พิมพ์หน้านี้ - #*#*# Beats of Life.......

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: fingerscrossed ที่ 09-11-2009 15:17:00

หัวข้อ: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 09-11-2009 15:17:00
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


*****************

สวัสดีอย่างเป็นทางการทุกท่านนะคะ ทั้งที่เคยติดตามอ่านนิยายเรื่องแรกของเรา "เพลงรัก" ที่ถูกนำมาโพสต์ผ่านคุณนาเมฮ์ และที่ไม่เคย ในที่สุดเราก็สมัครสมาชิกแล้วค่ะ เพื่อความสะดวกในการนำนิยายมาโพสต์รวมถึงเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณนาเมฮ์ที่คอยเป็นธุระกับนิยายเรื่องที่แล้วมาตลอดนั่นเองค่ะ ก็ต้องขอฝากตัวกับทุกท่านด้วยนะคะ

สำหรับคนที่เคยติดตามอ่านนิยายเรื่อง "เพลงรัก" ของเราไปแล้วจนจบ จำได้ว่าเคยฝากคุณนาเมฮ์โพสต์ไปว่า นิยายเรื่องต่อไปนั้นน่าจะเป็นที่ถูกใจของสาวก "ยุนแจ" แห่ง ทงบังชิงกิอยู่ไม่น้อย เนื่องจากนิยายเรื่อง "Beats of Life" นี้ได้รับแรงบันดาลใจมากจากน้องๆวงนี้นั่นเองค่ะ อย่างไรก็ตาม เราได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อ และบริบทเสียใหม่เพื่อให้สะดวกและสมจริงในการดำเนินเรื่อง เนื่องจากเราไม่คุ้นชินกับวัฒนธรรมของเกาหลี จึงไม่อาจจะหาญกล้า เขียนถึงเรื่องราวของยุนและแจได้จริงๆ ตัวเอกของเรื่องจึงกลายเป็น โย และ เจ แทนค่ะ แต่รับรองว่า อ่านแล้วจะไม่สะดุดแต่อย่างใด และหวังใจอย่างยิ่งว่า แฟนๆหลายคนคงจะชอบกันบ้างไม่มากก็น้อยล่ะนะคะ

เรื่องราวในคราวนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเสียงเพลง ซึ่งเป็นทางถนัดของเราเช่นเคย ใครที่ได้อ่านนิยายเรื่องที่แล้วไป จะมีการหยิบยืมตัวละครจากเรื่องที่แล้วมาใช้ด้วยนิดหน่อยนะคะ แต่จะเป็นใคร อยากให้ติดตามกันดูค่ะ

โพสต์ครั้งแรก ถือว่าเป็นการแนะนำตัว และเกริ่นนำนิยาย อีกสักพักจะนำนิยายมาทะยอยลงให้ได้อ่านกันแน่นอนค่ะ

ยินดีที่ได้รู้จัก และหวังใจอย่างยิ่งค่ะว่านิยายเรื่องนี้จะเป็นที่ชื่นชอบไม่แพ้ "เพลงรัก" ขอฝาก "Beats of Life" เอาไว้ด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 09-11-2009 16:22:25
เป็นกำลังใจ และติดตามอ่านแน่นอนจ้า

ติดใจมาตั้งแต่เพลงรักแล้ว ชอบมากจ้า สู้ๆนะ  o13
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 09-11-2009 16:35:46
มาเป็นกำลังให้อีกคนคะ แล้วจะรอนะคะพี่ นิ้วไขว้
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: earlgrey ที่ 09-11-2009 19:12:52
กรี๊ดดดด วิ่งเข้ามาปูเสื่อรอพี่ินิ้วไขว้ ตายแล้วเค้าพลาดเรื่องที่แล้วไปได้ไงเนี่ย

เดี๋ยวต้องไปตามอ่านก่อน บุพเพอาละวาดได้เจอพี่ินิ้วไขว้หลายบอร์ด กร๊ากกก

แวะส่งดอกไม้เป็นกำลังใจก่อนเลยค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 09-11-2009 19:20:31
ดีใจที่จะได้อ่านเรื่องใหม่ของคุณนิ้วอีกค่ะ เรื่องที่แล้วสนุกมากค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 09-11-2009 20:59:33
 :pig2:ยินดีต้อนรับสู่เล้าจ้า
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: OT ที่ 09-11-2009 21:23:10
จะตามอ่านนะ.....
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 10-11-2009 02:04:00
 :L2:ส่งมาเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: taem2love ที่ 10-11-2009 02:58:50
มาปูเสื่อจองพื้นที่รอด้วยคน

เพราะประทับใจจากเพลงรักมาแล้ว

จึงรออย่างใจจดใจจ่อ
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 10-11-2009 09:40:11
สวัสดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

ดีใจจังที่จะได้อ่านนิยายเรื่องใหม่จากคุณนิ้วไขว้
ประทับใจกับเพลงรักมาก เมื่อวานก็เพิ่งอ่านหนังสือจบเป็นรอบที่ 2

เป็นกำลังใจให้นะคะ เรื่องนี้ต้องสนุกแน่เลย

 :mc4:
หัวข้อ: Beats of Life: บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 10-11-2009 10:01:22
บทที่ 1

เด็กหนุ่มนอนหอบหายใจอยู่บนพื้นที่ปูเอาไว้ด้วยวัสดุอย่างดี เหมาะกับการใช้เป็นสตูดิโอหรือห้องซ้อมที่เหล่านักร้องฝึกหัดเรียกกันจนติดปาก เขานอนแผ่ลงไปบนพื้นอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เพราะการซ้อมเต้นติดต่อกันเป็นระยะเวลาสองชั่วโมงชนิดที่แทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก ทำเอาหมดเรี่ยวแรงไปโข ดวงตากลมโตอันเป็นเอกลักษณ์ที่ชวนดึงดูดใจปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อน ริมฝีปากรั้นๆแต่ได้รูปของเขาเผยอออกเล็กน้อยเพื่อที่จะสูดลมหายใจได้อย่างเต็มปอด เหงื่อกาฬไหลจนชุ่มกายไปหมด เครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำที่เปิดอยู่แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยในยามนี้

ไม่รู้ว่าเขาหลับตานอนนิ่งแบบนั้นอยู่นานเท่าไหร่เหมือนกัน ก่อนที่จะพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ และเอื้อมมือข้างหนึ่งหยิบผ้าขนหนูที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นซับใบหน้าอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก เขาลุกขึ้นนั่งพลางมองไปรอบๆ ไม่แปลกใจที่ได้เห็นว่าแต่ละคนมีสภาพไม่ต่างอะไรจากตัวเองสักกี่มากน้อย ผมดำสนิทที่เริ่มจะยาวขึ้นมากแล้วกระจายยุ่งอยู่ได้ไม่นานก็กลับเป็นทรงอีกครั้งเพียงแค่เขายกมือขึ้นปัดอย่างลวกๆ

“เหนื่อยจัง” เจ้าตัวบ่นกับตัวเองมากกว่าจะตั้งใจเจาะจงพูดกับใครเป็นพิเศษ เมื่อวานงานพิเศษที่ร้านอาหารที่เขาทำอยู่เป็นประจำยุ่งกว่าปกติ เพราะเป็นช่วงปลายเดือนพอดี จากที่ควรจะต้องเลิกห้าทุ่มเหมือนอย่างทุกที เจ้าของร้านถึงกับต้องออกปากขอให้พนักงานหลายๆคนอยู่ช่วยทำงานล่วงเวลากันต่ออีกเป็นชั่วโมง ผู้ช่วยพ่อครัวอย่างเขาจึงต้องทำทุกอย่างตั้งแต่เรื่องของในครัวไปจนถึงออกมาช่วยเสิร์ฟ แถมวันนี้ยังมีคลาสแดนซ์ตั้งแต่เช้า เรียกได้ว่า นอนยังไม่ทันจะเต็มตาก็ต้องตื่นขึ้นมาเรียนอีกแล้ว

“อ่ะนี่ น้ำ” เด็กหนุ่มอีกคนที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าในชุดซ้อมเต้นที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่แพ้กัน ยื่นขวดน้ำเย็นให้กับเขา

“ขอบใจนะ” ก่อนจะคว้ามาจิบอย่างกระหาย

“นายดูเหนื่อยๆนะเจวันนี้ มีอะไรหรือเปล่า” ร่างนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากที่นั่งลงบนพื้นข้างๆกัน

เด็กหนุ่มที่ชื่อเจส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก ก่อนจะจิบน้ำเย็นจากขวดนั้นให้ชื่นใจอีกครั้ง

“แค่งานพิเศษมันยุ่งกว่าทุกคืนน่ะ”

“นี่นายทำอะไรเกินเด็กอายุสิบเจ็ดไปหน่อยหรือเปล่า” น้ำเสียงนั้นพูดทีเล่นทีจริง

เด็กหนุ่มหน้าสวยส่ายหน้าเบาๆและยิ้มไม่พูดอะไรต่อไปอีก

เขาอาจจะทำอะไรเกินตัวอย่างที่เพื่อนว่าจริงๆก็ได้ เจ เป็นเด็กหนุ่มในวัยสิบเจ็ดปีที่มีภาระล้นมือเอาจริงๆ เขาเข้ามาเป็นนักร้องฝึกหัดของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งนี้มานานถึงสองปีแล้ว แทบจะทุกวันเขาจะต้องเรียนร้องเพลง เรียนการเต้นหลายๆรูปแบบ และยังต้องทำกิจกรรมมากมายร่วมกับเพื่อนนักร้องฝึกหัดด้วยกันที่มีอยู่หลายสิบชีวิต มันคงจะเหนื่อยน้อยกว่านี้มากถ้าพ่อกับแม่จะสนับสนุนให้เขาได้ทำในสิ่งที่รักและใฝ่ฝัน แต่นี่ทันทีที่พ่อกับแม่รู้ ไม่เพียงแต่จะไม่สนับสนุนแถมยังห้ามปรามเขาราวกับว่าเขากำลังจะทำความผิดอะไรใหญ่โต

“เพ้อเจ้อ” พ่อว่าใส่หน้าเขาตรงๆ “เด็กอย่างแกมันจะคิดได้สักแค่ไหนกันเชียว จะเป็นนักร้องงั้นหรือ ฝันลมๆแล้งๆแท้ๆ ทำไมแกไม่ตั้งใจเรียนเหมือนกับเด็กปกติคนอื่นๆเขานะ”

มานึกดู เขาก็ไม่โทษพ่อหรอกที่จะพูดแบบนั้น ก็ตอนนั้นเขาอายุแค่สิบสี่เท่านั้น

“เจ ลูกก็ฉลาดหัวดีไม่แพ้ใคร ทำไมถึงคิดจะมาเอาดีทางนี้เสียล่ะลูก” แม่ก็พยายามเปลี่ยนใจเขาเหมือนพ่อ แต่เป็นไปในแบบที่นุ่มนวลกว่ากันเยอะ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงเขามากเพียงไร แต่สำหรับเด็กอย่างเขามันเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกินที่จะทำให้พ่อกับแม่เชื่อว่าเขาตั้งใจเอาจริง ไม่ใช่แค่ลองผิดลองถูกเล่นๆ ดังนั้นอธิบายไปทำไมมี เขาจึงตัดสินใจเข้ารับการออดิชั่นเพื่อคัดเลือกนักร้องฝึกหัดในปีนั้นเองโดยไม่ต้องรอให้พ่อหรือแม่อนุญาต ผู้รับรองของเขาก็คืออาจารย์ที่โรงเรียนของเขาเองนั่นแหละ แต่การออดิชั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้งแรกเขาไม่ผ่านเพราะตื่นเต้นจนเกินไป แค่ชอบร้องเพลงและฝึกร้องในคาราโอเกะหรือที่บ้านเท่านั้นยังไม่พอ เขายังต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองด้วย เจผ่านการออดิชั่นในครั้งที่สองนี้เอง และนั่นทำให้เขาดีใจอย่างที่สุด ตอนนั้นเองที่เขาบอกกับตัวเองว่า ขอให้มีความมุ่งมั่นและพยายาม ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

แต่ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อได้รับคัดเลือกก็ย่อมหมายถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมา เมื่อพ่อกับแม่ไม่สนับสนุน เขาจะไปหาเงินมาจากที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ยังเรียนอยู่เสียด้วย ลำพังแค่เรียนหนังสือที่โรงเรียนวันธรรมดา และเข้าคลาสในตอนเย็นและเสาร์อาทิตย์ก็เป็นเรื่องที่หนักหนาพอตัวอยู่แล้ว แต่เจยังต้องทำงานพิเศษเพื่อให้มีเงินมาจ่ายค่าเรียนอีกด้วย โชคดีก็จริงที่เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัว แม้จะอายุน้อย แต่เพราะพรสวรรค์ในด้านการทำอาหารที่ติดตัวมานี้เอง ทำให้เจ้าของร้านอาหารที่เขาไปทำงานอยู่เห็นแววและยอมให้เขาได้เข้าไปทำหน้าที่นี้ซึ่งหมายถึงรายได้ที่มากขึ้นตามไปด้วย รายได้ที่ว่านี้เมื่อเอาไปรวมกับค่าขนมที่พ่อกับแม่ให้มา ก็พอจะช่วยประคับประคองให้การฝึกฝนในแต่ละเดือนผ่านไปได้อย่างไม่ติดขัดสักเท่าไรนัก

เหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้มค่า

วันนี้วันเสาร์ ช่วงบ่ายที่ไม่มีคลาสเรียน เขามีงานต้องทำอีกแล้ว แต่จะบอกว่าเป็นการทำงานก็ไม่น่าจะถูกเสียทีเดียว เพราะงานที่ว่าก็คือการออกไปร้องเพลงกับวงของเขาต่างหาก

เจมีวงดนตรีที่เป็นที่รู้จักกันในฐานะวงคัฟเวอร์ วงที่ประกอบไปด้วยมือกลอง มือกีตาร์ มือเบส และนักร้องอย่างละหนึ่งนี้เลือกที่จะเล่นเพลงของวงร็อคของญี่ปุ่น หรือเรียกสั้นๆว่าวงเจร็อคที่พวกเขาชื่นชอบ เดือนละครั้งหรือสองครั้ง มักจะมีงานอีเวนต์ให้พวกเขาได้เข้าร่วมแสดงฝีมือและทักษะทางดนตรีอยู่เสมอ แน่นอนว่า เจ มีตำแหน่งเป็นนักร้องนำของวง สมาชิกแต่ละคนในวงเป็นเพื่อนต่างโรงเรียนกัน ส่วนเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนที่มีการแนะนำต่อๆกันมาอีกที ส่วนตัวแล้วเจไม่ได้ฟังเพลงร็อคมากมายเมื่อเทียบกับเพลงแนวที่เขาชื่นชอบ แต่โชคดีที่เขาร้องร็อคได้ อีกทั้งรสนิยมทางดนตรีของเขากับเพื่อนร่วมวงค่อนข้างจะคล้ายกันอยู่ไม่น้อย เมื่อเขาได้ลองฟังเพลงจากวงต้นฉบับครั้งแรก เขาก็ตกปากรับคำแทบจะทันที สำหรับคนที่รักการร้องเพลงเหนือสิ่งอื่นใดแล้วยังมีเวทีให้ขึ้นไปฝึกฝนตัวเองบ่อยๆ นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ยากเย็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่การทำอะไรหลายๆอย่างไปพร้อมกันนี่สิที่ยากเย็นยิ่งกว่า

“แล้วจะไปด้วยกันไหม” เจ หันไปออกปากชวนเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“ต้องไปสิ พลาดได้ยังไง” เสียงทุ้มนั้นตอบกลับมาแทบจะทันที

ทั้งคู่ไม่เอ่ยอะไรอีก พร้อมใจกันลุกขึ้นยืนโดยถือผ้าขนหนูและขวดน้ำเอาไว้ในมือ คลาสต่อไปคือคลาสวอยซ์ ใช้เวลาทั้งหมดสองชั่วโมง น่าจะเสร็จก่อนบ่ายสอง เจมีไลฟ์ต้องเล่นตอนบ่ายสี่โมง ทันเวลาถมเถ นึกเสียว่าฝึกออกเสียงก่อนไปร้องไลฟ์ก็แล้วกัน

เจ ชอบคลาสวอยซ์มาก เขาที่เป็นเจ้าของเสียงในแบบที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ได้ค้นพบศักยภาพในการใช้เสียงของตัวเองจากการฝึกฝนมาตลอดนี่เอง ใครๆก็บอกว่า เวลาเจพูด เสียงของเขาฟังดูแหบๆอยู่ในลำคอ แต่เวลาที่เขาเปล่งเสียงร้องเพลงออกมานั้น กลับไพเราะจับใจยิ่งนัก เพราะเสียงที่สามารถขึ้นสูงได้อย่างเหลือเชื่อ เสียงของเจอ่อนหวานบาดหัวใจเวลาที่เขาถ่ายทอดเพลงบัลลาดเศร้าๆออกมา บางครั้งก็สดใสร่าเริงเมื่อได้ร้องเพลงสนุกๆ หรือทรงพลังเป็นเยี่ยมเมื่อต้องร้องเพลงร็อคแรงๆ นอกเหนือไปจากใบหน้าที่สวยสะไม่เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปแล้ว เสียงร้องเพลงของเด็กหนุ่มคืออาวุธติดตัวที่เจ้าตัวเองก็ภูมิใจอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่เจ็บป่วยจนเสียงหายล่ะก็ บอกมาเถอะ ให้เขาร้องเพลงสักเท่าไหร่ก็ได้ทั้งนั้น

“ดีมากครับ” ครูกบที่แสนจะใจดีของคลาสวอยซ์ในวันนี้เอ่ยขึ้นเมื่อเวลาเรียนใกล้จะหมดลงเต็มที “แต่ถึงจะหมดคลาสไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นนักร้องก็คือการหมั่นฝึกฝนนะครับ ใครซ้อมเยอะก็ได้เยอะ ใครไม่ซ้อมมันก็จะฟ้องออกมาเอง ดังนั้นครูอยากให้ทุกคนขยันให้มาก”

นักเรียนทุกคนแยกย้ายกันเดินออกไปจากห้องเรียน เหลือแต่เด็กหนุ่มสองคนที่กุลีกุจอเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เตรียมที่จะกลับแล้วเหมือนกัน

“เจ...”

“ครับครู” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง

“วันนี้มีไลฟ์หรือ”

“ปิดครูไม่เคยได้เลยซักที” เจว่าพลางยกมือขึ้นเกาศรีษะหัวเราะเขินๆ

“แล้วเป็นยังไง เทคนิคที่ครูแนะนำ”

“ช่วยผมได้มากเลยครับ เสียงมันออกมาได้แบบเต็มที่มาก เมื่อก่อนผมร้องแต่เพลงป๊อปช้าๆ พอมาร้องร็อคเลยไม่ค่อยชินน่ะครับ จับทางไม่ค่อยถูก นี่ดีขึ้นเยอะ”

“แต่สุดท้ายนะเจ จะร้องอะไรมันต้องออกมาจากข้างในเราก่อน เทคนิคมันก็ช่วยได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอก”

เด็กหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณครูกบที่รักและเอ็นดูเขาเป็นพิเศษมาโดยตลอด ก่อนจะขอตัวรีบออกไปขึ้นรถไฟฟ้าพร้อมเด็กหนุ่มร่างสูงที่ไม่ว่าจะเห็นเจที่ไหน จะต้องมีอีกคนอยู่ด้วยเป็นเงาตามตัว

*********************************

“ทำไมนายถึงชอบตามไปดูเราเล่นทุกครั้งเลย ไม่เบื่อบ้างหรือไง” เด็กหนุ่มหันไปถามเพื่อนที่แทบจะไม่เคยพลาดไปดูไลฟ์ของเขาเลยสักครั้งขึ้นมาอย่างนึกสงสัย มือข้างหนึ่งของเขาจับยึดราวบนรถไฟฟ้าที่เคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆอย่างไม่นึกยี่หระต่อสภาพการจราจรเบื้องล่าง

“ถ้าเบื่อจะไปดูหรือ” เสียงทุ้มเกินวัยตอบกลับไปอย่างอย่างอารมณ์ดี

“ก็ เราเห็นนายอินกับเพลงแนวแดนซ์มากกว่าร็อค ก็เลยกลัวว่าจะเบื่อหรือเปล่าเท่านั้นเอง” ใบหน้านั้นเงยขึ้นมองคู่สนทนาที่สูงกว่าเขาหลายเซนติเมตรอยู่เหมือนกัน

“แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สนใจดนตรีแนวอื่น อีกอย่าง…” เด็กหนุ่มหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เราชอบดูเวลานายร้องเพลง เสียงนายนี่เจ๋งมากเลยนะ”

เจ ยิ้มพร้อมกับดวงตากลมโตเป็นประกาย “ขอบใจนะ เราก็ชอบดูเวลานายเต้นเหมือนกันแหละ”

“แล้ววันนี้แนนไม่มาดูหรือ”

เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเมื่อเพื่อนถามถึงแฟนสาวที่คบกันมาได้พักใหญ่ของเขาพลางส่ายหน้า

“เขางอน วันนี้คงไม่มาหรอก”

“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”

“เขาบอกว่าเราไม่ค่อยมีเวลาให้เขา เราก็เห็นใจเขานะ แต่เราก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน ไหนจะเรียน ไหนจะทำงาน แต่เราก็ยังรักและเป็นห่วงเขานะ
ตอนแรกเขาก็สนับสนุนเราดีหรอก แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเราให้เขาได้ไม่พอ”

แนนจะเข้าใจเขาได้อย่างไรในเมื่อ เธอมาจากครอบครัวที่มั่งคั่ง เด็กสาวไม่รู้จักความลำบากด้วยซ้ำและมักจะเป็นฝ่ายที่ได้รับเสมอ ดังนั้นเมื่อมีอะไรที่เรียกว่าไม่ได้ดั่งใจ จึงไม่พ้นออกฤทธิ์ออกเดชตามประสา แต่ในเวลาที่แนนน่ารัก ก็น่ารักจริงๆ ช่างเอาอกเอาใจสารพัด แต่บทจะไม่มีเหตุผลขึ้นมา ก็ทำเอาเจถึงกับต้องส่ายหน้าอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเจง่วนอยู่ทั้งกับการเรียน การทำงาน แล้วยังต้องเล่นไลฟ์ตลอดเวลาอย่างนี้ด้วยแล้ว แนนถึงกับหัวเสียไม่ยอมคุยกับเขามาหลายวันแล้ว จนปัญญาที่เขาจะง้อเด็กสาวเหมือนกัน

อีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่วางมือบนไหล่ของเด็กหนุ่มก่อนจะบีบเบาๆเป็นการปลอบใจ ก่อนจะหันหน้าออกไปมองตึกสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องนอก

ใช้เวลาไม่กี่นาที รถไฟฟ้าก็พาพวกเขามาถึงสถานีปลายทางที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านมากนัก พวกเขาต้องเดินต่อไปอีกแต่แค่เพียงระยะทางสั้นๆเท่านั้น ก็ไปถึงผับแห่งหนึ่ง หากเป็นเวลากลางคืนสถานที่แห่งนี้คงเป็นที่ที่พวกเขาไม่คิดจะมา แต่ในเวลาบ่ายเช่นนี้ ผับที่ว่าได้แปรสภาพเป็นเวทีสำหรับวงสมัครเล่นหลายๆวงอย่างพวกเขา ให้ได้มาแสดงฝีมือและปล่อยของกันโดยปราศจากเรื่องของเหล้ายาเข้ามาเกี่ยวของ เพราะทั้งนักดนตรีและคนดูยังเป็นวัยรุ่นที่อายุใกล้เคียงกันเป็นส่วนใหญ่ คนจัดงานเองก็เป็นเพื่อนๆกันอีกต่างหาก อาศัยเด็กๆที่มีใจรักเสียงดนตรีแนวเดียวกันมารวมตัวกัน ลงขัน ลงแรง และระดมความคิดกัน จึงเกิดงานอีเวนต์ลักษณะนี้ขึ้นเป็นประจำ

จากที่จัดกันหลายเดือนครั้งหนึ่ง ก็เริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ คนที่นึกสนุกอยากจัดงานลักษณะนี้ขึ้นมาบ้างก็เริ่มมีมากขึ้น แต่จะดีมากหรือดีน้อยก็เป็นอีกเรื่อง ส่วนใหญ่วงของเจ จะรับเล่นให้กับทีมงานที่เริ่มต้นมาพร้อมๆกัน เพราะเชื่อมือกันมาตั้งแต่ต้น ตอนนั้นทีมคนจัดงานก็ใหม่ วงของเขาก็ยังเรียกว่าหน้าใหม่ แต่เมื่อจัดงานไปครั้งแรกแล้วประสบความสำเร็จก็เลยผูกปิ่นโตกันมาตลอด จากงานที่แรกๆไม่ได้คิดจะหาผลกำไรอะไรจากมัน ตอนนี้กลับกลายเป็นงานที่มีคนพร้อมที่จะเสียเงินเข้ามาดูทุกครั้งและตั๋วก็ขายหมดทุกครั้งด้วยเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่สามารถแบ่งเงินให้เป็นค่าขนมเล็กๆน้อยๆให้กับวงที่มาเล่นให้ได้ด้วยอีกต่างหาก แม้มันจะเป็นเงินเพียงจำนวนน้อยนิด แต่เทียบกับการที่ได้ขึ้นไปสนุกบนเวทีและมีคนอยากเข้ามาดูพวกเขามากมายแบบนั้น ต่อให้ไม่ได้ค่าตอบแทนก็ยังนับว่าคุ้มค่า

“เจ!” เสียงสตาฟที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่หน้างานเรียกชื่อเขาอย่างยินดี “นึกว่าจะไม่มาแล้ว”


“ไม่มาจะได้โดนไอ้พวกนั้นกระทืบเอาปะไร” เด็กหนุ่มว่าติดตลก “แต่พวกนั้นบอกไปแล้วใช่ไหมว่าวันนี้เราจะมาช้า เพราะติดเรียน” อีกฝ่ายพยักหน้า “ขอ
โทษนะ เลยไม่ได้มาซาวนด์เช็กเลย”

“ไม่เป็นไร วงนายเขาเชื่อมือนายจะตาย แถมซาวนด์เช็กแป๊ปเดียวก็เรียบร้อย ไป... ขึ้นไปสแตนด์บายข้างบนเลย”

สตาฟที่เป็นเพียงเด็กสาววัยใกล้เคียงกันกับเด็กหนุ่มทั้งสองคน ยื่นบัตรห้อยคอที่สามารถผ่านเข้าได้ทุกแห่งให้ทั้งคู่อย่างรู้งาน ก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนชั้นสองของผับแห่งนี้ที่ถูกกันไว้เป็นที่พักสำหรับนักดนตรีและสตาฟ เจโบกมือให้เพื่อนร่วมวงที่นั่งล้อมวงพุดคุยกันอย่างออกรสชนิดพร้อมหน้า

______________________________________

สวัสดีทุกคนอีกครั้งนะคะ ในที่สุดก็ได้เอาตอนที่หนึ่งของนิยายเรื่องใหม่มาลงให้ได้อ่านเสียทีค่ะ ตอนแรกเหมือนจะแค่เป็นการแนะนำตัวละครก่อน ถึงอย่างนั้น ชอบไม่ชอบอย่างไร คนเขียนอย่างเราก็ยินดีที่จะรับฟังข้อติชมนะคะ
หวังใจว่าทุกคนจะชอบเรื่องนี้กันค่ะ ขอบคุณนะคะ

หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 10-11-2009 10:29:43
ว้าว ตอนแรก มาแล้วเย้ๆๆ

เหงพล็อตเรื่องตอนแรก น่ารักดีคะ บ่งบอกความเป็นศิลปิน

จะรอตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณมากๆๆคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: นิยาย (เรื่องใหม่) จาก fingers-crossed ค่ะ: Beats of Life (เกริ่นก่อนลงให้อ่านจริง)
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 10-11-2009 10:35:35
ก็น่ารักดีค่ะ มาลงบ่อยนะค่ะ ตามอ่านทุกวันแน่ 
หัวข้อ: Re: Beats of Life: บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 10-11-2009 13:44:47
มาต้อนรับบทที่ 1 ค่ะ

ชอบการเขียนของคุณนิ้วไขว้อ่ะ บรรยายได้ดี ชัดเจน

จะตามอ่านทุกวันเลยนะคะ


หัวข้อ: Re: Beats of Life: บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 10-11-2009 16:13:05

เข้ามาส่องดูนิยายใหม่ อิอิ  :mc4:
หัวข้อ: Re: Beats of Life: บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: earlgrey ที่ 10-11-2009 17:56:59
ตอนแรกมาแล้ว อยากรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง ว่าแต่แฟนหนูเจเรื่องมากก็เลิกกันไปเลยลูก กร๊ากก

พ่อคนข้างๆหนูน่าจะรอเคลมอยู่ ระวังตัวไว้นะหนูเจ ^^ จะรอตอนต่อไปนะคะพี่ินิ้วไขว้

เมื่อคืนกลับไปนั่งอ่านเพลงรักมา ชอบมากเลยค่ะ เสียดายมาทีหลังสั่งหนังสือไม่ทัน
หัวข้อ: Re: Beats of Life: บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: ToeyTato ที่ 10-11-2009 21:31:49
ตามมาจากเรื่องเพลงรักค่ะ อ่านเรื่องนั้นแล้วชอบมากเลย ใสๆดีค่ะ
มาเป็นกำลังใจให้ :L2:
หัวข้อ: Re: Beats of Life: บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: jaaeyboy ที่ 10-11-2009 21:52:33
แว็บเข้ามา เพราะเห็นล็อคอิน คุณนิ้วไขว้ 

จะรออ่านนิยายเรื่องใหม่น่ะค่ะ

หลังจาก สอย เพลงรัก ไปอ่านเรียบร้อยแล้ว
หัวข้อ: Re: Beats of Life: บทที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: Huo_To ที่ 11-11-2009 00:28:03
มาต้อนรับคุณนิ้วไขว้ด้วยคน  :mc4:   เป็นกำลังใจให้โยกับเจค่ะ
หัวข้อ: Beats of Life: บทที่ 2 (มาต่อให้เร็วนิดนึง ก่อนลาไปต่างจังหวัดสัก 2-3 วันนะคะ)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 12-11-2009 23:55:42
บทที่ 2

โย ไม่อาจจะละสายตาจากวงที่กำลังแสดงอยู่บนเวทีนั้นได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวนักร้องนำที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของเขา ตอนซ้อมที่เขาอาจจะไม่มีเวลาได้ไปดูบ่อยครั้งนักก็ว่าเยี่ยมแล้ว ยิ่งตอนที่ได้มาดูวงเล่นสดๆแบบนี้ด้วยแล้ว มันช่างเต็มไปด้วยพลัง เสียงของเจคืออย่างหนึ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าเป็นเสน่ห์ที่ประกอบขึ้นเป็นวงนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเสียงของเด็กหนุ่มในคลาสวอยซ์ที่ไพเราะอ่อนหวานจับใจ จะกลายเป็นเสียงอันทรงพลังได้ขนาดนี้บนเวทีเพลงร็อค โยได้แต่นึกทึ่ง

ความสนุกอย่างหนึ่งของเขาในเวลาที่ได้มาดูไลฟ์แบบนี้ก็คือ เขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งในการเป็นนักร้องของเจ เพื่อนที่ใครต่อใครล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หน้าตาน่ารักแต่ก็ดูเย็นชาไร้อารมณ์เหมือนตุ๊กตาไม่มีผิด หากแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เจร้องเพลง แววตาของเขาสามารถสื่ออารมณ์ของเพลงออกมาได้อย่างหมดจดชัดเจน เพลงเศร้าเจก็ร้องได้เสียเศร้าจับจิต บางครั้งเจ้าตัวเองยังถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเพลงสนุกๆอย่างเพลงร็อค เจก็วาดลีลาบนเวทีเสียจนแทบลุกเป็นไฟ เจเกิดมาเพื่อที่จะร้องเพลงโดยแท้ นี่คือความรู้สึกของเขา

เจบนเวทีในตอนนี้เหงื่อไหลโทรมกายไปหมด แต่แววตาเต็มไปด้วยพลัง ผิวขาวเกินเด็กหนุ่มทั่วไป ขับให้เขายิ่งโดดเด่นเมื่อยืนอยู่บนเวที เด็กหนุ่มชูแขนขึ้นข้างหนึ่งมือกำเอาไว้แน่น ก่อนจะแผดเสียงทรงพลังดังก้องทำเอาคนดูจำนวนที่กะเอาจากสายตาคร่าวๆ ไม่น่าจะเกินสามร้อยคนนั้น เกิดอารมณ์ร่วมชูมือกระโดดขึ้นลงตามเสียงดนตรีอย่างสนุกสนาน สมาชิกคนอื่นในวงก็ต้องเรียกว่าเล่นกันได้เข้าขากันเป็นอย่างดี นัทสะพายเบสของเขายืนโซโล่ประชันกับต้นที่ปล่อยอารมณ์ไปกับกีตาร์ในมืออย่างเมามัน หันไปมองอ้นที่เหวี่ยงไม้กลองไปทางซ้ายทีทางขวาทีพร้อมกับหัวเราะสนุกออกมาด้วย ก็ทำให้เขาอดยิ้มออกมาด้วยไม่ได้ สีสันของเพลงร็อคมันจัดจ้านอย่างนี้นี่ไงเล่า คนถึงได้หลงใหลมันมากมายนัก

เพลงสุดท้ายจบลงพร้อมกับเสียงกรี๊ดของคนดูที่ไม่บอกก็รู้ว่าสนุกสุดเหวี่ยงกันขนาดไหน เจลงเวทีเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับยกมือที่กำผ้าขนหนูในมือเอาไว้โบกลาคนดู ทันทีที่เดินขึ้นบันไดมาแล้วเห็นโยยืนกอดอกยิ้มอยู่ เจก็ยิ้มตอบกลับอย่างร่าเริงและดูมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด รู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวพอใจกับไลฟ์ครั้งนี้มากแค่ไหน โยยื่นมือออกไปยังร่างที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนที่จะสวมกอดกันหลวมๆ ต่างฝ่ายต่างตีหลังกันเบาๆโดยไม่พูดอะไร แต่ก็กลับสื่อความหมายที่สามารถเข้าใจกันได้เอง

“เยี่ยมเลย” เสียงทุ้มนั้นพูดออกมาสั้นๆ

“จริงเหรอ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มในแบบที่ใครไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆเงยขึ้นถามซ้ำ

“ดีกว่าคราวที่แล้วอีกนะ”

“ไชโย” เจพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะผละจากสัมผัสอันคุ้นชินนั้น เปลี่ยนไปยืนอยู่ข้างๆโยแทน เด็กหนุ่มร่างสูงรู้สึกถึงไอร้อนจากคนข้างๆที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วดึงผ้าขนหนูจากมือของอีกคนเบาๆแล้วขยี้ลงบนผมดำขลับนั้นก่อนจะพาดมันเอาไว้ที่คอ

“เช็ดเหงื่อเสียหน่อยนะ” ร่างขาวๆนั้นทำตามอย่างว่าง่าย แม้จะยังสนทนากับเพื่อนคนอื่นในวงอย่างออกรสเกี่ยวกับการแสดงที่เพิ่งจบไป นานๆเจจะหันมาถามความเห็นของโยสักที แล้วก็หันไปคุยกับเพื่อนต่อ

ไม่รู้ทำไมเขาจึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด แต่กลับเพลิดเพลินเวลาที่ได้เข้ามาสัมผัสโลกของเจร็อคซึ่งแม้จะไม่ใช่ทางของเขาก็จริง แต่ก็สนุกไม่เบา และเขาเองก็ถือว่าเป็นคนที่เปิดกว้างมากถ้าเป็นเรื่องของเสียงเพลง ยิ่งเมื่อได้มารู้จักกับเจ โลกในแบบที่เขาไม่รู้กับก็ราวจะเชื้อเชิญให้เขาได้เข้าไปสัมผัสอยู่ตลอดเวลา

สำหรับโยที่เกิดและโตขึ้นมาในครอบครัวที่ทำงานด้านกฎหมายอย่างจริงจังนั้น การที่เขาสนใจในเสียงเพลงก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจพออยู่แล้ว แต่นี่เขากลับมุ่งมั่นจนถึงกับคิดจะเอาจริงกับมันก็ยิ่งทำให้พ่อกับแม่ไม่ชอบใจเอาเสียเลยจริงๆ จะบอกว่าเขาเป็นพวกผ่าเหล่า หรือแหกคอก ก็คงจะไม่ผิดนัก ตั้งแต่เล็กๆ เขาจึงต้องคอยหลบๆซ่อนๆพ่อกับแม่มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เขาหาวิดีโอของวงที่เขาชื่นชอบมาเปิดดูวันละหลายๆรอบเพื่อที่จะซึมซับเอาทุกสิ่งอย่างเข้าไปไว้ในหัวให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะลุกขึ้นมาเลียนแบบทั้งน้ำเสียงและท่าทางการร้องเพลงของศิลปินเหล่านั้น หนักเข้าก็แอบไปอ้อนแม่ไปขอเรียนเต้นรำซึ่งแม่ก็ใจอ่อนยอมเขาในที่สุด เพราะอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะทำตัวเหลวไหล นึกเสียว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งของลูกชายก็แล้วกัน

แต่แม่คงไม่คิดว่าลูกชายเพียงคนเดียวของแม่จะเอาจริงเอาจังกับมันขนาดนี้ พอจะบอกให้ลูกเปลี่ยนใจก็ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว ขนาดครูสอนเต้นของลูกชายเธอยังออกปากชมเสียจนนางเองก็พูดไม่ออก ยอมปล่อยให้ลูกชายได้ทำอย่างที่อยากทำไปในที่สุดแม้จะนึกไม่ชอบใจอยู่บ้างก็ตาม

ก็เห็นมีแต่น้องสาวเพียงคนเดียวของเขานี่แหละที่สนับสนุนพี่ชายทุกสิ่งอย่าง

“ถ้าพี่ดังเมื่อไหร่นะ ยูจะได้เอาไปคุยทับเพื่อนที่โรงเรียน” ฟังแล้ว คนเป็นพี่ได้แต่อึ้ง ดวงตาเรียวเล็กแต่ก็รับใบหน้าคมคายของเจ้าตัวได้อย่างเหมาะเจาะ มองน้องสาวตัวเองอึ้งๆ เด็กสาวเห็นปฏิกิริยาพี่ชายดังนั้น จึงหัวเราะพรืดออกมา “เค้าพูดเล่นหรอกพี่โย” เด็กหนุ่มที่อายุห่างกว่าน้องสาวตัวเองสองปีชักไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเชื่อคำพูดของแม่ตัวดีนี่ดีหรือเปล่า

“จริงๆ” ยูจับแขนของพี่ชาย “เค้ารู้ว่าพี่ต้องทำได้ พี่โยเก่งมากนะ ขนาดเค้าเป็นน้อง แต่เวลาเห็นพี่เต้นแล้ว เค้ายังชอบเลย พี่โยเชื่อเค้าไหม”

โยยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องสาวจอมทโมนของตัวเองเบาๆ ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดจากปากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้จะกลายเป็นพลังใจอันยิ่งใหญ่แก่เขาได้ขนาดนี้

เด็กหนุ่มยังจำได้ วันที่เขาเดินทางเข้ามาร่วมการออดิชั่นเพื่อที่จะได้รับคัดเลือกให้เข้าไปเป็นนักร้องฝึกหัดของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง แม้แม่จะไม่ได้สนับสนุนสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นความตั้งใจอันแน่วแน่ของลูกชายที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบเกินตัว นางจึงไม่อาจจะปฏิเสธความต้องการของลูกชายได้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะคอยสำทับว่า ไม่ว่าจะอย่างไร โยก็ต้องให้ความสำคัญกับการเรียนด้วย

เขาผ่านการออดิชั่นตั้งแต่ครั้งแรก และเหตุผลใหญ่ที่ทำให้เขาผ่านก็คือทักษะในการเต้นรำที่เขามุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับมันมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา บวกกับน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่เขาเองก็มีไม่แพ้ใครเข้าไปด้วยแล้ว ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะผ่านการออดิชั่นอย่างเป็นเอกฉันท์ และยังเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักเต้นเท้าไฟที่สุดในนักร้องฝึกหัดรุ่นเดียวกันอีกต่างหาก

โยผ่านการออดิชั่นรุ่นเดียวกับเจ ครั้งแรกที่ได้พบกัน สิ่งที่สะดุดตาเขาครั้งแรกไม่ใช่ใบหน้าสวยๆที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงนั่น แต่กลับเป็นท่าทีเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้จนติดจะน่ากลัวนั่นเสียมากกว่า แต่ไม่รู้เพราะอะไรมันจึงชวนดึงดูดใจจนจะไม่อาจละสายตาได้ เขาน่าจะเป็นคนแรกที่กล้าเดินเข้าไปทักทายเจ เพราะส่วนหนึ่งก็นึกประทับใจกับน้ำเสียงอันไพเราะของเจ้าตัวตอนที่ออดิชั่นเข้ามาด้วยนั่นล่ะ

“นายชื่อเจใช่ไหม” เด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัดสะดุ้งเล็กน้อย ราวกับว่าเสียงทุ้มๆของเขาได้ปลุกให้ร่างขาวๆตื่นจากภวังค์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูงใหญ่นั่นเดินมายิ้มและทักทายเขา

“อือ นายคงเป็นโยล่ะสิ” เด็กหนุ่มทำตาโตด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มออกมา และถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ

“รู้จักเราด้วยหรือ”

“นายเต้นเก่งขนาดนั้น ใครบ้างจะไม่พูดถึง” เจก้มหน้าก้มตาพูดจนชักไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะรำคาญเขาหรือขี้อายกันแน่

“นายก็ร้องเพลงเพราะนะ เราชอบเสียงนายจริงๆ” หนนี้ร่างข้างๆจึงหันกลับมามองเขาอย่างเต็มตาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ดวงตาที่มองกลับมาฉายให้เห็นแววจริงใจ ราวกับจะยืนยันว่าเขาพูดจริงๆไม่ใช่เพราะมารยาทหรือเพื่อเอาใจ

โยรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างประหลาดเมื่อเห็นใบหน้าสวยๆแต่เย็นชาที่เหมือนไม่ค่อยอยากพูดหรือยิ้มให้ใคร คลี่ยิ้มให้เขาอย่างไม่ปิดบังก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นอังจมูกอย่างเขินๆเมื่อถูกชมซึ่งๆหน้า

“ขอบคุณ” ที่แท้เด็กหนุ่มคนนี้ขี้อายนี่เอง เวลาอยู่ต่อหน้าคนมากๆที่เขาไม่คุ้นเคย ใบหน้าอันเย็นชานิ่งเฉยนั้น คือเกราะป้องกันตัวอย่างดีของเจ้าตัว แต่แท้ที่จริง เมื่อได้พูดคุยรู้จักกันแล้ว เจเป็นคนอารมณ์ดีและช่างพูดช่างคุยอย่างยิ่ง

“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ คงต้องได้เจอกันไปอีกนานเลย ยินดีที่ได้รู้จัก” โยยื่นมือออกไป ก่อนที่เจจะจับมือข้างนั้นกระชับตอบ และยิ้มให้อย่างนึกขอบคุณ

นับตั้งแต่นั้น ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ไปไหนไปด้วยกันเหมือนเงาของกันและกัน อาจจะเป็นเพราะอายุที่เท่ากัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา โยจะคอยช่วยเจเวลามีปัญหาในเรื่องการเต้น ส่วนเจก็จะคอยบอกในเรื่องของเทคนิคการร้องเพลงที่อีกฝ่ายไม่คุ้นชิน ถึงอย่างไรเสียในเรื่องของการร้องเพลง เจก็มีประสบการณ์มากกว่าเขา

ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของการเรียน ความรับผิดชอบ ความมีวินัย และความมุ่งมั่นล่ะก็ โยไม่เคยห่วงเพื่อนคนนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ที่เขานึกห่วงก็คงจะเป็นเรื่องของการทำงานนั่นแหละมากกว่า ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าครอบครัวของเจไม่สนับสนุนลูกชายให้เดินบนเส้นทางสายนี้เลย เจไม่ได้โชคดีเหมือนโยที่ยังมีแม่ที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่บ้าง แม้ในใจแม่จะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ก็ตาม และถึงแม้เจจะมีพี่สาวอีกสี่คนคอยเจียดเงินส่วนตัวของตัวเองมาช่วยน้องชายบ้าง แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินตัวของเด็กวัยสิบเจ็ดอย่างเจอยู่ดี

เมื่อคุณยังเป็นเพียงนักร้องฝึกหัด คุณก็ไม่ต่างอะไรกับนักเรียนทั่วไปที่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน มีค่าใช้จ่ายนั่นบ้างนี่บ้าง สำหรับเจแล้วเมื่อพ่อแม่ไม่ยินยอมที่จะสนับสนุนเงินในส่วนนี้ให้ เขาก็ต้องหางานพิเศษทำ ค่าขนมที่ได้จากการไปโรงเรียนตามปกติก็ต้องเจียดมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

“ยังโชคดีนะที่มีบ้านอยู่ ขืนต้องออกไปอยู่ตามหอพักล่ะก็ เราคงแย่” เจว่าอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก “โชคดีที่เราเป็นผู้ชายนะ ถ้าเป็นผู้หญิงคงทำแบบนี้ไม่ได้ พ่อกับแม่เอาตายแน่ๆ”

ที่จริงโยไม่เคยเห็นเจบ่นท้อแท้เลยสักครั้ง เขาจึงไม่เคยนึกบ่นเวลาที่เจอกับอุปสรรคเหมือนกัน เพราะความมุ่งมั่นของเจและของตัวเขาเองมันช่างยิ่งใหญ่ การผ่านการออดิชั่นเข้ามาได้ อาจจะไม่ใช่เครื่องการันตีว่าเขาและเจจะได้เป็นนักร้องจริงๆ แต่มันก็คือโอกาสที่ใครๆล้วนอยากจะได้มา ดังนั้นจะให้เขาถอดใจง่ายๆนั้น ไม่มีทางเด็ดขาด เขาจึงขยันกว่าใคร หมั่นฝึกซ้อมมากกว่าใคร และไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ

การคอยเป็นเพื่อนและคอยดูแลเจจึงกลายมาเป็นเหมือนหนึ่งในหน้าที่ที่เพื่อนอย่างเขาจะช่วยเพื่อนได้ เด็กต่างจังหวัดวัยสิบเจ็ดที่ไม่ได้มีฐานะทางครอบครัวร่ำรวยล้นฟ้าอะไรอย่างเขา คงช่วยได้เท่านี้จริงๆ แต่ก็ใช่ว่าถ้าเขามีเงินมากมายขนาดที่พอจะหยิบยื่นให้กับเจได้แล้ว เพื่อนของเขาคนนี้จะยอมรับเมื่อไหร่กัน ทำไมเขาจะไม่รู้จักเพื่อนสนิทของตัวเอง เจไม่ใช่คนที่งอมืองอเท้า อะไรที่อยากได้เขาก็ต้องหามาให้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้น จะให้ไปขอยืมเงินจากใครนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย เห็นหน้าหวานๆแบบนี้ ทั้งปากหนักแล้วก็ใจแข็งอย่างกับอะไรดี

ไอ้เรื่องหน้าตาของเจ้าตัวนี่ก็เหมือนกัน คิดขึ้นมาทีไร โยเป็นต้องอดหัวเราะออกมาไม่ได้สักที

“เราก็พอจะรู้นะ ว่าหน้าตาเรามันออกจะหวานเกินผู้ชายทั่วไปอยู่” เจว่าอย่างอ่อนใจ “อยู่กับมันมาขนาดนี้มีหรือจะไม่รู้ แต่ก็นะ...” เด็กหนุ่มหน้าสวยถอนใจ “เราก็ออกจะสูงใหญ่ ตัวก็ไม่ได้แบบบางขนาดนั้นสักหน่อยนี่หว่าโย”

โยนั่งฟังเพื่อนบ่นเรื่องหน้าสวยๆของตัวเองจนทำเอาใครหลายคนเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ เวลามีใครมาบอกว่าเพื่อนเขาคนนี้ดูไม่แมน ใจก็อยากจะบอกไปเหลือเกินว่า เจเป็นเด็กผู้ชายแท้ๆที่ห่ามเอาเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา บุคลิกท่าทาง หรืออะไรก็ตาม แถมสูงเฉียดร้อยแปดสิบขนาดนี้ เกินหญิงไปเยอะอยู่ แต่ก็ยังนับว่าสูงน้อยกว่าเขาที่ล่าสุดไปวัดมาเห็นว่าเกินร้อยแปดสิบไปอยู่หลายเซนติเมตร ฟังเพื่อนบ่นเรื่องนี้ทีไร โยเป็นต้องอดลูบศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมหนาๆสีดำขลับนั่นไม่ได้เสียทุกทีไป บ่อยครั้งที่เขาต้องคอยบอกว่า อย่าไปสนใจเลย ถึงอย่างไรหน้าตาดีก็ยังดีกว่าหน้าตาแย่ๆล่ะ เจ้าตัวถึงได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง ข้อเสียอีกอย่างของเจคือขี้กังวลและคิดมาก ไม่รู้เพราะโตมากับพี่สาวหลายคนหรือเปล่าเหมือนกัน เจ้าตัวเลยติดจะคิดอะไรลึกซึ้งเหมือนผู้หญิงในหลายๆเรื่อง แต่ข้อดีคือ เจจึงเป็นคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้าง และติดนิสัยชอบดูแลใครต่อใครอยู่เสมอ ทั้งที่ตัวเองยุ่งขิงอย่างกับอะไรดี


************************************
   
ย่านนี้เป็นแหล่งกินขึ้นชื่อของเด็กวัยรุ่นที่มักจะมาหาอะไรใส่ท้องไม่เว้นวันธรรมดาหรือวันหยุด อาจจะเป็นเพราะมันตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งช็อปปิ้ง อีกทั้งอยู่ติดกับมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยนักเรียนนักศึกษานั่นเอง

เด็กหนุ่มสาวเกือบสิบคนนั่งทานสเต๊กจานใหญ่แต่ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อกันอย่างเอร็ดอร่อย คงเป็นเพราะเสร็จจากงานและผ่านพ้นช่วงเวลาอันเคร่งเครียดไปแล้ว แถมผลตอบรับยังออกมาดีเกินคาด แม่งานจึงพาสตาฟและนักดนตรีที่สนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาเลี้ยงมื้อเย็นเป็นการฉลองเสียเลย

“พี่เจ หวัดดีค่า วันนี้เล่นดีมากเลยพี่” เสียงเด็กสาวที่เดินมาทักทายเป็นคนที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้นับตั้งแต่พวกเขามาถึงที่นี่ดังขึ้น จะว่าไปหลายๆโต๊ะที่มานั่งทานมื้อเย็นก็เรียกได้ว่าค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตากันดีพอสมควร บางคนก็เป็นแฟนวงของเขา หลายๆคนก็เห็นกันตามงานอีเวนต์ที่จัดขึ้นบ่อยๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่วันนี้โต๊ะที่พวกเขานั่งจะกลายเป็นเป้าสนใจของใครต่อใคร เพราะเสียงทักทายที่ดังเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด บ้างก็เดินเข้ามาคุยและขอถ่ายรูปด้วยเป็นที่สนุกสนาน โชคยังดีที่เจ้าของร้านคงจะเคยชินแล้ว จึงไม่ได้ว่าอะไร มากกว่าแค่เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะทำหน้าเหมือนกับเข้าใจ แล้วก็หันไปทำงานตรงหน้าต่อ

“เจ เดี๋ยวส่งเพลงใหม่ไปให้เลือกนะ” นัทเอ่ยขึ้นมากลางวงหลังจากจัดการกับอาหารตรงหน้าไปแล้วชนิดเรียบวุธ

“งานหน้าใช่ไหม” ก่อนจะหันไปทางแม่งาน “ปาล์ม คอนเฟิร์มเรื่องวันเวลาอีกทีนะ เราจะได้จัดตารางเวลาถูก” ว่าพลางใช้ส้อมจิ้มเนื้อใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“ส่งมาคืนนี้เลย วันนี้เราไปค้างที่หอโย จะได้ดึงไฟล์สะดวกหน่อย” ว่าแล้วหันไปทางคนร่างสูงที่นั่งข้างๆที่พยักหน้าน้อยๆเป็นการบอกว่าไม่มีปัญหา ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดู “ต้องไปก่อนแล้ว เดี๋ยวนายบ่น” เด็กหนุ่มหมายถึงเจ้าของร้านอาหารที่เขาทำงานพิเศษอยู่ “ไปล่ะ มีอะไรโทรมานะ”

โยลุกขึ้นยืนพร้อมกับสะกิดคนตัวเล็กกว่าที่ทำท่าจะลืมของที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนลาเพื่อนๆของเจ แล้วเดินตามกันออกไป

“มันยุ่งกว่าศิลปินอีกนะเนี่ย” ต้นว่าพลางยิ้มส่ายหน้า

“สองคนนี่... น่ารักดีนะ” จู่ๆสตาฟที่เป็นเด็กสาวคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา

“อะไรของแกวะนก” ปาล์มหันไปมองหลังของเด็กหนุ่มสองคนที่เดินหายออกจากร้านไปไวๆ

“ก็จริงไหมล่ะ ดูแลกันโคตรดีเลย”

“ยังไม่ชินอีกเหรอ ฉันก็เห็นมันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”

“เออ ฉันก็เห็นมานานเหมือนกัน แต่คู่นี้มันไม่เหมือนใคร มันน่ารักบอกไม่ถูก หรือเป็นเพราะมันหน้าตาดีทั้งสองคนวะ เลยรู้สึกดีกว่าคู่อื่น” นกว่าติดตลก

“มาอีกแล้ว ทำไมพวกผู้หญิงชอบอะไรแบบนี้วะ” อ้นออกความเห็น

“ฉันไม่ได้ขอความเห็นแกนะ”

“ขอโทษคร้าบบบบบ” อ้นทำท่าย่นคอยกมือขึ้นท่วมหัวล้อๆ เมื่อรู้ว่าพูดจาผิดหูสตาฟสาวที่ส่งเสียงแหลมขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง

“แต่ไอ้เจมันมีแฟนแล้วนะ น่ารักด้วย แถมบ้านอย่างรวยเลย” นัทว่า

“โอ๊ย...” ปาล์มยกมือขึ้นตบหน้าผากเบาๆ “ไม่พูดถึงฉันก็ลืมไปแล้วนะนั่น” ทุกคนหันไปมองหน้ากันอย่างรู้ทัน

“ไม่ไหวว่ะแฟนไอ้เจ” อ้นส่ายหน้า “ต่อหน้าแฟนเขา เขาก็น่ารักดีหรอก แต่พอกับพวกเรา จำได้ไหม เจมันเคยพามาดูงานหนนึง โห... ไม่พอใจไปหมดทุกสิ่งอย่างบนโลก ตะบึงตะบอน ไม่ชอบสถานที่ ไม่ชอบโน่นไม่ชอบนี่ มางานเจร็อคนะเว้ย ไม่ใช่งานกาล่า” ทุกคนในวงสนทนาถึงกับหัวเราะพรืดออกมากับการเปรียบเปรยของมือกลองร่างใหญ่ที่สุดของวง

“แล้วเหวี่ยงผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้เจเลย เป็นอะไรมากไหมก็ไม่รู้”

“วันนี้ไม่เห็นตามมาด้วยแฮะ” ใครคนหนึ่งเปรยขึ้นมา

“สาธุ” ปาล์มยกมือไหว้ท่วมหัว “ไม่มาอีกเลยฉันจะยิงสลุตฉลองซักสองวัน” ทำเอาเพื่อนๆที่นั่งอยู่ด้วยกันเอามือกุมท้องหัวเราะชนิดไม่อั้นอะไรกันอีกต่อไป

“กลัวแต่ว่ามันจะไปไม่รอดน่ะสิ” จู่ๆต้นก็เอ่ยขึ้น

“นายคิดเหมือนเราเดี๊ยะ” นัทว่าขึ้นบ้าง “นึกดูนะ ผู้หญิงเอาแต่ใจร่ำรวยฐานะดีมีชาติตระกูลขนาดนั้น เจมันรับมือไม่ไหวหรอก ถึงมันจะรักของมันก็เถอะ ขนาดตัวมันเองตารางมันยังแน่นขนาดนี้ เวลาดูแลตัวเองยังไม่มีเลย มันจะเอาเวลาที่ไหนไปเอาใจแฟนมัน”

“เรากลัวมันเสียใจน่ะ ไอ้เจนะ เห็นมันแบบนี้ มันเป็นคนรักจริงแล้วก็จริงใจมากเลยนะ”

“เฮ้อออออ... ก็เพราะแบบนี้แหละ ถึงปากเราอยากจะบอกใจจะขาดให้มันเลิกกะแฟนมัน แต่ก็พูดไม่ออกซักที”

“คอยดูมันต่อไปเหอะวะ บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเข้าไปยุ่งได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”

“นี่ยังดีนะ ที่มันมีเพื่อนดีๆอย่างพวกเรา”

“ถุยยยยยยย....” เสียงถ่มถุยเหน็บแนมจากเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะพร้อมใจกันดังขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย เมื่ออ้นมือกลองร่างใหญ่ของวงพูดขึ้นมาแบบไม่อายปาก

“โห... พูดเล่นแค่นี้ ไม่เห็นต้องชื่นชมกันขนาดนี้เลยนี่หว่า” เจ้าตัวว่าพลางหัวเราะ

“ฉันว่านอกจากพวกเรา อย่างน้อยก็เบาใจนะที่เจมันมีโยเป็นเพื่อนอยู่ด้วยน่ะ” นกว่าขึ้นมาอย่างจริงจัง “ไม่รู้สิ ฉันมั่นใจนะว่า ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเจ โยมันคงไม่ดูดายหรอก พวกเราเองก็เถอะ ใช่ไหม” ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าอีกครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมาอีก

เมื่อดูเวลาแล้ว เห็นสมควรเรียกคิดเงินค่าอาหารมื้อนี้เสียที ทุกคนพร้อมใจกันลุกขึ้นโดยไม่ลืมที่จะคว้าสมบัติติดตัวของแต่ละคนที่วางกองกันอยู่บนโต๊ะบ้างบนพื้นบ้างติดมือไปด้วย หลังจากนั้นเด็กผู้ชายก็พากันเดินมาส่งเด็กผู้หญิงรอขึ้นรถ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะแยกย้ายกันกลับจริงๆเสียที

__________________________________

มาแล้วนะคะสำหรับตอนที่สอง น่าจะเป็นตอนที่จะได้ทำความรู้จักกับตัวละครได้มากขึ้น หนนี้มาต่อให้เร็วเพราะอย่างที่จั่วหัวไว้น่ะค่ะ จะต้องหายไปต่างจังหวัดสักพัก แต่ว่าไม่นานแน่นอนค่ะ

ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณทุกท่านนะคะที่สละเวลาแวะเข้ามาอ่านกัน จะมากหรือน้อยก็ล้วนแล้วแต่ทำให้หัวใจของคนเขียนพองฟูได้ไม่แพ้กันค่ะ

ตอนต่อไปของ Beats of Life จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อย่าลืมติดตามกันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้นะคะ

ขอบคุณค่ะ




หัวข้อ: Re: Beats of Life: บทที่ 2 (มาต่อให้เร็วนิดนึง ก่อนลาไปต่างจังหวัดสัก 2-3 วันนะคะ)
เริ่มหัวข้อโดย: nam-nueng ที่ 13-11-2009 00:29:28
สาวกยุนแจค่ะ

มารอความเข้มข้นในตอนต่อๆไปด้วยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: Beats of Life: บทที่ 2 (มาต่อให้เร็วนิดนึง ก่อนลาไปต่างจังหวัดสัก 2-3 วันนะคะ)
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 13-11-2009 10:12:15
เริ่มรู้ความคิดของโยแล้ว ฮ่าๆๆ สนิ๊ทกันจิงๆๆ

ขอบคุณนะคะ แล้วจะรอตอนต่อไปคะ
หัวข้อ: Beats of Life: บทที่ 3 Up! Up! Up!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 16-11-2009 22:35:43
บทที่ 3

“กลับมาแล้ว” เด็กหนุ่มพาร่างผอมเพรียวที่อ่อนล้าเต็มทีเปิดประตูห้องเข้ามาอย่างคุ้นเคยราวกับเป็นห้องของตัวเอง เขาวางกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงกับพื้น พร้อมกับนั่งลงถอดรองเท้าอย่างไม่รีบร้อนอันใดอีก หลังจากผ่านวันอันวุ่นวายที่แสนยาวนานไปแล้ว

เจจำไม่ได้แล้วว่าเขาอาศัยที่นี่นอนแทนบ้านมาแล้วกี่ครั้ง เพราะมันถี่เสียจนราวกับจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของเขาไปแล้ว มันอาจจะไม่ใช่ห้องพักที่ใหญ่โตเลิศหรูอะไรก็จริง แต่ก็นับว่าน่าอยู่ไม่เบา เพราะมันถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นฝีมือของผู้อาศัยชั่วคราวอย่างเขามากกว่า ลำพังตัวเจ้าของห้องจริงๆนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้ชายทั่วไปที่ไม่ได้สนใจไยดีกับข้าวของที่วางทิ้งเอาไว้สักเท่าไหร่

เขาจำได้ว่า วันแรกที่ต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่นเหนื่อยเสียจนโยต้องลากให้เขามาค้างด้วยเพราะสภาพที่ดูไม่จืดของเขา ทันทีที่เห็นสภาพห้อง เจแทบจะลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเสียหมดสิ้น เพราะห้องของเด็กหนุ่มอีกคนนั้นมีสภาพไม่ต่างอะไรกับสมรภูมิรบ แม้โยจะบอกเสียงอ่อยว่าเจออกจะเปรียบเทียบเกินจริงไปนิด แต่สำหรับคนที่รักสะอาดและมีระเบียบอย่างเจนั้น สภาพของมันไม่ต่างอะไรกับสนามรบที่เพิ่งโดนระเบิดลงมาหมาดๆ อดรนทนไม่ได้ เจถึงกับยอมเสียเวลาไปชั่วโมงเต็มๆในการเก็บกวาดห้องแบบคร่าวๆ เพราะเจ้าตัวยืนยันว่า หากไม่ทำ เขาไม่มีทางนอนหลับได้แน่ๆ ลำบากเจ้าของห้องต้องเก็บกวาดห้องของตัวเองให้วุ่นเหมือนกัน กว่าจะได้นอน ทั้งสองคนแทบจะเรียกได้ว่าคลานขึ้นเตียงกันเลยทีเดียว

นับแต่นั้น โยจึงพยายามที่จะเก็บข้าวของให้เป็นที่เป็นทางกว่าเดิม แม้จะไม่ถึงกับเรียบร้อยในสายตาของเจ แต่ก็นับว่ามีพัฒนาการไม่น้อย ถึงอย่างนั้นเมื่อไรก็ตามที่เจมาและพอจะมีเวลาอยู่บ้าง ก็เป็นต้องลงมือเก็บกวาดด้วยตัวเองอีกครั้ง

“มาห้องเราทีไร ผีแม่บ้านเข้าสิงนายทุกทีเลย” ครั้งหนึ่งเจ้าของห้องถึงกับออกปาก
   
“นายลองอยู่กับแม่ที่เป็นแม่บ้านสุดๆ กับพี่สาวอีกสี่ห้าคนอย่างเราดูสิ” เจว่าราวกับนี่เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นแล้ว และเขาเองก็คงไม่มีปัญญาแก้ไขนิสัยอันนี้ของตัวเองได้
   
อันที่จริงห้องพักของโยก็ต้องเรียกว่าค่าเช่าไม่ถึงกับถูกมากนัก ขนาดของห้องเมื่อประเมินแล้ว สามารถหาเพื่อนร่วมห้องมาแชร์ค่าใช้จ่ายอีกสักคนก็ยังเรียกว่าอยู่ได้แบบสบายๆ แต่เจก็ไม่เห็นว่าโยจะกระตือรือร้นในการที่จะหาเพื่อนร่วมห้องมาอยู่ด้วยเลยสักที ถามเท่าไหร่ เจ้าตัวก็บอกแค่ว่า เอาไว้ก่อนบ้าง ขี้เกียจปรับตัวบ้าง หนักเข้าก็เฉไฉพูดเรื่องอื่นไปเสีย จนเขาขี้เกียจจะเซ้าซี้ถามไปเอง
   
จะว่าไปการที่โยไม่มีเพื่อนร่วมห้องก็ดีไปอย่าง เพราะทำให้เขาสะดวกใจที่จะแวะมาหาได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่ก็ตาม
   
“เหนื่อยล่ะสิ” เสียงทุ้มๆเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งพิงศรีษะเข้ากับผนังห้องหลังจากถอดรองเท้าวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบแล้ว เจลืมตาขึ้นแต่ก็ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหนเพราะความอ่อนล้า เจ้าของห้องจึงลงไปนั่งเป็นเพื่อนเสียเลย
   
“ไหง จะมาค้างที่นี่ไม่บอกกล่าวเจ้าของห้องล่วงหน้าซักคำ มัดมือชกซะงั้น”
   
“อ้าวเหรอ ก็นึกว่าบอกไปแล้ว” เจ้าตัวตอบออกไปอย่างสะลึมสะลือเต็มที่
   
โยนึกขันกับคำตอบง่ายๆนั้น ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางกองอยู่ข้างๆ
   
“ไม่ได้ว่าอะไรหรอกน่า เราชินแล้ว ไป... ไปอาบน้ำนอนได้แล้วเจ สภาพนายดูไม่ได้เลย”

“อือ...” เจ้าตัวค่อยๆพยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
   
“ไหวไหม จะกินอะไรหรือเปล่า” แขนอีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่คอยพยุงร่างที่จะหลับแหล่มิหลับแหล่นั่นเอาไว้
   
“อยากนอน” เสียงนั้นงึมงำตอบกลับมา
   
แต่โยรู้ดีว่า แม้จะอยากนอนแค่ไหน แต่คนรักอนามัยอย่างเจไม่มีทางนอนตาหลับได้ถ้าไม่อาบน้ำเสียก่อน

เจพาร่างอันสโลสเลเดินหายเข้าห้องน้ำไปและเดินกลับออกมาพร้อมกับใส่เสื้อยืดและกางเกงบ๊อกเซอร์ที่ก็ยืมเอาจากเจ้าของห้องนั่นแหละ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงและหลับไปในทันทีที่หัวถึงหมอน โยถึงกับส่ายหน้าเมื่อเห็นสภาพเพื่อนที่นอนคว่ำลงกับที่นอน ศีรษะหันไปทางหนึ่ง อันเป็นท่านอนเอกลักษณ์ที่เขาเห็นจนชินตา เขาคลี่ผ้าห่มออกก่อนจะคลุมลงบนร่างที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วก็หันไปปิดไฟ ก่อนจะล้มตัวลงนอนและห่มผ้าให้ตัวเอง และหลับตามกันไปอีกคน

ก็จะให้เขาหาเพื่อนร่วมห้องมาอยู่ด้วยได้อย่างไรกัน ในเมื่อมีเพื่อนที่เขาต้องคอยดูแลเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ทั้งคน

**********************

“ตื่นแล้วเหรอ กำลังจะมาปลุกเลย”

“กี่โมงแล้วเนี่ย” เสียงแหบๆนั้นถามออกมาอย่างงัวเงียเต็มที่

“สิบโมง”

“โห” ร่างที่ยังนอนอยู่บนเตียงครางพร้อมกับขยี้ตา “กินอะไรหรือยัง”

“ยัง รอนายอยู่”

“งั้นเดี๋ยวลุกไปทำอะไรให้กิน”

“อย่าลำบากเลย เดี๋ยวออกไปซื้ออะไรเข้ามากินก็ได้ ง่ายๆ”

“ไม่อร่อยเท่าของเราทำหรอก” น้ำเสียงที่ดูเหมือนจะสดใสขึ้นบ้างแล้วคุยทับ แม้จะยังไม่ยอมขยับลุกจากที่นอนอันแสนสบายนั่น ทำเอาคนที่ยืนกอดอกมองลงมาอดยิ้มขันออกมาไม่ได้

“ตามใจ”

เจกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็ออกมาพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นผ้าห่มพับวางเอาไว้อย่างเป็นที่เป็นทาง

ในส่วนที่ใช้ทำอาหารได้ยังไม่อาจจะนับว่าเป็นห้องครัว เพราะค่อนข้างจะเล็กเอาเรื่อง แต่ก็ยังดีที่มันถูกจัดแยกเอาไว้อย่างเป็นสัดเป็นส่วน เจเดินเข้าไปหยิบจับอะไรต่อมิอะไรในนั้นอย่างคุ้นเคย น่าจะคุ้นเคยมากกว่าเจ้าของห้องเสียด้วยซ้ำ เพราะรายนั้นทำอาหารไม่เป็นเลยนอกจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับอะไรก็ได้ที่เมื่อยัดใส่เตาไมโครเวฟแล้วสามารถกินได้ทันที

โยนั่งดูทีวีอย่างสบายใจและคุ้นชินกับเสียงก๊อกๆแก๊กๆในครัวที่ดังออกมาเป็นระยะ เจมาค้างทีไร เป็นได้อิ่มสบายท้องทุกที เขามีหรือจะไม่ชอบ เผลอๆตัวแขกที่มาค้างด้วยบ่อยครั้งยังทำตัวเสียอย่างกับเป็นเจ้าของห้องก็ไม่ปาน คอยสั่งให้ซื้อนั่นซื้อนี่เข้ามา ขาดเหลืออะไรก็ไปหามาเติมให้ แถมยังขยันใช้เขาให้ทำโน่นทำนี่อีกต่างหาก จะไม่ทำก็ไม่ได้อีก เพราะจะโดนแขกบ่นจนหูชา บางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่านี่มันเพื่อนหรือแม่กันแน่ ใครจะไปนึกว่าชายหนุ่มหน้าตาดีบุคลิกห้าวหาญเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น จะกลายเป็นคนจู้จี้และเจ้าระเบียบขนาดนี้ แต่ข้อดีก็คือมันทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขามีระเบียบเรียบร้อยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ห้องพักก็ไม่ได้เป็นแค่ห้องพักที่เอาไว้ซุกหัวนอนแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง

โยเดินตามกลิ่นหอมเข้ามาและเห็นว่ามีข้าวผัดหน้าตาแปลกๆสองจานวางอยู่บนโต๊ะ ที่สำคัญยังอุตส่าห์มีน้ำแกงร้อนๆให้ซดได้คล่องคอวางเคียงอยู่ด้วย

“เรารักนายว่ะเพื่อน” โยหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่แกะผ้ากันเปื้อนออกอย่างคล่องแคล่วด้วยทีท่าซาบซึ้งเกินจริง ก่อนจะเดินเข้าไปเอาคางเกยไว้บนไหล่ของอีกฝ่าย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกันที่เจรู้สึกคุ้นเคยกับสัมผัสเหล่านี้จากเพื่อนตัวสูง เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือคิดจะปัดป้องอะไรด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มพับผ้ากันเปื้อนพาดเอาไว้ตรงอ่างล้างจาน ก่อนจะหันไปพร้อมกับใช้มือดุนดันหลังของอีกฝ่ายให้ไปนั่งประจำที่

“หน้าตาประหลาดแต่รับรองกินได้สบาย นายเล่นไม่ซื้ออะไรเข้ามาติดตู้เย็นไว้บ้างเลย เราเลยค้นๆเอาเท่าที่หาได้นั่นแหละมาทำ”

ถ้านอกเหนือจากการเป็นนักร้องแล้วเกิดหมอนี่นึกอยากจะเปิดร้านอาหารขึ้นมาจริงๆล่ะก็ เขานี่แหละเป็นคนแรกที่จะสนับสนุนทันที เจเป็นคนมีพรสวรรค์ในเรื่องการทำอาหารจริงๆ สมแล้วที่แม้จะอายุแค่นี้แต่ได้เป็นถึงผู้ช่วยพ่อครัว ลาภปากจึงตกอยู่ที่เขานี่เอง เพราะได้กินอาหารฝีมือของหมอนี่บ่อยกว่าใครเพื่อน

“เจ มาค้างห้องเราบอกที่บ้านไว้หรือเปล่า” โยถามหลังจากที่จัดการอาหารตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง

เด็กหนุ่มที่ใบหน้าดูสดชื่นขึ้นมากกว่าเมื่อคืนพยักหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางจะมีเรื่องที่รบกวนจิตใจอยู่ไม่น้อย

“ทะเลาะกับที่บ้านอีกแล้วเหรอ”

“ที่จริง เราไม่ต้องทำงานหนักอย่างเมื่อคืนก็ได้ แล้วก็จะกลับไปนอนบ้านเร็วหน่อยก็ยังได้” เจหยุดพูดแค่นั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา “แต่เราเหนื่อยกลับไปทะเลาะกับเขาน่ะ”

โยพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“หลังๆนี่ดูเหมือนเราจะทำอะไรขวางหูขวางตาพ่อไปหมด ตั้งแต่เรื่องเรียน เรื่องเป็นนักร้องฝึกหัด ไปจนเรื่องงานพิเศษ นี่ถ้าเขารู้ว่าเราเล่นไลฟ์ด้วยนะ คงโวยไปสามวันแปดวันเลย” เจยกมือขึ้นเสยผมที่ยาวลงมาปรกหน้าผาก “เราเหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจนี่เราไม่ไหวจริงๆ ก็เลยบอกไปว่าจะไม่กลับนะ จะค้างบ้านเพื่อนคืนนึง มาชาร์ตแบ็ตฯ” เจพูดติดตลกและเรียกรอยยิ้มจากคนฟังที่นั่งอยู่ด้วยกันออกมาได้ในที่สุด

“แล้ว... ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรนะ เรื่องแนนน่ะ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า ไม่เห็นเขาหลายวันแล้ว”

“เฮ้อ....” หนนี้เจถึงกับต้องเอามือกุมศีรษะเอาไว้อย่างอับจนหนทาง “เราโคตรเหนื่อยเลยโย เอาใจเขาไม่ถูกจริงๆ”

“เขาก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า นายมีอะไรต้องทำหลายอย่าง”

“รู้แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะต้องวิ่งไปวิ่งมาขนาดนี้ จนไม่มีเวลาให้เขาเลย ซึ่งเราก็ไม่มีเวลาให้เขาจริงๆนั่นแหละ” เจ้าตัวถอนหายใจหนักๆ “แต่เราก็พยายามแล้วนะ แค่มันอาจจะไม่พอสำหรับเขาเท่านั้นเอง”

“แล้วนี่ไม่ได้คุยกันมานานแค่ไหนแล้ว”

“เกือบอาทิตย์แน่ะ เราโทรไปเขาไม่ยอมรับสาย คงงอนน่ะ”

เด็กหนุ่มอีกคนจึงเอื้อมมือไปตบที่บ่าเพื่อนเบาๆอย่างปลอบประโลม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าแค่บอกว่า “คุยกันซะนะ” ว่าแล้วจึงลุกขึ้นหยิบจานเปล่าที่วางอยู่ทั้งตรงหน้าของเขาและของเจเดินไปวางที่อ่างล้างจาน แล้วจึงลงมือทำความสะอาดเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

*************************

เจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาชั่งใจอยู่เป็นครู่หลังจากที่แยกจากโยเพื่อออกมาขึ้นรถประจำทางกลับบ้านเสียที แนนไม่โทรกลับหาเขาเลยตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่าว่าแต่โทรกลับเลย ไม่แม้แต่จะรับสายเขาเสียด้วยซ้ำ หลายครั้งที่เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้เลยว่า หรือว่าเขาจะไม่เหมาะกับการมีใครสักคนจริงๆ เขาคงยังเด็กเกินไปที่จะรับผิดชอบความรู้สึกของใครสักคนได้ แต่เขาก็รักแนนเหลือเกิน หาไม่แล้วคงไม่หาญกล้าเข้าไปทำความรู้จักตรงๆตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแน่ๆ ใครที่ไม่รู้จักเจ มักจะคิดไปเองว่าเด็กหนุ่มเป็นคนที่ดูเหมือนไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้าง คงเพราะใบหน้าที่ไม่ค่อยยิ้มแย้มและดูเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แม้จะชวนให้ดึงดูดใจแต่ก็ดูลึกลับและเข้าถึงยากเหลือเกิน หารู้ไม่ว่า เจเป็นคนตรงไปตรงมาติดจะขวานผ่าซากอย่างยิ่ง เขาซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองอย่างที่สุด คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น และจริงใจกับคนรอบข้างเสมอ และน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนอ่อนโยนเพียงไร

เขาเองก็เคยนึกสงสัยว่าทำไมเด็กสาวที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างอย่างแนนจึงตัดสินใจคบหากับเขา ทั้งที่เมื่อเทียบกันแล้ว เขาด้อยกว่าเธอในทุกทางไม่ว่าจะเป็นเรื่องฐานะความเป็นอยู่หรือชาติตระกูล ยิ่งเขาต้องปากกัดตีนถีบด้วยตัวเองขนาดนี้แล้ว บอกตามตรง ไม่ชวนให้คิดว่ามีเสน่ห์น่าดึงดูดเลยแม้แต่น้อย ไอ้ครั้นจะบอกว่าตัวเองหน้าตาดีหรือ แม้เขาอาจจะพูดไม่ได้ว่าตัวเองขี้เหร่แต่คนอย่างแนนที่มีหนุ่มๆมาต่อคิวขอเป็นแฟนยาวเป็นหางว่าวขนาดนั้น ย่อมมีตัวเลือกมากมายที่ดีกว่าเขาอยู่แล้ว

ทั้งที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กหนุ่มที่โชคดีมากแท้ๆ แต่ตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้ว

เจยอมรับว่าในระยะหลัง ไม่เพียงแต่งานเท่านั้นที่ทำเอาเขาวิ่งจนหัวหมุนไปหมด ไหนจะเรื่องเรียน และปัญหากับที่บ้านอีกที่รุมเร้าเขาเสียจนบางทีก็ไม่รู้ว่าจะหันไปทางไหนก่อนดี และทุกครั้งที่เขาหันไปรับมือกับปัญหาก็จะนึกถึงแนนตลอดเวลา กังวลว่าเด็กสาวจะทำอะไรอยู่ จะห่วงเขา หรือจะโกรธเขาหรือไม่ จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่เขาบอกกับแนนเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ว่างานยุ่งมากจนอาจจะไม่ได้ไปเดินเที่ยวกับเธอในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แนนชักสีหน้าก่อนจะเอ่ยสั้นๆอย่างมีอารมณ์ว่า

“ว่างเมื่อไหร่ค่อยมาหาแนนก็ได้นะเจ” แล้วก็เดินหนีกลับบ้านไป

จะให้เขาทำอย่างไรแนนจึงจะเข้าใจ เขาเองก็จนปัญญา จนถึงตอนนี้เขาก็กำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางและชั่งใจอย่างหนักว่าจะโทรไปหาแนนอีกครั้งดีไหม
เจตัดสินใจกดที่แป้นมือถือในมือ ยกโทรศัพท์เครื่องบางขึ้นแนบหู

“ฮัลโหล” เจใจชื้นขึ้นเป็นกองเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสายตอบกลับมาแม้จะฟังดูห่างเหินกว่าที่เคย

“แนน ยอมรับสายเราแล้วเหรอ”

“ว่างแล้วเหรอถึงขยันโทรมาได้” น้ำเสียงนั้นยังคงมีแววขุ่นเคือง

“เราขอโทษ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อย

“เจ แนนว่าเราควรต้องคุยกันหน่อยแล้วดีไหม”

เด็กหนุ่มได้ยินแล้วทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ

“แต่แนนไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ นัดเจอกันดีกว่า”

“แล้วแต่แนนก็แล้วกัน”

“งั้นพรุ่งนี้ว่างไหม”

“ขอเป็นวันอังคารได้ไหมแนน” เขาว่าเสียงอ่อยลงกว่าเดิมอย่างรู้สึกผิดขึ้นมาอีกคำรบ และยิ่งใจไม่ดีเมื่อได้ยินปลายสายทำเสียงราวกับพยายามจะสะกดอารมณ์บางอย่างเอาไว้ “พรุ่งนี้วันจันทร์เจติดเรียนทั้งที่โรงเรียนกับที่บริษัทเลย”

“งั้นวันอังคารสี่โมงเย็น ร้านเดิมก็แล้วกัน หวังว่าจะไม่ติดอะไรอีกนะเจ” แนนว่าเสียงแข็ง “แค่นี้นะ วันนี้แนนจะออกไปกับคุณแม่”

ปลายสายตัดไปแล้ว เขาได้แต่นั่งมองหน้าจอโทรศัพท์เงียบๆ คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์นี้มันอาจจะไปไม่รอด และถ้ามันจะไปไม่รอดจริงๆเขาก็คงไม่โทษใครนอกจากตัวเอง

จะเป็นไปได้ไหมนะ ที่จะมีใครสักคนพร้อมเดินไปพร้อมกับเขาได้โดยมีความฝันอันยิ่งใหญ่แบกเอาไว้บนบ่าแบบนี้ เจได้แต่คิดกับตัวเองเงียบๆก่อนจะปิดเปลือกตาลงด้วยความอ่อนล้า

************************

เด็กหนุ่มเดินสะพายเป้ใบเก่งเข้าบ้าน พ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตัวเดิมที่เขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เจยกมือไหว้เมื่อเห็นพ่อลดหนังสือพิมพ์ลงและชำเลืองมองว่าใครเดินเข้ามา ก่อนที่จะเบือนสายตากลับไปอย่างไม่นึกสนใจอะไรอีก เจชินเสียแล้ว เขาเดินเข้าไปหลังบ้านเห็นแม่กำลังง่วนอยู่กับงานอะไรสักอย่างในมือ เมื่อวางกระเป๋าลงแล้ว จึงเดินไปนั่งข้างๆพร้อมโอบแขนไปกอดผู้เป็นแม่เอาไว้

“ทำไมโทรมอย่างนี้ล่ะลูก” แม่ว่าอย่างเอ็นดู มือข้างหนึ่งลูบศีรษะลูกชายเพียงคนเดียวอย่างห่วงใย

“งานที่ร้านหนักนิดหน่อยแม่ ช่วงนี้เลยดึก ต้นเดือนก็แบบนี้”

“เจ เหนื่อยก็พักสักหน่อยไหมลูก” นางมองหน้าลูกชายอย่างเป็นกังวล “พ่อเขาก็ห่วงนะ เห็นเขาตึงๆไปอย่างนั้นก็เถอะ”

“เจก็รู้นะแม่ แต่พอพูดเรื่องเดิมทีไรก็ไม่พ้นต้องทะเลาะกันทุกที ไม่อยากอธิบายแล้วก็เลยอยากทำให้เขาเห็นเองมากกว่า”

“ดื้อกันทั้งพ่อทั้งลูกเลยจริงๆ” นางส่ายศีรษะแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก “เย็นนี้ไม่ติดอะไรใช่ไหม แม่เตรียมทำมื้อเย็นเอาไว้หลายอย่างเลย”

“แม่จะทำแล้วเรียกเจนะ เดี๋ยวลงมาช่วย” ผู้เป็นแม่มองตามหลังลูกชายคนเล็กเพียงคนเดียวของนางเดินถือกระเป๋าขึ้นห้องไปก่อนที่จะยิ้มออกมา ลูกสาวสี่คนไม่มีใครทำอาหารเป็นเลยสักคน กลายเป็นลูกชายเสียอีกที่ชอบเข้าครัว แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือความมุ่งมั่นอันน่าตกใจนี่เอง เจเป็นอย่างไรทำไมคนที่เป็นแม่อย่างนางจะไม่รู้ วันที่ลูกชายเดินมาบอกว่าอยากจะเป็นนักร้องอย่างจริงจัง แม้ในตอนนั้นเจจะอายุแค่สิบสี่ แต่แค่เห็นแววตาอันมุ่งมั่นคู่นั้น นางก็รู้แล้วว่าเจเอาจริงแน่นอน เด็กคนนี้ลองได้พูดอะไรออกมาแล้ว แสดงว่าเจ้าตัวต้องตัดสินใจมาแล้วอย่างเด็ดขาด และไม่มีอะไรในโลกจะมาเปลี่ยนแปลงได้แน่ๆ ในใจนางแม้จะนึกค้าน เพราะมันหมายถึงอนาคตที่ไม่แน่นอนของลูกชาย ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะเรื่องอนาคตภายภาคหน้า แล้วถ้าลูกผิดหวัง ถ้าไปไม่ถึงฝัน ลูกจะเสียใจเพียงไร นางจึงทั้งห่วงทั้งกังวลไปสารพัด ยิ่งผู้เป็นพ่อยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะผิดหวังกับการตัดสินใจของลูกชายมากแค่ไหน นิสัยที่ดื้อทั้งพ่อทั้งลูกนี่ไงเล่า ถึงได้มึนตึงกันตลอดสองปีมานี้

แต่ก็เป็นสองปีที่นางได้เห็นว่าลูกชายของนางมีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามเพียงไร จะมีเด็กในวัยนี้สักกี่คนที่เมื่อตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่างแล้วลงมือทำจริงๆ ไม่ว่าจะหนักหนายากเย็นและมีอุปสรรคมากแค่ไหน เจก็ไม่เคยยอมแพ้ นางจึงยอมใจอ่อนให้ลูกชายลงมากในระยะหลัง ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่อยากให้บรรยากาศภายในบ้านตึงเครียดไปกว่านี้ แต่ก็นั่นแหละ ครั้นจะให้ยอมรับการตัดสินใจของลูกชายไปเสียทั้งหมด นางก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี อย่างมากก็ได้แต่เตือนด้วยความเป็นห่วง หรือไม่ก็เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงไปเสียเลย

***************************

“มาทานข้าวได้แล้ว” เสียงของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งแม่และแม่บ้านของครอบครัวตะโกนเรียกสมาชิกทุกคนให้ลงมารับประทานมื้อเย็นกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งเป็นเรื่องที่นานๆครั้งจะเกิดขึ้นสักที

ลูกสาวทั้งสี่คนทยอยเดินเข้ามาในห้องครัว พร้อมกับทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นน้องชายคนเล็กที่กำลังวุ่นอยู่กับอาหารหน้าเตา

“อ้าว เจ กลับมาไม่เห็นให้สุ้มให้เสียงมั่งล่ะ” จูนพี่สาวคนโตที่อายุมากกว่าน้องชายคนเล็กอยู่หลายปีเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

“พี่จูนอยู่บ้านด้วยเหรอ ปกติน่ะ” น้องชายหันมาถามอย่างยียวน ทำเอาพี่สาวอดรนทนไม่ได้ เดินไปเคาะศีรษะน้องชายเบาๆอย่างนึกเอ็นดู

“อุ๊ย เจ อันนี้ตัวทำหรือเปล่า” จ๋ากับจีนพี่สาวฝาแฝดที่อายุห่างจากเขาสองปีว่าขึ้นอย่างตื่นเต้นหลังจากที่ก้มๆเงยๆอยู่บนโต๊ะอาหาร เมื่อน้องชายหันมาพยักหน้า สองสาวก็กรี๊ดกร๊าดออกมาด้วยความยินดี เพราะชอบนักล่ะอาหารฝีมือน้องชายเพียงคนเดียวคนนี้ สักพักแจนพี่สาวคนรองก็เดินตามผู้เป็นพ่อเข้ามา เรียกว่าครบองค์ประชุมทีเดียว

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปสบายๆ แม้จะเห็นได้ชัดว่าผู้เป็นพ่อเงียบกว่าปกติเมื่อลูกชายมานั่งร่วมโต๊ะด้วย ซึ่งก็น่าจะถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่เพราะมีลูกสาวทั้งสี่คนนั่งอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ โต๊ะอาหารในวันนี้จึงครึกครื้นขึ้นอย่างมาก

“เจ ตัวต้องเอ็นท์ฯแล้วนี่ คิดเอาไว้แล้วหรือยังว่าจะเอายังไง” บทสนทนาอันหลากหลายๆที่จู่ๆก็ลากเข้าเรื่องการศึกษาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดลงอย่างรู้สึกได้

“ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย พอดีตอนนี้มันมีอะไรต้องทำล้นมือไปหมดน่ะ” เจตอบไปตามตรง ที่จริงนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างที่สุด

“บอกไว้ก่อนนะว่า ถ้ายังไปเรียนร้องเรียนเต้นบ้าๆบอๆอะไรของแกนั่นอยู่ล่ะก็ พ่อจะไม่ส่งเสียให้แกเรียนอีกแล้ว ถ้าแน่พอที่จะทำงานหาเงินเองได้ล่ะก็ ทำให้ได้ไปตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นโดยไม่ยอมมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวแม้แต่น้อย

เจก้มหน้ากัดริมฝีปากอย่างไม่อาจจะพูดต่อล้อต่อเถียงอะไรได้ เขาได้ยินแต่เสียงแม่พูดปรามพ่อขึ้นเบาๆ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยิ่งอึมครึมลงไปอีก นึกเจ็บใจที่ความเป็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของตัวเองทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ความเครียดอันหนักอึ้งที่เข้าครอบคลุมจิตใจมาตลอดทั้งวันกดดันจนทำให้เขาไม่อาจจะทำอะไรให้ดีไปกว่าการวางช้อนส้อมลง เลื่อนจานออกไป แล้วก็ลุกขึ้นเอ่ยเบาๆ

“เจอิ่มแล้วครับ”

ทุกคนบนโต๊ะได้แต่มองตามหลังลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

“ไม่ต้องไปสนใจมัน จองหองนัก ก็ปล่อยมันไป”

“จริงๆนะ พ่อเนี่ย” พี่สาวคนโตว่าขึ้นอย่างเหลืออด

“อะไร” ผู้เป็นพ่อว่าเสียงแข็ง “พ่อทำผิดอะไรอีก พวกแกถึงได้อยากจะเข้าข้างมันนัก”

“พ่อไม่ผิดหรอกที่ห่วงเจมัน แต่เจมันก็ไม่ผิดเหมือนกัน พ่อจะไปอะไรกับมันนักหนา” จูนว่า

“ก็ถ้ามันจะฟังที่พ่อแม่มันพูดหน่อย ห่วงอนาคตของตัวเองหน่อย ไม่ใช่เอาแต่ฝันลมๆแล้งๆแบบนี้ แล้วดูซิ มันเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆ เพื่ออะไร เขาหลอกให้มันไปเสียเงินฟรีๆน่ะสิ เป็นนักร้อง... ถ้ามันเป็นได้ง่ายๆ เขาคงไปเป็นกันหมดแล้ว”

“ก็เพราะมันไม่ง่ายนี่ไงพ่อ ถึงต้องให้เวลาน้องมันบ้าง” เสียงลูกสาวอีกคนว่าขึ้นบ้าง

“แล้วดูซิ เออ ถ้าเจมันเป็นเด็กเลวเกวนะ หนูจะไม่เถียงพ่อซักคำเลย นี่มันตั้งใจทำทุกอย่างด้วยตัวเองคนเดียว อย่างน้อยพ่อก็น่าจะเข้าใจมันบ้าง”

“หรือไม่ ถ้าไม่ชื่นชมมันก็ไม่ต้องไปกดดันมัน เจมันแค่สิบเจ็ดเองนะพ่อ”

“เออ พ่อมันไม่ดี เลี้ยงลูกไม่เอาไหน ไม่ได้ดั่งใจซักคน พอใจพวกแกแล้วใช่ไหม” ประมุขของบ้านมีอารมณ์ขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมใจกันเข้าข้างไอ้ลูกชายคนเล็กที่ขัดใจเขาไปเสียทุกอย่าง ก่อนที่จะวางช้อนส้อมทิ้งอย่างไม่ไยดีแล้วผละจากโต๊ะอาหารไปอีกคน ทำเอาสาวๆที่เหลืออยู่หันไปมองหน้ากันเองอย่างหนักใจ นี่ขนาดยังไม่รู้นะเนี่ยว่า ทั้งสี่สาวแอบเอาเงินให้น้องชายคนเล็กใช้อยู่บ่อยๆ ถ้ารู้ เห็นทีบ้านจะแตกก็คราวนี้

“พ่อใครวะเนี่ย ทำไมดื้อขนาดนี้” แจน พี่สาวคนรองที่นิสัยติดจะห้าวหาญค่อนไปทางผู้ชายว่าขึ้นอย่างระอา

“พ่อเจมันไง หัวแข็งทั้งพ่อทั้งลูก”

“พ่อเขาห่วงเจน่ะลูก อย่าไปว่าพ่อแบบนั้น”

“จ๋าก็รู้นะแม่ว่าพ่อเขาห่วง แต่ทำแบบนี้ มีแต่ไปกดดันเจมันเปล่าๆ”

“เอาจริงๆนะแม่” จีนว่าขึ้นบ้าง “ทีแรกพวกหนูก็ไม่สนับสนุนเจมันหรอก เพราะนึกว่ามันจะเล่นๆ แต่นี่ดูเอาเถอะ เคยเห็นมันขี้เกียจไหม เคยเห็นว่ามันโดดเรียนไหม ก็เปล่า สำหรับเด็กอายุแค่สิบเจ็ด แล้วทำได้ขนาดนี้ หนูว่าน่าภูมิใจมากกว่า”

“อย่างน้อยเจมันก็รู้ว่ามันชอบและอยากทำอะไร ตอนเราอายุเท่านั้น เรายังไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไร”

เจอลูกสาวกล่อมถึงขนาดนี้ ผู้เป็นแม่ถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่มองไปทางประตูแล้วก็ส่ายหน้าอย่างหนักใจ

“ไม่เอาแล้ว กินข้าวเหอะ ใครจะอิ่มก็ปล่อยให้เขาอิ่มไป” จูนตัดบทขึ้นมาอย่างไม่คิดจะต่อความยาวใดๆอีก นึกเคืองอยู่เหมือนกันที่บรรยากาศดีๆบนโต๊ะอาหารถูกทำลายไปเสียหมดเพราะหัวข้อทางการศึกษาแท้ๆ

***********************
หัวข้อ: Re: Beats of Life: บทที่ 2 (มาต่อให้เร็วนิดนึง ก่อนลาไปต่างจังหวัดสัก 2-3 วันนะคะ)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 16-11-2009 22:36:19
เด็กหนุ่มเดินไปนั่งซึมที่เก้าอี้ รู้สึกหดหู่เหลือเกิน ยิ่งเมื่อคำนวณดูเงินในแต่ละเดือนที่เป็นรายรับและนำมาเปรียบกับรายจ่ายแล้ว เจ้าตัวถึงกับเอาศีรษะโขกลงบนโต๊ะเบาๆ หนทางมันช่างตีบตันเสียจริง ที่จริง ไม่ต้องรอให้พ่อพูดขึ้นมากลางวงข้าวแบบนั้น เขาก็พอจะรู้อยู่แล้วว่า พ่อคงไม่ยอมให้เขามากกว่านี้แน่นอน ที่ผ่านมานี่ก็นับว่าเป็นความปราณีของพ่อแล้ว เพียงแต่อดรู้สึกไม่ได้จริงๆว่า ทำไมปัญหานี่มันชอบเกิดขึ้นพร้อมๆกันนัก

เขาอยากเรียนต่อ แน่ล่ะ การร้องเพลงสำคัญกับเขาเท่าชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้ว่าการเรียนก็เป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ อย่างน้อยๆมันก็อาจจะทำให้พ่อกับแม่สบายใจขึ้นบ้าง แต่ถ้าพ่อตัดหนทางเขาแบบนี้ ก็แปลว่าต้องเลือกแล้วสินะ ให้ตายเถอะ เขาไม่อยากเลือกเลย แต่คนเรามันไม่ได้ทุกอย่างในชีวิตหรอก
เอาเถอะ ค่อยๆแก้ปัญหาไปทีละอย่างก็แล้วกัน

เรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาสบายใจ และพอจะทำให้ลืมปัญหาไปได้บ้างก็เห็นจะเป็นการฝึกร้องและเต้นที่ต้องทำอย่างเสมอเกือบทุกวันนั่นเอง วันพรุ่งนี้ หลังเลิกเรียน เขาต้องรีบไปเข้าคลาสทันที กว่าจะเลิกก็กินเวลาไปถึงสองสามทุ่ม โชคดีที่ไม่ต้องไปทำงานวันจันทร์ ส่วนวันอังคาร เลิกเรียนเร็ว ก่อนเข้าคลาสเขาจึงยังพอมีเวลาไปเจอแนนตามนัดได้ แต่หลังคลาสก็ยังมีงานพิเศษรออยู่ ไม่ทำก็ไม่ได้เสียด้วย เด็กหนุ่มเปิดดูสมุดจดตารางเวลาของตัวเองแล้วหน้านิ่วอย่างไม่รู้ตัว เด็กอายุสิบเจ็ดอะไรตารางชีวิตจะแน่นขนาดนี้วะเนี่ย เขารำพึงกับตัวเอง และก่อนที่จะปล่อยความคิดของตัวเองให้เตลิดไปไกล เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจนอนแผ่ลงบนเตียง คว้าหูฟังขึ้นได้ก็เสียบเข้าหูทั้งสองข้าง ก่อนจะเปิดเพลงที่นัทส่งมาให้โดยมีโยคอยช่วยดึงไฟล์ลงใส่เครื่องเล่นเอ็มพีสามสมบัติล้ำค่าอีกชิ้นที่ขาดไม่ได้ของเจ้าตัว พร้อมกับหลับตาปล่อยใจไปกับเสียงเพลง โดยพยายามจะไม่เก็บเรื่องอะไรมาคิดให้หนักหัวอีก

*********************

เขามาถึงก่อนเวลาสิบห้านาที โชคดีที่สถานที่นัดกับบริษัทอยู่ไม่ไกลกันมากนัก แถมยังมีรถไฟฟ้าอีกต่างหาก จึงคลายใจว่าอย่างไรก็เข้าคลาสทันแน่นอน

แม้จะมีปัญหาให้ขบคิดมากมาย แต่อย่างน้อยการที่เขาทำได้ดีทั้งในคลาสร้องเพลงและคลาสเต้น ก็ช่วยทำให้เขามีกำลังใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้ต่อไป กับคนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่าจะมุ่งมั่นกับความฝันอันนี้ได้มากเท่ากับเขาหรือไม่ แต่สำหรับเขาแล้วมันคือสิ่งที่ทำให้เขายังมีพลังที่จะทำอะไรอื่นต่อไปได้ ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงมั่นใจนักว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ผิด แม้บางครั้งจะท้อใจไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะนึกยอมแพ้

เจได้เห็นว่าเด็กหลายคนที่เข้ามาเรียนกับเขาตั้งแต่คลาสแรก บ้างก็หายหน้าไปเลยเมื่อเวลาผ่านไป บางคนก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง บางคนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งอกตั้งใจมากนัก แม้ทุกคนที่เข้ามาเรียนจะผ่านการออดิชั่นมาเหมือนๆกัน แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ความมุ่งมั่นตั้งใจของแต่ละคนมากกว่าอย่างอื่น จากเด็กที่ผ่านการออดิชั่นมาหลายสิบคน ตอนนี้น่าจะเหลือที่ตั้งใจจริงอยู่ไม่ถึงครึ่ง เขาเชื่อว่าตัวเองอยู่ในครึ่งที่ยังคงมุ่งมั่นกับความฝันนั้น และเชื่อว่าสักวันความมุ่งมั่นของเขาจะสัมฤทธิ์ผลในวันหนึ่ง

“มานานแล้วเหรอ” แนนเดินเข้ามาเมื่อไหร่ เขายังไม่ทันสังเกตเสียด้วยซ้ำ

“แนน” เจเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงเบาแต่ก็เต็มไปด้วยความยินดีไม่ปิดบัง

สาวน้อยหน้าตาน่ารักเป็นเจ้าของรูปร่างแบบบางที่ถูกซ่อนเอาไว้ในชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียนชื่อดังที่ใครเห็นเป็นต้องรู้จัก ผมสีดำขลับถูกรวบเอาไว้อย่างเรียบร้อย เพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา ใบหน้าขาวใสนั้นจึงมีเพียงแป้งฝุ่นทาอยู่บางๆ ริมฝีปากเคลือบด้วยลิปกลอสเป็นประกายเล็กน้อย ดูไม่มากเกินไป เพราะถึงอย่างไรเด็กสาวก็เป็นเพียงแค่นักเรียนมัธยม เจบอกกับตัวเองว่า เขาชอบแนนแบบนี้มากกว่าแนนที่แต่งตัวโฉบเฉี่ยวจนเป็นเป้าสายตาของหนุ่มๆเสียอีก แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะไปบังคับฝืนใจคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนได้ เจ ที่ขึ้นชื่อเรื่องรักและตามใจแฟนอยู่แล้ว จึงไม่เคยพูดอะไรที่จะเป็นการขัดใจหรือหักหาญน้ำใจแนนเลย

“เจ ยุ่งมากเลยเหรอพักนี้” แนนถามอย่างไม่อ้อมค้อม

เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่มีข้อแก้ตัวอะไรอีก

“นอกจากเรื่องเรียนแล้วก็งาน ตอนนี้มันมีอะไรให้ต้องเป็นกังวลมากมายจริงๆ” เขาสารภาพ “ขอโทษนะที่เราทำเหมือนไม่ใส่ใจแนน แต่เราก็คิดถึงแนนตลอดนะ”

“แนนรู้ แต่มาคิดดูแล้ว...” เด็กสาวเงียบไปพักใหญ่ราวกับกำลังตัดสินใจว่าจะพูดต่อไปดีไหม เธอผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “ถ้าเป็นแฟนกันแล้วไม่มีเวลาให้กันแบบนี้ เราจะคบกันไปทำไม” เด็กสาวมองหน้าแฟนหนุ่มของตัวเองที่เงียบกริบ ใบหน้าที่จะว่าหล่อหรือหวานเธอเองก็บอกไม่ถูก ซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการฟูมฟายอันใดออกมาราวกับจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว “ไม่ใช่ว่าแนนจะไม่เข้าใจนะว่าเจมีภาระเยอะ แต่จะให้แนนรอเจตลอดเวลา แนนคงทำไม่ได้”

“เรารักแนนนะ” เจว่าอย่างไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านั้น ทั้งที่เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ความรู้สึกในเวลาที่ได้ยินออกมากจากปากตรงๆแบบนี้ มันหนักหนากว่าที่คิดเอาไว้มาก “จะต้องให้เราทำยังไง แนนถึงจะยอมคบกับเราต่อ” เขาพูดอย่างสิ้นหวัง

“เจทำให้แนนไม่ได้หรอก เจยอมทิ้งบริษัท แล้วก็ทิ้งงานพิเศษ กลับไปเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาทั่วไปได้ไหมล่ะ” เจอคำถามนี้เข้าไป เด็กหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบ คำตอบนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเด็กสาวก็รู้อยู่แล้ว “แนนอาจจะเห็นแก่ตัวนะถ้าจะบอกว่า แนนรอเจต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่ได้หรอก แนนยังเด็ก ยังอยากใช้ชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป”

เจได้แต่นิ่งเงียบ

“โลกของเรามันต่างกันมากเกินไปจริงๆ” แนนยังว่าต่อ “แต่เจเป็นคนดีนะ แล้วก็น่ารักด้วย แนนเชื่อว่าเจต้องได้เจอคนที่ดีกว่าแนนแน่ๆ”

“ดีแต่ก็ยังดีไม่พอ น่ารักแต่ก็ยังไม่พอ อีกอย่าง เราไม่ได้อยากเจอใครที่ดีกว่าใคร แค่อยากอยู่กับคนที่เรารักเท่านั้นเอง” เจว่าเศร้าๆ “แต่ในเมื่อแนนพูดแบบนี้ เราก็เข้าใจนะ”

เด็กสาวเอื้อมมือมาจับกับมือเขาพร้อมกระชับเอาไว้เบาๆ โดยที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอีกดี ก่อนจะปล่อยออก

“ขอโทษนะ ที่เป็นแฟนที่ดีไม่พอสำหรับแนน” เจได้แต่ก้มหน้า เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเด็กสาว ความรู้สึกวูบไหวคล้ายจะหมดแรงบังเกิดขึ้น รู้สึกหมือนใบหน้าร้อนผ่าว โดยเฉพาะดวงตาที่เริ่มจะมองอะไรไม่ชัดเพราะพร่ามัวไปหมด แม้จะก้มหน้าแต่ก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น แนนเลื่อนเก้าอี้ออก ลุกขึ้น และเดินจากไป เจกระพริบตาถี่ราวกับพยายามอย่างหนักที่จะกล้ำกลืนน้ำตาแห่งความเสียใจเข้าไป เขามองออกไปนอกร้าน ร่างของเด็กสาวที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเขาเดินจากไปพร้อมกับร่างของใครอีกคนที่เดินเคียงข้างกันไป น่าจะเป็นคนที่เหมาะกับโลกของแนนมากกว่าเขา

เจลุกขึ้น แล้วก็ทรุดตัวนั่งลงไปเหมือนเดิม เข่าอ่อน มือไม้สั่นไปหมด ร่างกายเหมือนกับไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย เขายกข้อมือขึ้นดูเวลา

ยังไงก็ต้องไปเรียน ตอนนี้มันคือสิ่งเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเขา

********************

เด็กหนุ่มหันไปมองเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของมืออุ่นๆที่วางอยู่บนบ่าของเขา

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มๆนั้นถามออกมาด้วยความเป็นห่วงไม่ปิดบัง

เจทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะส่งยิ้มเนือยๆออกไป

“เราเคยปิดอะไรนายได้บ้างไหมเนี่ย”

“นายดูออกง่ายจะตาย”

เจยกข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วถึงกับถอนใจออกมา

“เราอยากคุยกับนายมากเลยโย แต่ตอนนี้ต้องรีบไปที่ร้านแล้ว เอาไว้คุยกันได้ไหม”

โยยิ้มให้พลางส่ายหน้า

“นายหัดห่วงตัวเองบ้างก็จะดีนะเจ อย่าทำอะไรเกินตัวนัก เราไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาย แต่วันนี้นายเหม่อแล้วก็ไม่มีสมาธิเลย เราก็เลยคิดว่าไม่สบายหรือเปล่า”

“ยังสบายดีน่า” เจว่ายิ้มๆ ในใจอดคิดไม่ได้ว่า นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีอยู่บ้าง นั่นก็คือเพื่อนอย่างโยที่คอยอยู่ข้างๆเขาเสมอ
“งั้นก็แล้วไป เสร็จจากงานแล้วถ้ายังไม่เหนื่อย อย่าลืมโทรมาเล่าล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ขอบใจมาก” ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง โยจับมือตอบกระชับเอาไว้อย่างหนักแน่นเหมือนอย่างที่เด็กผู้ชายชอบทำกัน
“ดูแลตัวเองล่ะ”
เจพยักหน้าก่อนที่จะรีบเร่งเดินออกไป ปล่อยให้อีกคนได้แต่มองตามอย่างนึกเป็นห่วง

***********************

เที่ยงคืน

งานที่ร้านหนักติดต่อกันมาหลายวัน ตราบใดที่ยังเป็นช่วงสัปดาห์แรกของต้นเดือน เขาก็คงต้องยุ่งอย่างนี้ต่อไปอีกสักพักกว่าจะซาลงบ้าง ยังดีที่ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้นคงได้ถอดใจกันไปข้างหนึ่ง ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติอย่างนี้ด้วยแล้ว

เจเดินเปิดประตูเข้าบ้าน พยายามส่งเสียงรบกวนให้น้อยที่สุด แล้วก็ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเปิดไฟแล้วเห็นร่างหนึ่งนั่งเงียบๆอยู่ตรงเก้าอี้โซฟา

“พ่อ!” เจร้องออกมา ก่อนจะยั้งเอาไว้ได้ทัน เมื่อเห็นว่าร่างคุ้นตานั้นคือพ่อของเขานั่นเอง เด็กหนุ่มระบายลมหายใจเหมือนพยายามตั้งสติ ก่อนจะนึกเอะใจว่าดึกดื่นป่านนี้ทำไมพ่อจึงยังไม่ยอมเข้านอนเหมือนอย่างปกติปกติ “มีอะไรหรือเปล่าฮะ ถึงยังไม่นอน”

“พ่อมีเรื่องอยากคุยกับเราหน่อย” เสียงนั้นฟังดูเป็นการเป็นงาน เจได้แต่คิดในใจว่า เออนี่หนอ วันนี้มันเป็นวันอะไรของมัน ถึงได้มีเรื่องให้เขาหายใจหายคอผิดจังหวะได้ทั้งวัน

เด็กหนุ่มเดินถือกระเป๋าไปนั่งแปะอยู่ตรงเก้าอี้อีกตัว เตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน

“ครับพ่อ”

“นี่พ่อจะมีเวลาได้เห็นแกกลับบ้านตามปกติเหมือนอย่างลูกคนอื่นเขาไหมนี่” ผู้พ่อบ่นมากกว่าหวังจะเอาคำตอบที่จริงจังอะไรจากปากลูกชาย “พ่อถามหน่อยซิ ทำยังไงถึงจะให้เราเลิกล้มความคิดที่อยากเป็นนักร้องอะไรนั่นได้”

เด็กหนุ่มก้มหน้าเงียบ ในสมองของเขาว่างเปล่าไปหมด พ่อคาดหวังจะได้คำตอบแบบไหนจากเขากันล่ะ

“ว่ายังไง ถามจริงๆ เรายังคิดอยากเรียนต่อมหาวิทยาลัยไหม”

เจพยักหน้า

“พ่อจะส่งเสียให้เราเรียนต่อ แต่ก็อย่างที่บอก เราต้องเลิกทำอะไรแบบนี้เสียที”

“พ่อหมายความว่ายังไงฮะ” เจเอียงคอถามอย่างไม่สู้จะชอบใจในน้ำเสียงของพ่อนัก

“ก็หมายความว่าถ้าเราคิดจะเรียนต่อ ก็ต้องหยุดร้องเล่นเต้นระบำพวกนี้เสียที สองปีแล้ว พ่อไม่เห็นว่าจะมีอะไรคืบหน้าเลย เราจะมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ได้แล้ว”

“พ่อ เจอยากเรียนแล้วก็ไม่อยากทิ้งความฝันของตัวเองด้วย เจทำมาสองปี ไม่เคยรบกวนพ่อกับแม่เลย แล้วมีเหตุผลอะไรที่เจต้องเลิกทำ อยู่ๆพ่อก็เอาเรื่องเรียนมาต่อรองกับเจ เจไปทำความผิดอะไรมาหรือก็เปล่า ทำไมพ่อถึงต้องกดดันเจด้วย” เจพูดยาวจนแทบไม่ได้หายใจด้วยความอัดอั้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พี่พ่อมึนตึงกับเขา

“แกหยุดเลยนะเจ” เมื่อไหร่ที่พ่อเปลี่ยนสรรพนามเรียกเขาแบบนี้ ก็แปลว่าพ่อกำลังหัวเสียอย่างหนัก แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มหัวเสียขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน ความรู้สึกกดดัน ความเคร่งเครียด ความเสียใจ ความอึดอัดใจจู่ๆก็เหมือนกับพร้อมกันถาโถมประเดประดังเข้ามาชนิดที่เขาเองก็ตั้งตัวไม่ติด

“ทำไมพ่อต้องบีบให้เจต้องเลือก พ่อไม่ชอบพ่อก็ไม่ต้องมองก็ได้ แต่ปล่อยให้เจทำอะไรของเจไป ไม่ได้เหรอพ่อ”

“เพราะพ่อทนเห็นแกเอาเวลาไปทุ่มเทกับเรื่องไร้สาระไม่ไหวแล้วน่ะสิ!”

“แล้วจะให้เจทำยังไงถึงจะมีสาระในสายตาพ่อ” เขาย้อนทันที “เจตั้งใจเรียน ไม่สร้างปัญหา ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร พยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นลูกที่ดี แล้วพอวันนึง เจอยากทำในสิ่งที่ชอบ พ่อกลับบอกว่าไม่ให้ทำ มันไร้สาระ สุดท้ายก็มาบีบเจแบบนี้” เขากล้ำกลืนคำพูดลงไป ก่อนจะบอกออกไปอย่างที่ใจคิดว่า “พ่อกับแม่คาดหวังสิ่งดีๆจากเจได้ แต่จะมาขีดเส้นให้เดินอย่างที่ต้องการไม่ได้หรอกนะ”

“ทำไมจะไม่ได้ พ่อเป็นพ่อ เลี้ยงแกมา เรื่องแค่นี้พ่อทำได้อยู่แล้ว” เสียงของผู้เป็นพ่อดังลั่นเสียจน แม่กับเหล่าพี่สาวของเขาตกอกตกใจจนต้องเดินลงมาดูสถานการณ์อันร้องแรงระหว่างพ่อและลูกชายเพียงคนเดียวของบ้าน

“พ่ออย่าให้เจเลือกเลย เจเลือกไม่ได้หรอก” เจว่าด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับใกล้จะหมดเรี่ยวแรงเต็มที

“ถ้าแกไม่เลือก พ่อจะเลือกให้แกเอง ถ้าแกไม่หยุดความคิดอยากเป็นนักร้องลมๆแล้งๆนั่น แกก็อย่าหวังว่าฉันจะส่งเสียแกเรียนต่อเลย!”

“พ่อ!” เสียงบรรดาลูกสาวที่ยืนฟังอยู่เป็นนาน ดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

เด็กหนุ่มหูอื้อตาลายและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาอีก เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมา มองไปที่ผู้เป็นพ่ออย่างนึกน้อยอกน้อยใจ แต่ก็กล้ำกลืนน้ำตาที่พร้อมจะไหลออกมาทุกเมื่อเข้าไปจนหมด เดินขึ้นห้องไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

“ทำไมพ่อทำแบบนี้คะ” หนึ่งในลูกสาวคนหนึ่งพูดออกมาอย่างนึกตำหนิผู้เป็นบิดา

“ถ้าไม่ทำอย่างนี้มันก็จะไม่ยอมตื่นขึ้นมามองดูโลกแห่งความเป็นจริงเสียที”

“พ่อนี่นะ...” เสียงใครคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเหลืออด “มีลูกที่ดีอยู่กับตัวแท้ๆ แค่มันไม่ได้ดั่งใจก็ไปหักหาญน้ำใจมัน มันทนไม่ได้ขึ้นมาอย่าหาว่าไม่เตือนนะพ่อ” ว่าแล้วก็มีเสียงเดินตึงๆเดินกลับเข้าห้องไป

“เจมันไม่ได้ฝันลมๆแล้งๆสักหน่อยนะพ่อ แต่มันน่ะเอาจริงเลยล่ะ พ่อน่าจะเชื่อมันบ้าง” ลูกสาวอีกคนส่ายหน้าก่อนจะเดินหายกันไปหมด เหลือแต่ผู้เป็นแม่เท่านั้นที่ยืนมองไปทางซ้ายทีทางขวาทีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี สุดท้ายนางก็ทำได้แค่มองมาทางสามี ก่อนจะเดินมาตบบ่าตบหลังเขา ต่างคนต่างไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

_______________________________

บทที่ 3 ยาวเอาเรื่องทีเดียว เมื่อเทียบกับสองตอนแรก แต่ก็น่าจะเป็นตอนที่ทำให้รู้จักเจมากขึ้นกว่าเดิมนะคะ

ขอให้สนุกกับการอ่านเช่นเคยค่ะ
หัวข้อ: Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 17-11-2009 08:02:11
สงสารเจนะ แฟนก็บอกเลิก พ่อก็ไม่สนับสนุน :m15:
หัวข้อ: Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 17-11-2009 11:32:01
เย้มาต่อแล้ว ชอบมากๆๆเลยคะ แต่น้องเจเราอกหักเสียแล้วอ่าๆๆ

มาต่อไวๆๆนะคะ ขอบคุณคะ
หัวข้อ: Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 17-11-2009 11:38:37

 :pig4: ค่ะ

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ

หัวข้อ: Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 17-11-2009 11:39:10
น้ำตาซึมเลยอ่ะ
สงสารน้องเจจังเลย

ต้องให้โยดูแลให้มากกว่านี้นะคะ
หัวข้อ: #*#*#* Beats of Life: บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 20-11-2009 21:16:07
บทที่ 4

เสียงโทรศัพท์ที่แผดดังขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มที่นอนขดอยู่ในผ้าห่มต้องลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างมึนงง นึกสงสัยทั้งที่ยังงัวเงียว่าใครกันโทรมาดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้ เมื่อหันไปมองนาฬิกาที่วางอยู่ข้างๆหัวเตียงจึงได้รู้ว่าเป็นเวลาตีสองของวันใหม่ แม้จะง่วงเหลือทนแต่ก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ยังคงส่งเสียงดังไม่หยุด

“ฮัลโหล” น้ำเสียงนั้นฟังอย่างไรก็เพิ่งตื่นนอนชัดๆ ทำเอาปลายสายนิ่งเงียบไปด้วยรู้สึกผิด

“โย”
   
“เจ” ทันทีที่จำได้ว่าเสียงนั้นเป็นใคร เขาก็หันไปมองนาฬิกาเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมโทรมาดึกขนาดนี้” น้ำเสียงนั้นแสดงความห่วงใยไม่ปิดบัง เพราะนับว่าเป็นเรื่องที่ผิดวิสัยจริงๆที่เพื่อนของเขาจะโทรมาเอาป่านนี้

“ช่วยมารับเราหน่อยได้ไหม”

“มีอะไรหรือเปล่า” คนถามนิ่วหน้าอย่างไม่สู้จะเข้าใจอะไรนัก

“เราหนีออกจากบ้าน”

“เฮ้ย เดี๋ยวๆ...” ตอนนี้เรียกได้ว่าโยงงไปเลยชนิดสมบูรณ์แบบ เขาเอามือตบหน้าผากอย่างอึ้งๆ “เจ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”

“ข้างล่างนี่แหละ”

“งั้นเดี๋ยวเราลงไป” เขาวางสายทันทีโดยไม่รอฟังอะไรต่ออีก

เด็กหนุ่มร่างสูงวิ่งลงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจจะรอลิฟต์หรืออะไรทั้งสิ้น ทันทีที่ลงไปถึง โยก็เห็นด้านหลังของร่างที่แสนคุ้นเคยนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ในส่วนที่ไม่อาจจะเรียกได้เต็มปากนักว่าเป็นล็อบบี้รับแขก เจที่ปกติจะร่าเริงเต็มไปด้วยพลัง แต่เมื่อได้เห็นแผ่นหลังที่นั่งอยู่ในตอนนี้ เขานึกใจหาย ทำไมมันช่างดูห่อเหี่ยวและเล็กลงไปถนัดตา

เจไปเจอกับอะไรมา เขานึกสงสัย

“เจ” โยเรียกชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ก็เจือแววห่วงใยเหมือนทุกครั้ง ร่างนั้นสะดุ้งน้อยๆก่อนจะยกศีรษะขึ้นแล้วหันมามองเขา นัยน์ตาที่เคยเป็นประกายในตอนนี้มันดูอ่อนล้าและแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัดจนไม่แน่ใจว่าเกิดจากการพักผ่อนน้อยหรือผ่านการร้องไห้มากันแน่ เจยิ้มบางๆให้โย ก่อนจะหันกลับไปก้มหน้าก้มตาเหมือนเดิม

โยไม่เอ่ยอะไรออกไป เขาเดินตรงไปยังร่างนั้นช้าๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างกัน

“ขอโทษที่มากวนตอนดึกแบบนี้นะ”

“ขึ้นไปข้างบนเถอะ” โยพูดขึ้นก่อนจะยื่นมือไปคว้ากระเป๋าขนาดย่อมใบหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆตัวเจ เขาลุกขึ้นยืน มืออีกข้างยื่นออกมา เจเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะส่งมือข้างหนึ่งของตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายจับ โยกระชับมือข้างนั้นเอาไว้ก่อนจะฉุดให้เจลุกขึ้นตามอย่างว่าง่าย แขกยามวิกาลไม่ลืมที่จะถือเป้คู่ใจเดินตามไปด้วยแต่โดยดี

ทันทีที่เดินมาถึงห้อง โยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองวิ่งออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ล็อกห้องหรือเปิดไฟด้วยซ้ำ ปกติเขาไม่ใช่คนสะเพร่าขนาดนี้ แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับตัวเอง ก่อนจะเดินถือกระเป๋าจูงมือเด็กหนุ่มอีกคนเดินเข้าไปในห้อง กระเป๋าสองใบถูกนำไปวางไว้อย่างเป็นที่เป็นทาง โยเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าสำหรับเจให้ผลัดเปลี่ยน ก่อนจะนำมายื่นให้

“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยกัน” เขาบอกอย่างอ่อนโยน เจยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะรับเสื้อผ้าจากมือโยและเดินหายเข้าห้องน้ำไป

********************

เจเดินออกมาจากห้องน้ำ รู้สึกสดชื่นขึ้นเป็นกอง เขาแขวนผ้าเช็ดตัวพร้อมกับพับเสื้อผ้าที่ใช้แล้ววางเอาไว้อย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินออกมาพบว่าโยกำลังนั่งดูโทรทัศน์รอเขาอยู่ บนโต๊ะมีนมอยู่แก้วหนึ่ง ร่างนั้นหันมามองเขาทันที แล้วจึงพยักเพยิดให้นั่งลงด้วยกัน

เด็กหนุ่มที่เวลาอยู่กับเพื่อนคนนี้แล้วมักจะรู้สึกว่าตัวเล็กไปถนัดตา ทรุดตัวลงนั่งข้างๆกันบนโซฟายาวเนื้อนุ่ม นมในแก้วใบย่อมถูกหยิบยื่นมาให้ราวกับจะรู้ว่าตั้งแต่เมื่อตอนค่ำที่ผ่านมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องของเขาเลย

“ขอบใจนะ” เจรับแก้วนมมาดื่ม แต่ดูเหมือนจะเป็นการทำโดยอัตโนมัติมากกว่าเพราะความหิว

“ดีขึ้นหรือยัง”

ร่างข้างๆผงกหัวโดยไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งถ้าถาม โยรู้ดีว่าเป็นอาการเหม่อลอยตามปกติของเจเวลาที่ครุ่นคิดอะไรสักอย่างอยู่นั่นเอง ไม่ใช่เพราะสนใจรายการตรงหน้าอะไรทั้งสิ้น โยเอื้อมมือข้างหนึ่งลูบไปยังศีรษะทุยๆที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมดำขลับและยาวปรกหน้าปรกตาเกินพอดีไปพอสมควร แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อมันประดับอยู่บนกรอบหน้าสวยเกินผู้ชายทั่วไปนี้แล้ว จึงได้ดูดีนัก ขนาดเขาที่เป็นผู้ชายยังอดชื่นชมไม่ได้

“อยากเล่าหรือเปล่า” โยหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจ คนถูกถามวางแก้วนมบนโต๊ะก่อนจะครุ่นคิดอะไรอยู่เป็นครู่

“เราทะเลาะกับพ่อ หนนี้แรงกว่าทุกครั้ง” เสี้ยวหน้านั้นหันมามองเขาตรงๆ “แต่นายไม่ต้องห่วงนะ เราไม่เชิงหนีออกมาหรอก ก็มีบอกพวกพี่ๆเอาไว้แล้ว ถึงยังไงก็ไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วงอยู่ดี” ว่าแล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนแรง

“โย”

“หือม์”

“นายว่าที่เรากำลังทำอยู่เนี่ย มันสูญเปล่าจริงๆเหรอ” จู่ๆเจก็ถามขึ้นลอยๆ

“ทำไมพูดอย่างนั้น ปกตินายไม่เคยท้อถอยอะไรง่ายๆนี่นา”

เจก้มหน้าลงซบกับเข่าทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก โยเห็นภาพนั้นแล้วรู้สึกสะเทือนใจ ในขณะเดียวกันยิ่งรู้สึกอยากจะทำอะไรก็ได้เพื่อที่จะทำให้คนที่นั่งข้างๆนี้รู้สึกดีขึ้นได้บ้างแม้เพียงนิดเดียวก็ยังดี

“เจ” เขาเขยิบเข้าไปใกล้ มือข้างหนึ่งโอบร่างที่ดูเหมือนจะเล็กลงไปอีกเข้ามากอดไว้ อีกข้างก็จับมือซีดๆเย็นๆนั้นกระชับเอาไว้ “ร้องไห้ก็ได้นะ ถ้ามันเหนื่อยนัก ที่นี่มีแต่เรา ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” ร่างนั้นสั่นสะท้านเบาๆในอ้อมแขนแข็งแรงของโย ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา เขาเพิ่งเคยเห็นเจอ่อนแอขนาดนี้เป็นครั้งแรก

“พ่อบอกว่า ถ้าเรายังอยากทำต่อ ก็จะไม่ส่งเราเรียนแล้ว เขาให้เราเลือก เราจะเลือกได้ยังไงเพราะมันสำคัญทั้งสองอย่างเลย พ่อไม่เหลือทางเลือกให้เราเลย” เจยังคงซุกหน้าอยู่อย่างนั้น “เราผิดมากเหรอ ที่อยากจะทำความฝันให้เป็นความจริง เราไม่ได้ทำเล่นๆนะโย เราตั้งใจขนาดนี้ ทำไมเขาไม่เห็นมันบ้าง” คำพูดที่เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจพรั่งพรูออกมา “เงินเรียนเราก็หาเอง เราพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองทั้งหมด แต่มันยังไม่ดีพอสำหรับเขาเสียที เราเหนื่อยมากเลยกับการที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นตลอดเวลาทั้งที่เขาไม่สนใจจะมองมันเลยด้วยซ้ำ”

“แล้วนายจะทำยังไงต่อ คิดเอาไว้แล้วหรือยัง” โยถามออกไป

ร่างนั้นหยุดสะอึกสะอื้นไปแล้ว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงได้เห็นว่าน้ำตาที่เก็บกลั้นมานานยังคงไหลออกมามาไม่หยุด

“ก็คงต้องเลือก”

“เราพอจะรู้ว่านายจะเลือกอะไร” โยว่าพลางมองไปที่เจ เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนอย่างนึกขอบคุณ เจอยากจะบอกเหลือเกินว่าขอบคุณที่เข้าใจเขาไปเสียหมด ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้เพื่อเขาเสมอ และขอบคุณที่ในยามที่เขาไม่มีใคร โยก็ยังคอยอยู่ข้างเขา แต่เจรู้ดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูดออกมา โยก็คงจะรับรู้ดีอยู่แล้ว

เจเอนร่างที่เริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้วพิงกับร่างของโยโดยไม่รู้สึกเกร็งหรือขืนตัวอันใดอีก ศีรษะที่พิงซบอยู่ตรงซอกคอนั้นทำให้ได้ยินไปถึงเสียงหัวใจที่เต้นอยู่อย่างเป็นจังหวะหนักแน่นของเจ้าของ จิตใจของเจสงบลงได้อย่างประหลาด และยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงตัวเองเอ่ยสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจออกมา เพราะมันช่างง่ายดายกว่าที่คิดเอาไว้มาก

“แนนขอเลิกกับเราแล้วนะ”

โยได้แต่ตกใจ ก่อนที่จะคลายวงแขนนั้นออก และก้มลงมองร่างที่อยู่ในวงแขนของเขาอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขานิ่วหน้าราวกับอยากจะถามย้ำว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือ เจยิ้มเฝื่อนๆก่อนจะยักไหล่อย่างอ่อนแรง

“เขาก็พูดอย่างที่เราว่านั่นแหละ เราไม่มีเวลาให้เขา เขาจะมารอเราได้ยังไง คนที่ขนาดเวลายังไม่มีให้ตัวเองอย่างเราน่ะโย ใครเขาจะอยากรัก” เจว่าอย่างไม่ยี่หระ แต่สำหรับโย เขารู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างประหลาด จะว่าอย่างไรดี ไม่ใช่ว่าเขาดีใจที่เพื่อนเลิกกับแฟนหรอกนะ เขาเข้าใจและเห็นใจ แต่ลึกๆแล้วกลับรู้สึกโล่งใจและตัวเบาอย่างไรพิกล ในใจอยากจะบอกเจเหลือเกินว่า ยังมีเขาอยู่ทั้งคน เจไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครรัก แต่เขาที่ถึงตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของตัวเองสักเท่าไรเหมือนกันด้วยซ้ำ จะให้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูดจึงดูจะยากหนักเข้าไปอีก

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” โยถาม

“เย็นวันนี้เอง”

“อ้อ ที่เราเห็นนายแปลกๆไป”

“อือ มันไม่สบโอกาสบอกน่ะ”

ราวกับหมดเรื่องที่จะพูดคุยกันต่อ ร่างทั้งสองที่นั่งกอดกันอยู่นั้น ปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่ ก่อนที่เสียงทุ้มๆของเจ้าของห้องจะเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบขึ้นเสียเอง

“เสียใจมากไหม”

“ก็... ไม่รู้สิ”

“อ้าว...” โยก้มลงมองดวงตากลมโตที่เป็นประกายคู่นั้นอีกครั้ง ก่อนที่ร่างนั้นจะเบียดเข้าหาเขาอีกราวกับจะเป็นการบอกอ้อมๆว่าอย่าเพิ่งปล่อยมือคู่นี้ออกไปเร็วนัก เพราะมันช่างสบายเหลือเกิน

“ตอนแรกมันก็เสียใจนะ แต่พอได้นั่งคิดเงียบๆถึงรู้ว่า บางทีมันอาจจะดีกับทั้งเขาและเราก็ได้ ก็เลยเสียใจไม่มากเท่าตอนโดนบอกเลิกแล้ว”

“ดีแล้ว คิดได้แบบนั้นเราก็สบายใจ”

“แต่มันก็ยังรู้สึกมากอยู่ ตอนคบกันเราก็รักเขามากนะ ตอนนี้ก็ยังรัก...” ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่า ท่อนแขนที่โอบร่างเขาเอาไว้จู่ๆก็กระชับแน่นขึ้น

“แล้วมันจะค่อยๆดีขึ้นไปเองนะ”

“อือม์”

โยยังคงกอดร่างนั้นเอาไว้อยู่เป็นนาน และรู้สึกได้ถึงอาการผ่อนคลายที่มีมากขึ้นจนรู้สึกได้ว่าน้ำหนักของร่างนั้นถ่ายลงมาบนร่างเขาเต็มๆ

“ง่วงหรือยัง” โยถามขึ้นเบาๆ

เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากแขกยามวิกาลที่อาศัยอ้อมแขนของเขาเป็นที่พักพิง

“เจ...” โยถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ “อ้าว... หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

แม้จะเริ่มรู้สึกชาที่แขนทั้งสองข้าง แต่ก็ยังพอที่จะมีแรงขยับและเปลี่ยนจากการโอบกอดมาเป็นช้อนร่างขาวๆนั้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทำถึงขนาดนี้เจก็ยังคงนอนหลับสนิท ไม่ขยับเลยสักนิด ท่าจะเจออะไรมาเยอะจริงๆถึงได้เหนื่อยหนักขนาดนี้ โยได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะอุ้มร่างนั้นขึ้นไว้ในอ้อมแขน นึกแปลกใจเล็กน้อยว่า ทั้งที่เจออกจะตัวสูงใหญ่ไม่เบา แต่กลับไม่ได้หนักมากอย่างที่คิด ที่สำคัญไอ้ที่ดูใหญ่นี่มันกระดูกทั้งนั้น เนื้อหนังแทบจะไม่มีเอาเลยจริงๆ

เขาเดินพาร่างนั้นไปยังเตียงนอนขนาดสองคน แล้วค่อยๆว่างร่างที่ยังคงหลับสนิทลงไปอย่างนุ่มนวลที่สุด ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงคอ เขานั่งคุกเข่าลงบนพื้นก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งปัดปอยผมบนหน้าผากเด็กหนุ่มออกไป แล้วใช้นิ้วเรียวยาวแต่แข็งแรงปาดคราบน้ำตาบนแก้มขาวๆนั่นออกเสียจนหมดจด

“นอนซะนะเจ ถึงนายจะไม่มีใครก็ยังมีเราอยู่ทั้งคน”

เด็กหนุ่มลุกเดินผละออกไป เก็บแก้วนมที่แขกยามวิกาลดื่มไม่หมดใส่ตู้เย็น ก่อนจะเดินหายเข้าไปล้างหน้าล้างตาให้ห้องน้ำ เขายืนมองตัวเองในกระจก และถามคำถามที่เฝ้าเพียรถามตัวเองอยู่ทุกวันว่า ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเพื่อนสนิทคนนี้แท้ที่จริงเป็นอย่างไรกันแน่

ที่ผ่านมา เขาไม่เคยรู้คำตอบที่แท้จริงเลยสักครั้ง เฝ้าแต่บ่ายเบี่ยงไปมา และบอกให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลงบ้าง จนกระทั่งเมื่อกี้ที่เขาได้กอดร่างนั้นเอาไว้ เฝ้าปลอบใจ และอุ้มเข้ามานอนเองกับมือ จู่ๆก็ดูเหมือนกับว่า อะไรบางอย่างจะชัดเจนขึ้นมากเสียจนเขาเองยังนึกแปลกใจ

“ทำไมนะ” พูดกับตัวเองเบาๆแล้วก็ส่ายหน้า “ผู้หญิงมีเป็นร้อยไม่ไปชอบ แถมที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีวี่แววจะไปชอบผู้ชายเล้ย...” ก่อนจะหันไปมองทางห้องนอนแล้วก็หันมายิ้มให้กับเงาของตัวเองที่สะท้อนออกมา

“ดันไปแพ้ทางคนคนนี้คนเดียวเสียได้”

ร่างสูงใหญ่นั้นเช็ดหน้าเช็ดตาอย่างไม่ค่อยปราณีปราศรัยว่าหน้าหล่อๆที่แสนจะคมคายของตัวเองจะยับเยินเพียงไร แล้วจึงเดินเข้าไปล้มตัวลงไปนอนเคียงข้างร่างที่ตกเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบนั้นอย่างแผ่วเบาที่สุด

ทั้งที่นอนด้วยกันแบบนี้บ่อยๆ แต่คืนนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาจะนอนหลับด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ที่เข้ามาแทนที่

“ฝันดีนะเจ” ว่าแล้วจึงปิดเปลือกตาลงก่อนที่ลมหายจะผ่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอตามไปอีกคน

****************************

นี่มันเสียงโทรศัพท์หรือนาฬิกาปลุกกันแน่ ดวงตาเรียวรีที่ปิดอยู่นิ่วหน้าอย่างนึกรำคาญ แต่ร่างกายก็เอื้อมมือไปปิดนาฬิกาบนหัวเตียงโดยอัตโนมัติด้วยความเคยชิน อ้อ... นาฬิกาปลุกจริงๆเสียด้วย ก็แปลว่าต้องตื่นแล้วสินะ ทันทีที่ร่างนั้นกำลังจะขยับลุกขึ้นเหมือนอย่างปกติทุกวัน จึงสำเหนียกได้ถึงน้ำหนักที่ทับอยู่บนแขนข้างหนึ่ง หนัก เขาคิดในใจ ก่อนจะหันไปดูแล้วเห็นศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีดำกระจายอยู่หนุนบนแขนท่อนหนึ่งของเขาอย่างสบายใจ

สติจึงกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง

เมื่อคืนเจมาหาเขาเสียดึก พวกเขาคุยกันยาว และเขาก็เป็นคนอุ้มเจเข้ามานอนเอง เท่านั้นแหละริมฝีปากได้รูปนั้นจึงคลี่ยิ้มออกมา

“เจ” มือข้างหนึ่งแตะบนไหล่ของร่างที่นอนหนุนแขนเขาเขย่าๆเบาๆ “เจ... ตื่นไหวมั้ย” หนนี้เขากระซิบตรงข้างหูเด็กหนุ่มเบาๆ

“อือ...” มีเสียงครางออกมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะนิ่งไปเหมือนเดิม

โยหัวเราะเบาๆ เพราะนานๆจะได้เห็นมุมที่ไม่เคยเห็นแบบนี้ของเจสักที เขาสอดมือเข้าไปโอบเอวที่บางเสียจนน่ากลัวว่าจะหักกลางเสียเหลือเกินแล้วดึงร่างนั้นเข้ามาหาเขาเบาๆ

“เจ ตื่นไปโรงเรียนเถอะ” เสียงทุ้มๆนั่นช่างไม่มีพลังเอาเสียเลยในตอนนี้ ไม่รู้ว่าคนปลุกจะจงใจหรือไม่ แต่ท่าทางเขาจะรู้สึกสนุกขึ้นมาแบบห้ามไม่อยู่เสียแล้ว มือข้างที่โอบเอวไว้เริ่มเกาะเอวเล็กๆนั่นเอาไว้แน่นขึ้นก่อนจะขยับขยุกขยิกอย่างมันเขี้ยว

“ตื่นนนนนนนนนนนนนนนน” พลังเสียงในแบบที่จะได้ยินเฉพาะในคลาสวอยซ์เท่านั้นเปล่งออกมา บวกกับมือที่จี้เอวเจ้าของร่างที่บ้าจี้เอาเรื่อง ทำเอาร่างขาวๆที่ขี้เซากว่าปกติพรวดพราดตื่นขึ้นมาอย่างได้ผลชะงัดนัก

“ไอ้โย!!!” เสียงนั้นว่าขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราดกว่าปกติ แต่ก็ไม่สู้จะจริงจังนัก ท่าทางจะตกใจที่สะดุ้งตื่นมากกว่าจะโมโหโกรธาขึ้นมาจริงๆ “เล่นบ้าอะไรแต่เช้าเนี่ย” เจซุกหน้าลงกับหมอนดังเดิมเมื่อรู้สึกตัว น้ำเสียงกลายเป็นคร่ำครวญออกมาแทน

“ไม่ไปเรียนหรือไง หือ...” โยกลั้นยิ้ม

“เออ... จริง” เจงึมงำออกมาได้เท่านั้นก็ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี เพราะรู้ว่าเดี๋ยวจะต้องไปทำมื้อเช้าราวกับเป็นหน้าที่ที่ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก เมื่อผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียนแล้วก็เดินออกมาเจอกับโยที่นั่งหัวยุ่งรอเข้าห้องน้ำ ยิ้มแผล่ส่งยิ้มให้ มือข้างหนึ่งฉวยจับมือของเขาบีบกระชับเอาไว้ทันทีที่เขาเดินเฉียดเข้าไปใกล้

“ทำโจ๊กก็พอไหมวันนี้ ง่ายๆนะ นายจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก” น้ำเสียงนั้นไม่ได้บังคับ แต่แฝงแววขอร้องในที เจจึงได้แต่พยักหน้าก่อนจะยิ้มให้ หันไปมองตามร่างสูงใหญ่กว่าของโยที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ แล้วก้มลงมองที่มือตัวเอง ก็โดนตัวกันอยู่เป็นประจำ แต่ทำไมวันนี้มันจึงได้รู้สึกแปลกไป ไม่เหมือนอย่างทุกวัน แล้วจู่ๆหน้าก็แดงขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ

“ไม่เอาแล้ว...” เจ้าตัวสะบัดหน้าแรงๆพร้อมกับรำพึงกับตัวเองขึ้นมา แล้วจึงเดินเข้าไปค้นหาโจ๊กสำเร็จรูปในครัวเล็กๆอย่างคุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตัวเองไปแล้ว

*********************

โรงเรียนเข้าแปดโมงเช้า เขาเรียนจนถึงบ่ายสามโมง แล้วก็ต้องไปเข้าคลาสต่อ เลิกทุ่ม แล้วก็ต้องไปที่ร้านอาหาร ตารางชีวิตตามปกติที่ดำเนินมาแบบนี้มาเป็นปี แต่ทำไมวันนี้ถึงได้รู้สึกอ่อนแรงนัก ใจมันก็สู้อยู่หรอก แต่ร่างกายมันช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย

โยกับเจเรียนอยู่กันคนละโรงเรียน ดังนั้นเมื่อขึ้นรถประจำทางมาถึงครึ่งทาง โยก็ต้องแยกไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สะดวกกว่าเพราะไปถึงหน้าโรงเรียนของเขาพอดี สำหรับโรงเรียนของเจ ต่อให้ขึ้นรถไฟฟ้า สุดท้ายก็ต้องนั่งรถต่อไปอีกอยู่ดี ดังนั้นจะเปลี่ยนรถไปทำไมมี นั่งยาวไปแบบนี้แหละ ถึงอย่างไรก็ไปทันแน่นอนอยู่แล้วแถมประหยัดอีกต่างหาก ง่วงหนักเข้าจะงีบต่อสักนิดก็ยังไหว

เจจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เขาก็นั่งรถประจำทางแบบนี้ แต่วันนั้นเป็นวันหยุด ทั้งๆที่แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา แต่ก็ยังมีไอ้โรคจิตตาถั่ว เอามือมาลูบๆคลำๆเขาตอนที่เผลองีบไปนิดเดียว ตื่นขึ้นมาแล้วมันก็ยังไม่เลิก ทำเอาเขาเลือดขึ้นหน้า ชกไอ้โรคจิตนั่นเสียจนหน้าหัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มๆและเยือกเย็นว่า “อยากตายไหม!” แถมตอนที่เขาลุกขึ้นยืนนั้น เห็นได้ชัดว่าสูงใหญ่กว่าไอ้บ้านั่นโข มันตาลีตาเหลือกลงรถไปแทบไม่ทัน ไม่แน่ใจว่ากลัวหรือตกใจกันแน่ที่เขาไม่ใช่ผู้หญิง นึกขึ้นมาทีไรอดขำออกมาไม่ได้ทุกที แม้ตอนนั้นเขาจะนึกเคืองไอ้หมอนั่นก็เถอะ เล่าให้ใครฟังก็หัวเราะ ยกเว้นก็แต่กับโยคนเดียวที่ท่าทางขัดเคืองใจเป็นจริงเป็นจังกว่าใครเพื่อน นั่นสิ ทำไมตอนนั้นเขาจึงไม่สังเกตเลยนะว่าเพื่อนสนิทของเขา ดูหัวเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ จริงอยู่ที่ผ่านมาแม้ต่างฝ่ายจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่า โยเลือกที่จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ทั้งคอยเป็นเพื่อน ดูแล เป็นห่วง เป็นที่ปรึกษาไม่ว่าจะเป็นยามที่เขามีความทุกข์หรือมีความสุข เท่าที่จำได้ เขาไม่เคยต้องอยู่ตัวคนเดียวนับตั้งแต่ที่ได้รู้จักเพื่อนคนนี้ และที่ผ่านมาเขาก็ยอมรับว่าไม่มีใครอีกแล้วที่จะรู้จักเขาดีไปกว่าโย

แต่พอย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน นั่นเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่เขาได้เปิดเผยด้านที่อ่อนแอที่สุดให้ใครสักคนได้เห็น และเขาก็ดีใจที่คนคนนั้นเป็นโยไม่ใช่ใครอื่น และนั่นก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่โยได้แสดงความอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งใดแก่เขา ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตไม่ต่างเพื่อนผู้ชายที่สนิทกันทั่วๆไป กิน นอน เที่ยวเล่น เรียน พูดคุยกัน หรือแม้แต่แสดงความห่วงใยต่อกัน แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่จะทำให้เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกเหมือนอย่างเมื่อคืน

ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นมากอดปลอบประโลมเขาแบบนั้น พูดกับเขาแบบนั้น หรืออ่อนโยนต่อเขาแบบนั้น มันคงรู้สึกแปลกๆ และว่าตามจริงเขาก็คงจะไม่ชอบสักเท่าไหร่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นเพื่อนคนนี้เขาถึงได้รู้สึกดีอย่างประหลาด หรือเพราะสนิทกันมานานถึงสองปีแล้วเขาจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไร บอกตามตรงก็คือ เขารู้สึกดีด้วยซ้ำ

เจครุ่นคิดเรื่องนี้วนไปวนมาอยู่เป็นนาน จนคิ้วขมวดกันเป็นปม แต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักทีความรู้สึกที่ว่านี้มันคืออะไรกันแน่ หนักเข้าทนไม่ไหวจึงสะบัดหน้าแรงๆไปมาสองสามครั้งแล้วก็บอกตัวเองว่า ช่างมัน ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ อย่าไปคิดมันเลยดีกว่า จนกระทั่งรถประจำทางพาเขามายังจุดหมายในที่สุด

***************************

บ่ายวันนี้แม้จะเลิกเรียนเร็ว แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับมันเหมือนคนอื่นๆ ที่สำคัญสีหน้าของเขากลับส่อแววเป็นกังวลและถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง
   
คนเรานี่หนอ บทจะมีเรื่องอะไรมันก็พร้อมใจกันถาโถมเข้ามาชนิดไม่ให้ต้องได้หยุดพักหายใจกันเลยทีเดียว จะเว้นช่วงหน่อยก็ไม่ได้ เจอเข้าไปแบบนี้ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหน ก็ต้องมีท้อใจกันบ้างล่ะ นึกได้ดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งเฮือกใหญ่
   
“เป็นอะไรเจ ทำไมทำหน้าเหมือนใครจะตายแบบนั้น” น้ำเสียงทุ้มที่คุ้นหูชนิดไม่ต้องเงยหน้ามองก็รู้แล้วว่าเป็นเสียงของใครดังขึ้น แต่ที่ทำให้เด็กหนุ่มแปลกใจคือ แล้วไหงหมอนี่มายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนของเขา
ได้เล่า
   
“ถ้าจะมีใครตายก็คงจะเป็นเรานี่แหละ” เจว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแต่ก็ไม่สู้จะจริงจังกับสิ่งที่พูดออกไปนัก “ว่าแต่... นายมาทำอะไรแถวนี้วะโย ไม่มีเรียนหรือไง”
   
“มี แต่เลิกเร็ว ไม่มีอะไรทำ เลยแวะมาแถวนี้”
   
“แถวนี้มีอะไร”
   
“มีนายไง” คำตอบตรงไปตรงมาทำเอาคนฟังอึ้งไปเล็กน้อย “ก็ถึงยังไงเดี๋ยวก็ต้องไปเข้าคลาสด้วยกันอยู่แล้ว เราก็ว่าง ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยมา เผื่อจะได้ไปด้วยกันไง” เจ้าของเสียงทุ้มนั้นว่าต่อ เจได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายปริบๆก่อนที่จะยิ้มออกมา
   
“เอ๊า ว่าไงว่าตามกัน ก็ดีเหมือนกัน...”
   
โยยื่นมือข้างหนึ่งออกไป ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเดินเข้าไปหาอ้อมแขนที่โอบไหล่เขาเอาไว้ พร้อมกับมือข้างเดียวกันที่ไม่รู้เป็นอะไรชอบลูบผมของเขาเล่นเหลือเกิน เจที่ปกติไม่ค่อยชอบให้ใครมาถูกเนื้อตัวของเขาเท่าไหร่ กลับไม่เคยออกปากบ่นสักคำเวลาที่เพื่อนคนนี้สัมผัสเขา จะเป็นเพราะความเคยชินหรือเพราะปล่อยให้เพื่อนสนิททำจนเคยตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน
   
“ตกลงนายเป็นอะไร”
   
“หา?” เจที่เดินอยู่เพลินๆไม่ทันได้คิดอะไร ถึงกับเหวอเมื่อจู่ๆโยก็ถามทะลุกลางปล้องขึ้นมา
   
“ก็ที่ทำหน้าเพลียแบบสุดๆตอนเดินออกมาน่ะ เป็นอะไร มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า” เสียงนั้นเจือความห่วงใยไม่ปิดบัง ไม่ต่างจากทุกครั้ง แต่ทำไมสำหรับเขาความรู้สึกถึงได้แปลกกว่าที่ผ่านมาก็ไม่รู้
   
“เฮ้อออ.......” เจถอนหายใจยาวราวกับจะประชดชีวิต ถ้าไอ้การถอนหายใจมันเปลี่ยนเป็นมูลค่าได้ ป่านนี้เขาคงเป็นเศรษฐีไปแล้ว
   
“ปีนี้เราอยู่ ม.6 กันแล้วใช่ไหม เด็กม.6 น่ะจะมีเรื่องอะไรให้หนักใจเท่ากับเรื่องเอ็นทรานซ์อีกล่ะ”
   
“อ้าว แล้วนายจะกังวลอะไร เราก็เห็นผลการเรียนนายออกจะดี”
   
“มันไม่ได้เกี่ยวกับผลการเรียน”
   
โยเงียบไปก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนของตัวเองต้องเจอกับอะไร
   
“จริงด้วยสิ”
   
“นั่นแหละ ถึงแม้เราจะคิดเอาไว้ในใจแล้วว่าจะเอายังไงต่อ แต่พอเจออาจารย์เรียกไปคุยแล้ว... แสนจะหดหู่ว่ะ” เจทำหน้าจ๋อยในแบบที่โยเห็นแล้ว อดไม่ได้ต้องเอามือคอยลูบศีรษะอยู่อย่างนั้น “จะเว้นช่วงให้หายใจหน่อยก็ไม่ได้ ทำยังกะรู้ว่าเราเพิ่งทะเลาะกับพ่อมาเรื่องนี้ วันนี้เรียกคุยเลย”
   
“แล้วนายบอกอาจารย์ไปว่ายังไง”
   
“ก็ไม่ได้บอกอะไรเขาเท่าไหร่ แค่บอกว่ายังไม่ได้คิดว่าจะเลือกคณะอะไร ก็เลี่ยงๆไปให้มันพ้นตัวไปก่อน มันพูดไม่ออกน่ะ”
   
“ก็ยังพอมีเวลาให้ตัดสินใจอยู่นะเจ” เขาว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและแสดงออกชัดเจนว่าเห็นใจเด็กหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆเขาอย่างเป็นจริงเป็นจัง
   
“ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนมีหินก้อนเบ้อเริ่มทับอยู่บนหลังเราเนี่ย” แม้จะหนักใจกับปัญหาที่ตามมา แต่เจก็ยังพยายามยิ้มออกมาจนได้ ทำเอาโยอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ และทำอย่างที่ชอบทำจนเป็นนิสัยนั่นคือใช้มือโน้มศีรษะทุยๆนั่นเข้ามาหาตัวเองก่อนจะขยี้ผมสีดำนุ่มๆนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว
   
“ชอบเล่นหัวเราจังนะนายเนี่ย” เจว่าเสียงเขียวแต่ก็ไม่ได้มีความจริงจังอะไรในน้ำเสียงนั้น เรียกเสียงหัวเราะให้กับร่างสูงที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินดึงเขาขึ้นรถประจำทางที่มาจอดอยู่ตรงป้ายพอดี


****************************
หัวข้อ: Re: *#*#*#*#*#* Beats of Life: บทที่ 3 *#*#*#*#*#*
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 20-11-2009 21:22:46
นี่เขาจะอดทนใช้ชีวิตแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนหนอ
   
ร่างสูงแต่ติดจะผอมอยู่สักหน่อยนอนพังพาบอยู่กับพื้นไม้ในห้องซ้อมหลังจากการซ้อมเต้นอย่างยาวนานสิ้นสุดลง
   
หมดสภาพอย่างแท้จริง
   
“ทำไมมานอนอยู่อย่างนี้ล่ะ ลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป” โยที่สภาพเหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กัน แต่ก็ยังดูมีพลังไม่เปลี่ยนแปลงเดินมานั่งปุอยู่ข้างๆร่างนั้นก่อนจะเอาผ้าขนหนูมาวางไว้บนศรีษะของคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่โดยใช้แขนข้างหนึ่งรองหน้าผากเอาไว้
   
“คลาสว้อยซ์ไม่เท่าไหร่ แต่มาคลาสแดนซ์ทีไร โอ้โห... พลังชีวิตจะหมด” แม้ปากจะบ่นเหมือนคนใกล้ตาย เอาเข้าจริงจริงเวลาซ้อมเต้นนั้น เจก็ตั้งอกตั้งใจอย่างถึงที่สุดเหมือนกัน เรื่องจำท่าเต้นยิ่งหายห่วง เพราะจบคลาสเมื่อไหร่ ท่าไหนจำไม่ได้หรือทำได้ไม่ชำนาญ ก็เขานี่แหละที่กลายเป็นครูสอนเต้นจำเป็นของเจไป เรื่องใส่ใจในการเรียน เจไม่เป็นที่สองรองใครจริงๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ความมุ่งมั่นของเขาไม่เคยลดน้อยถอยลงไปก็มาจากการได้เฝ้ามองเพื่อนคนนี้นี่แหละ แล้วเขาจะยอมแพ้เจได้อย่างไรกัน
   
“กี่โมงแล้วโย” เด็กหนุ่มบอกเวลาแก่เพื่อน “เดี๋ยวต้องไปทำงานแล้วสิ” เจ้าตัวพูดกับตัวเองก่อนจะใช้ท่อนแขนแข็งแรงยันร่างลุกขึ้น ข้อดีของการเข้าคลาสนี้ก็คือร่างกายที่แข็งแรงและรูปร่างที่ดีนี่แหละ เวลามีคนชมเขาเป็นต้องอดภูมิใจไม่ได้กับช่วงบ่ากว้างๆและกล้ามเนื้อแขนที่สมส่วนของตัวเองไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องรูปร่างที่สมส่วนล่ะก็ต้องยกให้โย คนนี้สูงยาวเข่าดี ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เกิดจากการฝึกเต้นมายาวนาน แต่ถึงอย่างนั้นโยก็ชอบมาบ่นกับเขาว่า อ้วนง่ายเกินไป ลองเขาหยุดออกกำลังแล้วทานมากกว่าปกติ เขาจะอ้วนขึ้นทันที โยเสียอีกที่อิจฉาเจที่ผอมง่ายเหลือเกิน คุยกันเรื่องนี้ทีไรไม่พ้นอวยกันไปมาแล้วก็จบลงที่เสียงหัวเราะสนุกสนานของทั้งคู่ทุกทีไป
   
ทำไมรู้สึกหัวหนักๆก็ไม่รู้วันนี้ เจคิดกับตัวเองหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเป็นที่เรียบร้อย หรือจะเป็นเพราะมีเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้ามาให้เขาได้คิดไม่หยุด เลยปวดหัวขึ้นมา แต่ที่แย่คือเขากลับรู้สึกเหนื่อยและครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อย หรือจะไม่สบาย
   
ไม่สบายไม่ได้เด็ดขาด
   
ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องไปทำงาน สัปดาห์นี้งานที่ร้านยังคงจะยุ่งต่อไปอีกจนกว่าจะพ้นวันเสาร์ไปโน่นล่ะ ถ้าเขาหยุดคงจะยิ่งวุ่นวายแน่ๆ แม้พี่อ๊อดเจ้าของร้านจะใจดีกับเขามากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ไม่อยากจะขาดงานเลยแม้แต่วันเดียว แค่สามสี่ชั่วโมงเท่านั้น เดี๋ยวก็ได้กลับมานอนแล้ว เจกัดฟันบอกตัวเอง
   
“โย เราไปร้านก่อนนะ” กำลังทำท่าจะเดินออกไป แต่มือของเขาก็ถูกร่างสูงใหญ่กว่านั้นคว้าเอาไว้เสียก่อน โยนิ่วหน้าไปเล็กน้อย ก่อนจะถามออกไปอย่างไม่แน่ใจ
   
“ไหวไหม” คำถามนั้นทำเอาเจถึงกับงงไป
   
“ถามแปลกๆ ทำไมจะไม่ไหวเล่า” เจหัวเราะออกมาเบาๆ แต่โยกลับไม่หัวเราะด้วย
   
“นายหน้าซีดมากเลย”
   
“ซีดหรือขาว เอาให้แน่” โชคดีจริงที่ผิวขาวจัดของเขาพอจะทำให้กลบเกลื่อนไปได้ ทำไมช่างสังเกตอย่างนี้นะ ทั้งที่เมื่อกี้ตอนส่องกระจกเขาก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะผิดปกติไปจากเดิมตรงไหน นอกจากดูเหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น เจรีบปลดมือออกจากการกุมของโยเบาๆ ก่อนจะเลี่ยงบาลีไปเสีย
   
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็กลับ”
   
“กุญแจห้องไม่ลืมนะ”
   
เจไม่ตอบแต่ชูนิ้วโป้งพร้อมกับส่งยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกไป
   
“ยิ้มแบบนี้คงไม่รู้ตัวใช่ไหมว่าทำให้คนอื่นเขาหวั่นไหวขนาดไหน” โยรำพึงกับตัวเองเบาๆก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา

***********************

สามทุ่ม
   
เด็กหนุ่มก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไป กลิ่นโจ๊กที่ทำง่ายๆทานเป็นมื้อเช้ายังกรุ่นจางๆอยู่ในห้อง ป่านนี้เจคงง่วนทำงานอยู่แน่ๆ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องปกติแท้ๆ แต่ทำไมอดนึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ก็ไม่รู้ สัมผัสจากมือของเจเมื่อตอนค่ำ เขารู้สึกว่ามันอุ่นกว่าปกติชอบกล แต่ก็ไม่สู้แน่ใจนักเพราะเจ้าตัวชอบอาบน้ำอุ่นจัดหลังออกกำลัง หรือเขาจะกังวลเกินไป ชักจะยังไงอยู่เหมือนกันนะนี่
   
สองปีมานี้ แม้จะสนิทสนมกับเจและได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากกว่าเพื่อนคนอื่น จนเขาเองชักไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกอะไรกับเจเป็นพิเศษกว่าคนอื่นหรือเปล่า แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่เขาจะก้าวล้ำเส้นความเป็นเพื่อนใดๆ เพราะเจเองก็ไม่ได้แสดงทีท่าอะไรออกมาเกินเพื่อน เขารู้แค่ว่าเขาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเจ จึงได้แต่รักษาระยะของความเป็นเพื่อนเอาไว้แค่นั้น ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยต่อไปอีก แม้แต่ตอนที่เจมาปรึกษากับเขาเรื่องที่จะคบหากับแนนเป็นแฟน เขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เห็นว่าเพื่อนท่าทางจะชอบฝ่ายผู้หญิงมากจริงๆ ก็เลยสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ แม้ลึกๆจะรู้สึกแปลกๆก็ตาม อาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเขา กลัวว่าจะไม่ได้สนิทกันเหมือนก่อนถ้าหากเพื่อนมีแฟนไปแล้ว แต่ท้ายที่สุด เจก็ยังใช้เวลาอยู่กับเขาเหมือนเดิม ว่าตามจริงเจอยู่กับเขามากกว่าแนนเสียอีก
   
อันที่จริงโยก็เห็นใจทั้งคู่อยู่หรอก เจรักแนนแค่ไหนเขาก็พอจะรู้ แต่ด้วยเพราะชีวิตที่ต้องปากกัดตีนถีบเกินเด็กวัยเดียวกันแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนจะเข้าใจ ยิ่งผู้หญิงที่เหมือนมาจากอีกโลกหนึ่งอย่างแนนด้วยแล้ว การที่แนนอดทนคบกับเจมาได้นานเกือบปี ก็ต้องนับได้ว่ามีความอดทนสูงไม่น้อยอยู่เหมือนกัน เขาเดาเอาว่าสาเหตุที่แนนตัดสินใจคบตั้งแต่แรกน่าจะเป็นเพราะเจเป็นคนโรแมนติกมากแถมตรงไปตรงมา บวกกับความหน้าตาดีด้วยแล้วยังกล้าเดินเข้าไปขอผู้หญิงเป็นแฟนทั้งที่ติดจะขี้อายนี่ก็เป็นอะไรที่ชนะใจผู้หญิงได้ไม่ยากเหมือนกัน
   
นึกขึ้นมาทีไรก็อดหัวเราะให้กับความห่ามของเพื่อนสนิทตัวเองขึ้นมาไม่ได้ทุกที
   
อีกอย่าง ไม่รู้สินะ หรือเขามองโลกในแง่ร้ายเกินไปก็ไม่รู้ การที่ได้ชื่อว่ามีแฟนเป็นนักร้องฝึกหัดของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่และมีโอกาสที่จะได้ออกผลงานของตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่เท่ไม่หยอกเสียเมื่อไหร่ ผู้หญิงอย่างแนนถ้าจะเลือกคบใครสักคน ก็จะต้องมีความพิเศษมากพอที่เธอจะเอาไปคุยให้ใครฟังได้ไม่อายนั่นแหละ แต่แนนคงลืมคิดไปว่า ชีวิตมันไม่ได้เหมือนหนังสือการ์ตูน จะได้สวยงามและได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง เธอคงไม่คิดว่าเจจะมีภาระหน้าที่มากมายขนาดนั้น ที่สำคัญคบกันมาจะเป็นปี แนนก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเจจะได้เป็นนักร้องกับเขาเสียที
   
สำหรับเจแล้ว สิ่งที่เจต้องการคือคนที่เข้าใจและพร้อมที่จะให้เด็กหนุ่มได้มากกว่าแม้เจ้าตัวจะไม่ได้ร้องขอ ไม่ใช่การถูกเรียกร้องเอาแต่ฝ่ายเดียวเหมือนอย่างที่แนนชอบทำ เจไม่พร้อมที่จะดูแลใคร แต่เป็นฝ่ายที่ต้องการการดูแลมากกว่า เจ้าตัวอาจจะไม่รู้แต่เขารู้ดี จึงยินดีที่จะเป็นผู้ให้มากกว่า ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดี แต่เพราะเขาอยากทำ และมีแค่คนคนเดียวเท่านั้นที่เขาอยากจะหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้ด้วยความเต็มใจ
   
เจ เพียงคนเดียวเท่านั้น
   
เสียงโทรศัพท์กรีดร้องขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาคนที่ตกอยู่ในภวังค์อย่างเขาสะดุ้งขึ้นมาเสียเฉยๆ
   
“ฮัลโหล”
   
“โย เป็นยังไงบ้างลูก”
   
“แม่” เสียงทุ้มๆนั้นร้องออกมาอย่างยินดี ราวกับวินาทีนั้นเขากลายไปเป็นเด็กอายุสิบเจ็ดทั่วไป ไม่ใช่เด็กอายุสิบเจ็ดที่มีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่ที่น้องๆในค่ายให้การนับหน้าถือตาเหมือนอย่างทุกครั้ง
   
“ทำอะไรอยู่ลูก แม่โทรมาดึกไปหรือเปล่า”
   
“ไม่ได้ทำอะไรฮะแม่ ก็นั่งทำอะไรก๊อกแก๊กไปเรื่อยๆ”
   
“เป็นยังไงบ้างลูก”
   
“สบายดีครับ ช่วงนี้ฝึกหนัก แต่โยรับมือได้ แม่ไม่ต้องห่วงนะ น้องล่ะแม่”
   
“ดี มันก็ซนไปตามเรื่องของมันน่ะ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพ่อเขาเหมือนเดิม”
   
โยนึกถึงพ่อที่ยังคงขุ่นเคืองใจกับหนทางที่เขามุ่งมั่นเลือกเดิน ทำไมเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเจ ในเมื่อเขาเองก็ต้องอยู่กับความรู้สึกผิดในใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นกัน
   
“แม่ครับ”
   
“ว่ายังไงลูก”
   
“โยทำให้พ่อกับแม่ลำบากใจ โยรู้ แล้วก็ขอโทษนะครับ” น่าจะเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดกับเจ โยจึงยอมเอ่ยความรู้สึกในใจของตัวเองออกไปในที่สุด “แต่โยอยากให้พ่อกับแม่รอดูว่าโยจะไปได้ไกลแค่ไหน มันอาจจะสำเร็จหรือไม่ก็ได้ แต่โยไม่อยากจะเสียใจทีหลังที่มีโอกาสแล้วไม่ทำมันออกมาให้ดี”
   
ปลายสายเงียบลงไปเป็นครู่ โยไม่รู้ว่าแม่กำลังคิดอะไร และคิดอย่างไรกับสิ่งที่เขาเพิ่งเอ่ยออกไป ที่แน่ๆแม้ในใจจะรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ แต่เขากลับรู้สึกชัดเจนว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด แม้จะผ่านการเป็นนักร้องฝึกหัดมาถึงสองปี และยังไม่มีวี่แววว่าจะได้มีผลงานออกมา แต่โยเชื่อว่าความมุ่งมั่นของเขาต้องส่งผลออกมาสักวันหนึ่ง และเฝ้าบอกตัวเองทุกวันว่า ต้องรอด้วยความอดทน มีนักร้องฝึกหัดอีกตั้งหลายคนที่ฝึกฝนมานานกว่าเขา แต่ก็ยังไม่ได้รับโอกาสอันนั้น สำหรับใครหลายคนมันอาจจะเป็นเวลานานถึงสองปี แต่สำหรับนักร้องฝึกหัดอย่างเขา จะต้องคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่า แค่สองปีเท่านั้น เพื่อที่จะได้มีกำลังใจต่อไป
   
“โย” เสียงแม่อ่อนโยนจนรู้สึกได้ “ถ้าโยเป็นเด็กไม่ดี แม่คงจะไม่ปล่อยลูกไปหรอก เข้าใจที่แม่พูดใช่ไหม”
   
“ครับแม่”
   
“พ่อกับแม่อาจจะไม่ชอบใจนัก แต่สุดท้ายแล้ว ถ้ามันเป็นสิ่งที่ลูกอยากทำจริงๆ แม้แต่แม่เองก็คงห้ามไม่ได้ พ่อเขารักลูกมากนะ เขาห่วงมาก เขาก็ต้องโกรธมาก”
   
“โยรู้ครับ”
   
“แต่ก็อยากให้ลูกรู้ไว้ว่าพ่อกับแม่รักและเป็นห่วงเสมอ”
   
“ขอบคุณครับ” เขาพูดออกไปและรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่เกิดขึ้นจากน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ “ฝากบอกยูให้ตั้งใจเรียนแล้วเป็นเด็กดีนะครับแม่”
   
“ดูแลตัวเองนะลูก แล้วแม่จะโทรมาอีก”
   
“ครับแม่ นอนหลับฝันดีนะ”
   
ขอบคุณครับแม่
   
โยวางสายยังไม่ทันไรโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีก ทำไมคืนนี้มีคนอยากจะคุยกับเขาเยอะดีจัง โยยกโทรศัพท์ขึ้นดูและยิ่งนึกแปลกใจขึ้นไปอีกเมื่อเบอร์นั้นไม่คุ้นเอาเสียเลย
   
“ฮัลโหล โยพูดสายครับ”
   
“โยที่เป็นเพื่อนกับเจใช่ไหม” น้ำเสียงของผู้ชายที่ไม่คุ้นหูถามขึ้นอย่างไม่มีพิธีรีตรองใดๆทั้งสิ้น แถมยังติดจะร้อนรนเสียด้วยซ้ำ
   
“ใช่ครับ นี่โทรจากไหนครับเนี่ย”
   
“พี่ชื่ออ๊อด เป็นเจ้าของร้านที่เจมันทำงานพิเศษอยู่นะ”
   
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” หนนี้กลับเป็นโยที่น้ำเสียงร้อนรนเป็นกังวลขึ้นมาบ้าง “เจเป็นอะไรหรือเปล่า”
   
“มารับเจที่ร้านได้ไหม พี่อยากจะไปส่งนะ แต่ที่ร้านยุ่งมากขอโทษที”
   
“ไม่เป็นไรครับผมรู้จักร้าน ไปรับได้ ว่าแต่เจเป็นอะไรครับ”
   
“ไม่สบาย ไข้สูงมาก เดินไปเดินมาอยู่ดีๆเป็นลมไปเลย”
   
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมออกไปเดี๋ยวนี้เลย” ทันทีที่กดวางสาย เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าคู่ใจขึ้นมาก่อนจะผลุนผลันออกไปโดยไม่นึกสนใจอะไรอีก

***********************
   
สภาพของเจที่เขาเห็นทำเอาโยใจหายวูบ ร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่ในห้องพักเล็กๆนั้นดูซีดเซียวลงไปกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะผิวขาวอย่างที่เจ้าตัวชอบเอามาเป็นข้ออ้างแน่ๆ โยเดินเข้าไปใช้มือแตะลงบนหน้าผากก่อนที่จะสะดุ้งเพราะความร้อนในร่างกายของร่างนั้นมันเพิ่มขึ้นสูงกว่าเมื่อตอนค่ำชนิดเทียบไม่ติด
   
เจที่มีสติเลือนรางเต็มทีปรือตาอันหนักอึ้งขึ้นตอบรับสัมผัสอันคุ้นเคยจากอุ้งมือหนานั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
   
“มาได้ยังไง”
   
“พี่อ๊อดโทรไปบอก” โยเฝ้ามองดวงหน้าซีดเซียวนี้ด้วยความเป็นห่วง แต่ก็นึกโล่งใจที่เห็นคนป่วยยังพูดจามีสติอยู่ได้ แม้สภาพจะแย่กว่าทุกครั้งที่เขาเคยเห็นก็ตาม
   
เด็กหนุ่มผละจากคนไข้หายไปไหนสักครู่ก่อนจะกลับมา พร้อมกับพยุงร่างนั้นให้ลุกขึ้นยืน
   
“ไหวไหม” ร่างอันอ่อนแรงนั้นพยักหน้าอย่างยากเย็น “จะพาไปหาหมอนะ”
   
“ไม่ไป... ได้ไหม” เสียงประท้วงที่ฟังดูไม่หนักแน่นเสียเลยลอดออกมากจากริมฝีปากซีดจนเกือบเป็นสีขาวนั้น
   
“ไม่ได้ นายเฉยๆเถอะ เดี๋ยวเราจัดการเอง”
   
ไม่รู้เป็นเพราะเถียงไม่ออกหรือไม่มีแรงจะเถียง เจยอมให้โยประคองเดินออกไปแต่โดยดีโดยไม่ว่าอะไรอีก รู้แต่ว่าร่างกายมันไม่เป็นไปอย่างใจเลย มันหนักอึ้ง ปวดเมื่อยไปหมด ในหัวเหมือนมีใครมาทุบไม่หยุด ทั้งปวดทั้งมึน ครั้งสุดท้ายที่ป่วยหนักขนาดนี้มันเมื่อไหร่กันนะ ร่างอันอ่อนล้าปล่อยให้ความคิดยุ่งเหยิงตีกันในหัวไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่ในรถแท็กซี่แล้ว ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝัน เขาเหมือนได้ยินเสียงโยพูดกับแท็กซี่ว่าไปโรงพยาบาลอะไรสักแห่ง แล้วความรู้สึกก็เหมือนดับวูบไปตอนนั้น
   
เจมีสติรู้ตัวขึ้นมารางๆอีกครั้ง ตอนที่โยปลุกให้เขาลงจากรถ ชั่วโมงนี้บอกให้เขาทำอะไรก็ทำหมดนั่นแหละ ขอแค่มีคนช่วยประคองไปอย่างนี้ล่ะก็ พอไหว เจพาร่างกายที่อ่อนล้าเข้าไปหาหมอโดยมีโยตามเข้าไปด้วยไม่ห่าง โชคดีที่ไม่ต้องรอคิว ดึกๆอย่างนี้โรงพยาบาลโล่งดีแท้ หมอพูดอะไรไม่รู้ล่ะ แต่เขารู้สึกว่าได้ยินเสียงโยตอบรับอยู่เป็นระยะๆ
   
“เป็นไข้หวัดใหญ่สมบูรณ์แบบเลยล่ะครับ” น่าจะเป็นเสียงหมอ “แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าห่วง แค่คนไข้ต้องพักผ่อนมากๆ กินยาให้ครบตามที่หมอสั่ง แล้วก็อย่าเพิ่งไปทำอะไรหักโหมมากนัก นี่คนไข้พักผ่อนน้อยด้วยนะเนี่ย” หมอว่าอะไรต่อไปอีกยาวเหยียดทีเดียว กว่าจะปล่อยให้ทั้งคู่ออกมา โยพาเจไปนั่งก่อนที่เขาจะเดินไปรับยาและชำระเงิน
   
มารู้ตัวอีกที รถแท็กซี่ก็พาเขากลับมายังที่พักจนได้ เจกัดฟันอดทนอย่างที่สุดเพราะร่างกายของเขาตอนนี้อยากจะนอนนิ่งๆเหลือเกิน ไม่อยากขยับตัวไปไหนแล้ว
   
“เจ”
   
“หือ” น้ำเสียงนั้นอ่อนแรงเต็มที
   
“ไหวไหม”
   
“วันนี้นายถามคำถามนี้บ่อยจัง” เจยังอุตส่าห์มีอารมณ์ขัน “ไม่ไหวแล้วล่ะ” เขายอมสารภาพในที่สุด
   
“กินอะไรมาแล้วหรือยัง”
   
“นิดหน่อย”
   
“งั้นกินยาก่อนนะ”
   
โยประคองร่างผอมๆนั้นให้นอนบนเตียง ใบหน้าที่ขมวดมุ่นของคนป่วยดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อได้ล้มตัวลงนอนสมใจ บุรุษพยาบาลจำเป็นผละออกไปก่อนที่จะผลุบหายเข้าไปทำอะไรกึงกังในครัว กลับมาอีกทีพร้อมแก้วน้ำและขวดใส่น้ำอุณหภูมิห้องในมือ
   
เขานั่งลงข้างๆคนป่วยที่นอนอยู่ มือง่วนอยู่กับการแกะซองยาและรินน้ำใส่แก้ว
   
“มา ลุกมากินยาเสียหน่อย จะได้ดีขึ้น” เจลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่ายโดยมีมือข้างหนึ่งของโยคอยประคองเขาเอาไว้ คนไข้ไม่ได้กินยายากแต่ก็นับว่าทุลักทุเลพอดู เพราะปากคอที่ไม่รับรู้รสอะไรทั้งสิ้นมันช่างทรมาณต่อการกลืนอะไรต่อมิอะไรลงคอสิ้นดี
   
“นอนซะนะ เดี๋ยวที่เหลือเราจัดการเอง” เจพยักหน้าเบาๆ ร่างกายของเขาต้องการการพักผ่อนเต็มทีแล้ว
   
โยนั่งมองคนป่วยที่ปิดเปลือกตาหนักๆลง ไม่นานร่างนั้นก็เข้าสู่ห้วงนิทราไม่เพราะฤทธิ์ยาก็เพราะร่างกายที่เหนื่อยล้านั่นล่ะ เขาใช้มือวางลงบนหน้าผากมนๆนั่นอีกครั้งก่อนจะส่ายหน้า
   
โยเดินหายออกไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมน้ำในอ่างใบเล็กและผ้าขนหนูสองสามผืน เกิดมาไม่เคยเช็ดตัวให้ใครเสียด้วย ไม่เคยทำก็ได้ทำคราวนี้ล่ะ
   
แต่อะไรก็ไม่เท่าเขาต้องจัดการกับเสื้อผ้าที่เจใส่อยู่นี่เสียก่อนนี่สิ ลืมบอกให้เจเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเสียสนิท เขาวางข้าวของในมือลงบนหัวเตียงแล้วลงไปนั่งข้างๆคนป่วยอีกครั้ง แล้วจึงลงมือเลิกชายเสื้อยืดที่เจใส่อยู่ก่อนจะถอดออกทางศีรษะอย่างเบามือ ทำขนาดนี้เจ้าตัวยังหลับสนิทแบบไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัวสักนิด นี่ถ้าเกิดเป็นคนอื่นไม่ใช่เขามาทำแบบนี้ เขาไม่ยอมนะนี่ ต่อไปก็กางเกง โชคดีที่วันนี้เจ้าตัวไม่ได้ใส่ยีนส์ก็เลยไม่ค่อยทุลักทุเลสักเท่าไหร่ แต่กว่าจะจัดการเรียบร้อยก็กินแรงไปโขอยู่ เพราะคนป่วยเล่นไม่มีสติเอาเสียเลย

โยลงมือเช็ดตัวให้คนป่วยเสียทีหลังจากปลุกปล้ำอยู่กับเสื้อผ้าอยู่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเจชัดๆแบบนี้ ผิวที่ขาวจัดนั้นขาวและสวยมากจริงๆ ทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยจะใส่ใจดูแลมันเลยสักนิดเท่าที่รู้จักกันมานาน เจเป็นเด็กหนุ่มที่ช่วงไหล่กว้างแต่ก็ยังนับว่าผอมเกินไป ยิ่งได้เห็นเอวที่เล็กเกินผู้ชายและเผลอๆจะเล็กเกินผู้หญิงทั่วไปนั่นแล้ว ทำเอาโยถึงกับถอนหายใจ เจผอมเกินไปจริงๆ แล้วคนอะไรขายังกับผู้หญิง ทั้งยาวและเล็กแถมเนียนเรียบอีกต่างหาก ผู้หญิงมาเห็นก็อาจจะอิจฉาได้ง่ายๆเลยนะเนี่ย มิน่าเล่า ถึงได้ภูมิอกภูมิใจกับช่วงขาเรียวยาวของตัวเองนัก โยรำพึงในใจอย่างนึกขัน
   
เมื่อเช็ดตัวให้คนป่วยเสร็จเขาจึงห่มผ้าให้พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แค่เช็ดตัวให้คนป่วยแค่นี้ทำไมมันใช้พลังงานเยอะนักนะ ท่าทางเจจะกระสับกระส่ายน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังคงมีไข้สูงอยู่ คืนนี้คงต้องคอยเช็ดตัวให้ทั้งคืนกันล่ะ
   
ทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะต้องอดนอน แต่ทำไมถึงไม่ได้รู้สึกหนักใจเลยสักนิดก็ไม่รู้สิ

************************
   
กี่โมงแล้วนี่ แสบตาจัง
   
คิ้วหนาได้รูปคู่นั้นขมวดเข้าหากัน เมื่อพยายามจะเปิดเปลือกตาแต่กลับรู้สึกว่ามันช่างยากเย็น กว่าจะลืมตาขึ้นได้และรู้ว่าเช้าแล้ว ก็กินเวลาครู่ใหญ่ มือขาวๆข้างหนึ่งยกขึ้นลูบใบหน้าที่ยังคงร้อนกว่าปกติ แต่ก็แค่กรุ่นๆเท่านั้น ศีรษะก็ไม่รู้สึกหนักเท่าเมื่อวาน ร่างกายก็เบาขึ้นเยอะ ถึงแม้จะยังรู้สึกปวดเมื่อยไปหมดก็ตามที
   
เมื่อคืนจำได้แค่ว่าไม่สบายมาก แล้วดูเหมือนว่าโยจะไปรับเขากลับมา แล้วโยไปไหนเสียล่ะ
   
แต่เมื่อหันไปข้างๆก็เห็นเสี้ยวหน้าอันคุ้นเคยนอนหนุนหมอนอยู่ข้างๆเขานั่นเอง โยยังคงหลับสนิท แต่ดูจากสภาพแล้วคงจะคอยดูแลเขาทั้งคืน เสื้อผ้าก็ยังคงเป็นชุดเดียวกับเมื่อวาน เมื่อได้พิศวงหน้าอันคมคายของเพื่อนที่คบกันมานานแบบนี้ ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ทำไมถึงจะต้องอดหลับอดนอนดูแลเขาถึงขนาดนี้ก็ไม่รู้ เจตะแคงร่างหันไปทางร่างสูงใหญ่ที่นอนตะแคงหันมาทางเขาอย่างหมดสภาพ แต่ก็หล่อได้อย่างน่าทึ่ง ขนาดเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ หลายๆครั้งก็นึกชื่นชมความดูดีของคนใกล้ตัวคนนี้ขึ้นมาไม่ได้จริงๆ
   
มือข้างหนึ่งสอดลอดใต้ผ้าห่มออกมา ก่อนจะยกขึ้นวางบนแก้มสากๆของบุรุษพยาบาลจำเป็นที่นอนหลับสนิทดีเหลือเกิน แต่ไอร้อนจากมือข้างนั้นก็ปลุกให้คนที่นอนฝันหวานอยู่ลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด
   
“อรุณสวัสดิ์” คนป่วยทักทายด้วยเสียงแห้งๆแต่ใบหน้าดูสดใสขึ้นบ้างแล้ว
   
โยยิ้มให้กับใบหน้าที่ตะแคงข้างมองเขา ก่อนจะยกมือขึ้นแตะกับมือที่วางอยู่บนแก้มของตัวเองเอาไว้อย่างนั้น เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งปล่อยมือข้างนี้ไปไหน
   
“ดีขึ้นแล้วหรือ” เสียงทุ้มถามออกไปเบาๆ
   
“ก็ได้พยาบาลดี คงต้องขอบคุณเขาหน่อย” เจว่ายิ้มๆอย่างติดตลก “ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลเรา แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบาก”
   
“ไม่ลำบากหรอก” มือที่ใหญ่กว่าของเขายังคงไม่ยอมปลอยจากมือข้างนั้น แต่ยกมันวางไว้บนเตียงนุ่มๆแทน เขาหลับตาลงก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอน และเอ่ยออกมาเบาๆโดยที่ยังคงกระชับมือข้างนั้นเอาไว้แน่น “แต่เป็นห่วง”
   
ไม่รู้เพราะอะไร คำว่าเป็นห่วงที่โยพูดให้เขาบ่อยๆกลับไม่เคยทำให้หัวใจของเขากระตุกจนเต้นไม่เป็นจังหวะได้เท่าครั้งนี้
   
“ทำไมไม่บอกว่าไม่สบาย”
   
“ถ้าบอก นายคงไม่ยอมให้เราไป เราไม่อยากขาดงาน ไม่อยากเสียรายได้ ไม่อยากขาดเรียนแม้แต่คลาสเดียวด้วย”
   
“ถ้าป่วย ยังไงก็ต้องหยุดนะเจ” เขาว่าเสียงเบา “ทำไมนายชอบทำอะไรฝืนตัวเองนะ”
   
“มันจำเป็น เราก็เหนื่อยนะ” เจบอกอย่างไม่ปิดบัง “แต่บางทีมันก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก”
   
“ทางเลือกอาจจะไม่มี แต่นายไม่ได้ตัวคนเดียวสักหน่อย” ดวงตาเรียวรีนั้นมองตรงมาที่เขา “สัญญาได้ไหม ว่าต่อไปถ้าเป็นอะไรต้องบอก” ลมหายใจอุ่นๆของโยรินรดอยู่บนมือข้างที่ยังถูกกุมกระชับนั้นอย่างรู้สึกได้ “สัญญานะ” น้ำเสียงนั้นไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการบังคับเลยสักนิด แต่เป็นการขอร้องจนติดจะอ้อนวอนเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้เป็นเพราะพิษไข้หรืออย่างไร ใบหน้าของเขาจึงรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ เจก้มหน้างุด ไม่ได้ว่าอะไรต่อแต่ก็พยักหน้าตอบรับคำขอนั้นในที่สุด
   
“ขอบคุณ” โยยกมือข้างนั้นขึ้นสัมผัสริมฝีปากตัวเองแผ่วเบา ก่อนจะส่งยิ้มให้คนป่วยที่ตอนนี้ทำตาโตเพราะไม่คาดคิดกับการกระทำอันอ่อนโยนนั้น แล้วก็หน้าแดงขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ หนนี้ไม่น่าจะเป็นเพราะพิษไข้เสียแล้ว
   
“นายยังไม่หายไข้ เพราะฉะนั้นวันนี้นอนพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น งดเรียน งดคลาส งดงาน” น้ำเสียงทุ้มเปลี่ยนเป็นเข้มงวดและเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที “ห้ามเถียง” เขาพูดสำทับอย่างรู้ทัน “นายไปก็ทำอะไรไม่ได้ รอให้หายซะก่อน ถึงตอนนั้นอยากจะไปกู้โลกเราก็จะไม่ห้ามเลย” คนป่วยได้ยินแล้วไม่เพียงแต่จะเถียงไม่ออกแต่ถึงกับหัวเราะกิ๊กออกมา และพยักหน้ายอมแพ้อย่างว่าง่าย แม้จะรู้สึกดีขึ้น แต่สภาพของเขาตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะลุกเดินไปไหนมาไหนได้แน่ๆ
   
“ดีมาก”
   
“แล้วนายล่ะ”
   
“เราทำไม?”
   
“ไม่ไปเรียนเหรอ”
   
“ลาป่วย” โยว่าง่ายๆ
   
“ป่วยเป็นอะไร”
   
“นอนไม่พอ...” พูดหน้าตาเฉยเสร็จก็เดินออกไปเทิ่งๆทั้งอย่างนั้น ทำเอาเจหัวเราะพรืดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเพื่อนสนิทในแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
   
นานๆได้ป่วยสักทีก็ดีเหมือนกันนะ

____________________________________

ยาวมากค่ะตอนนี้ หวังใจไว้เช่นเดิมค่ะว่า จะได้รับความบันเทิงจากการอ่านโดยทั่วกัน ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 20-11-2009 21:57:37
เพิ่งมาจิ้มจ้า

โยกะเจน่ารักมากมาย
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 20-11-2009 23:13:22
 :mc4: ขอฉลองหน่อย ช้าไปหน่อยแต่คงไม่สายนะครับ

ความผูกพัน ความห่วงใย ความใกล้ชิด ก่อให้เกิดความ.....

มารอดูการพัฒนาการของความรักเพื่อนที่เกินเพื่อนไปแล้ว จะดำเนินต่อไปยังไง

+1 ให้เป็นกำลังใจนะครับ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-11-2009 00:13:37
+1 ให้คุณนิ้วไขว้คร่า ๆๆ
ยิ่งอ่านยิ่งรุ้สึกได้ว่าโยอบอุ่นจังงง

:)
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 21-11-2009 08:13:04
มายาวได้ใจมากๆๆคะ

เลย +1 เลย มาต่ออีกนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 21-11-2009 10:12:12
โยน่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 21-11-2009 16:12:25
ความใกล้ชิดเป็นเหตุแห่งความหวั่นไหว ความเห็นใจเป็นเหตุแห่งความรัก ....

 :กอด1: ให้คนแต่งเรื่องครับ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 24-11-2009 16:50:49
เข้ามาให้กำลังใจคุณนิ้วไขว้ค่ะ

ตอนนี้ยาวได้ใจจริงๆ แต่ชอบอ่ะ สะใจดี
สนุกมากด้วยค่ะ

หวานจัง ตอนนี้โยเริ่มแสดงความรักกับเจแล้ว เย้เย้เย้

แล้วเจล่ะ รับรู้ความรู้สึกของเจและตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน

รอต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 4 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 25-11-2009 23:00:48
เพิ่งอ่านทันจ้า

ชอบจังเลยเรื่องราวความผูกพัน ความหวังดี ที่อาจจะกลายเป็นความรักได้ในสักวัน

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

แล้วก็ขอบคุณด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 26-11-2009 15:33:24
บทที่ 5
   
“แน่ใจนะว่าดีขึ้นแล้ว” เด็กหนุ่มที่ตัวสูงใหญ่กว่าอีกฝ่ายอยู่แล้วและดูเหมือนจะตัวใหญ่อย่างเห็นได้ชัดขึ้นมาก เมื่ออีกฝ่ายดูผ่ายผอมลงไปอีกเพราะอาการป่วยถามด้วยน้ำเสียงติดจะคาดคั้น แต่ก็เจือแววความเป็นห่วงอย่างรู้สึกได้
   
“ดีขึ้นแล้วจริงๆ” แน่ล่ะกำลังวังชาอาจจะยังไม่ได้กลับคืนมาเต็มร้อยเหมือนเดิม แต่ก็นับได้ว่าดีขึ้นมาก เขาไม่มีอาการไข้ ไม่มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ปวดหัว แถมยังทานได้มากขึ้นจนน่าจะเรียกว่าเกือบเป็นปกติแล้วด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับบุรุษพยาบาลจำเป็นที่ดูแลเขาเป็นอย่างดี ที่จริงต้องบอกว่าดีเกินไปด้วยซ้ำ บ่อยครั้งที่โยทำเหมือนกับว่าเขาช่างบอบบางเสียเหลือเกิน เรียกว่าเป็นห่วงกังวลไปสารพัด ทั้งที่เขาก็ยังช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติทุกอย่างนั่นแหละ

ดูเหมือนว่าการป่วยของเขาคราวนี้ จะเปลี่ยนแปลงอะไรไปไม่น้อย เจเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่เขารู้สึกได้ว่าสายตาที่เพื่อนคนนี้มองมาที่เขา มันไม่เหมือนเดิมอย่างไรพิกล

เจได้เพื่อนที่โรงเรียนช่วยกันดูแลเรื่องการบ้านและบทเรียนให้ในช่วงที่เขาขาดเรียนไปหลังจากที่โยนั่นแหละคอยเป็นธุระให้ ส่วนคลาสที่บริษัทก็ได้โยอีกเหมือนกันที่ไปลาครูผู้สอนในแต่ละคลาสให้โดยที่บรรดาครูพร้อมใจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหายดีเมื่อไหร่ค่อยกลับมาเรียน ส่วนงานพิเศษยิ่งหายห่วง เพราะพี่อ๊อดเจ้าของร้านไม่เพียงแต่บอกให้เขารักษาตัวให้หาย แต่ยังฝากบอกด้วยว่ารับรองไม่หักค่าจ้างแน่นอน แถมยังออกค่ายาค่าหมอให้อีกต่างหาก ทำเอาเจต้องโทรไปขอบคุณเดี๋ยวนั้นด้วยความเกรงใจ
   
แต่ที่ทำให้เขาซึ้งน้ำใจที่สุดก็คือวันที่โยยื่นซองอะไรบางอย่างให้เขา เมื่อเปิดออกจึงได้เห็นธนบัตรเป็นเงินจำนวนหนึ่งที่ไม่น้อยเลยสำหรับเขาอยู่ในนั้น เจมองหน้าโยเหมือนต้องการคำอธิบาย

“แม่นายเขาฝากมาให้”
   
“ยังไง” ใบหน้าสวยๆนั่นยังขมวดอยู่อย่างงงงวย
   
“อย่าเพิ่งโกรธนะถ้าจะบอกว่าเราโทรไปหาแม่นายมา นายป่วยทั้งคนจะไม่ให้ท่านรู้ไม่ได้หรอกเจ”
   
“แล้วนี่ มายังไง”
   
“แม่นายฝากมาให้ เราไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ก็เลยรับมา รับปากว่าจะเอามาให้นาย”
   
เจก้มลองมองซองในมืออย่างไม่รู้จะพูดออกมาว่าอย่างไรดี
   
“โทรไปหาแม่เถอะ”
   
“เราไม่ได้โกรธแม่เลยนะโย แค่...” เจอ้ำอึ้ง “รู้สึกผิดที่เราไปสร้างปัญหาให้เขา”
   
“โทรไปคุยกับแม่เถอะนะ นายจะสบายใจขึ้น แม่ก็จะได้สบายใจเหมือนกัน” เจไม่ได้ว่าอะไรนอกจากก้มหน้าพลางพยักหน้าเบาๆ เห็นดังนั้นโยจึงยิ้มออกมาก่อนจะคว้าร่างที่ยืนตรงหน้าเขาเข้ามาสวมกอดเอาไว้ คล้ายกับจะเป็นการปลุกปลอบและให้กำลังใจอยู่ในที
   
พักนี้โยกอดเขาบ่อยมาก เขาคงไม่รู้สึกอะไรถ้ามันเป็นกอดแบบที่เคยทำมา แต่ระยะหลังอ้อมกอดนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปในแบบที่เขาเองก็บอกไม่ถูก มันให้ความรู้สึกดีและอบอุ่นอย่างมาก จนเขารู้สึกอุ่นใจและผ่อนคลายอย่างยิ่ง อะไรก็ไม่เท่าเขารู้สึกเคยตัวอย่างไรไม่รู้ เหมือนติดนิสัยชอบให้โยกอดไปแล้วอย่างนั้นแหละ
   
“ไป ไปโรงเรียนกัน” มือใหญ่ๆข้างหนึ่งของโยคว้ามือของเจจูงเอาไว้อย่างลืมตัว เด็กหนุ่มขืนเอาไว้นิดหนึ่งก่อนจะยิ้มให้กับโยที่ยืนทำหน้างงอยู่
   
“เราหายแล้ว ไม่ต้องจูงเป็นเด็กๆหรอกน่า” โยปล่อยมือนั้นออก แล้วยกขึ้นเกาศีรษะแก้เก้ออย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านั้น
   
ทั้งที่บอกว่าหายดีแล้วแท้ๆ แต่โยก็ยืนยันจะไปส่งเขาจนถึงโรงเรียน ไม่ว่าเจจะบอกว่าไม่ต้องหรือห้ามอย่างไร เจ้าคนตัวใหญ่กว่าก็ดูเหมือนจะไม่รับรู้ แถมยังย้ำกับเขาด้วยว่าตอนเย็นจะมารับ ห้ามหนีไปบริษัทเองเด็ดขาด
   
ที่น่าแปลกคือ เขาไม่เคยนึกรำคาญความหวังดีเกินเหตุของโยเลยแม้แต่นิดเดียวนี่สิ
   
**************************

“ไอ้เจ” เสียงเพื่อนซี้ของเพื่อนร่วมชั้นทักขึ้นอย่างยินดีเมื่อเห็นเพื่อนมาโรงเรียนได้เสียที “หายแล้วเหรอ”
   
“หายแล้ว สบายมาก” เขายิ้มให้เพื่อนเพื่อยืนยันคำพูดนั้น “คิดถึงรึไง” แถมยังกระเซ้ากลับไปอีก
   
“โอ๊ย ข้าน่ะไม่ได้คิดถึงหรอก พวกหนุ่มๆสาวๆแฟนคลับเอ็งเสียอีกเขาบ่นคิดถึง” เพื่อนคนเดิมแซวกลับ “ได้การบ้านที่ข้าฝากเพื่อนเอ็งไปใช่ไหม”
   
“ได้แล้ว ขอบใจมาก”
   
“เพื่อนเอ็งคนนี้โคตรดีเลย มันเป็นห่วงเอ็งมากเลยรู้ไหม มันเอาเบอร์ข้าไปแล้วคอยโทรมาถามไถ่ตลอดเรื่องการบ้าน เรื่องลาโรงเรียน ทีแรกข้าก็นึกห่วงอาการป่วยเอ็งนะ แต่เห็นเพื่อนเอ็งแล้ว เออ คงไม่ต้องห่วงแล้ว” เจฟังคำบอกเล่าของเพื่อนสนิทด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ได้แต่นึกขอบอกขอบใจที่มันเองก็คอยเป็นธุระให้กับเขาตลอดช่วงระยะเวลาที่เขาป่วยจนต้องลาเสียหลายวัน
   
“แล้วนี่เย็นนี้ต้องไปบริษัทอีกไหมวะ”
   
“ต้องไป ขาดมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อน”
   
เพื่อนคนเดิมเอามือตบบ่าเจเบาๆ ด้วยรู้ว่าเพื่อนตัวเองคนนี้มีความมุ่งมั่นเกินธรรมดาอย่างเอาใจช่วย
   
“อย่าหักโหมจนเจ็บป่วยไปอีกนะเพื่อน ทำเอาข้าใจหายหมด”
   
เจได้แต่ยิ้มรับโดยไม่จำเป็นต้องพูดขอบอกขอบใจอะไรออกไปให้มากความอีก

***************************

เขาเห็นร่างสูงๆที่คุ้นตานั้นมาแต่ไกล แต่ที่แปลกใจก็คือร่างนั้นถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มเด็กสาวสามสี่คน ดูจากเครื่องแบบแล้วเป็นเด็กโรงเรียนเดียวกับเขานี่เอง แล้วหมอนั่นเที่ยวได้ไปรู้จักคนโน้นคนนี้ได้อย่างไรกัน เจนิ่วหน้าออกมาอย่างนึกสงสัย และก่อนที่จะทันได้เอ่ยอะไรออกไป ร่างสูงๆนั้นก็หันมาทักเขาทันที

“เจ” แล้วทำไมต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นด้วย ถ้าอยู่กันสองคนน่ะไม่เท่าไหร่หรอก นี่มีคนอยู่ตั้งเยอะ ถึงคนอื่นจะไม่คิดอะไร แต่เขานี่แหละที่รู้สึก
   
“อุ๊ย เพื่อนพี่เจเหรอคะ” เด็กสาวคนหนึ่งหันมาถามเขาอย่างแปลกใจ ถึงแม้จะไม่รู้จักเด็กคนนี้เป็นการส่วนตัว แต่โรงเรียนนี้ก็ยากที่จะหาคนที่ไม่รู้จักเขา ไม่ใช่เพราะใบหน้าที่โดดเด่นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะผลการเรียนและการทำกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอนั่นด้วย ใครบ้างที่นี่จะไม่รู้จักเจ ห้อง 6.2
   
เจพยักหน้าให้เด็กสาวพร้อมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่ก็หน้าเหวอไปทันทีเมื่อได้ยินผู้ปกครองจำเป็นเอ่ยออกมาว่า
   
“ผมมารับคนนี้แหละครับ ไม่ยักรู้ว่าเจจะเป็นที่รู้จักขนาดนี้นะ” ใครไม่รู้สึกแต่เจรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงนั่นมีแววล้อๆเขาอย่างไรพิกล
   
“โธ่ ก็ไม่บอก ปล่อยให้เรายืนถามอยู่ตั้งหลายวัน”
   
“แต่ก็ขอบคุณที่นะครับที่คอยมาถาม เป็นเพื่อนคุย”
   
หนอยไอ้คนปากหวาน เจนึกค่อนขอดอยู่ในใจ ไม่รู้ทำไมถึงนึกหมั่นไส้หน้าหล่อๆที่ส่งยิ้มหวานๆให้สาวๆกลุ่มนี้นัก
   
“ไปรึยังโย”
   
เจ้าตัวพยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นมือออกไปกอดคอเด็กหนุ่มเหมือนอย่างที่ทำอยู่เป็นปกติ แต่มันให้ความรู้สึกไม่ปกติด้วยอย่างไรพิกล
   
“ไปนะครับน้องๆ” ยังมีหันไปบอกลาอีก มารยาทงามจริง เจยังไม่เลิกหงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุ
   
“พี่เจหวัดดีนะค้า พี่โยด้วยค่า” เสียงสาวๆร้องดังขึ้นตะเบ็งเซ็งแซ่
   
“แก... “เสียงแหลมๆของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นแค่พอได้ยินกันสามสี่คน “ฉันว่าคู่นี้เค้าน่ารักมั้ย”
   
“เห็นด้วย ผู้ชายหน้าตาโคตรดีสองคน ยังไงก็ดูดี”
   
“ทีแรกที่ฉันเห็นพี่เค้ามายืนรอใครหน้าประตูยังคิดเลย แหม น่าจีบ” เพื่อนคนอื่นได้ยินแล้วเบ้ปาก ในใจอยากจะถามออกไปใจจะขาดว่า แล้วถามพี่เขาหรือยังว่าพี่เขาอยากได้ไหม แต่ก็ยั้งไว้ได้ทันเสียก่อน
   
“พอเห็นว่าคนที่มารับเป็นพี่เจ....” ว่าแล้วยั้งไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะว่าต่อ “ตัดใจเถอะ”
   
“ไอ้บ้า เค้าเพื่อนกัน”
   
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าจะเป็นอย่างอื่นฉันก็ไม่แปลกใจย่ะ”
   
“คนสวยๆอย่างพี่เจใครจะไม่รักบ้าง”
   
“งั้นฉันยอม”
   
“ฉันก็ยอม”
   
พูดเองเออเองจนพอใจแล้ว เสียงนกกระจอกแตกรังนั้นก็เงียบลง ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านในที่สุด ทำเอาคนแถวนั้นมองราวกับอยากจะถามออกไปเต็มแก่ว่า เป็นอะไรกันมากไหม

*****************************

“ไปรู้จักมักจี่กับน้องๆได้ยังไงน่ะหือ” เจตั้งใจจะถามธรรมดา แต่ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงจึงฟังดูเหมือนคาดคั้นอย่างรู้สึกได้
   
โยก้มลงมองหน้าคนข้างๆอย่างแปลกใจ และนึกอยากรู้ว่าคนถามคิดอะไรในใจ แต่พอได้เห็นหน้ามุ่ยๆที่ไม่ยอมสบตาเขาแถมยังก้าวขายาวๆเหมือนอยากจะหนีหน้าเขาเต็มที ก็ทำเอาเจ้าตัวหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ หน้ามุ่ยๆนั่นเลยเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างนึกเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ
   
“หัวเราะอะไร”
   
“เปล่า” ปากว่าไปอย่างนั้น แต่ก็ยังหยุดหัวเราะชอบใจไม่ได้อยู่ดี อีกฝ่ายเลยยิ่งหงุดหงิด ชักอดทนกับใบหน้านี้ไม่ไหว ไวเท่าความคิด มือข้างหนึ่งจึงผลักหน้าหล่อๆนั่นเสียจนหงายไปเลย ถึงอย่างไรเจก็เป็นเด็กผู้ชายแถมแรงยังเยอะเสียด้วย เจ้าตัวถึงกับโอดครวญออกมาชวนให้หมั่นไส้หนักขึ้นไปอีก
   
“นึกว่าโดนถีบ” มือก็คลำไปที่หน้าตัวเองป้อยๆ
   
“ไปห่างๆ” เจนึกหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ
   
“โธ่ ล้อเล่นน่า” โยว่าอย่างนึกขัน “ก็ตอนที่เรานัดมาเอาการบ้านจากเพื่อนนาย ต๊อก ใช่ไหม เราก็มายืนรอตรงหน้าประตูนี่แหละ สาวๆพวกนั้นจู่ๆก็เดินเข้ามาพูดคุยทักทาย เราก็บอกมารอเพื่อน เรามาทีไรก็มาทักทุกที แต่ก็แค่ทักทายไม่มีอะไรหรอก เสร็จก็กลับ”
   
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังทำหน้ามุ่ยไม่หาย เขาก็ยิ่งหยุดยิ้มไม่ได้
   
“จริงๆ”
   
“แล้วไง ถึงไม่จริงเราก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนนี่หว่า” ดูเอาเหอะ
   
“แล้วไหงโกรธล่ะ”
   
“ใครบอกว่าโกรธ” เจหันมาตอบเสียงฉิว
   
“โกรธจริงๆด้วย”
   
“ไม่ได้โกรธโว้ย”
   
“งั้นก็งอน”
   
“เราจะงอนเพื่อ”
   
“หวง?”
   
คำคำเดียวทำเอาเจสะดุดกึกหยุดเดินทันที พร้อมกับหันไปมองหน้าไอ้คนพูด เจทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่หยุดไว้แค่นั้นก่อนจะสาวเท้าก้าวยาวๆออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก
   
โยรีบเดินตาม ก่อนจะก้มหน้าไปมองใบหน้าเพื่อนร่วมทางที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินเหมือนตามควายหายก็ไม่ปาน ก่อนจะได้เอ่ยถามอะไรออกไป ร่างนั้นก็ชิงพูดดักเอาไว้ก่อน
   
“ห้ามถาม”
   
โยอมยิ้ม ยกมือขึ้นสองข้างเป็นนัยว่ายอมก็ได้ ก่อนจะเดินเคียงข้างกันไปโดยไม่พูดอะไรกันอีก
   
ในใจเจได้แต่ครุ่นคิดกับตัวเองว่า จะตอบได้ยังไงวะ ว่าหวงมันจริงๆ!

************************
   
ไอ้อาการหวงที่เจ้าตัวเฝ้าครุ่นคิดมาตลอดการเดินทางมาบริษัทนั้น นับได้ว่ารบกวนจิตใจเด็กหนุ่มไม่เบา ทำให้ใบหน้าที่ปกติก็เหมือนเสือยิ้มยากอยู่แล้วยิ่งบึ้งตึงลงไปอีก ทำเอาเพื่อนฝูงในคลาสรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น บางคนตั้งใจจะเดินเข้ามาทักทายหลังจากที่เจป่วยและหายไปเสียหลายวันก็ถึงกับอ้ำๆอึ้งๆ เพื่อนซี้อย่างโยเห็นแล้วได้แต่นึกขัน อดรนทนไม่ได้ถึงต้องเดินไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเจ้าตัว สักพักใบหน้าบึ้งตึงนั้นจึงค่อยผ่อนคลายและยิ้มออกมาได้
   
“พี่ไปพูดอะไรกับพี่เจมา ถึงได้เปลี่ยนจากหน้าบึ้งมายิ้มได้เสียที พวกผมล่ะโล่งเชียว” ซัน เด็กหนุ่มรุ่นน้องกว่าโยหนึ่งปี แต่ผ่านออดิชั่นมาก่อน ถึงกับออกปากถามด้วยความใคร่รู้ ทำเอาโยหัวเราะพรืดออกมา
   
“ไม่ได้พูดอะไร แค่บอกว่าเอาแต่ทำหน้าบึ้งคนอื่นเขากลัวหมดแล้ว เดี๋ยวก็แก่เร็วหรอกแค่นั้นเอง เจมันกลัวดูไม่ดีที่สุดเลย ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองยังกะอะไรดี” ว่าแล้วก็หัวเราะเบาๆสำทับอีกที
   
“เห็นจะมีแต่พี่นี่แหละที่คุยอะไรแบบนี้กับพี่เจได้”
   
“เจเขาไม่มีอะไรหรอกซัน เวลาที่หมกมุ่นกับอะไรมากๆหน้าตาก็จะเป็นแบบนี้แหละ ดูดีๆบางทีก็แค่เหม่อเฉยๆน่ะ”
   
“หา...” เด็กซันหันไปมองรุ่นพี่หน้าสวยที่ตอนนี้มีคนกล้าเข้าไปพูดคุยทักทายมากขึ้นแล้ว “พี่ไม่บอกผมไม่รู้นะเนี่ย”
   
“ปกติเราไม่ได้คุยกะเขาหรือ”
   
“คุยนะ แต่น้อย เราเรียนไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ที่ผ่านมา แต่ผมชอบพี่เจนะ” ร่างสูงๆนั้นเลิกคิ้วอย่างนึกประหลาดใจ “จริงๆพี่ พี่เจเขาออกจะดึงดูดใจ แล้วพี่ฟังเสียงเขาเวลาร้องเพลงเสียก่อน ผมงี้ถึงกับเคลิ้มเลย”
   
“เจ้าซันเอ๊ย ตัวเองก็เสียงดีจนติดอันดับท็อปของรุ่น นี่ชมคนอื่นไม่ได้ดูตัวเองเลยใช่ไหม” โยว่าอย่างนึกขันแถมเอามือขยี้ศีรษะรุ่นน้องที่ตัวเล็กกว่าเขาอย่างนึกเอ็นดู เขานิยมชมชอบนิสัยใจคอของซันมานาน ค่าที่ว่าเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส แถมมนุษย์สัมพันธ์ก็ดี ยังไม่นับเรื่องความสามารถในการร้องเพลง เต้นรำ แล้วยังเล่นดนตรีได้ด้วยอีกต่างหาก
   
โยหันไปมองเพื่อนคนสำคัญที่อยู่ตรงมุมห้องอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าในสายตาของใครหลายๆคน เพื่อนสนิทที่มีใบหน้าหลากอารมณ์เวลาอยู่กับเขาจะดูเป็นคนที่เข้าถึงยากในสายตาของคนอื่นขนาดนี้ นี่เขารู้สึกดีใจนะนี่เพราะเหมือนกับเขาเป็นคนพิเศษอย่างไรก็ไม่รู้
   
และไม่น่าเชื่ออีกเหมือนกันว่าเหตุการต่างๆที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่วันจะทำให้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนแปลงและชัดเจนขึ้นได้มากมายถึงเพียงนี้ เขาก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าเพื่อนคนนี้จะรู้สึกต่อเขาอย่างไร แต่สำหรับเขา แค่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้ ก็พอแล้ว
   
ร่างขาวๆที่โดดเด่นออกมาจากกลุ่มคนที่กลุ้มรุมพูดคุยกันอยู่อย่างออกรสอยู่นั้น จู่ๆก็หันมาสบตากับเขาโดยบังเอิญ และโยก็ส่งยิ้มกลับไปให้เหมือนอย่างทุกครั้ง
   
เขิน! ทำไมจะต้องยิ้มแบบนั้นให้กับเขาด้วย แต่โยก็ยิ้มให้เขาแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ หรือที่ผ่านมาเขามัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องของตัวเองจนไม่ทันได้สังเกต ไม่สิ ไม่เคยสังเกตเลยต่างหาก
   
เจรู้แต่ว่า โยจะคอยอยู่ข้างๆเขาตลอดเวลา แต่ไม่เคยสังเกตว่ามีแต่เจเท่านั้นที่โยจะคอยเอาน้ำมาให้ ถามไถ่ว่าวันนี้เป็นอะไร คอยเตือนว่าจะต้องทำอะไร คอยบอกให้เขาดูแลตัวเอง และมีอีกตั้งมากมายที่โยทำให้เขา คนเดียว เจไม่เคยเห็นโยใส่ใจใครขนาดนี้เท่ากับเขา จนกระทั่งวันที่เกิดเรื่องอย่างวันนั้น โยก็คอยกอดเขาคอยปลอบใจ ตอนป่วยหนักก็คอยดูแลอดหลับอดนอนเพื่อเขา
   
จนตอนนี้พวกเขากลายเป็นเพื่อนร่วมห้องกันไปแล้วโดยปริยาย
   
ทำไมโยจึงทำอะไรมากมายเพื่อเขาถึงเพียงนี้
   
“เจ เหม่ออีกแล้ว ขอร้องอย่าทำหน้าแบบนี้บ่อยๆได้ไหม เราใจไม่ดีว่ะ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งทำท่าแหยงๆ
   
“อ้าว ไหงงั้น?” เจ้าตัวว่างงๆ
   
“มันน่ากลัว” พูดแล้วก็เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมวงสนทนาได้เกรียวกราว แม้จะดูเข้าถึงยาก แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เจเป็นขวัญใจของใครหลายคนในนี้

************************

หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 26-11-2009 15:41:27
เด็กหนุ่มเดินถือเป้ใบเก่งออกมาทั้งที่เส้นผมยังหมาดชื้นอยู่ ทำเอาเด็กหนุ่มอีกคนบ่นอุบ
   
“เจ เพิ่งหายป่วย ไม่เช็ดผมให้แห้งหน่อยล่ะหา” เสียงทุ้มๆแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้
   
“กลัวไปร้านไม่ทัน ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็แห้งแล้ว” เจตอบกลับไปยังร่างสูงๆที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ อย่างหนึ่งล่ะที่โยจะช้ากว่าเขา หมอนี่อาบน้ำนานเป็นบ้า นี่เขาว่าเขาเองก็ดูแลตัวเองประมาณหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องอาบน้ำล่ะก็ ต้องยกให้โยไปเลย
   
“นี่” เขาเรียก ทำเอาร่างขาวๆที่ดูเร่งรีบต้องหยุดหันมามอง
   
“อะไรอีก”
   
“มีอะไรให้โทรมา โอเคไหม” เจพยักหน้า “แล้วดูแลตัวเองด้วยล่ะ” หนนี้ร่างนั้นคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะโบกมือให้และผลุบหายออกไปอย่างรวดเร็ว

***************************
   
“พี่เจคะ” เด็กหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตาสาวเท้ายาวๆเพื่อเดินไปขึ้นรถหันตามเสียงเรียกนั้นอย่างให้นึกประหลาดใจ ทำไมวันนี้มีคนอยากคุยกับเราเยอะจริง เขารำพึงกับตัวเองในใจ
   
“ครับ” แล้วก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่เรียกเขาอยู่นั้นเคยเรียนกับเขามาบ้างในบางคลาส แม้จะคุ้นหน้า แต่คงเรียกไม่ได้ว่าสนิทสนมกัน ถ้าจำไม่ผิดเด็กคนนี้น่าจะเป็นเด็กที่เข้ามาทีหลังเขาปีหนึ่ง แต่ว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกันนัก
   
แล้วคนที่แทบไม่เคยคุยกันต้องการอะไรจากเขา ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วของเด็กหนุ่มยิ่งดูโตขึ้นอีกด้วยความประหลาดใจ
   
ผู้ชายคนนี้ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจเหลือร้ายนัก แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยรู้ก็เถอะ เด็กสาวคิดในใจ ตัวเธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังนึกทึ่งในความดูดีของเด็กหนุ่มที่สูงกว่าเธอกว่าสิบเซ็นติเมตรคนนี้ไม่ได้เลย นี่ถ้าเขาตัวพอๆกับเธอ แล้วจะมีใครเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร
   
“คือ...” เด็กสาวอ้ำอึ้งอยู่เป็นนานแต่ก็หลุดปากออกมาได้ในที่สุด “ต้องขอโทษด้วยนะคะที่จู่ๆก็มาพูดอะไรแบบนี้” เจก้มลงมองเด็กสาวหน้าตาน่ารักที่ก้มหน้าก้มตาพูดอย่างประหม่าเอามากๆ “อยากจะรบกวนอะไรพี่เจหน่อยค่ะ” เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาตรงๆในที่สุด
   
“ครับ?” เด็กหนุ่มยังคงพูดซ้ำคำเดิมอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
   
“รุ้ง...เอ่อ เห็นพี่สนิทกับพี่โยมาก ก็เลย...” อ๋อ เด็กคนนี้ชื่อรุ้งหรอกหรือ “อยากจะฝากของไปให้พี่โยหน่อย... ได้ไหมคะ”
   
เอาแล้วไง เคยเห็นว่ามีแต่ในหนัง แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอเองกับตัว ที่ผ่านมาเขาเป็นฝ่ายได้รับหรือมีคนรับมาให้เขาอีกต่อหนึ่งมากกว่า นี่เห็นทีจะเป็นครั้งแรกล่ะมังที่มีคนฝากของให้เขาเพื่อส่งมอบให้คนอื่นอีกต่อ แถมคนๆนั้นดันเป็นเพื่อนสนิทของเขาเสียด้วย
   
“เอ่อ...” เจยกมือข้างหนึ่งเกาศีรษะอย่างลำบากใจ เขาควรจะทำอย่างไรดีล่ะนี่
   
“นะคะพี่เจ” เสียงเด็กสาวยังคงออดอ้อนขอร้องเขา “พี่สนิทกับพี่โยที่สุด ยังไงแค่เอาของนี่ไปให้พี่เขาก็พอค่ะ”
   
“พี่ว่า เอาไปให้เจ้าตัวเองไม่ดีกว่าหรือครับรุ้ง” ก็ถ้าเป็นเขา หากชอบใครเขาก็คงเข้าไปบอกตรงๆเลยตามนิสัยนั่นแหละ
   
“รุ้งไม่กล้าหรอกค่ะ” เด็กสาวยังคงยืนกราน “นะคะพี่เจ”
   
แล้วกล่องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พร้อมกับจดหมายเล็กๆน่ารักที่แนบมาด้วยก็อยู่ในมือของเขาจนได้ เจทำหน้าปูเลี่ยนๆ แต่ก็หย่อนถุงนั้นลงไปในเป้ กลับห้องแล้วค่อยเอาไปให้เจ้าตัวเขาก็แล้วกัน
   
ไม่ยักรู้ว่าเพื่อนเขาก็เสน่ห์แรงไม่เบาเหมือนกัน

**************************

เสียงไขกุญแจประตูห้องทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งทำการบ้านอยู่ถือโอกาสลุกเดินขึ้นมายืดเส้นยืดสาย หลังจากที่นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่เป็นนาน
   
เขาหยุดยืนมองดูด้านหลังอันคุ้นเคยของเด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังสาละวนเก็บรองเท้าเข้าตู้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะยิ้มให้เมื่อร่างนั้นหันมาเห็นเขา
   
“ที่ร้านเป็นยังไงบ้างวันนี้”
   
“ไม่ยุ่งเท่าไหร่แล้ว ทุกคนถามเรื่องอาการป่วยกันใหญ่เลย แต่พอเห็นเราแข็งแรงดีแล้วก็เลยเบาใจ เข้าไปขอบคุณพี่อ๊อดกับตัวมาแล้วด้วย ถ้าไม่ได้พี่เขาช่วยเราก็คงแย่” โยเบาใจเมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มและน้ำเสียงที่กลับมาร่าเริงเหมือนเดิมเสียที
   
“แล้วนี่” เจชูถุงที่ใส่กับข้าวมาสามสี่อย่างให้โยดู “พี่เขาเลยฝากมาให้กินด้วย เราคงดูผอมมาก เลยกะจะขุนเรากันใหญ่ แหงๆเลย” เมื่อเห็นคนพูดกลอกตาขึ้นอย่างติดตลก โยถึงกลับกลั้นยิ้มออกมาไม่ไหว ยื่นมือไปรับถุงอาหารนั้นมา ก่อนจะหยิบเป้ไปวางไว้ให้ที่โซฟาให้แล้วเดินตรงไปยังตู้เย็น
   
เมื่อเดินออกมาก็เห็นเจนั่งปุอยู่ตรงโซฟาอย่างสบายอารมณ์เรียบร้อยแล้ว
   
“ก็ดีนะ คงได้อิ่มท้องไปหลายมื้อ แถมนายก็จะได้ไม่ต้องวุ่นเรื่องทำอาหารเกินไปด้วย”
   
“เราไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย” เจว่า
   
“นายไม่ลำบาก แต่เราก็อยากให้นายได้อยู่สบายๆบ้าง” โยว่าตรงๆ
   
เงียบกันไปพักหนึ่ง ในที่สุดเจก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเอ่ยถามออกไป
   
“ถามจริงๆนะ” เจชั่งใจ “ทำไมนายถึงไม่คิดจะหารูมเมตมาแชร์ค่าห้องเลย”
   
“ถ้ามีรูมเมตนายก็แวะมาไม่ได้บ่อยๆน่ะสิ” เจหันไปมองคนข้างๆอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ปกติเวลาที่เขาเอ่ยถามเรื่องนี้ ถ้าโยไม่ตอบแบบทีเล่นทีจริงก็คงจะเฉไฉไปเรื่อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่โยตอบออกมาตรงๆ ทำเอาเขาอึ้งไปเลยเหมือนกัน
   
“นี่พูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย”
   
“พูดจริง” โยหันไปมองหน้าคนถามบ้าง “มีนายมาอยู่เป็นเพื่อนบ้างแค่นี้ก็ดีอยู่แล้ว เราเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร ก็เลยไม่คิดหาใครมาอยู่ด้วยเลย”
   
“แสดงว่าที่ผ่านมานี่ ไม่เคยหาเลย?”
   
ร่างนั้นส่ายหน้า
   
“นี่นายทำให้เรารู้สึกเหมือนเอาเปรียบนายอยู่ยังไงไม่รู้” เจขมวดคิ้วอย่างไม่นึกชอบใจนัก
   
“เอาเปรียบอะไรกัน”
   
“เรามาอาศัยห้องนายอยู่นะโย ฟรีด้วย แย่งเตียงนายนอน ใช้ครัวนาย ใช้โน้ตบุ๊กของนาย แถมบางทีก็เจ้ากี้เจ้าการหลายสิ่ง แบบนี้จะว่าเราไม่เอาเปรียบนายได้ยังไง” เด็กหนุ่มว่ายืดยาวพลางพ่นลมออกจมูกอย่างไม่สบอารมณ์
   
“ถ้าเราไม่ชอบเราก็บอกนายไปแล้ว” โยว่าง่ายๆ
   
“นายจะชอบได้ยังไง”
   
“ชอบ” น้ำเสียงที่หนักแน่นนั้นทำเอาอีกฝ่ายอึ้งไปเสียสนิท “เราชอบให้นายมาอยู่ด้วย ชอบที่จะได้ช่วยเหลือนาย ชอบให้นายมาบ่นโน่นบ่นนี่ ชอบอาหารที่นายทำ ชอบทุกอย่างนั่นแหละ” ดวงตากลมโตสีดำสนิทนั้นเบิกกว้างขึ้น “จริงๆ” เขาย้ำ
   
“ไม่รำคาญหรือ”
   
“ไม่เลย”
   
“ไม่เบื่อ?”
   
ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
   
“ทำไม?”
   
“ไม่รู้สิ เพราะเป็นนายมั้ง” เขาว่าพลางยักไหล่ “เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าเป็นคนอื่นเราอาจจะไม่สบายใจเท่านี้ เหตุผลง่ายๆเลยนะ ว่าไหม” เขาถามอย่างติดตลก “เอาน่า ไม่ต้องคิดมาก” โยขยี้ศีรษะนั้นเบาๆ “อยู่กันไปแบบนี้แหละดีแล้ว” เขาสรุปง่ายๆ “ไปอาบน้ำไป จะได้พักผ่อน”
   
เจหันไปมองคนตัวสูงกว่าอย่างงงๆและไม่สู้จะเข้าใจอะไรนัก รู้แต่ไอ้ที่เพิ่งได้ยินจากปากเจ้าของห้องนี้ ทำให้เขารู้สึกดีเป็นบ้า
   
“เออ เดี๋ยวก่อน” เจโพล่งออกมาเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ เด็กหนุ่มคว้าเป้ขึ้นมาเปิดแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาอะไรบางอย่างในนั้น ก่อนจะชูขึ้นมาและส่งให้คนข้างๆ “อ่ะ...”
   
“อะไร?”
   
“มีคนฝากมาให้” เจว่า “เด็กผู้หญิง เขาคะยั้นคะยอมา เราไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธยังไงจริงๆ”
   
โยยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะค่อยๆแกะกล่องของขวัญนั้น ข้างในเต็มไปด้วยกระดาษสีมากมายที่อัดกันเอาไว้ แต่เมื่อรื้อๆดูแล้วจึงได้เห็นว่ามีถุงกำมะหยี่ใบเล็กสีดำซ่อนอยู่ หน้าถุงปักด้วยด้ายสีสวยเป็นชื่อยี่ห้อเครื่องประดับที่ขึ้นชื่อเรื่องแบบที่ไม่ซ้ำใครและราคาที่สูงไม่เบา มือหนาแต่เรียวยาวแบบผู้ชายแกะถุงนั้นออก ภายในมีจี้สร้อยคอที่สวยมากอยู่เส้นหนึ่ง สายสร้อยดูเรียบก็จริง แต่กลับส่งให้จี้ที่กำลังสะท้อนแสงสีเงินนั้นดูโดดเด่นขึ้นไปอีก
   
“โอ้โห... สวย” เจร้องออกมา “เหมาะกับนายมากเลยนะเนี่ย”
   
“ท่าทางจะแพงน่าดู” โยนิ่วหน้า “รู้สึกไม่ดีเลยถ้าจะให้รับของมีราคาขนาดนี้” ว่าแล้วก็ยื่นส่งให้เจได้ดูชัดๆ ด้วยรู้ว่ารายนี้ชอบเครื่องประดับมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นต่างหู สร้อยข้อมือ หรือสร้อยคอ เจชอบทุกอย่าง ถ้าถูกใจและพอมีกำลังซื้อ เจ้าตัวก็จะพยายามเจียดเงินที่พอจะเหลือเก็บอยู่บ้างซื้อเก็บเอาไว้ ว่าตามจริง เจเป็นคนแต่งตัวเก่งคนหนึ่งเลยล่ะ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรมาสวมใส่ก็ดูดีไปเสียหมดจริงๆ เอาเป็นว่ารสนิยมของเจนั้นเชื่อถือได้ก็แล้วกัน
   
โยหยิบจดหมายที่แนบมากับของขวัญขึ้นเปิดอ่าน เขาทำตาโต ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆที่ตอนนี้ทำท่าสนใจจดหมายในมือของเขามากกว่าสร้อยคอสวยๆเส้นนี้เสียอีก โยยื่นจดหมายฉบับนั้นให้เจอ่าน
   
“เฮ้ย... ไม่ได้” เจปฏิเสธเป็นพัลวัน “เขาเขียนให้นาย ไม่ได้ให้เรา ไม่ดีหรอก”
   
“อ่านเถอะ เราอยากให้นายอ่าน”
   
เจรับมาในที่สุดก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
   
“ท่าทางเขาจะชอบนายมากนะโย” เจว่าเสียงอ่อนพลางพับจดหมายฉบับนั้นส่งคืนเจ้าของไป
   
“เราไม่ได้ชอบเขา”
   
“ใจร้ายแฮะ”
   
“ไม่ชอบ แต่ดันไปบอกว่าชอบแบบนั้นยังจะใจร้ายกว่าอีก” เหตุผลนี้เถียงไม่ได้เลยสักนิด
   
“นายยังไม่เคยได้ทำความรู้จักกับเขา รู้ได้ไงว่าจะไม่ชอบ”
   
โยยิ้มก่อนจะจ้องหน้าคู่สนทนาราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง
   
“นายอยากให้เราคบกับเขาหรือไง”
   
เจนิ่วหน้ากับคำถามนั้น
   
“นายจะคบกับเขาเกี่ยวอะไรกับเราอยากไม่อยาก?”
   
“เกี่ยวสิ”
   
“เกี่ยวยังไง”
   
“ก็นายเป็นเพื่อนเรา”
   
“แล้ว?”
   
“ก็เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด”
   
“อ่าฮะ” เจยังคงเอียงคอเหมือนจะรอคำอธิบายจากปากคนข้างตัวอย่างตั้งอกตั้งใจ
   
“เรามีแฟนแล้วใครจะดูแลนาย”
   
“เราไม่เห็นต้องให้นายดูแลสักหน่อย”
   
“จริงอ่ะ?”
   
“ก็... อาจจะนิดหน่อย” เจก้มหน้าด้วยจนใจกับข้อเท็จจริงอันนี้ “แต่มันก็ไม่เกี่ยวกันอยู่ดี”
   
“งั้นตอบมาสั้นๆ” หนนี้โยมองหน้าเจตรงๆ “นายอยากให้เรามีแฟนไหม”
   
เงียบ ไม่มีคำตอบใดๆออกมาจากปากของเด็กหนุ่มข้างตัว คำถามง่ายๆแค่นี้ก็ตอบไปสิเจ
   
“โอ๊ย ไม่รู้โว้ย” จู่ๆร่างนั้นก็พรวดพราดลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งยัดสร้อยเส้นนั้นใส่มือของอีกฝ่าย ก่อนที่จะคว้ากระเป๋า เดินเข้าไปในห้องแถมปิดประตูตามหลังอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาโยที่มองตามร่างนั้นนิ่งไปเป็นครู่ปิดปากหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายที่เดินหน้ามุ่ยเข้าห้องไปได้ยินเข้า
   
ทีแรกก็นึกว่า สงสัยจะคิดไปเองคนเดียว แต่ตอนนี้ชักจะยังไงเสียแล้ว
   
โยก้มลงมองสร้อยที่เพิ่งถูดยัดกลับคืนมาในมือ ก่อนจะยิ้มออกมา

ขอโทษนะที่ไม่อาจตอบรับไมตรีของเธอได้ จะให้พี่ตัดใจจากไอ้คนปากแข็งนั่นคงยากแล้วล่ะ

______________________________

ต้องขอโทษทุกท่านนะคะที่มาต่อตอนนี้ช้ากว่าปกติไปซักหน่อย คนเขียนงานเข้าน่ะค่ะ ^_^''' นึกได้อีกทีก็รู้สึกว่าทิ้งช่วงนานไปหน่อยแล้ว พอว่างปุ๊ป ก็เลยรีบเอาตอนใหม่มาลงให้ได้อ่านกัน สำหรับตอนนี้ แม้ว่าจะไม่ยาวมากเท่ากับตอนที่แล้ว แต่ก็น่าจะพอทำให้ได้เห็นความสัมพันธ์ของโยและเจที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาล่ะนะคะ

ติดตามกันไปเรื่อยๆค่ะ ชีวิตของเจยังจะต้องเจออะไรอีกไม่น้อยทีเดียวชนิดคนอ่านต้องได้ลุ้นกันจนเหนื่อย แต่ก็ไม่ต้องห่วงนะคะ น้องมีโยคอยดูแลอยู่เป็นอย่างดีทีเดียว หวังว่าจะชอบและสนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 26-11-2009 16:05:26
ขอบคุณสำหรับตอนที่ 5

น่ารักมากมายและพัฒนาขึ้นเยอะเลย อ่าๆๆ รอดูต่อไปคะ

+1 กับเรื่องราวน่ารักดีคะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 26-11-2009 16:56:28
หุหุหุ

น่ารักกันจริง
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 26-11-2009 19:15:50
ใกล้แระๆ  ชักเริ่มหวั่นไหว ใจมันสั่นรัว หุหุ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 26-11-2009 19:24:43
ความรักเริ่มก่อตัวทีละเล็กทีละน้อยแล้ว

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 26-11-2009 23:30:10
สาวกยุนแจ มารายงานตัวค่าา

พึ่งได้เข้าเล้ามาเห็นเรื่องนี้  คุณนิ้วไขว้บรรยาย เจ

ได้เห็นภาพตัวจริงมั่กมัก  หุหุ ลูกสาวอิชั้น สวยเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในฟิคไหน

ส่วน โย ก็ยังอ่อนโยนช่างดูแลอีกตามเคย แถมในเรื่องท่าทางเจ้าเล่ห์ไม่เบา

รุกเพื่อนน่าดู  :-[    ที่สำคัญ ชอบน้อง ๆ ที่โรงเรียนเจ กี๊ซซ..วายได้ใจพี่จริง ๆ

อ่านไปยิ้มไป มีความสุขมากค่ะ  ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้นะคะ .. :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Yukisae ที่ 26-11-2009 23:53:28
พี่นิ้วไขว้ มารายงานตัวค่ะ
ชอบตั้งแต่เพลงรักแล้ว
ยิ่งเรื่องนี้เป็นยุนแจ โยเจอีก
ไม่พลาดๆ น่ารักมากเลยค่ะ
เจน่ารักที่สุด :-[
ขอบคุณนะคะ +1


หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 27-11-2009 14:15:35
หวัดดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

กำลังลุ้นว่า โยจะบอกรักเจยังไง
คงใกล้แล้วสินะคะ
ขอแบบหวานๆ นะ

ท่าทางเจก็คงรู้สึกเหมือนโยแน่เลย...
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 28-11-2009 00:27:55
ชอบเรื่องนี้อีกแล้ว  น้องเจน่ารัก  :o8:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 5 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 28-11-2009 12:18:15
ชอบค่ะ นุกดี มาลงที่ยาวๆเค้าชอบมากๆอ่านทที่แบบตดลมโคตร จะมีน้ำต้นกับพี่นนมาแจมปะเนี่ย
อยากให้มีเข้ามาแจมด้วยสงสัยจะน่ารัก รอตอนใหม่นะค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 02-12-2009 16:34:37
บทที่ 6

ภาพเด็กหนุ่มสองคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันนั้นยิ่งเห็นได้บ่อยมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้พวกเขากลายเป็นเพื่อนร่วมห้องกันไปเรียบร้อยแล้ว ตอนเช้าออกจากห้องพร้อมๆกันเพื่อขึ้นรถประจำทางคันเดียวกัน ก่อนจะแยกย้ายกันระหว่างทาง ตอนเย็นคนหนึ่งก็ไปรับอีกคนหนึ่งราวกับเป็นกิจวัตรที่ต้องทำอยู่เป็นประจำไม่ให้ได้ขาด แล้วจึงเดินทางไปบริษัทเพื่อฝึกซ้อมกันอย่างที่ทำเป็นประจำสัปดาห์ละหกวัน จะแยกกันก็ตอนที่เจต้องไปทำงานพิเศษและกลับไปเจอกันอีกครั้งที่ห้องนั่นแหละ

โยยิ่งดูแลใส่ใจเจมากขึ้นไปอีก เมื่อหนหนึ่งมีเด็กผู้ชายรุ่นพี่คนหนึ่งที่เรียนอยู่ด้วยกัน ตามตื๊อเจไม่หยุด หมอนั่นก็ไม่ได้มีทีท่าหวังร้ายอะไรหรอก แค่เอะอะอะไรก็ร้องหาเจ ถามโน่นถามนี่ ขอให้เจช่วยเรื่องการร้องเพลง หนักเข้าถึงกับจะไปส่งเจถึงร้านอาหารที่ทำงานพิเศษอยู่ ด้วยเพราะหมอนี่มีรถขับ เห็นแล้วโยไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร ยิ่งได้เห็นท่าทางที่ดูลำบากใจของเจด้วยแล้ว จะให้โยปล่อยไปได้อย่างไร ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายโน้นมีทีท่าสนใจเจชัดเจนขนาดนั้น ช่วงนั้นเขาจึงยอมนั่งรถไปเป็นเพื่อนเจส่งจนถึงร้านพี่อ๊อด หนักเข้าวันไหนขี้เกียจตีรถกลับ ถ้าไม่นั่งทำการบ้านเสียที่ร้านก็ช่วยเสิร์ฟอาหารไปด้วยเลยไม่ให้เสียเที่ยวที่มา เจถึงกับทำหน้าไม่ถูกที่จู่ๆก็เหมือนพาพนักงานคนใหม่มาให้พี่อ๊อดเสียอย่างนั้น
   
“โอ๊ย... ดีเสียอีก” เจ้าของร้านใจดีว่าติดตลก “นึกซะว่าจ้างพนักงานรายวันก็แล้วกัน” แถมยังให้ค่าจ้างมาจริงๆเสียด้วย ยังดีที่เจ้ารุ่นพี่นั่นถอดใจยอมแพ้ไปเสียก่อน เพราะเข้าไม่ถึงเจสักเท่าไหร่ เห็นเจทีไรเป็นต้องเห็นเด็กหนุ่มตัวใหญ่ที่ใครๆต่างก็รู้ดีว่าเป็นเพื่อนซี้ของเจอยู่ด้วยเป็นเงาตามตัวตลอดเวลา แม้โยจะสุภาพเพียงไร แต่เวลาที่เขาเข้าใกล้เจก็ให้อดรู้สึกไม่ได้ทุกทีว่า ถูกกันท่าอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ก็เป็นเดือนเหมือนกันกว่าหมอนั่นจะยอมถอย ทำเอาโยเกือบได้เป็นพนักงานประจำของร้านพี่อ๊อดไปแล้วจริงๆ ขนาดวันที่โยบอกว่าอาจจะไม่ได้แวะมาบ่อยๆแล้ว เจ้าของร้านผู้ใจดีก็ยังไม่วายจะบ่นเสียดายออกมา พร้อมกับกำชับกำชาว่า อยากทำงานพิเศษเมื่อไหร่ให้ติดต่อผ่านแกได้เลย ดูเอาเถอะ
   
แต่ที่ทำให้เจยิ่งแปลกใจก็คือ วันที่รุ้งเดินมาบอกเขาด้วยสีหน้าไม่สู้สดชื่นนักว่าขอบคุณที่ช่วยส่งของและจดหมายให้กับโย
   
“พี่โยเอาของมาคืนรุ้งแล้วก็บอกขอโทษที่ทำให้รุ้งผิดหวัง” เจออกจะนึกเห็นใจเด็กสาวอยู่ไม่น้อย ประสาคนขี้ใจอ่อน เขามีพี่สาวตั้งหลายคน มีหรือจะไม่รู้ว่าผู้หญิงคิดและรู้สึกอย่างไร
   
“พี่เสียใจด้วยนะรุ้ง”
   
เด็กสาวส่ายหน้าไปมาเบาๆจนเส้นผมยาวสลวยที่ทิ้งตัวลงอย่างอ่อนโยนส่ายไหวตามไปด้วย
   
“ไม่เป็นไรค่ะ รุ้งต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ แต่ว่า...” เด็กสาวยกมือที่เหมือนกำอะไรเอาไว้สักอย่างขึ้นมายื่นให้แก่เขา
   
“อะไรครับ” เจทำหน้างง
   
“ถือว่ารุ้งขอร้องนะคะ เก็บเอาไว้ยังไงรุ้งก็ไม่ได้ใช้ แล้วมาคิดๆดู... รุ้งว่าของชิ้นนี้แหละ เหมาะกับพี่ที่สุด” เด็กสาวยิ้มให้เขาอย่างจริงใจแม้จะดูเศร้าไปสักนิดก็ตามที
   
เขาแบมือรับก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นว่าของที่ว่าคืออะไร
   
“นี่มัน... รุ้งครับ เอามาให้พี่ทำไม พี่รับไม่ได้” เจระล่ำระลักว่า
   
“รุ้งเก็บไว้ก็บาดใจเปล่าๆค่ะ แต่เถอะ มันเหมาะกับพี่จริงๆ พี่โยคนหนึ่งล่ะที่ต้องเห็นด้วย”
   
“อ่ะ... แล้วเกี่ยวอะไรกับโยครับ”
   
เด็กสาวยิ้มออกมาได้จริงๆเสียที
   
“พี่เจเนี่ย ความรู้สึกช้านะคะ” เธอว่าอย่างนึกขัน ในใจกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนอย่างที่คิด แถมยังกลายเป็นว่าเธอชักนึกถูกชะตากับรุ่นพี่คนนี้เสียแล้ว แน่ล่ะเธอผิดหวังที่โยบอกปฏิเสธเธอ ทีแรกเธอบอกตัวเองว่า ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกหากผู้ชายอย่างพี่โยจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แค่นึกไม่ถึงเท่านั้นว่าโยจะบอกแก่เธออย่างตรงไปตรงมาขนาดนั้น ยิ่งได้รู้ว่าคนที่โชคดีคนนั้นเป็นใคร รุ้งยิ่งรู้ตัวว่าคงไม่มีทางเข้าไปแทรกระหว่างคนทั้งสองได้แน่นอน ก็เห็นๆกันอยู่ แล้วจะเหลือที่ว่างตรงไหนให้เธอกันล่ะ
   
“แต่ว่า อย่าช้าเกินไปนะคะ เดี๋ยวคนที่รอเค้าจะรอเก้อ” เธอว่าอย่างนึกขัน ก่อนจะโค้งให้นิดๆเป็นเชิงขอตัว
   
“อะไรกันน้องคนนี้” เขามองตามหลังเด็กสาวที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปอย่างไม่สู้เข้าใจอะไรนัก ยิ่งเมื่อเห็นของที่อยู่ในมือด้วยแล้วก็ยิ่งงงหนัก “ก็ว่ารู้จักผู้หญิงดีแล้วแท้ๆ แต่สงสัยจะยังไม่พอแฮะ”
   
แม้จะเล่าเรื่องให้โยฟังไปแล้วเจก็ไม่ได้รู้สึกว่าเข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิมสักกี่มากน้อย เพราะโยได้แต่ยิ้ม ยิ่งเห็นของที่รุ้งให้มาแบบงงๆด้วยแล้ว แทนที่เจ้าของคนเก่าจะพูดอะไร กลับหยิบมันขึ้นมาสวมให้กับเขาเสียนี่
   
“แต่สร้อยเส้นนี้ก็เหมาะกับนายจริงๆนะ” เป็นอย่างนั้นไป “ตอนที่ได้มา เราก็นึกถึงนายน่ะ ถ้าไม่ติดว่าต้องเอาไปคืนเขาเราก็คงยกให้นายไปแล้ว”
   
“พูดเหมือนรุ้งว่าเลย” เจมองตาแป๋วไปยังร่างสูงๆที่เพิ่งจะสวมสร้อยให้เขาไป “เขาบอกนายต้องเห็นด้วย” เจก้มลองมองสร้อยทีมองหน้าคนใส่ให้ที ก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “แต่เราไม่เห็นเข้าใจเลย”
   
โยถึงกับหัวเราะชอบใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะขยี้ศีรษะทุยๆนั้นอย่างเบามือแล้วดึงเข้ามาใช้คางสากๆของตัวเองเคาะลงไปเบาๆ
   
“ถ้าไม่เป็นแบบนี้ก็ไม่ใช่เจสิ” เจนิ่วหน้า แต่ก่อนที่จะเอ่ยอะไรออกไป ก็โดนคนตัวใหญ่กว่ากึ่งจูงกึ่งลากให้เข้าไปเรียนคลาสต่อไปโดยไม่ทันได้ห้ามปรามอะไรต่อ

*******************************

“วงบอยแบนด์หน้าใหม่!!!” เสียงเด็กๆในคลาสทุกคนร้องอุทานขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันทันทีที่หัวหน้าทีมสอนคลาสแดนซ์ประกาศออกไป หลังจากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจฟังไม่ได้สรรพของเหล่าลูกศิษย์ที่บางตาลงไปกว่าวันแรกๆที่เริ่มคลาสมาก
   
“เงียบๆกันหน่อย” ครูอินที่เด็กๆมักจะแซวว่าอินไปกับการเต้นสมชื่อเอ่ยขึ้นพร้อมกับชูมือขึ้นข้างหนึ่ง อีกข้างก็ถือกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้ แต่กระดาษธรรมดาแผ่นนี้นี่แหละที่จะตัดสินอนาคตของเด็กหลายๆคนที่นั่งอยู่ในนี้ “จากนี้ไปอีกสามเดือน จะมีการคัดเลือกสมาชิกของวงบอยแบนด์วงใหม่ในไม่ช้า แล้วครูบอกได้เลยว่า นี่เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ที่สำคัญมากสำหรับค่ายของเรา” หัวหน้าครูที่แม้จะตัวเล็กแต่ก็เห็นได้ชัดว่าแข็งแรงอย่างคนที่หมั่นออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเรื่องฝีไม้ลายมือไม่ต้องพูดถึง หาไม่แล้ว คงไม่ได้มายืนอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าทีมสอนเต้นแบบนี้ได้แน่นอน
   
“การคัดเลือกคราวนี้ขอบอกไว้ก่อนว่าเข้มงวดมาก เพราะคนที่จะได้รับการคัดเลือกจะต้องโดดเด่นจริงๆทั้งการร้องเพลง การเต้นรำ บุคลิกภาพ แม้แต่ความขยันรับผิดชอบตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็จะถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินด้วย นี่แหละ ผลของการกระทำของทุกคนมันจะแสดงให้เห็นกันก็คราวนี้ เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมครูจึงคอยจ้ำจี้จ้ำไชนักว่าให้หมั่นเข้าคลาส ไม่จำเป็นอย่าขาด และให้หมั่นฝึกฝนเสมอ” ครูอินพูดพลางกวาดสายตามองหน้าเด็กในคลาสทุกคน คนที่ขยันหมั่นเพียรอย่างที่ครูว่าไม่มีใครสักคนที่หลบสายตาคู่นั้น จะมีก็แต่คนที่มาบ้างไม่มาบ้าง หรือไม่ก็คนที่นึกออกใจอยากมาเข้าคลาสวันนี้หลังจากที่ขาดหายไปนานเท่านั้นที่ไม่กล้าสบตากับครูคนใดหรือแม้แต่กับเพื่อนร่วมคลาสเองก็ตามที
   
เจที่นั่งฟังครูอินพูดยืดยาวรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรง ขนอ่อนตรงคอลุกชัน มือไม้เย็นไปหมด จนต้องหันไปมองโยที่นั่งอยู่ข้างๆ โยไม่ได้พูดอะไรแต่คว้ามือขาวๆนั้นรวบกระชับเอาไว้ มือของโยชื้นเหงื่อ เด็กหนุ่มเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้เขา เจยิ้มก่อนจะกระชับมือนั้นตอบกลับ ราวกับจะให้กำลังใจกันและกันเงียบๆ
   
“สามเดือนต่อจากนี้ไป จะเป็นการพิสูจน์ตัวเองของทุกคน ครูขอเอาใจช่วยนะ สำหรับเด็กผู้หญิง แม้ว่านี่จะยังไม่ใช่โอกาสของพวกเธอ แต่เชื่อเถอะ มันจะมีมาอีกเร็วๆนี้ สิ่งที่พวกเธอได้พากเพียรกันมากำลังจะผลิดอกออกผลแล้ว ใจเย็นกันอีกนิด แล้วก็ขอให้ตั้งใจกันต่อไป เข้าใจนะ” ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าราวกับถูกสะกด
   
ไม่น่าแปลกใจที่คลาสแดนซ์ในวันนั้น นักเรียนทุกคนจะทุ่มเทใจให้กับการฝึกซ้อมอย่างหนัก ต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ต้องคิดอยู่ในใจเงียบๆ จนกระทั่งครูผู้สอนสั่งเลิกคลาสเท่านั้นแหละ ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้นทันที
   
“นายว่าใครจะได้วะ” กลายเป็นคำถามที่ทุกคนพร้อมใจกันเอ่ยออกมาอย่างเกินคาดเดา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะเดากันอยู่ดี จะมีก็แค่เด็กหนุ่มเพียงสองคนเท่านั้นที่แยกตัวออกมานั่งเงียบๆ ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกัน นานๆก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กันเสียทีหนึ่ง
   
“ฉันว่าโยล่ะแน่ๆ คนนึง” เสียงเด็กสาวคนหนึ่งว่าอย่างมั่นใจ “ทั้งเต้นเก่งร้องเพลงเก่งขนาดนั้น”
   
“แต่เราว่านะ...” การคาดเดายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบสิ้น เจไม่มีเวลาได้นั่งฟังต่อ เพราะต้องรีบไปทำงานพิเศษแล้ว เขาลุกขึ้นก่อนจะดึงมือของคนตัวใหญ่กว่าข้างๆที่ยื่นออกมาให้จับลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกัน
   
“นายว่า เราจะมีโอกาสไหม” เสียงของเด็กหนุ่มที่เดินเคียงข้างเขาถามขึ้นเบาๆโดยไม่ได้หันมามองหน้าเขาสักนิด โยหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเจ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วสวยได้รูป ดวงตากลมสวยคู่นั้นหรี่ลงอย่างครุ่นคิด และกัดริมฝีปากอย่างประหม่า เขากระชับมือข้างนั้นให้แน่นขึ้นก่อนจะเอ่ยออกไป
   
“นายต้องมีอยู่แล้ว” โยพูดอย่างหนักแน่น
   
“เปล่า” เจหันหน้ามองโยตรงๆ “หมายถึงเราทั้งสองคนต่างหาก”
   
ขาทั้งสองคู่หยุดลง โยยิ้มออกมาในที่สุดเมื่อเห็นใบหน้าที่บอกไม่ถูกว่าดีใจ สับสน หรือเป็นกังวลกันแน่
   
“คิดแค่ว่านายจะติดหนึ่งในห้าอย่างเดียวก็พอ ดีไหม” เสียงทุ้มๆนั้นเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน
   
“ที่ผ่านมา นี่คือสิ่งที่เราเฝ้ารอเลยนะโย” เจว่า “แต่พอโอกาสลอยมาอยู่ตรงหน้า เรากลับรู้สึกว่า มันจะมีความหมายมากแค่ไหนถ้าเราได้มันมาด้วยกันทั้งสองคน”
   
โยได้แต่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำพูดอันแสนตรงไปตรงมานั้น
   
“ตลกดีว่าไหม นี่เราพูดเหมือนกับเราจะได้เลยนะ” เจเสหัวเราะกลบเกลื่อน “เราคงจะไม่พูดหรอกว่า อย่างน้อยถ้าเราไม่ได้แต่นายได้ก็ยังดี เพราะเราเองก็อยากได้รับโอกาสอันนี้มากไม่แพ้ใคร แต่มันคงจะดีที่สุดถ้าเราได้มันมาด้วยกัน เพราะฉะนั้น...” เจมองเข้าไปในตาโยอย่างมุ่งมั่นราวกับจะขอคำสัญญา “จากนี้ไปจนกว่าวันประกาศผล เราต้องพยายามให้มากที่สุด สู้ให้ถึงที่สุด เข้าใจใช่ไหม” คำพูดนั้นคาดคั้นและโยรู้ดีว่ามันคือการขอร้องอย่างที่สุดจากคนตรงหน้า

เด็กหนุ่มร่างสูงพยักหน้าด้วยแววตาที่มุ่งมั่นเสียยิ่งกว่าครั้งไหน
   
“สัญญา” พูดแล้วก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น เจจับมือข้างนั้นตอบอย่างหนักแน่น ก่อนจะกระชับเอาไว้มั่น
   
“สัญญาลูกผู้ชาย” ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

*****************************

ไลฟ์ปิดท้ายสิ้นเดือนนี้จบลงในที่สุด
   
Sonic Energy ถือเป็นวงไฮไลต์ของงานในครั้งนี้ เพราะการแสดงอันแสนร้อนแรงและเต็มไปด้วยพลังของสมาชิกทั้งสี่คน เพลงทั้งหกเพลงที่พวกเขาเลือกนำมาเล่นนั้น สามเพลงเป็นเพลงที่เคยซ้อมสำหรับใช้เล่นงานเมื่อก่อนหน้านั้นมาแล้ว ดังนั้นเพลงใหม่ที่ต้องแกะจริงๆมีเพียงแค่สามเพลง ทุกคนเจียดเวลาที่มีอยู่น้อยนิดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งให้กับการซ้อมที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ อาศัยชั่วโมงบินของแต่ละคนและเทคนิคการร้องเพลงอันน่าทึ่งมารวมเข้าด้วยกัน ก็นับได้ว่าแทบไม่มีอะไรให้ต้องหนักใจ
   
แต่แม้จะมีฝีมือ สิ่งที่ยังคงจำเป็นที่สุดก็คือการซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะมีคนบอกว่าเก่งแค่ไหน ไม่ว่าจะมีคนชมมากมายเพียงไร การซ้อมคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
   
เจพูดกับเพื่อนๆทุกคนเสมอว่า แม้เพลงที่เลือกนำมาร้องจะยากแค่ไหน บวกกับความยากของภาษาที่ไม่คุ้นเคย เขาก็ไม่มีวันที่จะขึ้นไปดำน้ำ หรือที่แย่ที่สุดคือกางเนื้อบนเวทีแน่นอน
   
“ร้องผิดในไลฟ์น่ะมันเรื่องหนึ่ง เสน่ห์ของการแสดงสดก็คือความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่เราจะต้องขึ้นไปแก้ปัญหากันบนเวทีนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้เอาเนื้อขึ้นไปกาง หรือขึ้นไปทั้งที่ไม่พร้อม เราจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองเด็ดขาด” เจพูดออกมาครั้งหนึ่งเมื่อได้เห็นวงหน้าใหม่บางวง ดูถูกคนดูด้วยการเอาเนื้อขึ้นไปกางบนเวทีพร้อมกับประกาศออกไมค์ว่า เราซ้อมมาน้อย เพราะถ้าคนที่ภาระล้นมืออย่างเขา ยังหาเวลาซ้อมได้สัปดาห์ละครั้งล่ะก็ คนอื่นก็ควรจะหาเวลาแบบนั้นได้เหมือนกัน
   
หลังไลฟ์อันเหน็ดเหนื่อยก็ต้องปิดท้ายด้วยการพากันเฮละโลไปหามื้อเย็นทานกันเหมือนเป็นธรรมเนียมทุกครั้ง จะต่างจากเดิมก็ตรงที่มือกีตาร์ของวงอย่างต้น บอกกับทุกคนว่ามีข่าวสำคัญอยากจะบอกให้สมาชิกทุกคนได้ทราบโดยทั่วกัน
   
“มีค่ายติดต่อผ่านเรามา บอกว่าสนใจอยากคุยกับวงเรา”
   
คำพูดเพียงประโยคเดียวก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปภายในโต๊ะอาหาร
   
สมาชิกคนอื่นๆในวงไม่ว่าจะเป็นนัท หรืออ้น ต่างก็แสดงสีหน้าดีใจออกมาไม่ปิดบัง แถมชูมือตีกันบนอากาศอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายอีกต่างหาก
   
ปาล์ม แม่งานของวงปรบมือชอบใจเป็นการใหญ่ เพราะสำหรับคนที่คลุกคลีกับการจัดไลฟ์คอนเสิร์ตมานานเป็นปี ความสำเร็จอย่างที่สุดในสายตาของเด็กสาวก็คือ วงที่มาเล่นในงานของเธอได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่เหมือนที่ Sonic Energy กำลังจะได้ลิ้มรสอยู่นี่เอง
   
นก สตาฟคู่ซี้ของปาล์มก็ยินดีปรีดาไม่แพ้กัน ก่อนจะร้องออกมาว่า “ต้องฉลองกันหน่อยแล้วมั้งแบบนี้”
   
จะมีก็เพียงแต่เจผู้เป็นนักร้องนำของวงเท่านั้นที่ทำหน้าหนักใจเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับข่าวที่เพิ่งได้รับรู้มา แน่ล่ะเขาดีใจกับเพื่อนในวงทุกคน แต่สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว มันกลับทำให้เขารู้สึกหนักใจและลำบากใจอย่างยิ่ง
   
“เป็นอะไรไปวะเจ ไม่ดีใจเหรอ”
   
โยหันไปมองเจอย่างเข้าใจสถานการณ์ที่คนข้างตัวต้องเผชิญอยู่ เจส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนจะมองหน้าเพื่อนๆแต่ละคน
   
“เราต้องดีใจสิ แต่มีอย่างหนึ่งที่เราอยากจะบอกให้ทุกคนได้รู้” จังหวะช่างไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆ เจได้แต่ถอนใจหนักๆออกมา ก่อนจะตัดใจเอ่ยออกมาในที่สุด ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องบอก แทนที่จะประวิงเวลาออกไป สู้พูดออกไปเลยนั่นล่ะดีที่สุด “อีกสามเดือนต่อจากนี้ บริษัทเราจะประกาศรายชื่อของคนที่จะได้เป็นสมาชิกของวงบอยแบนด์วงใหม่ อะไรก็ไม่เท่ากับว่าทางบริษัทหมายมั่นปั้นมือกับวงนี้มาก เราเองก็ไม่รู้หรอกว่าจะได้เป็นหนึ่งในนั้นไหม รู้แต่ว่าเราไม่อยากทิ้งโอกาสอันนี้ไป” แม้จะรู้สึกผิดที่ทำให้เสียบรรยากาศอันดีไป แต่ก็ยังสบายใจขึ้นมาก เมื่อได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปเสียที
   
เกิดความเงียบขึ้นบนโต๊ะอาหารอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะมีใครเอ่ยอะไรออกมา
   
“ไอ้เจ...” นัทพูดขึ้นในที่สุด “พวกเราไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้นหรอกนะ” เจเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน
   
“นายสู้อุตส่าห์ทุ่มเทฝึกฝนเพื่อการณ์นี้มานานนะเว้ย แถมโอกาสตอนนี้ก็มาลอยอยู่ตรงหน้าแล้ว ถึงแม้ว่าวงเราจะสำคัญ แต่คงไม่สำคัญไปกว่าความต้องการของสมาชิกในวงหรอก” ต้นว่า “ถ้าการที่นายเลือกอยู่กับพวกเรา โดยที่ต้องทิ้งความตั้งใจเดิมของตัวเองไปแบบนั้น ก็ใช่ว่าจะทำให้พวกเราดีใจหรอกนะ”
   
“พวกเราแค่โชคดีที่ได้นายมาเป็นนักร้องให้ แต่ก็รู้แหละว่าสักวันนายก็ต้องมีทางเดินของตัวเอง” อ้นเสริม “มีหรือที่เราจะไม่รู้ว่าซักวันนายก็ต้องเดินไปตามทางของนาย”
   
“เจ” ปาล์มพูดขึ้นบ้าง “ลุยเลย” เด็กสาวตบบ่าเพื่อนที่รู้จักสนิทสนมกันมาปีกว่าเบาๆ
   
“จริงๆนะ ตอนนี้นายไม่ต้องกังวลเรื่องวงเราหรอก ขอแค่เวลามีงานก็มาร้องให้เหมือนเดิมไปก่อน นึกซะว่ามาสนุกๆ ซ้อมเสียงก็ได้”
   
“นายยังมีเวลาอีกตั้งสามเดือนนะ อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก ตั้งใจทำให้ดีที่สุด เข้าใจไหม”
   
เจหันไปมองหน้าโย จึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมาให้อย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง เจ้าตัวจึงยิ้มออกมาได้ในที่สุด
   
“ขอบใจทุกคนมากนะ เรานี่จะว่าไปก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน”
   
“อย่า ไอ้เจ... อย่ามาทำพระเอกแถวนี้” อ้นอดแซวออกมาไม่ได้ตามประสา “หน้าตาดีแล้วยังมาทำนิสัยดี ทนไม่ได้โว้ย อิจฉา”
   
“แกไปลดน้ำหนักก่อนไป ค่อยมาอิจฉาเพื่อน” ปาล์มหันไปกัดเพื่อนแบบไม่ยั้ง ทำเอาอ้นคอหดลงไปหลายนิ้ว เรียกเสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหารให้ดังขึ้นได้อีกครั้ง
   
“เอ้าพวกเรา” นัทชูแก้วโค้กขึ้น “เป็นกำลังใจให้เจมันหน่อย”
   
ทุกคนพร้อมใจชูแก้วน้ำตรงหน้าของตัวเองขึ้นบ้าง    
   
“เพื่อความฝันของเพื่อน” นัทว่า “สู้โว้ย!”
   
ชนแก้วเสร็จก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเฮฮาขึ้นอีกครั้ง ทำเอาคนที่นั่งขมวดคิ้วเป็นกังวลอยู่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ยิ้มได้อย่างหมดกังวลลงในที่สุด

**************************

เด็กหนุ่มทั้งสองคนนั่งเงียบบนรถแท็กซี่โดยไม่มีใครเอ่ยอะไรอยู่เป็นนาน เห็นได้ชัดว่าต่างคนต่างก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากมายเพียงไร ตามปกติจะมีแค่เจเท่านั้นที่นั่งรถประจำทางไปทำงานพิเศษในคืนวันเสาร์แบบนี้ แต่วันนี้ โยกลับบอกว่าอยากจะไปเยี่ยมพี่อ๊อดสักหน่อยค่าที่ว่าไม่ได้แวะเวียนไปนาน และคะยั้นคะยอให้นั่งแท็กซี่ไปแทน เพราะเห็นว่าเวลาค่อนข้างกระชั้นมากแล้ว ก็จะอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุยกันติดลมไปหน่อยนั่นแหละ
   
เจยอมรับกับตัวเองว่า ทันทีที่ได้รู้ว่าโอกาสที่ดีกำลังเดินเข้ามาหาวงดนตรีที่เขาร่วมหัวจมท้ายมาเป็นปี เขาดีใจแทนเพื่อนอย่างที่สุด แต่ตอนนั้นเขากลับนึกภาพตัวเองยืนอยู่บนเวทีกับเพื่อนสมาชิกอีกสามคนไม่ออกจริงๆ Sonic Energy เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของเขา ซึ่งแม้จะเป็นสนามเด็กเล่นแต่เขาก็ทุ่มเทตั้งใจกับมันอย่างเต็มที่ แต่ลึกๆแล้วเขารู้ดีว่า วันหนึ่งเขาคงต้องตัดใจจากมันไปในที่สุด เพราะมันไม่ใช่เป้าหมายของเขา เป็นเพียงแต่หนทางที่จะทำให้เขาได้เข้าใกล้ความเป็นมืออาชีพในการร้องเพลงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าความคิดอันนี้เห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่าเหมือนกัน
   
ในวินาทีที่เขารู้สึกผิดและกังวลอย่างหนัก เพื่อนๆกลับไม่มีใครทัดทานเขาเลยแม้แต่คนเดียว ไม่เพียงเท่านั้น ยังสนับสนุนให้เขาได้เดินตามทางที่เขาเลือกมากกว่า ทั้งที่มันหมายความว่าวงจะต้องหานักร้องคนใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะหากันได้ง่ายๆ ใครๆก็ร้องเพลงได้ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ร้องไลฟ์บนเวทีได้ จะมีสักกี่คนที่สามารถขึ้นไปเปล่งประกายบนเวทีและดึงดูดให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมไปกับเสียงเพลงได้ จะมีใครสักกี่คนที่ไม่รู้จักกันแต่กลับสามารถเล่นดนตรีด้วยกันได้ราวกับรู้จักกันมานาน ทั้งเข้าขาและรู้ใจกันโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา และจะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่านักร้องนำไม่ใช่ดาวเด่นเพียงคนเดียวของวง แต่ทีมเวิร์กของความเป็นวงต่างหากที่สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันขึ้นมาและเป็นตัวตัดสินว่าวงจะอยู่ได้นานแค่ไหน
   
เขาไม่ปฏิเสธว่าเสียดายที่จะต้องทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปเมื่อวันนั้นมาถึง
   
“ยังคิดมากอยู่อีกหรือ” เสียงทุ้มจากคนที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้น
   
“มันอดคิดไม่ได้เหมือนกันนะ”
   
“นายโชคดีมากเลยนะเจ” โยหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังนั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง “ที่มีเพื่อนที่ดีและใจกว้างขนาดนั้น”
   
“ในความโชคร้ายก็ต้องมีความโชคดีบ้างล่ะ จริงไหม” เด็กหนุ่มหันมายิ้มให้กับเขา “ถามอะไรหน่อยสิโย”
   
“ว่า?”
   
“ถ้าเกิดเราเลือกจะอยู่กับวง นายจะโกรธเราไหม”
   
โยหันไปมองหน้าอีกฝ่ายราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มบางๆออกมา
   
“เราจะไม่โกหกหรอกนะว่าเราคงรู้สึกผิดหวัง” เขาเอ่ยออกมาตรงๆ “แต่คงจะเสียใจมากกว่าถ้านายต้องเลือกทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำจริงๆ”
   
“ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เรากับนายไม่ได้อยู่ด้วยกันน่ะเหรอ” เจถามอย่างใคร่รู้ขึ้นมาจริงๆ
   
“ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้านายทำแล้วมีความสุขมากกว่า เราจะไม่ห้ามเลย”
   
“พูดจริงๆเหรอ”
   
“พูดจริงๆ” โยหันกลับไปมองถนนเหมือนเดิม “แต่เรารู้อยู่แล้วว่านายจะเลือกอะไร”
   
“นายรู้ขนาดนั้นเชียว”
   
“เจ คนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์กับตัวเองทุกอย่างแบบนายน่ะ ไม่ได้อ่านยากอะไรเลยสักนิด จริงๆนะ” โยว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้านายไม่ชอบสิ่งที่ทำอยู่ นายคงไม่ทนทำอยู่ได้ตั้งสองสามปี นายหาเงินส่งตัวเองเรียน ทะเลาะกับที่บ้าน ยอมเหนื่อย ยอมทนทุกอย่าง โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้เป็นนักร้องจริงๆวันไหน แต่ก็ยังทุ่มเททำ นายยอมไม่ไปเล่นไลฟ์บางงานได้ แต่นายไม่ยอมขาดเรียน เวลาอยู่กับวงนายเป็นคนสำคัญใครๆก็รู้จัก แต่นายก็ยังเลือกมาเข้าคลาสทุกวัน ถ้านายอยากทำวงดนตรีจริงๆ วันนี้นายคงรับปากกับวงไปแล้ว คงไม่ได้มานั่งคิดมากอยู่อย่างนี้หรอก” โยว่ายืดยาว ทำเอาเจ้าตัวที่นั่งฟังอยู่อ้าปากค้างอย่างทึ่ง ด้วยไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนอ่านง่าย หรือหมอนี่มันอ่านเขาขาดกันแน่
   
“อื้อหือ... “ เจครางออกมาอย่างชื่นชม “สนใจเรียนด้านจิตวิทยาไหมเพื่อน”
   
“ระดับนี้ยังต้องเรียนอีกรึ” โยยืดอกเต็มที่
   
“น้อยๆหน่อยโว้ย” เจหัวเราะพลางทุบไปที่บ่าเพื่อนร่วมทางที่ถ้าไม่ได้มาสนิทสนมด้วยเหมือนอย่างเขาก็ยากที่จะได้เห็นมุมขี้เล่นแบบนี้ “แต่ก็ขอบใจนะ”
   
“ขอบใจอะไร” เขาเลิกคิ้วขึ้น
   
“ก็ ขอบใจที่ทำให้เรามองตัวเองได้ชัดเจนขึ้น” เจแค่นยิ้ม “ปกติเรามันพวกทำโดยสัญชาติญาณ ชอบก็ทำ เห็นว่าดีก็ทำ แต่บางที่ก็ลืมนึกว่าทำเพราะอะไร ทำทำไม เพื่ออะไร”
   
“ถึงต้องมีเรานี่ไง” โยยกมือขึ้นวางบนศีรษะเจเบาๆ เจ้าตัวที่ชินกับสัมผัสนั้นมานานก็ไม่ได้ทัดทานอะไร แค่เอ่ยเพียงสั้นๆว่า

“ก็จริง” ก่อนที่รถแท็กซี่คันนั้นจะพาพวกเขามาถึงที่หมายได้ก่อนเวลาไปแบบเฉียดฉิว

*********************************



หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 02-12-2009 16:46:23
แม้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะเป็นเวลาตีหนึ่งของเช้าวันใหม่ แต่สำหรับห้องพักขนาดกำลังพอดีห้องนี้ แสงไฟที่ยังเปิดสว่างโร่นับว่าเป็นเรื่องปกติเมื่อเทียบกับอีกหลายๆห้องที่ปิดไฟมืดกันไปเกือบหมดแล้ว
   
“พรุ่งนี้จะได้หยุดซักที” เด็กหนุ่มร่างสูงที่เห็นได้ชัดว่าผอมเพรียวกว่าอีกคนนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดสภาพ “วันหยุดเพียงหนึ่งวันในรอบอาทิตย์ ชีวิตวัยหนุ่มอันน่าเศร้าว่ะ” โยฟังเสียงพร่ำเพ้อคร่ำครวญนั้นอย่างไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังอะไร เพราะถึงเจ้าตัวจะบ่นออกมาแบบนี้ แต่พอถึงเวลาก็วิ่งไปวิ่งมาเหมือนเดิม แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
   
คนคร่ำครวญทำท่าจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ พลันก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ดึกขนาดนี้ใครยังจะโทรมาหาเขาอีกหรือ
   
“ครับ” กดรับโดยไม่ได้ใส่ใจดูว่าใครโทรมาในยามวิกาลขนาดนี้
   
“เจ” เสียงเรียกที่ที่ปลายสายทำให้เขาตาสว่างขึ้นแทบจะทันที
   
“แนน” ความรู้สึกของเจในตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด แนนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกกับเขา บอกว่าเขาไม่มีเวลาให้ และคงจะไปด้วยกันไม่ได้ พร้อมกับหายไปเป็นเดือนๆคนนั้นจู่ๆก็โทรมาหาเขา
   
“หลับไปหรือยัง คุยได้ไหม”
   
“คุยได้ เราเพิ่งกลับมา” เจขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
   
“เรานอนไม่หลับน่ะ ไม่รู้จะคุยกับใครดี...”
   
“มีอะไรหรือเปล่าแนน” เด็กหนุ่มจับน้ำเสียงของปลายสายได้ว่าไม่ร่าเริงเหมือนเคย และน่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ถึงทำให้แนนยอมโทรหาเขาแบบนี้
   
“เรา... ไม่รู้สิ...” เสียงเด็กสายที่ปลายสายเริ่มขาดๆหายๆ และกลายเป็นเสียงสะอื้นเบาๆไปในที่สุด “เราคงเป็นคนที่แย่มากใช่ไหม เจถึงไม่สนใจเรา บอยก็ขอบอกเลิกเรา...”
   
“แนน...” เจทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้น
   
“เขาบอกเลิกเราวันนี้เอง ทั้งที่แนนก็ดีกับเขาทุกอย่าง แต่ก็เหมือนยังดีไม่พอสำหรับเขา จะต้องให้แนนทำยังไงหรือเจ เขาถึงจะพอใจ” ฟังแล้วให้นึกสะท้อนใจเหมือนกัน ตอนที่แนนคบอยู่กับเขา แม้จะไม่มีเวลาให้แนนเต็มที่ แต่เรื่องที่จะทำให้แนนร้องไห้เสียใจไม่เคยอยู่ในหัวเจเลย เขาดีกับเด็กสาวที่สุดเท่าที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้ใครสักคนได้ นึกแล้วก็น่าเจ็บใจ สุดท้ายคนที่ถูกบอกเลิกอย่างเขา กลับกลายมาเป็นคนที่ต้องคอยปลอบใจไปเสียนี่
   
“แนนขอโทษนะ แนนทำไม่ดีกับเจเอาไว้มาก จนไม่กล้าขอให้เจยกโทษให้ แต่แนนนึกถึงใครไม่ออกเลยนอกจากเจคนเดียว” เสียงนั้นยังคงสะอึกสะอื้นไม่หยุด
   
“ขอบคุณที่นึกถึงเราแนน เราดีใจนะที่เราพอจะช่วยอะไรแนนได้บ้าง นิดหน่อยก็ยังดี”
   
“แนนอยากจะเจอเจได้ไหม”
   
หนนี้เด็กสาวทำเขาอึ้งไปจริงๆ บอกตามตรงว่าแม้จะยังรู้สึกดีกับแนน แต่การกลับไปเจอกับเด็กสาวอีกครั้ง เขาไม่แน่ใจว่าจะเป็นความคิดที่ดีหรือไม่ ครั้งที่แล้ว ถ้าไม่ได้โยเขาคงแย่กว่านี้ เจหันไปมองร่างสูงๆที่ยืนพิงประตูห้องมองมาทางเขา ไม่รู้เพราะอะไร เขาไม่อยากให้โยได้ยินบทสนทนาอันนี้เลย เขาไม่อยากให้โยรู้ด้วยซ้ำว่าใครโทรมา
   
แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็ดูจะรู้ไปเสียหมด
   
“เอ่อ...”
   
“เจ ถ้าลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ จริงๆ แนนไม่มีสิทธิ์...”
   
“ได้... พรุ่งนี้เลยก็ได้ เราว่างพรุ่งนี้”
   
“จริงเหรอเจ มาเจอแนนได้จริงๆนะ” เสียงของเด็กสาวแสดงความดีใจไม่ปิดบัง
   
ปลายสายวางหูไปแล้ว เจนั่งมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างใช้ความคิด เขาเม้มปากพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรดี แต่ก็ใจดี ตกปากรับคำเขาไปแล้ว จะทำอะไรได้ล่ะเจ แล้วเขาโทรมาร้องไห้ขนาดนั้น จะให้เขาทำใจดำไม่ไยดีได้อย่างไรกัน
   
“คุยเสร็จแล้ว อาบน้ำนอนเถอะเจ” เสียงทุ้มๆเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เพราะอะไรไม่รู้เขาไม่กล้าสบตากับโยตรงๆเลย แล้วทำไมเขาจะต้องรู้สึกไม่ดีด้วย เขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย แล้วก็นึกโล่งใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงทุ้มๆนั้น แล้วเห็นรอยยิ้มแบบที่มีให้เขาอยู่เสมอส่งมาให้

********************************

เด็กหนุ่มไม่กล้าเปิดไฟเพราะเกรงว่าจะปลุกร่างที่นอนอยู่ก่อนหน้านั้นให้ตื่นขึ้นมา อาศัยแสงไฟที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างก็พอจะช่วยให้คลำทางไปถึงเตียงนอนได้ไม่ยากเย็นนัก
   
นอนไม่หลับเลย
   
ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แนนคงยังไม่รู้ว่า อีกไม่นานจะมีการคัดเลือกตัวสำหรับวงบอยแบนด์หน้าใหม่แล้ว และเขาก็อาจจะไม่ได้เล่นดนตรีกับวงที่แนนไม่ค่อยชอบอีกต่อไป เขายังยุ่งกับการเรียน งานพิเศษ และยังทะเลาะกับที่บ้านเหมือนเดิม ช่วงเวลาที่ไม่ได้ติดต่อกัน เกิดอะไรขึ้นกับเขามากมายเหลือเกิน แล้วแนนล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของคนที่ได้ชื่อว่าเคยคบกันมาบ้าง
   
“นอนไม่หลับเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆข้างๆหูเขานี่เอง
   
“อือม์”
   
เจรู้สึกได้ว่าร่างที่นอนข้างๆเขาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะรู้สึกว่าแขนข้างหนึ่งโอบเอวเขาเอาไว้หลวมๆ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของร่างกายอีกฝ่ายที่แนบอยู่กับแผ่นหลังของเขา ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด เพราะตั้งแต่เจย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ โยก็นอนกอดเขาแบบนี้บ่อยๆจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว พอเจบอกว่าไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร โยก็เหมือนจะได้ใจ ทำเสียจนเคยตัวติดเป็นนิสัยไป เจเองที่ปกติบ้าจี้เป็นทุนเดิม แรกๆก็บ่นว่าจั๊กกะจี๋อยู่หรอก พอผ่านไปก็เริ่มชินจึงไม่ได้ทักท้วงอะไรอีก แถมจะว่าไปสำหรับคนขี้หนาวอย่างเขา แบบนี้ก็อุ่นสบายดีเหมือนกัน
   
“พรุ่งนี้เรานัดเจอแนนนะ”
   
“รู้แล้ว” เสียงนั้นพูดเหมือนกระซิบ
   
“นายไม่โกรธใช่ไหม”
   
“โกรธทำไม”
   
“ก็เราโดนเขาบอกเลิกเองแท้ๆ น่าจะเข็ด แต่นี่...”
   
“อยากทำอะไรก็ทำเถอะเจ” โยขัดขึ้น “ชีวิตเป็นของนาย อะไรที่ทำแล้วเห็นว่าดีก็ทำไปเถอะ”
   
“ทำไมนายตามใจเราจัง” เจเอ่ยขึ้นลอยๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คำตอบอะไรทั้งสิ้น
   
อ้อมแขนแข็งแรงยังคงกอดเอวของอีกฝ่ายเอาไว้พอหลวม ไม่ให้รู้สึกว่าจาบจ้วงหรือทำให้อึดอัดอะไร โยไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่เลือกที่จะนอนอยู่เงียบๆ จนอีกฝ่ายคิดว่าคนที่นอนกอดเขาอยู่คงหลับไปแล้ว
   
“นายผอมไปนะ”
   
“หือม์?” ร่างที่พอนอนอยู่ด้วยกันแบบนี้เห็นได้ชัดว่าตัวเล็กกว่ามาก ตอบรับงงๆเมื่อจู่ๆคนข้างๆก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
   
“เอวนายเล็กนิดเดียว กินเยอะๆหน่อย อย่าเอาแต่ห่วงคนอื่น ห่วงตัวเองบ้าง”
   
“ถึงจะเอวเล็กแต่ก็แข็งแรงนะ” เสียงนั้นแย้งขึ้นทีเล่นทีจริง
   
“เชื่อว่าแข็งแรง” โยว่า “แต่ดูแลตัวเองหน่อย”
   
ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียงหลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างขยับตัวให้สบายขึ้น ปล่อยให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ และเข้าสู่นิทราไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้

******************************

เจไปถึงก่อนเวลานัดเหมือนอย่างทุกครั้ง ในหัวครุ่นคิดอะไรมากมายเต็มไปหมด พักนี้เขามีอะไรต้องคิดมากเหลือเกิน ชักจะทำตัวแก่เกินอายุไปหน่อยแล้วไหมนี่ มือข้างหนึ่งเท้าคางมองออกไปนอกร้านที่เป็นสถานที่นัดหมายในวันนี้ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็เล่นกับพวงกุญแจที่ต้องพกติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลานับตั้งแต่ออกจากบ้านมา
   
“กุญแจห้อง” โยที่ยื่นกุญแจพวงนี้ให้เขาในวันหนึ่งเอ่ยขึ้น “ถึงจะกลับด้วยกัน แต่ก็ต้องมีเผื่อเอาไว้นะ” เขาก็เลยเอากุญแจทุกอย่างที่มีอยู่แล้ว ร้อยเข้ากับพวงใหม่ที่ได้มา หน้าตามันแปลกๆก็จริง แต่ดูไปดูมาก็เท่ไม่เบาเหมือนกัน  โยบอกว่ามีพวงกุญแจหลายอันเพราะมีคนให้มา สมควรอยู่หรอก ท่าทางป๊อปปูลาร์ขนาดนั้น คงมีคนเอาของมาให้บ่อยอยู่ นึกได้ดังนั้นก็อดยกมือขึ้นสัมผัสกับจี้ห้อยคอที่เหมือนจะกลายเป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายของเขาไปแล้ว ตั้งแต่ได้สร้อยเส้นนี้มา เขายังไม่เคยหยิบเส้นไหนมาใส่อีกเลย พร้อมกับให้เหตุผลกับตัวเองว่า สร้อยเส้นนี้สวยกว่าเพื่อนแถมแพงกว่า ก็ต้องเห่อเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
   
“มานานแล้วเหรอ เจ” เด็กหนุ่มสะดุ้งเมื่อเสียงนั้นปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ความคิด นิสัยชอบเหม่อแบบนี้คงแก้ไม่ได้แล้วจริงๆ เขานึกในใจ
   
แนนเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเด็กหนุ่มออกก่อนที่จะนั่งลงไป แนนยังสวยน่ารักเหมือนเดิม วันหยุดแบบนี้เด็กสาวไม่ต้องสวมเครื่องแบบนักเรียน จึงสามารถแต่งองค์ทรงเครื่องได้อย่างเต็มที่ ใบหน้าถูกเคลือบเอาไว้ด้วยเครื่องสำอางค์แบบอ่อนๆ เสื้อแขนกุดเข้ารูปแมทช์กับกระโปรงสั้น อวดเรียวขาสวยพร้อมกับรองเท้าส้นเตี้ยสีสันสดใสทันสมัย และวางกระเป๋าสะพายใบเล็กน่ารักยี่ห้อดังที่ไม่น่าเชื่อว่าราคาเหยียบหลักพันไปโขลงบนโต๊ะ
   
แต่แม้ใบหน้าจะถูกแต่งแต้มมาอย่างดี ก็ยังสังเกตเห็นได้ว่าดวงตาคู่สวยนั้นยังคงแดงช้ำจากการร้องไห้มาอย่างหนัก
   
“สบายใจขึ้นบ้างหรือยัง”
   
“นิดหน่อย” เด็กสาวว่าพลางสบตาเด็กหนุ่มตรงหน้า “ถ้าไม่ได้เจเมื่อคืน คงแย่กว่านี้”
   
“ยินดีเสมอ” เจส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้ หัวใจเด็กสาวกระตุกวูบ ทำไมหนอ ตอนที่มีเขาอยู่ข้างตัวจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงสิ่งดีๆเหล่านี้ สุดท้ายก็เลือกที่จะทิ้งไปเพื่อเลือกในสิ่งที่เห็นว่าดีกว่า แล้วไอ้ที่คิดว่าดีกว่าก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด บอยก็เหมือนกับเธอ ลูกคนเดียว มีเงิน ทางเลือกเยอะ เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาคอยอดทนหรือรองรับความเอาแต่ใจของเด็กสาว ไม่ชอบใจก็เลิก ง่ายๆแค่นั้นเอง
   
แนนระบายความรู้สึกอัดอั้นทั้งหมดที่มีอยู่ให้กับเด็กหนุ่มได้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เจไม่เพียงแต่จะตั้งใจฟัง ยังคอยปลอบโยน และให้กำลังใจเธออยู่ตลอดเวลา มือข้างหนึ่งคอยกุมมือบอบบางที่เห็นได้ชัดว่าไม่เคยจับต้องงานหนักใดๆเลยแม้แต่นิดเดียว
   
“แนนขอโทษที่มองไม่เห็นสิ่งที่เจทำให้ตลอดเวลาที่คบหากันมา” เด็กสาวว่าอย่างสำนึกผิด “แต่ตอนนี้แนนรู้แล้ว”
   
เจได้แต่ส่ายหน้ายิ้มให้อย่างอ่อนโยน ดีใจที่แนนดูจะสบายใจขึ้นมากแล้วเมื่อได้ระบายปัญหาคับอกออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอดูสดชื่นขึ้นและยิ้มออกได้ในที่สุด
   
“เล่าเรื่องเจให้แนนฟังบ้างสิ” เด็กสาวยืนยัน
   
“ก็เหมือนเดิมน่ะ ชีวิตเราน่าเบื่ออย่างที่แนนรู้ เรียน ทำงานหนัก มีอะไรต้องทำตลอดเวลา เออ... ตอนนี้เราออกมาพักอยู่กับโยแล้วนะ”
   
“อ้าว ทำไมล่ะ” แนนเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ
   
“มีเรื่องกับพ่อ” เขาตอบง่ายๆราวกับเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว “ช่วงก่อนถ้าไม่ได้โยช่วย เราคงแย่”
   
“โยสบายดีใช่ไหม” แม้จะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่แนนไม่เคยสนใจอยากจะทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นแต่อย่างใด แม้แต่กับโยก็ต้องเรียกว่าพูดคุยกันแบบนับคำได้ทีเดียว
   
“สบายดี ตอนนี้เรากับโยต้องเตรียมตัวกันหนักเลย แนนรู้ไหม อีกไม่นานจะมีการประกาศผลคนที่จะถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์วงใหม่ของค่ายเราแล้วนะ” เจเล่าด้วยดวงตาเป็นประกาย “โอกาสของเรามาถึงแล้ว เราจะทำให้เต็มที่เลย”
   
“ดีใจด้วยนะ” แนนหมายความตามที่พูดจริงๆ
   
“เรากับโยสัญญากันว่า จะพยายามให้ติดเข้าไปพร้อมกัน” ว่าถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มกลับหัวเราะขันออกมาเสียเอง “โยน่ะ เรามั่นใจว่าติดแน่นอน เก่งออกขนาดนั้น เราเสียอีกที่น่าเป็นห่วง”
   
“ไม่หรอก เราว่าเจก็ต้องติด”
   
เด็กหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะเล่าต่ออย่างไม่คิดอะไร
   
“ตอนนี้นอกจากจะต้องฟิตมากๆ ก็ต้องรักษาสุขภาพให้ดี หนที่แล้วป่วยหนัก เกือบแย่แน่ะ”
   
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
   
“ก็มากอยู่นะ ขนาดขาดเรียน ขาดงาน เรากังวลแทบตายกลัวเรียนไม่ทัน ถ้าไม่ได้โยช่วยนะป่านนี้สงสัยยังไปไม่เป็น”
   
แนนรู้สึกถึงอะไรบางอย่างเกิดขึ้น นับตั้งแต่นั่งคุยกับเด็กหนุ่มที่เธอมั่นใจว่ารู้จักดีมาตลอด ชื่อของเด็กหนุ่มอีกคน หลุดออกมาจากปากของเจตลอดเวลา ดูเหมือนเจ้าของชื่อจะเข้าไปมีอิทธิพลกับชีวิตของเจมากเหลือเกิน มากจนเธอนึกไม่ชอบใจ และนึกอิจฉา เมื่อที่ผ่านมาเธอเข้าใจไปเองตลอดเวลาว่า ถ้าเป็นเรื่องของเจแล้วล่ะก็ เธอต้องรู้หมดทุกเรื่องแท้ๆ
   
หรือแท้ที่จริงแล้วเธอไม่รู้อะไรเลย
   
“แล้วนี่เจก็อาศัยอยู่กับโยตลอดเลยหรือ” แนนกัดฟันถามออกไป
   
เด็กหนุ่มพยักหน้า
   
“ทำยังไงได้ นี่ดีนะที่โยไม่ได้หารูมเมตมาอยู่ด้วยเหมือนอย่างที่เราแนะนำไปก่อนหน้า ไม่งั้นเราคงไม่มีที่อยู่ คงลำบากกว่านี้มาก”
   
“เขาดีกับเจมากเลยนะ”
   
“ก็เราสนิทกัน” เจว่าอย่างไม่คิดอะไร
   
การสนทนายังกินเวลาต่อไปอีกพักใหญ่ ดูเหมือนทั้งคู่มีเรื่องต้องพูดคุยกันมากมายเหลือเกิน แนนร่ำลาเจก่อนจะยืนยันว่า น่าจะหาเวลามาพบกันบ่อยขึ้น เจได้แต่พยักหน้าให้อย่างอ่อนโยน เขายังรู้สึกดีกับแนนเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นเสมอมา แต่มีอะไรบางอย่างที่เขารู้สึกได้ว่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
อะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกคลางแคลงใจว่า ใช่ความรักแน่หรือ
   
เสียงเพลงเรียกเข้าที่เจตั้งเอาไว้ดังขึ้น ทั้งที่เพิ่งแยกกันไปไม่ถึงห้านาที
   
“ครับ แนน”
   
“แนนลืมบอกอะไรเจไปอย่างนึง” ปลายสายว่ามา
   
“งั้นบอกมาเลย” เจยิ้มออกมาอย่างนึกขัน คุยกันไปตั้งยืดยาวขนาดนั้น ยังเหลือเรื่องที่ยังไม่ได้พูดอีกหรือ
   
“เรากลับมาคบกันเหมือนเดิมได้ไหม”
   
เด็กหนุ่มอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ถ้าเป็นเมื่อตอนที่เธอบอกเลิกเขาใหม่แล้วเธอบอกเขาแบบนี้ล่ะก็ เขาจะตกปากรับคำทันทีโดยไม่คิดอะไรเลย แต่ตอนนี้ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาจึงไม่บอกเธอออกไป ทำไมเขาจึงไม่ตอบรับไปง่ายๆเหมือนอยางที่น่าจะทำ เขายังชอบเธออยู่ไม่ใช่หรือ
   
“ไม่ต้องรีบให้คำตอบหรอกเจ ค่อยบอกเราวันหลังก็ได้ แค่นี้นะ” แล้วก็ตัดสายไปง่ายๆแบบนั้นเอง แต่แนนไม่รู้หรอกว่า ตัวเองได้ทิ้งความสับสนมากมายเพียงไรให้กับเจบ้าง

*******************************

การฝึกฝนของแต่ละคลาสเรียนในแต่ละวัน เข้มข้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขนาดคนที่อึดอย่างเขาและโยยังสัมผัสได้ว่ามันเหน็ดเหนื่อยและหนักหนาขึ้นเพียงไร แต่มีอยู่อย่างหนึ่งอีกเหมือนกันที่สังเกตเห็นได้ไม่ยากก็คือ จำนวนคนที่กลับมาเรียนมีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่ครูอินประกาศออกไปอย่างชัดเจนวันนั้น สร้างผลกระทบหลายอย่าง เด็กนักเรียนที่หายหน้าหายตาไปนานกลับมาขยันตั้งใจเรียนเสียจนอดสงสัยไม่ได้ว่า ภายในระยะเวลาแค่สามเดือนจะทำให้พวกเขาตามเด็กที่เรียนหนักมาตลอดสองปีอย่างพวกเขาและอีกหลายๆคนได้ทันจริงหรือ
   
ผลกระทบอีกอย่างก็คือ พวกที่รู้อนาคตตัวเองแน่นอนโดยไม่ต้องรอให้ใครมากบอกว่านอกจากจะไม่ติดแล้วยังไม่เฉียดกับคำว่านักเรียนที่ดี ตั้งวงนินทาคนที่ตั้งใจเรียนไม่ขาดอย่างเอาจริงเอาจัง เหมือนละครหลังข่าวไม่มีผิดเลย เจได้แต่คิดกับตัวเองในใจแม้ว่าตัวเองก็แทบจะไม่รู้จักละครหลังข่าวเลยสักเรื่องเลยก็ตาม นึกเสียว่าตัวเองเป็นพระเอก ต้องเจอกับตัวอิจฉาก็แล้วกันวะ
   
“ไม่รู้เหรอที่เขาเลือกมันเข้ามา เพราะมันหน้าตาดีนั่นแหละ”
   
“โธ่เอ๊ย วงบอยแบนด์ หน้าตามันก็ต้องมาก่อนความสามารถล่ะวะ”
   
“ถ้าไม่ติดว่าตัวแม่งใหญ่ขนาดนี้ กูจีบเป็นแฟนไปแล้ว หน้าหวานได้อีก เป็นแต๋วรึเปล่าก็ไม่รู้”
   
นี่คือตัวอย่างคำพูดเล็กๆน้อยๆที่เข้าหูเจอยู่บ่อยครั้งในระยะหลังที่พวกนักเรียนเก่าๆกลับเข้ามา ที่จริงเขาก็นึกฉุนอยู่เหมือนกันเวลาได้ยินคำพูดถากถางพวกนี้ รู้อยู่หรอกว่าพวกขี้อิจฉาที่สิ้นหวังจะมีวิธีทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นได้ด้วยวิธีนี้ แต่บางทีเขาก็นึกอยากสวนกลับไปเหมือนกันว่า หน้าตาดีแต่ไม่รู้จักฝึกฝน ก็ไม่มีใครเอาเหมือนกัน ที่ตลกคือ แต่ละคนที่ถูกเลือกเข้ามา อย่างน้อยๆก็ต้องมีหน้าตาที่ดีในระดับหนึ่งเหมือนกันทั้งนั้น แล้วมันเรื่องอะไรมาว่าเขาเรื่องหน้าตาดีอยู่คนเดียว
   
“ก็นายหน้าตาดีกว่าพวกนั้น” โยโพล่งขึ้นมาเหมือนจะล่วงรู้ความคิดของเขา “จริงๆ” เจ้าตัวยังว่าออกมาต่อได้หน้าตาเฉย “ว่าตามจริง รุ่นเราทั้งหมดเนี่ย นายหน้าตาดีกว่าคนอื่นทั้งหมดนั่นแหละ เป็นเราจะให้รางวัลหน้าตาดีนายไปเลยตั้งแต่รับเข้ามาเลยเอ๊า”
   
รู้ทั้งรู้ว่าเป็นคำปลอบใจ แต่ทำไมเขาถึงหยุดยิ้มไม่ได้ก็ไม่รู้ สุดท้ายทนไม่ไหวก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด
   
“ไม่ต้องไปถ่อมตัวกับคนพวกนั้นหรอก มันกระแนะกระแหนมาก็ยืดอกรับไป นายเองก็เหนือกว่าพวกมันหลายขุมอยู่แล้ว” โยว่าเสร็จก็กลับไปซ้อมสเต็ปของตัวเองต่อ สายตาที่ปกติมีแต่ความอ่อนโยน เหลือบมองไปทาง “สมาคมคนขี้อิจฉา” อย่างให้เห็นว่าดูถูกดูแคลนโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว สร้างความรู้สึกหนาวๆร้อนๆให้กับคนโดนมองได้เป็นอย่างดี
   
“พวกพี่น่ะ...” เสียงเล็กๆแหบๆเสียงหนึ่งเอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้น “อย่าไปยุ่งกับพี่โยพี่เจดีกว่า”
   
“แกมายุ่งอะไรด้วยวะไอ้ซัน” แม้จะเด็กกว่า แต่ความที่ได้เข้ามาเป็นนักร้องฝึกหัดก่อนใคร แถมเรื่องความสามารถนั้นไม่เป็นรองใครอีกต่างหาก ทำให้ซันที่จัดได้ว่าเป็นเด็กขยันคนหนึ่งไม่ได้นึกนิยมชมชอบหรือนับถือคนประเภทที่เขากำลังพูดคุยอยู่ด้วยนี้อยู่แล้ว ว่าออกมาแบบไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งสิ้น
   
“โธ่พี่ อย่าให้น้องต้องสอน” ซันว่าหมิ่นๆ “พวกพี่ขี้เกียจอย่างกับอะไรดี จะไปรู้ได้ยังไงว่าคนอย่างพวกเราต้องเหนื่อยกับอะไรมาบ้างกว่าจะมีวันนี้ พี่ดูถูกพี่เจก็เหมือนดูถูกพวกที่ตั้งใจเรียน” เด็กหนุ่มยักไหล่พร้อมส่ายหน้าอย่างระอา “ถ้ารู้ตัวว่ามาแล้วไม่มีประโยชน์ก็ไม่ต้องมา เพราะมันน่ารำคาญว่ะพี่ สร้างความเดือนร้อนให้กับคนอื่นเขา” ว่าเสร็จก็ทำท่าจะเดินออกไป ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
   
“อีกอย่าง นี่พวกพี่โชคดีมากเลยนะที่แขวะพี่เจแล้วไม่โดนพี่โยหักกระดูกเอา”
   
“หมายความว่าไงวะ” ปล่อยให้ไอ้เด็กนี่มาพูดด่าปาวๆแบบไม่ได้ตั้งตัว ก็เพิ่งจะมึคนมีสติโต้ตอบอะไรออกไปได้ก็ตอนนี้เอง
   
“พี่โยน่ะเทควันโด้สายคำ เรื่องศิลปะป้องกันตัวเองและผู้อื่นเป็นเยี่ยม พวกพี่พูดไม่คิดระวังปากจะแตกเอา”
   
“แกเป็นใครไปสาระแนเรื่องคนอื่นเขา” เสียงใครสักคนพูดขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
   
“ผมสายน้ำตาล เรียนที่เดียวกะพี่โย มีปัญหาอะไรอีกไหม” ซันมองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างประเมินและนึกดูถูกอยู่ในที “วันหลังถ้ามาแล้วไม่คิดจะเรียนก็ไม่ต้องมา เปลืองพลังครูบาอาจารย์”
   
ได้ผล หลังจากวันที่เด็กซันออกโรงไปวันนั้น พวกที่ไม่ได้คิดว่าจะมาเอาจริงเอาจังอะไรกับการเรียนการสอนก็หายจ้อยไปหมด เหลือแต่พวกที่พอจะมีจิตสำนึกอยู่บ้างเข้ามาเรียนบ้างพอที่จะไม่ทำให้รู้สึกผิดไปมากกว่านั้น

********************************

พักนี้ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เจถึงได้รู้สึกว่ามีบรรยากาศแปลกๆเกิดขึ้นระหว่างเขากับเพื่อนสนิท แม้ว่าโยจะยังดีต่อเขาดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่รู้ทำไมเจถึงได้รู้สึกว่ามันห่างเหินแตกต่างไปจากเดิม ที่จริงต้องบอกว่ากลับไปเป็นเหมือนเดิมเหมือนตอนที่เขาคบหากับแนนเป็นแฟนอยู่นั่นล่ะมากกว่า ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะตั้งแต่ตอนที่เขาเล่าให้โยฟังว่า แนนขอกลับไปคืนดีกับเขาอีกนั่นแหละ แม้เขาจะยังไม่ได้ตอบตกลงกับแนน แต่การที่เขายังนัดเจอพูดคุยกับเธออยู่บ้าง กลับทำให้โยห่างออกไป โยเป็นฝ่ายแยกห่างออกไปแต่ก็ไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน แค่รักษาระยะเอาไว้ และถ้าเขามองไม่ผิด เขารู้สึกได้ว่าโยเงียบลงกว่าเดิม ไม่ค่อยร่าเริง และที่สำคัญ เหมือนจะคอยหลบหน้าเขาอย่างไรก็ไม่รู้
   
“เป็นอะไรของเขานะ” เด็กหนุ่มรำพึงกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ขอให้เขาจัดการเรื่องยุ่งๆทั้งหลายให้เสร็จก่อน คงต้องคุยกันหน่อยแล้ว เจเก็บข้าวของลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ งานพิเศษรอเขาอยู่นี่นา
   
“โย ไปก่อนนะ”
   
“เออ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ” เสียงนั้นตะโกนออกมาจากห้องอาบน้ำโดยไม่โผล่หน้าออกมา
   
ไปแล้วสินะ
   
เหนื่อยเหมือนกันที่ต้องคอยหลบหน้าหลบตากันโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าเป็นความจงใจของเขาแบบนี้ ใช่ว่าเขาอยากจะให้เป็นแบบนี้เมื่อไหร่ แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็รังแต่จะลำบากใจกันเปล่าๆ โดยเฉพาะเขานี่แหละ ถ้าไม่ใช่เจมันจะยากแบบนี้ไหมนี่
   
แนนกลับมาแล้ว ทำไมโยจะไม่รู้ว่าเจรักแนนแค่ไหน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าโอกาสที่สองคนจะกลับไปคบกันนั้นสูงเอามากๆ เขาก็แค่เตรียมใจไว้ก่อนแค่นั้นเอง ถึงเวลาจะได้ไม่รู้สึกเหมือนหักดิบ แล้วก็จะได้กลับไปเป็นเพื่อนเหมือนอย่างแต่ก่อนได้ตามปกติ
   
นึกสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ทำไมต้องยอมคนๆเดียวได้ถึงขนาดนี้

*******************************

เหนื่อย!
   
นี่เขาคงเหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยจนพูดไม่ออกเลยก็ว่าได้ และคงตัดสินใจอาบน้ำเข้านอนไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเสียงจากปลายสายนั้นเจื้อยแจ้วไม่หยุดมาตั้งแต่เขาเดินออกจากร้านพี่อ๊อด ขึ้นรถประจำทาง แล้วก็ไขกุญแจเข้ามา เขาทำได้ดีที่สุดแค่ตอบรับ เออออไปบ้างพอไม่ให้น่าเกลียด แต่ไอ้เรื่องที่จะให้สรรหาเรื่องมาคุยได้เหมือนอีกฝ่ายนั้น เห็นทีคงต้องยอมแพ้
   
“เจเป็นอะไร ทำไมไม่เห็นค่อยคุยกับแนนเลย”
   
“เปล่าหรอก คงเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
   
“ซ้อมหนักไปก็เพลาๆลงหน่อยก็ได้”
   
“จ้ะ” พลันหางตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มของเพื่อนร่วมห้องที่เดินเข้ามาหาน้ำดื่มในครัว “แป๊ปนะแนน เอ้อ... โย ง่วงหรือยัง” ปลายสายหน้าตึงขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอยู่กับใคร “ถ้ายังเดี๋ยวเราขอคุยด้วยนะ อื้อ... ไม่ต้องห่วง เรียบร้อยมาแล้ว… แต่ถ้าขี้เกียจรอ นอนไปก่อนเลยก็ได้... อ๊ะ... ขอบใจนะ”
   
“ขอโทษทีแนน ถามอะไรโยนิดหน่อย”
   
“ได้ยินแล้ว เจอกันทั้งวันยังต้องคุยอะไรกันอีกนักหนานะ”
   
เจนิ่วหน้าอย่างไม่สู้ชอบใจกับน้ำเสียงของแนนนัก
   
“เอาเถอะ” แนนระบายลมหายใจเหมือนพยายามสะกดอารมณ์อันหลากหลายเอาไว้ในใจ “ที่จริงแนนมีเรื่องอยากคุยกับเจนิดหน่อยเหมือนกัน”
   
“เรื่องอะไรหรือ” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่การคุยโทรศัพท์กับเด็กสาวกลายเป็นเรื่องที่เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับมันไปเสียแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนเขามักจะเป็นฝ่ายเฝ้ารอให้แนนเป็นคนโทรมาอยู่ตลอดเวลาแท้ๆ
   
“แนนไม่เคยบอกเจเลยใช่ไหมว่า เจน่ะเหมาะกับการร้องเพลงกับวงเจร็อคของเจมากกว่า”
   
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเกิดอยากพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งที่เขารู้อยู่เต็มอกว่าแนนไม่เคยชอบวงของเขาเลยด้วยซ้ำ
   
“เกิดอะไรขึ้นเหรอแนน” เขาถามโพล่งออกไปตรงๆ “ทำไมจู่ๆแนนถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
   
“ก็แค่พูดตามสิ่งที่แนนรู้สึก” ปลายสายว่าพลางยักไหล่ “ถึงแม้แนนจะเคยเห็นเจร้องเพลงกับวงแค่ครั้งเดียว แต่แนนว่าเจดูเท่มากเวลาอยู่บนเวทีแบบนั้น แนนชอบมากกว่าการที่เจจะไปเป็นบอยแบนด์อะไรนั่นอีก” ว่าตามจริง แนนไม่เคยชอบเวลาที่เจต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเพลงอะไรพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เธอเกลียดนักเวลาที่เรื่องเหล่านี้มันดูจะสำคัญกับเด็กหนุ่มไปหมด และมันแย่งเวลาทั้งหมดของเขาไปจากเธอ เธอไม่รู้หรอกว่าไอ้คลาสเรียนของเจน่ะมันจะดีเด่แค่ไหน ไม่สนด้วยว่าวงที่เจร้องเพลงให้จะเยี่ยมแค่ไหน ตอนนี้ที่เธออยากทำก็คือ อะไรก็ได้ที่จะแยกเจให้ห่างจากโย
   
แนนเชื่อว่าการที่เจเลือกวงบอยแบนด์ก่อนวงร็อค สาเหตุหลักเป็นเพราะโย ดังนั้นหากเธอเกลี้ยกล่อมให้เจเลือกวงร็อคได้ล่ะก็ จะถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
   
แต่แนนไม่มีโอกาสได้เห็นว่าสีหน้าของเจตอนที่ได้ยินคำพูดจากปากของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าอีกไม่กี่นาทีถัดมาเจก็ขอตัวไปอาบน้ำและพักผ่อนอย่างสุภาพเหมือนกับทุกครั้ง

********************************

“โย...” เสียงนั้นเรียกชื่อของร่างที่นอนตะแคงหันหลังให้กับเขาแผ่วเบา “หลับไปแล้วเหรอ”
   
เจสอดร่างเข้าไปในผ้าห่มอย่างนุ่มนวลที่สุดด้วยเกรงว่าคนข้างๆจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขามองแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก่อนจะเอ่ยเบาๆพอให้แค่ได้ยินว่า
   
“ฝันดีนะเพื่อน” โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าเจ้าของแผ่นหลังกว้างนั้นยังลืมตาโพลงอยู่ในความมืดและไม่มีทีท่าว่าจะหลับตาได้ลงเลยสักนิด

--------------------------------------------

เป็นอีกตอนที่ยาวมากเลยใช่ไหมคะ? คืออย่างนี้ค่ะ หลายครั้งก็มีบอกตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมไม่หั่นแล้วทยอยลงบ้างก็ได้ แต่ก็มานึกถึงว่า เวลาเราอ่านอะไรก็อยากจะให้มันจบตอนน่ะค่ะ อีกอย่าง ตอนที่เราวางพล็อต เราก็วางเป็นตอนๆ มีเรื่องมีราวในแต่ละตอนและจบตอนลงอย่างสมบูรณ์ในแบบของมัน ก็เลยไม่รู้จะแบ่งมาลงอย่างไรดี บวกกับ... อาทิตย์นึงจะได้เอามาลงสักครั้ง นึกเห็นใจคนอ่านที่รออยากอ่านตอนต่อไปอยู่เหมือนกัน ก็เลยอย่างที่เห็นน่ะค่ะ ลงครั้งนึงก็คือตอนนึงไปเลย เพื่อที่จะได้ติดตามอ่านกันอย่างเต็มที่จริงๆ

หวังใจว่าจะยังคงติดตามอ่านกันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ไปจนกว่าจะจบนะคะ Beats of Life เป็นนิยายที่เราชอบมาก และอ่านบ่อยมากจริงๆ จึงแอบหวังอยากให้คนอื่นทุกคนที่แวะเข้ามา ชอบมันบ้างสักนิดหนึ่งก็ยังดีค่ะ อ่านแล้วชอบใจก็อย่าลืมทิ้งข้อความสั้นๆเป็นกำลังใจให้บ้างนะคะ หรือถ้าอยากจะแนะนำให้ใครคนอื่นได้อ่าน คนเขียนก็ยินดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 02-12-2009 21:48:52
มาแล้ว เย้ๆๆ

มาคราวนี้ น้องโยแล้วดุเศร้าเลย

น้องเจเค้าไม่รุ้สักที่ว่าเพื่อนสนิทเค้าหลงรัก

รอดูต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร

ขอบคุณนะคะที่มาต่อ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 02-12-2009 23:49:38
น้องเจ  ทำไมยังไม่รู้ตัวซักที  โยเค้าจะแย่อยู่แล้วนะ
โยก็แสนจะสุภาพบุรุษเกิ๊นนนนนน 
เบื่อยายน้องแนน  จะกลับมาทำม้ายยยยย  :fire:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 03-12-2009 11:14:08
หวัดดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

ตอนที่ 6 ยังคงเห็นความรักที่โยมีให้กับเจอย่างชัดเจน
โยรักและเข้าใจเจมากจริงๆ

แล้วเมื่อไร เจจะเข้าใจโยบ้างล่ะเนี่ย
แต่ท่าทางมีตัวเร่งปฏิกิริยาเข้ามาแล้วนะเนี่ย

ใกล้แระ รอนะคะ

เป็นกำลังใจให้นะคะ ชอบเรื่องนี้มากเหมือนกันค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 03-12-2009 12:21:13
ตอนนี้สงสารโยมากเลยอ่ะ แนนนิสัยไม่ดีที่แบบนี่้กลับมาหาเจ เขาว่าลงยาวๆดีแล้วเราชอบ
มาลงแค่อาทิตย์ละครั้งเองเหรอถึงว่าเราเข้ามาทุกวันไม่เห็นเลยอ่ะ  รอตอนต่อไปนะค่ะ :bye2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 03-12-2009 18:52:59
จะบอกว่า เอามาลงได้ถี่แค่ไหน มันไม่แน่ไม่นอนหรอกค่ะ... บางครั้งเราก็ทิ้งช่วงไม่นานเท่าไหร่ ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นนะคะ

ส่วนใครที่สงสารโย อยากรู้เหลือเกินว่า เจ รู้สึกยังไงแน่กับเพื่อนคนนี้...

ตอนหน้า... มีลุ้นค่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 03-12-2009 18:54:40
งั้นมานอนรอดีก่า อิอิ  :z2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 04-12-2009 22:25:36
น้องโยเศร้าไปเลยอ่ะ สงสารจังเลย

รอติดตามอย่างใจจดจ่อ มาเร็ว ๆ น้า

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Yukisae ที่ 06-12-2009 23:03:19
TTT___TTT
สงสารโยอ่ะ
เมื่อไหร่เจจะรู้ตัวซะทีเนี่ย
โยจะเป็นคนดีไปไหน
รอติดตามนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 07-12-2009 09:08:05
มาแบบยาวจุใจ  ชอบค่ะ
น้องแนนเริ่มจะทำตัวน่ารำคาญอีกแล้วชิมิค๊ะ
แต่ก็แอบเห็นด้วยนะที่บอกว่าเจน่าจะเหมาะกะการร้องเพลงร็อคมากกว่า
(พูดอย่างกะไปเห็นมางั้นแหละ -///-)
เป็นกำลังใจให้เจ โย และไรเตอร์คร้า
+1 ให้คร้า แล้วมาต่ออีกนะคร้า
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 07-12-2009 13:22:17
รอไรเตอร์ :monkeysad: มาลงที่เถอะ สงสารโยจะตายอยู่แล้ว
ลุ้นอยู่แนนจะทำไรต่อ อยากให้พี่นนท์กับน้ำต้นมาแจมด้วยอะ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 08-12-2009 16:38:24
บทที่ 7

เด็กหนุ่มที่ดูจะตัวใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะการออกกำลังและการฟิตซ้อมร่างกายที่หนักขึ้นกว่าเดิม เดินสะพายกระเป๋าออกไปเตรียมจะกลับบ้าน ระหว่างที่หยุดทักทายรุ่นน้องที่สนิทสนมกันอยู่นั้น ก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นร่างแบบบางของเด็กสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินตรงมาทางเขา
   
“แนน” เสียงทุ้มๆนั้นเรียกออกไป “เจไปทำงานแล้ว มีอะไรหรือเปล่า ติดต่อไม่ได้หรือ”
   
เด็กสาวส่ายหน้า   
   
“เราอยากคุยกับเธอ ขอเวลาได้ไหม”
   
“ตามสบายพี่โย ไว้เจอกันครับ” เด็กหนุ่มรุ่นน้องเอ่ยอย่างรู้หน้าที่ โยพยักหน้าพลางยิ้มให้เป็นนัยว่าขอบใจ
   
“ไปครับ สะดวกที่ไหนว่ามาเลย” โยว่าเสียงทุ้มอารมณ์ดี แม้จะนึกประหลาดใจไม่น้อยก็ตาม
   
ผู้ชายคนนี้ ทำไมเธอจึงไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าดูดีและมีสเน่ห์ดึงดูดใจมากมายถึงเพียงนี้ ร่างสูงใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าดูกำยำมากขึ้นจากเมื่อครั้งสุดท้ายที่แนนได้เจอ ท่าทางอกผายไหล่ผึ่ง น้ำเสียงทุ้มหู กริยาที่ดูสุภาพ และใบหน้าหล่อเหลาดูดีที่มักจะแต้มไปด้วยรอยยิ้มเสมอนั่น ถ้าเขาจะมีแฟนคลับเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นนักร้อง เธอคงไม่นึกแปลกใจเลยสักนิด
   
แต่ที่เธอสงสัยคือ คนที่เพียบพร้อมขนาดนี้ ทำไมจึงยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที
   
ร้านกาแฟที่อยู่ใกล้กับบริษัทดูจะเป็นทางเลือกที่ดีและสะดวกที่สุด ทั้งคู่เดินเข้าไปจับจองโต๊ะตัวที่ตั้งอยู่ด้านในสุด ดึกขนาดนี้แล้ว คนย่อมบางตาเป็นธรรมดา ยังดีที่ร้านนี้เป็นร้านเดียวที่เปิดบริการจนถึงเที่ยงคืน ทั้งคู่เลือกสั่งเครื่องดื่มคนละแก้ว ก่อนที่เด็กหนุ่มร่างใหญ่จะเป็นฝ่ายเอ่ยอะไรออกมาก่อน
   
“ไม่ได้เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง”
   
“ก็ดี ท่าทางเธอก็ดูจะสบายดีนี่” อดรนทนไม่ได้เด็กสาวจึงโพล่งออกมาในที่สุด “เราจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ”   
   
“เราก็ไม่คิดว่าเธอจะมาเพื่อชวนเรากินกาแฟเหมือนกัน” ความนิ่งราวกับจะไม่หวั่นไหวอะไรทำให้เด็กสาวใจฝ่อไปเล็กน้อย แต่เธอก็รวบรวมความกล้าเอ่ยออกไปในที่สุด
   
“เมื่อคืนเราคุยกับเจ เรื่องร้องเพลงของเขา” เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ เธอจึงว่าต่ออย่างถือดี “ส่วนตัวเราอยากให้เจไปร้องเพลงกับวงของเขามากกว่ามาทำอะไรแบบนี้” ได้ผล หนนี้เธอเห็นว่าคิ้วคู่นั้นขมวดมุ่นลงจนได้
   
“เราไม่เข้าใจ”
   
“หมายความว่ายังไง ไม่เข้าใจ”
   
“ไมเข้าใจที่คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องนี้ของเจ จู่ๆจะแสดงความสนใจถึงขนาดเอ่ยปากแนะนำเจไปแบบนั้น”  
   
เด็กสาวรู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าว เธอโกรธที่เด็กหนุ่มพูดเหมือนรู้จักเจดีกว่าเธอ โกรธที่เขาพูดราวกับเธอช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับเธอแบบนี้
   
“เราเป็นแฟนเจนะ”
   
“แฟนที่ทิ้งเขาไป แล้วก็กลับมาขอคืนดีกับเขาน่ะหรือ” โยจ้องไปที่เด็กสาวไม่วางตา เธอดูไม่ออกเลยว่าตอนนี้อารมณ์ของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าความสงบนิ่งที่เขามีนั้น ทำให้เธอหวั่นไหวเหลือเกิน
   
“แต่เขาก็กลับมาคบเราแล้ว” เธอปดแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเจยังไม่เคยรับปากว่าจะกลับไปคบเธอเหมือนเดิม “และที่เราไม่ชอบอย่างมากก็คือ คนที่เป็นแค่เพื่อนอย่างเธอดูเหมือนจะยุ่งเรื่องของเขาเกินไปหน่อยแล้ว”
   
“นี่อย่าบอกนะ...” โยทำตาโต “ว่าเธอคิดว่าที่เจเลือกจะเข้าคัดตัวเป็นเพราะเรา”
   
“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะเธอจะเป็นเพราะใคร เจเขาบอกฉันว่าเขาชอบวงร็อคของเขามากกว่า”
   
โยมองเด็กสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินเลยสักนิด นี่ตกลงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเจเลยใช่ไหม มาถึงตอนนี้ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอโกหกคำโตเพียงไร
   
“ขอบอกอะไรให้รู้สักหน่อยได้ไหมแนน” โยระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “เราไม่มีสิทธิ์ไปบอกให้เจทำนั่นทำนี่ได้หรอกนะ เจตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวของเขาเอง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาไม่ใช่เรา และไม่ว่าเจจะตัดสินใจเลือกอะไร เราก็พร้อมที่จะยินดีกับเขา”
   
ดวงตายาวรีคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่กับดวงหน้าของเด็กสาว แต่ไม่รู้เพราะอะไรเธอจึงรู้สึกเหมือนกับเห็นแววของความผิดหวังผ่านออกมาจากดวงตาคู่นั้น
   
“หน้าที่ของเรา คือคอยดูแลและเป็นพลังให้เขาในเวลาที่เขาไม่มีใคร ไม่ใช่ไปบังคับเขา การที่เธอมาพูดกับเราแบบนี้ เราถือว่าเธอดูถูกเขามากเลยนะ” ร่างนั้นลุกขึ้นยืนช้าๆแต่ดวงตายังไม่ยอมละไปไหน “กลับมาคราวนี้ เราขอเธอแค่ช่วยดูแลเขาให้ดี แล้วก็อย่าทิ้งเขาไปอีกก็พอ คงไม่มากเกินไปใช่ไหม”
   
เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายและเดินออกจากร้านไปโดยไม่สนใจจะหันกลับมามองหรือฟังคำตอบใดๆอีก ทิ้งให้เด็กสาวนั่งเม้มปากอย่างไม่พอใจ เมื่อสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดนั้นมันกระแทกใจเธอเต็มๆโดยที่เธอไม่อาจจะเถียงอะไรออกไปได้เลยแม้แต่คำเดียว แต่... ช่วยดูแลเขาให้ดี แล้วก็อย่าทิ้งเข้าไปอีกก็พออย่างนั้นหรือ เธอไม่ชอบใจในน้ำเสียงนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว น้ำเสียงที่แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ตัว แต่ก็แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นต่อเธออย่างมาก

*******************************

“โว้ยยยยย!!!” จู่ๆไอ้เพื่อนหน้าสวยของเขาก็ตะโกนออกมาราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง ก่อนจะฟุบหน้าลงกับท่อนแขนขาวๆที่เขาเห็นแล้วโคตรจะอิจฉา
   
“เป็นอะไรไปไอ้เจ” เด็กหนุ่มอีกคนยื่นหน้าไปมองว่าเพื่อนซี้เป็นอะไรมากหรือเปล่า ก่อนจะหันไปลุกขึ้นยืนพลางชูมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้กับโต๊ะอื่นๆที่หันมามองว่าดาวดังของโรงเรียนเป็นอะไรไปเสียแล้ว
   
“กลุ้ม” เขาตอบสั้นๆ “ไอ้ต๊อก ข้าถามอะไรเอ็งหน่อยเหอะ”
   
“ว่ามา” เด็กหนุ่มอารมณ์ดีที่มีความเชื่อผิดๆว่า ในโรงเรียนนี้ เห็นจะมีแต่เขานี่แหละที่หล่อเหลาพอจะสูสีไอ้เพื่อนคนนี้ได้
   
“คนที่เคยสนิทกันดีๆ จู่ๆก็หนีหน้า เลี่ยงที่จะไม่คุย เลือกที่จะไม่เจอ โดยที่ไอ้เราก็ไม่ได้ทำอะไรให้มันเจ็บช้ำน้ำใจ มันหมายความว่าไงวะ” ดูเอาเถอะ ขนาดมันทำหน้ามู่ทู่ เอามือขยี้หัวจนยุ่งเหยิงไปหมด หน้าตาก็เหมือนคนอดหลับอดนอน แต่ทำไมยังดูดีได้ขนาดนี้ ต๊อกอิจฉาครับเพื่อน
   
“ไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจแล้วไม่รู้ตัวหรือเปล่าวะ”
   
“ไม่รุ” เจตอบส่งๆ “แต่ข้าอึดอัด มีอะไรไม่พูด ใครจะไปรู้วะว่าคิดอะไร”
   
“นี่พูดถึงแนนใช่ไหม”
   
“ไม่ใช่” เจตอบหางเสียงสะบัด ก่อนเสียงจะอ่อยลง “เพื่อน”
   
“อ้าวไม่ใช่แนนหรอกหรือ” เจส่ายหน้า ทำเอาเพื่อนต๊อกไม่เข้าใจไปครู่ใหญ่ “ทีแรกข้านึกว่าหมายถึงแฟน”
   
“แนนไม่ใช่แฟนข้า”
   
“เอ๊า... ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ต๊อกยิ่งงงหนัก นี่เพื่อนเขาจะซับซ้อนเกินไปหน่อยหรือเปล่า
   
“ก็ไม่ได้เป็นมาตั้งนานแล้ว”
   
“แล้วนี่ไม่ได้กลับมาคบกันเหรอ”
   
“เขาก็ขอ แต่ข้ายังไม่ได้รับปาก”
   
“ไอ้หอกเจ...” เขายกเท้าขึ้นเตรียมประเคนให้เพื่อนหน้าหล่อ ติดแต่แฟนคลับที่มานั่งเฝ้าจะเข้ามาสะกรัมเขาเสียก่อนนี่สิ ถึงได้ยั้งเอาไว้เสียก่อน“ยังไงของเอ็งวะ”
   
“ข้าไม่รู้เว้ย”
   
“แล้วเพื่อนที่ว่า เอ็งอย่าบอกนะ...”
   
“เออ...”
   
“เฮ้ย... มันเป็นห่วงเอ็งจะตาย ทำไมจู่ๆถึงเกิดไม่พอใจอะไรเอ็งขึ้นมาวะ ต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง” พอเห็นเพื่อนทำท่าครุ่นคิดราวกับเป็นวาระแห่งชาติอะไรสักอย่าง เจที่หน้าดำคร่ำเครียดมาตั้งแต่เช้า ถึงกับหลุดขำออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้ เพื่อนต๊อก แกจะฮาไปไหน ว่าตามจริงชีวิตในโรงเรียนที่สร้างสีสันให้เขาได้ส่วนหนึ่งก็มาจากเพื่อนคนนี้นี่แหละ ต๊อกอาจจะไม่ใช่คนดังในโรงเรียน อาจจะไม่ใช่เด็กหนุ่มที่หน้าตาดีอะไร ท่าทางออกจะไม่น่าไว้ใจด้วยซ้ำในสายตาของเด็กผู้หญิง จนบ่อยครั้งหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าคนที่ดูแตกต่างกันเหลือเกินราวฟ้ากับเหวจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันขนาดนี้ได้อย่างไร
   
น้ำใจ เจมักจะตอบออกไปแบบนี้เสมอเมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับต๊อก เพื่อนของเขาเป็นคนมีน้ำใจชนิดที่หาใครมาเปรียบได้ยาก และเป็นคนที่ถัดจากโยแล้วก็เห็นจะเป็นต๊อกนี่แหละที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างจริงใจเสมอมา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ถึงแม้ต๊อกจะไม่ใช่คนหน้าตาดี ตัวก็ดำเหมือนจรกาอย่างที่หลายคนปรามาสเอาไว้ แต่กลับมีเพื่อนอยู่มากมาย
   
“หรือข้าควรจะถามมันไปตรงๆเลยวะ”
   
“ถามเหอะ” ต๊อกตอบแบบไม่ต้องคิดเลยสักนิด “เอ็งไม่ต้องถามข้าก็รู้แล้วว่าเอ็งไม่ปล่อยให้มันคาใจหรอก”
   
“มันเอาแต่หลบหน้าข้านี่สิ”
   
“ไอ้เจ ข้าถามเอ็งจริงๆ”
   
“ว่า?”
   
“เอ็งยังรักแนนอยู่ไหม”
   
“ไม่แน่ใจว่ะ”
   
“งั้นไปคิดให้ตกก่อนไป ว่ารักหรือไม่รัก แล้วก็ไปบอกเขาให้รู้เรื่อง อย่าให้มันคาราคาซังแบบนี้ ผู้หญิงเขาจะมีความหวังเปล่าๆ”
   
เมื่อเห็นดวงตากลมโตของเพื่อนหน้าหวานจ้องกลับมาแบบไม่วางตาราวกับรอคาดคั้นจะเอาคำตอบอะไรบางอย่าง ต๊อกจึงได้แต่เกาศีรษะอย่างขัดเคือง
   
“เออ ข้าพูดจริงๆ ถึงข้าจะไม่ค่อยชอบแฟนเอ็ง ก็ไม่ได้แปลว่าข้าจะเป็นคนเลวขนาดไปยุให้เพื่อนเลิกคบแฟนด้วยเหตุผลแค่นี้หรอกโว้ย แต่บางอย่างมันก็ควรจะชัดเจนนะไอ้เจ การไปตอบรับไมตรีเขาเพียงเพราะกลัวเสียน้ำใจทั้งที่ไม่ได้รักแล้วน่ะ อย่าทำเลย”
   
“ขอบใจว่ะต๊อก”
   
“เก็บไปคิดเป็นการบ้านก็แล้วกันว่าจะเอายังไงกะแนน ส่วนเรื่องโยน่ะ ไปคุยกันซะ เพื่อนดีๆหาไม่ได้ง่ายๆนะเว้ย”
   
“เหมือนเอ็งอ่ะเหรอ”
   
“อันนี้มันก็แน่นอนนะ” ไม่เพียงแต่ยื่นหน้าตอบรับแบบไม่มีถ่อมตัว ยังชูนิ้วโป้งและนิ้วชี้ขึ้นมาราวกับว่าเท่เสียเต็มประดา ทำเอาเจที่นั่งกลุ้มใจอยู่เป็นนาน หลุดหัวเราะชอบใจออกมาในที่สุด

*******************************

หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 6 *#*#*# UP!!!!!!!!
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 08-12-2009 16:38:55
งานพิเศษคืนนี้ออกจะให้ความรู้สึกแปลกกว่าทุกครั้ง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จู่ๆแนนที่ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับงานที่เขาทำอยู่สักนิด กลับมาออดอ้อนขอให้พาไปดูที่ทำงานของเขาอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียอย่างนั้น น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกเกรงใจทุกคนที่ร้านขึ้นมาทันที ต่างกับตอนที่พาโยมา เขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด ไม่ว่าจะยกเหตุผลอะไรมาบอกเด็กสาว ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนความคิดของเธอไม่ได้แน่แล้ว สุดท้ายเจก็ต้องพาแนนมาด้วยจนได้ในที่สุด
   
“ต้องขอโทษด้วยนะครับพี่อ๊อด” เจว่าอย่างเกรงใจ
   
“เฮ้ย จะต้องมาขอโทษทำไมกัน ก็นั่นแฟนเราไม่ใช่เหรอ นานๆมาทีจะเป็นไรไป”
   
“แฟนเก่าน่ะครับ”
   
“อ้าว...” แต่เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเด็กหนุ่มแล้ว เจ้าของร้านก็ไม่ว่าอย่างไรต่อ ได้แต่ยกมือขึ้นตบไหล่เจเบาๆและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
   
“งั้น ไปทำงานเถอะไป”
   
ในคืนที่อยู่ในช่วงปลายเดือนแบบนี้ ลูกค้าจะไม่หนาตามากเท่ากับช่วงต้นเดือน บรรยากาศในการทำงานจึงเป็นไปอย่างค่อนข้างสบาย ไม่ถึงกับยุ่งมากมายสักเท่าไร ครัวจึงสามารถปิดได้ตอนห้าทุ่มตามปกติ ไม่ต้องลากยาวไปจนถึงเที่ยงคืน เมื่อลูกค้ากลุ่มสุดท้ายออกจากร้านไปแล้ว จึงยังพอมีเวลาให้พนักงานในร้านเก็บกวาดและหาอะไรทานก่อนกลับได้อย่างไม่ต้องเร่งรีบอะไรนัก ยิ่งคืนนี้มีสาวสวยมานั่งอยู่ด้วย ก็ยิ่งสร้างความสดชื่นให้กับพนักงานหนุ่มๆ ที่ทำเป็นเอ้อระเหยไม่ยอมกลับสักทีได้ไม่น้อยเหมือนกัน
   
“แนน โทรเรียกให้ที่บ้านมารับแล้วใช่ไหม” เด็กหนุ่มที่ตอนนี้ถอดเครื่องแบบพนักงานออกกลับมาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนเดิม เดินมาถามเธออย่างนึกเป็นห่วง คืนนี้แทนที่จะได้ทำงานเต็มที่ เขาก็เลยต้องเทียวไปเทียวมาถามเด็กสาวอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวเธอจะเบื่อและงอนเขาขึ้นมาอีก แม้จะเป็นฝ่ายขอมาเองก็ตาม
   
“อือ” แนนตอบด้วยท่าทางเนือยๆ ในใจก็ได้แต่คิดว่า เจมาทนทำงานอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร ทั้งเหนื่อย ทั้งดูน่าวุ่นวายและน่าเบื่อออกขนาดนี้ “เจจะทำงานนี้ไปอีกนานแค่ไหนน่ะ”
   
“ก็” เจทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงกันข้ามกับเด็กสาว “จนกว่าอะไรๆจะดีขึ้น แนนอย่าลืมสิว่าทางบ้านเราเขาไม่ได้ส่งเสียเราตรงนี้” เจหมายถึงการเป็นนักร้องฝึกหัด “เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด”
   
“เจก็เลิกสิ” เจหน้านิ่วอย่างไม่สู้จะชอบใจในน้ำเสียงของแนนนัก “ก็อย่างที่แนนบอกนั่นแหละ เจเหมาะกับวงร็อคนั่นมากกว่าอีก แถมไม่ต้องเหนื่อยฝึกร้องเพลง ฝึกเต้นจนหัวหมุนอย่างทุกวันนี้ด้วย” แนนว่าราวกับรู้เรื่องการร้องเพลงดีเสียเต็มประดา
   
“แนนไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า” เจหงุดหงิดมากเสียจนต้องเสมองไปทางอื่น ทำเอาเด็กสาวฉุนกึก
   
“ทำไมแนนจะไม่รู้ เจทำอะไรเยอะเกินตัวไปแล้วรู้ไหม ที่จริงแค่เจไม่ต้องเป็นนักเรียนฝึกหัดอะไรนั่นก็ไม่ต้องมาเหนื่อยแบบนี้แล้ว อยากร้องเพลงก็ไปร้องกับวงสิ ไม่ต้องซ้อมเต้น ไม่ต้องเข้าคลาสอะไรให้วุ่นวายด้วยซ้ำ ทำไมเจยังดื้ออยู่อีก”
   
“แนน!” เจเสียงแข็ง “แนนสนใจเรื่องเราร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ผ่านมา แนนไม่เคยสนเลยว่าเราจะทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมแค่ไหน พอพาไปดูไลฟ์แนนก็บอกไม่ชอบ แนนไม่เคยชอบสิ่งที่เราทำเสียหน่อย แล้วพอมาวันนึงแนนก็มาบอกให้เราเลือกทำอย่างนั้นอย่างนี้ เคยถามเราสักคำไหมว่าเราชอบหรือเปล่า หรือเราทำทำไม เคยถามไหมว่าเราอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร นอกจากแค่แนนอยากให้เราทำอะไร”
   
แนนถึงกับคอแข็งและตกใจที่ได้เห็นเจในมุมที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เจไม่เคยพูดจากับเธอแบบนี้เลยสักครั้ง เกิดอะไรขึ้นกับเจ ทำไมเด็กหนุ่มจึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
   
“งั้นพูดมาเลยตรงๆดีกว่า เจตัดสินใจจะอยู่วงบอยแบนด์ก็เพราะโยใช่ไหม”
   
“โยเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วย” เจถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกที่จู่ๆแนนก็พูดถึงโยขึ้นมา
   
“โยใช่ไหมที่ยุให้เจเลือกทางนี้แทนที่จะเป็นวงดนตรี โยมันมากล่อมอะไรเจถึงได้ใจอ่อนยอมอยู่ มันหวังอะไรจากเจหรือเปล่า เคยถามมันไหม”
   
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับโย ทุกอย่างเกิดจากการตัดสินใจของเราทั้งนั้น แล้วขอนะแนน อย่าพูดถึงโยแบบนั้น ไม่น่ารักเลย” เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความโกรธที่คุกรุ่นขึ้นมา แต่เพราะอะไรเขาถึงได้รู้สึกไม่พอใจขนาดนี้เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
   
“ใช่สิ แนนมันไม่น่ารักนี่ บอกอะไรเจ เจถึงไม่เชื่อฟังเลย” เด็กสาวแค่นหัวเราะ “ใครจะไปดีแสนดีเหมือนเพื่อนรักของเจล่ะ มันพูดอะไรก็เชื่อมันไปหมด”
   
“ขอบอกอีกครั้งเดียว ไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่าแนน” ไม่เชื่อฟังอย่างนั้นหรือ ผู้หญิงคนนี้เห็นเขาเป็นหมาเป็นแมวหรืออย่างไรกัน
   
“ทำไมจะไม่รู้อะไร ทำไมแนนจะไม่รู้ เจหายใจเข้าออกเป็นมันตลอดนี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวก็โยอย่างนั้น เดี๋ยวก็โยอย่างนี้ แนนไม่ได้อยู่ในสายตาเจอีกแล้ว อยากรู้จริงๆมันมีดีตรงไหน” ใช่แล้ว เธอหวงเจกับเด็กผู้ชายคนนั้น เธอไม่ชอบที่เจเอาแต่พูดถึงมัน ไม่ชอบที่เจก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังมันทุกอย่างด้วย และที่สำคัญเจที่เคยยอมเธอทุกอย่าง กล้าเถียงเธอหน้าดำหน้าแดงแบบนี้ก็เพราะมันอีกเหมือนกัน
   
“ก็ตรงที่ตอนที่แนนทิ้งเราไป ก็ได้เขานี่แหละคอยดูแล คอยเป็นห่วง ในวันที่เราไม่มีใคร โยเป็นคนที่อยู่ตรงนั้นกับเรา เข้าใจหรือยัง!”
   
เด็กสาวถึงกับกัดริมฝีปากด้วยความคับแค้นใจ เธอเถียงไม่ออกเพราะสิ่งที่เจพูดมันคือความจริงทุกอย่าง แต่ความโกรธดูจะมีอำนาจเหนือเหตุผลไปหมดแล้วในตอนนี้
   
“แนนเกลียดมัน!” เด็กสาวเข่นเขี้ยว “เกลียดท่าทียะโสโอหัง ทำเหมือนกับรู้เรื่องของเจทั้งหมดคนเดียว ปากก็ทำเป็นบอกว่า เป็นสิทธิ์ของเจ ยอมรับการตัดสินใจของเจ แต่ทำท่าเหมือนตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แล้วทำท่าอวดดีใส่แนน แนนเป็นแฟนเจนะ แต่มันเป็นแค่เพื่อนสั่วๆคนนึงที่หวังอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้”
   
เจหน้าบึ้งอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกอะไรอีก ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่คาดคั้นและไม่พอใจอย่างยิ่ง
   
“อย่าบอกนะว่าแนนไปเจอกับโยมา”
   
“เออ แนนไปคุยกับมันมา บอกให้มันปล่อยเจไปซะ ถ่วงความเจริญ มาทำเป็นหวังดีอยากให้เจได้รับคัดเลือก มันชอบเจแนนรู้ มันถึงอยากให้เจอยู่กับมัน โธ่เอ๊ย...หวังดีจอมปลอมน่ะสิ ทำเพื่อตัวเองแท้ๆ ยังจะ...” พูดได้เท่านั้นเด็กสาวก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อเด็กหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนโต๊ะอย่างแรง เสียงดังของมันทำเอาใครหลายคนที่เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นถึงกับหันมามองด้วยความประหลาดใจ เจผุดลุกขึ้นทันที
   
“อย่าพูดถึงโยแบบนั้นอีก ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ให้อภัยเธอเลย” เขาตวัดสายตามองเธออีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทางที่แนนไม่เคยเห็นมาก่อน “เราจะไปรอรถบ้านเธออยู่หน้าร้านก็แล้วกัน มาถึงเมื่อไหร่จะให้คนมาเรียก ขอตัวนะแนน”
   
หญิงสาวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ทั้งแค้นใจ ทั้งเจ็บใจ ผสมปนเปกันมากมายไปหมด ทำไมถึงไม่ได้ดั่งใจกันสักคน ทำไมถึงได้ โง่ โง่ โง่ กันไปหมด
   
คืนนั้นแม้เด็กสาวจะก้าวขึ้นรถ รอจนกระทั่งรถเก๋งคันงามออกตัวไปแล้ว ก็ไม่ปรากฏเงาของคนที่เธอเชื่อว่ายังรักเธออยู่ให้เห็นอีกเลย

***************************
   
เกือบตีหนึ่งแล้ว เจค่อยๆไขกุญแจเข้าไปในห้องพักอย่างเบามือ ด้วยไม่อยากรบกวนเจ้าของห้องที่ไม่รู้ว่านอนไปแล้วหรือยัง เขายังคงรู้สึกมึนไม่หายจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เพื่อนพนักงานในร้านชงให้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าทุกคนพยายามที่จะปลอบใจเขา คนที่ร้านมีหรือจะไม่รู้ว่าเขากับแนนทะเลาะกัน ก็เสียงดังขนาดนั้น ปกติเขาก็มีดื่มๆอยู่บ้างเหมือนกัน แต่หนนี้ดูจะหนักข้อกว่าปกติเล็กน้อย ที่จริงก็ไม่น่าจะเล็กน้อยหรอก ลองถ้าทำให้คนคอแข็งอย่างเขามึนๆได้ขนาดนี้ล่ะก็
   
แต่ที่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ทะเลาะกันหนักขนาดนี้ แต่เจกลับไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องตามง้องอนเหมือนทุกครั้ง เขาโกรธแนนขนาดที่ว่ายังแปลกใจตัวเองที่เกรี้ยวกราดกับเด็กสาวได้ขนาดนั้นเชียวหรือ ที่สำคัญเขาไม่นึกอยากโทรไปปรับความเข้าใจกับเธอเลยสักนิดนี่สิ
   
ยังไม่ทันจะเดินไปเปิดไฟ เด็กหนุ่มก็นิ่วหน้าเพราะจู่ๆแสงไฟในห้องก็ติดสว่างขึ้นโดยไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว
   
“ยังไม่นอนเหรอโย” แม้จะเอ่ยออกไปตามธรรมดา แต่ก็รู้สึกได้ถึงหางเสียงที่ลากยาวกว่าปกติ
   
“ดื่มมาหรือ” น้ำเสียงนั้นติดจะเข้มนิดๆ
   
“นิดหน่อย ทำไมยังไม่นอนอีก ดึกแล้วนะ”
   
“วันนี้ดึกเกินปกติ เราเป็นห่วงเลยมานั่งรอ” โยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “แล้วทำไมถึงต้องดื่มด้วย”
   
เจเดินลากขาลงไปนั่งบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นบีบขมับทั้งสองข้าง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมา
   
“วันนี้แนนเขาขอไปที่ร้านด้วย นึกอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้” เจนิ่วหน้าเมื่อนึกย้อนกลับไป “จบที่เราทะเลาะกัน”
   
เด็กหนุ่มตัวสูงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ใบหน้าแสดงความเป็นห่วงไม่ปิดบัง เจหันไปสบตากับโย
   
“เขามาพูดอะไรกับนายหรือโย”
   
“เขาบอกหรือ”
   
“ก็หลุดปากออกมาน่ะ”
   
“เขามาบอกว่า เป็นเพราะเรา นายถึงเลือกที่นี่แทนที่จะเลือกวงดนตรี ทั้งที่จริงๆนายไม่ได้อยากอยู่วงบอยแบนด์อะไรนั่น” เสียงทุ้มๆนั้นเล่าออกมาอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไร
   
“บ้าเอ๊ย!” เจสบถออกมาอย่างหัวเสีย
   
“เราก็บอกว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนาย เราไม่มีสิทธิ์ยุ่ง แต่เราเคารพการตัดสินใจของนาย”
   
“เขาพยายามจะยุให้เราเลือกวงแทน ทั้งที่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยชอบสิ่งที่เราทำเลยโย เรางงมากเลยนะ” เจหันไปมองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆก่อนจะก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ประสานกันเอาไว้บนตัก

“จน... เขาบอกว่า” เจไม่ยอมพูดต่อ

“บอกว่าอะไร”

“บอกว่านายชอบเรา” เจว่าต่อ “เราก็เลยมาคิดว่า หรือที่เขาเข้ามายุให้เราเลือกวง ก็เพราะอยากจะแยกเราออกจากนาย ไม่ใช่เพราะหวังดีอะไรกับเราหรอก”
เด็กหนุ่มอีกคนนั่งเงียบ ไม่พูด ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น

“บอกตามตรงเราผิดหวังกับเขานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรอกนะว่าที่เขาทำน่ะ เพราะความต้องการของเขาล้วนๆ ไม่ได้นึกหวังดีอะไรกับเราหรอก ว่าตามจริงที่ผ่านมา เขานึกอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคยสนหรอกว่าเราจะอยากหรือไม่อยากยังไง” เจยักไหล่อย่างไม่นึกยี่หระอะไร “แต่ที่ติดใจเรา ก็คงจะเป็นเรื่องนายมากกว่า”

โยหันไปมองหน้าเจเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็หลบตาเสีย

“นายบอกเรามาตรงๆได้ไหมโย ว่าระยะนี้นายหลบหน้าเราทำไม”

เด็กหนุ่มหันมาทำตาโต เขาเกือบจะพูดแก้ตัวออกไปแล้ว แต่ก็ยิ้มออกมาแทนก่อนจะระบายลมหายใจหนักๆออกมาราวกับว่าตัดสินใจแล้วว่าควรจะพูดอะไรออกไปให้ชัดเจนเสียเลยก็ดีเหมือนกัน

“แนนกลับมาหานายแล้ว จะให้เราเข้าไปเป็นก้างคงไม่เหมาะหรอกเจ”

“ทำไมจะไม่ได้ นายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเรานะ”

โยได้แต่ส่ายหน้าไปมา แต่ไม่ยอมสบตากับเขา

“เราไม่ได้คิดจะกลับไปคบเขาเป็นแฟนหรอกนะ”

หนนี้เจหันไปสบตากับโยที่มองมาพอดีราวกับจะหาคำตอบจากดวงตากลมโตของเขา

“เราไม่ได้รักเขาแล้ว ยิ่งเกิดเรื่องคืนนี้เรายิ่งแน่ใจ” เจเงียบไปเป็นครู่ “แต่ที่ติดใจเราก็คือเรื่องที่เขาบอกว่านายชอบเรา” เกิดความเงียบขนาดที่ถ้าเข็มสักเล่มตกลงบนพื้นก็คงได้ยินอย่างชัดเจนทีเดียว

“นายชอบเราจริงๆเหรอ”

คำถามนั้นทั้งสั้นทั้งง่าย

โยไม่ตอบ แต่เลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ๆเพื่อนหน้าหวานของตัวเอง ดวงตาเรียวของเขามองเข้าไปยังดวงตาสีดำสนิทที่จ้องตอบกลับมาคู่นั้นโดยไม่คิดจะหลบเลยสักนิด ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันชนิดรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน โยได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆจากอีกฝ่าย ริมฝีปากที่เป็นสีชมพูอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ไม่เคยผ่านเครื่องสำอางอะไรเลยเผยอออกอย่างลืมตัว ยิ่งเหมือนเป็นการเชื้อเชิญให้เขาประกบริมฝีปากของเขาลงไปอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนที่สุด เจถึงกับหายใจติดขัดกับจูบที่แสนจะจริงจังและอ่อนหวานนั้น

เวลาผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนต่างฝ่ายต่างไม่สนใจใคร่รู้ รู้แต่เหมือนกับเวลาได้หยุดลงไปชั่วครู่อย่างไรอย่างนั้น ร่างกายที่แข็งเกร็งของเจผ่อนคลายลงเมื่อเริ่มคุ้นชินกับสัมผัสนั้น โยค่อยๆถอนริมฝีปากตัวเองออกจากริมฝีปากอ่อนนุ่มนั้นอย่างอ้อยอิ่ง จมูกโด่งสวยของเขายังคงคลอเคลียอยู่กับจมูกของอีกฝ่าย และรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เหนื่อยหอบของเจ

“ไม่เคยโดนจูบเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มหูนั้นกระซิบถามแผ่วเบา เจได้แต่ก้มหน้างุดพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆก่อนที่จะพิงร่างเข้ากับอีกฝ่ายอย่างหมดเรี่ยวแรงไปเสียอย่างนั้น โยยกแขนทั้งสองข้างโอบร่างนั้นเอาไว้ รู้สึกได้ถึงไออุ่นที่เผื่อแผ่ออกมาถึงเขา

“ได้คำตอบหรือยังว่าเรารู้สึกยังไงกับนาย” โยกระซิบลงข้างหูของอีกฝ่าย เจไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ได้แต่พยักหน้าหงึกๆโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเลยสักนิด “รังเกียจไหม” เสียงนั้นยังถามต่ออีก

เขาจะรังเกียจได้อย่างไร แต่ที่พูดไม่ออกอยู่นี่ก็เพราะมันสั่นไปหมด หัวใจเต้นแรงเหมือนกับจะหลุดออกมานอกอกอยู่แล้ว ที่สำคัญเขาไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี อายจะตายอยู่แล้ว หมอนี่ทำเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยได้ยังไงกันนะ

โยหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าร่างในอ้อมแขนเอาแต่พยักหน้าและส่ายหน้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

“นายล่ะ ชอบเราไหม”

ได้ผล ร่างนั้นผละออกจากอ้อมแขนแข็งแรงของเขาทันทีก่อนจะเบิกตาโต ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี นั่นสิ แล้วเขารู้สึกยังไงกับโยกันล่ะนี่

“คือ...” เด็กหนุ่มหน้าหวานได้แต่อ้ำอึ้ง เขารู้สึกอย่างไรอย่างนั้นหรือ ที่แน่ๆคือ รู้สึกดี ไม่รู้สึกรังเกียจอะไรเลยซักนิดทั้งที่โดนหมอนั่นจูบเอาได้อย่างหน้าตาเฉย เอาล่ะสิ...

โยเห็นสีหน้าที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกของเจแล้วทนไม่ไหว ถึงกับหลุดขำพรืดออกมาในที่สุด แต่อ้อมแขนนั้นกลับไม่ยอมปล่อยให้ร่างนั้นหนีไปไหนได้ เจหน้ามุ่ยที่จู่ๆไอ้เพื่อนหน้าหล่อนี่หัวเราะใส่เขาแบบไม่มีปี่มีขลุยขึ้นมา

“นายไม่ต้องตอบก็ได้” พูดได้แค่นี้แต่ก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้อยู่ดี “เราพอจะรู้อยู่แล้ว”

“รู้ว่าอะไร” คิ้วคู่นั้นขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ

“ไม่บอก” โยยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบศีรษะเจอย่างอ่อนโยน “แค่นี้เราก็รู้สึกดีแล้วล่ะเจ แค่นายไม่ปฏิเสธเราก็ดีใจแล้ว” ก่อนที่จะใช้มือข้างนั้นออกแรงดึงศีรษะของอีกฝ่ายเข้ามาและประทับจูบลงบนหน้าผากมนๆนั่นอีกครั้ง “ไปอาบน้ำเถอะ จะได้นอน ดึกแล้ว”

เจมองร่างที่ลุกเดินหายเข้าไปในห้อง ก่อนจะยกมือขึ้นมาทาบไว้กับอกแล้วระบายลมหายใจออกมาเบาๆอย่างโล่งใจ รู้สึกใบหน้าตัวเองร้อนผ่าว แล้วจึงฝังใบหน้าตัวเองลงกับหมอนอิงที่วางอยู่บนโซฟา ไอ้บ้าเอ๊ย มันไปหัดจูบแบบนี้จากที่ไหนกันวะ รู้สึกดีเป็นบ้าเลย

กว่าจะตั้งสติลุกขึ้นพาร่างอันเหนื่อยอ่อนไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าได้ ก็กินเวลาไปนานโข เป็นครั้งแรกที่เขาหยุดยืนมองร่างที่นอนอยู่อย่างรู้สึกขัดเขินทั้งที่นอนด้วยกันแบบนี้ทุกวันแท้ๆ แต่ก็ตัดสินใจสอดร่างเข้าไปในผ้าห่มอย่างแผ่วเบาที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าแค่จะล้มตัวลงนอนมันจะยากเย็นได้ถึงเพียงนี้ แต่ก่อนที่จะหลับตาลง ท่อนแขนแข็งแรงที่คุ้นเคยก็คว้าเอวของเขาเอาไว้อย่างถือวิสาสะ แล้วก็รู้สึกถึงไออุ่นของร่างที่เขยิบใกล้เข้ามา จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดหูเขา อ้อมแขนที่หายไปนานนับตั้งแต่วันที่แนนกลับมา โยไม่เคยกอดเขาแบบนี้อีกเลย จนกระทั่งคืนนี้

มันก็ดีหรอกนะ แต่ทำไมเขาจะต้องดีใจและรู้สึกดีขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้

ไม่เอาแล้ว นอนดีกว่า วันนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องให้คิดมากเกินไปเสียแล้ว นอนเอาแรงแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เด็กหนุ่มระบายลมหายใจออกมาก่อนจะปิดเปลือกตาและเข้าสู่ห้วงนิทราไปในแทบจะทันที โดยไม่รู้สักนิดว่าเจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงนั้นลอบยิ้มอยู่ เมื่อเห็นร่างอุ่นๆนั้นนิ่งไปพร้อมกับได้ยินเสียงลมหายใจที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาจึงปิดตาลงและหลับตามไปในที่สุด

-------------------------------------------

ตอนนี้ถือว่าสั้นค่ะ เมื่อเทียบกับหลายๆตอนก่อนหน้านี้ แต่ก็เชื่อว่าน่าจะทำให้หลายๆคนที่รออยู่ สบายใจขึ้นได้บ้าง ความสัมพันธ์ของเด็กสองคน มาถึงตอนนี้ก็นับได้ว่าก้าวหน้าขึ้นมาก (คงถูกใจ แฟนโยหลายๆท่านนะคะ) ส่วนเจ เขาเป็นคนหัวช้าเรื่องนี้ค่ะ ต้องใจเย็นๆกับน้องเขาหน่อยนะคะ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันสม่ำเสมอนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 08-12-2009 19:14:42
อ่า ตอนนี้สั้นๆแต่ได้ใจความ(มากๆ) ครับ ชอบครับชอบ...หวังว่าน้องแนนนี่ คงไม่มาป่วนอีกหรอกนะ (แต่คาดว่ามาแน่นอน) ไม่รู้เรื่องนี้จะมีฉากก่อนตัดไปโคมไฟหัวเตียงมั่งอ่ะเปล่าเนี่ย หุหุ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 08-12-2009 20:01:39
อ่านตอนนี้แล้วกรี๊ดดดด อ่ะ
แบบว่าโยชัดเจนที่สุดกับความรู้สึกของตัวเองที่มีให้เจ
แสดงออกได้อย่างไม่ต้องใช้คำพูดอะไรเลย
ตอนนี้ก็รอลุ้นว่าเส้นทางของทั้งคู่จะเป็นยังไงต่อ  :impress2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Yukisae ที่ 08-12-2009 20:37:00
โฮกกกกก :m3:
ถึงจะสั้น แต่ก็โดนใจเป็นที่สุดดดดด
เค้ารู้ใจกันแล้วอ่ะ
โยเท่ห์สุดยอดดดด
เจน่ารักไม่ไหวแล้ววววว
หลังจากนี้จะเป็นยังไงเนี่ย
แนนไม่ยอมง่ายๆแน่เลย
รอต่อนะคะ :L2: +1เป็นกำลังใจ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 08-12-2009 22:52:14
เย้บอกรักกันเสียที ที่รอมานาน เหลือแต่แค่เจใจอ่อนก็พอ อิอิ

ชอบจังเลยอ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 09-12-2009 09:45:14
โยน่ารักโครตๆ :o8: ซะใจมากที่เจว่าแนนไป o13 ตอนนี้หวานกันมาก เมื่อไร่เจจะรู้ตัวซักที
รอตอนหน้าด้วยมาลงเร็วๆ ยาวๆด้วยก็จะดีมากๆเลยค่ะ :bye2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 09-12-2009 11:58:24
ถึงตอนนี้จะสั้นไปนิด
แต่ถูกใจที่สุดเลย ...ในที่สุดโยก็เปิดเผยความรู้สึกซะที

รอน้องเจล่ะค่ะ ถึงจะความรู้สึกช้า แต่อย่านานนะ
แควนๆ รออยู่นะ

หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: C2U ที่ 09-12-2009 14:08:55
ตามอ่านตั้งแต่เมื่อคืน  เพิ่งทัน

ชอบมากๆ  โดยเฉพาะ ตอนล่าสุด   :m1:


รักเจจัง   :กอด1:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: กุหลาบเดียวดาย ที่ 09-12-2009 16:00:04
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด อายจัง

 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 09-12-2009 19:47:15
หวานหอมมากตอนนี้

ติดตามอยู่นะคะ มาไว ๆ เน้อ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 10-12-2009 22:14:25
เพิ่งจะตามอ่านจนทัน

น่ารักมากเลย~~~

โอย... น่ารักอ่ะ
ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่า น่ารัก

หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: CHOKUN ที่ 10-12-2009 23:28:11
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 7 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 13-12-2009 19:12:24
บทที่ 8

ถ้าช่วงเวลาที่ผ่านมาของเจนับว่าหนักหนาแล้ว ช่วงระยะเวลาก่อนการคัดเลือกตัวยิ่งหนักหนามากขึ้นไปอีกอย่างเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ นั่นเพราะการฝึกซ้อมในทุกคลาสนั้นเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว คลาสวอยซ์ที่ขนาดเจถนัดนักหนา หลายครั้งก็ทำเอาเขาถึงกับต้องถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ เพราะความยากยิ่งของมัน คลาสแดนซ์ก็ยากสาหัส ถ้าไม่ได้โยคอยช่วยทบทวนให้ในแต่ละครั้ง เจคงจะลำบากกว่านี้มาก ตลอดระยะเวลาสามเดือนมานี้ แต่ละคลาสจะมีการให้นักเรียนฝึกหัดออกไปแสดงความสามารถแบบเดี่ยวอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้การบ้านไปเตรียมตัวสำหรับการแสดงของตัวเองในวันต่อไป หรือการให้ออกไปแสดงกันแบบสดๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงแบบอิมโพรไวซ์ การคิดท่าเต้นสำหรับแนวเพลงที่แตกต่างกันไป การร้องเพลงสดๆควบคู่ไปกับการเต้นเต็มรูปแบบ การจับกลุ่มเป็นวงตั้งแต่สองคนขึ้นไป จนถึงวงแบบห้าคน โดยเลือกจับคู่กันเอง หรือครูผู้สอนเป็นผู้เลือกให้
   
ฝึกหนักสามเดือนเหมือนฝึกมาสามปี
   
ความหนักหนาของมันขนาดที่แม้แต่นักเรียนที่เข้าเรียนอย่างสม่ำเสมอทุกวันไม่ได้ขาดอย่างโยกับเจ ยังถึงกับแทบล้มทั้งยืน นักเรียนคนอื่นๆหลายคนถึงกับบ่นท้อแท้ ส่วนอีกหลายๆคนที่ปกติก็ไม่ได้เข้าเรียนสม่ำเสมอก็ถึงกับถอดใจไปเลยก็มี
   
และเพราะการที่ต้องฝึกหนักขนาดนี้ เจจึงต้องตัดใจคุยกับพี่อ๊อดเจ้าของร้านอาหารที่เขาไปทำงานพิเศษอยู่ทุกวันว่า ขอลดวันทำงานลงให้เหลือเพียงสัปดาห์ละสามวันเท่านั้น แม้จะต้องเสียรายได้ไปครึ่งต่อครึ่ง แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะนี่คือช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับเขา จะเหลือก็แต่การไปซ้อมดนตรีสัปดาห์ละครั้ง เพื่อเล่นไลฟ์ในช่วงปลายเดือนเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจตัดใจทิ้งวงไปในทันที โดยเฉพาะในชั่วโมงที่ยังหานักร้องนำคนใหม่ไม่ได้ด้วยยิ่งแล้ว ที่สำคัญการเล่นไลฟ์ช่วยเขาได้มากในเรื่องของการแสดงออกบนเวที เขานึกขอบคุณประสบการณ์บนเวทีที่ทำให้เขาไม่รู้สึกประหม่าเลยสักนิดเวลาที่โดนเรียกให้ออกไปร้องเพลง หรือเต้นรำในแต่ละคลาส เจมีความกล้าและมีความน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมากเวลาที่เขาออกไปโชว์ความสามารถให้เพื่อนร่วมคลาสได้เห็น
   
หลังเลิกเรียนของทุกวันเจจะรีบไปที่บริษัทก่อนเวลาทันที เพื่อทบทวนสิ่งที่เรียนมา โยก็ทำเหมือนกัน วันไหนหมดคาบเรียนเร็วเขาก็จะตรงดิ่งไปยังห้องซ้อมทันทีเพื่อรอเจ ถ้าวันไหนเลิกเรียนช้าเขาก็จะเห็นเจไปซ้อมรอเขาอยู่ก่อนแล้วเหมือนกัน หลังเลิกคลาส หากวันไหนเจไม่ต้องรีบไปทำงานเขาก็จะอยู่ซ้อมต่อกับโย เจอาจจะหัวช้าในเรื่องการเต้นเมื่อเทียบกับโย แต่เพราะความมุมานะ ขยันและตั้งใจจริงนี่เอง ที่ทำให้เทคนิคการเต้นของเขาดีวันดีคืน
   
กว่าจะได้พาร่างกายอันอ่อนล้ากลับห้องพักได้ก็ต้องเรียกว่าบักโกรกกันไปเลยทั้งคู่
   
“อีกไม่ถึงครึ่งเดือนแล้วนะโย” ร่างที่นอนแผ่อยู่บนโซฟาทั้งที่ยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์อย่างที่เห็นกันจนคุ้นตาเอ่ยขึ้น “นายว่าเราทั้งคู่จะมีสิทธิ์ไหม” เจหันไปมองโยที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนโซฟาอีกตัวไม่ไกลกัน
   
“ไม่รู้สิ” เด็กหนุ่มตอบออกไปตรงๆ มองแบบนี้เห็นได้ชัดเหลือเกินว่าเจดูตัวใหญ่ขึ้น ร่างกายมีกล้ามเนื้อดูแข็งแรงปราดเปรียวขึ้นผิดหูผิดตา ผลจากการฝึกซ้อมอย่างหนักนั่นเอง “แต่เราว่าความพยายามของเรามันก็ต้องส่งผลอะไรบ้างล่ะ จริงไหม”
   
“นั่นสิ อย่างน้อยเราก็ทำเต็มที่ล่ะนะ ถ้ามันจะไม่ได้ เราก็คงผิดหวัง แต่ก็คงไม่เสียใจเพราะเราทำเต็มที่แล้วจริงๆ” เจว่าพลางมองเพดานห้องก่อนจะหลับตาลง ปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย
   
“เจ” เสียงทุ้มนั้นจู่ๆก็เรียกชื่อเขาออกมา
   
“หือ”
   
“โทรหาที่บ้านบ้างหรือเปล่า”
   
“พักนี้ไม่ค่อยได้โทร”
   
“ทำไมล่ะ”
   
“เรา... คงรู้สึกผิดมั้งโย”
   
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กว่าใช้แขนพยุงตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินมาหาร่างที่นอนสบายอยู่ โยตัดสินใจยกศีรษะของอีกฝ่ายขึ้นโดยเขาสอดร่างเข้าไปนั่งแทน ใช้ตักตัวเองให้อีกฝ่ายนอนหนุนต่างหมอน เจลืมตาขึ้นอย่างประหลาดใจต่อการกระทำอันปุบปับแต่อ่อนโยนนั้น ก่อนจะยิ้มลืมให้กับคนที่ก้มหน้าลงสบตาเขาและกำลังยิ้มตอบมาให้เช่นกัน
   
“รู้สึกผิดที่ดื้อกับเขาน่ะหรือ” โยว่าต่อ
   
“เรารู้ดี ถ้าเขารู้ว่าเราตัดสินใจไม่เอ็นท์ฯปีนี้ เขาจะต้องผิดหวังมาก” โยยกมือวางบนหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนจะลูบเส้นผมสีดำสนิทอ่อนนุ่มนั้นเสยขึ้นไป เขาชอบทำแบบนี้ เพราะเจชอบปล่อยผมให้ปิดหน้าผากสวยๆของตัวเองเอาไว้เสมอ เวลาทำแบบนี้ เขาก็จะได้เห็นเจในแบบที่แปลกตาออกไปซึ่งเป็นมุมที่คงมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้เห็นแต่เพียงผู้เดียว
   
“แน่ใจแล้วเหรอเจ”
   
เด็กหนุ่มที่นอนอยู่พยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อมันต้องเลือก นี่ก็คือสิ่งที่เราเลือกแล้ว”
   
“นายเข้มแข็งนะ”
   
“ไม่หรอก” เจส่ายหน้า “เราต้องต่อสู้กับข้างในนี่มาก” เจยกมือข้างหนึ่งวางบนหน้าอกด้านซ้าย “ถึงเราจะรู้สึกผิดกับพ่อแม่ แต่เราไม่อยากจะนั่งเสียใจทีหลังนะโย ถ้าเราเลือกอย่างที่เขาอยาก สิ่งที่เราเฝ้าเพียรต่อสู้มาตลอดสองปีกว่ามานี้มันจะสูญเปล่าหมดเลย เราคงไม่ให้อภัยตัวเองถ้าเราจะทิ้งมันไปง่ายๆ”
   
โยลูบศีรษะกลมๆนั้นอย่างเบามือ แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา เจก็รู้ว่านั่นคือวิธีที่โยใช้ปลอบใจและให้กำลังใจเขา คนคนนี้ ไม่เคยบอกให้เขาทำอย่างนั้น ไม่เคยชี้นิ้วสั่งให้เขาต้องทำอย่างนี้ สิ่งที่โยทำก็แค่อยู่ตรงนี้ ฟังเขา ถามเขาว่าเขาอยากทำอะไร แล้วก็พยักหน้ายิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วก็ปล่อยให้เขาได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ โดยคอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา สำหรับเจแล้ว บางครั้งแทบไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมา อีกฝ่ายก็ดูจะรู้ไปหมดว่าเขารู้สึกอย่างไร
   
“เราเป็นลูกที่แย่มากใช่ไหม”
   
เด็กหนุ่มร่างสูงส่ายศีรษะเบาๆ “นายเป็นลูกที่ดี เป็นลูกที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่ เชื่อเราสิ”
   
“เราไม่ได้ทำอะไรผิดใช่ไหม”
   
“เจ นายไม่ได้ตัดสินใจจะไปเป็นขโมยขโจรที่ไหนนะ นายแค่อยากเป็นนักร้อง นายแค่มีความฝันที่อยากจะทำอย่างแรงกล้า ก็แค่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย และนายก็กำลังจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่านายตัดสินใจไม่ผิด จงยึดมั่นกับความเชื่อของตัวเองต่อไปเถอะ”
   
เจเปิดเปลือกตาให้เห็นดวงตากลมโตเป็นประกายที่จ้องมองดวงตาอีกคู่ที่มองตอบกลับมา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มและคางสากๆของคนที่เสียสละขาตัวเองแทนหมอนให้เขาได้หนุนนอนอย่างสบาย คนที่คอยเป็นกำลังใจยามที่เขาอ่อนแอ คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้เขารู้สึกดีอยู่เสมอ
   
“พูดจาไม่เหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดเลยนะนายนี่” เจว่ายิ้มๆ “ทำยังไงเราถึงจะเข้มแข็งให้ได้อย่างนายบ้าง”
   
“ไม่ต้องทำอะไร” เจรู้สึกถึงริมฝีปากที่กระดกยิ้มให้เขาผ่านปลายนิ้วของตัวเองที่ยังสัมผัสกับใบหน้าคมคายนั้น “แค่เป็นตัวเองอย่างนี้ก็พอ เราเข้มแข็งก็เพราะมีนายที่เป็นอย่างนี้อยู่ข้างๆเรา”
   
ไม่รู้เพราะอะไรคำพูดสั้นๆแค่นี้ ถึงทำให้เจรู้สึกตื้นตันได้อย่างมากมาย
   
“เราเป็นคนเข้มแข็งก็เพราะนาย” โยว่าต่อ “นายเป็นคนเข้มแข็งกว่าใครที่เราเคยรู้จักมาเลยล่ะเจ ดังนั้นถ้าเราอยากจะอยู่ข้างๆ อยากดูแลนาย เราก็ต้องเข้มแข็งให้ได้มากกว่านาย มันไม่ง่ายหรอก แต่เราก็พยายามนะ”
   
“จริงเหรอ”
   
“อือ”
   
“สำเร็จไหม”
   
“นายว่าสำเร็จไหมล่ะ”
   
เจหัวเราะออกมา พลางพยักหน้าถี่ๆ ก่อนจะจ้องตอบดวงตายาวรีที่แม้จะไม่ได้กลมโตเหมือนของเขาแต่ก็เด็ดเดี่ยวเหลือเกินคู่นั้น เด็กหนุ่มใช้แขนข้างหนึ่งยกตัวขึ้น มือที่ลูบไล้ใบหน้าที่ใครๆบอกว่าหล่อเหลาเหลือเกินข้างนั้นโน้มคออีกฝ่ายลงมาจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ดวงตาของอีกฝ่ายที่สบตอบกลับมาเริ่มพร่าพรายไม่ชัดเจน เขาหลับตาลงก่อนจะที่รู้สึกถึงริมฝีปากของอีกฝ่ายประกบเข้ากับริมฝีปากของเขาอย่างนุ่มนวล ตอนแรกก็เป็นเพียงสัมผัสเบาๆที่อ่อนนุ่ม สักพักก็กลายเป็นรุกเร้ามากขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเชื่อ ราวกับตกอยู่ในความฝันก็ไม่ปาน กว่าจะถอดถอนริมฝีปากออกจากกันได้ก็กินเวลาไปมากโข เพราะต่างฝ่ายต่างก็อ้อยอิ่งคลอเคลียกันอยู่อย่างนั้นไม่เลิก
   
มือข้างหนึ่งของโยช้อนร่างนั้นเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าตัวยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ส่วนเจหอบน้อยๆด้วยอาการสำลักจูบทั้งที่เป็นฝ่ายเริ่มเองแท้ๆ พอเริ่มรู้สึกตัวว่าเพิ่งทำอะไรลงไป ก็ได้แต่ยกมือขึ้นปิดปากด้วยอาการเขินอย่างที่ชอบทำทุกครั้งจนเป็นนิสัย ใบหน้าร้อนผะผ่าวจนรู้สึกได้ว่าตอนนี้มันคงจะแดงก่ำทีเดียว หนักเข้าก็หลบตาเสทำเป็นนอนตะแคงไปเสียอย่างนั้น เรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
   
“ห้ามพูดเลยนะ” เสียงคนที่นอนอยู่งึมงำออกมา
   
“ยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ทีนี้โยถึงกับหลุดขำออกมาจริงๆ
   
“ไม่เอาแล้ว เราจะไปอาบน้ำ” ว่าแล้วก็ผลุนผลันลุกขึ้นโดยไม่ยอมหันมาสบตากับคนที่นั่งหัวเราะเบาๆไม่เลิก แต่ก่อนที่จะได้ผละออกไป ข้อมือข้างหนึ่งก็โดนดึงเอาไว้เสียก่อน ด้วยไม่ทันตั้งตัวจึงเซถลากลับลงมานั่งข้างๆอีกฝ่ายชนิดพอดิบพอดี
   
“เป็นอะไร”
   
“ไม่ได้เป็นอะไร” แต่ก็ยังไม่ยอมหันไปมองหน้าอีกฝ่าย
   
“นายนี่... จะขี้อายอะไรขนาดนี้” น่ารักชะมัด เขาเกือบหลุดออกปากออกไปแล้ว มือข้างหนึ่งรัดร่างนั้นเอาไว้ก่อนจะซุกหน้าเข้าที่หลังของอีกฝ่าย อีกข้างก็โอบเอวเล็กๆนั้นเอาไว้อย่างที่ชอบทำอยู่บ่อยๆ คนเดียวในโลกที่จะกอดเขาได้แบบนี้มีแค่คนคนนี้คนเดียวจริงๆ จริงอยู่เขาไม่เคยเอ่ยปากออกไปว่ารู้สึกกับโยอย่างไรกันแน่ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปและยิ่งได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องพูดอะไรแล้ว เพราะการกระทำทุกอย่างก็ดูเหมือนจะตอบคำถามเหล่านั้นได้จนหมด โยเองแม้จะเคยพูดออกมาตรงๆว่าชอบเขา ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมาคาดคั้นเอาคำตอบอะไรจากเขา เหมือนอยากจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีของมันเองอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า ก็สมกับเป็นโยจริงๆ
   
ยกเว้นก็แต่เวลาที่เขาเขินมากๆแล้วโยมันชอบใจหนักหนานี่แหละ ทำให้อยากจะสวนกลับไปสักที หมั่นไส้ไอ้ท่าทางรู้ทันพวกนี้จริงๆ
   
“ปล่อยเราไปอาบน้ำได้หรือยังเนี่ย” เจว่าขึ้นในที่สุด “พอไม่ว่าอะไรก็เอาใหญ่เลยนะ”
   
โยได้แต่ยิ้มกริ่มแต่ก็ยอมปล่อยมือออกในที่สุด
   
“ปล่อยก็ได้ ยอม... ยังไงเดี๋ยวก็ได้กอดอีกอยู่แล้ว”
   
“ไอ้บ้า” เจเหวใส่ได้เท่านั้นก็เดินหน้าแดงหูแดงกระแทกเท้าปึงปังหายเข้าห้องไป ปล่อยให้อีกคนฉีกยิ้มกว้างตามหลังอยู่อย่างนั้นก่อนจะยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง เกือบไปแล้วสิ

*****************************

   
ตกลงว่าร้านนี้มันจะต้องกลายเป็นสักขีพยานชีวิตรักลุ่มๆดอนๆของเขาไปอีกนานเลยใช่ไหมนี่ เด็กหนุ่มครุ่นคิดกับตัวเองอย่างนึกขัน หลายวันมานี้เขาใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานว่าจะพูดคุยกับแนนให้ชัดเจนไปเลยเสียทีดีไหม ก็ต้องโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ไม่ยอมทำอะไรให้เด็ดขาดชัดเจนไปเสียตั้งแต่แรก ปล่อยให้เรื่องมันคาราคาซังจนเพื่อนต๊อกเกือบจะยกพระบาทขึ้นฟาดพระโอษฐ์เขาอยู่ครามครัน
   
ระยะหลังเขาเลี่ยงที่จะไม่พูดคุยกับเด็กสาวนับตั้งแต่ทะเลาะกันที่ร้านพี่อ๊อดไปคราวนั้น ฝ่ายแนนเองก็รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปมาก และไม่โทรมาง้อเธอเหมือนอย่างที่เคยทำมา ส่วนเจเองกลับไม่ได้รู้สึกร้อนใจแต่อย่างใด รู้แค่ว่าระหว่างเขากับเด็กสาวมันคงไม่อาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกแน่ใจมากขึ้น จึงตัดสินใจว่าควรจะพูดอะไรออกไปให้ชัดเจนเสียที   
   
เขาบอกโยให้ล่วงหน้าไปรอเขาที่ห้องซ้อมก่อนได้เลย หลังจากพูดคุยกับแนนแล้ว เขาจะตามไปทีหลัง
   
“นายโอเคนะ” โยถามด้วยสีหน้าราวกับจะประเมินอะไรบางอย่าง
   
“ท่าทางเราดูโอเคไหมล่ะ” เจถามย้อนกลับไปพร้อมกับริมฝีปากที่กระตุกยิ้มขึ้น
   
“งั้นเจอกันเย็นนี้นะ เราจะรอ”
   
พวกเขาแยกกันบนรถเมล์สายประจำที่นั่งมาด้วยกัน ระยะหลังมานี้โยไม่ต้องไปส่งเขาถึงหน้าประตูโรงเรียนอีก เพราะเจไม่เห็นประโยชน์อันใดที่เด็กหนุ่มอีกคนจะต้องเสียเวลานั่งรถย้อนไปย้อนมา แถมเขาเองก็ไม่ได้ดูอ่อนแอจนต้องมีใครคอยดูแลตลอดเวลาขนาดนั้นด้วย แค่เตี้ยกว่านิดหน่อย ก็ไม่ได้แปลว่าบอบบางสักหน่อย
   
“เจ สบายดีนะ” เด็กสาวเดินมานั่งที่โต๊ะตัวประจำตรงเวลานัดเป๊ะก่อนจะเป็นฝ่ายออกปากทักทายเด็กหนุ่ม
   
“ก็ฝึกหนัก ไม่สบายเท่าไหร่ แต่ก็มีความสุขดี” เจตอบไปอย่างที่คิด “แนนล่ะ”
   
“ก็ดี ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาหรอกช่วงนี้”
   
บทสนทนาเป็นไปอย่างแกนๆจนรู้สึกได้ ราวกับรู้คำตอบล่วงหน้าแล้ว แนนจึงเลือกที่จะไม่สบตากับเด็กหนุ่มตรงๆ เจรู้สึกได้ถึงความอึดอัดอันนี้ เขาจึงตัดสินใจเข้าเรื่องเลยทันที โดยไม่อยากจะอ้อมค้อมอีกต่อไป
   
“แนน ที่ผ่านมาเราขอโทษนะ”
   
“เจจะมาขอโทษแนนเรื่องอะไร”
   
“เรื่องที่เราพูดแรงๆกับแนนวันนั้น กับเอ่อ... เรื่องของเราที่เราเองก็ไม่ชัดเจนเสียที”
   
เด็กสาวเม้มริมฝีปาก เตรียมรับฟังในสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อไปแต่โดยดี
   
“แนน อย่าว่าแต่เราเลย แม้แต่แนนเองก็คงรู้สึกได้ ว่าระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนะ” เจเอ่ยออกไปในที่สุด “เราผิดเองที่ไม่พูดอะไรออกไปให้ชัดเจนเสียตั้งแต่แรก แต่ก็ยอมรับว่าตอนที่แนนขอกลับมาคบกับเรา เราก็มีสับสนอยู่เหมือนกัน”
   
เด็กสาวยังคงก้มหน้าเหม่อลอย ไม่ได้พูดตอบอะไรกลับมาสักคำ
   
“เราเคยรักแนนมากนะ แต่พอวันที่แนนเลือกเดินออกจากชีวิตเรา เราถึงได้รู้ว่าที่จริงเราอาจจะไม่ได้เหมาะกันมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ เราไม่ใช่คนที่จะทำให้แนนมีความสุขได้หรอก เพราะเรามีสิ่งที่ต้องทำซึ่งมันสวน ทางกับความต้องการของแนน... มาตลอด”
   
แนนส่ายหน้าเบาๆ
   
“ทำไมแนนจะไม่รู้” เด็กสาวเอ่ยเสียงเรียบ “เราไม่เหมาะกันจริงๆนั่นแหละ แต่แนนเองนี่แหละที่พยายามจะฝืนมันด้วยการมองข้ามมันไป”
   
เจมองหน้าเด็กสาว
   
“ที่ผ่านมา แนนขอโทษนะที่เอาแต่ใจ แล้วก็ทำอะไรไม่ดีกับเจไปหลายอย่าง แนนอาจจะอิจฉาก็ได้” เจเอียงคอเหมือนกับยังไม่ค่อยเข้าใจนัก “อิจฉาความฝันของเจที่มันช่างยิ่งใหญ่ จนแนนเหลือความสำคัญเพียงแค่น้อยนิด แล้วก็เลยพลอยอิจฉาโยที่ดูจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจเจที่สุด จนแนนเข้าไปแทรกไม่ได้เลย”
   
“แนน...” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบโหย
   
“สิ่งที่แนนควรจะทำในตอนนั้น ก็คือสิ่งที่โยทำให้เจมาตลอด แต่แนนเป็นคนใจแคบเกินไป แนนทำไม่ได้หรอก ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้”
   
“เราก็ต้องขอโทษนะที่เป็นอย่างที่แนนอยากให้เป็นไม่ได้”
   
“ขอโทษทำไม ความรักของแนนน่ะ มันเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว วันนั้นที่เจว่าแนนน่ะ แนนเก็บไปคิดตลอดเลย เจพูดถูกทุกอย่าง” เด็กสาวก้มหน้า “คนที่ต้องขอโทษคือแนนต่างหาก”
   
“แล้ว...” เจชั่งใจ “เรายังจะเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า”
   
แนนกัดริมฝีปากเหมือนพยายามที่จะกล้ำกลืนความรู้สึกอันมากมายลงไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่เธอคิดและยังคงคิดมาตลอดว่าดีแสนดี แต่เธอเป็นคนเลือกจะปล่อยมือจากเขาไปเองแต่แรก ดังนั้นจึงควรต้องยอมรับผลของมันอย่างเข้มแข็งดีกว่า เธอยิ้มให้เด็กหนุ่มก่อนจะจับมือข้างหนึ่งของเขากระชับเอาไว้
   
“ต้องได้สิ”
   
“ขอบคุณมากนะแนน” เขาพูดออกมาอย่างจริงใจ
   
เด็กสาวส่ายหน้าเหมือนกับจะบอกว่าไม่ต้องขอบคุณอะไรเธอทั้งสิ้น ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่ติดค้างในใจเธอออกมาในที่สุด แม้จะยากเย็นเพียงไรก็ตาม
   
“เจ แนนขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” เด็กหนุ่มพยักหน้า “มันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวนะ ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร” เจยังคงยิ้มให้เธอเป็นเชิงอนุญาตอย่างอ่อนโยน
   
“เจรู้สึกยังไงกับโย” เด็กสาวว่าต่อ “เรารู้ว่าโยชอบเจมาก ผู้หญิงน่ะมีเซ้นส์กับเรื่องแบบนี้แรงนะ แต่แนนก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจรู้สึกกับโยยังไง”
   
เจที่ควรจะทำตัวไม่ถูก ควรจะรู้สึกอึดอัดที่ถูกถามคำถามแบบนี้ และควรจะโกรธด้วยซ้ำ แต่เด็กหนุ่มกลับยิ้มออกมาและตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาที่สุดชนิดไม่มีอ้อมค้อม
   
“เราก็ไม่เคยบอกโยนะว่าเรารู้สึกยังไงกับเขา มันบอกไม่ถูกเพราะเราไม่เคยรู้สึกกับใครแบบนี้มาก่อน” เด็กหนุ่มหยุดคิดอยู่เป็นครู่ “แต่เราคงผ่านอะไรมากมายแบบนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีโย เขาเป็นคนที่เข้าใจเราที่สุด และคอยอยู่เคียงข้างให้เราอุ่นใจเสมอ แค่คิดว่าถ้าไม่มีโยอยู่ข้างๆ เราจะอยู่ได้ยังไง”
   
“แต่โยเป็นผู้ชายนะ”
   
“ก็นั่นน่ะสิ” เด็กหนุ่มตอบรับอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “แต่มันไม่ใช่เพราะโยเป็นผู้ชายนะ เพราะโยเป็นโยต่างหาก ถ้าไม่ใช่โยก็ไม่ได้เหมือนกัน เข้าใจยากเหมือนกันนะเรื่องแบบนี้”
   
“เข้าใจไม่ยากหรอก ต้องเป็นโยเท่านั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ นี่น่ะ ชัดเจนที่สุดแล้ว” แนนยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินเข้ามานั่งคุยกับเด็กหนุ่ม “แนนสารภาพเลยนะว่าทีแรกน่ะ อิจฉาโยมากที่เข้าใจเจไปเสียทุกอย่าง แต่ตอนนี้มานึกดูเจเป็นคนที่โชคดีมากนะที่ได้เจอคนดีๆแบบโย คนคนนั้นน่ะดูดีไปหมดทุกอย่างทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ ที่สำคัญเขาเป็นห่วงเจมากจริงๆ แนนยอมแพ้เลย เทียบไม่ติด” เด็กสาวว่าพลางหัวเราะ ยิ่งได้เห็นสีหน้าแปลกๆของเจ เธอก็ยิ่งกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
   
“ก็ มันแปลกๆนะแนน พูดอย่างกับเรากะโยเป็นอะไรกัน... มากกว่านั้น” เจ้าตัวทำหน้าปูเลี่ยนๆ
   
“อ้าว แล้วไม่ใช่เหรอ”
   
เด็กหนุ่มยังคงได้แต่เอียงคอ คิ้วขมวดกันเป็นปม มองไปที่คู่สนทนาราวกับจะบอกว่าขอคำอธิบายเพิ่มเติมหน่อยได้ไหม
   
“ตกลงว่าเจเป็นคนซื่อหรือความรู้สึกช้ากันแน่เนี่ย” หนนี้เด็กสาวหัวเราะออกมาเต็มเสียง “เอาเถอะ ยังไงก็ไม่มีใครเหมาะกับเจเท่าคนนี้แล้วจริงๆ”
   
“ทำไมเรามาลงท้ายที่เรื่องนี้ได้ละเนี่ย” เจเกาศรีษะแกรกๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก
   
“เป็นอย่างนี้ล่ะดีแล้ว เชื่อแนนสิ” เด็กสาวว่าอย่างจริงใจ “แล้วก็… อันนี้จากใจแนนเลยนะ ขอให้ทั้งสองคนได้รับเลือกอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แนนเอาใจช่วย”
   
“ขอบคุณมากแนน” เด็กหนุ่มเอ่ย “มันมีความหมายกับเรามากนะถ้ามันออกมาจากปากแนนแบบนี้น่ะ”
   
เจมองตามร่างของเด็กสาวที่เดินออกจากร้านไป คราวนี้ ไม่มีน้ำตา ไม่มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันหลงเหลืออยู่ เขารู้สึกโล่งใจอย่างที่สุดเมื่อสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมานานได้รับการคลี่คลายลงเสียที ตอนนี้เขาก็เหลือแค่ต้องสู้สุดตัวเท่านั้น อีกไม่กี่วันก็จะรู้แล้วว่าจะออกหัวหรือก้อย
   
ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นดูนาฬิกา ยังพอมีเวลา โยคงไปรออยู่ที่ห้องซ้อมแล้ว ได้เวลาที่ต้องไปเสียที เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้นสะพายก่อนจะเดินจนเกือบเหมือนวิ่งออกไปขึ้นรถไฟฟ้าทันที

****************************
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 13-12-2009 19:21:30
วันนี้แล้วสินะ
   
คืนที่ผ่านมา กว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนจะข่มตานอนได้ก็ดึกเต็มที ความทุ่มเท ความขยันมุมานะ ความเหนื่อยยากตลอดสองปีกว่าๆและตลอดสามเดือนอันแสนสาหัสกำลังจะส่งผลของมันในวันนี้แล้ว ทั้งสองคนถึงกับทานมื้อเช้าไม่ลงเพราะความเครียดและความกดดันที่ถาโถมเข้ามา ลำพังแค่กังวลเรื่องตัวเองก็เรียกได้ว่าเต็มที่แล้ว แต่นี่ยังต้องคอยลุ้นอีกฝ่ายไปด้วย ก็ยิ่งหนักหนาขึ้นไปอีก อดรนทนไม่ได้จึงลุกขึ้นมากอดให้กำลังใจกันเสียอย่างนั้น
   
พอได้กอดกันแบบนี้ ความกังวลทั้งหมดเหมือนจะสลายหายไปได้อย่างง่ายดายแบบไม่น่าเชื่อ กว่าจะคลายอ้อมกอดออกจากกันกินเวลาอยู่เป็นนาน พอแยกออกจากกันเท่านั้นต่างฝ่ายต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทำลายบรรยากาศแห่งความตึงเครียดที่คุกครุ่นอยู่ตั้งแต่เช้าออกไปจนหมด
   
“รู้งี้กอดกันแบบนี้ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว”
   
“นั่นสิ”
   
โยก้มลงมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะใช้มือประคองศีรษะของเจเอาไว้ เพียงแค่รั้งเบาๆหน้าผากของเจก็สัมผัสกับหน้าผากของเขา เจวางมือประกบลงไปบนมือที่ใหญ่กว่าที่ยังคงไม่ยอมละห่างจากเขาไปไหน
   
“ขอให้เราโชคดีนะเจ”
   
“ขอให้เราทั้งคู่โชคดี”
   
โยถือวิสาสะก้มลงใช้ริมฝีปากสัมผัสริมฝีปากนุ่มๆของอีกฝ่ายเบาๆและผละออกอย่างรวดเร็วชนิดไม่ให้ได้ตั้งตัว
   
“ขอนิดนึง เป็นกำลังใจ”
   
“ไอ้บ้า” ว่าแล้วเจก็สวมกอดร่างสูงๆที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง
   
*****************************
   
บ่ายสี่โมงเป็นเวลาที่นักเรียนฝึกหัดทุกคนมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องซ้อม บรรยากาศคึกคักมากเสียจนคนที่คอยลุ้นหัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอกเลยทีเดียว มีที่ขาดหายไปเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่ไม่ใส่ใจจะเข้าเรียนมาตั้งแต่แรกและรู้ตัวดีว่าถึงจะมาวันนี้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ก็มีอีกหลายคนที่มาเพราะอยากจะลุ้นว่าใครบ้างที่จะได้รับเลือกแม้จะรู้เต็มอกว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสก็ตาม หลายคนมาด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมแต่ก็เตรียมพร้อมกับความผิดหวังเหมือนอย่างโยและเจและใครอีกหลายคน
   
เด็กหนุ่มยังเลือกที่จะนั่งข้างๆกันเหมือนเดิม แต่ก็แอบมีกระซิบบอกกันอย่างนึกขันว่า วันนี้ต่างก็ไม่มีสมาธิจดจ่อกับการเรียนที่โรงเรียนเลย เอาแต่เฝ้ารอลุ้นว่าเมื่อไหร่จะเลิกเรียนเสียที เพื่อที่จะได้รีบเข้าบริษัทไวๆ
   
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเงียบลงไปแทบจะทันทีเมื่อครูอินเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารบางอย่างในมือ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานที่เดินตามหลังครูอินเข้ามานั่นต่างหากที่ทำให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
   
“นักเรียนทุกคน” ครูอินเอ่ยทำลายความเงียบ “คงไม่ต้องแนะนำแล้วนะว่าท่านผู้นี้เป็นใคร”
   
จะลืมได้อย่างไรในเมื่อคนผู้นี้เป็นคนก่อตั้งค่ายเพลงแห่งนี้ และเป็นคนเดียวกับที่ในวันแรกของการเรียนเดินเข้ามาพูดต้อนรับพวกเขาทุกคนในฐานะของสมาชิกในครอบครัวด้วยสีหน้าที่จริงจังและท่าทีอันเข้มงวด แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนเด็ดขาดแต่ในขณะเดียวกันและแฝงไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ในที
   
“ผมดีใจที่ได้พบกับทุกคนแบบพร้อมหน้าแบบนี้อีกครั้ง” เสียงที่มีพลังเปล่งออกมาจากปากผู้กุมบังเหียนบริษัทแห่งนี้และเป็นเหมือนผู้กุมชะตาชีวิตของพวกเขาเอาไว้ “แต่ถึงแม้ผมจะไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนทุกคนบ่อยๆ ก็ใช่ว่าผมจะไม่ใส่ใจ” เขายิ้ม “ครูของพวกคุณทุกคนจะต้องรายงานผลการสอนให้ผมฟังอย่างเป็นประจำและสม่ำเสมอ ดังนั้น ผมพูดได้เลยว่า ผมรู้จักชื่อและจดจำใบหน้าของพวกคุณได้ทุกคน และรู้ด้วยว่าใครเป็นอย่างไร” เท่านั้นเอง เสียงฮือฮาจากกลุ่มนักร้องฝึกหัดที่นั่งอยู่ในห้องก็ดังอื้ออึงขึ้นราวกับนัดกันไว้
   
ขอบคุณเหลือเกินที่ความมุ่งมั่นทำให้เขาสามารถนั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างสง่างาม เด็กหนุ่มคิดบอกตัวเองในใจ
   
“ที่ผมมาอยู่ที่นี่ในวันนี้ เป็นการยืนยันว่า วงหน้าใหม่ที่จะประกอบไปด้วยสมาชิกห้าคนที่นั่งอยู่ในกลุ่มพวกคุณในวันนี้ มีความสำคัญมากแค่ไหน และเชื่อเถอะว่านี่เป็นโปรเจ็กต์ที่ผมหมายมั่นปั้นมือมากจริงๆ เมื่อเทียบกับวงรุ่นพี่ของพวกคุณที่ผ่านมา ผมไม่สนหรอกว่าจะมีคนข้างนอกปรามาสวงที่ได้ชื่อว่าเป็นวงบอยแบนด์มากแค่ไหน แต่ผมบอกได้เลยว่าวงวงนี้จะไม่ธรรมดาแน่ๆ ไม่ใช่แค่ร้องเพลงได้ดี ไม่ใช่แค่เต้นรำได้เก่ง ไม่ใช่แค่หน้าตาดี สมาชิกในวงนี้จะต้องเป็นเลิศในทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสังคม มนุษยสัมพันธ์ ความพร้อมที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่สำคัญความรับผิดชอบและใจสู้เป็นสิ่งที่ผมคาดหวังเป็นอย่างมาก” เขาว่าอย่างยืดยาว แต่ก็สะกดให้ทุกคนในห้องเงียบกริบราวกับลืมหายใจไปชั่วขณะ “ผมไม่ได้คิดจะปั้นให้พวกคุณดังอยู่แค่ในนี้ ผมจะปั้นให้พวกคุณไปได้ไกลกว่านั้นอีก ถ้าพวกคุณใจสู้จริงๆ”
   
ห้องทั้งห้องยังเงียบกริบ
   
“ดังนั้น” จู่ๆใบหน้าอันเคร่งขรึมนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ผมบอกได้เลยว่า คนที่ได้รับเลือกในวันนี้ พวกคุณคือสุดยอด และผมก็คาดหวังกับพวกคุณจริงๆ เชิญครูอินต่อเลยครับ”
   
“ขอบคุณคุณเอ็มมากนะคะ” เธอเรียกชื่อเล่นของประธานบริษัทตามความประสงค์ของเจ้าตัวเอง บทท่านจะเข้มงวดก็เข้มงวดจนน่ากลัว แต่บทจะเป็นกันเองก็เป็นกันเองเสียน่ารักเลยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าคนที่มีความเป็นศิลปินและนักธุรกิจอยู่ในตัวจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดหรือเปล่า ครูอินได้แต่เก็บความคิดนี้เอาไว้ในใจเงียบๆ
   
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็มาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่า” ครูอินเว้นจังหวะพูด “ครูรู้ว่าทุกคนคงลุ้นกันน่าดู แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ใครทำอะไรเอาไว้แบบไหน ก็จะได้ผลแบบนั้น” เธอกวาดสายตามองนักเรียนในห้องจนทั่ว “ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ”
   
“คนแรก” ทุกคนพร้อมใจกลั้นหายใจราวกับนัดกันไว้ “ครูจะเรียกชื่อตามรหัสของแต่ละคน อักษรด้านหน้าก็อย่างที่รู้ คือรุ่นที่ออดิชั่นเข้ามา ส่วนตัวเลขก็คืออันดับของแต่ละคนในรุ่นนั้น เข้าใจตรงกันนะ“ ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้า

“A07 ซัน” เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักขวัญใจใครต่อใครลุกขึ้นอย่างดีใจ หลายคนส่งเสียงฮือฮาและอีกหลายคนก็ปรบมือแสดงความยินดี ซันแม้จะอายุเพียงสิบหกปี แต่ก็ถือว่าเป็นนักเรียนฝึกหัดที่อยู่มานานกว่าใครหลายคน เรื่องความสามารถของเขาไม่เป็นที่กังขาทั้งในหมู่อาจารย์และกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกันหรือแม้แต่รุ่นพี่เองก็ตาม ถ้าถามว่าใครที่สมควรจะเป็นหนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์หน้าใหม่ ซัน ก็คือหนึ่งในนั้น

“ยินดีด้วยนะ” ซันยกมือไหว้ครูทุกคนรวมถึงประธานที่ยืนยิ้มอยู่อย่างเบิกบานนั่นด้วย

“คนต่อไป B09 แม็ก” หนนี้เสียงฮือฮายิ่งดังขึ้นกว่าเก่า เพราะเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อนั้นอายุเพียงสิบห้าปี แต่ก็เป็นนักเรียนฝึกหัดมานานถึงสองปี บุคลิกของเขาอาจจะดูขี้อายและเคร่งขรึมเกินอายุ แต่ก็เป็นคนฉลาด หัวไว เรียนรู้เร็ว และมีน้ำเสียงอันน่าทึ่ง ที่ต้องยกให้ก็คือความขยันหมั่นฝึกฝนของเจ้าตัวนั่นเอง รุ่นพี่หลายคนที่มั่นใจว่าฝีมือแน่กว่าเด็กคนนี้ ทำท่าไม่พอใจ แต่ก็ทำได้แต่เพียงเท่านั้น ยิ่งเห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานอ้าแขนต้อนรับอยู่เบื้องหลัง ก็ยิ่งต้องหุบปากให้สนิทเอาไว้

“เหลืออีกสามคน” ครูอินกวาดสายตาไปรอบห้องก่อนจะเอ่ยรหัสและชื่อออกมาโดยไม่ต้องดูโพย “C01 ชุน”

หนนี้อย่าว่าแต่เสียงใครหลายคนจะร้องออกมาอย่างคาดไม่ถึงเลย ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็ไม่อยากจะเชื่อที่ตัวเองมีชื่อติดอยู่ในโผนี้กับเขาด้วยเหมือนกัน ก็เพราะเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีคนนี้เพิ่งเข้ามาเป็นนักเรียนฝึกหัดได้แค่เพียงปีเดียว หลายคนยังไม่คุ้นหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ จะมีก็เพียงแต่เพื่อนร่วมรุ่นกันเท่านั้นที่จะรู้ว่า ชุน เป็นคนมีเสียงร้องเพลงที่เป็นเอกลักษณ์และไพเราะเพียงใด ยังไม่นับความสามารถทางด้านดนตรีอื่นๆของเขา ที่สำคัญชุนเพิ่งย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นานก่อนจะเข้ามาเป็นนักเรียนฝึกหัด แถมยังคว้ารางวัลด้านการร้องเพลงมาครองได้ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่ต่างประเทศแล้วด้วยซ้ำ ข้อกังขาทั้งปวงจึงมีอันตกไป

เด็กหนุ่มที่นั่งเคียงกันอยู่ในห้องท่ามกลางเพื่อนนักเรียนหลายสิบคนจับมือกันเอาไว้แน่น เหลืออีกเพียงสองคนเท่านั้น โอกาสของพวกเขาดูจะเหลือน้อยเต็มที ตอนนี้พวกเขาคิดแค่ว่าขอให้อีกฝ่ายได้เถอะ ตัวเองจะไม่ติดก็คงไม่เป็นไรแล้วตอนนี้

“B01 โย” เสียงปรบมือพร้อมใจดังขึ้นทันที เจโล่งใจเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อโย เพื่อนของเขานี่แหละคือคนที่สมควรจะได้รับเลือก คนที่มีทั้งบุคลิก ทั้งความสามารถ อุปนิสัยใจคอก็น่าชื่นชม อย่างน้อยถ้าเขาไม่ได้รับเลือก ก็ยังมีโยที่จะสานต่อความฝันแทน เด็กหนุ่มร่างสูงปล่อยมือของอีกฝ่ายอย่างไม่สู้จะเต็มใจนัก ทั้งที่มีรายชื่อติดอยู่ในโผ แต่สีหน้ากลับเป็นกังวล ถ้าเป็นไปได้เขาไม่อยากปล่อยมือข้างนี้ไปเลย แต่คนที่ถูกเรียกชื่อจะต้องออกไปยืนรวมกันอยู่หน้าห้อง และแม้จะต้องไปยืนรวมกลุ่มกับคนอื่น สายตาของโยก็ยังไม่ยอมละจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดีของเจ

“เหลืออีกคนหนึ่ง แล้วก็อย่างที่บอก คนที่ผิดหวังอย่าเสียใจ โอกาสของคุณอาจจะไม่ใช่วันนี้ แต่มันจะยังมีครั้งต่อไปอีก ขอแค่อย่าเพิ่งยอมแพ้หรือถอดใจไปเสียก่อน”

“คนสุดท้าย ครูยินดีด้วยนะคะ B02 เจ” เจ้าตัวยังคงนั่งนิ่งด้วยความตกตะลึง ทุกอย่างรอบตัวดูจะเคลื่อนไหวช้าลงไปหมด หลังจากนั้นก็เหมือนจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก จนกระทั่ง “เอ๊า เจ... ยังไม่ยอมลุกไปอีก จะสละสิทธิ์หรือไง” เท่านั้นแหละทำเอาเจ้าตัวพรวดพราดลุกขึ้นด้วยความตกใจ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในห้องได้ราวกับนัดกันไว้

น่าแปลกใจที่ทั้งที่รู้สึกเหมือนเป็นความฝัน แต่อย่างเดียวที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นใบหน้าของโยที่คงจะดีใจกว่าใคร เพราะขณะที่เจเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ มือข้างหนึ่งของโยยื่นออกมารับมือของเขามาจับกระชับเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเจก็รู้แล้วว่าโยรู้สึกอย่างไร เด็กหนุ่มทั้งห้าคนหันไปมองหน้ากันเอง แต่ละคนล้วนรู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะเป็นเพียงไม่กี่คนที่ฝึกซ้อมมาอย่างหนักร่วมกัน ช่วยเหลือกัน และคอยดูแลกันและกันมาโดยตลอด

พวกเขาสวมกอดแสดงความยินดีต่อกันและกัน บางคนน้ำตาคลอ บางคนร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจไม่ปิดบัง บางคนแค่ยิ้มแล้วก็ปลอบโยนคนอื่นๆที่ร้องไห้ บางคนได้แต่หัวเราะออกมา ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะก่อเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เสียงปรบมือจากทุกคนที่นั่งเป็นสัขขีพยานในห้องนั้นดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง

“ครบแล้วทั้งห้าคน ครูอยากจะบอกว่า ทุกคนที่ถูกเลือกมา เหมาะสมแล้วด้วยประการทั้งปวงแบบไร้ข้อกังขา พวกคุณมีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นวงที่จะไปสู้กับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปลักษณ์หรือความสามารถ พวกคุณไม่เป็นรองใครแน่นอน ต่อไปนี้ขอให้พยายามเข้านะ พวกคุณยังจะต้องเหนื่อยอีกมากกว่าจะถึงวันเปิดตัวในฐานะวงบอยแบนด์หน้าใหม่”

เด็กหนุ่มทั้งห้าคนยกมือไหว้ครูทุกคนในห้องอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองหน้ากันและยิ้มให้กันอีกครั้งด้วยความยินดี

------------------------------------------

เป็นตอนที่ไม่ยาวเท่าไหร่นะคะตอนนี้ แต่ก็ได้เห็นความก้าวหน้าของน้องในการไขว่คว้าหาความฝันกันไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

สำหรับคนที่คิดว่า แนน น่าจะร้ายกว่านี้ คงจะผิดคาดสินะคะ ตอนที่เราแต่งนิยายเรื่องนี้ เรามีคิดอยากให้มันลองแตกต่างจากเรื่องที่แล้วดูบ้างน่ะค่ะ แล้วด้วยความที่วัยของตัวละครมันก็ค่อนข้างจะแตกต่างกันอยู่พอสมควร คอนฟลิกในเรื่องของความรักจึงไม่ใช่เรื่องหลักของนิยายเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเจที่ผ่านมา ถ้าทุกคนคิดว่า โอ้โห... ลำบากจัง ขอบอกค่ะว่า ยังไม่หมดแค่นี้ เจอยังต้องเจอบททดสอบอะไรอีกพอสมควรค่ะ แต่ในความโชคร้ายของเจ ก็ยังมีความโชคดีที่ชื่อโย และมิตรภาพจากคนรอบตัวอีกมากมาย

ลองติดตามอ่านกันต่อไปนะคะ ความเข้มข้นจะเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อยๆแล้วล่ะค่ะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากทุกคน และขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันอยู่เสมอนะคะ


หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 13-12-2009 19:32:02
คราวนี้มีฉากจูบด้วย ว้าวชอบจิงๆๆเลย  :impress2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 13-12-2009 21:16:14
น่าร๊าาาาาก จอเจหัวช้าแต่น่าเอ็นดู อิอิ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 13-12-2009 23:03:54
ไม่ได้เข้ามาพักหนึ่ง ตามอ่านกันจนตาลาย แต่ขอบอกว่า ชอบมาก

ขอบคุณนะครับ ส่วนตอนต่อไปคงต้องลุ้นไปกับเจแล้วละว่าจะเจอกับอะไรอีก

ไม่ว่ายังไง เจก็มีโยอยู่เคียงข้างเสมอ เท่านี้คงพอแล้วมั่งสำหรับกำลังใจ  :กอด1:

+1 ให้เป็นการขอบคุณนะครับ เป็นกำลังใจให้เสมอ ๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 13-12-2009 23:36:11
ดีใจจัง เข้าใจกันแล้ว น่ารักกันจัง

อ่านไปลุ้นไป มีฉากหวานด้วย

ชอบมากค่ะ เอาใจช่วยทั้งสองคนต่อไป

และเป็นกำลังใจให้คนแต่งด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 14-12-2009 05:30:07
ดีนะเนี่ย ที่น้องหนูแนนเธอไม่ร้ายเท่าไหร่
อะไรๆก็ดูเหมือนจะดีขึ้น
เจกับโยจะเจออุปสรรคอะไรอีก  รอลุ้นกันต่อไป :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 14-12-2009 10:06:30
เห็นด้วยกับคุณนิ้วไขว้นะคะ ที่บอกว่าแนนไม่ร้ายอย่างที่หลายคนคาด

คงไม่เหมือนกับ ไหม ในเพลงรัก ที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวแข่งขันกันจนหล่อหลอมให้ไหมร้ายการอย่างมาก
แต่กับแนน ก็ด้วยวัย และความคิดของแนนด้วย ที่เป็นอย่างนี้ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมของแนนที่ยังเป็นนักเรียน
ความร้ายกาจ ก็คงเบาบางลง....

ถึงเจกับโย จะมีเรื่องเหนื่อยยากเข้ามา
แต่อย่าขาดเรื่องหวานๆ นะคะ ให้กำลังใจคนอ่านหน่อยนะคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 14-12-2009 17:56:40
อ่า..คู่นี้เพิ่งมีแค่จูบหรอกเหรอเนี่ย หุหุ ขนาดแนนยังคิดไปนู่นแล้ว
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 14-12-2009 22:39:20
ขอปรบมือให้กับความฝันอันยิ่งใหญ่ของเด็ก ๆ ที่มาออดิชั่นทุกคนนะคะ

สุดยอดอ่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 15-12-2009 16:39:13
ว้าวจูบกันแล้ว :o8:  เจต้องเจอไรอีกเนี่ยเป็นกำลังใจให้เจ สู้ๆๆ  คราวหน้าของตอนยาวๆอีกนะ :bye2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: shine ที่ 15-12-2009 19:28:00
และแล้วความฝันก็เป็นจริง ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ประโยคนี้ยังใช้ได้เสมอ o13

แต่เจจะมีวิบากอะไรอีกเนี่ย แต่ถ้ามีโยอยู่ข้างๆแบบนี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Yukisae ที่ 15-12-2009 19:40:09
ในที่สุด ตอนหนึ่งที่รอคอย
น่าประทับใจมากๆเลยคะ
 :m4:
มีจุ๊บกันด้วยอ่ะ >____<
+1เป็นกำลังใจค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: CuteBear ที่ 16-12-2009 00:19:16
เรื่องน่ารักมากค่ะ น่ารักมากกกกกก >/////////////////////<

อ่านแล้วก็เอายุนแจมาจิ้นซะ ได้อีกค่ะ !! >///<  :-[
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 18-12-2009 10:18:57
มานอนรอ ค้าๆๆ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 19-12-2009 02:00:46
คิดถึงเจกับโยจัง~~~~

มามะ มาต่อเถอะ
ไวๆ

  :กอด1:
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 8 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 19-12-2009 13:08:48
มาต่อตอนใหม่แล้วตามคำเรียกร้องค่ะ ^_^

--------------------------------------
บทที่ 9

เด็กหนุ่มในชุดเสื้อผ้าสวมใส่สบายในแบบที่รู้ว่าวันนี้เจ้าตัวคงไม่คิดจะออกไปไหนแน่นอน นอนแผ่อยู่บนพื้นห้องตรงที่ปูเอาไว้ด้วยพรมหนานุ่ม เหมาะเอาไว้นั่งหรือนอนเล่นโดยเฉพาะ สายตาแม้จะจับจ้องอยู่บนเพดานห้องสีครีมสบายตา แต่ความคิดกลับล่องลอยไปไกล นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่มีเวลาให้ตัวเองได้ครุ่นคิดอะไรต่อมิอะไรที่ถาโถมเข้ามาแบบนี้
   
สองสัปดาห์แล้วสินะที่เขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องพักที่แสนจะสะดวกสบายแห่งนี้พร้อมกับเพื่อนๆอีกสี่คน กลุ่มเพื่อนที่กำลังจะได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสมาชิกวงเดียวกัน พวกเขาทั้งห้าคนจะต้องใช้เวลาร่วมกันต่อจากนี้เป็นต้นไปยาวนานเป็นปี เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมในการเป็นวงบอยแบนด์หน้าใหม่ และห้องพักแห่งนี้ก็จะเป็นที่ที่พวกเขาจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมกัน ห้องนี้มีขนาดกว้างพอสำหรับเด็กหนุ่มห้าคน ประกอบไปด้วยห้องนอนสองห้อง ห้องน้ำอีกสองห้อง ห้องนั่งเล่น และห้องครัวที่น่าจะเรียกว่าเป็นห้องอาหารไปด้วยก็ได้เหมือนกัน เรียกว่าสำหรับห้องพักในคอนโดมิเนียมแบบนี้ ที่นี่ถือว่าเพียบพร้อมทีเดียว
   
สำหรับเจที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัวมาพักใหญ่แล้ว การย้ายมาอยู่ที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขา โยเองก็แค่ทำเรื่องย้ายออกจากห้องพักเดิมเท่านั้นแม้ในใจจะนึกเสียดายห้องพักที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ดีมากมายเพียงใดก็ตาม ส่วนชุนเอง ครอบครัวของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่อยู่แล้ว จึงยิ่งง่ายขึ้นไปอีก อีกทั้งเจ้าตัวท่าทางเป็นเด็กขี้เหงา การได้ย้ายมาอยู่กับเพื่อนๆที่ค่อนข้างคุ้นเคยสนิทสนมกันดีแบบนี้ ต้องเรียกว่าเต็มใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ส่วนซันแม้จะมีบ้านอยู่แล้ว แต่เพราะอยู่ในย่านชานเมือง การย้ายมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ มีแต่จะทำให้เจ้าตัวสะดวกสบายขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว บวกกับเด็กหนุ่มเป็นคนร่าเริงเข้ากับคนง่าย การย้ายมาอยู่ร่วมกับคนอื่นจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แม็กน้องคนสุดท้องที่จริงก็เหมือนกับเจที่มีบ้านอยู่ในตัวเมือง แต่ด้วยความที่มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัว จึงไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยากนัก บริษัทอยากให้ทุกคนได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกับสมาชิกคนอื่นในวงให้มากที่สุด เขาจึงไม่อิดออดอะไร เพียงแต่อาจจะมีขอกลับไปที่บ้านบ้างเท่านั้นก็พอ
   
ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพาตัวเองมาได้ไกลถึงขนาดนี้
   
เจได้แต่ครุ่นคิดกับตัวเอง
   
ที่แน่ๆ เขาถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น และเขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปแล้วเสียด้วย ห่วงเพียงอย่างเดียวที่ยังค้างคาอยู่ในใจของเขาก็คือ พ่อ พ่อเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขายังเป็นกังวลอยู่
   
“ดีใจด้วยนะเจ” เด็กหนุ่มยังจำสัมผัสจากอ้อมกอดของพี่สาวทั้งสี่คนได้เป็นอย่างดี พวกพี่ๆที่แม้บางครั้งจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันบ้างตามประสา แต่มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่า พี่ๆรักและเป็นห่วงเขามากเพียงไร ที่สำคัญ พี่ๆเป็นกำลังใจที่สำคัญ คอยสนับสนุน และคอยปกป้องเขาเสมอ ในยามที่เขาลำบากขัดสน แม้จะไม่เคยออกปาก แต่บรรดาพี่สาวที่รู้ถึงนิสัยปากหนักของเขาเป็นอย่างดีต่างก็ไม่รีรอที่จะช่วยเหลือน้องชายคนนี้เลยสักครั้ง
   
ในวันที่เจตัดสินใจกลับไปที่บ้านอีกครั้งเพื่อบอกข่าวดีกับสมาชิกในครอบครัวด้วยตัวเอง ทุกคนดีใจไปกับเขา คงเหลือแต่พ่อที่ไม่ยอมอยู่รอเจอเขา พ่อยังไม่ยอมยกโทษที่เขาเลือกจะเดินตามความฝันมากกว่าเลือกการสอบเอ็นทรานซ์ แม้เขาจะยืนยันว่าเขาจะกลับไปเรียนอย่างแน่นอนก็ตาม ถึงอย่างไร พ่อก็ไม่อยากจะให้เขาเป็นนักร้องอยู่ดี ทั้งที่คิดว่าหากเขาสามารถมาได้ไกลถึงเพียงนี้ พ่อก็คงพอจะยอมรับเขาได้บ้าง
   
“พ่อยังโกรธเจอยู่เหรอแม่” เด็กหนุ่มถามออกไปในที่สุด ทำเอาผู้เป็นแม่ถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรต่อไปดี
   
“พ่อเขาก็เป็นแบบนี้แหละเจ ตัวไม่ต้องไปสนใจหรอก เดี๋ยวก็หาย” เสียงพี่สาวคนรองที่มีนิสัยคล้ายกับเจที่สุดในเรื่องคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นจนติดจะกลายเป็นขวานผ่าซากในบางครั้งเอ่ยออกมาอย่างรู้จักผู้เป็นพ่อเป็นอย่างดี
   
“เจ เก่งมากเลยนะที่มาได้ไกลขนาดนี้ พวกพี่น่ะเชื่ออยู่แล้วว่าตัวต้องทำได้ ยินดีด้วยจริงๆ” หนึ่งในพี่สาวฝาแฝดเอ่ยขึ้นมาบ้าง
   
“เจก็ขอบคุณพี่ๆทุกเลยนะ ถ้าไม่มีพวกพี่ เจอาจจะไม่มีวันนี้เลยก็ได้” เจที่หน้าตาสดชื่นขึ้นมาได้เพียงครู่เดียวก็ทำหน้าจ๋อยลงไปอีกเมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อ “ถ้าพ่อยอมรับในสิ่งที่เจทำได้ซักครึ่งหนึ่งที่พวกพี่เป็น เจจะสบายใจกว่านี้มากเลย”
   
“เจ” เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นบ้าง “แล้วแม่จะพูดกับพ่อเขาให้นะลูก” พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายอย่างเห็นใจ สำหรับนางแล้ว แม้อาจจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของลูกชายเพียงคนเดียวเท่าไรนัก แต่เมื่อได้เห็นแล้วว่าลูกชายของนางก้าวมาไกลสมกับความพยายามตั้งใจเพียงไร นางจึงยอมรับในที่สุด ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคัดค้านหรือต่อต้าน นางหันไปมองเสี้ยวหน้าลูกชาย วินาทีนั้นจึงได้เห็นว่า เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดคนนี้เติบโตขึ้นชนิดผิดหูผิดตา ไม่ใช่รูปร่างที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่เกิดจากการทุ่มเทฝึกฝน ไม่ใช่ใบหน้าที่ดูคมคายขึ้นแม้จะยังดูสวยเกินกว่าผู้ชายทั่วไปก็ตาม แต่เป็นแววตาอันมุ่งมั่นและอะไรบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มที่ทำให้ผู้เป็นแม่อย่างนางรู้สึกคลายใจที่เคยเต็มไปด้วยความกังวลลงได้
   
เจหันไปมองหน้าแม่ ก่อนจะยิ้มให้และยกมือไหว้ “ขอบคุณที่แม่เข้าใจและยอมรับเจนะฮะ”
   
“พ่อเขาดื้อลูกก็รู้ ใครจะไปเปลี่ยนความคิดเขาน่ะยาก ต้องใช้เวลาหน่อย” แม่ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “เจทำในสิ่งที่ต้องทำเถอะลูก”
   
เด็กหนุ่มยกมือไหว้แม่ ก่อนจะใช้เวลาว่างที่เหลือของวันนั้นพูดคุยกับแม่และพี่สาวต่อและลากลับในที่สุดทั้งที่ในใจแอบหวังว่าพ่อจะทันกลับมาเจอเขา สักนิดก็ยังดี
   
เจนอนหลับตาพลางถอนหายใจหนักๆออกมา ราวกับว่าถ้าทำแบบนั้น ความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจจะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง
   
อีกหนึ่งปี
   
ถ้าพวกเขาขยันฝึกซ้อมอย่างหนักตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ในหนึ่งปีนี้ได้ ความฝันที่เฝ้ารอมานานก็จะเป็นจริงเสียที แม้มันจะหมายถึงการฝึกฝนอย่างเข้มข้นและเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว รวมไปถึงการยอมที่จะเอ็นทรานซ์ช้ากว่าคนอื่นไปอีกสักหน่อยนั่นด้วย แม้จะมุ่งมั่นกับความฝันของตัวเองมากเพียงไร แต่ลึกๆในใจแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่รู้สึกกับเรื่องนี้
   
ที่จริงเขารู้สึกกับมันมากกว่าใครเพื่อนเลยต่างหาก
   
คนเราไม่ได้อะไรอย่างที่หวังไปทุกอย่างหรอก ไม่อย่างนั้นชีวิตก็คงจะสมบูรณ์แบบไปหมดน่ะสิ เจนอนมองฝ่ามือของตัวเองที่ชูขึ้นทั้งที่นอนหงายแผ่บนพื้นห้องอยู่แบบนั้น แต่เมื่อโอกาสลอยอยู่ตรงหน้าแล้วไม่คว้าเอาไว้ ปล่อยให้มันหลุดมือไป เขาก็คงจะนึกเสียดายมากกว่า ดังนั้น ถูกต้องแล้วเจ เด็กหนุ่มบอกตัวเอง ดีกว่ามานั่งเสียดายที่หลัง
   
เจนอนหลับตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งรู้สึกถึงอะไรอุ่นๆแต่อ่อนโยนสัมผัสอยู่บนหน้าผากของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นและเป็นจริงดังคาด สัมผัสที่คุ้นเคยแบบนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าเป็นของใคร
   
“โย” เสียงเรียกชื่อนั้นแหบเบา
   
“ไม่เป็นไรนะ เห็นนอนนิ่งอยู่ นึกว่าไม่สบาย” แม้ปากจะพูดไปแบบนั้นแต่เด็กหนุ่มที่นั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งอยู่ข้างๆตัวเขาตอนนี้กลับไม่ยอมผละมือยาวเรียวสมตัวข้างนั้นออกไปเสียที ทำเอาคนที่นอนอยู่อดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนจะวางมือข้างหนึ่งของตัวเองทับลงไปบนมือข้างนั้น
   
“กลายเป็นคนขี้กังวลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เราแค่นอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่เจ็บไม่ไข้สักหน่อย”
   
“เราไขประตูเข้ามา นายยังไม่รู้ตัวเลย”
   
“วันหลังก็ส่งเสียงมาหน่อยสิ”
   
“ไม่เป็นไรนะ” ดวงตายาวรีคู่นั้นมีแววคาดคั้นเล็กน้อย ทำอาคนที่นอนอยู่อดรนทนไม่ได้ ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิพร้อมกับมองตอบเข้าไปในแววตาที่ดูจะจริงจังเกินเหตุไปเสียแล้ว
   
“ทำยังไงถึงจะเชื่อ” เจส่งยิ้มให้กับร่างที่นั่งอยู่ข้างเขา พร้อมกับช้อนสายตาที่เต็มไปด้วยแววหยอกล้อขึ้นมอง ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อก็ถูกเรียกเสียก่อน
   
“พวกพี่…” เสียงแหลมเล็กเป็นเอกลักษณ์ที่แสนจะไม่สมตัวของน้องคนเล็กของกลุ่มดังขึ้นจากห้องครัว “ไม่หิวกันเหรอ… มากินข้าวกันเหอะ พวกผมหิวแล้วนะ”
   
ทำเอาพี่คนโตของวงทั้งสองคนที่นั่งคุยกันแบบมีโลกส่วนตัวหันมาพยักเพยิดให้
   
“กินกันไปเลย เดี๋ยวพี่ตามไป” เสียงทุ้มจากร่างที่สูงใหญ่กว่าตอบกลับไป
   
“พี่ชุน พี่ซัน ลุยเลยพี่ เดี๋ยวพวกพี่เค้าตามมา” เสียงนั้นดังแว่วขึ้นในห้องทานอาหารแม้จะไร้เงาของเจ้าตัวไปแล้ว
   
“แม็กมันกินเยอะอย่างนี้เป็นปกติเลยหรือเปล่าเนี่ย” เจพูดเหมือนกับจะรำพึงกับตัวเองมากกว่า
   
“ปกติกินเยอะกว่านี้”
   
“หา...”
   
“มันกินเก่งมาก” โยพยักหน้าเป็นการยืนยันว่าที่เขาพูดเป็นความจริงทุกประการ
   
“ซื้ออะไรเข้ามากินแบบนี้บ่อยๆคงสิ้นเปลืองน่าดู” ก่อนจะคิดสาระตะอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปยิ้มให้กับอีกฝ่าย “นายว่า น้องๆพอจะกินอาหารฝีมือเราไหวไหม”
   
“นายพูดอะไรของนาย” หนนี้ร่างสูงใหญ่ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
   
“นายว่าอาหารฝีมือเราอร่อยไหม”
   
“เปิดร้านได้สบาย” ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
   
“วันหลัง ทำอะไรให้น้องๆกินบ้างดีกว่า” เจ้าตัวว่าอย่างหมายมั่นปั้นมือ
   
“ไหวหรือ” โยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงไม่ปิดบัง “ถึงตอนนี้นายจะไม่ลำบากอย่างแต่ก่อน แต่คลาสเรียนของพวกเราหนักกว่าสมัยตอนเป็นนักร้องฝึกหัดเยอะเลยนะ”
   
“งั้นเอาเท่าที่ไหว ดีไหม” เจยิ้มให้อย่างเข้าใจอยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายขี้เป็นห่วงเขาขนาดไหน “ตอนนี้เราไม่ได้ไปทำงานร้านพี่อ๊อดแล้ว ก็ถือซะว่ามาฝึกมือทำอาหารให้น้องๆกินก็แล้วกัน แต่ถ้าวันไหนไม่ไหวเราก็ไม่ต้องทำ ก็ซื้อเข้ามาอย่างทุกครั้ง โอเคไหม”
   
โยยิ้มบางๆออกมาโดยไม่เอ่ยอะไรอีก เด็กหนุ่มวางมือบนศีรษะกลมๆของอีกฝ่ายก่อนจะลูบอย่างอ่อนโยน แล้วจึงผุดลุกขึ้น ร่างสูงๆของเขามองลงมาก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับมือของอีกฝ่ายและฉุดให้ลุกขึ้นยืน และพากันไปจัดการมื้อเที่ยงของตัวเองที่มีคนล่วงหน้าไปแล้วเสียที   

เพราะความที่สมาชิกแต่ละคนนั้นมีความคุ้นเคยกันอยู่แล้วเป็นทุนเดิม การมาใช้ชีวิตร่วมกันแบบนี้จึงใช้เวลาในการปรับตัวไม่นานขนาดที่ว่า แต่ละคนยังอดแปลกใจไม่ได้ที่พวกเขาเข้ากันได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่ง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของวงคงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากเกิดความแปลกแยกขึ้นกันสมาชิกในวงแม้แต่เพียงคนเดียว

โยกับเจถือว่าเป็นพี่ใหญ่ของวง น้องทั้งสามคนจึงยินดีที่จะเรียกพวกเขาว่าพี่แม้อายุจะไม่ได้ห่างกันมากปีสักเท่าไหร่ และด้วยบุคลิกที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีความเป็นผู้นำสูง โย จึงได้รับหน้าที่เป็นเหมือนหัวหน้าวงไปกลายๆ แม้จะไม่ได้มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะยอมรับบทบาทอันนี้ไปแต่โดยดีแบบไม่ปริปากอะไรทั้งสิ้น ชุนกับซันนั้นถือว่าอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งคู่จึงถือเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย และเมื่อได้สนิทสนมกันจึงได้รู้ว่า ชุนเป็นเด็กขี้เหงาและอ่อนไหวอย่างร้ายกาจด้วยความที่ต้องจากครอบครัวมาไกล แต่โดยพื้นฐานชุนเป็นคนร่าเริงอารมณ์ดี จึงเรียกว่าเข้ากับซันที่มีบุคลิกสดใสสมชื่อชนิดเป็นปี่เป็นขลุ่ย ด้านแม็ก น้องเล็กของวง แม้จะอายุน้อยที่สุด แต่ก็มีนิสัยค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน แม็กจะสุภาพเสียจนพี่ๆเกรงใจ ต้องใช้เวลาสักพักเกราะที่น้องเล็กสร้างขึ้นจึงค่อยๆพังทลายลงในที่สุด จนถึงตอนนี้แม้แม็กจะยังคงเป็นน้องที่น่ารักของพวกพี่ๆ แต่ก็มีหลายครั้งที่เจ้าตัวก็ยียวนเอาเรื่อง ที่สำคัญน้องเล็กของวงเป็นเด็กฉลาดและเรียนเก่งเอามากๆ ในขณะที่พี่ใหญ่อีกคนอย่างเจ เหมือนจะเป็นศูนย์กลางของวงไปเรียบร้อย ไม่ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แม้ภาพลักษณ์ของเจในตอนแรกจะดูไม่น่าเข้าใกล้สักเท่าไร แต่ในความเป็นจริงแล้วเด็กหนุ่มเป็นคนอ่อนโยนและใจดีเสียจน ใครมีปัญหาอะไรมาก็ต้องมานั่งปรึกษาพี่เจนี่แหละ แถมเจ้าตัวยังพ่วงหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยของบ้านและของทุกคนตามนิสัยเจ้าระเบียบที่แก้ไม่หายสักทีเอาไว้ด้วยอีกต่างหาก

“พวกพี่ๆเขาไม่หิวกันเหรอแม็ก” ชุนถาม

“เดี๋ยวตามมาพี่” เจ้าน้องเล็กแต่ตัวสูงกว่าพี่ๆทุกคนว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ มือข้างหนึ่งยังคงตักโน่นตักนี่ทานอย่างเพลิดเพลิน อีกข้างก็คอยเลื่อนจานอาหารให้พี่คนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ “พี่โยเขาห่วงพี่เจ เห็นนอนนิ่งอยู่เป็นนานเลย”

“พี่โยนี่ ถ้าเป็นเรื่องพี่เจนี่ไม่ได้เลยนะ” ชุนเปรยขึ้น

“คู่นี้เขาเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว” ซันว่าอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา “วันไหนเขาไม่ดูแลกันสิแปลก” ว่าไปปากก็ซดน้ำแกงไปอย่างเอร็ดอร่อย

“นี่...” ชุนยื่นหน้าเข้าไปหาซัน “ถ้าเราเป็นอะไรไป นายจะดูแลเราแบบพวกพี่ๆเขามั่งไหมอ้ะ”

“นายเป็นลูกเราตั้งแต่เมื่อไหร่” ซันถามหน้าซื่อๆ

“โหว...” เด็กหนุ่มอีกคนร้องอย่างขัดใจ ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะชอบใจออกมาทันทีเหมือนกัน

“ไอ้คนขี้เหงา กลัวเพื่อนทิ้งล่ะซี้” เจ้าของเสียงหัวเราะนั้นอดแซวไม่ได้ ก่อนจะเอามือข้างหนึ่งผลักศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ “เพื่อนกัน ไม่ดูแลกันใครจะดูแลเล่า กินไป เดี๋ยวเย็นชืดหมดไม่อร่อยนา”

คำพูดที่เหมือนไม่ถือเป็นจริงจังอะไรนั้นกลับทำให้คนที่นั่งร่วมโต๊ะยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบังความดีใจ ทำเอาน้องเล็กที่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อยได้แต่ส่ายหน้า พวกพี่นี่นะ โตกันแต่ตัวซะเปล่า ก่อนจะหันไปเลื่อนเก้าอี้ข้างๆตัวให้กับพี่ชายอีกสองคนที่เดินตามเข้ามาสมทบ

กลายเป็นอาหารมื้อเที่ยงที่ค่อนข้างครึกครื้นไม่เบาทีเดียว

****************************

ที่บอกว่าเมื่อหลุดพ้นจากการเป็นนักร้องฝึกหัดเพื่อที่จะก้าวไปสู้การเป็นนักร้องเต็มตัว หมายความว่าเด็กหนุ่มทั้งห้าคนจะต้องฝึกซ้อมและเรียนหนักขึ้นไปอีก ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงแต่อย่างใด ต้องบอกว่ามันหนักหนากว่าที่คิดเอาไว้เสียละมากกว่า และการที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าช่วยได้มากเพียงไร ทุกวันจะมีรถของบริษัทไปรับไปส่งพวกเขาเสมอ และนั่นก็รวมไปถึงการไปรับส่งถึงหน้าประตูโรงเรียนด้วยเช่นกัน เมื่อมีกันอยู่ห้าคน การตื่น การนอน การกิน การใช้ชีวิตทุกอย่าง จึงอยู่ในสายตาของกันและกัน และง่ายต่อการดูแลซึ่งกันและกัน ไม่เพียงแต่สร้างความสนิทสนมให้ก่อตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังสร้างวินัยและนิสัยรับผิดชอบทุกอย่างร่วมไปด้วยโดยปริยายเช่นกัน

แต่แม้จะได้ชื่อว่าอยู่ด้วยกันห้าคน เด็กๆกลุ่มนี้ก็ยังต้องมีคนคอยดูแลอยู่นั่นเอง ทีแรกก็มีการประชุมว่าจะให้ใครเข้ามาทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของพวกเขา หน้าที่อันนี้จะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยาก เพราะถึงอย่างไร เด็กหนุ่มทุกคนก็มีตารางเวลาในการที่จะฝึกซ้อมและเข้าเรียนอย่างเป็นระบบอยู่แล้ว คนที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้เพียงแต่ต้องคอยดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามตารางที่วางเอาไว้ แต่เมื่อลงในรายละเอียดแล้ว หน้าที่รับผิดชอบไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ดูเผินๆแม้นี่จะเรียกได้ว่าเป็นงานของผู้จัดการวงก็จริง แต่จะว่าไปก็ไม่ต่างกับการเป็นพ่อแม่พี่น้องให้กับเด็กหนุ่มทั้งห้าคนดีๆนี่เอง

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุยังไม่ถึงยี่สิบที่มาใช้ชีวิตอย่างเต็มไปด้วยความรับผิดชอบร่วมกัน ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยไปจนถึงปัญหาใหญ่โต ก็คือความรับผิดชอบที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการจะต้องรับรู้และรับมือด้วยเช่นกัน

หน้าที่นี้จึงตกเป็นของ เมษ สาวบุคลิกห้าวที่ถ้าไม่บอกก็ไม่มีทางทายถูกว่าเป็นหญิงแท้หรือทอมบอย หรือแม้แต่จะเดาว่าอายุเท่าไหร่กันแน่ แถมคนที่ได้พบเจอกับหญิงสาวเป็นครั้งแรก หากไม่รู้จักก็เป็นอันต้องรู้สึกครั่นคร้ามกับบุคลิกของเธอกันไปเสียทุกคน

“ทีแรกผมก็มีนึกหวั่นๆพี่เมษนะ” หนึ่งในสมาชิกทั้งห้าคนเคยเอ่ยกับเธอตรงๆ ก่อนจะเรียกรอยยิ้มจากหญิงสาวขึ้นมาได้ทันทีเมื่ออีกฝ่ายว่าอย่างซื่อๆ “แต่ พอรู้จักกับพี่เจ ผมก็เลยชินแล้ว”

เมษเหมาะกับงานดูแลนักร้องศิลปินมากกว่างานพีอาร์ที่เธอเคยลองได้ทำมาแล้วครั้งหนึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ด้วยความที่ไม่ชอบเอาอกเอาใจใครบวกกับบุคลิกที่แสนจะตรงไปตรงมา เธอจึงเดินไปขอหัวหน้าว่า ช่วยเปลี่ยนให้เธอกลับไปดูแลนักร้องเหมือนเดิมดีกว่า พร้อมกับสารภาพว่าทนรับมือกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสื่อหรือนักข่าวที่งี่เง่าไม่ได้จริงๆ

ให้ไปดูแลคนคนเดียวหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปเลยแบบนั้นน่าจะเหมาะกับเธอมากกว่า เพราะเป็นงานที่ไม่ถึงกับต้องเอาอกเอาใจใครมากจนเกินไป ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกำหนดการ มีระเบียบ และตักเตือนกันได้ โดยไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันว่า อีกฝ่ายจะมีผลประโยชน์ให้อย่างไร เมษชอบแบบนี้มากกว่า จนใครหลายคนอดแซวไม่ได้ว่า แท้ที่จริงเธอก็เป็นพวกศิลปินพอๆกับคนที่เธอต้องดูแลเหมือนกัน จึงเหมาะกันดีแล้ว

ครั้งแรกที่เธอได้พบกับเด็กทั้งห้าคนที่เธอจะต้องทำหน้าที่ดูแลไปตลอดทั้งปี และเผลอๆอาจจะต้องลากยาวไปจนถึงวันที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้จะได้ออกไปเป็น นักร้อง นั่นด้วย เมษบอกกับตัวเองเป็นสิ่งแรกว่า เด็กพวกนี้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมในแบบที่เธอต้องอึ้ง แม้จะผ่านงานดูแลนักร้องในสังกัดมาไม่น้อยก็ตาม ที่สำคัญ เธอถูกชะตากับเด็กๆกลุ่มนี้ตั้งแต่แรกพบ
   
ในสายตาของเธอ โย เป็นเด็กหนุ่มตัวใหญ่บุคลิกดีที่ดูแล้วเหมาะกับหน้าที่หัวหน้าวงที่เจ้าตัวยอมรับเอาไว้เองอย่างไม่อิดออด เด็กหนุ่มคนนี้มีลักษณะการเป็นผู้นำและเป็นที่พึ่งพาของทุกคนได้จริงๆ หันไปมองเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆคนที่เป็นหัวหน้าวง เจ เด็กผู้ชายอะไรจะหน้าตาดีได้ขนาดนี้ นี่ขนาดเจ้าตัวยังไม่ได้เป็นนักร้อง เธอยังรู้สึกได้ถึงเสน่ห์อันน่าดึงดูดใจของเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนี้ได้อย่างชัดเจน แม้บุคลิกภายนอกจะดูเย็นชา แต่แท้ที่จริงเด็กหนุ่มค่อนข้างขี้อายและไม่ค่อยมั่นใจในภาพลักษณ์ของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆเด็กคนนี้น่ารักอ่อนโยนกว่าที่ใครๆจะคิด ซัน เป็นเด็กหนุ่มที่คำว่าน่ารักน่าจะเหมาะกับเขาที่สุด เด็กอะไรจะสดใสเหมือนแสงอาทิตย์ได้ขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นคนช่างพูดช่างคุยและเป็นมิตรกับทุกคนดีเหลือเกิน ข้างๆกันคือชุน ที่ชอบทำท่าเขินๆอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ดูก็รู้ว่าติดเพื่อน ก็ท่าทางดูเป็นคนขี้เหงาขนาดนั้น คนสุดท้าย น้องเล็กของวงแต่ตัวสูงกว่าใครเพื่อน แม้หน้าตาจะน่ารักแต่ก็ดูเป็นเด็กที่มีนิสัยเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ท่าทางเป็นคนพูดน้อยและขี้อาย แต่ก็ดูฉลาดเฉลียวทีเดียว

เอาเป็นว่านี่คือเด็กหนุ่มที่พร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติในการที่จะเป็นวงบอยแบนด์หน้าใหม่ที่นายใหญ่อย่างคุณเอ็มหมายมั่นปั้นมือ และเธอก็คือคนที่จะต้องรับหน้าที่ดูแล หรือพูดตามตรงก็เหมือนกับเป็นแม่อีกคนของเด็กพวกนี้นั่นเอง

“ฝากดูแลพี่ด้วยก็แล้วกันนะน้องๆ” คำทักทายแรกที่ออกจากปากของหญิงสาวทำเอาเด็กหนุ่มทั้งห้าคนที่ไม่รู้จะทำหน้าหรือวางตัวอย่างไรในตอนแรก ถึงกับต้องเลิกคิ้วแล้วก็ยิ้มออกมาในที่สุด

“ทำไมกลายเป็นอย่างนั้นล่ะครับพี่เมษ” โย พูดกลั้วเสียงหัวเราะกับมุกตลกหน้าตายของหญิงสาวที่เมื่อมายืนอยู่กับพวกเขาแล้วตัวเล็กไปถนัดตา

“แค่พี่มายืนตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนถูกห้อมล้อมด้วยตึกสูงๆแล้ว ยังจะคาดหวังให้พี่ดูแลอะไรหรือ” เมษพูดหน้าตายต่อไป ทำให้บรรยากาศยิ่งดูผ่อนคลายมากขึ้นพร้อมกับเรียกรอยยิ้มกว้างจากเด็กหนุ่มได้ราวกับนัดกันไว้ทีเดียว “แต่ถ้าให้เป็นพี่ เป็นเพื่อน หรือที่ปรึกษาล่ะก็ พี่เมษยินดีนะคะ” หญิงสาวพูดจริงจังพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน “ต่อไปนี้เราก็ต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา ค่อยๆเรียนรู้กันไป แล้วถ้ามีอะไรอยากจะพูดคุยกับพี่ ก็ได้เสมอนะ แล้วก็... พี่ดีใจนะที่จะได้มาดูแลพวกเรา”

ผู้หญิงคนนี้เท่ดี ดูไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงทั่วไป เมษเป็นคนบุคลิกคล่องแคล่วไม่กลัวใคร แต่ก็ดูเปิดเผยจริงใจอย่างยิ่ง เวลาพูดคุยกับพวกเขา หญิงสาวจะตั้งใจฟังและมองตาคู่สนทนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคำพูด รอยยิ้ม หรือการหัวเราะ ทำให้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกอุ่นใจเสียจนเหมือนกับว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงคนนี้จะยืนอยู่เคียงข้างพวกเขาแน่นอน

“พี่เมษนี่ จะว่าไปก็คล้ายพี่เจนิดหน่อยแฮะ” แม็กเปรยขึ้นลอยๆเมื่อพวกเขานั่งอยู่ด้วยกันห้าคน

“เห็นด้วย แค่ต่างเวอร์ชั่นเท่านั้นเอง คนหนึ่งเป็นผู้ชาย อีกคนเป็นผู้หญิง”

“ขอบใจนะ” เสียงคนถูกพาดพิงเอ่ยขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นคำชมหรืออะไรกันแน่

“ทีแรกยังนึกกังวล ผู้หญิงคนเดียวดูแลลิงตั้งห้าตัวจะไหวเหรอ” เสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

“พี่ว่าถ้าเป็นพี่เมษล่ะก็ สบาย” โยเอ่ยปิดท้าย “พี่ชอบพี่เมษนะ”

ทุกคนหันไปพยักหน้าให้กันราวกับนัดกันไว้

“ไม่น่าเชื่อนะว่าเราจะมีผู้จัดการส่วนตัวของเราเองแล้ว” เจว่าขึ้นมาบ้าง ทุกคนหันไปมองพี่คนโตหน้าสวยของวง “พอมานึกย้อนกลับไป ทีแรกเหมือนมันกับเป็นอะไรที่ห่างไกลมาก แล้วดูพวกเราตอนนี้สิ... อีกนิดเดียวแค่นั้น พวกเราก็จะมีผลงานเป็นของตัวเองแล้ว” เจว่าออกมาตามความรู้สึกที่แท้จริง

“พวกเราถึงตอนนี้จะยังไม่มีผลงานออกมา แต่เราก็ได้ชื่อว่าเป็นวงเดียวกันแล้วนะ” เจหันไปมองหน้าแต่ละคนสลับไปมาพร้อมรอยยิ้มที่แสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกซาบซึ้งใจเพียงไร “แล้วพี่ก็ดีใจมากที่พวกเราได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ ต่อไปพวกเราจะต้องพยายามให้มาก”

คำพูดอันแสนธรรมดานั้นกลับทำให้เด็กหนุ่มอีกสี่คนที่นั่งอยู่ด้วยรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ซันยกแขนขึ้นโอบชุนที่น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาตามประสาคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย โยยกมือข้างหนึ่งจับกระชับมือเจเอาไว้ อีกข้างยกขึ้นบีบไหล่ของน้องคนเล็กเบาๆ ราวกับว่าเพียงเท่านี้ก็เข้าใจกันแล้วโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรออกมาอีก

******************************
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 19-12-2009 13:18:45
ตารางการฝึกซ้อมครั้งล่าสุดของเด็กหนุ่มที่เมษนำมายื่นให้แต่ละคนที่แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว ยังถึงกับต้องถอนหายใจหนักๆออกมา แค่มองผ่านๆก็ชวนให้ประหลาดใจแล้วว่า ตัวหนังสือมากมายขนาดนั้นอัดลงไปในกระดาษแผ่นแค่นี้ได้อย่างไร ที่สำคัญมีตั้งหลายแผ่น แถมนี่ยังเป็นตารางของแค่เดือนนี้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น

แต่ที่ทำให้เมษนึกทึ่งเด็กพวกนี้ก็คือ แม้ว่าใบหน้าของแต่ละคนจะแสดงออกชัดว่าหนักใจ แต่ก็ใม่มีใครบ่นออกมาสักคำว่า มากเกินไป หนักเกินไป หรือว่าทำไม่ไหว ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เมษมีโอกาสได้ดูแลนักร้องหลายๆคน แต่น้อยครั้งเหลือเกินที่เธอจะได้เจอกับคนที่มีความมุ่งมั่นและใจสู้ขนาดนี้ ที่สำคัญพวกเขายังเด็กกันมาก หญิงสาวจึงอดนึกทึ่งวิสัยทัศน์ของนายใหญ่ไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณเอ็มจึงพิถีพิถันกับการคัดเลือกเด็กหนุ่มกลุ่มนี้นัก

วูบหนึ่ง เมษบอกตัวเองว่า ถ้าเป็นเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ พวกเขาอาจจะทำได้ก็ได้

เธอเองก็จะขอทุ่มสุดตัวเหมือนกัน

“เหนื่อยกันหน่อยนะพวกเรา” เธอเอ่ยขึ้น

“ไม่เป็นไรครับ จะว่าไปก็หนักกว่าสมัยเป็นนักร้องฝึกหัดขึ้นมาอีกนิดหน่อยเท่านั้น” โยว่า “จะมายอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ได้ยังไง” เด็กหนุ่มว่าพลางหันไปมองสมาชิกในวงคนอื่นๆที่ดูเหมือนจะผ่อนคลายขึ้นมาจากคำพูดเพียงสั้นๆของหัวหน้าวง

“พี่เมษน่ะสิครับ ต้องมาเหนื่อยกับพวกเราไปด้วย” เจว่า

“ถ้าน้องว่าไหว พี่ก็ต้องไหวสิ” เมษยิ้มให้ทุกคน “ลงเรือลำเดียวกันแล้ว มันก็ต้องไปไหนไปกันล่ะนะ”

ความหนักหนาของตารางการฝึกนั้น เริ่มตั้งแต่การฝึกสัปดาห์ละหกวัน โดยมีวันพักเพียงหนึ่งวันนั่นคือวันอาทิตย์ ในแต่ละวันจะเริ่มจากการซ้อมสลับกันไปตั้งแต่คลาสว้อยซ์ คลาสแดนซ์ คลาสฝึกบุคลิกภาพ ซึ่งระดับความเข้มข้นของมันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เริ่มต้นกันเลยทีเดียว เป็นการบอกว่า พวกเขากำลังเข้าใกล้ความเป็นมืออาชีพมากขึ้นทุกที แม้แต่ครูที่เข้ามาทำหน้าที่ฝึกสอนนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป มีทั้งที่คุ้นหน้าคุ้นตา ไปจนถึงที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เพราะเป็นอาจารย์พิเศษที่เก่งเหนือชั้นขึ้นไปอีก และที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือช่วงเวลาในการออกกำลังเสริมสมรรถภาพร่างกาย ไปจนถึงการดูแลเรื่องโภชนาการอย่างเหมาะสม แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด ด้วยเพราะวัยและสุขภาพที่แข็งแรงของแต่ละคนที่มีอยู่เป็นทุนเดิม แต่การปล่อยปละละเลยให้น้ำหนักมากหรือน้อยเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร

ทุกอย่างที่ปรากฏในตารางการฝึก ยังต้องทำควบคู่ไปกับการเรียนหนังสืออย่างหนักด้วย

วันอาทิตย์ แม้จะเป็นเพียงแค่วันเดียวในสัปดาห์ที่พวกเขาจะได้หยุดพัก แต่บางครั้งก็จะมีอะไรเข้ามาแทรกให้พวกเขาได้ยุ่งขิงอยู่บ่อยๆได้เหมือนกัน ความหนักหนาของมันบางครั้งก็ทำให้สมาชิกบางคนถึงกับแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยและท้อใจออกมา แต่ก็ได้สมาชิกคนอื่นคอยปลอบและคอยเป็นกำลังใจให้ จนกระทั่งสามารถประคับประคองให้ผ่านไปได้ในที่สุด ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ พวกเขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะคอยดูแลกัน อยู่เคียงข้างกัน และช่วยเหลือกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนบ่อยครั้งที่พวกเขารู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างก็ต้องพึ่งพากันและกัน และถ้าปราศจากใครคนใดคนหนึ่งไป ความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างที่ก่อตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆนี้ก็จะไม่มีอีกต่อไป
ความรู้สึกนี้เป็นมากกว่าแค่สมาชิกร่วมวง เป็นมากกว่าเพื่อน เป็นมากกว่าแค่พี่น้อง พวกเขาคือครอบครัวเดียวกัน

*****************************

ยิ่งใกล้ช่วงเวลาของการสอบเอ็นทรานซ์ เจก็ดูเหมือนจะมีอะไรต้องคิดอยู่ตลอดเวลามากขึ้นไปอีก ตอนที่เขายังต้องไปเรียนหนังสือตามปกตินั้น ยังไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อได้เห็นเพื่อนฝูงที่โรงเรียนรวมไปถึงโยที่คร่ำเคร่งอยู่กับการอ่านหนังสือเตรียมสอบเอ็นทรานซ์ เจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
เจนึกถึงใจพ่อมากที่สุด

หลายเดือนมานี้ เจไม่ได้คุยกับพ่อเลย ที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายค่อนข้างจะห่างเหินมากพออยู่แล้ว ยิ่งเกิดเรื่องขึ้น ไม่เพียงแต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน แต่พ่อเลี่ยงที่จะไม่เจอหน้าเขาเลย ตัวของเขา ต่อให้เด็ดเดี่ยวเพียงไร แต่พ่อก็คือพ่อ ถึงจะไม่เคยพูด แต่เจก็ห่วงความรู้สึกของพ่อไม่แพ้ใคร
ยิ่งใกล้จะเอ็นทรานซ์แบบนี้ พ่อต้องรู้สึกกับมันมากกว่าใคร และเขาอยากคุยกับพ่อเหลือเกิน

ในขณะที่ห้องนอนใหญ่ที่ประกอบด้วยสมาชิกสามคนของวงปิดไฟเงียบไปครู่ใหญ่แล้วหลังจากทะเลาะทุ่มเถียงกันเรื่องเกมคอมพิวเตอร์อยู่เป็นนานจนแทบจะกลายเป็นกิจวัตร ห้องนอนเล็กที่เป็นของพี่ใหญ่ทั้งสองคนกลับมีแสงไฟสีส้มนวลตาลอดผ่านออกมาแม้จะเลยเวลาเที่ยงคืนไปนานแล้วก็ตาม ทั้งที่รู้ดีว่าวันพรุ่งนี้ยังมีตารางเรียนอย่างหนักรออยู่ แต่เห็นได้ชัดว่า ร่างที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงอย่างครุ่นคิดนั้น ยังไม่อาจข่มใจให้หลับตาลงได้จริงๆ ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงไรก็ตาม
เจเงยหน้าขึ้นมองไปยังอีกร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาวอยู่บนเตียงอีกหลังใกล้ๆกัน ก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งลงบนขอบเตียงที่มีร่างอันสูงใหญ่ครอบครองอยู่

“โย” เสียงเรียกนั้นแหบแผ่วเบาและรู้สึกได้ถึงความเกรงใจอยู่ในที “หลับไปแล้วหรือยัง”

“ยังหรอก” ร่างนั้นหันกลับมาเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่วางอยู่บนไหล่ของเขา และยิ่งได้เห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่ปลุกเขาในตอนนี้แล้ว ต่อให้ง่วงแค่ไหนเขาก็คงข่มตาหลับไม่ลงแน่นอน เด็กหนุ่มค่อยๆชันร่างลุกขึ้นนั่ง “มีอะไรหรือเปล่า”

เจนั่งก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ประสานกันเอาไว้หลวมๆอย่างคนคิดไม่ตก คนถูกปลุกได้แต่ยิ้มอย่างนึกรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องคงมีอะไรในใจถึงขนาดนอนไม่หลับจนต้องลงมือปลุกเขาขึ้นมากลางดึกแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไร เฝ้ารอให้เจ้าตัวเปิดปากออกมาเองเมื่อพร้อม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยกมือข้างหนึ่งจับกลุ่มเส้นผมนุ่มๆของอีกฝ่ายขึ้นทัดหูให้ จึงได้เห็นว่าใบหน้าหวานเกินเด็กผู้ชายทั่วไปที่เขาชอบมองนักหนาในยามนี้ ดูจะเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“เจ...” เสียงทุ้มนุ่มนั้นเอ่ยเรียกชื่อขึ้นเบาๆอย่างเต็มไปด้วยความห่วงใย หลายวันมานี้เจดูมีเรื่องไม่สบายใจรบกวนอยู่ตลอดเวลา แม้เจ้าตัวพยายามอย่างหนักที่จะกลบเกลื่อน คนอื่นอาจจะไม่ทันได้สังเกต แต่สำหรับโยแล้ว เรื่องของเจที่แม้จะเล็กน้อยสักเพียงไร ล้วนอยู่ในสายตาของเขา เพียงแต่ระยะหลัง เขาง่วนอยู่กับการฝึกซ้อมและการเตรียมสอบเสียจนไม่ได้ลืมหูลืมตา จึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยถามไถ่เสียที คิดแล้วก็น่าตำหนิตัวเองนัก

ร่างขาวจัดในชุดเสื้อกล้ามตัวหลวมและกางเกงขายาวใส่สบายนั้น หันมามองเขา หัวคิ้วขมวดมุ่นเล็กน้อย เจกัดริมฝีปากราวกับชั่งใจว่าจะพูดออกไปดีไหม ก่อนจะหลบสายตาคู่นั้นและก้มหน้าลงมองมือที่ดูเหมือนจะประสานกันแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกครั้ง

มือใหญ่ยาวเรียวข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ค่อยๆโอบรั้งศีรษะของอีกฝ่ายเข้ามาอย่างอ่อนโยนก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนขมับ เขาได้กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆจากกลุ่มเส้นผมที่อ่อนนุ่มและดูจะยาวขึ้นกว่าเดิมมาก สัมผัสนั้นอ้อยอิ่งอ่อนโยนเสียจน อีกฝ่ายไม่คิดแม้แต่จะขัดขืนหรือปัดป้อง ไม่รู้เป็นเพราะความอ่อนล้าในใจหรือความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายเหมือนกันที่ทำให้เขาปล่อยให้อีกคนสัมผัสเขาตามแต่ใจแบบนี้ ก็มันรู้สึกดีเหลือเกินนี่เล่า

“พูดมาเถอะ...” โยเป็นอย่างนี้เสมอ คนคนนี้รู้เสมอว่าเขารู้สึกอย่างไร

“ขอโทษนะที่ปลุก” รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่มุมปากของร่างที่ยังอยู่ใต้ผ้าห่มเมื่อได้ยิน “แต่เรานอนไม่หลับเลย ทั้งที่ร่างกายรู้สึกเหนื่อยมาก”

โยไม่ได้พูดอะไร เด็กหนุ่มเขยิบร่างไปยังอีกฝั่งของเตียง มือข้างหนึ่งเลิกผ้าห่มขึ้นก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายให้ล้มลงนอนข้างๆกันแล้วจึงห่มผ้าให้ แล้วจึงหันไปกดปิดโคมไฟตรงหัวเตียง

แม้ห้องจะมืดเสียจนมองไม่เห็นอะไร แต่เจก็รู้สึกได้ถึงวงแขนแข็งแรงข้างหนึ่งที่รั้งตัวเขาเข้าไปกอด ใกล้ชิดกันเสียจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่าย ก่อนที่มือข้างเดียวกันนั้นจะค่อยๆลูบหลังเขาอย่างปลอบโยน

“อย่างนี้สบายขึ้นไหม” ไม่มีเสียงตอบกลับมา นอกจากศีรษะกลมๆตรงซอกคอของเขาขยับหงึกหงักอยู่เป็นการตอบรับกลายๆ แขนข้างหนึ่งของเจยกขึ้นวางลงบนเอวแข็งแรงของคนที่กอดเขาไว้ในอ้อมแขนอย่างชนิดที่รู้ว่าไม่ยอมปล่อยเขาไปไหนแน่ๆ

“เรารู้ว่านายยุ่งกับเรื่องเตรียมสอบ” เสียงแหบแต่กลับน่าฟังนั้นเปล่งออกมาเบาจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ “แต่ยิ่งเราเห็นนายแล้วก็เพื่อนๆเตรียมเอ็นฯกันแบบนี้แล้ว...”

“เสียใจเหรอที่เลือกทางนี้แทนเอ็นทรานซ์” เจส่ายศีรษะทันที จุดรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครั้งในความมืด

“ถึงตอนนี้เราก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิด ถ้าต้องเลือกอีกครั้ง เราก็จะเลือกเหมือนเดิม” เสียงตอบที่หนักแน่นนั้นกลับแผ่วลง “แต่เราห่วงความรู้สึกพ่อ”

“อยากคุยกับพ่อใช่ไหมเจ”

“อือม์” เจตอบรับ “ไม่อย่างนั้นเราคงไม่สบายใจอยู่แบบนี้” เด็กหนุ่มหลับตาเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากที่กดหนักๆลงบนกลางศีรษะของเขาจนเผลอซุกตัวเข้าหาวงแขนอันอบอุ่นนั้นจนแทบไม่เหลือช่องว่างใดๆระหว่างกันอีก “เราไม่ได้คุยกับพ่อเลยนะโย มันยิ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นลูกที่แย่ยังไงก็ไม่รู้”

“ไปไหม?”

“หือม์?”

“ไปคุยกับพ่อให้เข้าใจ” เสียงทุ้มพูดอย่างหนักแน่น “นายจะได้สบายใจเสียที เราว่ามันก็คงถึงเวลาแล้วล่ะ”

“พ่อเขาจะยอมเข้าใจไหมโย”

“ไม่รู้สินะ” โยเงียบไปเป็นครู่ “แต่ก็ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้แบบนี้ ไม่ดีกับนายเลย”

“ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์นี้เราจะไปคุยกับพ่อ เรามันขี้ขลาด พยายามหาเหตุผลสารพัดเพื่อที่จะเลี่ยงไม่คุยกับเขา ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นการหนีปัญหาและหลอกตัวเอง” เด็กหนุ่มตำหนิตัวเอง

“ไม่เอาน่า” โยเลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างปลอบประโลม “ถ้ามันง่ายแบบนั้น นายคงทำไปนานแล้ว อย่าโทษตัวเองเลย” ร่างในอ้อมแขนซุกตัวเข้าหาเขาแน่นขึ้นอีก คงจะมีแต่เขาเท่านั้นแหละที่จะได้เห็นอีกด้านที่ทั้งน่าเอ็นดูและน่าปกป้องของคนคนนี้ เจที่เต็มไปด้วยเสน่ห์จนน่าหลงใหล เจที่มีความสามารถอยู่เต็มเปี่ยมจนน่าอิจฉา เจที่เปรียบเสมือนหัวใจของทุกคนในวง แต่ไม่มีใครนึกภาพเจที่อ่อนล้า เจที่ต้องการที่พึ่ง หรือเจที่ออดอ้อนเมื่อยามอ่อนแอออกเลยสักคน

“ให้ไปเป็นเพื่อนไหม” เด็กหนุ่มที่ยังไม่คลายวงแขนปลุกปลอบนั้นเอ่ยขึ้น

“ไม่เป็นไร เราอยากไปคนเดียวน่ะ”

“อือม์”

“ไม่ว่ากันนะ”

“เข้าใจ แล้วก็... ดีแล้วล่ะ” มือของเขายังลูบหลังอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอยากปลอบใจหรือเพราะชอบที่จะได้สัมผัสอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนแบบนี้ “สบายใจขึ้นบ้างไหม”

“ดีขึ้น”

“ทีนี้จะนอนได้หรือยัง”

“จะพยายาม”

“นอนที่นี่แหละ”

“ผู้ชายตัวใหญ่ตั้งสองคนมานอนเบียดกันเนี่ยนะ นายนอนไม่สบายหรอก”

“เราบอกเมื่อไหร่ว่านอนไม่สบาย”

“แน่ใจนะ”

“แน่ใจ”

“ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เราไม่ได้นอนแบบนี้มานานเลยนะ ว่าไหม”

“ก็นึกว่านายไม่ชอบ เห็นมีเตียงของตัวเองแล้ว”

“ก็สบายอยู่หรอก แต่มัน...”

“แต่อะไร...”

“มันก็... เหมือนขาดๆอะไรไปเหมือนกัน”

“แปลว่าชอบนอนแบบนี้มากกว่า”

“นายทำเราชินมากกว่า”

“ดีจัง...” แม้จะมองไม่เห็นแต่โยก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังเงยหน้าขึ้นมองเขาในความมืด

“อะไรดี...”

“ก็ที่นายชอบ ไม่รังเกียจเวลาเรากอดนาย”

“ถ้าไม่ชอบเราก็บอกไปแล้ว ไม่ปล่อยให้ทำหรอก”

“นั่นสิ”

“พอไม่ว่าก็เคยตัว นายน่ะ” เรียกเสียงหัวเราะเบาๆออกมาจากร่างสูงที่ตอนนี้กอดเขาแน่นขึ้นด้วยความหมั่นเขี้ยว

“ขออะไรที่เอาแต่ใจอย่างหนึ่งได้ไหม” เสียงทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของโยเอ่ยขึ้น

“อะไร” พอได้นอนคุยกันแบบนี้ เจกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด หนังตารู้สึกหนักขึ้นมาเสียเฉยๆ และชักจะง่วงขึ้นมาติดหมัด

“อย่าไปกอดใครแบบนี้ได้ไหม”

“ขออะไรประหลาดแฮะ”

“น่า... ได้ไหม” เสียงทุ้มแฝงแววออดอ้อน

“เพราะ?”

“มัน... หวง”

“ไอ้บ้า” มือข้างที่โอบเอวของอีกฝ่ายเอาไว้ยกขึ้นทุบหนักๆลงไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ ถึงอย่างไรก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ ก็จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ถูกผู้ชายด้วยกันมาบอกว่าหวงแบบนี้เล่า โยหัวเราะเสียงเบาก่อนจะเอ่ยอะไรออกมาที่ทำเอาอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ

“แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กๆ ไม่ชอบเลย เวลารู้สึกแบบนี้มันไม่ค่อยเป็นตัวเอง เพราะงั้น อย่าทำให้รู้สึกหวงได้ไหม ขอแค่นี้แหละ” เสียงทุ้มนั้นยังว่าอย่างเอาแต่ใจไม่หยุด “ได้ไหม”

“นายเคยเห็นเราไปกอดกับใครแบบนี้ไหมล่ะ”

“ไม่เคย”

“แล้วเคยเห็นเราปล่อยให้ใครมากอดแบบนี้ไหม”

“ไม่เคย”

“งั้นก็รู้ไว้ซะ เราเองก็ไม่ใช่จะปล่อยให้ใครมากอดง่ายๆเหมือนกัน” เจว่า “พอใจหรือยัง”

“พอใจแล้ว”

“ทีนี้นอนได้หรือยัง”

“ง่วงแล้วเหรอ”

“ง่วงมาก ตาจะปิดอยู่แล้ว”

“นอนกอดกันก็ดีแบบนี้แหละเห็นไหม” ไม่แค่พูด แต่ยังถือวิสาสะก้มลงจูบลงบนศีรษะหอมๆนั้นเบาๆ “นอนเถอะ”

“อือม์” ตอบสั้นๆเพียงเท่านั้น ไม่นาน ร่างที่เล็กกว่าในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของเตียงก็ผลอยหลับไปง่ายๆด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้นในรอบหลายๆวันมานี้

โยขยับตัวเบาๆให้นอนสบายขึ้นก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกคน โดยไม่ยอมผละมือข้างที่กอดร่างนั้นออกแต่อย่างใด

--------------------------------------------

หวังว่าบทที่ 9 นี้จะทำให้หายคิดน้องลงได้บ้างนะคะ มาต่อช้าไปนิด ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ช่วงปลายปีน่ะค่ะ มีอะไรจะต้องไปจัดการมากมายเหลือเกินทีเดียว

สำหรับตอนนี้คงได้รู้แล้วนะคะว่า ตัวละครที่ถูกหยิบยืมมาจาก "เพลงรัก" ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่เมษของเรานี่เอง แต่เริ่มเดิมทีก็มีคิดจะสร้างตัวละครขึ้นใหม่ แต่ไหนๆก็ไหนๆ เราก็มีตัวละครที่เหมาะอยู่ในมืออยู่แล้ว แถมจากเรื่องก่อน พี่เมษก็มีบทบาทเยอะอยู่ไม่เบา ขอพี่เขามาเป็นแขกรับเชิญในนิยายเรื่องนี้อีกสักเรื่อง ก็ไม่น่าจะเป็นไร (คิดเองเออเองน่ะค่ะ) พี่เมษจึงเข้ามามีบทบาทอีกครั้งในเรื่องนี้ด้วย

เรื่องราวต่อไปนี้จะมีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆค่ะ ไม่ขอบอกใบ้ แต่อยากจะให้ติดตามกันต่อไปนะคะ ขอบอกไว้ก่อนว่า นิยายเรื่องนี้ ไม่ยาวเท่ากับเรื่องที่แล้ว แต่ถึงจะจบก็ไม่เรียกว่า จบแล้ว เสียเลยทีเดียว ซึ่งจะเป็นอะไรนั้น ช่วงตอนสุดท้ายจะเข้ามาบอกเล่าเก้าสิบกันค่ะ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม และอ่านให้สนุกเหมือนเคยนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: C2U ที่ 19-12-2009 15:44:28
อ่านตอนเก้าแล้วเหมือนตัวเองพลาดอะไรไป

ที่แท้พลาดตอนที่แปดนี่เอง   555

พลาดได้ไงเนี่ย   ตอนที่แปดน่ะ กรี๊ดดดด มากมาย  :m3:



เอาใจช่วยเจให้ได้คุยกะ่พ่อดีๆซะที   :L2:


หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 19-12-2009 21:07:51
บอกได้คำเดียว

"อุ่น" จังค่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 19-12-2009 22:41:25
โย อบอุ่นมากๆ  ขอเพียงเจยังมีโยอยู่อะไรๆก็คงไม่น่ากลัวละนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 20-12-2009 08:36:26
โยน่ารักเหมือนเดิม :-[ เจก็ยังไม่รู้สึกตัวอีกยอมเขาขนาดนั้นแล้ว อิจฉาเจอ่ะ โยแสยดีมากๆ :o8: :bye2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 20-12-2009 09:14:00
แอร๊ยยย  น้องๆเค้าเข้าใจกันดีจิงๆเลยน๊า
ให้บรรยากาศอบอุ่นมากเเลยยย
+1 ขอบคุณที่มาต่อคร้า  แล้วจะรอตอนต่อไปนะคร้า :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 20-12-2009 20:30:48
รู้สึกชอบจัง รู้สึกว่าอบอุ่นชอบกล อิอิ น่ารักจิงๆๆ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 21-12-2009 10:49:15
ดีใจจังที่เห็นสาวเมษได้กลับมาดูแลน้องๆ อีกครั้ง
และมั่นใจว่า น้องๆ ต้องผ่านเรื่องร้ายไปได้ ถ้ามีคนดูแลชื่อ พี่เมษ ....

อบอุ่นกับความรักที่โยมีให้กับเจมากเลยค่ะ

อยากให้พี่นนท์กับน้องน้ำต้น มาเยี่ยมเยียนน้องโยน้องเจ บ้างนะคะ ....
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-12-2009 23:19:54
บรรยากาศเวลาโยกับเจอยู่ด้วยกันนี่มันอบอุ่นจังเลยน๊า ><
โยคอยเปนกำลังใจให้เจตลอด น่ารักจัง
แถมยังมีพี่เมษมาดูแลอีกตะหาก โห๊ะ ๆ

อยากให้เจคุยกับพ่อให้รุ้เรื่องไปเลย ๆๆ จะได้ไม่เศร้า เนาะ ๆ :)

 :L2: :L2:

หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 9 *#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 25-12-2009 23:36:36
บทที่ 10

สามทุ่ม
   
นี่เขาใช้เวลาคุยกับพ่อนานถึงขนาดนี้เลยหรือ

เด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่แสนธรรมดา แต่กลับดูดีเมื่อมันถูกสวมใส่บนรูปร่างอันสูงโปร่งสมส่วนของเจ้าของ นั่งพิงอยู่ตรงเบาะหลังของแท็กซี่สีสันสดใส ต่างจากสภาพจิตใจที่หดหู่และเศร้าหมองเหลือเกินของเขาในตอนนี้

ก็น่าอยู่หรอก

เจจำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับพ่อนานๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้แต่ว่าตั้งแต่เจตัดสินใจคิดอยากจะเป็นนักร้อง พ่อก็แทบจะไม่มองหน้าเขาอีกเลย แม้พอจะคาดเดาได้บ้างอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างจากการพูดคุยอย่างเปิดอกกับพ่อคราวนี้ แต่เอาเข้าจริงมันแย่กว่าที่คิดเอาไว้มาก

พ่อรับไม่ได้ และไม่ให้อภัยเขา

“สิ่งที่เจทำมันผิดขนาดนั้นเลยเหรอพ่อ” เด็กหนุ่มยังจดจำน้ำเสียงอันแหบแห้งเหมือนกับคนสิ้นหวังของตัวเองได้ดี

“แกอยากให้พ่อแกอกแตกตายใช่ไหม ถึงได้ตัดสินใจเลือกทางนี้ ทั้งที่แกก็ไม่ได้โง่ แต่แกมันไม่รักดี” คำพูดรุนแรงพรั่งพรูออกมาจากปากผู้เป็นพ่ออย่างเหลืออด เจหันไปมองแสงไฟของร้านรวงข้างทางที่ยังคงเปิดไฟสว่างโร่ แต่มันกลับพร่าเลือนจนกลายเป็นภาพเบลอไปหมด น้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ตั้งแต่ก้าวเท้าขึ้นนั่งบนรถพร้อมบอกจุดหมายปลายทางกับคนขับ ในตอนนี้มันไหลลงอาบแก้มอย่างไม่อาจหักห้ามได้

ไม่ว่าจะมีเรื่องเหนื่อยยากแค่ไหน เด็กหนุ่มทนได้ ลำบากสาหัสเพียงใด เขาก็พร้อมจะสู้ แต่หนนี้ เจทั้งท้อแท้ ทั้งเสียใจ คำพูดที่รุนแรงและเสียดแทงของพ่อแต่ละคำทำให้เด็กหนุ่มหัวใจแทบสลาย พ่อปรามาสว่าเขาอกตัญญู โง่ขลาเบาปัญญา เป็นลูกที่ไม่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจเลยสักนิด

เขาที่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดมาตลอด แต่เพียงแค่เลือกเดินในเส้นทางที่พ่อไม่เห็นด้วย ทำให้เขาถึงกับกลายเป็นลูกที่เลวถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เด็กหนุ่มหมดเรี่ยวแรง พลังกายและพลังใจที่มีอยู่ทั้งหมดเหือดหายไปจนหมดสิ้น เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียใจที่ทำให้พ่อผิดหวังหรือเสียใจที่พ่อไม่ยอมรับการตัดสินใจของเขามากกว่ากันแน่ แต่ถึงตอนนี้มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

พ่อเกลียดเขาจนไม่อาจทนมองหน้าได้ด้วยซ้ำ

ร่างที่นั่งนิ่งราวกับหยุดหายใจไปแล้วแต่น้ำตากลับไหลออกมาไม่หยุดนั้น ทำเอาชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่เป็นโชเฟอร์ลอบมองเขาผ่านกระจกอยู่หลายครั้ง เด็กอะไรหน้าตาดีแต่ดูเศร้าเหลือเกิน คงเจอกับอะไรหนักๆมาสินะ แต่ก็เลือกที่จะปล่อยให้ผู้โดยสารหนุ่มอายุน้อย นั่งคิดอะไรเงียบๆอยู่ในโลกของตัวเองต่อไป

“เอาเลย ปีกกล้าขาแข็งแล้วก็ไม่ต้องเห็นหัวพ่อแม่อีก แกจะไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ที่ไหนก็ไปเลย พ่อจะนึกเสียว่าไม่มีลูกชายอีกต่อไปก็แล้วกัน ในเมื่อชีวิตเป็นของแก ข้าวของอะไรที่เหลืออยู่ขนออกไปให้หมดเลยนะ ไปอยู่กับไอ้บริษัทเฮงซวยนั่น แล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก”

พ่อพูดกับเขาเป็นคำสุดท้ายก่อนจะปิดประตูใส่หน้าเขาโดยไม่ยอมรับฟังเหตุผลอะไรอีกไม่ว่าเขาพยายามที่จะอธิบายไปแล้วแค่ไหนก็ตาม แม่และบรรดาพี่สาวได้แต่ตกใจกับคำขาดของพ่อ จนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ที่แย่ไปกว่านั้นไม่ว่าทุกคนพยายามที่จะปลุกปลอบให้กำลังใจน้องชายคนเล็กของบ้านเพียงไร ก็ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่รับรู้อะไรอีก ได้แต่นิ่งเงียบจนน่าใจหาย ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าโกรธ เสียใจ หรือผิดหวัง ทำเอาสมาชิกในครอบครัวที่เหลืออดเป็นกังวลไม่ได้

พี่ๆมีหรือจะไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าที่อาจจะดูเย็นชาราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรของน้องเล็กนั้น เด็กหนุ่มเป็นคนอ่อนไหวอย่างที่สุด ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างตัวเองแล้วล่ะก็ เจจะรู้สึกมากกว่าใครเพื่อน แม้ไม่แสดงออกทางสีหน้าไม่ได้แปลว่าจะเสียใจน้อยกว่าคนอื่น

แล้วเด็กหนุ่มที่อ่อนโยนที่มักจะคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเสมออย่างเจ จะเสียใจสักแค่ไหนที่คนเป็นพ่อพูดจาตัดรอนเขาถึงเพียงนั้น

เจไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ได้แต่เดินหันหลังออกจากบ้านไปเหมือนคนไร้วิญญาณ ไม่พูดไม่จา ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ทุกอย่างดูว่างเปล่าไปหมด ทิ้งให้คนข้างหลังได้แต่ยืนมองด้วยความใจหาย

แค่เรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายแก่คนขับได้ก็เก่งมากแล้ว เขาพยายามตั้งสติ แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดของพ่อมันดังก้องอยู่ในหัววนไปวนมาจนไม่อาจสลัดให้หลุดออกไปได้เลย

เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แสงไฟจากโทรศัพท์สว่างวาบขึ้นเมื่อเขากดปุ่มอะไรสักอย่าง ก่อนจะที่นิ่งค้างไว้อย่างนั้น จนแสงสว่างนั้นดับลง เขาอยากคุยกับโยตอนนี้ ทั้งที่รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เจอกันอยู่แล้ว เขารู้ดีว่าโยจะต้องรอฟังข่าวจากเขา หรือเขาควรจะรอเจอหน้าโย แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของเขาแย่มากเสียจนอยากจะได้ยินเสียงนุ่มๆทุ้มๆนั่นบอกเขาว่า ไม่เป็นไร อย่าร้องไห้ เราจะอยู่ข้างๆนายเอง

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกดหมายเลขที่แสนจะคุ้นเคยด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง เรี่ยวแรงที่มีอยู่แทบจะเรียกได้ว่าใกล้จะหมดเต็มที
   
“ฮัล...”
   
เจได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสายเพียงเท่านั้น ก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง จู่ๆก็เหมือนกับถูกเหวี่ยงไปมาอย่างรุนแรง เขาแทบไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำก่อนที่สติจะดับวูบลงไปเสียเฉยๆ
   
นอกจากเสียงกระแทกของโลหะหนักอย่างรุนแรงแล้ว เขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป ไม่แม้แต่ความเศร้าหรือความเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น

*************************

ทำไมรถถึงแล่นได้ช้าไม่ทันใจเขาเอาเสียเลย
   
เด็กหนุ่มร่างสูงนั่งคู่กับคนขับด้านหน้ารถแท็กซี่ เบาะหลังมีเด็กหนุ่มอีกสองคนนั่งมาด้วย สีหน้าของแต่ละคนไม่สู้ดีนัก โชเฟอร์วัยชราไม่นึกแปลกใจว่าอาจจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น เพราะจุดหมายของเด็กหนุ่มทั้งสามคนในรถก็คือโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่ายี่สิบนาที แม้การจราจรในยามดึกเช่นนี้จะเบาบางลงมากแล้วก็ตาม
   
คงจะเป็นคนสำคัญมากล่ะกระมัง
   
เด็กหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ต่างก็ปลอบใจกันและกัน ถ้ามองไม่ผิดคนหนึ่งร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบังโดยที่อีกคนแม้จะคอยปลอบใจเพื่อนอยู่แต่ก็ด้วยดวงตาที่แดงช้ำ ไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่าไหร่ ส่วนเด็กหนุ่มที่บุคลิกท่าทางเป็นผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆเขา แม้ไม่ได้พูดหรือแสดงอาการอะไรออกมา แต่จากหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นจนดูเคร่งเครียด บวกกับใบหน้าที่ซีดเผือดและมือที่กำแน่นจนขาวซีดนั้น ก็พอจะบอกได้เหมือนกันว่า มีความกังวลใจไม่แพ้กัน
   
ชายชราไม่ถามอะไรให้มากความ ได้แต่เหยียบคันเร่งบึ่งไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้   

เขาจำได้ว่าเบอร์นั้นเป็นเบอร์ของเจ คนที่เขานึกเป็นห่วงตั้งแต่ออกจากห้องพักไปเพื่อที่จะไปคุยกับพ่อตั้งแต่ตอนเย็น แม้ใจจะห่วงแค่ไหน แต่เขาก็เคารพการตัดสินใจของเพื่อนคนสำคัญ ไม่เซ้าซี้จะตามไปและรับปากว่าจะรอฟังข่าวอยู่ที่ห้อง
   
จนกระทั่งเจโทรศัพท์มาหาเขา
   
กดรับสายยังไม่ทันขาดคำ เขาก็ไม่ได้ยินอะไรอีกนอกจากเสียงคล้ายวัตถุหนักๆกระแทกกันก่อนที่สายจะถูกตัดขาดไป ตอนนั้นหัวใจของเขาหล่นวูบ ไม่ว่าจะพยายามโทรกลับไปสักเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมาอีก
   
เกิดอะไรขึ้น
   
เขาพยายามถามคำถามตัวเองทั้งที่รู้ว่าจะไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา เจเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น เสียงนั้นเป็นเสียงอะไร แล้วทำไมเจถึงไม่รับสายเขาหรือโทรกลับไม่ว่าเขาจะพยายามโทรกลับไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้าทำได้โยคงจะผลุนผลันออกไปตามหาเจแล้ว แต่สติที่ยังมีอยู่เฝ้าบอกตัวเองว่า เขาไม่รู้ว่าเจอยู่ที่ไหน แล้วจะตามหาเด็กหนุ่มได้อย่างไร
   
โยกดโทรศัพท์หาเมษทันทีก่อนจะพูดกรอกลงไปในโทรศัพท์อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น เมษตกใจแต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกให้เด็กหนุ่มรออยู่ที่ห้อง อย่าเพิ่งรีบหุนหันตัดสินใจออกไปไหนเด็ดขาด และเธอจะตามไปสมทบทันที หลังจากนั้นพี่ใหญ่ของวงก็เดินไปบอกชุนกับซันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกคนได้แต่ร้อนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น
   
“หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่าพี่โย” ชุนหันไปถามพี่ใหญ่หัวหน้าวงเสียงแหบเครือ
   
โยได้แต่นิ่วหน้า มีหรือที่เขาจะไม่คิดถึงเรื่องนั้น แต่เขาก็จนใจไม่อยากจะคาดเดาไปต่างๆนานา
   
“พี่ก็กลัวอยู่”
   
แต่แล้วบรรยากาศที่ตึงเครียดนั้นก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวโยไม่ห่างนับตั้งแต่ติดต่อเจไม่ได้
   
“เบอร์เจ” พูดได้เท่านั้นเขาก็กดรับสาย โดยน้องๆอีกสองคนกระโดดเข้ามานั่งข้างๆ รอลุ้นด้วยอาการใจจดใจจ่อ “ฮัลโหล เจ...” ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น โยก็อ้าปากค้างนิ่งไป ใบหน้าที่ผ่อนคลายลงเมื่อครู่กลับดูเคร่งเครียดขึ้นจนน่ากลัว
   
“ครับ ผมเองครับ... เป็นเพื่อนครับ...” เด็กหนุ่มเงียบไปเป็นครู่ เขาตั้งใจฟังเสียงจากปลายสายราวกับจะซึมซับทุกคำพูดในนั้นเข้าไปในสมองให้หมด แม้จะคอยพยักหน้าแต่อาการกัดริมฝีปากล่างจนแทบจะห้อเลือดเหมือนพยายามจะสะกดกั้นอารมณ์บางอย่าง บอกให้รู้ว่า ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ และมันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
   
“ที่ไหนนะครับ... ได้ครับ” พูดได้เท่านั้น โยก็กดวางสายก่อนจะหันหน้าไปมองน้องคนนั้นทีคนนี้ที อย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าตรงไหนก่อน
   
“เกิดอุบัติเหตุกับเจ” เสียงที่ทุ้มอยู่แล้วฟังดูแหบโหยหายเข้าไปในลำคอ กว่าจะเปล่งออกมาได้แต่ละคำ ช่างยากเย็นนัก
   
“พี่เจเป็นยังไงบ้าง เขาว่ายังไงพี่โย” ซันคว้าเสื้อยืดของหัวหน้าวงกำแน่นเอาไว้ในมืออย่างลืมตัว
   
“รถแท็กซี่ที่เจนั่งมาโดนชนท้ายอย่างแรง เขานั่งอยู่ข้างหลังคนขับพอดี เลยโดนกระแทกหมดสติไป” โยนึกถึงปลายสายที่ถูกตัดหายไป คงจะเป็นตอนนั้นสินะ เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “บาดเจ็บมาก แต่ไม่รู้จะสาหัสแค่ไหน เขาบอกให้เราไปหาเจที่โรงพยาบาลนี้” โยยื่นกระดาษที่จดชื่อโรงพยาบาลเอาไว้ให้น้องชายต่างสายเลือดทั้งสองดู
   
“ชุนหรือซันก็ได้ โทรบอกแม็กหน่อย” โยหมายถึงน้องเล็กของวงที่ในวันหยุดเพียงวันเดียวของสัปดาห์จะขอกลับไปอยู่ที่บ้านบ้างเป็นบางครั้ง “เดี๋ยวพี่จะโทรบอกให้พี่เมษตามไปที่โรงพยาบาลเลย เขาอยากจะได้ผู้ปกครองไปเซ็นเพื่อให้เจเข้ารับผ่าตัด ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ให้เวลาห้านาทีเดี๋ยวลงไปเรียกแท็กซี่ได้เลย”
   
เมื่อสติกลับมาครบสมบูรณ์ โยก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
   
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีพวกเขาก็เข้ามานั่งในรถแท็กซี่คันนี้แล้ว แม้จะรู้ว่าคงใช้เวลาเดินทางไม่มากนัก แต่ในยามที่ร้อนใจแบบนี้ มันกลับดูเหมือนนานเป็นปี ระยะทางไม่กี่กิโลเมตรก็เหมือนจะยาวไกลมากกว่าปกติ
   
ทันที่ที่รถแท็กซี่พาพวกเขามาถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มทั้งสามคนแทบจะพุ่งออกไปทันทีอย่างรวดเร็ว ยังดีที่ไม่ลืมจ่ายค่าโดยสารเสียก่อน
   
เมษที่มาถึงก่อนหน้าเด็กหนุ่มทั้งสามคนรีบเดินเข้ามาสมทบ ก่อนที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจให้สมาชิกในวงอีกสามคนฟัง
   
“พลเมืองดีเขาเห็นเหตุการณ์พอดีว่า มีรถเก๋งคันหนึ่งขับมาเร็วมากชนท้ายแท็กซี่คันที่เจนั่งมา แล้วก็ขับหนีไป แต่เขาจำหมายเลขทะเบียนได้ หลังจากนั้นก็ลงไปช่วยรถแท็กซี่คันที่เกิดอุบัติเหตุ โชคดีมากที่คนเห็นเหตุการณ์เยอะ ก็เลยมีคนเข้ามาช่วยหลายคนแบบทันท่วงทีด้วย” เมษเล่า “ท้ายรถแท็กซี่พังยับเลย ตัวคนขับน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เจที่นั่งอยู่เบาะหลังนี่สิ เจ็บหนัก ขาหักแถมหมดสติเลยต้องเข้ารับผ่าตัดด่วน โชคดีนะที่โยโทรมาบอกพี่เร็วพี่ก็เลยรีบบึ่งมาเซ็นให้ผ่าตัดได้ทัน” เมษยกมือขึ้นดูเวลา “พี่ส่งเจเข้าห้องผ่าตัดแล้วถึงได้ลงมารอพวกเรา ว่าแต่โย ทำไมถึงได้รู้เรื่องเร็วนัก โชคดีมากเลยนะเนี่ย”
   
“ก็น่าจะเป็นพลเมืองดี หรือใครซักคนในเหตุการณ์น่ะครับพี่เมษ เขาเห็นโทรศัพท์ตกอยู่ก็เลยหยิบขึ้นมากดดู เห็นว่ายังใช้ได้แล้วก็คงเห็นว่าเบอร์ของผมเป็นเบอร์สุดท้ายที่เจโทรหา เขาก็เลยโทรหาผม... ผมเป็นคนสุดท้ายที่รับสายเขาก่อนจะเกิด...” โยพูดได้เท่านั้น ก็เหมือนหมดเรี่ยวแรงไปเสียเฉยๆ เหมือนความเข้มแข็งที่ทนอดกลั้นมาตลอดจนถึงตอนนี้ได้ถึงขีดจำกัดของมันแล้ว
   
น้ำตาที่ไม่เคยมีใครได้เห็นไหลออกมาเหมือนเขื่อนแตก แม้แต่เจ้าตัวเองก็ให้ประหลาดใจกับน้ำตาที่จู่ๆก็พรั่งพรูออกมาไม่หยุด
   
“โย...” เมษยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปกอดเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังร้องไห้ออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เธอได้รู้จักสนิทสนมกับเด็กกลุ่มนี้ “ไม่เป็นไรนะครับ เจไม่เป็นอะไรหรอกนะ”
   
เด็กหนุ่มกอดตอบและร้องไห้ออกมาเงียบๆเหมือนกับเด็กชายตัวน้อยๆ ทำให้เมษได้ตระหนักว่าแท้ที่จริงโยยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แล้วคนที่อ่านคนได้อย่างลึกซึ้งจนแทบจะกลายเป็นความสามารถพิเศษส่วนตัวไปแล้วเหมือนเมษ มีหรือจะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างโยกับเจนั้น มีความพิเศษมากเพียงไร ทำไมเธอจะดูไม่ออกว่า โยเป็นห่วงเป็นใยเจมากขนาดไหน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเจนั้นเปิดใจและเชื่อใจโยมากแค่ไหน เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คนที่จะรู้สึกมากกว่าใครเพื่อนก็คือเด็กหนุ่มคนนี้นี่เอง
   
ซันกับชุนเมื่อเห็นพี่ชายคนโตที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เข้มแข็งมากกว่าใคร แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่เห็น แม้พวกเขาจะได้มาใช้ชีวิตร่วมกันเป็นระยะเวลาไม่กี่เดือน แต่ความสนิทสนมที่ก่อตัวขึ้นจนพวกเขาไม่ต่างอะไรกับพี่น้องร่วมสายเลือดกัน ก็ทำให้เข้าใจความรู้สึกของพี่ใหญ่หัวหน้าวงเป็นอย่างดี ที่สำคัญพี่เจที่น้องๆรักก็ประสบอุบัติเหตุแบบที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารุนแรงและจะก่อให้เกิดผลกระทบแบบไหน มีหรือพวกเขาจะไม่รู้สึกเสียใจจนไม่อาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก
   
เด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินเข้าไปกอดพี่ชายของวงเอาไว้แน่น ราวกับจะปลอบใจและให้กำลังใจกันและกันไปด้วยในที เมษถึงกับน้ำตาคลอเมื่อได้เห็นภาพเด็กหนุ่มทั้งสามคนตรงหน้า
   
ไม่กี่อึดใจ ร่างผอมสูงอันคุ้นเคยก็วิ่งเข้ามา ดูจากสภาพก็พอจะเดาได้ว่าร้อนใจเพียงไร ยิ่งเมื่อเห็นภาพเด็กหนุ่มทั้งสามคนยืนกอดกันร้องไห้ คนที่เพิ่งตามมาสมทบก็พลอยเขื่อนแตกไปด้วยอีกคน
   
“พี่” แม็กเรียกพี่ชายทั้งสามคน ก่อนที่ทุกคนจะยื่นมือไปรับน้องชายคนเล็กเข้ามากอดกันกลมทั้งสี่คน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกเขาได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว และนั่นหมายถึงความทุกข์ของคนหนึ่งก็จะถูกถ่ายทอดไปยังคนอื่นได้ทันทีโดยอัตโนมัติ
   
เมษหันไปมองเด็กหนุ่มทั้งสี่คนที่ตอนนี้หยุดร้องไห้ไปแล้วนั่งคุยกันเงียบๆแต่ก็เห็นได้ชัดว่าทุกคนยังอยู่ในอาการที่เคร่งเครียดและเป็นกังวลอย่างยิ่ง เธอปล่อยให้เด็กๆขึ้นไปรอหน้าห้องผ่าตัด โดยไม่ลืมบอกว่าจะตามไปสมทบทีหลัง เพราะดูเหมือนว่าคืนนี้เธอจะต้องโทรไปปลุกใครต่อใครอีกหลายคนทีเดียว

*******************************
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 25-12-2009 23:51:33
ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง หน้าห้องผ่าตัดก็เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นแม่และพี่สาวของเจ เมษแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นผู้เป็นพ่อ แต่เธอเลือกที่จะไม่ถามอะไรออกไปให้มากความ ครอบครัวของซันและแม็กก็มารออยู่ด้วยอย่างพร้อมหน้า เมื่อเด็กพวกนี้สนิทสนมกันจึงเป็นธรรมดาที่บรรดาพ่อแม่ก็จะรู้จักกันไปโดยปริยาย แต่ที่แน่ๆทุกคนล้วนเป็นห่วงเด็กหนุ่มที่หายเข้าไปในห้องผ่าตัดนานหลายชั่วโมงแล้ว
   
คนสุดท้ายที่เดินทางมาที่โรงพยาบาลและสร้างความประหลาดใจให้กับคนอื่นๆได้มากที่สุดก็คือ ประธานบริษัทคนสำคัญนั่นเอง คุณเอ็มตรงเข้าไปพุดคุยกับแม่ของเจก่อนเป็นคนแรก ก่อนที่จะปลอบอกปลอบใจผู้เป็นแม่ว่า ลูกชายของนางจะต้องปลอดภัย

************************
   
ไฟหน้าห้องผ่าตัดดับลงแล้ว
   
คนที่นั่งรออยู่หน้าห้องอย่างใจจดใจจ่อ แทบจะหยุดหายใจเมื่อหมอหนุ่มเจ้าของไข้เดินออกมาจากห้องผ่าตัดด้วยท่าทางที่เหนื่อยอ่อน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางของหมอเองดูจะโล่งใจมากกว่าอะไรอื่น ทำเอาทุกคนที่เฝ้ารอฟังผลใจชื้นขึ้นมาแทบจะทันที
   
“คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ” หมอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “อาจจะต้องรอดูผลข้างเคียงอีกสองสามวัน แต่เท่าที่ดูสมองคนไข้ไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไร โชคดีที่ยังเด็ก สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงมากทีเดียว ค่อยๆรักษาตัวไปพร้อมกับกายภาพบำบัด ไม่นานก็หาย เดี๋ยวหมอจะย้ายคนไข้ไปห้องพิเศษ แล้วก็เดี๋ยวขอเชิญญาติคนไข้ที่ห้องหมอหน่อยนะครับ”
   
ไม่น่าแปลกใจเมื่อใบหน้าของแต่ละคนเริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นหลังจากที่ได้ยินคำยืนยันจากหมอว่า เจปลอดภัยดี ตอนนี้ไม่มีเรื่องไหนจะสำคัญเท่ากับความปลอดภัยของเด็กหนุ่มอีกแล้ว

**************************
   
ห้องทำงานของคุณหมอเจ้าของไข้ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็รู้สึกว่ากว้างใหญ่เกินไปที่จะเป็นห้องทำงานของหมอคนหนึ่ง แต่คืนนี้ห้องที่ว่ากลับดูเล็กลงไปถนัดตา ดูเหมือนคนไข้คนนี้จะมีคนที่รักและเป็นห่วงมากเหลือเกินทั้งที่หมอก็บอกไปแล้วแท้ๆว่าขอพบกับญาติ แต่ก็เอาเถอะ คนที่ทำงานเป็นหมอช่วยชีวิตคนมานับไม่ถ้วนมานานปีอย่างเขามีหรือจะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นห่วงคนที่พวกเขารัก
   
“คนไข้โชคดีมากนะครับที่บาดเจ็บมาเพียงแค่นี้แล้วก็สามารถรักษาได้แบบทันท่วงที แต่ออกจะโชคไม่ดีไปสักหน่อยที่อาการหนักหนากว่าที่ควรเป็น ปกติเคสรถโดนชนท้ายแบบนี้จะไม่บาดเจ็บขนาดนี้ แต่น่าจะเป็นเพราะรถคันที่เข้ามาชนคงขับมาเร็วมาก แล้วส่วนใหญ่คนที่นั่งด้านหลังแล้วโดนชนแบบนี้จะไม่ค่อยได้ทันระวังตัว อาการบาดเจ็บก็เลยค่อนข้างจะหนักสักหน่อย” คุณหมอพูดอธิบายยืดยาว แต่เมื่อเห็นทุกคนตั้งอกตั้งใจฟัง จึงพูดต่อไป “พอโดนชนไปแรงๆขนาดนั้น ก็เลยทำให้ขากระแทกเข้ากับเบาะหน้าอย่างรุนแรง โดยเฉพาะขาขวาโดนหนักสุดทำให้ขาท่อนบนหักและข้อสะโพกเคลื่อน โชคดีมากนะครับที่กระดูกสะโพกไม่หัก ถ้าหักล่ะก็เรื่องใหญ่ทีเดียว”
   
หมอเจ้าของไข้หันไปดูฟิล์มเอ็กซเรย์ที่ติดบนผนังด้านหลังเก้าอี้หนังสีเข้มของตัวเอง ก่อนจะอธิบายต่อ
   
“ทีนี้อาการข้อสะโพกเคลื่อนแบบนี้ คนไข้จะเจ็บบริเวณสะโพกมากนะครับ แล้วก็คงงอขาไปไม่ได้พักใหญ่ กระดูกมันจะผิดรูปอย่างที่เห็น เห็นไหมครับ” หมอชี้ไปยังฟิล์มเอ็กซเรย์ “ตอนนี้หมอจัดการดามเหล็กตรงกระดูกขาท่อนบนเอาไว้แล้ว วิธีนี้เรียกว่า เนล มันจะดีกว่าการใช้ เพลท ซึ่งเป็นการผ่าตัดแบบเดิมมาก เพราะจะหายเร็วกว่าแล้วก็ไม่ต้องใส่เฝือกด้วย แต่เนลเนี่ยพอครบสองปีต้องผ่าออก แต่ว่าหลังผ่าตัดพักแค่สามสี่วันก็หายแล้ว”
   
“แล้วเคสของเจนี่ต้องดูแลรักษายังไงบ้างครับ นานแค่ไหนถึงจะหาย เอ่อ... แล้วจะหายเป็นปกติได้ใช่ไหมครับ”
   
หมอหันไปทางต้นเสียงที่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ใบหน้าที่แม้จะคลายความกังวลลงบ้างแล้วแต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังไม่คลายใจสักเท่าไรนัก
   
“หายดีกลับมาเป็นปกติได้แน่นอน หมอเอาหัวเป็นประกันเลย” หมอว่ายิ้มๆ เรียกรอยยิ้มแรกของเด็กหนุ่มขึ้นมาได้ในที่สุดหลังเกิดเรื่องขึ้น “หลังจากผ่าตัดแล้วให้คนป่วยพักฟื้นสักสามสี่วัน ก็เริ่มหัดเดินได้แล้ว แต่ว่าในตอนแรกอย่าเพิ่งลงน้ำหนักมากนัก ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปนะ ให้ฝึกเดินอย่างสม่ำเสมอ ประมาณสามสี่สัปดาห์ก็จะเดินได้แล้ว ถ้าจะเอาแบบหายดีกลับมาวิ่งได้เหมือนเดิมก็ประมาณสามเดือน อย่างที่บอกคนไข้ยังอายุน้อยแล้วก็แข็งแรง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก สบายใจได้” หมอว่าอย่างใจดี “ส่วนบาดแผลภายนอกอื่นๆส่วนใหญ่เป็นแผลถลอกฟกช้ำ ไม่น่าหนักใจเลย เดี๋ยวก็หาย”
   
เสียงขอบคุณคุณหมอเจ้าของไข้ดังอื้ออึงขึ้นพร้อมกับเสียงถอนหายใจจาก “ญาติ” อย่างโล่งอก บรรดาพี่สาวของเจต่างกันหันไปจับมือกันบ้าง กอดกันบ้างอย่างโล่งใจ บรรดาแม่ๆก็ช่วยกันปลอบใจกันและกัน คุณเอ็มหันไปมองเมษอย่างโล่งอก แต่ดูเหมือนว่าเรื่องคงยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้แน่ หญิงสาวรู้ดี วันพรุ่งนี้คงจะต้องมีเรื่องเข้าที่ประชุมกันตั้งแต่เช้าแน่นอน ว่าตามตรง แม้จะนึกโล่งใจอยู่บ้างที่เจปลอดภัยดี แต่เมษก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา เมื่อนึกขึ้นว่าหัวข้อการประชุมนั้นจะเป็นไปในทิศทางไหน เธอมองตามหลังคุณเอ็มที่เดินไปคุยอะไรกับคุณหมอต่อ เดาไม่ออกว่านายใหญ่ของบริษัทคิดอะไรอยู่
   
หญิงสาวหันซ้ายหันขวา ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสี่คนพร้อมใจหายออกไปจากห้องนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินที่จะคาดเดา ไม่พ้นห้องพิเศษที่คนป่วยที่เพิ่งจะผ่านพ้นการผ่าตัดอันยาวนานมาหมาดๆถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปนั่นเอง
   
เมษปลีกตัวออกมาจากห้องทำงานของคุณหมอเจ้าของไข้ ก่อนจะเดินไปตามทางเดินมุ่งหน้าไปยังห้องคนป่วยที่เป็นเด็กในความดูแลของตัวเอง  หญิงสาวหยุดยืนอ่านชื่อที่ติดอยู่หน้าห้องเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะบิดประตูเปิดเข้าไปอย่างเบามือ ภาพที่เห็นทำเอาเธอน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาอีกครั้ง
   
หญิงสาวอาจจะไม่ใช่คนขี้ใจอ่อน แต่ภาพเด็กหนุ่มคนนึ่งกุมมือเด็กหนุ่มที่ยังคนนอนนิ่งหายใจสม่ำเสมอเพราะฤทธิ์ยาสลบเอาไว้ไม่ยอมปล่อย โดยมีเด็กหนุ่มอีกสามคนยืนล้อมรอบเตียงคนป่วยนั้นอย่างเป็นห่วง เด็กหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้นโอบไหล่อีกคนที่เห็นได้ชัดว่าร้องไห้อยู่ โดยน้องคนเล็กที่ปกติเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนป่วยเพราะมีเรื่องให้เถียงกันอยู่เป็นประจำยืนปาดน้ำตาอยู่แม้พยายามที่จะเข้มแข็งเพียงไรก็ตาม
   
เด็กพวกนี้จะรู้ตัวไหมหนอว่าความรักความห่วงใยที่พวกเขามีให้กันและถ่ายทอดให้แก่กันนั้น มันลึกซึ้งและกินใจต่อผู้ที่ได้พบเห็นเพียงใด เมษนึกไม่ออกว่า ถ้าหากพวกเขาต้องถูกแยกออกจากกันไปเสียแล้ว จะเป็นอย่างไร เธอไม่อยากคิดเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำตาที่เริ่มจะคลอหน่วยขึ้นมาและกลืนมันหายเข้าไป ก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับเด็กๆที่พร้อมใจกันหันมามองและส่งยิ้มบางๆมาให้
   
เมษเดินเข้าไปบีบไหล่กว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงของหัวหน้าวงที่นั่งมองหน้าคนป่วยชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตาไปไหน
   
“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เธอพูดเบาราวกับกระซิบ เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรนอกจากพยักหน้าตอบรับ “โยครับ พี่ขอคุยกับโยแป๊ปนึงได้ไหม” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวก่อนจะลุกขึ้น เขาหันไปมองคนป่วยอีกครั้งก่อนจะยอมปล่อยมือออกอย่างอ้อยอิ่ง และสอดมือข้างนั้นของคนป่วยเข้าไปในผ้าห่มให้อย่างอ่อนโยน
   
“ฝากดูเจหน่อยนะ” เด็กหนุ่มที่เหลือพยักหน้าตอบรับพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่าพี่ใหญ่หัวหน้าวงจะเป็นห่วงพี่ใหญ่อีกคนที่นอนเจ็บอยู่มากแค่ไหน

***********************
   
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจถึงออกไปข้างนอกได้” เมษถามทันที่ที่ปิดประตูลง น้ำเสียงเป็นการเป็นงานแต่ไม่ได้คาดคั้นอะไรนัก
   
“เจกลับบ้านครับ” โยเอ่ยเสียงเบา เห็นได้ชัดว่ารองรอยความอ่อนล้าเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนบนใบหน้าเด็กหนุ่มแล้ว “เขามีปัญหากับพ่อมานาน เรื่องที่เขาอยากเป็นนักร้อง แต่พ่อไม่ยอม” โยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อ “ผมสังเกตว่าเขามีเรื่องต้องคิดมากมาหลายวัน ยิ่งใกล้เอ็นทรานซ์ เขาก็ยิ่งคิดมาก เพราะเขารู้ว่าพ่อหวังเขาเอาไว้มาก ก็เลยมาปรึกษากับผมว่าควรจะไปคุยกับพ่อดีไหม ผมก็แนะนำให้เขาไป แต่... มาถึงตอนนี้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ผมน่าจะไปกับเขาด้วย” เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากด้วยพยายามสะกดกั้นอารมณ์เอาไว้เต็มที่
   
“ไม่เอาโย” เมษบีบต้นแขนเด็กหนุ่มเป็นการปลอบใจ “มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก มองอีกด้าน ถ้าโยไปด้วยแล้วเกิดเจ็บขึ้นมาอีกคน มันคงจะเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้ นึกเสียว่าโชคดีแล้วที่เจไม่ได้เจ็บไปมากกว่านี้ นะ” เด็กหนุ่มหันไปมองประตูห้อง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
   
“ที่พี่ถามเนี่ย เพราะเดี๋ยวมันจะต้องมีประชุมใหญ่แน่ๆ พี่ก็อยากจะรู้ที่มาที่ไปให้มากที่สุด เข้าใจพี่นะ”
   
“ครับ”
   
“พี่ฝากเจด้วยนะ ช่วยดูแลกันแบบนี้แหละดีแล้ว พี่ดีใจนะที่ได้เห็นน้องๆทุกคนรักกันแบบนั้น”
   
“พี่เมษไม่ต้องห่วงครับ อยากจะให้พวกผมทำอะไรบอกมาได้เลย อะไรก็ได้ที่จะทำให้เจกลับมาเป็นเหมือนเดิมเร็วๆ ทุกอย่างที่จะทำให้เขาสบายใจที่สุด ผมยินดีทำ”
   
“ไม่บอกพี่ก็รู้ว่าโยเต็มใจ แต่ขออย่างเดียว พวกเราต้องดูแลตัวเองด้วยนะ ตารางฝึกอะไรก็อาจจะกระทบบ้างนิดหน่อย แต่ว่าพวกเราคงต้องฝึกกันต่อ ทิ้งไม่ได้หรอก เดี๋ยวพี่จะคุยกับทางคุณเอ็มแล้วก็พวกครูในคลาสต่างๆให้ด้วย อย่าเพิ่งกังวลอะไรกัน”
   
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะยกมือไหว้หญิงสาวที่เปรียบเสมือนพี่สาวแท้ๆของพวกเขาไปแล้ว
   
“แล้วฟังพี่ดีๆนะ” เมษชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “รักกันให้มากเข้าไว้แบบนี้แหละ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ทุกคนต้องยึดมั่นเอาไว้ พี่เชื่อว่ามันจะทำให้เราผ่านพ้นปัญหาทุกอย่างไปได้ด้วยกัน”
   
โยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยก็จริง แต่เพียงแค่เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่ลังเลพร้อมกับบีบกระชับมือผู้จัดการวงเอาไว้แน่น เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
   
หญิงสาวตบบ่าเด็กหนุ่มร่างสูงเบาๆเป็นการรับรู้
   
“คืนนี้พี่ต้องไปจัดการอะไรหลายอย่าง พวกเราดูแลเจได้พี่ไม่ว่าหรอก แต่ว่าต้องดูแลตัวเองกันด้วย เพราะไม่ว่ายังไงเราก็มีหน้าที่ของเราที่ต้องทำ เข้าใจนะ แล้วถ้ามีอะไรพี่จะโทรหานะ”
   
คล้อยหลังเมษไปไม่ทันไร กลุ่มพี่สาวของเจที่เดินประคองผู้เป็นแม่ที่แม้สีหน้าจะคลายกังวลลงบ้างแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าดวงตาทั้งสองข้างแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักมาขนาดไหน
   
“เจเป็นยังไงบ้างลูก” นางเดินเข้ามาจับมือเด็กหนุ่มร่างสูงแน่น
   
“นอนอยู่ครับ” พูดเพียงเท่านั้น โยก็จูงมือพานางเดินเข้าไปในห้องตรงไปยังเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างเตียงคนป่วยที่เขาเพิ่งลุกออกมาได้ไม่นานนัก
   
เมื่อเห็นร่างของลูกชายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้ แม้ภายนอกจะปรากฏเพียงร่องรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อย แต่เท่านั้นก็ทำให้หัวใจของผู้เป็นแม่แทบสลาย น้ำตาที่เหือดหายไปพรั่งพรูลงมาอีก นางนั่งลงมองใบหน้าอันซีดเซียวของลูกชาย ผิวที่ขาวจัดอยู่แล้วนั้นกลับยิ่งดูขาวซีดขึ้นอีกจนน่าใจหาย อุ้งมืออันสั่นเทาของผู้เป็นแม่ยกขึ้นวางบนหน้าผากได้รูปนั้น ก่อนจะลูบผ่านไรผมอันอ่อนนุ่มอย่างเบามือซ้ำแล้วซ้ำอีก
   
“เจ็บไหมลูก” นางเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ “แม่อยู่ตรงนี้แล้วนะเจ ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”
   
เสียงพูดนั้นหายไปกลายเป็นเสียงสะอื้นเบาๆที่เจ้าตัวพยายามจะกลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่ ทำเอาอีกหลายคนที่ยืนมองภาพนั้น ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
   
“แม่ครับ” เสียงทุ้มเรียกขึ้นเบาๆ ก่อนที่นางจะหันไปเห็นว่าร่างนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ “พวกผม พวกเราทั้งสี่คนจะคอยดูแลเจเอง ไม่ต้องห่วงนะครับ”
   
“จริงๆครับ เราจะไม่ปล่อยให้พี่เจต้องอยู่คนเดียวแน่นอน” ซันที่ยืนโอบไหล่ชุนที่พูดไม่ออกเพราะร้องไห้ไม่หยุดเอ่ยขึ้นบ้าง
   
“พี่เจเป็นคนสำคัญของวงเราครับ” เสียงน้องเล็กที่ช่วยรับรองอีกแรง ทำให้นางยิ้มออกมาได้ในที่แม้น้ำตาจะยังคงไหลอยู่ก็ตาม
   
“แม่เคยกังวลว่า การตัดสินใจทำอะไรตามใจตัวเองของเจ จะนำพาลูกของแม่ไปเจอกับอะไรบ้าง” นางว่าพลางจับมือของโยกระชับเอาไว้แน่น “แต่ตอนนี้แม่ไม่ห่วงแล้ว และยิ่งดีใจขึ้นไปอีกที่ได้เห็นว่าเจได้เจอกับเพื่อนที่ดีและรักเขาขนาดไหน” นางสะอื้นน้อยๆ “ขอบใจมากนะลูก”

***********************

ทุกคนกลับออกไปหมดแล้ว
   
ชุนกับซันกลับไปที่ห้องพักเพื่อพักผ่อน โดยรับปากว่าช่วงสายจะกลับมาอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนกะกับพี่ใหญ่หัวหน้าวง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจะต้องเอาหนังสือเตรียมสอบมาอ่านช่วงที่เฝ้าเจเด้วย เขาคงไม่ยอมทิ้งเจแน่นอนแม้ว่าน้องๆคนอื่นรับปากจะผลัดกันมาเฝ้าก็ตาม  ส่วนน้องเล็กอย่างแม็กต้องกลับบ้านกับแม่ เพราะวันรุ่งขึ้นเขาจะต้องกลับมานอนที่ห้องพักตามปกติ โชคดีที่ช่วงนี้เป็นช่วงเตรียมสอบ โยจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเข้าเรียนเหมือนช่วงเวลาปกติ ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่มีสมาธิเป็นแน่
   
แม่และพี่ๆของเจกลับไปแล้ว เพราะต้องกลับไปบอกข่าวกับผู้เป็นพ่อที่บ้าน ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ที่แน่ๆ เขาเพิ่งมีโอกาสได้พบกับพี่สาวทั้งสี่คนของเจแบบพร้อมหน้าพร้อมตาก็คืนนี้เอง พี่สาวสี่คนก็สี่แบบแตกต่างกันไป และพอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า เจจะต้องรับมือกับพี่สาวทั้งสี่คนนี้อย่างไร แต่ส่วนตัวแล้วเขาถูกใจพี่แจน พี่สาวคนรองมากที่สุด อาจจะเป็นเพราะนิสัยใจคอที่คล้ายกับเจก็เป็นได้ นึกขึ้นมาแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ถ้าเจเป็นผู้หญิงก็คงเป็นแบบพี่แจนนี่แหละ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาได้รับรู้ก็คือ พี่สาวของเจรักน้องคนเล็กมาก อีกทั้งยังสนับสนุนช่วยเหลือน้องชายกันแบบสุดกำลังเลยทีเดียว
   
พี่เมษกลับไปแล้วก่อนหน้านี้พร้อมกับคุณเอ็ม ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก แม้จะยังเด็กแต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รู้เสียเลยว่าอุบัติเหตุครั้งนี้มันจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อบริษัทบ้าง อีกไม่กี่เดือนพวกเขาก็จะต้องเปิดตัวในฐานะวงบอยแบนด์หน้าใหม่แล้ว แต่จู่ๆสมาชิกของวงก็มามีอันเป็นไปเสียแล้วแบบนี้ คงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน เพียงแต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผลจะออกมาในรูปไหน
   
โยหันไปมองคนป่วยที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
   
แต่อย่างน้อยตอนนี้เจก็ปลอดภัย และจะหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แน่นอน
   
อุ้งมือใหญ่และอบอุ่นข้างนั้นกระชับเข้ากับมือข้างหนึ่งของคนป่วยที่เย็นชืดเหลือเกิน อยากจะส่งความอบอุ่นนี้ให้กับร่างที่นอนอยู่นี้แม้สักนิดก็ยังดี เขายืนยันอยากจะเฝ้าเจคืนนี้เพราะ อย่างน้อยอยากให้เจตื่นมาแล้วเห็นว่ามีเขาอยู่ข้างๆ ไม่หนีไปไหน ในขณะเดียวกันเขาก็อยากจะเบาใจว่าได้เห็นคนคนนี้ลืมตาขึ้นด้วยตาตัวเอง สู้ดูแลเองไม่ให้คลาดสายตา อย่างไรก็ดีกว่าต้องไปนั่งรออย่างกระวนกระวายใจโดยไม่รู้เรื่องอะไรเป็นไหนๆ
   
“ขอโทษนะ” เสียงทุ้มของเขาเอ่ยขึ้นเบาแสนเบาราวกับจะพูดกับตัวเองมากกว่า “เราน่าจะดูแลนายได้ดีกว่านี้ ขอโทษนะเจ”
   
เด็กหนุ่มยกมือที่ขาวซีดข้างนั้นขึ้น มันอาจจะไม่ใช่มือที่อ่อนนุ่มนักเพราะผ่านการทำงานหนักเกินเด็กวัยเดียวกันไปมากโขอยู่ แต่ก็เป็นมือที่เขาชอบจับมันเล่นอยู่เสมอ และอุ่นใจยามเมื่อเห็นมันขยับไปมาเมื่อเจ้าของง่วนทำโน่นทำนี่ไม่หยุดมือ เขาจรดริมฝีปากลงประทับบนหลังมือนั้นก่อนจะแนบมันบนแก้มของตัวเอง
   
“ถ้านายตื่นขึ้นมารับรู้แล้ว นายจะต้องเข้มแข็งให้มากนะเจ แล้วเรา... พวกเราจะอยู่เคียงข้างนายเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รีบๆตื่นมานะ”
   
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เขานอนมองใบหน้านั้นหลับอยู่ ก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงบ้างอย่างเหนื่อยล้า แต่กลับไม่ยอมคลายอุ้งมือนั้นออกเลยแม้เพียงนิด

-----------------------------------------

ขอโทษที่ปล่อยให้คอยนานค่ะ... หายไปต่างจังหวัดมา... แล้วพอมาลงตอนใหม่ก็ดูเอาเถอะ... น้องเจงานเข้า วิกฤติชีวิตเสียอย่างนั้น ตอนนี้ค่อนข้างจะกระชากอารมณ์หน่อยนะคะ แต่ว่าก็เป็นเหมือนอีกบททดสอบของน้อง (บททดสอบเยอะมาก)

ตอนหน้าห้ามพลาดเลยล่ะค่ะ

ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่านกันอยู่เสมอ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 26-12-2009 00:04:44
พ่อเจใจร้ายจัง...
สงสารเจนะ แต่ถ้าไม่เกิดเหตุแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าเด็กๆทั้งห้ารักและเป็นห่วงกันมากแค่ไหน
อบอุ่นดีจัง 
หวังว่าจริงๆแล้ว น้องๆจะยังรักกันแบบนี้อยู่นะ  :monkeysad:
ฮ่าๆๆ เลยเถิดแล้วเรา
เอาเป็นว่ารอคอยตอนต่อไปค่ะ  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 26-12-2009 00:47:14
น้องเจ... :m15:
















หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 26-12-2009 04:33:28
 “รักกันให้มากเข้าไว้แบบนี้แหละ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ทุกคนต้องยึดมั่นเอาไว้
 
  พี่เชื่อว่ามันจะทำให้เราผ่านพ้นปัญหาทุกอย่างไปได้ด้วยกัน”


 พี่เมษ พูดได้ประทับใจมาก  ความรักชนะทุกสิ่ง จับมือไว้แล้วไปด้วยกันนะเด็ก ๆ

ป้าเป็นกำลังใจให้ตลอดเวลาอยู่แล้วว  ทั้งในฟิค และ ในชีวิตจริง เลย fighto!


MERRY X'MAS  นะคะ  ขอให้มีความสุขมาก มาก ค่ะ    :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 26-12-2009 05:13:24
 :m15:  สงสารเจ 
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Sakana2yunjae ที่ 26-12-2009 08:22:06
น่าเศร้าจิงๆๆ น้องเจเราเจ็บตัวเลยอ่ะ เหอๆๆ  :เฮ้อ:

น้องโยดูแลเจดีๆๆนะ จ๊ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: กุหลาบเดียวดาย ที่ 26-12-2009 08:38:53
อุบัติเหตุ เปลี่ยนทุกสิ่งได้  :L2:

แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป  สงสารเจ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 26-12-2009 16:54:43
มาเปิดอ่านก็งานเข้าเลยเรา ทำไมเป็นแบบนี้ :m15: โกรธพ่อเจด้วย :m31: ทำงี่ได้ไง
ตอนหน้าขอยาวๆนะ มางเร็วๆด้วย จะวันหยุดเร็ว มาลงหลายๆตอนก็ดีนะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: C2U ที่ 26-12-2009 17:18:25
 :m15:  สงสารเจจัง   

เด็กๆ  รักและดูแลกันดีๆนะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 26-12-2009 19:22:33
เฮ้อ บททดสอบอีกบทสำหรับน้องเจ  :เฮ้อ:

มีเรื่องร้ายแบบนี้ จะมีเรื่องดีๆ ตามมาให้น้องเจได้มีเรี่ยวแรงต่อสู้ขึ้นบ้างมั้ยนะ

รักโยห่วงเจ...
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 01-01-2010 02:59:43
 :mc4: สวัสดีปีใหม่ค่า

คุณนิ้วไขว้ และ โยเจ

ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*#* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 10 #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 01-01-2010 18:17:00
สวัสดีปีใหม่คุณนิ้วไขว้นะคะ
ขอให้มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง
และมีกำลังกายกำลังใจในการแต่งนิยายสนุกๆมาให้แฟนๆได้อ่านนะคะ

สวัสดีปีใหม่โยและเจด้วยค่ะ ขอให้รักกันมากๆ
หัวข้อ: Re: #* Beats of Life.............by fingers-crossed บทที่ 11 part 1 #* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 01-01-2010 22:41:31
บทที่ 11 (พาร์ต 1)

อาการเมื่อยขบที่เกิดจากการครึ่งนั่งครึ่งนอนมาค่อนคืนเล่นงานเด็กหนุ่มทันทีที่เขาลืมตาขึ้น แต่กลับไม่ใช่เพราะความปวดเมื่อยที่ปลุกเขา เป็นสัมผัสเบาๆบนศีรษะของเขานั่นต่างหาก
   
เมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าสายตาในแบบที่เขาแสนจะคุ้นเคยกำลังจ้องมองมาที่เขาเท่านั้น อาการง่วงงุนก็หายไปทันทีแทบจะปลิดทิ้ง เด็กหนุ่มคว้ามือข้างที่กำลังลูบศีรษะของเขาเบาๆเอาไว้อีกครั้ง แม้จะปุบปับแต่ก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง ดวงตาเรียวรีของเขาเป็นประกายยินดีเมื่อได้มองตอบดวงตากลมสวยคู่นั้น แม้ในตอนนี้มันอาจจะดูอ่อนล้ากว่าปกติ อาจจะดูเหน็ดเหนื่อยไปสักหน่อย แต่มันก็ยังคงมีชีวิตชีวายิ่งนัก และที่สำคัญดวงตาคู่นั้นก็กำลังยิ้มให้เขา
   
“ตื่นแล้วเหรอ” เขาเอ่ยถามออกมาในที่สุด
   
ร่างที่นอนมองเขาอยู่นั้น พยักหน้า แต่แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเหยเก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน พลางกัดริมฝีปากเอาไว้ราวกับจะสะกดกลั้นความรู้สึกเจ็บแปลบที่แล่นขึ้นเป็นริ้วๆขึ้นมาทันทีทันใด
   
โยกระชับมือข้างนั้นเอาไว้แน่น ถ้าทำได้ เขาอยากจะซึมซับความเจ็บปวดเหล่านี้เอาไว้เองเหลือเกิน
   
“เจ็บมากไหม”
   
ร่างนั้นไม่เอ่ยอะไร ได้แต่พยักหน้าตอบกลับไป เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วมานอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตานี่ได้อย่างไร ทำไมถึงได้รู้สึกปวดเนื้อปวดตัวถึงขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นอาการปวดหนึบอย่างหนักตรงขาขวาของเขามาจากไหน ความรู้สึกเจ็บปวดและสับสนที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันในคราเดียวทำเอาน้ำตาไหลลงหางตาเป็นสาย
   
“เจ...” น้ำเสียงอันคุ้นเคยเรียกสติเด็กหนุ่มให้กลับมา แม้โยจะรู้สึกใจหายเมื่อเห็นกริยาอาการของเจ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเฝ้าบอกตัวเองว่า เขาจะต้องเข้มแข็ง เพราะไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็มีแต่จะแย่ลงกว่านี้ เด็กหนุ่มยื่นมือเช็ดน้ำตาให้กับคนป่วยอย่างอ่อนโยน

“เจ...” เสียงเรียกชื่อดังขึ้นอีก หนนี้มันทำให้เจ้าของชื่อหันกลับมาสบตากับเขาอย่างรู้ความหมายในเสียงเรียกนั้น “เอาน้ำหน่อยไหม” ไม่รอฟังคำตอบ เขาเอื้อมมือข้างหนึ่งหยิบแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งแก้วพร้อมหลอดพลาสติกที่วางเตรียมเอาไว้บนหัวเตียงยื่นให้คนป่วย เขานั่งลงบนขอบเตียง มือข้างหนึ่งประคองศีรษะทุยๆนั้นเอาไว้ก่อนจะค่อยๆเลื่อนหลอดพลาสติกจรดริมฝีปากอันซีดเซียว

เจค่อยๆดูดน้ำจากแก้วอย่างยากลำบาก แต่ก็พยายามฝืนเต็มที่ เพราะความรู้สึกแห้งผากในลำคอของเขาตอนนี้มันทรมาณมากกว่าหลายเท่า จนเมื่อรู้สึกว่าเพียงพอแล้วจึงเบือนหน้าหนีเล็กน้อย บุรุษพยาบาลจำเป็นจึงวางศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยุ่งเหยิงนั้นลงบนหมอนอย่างเบามือ และวางแก้วคืนกลับในที่ของมัน

“เกิดอะไรขึ้น” คนป่วยเอ่ยขึ้นเป็นคำแรกนับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้น

“จำอะไรได้บ้าง”

ร่างที่นอนหน้าเซียวบนเตียงพยายามหลับตาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาพอจะจำได้

“เมื่อวานเรากลับไปที่บ้าน ทะเลาะกับพ่อ แล้วก็นั่งแท็กซี่จะกลับไปหานาย... แล้ว” ใบหน้าขาวซีดนั้นนิ่วหน้าอย่างจนใจ “จำอะไรไม่ได้อีกเลย”

เด็กหนุ่มร่างสูงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อต้องเอ่ยปากเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังด้วยตัวเอง

“รถที่นายนั่งมาโดนชน นายบาดเจ็บมาก แต่ดีที่หมอช่วยรักษาได้ทัน” โยยังคงจับมือข้างนั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“แล้ว ขา... ทำไมเราขยับขาไม่ได้เลย” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำตาของเด็กหนุ่มก็ไหลพรากออกมา ราวกับเริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆขึ้นมาได้แล้วว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง จนในที่สุดความกังวลก็เข้าครอบคลุมจิตใจของเด็กหนุ่มอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาขยับขาไม่ได้เลย อาการบาดเจ็บที่ได้รับมันรุนแรงแค่ไหนกัน แล้วมันจะส่งผลอย่างไรบ้าง ความคิดนี้แล่นเข้าสู่สมองทันทีโดยอัตโนมัติ

ดวงตาคู่งามที่เบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกหันไปสบดวงตาเรียวรีคู่ที่มองกลับมาอย่างห่วงใย โยกระชับมือแน่นขึ้นพร้อมกับห่อปากทำเสียงชู่ว... ราวกับจะปลุกปลอบให้คนป่วยคลายความตกใจลง มือข้างหนึ่งก็คอยลูบศีรษะให้คลายความวิตก

“นายไม่เป็นไรเจ ที่ขยับไม่ได้เพราะขาท่อนบนหัก ตอนนี้คุณหมอต่อกลับเข้าไปเหมือนเดิมแล้วนะ แค่ช่วงแรกอย่าฝืนมากเท่านั้น ค่อยๆดูแลรักษาไป แป๊ปเดียว... แป๊ปเดียวนายก็กลับมาเดินได้ตามปกติแล้ว อย่าว่าแต่เดินเลย จะลุกขึ้นมาเต้นก็ยังไหวนะ”

“เราจะหายแน่นะ นายไม่ได้หลอกเรานะ” น้ำตายังคงไหลพรากออกมาจากดวงตาสีดำคู่นั้นไม่หยุด น้ำเสียงที่ถามย้ำซ้ำๆราวกับเด็กเล็กๆ ทำให้โยนึกอยากจะกอดร่างที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้เหลือเกิน

“ไม่หลอกสิ... เราเคยโกหกนายด้วยเหรอ” สายตาคมคู่นั้นจ้องเข้าไปในตาของคนป่วยที่ยังอาบไปด้วยน้ำตา “ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวให้คุณหมอมาบอกเองเอาไหม นายจะได้สบายใจไง” ศีรษะกลมๆนั่นส่ายไปมาช้าๆ ราวกับจะบอกว่าไม่จำเป็น เพราะเขาเชื่อเด็กหนุ่มที่คอยนั่งดูแลและปลอบใจเขาคนนี้ยิ่งกว่าใคร

เพียงแต่ในตอนนี้เด็กหนุ่มที่นอนป่วยอยู่รู้สึกราวกับความอดทนทั้งหมดทั้งปวงได้พังทลายลงไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ เขาไม่เคยรู้สึกท้อแท้ หดหู่ และสิ้นหวังขนาดนี้มาก่อน ร่างกายและจิตใจของเขาคงมาถึงขีดจำกัดแล้ว น้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาจึงยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ง่ายๆ

“เราทำอะไรผิดมากมายหรือโย...” น้ำเสียงสะอื้นนั้นเอ่ยขึ้น “ทำไมมันถึงได้มีแต่เรื่องกับเราสารพัด ที่ผ่านมาเราอดทน ไม่เคยปริปากบ่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็สู้ทุกอย่าง...” เจก้มหน้าก้มตาร้องไห้ต่อไม่หยุด ความรู้สึกที่อัดอั้นเอาไว้มานานระเบิดออกมาในที่สุด “ทั้งซ้อมหนัก ทะเลาะกับที่บ้าน ต้องหยุดเรียน ต้องมาทำอะไรที่เด็กสิบเจ็ดทั่วไปเขาไม่ทำกัน มันยังไม่พออีกเหรอโย... หรือเรายังพยายามไม่พอ หรือเรายังอดทนไม่พอ เราต้องพิสูจน์อะไรอีกโย... ชีวิตมันถึงได้ทำร้ายเราขนาดนี้”

โยผวาลุกขึ้นก่อนจะโน้มตัวลงไปรวบร่างนั้นกอดเอาไว้แน่นในอ้อมแขน และยิ่งรู้สึกใจหายขึ้นไปอีกเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการสั่นเทาที่ถ่ายทอดผ่านร่างอันซีดเซียวที่ดูเหมือนจะเล็กและเปราะบางลงกว่าครั้งไหนๆ

“เราชักไม่แน่ใจแล้วโยว่าทางเลือกของเรามันถูกต้องหรือเปล่า จะต้องเสียหรือแลกอะไรไปอีก แล้วเราจะทนได้ไหม... เราไม่ไหวแล้วจริงๆนะ ตัวเองเสียใจยังไม่พอ ไหนจะคนรอบข้างอีกล่ะ เราจะต้องทำให้คนรอบข้างเราเสียใจอีกมากแค่ไหนกัน หรือจริงๆแล้วเราเป็นคนที่แย่ที่สุด เราอาจจะเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าพอให้ใครมารัก หรือไม่ควรที่จะรับสิ่งดีๆในชีวิตก็ได้นะ...”

“เจ พอแล้ว เจ... มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ...” คำพูดปลอบโยนนั้นดังก้องอยู่ในหัว

“มันจะไม่ใช่ได้ยังไง... จะไม่ใช่ได้ยังไง” น้ำเสียงนั้นประท้วงออกมาเบาๆ แขนทั้งสองข้างมีแรงยกขึ้นได้มากเพียงแค่เกาะเอวของอีกฝ่ายและยึดชายเสื้อยืดเนื้อนุ่มเอาไว้ ราวกับเป็นหลักยึดเดียวที่เขามีอยู่ในตอนนี้

“เจ เราเองก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง และเราก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่นายต้องเจอน่ะมันหนักหนามากเหลือเกิน” มือแข็งแรงข้างหนึ่งยกขึ้นลูบศีรษะที่ฝังใบหน้าซบกับอกของเขาจนรู้สึกได้ถึงความร้อนและเปียกชื้นจากน้ำตาของอีกฝ่าย “จนเราไม่รู้จะปลอบนายให้รู้สึกดีกว่านี้ได้ยังไงเหมือนกัน” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยกระซิบเบาๆ

“แต่เราไม่เชื่อหรอกว่า คนอย่างเจจะไม่มีคนรัก หรือจะไม่มีอะไรดีๆเข้ามาในชีวิต” เขาโยกร่างนั้นไปมาช้าๆ “มีคนรักนายมากมายนะเจ ดูอย่างเมื่อคืน ใครต่อใครก็เป็นห่วงนาย นายยังมีครอบครัวที่รักนาย นายมีเพื่อนดีๆรายรอบ นายมีน้องๆอีกสามคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างนายและเดินไปพร้อมกับนาย และนายก็ยังมีเราอยู่ทั้งคน ต่อให้โลกนี้นายไม่มีใครแล้ว ก็ยังแน่ใจได้ว่ามีเราอยู่อีกคน” ร่างในอ้อมแขนหยุดสั่นแล้ว และเขาก็แน่ใจว่าน้ำตาก็คงหยุดไหลไปแล้ว คงเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นเบาๆที่เกิดจากการร้องไห้อย่างหนักติดต่อกันเท่านั้น

“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น มันหนักหนาก็จริง แต่นายก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอเจ” โยผลักร่างนั้นออกอย่างเบามือ แต่เจยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น “นี่...” จู่ๆคนป่วยก็รู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผาก เมื่อเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยจึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาศีรษะมาแตะหน้าผากของเขาเอาไว้จนรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่แผ่ออกมา “นายยังมีชีวิตอยู่นะ แล้วนายก็จะหายดีในอีกไม่ช้าด้วย ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราดีใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว”

สองมือประคองใบหน้าหวานนั้นเอาไว้ก่อนจะใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างปาดคราบน้ำตาที่เลอะบนใบหน้าคนป่วยออกให้อย่างเบามือ

“มีอย่างหนึ่งที่เราเชื่อนะ” ดวงตากลมโตคู่นั้นมองตาเขาอย่างรอคำตอบ “เราเชื่อว่าคนอย่างเจจะต้องได้รับสิ่งดีๆตอบแทน... แค่อาจจะต้องรอหน่อย อาจจะต้องผ่านอะไรมากหน่อย แต่ก็นึกเสียว่าสิ่งที่จะได้รับมันจะคุ้มค่ากับความลำบากที่ต้องแลกมันมา อดทนอีกนิดไหวไหม”

คนป่วยพยักหน้า “แล้วนายจะไม่ทิ้งเราไปไหนแน่นะ...”

คำถามซื่อๆเรียกรอยยิ้มกว้างจากคนที่ทำหน้าที่ปลอบอย่างเต็มกำลังออกมาในที่สุด

“ใครจะไปทำแบบนั้นกัน”

“ถึงเราจะเรื่องเยอะ ชอบสร้างปัญหา ขี้บ่น...”

“ต่อให้ยิ่งกว่านี้ก็ไม่ทิ้ง”

“สัญญา?”

“สัญญา” ตอบออกมาสั้นๆได้เพียงเท่านั้น ร่างของคนป่วยก็เอนซบลงพิงเขาอีกครั้ง

“เราเอาแต่ใจตัวเองไปหรือเปล่า”

“มากกว่านี้ก็ยังไหวน่า” เสียงทุ้มมีแววขันอยู่ในทีก่อนจะยกแขนขึ้นโอบร่างนั้นเอาไว้ นึกโล่งใจที่คนในอ้อมแขนดูเหมือนจะสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว“สบายใจขึ้นบ้างหรือยัง” โดยไม่รอคำตอบ เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาออกให้คนป่วยอีกครั้งอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้ขอแค่นายอย่ากังวลอะไร เชื่อฟังหมอกับพยาบาลให้มาก เรากับน้องๆสัญญาว่าจะผลัดกันมาดูแลนายทุกวันเลย” คำพูดนั้นทำให้คนป่วยยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรก ก่อนทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“แล้วแม่...”

“แม่กับพี่ๆนายมากันครบเลยเมื่อคืน ไม่ต้องห่วงนะ พี่เมษเขาจัดการให้หมดแล้ว เดี๋ยวสายๆแม่นายก็คงจะมาอีก” สีหน้าของคนป่วยจึงค่อยคลายใจลงได้บ้าง

“ขอบคุณมากนะ” แม้จะเป็นคำพูดที่เฝ้าบอกอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้เพราะอะไรหนนี้มันจึงกินใจกว่าทุกครั้ง “เราอดคิดไม่ได้จริงๆ... ถ้าตื่นมาแล้ว คนที่อยู่ข้างๆไม่ใช่นาย เราจะเป็นยังไง”

เรียกรอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากให้กับคนฟังขึ้นมาชนิดไม่อาจห้ามได้

“แล้วดีไหม”

“ดีที่สุด” ว่าพลางพยักหน้าก่อนจะหันไปมองใบหน้าที่หล่อเหลาสมบูรณ์แบบของคนใกล้ตัวอีกครั้ง รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าหวานเกินเด็กผู้ชายทั่วไปหายไปอีกครั้งเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนใบหน้าอันแสนคุ้นเคยที่ผิดไปจากเดิม เจยกมือข้างหนึ่งขึ้นสัมผัสใบหน้าได้รูปของอีกฝ่าย

“โย...”

“หือม์”

“นายร้องไห้มาหรือ”

“นิดหน่อย” บุรุษพยาบาลจำเป็นว่าเสียงอ่อยก่อนจะเสหันใบหน้าไปทางอื่น

“แดงช้ำขนาดนี้ จะนิดหน่อยได้ยังไง” น้ำเสียงนั้นยากจะบอกว่าพูดด้วยอารมณ์แบบไหน

“ก็ตอนนี้ไม่ได้ร้องแล้วไง เดี๋ยวก็หาย” เสียงทุ้มมีแววทะเล้นราวกับอยากจะบอกให้อีกฝ่ายเลิกใส่ใจกับมัน

“ตั้งแต่รู้จักกันมา เรายังไม่เคยเห็นนายร้องไห้เลย” เจว่า “เราขอโทษนะ...” พูดได้แค่นั้น น้ำตาก็คลอหน่วยขึ้นในดวงตากลมโตคู่นั้นอีกครั้ง

“เจ... พอแล้ว” แม้จะเอ่ยห้ามออกมา แต่เสียงนุ่มทุ้มนั้นกลับอ่อนโยนอย่างยิ่ง “พวกเราร้องไห้กันมาพอแล้ว... นะ” ว่าพลางยกมือประคองใบหน้าหวานที่เขารักนักหนาเอาไว้ “นึกเสียว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเลี่ยงไม่ได้ก็แล้วกัน ยังไงเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป แล้วก็ต้องเข้มแข็งขึ้นด้วยเข้าใจไหม” ใบหน้าคมคายนั้นยิ้มให้เขา ยิ้มในแบบที่มีให้เขาเพียงแค่คนเดียว

“นายเป็นคนป่วย เพราะฉะนั้นเรายอมให้นายอ่อนแอมากหน่อยก็ได้” โยพูดด้วยน้ำเสียงล้อๆ “แต่ถ้านายแข็งแรงขึ้นแล้ว จะมาขี้แยอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ” พูดจบทำเอาร่างขาวๆที่เอนหลังลงไปนอนแบ่บตามเดิมอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

“ยอมก็ได้”

“แต่อย่าหาว่าปากไม่ดีเลย...” คนป่วยได้แต่เลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นบุรุษพยาบาลจำเป็นโน้มตัวลงมากระซิบเบาๆข้างหูเขาหน้าตาเฉย “เวลานายป่วยแล้วขี้อ้อนแบบนี้ ก็น่ารักดีนะ”

คนป่วยที่หน้าซีดพลันเบิกตาโต แก้มที่ขาวจัดนั้นกลายเป็นสีชมพูขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่อาจห้ามได้

“ไอ้บ้า...” เด็กหนุ่มโพล่งออกมาอย่างไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมาอีกดี

***************************

บรรยากาศในห้องประชุมนั้นเคร่งเครียดและคุกรุ่นไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย แม้แต่เมษที่ปกติมีความอดทนสูงและอารมณ์คงที่กว่าใครหลายคน ยังไม่อาจห้ามไม่ให้ตัวเองหัวเสียกับเรื่องราวที่ถูกนำมาถกในที่ประชุมได้

ก็จะเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

“ถ้าต้องรักษาตัวตั้งสามเดือนโดยที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า จะกลับมาหายได้ทันอย่างที่หมอบอกจริงๆล่ะก็ มีทางเดียวคือเปลี่ยนสมาชิกใหม่ซะ” คำพูดน่ารังเกียจพรั่งพรูออกมาจากชายร่างท้วมที่แม้จะอยู่ในวัยสามสิบกลางๆ แต่ก็ดูเหมือนเส้นผมที่ขึ้นอยู่บางๆนั้นจะทำให้เขาดูแก่กว่าอายุจริงไปโข

“แต่เด็กไม่ได้พิการนี่ จะไปตัดโอกาสเขาแบบนั้นได้ยังไงกัน” เสียงใครอีกคนพูดขึ้น

“แต่มันจะทำให้แผนการที่วางไว้ทุกอย่างคลาดเคลื่อนหมดนะ และนั่นหมายถึงความเสียหายมากมาย”

“เรายังเหลือเวลาอีกไม่ใช่หรือ”

“ถามจริงๆ คุณกล้ายอมเอาเงินเป็นแสนไปเสี่ยงกับเด็กที่ไม่มีแม้แต่ความรับผิดต่อชอบตัวเองงั้นหรือ”

เกิดความเงียบชนิดที่ถ้าหากมีเข็มตกสักเล่มคงได้ยินกันทุกคน

“คุณรู้อะไรมากแค่ไหนถึงกล้าพูดว่า เด็กไม่มีความรับผิดชอบ” เสียงของเมษถามขึ้นเย็นๆแต่ก็รู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองที่เจ้าตัวพยายามสะกดเอาไว้เต็มที่

“ทั้งที่รู้ว่าอีกวันต้องมีคลาส แต่สามสี่ทุ่มยังนั่งแท็กซี่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกน่ะเหรอ ได้ข่าวว่าจะเลิกเรียนแล้วด้วยนี่ แถมโดนพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัด เด็กดีจริงจะเป็นอย่างนี้เหรอ รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องเป็นนักร้อง ยังไม่รู้จักเซฟตัวเอง” น้ำเสียงน่ารังเกียจพ่นออกมาไม่หยุด

“รู้มาจากไหน”

“... ใครๆเขาก็พูดกัน” คนพูดไม่ยอมแพ้แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคราวนี้ตอบออกมาแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มคำนัก

“ใครๆนี่มันใคร ลูกน้องคุณ หรือนักเรียนฝึกหัดคนอื่น ทำไมรู้ดีกันนัก เมษเป็นเออาร์ของเด็กกลุ่มนี้แท้ๆ ทำไมไม่คิดถามเมษซักคำ” เธอว่าอย่างเอาเรื่อง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่า บริษัทใหญ่ที่มีการแข่งขันสูงแบบนี้ อย่างไรก็หนีไม่พ้นเด็กเส้น หากเผลอและสบโอกาสเมื่อไหร่ ก็จะมีคนแบบนี้นี่แหละ พยายามบีบบังคับให้มีการเอาเด็กของตัวเองเข้าไปเสียบแทนที่ได้ทันที

“แล้วมันจริงอย่างที่คุณชาญเขาว่าหรือเปล่า คุณเมษ” ใครคนหนึ่งที่นั่งตำแหน่งบอร์ดของบริษัทถามขึ้น

“เอาเรื่องไหนล่ะคะ เพราะเมษกำลังงงว่า เด็กที่ได้รับอุบัติเหตุกลายเป็นคนผิดไปได้ยังไง เขาเป็นนักร้องในสังกัดเรานะคะ เขาโดนรถชนเกือบตาย แทนที่เราจะมาคุยกันเรื่องดูแลเขา แต่นี่เรากลับมาถามว่าควรจะถอดเขาออกไปไหม” เธอกราดสายตามองไปรอบห้องอย่างขุ่นเคือง แต่ก็ยังรักษาน้ำเสียงให้ราบเรียบได้อย่างน่าชื่นชม “เมษเข้าใจว่าเรามองเขาเป็นสินค้า แต่เขาเป็นคนนะคะ เราเองก็เป็นคนเหมือนกัน นี่ไม่เพียงแต่จะไม่พูดถึงน้ำใจที่เราควรมีต่อเขา แต่กลับคิดว่าจะหาคนมาแทนเขาได้อย่างไร” คำพูดนั่นทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบขึ้นไปอีก

“เจเป็นเด็กดี เป็นเด็กขยัน แต่ทางบ้านเขาไม่สนับสนุน ความที่อยากเป็นนักร้องก็ต้องปากกัดตีนถีบส่งเสียตัวเองให้ได้เข้ามาเรียนที่นี่ เมื่อคืนเขาออกไปหาพ่อ เพราะอยากจะให้พ่อยอมรับในตัวเขาเสียที ขากลับก็เลยเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น” เมษนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของแต่ละคน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครโต้แย้งอะไร จึงว่าต่อทันที “จะมีใครรู้บ้างหรือเปล่าคะว่า เด็กคนนี้หาเลี้ยงตัวเองเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายตลอดช่วงระยะเวลาที่เป็นนักร้องฝึกหัดที่นี่ ในขณะเดียวกันก็ต้องไปโรงเรียน เรียนหนังสือ มาเข้าคลาส และขอบอกเลยนะคะที่เด็กคนนี้ตัดสินใจหยุดเรียน เพราะพ่อของเด็กตัดค่าใช้จ่ายทุกอย่างเมื่อรู้ว่าเด็กเลือกทางนี้”

“ถึงยังไงผมก็เห็นว่า เขาเป็นคนเลือกหนทางของเขาเอง” ชาญว่าอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก แต่ก็ไม่ทิ้งความพยายาม “โอกาสของคนเราไม่เท่ากันอยู่แล้ว” คนพูดยักไหล่อย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา “แล้วคุณนึกดูนะคุณเมษ เราทุ่มเทเวลาให้กับเด็กกลุ่มนี้มาแค่ไหน กำหนดการทุกอย่างก็วางเอาไว้แล้ว ถ้าต้องเลื่อนออกไป เพราะปัญหาส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง โดย... ขอย้ำนะ... โดยไม่รู้แน่ว่าจะรักษาตัวได้ทันไหม และจะทำให้เราเสียเวลากันต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ผมว่ามันไม่คุ้มเสี่ยง” หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่มีใครกล้าออกหน้าสนับสนุนความคิดเห็นของชาญแบบเต็มที่เลยสักคน

“แล้วมานึกดูดีๆ ผมเชื่อว่าเรายังมีเด็กที่คุณสมบัติก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเด็กเจ้าปัญหาคนนี้ คนที่ร้องเพลงได้ดี มีทักษะในการเต้นอะไรต่างๆ ผมอาจจะดูใจร้ายไปหน่อย แต่เชื่อเถอะคุณเมษผมเองก็ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทนี้เหมือนกันกับคุณ”

“ไม่เหมือนแน่ๆค่ะ” เมษว่าเสียงเย็น “เมษใช้หัวใจใส่ลงไปในงานด้วย ไม่ได้เห็นแก่เม็ดเงินเพียงอย่างเดียว”

ชาญยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับยักไหล่ด้วยสีหน้ายียวน “ผมไม่ใช่คนทำงานด้วยอารมณ์เสียด้วย”

“ถึงได้ไร้หัวใจแบบนี้ไง” เมษตอกกลับโดยไม่คิดจะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต ประธานในที่ประชุมที่นั่งนิ่งมานานราวกับจะประเมินสถานการณ์อะไรบางอย่างเงียบๆ ก็เอ่ยขึ้นเพื่อหยุดการทุ่มเถียงที่มีแต่จะเข้มข้นขึ้นนั้นเสียที

“เอาล่ะ...” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นสั้นๆอย่างเป็นการเป็นงาน แต่ก็หยุดความร้อนแรงที่เกิดขึ้นลงได้ชงัดนัก “ผมเข้าใจเหตุผลของพวกคุณดี และรู้ว่าพวกคุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของบริษัท” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มใหญ่ที่ฟังดูนุ่มนวลแต่ก็มีอำนาจอยู่ในทีนั้น จับปากกาขึ้นและถือมันเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะกราดสายตามองผู้เข้าร่วมประชุมที่พร้อมใจกันมาจับจองเก้าอี้ในห้องจนเต็ม สมแล้วที่เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ที่บริษัทหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ พอเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็แทบจะทำให้มันกลายเป็นวาระแห่งชาติไปเลยทีเดียว

“ถ้าถามความเห็นของผมตอนนี้ เบื้องต้น บริษัทจะไม่ดูดายต่อเด็กในสังกัดเราเด็ดขาด ถึงแม้เขาจะยังไม่มีผลงานออกมาก็ตาม ดังนั้นเราจะต้องดูแลรักษาเด็กคนนี้จนกว่าเขาจะหายดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากความประมาทหรือเกิดจากตัวเด็กเอง” เมษพยักหน้าราวกับรู้อยู่แล้วว่าประธานบริษัทผู้นี้ไม่ใช่คนใจไม้ใส้ระกำ ที่สำคัญ เขารู้จักทุกคนที่อยู่ในนี้รวมถึงเด็กที่อยู่ในสังกัดของเขาทุกคน เธออาจจะไม่ค่อยได้พูดคุยหรือสนิทสนมกับนายใหญ่ของเธอนัก แต่เธอก็นับถือเขาในฐานะของผู้บริหารที่ครบเครื่องทั้งความรู้ด้านธุรกิจและด้านศิลปะบันเทิง รวมถึงน้ำจิตน้ำใจที่มากล้นผิดกับผู้บริหารหลายๆคนที่เธอได้ยินชื่อเสียงมา

“ส่วนเรื่องแผนงานที่วางไว้ ผมเห็นด้วยกับคุณชาญในแง่ที่ว่ามันมีความสำคัญมาก และถ้าหากตารางงานทุกอย่างจะต้องถูกระงับหรือเลื่อนออกไป มันก็หมายถึงเม็ดเงินมหาศาลจริงๆ คุณเข้าใจใช่ไหมคุณเมษ” เขาหันไปถามเออาร์สาวที่ยังคงนั่งเงียบด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เมษพยักหน้ารับอย่างยอมจำนน “ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ทันทีแน่นอน ผมอยากจะขอเวลาในการตัดสินใจอีกนิด” เขาว่าอย่างชั่งใจ

“ถ้าคุณเอ็มเห็นอย่างนั้น ผมก็คงไม่มีข้อโต้แย้งอะไร” ชาญกระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ดูเขามั่นใจยิ่งนัก “แล้วถ้าหากจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนตัวสมาชิกในวงอย่างไรล่ะก็ ผมเองก็พอจะมีเด็กเก่งๆที่หมายตาเอาไว้เหมือนกันนะครับ” สายตายียวนนั้นเหลือบปรายมาทางหญิงสาวอย่างจงใจ “แต่ไม่ต้องห่วงนะ ผมยอมรับฟังความเห็นของทุกท่านอยู่แล้ว ถึงเวลานั้น เราคงได้มาถกกันอีกที”

ไอ้ตัวแสบ หญิงสาวนึกในใจ

“เมษได้พูดอย่างที่อยากพูดไปแล้ว ที่เหลือก็คงต้องแล้วแต่บอร์ดกับคุณเอ็ม แต่มีอย่างหนึ่งที่เมษอยากจะบอกให้ทุกคนได้ทราบไว้” เธอว่าเรียบๆ “เมษใช้เวลาอยู่กับเด็กๆมาพอสมควร เด็กพวกนี้ผูกพันกันมากกว่าที่ใครๆคิด เราที่เป็นผู้ใหญ่อาจจะมองว่าเขาเป็นเด็ก อยากเป็นนักร้องที่โด่งดัง ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง จะชี้ให้เขาไปทางไหนอย่างที่เราสั่งก็ได้ เมษบอกได้เลยว่า คุณคิดผิด ไม่แน่นะคะ...” เธอเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้เจาะจงเป็นพิเศษว่ากับใคร “แทนที่จะหาคนมาแทนสมาชิกในวงแค่คนเดียว เราอาจจะต้องหาวงใหม่ทั้งวงเลยก็ได้”

“ผมว่าคุณประเมินเด็กพวกนี้สูงเกินไปหรือเปล่า คุณเมษ” สาบาญได้ว่าเธอไม่ได้อคติจนรู้สึกไปเองว่าน้ำเสียงนั้นมีแววเย้ยหยันเธออยู่ในที

“ไม่สูงล่ะค่ะ เพราะพวกเขาเก่งจริงๆ” เมษระบายลมหายใจออกมาอย่างเหลืออด “ขอถามหน่อยเถอะนะคะว่าที่ผ่านมา เราเคยคัดเลือกเด็กกันด้วยวิธีการที่ยากเย็น ซับซ้อนและต้องใช้เวลาขนาดนี้กันมากก่อนหรือเปล่า เราฝึกเด็กพวกนี้มากี่ปีคะ สองปี สามปี สี่ปี ทั้งที่ปกติถ้าใครมีแววก็ดึงเข้ามาเป็นนักร้องเลยแท้ๆ แสดงว่าเด็กๆกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา เมษไม่รู้ว่าคุณเคยสนใจไปดูพวกเขาเวลาฝึกซ้อมบ้างไหมถึงได้กล้าประเมินพวกเขาต่ำแบบนี้ แล้วถ้าหากว่าเราต้องเสียพวกเขาไปจริงๆ หรือปล่อยให้คนอื่นคว้าตัวพวกเขาไปล่ะก็ มันจะน่าเสียดายมากแค่ไหน และจะกลายเป็นความเสียหายเท่าไหร่ เมษไม่กล้าคิด” ไม่มีใครบอกได้ว่าหญิงสาวในตอนนี้รู้สึกอย่างไรจากสีหน้าอันเรียบเฉย “เมษอยากพูดแค่นี้ล่ะค่ะ”

บรรยากาศหลังการประชุม ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าก่อนและระหว่างการประชุมสักกี่มากน้อย บอร์ดและสมาชิกในที่ประชุมบางคนเห็นว่าควรจะหาเด็กใหม่แทนตำแหน่งของเจ แต่เมื่อเทียบกับคนที่ลังเลหรือไม่เห็นด้วยก็ยังนับว่ามีน้อยกว่า แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเรื่องนี้ก็คือหัวเรือใหญ่อย่างคุณเอ็มเพียงคนเดียวเทานั้น

หญิงสาวนั่งถอนหายใจด้วยสีหน้าที่ไม่สู้จะสบายใจนักเมื่อกลับมายังโต๊ะทำงานของตัวเอง เธอหวังว่าคำพูดของเธอจะโน้มน้าวให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเด็กกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเจ เมษเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าเด็กหนุ่มรู้ว่าตัวเองอาจจะต้องถูกถอดออกจากโปรเจ็กต์นี้ เขาจะผิดหวังและเสียใจเพียงไร แต่ที่เธอรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าก็เห็นจะเป็นประธานในที่ประชุมวันนี้นี่แหละ วันนี้คุณเอ็มทำตัวเป็นผู้ฟังมากกว่าจะร่วมวงทุ่มเถียงด้วยแตกต่างจากการประชุมหลายๆครั้งที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้ว่านายใหญ่คิดอะไรในใจ แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ คุณเอ็มที่น่าจะเป็นทุกข์ร้อนกับโปรเจ็กต์นี้มากกว่าใคร กลับดูสงบนิ่งอย่างประหลาด

เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ เธอเอื้อมมือรับอย่างคนที่ใกล้จะหมดเรี่ยวแรงเต็มที ก่อนจะตาโตและตอบรับไปโดยอัติโนมัติว่า “ได้ค่ะ”

คุณเอ็มคิดอะไร ถึงอยากจะไปเยี่ยมเจที่โรงพยาบาลด้วยตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น

******************************************** (จบพาร์ต 1 ของบทที่ 11)

สวัสดีปีใหม่ไปยังทุกท่านค่ะ

ต้องขอโทษนะคะที่มาต่อให้ช้าอีกแล้ว เนื่องจากคนเขียนต้องเดินทางไปต่างจังหวัดค่ะ เพิ่งจะกลับมาและมีโอกาสได้เข้ามาในวันนี้เอง ส่วนนิยายตอนนี้ที่เอามาลง ใจจริงไม่อยากตัดเป็นสองพาร์ตเลย แต่ด้วยความที่มันยาวเหลือเกิน จึงขออนุญาตนะคะ แต่สัญญาว่า จะนำพาร์ตสองมาต่อให้เร็วขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

Beats of Life ใกล้จะจบลงแล้วล่ะค่ะ อย่างที่เคยเกริ่นไว้ว่า นิยายเรื่องนี้จะไม่ยาวเหมือนเรื่องที่แล้ว แต่ก็อย่างที่เคยบอกเอาไว้นั่นแหละค่ะว่า ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการจบลงจริงๆ เพราะจะมีอะไรพิเศษมาเติมเต็มอารมณ์ของแฟนโยเจและเด็กทั้งห้าคนนี้อีกแน่นอน แต่จะเป็นอะไรนั้น สัญญาค่ะว่า จะนำมาบอกเล่าเก้าสิบให้ได้ทราบกันแน่นอนในพาร์ตที่สองของบทที่ 11 นี้

ในช่วงปี 2009 ที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณทุกท่านมากๆนะคะสำหรับการติดตาม กำลังใจ รวมไปถึงคำติชมที่มีต่อคนเขียนเสมอมา เชื่อเถอะค่ะว่ามันได้กลายเป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิดไว้มากมายนัก ตั้งแต่ เพลงรัก มาจนถึง Beats of Life ที่เรียกว่าลงกันข้ามปีกันเลยทีเดียว ก็ได้ทุกท่านนี่แหละค่ะที่ทำให้เราเชื่อมั่นว่า เราก็พอจะเป็นนักเขียนที่ดีได้บ้างอยู่เหมือนกัน และยืนยันค่ะว่า จะเขียนนิยายต่อไปเรื่อยๆแน่นอน

ขอให้ปี 2010 เป็นปีที่ดี และเป็นปีที่มีความสุขสำหรับทุกท่านนะคะ

ขอบคุณจากใจและสวัสดีปีใหม่ค่ะ

ปล. ขอบคุณมากสำหรับคำสวัสดีปีใหม่และคำอวยพรค่ะ ขอให้สิ่งดีๆเหล่านั้น ย้อนกลับสู่คุณด้วยเช่นกันนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 1 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 02-01-2010 11:19:43
ใกล้จะจบแล้วเหรอ  แอบเสียดายไม่อยากให้จบไวเลย
ชอบเรื่องนี้มากๆ หลงรักน้องเจ  :o8:

รอๆอ่านตอนต่อไปนะคะ  กำลังสนุกเลย

สวัสดีปีใหม่คนแต่งด้วยค่ะ  ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 1 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 02-01-2010 23:50:46
สวัสดีปีใหม่ ค่ะ

โยเจให้ความรู้สึกว่าเค้าไม่ใช่นิยาย

แต่เป็นเด็กผู้ชายที่มีความฝันและความผูกพันที่มีให้กันอย่างมากมาย

หลงรักเค้าสองคนมาก ๆ เลยค่ะ

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องราวดี ๆ แบบนี้
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 1 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 03-01-2010 08:05:49
น่ารัก แต่สงสารเจมากๆๆ อะไรมันจะโชคร้ายแบบนี้ แล้วตอนประชุมอีก โอ๊ยเครียด แต่เราเชียร์โยเจสู้ๆๆๆ
รอตอนต่อนะค่ะ มาลงเร็วละ สวัสดีปีใหม่ด้วย ขอให้มีความสุขมากๆ :L2: :bye2:
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 1 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 03-01-2010 10:25:28
อ่านตอนนี้ทั้งเศร้าทั้งซึ้ง น้ำตาซึมเลยอ่า :m15:
สงสารเจมากเลย แต่ดีที่โยยังคอยอยู่ข้างๆแบบนี้
พี่เมษก็เก่งมากเลยค่ะ สู้เพื่อน้องๆ
ทุกคนต้องผ่านเวลานี้ไปให้ได้นะ สู้ๆ :a2:
+1 ขอบคุณที่มาต่อนะคร้า :L1:
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 1 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 03-01-2010 17:43:04
สวัสดีปีใหม่ค่ะ^^
ตอนนี้กดดันจังแฮะ ไอ้พวกผู้บริหารไร้หัวใจ!!
รักพี่เมษจังนิ
และคาดหวังในตัวของคุณเอ็มด้วย หวังว่าคุณเอ็มจะมีหัวใจพอนะ  :call:

โยกับเจ ตอนนี้ก็ยังอบอุ่นอยู่เหมือนเดิมนะ ถึงจะผ่านเรื่องที่เจ็บปวด
แต่ถ้าหากทั้งคู่ยังอยู่เคียงข้างกัน ก็น่าจะผ่านเรื่องร้าย ๆ ที่กำลังจะเข้ามาได้อย่างเข้มแข็งแน่ ๆ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนเผื่อแผ่ไปถึงโยกับเจด้วยนะคะ

ปีใหม่นี้หวังว่าจะได้อ่านตอนต่อไปและต่อไปเร็ว ๆ อิอิ :z2:
เห็นว่าใกล้จบแล้ว รู้สึกใจหายนิด ๆ นะคะ ว่าทำไมสั้นจัง...

ยังไงใกล้จบแล้ว ขอหวาน ๆ แบบไม่เอาน้ำตาได้ไหมคะ?
ลางมาเหมือนตอนหน้าจะเสียน้ำตาให้กับเจยังไงไม่รู้สิ ฮ่าๆๆๆ (คิดไปเอง)

สุดท้ายก็ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องสนุก ๆ มาให้ได้อ่านได้จิ้นกันไป เนอะ ^^  :pig4: :L2: :pig4:

(เป็นเม้นที่ยาวที่สุดของเราในเรื่องนี้เลยแฮะ :really2:)

หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 1 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-01-2010 20:50:53
โอ๊ยยยย เจเอ้ย ไม่เปนไรน๊า
ดีนะที่มีโยกะพี่เมษอยู่ข้าง ๆ หุหุ

HNY นะค๊า
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 1 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 04-01-2010 09:11:02
ดีใจที่เม้นท์ต่างๆ มีส่วนช่วยสร้างกำลังใจให้คุณนิ้วไขว้นะคะ
ชอบสไตล์การเขียนของคุณนิ้วไขว้อยู่แล้ว ละเอียด อ่านง่าย
ภาษาก็สวย

แล้วเรื่องนี้ มีโครงการรวมเล่มหรือเปล่าคะ
อยากให้รวมนะ จะได้เก็บเป็นคอลเลคชั่นเลย
ตั้งแต่ เพลงรัก Beats of Live และเรื่องต่อๆมา

ยังไงก็แจ้งข่าวให้ทราบด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 1 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 04-01-2010 09:22:18
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับกำลังใจ และคำอวยพรจากทุกท่านค่ะ

Beats of Life จะมีการรวมเล่มแน่นอนค่ะ และจะมีการแต่งตอนพิเศษเพิ่มจากเดิมด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นเมื่อไหร่นั้นต้องรออีกสักหน่อยค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่านิยายเรื่องยาว แม้จะใกล้จะจบแล้ว แต่ก็ยังไม่เรียกว่าจบเสียเลยทีเดียว ซึ่งโพสต์ตอนต่อไปจะเฉลยให้ได้ทราบกัน แต่รวมเล่มน่ะน่าจะรวมแน่นอนล่ะค่ะ

สำหรับนิยายเรื่องก่อน เพลงรัก หากมีใครที่ต้องการจะซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกเพิ่มเติม ก็จะรวมเล่มให้ค่ะ น่าจะพร้อมๆกันกับ Beats of Life นี่แหละ ซึ่งจะมาบอกกล่าวกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้งใกล้ๆจะรวมเล่มอีกทีแน่นอนค่ะ

ขอบคุณที่ถามไถ่และให้ความสนใจนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 05-01-2010 18:39:53
ตามสัญญาค่ะ Part II เอามาต่อให้จนจบพาร์ตแล้วอย่างรวดเร็วค่ะ

____________________________________

บทที่ 10 PART 2 (จบบท)

เหงาเหมือนกัน

เด็กหนุ่มที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่เป็นเตียงคนป่วยในห้องพิเศษเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้จะมีเสียงทีวีที่เปิดทิ้งเอาไว้เป็นเพื่อน แต่กลับไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอ้างว้างน้อยลงแต่อย่างใด หรือเป็นเพราะปกติเขามีอะไรจะต้องทำอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนจะมีผู้คนรายรอบเขาอยู่เสมอ ที่ผ่านมาเขาจึงไม่เคยนึกถึงมันเลย แต่เมื่อต้องมานอนป่วยจนขยับไปไหนไม่ได้แบบนี้ อีกทั้งยังต้องอยู่คนเดียวโดยได้แต่เฝ้ารอให้ใครสักคนเปิดประตูเข้ามา กลับยิ่งรู้สึกอ้างว้างอย่างน่าใจหาย

เพิ่งจะบ่ายสามโมงเองหรือนี่ อีกตั้งนานกว่าโยกับน้องๆจะแวะมาหาเขาได้ รู้ทั้งรู้ว่าทุกคนต้องลำบากมาเฝ้าเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายและจิตใจที่อ่อนแอลงหรือเปล่า จึงทำให้เขาโหยหาเสียงหัวเราะพูดคุยของใครก็ได้ แม้หลายครั้งปากจะพูดออกไปว่าไม่เป็นไร เขาอยู่คนเดียวได้ก็ตาม แต่ลึกๆแล้วเด็กหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นการพูดตามมารยาทไปอย่างนั้นเอง

อีกไม่กี่วันเขาก็ต้องเริ่มฝึกเดินแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัดล่ะก็ เขาอยากจะลุกขึ้นมาเดินเสียมันตั้งแต่วันนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็เพราะรู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของตัวเองไม่เล็กน้อยเลย จึงได้แต่พยายามอดทน นี่ดีแค่ไหนแล้วที่ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาจะสามารถกลับมาเดินได้ตามปกติอย่างแน่นอน และถ้าหากเชื่อฟังหมอและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงล่ะก็ ใช้เวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น ไม่ใช่แค่เดินได้ แต่ยังสามารถลุกขึ้นมาเต้นได้เหมือนเดิมด้วย

แม้จะรู้สึกเบาใจขึ้น ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ว่า อาการบาดเจ็บของเขาจะส่งผลกระทบต่อสมาชิกคนอื่นในวง หรือแม้แต่อนาคตของเขามากแค่ไหน
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แค่เขาอยากเป็นนักร้องมันจะยากเย็นและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายขนาดนี้

เสียงลูกบิดดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองที่ประตูห้องโดยอัตโนมัติ ใบหน้าที่โผล่เข้ามามองหาเขา จุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าขาวจัดชวนให้น่ามองมากขึ้นไปอีก

“ตื่นอยู่หรือเปล่า” เสียงทุ้มๆถามออกไปทั้งที่เห็นอยู่ว่าดวงตากลมโตคู่นั้นมองมาทางเขาแท้ๆ ร่างบนเตียงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะยกรีโมททีวีขึ้นกดปิด

“หอบหิ้วอะไรมาตั้งมากมายหรือโย” เสียงแหบที่ฟังดูสดใสขึ้นมากเอ่ยถามเมื่อเห็นข้าวของในมือของอีกฝ่าย

“ของฝากไง” เดาดูก็รู้ว่าหนักไปทางอาหารการกินทั้งนั้น

“โธ่ ไม่เห็นต้องวุ่นวายเลย ขนาดอาหารที่โรงพยาบาลเรายังกินได้ไม่เท่าไหร่เอง”

“ก็นั่นไง ถึงต้องซื้อเข้ามาให้ด้วย” คนพูดจัดวางถุงอาหารเหล่านั้นเอาไว้ในที่ของมันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียงคนป่วย

“เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูถามออกมาอย่างอ่อนโยน

“ก็ขาหัก เหมือนเดิมเลย” คนป่วยตอบกลับมาอย่างมีอารมณ์ขัน

“ยังเจ็บอยู่ไหม” โยถามกลับยิ้มๆ คนป่วยที่เริ่มจะมีอารมณ์ขันทำให้เขาเบาใจขึ้นมาก

“ก็มีบ้าง แต่ว่าชินแล้วล่ะ” เจ้าตัวตอบพลางยิ้มออกมาบ้าง ทำเอาอีกฝ่ายรู้สึกหัวใจกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนมือเรียวยาวของตัวเองไปกุมมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายเอาไว้

“เข้มแข็งอย่างนาย เดี๋ยวก็หาย” เสียงปลอบโยนนั้นเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือของคนป่วยขึ้นและประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ สัมผัสอ่อนโยนคุ้นเคยนั้นเรียกรอยยิ้มบางๆจากอีกฝ่าย เจแนบมือลงบนแก้มของโยโดยยังมือมือใหญ่ข้างนั้นวางทับเอาไว้อีกต่อหนึ่ง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มชินกับสัมผัสเหล่านี้และรู้สึกว่ามันพิเศษสำหรับเขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

“นายชักทำให้เราเคยตัวแล้วนะ” จู่ๆเจก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

“เคยตัวยังไง”

“ก็... ชอบทำแบบนี้ ชอบมาจับมือ ชอบเข้ามากอด…” คนพูดเริ่มหน้าระเรื่อขึ้นมา

“เราก็ทำกับน้องๆแบบนี้ทุกคน” อีกฝ่ายเถียงด้วยน้ำเสียงที่ติดจะล้อเขาอย่างไรพิกล

“แล้วนายจับมือเขามาจูบ หรือกอดเขาแล้วหอมเขาอย่างเราไหมล่ะ” เสียงนั้นเหวออกมาราวกับจะต่อว่าอีกฝ่ายว่าไม่รู้ตัวหรืออย่างไรว่าวิธีปฏิบัติมันต่างกัน กว่าจะรู้ตัวก็จนเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายนั่นแหละถึงได้รู้ว่าตัวเองเสียทีไอ้คนเจ้าเล่ห์นี่อีกแล้ว

“ไอ้นี่...” พอทำท่ายกมือเงื้อง่าขึ้นเท่านั้น คนเฝ้าไข้ก็หลุดหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่ลืมจะจับแขนของอีกฝ่ายที่เตรียมจะซัดลงมาเอาไว้เสียก่อน ถึงจะป่วยแต่แรงน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ

“น่า... น่า... ขอโทษ ไม่แซวแล้วก็ได้” โยว่ายิ้มๆ “ถ้านายไม่ชอบ แค่บอกมาก็พอ”

“เคยบอกเหรอว่าไม่ชอบ...” เสียงแหบๆนั้นบ่นกับตัวเองงึมงำในคอมากกว่าจะอยากให้อีกคนได้ยิน ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะถามอะไรออกไป ก็ดูเหมือนจะมีแขกเคาะประตูเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว

“พี่เจ...” เสียงคุ้นหูดังขึ้น พร้อมกับใบหน้าอันแสนคุ้นเคยของน้องๆอีกสามคนที่โผล่หน้าเข้ามาทางประตู

คนป่วยพยายามดึงมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมของคนที่นั่งตีหน้าซื่อ อะไรก็ไม่เท่าหมอนี่ไม่ยอมปล่อยมือเขาสักทีนี่สิ ไม่ว่าจะออกแรงดึงหรือถลึงตาใส่สักเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังใช้นิ้วทั้งห้าสอดประสานเข้ามากุมมือของเขาเอาไว้แน่นกว่าเดิมอีกต่างหาก ดูมันทำ
   
เด็กหนุ่มทั้งสามคนเดินเข้ามายังเตียงคนป่วยพร้อมถุงในมือคนละถุงสองถุง เห็นได้ชัดว่าน้องๆชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเลิกใส่ใจและเดินเรียงหน้าไปล้อมรอบเตียงคนป่วยเอาไว้
   
“พี่โย...” น้องเล็กของวงถือวิสาสะเดินไปยืนอยู่ข้างๆพี่ใหญ่หัวหน้าวงก่อนจะวางมือลงบนบ่าแข็งแรงนั้น และเอ่ยออกมาหน้าตาเฉย “ผมรู้ว่าพี่ห่วงพี่เจ แต่พี่เขาไปไหนไม่ได้หรอกครับ จะเกรงใจน้องนุ่งบ้างล่ะไม่มีหรอก”
   
ทำเอาพี่ใหญ่ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะพรืดออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย ดูความร้ายของมันเสียก่อนเถอะ ส่วนน้องอีกสองคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียง ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน โธ่ พี่จะมาเขินน้องอะไรตอนนี้ ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าเวลาที่อยู่ด้วยกัน พวกพี่มีโลกส่วนตัวกันขนาดไหน
   
“แล้วนี่ไม่มีเรียนกันเหรอ เลยพร้อมใจมากันได้เร็วขนาดนี้ เหมือนนัดกันมาเลย” เจว่าอย่างไม่นึกเกร็งหรือเขินอะไรอีก
   
“ช่วงนี้ใกล้สอบปลายภาคแล้วพี่เจ โรงเรียนก็ให้เลิกเร็ว ก็เลยนัดกันตั้งแต่เมื่อวานว่าเลิกแล้วเดี๋ยวไปหาซื้ออะไรเข้ามาให้พี่กันดีกว่า” ซันว่าอย่างร่าเริง
   
“แต่ไม่ทันพี่โย ดูสิ ของเต็มตู้เลย”
   
“แบ่งเอาไปกินกันบ้างก็ได้ พี่กินคนเดียวไม่หมดหรอก” คนป่วยว่าอารมณ์ดี ความเหงาเมื่อก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น หลายครั้งที่เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างตรงที่ เขามีเพื่อนที่ดีแสนดีอยู่มากมายเหลือเกิน “จะขุนกันให้อ้วนหรือไง” เจ้าตัวว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
   
“ไม่ได้สิ พี่เจต้องกินเยอะๆ จะได้หายเร็วๆไง เวลาไปซ้อมยังไงไปพร้อมหน้าห้าคนก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว”
   
“นั่นสิ ไม่มีพี่อยู่บ้านซักคนนะ นอกจากจะไม่มีคนมาคอยจู้จี้ให้ทำความสะอาดแล้ว ยังไม่มีใครทำอะไรอร่อยๆให้กินด้วย”
   
“ผมเลยไม่รู้จะไปทะเลาะกับใครเลย” เสียงเจ้าน้องเล็กเอ่ยขึ้นลอยๆ สมเป็นแม็กจริงๆ
   
“เพราะฉะนั้น นายต้องรีบหายแล้วล่ะ” หลังจากฟังน้องๆแย่งกันพูดอยู่เป็นนาน คนข้างๆตัวจึงเอ่ยขึ้นบ้าง “แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องคิดว่าทำให้พวกเราเดือดร้อน เพราะพวกเราเต็มใจ วงเราไม่ว่าจะยังไงก็ต้องมีห้าคน เสียงของพวกเราจะเพราะที่สุดถ้ามีเสียงของนายด้วย แล้วก็ต้องเป็นนายคนเดียวเท่านั้น เข้าใจไหม”
   
คนป่วยที่ได้แต่นั่งฟังรู้สึกนัยน์ตาร้อนผ่าวขึ้นทันที เด็กหนุ่มพยายามอย่างที่สุดที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา ก่อนจะกัดริมฝีปากและพยักหน้าอย่างหนักแน่นโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
   
“ผมรู้นะว่าพี่เจขี้เกรงใจ แถมยังคิดมากด้วย ที่ผมกลัวยิ่งกว่าอาการที่ขาก็คือพี่จะเครียดเกินไป อยู่กับพี่มาตั้งนานมีหรือผมจะไม่รู้” ชุนว่า “พี่ดูแลพวกผมมาตลอดไม่ว่าพี่รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม คราวนี้พวกผมก็เลยอยากจะดูแลพี่บ้าง และแทนที่พี่จะเปลืองแรงคิดโทษตัวเองหรือเกรงใจอะไรก็แล้วแต่อย่างที่พี่ชอบทำ ผมว่าพี่คิดแค่ทำยังไงก็ได้ที่จะหายดีเร็วที่สุดก็พอ”
   
“บ้านเราที่ไม่มีพี่นี่โคตรเหงาเลย” ซันเอ่ยออกมาตรงๆ
   
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก จนกระทั่งเจรู้สึกว่า มือเรียวยาวแข็งแรงที่ยังคงจับมือของเขาเอาไว้ไม่ปล่อยนั้นกระชับแน่นขึ้น
   
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างออกมาอย่างคนที่มีความสุขที่สุด
   
“สัญญาเลย สัญญาด้วยว่าถ้าหายเมื่อไหร่จะทำอะไรอร่อยๆให้กินกันด้วย”
   
“เย้... มันต้องอย่างนี้สิพี่ผม” น้องเล็กที่เห็นเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดร้องออกมาอย่างไม่ปิดบังความดีใจ เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนออกมาได้ในที่สุด

****************************

ไม่มีใครสังเกตเห็นเงาที่ยืนอยู่เป็นนานตรงหน้าประตูห้องคนป่วยที่ตอนนี้ดูจะครึกครื้นเหลือเกินจนเกือบจะลืมไปแล้วว่า หลายคืนก่อนหน้านั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเพียงใด ชายวัยกลางคนยืนนิ่งอยู่เป็นนานและเลือกที่จะถอยห่างออกมาจากประตู ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่รู้ข่าวว่าเด็กหนุ่มประสบอุบัติเหตุ เขาเดินทางมาที่โรงพยาบาลนี้ทุกวัน มาหยุดยืนรอที่หน้าห้องนี้ทุกวัน และต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองอยู่ทุกวันว่าควรจะเปิดประตูเข้าไปดีไหม
   
แล้วลูกจะให้อภัยกับความเห็นแก่ตัวของพ่อไหม
   
ความโกรธที่เคยคุกกรุ่นอยู่ในใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนจะจางหายไปจนหมดสิ้น ทันทีที่ได้รู้ว่าลูกชายเพียงคนเดียวประสบอุบัติเหตุหลังจากที่ทะเลาะกับผู้เป็นพ่ออย่างเขาอย่างรุนแรง เขาเกือบจะสูญเสียลูกไปแล้ว
   
จริงอยู่แม้เขาจะไม่ใช่คนเมาที่ขับรถชนลูกชายตัวเอง ไม่ใช่คนที่ทำให้ลูกเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาเป็นคนทำร้ายหัวใจลูกตัวเองกับมือ จนเกือบจะสายเกินไปนั่นแหละ จนเจต้องบาดเจ็บสาหัส ต้องมานอนรักษาตัวอยู่แบบนี้ เขาถึงจะได้คิดว่า ความสุขที่สุดของเขาคือ การที่ยังมีลูกอยู่ต่างหาก ไม่ใช่ลูกที่ต้องเรียนเก่ง ไม่ใช่ลูกที่เป็นหน้าเป็นตาให้เขาได้เอาไปคุยอวดใครต่อใครไปสามบ้านแปดบ้าน ไม่ใช่คนที่สอบได้ที่หนึ่ง หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เรียนในคณะที่พ่ออยากให้เรียน ไม่ใช่แม้แต่อย่างเดียว
   
แค่ลูกยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง
   
แต่ทุกครั้งที่ตั้งใจว่าจะแวะมาเยี่ยมลูกชาย เขาทำได้เต็มที่แค่หยุดยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะลงไปถามอาการจากพยาบาล แล้วก็กลับ นั่นเพราะเขาละอายแก่ใจ เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับลูกอย่างไรดีว่าขอโทษ อยากจะบอกว่าเขาเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน แต่ก็ไม่กล้าพอ


“สวัสดีค่ะ” ชายวัยกลางคนสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็มีเสียงเรียกเขาขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว “เอ่อ... มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” หญิงสาวผมสั้นท่าทางคล่องแคล่ว ที่เดินคู่มากับผู้ชายอีกคนที่ท่าทางภูมิฐานเหมือนกับเป็นคนสำคัญที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ถามออกมาเมื่อเห็นว่าชายแปลกหน้าคนนี้ทำท่าลังเลเหมือนไม่แน่ใจว่าจะเข้าไปในห้องคนป่วยดีไหม

“คือ ผม...” เขาชั่งใจ จะตอบอย่างไรออกไปดี จะเลี่ยงเหมือนกับทุกครั้ง หรือถึงเวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริงได้แล้ว “ผมเป็นพ่อของคนป่วยในห้องนี้ครับ”
   
“อ้าว คุณพ่อน้องเจหรือคะ” เมษประหลาดใจอย่างที่สุด แต่ก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้โดยอัติโนมัติ “เมษขอโทษนะคะ คือเมษไม่ทราบจริงๆ เพราะไม่มีโอกาสได้เจอคุณพ่อสักที” นายอานนท์ยกมือขึ้นรับไหว้ “เมษเป็นคนดูแลน้องเจกับน้องๆอีกสี่คนค่ะ ส่วนท่านนี้...” เธอหันไปทางชายร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “คุณเอ็ม ประธานบริษัทของเราเอง” ชายหนุ่มวัยอ่อนกว่าเขายกมือขึ้นไหว้อย่างไม่ถือเนื้อถือตัว ทำเอาอีกฝ่ายรับไหว้แทบไม่ทัน นี่ประธานบริษัทถึงกับต้องเดินทางมาเยี่ยมเด็กในสังกัดด้วยตัวเองเชียวหรือ
   
“เข้าไปด้วยกันไหมคะ” เมษถาม ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าชายผู้นี้ห่วงใยลูกที่นอนเจ็บอยู่ข้างในมากเพียงไร รู้แม้กระทั่งว่าเพราะอะไรเขาจึงได้ลังเล ราวกับตัดสินใจไม่ได้เสียทีว่าควรจะเข้าไปหาลูกชายดีไหม “เถอะค่ะคุณพ่อ เจจะต้องดีใจแน่ๆที่คุณพ่อมาเยี่ยมเขา”
   
ราวกับจะตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นเอง อานนท์พยักหน้า ก่อนจะปล่อยให้เมษทำหน้าที่เคาะประตูและเปิดเข้าไปอย่างคุ้นเคย
   
เสียงพูดคุยกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเป็นระยะหยุดลงทันทีเมื่อประตูเปิดออก
   
เมษเดินนำเข้าไปก่อน และก่อนที่เด็กๆจะได้ทักทายผู้จัดการวง ก็ถึงกับชะงักไปทันทีเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนเดินตามเข้ามาติดๆ
   
คุณเอ็ม
   
ทั้งคนป่วยที่ยังครึ่งนั่งครึ่งนอนและบุรุษพยาบาลจำเป็นอีกสี่คนก็พร้อมใจกับยกมือไหว้แขกพิเศษที่เดินทางมาโดยไม่บอกไม่กล่าวชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว ประธานบริษัทยกมือขึ้นรับไหว้พร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า
   
“พ่อ…” หนนี้คนป่วยเป็นฝ่ายตกใจมากกว่าเมื่อได้เห็นว่า แขกคนสุดท้ายที่เดินตามเข้ามาในห้องเป็นใคร “พ่อ...” เด็กหนุ่มเรียกออกไปได้เท่านั้น เหมือนคำพูดจุกอยู่ที่คอจนไม่อาจเปล่งเสียงใดๆออกไปได้อีก ความรู้สึกทั้งหมดประเดประดังเข้ามาจนตั้งตัวไม่ติด หยดน้ำใสๆไหลออกมาจากดวงตากลมโตคู่นั้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่เขาควรจะโกรธพ่อ ควรจะน้อยใจที่พ่อทำเหมือนไม่รักเขา แต่เอาเข้าจริงๆเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้เป็นเป็นห่วงเขาสุดหัวใจ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับมลายหายไปจนหมดสิ้น
   
อานนท์ไม่เอ่ยอะไร สีหน้าของเขาโล่งใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าลูกชายยังสบายดี เขาเดินตรงไปยังเตียงคนไข้ โยลุกขึ้นสละที่ให้กับชายวัยกลางคนอย่างรู้งาน ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะเข้าไปสวมกอดลูกชายที่ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจจะอดกลั้นอะไรเอาไว้ได้อีก เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่กอดลูกชายคนนี้เอาไว้แบบนี้มันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่เขารู้แน่ๆก็คือ ลูกชายของเขาตัวโตขึ้น และเติบโตขึ้นมาก แม้อาจจะผอมไปสักหน่อยก็ตาม
   
เขาลูบศีรษะลูกชายที่ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาเบาๆ
   
“พ่อขอโทษนะลูก” คำพูดเบาแสนเบาแต่ราวกับจะดังก้องไปทั้งห้องที่เงียบกริบ “เจยกโทษให้พ่อได้ไหม” ศีรษะกลมๆนั้นส่ายไปมาช้าๆ เด็กหนุ่มไม่อาจจะเอ่ยคำใดออกมาเป็นคำพูดได้ เขาเอาแต่ร้องไห้และกอดพ่อให้แน่นขึ้นกว่าเดิม แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว “ที่ผ่านมาพ่ออยากบอกเหลือเกินว่ารักลูกมากแค่ไหน แต่เพราะทิฐิและความดื้อดึงของพ่อแท้ๆ ที่ทำให้เราห่างเหินกัน พ่อขอโทษนะลูก” คำพูดที่ก่อนหน้านี้เคยคิดว่ากว่าจะเอ่ยออกไปได้มันช่างยากเย็น แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันกลับพรั่งพรูออกมาได้เองอย่างเป็นธรรมชาติจนน่าแปลกใจ
   
ภาพที่เห็นและคำพูดที่ได้ยินเป็นที่น่าสะเทือนใจต่อผู้ที่ได้เห็นยิ่งนัก เด็กหนุ่มอีกสามคนแม้พยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้เต็มที่ แต่ไม่วายต้องยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเอง โยยืนกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น เมษยิ้มแต่ก็เห็นได้ชัดว่าพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้อย่างหนักเหมือนกัน คงจะมีแต่คุณเอ็มเท่านั้นที่ยิ้มน้อยๆให้กับภาพตรงหน้า

*************************
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 05-01-2010 18:49:37
น้ำตาแอบซึมอะ

ดีใจจัง

ที่พ่อกับเจเข้าใจกันซะที
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 05-01-2010 18:55:25
“อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ก็ดีแล้ว” คุณเอ็มเอ่ยขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้พ่อลูกปรับความเข้าใจกันไปแล้ว บรรยากาศภายในห้องดูจะคลี่คลายมากขึ้น ที่สำคัญเห็นได้ชัดว่า การที่พ่อของคนป่วยมาเยี่ยมในคราวนี้ ทำให้เด็กหนุ่มมีสีหน้าที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การที่เอาเรื่องนี้มาบอกกับพวกคุณในสถานการณ์แบบนี้ จะเหมาะสมหรือเปล่า” คุณเอ็มเอ่ยขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน หลังจากที่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเด็กแต่ละคนไปบ้างแล้ว

“แต่นี่เป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ และผมจำเป็นต้องหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกับพวกคุณเร็วที่สุด”
   
ภายในห้องเงียบกริบ ทุกคนรอฟังอย่างใจจดใจจ่อว่าเรื่องสำคัญที่คุณเอ็มกำลังจะพูดออกมานั้นเป็นเรื่องอะไรกันแน่
   
“ที่จริงเราตั้งใจจะแจ้งให้ทุกคนทราบอยู่แล้วว่า อีกไม่ถึงสามเดือนต่อจากนี้ พวกคุณจะได้เปิดตัวในฐานะนักร้องหน้าใหม่เป็นที่แน่นอน” เด็กหนุ่มทั้งห้าคนหันไปมองกันด้วยสายตาที่อ่านออกมาได้ว่า ไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน “ผมเห็นแล้วว่าพวกคุณมีความพร้อม และด้วยศักยภาพที่มีผมจึงเลือกพวกคุณห้าคนเข้ามา แต่...”
   
ชายผู้กุมบังเหียนชีวิตของเด็กที่มีความฝันหลายคนเอาไว้ในมือ เงียบไปเป็นครู่
   
“อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นคราวนี้ มันส่งผลกระทบกับโปรเจ็กต์ใหญ่นี้โดยตรงอย่างไม่อาจจะเลี่ยงได้” ทุกสายตาหันไปจับจ้องอยู่ที่คนป่วยที่นั่งฟังอยู่อย่างตั้งใจ เจประสานมือทั้งสองข้างเอาไว้บนตักแน่นเสียจนขาวซีดแทบไม่มีสีเลือด เหมือนกับจะรู้ว่า นายใหญ่ของบริษัทจะเอ่ยอะไรต่อไป
   
“มันร้ายแรงขนาดที่ เราอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวง” เจก้มหน้าพลางกัดริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัวเหมือนกับทุกครั้งที่รู้สึกเครียดหรือตื่นเต้น ในขณะที่เด็กหนุ่มอีกสี่คนหันไปมองคุณเอ็มราวกับจะคาดคั้นว่าคำพูดนั้นมีความจริงจังแค่ไหน
   
คุณเอ็มไม่ยิ้ม ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว
   
“เข้าใจที่ผมพูดไหมเจ” หนนี้คุณเอ็มหันไปถามจากคนป่วยเองโดยตรง เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ เขามีหรือจะไม่คิดว่าเรื่องนี้ว่ามันจะมีผลกระทบมากแค่ไหน แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ

“มีอะไรจะพูดไหม” คุณเอ็มออกปากถามตรงๆ

เจเงยหน้าขึ้นมองคุณเอ็มสลับกับเมษ ที่ตอนนี้มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กับสมาชิกในวงอีกสี่คนเช่นกัน ห้องสีขาวที่ดูแคบลงไปถนัดตาเมื่อทุกคนเข้ามาอยู่รวมกันแบบนี้ และตอนนี้มันก็ตกอยู่ในความเงียบชนิดที่แทบจะได้ยินเสียงหายใจของแต่ละคนได้เลย เด็กหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายใหญ่ของพวกเขา
   
“ถ้าผมต้องกลายเป็นคนพิการ หรือกลายเป็นตัวถ่วงของวงไปตลอด ผมก็คงจะยอมรับได้” เจเอ่ยออกมาชนิดชัดถ้อยชัดคำจนแม้แต่ตัวเองก็ยังนึกแปลกใจ เขาน่าจะเสียใจ ร้องไห้ฟูมฟายกับโอกาสที่ลอยอยู่ตรงหน้าแต่จู่ๆก็กำลังจะหลุดลอยไปเสียแล้วมากกว่า แต่นี่เขากลับรู้สึกนิ่งอย่างประหลาด “แต่ผมยังหายได้ อีกแค่สามเดือนเท่านั้น ผมก็จะหายแล้ว”
   
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง
   
“ผมอาจจะเห็นแก่ตัว ถ้าจะบอกว่าขอเวลาให้ผมรักษาตัวให้หายได้ไหม ผมหายได้แน่นอน อาจจะไม่ทันใจนัก แต่ผมจะหายให้ดู แล้วผมจะลุกขึ้นไปร้องเพลง เต้น อะไรก็ได้ที่คุณอยากให้ผมทำ” เขาหันไปสบตากับสมาชิกในวงอีกสี่คน “ผมพูดจากใจจริง ผมอยากเป็นนักร้อง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ผมอยากร้องเพลงกับสมาชิกในวงของผมเท่านั้น เราต่อสู้ด้วยกันมา ผูกพันกันมา ผมรักพวกเขา และผมก็รู้ว่าพวกเขารอผมอยู่”
   
เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าคุณเอ็มด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยว
   
“เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งตัดโอกาสผมเลยนะครับ”
   
หนุ่มใหญ่ร่างสูงแม้ไม่เอ่ยอะไร แต่หันไปมองเด็กหนุ่มอีกสี่คนที่เหลือ
   
“แล้วพวกเธอล่ะจะว่ายังไง จะยอมไหม”
   
“พวกผมยอมออกอัลบั้มช้าไปอีกปีนึงก็ยังได้ครับคุณเอ็ม ถ้าต้องรอพี่เจ จะนานกว่านั้นอีกสักเท่าไหร่ก็ได้”
   
“ผมเคยคิดว่า ตัวเองอยากเป็นนักร้องชนิดจะให้แลกกับอะไรผมก็ยอม” ซันว่าขึ้น “แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมรักวงของผม ตลกนะครับทั้งที่เรายังไม่มีชื่อวงกันเลยแท้ๆ” เด็กหนุ่มหัวเราะขื่นๆ “ไม่รู้เพราะ อะไร ถ้าไม่ใช่กับสมาชิกที่เหลืออีกสี่คนแล้ว มันเหมือนกับบางอย่างมันขาดหายไป”
   
“แม้ว่าเธอจะมีศักยภาพมากถึงขนาดจะเป็นนักร้องเดี่ยวก็ได้อย่างนั้นหรือ”
   
ซันพยักหน้า เด็กหนุ่มที่เหลือต่างก็พยักหน้า เด็กพวกนี้ไม่มีความลังเลเลยสักนิด
   
“แล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นล่ะ พวกคุณจะให้ผมทำยังไง”
   
“เสียหายมากแค่ไหนล่ะครับคุณเอ็ม” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มที่ทำหน้าที่หัวหน้าวงเอ่ยออกมาในที่สุด
   
“หลักแสน อาจจะถึงหลักล้าน”
   
“คุณเอ็มเชื่อมั่นไหมครับว่าพวกผมจะดังได้”
   
“ผมเลือกพวกคุณเองกับมือ ผมย่อมเชื่อในสายตาของผมอยู่แล้ว”
   
“ถ้าอย่างนั้นพวกผมก็เชื่อเหมือนกันครับ ถึงตอนนั้นพวกผมจะโด่งดังมีชื่อเสียง และจะทำผลกำไรให้กับบริษัทได้แน่นอน”
   
คุณเอ็มถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกจากปากเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีเลยด้วยซ้ำ หากเป็นคนอื่นมาพูดแบบนี้ให้เขาฟัง เขาคงจะปรามาสว่าช่างโอหังและทะนงตนนัก แต่ในขณะที่เด็กหนุ่มคนนี้ยืนเผชิญหน้ากับเขา ยืดอกพูดอย่างไม่หวาดหวั่น ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง ทำไมเขาจึงรู้สึกเชื่อมั่นในคำพูดที่ได้ยินนัก เขารู้มานานแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้นิสัยใจคอเป็นผู้ใหญ่เกินตัว อีกทั้งความคิดความอ่านก็โตเกินวัย แล้วยังมีน้ำจิตน้ำใจยังเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก เพิ่งได้มาเจอกับตัวเองก็คราวนี้
   
“แล้วถ้าพวกเธอไม่ดัง ไม่ประสบความสำเร็จ หรือแม้แต่ทำให้บริษัทของเราขาดทุนล่ะ” เขายังเอ่ยลองใจต่อไป “เคยคิดบ้างไหมว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป”
   
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ” หนุ่มใหญ่หรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่คาดฝันนั้น “เพราะพวกผมไม่เคยคิดถึงมันเลย”
   
เขาประเมินเด็กพวกนี้ต่ำเกินไปจริงๆ
   
“เราคิดแค่ว่า ถ้าเป็นพวกเราห้าคนล่ะก็ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น” แม็กเอ่ยขึ้นบ้าง ปกติน้องเล็กของวง เวลาอยู่หน้าคนอื่นจะขี้อาย พูดน้อยเหมือนคนที่ไม่ค่อยมีปากเสียงอะไรนัก ยากจะเชื่อว่าคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มร้อยจะออกมาจากปากเด็กหนุ่มร่างสูงคนนี้
   
“โดยเฉพาะเจ” โยว่าต่อ “ถ้าเปรียบพวกเราเป็นร่างกาย พวกผมอาจจะเป็นแขนและขา แต่เจ... เป็นหัวใจของวงครับ”
   
เด็กหนุ่มที่นั่งฟังอยู่น้ำตาไหลออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ รู้แค่ว่า คำพูดต่างๆที่ทุกคนเอ่ยมานั้นมันกินใจเขาเหลือเกิน เขารู้ว่าเขารักทุกคนในวง แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความหมายและมีความสำคัญต่อสมาชิกในวงมากถึงขนาดนั้น
   
“แล้วถ้าคุณเอ็มหรือใครๆยังยืนยันจะถอดพี่เจออกจากวงเราให้ได้ พวกเราก็คงจะต้องขอถอนตัวด้วยเหมือนกัน”
   
“พวกเธอยอมทิ้งโอกาสดีๆแบบนี้เลยหรือ ไม่เสียดายเลยงั้นหรือ”
   
“เสียดายสิครับ คงเสียดายที่สุดในชีวิตเลยล่ะ แต่คงจะไม่เท่ากับที่ต้องเสียพวกเราคนใดคนหนึ่งไป”
   
“เชื่อไหมครับว่าพวกเราทำได้จริงๆ”
   
หนนี้กลายเป็นนายใหญ่อย่างคุณเอ็มที่พูดไม่ออก จริงอย่างที่เมษว่าไว้ เด็กพวกนี้ผูกพันกันยิ่งกว่าเพื่อน มันยิ่งกว่าความเป็นวง พวกเขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้นมากมายนัก
   
“เพราะฉะนั้น คุณเอ็มครับ” โยมองเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม “พวกเราขอร้องนะครับ ให้โอกาสเจเถอะนะครับ ให้เจได้อยู่ต่อไปเถอะ อย่าตัดโอกาสเขาเลย”
   
“ได้โปรดเถอะนะครับ” เด็กหนุ่มที่เหลือพร้อมใจกันเอ่ยปากขอร้องหนุ่มใหญ่ที่ยังคงนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
   
“ถือว่าผมขอร้องด้วยอีกคนเถอะครับ” เจทำตาโตเมื่อคนที่เอ่ยคำพูดที่คาดไม่ถึงนี้ออกมาก็คือพ่อของเขาเอง “ที่ผ่านมา ผมไม่ได้ทำตัวเป็นพ่อที่ดีของลูกสักเท่าไหร่ เพราะผมไม่คิดว่าสิ่งที่ลูกทำมันสำคัญและมีความหมายต่อเขาแค่ไหน” อานนท์ยกมือวางบนศีรษะของลูกชายเบาๆและเต็มไปด้วยความรักใคร่ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ความพยายามของลูกชายนั้นช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ที่ทำให้เขาตื้นตันยิ่งกว่าก็คือ เจเป็นที่รักของทุกคน จนพ่อของเขานึกละอายว่าได้มองข้ามลูกชายตัวเองไปได้อย่างไรกันหนอทั้งที่เป็นพ่อแท้ๆ
   
“แต่ผมเชื่อว่าลูกผมเป็นนักสู้ และรักษาคำพูด ถ้าเขาบอกว่าทำได้ ก็แปลว่าเขาทำได้จริงๆ ผมรับประกันให้ได้” เขาพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “แล้วถ้าลูกผมเหลวไหล หรือทำให้พวกคุณผิดหวังอะไรก็ตาม ความเสียหายมากเท่าไหร่ ผมก็จะขอรับผิดชอบเอง”
   
“พ่อครับ” เจจับมือพ่อเอาไว้แน่น ราวกับจะบอกว่า เพียงแค่พ่อเข้าใจและสนับสนุนเขาเท่านี้ก็พอแล้ว พ่อไม่จำเป็นต้องออกหน้าแทนเขาขนาดนี้เลยสักนิด
   
“ผมอาจจะไม่ใช่คนสำคัญอะไร เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่คุณอาจจะไม่ต้องสนใจเลยก็ได้ แต่ผมก็ยังอยากจะขอร้องคุณอยู่ดี ให้โอกาสลูกผมอีกครั้งนะครับ”
   
คุณเอ็มที่เอาแต่นิ่งเงียบอยู่เป็นนาน สีหน้าของเขาเรียบนิ่งเสียจนอ่านไม่ออกว่าในใจคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งจู่ๆรอยยิ้มกว้างในแบบที่ยากจะมีใครเคยเห็นได้ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้ใบหน้าที่ปกติดูเคร่งเครียดและน่าเกรงขามนั้น น่ามองขึ้นเป็นอักโข
   
“ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยถูกใครรุมขอร้องอะไรมากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ”
   
แน่นอนว่าสีหน้าของแต่ละคนในยามนี้ยิ่งงงหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นปฏิกิริยาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นถึงประธานบริษัทบันเทิงที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆของประเทศ
   
“คุณพ่อครับ ผมขออะไรคุณพ่อแค่อย่างเดียวได้ไหมครับ” ชายวัยกลางคนพยักหน้าตอบทั้งที่ยังไม่หายแปลกใจสักเท่าไรนัก “ส่งเสียให้เจเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเถอะนะครับ ผมคงจะดีใจกว่านี้ถ้าเด็กในสังกัดผมได้เรียนไปด้วย”
   
นายอานนท์ยิ้มก่อนจะยื่นมือออกไป
   
“ผมตั้งใจจะบอกลูกแบบนี้อยู่แล้วล่ะครับ” คุณเอ็มจับมือตอบราวกับจะบอกว่านี่คือสัญญาลูกผู้ชาย
   
“ส่วนพวกเธอ อาทิตย์นี้ถือซะว่าผมให้พักกันยาวหน่อย จะได้ดูแลคนป่วยได้เต็มที่ด้วย แต่ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป ตารางซ้อมอันใหม่ของพวกคุณจะออกมาแล้ว อย่าอู้เด็ดขาด ไม่งั้นจะหาว่าผมไม่เตือนไม่ได้นะ” ปากแม้จะขู่ แต่สีหน้าดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่จะใจร้ายขนาดนั้นได้เลย
   
“ส่วนคนป่วย” คุณเอ็มหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่ยังนั่งหน้าเหวออยู่บนเตียง “สามเดือนเท่านั้นนะ ผมรอได้แค่สามเดือน คุณต้องลุกขึ้นมาร้องเพลงและเต้นได้เหมือนอย่างที่สัญญากับผมเอาไว้ รับรองเลยว่าหายดีเมื่อไหร่ ผมจะจัดตารางให้คุณชนิดที่จะทำให้คุณพูดไม่ออกเลยทีเดียว”
   
เจยิ้มออกมาได้ในที่สุด ก่อนจะเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวไม่แพ้กัน
   
“ผมจะนับวันรอเลยล่ะครับ”
   
“ดี ผมชอบนะ คนแบบพวกคุณเนี่ย ใจถึงดี” ก่อนจะหันไปพูดกับหญิงสาวที่ได้แต่ยืนยิ้มโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
   
“ไปคุณเมษ ไปช่วยผมเตรียมการประชุมคราวหน้าหน่อย คงได้ถกกันสนุกล่ะหนนี้”
   
ทั้งคู่ยกมือไหว้ลาชายวัยกลางคนที่อาวุโสสูงกว่าใครในห้อง ก่อนจะขอตัวกลับ
   
ทันทีที่ประตูห้องปิดลง เด็กหนุ่มทั้งห้าคนได้แต่หันไปมองหน้ากันไปมา เหมือนกับยังไม่หายงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก่อนที่ใครสักคนจะเอ่ยทำลายความเงียบอย่างอดรนทนไม่ได้
   
“แปลว่าอะไรวะพี่...” ชุนหันไปถามหัวหน้าวงที่ก็กำลังหันไปมองหน้าคนป่วยที่หน้าเป็นเครื่องหมายคำถามไม่ต่างกับน้องคนอื่นๆ
   
“ก็... “ ขนาดโยยังไม่กล้าเอ่ยออกไป เพราะไม่แน่ใจเหมือนกัน กลัวแต่ว่ามันจะเป็นแค่ความฝันที่พอตื่นขึ้นแล้วเรื่องจะกลับตาลปัตรไปเสีย “แปลว่าวงเราน่าจะยังอยู่พร้อมหน้ากันห้าคนนะ ถ้าพี่เข้าใจอะไรไม่ผิดน่ะ”
   
“ให้ผมสรุปนะพี่ อาทิตย์นี้เราได้พัก อาทิตย์หน้ากลับไปซ้อม พี่เจก็รักษาตัวให้หาย หายแล้วต้องซ้อมหนัก แต่ที่แน่ๆพวกเราอยู่กันครบห้าคนเหมือนเดิม ประมาณนี้” น้องเล็กที่ฉลาดล้ำตามประสาเด็กเรียนเอ่ยออกมาพลางส่ายหน้าเบาๆเป็นเชิงตำหนิกลายๆว่า พวกพี่เนี่ย คิดอะไรช้าเสียจริง
   
“งี้... พี่เจก็ยังอยู่กับพวกเราใช่ไหม” ซันร้องออกมา “โอ๊ย... ดีใจ” ว่าแล้วก็ตรงเข้าไปกอดพี่ชายคนโตของวงทันทีด้วยความยินดี ชุนก็เลยเข้าไปร่วมวงด้วย โยกอดทั้งสามคนเอาไว้ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งให้น้องชายคนเล็กที่ก็เดินเข้ามาร่วมวงกอดคนป่วยด้วยอีกคน
   
คำพูดที่ว่ากอดกันกลม ก็คงไม่ต่างอะไรกับภาพที่เห็นตรงหน้านี่แหละ
   
“ว้า... ไม่เอาสิพี่เจ ร้องไห้อีกแล้ว” หนุ่มผู้อ่อนไหวอย่างชุนเอ่ยขึ้นเมื่อผละออกมาแล้วเห็นคนป่วยน้ำตาไหลออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ “เดี๋ยวผมก็ร้องตามหรอก”
   
“พี่ซึ้งน้ำใจทุกคนมาก ขอบใจนะที่ให้ความสำคัญกับพี่ขนาดนี้” เจว่าตามความรู้สึกที่แท้จริง ก่อนจะหันไปทางหัวหน้าวง “ขอบใจมากโย” ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่นั้นไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป แต่กระชับมือที่วางบนบ่าของคนป่วยอย่างอ่อนโยนและหนักแน่นในที
   
“พ่อครับ” เด็กหนุ่มเรียก ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้พ่อ ทั้งอยากจะขอบคุณที่พ่ออุตส่าห์เอ่ยปากขอร้องคุณเอ็มด้วยตัวเอง ขอบคุณที่พ่อยอมรับการตัดสินใจของเขา และขอบคุณที่พ่อจะส่งเสียให้เขาได้เรียนต่อ แม้จะเป็นเพียงความคิดที่ไม่รู้จะเรียบเรียงออกมาอย่างไรดี แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีความจำเป็นเสียแล้ว เพราะพ่อพยักหน้าให้เขาก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอดลูกชายอีกครั้ง มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าเจคิดอะไร พร้อมกับบอกตัวเองว่า ต่อไปนี้เขาที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อนี่แหละจะคอยสนับสนุนลูกอย่างเต็มที่เอง

*************************
   
น่าแปลกที่หลังจากเกิดเรื่องราวตั้งมากมาย ทั้งที่เขาต้องกลับมานอนอยู่คนเดียวแบบนี้อีกครั้ง แต่กลับไม่รู้สึกอ้างว้างเหมือนอย่างที่เคยรู้สึกอีกแล้ว พ่อกลับไปแล้ว น้องๆก็ขอตัวกลับไปก่อน ส่วนโยกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะกลับมานอนเฝ้าเขาพร้อมกับหนังสือเตรียมสอบชุดใหญ่ แถมต้องรับศึกหนักติวให้เขาด้วย ยังดีที่ก่อนหน้านั้นเขาเข้าเรียนตามปกติและอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคมาบ้างแล้ว ที่สำคัญสำหรับเด็กนักเรียนที่เตรียมเอ็นทรานซ์อย่างพวกเขา ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนตลอดทั้งวันและทุกวันอีกต่อไป เรื่องโรงเรียนจึงหายห่วง เพราะเพื่อนต๊อกที่ทราบข่าวช่วยเป็นธุระให้เขาเป็นที่เรียบร้อย
   
เขาจะได้กลับไปสอบเอ็นทรานซ์เหมือนคนอื่นๆเสียที แล้วก็จะได้เรียนต่อแล้วด้วย
   
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทาบอกข้างซ้าย ก่อนจะคิดกับตัวเองในใจว่า วันนี้หัวใจทำงานหนักเกินไปเสียแล้ว ขอนอนเอาแรงสักหน่อยก็แล้วกัน โยกลับเข้ามาเมื่อไหร่ค่อยตื่นขึ้นมาทานมื้อเย็นก็ยังไม่สาย ก่อนจะปิดเปลือกตาลงทั้งที่ยังมีรอยยิ้มจุดอยู่ที่มุมปากแบบนั้น

**********************
   
หญิงสาวที่นั่งรถคู่กับประธานบริษัทเป็นครั้งที่สองในรอบวัน หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของหนุ่มใหญ่ที่นั่งยิ้มไม่พูดมาจาอยู่เป็นนานตั้งแต่รถประจำตำแหน่งเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาล โดยมีคนขับรถส่วนตัวทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง อดรนทนไม่ได้ เมษจึงต้องเป็นฝ่ายออกปากเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาเสียเอง
   
“เมษยังงงอยู่เลยค่ะคุณเอ็ม” คำพูดตรงไปตรงมานั้น ทำเอาคนฟังหลุดขำออกมาในที่สุด
   
“งงอะไร ผมก็ว่าผมชัดเจนออกจะขนาดนั้นแล้วนะ”
   
“แค่เมษนึกไม่ถึงว่า คุณเอ็มจะเล่นแบบนี้เลยน่ะค่ะ”
   
“เขาเรียกว่าวัดใจไงคุณเมษ ก่อนมาที่นี่ผมบอกตัวเองว่า จะขอลองเสี่ยงกับเด็กพวกนี้ดูสักตั้ง” เสียงทุ้มใหญ่นั้นลดความเข้มงวดลง และดูจะชอบอกชอบใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปหมาดๆนั้นอย่างไม่ปิดบัง “ผมว่าตัวเองตาถึงแล้วนะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะตาถึงขนาดนี้”
   
“เรื่องเด็กๆน่ะหรือคะ”
   
“ผมเป็นคนเลือกเขามาเองนะ มีหรือจะไม่รู้ว่าเด็กที่เลือกมาน่ะเป็นยังไง แล้วผมเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายขนาดนั้นด้วย” คุณเอ็มว่าต่ออย่างสบายอารมณ์ “แค่เด็กบาดเจ็บแค่นี้ ทำไมจะรอไม่ได้ล่ะ ไอ้ความเสียหายอะไรนั่นก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราก็ต้องช่วยกันคิดอ่านแก้ไขกันไป เด็กมันไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย”
   
คุณเอ็มยังเล่าต่อทั้งรอยยิ้ม
   
“แต่ไอ้ที่ผมอยากรู้น่ะ ก็คือเด็กพวกนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่างหาก ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกในวงของเขา คุณเมษ เด็กเก่งน่ะ หาที่ไหนก็มี แต่เด็กที่นอกจากจะขยันและมุ่งมั่นแล้วยังมีความเป็นทีมเวิร์กแบบนี้ ไม่ได้หากันง่ายๆนะ ผมชอบความเป็นทีมของพวกเขามาก ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาหรือได้ยินกับหูล่ะก็ ผมคงไม่เชื่อว่าเด็กพวกนี้จะรักกันขนาดนี้”
   
“นึกดูนะ เด็กเจนั่น... ใจมันแข็งไม่เข้ากับหน้าหวานๆของมันเลยจริงๆ” ว่าถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะชอบใจออกมา “ถ้าเป็นคนอื่น ผมอาจจะได้ยินคำพูดอย่าง ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงเพื่อนๆ หรือผมยอม หรือแล้วแต่คุณเอ็ม หรือไม่ก็คร่ำครวญขอร้องอะไรก็ตาม แต่นี่ผมไม่คิดเลยว่าจะกล้าต่อรองกับผม เห็นแววตามันแล้ว ผมยอมให้เลยนะ เด็กอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้”
   
“เจเป็นคนแบบนี้แหละค่ะ บทเขาจะอ่อนโยนเขาก็น่ารัก แต่พอจะเข้มแข็งขึ้นมาก็น่านับถือใจเขา”
   
“ส่วนเด็กโย เหมาะแล้วที่เป็นหัวหน้าวง ไอ้เราก็คิดว่า เป็นเพราะอายุมากกว่าคนอื่นก็เลยได้เป็นหัวหน้าวงโดยอัตโนมัติ แต่คนๆนี้มันเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำจริงๆ เห็นใช่ไหมตอนมันบอกมันจะดัง จะประสบความสำเร็จให้ดูน่ะ มันกล้ามากเลย พูดทีไม่มีหลบตาผมสักนิด” เมษถึงกับนึกขำเมื่อเห็นนายใหญ่พูดถึงเด็กๆในความดูแลด้วยความชื่นชม ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่กำลังปลื้มกับอะไรสักอย่าง
   
“ส่วนอีกสามคนนั่น ก็ยืนหยัดให้เพื่อนร่วมวงตัวเองชนิดถวายหัวจริงๆ ถ้าไม่ใช่ห้าคนนี่ยังไงก็ไม่ได้งั้นหรือ” หนุ่มใหญ่หัวเราะเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “มันแน่จริงๆแฮะ ไอ้เด็กพวกนี้”
   
“คุณเอ็มเพิ่งรู้หรือคะ” เมษอดรนทนไม่ได้ถึงกับออกปากแซวท่านประธานขึ้นมาบ้าง
   
“รู้มานานแล้ว แต่เพิ่งเคยเจอกับตัวไง” เขาว่าด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “ผมเลือกคนไม่ผิดจริงๆ วงน่ะคุณเมษ ต่อให้เก่งมาจากไหน แต่ถ้าไม่มีความรักและความเป็นหนึ่งเดียวต่อกัน ไม่นานก็ต้องแยกย้ายกันไป ผมไม่อยากให้วงที่ผมหมายมั่นปั้นมือเป็นแบบนั้น ผมอยากให้พวกเขาสู้ไปด้วยกัน ฝ่าฟันไปด้วยกันให้ได้นานที่สุด และถ้าหากมีวันนึงที่แต่ละคนต้องไปตามทางของตัวเอง ก็ขอให้แน่ใจว่าเพราะมันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ไม่ใช่เพราะโกรธกัน เกลียดกัน แก่งแย่งชิงดีกัน หรือเข้ากันไม่ได้เหมือนอย่างเวลาที่วงอื่นๆออกมาพูดกันปาวๆ” เขาหันไปมองเออาร์สาวที่นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
   
“พวกเขาคือวงในฝันที่ผมต้องการเลยล่ะ”
   
“แล้วตกลง” เมษเว้นระยะไปครู่หนึ่ง “คุ้มค่าเสี่ยงไหมคะคุณเอ็ม”
   
“เกินคุ้ม”

“งั้นเมษก็ขอดูแลเด็กห้าคนนี้ต่อเลยก็แล้วกันนะคะ” เธอว่าขึ้นหน้าตาเฉย
   
“เมื่อไหร่พวกเขาดังคงจะเหนื่อยกว่านี้มาก ไหวไหมล่ะ”
   
“คุณเอ็มพูดอยู่กับใครคะ” เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากชายหนุ่มออกมาได้อีกครา
   
“แต่ก่อนอื่น เตรียมใจไว้เลย ประชุมคราวหน้าคุณกับผมคงต้องโน้มน้าวบอร์ดกันเหนื่อยเลยล่ะ”
   
“หายห่วงค่ะคุณเอ็ม เดี๋ยวเมษจัดให้”
   
ทำเอาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานหันไปมองหญิงสาวที่นั่งข้างๆอย่างนึกทึ่งในที
   
“ลองคุณเอ็มไฟเขียวมาแบบนี้แล้ว เมษจะได้เอาจริงเสียที”
   
ก็ขนาดประชุมครั้งล่าสุดหญิงสาวยังทำเอาบอร์ดสะอึกกันทั้งห้อง นี่ถ้าเอาจริงขึ้นมา เผลอๆประธานอย่างเขาอาจจะแทบไม่ต้องลงมืออะไรเลยเสียแล้วกระมัง

----------------------------------------------

จบตอนสำคัญไปแล้ว ขนาดคนเขียนเองแท้ๆ เอามาลงจนจบยังรู้สึกโล่งใจเลยล่ะค่ะ

Beats of Life ตอนหน้าจะเป็นตอนจบแล้วนะคะ

แต่... แต่และแต่...

มันยังไม่จบบริบูรณ์หรอกค่ะ ^_^ เนื่องจากว่า หลายคนที่ก่อนหน้านี้เคยได้อ่านงานของเราไป ต่างก็บ่นกันอุบว่าคิดถึงน้องขนาดหนัก ถึงขนาดที่มากดดันให้เราเขียนภาค 2 ต่อ ซึ่งขอบอกค่ะว่า การเขียนนิยายภาคต่อนั้น เอามีดมาแทงกันเลยยังจะง่ายเสียกว่า ยิ่งเป็นนิยายที่วางพล็อตเสร็จสมบูรณ์แบบไม่คิดว่าจะมีภาค 2น่ะ ยากมากค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น... เราก็เกิดนึกสนุก ทำไซด์โปรเจ็กขึ้นมา นั่นก็คือ ตอนพิเศษสั้นๆของ Beats of Life โดยเน้นไปที่เรื่องราวของเด็กๆทั้ง 5 คนนี้โดยเฉพาะค่ะ ซึ่งบอกไว้ก่อนนะคะว่า เป็นการเขียนแบบทดลองสนุกๆ คิดอะไรได้ก็เขียน และไม่มีการวางพล็อต แต่ละตอนจะจบสมบูรณ์ในตอนไปเลย และที่สำคัญ เป็นการเขียนแบบเอาแต่ใจตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ก็เชื่อว่าน่าจะถูกใจแฟนโยกับเจ และน่าจะทำให้หายคิดถึงน้องได้อย่างแน่นอนค่ะ

ก็เอาเป็นว่า ตอนหน้า ตอนที่ 12 จะเป็นตอนจบของนิยายเรื่องนี้แล้ว แต่หลังจากนั้น คนเขียนก็จะเอาตอนพิเศษมาลงให้ได้อ่านกันเรื่อยๆจนกว่าจะหมดสต๊อกค่ะ และอย่างที่บอกไปแล้ว Beats of Life จะมีรวมเล่มแน่นอน และจะนำเรื่องสั้นไซด์โปรเจ็กต์ทั้งหมดมารวมเอาไว้ด้วย ที่สำคัญตามธรรมเนียมค่ะ รวมเล่มจะมีตอนพิเศษที่แต่งเพิ่มและจะไม่ถูกนำมาลงไว้ในนี้ค่ะ ส่วนจะรวมเล่มเมื่อไร คนเขียนจะคอยเข้ามาบอกเล่าเก้าสิบให้ได้ทราบกันนะคะ

อ่านให้สนุก มีความสุขทุกท่านเช่นเคยค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 05-01-2010 23:25:09
บอกได้คำเดียว  "ซึ้ง"   :monkeysad:
แบบว่าตอนพ่อยอมมาหาเจเนี่ย  น้ำตาแตกไปเรียบร้อย 
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 06-01-2010 09:43:47
ซึ้งมากๆ  แต่ตอนหน้าจบแล้วเหรอสั้นเนอะ เขาก็รอตอนหน้ามาเร็วนะ   :bye2:
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 07-01-2010 15:08:53
พอพายุใหญ่ ผ่านพ้นไป ท้องฟ้าก็สดใส ไร้ซึ่งเมฆหมอก

อ่านตอนนี้แล้ว รับรู้ได้ถึงความรักที่แต่ละคนมีให้กัน อีกทั้งความรักของพ่อ

ซึ่งยอมทุกอย่างแม้กระทั่งศักดิ์ศรีที่ตัวยึดเอาไว้ แม้เกือบจะสายไป แต่ก็ยังทันท่วงที

มีความสุขจริง ๆ ครับ เป็นกำลังใจให้เสมอ ๆ +1 ด้วย  :m1:
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 07-01-2010 16:05:44
หวัดดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

ฮือๆๆๆ ทำเราร้องไห้เลยอ่ะ จนน้องๆ งงว่าพี่เป็นอะไร
ทำเราหน้าแดง หูแดง น้ำตาไหลพรากกก
แต่ก็มีความสุขมาก ที่เรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายไปได้เป็นอย่างดี

อย่างที่บอกว่า แต่งภาค 2 เอามีดมาแทงกันดีกว่า....
งั้น แทงแทงแทง อีกหลายๆ ทีเลยค่ะ เผื่อ เพลงรัก จะมีภาค2 กับเค้า อิอิ
นะนะนะนะคะ พรีสสสส

ก่อนจะได้อ่าน เพลงรัก ภาค 2 (ใครเค้ารับปากกับเธอยะ) ก็ขออ่าน Beats of Life ภาค2
ไปก่อนก็ได้ค่ะ

บวก1 ให้คุณนิ้วไขว้ค่ะ
เราเพิ่งจะ บวก1 ได้ กดให้คุณนิ้วไขว้เป็นคนแรกเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 07-01-2010 23:44:20
กดดันคนเขียนมันบาปนะคะคุณ MaeMoo

เอาเป็นว่า รออ่านไซด์โปรเจ็กต์ไปก่อนนะคะ... รับรองว่าถ้าเป็นแฟนน้องสองคนนี้จะต้องชอบและหายคิดถึงแน่ๆค่ะ...  :pig4:
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 08-01-2010 08:38:58
ก็ได้ค่า รออ่านไซด์โปรเจ็กต์ก่อนก็ได้ค่ะ

เดี๋ยวบาปไปมากกว่านี้ ไว้สักพักค่อยมาบาปต่อ อิอิ

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องราวดีๆ แบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: กุหลาบเดียวดาย ที่ 08-01-2010 10:28:23
ขอบคุณค่ะคุณนิ้วไขว้

+ให้ :pig4:
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 11 part 2 #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: Yukisae ที่ 08-01-2010 22:34:23
ซึ้งงง ความรักของเด็กๆมันมากมายจริงๆ
เจคือหัวใจของวง TT_______TT ร้องไห้ไป3รอบ
ตกใจหมดที่บอกว่าพาทหน้าตอนจบ
ม่ายน้า..... :serius2: อย่าเพิ่งจบเลยยยยยยย
โยเจ  :o12:
หัวข้อ: Re: #*#* Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 12 (จบ) #*#* UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 09-01-2010 18:59:47
ตอนจบแล้วนะคะทุกคน ^_^

อ่านจบแล้ว อย่าลืมอ่านข้อความจากคนเขียนต่อนะคะ

--------------------------------------------------

บทที่ 12

เด็กหนุ่มนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่สีขาวที่เต็มไปด้วยเก้าอี้ ข้าวของ สัมภาระมากมายวางกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองเงาตัวเองในกระจกบานใหญ่ แล้วก็ให้อดทึ่งไม่ได้จริงๆ ที่ว่าคนเราพอแต่งหน้า ทำผม แต่งตัวออกมาแล้วจะดูดีขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง ที่ผ่านมาเวลาที่ถูกชมว่าหน้าสวย ตัวเขาที่เป็นเด็กผู้ชายแท้ๆ จะรู้สึกไม่คอยชอบเท่าไหร่แท้ๆ แต่พอได้มาเห็นตัวเองในสภาพนี้แล้ว ก็ชักจะเริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
   
ต้องยกความดีความชอบให้กับช่างแต่งหน้า ทำผม และสไตลิสต์ที่ฝีมือดีโดยแท้ ผมสีดำสนิทของเขาถูกทำสีให้สว่างขึ้นรับกับใบหน้าอย่างยิ่ง ที่เคยยาวรุงรังไม่เป็นทรง ก็ถูกจัดแต่งเสียใหม่จนดูดีและทันสมัยรับกับใบหน้า ดวงตากลมโตนั้นถูกวาดให้คมขึ้นแต่ก็ไม่ได้ดูจัดจ้านเกินไป ริมฝีปากอิ่มๆที่มีสีสวยตามธรรมชาติอยู่แล้วก็ไม่ได้ถูกแต่งแต้มจนเกินไป แม้ใบหน้าจะดูสวยหวานก็จริงแต่ก็ยังคงดูเป็นเด็กผู้ชายอยู่ดี นี่แหละที่เขาชอบ
   
ก้มลงมองเสื้อผ้า สีสันโดยรวมออกมาเป็นโทนดำ เทา สลับกับขาว เป็นสีแบบที่เขาชอบ เสื้อถูกออกแบบมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ ใส่สบายและดูดี ส่วนกางเกงสีดำเข้มก็ช่วยเน้นช่วงขาของเขาให้ดูเพรียวและยาวขึ้น บวกกับสร้อยเงิน แหวนบนนิ้วและต่างหูที่เป็นสมบัติของเขาเอง แถมได้รองเท้าบู๊ตคู่สวยที่เท่เอามากๆเสียจนเขาชักอยากมีไว้เป็นเจ้าของขึ้นมาตงิดๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะดูดีขึ้นได้ถึงเพียงนี้
   
หันไปมองดูน้องๆคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นซัน ชุน หรือแม็ก ก็ล้วนแล้วแต่ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา จนเขาที่เป็นพี่ใหญ่ของวงก็ยังอดชื่นชมไม่ได้ ความวุ่นวายภายในห้องดูเหมือนภาพสโลว์โมชั่น มันดูเหมือนภาพฝันมากกว่าความจริงเหลือเกินในความรู้สึกของเขาตอนนี้
   
เจวางมือที่สวมถุงมือสีดำข้างหนึ่งลงบนขาของตัวเอง ขาข้างที่เคยบาดเจ็บ และเป็นการบาดเจ็บที่เกือบจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปทั้งชีวิต แต่ตอนนี้มันไม่เจ็บอีกต่อไปแล้ว
   
นับจากอุบัติเหตุคราวนั้นจนถึงตอนนี้ เป็นเวลาหกเดือนพอดี ในตอนแรกเขาคิดว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน แต่เอาเข้าจริงๆมันช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก เจรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานสองสัปดาห์ หมอจึงอนุญาตให้กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้ และย้ำนักย้ำหนาว่า เขาจะต้องฝึกเดินอย่างสม่ำเสมอโดยจะต้องไม่หักโหมจนเกินไป เด็กหนุ่มต้องทนรำคาญกับไม้เท้าที่ใช้ค้ำยันตัวเองให้เดินเหินไปไหนมาไหนนานเป็นเดือน จากที่ไม่สามารถลงน้ำหนักบนขาข้างที่หักได้ ก็ค่อยๆดีขึ้น สองเดือนนับจากเกิดอุบัติเหตุเขาก็สามารถเดินได้เองโดยไม่ต้องอาศัยไม้ค้ำยันอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องระมัดระวังไม่ให้ทำอะไรเกินตัวอยู่ดี
   
ระหว่างนั้นหอพัก หรือที่ทุกคนพร้อมใจกับเรียกว่า “บ้าน” ของพวกเขา ก็ต้องคอยต้อนรับแขกที่ทยอยมาเยี่ยมคนป่วยกันชนิดมากหน้าหลายตา พ่อกับแม่และพี่ๆของเด็กหนุ่ม สลับกันมาเยี่ยมเสียจนจะกลายเป็นแขกประจำของบ้านไปแล้ว และดูท่าน้องๆของเขาจะชอบอกชอบใจไปเสียทุกครั้งเนื่องจากมาทีไรแม่ของเขาเป็นต้องหอบหิ้วอาหารการกินติดมือมาด้วยมากมาย ถือเป็นลาภปากกันไป ต๊อกพร้อมกับเพื่อนๆที่โรงเรียนมาเยี่ยมพร้อมกับตำราเรียนและการบ้านกองโต ที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะยินดีหรือหนักใจดีเมื่อได้เห็นกองตำราและชีทตัวอย่างข้อสอบจำนวนมหาศาลขนาดนั้น แต่ต๊อกก็ยืนยันให้เขาเบาใจได้ว่าทั้งเรื่องเรียนและเรื่องสมัครสอบเอ็นทรานซ์นั้น “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนต๊อกสุดหล่อเอง” ซึ่งก็เรียกเสียงฮาจากเพื่อนฝูงได้เป็นอย่างดี
   
เพื่อนๆในวง Sonic Energy ที่สลับกันไปเยี่ยมช่วงที่เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ก็ถึงคราวมาเยี่ยมกันได้แบบพร้อมหน้าพร้อมตาตอนที่คนป่วยกลับบ้านแล้วนี่ล่ะ ที่ทำให้เจยินดีมากขึ้นไปอีกก็คือตอนนี้วงได้นักร้องใหม่มาแล้ว เป็นผู้หญิงเสียด้วย เจแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะถึงบางอ้อ เมื่อสมาชิกในวงบอกว่า “หาคนมาแทนนายยากมาก แต่คนนี้เขาเจ๋ง เป็นผู้หญิงที่ร้องเสียงต่ำได้ดี แต่พอขึ้นเสียงสูงก็สูงได้โล่มาก” ใครคนหนึ่งแอบมากระซิบเบาๆให้เขาฟังว่า “เหมือนนายในเวอร์ชั่นผู้หญิงเลยแหละ” ที่สำคัญ Sonic Energy กำลังจะได้ออกอัลบั้มของตัวเองกับสังกัดอินดี้ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในวงกว้างเสียด้วย ได้ยินมาว่าที่นี่ผลิตศิลปินมีฝีมือออกมามากมายเลยทีเดียว ทำเอาโยถึงกับอดหยอกเจไม่ได้ว่า ท่าทางเด็กหนุ่มจะยินดีกับเพื่อนนักดนตรีของเขามากยิ่งกว่าที่ตัวเองกำลังจะได้ออกอัลบั้มเสียอีกล่ะกระมัง แต่ไอ้ที่น่าแปลกใจก็คือ ไหงเจ้าแม่คนจัดงานกลายมาเป็นผู้จัดการของวงแถมยังกุมหัวใจมือเบสของวงไปได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมเขาไม่นึกเอะใจมาก่อนก็ไม่รู้ ได้แต่หัวเราะชอบใจเมื่อได้รู้ข่าวจากเพื่อนๆที่หยิบประเด็นนี้ขึ้นมาแซวกันเป็นที่สนุกสนาน
   
วงแนวโมเดิร์นร็อคอย่าง Sonic Energy จึงกลายมาเป็นเพื่อนกับวงบอยแบนด์หน้าใหม่มาแรงอย่าง God’s Childs โดยที่น้อยคนนักจะทราบเรื่องนี้
   
ช่วงที่รักษาตัวไปด้วย เด็กหนุ่มต้องติวหนังสืออย่างหนักเพื่อที่จะเตรียมสอบเอ็นทรานซ์หลังจากผ่านการสอบปลายภาคเรียนสุดท้ายไปแล้วได้อย่างสบายๆ ทั้งโยและเพื่อนที่โรงเรียนต่างทุ่มสุดตัวเพื่อจะให้เจผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างปลอดโปร่งที่สุด ว่าตามจริง เจเองก็ไม่ได้เครียดกับการสอบเอ็นทรานซ์สักกี่มากน้อย เพราะพ่อกับแม่บอกให้เขาสบายใจเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า สอบได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา เพราะถึงอย่างไรพ่อกับแม่ก็พร้อมจะส่งเสียให้เขาเรียนต่ออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสถาบันของรัฐบาลหรือเอกชนก็ตาม
   
เมื่อสอบเสร็จ ยังไม่ทันได้พักหายใจ ตารางงานก็เริ่มเข้ามาทันที เพราะถึงแม้เจ้าตัวจะยังไม่สามารถออกแรงเต้นได้อย่างเต็มที่ แต่การอัดเสียงเพลงแรกในชีวิตจะต้องเริ่มขึ้นก่อนที่แผนการทุกอย่างจะดำเนินต่อไป และการที่เขาเริ่มจะเดินได้โดยไม่ต้องอาศัยไม้เท้าก็ช่วยได้มากจริงๆ
   
ในเมื่อยังเต้นไม่ได้ เขาก็ขอพุ่งความสนใจทั้งหมดให้กับการร้องเพลงเสียก่อนก็แล้วกัน
   
การเข้าห้องอัดครั้งแรกในชีวิตก็เหมือนกับที่เขาเห็นนักร้องหลายคนทำงานมาแล้วผ่านทางทีวีนั่นแหละ มันเต็มไปด้วยเครื่องเครามากมาย และน่าตื่นตาตื่นใจ กว่าจะผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นก็เรียกว่าใช้เวลาไปมากโขทีเดียว อย่างที่เด็กหนุ่มทั้งห้าคนได้รับการตอกย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าโปรเจ็กต์ของพวกเขามีความสำคัญอย่างที่สุด ทุกอย่างที่จะออกสู่สายตาผู้คนจึงต้องเนี้ยบและพิถีพิถัน จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด
   
แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขาก็คือ ในเบื้องต้นพวกเขาจะมีเพลงแค่สามเพลงเท่านั้น โดยจะมีเพลงเปิดตัวเพลงแรกออกมาก่อน และจะโหมโปรโมตให้มันกลายเป็นเพลงฮิตที่ทุกคนรู้จักโดยไม่ให้รู้ว่าใครคือเจ้าของเสียงร้องจนกว่าจะถึงเวลา แล้วจึงจะทยอยปล่อยอีกสองเพลงออกมาในภายหลัง เป็นวิธีการที่แปลก แหวกแนว และไม่เหมือนใคร ไม่มีใครรู้ว่านายใหญ่ที่นั่งแท่นเป็นเจ้าของโปรเจ็กต์นี้ คิดอะไรในใจ แต่ทุกคนก็มั่นใจและพร้อมที่จะเดินตามแนวทางที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วนี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
   
ครบสามเดือนที่เคยสัญญา ตารางการฝึกของเจโดยเฉพาะก็ออกมาทันที และจริงอย่างที่คุณเอ็มเคยบอก มันแทบจะทำให้เด็กหนุ่มหงายหลังตึงได้เลย เพราะมันอัดแน่นไปด้วยคิวฝึกที่หนักหนากว่าคนอื่นจริงๆ แต่ที่ทำให้เขายิ้มออกมาได้ก็คือ เห็นได้ชัดว่าในช่วงแรกๆ ตารางการซ้อมเต้นของเขาดูจะไม่หนักหนามาก เหมือนกับรู้ว่าเขายังไม่อาจจะโหมฝึกหนักได้ในระยะแรกแม้อาการที่ขาจะหายดีแล้วก็ตาม เจนึกขอบคุณและซึ้งน้ำใจคุณเอ็มที่ใส่ใจเขาแม้จะเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย ที่สำคัญ เขาไม่ค่อยนึกกังวลสักเท่าไหร่เมื่อมีโยอยู่ทั้งคน ไม่มีใครที่จะเก่งเรื่องเต้นเท่ากับโยอีกแล้ว
   
ตลอดระยะเวลาที่เจรักษาตัวและต้องง่วนอยู่กับการเรียนไปพร้อมกับการทำงาน เขาอาจจะเหนื่อยเสียจนแทบหมดแรงเพราะดูเหมือนมีอะไรจะต้องทำอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยท้อใจหรือยอมแพ้เลยแม้สักครั้ง อาจจะเพราะกำลังใจจากคนรอบข้าง น้องๆอีกสามคนก็คอยดูแลเอาใจใส่เขามากเสียจนบางครั้งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า นี่เขาเป็นน้องหรือเป็นพี่กันแน่ แต่ก็อดรู้สึกอบอุ่นขึ้นในหัวใจไม่ได้จริงๆ ใครจะไปนึกว่าเกิดมาเคยแต่เป็นน้องเล็กของครอบครัว มีพี่สาวทีตั้งสี่คน จู่ๆก็เกิดมีน้องชายขึ้นมารวดเดียวสามคนเสียอย่างนั้น แถมแต่ละคนยังทโมนได้ใจเสียด้วย จะพูดอะไรมากก็ไม่ได้ เพราะเวลาที่เขาอยู่กับน้องๆ ดูอย่างไรก็เหมือนเพื่อนมากกว่าจริงๆ ส่วนโย เขาเองก็ไม่รู้แน่ว่าระหว่างเขากับเด็กหนุ่มอีกคนเป็นอะไรกันแน่ เป็นเพื่อนน่ะไม่เถียง เพื่อนสนิทยิ่งไม่ต้องสงสัย แต่ความดูแล เอาใจใส่ ห่วงใย และวิธีปฏิบัติของโยที่มีต่อเขามันช่างพิเศษเสียจน อย่าว่าแต่น้องๆในวงเลย คนช่างสังเกตก็ดูออกได้ไม่ยาก ก็เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเขาเองชอบโยมากเสียยิ่งกว่าใคร
   
ช่วงที่เขาต้องใช้ไม้เท้า โยนี่แหละจะคอยประคองเขาไปไหนมาไหน คอยระวังระไวให้เสมอ อะไรที่เห็นว่าดีและมีประโยชน์ก็จะไปสรรหามาให้โดยไม่รีรอ แม้จะทิ้งไม้เท้าไปแล้ว ก็ดูเหมือนความเอาใจใส่นั้นจะไม่เคยลดน้อยลงเลย แถมยังคอยหยิบจับทำอะไรให้เขาไปเสียหมดทุกสิ่ง จนเจอดหัวเราะและออกปากออกมาไม่ได้ว่า เขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย แต่ก็พูดไม่ออกทุกทีเวลาที่โยทำหน้าจริงจังแล้วบอกแก่เขาว่า “ถ้านายยังไม่หายดี เราก็ไม่วางใจอะไรทั้งนั้น ถ้านายเป็นอะไรไปอีก เราจะทำยังไง” เวลาคนอื่นพูดทำไมมันถึงไม่รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจอย่างนี้ก็ไม่รู้
   
มีวันหนึ่งเขาทำท่าเหมือนสะดุดอะไรสักอย่างเข้า โยทำท่าตกอกตกใจ แล้วจู่ๆก็ยกตัวเขาขึ้นวางไว้บนโต๊ะได้แบบสบายๆเหมือนอุ้มเด็กไม่มีผิด ก่อนจะก้มลงสำรวจว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ แล้วจึงระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เจถึงกับยิ้มออกมากับกริยาอาการนั้น ก่อนจะถามออกมาอย่างสงสัยว่าโยสามารถยกเขาขึ้นได้ง่ายๆแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
   
“นายผอมลงไปตั้งเยอะรู้ไหม” เจพยักหน้าน้อยๆเป็นการรับรู้ จริงอยู่เขารู้สึกว่าเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ประจำตัวใหญ่ขึ้น (หรือที่จริงคือเขาตัวเล็กลงนั่นแหละ) ยิ่งกางเกงไม่ต้องพูดถึง หลวมโพรกทุกตัว แต่ก็ไม่คิดว่าน้ำหนักจะลดลงมากมายอะไร จนกระทั่งเดินไปชั่งน้ำหนักเองนั่นแหละ
   
“ลดไปตั้งแปดกิโลเลยเหรอ” เสียงนั้นเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ
   
“ความรู้สึกช้าจริงๆ” โยได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะตอกย้ำลงไปอีกว่า “ตอนนี้วงเรา นายน่ะตัวเล็กที่สุดเลย”
   
“แล้วถ้าเราหยุดโตไปเลยล่ะจะทำยังไง” สีหน้านั้นจริงจังเสียจนน่าขำ บทจะคิดอ่านทำอะไรเป็นเด็กๆขึ้นมา เจก็ทำออกมาได้น่าเอ็นดูนัก
   
“จะบ้าหรือ นายเพิ่งจะสิบแปด เดี๋ยวก็สูงขึ้นได้อีก” เขาว่าพลางลูบศีรษะคนผอมบางที่ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่ชอบใจที่ตัวเองหดเล็กลงไปชนิดผิดหูผิดตา “แต่ต้องบำรุงเยอะๆหน่อยนะ ผอมง่ายขึ้นยากเสียด้วยนายน่ะ”
   
อาหารมื้อถัดจากนั้นเขาเลยทานเสียจนอิ่มแปล้กว่าทุกมื้อไปเลย

คิดขึ้นมาทีไรก็อดหัวเราะไม่ได้ทุกที

ตอนนี้แม้น้ำหนักตัวของเด็กหนุ่มจะกลับคืนมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังเรียกได้ว่าผอมอยู่ดีนั่นเอง เจหันไปมองรอบห้องที่แสนจะวุ่นวายนั้นและสังเกตว่าร่างสูงทะมัดทะแมงที่คุ้นตาไม่ได้อยู่ในห้องด้วย แต่ก็ไม่ได้วิตกอะไร เพราะในวันสำคัญแบบนี้ หัวหน้าวงอย่างโยก็ต้องเหนื่อยมากกว่าคนอื่นหน่อยเป็นธรรมดา

วันนี้เป็นวันเปิดอัลบั้มและเป็นวันเปิดตัว God’s Childs อย่างเป็นทางการ เป็นวันสำคัญที่สุดที่พวกเขารอคอยมานาน

พวกเขารู้ดีว่า เพลงเปิดตัวเพลงแรกของพวกเขาเป็นเพลงที่ดี แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงถึงเพียงนี้ วันแรกที่ได้ยินเพลงนี้ผ่านทางรายการวิทยุ พวกเขาที่ตั้งใจนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อถึงกับเฮออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กหนุ่มกอดกันกลมแสดงความยินดีต่อกัน ชุนถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจจนเขาต้องปลอบอยู่เป็นนาน หลังจากนั้นไม่ว่าคลื่นวิทยุคลื่นไหนก็พร้อมใจกันเปิดเพลงนี้จนต้องยอมรับกับตัวเองว่า ได้ยินกันแทบจะทุกวัน ไม่น่าแปลกใจหรอกที่หลังจากนั้นมันจะขึ้นไปติดอันดับหนึ่งบนชาร์ตเพลงต่างๆราวกับนัดกันไว้

ความโด่งดังของเพลงยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อมันไปกระตุ้นความสนใจให้คนอยากจะรู้ว่า ใครคือเจ้าของเสียงร้องอันไพเราะที่ถ่ายทอดเพลงนี้ออกมาได้อย่างจับใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครรู้เลยสักคน เป็นระยะเวลาถึงสามเดือนที่พวกเขาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียที และตลอดช่วงระยะเวลานั้น เด็กหนุ่มทั้งห้าคนทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างหนัก ทั้งการร้องเพลงประสานกัน เต้นจนเข้ากันได้อย่างลงตัว เพื่อที่จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันยิ่งกว่าเดิม
เจหัวเราะออกมาเบาๆ จะมีใครรู้ไหมนะว่าพวกเขาฝึกร้องและและฝึกเต้นแค่เพลงๆนี้มาหนักแค่ไหน จนเนื้อเพลงแทบจะหลอมละลายอยู่ในสายเลือด ท่าเต้นทุกสเต็ปถูกบันทึกเก็บเอาไว้ในสมอง ไม่รู้กี่ร้อยต่อกี่ร้อยรอบจนขึ้นใจและแม่นยำ จนตอนนี้ไม่ว่าจะนอนหลับหรือตื่นมันได้กลายเป็นลมหายใจของพวกเขาไปแล้ว
แต่เมื่อวันนี้มาถึง พวกเขาก็ยังตื่นเต้นและกลัวความผิดพลาดอยู่นั่นเอง ทุกคนตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเองแม้จะดูว่านิ่งเฉย แต่ภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งนั้น คงจะมีแต่พวกเขานี่แหละที่มองกันออก

ร่างสูงใหญ่ในชุดโทนสีเดียวกัน อาจจะต่างแบบกันเพียงเล็กน้อยเปิดประตูเข้ามา วันนี้โยดูดีชนิดผิดหูผิดตา เด็กหนุ่มที่ปกติก็ดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งดูพิเศษขึ้นไปอีก เหมือนมีรัศมีบางอย่างที่ทำให้เขาดูเฉิดฉายอย่างยิ่ง เขายิ้มให้กับร่างที่เดินตรงเข้ามาทางเขา ใบหน้าเรียวได้รูปนั้นยิ้มในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วจึงเดินมาก้มกระซิบข้างหูเขาเบาๆว่า

“นายดูดีมากเลยเจ” คำชมสั้นๆที่ใครต่อใครพูดกับเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่รู้สึกเขินอายจนร้อนผ่าวไปทั้งหน้าเมื่อมันออกจากปากของคนที่มองเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนคู่นี้

โยยื่นมือให้เจจับก่อนจะจูงเด็กหนุ่มให้มานั่งรวมกลุ่มกับสมาชิกในวงอีกสามคนที่บอกไม่ถูกว่าสีหน้าในตอนนี้ดีใจหรือกังวลใจกันแน่

หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องก่อนจะยิ้มอย่างภูมิใจกับภาพที่เห็น น้องๆที่เธอดูแลเป็นอย่างดี ในวันนี้ดูมีสง่าราศี และหล่อกันเหลือเกิน ปกติเด็กพวกนี้ดูดีกันอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าตา รูปร่างหรือบุคลิก หาไม่แล้วคงไม่เตะตาแมวมองมือหนึ่งอย่างคุณเอ็มแน่ๆ แต่เมื่ออยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ถูกออกแบบมาอย่างดี บวกกับการแต่งหน้าทำผมที่ดูเหมาะเจาะลงตัวไปเสียหมด เมษถึงกับบอกตัวเองว่าเด็กพวกนี้พร้อมแล้วจริงๆ

“ทำไมทำหน้าไม่สบายกันอย่างนั้นล่ะ” เธอเอ่ยปากแซวเมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆ

“วันนี้พี่เมษดูดีจังครับ” ซันเอ่ยชมออกมาตามใจนึก

“พี่ก็ได้แค่นี้แหละน้องเอ๊ยยย...” เธอว่าอย่างนึกขัน “ว่าแต่พวกเราเถอะ” เมษทรุดตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่ “พี่รู้ว่าพวกเราตื่นเต้น”

ทุกคนโดยเฉพาะซัน ชุน และแม็ก พร้อมใจกันพยักหน้ารับโดยไม่ได้นัดหมายกันอย่างพร้อมเพรียง

“ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนตอนซ้อม แค่นั้นก็พอ” เธอว่าอย่างหนักแน่น “พวกเราน่ะพร้อมกันแล้วจริงๆ เห็นเท่านี้พี่ก็รู้แล้ว”

“ผมรู้สึกเหมือนฟันโยก เหมือนฟันจะหลุดออกมาเลยครับพี่” ซันยอมรับออกมาในที่สุด ก็ตื่นเต้นทีไรเป็นอย่างนี้ทุกที

“ผมเข้าห้องน้ำมาสามหนแล้ว” ชุนว่าเสียงอ่อย

“ผมกินอะไรไม่ลงเลย” เท่านั้นแหละ เรียกเสียงฮาครืนออกมาได้ทันที เมื่อไหร่ที่น้องเล็กของวงที่รักการกินเสียยิ่งกว่าอะไรในโลกออกปากว่ากินไม่ลง ก็แปลว่าอาการต้องหนักหนาเอาการทีเดียว

“สองคนนี่ล่ะ” เมษหันไปถามโยกับเจบ้าง

“ผมกังวลก็แค่ที่ขาน่ะครับ แปลกดีนะ ตอนซ้อมไม่รู้สึกอะไร แต่พอวันจริงมันกลับอดนึกกังวลขึ้นมาไม่ได้” เจสารภาพ

“ผมก็ต้องยอมรับเหมือนกันครับว่าตื่นเต้นมาก” แม้แต่หัวหน้าวงก็ยังไม่อาจจะปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงได้เช่นกัน

เมษยิ้มออกมาอีกครั้ง

“ตื่นเต้นได้ เพราะวันนี้มันวันสำคัญ แต่ก็ต้องบอกตัวเองนะว่าเวทีวันนี้เป็นของพวกเรา ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ขึ้นไปร้องเพลง เต้น พูดคุย ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เต็มที่ เชื่อสิ... พวกเราเอาอยู่แน่ๆ” เมษหยุดมองหน้าแต่ละคน ก่อนจะเอ่ยต่อ “นี่พี่ไม่ได้จะพูดให้พวกเรากลัวนะ แต่วันนี้นักข่าวมากันเยอะมาก มากกว่าครั้งไหนที่เราเคยจัดงานแถลงข่าวกันเลยก็ว่าได้ เพราะพวกเขาอยากรู้ว่า คนที่ร้องเพลงที่ขึ้นไปติดชาร์ตทั่วบ้านทั่วเมืองนานตั้งสองสามเดือนเป็นใคร”

เธอยกมือขึ้นตบบ่าโยเบาๆ

“พวกเขามารอเจอพวกเราเลยนะ เพราะฉะนั้นนี่คือโอกาสที่เราจะแสดงให้เขาเห็นว่าเราเป็นใคร เก่งแค่ไหน น่าเชียร์ขนาดไหน”

เด็กหนุ่มทุกคนหันหน้าไปมองกันและกัน

“ขึ้นไปทำให้พวกเขาได้รู้กันไปเลย นะ”

สายตาของเด็กหนุ่มพร้อมใจกันจับจ้องไปที่ผู้จัดการของวงที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขามาโดยตลอด

“อีกยี่สิบนาที เขาจะมาเรียกให้เราไปสแตนด์บาย พวกเราพร้อมไหม”

“พร้อมครับ” เด็กหนุ่มทั้งห้าคนตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความรู้สึกมุ่งมั่นที่มีมากกว่าครั้งไหน

**************************

อีกห้านาทีเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ปล่อยคิวส่งสัญญาณมือให้พวกเขารอต่อไปอีกหน่อยเมื่อพิธีกรบนเวทีปล่อยคิววีทีอาร์แนะนำเด็กหนุ่มหน้าใหม่ห้าคนในนาม God’s Childs ที่น่าจะกินความยาวไม่เกินห้านาที เสียงฮือฮาดังขึ้นจากที่นั่งคนดูที่กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นนักข่าว เพราะวันนี้เป็นการแถลงข่าวภายใน อีกไม่นานต่อจากนี้พวกเขาจึงจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการให้กับกลุ่มแฟนเพลงเสียที

หัวหน้าวงหันมามองหน้าสมาชิกในวงแต่ละคน เขากางแขนออก ทุกคนทำอย่างเดียวกันก่อนจะรวบวงแขนกอดกันเอาไว้อย่างหนักแน่น

“เราจะแสดงให้พวกเขาเห็นนะว่าพวกเราแน่จริง เจ๋งจริง” เขาว่า “เวทีเป็นของเรา ไม่มีใครเอามันไปจากเราได้ ทำอย่างที่ซ้อมทุกอย่าง ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พวกเรามีกันและกันอยู่แล้ว โอเคไหม” ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้า ความมั่นใจ ความฮึกเหิมก่อตัวขึ้นอย่างรู้สึกได้ชัดเจน

โยยื่นมือออกไป เจวางมือของตัวทับลงข้างบน ต่อด้วยซัน ชุนและแม็ก ถ้าเป็นปกติพวกเขาต้องตะโกนชื่อวงออกมาให้สะใจไปแล้ว แต่ขณะที่ข้างนอกนั่นยังมีเสียงพิธีกร และมีบรรดานักข่าวที่ตั้งอกตั้งใจรอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นบนเวทีต่อไปแบบนี้ คงไม่เหมาะนัก จึงทำได้เพียงแต่พร้อมใจกันกดมือลงไปอย่างพร้อมเพรียงและปล่อยออกจากกัน พลางตบไหล่ตบหลังให้กำลังใจกันอย่างเต็มที่

โยจับมือเจกระชับเอาไว้แน่น ก่อนจะดึงร่างนั้นเข้าไปกอดเป็นคนสุดท้าย ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่าง ทั้งคู่ตบไปที่หลังของอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะกระชับกอดให้แน่นอีกครั้งและคลายมือออก สายตาทั้งห้าคู่หันไปจับจ้องอยู่บนเวที

พวกเขาพร้อมแล้ว

“ขอเชิญพบกับพวกเขา” เสียงพิธีกรบนเวทีพูดอย่างเร้าใจ

“God’s Childs!!!”
______________________ END _______________________

จบไปแล้วค่ะ สำหรับ Beats of Life

แต่อย่างที่ได้บอกไปตั้งแต่คราวที่แล้ว หลังจากนี้ต่อไป จะมีไซด์โปรเจ็กต์ของ Beats of Life ซึ่งถือเป็นเรื่องสั้นจบในตอนมาลงให้อ่านแทน ซึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องราวของน้องๆทั้งห้าคนนี่แหละค่ะ โดยตัวละครหลักก็จะยังคงเป็น โย และ เจ เช่นเคย รับรองว่าได้หายคิดถึงกันแน่นอน แล้วก็คงจะเอาลงต่อกระทู้นี้ไปเลยจนกว่าจะหมดสต๊อกกันไป ย้ำอีกครั้งนะคะว่า ไซด์โปรเจ็กต์ที่เป็นเรื่องสั้นตอนพิเศษนี้ เป็นการเขียนเชิงทดลอง หรือพูดอีกอย่างก็คือ เป็นการเขียนแบบเอาแต่ใจตัวเองของคนเขียน ที่คิดอะไรได้ก็เขียนขึ้นมา แต่ทุกตอนจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของน้องๆในวงให้ชัดเจนขึ้นมากกว่านิยายเรื่องยาวนะคะ เคยเอาให้เพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนอ่าน ก็เห็นชอบกัน ก็เลยขอตีขลุมเอาเองว่า แฟนโยเจในนี้ก็น่าจะชอบเหมือนกัน

ก็ยังหวังให้ทุกคนติดตามอ่านกันต่อไปนะคะ ขอบคุณเหลือเกินที่ติดตามอ่าน อีกทั้งยังดูเหมือนจะได้เผื่อแผ่ความรักให้กับโยและเจกันชนิดท่วมท้นจริงๆ จนกว่าจะลงตอนพิเศษจนครบ ถึงตอนนั้นจะแจ้งรายละเอียดเรื่องการรวมเล่มให้ทราบอีกครั้งนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 12 (จบ) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 09-01-2010 20:31:41
จบลงได้อย่างน่าประทับใจ วันที่ฝันเป็นจริง

ยินดีด้วยนะ God's childs

ขอบคุณผู้เขียนมากนะคะ สำหรับเรื่องราวดี ๆ นี้

รอติดตามตอนพิเศษอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 12 (จบ) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 10-01-2010 13:14:35
ประทับใจมากมาย สำหรับมิตรภาพของเด็กๆ (พูดยังกะคนแก่ :o8:)
ขอบคุณไรเตอร์นะคร้า ที่แต่งเรื่องดีๆอย่างนี้ให้อ่าน
จะรออ่านไซด์โปรเจ็กต์ต่อนะคร้า :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 12 (จบ) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 10-01-2010 18:34:54
สวัสดีค่ะ คุณนิ้วไขว้

จบแล้วเหรอ...
รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในงานแถลงข่าว วง God's Childs
ได้พบกับห้าหนุ่ม และเพลงฮิตติดชาร์ต พร้อมท่าเต้นสุดมันส์

เว่อร์ไปแล้วชั้น.......อินจัด อิอิ

ขอบคุณนะคะคุณนิ้วไขว้ ที่ทำให้เจผ่านเรื่องร้ายๆมาได้
จนได้ในสิ่งที่เจต้องการมาโดยตลอด ชื่นใจจัง

ไซด์โปรเจกต์จะมาเมื่อไรเอ่ย
เมื่อวานก็หยิบเพลงรักมาอ่านอีกรอบ คิดถึงอ่ะ...

รอเรื่องรวมเล่มด้วยนะคะ

มีความสุขมากๆในทุกวันนะคะ


หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......by fingers-crossed บทที่ 12 (จบ) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 10-01-2010 19:24:42
จบลงแบบสวยงาม ประทับใจ  o13

รออ่านตอนต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......ตอนพิเศษ 1 "ป่วย" #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 13-01-2010 19:22:53
ตอนพิเศษ 1: ป่วย

แม้อยากจะเอนกายลงนอนกับเก้าอี้ยาวตัวนุ่มที่นั่งอยู่นี้สักแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าพวกเขาจะต้องอัดรายการต่อแล้ว

มือเรียวยาวแข็งแรงข้างหนึ่งของเขายกกระดาษแผ่นหนึ่งที่ละลานตาไปด้วยตัวหนังสือเล็กๆที่อัดกันแน่นอยู่ในแต่ละบรรทัด แม้จะลายหูลายตาจนน่าเวียนหัว แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าวงอย่างเขา มีหรือจะจดจำรายละเอียดบนกระดาษแผ่นที่เขายกขึ้นดูซ้ำแล้วซ้ำอีกมาตั้งแต่เช้าไม่ได้
   
ก็มันตารางการทำงานที่แน่นเอี้ยดของพวกเขาเองนี่นา
   
โชคดีที่รายการนี้จะเป็นงานสุดท้ายของวันที่ลากยาวมาจนถึงตอนค่ำแบบนี้ แต่โชคร้ายก็คือ
   
อาการป่วยของเขานี่สิ
   
อันที่จริงไอ้อาการหวัดอย่างไอ หรือคัดจมูกแบบนี้ ถือว่าเป็นอาการป่วยเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นเป็นปกติของสมาชิกวง God’s Childs ไปแล้ว เพราะพวกเขาทั้งทำงานหนัก ทั้งพักผ่อนน้อย แถมยังกินนอนไม่เป็นเวลา อีกต่างหาก ร่างกายต่อให้แข็งแรงแค่ไหน ลองได้โหมทำงานหนักจนแทบไม่ได้หยุดพักขนาดนี้ มีหรือจะทนไหว ก็ต้องล้มป่วยลงจนได้นั่นแหละ
   
แต่ป่วยหนักขนาดนี้มันก็อีกเรื่องหนึ่ง
   
ที่จริงตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้า เขาก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าท่าทางจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว อาการครั่นเนื้อครั่นตัวที่จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวนั่นทำให้รู้ได้ทันทีว่า คราวนี้คงไม่ใช่แค่ป่วยธรรมดาแน่นอน แต่เพราะตารางการทำงานที่แน่นเหลือเกิน ทำให้ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะหยุดไม่ได้จริงๆ ถึงได้กลั้นใจฝืนร่างกายตัวเองออกมาทำงานจนได้
   
นี่ถ้าคนคนนั้นรู้ว่าเขาป่วยแล้วปิดปากไม่ยอมบอก แล้วยังฝืนทำอะไรเกินตัวอีก เขาคงโดนโวยชุดใหญ่แน่ๆ ดีไม่ดีจะโดนงอนไม่ยอมพูดด้วยไปอีกหลายวันเป็นของแถมด้วย ใครจะรู้บ้างว่าหนึ่งในนักร้องนำของวงบอยแบนด์ที่โด่งดังที่สุด คนที่ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ต้องอิจฉาในใบหน้าที่งดงามเกินผู้หญิง และบุคลิกท่าทางที่สง่างามกว่าผู้ชายหลายๆคน บวกกับความสามารถในการร้องเพลงที่ไม่เป็นรองใครคนนั้น จะเป็นคนแสนงอนและขี้ใจน้อยขนาดนี้กันเล่า

ที่สำคัญ คนคนนั้นเป็นคนพิเศษเพียงคนเดียว ที่เขายอมให้ได้ทุกอย่างแม้จะรู้ดีกว่าอีกฝ่ายติดจะเอาแต่ใจตัวเองไปบ้างก็ตาม

ลมหายใจดูเหมือนจะร้อนขึ้นจนรู้สึกได้ และถ้าจะให้สารภาพตามตรงตอนนี้เลยล่ะก็ แม้แต่ดวงตาทั้งคู่ก็ยังรู้สึกพร่าพรายเต็มที เขาอยากจะล้มตัวลงนอนใจแทบขาดอยู่แล้ว

“พี่โย... ข้าวกล่องมาแล้วพี่” น้องคนเล็กของวงเดินนำพี่ชายอีกสองคนเข้ามาพร้อมถุงใส่ข้าวกล่องในมือ ซึ่งก็คืออาหารมื้อเย็นของพวกเขานั่นล่ะ ใครที่ไม่รู้ก็มักจะคิดว่านักร้องดังอย่างพวกเขาคงจะได้กินแต่อาหารดีๆทุกมื้อ หารู้ไม่ว่า ด้วยตารางการทำงานที่แน่นเอี้ยด บวกกับเวลาว่างที่มีอยู่เพียงน้อยนิด พวกเขาก็ได้ข้าวกล่องหน้าตาธรรมดาอย่างที่เห็นนี่ล่ะเป็นตัวช่วย นานๆทีหรอกถึงจะมีเวลาได้ออกไปหาอะไรทานกันสักหน แต่ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะทานอะไรกันที่บ้านมากกว่าด้วยซ้ำ

“เอาวางไว้ตรงโต๊ะนั่นแหละ พวกนายกินกันได้เลย” เขาเสลุกขึ้นไปนั่งอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ ที่มีเก้าอี้วางเรียงกันหลายตัว หลักๆก็คือมันเป็นที่สำหรับให้ดารานักร้องที่มาร่วมรายการอย่างพวกเขามานั่งแต่งหน้าทำผมนั่นเอง มือข้างหนึ่งถือปากกาเอาไว้ โดยทำท่าราวกับว่าสนใจอะไรบางอย่างในกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียเต็มประดา
   
เด็กหนุ่มอีกสามคนตั้งหน้าตั้งตากินพร้อมกับพูดคุยกันอย่างออกรส จนกระทั่งจัดการกับข้าวกล่องตรงหน้าจนหมดแล้วนั่นแหละ แม็ก น้องเล็กของวงถึงได้ออกปากถามพี่ใหญ่หัวหน้าวงในที่สุด

“พี่ไม่หิวเหรอ”

“ยังไม่หิวหรอก” จะบอกได้ยังไงว่าตอนนี้เขากินอะไรไม่ลง ปากคอมันขมไปหมด อย่าว่าแต่จะกินเลย แค่อ่านตัวหนังสือในกระดาษแผ่นเดียวนี่ ยังจะไม่ไหวเอา ที่ต้องแยกตัวออกไปนั่งคนเดียวก็เพราะกลัวน้องๆในวงจะผิดสังเกตนี่แหละ “ว่าแต่...” เขาเพิ่งจะนึกเอะใจขึ้นมา

“เจ ไปไหน ทำไมไม่มากินด้วยกันล่ะ”
   
“ไม่รู้เหมือนกัน ผมเห็นพี่เจเดินไปคุยอะไรกับพี่เมษก็ไม่รู้” ซันหมายถึงผู้จัดการคู่บุญของวงที่คอยดูแลพวกเขามาตั้งแต่ก่อนจะเป็นนักร้องชื่อดัง
   
“ว่าแต่พี่โยไม่กินจริงๆเหรอ” น้ำเสียงแบบนั้น ไม่ต้องพูดต่อ เขาก็รู้ว่าคนถามหมายถึงอะไร ถึงจะเป็นน้องเล็กของวงแต่ก็สูงกว่าพี่ๆ แถมยังกินเก่งจนอดสงสัยไม่ได้ว่า ในท้องของเจ้าน้องเล็กนั่นเป็นหลุมดำหรืออย่างไรกันแน่
   
“ถ้าไม่อิ่ม พวกนายก็กินส่วนของพี่ไปเลย เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรกินที่บ้านก็ได้”
   
“แน่ใจนะพี่” ชุนถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
   
เมื่อหัวหน้าวงพยักหน้ายืนยันเท่านั้น ข้าวกล่องส่วนของเขาก็ถูกน้องๆสามคนร่วมใจสามัคคีกันจัดการเสียจนเรียบวุธ
   
กระทั่งเจ พี่ใหญ่หน้าหวานอีกคนของวงเดินเข้ามาในห้องพักก่อนจะเรียกให้สมาชิกในวงออกไปเตรียมอัดรายการในสตูดิโอ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า โยจึงรู้สึกเหมือนสายตาคมสวยคู่นั้นเหลือบมองมาที่เขาแว่บหนึ่ง ก่อนจะออกปากเตือนไม่ให้น้องแต่ละคนลืมตรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าและข้าวของในห้องเสียก่อนตามประสาคนเจ้าระเบียบ
   
น้องๆออกไปแล้ว แต่คนที่เข้ามาเรียกกลับยังยืนนิ่งอยู่ตรงประตูที่ปิดสนิท ทำไมเจไม่ตามน้องๆออกไปนะ เขานึกสงสัย อดทนแสร้งทำเป็นไม่สนใจได้ไม่นาน ในที่สุดหัวหน้าวงที่นั่งอยู่หน้ากระจกก็ยอมวางปากกาในมือลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเพลียไม่ปิดบัง
   
“ทำไมนายไม่ตามน้องๆไปล่ะ”
   
“ก็แล้วทำไมนายไม่ลุกออกไปพร้อมกัน” เจยังคงกอดอกถามอยู่อย่างนั้น
   
“ขอเราดูอะไรแป๊ปนึง เดี๋ยวตามออกไป นะ” หางเสียงของเขาแผ่วเบาเสียจนรู้สึกได้
   
เจนิ่วหน้า ไม่ยิ้ม ไม่แสดงอารมณ์อันใดออกมา ก่อนที่จะคลายมือที่กอดอกลง แล้วจึงล้วงกระเป๋าหยิบอะไรบางอย่างออกมา คนหน้าสวยส่ายศีรษะเบาๆอย่างไม่สู้จะชอบใจนัก เด็กหนุ่มเดินไปหยิบแก้วที่วางเอาไว้ใกล้ๆพร้อมกับรินน้ำจากขวดที่วางอยู่ข้างกันนั้นลงไป
   
เขาเดินถือแก้วน้ำเอาไว้ในมือตรงไปยังเด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนที่ยังคงปักหลักนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับตัวไปไหน ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งจับมือที่ร้อนรุ่มจนน่าเป็นห่วงขึ้นไว้ แบออก ก่อนจะหย่อนอะไรบางอย่างที่กำเอาไว้ลงในมือเรียวยาวข้างนั้น
   
ยาสองเม็ด
   
“กินซะ พอให้มันประทังไปได้จนจบรายการ แล้วค่อยกลับไปนอนที่บ้าน” เสียงนั้นเอ่ยออกมานิ่งๆ ไม่แสดงว่าโกรธหรือไม่พอใจอะไร แบบนี้ล่ะ น่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่เจ้าตัวโวยวายอะไรออกมาเสียอีก
   
“เจ...” หัวหน้าวงครางออกมาอย่างยอมจำนน
   
“ไม่ต้องพูดอะไร เราไปขอยาจากพี่เมษมาให้เมื่อกี้ รู้อยู่แล้วว่านายคงไม่สบาย” ไม่รู้ทำไม คำพูดที่แสนจะธรรมดาแค่นี้ กลับทำให้เขารู้สึกเต็มตื้นเหลือเกิน เขาพยายามไม่บอกใคร รวมทั้งไม่แสดงออกให้ใครเห็นว่าป่วย แต่เจกลับรู้ โดยที่เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำด้วยซ้ำ
   
“กินยาซะ” เสียงนั้นสั่งแฝงแววเด็ดขาดในที
   
โยโยนยาเข้าปากง่ายๆก่อนจะกลืนน้ำตามลงไปอย่างยากลำบาก กว่าจะทันได้ตั้งตัวก็รู้สึกถึงอุ้งมืออุ่นๆจับหน้าผากของเขาค้างนิ่งเอาไว้อยู่เป็นนาน
   
“ตัวร้อนจี๋เลย” เจนิ่วหน้า “ไหวไหม”
   
คนป่วยพยักหน้า
   
“หนาวหรือเปล่า”
   
“นิดหน่อย แต่ทนได้”
   
“งั้นไปกัน” เจยื่นมือออกมาจับมือของหัวหน้าวงที่ยื่นส่งมากระชับไว้แน่น ก่อนจะดึงร่างสูงใหญ่นั้นให้ลุกขึ้นยืนทรงตัวได้อย่างมั่นคง และทำท่าจะเดินผละออกไป
   
“เดี๋ยวก่อนเจ” ร่างขาวๆตกใจกับไออุ่นร้อนๆของร่างที่โอบกอดเขาเอาไว้อย่างไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว “ขออยู่อย่างนี้แป๊ปนึงนะ”
   
ดวงตากลมโตคู่สวยเบิกกว้าง ก่อนจะลดความแข็งขืนของร่างกายที่เกิดจากความไม่พอใจที่สะสมอยู่เงียบๆมาตลอดทั้งวันลง พร้อมกับโอบแขนกอดตอบร่างนั้น เขาลูบหลังคนตัวสูงเอาไว้ ราวกับจะปลอบประโลมว่าให้ทนต่อไปอีกสักนิด อีกสักประเดี๋ยวก็จะได้พักแล้ว
   
“ขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นห่วง” เสียงทุ้มอ่อนแรงนั้นเอ่ยขึ้นในที่สุด
   
“ไม่เป็นไร” เจตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังรู้สึกโกรธคนตรงหน้านี้อยู่แท้ๆ “ค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านนะ” เด็กหนุ่มรู้สึกถึงศีรษะที่พยักหงึกหงักทั้งที่ยังไม่ยอมคลายมือออกจากตัวเขา ก่อนจะผละออกจากกันและเดินออกไปเตรียมตัวอัดรายการสุดท้ายของวันนี้เสียที

************************
   
“โย...” เสียงเรียกชื่อเขาเหมือนเสียงที่ดังแว่วมาแต่ไกล แต่เมื่อตั้งสติได้ ถึงได้รู้ว่ามันดังอยู่ข้างๆหูเขานี่เอง “ลุกขึ้นไหวไหม”
   
ร่างสูงใหญ่ที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาเนื้อนุ่มค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก โดยมีร่างที่แสนคุ้นเคยนั่งอยู่ข้างๆและปลุกเขาอย่างอ่อนโยนด้วยสีหน้าเป็นกังวล
   
อา... ใช่สิ หลังจากที่เขาอัดรายการเสร็จแล้ว ก็พาร่างอันอ่อนแรงกลับมานอนในห้องนี้ชนิดหมดสภาพอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วก็หลับเป็นตายไปเลยแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม
   
“ไข้กลับมาอีกแล้ว” มือนุ่มๆข้างหนึ่งสัมผัสกับหน้าผากคนป่วยก่อนจะลูบลงมาที่แก้มร้อนอย่างเบามือ “ฝืนลุกหน่อยนะ เราจะกลับบ้านกันแล้ว” น้ำเสียงนั้นเจือความห่วงใยไม่ปิดบัง
   
“พวกนายมาช่วยพี่หน่อย” ตอนนั้นเองหัวหน้าวงจึงได้รู้ว่า สมาชิกในวงคนอื่นๆก็อยู่ในห้องนี้ด้วยชนิดพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนมีสีหน้าไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้เห็นสภาพของหัวหน้าวงในตอนนี้แบบที่ไม่ค่อยจะได้เห็นกันบ่อยนัก
   
ชุนเข้ามาประคองพี่ใหญ่ของวงให้ลุกขึ้น โดยมีพี่ใหญ่อีกคนประคองอยู่อีกด้านหนึ่ง
   
“พี่ไม่เป็นไรชุน ไปช่วยซันกับแม็กถือของก็ได้” เสียงทุ้มของหัวหน้าวงเอ่ยขึ้น ชุนหันไปมองหน้าพี่เจราวกับจะรอคำอนุญาต และผละไปช่วยสมาชิกอีกสองคนหยิบจับข้าวของที่วางกองอยู่หลังจากที่เจพยักหน้าให้ครั้งหนึ่ง
   
“ไปหาหมอดีไหม” เจถาม
   
“เราไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้นหรอก” ฝ่ายที่กำลังประคองเขาอยู่เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่อยากเชื่อในคำพูดนั้นสักเท่าไหร่ “จริงๆ เป็นไข้อย่างนี้ มันคิดแต่อยากจะนอนอย่างเดียวเลย”
   
“แน่ใจนะ”
   
“ถ้านอนแล้วไม่หาย จะยอมไปหาหมอเลยเอ้า”
   
เจยิ้มน้อยๆออกมาเป็นครั้งแรก ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
   
“ชอบหาว่าเราดื้อ นายเองก็ไม่เบาหรอก”
   
ทั้งคู่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก แต่แขนแข็งแรงข้างหนึ่งของเจคอยพยุงร่างของโยเอาไว้อย่างมั่นคง โดยที่ตัวคนป่วยเองก็ไม่ยอมคลายมือข้างหนึ่งที่จับยึดคนข้างๆเอาไว้เลยเหมือนกัน

*******************************

เสียงกึงกังที่ดังอยู่ในห้องครัว เรียกความสนใจจากน้องอีกสามคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ให้นึกสงสัยว่า พี่เจกำลังง่วนทำอะไรอยู่ในนั้น ในขณะที่พี่ใหญ่หัวหน้าวงเปลี่ยนเสื้อผ้าและนอนหลับพักผ่อนไปแล้วอยู่ในห้องนอนนั่นเอง
   
ทุกคนละสายตาจากรายการโทรทัศน์ที่วันนี้เห็นได้ชัดว่าเปิดเสียงเบากว่าปกติ น่าจะเพราะเกรงใจคนป่วยที่นอนซมอยู่อีกห้อง เมื่อเห็นร่างขาวๆของพี่ชายอีกคนเดินออกมาจากห้องครัว
   
“พี่เจทำอะไรหอมฉุยเลย” แม็ก ที่ประสาทรับรู้เรื่องอาหารการกินนั้นอยู่ในระดับเหนือมนุษย์ทั่วไป เอ่ยปากถามอย่างใคร่รู้ ก็กลิ่นหอมที่โชยมากจากในครัวมันกระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะเสียนี่กระไร ทั้งที่เมื่อตอนเย็นก็ซัดเข้าไปแล้วชนิดไม่ยั้งแท้ๆ
   
“ซุป” เจเอ่ยเสียงเย็น “ของโย” ก่อนจะกราดสายตามองน้องที่นั่งหน้าสลอนอยู่อย่างรู้ทัน
   
“เพราะฉะนั้นพวกนายห้ามแตะ”
   
“โห... พี่เจ ผมก็น้องพี่นะ” เสียงประท้วงที่ไม่สู้จะหนักแน่นนักเอ่ยออกมาจากปากของซัน
   
“ข้อแรก พวกนายไม่ได้ป่วย ข้อสองโยยังไม่ได้ทานอะไร และข้อสาม…” เจชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว ก่อนจะหยุดมองหน้าน้องๆแต่ละคนเรียงตัวอย่างคาดโทษ “ใครใช้ให้พวกนายกินข้าวส่วนของโยเมื่อตอนเย็น”
   
“โหยยย... ก็พี่โยบอกว่าไม่กินเองอ่ะพี่ แล้วก็เลยยกให้พวกผมกิน จะทิ้งไว้ก็น่าเสียดาย ใช่ไหม...” หางเสียงเจ้าน้องเล็กอ่อยลงไปทันทีที่เห็นพี่ใหญ่ยืนเท้าเอวมองมาอย่างเอาเรื่อง
   
“ไม่ต้องมาโอดครวญ เอาเป็นว่า ซุปที่อยู่ในครัวไม่ใช่ของพวกนาย ถ้าไม่อยากตายห้ามแตะ” น้ำเสียงเด็ดขาดพอๆกับดวงตาคู่สวยที่ในตอนนี้ดูน่ากลัวเป็นบ้า “พี่จะเข้าไปดูโยในห้อง” ก่อนจะหันมาสำทับว่า “ถ้าไม่อยากแก่ตายจะลองดูก็ยังได้นะ”
   
ทั้งสามชีวิตหันไปมองหน้ากันอย่างสิ้นหวัง แม้น้องเล็กอย่างเจ้าแม็กจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพี่เจเป็นประจำ แต่ลองพี่ชายหน้าสวยของเขาได้ลั่นวาจาสิทธิ์ออกมาแบบนี้ มีหรือเขาจะกล้าเอาชีวิตเข้าเสี่ยง อย่างเก่งก็ทำได้แค่เดินเข้าไปในครัว เปิดฝาชามซุปที่ส่งกลิ่นหอมฉุยยั่วใจ แล้วก็สูดกลิ่นนั้นเข้าไปให้เต็มปอด ก่อนจะค่อยๆปิดคืนให้ด้วยความรู้สึกเสียดาย แต่ก็คงไม่เสียดายมากเท่ากับชีวิตเล็กๆของตัวเอง
   
พี่เจนะพี่เจ ไม่เห็นต้องใจร้ายกับน้องแบบนี้เลย
   
แล้วจึงเดินลากเท้าคอตกออกไปจากห้องครัว โดยไม่อาจจะทำอะไรได้มากกว่านั้น

**************************

ผ้าขนหนูผืนใหม่ถูกนำมาวางไว้บนหน้าผากของคนป่วยแทนที่ผืนเก่าที่อุ่นจนเกือบร้อน แม้คนป่วยจะมีสีหน้าสบายขึ้นมากกว่าที่เห็นเมื่อตอนค่ำ แต่ก็ยังไว้ใจอะไรไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เห็นโยนอนป่วยจนหมดสภาพแบบนี้ คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะคอยเป็นธุระจัดการดูแลสมาชิกทุกคนในวงมาโดยตลอด และไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะคอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับต้องมานอนซมเพราะพิษไข้ไปเสียแล้ว
   
เขานึกเอะใจมาตั้งแต่เช้าแล้วว่า โยดูผิดปกติไปจากเดิม ไม่ร่าเริง ไม่แจ่มใส หรือช่างพูดชวนคุยเหมือนอย่างเคย แถมสีหน้าก็ดูไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งเวลาเขาเดินเข้าไปใกล้แล้วเจ้าตัวทำท่าเดินเลี่ยงออกไปก็ยิ่งผิดสังเกต จนกระทั่งตอนนั่งรถไปด้วยกันนั่นแหละ ไม่ต้องแตะตัวก็รู้แล้วว่า โยต้องไม่สบายแน่ๆ ไหนจะไอร้อนที่แผ่ออกมาขนาดนั้น บวกกับท่าทางที่ไร้เรี่ยวแรงผิดปกตินั่นอีก แต่จนแล้วจนรอดโยก็ไม่ยอมปริปากบอกเขาสักคำ
   
บอกตามตรงว่ามันทำให้เขาหงุดหงิดเป็นบ้า ทำอย่างกับว่าเขาพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย แม้จะนึกเป็นห่วงเหลือเกิน แต่ด้วยเพราะความโกรธที่กรุ่นอยู่ลึกๆ จึงทำให้เกิดทิฐิ และนึกต่อต้านเจ้าคนป่วยหัวดื้อขึ้นเงียบๆในใจ แต่ท้ายที่สุด ด้วยความที่อดเป็นห่วงไม่ได้นั่นแหละ เขาจึงต้องเดินเข้าไปบอกพี่เมษ ผู้จัดการวง ว่าโยอาการไม่ค่อยดีนัก ก่อนจะถามหายาเผื่อว่าจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้กับหัวหน้าวงลงได้สักนิด อย่างน้อยก็ขอให้พอมีแรงอัดรายการต่อได้จนจบก็ยังดี
   
สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องเป็นเขานี่เองที่คอยเป็นธุระจัดการเรื่องหยูกยาและอาหารให้
   
เราจะโกรธนายได้สักแค่ไหนกันเชียวนะ
   
เขารำพึงขึ้นในใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนชั่งใจว่าจะเดินไปเอาถ้วยซุปมาให้คนป่วยทานตอนนี้เลยดีไหม เพราะเจ้าตัวยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่ตอนเย็น แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไป บุรุษพยาบาลจำเป็นก็สัมผัสถึงแรงกระชับที่กรุ่นไปด้วยไอร้อนของพิษไข้จากอุ้งมือที่จับมือของเขาเอาไว้
   
“จะไปแล้วเหรอ” คนป่วยถามออกมาด้วยเสียงแหบโหย “อยู่ด้วยกันก่อนได้ไหม”
   
ร่างที่ยืนอยู่เต็มความสูงทรุดตัวลงนั่งทันทีแบบไม่ต้องคิดอะไรอีก ก่อนจะสอดมือของคนป่วยคืนเข้าไปใต้ผ้าห่ม
   
“ถ้าอยากให้อยู่ ก็จะอยู่ด้วย” เจว่าสั้นๆ พร้อมกับคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้กับคนป่วย จนคนที่นอนซมอยู่อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าจะป่วยหนักขึ้นก็เพราะยิ้มแบบนี้แหละ
   
“เจ... เราขอโทษ”
   
“ทำไมไม่บอกกันบ้างว่าป่วย”
   
“ไม่อยากให้ห่วง”   
   
ใบหน้าหวานที่เขาชอบมองนักหนาก้มต่ำลงมาหาเขาก่อนจะเท้าคางลงบนแขนที่ซ้อนทับกันไว้ข้างๆหมอนของคนป่วยนั่นเอง
   
“นายห่วงเราเป็นแค่คนเดียวเหรอโย” คำถามนั้นทำเอาเขาพูดไม่ออก “เราเองก็อยากจะดูแลนายบ้างเหมือนกันเวลาที่นายต้องการใครซักคนน่ะ” ดวงตากลมโตคู่นั้นหรุบต่ำลง
   
“นึกไปมันก็น่าน้อยใจนะ” เจยังตัดพ้อต่อไม่หยุด “ไอ้เราก็คิดว่าตัวเองน่าจะพอเป็นที่พึ่งพาได้บ้าง แต่สงสัยจะสำคัญตัวเองผิดไปหน่อย”
   
“พอเถอะน่า... นะ...” คนป่วยพูดอย่างอ่อนแรงแต่ก็ยังไม่วายแฝงแววขบขันระคนยอมแพ้ในน้ำเสียง “เรายอมนายแล้ว... ขอโทษ วันหลังถ้ามีอะไรจะบอก จะไม่เก็บเอาไว้คนเดียวอีกแล้ว”
   
“แน่ใจ?”
   
“แน่ใจ”
   
“สัญญา?”
   
“สัญญา”
   
ใบหน้าหวานนั้นยิ้มออกมาในที่สุด
   
“ดีมาก”
   
“จะไปไหน?” คนป่วยระล่ำระลักถามเมื่อเห็นคนข้างๆทำท่าจะลุกขึ้นผละไป
   
“ไปเอาซุปมาให้กิน นายตื่นแล้วนี่ จะได้มีแรงไง” น้ำเสียงแหบหวานนั้นมีแววล้อ
   
“แล้วไป...”
   
“กลัวโดนทิ้งหรือไง คนป่วย”
   
“กลัว” ร่างสูงใหญ่สารภาพออกมาตรงๆ เหมือนเด็กที่กลัวการถูกทิ้งอย่างเป็นจริงเป็นจัง เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนที่เป็นต่อกว่าอยู่หลายขุมออกมา
   
“ใครจะกล้าทิ้งนายกัน เดี๋ยวมานะ”
   
คงจะเป็นครั้งแรกล่ะมังที่การเป็นคนป่วยจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและชื่นใจได้ถึงเพียงนี้
   
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการไข้ หรือเพราะคนที่กำลังเดินเปิดประตูออกไปกันแน่ ที่ทำเอาเขาเพ้อมากผิดปกติจนน่าหมั่นไส้
   
แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้รู้แค่ว่า นานๆจะป่วยสักทีแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

___________________________________
มาแล้วค่ะ สำหรับตอนพิเศษตอนแรก สั้นๆ แต่ได้ใจความมาก

ติดตามอ่านกันต่อไปเรื่อยๆนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 1: ป่วย #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-01-2010 20:36:35
อยากได้คนดูแลแบบนี้บ้างงงง หุหุ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 1: ป่วย #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 13-01-2010 20:59:55
โยกะเจดูแลกันดี๊ดี
ตอนป่วยก็ไม่ทิ้งกัน งื้ออ น่ารักที่สุดเลยยย
+1 ขอบคุณคุณนิ้วไขว้คร้า :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 1: ป่วย #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 13-01-2010 21:01:08
มาสั้นๆ แต่เจน่าร้ากกกกก  :o8:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 1: ป่วย #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: ai_no_uta ที่ 13-01-2010 21:04:53
เฮ้อออออ


ยิ่งอ่าน ยิ่งคลั่ง ยุนแจ โยเจ เอิ๊ก กกกๆ ^^


ขอบคุณนะคะ ไรเตอร์ ที่อุตส่า แต่งเรื่อง หนุกๆ มาให้อ่านกัน


กอด หน่อย ๆๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 1: ป่วย #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 13-01-2010 21:13:00
น่ารักและอบอุ่นมาก

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 1: ป่วย #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 15-01-2010 08:50:17
มาสั้นๆ แต่ได้ใจมาก

ชอบที่เจงอนโย ที่ไม่สบายแล้วไม่ยอมบอก
ดูห่วงใยกันดีจังเลยค่ะ

รอตอนพิเศษ 2 ต่อนะคะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 1: ป่วย #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: Yukisae ที่ 16-01-2010 00:01:49
เนื้อเรื่องจบลงอย่างสวยงาม
God's Childs กับการก้าวไปข้างหน้า
เพื่อแสดงให้ทุกๆคนได้เห็นถึงพลังของเด็กทั้ง5คน :-[
ปลาบปลื้ม ตอนพิเศษน่ารักอ่ะ
โยขี้อ้อนเหมือนกันนะเนี่ย 555++
+1ให้คนแต่งค่ะ ^ ^
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 2: Baby, I Love You #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 18-01-2010 15:04:40
ตอนพิเศษ 3: Baby, I Love You

ภาพที่ปรากฏตรงหน้า

หากใครได้เข้ามาเห็น คงจะอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า นอกจากจะแปลกตาแล้วยังเรียกรอยยิ้มได้ดีจริงๆ
   
ก็จะอะไรเสียอีก ถ้าไม่ใช่สมาชิกวงบอยแบนด์ชื่อดังอันดับหนึ่งของบ้านนี้เมืองนี้ ที่ไม่ว่าจะไปปรากฏตัวที่ไหน หรือทำอะไร แม้แต่ขยับตัวเพียงแค่นิดเดียว ก็แทบจะเรียกได้ว่ากระชากใจและเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาแฟนเพลงสาวๆที่คลั่งไคล้พวกเขาได้แล้วชนิดถล่มทลาย แน่นอนว่าไม่ใช่แค่หน้าตาที่หลายคนออกปากว่า “หล่อขั้นเทพ” แต่รวมไปถึงความสามารถในการร้องเพลง เต้นรำ แถมยังเอนเตอร์เทนคนดูได้เป็นเยี่ยมบนเวทีนั่นด้วย พวกเขาคือวง God’s Child ที่ประกอบไปด้วย หัวหน้าวงสุดเท่อย่างโย แล้วไหนจะพี่ใหญ่อีกคนที่เป็นเจ้าของ ใบหน้าสวยหวานขึ้นชื่อเกินเด็กผู้ชายทั่วไปอย่าง เจ ยังมีคู่หูคู่ฮาที่ความร่าเริงกับหน้าตามาคู่กันชนิดไม่มีใครกินใครลงอย่าง ซัน และ ชุน รวมไปถึงน้องเล็กผู้ชาญฉลาดอย่างแม็กอีกคน ช่างเป็นวงที่ดูเหมาะเจาะลงตัวไปเสียหมด   
   
ซึ่งไม่น่าจะเป็นเด็กหนุ่มกลุ่มเดียวกับที่เห็นอยู่นี่ได้เลย
   
เพราะไม่ว่าจะดูยังไง พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้ชายธรรมดาที่กำลังง่วนอยู่กับกระดาษในมือ โดยนั่งกระจายอยู่ตามมุมต่างๆในสตูดิโอขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งนี้ แต่ละคนโยกหัวไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ดังผ่านหูฟังไอพ็อดที่ถือเอาไว้ในมืออีกข้างแบบของใครของมัน ริมฝีปากขมุบขมิบแบบไม่มีเสียง หัวคิ้วที่ขมวดบ้างคลายบ้างแตกต่างกันไป นานๆทีจะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หันไปสะกิดอีกคนเพื่อถามอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันกลับไปสนใจกระดาษตรงหน้าอีกครั้ง
   
ภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ได้รับมอบเพลงใหม่ และเตรียมที่จะอัดเสียงกัน อย่างเพลงนี้พวกเขาได้รับทำนองและเนื้อร้องมาแล้วล่วงหน้าหลายวัน แม้จะฟังจนขึ้นใจและจำทุกอย่างได้หมดแล้ว แต่พอใกล้ถึงเวลาก็อดที่จะฟังแบบวนไปวนมาซ้ำๆอีกไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็คือ แต่ละคนต่างก็พยายามที่จะให้เกิดความผิดพลาดขึ้นน้อยที่สุดนั่นเอง
   
เมื่อมั่นใจว่าสามารถจดจำทุกอย่างได้จนขึ้นใจ พวกเขาจึงนั่งเล่นนอนเล่นเพื่อเป็นการฆ่าเวลาไปอย่างรู้งาน อัดเสียงก็ต้องใช้เวลาแบบนี้แหละ พวกเขาชินกับมันเสียแล้ว
   
ร่างสูงใหญ่ที่นั่งเหยียดยาวอยู่บนพื้นห้องที่ปูพรมสะอาดสะอ้านเอาไว้ คลายความเคร่งเครียดลงไปมาก เขาจะรู้สึกสบายใจเวลาทำงานทุกครั้งที่รู้สึกมั่นใจแบบนี้ หันไปมองคนอื่นๆที่เหลือในห้องก็ดูเหมือนว่าทุกคนน่าจะไม่มีปัญหาอะไรกับการอัดเสียงครั้งนี้แน่นอน เพราะต่างคนต่างก็ดูผ่อนคลายลงมากแล้ว ดูได้จากกิจกรรมที่แต่ละคนเลือกทำตอนนี้ปะไร
แล้วจู่ๆหัวหน้าวงอย่างโย ก็นึกครึ้มใจอะไรขึ้นมาสักอย่าง ก่อนที่จะเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิและหันไปมองรอบๆห้องอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

รอยยิ้มและท่าทางที่แฟนเพลงคนไหนก็คงยากที่จะได้เห็น เพราะหัวหน้าวงกับบุคลิกที่เท่แสนเท่ ดูเป็นผู้ใหญ่และน่าเชื่อถือในยามปกตินั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือเด็กหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีจนคาดไม่ถึงที่สมาชิกคนอื่นๆในวงรู้กันเป็นอย่างดีนั่นเอง   

ไอ้ที่จุดประกายเด็กหนุ่มให้นึกวางแผนทำอะไรสนุกๆแกล้งน้องๆในวงก็ไม่ใช่อะไร ก็เนื้อเพลงใหม่ที่ได้มานี่แหละ จะมีท่อนนึงที่เขาต้องร้องคลอขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มเบาที่จะว่าน่ารักก็ได้ หรือจะบอกว่าเซ็กซี่นิดๆก็คงไม่ผิดนัก

“Baby, I Love You” เนื้อเพลงท่อนที่เป็นภาษาอังกฤษสั้นๆแบบไม่ต้องแปลความหมายอะไรให้มากความ แต่ฟังแล้วเป็นต้องอดยิ้มออกมาไม่ได้ทุกที ไหนๆก็ไหนๆ... ลองเอามาเล่นดูสักหน่อย ท่าจะสนุกดีเหมือนกัน
   
เหยื่อรายแรก แบบที่หวังผลได้เลยร้อยเปอร์เซ็นต์ หนีไม่พ้นซันที่กำลังง่วนอยู่กับเกมเพลย์สเตชั่นในมือชนิดไม่สนใจโลกรอบข้างใดๆ ลองไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ ก็ต้องนับว่าเป็นเหยื่อชั้นดีทีเดียว ไวเท่าความคิด พี่ชายคนโตกระโดดผลุงเข้าไปนั่งข้างๆ ก่อนจะกระซิบข้างๆหูเด็กหนุ่มว่า “Baby, I Love You” เท่านั้นแหละ เจ้าซันสะดุ้งหันขวับไปมองที่ต้นเสียงทันที ก่อนจะหน้าแดง และตามมาด้วยเสียงปิ๊ปดังๆเป็นสัญญาณว่า เกมโอเวอร์
   
“พี่โย..................................” ซันโอดครวญด้วยน้ำเสียงเหมือนคนใกล้จะตาย “ทำไมทำกับผมอย่างนี้” เด็กหนุ่มหันไปมองพี่ชายอย่างขัดใจ มือข้างหนึ่งกุมหูข้างนั้นเอาไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวตกใจกับเสียงนุ่มๆทุ้มๆนั่นแค่ไหน ในขณะที่ตัวต้นเหตุหัวเราะชอบใจอย่างไม่รู้สึกสำนึกเลยสักนิด ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นคนต่อไป ปล่อยให้คนโดนแกล้งนั่งบ่นกระปอดกระแปดแบบไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้นอยู่คนเดียว
   
รายต่อไป น้องเล็กวัยกำลังกินกำลังนอนของวง ว่างเป็นไม่ได้ หันไปทีไรเป็นต้องเห็นแม็กแอบงีบอย่างสบายอารมณ์อยู่บ่อยๆ พี่ใหญ่หัวหน้าวงตัวแสบ แอบเดินเข้าไปนั่งเงียบๆอยู่ข้างๆเก้าอี้ตัวยาวที่ร่างสูงๆของน้องเล็กนอนเหยียดยาวอยู่อย่างไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง ก่อนจะกระตุกริมฝีปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างมาดร้าย แล้วจึงก้มลงไป กระซิบแบบพอได้ยินซ้ำๆว่า “Baby, I Love You” จนเจ้าของร่างที่นอนอยู่ค่อยๆกระพริบตาขึ้นอย่างงงวย และถูกน็อกในที่สุด ด้วยเสียง “Baby, I Love You” ที่ดังขึ้นกว่าเดิมเป็นการปิดท้าย
   
แม็กสะดุ้งจนตกลงมาจากโซฟา เจ็บไม่เท่ากับงง และก่อนที่จะได้ทำอะไรไปมากกว่าแค่มองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ตัวการที่กำลังหัวเราะร่วนกับผลงานชิ้นเอกก็กระโดดไปถึงโซฟาอีกตัวที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมุมห้องเสียแล้ว ปล่อยให้เจ้าน้องเล็กนั่งตาปรือขมวดคิ้วมุ่นอยางขัดเคือง ก่อนที่จะคลานขึ้นไปนอนหมดสติบนโซฟาตัวเดิมอย่างสิ้นมาดสมาชิกวงบอยแบนด์สุดเท่ ชวนให้อดนึกสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่า ถ้าเจ้าตัวตื่นขึ้นมาแล้ว จะยังจำได้ไหมว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองไปบ้าง
   
เหยื่ออีกรายที่ได้เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกทั้งสองคนเมื่อก่อนหน้านี้ ทำท่าระวังเต็มที่ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว เมื่อหัวหน้าวงตัวร้ายกระโดดมาถึงตัวชุนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอาแขนแข็งแรงทั้งสองข้างรัดตัวเขาเอาไว้แน่น พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูยังไงมันก็รอยยิ้มของปิศาจชัดๆในความคิดของเขาวินาทีนั้น
   
แต่เอาน่า ดูๆไปแล้วเขาน่าจะพอสลัดหลุดไหว
   
ถ้าไม่ใช่เพราะมีแขนอีกคู่หนึ่งรัดตัวเขาเอาไว้อีกแรง
   
ทำไมเขาถึงได้สะเพร่าอย่างนี้ ทำไมถึงไม่เอะใจสักนิดว่า พี่เจนั่งอยู่ข้างๆ!!! พี่เจที่แสนอ่อนโยน อบอุ่น เป็นห่วงเป็นใย และใส่ใจกับทุกคน ชุนบอกได้เลยว่าเขารักพี่เจมากเหลือเกิน แต่ต้องไม่ใช่พี่เจที่ชอบแกล้งคนอื่นเป็นชีวิตจิตใจในขณะที่ใครก็ห้ามแกล้งพี่เจเด็ดขาดแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ได้ร่วมไม้ร่วมมือกับพี่ใหญ่ของวงอีกคนแกล้งน้องๆในวงอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยด้วยยิ่งแล้ว...
   
ชุนเอ๋ย... วันนี้มันวันซวยอะไรของเอ็งหนอ
   
ไม่ใช่แค่โยที่ร้องท่อน “Baby, I Love You” ใส่หูเขาแบบจังๆ ยังมีเจที่ขอร้องท่อนตัวเองด้วยเสียงที่โคตรจะเซ็กซี่กรอกหูเขาอีกข้างด้วย และน่าจะเหมือนเป็นการทำโทษที่บังอาจรู้ทันและคิดจะขัดขืนการแกล้งของพวกพี่ทั้งสองคน โยจึงกดจมูกฝังลงกับแก้มข้างหนึ่งของเด็กหนุ่ม ในขณะที่อีกข้างตกเป็นของพี่ชายหน้าสวยไปอย่างไม่ต้องสงสัย จนเป็นที่สาแก่ใจแล้วนั่นแหละ พี่ชายคนโตตัวแสบของวงทั้งสองคนจึงยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระแต่โดยดี ในขณะที่เขานั่งทำหน้าปูเลี่ยนๆพร้อมกับรำพึงในใจอย่างคนหมดอาลัยตายอยากและไร้ทางสู้กับตัวเองว่า
   
มันวันซวยอะไรหนอ ถึงได้ถูกผู้ชายสองคนพร้อมใจกันหอมแก้มเขาอย่างมันเขี้ยวขนาดนี้ ทำไมเขาจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับคนที่บ้าการสัมผัสอย่างพี่โย และคนที่บ้าแกล้งคนแบบห่ามๆอย่างพี่เจด้วย ก่อนจะหันไปมองสองพี่ชายของวงที่กำลังหัวเราะชอบใจพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งตีกันกลางอากาศราวกับว่า ไอ้ที่ทำลงไปนั่นเป็นการกู้โลกอะไรสักอย่าง
   
มันน่าเจ็บใจที่คนเป็นน้องอย่างเขาต้องยอมอย่างไร้ทางสู้เช่นนี้ จะมีใครมาสนใจกับความทุกข์อันนี้หรือ ก็ไม่ เพราะที่จริงเขาควรจะทำตัวให้ชินกับมันได้แล้วต่างหาก จะโอดครวญไปทำไมมี
   
แผนการกลั่นแกล้งสมาชิกในวงหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น เมื่อมีเสียงเรียกให้พวกเขาเตรียมตัวเข้าห้องอัดกันได้แล้ว
   
ทีพี่เจล่ะรอด
   
เหยื่อทั้งสามรายคิดในใจราวกับนัดกันไว้ มาคิดดูโลกนี้มันช่างไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลยจริงๆ ในขณะที่พวกเขาทั้งสามคนต้องตกเป็นเหยื่อในการแกล้งของหัวหน้าวง แต่พี่อีกคนกลับรอดตัวไปอย่างน่าเจ็บใจ แถมน้องอย่างพวกเขาจะเอาคืนก็ไม่ได้เสียด้วย มีหวังพี่เจงอนตาย ไม่อย่างนั้นก็ต้องโดนรังสีอำมหิตแผดใส่ หรืออย่างแย่ก็อดกินอะไรอร่อยๆฝีมือพ่อครัวประจำวงไปอีกหลายวันแน่ๆ
   
วงที่ไร้ความยุติธรรมนี้ มีคนแค่คนเดียวเท่านั้นที่แกล้งพี่เจแล้วไม่โดนว่า ก็คือพี่โย... หัวหน้าวง
และดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะเข้าข้างน้องชายทั้งสามคนเสียแล้ว เมื่อเห็นหัวหน้าวงยืนส่งยิ้มและส่งสายตาเป็นนัยมาให้ ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปาก พวกเขาไม่รู้หรอกว่าพี่โยจะทำอะไร รู้แต่ว่างานนี้เล่นตามน้ำอย่างเดียวก็พอ
   
สนุกล่ะครับท่านผู้อ่าน

อย่างดีก็คือพี่เจจะโดนแกล้งเหมือนกับพวกเขา อย่างแย่พี่โยก็โดนเอาคืน แต่จะแบบไหน น้องๆอย่างพวกเขาไม่นึกอยากรู้ ขอรอดูอย่างเดียวล่ะงานนี้

********************

การอัดเสียงรอบแรกเป็นไปด้วยดี ข้อผิดพลาดๆเล็กๆน้อยๆแทบจะไม่เกิดขึ้น หรือไม่ก็ต้องนับว่าน้อยมาก เด็กหนุ่มทั้งห้าคนยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังเพลงใหม่ที่พวกเขาเพิ่งร้องจบไป ก่อนที่จะขอร้องใหม่อีกหนึ่งรอบ และเพื่อเป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาด รอบที่สามจึงตามมาติดๆ โดยที่น้ำเสียงของคนทั้งห้าไม่ตกลงไปเลยสักนิด

“ขอลองใหม่อีกรอบได้ไหมครับ” จู่ๆหัวหน้าวงก็พูดใส่ไมค์ผ่านลำโพงไปยังซาวนด์เอ็นจิเนียร์และโปรดิวเซอร์ที่นั่งถัดออกไปอีกห้อง โดยมีเพียงกระจกแข็งแรงแต่ใสแจ๋วกั้นอยู่เท่านั้น

“โอเคครับ” ซาวนด์เอ็นจิเนียหนุ่มใหญ่ท่าทางใจดีผิดกับหน้าตาว่าพลางยิ้มตอบกลับไป นอกจากเจที่ไม่นึกสงสัยอะไร น้องๆอีกสามคนก็แอบลอบยิ้มกับพี่ใหญ่ของวงโดยไม่ยอมโตกตากอะไรออกมาให้เป็นที่ผิดสังเกตแม้แต่นิดเดียว   

ดนตรีในช่วงอินโทรดังขึ้นทำให้อดไม่ได้ที่จะโยกศีรษะตามไปด้วย เริ่มด้วยเสียงของแม็กในโทนแหลมสูงแต่ก็มีพลังเหลือหลาย ต่อด้วยเสียงของเจที่ประสานรับกับเสียงของซันและโยสลับกับชุน แล้วก็เข้าท่อนฮุกโดยมีเสียงของพวกเขาทั้งห้าคนประสานรวมกัน

จนถึงท่อนบริดจ์ ก่อนเข้าท่อนประสานท่อนที่สอง

เจเปล่งเสียงหวานใสแต่กังวานจับใจออกมา ก่อนที่จะเป็นโย... เจ้าของท่อนที่ต้องร้องว่า “Baby, I Love You” ต่อจากท่อนของเขา

แต่... แล้วมันเรื่องอะไรที่หมอนี่จะต้องร้องท่อนนี้ข้างหูเขาแบบนี้ด้วย!

“เฮ้ย....” เจร้องลั่นขึ้นมา “ทำบ้าอะไรเนี่ย…” แม้ปากจะหันไปแว้ดกับไอ้คนตัวสูงที่ยืนยิ้มกริ่มและทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าหมั่นไส้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้าขาวๆนั้นขึ้นสีชมพูระเรื่อไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย มือข้างหนึ่งกุมหูข้างที่โดนเสียงทุ้มนั้นมาทำให้เสียสมาธิอย่างรุนแรงจนทำอะไรไม่ถูก เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากล่างเบาๆอย่างคนที่รู้สึกขัดใจเป็นที่สุด

“เป็นอะไรหรือเปล่า” ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่อยู่อีกห้อง ถามผ่านเฮดโฟนอันใหญ่ที่ครอบหูของเด็กหนุ่มทั้งห้าคนเอาไว้

“ปละ... เปล่าครับ” เจระล่ำระลักตอบ “ขอใหม่อีกครั้งนะพี่ ขอโทษครับ เสียสมาธินิดหน่อย” พูดจบ หางตากลมโตแต่แฝงแววเฉียบคม เหลือบมองไปยังคนตัวสูงที่ยังคงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน
เสียงเพลงดังขึ้นในหูอีกครั้ง และเมื่อถึงท่อนเจ้าปัญหา

“ไอ้.....” เจโวยวายขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปมองหน้าตัวต้นเหตุของอาการหลุดของเขา “หยุดเลยนะ!” น้ำเสียงที่ห้ามนั้นฟังดูเด็ดขาดก็จริง แต่ไอ้อาการเขินนี่สิมันมาจากไหนกัน แล้วมันเรื่องอะไรเขาจะต้องหน้าแดงกับเสียงทุ้มๆของหมอนี่ตอนมากระซิบ ‘ท่อนนี้’ ข้างหูเขาด้วย

เจชูนิ้วขึ้นอย่างมาดร้ายไปยังหัวหน้าวงที่ทำท่ากลั้นหัวเราะเต็มที่ ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดอีกสามคนตีหน้าซื่อทั้งๆที่อยากจะหัวเราะออกมาใจแทบขาด

“ขอโทษครับพี่” เจยกมือขึ้นไหว้หน้าจ๋อย “ขออีกรอบเถอะนะครับ” ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆออกมาอย่างคนรู้สึกผิด... ทั้งๆที่ความผิดนั้นเกิดจากไอ้เจ้าหัวหน้าวงที่ยังตีหน้ามึนอยู่นี่ต่างหาก เพลงนี้เขาต้องเปิดหูฟังข้างหนึ่งเอาไว้เสียด้วยสิ เข้าทางพอดีไปหรือเปล่า

เพลงเดิมถูกเปิดดังขึ้นเป็นรอบที่สาม และพอใกล้จะถึงท่อนเจ้าปัญหา...

หนนี้ยังไม่ทันที่โยจะได้ทำอะไร คนบ้าจี้อย่างเจกลับหลุดหัวเราะออกมาเสียก่อน ทำเอาอีกสี่คนที่เหลือระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด

การแกล้งเจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำ เป็นอันต้องได้เห็นผลอันคุ้มค่ากลับมาทุกครั้ง

“หยุดเลย พอก่อนเลยนะ” ปากแม้จะว่าออกไป แต่ตัวเองกลับหยุดหัวเราะไม่ได้ มือข้างหนึ่งปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเต็มที่จนตาหยี มืออีกข้างกุมท้องเอาไว้ ทั้งขำทั้งเคือง

“ขอบคุณครับพี่ พอแล้วครับ” เสียงทุ้มใหญ่ของหัวหน้าวงดังขึ้นอย่างร่าเริง ขณะส่งสัญญาณมือให้กับซาวนด์เอ็นจิเนียร์และโปรดิวเซอร์ที่กำลังนั่งหัวเราะชอบใจกับความขี้เล่นของสมาชิกในวงอยู่อีกห้องหนึ่งเหมือนกัน

“โอเค เรียบร้อยครับ” ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ชูนิ้วโป้งขึ้น ก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้

“อ้าว” เจ หยุดหัวเราะไปแล้ว แต่กลายเป็นว่างงงวยกับปฏิกิริยาของทุกคน ก่อนจะหันไปถามโยด้วยความสงสัยเต็มที่ “แล้วไม่อัดเสียงต่อแล้วเหรอ”

“ไม่ต้องแล้ว” โยตอบกลับไปยิ้มๆ ยิ่งเห็นดวงตากลมโตมองแป๋วกลับมาแบบใสซื่อด้วยแล้ว รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งกว้างขวางขึ้นไปอีก ก่อนจะก้มหน้ากระซิบข้างๆหูเพื่อนหน้าสวยว่า “อัดเสร็จไปตั้งนานแล้ว”

โดยไม่ทันได้สังเกต สมาชิกในวงอีกสามชีวิตที่เห็นท่าไม่ดีก็ค่อยๆย่องออกจากห้องอัดไปแบบเงียบๆ โดยไม่ขออยู่รอดูชะตากรรมของพี่ใหญ่หัวหน้าวง ในใจคิดแค่ว่า ถึงจะรักพี่แค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็ต้องรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีเอาไว้ก่อนล่ะครับ

“อ๋อ นี่คือ วางแผนแกล้งเรา” คนถามยืนกอดอกและมองหน้าตัวต้นเหตุอย่างเอาเรื่อง

“กลัวไม่ยุติธรรมไง” นอกจากจะไม่สำนึกแล้วยังกล้าย้อนกลับมาอีกต่างหาก ทำเอาอดรู้สึกฉิวขึ้นมาไม่ได้ “โกรธเหรอ” ทีอย่างนี้มาทำเสียงอ้อน

เจไม่เพียงแต่ไม่พูดอะไร แต่ยังยืนหันหลังให้คนตัวสูงอีกต่างหาก ปฏิกิริยาที่ผิดคาดแบบนี้ทำเอาโยใจเสียขึ้นมาทันที คนอย่างเจ ถ้าไม่พอใจอะไรสู้ให้โวยวายออกมายังจะดีเสียกว่าเงียบไปเลยแบบนี้

“เจ... โกรธเราเหรอ” ร่างนั้นยังไม่ยอมหันมามองเขา โยโอบแขนรัดร่างนั้นเบาๆก่อนจะเอาคางเกยกับไหล่ของอีกฝ่ายที่กำลังรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดหูและไออุ่นจากร่างกายอันแสนคุ้นเคยนั้น “ขอโทษ”

เกิดความเงียบขึ้นในห้องนั้นอยู่เป็นครู่

“ไม่ได้โกรธ” เสียงแหบหวานนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆ ทำเอาโยใจชื้นขึ้นเป็นกอง

“แต่ว่า...” ยังไม่ทันที่ร่างสูงใหญ่จะได้ตั้งตัว ร่างขาวๆของเจก็หันกลับมาพร้อมกับเหวี่ยงกำปั้นใส่ต้นแขนแข็งแรงของเจ้าหัวหน้าวงที่วันนี้ทำตัวป่วนได้ใจดีเหลือเกินดังพลั่ก

“โอ๊ย...” เสียงทุ้มนั้นร้องประท้วงออกมาเบาๆ “เจ็บ...” ได้แต่โอดครวญเสียงอ่อย

“แต่ก็ไม่ถึงกับตายนี่ ใช่ไหม” พูดจาอ่อนหวานไม่เข้ากับหน้าตาเลยให้ตายเหอะ เขาได้แต่คิดอย่างประชดชีวิตกับตัวเองในใจ

“ถือว่าหายกันแล้วนะ” เสียงทุ้มๆนั้นยังคงออดอ้อนไม่เลิก แล้วไหนจะทำหางตาตกจนน่าสงสารนั่นอีก ต่อให้ใจแข็งแค่ไหน เด็กหนุ่มหน้าสวยก็คงโกรธได้ไม่นานหรอก แต่จะให้ยกโทษให้ง่ายๆก็คงจะไม่ได้เหมือนกัน เสียชื่อคนอย่างเจหมด

“ยัง” น้ำเสียงนั้นยังคงเด็ดขาดไม่เปลี่ยนแปลง

“จะให้ทำยังไงถึงจะหายงอน”

เจไม่ตอบ ได้แต่ใช้ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมองเข้าไปในดวงตาเรียวยาวของคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ลดละ ก่อนที่อีกฝ่ายจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมจำนนในที่สุด

“มื้อเย็นนี้เดี๋ยวเราพาไปเลี้ยงอาหารอิตาเลี่ยนร้านที่นายชอบก็แล้วกัน ดีไหม” โยยื่นข้อเสนอ

ดวงตากลมโตคู่เดิมยังคงจ้องมองเขานิ่งอยู่อย่างนั้น

“กระเป๋าใบใหม่ด้วยอีกใบก็ได้ พอใจหรือยัง”

รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้างามอย่างยินดีและเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุด

“ต้องอย่างนี้สิ” คิดจะแกล้งเจก็ต้องทำใจยอมรับผลที่ตามมาหน่อยล่ะ “งั้นไปกันเลย” พูดยังไม่ทันขาดคำ ข้อมือขาวๆก็ถูกคนตัวสูงคว้าเอาไว้

“เดี๋ยว” ก่อนจะออกแรงดึงร่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซปัดเข้ามาและคงจะล้มลงไม่เป็นท่าแน่ๆ ถ้าอ้อมแขนแข็งแรงของโยไม่อ้ารับเอาไว้ชนิดพอเหมาะพอเจาะ

“อะไรเล่า” เสียงประท้วงนั้นไม่สู้จะเด็ดขาดนัก แถมยังไม่ได้แสดงอาการขัดขืนสักเท่าไหร่อีกต่างหาก คนกอดก็เลยพลอยจะได้ใจไปด้วย

“ท่อนที่เราร้องให้นายฟังน่ะ...” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบข้างหูของเขาอย่างอ่อนโยน “เราหมายความตามนั้นจริงๆนะ”

ไม่ต้องก้มลงมองก็รู้ว่าคนในอ้อมกอดหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ร่างที่ดูเล็กกว่าเขาไปถนัดใจเวลาอยู่ด้วยกันดิ้นขลุกขลักอยู่สักพัก ก่อนจะค่อยๆผละออกมาจากอ้อมอกแข็งแรงนั้น

“ปล่อยได้แล้ว” เสียงนั้นเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ก็ยังไม่ยอมสบตากับเขาเสียที

“ปล่อยก็ได้” โยยิ้มน้อยๆ “อยากให้พูดให้ฟังอีกไหม”

“ไม่ต้องแล้ว”

“Baby… I Love…” ก็เพราะน้ำเสียงแบบนี้ไงเล่า หัวใจของเขามันถึงได้เต้นแรงเสียจนจะทะลุออกมานอกอกอยู่แล้ว

“รู้แล้ว.....” เสียงนั้นเอ่ยอ้อมแอ้มออกมาเสียจนแทบไม่ได้ยิน

“หือ... ว่ายังไงนะ” ใบหน้านั้นก้มต่ำลงมาอีก

“บอกว่ารู้แล้ว ไม่ต้องบอกแล้ว” พูดเสร็จก็เหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ร่างนั้นอีกที แต่ดูเหมือนจะเบากว่าเดิมไปโข “จะไปกันได้หรือยัง หิวแล้ว” ก่อนจะหมุนตัวเดินจ้ำพรวดออกไปอย่างรวดเร็วและไม่อยู่รอคำตอบอะไรอีก

โยถึงกับยืนปิดปากหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นอาการเขินจนไปไม่เป็นของเจแบบนั้น

เอาน่า แลกกับอาหารมื้อนึงแล้วก็กระเป๋าอีกใบนึงก็น่าจะคุ้มค่าล่ะ

“รอด้วยซี” เด็กหนุ่มเอ่ยตามหลัง ก่อนจะรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามออกไปทันที

********************

มันก็ดีอยู่หรอก

ได้มากินอาหารอิตาเลี่ยนร้านอร่อย (ที่พี่เจอยากมากิน) แถมกินฟรีเพราะมีเจ้ามือใจป้ำอย่างพี่โย แต่... เคยไหม ที่จะมีใครมาถามน้องๆอย่างพวกเขาว่า อยากกินอะไร อยากไปที่ไหน ชอบหรือไม่ชอบยังไง นี่ยังดีนะที่พวกเขากินง่ายอยู่ง่าย ไม่เรื่องมาก ถึงได้เออออห่อหมกไปกับพี่ชายทั้งสองคนได้เกือบทุกเรื่อง

แต่ไหนล่ะ...

พี่เจที่โกรธพี่โยหัวฟัดหัวเหวี่ยง พี่เจที่ไม่ยอมให้ใครมาหยามได้ พี่เจที่แสนจะใจแข็งของน้องๆ

แล้วภาพที่เห็นนี่มันอะไรกัน

พี่เจคนนั้นไม่ใช่พี่เจคนเดียวกับที่อยู่กับพี่โยตอนนี้แน่นอน เพราะตอนนี้พี่เจของพวกเขายิ้มหัวอย่างมีความสุขอยู่กับพี่ใหญ่หัวหน้าวง แถมพูดคุยกันราวกับมีกันอยู่แค่สองคนในโลก ยังไม่นับไอ้เรื่องที่แอบได้ยินมาด้วยว่า พี่โยยอมซื้อกระเป๋าใบใหม่ให้ด้วยอีกต่างหาก

ดูเอาเถอะ

ทั้งที่พวกพี่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ดูพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่น แต่ทำไมบรรยากาศรอบตัวพี่สองคนมันถึงได้อ่อนหวานแล้วก็อบอุ่นเกินเหตุนักก็ไม่รู้ แค่พี่โยตักอาหารให้พี่เจ เลื่อนจานให้ ใส่เครื่องปรุงให้ พี่เจอยากได้อะไร พี่โยก็ยอมตามใจทุกอย่าง แค่นั้นเอง

เอาเถอะ อย่างน้อยเวลามีอะไรดีๆ น้องๆอย่างพวกเขาก็พลอยได้รับอานิสงฆ์ไปด้วย ถือว่าหยวนกันไปก็แล้วกัน

แต่มีแค่อย่างเดียวเท่านั้นที่เด็กหนุ่มทั้งสามคนมีความเชื่อเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ตั้งแต่มาอยู่กับพวกพี่ พวกเขาได้เรียนรู้สัจธรรมข้อหนึ่งว่า

ความยุติธรรมมันไม่มีอยู่ในโลกนี้จริงๆ!

___________________________________

เอาตอนที่สองมาส่งให้แล้วนะคะ นานๆจะได้เห็น โย ในมุมขี้เล่นแล้วก็ป่วงขนาดนี้บ้าง ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน คนอ่านจะได้ไม่ลืมว่า น้องๆในวงนี้ยังเป็นเด็กกันอยู่ไงคะ

ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ตลอดค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 2: Baby, I Love You #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 18-01-2010 18:04:24
ขอบคุณครับสำหรับตอนพิเศษ ...หยั่งงี้ น้องๆก็รู้ความสัมพันธ์ของพี่ใหญ่ทั้ง 2 คนแล้วสิครับ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 2: Baby, I Love You #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 18-01-2010 20:00:51
อะโห... คุณเอ็ดเวิร์ดคะ น้องๆน่ะมันไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รู้นะคะ ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลาขนาดนั้น ต่อให้เป็นคนไม่ช่างสังเกตก็รู้ค่ะ แค่ไม่มีเหตุผลอะไรต้องพูดออกมาเฉยๆ อยู่ๆไปก็ท่าจะเคยชินกันไปเองอีกต่างหากค่ะ

ไม่งั้นตอน เจ นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แม็กมันไม่แซวพี่โยหรอกค่ะตอนที่เห็นพี่โยจับมือพี่เจไม่ปล่อยแบบนั้น ^_^

หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 2: Baby, I Love You #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 18-01-2010 23:33:16
มาอ่านอีกที เด็ก ๆ ก็ได้เป็นนักร้องดังไปเสียแล้ว

เจ กับ พ่อ ก็เข้าใจกัน ดีใจจัง สำหรับตอนพิเศษ

ชอบมากค่ะ เพราะว่าได้เห็นความรัก ความผูกพัน

ของเด็ก ๆ มากขึ้น แถมโยกับเจ ก็หวานกันมากขึ้น

อ่านแล้ว อดยิ้มตามไม่ได้เลย อะไรจะน่ารักกันขนาดนี้นี่

ส่วนน้อง ๆ  อีกสามคน ก็น่ารัก น่าหยิก ไปตาม ๆ กัน

เหมือนว่าตอนพิเศษ คุณนิ้วไขว้ เขียนได้ลื่นไหล และ

มีคำพูด คำจา  ที่สละสลวยมากขึ้นเรื่อย ๆ  ทำให้เรื่องนี้

มีเสน่ห์มากขึ้นไปด้วย  o13  ชอบมากค่า



หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 3: เข้าใจผิด!?! #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 21-01-2010 16:51:54
ตอนพิเศษ 3: เข้าใจผิด!?!

“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า... ไม่ใช่แบบนั้น” เสียงทุ้มที่คอยกำกับอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้น ต้องนับว่าพี่ใหญ่หัวหน้าวงเป็นคนใจเย็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากเป็นพี่ชายใหญ่อีกคน ป่านนี้เขาคงโดนหักคอตายไปนานแล้ว
   
“ดูใหม่นะชุน” โย สมาชิกวงบอยแบนด์ชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศอย่าง God’s Child ที่ควบทั้งตำแหน่งหัวหน้าวงและนักเต้นเท้าไฟประจำวงเอาไว้ ยกมือข้างหนึ่งแตะคางด้วยท่วงท่าที่สง่างาม แขนอีกข้างงอแตะข้อศอกของอีกข้างหนึ่งเอาไว้ พร้อมกับโยกไหล่ไปมาให้เด็กหนุ่มอีกคนดูเป็นตัวอย่าง ดูอย่างไรก็เท่ไม่มีที่ติจริงๆ ทั้งที่น่าจะเป็นท่าที่ทำตามได้ไม่ยากแท้ๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ทำไมเขาจึงได้วางมือไม้ไม่ถูกเสียทีก็ไม่รู้
   
ที่กดดันยิ่งกว่าก็คือ สมาชิกที่เหลืออีกสามคน ต่างก็ต่อท่านี้กันได้หมดแล้ว และกำลังนั่งดูโยที่กำลังติวเข้มให้กับเขาเงียบๆ
   
คนอื่นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่...
   
“นายนี่มันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย...” นั่นปะไร พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงที่ชุนหวั่นแสนหวั่นก็ดังขึ้นเนิบๆ ไอ้เรื่องกัดคนอื่นทำไมพี่ใหญ่หน้าสวยของวงถึงได้เป็นเลิศนัก เขาล่ะอยากรู้เป็นกำลัง แล้วมันเป็นเพราะอะไร ทำไมดูเหมือนทุกคนจะยอมพี่คนนี้ไปหมด ไม่มีใครกล้าหือเลยแม้แต่คนเดียวก็ไม่รู้
   
“ไม่เอาน่าเจ...” โดยเฉพาะพี่โย ให้ตายเถอะ ไม่ใช่แค่ไม่เคยขัดใจอะไรพี่เจ ยังใจดีและตามใจพี่เจไปเสียทุกอย่างอีกต่างหาก จะปกป้องน้องให้หนักแน่นอีกสักนิดมันจะตายหรือยังไงก็ไม่รู้ นึกแล้วมันน่าเจ็บใจจริงๆเชียว
   
“ก็มันจริงไหมล่ะ มีอย่างที่ไหน” น้ำเสียงแหบเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครที่ปกติก็น่าฟังดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้ชุนนึกอยากจะเอามือปิดหูเสียเหลือเกิน “อุตส่าห์ได้ท่าเท่ๆมา คนอื่นก็เต้นกันได้ไม่มีปัญหาอะไร มีแต่นายคนเดียวเลยที่เต้นออกมาแล้ว ดูยังไงก็เหมือนคนที่กำลังพยายามจะเชือดคอตัวเองชัดๆ” ว่าแล้วยังส่ายหน้าหยันเด็กหนุ่มที่ยืนจ๋อยอยู่อีกครั้งหนึ่งเป็นการสำทับให้เจ็บใจเล่นอีกต่างหาก
   
“หมดเลย ท่าดีๆ เสียหมด”
   
เหยียบย่ำกันเข้าไป
   
แม้จะรู้ว่า เจ ไม่ได้หมายความตามที่พูดจริงๆก็ตาม แต่ให้ตายเถอะ... มันก็ทำให้เขานึกเซ็งตัวเองขึ้นมาเหมือนกันนะเนี่ย ทำยังไงได้ เรื่องทักษะการเต้นนี่เขาดูจะเป็นรองคนอื่นจริงๆนั่นแหละ แถมไอ้ท่าที่ว่านี้ มันมีช่วงที่เขาต้องยืนเต้นอยู่ตรงกลางด้วยนี่สิ ถ้าเต้นผิดหรือเต้นไม่ได้เรื่อง ไอ้ที่ทุกคนเพียรซ้อมมา ก็พังที่เขาคนเดียวเลย การสร้างแรงจูงใจให้เต้นให้ได้อย่างที่พี่เจทำมันก็ดีอยู่หรอก แต่...
   
มันกดดันโว้ย

***********************
   
“เออ แบบนั้นแหละ” โยร้องออกมาอย่างยินดีที่ในที่สุดความพยายามของเขาก็สัมฤทธิ์ผล สมาชิกที่นั่งลุ้นกันอยู่ถึงกับกระโดดลุกขึ้นปรบมืออย่างยินดี
   
“ขอบคุณมากพี่” ชุนหมายความตามนั้นจริงๆ หันไปดูสมาชิกอีกสามคนที่เดินเข้ามาสมทบด้วย ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกโล่งใจเป็นกำลัง
   
“เอาจริงๆ ก็ทำได้นี่” พี่ชายหน้าสวยที่เมื่อกี้เพิ่งจิกกัดเขาอย่างเลือดเย็น ยิ้มกว้างออกมา ก็เพราะรอยยิ้มแบบนี้นี่ไง ใครเห็นเป็นต้องยอมหมด แล้วใครจะไปโกรธลง
   
“เอาล่ะ ต่อท่ากันจนจบเพลงแล้ว” หัวหน้าวงที่ดูเหมือนไม่ว่าเมื่อไหร่เรี่ยวแรงของเขาจะมีมากล้นอยู่เสมอราวกับไม่เคยมีวันหมดเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวเรามาทวนใหม่กันตั้งแต่ต้นเลย... ซ้อมอีกซักพัก เดี๋ยวก็เลิกได้แล้ว”
   
แม็ก น้องเล็กของวงเดินไปกดเปิดเพลงที่พวกเขาใช้ซ้อมเต้นกันครั้งแล้วครั้งเล่ามาตั้งแต่บ่ายอีกครั้ง ซันที่กระตือรือร้นไม่แพ้ใครตบไหล่ตบหลังชุนเบาๆ ก่อนจะเดินไปยืนประจำตำแหน่งของตัวเองคู่กับเจ เพราะเด็กหนุ่มทั้งสองคนจะต้องสลับกันร้องในช่วงต้นเพลง ก่อนที่สมาชิกอีกสามคนจะสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งการยืน และการร้องไล่ๆกันไป

เพลงที่พวกเขาใช้เต้นกันนี้ เป็นเพลงที่ไม่เร็วนักก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าท่าเต้นแต่ละสเต็ปนั้นไม่ง่ายเลย อีกทั้งยังต้องอาศัยความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของร่างกายเป็นอย่างมากเสียด้วย หากเป็นเพราะประสบการณ์และการฝึกฝนของเด็กหนุ่มทั้งห้าคน ทำให้ท่าเต้นที่ใครๆต่างก็ออกปากว่ายากแสนยาก แต่ก็สง่างามอย่างยิ่ง กลายเป็นเรื่องที่ไม่เกินมือพวกเขา และคงจะมีแต่เพียงวงอย่าง God’s Child เท่านั้นที่จะสามารถ ถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
   
“เฮ้ย... ระวัง!” เสียงทุ้มของหัวหน้าวงดังขึ้น เมื่อเห็นร่างขาวๆที่เต้นอยู่ข้างๆเขาเสียหลัก และทำท่าจะหงายหลังล้มตึงลงกับพื้นห้อง ก่อนที่เขาจะทำตามสัญชาติญาณพุ่งเอาตัวเองเข้ารับร่างนั้น ผลก็คือร่างของเจล้มทับลงบนตัวของโยเต็มๆ เด็กหนุ่มที่เสียหลักล้มลงหลับตาปี๋ก่อนที่จะรู้สึกว่ามีอะไรนุ่มๆรองรับหลังเขาเอาไว้ชนิดทันท่วงที
   
หน้าท้องของโย แบบเต็มๆ
   
น้องๆอีกสามคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพพี่ชายทั้งสองคนที่นอนทับกันอยู่ เจลืมตาขึ้นก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองเด็กหนุ่มอีกคนที่เขาอาศัยเป็นเบาะกันกระแทก
   
“ขอโทษ แต่ก็ขอบคุณนะที่มาช่วยรับไว้” เจเอ่ยกับโยโดยไม่ได้หันไปมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนที่จะหันไปมองน้องๆตัวแสบอีกสามคนอย่างเอาเรื่อง มีอย่างที่ไหน พี่มันจะหัวฟาดพื้นตาย ยังจะนั่งหัวเราะชอบใจกันอยู่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะได้จัดการกับสมาชิกที่เหลือ โยก็ลุกขึ้นทำหน้านิ่ว และเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
   
ทำเอาอีกสี่ชีวิตลืมปัญหาระหว่างกันไปชั่วคราว และได้แต่หันไปมองหน้ากันงงๆ
   
“หรือว่า...” ชุนเอ่ยขึ้นมา “พี่โยจะโกรธ”
   
เอาแล้วไง
   
“เป็นไปไม่ได้หรอก” เจโต้ “มันเป็นอุบัติเหตุ พี่ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย โยจะโกรธได้ยังไง” ปากแม้จะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็อดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ตามประสาคนคิดมาก
   
“แต่ผมว่าเป็นไปได้นะพี่ ดูสิ พี่โยไม่พูดอะไรซักคำ” ซันว่าสำทับ
   
“ปกติพี่โยต้องบอกว่าไม่เป็นไรใช่ไหม แต่นี่เดินหนีออกไปเลย” น้องเล็กที่ฉลาดที่สุดของวงเอ่ยขึ้นมาบ้าง “ผมว่ามันผิดปกตินะ พี่โยน่าจะโกรธจริงๆ”
   
พี่ชายหน้าหวานถึงกับหน้าเสีย ปกติโยไม่เคยเป็นแบบนี้เลย หรือว่า... โยจะโกรธเขาอย่างที่พวกน้องๆว่าขึ้นมาจริงๆ
   
“แล้วจะทำไงดีล่ะ” หนนี้เจ้าตัวเอ่ยออกมาเสียงอ่อย
   
“ผมว่านะพี่เจ” ชุนว่าขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน ผิดกับท่าทีก่อนหน้าราวฟ้ากับเหว “พี่คงต้องเอาใจพี่โยเขาหน่อยไหม”
   
“นั่นสิพี่ พี่โยเขาไม่โกรธพี่นานหรอก ผมว่าถ้าพี่เจเอาใจพี่โยหน่อย แป๊ปเดียวก็หายแล้ว” แม็กเห็นดีด้วย โดยมีซันพยักหน้าเป็นลูกคู่ให้
   
ไม่กี่อึดใจ หัวหน้าวงก็เดินกลับเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม โยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว นอกจากพยักหน้าและพูดสั้นๆว่า “กลับกันเถอะ” ทำเอาเจยิ่งหน้าเสียหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นโยหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไป เจเดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองบ้าง ก่อนจะเดินตามหัวหน้าออกไปด้วยท่าทีกระวนกระวายและรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด
   
ทำเอาสมาชิกในวงอีกสามคนแอบหัวเราะกิ๊กออกมา ก่อนจะหันไปมองหน้ากัน และชูมือขึ้นตบกลางอากาศอย่างคนที่ทันกันไปเสียหมด โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องรวมหัวกันแกล้งพี่ชายหน้าหวานคนนี้ล่ะก็ ต้องเรียกได้ว่าเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทีเดียว

*********************
   
บรรยากาศในรถที่ว่าเงียบแล้ว เมื่อกลับมาถึงห้องพักหรือที่พวกเขาเรียกได้เต็มปากว่าบ้านนั้น บรรยากาศในบ้านสำหรับเจในตอนนี้ ยิ่งแย่หนักกว่าเดิม
   
ก็ตอนนั่งในรถมาด้วยกัน ไม่เพียงแต่โยจะไม่พูดไม่คุยแล้ว ยังนอนหลับตานิ่งมาตลอดทาง พอมาถึงก็เดินหายเข้าไปในห้องแถมปิดประตูนอนเงียบชนิดไม่สนใจใครอีกต่างหาก
   
“โว้ย!!!” ทนไม่ได้ในที่สุด เจก็ร้องขึ้นอย่างขัดใจ “จะโกรธอะไรนักหนาวะ มันเป็นอุบัติเหตุแค่นี้แยกแยะไม่ได้หรือไง เดี๋ยวพ่อปั๊ด...”
   
สมาชิกของวงอีกสามคนถึงกับถอยกรูดไปนั่งรวมกันที่ห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นพี่เจของน้องๆอาละวาดขึ้นมาอย่างเหลืออด ก่อนจะเดินหายเข้าไปทำอะไรปึงปังในห้องครัว ชนิดที่ใครหน้าไหนก็คงไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัวเดินเข้าไปในครัวตอนนี้แน่นอน
   
แต่แล้วจู่ๆ
   
ประตูห้องที่หัวหน้าวงเพิ่งเดินเข้าไปปลีกวิเวกก็เปิดออก น้องๆทั้งสามคนถึงกับผงะไปด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของพี่ใหญ่ ก็ยิ่งใจเสียหนัก และยิ่งหัวใจแทบจะหล่นไปอยู่ที่เท้า เมื่อเห็นหัวหน้าวงเดินดุ่มตรงเข้าไปในห้องครัว
   
พวกพี่ๆเขาจะฆ่ากันตายไหมนี่

********************
   
“เจ” เสียงเรียกชื่อที่แสนจะคุ้นหูเอ่ยขึ้น ทำเอาเด็กหนุ่มที่กำลังหาทางระบายอารมณ์หงุดหงิดกับข้าวของในครัวหันขวับมาอย่างเอาเรื่อง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรก็นึกเอะใจเสียก่อนเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของหัวหน้าวงที่มองมาพร้อมกับเอามือกุมท้อง
   
“ขอยาหน่อยได้ไหม” โยเอ่ยไม่สู้จะเต็มเสียงนัก “เรายังไม่หายจุกเลย”
   
“นายจุก?” ร่างสูงพยักหน้า “ตั้งแต่ในห้องซ้อมเมื่อกี้น่ะเหรอ” โยพยักหน้าอีกครั้ง
   
ใครจะไปนึกว่า แค่คำพูดสั้นๆจะเปลี่ยนอารมณ์ของเด็กหนุ่มได้รวดเร็วปานนี้
   
เจเดินเข้าไปหาโยด้วยสีหน้าแสดงความห่วงใยไม่ปิดบัง ก่อนจะดึงแขนให้นั่งลงบนเก้าอี้ในครัว เขาเดินไปหยิบยาก่อนจะรินน้ำลงในแก้ว และยื่นให้กับโยที่ทำหน้าพิทักพิท่วนเต็มที คนจุกไม่เอ่ยอะไรให้มากความ โยนยาใส่ปากก่อนจะดื่มน้ำตามลงไปอย่างรวดเร็ว
   
“เดี๋ยวก็คงดีขึ้น” เจว่าอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะ” โยหันมาพยักหน้าให้เขาก่อนจะส่งรอยยิ้มบางตอบกลับมาให้
   
“ขอบคุณนะ” โยว่าเสียงแผ่ว
   
“ไป ไปนอนพักในห้องก่อน ขอเราจัดการอะไรแป๊ปนึง เดี๋ยวจะตามเข้าไป” เจแตะที่ต้นแขนอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน แม้จะรู้สึกไม่สบายในท้องเอามากๆ แต่ความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นทำให้โยยกมือขึ้นจับมือขาวข้างนั้นกระชับเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นและไม่ลืมที่จะหันมาบอกว่า

“แล้วตามเข้าไปนะ”

เจยิ้มให้พลางพยักหน้า

*********************
   
ไอ้ตัวแสบ
   
เจนึกเข่นเขี้ยวในใจ นับว่ากล้ามากที่ร่วมมือกันรวมหัวหลอกคนอย่างเจ ทำเอาเขาถึงกับจิตตกกลัวว่าโยจะโกรธเคืองที่เขาซุ่มซ่ามหงายท้องล้มทับเสียจนจุก แม้ว่าจะไม่ตั้งใจก็ตาม ไอ้น้องสามคนนี่มันขยันเอาความขี้กังวลที่เป็นจุดอ่อนของเขามาเล่นสนุกกันดีเหลือเกิน
   
“ว่าไง” น้ำเสียงแหบแต่ไม่รู้ทำไมหนนี้มันฟังดูเยือกเย็นจนน่าประหวั่นพรั่นพรึงกว่าปกตินักก็ไม่รู้ “มีอะไรจะพูดไหม”
   
“อะไรกันพี่เจ” ชุนทำหน้าราวกับว่าไม่เข้าใจเลยว่าพี่ชายคนโตของวงที่กำลังยืนกอดอกจ้องลงมาทางเขาอย่างเอาเรื่องกำลังพูดถึงอะไร ทั้งที่ในใจนั้นตุ๊มๆต่อมๆเต็มที
   
“นั่นสิพี่... แล้วพี่โย... เอ่อ ยังดีอยู่ใช่ไหม” ซันถามออกไปหวั่นๆ
   
“ก็เห็นอยู่ว่ายังไม่ตาย” คำพูดแต่ละคำสวนทางกับหน้าตาสิ้นดี
   
“แล้วพี่โยเขาเป็นอะไรล่ะครับ” แม็กถามแบบใจดีสู้เสือ
   
“แค่จุก...” คำตอบนั้นสั้น แต่ฟังไม่รื่นหูอย่างไรพิกล “แต่ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคืองอะไร”
   
เด็กหนุ่มอีกสามคนก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่าจะยิ้มดีหรือซึมดี กลัวก็กลัว ขำก็ขำ
   
“แต่มันก็มักจะมีไอ้พวกที่ไม่หวังดีนี่แหละมาเสี้ยมให้คนอื่นเขาผิดใจกัน”
   
“โธ่ พี่เจ...” เสียงชุนโอดครวญขึ้นมาอย่างน่าสงสาร แต่ฟังดูน่าถีบเข้าให้สักทีในความรู้สึกของเจ “ใครจะไปรู้เล่า... ผมเห็นพี่โยตึงๆไป ก็คิดว่า เออ... โกรธมั้ง”
   
“พวกนายพูดเหมือนไม่รู้จักโย” เจว่าอย่างเข่นเขี้ยว
   
“โธ่ ทีตัวเองก็คิดเหมือนกัน” เสียงนั้นอ้อมแอ้มออกมาจากใครซักคนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่นั่นแหละ
   
“อ้อ กลายเป็นพี่ผิดสินะ”
   
“แต่พี่โยเขาก็ไม่โกรธพี่ใช่ไหม ก็ดีแล้วไงพี่...” ซันพยายามอย่างยิ่งที่จะกู้สถานการณ์ให้ดีขึ้น “พี่เจก็สบายใจได้แล้วไง อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิพี่ แก่เร็วเดี๋ยวไม่หล่อนา...”
   
“นั่นสิพี่... เดี๋ยวพี่โยก็ไม่รักหรอก” แม็กว่าขึ้นมาลอยๆ
   
“อ้อ...” น้ำเสียงพี่เจของน้องๆฟังดูแปร่งๆยังไงพิกล “เป็นห่วงพี่เหมือนกันหรอกรึ” ยิ่งพูดหางเสียงสูงๆแบบนี้ ยิ่งฟังดูไม่เข้าท่า
   
พี่ใหญ่หน้าหวานขวัญใจแฟนเพลงทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่เอ่ยอะไรออกมา แต่เดินไปยังโต๊ะกระจกหน้าทีวีที่มีรีโมตวางกระจัดกระจายอยู่สองสามอัน ก่อนจะก้มลงไปหยิบรวบขึ้นมาทั้งหมด และเดินผละไปโดยไม่สนใจอะไรอีก
   
“เฮ้ย.... เดี๋ยวสิพี่เจ...” ชุนร้องเสียงหลง ในขณะที่อีกสองคนอึ้งไปเพราะพูดไม่ออก “ทำอะไร้”
   
“เก็บรีโมตไง”
   
“เก็บไปไหน พวกผมดูทีวีกันอยู่” เสียงนั้นยังโอดครวญ
   
“ไม่มีรีโมตก็คงไม่ตาย เดินไปเปลี่ยนช่องเองไม่ไหวก็ไปนอนพักผ่อนกันซะ” เจกระตุกริมฝีปากขึ้นข้างหนึ่ง ดูยังไงก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นรอยยิ้ม เพราะมันดูชั่วร้ายเอามากๆในสายตาของน้องชายทั้งสามคนที่อ้าปากค้างอยู่อย่างคิดไม่ถึง “พี่เป็นห่วงหรอกนะ กลัวพวกนายพักผ่อนน้อย”
   
แววตาเป็นประกายปลาบที่มองมาจากดวงตากลมโตคู่สวย ทำเอาเด็กหนุ่มทั้งสามคนต้องสงบปากสงบคำกันทันที ไม่กล้าโต้แย้งอะไรออกไปอีก
   
“ถ้ามีปัญหา...” เสียงแหบหวานนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “ก็เลือกเอาว่าจะฝากท้องไว้กับไมโครเวฟไปตลอดทั้งอาทิตย์ หรืออยากมีอาหารอร่อยๆให้กินกันต่อ” ทิ้งท้ายเสร็จก็เดินจากไป โดยไม่สนใจอีกสามชีวิตที่นั่งคอตกอย่างไร้ทางสู้
   
สำหรับ God’s Child แล้ว เรื่องกินเรื่องใหญ่ และคนที่ทุกคนฝากชีวิตและปากท้องเอาไว้ในมือ ก็คือพี่ชายหน้าหวานตัวร้ายคนนี้นี่เอง

สามคนนั่งมองหน้ากันเอง ก่อนจะคอตก และให้ทอดถอนใจกับชะตากรรมของตัวเอง ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยเอาชนะพี่เจได้เสียที

*********************
   
เด็กหนุ่มโยนรีโมตลงบนเบาะนั่งใบใหญ่ที่วางอยู่บนพื้นอย่างไม่ไยดี ก่อนจะเดินตรงไปยังที่ที่คนตัวสูงนอนจุกอยู่อย่างหมดสภาพ
   
“ดีขึ้นบ้างไหม” เจเอ่ยเสียงเบาขึ้นอย่างอ่อนโยนเมื่อทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างตัวคนป่วย
   
โยลืมตาขึ้นมองก่อนจะยิ้มเซียวๆส่งไปให้ ดวงตากลมโตของเด็กหนุ่มอีกคนเบิกกว้างขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นร่างที่นอนตะแคงอยู่ขยับตัวไปมาและยกศีรษะขึ้นหนุนนอนบนตักของเขาจนได้ โดยมีแขนข้างหนึ่งโอบรอบเอวเอาไว้อย่างถือวิสาสะ
   
เจไม่ได้ว่าอะไร แต่ยิ้มให้กับทีท่าที่ดูน่าเอ็นดูของคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่อย่างสบายอารมณ์ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนป่วยสักเท่าไรจริงๆ
   
“หายแล้วหรือ” เจถามออกไป มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบศีรษะที่นอนหนุนอยู่บนตักของตัวเอง
   
“ยัง แต่ก็ดีขึ้นเยอะแล้ว”
   
“จุกขนาดนั้น ทำไมไม่บอก ปล่อยให้เราเข้าใจผิดอยู่ได้” น้ำเสียงนั้นมีแววตำหนิเล็กน้อย แต่ก็ไม่สู้จะจริงจังนัก
   
“เข้าใจผิดอะไร” โยลืมตาขึ้นถามอย่างใคร่รู้ขึ้นมา
   
“ก็เจ้าสามลิงนั่น...” เจพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด “บอกนายโกรธเรา”
   
โยหลุดหัวเราะพรืดออกมาทันทีที่ได้ยิน
   
“โธ่เจ...” เด็กหนุ่มที่อาศัยตักของเจต่างหมอนเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เราจะโกรธนายทำไม มันเป็นอุบัติเหตุ”
   
“ก็ใครจะไปรู้ เล่นเดินหายออกไป แล้วก็ไม่พูดอะไรเลย... ไอ้เราก็ใจไม่ดี” เสียงนั้นอ้อมแอ้ม
   
“เจ เจ เจ...” โยพร่ำเรียกชื่อนั้นออกมา “เราหรือจะโกรธนาย” แขนแข็งแรงนั้นกระชับเข้าที่เอวเล็กเกินผู้ชายทั่วไปอยู่ให้แน่นขึ้นอีก
   
“ถามหน่อย” เสียงทุ้มนั่นเอ่ยออกมาอย่างนุ่มหู “ตั้งแต่รู้จักกันมา มีครั้งไหนที่เราเคยเกรี้ยวกราดใส่นายไหม” เจส่ายหน้าไปมาเบาๆ “แล้วมีไหมที่เราจะโกรธหรือต่อว่าอะไรนายแรงๆ” เด็กหนุ่มส่ายหน้าอีกครั้งเป็นคำตอบ “นายโดนน้องๆอำชุดใหญ่แล้วล่ะ” มือข้างที่โอบเอวเด็กหนุ่มยกขึ้นลูบไปที่แก้มใสอย่างนึกเอ็นดู คนอะไร บทจะซื่อก็ซื่อเหลือใจ บทจะร้ายก็ร้ายเอาเรื่องน่าดู
   
“แล้วตอนที่นายเดินออกไปจากห้องซ้อม นายหายไปไหนมา” น้ำเสียงเจคาดคั้น
   
“ไปเข้าห้องน้ำ” โยตอบซื่อๆ “ก็คนมันจุกน่ะ พูดไม่ออก จะให้ทำยังไงเล่า”
   
“ก็แทนที่จะบอก” เจว่าเสียงฉิว
   
“ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเยอะนี่นา... น่า... ขอโทษนะ ที่ทำให้นายเป็นกังวล” เสียงทุ้มๆนั้นเอ่ยอย่างเอาใจ
   
“ขอโทษทำไม เราสิต้องขอโทษนาย”
   
“งั้นก็ถือว่าหายกันแล้วนะ”
   
“อือ” เจส่งยิ้มหวานที่ทำเอาหัวใจอีกฝ่ายเต้นผิดจังหวะไปเสียทุกทีทีได้เห็น
   
“แล้วสามคนนั่นล่ะ”

เจทำท่าบุ้ยใบ้ให้รู้ว่าอยู่ข้างนอก

“รวมหัวกันแกล้งเราดีนัก เลยยึดรีโมตมาเสียเลย” เด็กหนุ่มว่าอย่างสะใจ

“นายนี่จริงๆเลย” โยหลุดขำออกมา “ไม่สงสารพวกนั้นบ้างหรือ”

“ลำบากแค่วันเดียวไม่ตายหรอกน่า” ร่างที่นอนสบายอยู่นั้นไม่เอ่ยอะไรอีก แต่นอนขดตัวกระชับเข้าหาร่างที่นั่งอยู่ราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปไหน

“จะนอน ไม่ไปอาบน้ำก่อนล่ะ” เจก้มลงเอ่ยเบาๆข้างหูคนที่ยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่อย่างนั้น

“ก็... กำลังสบายเลย”

“งั้นเราจะไปอาบน้ำ”

“อย่าเพิ่ง... นะ อยู่เป็นเพื่อนกันแบบนี้ไปก่อน แป๊ปเดียว” เสียงนั้นออดอ้อนเอาเสียจนเขายอมใจอ่อน ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายยึดตัวเขาเอาไว้ โดยไม่ว่าอะไรสักคำ

*******************

“เป็นไง” เสียงกระซิบจากใครซักคนถามขึ้นเบาแสนเบา

“หลับไปแล้วทั้งคู่เลย” เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นบ้าง ก่อนที่จะพยักเพยิดให้อีกคนคลานเข้าไปในห้องนอนที่เปิดเอาไว้แค่โคมไฟสลัวๆ โดยมีร่างของพี่ชายสองคนนอนหลับอยู่บนเตียง พี่ใหญ่หัวหน้าวงนอนตะแคงโดยแขนข้างหนึ่งกลายเป็นหมอนให้กับพี่ใหญ่อีกคน ส่วนแขนข้างหนึ่งโอบเอวเล็กๆของพี่ชายหน้าสวยนั่นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เป็นภาพที่น้องๆอย่างพวกเขาเห็นจนชินตา

นอนหลับสนิทอย่างนี้สิดี พวกผมจะได้ขอของของพวกผมคืน

เอารีโมตไปก็เหมือนกับพรากชีวิตน้อยๆของพวกเขาไปนั่นแหละ

ก็ God’s Child น่ะ ติดรายการทีวีอย่างกับอะไรดี เอาไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอามาวางคืนเอาไว้ให้ก็แล้วกันนะพี่เจ!

______________________________

เอาตอนใหม่มาลงให้เร็วหน่อยก็แล้วกันนะคะ อีกสักพักก็คงจะได้เตรียมรวมเล่มแล้ว ขอให้จัดหน้านู่นนี่นั่นให้ลงตัว พร้อมกับสรุปราคาและรายละเอียดทุกสิ่งอย่างให้เรียบร้อย จะเข้ามาแจ้งให้ทราบ พร้อมขอรายชื่อของคนที่สนใจจะสั่งซื้ออีกครั้งนึงนะคะ

ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านงานกันอยู่เสมอค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 3: เข้าใจผิด!?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 21-01-2010 18:36:04
เดี๋ยวเจตื่นมา สามลิงจะโดนมิใช่น้อย 555
ว่าแต่เจกะโย แค่กอดๆหอมๆ กันเองเหรอครับ ไม่มีมากกว่านั้นเหรอ  :o8:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 3: เข้าใจผิด!?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 21-01-2010 22:30:02
พิเศษตอนที่ 3 ยังไม่ได้อ่านเพราะง่วงมากมาย

แต่อ่านแล้วก็มีความสุข ยิ้ม หัวเราะ ไปกับกริยา อาการของเด็กหนุ่มทั้ง 5

โดยเฉพาะความอ่อนโยนของพี่ใหญ่ที่มีให้กับพี่ใหญ่หน้าหวาน

ยังไงก็ +1 ให้แล้วครับ พรุ่งนี้ค่อยมาอ่านตอนที่ 3  :bye2:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 3: เข้าใจผิด!?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: Yukisae ที่ 21-01-2010 22:47:07
น่ารักอ่ะ โยนี่ชอบแกล้งจริงๆ
แต่เจก็น่าแกล้งจริงๆนะ55
น้องๆรู้เห็นเป็นใจกันดีจริงๆเลย >____<
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 3: เข้าใจผิด!?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 21-01-2010 22:54:22
 :jul3: ขำเจ้าลิง 3 ตัวที่โดนพี่เจเล่นงาน

ขอบคุณนะคะคุณนิ้วไขว้ ไม่ผิดหวังเลยกับตอนพิเศษ ชอบจัง

และดีใจที่จะรวมเล่มแล้ว...เย้เย้เย้


และเห็นด้วยกับความเห็นนี้ค่ะ

เดี๋ยวเจตื่นมา สามลิงจะโดนมิใช่น้อย 555
ว่าแต่เจกะโย แค่กอดๆหอมๆ กันเองเหรอครับ ไม่มีมากกว่านั้นเหรอ  :o8:

อิอิ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 3: เข้าใจผิด!?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 22-01-2010 00:44:08
อ้างถึง
“นั่นสิพี่... เดี๋ยวพี่โยก็ไม่รักหรอก”



กรี๊ดด..แม็กซ์  นายแน่มาก  o13  ได้ใจคนอ่านที่ซู๊ด

ขนากกลัวพี่เจ นะเนี่ย  ว่าแต่คู่เพื่อนสนิท โยเจ น่ารักจริงจัง

อ่านไป เขินไป อิจฉาอ่ะ ดูแลกันดีไปม้าย  คนอ่านตาร้อนจ้า  :-[
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 3: เข้าใจผิด!?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 22-01-2010 22:36:01
กลับมาอ่านจบแล้วครับ ตอนพิเศษที่ 3

อะไรจะห่วงกันได้ขนาดนั้น ถามกันตอบกันอย่างนุ่มนวล :กอด1:

ขอบคุณครับ สำหรับตอนหวาน ๆ และได้  :a12: อย่างมีความสุข

+1 ให้อีกครั้ง ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 3: เข้าใจผิด!?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: AidinEiEi ที่ 24-01-2010 12:33:44
น่ารักมากมาย...
จบซะแล้ว น่าเสียดายเหมือนกันนะ

ชอบตอนพิเศษมากๆค่ะ โยกะเจหวานไม่แคร์น้อง ๆ กันเลยทีเดียวน่ารักจริง

ขอบคุณคุณนิ้วไขว้ค่ะที่แต่งเรื่องราวน่ารักๆเรื่องนี้มาให้ได้อ่าน
แต่งมาอีกนะคะ
 :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 4: เมา #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 26-01-2010 13:49:07
ตอนพิเศษ 4: เมา

คืนนี้เป็นคืนแห่งการเลี้ยงฉลอง
   
หลังจากที่ต้องทำงานอย่างหนักในฐานะวงบอยแบนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งปี ไม่ว่าจะเป็นการออกอัลบั้มแรกในชีวิต เดินสายโปรโมตอัลบั้มอย่างหนัก เดินทางไปโชว์ตัวผ่านทั้งรายการโทรทัศน์และงานอีเว้นต์มากมายจนนับไม่ถ้วน ถึงขนาดที่ในบางครั้งเจ็บป่วยก็ยังไม่สามารถหยุดพักได้ ท้อแท้เพียงไรก็ทำได้แค่บ่น และเฝ้าปลอบและให้กำลังใจกันมาตลอดนับตั้งแต่ยังไม่เป็นที่รู้จัก จนกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังคับฟ้าขนาดนี้
   
ในที่สุดความพยายามก็ส่งผลคุ้มค่า ไม่ใช่เฉพาะชื่อเสียงเงินทองที่พวกเขาได้รับมากมายชนิดท่วมท้น แต่ยังรวมไปถึง รางวัลศิลปินหน้าใหม่แห่งปี ที่พวกเขาเพิ่งได้รับมาแบบสดๆร้อนๆเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา และมันก็ตั้งอยู่บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มแบบเต็มพิกัดที่ห้าหนุ่มวง God’s Child กำลังฉลองให้กับความสำเร็จร่วมกับทีมงานอีกนับสิบชีวิต ถึงขนาดต้องปิดร้านแห่งนี้กันเลยทีเดียว
   
ที่ตลกก็คือ แม้เด็กหนุ่มสมาชิกในวงจะดีใจกับรางวัลที่ได้รับมาเพียงไร แต่เอาเข้าจริงดูพวกเขาเหมือนจะดีใจที่ได้มาฉลองกันมากกว่า ที่สำคัญ พรุ่งนี้พวกเขาจะได้หยุดพักหนึ่งวันเต็ม
   
สำหรับวงที่ต้องทำงานหนักมาตลอดทั้งปีอย่างพวกเขา วันหยุดหนึ่งวันที่ได้รับมานั้น ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ก็ไม่ปาน
   
“เอ้า... ดื่มมมมมมม!” เสียงชักชวนให้ชูแก้วขึ้นในอากาศอย่างพร้อมเพรียงก่อนที่จะชนกระทบกันจนของเหลวในแก้วกระฉอกออกมาโดยที่ไม่มีใครใส่ใจนักว่าจะเลอะเทอะเพียงไร เสียงหัวเราะและพูดคุยอย่างออกรส ดังไม่หยุดนับตั้งแต่วินาทีที่เด็กหนุ่มและทีมงานกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาในร้าน
   
พี่ใหญ่ทั้งสองคนของวงอย่างโยและเจนั้นเรียกได้ว่าอายุมากพอที่จะดื่มได้แล้ว แต่กับซัน ชุน และแม็ก น้องเล็กของวง ถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ และปกติจะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปดื่มที่ไหน
   
ยกเว้นในคืนพิเศษแบบนี้ และในขณะที่อยู่ในสายตาทีมงาน พวกเขาจึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ
   
แต่ในสายตาของหัวหน้าวงอย่างโย คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดกลับไม่ใช่น้องๆทั้งสามคน กลับเป็นเด็กหนุ่มหน้าสวยข้างตัวเขาที่กำลังดื่มแบบไม่ยั้งนี่ต่างหาก
   
เรื่องดื่มต้องยกให้เจจริงๆ
   
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้จะได้ชื่อว่าคอแข็งเป็นที่สุด แต่เจมีข้อเสียอย่างมากเวลาที่เมาแล้วลืมตัวทุกที ไม่ว่าจะคุยเก่งขึ้นกว่าปกติ โวยวายเสียงดัง หาเรื่องป่วนคนอื่นและหนักถึงขั้นเมาพับหมดสติไปเลยก็มี แค่นี้ก็น่าเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว แต่ไอ้ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านี่สิ....
   
“โย......” เสียงเรียกยานคางพร้อมกับสายตาปรอยจากดวงตากลมสวยจากคนหน้าหวานดึงดูดสายตาเขาเป็นบ้า “ร้อนแล้ว” พูดเสร็จก็ยิ้มหวานส่งมา อย่างเขามีหรือจะเมินเฉย ก็ต้องเอื้อมมือไปดึงเสื้อแจ็กเก็ตที่เจ้าคนเมากึ่งใส่กึ่งถอดค้างๆคาๆออกให้ โดยที่ข้างในมีเพียงเสื้อกล้ามสีดำเนื้อดีอยู่แค่ตัวเดียว ไอร้อนของคนข้างๆแผ่กระจายออกมาจนเขารู้สึกได้ ผิวที่ปกติขาวกว่าเด็กผู้ชายทั่วไป ตอนนี้กลายเป็นสีชมพูเรื่อๆอันเกิดจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ปริมาณที่ก็ไม่น่าจะน้อยล่ะ
   
แล้วแบบนี้จะให้ยอมปล่อยให้เจไปดื่มกับคนอื่นโดยไม่มีเขาได้อย่างไรกัน นับว่ายังดีที่ไอ้โรคเมาแล้วอ้อนผิดปกติวิสัยนี่เจจะเป็นแต่กับเขาแค่คนเดียว กับคนอื่นเห็นมีแต่ไปโวยวายหรือป่วนเขาเสียล่ะมากกว่า
   
“พี่โย” เสียงทุ้มที่ฟังดูกึ่มๆของชุนเรียกเขาอยู่อีกด้านของโต๊ะ “พี่คิมโทรมาจากอเมริกา บอกอยากคุยกับพี่” ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือสีดำปลาบเป็นเงาในมือให้พี่ใหญ่ของวง
   
คิมเป็นเพื่อนที่รู้จักกันกับสมาชิกในวงทุกคนด้วยเพราะหน้าที่การงาน แต่เพราะความเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่ถือเนื้อถือตัวแต่อย่างใด จึงทำให้เด็กหนุ่มทุกคนในวงสนิทสนมกับคิมได้โดยง่าย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า คิม ที่ไม่มีรสนิยมชอบเพศตรงข้าม จะชอบมาตอดนิดตอดหน่อยกับโยเอาสนุกมากกว่าจะคิดจริงจังอันใดก็ตาม
   
จะยกเว้นก็แต่...
   
“โย คุยอยู่กับครายยยย วางได้แล้ว หยุดคุย” เสียงแหบเป็นเอกลักษณ์ของคนเมาตะโกนโวยวายถามแทรกขึ้นมา
   
“กับพี่คิมไง” โยตอบกลับไป
   
“คิมไหน” ใบหน้าหวานนั้นทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเบะปาก “คิมที่ชอบนายน่ะเหรอ”
   
และจงใจตะโกนให้ปลายสายที่อยู่ไกลกันครึ่งโลกได้ยินชัดๆว่า
   
“ไปไกลๆเลยไป อย่ามายุ่ง”
   
คิมที่ได้ยินถึงกับฮาแตกออกมาไม่ปิดบัง ก่อนจะยอมให้โยตัดสายไปแต่โดยดีด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายคงเมาได้ที่ ปกติแม้เจจะไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่าหวงโย แต่ลองถ้าได้เมาขึ้นมาล่ะก็ ไอ้ที่เคยเก็บๆเอาไว้เป็นต้องหลุดออกมาหมด ไม่ต้องไว้ฟอร์มกันต่อไป
   
แม้จะไม่ค่อยชอบใจนักเวลาที่เจเมาหนัก แต่โยก็ยอมรับว่า ข้อดีของไอ้น้ำสีอำพันนี่ ไม่เพียงแต่จะทำให้คนข้างตัวเขากลายเป็นคนขี้อ้อนจนน่ารักขึ้นมากกว่าปกติ ยังรวมไปถึงอาการหวงเขาเสียจนออกนอกหน้านี่แหละที่ทำให้เด็กหนุ่มหุบยิ้มไม่ได้เสียที
   
คืนนั้น ไม่เพียงแต่เด็กหนุ่มหน้าหวานจะออกฤทธิ์เหวี่ยงใส่ปลายสายอย่างพี่คิมที่อุตส่าห์โทรทางไกลมาแสดงความยินดี เจ้าชุนที่เมาแล้วโวยวายเหมือนกัน ยังถูกพี่เจทั้งเตะทั้งถีบด้วยความหมั่นไส้จนแทบจะเรียกได้ว่าน่วมไปทั้งตัว แถมพอกึ่มๆจะอารมณ์ดีขึ้นมา น้องยังกลายเป็นม้าจำเป็นให้พี่ใหญ่ขี้เมาขี่คอเล่นไปเสียอีกต่างหาก เมาหนักขนาดชุนยังถึงกับเกือบสร่างเมาเพราะฤทธิ์พี่เจ
   
จากที่คิดว่าจะแค่ฉลองกันเบาๆ ก็กลายเป็นดื่มกันเสียเต็มคราบ ซันที่ดื่มไม่เก่งและคออ่อนอย่างกับอะไรดีถึงกับเมาพับฟุบลงกับโต๊ะชนิดปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น ส่วนแม็กที่ปกติ ไม่ค่อยมีใครได้เห็นน้องเล็กดื่มสักเท่าไหร่ ก็ต้องเรียกว่าเมาหมดรูปไม่แพ้กัน ลำบากพี่ใหญ่หัวหน้าวงอย่างโยที่ต้องลากทั้งเพื่อนทั้งน้องกลับไปนอนที่บ้านของพวกเขาที่อยู่ไม่ไกลจากร้านมากนัก ที่เขาไม่เมาปลิ้นตามคนอื่นไป มีเพียงสาเหตุเดียวก็คือ เขาดื่มมากไม่ได้ ดื่มทีไรผื่นแดง หรือที่เคยได้ยินใครๆเรียกกันว่า ส่าเหล้า เป็นได้ขึ้นลุกลามทั่วตัว ขนาดที่ต้องเกากันยิกจนไม่เป็นอันหลับอันนอนไปหลายวัน
   
ก็เลยต้องทำหน้าที่เก็บศพสมาชิกในวงอยู่นี่ไงเล่า
   
แต่ทั้งๆที่เมาหนักขนาดนั้น ฤทธิ์แอลกอฮอล์ในตัวพี่ใหญ่หน้าสวยของวงก็ยังไม่อาจหยุดความเป็นคนขี้หวงขนาดหนักของเจ้าตัวได้ เมื่อเห็นโยทำท่าจะเข้าไปอุ้มซันที่นอนหมดสภาพอยู่
   
“ชุน ไปอุ้มซันโน่นไป” เสียงสั่งการอันเด็ดขาดดังขึ้นทันทีแม้จะติดยานคางอยู่สักหน่อย สติก็ชักจะรางเลือนเต็มทีแล้วเหมือนกัน “ลากแม็กไปด้วย” ก่อนที่ตัวคนสั่งจะเดินโซเซเข้าไปเกาะแขนโยเอาไว้ ราวกับว่าทางที่กำลังเดินอยู่ จู่ๆก็เหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาเสียอย่างนั้น “นายพาเรากลับหน่อย”
   
ให้มันได้อย่างนี้สิพี่เจ ชุนได้แต่คิดกับตัวเองอย่างคับแค้นใจ จะบ่นออกมาดังๆก็ไม่ได้ เดี๋ยวโดนพี่เจซ้อมเอาอีก ที่สำคัญพี่ชายตัวสูงก็ดันยอมเสียด้วย แล้วส่วนเกินอย่างเขาจะไปมีปากเสียงอะไรได้
   
กว่าจะกลับถึงที่พักได้ครบสามสิบสองกันทุกคน ก็เรียกได้ว่าแทบหมดแรงกันเลยทีเดียว
   
โยออกคำสั่งให้น้องๆจัดการอาบน้ำอาบท่าเสียให้เรียบร้อยก่อนจะเข้านอน ส่วนตัวเขาก็แบกร่างของคนตัวเล็กกว่าที่ฤทธิ์เยอะกว่าใครเพื่อนเอาไว้ เปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วจึงตรงไปยังห้องน้ำแทบจะทันที และต้องนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เมื่อคนที่เพิ่งอยู่ในอ้อมแขนเขาเมื่อกี้ โก่งคออาเจียนมื้อเย็นที่กินเข้าไปจนหมด
   
โยลูบหัวลูบหลังให้อยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินผละออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองให้เป็นชุดที่สบายตัวกว่านี้และกลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อพบกับร่างขาวๆที่นอนพิงอ่างอาบน้ำแบบหมดสภาพอย่างสมบูรณ์แบบ
   
“เจ...อาบน้ำก่อนนะ” โยจับไหล่ของคนเมาเขย่าเบาๆอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นว่าเจไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว เล่นหลับกลางอากาศไปเสียแล้วนี่
   
โยจัดการถอดเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มอีกคนออก ส่วนบนน่ะไม่เท่าไหร่ ท่อนล่างที่เป็นกางเกงยีนส์นี่สิทุลักทุเลน่าดู จำไม่ได้แล้วว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่เขาต้องจับเจเปลื้องผ้าแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะป่วย ก็เมานี่แหละ จนกลายเป็นเหมือนเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว เผลอๆจะกลายเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องคอยดูแลเจไปเสียทุกอย่างจนไม่อาจจะปล่อยให้คลาดสายตาได้นั่นแหละ
   
“อือ...” เสียงครางดังพึมพัมออกมาเบาๆจากคนที่เมาไม่ได้สติ เมื่อโดนน้ำอุ่นจัดราดรดลงบนตัวแบบนี้ ดูเอาเถอะ เมาเละเทะขนาดนี้แท้ๆ แต่เจก็ยังดูดีเป็นบ้า แถม... เซ็กซี่ชะมัด เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่ให้ตายเถอะ เขายังเป็นแค่วัยรุ่นคนหนึ่ง ฮอร์โมนมันก็ยังต้องพลุ่งพล่านมากเป็นธรรมดา จะไม่ให้รู้สึกรู้สมกับร่างขาวๆที่นอนอยู่ตรงหน้าเอาเสียเลย ก็คงจะผิดปกติเต็มที
   
กว่าจะอาบน้ำให้เจเสร็จ ทำเอาโยถึงกับเหงื่อตก แต่ก็ไม่วายถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ เด็กหนุ่มตัวสูงอุ้มร่างขาวๆขึ้นจากอ่างอาบน้ำ แล้วจึงพาไปเช็ดตัวและสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะวางร่างนั้นลงบนเตียงและห่มผ้าให้
   
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เจดื่มเข้าไปหรือเปล่า ถึงทำให้ร่างที่นอนหลับสนิทอยู่ตรงหน้าเขาดูเย้ายวนใจขึ้นอีกหลายเท่า ใบหน้านั้นยังคงเป็นสีชมพูระเรื่อ ริมฝีปากที่เผยออกน้อยๆนั่นก็ดูเชิญชวนเขามากผิดปกติอย่างไรพิกล หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวเขานั่นด้วย ทำให้ร่างสูงที่ในตอนแรกทำท่าจะเดินผละไปอาบน้ำ หยุดอยู่เป็นครู่ ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงข้างๆเตียง และนั่งมองดวงหน้าที่แสนดึงดูดใจนั่นอยู่เป็นนาน
   
จริงๆนะ ไม่ว่าจะเฝ้าถามตัวเองเท่าไหร่ ก็ไม่อาจจะหาคำตอบได้ว่า เป็นเพราะอะไรร่างที่นอนอยู่ตรงหน้านี้ถึงได้มีอิทธิพลต่อเขานัก เจเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาทั่วไป เขาเองก็เหมือนกัน ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะหันมาชอบคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกันไปเสียได้ แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ว่าเขาจะชอบใครก็ได้เสียเมื่อไหร่กัน ที่ผ่านมาก็มีโอกาสได้พบเจอใครตั้งมากมาย แต่กลับไม่มีเลยสักคนที่จะทำให้เขารู้สึกเหมือนอย่างที่รู้สึกกับเจ คนที่หวานแต่หน้าตา ส่วนนิสัยใจคอดูเหมือนจะห่างไกลคำนี้ไปโข แถมเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้อีกต่างหาก ทั้งแปลกทั้งเอาใจยาก แต่ก็ใจดีแล้วก็อ่อนโยนมากด้วยเหมือนกัน
   
ที่สำคัญ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เจติดเขาอย่างกับอะไรดี แถมยังชอบแสดงความเป็นเจ้าของเอามากๆเสียด้วย คิดขึ้นมาทีไรเป็นต้องเรียกรอยยิ้มขึ้นมาไม่ได้ไปเสียทุกครั้ง
   
แค่นี้ก็พอแล้ว
   
โยยกมือขึ้นวางบนหน้าผากของเจเบาๆ เสยผมที่ปรกอยู่บนหน้าผากมนขึ้นไปอย่างอ่อนโยน ก่อนจะโน้มใบหน้าอันแสนคมคายของตัวเข้าไปใกล้ๆจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เจือกลิ่นแอลกอฮอล์ของอีกฝ่ายชัดเจน เขาประทับจูบลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของเจ ในตอนแรกมันเป็นแค่สัมผัสอันแผ่วเบา ก่อนที่จะกดน้ำหนักลงไปให้หนักหน่วงขึ้น จนร่างที่นอนอยู่เหมือนกับจะตอบรับรสจูบนั้นโดยอัตโนมัติ
   
มันช่างอ่อนหวานและดูดดื่มนัก
   
กว่าจะยอมถอนริมฝีปากออกมาได้ โยอ้อยอิ่งคลอเคลียอยู่เป็นนาน
   
ถ้าไม่ใช่เพราะรักมาก ก็คงจะได้หักหาญน้ำใจกันไปแล้ว เขาคิดกับตัวเองก่อนจะยิ้มออกมาแล้วจึงตัดใจลุกเดินหายเข้าไปในห้องน้ำในที่สุด

********************

   
โอ... กลิ่นหอมจากห้องครัว
   
ชุนที่ตื่นก่อนเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนที่ยังหมดสภาพไม่หายจากการฉลองเมื่อคืนนี้ เดินตามกลิ่นหอมฉุยที่โชยมาจากในครัว กำลังหิวพอดีเลยเชียว
   
เด็กหนุ่มรู้สึกผิดคาดด้วยนึกไม่ถึงเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของหัวหน้าวงยืนคนซุปอยู่อย่างขะมักเขม้น ถึงว่าสิ เมื่อคืนพี่เจเมาเละขนาดนั้น มีหรือจะตื่นขึ้นมาทำอะไรกินไหว
   
“พี่โย ทำอะไร หอมจัง” ชุนเดินเข้าไปส่องดูอาหารที่ส่งกลิ่นหอมออกมาจากหม้อใบเล็กที่วางอยู่บนเตา
   
“ซุป ของเจน่ะ” โยตอบด้วยทีท่าสบายอย่างยิ่ง
   
“อ้าว แล้วของผมอ่ะ” ชุนร้องขึ้นมาราวกับประท้วง
   
“ไม่ได้ทำเผื่อไว้เลย โทษทีนะ พี่ไม่คิดว่าจะมีใครตื่นเร็วขนาดนี้”
   
“อ้าว แล้วพี่เจล่ะ”
   
“นอนแฮ้งค์ ลุกไม่ขึ้นอยู่ในห้องโน่น” พี่ใหญ่หัวหน้าวงว่าโดยไม่ยอมละสายตาจากซุปตรงหน้า “เออ วานหยิบยาแก้แฮ้งค์ในตู้ให้พี่หน่อย”
   
เด็กหนุ่มหยิบยายื่นให้อย่างเสียไม่ได้ และยิ่งให้ทอดถอนใจเมื่อพี่ใหญ่เอ่ยขอบใจพร้อมกับประคองชามซุปเอาไว้ในมือก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องโดยไม่ลืมที่จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยน้องอย่างจริงใจเสียจนเขาแทบน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเลือด
   
“ถ้าหิว มีมาม่าในตู้ ต้มกินแก้ขัดไปก่อนนะ” แล้วพี่โยก็ทิ้งเขาให้ยืนนิ่งอึ้งไปโดยไม่ทันได้โต้ตอบอะไรกลับไป
   
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า แค่ไม่ได้ชื่อโยหรือเจ จะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันถึงเพียงนี้ โลกส่วนตัวของพวกพี่ จะมีที่พอให้ผมได้เข้าไปแทรกได้สักนิดไหมอยากถามใจจะขาด

********************

โยวางชามซุปเอาไว้บนโต๊ะตรงหัวเตียง ก่อนจะนั่งลงเขย่าตัวคนที่นอนนิ่วหน้าอยู่บนเตียงเบาๆ
   
“เจ...” โยเรียกเสียงเบา “ไหวไหม”
   
“โอย...” เสียงแหบนั้นครางออกมาเหมือนคนใกล้ตาย “ปวดหัวเป็นบ้าเลย”
   
“ก็ดื่มเสียจนเหล้าจะหมดร้านเขาอยู่แล้ว ไม่แฮ้งค์สิแปลก” โยว่ายิ้มๆ
   
ร่างที่นอนสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น แม้จะดูเซียวไปสักนิดแต่ก็ยังนับได้ว่าดูดีเสียจนน่าอิจฉา พยายามจะเปิดเปลือกตาเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะให้กลับมาเสียที เจกระพริบตาถี่ๆอยู่หลายครั้ง ก่อนสายตาจะสบเข้ากับดวงตาเรียวรีที่มักจะมองเขาอย่างมีความหมายและเต็มไปด้วยความห่วงใยอยู่เสมอ คนแฮ้งค์ยิ้มตอบรอยยิ้มที่ส่งมาให้เขาเหมือนกับทุกๆวัน
   
“กี่โมงแล้วเนี่ย” เสียงแหบโหยนั้นเอ่ยถามออกมาในที่สุด
   
“สายมากแล้ว”
   
“ตอบไม่ตรงคำถามนี่นา” เจยิ้มออกมา “เมื่อคืนเรากลับมาได้ยังไง”
   
“จำอะไรไม่ได้เลยหรือ”
   
ศีรษะทุยๆนั้นส่ายไปมาเบาๆ ทำเอาโยยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
   
“ไม่แปลกใจหรอก ก็นายเมาซะขนาดนั้น”
   
“เราน่ะนะ” น้ำเสียงนั้นถามออกไปอย่างไม่เชื่อหู
   
“โวยวายอาละวาดเสียงดังน่าดู”
   
“ตายล่ะวา” เด็กหนุ่มที่นอนอยู่ถึงกับยกมือข้างหนึ่งปิดตาตัวเองเอาไว้ ก่อนจะลูบใบหน้าตัวเองอย่างคนที่พยายามจะตั้งสติเต็มที่ “แล้วเราทำอะไรอีก”
   
แค่เห็นสีหน้าปูเลี่ยนๆของคนที่นอนแบ่บอยู่ โยก็แทบจะหลุดก๊ากออกมา
   
“ก็... โวยวายใส่พี่คิมทางโทรศัพท์”
   
“พี่คิม... เฮ้ย!!! พี่คิมน่ะนะ” เจร้องออกมาอย่างลืมตัว โดยเจ้าคนเล่าพยักหน้าหงึกๆเป็นการยืนยันคำตอบ
   
“ตาย... ตาย...” เจ้าตัวยกมือทั้งสองข้างขึ้นขยุ้มผมตัวเองอย่างลืมตัว
   
“แล้วก็ซ้อมชุนเสียน่วม”
   
“หา...” เสียงคนแฮ้งค์ครางออกมาอีกคำรบ
   
“แล้วก็...  เราต้องแบกนายกลับมา ก่อนที่นายจะอาเจียน” คนเล่ายังทำท่าเหมือนอยากเล่าต่ออย่างนึกสนุก “จนเราต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้”
   
ดวงตาของคนที่นอนฟังอยู่อย่างไม่เชื่อหูเบิกกว้างขึ้น
   
“ที่สำคัญ...”
   
“ยังมีอีกเหรอ... พอเหอะ…” คนเล่าชักแน่ใจว่าเสียงนั้นฟังดูเหมือนคนอยากตายมากกว่าอย่างอื่น ทำเอาถึงกับหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปเสียใกล้ใบหน้าหวานๆนั้น ทำไมเจจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่าแววตาของหมอนี่มันติดจะล้อเขาอย่างไรพิกล
   
“ไม่อยากฟังอีก จริงๆเหรอ” โยเอ่ยด้วยเสียงทุ้มเบาที่ดังกว่าเสียงกระซิบแค่นิดเดียว ทำเอาร่างที่นอนอยู่ต้องเบือนหน้าหันไปอีกทาง หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกอกอยู่แล้ว ทำไมจะต้องยื่นหน้ามาเสียจนเกือบจะชิดขนาดนี้ด้วย
   
“อะ...อะไรอีกเล่า” น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่ค่อยมั่นคงอย่างไรก็ไม่รู้
   
“เมื่อกี้บอกไม่อยากฟังแล้ว”
   
“อยากเล่าอะไรก็เล่ามาได้เลย อย่าลีลาได้ไหม” หนนี้เจหันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าหัวหน้าวงตัวสูงที่ท่าทางกำลังสนุกกับการได้แกล้งเขาจนออกนอกหน้า ชักฉุนขึ้นมาแล้วเหมือนกันนะนี่
   
“นายหวงเราเป็นบ้าเป็นหลังเลยเมื่อคืน” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยกระซิบที่ข้างหูเจก่อนจะฝังไปหน้าลงไปบนหมอนที่เส้นผมนุ่มๆของอีกฝ่ายกระจายอยู่อย่างยุ่งเหยิง
   
ใบหน้าเจร้อนผ่าวขึ้นขนาดที่แม้แต่เจ้าตัวเองยังรู้สึกได้ มือข้างหนึ่งพยายามจะดันไหล่ของคนที่นอนทับเขาอยู่ออกไป ใจหนึ่งก็นึกหงุดหงิดที่โยมาล้อเขาอยู่ได้ อีกใจก็รู้สึกดีกับสัมผัสที่ได้รับอยู่นี้เหลือเกิน แต่คงเพราะท่าทีขัดขืนของเขามันคงดูไม่เด็ดขาดเอาเสียเลยนั่นล่ะ เจ้าคนที่ล้อเขาสนุกอยู่เมื่อครู่ จึงฉวยโอกาสใช้แขนทั้งสองข้างสอดเข้ามากอดเขาเสียเต็มวงแขน แถมยังหอมแก้มเขาเสียฟอดใหญ่อีกต่างหาก
   
โยคลายแขนทั้งสองข้างออก ก่อนจะก้มลงมองดวงหน้าหวานนั้นอย่างเต็มตา...
   
“เจ...” เสียงเรียกชื่อเขาในแบบที่คงไม่มีใครจะเรียกได้แบบนี้อีกแล้ว
   
“หือม์...”
   
“ขอจูบได้ไหม”
   
“ไม่กลัวคนปากเหม็นหรือไง” ดูเอาเถอะ บทนึกจะทำลายบรรยากาศดีๆขึ้นมา ก็ทำได้เสียจนหน้าซื่อตาใส คนอะไรทำไมฤทธิ์เยอะนัก โยถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ ก่อนที่จะส่ายศีรษะไปมาช้าๆ
   
เด็กหนุ่มที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่โน้มใบหน้าลงมา ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับริมฝีปากอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ เป็นสัมผัสที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน อ่อนหวานอย่างยิ่ง โยคลอเคลียกับริมฝีปากคู่นั้นสักพักเป็นเชิงขออนุญาตก่อนที่จะเพิ่มสัมผัสนั้นให้รุกเร้ายิ่งขึ้น เจจูบตอบกลับบ้าง แม้จะไม่ช่ำชองนัก แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งอย่างที่สุด กว่าที่ทั้งคู่จะยอมถอนจูบออกจากกันได้ ก็กินเวลาอยู่เป็นนาน เสียงลมหายใจหอบที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกของเด็กหนุ่มทั้งสองคนดังประสานกันเบาๆ ตอนนั้นเองที่โยล้มตัวลงนอนข้างเด็กหนุ่มหน้าหวานก่อนจะใช้แขนแข็งแรงข้างหนึ่งดึงร่างของเจเข้ามากอดกระชับเอาไว้
   
“จะตายเอานะนี่” จู่ๆเสียงแหบจากร่างที่นอนซุกอยู่ข้างๆเขาก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
   
“...อะไร”
   
“ก็จูบกับนายน่ะสิ”
   
“อ้าว…” หนนี้โยทำท่างงอย่างเป็นจริงเป็นจัง “นายไม่ชอบหรือ”
   
“เปล่า...” เสียงอู้อี้นั้นลากยาว “แต่มัน...”
   
“มันทำไม” โยก้มลงมองร่างที่เขากอดอยู่อย่างสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาจริงๆ
   
“เหนื่อย... หายใจไม่ทัน” เจพูดเสียงขึ้นจมูก ไม่รู้เพราะอายหรือหงุดหงิดกันแน่ “มันหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม พักนี้รู้สึกแบบนี้บ่อย”
   
“ก็แปลว่า... เราจูบเก่งขึ้น” โยเอ่ยชมตัวเองหน้าตาเฉย
   
จู่ๆศีรษะกลมๆนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อคมคายของเขา หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างคลางแคลงใจขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย โยคงไม่ได้คิดไปเองว่าดวงตากลมสวยคู่ที่จ้องมองเขาอยู่นั้น มีแววคาดคั้นผิดปกติ
   
“นั่นสิ...” เจว่า “ทำไมถึงจูบเก่งขึ้น... นายไปจูบกับใครมาหรือเปล่า”
   
เอาแล้วไง โยนึกกับตัวเอง
   
“เฮ้ย... เราจะไปจูบกับใครที่ไหนได้เล่า” สายตาคมคู่นั้นยังคงจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำเอาโยทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะหัวเราะดีหรือฉุนดีเหมือนกัน
   
“จริงๆ... ก็เห็นอยู่ว่าเราแทบไม่ได้ไปไหนกับใคร ชีวิตมีแต่นายกับน้องๆ”
   
เจทำปากยื่นออกมา เหมือนไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไรนัก หนนี้โยหลุดขำออกมาจริงๆ ก่อนที่จะกระชับวงแขนกอดคนตัวเล็กกว่าเอาไว้อย่างหมั่นเขี้ยวขึ้นมาติดหมัด มันน่าตีจริงๆ ดูเอาเถอะ จู่ๆก็มานึกสงสัยเขาขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลเสียอย่างนั้น
   
“เรานะ จูบแบบนี้ได้แต่กับนายแค่คนเดียวเท่านั้น” เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ “ถ้าไม่ใช่เจ เราทำไม่ได้หรอก”
   
เงียบ ยังไม่มีเสียงใดๆเอ่ยออกมาจากคนในอ้อมกอด
   
“เจ... เรารักนายมากนะ” จู่ๆโยก็โพล่งออกมา “นายไม่รู้จริงๆหรือ ว่าเรารักนายขนาดไหน”
   
อยู่ดีๆก็สารภาพรักกันโต้งๆแบบนี้เลยรึ คนอะไร... ไม่รู้จักอายบ้างหรือยังไง เขาเป็นคนฟังเองแท้ๆ ยังไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหนดีเลย

“...รู้แล้ว” เสียงแหบหวานเอ่ยอู้อี้ตอบกลับไป
   
“อะไรนะ”
   
“รู้แล้ว...” คำตอบชัดๆนั้นทำเอาคนฟังยิ้มกว้างออกมาไม่ปิดบัง
   
“ถ้ารู้แล้ว ต่อไปก็ห้ามมาสงสัยอะไรแบบนี้อีกนะ... คนฟังเสียใจแย่ รู้ไหม” แต่เจฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่กำลังเสียใจเอาเลยจริงๆ
   
“ขอโทษก็ได้...” แต่ก็อ้อมแอ้มตอบกลับไปในที่สุด
   
“ไม่ยกโทษให้” โยว่าอย่างนึกสนุก
   
“อ้าว... แล้วจะให้ทำไงเล่า” หางเสียงสูงขึ้นเหมือนปกติทุกครั้งที่รู้สึกขัดใจ
   
“นายต้องลุกขึ้นมากินอะไรก่อน”
   
คนหน้าหวานทำหน้ามุ่ย เขาปวดหัวจะตายอยู่แล้ว จะกินอะไรลงได้อย่างไรกัน
   
“ทำไมต้องบังคับกันด้วย” ว่าพลางพ่นลมหายใจหนักๆออกมา
   
“กินอะไรหน่อย เมื่อคืนนายอ้วกทุกอย่างออกมาหมดเลย นี่ก็จะเที่ยงแล้วด้วย ทานอะไรหน่อยเถอะ” ไม่ทันรอคำตอบ เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปหยิบชามซุปที่ยังกรุ่นไอร้อนจางๆที่วางเอาไว้บนโต๊ะยื่นให้คนแฮ้งค์หน้าเซียวที่ทำหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
   
“อะไรเนี่ย”
   
“ซุป”
   
“ไม่กินได้ไหม” เจว่าเสียงอ่อย แต่ไม่รู้ทำไมเด็กหนุ่มจึงรู้สึกว่าใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าจะดูจ๋อยลงไปถนัดตา
   
“ไม่ลองชิมซักนิดหรือ” เจ้าของใบหน้าหวานชักเอะใจ
   
“เอามาจากไหน”
   
“เราทำเอง”
   
“นายเนี่ยนะทำซุปเอง” เจถามโพล่งออกไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจยิ่งยวด ยิ่งเห็นโยพยักหน้าเป็นการยืนยันคำตอบ ดวงตากลมสวยของเด็กหนุ่มก็ยิ่งเบิกกว้างขึ้นเหมือนไม่เชื่อหู
   
เจไม่ได้รู้สึกอยากกินอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆเขาก็ไม่อาจบังคับไม่ให้ตัวเองยิ้มออกมาได้ ก่อนที่จะยื่นมือไปรับชามซุปอุ่นๆนั้นเอาไว้
   
หันไปมองหน้าพ่อครัวจำเป็นที่อุตส่าห์ยอมเข้าครัวเพื่อเขาในตอนนี้ จากหน้าจ๋อยๆเมื่อกี้กลับยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจเสียจนน่าหมั่นไส้
   
“ถ้างั้นเรากินก็ได้” เอ่ยพลางหยิบช้อนตักซุปเข้าปาก
   
นี่แค่กินซุป ไม่ได้ดูกีฬาโอลิมปิกสักหน่อย แล้วทำไมเจ้าหัวหน้าวงต้องทำหน้าเหมือนกำลังลุ้นเหรียญทองแบบนี้ด้วยเล่า
   
“เป็นไง” โยเอ่ยถาม
   
“อือม์.....” เจแสร้งทำเป็นนึกนาน “ยังห่างชั้นกับเรา”
   
หน้าหล่อๆถึงกับคอตก
   
“แต่สำหรับครั้งแรก ถือว่าอร่อยไม่เลว” เจกระซิบบอกพลางกลั้นยิ้ม ทำเอาหัวหน้าวงมาดหล่อเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยเวลาที่ถูกคุณครูชมไปอย่างไม่น่าเชื่อ แฟนเพลงคนไหนก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าอันหลากหลายของเจ้าหัวหน้าวงหน้าหล่อฟอร์มเยอะแบบเขาเป็นแน่ นึกแล้วก็อดขำขึ้นมาไม่ได้จริงๆ

“ขอบคุณนะ ที่ทำมาให้” เจส่งยิ้มหวานจับใจให้กับคนข้างตัว
   
โยพยักหน้าถี่ตอบกลับไปเขินๆ มือข้างหนึ่งเท้าคางมองคนหน้าสวยทานซุปชามแรกในชีวิตของเขาอย่างนึกยินดี สีหน้าบ่งบอกว่าภูมิใจและดีใจไม่ปิดบัง

********************
   
“ชุน ซัน แม็ก” เสียงทุ้มๆนุ่มๆของพี่ใหญ่หัวหน้าดังขึ้นหลังจากที่เห็นว่าเดินถือชามอะไรสักอย่างออกจากห้องแล้วเดินหายเข้าไปในครัว ทำเอาน้องๆในวงทั้งสามคนที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับศพพันปีครึ่งนั่งครึ่งนอนเรียงกันเป็นตับอยู่ในห้องนั่งเล่นแบบหมดมาดสมาชิกวงบอยแบนด์ชื่อดัง หันไปมองตามเสียงเรียกนั้น
   
เด็กหนุ่มทั้งสามคน ไม่รู้หรอกว่าพี่เจกับพี่โยคุยอะไรกัน รู้แต่ว่ามันคงเป็นเรื่องที่ทำให้พี่โยอารมณ์ดีไปจนถึงอาทิตย์หน้าแน่ๆ เพราะเอาแต่ฉีกยิ้มไม่หยุดอยู่คนเดียว ที่สำคัญมันคงจะดีเอามากๆเสียจนทำให้พี่โยถึงกับใจป้ำออกปากบอกให้น้องๆที่กำลังอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอนให้โทรไปสั่งอาหารเข้ามาทานที่บ้านได้ตามชอบใจ โดยยอมเป็นเจ้ามือให้ด้วยนี่สิ
แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับน้องๆอย่างพวกเขา
   
เอาเป็นว่า ถ้าเป็นแบบนี้ได้บ่อยๆล่ะก็ ต่อไป พวกพี่อยากจะสร้างโลกส่วนตัวกันเท่าไหร่ พวกผมก็ไม่ว่าแล้วล่ะ

____________________________

จบไปอีกหนึ่งตอนค่ะ ยาวพอสมควรทีเดียวเหมือนกัน อ่านมาถึงตอนนี้คงพอรู้แล้วใช่ไหมคะว่า เจน่ะป่วงเอาเรื่องขนาดไหน ชีวิตของเจที่ไม่มีโยนี่คิดไม่ออกจริงๆค่ะว่าจะเป็นยังไง

เอาตอนพิเศษนี้มาลงในวันเกิดของต้นแบบตัวละครเจ นั่นก็คือ คิมแจจุง คู่ซี้ของ ยุนโฮ ต้นแบบของตัวละครโยนั่นเองค่ะ หวังว่าเจ้าของวันเกิดจะมีความสุขในวันนี้ และหวังว่าคนอ่านทุกคนจะมีความสุขกับตอนพิเศษตอนนี้ด้วยเช่นกันนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 4: เมา !?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 26-01-2010 15:29:21
ตอนนี้ ไม่รู้ว่าเมาเหล้า หรือเมารัก กันแน่

รู้แต่ว่า คนอ่านนั่งอมยิ้มมมมมม อยู่ได้คนเดียวอ่ะ

หวานๆเริ่มมาแระ ขอแบบหวานฉ่ำๆ หน่อยก็ดีนะคุณนิ้วไขว้

ชอบๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 4: เมา !?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 26-01-2010 17:45:53
ยังดีที่เจ แค่เมาแล้วหวง ถ้าเมาแล้วหื่น โย คงโดนจับกดแน่ๆ 555
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 4: เมา !?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-01-2010 20:37:05
อ่านแล้วเขิลลลลลลลล
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 4: เมา !?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: NumPing ที่ 26-01-2010 20:47:58
หวานหอมมาก ตอนนี้

อยากอยากได้รสหวาน ๆ อีกจัง
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 4: เมา !?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 26-01-2010 21:20:07
อ่านเมื่อไหร่ก็นั่งยิ้ม ได้ตลอด กับความรัก ความเอาใจใส่ของกันและกัน  :กอด1:

+1 เป็นของขวัญวันเกิดให้ต้นแบบของเรื่องครับ ฝากด้วยนะครับ  :m1:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 4: เมา !?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 27-01-2010 00:06:57
คุณนิ้วไขว้เจ้าขา ขอตอนพิเศษไปอีกเรื่อย ๆ เลยนะคะ  :impress2:

ก็หลายตอนผ่านไป  คู่เพื่อนสนิทก็อัพเลเวล ความหวานกันขึ้นไปอีก

อ่านแล้วมีความสุขที่สุดเลย    ฮากับสามหนุ่มด้วย ตกเป็นเบี้ยคุณพี่ทั้งสองตลอดเลย

เจเมาแล้วน่ารักเนาะ  นึกไม่ออกเหมือนกันค่ะ ว่า เจที่ไม่มีโย จะเป็นยังไง



" สุขสันต์วันเกิดนะ JJ ขอให้มีความสุขในทุกวัน  ได้เจอแต่เรื่องดีดีจากนี้และตลอดไป  "




หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 4: เมา !?!#*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: Yukisae ที่ 27-01-2010 22:37:43
นึกภาพเจตอนเมาออกเลยอ่ะ :jul3:
น่าสงสารโยจริงๆ ดีนะ โยไม่ค่อยหื่น5555+++
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 5: ตามใจ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 31-01-2010 18:29:31
ต้องขอโทษนะคะที่หนนี้เข้ามาโพสต์ช้าไปสักหน่อย อ่านตอนพิเศษก่อนแล้วก็ค่อยคุยกันนะคะ ^_^

________________________
ตอนพิเศษ 5: ตามใจ

เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นั่งมองภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน น่าแปลกที่แม้รอบตัวเขาในตอนนี้จะมีคนเดินพลุกพล่านไปมาอยู่พอสมควร บวกกับเสียงตะโกนพูดคุยกันที่ดังขึ้นเป็นระยะ แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร สายตาของเขาจึงมักจะถูกดึงดูดให้มองตามร่างขาวๆคุ้นตาที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่วนั้นอยู่ตลอดเวลาด้วยก็ไม่รู้
   
“ว่าไงสุดหล่อ” เสียงคุ้นหูที่ทักเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงและเป็นกันเองนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน
   
“พี่เมษ... นั่งสิครับ” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งอย่างสบายใจ ก่อนจะหันไปมองเสี้ยวหน้าเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่หันไปมองอะไรบางอย่างไม่วางตา เมื่อมองตามสายตาคู่เรียวนั้น ก็ถึงบางอ้อ
   
เหมือนเคย
   
“เลิกงานกันเร็วนะวันนี้ จะไปต่อที่ไหนกันหรือเปล่าเนี่ยโย” หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงเอ่ยปากถาม
   
“ผมยังไม่รู้ครับ แต่รายโน้นไม่แน่” ว่าแล้วก็บุ้ยใบ้ปากไปยังเด็กหนุ่มอีกคนที่ยังเดินคุยโทรศัพท์ไม่หยุด มือข้างหนึ่งก็หยิบข้าวของอยู่เป็นระวิง
   
แน่ล่ะ การที่ได้ชื่อว่าเป็นวงบอยแบนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ทำให้พวกเขาหาเวลาส่วนตัวได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าวงอย่างโย หน้าที่รับผิดชอบของเขาก็ดูจะมากกว่าคนอื่นอยู่เสมอไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวก็ยินดีที่จะทำหน้าที่นี้ชนิดไม่อิดออดและไม่เคยแม้แต่จะออกปากบ่นเลยสักนิด
   
“คนอื่นๆล่ะ”
   
“เดี๋ยวชุนคงไปหาอะไรทานกับที่บ้านซันน่ะครับ” โยหมายถึงน้องอีกสองคนในวงที่สนิทกันอย่างกับอะไรดี “ส่วนแม็ก เห็นว่าจะกลับบ้านน่ะฮะ” เพราะน้องเล็กของวงมีบ้านอยู่ในตัวเมืองนี่เอง การเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและที่พักหรือบ้านหลังที่สองของพวกเขา จึงไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไร ดีเสียอีก เพราะแม้จะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุและฉลาดเฉลียวเกินตัวเพียงใด น้องเล็กก็ยังเป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่นั่นเอง
   
เมษนั่งมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ท่าทีสบายอารมณ์และอมยิ้มแบบนี้ อาจจะได้เห็นกันบ่อยๆก็จริง แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร มันจึงได้ดูอ่อนโยนมากกว่าปกติ เมื่อสายตาคมคู่นี้ จับจ้องไปยังเพื่อนสนิทอีกคนในวง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวใจของวง คนที่มีใบหน้างดงามเกินเด็กผู้ชายทั่วไป และมีบุคลิกที่ไม่เหมือนใครเอาเลยจริงๆ
   
เจเป็นเด็กผู้ชายแบบนั้นแหละ
   
เด็กหนุ่มเป็นคนโผงผาง ช่างพูดช่างคุยอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อได้รู้จักสนิทสนม อีกทั้งยังสนุกสนานเฮฮาเป็นอย่างยิ่ง เหนือไปกว่านั้นเจเป็นคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจคนรอบข้างเป็นอย่างมาก แม้ท่าทีภายนอกจะดูเหมือนคนเย็นชาเพียงไรก็ตาม อาจจะเป็นเพราะดวงตากลมสวยคู่นั้น หรืออาจจะเป็นที่ใบหน้าสวยหวาน หรืออาจจะเป็นรูปร่างที่แม้จะสูงเพรียวแต่ก็สมส่วนสมชายเสียจนน่าอิจฉา เจเป็นคนที่ดูดีได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
   
และที่สำคัญ ข้างกายเจ มักจะมีเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่หน้าตาหล่อเหลาเปี่ยมเสน่ห์ไม่แพ้กันคนนี้คอยติดตามเป็นเงาอยู่เสมอ
   
บ่อยครั้งที่เมษมักจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า อะไรหนอที่ทำให้เด็กหนุ่มสองคนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดกันตลอดเวลา เธอไม่แปลกใจที่จะเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเหมือนเป็นเงาของกันและกัน เมื่อไรที่คนหนึ่งป่วย อีกคนจะจะคอยดูแลไม่ห่าง  หากใครคนใดคนหนึ่งทำอะไรผิดพลาด อีกคนก็จะคอยเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ ในเวลาที่คนหนึ่งร้อนเหมือนไฟ อีกคนก็จะเป็นเหมือนน้ำเย็น คอยราดรดความร้อนแรงลงได้แทบจะทันที เส้นด้ายที่ผูกพันเด็กหนุ่มสองคนนี้เอาไว้ มันช่างเหนียวแน่นและลึกซึ้งยิ่งนัก ไม่เพียงเท่านั้น มันยังอ่อนโยนและน่ารักเสียจนทำให้ใครหลายคนที่ได้เห็นอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ
   
“โย...” เสียงแหบแต่ฟังดูหวานหูอย่างน่าประหลาดอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กหนุ่มผิวขาวจัดที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาทางเจ้าของชื่อที่นั่งยิ้มอยู่อย่างกระตือรือร้น “วงโทรมาชวนไปดื่มแน่ะ” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความยินดีไม่ปิดบัง แค่เห็นดวงตาเป็นประกายกับรอยยิ้มกว้างนั้น เขาก็พอจะรู้อยู่แล้ว
   
“พวกต้นกับนัทน่ะหรือ” เขาเอ่ยชื่อสมาชิกวง Sonic Energy วงเก่าของเจที่เจ้าตัวเคยไปทำหน้าที่เป็นนักร้องนำให้อยู่เป็นปีตั้งแต่ God’s Child ยังไม่เดบิวต์ด้วยซ้ำ
   
ใครจะไปนึกว่า วงบอยแบนด์อย่างพวกเขาจะมีเพื่อนสนิทเป็นวงร็อคชื่อดังในค่ายอินดี้ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างแบบนั้นได้ล่ะ
   
“เราไปได้ไหม” เสียงนั้นเอ่ยถาม มืออีกข้างถือโทรศัพท์มือถือเครื่องบางสีขาวเอาไว้ รู้ได้เลยว่า ปลายสายเองก็คงรอคำตอบอยู่เหมือนกัน
   
“พรุ่งนี้เรามีงานนะเจ นายจะไหวหรือ” น้ำเสียงนั้นแสดงความห่วงใยไม่ปิดบัง ที่สำคัญ เขารู้ดีว่า ด้วยตารางการทำงานที่แน่นเอี้ยด ทำให้สมาชิกในวงแต่ละคนพักผ่อนน้อยเหลือเกิน และสารภาพตามตรง ใจเขาอยากให้เจกลับไปพักผ่อนมากกว่า
   
“ไหวสิ” เจพยักหน้าเป็นการให้คำตอบหนักแน่น “ขอเราไปนะ” ถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิท แต่เรื่องแบบนี้การที่จะต้องแจ้งให้หัวหน้าวงได้รับรู้เอาไว้ ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นไม่น้อย
   
ร่างสูงๆที่นั่งอยู่ของโยผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย เขาส่งยิ้มบางๆไปให้ ก่อนจะเอ่ยออกมา
   
“ถ้านายอยากไปก็ไปเถอะ เจ”
   
เด็กหนุ่มที่มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหูเอาไว้ก่อนจะกรอกเสียงลงไป เอื้อมมือข้างหนึ่งบีบมืออีกฝ่ายเอาไว้ราวกับจะเป็นวิธีการบอกขอบใจในแบบของพวกเขาเอง โยจับมือข้างนั้นกระชับตอบ ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกครั้ง
   
เมษอมยิ้มให้กับภาพที่เห็น เธอไม่ออกความเห็นใดๆแทรกบทสนทนาของเด็กหนุ่มทั้งคู่ กระทั่งคนที่ยังติดพันอยู่กับโทรศัพท์เดินผละออกไปแล้วนั่นแหละ จึงหันไปคุยกับเด็กหนุ่มที่ยังคงปักหลักนั่งอยู่อย่างไม่ยอมลุกไปไหน

“ไม่อยากให้เจไป ทำไมไม่บอกตรงๆล่ะ” เมษเอ่ยถามขึ้น สายตายังคงจับไปที่เจที่แยกออกไปเก็บกระเป๋าไปพลาง คุยโทรศัพท์ไปพลาง
   
“ถ้าเป็นปกติผมคงไม่ให้เขาไปแน่ๆครับ” โยเอ่ยยิ้มๆ “แต่นี่ เขาคงอยากไปมากจริงๆ เจไม่ได้เจอเพื่อนเก่ากลุ่มนี้มานานมากแล้ว ผมเลยไม่อยากห้ามเขา” ว่าแล้ว สายตาคู่เดิมก็หันไปมองร่างขาวๆนั้นอีกครา
   
“โย พี่ถามหน่อยสิ” เมื่อเห็นดวงตาเรียวรีคู่นั้นมีแววขมวดมุ่นเล็กน้อย เมษถึงกับหลุดขำออกมา “ไม่ได้มีเรื่องอะไรซีเรียสหรอกน่า พี่แค่อยากถามอะไรเฉยๆ สงสัยมานานแล้ว”
   
โยหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมด้วยทีท่าที่สบายยิ่งขึ้น
   
“ถามได้ครับ”
   
“ทำไมโยตามใจเจจังเลย”
   
   
“ผมดูตามใจเจมากเลยหรือพี่” โยทำตาโตถามออกไปบ้าง ราวกับสิ่งที่หญิงสาวถามออกมาเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
   
“ก็เห็นตามใจทุกเรื่องนะ”
   
“ไม่ทุกเรื่องหรอกครับ”
   
“เช่นเรื่องอะไรบ้างล่ะ ที่ว่าไม่ตามใจน่ะ”
   
“ก็เรื่องไปดื่มแบบนี้ ผมเป็นห่วง เจเวลาดื่มป่วนน่าดู พี่เมษก็เคยเห็น” เขาเล่ายิ้มๆ แต่ก็ไม่ได้บอกออกไปว่า อีกเหตุผลที่เขาไม่ชอบให้เจออกไปดื่มแบบนี้ก็เพราะ เขาหวงด้วยนั่นแหละ เพราะเวลาเจเมาทีไรเหมือนเจ้าตัวจะปล่อยฟีโรโมนอะไรบางอย่างออกมาก็ไม่รู้ ทำให้ชวนหลงใหลขึ้นกว่าปกติอีกหลายเท่าตัว แถมยังไม่ค่อยจะระวังตัวเสียด้วย แล้วจะไม่ให้ทั้งหวงทั้งห่วงได้อย่างไรกัน
   
“เคยเห็น เมาแล้วเหวี่ยงน่าดูเลยรายนั้น” เมษกลืนน้ำลายเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่พวกเขาปิดร้านฉลองกันไปเมื่อไม่นานมานี้ เห็นฤทธิ์เด็กเจเข้าไป ทำเอาเธอถึงกับอึ้งปนขำเลยทีเดียว
   
“แล้วก็... “ โยทำท่านึก “เรื่องช็อปปิ้ง”
   
“เอ แต่พี่ก็ได้ยินน้องๆคนอื่นบอกว่า บางทีโยก็ซื้อให้ไม่ใช่เหรอ” เมษหันไปมองเด็กหนุ่มที่พยักหน้ายอมรับง่ายๆ
   
“ผมซื้อให้นั่นแหละดีแล้ว” เมื่อเห็นเมษทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก เด็กหนุ่มจึงอธิบายต่อ “ถ้าปล่อยเขาซื้อเองนะ เงินมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ”
   
“อ้าว แล้วที่ซื้อน่ะ เงินใคร”
   
“ส่วนใหญ่เงินผมเอง”
   
“แล้วเจไม่มีเงินรึ” หนนี้เมษถามเสียงสูง แถมสีหน้ายังแสดงออกชัดเจนว่างงเต็มที่
   
“มีครับ แต่เขาก็รู้ตัวนะว่าตัวเองชอบซื้อของ ก็เลยใช้วิธีพอได้เงินมา ก็ยกให้แม่จัดการ แม่ก็จะเก็บใส่บัญชีไว้ให้ เงินที่เจใช้ส่วนใหญ่จะเป็นเงินเดือนที่บริษัทให้มากกว่า นั่นเป็นวิธีบังคับตัวเองอย่างหนึ่งของเขาน่ะครับ”
   
“แล้วอย่างนี้โยก็แย่อ่ะสิ” เมษว่าล้อๆ ไม่ได้พูดให้เห็นว่าจริงจังอะไร
   
“ไม่แย่หรอกพี่เมษ” โยส่ายหน้ายิ้มๆ “ผมก็มีเงินเก็บของผมอยู่เหมือนกัน ไม่ได้ลำบากอะไร”
   
เด็กหนุ่มยกนิ้วขึ้นถูจมูกเขินๆ
   
“อีกอย่าง ผมไม่ได้ซื้อของให้เขาอยู่ฝ่ายเดียว บางทีเขาก็ซื้ออะไรมาให้ผมด้วยเหมือนกัน”
   
“เหรอ... อันนี้พี่ไม่ยักรู้แฮะ เช่นอะไรบ้างล่ะ”
   
“ก็พวกเครื่องประดับ เสื้อผ้า รสนิยมเขาดี บางทีเขาเห็นอะไรดีๆ ก็ซื้อมาให้บ่อยไปครับ” เมษพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะหลุดปากออกไปว่า
   
“มิน่า พี่เห็นพวกเราใส่อะไรแมทช์กันหลายหนแล้ว”
   
“พี่เมษช่างสังเกตนี่ครับ”
   
“โทรศัพท์ก็ด้วยใช่ไหม”
   
“ครับ” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มตอบ ก่อนจะทำทีเป็นกดโทรศัพท์เครื่องสีดำในมือ ซึ่งดูอย่างไรก็เป็นแบบเดียวรุ่นเดียวกับเครื่องสีขาวที่อยู่ในมือเด็กหนุ่มอีกคนไม่มีผิด “เขาเป็นคนเลือกให้”
   
“ทำไมถึงยอมเจขนาดนั้นนะ”
   
“ผมไม่ได้รู้สึกว่าต้องยอมหรืออะไรนะพี่” โยกลอกตามองเพดานห้องอย่างใช้ความคิด “เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ส่วนใหญ่เขาอยากได้หรืออยากทำอะไรผมก็ไม่ได้รู้สึกอยากขัดนะ”
   
“ทำไมล่ะ”
   
“คือ ไอ้เรื่องที่เขาอยากทำมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องห้ามปรามอะไรกันนี่ครับ เจเขาก็โตแล้ว ที่จริงแค่ที่เขามีอะไรแล้วมาบอกผม ผมก็รู้สึกดีแล้วนะ อีกอย่าง...” หนนี้เมษไม่ได้รู้สึกไปเองว่า รอยยิ้มของเด็กหนุ่มตรงหน้า มีแววขัดเขินอย่างไรพิกล “พี่เมษต้องเจอเวลาที่เจเขาจะอ้อนเอาอะไรซักอย่าง”
   
“ทำไมหรือ” เมษถามออกไป ทั้งที่ก็รู้ดีอยู่แล้ว ตัวเองก็เคยเจอฤทธิ์อ้อนของเด็กหนุ่มอีกคนมาแล้วเหมือนกัน มีหรือจะไม่รู้ แต่ที่ถาม เพราะเธออยากเห็นปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มร่างสูงที่นานๆจะเห็นทำท่าเขินอย่างนี้สักทีมากกว่า
   
“เวลาเจอ้อนเขาน่ารักน่ะครับ ผมไม่เคยทนลูกอ้อนเขาได้สักที” เมษหลุดหัวเราะชอบใจออกมา “แต่เขารู้นะพี่ ว่าขอแบบนี้ ยังไงผมก็ต้องยอม ยกเว้นถ้าผมอธิบายเหตุผลให้ฟังว่าเพราะอะไรถึงไม่ได้ เขาก็จะยอมง่ายๆ ไม่ตื้อต่ออีกเลยเหมือนกัน”
   
เด็กหนุ่มเผลอยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
   
“ใครไม่รู้จะคิดว่าเจเป็นคนเอาแต่ใจ แต่ที่จริงเขาเป็นคนที่มีเหตุผลมากนะครับ เขาอาจจะดูเฮี้ยวเอาเรื่อง แต่พอถึงเวลาทำงาน เจเป็นคนที่มีความรับผิดชอบไม่แพ้ใครเลย หน้าที่หัวหน้าวงที่ผมทำเนี่ย ถ้าเมื่อไหร่ผมทำไม่ไหว ก็ได้เจนี่แหละคอยทำแทนให้”
   
“ดีจังนะ”
   
“แค่มีเขาอยู่ด้วยก็ดีมากแล้วล่ะครับ” จู่ๆโยก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เท่าเอาคนที่ได้ฟังอดยิ้มออกมาไม่ได้
   
“เขาอาจจะดูเอาแต่ใจนะ แต่เท่าที่พี่เห็น...” เมษหยุดหันไปมองตัวต้นเรื่องการสนทนาครั้งนี้ ที่ยังคงง่วนอยู่กับการคุยโทรศัพท์และข้าวของในมือ “ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่โยได้ดีเท่าเจหรอก...”
   
“พี่เมษว่าอย่างนั้นหรือครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มยินดีไม่ปิดบัง
   
“อย่าคิดนะว่า เราจะดูแลเขาอยู่ฝ่ายเดียว เขาเองก็ให้ความสำคัญกับเราไม่น้อยไปกว่ากันหรอก”   
   
โยได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ
   
“ก็เขาดีกับผมขนาดนี้ จะไม่ให้ตามใจเขาได้ยังไง” เด็กหนุ่มว่าอ้อมแอ้ม เมษถึงกับหลุดหัวเราะชอบใจออกมา
   
“รู้อะไรไหม ไม่ใช่แค่เจหรอก ที่ถูกตามใจจนเคยตัว” โยทำตาโตด้วยประหลาดใจกับสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อไป “เราเองก็เคยตัวกับการได้ตามใจเขาเหมือนกัน ไม่มีเขาเราคงแย่นะเนี่ย”

โยทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่าการยกมือขึ้นเกาศีรษะ นอกเหนือไปจากเจ ก็เห็นจะมีพี่เมษนี่แหละที่อ่านเขาขาดขนาดนี้

********************   

ร่างเพรียวสมส่วนในชุดเสื้อกล้ามสีขาว กับกางเกงยีนส์สีเดียวกันวางสายไปแล้วและดูเหมือนว่าจะจัดการกับข้าวของในกระเป๋าเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน แต่ไอ้ที่ทำให้โยแปลกใจมากกว่าก็คือ ท่าทีเซื่องๆที่ดูจะไม่กระตือรือร้นเท่ากับตอนเดินมาขออนุญาตเขานั่นต่างหาก
   
เจเดินเนือยๆเข้ามานั่งตรงเก้าอี้ข้างๆเขา ก่อนจะใช้คางเกยลงกับโต๊ะ มืออีกข้างยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดอะไรเรื่อยเปื่อย ท่าทางแบบนี้คงไม่พ้นมีอะไรในใจอีกแน่นอน
   
เมษมองเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งเคียงกันอยู่อย่างสนใจใคร่รู้ แต่เลือกที่จะสังเกตการณ์มากกว่าที่จะเอ่ยถามอะไรออกไป
   
“โย...” เสียงเรียกนั้นแผ่วเบา
   
“หือม์...”
   
“นายอยากให้เราไปดื่มกับเพื่อนๆหรือเปล่า” เจถามโดยไม่หันไปมองคู่สนทนา
   
“นายอยากไปไม่ใช่หรือเจ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มของอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน “ถ้านายอยากไปก็ไปเถอะ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก”
   
“ตอบไม่ตรงคำถามอีกแล้ว” เจเบ้ปากทำหน้ามุ่ยเหมือนคนไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่ได้มีแววขุ่นเคืองอะไรสักนิด
   
“นายถามว่าอะไรล่ะ”
   
“อยากให้เราไปดื่มกับเพื่อนๆหรือเปล่า” หนนี้คนถามเอียงศีรษะกลมๆนั้นไปทางเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ มองด้วยสายตาติดจะคาดคั้นในที ทำเอาโยถึงกับระบายลมหายใจออกมา พร้อมรอยยิ้มที่แสดงออกว่า ยอมแพ้
   
“ถามเราจริงๆ เราก็ไม่อยากหรอก”
   
“ก็แล้วทำไมไม่บอกตรงๆ”
   
“เราเห็นว่านายไม่ได้เจอเพื่อนๆนานแล้ว อีกอย่าง ถ้านายจะไปกับเพื่อนกลุ่มนี้ เราก็เบาใจขึ้นมาหน่อย”
   
“แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่อยากให้ไปใช่ไหม”
   
โยพยักหน้าตอบอย่างไม่อ้อมค้อมอันใดอีกต่อไป
   
“แล้ว...” เจหยุดอยู่เป็นครู่ “ถ้าเราบอกว่าอยากให้นายไปเป็นเพื่อนด้วย นายจะไปกับเราไหม”
   
“ทำไมจู่ๆอยากให้เราไปล่ะ”
   
“ก็ไม่ทำไมหรอก...” เจตอบอ้อมแอ้ม “ทีแรกก็กะจะชวนไปด้วย แต่เราเห็นนายเหนื่อย ก็อยากให้พักผ่อนมากกว่า”
   
“ไหงเกิดเปลี่ยนใจกระทันหันล่ะ”
   
“ก็มัน...” เจถอนหายใจด้วยความขัดเคืองโดยเฉพาะเวลาที่ถูกเจ้าคนตัวสูงไล่ต้อนถามเอาแบบนี้ “ก็มีนายไปด้วยดีกว่า...”
   
“เหงาเหรอ”
   
“เปล่าซักหน่อย... ก็แค่” น้ำเสียงนั้นเริ่มมีแววฮึดฮัด “เกิดเราเมาขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ หนที่แล้วก็ทำเรื่องเอาไว้ทีนึงแล้ว... อีกอย่างพวกนั้นก็อยากเจอนายเหมือนกัน” เจเฉไฉไม่เต็มเสียงนัก
   
ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย มีแต่ใบหน้าหล่อคมคายที่ก้มลงมองหน้าเขาแบบติดจะล้ออย่างไรพิกล
   
“อะไรเล่า...” อดรนทนไม่ได้เจ้าตัวถึงกับร้องโวยวายขึ้นมา “ตกลงจะไปด้วยกันไหม”
   
“นายอยากให้ไป เราก็จะไป ดีเหมือนกัน เราจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วง”
   
พูดจบ เจ้าของเสียงทุ้มก็เกยคางลงกับโต๊ะเป็นเพื่อนคนข้างๆ ก่อนจะหันไปสบตากับดวงตากลมโตคู่นั่นพร้อมกับกระซิบเบาๆว่า “ขอบใจนะที่ชวน”
   
“อื้ม... ขอบใจเหมือนกันที่ยอมไปเป็นเพื่อน” แล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกันเสียอย่างนั้น
   
เมษที่นั่งเป็นประจักษ์พยานอยู่ตรงนั้น ถึงกับยิ้มเขินๆออกมากับภาพที่ได้เห็นตรงหน้า อดคิดไม่ได้จริงๆว่า เด็กสองคนนี่เวลาอยู่ด้วยกัน ทำไมมันถึงได้น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ก็ไม่รู้
   
“เอาล่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนในที่สุด “เห็นทีพี่ก็ต้องกลับเสียทีแล้วเหมือนกัน” เธอว่ายิ้มๆ
   
“แล้วก็โย...” เมษเอ่ยขึ้น “เอาเป็นว่า... ที่เราคุยกันเมื่อกี้น่ะ…” ก่อนจะยิ้มกว้าง “ผิดจากที่พูดเสียที่ไหนกันล่ะ” ก่อนจะก้มลงเจาะจงพูดกับเด็กหนุ่มร่างสูงเป็นพิเศษ “พอกันทั้งคู่นั่นแหละ”
   
ทำเอาโยถึงกับหลุดขำออกมา สร้างความงุนงงให้กับเด็กหนุ่มอีกคนเป็นอย่างยิ่ง
   
“ไปล่ะนะ ดูแลกันดีๆ พรุ่งนี้มีงาน อย่าลืมเสียล่ะ” ไม่ทันได้รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยอะไร หญิงสาวท่าทางคล่องแคล่วก็ลุกขึ้นหันหลังเดินจากไปพร้อมกับโบกมือข้างหนึ่งขึ้น ราวกับจะบอกเป็นนัยว่า ‘พี่ไม่ขออยู่ขัดความสำราญน้องล่ะนะ’
   
“คุยอะไรกันหรือ” เจ้าของดวงตากลมโตหันไปถามเด็กหนุ่มอีกคนด้วยความอยากรู้ขึ้นมาติดหมัด
   
“ไม่มีอะไรหรอกน่า”
   
“ไม่มีจริงอ่ะ” สีหน้าอีกฝ่ายบอกชัดว่าไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่
   
“มีก็ไม่บอก” ว่าแล้วก็หัวเราะเสียงดังชอบใจไม่ปิดบัง แทนที่เจจะเคืองกลับรู้สึกงงหนักขึ้นไปอีก
   
“เอาน่า...” มือใหญ่แข็งแรงข้างหนึ่งของโยยกขึ้นขยี้ศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ “จะไปกันหรือยังล่ะ”
   
ร่างขาวๆพยักหน้าถี่เป็นเด็กๆ ก่อนจะลุกขึ้นยื่นมือเพื่อที่จะฉุดให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนตาม แต่โยกลับฉวยโอกาสนั้นลุกขึ้นออกแรงดึงมืออีกฝ่ายให้เซเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขา ก่อนจะกระชับกอดสั้นๆนั้นเบาๆ และคลายออกปล่อยให้ร่างของเจเป็นอิสระ
   
ร่างนั้นไม่ได้ต่อว่าคนฉวยโอกาส แต่กลับส่งยิ้มหวานในแบบที่ทำเอาหัวใจใครต่อใครละลายลงได้ง่ายๆให้ไปแทน
   
ก็เป็นเสียอย่างนี้ไงเล่า จะไม่ให้เขายอมตามใจคนคนนี้ได้อย่างไร
   
โยรำพึงกับตัวเองก่อนที่จะเดินเคียงข้างเจออกไปราวกับเป็นเงาที่ตัดกันไม่ขาด

_________________________
จบลงไปอีกหนึ่งตอนสั้นๆ แต่แอบได้ใจนะคะ

ที่หายไปเนี่ยก็ไม่ใช่อะไรค่ะ ไปเร่งตอนพิเศษอีกสามตอนให้จบเร็วๆ เพราะตอนนี้เราเหลือตอนพิเศษอยู่ในสต๊อกอีกแค่สองตอนเท่านั้นค่ะ ก็จะจบซีรี่โยกับเจแล้ว ซึ่งก็แปลว่าเราต้องเร่งมือหน่อยแล้ว กว่าจะรวมกว่าจะพิมพ์มันก็ต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว ใครสนใจเอาไว้เดี๋ยวรอจัดหน้าและตีราคาให้เรียบร้อยอีกครั้ง จะมาแจ้งให้ทราบแน่นอนค่ะ ที่แน่ๆยาวและหนามากค่ะ

ยืนยันอีกครั้งค่ะว่า นิยาย Beats of Life ตีพิมพ์แน่นอน มีทั้งหมด 12 ตอนจบ กับอีก 7 ตอนพิเศษ พ่วงอีก 3 ตอนที่แต่งใหม่และจะรวมเอาไว้เฉพาะในเล่มเท่านั้น หาอ่านที่ไหนไม่ได้แน่นอนค่ะ โปรติดตามต่อไปนะคะ

สนุกกับการอ่านเช่นเคยนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 5: ตามใจ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 01-02-2010 08:59:01
ต่างฝ่ายต่างรักและตามใจกันและกันแบบนี้

คนอ่านก็น้ำตาลพุ่งกระฉูดสิคะ

ชอบวิธีคิดของเมษมากเลยค่ะ เธอมองโลกในแง่ดี อยู่เสมอ

เข้ามารอรวมเล่มด้วยคนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 5: ตามใจ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-02-2010 16:05:13
 :o8:

พอกันทั้งคู่จริง ๆ สองคนนี้
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 5: ตามใจ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: CMYK ที่ 03-02-2010 15:39:20
จริงๆแล้ว เจก็คงตามใจโยทุกอย่างเหมือนกันแหละน่า ถ้า..โย ขอน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 5: ตามใจ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: uuro ที่ 03-02-2010 21:30:43
ยังไม่ได้อ่านเลยแต่สาวก ยุนแจตัวจริง ยุนแจอิสเรียล เพราะแน้นจะเข้ามาอ่านแน่นอน และนอกจากนี้หนูต้แงตามกระทูพี่นาเมทุกวัน เพราะตกหลุมรักพี่เอ พี่ป่านสุดๆด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 5: ตามใจ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 03-02-2010 22:09:48
 " มีกันและกัน " คงไม่ต้องหาคำจำกัดความอีกแล้ว   :กอด1:

อ่านไปก็ยิ้มไปกับความน่ารักของกันและกัน

+1 เป็นการขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 5: ตามใจ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 06-02-2010 10:10:34
ไม่ตามใจ เจ แล้วจะไปตามใครเนอะ โย เนอะ

ก็น่ารัก ขี้อ้อนซะขนาดนี้   หวานกันได้ หวานกันดี

แบบนี้คนอ่านรักตายเลยค่ะ คุณนิ้วไขว้  :L2:


"สุขสันต์วันเกิด my leader ขอให้มีความสุขมาก ๆ ดูแลคนอื่นมามากแล้ว อย่าลืมดูแลตัวเองบ้างนะ

  :กอด1:  ขอให้เจอแต่เรื่องดี ดี นับตั้งแต่วันนี้และตลอดไป  รักและเอาใจช่วยเสมอค่ะ "
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 6: จูบ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 06-02-2010 18:43:07
ตอนพิเศษ 6: จูบ

“พี่” เสียงเรียกของชุน หนึ่งในสมาชิกของวงบอยแบนด์ที่ประกอบไปด้วยสมาชิกห้าคนดังขึ้น ทำให้คนอื่นๆที่เหลือที่กำลังจดจ่ออยู่กับโทรทัศน์ตรงหน้าบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ทำอะไรเรื่อยเปื่อยบ้าง พร้อมใจหันไปทางต้นเสียงกันแบบไม่ได้นัดหมาย
   
“มีอะไร ท่าทางตื่นเต้นเชียว” ซันถามขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเพื่อนสนิทที่เดินออกมาจากห้องนอน โดยยังคงกำโทรศัพท์มือถือเครื่องบางทันสมัยเอาไว้ในมือ
   
“อีกสองสามวันพี่คิมจะกลับจากอเมริกาแล้วนะ” เสียงชุนกระตือรือร้น “พี่เขาอยากเจอพวกเราด้วย”
   
คิมที่ว่า ไม่เพียงจะเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของสมาชิกวง God’s Child แต่ยังเป็นทายาทเจ้าของธุรกิจระดับแถวหน้าของประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ที่ให้การสนับสนุนวงบอยแบนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดกลุ่มนี้อีกด้วย แม้จะอายุห่างจากสมาชิกทั้งห้าคนไปหลายปี แต่ด้วยอัธยาศัยใจคอที่เปิดเผยและเป็นกันเองอย่างยิ่ง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ลูกชายของสปอนเซอร์ใหญ่จะกลายเป็นเพื่อนกับวงที่ตัวเองให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีไปในที่สุด
   
โดยเฉพาะกับชุนด้วยแล้ว ดูเหมือนคิมจะคุยด้วยบ่อยกว่าใครเพื่อน น่าจะเป็นเพราะชุนเคยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมานาน จึงคุยกับคิมที่เป็นเด็กนักเรียนนอกเหมือนกันได้ถูกคอเป็นพิเศษ
   
ไม่น่าแปลกใจที่เด็กหนุ่มจะดีใจจนออกนอกหน้าเมื่อรู้ว่าพี่คิมกำลังจะกลับมาเยี่ยมบ้านเสียที
   
“ทำไมกลับมาปุบปับนักล่ะ” โยถามด้วยความแปลกใจ “พี่คิมยังเรียนอยู่ไม่ใช่หรือ”
   
“เห็นบ่นว่าพ่อสั่งให้กลับมาช่วยงานก่อน แล้วค่อยกลับไปอีก แต่ว่ายังไงก็ต้องกลับไปสอบอยู่นะ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
   
“บินไปบินมาแบบนี้ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงนะ” เจเอ่ยขึ้นลอยๆ
   
“เออ... พี่โย พี่คิมฝากความคิดถึงแน่ะ” ชุนทำหน้ากรุ้มกริ่ม ด้วยรู้ทั้งรู้ว่าพี่ชายต่างสายเลือดคนสนิทที่อยู่ไกลถึงอเมริกานั้น ไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศตรงข้าม ซึ่งความจริงข้อนี้ ไม่ใช่อุปสรรคในการคบหากันระหว่างเขาและเด็กหนุ่มกลุ่มนี้แต่อย่างใด แถมที่คิมแสดงออกชัดเจนว่าถูกใจหัวหน้าวงอย่างโยอย่างยิ่งชนิดออกนอกหน้านั้น ก็เป็นที่รู้กันดีว่า ทำเพราะความสนุกมากกว่าจะคิดกับเด็กรุ่นน้องอย่างเป็นจริงเป็นจังอะไร
   
แต่เห็นจะมีอยู่คนเดียวนั่นแหละ ที่แอบนึกเขม่นอยู่ในใจเล็กๆแม้อีกใจหนึ่งจะให้ความสนิทสนมและเคารพนับถือกันขนาดไหนก็ตาม ก็เลยทำให้คิมที่ชอบฉวยโอกาสเล็กๆน้อยๆกับโยเพราะความบันเทิงส่วนตัวล้วนๆ นึกสนุกที่จะได้แกล้งคนข้างตัวเด็กหนุ่มหน้าหล่อเจ้าของรูปร่างเร้าใจคนนี้ไปด้วยอีกคน
   
ความสุขของคิม คือการได้แกล้งให้เจหงุดหงิดเล่นนี่แหละ นี่ขนาดตัวยังมาไม่ถึง ก็ดูเหมือนจะทำให้เด็กหนุ่มหน้าหวานที่นั่งอ่านอะไรเพลินๆอยู่ดีๆ นึกฉิวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
   
“พี่คิมมาไม่ดีใจหรือเจ” โยยกมือขึ้นจับศีรษะกลมๆนั้นโยกไปมาเบาๆ
   
“ก็ดี” แม้ปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่หน้ามุ่ยๆของเจ้าตัวกลับสวนทางไปอย่างสิ้นเชิง สำหรับเจ ส่วนตัวแล้วเขาก็นึกชอบอัธยาศัยใจคอของพี่คิมดีอยู่หรอก เสียตรงพี่คิมชอบแหย่เขานี่แหละ แหย่เรื่องอื่นไม่เท่าไหร่ แต่ชอบเล่นอะไรแบบถึงเนื้อถึงตัวกับไอ้คนตัวสูงหน้ายิ้มทั้งปีที่นั่งอยู่ข้างๆเขานี่อยู่เรื่อย เห็นทีไรเป็นต้องหงุดหงิดทุกที แล้วไอ้ที่ยิ่งหงุดหงิดกว่าก็คือ ทำไมเขาถึงต้องรู้สึกหงุดหงิดไปเสียทุกครั้งที่ได้เห็นก็ไม่รู้
   
น้องๆอีกสามคนที่เห็นสีหน้าพี่เจ พยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นยิ้มเอาไว้ รู้ทั้งรู้ว่าพี่คิมกับพี่เจนี่บทจะดีกันก็ดีใจหาย แต่บทจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็เอาเรื่องน่าดู แต่ก็อดที่จะสนุกกับการได้เห็นชั้นเชิงในการต่อปากต่อคำและชิงไหวชิงพริบระหว่างพี่ต่างวัยทั้งสองของพวกเขาไม่ได้จริงๆนั่นแหละ
   
“พี่คิมชวนไปทานมื้อเย็นกันด้วยนะพี่ เดี๋ยวหาวันที่ตารางงานว่างๆ ไปกันนะ” ทุกคนพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่มีข้อโต้แย้งอันใด จะเว้นไว้ก็แต่คนหน้าหวานที่ไม่หือไม่อือ และไม่ขอออกความเห็นอะไรทั้งสิ้น ทำเอาคนข้างๆอดยิ้มออกมากับอาการที่ดูเหมือนเด็กโดนขัดใจของคนข้างตัวไม่ได้จริงๆ

********************
   
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ได้ชื่อว่าหรูหรามีระดับ และลูกค้าส่วนใหญ่ต้องกระเป๋าหนักจริงๆ จึงจะเข้ามาใช้บริการได้แห่งนี้ ไม่ว่าใครที่ได้เข้ามาก็อดที่จะประทับใจไม่ได้ ทั้งการบริการ การตกแต่งร้าน อาหารแต่ละจาน รวมไปถึงความเป็นส่วนตัวแบบสุดๆตามแต่ลูกค้าจะปรารถนา ก็สมกับราคาที่แพงหูดับของมันนี่แหละ
   
แต่ที่ไม่ทำให้เด็กหนุ่มทั้งห้าคนสะทกสะเทือนกับราคาของมันก็เป็นเพราะ พี่คิมที่ออกหน้ารับเป็นเจ้ามือให้กับอาหารมื้อพิเศษนี่ต่างหาก มีหรือน้องๆในวัยกำลังกินกำลังนอนอย่างพวกเขาจะปฏิเสธ มีหวังพี่คิมเสียน้ำใจกันพอดี
   
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ สมาชิกวงบอยแบนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคับฟ้าอย่าง God’s Child จะพร้อมใจกันนั่งหน้าระรื่น เรียงกันสลอนอยู่ตรงโต๊ะอาหารแบบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ ที่เต็มไปด้วยอาหารหน้าตาดีเอามากๆวางอยู่เต็มโต๊ะ แถมยังพ่วงเอาทีมงานที่สนิทกันอีกประมาณเกือบสิบชีวิตเข้ามาด้วย อาหารเย็นมื้อนี้จึงออกจะครึกครื้นเกินธรรมดาไปโขอยู่
   
“ถามจริงๆนะพี่คิม” เด็กชุนที่ทำท่าจะกึ่มๆกับน้ำดื่มสีอำพันในแก้วใสเนื้อดีที่วางอยู่ตรงหน้าเอ่ยขึ้น ขณะที่พูดคุยกับเจ้าภาพมื้อพิเศษนี้อย่างออกรส “พี่ไปเรียนปริญญาอะไร ใบที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย”
   
“จะอยากรู้ไปทำไมกัน หือ” ชายหนุ่มวัยเฉียดสามสิบที่ยังดูดีเหลือเกินเสียจนน่าอิจฉา ย้อนถามกลับไปยิ้มๆ
   
“ใครถามจะได้ตอบเขาถูกไง” เด็กหนุ่มว่าพลางยิ้มอารมณ์ดี
   
“ปริญญาโท ใบที่สอง”
   
“โห...”
   
“แต่ที่กำลังเรียนอยู่เนี่ย เขาเรียกเรียนเพราะอยากเป็นการส่วนตัว พี่เรียนให้พ่อมาเยอะแล้ว ก็เลยขอเรียนไอ้ที่อยากเรียนบ้าง”
   
“ไม่คิดถึงบ้านบ้างเหรอพี่”
   
“ก็คิดบ้าง แต่อยู่ที่นู่นมันก็สนุกดีเหมือนกัน” ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง “พี่ไม่อยู่ คิดถึงล่ะซี้”
   
“เปล่า...” ชุนลากเสียงยาว “ก็นิดหน่อยแหละ แหม... คนคุยกันถูกคอ”
   
“อ้าว... แล้วคุยกับคนอื่นในวงไม่ถูกคอหรือไง” เขาแหย่ทั้งที่รู้ว่า ไม่เป็นความจริงสักนิด สำหรับคิมแล้ว สิ่งหนึ่งที่เขานึกนิยมชมชอบในตัวสมาชิกวง God’s Child ไม่เพียงแต่ ความสามารถอันน่าทึ่งที่ไม่ต้องรอการพิสูจน์ใดๆอีกต่อไปแล้ว ก็เห็นจะเป็นนิสัยใจคอและความสนิทสนมที่สมาชิกในวงมีต่อกันนี่แหละ
   
เด็กพวกนี้เวลาที่อยู่ด้วยกัน มันน่ารักอย่างกับอะไรดี
   
“พูดแบบนี้เดี๋ยวผมก็โดนเล่นงานเข้าหรอก” ปากแม้จะตอบออกไปแบบนั้น แต่เด็กหนุ่มกลับทำหน้ากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา พลางยื่นหน้าเข้าไปพูดเสียงเบากับพี่ชายต่างสายเลือด “แต่เรื่องบางเรื่อง มันก็ต้องเมาธ์กับคนอื่นบ้างไงพี่ มันถึงจะสนุก” สายตาชำเลืองไปยังปลายโต๊ะอีกด้านหนึ่ง
   
ภาพที่เห็นก็คือ เด็กหนุ่มหน้าหวานที่ง่วนกับอาหารในจานโดยมีเด็กหนุ่มร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ คอยตัก คอยเติม พร้อมกับสาธยายสรรพคุณอาหารแต่ละจานอย่างออกรส ราวกับว่าโลกนี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคนเท่านั้น ยังดีที่นานๆที คนตัวใหญ่กว่าที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าวง จะหันมาแซวคนอื่นๆที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่อย่างไม่ให้รู้สึกแปลกแยกหรือขาดตอนอะไร ส่วนอีกคนเห็นได้ชัดว่าหน้าเริ่มกลายเป็นสีชมพูระเรื่อจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ แม้จะเพิ่งดื่มไปเพียงเล็กน้อยก็ตาม
   
“สองคนนั่นเป็นไงบ้าง” คิมถามอย่างกึ่งนึกสนุกกึ่งอยากรู้ขึ้นครามครัน
   
“ปกติ ดูแลเทคแคร์กันเป็นอย่างดี ยิ่งพี่โยนะ ตามใจพี่เจน่าดู” ก่อนจะหันไปทำท่ากระซิบกระซาบกับอีกฝ่ายเบาๆ “จนพี่เจเคยตัวไปแล้ว”
   
ว่าแล้วก็หันไปมองภาพพี่ชายทั้งสองคนอีกคำรบ
   
“ดีที่ยังจำได้ว่ายังมีพวกผมเป็นน้องอยู่อีกสามคน” ว่าแล้วก็ส่ายหน้า ทำเอาคิมหลุดขำออกมา อย่างเขามีหรือจะไม่รู้ว่าโยและเจคอยดูแลห่วงใยและสนิทสนมกับน้องๆในวงมากแค่ไหน แต่ก็รู้อีกเหมือนกันว่า บางทีมันก็อดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้ เวลาที่ได้เห็นเด็กหนุ่มทั้งสองคนสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมา ชนิดบางทีลืมเกรงใจคนข้างๆอยู่บ่อยๆ
   
ก็เพราะอย่างนี้นี่แหละเขาถึงได้ชอบแกล้งสองคนนี้นัก โดยเฉพาะไอ้เจ้าคนหน้าหวานนี่ แกล้งขึ้นน่าดู ลงมือทีไร เป็นต้องเห็นผลทุกครั้ง น่าสนุกออกจะตายไป
   
“อยากดูอะไรสนุกๆไหม” คิมหันไปกระซิบกับชุนบ้าง ทำเอาเด็กหนุ่มตาโตด้วยความตื่นเต้น
   
“อยากสิพี่” สนุกทุกทีเวลาทีได้เห็นพี่คิมแหย่พี่เจ มีหรือเขาจะไม่ชอบ
   
“คอยดูก็แล้วกัน”

********************   

แม้จะไม่อยากให้เด็กหนุ่มข้างตัวดื่มมากเกินไป แต่ด้วยความที่ไม่อยากขัดใจ อีกทั้งยังเห็นว่าถึงอย่างไรก็มีเขาอยู่ใกล้ๆ เด็กหนุ่มจึงยอมเลื่อนแก้วน้ำสีอำพันไปวางไว้ตรงหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคอทองแดงของวงแต่โดยดี
   
“ถ้ารู้ตัวว่าเริ่มเมาก็เพลาๆลงบ้างนะ” เสียงทุ้มนั้นเตือนขึ้นอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำทุกครั้งที่มาดื่มด้วยกัน
   
“ยังสบายอยู่น่า อีกอย่าง...” เจคีบปลาดิบชิ้นหนึ่งใส่ปาก “พรุ่งนี้มีงาน ยังไงเราก็ไม่อยากจะเมาแฮ้งค์เหมือนอย่างคราวที่แล้วหรอก”
   
“อย่าเผลอก็แล้วกัน ลืมตัวทีไรเมาเละทุกที” โยว่าอย่างนึกขัน
   
“อ๊ะ” เด็กหนุ่มหน้าหวานสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโทรศัพท์มือถือที่ใส่เอาไว้ในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะล้วงออกมากดรับสาย
   
“แม่ครับ” เจยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของมารดาที่อยู่ปลายสายตอบกลับมา ก่อนจะพยักเพยิดให้กับโยเป็นนัยว่า จะขอแยกออกไปคุยตรงจุดที่เป็นส่วนตัวและเงียบกว่านี้ โดยโยคว้ามือขาวๆข้างหนึ่งที่ยังว่างอยู่ของอีกฝ่ายเอาไว้และบีบกระชับเบาๆ เจชะงักไปเล็กน้อยกับสัมผัสปุบปับนั้น ก่อนจะส่งยิ้มตอบกลับมาให้และลุกออกจากโต๊ะไป
   
แน่นอนว่า ภาพที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆนั้น ตกอยู่ในสายตาของคิมที่เฝ้ารอจังหวะอย่างใจจดใจจ่อ
   
โอกาสมาถึงแล้ว
   
ทันทีที่เจเดินผละออกไป ที่นั่งข้างๆตัวเด็กหนุ่มสูงใหญ่ก็ถูกแทนที่ด้วยชายหนุ่มที่สูงใหญ่ไม่แพ้กัน
   
“ขอเสียบแทนแป๊ป ไม่ว่ากันนะ” คิมเอ่ยขึ้น
   
“ถ้าเป็นพี่คิมล่ะก็ สบายมากเลยครับ” โยเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มจริงใจ
   
นี่ยังดีนะที่เขาเห็นว่าเป็นน้อง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ จะจีบเข้าให้จริงๆ เด็กอะไรก็ไม่รู้ทั้งหล่อทั้งดูดี แถมนิสัยใจคอยังน่าคบอีกต่างหาก
   
ชายหนุ่มนึกกับตัวเองในใจ
   
“เห็นชุนบอกเดี๋ยวพี่คิมต้องกลับไปอีกหรือครับ” โยชวนคุย
   
“เฮ้อ...” คิมถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อนึกถึงว่าจะต้องบินกลับไปอีกจริงดังว่า “ไปสอบน่ะ นี่ถ้าพ่อไม่เรียก พี่ก็คงยังไม่กลับ หรือถ้าจะกลับก็อยากให้เป็นหลังสอบมากกว่า” คิมยกมือข้างหนึ่งลูบไปที่ต้นคออย่างเหนื่อยหน่าย
   
“พี่ชอบอเมริกานะ แต่ไม่ชอบการเดินทางเอาเลยจริงๆ” โยพยักหน้าเห็นด้วย คนที่ต้องบินไปต่างประเทศบ่อยๆเพราะหน้าที่การงานอย่างเด็กหนุ่มมีหรือจะไม่เข้าใจ
   
“แล้วทำไมคุณพ่อพี่ถึงต้องเรียกตัวพี่กลับมาด่วนขนาดนั้นด้วยล่ะครับ”
   
“คนขาดไง” คิมถอนหายใจออกมาเบาๆ “พอได้คนใหม่มา ก็ไม่มีใครว่างเทรนให้เลย แถมงานนี้เป็นงานที่พี่ต้องดูแลรับผิดชอบโดยตรงเสียด้วย ดำริพ่อ ขัดไม่ได้”
   
“ถ้าพี่กลับไปสอบ แล้วจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ครับ”
   
“ยังไม่รู้เลย” คิมหันไปถาม “มีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
   
“อีกไม่กี่เดือน พวกผมจะมีคอนเสิร์ตใหญ่แล้ว ก็เลยสงสัยว่าพี่คิมจะได้มาดูไหม”
   
“นี่เราชวนพี่หรือ” ชายหนุ่มยิ้มออกมาไม่ปิดบัง
   
“ก็ต้องชวนสิครับ” โยส่งยิ้มหล่อๆกลับไปให้ “ถึงแม้จะรู้ว่า ยังไงก็พี่ได้บัตรไปดูอยู่แล้วแน่ๆ แต่ผม... พวกผมก็ต้องชวนพี่คิมด้วยตัวเองกันอยู่แล้ว”
   
“ถ้าอย่างนั้น จะไม่มาก็ไม่ได้แล้วสิ”
   
“คงไม่ได้แล้วล่ะครับ น้องๆคงผิดหวังแย่เลย”
   
“ถ้าโยผิดหวังมากกว่าคนอื่นหน่อย พี่จะปลื้มใจกว่านี้อีก” ถึงคราวอารมณ์ดีชายหนุ่มก็อดที่จะพูดจาหยอกล้ออีกฝ่ายออกมาไม่ได้ตามความเคยชิน และมีหรือที่โยจะไม่รู้ว่าพี่ชายคนนี้ขี้เล่นกับเขามากเป็นพิเศษเพียงไร
   
“คิดมากกว่าคนอื่น เดี๋ยวคนอื่นก็น้อยใจแย่สิพี่” โยหัวเราะออกมาเบาๆ
   
หล่อเกินไปแล้ว
   
“บ๊ะ ให้ท่าแบบนี้...” ชายหนุ่มพูดตีขลุมเอาเอง “มา... ขอพี่หอมหน่อย”
   
ว่าแล้ววงแขนแข็งแรงของชายหนุ่มก็ยกขึ้นโอบไปที่รอบคอของอีกฝ่าย กะว่าจะฉวยโอกาสหอมแก้มโยสักฟอดให้เป็นกำไรเล็กน้อยๆของชีวิต โดยที่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ปัดป้องจริงจังอะไร ด้วยเพราะโดนอยู่เป็นประจำจนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว
   
ด้วยความย่ามใจ และไม่ทันได้ระวังระไวอะไร ก่อนที่ริมฝีปากจะปะทะเข้ากับแก้มนุ่มๆของโยโดยที่ตัวคนหอมเองยังหลับตาพริ้มอยู่อย่างนั้น เจ้าตัวก็ชักรู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันทีที่ริมฝีปากสัมผัสกับอะไรบางอย่างที่แม้จะนิ่มหยุ่นก็จริง แต่มันต้องไม่ใช่แก้มนิ่มๆของเด็กหนุ่มร่างสูงที่เขาหมายมั่นเอาไว้แน่นอน
   
“เฮ้ยยยยยยยยยย.....” คิมร้องเสียงหลงทันทีที่ลืมตาขึ้น และรีบผละออกมาเมื่อรู้ว่าสัมผัสที่ว่านั้นคืออะไร
   
ริมฝีปากที่เกือบจะเป็นสีแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ของเจ!
   
ไม่มีใครรู้ว่าเจโผล่มากจากไหน รู้อีกทีก็เมื่อเด็กหนุ่มก้มศีรษะลงมารับจูบที่ชายหนุ่มยื่นหน้าหมายจะหอมแก้มโยแทนแล้วนั่นแหละ ที่สำคัญเด็กเจไม่หลบตาเขาเลยสักนิด แถมยังนิ่งได้เสียจนน่ากลัวอีกต่างหากทั้งที่เพิ่งจะโดนจูบไปแท้ๆ... ถึงแม้จะไม่ใช่จูบที่ดูดดื่มอะไรก็เถอะ
   
คิมยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้ด้วยความตกใจ แถมไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเย็นๆที่ต้นคออย่างไรพิกล นี่ล่ะมัง รังสีอำมหิตอันเลื่องลือที่สมาชิกวง God’s Child เคยพูดถึง
   
แล้วที่สำคัญ ทำไมคนอย่างคิมจะต้องเขินด้วยวะ ทั้งที่เป็นฝ่ายเอาปากไปโดนเขาแท้ๆ
   
“เอ่อ...”
   
“เป็นไงพี่คิม” น้ำเสียงแหบหวานอันเป็นเอกลักษณ์นั้นเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มจะได้พูดอะไรออกไป “หวานดีไหม” เจถามออกมาหน้าตาเฉย

“พี่โชคดีมากเลยนะที่ได้จูบผม มีคนตั้งเยอะอยากจูบแต่ก็ไม่มีโอกาสสักที”

เด็กอะไรกันวะนี่ คิมคิดกับตัวเองในใจด้วยยังตกตะลึงไม่หาย และที่ยิ่งทำให้ตะลึงยิ่งกว่าก็คือ เด็กหนุ่มหน้าสวยก้มลงไปหอมแก้มเด็กหนุ่มร่างสูง เป้าหมายในตอนแรกของเขาแบบต่อหน้าต่อตา เห็นได้ชัดว่าจงใจแสดงความเป็นเจ้าของแบบไม่มีปิดบัง ก่อนจะหันกลับมามองเขาด้วยดวงตาเฉียบคมคู่นั้น
   
“ทีนี้ขอที่ผมคืนได้หรือยัง” ก่อนจะนั่งลงไปแทบจะทันทีที่พี่ชายต่างสายเลือดวัยห่างกว่าหลายปียอมสละเก้าอี้ตัวนั้นไปแบบงงๆ
   
โยหลุดก๊ากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในขณะที่น้องคนอื่นๆ รวมถึงทีมงานอีกหลายๆคนที่ได้เห็นเหตุการณ์แบบจะๆ เมื่อกี้ ลงไปนั่งกุมท้องขำกลิ้งกันไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย หันไปมองชุนที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกลายๆ ก็ปรากฏว่าเจ้าตัวกำลังเก็บภาพเด็ดเอาไว้อยู่เป็นระวิง
   
ขนาดเป็นพี่เป็นเชื้อกันมันยังกล้าหักหลัง ดูเอาเถอะ โลกนี้มันไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรจริงๆ
   
“พี่คิม” แม็กน้องเล็กของวงเดินตรงมาหาเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง “อ่ะพี่” เขาแทบล้มทั้งยืนเมื่อน้องเล็กที่ตัวสูงที่สุดกว่าใครเพื่อนยื่นไก่ทอดชิ้นหนึ่งมาให้เขา “กินไก่แทนไปก่อนก็แล้วกันนะ” ก่อนที่เจ้าตัวร้ายจะตบไหล่เขาเบาๆและเดินฉากออกไปแบบไม่ไยดี
   
พอกลับมานั่งที่ของตัวเองได้ เจ้าชุนที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับช็อตเด็ดที่เพิ่งเก็บมาได้หมาดๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมทำปากจู๋หลับตาพริ้มใส่เขา
   
“จูบผมแทนพี่โยก็ได้นะพี่” ก่อนที่จะรีบลุกเอาผลงานไปอวดซันที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด
   
ไอ้น้องเวรพวกนี้!
   
ดูเอาเถอะ เขาแค่พลาดไปนิดเดียว... อันที่จริงไม่นิดล่ะ ที่ผ่านมาเขาก็พอจะรู้อยู่หรอกว่า โยกับเจสนิทกันอย่างกับอะไรดี แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเด็กเจมันจะหวงโยถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะ... อา ใช่แล้ว... เขาลืมไปเสียสนิทว่า อย่าแหย่เจเวลาเมา เห็นหน้าหวานๆแบบนี้มันเฮี้ยวเอาเรื่อง แล้วอย่าให้มันได้เอาคืนทีเดียว มันตอกกลับเสียหน้าหงาย ดูสายตานั่นก็รู้ บอกออกมาเสียชัดขนาดนั้นว่า
   
‘นี่คนของผม ใครก็อย่ามายุ่ง’
   
ไม่เคยเจอกับตัวก็เลยได้เจอแบบจังๆเสียเลย
   
พอสติเริ่มกลับมาอยู่กับตัว คิมก็ได้แต่หัวเราะกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความชอบใจ แม้ลึกๆจะยังนึกเจ็บใจที่มาพลาดท่าให้กับเด็กหนุ่มหน้าสวยที่ฤทธิ์เยอะเป็นบ้านั่นก็ตาม

********************   
   
มื้อเย็นอันครึกครื้นลากยาวต่อไปได้ไม่นานนัก ด้วยเพราะทุกคนมีงานรออยู่ในวันรุ่งขึ้น เจ้าภาพและแขกจึงร่ำลากันเสียตรงหน้าร้านอาหารหรูหราแห่งนั้นนั่นแหละ ก่อนที่เด็กหนุ่มร่างสูงจะเดินเข้ามาเอ่ยอะไรกับเจ้าภาพหนุ่มเบาๆอย่างอารมณ์ดีว่า
   
“ขอบคุณนะครับพี่คิม แล้วก็อย่าถือสาเจเลยนะครับ พอดีรายนั้นเขาดื่มเข้าไปพอสมควร ก็เลยท่าทางเอาเรื่องไปหน่อย”
   
คิมได้แต่หัวเราะ ก่อนจะส่ายหน้าออกมาเบาๆ
   
“พี่ไม่ถือสาหรอกน่า ออกจะสนุกจะตายไป” คิมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกับอีกฝ่ายเบาๆพอให้ได้ยินกันแค่สองคน “เราเสียอีก หุบยิ้มลงบ้างก็ได้ แค่เขาแสดงท่าทีหวงออกนอกหน้าเวลาเมา ก็เอาแต่ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้วรู้ตัวไหม”
   
พูดจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแบบไม่เกรงใจใคร ขณะที่เด็กหนุ่มได้แต่ยืนเกาศีรษะทำหน้าไม่ถูกอยู่อย่างนั้น
   
“มีอะไรหรือเปล่า” เสียงแหบที่คุ้นหูดังขึ้น ถึงได้เห็นว่าเจมายืนอยู่ข้างหลังโยเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สีหน้าเด็กหนุ่มไม่แสดงว่าชอบหรือไม่ชอบใจ แต่แววตาฟ้องชัดว่ายังคงระแวงอยู่ไม่น้อย
   
นี่ขนาดเมาๆอยู่นะเนี่ย
   
โยคว้าข้อมือขาวๆของเจเอาไว้เบาๆ ก่อนจะออกแรงดึงให้เข้ามายืนใกล้ๆกันกับเขา
   
“ขอบคุณพี่คิมเขาหน่อยนะเจ” โยว่ายิ้มๆ ก่อนจะหันไปมองคิมที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ ยังไม่ทันที่เจจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น คิมก็เดินเข้ามากอดเจเอาไว้เสียแน่น
   
ถึงอย่างไรเขาก็เอ็นดูเด็กคนนี้ไม่แพ้โยหรอกน่า หาไม่แล้วจะขยันแกล้งกันแบบนี้ไปทำไมกัน
   
เจที่แม้จะตกใจกับการกระทำอันปุบปับนั่นอยู่เป็นครู่ แต่ก็ยิ้มออกมาในที่สุดก่อนที่จะกอดตอบกลับไปบ้าง “ขอบคุณนะครับพี่คิม”
   
“ดูแลคนของเราดีๆล่ะ” คิมกระซิบข้างหูของเด็กหนุ่มเบาๆ “ไม่ถือสาพี่นะ”
   
แรงกระชับจากวงแขนขาวๆนั้นเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดว่า เขาจะไปถือสาหาความพี่ชายที่แสนดีคนนี้ได้อย่างไรกัน
   
“แล้วค่อยมาทานอะไรด้วยกันใหม่นะทุกคน” คิมเอ่ยทิ้งท้ายก่อนที่อีกสิบกว่าชีวิตที่เหลือจะบอกลาและแยกย้ายกันไปในที่สุด

********************
   
โชคดีเหลือเกินที่เขาไม่ปล่อยให้ตัวเองเมาหนักเหมือนอย่างครั้งก่อน หนนี้พอกลับมาถึงที่บ้านจึงอาบน้ำอาบท่า ก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินมานอนบนเตียงนุ่มๆอันแสนคุ้นเคยนี้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องคอยเป็นภาระให้ใครอีกคนต้องหอบหิ้วมาเสียจนเหงื่อตก
   
“เจ...” เสียงทุ้มนุ่มหูที่ได้ยินคราใดก็พลอยทำให้สบายใจไปเสียทุกครั้งดังอยู่ข้างๆหูเขานี่เอง แม้จะเคลิ้มๆจวนเจียนจะผลอยหลับอยู่เต็มที แต่ไออุ่นที่อยู่ข้างกายนั้นทำให้เด็กหนุ่มอดจะพลิกตัวเข้าหาอ้อมกอดนั้นไม่ได้ และแน่นอนว่าวงแขนแข็งแรงนั้นอ้ารับร่างขาวๆเอาไว้ชนิดพอดิบพอดี
   
“อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ” เจเอ่ยถามเสียงเบาทั้งที่ดวงตายังหลับอยู่
   
“อือ” โยครางตอบก่อนจะก้มหน้าลงจูบบนศีรษะทุยๆที่ประดับไปด้วยเส้นผมนุ่มละเอียดที่เขาชอบสัมผัสนักหนา “ง่วงมากล่ะสิ” ร่างในอ้อมแขนไม่ตอบ ได้แต่ขยับศีรษะขึ้นลงเบาๆเป็นการตอบรับ
   
“ไหนบอกมาซิ มันเรื่องอะไรถึงโผล่ไปรับจูบแทนเราเสียอย่างนั้น” โยถามอย่างนึกชอบใจ
   
“เรื่องอะไรจะยอมให้คนอื่นมาทำอะไรแบบนั้นกับนาย” ถ้าตอบออกมาได้แบบนี้ ก็แสดงว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังทำงานอยู่เต็มเปี่ยมแน่ๆ
   
“หวงเหรอ”
   
“อือ”
   
“ขนาดกับพี่คิมเนี่ยนะ”
   
“ก็หวงกับทุกคนนั่นแหละ” น้ำเสียงแม้จะอู้อี้แต่รู้สึกได้ถึงอารมณ์กรุ่นน้อยๆของผู้พูดได้เป็นอย่างดี
   
“ถ้าอย่างนั้น...” โยว่า “วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกได้ไหม”
   
“ทำไม” น้ำเสียงนั้นเริ่มส่อแววไม่พอใจ ใบหน้าที่ซุกอยู่ตรงซอกคอของอีกฝ่ายเงยขึ้นมองหน้าเขาอย่างติดจะหาเรื่องเต็มที่ “นายไม่พอใจที่เราทำแบบนั้นกับพี่คิมหรือไง”
   
“ใครจะไปพอใจกันเล่า” หนนี้โยย่นจมูกอย่างนึกไม่ชอบใจขึ้นมาบ้าง “นายโดนจูบเข้าไปเต็มๆขนาดนั้น ใครบ้างจะไม่หวง” ว่าพลางกระชับอ้อมกอดนั้นไปพลางอย่างลืมตัว
   
ร่างขาวๆหลุดหัวเราะพรืดออกมาอย่างอดไม่ได้ ขำก็ขำ เขินก็เขิน
   
“หัวเราะอะไร นี่เราออกจะจริงจังนะเนี่ย” โยว่าฉิวๆ “ดีนะที่เป็นพี่คิม ไม่งั้นเราไม่ยอมแน่ๆ”
   
“ไม่ยอมแล้วนายจะทำไม ชกหน้าเขาหรือไง”
   
“เห็นเราชอบความรุนแรงอย่างนั้นเชียว!?!” น้ำเสียงนั้นไม่มีแววฉุนเฉียวแต่อย่างใด
   
“อ้าว ก็ไม่รู้... นอกจากนาย เราก็ไม่เคยโดนใครจูบอีกเลยนี่นา”
   
“งั้น...” โยคลายอ้อมแขนออกก่อนจะก้มหน้าสบตากับคนที่ยังคงนอนซุกอยู่กับเขาอย่างสบายอารมณ์ “ขอเอาคืนก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็ดึงร่างขาวๆเข้ามาและประทับจูบลงไปชนิดไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว
   
สัมผัสนั้นร้อนแรงมากกว่าทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ในตัวอีกฝ่ายก็ได้ ที่ทำให้จูบคราวนี้ไม่อ่อนหวานนุ่มนวลอย่างเคย เจเปิดริมฝีปากนุ่มๆออกเพื่อรับสัมผัสนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจ ริมฝีปากอุ่นๆของอีกฝ่ายเริ่มบดเบียดอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเพิ่มน้ำหนักให้หนักหน่วงขึ้นไปอีก แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ดี เจปล่อยให้อีกฝ่ายได้รุกรานและกวาดต้อนเอาความหอมหวานจากเขาได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ตอบรับสัมผัสเหล่านั้นอย่างไม่ยอมลดราวาศอก หลายครั้งที่โยยอมผละออกมาเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายมีโอกาสเพียงแค่ได้สูดอากาศเข้าไปให้เต็มปอด ก่อนจะก้มลงจูบต่อไปอย่างถือสิทธิ์ นานเท่าไหร่ไม่มีใครสนใจใคร่รู้ รู้แต่ว่าร่างกายราวกับจะลอยได้ และลืมไปเสียสิ้นว่ากำลังอยู่ที่ไหน ด้วยว่ามันให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มชวนฝันเกินกว่าจะมีใครยอมผละออกก่อน จูบนั้นยังดำเนินต่อไปอีกเนิ่นนาน ก่อนจะคลายความร้อนแรงลง และกว่าจะรู้ตัวอีกที ร่างที่เล็กกว่าในอ้อมแขนของโยก็หลับไปแล้วทั้งที่ริมฝีปากแดงชื้นยังเผยอออกมาอย่างเชิญชวนอยู่อย่างนั้น
   
หลับเฉยเลยเนี่ยนะ

โยหัวเราะชอบใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเฝ้ามองใบหน้าสวยหวานเกินผู้ชายทั่วไปที่ผลอยหลับไปแล้วนั้นอย่างเพลิดเพลิน เขาขยับให้ร่างขาวๆของเจนอนหนุนหมอนได้สบายขึ้น ก่อนจะห่มผ้าให้อย่างเบามือที่สุด ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะปลุกไม่ตื่นง่ายๆแน่ๆ
   
ตอนที่นอนหลับแบบนี้ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่จะเที่ยวไปแผลงฤทธิ์กับใครได้เลยจริงๆ
   
เด็กหนุ่มนอนตะแคงโดยใช้แขนข้างหนึ่งหนุนศีรษะตัวเองเอาไว้ มืออีกข้างคอยเสยผมให้กับคนที่หลุดเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ นิ้วเรียวยาวแข็งแรงของเขาสัมผัสไปบนเปลือกตา จมูกโด่งเป็นสัน พวงแก้มเรียบลื่น ไปจนถึงริมฝีปากที่แดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี
   
เขาตกหลุมรักคนคนนี้เข้าไปเต็มๆเลยสินะเนี่ย คิดแล้วก็อดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้
   
นายจะรู้ไหมหนอว่าเราจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้เขาทั้งห่วงทั้งหวงได้อย่างไรกัน
   
โยก้มลงประทับริมฝีปากลงบนศีรษะมนๆที่มีเส้นผมนุ่มๆปกคลุมอยู่ประปรายเป็นการบอกราตรีสวัสดิ์ ก่อนที่จะหันไปปิดโคมไฟบนหัวเตียง ล้มตัวลงนอนข้างๆกัน โดยไม่ลืมที่จะรวบเอวคนตัวเล็กกว่าเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง อย่างที่ทำอยู่เป็นประจำจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว
   
ถ้าจะขอแค่ ให้มีเจอยู่ข้างๆเขาแบบนี้ตลอดไปเรื่อยๆ จะถือว่าโลภมากเกินไปหรือเปล่านะ เขาคิดกับตัวเองทั้งที่หลับตาอยู่อย่างนั้น

ก่อนจะผลอยหลับตามคนข้างๆไปด้วยอีกคน

_________________________

ต้องขอโทษอย่างมากเลยล่ะค่ะที่หนนี้ หายไปนานกว่าทุกครั้ง งานเข้านะคะ แต่ถ้ามองในแง่ดี เอาตอนใหม่มาโพสต์วันนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของ ยุนโฮ ต้นแบบตัวละครโยเขาพอดีค่ะ คราวก่อนโน้นก็โพสต์ตรงกับวันเกิดของแจจุงต้นแบบของเจไปพอดีเหมือนกัน จังหวะดีที่เดียวใช่ไหมล่ะคะ

เหลืออีกแค่ตอนเดียว ก็จะหมดแล้วนะคะสำหรับตอนพิเศษที่เขียนเอาไว้ทั้งหมด 7 ตอน รวดเร็วดีจริงๆ ตอนพิเศษตอนใหม่อีกสามตอนที่จะนำมารวมเล่มนั้น ณ วันนี้เหลือเก็บรายละเอียดตอนสุดท้ายอีกสักนิด ก็น่าจะสรุปได้แล้วล่ะค่ะว่า รวมเล่มจะมีกี่หน้า แล้วราคารวมค่าจัดส่งจะเป็นเท่าไหร่ ขอเวลาอีกสักสองสามวันจะเอามาแจ้งใหทราบก่อนลงตอนสุดท้ายให้ได้อ่านแน่นอนค่ะ

หวังใจไว้ว่าจะชอบตอนนี้ และอ่านสนุกกันเช่นเคย ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ

หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 6: จูบ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 06-02-2010 22:50:20
เจ้าเจเนี่ย ไม่เบาเลยทีเดียว
หวงเค้าซะ จนยอมโดนจูบแทนทีเดียว แต่สุดท้ายก็โดยเอาคืนจนได้

เหลืออีกตอนเดียวเหรอคะ จะรอนะคะ และรอรวมเล่มด้วย
อยากอ่านอีก 3 ตอนที่บอกไว้ เอ๊ะ จะมีหวานๆ แบบที่ขอรึเปล่าน้า

หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 6: จูบ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-02-2010 00:04:29
ชอบเวลาเจเมาจริง ๆ ฮร่า ๆๆๆ
น่ารักอ่ะ ๆๆ


 :L2:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 6: จูบ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 07-02-2010 22:23:23
สวัสดีเพื่อนนักอ่านทุกท่านตามสัญญาค่ะ

ในที่สุด เราก็แต่งสามตอนพิเศษตอนใหม่จบจนได้ ปลาบปลื้มกับตัวเองและโล่งใจเป็นอันมากทีเดียวค่ะ แล้วก็ค่อนข้างจะพอใจกับงานที่ออกมามากอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะมีการรื้องานเขียนใหม่ไปแบบไม่เสียดมเสียดายไปรอบนึง แต่เราก็ว่าคุ้มค่า คุ้มเวลาที่เสียไปไม่น้อย

ตอนพิเศษโบนัสทั้งสามตอนมีชื่อว่า หนาว, หนึ่งเดียว และความลับค่ะ ซึ่ง...แหม... :o8: เอากันตรงๆนะคะ หลายคนที่เฝ้ารออยากจะได้ช็อตหวานๆ คงสมใจกันแน่นอน ที่ผ่านมานิยายของเราจะออกแนวใสสะอาด ไม่มีพิษมีภัย (เท่าไหร่) แต่เพราะตอนพิเศษที่คิดอยู่นานว่า จะยังไงดีหนอ... ในที่สุดก็ยอมแหกกฏตัวเองสักเล็กน้อย เล็กน้อยค่ะ ไม่มากมายฮาร์ดคอร์อะไร คนเขียนก็เขียนไปเขินไป ให้ตายเหอะ... เชื่อเหลือเกินว่าคงถูกใจแฟนๆของโยเจ หรือยุนแจกันทีเดียว

เท่าที่ประเมินตอนนี้หนังสือมีความหนาอยู่ที่ประมาณ 340 - 350 หน้าค่ะ ราคา ณ ตอนนี้ ซึ่งไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ น่าจะราคาเล่มละ 370 บาท แบบรวมค่าจัดส่งเรียบร้อยแล้วค่ะ

ดังนั้น ใครที่สนใจรวมเล่มดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยนิยายเรื่องยาว 12 ตอน บวกกับไซด์โปรเจ็กต์อีก 7 ตอน และโบนัสพิเศษอีกสามตอนซึ่งจะไม่นำไปลงไว้ที่ไหนนอกจากรวมเล่มเท่านั้นอีก 3 ตอน สามารถลงชื่อสั่งจองได้นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปได้แล้วค่ะ ส่วนในเล้านี้ เรายังเหลืออีก 1 ตอนที่ยังติดค้างทุกคน คาดว่าน่าจะเป็นภายในสัปดาห์นี้ จะเอามาลงให้ได้อ่านกันแน่นอน ไม่ต้องห่วงว่าจะเบี้ยวนะคะ

ขอเวลาเช็กยอดผู้ที่ต้องการสั่งซื้อหนังสือสักพัก จะแจ้งให้ทราบอีกทีค่ะว่าจะได้หนังสือเมื่อไหร่ ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่เรื่อยๆค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 6: จูบ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: Joobperman ที่ 08-02-2010 12:20:13
 :กอด1:
งั้นขอจองเลยนะจ๊ะ 1 เล่มจ้า
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 6: จูบ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: Miyabi ที่ 10-02-2010 21:25:39
เนื้อเรื่องน่ารักดี

ขอจอง 1 เล่มนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ(END) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 12-02-2010 22:25:26
ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ

ใบหน้าหวานที่ใครเห็นเป็นต้องอดคิดไม่ได้ว่า ดูอย่างไรก็สวยกว่าผู้หญิงแท้ๆหลายๆคน ในขณะเดียวกันก็ดูหล่อไปอีกแบบได้อย่างน่าพิศวงยิ่งนัก ในตอนนี้กลับมู่ทู่ราวกับคนที่กำลังคิดไม่ตกกับชีวิตว่าจะเอาอย่างไรดี คิ้วหนาแต่ได้รูปเสียจนน่าอิจฉาคู่นั้นขมวดมุ่นชนกันอย่างไม่กลัวว่าจะเกิดริ้วรอยไม่พึงประสงค์บนใบหน้างามๆนั่น ทั้งที่ปกติแล้ว เป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าตัวเป็นกังวลยิ่งกว่าอะไร
   
กลัวที่สุดก็คือจะดูไม่ดีนี่แหละ แม้แฟนเพลงเป็นร้อยเป็นพันจะยืนยันว่าเขาดูดีขั้นเทพแค่ไหนก็ตาม
   
เจเป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่แม้ดูภายนอกจะดูมั่นอกมั่นใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองอย่างยิ่ง บวกกับที่ตั้งแต่ได้ก้าวมาเป็นหนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศ ราศีก็มีแต่จะจับให้เขายิ่งดูดีมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก แต่ลึกๆแล้วเด็กหนุ่มมักจะเกิดอาการขาดความมั่นใจอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะมีคนเฝ้าบอกว่า เขาดูดีจะตายอยู่แล้ว ก็ยังไม่วายเป็นกังวลประสาคนคิดมาก ยังดีที่ต้องถือว่าเจ้าตัวเก็บอาการเก่งไม่เลวทีเดียวเลยยิ่งทำให้ภายใต้ใบหน้าหวานแต่ติดจะเย็นชาในบางครั้งนั้น กลับยิ่งดูลึกลับ น่าค้นหา และกลายเป็นเสน่ห์ไปเสียอีก เจได้แต่นั่งรำพึงอยู่กับตัวเองอย่างนึกทึ่งว่า คิดไปกันใหญ่ได้ยังไงขนาดนั้นหนอทั้งที่เขาก็เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาคนนึงเท่านั้นเอง
   
ก็เห็นจะมีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่มองเขาทะลุไปเสียหมด
   
แล้วก็เพราะไอ้คนที่ว่านี่แหละ ที่ทำให้เขาต้องมานั่งกลุ้มอยู่นี่ เจ ถอนหายใจหนักๆอย่างคนคิดไม่ตก ก่อนจะกระแทกคางลงบนโต๊ะเบาๆ มือข้างหนึ่งเขี่ยโทรศัพท์มือถือสีขาวรุ่นใหม่ล่าสุดของตัวเองไปมาอย่างไม่นึกใส่ใจอะไรนัก ค่าที่ใจลอยไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้
   
คงจะไม่น่าแปลกอะไรถ้าเจไม่นั่งอยู่อย่างนั้นมานานเป็นชั่วโมงแล้ว
   
“ซัน นายว่าพี่เจเขาเป็นอะไรวะ” ใบหน้าหล่อเหลาแบบไม่มีใครกินใครลงของเด็กหนุ่มสองคนที่ทำท่าชะเง้อมองไปยังร่างของพี่ใหญ่หน้าสวยที่ครอบครองโต๊ะอาหารในครัวอยู่คนเดียว ดูลับๆล่อๆเสียจนน่าหมั่นไส้ ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรชวนให้ลึกลับขนาดนั้นสักหน่อย กะอีแค่พี่เจทำท่าเหมือนโลกจะแตกวันนี้วันพรุ่งอยู่คนเดียวแค่นั้นเอง
   
แหม... ก็มันเหงานี่คร้าบบบบ มีกันอยู่แค่นี้ จะออกไปไหนมาไหนก็ลำบากเหลือแสน เพราะต้องคอยหนีแฟนๆที่คอยตามติดพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง ลำบากนักก็เลยไม่ไปไหนมันเสียเลย แถมมีเวลาว่างอยู่แค่ครึ่งวัน จะให้ไปไหนไกลๆก็คงไม่ได้อยู่ดี ก็ขอหาอะไรสนุกใกล้ตัวทำเสียหน่อยก็แล้วกัน
   
“ไม่รู้” เด็กซันตอบกลับ “แต่ท่าทางจะกลุ้มอะไรอยู่แน่ๆ”
   
“หรือว่า...” ชุนหันหน้าไปทางซันและราวกับนัดกันไว้ “ทะเลาะกับพี่โย” ก่อนที่ซันจะขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้าเบาๆ
   
“ยาก อย่างพี่โยมีหรือจะโกรธพี่เจ” ซันพูดราวกับว่านี่น่ะเป็นเรื่องที่แน่นอนพอๆกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
   
“นั่นสิ... แล้วพี่เราเป็นอะไรหว่า...” ชุนหันกลับไปมองพี่ชายหน้าหวานที่ยังนั่งหมกมุ่นอยู่คนเดียวไม่เลิก
   
“พวกพี่สิ เป็นอะไรกันมากไหม” จู่ๆก็มีเสียงเอ่ยขึ้นทางด้านหลังของทั้งคู่แบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว
   
“เย้ยยยย!!!!” ดูเอาเถอะ นี่หรือสมาชิกของวงบอยแบนด์ที่เท่บาดหัวใจสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วบ้านทั่วเมือง น้องเล็กมาดนิ่งที่ตัวสูงใหญ่กว่าใครเพื่อนเดินมายืนอยู่ข้างหลังเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้รำพึงกับตัวเองอย่างนึกระอาพี่ชายขี้เล่นทั้งสองคนที่ตอนนี้ ทำหน้าอย่างกับเห็นผีก็ไม่ปาน
   
“ทำท่าทางแบบนั้นมันอะไรกัน ผมเป็นน้องพวกพี่นะ ไม่ใช่ผีสางที่ไหนสักหน่อย” น้ำเสียงเย็นชายังคงเอ่ยออกมาอย่างไร้อารมณ์
   
“ไอ้แม็ก... ตกใจหมด” ชุนยกมือขึ้นวางไปบนอกซ้ายของตัวเองเพื่อเรียกขวัญที่แตกกระเจิงอย่างหมดท่าให้กลับมาเสียก่อน
   
“นี่พี่กลายเป็นคนขวัญอ่อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ดูคำพูดคำจาของมันเสียก่อนเถอะ มันเป็นน้องแน่หรือนี่... ใช่สิ ก็มันฉลาด เรียนเก่ง ไอคิวสูงนี่... ชุนนึกแขวะในใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั้นจริงๆ “แล้วนี่พวกพี่ทำอะไรกันอยู่”
   
ซันไม่พูดอะไร แต่ชี้มือและทำท่าทางบุ้ยใบ้ไปทางพี่ชายหน้าหวานที่นั่งจุมปุ๊กครอบครองโต๊ะกินข้าวอยู่คนเดียว “แล้วตกลงพี่เจเขาเป็นอะไร” แม็กถาม ก่อนที่จะได้รับคำตอบเป็นการพร้อมใจกันส่ายหน้าจากพี่ชายทั้งสองคน
   
“ปัดโธ่ อยากรู้แล้วไม่เข้าไปถามล่ะ” ว่าแล้วก็พาร่างสูงๆของตัวเองเดินก้าวขายาวๆเทิ่งๆเข้าไปแบบไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรทั้งสิ้น เกินปัญญาที่ทั้งชุนและซันจะห้ามทัน ได้แต่ชูมือค้างเอาไว้และพูดอะไรไม่ออกอยู่อย่างนั้น
   
   
********************

“พี่เจ” เสียงที่ออกจะแหลมเล็กผิดจากร่างกายสูงใหญ่ไปโขอยู่เอ่ยเรียกออกไป ก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกับพี่ชายหน้าสวยของวง
   
“อือ” เสียงแหบทุ้มตอบรับเบาๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น ดวงตากลมโตยังคงเหม่อลอยเหมือนเดิม
   
“เป็นอะไรพี่ หน้าเครียดเชียว” ถามออกไปได้เท่านี้ คนหน้าเครียดถึงกับฟุบหน้าลงบนแขนทั้งสองข้าง “เอ๊า... พี่... เป็นอะไร”
   
ร่างขาวๆในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวที่เจ้าตัวชอบใส่เป็นประจำเวลาอยู่กับบ้าน ถอนหายใจหนักๆออกมา ก่อนจะหันไปเอ่ยสั้นๆ
   
“กลุ้ม”
   
“กลุ้มอะไรพี่ มีอะไรให้ช่วยไหม”
   
“ใครก็ช่วยพี่ไม่ได้หรอก”
   
“ก็พี่ไม่บอก ใครเขาจะช่วยได้ล่ะ” แม็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “บอกผมก็ได้”
   
“บอกนายน่ะนะ”
   
“ผมไอคิวเท่าไหร่พี่เจ” ทุกทีเลย เอะอะอะไรก็หยิบเรื่องไอคิวมาเป็นข้ออ้างประจำ จะเถียงมันก็ไม่ได้เสียด้วย เพราะไอคิวมันก็สูงจริงๆนั่นแหละ
   
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
   
“งี้ก็ยิ่งง่ายสิ”
   
“ถ้ามันง่ายอย่างนั้น พี่จะมานั่งกลุ้มแบบนี้ไหม” เจว่าฉุนๆ
   
“ตกลงเรื่องอะไร”
   
“คิดไม่ตก”
   
“เรื่อง”
   
“ไม่รู้จะซื้ออะไรเป็นของขวัญวันเกิดให้โยดี”
   
น้องเล็กของวงกัดริมฝีปากด้วยพยายามเต็มที่ ที่จะระงับอารมณ์ไม่ให้ตรงเข้าไปขย้ำคอพี่ชายหน้าสวยให้ตายคามือไปเสียตรงนี้ เรื่องแค่นี้... แค่จะซื้อของขวัญวันเกิดอะไรให้พี่โยแค่นี้ ทำท่าเหมือนจะเป็นจะตาย ไอ้เราก็นึกว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายอะไร
   
รู้อย่างนี้ปล่อยให้คิดมากจนหน้าเหี่ยวไปเลยก็ดีหรอก
   
แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น
   
“พี่เจ...” แม็กข่มอารมณ์สุดชีวิต “พวกพี่ไม่เคยซื้อของขวัญให้กันหรือไง แล้วมันเรื่องอะไรพี่ต้องมานั่งหมกมุ่นกะอีแค่เรื่องของขวัญแค่นี้ด้วย”
   
“นายไม่เข้าใจนี่หว่า” เจนึกฉุน
   
“ทีเวลาพี่ซื้อของให้พวกผม ไม่เห็นจะคิดหนักแบบนี้บ้าง ของผมพี่ก็ซื้อหนังสือให้ พี่ชุนพี่ก็ซื้อหูฟังอันใหม่ให้ แล้วพี่ซันก็เกมเพลย์สเตชั่นอันใหม่ ผมไม่เห็นพี่จะคิดมากขนาดนี้เลย”
   
“ก็...” ตั้งท่าจะเถียง แต่ก็จนด้วยเหตุผลทุกประการ เจได้แต่อึ้งเมื่อรู้ตัวว่าที่เจ้าน้องเล็กพูดมา เป็นเรื่องจริงที่เถียงไม่ออก ได้แต่นิ่งขึงอยู่เป็นนาน... นั่นสิ... ก็อีแค่ของขวัญวันเกิดให้โย ทำไมเขาจะต้องจริงจังกับมันขนาดนี้ด้วย หัวคิ้วที่ชนกันอยู่นั้นยิ่งขมวดปมยุ่งหนักเข้าไปใหญ่ ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นขยุ้มผมสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองอย่างลืมตัว
   
ก็รู้หรอกว่าที่ผ่านมาโยเป็นคนที่พิเศษที่สุดสำหรับเจ แต่... ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่หมอนั่นเข้ามามีอิทธิพลกับเขามากมายได้ถึงขนาดนี้ นี่เขาไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดเลยหรือนี่
   
น้องเล็กที่เห็นว่าสติของพี่ชายคนโตดูเหมือนหลุดออกไปอีกโลกหนึ่งแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า พี่นะพี่... ทำไมถึงได้ความรู้สึกช้าขนาดนี้วะเนี่ย
   
“พี่เจ...” แม็กเอ่ยขึ้น “ผมถามพี่จริงๆนะ”
   
ดวงตากลมโตของอีกฝ่ายช้อนขึ้นมองใบหน้าของเจ้าน้องเล็ก
   
“พี่โยเป็นอะไรสำหรับพี่”
   
พลั่ก!!!
   
“โอ๊ย...” ชุนกับซันที่แอบสังเกตุการณ์อยู่เงียบๆ หลับตาปี๋ทันทีที่ได้เห็นว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องเล็กของวง ต้องนับว่ามันกล้ามากที่ถามคำถามจี้ใจดำกับพี่เจไปแบบนั้น และไม่น่าแปลกใจที่คำตอบจะเป็นหมัดลุ่นๆของพี่ชายหน้าสวยที่ซัดเข้ากับต้นแขนไอ้คนถามแบบเต็มๆ ไม่รู้ว่าเขินจนทำอะไรไม่ถูก หรือหงุดหงิดที่โดนคำถามแทงใจขนาดหนักกันแน่
   
“โอ๊ย... ผมไม่ถามแล้วก็ได้... โว้ย... ไอ้พี่เจ...หยุดได้แล้ว” แม็กปัดป้องโวยวายเป็นพัลวันเมื่อตัวเองกลายเป็นเป้านิ่งให้กับพี่เจไปเสียอย่างนั้น อะไรกันก็ไม่รู้ คนอุตส่าห์อยากช่วยแท้ๆ

********************
   
“เอะอะโวยวายอะไรกัน”
   
“เย้ยยยยย!!!” ชุนกับซันใจหายใจคว่ำอีกคำรบเมื่อได้ยินเสียงทุ้มๆเอ่ยขึ้นด้านหลัง
   
“พี่โย!!!” ทำไมสมาชิกวงนี้มันชอบโผล่เข้ามาทางด้านหลังทุกทีเลยเนี่ย! มันตกใจครับท่านผู้อ่าน!
   
“ตกอกตกใจอะไรกันนักหนา ก็พี่น่ะสิ... แล้วทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีกันอย่างนั้นล่ะ” เมื่อเงยหน้าขึ้นมองผ่านไปยังประตูห้องครัว และได้เห็นว่าเจกับแม็กกำลังชุลมุนชุลเกกันอยู่โดยไม่รู้ว่ากำลังแสดงความรักกันหรือทะเลาะกันกันแน่ จึงได้แต่ยิ้มน้อยๆออกมา ค่าที่ว่านี่เป็นภาพที่ได้เห็นจนชินตา ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรเลยสักนิดสำหรับหัวหน้าวงอย่างเขา
   
“แล้วสองคนนั่น” เสียงทุ้มๆของเขาเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มสองคนที่ยังตีกันไม่หยุด “ทำอะไรกันหรือ”
   
“พี่โย...” น้องเล็กวิ่งเข้ามาหาโยอย่างขอความช่วยเหลือเต็มที่ “ช่วยผมด้วย พี่เจจะหักคอผม”
   
เจเดินแยกเขี้ยวเข้ามาอย่างหมายมั่นว่าจะทำตามคำพูดนั่นจริงๆเสียด้วย ทำเอาโยที่เพิ่งเข้ามาพร้อมกับของพะรุงพะรังในมือ ถึงกับหัวเราะออกมาในที่สุด
   
“ไม่เอาน่าเจ...” โยเอ่ยเสียงทุ้มเบากลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี พลางยื่นมือข้างหนึ่งจับต้นแขนของเจเอาไว้อย่างอ่อนโยนก่อนจะยึดตัวเอาไว้เสียเลย “เราซื้อของสดมาแน่ะ ช่วยดูหน่อยสิ จะได้เอามาทำอะไรกินกันมื้อเย็น อุตส่าห์มีเวลาว่างกันทั้งที”
   
ได้ผล อารมณ์ขุ่นมัวที่คุกกรุ่นอยู่ราวกับจะละลายหายไปหมด เมื่อความสนใจของเจพุ่งไปที่ถุงในมือของอีกฝ่าย บวกกับท่าทีที่อ่อนโยนของโยด้วยแล้ว เจจึงยอมรามือในที่สุด แต่ยังไม่วายมองเจ้าตัวแสบทางหางตาอย่างมาดร้าย
   
แม็กที่เดินไปรวมกลุ่มกับพี่ชายอีกสองคนได้แต่หันไปมองหน้ากันพลางส่ายหน้าเบาๆอย่างรู้ทันกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใดๆออกมาอีก
   
พอเป็นพี่โยล่ะก็ พี่เจยอมทุกที
   
********************
   
“ขี้เซา” เสียงทุ้มนุ่มหูที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยอยู่ทุกวันดังแผ่วๆอยู่ข้างหูเขาเสียจนร่างขาวๆที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่อดรู้สึกจั๊กกะจี๋ขึ้นมาไม่ได้

“ตื่นได้แล้ว” หนนี้คนขี้เซาถึงกับหัวเราะคิกออกมา ก่อนจะสัมผัสถึงอะไรนุ่มๆอุ่นๆบนหน้าผาก
   
เจลืมตาขึ้นทันได้เห็นริมฝีปากได้รูปที่กำลังผละออกไปช้าๆ เด็กหนุ่มหน้าสวยขยี้ตาเบาๆก่อนจะมองภาพตรงหน้าอย่างเต็มตา
   
“อือ... เช้าแล้วเหรอ...” เสียงแหบนั้นยังคงอู้อี้ตามประสาคนที่เพิ่งตื่น แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว จมูกโด่งได้รูปของคนที่ตั้งอกตั้งใจปลุกเขาเหลือเกินเช้านี้ก็กดหนักๆลงบนแก้มขาวๆนั้นอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะฝังหน้าลงไปพร้อมกับกอดกระชับร่างในอ้อมแขนนั้นให้แน่นขึ้นอีกหน่อย
   
“โย... มีอะไรหรือเปล่า” เจหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นท่าทางออดอ้อนแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นนักจากเจ้าคนตัวสูง
   
“มีสิ”
   
“อะไร”
   
“แฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์”
   
วันนี้มันวันเกิดเขานี่นา... ลืมไปเสียสนิทเลยทีเดียว แต่ก็รู้สึกตื้นตันในหัวใจเสียยิ่งกว่า เมื่อรู้ว่าคนที่กำลังนอนกอดเขาเหมือนกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปไหนยังจดจำวันนี้ได้ดี อีกทั้งยังเป็นคนแรกที่บอกแฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์กับเขาเสียด้วย
   
เจลอบยิ้มก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างโอบกอดร่างสูงใหญ่นั้นเอาไว้บ้าง
   
“ขอบคุณนะ ที่ไม่ลืม มันมีความหมายสำหรับเรามากเลยรู้ไหม” เจเอ่ยบอกออกไป “ขอบคุณที่อยู่ข้างๆกันเสมอนะโย” และเขาก็หมายความตามนั้นจริงๆ
   
โยคลายอ้อมแขนแข็งแรงออกบ้าง ก่อนจะสบตาเจ้าของวันเกิด แล้วจึงก้มลงประทับจูบลงบนหน้าผากอีกครั้ง
   
“ขอมือหน่อย” เสียงทุ้มนั้นว่ายิ้มๆ
   
เจทำตามอย่างว่าง่าย แม้ใบหน้าจะแสดงออกชัดเจนว่ายังไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรนัก
   
มือเรียวยาวของโยข้างหนึ่งชูอะไรบางอย่างเอาไว้ และก่อนที่เจ้าของวันเกิดจะทันได้เอ่ยถามอะไร ของที่อยู่ในมือแข็งแรงคู่นั้นก็ถูกสวมใส่ลงบนข้อมือของเจได้อย่างพอดิบพอดี
   
“สวย” เจครางออกมาเมื่อเห็นสร้อยข้อมือสีเงินที่เมื่อพลิกดูยี่ห้อแล้ว ราคาไม่ถูกแน่นอน
   
“ดูนี่... เราให้เขาสลักชื่อนายเอาไว้ด้วยนะ” โยว่าพลางชี้ให้เจ้าของสร้อยคนใหม่ดูอักษรภาษาอังกฤษที่สลักชื่อของเขาเอาไว้อย่างสวยงาม
   
“ชอบไหม”
   
เจได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก ด้วยเพราะพูดไม่ออก
   
“ไปสั่งทำตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเราไม่เคยรู้” เจเงยหน้าขึ้นถาม ดวงตากลมโตมองแป๋วมาทางเขาอย่างสงสัยใคร่รู้จริงๆ
   
“ทำได้ก็แล้วกันน่า” โยว่าน้ำเสียงขี้เล่น “เกือบไม่ทันเหมือนกัน โชคดีที่เมื่อวานเลิกงานเร็ว เลยแวะไปเอาด้วยตัวเองได้เลย”
   
“เมื่อวานนี้เหรอ” ตอนที่หายออกไปซื้อของนั่นสินะ
   
“อือ” โยทอดน้ำเสียงอ่อนโยน “แค่นายชอบเราก็ดีใจแล้ว”
   
“ชอบสิ” เจตอบออกไปแทบจะทันที “ของอะไรที่นายให้เรามา เราก็ชอบทั้งนั้นแหละ” หนนี้เจ้าตัวเอ่ยงึมงำออกมามากกว่าจะเอ่ยกับอีกฝ่ายให้ได้ยิน
   
เขินไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย โยยิ่งนึกขำจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ในที่สุด พลางสวมกอดร่างที่ยังคงนอนเคียงข้างเขาอยู่นั้นอีกครั้งด้วยความมันเขี้ยว
   
“แล้วก็ขอบคุณมากนะ” เจเอ่ยก่อนจะกอดตอบกลับไปด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกว่าคือดีใจ หรือปลื้มใจ หรืออะไรก็ตาม แต่มันช่างให้ความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน
   
“ออกไปข้างนอกหน่อยไหม”
   
“มีอะไรหรือเปล่า”
   
“น่า... ออกไปหน่อย”
   
เจนึกขันแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายดึงมือเขาลุกขึ้นแต่โดยดี
   
ทันทีที่เปิดประตูห้องออกไปและยังไม่ทันได้ตั้งตัว เด็กหนุ่มอีกสามคนที่ไม่ต่างอะไรกับน้องชายแท้ๆที่คลานตามกันมาก็กรูเข้ามากอดพี่เจเอาไว้ ไม่ให้ได้ขยับไปไหนได้อีก
   
“แฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์พี่เจ!!!!!” เจที่แม้จะตกใจแต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อโดนอ้อมแขนแข็งแรงของน้องอีกสามคนรัดแน่นเอาไว้แบบนี้ “ขอให้มีความสุขมากๆนะพี่!!!”
   
ก่อนที่พี่ชายคนโตหัวหน้าวงจะเข้าไปร่วมวงกอดกับเขาด้วยเหมือนกัน
   
เป็นวันเกิดที่แม้จะไม่หวือหวาแต่เขาก็มีความสุขมากเหลือเกิน เจ้าของวันเกิดได้แต่บอกกับตัวเองในใจโดยไม่ลืมแอบใช้หลังมือขยี้ตาที่จู่ๆรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
   
“ขอบคุณทุกคนมาก”

********************
   
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 6: จูบ #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 12-02-2010 22:27:22
“พี่เจ...” เสียงทุ้มใหญ่ของชุนตะโกนเรียกพี่ชายคนโตหน้าหวานประจำวงที่กำลังง่วนอยู่กับการฟังเพลงในเครื่องเล่นไอพ็อดของตัวเอง เขาถอดหูฟังข้างหนึ่งออก เมื่อเห็นว่ามือข้างหนึ่งของเด็กชุนกำโทรศัพท์มือถือเอาไว้ แน่ใจได้เลยว่าปลายสายกำลังรอคำตอบอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่
   
“พี่โยล่ะ นี่พี่คิมเขารออยู่ในสายอยากจะแฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์พี่โยหน่อย” เจได้ยินดังนั้นจึงยกนิ้วขึ้นชี้ไปทางด้านหลัง เป็นการบอกให้รู้ว่าหัวหน้าวงอยู่อีกห้องที่อยู่ถัดจากห้องซ้อมขนาดย่อมแห่งนี้ ก่อนที่จะหยิบหูฟังเสียบกลับเข้าไปเหมือนเดิม
   
วันนี้เป็นวันเกิดของโย สิบวันถัดจากวันเกิดของเขาชนิดพอดิบพอดี
   
แม้เจจะไม่ได้ตื่นแต่เช้าเพื่อลุกขึ้นมาบอกแฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์เหมือนกับที่โยทำกับเขา ไม่ได้หยิบยื่นของขวัญอะไรให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ใส่ใจ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ได้นึกถึง และไม่ใช่โยไม่สำคัญสำหรับเขา
   
แต่เจก็มีวิธีของเจเหมือนกัน
   
“พี่...” ชุนเดินกลับมานั่งปุข้างๆเจ โทรศัพท์ไม่อยู่ก็แสดงว่าคงอยู่ที่โย น่าจะกำลังคุยกับพี่คิมที่โทรทางไกลมาจากอเมริกาเหมือนเคย
   “
นี่...” ชุนสะกิดเรียกพี่ชายที่ง่วนอยู่กับการฟังเพลงไม่เลิก “วันนี้วันเกิดพี่โยนะพี่เจ”
   
“อือม์...” เจตอบรับสั้นๆ
   
“พี่มีของขวัญให้พี่โยหรือยัง”
   
เจตวัดหางตาคู่สวยไปทางเจ้าน้องชายตัวแสบ ก่อนจะเอ่ยออกมาหน้าตาเฉย
   
“ถามไปทำไม ถึงพี่จะไม่ให้อะไรสักอย่าง โยก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
   
ทำเอาคนถามอดทำปากยื่นปากยาวออกมาไมได้ด้วยความหมั่นไส้ มั่นใจในตัวเองเหลือเกินพี่ผม
   
“งั้นก็แสดงว่าอาจจะไม่ให้ก็ได้ ใช่ไหม” รู้ทั้งรู้ว่าถามออกไปแบบนี้ จะต้องโดนสวนกลับมา แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ
   
“นายคิดว่าพี่เป็นคนยังไงวะ” หางเสียงพี่ชายหน้าสวยชักไม่น่าฟังแฮะ “ทำไมจะไม่ให้ วงนี้ใครเป็นคนสำคัญ ยังจะต้องให้บอกอีกหรือไง” และหน้าหงายไปในทันทีเมื่อริมฝีปากน่าดูคู่นั้นเอ่ยปิดการสนทนาแบบสั้นๆว่า
   
“โง่จริง” ก่อนจะละความสนใจจากไอ้น้องหน้าหล่อที่จู่ๆก็กลายเป็นตอไม้ไปในฉับพลันทันที
   
ใจร้าวไปเลยครับท่านผู้อ่าน

********************
   
ห้าทุ่มเกือบจะเที่ยงคืนเต็มที
   
เด็กหนุ่มทั้งห้าคนพาร่างกายที่อีบัดอีโรยเต็มที่จากการฝึกซ้อมอย่างหนักมาตลอดทั้งวัน เดินทยอยเรียงกันเข้าบ้านทีละคน สภาพนั้น ต้องเรียกได้ว่าโทรมเกินบรรยาย
   
แต่ละคนกระจายตัวไปตามจุดต่างๆของบ้าน แม็กน้องเล็กที่บ่นหิวมาตลอดทางเดินเข้าห้องครัวก่อนเป็นที่แรก ชุนกับซันเดินไปนั่งแปะที่โซฟาห้องนั่งเล่น ทิ้งสัมภาระเอาไว้เกลื่อนกลาดเต็มพื้นห้องโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไป
   
เจที่ล็อกประตูบ้านเสร็จก็ทันได้เห็นแผ่นหลังคุ้นตาเดินเข้าไปในห้องพอดี เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปในห้องครัว
   
“แม็ก กินอะไรเสร็จแล้ว อย่าลืมล้างจานให้เรียบร้อยนะ” น้องเล็กหันมาพยักหน้าทั้งที่เคี้ยวอะไรอยู่ในปากตุ้ยๆ
   
“สองคน” หนนี้พี่คนโตหันไปยังน้องชายสองคนในห้องนั่งเล่น “อย่าดูทีวีดึกนัก เดี๋ยวก็ไปนอนได้แล้ว อย่าลืมเก็บประเป๋าไปด้วยล่ะ” คำตอบคือการพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับมา ก่อนที่พี่ใหญ่จะเดินเปิดประตูและเข้าห้องตามพี่ใหญ่หัวหน้าวงไปอีกคน

********************
   
ภาพที่เห็นก็คือแผ่นหลังกว้างที่นั่งง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่หน้าจอเปิดสว่างอยู่
   
เจวางกระเป๋าลงกับพื้น ก่อนจะยืนมองร่างที่ยังนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น แล้วจึงยิ้มออกมาอย่างนึกขัน
   
“นี่... “เจเดินเข้าไปก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างหูของคนตัวโตที่ทำทีเป็นใส่ใจกับอะไรบางอย่างบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ “งอนเหรอ”
   
“งอนอะไร” ปากถามกลับไป แต่ไม่ยอมหันมามองหน้ากันสียอย่างนั้น งอนแน่ๆ เจกลั้นยิ้ม ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เห็นจะเป็นครั้งแรกล่ะมังที่โยทำท่างอนเขาแบบนี้ “เราจะไปงอนอะไรนายได้” เสียงทุ้มๆนั้นว่า
   
“ไม่ได้ลืมสักหน่อย ไม่รู้จะน้อยใจไปทำไม” โยหันกลับมา หน้าตาดูอย่างไรก็เหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังขัดใจกับอะไรสักอย่าง ก่อนจะหันกลับไปทำทีไม่สนใจอย่างเคย ทำเอาเจระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจออกมา แล้วจึงโน้มตัวลงไปใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบคออีกฝ่ายเอาไว้
   
“แฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์” เสียงแหบหวานเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครกระซิบที่ข้างหูเขา “เราไม่ได้ลืมเลยสักวินาทีเดียวนะว่าวันนี้วันเกิดใคร” ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าของวันเกิดหันมาทำตาโตอย่างนึกประหลาดใจเต็มที่
   
“ก็ในเมื่อนายอยากแฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์เราเป็นคนแรก เราก็อยากจะบอกนายเป็นคนสุดท้ายบ้าง ไม่เห็นจะแปลกเลย” จะหาใครในโลกที่คิดและทำอะไรประหลาดเท่าคนใกล้ตัวเขาคนนี้ คงไม่มีอีกแล้ว
   
“ถามจริงๆ น้อยใจเราไหม”
   
“ก็... นิดเดียว” คนตัวใหญ่กว่าตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก
   
“แล้วถ้าเราจะบอกว่า ขอโทษที่ไม่มีเวลาไปหาของขวัญอะไรให้นายเลย นายจะโกรธไหม”
   
หนนี้โยยิ้มกว้างออกมาไม่ปิดบัง ก่อนจะถามออกไปว่า “แต่นายก็จำวันเกิดเราได้ใช่ไหม”
   
เจพยักหน้าตอบกลับไปยิ้มๆ ก่อนที่โยจะลุกขึ้นยืนหันมาประจัญหน้ากับเขา แล้วดึงร่างขาวๆนั้นเข้าไปกระชับกอดเอาไว้อย่างอ่อนโยน
   
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
   
“นายนี่...” เจหยุดอยู่เป็นครู่ “เอาใจง่ายจังเลย” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาอย่างติดตลก
   
“ไม่ต้องให้อะไร เราก็ทวงจากนายได้อยู่แล้วต่างหาก”
   
เจผละออกมาเพียงเล็กน้อย เด็กหนุ่มมองหน้าคนพูดก่อนจะขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยนึกไว้ใจนัก
   
“อะ... “ และโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แก้มขาวๆของเขาก็โดนเจ้าหัวหน้าวงเอาจมูกโด่งๆกดประทับลงไปอย่างมันเขี้ยวเสียแล้ว
   
“แค่นี้ก็พอแล้ว” คนที่เพิ่งหอมแก้มเขาแบบหน้าด้านๆเอ่ยออกมาหน้าตาเฉย ราวกับว่านี่เป็นสิทธิ์ที่เขาควรจะได้มาตั้งแต่แรก
   
พลั่ก!
   
หมัดลุ่นๆซัดเข้าที่แขนของเขาแบบเน้นๆตามคาด เจ้าตัวได้แต่เบ้หน้า แต่ก็ดูจะไม่ได้สะเทือนอะไรนัก แถมยังลอยหน้าลอยตายิ้มกลับมาให้อีกต่างหาก
   
“ยียวนนักก็อย่าเอามันเลยดีไหม ของขวัญเนี่ย” เจว่าฉุนๆ
   
โยระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจออกมาก่อนจะเดินเข้าไปกอดคนขี้หงุดหงิดอย่างเอาใจเต็มที่
   
“น่า น่า น่า ก็เราไม่รู้นี่นาว่านายมีของขวัญให้เราด้วย นึกว่าไม่มีเวลาจริงๆ เลยทวงเอาเสียเอง ขอโทษน่า... นะ”
   
เงียบไปแบบนี้ งอนไปแล้วแน่ๆ โยนึกขันในใจ ดูเอาเถอะ เมื่อกี้เขาเป็นฝ่ายน้อยอกน้อยใจอยู่ดีๆ ไหงเกมถึงได้พลิกผัน กลายเป็นว่าเขาต้องมาง้ออีกฝ่ายแทนเสียแล้ว
   
“นี่...” โยก้มหน้าลงกระซิบเบาๆ “เราอยากได้ของขวัญของนายจริงๆนะ รอมาทั้งวันเลย ยังจะใจร้ายปล่อยให้รอต่อได้ลงคออีกหรือ”
   
เจเงยหน้าขึ้นมองด้วยใบหน้ามู่ทู่ไม่สบอารมณ์อยู่อย่างนั้น ก่อนจะผละจากอ้อมกอดของโย เดินไปค้นอะไรกุกกักในตู้ พร้อมกล่องขนาดใหญ่ในมือ
   
“อ่ะ... ถ้าไม่ชอบจะยกให้คนอื่นไปก็ได้” น้ำเสียงยังคงความประชดประชันไม่ลดละ โยได้แต่นึกขัน ก่อนจะรับของมา พร้อมกับฉุดอีกฝ่ายลงนั่งบนพื้นห้องที่ปูพรมนุ่มๆเอาไว้
   
เด็กหนุ่มเจ้าของวันเกิดตั้งอกตั้งใจแกะของขวัญกล่องใหญ่ที่แม้จะห่อกระดาษมาอย่างดี แต่กลับไม่มีริ้บบิ้นสีสวยเหมือนของขวัญที่คนทั่วไปมอบให้กัน เจไม่ชอบผูกริบบิ้นที่ห่อของขวัญ เพราะเจ้าตัวเคยบอกว่า กระดาษมันสวยอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องผูกอะไรให้ดูรกอีก คงจะมีเจนี่แหละที่คิดอะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่นแบบนี้
   
“โอ้โห...” โยร้องออกมาทันทีที่เปิดฝากล่องของขวัญออกมา ในกล่องสีขาวใบใหญ่มีตั้งแต่เสื้อโค้ตตัวหนา ผ้าพันคอ ถุงมือกันหนาว และหมวกที่เข้าชุดกันหมด สีและลายที่เลือกมาเหมาะกับเขาเสียจนอดคิดไม่ได้จริงๆว่า ถ้าไปเลือกเอง จะได้ที่ดูดีขนาดนี้มาหรือเปล่า
   
“อีกไม่นานพวกเราต้องเดินทางไปต่างประเทศ นายน่ะขี้หนาวที่หนึ่ง ของพวกนี้น่าจะมีประโยชน์” เจตั้งอกตั้งใจอธิบาย “ถ้านายไม่ชอบแบบหรือสี จะเอาไปเปลี่ยนก็ได้”
   
โยส่ายศีรษะเบาๆก่อนจะซบหน้าผากลงบนไหล่ของอีกฝ่าย
   
“ไม่ต้องเปลี่ยน มันสวยมากๆ” โยพูดอะไรไม่ออก “ขอบคุณนะ เราชอบมากจริงๆ”
   
“ชอบก็ดีแล้ว” เจยิ้มออกมา “แล้วก็...”
   
โยประหลาดใจเมื่อมือข้างหนึ่งถูกมือขาวๆของเจคว้าเอามาวางไว้บนตัก ความรู้สึกเย็นๆบนข้อมือทำให้เขาเบิกตาโต ได้แต่มองไปที่ของชิ้นนั้นที มองหน้าคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจใส่มันให้กับเขาทีอยู่อย่างนั้น
   
“พอดีเป๊ะ” เจว่าอย่างพอใจ “ทีนี้ก็มีเหมือนกันแล้ว” ว่าพลางชูมือข้างหนึ่งของตัวเองที่สวมสร้อยที่เหมือนกันทุกอย่างที่ได้รับจากโยเมื่อสิบวันก่อนหน้าขึ้นมาโชว์บ้าง
   
“ตั้งแต่เมื่อไหร่...” ดูเหมือนโยจะยังแปลกใจไม่หาย
   
“นายยังทำได้เลย ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้” เจยิ้มตอบกลับไปให้ ก่อนจะพลิกสร้อยบนข้อมือของอีกฝ่ายให้ดู “สลักชื่อเจ้าของเอาไว้แล้วเรียบร้อย” พูดจบก็ส่งยิ้มหวานที่ทำเอาหัวใจคนฟังแทบจะละลายอยู่ตรงนั้นไปให้อย่างภาคภูมิใจ
   
“ชอบไหม”
   
โยได้แต่พยักหน้าอย่างไม่รู้จะทำอะไรให้ดีมากไปกว่านั้น
   
“ถูกใจนะ”
   
“ยิ่งกว่าอะไรในโลก”
   
โยดึงร่างขาวๆนั้นเข้ามากอดเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่ตื้นตันใจและดีใจอย่างที่สุด เจตกใจเล็กน้อยกับการกระทำอันปุบปับ แต่ก็อุ่นใจในสัมผัสอันอ่อนโยนนั้น เด็กหนุ่มกอดตอบคนตัวสูงที่เอาแต่กอดและกอดเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเสียที
   
“นี่... ปล่อยได้หรือยัง” เจว่าติดตลก ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น คนที่ถือวิสาสะกอดเขาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน ก็ช้อนคางเขาขึ้นมาชนิดปุบปับก่อนจะประทับจูบลงไปแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว
   
เจที่ได้แต่ฮึดฮัดในคราแรกที่จู่ๆก็โดนจอมฉวยโอกาสอย่างโยขโมยจูบแบบดื้อๆ เพียงครู่เดียว คนขี้ใจอ่อนอย่างเขาก็ยอมโอนอ่อนให้อีกฝ่ายโดยง่ายและไม่คิดจะปัดป้องอะไรอีก ค่าที่ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษหรอกนะ แล้วจูบของหมอนี่ก็อ่อนโยนอ่อนหวานดีเหลือเกิน จะขัดขืนไปทำไมมี เพราะไม่เคยทำได้สำเร็จเลยสักครั้ง
   
จนเห็นว่าเจทำท่าจะสำลักจูบ แขนขาอ่อนจนแทบจะทรุดนอนราบลงไปบนพื้นแล้วนั่นแหละ โยจึงยอมผละริมฝีปากออกอย่างเสียดาย พร้อมกับโอบร่างขาวๆนั้นเอาไว้แน่น รู้สึกได้ถึงลมหายใจเหนื่อยหอบหรือแม้แต่จังหวะหัวใจที่เต้นแรงราวกับจะหลุดออกมานอกอกของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
   
โยลอบยิ้มออกมา
   
เขาชอบเวลาที่ได้เห็นคนในอ้อมแขนเสียการควบคุมแบบนี้เหลือเกิน ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ในด้านที่ไม่มีใครเคยเห็นแบบนี้ เจจะดูน่ารักเป็นที่สุด เห็นทีไรเป็นต้องอยากแกล้งให้เสียอาการอยู่เรื่อย แต่จะทำบ่อยๆก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะโดนงอนให้ต้องได้ง้อกันเป็นวันทีเดียว
   
“หัวใจเต้นแรงจัง”
   
“ปล่อยได้หรือยัง...” เสียงนั้นไม่ได้ฟังดูเด็ดขาดเลยสักนิด “พอไม่ว่าล่ะก็ เอาใหญ่เลยนายนี่...”
   
“ตามใจเจ้าของวันเกิดบ้างจะเป็นไรไป” พูดออกมาได้หน้าตาเฉยเลยหมอนี่ “แล้วก็... มีอะไรจะบอกแน่ะ” ว่าแล้วก็ก้มลงกระซิบเบาๆข้างๆหู
   
“........”
   
คนที่ได้ฟังถึงกับหน้าแดงหูแดงไปถึงไหน ก่อนจะก้มหน้างุดผละออกจากอ้อมกอดนั้น มือข้างหนึ่งยกขึ้นอังจมูกจนเป็นนิสัยทุกครั้งเวลาที่เจ้าตัวออกอาการเขินจนไปไม่เป็น
   
“เรา... เอ่อ... จะไปอาบน้ำ” โดยไม่รอคำตอบ เจ้าของร่างขาวๆนั้นลุกขึ้นหมุนตัวกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าห้องน้ำไปทันทีแบบไม่สนใจอะไรรอบตัวอีกต่อไป
   
ส่วนโย... ลงไปนอนคว่ำฟุบหน้าหัวเราะอยู่กับหมอนที่วางอยู่ใกล้ๆกันนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

********************
   
“เป็นไง”
   
“เรียบร้อย” ใบหน้าหล่อติดจะขี้เล่นที่ดูเจ้าเล่ห์จนน่าถีบของชุนหันมาพยักเพยิดให้กับซันและแม็กที่นั่งรอฟังผลอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ทั้งที่ทีวีก็เปิดเสียงดังอยู่อย่างนั้นแต่กลับไม่มีคนสนใจเลยสักนิด
   
“ยังไงเล่า....” ซันถามออกไปอย่างหงุดหงิด จะอธิบายให้มันละเอียดหน่อยไม่ได้หรือยังไงกัน
   
“ก็ เค้าง้อกันไปแล้วเรียบร้อย”
   
“แหม ผมนะเพิ่งเคยเห็นพี่โยงอนพี่เจก็วันนี้” น้องเล็กของวงเอ่ยขึ้นบ้าง
   
“ถึงว่าซี้... เข้าไปพูดคุยด้วย หน้างี้บึ้งเชียว เวลาพี่โยเงียบๆแบบนั้น น่ากลัวจะตาย”
   
“ผมยอมให้พี่เจหงุดหงิด ดีกว่าให้พี่โยโกรธนะ” พี่ชายอีกสองคนหันไปพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วย
   
“แต่ก็เห็นมีแค่พี่เจนี่แหละที่ทำให้พี่โยของเราอารมณ์แปรปรวนได้ขนาดนี้”
   
“เอาน่า... เขาเคลียร์กันไปแล้ว ก็สบายใจกันได้แล้ว”
   
“ว่าแต่... เคยนึกสงสัยอะไรไหม” ซันถาม
   
“ว่า?”
   
“ทำไมพวกเราไม่เคยได้พวกสร้อย เครื่องประดับ นู่นนี่นั่น แบบว่าสวยๆแพงๆเหมือนที่พวกพี่ๆให้กันเลยเนาะ” คนถามทำหน้าซื่อตาแป๋ว “เพราะอะไรหว่า”
   
ชุนได้แต่ส่ายหน้าให้กับความใสซื่อของเพื่อนสนิทร่วมวง โถ...ซันเอ๋ย โตแต่ตัวซะเปล่า นึกได้ดังนั้นก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ หันไปทางแม็กก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความอ่อนต่อโลกของพี่ชายอีกคนเสียเหลือเกิน
   
ก่อนที่น้องเล็กของวงจะลุกไปหยิบกระเป๋าที่วางทิ้งเอาไว้ และเดินกลับห้องไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

____________________ END ____________________

มาค่ะ... มาคุยกันหน่อย นี่จะเป็นตอนพิเศษตอนสุดท้ายของ Beat of Life แล้วนะคะทุกคน ต้องขอขอบคุณทุกคนอย่างที่สุดที่ติดตามอ่านกันอย่างเหนียวแน่นมาโดยตลอด ขอบคุณทุกเพจวิว ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกอย่างล้วนมีความหมายกับคนเขียนมากจริงๆค่ะ

ถึงตอนนี้ Beat of Life ในเล้านี้ ได้เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ก็แปลว่า ได้เวลาที่จะต้องนำเรื่องนี้มารวมเล่มเสียที และอย่างที่บอกไปค่ะว่า ในรวมเล่มนั้นจะมีตอนพิเศษที่แต่งใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 ตอน ซึ่งคนเขียนจะไม่เอาไปลงที่ไหน นอกจากในรวมเล่มนี้เท่านั้น สามตอนที่แต่งใหม่นี้ ก็จะเหมือนกับตอนพิเศษทั้ง 7 ตอนนี่ล่ะค่ะ คือมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับน้อง และจบสมบูรณ์ลงในตอนของมันเอง และเน้นให้ได้อ่านกันแบบเพลินๆ ที่อยากให้มีหวานๆ อยากให้มีอะไรได้ลุ้น คนเขียนก็ได้จัดเอาไว้ให้แล้วเท่าที่ความสามารถจะอำนวยล่ะค่ะ แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่า แฟนๆของโยเจ และน้องๆในวงอีกสามคนคงจะถูกใจกันไม่น้อย

สำหรับใครที่สนใจ อยากจะได้รวมเล่ม Beats of Life สามารถเข้ามาลงชื่อได้จนถึงสิ้นเดือนนี้นะคะ พอสรุปยอดที่แน่นอนได้ ก็จะสั่งพิมพ์ตามจำนวนทันที จำนวนหน้า ณ ตอนนี้คือ 336 หน้า ราคารวมค่าจัดส่งแบบลงทะเบียน 370 บาทค่ะ ส่วนรายละเอียดการจัดส่ง จะแจ้งให้ทราบต่อไปหลังจากที่มีการส่งพิมพ์เรียบร้อยแล้ว

ทีนี้... นิยายเรื่องก่อนหน้าของเราคือ “เพลงรัก” ถึงตอนนี้ก็ยังมี่คนเข้ามาถามว่า จะรีปริ๊นท์ไหม ก็เลยถือโอกาสบอกตรงนี้เลยว่า อยู่ระหว่างการตัดสินใจค่ะ ใครที่สนใจก็สามารถเข้ามาลงชื่อได้เลยผ่านกระทู้นี้จนถึงสิ้นเดือนเช่นกัน สรุปจำนวนคนที่ต้องการสั่งซื้อได้แล้ว จะแจ้งให้ทุกท่านทราบอีกครั้งค่ะ สำหรับราคารวมค่าจัดส่งก็ยังคงเป็น 350 บาทเท่าเดิมนะคะ

ขอบคุณทุกคนมากๆ ขอบคุณจากหัวใจเลยล่ะค่ะ

fingers-crossed
   
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ (END) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: maio2000 ที่ 12-02-2010 23:01:17
ขอจอง 1 เล่มค่ะ พึ่งเข้ามาเห็นตอนพิเศษสุดท้ายแล้ว อยากได้หนังสือเร็วจัง  :bye2:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ (END) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: jimmy ที่ 12-02-2010 23:30:07
ขอจองหนังสือ Beats of Life  1 เล่มด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ (END) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 14-02-2010 22:09:46
หวัดดีจ๊ะ คุณนิ้วไขว้

มาสปอยตอนพิเศษในหนังสือแบบนี้ รวมทั้งมีหว๊านหวาน อย่างที่ขอไปด้วย
ต้องนับวันรอหนังสือเลยทีเดียว

ขอจอง 1 เล่มนะจ๊ะ


ท่าทางโยจะชอบของขวัญวันเกิดชิ้นสุดท้ายมากที่สุดเลยนะเนี่ย
ทั้งเสื้อผ้า ทั้งสร้อย ยังสู้จูบหวานๆ ไม่ได้เลยเนอะ อิอิ

เริ่มนับวันคอยแล้วน๊า วันที่ 1 , .......
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ (END) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 15-02-2010 22:56:58
วันหลัง เจไม่ต้องหาของขวัญให้เหนื่อยเลยนะ

แค่จูบอย่างเดียว โยก็ดีใจและพอใจที่สุดแล้วเนอะ

ฮือ..เด็กน่ารักอ่ะ หวานกันมาก ๆ น๊า แม่ยกเชียร์เต็มที่ :impress2:

ลงชื่อสำหรับรวมเล่มด้วยคนค่ะ รออ่านตอนพิเศษอย่างใจจดจ่อค่า
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ (END) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 18-02-2010 22:35:37
ดันให้ขึ้นหน้า 1 ก่อน เหลือตอนสุดท้าย แต่ง่วงมากมายเหลือเกิน

พรุ่งนี้เช้า ค่อยว่ากันใหม่  :a12:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ (END) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: wan ที่ 19-02-2010 07:06:43
จบแล้วครับ อ่านแล้วก็ :m1:

ขอบคุณครับ สำหรับนิยายสวย ๆ รอผลงานลำดับต่อไปอยู่ครับ

เป็นกำลังใจให้ อยากได้รวมเล่มแต่ไม่สะดวก หลายอย่าง ขอบคุณอีกครั้ง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ (END) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: Joobperman ที่ 19-02-2010 12:43:14
 :pig4:
ขอจอง 2 ชุดจ้า
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... ตอนพิเศษ 7: ของขวัญ (END) #*#*# UP!!!(นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 20-02-2010 14:36:32
สวัสดีทุกท่านค่ะ เข้ามาสรุปรายชื่อผู้สั่งจองหนังสือ ณ ตอนนี้นะคะ

BEATS OF LIFE

maio2000 - 1 เล่ม
miyabi - 1 เล่ม
Jooperman - 2 เล่ม
Maemoo - 1 เล่ม
katesnk - 1 เล่ม
jimmy - 1 เล่ม
vavacoco - 1 เล่ม
forte - 1 เล่ม
LoveAholic - 1 เล่ม
Namehoto - 1 เล่ม
THIP - 1 เล่ม

เพลงรัก (รีปริ๊นท์)

vavacoco - 1 เล่ม
somsom - 1 เล่ม
sick_SENT - 1 เล่ม
katesnk - 1 เล่ม
PAN@DA - 1 เล่ม
pandora_pea - 1 เล่ม
THIP - 1 เล่ม

ตามนี้นะคะ ใครต้องการให้เปลี่ยนแปลงตรงไหนวานแจ้งค่ะ ใครที่เราตกหล่นรายชื่อไป ก็แจ้งผ่านหน้ากระทู้ได้ด้วยเช่นกัน ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... จบ/รวมเล่ม (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: PAN@DA ที่ 20-02-2010 15:24:55
ถ้าจะจองเพลงรัก จำนวน 1 เล่ม ยังทันอยู่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... จบ/รวมเล่ม (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 20-02-2010 18:44:50
ทันค่ะคุณ PAN@DA อัปชื่อคุณขึ้นไปแล้วนะคะ
ใครที่ยังสนใจเรื่องไหนยังสามารถแจ้งได้จนถึงสิ้นเดือนเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... จบ/รวมเล่ม (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 27-02-2010 09:30:25
อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว จึงจะเข้ามาแจ้งให้ทุกท่านทราบเอาไว้ก่อนนะคะว่า หนังสือน่าจะตีพิมพ์เสร็จประมาณช่วงปลายสัปดาห์หน้านี้ ถึงตอนนั้นจะทยอย PM วิธีการโอนเงินอย่างละเอียดไปให้อีกครั้งค่ะ

หนังสือทุกเล่มส่งแบบลงทะเบียน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องสูญหายหรือจะไม่ถึงมือนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ปล1... เราจะสรุปยอดก่อนสั่งโรงพิมพ์วันอังคารนี้เป็นอย่างช้านะคะ คนที่สนใจจะสั่ง ยังลงชื่อได้ค่ะ
ปล2... คุณ THIP อัปชื่อขึ้นให้แล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... จบ/รวมเล่ม (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-02-2010 15:40:54
สั่งจองทั้ง 2 เรื่องเลยนะคะ อย่างละ 1 เล่ม
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... จบ/รวมเล่ม (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 03-03-2010 21:11:43
น่ารักจังเลยค่ะ

ชอบเรื่องของคุณนิ้วไขว้ตั้งแต่เรื่องเพลงรักละ เรื่องนี้ก็ไม่ผิดหวัง ตอนอ่านที่มาของชื่อตัวละครแล้วแอบขำ ที่มาน่ารักเชียว

สนุกมากเลยค่ะ

จะรอเรื่องต่อไปนะคะ

ปล.ขอให้รวมเล่มขายดิบขายดีเด้อออออออ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... จบ/รวมเล่ม (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 07-03-2010 23:45:52
เพื่อนนักอ่านที่รักทุกท่าน ต้องขอโทษนะคะที่หายหน้าไป ไม่เพียงแต่วุ่นวายกับการเตรียมเอกสารสำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่น แต่ก็ง่วนอยู่กับการตีพิมพ์นิยายอยู่นั่นเองค่ะ

ภายในสัปดาห์นี้ คาดว่านิยายทั้งสองเรื่องน่าจะเสร็จเรียบร้อยเสียทีค่ะ เรายังจะไม่ส่งรายละเอียดการโอนเงินใดๆผ่านทางหลังไมค์จนกว่าจะได้หนังสือมาแล้วเท่านั้นค่ะ และหลังจากที่โอนเงินมาแล้ว หนังสือจะถูกส่งแบบลงทะเบียนไปให้หลังจากนั้นหนึ่งหรือสองวัน รับรองว่า ไม่มีการล่าช้าหรือสูญหายอย่างแน่นอน

อดใจรอนิดนึงนะคะ และขอโทษที่ออกจะล่าช้ากว่ากำหนดไปสักหน่อย

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... จบ/รวมเล่ม (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 09-03-2010 13:55:57
เย้เย้เย้ จะได้อ่านหนังสือแล้ว....

คุณนิ้วไขว้ไปญี่ปุ่น ไปเที่ยวหรือไปทำงานคะ...

ยังไงก็เดินทางปลอดภัยนะคะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนไปมา รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... จบ/รวมเล่ม (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 10-03-2010 15:36:57
เพื่อนนักอ่านทุกท่านคะ

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะได้รับหนังสือจากโรงพิมพ์ภายในวันพฤหัสบดีนี้ค่อนข้างแน่นอน จึงมาแจ้งให้ทุกท่านทราบ และคอยเช็กรายละเอียดการโอนเงินผ่านทางหลังไมค์ได้เลยค่ะ

ถ้าต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ทั้งหน้าเล้า หรือ PM ค่ะ

ขอบคุณนะคะ

ปล. คุณ MaeMoo ไปญี่ปุ่นคราวนี้ไปเที่ยว 10 วันค่ะ วิซ่าเพิ่งจะผ่านวันนี้เอง ก็เลยอยากจะจัดการเรื่องหนังสือให้เรียบร้อยก่อนไปน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 11-03-2010 15:53:18
วันนี้เราไปรับหนังสือมาแล้วค่ะ ^_^

สำหรับคนที่โอนเงินมาแล้ว (ภายในวันนี้) เราจะไปส่งให้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปนะคะ อีกครั้งก็จะเป็นวันเสาร์ครึ่งเช้าเลย หลังจากนั้นคงต้องรอวันจันทร์ไปเลยค่ะ (ตามเวลาทำการของไปรษณีย์นั่นล่ะค่ะ) แต่ว่าจะโอนกันวันต่อวันไม่มีการดองแน่นอน

ใครที่หนังสือถึงมือ อ่านแล้วชอบไม่ชอบ เข้ามาบอกกันได้ค่ะ

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 11-03-2010 21:10:09
วันนี้โอนเงินไปแล้วนะคะ แจ้งทาง PM ไปแล้วจ้า

หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: หวานเย็น ที่ 13-03-2010 11:11:38
ดูแลกันดี

น่ารักจริงๆคู่นี้

คิคิ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 16-03-2010 11:49:07
เข้ามาแจ้งข่าว ได้รับหนังสือแล้วจ้า

มาสปอยด์นิดนึง สีสันเข้มได้ใจจริงๆ นะคุณนิ้วไขว้
ได้ปุ๊ปรีบเปิดอ่าน Bonus เลยอ่ะ หวานนนนนนนนนนนน ได้ใจจริงๆ
สบายใจแระ

อย่าลืมมาทักทายกันเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 16-03-2010 16:02:31
โอ้... ขอบคุณมากค่ะที่เข้ามาบอกเล่าเก้าสิบกันหลังได้รับหนังสือไปแล้ว...

ดีใจนะคะที่ชอบ และแน่นอนค่ะ ว่าอยากจะทราบเหมือนกันว่าตอนโบนัสที่เพิ่มมาใหม่นั้น ชอบกันมากน้อยยังไง

เข้ามาบอกกันบ้างนะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: pandora_pea ที่ 18-03-2010 20:10:03
โอนเงินไปแล้วนะค่ะ แจ้งไปทางPMแล้วนะค่ะ  ถ้าส่งหนังสือวันไหนรบกวนส่งPMมาด้วยนะค่ะ ขอบคุณนะค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAholic ที่ 18-03-2010 23:38:44
โอนเงิน และแจ้งที่อยู่ไปทาง pm เรียบร้อยแล้วค่า 
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: Miyabi ที่ 20-03-2010 21:29:17
ได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้วนะคะ
ฺสำหรับ Bonus ก็... หวานเหมือนเดิม  น่ารักดีค่ะ  :L2:
ปล. รอเรื่องต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: honeymic ที่ 02-09-2010 20:15:06
โย น่ารักมากมายเลย
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life....... รวมเล่มเสร็จแล้ว!!! (นิยายสำหรับแฟนยุนแจค่ะ ^_^)#*#*#
เริ่มหัวข้อโดย: pidoma ที่ 05-09-2010 00:37:00
 :pig4: o13
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 03-10-2010 04:49:08

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
นั่งอ่านไปถึงกับน้ำตาซึม เรื่องราวระหว่างพ่อกับเจทำให้เราย้อนมองตัวเอง

...คล้ายกันเลยค่ะ เพียงแต่ถึงปัจจุบันนี้ ท่านก็ยังคงไม่เข้าใจเราเหมือนเดิมทั้งที่ก็พยายามพิสูจน์ให้เห็นแล้ว
//
ที่ได้อ่านมัน ให้ทั้งรอยยิ้ม ขำไปกับตัวละคร เศร้าไปด้วย และก็ลุ้นกับความสำเหร็จในอนาคตของทั้ง 5 หนุ่ม
เราว่า ...เราชอบความรักแนวนี้นะคะ หมายถึงแนว โยกับเจนะ ดูอบอุ่นแล้วก็น่าอิจฉาอย่างมากมายเลยละ

เดี๋ยวไปอ่านตอนพิเศษก่อนนะ

ps. เราชอบ ชื่อ god's childs นะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naja ที่ 25-12-2010 07:38:17
merry★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
•。★Christmas★ 。* 。
° 。 ° ˚* _Π_____*。*˚
˚ ˛ •˛•*/______/~\。˚ ˚ ˛
˚ ˛ •˛• | 田田|門| ˚★ 。 • ˚ ˚ ˛ ˚ ˛ •
Jaaaaaaaa \\(^^)//
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 25-12-2010 19:25:35
ขอบคุณคุณ rainy_naja สำหรับคำอวยพรนะคะ Merry Christmas เช่นกันค่ะ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: iamohm ที่ 27-12-2010 03:56:49
ขอบคุณนะครับ ชอบมาก ๆ เลย อิอิ
จะติดตามผลงานต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 12-01-2011 16:10:42
สนุกมากจ้า
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: chira75 ที่ 24-11-2011 04:40:03
ชอบ โยอะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 24-11-2011 15:22:30
น่ารักจัง :o8:

บ้างครั้งก็เศร้า :o12:

อ่านแล้วอินตาม o22

กลับไปเช็ดน้ำตาต่อ :o12:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: poppycake ที่ 24-11-2011 17:08:58
กรี๊ด~~~~~!!!!
เรื่องนี้น่ารักที่สุดเรยอ่าาา
ไม่ว่ายังไงก้อน่ารัก ดูตามใจกันได้น่ารักสุดๆ
ถึงแม้ว่าจะไม่มี nc แต่ก้อช๊อบ ><

ขอบคุณนะค่ะ ที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 29-01-2012 23:25:20
แปะไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านต่อค่ะ

ถึงตอน 3 ^^
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: ♫~Eristneth~♪ ที่ 19-02-2012 14:49:41
 :z3: น่ารักมาก  :-[
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: stdvic ที่ 18-03-2012 02:17:44
เพิ่งมาอ่านสนุกมากๆเลยครับ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 21-03-2012 12:58:34
+1 ไปเลยค่ะ
เรื่องนี้น่ารักมากเลย เพิ่งมีโอกาสเข้ามาอ่าน
อ่อยยย
น้องเจอ่ะ น่ารักมากเลยน้าาาา
โชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนที่ดี คนรอบตัวที่ดี
แล้วก็โชคดี ที่มีโย  ><
อ่านไปก็ยิ้มไป เขินมั่งอะไรมั่ง

ขอบคุณนะคะ สำหรับนิยายดีดี มีความสุขเรื่องนี้ (โค้งงง)
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: fingerscrossed ที่ 17-04-2012 00:15:30
จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนเข้ามาอ่านแล้วก็บอกว่าชอบ

ต้องขอบคุณมากจริงๆค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 01-11-2012 13:25:26
น่ารักอบอุ่นซาบซึ้งมาก ๆ เลยค่ะ บอกได้อย่างเดียวว่ายอดเยี่ยมมาก ๆ  o13 อ่านแล้วน้ำตาคลอหลายตอนเลยจ้ะ การจบแบบนี้ถือว่าดีมาก ๆ ค่ะ และทำเป็นตอนพิเศษออกมาเพื่อให้คนอ่านได้ติดตามความคืบหน้าของตัวละครน่ะ จบแบบไม่มีตอนพิเศษเลยก้อน่าเสียดายน่ะ คุณนิ้วไขว้สร้างสรรค์ตัวละครซะน่ารักขนาดนี้น่ะ พอมาอ่านตอนพิเศษแล้วเลยได้รู้ว่าแต่ละคนมีนิสัยอย่างไรบ้างจากเดิมที่จะมองเจอยู่แต่ด้านความอดทนอุตสาหะตั้งใจจริงจัง พอมาได้อ่านตอนพิเศษเลยได้เห็นอีกหลาย ๆ ด้านที่เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปน่ะ รักโยมาก ๆ เลยน่ะชอบจัง :impress3: อิจฉาเจมาก ๆ  :o8: แต่เขาสองคนอยู่ด้วยกันเหมือนเป็นเงาของกันและกันจริง ๆน่ารักมาก ๆ ยังไงจะรอข่าวดีน่ะจ้ะ (สอบถามทางข้อความลับไปแล้ว) :3123:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 07-04-2015 13:01:07
หลง เพื่อนรักรักเพื่อนนี่น่ารักจริง ๆ จะละลายค่ะ
เสียดายที่มาช้า อดรวมเล่มเลย ;__;
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: fernfabled ที่ 15-04-2015 01:24:45
โยเจน่ารักมากเลย
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
และสวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 09-01-2016 11:55:41
ขอบคุณครับ สนุกมาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: #*#*# Beats of Life.......
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 12:38:58
 :mew1: