ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
เรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งที่มโนขึ้น ทั้งนี้ได้ขออนุญาตคุณหมอเจ้าของชื่อแล้วค่ะ
-วายศรี-
สารบัญ
Chapter 0 : Prologue (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40889.msg2612358#msg2612358)
Chapter 1 : Am I overthinking? (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40889.msg2619327#msg2619327)
Chapter 2 : I'm sick of it. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40889.msg2625263#msg2625263)
Chapter 3 : Summary of our love. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40889.msg2631178#msg2631178)
Chapter 3.5 : Fly with me.
(http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=40889.msg2636557#msg2636557)
สถานะ: จบแล้วค่า~
(http://upic.me/i/bo/fly_poster.jpg)
ชีวิตของกัปตันหนุ่มคนหนึ่ง ก็ได้แต่บินไป บินมา ไม่เคยเป็นคนติดที่ อยู่ไหนนาน ๆ ไม่เคยจะรอด
แต่เดี๋ยวนี้ ให้ตายยังไงต้องหาเวลากลับไทยให้ได้
...เพราะหัวใจฝากไว้กับคุณหมอตัวเล็ก...
แต่ความรักของพวกเขาจะราบรื่นได้อย่างไร เมื่อคนหนึ่งบินเยอะ อีกคนก็เวรแยะ
ไม่ค่อยมีช่วงเวลาโรแมนติกเหมือนคนอื่นเขา
จนบางทีก็อดคิดมากไม่ได้ ว่าระหว่างเรา ยังมีคำว่ารักเชื่อมกันอยู่ไหม?
“แพทเป็นคนเก่ง อะไร ๆ ก็ทำได้ แพทดูแลตัวเองได้ ไม่มีเรา แพทก็อยู่ได้ใช่ไหม?”
"ใช่"
!!!!!
เมื่อความรักคือการตอบโจทย์ของปัญหา ที่วิธีทำมีหลายทาง
...แต่ผลลัพทธ์มีเพียงหนึ่งเดียว...
“แพทยังรักเราเหมือนเดิมไหม?”
“ไม่”
!!!!
F.L.Y. Fall in Love with You
Chapter 0: Prologue
จากภายนอก เสียงดังหวือ ที่เพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ บอกถึงบางสิ่งที่แหวกผ่านม่านอากาศ ใกล้เข้ามาด้วยความเร็วสูง นั่นคือการเตรียมร่อนลงสู่รันเวย์ของเครื่องบินพาณิชย์ลำยักษ์ และวินาทีหลังจากที่ล้อแตะพื้น แรงกระเทือนทำเอาผู้โดยสารหน้าใหม่บางคนต้องเกาะเบาะด้านหน้าด้วยอารามตกใจ ขณะที่ส่วนใหญ่คุ้นชินดีอยู่แล้วจึงนั่งเฉย ไร้อาการวิตกกังวลใดๆ
'ขณะนี้กัปตันชาญวิทย์ และลูกเรือทุกคน ได้พาท่านมาสู่จุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพแล้ว ขอบคุณที่ร่วมเดินทางไปกับเราค่ะ'
เมื่อสิ้นเสียงประกาศ ผู้โดยสารทั้งหลายรีบลุกขึ้นอย่างพร้อมใจ และทยอยเดินออกประตูไป หลายคนรีบควักเครื่องมือสื่อสารของตนขึ้นมา เพื่อติดต่อคนที่มารอรับ
และในห้องบังคับเครื่องบินนั้นเอง ก็มีคนหนึ่งที่รีบคว้าโทรศัพท์มือถือของตนมาเปิดเช่นกัน นั่นคือกัปตันหนุ่มเจ้าของสีหน้าตึงเครียด รับกับผมที่เซตแบบเปิดโหนก และหวีจนเรียบแปล้ แต่มิวายมีปอยเล็ก ๆ หลุดร่วงลงมาได้อยู่ดี
“พี่ติ๊ก ผมนัดเพื่อนไว้คืนนี้ ว่าจะไปผับเปิดใหม่อะ เขาว่าสาวเชียร์เบียร์เด็ดมาก พี่เอาด้วยป่าว?” หนุ่มผู้ช่วยหันขวับไปถามกัปตัน ด้วยตาที่เป็นประกาย
“ไม่อะ” แต่ก็ได้คำตอบปฏิเสธ จากรุ่นพี่ร่างสูงที่ไม่แม้แต่จะปรายตามองคนถามเลยสักนิด เพราะตาเอาแต่จ้องหน้าจอมือถือ ส่วนมือก็พิมพ์เป็นระวิง สักพักเริ่มยิ้ม รอยยิ้มแบบนี้แหละที่ฉุดคร่าหัวใจแอร์สาวไปแล้วนักต่อนัก
หนุ่มผู้ช่วยเกิดอาการหมั่นไส้ จนต้องชะเง้อหน้าเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อดูว่าคนเนื้อหอมประจำไฟลท์กำลังแชทกับใคร ตาเล็กตี่ของผู้ช่วยหน้าตี๋กรอกมองพบว่าในจอนั้นไม่ใช่หน้าแชท แต่ดันเป็นหน้าแฟนเพจเฟสบุ๊ค
"หืม...คุณ-หมอ-เกา-ลัด อะโถ่! ไอ้เราก็นึกว่าแชทอยู่กับแฟน ที่ไหนได้ มาป่วนเพจนี่เอง” ผู้ช่วยหัวเราะ แล้วก็โดนมือใหญ่ผนักหน้ากระเด็นออกไป
“ยุ่งน่ะ เดี๋ยวถีบตกเครื่องบินเลย” ว่าพลางยกเข่าขึ้นจริง ทำเอาหนุ่มผู้ช่วยรีบผละออกห่าง กล่าวคำขอโทษปนเสียงหัวเราะ ก่อนจะหันไปคว้าสัมภาระเล็ก ๆ ของตัวเอง
“แล้วตกลงคืนนี้จะไปกับผมป้ะ?”
กัปตันหนุ่มถลึงตาใส่แทนคำตอบ ทำให้นักบินผู้ช่วยหัวเราะชอบใจ "คร้าบ ๆ ไม่ไปก็ไม่ไป รู้หรอกน่า กัปตันเค้าติดแฟน~" สิ้นเสียง กัปตันหนุ่มยกขาขึ้นอีกครั้ง หนุ่มผู้ช่วยรีบกระเด้งตัวลุกออกจากที่นั่งทันที "ไปแล้วคร้าบ”
"พี่ติ๊ก” แต่ก็ยังหยุดหน้าประตูหันกลับมา พร้อมสีหน้าทะเล้น
“ไรวะ ไอ้ลิงนี่ ลีลาเยอะจริง”
“ก็แล้วเมื่อไหร่จะพามาเปิดตัวล่ะ เนี่ยหักอกนางฟ้าไปตั้งหลายคน เขาก็อยากรู้กันไงว่ากัปตันไปหยุดที่ใคร แล้วไปรักกันอีท่าไหน อะไรเงี้ย"
“เอ็งจะเดินออกไป หรือให้พี่ถีบออกไป ฮึ?!”
“ไปเองจ๊า ไปเอง~” ว่าแล้วจึงรีบชิ่งออกจากเครื่อง...ออกไปด้วยขาของตัวเอง ดีกว่าถูกส่งออกด้วยขาของกัปตัน เพราะตอนนี้ชาญวิทย์เริ่มจะเงื้อขามาอีกรอบแล้ว
ชาญวิทย์มองนักบินผู้ช่วยของเขาวิ่งแจ้นออกไป จึงพรูลมหายใจออกมาอย่างยาว จากนั้นจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาก้มลงมองจอมือถืออีกครั้ง แล้วอมยิ้ม ก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง และเดินออกจากห้องของคนขับไป
เราไปรักกันอีท่าไหนน่ะเหรอ?
อันที่จริงแล้ว จุดเริ่มต้นของเรา มันก็เริ่มขึ้นจากจุดเล็ก ๆ
เล็ก...แค่นิดเดียวเท่านั้น
สามปีก่อน
“ติ๊ก! ทางนี้ ติ๊ก!” เสียงตะโกนเรียกชื่อดังสู้กับสิ่งแวดล้อมที่อื้ออึง ด้วยทั้งเสียงเครื่องยนต์จากสนามแข่งรถ และเสียงของผู้ชมบนอัฒจันทร์
ชาญวิทย์เดินลัดเลาะตามช่องทางเดินแคบ ๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คอชะเง้อ สายตาสอดส่องหาต้นเสียงที่เรียกชื่อเขา ไม่นานนักก็เห็นเพื่อนของเขายืนโบกไม้โบกมือให้อยู่ไกล ๆ
หนุ่มนักบินพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วจึงเร่งเดินฝ่าฝูงชนไปจนถึงที่นั่งของตน รีบหย่อนก้นลงแล้วปาดเหงื่อ
“ไอ้กานต์...”
“เออ ๆ นี่น้ำ" เพื่อนหนุ่มคนข้าง ๆ ส่งน้ำขวดให้อย่างรู้ทัน เขารีบคว้ามาเปิดฝาทันที แต่กลับบิดฝาเกลียวออกไม่ได้
ชาญวิทย์หันควับไปมองเพื่อนอย่างถมึงทึง อีกฝ่ายพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะรับขวดน้ำมาเปิดฝาแล้วส่งให้อีกที ชาญวิทย์กระดกซดลงคอด้วยความกระหาย แต่แม้จะดื่มจนชุ่มคอดีแล้ว สีหน้าตึงเครียดยังคงไม่ผ่อนคลาย ทำเอาเพื่อนข้างกายขมวดคิ้ว
“เฮ้ยแก อุตส่าห์ชวนมาเที่ยว ทำหน้าให้มันสดชื่นหน่อยดิ”
“สดชื่นไรวะ ไหนบอกจะพามาผ่อนคลาย นี่อะไร แข่งรถ คนแน่นเอี๊ยด ผ่อนคลายโรงพยาบาลแกรึไง? นี่แค่บินไปบินมาก็เพลียจะแย่แล้วนะ ยังต้องถ่อมานั่งดูรถแข่งกลางแดดอีก!” นักบินหนุ่มรัวคำใส่เพื่อนด้วยอารมณ์หงุดหงิด แล้วจึงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง หางตาเริ่มตก หอบหายใจอย่างอิดโรย
“ดูโทรมจังว่ะ โรคนอนไม่หลับยังไม่หายรึไง”
“เออดิ เครียดอยู่เนี่ย มีเพื่อนเป็นหมอ แต่ไม่เห็นมันจะช่วยเลยวะ” ชาญวิทย์ตอบพร้อมเหน็บแนมเพื่อนคนข้าง ๆ ที่มีอาชีพเป็นหมอ
“เออโทษที พอดีเป็นหมอศัลยกรรมครับ เจอเคสงี้ก็จ่ายเป็นแต่ยานอนหลับ แต่เพื่อนก็บอกไม่เอ๊า ไม่เอา เพื่อนจะไปปรึกษาจิตแพทย์ กลัวว่าตัวเองจะมีปัญหาทางจิต!” เพื่อนหมอตอบกลับแบบจัดเต็ม "แล้วนี่ไปหามารึยังล่ะ แกโทรมมากจริง ๆ นะ เดี๋ยวก็บินไม่ได้หรอก”
“หาแล้ว” ชาญวิทย์ถอนหายใจ
“ละเขาว่าไง”
หนุ่มนักบินนึกคิดแล้วก็เบะปากอย่างเซ็งๆ "เหอะ ได้ยานอนหลับไง แถมหมอกวนประสาทอีก”
“ก็ถูกของเขาแล้วนี่ แกนอนไม่หลับ ก็ใช้ยานอนหลับไง”
“ถ้าจะเอาแค่ยา ไปหาซื้อเอาที่ร้านขายยาก็ได้ป้ะ?” หันควับไปเถียง "ที่ไปเพราะอยากได้คำแนะนำเหอะ เป็นจิตแพทย์แท้ ๆ ไหงไม่แนะนำไรเลยวะ”
“เอาน่า ช่างเรื่องนั้นก่อน นี่เดี๋ยวจะแข่งแล้ว มาดู ๆ” หมอกานต์ตบบ่าเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะชี้ให้หันไปดูสนามเบื้องล่าง ที่ก่อนหน้านี้เสียงดังอื้ออึงเพราะรถกำลังลองสนามกันอยู่ แต่ตอนนี้เงียบลงมาก เพราะใกล้จะเริ่มแข่งแล้ว
“ไอ้กานต์ คันไหนวะ” ชาญวิทย์ชะเง้อคอมองเพียงนิด เพราะส่วนตัวแล้วไม่ค่อยสนใจรถแข่งสักเท่าไร ขณะที่เพื่อนหมอข้าง ๆ เหมือนจะเป็นขาประจำ ดูตื่นเต้น นั่งไม่ค่อยติดที่นัก
และที่ชาญวิทย์ตบปากรับคำมาด้วยในวันนี้ เพราะไอ้เพื่อนคนเนี้ย มันมาโม้ว่าตัวเต็งที่ลงแข่งอะ เป็นเพื่อนหมอที่รู้จักกัน
“นั่นไง โตโยต้าสีขาว คาดน้ำเงิน เลข 32” หมอกานต์ชี้ไปยังรถโตโยต้าสีขาว ที่กำลังติดเครื่องยนต์ พร้อมแข่งแล้ว
“เป็นหมอแล้วทำไมมาแข่งรถได้วะ”
“เขาเก่งอะ ทำอะไรได้หลายอย่าง มอไซค์วิบากก็แข่งมาแล้วนะ แล้วก็ที่ว่าจะไปเสม็ดกันอะ จะให้เขามาขับเรือให้แหละ เอ้อ เขาขี่ม้าเป็นด้วยนะ แกเคยบ่นว่าอยากลองนี่ ให้เขาสอนไหมล่ะ”
"เวอร์” ให้คำตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันหน้ากลับเข้าสนามเมื่อได้ยินเสียงประกาศ ว่าการแข่งขันจะเริ่มในอีกไม่ช้า
ในช่วงเวลาไม่นานหลังจากสัญญาณเริ่มแข่ง อาจเป็นเพราะเพื่อนล็อคไว้ให้แล้วว่าต้องเชียร์คันไหน ทำให้สายตาของชาญวิทย์โฟกัสไปที่รถคันดังกล่าวตลอด แม้ว่าจะออกตัวไม่แรง แต่เมื่อผ่านมาครึ่งทางแล้วกลับค่อย ๆ ขึ้นนำรถคันอื่น คันแล้วคันเล่า จนกระทั่งมาตีคู่กับอีกคันนึง ที่นำเป็นที่หนึ่งมาตั้งแต่แรก
เพียงเสี้ยววินาทีที่ชาญวิทย์รู้สึกได้ว่ารถคุณหมอความเร็วแผ่วลง ทำเอาใจหาย เริ่มนั่งไม่ติดที่ แต่ไม่นานนักการตีโค้งสุดท้ายทำให้รถคุณหมอที่อยู่วงในพลิกขึ้นนำ และผ่านจุดเส้นชัยในที่สุด เสียงเฮดังไปทั่วสนาม เขาเองก็เผยยิ้มกว้างและหัวเราะออกมา
หมอกานต์ตบบ่าเรียกเขา "ไงล่ะ เจ๋งไปเลยใช่มะ"
"เออ เจ๋งว่ะ เร็วมาก มองเกือบไม่ทันเลย”
"ลงไปข้างล่างด้วยกันดิ เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จัก” หมอกานต์ว่าแล้วลุกขึ้น หนุ่มนักบินลุกตามอย่างว่าง่าย แต่เพราะผู้ชมคนอื่นยังไม่ลุกไปไหน พวกเขาจึงต้องเดินเลาะช่องแคบอย่างยากลำบากเหมือนเดิม
ชาญวิทย์หันไปมองสนามเบื้องล่างอีกครั้ง เพื่อดูเจ้าของรถหมายเลข 32 ที่พอเปิดประตูลงจากรถมาก็ถูกทีมงานสี่ห้าคนโผเข้ากอดจนตัวจมหายไป แทบมองไม่เห็น เขาสะดุดใจไม่น้อยเมื่อพบว่าหมอคนนั้นตัวเล็กนิดเดียว
จนกระทั่งทีมงานผละออก และคุณหมอตัวเล็กหันหน้ามาที่อัฒจันทร์ฝั่งนี้พอดี
สีหน้าและรอยยิ้มนั้น ทำให้ชาญวิทย์ถึงกับอ้าปากค้าง
และหลุดคำอุทานเสียงดัง
"เชี่ย!”
"เชี่ยอะไรแก” หมอกานต์หันมามองอย่างงุนงง
หนุ่มนักบินหันไปหาเพื่อนหมอ พร้อมลูกตาที่ถลึงกว้าง "นั่นอะ! หมอที่เพิ่งไปหามาไง!”
หมอกานต์หรี่ตา ไม่นานก็ปล่อยก๊ากออกมาเสียงดัง ตบบ่าเพื่อนดังปุ ๆ "เออ ไม่สงสัยละทำไมจ่ายมาแค่ยานอนหลับ”
"ไรล่ะวะ”
"ก็นั่นอะ หมอโรคสมองเว้ย ไม่ใช่จิตแพทย์!”
ซวยจริงจัง! เป็นคำเดียวที่ชาญวิทย์บ่นในใจอยู่ตอนนี้
เพราะดันตบปากรับคำเสร็จสรรพแล้ว ว่าหลังดูแข่งรถเสร็จ ตกเย็นต้องมาต่อที่ผับเพื่อฉลองถ้วยรางวัลให้คุณหมอ แต่ที่เขาตกลงไปนั่นมันก่อนจะรู้...ว่าคุณหมอที่ว่าคือคนเดียวกับที่จ่ายยานอนหลับให้!
"ติ๊ก มานี่ดิ” หมอกานต์เรียก ชาญวิทย์ที่ยืนอยู่ข้างเคาน์เตอร์เบียร์หันไปมองด้วยสีหน้าเซ็งโลกสุด ๆ
พอเขาไม่เดินไป หมอกานต์เลยเดินมาหาเอง พร้อมทั้งเพื่อนหมอเจ้าของถ้วยรางวัลที่ตามขนาบข้างมาด้วย อันที่จริงแล้วหมอกานต์ก็ไม่ใช่คนสูงชะลูด แต่คงเพราะคนข้าง ๆ นั่นเตี้ยกว่ามาก ชนิดที่เห็นส่วนต่างชัดเจน ทำให้ดูเหมือนคู่หูดูโอที่เจอได้ในตลกคาเฟ่
"หมอแพท นี่เพื่อนผมเอง ชื่อชาญวิทย์ จะเรียกไอ้ติ๊กก็ได้ คบกันมาตั้งแต่ประถมแล้ว ตอนนี้เป็นนักบินผู้ช่วย แต่อยู่สายการบินต่างประเทศ เลยไม่ค่อยได้กลับไทยเท่าไหร่” หมอกานต์ผายมือมาทางเขา ก่อนจะเบนไปยังคุณหมอตัวเล็ก "ติ๊ก นี่หมอแพท ทำงานโรงพยาบาลเดียวกับฉัน ที่จริงก็รู้จักกันตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตแพทย์แล้วล่ะ เพราะทำงานสภาด้วยกัน”
คุณหมอตัวเล็กส่งยิ้ม และค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการทักทาย ชาญวิทย์เห็นว่าคุณหมอคงจำเขาไม่ได้ก็คิดว่าดีแล้ว เขายิ้มกลับตามมารยาท
“แกอะ น่าจะดูหมอแพทไว้เป็นตัวอย่างนะ เขาทำอะไรได้หลายอย่าง ทำได้ดีด้วย ไม่เหมือนแก แค่ฝาขวดน้ำยังเปิดไม่ออกเล้ย~ ทุกวันนี้ยังน่าสงสัยอยู่ว่าสอบเป็นนักบินได้ยังไง ฮ่า ๆ ๆ”
ชาญวิทย์ได้แต่แยกเขี้ยวใส่เพื่อนหมอที่เผาความอ่อนด้อยเขาต่อหน้าคนอื่น ยิ่งเมื่อเห็นหมอแพทแอบหันหน้าออกไปขำอยู่คนเดียว เขายิ่งหงุดหงิดเพราะรู้สึกเสียฟอร์ม
"ไปหาไรกินนะ" ผ่านไปสักพักเมื่อเห็นว่าหมอกานต์เริ่มสนทนาอะไรเรื่อยเปื่อย ประกอบกับมีคนอื่นเข้ามาร่วมวงด้วยอีกมากหน้า ชาญวิทย์จึงเลี่ยงออกไป
เขาเดินออกไปยังลานกลางแจ้ง ที่เป็นจุดทำอาหาร มีเนื้อย่างและบาร์บีคิวอยู่บนเตา แต่ไม่มีพนักงานมาเฝ้า สงสัยจะให้บริการตัวเอง เขายืนชั่งใจอยู่สักพักจึงหยิบจานและที่คีบขึ้นมา สายตาจดจ้องมองเนื้อที่ส่งกลิ่นหอมจนน้ำลายสอ
แต่...ก็จ้องอยู่อย่างนั้น คีบชิ้นนั้น ชิ้นนี้ พลิกไปพลิกมา แต่ไม่เอามาใส่จานเสียที เขาเริ่มจะหงุดหงิด เมื่อเหลือบซ้ายทีขวาทีแล้วไม่เห็นวี่แววพนักงานเลย
“ชิ้นนั้นสุกแล้วครับ” และเหมือนเป็นเสียงสวรรค์ ชี้ทางให้คนที่ดูเนื้อสุกไม่เป็น ชาญวิทย์รีบคีบชิ้นดังกล่าวมาใส่จานตัวเอง
"ขอบคุณครับ" แต่เมื่อหันไปกล่าวคำขอบคุณแก่คนคนที่มาช่วย กลับพบว่าเป็นหมอแพท คุณหมอตัวเล็กส่งยิ้มให้เขาอยู่ ทำเอาอยากจะกลืนคำพูดตัวเองกลับลงคอเสียทันที
เมื่อทำอะไรไม่ได้ เขาจึงเดินถือจานเนื้อชิ้นเดียวนั้น เลี่ยงไปนั่งโต๊ะที่ห่างออกไปไม่มาก แต่เมื่อจะเริ่มทาน มือสองข้างก็ยกขึ้นเก้อ
ลืมมีดกับส้อม ปัดโถ่!
“นี่” มือเล็ก ๆ ของหมอแพทยื่นมีดและส้อมให้ หลังจากชาญวิทย์รับมาอย่างงง ๆ คุณหมอวางจานเนื้อของตัวเองลง แล้วเดินออกจากโต๊ะไป และกลับมาใหม่อีกครั้งพร้อมเบียร์สองแก้วใหญ่
ชาญวิทย์ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อคุณหมอตัวเล็กหย่อนตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ตัวข้างเขา หมอแพทฉีกยิ้มให้ก่อนจะก้มลงจัดการกับอาหารของตัวเอง
“โรคนอนไม่หลับ หายรึยังครับ” คำถามถูกยิงมา ทำเอานักบินนุ่มเกือบสำลัก
“ก็...ก็ดีมั้ง"
“งั้นก็ดีแล้ว แต่ยังดูโทรม ๆ นะ สงสัยไม่ทานยาล่ะสิ”
ชาญวิทย์ลอบมองอีกฝ่ายที่ก้มหน้าก้มตาทานอย่างสบายใจเฉิบแล้วก็นึกฉุน ก็ได้แต่เก็บอารมณ์ไว้ในอก เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ
เย็นไว้...ยังไงก็เพื่อนของเพื่อน ถ้าไปทะเลาะกับเขาละก็ ไม่ดีแน่
“เห็นหมอกานต์บอกว่า คุณติ๊กเก็บชั่วโมงบินอีกไม่นาน ก็จะได้เลื่อนเป็นกัปตันแล้ว เก่งมากเลยนะครับ"
ชาญวิทย์ยกเบียร์ขึ้นซดอึกใหญ่ ก่อนจะหัวเราะเหอะ ๆ
“ไอ้กานต์มันขี้โม้ กัปตันไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ หรอก”
“แต่ได้เป็นนักบิน ผมว่าก็เก่งแล้วแหละ” หมอแพทหันมายิ้มให้จางๆ แต่ไม่นานก็กลับไปแทะเล็มซี่โครงหมูย่างตามเดิม
“อย่าชมเลย หมอน่ะเก่งกว่าผมอีก” หนุ่มนักบินว่าแล้วก็กระดกเบียร์อีกหน พอวางลงอีกทีก็เหลือติดค่อนแก้วแค่นิดเดียว "แข่งรถ ขับเรือ ขี่ม้าก็ได้ แถมยังเป็นหมอ ถ้าป่วยก็คงดูแลรักษาตัวเองได้ นี่ทำกับข้าวเป็นด้วยป้ะ? ครบวงจรอะ ถ้าติดเกาะคงอยู่คนเดียวสบายเลย”
คุณหมอตัวเล็กหลุดหัวเราะออกมา มือเล็กป้องปากไว้แต่ไหล่สะท้านอย่างเห็นได้ชัดว่ากลั้นหัวเราะไม่ค่อยจะอยู่
“หัวเราะไร? ผมชมนะ ขอบคุณผมเสะ!”
“ขอบคุณครับ” หมอแพทพยักหน้าหงึก ๆ มือข้างหลังยกขึ้นปาดน้ำตาที่เล็ดออกมาเพราะกลั้นฮาเมื่อครู่ พลางเหลือบตามองนักบินชาญวิทย์ที่หน้าขึ้นสี กำลังจัดการกับเบียร์อีกแก้วที่คุณหมอตั้งใจเอามาให้ตัวเอง
“ที่ผมทำได้ เพราะคุณพ่อเคยสอนตอนเด็ก ๆ น่ะ พ่ออยากให้ผมลองหลาย ๆ อย่าง จะได้รู้ว่าชอบอะไร”
“ผมนะ ที่บ้านก็ให้ลองมาหลายอย่างเหมือนกัน แต่ไม่ไหวอะ ไม่เอาอ่าว หมอน่าอิจฉามาก ผมโคตรหมั่นไส้เลยเนี่ย”
“ถึงจะทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ก็มีอย่างนึง ที่อยากทำ แต่ยังทำไม่ได้นะ”
“ยังมีอีกเหรอ?” ชาญวิทย์เอียงคอป้อแป้ เริ่มรู้สึกว่าหัวมันหนักกว่าเดิมจึงยกมือขึ้นเท้าคางไว้
“มีสิ” หมอแพทมองไปทางอื่นแล้วยิ้ม
“ก็..."
"อะไรครับ”
"ขับเครื่องบินไง”
ชาญวิทย์ได้ยินแล้วนิ่ง...ต่างคนต่างเงียบ
ไม่นานนัก หมอแพทค่อย ๆ หันหน้ามาสบตา แล้วยิ้ม
มันเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ เล็ก
เล็ก...แค่นิดเดียว
(http://upic.me/i/xv/fly_banner.png)
(http://upic.me/i/xv/fly_banner.png)
Chapter 1: Am I overthinking?
ช่วงสายของเมืองกรุง ที่แดดเริ่มจัดจ้าน แท็กซี่คันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาหยุดที่หน้าลานกว้างของคอนโดสูงตะหง่าน จอดเพียงครู่เดียวก็ติดไฟว่างและออกตัวไป เผยให้เห็นผู้โดยสารหนุ่มร่างสูงที่มาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเขื่อง สาว ๆ ละแวกนั้นต่างพากันเหลียวมอง สิ่งที่ทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาไม่ใช่เพราะชุดภูมิฐานของนักบิน หากแต่เป็นใบหน้าหล่อคมคายที่กำลังอมยิ้มอยู่นั่นต่างหาก
แต่ตัวเขาเองไม่ได้สนใจ เพราะสายตากำลังจดจ้องแอปพลิเคชันในหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตน เมื่อตรวจสอบอีกครั้งจนแน่ใจ ว่าวันนี้ไม่มีหมายเหตุอะไรในปฎิทิน เขาปิดโปรแกรมแล้วกดโทรออก แนบเครื่องมือสื่อสารเล็ก ๆ นั้นไว้ข้างหูพร้อมกับออกตัวเดินเข้าตัวอาคารสูงระฟ้า และหายเข้าไปในลิฟต์ ขณะที่ คนปลายทางก็รับสายพอดี
[ครับ] เพียงแค่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ตอบรับแบบสั้น ๆ นิ่ง ๆ กัปตันหนุ่มกลับพรายยิ้มกว้าง
"ที่ร้าก~" เมื่อลิฟต์ไต่ระดับมาถึงชั้นที่เขากดไว้ เขาก็รีบออกมาทันที ชาญวิทย์เดินไปหยุดหน้าประตูอย่างว่องไว
[ครับผม โทรหามีอะไรเหรอ]
"พอดีเราส่งของไปให้อ่า”
[จริงเหรอ ส่งอะไร ส่งจากไหน]
"ไม่บอก! เดี๋ยวก็รู้เอง เราส่งไปอย่างด่วน ตอนนี้น่าจะไปถึงแล้วนะ” ว่าจบแล้วจึงเคาะประตูหน้าห้อง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเคาะลอดผ่านปลายสายเช่นกัน
"นั่นไง! ถึงแล้วจริง ๆ ไปเปิดประตูเลย เร็วๆ” เขาพูดเร่งเร้าคนปลายสาย อีกทั้งเคาะประตูเรียกอีกหน
[เดี๋ยวนะ...ติ๊ก]
"เปิดประตู ๆ เร็ว ๆ เร็ว ๆ”
[แป๊บ...]
กัปตันหนุ่มเงี่ยหูฟังเสียงเดินดุ่ม ๆ ใกล้เข้ามาหน้าประตู เข้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นจึงกอดอก ค่อมตัวเล็กน้อยเป็นท่าเตรียมพร้อม
และเมื่อเสียงปลดกลอนดังแกร็ก ประตูเปิดออก เข้าก็อ้าแขนและโผไปหาคนข้างหน้าทันที พร้อมเอ่ยคำพูดที่เตรียมไว้เสียงดัง มั่นใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายตกใจได้
"เซอร์ไพรส์~!!!”
"ตาเถร!!!!”
"!!! เฮ้ย!!”
ไม่ใช่เพียงคนในห้องที่เปิดประตูมาแล้วต้องตกใจสุดขีด แต่ตัวหนุ่มหล่อผู้ทำเซอไพรส์เองก็สะดุ้งจนตาเหลือก รีบถอยกรูดในฉับพลัน
เพราะจากที่คิดว่าจะเป็นชายหนุ่มร่างเล็ก ดันกลายเป็นป้าแก่ ๆ ในชุดแม่บ้านไปเสียได้!
"โธ่! คุณติ๊กนั่นเอง อย่าเล่นแบบนี้สิคะ ป้าหัวใจจะวาย” แม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดอาทิตย์ละหนยกมือทาบอก พ่นลมหายใจออกมาพลางส่ายหน้าเนือย ๆ
"ข...ขอโทษครับ" กัปตันหนุ่มยกมือไหว้อย่างงก ๆ เงิ่น ๆ สาวแก่ยิ้มรับก่อนจะเดินเข็นอุปกรณ์ทำความสะอาดออกไปยังห้องอื่นต่อ ทิ้งให้เขายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่จุดเดิมเพราะไปต่อไม่ถูก
และเมื่อฉุกคิดได้ จึงรีบยกโทรศัพท์กลับมาแนบหู
"แพท...แพท!” ปลายสายยังไม่วาง แต่กลับเงียบไป เขาเรียกชื่อซ้ำ ๆ อย่างนั้นอีกหลายครั้ง จนกระทั้งอีกคนตอบกลับ
[มาแล้ว ๆ โทษที เมื่อกี๊ถูกเรียกไปคุยนิดหน่อยน่ะ] ประโยคตอบรับดังในสายทำเอากัปตันหนุ่มเผยอกรามค้าง จนต้องรีบตีคำถามกลับไปทันที
"คุยอะไร...แล้วตอนนี้อยู่ไหน?”
[อยู่โรงพยาบาล]
"....”
[ติ๊ก แค่นี้ก่อนนะ โดนเรียกแล้ว] ตอบอย่างเร่งรีบจากนั้นจึงตัดสายไปทันที
"เดี๋ยว...แพท...แพท!” กัปตันหนุ่มตะเบ็งเสียงเรียก แต่สายที่วางไปแล้วคงไม่อาจกลับมาติดเหมือนเดิมได้
ชาญวิทย์ยกมือขึ้นเสยผมหน้าม้าเรียบแปล้ของตน ก่อนจะขยี้มันจนเสียทรง พลางส่ายหน้าไปมาเร็ว ๆ อย่างหัวเสีย
หมด หมด! หมดกัน!
ช่วงบ่ายคล้อยที่แดดจ้าเริ่มหายไป บนถนนรถติดแน่นเพราะเป็นเวลาเลิกงานของคนส่วนมาก
ที่ลานกว้างหน้าอาคารผู้ป่วยอายุรกรรม ชายหนุ่มร่างเล็กหอบเสื้อกาวน์และกระเป๋าคอมพิวเตอร์ สองขาก้าวลงบันใดออกจากอาคารอย่างรีบเร่ง แต่เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาแล้วไม่เห็นใครรออยู่ ใบหน้านั้นขมวดคิ้วด้วยความฉงน
"ยังไม่มาเหรอ?” คุณหมอตัวเล็กยืนพึมพำอยู่กับที่
ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงบางอย่างสั่นเครือเบา ๆ ทำให้คุณหมอแหงนหน้าขึ้นมอง จึงเห็นเครื่องบินบังคับลำเล็ก กำลังบินวนเป็นวงกลมอยู่เหนือตัวเขา นั่นทำให้ริมฝีปากรูปกระจับคลายยิ้มออกมาได้ไม่ยาก คู่ตาเหล่มองซ้ายที ขวาที สะพายกระเป๋าคอมไว้กับไหล่ ก่อนจะกอดแขนไว้กับอก
"ติ๊ก ออกมาออกมาได้แล้ว”
เมื่อได้คำตอบเป็นความเงียบ และไม่มีใครก้าวออกจากที่ซ่อนตัว คิ้วคุณหมอขมวดมุ่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ลดแขนลงเท้าเอว
"ติ๊ก นับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่ออกมาละก็ เราจะ...”
"จ้า! จ้า!” กัปตันหนุ่มเผยตัวจากซอกตึกเบื้องหลัง ยกสองมือขึ้นเหนือศีรษะในลักษณะของผู้จำยอม
คุณหมอหันขวับมามองแล้วยิ้ม ขณะที่กัปตันชาญวิทย์สีหน้าเซ็ง ๆ บ่นกระปอดกระแปด "มุกนี้ตลอดเลย”
กี่ครั้งกี่หน ไม่ว่าจะซ่อนอยู่ตรงไหน พอเจออีกฝ่ายใช้มุกนี้ทีไร ก็ต้องยอมออกมาทุกที
คุณหมอตัวเล็กเดินมาประชิดตัวกัปตัน ก่อนจะใช้แขนข้างหนึ่งที่ยังว่างเกาะเกี่ยวแขนกำยำเอาไว้ แล้วยักยิ้มอย่างผู้เป็นต่อ "ได้ข่าวว่าวางแผนไปเซอไพรส์ที่คอนโดแล้วแป้กเหรอ”
ชาญวิทย์เหล่ตามองคนตัวเล็กแล้วเบือนหน้าหนี "แหงสิ ก็คนแถวนี้สลับเวรแต่ไม่บอกนี่”
แล้วก็ได้รับการตอบกลับเป็นเสียงหัวเราะของคุณหมอ ยิ่งทำให้กัปตันหนุ่มงอนตุ๊บป่องไปกันใหญ่ จนหมอแพทต้องถองสีข้างเบา ๆ ให้รู้สึกตัวและหันมามอง
"จะงอนอีกนานไหม หิวจะแย่อยู่แล้ว”
ทั้งสองเลือกมานั่งในร้านอาหารไทย ด้วยว่ากัปตันหนุ่มผู้ทำงานกับสายการบินต่างประเทศเป็นฝ่ายร่ำร้อง เพราะเขาไม่ได้ทานอาหารประจำชาติเลยตลอดเวลาร่วมเดือนที่บินอยู่เมืองนอก
หลังจากสั่งรายการอาหาร รอไม่นานนักพวกเมนูที่ทำง่าย ๆ ก็ถูกเสิร์ฟก่อน ชาญวิทย์เหลือบมองแฟนหมอตัวเล็กของเขาที่ก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจตน หน้าหล่อง้อง้ำ
"แลกเวรทำไมไม่บอกเราเลย” คำถามด้วยน้ำเสียงฟังดูน้อยเนื้อต่ำใจ ทำให้หมอแพทชะงักมือ เงยหน้ามามองแล้วยิ้ม
"โทษที ช่วงต้นปีก็สลับเวรกันวุ่นวายอย่างงี้แหละ บางคนก็มาขอแลกแบบด่วนๆ แล้วเราไม่รู้ว่าติ๊กจะกลับมาไง ก็เลยไม่ได้บอก” กัปตันหนุ่มฟังคำอธิบายแล้วพ่นลมหายใจออกฟึดฟัด ดูไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนัก
"แล้วนี่สมควรงอนไหมเนี่ย มาไม่บอกเองแท้ๆ” หมอแพทกดเสียงลงต่ำเป็นเชิงตำหนิ ชาญวิทย์ได้แต่กลอกตามองไปทางอื่น เงียบกันอยู่สักพัก
"โอเค เดือนนี้เราพลาดเอง ที่ไม่ได้บอกไว้แต่แรก” สุดท้ายกัปตันหนุ่มจึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ คุณหมอยักยิ้ม ชาญวิทย์เอื้อมมือไปจับมือเล็กข้างหนึ่งไว้ สายตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างจริงจัง
"แต่เดือนหน้ามีวันสำคัญนะ จำได้ใช่ไหม? มีสองวัน”
หมอแพทหยักหน้าอย่างจริงจัง "อื้ม ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ก็วันวาเลนไทน์ กับวันมาฆะบูชาไง ปีนี้มาตรงวันเดียวกันอีกด้วยนะ!” ว่าจบก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ทำเอากัปตันหนุ่มใบ้รับประทานไปครู่ใหญ่ สีหน้าจ๋อยลง แต่ไม่นานก็ฮึดฮัดขึ้นมา
"อื้ม นั่นแหละ สรุปว่ามีวันสำคัญ เพราะงั้น เราจะนัดไว้ก่อนเลย แพทต้องเคลียร์ตารางให้เราด้วย!”
หมอแพทยิ้ม "ยากไปนะติ๊ก เพราะคนอื่นเขาก็อยากหยุดวันนั้นเหมือนกัน ฝันเอาง่ายว่าไหม?”
คำตอบนี้ทำให้กัปตันนิ่งไป หมอแพทดึงมือออกจากการเกาะกุม แล้วก้มหน้าลงจัดการกับอาหารต่ออย่างสบายใจเฉิบ ขณะที่กัปตันหน้าสลด จับช้อนส้อมทานอย่างเงียบๆ
โดยที่ไม่รู้ว่า หมอแพทลอบยิ้มอยู่ไม่ให้เขาเห็น
คุณหมอเมื่อมองสีหน้าเศร้า ๆ ของแฟนหนุ่มนักบินจนพอใจแล้ว จึงเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือเขาบ้าง
แต่ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายแว่วมา ทั้งสองต่างเงยหน้าขึ้นมองกัน ก่อนจะหันไปยังจุดต้นเสียง แล้วหมอแพทก็ลุกพรวดขึ้นทันทีทันใด
"เด็กเป็นลมชัก”
“หา?”
“อยู่นี่แหละ เดี๋ยวเรามา” หมอแพทพูดอย่างกระชับ ก่อนจะออกตัววิ่งไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่ห่างไกลออกไป
กัปตันกลับมามองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ สลับกับทางไกลนู้นที่หมอแพทกำลังเข้าไปช่วยปฐมพยาบาลคนป่วยอยู่
ก็ได้แต่เอามือเท้าคางมอง พลางถอนหายใจออกมา นึกบ่นอยู่ในใจ มาเดททีไร ก็มักมีเรื่องมาขัดจังหวะสวีทของพวกเขาทุกทีเชียว....เดทกับคุณหมอนี่มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ
ภายในรถยนต์ส่วนตัวมีเพียงคนสองคนนั่งคู่กันอยู่ที่เบาะด้านหน้า ตั้งแต่ขึ้นรถมาก็ไม่พูดอะไรกันเลย จนกระทั่งหมอแพทตัดสินใจทำลายความเงียบด้วยการพูดเปิดประเด็นก่อน
"ติ๊ก...โกรธเราเหรอ?”
"เปล่า” กัปตันหนุ่มเอาแต่เสมองออกไปนอกหน้าต่าง
“แล้วทำไมเงียบจัง ไม่เห็นพูดกับเราเลย”
"แพทขับรถอยู่ ชวนคุยเดี๋ยวจะเสียสมาธิ” ตอบกลับคุณหมอตัวเล็กที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ
ความเงียบเข้าครอบคลุมอีกครั้ง เมื่อคุณหมอกลับไปใช้สมาธิจดจ่อกับการบังคับเครื่องยนต์ กัปตันหนุ่มลอบมองอีกฝ่ายอยู่สักพัก จึงค่อย ๆ หันกลับมา แล้วเอนศีรษะไปซบบ่าเล็ก
"เราคิดถึงแพทมากเลย” พึมพำออกมาแม้เสียงจะไม่ดัง แต่ชาญวิทย์เชื่อว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
"แล้วแพทล่ะ ตอนเราไม่อยู่ คิดถึงเราไหม?"
หมอแพทปรายตามองเล็กน้อย แล้วอมยิ้ม...
ก่อนจะสละมือซ้ายที่ประคองพวงมาลัยอยู่ มาผลักหัวทุย ๆ ของแฟนหนุ่มกระเด็นออกไปเต็มแรง
"เราขับรถอยู่ อย่าทำให้เสียสมาธิสิ”
"แพทอ้ะ...แล้วตกลงคิดถึงเราไหม?” กัปตันเสียงอ่อนลง
บังอ้อ
เมื่อคุณหมอไม่ตอบ จึงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเว้าวอน เอื้อมมือไปกระตุกชายเสื้อเบา ๆ "แพทคิดถึงเราไหม? แพท?”
อาการหางลู่หูตกแบบนี้ทำให้หมอแพทพึงพอใจไม่น้อย คุณหมออมยิ้มขณะที่แฟนหนุ่มยังคงถามซ้ำ ๆ
พอแกล้งจนพอใจแล้ว ก็กำลังจะอ้าปากตอบ ทว่า...สายตาว่องไวกลับมองเห็นสิ่งผิดปกติเบื้องหน้าเสียก่อน
หมอแพทค่อย ๆ ชะลอรถทำให้ชาญวิทย์มองอย่างฉงนใจ จนกระทั่งรถของพวกเขาจอดเทียบข้างทาง และเห็นรถอีกคันหนึ่งจอดสนิทอยู่ก่อนหน้าพร้อมกับยางล้อหลังที่แบนสนิท จึงถึงแก่บางอ้อ
หมอแพทเปิดประตูออกไปอย่างไม่รีรอ และไปคุยกับหญิงสาวเจ้าของรถที่กำลังยืนเครียดอยู่เพียงลำพัง
"แพท...” กัปตันที่ลงจากรถตามมาทีหลังร้องเรียกเบา ๆ
หมอแพทหันมาหาเขา "ติ๊ก เอาถุงอุปกรณ์หลังรถมาให้เราที”
"จะทำอะไร?” กัปตันหรี่ตามองอย่างไม่วางใจ หมอแพทให้คำตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล "รถยางแตก เขามียางสำรอง เราเลยจะเปลี่ยนให้”
"...” ชาญวิทย์ยืนมองคนตัวเล็กอย่างอึ้ง ๆ "มีปัญหา...ก็โทรเรียกช่างสิ”
"เราทำได้ ไม่ต้องถึงมือช่างหรอก ติ๊กไปเอาของมา เร็วๆ” คุณหมอตอบกลับอย่างไว พร้อมกับออกคำสั่งเร่งเร้า ชาญวิทย์ฮึดฮัดเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินไปเปิดกระโปรงหลังรถเอาของมาให้
กัปตันได้แต่กอดอกยืนมองดูแฟนหนุ่มของเขาจัดการเปลี่ยนยางรถยนต์ มองดูคุณหมอตัวเล็ก ๆ ที่ขึ้นไปกระโดดเหยียบประแจสำหรับงัดตัวน็อตที่ขึ้นชื่อว่าเกลียวแน่นสุด ๆ ให้คลายและหลุดออกมาอย่างง่ายดาย
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของชาญวิทย์ รวมถึงภาพหญิงสาวเจ้าของรถที่มองดูหมอแพทด้วยความชื่นชมอยู่ข้าง ๆ อารมณ์หึงหวงค่อย ๆ ประทุอยู่ในอก
เขาละสายตาจากภาพเหล่านั้น พลางพ่นลมหายใจออกมาสั้น ๆ ชาญวิทย์ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เวลาส่วนตัวของเขากับหมอจะถูกรบกวนด้วยอะไรแบบนี้ เพราะหมอแพทเป็นคนเก่งรอบด้าน และชอบพุ่งทะยานไปช่วยเหลือทุกคนเสมอ
แต่บางที เขาก็เริ่มรู้สึกว่า...มันจะมากเกินไปหรือเปล่า
ทั้งที่จริงก็เลี่ยงได้ แต่ทำแบบนี้ เหมือนไม่เปิดโอกาสให้ได้อยู่ด้วยกันเลยนะ...
บรรยากาศยามเช้าภายในร้านกาแฟแบรนด์ดัง ลูกค้าสาว ๆ ดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีหนุ่มหล่อสะดุดตากำลังนั่งเหม่อลอย ให้พวกหล่อนได้ลอบมองเป็นอาหารตาเล็ก ๆ น้อย ๆ
ชาญวิทย์ผู้ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา เอาแต่ทอดมองออกไปนอกร้าน จนกระทั่งเวลาต่อมามีลูกค้าคนใหม่เดินผลักประตูร้านเข้ามา ตรงไปสั่งกาแฟที่เคาน์เตอร์ และสักพักก็ยกถาดมาวางและนั่งลงฝั่งตรงข้ามของกัปตัน
"เรียกแต่เช้าเลย มีไร” เสียงแหบแห้งถามทันทีที่ทิ้งตัวลงนั่ง พลางยกกาแฟร้อน ๆ ขึ้นจิบทีละน้อย
ชาญวิทย์จ้องหน้าเพื่อนหมอเขม็ง "ไอ้กานต์ แกว่าหมอแพทมีคนอื่นป้ะ?”
คำถามที่ยิงไปทำเอานายแพทย์หนุ่มเกือบสำลักกาแฟ เขารีบวางแก้วลงและดึงผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบที่เลอะมุมปาก พลางเหลือบมองเพื่อนของตนที่สีหน้าเคร่งเครียด หมอกาน์ส่ายหน้าไปมา
"จะมีได้ไงวะ วัน ๆ ทำแต่งาน แกอะ...คิดมากไปป้ะ?”
ชาญวิทย์ถอนหายใจเฮือกยาว "ก็เพราะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย อะไร ๆ มันก็ไม่ราบรื่นนัก นี่ฉันลดเที่ยวบินเพื่อให้ได้มีเวลามาอยู่กับเขา แต่เขากลับยุ่งอยู่ตลอด หรือตอนที่ว่าง ก็ยังเอาตัวไปพัวพันกับเรื่องยุ่ง ๆ ทุกที ไม่มีเวลาให้กันบ้างเลย”
"ติ๊กเว้ย” เอ่ยเรียกให้เพื่อนที่จมกับความคิดหมกหมุ่น ให้เงยหน้าขึ้นมามองตน "แกกับเขาคบกันมาสามปีแล้วนะ ยังไม่ชินอีกเหรอวะ”
ชาญวิทย์ขมวดคิ้วมุ่น หมอกานต์เป็นฝ่ายถอนใจเมื่อเพื่อนไม่เข้าใจสิ่งที่เขาสื่อ
"ฉันเคยบอกแกไปหลายครั้งแล้ว อาชีพของหมอน่ะ มันก็ยุ่งเป็นเรื่องธรรมดา และยิ่งเป็นหมอแพทที่วิ่งเข้าชนทุกอย่าง มันก็มากกว่าธรรมดาอีกนิดนึง สามปีแล้วนะ ยังไม่ชินเหรอวะ”
"ชินก็อีกเรื่อง แต่ไม่พอใจมันก็อีกเรื่องนะเว้ย” กัปตันว่า สีหน้าบึ้งตึง "บางทีมันก็อดคิดไม่ได้ ว่ามีแต่ฉันเองที่ไล่ตามเขาตลอด ฉันหาเวลามาอยู่กับเขาแล้ว แต่ทำไมเขาไม่เผื่อเวลาให้ฉันบ้างเลยวะ”
"ไอ้ติ๊ก" หมอกานต์ถอนหายใจอีกครั้ง มองหน้าเพื่อนด้วยแววตาจริงจัง
"ความรักของแกมันหมายถึงอะไรวะ มันหมายถึง...การที่คนสองคนต้องอยู่ด้วยกันตลอดวเลา แค่นั้นเหรอ?”
"ก็...” กัปตันเจอคำถามไปถึงกับตอบไม่ถูก "มันก็ต้อง...มีบ้าง ไม่ใช่รึไง?”
หมอกานต์ยิ้มแล้วลุกยึ้นยืนเต็มความสูง "ฉันว่าแกกลับไปคิดทบทวนดี ๆ ก่อน ว่าที่กำลังเรียกร้องอยู่มันใช่สิ่งที่จำเป็นจริงรึเปล่า บางอย่างมันตัดได้ก็ตัดไป ไม่ดีกว่าเหรอ?”
"ทำไมชอบพูดอะไรเข้าใจยากอยู่เรื่อยเลยวะ”
"มันติดที่แก...ยังไม่ยอมทำความเข้าใจเองต่างหาก" หมอกานต์ยิ้มจางๆ
"..."
"ไปก่อนนะเว้ย นี่หลบงานมา บอสจับได้เดี๋ยวจะยุ่ง" โบกมือไหว ๆ เอ่ยลาแบบส่งๆ และเดินออกจากร้านไป
กลับมาเหลือตัวเองอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง ชาญวิทย์เอนหลังไปกับพนักพิงโซฟา มองเหม่อไปนอกร้านอีกครั้ง
'ความรักของแกมันหมายถึงอะไร?'
'หมายถึงการที่สองคนต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แค่นั้นเหรอ?'
"แล้วมันไม่ใช่เหรอ?” ชาญวิทย์นั่งครุ่นคิด และพึมพำกับตัวเอง ภายในห้องนั่งเล่นที่มีแต่เขาอยู่เพียงลำพัง เขานั่งขบคิดถึงคำถามของหมอกานต์จนเวลาล่วงเลย แสงอาทิตย์คล้อยหายไป ห้องที่เคยสว่างเริ่มอมความมืด
และเพราะไม่รู้ตัวถึงความมืดที่ปกคลุม เขาสะดุ้งเฮือก เมื่อจู่ๆ หลอดไฟกลางเพดานห้องสว่างวาบ กัปตันหนุ่มหันขวับไปพบกับคนรักที่ยืนอยู่ข้างสวิตช์ไฟ เท่านั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
"นั่งทำอะไรมืด ๆ หืม?” หมอแพทสาวเท้าเข้ามาประชิด ชาญวิทย์กอดเอวคอดไว้หลวม ๆ "แค่คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ”
ร่างสูงโปร่งลุกจากโซฟา หมอแพทเงยหน้าขึ้นติดตามสายตาของเขา กัปตันเกลี่ยปอยผมหยักศกที่ระหน้าผากคุณหมอ จัดผมยุ่ง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง และเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน "วันนี้เหนื่อยไหม?”
"เหนื่อยมากกกกก” หมอแพทตอบรับเสียงยานคาง อีกทั้งลากเสียงพยางค์สุดท้ายเพื่อเน้นว่าเหนื่อยจริง
ชาญวิทย์มองคนน่ารักของเขาแล้วอมยิ้ม หน้าคมโน้มลงหมายจะหอมแก้ม แต่หมอแพทยกมือขึ้นขั้นกลางไว้เสียก่อน
กัปตันหรี่ตามองถุงกับข้าวที่ติดมือขึ้นมาด้วย
"เวฟให้ที เราไปเปลี่ยนชุดแปบนึง” ว่าแล้วก็ยัดเยียดใส่มือเขา ชาญวิทย์จำต้องรับแล้วเดินไปที่ครัวอย่างเซ็ง ๆ ขณะที่หมอแพทเดินหายเข้าไปในห้องนอน
เคาท์เตอร์แบบบิวท์อินนั้นซ่อนช่องเก็บของไว้มากมาย ใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าชาญวิทย์จะหาเจอว่าหมอแพทเก็บจานชามไว้ตรงไหน เขายกของทุกอย่างไปเตรียมหน้าเตาไมโคตรเวฟ
กับข้าวที่หมอแพทซื้อมานั้นเป็นข้าวแกงเจ้าประจำที่ขายในตลาดละแวกใกล้ ๆ ที่เขาเองก็ติดใจในรสชาติอยู่เช่นกัน กัปตันหนุ่มค่อย ๆ เริ่มแกะหนังยางที่รัดปากถุงไว้
"เห...” แต่กลับพบว่าปมวันนี้มันแกะยากจริงจัง หนุ่มร่างสูงพยายามก้มมองดูเงื่อนที่บิดเป็นเกลียวจนลายตา
จนกระทั่งหมอแพทเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วออกมาดู ก็พบว่าแฟนหนุ่มยังแกะยางรัดปากถุงไม่ได้
"เดี๋ยวเราทำเอง” หมอแพทเบียดสีข้างมายืนแทนที่ ใช้เวลาเพียงไม่นาน กับข้าวในถุงพลาสติกแก้วก็ย้ายไปอยู่ในชามเซรามิก ก่อนจะถูกส่งเข้าอบในเตา แล้วหมอแพทจึงหันไปจัดการกับถุงอื่น ๆ ที่เหลือ
"แพทนี่เก่งน้า ทำได้ทุกอย่างเลย ถ้าล่องเรือไปติดเกาะ ก็คงเอาตัวรอดได้” กัปตันได้แต่กอดออกมองอยู่ข้าง ๆ คำพูดประชดประชัดขำ ๆ เลื่อนลอยไป คุณหมอตอบพลางหัวเราะคิกคัก "แน่นอน”
"ติดอยู่คนเดียว ก็อยู่ได้”
"แน่อยู่แล้ว”
"ไม่มีเรา ก็อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?”
"ใช่”
"....” คำตอบสุดท้ายทำเอาผู้ฟังสีหน้าเจื่อนลง โดยที่หมอแพทไม่รู้ตัว และยังคงหัวเราะคิกคักอยู่
กัปตันหนุ่มหน้าหงิก ค่อย ๆ สวมกอดคนรักจากด้านหลัง เมื่อหมอแพทไม่มีท่าทีขัดขืนอะไร ฝ่ามือใหญ่จึงเริ่มซุกซน ลามปามเข้าปัดป่ายผิวเรียบลื่นใต้เสื้อยืดตัวหลวมโคร่ง หมอแพทจึงเริ่มขืนตัวไว้อย่างรู้ทัน
"เราจะกินข้าว”
"นิดนึงน่า ไว้อุ่นกินทีหลังก็ได้” ชาญวิทย์ไม่สนใจนัก จมูกโด่งจรดลงที่หลังคอ สูดหายใจเอากลิ่นกายของคนรักเข้าเสียเต็มปอด
หมอแพทดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดที่เหนียวแน่น "ติ๊ก หยุดเลย เราหิวจะแย่อยู่แล้ว”
"เราก็หิว...” เขาตอบกลับทันควัน และเคลื่อนหน้าไปกระซิบข้างหู "...แพท”
แม้จากมุมนี้จะมองเห็นเพียงเสี้ยวหน้า แต่ก็รู้ได้ว่าตอนนี้คุณหมอกำลังหน้าขึ้นสีอยู่แน่ ๆ ชาญวิทย์ยังคงกระซิบต่อด้วยเสียงผะแผ่ว "ไม่ได้กินมาเป็นเดือนแล้วนะรู้ไหม”
"ติ๊ก!” หมอแพทหันขวับมาอย่างเอาเรื่อง แต่นั่นก็เข้าทางหนุ่มเจ้าเล่ห์ ชาญวิทย์ไม่รอช้ารีบประชิดริมฝีปากสวยทันที
รสจูบที่หนักหน่วง และดูดดึงอย่างเว้าวอน...
หลังจากผละออกมา ก็ได้เห็นสีหน้าแดงก่ำ และงอง้ำของคุณหมอตัวเล็ก เป็นที่พึงใจของกัปตันไม่น้อย เขาสองคนมองหน้ากันอยู่นาน โดยชาญวิทย์พยายามอย่างยิ่งยวดในการใช้สายตาร้องขอ จนหมอแพทถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
"เรายังไม่ได้อาบน้ำ”
"เดี๋ยวเราอาบให้”
"!!!” หมอแพทถึงกับชะงักไป และเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเก้อเขิน " ทำเป็นรึไง...แกะถุงข้าวยังไม่ได้เลยนะ”
กัปตันหนุ่มหรี่ตามองอย่างเอาเรื่องเมื่อได้ยินคำสบประมาทจากคนรัก แล้วเขาก็โน้มตัวลงต่ำ เพื่อจับหมอแพทแบกขึ้นบ่า ร่างเล็ก ๆ นั้นลอยหวือ และร้องเหวอ
"ติ๊ก! ปล่อยนะ!”
"ไม่ปล่อย!” แล้วก็ออกตัวเดินไปทางห้องนอน หมอแพทดีดขาขัดขืน
"อาบน้ำก่อน!”
"เราทำไม่เป็น เพราะงั้น...ไม่ต้องอาบ!”
"ติ๊ก!!!” หมอแพทแผดเสียงลั่น ทำเอากัปตันหนุ่มเดาได้ว่าตอนนี้คนบนบ่าเขาคงกำลังถลึงตาโตอยู่เป็นแน่
กระนั้นก็ไม่ได้สนใจ แม้ขาเล็กลีบจะดิ้นปัด ๆ เขาก็จับรวบให้อยู่นิ่งได้ด้วยมือเดียว และพาคนที่โวยวายเสียงดังลั่นหายเข้าไปในห้องนอนในที่สุด
[Rrrr Rrrr]
เสียงเตือน และสัมผัสสั่นครืดเรียกให้คนที่หลับสนิทงัวเงียตื่นขึ้นมา หมอแพทหยุดเสียงปลุกไว้ก่อนจะก้มลงคลำหาเสื้อยืดที่ตกอยู่ข้างเตียงมาสวมอย่างลวกๆ
แต่เมื่อกำลังจะลงจากเตียง กลับถูกกอดเอวเอาไว้ หมอแพทลอบถอนหายใจแผ่วเบา
"ติ๊ก...ปล่อย” พยายามแงะสิ่งที่กักตัวไว้ แต่มือและวงแขนที่เหนียวอย่างกับหนวดปลาหมึกนั้นไม่คลายออกง่ายๆ
"ติ๊ก บอกให้ปล่อยไง เราจะไปทำงาน”
จนแล้วจนรอดก็ไม่มีทีท่าว่าชาญวิทย์จะยอมปล่อย ในห้องมืดสลัวนั้นหมอแพทชักสีหน้ารำคาญ และตัดสินใจใช้มาตรการเด็ด
"นับถึงสามนะ ถ้าไม่ปล่อยล่ะก็...”
"จ้า ๆ ๆ ปล่อยก็ปล่อยจ้า” กัปตันหนุ่มรีบคลายอ้อมแขนทันที หมอแพทจึงลุกจากเตียงอย่างว่องไว
ชาญวิทย์ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ มือเท้าคาง ทอดสายตามองคนรักที่ง่วนอยู่กับการเลือกชุดสวมใส่
"เราว่าแพทเนี่ย เจอคนไข้ เจอเพื่อนร่วมงานบ่อยกว่าเจอแฟนอีกมั้ง ไม่รู้ว่าระหว่างเรากับงาน แพทจะเลือกอะไร”
"ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” หมอแพทโต้ตอบกลับทั้งที่มือและตายังง่วนอยู่กับเสื้อผ้าในตู้
"เราแค่อยากรู้ ว่าระหว่างเรากับงาน สำหรับแพทแล้วอะไรสำคัญกว่ากัน”
หมอแพทหอบชุดไว้กับตัวแล้วหันมามอง "มันวัดกันได้ซะที่ไหน”
แล้วร่างเล็กนั้นก็หันหลังเดินออกห้องนอนไป ทิ้งให้กัปตันหนุ่มอยู่เพียงลำพัง ค่อย ๆ เอนตัวลงนอนและจมอยู่กับอารมณ์น้อยใจ
ทั้งที่ตอบแบบเอาใจมันง่ายนิดเดียว...ก็ไม่ทำ
ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที เสียงประตูห้องเปิดอีกครั้ง หมอแพทกลับเข้ามาในชุดพร้อมจะไปทำงานแล้ว เมื่อเห็นกัปตันนอนกอดหมอนหน้าหงิกหน้างอ จึงเดินไปหยุดที่เตียงและนั่งลงข้าง ๆ
มือเล็ก ๆ แตะสัมผัสแผ่วที่โครงหน้าหล่อเหลาของแฟนหนุ่ม ก่อนจะก้มลงหอมแก้มเบา ๆ
ชาญวิทย์กุมมือเล็กที่กะลังจะผละออกไป "พรุ่งนี้เราต้องบินแล้วนะ ไม่ได้กลับอีกสองอาทิตย์เลย”
หมอแพทยิ้มรับ ปลายนิ้วเกลี่ยผิวหน้าที่ค่อนไปทางหยาบของแฟนหนุ่ม
"เราไม่อยู่ แพทจะเหงาไหม?”
หมอแพทยิ้ม และก้มลงฝากจุมพิตที่หน้าผากกว้าง
"เราอยู่ได้ ติ๊กไม่ต้องห่วง”
"....”
"นอนเถอะ พักผ่อนไม่พอเดี๋ยวบินไม่สวยนะ” หมอแพทดึงผ้าห่มมาคลุมตัวช่วงบนของกัปตันที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า ก้มลงหอมแก้มอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องนอนไป เสียงฝีเท้าห่างไกลเรื่อยๆ จนเงียบสนิท และได้ยินเสียงเปิดปิดประตูด้านนอก
ชาญวิทย์นอนนิ่งอยู่พักใหญ่จึงหยัดตัวลุกขึ้น พ่นลมหายใจออกเฮือกโต เขาเองก็นอนไม่หลับแล้ว จึงคิดว่าจะไปอาบน้ำเช่นกัน แต่เมื่อจะลุกจากเตียง ตาก็เหลือบเห็นโทรศัพท์ของหมอแพทเสียก่อน
แต่จะเอาไปให้ตอนนี้คงไม่ทัน เพราะคุณหมอน่าจะขับรถออกไปไกลแล้ว
"เฮ้อ..." ชาญวิทย์ที่ทำอะไรไม่ได้ จึงหยิบมือถือคนรักมากดเล่นดู
เมื่อหน้าจอสว่างวาบ พบว่าภาพวอลเปเปอร์นั้นเป็นรูปคู่ของตนกับคุณหมอปรากฎขึ้นมา
เพียงเท่านั้น...ก็หัวใจเต็มตื้นขึ้นมาทันที
หมอแพทไม่ได้ล็อครหัสไว้ กัปตันหนุ่มจังเปิดเข้าไปดูอัลบัมรูป และต้องอมยิ้มเมื่อเห็นว่าคุณหมอแยกอัลบัมรูปคู่ของพวกเขาไว้เป็นพิเศษ เมื่อไล่ดูจนพอใจ ก็ค่อย ๆ ลามไปดูอัลบัมรวม ที่ส่วนมากเป็นรูปหมอแพทเอง
แรก ๆ ก็ดูไปยิ้มไป เพราะหมอแพทชอบถ่ายตัวเองทำสีหน้าประหลาดๆ แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ กัปตันหนุ่มก็เริ่มจับสังเกตได้ ว่าเริ่มมีรูปของหมอแพทที่ไม่ได้ถ่ายด้วยตัวเอง ชาญวิทย์เม้มริมฝีปาก เลื่อนดูอีกรูปแล้วรูปเล่า
ส่วนมากเป็นรูปแอบถ่าย ทั้งตอนที่เผลอ หรือตอนงีบหลับในห้องพักที่โรงพยาบาล
"....” ชาญวิทย์ลดมือลง สีหน้าตอนนี้แม้จะเรียบนิ่งแต่ภายในตึงเครียดจนยากจะอธิบาย
คิดมากไปรึเปล่านะ...เขาอาจจะคิดมากเกินไป
แต่....ใครเป็นคนถ่ายรูปหมอแพทล่ะ?
To be continue.
หากไม่เป็นการรบกวน ช่วยกันลิสต์คำที่เห็นว่าศรีพิมพ์ผิดด้วยได้ไหมคะ
พอดีดิฉันไม่ได้ฝึกพิมพ์สัมผัส เป็นพวกจิ้มแป้นแล้วไม่ดูจอ เลยผิดรัวๆค่ะ แหะๆ
-วายศรี-
(http://upic.me/i/xv/fly_banner.png)
Chapter 2: I'm sick of it.
แม้รู้ดี ว่าความรักของเราไม่เหมือนใคร
แต่ก็อดคิดมากไม่ได้ทุกที
"คิดมากไปอีกแล้ว” หมอกานต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจ มองดูเพื่อนของตนที่ยังคงนัดมาถามเหมือนเดิมซ้ำ ๆ และวันนี้ยังมาด้วยอาการกระวนกระวาย ดูร้อนอกร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด
"แต่ถึงขั้นเล่นโทรศัพท์กัน มันดูสนิทสนมกันเกินไปนะ”
หมอกานต์ยกกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามกลับไป "ทำไม? ไม่ไว้ใจเขาเหรอ?”
"ตกลงแกจะไม่บอกจริง ๆ ใช่ไหม ว่าใคร” ชาญวิทย์ไม่ตอบ แต่กลับตีคำถามกลับ คุณหมอวางแก้วกาแฟลง ก่อนจะประสานมือวางไว้บนตัก
"หมอแพทก็สนิทกับทุกคน ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล ผู้ช่วย เพราะเขาเป็นคนเฟรนลี่มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว แกเองก็รู้ เขาคุยสนุก เขามีอารมณ์ขัน แต่แกวางใจเถอะ คนอย่างแพทน่ะรักใครแล้วรักจริง เพราะฉะนั้น...มันไม่มีอะไรอย่างที่แกคิดหรอก”
"คนอย่างแพท?” ชาญวิทย์หรี่ตามอง "แกดูเหมือนจะรู้จักเขาดี”
"ก็เรียนมาด้วยกัน รู้จักกันมันก็ไม่แปลกนี่” ตอบก่อนเอื้อมมือไปจับแก้วกาแฟของตน
"รู้จัก แล้วก็สนิทกันด้วย”
และเมื่อแววตาของชาญวิทย์แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมเขาทั้งสอง ขณะที่คนหนึ่งเอาแต่จดจ้องนิ่ง ๆ แต่อีกคนยังดูใจเย็น ค่อย ๆ ดื่มกาแฟอย่างละเมียด
"ฉันไว้ใจแพท แต่ไม่ได้หมายความว่าจะวางใจคนที่เข้าหาเขา”
หมอกานต์จะเคลื่อนสายตาขึ้นมองกลับพร้อมรอยยิ้มเจือจาง "อย่ามองอย่างนั้น”
ใช้เวลาสักพัก ชาญวิทย์จึงยอมละสายตา เขาเอนตัวไปกับพนักพิกโซฟา พ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ
"งั้นเล่าเรื่องแพทสมัยนั้นให้ฟังหน่อยสิ”
"ไม่ถามเขาเองล่ะ?” หมอกานต์ตอบกลับ แล้วจึงก้มหน้าจัดการกับกาแฟของตัวเองที่เหลืออยู่ครึ่งแก้ว
"เคยถามแล้ว แต่ไม่ค่อยตอบ ชอบเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน” ชาญวิทย์ว่า และแม้เขาจะอยู่ในท่าทางสบาย ๆ แต่ยังคงมองคู่สนทนาอย่างไม่วางตา
"อย่างเช่น เรื่องแฟนคนแรก”
หมอกานต์นิ่งไปครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นาน ก็จิบกาแฟอีกคำเล็กๆ ก่อนตอบกลับไป "เรื่องเก่า ๆ จะขุดคุ้ยทำไมวะ แปลกคน”
"แปลกตรงไหน? ฉันรักแพท เลยอยากรู้เรื่องของเขา แต่ก่อนเขาเป็นยังไง คนที่เคยคบมาเป็นยังไง แกไม่เข้าใจเหรอ ว่าพอเราอยู่ในสภาพที่ไม่รู้อะไร มันค้างคาใจนะเว้ย”
หมอกานต์ยิ้ม หัวเราะในลำคอเสียงผะแผ่ว ก่อนจะรีบซดกาแฟที่เหลือจนหมดแก้ว แล้ววางลงในทันที
"บางเรื่อง...ไม่รู้อาจะดีกว่านะ”
"ตกลงแกจะไม่เล่าใช่ไหม?”
"ฉันว่าให้หมอแพทเล่าเองดีกว่า”
คำตอบที่ไม่น่าพึงใจเป็นเหตุให้หมอกานต์ตกเป็นเป้านิ่งทางสายตาของกัปตันหนุ่มอีกหน ต่างคนต่างเงียบ จนบรรยากาศยิ่งน่าอึดอัดไปกว่าเดิม
"อย่ามองอย่างนั้น” หมอกานต์ยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
"จะไปไหน” กัปตันหนุ่มต้องขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ เพราะพูดกันยังไม่ทันจะรู้เรื่อง
"กาแฟหมดแล้ว ก็ไปทำงานต่อสิวะ ส่วนแกก็เลิกซะทีเถอะ นิสัยคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ หมอแพทรักแกจะตาย อย่าระแวงอะไรให้มากนักเลย จะเครียดเอาเปล่า ๆ”
หมอกานต์ปัดมือไหว ๆ แล้วเดินจากไป ชาญวิทย์ได้แต่มองตามจนแผ่นหลังของเพื่อนหมอหายลับออกจากร้าน แล้วจึงกลับมาถอนใจกับตนเอง
ก็ไม่ได้อยากจะเป็นคนคิดมาก หรือคิดเล็กคิดน้อย
แต่พอเป็นเรื่องของคนที่รัก ก็หยุดความคิดไม่ได้จริงๆ
"เฮ้อ...” ถอนหายใจอีกหน พลางเสยผมที่ปรกหน้าขึ้น ปลายนิ้วกดนวดมุมขมับที่รู้สึกแน่นตึง
ไม่นานนักเขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นของโทรศัทพ์ส่วนตัว จึงรีบเปิดหน้าจอตรวจสอบ พอพบว่าเป็นสายเข้าจากคนรักก็แทบจะโยนอารมณ์สลดเมื่อสักครู่ทิ้งไปเสียหมด แล้วรับสายโดยพลัน
[กินข้าวรึยัง เราจะออกเวรแล้ว ไปกินด้วยกันไหม]
"ไปจ้า!!!” กัปตันหนุ่มลุกพรวดขึ้นตอบปลายสายเสียงดัง แต่เขาอาจลืมไปว่าตัวเองกำลังอยู่ในร้านกาแฟ เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็ถูกทุกคนในร้านมองเป็นตาเดียวกัน
กัปตันหนุ่มค้อมหัวเป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะตอบกลับปลายสายที่เรียกเขาอยู่ "เราอยู่ใกล้ ๆ ที่ทำงานแพทแหละ เดี๋ยวจะไปรอที่เดิมแล้วกัน ถ้ากินข้าวเสร็จแล้ว ไปดูหนังกันต่อดีไหม?”
[ไม่ดีอะ...เราอยากพักมากกว่า กินข้าวเสร็จแล้วกลับเลยได้ไหม?]
ชาญวิทย์หน้าเสียเล็กน้อย แต่ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ฝืนยิ้มจาง ๆ
"ได้สิ ได้อยู่แล้ว”
"แพท วันนี้ไม่มีเวรนี่นา ไปเที่ยวกันไหม” คำถามจากกัปตันหนุ่ม เขาย้ายตัวเองลงจากเตียง ลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งซ้อนทางด้านหลัง และสวมกอดคุณหมอตัวเล็กที่กำลังนั่งง่วนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ สลับกับจอมินิไอแพดเครื่องกระทัดรัดซึ่งวางอยู่ไม่ห่างกัน
เป็นอีกวัน ที่เมื่อตื่นขึ้นมา ก็พบว่าอีกคนลุกมาทำงานหน้าคอมแต่เช้า และยังดูขมักเขเม้นกับมัน จนไม่หันมาสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อถามไปแล้วไม่ได้คำตอบจึงกระชับแรงกอดให้แน่นขึ้น
คุณหมอหันมาส่งยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน "โทษนะติ๊ก เราต้องส่งต้นฉบับพรุ่งนี้แล้วอ่า”
"อีกแล้วเหรอ?” ชาญวิทย์เบ้หน้า "ทำไมเรามาหาทีไรก็ยุ่งตลอดเลย”
"ถึงติ๊กไม่มา เราก็ยุ่งตลอดนั่นแหละ”
"คร้าบคุณหมอ งานโรงพยาบาลมันยุ่งไม่พอใช่มะ คราวก่อนก็เริ่มเปิดเพจ คราวนี้หาอะไรมาทำอีกล่ะ? ” ชาญวิทย์ชะเง้อคอมอง และเกยคางไว้บนหัวไหล่เล็ก "เขียนคอลัมน์? อะไรเนี่ย?”
"อย่ากวนเราน่า” มือเล็กดันหน้าหล่อให้ผละออกไป ด้วยเริ่มรำคาญแล้วนิด ๆ
ชาญวิทย์จึงเปลี่ยนมาซบท้ายทอยแทน แต่วงแขนยังคงกอดรัดอยู่ไม่คลาย พูดตัดพ้อเสียงอ่อน "แล้วแบ่งเวลาให้เราบ้างไม่ได้รึไง ทำไมเดี๋ยวนี้เวลาเรามาหา แพทก็ยุ่งตลอดเลย”
"ก็แบ่งให้เมื่อคืนแล้วไง ไม่พอใจอะไรอีก” หมอแพทย์ตอบแบบส่ง ๆ ทำเอาคนได้ยินรู้สึกฉุนขึ้นมาตะหงิด ๆ มือจึงเริ่มแตะไต่ลวนลาม
หมอแพทย์พยายามเบี่ยงตัวหนีแต่ดูท่าจะไม่เป็นผล เพราะตอนนี้แทบจะจมหายไปในอ้อมอกของกัปตันเสียแล้ว จึงจำเป็นต้องวางมือจากอุปกรณ์ที่ใช้ทำงาน มาผลักดันอีกฝ่ายไม่ให้แนบชิดยิ่งไปกว่านี้
"ปล่อย...เรากำลังใช้สมาธินะ” หน้าหวานบูดบึ้ง เมื่อไม่พอใจที่งานถูกขัดจังหวะ แต่ชาญวิทย์ไม่สนใจฟังสักเท่าไร เขาพยายามเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ๆ หมายจะฉกชิงริมฝีปากที่เอาแต่พูดอะไรไม่ถูกหู แต่ยังไม่ทันจะสำเร็จ
"เรานับถึงสาม ถ้าไม่ปล่อยนะ!”
"....”
เพราะเจอคุณหมอใช้บทขู่ไม้ตาย ชาญวิทย์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะยอมปล่อยแต่โดยดี เขาพ่นลมหายใจฮึดฮัด ลุกจากเก้าอี้กลับไปนั่งเท้าคางบนเตียงอย่างเซ็ง ๆ สักพักก็หันไปเอาโทรศัพท์ตัวเองมาเล่น เร่งเสียดังจนสุดเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยิน
สายตายังคงลอบมองคนรัก ที่ไม่สนใจจะหันมามองกันบ้างเลย ในหัวเต็มไปด้วยความคิดว้าวุ่น
ทำไมเราถึงไม่มีเวลาให้กันเหมือนคนอื่นบ้าง?
อยากให้เรามีเวลาเหลือเฟือไว้ใช้ร่วมกันบ้าง ไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง
ไม่ใช่หมกอยู่่แต่ในห้องแบบนี้...
ไม่ใช่เอาแต่นั่งมองอีกฝ่ายแบบนี้...
"ถ้าแพทจะยุ่งขนาดนี้ เราตกลงไปเที่ยวกับคนอื่นแต่แรกดีกว่า วันก่อนรุ่นน้องก็อุตส่าห์มาชวนไปเที่ยวเกาะแท้ ๆ” ชาญวิทย์เอ่ยขึ้นลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงระรื่น แต่แฝงไปด้วยการประชดประชัน หากกลับไม่ทำให้อีกฝ่ายชะงักมือจากงานได้เลยสักนิด
"ก็ไปสิ ยังไงวันนี้เราก็ไม่ว่างอยู่แล้ว อยู่แต่กับห้องติ๊กคงเบื่อแย่”
ชาญวิทย์เงยหน้าขึ้นมองทันที และเมื่อพบว่าหมอแพทไม่ได้หันมามองเลยแม้แต่น้อย อารมณ์น้อยใจปะทุขึ้นในอกอีกครั้ง
"แพท”
"ฮึ?” มีเสียงตอบกลับห้วน ๆ ที่ต่อมาไม่นานก็ตามด้วยเสียงรัวแป้นพิมพ์ไม่ยั้ง
"เราคบกันมาสามปีแล้วนะ..." กัปตันถามเลื่อนลอย ขณะที่สายตาจ้องมองปฏิทินในโทรศัพท์มือถือ
"เพราะหน้าที่การงาน ทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาให้กัน...”
"...”
"จนบางครั้ง เราก็อดสงสัยไม่ได้...”
"...”
"แพทยังรักเราเหมือนเดิมไหม?”
"...”
"แพท...” เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ ชาญวิทย์จึงเรียกซ้ำ แต่คุณหมอตัวเล็กยังคงไม่ตอบ ขณะที่มีเสียงพิมพ์งานดังแว่วอยู่ต่อเนื่อง ทำเอากัปตันหนุ่มมีอาการฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม
"แพท!” จนกระทั่งเขาตะโกนเรียก ค่อยทำให้เสียงกดแป้นเงียบชะงัก ชาญวิทย์นิ่งเพื่อรอฟังคำตอบของอีกฝ่าย
หมอแพทผินหน้ามาเพียงเล็กน้อย "เมื่อกี๊ถามว่าไงนะ?”
"...”
"โทษที เราไม่ทันได้ฟัง”
นั่นทำให้ความอดทนของชาญวิทย์ขาดผึง เขาลุกพรวดขึ้นจากเตียง มือซ้ายยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางอย่างลวกๆ มือขวาก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างหัวเตียง เสร็จแล้วจึงเดินไปทางประตูห้องนอนอย่างรวดเร็ว
"ไปไหนติ๊ก” หมอแพทหันมาถามด้วยสีหน้างุนงง ยิ่งทำให้กัปตันหนุ่มไม่สบอารมณ์ไปกันใหญ่
"เราจะไปข้างนอก ไปไกล ๆ อย่างที่แพทบอกให้เราไป เราจะไม่อยู่ที่นี่ เราเบื่อ!” หันหน้าบึ้งตึงไปตอบ ก่อนจะออกจากห้องนอนไปพร้อมปิดประตูดังปัง
กัปตันหนุ่มสาวเท้าเดินตัดผ่านห้องนั่งเล่นไปยังประตูหน้าสุด
"เดี๋ยวติ๊ก!" แต่ระหว่างที่กำลังจะเกิดประตูออกไปข้างนอก หมอแพทก็ชะโงกหน้าออกจากห้องนอนมาเรียกรั้งไว้
ชาญวิทย์หันกลับไปมอง แม้สีหน้ายังบึ้งตึง อารมณ์ยังคุกรุ่น แต่ในใจเขาเกิดความหวังขึ้นเล็กๆ ว่าอีกฝ่ายจะรั้งเขาไว้
"แล้วอาทิตย์หน้ากลับไหม?”
"หา?” เขาต้องบิดหน้าเหยเก เมื่อผิดไปจากความคาดหวัง
"อาทิตย์หน้ากลับไหม?”
"ทำไม?” ชาญวิทย์มองด้วยสีหน้าหาเรื่อง
"ก็...” หมอแพทลูบท้ายทอยตัวเอง "ช่วงนั้นเวรเราจะแน่นมากเลยน่ะ ไม่แน่อาจจะต้องไปประชุมต่างจังหวัดด้วย ถ้าติ๊กมา เราอาจจะไม่ได้เจอกันเลย...ติ๊กไม่ต้องมาก็ได้นะ”
"อ๋อ...ได้!” หนุ่มร่างสูงตะเบ็งเสียงกร้าว "เราไม่กลับก็ได้!” ก่อนจะปิดประตูดังอย่างแรง และเร่งสาวเท้าเดินออกจากจุดนั้นให้เร็วที่สุด จนมาหยุดที่หน้าลิฟต์
โดยไม่มีเสียงฝีเท้าของคนที่อยากให้ตามมาเลยแม้แต่น้อย
ชาญวิทย์จำต้องเดินเข้าลิฟต์ไป เมื่อทิฐิกำลังข่มอยู่ ไม่อาจย้อนกลับไปจุดเดิมได้ ในใจได้ยินเสียงแว่วของแก้วที่เริ่มแตกร้าว
หนุ่มหน้าตี๋ ยามนี้กำลังนั่งตัวลีบ ตาตี่ ๆ นั้นจ้องมองรุ่นพี่ที่เคารพของเขา ซึ่งเอาแต่นั่งนิ่ง ก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือตัวเองอย่างเหม่อลอย
อากาศยามบ่ายอุ่นสบาย ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไม่ได้ทำให้บรรยากาศหน้าร้านกาแฟคร่อมพรมแดนเบลเยี่ยมและเนเธอแลนด์นี้ดูสบายตามได้เลย เพราะรู้สึกได้ถึงความอึดอัดและอมทุกข์จากตัวกัปตันหนุ่มที่แผ่รังสีออกมาเป็นวงกว้าง จากที่ดูเงียบสงบเพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว ก็กลายเป็นเงียบเหงาพ่วงน่าเบื่อหน่ายไปแทน
"พี่ติ๊ก ทะเลาะกับแฟนมาป้ะเนี่ย?” ในที่สุดก็นักบินผู้ช่วยก็เสี่ยงถามออกไป
"เปล่า”
"เปล่าอะไร? ทำหน้าอย่างกับโลกจะแตกพรุ่งนี้ให้ได้อย่างนั้นอะ”
ชาญวิทย์ตวัดสายตามองหนุ่มผู้ช่วย ก่อนจะหันไปมองทางอื่น พ่นลมหายใจออกสั้น ๆ
"ไม่มีอะไร”
"ไม่มีได้ไง? ทะเลาะกันก็บอกมาเหอะน่า”
"ถามเซ้าซี้จริงโว้ยไอ้ลิงนี่! บอกว่าไม่มีก็ไม่มีดิวะ!” กัปตันหันขวับมาขึ้นเสียงใส่ ทำให้นักบินชื่อลิงสะดุ้งเล็กน้อย จากที่นั่งเท้าคางอยู่ก็รีบกระเด้งไปด้านหลังอย่างอัตโนมัติ
ชาญวิทย์ไม่สนใจ และทอดสายตามองออกไปเลื่อนลอย ขณะที่สีหน้ายังคงขมวดตึง
"ความรักมันก็เงี้ยแหละพี่ แรก ๆ อะมันก็หวาน แต่นาน ๆ ไปก็เบื่อ” หนุ่มผู้ช่วยเอ่ยประโยคอย่างเนิบนาบ ก่อนจะค่อย ๆ กระเถิบไปนั่งเก้าอี้อีกตัว ที่อยู่ติดกับชาญวิทย์
"ยิ่งนักบินอย่างเรานะ ห่างกับเขาคนละฟากทะเล เอาแต่จูนคลื่นหากันตลอด มันเป็นไปไม่ด๊าย~”
"...”
เมื่อไม่เห็นรุ่นพี่ผลักไส ลิงจึงทำหน้าทะเล้น
"เพราะงั้น คืนนี้เราไป...โอ๊ย!!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ก็ถูกกัปตันหันมาตบกลางกระหม่อมจัง ๆ หนุ่มผู้ช่วยร้องโอดโอยพลางลูบหัวตัวเองป้อย ๆ อย่างกับมันจะปูดโนขึ้นมา
"กล้าชวนนะ มีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?”
ผู้ช่วยลิงทำหน้าเหรอหรา "แฟนอะไร? ไม่มี๊~ ผมโสดนะพี่~”
"แล้วคนสวย ๆ ที่บินตามมาแทบทุกไฟลท์ ไม่ใช่แฟนแล้วเป็นแม่รึไงวะ?” ชาญวิทย์ถามเสียงเรียบ ก่อนจะเพยิดหน้าให้นักบินรุ่นน้องหันไปมอง "โน่น มาโน่นแล้วไง”
ภาพที่เห็นคือหญิงสาวรูปร่างดี หน้าตาสะสวยรับกับผมยาวม้วนเป็นลอนสีน้ำตาลเข้ม จะดีกว่านี้หากเจ้าหล่อนไม่เอาแต่นั่งแอบอยู่ที่โต๊ะหลังเสาร้าน หรี่ตามองเขาทั้งสองอยู่อย่างนั้น
"ชิท! อีกแล้วเหรอวะ?” นักบินรุ่นน้องลอบสบถเสียงค่อยเพื่อไม่ให้ฝ่ายสาวเจ้าได้ยิน จากนั้นจึงผุดลุกขึ้น
"ตกลงว่าคืนนี้น้องลิงจะไปอยู่ไหมครับ?”
ผู้ช่วยลิงหันมามองชาญวิทย์ หัวเราะแหะ ๆ "โทษทีพี่ ถือซะว่าไม่ได้พูดอะไรนะ”
ชาญวิทย์มองตามแผ่นหลังของรุ่นน้องที่ออกตัววิ่งไปหาคนรักของตน คู่ตาเฉียบคมเฝ้ามองตั้งแต่ช่วงต้นที่ทั้งสองดูจะมีปัญหาแง่งอนกัน แต่ท้ายสุดก็จบด้วยรอยยิ้ม อ้อมกอด และจับจูงมือเดินออกไปพร้อมกัน
กัปตันหนุ่มเจือยิ้มเพียงจาง ๆ พลางคิดว่า...ดีแค่ไหน ที่คนรักได้มีเวลาร่วมกันแบบนั้น
ในเมื่อคู่ของเขา ไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย
ชาญวิทย์ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดรหัสโทรทางไกลตามด้วยเลขหมายปลายทาง และเป็นไปตามคาด ที่เขาจะได้ยินเพียงเสียงสัญญาณรอสายเพราะไม่มีคนรับ
เขากดวางสายไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเข้าไปดูเฟสบุ๊คของเจ้าตัวแทน
หางตาขวากระตุกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหมอแพทถูกแท็กรูปจากเฟสบุ๊คของหมอกานต์ โดยเป็นรูปถ่ายคู่ของทั้งสอง ซึ่งชื่อสถานที่ไม่อยู่ในกรุงเทพฯ
'มาประชุมต่างจังหวัด เหมือนได้พักผ่อนไปในตัว' คำอธิบายสั้นๆ ทำให้ชาญวิทย์ข่มใจเอาไว้
มันเป็นงาน...เขาไปทำงาน
แต่รอยยิ้มสดใสขนาดนั้น...คงสบายใจมากเลยสินะ
กัปตันหนุ่มพยายามละสายตาจากรูปดังกล่าว และสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสกัดกลั้นอารมณ์หึงหวง และความหวาดระแวงของตนเอาไว้
แต่สุดท้าย...ก็พ่ายแพ้ให้แก่ความอยากรู้อยากเห็น ชาญวิทย์ตัดสินใจกดดูความคิดเห็นใต้ภาพที่เรียงยาวนับสิบ เกือบทั้งหมดเป็นการสนทนาโต้ตอบสรรเพเหระ
แล้วสิ่งที่เขาได้อ่านในช่องความเห็นล่าสุด ก็ทำให้รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว
'อะไรกัน คู่รักจะรีเทิร์นเหรอ? ถ่านไฟเก่ามันคุแล้วสินะ ยิ้มหวานกันเชียว ฮิ ๆ'
ราวกับทั้งร่างถูกแช่แข็ง ทั้งเยียบเย็น และแข็งกระด้าง ไม่อาจกระดิกไปไหนได้ จนกระทั่งแสงจากหน้าจอดับไป ทันทีที่ตั้งสติได้ ชาญวิทย์รีบเปิดจอ และรีเฟรชเพื่อดูการตอบกลับใหม่ ๆ แต่พบว่าคอมเมนต์ที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ได้หายไปแล้ว กลายเป็นคอมเมนต์พุดคุยทั่วไปแทน
ชาญวิทย์วางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะ นั่งนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยกสองมือขึ้นกุมขมับตนเอง
และจมอยู่กับความเงียบอย่างนั้น...แต่เพียงลำพัง
F.L.Y. Fall in Love with You
Chapter 3: Summary of our love
(http://upic.me/i/xv/fly_banner.png)
เวลาเช้าตรู่ ที่สีสันของท้องฟ้ากรุงเทพฯยังดูหม่นๆ หมอแพทขับรถมาจอดตรงที่ประจำของตน ทันทีที่ดับเครื่อง หน้าหวานฟุบลงกับพวงมาลัยลงทันที เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็เกือบจะทำให้เผลอหลับคารถได้ แต่ก็ข่มใจเอาไว้ ฝืนเงยหน้าขึ้นมา เผยให้ความอิดโรยเพราะพักผ่อนไม่เป็นเวลา ขณะที่คู่ตาปรือปรอยนั้นแฝงความเศร้าสร้อยเอาไว้
หมอแพทหันไปมองที่นั่งข้างคนขับ มือเล็กเอื้อมไปคว้าถุงกระดาษใบโตมาวางไว้บนตัก เมื่อเลื่อนสายตาลงมองของที่อยู่ในนั้น มุมปากที่ตอนนี้แสนหนักอึ้งก็ขยับยิ้มได้เล็กน้อย
ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ขึ้นมาถึงชั้นของตน หมอแพทกระชับมือข้างที่ถือถุงกระดาษและออกตัวเดินตรงไปยังห้องที่อยู่สุดปลายทาง
[Rrrr Rrrr]
เสียงริงโทนแผ่วเบาเรียกให้คุณหมอดึงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง พอเห็นว่าใครโทรมาก็รีบกดรับสายทันที
"ครับแม่”
[ตาหนู...เสียงไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายรึเปล่าลูก?]
เสียงของแม่ทำให้หมอแพทพรายยิ้มออกมาได้ไม่ยาก และยังหยุดเดินเพื่อสนทนาด้วย
"ลูกสบายดีแล้วครับ พอดีเพิ่งออกเวร เลยเพลีย ๆ น่ะ"
[อย่าหักโหมกับงานเกินไปนะลูก พ่อกับแม่เป็นห่วงลูกมากเลยนะ]
"ครับแม่”
[แล้วพรุ่งนี้จะกลับบ้านไหมลูก?]
"ลูกว่าจะกลับวันนี้เลยล่ะครับ แลกเวรไว้เรียบร้อยแล้ว” หมอแพทรับคำพร้อมร้อยยิ้ม ก่อนจะฉุกคิดบางอย่างได้พอดี
"แม่ครับ ลูกจะพาเพื่อนไปด้วยนะ...” พูดได้ไม่ทันจบก็หยุดชะงักไป ไม่นานนักหน้าคุณหมอเหมือนถูกเจือด้วยสีเลือดฝาด
"คนที่ลูกเคยเล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ลูกจะพาไปแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักนะครับ”
หลังจากปลายนิ้วเล็กกดวางสาย คู่สายตาบังเอิญเห็นว่ามีข้อความในไลน์ที่ยังไม่ได้อ่าน เพราะไม่ได้เชคโทรศัพท์เลยตั้งแต่เมื่อคืน และพอเปิดดูจึงพบว่าเป็นหมอกานต์พิมพ์ส่งมาให้ในช่วงเช้ามืด
'ไข้ลดรึยังครับ ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?'
'เมื่อวานขอโทษนะ ผมทำให้เกิดเรื่องยุ่งขึ้นจนได้'
'หมอแพทโอเคป่าว? เคลียร์กับติ๊กรึยัง?'
คุณหมอตัวเล็กเก็บโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋าโดยที่ไม่ได้ให้คำตอบ สองขาก้าวเดินอีกไม่ไกลก็มาหยุดหน้าประตูห้องของตนเอง
เพียงแค่มองประตูห้องของตนก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก มือข้างที่ว่างทาบอกเพื่อปรามหัวใจที่เต้นแรง ก่อนจะมาตบข้างแก้มตัวเองเบา ๆ เรียกสติให้ตื่นตัว หมอแพทก้มลงมองถุงกระดาษในมืออีกครั้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพรายยิ้มออกมา
มือเล็กกำลังจะเคาะประตูเรียกคนรักให้มาเปิดรับ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้กัปตันน่าจะยังหลับอยู่ในห้องนอน เคาะเรียกไปคงไม่ได้ยินเสียง จึงหันไปกดกริ่งแทน
แต่ไม่มีการตอบรับใด ๆ และแม้ว่าจะกดซ้ำอีกสองสามหน ก็ยังไม่มีทีท่าว่าประตูห้องจะเปิดออก หมอแพทมุ่ยหน้าเล็กน้อย ก่อนล้วงกระเป๋าเอากุญแจห้องมาไข แล้วจึงพบว่ากัปตันไม่ได้คล้องโซ่ด้านในอย่างที่คิดไว้แต่ทีแรก
และเพียงเท่านั้นก็ทำให้ใจหล่นวูบ...
"ติ๊ก!” ไวเท่าความคิด คุณหมอรีบวิ่งเข้าไปในห้อง
ห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัด ให้ความรู้สึกว่างเปล่า ไร้ตัวตนของคนที่เรียกหา
หมอแพทเลี่ยงความสนใจเหล่านั้น รีบเดินไปเปิดดูในห้องนอนก็พบกับความว่างเปล่า ที่เตียงไม่มีใครนอนอยู่อย่างที่คิด ซ้ำยังถูกคลุมผ้าไว้อย่างลวก ๆ
"ติ๊ก...ติ๊กอยู่ไหน? เรากลับมาแล้วนะ ติ๊กออกมาเถอะ” หมอแพทร้องเรียกเสียงดัง ขณะที่เดินไปทั่วห้องเพื่อมองหาตัวคนรักตามมุมอับต่าง ๆ ที่ชาญวิทย์มักใช้ซ่อนตัวอยู่เสมอ
แต่ก็ไม่เจอ...ไม่ว่าห้องไหน มุมไหนก็ไม่มี
"ติ๊ก นับหนึ่งถึงสามนะ...” หมอแพทกลับมายืนอยู่กลางห้องนั่งเล่น แต่แม้ว่าจะใช้มุกเดิมที่ได้ผลเสมอ คราวนี้กลับไม่มีเสียงตอบรับตามที่ต้องการ
ไม่ว้า"เราจะนับหนึ่งถึงสาม...ถ้าติ๊กไม่ออกมา...” สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นนั้นกวาดมองไปทั่วห้อง เหงื่อเริ่มผุดซึมเกาะตามขมับและไรผม
"ถ้าติ๊กไม่ออกมา...” เสียงนั้นแผ่วปลาย เมื่อสายตาไปหยุดหน้ามุมโต๊ะทำงานของตน
เครื่องบินบังคับที่มักจะถูกวางบนชั้นวางนั้นหายไป...กระเป๋าเดินทางที่มักวางไว้ข้างโต๊ะคอมก็ไม่อยู่...
สิ่งหนึ่งที่ประจำอยู่ที่เดิม จะหายไปต่อเมื่อเมื่อเจ้าของนำไปใช้
กับอีกสิ่งที่จะเติมเต็มช่องว่างในมุมนั้น...ในทุกครั้งที่เจ้าของกลับมา
ตอนนี้มันหายไป...
"ติ๊ก...”
"โอ๊ยๆ ถึงซะที เจ๊ล่ะเมื่อยไปทั้งตัวเลย แดดก็ร้อน โอ๊ย~!”
เสียงบ่นกระปอดกระแปดจากบรรดาสาวใหญ่ประมาณสี่ห้าคน หลังจากลงจากรถสองแถวที่พามาส่งหน้าที่พักแห่งหนึ่งในเกาะเสม็ดตอนใกล้เที่ยง โดยมีชายหนุ่มสองคนที่มากับรถคันเดียวกันนั้นรับหน้าที่ขนกระเป๋าของพวกหล่อนลงมาด้วย
"นางฟ้าทั้งหลายครับ! อัญเชิญมารับกระเป๋าตัวเองไปได้แล้วครับผม! ดูซิแต่ละคนจะขนอะไรกันมานักหนา ตกลงจะมาพักสองคืนหรือสองเดือนกันล่ะเนี่ย!” ลิงตะโกนเรียกเสียงดัง ทำเอานักท่องเที่ยวรอบเกาะหันมามองด้วยความสนใจ เหล่าสาวใหญ่ตัวลีบแบนด้วยความอาย รีบเดินมารับกระเป๋าของตนอย่างว่าง่าย
"เบา ๆ หน่อย รบกวนชาวบ้านเขา" เสียงเข้มจากอีกคนเรียกให้นกบินผู้ช่วยหันไปมอง แล้วก็ทำหน้าทะเล้นใส่
"พี่ติ๊กก็อีกคน กระเป๋าใหญ่ขนาดนี้คือพี่จะย้ายบ้านเลยชะ...โอ๊ย!” ไม่ทันพูดจบประโยคดี ลิงก็ถูกตบกะโหลกเสียเต็มรัก
"ยุ่งน่ะ” ตอบน้ำเสียงห้วน ๆ ก่อนจะเดินลากกระเป๋าใบเขื่องของตนเข้าไปเชคอินในรีสอร์ต
ตลอดทางจนกระทั่งมาถึงห้องพัก ลิงที่เดินตามหลังมักได้ยินเสียงสั่นครืดจากโทรศัพท์ของชาญวิทย์ดังเป็นระยะ ๆ แบบที่ดังได้สักพักก็หยุดเพราะทางนี้ไม่รับ แต่สักพักก็ดังอีกรอบ เป็นอย่างนี้ซ้ำ ๆ
"ไม่รับเหรอพี่?” หลังจากนำกระเป๋ามาเก็บในห้องพักแล้ว ลิงจึงถามชาญวิทย์ที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูแต่ไม่ยอมรับสายเสียที เมื่อแอบเหลือบมอง ทีแรกก็เป็นชื่อว่าแพท พอสายตัดไปแล้วก็กลายเป็นชื่อกานต์
"เฮ้ยพี่...สาวตามเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” เอ่ยแซวพลางมองรุ่นพี่ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม "แล้วหนีมาทริปเที่ยวไทยกับแอร์รุ่นดึกแบบนี้ สาว ๆ พี่โอดครวญแย่เลย”
น่าแปลกที่คราวนี้ชาญวิทย์ไม่ตอบโต้ กัปตันหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ โยนโทรศัพท์ไปที่เตียงก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าออกจากห้อง
"ไปไหนอะพี่?”
"ไปเดินเล่น ห้ามตามมา” ตอบห้วน ๆ เช่นเดิม ก่อนจะสาวเท้าเดินไปอย่างไว ลิงได้แต่ยืนตะโกนไล่หลังคนที่เดินไปไกลลิบลิ่ว "อย่าเพลินมากนะพี่ คืนนี้ไปเวียนเทียนกันนะเว้ย!”
ตอนนี้คุณจะทำอะไรอยู่?
จะคิดถึงผม...เหมือนที่ผมคิดถึงคุณไหม?
"ขอบคุณกัปตันมากเลยนะที่สละวันวาเลนไทน์มาร่วมทริปกับพวกเจ๊” สาวใหญ่คนนึงเปิดประเด็นขึ้น ตอนนี้ทั้งกัปตันติ๊ก ผู้ช่วยลิง และเหล่าแอร์โอสเตสในคณะกำลังเดินทอดน่องกลับที่พัก หลังจากไปเวียนเทียนที่วัดเล็ก ๆ ละแวกใกล้ ๆ นี้มา
"วันแห่งความรักทั้งที แต่มาเกาะเล็กๆ เงียบ ๆ กับผู้หญิงแก่ ๆ คงจะเบื่อแย่ ดูสิเหม่อทั้งวันเลย”
ชาญวิทย์ที่กำลังคิดอะไรเหม่อลอยจึงได้รู้สึกตัว เขาหันไปส่งยิ้มให้
"มาที่เงียบ ๆ ก็ดีนะครับ ช่วยให้ใจสงบขึ้นเยอะเลย อีกอย่าง...ผมไม่เห็นจะมีผู้หญิงแก่เลย แถวนี้ผมเห็นแต่สาวสวยทั้งนั้น”
"แหม...กัปตันนี่ล่ะก็...ไม่คิดว่าจะเป็นคนปากหวานแบบนี้...ขอบคุณที่ชมนะคะ” ” สาวใหญ่ทั้งหลายเมื่อถูกชมก็พากันอายม้วน และหัวเราะคิกคักกันใหญ่ พาลทำให้หนุ่มอีกคนที่มาด้วยได้แต่ส่ายหน้าเนือย ๆ
"เจ๊ลืมผมไปป้ะ? ผมก็มาด้วยนะ ขอบคุณผมด้วยสิ?” นักบินผู้ช่วยเรียกร้องสิ่งที่ตนควรได้บ้าง แต่เขากลับได้คืนมาเป็นสายตาที่ตวัดมองมาอยากจิกกัด
"เงียบไปเลยแก”
"ไม่ยุติธรรมเลย ชิ!” ว่าพลางสะบัดหน้าหนีอย่างเง้างอน เรียกเสียงหัวเราะจากสาวใหญ่ทั้งหลายได้ดี
ชาญวิทย์มองแล้วอมยิ้ม ก่อนสายตาจะค่อย ๆ เคลื่อนจากภาพเหล่านั้นขึ้นไปด้านบน ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองฟ้ากลางคืนที่สีดำสนิท มองไม่เห็นดาวสักดวง เพราะแสงจากจันทร์เพ็ญนั้นสุกสว่างกลบจุดระยิบระยับทั้งหลายจนหมด
เพ็ญ"ปีนี้เจ๊ว่าเป็นทริปวาเลนไทน์ที่เริ่ดที่สุดแล้วแหละ คือว่าเป็นสาวโสดไง วันสำคัญทีไรก็ได้แต่นัดเที่ยวด้วยกันเอง อยู่ด้วยกัน เฉาด้วยกันมาหลายปี แต่ปีนี้ล่ะมีหนุ่มหล่อมาด้วย~”
ได้ยินประโยคดังกล่าวก็พลอยทำให้หัวใจของชาญวิทย์กระตุกวาบ
ทั้งที่เป็นวันสำคัญ...ทั้งที่ตอนนี้น่าจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแท้ ๆ
เขาพลาดแล้วรึเปล่า? ที่หนีคนรักมาแบบนี้
แต่หากไม่มาที่นี่ ก็คงได้แต่นั่งเบื่ออยู่ในห้องเพียงลำพังอยู่ดี
แล้วตอนนี้...แพทจะทำอะไรอยู่นะ?
"พี่ติ๊ก...พี่ติ๊ก!!”
ชาญวิทย์รู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดจากนักบินรุ่นน้อง
"เหม่ออยู่นั่นแหละ ถึงแล้วพี่”
"อืม...” รับคำสั้น ๆ ก่อนที่จะสังเกตได้ว่า ตอนนี้เหลือแค่ตนกับเจ้าลิงแค่สองคนเท่านั้น
"พี่คนอื่นล่ะ?”
"เจ๊ ๆ เขางอนที่พี่เอาแต่เหม่อไง แยกย้ายกลับห้องกันตั้งนานแล้วเว้ย” ลิงตอบพลางถอนหายใจ "พี่ติ๊กน้าพี่ติ๊ก มาเที่ยวแต่ตัว ไม่เอาใจมาด้วยเล้ย”
"โทษที” ชาญวิทย์แววตาสลดลง ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋า เดินคอตกกลับที่พัก
แต่แล้วทันใดนั้นเอง ไฟกิ่งที่ส่องตามทางเดินก็พร้อมใจกับดับพรึ่บ! ชาญวิทย์ชะงักเท้าด้วยความงุนงง ระคนตกใจ
"Happy Birthday to you~ Happy Birthday to you~”
เสียงร้องเพลงวันเกิดดังแว่วขึ้น ไม่นานนักหลังพุ่มไม้ก็ปรากฎภาพสาวรุ่นพี่ทุกคนเดินออกมาพร้อมกับเค้กก้อนเล็ก ที่ประดับด้วยเทียนวันเกิดหลากสี
ชาญวิทย์มองแสงไฟดวงเล็กนับสิบ ๆ ดวงที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนมาหยุดต่อหน้าตน และเพลงอวยพรวันเกิดก็จบพอดี
"สุขสันต์วันเกิดนะคะน้องติ๊ก”
ชาญวิทย์ยิ้มออกมา "ขอบคุณนะครับ แต่ผมไม่เคยบอกใครเลยนี่ พวกพี่รู้ได้ยังไง?”
"พี่ไม่บอก ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่รู้นะ” เป็นเสียงของผู้ช่วยหนุ่มข้างตัวที่เสนอหน้าเข้ามาในสายตา ชาญวิทย์ได้แต่ยิ้ม ก่อนจะตบหัวน้องเหมือนทุกที
"โอ๊ยพี่! ผมเป็นคนต้นคิดงานนี้เลยนะ ไหงทำดีไม่ได้ดีเลยวะ!” ลิงลูบหัวตัวเองป้อย ๆ เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งวงได้ทันที
"เป่าเทียนเถอะค่ะ” แอร์สาวที่ถือเค้กเรียกให้ทุกคนกลับมาสนใจเค้กวันเกิดที่ตอนนี้เทียนละลายไปจะเป็นครึ่งแล้ว ชาญวิทย์ปล่อยเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ เขาสูดลมเข้าเต็มปอดก่อนจะเป่าเทียนสามสิบกว่าเล่มให้ดับในทีเดียว ทำเอาสาวรุ่นพี่ฮือฮากันใหญ่
"พี่ติ๊กอย่าคิดว่าน้องลิงจะจบงานให้พี่แค่นี้นะครับ บอกเลยว่าไม่มีทาง!” ผู้ช่วยหนุ่มทำท่ายกมือขึ้นห้าม ก่อนเจ้าตัวจะชวนให้พี่ ๆ เดินตามไปเรื่อย ๆ จนพบว่าลิงได้จ้างรีสอร์ตตั้งโต๊ะใหญ่ไว้ให้ บนโต๊ะมีอาหารทานเล่นอยู่หลายอย่าง และด้านข้างมีถังน้ำแข็งกับลังบรรจุขวดแก้วสีน้ำตาล
"โหย...เพิ่งออกจากวัดมาเมื่อกี๊เองนะ!”
"อะไรอ่ะน้องลิง? ขวดแปลก ๆ ไม่เห็นมีฉลาก”
"เจ๊อย่าแอ๊บครับ เหล้าขาวไง” ลิงตอบก่อนจะหัวเราะร่า
"ฮะ?! เหล้าขาว?!" ตำตอบทำให้เหล่าแอร์โฮสเตสพร้อมใจกันเอามือทาบอก และร้องเหวอเสียงดัง
"พาที่ย์เหล้าขาวเนี่ยนะ? โอ๊ย...เจ๊รับไม่ได้!"
"เจ๊ไม่รู้จัก เจ๊กินไม่เป็นหรอกนะยะ!!”
"อย่างเจ๊นี้ มันต้องไวน์ขาวเท่านั้นค่ะ!”
"พอ ๆ ๆ” น้องลิงยกมือขึ้นปราม "ก็อุตส่าห์มาทริปเที่ยวไทย คุณเจ๊ก็อุดหนุนของไทยหน่อยซี่ แล้วจะบ่นอะไรนักหนา ทำอย่างกับไม่เคยกินเลยนะ เฮอะ!”
"ถ้าคนอื่นรู้ล่ะเสียภาพพจน์แน่ พวกพี่ไม่เอาด้วยหรอก เนอะ ๆ” เสียงส่วนมากจากสาวรุ่นพี่เออออตามกันว่าอย่างนั้น ซ้ำยังไปกลุ้มรุมเกาะแขนกัปตันหนุ่มให้มาเข้าข้างพวกเธออีกคน ลิงได้แต่เกาหัวแกรก ๆ อย่างเซ็ง ๆ เนื่องจากทีแรกวางแผนไว้จะให้พวกเจ๊ ๆ เป็นคนหว่านล้อมกัปตันเองแท้ ๆ เพราะเวลาเขาชวนไปดริ้งค์ทีไรก็ไม่เคยตอบรับสักที
งานนี้มีหวังเตรียมของไว้เก้อชัวร์ ๆ
"เอาสิ”
"หา???!!”
ทว่าคำตอบสั้น ๆ จากกัปตันกลับทำให้สาวและหนุ่มต้องแปลกใจตามกันไป ชาญวิทย์มองทุกคนที่ส่งสายตาอึ้ง ๆ มาทางเขาแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะเดินไปหยิบแก้ว เปิดถังน้ำแข็งขึ้นมา และเอ่ยประโยคที่ทุกคนไม่คาดฝันว่าจะออกมาจากปากของเขาได้
"ผมอยากเมาอยู่พอดี”
F.L.Y. Fall in Love with You
Chapter 3.5: Fly with me.
แสงแดดอ่อนยามเช้าลอดผ่านมู่ลี่มากระทบเปลือกตาทำให้หมอแพทเริ่มรู้สึกตัว แพขนตาหนาขยับขยุกขยิกก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ คุณหมอตัวเล็กต้องประหลาดใจแต่เช้าเมื่อพบว่าตนนอนขวางอยู่กลางเตียง โดยไม่มีใครอีกคนอยู่ด้วย จึงได้แต่ลุกขึ้นนั่ง กวาดตามองไปรอบห้องอย่างงุนงง
"ติ๊ก” เรียกหาอีกฝ่าย แต่อาจเพราะเพิ่งตื่นนอน เสียงจึงแผ่วเบาคล้ายกำลังพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า จึงไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายที่เรียกหา
กึก ๆ กึก ๆ
แต่กลับได้ยินเสียงแปลก ๆ เมื่อชำเลืองมองตามเสียงนั้น จึงพบว่ามีบางอย่างขยับไหว ๆ อยู่ที่ระเบียงนอกห้อง หมอแพทขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เดินไปเลื่อนประตูกระจกที่เชื่อมไปสู่ระเบียงกว้าง
"เหวอ!!!" คุณหมอต้องสะดุ้งจนเผลอร้องอุทาน เมื่อมีของบางอย่างจำนวนมากมายลอยโฉบผ่านสายตาไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งแหงนหน้ามองตามจึงพบว่าเป็นลูกโป่งสีขาวกลุ่มใหญ่กำลังลอยตัวขึ้นไปสูงลิบลิ่ว
และเมื่อกลับมามองที่ระเบียง ยังพบว่ามีลูกโป่งแบบเดียวกันมัดติดกับราวระเบียงเรียงแน่นเป็นแถวยาว ขยับเคลื่อนไหวตามแรงลมพัดโบกอย่างเป็นอิสระ มองแล้วก็ขาวละลานตาไปหมด
แต่กระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาช่างสำรวจของคุณหมอ เขาพบว่าใบลูกโป่งสีขาวนวลนั้นมีตัวหนังสือเล็ก ๆ เขียนติดอยู่ จึงเดินไปไล่อ่านทีละใบ ๆ จนหมด พบว่ามันสามารถเรียบเรียงเป็นประโยคได้
'WILL YOU FLY WITH ME?'
หมอแพทนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะอมยิ้มจาง ๆ ยืนกอดอก และเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ "ติ๊ก ออกมา”
ไม่มีเสียงใครตอบกลับอย่างที่คาดไว้ แต่มีเครื่องบินบังคับลำเล็กมาบินอยู่ด้านบน บินวนไปรอบ ๆ หน้าหวานอมยิ้มให้กับของเล่นประจำห้อง ที่ไม่มีใครได้แตะนอกจากพวกเขาสองคน แต่คราวนี้กลับมีสิ่งที่สะดุดตาคุณหมอ นั่นคือม้วนกระดาษที่ถูกผูกติดไว้ใต้ท้องเครื่อง ด้วยขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กนั้นทำให้มองเห็นได้ชัดแม้อยู่สูง
ไม่นานเครื่องบินค่อย ๆ ลดระดับลงมาทีละน้อย แต่ดูเหมือนจะไม่ทันใจ คุณหมอจึงพยายามเขย่งตัวขึ้นไขว่คว้า แต่มันก็ไม่ง่ายนักเมื่อเจ้าของเล่นประจำห้องก็บินหลบเลี่ยงได้อย่างจงใจ หมอแพทมีอาการฮึดฮัดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ร่างเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งไล่จับจนได้มาครอบครองในที่สุด
มือเล็กกระตุกเอาม้วนกระดาษต้องสงสัยนั้นออกมาคลี่ดูทันที รายละเอียดที่ซ่อนอยู่จึงปรากฎต่อหน้า ให้ได้ทราบว่าเป็นใบสำรองที่นั่งเที่ยวบินแบบไปกลับ ชั้น First Class
"มัลดีฟ?...พรุ่งนี้?” คู่ตาหวานเบิกกว้าง ปมคิ้วขมวดเข้าหากัน ก่อนจะค่อยพรายยิ้ม เมื่อเข้าใจความหมายของมัน
"ติ๊ก ออกมาได้แล้ว” คุณหมอกอดอกเรียกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าอีกฝ่ายกลับยังเงียบและไม่ยอมเผยตัว
คุณหมอจึงได้แต่ยืนกอดตัวเองนิ่ง ๆ เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลง ยืนรอการตอบรับจากอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
ทันทีที่ได้ยินเสียงขยับฝีเท้า หมอแพทลืมตาโพลงแล้วหันตัวกลับไปมองทันใด!
"แพทอ้ะ!!” และเป็นไปตามคาด ภาพปรากฎตรงหน้าคือชาญวิทย์หยุดชะงักในท่าเดินย่อง สองแขนกางกว้างเพื่อเตรียมจะสวมกอด นั่นทำให้คุณหมอตัวเล็กระเบิดเสียงหัวเราะออกมาชุดใหญ่
ชาญวิทย์สีหน้ากระเง้ากระงอด "ทำไมต้องรู้ทันตลอดเลย”
คุณหมอพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ ก่อนจะหันตัวกลับ และแสร้งทำหน้าเหรอหรา "เอ...ติ๊กหายไปไหนนะ เรียกก็ไม่ยอมออกมา”
"แพทอย่าตอกย้ำได้ป้ะ?”
"ทำไมเราเรียกแล้วก็ไม่ออกมา ถ้านับหนึ่งถึงสามแล้วติ๊กไม่ออกมา เราจะทำไงดีล่ะ?”
ชาญวิทย์มองการแสดงของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าออกบึ้งตึง ขณะที่หมอแพทยังทำท่าชะเง้อมองซ้ายทีขวาทีอยู่อย่างนั้น จนท้ายที่สุดเป็นเขาเองที่ต้องถอนหายใจเฮือกยาว ก่อนเดินเข้าไปสวมกอดร่างเล็กจากด้านหลัง ค่อย ๆ กระชับวงแขนโอบล้อมอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม
"เราอยู่นี่แล้ว” กระซิบบอกข้างหู หมอแพทค่อย ๆ ปล่อยตัวตามสบาย ทิ้งน้ำหนักไปด้านหลังพิงร่างสูงใหญ่เอาไว้ โดยชาญวิทย์ยังคงยืนได้อย่างมั่นคง
"จำได้ไหม? แพทเคยบอกเราว่า แพททำได้ทุกอย่าง ยกเว้นขับเครื่องบิน”
"อืม” คุณหมอตอบพึมพำในลำคอ เอียงแก้มซบอกกว้าง ชาญวิทย์จับมือคู่เล็กเอาไว้มั่น
"เราอาจจะช่วยให้แพทขับเครื่องบินไม่ได้ แต่เราพาแพทบินไปกับเราได้” กัปตันหนุ่มค่อย ๆ ดึงตั๋วเครื่องบินใบมือหมอแพทออกมากางให้ดูอีกหน
"ทำไมถึงเป็นมัลดีฟ...แล้วทำไมมีที่นั่งเดียว?” คุณหมอถามคนรัก ชาญวิทย์กระชับยิ้ม
"เพราะไฟลท์นี้เราคุมเองทั้งเที่ยวไปเที่ยวกลับ ถึงแม้จะไม่ได้นั่งข้างกัน แต่แพทจะบินไปพร้อมกับเรา...เราอยากให้แพทนั่งเครื่องที่เราขับนะ”
"ติ๊ก...” หมอแพทหันไปหาคนรักด้วยสีหน้าลำบากใจ
"แต่เราติด...”
"ไม่ติดหรอก"
"ฮะ?”
"งานน่ะไม่ติดหรอก เราแลกเวรให้แล้ว”
"!!!” คุณหมอถึงกับสะดุ้งจนตาเบิกโพลง วินาทีต่อมาจึงขืนตัวออกจากอ้อมกอดคนรัก แต่กัปตันไม่ปล่อยให้หลุดออกไปได้
"แลกเวร...ได้ไง?”
"ต้องได้ดิ ให้ไอ้กานต์จัดการให้หมดแล้ว วันนี้แพทไม่ต้องไปทำงาน และจากนี้อีกหนึ่งอาทิตย์ก็เป็นวันหยุดพักร้อน ทุกอย่างคอนเฟิร์มแล้ว จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว” ตอบพร้อมอธิบายอย่างยาวด้วยน้ำเสียงเริงร่า
"...ทำไมไม่บอกเราก่อน”
"บอกก่อนแพทก็ปัดเราสิ”
"...” หมอแพทไม่โต้ตอบว่ากระไร แต่หันหน้าหนี ก้มหน้าลงและนิ่งเงียบ ชาญวิทย์เริ่มรู้สึกได้ว่าคนรักตัวเล็กของเขากำลังโกรธ เขากอดหมอแพทเอาไว้แน่น
"เราขอโทษที่ทำอะไรไม่บอกก่อน เราแค่อยากให้แพทตื่นเต้น แพทเองก็ทำงานเหนื่อยมาทั้งปีแล้ว จะได้พักผ่อนด้วยไง”
หมอแพทไม่ตอบว่ากระไร เงียบกันไปนานจนชาญวิทย์เริ่มใจไม่ดี และเวลาต่อมาร่างเล็กก็ค่อย ๆ ขืนตัวออกจากอ้อมกอดเขา นั่นทำให้กัปตันหนุ่มต้องสลด ยืนคอตกทำหน้าจ๋อย
"กระเป๋าอะ?”
แต่แล้วคำถามทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างเล็กที่หยุดอยู่ข้างประตู ชาญวิทย์ตีคำถามกลับไป "กระเป๋าอะไร?”
คำตอบถูกส่งออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
"กระเป๋าเดินทางเราไง”
และกัปตันหนุ่มก็ถึงบางอ้อ เพียงเท่านั้นรอยยิ้มก็ผุดพรายเต็มหน้า ดีใจจนหน้าบาน ดีใจมากจนทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็ว่าจะวิ่งไปกอดคนรักให้แน่นสักที
"หยุด!” ทว่ายังไม่ทันได้ออกก้าวแรกกลับถูกสั่งเสียงเข้ม ชาญวิทย์หยุดชะงักทันทีและมองหน้าอีกฝ่ายอย่างงุนงง คุณหมอตัวเล็กสีหน้าเคร่งขรึม ยกมือชี้มาทางเขา "หยุดอยู่ตรงนั้น อยู่เฉยๆ ยืนตรงๆ"
เขาทำตามอย่างว่าง่าย ขณะที่หมอแพทนิ่งเงียบ
แต่ท้ายที่สุดหน้าหวานก็ฉีกยิ้ม...
หมอแพทวิ่งมาหาเขา และกระโดดกอดเขา จนตัวเซไปชิดระเบียง
"ติ๊กกอดเรามาเยอะแล้ว ให้เรากอดติ๊กบ้างนะ”
ได้ฟังคำอธิบายแล้วชาญวิทย์รู้สึกหัวใจเต็มตื้น เขาหัวเราะแผ่ว ก่อนจะกอดตอบเช่นกัน ขณะที่หมอแพทหลับตาพริ้ม ท่ามกลางสายลมและลูกโป่งสีขาวที่ขยับพลิ้วไหว ช่วยเสริมให้ภาพอ้อมกอดนี้สวยงามไร้ที่ติจริง ๆ
ในเวลาต่อมา ชาญวิทย์ฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ และนั่นทำให้เขาพรายยิ้มกว้าง
'วิธีทำมีหลายทางให้เลือก แต่คำตอบสุดท้ายมีเพียงหนึ่งเดียว'
"แพท...”
"หืม?”
"นั่นแหละ”
"หือ??”
Fin.
(http://upic.me/i/xv/fly_banner.png)
และแล้วก็จบบริบูรณ์ ฮือ~ น้ำตาไหล :mew4:
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องราวของหมอแพทและกัปตันติ๊กนะคะ
ถึงจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งเดือน แต่ก็รู้สึกเหมือนแต่งเรื่องนี้มาแล้วยาวนานมากกกก ๕๕๕๕
เรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีนายเอกของเรา ขอบคุณพี่หมอเกาลัด ที่ให้น้องยืมตัวมาเล่นนะคะ
ที่จริงก็แอบขอบคุณเพจคุณนักบินคนนึง ที่ศรีไปเก็บข้อมูลมาอย่างเงียบๆ
เรื่องนี้บอกเลยว่าแต่งยากค่ะ อาชีพตัวละครเฉพาะทางมาก และตัวศรีเองก็ห่างจากงานเขียนมาหลายปี
ก็ดีใจนะคะ ที่ได้รู้ว่ามีคนติดตามเรื่องนี้อยู่ แต่งไป ๆ เลือดหมดตัว รู้สึกเหนื่อย ก็อาศัยเข้ามาอ่านคอมเม้นนี่แหละค่ะ
เหมือนได้ยาชูกำลังชั้นดีเลย ขอบคุณจากใจจริง ๆ ค่ะ
และวันนี้ศรีก็มีข่าวมาประชาสัมพันธ์ด้วยว่า FLY มีแผนจะรวมเล่มค่า~
ใครที่สนใจ เดี๋ยวไว้ศรีจะเอารายละเอียดมาลงในนี้ให้อีกทีนะคะ
จะเข้าไปอ่านจากหน้าโน้ตในเพจของศรีก่อนก็ได้ หรือเข้าจากลิ้งก์นี้ค่ะ http://on.fb.me/1cXl1PU
ปล.มีคำผิดไหมหลงมาคะ รบกวนผู้เชี่ยวชาญเหมือนเดิมค่ะ ๕๕๕๕ :-[