเขาได้แลกเปลี่ยนบทสนทนากับคนที่สนใจในสิ่งเดียวกัน “เดี๋ยวครับคุณทอม!!” เสียงเร่งฝีเท้าจนเหมือนเกือบวิ่งดังมาพร้อมกับชื่อของเขา ทอมจึงหันกลับไปพร้อมกับเอามือตบดูของในกระเป๋าเสื้อและกางเกงเผื่อว่าเขาจะลืมวางอะไรไว้ที่ร้านจนทำให้คุณจอห์นต้องวิ่งตามกลับมาคืนให้กับเขาแต่เขาว่าเขาเองก็ไม่น่าลืมอะไร “ครับ?” “คุณเดินไปทำงานทางนี้เหรอครับ?” “ใช่ครับ” “ทางเดียวกันเลยงั้นเราเดินไปพร้อมกันดีไหมครับ?” “เอาสิครับ” ตลอดการเดินทางจากร้านกาแฟไปที่ทำงานทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนความชอบของกันและกันและมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าความสนใจของเขาทั้งสองคนมีส่วนที่คล้ายกันมากโดยเฉพาะถ้าเรื่องนั้นมันเกี่ยวกับของสิ่งที่ทำมาจากกระดาษ ความง่วงความมึนที่เกิดจากการนอนไม่พอเมื่อคืนเริ่มจางไปซึ่งทอมเองก็ตอบไม่ได้ว่ามันเป็นผลจากกาแฟที่บาลิสต้าจงใจทำให้มันเข้มหรือเป็นเพราะบทสนทนาที่เหมือนได้คุยกับคนที่รู้จักกันมานานแบบนี้ “ถึงที่ทำงานผมแล้วครับ ครั้งนี้ผมคงต้องขอตัวจริงๆ นะครับ” “คุณทำงานที่ตึกนี้?” “ครับ” ”…คุณทอมครับ” “ครับ?” “นี่ครับของคุณ” “ไม่เอาครับคุณจอห์นคุณเป็นคนที่หยิบมันได้ก่อนเพราะฉะนั้นเล่มนี้มันควรเป็นของคุณครับ” “เอาไปเถอะครับ คุณบอกผมเองว่าคุณจะแก้เกมส์ได้เร็วกว่าถ้าคุณได้กลิ่นของมัน” “มันก็จริง แต่...” “ไม่มีแต่ครับผมก็แค่อยากดมกลิ่นมันและตอนนี้กลิ่นของมันก็ติดเต็มมือผมไปหมดแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกนอกจากกลิ่นผมยังได้ของแถมเป็นสีของหมึกติดมือมาด้วย เพราะงั้นเดี๋ยวผมไปโหลดเกมส์ของวันนี้ในมือถือก็เล่นได้แล้วครับ” “แม้คุณจะพูดแบบนี้แต่ผมก็ยังคง” “เถอะนะครับยืนเถียงกันแบบนี้ผมสายกันพอดี” “งั้นผมไม่เกรงใจนะครับ?” “ครับ” “งั้น” ทอมหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองออกมาเพื่อที่จะหยิบเงินค่าหนังสือพิมพ์ให้กับคุณจอห์น “ไม่ต้องหรอกครับ” “ถ้าเป็นแบบนี้ ผมรับเอาไว้ไม่ได้หรอกครับ” “เอางี้ งั้นวันนี้คุณเอาไปแก้เกมส์ตอบคำถามผมก็จะไปเล่นที่ทางสำนักพิมพ์โหลดเอาไว้ที่เว็บไซต์แล้วเรามาดูคำตอบจากเล่มในวันพรุ่งนี้กันครับถ้าผมชนะคุณก็เลี้ยงกาแฟผมพรุ่งนี้เช้าเป็นการตอบแทนดีไหมครับ? แต่ถ้าคุณชนะคุณก็ไม่ต้องจ่ายค่าหนังสือพิมพ์คืนให้กับผม” “เอ่อ…” “ตกลงตามนี้นะครับ พรุ่งนี้เจอกันตอนเช้าที่ร้านเดิมครับ” คุณจอห์นวิ่งหายไปจากเขตการมองเห็นของเขาแล้วทั้งที่เขายังไม่ได้ถามเลยด้วยซ้ำว่าแล้วคุณจอห์นจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไปร้านนั้นกี่โมง? แต่คิดไปก็เท่านั้นจะให้ติดต่อโทรไปบอกก็ทำไม่ได้เพราะเขาไม่ได้แลกเบอร์ติดต่อกันเขาจึงได้แต่หยักไหล่ให้กับตัวเองพร้อมกับคิดว่าถ้าพรุ่งนี้โชคชะตาทำให้เขาได้เจอกับคุณจอห์นอีกครั้งจริงละก็หลังจากนี้เขาคงมีเพื่อนเพิ่มมาในชีวิตอีกคน แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาก็คงต้องขอบคุณเจ้า ‘หนังสือพิมพ์’ เล่มนี้ที่เป็นเอกลักษณ์เลยสามารถดึงคนที่มีความสนใจคล้ายกันมารู้จักกันได้ เขาจับมันกระชับเอาไว้กับมือแล้วตั้งมั่นว่ากลับบ้านคืนนี้เขาต้องรีบจัดการมื้อเย็นแล้วรีบแก้เกมส์ให้ชนะแล้วละก็ค่ากาแฟน่ะมันแพงมากกว่าราคาหนังสือพิมพ์อยู่ไม่น้อยเลยนะ TBC ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ :pig2:
Day 6 – น้ำกัดเท้า “หยุดกดได้แล้ว!! ลิสคุณจะมาที่นี่อีกทำไม?!!? ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ!!” แฟรงค์ส่งเสียงตะโกนใส่คนที่อยู่หน้าบ้านของเขาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความหัวเสียแต่จะไม่ให้เขารู้สึกแบบนี้ได้อย่างไรในเมื่อสิ่งที่ปลุกเขาให้ลืมตาตื่นมาในเช้าวันใหม่คือเสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังรัวจนหนวกหูอยู่หลายนาทีแถมยังเกิดจากฝีมือของผู้หญิงที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด ผู้หญิงที่เขาตราหน้าว่าเป็นคนทำลายความสุขของเขามาตลอดในช่วง 2 – 3 เดือนหลังมานี้ เขาไม่ได้หลับลึกเขาตื่นลืมตาตั้งแต่เสียงกริ่งบ้านดังครั้งแรกเขาลุกขึ้นมาเปิดผ้าม่านดูว่าเป็นใครก่อนที่จะหันตัวกลับไปนอนคลุมโปงเพื่อตัดความน่ารำคาญอยู่ที่เตียง แต่ไม่ว่าเขาจะกลับเข้าไปคลุมโปงและพยายามข่มตาเพื่อนอนต่อยังไงก็ตามเขาก็ไม่สามารถหลับตาลงได้อีกครั้งเพราะเสียงกริ่งนั้นมันไม่ได้ถูกลดเสียงลงตามจำนวนครั้งที่กดแต่กลับเพิ่มความถี่ในการกดมาขึ้น เขาสบัดผ้านวมที่คลุมโปงอยู่ออกตัดสินใจเลิกหลบหน้าเมื่อความอดทนของเขาสิ้นสุดลง “นี่นายเมาเหรอแฟรงค์? กลิ่นเหล้านาย..” “ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผม คุณเถอะจะมาที่นี่อีกทำไม?” “ก็ถ้าฉันไม่มานายจะยอมไปเจอฉันไหมละ? ที่ทำงานนายก็ไม่ยอมให้ฉันเข้าไปอย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่านายสั่งอะไรไว้กับ รปภ ที่บริษัทแล้วแบบนี้ฉันเหลือทางเลือกอะไรอีกบ้างถ้าไม่มาหานายที่นี่ไหนนายบอกฉันมาสิ?” “ก็บอกไปแล้วไงว่าถ้าผมพร้อมผมจะไปหาคุณเอง การที่ผมไม่ได้ไปก็หมายความว่าผมยังไม่พร้อมมันเข้าใจยากตรงไหนกับความหมายที่ผมสื่อออกไปนะหะ!!” “แล้วเมื่อไหร่นายจะพร้อม ฉันต้องแบกหน้าไว้คนเดียวอีกนานแค่ไหน?!!” “หน้าของคุณคุณก็แบกเอาเองก็ใครทำให้เรื่องมันยุ่งแบบนี้ถ้าวันนั้นคุณไม่มาตั้งแต่แรกเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ไหม?? ถ้าไม่มาผมคงเคลียร์กับคนของผมรู้เรื่องไปแล้ว กลับไปซะมาพูดตอนนี้มันก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แฟรงค์และลิสมีการพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ความต้องการในบทสรุปของทางแก้ของเขากับลิสมันต่างกันมากเกินไปการพูดคุยที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งมันจึงวนอยู่ในจุดเดิมและมันก็ไม่เคยเดินทางไปถึงการแก้ไขของปัญหาได้สักที “อย่ามาพูดเหมือนฉันผิดอยู่ฝ่ายเดียวนะ ฉันไม่ได้เป็นคนบังคับให้นายมามีอะไรกับฉันสักหน่อยไม่ได้แม้แต่จะมอมเหล้านายด้วยซ้ำวันนั้นที่นายพาฉันเข้าโรงแรมก็เต็มใจแล้วก็มีความสุขดี หรือจะต้องให้ฉันพูดไหมว่านายมีความสุขมากแค่ไหน? ต้องให้ฉันบรรยายถึงเสียงที่ออกมาจากลำคอของนายเองในวันนั้นไหม??!!??” “แล้วหลังจากที่ทุกอย่างมันจบลงคุณเห็นรึเปล่าว่าสภาพของผมเป็นยังไงเห็นใช่ไหมว่าผมทุกข์แค่ไหนที่เรื่องมันเกิดขึ้น เท่าที่ผมรู้มันไม่มีอะไรที่ผมสามารถเรียกได้ว่าความสุขเลยสักนิด!!! กลับไปซะ!!!” “เหรอ? แล้วถ้าไม่ได้มีความสุขล้นแบบนั้นน้ำเชื้อมันจะดีจนฉันท้องได้แบบนี้ไหมละ?!!” ขาที่กำลังจะหมุนตัวเพื่อที่จะก้าวกลับเข้าไปในตัวบ้านของเขาต้องหยุดชะงักลงเมื่อประโยคคำถามนั้นมันซ้อนทับขึ้นมากับประโยคของใครคนนึง “ถ้าไม่ได้ชอบเขาคุณจะทำแบบนั้นลงไปได้ยังไงแฟรงค์?” “ถ้าคุณไม่ได้ชอบเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาบ้างเขาจะท้องลูกของคุณได้ยังไง?” “มันก็แค่พลาดไปเท่านั้นแหละมันก็พลาดไปเท่านั้น คุณฟังคำพูดของผมแล้วจำใส่ใจเอาไว้เลยนะว่าเรื่องที่เกิดกับคุณมันก็แค่การผิดพลาดในการตัดสินใจของผมมันพลาด ผมพ่ายแพ้ให้กับความมักง่ายของตัวเอง และก็ผิดพลาดจนมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา” แฟรงค์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประโยคนี้ที่เขาพูดออกจากปากของเขาไปนั้นเขากำลังอยากให้ใครได้ฟังกันแน่ระหว่างผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงนี้หรือว่าคนที่ตอนนี้กำลังหนีหน้าหายไปจากเขา “ต่อให้มันคือการผิดพลาดแต่ความผิดพลาดนี้ก็บ่งบอกแล้วว่านายไม่รักคนของนายอย่างที่นายเคยพร่ำบอกเอาไว้เพราะถ้านายรักเขาจริงไอ้เรื่องผิดพลาดพวกนี้คงไม่เกิดขึ้น!!” “ผมรักเขา อย่าพูดอะไรดีกว่าถ้าคุณไม่รู้!!” “เหอะ รักงั้นเหรอ? อะไรที่นายบ่งบอกว่ารัก?” “ผมใช้ชีวิตอยู่กับเขาไงนั้นแหละที่พิสูจน์ว่าผมรักและพร้อมจะมีชีวิตอยู่กับเขาแล้วก็ไม่ใช่คุณ” “เหอะ ถ้ารักเขาจริงทำไมนายถึงไม่เคยพาเขาไปร่วมงานการกุศลที่ไหนเลยละเวลาที่บริษัทนายมีงานแล้วเวลาไปต่างจังหวัดร่วมกับบริษัทอื่นทำไมนายไม่เคยเอาเขาไปเปิดตัวเลยละ หะ? ตอบมาสิทำไมทุกครั้งที่ฉันไปกับเพื่อนของฉันทำไมฉันไม่เคยเจอเขาคนนั้นของนายเลยละ!!” “...” “นายเอาแต่เก็บเขาไว้ใกล้ตัว แอบการมีตัวตนของเขาเอาไว้ทำเหมือนว่าเขาเป็นเชื้อราที่ทำให้เกิด ‘โรคน้ำกัดเท้า’ ที่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะรู้ว่ามีมันอยู่แต่ก็อายเลยปกปิดมันเอาไว้ด้วยรองเท้า” “....” “นายรักงั้นเหรอ? ฉันว่าแต่นายรักตัวเองมากกว่า เพราะนายกลัวว่าคนอื่นในที่ทำงานจะรับไม่ได้ว่านายมีความรักไม่เหมือนคนอื่นนายกลัวคนอื่นจะต่อต้านกลัวจะหลุดจากว่าที่ผู้จัดการ นายกลัวนายพลาดเพราะไอ้โรคน้ำกัดเท้าของนายใช่ไหมละ? นายเลยต้องทนเก็บงำและซ่อนมันเอาไว้แบบนั้น” “หุบปาก!!” “ทำไมแทงใจดำหรือไง?” “กลับไป ออกไปจากหน้ารั้วบ้านของผมซะ!!” “ไล่กันนักฉันไปก็ได้แต่ฉันกลับมาอีกแน่!!” “....” “อ้อ แต่ก่อนไปขอเตือนไว้อย่างนะว่าไอ้ ‘โรคน้ำกัดเท้า’ ของนายนะเก็บไว้ยังไงมันก็ไม่มิดหรอกสักวันกลิ่นมันก็ต้องโชยออกมาจากร้องเท้าของนายจนคนอื่นได้รับรู้ว่านายเป็นยังไงนั้นแหละ” ลิสยอมไปจากหน้าบ้านของเขาแล้วแต่คำพูดของลิสมันเหมือนด้ายที่ตรึงแฟรงค์เอาไว้จนเขาไม่สามารถขยับไปไหนได้ไม่จริงเขาไม่เคยคิดว่าทอมคือเชื้อรา ทอมไม่ใช่คนที่เขาต้องซ่อนเอาไว้ มันก็แค่ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกใครต่อใครก็เท่านั้นมันแค่ยังไม่ถึงเวลา สำหรับแฟรงค์ถ้าใครสักคนในชีวิตจะเป็นเชื้อราที่เป็นต้นเหตุของ ‘โรคน้ำกัดเท้า’ เขาว่าคนๆ นั้นน่าจะเป็นผู้หญิงคนเมื้อกี้ที่กำลังทำลายชีวิตคู่ทำลายความสุขของเขาไม่ใช่ทอม ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่กำลังทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดคันอยู่ในหัวใจอย่างทรมาณเพราะไม่สามารถเอื้อมมือเข้าไปเกาเพื่อบรรเทาความทรมาณนี้ได้และมันยังโชว์ถึงความผิดพลาดที่เหม็นโชยเพื่อประจานในความมักง่ายของเขา ใช่แล้วถ้าเขายังปล่อยเชื้อรานี้ให้มันเจริญเติบโตมันก็จะคอยแต่จะกัดกินเท้าของเขาไปเรื่อยๆจนเป็นโรคน้ำกัดเท้าและฝังอยู่กับตัวเขาไปตลอดถ้าเขาไม่รับรักษาถ้าจะหยุดมันเขาควรที่จะหยุดตั้งแต่ตอนนี้ ใช่แล้ว เขาควรที่จะกำจัดเชื้อรานี้ทิ้งไปโดยเร็วเสียที TBC
Day 7 – Motion (กริยาท่าทาง// การกระทำ) “สวัสดียามเช้าครับคุณทอม” “คุณมาเจอผมได้จริงๆ ด้วย แม้เราจะไม่ได้นัดกัน” “แน่นอนสิครับ ผมก็ต้องมั่นใจว่าผมจะได้ค่าหนังสือพิมพ์คืนผมถึงกล้าที่จะพูดกับคุณไปแบบนั้น” “งั้นสงสัยว่าคุณคงจะได้ค่าหนังสือพิมพ์บวกกับค่ากาแฟจริงๆนั้นแหละครับ ผมยอมแพ้ครับ” เขายื่นหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวานคืนให้กับคุณจอห์นคุณจอห์นรับมันคืนไปจากมือของเขาด้วยสีหน้าของความไม่เข้าใจเป็นอย่างแรกแล้วทันทีที่คุณจอห์นเปิดไปหน้าของเกมส์นั้นสีหน้าของความแปลกใจก็ปรากฎตามขึ้นมา “คุณแกล้งยอมแพ้รึเปล่าครับ?ทำไมมันถึงได้ว่างขนาดนี้?” “...” “เอ๋ หรือว่าคุณไม่ว่าง? ถ้าเป็นแบบนั้นผมถือว่าผลการแข่งยังไม่เป็นทางการนะครับมันคงไม่ยุติธรรมถ้าผมจะว่างเล่นอยู่คนเดียว” “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับผมลองเล่นดูแล้วแต่ผมทำไม่ได้ ดูสิครับตรงมุมกระดาษยังมีรอยปากาหลงเหลืออยู่เลย” “ถ้าเป็นแบบนี้...งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ เพราะงานนี้ผมชนะคุณขาดลอย” คุณจอห์นยื่นหน้าจอมือถือที่โชว์ถึงการเติมคำในช่องว่างมาจนครบแทบทุกช่องเมื่อเขาเห็นถึงความเอาจริงเอาจังในการแข่งขันแล้วเขาก็ไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะของเขาเอาไว้ได้ “ผมเปิดรูปอะไรผิดรึเปล่า?” “ไม่หรอกครับคุณก็เปิดรูปตารางเติมคำนั่นให้ผมดูแหละครับ” “แล้วไป โล่งใจผมนึกว่ามือจะพลาดแล้วไปเปิดอะไรที่ไม่สมควรให้คุณดูเสียอีกเห็นคุณขำแบบนี้ใจหายหมดงั้นคุณขำอะไรน่ะครับ?” “ผมขำความคิดตัวเองนิดหน่อยน่ะครับคุณไม่ได้ทำอะไรตลกหรอก” “แต่มันก็ต้องเกี่ยวกับผม?” “ผมว่าเราไปสั่งกาแฟกันดีกว่าสายกว่านี้เดี๋ยวจะคิวยาว” “ฮ่าๆๆๆๆๆ” “มีอะไรรึเปล่าครับคุณจอห์น?” ขณะที่เขาสองคนกำลังต่อแถวเพื่อสั่งกาแฟจากร้านเจ้าประจำอยู่ๆ คุณจอห์นที่ยืนอยู่ข้างกันกับเขาก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดังเขาสะดุ้งตกใจจนกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในมือของเขาเกือบหล่นลงที่พื้น “คุณอยากรู้เหรอครับว่าผมหัวเราะอะไร?” “ก็...ครับ เมื่อกี้ผมก้มลงหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ผมพลาดอะไรไปรึเปล่าครับ?” “ถ้าคุณอยากรู้ คุณก็บอกเรื่องที่คุณหัวเราะออกมาก่อนสิครับเอามาแลกกัน” “โอเคๆ” “คุณจะเล่าแล้ว?” “ผมจะบอกว่า...งั้นผมไม่อยากรู้ก็ได้ครับ” “คุณทอมนี่นะ ผมล่ะยอมแพ้จริงๆ ผมเองก็ไม่รู้เรื่องที่คุณหัวเราะก็ได้ครับ” จ้างให้เขาก็ไม่มีวันที่จะบอกกับคุณจอห์นว่าตัวเขาคิดอะไรอยู่ในตอนนั้นถึงได้หัวเราะออกมาเพราะมันคงหน้าอายน่าดูที่คนอย่างเขาแอบคิดอะไรไปไกลมากแต่จะว่าไปก็เป็นเพราะ ‘ท่าทาง’ของคุณจอห์นเองนั้นแหละที่ชวนทำให้เขาคิด ไหนจะเมื่อเช้าที่มารอเขาที่ตรอกที่เขาใช้เดินมาเป็นประจำก่อนที่จะถึงร้านกาแฟโดยที่เขาก็ไม่เคยบอกว่าเขาเดินมาทางนี้ไหนจะเรื่องที่อยู่ๆ ก็มายกหนังสือพิมพ์ให้เขา เพราะแบบนี้เมื่อเช้าเลยมีอยู่แวบนึงที่เขาแอบแปลการกระทำทั้งหมดคุณจอห์นว่าคุณจอห์นกำลังสนใจในตัวเขา แต่ความคิดนั้นก็ล้มลงไม่เป็นท่าในนาทีที่คุณจอห์นยื่นหน้าจอโทรศัพท์ออกมาเพราะถ้าคุณจอห์นสนใจในตัวเขาจริง คุณจอห์นเองก็ควรที่จะออมแรงยอมแพ้และขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงกาแฟเขาในเช้านี้สิไม่ใช่เล่นเอาชนะอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่ออมมือเลยสักนิด “คุณยิ้มได้แล้ว” “ครับ?” “นี่เป็นรอยยิ้มแรกของคุณเลยนะครับสำหรับเช้านี้” “ปกติผมก็ไม่ได้เป็นคนยิ้มเก่งอยู่แล้ว” “แต่วันนี้ตาของคุณเศร้ากว่าทุกวันยิ่งรวมกับรอยขีดในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ขีดเบาๆ วนอยู่ที่เดิมแบบนั้นแล้ว ถ้าให้ผมเดาผมว่าคุณคงกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่” “คุณเป็นจิตแพทย์ หรือ หมอดูครับ?” “หว่า ผมโดนเลี่ยงไม่ตอบคำถามอีกแล้วสินะครับ” เขาได้แต่ยิ้มตอบให้กับคุณจอห์นโดยที่ไม่เอ่ยพูดอะไรออกมา บทสนทนาระหว่างเขาทั้งสองคนคงไม่สามารถไปได้ต่อและคงเกิดความเงียบที่อึดอัดถ้าเกิดคุณจอห์นรอเค้นคำตอบเอาจากเขาแต่มันตรงกันข้ามเพราะทันที่เขาเงียบไม่ตอบอะไรออกไปคุณจอห์นกลับสามารถเปลี่ยนเรื่องคุยไปได้อย่างไม่สะดุดไม่ว่าจะเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศจนลามไปจนถึงเรื่องของหนังและอาหารที่ชอบ “ผม...ก็มีเรื่องให้คิดจริงๆ อย่างที่คุณว่าครับ” ทั้งๆ ที่คุณจอห์นก็เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่นไปแล้วแต่ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้เขาอยากที่จะพูดถึงเรื่องนี้กับคุณจอห์นคุณที่เขาเพิ่งรู้จักได้เพียงแค่24 ชั่วโมงเท่านั้น เขาพยายามหาคำตอบให้กับ ‘การกระทำของตัวเอง’ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดกับตัวของเขาเองได้ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าเมืองนี้เขามองไปก็ไม่เห็นใครอื่นหรือเหตุผลที่ว่า “ท่าทางและการกระทำ” ของคุณจอห์นมันทำให้เขารู้สึกสบายใจมากกว่าใคร “ถ้าคุณพร้อมที่จะเล่าคุณรู้ไหมครับว่าผมพร้อมที่จะฟัง?” “ปัญหาคือผมยังไม่พร้อมจะบอกใคร ขอโทษนะครับ” “แต่คุณก็เริ่มแบกเอาไว้ไม่อยู่” “ผมควรที่จะเริ่มกลัวคุณรึเปล่า? ทำไมคุณดูเดาอะไรเก่งไปหมดสรุปแล้วคุณคือใครกันแน่ครับ?” “ผมก็แค่พนักงานบริษัทธรรมดานี้แหละครับ เพียงแค่สังเกตุจากท่าทางของคุณ” “แค่นั้น?” “ใช่ครับ ไม่รู้ว่าคุณทอมเคยได้ยินคำพูดที่คนในเมืองนี้ชอบพูดกันไหมว่า‘การกระทำ’ และ ‘ท่าทาง’ ของคนเรามันจะส่งเสียงดังมากกว่าคำพูด” “เคยได้ยินอยู่บ้างครับ” “นั้นแหละครับและตอนนี้ท่าทางที่ออกมาจากตัวคุณทอมก็กำลังฟ้องว่าคุณทอมกำลังมีเรื่องให้คิดและกำลังจะแบกเรื่องนั้นมันไม่ไหวอีกแล้ว” “ไว้ผมพร้อม” “ครับ ไว้เมื่อคุณทอมพร้อม” “ขอบคุณครับนะครับคุณจอห์น” “ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ” TBC
Day 8 –การเอาใจใส่ “สวัสดียามเช้าครับคุณทอม” “สวัสดีครับคุณจอห์น” “เดี๋ยวนี้เราเจอกันทุกเช้าเลยนะครับ” “เมื่อก่อนเราก็เจอกันครับ” “ผมรู้แต่ผมหมายถึงว่าเราเจอกันทุกวันเลยนะครับเดี๋ยวนี้” “เมื่อก่อนเราก็เจอกันทุกวันครับ” “แต่ผมว่าเมื่อก่อนผมเห็นคุณเพียงแค่บางเช้าเท่านั้นนะครับไม่ใช่ทุกเช้าแบบนี้?” “แต่ผมเห็นคุณทุกเช้า” “ครับ?” “โห หน้าคุณทอมแสดงออกถึงความไม่เชื่อในคำพูดของผมออกมาชัดเจนมาก จริงๆ นะครับเรานะเจอกันทุกเช้า งั้นเอางี้พูดเฉยๆ คงไม่เชื่อ งั้นเอาแบบนี้แล้วกันครับ คุณมักจะมาถึงที่ร้านตอนประมาณ7 โมง 15 ของทุกวัน คุณจะสั่งแฟลตไวท์ทุกเช้าและหลังจากสั่งเสร็จคุณก็ต้องเดินมาที่มุมหนังสือและหยิบเอาหนังสือพิมพ์เล่มนั้นตลอด อ้อ ตอนนั้นคุณยังใช้เป้สะพายหลังอยู่เลยคุณเพิ่งเปลี่ยนมาเป็นกระเป๋าสะพายข้างเมื่อประมาณ2 อาทิตย์ที่แล้วนี่เอง” “...” “คราวนี้คุณเชื่อผมรึยังครับ?” เขารู้ตัวดีว่าถ้าตอนนี้ตรงหน้าของเขามีกระจกวางอยู่ภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกบานนั้นคงจะเป็นภาพของเขาที่กำลังอ้าปากค้างพร้อมด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเพราะเขากำลังอยู่ในช่วงอาการตกใจจากข้อมูลที่เขาเพิ่งได้ยินมา “คุณทอม?” “แต่ผมไม่เคยเห็นคุณเลยนะ ไม่สิผมต้องพูดว่าผมเห็นคุณในแค่บางวันเองครับ” “ก็ไม่แปลกหรอกครับที่ผมเห็นคุณทอมเพราะว่าคุณทอมต่างจากคนอื่นนะครับผมเลยเห็นได้ง่าย” “เพราะเส้นผมของผมเป็นสีน้ำตาลเลยแตกต่างจากคนอื่นใช่ไหมครับ?” “ไม่ใช่ครับเพราะแววตาที่เศร้าของคุณต่างหากที่มันต่างจากคนอื่น” “แววตาผม...” “ผมว่าผมไม่พูดแล้วดีกว่าเดี๋ยวคุณกลัวผมจนเลิกคบผมแย่เลยทีนี้” นั้นสิถ้าเป็นคำพูดพวกนี้ออกมาจากคนอื่นเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกแบบไหนมากกว่ากันระหว่างประหลาดใจที่มีคนคอยสนใจเขาแบบนี้หรือว่ารู้สึกกลัวและกังวลที่มีคนคอยติดตามและสังเกตุเขาตลอดเวลากันแน่ “อะ นี่ครับ” “อะไรเหรอครับ?” “หนังสือพิมพ์ของวันนั้นนั่นแหละครับวันที่คุณไม่ได้เล่นเกมส์” “โอ้...” “ส่วนคำเฉลยของเกมส์ผมตัดมันแล้วเสียบเอาไว้ที่แผ่นหลังสุดของหนังสือพิมพ์แล้วนะครับ” “ขอบคุณนะครับ” ใจของเขาที่ห่อเหี่ยวจากแรงกดดันของเมสเสจที่เขาได้มาตลอด2-3 วันนี้มันเบาบางลงเมื่อเขาได้รับ ‘การเอาใจใส่’ เล็กๆ น้อยๆ จากคนที่เขาเพิ่งรู้จักเพียงไม่นานแล้วเช้าวันนี้ก็ไม่ได้ต่างจากเช้าของวันก่อนๆ หลังจากที่ทั้ง 2 ได้กาแฟตามสั่งพร้อมกับหนังสือพิมพ์ที่ชอบกันคนละเล่มเขาก็เดินพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วไปจนมาถึงตึกที่พวกเขาทำงาน “จะว่าไปผมก็ไม่รู้เลยว่าคุณจอห์นทำงานอยู่ที่ตึกไหน” “ไม่ไกลจากตรงนี้หรอกครับ ถามแบบนี้คุณทอมเกิดคิดอยากเดินไปส่งผมบ้างเหรอครับ?” “ด้วยอากาศเกือบจะเหลือเลขเดียวแบบนี้ผมว่าผมเข้าไปข้างในตึกแล้วเชิญให้คุณจอห์นเดินต่อไปคนเดียวแล้วกันนะครับ” “ฮ่าๆๆๆ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ครับ” “ครับแล้วเจอกัน” “อีกอย่างนึง...นี่ครับ” “แท่งช็อคโกแลต?” “พอดีเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาผมเห็นว่าคุณดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ก็เลยคิดว่าคุณควรได้รับอะไรหวานๆ เผื่อคุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่ชอบของหวานอยู่แล้วมันน่าจะช่วยได้เยอะ” “คุณไม่ลืมที่ผมพูดเมื่อวาน?” “เรื่องที่คุณไม่สบายใจ...แน่ละครับว่าไม่ลืม” “เรื่องที่ผมชอบกินช็อคโกแลตต่างหาก” ใช่แล้วเมื่อวานตอนที่เดินผ่านร้านขายขนมที่กำลังเตรียมเปิดตัวเขาเพียงแค่ชี้นิ้วไปที่ร้านนั้นเขาพูดแค่ว่าไว้ร้านนั้นเปิดเมื่อไหร่เขาจะมาลองกินช็อคโกแลตเพราะมันเป็นขนมที่เขาชอบมากที่สุดมันเป็นแค่เพียงคำพูดลอยๆ ขึ้นมาเท่านั้นเขาไม่คิดเลยว่าคุณจอห์นจะจำมันได้ “ครับ ผมจำได้” “คุณจอห์น” “ครับ?” ตลอดการเดินจากร้านกาแฟมาถึงที่หน้าตึกที่เขาทำงานคำพูดของคุณจอห์นเมื่อตอนเช้ามันยังคงดังอยู่ในความคิดแต่เขาก็พยายามที่จะปัดมันออกไปแต่พอเขามาเจอเข้ากับการเอาใจใส่ทั้งความชอบทั้งคำพูดเพียงเล็กน้อยของเขาอีกครั้งมันก็ทำให้เขาไม่สามารถปัดมันทิ้งออกไปได้หรือปล่อยให้มันผ่านไปแบบไม่รับรู้ถึงความพิเศษเหล่านี้อีกแล้ว เขารู้ว่าสิ่งที่เขาได้รับมาจากคุณจอห์นมันคือความปรารถนาดีและตัวเขาเองที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในเมืองที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อนมีหรือที่จะอยากปฎิเสธความหวังดีนี้ถ้าเกิดเขาได้รับมันมาจากเพื่อนหรือคนที่สนิทกัน แต่ไม่ว่าเขาจะมองจากมุมไหนสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็น่าจะเกิดจาก ‘การเอาใจใส่’ คอยดู คอยสังเกตพฤติกรรมต่างๆ และการที่ใครสักคนจะใช้เวลาเพื่อสังเกตุคนๆนึงได้มากขนาดนี้แถมเป็นคนที่ไม่รู้จักกันเสียอีกมันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรอื่นไปได้เลยนอกเสียแต่ว่า “คุณจอห์น...ชอบผมรึเปล่าครับ?” เขารู้ว่าการถามคำถามแบบนี้ออกไปเขาอาจจะเสี่ยงต่อการเสียคนรู้จักที่หวังดีต่อเขาได้ถ้าเกิดคุณจอห์นไม่ได้ชอบเขาไม่ได้มีรสนิยมแบบเดียวกันหรือถ้าเกิดนี่คือพื้นฐานนิสัยของคุณจอห์นที่มีให้กับทุกคนอยู่แล้วมันคงจะเป็นคำถามที่เสียมารยาทมากที่สุดแต่ว่าตอนนี้ตัวเขาเองก็มีเรื่องให้คิดมากมายและเขาก็ยังไม่พร้อมถ้าจะต้องมีเรื่องให้ต้องขบคิดเพิ่มขึ้นอีกเรื่องเขาเลยถามเอาคำตอบจากปากดีกว่าที่เขาต้องกลับไปขบคิดด้วยตัวเอง “ถ้าผมชอบหรือไม่ชอบคุณทอม การพูดคุยระหว่างเรามันจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปไหมครับ?” “ก็...” “คุณทอม ถ้าคุณกลัวว่าการเอาใจใส่ของผมมันจะนำไปถึงการทวงถามการตอบแทนจากคุณในอนาคตผมก็บอกได้เพียงว่าขอให้คุณสบายใจได้เลยผมไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน” “แล้วคุณ?” “ที่ผมทำไปทั้งหมดอาจจะเป็นเพราะผมกำลังชดใช้ในสิ่งที่ผมพลาดไปมั้งครับ” “...” “ผมเคยทิ้งคนนึงให้เขาเศร้าโดยที่ผมไม่ได้ช่วยอะไรเขา ผมทิ้งเขาเอาไว้กับความเศร้านั้นจนมันต้องเกิดเรื่องราวร้ายแรงในตอนท้าย” “...” “ตอนนั้นถ้าผมให้ความเอาใจใส่เขาคนนั้นมากกว่านี้อีกสักนิดเรื่องมันคงไม่ร้ายแรงมากขนาดนั้นเหตุการณ์ในตอนนั้นถ้าเพียงผมดีกว่านั้นอีกสักนิดมันทำให้ผมรู้สึกผิดมาจนถึงวันนี้พอผมเห็นคุณที่เป็นเหมือนภาพซ้อนของคนนั้นผมเลยไม่อาจห้ามตัวเองให้เข้ามาหาคุณได้ผมคงแค่อยากแก้ไขในสิ่งที่ตัวเองทำผิดไป” “แบบนี้นี่เอง” “ผมขอโทษด้วยนะครับที่เหมือนมาใช้คุณเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น” มาถึงตรงหน้าสีหน้าของคุณจอห์นคนที่คอยพูดแต่เรื่องที่ทำให้เขาสบายใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและล่องลอยความเศร้าก็เกิดขึ้นเมื่อคุณจอห์นต้องพูดเรื่องเก่าเรื่องนั้น “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องขอโทษอะไรผม” “ขอบคุณครับ” ทอมมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นด้วยความบังเอิญในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยลาแล้วเขาก็ได้เห็นถึงแววตาความรู้สึกผิดการโทษตัวเองและแน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกส่งมาให้กับเขาแต่มันเป็นความรู้สึกที่ติดค้างกับตัวของคุณจอห์นที่กำลังส่งไปให้กับคนๆ นั้นแล้วแววตานี้มันก็ช่างเหมือนกับแววตาของแฟรงค์ตอนที่กำลังรู้สึกผิดและขอโอกาสจากเขาไม่ต่างกันเลย “อย่าโทษตัวเองเลยครับ คนๆนั้นคงไม่อยากให้คุณเป็นแบบนี้” “ไม่จริงหรอกครับผมทำผิดเอาไว้มากขนาดนั้นเขาไม่มีวันให้อภัย” “เย็นนี้คุณจอห์ว่างไหมครับ?” “ว่างครับคุณทอมมีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่า?” “เย็นนี้เรา...ไปหาที่นั่งคุยกันดีไหมครับ?” ในเมื่อหลายวันมานี้เขาได้รับการเอาใจใส่จากคุณจอห์นจนทำให้เขาสามารถลืมเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดไปได้ชั่วคราวเขาว่ามันก็ถึงเวลาที่เขาจะตอบแทนโดยการเอาใจใส่ความรู้สึกของคนที่เขารู้จักบ้างแล้วละ TBC ขอบคุณค่ะ
Day 9 : แฟนเก่า "ขอโทษด้วยครับที่ผมลงมาสาย คุณจอห์นมารอผมนานรึยังครับ?" "ไม่นานครับไม่นาน" "สรุปแล้วเราจะไปร้านไหนกันดีครับ? คุณจอห์นได้เลือกร้านเอาไว้รึยัง?" "หมายความว่ามื้อนี้คุณทอมให้ผมเป็นเลือกร้านคนเดียวจริงๆ?" "ครับ ก็คุณจอห์นเป็นเจ้าถิ่นน่าจะรู้จักร้านอาหารดีกว่าผม" เมื่อเช้าเขาสองคนนัดกันเอาไว้ตอน 6.15 PM ที่หน้าตึกที่ทำงานของเขาแต่เขาก็ยังสายสำหรับการนัดครั้งนี้ไปถึง 10 นาทีเพราะการประชุมของวันนี้จบปิดงานได้ช้ากว่าที่คิดทั้งที่ความจริงแล้วไอ้ 15 นาทีนั้นมันมีไว้สำหรับการเดินจากตึกของคุณจอห์นมาถึงที่นี่ โชคดีที่ตึกของเขาสามารถให้คนนอกเข้ามานั่งรอในอาคารได้เขาเลยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องความหนาว ถ้าเกิดคุณจอห์นต้องรอเขาทางด้านนอกของตัวอาคารเขาคงรู้สึกผิดมากกว่าแค่มาสายแน่นอน "งั้นเดี๋ยวผมพาไปร้านซุปร้านนึงแถวไชน่าทาวน์แล้วกันครับ อากาศแบบนี้ได้ของร้อนคงจะดี คุณโอเคไหมครับ?" "ตกลงครับ" ไชน่าทาวน์อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของเขามากเท่าไหร่ถ้าเดินก็คงใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงแต่เขาทั้งสองคนเลือกที่จะเดินทางกันด้วยรถบัสประจำทางแทนการเดินเนื่องจากอากาศที่เหลือเพียง 9 อาศาเท่านั้น "เชื่อแล้วครับว่าเป็นร้านเด็ดอย่างที่คุณบอกเอาไว้จริงๆ" ร้านอาหารนี้ถูกตกแต่งในสไตล์ของร้านที่มาจากเมืองจีนโดยทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทางด้านนอกของร้านที่ใช้ตัวอักษรจีนเขียนชื่อร้านแล้วถูกวงเล็บไว้ด้วยภาษาอังกฤษ โคมไฟที่ถูกแขวนเอาไว้ทั้งสองข้างของประตูหน้าร้านก็เป็นสไตล์ของเมืองจีนมองแล้วเหมือนพวกเขากำลังเดินเข้าโรงเตี้ยมชื่อดังที่เมืองจีนไม่ใช่ที่เมืองนอกแบบนี้ โต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ทางด้านในร้านทำมาจากไม้ทั้งหมดแถมชุดของพนักงานเสริ์ฟก็ยังใส่ชุดแบบจีนที่มีการดัดแปลงให้เข้ากับงานที่ต้องคล่องตัว สิ่งแวดล้อมทั้งหมดมันสามารถทำให้ผู้ที่มาที่ร้านสามารถนึกถึงบรรยากาศของเมืองจีนได้ไม่ยากเลย การตกแต่งที่โดดเด่นแบบนี้เขาเองเลยไม่แปลกใจที่ในร้านแน่นขนัดไปด้วยผู้คนแถมแถวที่รอคิวทานอาหารยังต่อยาวออกมาหน้าถนน "ไม่ต้องห่วงครับผมได้โทรมาจองเอาไว้แล้ว เรามีที่นั่งแน่นอน" "แล้วตอนแรกคุณบอกให้ผมช่วยเลือกระหว่าง 2 ร้าน ถ้าผมเลือกไปอีกร้านนึงคุณจะทำยังไงกับร้านนี้? ถ้าเราไม่มาเขาไม่เก็บโต๊ะรอเราเก้อเหรอครับ?” "ถ้าคุณเลือกอีกร้านผมก็คงต้องโทรมาบอกยกเลิกกับที่นี่เหมือนที่เมื่อสักครู่ผมโทรไปยกเลิกกับอีกร้านครับ" คุณจอห์นคงจะใช้ช่วงเวลาที่เขากำลังมองสำรวจร้านอยู่โทรไปยกเลิกกับอีกร้าน เรามาก่อนถึงเวลาที่จองเอาไว้ไม่นานเลยใช้ช่วงเวลารอเพียงครู่เดียวเท่านั้นชื่อของเราก็ถูกเรียกให้เข้าไปในร้าน "อาหารเป็นยังไงบ้างครับ?" "เป็นอาหารจีนที่ไม่เหมือนกับทางเมืองของผมเลยครับ แต่ว่าก็อร่อยดีครับ" "ค่อยโล่งอกหน่อย ผมแอบกังวลว่าคุณจะทานไม่ได้" อาหารจานหลักหมดไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเพราะความหิวหรือเพราะอาหารที่อยู่ตรงหน้ามันอร่อยมากกันแน่ "เรื่องเมื่อเช้า..." "ครับ" "เขาคนนั้นเป็นคนคิดมากครับ" ระหว่างที่โต๊ะของเขากำลังรอของหวานมาเสริ์ฟคุณจอห์นก็เป็นคนเปิดประเด็นเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมา "ตอนนั้นรู้ทั้งรู้แต่ผมก็ยังคงปล่อยให้เขาคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานหรือเรื่องของผม" "..." ทอมได้แต่พยักหน้าว่าเขายังรับรู้และรับฟังอยู่แต่ที่เขาไม่ได้พูดออกความเห็นของเขาออกไปเพราะเขาคิดว่ามันยังไม่ถึงจังหวะที่เขาจะสามารถพูดอะไรออกไป "เขาคอยระแวงผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเขาต้องคอยระแวง ทำไมเขาไม่เคยเชื่อว่าผมรักเขา แต่ที่น่าตลกที่สุดในความสัมพันธ์ของผมกับเขาคุณรู้ไหมครับว่ามันคืออะไร?” “...” เขาไม่ได้ตอบเป็นคำพูดออกไปเขาเพียงแค่ส่ายศรีษะแทนคำตอบของเขา “คือผมเองก็ไม่เคยถามกับเขาว่าทำไม ผมเอาแต่เก็บคำถามเหล่านั้นเอาไว้ในใจของผมเองแล้วก็ปล่อยให้เรื่องราวระหว่างเรามันคาราคาซังอยู่แบบนั้น" “...” "และเพราะความคิดบ้าๆ ที่ว่าถ้าเขารักผมจริงเขาต้องเข้าใจผมและเชื่อใจผม และยอมรับได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ความเชื่อมั่นที่ผิดๆ นั้นของผมมันทำให้ในที่สุดผมต้องเสียเขาไป" "..." "ผมเสียเขาไปทั้งๆ ที่เรายังไม่เข้าใจกัน ไม่ได้พูดกัน" "คุณก็เลยโทษตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาว่าเป็นเพราะคุณปล่อยให้เขาคิดมากคุณเลยเสียเขาไป คุณเลยอยากมาแก้ตัว ... กับผม?" "ใช่ครับ วันที่ผมเห็นคุณเป็นครั้งแรกแววตาของคุณในวันนั้นไม่ต่างจากเขาในวันสุดท้ายที่ผมเห็นเขา แววตาของคนคิดมากคนที่ไม่มีทางออกหลังจากนั้นผมเลยเฝ้าสังเกตุคุณตลอดมา” "แล้วคุณได้ลองปรับความเข้าใจกับเขาหรือยังครับ? ผมว่าคุณกำลังแก้ไขเรื่องที่ถูกแต่ผิดคน คุณน่าจะไปขอโอกาสจากเขาและทำดีกับเขาไม่ใช่กับผม" ที่เขาพูดออกไปไม่ใช่ว่าเขารู้สึกโกรธคุณจอห์นเพียงแต่เขาต้องการให้คุณจอห์นได้ทำเรื่องที่ถูกต้องและไม่หลงทางเพราะเขาไม่ได้คิดว่าเขาคือทางออกของปัญหานี้ "มันไม่มีโอกาสนั้นสำหรับผมแล้วละครับ มันสายเกินไปแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปขอโอกาสแก้ตัวกับเขาได้แล้ว" "เขามีคนใหม่แล้วเหรอครับ?" "เปล่าครับ" "..." "เขาจากผมไปแล้วครับ 'แฟนเก่า' ของผมเขาหนีการคิดมากของตัวเอง หนีผม และไม่เปิดโอกาสให้ผมได้แก้ไขกับสิ่งที่เกิดโดยการหลับและจากโลกนี้ไปตลอดกาลครับ" TBC ขอบคุณค่ะ
Day 10 – Coming of age “แฟรงค์ผมขอคุยด้วยหน่อยสิ” “มีอะไรด่วนไหมไรอัน? ผมต้องรีบเตรียมเสนอการประชุมบ่ายนี้” “ก็ให้ลูกน้องของคุณทำไปก่อนได้ไหม?” “แต่ฉันต้องเป็นคนเสนอโปรเจ็คนี้ให้ลูกน้องทำแล้วฉันจะไปพูดอะไรได้ ว่าแต่รอหลังประชุมไม่ได้เหรอไงรีบอะไรปานนั้น?” “เรื่องของลิส” แฟรงค์หยุดมือที่ง่วนกับเอกสารกองมหึมาที่ถูกตั้งอยู่ตรงหน้าของเขาแล้วละสายตาไปมองผู้ที่บุกรุกเข้ามาในห้องส่วนตัวของผู้ช่วยหัวหน้าแผนกอย่างเขาโดยที่ไม่ได้มีแม้แต่การเคาะบอกหรือขออณุญาตแต่อย่างใด “อ้อ เรื่องนี้นี่เอง” ไรอันคือหนึ่งในพนักงานของบริษัทแห่งนี้เขาและไรอันรู้จักกันจากงานๆ นึงที่เขาต้องทำรวมกับฝ่ายอื่น ถ้าถามกันเรื่องความสนิทเขากับไรอันก็แค่ทักทายเวลาเจอหน้ากันแต่ไม่ได้ถึงขั้นว่าจะนัดเจอกันนอกเวลางาน แต่แล้วก็เหมือนว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับอฟรงค์เมื่อจู่ๆ คนที่ไม่ได้สนิทเป็นพิเศษกลับกลายเป็นคนที่พาลิสมาที่ทำงานพามาให้เขารู้จัก เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่เขารู้จักกับลิสคือการไปสัมนาต่างจังหวัดซึ่งปีนั้นดันเป็นปีที่แผนกเขาเป็นหัวหน้างานไรอันจึงต้องเข้ามาหาเขาเพื่อแจ้งความจำนงขอเอาเพื่อนไปร่วมทริปด้วยซึ่งทางเขาและบริษัทก็ไม่ได้ว่าอะไรลิสถึงได้ร่วมไปกับทริปของที่ทำงานในครั้งนั้นด้วย เขารู้ว่าตลอดว่าลิสมองเขาด้วยสายตาแบบไหนแต่เขาก็ไม่เคยเล่นด้วยหรือเปิดโอกาสให้กับลิสเขาเว้นระยะห่างอยู่เสมอ แต่ในวันงานเลี้ยงฉลองปิดโปรเจคใหญ่ของแผนกวันที่เขารู้สึกโล่งอกที่เขาทำสำเร็จ วันที่เขาเพิ่งจะคลายเครียดกับการอย่างชิงตำแหน่งหัวหน้ากับคนที่มีคุณสมบัติอีกเป็นสิบลิสก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน ลิดบอกกับเขาว่ามาร่วมงานเพราะว่าต้องมาดูแลไรอันเขาแค่พยักหน้ารับและเริ่มดื่มต่อ หลังจากรู้ตัวว่าเมาเขาพยายามพาตัวเองกลับบ้านแต่มันไม่เป็นไปตามที่คิดเขาเมาเกินกว่าจะสามารถควบคุมสติได้และนั้นมันก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทุกอย่างในวันนี้ “ถ้าเรื่องนั้นผมว่าเดี๋ยวหลังเลิกงานเราค่อยคุยกันก็ได้” “แล้วคุณก็จะรีบหนีหายไปใช่ไหม?” “เฮ้ย ทำไมพูดแบบนี้!!” “หรือว่าไม่จริง? ลิสเล่าให้ผมฟังหมดแล้วทั้งเรื่องที่เธอต้องมาแบกหน้ารับเรื่องพวกนี้อยู่คนเดียว เรื่องที่คุณเอาแต่วิ่งหนีเธอจนตอนนี้เธอไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนเธอต้องมาวิ่งวุ่นตามให้พ่อของเด็กมารับผิดชอบทั้งๆ การที่เธอจะท้องได้มันไม่ใช่เพราะตัวเธอเพียงคนเดียวสักหน่อย!!” “...” “เด็กมันโตขึ้นทุกวัน แล้วลิสก็ตัวแค่นั้นท้องมันป่องฟ้องออกมาแล้วคุณจะให้เธอทำยังไง!!” “ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าข้างเธอไปแล้ว แบบนี้ผมมีอะไรต้องพูดอีกไหม? หรือแค่จะมาเพื่อสั่งสอนกัน?” “ตอบมาสิว่าแล้วมันจริงอย่างที่เธอพูดไว้ไหมละ?!!?” แฟรงค์อยากที่จะตะโกนว่า ‘ไม่จริง’ ปฎิเสธใส่หน้าของไรอันแต่เขาก็ทำไม่ได้เพราะสิ่งที่ไรอันพูดมาทั้งหมดมันคือเรื่องจริง เขายอมรับว่าเขาหนีเพราะเขายังไม่พร้อมที่เผชิญหน้ากับเรื่องนี้ตอนนี้ไม่สิมันไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะสนใจเพราะเรื่องที่เขาสนใจคือเรื่องของอีกคน “ไรอันผมรู้ว่าคุณอาจจะโกรธแทนเพื่อนของคุณแต่ผมบอกลิสไปแล้วว่าจะจัดการทุกอย่างหลังจากเรื่องมันเข้าที่กว่านี้ ผมบอกเธอไปหลายครั้งแต่เธอก็ไม่เคยฟังผมเลย” “มันจะอยากอะไรกับอีแค่ยอมรับ” “สำหรับคนอื่นผมไม่รู้แต่สำหรับผม ผมไม่สามารถตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้เพียงคนเดียว!! อีกอย่างถ้าลิสรู้สึกว่าการมีลูกมันทำให้เธอไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนฝากบอกเธอด้วยแล้วกันว่าให้วางเอาไว้ที่เดิมนั้นแหละ” “เฮงซวย!!” “คุณไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า อย่าให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณต้องมาพังเพราะลิสไปอีกคน” “อ้อ เหมือนไอ้ความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างคุณกับทอมนะเหรอ?” “อย่าเอาเขามาเกี่ยวด้วยเขาไม่เกี่ยว!!” “ผมไม่น่าแนะนำให้ลิสมารู้จักกับคนห่วยๆ อย่างคุณเลยจริงๆ ไม่แปลกที่ตอนนี้คุณจะวิ่งเป็นหมาบ้าไล่ตามคนนั้นเพราะถ้าเป็นผม ผมก็ไม่เอาคุณเหมือนกัน!!” ผลั่ก สิ้นเสียงตะโกนของไรอันก็เกิดเป็นเสียงของการต่อยตีของคนทั้งสองดังขึ้นมาจนเพื่อนร่วมแผนกต้องเปิดประตูเพื่อเข้ามาแยกคนทั้งสองออกจากกัน “ทำไม!! พอพูดความจริงเข้าหน่อยก็รับไม่ได้รึไง? ไอ้คนขี้ขลาด ไอ้คนไร้ความรับผิดชอบ ไอ้สารเลว” ไรอันที่กำลังถูกลากให้ออกจากห้องโดยเหล่าลูกน้องของเขายังไม่หยุดความพยายามที่จะตะโกนด่าเขา แม้ว่าตอนนี้จะไม่สามารถเห็นตัวของไรอันแล้วแต่เสียงของไรอันยังดังไปทั่วทั้งแผนกงาน “ทำไมมานั่งในรถแบบนี้ไม่เข้าบ้านละ?” เกาะๆ เสียงเคาะกระจกรถเรียกให้เขาหลุดออกจากภวังค์ หลังจากเลิกงานเขาขับรถตรงมาที่บ้านของพ่อทอมแต่ในช่วงที่เขาจะลงไปกดกริ่งเพื่อให้คนในบ้านมาเปิดประตูให้จู่ๆ ความละอายก็พุ่งขึ้นสูงจนเขาไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปในบ้านหลังนี้แต่เขาอยากหาที่พักสมองหลังจากวันนี้เจอแต่เรื่องหนักๆ มาแล้วเขาก็คิดที่ไหนที่จะทำให้เขาสบายใจไม่ออกอีกแล้วยกเว้นที่บ้านหลังนี้เขาจึงเลือกที่จะมานั่งอยู่ในรถรอเวลาให้ตัวเองสบายใจขึ้นแล้วค่อยจากไป เขาเอารถมาจอดฝั่งตรงข้ามบ้านแถมเยื้องออกไปนิดหน่อยเพื่อที่จะไม่ได้เป็นจุดสังเกตุของคนในบ้านทอมมากนักแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถรอดสายตาของพ่อทอมไปได้ “ผม...” “อยากพูดให้พ่อฟังไหม?” “ผม...” “พ่อกำลังจะไปเดินเล่นที่สวนในหมู่บ้าน อยากไปด้วยกันไหมละ?” “ไปครับ” ตลอดเวลาที่เดินไปที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านเขาได้แต่เดินเงียบๆ ตามหลังของพ่อทอมไป แผ่นหลังของพ่อทอมไม่ได้ดูกว้างใหญ่แต่มันเต็มไปด้วยความอบอุ่นอาจจะเป็นเพราะพ่อต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับทอมตั้งแต่แม่ของทอมเสียไปด้วยอุบัติเหตุตอนนั้นทอมเพิ่งจะ 12 ปีได้เองมั้งถ้าความจำของเขาไม่คลาดเคลื่อน เพราะพ่อทอมมีแผ่นหลังที่ดูแล้วอบอุ่นแบบนี้สินะทุกครั้งที่ทอมมีปัญหาจึงต้องกลับมาเติมพลังให้ตัวเองที่บ้านของพ่อทุกครั้ง งั้นในเมื่อพ่อเคยพูดว่าเขาก็เป็นเหมือนลูกของพ่ออีกคนนึงถ้าตอนนี้เขามีปัญหาละ “ผมทำผิดต่อทอมครับพ่อ” “พร้อมที่จะพูดให้พ่อฟังแล้วเหรอ?” “ครับ ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นผมที่ผิดครับ ผมไปทำให้ผู้หญิงคนนึงเขาท้อง ผมนอกใจทอมครับ” พ่อของทอมหยุดเดินไปทางด้านหน้าแล้วเดินถอยหลังมาเพื่อให้ได้ยืนอยู่พื้นที่ข้างกันกับเขา พ่อไม่ได้พูดอะไรพ่อแค่มาหยุดยืนแล้วทอดสายตามองออกไปทางด้านหน้าเท่านั้น “ผมพยายามอธิบายกับทอมแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เกิดจากความรักและผมไม่ได้ต้องการผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างมันเป็นเพียงความพลั้งเผลอและความมักง่ายของผม แต่ทอมไม่ฟังผมเลยครับพ่อ ทอมไม่ฟังผมเลยเรามีแต่ทะเลาะกันจนในที่สุดทอมเขาก็หนีผมไป” “เราไม่ต้องการผู้หญิงแล้วเด็กที่กำลังจะเกิดขึ้นละ?” “ผม...ผมก็ไม่รู้ครับ” “แล้วทางผู้หญิงฝั่งนั้นว่าอย่างไรบ้าง?” “ผมยังไม่ได้คุยกับเธอเรื่องลูกครับ ผมไม่กล้าที่จะตัดสินใจผมไม่กล้าทำอะไรเลย ผมอยากให้ทอมอยู่ตัดสินใจกับผมเพราะผมยังต้องมีเขาในชีวิตของผม ผมจึงเอาแต่หันหลังให้กับเธอคนนั้น” “แฟรงค์ฟังพ่อนะ เรากำลังพูดถึงอีก 1 ชีวิตที่กำลังจะเติบโตขึ้นมาและ 1 ชีวิตนั้นก็กำลังจะเติบโตได้ก็เพราะเรา เพราะฉะนั้นไม่ว่าแฟรงค์จะคิดอย่างไรกับการมีเขาแฟรงค์ต้องคุยให้รู้เรื่อง” “ผม....” “เด็กกำลังจะโตขึ้น ตัวแฟรงค์เองก็สมควรที่จะโตขึ้นได้แล้ว เรากำลังจะเป็นพ่อคนแล้วนะ” “แต่ผมไม่อยากเสียทอมไป” “พ่อไม่เชื่อว่าทอมจะหันหลังให้กับเราเพียงเพราะเรื่องของเด็กคนนึง เขาคงต้องการแค่เวลา” “ครับ” สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกันแค่เขาเล่าเพียงเท่านี้พ่อยังรู้เลยว่าคำขอก่อนที่ทอมจะหนีไปจากเขาทอมขออะไรเอาไว้ “แฟรงค์เองก็ต้องการเวลาเหมือนกัน เอาเวลาที่มีนี้ไปเคลียร์เรื่องให้เรียบร้อยอย่าให้มันสูญเปล่าทำให้การเดินทางของเวลามันมีคุณค่า” “ครับ ขอบคุณครับพ่อ” “อีกอย่างนะ” “ครับ?” “อย่าไปรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแฟรงค์ให้ถือซะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมามันคือบทเรียนในชีวิตที่จะทำให้เราเติบโตขึ้น” “ครับ” “ส่วนเรื่องของทอม ถ้าเรื่องนี้ผ่านไปได้พ่อเชื่อว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนมันก็จะเติบโตและแข็งแรงขึ้นไปอีกขั้น เพราะฉะนั้นอย่าเอาแต่เสียใจซะละ” “ผมขอโทษนะครับพ่อ” “ไม่มีใครจะเติบโตขึ้นมาโดยที่ไม่ก้าวพลาดเชื่อพ่อสิว่าไม่มี” TBC
Day 11 ผ้าปูโต๊ะ “แฟรงค์!!” “สวัสดีลิส” “ทำไมจะมาหาแล้วไม่บอกกันก่อนฉันจะได้ลงมาเร็วกว่านี้” “ไม่เป็นไรผมก็เพิ่งมาไม่นาน” หลังจากที่เมื่อวานแฟรงค์ได้พูดคุยกับพ่อของทอมเขาก็กลับไปนั่งคิดทบทวนกับตัวเองกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดและหลังจากที่ได้ทบทวนวันนี้หลังจากเลิกงานเขาจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาไม่ใช่วิ่งหนีมันแล้วเอาทอมมาอ้างอย่างที่ผ่านมา “นายลงทุนมารอฉันที่บริษัทแบบนี้แสดงว่านายพร้อมที่จะพูดเรื่องของเราแล้วใช่ไหม?” “ใช่” “งั้นเราจะพูดกันที่ไหนดี? ที่บ้านของฉันไหม? ฉันจะได้โทรบอกพ่อกับแม่” “ก่อนที่จะพูดเรื่องของเรา ผมอยากชวนคุณไปซื้อของกับผมก่อนไม่รู้ว่าคุณพอไหวไหม?” “นายจะซื้ออะไรเหรอ?” “ผ้าปูโต๊ะนะ” “ผ้าปูโต๊ะ?” “ใช่แค่ผ้าปูโต๊ะผืนเดียวเท่านั้น” “ได้สิแค่เลือกผ้าปูโต๊ะเอง” หลังจากตกลงกันเรียบร้อยเขาก็ขับรถพาลิสไปที่ร้านขายของชุดตกแต่งบ้านโดยเฉพาะ พอไปถึงที่ร้านพวกเขาทั้งสองคนก็เดินตรงไปที่ชั้นของผ้าต่างๆ “ฉันรู้แล้วว่าทำไมนายถึงชวนฉันมาเลือกไม่ถูกละสิ ไม่เป็นไรฉันเลือกเก่งไว้ใจฉัน ว่าแต่ขอดูรูปโต๊ะของนายหน่อยสิ?” แฟรงค์หยิบมือถือขึ้นมาเปิดรูปโต๊ะที่เป็นโต๊ะหกเหลี่ยมที่ถูกตั้งเอาไว้ติดกับประตูของตอนเข้าบ้านขนาดปานกลางบนโต๊ะนั้นมีแจกันประดับอยู่หนึ่งอันให้ลิสดู ลิสก้มมองรูปนั้นเพียงไม่นานเธอก็พยักหน้ารับและบอกให้เขาปิดรูปนี้ลงได้ “ว่าแต่นายอยากได้สีประมาณไหนละมีคิดเอาไว้ในใจไหม?” “ไม่มีผมขอแค่มันเข้ากับโต๊ะและโทนบ้านก็พอ” “โอเค งั้นฉันเลือกเลยนะ” “อื้ม” เธอเดินตรงไปมุมที่มีผ้าม้วนผืนใหญ่วางโชว์อยู่แล้วค่อยๆ หยิบเลือกดูทีละชิ้นแต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่มีอยู่ที่มุมนั้นมันไม่สามารถทำให้เธอพอใจได้เท่าที่ควรเธอจึงเรียกพนักงานมาเพื่อที่จะขอดูตัวอย่างของเนื้อผ้าที่มีขนาดที่กว้างพอที่จะปูไปที่โต๊ะได้เพิ่มเติม ยิ่งเรียกดูตัวเลือกก็ยิ่งมากขึ้นมือถือของเขาที่ถูกเก็บลงไปในตอนแรกมันถูกเรียกหาและให้เปิดรูปขึ้นมาดูอีกหลายครั้งจนตอนนี้มือถือของเขาได้ไปในมือของลิสเพื่อเปิดรูปเปรียบเทียบโทนสีให้เข้ากับบ้านเป็นที่เรียบร้อย “เอาผืนนี้แหละค่ะ” แฟรงค์เหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือเขาจึงรู้ว่าลิสใช้เวลาผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมงกว่าที่ลิสจะสามารถเลือกผืนที่รู้สึกถูกใจและลูกสึกว่ามันเข้ากับโต๊ะตัวที่เธอเห็นได้ “คุณหิวข้าวรึยัง?” “หิวมาก งั้นเราจะทานที่ร้านใกล้ๆ หรือว่าเราจะซื้อไปทานที่บ้านกันดี?” “แถวนี้แล้วกันแล้วเราค่อยกลับไปคุยกันที่บ้าน…ผม” ตลอดระยะเวลาของการทานมื้อค่ำไปจนถึงตลอดทางของการเดินทางมาที่บ้านหูของแฟรงค์จะฟังเรื่องราวของแผนการที่ถูกวางเอาไว้จากปากของลิส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานแต่งว่าจะจัดที่ไหน เมื่อไหร่ เรื่องของลูกรวมไปถึงที่อยู่หลังการแต่งงาน “อย่างบ้านหลังนี้ถ้านายชอบมันเราจะอยู่ที่นี่ก็ได้นะฉันย้ายออกมาเอง” “บ้านหลังนี้ผมกับทอมช่วยกันผ่อนมา” เธอเงียบไปอึดใจก่อนที่จะเอ่ยประโยคต่อมา “งั้นนายก็ขายบ้านหลังนี้แล้วแบ่งเงินกันกับทอม ช่วงแรกยังไงไปอยู่คอนโดฉันก่อนก็ได้ถ้าไม่พร้อมซื้อที่ใหม่” “เข้ามานั่งข้างในก่อนสิผมอยากให้คุณลองปู ‘ผ้าปูโต๊ะ’ ที่เพิ่งซื้อมาดูนะ ว่าแต่คุณอยากปูเองหรือให้ผมทำ?” “ฉันทำเองก็ได้ เป็นคนเลือกขอเป็นคนปูด้วยแล้วกัน” “อะหะ” “ว่าแต่ทำไมอยู่ดีๆ เกิดอยากปูมันขึ้นมาละความจริงแค่มีแจกันประดับเอาไว้แค่นี้ก็สวยดีอยู่แล้วนะ” “ผมแค่อยากให้คุณเห็นอะไรนิดหน่อยนะ” “เห็นอะไร?” แม้ว่ามือของเธอยังคงจัดผ้าปูโต๊ะให้เรียบร้อยแต่ใบหน้าของเธอนั้นกำลังหันกลับมามองที่เขาด้วยสายตาที่เริ่มมีความกังวลฉายอยู่ในนั้น “ลิสคุณว่าผ้าปูโต๊ะที่คุณเลือกมันสวยไหม?” “สวยสิถ้าไม่สวยฉันจะเลือกมาทำไม” “คุณลองมายืนที่ตรงผมยืนดูสิ” ลิสยอมเดินถอยห่างออกมาจากโต๊ะตัวนั้นที่ตอนนี้ถูกประดับด้วยผ้าปูโต๊ะที่ใครๆ ก็มักจะคิดว่ามันเป็นของที่คู่กันโดยที่มีแจกันประดับอยู่ทางด้านบนทับลงไป “คุณว่ามันยังสวยอยู่ไหม?” “นี่มันอะไรกันแฟรงค์ ทำไมนายต้องสนใจกับไอ้ผ้าปูโต๊ะกับโต๊ะตัวนี้มากมายไหนนายว่าคุณจะพูดเรื่องของเรา? หรือว่านายก็แค่จะถ่วงเวลา” “ผมพูดแน่เรื่องของเรา แต่คุณลองตอบข้อนี้ให้ผมหน่อยจะได้ไหม?” เธอยอมเงียบและฟังในสิ่งที่เขาขอโดยการที่มองไปรอบที่เธอกำลังยืนอยู่อีกครั้ง “จะว่าไปพอมาวางบนโต๊ะแบบนี้มันก็ไม่สวยนะมันดูไม่เข้ากับห้อง เอาจริงถ้าไม่มีเหมือนเดิมก็น่าจะสวยกว่าแบบนี้ มันดูเยอะไปหมดดูอึดอัดไหนจะแจกันไหนจะผ้าม่านที่ใกล้กันนั้นอีก” “มันก็เหมือนกับเรื่องของเรานั้นแหละ” “แต่ แต่มีผ้าปูโต๊ะอยู่ยังไงซะมันก็ดูดีแม้จะไม่เข้าไปบ้างเพราะมันคือของคู่กัน” “ของที่ใช้คู่กันไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีเสมอกันบางครั้งการไม่มีอาจจะดูสบายตามากกว่า” “แฟรงค์!! นายว่าฉันเหรอ?” “ผมไม่ได้ว่าคุณ ผมแค่อยากเปรียบให้คุณเห็นว่าโต๊ะตัวนี้มันมีแจกันประดับเอาไว้อยู่แล้วและมันก็เข้ากับห้องนี้มากกว่าผ้าปูโต๊ะผืนนั้น” “ถ้าจะพูดเรื่องนี้แบบนี้ฉันขอกลับก่อนดีกว่านายกับฉันคงยังไม่พร้อมที่จะพูดในเรื่องเดียวกัน” “ลิสเดี๋ยวก่อนสิผมถามหน่อยว่าถ้าคุณไม่ได้ท้องคุณเคยมีความคิดถึงขั้นจะแต่งงานกับผมรึเปล่า? คุณเคยอยากคิดจะคบกับผมไหม?” “ฉันคิดสิก็ฉันเคยบอกแล้วไงว่าฉันชอบคุณตั้งแต่แรกแล้ว” เสียงตอบของเธอนั้นเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจแต่เธอยังคงเชิดหน้าตรงและพยายามตอบในสิ่งที่เธอคิดว่ามันควรจะเป็นไป “แล้วหลังจากคุณรู้ว่าผมมีแฟนอยู่แล้วละ?” “แต่แฟนคนนั้นไม่เหมาะกับนาย แฟรงค์ คิดดูนะถ้านายได้คบกับฉันนายก็ไม่จำเป็นที่ต้องกังวลเรื่องชีวิตรักของนายเรื่องที่ทำงานก็ไม่ต้องปิดบังใครอีกต่อไป” “ผมแต่งกับคุณผมได้เรื่องหน้าตาแล้วคุณได้อะไร?” “ฉัน” “คุณแค่อยากรักษาหน้า ไม่อยากเสียหน้าที่เรื่องมันผิดพลาดมาขนาดนี้ถูกไหม?” “ฉัน....” “คุณบอกว่าผมเหมาะกับคุณมากกว่าคนที่ผมรัก งั้นถ้าไม่พูดเรื่องความเหมาะแล้วพูดถึงเรื่องความรักเพียงเรื่องเดียวบ้างละคุณรู้ใช่ไหมว่าผมรักเขา?” “...” “แล้วคุณจะรับได้ไหมที่จะมีผมอยู่ในชีวิตเพื่อรักษาหน้าตาแต่ใจของผมไม่ได้อยู่ที่คุณเลย” “ฉัน…” “ลิสคุณฟังผมนะ...เรื่องลูกคุณไม่ต้องห่วงยังไงผมก็ไม่มีวันที่จะทิ้งเขา เขาคือส่วนนึงของผมผมพร้อมที่จะเป็นพ่อและเต็มใจเป็นที่สุดที่จะทำหน้าที่นี้ผมจะดูแลเขาเต็มความสามารถที่ผมมี” “แต่สำหรับเรื่องของเราผมคงต้องขอบอกตรงนี้ว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้ผมรักคนของผมมากจริงๆ คุณเองถ้าเปิดใจก็น่าจะรู้ตรงนี้ดีว่าเรื่องของเรามันคืออะไรและเดินมาจนถึงจุดนี้ได้อย่างไร” “…” “อีกอย่างต่อให้ผมไปอยู่กับคุณผมก็อยู่ได้แค่ร่างกายของผมแต่ในใจของผมคงคิดถึงเขาเสมอ” “…” “ถ้าคุณเห็นด้วยกับผม ผมก็พร้อมเสมอที่จะนั่งลงคุยกันเรื่องลูกเราสามารถวางแผนเรื่องลูกด้วยกันได้” ลิสเดินออกไปจากบ้านของเขาแล้วเธอกลับไปโดยที่ยังไม่ได้บอกกับเขาว่าจะสามารถรับข้อเสนอของเขาได้ไหม? เขาก็ได้แต่หวังว่าลิสจะเก็บเรื่องเอาผ้าปูโต๊ะผืนนั้นที่เขาพับเก็บลงตู้ไปแล้วเอาไปคิดและเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะอธิบายกับเธอ TBC
Day 12 พายุ หลังจากเหตุการณ์วันนั้นลิสเธอก็ไม่ติดต่อเขากลับมาอีกเลย ช่วงสองสามวันแรกแฟรงค์ยังสามารถพยายามใจเย็นปลอบตัวเองว่าเธอคงต้องการเวลาในการตัดสินใจ แต่จากวันผ่านไปเป็นอาทิตย์ความใจเย็นของเขาก็เริ่มหมดลงเขาจึงเริ่มเป็นฝ่ายที่ติดต่อเธอไปก่อนแต่แล้วเธอกลับเลี่ยงการติดต่อจากเขาทุกทางไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ที่กดสายเขาทิ้งจนในวันนี้มันได้ก้าวหน้ามาเป็นการบล็อคเบอร์ของเขา เวลาที่ไปหาเธอที่หน้าออฟฟิตเขาก็โดนยามที่หน้าบริษัทของเธอขอร้องให้ออกห่างจากตัวตึก ยิ่งนานวันเท่าไหร่ฉากหน้าที่แฟรงค์คอยยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงานก็เริ่มที่จะหลุดแสดงออกถึงพายุของอารมณ์ที่อยู่ภายในใจของเขาออกมาจนตอนนี้เพื่อนร่วมงานของเขาส่วนใหญ่เริ่มที่จะหลบหน้าและไม่อยากพูดคุยงานกับเขา แฟรงค์รู้ตัวและรู้ทุกการกระทำของตัวเองและเขาก็ไม่ได้อยากพาลกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่คำตอบจากลิสมันจะเป็นเหมือนคำตัดสินอนาคตของเขาเพราะฉะนั้นเขาจึงร้อนใจอยากได้คำตอบจากเธอและความร้อนใจนี้เองที่ทำให้เขาเริ่มสูญเสียการควบคุมอารมณ์ “คุณแฟรงค์ค่ะ มีคนมาขอพบค่ะ เขาบอกว่าเขาชื่อ ลิสซ่า ค่ะ” “คุณให้เขาเข้ามาได้เลยครับ” แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะพังลงเธอก็เป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขา เขาเคยคิดว่าความร้อนใจจะหมดลงถ้าเขาได้รับคำตอบของเธอแต่พอถึงวันที่เขาอดทนรอมาตลอดมาถึงเข้าจริงๆ ปรากฎว่าเขากลับยิ่งรู้สึกกระวนกระวายมากกว่าเดิมและมีความรู้สึกที่อยากยืดวันที่ได้รับคำตอบออกไป ถ้าเธอตกลงและยอมรับได้ในเงื่อนไขนั่นก็หมายความว่าเขาจะมีโอกาสได้ไปปรับความเข้าใจกับทอมแล้วขอโอกาสให้เขาได้แก้ตัวอีกสักครั้งแต่ถ้าเธอปฎิเสธเงื่อนไขที่เขาให้มันก็จะมีเพียงทางเลือกเดียวคือเขาต้องแต่งงาน ถ้าเป็นแบบหลังโอกาสที่เขาจะได้ความรักของเขากลับคืนมาอีกครั้งมันคงจะริบหรี่เพราะทอมคงไม่ยอมที่จะเป็นมือที่สามของครอบครัวใคร เขาจึงได้แต่เฝ้าภาวนาให้เธอเข้าใจและยอมรับในเงื่อนไขนั้น เขาเดินวนอยู่ในห้องรอให้ใครอีกคน “ลิสอยากได้อะไรไหม? เดี๋ยวผมบอกให้ผู้ช่วยเอาเข้ามาให้” “ไม่เป็นไรฉันมาพูดไม่นาน” “โอเค” เธอไม่ได้ลงนั่งตามคำเชิญของเขาแต่เลือกเดินไปที่มุมหน้าต่างของห้องที่มีโต๊ะเล็กวางอยู่ เธอเอามือสัมผัสที่ขอบโต๊ะนั้นที่ถูกประดับด้วยกรอบของบัตรประกาศนียบัตรอะไรสักอย่างเขาเองก็จำไม่ได้เช่นกันรู้แต่ว่าทอมเป็นคนเอามาวางเอาไว้ให้ “นายไม่ชอบผ้าคลุมโต๊ะสินะเพราะไม่ว่าจะเป็นโต๊ะตัวไหนที่นายมีฉันก็ไม่เห็นนายใช้มัน น่าแปลกที่ฉันไม่เคยสังเกตุมาก่อน” “ผมว่ามันไม่เหมาะกับผม” สิ้นคำของเขาเธอก็ละสายตาจากเขาและมองออกไปนอกหน้าต่าง ในแววตาของเธอในวันนี้มันไม่เหมือนกับหลายครั้งก่อนที่เขาและเธอเจอกันครั้งนี้มันไม่ใช่แววตาที่มีแต่การดึงดันและความไม่ยอมแพ้ ในวันนี้สายตาของเธอแม้มันจะมีความเศร้าความอ่อนล้าแต่มันยังมีความอ่อนแสงลงของความอยากเอาชนะเหมือนกับว่าเธอพร้อมที่จะวางมือกับอะไรสักอย่างแล้ว “นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องการนายมาอยู่ข้างกายฉัน” “ผมไม่รู้” “การที่มีนายอยู่ประดับว่าเป็นสามีของฉันมันคงช่วยในเรื่องหน้าตาของฉันที่มันถูกแขวนประดับอยู่ในวงสังคม การท้องไม่มีพ่อมันยากมากสำหรับฉันที่ต้องเผชิญ” “…” “แต่ฉันคงจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตถ้าฉันจะต้องอยู่กับคนที่มีหน้าที่อมทุกข์ตลอดเวลาที่เจอหน้ากัน และลูกที่เกิดขึ้นมาก็คงไม่มีความสุขเหมือนกัน แล้วถ้าเราเลิกกันนายกลับไปหาคนของนายพร้อมกับคำว่าหย่า เรื่องเหล่านั้นนายรู้ไหมว่ามันยากที่จะรับมือมากกว่าท้องไม่มีพ่อเสียอีก” พูดมาถึงตรงนี้เธอก็วางมือของเธอลงไปที่ท้องที่เริ่มโป่งนูนออกมาแล้วค่อยๆ ลูบไปรอบท้องของเธอด้วยสีหน้าของความอ่อนโยน “หลังจากที่ได้คิดอย่างถี่ถ้วนจากสิ่งที่นายพูด ฉันจะไม่ขอหรือบังคับให้นายมาแต่งงานกับฉันอีก” “ลิสคุณ..” “แต่เรื่องของเด็กคนนี้ ฉันไม่ต้องการให้เขาไม่มีพ่อและฉันไม่ต้องการให้เขาต้องมารับรู้ข่าวอะไรที่ทำให้เขาเสียใจ” “ไม่ว่าจะยังไงเด็กคนที่กำลังจะเกิดมาเขาก็เป็นลูกของผมและคุณ ข้อนี้มันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลยลิสคุณไม่ต้องห่วงว่าผมจะทอดทิ้งเขาหรือคุณให้ลำบาก” “นายก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้ห่วงเรื่องความลำบากฉันมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงดูเขา แต่ถ้าเราไม่แต่งงานกันไม่ได้อยู่กันเป็นครอบครัว แล้วมันจะเป็นยังไงนายจะดูแลเขายังไง? และมันจะเรียกว่าครอบครัวได้ยังไง?” “ผมพร้อมจะทำหน้าที่พ่อของผม ผมจะดูแลเขาให้เติบโตเราจะช่วยกันเลี้ยงเขาขึ้นมาแม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเหมือนกับครอบครัวอื่น” “…” “ผมจะไม่หันหลังให้กับคุณในวันที่คุณมีปัญหาหลังจากวันนี้ผมสัญญาว่าจะไม่หนีหน้าคุณอีก วันนี้เราสองคนอาจจะนึกภาพครอบครัวแบบนั้นกันไม่ออกแต่ผมเชื่อว่ามันจะมีทางไปของมันตามวันและเวลา และแน่นอนเด็กคนนี้จะไม่ต้องมานั่งเสียใจจากข่าวที่ไหนเพราะเราจะไม่มีความลับต่อเขาและผมเชื่อมั่นว่าลูกต้องเข้าใจ” “ก็ขอให้นายทำอย่างที่รับปากไว้ให้ได้ก็แล้วกัน” “ขอบคุณมากนะลิส ขอบคุณที่เข้าใจกัน” “ฉันมาเพียงแค่นี้แหละ” แฟรงค์ขออาสาไปส่งเธอที่บริษัทแต่เธอก็ได้ปฎิเสธความช่วยเหลือนั้นจากเขา เขาจะไปส่งเพราะว่าเธอเริ่มมีอาการแพ้ท้องเลยไม่ได้ขับรถมาด้วยตัวเอง ด้วยความกังวลว่าเธอจะกลับไปบริษัทของตัวเองอย่างไรเขาจึงลองเดินตามเธอมาจนถึงทางด้านหน้าของบริษัทแล้วเขาก็ได้เห็นว่าไรอันกำลังเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่งเมื่อได้เห็นอย่างนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกโล่งใจและเดินกลับขึ้นไปทำงานของตัวเองอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อพายุอารมณ์และเรื่องราวที่เหมือนอยู่ท่ามกลางพายุต่างๆ จะผ่านไปได้แบบเรียบง่ายเหมือนว่าที่ผ่านมามันไม่ได้เคยสร้างเสียหายอะไรเอาไว้ “ซื้ออะไรมาเยอะแยะเรา” “จะมาฝากท้องมื้อเย็นถ้าผมมามือเปล่าผมกลัวย่าไม่ให้ผมเข้าบ้านน่ะครับ” “พูดไปเราทำไมย่าจะไม่ให้เราเข้ามาละ?” “คุณย่าหิวยังครับผมจะได้เอาไปให้เด็กในครัวตั้งโต๊ะ” “ไม่รอตาเบริ์ตก่อนเหรอ?” “พ่อกำลังเข้ามาครับผมเพิ่งวางสายจากพ่อเมื่อกี้” “งั้นก็ตั้งโต๊ะเลยแล้วกัน” “ครับ” หลังจากที่ลิสกลับไปเขาเอาแต่ใจจดจ่อเฝ้ารอให้ถึงเวลาเลิกงานเสียทีเพราะคนแรกที่เขาอยากบอกข่าวดีนี้ด้วยก็คือพ่อของทอมคนที่พูดให้เขายอมรับกับความจริง พอได้เวลาเลิกงานเขาจึงแวะเข้าตลาดเพื่อหาซื้อกับข้าวและขนมหวานที่เป็นของถูกปากของย่าทอมก่อนที่จะตรงไปที่บ้านหลังนั้น เมื่อบ่ายเขาได้แจ้งกับพ่อของทอมเอาไว้คร่าวๆ ในโทรศัพท์แล้วว่าวันนี้เขามีเรื่องที่อยากจะคุยด้วยเพราะงั้นหลังจากมื้อเย็นจบลงเขานั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้านเพื่อให้พ่อขึ้นไปส่งคุณย่าขึ้นห้องนอนให้เรียบร้อยแล้วก็ใช้เวลาเพียงไม่นานที่พ่อก็กลับลงมาหาเขาที่นั่งรออยู่ “อ่ะ ว่าธุระของเรามาได้เลยแฟรงค์” “เรื่องที่ผมมาปรึกษาพ่อวันนั้น” “เป็นอย่างไรบ้าง?” “ทางผู้หญิงคนนั้นเขายอมรับเงื่อนไขของผมครับ เขายอมล้มเลิกเรื่องงานแต่งระหว่างเราและก็ยินยอมให้ผมมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูก” “พ่อยินดีด้วยที่เรื่องราวสามารถจบลงได้ตามความต้องการทั้งสองฝ่าย” “ขอบคุณนะครับพ่อที่พูดให้ผมเข้าพุ่งชนปัญหาไม่วิ่งหนีมัน” “งั้นตอนนี้ก็สบายใจได้แล้วสิ” “ยังหรอกครับ ตอนนี้ผมก็มีอีกเรื่องเดียวที่ยังต้องจัดการ” “เรื่อง?” “ปรับความเข้าใจกับทอมครับ ก่อนที่ทอมจะหนีผมไปความสัมพันธ์ของผมกับเขามันแย่มาก ผมก็ได้แต่หวังว่าทอมจะใช้เวลาอีกไม่นานที่จะอยู่เพียงคนเดียวและยอมกลับมาให้ผมได้อธิบายสิ่งต่างๆ และหวังว่าเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง” “ถ้าทอมเขากลับมาแฟรงค์อยากจะพูดอะไรกับเขา?” “ผมก็คงอธิบายถึงสิ่งที่เกิดว่ามันเกิดจากอะไรแล้วก็คงบอกกับเขาทุกอย่างถึงข้อตกลงที่ผมกับผู้หญิงคนนั้นมีร่วมกันและหลังจากนั้นผมคงให้เขาตัดสินใจว่าเขาอยากที่จะให้อภัยผมไหม” “แล้วถ้าทอมยังไม่ยอมกลับมาหาเราอย่างที่เราต้องการละ?” “ผมก็คงไม่บังคับแต่ผมก็คงไม่ยอมแพ้” “ไม่ยอมแพ้? แล้วถ้าเกิดทอมเขามีคนใหม่?” “ไม่รู้สิครับ เขาคือความรักของผมครับพ่อ ผมคงทำใจไม่ได้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะรับมือกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร” พ่อของทอมไม่ได้แนะนำถึงสิ่งที่ผมต้องทำต่อไป ไม่ได้ห้ามให้ผมหยุดตามตื้อลูกชายของเขาถ้าเกิดลูกชายของเขามีคนใหม่ พ่อของทอมทำแค่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วปล่อยให้ผมนั่งมองเหม่อออกไปที่หน้าบ้านจนยุงเริ่มมีปฎิกริยากับพวกเราทั้งสองคนนั้นแหละพ่อถึงได้ทำลายความเงียบนี้ลง “คืนนี้เราจะค้างที่นี่ไหม?” “ค้างครับ ยังไงผมขอรบกวนด้วยครับ” “งั้นตามสบายเลยนะ พ่อขอตัวก่อนแล้วกัน” “ครับพ่อ” แฟรงค์ยังนั่งอยู่ที่เดิมอีกสักพักก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านตอนที่เขากำลังจะเปิดประตูเข้าห้องของทอมเขาก็เห็นว่ามีมุมของกระดาษยื่นออกมาที่ใต้โซฟาพอก้มลงไปหยิบขึ้นมาเขาถึงได้รู้ว่ามันคือซองจดหมายสงสัยว่ามันคงจะหล่นตอนที่พ่อรวบเอาพวกหนังสือพิมพ์และจดหมายขึ้นไปทางด้านบน หน้าซองถูกจ่าถึงพ่อของทอมเขาจึงตั้งใจเอามันไปวางเอาไว้ที่โต๊ะทานข้าวเผื่อที่ว่าตอนเช้าพอพ่อลงมาจะได้เห็นจดหมายฉบับนี้ แต่เมื่อเขาผลิกซองจดหมายกลับไปดูอีกด้านว่าใครส่งมาด้วยความเคยชินของตัวเองเขาถึงได้เห็นชื่อผู้ส่งว่าคนนั้นที่ส่งจดหมายมาคือใคร “ทอม” ใช่ชื่อที่อยู่บนนั้นคือชื่อของทอมพร้อมทั้งรายละเอียดที่อยู่ โดยไม่ต้องคิดอีกรอบว่าทอมจะยังอยู่ที่นั้นไหม? ถ้าเขาไปเขาจะเจอรึเปล่า? เขาก็ตัดสินใจไปแล้วว่าเขาจะไปเขาจะคว้าโอกาสที่มี เขาหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรายละเอียดนั้นเก็บเอาไว้ ‘พายุเรื่องของลิส’ ได้ผ่านไปแล้วเขาก็ได้แต่หวังว่าฟ้าหลังฝนมันจะสดใสแบบที่ใครๆ ได้เคยกล่าวเอาไว้ก็เท่านั้น TBC
Day 13 - Frostbite จดหมายฉบับนี้ทำให้แฟรงค์เดินวนไปมาระหว่างโต๊ะอาหารกับโซฟาอยู่หลายครั้ง ใจนึงเขาอยากทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องโดยการที่เอาจดหมายฉบับนี้ไปวางไว้ที่โต๊ะพร้อมกับบอกของพ่อทอมว่าเขารู้เรื่องแล้ว แต่อีกใจเขาก็กลัวว่านี่อาจจะเป็นเพียงโอกาสเดียวสำหรับเขาถ้ากิดว่าพ่อไม่เห็นด้สยที่เขาจะตามไปละเขาจะทำยังไง? หลังจากที่เดินวนอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่นานในที่สุดก่อนที่เขาจะเดินขึ้นไปที่ห้องนอนของทอมเขาก็ตัดสินใจเอาจดหมายสอดกลับเข้าไปใต้โซฟาเหมือนเดิมและทำให้ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน ใช่ว่าเขาอยากโกหกคนที่รักเขาเหมือนลูกแต่เขากลัว กลัวว่าถ้าพ่อเกิดบอกกับทอมให้รู้ตัวว่าเขารู้ที่อยู่แล้ว ทอมก็จะหนีจากเขาไปเหมือนที่ผ่านมา เพราะนอนไม่หลับกับความรู้สึกผิดที่ต้องโกหกแฟรงค์จึงออกจากบ้านของทอมตั้งแต่เช้าทั้งที่ยังไม่มีใครตื่นแล้วใช้วิธีส่งเมสเสจบอกลาพ่อของทอมแทนโดยระบุว่าเขามีประชุมด่วนที่บริษัททั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาเข้าไปเพื่อทำเรื่องขอลาหยุดต่างหาก แฟรงค์คิดว่าเขาทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วแต่เอาเข้าจริงกว่าเขาจะได้เดินทางไปเมืองที่ทอมทำงานอยู่เขาต้องเสียเวลาไปถึง 3 อาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขอลางานแล้วไหนจะเดินเรื่องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปที่นั้น “เฮ้ยยๆๆๆๆๆ ได้แล้ว ได้แล้ว” แล้วการรอคอยก็สิ้นสุดจนได้เมื่อเขาได้เปิดอีเมลล์เช้าวันนี้ ที่จริงการที่ลืมตาตื่นแล้วหยิบเอามือถือว่าเช็คอีเมลล์มันเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอดช่วงนี้ ด้วยความหวังที่ว่าจะได้เห็นผลการอณุมัตวีซ่าให้กับเขา ทุกวันก่อนหน้านี้มันจะจบลงด้วยความห่อเหี่ยวใจเพราะอีเมลล์ที่เขาได้รับมันไม่เคยมีอีเมลล์ที่เขาต้องการแต่เช้าวันนี้มันแตกต่างจากเช้าวันอื่นเมื่อกล่องขาเข้าของอีเมลล์ปรากฎผลการได้รับอณุมัตวีซ่า เพราะรอผลมานานเขาจึงไม่อยากเสียเวลาไปอีกสักวันเดียวเขารีบโทรไปหาเอเจ้นท์เพื่อจองตั๋วเครื่องบินที่ระบุการเดินทางเป็นเย็นวันนี้ สำหรับเขาแล้วมันไม่มีการเตรียมตัวไม่ต้องจัดกระเป๋าแค่โยนเอาของใกล้ตัวลงไปให้ครบเท่านั้น เขาตื่นเต้นกับการเดินทางนี้ถึงขนาดที่เขาไปถึงสนามบินก่อนที่เค้าท์เตอร์จะเปิดให้เช็คอินเสียด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าเขากำลังทำตัวเหมือนคนที่กำลังจะเดินทางไปต่างเมืองเป็นครั้งแรกที่กำลังตื่นเต้นไปเสียทุกอย่างทั้งๆ ที่จริงแล้วครั้งนี้มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเดินทางออกจากเมืองเกิดโดยใช้เครื่องบินเสียหน่อย “ตอนนี้เรากำลังลดระดับเครื่องลงเพื่อ....” เสียงประกาศของกัปตันทำให้อาการสลึมสลือหลังจากลืมตาตื่นในช่วงตี 5 ของเช้าวันใหม่หายเป็นปลิดทิ้งเขาเอามือลูบผมที่ฟูไม่เป็นทรงให้เข้ารูปเข้ารอยก่อนที่จะเก็บหนังสือที่อ่านก่อนนอนลงกระเป๋าเป้ซึ่งมันคือกระเป๋าใบเดียวที่เขามีติดตัวมากับการเดินทางในครั้งนี้ มันเป็นการลางานที่กระทันหันเขาจึงทำเรื่องลางานได้เพียงแค่ 3 วัน เพราะฉะนั้นแม้มันจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนเมืองนี้แต่เขาก็ไม่ได้มีแผนเที่ยวอยู่ในหัวเลยสักนิดเพราะสิ่งเดียวที่เขาอยากทำคือตามหาทอมให้เจอแล้วเขาอยากใช้เวลา 3 วันที่มีอยู่กับทอมและขอให้ทอมยอมให้โอกาสกับเขาอีกครั้งให้สำเร็จ “ไปไหนครับ?” “ไปที่อยู่ตามนี้ครับ” เขายื่นแผ่นกระดาษที่ถูกจดที่อยู่ตามหน้าซองจดหมายนั้นให้กับคนขับรถแท๊กซี่ที่สนามบิน คนขับมองเขาอย่างช่างใจเพียงครู่ก่อนที่จะดับเครื่องลง “มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?” “มาที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ?” “ครับ” “คุณรู้ไหมว่าที่อยู่ที่คุณให้มามันไกลออกไปจากสนามบินมาก ถ้านั่งแท๊กซี่คุณจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงผมหมายถึงว่าถ้ารถไม่ติดละนะ เพราะงั้นก่อนที่ผมจะพาคุณไปผมต้องมั่นใจก่อนว่าคุณจะมีเงินจ่ายค่ารถให้กับผม” “มะนแพงมากเลยหรือครับ?” “ก็ประมาณ 500 เหรียญ” “โอ้ ผมไม่รู้มาก่อนเลยครับผมไม่ได้มีพกติดตัวมากมายขนาดนั้น ขอโทษด้วยนะครับ” เขาก้าวลงจากรถแท๊กซี่ด้วยความมึนงง นั้นสิก่อนที่เขาจะมาทำไมเขาไม่ศึกษาข้อมูลมาก่อนเขาปล่อยให้ 3 อาทิตย์ผ่านไปโดยที่เอาแต่มองจ้องมองปฎิทิน เขายืนจูนความคิดของตัวเองให้ดีอีกครั้งก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในสนามบินและขอข้อมูลจากประชาสัมพันธ์ในนั้น ‘ถึงซะที’ เขาลงเครื่องตั้งแต่หกโมงเช้าแต่กว่าที่เขาจะไปต่อรถไฟตามด้วยต่อรถเมล์รวมไปถึงหลางทางระหว่างทางแล้วด้วยเขาก็มาถึงที่หมายเอาซะเกือบบ่ายสี่โมงเย็น เพราะฉะนั้นตอนที่เขาเดินมาถึงตึกที่เป็นเป้าหมายเขาถึงขนาดตะโกนออกมาด้วยความดีใจ เขามองดูตึกตรงหน้าที่เป็นเหมือนตึกห้องพักที่มีขนาดไม่ใหญ่แลดูเหมือนคนในตึกนี้จะอยู่แบบตัวคนเดียวมากกว่าจะอยู่เป็นครอบครัวด้วยซ้ำ เขาสูดลมหายใจเข้าให้ลึกเพื่อเรียกกำลังของตัวเองอีกสักครั้งแล้วค่อยเดินตรงเข้าไปด้านในของตึก “ขอโทษนะครับไม่ทราบว่า คนที่ชื่อว่าทอม ทิมสัน พักอยู่ที่ห้องนี้รึเปล่าครับ?” “ไม่ทราบว่าคุณคือใครคะ?” “ผมคือเพื่อนต่างเมืองของเขาครับ” “วันนี้คุณทอมยังไม่กลับเข้ามาค่ะ แต่อีกเดี๋ยวก็คงมาถึงคุณจะนั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้นะคะ” “ขอบคุณครับ” ความโล่งใจที่ทอมของเขาได้อาศัยอยู่ที่นี่ตามที่เขาหวังเอาไว้มันปัดเป่าความเหนื่อยออกไปจนหมด เขานั่งลงที่เก้าอี้รับรองแขกที่ด้านในของตึกอยู่เพียงประมาณสิบนาทีแล้วเขาก็คิดว่าเขาอยากจะเซอร์ไพรส์อะไรทอมเสียหน่อย “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามีร้านขายของสดแถวนี้บ้างไหมครับ?” “อีกสองช่วงตึกจะมีร้านขายของสดอยู่ค่ะ” “ขอบคุณมากครับ” ใช่แล้วเขาคิดที่จะทำอาหารมื้อเย็นนี้ให้กับทอม ทอมเป็นคนที่เนี้ยบไปทุกเรื่องแต่เรื่องที่ทอมใส่ใจน้อยที่สุดก็คืออาหาร แค่ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารทอมก็หยิบเอาเข้าปากได้แล้ว วันนี้เขาจึงอยากจะทำอะไรอร่อยๆ ให้ทอมได้กิน ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็กลับมาถึงหน้าปากซอยที่คุ้นตา เขาอยากจะรีบเดินต่อเพราะมันก็เริ่มเย็นมากแล้วเขากลัวว่าจะคลาดกับทอมแต่อากาศของที่นี่เปลี่ยนแปลงเร็วจนเขาไม่ทันได้ตั้งตัว ตอนเช้ามาถึงยังเย็นแบบพอดีๆ อยู่เลย ช่วงบ่ายมีฝนเพียงเล็กน้อยโชคดีที่เขาอยู่บนรถโดยสารเลยไม่ต้องเปียกฝนแต่พอตกเย็นเข้าหน่อยอากาศก็หนาวจนเขาที่มีแต่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ติดตัวถึงกับสั่นและมือยังชาจนเขาแทบจะไม่สามารถหิ้วถุงที่บรรจุไปด้วยเครื่องปรุงและของสำหรับมื้อเย็นนี้ได้ เขาตัดสินใจหยุดแถวหน้าปากซอยวางถุงเหล่านั้นลงก่อนที่มันจะหลุดออกจากมือที่เริ่มแข็งจนเริ่มขึ้นข้อเขียวของเขา เขาเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาอังเอาไว้กับปากของตัวเองแล้วเป่าลมร้อนจากปากพยายามทำให้มือนั้นอุ่นมากขึ้นแล้วค่อยเอามาลูบไปตามแขนของตัวเองหวังไว้ว่ามันจะอุ่นพอที่ทำให้เขาเดินไปถึงตึกของทอมได้ “ทอม” เสียงเรียกของเขามันคงจะเบามากจนเหมือนเสียงของคนละเมอคนที่เขามาหาถึงไม่ได้ยินมัน เขาลองจ้องมองภาพตรงหน้าอีกครั้งให้แน่ใจว่าเขาตาไม่ฝาดไปเอง ตรงที่หน้าปากซอยของอีกฝากถนนเขาเห็นทอมกำลังเดินเคียงข้างมากับคนใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักโดยที่คนๆ นั้นกำลังถอดถุงมือให้กับทอมและทอมก็มอบรอยยิ้มที่สดใสนั้นให้กลับเป็นของขอบคุณ ภาพสนิทสนมของคนทั้งสองที่เขาเห็นมันทำให้เขาหวนคิดไปถึงคำพูดของพ่อของทอม ‘ถ้าทอมเขามีคนอื่นละ?’ หรือว่าพ่อต้องการที่จะบอกอะไรกับเขา เขามาตรงนี้ช้าเกินไปรึไง? ไหนทอมบอกว่าต้องการเวลา? จริงๆ แล้วมันก็แค่นี้ใช่ไหม ทอมไม่คิดที่จะให้โอกาสเขาตั้งแต่แรกใช่ไหม? ความคิดที่เกิดขึ้นในหัวของเขาทั้งหมดมันทำให้สวนทางระหว่างมือของเขากำลังอุ่นขึ้นกับหัวใจของเขาที่ตอนนี้มันแข็งชาเหมือนกับถูกความเย็นของชั้นอากาศนี้เขาไปทำให้มันแข็งตัวและกำลังจะแตกสลายลงในที่สุด สายตาของเขามันถูกค้างเอาไว้ที่ตรงนั้นที่คนสองคนนั้นได้เดินผ่านไปแล้ว สายตาที่นิ่งค้างทำให้เขาเห็นว่าไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่กำลังใจสลายเพราะภาพภาพนั้น ตรงนั้นตรงที่มุมมืดใต้เสาไฟที่ไม่มีไฟส่องออกมายังมีผู้ชายอีกคนนึงที่กำลังมองตามสองคนนั้นไปด้วยสายตาที่กำลังเจ็บปวดไม่ต่างจากเขาเช่นกัน ดูแล้วคนตรงนั้นคงจะรู้จักทอมกับผู้ชายอีกคน สมองอีกซีกสั่งให้เขาถามให้รู้เรื่องเขาจึงก้มลงเก็บของที่เขาวางเอาไว้แล้วเดินตรงไปหาผู้ชายคนนั้นเพื่อถามเอาเรื่องราวเพราะสายตานั้นยังไงซะคนตรงนั้นก็ต้องรู้จักคนทั้งสอง “ขอโทษนะครับ คุณรู้จักสองคนนั้นด้วยเหรอครับ?” น่าแปลกแค่เพียงข้ามถนนมาที่ฝั่งนี้เขารู้สึกได้ถึงความเย็นและความชื้นของอากาศที่สูงขึ้นอย่างฉับพลันสูงขึ้นกว่าเมื่อกี้ ผู้ชายคนนี้ค่อยๆ หันหน้ามามองเขาพร้อมกับพยักหน้าให้กับเขาเล็กน้อย “ผมอยากรู้เกี่ยวกับพวกเขาครับ คุณพอจะบอกผมได้ไหม?” “อยากรู้เหรอครับ?” “ครับผมอยากรู้” “งั้น…” แล้วหลังจากนั้นเขาสาบานว่าเขาไม่เคยรู้สึกหนาว เย็น และกลัวไปจนถึงขั้วหัวใจแบบนี้มาก่อน เขาว่าตอนนี้หัวใจของเขามันได้แข็งไปตามอากาศนั้นจริงๆ แล้วละ ‘ทอมคุณจะรู้ไหม คุณจะรู้ไหม? ว่าผมกำลังจะแตกลสลายอยู่ตรงนี้’ TBC
Day 14 – เสียงกระซิบ “กลับไป” “...” “กลับไป!!” ‘เฮือก!!’ เขาเบิกตาตื่นพร้อมกับเสียงลมหายใจที่พ่นเร็วในกลางดึกโดยอัตโนมัตเขาเอามือจับกดลงไปตรงที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเองเพื่อเป็นการระงับการเต้นเร็วที่เกิดจากความตื่นกลัว หลังจากที่เขากระพริบตาให้สติของตัวเองกลับมาครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ได้อีกครั้งเขาถึงได้รู้สึกว่าที่ทางแผ่นหลังของเขามันถูกอาบไปด้วยเหงื่อแม้ว่าอากาศในยามดึกของคืนนี้มันจะหนาวมากจนเกือบจะติดลบก็ตาม คอของเขาเองก็แห้งพากจนแทบจะกลืนน้ำลายไม่ได้จากที่พยายามจะข่มตาหลับลงอีกครั้งเขาจึงเปลี่ยนเป็นตวัดผ้าห่มออกแล้วเดินไปรินน้ำดื่มในครัว ‘เฮ้อ’ เขาพ่นลมหายใจหลักจากที่ยืนเอาไอเย็นจากตู้เย็นจนรู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยปิดประตูตู้เย็นลง ก่อนที่จะหมุนตัวกลับเข้าที่ห้องนอนเขาเดินเลยไปที่โต๊ะอ่านหนังสือหยิบเอานิยายเล่มล่าสุดที่เขาอ่านค้างเอาไว้ก่อนที่จะเข้านอนติดมือกลับไปที่เตียงด้วยเพราะดูทรงแล้วคืนนี้ก็น่าจะเหมือนทุกคืนที่กว่าจะหลับตาลงได้อีกครั้งก็เกือบรุ่งเช้า หลายคืนที่ผ่านมาเขามักจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเสมอเขาเองก็พยายามหาทางแก้มาหลายทาง ทั้งพยายามอุ่นนมร้อนดื่มก่อนนอนก็แล้ว เลิกดูพวกหนังสืบสวนสอบสวนก็แล้วแต่มันก็ไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นเลย หนังสือที่อยู่บนตักของเขาถูกเปลี่ยนหน้าไปมาแบบไม่ได้ถูกอ่านเพราะในหัวของเขาตอนนี้กำลังพยายามคิดย้อนกลับไปในความฝัน เขาจำความรู้สึกก่อนที่จะตกใจสะดุ้งตื่นได้ลางๆ ว่าเหมือนตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนสักที่หรือสักเหตุการณ์แล้วเหมือนมีคนเข้ามากระซิบที่ข้างหูของเขาด้วยคำพูดอะไรบางอย่างจากเสียงกระซิบมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงตะโกนใส่หน้าของเขาและเสียงนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องตกใจจนต้องสะดุ้งตื่น ที่น่าแปลกใจคือเขาสามารถจำความรู้สึกที่เกิดขึ้นแต่กลับจำเรื่องราวอะไรในนั้นไม่ได้สักอย่างภาพที่เห็นในฝันยิ่งพยายามนึกมันก็ยิ่งพล่ามัวเหมือนถูกหมอกจางๆ คลุมเอาไว้จนพาลทำให้เขาปวดหัวเสียทุกครั้งที่พยายามจะนึกให้ออกเหมือนเช่นในตอนนี้ที่เขาต้องวางหนังสือลงแล้วเอามือกดนวดที่ศีรษะของตัวเอง “เมื่อคืนนอนไม่หลับอีกแล้วเหรอครับ?” “หน้าผมฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณจอห์น?” “เปล่าครับ” “งั้นผมก็ค่อยสบายใจหน่อยไม่อยากหน้าโทรมไปทำงาน” “หน้าคุณไม่ฟ้องแต่ตาของคุณ” “เฮ้อ...มันไม่ตลกเลยนะครับคุณจอห์น” หลังจากวันนั้นเขากับคุณจอห์นยังเจอกันในตอนเช้าเหมือนเช่นเคยที่ไม่เปลี่ยนไปเลยมีแต่ความเพิ่มเติมขึ้นนั้นก็คือความสนิทที่เพิ่มขึ้นมากกว่าในช่วงแรกที่เขาสองคนได้คุยกัน ความสนิทมันเกิดขึ้นได้ในมื้อเย็นวันนั้นก็เพราะมันไม่ได้จบแค่เพียงคุณจอห์นที่เล่าเรื่องราวของตัวเองแต่เขาเองก็ได้เปิดเผยถึงปัญหาของชีวิตรักของตัวเองให้คุณจอห์นให้ฟังเช่นกัน “อย่าปล่อยให้เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วเสียใจทีหลังแบบผม” เขายังจำคำเตือนของคุณจอห์นหลังจากที่ฟังเรื่องของเขาจบในวันนั้นได้เป็นอย่างดี ความจริงถึงคุณจอห์นไม่พูดเตือนเขาแต่หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องราวความรักของคุณจอห์นมันก็ทำให้เขาฉุกคิดถึงเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน สิ่งแรกที่มันแวบขึ้นมาในหัวก็คือถ้า ณ วันนี้ถ้าเขาเกิดจากไปแบบที่แฟนของคุณจอห์นจากไปแฟรงค์ก็อาจจะมีความรู้สึกไม่ต่างจากคุณจอห์นในวันนี้ ความไขว้เขวที่คิดว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ถูกที่หนีออกมาตั้งหลักพร้อมกับให้เวลากับแฟรงค์ในการคิดทบทวนให้ดีมันเริ่มสั่นคลอนเพราะมันอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็ได้แต่ยังไงเสียเขาขอเวลาที่จะคิดทบทวนอีกสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง “คุณจะลองไปหาหมอไปขอยามาทานไหม?” “ยานอนหลับนะเหรอครับ?” “ผมก็ไม่รู้ก็ลองไปคุยดูก่อนไหมคุณนี่มันก็จะครบอาทิตย์อยู่แล้วนะที่เป็นแบบนี้ คุณจะไม่ไหวเอานะสิ” “เอาไว้ไม่ไหวจริงๆก่อนดีกว่าครับ ผมไม่อยากพึ่งยาเลย” “ถ้างั้นก็พยายามหาเวลานอนงีบก่อนตอนดึกดูแล้วกันนะครับเผื่อจะช่วยให้หายเพลียได้ดูแลตัวเองด้วย” คุณจอห์นยกมือขึ้นมาตบเขาที่ต้นแขนทางด้านซ้ายเบาๆเหมือนเป็นการให้กำลังใจกัน เขาที่รับรู้ถึงกำลังใจนั้นกำลังเงยหน้าขึ้นไปยิ้มเป็นการขอบคุณแต่กลับต้องชะงักและรีบหลับตาให้สนิทเมื่อจู่ๆ ลมก็พัดหอบเอาฝุ่นปลิวขึ้นมา แต่ในที่สุดเขาก็ต้องลืมตากว้างมารับเอาฝุ่นพวกนั้นให้เข้าไปในดวงตาเมื่อมีเสียงที่เขารู้สึกคุ้นเคยมากระซิบอยู่ที่ข้างหูว่า ‘ออกไปซะ’ ‘โอ๊ย’ เขาร้องเสียหลงเมื่อฝุ่นที่เขาพยายามจะหลับตาหนีดันปะทะเข้ากับดวงตาของเขาเต็มๆ “เป็นอะไรไปครับคุณทอม?” “ตาผม”ความเจ็บที่ดวงตาทำให้เขาลืมเสียงกระซิบนั้นไปเสียหมด ลืมไปกระทั่งว่าเสียงมันช่างคล้ายกับเสียงที่เขาได้ยินทุกคืนมากขนาดไหน “เจ็บมากไหมคุณ?” “ครับ” “ผมว่าผมพาคุณไปล้างตาดีที่โรงพยาบาลดีกว่า” “ไม่เป็นไรครับที่บริษัทผมมีห้องพยาบาลผมรบกวนให้คุณไปส่งผมที่นั้นได้ไหมครับ?” “ได้สิครับ” โชคดีที่ตาของเขาไม่เป็นอะไรมากแค่เพียงล้างตาความเจ็บแสบของฝุ่นที่บาดเข้ากับดวงตาของเขาก็หายไปหมอประจำห้องพยาบาลจึงอณุญาตให้เขากลับขึ้นไปทำงานได้ “ผมไม่ได้รู้สึกไปคนเดียวใช่ไหมครับว่าวันนี้มันหนาวมากกว่าทุกวัน?” เย็นวันนี้คุณจอห์นขออาสาไปคนส่งเขาที่บ้านเพราะกลัวว่าอาการบาดเจ็บที่ตาของเขาจะทำให้ตัวเขาเดินทางกลับบ้านลำบากแม้ว่าเขาจะได้อธิบายไปทางโทรศัพท์ว่าอาการของเขาไม่เป็นอะไรแต่ก็ดูเหมือนว่าคุณจอห์นจะแปลข้อความเหล่านั้นเป็นว่าเขากำลังเกรงใจมากกว่าไม่เป็นอะไรเขาจึงปล่อยให้เลยตามเลย “เพราะคุณจอห์นมารอผมนานรึเปล่า?” “แต่ผมก็รอคุณด้านในนะ” “งั้นคุณเอาถุงมือผมไปใส่เถอะครับ” “ไม่เป็นไรคุณคุณใส่เอาไว้เถอะคุณก็คงจะหนาวเหมือนกัน” “ไม่มากเท่าคุณแน่นอนครับ” เขาถอดถุงมือออกแล้วยื่นมันให้กับคุณจอห์น คุณจอห์นพอได้ถึงมือก็ดูเหมือนว่าจะอุ่นขึ้นก็เริ่มออกเดินทางกัน เวลาช่วงนี้เป็นเวลาเลิกงานทำให้ร้านอาหารที่อยู่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่อแถวเพื่อจะได้ลิ้มรสอาหารเย็นเขาสองคนที่ไม่ได้ทำการจองคิวเอาไว้ล่วงหน้าทำได้แค่ไปลงชื่อและนั่งต่อคิวอยู่ที่ทางหน้าร้าน “ผมว่าไปทานอะไรที่ห้องของผมดีกว่าครับ” เขาตัดสินใจเลิกรอและชวนคุณจอห์นหาซื้ออะไรไปทานที่ห้องของเขาแทนไม่ใช่ว่าเขาทนรอไม่ได้แต่คุณจอห์นที่นั่งรอด้วยกันกับเขาตอนนี้กำลังนั่งสั่นด้วยความหนาวจนริมฝีปากและผิวหน้าต่างซีดขาวไปหมด “มันจะรบกวนคุณเปล่าๆ” “แต่ถ้านั่งรอแบบนี้คุณจะไม่ไหวเอานะสิไปครับ” “งั้นถ้าไม่กวนคุณมากจนเกินไป ไปครับเราไปซื้ออะไรทานที่ห้องคุณกัน” เขากับคุณจอห์นแวะซื้ออาหารตามสั่งที่ตรงป้ายรถเมล์ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปที่ซอยที่พักของเขาไม่รู้ว่าอากาศมันเย็นลงอย่างกระทันหันหรืออย่างไรจู่ๆ มือของเขาก็เย็นแข็งทำให้ถุงอาหารที่อยู่ในมือเกือบล่วงลงพื้น “คุณเอากลับไปใส่เถอะครับ” “ไม่เป็นไรครับคุณจอห์นเดี๋ยวก็ถึงห้องผมแล้ว” “ถ้าไม่งั้นก็เอาถุงอาหารมาให้ผมถือครับคุณไม่น่าไหว” “งั้นผมขอใส่ถุงมือดีกว่าครับ” ในขณะที่เขากำลังจะใส่ถุงมือที่รับกลับคืนมาจากคุณจอห์นเขารู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังมองเขามาจากทางด้านหลังด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเขาจึง ใช้หางตามองไปทิศทางที่เขารู้สึกแต่กลับกลายเป็นว่าเขาก็จะไม่เห็นว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้น “มีอะไรรึเปล่าครับ?” “เปล่าครับไม่มีอะไร” น้องที่อยู่ตรงประชาสัมพันธ์ของตึกพยายามควักมือเรียกเขาเอาไว้เหมือนส่งสัญญาณว่าให้รอก่อนเพราะเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่เขาหยุดยืนรออยู่ 5 นาทีก็ดูเหมือนว่าธุระในสายของเธอจะไม่จบลงง่ายๆ ความจริง 5นาทีเป็นเวลาที่ไม่นานแต่เพราะตอนนี้มันก็เย็นมากแล้วและเขาเองก็หิวข้าวมากเขาเลยส่งสัญญาณกลับไปว่าเดี๋ยวเขาจะกลับลงมา “นี่คุณเปิดเครื่องทำความร้อนยังครับ?” “เปิดแล้วนะครับคุณไม่รู้สึกอุ่นขึ้นมาเลยรึครับ?” “ครับอากาศไม่ต่างจากข้างนอกเลย สงสัยคุณเป็นคนขี้ร้อนแน่เลย” “คุณก็คงจะขี้หนาวมากแน่เลย” เสียงหัวเราะที่ไม่เคยได้เกิดขึ้นในห้องนี้ทำให้บรรยากาศในห้องดูอบอุ่นจากความหนาวเย็นอยู่เล็กน้อยแต่เพียงไม่นานหลังจากมื้อเย็นจบลงคุณจอห์นก็รีบขอตัวกลับไปที่พักของตนเองด้วยเหตุผลที่ว่าห้องของเขามันหนาวจนเกินไป จะว่าไปแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนกันว่าอุณหภูมิภายในห้องนี้มันแทบจะไม่แตกต่างจากข้างนอกเลยเขาเลยตั้งใจที่จะตื่นเช้าให้มากกว่าเดิมในวันพรุ่งนี้สักหน่อยจะได้มีเวลาไปแจ้งเรื่องกับทางตึกเพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าเครื่องทำความร้อนในห้องของเขาเสีย หลังจากที่เขาล้างจานทำความสะอาดเก็บข้าวของเรียบร้อยอากาศในห้องก็ไม่ชวนให้เขาทำอะไรยกเว้นการห่อตัวเองเอาไว้ในผ้าห่มแล้วจิบนมอุ่นๆนั่งดูละครที่โซฟาหน้าทีวีเขากะว่าหลังจากละครจบเขาจะลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกายแต่กลายเป็นว่าเขาเคลิ้มหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ เสียงทีวียังส่งมาแผ่วๆให้เขาพอได้ยินการพูดคุยแม้ว่าเขาจะไม่สามารฟังเข้าใจได้ก็ตามแต่แล้วเสียงทีวีนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนว่ามีใครสักคนกำลังมานั่งพูดที่ข้างหูของเขา “อย่ามายุ่งกับเขา” “...” “ผมรักเขา” “...” “หรือว่าเราจะแลกคนรักกันดี” “...” “คนของคุณอยู่ในมือของผม” “...” “ออกไปจากชีวิตเขาซะไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน” “ออกไปจากชีวิตเขาซะ!! ได้ยินไหม!!” “ใครนะ!!” เสียงตะโกนที่ถูกแปลเปลี่ยนมาจากเสียงกระซิบนั้นมันทำให้เขาสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ ทุกคำพูดนั้นที่เขาได้ยินเขาจำมันได้เขาจำได้แม้กระทั่งลมหายใจที่กระทบกับหูของเขาเลยด้วยซ้ำแถมเสียงนี้ที่เขาได้ยินมันก็คือเสียงที่เขาได้ยินอยู่ทุกคืนเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขามองไปรอบห้องก็ไม่เห็นใครแถมทีวีที่เปิดอยู่ก็เป็นรายการเกมส์โชว์ของเด็กซึ่งไม่น่ามีอะไรที่ออกมาเป็นคำพูดที่เขาได้ยินเมื่อกี้ได้ แล้วเสียงที่เขาได้ยินเมื่อกี้มันเป็นเสียงกระซิบของใครกัน? ที่สำคัญ ‘แฟรงค์’ ละเขาจะเป็นอะไรไหมนะ? TBC
:L2:
Day 15 กักขัง "พ่อหนุ่มคนนั้นนะ ปล่อยวางเสียบ้างนะ" “…” “ถ้ายังเก็บเขาแบบนี้เท่ากับเธอกำลังทำให้เขาไปไหนไม่ได้นะ” ระหว่างที่จอห์นกำลังกอดตัวเองอย่างแน่นหนาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายของตัวเองจากอากาศที่หนาวเย็นและกำลังรีบวิ่งตรงจากสถานีรถไฟเพื่อกลับบ้านเขาก็ต้องหยุดวิ่งแล้วหันไปมองตามเสียงพูดที่ลอยเข้ามาหาเขา แล้วเขาก็เห็นคนสูงอายุคนนึงกำลังนั่งพิงกับพื้นที่ซอกตึกหันหน้ามาทางเขา "พูดกับผมเหรอครับ?" "ถ้ายัง ‘กักขัง’ เขาคนนั้นเอาไว้ในใจแบบนี้ต่อไปมันจะมีแต่เรื่องวุ่นวายเข้ามา ระวังเอาไว้" "ผมไม่ดูดวงครับ" เขารู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองที่ยอมหยุดยืนฟังเรื่องไร้สาระจากผู้ชายที่ดูเหมือนเป็นพวกไร้บ้านแล้วยังมาหาเงินจากเขาเพียงแค่พูดอะไรขึ้นมาเรื่อยเปื่อยเพื่อเรียกร้องความสนใจเท่านั้น วันนี้มันวันอะไรของเขากันนอกจากจะหนาวจนเหมือนว่าตัวเองกำลังจะเป็นไข้ยังต้องเจอคนข้างถนนที่เขาไม่รู้จักและพยายามอวยพรให้ชีวิตเขาพังซ้ำเข้าไปอีก ชายคนนั้นไม่สนถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ของเขาเพราะยังคงส่งเสียงดังไล่ตามหลังเขามา แต่เขาไม่มีกระจิตกระใจที่จะฟังหรือเถียงกับชายคนนั้นเขาจึงเลือกเดินจ้ำจากมาอย่างรวดเร็วกลับเข้าที่พักของเขา "คุณจอห์นผมว่าคุณควรไปหาหมอที่โรงพยาบาลคลีนิคอาจจะไม่ใช่ทางออกของอาการคุณ" "มันดูแย่ขนาดนั้นเลยรึครับ?" "ครับ วันนี้ผมว่ามันไม่หนาวถึงขนาดต้องใส่โอเว่อร์โค้ท" เมื่อเช้าเขาตื่นสายกว่าปกติการรีบออกจากบ้านทำให้เขาไม่ได้สังเกตุคนรอบตัวของเขาเลยว่าไม่มีใครสักคนที่จะแต่งตัวป้องกันความหนาวเต็มสูตรแบบเขา คนอื่นใส่กันแค่แจ๊คเก็ทคลุมเท่านั้นมีเพียงเขาที่ใส่โอเว่อร์โค้ทตัวยาวออกมาจากบ้าน อาการหนาวเหมือนจับไข้ของเขาที่เป็นมาตั้งแต่วันก่อนมันไม่ดีขึ้นและดูเหมือนว่ามันจะแย่ลงด้วยซ้ำเพราะไม่ว่าเขาจะปรับอุณหภูมิในห้องให้สูงขึ้นจากเครื่องทำความร้อนเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่พอ ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นไข้เพราะช่วงนี้อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงเขาจึงไปหาหมอที่คลีนิคแถวบ้านแต่ว่าวันนั้นเขาก็เสียเวลาไปเปล่าเมื่อคุณหมอบอกว่าร่างกายของเขาแข็งแรงดีเลยไม่ได้จ่ายยาให้กับเขา "ถ้าอีกวันไม่ดีขึ้นสงสัยผมคงต้องไปที่โรงพยาบาลตามที่คุณบอกแล้วละครับ" “ฮัลโหลครับ?” เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาส่งเสียงร้องเป็นการเตือนว่ามีคนอยากที่จะติดต่อเขาอยู่หลายครั้งตั้งแต่เช้าที่เขาปล่อยทิ้งไว้ให้ดัง ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวหรือว่าไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นมารับแต่กว่าที่เมื่อคืนเขาจะข่มใจให้หลับแล้วเอาชนะกับความหนาวที่รุมเร้าเขาอย่างหนักนี้ได้ก็ผ่านช่วงเวลาตี 1 ไปนานมากแล้ว เขารู้ตัวของเขาดีว่าเขาคงไม่จะไม่สามารถลุกไปทำงานได้ไหวในวันรุ่งขึ้นดังนั้นก่อนหน้าเขาจึงตัดสินใจล้มตัวลงนอนเขาได้กดส่งอีเมลล์สั้นๆ ไปลางานกับหัวหน้าแผนกเป็นที่เรียบร้อย แต่ถ้าให้เดาเขาว่าเสียงที่ดังมาจากมือถือนั้นน่าจะเป็นเสียงเรียกจากคนที่ทำงานเขาจึงพยายามเป็นอย่างมากที่จะทำตัวเพิกเฉยกับเสียงเรียกนั้น แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้เมื่อฝ่ายที่โทรเข้ามามีความอดทนที่มากกว่า “คุณโอเครึเปล่า? ผมไม่เห็นคุณมาที่ร้านก็เลยลองโทรมาถามดู คุณโอเคไหมครับ?” “คุณทอม?” “ครับผมทอมเอง” แค่รู้สึกตัวตื่นลืมตาความหนาวก็จู่โจมเข้าเล่นงานเขาอีกครั้ง ช่วงที่เขาตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์เขาแค่รู้สึกถึงลมเย็นที่เหมือนจะผ่านเข้ามาในห้อง แต่กลับกลายว่ายิ่งใช้เวลาคุยกับคุณทอมมากเท่าไหร่ความหนาวก็ยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้นจนตอนนี้เริ่มมีไอออกมาจากปากของเขาเวลาที่เขาพูด สงสัยมันเป็นเพราะว่ามือของเขายื่นออกไปนอกผ้าห่มนานเกินไปเขาจึงดึงมือเข้ามาแล้วคลุมโปงตัวเองทั้งตัวอยู่ในผ้าห่ม “วันนี้ผมคงไม่ได้ไปครับ ผมเพิ่งล้มตัวลงนอนได้ไม่นานเอง” “งั้นคุณพักผ่อนเถอะครับ ผมขอโทษด้วยที่รบกวน ดูแลตัวเองด้วยครับ” “ขอบคุณครับที่เป็นห่วง” “เดี๋ยวครับ คุณอยากไปหาหมอไหม?” “ผมว่าเย็นนี้ผมจะไป” “ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?” “ไม่เป็นไรครับ ผมไปคนเดียวได้” “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยโทรมาได้เลยนะครับ” “ขอบคุณครับ” เขาพยายามหลับตานอนหลังจากที่วางสายของคุณทอมไปแต่ไม่ว่าเขาจะพยายามพลิกซ้ายพลิกขวามากเท่าไหร่เขาก็ไม่สามารถหลับตาลงเขาจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและออกไปโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนนี้ “ผลจากการตรวจคุณไม่มีอาการของคนเป็นไข้แต่อย่างไรค่ะ ถ้ายังไงหมอคงต้องขอเจาะเลือดและรอผลมาส่งนะคะจะได้สามารถหาสาเหตุของอาการหนาวเย็นของคุณได้” เพราะยังหาสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกหนาวตลอดเวลาได้เขาจึงไม่ได้ยาอะไรติดมือกลับมา คุณหมอให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทำร่างกายให้อบอุ่นมากขึ้นในช่วงนี้มาแทนการเปิดเครื่องทำความร้อนที่มากขึ้นเพราะตอนนี้ผิวที่ตัวของเขาเริ่มแห้งจนมีหลายที่ที่เริ่มแตกเป็นขลุยและเริ่มเป็นสะเก็ดแผลแล้ว “ผมไปหาหมอมาแล้วนะครับ” “คุณหมอว่ายังไงบ้างครับ?” “ยังไม่ทราบสาเหตุครับแต่เจาะเลือดไปแล้ว คุณหมอบอกให้ผมสร้างความอบอุ่นให้ตัวเองผมเลยกำลังจะไปสวนสาธารณะเพื่อไปวิ่งออกแรงสักหน่อยครับ” “น่าสนใจนะครับ ตั้งแต่มาที่เมืองนี้ผมยังไม่เคยได้ไปออกกำลังกายที่ไหนเลย” “มาด้วยกันไหมครับ?” “ผมยังไม่เลิกงานเลย คุณไปเถอะ” “เอางี้ผมก็ไม่อยากออกวิ่งคนเดียวเหมือนกันกลัววิ่งเพียง 5 นาทีก็หยุดเอาซะแล้ว ผมจะไปที่สวนไฮปาร์คไม่รู้ว่าคุณสะดวกไหม?” “สะดวกครับผมเคยได้ยินชื่อ” “คุณกลับไปเตรียมตัวที่บ้านก่อนก็ได้แล้วพอใกล้ถึงแล้วโทรมาแล้วกัน บ้านผมอยู่ตรงข้ามสวนเอง” “เอางั้นเหรอครับ?” “แบบนั้นแหละครับ แล้วเจอกัน” เมื่อครู่ตอนที่เขากดโทรศัพท์เพื่อโทรรายงานผลตรวจกับคุณทอมก็ด้วยเหตุผลเดียวว่าเมื่อเช้าเขารู้สึกได้ถึงมิตรภาพความเป็นห่วงเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้นเขาเลยคิดว่าเขาควรที่จะบอกผลให้กับเจ้าตัวได้รู้สักหน่อยก็เท่านั้นแต่ผลที่ได้กลับมามันดีเกินคาดกลายเป็นว่าเขาไม่ต้องไปวิ่งออกกำลังกายเพียงคนเดียวดีจริงเพราะถ้าให้เขาออกวิ่งคนเดียวมีหวังเขาอาจจะได้หยุดหลังจากที่ออกวิ่งเพียงไม่นาน “คุณทอมคุณหอบลมหนาวมาด้วยทำไมครับเนี่ย” แม้ว่าเวลานี้มันจะเป็นช่วงเย็นหลังเลิกงานก็ตาม แต่เพราะที่สวนแห่งนี้มักจะมีผู้คนมาออกกำลังกายจึงมีเสาไฟมากมายที่ถูกติดตั้งให้เปิดเอาไว้เพื่อเป็นแสงสว่างของผู้คนภายในสวนนี้ ตอนที่เขามานั่งรอคุณทอมเขายังไม่รู้สึกว่าอากาศมันจะหนาวเย็นถึงขนาดที่เขาต้องรูดซิปจนมิดคอ แต่พอคุณทอมเดินเข้ามาภายในสวนอากาศก็เปลี่ยนแปลงกระทันหันจนเขาต้องรูดซิปขึ้นมาจนสุดแถมยังรู้สึกเสียใจที่เขาเลือกใส่ขาสั้นมาแทนขายาว “คุณจะขึ้นไปทานอะไรบนห้องก่อนไหมครับ? น้ำหรือขนม?” “ก็ดีครับผมอยากล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยด้วย” “ได้สิครับ” สรุปผลของการวิ่งออกกำลังกายมันเป็นไปอย่างที่เขาคิด 2 คนยังไงก็ดีกว่าคนเดียวเพราะวันนี้เขาวิ่งได้ถึง 40 นาทีซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมานานแล้วตั้งแต่เขาใช้ชีวิตคนเดียว หลังจากสี่สิบนาทีผ่านไปคุณทอมเหนื่อยหอบแถมยังร่ำๆ ว่าจะปาเสื้อทิ้งตั้งแต่ 20 นาทีแรกส่วนเขาแค่รูดซิปเสื้อนอกให้มันลงมาที่กลางตัวได้ก็ถือว่าเขาเก่งมากแล้ว “ทำตัวตามสบายเลยนะครับห้องน้ำอยู่ทางด้านในห้องนอนเสร็จแล้วคุณออกมารอผลที่โต๊ะทานข้าวได้เลยนะ ผมขอเข้าไปอุ่นแซนวิชก่อน ว่าแต่คุณอยากได้ชา หรือ โกโก้ดี? “ผมขอโกโก้ดีกว่าครับ” แต่ไม่ทันที่น้ำจะเดือดและพร้อมจะชงเครื่องดื่มหรือว่าแซนวิชที่เขาจับมันยัดมันเข้าไมโครเวฟจะอุ่นเสียงตะโกนร้องแบบคนตกใจสุดชีวิตของทอมก็ดังออกมาจากทางห้องนอนของเขา “มีอะไรรึเปล่าคุณทอม? มีอะไรครับ?” หน้าของคุณทอมซีดจนแถบจะไม่เหลือสีเลือดที่เคยสูบฉีดจากการออกกำลังอยู่ มือของคุณทอมสั่นระริกปลายนิ้วของคุณทอมชี้ไปที่จอโน๊ตบุ้คของเขาที่ถูกตั้งเอาไว้ที่โต๊ะทำงาน บนหน้าจอนั้นมีวีดีโอที่ถูกเล่นค้างเอาไว้ มันคือวีดีโอที่เขาเพิ่งเปิดขึ้นมาดูอีกครั้งเมื่อเช้าเนื่องจากวันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานเขาเลยถือโอกาสจัดการกับไฟล์ที่อยู่ในเครื่องให้เรียบร้อยส่งสัยว่าเขาคงจะเปิดดูแล้วลืมปิดมัน วีดีโอที่โชว์อยู่ในนั้นมีเพียงแค่ใบหน้าของที่โชว์หน้าต่อหน้ากล้องแต่มีเสียงพูดของใครบางคนเป็นแบคกราวน์อยู่ทางหลังกล้องซึ่งนั้นก็คือเสียงที่ออกมาจากคนที่กำลังบันทึกวีดีโอนี้เอาไว้นั้นเอง “ไหนยิ้มให้กล้องหน่อยสิครับ?” “จะยิ้มหวานไปไหม? จะแอบเอาไปอ่อยใคร” “อ่อยคุณ” “ให้มันจริงเถอะ” แล้วภาพก็ถูกตัดไปเป็นภาพมืดสนิทถ้าคนที่ไม่รู้มาก่อนอาจจะคิดว่าวีดีโอนี้จบลงแล้วแต่สำหรับเขาคนที่อยู่ในนั้นรู้ดีว่ามันยังถ่ายอยู่เพียงแค่กล้องตัวนั้นได้หล่นไปอยู่ที่พื้น แล้วที่เขาไม่ตัดส่วนนี้ทิ้งตั้งแต่แรกเพราะในความมืดนิทนั้นมันมีเสียงหัวเราะที่สดใสของคน 2 คนดังรอดเข้ามาในตัวกล้องและนั้นก็คือเหตุผลที่ตัวกล้องยังไม่ได้หยุดทำการบันทึก “ผมรักคุณนะเดฟ” และนั้นก็คือเสียงสุดท้ายที่อยู่ในวีดีโอก่อนทุกอย่างจะหยุดลง “คนชื่อเดฟคือใครครับ?” “คุณกดมันเล่นได้ยังไงใครอณุญาตคุณ” “ผมเปล่ามันเปิดเล่นของมันเอง” “โกหก!!” “คุณจอห์นผมเปล่าจริงๆ แต่ช่างมันเถอะเดี๋ยวผมอธิบายแต่ตอนนี้ผมอยากรู้ว่า เดฟ คือใคร?” “วันนี้คงไม่เหมาะที่จะอยู่ทานของว่าง ผมว่าคุณกลับไปก่อนเถอะครับ” “เดี๋ยวคุณเดี๋ยว ผมต้องการรู้เขาคือใคร เขาใช่คนที่คุณเล่าให้ผมฟังไหม เดี๋ยวคุณจอห์น” “ปังๆๆๆ เดี๋ยวคุณ ผมอธิบายได้แต่คุณต้องคุยกับผมก่อน” ในเมื่อพูดขอร้องดีๆ คุณทอมไม่ยอมทำตามในสิ่งที่เขาขอเขาจึงลงมือลากคุณทอมออกมาที่หน้าประตูส่วนอีกมือเขาก็คว้าหยิบเอาของคุณทอมออกมาด้วย เมื่อคุณทอมพ้นเขตของประตูห้องเขาก็ยัดของทุกอย่างลงไปในมือของคุณทอมโดยที่ไม่สนว่ามันจะอยู่ในมือนั้นหรือว่าตกลงที่พื้นเขาก็ปิดประตูบานนั้นลง เขาเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนมองดูหน้าจอที่ถูกเปิดทิ้งค้างเอาไว้ด้วยความโมโห เขาโมโหที่มีคนรู้เรื่องราวของเขาและเดฟ วันนั้นเขาไม่น่าอ่อนแอแล้วเล่าเรื่องนี้ให้กับคุณทอมได้ฟัง เขาลงไปนั่งลงตรงหน้าจอและกดมันเล่นซ้ำอีกครั้งโดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ผมรักคุณนะเดฟ” นอกจากไฟล์นี้เขายังมีอีกหลายไฟล์ที่บันทึกเรื่องราวความรักระหว่างเขากับเดฟเอาไว้ตั้งแต่วันที่เดฟจากไปไม่มีไฟล์ไหนเลยที่เขากดลบ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะลืมคนๆ นี้ เขาต้องการให้เดฟยังอยู่ในดวงใจของเขาตลอดไปและเขาก็ไม่ต้องการให้ใครมารู้จักเดฟเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าจะมีแต่คนมาบอกให้เขาลืมเดฟ ปล่อยเดฟไป อย่าขังเดฟเอาไว้ในใจแบบนี้ เหมือนกับหลายคนในอดีตที่คนรู้จักเขา ‘ไม่มีวัน’ นี่คือคำมั่นที่เขาพูดกับตัวเองเสมอไม่มีวันที่เขาจะลืมเดฟและไม่มีวันที่เขาจะปล่อยเดฟไป ในเมื่อเขายังคือคนที่เดฟจดจำก่อนที่จะจากโลกนี้ไปเพราะฉะนั้นก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปเขาจะมีแค่เดฟในใจเท่านั้น เขาจะ ‘กักขัง’ เดฟเอาไว้แบบนี้ให้ไม่ลืมกับความผิดที่เขาทำเอาไว้กับเดฟ TBC ถึงคุณ monoo :pig4:
รอตอนต่อไปนะ
Day 16 Hope มันแปลกแปลกมากจริงๆ ที่วีดีโอนั้นเล่นได้ด้วยตัวเองจู่ๆ เสียงคนหัวเราะอย่างมีความสุขก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบและแสงสลัวที่รอดส่องเข้ามาตามทางจากหลอดไฟของห้องนั่งเล่น เสียงหัวเราะนั้นมันดังขึ้นในช่วงจังหวะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ทางด้านในของห้องนอนและจะให้เขาไปสาบานที่ไหนก็ได้ว่าเขาไม่ได้แม้แต่จะเดินไปเฉียดกับโน๊ทบุ้คเครื่องนั้นของคุณจอห์นสักนิด อีกอย่างโต๊ะตัวนั้นก็อยู่กันคนละด้านกับทางเข้าห้องน้ำเลยด้วยซ้ำถ้าคุณจอห์นจะมีเหตุผลสักหน่อยตอนที่คุณจอห์นเดินเข้ามาก็ต้องเห็นสิว่าตัวของเขายืนติดกับผนังกำแพงของอีกฝั่งที่ตรงข้ามกับเครื่องนั้นขนาดไหนและด้วยระยะเวลาเพียงเท่านั้นถ้าเขาเป็นคนไปเล่นวีดีโอนั้นขึ้นมาจริงเขาจะกระโดดไปอยู่อีกฝั่งทันได้อย่างไงอีกอย่างแล้วมันจะมีเหตุผลอะไรที่จะจูงใจให้เขาเดินไปเปิดโน็ทบุ๊คและกดเล่นวีดีโอเล่น ‘ผี’ มันเป็นเพียงคำเดียวในตอนนี้ที่จะสามารถอธิบายกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตลอด 30 กว่าปีมานี้เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกผีพวกวิญญาณเลยสักนิดแต่วันนี้แค่เพียงวีดีโอนั้นเล่นขึ้นมาด้วยตัวเองพร้อมกับเสียง เสียงที่เขาจำได้ว่ามันคือเสียงที่คอยแต่จะไล่ให้เขาออกไป เขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนความเชื่อของเขาที่มีมาตลอดแต่มันจะเป็นไปได้จริงๆ เหรอ? แล้วถ้าคุณเดฟอะไรนั้นคือจิตวิญญาณจริงทำไมคุณเดฟถึงต้องเลือกเขา? คุณเดฟต้องการอะไร? ตั้งแต่เดินทางออกมาจากห้องพักของคุณจอห์นในสมองของเขาไม่สามารถหยุดคิดเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลยมันมีแต่ประโยคคำถามที่อัดอยู่ในนั้นมากมายเขาเดินจมอยู่ในความคิดของตัวเองจนเกือบจะเดินเลยที่พักของตัวเองไปแล้วถ้าไม่ได้ผู้ดูแลตึกเรียกเอาไว้ “คุณทอมค่ะ คุณทอม นั้นจไปไหนคะ? แวะคุยกันสักหน่อยได้ไหมคะ?” “ครับ มีอะไร..อ๋อ ใช่วันนั้นผมลืมไปเลยที่บอกว่าจะลงมา ผมขอโทษนะครับ ไม่ทราบคุณมีอะไรรึเปล่า?” “เมื่อวันก่อนที่ดิฉันเรียกคุณเอาไว้ก็เพราะจะแจ้งว่ามีคนมาหาคุณค่ะ” “มาหาผม?” “ใช่ค่ะ เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนที่มาจากต่างเมือง เขามานั่งรอคุณที่ใต้ตึกนี่แหละค่ะ” “แล้วตอนนี้เขา?” “วันก่อนเขามานั่งรอได้ครู่เดียวก็มาถามทางเพื่อไปซื้อของสด ไม่รู้ว่าคุณได้เจอเขารึยังคะ? กลัวจะคลาดกันน่ะค่ะ” “เขาได้บอกไหมครับว่าเขาชื่ออะไร?” “เปล่าค่ะ พอดีดิฉันเองก็ไม่ได้ถามเสียด้วย” “งั้นคุณช่วยดูรูปนี้ได้ไหมครับ? แล้วบอกผมทีว่าใช่เขารึเปล่า” “ค่ะ” แค่เพียงคำบอกเล่าจากผู้ดูแลตึกก็ไม่รู้ว่าเขาเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าคนๆ นั้นต้องเป็นคนที่เขาคิด อาจจะเป็นเพราะชีวิตของเขาไม่ได้มีเพื่อนที่สนิทกันถึงกับจะมาเยี่ยมกันด้วยระยะทางที่ไกลแบบนี้หรือถ้าจะมาเพ่อนของเขาก็น่าจะบอกเขาก่อน เขารีบหยิบมือถือออกมาเปิดรูปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายทั้งแปลกใจ ทั้งสับสน แต่ที่สำคัญเขาแอบมีความ ‘หวัง’ ว่าให้คนๆ นั้นเป็นแฟรงค์เพราะในช่วงเวลาแบบวันนี้คงไม่มีใครที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาและเข้าใจเขาได้ดีไปกว่าแฟรงค์อีกแล้ว “คนนี้ใช่ไหมครับ?” “ใช่เลยค่ะ ว่าแต่คุณทอมได้เจอเขารึยังคะ?” “ยังครับ ผมไม่เจอเขาเลย เขามาตั้งแต่กี่โมงครับ แล้วเขาออกไปเมื่อไหร่?” คำถามอีกมากมายถูกถามออกไปสู้ผู้ดูแลตึก ในตอนแรกที่รู้แน่แล้วว่าคนที่มารอเขาคือแฟรงค์ความดีใจที่ความหวังของเขาสมหวังคือความรู้สึกรู้สึกแรกที่เขารับรู้แต่ตอนนี้ตอนที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าแฟรงค์กำลังอยู่ที่ไหนความโมโหก็เริ่มเข้ามาแทนที่ของความดีใจ เขาทั้งโมโหทั้งตัวเองที่ไม่ยอมกลับลงมาทางด้านล่างในวันนั้น โมโหที่ทำไมคนดูแลตึกไม่เดินเข้ามาบอกหรืออย่างน้อยก็เดินขึ้นไปบอกเขาที่ห้องก็ได้ไม่ใช่รอจนถึงวันนี้ “แบบนี้ เขาจะเป็นอะไรรึเปล่าคะ?” คำพูดของผู้ดูแลตึกยิ่งทำให้เขาใจเสียและนึกหวั่นใจ แต่ไม่หรอกแฟรงค์ไม่น่าจะเป็นอะไรคงแค่มาแล้วไม่เจอเขาก็เลยไปเที่ยวที่อื่นเพื่อฆ่าเวลามากกว่าและคงจะติดผมวันนี้แฟรงค์เลยยังไม่กลับมา แต่ถึงแม้ว่าเขาจะปลอบใจตัวเองแบบนั้นแต่เขาก็เอาแต่ยืนกดโทรศัพท์ลองโทรออกหาแฟรงค์แม้ว่าไม่ว่าเขาจะกดอีกกี่รอบเสียงที่ได้ยินกลับมาก็เป็นเพียงแค่ให้ฝากข้อความเอาไว้ ท่าทางของเขาคงจะดูไม่เป็นมิตรเอามาก ผู้ดูแลตึกจึงดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะสะกิดแขนของเขา แต่เมื่อเขาเห็นท่าทางเหมือนว่าเธอมีอะไรจะพูดเขาจึงได้ลดหูโทรศัพท์ลงและหันหน้ากลับไปหาเธอ “ครับ?” “เขากลับไปแล้วรึเปล่าคะ? ยังไงคุณลองติดต่อกับทางญาติของเขาอีกเมืองดีไหมคะ?” ‘ไม่มีทาง’ ทั้งไม่มีทางที่แฟรงค์จะกลับไปแฟรงค์ถ้าได้ตัดสินใจมาถึงที่นี่ คนอย่างแฟรงค์ถ้าตัดสินใจแล้วไม่มีวันที่จะหันหลังกลับไปโดยที่ไม่ได้พูดคุยกัน และก็ไม่มีทางที่เขาจะติดต่อกับครอบครัวทางนั้นได้เลยเพราะแฟรงค์ไม่เหลือใครอื่นแล้วยกเว้นก็เพียงแต่ ‘พ่อของเขา’ พอคิดมาถึงตรงนี้เขาจึงกล่าวขอบคุณกับผู้ดูแลตึกแบบลวกๆ ก่อนที่จะรีบขึ้นไปที่ห้องของตัวเองแล้วโทรสายตรงหาพ่อ “ว่าไงทอมเป็นอย่างไรบ้างลูก?” “พ่อครับ พ่อให้ที่อยู่ผมกับแฟรงค์เหรอครับ?” “เปล่านะ ทำไมเหรอ?” “แฟรงค์มาที่นี่ครับพ่อเขามาหาผม!!” “เขาน่าจะไปบอกข่าวกับเรา” “ข่าวอะไรครับ?” “เรายังไม่เจอกันเหรอ?” “ยังครับเรายังไม่เจอกัน ว่าแต่พ่อช่วยบอกผมได้ไหมครับว่าแฟรงค์เขามาที่นี่เพื่อจะบอกข่าวอะไร?” “พ่อว่าเรื่องนี้ เราคุยกันเองดีกว่า ถ้าเขาตัดสินใจไปถึงที่นั้นแล้วก็แสดงว่าเขาอยากพูดด้วยตัวเองลูกก็รู้จักเขาดี ว่าแต่โทรมาแบบนี้มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า? โอเคไหมลูก?” “ผมไม่เจอกับเขาครับ พ่อครับ พ่อติดต่อเขาได้ไหม?” “เดี๋ยวๆ หมายความว่ายังไงไม่เจอกันแล้วลูกรู้ได้ยังไงว่าเขาไปหา?” “เรื่องมันยาวครับพ่อเอาไว้เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ว่าแต่ก่อนหน้านี้พ่อติดต่อเขาได้บ้างไหมครับ? ผมโทรเข้ามือถือของเขาไม่มีคนรับสายเลย” “พ่อเองก็ไม่ได้คุยกับเขามาสองสามวันแล้ว” “งั้นพ่อช่วยโทรหาเขาให้ผมทีได้ไหมครับ?” “ทอมลูกโทรไปแล้วไม่ติดใช่ไหม? แบบนี้ต่อให้พ่อลองโทรไปมันก็คงออกมาเป็นผลลัพท์เดียวกันเพราะพ่อเชื่อมั่นว่าเบอร์ที่ลูกมีกับเบอร์ที่พ่อมีคงเป็นเบอร์เดียวกัน” “แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้พ่อลอง” เพื่อว่าแฟรงค์จะบล็อกเบอร์ของเขา เขารู้ว่ามันคือความคิดที่เป็นไปได้น้อยมากถ้าแฟรงค์จะมาถึงที่นี่แฟรงค์จะบล๊อกเบอร์ของเขาทำไม แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นอีกหนึ่งความหวังเล็กๆ ของเขา “เอาแบบนี้งั้นเดี๋ยวพ่อจะลองโทรไปให้ตามที่ลูกขอแล้วถ้ายังติดต่อเขาไม่ได้พ่อจะโทรไปหาที่ทำงานของแฟรงค์ให้แล้วจะลองถามดูว่ามีใครติดต่อเขาได้บ้างมั้ยในสองสามวันที่ผ่านมา แต่ต้องเป็นพรุ่งนี้เช้านะตอนนี้มันดึกมากแล้วคงไม่มีคนรับ” “ผมเข้าใจครับพ่อขอบคุณมากครับ” อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงตอนเช้าจะมาถึงเขาไม่คิดแล้วรอคำตอบแบบนั้นเขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ เขาจึงอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายของตัวเองสดชื่นกว่านี้ลดความเหนื่อยล้าจากการวิ่งแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกตามหาแฟรงค์ด้วยตัวเอง ผู้ดูแลตึกบอกกับเขาว่าแฟรงค์ออกไปซื้อของสดร้านที่ไปคงไม่ไกลจากนี้มากเท่าไหร่เขาเลยว่าจะลองไปเดินถามคนอื่นๆ ที่อยู่ระแวกนี้ดูว่ามีใครเห็นแฟรงค์บ้าง “คุณทอมค่ะ ทางนี้ค่ะๆ” แต่ไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นขอบประตูของลิฟท์โดยสารเสียงของผู้ดูแลตึกก็ตะโกนเรียกชื่อของเขาด้วยเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวลแถมยังมีตำรวจยืนอยู่ที่ทางเข้าหน้าตึกอีก “เกิดอะไรขึ้นครับคุณ?” “คือว่า...” “คุณรู้จักผู้ชายในรูปนี้ไหมครับ?” หนึ่งในตำรวจที่ยืนอยู่ยื่นรูปถ่ายหน้าของใครบางคนออกมาแม้สภาพที่เห็นจะต่างจากเดิมที่เขาได้เห็นครั้งล่าสุดไปมาก แต่เขาก็ยังสามารถแน่ใจได้ว่าคนในรูปนั้นเป็นใครบางคนที่เขาจำได้ดีและเป็นใครบางคนที่เขากำลังตามหา “ครับผมรู้จักเขาครับ” “งั้นผมขอเชิญคุณไปกับเราหน่อยครับ” “คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” “ในรถแล้วกันครับ” “ทางเราได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่าได้รับแอดมินคนไข้คนนี้จากการส่งตัวของคนขับรถแท๊กซี่รายนึงที่ขับรถเฉี่ยวคนไข้เข้าทางคนขับแจ้งเราว่าคนไข้ได้กระโดดลงมาที่หน้าถนนด้วยตัวเอง” “แฟรงค์เขาไม่น่าจะทำแบบนั้น” “ตอนนี้ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนครับแต่หลักฐานที่เรามีในมือตอนนี้ก็คือกล้องหน้ารถของทางคนขับและดูเหมือนว่าเขาพูดความจริง” “ครับ” แม้ว่าเขาจะตอบกลับด้วยความสงบแต่มือของเขาที่กำแน่นเข้าหากันอยู่นั้นกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ “เราไม่สามารถติดต่อคนที่เกี่ยวข้องกับคนไข้ได้เลยแต่ในกระเป๋ากางเกงทางเราพบที่อยู่ของคุณเราเลยมาลองสอบถามและคนดูแลตึกคุณยืนยันว่าเขารู้จักกับคุณ” “ครับ” ตอนที่ตำรวจนำเขามาส่งที่โรงพยาบาลเข่าของเขาแทบทรุดเมื่อมองเข้าไปในห้องคนไข้รวมแล้วเขาพบว่าแฟรงค์กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่ที่เตียงโดยที่มีผ้าพันแผลติดอยู่ตามตัว แต่ที่เขาสนใจมากกว่าผ้าพันแผลนั้นก็คือ “ทำไมต้องมีที่ล็อคข้อมือติดเข้ากับเตียงด้วยครับ?” เขาหันไปถามกับนางพยาบาลที่พาเขามาที่ห้องพักคนไข้ห้องนี้พร้อมกับเอกเอกสารเกี่ยวกับการยอมรับเข้ารับรักษามาให้เขากรอก “คนไข้พยายามทำร้ายตัวเองตลอดเวลาค่ะ ทางเราเลยต้องทำแบบนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เอง” “ผมขอเปลี่ยนเป็นห้องเดี่ยวได้ไหมครับ?” “ได้ค่ะเดี๋ยวดิฉันจะเช็คให้ว่ายังมีห้องว่างอยู่ไหม” โชคดีที่โรงพยาบาลนี่ยังมีห้องพักเดี่ยวสำหรับคนไข้เหลือ หลังจากที่ทำเรื่องย้ายแฟรงค์เป็นที่เรียบร้อยเขาก็นั่งลงตรงข้างเตียงแล้วเริ่มพิจารณาร่างกายของคนที่เขารักที่ตอนนี้มันบอบช้ำและดูอ่อนแรงมากกว่าครั้งล่าสุดที่เขาเจอมากขนาดไหนอีกครั้ง เขาพยายามรวมรวบสมาธิแล้วคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรเป็นอย่างแรก ณ ตอนนี้ แล้วเขาก็พบว่าสิ่งที่เขาต้องทำคือโทรหาพ่อแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ให้ไปตามหาใครแต่คงต้องรบกวนให้พ่อรายงานกับทางบริษัทของแฟรงค์ เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าแฟรงค์ลางานมาได้นานแค่ไหน? จะหมดวันลาแล้วรึยังแต่จากที่เขาเห็นเขาไม่คิดว่าแฟรงค์จะกลับไปได้ภายในวัน 2 วันนี้แน่นอน “ว่าไงลูก? เจอกันแล้วรึยัง?” “พ่อครับ ผมเจอเขาแล้ว” “ดีแล้ว พ่อเองก็เป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น คุยกันดีๆ ละ” “พ่อครับ พรุ่งนี้ พ่อโทรไปลางานให้แฟรงค์เพิ่มได้ไหมครับ?” “นานแค่ไหนละลูก?” “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับพ่อ ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลครับ” “แฟรงค์เป็นอะไรมากไหม? อยากให้พ่อไปหาไหม?” “ตอนนี้ผมว่าพวกเราโอเคครับ” “แน่นะ” “ครับพ่อ” “งั้นถ้ามีอะไรให้พ่อช่วยโทรมาได้เลยนะ” “ขอบคุณครับพ่อ....พ่อครับ” “ว่าไงลูก?” “ผมผิดรึเปล่าครับที่หนีเขามาแบบนี้ ถ้าผมไม่เป็นคนขี้ขลาดหนีปัญหามาแฟรงค์คงไม่เจ็บตัวแบบนี้ใช่ไหมครับ?” “...” “ถ้าผมยอมฟังเขา ยอมอยู่ด้วยกัน ยอมพูดคุยกันมันจะไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหมครับ?” “ทอม พ่อจะไม่บอกนะว่าใครผิดใครถูกในเรื่องนี้พ่อบอกได้แค่ว่าอดีตคือสิ่งที่เรากลับไปแก้ไขไม่ได้เพราะฉะนั้นการที่ลูกเอาแต่คิดว่า ‘ถ้าตอนนั้นไม่’ สำหรับพ่อมันไม่ช่วยอะไร” “...” “สิ่งที่ลูกต้องมีตอนนี้คือ ‘ความหวัง’ หวังที่ให้เขากลับมาพ่อเชื่อว่าความหวังคือสิ่งที่จะให้เราผ่านวันนี้ไปได้ด้วยความคิดด้านบวกและความคิดด้านบวกมันก็จะเป็นแรงใจของทั้งลูกและแฟรงค์ถ้าลูกจิตใจแข็งแรงลูกก็จะพร้อมดูแลเขาจริงไหม?” “ครับพ่อ” เขาวางสายจากพ่อไปแล้วและตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ดูแลคนตรงหน้าของเขาแบบที่พ่อได้บอกเอาไว้ ใช่เขาต้องมี ‘ความหวัง’ เพราะตอนนี้เขาเองก็ ‘ปรารถนา’ ที่จะฟังในสิ่งที่แฟรงค์เดินทางเพื่ออยากมาบอกเขาเหลือเกิน สิ่งที่เขาสังเกตุเห็นตั้งแต่แรกที่มาเจอแฟรงค์คือแฟรงค์จะนอนตัวกระตุกอยู่แทบตลอดเวลา แม้มันจะเป็นการกระตุกเพียงเล็กน้อยแต่เขาก็สังเกตุเห็นมันได้แต่ถ้าเขาได้จับมือหรือสัมผัสตัวของแฟรงค์อาการกระตุกนั้นก็จะเบาบางหรือหายไป ดังนั้นจากความตั้งใจที่จะลากเก้าอี้มาเฝ้าข้างเตียงเขาก็เปลี่ยนเป็นปีนขึ้นไปนอนบนเตียงข้างๆ กับแฟรงค์โดยที่ยอมผิดกฏของโรงพยาบาลถึง 2 ข้อ นั้นคือแกะที่ล๊อคข้อมือข้างนึงออกและการล้มตัวลงนอนเตียงเดียวกับคนไข้ เขาขึ้นไปนอนกอดแฟรงค์เอาไว้บนเตียงหวังเพียงว่าอ้อมกอดของเขาจะทำให้แฟรงค์นอนหลับได้สบายมากกว่านี้ เ ขาหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนโดยที่ไม่รับรู้ถึงสายตาของใครบางคนที่ยืนดูพวกเขาอยู่ที่ข้างเตียง TBC ถึงคุณแมวดำ ขอบคุณมากนะคะ :mew1:
Day 17 ขยำ อากาศในวันนี้ดีมากกว่าทุกวันมันไม่หนาวจนเขาต้องคอยเอามือปิดหูและก็ไม่ร้อนจนรู้สึกเหนอะหนะนอกจากอากาศจะดีแล้วบรรยากาศรอบตัวของเขาในตอนนี้ก็ยังโล่งสบายเพราะสวนที่เขากำลังนั่งสูดเอาอากาศเข้าปอดอยู่นั้นโล่งจนเขาไม่เห็นใครเลยสักคนทั้งที่ปกติแล้วเมืองนี้เป็นไปได้ยากมากที่จะหาสวนโล่งแบบนี้ สงสัยอาจมีการจัดงานใหญ่ที่ไหนสักแห่งคนก็เลยแห่ไปแต่ที่นั้นไม่มาเดินเล่นที่สวนนี้ จะว่าไปสวนสาธารณะที่นี่มันช่างคุ้นตาแต่เขากลับนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเขาเคยเห็นมันที่ไหนหรือชื่อว่าอะไรแต่ช่างเถอะเขายังเหลือเวลาอยู่ที่เมืองนี้อีกตั้งหลายเดือนยังมีเวลาให้คิดอีกถมเถไปไม่ก็ค่อยถามคุณจอห์นเอาวันหลังก็ได้ ในเมื่อตอนนี้เขาได้มาเจอกับช่วงเวลาสงบที่หาได้ยากแบบนี้เขาขอเก็บเกี่ยวเอาความสบายใจเอาไว้ก่อนดีกว่า ‘แฟรงค์’ ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ปากของเขาจะหลุดชื่อนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่ตั้งใจแต่เพราะในขณะที่สายตาของเขาที่กำลังมองซึมซับบรรยากาศเขาก็เห็นร่างของคนๆ นึงเดินผ่านแนวสายตาของเขาไป ร่างนั้นช่างคุ้นตาจนเขาต้องมองตามโดยไม่ละสายตาแล้วในที่สุดเขาก็รู้ว่าร่างนั้นเหมือนใครไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือทรงผมคนนั้นช่างเหมือนแฟรงค์เหลือเกิน เพราะเหมือนจึงต้องเดินไปดูให้แน่ใจว่าใช่หรือไม่เขาจึงลุกและเดินตามแผ่นหลังนั้นไปจากเดินก็กลายเป็นวิ่งเหมือนแผ่นหลังนั้นเริ่มไหลออกไปเรื่อยๆ และไม่ว่าเขาจะพยายามวิ่งให้เร็วเท่าไหร่ทั้งที่แฟรงค์ก็ดูเหมือนเดินธรรมดาแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเดินไม่ถึงตัวของแฟรงค์สักที “แฟรงค์” ยิ่งเดินตามก็ยิ่งแน่ใจว่าคนตรงหน้าต้องเป็นแฟรงค์แน่ๆ เขาจึงตะโกนเรียกแฟรงค์ดูอีกหลายครั้งไล่ตั้งแต่เสียงโทนที่เบาที่เหมือนเสียงกระซิบจนเพิ่มโทนเสียงให้เป็นเสียงของการตะโกนแต่แฟรงค์ก็ยังเอาแต่เดินตรงไปทางด้านหน้าโดยที่ไม่กลับมาหันมองที่เขาเหมือนดั่งกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขาเดินตามแฟรงค์มาเรื่อยๆ จนเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหลุดออกมาจากสวนนั้นตั้งแต่ตอนไหนแล้วแสงอาทิตย์หายไปตั้งแต่เมื่อใดเพราะสิ่งเดียวที่เขาให้ความสนใจก็คือแผ่นหลังของคนตรงหน้าเท่านั้น แต่จู่ๆ แผ่นหลังแผ่นนั้นก็หายไปจากขอบสายตาของเขาหลังจากที่เดินผ่านตรอกซอยเล็กๆ จนมาหยุดที่หน้าบ้านหลังนึง “แฟรงค์ คุณอยู่ในนั้นรึเปล่า?” เขาลองเรียกแฟรงค์อยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้นอยู่สักพักแต่ก็ไร้เสียงคนตอบกลับมาจะหันไปถามผู้คนแถวนี้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของใครถนนตรงนี้ก็ว่างเปล่าจนเขาเองเริ่มรู้สึกแปลกใจว่าสรุปแล้วเมืองนี้คือเมืองที่เขาอาศัยอยู่จริงใช่ไหม? ทำไมเมืองที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนวันนี้ผู้คนเหล่านั้นต่างหายไปจนเหมือนว่าเมืองนี้เป็นเมืองร้าง ถ้าจะบอกว่ามีงานใหญ่ประจำปีมันก็ออกจะแปลกไปสักหน่อยไหมถ้าทุกคนในเมืองนี้ต่างพร้อมใจกันไปที่งาน? แต่ในเมื่อเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับลองเอามือขยับที่กลอนประตูก็เปิดเข้าไปไม่ได้ลองเดินรอบๆ นอกบ้านก็ไม่เห็นแสงไฟรอดมาจากข้างในสิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือไม่มีใครอยู่ในบ้านหลังนี้และนั้นก็หมายความว่าแฟรงค์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้เช่นกัน เขาจึงหันหลังและเตรียมเดินออกหาแฟรงค์ในระแวกใกล้ๆ นี้ คิดว่าเขาคงคลาดกับแฟรงค์ตรงไหนสักตรอกก่อนเลี้ยวแถวนี้ คลิ้ก เสียงกลอนประตูที่เหมือนถูกสะเดาะดังขึ้นจากบ้านทางด้านหลังของเขาเสียงนั้นดึงความสนใจของเขาให้หันกลับไปที่บ้านหลังเดิม เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าหูของเขาแว่วกัยเสียงปลดกลอนนั้นรึเปล่าแต่เพื่อให้ปมดความสงสัยเขาจึงลองเอามือผลักไปเบาๆ ที่บานประตูแล้วก็พบว่าในตอนนี้มันสามารถเปิดออกกว้างได้ บ้านด้านในเป็นบ้านสองชั้นที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายเพียงทางด้านล่างมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงของพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา เขาพยายามเดินมองหาสวิตช์ไฟเพื่อจะได้เพิ่มการมองเห็นของเขาให้ดีขึ้นแต่แล้วความสนใจของเขาในการเพิ่มแสงสว่างก็ถูกแย่งไปจากเสียงคนพูดอยู่ทางด้านบน “สวัสดีครับ?” เขาลองส่งเสียงเป็นการนำทางขึ้นไปทางด้านบนแต่ก็ไม่ได้ยินคนตอบรับ ‘จะขึ้นไปดีไหมนะ?’ คือคำถามที่วนเวียนอยู่ในสมอง เสียงตะโกนเรียกชื่อว่า ‘เดฟ’ ซึ่งเป็นชื่อที่เขาจำได้ไม่ลืมทำให้เขาลืมคิดถึงเรื่องมีมารยาทในการอยู่ในบ้านของคนไม่รู้จักแล้วเดินตรงไปที่บรรไดที่เป็นทางขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ‘อึก’ เพียงก้าวขึ้นบรรไดได้เพียงแค่สองขั้นเขาก็ต้องหยุดการก้าวเดินของตัวเองลงเพราะเขารู้สึกเหมือนว่ามีคนกำลังเดินตามเข้ามาทางด้านหลังลมหายใจของเขาถี่กระชันขึ้นเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของใครอีกคนอยู่ไม่ไกลออกไปแต่เพียงแค่เขาจะหันหน้าไปดูว่าเป็นใครที่อยูทางด้านหลังของเขาก็มีลมที่พัดแรงวูบนึงพัดมาปะทะกับตัวของเขาจนเขาเซและล้มลงไปนั่งที่ขั้นบรรได ทันทีที่ลมวูบนั้นพัดผ่านไปเขาก็ไม่รู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกต่อไปมันเหมือนกับว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเขา แม้เขาจะรู้สึกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการเดินหารมองเห็นการได้กลิ่นแต่เขากลับไร้การควบคุมมันโดยสิ้นเชิง เขาพยายามที่จะบังคับให้ขาของเขานั้นหยุดก้าวเดินขึ้นไปทางด้านบนแล้วออกไปจากบ้านหลังนี้กลับไปที่สวนแห่งนั้นแต่เขาก็ทำมันไม่ได้ “เดฟ คุณไปไหนมา?” “คุณกลับมาได้แล้วเหรอ? คุณเลิกเป็นลูกแหง่ของที่บ้านได้แล้วเหรอ?” เสียงที่เปล่งออกไปจากปากของเขาก็ไม่ใช่เสียงของเขาแต่มันเป็นเสียงของคนที่ชื่อว่าเดฟ น้ำตาที่กำลังไหลออกมาจากตาอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่น้ำตาที่ออกมาจากความรู้สึกของเขาเช่นกันแต่มันเป็นความรู้สึกของใครอีกคนที่กำลังอยู่ในร่างกายของเขา “ผมมาหาก็พูดแต่เรื่องดีๆ ไม่ได้เหรอเดฟ เรื่องที่บ้านของผมเราก็พูดกันแล้วนิว่ามันต้องใช้เวลา นานๆ ผมจะมาทีคุณอย่ามาชวนทะเลาะได้ไหม?” “เวลาอีกแล้ว!! แล้วต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนผมต้องตายไปเลยไหม!!” “ฟังกันก่อนสิเดฟ” “ฟังอีกแล้วผมต้องเป็นฝ่ายที่ฟังไปตลอดเลยรึเปล่า? จะต้องให้ผมฟังคุณมานั่งแก้ตัว เอาตัวรอดที่ไม่สามารถออกมาเลี้ยงดูตัวเองได้อีกนานแค่ไหน!! แล้วคุณต้องเกาะพ่อแม่ที่แสนมั่งมีนั้นไปอีกนานแค่ไหนกัน!!” “คุณจะลามปามมากไปแล้วนะ นั่นแม่ผมนะ!! โธ่โว้ย ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเป็นแบบนี้ผมไม่มาให้เสียเวลาหรอก เอาไว้คุณมีสติมากกว่านี้แล้วเราค่อยมาคุยกันแล้วกัน” “ถ้าออกไปจากบ้านหลังนี้ผมจะถือว่าคุณไม่รักผมอย่างที่คุณพูดเอาไว้” “...” “แต่คุณเลือกที่จะปกป้องตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะไม่มีกิน” “ถ้าคุณคิดได้แค่นี้ผมก็ไม่มีอะไรที่จะพูดกับคุณ” “จอห์น!!” แม้ปากคู่นี้จะเอ่ยปากไล่แต่เพียงแค่คุณจอห์นหันหลังกลับเดฟก็พุ่งเข้าไปคว้าแขนของคุณจอห์นเอาไว้พร้อมกับสายตาที่อ้อนวอนและขอลุแก้โทษที่พูดเรื่องเหล่านั้นออกไป แต่กลับกลายเป็นคุณจอห์นที่แกะมือคู่นี้ออกจากแขนตัวเองกับมือ “เดฟ ผมเหนื่อย เอาไว้เราทั้งสองดีขึ้นกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกัน คุยไปตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องหรอก ก็เหมือนกับทุกทีที่คุยกันทีไรเราก็ไม่เคยเข้าใจกัน” “อย่าไปนะ ฟังผมก่อน อย่าเพิ่งไป” “…” คุณจอห์นก้าวเดินออกไปจากห้องนี้แล้วเหลือเพียงแค่เขาที่ไม่ยอมเดินไปไหนยังยืนอยู่ที่เดิมและจากความรู้สึกที่เขากำลังสัมผัสอยู่ไม่ใช่ว่าคนในร่างนี้ที่ใช้ร่างกายร่วมกับเขาไม่อยากเดินตามไปแต่เพราะหัวใจดวงนี้มันกำลังเจ็บช้ำอย่างหนักจนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะก้าวตาม ถ้อยคำแต่ละถ้อยคำที่ออกมาจากปากของคุณจอห์นมันมีผมต่อใจดวงนี้มากเหลือเกิน ถ้อยคำเหล่านั้นมันเหมือนมือที่มองไม่เห็นกำลังเข้ามาขยำหัวใจที่เปรียบเหมือนกับมะพร้าวที่พอถูกขยำสิ่งดีๆ เช่นกะทิก็จะล่วงหล่นไปและเหลือเพียงแต่ความทรงจำที่เลวร้ายนั้นก็คือกากที่ใช้ไม่ได้ฝังอยู่ในใจดวงนี้เท่านั้นเอง ทำไมกันนะแม้เขาจะได้ยินการถกถัยงกันระหว่างคน 2 คนเป็นครั้งแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าคนๆ นี้ต้องทนรับกับคำพูดเหล่านี้มาหลายครั้ง คุณจอห์นเองจะรู้บ้างไหมว่าเขากำลังจะทำให้ใจของคุณเดฟนั้นเหลือเพียงแค่กากที่แทบจะไม่เหลือสิ่งดีๆ เอาไว้หล่อเลี้ยงให้มันอยู่ต่อไปได้เพราะมันได้ถูกขยำทำลายด้วยคำพูดจนช้ำไปหมดแล้ว ‘อึก’ ตัวของเขาเหมือนถูกกระชากแย่งออกจากกันอย่างแรก คุณเดฟได้เลิกใช้ร่างกายร่วมกับเขาแล้วแต่เขากลับยังรู้สึกถึงเหนื่อยล้าความเสียใจความเศร้าใจของคุณเดฟเอาไว้ คุณเดฟคุณไปเจออะไรมาบ้างนะ ทำไมใจของคุณถึงได้บอบช้ำมากขนาดนี้ ตึงๆๆๆๆ ปัง เสียงเหมือนมีของตกและไปหยุดที่ชั้นล่างทำให้เขาวิ่งออกมาจากห้องและออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงที่เขาได้ยินอยู่ตอนนี้ทำให้เขานึกถึงคำพูดของคุณจอห์นที่ว่าคนรักของคุณจอห์นได้หนีจากตัวเองไปและจากไปอย่างถาวร หรือว่าคุณเดฟจะ.. “เฮือกกก ไม่นะ” ดวงตาของเขาเบิกโพรงพร้อมกับรู้สึกเหมือนว่าเขาได้ตกลงจากที่สูงที่ไหนสักที่ เมื่อกี้เขาฝันใช่เขารู้ตัวว่าเขากำลังฝันเพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับคนสองคนนั้นหรือมันก็เป็นเพียงแค่จินตนาการที่เขาคิดเอาเองแบะคนเดียวที่จะสามารถตอบเขาได้ก็คือคุณจอห์นเท่านั้น กึกๆๆๆๆๆ เสียงเตียงเหล็กของโรงพยาบาลส่งเสียงดังขึ้นทำให้เขาได้สติเต็มตาและมองดูคนข้างกายที่เขากอดเอาไว้ แฟรงค์กำลังใช้มือข้างที่เขาปลดล้อคออกให้กำต้นแขนของเขาเอาไว้แน่นและทั้งตัวของแฟรงค์กำลังสั่นกระตุกแบบที่นางพยาบาลคนนั้นแจ้งอาการเอาไว้กับเขา แถมมันยังเหมือน เหมือนกับการกระตุกเกร็งของร่างกายคุณเดฟในฝันในตอนที่คุณเดฟได้ตกลงไปที่ชั้นล่างของบ้าน ทำไมละทำไมทั้งสองคนถึงมีภาพซ้อนทับเหมือนกันเช่นนี้ หรือว่าที่แฟรงค์โดนแท๊กซี่ชน แฟรงค์เองก็ตั้งใจที่จะจากเขาไปแบบคุณเดฟ “แฟรงค์ๆ มองผมสิตื่นมามองผม แฟรงค์ได้โปรด” เขาพยายามเขย่าตัวของแฟรงค์เรียกสติของแฟรงค์ให้กลับมาให้ลืมตามองเขาสักนิดก็ยังดีแต่ดูเหมือนว่าการเรียกของเขาจะไม่เป็นผลเขาจึงตัดสินใจกดออดเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการของแฟรงค์ ใช้เวลาเพียงไม่นานพยาบาลก็เข้ามาในห้องพร้อมกับหลอดและเข็มฉีดยาในมือ “เดี๋ยวครับ!!” ก่อนที่ยาเข็มนั้นจะปักลงไปที่ข้อแขนของแฟรงค์เขาเห็นว่าแฟรงค์ลืมตาขึ้นแล้ว เขายังเห็นอีกด้วยว่าแฟรงค์กำลังมองมาทางเขาด้วยสายตาที่เจ็บปวด แต่ในสายตาของความเจ็บปวดนั้นมันยังมีสายตาขอความช่วยเหลือเจือปนอยู่ด้วย แต่เขาช้าเกินไปเพราะนางพยาบาลได้ทำการปักยาเข็มนั้นลงไปที่ข้อแขนของแฟรงค์แล้วแฟรงค์จึงได้หลับตาลงและทุกอย่างก็กลับมาสงบอีกครั้ง “ผมบอกว่า…” เขาหัวเสียที่ทำไมนางพยาบาลไม่ฟังคำพูดของเขาหรือแม้กระทั่งไม่สังเกตุอาการของแฟรงค์ก่อนที่ฉีดยาเข็มนั้นลงไป แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักคำพูดที่จะต่อว่าเพียงแค่นางพยาบาลคนนั้นหันมาโดยที่มีใบหน้าที่เหมือนกับคุณเดฟมากแม้กระทั่งไฝใต้ตาที่ยังมีจุดเดียวกัน “คะคุณ?” เขาสบัดหัวและพยายามจ้องมองอีกทีเมื่อพยาบาลคนนั้นเอ่ยปากพูดกับเขา เมื่อเขาลองมองอย่างพิจารณาอีกครั้งเขาก็พบว่าใบหน้าของคุณเดฟนั้นได้หายไปแล้วเหลือเพียงแค่หน้าของพยาบาลที่เขาเห็นตอนที่เข้ามาในห้อง “ไม่มีอะไรครับ” “งั้นเดี๋ยวดิฉันจะเข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนสายน้ำเกลือให้ ส่วนคุณถ้าอยากได้อะไรแจ้งทางเราได้นะคะ” “ขอบคุณครับ” เขายิ้มขอบคุณให้กับนางพยาบาลอีกครั้งก่อนที่เธอจะออกไปจากห้อง แต่แล้วรอยยิ้มของเขาก็ต้องหายไปแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่มีแต่ความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่ ความหวาดกลัวเกิดในช่วงที่เธอหันกลับตัวจะออกไป แสงไฟทางด้านนอกประตูทำให้เขาเห็นเงาสองเงากระทบที่พื้นมันคงไม่แปลกถ้ามันมีไฟส่งมาแล้วเป็นมุมที่ทำให้เงาแยกออกมาเป็นหลายเงาได้แต่ที่เขาตื่นกลัวกับสิ่งที่เห็นมากขนาดนี้ก็เพราะหนึ่งในเงาเป็นเงาที่สูงกว่าอีกเงา แถมในเงานั้นมันไม่มีหมวกพยาบาลอยู่ทางด้านบนแต่เป็นทรงผมไม่ได้รวบและปล่อยสยายละที่ต้นคอที่สำคัญเงานั้นมันเป็นเงาของผู้ชายไม่ใช่เงาของนางพยาบาลสาวที่สวมกระโปรงคนนี้แน่นอน TBC :pig4:
Day 18 อันตราย “ดิฉันเข้าไปนะคะ” “เชิญครับ” นางพยาบาลคนเดิมเดินกลับมาที่ห้องอีกครั้งและครั้งนี้เธอกลับมาเพื่อมาทำความสะอาดร่างกายให้กับแฟรงค์รวมถึงเปลี่ยนน้ำเกลือที่สำคัญนอกจากที่เธอจะดูแลปหรงค์แล้วเธอยังเข้ามาเพื่อช่วยทำแผลที่แขนข้างที่เขาโดนแฟรงค์จับเอาไว้แน่นตอนแรกเขาก็ไม่รู้สึกอะไรแต่ตอนนี้มันเริ่มเป็นแผลเขียวช้ำเด่นขึ้นมา ในเมื่อตอนนี้ในห้องก็มีเพียงเขาและนางพยาบาลเขาจึงฉวยเวลานี้ในการสอบถามเกี่ยวกับอาการของแฟรงค์ตั้งแต่วันที่เข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาล “ว่าแต่ทำไมต้องฉีดยาให้เขาด้วยครับ?” “ความจริงเราฉีดยาให้ผู้ป่วยแค่วันแรกที่เราพยายามทำให้เขาสงบลงเท่านั้นค่ะวันนั้นเราได้พยายามทุกหนทางแล้วแต่เราไม่สามารถควบคุมเขาได้ค่ะ แต่หลังจากที่เราได้ล็อกเขาไว้เราก็เลิกใช้ยากับคนไข้” “เพียงแต่วันนี้ที่ดิฉันต้องใช้อีกครั้งก็เพราะคุณปล่อยมือของเขาออกจากที่ล็อกและถ้าดิฉันไม่ฉีดยาให้เขาสงบลงเขาคงไม่ปล่อยแขนข้างนี้ของคุณออก” “ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งครับ” เสียงของเขาเบาลงจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบเมื่อความรู้สึกผิดมันตีตื้นขึ้นมาจากความหวังดีที่ไม่อยากให้แฟรงค์อึดอัดกับที่ล็อกแขนนั้นกลายเป็นการทำให้แฟรงค์ต้องรับยาเข้าไปในร่างกายโดยที่ไม่จำเป็น “ถ้าคุณไม่เชื่อดิฉันคุณลองไปคุยกับบุรุษพยาบาลที่ข้อมือเกือบหักในวันนั้นดูแล้วกันนะคะ” “อาการนี้เกิดจากอะไรครับ?” “ทางเราก็ยังไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไรเท่าที่เรารู้คือหลังจากที่เขามีอาการกระตุกที่กล้ามเนื้ออย่างรุนแรงได้ไม่นานเขาจะเริ่มทำร้ายตัวเองไม่ก็คนที่เขาจับเอาไว้ได้ค่ะ” “มันจะเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นรึเปล่าครับ?” “ถ้ามาจากสมองทางเราได้ตรวจโดยละเอียดแล้วก็พบว่าเซล์สมองทุกส่วนปกติดีนะคะ แต่จากอาการที่เกิดขึ้นทางทีมแพทย์ก็มีการเตรียมเรื่องการตรวจอีกครั้งอยู่เหมือนกันค่ะ” “ครับ” “งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวนะคะ” “ขอบคุณครับ” นางพยาบาลออกไปแล้วเหลือเพียงแค่เขากับแฟรงค์ที่อยู่ในห้องนี้ เขาใช้เวลาที่นั่งอยู่ตรงนี้ทบทวนว่าสิ่งที่เขาเห็นมาทั้งหมดนี้มันคืออะไร? มันคือภาพลวงตาจากจินตนาการของเขาหลังจากที่เขาได้ยินเสียงจากวีดีโอในโน้ตบุ๊คนั้นใช่ไหม? แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมทุกอย่างมันดูจริงมากเหลือเกินทุกอย่างที่เขาเห็นและได้ยินดูเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงเกินกว่าที่เขาจะคิดว่ามันคือการจินตนาการของเขาเอง เขารู้ว่าคนเดียวที่จะตอบคำถามนี้ของเขาได้ก็คือคุณจอห์นแล้วเขาก็รู้ว่าเขาควรจะไปตามหาคุณจอห์นมากกว่ามานั่งคิดทุกอย่างเอาเองแบบนี้แต่เขาจะทิ้งแฟรงค์ที่เป็นแบบนี้อยู่คนเดียวได้ยังไง? อีกอย่างเมื่อวานตอนที่ออกมาจากห้องของคุณจอห์นเขาคิดว่าคุณจอห์นคงไม่พร้อมที่จะพูดถึงเรื่องของคุณเดฟสักเท่าไหร่อย่าว่าแต่พูดถึงเรื่องของเดฟเลยเรื่องที่เข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนไปเล่นคลิปวีดีโอนั้นเขาไม่รู้เลยว่าคุณจอห์นจะยอมรับโทรศัพท์จากเขารึเปล่าถ้าเขาโทรไปตอนนี้ นั้นก็หมายความว่าเขาต้องไปดักรอและพยายามทำให้คุณจอห์นเปิดปากคุยกับเขาให้ได้ แล้วมันต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กันละ ‘เฮ้อ’ เขาถอนหายใจระบายความอึดอัดเพราะไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่มันก็ดูจะเป็นเหมือนทางตันไปเสียหมด “ทอม” เสียงของแฟรงค์ที่เรียกชื่อของเขาแม้ว่ามันจะเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่เขาคนที่นั่งรอให้แฟรงค์ฟื้นอย่างใจจดจ่อมีหรือที่จะไม่ได้ยินมัน เสียงนั้นทำให้เขาหยุดคิดเรื่องราวที่เป็นกังวลออกไปทั้งหมดแล้วยิ้มให้กับคนที่อยู่บนเตียงเรื่องราววิญญาณพราะตอนนี้คนที่เขาอยากคุยด้วยมากที่สุดได้อยู่ตรงนี้และได้ตื่นลืมตาขึ้นมาเรียกชื่อของเขาแล้ว “แฟรงค์ แฟรงค์ คุณตื่นแล้ว เป็นยังไงบ้าง?” แฟรงค์มองมาที่เขาและปลายตากลับไปมองที่ข้อมือของตัวเอง “ผมลืมไป...มาผมแกะมันออกให้ คุณคงเจ็บมาก” “อย่าแกะ” “ทำไม?” “ถ้าคุณถอดมันออกผมอาจจะทำร้ายคุณอีก” “ตลอดเวลาคุณรู้ตัวเหรอแฟรงค์?” แฟรงค์พยักหน้าให้เขาเป็นการตอบรับ “ผมรู้ตัวแต่ผมไม่สามารถที่หยุดตัวเองได้ ผมรู้สึกโกรธตัวเอง ยิ่งตอนที่ผมทำร้ายคุณผมรู้สึกเจ็บปวดเจ็บใจที่ไม่สามารถหยุดมันได้” “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ว่าแต่คุณรู้สึกยังไงบ้างตอนนี้” “ผมเจ็บตัวไปหมดเลยทอม” “อาจจะเป็นเพราะคุณเพิ่งโดนรถเฉี่ยวมา” “แบบนั้นเหรอ?” “แต่มันไม่เป็นไรแล้วแฟรงค์ ไม่เป็นไรแล้วเพราะตอนนี้คุณเองได้อยู่ในความดูแลของหมอแล้ว มาให้ผมแกะออกให้คุณดีกว่า” “เหมือนมีคนควบคุมผม” มือของเขาชะงักค้างอยู่ในกลางอากาศเพียงครู่ก่อนที่จะเริ่มแก้มัดให้แฟรงค์ตามที่ตั้งใจเอาไว้ “ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมว่าคุณอย่าแก้มัดผมเลยทอม” “ถ้าคุณรู้ตัวผมก็ไม่จำเป็นที่ต้องกังวล” เขาขัดความต้องการของแฟรงค์โดยการที่แกะที่ล้อกแขนออกทั้งสองข้างออก ตลอดระยะเวลาที่เขาก้มหน้าก้มตาแกะสิ่งเหล่านั้นออกปากของแฟรงค์ก็เอาแต่พูดคำว่า ‘อย่า’ พร้อมด้วยสายตาของความหวาดกลัวและความกังวล “เห็นไหมไม่มีอะไรสักหน่อยแฟรงค์? คุณไม่ต้องกังวล” “แต่ผมทำร้ายคนอื่น” “มันผ่านไปแล้วแฟรงค์” เขานั่งลงบนเตียงและเริ่มนวดเบาๆ ที่ข้อมือให้กับแฟรงค์ เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักแฟรงค์ถึงค่อยดูโล่งใจและเลิกเกร็งข้อมือของตัวเองเมื่อเห็นว่าถึงแม้ไม่มีเครื่องมือที่มัดตัวของตัวเองเอาไว้แฟรงค์ยังคงสามารถควบคุมตัวเองให้ไม่ทำร้ายเขาได้ “ผมเห็นเขา” “คุณหมายถึงเดฟ?” “อื้ม ว่าแต่คุณรู้จักเขา?” “ผม…ไม่แน่ใจเหมือนกัน เขาอาจจะเป็นคนรู้จักของคนที่ผมรู้จักอีกที” “ทอมคงหมายถึงคุณจอห์น?” “คุณรู้จักคุณจอห์น?” “วันที่ผมไปหาคุณที่ที่พักวันแรกวันนั้นผมเห็นเขาอยู่กับคุณ ว่าแต่คุณกับเขา...” “เราเป็นเพื่อนกัน” “ครับ” แฟรงค์ยกมือขึ้นมาลูบที่ใบหน้าของเขาพร้อมกับยิ้มให้เขาเหมือนกับได้ยกความไม่สบายใจออกไปจากอกที่รู้ว่าเขากับคุณจอห์นเป็นแค่เพื่อนกัน เขายิ้มตอบรับพร้อมกับจับประกบลงไปที่มือของแฟรงค์ เขาลดมือคู่นั้นลงมาแล้วบรรจงจูบไปที่มือข้างนั้นของแฟรงค์ “ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนี้หรือเรื่องของลิส” “เอาไว้หลังจากที่คุณหายแล้วดีกว่า ผม…” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดให้จบประโยคว่าเขาจะไม่หนีหายไปไหนเขาไม่หลบหน้าไว้แฟรงค์หายดีแล้วในวันนั้นเขาก็จะพร้อมฟังในสิ่งแฟรงค์อธิบายสายตาของแฟรงค์ที่มองเขาก็เปลี่ยนไป จากสายตาที่มองเขาด้วยความรักเปลี่ยนมาเป็นสายตาของความหวาดกลัวและในที่สุดก็เป็นสายตาของความโกรธเคือง มือของเขาที่ถูกแฟรงค์จับเอาไว้มันแน่นมากขึ้นแรงที่ถูกส่งมามันเหมือนกับข้อนิ้วของเขากำลังจะแตกออกจากกันเขาพยายามที่จะแกะให้มือของเขาหลุดออกจากการเกากุมของแฟรงค์แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ “แฟรงค์ นี่ผมเองนี่ผมคุณได้ยินผมไหมได้ยินผมไหม?” เขาเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำๆ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะกดปุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือจากพยาบาล ไม่ใช่ว่าเขากลัวที่จะโดนตำหนิในเรื่องที่เขาปลดที่ที่ล็อกนั้นออกแต่เขากลัวเหลือเกินกลัวว่าแฟรงค์จะโดนฉีดยานั้นเข้าร่างกายอีกครั้งและถ้าแฟรงค์ต้องมารับยาที่ดูเหมือนว่าจะอันตรายแบบนั้นเพราะว่าเขาเป็นต้นเหตุเขายอมที่เจ็บจนกระดูกหักไปเลยยังดีกว่า “มัดผม” และแล้วการที่เขาพร่ำเอาแต่เรียกชื่อของแฟรงค์ก็ได้ผลเมื่อในที่สุดสายตาของแฟรงค์เพียงวูบนึงก็กลับมาเป็นสายตาของตัวเองที่มองเขาด้วยความเป็นห่วงและมีคำขอโทษอยู่ในนั้น แฟรงค์ใช้ช่วงเสี้ยวเวลาที่เหมือนจะกลับมาเป็นตัวของตัวเองยอมผ่อนแรงที่จับเขาเอาไว้เขาจึงสามารถดึงมือของตัวเขาเองออกมาได้และตอนนั้นเองที่แฟรงค์สั่งให้เขาลงมือมัดแฟรงค์อีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าแฟรงค์กำลังต่อสู้กับอะไรแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าแฟรงค์จะสามารถเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหนเขาจึงไม่มีเวลาลังเลจึงตัดสินใจลงมือมัดแฟรงค์ตามคำขอ ‘อึก’ เสียงร้องที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดกับเสียงที่ข้อมือกำลังกระแทกที่ล็อคกับขอบเตียงนั้นมันเป็นเหมือนมีดที่กำลังกรีดลงไปในหัวใจของเขา ยิ่งแฟรงค์ทรมาณเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บที่หัวใจมากขึ้นเท่านั้น “ผมอยู่นี่นะแฟรงค์ผมอยู่ตรงนี้” เขามัดแฟรงค์ไว้เรียบร้อยเขาจึงโน้มตัวลงไปกอดแฟรงต์เอาไว้ทั้งน้ำตา น้ำตาของความเสียใจที่เขาเป็นต้นเหตุให้แฟรงค์ต้องมาที่นี่ ต้นเหตุที่ทำให้แฟรงค์ต้องเจอเรื่องแบบนี้ เขารวบตัวของแฟรงค์มากอดเอาไว้โดยไม่สนว่าแรงกระตุกที่มาจากแฟรงค์นั้นจะกำลังทำให้ตัวของเขาเหวี่ยงไปชนกับเหล็กตามขอบเตียงเพราะเขาอยากให้แฟรงค์รับรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้และเขาก็เชื่อมั่นว่าอ้อมกอดนี้ทำได้ กว่าทุกอย่างจะสงบลงก็ใช้เวลาอยู่เกือบ 15 นาที แฟรงค์เองหลังจากร่างกายเลิกต่อต้านก็หลับตาลงอีกครั้งด้วยความเหนื่อยอ่อน ส่วนขำเห้นว่าทุกอย่างสงบลงเขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดคนที่เขาต้องาการเป็นที่พึ่งมากที่สุดและเป็นคนเดียวที่เขาเชื่อว่ามีแค่พ่อเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเขาได้ “ฮัลโหล พ่อครับ” “พ่อกำลังจะโทรหาเราเลย เป็นยังไงแฟรงค์โอเคไหม?” “ไม่เลยครับพ่อไม่โอเค พ่อสามารถบินมาที่นี่ได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่ครับ?” “วีซ่าที่ทำเอาไว้ครั้งที่แล้วตอนไปส่งลูกยังคงใช้ได้อยู่ เรื่องตั๋วก็ไม่น่ามีปัญหายังไงพอจะลองจองให้เดินทางภายในพรุ่งนี้เย็น แต่ยังไงพอขอไม่รับปากนะพ่อคงต้องขอเวลาหามาดูแลคุณย่าก่อน” “ผมเข้าใจครับ งั้นผมรบกวนด้วยนะครับพ่อ” “แล้วเจอกันลูก” ตอนนี้เขาไม่เชื่อว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องที่มาจากจินตนาการของเขาเท่านั้นมันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้นและเขาก็ต้องการคำตอบพร้อมกับทางแก้ไข คนในโรงพยาบาลนี้อาจจะมองว่าแฟรงค์คือบุคคลอันตรายต่อคนอื่นแต่สำหรับเขาตอนนี้แฟรงค์คือคนที่ตกอยู่ในอันตรายมากกว่าใครแล้วเขานี่แหละที่จะไม่ยอมให้อันตรายตัวนี้มันทำร้ายแฟรงค์ไปมากกว่านี้เขาจะปกป้องคนที่เขารักให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ รอเขาก่อนนะแฟรงค์รอเขาอีกเพียงไม่นานเขาสัญญาว่าเขาจะไม่ปล่อยให้แฟรงค์ต้องทนทรมาณหรือต้องต่อสู้กับสิ่งอันตรายนี้เพียงคนเดียว เขาสัญญา TBC
คนมีปัญหาสี่คน เอ๊ย.....สามคน กับหนึ่งวิญญาณ มาพบกัน เดฟ ที่ไม่รู้จักทอม กับแฟรงค์ ก็มารู้จักผ่านจอห์น แถมมาเข้าสิงนางพยาบาล ฉีดยานอนหลับให้แฟรงค์อีก บางทีก็แอบคิดแบบ ถ้า แฟรงค์มาแล้วคุยกับทอม เรื่องก็จบไปแล้ว ไม่ต้องไปกระโดดให้รถชนรถเฉี่ยว เอ๊.....หรือเดฟเข้าสิงแฟรงค์ตอนนั้น o22 o22 o22 เหมือนกับ ถ้า แฟรงค์ ไม่มักง่าย เรื่องมันคงไม่เกิด ไม่เลยเถิดไปนอกโลก เอ๊ย....นอกประเทศ ว่าแฟรงค์อีกและ :angry2: :angry2: :angry2: ขอบคุณไรท์มาก อ่านทีจุใจเลย :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
Day 19 Frost ตอนที่เขาลงไปยืนรอรับพ่อที่หน้าโรงพยาบาลสิ่งแรกที่เขาเห็คือเขาเห็นพ่อก้าวลงจากรถแท๊กซี่ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะเชื่องช้าทั้งที่มีเพียงแค่กระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ติดตัวมาใบเดียวภาพนั้นมันทำให้เขายืนนิ่งเป็นหุ่นแช่แข็งเหมือนโดนสาบเอาไว้ เขาเอาแต่เรียกร้องความช่วยเหลือจากพ่อโดยที่ผ่านมาเขาไม่เคยมองพ่อให้ดีไม่เคยเห็นเลยว่าพ่อของเขาแก่ลงมากแค่ไหน แล้วในวันนี้เขายังให้พ่อที่แก่ลงมากเดินทางมาหาเขาอย่างกระทันหันเพียงคนเดียวอีกความรู้สึกผิดที่ตีตื้นขึ้นมาทำให้เขาก้าวขาไปทางด้านหน้าไม่ออกไม่กล้าแม้จะสบตาไปตรงๆ ที่หน้าของพ่อ “ผมขอโทษครับพ่อ พ่อต้องมาลำบากเพราะผม” “พูดอะไรแบบนั้นแฟรงค์เองเขาก็ไม่มีใครที่ไหนแล้วเขาก็เหมือนเป็นลูกของพ่อคนนึงเหมือนกัน” “ครับพ่อ” เขาเล่าเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นให้พ่อได้ฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุของแฟรงค์หรือเรื่องสิ่งที่เหนือกว่าธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งสองคนในช่วงที่พวกเขากำลังเดินไปที่ห้องพัก ตอนแรกเขาก็กลัวว่าพ่อจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดและคิดว่าเขาเครียดถึงจินตนาการกับเรื่องเหล่านี้ แต่เปล่าเลยสิ่งที่พ่อทำกลับตรงกันข้ามพ่อนอกจากจะไม่ว่าเขาว่าเพ้อเจ้อแล้วยังตั้งใจฟังในทุกคำพูดของเขา “แฟรงค์เป็นหนักขนาดนี้เลยรึเนี่ย?” “ครับพ่อ ตั้งแต่เข้ามารับการรักษาตัวแฟรงค์จะเป็นแบบนี้ตลอดตื่นมาไม่นานแล้วก็หลับต่อ พยาบาลบอกว่าน่าจะเป็นผลมาจากอาการกระตุกที่ผมเล่าให้พ่อฟังนั่นแหละครับ” “เรื่องของคนที่ชื่อเดฟที่ลูกพูดถึง…” “ที่ผมเรียกพ่อมาด่วนเพราะผมต้องไปหาคำตอบแล้วผมก็คงทิ้งแฟรงค์ไปแบบนี้ไม่ได้ ผมคงต้องทิ้งพ่อไว้ที่นี่กับแฟรงค์” “ไม่เป็นไรทอมไม่ต้องห่วงทางนี้นะ” “ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร เชื่อพ่อทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี” นี่คือคำปลอบใจที่พ่อพูดซ้ำๆ ตั้งแต่ที่พ่อเห็นสภาพของแฟรงค์ในห้องพักจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าพ่อต้องการที่บอกใครกันแน่ระหว่างเขาหรือตัวพ่อเอง “ลูกไปทำในสิ่งที่ลูกคิดว่าจำเป็นเถอะไม่ต้องห่วงทางนี้พ่อดูแฟรงค์ได้” “ขอบคุณครับพ่อ” ผ่านมาหนึ่งวันที่เขาไม่ได้ไปทำงานนั้นหมายความว่ามันคือหนึ่งวันที่เขาไม่ได้ไปที่ร้านกาแฟร้านนั้นแต่คุณจอห์นก็ไม่ได้ติดต่อเขามาซึ่งมันมีทางเป็นไปได้อยู่สองทาง หนึ่งคือคุณจอห์นยังไม่หายโกรธเรื่องที่คิดว่าเขาเป็นคนไปรื้อของส่วนตัว สองคุณจอห์นไม่สบายแล้วไม่ได้ไปทำงานเหมือนกับวันที่เกิดเรื่อง แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนเขาก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แล้วนั่งรอการติดต่อจากคุณจอห์น รู้ทั้งรู้ว่าช่วงเวลาสองทุ่มมันไม่เหมาะที่จะบุกไปหาคนที่เพิ่งจะสนิทกันแต่ในเมื่อเขาได้พยายามโทรศัพท์ไปหาคุณจอห์นเพื่อขอนัดอยู่หลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จไม่มีการรับสายจนถึงขั้นปิดเครื่องมันจึงทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นมากนักยกเว้นมาถึงหน้าที่พักของคุณจอห์นโดยที่ไม่ได้นัดเอาไว้ เกาะๆๆๆๆๆ “คุณจอห์นผมรู้ว่าคุณอยู่ในห้อง เปิดประตูให้ผมทีผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณ” หลังจากที่เขาเดินวนอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์ของคุณจอห์นเพราะไม่มีการ์ดที่จะเข้าไปทางด้านในของตึกได้อยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ถุงใส่ของของหญิงชราจู่ๆ ที่เดินผ่านหน้าเขาไปก็ขาดออกทำให้ของทุกอย่างที่อยู่ในนั้นล่วงลงที่พื้นตรงหน้าของเขา โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเขาวิ่งเข้าไปช่วยเธอเก็บก่อนที่ของทุกอย่างที่เธอซื้อมาจะล่วงลงถนนที่เต็มไปด้วยนถวิ่ง ตอนแรกที่เขาช่วยเขาไม่ได้คิดหวังผลมันเป็นไปตามสัญชาตญาณแต่เมื่อผู้หญิงคนนี้ออกตัวว่าพักอยู่ที่ตึกนี้เขาก็จะถือว่ามันคือการขอบคุณจากหญิงชราคนนี้แล้วกัน “คุณอาศัยอยู่ตึกนี้ด้วยเหรอคะ? ดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” “ผมเพิ่งเข้ามาพักกับเพื่อนที่ห้อง 503 ได้ไม่นานครับ มาแบบ เอ่อ พักชั่วคราวถ้าคุณไม่เชื่อว่าผมอยู่ตึกนี้จริงเดี๋ยวผมแค่ส่งของเข้าไปให้ในตึกแล้วคุณปิดประตูเลยก็ได้ครับ หรือไม่คุณสามารถล่วงเอาคีย์การ์ดที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทางด้านขวาของผมออกมาแตะที่ประตูก็ได้ครับ” เพราะเขาให้ความช่วยเหลือเขาจึงได้ความไว้ใจจากหญิงชราคนนี้เพิ่มขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์แต่เธอมันก็ยังมีส่วนที่ยังไม่เชื่อใจเหลืออยู่อาจเพราะเธอไม่คุ้นหน้าค่าตาของเขามาก่อน “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะดิฉันก็แค่ถามดูไม่คุ้นหน้าเฉยๆ” ขอบคุณที่ทักษะในการแสดงละครของวิชาเลือกในมหาวิทยาลัยของเขายังดีอยู่เขาถึงสามารถผ่านการจับผิดและเข้ามาภายในตึกนี้ได้อย่างง่ายได้ ก่อนที่จะขึ้นมาเขาไม่มีความแน่ใจเลยซ้ำว่าคุณจอห์นจะอยู่ที่ห้องรึเปล่าเขาจึงคิดแผนยาวไปถึงว่าถ้าจะต้องยืนให้คุณจอห์นกลับมาเขาต้องไปรอที่ไหนเพื่อไม่ให้คนบนชั้นนี้สงสัยเขา แต่พอได้มาถึงที่หน้าห้องจริงเขาก็เบาใจเมื่อแสงไฟที่สามารอดออกมาที่ใต้ประตูห้องพร้อมกับไอร้อนที่เป็นสัญญาณว่าคุณจอห์นได้เปิดเครื่องทำความร้อนเอาไว้เขาจึงยังยืนเคาะประตูอยู่แบบนี้ไม่ไปไหน แล้วในที่สุดความพยายามของการรอคอยของเขาก็เป็นผลเมื่อคุณจอห์นยอมเดินมาเปิดประตูให้เขา “คุณมีอะไรรึครับคุณทอม?” หน้าตาของคุณจอห์นซีดเซียวเหมือนคนไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวันแถมคุณจอห์นยังใส่เสื้อกันหนาวในห้องที่แค่เขาก้าวเท้าเข้ามาเขาก็อยากที่จะถอดแจ็คเก็ตตัวนี้ออกแล้ว แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือแววตาที่ไม่มีความสดใสเหลืออยู่ในนั้นเลย สภาพของคุณจอห์นทำให้เขาเกือบลืมว่าเขามาที่นี่ทำไม ขาของเขาเกือบก้าวเข้าไปในห้องไม่ออกเมื่อแววตาของคุณจอห์นที่ใช้มองเขาในตอนนี้มันดูเย็นชาไร้ความรู้สึกจนเหมือนเขากำลังมองลงไปในธารน้ำแข็งมากกว่าดวงตาของคนที่มักจะมีแต่ความอบอุ่นและความสุขมอบให้กับเขา “คุณดูไม่สบาย” “นิดหน่อยครับ” “งั้นผมขอรบกวนเวลาคุณเพียงไม่นานครับ ผมขอเข้าประเด็นเลยแล้วกัน ผมอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคนที่ชื่อเดฟครับ” “ผมไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเขา” “แต่..” “ถ้าคุณจะมาเพราะเรื่องนี้ผมว่าคุณเดินทางมาเสียเวลาเปล่า และต่อไปนี้ผมไม่คิดว่าผมกับคุณมีเรื่องจำเป็นที่จะต้องเจอกันอีก” “คุณจอห์นคุณฟังผมก่อนผมขอเวลาเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นถ้าห้านาทีนี้ผมยังไม่สามารถทำให้คุณฟังผมต่อได้ผมจะไม่รบกวนเวลาคุณอีกเลย” “…” คุณจอห์นไม่ได้ตอบรับกับคำขอของเขา ไม่ได้พยักหน้าไม่เอ่ยอณุญาตแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พูดปฎิเสธออกมาดังนั้นเขาขอเข้าข้างตัวเองโดยการที่คิดว่าคุณจอห์นพร้อมที่จะฟังในสิ่งที่เขาพูดแล้วกัน “ผมเคยได้ยินเสียงของเขามาก่อนครับ...เสียงของคนชื่อเดฟ” “ก็แน่นอนวันนั้นคุณเป็นคนเล่นวีดีโอนั้นด้วยตัวเองคุณก็ต้องได้ยิน” “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ผมเดินไปเล่นวีดีโอนั้นคุณอาจจะฟังว่ามันบ้าหรือเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่เหมาะสมเอาซะเลยเพราะในห้องนั้นมันมีเพียงผมแค่คนเดียวแต่ผมขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้เป็นคนเดินไปเล่นวีโอนั้น” “…” “และรวมไปถึงว่าไม่ใช่ครับวันนั้นไม่ใช่วันแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขา ไม่รู้ว่าคุณจะพอจำได้ไหมที่ผมมักจะพูดเสมอว่าผมนอนไม่หลับจนผมเองยังคิดที่จะคอยไปหาหมอเพื่อรักษาอาหารนอนไม่หลับของผม” “ครับ” “ความจริงแล้วมันไม่ใช่ว่าผมนอนไม่หลับ ผมกลับครับแต่มีคนทำให้ผมตื่น” “...” “ช่วงหลังมานี้ผมมักจะฝันซึ่งพอตื่นผมก็จำไม่เคยได้เลยว่าผมฝันอะไร ภาพทุกอย่างในฝันมันเบลอไปหมด ผมเคยพยายามนึกแต่นึกเท่าไหร่ผมก็นึกไม่ออก” “…” “แต่สิ่งนึงที่ผมจะจำได้คือมันจะมีเสียงนึงในตอนท้ายของความฝันเป็นสียงที่ทำให้ผมตื่นเป็นเสียงที่คอยบอกให้ผมออกไป กลับไป” “...” “แล้วผมก็จำได้ดีว่ามันคือเสียงของคุณเดฟ” “คุณโกหก” “ผมจะโกหกคุณแล้วได้อะไรขึ้นมา? เสียงนั้นคือเสียงของคุณเดฟจริงๆ ผมได้ยินเสียงนั้นมาหลายคืนรวมเป็นอาทิตย์ๆ คุณว่าผมจะจำเสียงนั้นไม่ได้เลยรึไง?” “คุณอาจจะสับสนเพราะนอนไม่พอ พอคุณได้ยินเสียงนั้นคุณก็ทึกทักเอาเองว่าเป็นเดฟ” “ไม่ใช่ครับผมรู้ตัวดีว่าผมได้ยินอะไร คุณจอห์นกรุณาเถอะครับกรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมได้ฟังทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ชื่อเดฟเพราะตอนนี้คนที่ผมรักที่สุดเขาต้องทนอยู่กับความทรมาณ คนที่ชื่อเดฟกำลังทำร้ายคนที่ผมรัก” ผลั่ก กำปั้นของคุณจอห์นแนบลงที่ใบหน้าของเขา เขาเซไปทางด้านหลังเล็กน้อยก่อนที่ทรงตัวให้กลับมานั่งดีๆ ได้ โดยที่ไม่มีคำเตือนล่วงหน้าคุณจอห์นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วก็ปล่อยหมัดตรงเข้ากับใบหน้าของเขา “เดฟไม่มีวันทำร้ายใครไม่มีวัน!!” “เขาไม่มีวันทำร้ายใคร หรือ คุณแค่ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทำ!!!” “ออกไปซะ ออกไปจากห้องผม!!!” “ก็เพราะคุณเป็นอย่างนี้ยังไงละจอห์นเราเลยไม่เคยพูดกันรู้เรื่องสักที” คำพูดออกมาจากปากของผม เสียงเป็นของผม มือที่ยื่นไปลูบเบาๆ ที่แก้มของคุณจอห์นนั้นก็ของผมแต่มันไม่ใช่ผมที่กำลังควบคุมให้มันเป็นไปแบบนั้น ครั้งนี้มันเหมือนกับครั้งในฝันนั้นแตกต่างเพียงว่าครั้งนี้ที่เกิดขึ้นผมยังคงตื่นอยู่ ผมยังคงอยู่ในร่างกายยังคงมีความคิดแต่คนอีกคนที่เข้ามาใช้ร่างกายร่วมกับผมกลับมีอำนาจคอยบ่งการให้ร่างกายของผม “คุณทอม!!!” “ทำไมบี้ถึงเรียกชื่อคนอื่นมาแทนชื่อผมละ?” “บี้ คุณไปเอาชื่อนี้มาจากไหนทอมจากไหน คุณไปรู้อะไรมา!!!” “บี้ ทำไมบี้จำผมไม่ได้ละครับ?” “บอกให้หยุดพูดไง บอกให้หยุดพูดไง มึงเป็นใคร มึงเป็นใคร!!!” ‘อึก’ เขากำลังดิ้นรนหาทางเอามือของคุณจอห์นออกไปจากลำคอของเขา เขาจะบอกกับคุณจอห์นอย่างไรดีว่าคนคนนั้นได้ออกไปจากตัวของเขาไปเรียบร้อยเราไม่ได้ใช้ร่างกายเดียวกันแล้ว แต่แรงของคุณจอห์นมันก็มีมากเหลือเกินเกินกว่าที่แรงของเขาจะต่อสู้ได้ ก่อนที่ลมหายใจของเขาจะหมดลงในสมองของเขามีหลายเรื่องที่วนเวียนอยู่ในนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาไม่น่าเลยบุกมาที่นี่โดยที่ไม่คิดแผนให้ดีกว่านี้เพราะนอกจากจะไม่ได้อะไรกลับไปแล้วเขาอาจจะต้องทำให้พ่อเสียใจ ‘พ่อ’ ที่ยอมมาหาเขาแบบไม่มีเงื่อนไขและแฟรงค์ที่กำลังรอความช่วยเหลือจากเขาอีก ทั้งคู่ต้องรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนกันนะที่เหตุการณ์มันออกมาในรูปแบบนี้ “ขอโทษครับพ่อ” แค่กๆ เขาสามารถสูดลกหายใจเข้าปอดได้อีกครั้งเมื่อมือที่เหมือนคีมเหล็กของจอห์นได้หลุดออกจากคอของเขา เขารีบถอยหนีออกมาจากคุณจอห์นจนมาใกล้กับประตูของห้องพักตอนที่คุณจอห์นกำลังนั่งแช่แข็งเหมือนกับคนที่ถูกสาป “คุณเป็นบ้าอะไรผมไม่รู้แต่ตัวตนเมื่อกี้ไม่ใช่ผม ผมรู้ว่าพูดไปคุณก็ไม่เชื่อแต่ผมก็ขอย้ำว่านั้นไม่ใช่ผม ถ้าคุณจะหยุดคิดสักนิดผมที่เพิ่งรู้จักกับคุณจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครใช้ บี้ เป็นตัวแทนระหว่างคุณกับเขา” “…” “ความจริงผมมีอยู่ฝันนึงแต่ผมก็รู้ว่ามันคือฝันจากอะไรผมเลยไม่เคยพูดกับคุณ แต่ถ้ามันจะช่วยให้คุณฟังผมบ้างผมก็จะพูดออกมา...คนที่ชื่อเดฟเขาเสียชีวิตเพราะตกจากที่สูง ถ้าไม่ชั้นสองของบ้านก็บรรไดของบ้านใช่ไหมครับ?” สายตาที่คุณจอห์นมองเขามันกำลังเบิกกว้างมากขึ้นและค้างแข็งอยู่แบบนั้น แล้วนี่ก็เป็นบทสนทนาแรกของวันที่เขาสามารถทำให้คุณจอห์นหันมาสนใจในคำพูดของเขาได้ “วันนั้นคุณทะเลาะกันเรื่องที่บ้าน เรื่องแม่ของคุณ ใช่ไหมครับ?” “คุณรู้ได้ยังไง?” “เพราะผมเห็นมันไงคุณจอห์นผมเห็นเหตุการ์ณในวันนั้น คราวนี้คุณเชื่อผมบ้างรึยัง?” เราต่างคนต่างยืนในมุมของตัวเองโดยที่ใช้ความเงียบเป็นตัวทำให้เราทั้งสองคนสงบสติลงไม่ว่าเขาที่กำลังตื่นกลัวหรือคุณจอห์นที่กำลังนิ่งค้างเหมือนกำลังหลุดเขาไปในโลกของตัวเองที่ไม่ใช่ตรงนี้ “สายตาของคุณเปลี่ยนไป” “ครับ?” “สายตาของคุณที่เรียกผมบี้มันเปลี่ยนไปมันเหมือนเป็นสายตาของเดฟที่ใช้มองผมอยู่เสมอ แต่ผมก็ยังคงไม่เชื่อผมคิดว่าคุณกำลังล้อผมเล่น ตอนที่ผมเอ่อ บีบคอของคุณ มันมีช่วงจังหวะที่สายตาของคุณก็กลับมาเป็นคนเดิมพร้อมกับพูดขอโทษคุณพ่อ เดฟไม่มีพ่อ” “คุณเลยปล่อยมือ?” “ครับ” “คราวนี้คุณเชื่อเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังรึยัง?” “ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเดฟไม่มีวันทำร้ายใคร เขาไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ผมพร้อมที่จะรับฟังคุณ” “แค่นั้นที่ผมต้องการ” เมื่อในที่สุดคุณจอห์นก็ยอมนั่งลงแล้วฟังเรื่องราวที่ออกมาจากปากของเขาบรรยากาศที่ร้อนเพราะเครื่องทำความร้อนก็ดูเหมือนว่าจะเย็นขึ้น พร้อมกับกำแพงธารน้ำแข็งที่อยู่ในดวงตานั้นก็กำลังจะละลายลง การที่คุณจอห์นยอมรับฟังในสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มเท่านั้น เพราะสิ่งที่เขายอมลงทุนบุกมาถึงนี้ก็เพราะเขาต้องทำให้คุณจอห์นยอมละลายกำแพงที่หัวใจและยอมลบภาพของคุณเดฟที่มีคุณสมบัติของคนอ่อนโยน ใจดีที่ถูกผนึกเป็นเหมือนน้ำแข็งอยู่ในนั้นออกให้ได้ คุณจอห์นจะได้ยอมช่วยเหลือเขากับแฟรงค์เสียที TBC ถึงคุณ ♥►MAGNOLIA◄♥ จริงค่ะ ชี้ตัวเลย แฟรงค์คือต้นเหตุค่ะ :serius2: fc_fic ขอบคุณนะคะ ^^ :pig4:
:pig4: :pig4: :pig4:
เอาใจช่วยทอม ช่วยแฟรงค์ :mew1: :mew1: :mew1: จอห์น ก็ตัวปัญหา สร้างปัญหาเหมือนกัน เอาแต่ใจตัวเอง :z6: :z6: :z6: ให้เดฟฟังตัวเองอย่างเดียว แต่ไม่ฟังเดฟเลย :fire: :fire: :fire: ทอม พูดอะไรก็ไม่ฟัง เป็นจอห์น นี่แหล่ะ ที่พาปัญหามาให้ทอม กับแฟรงค์ จอห์น รีบๆไปหาเดฟเลยไป เอ๊ย........รีบไปบวชเลยไป :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
Day 20 รถของเล่น “แล้วที่คุณมาที่นี่มาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟังคุณอยากให้ผมช่วยอะไรครับ?” “บอกตามตรงว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับคุณจอห์นว่าผมต้องการอะไรจากคุณ ผมแค่คิดว่าคุณเดฟน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ผมไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับคุณเดฟสักอย่างผมเลยไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ผมเลยอยากที่จะคุยกับคุณเพื่อว่าถ้าผมได้รู้จักเขาเพิ่มผมอาจจะหาทางออกได้” “คุณคิดจริงๆเหรอว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเดฟต้องการที่จะทรมาณแฟนของคุณ? ผมคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะรู้จักกัน” “ครับพวกเขาไม่น่าจะรู้จักกันอันนี้ผมมั่นใจ” “แต่คุณก็ยังอยากให้ผมเล่าเรื่องของเดฟให้คุณฟังเผื่อว่าคุณจะเจอจุดเชื่อมโยง?” “ถ้าคุณโอเค ผมก็จะยินดีมากครับ” ในที่สุดความพยายามของเขาก็เป็นผลเมื่อคุณจอห์นยอมเปิดปากเล่าเรื่องของคุณเดฟให้เขาฟังหลังจากที่เขาเล่าเรื่องต่างๆออกไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฝันหรือสิ่งที่เขาเห็นรวมไปถึงเหตุการณ์ที่คุณเดฟกับคุณจอห์นทะเลาะกันในบ้านหลังนั้น “เดฟคือแฟนของผมครับ” ก่อนที่คุณจอห์นจะยอมเล่าเรื่องราวต่างๆ คุณจอห์นได้เดินกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบเอากล่องเก็บของที่ถูกล็อคกุญแจอย่างแน่นหนาติดมือออกมาด้วย กล่องใบนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของหลายสิ่งแต่สิ่งแรกที่คุณจอห์นหยิบออกมาจากกล่องใบนั้นก็คือรูปใบนึงที่คุณจอห์นถ่ายคู่กับผู้ชายคนนึง ผู้ชายคนนั้นที่แม้จะมีหางตาตกดูเหมือนเป็นคนอมทุกข์แต่ประกายในดวงตาและรอยยิ้มที่ยกขึ้นจนเห็นฟันนั้นมันทำให้คนๆ นี้ดูสดใสขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ “นี่คือคุณเดฟเหรอครับ?” “ใช่ครับ” อาจจะเพราะเขาเคยได้ยินเสียงของเจ้าตัวมาก่อนเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคุ้นเคยเวลาที่ได้เห็นหน้าของเจ้าของเสียงนั้นเขานั่งมองดูรูปอยู่นานกว่าที่จะละสายตากลับมาที่คุณจอห์นได้อีกครั้ง “ผมรู้จักกับเดฟครั้งแรกตอนที่ผมอยู่มหาวิทยาลัยปี 2 ตอนนั้นเขามาเป็นพนักงานชั่วคราวที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย คุณเชื่อไหมว่าครั้งแรกที่ผมเห็นเขาผมก็รู้สึกชอบเขาเลยนะ ผมบอกกับตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าจะจีบคนนี้ ฮึไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมาดลใจให้ผมชอบคนที่ใบหน้าแทบจะไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่เลยนั่นได้” “...” “เชื่อไหมเห็นเป็นคนเงียบๆ แบบนั้นผมใช้เวลาตั้งหลายเดือนแนะคุณทอมกว่าที่เขาจะยอมเปิดใจคุยกับผม” “...” “ก่อนวันที่เราจะตกลงเป็นแฟนกันเขาขอเวลาผมในเย็นวันนึงให้มาเจอกันหลังเลิกงาน พอเราเจอหน้ากันเขาก็บอกกับผมว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิดเขาไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ เขาเล่าเรื่องความลำบากในวัยเด็กของตัวเองให้ผมฟังหลังจากเล่าจบ เขาก็ถามผมว่าผมแน่ใจแล้วนะว่าผมยังอยากเป็นแฟนกับเขาอยู่” “แน่นอนว่าคุณต้องตอบรับ” “ใช่ครับผมรับตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิด ก็ผมจีบเขามาตั้งนานแค่ถามว่าแน่ใจนะว่าจะคบมีหรือว่าผมจะตอบว่าไม่ ความจริงตั้งแต่เขาโทรมานัดผมก็รู้แล้วว่าเขากำลังจะตอบตกลงคบ ผมจึงรอฟังแค่คำถามนั้นพอเขาถามว่ารับได้ไหมผมก็รีบพยักหน้ารับกับเงื่อนไขทุกอย่างของเดฟโดยที่ไม่ได้ใส่ใจฟังอะไรที่เขาพูดมาเลยสักนิดเพราะผมรอฟังแค่คำๆ นั้น” แววตาที่คุณจอห์นใช้เวลาที่เล่าเรื่องของคุณเดฟมันเป็นแววตาของคนที่เปี่ยมไปด้วยความสุขซึ่งเป็นแววตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน คุณจอห์นเล่าเรื่องด้วยแววตานั้นจนมาถึงตอนที่เขาไม่ได้ฟังอะไรจากคุณเดฟเลยนั้นแหละแววตาที่เคยมีความสุขนั้นก็เริ่มหม่นแสงลง “เพราะผมไม่ได้ตั้งใจฟังผมเลยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเดฟเขาขออะไรผมเอาไว้หรือเคยเล่าอะไรให้ผมได้ฟัง ผมมันแย่มากเลยใช่ไหมครับ?” “...” “ดังนั้นตลอดเวลาที่คบกันผมไม่เคยทำในสิ่งที่เขาเคยขอเอาไว้ได้เลยเพราะผมไม่เคยรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม...” “ตอนนั้นคุณคงแค่อยากให้เขามาเป็นคนรักผมเชื่อว่าต่อให้คุณฟังครบทุกเงื่อนไขหรือฟังมันทุกเรื่องราวคุณก็ยังคงพยักหน้าตอบรับกับเงื่อนไขนั้นอยู่ดี” “แต่เพราะไม่ได้ใส่ใจมันเลยทำให้ผมรู้สึกแย่ทุกครั้งที่เราต้องทะเลาะกันในเรื่องที่ผมคิดมันไม่ใช่เรื่อง แล้วพอทะเลาะกันบ่อยเข้าผมก็ไม่อยากเจอหน้าเขา ผมเลิกสนใจเขาบางครั้งผมถึงขนาดยกเลิกนัดกระทันหันหรือในบางวันผมก็ทิ้งเขาไว้คนเดียวแล้วผมก็ไปสนุกกับเพื่อน” “....” “แต่ไม่ว่าเราจะทะเลาะกันขนาดไหนหรือผมจะหายกัวไปนานเท่าไหร่เดฟก็ให้โอกาสผมเรื่อยมา” “แล้วมันไม่ดีเหรอครับ?” “เพราะผมเลยเคยชินกับการได้โอกาสจากเขาเลยไม่คิดจะปรับปรุงตัวเองหรือปรับตัวเข้าหาเขา หลังๆ พอเดฟเขาไม่ยอมผมก็โมโหใส่เขา ผมละเลยเขาหนักขึ้นทั้งๆ ที่เขาย้ำกับผมหนักหนาว่าเขาเป็นเด็กกำพร้า แต่ผมก็ยังไม่สนใจแถมยังเบื่อและนึกรำคาญด้วยซ้ำที่เขาเอาแต่ย้ำคำนี้ ผมรำคาญที่เขาเอาแต่เรียกร้องความสนใจ” “เป็นธรรมดาครับคุณจอห์นเด็กกำพร้านะเขา...” “เขาอะไรครับคุณทอม?” “เดี๋ยวนะครับเรื่องเด็กกำพร้านะครับคุณบอกว่าคุณเดฟเป็นเด็กกำพร้า” “ใช่ครับ” “แฟรงค์เองเขาก็เสียพ่อแม่ไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่เด็กเหมือนกัน” “คุณคิดว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหรอครับ?” “ผมก็ไม่แน่ใจครับก็แค่พูดในสิ่งที่เขาสองคนมีคล้ายกันถ้ายังไงคุณลองเล่าเรื่องส่วนตัวของคุณเดฟให้ผมอีกสักนิดได้ไหมครับ? เช่นเขาเคยไปที่ไหนมาบ้าง” คุณจอห์นยอมตกลงเล่าเรื่องส่วนตัวทั้งหมดของคุณเดฟให้เขาฟังไม่จะเป็นสิ่งที่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบที่ๆ เคยไปเที่ยวด้วยกันและมีความทรงจำที่ดีร่วมกันแต่นอกจากเรื่องเด็กกำพร้าแล้วเขาก็ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณเดฟกับแฟรงค์อีกเลย “ผมขอโทษด้วยคุณทอมผมคงช่วยคุณได้เท่านี้” “แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วครับ” เขามองดูนาฬิกาก็เห็นว่าเขาทิ้งพ่อให้ดูแฟรงค์คนเดียวมานานมากแล้วเขาจึงขอตัวกลับ แต่ก่อนที่เขาจะลุกยืนขึ้นเขาก็เก็บรูปคู่ใบนั้นลงไปในกล่องและในช่วงจังหวะนั้นเองที่มือของเขาได้ไปสัมผัสเข้ากับโลหะชิ้นนึงเข้าเขาเลยหยิบมันขึ้นมาดู “คุณทอมชอบมันเหรอครับ?” “น่ารักดีครับผมไม่เคยเห็น ‘รถเด็กเล่น’ ที่ทำจากเหล็กทั้งคันแบบนี้เลย” “มันเป็นของเก่าแล้วครับต้องใช้วิธีไขลานมันถึงจะวิ่งได้แต่ตอนนี้เป็นสนิมหมดแล้วต่อให้ไขก็คงไม่วิ่งแล้ว จะว่าไปรถเด็กเล่นคันนั้นเป็นคันที่เดฟเขาหวงมากเลยครับใครแตะของเขาไม่ได้เลยล่ะ ตาจะคอยจ้องตามไม่วางตา” เมื่อได้รู้ว่าเจ้าของหวงเจ้าของชิ้นนี้มากขนาดไหนแม้ว่าเจ้าของที่ว่าจะไม่อยู่ตรงนี้แต่เขาก็วางเจ้ารถของเล่นนั้นลงกับโต๊ะที่ตั้งวางกั้นระหว่างเขากับคุณจอห์นอย่างเบามือแต่จะว่าไปเหล็กนี่มันเก็บความเย็นดีจริงๆ นะขนาดในห้องที่มีอุณหภูมิสูงขนาดนี้เจ้ารถนี้ยังคงความเย็นอยู่ได้ “เขาเคยบอกว่าที่เขาหวงมากเพราะมันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้จากคนที่รักเขานั่นก็คือผม” “คุณเดฟ...” “เดฟเคยเล่าว่าก่อนหน้านี้ของเล่นที่เขามีไม่เคยมีชิ้นไหนเป็นของเขาจริงๆ เลยสักชิ้นเพราะกฎหลักของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคือทุกคนต้องแบ่งปันกันเล่น” “คุณเดฟช่วงนั้นเขาคงจะลำบากน่าดูนะครับ” “ก็คงงั้นแหละครับเขาจึงติดนิสัยขี้หวงมาแต่ไหนแต่ไรถ้าอะไรที่เป็นของเขาละก็ไม่มีวันเสียหรอกที่เขาจะทิ้งขว้างแล้วเขาก็จะไม่ยอมเสียมันไปง่ายๆ ด้วย ขนาดรถคันนี้มันวิ่งไม่ได้แล้วเขายังไม่ยอมโยนมันทิ้งเลย” “งั้นผมว่าผมเก็บมันให้เข้าที่ดีกว่าครับ” เขาเอื้อมมือเตรียมไปจับรถเด็กเล่นไขลานคันนั้นเข้าไปในกล่องแต่แล้วทั้งเขาและคุณจอห์นต่างหยุดนิ่งในสิ่งที่กำลังทำแล้วมองตามเจ้ารถเด็กเล่นคันนั้นที่เคลื่อนตัวช้าๆ จากตรงที่เขาวางเอาไว้ตรงไปที่ทางฝั่งตรงข้ามและหยุดลงที่สุดขอบโต๊ะฝั่งที่คุณจอห์นนั่งอยู่ “คุณก็เห็นว่าผมไม่ได้...” เขาหยุดการเอ่ยปากแก้ตัวของตัวเองเอาไว้เมื่อเขามองเห็นคุณจอห์นโน้มตัวลงมาหยิบเจ้ารถเด็กเล่นไขลานคันนั้นขึ้นไปแนบเอาไว้กับที่อกของตัวเองแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาจากตาทั้งสองข้างเงียบๆ เขาคิดว่าเขาเข้าใจว่าทำไมคุณจอห์นถึงเป็นแบบนี้เพราะถ้าเป็นเขาที่ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้เขาก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน มันคงเต็มไปด้วยความคิดถึงความเศร้าจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา เขาจึงนั่งเงียบแล้วปล่อยให้เวลาให้ผ่านไปรอจนคุณจอห์นจะรู้สึกดีขึ้น “ผมอยากเจอคุณแฟรงค์” “ทำไมจู่ๆ? คุณถึง” “ผมไม่รู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เมื่อกี้ผมมั่นใจว่าคุณไม่ได้แม้กระทั่งแตะต้องมันและต่อให้คุณทำเจ้ารถคันนี้มันก็วิ่งไม่ได้อยู่ดีเพราะฉะนั้นผมถึงอยากเจอเขา” “ได้ครับคุณจอห์นไปครับเราไปเจอแฟรงค์กับครับ ขอบคุณ” TBC ถึงคุณ fc_fic ขอบคุณนะคะ :L1: ♥►MAGNOLIA◄♥ โธ่ คุณจอห์นโดนไล่ไปตาย เอ๋ย ไปบวชซะแล้ว... 555555+ :3123:
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4:
Day 21 – กลิ่นสาป “คุณแฟรงค์อยู่โรงพยาบาลนี้เหรอครับ?” “ใช่ครับมีอะไรรึเปล่าครับคุณจอห์น” “ตอนที่เดฟเขาต้องมาผ่าพิสูจน์...ศพก็ใช้โรงพยาบาลนี้ครับ” “คงเป็นเรื่องบังเอิญนะครับ ผมว่าเราขึ้นไปข้างบนดีกว่า” “ครับ ทอมสังเกตุได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของคนข้างตัวตั้งแต่รถแท๊กซี่เลี้ยวเข้ามาจอดที่ทางเข้าของโรงพยาบาลแต่เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเพราะเรื่องนี้ปากที่เอ่ยปลอบไปว่าเรื่องบังเอิญมันก็คือคำปลอบที่เขาใช้ปลอบทั้งคุณจอห์นและตัวเองเพราะความบังเอิญที่ว่ามันเริ่มจะมากจนเกินไปจนทำให้เขาหายใจไม่สะดวก กลิ่นฉุนเหม็นอับลอยออกมาจากห้องพักของแฟรงค์ที่ถูกเปิดประตูทิ้งเอาไว้โดยที่มีเจ้าหน้าที่ 2-3 คนกำลังเดินเข้าออกจากห้องเป้นว่าเล่น ทอมรีบวิ่งไปที่ห้องด้วยความกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแฟรงค์ “พ่อทำ...หืมกลิ่นอะไรอะครับพ่อ?” “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันตอนเราไปแรกๆ ก็ยังไม่มีกลินอะไรนะแต่พอเริ่มมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาก็เริ่มมีกลิ่นตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะโซฟามันเก่าแต่พอลองสังเหตุดูพ่อว่ากลิ่นมาจากเตียงพ่อเลยขอให้พยาบาลเข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าปูแต่มันก็ไม่ดีขึ้นแถมตอนนี้พอลูกเข้ามากลิ่นยังแรงขึ้นกว่าเดิมอีก” “นานยังครับพ่อ?” “ประมาณ 20 นาทีที่แล้วนี่เอง” “เดฟ” เสียงของคุณจอห์นดังขึ้นแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนาระหว่างเขากับพ่อ “ครับ?” “น้ำหอมของเดฟผมได้กลิ่นน้ำหอมของเขา” พ่อมองหน้าของผมเหมือนต้องการคำตอบว่าคนๆ นี้เป็นใครและทำไมถึงได้กลิ่นที่แตกต่างออกไปจากเรา 2 คนมากขนาดนี้จากลิ่นเหม็นสาปทำไมถึงกลายเป็นกลิ่นของน้ำหอมไปได้ “คุณจอห์นครับนี่พ่อของผมครับ” “สวัสดีครับคุณลุง” “สวัสดีครับคุณจอห์นผมเคยได้ยินชื่อของคุณจากเจ้าทอมมาเหมือนกันขอบคุณมากนะครับที่เป็นเพื่อนดูแลช่วงที่เขามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง” “ด้วยความยินดีครับ” “เมื่อกี้คุณว่าคุณได้กลิ่นน้ำหอมของคุณเดฟ?” ทอมรู้ว่ามันค่อนข้างเป็นการเสียมารยาทที่ขัดบทสนทนาขึ้นมากล้างป้องแต่มันเป็นสิ่งที่เขาสงสัยมากที่สุดและเขาก็คิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ “ครับผมได้กลิ่นตั้งแต่เริ่มเดินออกจากลิฟท์ นี่เป็นกลิ่นโปรดของเขา” “แต่ ผมว่ามันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม” ทอมหันหน้าไปมองทางพ่อเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อ “ผมว่ามันเป็นกลิ่นเหม็น” “กลิ่นมันอาจจะแรงไปจนฉุนก็ได้” “..แต่...” “นั้นคือคุณแฟรงค์?” “ใช่ครับคนที่นอนอยู่บนเตียงคือแฟรงค์” “ผมไม่คิดว่าผมจะรู้จักเขาและผมก็ไม่คิดว่าเดฟจะรู้จักเขาเหมือนกันผมไม่คุ้นหน้าเขาเลย” คุณจอห์นเดินเข้าไปสำรวจแฟรงค์ใกล้ๆ ที่ข้างเตียงพร้อมกับปฎิเสธกับข้อสันนิษฐานที่เราสองคนคิดเอาไว้ว่าคุณเดฟกับแฟรงค์อาจจะเคยไปเจอกันที่ไหนสักที่หรือรู้จักกันด้วยเรื่องงานเลยทำให้ 2 คนนั้นสามารถสื่อถึงกันได้ “คุณช่วยออกมากับผมและพ่อที่หน้าห้องหน่อยได้ไหมครับ?” “...” “คุณจอห์นครับ?” เมื่อคุณจอห์นไม่มีปฎิกริยาตอบรับกับคำเรียกเขาจึงเดินไปแตะที่ข้อศอกของคุณจอห์นในช่วงเสี้ยววินาทีที่ปลายนิ้วมือของเขาได้สัมผัสกับกับข้อศอกของคุณจอห์นมันเหมือนมีแรงไฟฟ้าอะไรสักอย่างช๊อตตรงบริเวณนั้น ไม่น่าเชื่อว่าแรงช็อตจากตรงบริเวณเล็กๆ นั้นมันจะสามารถดีดตัวของเขาให้ออกห่างจากพื้นที่ข้างๆ ของคุณจอห์นได้ “คุณโอเคไหมคุณทอม?” คุณจอห์นเดินเข้ามาจะช่วยพยุงให้เขาลุกยืนขึ้นแต่แรงดีดที่ทำให้เขาล้มลงมานั่งที่พื้นมันทำให้เขาเกิดความขยาดเขาจึงปฎิเสธความหวังดีนั้นแล้วลุกขึ้นยืนและเดินออกมาห่างจากห้องพักด้วยตัวเอง “คุณจอห์นครับกลิ่นที่ผมกับพ่อได้มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมครับ มันเป็นกลิ่นเหม็น” “จริงคุณ ผมเองก็ได้กลิ่นเดียวกับลูกของผม” “แต่ผม...” คุณจอห์นแสดงสีหน้าที่ทอมเองก็อ่านไม่ออกอยู่สักพักก่อนที่จะพยักหน้าทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาและพ่อต้องการจะสื่อ “งั้นก็เป็นผมคนเดียวใช่ไหมครับที่ได้กลิ่นนั้น?” “ผมคิดว่าใช่” “โอเค สมมุติว่าผมเชื่อทั้งหมดที่คุณพูดออกมาและจมูกของผมเพี้ยนไปจริงๆ เดฟเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? แล้วทำไมเขาไม่มาหาผมทำไมเขาถึงมาหาพวกคุณ?” “ผมก็...” ตึกๆๆ “ผู้ป่วยชักมาช่วยกันจับเร็ว” เสียงวิ่งกับตะโกนของนางพยาบาลที่วุ่นวายนั้นดึงดูความสนใจให้ทอมมองตามทางที่นางพยาบาลทางฝั่งนี้ เดินไปแล้วเขาก็เห็นว่าพวกเธอกำลังตรงไปที่ห้องของแฟรงค์ เขารีบวิ่งกลับไปที่ห้องพักโดยที่มีพ่อกับคุณจอห์นวิ่งตามเขามาติดๆ ภายในห้องพักมีนางพยาบาล 2 คนกำลังช่วยกันจับแฟรงค์คนละข้างโดยมีคนที่เตรียมจะฉีดยาให้กับแฟรงค์แต่มันก็ทำได้ค่อนข้างยากลำบากเมื่อแฟรงค์ตัวกระตุกอย่างรุนแรงจนไม่มีส่วนไหนของร่างกายอยู่นิ่ง “รบกวนอย่าฉีดยานั้นให้เขาเลยครับ” “ปล่อยให้คนไข้ชักแบบนี้มันจะไม่ดีต่อร่างกายนะคะ” มันก็จริงการชักแบบนี้มีผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดีแต่ดวงตาของแฟรงค์ที่มองมาที่เขากำลังเบิกออกกว้างเมื่อเห็นว่าเขาหยุดห้ามการฉีดยานั้นมันทำให้เขาต้องเอ่ยพูดอีกครั้ง “ผมขอละครับถ้าเขายังไม่ดีขึ้นภายใน3 นาที ผมสัญญาว่าผมจะไม่ขัดขวางการทำงานของคุณ” “แต่..” “ผมเป็นญาติกับคนไข้ผมคิดว่าผมมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจใช่ไหมครับ?” “ได้ค่ะ งั้นถ้ามีอะไรกดเรียกพวกเราเลยค่ะ” “ขอบคุณครับ” แววตาของแฟรงค์ที่ส่งมานั้นเต็มมันไปด้วยคำขอบคุณแต่น่าแปลกที่ทำไมทอมรู้สึกเหมือนกำลังสบตากับคนแปลกหน้า แถมแววตานั้นมันก็เปลี่ยนเป็นแววตาของความโศกเศร้าเวลาที่เห็นใครอีกคนวิ่งเข้ามาสมทบกับเขาที่ทางด้านหลัง “เดฟ....” เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับคุณจอห์นที่อยู่ๆก็เรียกแฟรงค์ว่าเป็นเดฟ “เดฟ ทำไมเดฟทำแบบนี้ ทำแบบนี้ทำไมทำไมมีอะไรไม่เข้ามาคุยผมโดยตรงเดฟ...” “เดี๋ยวคุณจอห์นใจเย็นๆ มันเกิดอะไรขึ้น?” “ไม่ยงไม่เย็นไม่แล้ว ผมต้องการคำตอบจากเขา ตอบมาสิเดฟ ตอบมา” “นี่คือแฟรงค์ไม่ใช่เดฟอะไรของคุณ!! ถ้าคุณไม่ออกไปผมจะกดเรียกให้ยามมาลากตัวคุณออกไป” ทอมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคุณจอห์นยังพอฟังเขาแล้วยอมออกไปรอทางด้านนอกที่เขาต้องการให้คุณจอห์นออกไปก็เพราะยิ่งคุณจอห์นเสียงดังใส่คนบนเตียงมากเท่าไหร่แววตาที่โศกเศร้านั้นก็ยิ่งหลั่งน้ำตาออกมามากเท่านั้น “เขาไม่ฟังผมเลย” “...” “เขาไม่ฟังผมเลย เขาไม่เคย” แล้วนั้นมันก็เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายก่อนที่แฟรงค์จะหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อคนบนเตียงหลับลงพ่อก็เดินเข้ามาตบบ่าเพื่อให้กำลังใจพร้อมกับให้สติว่ายังมีใครอีกคนยังรอเขาอยู่ที่ทางด้านนอกห้องพัก “ทำไมคุณถึงเรียกเขาว่าเดฟ?” “ผมจำแววตานั้นได้ดีว่ามันคือแววตาของเดฟที่เขาใช้มองผมทุกครั้งเวลาที่เราทะเลาะกันแววตาที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อ อีกอย่าง....” “อีกอย่าง?” “ช่างมันเถอะครับ” “ผมรู้ว่าบางทีคุณก็อยากเก็บบางเรื่องให้เป็นเรื่องส่วนตัวแต่คุณก็เห็นแล้วใช่ไหมว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นบ้างผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราต้องพูดกัน ‘ทุกอย่าง’ “ “แล้วคุณคิดว่าถ้าผมบอกออกไปมันจะช่วยอะไรได้ย่างนั้นเหรอครับ!!” “มันก็อาจจะช่วยได้หรือช่วยไม่ได้เลยแต่มันก็ดีกว่าที่เราไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยหรือยังไง??!!” ทั้งชั้นตกอยู่ในความเงียบหลังจากที่เขาได้ตะโกนเอาความคับแค้นใจออกไป คุณจอห์นก้มหน้าเงียบใช้ความคิดไปสักครู่ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดในสิ่งที่เหลือออกมาให้เขาได้รู้ “การกระตุกนั้น...มันเหมือนกับแรงกระตุกเฮือกสุดท้ายก่อนที่เดฟจะเสียชีวิต” “คุณเห็น?” “ครับ” “แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อภาพที่ผมในฝันเหมือนคุณออกจากบ้านไปแล้วคุณออกไปก่อนที่เขาจะเสีย” “ตอนนั้นมันเป็นภาพนิ่งหรือภาพที่เขากำลังกระตุกอยู่ละครับ?” “ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนที่คุณเดฟจะนิ่งไป” “หึ นั้นคงเป็นตอนที่ผมวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้น เพราะตอนที่เขาตกบรรไดลงมาผมยังไม่ได้ออกจากบ้านหลังนั้นครับ” “คุณหมายความว่ายังไง??” “หลังจากที่เรามีปากเสียงครั้งล่าสุดเรื่องแม่ของผมเดฟเขาวิ่งตามผมมาทันครับ เรายื้อยุดกันที่ตรงบรรไดผมสะบัดมือของเขาออกเพราะผมยังไม่พร้อมที่จะคุยแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย” “...” “ผมสบัดเขาแรงมากจนเกินไปเขาเลยพลาดล่วงตกลงไป..” “คุณจอห์น...” “แต่ แต่ คุณเข้าใจไหมว่าผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุคุณทอมมันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้จะทำให้เขาตกลงไป” “แล้วคุณบอกเรื่องอุบัติเหตุนี้กับใครไหม?” เสียงของเขาเบาหวิวและรอคอยคำตอบอย่างคาดหวัง “ผมมีเหตุผลที่ไม่สามารถพูดได้ว่าผมอยู่กับเขาในตอนนั้น” “แล้วทำไมคุณถึงบอกผมว่าเขาฆ่าตัวตายละ ทำไม? คุณรู้ไหมว่าความหมายมันต่างกัน?” อารมณ์ของเขาพุ่งขึ้นสูงจนเขาไม่สามารถควบคุมโทนเสียงของตัวเองให้สงบเงียบดั่งเดิมได้ นี่นะเหรอคำพูดของคนที่พร่ำบอกว่ารักคนของตัวเองมากแค่ไหนเสียใจแค่ไหนที่คนของตัวเองจากไป “มันจะต่างกันยังไงเพราะยังไงผมก็เสียเข้าไปอยู่ดี!!” “ก็ต่างกันระหว่างว่าคนนึงตายอย่างเต็มใจกับอีกคนตายเพราะผิดพลาดยังไงกันเล่า!!” “วันนี้ถ้าผมเชื่อคุณว่ามันคืออุบัติเหตุ คุณบอกผมได้ไหมว่าทำไม?” “เปล่าผมไม่ได้พูดกับใคร แม่ผมไม่ให้ผมพูดกับใครถึงเรื่องนั้น” สิ่งที่เขาได้ยินมันทำให้เขาต้องทรุดลงนั่งกับเก้าอี้ข้างคุณจอห์น ’กลิ่นสาป’ ที่เหม็นเน่าในวันนี้คงโฉยออกมาให้รู้ถึงความลับที่เหม็นเน่าที่ถูกซ่อนเอาไว้สินะ TBC ถึงคุณ fc_fic :กอด1:
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
".......ผมไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ คุณทอมมันเป็นอุบัติเหตุ ผมไม่ได้จะทำให้เขาตกลงไป" ใช่มันเป็นอุบัติเหตุ..........แต่ทำให้คนตาย ทำให้เดฟตาย.... แล้วจอห์นก็นิ่งไม่บอกใคร เพราะแม่ตัวเองบอกให้นิ่งไว้ ถามจริงจอห์น นายไม่รู้ความแตกต่างหรอ ถึงสะบัดแบบไม่ตั้งใจ แต่ทำให้เดฟตาย นี่มันใกล้เคียงกับฆาตกรรมเลยนะ จอห์นนายชุ่ยจริงๆ เอาแต่ใจไม่รับฟังความเห็นของคนรัก แล้วยังปกปิดสาเหตุการตายที่มาจากตัวเองอีก นี่ละมั้ง ที่เดฟ....อยากให้จอห์นยอมรับว่า เดฟตาย........เพราะจอห์น :mew2: :mew2: :mew2: :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
Day 22 Thunderstorm “จริงๆ นะครับคุณทอมผมไม่ได้ตั้งใจจะผลักเขาลงมา คือผม..” “ผมรับทราบแล้วครับว่ามันเป็นอุบัติเหตุคุณไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยคุณไว้ใจได้ว่าผมจะไม่ตัดสินคุณเนื่องจากผมเองก็ไม่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น” “ขอบคุณครับ” “เมื้อกี้คุณจอห์นบอกว่าในเสี้ยวนึงคุณเห็นแฟรงค์เป็นคุณเดฟถ้าเป็นแบบนั้นจริง คำสุดท้ายที่แฟรงค์ เอ่อ ผมหมายถึงคุณเดฟ พูดออกมาก็คือ ‘เขาไม่ฟังผมเลย’ มันมีอะไรที่คุณรู้สึกว่าเกี่ยวข้องระหว่างคุณกับเขาบ้างไหม?” “ไม่มีนะครับ...เราไม่เคยพูดกันเรื่องนั้น” “...” “ยังไม่ต้องรีบตอบผมขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมอยากให้คุณได้ทบทวนอีกสักครั้ง” หลังจากนั้นทอมกับคุณจอห์นก็ต่างนั่งจมอยู่ในความคิดของตัวเองเขาก็ไม่รู้ว่าคุณจอห์นกำลังคิดอะไรหวังแค่ว่าจะกำลังคิดในเรื่องที่เขาขอออกไปส่วนเขาก็พยายามรวบรวมเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน “พ่อว่าลูกกับคุณจอห์นไปพักกันก่อนดีกว่าวันนี้ทั้งคู่คงเหนื่อยกันมากแล้ว” เสียงของพ่อทำลายความเงียบของทั้งสองคนลงพร้อมทั้งยังดึงให้ทั้งสองคนกลับมาสู่ความเป็นจริงหลังจากที่ต่างคนต่างอยู่แต่ในห้วงความคิดของตนเอง “ถึงต่อให้นั่งกันไปแบบนี้จนถึงเช้าพ่อว่ามันก็คงไม่ช่วยอะไรสู้นอนเอาแรงแล้วค่อยหาทางกันใหม่ดีกว่า” “งั้นคุณจะค้างที่นี่หรือจะกลับบ้าน? มันจะเช้าแล้วคุณอยู่ที่นี่ก็ได้นะครับ” ทอมเห็นด้วยกับพ่อของเขาที่ว่าต่อให้นั่งไปเรื่อยๆ ตรงนี้ก็ไม่ช่วยอะไรเขาจึงลุกขึ้นบิดไล่ความเมื่อยขบก่อนที่จะหันไปสอบถามความต้องการของคุณจอห์นด้วยเห็นว่ามันเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว “ผมกลับดีกว่าครับในนั้นนอน 3คนคงไม่สะดวก” “งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่ง” “ไม่เป็นไรผมไปเองได้” “ยังไงผมก็ต้องลงไปซื้อของใช้ที่ร้านสะดวกซื้อด้านล่างอยู่แล้ว” “งั้น ผมลาละครับคุณลุงเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาใหม่” ตลอดช่วงการเดินของเราทั้งสองคนถ้าไม่นับจากเสียงที่ส้นเท้ากระทบกับพื้นก็ถือได้ว่ามันเป็นการเดินด้วยกันที่เงียบที่สุดเท่าที่เขาสองคนรู้จักกันมา “ผมลองคิดดูแล้ว เรื่องที่เกิดทั้งหมดเดฟเขาคงโกรธ...เขาคงอยากให้ทุกคนรู้ว่าไม่ใช่ว่าเขาคิดสั้นแต่เป็นผมเองนี่แหละที่ทำให้เขาตาย” ก่อนที่เขาสองคนจะเดินไปถึงหน้าประตูทางออกคุณจอห์นก็เอ่ยปากพูดในสิ่งที่เขาคิดและการพูดนั้นแหละที่ทำให้การก้าวเท้าของเขาสองคนช้าขึ้นโดยอัตโนมัต “เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานทำไมคุณถึงคิดว่าคุณเดฟต้องการให้คุณเปิดเผยมันในตอนนี้” “แต่อาการชัก...ถ้าเดฟไม่ต้องการให้ผมพูดเรื่องนี้เขาจะทำให้ผมเห็นภาพนั้นอีกทำไม? มันเป็นท่าเดียวกับตอนที่เดฟพยายามหายใจเฮือกสุดท้ายของตัวเอง...ผมจำท่าทางนั้นได้ไม่มีวันลืม” “แล้วทำไมตำรวจถึงสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตายละครับ?” “ตอนที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุผมให้การไปว่าเดฟตกลงมาจากบรรไดด้วยตัวเอง” “ทำไม...คุณถึงให้การไปแบบนั้นละครับ? ผมถามได้ไหม?” คุณจอห์นเงียบเพื่อครุ่นคิดก่อนที่จะยอมเปิดปากเล่าให้เขาได้ฟัง “เพราะแม่ผมให้การกับตำรวจไปแบบนั้น ถ้าผมมากลับคำให้การทีหลังมันจะกลายเป็นว่าแม่ของผมให้การเท็จอีกอย่าง...” เปรี้ยง ยังไม่ทันที่คุณจอห์นจะพูดได้จบประโยคสายฟ้าก็ฟาดผ่าลงมาหน้าทางประตูเข้าออกของโรงพยาบาล เสียงของฟ้าร้องมันดังเสมือนว่ามันได้เกิดขึ้นที่ข้างหูของเขาทั้งๆ ที่มันเกิดห่างจากเขาไปตั้งไกลแถมยังมีตัวประตูของโรงพยาบาลกั้นเอาไว้โชคดีที่ทั้งเขาและคุณจอห์นยังเดินไปไม่ถึงจุดนั้นพวกเขาเลยไม่เป็นอันตรายจากภัยธรรมชาตินี้ แต่แล้วขาของพวกเขาทั้งสองที่เดินช้าลงก็กลับกลายมาเป็นการหยุดก้าวเดินพวกเขาไม่ได้หยุดเดินเพราะกลัวเสียงหรือแสงจากฟ้าผ่าแต่เพราะเสียงฝนที่ถูกสาดลงกระทบกับกระจกของประตูโรงพยาบาลเป็นเสียงดังแล้วไหนจะเป็นแรงของลมที่กำลังพัดหอบเอาทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็นใบไม้หรือรวมไปถึงถังขยะใบเล็กปลิวให้ว่อนนั่นต่างหากที่ทำให้พวกเขาหยุดเดิน “สงสัยว่าพายุจะเข้าเมื่อเช้าก็ไม่ได้ดูพยากรณ์อากาศเสียด้วย” “คุณคงกลับไปสภาพนี้ไม่ได้แน่ พักที่นี่แล้วกันครับอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว” “งั้นผมขอรบกวนด้วยนะครับ” ตั้งแต่ที่ได้ฟังข้อสัณนิฐานว่าคุณเดฟน่าจะอยากให้คนอื่นรู้ถึงสาเหตุการตายทอมก็มีคำถามนึงที่ลอยอยู่ในความคิดตลอดเวลาเขาใช้เวลาทบทวนอยู่นานจนในที่สุดเมื่อทั้งสองได้กลับเข้ามาในห้องพักเขาจึงได้เอ่ยปากถาม “แล้วถ้าคุณเดฟต้องการให้คุณพูดเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆคุณจะสามารถทำมันให้เขาได้ไหม?” เปรี้ยง ทอมไม่รู้ว่าคุณจอห์นตอบว่าอะไรเพราะเสียงฟ้าผ่าครั้งที่สองนี้มันดังกว่าครั้งแรกอยู่มากแถมมันยังทำให้ไฟในโรงพยาบาลตกไปช่วงนาทีก่อนที่ไฟสำรองของโรงพยาบาลจะถูกนำขึ้นมาใช้ ความโกลาหลของพายุมันกลบเสียงคำตอบของคุณจอห์นไปจนหมดรวมไปถึงอารมณ์ของเขาที่อยากรู้คำตอบนั้น ก่อนล้มตัวลงนอนทอมมองออกไปที่นอกหน้าต่าง สายฝนที่รุนแรงประกอบกับความมืดของท้องฟ้าให้เขาไม่เห็นตึกรามบ้านช่องแบบที่เขาเคยเห็นจากตรงมุมนี้ แต่อย่างน้อยในความบ้าคลั่งของพายุลูกนี้ถ้าเขาตั้งใจมองออกไปดีๆ เขาก็ยังเห็นว่ามันมีแสงสว่างส่องอยู่ไม่ไกล มันคงเป็นแสงไฟมาจากเสาไฟที่อยู่ที่ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลสักต้นแม้จะไม่ใช่แสงสว่างที่ชัดเจนแต่อย่างน้อยในค่ำคืนที่มืดมิดนี้เขายังสามารถเห็นว่าเม็ดฝนและลมมันถูกพัดไปทางไหนถ้าเขาต้องออกไปเผชิญกับฝนเขาคงเดินได้ถูกทาง TBC ถึงคุณ fc_fic :3123: ♥►MAGNOLIA◄♥ จอห์นเขาร้ายนะคะผู้หมวด :katai4:
:pig4: :pig4: :pig4:
รู้สึกว่าที่ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ นี่เป็นเสียงรับฟังจากเดฟ o22 o22 o22 ทอม ก็มีส่วนเหมือนจอห์น ที่ไม่ยอมรับฟังคำพูดจากแฟรงค์ ตอนแฟรงค์จะพูดก็รีบเปลี่ยนเรื่อง เอาไว้ก่อนๆ แล้วแฟรงค์จะได้พูดตอนไหน :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
Day 23 แวมไพร์ “คุณนอนไม่หลับเหมือนกันใช่ไหมคุณทอม?” “ครับ” เมื่อทอมรู้ว่ายังมีใครอีกคนในห้องที่ยังไม่ง่วงนอนแม้ว่านาฬกาจะตีเข็มบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาตี 3 กว่าของวันใหม่แล้วเขาจึงเลิกข่มตาเลิกนับแกะปลอบตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนที่ปูที่พื้นข้างเตียงมานั่งพิงกำแพงห้องข้างๆ คุณจอห์น “พวกเรานี่เหมือนพวกแวมไพร์กันเลยนะครับ ดึกๆ ไม่นอน” “นั่นสิผมไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาตั้งกี่คืนแล้วผมยังนับไม่ถ้วนเลยคุณทอมทำงานก็ไม่ได้ไปทำเพราะสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยจะว่าไปก็เหมือนพวกแวมไพร์ที่ชอบเก็บตัวในบ้านเลยนะครับแถมสภาพของผมตอนนี้ก็เหลือดื่มเลือดเพียงอย่างเดียวผมก็จะเหมือนแวมไพร์แบบสมบูรณ์แบบแล้วครับ” “ผมเกือบขำแล้วครับ อีกนิดคุณจอห์น” “นี่ผมพูดจริงนะครับผมคงเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์แบบแล้วละเพียงแค่ผมไม่ได้ดื่มเลือดเป็นอาหารแต่ผมสูบเอาความรักความจริงใจความเชื่อใจของอีกคนมาเป็นอาหารแทน ขนาดเขาตายไปแล้วผมยังสูบเอาชื่อของเขามาใช้เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องตกที่นั่งลำบากเลย” “คุณจอห์น” “ไม่ต้องปลอบผมหรอกครับคุณทอมผมรู้ตัวเองดีว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง” ทอมละสายตาจากคุณจอห์นมองทอดไปยังร่างที่ตอนนี้หลับสนิทที่เตียงเห็นแบบนี้มุมปากของทอมก็ยกยิ้มขึ้นได้ อย่างน้อยในเรื่องราววุ่นวายแฟรงค์ก็ยังได้พักผ่อนได้ดีกว่าคืนแรกๆ ที่ผ่านมา “เอ้อ คุณจอห์นผมว่าผมจะถามเกี่ยวกับเรื่องอาการของคุณ เป็นยังไงบ้างคุณดีขึ้นไหมครับ? วันนี้ผมไม่เห็นคุณบ่นหนาว” “ผมไปขอเจ้านี่กับหมอมาครับ” คุณจอห์นเปิดเสื้อให้ดูแผ่นทำความร้อนที่ถูกแปะเอาไว้ตามตัว “ดีแล้วครับ” “คุณทอม...” “ครับ?” “คุณไม่ต้องห่วงไปนะ คุณแฟรงค์จะต้องหายดีเพราะถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เดฟ....เขาทำเพราะต้องการแบบนั้นผมก็จะยอมเดินเข้าไปหาตำรวจ...ผมยอม” “...” ทอมยอมรับว่าสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมดมันก็ดูเหมือนว่าคุณเดฟต้องการที่จะให้คุณจอห์นทำแบบนั้นแต่ทำไมกันนะในส่วนลึกของความรู้สึกของเขา เขากลับไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่คุณเดฟต้องการ มันเหมือนว่ายังมีจิ๊กซอว์บางตัวไม่ได้ถูกเอามาต่อรวมกับภาพรวมทั้งหมดมันดูไม่สมบูรณ์มันต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันสักอย่างระหว่างคุณเดฟกับแฟรงค์และเขากับคุณจอห์นมันต้องมีอะไรสักอย่าง “คุณจอห์นถ้าผมจะบอกว่ามันไม่น่าใช่ล่ะ?” “หมายความว่ายังไงครับ?” “ไม่รู้ สิ ช่างเถอะครับเอาไว้ให้ผมแน่ใจผมจะบอกกับคุณอีกทีส่วนเรื่องนั้นเรื่องที่คุณจะไปบอกกับตำรวจ...ผมว่าคุณหยุดเอาไว้ก่อนก็ดีครับ” “คุณอยากให้ผมโกหก?” “คุณบอกว่าคุณเดฟรักคุณมาก?” “ครับ ถ้าเขาไม่ได้เกลียดผมไปเสียก่อนในวันสุดท้ายของชีวิตเขา” “ถ้าเขารักคุณมากผมไม่คิดว่าเขาจะอยากให้คุณต้องเดินเข้าไปรับผิดหรือผิดใจกับแม่ของคุณ” “เดฟนะเหรอ ไม่หรอก เขาเกลียดแม่ของผมจะตาย ก่อนที่จะเสียไปเขายังหาว่าผมเป็นลูกแหง่ติดแบมือขอเงินแม่อยู่เลย เขาเกลียดครอบครัวของผมจะตาย” เปรี้ยง เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้นจนแฟรงค์ลืมตาตื่นแต่เพียงครู่เดียวคงเป็นเพราะจากฤทธิ์ยาสำหรับการรักษาแผลทำให้แฟรงค์หลับตาลงได้ง่าย เปรี้ยง “ทอม” “ผมอยู่นี่ครับ” ฟ้าผ่าติดกันขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ครั้งนี้แฟรงค์สะดุ้งขึ้นมาสุดตัวพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อของเขา ทอมรีบลุกขึ้นเดินไปหาแฟรงค์แต่แล้วขาของเขาก็ต้องหยุดเคลื่อนไหวเมื่อสายฟ้าผ่าครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นมันมีแสงสว่างที่มากพอ มากจนทำให้ทอมเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่มีขนาดตัวปานกลางกำลังยืนอยู่ใกล้ที่หัวเตียงของแฟรงค์ผู้ชายคนนั้นทอมจำได้ว่าคือคุณเดฟกำลังมองจ้องคุณจอห์นที่หลับฟุบอยู่ที่พื้น สายตาของคุณเดฟนั้นมันช่างเศร้าโศกเต็มไปด้วยความตัดพ้อทอมมองกลับไปที่แฟรงค์ถึงได้ รู้ ว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่เห็นแฟรงค์เองก็เป็นอีกคนที่เห็นภาพเดียวกันกับเขาและแฟรงค์ก็กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความตื่นกลัวทอมจึงก้าวไปที่เตียง ‘อึก’ การก้าวเดินของทอมต้องหยุดชะงักลงเมื่อสายตาของอีกคนรับรู้การขยับตัวและเปลี่ยนทิศทางของการสนใจจากคุณจอห์นมาเป็นที่เขาคุณเดฟมองเขาสลับกับแฟรงค์ด้วยสายตาที่ทอมเองก็ไม่สามารถตีความได้และก่อนที่เขาจะตีความออก “อ๊ากก” “แฟรงค์!!” แฟรงค์เริ่มชักอีกแล้วแต่มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ครั้งนี้แฟรงค์มีสติรับรู้ได้ทุกอย่างแต่ทอมก็ไม่รู้ว่ามันคือเรื่องที่ดีจริงไหมเพราะกลายเป็นว่าแฟรงค์ต้องมารับรู้ แรงกระตุกแรงกระแทกแรงครูดที่ข้อมือทั้งหมดและแฟรงค์ก็กำลังเจ็บปวดกับการรับรู้มัน ทอมพยายามที่จะก้าวขาเดินเข้าไปหาแฟรงค์แต่ทุกครั้งที่คุณเดฟมองกลับมาที่เขา ขาของเขาก็ ถูกตรึงเอาไว้กับที่ “อ๊ากกกก ทอมมมมมมม!!!” เสียงร้องของแฟรงค์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแม้จะดังแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถทำให้พ่อกับคุณจอห์นตื่นขึ้นช่วยพวกเขาได้ “พอได้แล้ว เลิกทำแบบนี้สักที พวกผมไปทำอะไรให้? คุณเกลียดแม่ของเขา คุณก็ไปลงกับคนที่คุณเกลียดสิไม่ใช่กับผม!!คุณเกลียดคุณจอห์นคุณก็ไปทำกับเขาสิ!!” การตะโกนของเขายิ่งเหมือนเป็นการโหมไฟใส่เมื่อยิ่งเขาตะโกนถึงความเกลียดชังที่คุณเดฟมีให้กับแม่ของคุณจอห์นเท่าไหร่ แรงชักของแฟรงค์ก็หนักขึ้นตามเท่านั้น “คุณอยากได้อะไรคุณก็ไปบอกเขาเองอย่ามายุ่งกับพวกผม อย่ามายุ่งกับแฟนของผมได้ยินได้อย่ามายุ่งกับแฟนของผม!!” เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโกรธที่เขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรแฟรงค์ที่กำลังนอนทรมานอยู่ตรงหน้ามันทำให้สายตาของคุณเดฟเปลี่ยนไป ที่สำคัญมันทำให้ขาของเขาสามารถขยับได้อีกครั้งทอมไม่รอช้าที่จะก้าวเข้าไปดูแฟรงค์โดยที่ไม่สนใจใครอีกคนที่ยังยืนอยู่ตรงมุมห้อง “แฟรงค์ แฟรงค์ คุณโอเคไหม?” “ทอม” แฟรงค์ทิ้งตัวลงบนฟูกอย่างหมดแรงพร้อมกับหอบหายใจหนักทอมรีบแกะที่มัดเหล่านั้นออกและโผตัวเข้ากอดแฟรงค์เอาไว้ทั้งตัว “ทอม มันเกิดอะไรขึ้น ผม... ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว คุณเห็นเหมือนผมใช่ไหม? ใช่ไหม?” “ชู่ ไม่เป็นไรแล้วแฟรงค์ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว” เงยหน้าขึ้นมาอีกทีคุณเดฟก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นมองดูพวกเขาอีกแล้วเขากอดแฟรงค์เอาไว้แนบอกจนแฟรงค์หลับไป แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ทอมยอมทำผิดกฎของโรงพยาบาลโดยการล้มตัวลงนอนกอดแฟรงค์เอาไว้ที่เตียงทั้งคืน “คุณแฟรงค์สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ” “จริงเหรอครับ?” “จริงค่ะ เดี๋ยวเชิญญาติที่ห้องจ่ายเงินได้เลยค่ะ” “ขอบคุณครับ” นั่นคือคำยืนยันจากคุณหมอเจ้าของไข้หลังจากที่ตอนเช้าได้มีการตรวจร่างกายโดยรวมอีกครั้งทอมถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ผลทุกอย่างออกมาโอเค ผ่านมาหลายวันในที่สุดวันนี้ทอมก็รู้ สึกเหมือนว่าเรื่องราวที่ไม่ดีเหมือนพายุฝนต่างๆ กำลังผ่านพ้นและต้อนรับพวกเขาด้วยแสงอาทิตย์เสียที TBC ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
Day 24 แปลงร่าง “งั้นเรากลับบ้านกันเถอะครับอุบ แฟรงค์ คุณ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ตั้งแต่ตอนที่แฟรงค์ก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะกลับที่พักของเขาทอมต้องพยายามอย่างมากที่จะกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้เพราะเขาไม่อยากให้แฟรงค์เดินออกจากห้องนี้ไปโดยที่ไม่มีความมั่นใจแต่ความพยายามนั้นของเขาก็ต้องสิ้นสุดลงและเผลอหัวเราะออกเสียงตอนที่แฟรงค์พยายามเอื้อมมือไปช่วยพ่อของเขาหิ้วเป้แล้วค้างแขนเอาไว้กลางอากาศไปไม่ถึงเป้ใบนั้นด้วยความตึงของเสื้อตรงช่วงหัวไหล่ “คุณหัวเราะอะไรทอม?” ทอมเกือบรีบเอ่ยปากขอโทษและรู้สึกผิดที่หัวเราะแต่พอเขาลองสังเกตุดีๆ ว่านอกจากคิ้วของแฟรงค์ขมวดติดกันจนจะเป็นรูปโบนั้นยังมีริ้วสีแดงขึ้นสีตรงแก้มทอมก็ไม่คิดว่าการขอโทษมันจำเป็นในตอนนี้ “เปล๊า” “มันตลกใช่ไหม?เอ่อ ขอโทษครับพ่อผมไม่ได้หมายถึงว่าชุดของพ่อตลกแต่พอมันมาอยู่ในตัวผมมันแบบทุกอย่างมันรั้งไปหมดมันดูเข้ารูปผมไม่ค่อย..” “ไม่เป็นไรแฟรงค์พ่อเข้าใจ ทอมพอแล้วน่าไปแซ็วแฟรงค์อยู่ได้” ตอนที่หมอแจ้งข่าวทอมก็เสนอตัวแล้วว่าจะออกไปซื้อเสื้อผ้าให้ใหม่แต่ทั้งสองคนก็เอาแต่จะรีบออกจากที่นี่ก็เลยบอกว่ไม่ต้องใส่ด้วยกันได้ซึ่งทอมพยายามกางเสื้อยืดมาดูเท่าไหร่เขาก็ว่ามันไม่น่าได้ มันก็ใช่ที่หลายปีที่แล้วพ่อกับแฟรงค์ใส่เสื้อผ้าไซส์เดียวกันได้แต่ตอนนี้พ่อของเขาแก่ตัวลงขนาดเสื้อผ้าก็ต้องหดลงตามไซส์ของตัวเป็นเรื่องธรรมดาแล้วเขาผิดตรงไหนที่เขาขำกับภาพที่เขาเห็น? “โอเคๆ ผมหยุดก็ได้ขอโทษครับ แต่ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหม?” “ทอม!!” “โอเคๆๆ” “นี่ละครับที่พักของผม” ตอนลงมาจากรถแท๊กซี่ทอมพยายามโชว์ที่พักของเขาแต่ดูท่าทั้งสองจะเหนื่อยเกินกว่าที่จะชื่นชมเพราะแค่พยักหน้ารับและเดินตรงดิ่งไปที่หน้าลิฟท์ “งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” “ครับ” “แฟรงค์แล้วคุณ?” ทอมหันกลับไปหาแฟรงค์ที่กำลังเดินสำรวจห้องของเขาด้วยความสนใจ สีหน้าของแฟรงค์ดูโล่งใจและเขาก็รู้ว่าเพราะอะไร “ไม่ได้แอบใครไว้ในห้องหลอกนะ” “ผมก็แค่ดูห้องเฉยๆ” “ครับๆ คุณก็ดูห้องให้พอนะเดี๋ยวผมไปเตรียมข้าวเช้าให้คุณกับพ่อก่อน” “ผมช่วย” “ไม่ต้องคุณพักเถอะผมทำของง่ายๆ เอง” “งั้นผมคงต้องยอมให้พ่อครัวใหญ่โชว์ฝีมือ” คลืนๆ เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่วางตรงเค้าท์เตอร์ครัวดังขึ้นระหว่างที่เขากำลังเตรียมอาหารเช้าทอมชะเง้อหน้าไปดูก็เห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าของคุณจอห์นทอมเลยวางมือที่กำลังวุ่นวายแล้วกดรับสาย “ฮัลโหลครับ” “พวกคุณออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ? ผมมาแล้วไม่เจอใคร” “คุณกลับไปที่โรงพยาบาลเหรอ? ขอโทษทีผมตั้งใจเอาไว้ว่าผมจะบอกคุณตอนสายกว่านี้สักหน่อย ครับตอนนี้ทุกคนมาอยู่ที่ห้องผมแล้ว” “งั้นถ้ามีอะไรคืบ...” “ให้ผมช่วยอะไรไหม? คุณจะได้ไปอาบน้ำ” เสียงสดใสของแฟรงค์ตะโกนแทรกเข้ามาโทรศัพท์พอได้อาบน้ำคงจะสบายตัวขึ้นถึงได้อารมณ์ดีแบบนี้แล้วพอแฟรงค์เดินเข้ามาในสายตาทอมก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “คุณมาที่ห้องผมหน่อยสิครับคุณจอห์น” เสียงที่เรียกชื่อของอีกฝ่ายทำเอาแฟรงค์ขมวดคิ้วทอมยื่นมือไปนวดคลึงที่ตรงหว่างคิ้วนั้นให้กับแฟรงค์พร้อมกับขยับปากแบบไม่ส่งเสียงไปว่า ‘เดี๋ยวก็หน้าย่นหมดหรอก ย่นแล้วแก่นะ’ แฟรงค์ถึงได้ยอมคลายปมคิ้วนั้นลง “ผมนึกว่าวันนี้เราจะได้อยู่กันอย่างครอบครัว” “ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้น” “แล้วทำไม?” “คุณไม่อยากให้เรื่องเหล่านี้มันจบไปเหรอแฟรงค์? ผมอยากนะผมไม่อยากเห็นคุณต้องเจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้ว” “โอเคๆ ผมยอม” คุณจอห์นมาถึงห้อง 30 นาทีต่อมาซึ่งโชคดีว่าพวกเขาได้จัดการมื้อเช้าเรียบร้อยกันแล้วตรงหน้าพวกเราทั้ง 4 คนเลยมีชา 4 แก้วเป็นเครื่องดื่มแล้วการพูดคุยก็เริ่มขึ้น “แฟรงค์ตั้งแต่ก่อนเขาโรงพยาบาลคุณจำอะไรได้บ้างไหม?” “ผมเจอคุณเดฟที่หน้าปากซอยเขายืรมองคุณ 2 คนที่เดินมาด้วยกันผมจำได้ว่าผมเดินเข้าไปทักเขาก่อน” “คุณเห็นเดฟแบบพูดคุยได้?...ขอโทษครับ” คุณจอห์นถามขัดขึ้นมากลางปล่องทำให้แฟรงค์หยุดเล่าพอรู้ตัวว่าตัวเขาเองกำลังขัดการเล่าคุณจอห์นจึงเอ่ยคำขอโทษเราทั้งหมดส่ายหน้าให้กับคุณจอห์นว่าไม่เป็นไรแล้วพยักหน้าให้แฟรงค์เล่าต่อ “ใช่ ผมเห็นผมพูดกับเขาได้” “คุณคุยอะไรกับเขาบ้าง?” “ผมถามเขาว่ารู้ไหมสองคนนั้นเป็นอะไรกันเขาถามผมกลับว่าผมอยากรู้ใช่ไหม? พอผมบอกว่าใช่ตอนนั้นมันก็เหมือนทุกอย่างดับวูบไปหมดผมจำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้จำได้แค่ว่าผมหนาวมาก” “หนาว” ทอมหันไปมองหน้าคุณจอห์นซึ่งคุณจอห์นก็กลับมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เบิกกว้างเหมือนคำว่าหนาวจากแฟรงค์จะเป็นเหมือนคำตอบสำหรับเรื่องอาการป่วยที่คุณจอห์นและเขาสงสัยมานาน “รู้สึกตัวอีกทีตัวเองก็ตื่นมาอยู่ที่สวนสักที่ตอนนั้นผมยังมึนแถมของก็หายไม่มีอะไรติดตัวสักอย่างไม่สิตอนนั้นผมยังมีที่อยู่ของทอมอยู่ในกระเป๋ากางเกงผมเลยเอาที่อยู่ไปเดินถามทางคนแถวนั้นดูแต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครยอมคุยกับผมแถมบางครั้งตอนที่เดินเข้าไปก็มีคนเดินหนี” “…” “ตอนแรกก็นึกว่าเขากลัวผมแต่มารู้ว่าไม่ใช่ก็ตอนที่มีเด็กผู้หญิงชี้นิ้วมาที่ทางด้านหลังของผมแล้วกรีดร้องก่อนที่จะวิ่งหนีไปตอนนั้นผมรู้ตัวแล้วว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ปกติอยู่ทางด้านหลังแต่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะหันกลับไปผมจึงยังคงเดินถามทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...” “แฟรงค์หยุดเล่าแล้วหายใจก่อนครับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ” ทอมเอื้อมมือไปกุมมือของแฟรงค์พิ่มแรงบีบให้กำลังใจในตอนนั้นแฟรงค์คงตื่นตระหนกมากที่ต้องไปเจออะไรแบบนั้นเพราะเพียงแค่เล่าถึงมันตัวของแฟรงค์ก็เกร็งไปหมดจนเขาทนฟังต่อไม่ได้จึงต้องบอกให้หยุดเล่าเรื่องเหล่านี้ แต่แฟรงค์ก็ใช้เวลาพักและปรับความเกร็งตัวเพียงไม่นานก็กลับมาเล่าเรื่องอีกครั้ง “อากาศก็เริ่มหนาวมากขึ้นมากจนผมเหมือนกำลังโดนแช่แข็งผมจึงเดินไปที่มินิมาร์ทเพื่อหาซื้อซองร้อนมาพกติดตัว...ประตูทางเข้ามินิมาร์ทเป็นประตูกระจกบานเลื่อนแต่ประตูบานนั้นไม่ยอมเลื่อนแถมยังมีเงาดำอีกเงาคอยตัดผ่านที่หางตาแถมยังเคลื่อนไหวอยู่ตลอด” “ผมไม่แน่ใจว่าเงานั้นมาจากคนที่จะเข้ามินิมาร์ทรึเปล่าผมเลยเคลื่อนตัวออกจากหน้าประตูเพื่อให้เขาเห็นว่าประตูมันเสียไม่ใช่เพราะผมเอาแต่ยืนขวางแต่แล้ว...แต่แล้วก็ไม่มีใครเดินผ่านตัวของผมไปพอผมหยุดเงานั้นก็หยุดพอผมเดินเงานั้นก็เดิน ด้วยความโมโหปนกับความหนาวผมจึงเงยหน้าขึ้นมาผม...เห็นเงาสะท้อนที่อยู่ในนั้นเป็นเงาสะท้อนของคนที่กำลังก้มหน้าลง” “เมื่อผมเห็นเงานั้นผมก็เคลื่อนตัวหนีให้เขาผ่านอีกแต่ว่าเขาก็ยังคงเอาแต่เคลื่อนตัวตามผมอยู่อย่างนั้นผมทนไม่ไหวผมเลยหันหลังกลับไป...แต่คราวนี้ผมไม่เจอใครยืนอยู่ข้างหลังผมแถมความหนาวนั้นยังค่อยๆ จางไป ผมมั่นใจว่าไม่มีทางที่ใครสักคนจะวิ่งได้เร็วขนาดนั้น ความตกใจทำให้ผมรีบเดินออกจากตรงนั้น” “แต่สุดท้ายเงาดำนั้นก็กลับมาอยู่ที่ทางข้างหลังของผมอีกครั้ง...ผมพยายามที่จะไม่หันหลังกลับไปแต่...ความเย็น...ใช่ความเย็นที่แผ่มาจากทางด้านหลังมันหนาวมาก หนาวกว่าครั้งแรกมือของผมที่ถือกระดาษที่อยู่ของคุณเอาไว้มันสั่นเพราะความหนาวกระดาษแผ่นนั้นจึงล่วงลงพื้นและปลิวไปทางด้านหลัง” “ผมหันไปก้มเก็บกระดาษแผ่นนั้นกลัวว่าลมจะพัดมันปลิวไปไกลมันทำให้ผมเห็นเขา ผมเห็นผู้ชายคนนั้นเดฟ”แฟรงค์หยุดเรื่องเล่าเอาไว้ตรงนี้พร้อมกับเลื่อนสายตาไปทางคุณจอห์นที่สะดุดลมหายใจที่ได้ยินชื่อนั้น “คุณเล่าต่อเถอะผมโอเค” “แต่ภาพที่ผมเห็นเขาครั้งใหม่นี้มันไม่เหมือนกับภาพแรกที่พบเจอเขาครั้งนี้หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยเลือด เลือดที่เอาแต่ไหลออกจากมุมปากและดวงตาของเขามันมีแต่เลือด ผมตกใจเลยรีบวิ่งออกมาโดยที่ไม่ได้ดูรถทำให้...” “ไม่จริงไม่จริง มันต้องมีอะไรที่ผิดพลาด ไม่จริง!!” “เดี๋ยวสิคุณจอห์นแฟรงค์ยังเล่าไม่จบฟังต่อก่อนสิคุณ” “ต่อให้เล่าต่อมันก็ไม่ใช่อยู่ดีคุณแฟรงค์เห็นเดฟครั้งแรกก็เพราะว่ามาดักเจอเราสองคน” คุณจอห์นหันไปสบตากับแฟรงค์โดยตรงพร้อมกับตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง “คุณเหนื่อยจากการเดินทางคุณเข้าใจผิด คุณหึงแล้วคุณก็คิดไปเอง!!” “เฮ้ยแต่ผม...” “เดฟไม่ได้เป็นคนแบบนี้เขาไม่เคยจะทำร้ายใคร!! ยิ่งกับคนไม่รู้จักอย่างคุณเขายิ่งไม่มีวันเข้าไปยุ่ง!!” “อย่ามายุ่งกับผม!!” ปัก!! คุณจอห์นปัดมือของทอมออกเมื่อเขาพยายามที่จะปลอบให้คุณจอห์นใจเย็นลงกว่านี้แต่แรงนั้นมันแรงเกินไปทำให้มือของเขาที่ถูกสบัดออกนั้นมันปัดไปโดนพ่อ แฟรงค์ลุกขึ้นยืนแต่พ่อดึงแขนแฟรงค์เอาไว้ได้ทันทำให้ทั้งสองคนไม่ต้องประจันหน้ากัน “คุณจอห์น” //“เฮ้ยคุณมันจะมากเกินไปแล้วนะ” “ผมขอตัว” หน้าของคุณจอห์นบ่งบอกถึงความตกใจคงไม่คิดว่าแรงสบัดมันจะแรงขนาดนั้นยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรคุณจอห์นก็เดินออกไปจากห้อง ทอมไม่ได้เดินตามออกไปเพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นคุณจอห์นในอารมณ์นี้มาก่อนคุณจอห์นที่เคยเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นคนนั้นอยู่ที่ไหนเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้นคุณจอห์นก็ ‘แปลงร่าง’เปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่เขาไม่รู้จัก หรือว่าที่จริงแล้วตัวตนที่แท้จริงของคุณจอห์นคือคนนี้คนที่เขาไม่คุ้นเคยแต่ที่ผ่านมาได้พยายามแปลงร่างเป็นคนใหม่ที่มีความอบอุ่น แบบนี้เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคุณจอห์นตัวจริงแล้วใครคือคนที่‘แปลงร่าง’ มา แล้วคุณเดฟละตัวตนที่แท้จริงคือคนไหนระหว่างคนที่คุณจอห์นพร่ำบอกว่าเป็นคนที่เก็บตัวเงียบเป็นคนจิตใจดีหรือ กับคนที่เขาและแฟรงค์รู้จักคนที่พร้อมจะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ? คุณเดฟคือคนไหนกันแน่? โปรดติดตามตอนต่อไป ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
o13
Day 25 Cliché “แล้วแบบนี้เราสองคนจะเอายังไงกันต่อ? ดูท่าแล้วคุณจอห์นเขาคงไม่อยากที่จะฟังในสิ่งที่ลูกอยากจะบอก” หลังจากที่คุณจอห์นพลุนพลันออกจากห้องไปห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอยู่สักพักจนกระทั่งพ่อทำลายความเงียบด้วยประโยคคำถามแต่ความเงียบก็ไม่ได้จากพวกเราไปง่ายๆ เมื่อคำถามของพ่อนั้นมันก็ดันเป็นคำถามที่เขากับแฟรงค์เองก็ไม่มีคำตอบ “เรื่องเหล่านี้มันจะหายไปไหมถ้าลูกสองคนไม่ได้อยู่ที่นี่?” “ไม่รู้สอครับพ่อ ผมไม่รู้เลย” ที่ทอมบอกว่าไม่รู้เขาไม่ใช่แค่ไม่รู้ว่าถ้าแฟรค์กลับไปแล้วเรื่องเหล่านี้จะจบลงไหมแต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาสมควรตามเรื่องพวกนี้ต่อไปไหมเรื่องคุณเดฟมันจะช่วยให้อาการของแฟรงค์ดีขึ้นจริงรึเปล่าแล้วต่อให้เขารู้ว่าคุณเดฟต้องการอะไรแล้วมันจะช่วยอะไรแฟรงค์ได้ไหม “แต่วันนี้ผมว่าผมโอเคตั้งแต่เช้ามาผมก็ยังไม่มีอาการอะไรเพราะงั้นผมว่าอย่าเพิ่งเครียดกันไปเลยครับ” แฟรงค์บีบมือเขาเพื่อยืนยัน “ก็ดีเครียดมากไปเดี๋ยวก็ได้มีใครคนนึงไม่สบายอีก พ่อเบื่อโรงพยาบาลแล้วนะพ่อขอบอกเอาไว้ก่อนเลย อีกอย่างพ่อว่าวันนี้เราก็พักเรื่องพวกนี้เอาไว้ก่อนแล้วกันเหนื่อยกันมาตั้งหลายวันแล้ว” พ่อตบบ่าของเราทั้งสองคนแล้วบีบไหล่ให้ผ่อนคลายซึ่งเขาเองก็เห็นด้วยกับพ่อเพราะต่อให้คิดต่อไปมันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี “เอ่อ ทอมผมอยากจะ…” “งั้นวันนี้อยากออกไปเที่ยวที่ไหนกันไหมครับ? เดี๋ยวผมพาไป” “ถ้าเรื่องไปเที่ยวพ่อขอบายเราสองคนไปกันเถอะพ่อขอนอนพักดีกว่าออกไปเที่ยวก็คงเที่ยวได้ไม่นานเดี๋ยวไม่สนุกเปล่าๆ” “พ่อเป็นอะไรมากไหม?” “ไม่ได้เป็นอะไรแค่เหนื่อยนะ นอนก็หายแล้วละ” “งั้นพวกผมอยู่บ้านดีกว่าครับ” “ไม่ต้องหรอกแฟรงค์ไปเดินเล่นกับทอมเถอะ ไหนๆก็มาแล้วอยู่ได้อีกไม่นานเดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงาน” “งั้นมื้อกลางวันพ่ออยากทานอะไรครับ? เดี๋ยวผมไปสั่งให้ร้านหน้าปากซอยให้เขามาส่งให้” หลังจากที่พ่อสั่งมื้อกลางวันเสร็จพ่อก็เดินเข้าไปในห้องเพื่อเอนหลังนอน ส่วนทอมเขาเดินไปหยิบหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวของเมืองนี้มายื่นให้กับแฟรงค์พร้อมกับบอกให้แฟรงค์เลือกดูว่าอยากจะไปที่ไหน แฟรงค์ยอมรับหนังสือจากมือของเขาไปก็จริงแต่กลับวางลงที่โต๊ะหน้าโซฟาแทนการเปิดดูเนื้อหาที่อยู่ด้านใน “ไม่ดูละว่าอยากไปที่ไหนถึงผมว่าที่ได้สักพักแล้วแต่ผมก็เพิ่งจะมีเวลาว่างได้ออกเที่ยวก็วันนี้นี่แหละเพราะฉะนั้นผมก็ยังไม่เคยไปไหนเหมือนกัน” “ผมอยากคุยกับคุณ” แฟรงค์กระตุกที่ข้อมือของเขาเบาๆ เพื่อให้เขาลงนั่งที่โซฟาข้างกายของแฟรงค์ “พ่อนอนอยู่ในห้อง เอาไว้ทีหลังดีกว่า” เขายอมลงนั่งตามแรงกระตุกเบาๆ นั้นแม้ว่าจะเริ่มมีความรู้สึกอึดอัดพุดขึ้นมาจนทำให้ไม่อยากจะอยู่กับแฟรงค์ลำพังแค่สองคนก็ตาม “เราลงไปหาที่ข้างล่างคุยกันก็ได้ถ้าไม่อยากกวนพ่อ” “แต่คุณมาแค่ไม่กี่วันเองนะแฟรงค์คุณไม่อยากไปชมเมืองหรือไง?” ในเมื่อแฟรงค์ไม่ยอมเป็นคนอ่านเนื้อหาทอมเลยจัดการหยิบหนังสือมาเปิดดูสถานที่ที่คิดว่าแฟรงค์จะชอบไป “นี่ไงแฟรงค์คุณชอบไปสวนสัตว์ไม่ใช่เหรอที่นี่คนสามารถ…” ปึก แฟรงค์เอื้อมมือมาปิดหน้าหนังสือนั้นลงพร้อมกับหยิบมันออกไปจากมือของเขาและวางมันสู่ที่โต๊ะตัวเดิม “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเที่ยวคุณก็น่าจะรู้ทอม ผมมาที่นี่เพื่อที่จะมาคุยกับคุณ เราต้องคุยกัน” “…” “ทอมที่รักทำไมละทำไมคุณถึงไม่อยากพูดเรื่องนี้กับผมทำไม?” “…” “ผมกับลิสเรา…” “ไม่ได้รักกัน” “ใช่ทอมที่รักคุณก็รู้ ผมไม่ได้รักเขา” “ไม่ผมไม่รู้แฟรงค์ ผมไม่รู้อะไรเลยแต่ที่ผมพูดออกไปเพราะผมรู้ว่าคุณต้องพูดประโยคนี้ประโยคที่มันซ้ำซาก ประโยคขึ้นต้นที่คุณจะยกเอามันขึ้นมาเสมอที่เราจะพูดเรื่องนี้กันผมเลยจำมันได้เพราะคุณเอาแต่พูดประโยคนี้” “ที่ผมเอาแต่พูดประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงไงทอม มันเป็นสิ่งที่ผมสามารถยืนยันกับคุณได้ตลอดเวลาว่าผมไม่ได้รักเขา” “มันเป็นเรื่องจริงหรือว่าคุณแค่ท่องจำมันมา? พอเถอะ ผมยังไม่อยากฟังมัน” “ทำไมละทอมทำไม?” “ผมบอกแล้วไงว่าผมยังไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรและผมก็ขอเวลา” “คุณก็เอาแต่พูดประโยคนี้ ขอเวลาและไม่พร้อม เท่าไหร่ละทอมเวลาเท่าไหร่ที่คุณต้องการ เท่าไหร่ที่จะพอให้คุณ เท่าไหร่ที่ถ้าผมให้ไปแล้วคุณจะกลับมาฟังแล้วเมื่อไหร่กันที่คุณจะพร้อมแล้วเปิดใจฟังผมบอกผมสิบอกผม” “ผมจะไปรู้ได้ยังไงแฟรงค์ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่และเท่าไหร่มันถึงจะพอ? ที่ผมรู้ก็คือต่อให้ตอนนี้คุณพูดอะไรออกมาผมก็มีแต่คำถามและไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่คุณพูด” “…” “แค่คุณบอกว่าคุณไม่ได้รักผู้หญิงคนนั้นผมยังไม่เชื่อเลยแล้วคุณคิดว่าถ้าคุณพูดเรื่องอื่นขึ้นมาผมจะเชื่อในสิ่งที่คุณพูดไหม?” “…” “ถ้าคุณไม่อยากไปไหนคุณก็พักอยู่ที่ห้องไปแล้วกันเดี๋ยวผมจะออกไปซื้อของมาทำอาหารกลางวันให้” ทอมรวบเอากระเป๋าสตางค์พร้อมกุญแจห้องเตรียมออกไปข้างนอก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าแฟรงค์มาที่นี่ทำไม เขารู้ว่าแฟรงค์คงมีอะไรอยากจะบอกอะไรกับเขาเพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็เท่านั้น ทอมก็แค่อยากใช้ช่วงเวลาที่แฟรงค์อยู่ที่นี่มีความทรงจำที่ดีด้วยกันเพราะถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมต้องการให้แฟรงค์แต่งงานอย่างที่ยืนกรานมาตลอดอย่างน้อยเขาจะได้มีความทรงจำดีๆ หล่อเลี้ยงเขาให้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ เขาขอแค่ยืดเวลาในการฟังคำตัดสินออกไปทำไมแฟรงค์ถึงให้เขาไม่ได้ทำไมถึงยังเอาแต่ดื้อดึงจะพูดในสิ่งที่เขาไม่อยากที่จะฟัง แล้วทำไมเขากับแฟรงค์ต้องมานั่งพูดอะไรที่ซ้ำซากแบบนี้อยู่ตลอดเวลาทำไมถึงไม่สามารถหลุดบทสนทนาที่วนไปแบบไม่มีทางออกนี้ได้สักที “คุณไม่เคยฟังผมเลย” // ‘เขาไม่เคยฟังผมเลย’ เสียงสองเสียงที่ก้องขึ้นมาในห้องพร้อมกันมันทำให้ทอมชะงักเท้าที่ที่กำลังจะก้าวเดินออกไปจากห้องแล้วหันกลับไปมองแฟรงค์ที่กำลังนั่งมองมาทางเขาจากโซฟา “เวลาที่ผมจะพูดอะไรคุณก็เอาแต่หนีคุณไม่เคยอยู่ฟังประโยคถัดไป” // ‘เวลาที่ผมจะพูดอะไรเขาก็เอาแต่หนีจนผมไม่สามารถพูดอะไรให้เขาได้ฟัง’ “ผมนึกว่าการพูดคุยคือส่วนหนึ่งของคนรักกัน” // ‘ผมเคยบอกเขาแล้วว่าความรักสำหรับผมคือการเปิดใจคุยกัน’ “ผมถามจริงๆ คุณเคยอยากให้โอกาสผมบ้างไหม? คุณเคยอยากเริ่มต้นใหม่กับผมบ้างไหม?” // ‘ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเขาเคยคิดจะฟังความคิดกับความรู้สึกของผมบ้างไหม?’ “ต้องให้ผมทำอย่างไรคุณถึงจะฟังผม? // ‘ขนาดผมกำลังจะหมดลมลงตรงหน้าเขา เขายังไม่ฟังผมเลย’ “แฟรงค์!!” ทอมปล่อยของทุกอย่างที่อยู่ในมือล่วงลงสู่พื้นวิ่งเข้าไปรวบกอดแฟรงค์เอาไว้เมื่อเห็นว่าแฟรงค์ลุกเดินจากโซฟาโดยที่สายตายังมองมาทางเขาแต่มันเป็นสายตาที่เลื่อนลอยแบบไม่มีการโฟกัสกำลังเดินถอยหลังไปที่ประตูระเบียงและเปิดมันออก หมับ ทอมคว้าตัวของแฟรงค์เอาไว้ได้ทันก่อนที่แฟรงค์จะปีนขึ้นไปบนขอบระเบียง ทอมรั้งให้ร่างกายของแฟรงค์นั่งลงที่พื้นเขากอดแฟรงค์เอาไว้ทั้งตัวพยายามดึงตัวของแฟรงค์เข้ามาใกล้พร้อมกับคิดแค่ว่าถ้าเขาแค่เขาช้าอีกเพียงก้าวเดียว “แฟรงค์ทำแบบนี้ทำไม ทำไม?” “เขาไม่ฟังผม” “คุณเดฟอย่าพรากเขาไปขอร้องอย่าพรากเขาไปจากผม แฟรงค์มองผมสิมองผมถ้าคุณมองมาที่ผมผมสัญญาผมจะยอมฟังแล้วผมจะฟังทุกอย่างที่คุณพูด ผมขอโทษ” คำพูดของเขาทำให้สายตาของแฟรงค์กลับมามองที่เขาได้อีกครั้งด้วยตัวตนของแฟรงค์ “เขาอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ผมรู้สึกถึงเขา” “ใช่เขาอยู่ที่นี่” ทอมว่าตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมคุณเดฟถึงได้เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของแฟรงค์และนั้นก็ไม่ใช่เพียงเพราะทั้งคู่ต่างเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกันมันไม่ใช่แค่นั้น “ผมขอโทษที่พูดทุกอย่างออกไปแบบนั้น ผมไม่สามารถห้ามในสิ่งที่ผมคิดได้เลยผมขอโทษทอมถ้าคุณยังไม่พร้อม ผม...” “ไม่เป็นไรแฟรงค์คุณไม่ต้องขอโทษ ผมอยากฟังเรื่องของคุณ ผมพร้อมแล้ว” ใช่เขาพร้อมแล้วเขาพร้อมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้ความกลัวที่คิดไปเองของเขามาทำให้ชีวิตของแฟรงค์ต้องพัง เขาจะไม่ยอมจมปรักอยู่แค่เพียงคำพูดวนเวียนในเรื่องเดิมๆ และวนอยู่ในปัญหาที่ไม่มีทางออกแบบนี้อีกแล้ว TBC ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
มันสั้นไปนิดสำหรับเราแต่โอเคอยู่เข้าใจว่าจะพิมแต่ละหน้าใช้เวลา นาน รอนะจ๊ะ
Day 26 ข่าวลือ “ทอมที่รักคุณเงียบแบบนี้ผมใจไม่ดีเลย” หลังที่ทอมได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากปากของแฟรงค์ตั้งแต่วันแรกที่สองคนนั้นเจอกันจนมาถึงวันก่อนที่แฟรงค์จะมาหาเขาที่เมืองนี้เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถคิดถึงคำพูดที่ใช้แทนความรู้สึกของเขากับเรื่องราวนี้ได้ “ผมไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไร” จากแค่นั่งเฉยอยู่ในอ้อมกอดและฟังเรื่องราวตอนนี้เขากลับเอาหัวที่หนักอึ้งของเขาถูไปตามหัวไหล่ของแฟรงค์แล้วแฟรงค์คงรู้ถึงความหนักใจของเขาจึงเพิ่มแรงที่โอบกอดเขาเอาไว้ให้แน่นขึ้นพร้อมกับเอาปลายคางมาถูลงด้านบนของศรีษะของเขาไปตามแรงโยก “ไม่เป็นไรทอมไม่เป็นไร แค่วันนี้คุณยอมฟังผมก็ดีใจมากแล้ว” เขากับแฟรงค์นั่งกันอยู่ที่ระเบียงตั้งแต่ช่วงสายจนเวลาเริ่มเข้าช่วงบ่ายของวันปล่อยให้ความคิดที่ยังไม่ถูกจัดให้เป็นระเบียบปลิวไปตามแรงลม “คุณรู้ไหมทำไมผมถึงไม่เคยอยากที่จะฟังคุณ?” “ทำไมเหรอครับ?” “เพราะผมกลัวแฟรงค์ผมกลัวว่าคุณจะขอให้ผมอยู่เคียงข้างคุณโดยที่ยังมีเขาคนนั้น ผมกลัวคุณต้องแต่งงานเพราะลูกถ้าเป็นแบบนั้นผมคงทำใจไม่ได้” “โธ่ ที่รัก” เขาทั้งสองคนนั่งกันอยู่ตรงนี้จนมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นบอกว่าอาหารกลางวันสำหรับพ่อมาส่งทางด้านล่างของตึกแฟรงค์ถึงได้ยอมละอ้อมกอดและอาสาลุกไปทำอะไรง่ายๆ เป็นมื้อกลางวันสำหรับเขาทั้งสองคนในขณะที่เขาหลังจากลงไปเอาข้าวทางด้านล่างของตึกก็ตรงไปที่ห้องแล้วหวังว่าจะปลุกให้พ่อขึ้นมาทานข้าว “พ่อครับ...อ้าวผมก็นึกว่าพ่อนอนอยู่” “นอนไปแล้วเพิ่งตื่นมานั่งอ่านหนังสือไม่นานเอง” “งั้นออกไปทานข้าวกลางวันกันเถอะครับพ่อข้าวมาแล้ว” พ่อปิดหนังสือที่กำลังนั่งอ่านอยู่ที่หัวเตียงลงแล้วตบมือลงบนเตียงที่ข้างๆ และพ่อจะทำแบบนี้ทุกครั้งถ้ามีเรื่องต้องการจะคุยกับเขา “เป็นยังไงบ้างลูกได้คุยกับแฟรงค์รึยัง?” “พ่อได้ยินเหรอครับ?” “เปล่าพ่อไม่ได้ได้ยินที่ลูกสองคนคุยกันแต่พ่อรู้เรื่องที่แฟรงค์จะมาพูดกับลูก” เสียงที่เขาใช้เปล่งประโยคนี้มันชั่งเบาจนเหมือนว่าเขาต้องการที่จะพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา “แฟรงค์บอกว่าเขาจะช่วยคุณลิสเลี้ยงลูกถ้าเกิดผมยินยอมแบบนี้ถ้าผมไม่ยินยอมเพราะผมกลัวว่าเขาสองคนจะมีเหตุการ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกก็เท่ากับว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กคนนั้นมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ใช่ไหมครับพ่อ?” “...” “วันนั้นแฟรงค์เขาเล่าอะไรให้พ่อฟังบ้างครับ? แล้วพ่อ...เชื่อเขาไหม?” “รู้ไหมสำหรับพ่อแล้วอะไรที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการใช้ชีวิต?” พ่อยกมือขึ้นมาลูบหัวของเขาก่อนที่จะเอ่ยคำถามที่เขาไม่รู้ถึงที่มาของคำถามนั้นเลยด้วยซ้ำเขาจึงใช้เวลาคิดก่อนที่จะตอบคำถามของพ่อ “พ่อหมายถึงชีวิตคู่เหรอครับ?” “พ่อหมายถึงเรื่องทั่วๆไปนะ” “อื้มม....” นั้นสินะสำหรับพ่อแล้วอะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการใช้ชีวิต? การไม่มีเงินเหรอ? ก็ไม่น่าใช่การที่อยู่โดยไร้ญาติขาดมิตร? มันก็ไม่ใช่อีกนั้นแหละ แล้วนั้นสิมันคืออะไรเมื่อพ่อเห็นว่าเขาเงียบไปนานพ่อจึงเป็นคนเฉลยคำตอบขึ้นมาเอง “สำหรับพ่อคือเรื่องการไม่คุยกันต่อหน้ารู้ไหมว่าทำไม?” “...” ทอมส่ายหน้าเป็นคำตอบ “การไม่คุยกันมันไม่ได้ช่วยให้ความอยากรู้ของเราน้อยลงนิจริงไหมลูก?” “...” “งั้นก็หมายความว่าเราก็ต้องไปตามหาสิ่งที่เราอยากรู้จากที่อื่นในกรณีของลูกตอนนี้ลูกกำลังมาหาข้อมูลเพิ่มเติมจากพ่อว่าพ่อรู้ไหมว่าแฟรงค์เขาคิดยังไงแล้วถ้าเกิดคนนั้นไม่ใช่พ่อละลูกจะเชื่อที่คนอื่นพูดทั้งหมดเหรอ? ถ้าเขาบอกว่าแฟรงค์คิดแบบนี้บอกเขาแบบนี้ลูกก็จะเชื่อคนอื่นคนนั้นเหรอ?” “...” “การที่ลูกฟังคนอื่นมันต่างอะไรที่ลูกไปฟังเอา ‘ข่าวลือ’ ที่คนอื่นเขาแค่ได้ยินมาแถมบางทีข่าวลือนั้นอาจมีการแต่งเติมเสริมแต่งความเห็นของเขาลงไปด้วย” “ผมก็แค่...ไม่สามารถฟังเขาได้คนเดียวผมกลัวเขาโกหก ผมกลัวเขาปิดบังเหมือนที่ผ่านมา ถ้าเป็นแบบนั้นการฟังเขาแค่เพียงคนเดียวก็เท่ากับว่าผมกำลังปิดตาของตัวเองผมกลัวว่าผมจะโง่และตัดสินใจพลาด” “ฟังพ่อนะทอมเรื่องแบบนี้ไม่มีใครสามารถเข้าใจและรู้เรื่องราวทั้งหมดไปได้ดีไปกว่าคนที่ได้อยู่ในเรื่องราวอย่างเรื่องนี้ก็มีเพียงแค่ลูกแฟรงค์และคุณลิสเพราะฉะนั้นถ้าลูกอยากรู้ความจริงไม่อยากตัดสินใจผิดพลาดลูกก็ต้องทำใจให้เป็นกลางลองเปิดใจรับฟังเรื่องจากเขาทั้งสองคนและลองเอามาคิดกันว่าควรทำอย่างไรต่อไป” “...” “แล้วถ้าถึงเวลานั้นเวลาที่ลูกได้ฟังความจริงจากปากของทุกคนโดยที่ไม่ผ่านการแต่งเติมมาจากใครคนอื่นแล้วลูกยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปวันนั้นพ่อสัญญาว่าพ่อจะเป็นคนที่อยู่ข้างๆ ลูกช่วยลูกคิดเอง” “ขอบคุณครับพ่อ” “ไปกินข้าวกันเถอะป่านนี้ข้าวเย็นหมดแล้วมั้ง” หมับก่อนที่เขาจะปล่อยพ่อไปทานมื้อกลางวันเขาก็คว้าพ่อมากอดเอาไว้และทันทีที่เขาได้ความอบอุ่นจากพ่อเขาก็คิดได้ว่ามันนานมากแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้กอดพ่อแบบนี้ โชคดีของเขาจังที่เขามีใครสักคนเข้าใจและคอยให้คำแนะนำ ทอมซึบซับเอาความอบอุ่นนี้เอาไว้ก่อนที่จะออกไปประเชิญกับความเป็นจริง หลังจากมื้อกลางวันผ่านพ้นไปพ่อก็เอ่ยปากขอตัวออกไปเดินเล่นแถวที่พักคนเดียวโดยให้ข้ออ้างว่าถ้าพวกเขาไปด้วยพ่อจะไม่กล้าเดินตามใจตัวเองและต้องคอยมาพะวงพวกเขาที่ต้องมาเดินตามมีแต่แฟรงค์ที่คอยตื้อพ่อว่าอยากจะไปด้วยเพราะเป็นห่วงถ้าพ่อต้องเดินคนเดียวกลัวว่าจะหลง “ทอมคุณเราตามพ่อไปกันเถอะ” “ไม่เป็นไรหรอกให้พ่อไปคนเดียวเถอะ” แต่เพราะทอมรู้ว่าพ่อต้องการเปิดทางให้เขาได้เคลียร์เรื่องนี้ให้จบเขาเลยไม่ได้ขวางพ่อเอาไว้ได้แต่ส่งมือถือของตัวเองที่เช้คดูแล้วว่ามีแบตเหลือมากกว่าครึ่งให้พ่อพร้อมกับกดเบอร์ของหอพักเอาไว้เป็นเบอร์แรก “เดินเข้าไปในซอย5 นาที มีร้านกาแฟอร่อยมากขอบคุณครับพ่อ” พ่อหัวเราะเสียงดังใส่เขาก่อนที่จะเดินออกไป “แฟรงค์...คุณให้ผมคุยกับคุณลิสได้ไหม?” “ได้สิได้คุณสามารถโทรตรงจากเครื่องของคุณหรือของผมก็ได้” แค่เพียงพ่อออกไปจากประตูห้องทอมก็ไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์ของแฟรงค์ขึ้นมากดโทรตรงไปที่เบอร์ของคุณลิสพร้อมกับเดินออกมาที่ระเบียงโดยที่ไม่ให้แฟรงค์ออกมาด้วยเพียงเสียงเรียกเข้าดังขึ้นไม่กี่ครั้งคุณลิสก็กดรับสายของเขา “สวัสดีแฟรงค์คุณมีอะไร?” “สวัสดีครับผมทอมนะครับผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ...” “...” “เรื่องของคุณกับแฟรงค์และลูกของคุณทั้ง2 คนไม่ทราบว่าคุณสะดวกคุยไหมครับ?” “ได้ค่ะ” เรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของคุณลิสไม่มีส่วนไหนที่แตกต่างจากสิ่งที่ออกมาจากของแฟรงค์สักนิดทอมใช้เวลาคุยเพียงไม่นานก็วางสายจากเธอ สายตาที่แฟรงค์มองมาที่เขาจากในห้องเป็นสายตาของคนรอคอยคำตอบแต่ไม่ใช่สายตาของคนที่เป็นกังวล ถ้าให้พูดแล้วหลังจากวันนั้นที่เขาจับได้ว่าแฟรงค์กำลังโกหกเขาก็ไม่เคยเห็นสายตาแบบนั้นของแฟรงค์อีกเลยสายตาของคนกลัวและกังวลว่าจะมีใครรู้ความลับของตัวเอง และด้วยสายตาอันนี้วันนี้ของแฟรงค์นี่เองที่ทำให้เขามั่นใจได้ว่าแฟรงค์ไม่ได้ปิดบังอะไรเขาอีกแล้วคราวนี้ก็เหลือแค่เขาแล้วละว่าจะสามารถให้อภัยกับคนรักของเขาที่ทำพลาดไปได้รึไม่ ‘คุณเดฟ’ ม่านตาของเขาขยายพิ่มขึ้นเมื่อภาพในสายตาของเขาในตอนนี้ที่เก้าอี้โซฟาตัวนั้นไม่ได้มีเพียงแค่แฟรงค์อยู่เพียงคนเดียวแต่ยังมีใครอีกคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของแฟรงค์และกำลังมองตรงมาที่เขาภาพนั้นที่เขาเห็นทำให้เขารีบวิ่งกลับเข้าไปทางด้านในห้องเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าคุณเดฟจะทำร้ายแฟรงค์เหมือนที่ผ่านมาแต่เขาก็ต้องชักมือออกจากที่จับบานเลื่อนของประตูระเบียงเพราะมันหนาวจัดเหมือนเขากำลังสัมผัสไปที่ก้อนน้ำแข็ง แต่เมื่อเขาได้มองเข้าไปทางด้านในอีกทีเขาก็รู้สึกได้ว่าวันนี้มันไม่เหมือนกับวันอื่นบรรยากาศที่อยู่รอบตัวของคุณเดฟนั้นมันไม่ได้เป็นบรรยากาศของการจ้องจะทำร้ายกันอย่างที่ผ่านมาแต่มันเป็นบรรยากาศของความยินดี “คุณโอเคไหมทอม?” แฟรงค์คงเห็นเขายืนนิ่งที่หน้าประตูแต่ไม่ยอมเปิดเข้ามาเสียทีถึงได้เดินมาเปิดประตูและดึงตัวเขาเข้ามาทางด้านในเขากำลังจะเอ่ยปากบอกกับแฟรงค์ว่าเขาเห็นคุณเดฟอยู่ตรงนั้นแต่พอเขาเข้ามาด้านในตัวห้องคุณเดฟก็หายไปจากตรงนี้แล้ว “ไม่มีอะไร...ผมโอเค” “แล้วทอมคุณ...” “เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเชื่อในสิ่งที่คุณพูดแฟรงค์ผมเชื่อคุณ” “ขอบคุณครับ ขอบคุณ” แฟรงค์ดึงตัวเขาเข้าไปกอดเอาไว้แน่นด้วยความดีใจ น้ำตาที่ไหลออกมาจากความโล่งอกของแฟรงค์กำลังเปียกชื้นไปเต็มพื้นที่ที่หัวไหล่ของเขาแต่ทอมก็ไม่คิดที่จะเช็ดมันออกเขาปล่อยให้แฟรงค์ได้ระบายความอึดอัดความกังวลลงที่ไหล่ของเขา “แต่ผม...ยังไม่ได้แน่ใจ100 เปอร์เซ็นต์เรื่องว่าผมจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม” “ทอม คุณหมายความว่าคุณจะเลิก..?” แรงกอดมันถูกรัดแน่นขึ้นจนเขาเกือบหายใจไม่ออก “ผมไม่ได้พูดว่าจะเลิกแฟรงค์” ทอมเอามือข้างนึงที่กำลังกอดตอบยกขึ้นลูบหัวของแฟรงค์เพื่อให้แฟรงค์ใจเย็นลง “แต่การให้ผมลืมไปทุกอย่างแล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยทำเหมือนว่าที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้นผมไม่รู้ว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหนอีกอย่างคุณต้องเลี้ยงดูลูก” “...” “แฟรงค์คุณต้องให้เวลาผม ผมอาจจะไม่สามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในภายในวันนี้อาทิตย์นี้แต่ผมจะพยายาม...คุณละคุณจะพยายามอดทน จะรอจนกว่าผมจะกลับมาเป็นทอมคนเดิมของคุณได้ไหม?” “ได้สิได้ ได้สิที่รักผมรอได้แค่เพียงคุณบอกว่าคุณยอมให้โอกาสผมผมยอมได้หมด” “อีกเรื่อง...เรื่องลูก...ผมโอเคนะและผมก็ยินดีที่คุณจะช่วยกันกับลิสเลี้ยงดูผมไม่มีปัญหาขอแค่เพียงคุณรับปากว่าคุณจะไม่...ทำแบบนั้นกับผมอีก” “ผมรับปาก ผมรับปาก ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก ผมจะไม่มีวันทำพลาดแบบนั้นเป็นครั้งที่สองแล้วทอมที่รักมันจะไม่มีวันนั้น” ในขณะที่เขายังอยู่ในอ้อมกอดของแฟรงค์สายตาของเขาก็หันไปเจอกับสายตาของพ่อที่กำลังยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่หน้าประตูห้องเขาขยับปากเป็นคำว่า ‘ขอบคุณครับ’ แบบไม่มีเสียงส่งออกไปให้กับพ่อ พ่อพยักหน้ารับรู้ก่อนที่ชูแก้วกาแฟอีก 2แก้วขึ้นโชว์ให้เขาดู “แฟรงค์ พ่อกลับมาแล้วแนะ” แฟรงค์ยอมปล่อยอ้อมกอดเดินไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็เดินกลับมาร่วมวงบทสนทนาที่พ่อกำลังเล่าเกี่ยวกับการเดินเล่นให้ฟัง ทอมเอ่ยขอบคุณพ่ออีกครั้งแต่เขาไม่ได้ขอบคุณกาแฟที่ได้ฝากมาแต่เขาขอบคุณที่พ่อพลักดันให้พูดคุยกับความจริงแทนที่จะไปพึ่งการตัดสินใจจากข่าวลือ TBC
:L2: :pig4:
Day 27 น้ำมันพราย “พ่อกลับเมื่อไหร่ก็ได้เพราะพ่อไม่ได้จองตั๋วขากลับไว้” “งั้นพ่อจะเดินทางกลับพร้อมผมไหมครับ? หรือว่าพ่ออยากอยู่ต่อกับทอมก่อน?” ทำไมนะช่วงเวลาที่มีความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมออย่างเช่นในตอนนี้ที่เขาเพิ่งจะได้ปรับความเข้าใจกับแฟรงค์และเพิ่งได้นั่งพูดคุยพร้อมหน้ากันทั้ง 3 คนก็ถึงเวลาที่ความสุขของเขากำลังจะผ่านไปเมื่อโทรศัพท์ของแฟรงค์มีสายเรียกเข้าจากที่ทำงานเพื่อถามถึงตารางการเดินทางกลับละวันที่แฟรงค์พร้อมเริ่มงานเพราะนี่ก็เลยเวลาที่แฟรงค์ขอลาเอาไว้มาหลายวันแล้ว “แล้วเราจะกลับวันไหนละ?” “ก็คงต้องเร็วที่สุดครับพ่อเป็นไปได้อาจจะต้องเป็นพรุ่งนี้เพราะถ้ากลับช้ากว่านี้ผมอาจจะโดนไล่ออก” การไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างมีความสุขก็เป็นเรื่องนึงที่แอบเสียดายแต่เรื่องที่ทอมเสียดายที่สุดคือเขาไม่มีโอกาสได้พาทั้งพ่อและแฟรงค์ไปเที่ยวตามสถานที่สำคัญๆ ในตัวเมืองเลยทั้งที่สองคนอุตส่าห์มาทั้งทีกลับได้อยู่แค่ที่โรงพยาบาลกับที่ห้องของเขา “อย่าทำหน้าแบบสิคุณทำหน้าแบบนี้ผมไม่อยากกลับพอดี” แฟรงค์หันมาโยกหัวของเขาเล่นเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มนั่งเงียบตั้งแต่ที่ทั้งสองคนเริ่มคุยกันเรื่องวันกลับบ้าน “แฟรงค์ต้องรีบกลับไปทำงานแล้วพ่อละครับไม่อยู่เที่ยวต่อเหรอ? อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว” “อย่ามาลงที่พ่อไม่ต้องมาอ้อนแบบนี้ถ้าพ่ออยู่เที่ยวต่อแล้วใครจะอยู่กับย่าเรา? ที่ไหว้วานเขาไว้ก็กระทันหันบอกเขาไว้ว่าไม่เกินสามสี่วัน อีกอย่างหายมาหลายวันแบบนี้กลับไปยังไม่รู้จะเดินเข้าบ้านได้หรือเปล่าเลยย่าเรานะสั่งเปลี่ยนกุญแจบ้านไปหมดแล้วรึยังก็ไม่รู้” ก็จริงอย่างที่พ่อว่าหายมาทั้งสองคนแบบนี้ไม่รู้ว่าป่านนี้ย่าจะน้อยใจเขากับพ่อไปถึงไหน ในเมื่อเขาไม่สามารถรั้งคนทั้งสองเอาไว้ได้เพราะต่างคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเขาก็ไม่ควรทำตัวเป็นเด็กขี้เหงาแล้วทำให้ทุกคนลำบากใจโดยการทำตัวเลิกหงอยแล้วก็เริ่มช่วยแฟรงค์โทรติดต่อหาตั๋ว โชคดีที่ช่วงนี้ไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวของเมืองนี้ทำให้หาตั๋วเดินทางได้ไม่ยากเพราะฉะนั้นแม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเกือบเย็นแต่เขาก็ยังสามารถหาตั๋วสำหรับทั้งสองคนในเวลาเที่ยงของวันพรุ่งนี้ได้และแม้ว่าจะจองแบบกระทันหันราคาที่ได้มาก็ไม่แพงไปกว่าราคามาตรฐานมากนัก หลังจากจัดการเรื่องของตั๋วเสร็จทอมก็ทิ้งให้ 2 คนนั้นจัดข้าวของเตรียมตัวเดินทางส่วนเขาก็ปลีกตัวมาโทรไปจองโต๊ะที่ร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้ ที่ทอมเลือกร้านนี้ไม่ใช่แค่เพราะร้านดังแต่อาหารยังอร่อยแถมยังตั้งอยู่ใจกลางเมืองพอดีอย่างน้อยช่วงก่อนทานอาหารทั้งสองอาจคนจะได้เดินดูอะไรแถวในเมืองบ้าง “สรุปแล้วลูกคิดว่าคุณเดฟเขาต้องการจะให้ลูกฟังในแฟรงค์อยากจะพูดกับลูก?” อาหารคาวผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่ใช่เพราะว่าพวกเรารู้สึกหิวมากแต่มันเป็นเพราะอาหารร้านนี้อร่อยสมคำร่ำลือในช่วงที่เรากำลังนั่งพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอของหวานมาเสริฟพ่อก็เอ่ยปากถามเรื่องของคุณเดฟขึ้นมา “ผมคิดว่านะครับพ่อ” “งั้นแบบนี้เขาก็จะไม่มาวุ่นวายกับลูกทั้งสองคนแล้วใช่ไหม?” “ก็คงงั้นมั้งครับ” “ดีแล้วๆ ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ ทอมพ่อขอเตือนนะลูกก็อย่าเข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้อีกเพราะนอกจากพ่อว่ามันจะมีแต่เรื่องแปลกๆแล้ว คุณจอห์นอะไรนั้นดูท่าแล้วเขาก็คงไม่อยากที่จะพูดเรื่องนี้เท่าไหร่นัก” “ครับพ่อ” “ทอมคุณมีอะไรรึเปล่า?” “เปล่าๆผมไม่เป็นไร” “สีหน้าคุณดูไม่ดีเลยทอม” “ไม่มีอะไรหรอกเออ ว่าแต่นี่กลับไปถึงโน้นคุณก็ต้องเริ่มงานเลยเหรอ...” อย่างที่พ่อพูดก็ถูกเรื่องมันจบลงได้ด้วยดีแบบนี้แล้วเขาก็ไม่สมควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อีกแต่สายตาของคุณเดฟที่มองมาที่เขาเมื่อช่วงสายนั้นมันทำให้เขาไม่สามารถที่จะทิ้งเรื่องนี้ไปเฉยๆ ได้เขาไม่สามารถที่จะเก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นเอาไว้ที่ตัวเพียงคนเดียวปล่อยเอาไว้แบบนั้น “ว่าแต่รับปากพ่อก่อนทอมว่าลูกจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องราวนั้นอีก” “โธ่ พ่อครับจนผมมาพูดเรื่องอื่นแล้วพ่อก็ยังจะกลับมาเรื่องนี้ผมว่าพ่อกับย่าเนี่ยน่าจะนิสัยเหมือนกันมากเลยนะครับ” “พูดอย่างนี้เราหมายความว่ายังไงทอมหาว่าพ่อแก่รึไง?” “เปล๊าน่าผมเปล่าแฟรงค์คุณว่าพ่อผมแก่ไหมละ?” “ทอม อย่าเอาผมเข้าไปยุ่งสิครับ” ทอมพยายามเปลี่ยนบทสนทนาบนโต๊ะอาหารให้เป็นเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับคุณเดฟเพราะเขาไม่อยากที่จะโกหกพ่อแล้วเขาก็ไม่อยากรับปากแต่ทำไม่ได้ละก็โชคดีที่ทุกคนยอมลื่นไหลไปกับบทสนทนาใหม่นั้น “ดูแลตัวเองดีๆละ” “เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับพ่อแฟรงค์ฝากพ่อด้วยนะ” “ได้เลยครับ” “ถึงแล้วโทรมาด้วย” “คุณจะยอมรับโทรศัพท์จากผมแล้วเหรอ?” “อื้ม” “งั้นผมไปแล้วครับ” ตั้งแต่วันที่พ่อกับแฟรงค์กลับไปวันนี้ก็เข้าวันที่ 3 แล้วที่เขาไม่สามารถติดต่อคุณจอห์นได้ไม่ว่าจะพยายามโทรไปหาเท่าไหร่ก็จะเป็นสัญญาณปิดเครื่องในตอนเช้าก็ไม่เจอคุณจอห์นที่ร้านกาแฟเหมือนเคย จะไปหาที่ทำงานเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าคุณจอห์นทำงานอยู่ที่ตึกไหนและพอหลังเลิกงานเขาไปรอคุณจอห์นที่ใต้ตึกที่พักเขาก็ไม่เคยเจอกับคุณจอห์น ‘เฮ้อ’ ลมหายใจถูกปล่อยทิ้งเพราะดูเหมือนว่าวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ความตั้งใจของเขามันสูญเปล่าเขานั่งรอมาตั้งแต่ตอนยังไม่หกโมงครึ่งจนตอนนี้เวลาก็ผ่านไปถึง2 ทุ่มแต่เขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคุณจอห์น “นั้นมัน...” ก่อนที่ทอมจะถอดใจกลับห้องเพื่อไปตั้งหลักใหม่หางตาของเขาก็เห็นใครบางคนที่เขาเคยเห็นหน้าพอจ้องมองดีๆ ถึงเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นคือคุณแม่ของคุณจอห์นนั้นเอง ขาของเขามันก้าวออกไปเร็วอย่างใจคิดไปหยุดที่หน้าของแม่ของคุณจอห์น “สวัสดีครับผมชื่อทอมเป็นเพื่อนกับจอห์นครับ” “สวัสดีค่ะไม่เห็นเคยเห็นหน้ามาก่อนเลยรู้จักกับตาจอห์นด้วยเหรอจ๊ะ?” “ครับผม” “แล้วคุณรู้จักดิฉันได้ยังไงคะ?เหมือนว่าเราจะไม่เคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมจ๊ะ?” “เอ่อ พอดีจอห์นเอารูปคุณน้ามาให้ดูครับผมเลยจำได้” ไม่ใช่หรอกคุณจอห์นไม่เคยเอารูปของแม่ตัวเองมาให้เขาดูแต่ในภาพฝันที่นั้นทอมจำได้ว่าเขาเห็นรูปของผู้หญิงคนนี้ที่ถ่ายคู่กับคุณจอห์นถูกแขวนติดเอาไว้ในบ้านหลังนั้นและตอนที่สองคนนั้นทะเลาะกันคุณเดฟได้ชี้รูปนั้นโดยระบุว่าเปนแม่ของคุณจอห์น “อ้อแบบนี้นี่เอง ว่าแต่เรามาเยี่ยมตาจอห์นเหรอจ๊ะ?” “ครับผมมาเยี่ยมเขา” “งั้นขึ้นไปพร้อมฉันก็ได้จ๊ะ” “ขอบคุณครับ” เปิดห้องมาทอมก็ผงะไปกับไอร้อนที่ตีออกมาตามลมจนเขาต้องปลดกระดุมเม็ดเสื้อบนออกเพื่อให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น “นั่งรอตรงนี้ก่อนก็ได้จ๊ะเดี๋ยวแม่เข้าไปเรียกตาจอห์นออกมาให้” “ครับ” ‘คุณเดฟ’ ขาของทอมที่กำลังก้าวไปนั่งที่โซฟาชะงักข้างไว้เมื่อภายในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคุณจอห์นและแม่ของคุณจอห์นแต่ยังมีคุณเดฟที่นั่งอยู่ตรงโซฟาอยู่ด้วย แต่การที่เขาเห็นว่าคุณเดฟในวันนี้มันไม่ได้ทำให้เขากลัวเหมือนอย่างเคยอาจจะเพราะเขารู้แล้วว่าคุณเดฟมีความตั้งใจดีกับเรื่องของเขาที่เขาชงักก็เพียงแค่ตกใจเพราะไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ว่าจะได้เจอ เมื่อทอมปรับความตกใจของตัวเองได้แล้วเขาจึงเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับคุณเดฟ “สวัสดีครับ” คุณเดฟไม่มีปฎิกริยาตอบรับจากการทักทายคุณเดฟยังคงเอาแต่จ้องมองไปที่ประตูบานนั้นจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณเดฟได้ยินเสียงของเขารึเปล่าเขาจึงคิดจะลองเรียกอีกครั้งแต่เสียงที่รอดออกมาจากในห้องนอนก็ทำให้ทอมเบี่ยงความสนใจเข้าไปทางด้านในแทน เสียงที่รอดออกมามันเบาจนทอมไม่สามารถฟังเป็นศัพท์ได้สักคำเขาซึ่งกำลังตัดสินใจว่าจะเดินไปฟังที่หน้าประตูดีหรือจะนั่งรออยู่ตรงนี้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นเมื่อจู่ๆ ประตูห้องนอนบานนั้นก็ถูกแย้มออกและปรากฎภาพที่คุณจอห์นผู้ซึ่งถูกมัดอยู่กับเตียงกำลังโดนกรอกอะไรสักอย่างเข้าปาก “เฮ้ย” ความมีมารยาทถูกปัดตกทิ้งไปกับภาพนั้นทอมลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปในห้องไปยืนกั้นระหว่าง 2 คนเอาไว้โดยที่ไม่ได้สนว่าคนที่กำลังกรอกอะไรสักอย่างเข้าปากนั้นจะเป็นถึงแม่ของคุณจอห์นเองก็ตาม “นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นครับ?” “เธออย่ามายุ่งมันไม่ใช่เรื่องของเธออกไปฉันจะรักษาลูกของฉัน” “ยาเหรอครับ?” “ใช่ยา” “ไม่ใช่ทอมนั้นไม่ใช่ยา” “มันคือยาแกกินเข้าไปซะจะได้หายๆ ซะทีไอ้พวกผีบ้ามันจะได้ไม่ต้องเข้ามาใกล้แกอีก” “เดฟเขาไม่ใช่ผีบ้า!!” “ขนาดมันตายไปแล้วแกยังหลงมันอยู่อีกเหรอไงหะ?? ฉันอยากจะรู้จังว่ามันใช้น้ำมันพรายของสำนักไหนกันมันถึงสามารถทำให้แกเป็นขนาดนี้ได้ตายไปแล้วยังทำให้หลงอยู่ได้” “แม่อย่ามาพูดแบบนี้นะ” “กินน้ำนี้เข้าไปซะกินเข้าไปไอ้น้ำมันพรายของต่ำพวกนั้นมันจะได้ออกไปจากแกซะที” “ไม่มีใครทำอะไรผมทั้งนั้นนอกจากแม่ก็เพราะแม่ไม่ใช่เหรอไงที่ทำให้ผมต้องโกหกคนอื่นทำให้เดฟเขาต้องตายแบบไม่ได้รับความเป็นธรรมก็เป็นเพราะแม่ไม่ใช่รึไง??!!??” เพี้ย!! “หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!!” หลังจากที่ฝ่ามือของคุณแม่ฟาดลงบนใบหน้าของลูกตัวเองเสียงทะเลาะทุกอย่างก็เงียบลงความเงียบเข้าปกคลุมเป็นเวลานานและมันก็นานพอที่จะทำให้ทอมสังเกตุเห็นว่าคุณเดฟกำลังยืนมองดูเหตุการณ์ด้วยสายตาที่เศร้าสร้อยอยู่ที่หน้าประตูห้องนอน “ฉันจะไม่ถือสาสิ่งที่แกพูดออกมาแล้วกันเพราะแกกำลังไม่สบายวันนี้ฉันกลับก่อนละ” คุณแม่กลับออกไปแล้วและเมื่อทอมได้มองออกไปที่หน้าประตูคุณเดฟก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน ทอมนั่งลงที่เตียงแล้วจัดการแก้มัดข้อมือทั้งสองข้างที่ถูกผูกติดกับเตียงออกให้คุณจอห์น “ขอบคุณครับคุณทอม” “คุณอยากทานอะไรไหม? น้ำ?” “ไม่เป็นไรครับผมโอเค” “คุณจอห์นครับ” “...” “ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณ” TBC
Day 28 Beasts “คุณจะมาพูดเรื่องที่เดฟเขาทำร้ายคุณแฟรงค์อีกแล้วใช่ไหม? ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมว่าคุณกลับไปก่อนเถอะครับ ผมไม่พร้อมที่จะรับฟังอะไรจริงๆ” “งั้นผมถามได้ไหมว่าทำไมคุณถึงเชื่อว่าเขาไม่คิดจะทำร้ายแฟรงค์?” “เพราะว่าเดฟไม่มีวันที่จะทำร้ายใครนะสิ ถ้าคุณรู้จักเขาคุณก็จะคิดแบบผม” “แต่ดูเหมือนว่าแม่ของคุณไม่ได้จะคิดแบบนั้น ใช่ไหมครับ?” คุณจอห์นมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจทอมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคำถามนี้มันไม่น่าฟังแต่เขาก็ไม่หลบตาและไม่คิดที่จะถอนคำถามของตัวเอง “ครับ แม่ไม่เคยเปิดใจมองเดฟตั้งแต่วันแรกที่ผมพาเดฟมาให้รู้จักจนถึงวันสุดท้ายแม่ไม่เคยเปิดใจมองคนนั้นในฐานะคนรักของผมเลย” “ทำไมคุณแม่คุณถึงไม่ชอบคุณเดฟเหรอครับ?” “จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่ยอมให้ลูกของตัวเองพาผู้ชายอีกคนเข้าบ้านในฐานะของคนรัก อ้อ ลืมไปผมคงต้องยกเว้นที่บ้านของคุณเอาไว้เพราะดูแล้วเขาคงยอมรับในตัวตนของคุณ” “เพราะแบบนี้คุณเลยออกมาอยู่คนเดียว?” “ไม่ใช่หรอกครับผมออกมาหลังจากเดฟเขาเสีย ที่ผมตัดสินใจย้ายออกเพราะแม้ว่าเดฟจะไม่อยู่แล้วแม่ก็ยังคงมองว่าเดฟเป็นเหมือนพวกสัตว์ร้ายที่เข้ามาทำลายชีวิตของผม” “...” “ตอนที่เดฟยังอยู่แม่เที่ยวไปเล่าให้ใครต่อใครฟังว่าเดฟเข้ามาหาผมเพราะผลประโยชน์ น่าขำนะครับทั้งที่ครอบครัวของเราไม่ได้รวยมากมายทำไมแม่ถึงคิดแบบนี้ได้ก็ไม่รู้” “อีกเรื่องแม่ไปปักใจเชื่อจากใครมาก็ไม่รู้ว่าเดฟทำของใส่ผม เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดฟเขายังไม่เสียเลยครับ” “...” “แล้วก็น่าแปลกที่ญาติของผมส่วนใหญ่เชื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้ทำให้มีหลายคนมองเดฟในแง่ร้ายมองเดฟเป็นพวกมีจิตใจต่ำช้าเพราะไปเล่นมนต์ดำอะไรพวกนั้น หึ ทั้งที่ไม่มีใครเคยเข้ามาคุยกับเราเลยสักคน” “…” “คุณรู้ไหมที่น่าขำกว่านั้นพอผมพยายามอธิบายว่าเป็นผมที่ดึงเดฟเข้ามาในชีวิตกลับไม่มีใครเชื่อคำพูดของผมเลยว่าผมเป็นคนเดินเข้าไปจีบเขา” “…” “แต่แม้ว่าเดฟจะเจออะไรแบบนั้นแต่เขากลับไม่เคยโกรธหรือโมโหที่บ้านผมและยังคงอยู่เคียงข้างผมเสมอมา เดฟเขาไม่เคยถอดใจ แต่มันกลายเป็นผมนี่และที่เริ่มเหนื่อยและท้อผมที่เริ่มตีตัวออกห่างจากเขาและก็กลายเป็นผมนี่แหละที่แปลงร่างเป็นสัตว์ร้ายและสัตว์เดรัจฉานที่เอาแต่ทำร้ายความรู้สึกของเขา” “…” “ขนาดวันที่เขาเสียผมยังทำให้เขาเจ็บช้ำโดยการที่ไม่ยอมแก้ข่าวให้เขาว่ามันเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่ว่าเขาต้องการฆ่าตัวตายผมยังทำแบบนั้นให้เขาไม่ได้เลย” ”คุณจอห์น เรื่องที่ผมจะมาพูด…” “คุณทอม ผมไม่รู้นะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณ คุณแฟรงค์ และเดฟ แต่ที่ผมรู้ก็คือผมไม่อยาก…” “แค่คุณหัดเป็นผู้ฟังบ้าง” “คุณว่ายังไงนะ?” “ตั้งแต่ผมเข้ามาคุณเอาแต่ส่ายหน้าไม่รับฟังในสิ่งที่ผมอยากจะพูด” “ก็เพราะว่าคุณจะเอาแต่พูดเรื่องไม่ดีของเขานะสิ!!” “งั้นก็หมายความว่าคุณจะไม่ฟังเรื่องที่คุณไม่อยากฟังใช่ไหม?!!” “ใช่” “ก็เพราะแบบนี้ไงละคุณเดฟเขาถึงต้องมายุ่งกับพวกผมก็เพราะว่าคุณเป็นแบบนี้ยังไงละ!!” “มันไปเกี่ยวอะไรกับคุณ!!” “ก็เพราะว่าคุณไม่เคยฟังเขาเลยไม่เคยฟังเขาเลย!!!” “…” หลังจากที่ต่างคนต่างตะโกนใส่กันดูเหมือนประโยคสุดท้ายของทอมจะเป็นประโยคที่ทำให้เขาชนะเพราะมันสามารถทำให้คุณจอห์นสามารถเงียบลงและหยุดเป็นผู้พูดและเริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ฟังสักที เมื่อทอมเห็นว่าคุณจอห์นยอมอ่อนลงเขาจึงเริ่มต้นพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจ “คุณจำได้ใช่ไหมว่าผมมาที่นี่เพราะอะไร?” “ได้สิคุณหนีปัญหาหัวใจของคุณมา” “เมื่อวันก่อนผมเห็นคุณเดฟในห้องของผม วันนั้นผมกับแฟรงค์ทะเลาะกันผมเลี่ยงที่จะไม่ฟังที่แฟรงค์พูดเหมือนเคยเหมือนก่อนที่จะหนีมาแล้วนั้นก็เป็นตอนที่ผมได้ยินสิ่งที่คุณเดฟคิดเสียงของคุณเดฟแทรกเข้ามาตลอดเวลาที่ผมกับแฟรงค์คุยกัน ผมเลยค่อนข้างมั่นใจว่าเขามาหาผมเพราะเขาแค่ต้องการช่วยเขาต้องการให้ผมฟังแฟรงค์บ้างสองคนนั้นเขามีเรื่องที่คล้ายกันนั้นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณเดฟเลือกที่จะทำเรื่องเหล่านี้” “เดฟเขาพูดว่าอะไรบ้างครับ?” “เขาบอกว่าคุณไม่เคยฟังเขาเลย คุณไม่ฟังเขา” คุณจอห์นเดินไปที่กล่องที่เต็มไปด้วยสิ่งของที่เต็มไปด้วยตัวตนของคุณเดฟ คุณจอห์นหยิบมันขึ้นมาก่อนเอาไว้แนบอกส่งเสียงที่แสดงถึงความเสียใจพร้อมกับหยาดน้ำตาที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอ “เดฟ ผมขอโทษ เดฟ ผม” เวลาผ่านไปนานแค่ไหนทอมไม่ได้ใส่ใจเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมให้เวลาแก่คุณจอห์นเขารอเสียงของความเสียใจเบาลงหยาดน้ำตาได้เริ่มแห้งไปจากใบหน้าของคุณจอห์นบ้างแล้วเขาจึงเริ่มพูดต่อ “ผมไม่คิดว่าคุณเดฟจะโกรธคุณในเรื่องของวันนั้นเท่าที่ผมสัมผัสเท่าที่ผมเจอเขาผมไม่ได้คิดว่าเขาอยากให้คุณกลับไปแก้ไขอะไรในวันนั้น คุณรู้จักคุณเดฟดีกว่าใครผมว่าความจริงแล้วคุณก็น่าจะรู้” “…” “ความจริงตอนที่คุณทะเลาะกับคุณแม่ ผมก็เห็นเขานะเขาอยู่ที่นี่เขาเศร้ามากนะกับเรื่องที่เกิดขึ้นผมว่าเขาคงไม่อยากเป็นตันเหตุของการทะเลาะระหว่างคุณกับแม่” “คุณเชื่อแบบนี้รึครับ?” “ผมมาก็เพื่อเรื่องนี้ ผมไม่อยากให้คุณเข้าใจคุณเดฟผิดและไม่อยากให้อะไรมันแย่ไปกว่านี้ เพราะผมจำได้ว่าคุณยังคงคิดจะไปเปลี่ยนคำให้การกับตำรวจ ซึ่งผมไม่คิดว่ามันจะเป็นความตั้งใจของคุณเดฟ” “…” “แต่อย่างที่บอกผมก็ได้แต่เดา เพราะผมไม่ใช่คนใกล้ชิดกับเขา” “ขอบคุณมากนะครับที่มาบอกผมเรื่องนี้ มันมีความหมายกับผมมากจริงๆ” “ไม่เป็นไรครับ” “…” “เอ่อ ว่าแต่คืนนี้ คุณอยู่คนเดียวได้ไหมครับ? อยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหมครับ?” “ไม่เป็นไรครับ ผมว่าผมอยากอยู่คนเดียวมากกว่า” “งั้น มันก็ดึกแล้วยังไงผมขอกลับก่อนนะครับ” “ครับคุณทอม” “คุณทอมครับ” ในขณะที่ทอมกำลังจะปิดประตูห้องและเดินจากมาเสียงของคุณจอห์นก็เอ่ยเรียกเอาไว้ “ครับ?” “คุณจะเจอกับเดฟอีกไหมครับ?” “อันนี้ผมก็ตอบไม่ได้ครับ มันแล้วแต่เขาไม่ใช่แล้วแต่ผม” “ถ้าคุณเจอเขา ถ้าเป็นไปได้คุณช่วยบอกให้เขามาหาผมบ้างได้ไหม? บอกให้เขากลับมาหาสัตว์ร้ายที่เอาแต่ทำร้ายชีวิตของเขาได้ไหมครับ?” “ถ้าผมบอกได้นะครับ” “ขอบคุณครับ” ทอมก็ได้แต่หวังว่าคุณเดฟจะแอบฟังบทสนทนาของเขาอยู่แถวนี้และรับรู้ในความต้องการของคุณจอห์น และก็ยังหวังเพิ่มลงไปอีกว่าคุณเดฟจะยอมให้โอกาสและตามใจคุณจอห์นอีกสักครั้ง TBC ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
“ทำไมคุณไม่เคยมาหาผมเลยละเดฟ?” จอห์นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณทอมกลับไปเขาสมควรรู้สึกอย่างไรดีระหว่างดีใจที่ในวันนี้เขาก็ได้รู้ว่าเดฟยังอยู่รอบตัวเขาหรือว่าเสียใจที่แม้ว่าจะอยู่ใกล้กันแต่ว่าเดฟกลับไม่เคยมาให้เขาได้เห็นให้เขาได้หายคิดถึงเลยสักครั้ง “คุณโกรธผมเหรอเดฟที่ผมไม่ยอมฟังคุณพูด? ทำไมคุณไม่มาบอกกับผมละมาบอกกับผมสิเดฟแล้วผมจะยอมฟังคุณทุกอย่าง ตอนนี้ผมจะนั่งฟังคุณ” นั้นสิมันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเลิกฟังความคิดเห็นของเดฟ มันนานแค่ไหนแล้วที่เขาเอาแต่ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ยิ่งเดฟไม่เคยตำหนิและเอาแต่ยอมให้ เขาก็ยิ่งได้ใจยิ่งเดฟไม่เคยว่าที่ผ่านมาเขาเลยไม่เคยใส่ใจที่จะมองกลับไปเลยไม่รู้ว่าการไม่ฟังของเขานั้นมันทำให้เดฟเสียใจมากขนาดไหน “คุณมาหาผมสักครั้ง...ได้ไหม?” จอห์นรู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำตัวเป็นเด็กเล็กที่ทำอะไรโดยที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองเช่นที่เขาเอาแต่พูดขอร้องให้เดฟมาเจอเขาทั้งๆ ที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดฟมีจริงตามคำบอกเล่าของคุณทอมไหม? หรือว่าเดฟจะอยู่ที่ไหนจะยังอยู่ในนี้จะสามารถได้ยินในสิ่งที่เขากำลังพูดขอร้องนี้หรือไม่ แม้จะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะได้ผลแต่จอห์นยังคงร้องหาอย่างเอาแต่ใจเพราะเดฟมักจะตามใจเขาเสมอ แต่ความเอาแต่ใจของเขาในวันนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้เขาสมหวังเมื่อไม่ว่าเขาจะเรียกร้องผ่านไปแล้วครึ่งคืนเดฟก็ไม่อ่อนข้อและยอมมาหาเขา “จอห์นคุณขึ้นไปนอนดีๆ สิครับ” “…” “จอห์นผมไม่สามารถอุ้มคุณได้นะ เพราะงั้นคุณช่วยตื่นมาขยับตัวสักนิดได้ไหม?” “…” “จอห์นผมรู้นะว่าคุณตื่นแล้ว” “…” “ถ้าคุณไม่ยอมลืมตาผมจะไม่พูดด้วยแล้วนะ” “เดฟ!!” ตอนแรกที่ได้ยินเสียงของเดฟจอห์นนึกว่าตัวเองฝันไปเขาจึงไม่ยอมลืมตาตื่นเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าเสียงนั้นของเดฟจะหายไปเพียงแค่ลืมตา แต่คำขู่นั้นของเดฟทำให้เขายอมเสี่ยงลืมตาตื่นและเขาก็พบว่าเดฟกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ แ วืด วืด ความดีใจที่เห็นว่าเดฟอยู่ตรงนี้ทำให้จอห์นเอื้อมมือทั้งสองข้างไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจที่จะคว้าเดฟเข้ามากอดเอาไว้ด้วยความคิดถึงแต่ไม่ว่าเขาจะเอื้อมมือออกไปกี่ครั้งจอห์นก็สัมผัสได้เพียงลมหนาวเย็นกับความว่างเปล่าที่หลงเหลืออยู่ในอ้อมกอดเท่านั้น “ทำไมละทำไม” “คุณก็รู้จอห์นว่าคุณไม่สามารถกอดผมได้” “ทำไมต้องเป็นแบบนี้!!” แม้จะรู้ว่าการไขว่คว้าไปข้างหน้าจะมีแต่ความว่างเปล่าแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้โดยง่ายจอห์นยังไม่ยอมแพ้ยังคว้าไปทางด้านหน้าแม้ทุกครั้งเขาจะต้องทนเห็นมือของตัวเองผ่านร่างของเดฟอยู่ซ้ำๆ แล้วยิ่งทำเท่าไหร่มันก็ยิ่งตอกย้ำว่าเดฟไม่ใช่คนที่เขาสามารถแตะต้องได้ในตอนนี้แต่ทำไมละทำไมเขาจะไม่สามารถกอดคนที่เขารักได้ละ “พอแล้วจอห์น พอแล้ว” “ผม ผม” “จอห์นอย่าเป็นแบบนี้เลย” เดฟเอื้อมปลายนิ้วของตัวเองมาเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลลงอาบข้างแก้มให้กับเขา แม้มือของเดฟจะไม่สามารถสัมผัสกับผิวแก้มของเขาได้โดยตรงแต่ความเย็นที่ไหลผ่านข้างแก้มนั้นมันก็เย็นมากพอที่จะสามารถทำให้น้ำตาที่อยู่ที่แก้มมันแห้งไปได้บ้าง “คุณหนาวหรือเดฟทำไมมือของคุณถึงเย็นแบบนั้น? คุณกำลังหนาวเหมือนผมเลยใช่ไหม?” “ใช่ผมหนาวและที่คุณหนาวก็เพราะว่าผมอยู่ใกล้คุณ” “หมายความว่า?” “ครับ” “ฮ่าๆๆๆ ผมนี่มันโง่จริง” แม้ว่าเขาจะไม่ต้องถามให้จบประโยคเดฟก็สามารถเข้าใจคำถามของเขาและตอบคำถามของเขาด้วยการพยักหน้า จอห์นหัวเราะเยาะตัวเองที่ชั่งโง่ที่สุดที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเอาแต่พยายามทำตัวเองให้อุ่นโดยที่ไม่เคยรู้หรือเอะใจสักนิดเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นคนเดียวที่หนาวแบบไม่มีสาเหตุและไม่มียารักษาอาการของเขาได้ งั้นที่แล้วมามันไม่เท่ากับว่าเขาได้ไล่เดฟไปให้ไกลตัวหรือยังไง เขาลืมไปได้ยังไงเดฟคือคนที่รักหน้าหนาวเป็นชีวิตจิตใจขนาดวันที่เดฟจากไปยังเป็นวันที่อากาศติดลบมากกว่าลบสิบด้วยซ้ำ “ไม่จอห์นคุณไม่ได้โง่เลยคุณไม่ได้โง่เลย” เมื่อรู้ว่าต้นเหตุของความหนาวของเขาคืออะไรเขาก็ลุกขึ้นไปปิดเครื่องทำความอุ่นนั้นลง “ปิดทำไม? เดี๋ยวคุณจะหนาวเอานะจอห์น” “ไม่เป็นไรผมโอเค” แม้ว่าตัวของทั้งสองคนจะไม่สามารถสัมผัสกันกอดกันได้แถมการอยู่ใกล้กับเดฟมันจะทำให้เขาอยู่ท่ามกลางน้ำแข็งแต่เขาก็ยังเลือกเดินมานั่งใกล้กับตัวของเดฟให้มากที่สุดปล่อยให้ความหนาวเข้ามาคลอบคลุมเขาให้ได้มากที่สุด “วันนั้นที่คุณวิ่งตามผมมาที่บรรไดคุณต้องการพูดอะไรกับผมเหรอ?” “ผมแค่อยากวิ่งมาขอโทษคุณ อยากให้คุณยกโทษที่ผมพูดไม่ดีแบบนั้น ใส่คุณ” “ขอโทษผม? ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณที่ผมทิ้งให้คุณอยู่ที่บ้านหลังนั้นเพียงคนเดียวตั้งนานผมไม่ได้ไปหาคุณเลย” “ผมเข้าใจ” รอยยิ้มของเดฟที่ส่งมาให้มันบ่งบอกว่าเดฟได้เข้าใจเขาจริงๆ ตามที่พูดคำว่าเข้าใจของเดฟไม่ได้ถูกใช้เพียงแค่ปลอบใจเขาเพียงเท่านั้น “ผมเข้าใจว่าคุณต้องเจออะไรบ้างจอห์น ผมรู้ว่าคุณกดดันมากแค่ไหนเพียงแต่วันนั้นผมแค่รู้สึกอิจฉาคู่รักคู่อื่นที่เขาสามารถคบกันได้อย่างเปิดเผย ผมเลยพูดไม่ได้ใส่คุณเรื่องแม่ผมขอโทษ” “ผมก็ต้องขอโทษที่ไม่เคยหยุดรอฟังคุณเลย และการไม่ฟังของผมเนี่ยละที่ทำให้ผมต้องเสียคุณไปผมนี่มัน…” “คุณจำคำพูดของผมวันที่เราครบรอบหนึ่งปีที่คบกันได้ไหม? ที่ผมบอกว่าผมจะรักคุณไปจนวันตาย” “จำได้สิ วันนั้นผมยังหัวเราะไม่เชื่อคุณอยู่เลยว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกัน” “งั้นก็เลิกโทษตัวเองได้แล้วจอห์น เรื่องวันนั้นมันคืออุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกจริงไหม? อีกอย่างผมได้ทำตามที่พูดเอาไว้ มันอาจจะเป็นชะตาของผมก็ได้” “ชะตา?” “ที่ต้องรักคุณจนวันตายไงทางเบื้องบนเขาอาจจะกำหนดมาแล้วว่าให้เป็นแบบนี้” “อย่างนั้นเหรอ คุณว่าแบบนั้นเหรอ?” เขาทั้งสองคนปล่อยให้ความเงียบที่ไม่มีความอึดอัดเข้ามาปกคลุมแทนเสียงพูดคุย ไม่น่าเชื่อว่าความหนาวที่เขาไม่เคยทนได้ในตอนนี้จอห์นกลับรู้สึกว่ามันคือความเย็นสบายที่เขาไม่อยากที่จะเสียมันไป “คุณต้องปล่อยวางเรื่องของผมนะจอห์น” เขาสองคนนั่งข้างกันไปจนถึงเกือบรุ่งสาง และเมื่อแสงสีส้มเริ่มให้เห็นที่ขอบฟ้าเดฟก็ทำลายความเงียบนี้ลง “ไม่ ผมไม่มีวันลืม ผมจะไม่ลืมเรื่องของคุณ” “ผมบอกให้ปล่อยวางแต่ผมไม่ได้บอกให้ลืม” “ผมกลัว ผมกลัวว่าผมจะลืมว่าเราเคยรักกันยังไง” “ผมอยากให้คุณจำเรื่องดีๆ ของเราเอาไว้เท่านั้น ทำให้ผมได้ไหม?” “ผมจะพยายาม” เดฟยิ้มให้กับเขาก่อนที่บางส่วนของร่างกายของเดฟจะเริ่มเลือนและจางลงและเหมือนว่าเดฟจะพร้อมกลืนไปกับอากาศในไม่อีกกี่นาทีข้างหน้า “เดฟ เดฟ ทำไมคุณ?” “ผมต้องไปแล้วจอห์น” “ไม่ผมไม่ให้คุณหายไป ผมไม่ให้คุณไป” “จอห์นผมไม่ได้ไปไหนเลย ผมยังอยู่ในนี้เสมอ” ไอของความเย็นเข้ามาเกาะอยู่แถวตำแหน่งของหัวใจของเขาพร้อมกับสายตาของเดฟที่จ้องมองอยู่ตรงนั้นก่อนที่ร่างทั้งร่างของเดฟจะค่อยๆ เลือนหายและกลืนทั้งหมดไปกับอากาศ “เดฟคุณจะอยู่ในนี้เสมอและผมก็จะรักคุณไปจนวันตายเช่นกัน” เสียงกระซิบที่แผ่วเบาของเขาที่ต้องการบอกกับเดฟมันช่างขัดกันเสียงตะโกนร้องที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดที่ก้องดังไปทั้งห้องนอนอยู่หลายชั่วโมงของเขาเหลือเกิน โปรดติดตามวันต่อไป อีกแค่วันเดียว บันทึกของทอม ก็จะจบเดือนแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ
Day 3o : Trick or Treat “ทอมทางนี้” เสียงตะโกนเรียกชื่อของเขาตรงขาเข้าของสนามบินมันไม่ได้ดังไปกว่าชื่อของคนอื่นแต่ทอมก็ได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจนเพราะคนที่เรียกชื่อเขานั้นคือคนที่เขารอคอยที่อยากจะเจอหน้าที่สุดตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้นก็คือแฟรงค์คนที่กำลังถือป้ายชื่อแผ่นใหญ่ในมือ “ไหนว่าจะเอาดอกไม้ช่อใหญ่มารับผม?” “กลัวว่าถ้าเอามารับจริงผมก็ต้องเป็นคนถือกลับไปด้วยตัวเองถ้าเป็นแบบนั้นผมไม่เอามาดีกว่า” "โธ่ไม่แน่จริงนิน่า” “ครับๆ ผมนะไม่แน่จริง ผมมันคนขี้ขลาดครับกระเป๋าหนักไหมให้ผมช่วยเข็ญดีไหม?” “ไม่เป็นไรไม่หนักเลยว่าแต่พ่อกับย่าละ?” “รอที่บ้านครับ” “ไปงั้นเรากลับบ้านกัน” ทอมมองทั้งสองข้างทางนอกหน้าต่างรถด้วยความคิดถึง เส้นถนนที่แฟรงค์ขับผ่านมันสามารถทำให้เขานึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านนั้นที่เขาเคยหยุดกินข้าวหรือร้านสะดวกซื้อที่เขาเคยสร้างวีรกรรมกดน้ำอัดลมเอาไว้ความคิดถึงที่เกิดขึ้นไม่น่าเชื่อว่าเขาไม่ได้อยู่เมืองนี้แค่เพียงปีเดียวเท่านั้น “ไหนๆมาให้ย่ากอดหน่อยสิมาให้ย่ากอดหน่อย” พอแฟรงค์เลี้ยวรถเข้ามาในตัวบ้านคนแรกที่ทอมเห็นก็คือย่าที่นั่งอยู่บนรถเข็ญรอเขาที่หน้าประตูบ้านดูท่าแล้วย่าคงอยากจะไปรับเขาที่สนามบินแต่พ่อคงจะห้ามเอาไว้อีกตามเคยเมื่อเห็นว่าย่ารอเขาอย่างใจจดจ่อทอมก็ไม่ต้องรอให้แฟรงค์ดับเครื่องแค่พอล้อจอดสนิททอมก็รีบเปิดประตูรถเดินลงมาหาย่าที่ยิ้มกว้างรอเขาอยู่แล้ว “สวัสดีครับย่าโอ้โห ย่าใครครับเนี้ยไม่ดูแก่ขึ้นเลยนี่ผมหายไปตั้งนานย่ายังดูสวยเหมือนเดิมเลยครับ” “ไม่ต้องมาปากหวานเลยเรานะทิ้งย่าไปตั้งนาน” “ต่อไปนี้ผมไม่ไปไหนแล้วครับย่า” “เอ้ามัวแต่คุยกันอยู่หน้าบ้านไม่เข้ามาข้างในกันละแม่ก็แทนที่จะให้หลานเข้าบ้านก่อน” “ครับๆ” มื้อเย็นผ่านไปด้วยความอิ่มเอมใจเพราะไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะหรือเสียงเถียงกันของคนที่อยู่ในโต๊ะมันต่างเป็นเสียงที่เติมเต็มความคิดถึงของเขาดังนั้นการได้ทานข้าวพร้อมหน้ากับคนที่เขารักทั้งหมดทอมว่ามันช่างเป็นการต้อนรับกลับมาที่เมืองนี้อย่างอบอุ่นและรู้สึกไม่เสียใจเลยที่เขารีบเดินทางกลับทันทีที่หมดสัญญาแลกเปลี่ยนที่นั้นหมดลง “งั้นเดี๋ยวผมกลับก่อนแล้วกันนะ” หลังจากที่แฟรงค์ช่วยเขาขนของขึ้นมาบนห้องแฟรงค์ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างก่อนที่จะเปลี่ยนใจเป็นขอกลับบ้าน “มีอะไรรึเปล่า?” “เปล่า” “หน้าคุณไม่บอกแบบนั้น” “คุณจะกลับไปที่บ้านของเราใช่ไหม?” “ผมไม่เคยย้ายออกไปไหนเพราะนั้นมันบ้านของเรา...” “ทอมมันยังเป็นบ้านของเราอยู่ใช่ไหม?” เสียงของไม่มั่นใจของแฟรงค์ทำให้ทอมคิดว่าเขาควรที่จะบอกกับแฟรงค์สักทีว่าหลายเดือนที่ผ่านมาเขาคิดยังไงเขาไม่ควรเก็บเอาไว้อีกแล้ว “แฟรงค์คุณพอมีเวลาคุยกับผมไหม?” “มีสิ” “เรื่องของเรา...” แค่คำแรกที่ขึ้นประโยคแฟรงค์ก็เกร็งตัวเองจนเส้นสันกรามที่ใบหน้าขึ้นสันชัดกว่าทุกครั้งจนทอมแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะโน้มตัวไปกอดปลอบแต่ถ้าเขาทำแบบนั้นในวันข้างหน้าแฟรงค์อาจจะลืมความรู้สึกนี้ซึ่งเขาไม่อยากให้แฟรงค์ลืมมัน “คุณจะทำให้ผมเชื่อได้ยังไงว่าคุณจะไม่หลอกผมอีกและเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก?” “ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะสามารถทำให้คุณเชื่อได้ยังไงเพราะต่อให้ผมพูดไปมันก็เป็นเพียงแค่คำพูด” “แต่ผมก็อยากฟัง” “เอาเป็นว่า ณวันนี้ผมรู้แล้วว่าชีวิตของผมต้องการอะไรและรักใคร ที่สำคัญผมไม่อยากจะเสียคุณไปทอมผมบอกคุณได้เท่านี้” “แฟรงค์คุณรู้ไหมว่าเมื่อวันฮาโลวีนที่ผ่านมามีเด็กกลุ่มนึงเดินเจอผมที่ท้องถนนเด็กพวกนั้นคงจะไม่สามารถไปเคาะบ้านหลังไหนได้ในระแวกนั้นเพราะต่างเป็นคอนโตตึกสูงทั้งนั้น เด็กกลุ่มนั้นเลยมาล้อมผมเอาไว้พร้อมกับให้ผมเลือกว่าจะ Trick or Treat แฟรงค์คุณคิดว่าผมเลือกอะไร?” ทอมเดินไปขอบหน้าต่างของห้องแล้วมองออกไปที่ท้องฟ้าที่กำลังมืดสนิทพร้อมกับนึกย้อนกลับไปในคืนนั้น “ท้องถนนเหรอ? คุณคงเลือก Trick เพราะว่าคุณไม่มีขนมอะไรอยู่ในมือแน่นอนคุณเป็นคนไม่ชอบพกขนมเอาไว้ในกระเป๋า” “คุณตอบถูกข้อนึงเรื่องที่ผมไม่พกขนมในกระเป๋าแต่คุณตอบผิด ณ วันนั้นผมเลือก Treat ล่ะ คุณรู้ไหมว่าทำไม?” “ไม่รู้” “เพราะว่าผมไม่อยากถูกหลอกอีกแล้ว” พอพูดมาถึงตรงนี้ทอมก็หันกลับมามองเข้าไปในดวงตาของแฟรงค์ “แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวแฟรงค์ผมคิดว่าผมไม่สามารถถูกหลอกได้อีกแล้วผมเลยควักเงินออกจากกระเป๋าสตางค์แล้วบอกให้เด็กไปซื้อขนมที่อยากทานเอง” “ทอม...ผม ผม...” “เพราะงั้นถ้าเราจะคบกันต่อผมขอคุณเพียงเรื่องเดียว” “ครับ?” “ผมขอได้ไหมต่อไปนี้มีอะไรขอให้พูดกับผมตรงๆอย่าใช้ ‘ทริคอะไรก็ตามมาหลอกผมอย่าให้ผมต้องรู้เรื่องเป็นคนสุดท้าย’ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมขอให้เราแก้มันไปด้วยกันได้ไหม? ช่วยบอกให้ผมรู้ได้ไหม?” “ได้สิได้ ทำไมจะไม่ได้ละ ผมสัญญาผมสัญญาว่าผมจะไม่มีวันโกหกคุณอีกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะบอกคุณทุกอย่าง” แฟรงค์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามารวบตัวของเขาเข้าไปในอ้อมกอดอ้อมกอดที่เขาไม่ได้สัมผัสมันมานาน อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจโล่งอก และที่สำคัญเขาสัมผัสได้ถึงความรักผ่านจากอ้อมกอดนี้ เขาทั้งสองคนยืนซึมซับอ้อมกอดของความคิดถึงแล้วค่อยแปลเปลี่ยนเป็นการแสดงออกว่าต่างฝ่ายต่างคิดถึงกันมากแค่ไหนแต่ก่อนที่เขาจะเปิดรับต่อการแสดงความรักและความต้องการจากแฟรงค์เขาต้องรีบพูดอีกเรื่องที่สำคัญขึ้นมา “เดี๋ยวๆแฟรงค์ ยังมีอีกเรื่อง” ลมหายใจของแฟรงค์ที่ร้อนระอุสะดุดลงเมื่อเขายกมือขึ้นห้ามริมฝีปากของแฟรงค์ที่กำลังจะครอบครองมาที่ริมฝีปากของเขาแฟรงค์หลับตาลงเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง “ครับว่า?” “อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ ผมจะถามว่าน้องฟลุ๊คเป็นอย่างไรบ้าง?” “วันก่อนผมไปรับแกมาดูแกก็แข็งแรงดี” สายตาของแฟรงค์ที่เครียดขึงจากการที่ถูกขัดจังหวะดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อเขาพูดถึงชื่อนี้ “วันไหนจะเป็นเวรคุณที่จะได้ไปดูแกอีก?” “วันพุธหน้าครับ” “ผมไปรับแกด้วยได้ไหม?” “ทอม” ฟลุ๊คคือชื่อลูกชายของแฟรงค์กับลิสที่ตอนนี้ลืมตามาดูโลกได้2 เดือนกว่าแล้ว เขาและครอบครัวรับรู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้มาตลอดตั้งแต่วันแรกที่คลอดและพ่อกับย่าเห่อน้องฟลุ๊คเหมือนหลานแท้ๆของตัวเองซะด้วยซ้ำ “คุณแน่ใจว่าคุณพร้อมที่จะไปเหรอครับ?ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกไม่ดี” “ผมแน่ใจสิ ผมอยากไปขอบคุณเธอที่มอบสิ่งมีชีวิตที่มีค่าให้กับครอบครัวของเรา” หลังจากวันคลอดลิสขอคุยกับแฟรงค์และครอบครัวของเขาโดยที่ไทม่มีใครคาดฝันว่าเธอจะขอให้แฟรงค์รับเลี้ยงเด็กคนนี้เอาไว้และเธอขอให้ทางเรารับเด็กคนนี้มาอยู่ในความดูแลอย่างเต็มตัวหลังจากที่เด็กคนนี้หย่านม เธอไม่ได้รังเกียจลูกของตัวเองเพียงแต่เธออยากที่จะเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้งและเพราะแบบนี้ลิสกับทางบ้านจึงได้ตกลงเวรที่จะแลกกันดูแลโดยที่ฟลุ๊คแกจะอยู่กับทางบ้านของเขา 5 วันและอยู่ทางลิส 2 วันเพื่อเป็นการทำให้แกชินที่จะอยู่กับทางนี้มากกว่าทางนั้น “ได้สิถ้าคุณมั่นใจผมก็สามารถพาคุณไปได้” “ขอบคุณครับ” จะว่าไปการที่เขาโดน Trick ในครั้งนี้มันก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียวเขาอาจจะมีเรื่องเสียใจแต่มันก็หนึ่งในบทเรียนของชีวิตรักที่เขาเจอและก็เรียนรู้ที่จะข้ามผ่านมันมาได้ด้วยการให้อภัยและโอกาสนอกจากนั้นมันยังนำเรื่องราวมากมายที่เขาไม่เคยได้รู้สึกหรือไม่เคยเชื่อมาก่อนให้เขาได้สัมผัสไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณเดฟหรือความรักที่แฟรงค์มีให้เขา แต่ถ้าเป็นไปได้ครั้งนี้เขาขอเป็นเพียงครั้งสุดท้ายที่เขาจะต้องโดน Trick จากคนรักหลังจากวันนี้ไปถ้าเป็นไปได้เขาขอโดนแค่ Treat ดีๆ จากคนรักก็พอแล้ว THE END #novelber2017 บันทึกในความทรงจำ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
ขอบคุณครับบบบบ
เดฟน่ากลัวอ่า ถึงบอกว่าพยายามจะช่วยก็ตาม แต่เดฟทำให้แฟรงค์ถูกรถชน ทำให้มีอาการชักจนต้องโดนจับมัดโดนฉีดยา เป็นการช่วยเหลือที่ hardcore มากกกก :m8: อ่านแล้วสงสารทอม ทุกคนทำเหมือนทอมเป็นคนผิดที่ไม่ยอมรับฟัง แต่จริงๆแฟรงค์เป็นฝ่ายผิดนะ นอกใจแฟน ทำคนอื่นท้องแล้วทำท่าจะไม่ยอมรับผิดชอบ ถ้าเราเป็นทอม ก็คงไม่อยากคุยด้วยเหมือนกัน สะดุดเรื่องแม่ของจอห์นนิดนึง แรงผู้หญิงที่อายุเยอะแล้วไม่น่าจะจับผู้ชายกรอกยาได้น้า ไม่ค่อยเห็นนิยายแนวนี้ สนุกดีค่ะ :pig4: