พิมพ์หน้านี้ - เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร จากชีวิตจริงของผู้แต่ง "เพราะมีเธอ"
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: yotsaput ที่ 21-12-2009 15:33:10
-
.ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
---------------------------------------------------------------------------------
เรื่องเล่า.....เพราะมีเธอ (เรื่องจริงจากเสี้ยวชีวิตของผม)
บทนำ
คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ ผมถือคตินี้มาโดยตลอดแต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณครึ่งปีที่แล้ว ผมทำงานเป็นลูกจ้างส่วนราชการแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ผมทำงานที่นี่มาได้เกือบสองปีแล้วโดยการช่วยเหลือจากญาติผู้ใหญ่ที่ใช้เส้นสายฝากเข้ามา ในตอนแรกการทำงานก็ดูเหมือนจะติดขัดเล็กน้อยเพราะผมเป็นคนนอกพื้นที่ ทำให้คนในพื้นที่หลายคนไม่พอใจที่ผมได้มาทำงานตรงนี้ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีเนื่องจากผมได้แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าผมทำงานโดยใช้ความสามารถจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่เส้นสายอย่างเดียว
จนกระทั่งนายกฯ คนเก่าหมดวาระลงทำให้ต้องมีการเลือกตั้งนายกฯ ในครั้งนั้นผมหวังอยากให้ได้นายกคนใหม่ เพราะหลายๆคนในที่ทำงานบอกว่าถ้าหากได้นายกคนใหม่พวกเราจะสบายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และในที่สุดผลก็ออกมา ผมได้นายกคนใหม่อยากที่ต้องการเหมือนกับเพื่อนๆทุกคน แต่สิ่งที่ทุกคนไม่เคยคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น เมื่อนายกเข้ามาทำงานได้เพียงไม่กี่วัน ก็แสดงสันดานที่ทุกคนไม่เคยเห็นไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น จนตัวผมและเพื่อนๆที่ทำงานทุกคนต่างพากันเอือมละอา ในพฤติกรรมของเขา
ในที่สุดความอดทนของผมก็หมดลง ผมใช้เวลาเกือบสามเดือนในการตัดสินใจที่จะลาจากความรู้สึกและปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาครอบครัว หนี้สิน ความรัก และอีกมากมายหลายอย่างที่คนอายุยี่สิบเอ็ดปีคนหนึ่งต้องแบกรับเอาไว้ โดยที่ไม่สามารถจะระบายให้ใครฟังได้ เพราะอยู่ตัวคนเดียวทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ส่วนเพื่อนฝูงก็เป็นได้แต่เพื่อนกินเท่านั้น เพราะยามเรามีปัญหาก็ไม่เห็นจะมีใครแสดงท่าทีห่วงใยแม้แต่น้อย “การตาย” คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผม
*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
-
:sad11: :sad11: ชีวิตมันเศร้า
:เฮ้อ:
-
งืมมม เปิดเรื่องมาดราม่าาาาาาาาาาาาจ๋าสุดๆ รอติดตามค่ะ
-
ห้าวันก่อนที่คุณจะตาย คุณอยากทำอะไร สำหรับผมแล้วถ้ามีใครมาถามคำถามๆนี้กับผม ผมคงจะตอบได้เป็นอย่างดีเพราะผมได้ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว
วันที่หนึ่ง 25 พฤศจิกายน 2552
หลังจากการคิดและไตร่ตรองมาเป็นเวลาเกือบสามเดือน ผมพร้อมที่จะตัดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตโดยที่ไม่ได้คิดเสียดายหรือเสียใจอะไรแล้ว
เช้าของวันนี้ผมตื่นขึ้นมาในห้องเช่าตอนประมาณเกือบๆเจ็ดโมงเช้า หลังจากที่เมื่อคืนเก็บเสื้อผ้าและของที่จำเป็นสำหรับการไปพักผ่อนครั้งสุดท้ายของชีวิต กระเป๋าเดินทางแบบล้อลากขนาดใหญ่หนึ่งใบถูกอัดเต็มไปด้วยสิ่งของสำหรับห้าวัน
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็เลือกที่จะเริ่มการใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่า สถานีรถไฟคือแห่งแรกที่ผมเดินทางไป เพื่อจะเริ่มการเดินทางครั้งนี้ จุดหมายปลายทางของผมคือ “ชะอำ” หลังจากที่ขึ้นรถไฟตอนประมาณสิบโมงกว่าๆ ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรไปจองห้องพักที่ผมหาได้จากทางอินเตอร์เน็ต
“สวัสดีครับ ใช่บังกะโล..... หรือป่าวครับ” ผมถามทันทีหลังจากที่มีคนรับสาย
“คือผมจะขอจองห้องพักสักสี่คืนอ่ะครับ ตั้งแต่พุธถึงวันเสาร์ ไม่ทราบว่าพอจะมีห้องว่างไหมครับ”
หลังจากที่ตกลงราคากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็นั่งหลับพักสายตา ประมาณเที่ยงกว่าๆ รถไฟก็มาถึงสถานีบ้านชะอำ ผมเลือกใช้บริการของวินมอเตอร์ไซค์เพื่อให้ไปส่งที่ห้องพัก
ห้องพักที่ผมเลือกนั้น เป็นบ้านหลังๆละสองห้อง แต่ถ้าจะเช่าห้องเดียวก็ได้ ซึ่งผมก็เช่าห้องเดียว หน้าห้องมีระเบียงและโต๊ะไว้สำหรับกินข้าว หรือนั่งพักผ่อน ที่นี่ค่อนข้างจะเงียบไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ดูเป็นส่วนตัวมาก
หลังจากที่จัดการข้าวของทุกอย่างเข้าที่ผมก็นอนหลับ มาตื่นอีกทีก็เกือบจะหกโมงเย็น ผมเลือกที่จะฝากท้องกับอาหารมื้อเย็นที่เซเว่น จากนั้นประมาณสักสองทุ่มผมก็เริ่มที่จะเขียนจดหมายและข้อความต่าง ๆ เพื่อที่จะส่งไปให้กับหลายๆคนที่ผมรู้จัก ทั้งเพื่อน ๆ เพื่อนที่ทำงาน และครอบครัว (ที่เหมือนจะไม่มี) ในขณะที่เขียนอยู่น้ำตาก็ไหลตลอดเวลาโดยที่ผมไม่สามารถจะรู้ได้ว่าที่ร้องไห้เนี่ย เพราะเสียใจหรือดีใจกันแน่
ไม่นานจดหมายหลายฉบับก็ถูกปิดผนึก โดยเขียนชื่อของคนที่ผมต้องการให้ไว้ที่มุมซอง จากนั้นผมก็อาบน้ำและเข้านอน
(จบวันแรก อาจจะไม่ถูกใจหลายๆคน แต่นี่มันคือชีวิตจริงนี่ครับ แต่รับรองว่าวันต่อๆไป คุณอาจจะได้ยิ้มทั้งน้ำตา)
-
วันที่สอง 26 พฤศจิกายน 2552
วันนี้ผมตื่นนอนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ผมเตรียมแผนการเที่ยวของผมไว้เรียบร้อยแล้วในหัวสมอง หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมก็เดินไปที่จุดติดต่อห้องพักของบังกะโล เพื่อขอเช่ารถมอเตอร์ไซค์
“จะเอาคันไหนดีหล่ะครับ” ชายคนหนึ่งซึ่งคงเป็นลูกชายของเจ้าของถามผม
“เอานูโว คันสีดำแล้วกันครับ” ผมตอบพลางชี้ไปที่รถคันที่ต้องการ
“คันนี้วันละสองร้อยห้าสิบครับ ว่าแต่จะเอาสักกี่วันดี” ชายคนเดิมยังถามต่อ
“ถ้าคืนตอนเที่ยงของวันอาทิตย์คิดเท่าไหร่อ่ะ” ผมถามกลับไป
“ผมเอาหกร้อยแล้วกัน แต่เติมน้ำมันเองนะครับ”
หลังจากที่จ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อยจุดหมายแห่งแรกของผมก็คือ “บิ๊กซี เพชรบุรี” ผมใช้เวลาเดินทางโดยขี่เจ้ามอไซค์จากชะอำ ประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง ตลอดเส้นทางที่ผ่าน เมื่อเห็นสถานที่ต่างๆก็ทำให้ผมอดคิดถึงอดีต ตอนที่เคยมากับทั้งครอบครัวและโรงเรียน มันเหมือนมาดูเป็นครั้งสุดท้ายยังไงยังงั้น
พอมาถึงบิ๊กซีปุ๊บผมก็ตรงไปที่โรงหนังทันที ซึ่งเรื่องที่ผมเลือกดูในวันนั้นก็คือ แวมไพล์ ทไวไลน์ ซึ่งเหตุผลที่ผมเลือกดูเรื่องนี้ก็เพราะผมได้สัญญากับพี่ที่ทำงานคนหนึ่งไว้ว่าจะไปดูด้วยกัน แต่ผมคงไม่มีโอกาสแล้วผมจึงเลือกที่จะดูแทนพี่เขาไปด้วย ผมก็เลยซื้อตั๋วสองใบ (คนขายยังทำหน้างงเลย) บางคนคงคิดว่าผมเพี้ยน แต่ในความรู้สึกผมอยากทำอะไรๆให้มันเรียบร้อยก่อนที่ผมจะไป ไม่อยากผิดคำสัญญา หรือข้อผูกมัดใดๆ
กว่าหนังจะจบ ก็เป็นเวลาประมาณบ่ายกว่าๆ ผมเลือกที่จะกินเอ็มเค เหมือนคนแปลกอีกตามเคย โต๊ะข้างๆ หรือแม้แต่พนักงานก็ทำท่าทางสงสัยว่าทำไมผมถึงนั่งกินคนเดียว เพราะปกติส่วนใหญ่โต๊ะอื่นๆเขาจะมากันอย่างน้อยก็สองคน ส่วนเหตุผลนะเหรอ ผมเคยสัญญากับพี่สาวของผมตอนสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ว่าถ้าผมเรียนจบมีงานทำจะพาพี่มานั่งกินด้วยกัน แต่พอผมทำงานได้จริงๆ พี่สาวของผมก็ไม่อยากมานั่งกินกับผมเสียแล้ว (คิดแล้วก็เศร้าขนาดตอนที่ผมนั่งพิมพ์อยู่ก็ยังร้องไห้ไปด้วย)
กว่าจะกลับมาถึงห้องพักก็ประมาณสี่โมงเย็น ซึ่งตอนที่แวะเติมน้ำมันผมก็ได้ถามน้องที่ปั้มว่าที่นี่มีห้างที่ไหนอีกนอกจากบิ๊กซี น้องเค้าก็เลยแนะนำให้ผมไปโลตัสหัวหิน พอประมาณหกโมงเย็นแดดร่มแล้วผมก็ขี่มอไซค์ไปหัวหินอีก ผมเดินเที่ยวซื้อของ กลับมาถึงห้องอีกทีก็ประมาณสามทุ่ม
หลังจากที่อยู่คนเดียวมาสองวันเต็ม ๆ ความเหงาก็เริ่มเข้ามาในความรู้สึก ผมหยิบโน๊ตบุ๊คขึ้นมาพร้อมกับต่อเน็ตด้วยมือถือ ในใจตอนนั้นผมคิดว่าจะหาคู่นอนสักคนผมจึงพิมพ์ข้อความลงไปในเวปโพสจัง
“ใครอยากได้ตางแอดมา ชะอำใกล้เคียง”
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครแอดเข้ามาจนเป็นเรื่องผิดสังเกต ผมจึงลองแอดคนอื่นดูซึ่งปรากฏว่าไม่รู้ว่าโปรแกรมเอ็มเอสเอ็นเป็นอะไรอยู่ดีๆก็แอด หรือรับแอดใครไม่ได้เกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผมพยายามลองแอดคนอื่น แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายก็นึกได้ว่าลองออนบนเวปไซค์แทนก็ได้ เป็นอย่างที่ใจหวังผมออนบนเวปได้สำเร็จ ผมจึงกลับไปรีเฟรชที่หน้าโพสจังอีกครั้ง แล้วก็ไปสะดุดกับข้อความๆหนึ่ง
“คุยกันเสียวๆหนุกๆเพชรบุรีชะอำ”
เร็วดังใจคิดผมกดเม้าส์กอปเมลล์มาแอดเป็นเพื่อนทันทีไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ได้รับการทักทาย
(ไว้ค่ำๆ จะมาต่อให้นะครับ ยังไงก็ช่วยกันรีพลายหน่อยนะคร้าฟ)
-
:L2:
-
อ่านไปก็รู้สึกหวาด ๆ ค่ะ ความรู้สึกไม่ดีมันสลายไปแล้วใช่มั้ยคะ
หวังว่าอ่านไปเรื่อย ๆ แล้วมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นนะคะ
ขอบคุณค่ะ :กอด1:
-
อยากจะบอกกับทุกๆคนว่า เรื่องๆนี้เป็นเรื่องจริง 100% ตัวละครมีชีวิตจริง
แต่อาจจะเปลี่ยนชื่อเล็กน้อย ส่วนสถานที่กับการกระทำทั้งหมดเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของผมเอง ผมก็เคยลองเขียนนิยายแบบเพ้อฝันมาก็เยอะแต่ในครั้งนี้
ขอเอาความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับมันมาเสนอบ้าง เนื้อเรื่องอาจจะไม่ดูไม่ราบรื่นหรือสนุกสนานเท่าที่ควร
แต่อย่างน้อยคุณจะได้รู้ว่า บุพเพสันนิวาส หรือเนื้อคู่ มันมีจริงๆๆ
-
:m15: ชีวิตยังมีอะไรอีกมากมายนะครับ
ยังไง ๆ ก็เอาใจช่วยละกันครับ
-
....พี่เห็น log in พี่นึกถึง..พี่ที่เป็นช่างซ่อมคอม ในเรื่องสั้นน่ะ นึกว่า ok กันเรียบร้อยแล้ว
....หรือเรื่องนั้นเป็นนิยายหว่า ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะ ขอให้สมหวังกับใครซักคนเถอะ สู้ๆๆนะ :L2:
-
มอบ :L2:
เป็นกำลังใจให้นะฮับ
-
มากด + ให้ค่ะ
อ่านทุกคำได้กลิ่นอายของความเศร้าอ่ะ
เป็นกำลังใจให้พี่น๊า รออ่านเรื่องดีๆ จากพี่ค่ะ
-
มาต่อให้ตามสัญญานะครับ
เร็วดังใจคิดผมกดเม้าส์กอปเมลล์มาแอดเป็นเพื่อนทันทีไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ได้รับการทักทาย
“ดีครับ ผมเต๊ะ อยู่ชะอำ นายหล่ะ” ฝ่ายโน้นเริ่มเป็นฝ่ายทักทายก่อน
“ผมบอสครับ ตอนนี้อยู่ชะอำ”
“อืม นายจะว่าอะไรไหมถ้าจะขอเบอร์โทรศัพท์ พอดีเราจะเลิกเล่นแล้ว”
มีเหรอที่ผมจะไม่ให้ ประมาณยี่สิบนาทีก็มีสายโทรเข้ามา ซึ่งคงเป็นใครไปไม่ได้เพราะเบอร์นี้ผมพึ่งซื้อมาเมื่อวานนี้เอง
“ใช่บอสไหมครับ” เต๊ะพูดทันทีที่ผมกดรับสาย
“ใช่ครับ อืมเต๊ะหรือป่าวครับ” ผมวางฟอร์มแกล้งถามกลับไป
“อ่ะครับ แล้วนายมาเที่ยวหรือว่าเปนคนที่นี่อ่ะ” เต๊ะถามผม
“พอดีมาเที่ยวคนเดียวอ่ะครับ เหงาๆเลยอยากหาเพื่อนกินข้าวด้วย” ผมพูด
“แล้วทำไมไม่เอาเพื่อนๆมาด้วยหล่ะจะได้ไม่เหงา”
“ไม่เอาอ่ะ มาหาเอาข้างหน้าดีกว่า” ผมพูดสองแง่สองง่าม
“อืม แล้วนายพักตรงไหนอ่ะ เด๋วพรุ่งนี้เช้าเราจะได้ไปหา”
“บังกะโล........ ติดๆกับโรงแรม.......” ผมตอบพร้อมอธิบายเส้นทาง แถมบอกยั้นห้องอีกต่างหาก แบบละเอียดยิบ (กลัวหลง)
“กล้ามาเหรอ ไม่กลัวเราฆ่าหมกทรายหรือไง” ผมแกล้งหยอกถาม
“ไม่อ่ะ นายต่างหากที่ต้องกลัว” มาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มชักหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน แต่พอคิดขึ้นได้ว่ายังไงก็ต้องกลับไปตายอยู่ดี จะตายตอนนี้หรือตอนไหนก็เหมือนกัน
“เงียบเลย ล้อเล่นนิดเดียว” เต๊ะพูดขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังคิดไปเรื่อย
จากนั้นเราก็คุยกันอีกประมาณยี่สิบนาที หลังจากวางสายผมก็เดินไปเล่นที่ชายหาด จนเกือบจะเที่ยงคืนผมจึงกลับเข้ามาอาบน้ำนอน
(จบวันที่สอง ขอบคุณทุกคนที่รีพลายนะครับ)
-
วันที่สาม 27 พฤศจิกายน 2552
“ใครโทรมาแต่เช้า” ผมบ่นกับตัวเองพลางเอื้อมมือไปกดรับสาย
“ฮัลโหล” ผมตอบด้วยเสียงงัวเงียสุดๆ
“ยังไม่ตื่นอีกเหรอ ตื่นได้แล้ว อีกสิบนาทีจะไปหาที่ห้องแล้วนะ” เสียงปลายสายบอก ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวลืมไปเลยว่านัดกับพี่เต๊ะไว้ (ผมยี่สิบเอ็ด พี่เต๊ะยี่สิบแปดแล้ว)
“อ่ะโอเคๆ” หลังจากวางสายผมก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันที
“ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตู คงไม่ใช่ใครอื่นไปได้
ผมซึ่งกำลังออกมาจากห้องน้ำพอดี จึงต้องรีบไปเปิดประตูให้ ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากถามอะไรต่อมิอะไร พลันต้องสะดุดลงทันที หน้าห้องของผมตอนนี้มีชายหนุ่มน่าจะอายุ25+ แต่คงไม่เกินสามสิบ ใส่ชุดกีฬาสีน้ำเงินเข้ม จากสายตาคร่าวๆคงสูงเกือบๆสองเมตรได้มั้ง (มารู้ตอนหลังว่าสูง 189 เปรตชัดๆ ) รูปร่างไม่ผอมออกดูอวบๆ ผมสีดำ มีรากไทรนิดๆ ผิวสีน้ำผึ้ง ตาชั้นเดียว ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าสเปค คนอะไรช่างดูดีขนาดนี้
“เมื่อยแล้ว ไปมองต่อในห้องก็ได้” นั่นไงเจอเข้าไป
“อ่ะๆ เข้ามาดิ แล้วทำไมมาสภาพแบบนี้เนี่ย” ผมถามพลางชี้ไปที่ชุดที่พี่เต๊ะใส่
“ก็มันถอดง่าย ใส่ง่าย” นั่นดูพี่แกตอบเข้า ผมเองที่ต้องเป็นฝ่ายเดินหนีไปใส่เสื้อผ้า
“บอส นวดเป็นไหม” พี่เต๊ะถาม หลังจากที่ผมเดินมานั่งข้างๆ
“อืมก็พอได้นะ” ผมตอบ
“แล้วเป็นอะไร ก้มหน้าก้มตา ทำไมพี่ไม่หล่อพอหรือไง” โดนไปอีกหนึ่งไอ้บอส
“ป่าว คือจะถามว่าพี่คิดค่าเสียเวลาเท่าไหร่” ผมมองหน้าพี่เต๊ะ แกทำหน้าเหมือนงงกับคำถามที่ผมถามออกไป
“ก็ค่าเสียเวลาไง พี่คิดเท่าไหร่บอกมาตรงๆเลย จะได้เคลียร์กันให้ลงตัวก่อน เด๋วพอจ่ายเงินแล้วไม่พอใจจะมีปัญหากันเปล่า” ผมถามออกไปตรงๆ เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้หน้าตาดีอะไร เขาคงไม่มาบริการถึงที่ฟรีๆหรอก
“พี่เคยบอกไหมว่าพี่จะขาย” พี่เต๊ะตีหน้าเครียดแล้วหันมาจ้องหน้าผม
“ป่าว” ผมตอบ พลางก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้น
“งั้นก็เลิกพูดเรื่องนี้”
หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ต่างคนต่างเงียบ จนพี่เต๊ะลุกขึ้นเดินออกไป ในใจผมคิดว่าพี่เขาคงกลับไปแล้ว จึงเอนตัวลงนอนต่อ
“ง่วงนอนเหรอ” เสียงพี่เต๊ะถาม
“อ่าว นึกว่ากลับไปแล้ว”
“ทำไมอยากให้กลับนักหรือไง” พี่เต๊ะตอบพลางตีสีหน้า
“ป่าว ก็แค่สงสัย แล้วนั่นเอาเสื้อผ้ามาทำไรอ่ะ”
“จะอาบน้ำหน่อยอ่ะ เด๋วต้องไปธุระกับเพื่อน”
“อืม เอาดิ”
พอพี่เต๊ะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมก็นั่งคิดว่าเด๋วพี่แกก็คงจะไปแล้วไปเลย ไม่รู้สิผมไม่มีความมั่นใจในตัวเองมั้ง ถึงคิดไปแบบนั้น
ไม่นานพี่เต๊ะก็ขี่มอไซค์ของแกออกไป แต่ก่อนไปพี่เต๊ะบอกกับผมไว้ว่าจะกลับมาให้ทันกินข้าวเที่ยงด้วยกัน
(ไว้พรุ่งนี้มาต่อให้นะครับ
-
ใช่หนุ่มหล่อคนนี้รึเป่าที่จะมาพลิกความคิด
รออ่านต่อนะคะ
-
ขอตามติดด้วยคนนะคะ
อาจจะเป็นคนนี้~
-
ขอบคุณที่มาลงต่อนะฮับ
ติดตามตอนต่อไป
-
มาต่อนะ....รออยู่....
เร็วๆนะ
^^
-
ค้างคา ค้างคา ค้างคา สุดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มาต่อไวๆนะ :sad4:
-
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ... :L2: :L2:
หวังว่าจิตใตคนแต่งตอนนี้คงจะสดใสดีแล้วนะคะ...รอตอนต่อไปค่ะ o13
-
รอตอนต่อไปครับผม
-
...รอด้วยคน :pig4:
-
เกิดมาแล้วต้องสู้ :L2:
-
:a5: รอๆ อยู่น่ะครับบ พี่บอสส
มาต่อเร็วๆนร้าครับบ
:really2:
-
มาให้กำลังใจนะคะ :L2:
-
มารอค่ะ :z2:
-
รอต่อไป :t3:
-
ดันกลับมาให่ค่ะ ยังรออ่านอยู่ ไปไหนแล้วเอ่ย >.<
-
ไปไหนละนั่น กลับมานะ
:z13:
-
มาต่อยังเอ่ย
-
คนเขียนยังมีชีวิตอยู่ครับ
แต่ตอนนี้ขอเคลียปัญหาต่างๆก่อนนะคับ :o12:
อีกไม่นานจะรีบมาต่อให้จบ สัญญาคับ :n1:
-
มาจิ้ม + ให้กำลังใจค่า สู้ๆ นะคะ
-
สู้ๆๆนะคะ......ขอให้ปัญหาผ่านพ้นไปได้ด้วยดีค่ะ :L2:
-
เป็นกำลังใจให้ครับ
สู้ๆ
-
ดราม่ามากเลยอ่า
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะจ๊ะ
สู้ๆ ต่อไปนะ :กอด1:
-
เข้ามาติดตาม พร้อมเป็นกำลังใจให้ด้วยคนครับ
:กอด1:
-
มาให้กำลังใจ และรอตอนต่อไปค่ะ
-
o13
อ่ะ +1 ไปให้ด้วย แต่ผมทำไม่เป็น เค้าแค่มา + กันแบบนี้ป่ะ หรือว่าต้องคลิกตรงไหน ใครก็ได้ชี้แนะด้วย
อิจฉาพี่เต๊ะอ่ะ อยู่ๆก็จะได้เจี๊ยะเด็กน้อยวัยขบเผาะ เอิกๆ :haun4:
-
เข้ามานั่งรอออ
นอนรออ :t3:
-
:กอด1: มาเป็นกำลังใจให้อีกคน รออ่านนะครับ
สู้ ๆ ครับ
-
เป็นกำลังใจให้เช่นกัน :L2:
-
อ๊ะๆ สงสัยคนเขียนกำลังมีความสุขกับความรักแหงๆอ่ะ เงียบหายไปเลยอ่ะ สุขท่วมท้นจนไม่มีเวลามานั่งอัพเรื่องเลยว่างั้น? :m20:
-
สวัสดีครับ
สายไปไหมที่จะเข้ามา??
ไม่ล่ะมั้ง
เรื่องราวจากชีวิต ก็อย่างนี้ล่ะครับ มันเป็นธรรมชาติ ไม่เกินเหตุเกินเลยไป
ผมชอบ
ขอบคุณและจะติดตามครับ
-
เข้ามารอ ตอนต่อไปคับ
ชอบนะ
ตอนต่อไปคงจะน่ารัก
-
มาต่อหน่อยจิ
อยากอ่านมาก
-
หายไปหลายวันแล้วนะคับ
รออยู่
-
โอ้..รอต่อครับ
ปล. โยว่าโยชอบเรื่องจากชีวิตจริงมากกว่าแหะ ฮ่าๆ
-
เป็นกำลังใจให้จ้า
-
คนแต่งหายไปไหนหว่า...นานแล้วอ่า....
สู้ๆๆนะจ๊าา :L2: :กอด1:
-
อ่านตอนที่เขียนจดหมายถึงคนข้างหลังแล้วจุกในอก อึ้งเลยครับ :m15: ทำไมคนเราเวลาสิ้นหวังเนี่ย
มันเจ็บปวดขนาดนั้นเลยเหรอ ผมก็เคยเป็นนะ เวลามีปัญหาหนัก ๆ แต่ผมใช้วิธีการหยุด แล้ว
นอนสักพัก ปล่อยให้เวลามันเลยผ่านไป พอคลาย ๆ ปัญญาก็เกิดทุกที แล้วผมก็ผ่านหลาย ๆ
เรื่องมาได้ พอมองย้อนกลับไป เรื่องใหญ่ ๆ เหล่านั้นก็กลายเป็นเรื่องเล็กทุกที เพราะมีเรื่อง
ใหญ่ ๆ รออยู่ข้างหน้าอีก
เป็นกำลังใจให้นะครับ
-
รอด้วยคน :z2: :z2:
-
ไมต้องเป็นคนสุดท้ายทุกครั้งเลยอ่ะ
อ่านนิยายกี่เรื่อง ๆ ก็มาค้างที่เราโพสเป็นคนสุดท้ายตลอด o22
รอนะครับช้าได้แต่อย่านานเกินเน้อ
มีคนคิดถึงเยอะ 555+
-
รอแล้วรอเล่า...............เฝ้าแต่รอ :m16:
-
:call: :call: :call: :call: :call:
-
ขอโทษทุกคนด้วยที่ห่างหายไปนานมากๆๆๆ จนหลายคนคงคิดว่าผมจะไม่มาแล้ว
แต่สัญญาก้อต้องเปนสัญญา มาช้าดีกว่าไม่มานะ งั้นก้อเีิริ่มเลยแล้วกันนะคับ
................................................................................
ไม่รู้ว่าผมเผลอหลับไปตอนไหนตื่นขึ้นมาอีกทีก้อเพราะมีเสียงคนเคาะประตูนี่แหละ ไม่รู้มันจะเคาะอะไรกันมากมาย
"เปิดแล้ว เปิดแล้ว" ผมขานรับก่อนที่จะค่อยๆถ่อสังขารขึ้นไปเปิดประตู
"หิวข้าวหรือยัง" พอเปิดประตูปุ๊บ พี่เต๊ะก้อรีบถามทันที ผมหันกลับไปมองนาฬิกาบ่ายสองโมงกว่าๆแล้ว
ทำไมมันไม่มามื้อเย็นไปเลยทีเดียว ผมคิดในใจ แต่อีกใจก้อแอบดีใจที่พี่เขายังมา
"แล้วแต่พี่ดิ ผมยังไงก้อได้" ผมตอบก่อนเดินไปเข้าห้องน้ำ
"เดี๋ยว ตอบไม่ตรงคำถาม" พี่เต๊ะพูดพร้อมกับจ้องทำหน้าตาจิงจัง
"หิวก็หิว" ผมตอบด้วยน้ำเสียอ้อนๆ ทำให้พี่เต๊ะยิ้มขึ้นมาทันที
กว่าจะขี่รถวนหาร้านที่ถูกใจ ก้อปาเข้าไปบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว ร้านที่เลือกเป็นร้านอาหารที่สะพานปลา เปิดให้บริการทั้งวัน
(ไม่รู้ทั้งวันแน่ป่าว แต่ไปทีไรมันก้อเปิดอ่ะ) ไม่นานอาหารที่สั่งก้อมาจนเต็มโต๊ะ จากการสั่งของผมเองแหละ
"สั่งอ่ะไรมามากมายกินหมดเหรอ" พี่เต๊ะถาม แต่ตาของแกนะมองไปที่ปูนิ่มทอดกระเทียม
"กินไม่หมดก้อไม่เหนเปนไร" ผมตอบ พลางนึกถึงอนาคตของตัวเอง อีกแค่สองวันเราก็ต้องตายอยากกินอะไรก้อต้องรีบกิน
อยากทำอะไรก็ต้องรีบทำ เพราะไม่รู้ตายไปแล้วใครมาเคาะที่ข้างโลงจะได้กินหรือป่าวก็ไม่รู้
"อ่าวเงียบเลย เป็นอะไรหรือป่าว"
"ไม่ได้เปนไรก้อแค่คิดอะไรเพลินๆ" ผมตอบพลางแกล้งมาสนใจอาหารตรงหน้าแทน
"แล้วทำไมมาเที่ยวคนเดียว" พี่เต๊ะถาม ซึ่งดูจะเป็นการถามที่ต้องการคำถามแบบจิงจังด้วย
"ก้อเบื่อๆ อยากมาพักผ่อนเผื่ออยู่คนเดียวแล้วจะดีขึ้น" ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามทั้งหมด
จากนั้นพี่เต๊ะก้อถามอะไรอีกมากมาย ผมก้อตอบอันไหนตอบตามตรงได้ก็ตอบ อันไหนตอบไม่ได้ก็เลี่ยงๆไป
เวลาห้าโมงกว่าๆเกือบหกโมง
ทั้งผมแล้วพี่เต๊ะก้อกลับมาถึงห้องด้วยอาการเหมือนคนจะหายใจไม่ออกเนื่องจากกินอาหารมากเกินพิกัด ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ
พี่เต๊ะนั้นแหละผมบอกแล้วว่าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน แต่พี่แกก็ชักแม่น้ำทั้งห้ามาหาว่าผมใช้เงินสิ้นเปลืองบ้าง กินทิ้งกินขว้างบ้าง
จนผมต้องนั่นกินไปฟังพี่แกบ่นไป จนในที่สุดมันก็หมด
"บอส พี่อึดอัดหว่ะ" พี่เต๊ะพูดพลางถอดกางเกงยีนส์ออกเหลือแต่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว
"ก้อบอกแล้วไงว่ากินไม่ไหวก็ไม่ต้องกิน"
"ก็มันเสียดาย" ดูพี่แกตอบแถมทำหน้ากวนๆใส่ผมอีก
"มิน่าถึงได้อ้วนจนจะเป็นหมูอยู่แล้ว" ผมพูด แล้วก็เอามือไปจิ้มๆๆ ท้องของแก ซึ่งตอนนี้มันดูเหมือนจะเป็นพุงไปแล้ว
"เห้ย อารมณ์ไหนเนี่่ย" ผมชักมือกลับแทบไม่ทันก็อยู่ดีๆ พี่เต๊ะมันจับมือผมไปที่เป้่าของมันซึ่งตอนนี้มันแข็งจนเห็นอย่างชัดเจน
"ก็อารมณ์ ....." นั่นเอาแล้วไง พี่เต๊ะเริ่มโจมตีผมก่อน ถ้าเป็นปกติผมคงยอมไปแล้วหล่ะ เพราะว่าเรื่องเซ็กส์สำหรับผมแล้วก็
คล้ายๆกับอาการหิวข้าว คือหิวก็กิน อิ่มก็จบ ถ้าชอบก็กินซ้ำ ถ้าเบื่อก็เปลี่ยน แต่นี่ตอนนี้ผมอิ่มมากกก จนท้องจะระเบิดอยู่
แล้วจะให้มาทำเรื่องแบบนี้ไม่ไหวนะ
"เอาไว้ก่อนไม่ได้เหรอ อิ่มจะตายทำไม่ไหวหรอก" ผมบอกพลางเอาหัวไปซบที่หน้าอกพี่เต๊ะ
"สัญญาแล้วนะ"
"อืมม" ผมบอกก่อนจะค่อยๆหลับตาลง นี่แหละน๊าหนังท้องตึงหนังตาหย่อน
เผลอหลับไปอีกแล้วเรา พอมารู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนมีอะไรมาซุกอยู่ที่ต้นคอ ตอนนี้ข้างในห้องมืดสนิท แต่ก็พอจะมีแสงรำไร
จากแสงที่ส่องทะลุม่านเข้ามา
"อืมม" ผมครางเบาๆ เมื่อพี่เต๊ะขบกัดที่ซอกคอ ลามมาถึงหัวนม
"ตื่นแล้วเหรอ พี่นอนไม่หลับเลย เอ่อมัน...." พี่เต๊ะพูดพลางส่งสายตาไปยังช่วงล่างของแก ซึ่งตอนนี้มันไม่มีอะไรปิดบัง
ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ดึงตัวพี่เต๊ะขึ้นมาประกบปาก ผมเองก็มีประสบการณ์กับเรื่องนี้มาพอสมควร ส่วนพี่เต๊ะเองก็คงจะไม่น้อย
ไปกว่าผมสักเท่าไหร่หรอก ต่างคนต่างก็ไม่มีใครยอมใคร คืนนั้นผมยอมรับว่าผมมีความสุขมาก นานมากแล้วที่ผมไม่ได้มี
โอกาสร่วมรักกับใครแล้วมีความสุขขนาดนี้
"เหนื่อยไหม" พี่เต๊ะ โน้มตัวลงมากระซิบถามผม หลังจากที่เสร็จภารกิจในยกแรก
"ก็นิดหน่อย แต่คงไม่เท่าพี่หรอก" ผมแกล้งแซว จึงได้รางวัลเป็นการกระแทกเข้ามาแบบไม่ตั้งตัว
"อะไรแข็งอีกแล้วเหรอ" ผมถามพลางมองหน้าพี่เต๊ะด้วยความสงสัย
"ก็ๆๆ มันอยากหนิ นานๆทีได้เจอคู่ปรับที่เหมาะสมกัน" ผมเต๊ะตอบก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงรักบทต่อไป
จบวันที่สามแล้วนะครับ อีกแค่สองวันชีวิตของผมจะจบหรือจะเดินต่อไปอย่างไร ก็อ่านกันต่อไปแล้วกันนะคับ
-
วันที่สี่
ผมรู้สึกตัวตอนประมาณตีห้า ความจริงแล้วหลังจากที่ทำกิจกาม ยกที่สี่กับพี่เต๊ะเสร็จ ผมก็ได้แค่หลับตาลง แต่มันก็ไม่
หลับ สนิทเท่าที่ควรคงเป็นเพราะผมนอนมาทั้งวัน ส่วนอีกคนไม่ต้องพูดถึงหลับเป็นตาย แถมยังเอาผมเป็นตุ๊กตาอีกกอดอยู่นั่นแหละ
ผมค่อยๆ หยิบแขนของพี่เต๊ะออกแล้วเอาหมอนที่ผมหนุนไปวางไว้แทน ในความมืดนั้นผมได้แต่นั่งจ้องหน้าพี่เต๊ะ ไม่รู้ว่าทำไม
อยู่ดีๆน้ำตาก็ไหลออกมามากมายแบบไม่มีเสียงสะอื้น ผมได้แต่คิดในใจว่าทำไม ทำไมเราต้องมาเจอกัน ทำไมผมต้องมารู้สึก
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมเหมือนคนไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่คนๆนี้ทำให้ผมยิ้มได้ หัวเราะได้ และในขณะนี้เขาก็ทำให้ผมร้องไห้
ในตอนนั้นหากถามว่าผมอยู่ในอารมณ์ไหนผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน มันทั้งดีใจ เสียใจปนไปมากันหมด สงสัยผม
คงขยับตัวบ่อยเกินไปทำให้คนที่หลับอยู่รู้สึกตัวขึ้นมา
"ไม่นอนเหรอ มานั่งจ้องหน้าพี่ทำไมครับ" นี่เป็นประโยคแรกเลยนะ ที่พี่เต๊ะพูดได้นุ่มนวลมาก ถึงมันจะไม่ได้มีความหมายใด
แต่ก็ทำให้ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม พี่เต๊ะลุกขี้นนั่งแล้วดึงผมเข้าไปกอด
"เป็นอะไรครับคนดี บอกพี่ได้ไหม" ในชีวิตของผม ไม่เคยมีสักครั้งที่จะมีใครพูดกับผมด้วยความห่วงใยแบบนี้ แม้แต่ผู้ให้
กำเนิด หรือญาติพี่น้อง ก็ไม่เคยมีใครพูดกับผมแบบนี้สักครั้ง
ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกไป พยายามเก็บความรู้สึกที่มีทั้งหมด พี่เต๊ะเองก็ไม่ได้ถามอะไรผมอีก ได้แต่นั่งกอดผมไว้
อย่างนั้น
"พี่นอนต่อเหอะ เด๋วผมจะออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น"
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องความรู้สึกที่เก็บไว้เมื่อครู่ก้อโถมเข้ามาอีกครั้ง น้ำตาที่ไหลจากอารมณ์ใดผมก้ไม่สามารถ
บอกกับตัวเองได้ ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ใต้ต้นสน แล้วมองออกไปยังท้องทะเลที่เริ่มมีแสงสีส้มๆ พ้นขึ้นมาเพียงเล็กน้อย
ผมนั่งนึกถึงอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่เด็ก ผมจำความได้ว่า สมัยที่ผมเรียนอยู่อนุบาลตาจะคอยเป็นคนดูแลผมมาตลอด
เพราะแม่จะห่วงขายของชำกับห่วงน้องสาวคนเล็ก ซึ่งเป็นลูกกับสามีใหม่ของแม่ พ่อของผมทิ้งผมไปตั้งแต่ผมยังไม่ได้ขวบ
ตาเลยดูแลผมมาตั้งแต่เล็กๆ ที่จริงแล้วบ้านตา กับบ้านแม่ก็อยู่ติดกันนั่นแหละ พอโตประมาณสักป.2 ทุกวันที่หยุดเรียนผมก็จะ
ไปช่วยแม่ขายของ โดยมีพี่สาวของผมคอยช่วยด้วย เพราะแม่จะต้องไปกับรถสิบล้อกับพ่อเลี้ยงและก็จะเอาน้องคนเล็กไปด้วย
ผมและพ่อเลี้ยงก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่นัก ส่วนแม่ก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไรผมมากมาย เพราะคงคิดว่ามีตาคอยดูแลอยู่
วันนั้นวันที่ผมจำได้ดี ผมกับพี่สาวกำลังขายของอยู่ส่วนแม่ก็ไปคุยกับใครที่หลังบ้านก็ไม่รู้ สักพักก็มีตำรวจวิ่งเข้ามา
ร่วมสิบคนได้ แล้วก็จับพ่อเลี้ยง แม่ พี่สาว และญาติห่างๆไปอีกคน ผมเองตอนนั้นอยู่แค่ป.4 ก้อไม่รู้จะทำไงได้แต่วิ่งร้องไห้
ไปหาตา "ตา ตา แม่โดนตำรวจจับ พี่บีก้อโดนจับไปด้วย(พี่สาวผมเอง)" ผมได้แต่ร้องไห้และพูดประโยคซ้ำไปซ้ำมา
แม่ผมโดนสั่งจำคุก 12ปี 6 เดือน ในข้อหามียาบ้าครอบครองไว้เพื่อจำหน่าย ผมได้แต่นั่งร้องไห้กับพี่บีทุกวัน ผมกับ
พี่สาวอายุห่างกันสามปีตอนนั่นพี่บีกำลังจะขึ้นม.1 ส่วนพ่อเลี้ยงไม่ถูกจับเพราะนอนหลับอยู่
จากนั้นอีกหนึ่งปีต่อมาตา ที่คอยดูแลผมมาตั้งแต่เกิดก็มาจากไปอย่างไม่มีวันกลับอีกคน ผมนั่งร้องไห้เป็นเวลาหลาย
ิอาทิตย์กว่าจะทำใจได้ ผมและพี่บีได้รับการดูแลต่อจากยายเล็ก(น้องของยายแท้ๆซึ่งท่านเสียไปนานแล้ว) ส่วนพ่อเลี้ยงกับ
น้องสาวก็กลับไปอยู่ที่บ้านของเขา บ้านที่เป็นของแม่จึงได้ขายต่อให้ยายเล็กเพื่อนำเงินมาปลดหนี้สินของแม่
เวลาผ่านไปผมเรียนจบม.3 โดนการดูแลของยายเล็กเป็นอย่างดี ผมได้เรียนต่อ ปวช.จากโรงเรียนเอกชนที่แพงที่สุด
ในนครปฐม โดยการส่งเสียของพี่บี เพราะหลังจากที่พี่บีจบม.3 พี่บีก็ไหว้ผีออกจากบ้านยายเล็กไป แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดเลิก
รากัน พี่บีเลยตัดสินใจไปสมัครเป็นนัีกร้องคาเฟ่ดัง ทำให้มีเงินทองมากมายมาปรับปรุงบ้านตา และนำผมไปดูแลเลี้ยงดู
ในเวลานั้นแทบจะบอกได้ทำเดียวว่าเหมือนคนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ผมและพี่บีมีเงินทองใช้อย่างมากมาย แต่ก็ไม่ลืมที่จะดูแล
แม่ด้วย ผมและพี่บีจะขับรถไปเยี่ยมแม่ที่เรือนจำราชบุรี เดือนละสองครั้ง แม่เองก็ดูภูมิใจมากที่พี่บีได้ดิบได้ดีขนาดนี้
ในสุดวันที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตของผมก็มาถึง
เช้าวันนั้นผมได้รับโทรศัพท์จากชายคนหนึ่งว่าให้ไปรับแม่ที่เรือนจำด้วย แม่จะออกวันนี้ เท่ากับว่าแม่ติดคุกเพียงแค่แปดปี
คงเป็นเพราะว่าแม่ได้เป็นนักโทษดีเยี่ยม และได้อภัยโทษด้วย ในเวลานั้นผมดีใจมากๆๆ ที่จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
แม่จะพูดเสมอว่าจะออกมาปกป้องผมและพี่บีเอง ไม่ให้ใครมาดูถูกได้อีก
หากเป็นอย่างที่แม่บอกได้สักครึ่งหนึ่งก็คงดี หลังจากที่แม่ออกมา แม่ก็ดูมีนิสัยเปลี่ยนไปจนผมและยายเล็กสังเกตได้
ผมจึงโทรไปปรึกษาพี่บีซึ่งตอนนั้นพี่บีทำงานอยู่ที่ กทม. นานๆทีจะกลับมา แต่มันยิ่งทำให้แย่ลงไปอีกเมื่อพี่บีไม่ฟังผมเลย
แถมยังโทรมาเล่าให้แม่ฟังว่าผมว่าแม่ เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ผมไม่มีโอกาสได้ไปเรียน ปวช.ปีสามเทอมสอง เพราะว่า
ืทั้งแม่และพี่บีต่างเกี่ยงภาระให้กัน เงินทองที่ผมเก็บไว้ก็ต้องถูกออกนำมาใช้เพราะตั้งแต่แม่ออกมาพี่บีก็ไม่ให้เงินผมอีก
ส่วนแม่ก็จะบอกว่าจะใช้อะไรบ้านก็อยู่ฟรี ข้าวก็มีกิน ทุกอย่างถูกกดดันทีละน้อยๆ เพราะหลังจากที่พี่บีบอกแม่ในวันนั้น
แม่ผู้ที่ให้กำเนิดผมก็ไม่เหลือมาดอะไรอีกเลย ทั้งด่าว่า เหน็บแนม ไล่ผมออกจากบ้านตลอดเมื่อสบโอกาส แต่พอวันไหน
ที่พี่บีมาบ้านแม่จำเปลี่ยนบทเป็นคนอารมณ์ดี ขยัน เดินขายของเอง ซึ่งผิดกับปกติมากๆ จนญาติที่อยู่รอบๆสงสารผม
ในที่สุดความอดทนของผมก็มาถึง วันนั้นผมไปสอบปลายภาคเรียนสุดท้าย และเป็นวันที่ผมติดธุระต้องไปส่งเพื่อนที่กทม.
กว่าจะออกมาจาก กทม. ก็เกือบสองทุ่มแล้ว ระหว่างที่ผมนั่งรถของเพื่อนกลับมา
"ติ๊ด ติ๊ด" ข้อความมือถือของผมเข้า
"ตายห่าไปแล้วยัง มึงไม่ต้องกลับมาแล้วก็ได้" นี่คือข้อความที่ผู้เป็นมารดาส่งให้กับลูกที่ดูแลแม่มาโดยตลอด เพราะตั้งแต่
แม่ติดคุกผมก็ไปเยี่ยมแม่ ยิ่งแต่ก่อนตอนที่พี่บียังไม่ได้มีเท่านี้่ ผมก็ต้องนั่งรถเมล์สามต่อ แบกของจากบ้านไปเยี่ยมแต่เช้า
เปนเวลาถึงแปดปี และตอนที่แม่ออกมาผมก็อยู่เคียงข้างแม่เสมอตั้งแต่สร้างร้านค้า จนถึงขายของช่วยทุกๆวัน
ถึงผมจะรู้ว่าแม่ไม่ชอบผมแต่ผมก็ตั้งใจทำเพราะอย่างน้อยก็เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านทำให้ผมเกิด (ถึงจะทำแท้งแล้ว
ไม่ออกก็ตาม แม่บอกเองว่ากินยาแล้วผมไม่ออกก็เลยต้องเอาไว้)
ผมจึงตัดสินใจกลับไปเก็บกระเป๋าออกมาจากบ้าน ในตอนนั้นมันเหมือนชีวิตผมหมดแล้วทุกอย่าง จากคนที่เคยมีทุกอย่าง
เพราะพี่บี แต่วันนี้ผมเหลือเงินติดตัวออกจากบ้านเพียงร้อยยี่สิบบาท พร้อมกับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ก่อนออกจากบ้านแม่ยังอวพร
"ถึงตายก็ไม่ต้องกลับมา แล้วก็อย่าหยิบอะไรที่ไม่ใช่ของมึงออกไปด้วย" นั่นคือพรของแม่
เด๋วมาต่อให้นะครับ ใครสงสัยอะไรจะถามมาก็ได้นะครับ ผมพร้อมตอบแบบไม่มีปิดบัง
-
ผมเลือกที่จะโทรไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ที่โรงเรียนเพราะสนิทกันมาก ผมไปนอนที่บ้านอาจารย์ได้สองคืน พอยายเล็ก
รู้ข่าวก็รีบให้น้าไปรับผมกลับมาอยู่กลับยาย ทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้น เพราะหลังจากนั้น ผมก็ได้งานทำเป็นลูกจ้างร้านคอม
จริงๆแล้วบ้านยายเล็กกับบ้านที่แม่อยู่ก็ห่างกันเพียงแค่บ้านสองหลังกั้น หลังจากที่ผมออกจากบ้านมาวันนั้น แทนที่ทุกอย่าง
จะจบหรือหยุด แต่แม่ก็ยังทำให้ผมลำบากใจอยู่เรื่อยๆ โดยการเอาผมไปนินทากับชาวบ้านไปทั่ว หาว่าผมลักของที่บ้านออกไป
ทั้งๆที่ผมไม่ได้หยิบไปสักชิ้น และอีกมากมายที่จะปรุงแต่งเรื่องขึ้นมา ยายเล็กเองท่านก็ทั้งสงสารและเมตตากับผมมากๆ
ท่านจะคอยสอนเสมอว่าอย่าโกรธแม่ เพราะแม่คือผู้ให้กำเนิดเรา หลายครั้งที่ผมนึกถ้าหากผมเกิดมาเป็นลูกของยายเล็กก็คงดี
ประมาณเกือบหนึ่งปีที่ผมทำงานที่ร้านคอม จนกระทั่งมีการเปิดลูกจ้างที่อบต.ที่น้า(ลูกของยายเล็ก) ทำงานอยู่ ยายเล็กอยาก
ให้ผมทำงานเหมือนกับน้าๆ เลยให้ผมลาออกและไปทำงานที่อบต.แทน
แต่อย่างว่าไม่รู้ด้วยกรรมใด หลังจากที่ผมทำงานที่ อบต.ได้ประมาณสี่เดือน ปลัดก็เรียกผมเข้าไปพบบอกว่ามีตำแหน่งที่ดีกว่า
แต่ต้องเสียเงินประมาณสี่หมื่น ซึ่งตรงนี้ผมเองก็เึคยคุยกับยายเล็กไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไร น้าที่ทำงานที่
เดียวกันก็รีบชิงตอบขึ้นมาเสียก่อน
"บอสเขาคงไม่เอาหรอกค่ะปอ เพราะว่าไม่มีเงิน" ผมอึ้ง แต่ก็ยังทนฟังต่อ
"เด๋วยังไงหนูโทรบอกเพื่อนหนูให้มาทำดีไหมค่ะ" นั่นไงหนักเข้าไปอีก ผมได้แต่นั่งฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง น้าคนนี้
สนิทกับผมมากเพราะทำงานที่เดียวกันอายุก็ห่างกันไม่มาก แต่ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกไปทั้งๆที่เขาก็รู้ว่ายายเล็กเคยคุย
กับผมเรื่องนี้เอาไว้แต่แรกแล้ว วันนั้นผมไม่เปนอันทำงานได้แต่มานั่งคิดว่าทำไม ทำไม ผมได้มารู้ตอนหลังว่าเขากลัวว่าแม่
ของเขา(ยายเล็ก) จะเสียเงินเลยไม่อยากให้ผมได้ นี่เหรอเหตุผมของญาติที่ผมเคารพนับถือ
จากนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ผมจึงตัดสินใจที่จะออกไปอยู่ข้างนอก เพราะผมลองมาคิดดูแล้วมันเหมือนว่าผมคงมาทำให้เขา
ลำบากใจกันมากๆๆ ถึงได้คิดแบบนั้น วันนั้นที่ผมออกไป ผมไม่ได้บอกใครสักคำ มีแต่ชวนน้องสาว(น้องคนละพ่อ) ซึ่งตอน
นี้ทำงานและมีแฟนแล้วมาอยู่ด้วยกัน เพราะจะได้สะดวกในเรื่องการไปมาหาสู่ ในตอนแรกทุกอย่างก็ดูลงตัวดี ผมและน้องสาว
ต่างปฏิญาณกันแล้วว่าจะไม่ทิ้งกัน เพราะว่าตอนที่ผมอยู่กับแม่น้องก็มาอยู่ด้วยพักหนึ่งแต่ก็ทนไม่ไหวหนีกลับบ้านเดิมไปก่อน
ผมกู้เงินมาเพื่อซื้อของเข้าห้องใหม่ทุกชิ้น เพราะผมไม่มีสมบัติอะไรติดตัวมาเลย มีเพียงมอไซค์หนึ่งคัน ทุกคนต่างคิดว่าผม
ติดผู้ชายที่ไหนถึงได้หนีออกจากบ้าน แ่ต่หาไม่ว่ามีใครรู้ความจริงที่เกิดกับผมบ้าง ว่าผมบอบช้ำจิตใจแค่ไหน เด็กชายอายุยี่สิบ
ต้องต่อสู้ฝ่าฟันแบบล้มลุกคลุกคลานมาตั้งเท่าไหร่
ทุกอย่างดูเหมือนจะดีอีกครั้งหลังจากที่น้องผมเลิกกับแฟน เพราะว่าแฟนมันไม่รับผิดชอบเรื่องที่มันท้อง แถมยังไล่ให้
ไปทำแท้ง คงเปนเพราะเด็กคงไม่ได้มาเกิด น้องผมแท้งลูกในระหว่างที่ยกของที่ทำงาาน วันนั้นผมต้องรีบกลับมาห้องทั้งกลัว
ทั้งห่วงว่าน้องจะเป็นไรไป เพราะว่าน้องมันไม่ได้บอกที่ทำงาน เพียงแต่ขอกลับมาเฉยๆๆ
ตั้งแต่นั้นมามันก็ไม่เคยคบใครอีก จนก่อนที่ผมจะเกิดเรื่องได้ไม่นานมันก็ไปรู้จักกับพลทหารคนหนึ่ง ซึ่งผมเองก็ไม่ได้
ว่าอะไร เพียงแต่ให้ดูแลตัวเองดีๆ เพราะผมก็ยุ่งกับงานเหมือนกัน แล้วสิ่งที่ไม่เคยคิดก็เปนจริง
วันนั้นเป็นวันต้นเดือน ผมกลับมาจากที่ทำงาน พอเปิดห้องก็พบกับกระดาษแผ่นหนึ่งในนั้นมีข้อความว่า
"พี่บอสหนูขอโทษ แต่หนูทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หนูเหนื่อยทั้งกาย ทั้งใจ นี่เงินค่าห้องเดือนนี้นะ" นี่แหละคือผลตอบแทน
ที่ผมดูแล รัก ห่วงใย มาตลอด ผมกำกระดาษแน่นปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา นี่ชีวิตผมจะไม่เหลือใครอีกแล้วใช่ไหม
จากวันนั้นผมก็เริ่มทำใจได้ เพราะจะมีการเลือกตั้งนายกใหม่ซึ่งเหมือนเป็นจุดชี้ชะตาชีวิตของผมเลยทีเดียว เพราะไม่มีงานก็
ไม่มีเงินแล้วผมจะอยู่ได้ยังไง วุฒิก็มีแค่ม.3 ไหนจะหนี้สินที่ติดไว้อีก ห้องก็ต้องเช่า เดือนๆแทบไม่พอกิน ดีที่ได้พี่ๆที่ทำงาน
คอยเลี้ยงข้าวบ้าง แต่ผมก็ยังมีหวัง หวังที่หากรู้ว่ามันจะเจ็บ ผมคงไม่อยากหวังอะไรอีกเลย
ผมขอพักก่อนแล้วกันไว้ให้คนอ่าน อ่านแล้วคิดตามดู ไงก็รีกันหน่อยนะครับ จะได้รู้ว่ามีคนอยากอ่านต่ออีก
บางคนอาจจะไม่ชอบเพราะไม่ใช่รักหวานซึ่งเหมือนนิยาย แต่นี่มันเรื่องจริง ของคนๆหนึ่งซึ่งมีตัวตนจริงๆ
-
ขณะที่ผมกำลังเหม่อลอยนึกถึงอดีตอยู่นั้น ไม่รู้ว่าพี่เต๊ะเดินมาตอนไหน มาถึงก็ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่นั่งเงียบๆเหมือนกัน
ผมเองเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเสียก่อน
"ไม่นอนต่อเหรอ ผมพยายามทำเสียงปกติที่สุด"
"แล้วทำไมเราไม่นอนอ่ะ" พี่เต๊ะผมกลับ
"ก็นอนมาทั้งวันแล้วมันเลยไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่"
"แล้วเป็นอะไรทำไมชอบทำหน้าเศร้าๆ ไหนบอกว่ามาพักผ่อนไง ทำตัวเหมือนคนใกล้่ตาย" พี่เต๊ะพูดประโยคนี้ขึ้นมาทำให้นึก
ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้
"บอกพี่ได้ไหมว่าไม่สบายใจเรื่องอะไร" พี่เต๊ะพุด พลางเอามือมาโอบผมไว้
"ไม่มีอ่ะไรหรอก ก็แค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย" ผมพูด แล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้อง พี่เต๊ะก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เราทั้งสองคน
เลยกลับมานอนต่อกันที่ห้องเหมือนเดิม ยิ่งพี่เต๊ะทำดีกับผมมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งอยากจะร้องไห้มากเท่านั้น ทำไมฟ้าถึงได้
แกล้งกันขนาดนี้ ทำไมต้องส่งคนๆนี้มาให้ผมในวันที่ผม จะไม่เหลือลมหายใจอีกแล้ว
"อืมม" ผมครางออกมาโดยไม่รู้ตัว พอลืมตาขึ้นมาดูก็เห็นพี่เต๊ะกำลังจัดการอะไรกับร่างกายผมอยู่ ตอนนี้ทั้งร่างกายของผม
และพี่เต๊ะต่างเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ พี่เต๊ะกำลังขบเลียที่หัวนมของผม ส่วนมือก็กำลังจัดการกับน้องชายของผม
"เอาอีกแล้วเหรอ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง" ผมถามออกไปทำให้พี่เต๊ะ ระจากหัวนมมายังที่ปากของผมแทน ผมก็ได้แต่จูบตอบ
จนพี่เต๊ะถอนปากออกไป ผมก็คิดว่าอย่างน้อยก็ถือเป็นการตอบแทนความรู้สึกดีๆ ที่ผมได้รับ ผมจึงเป็นฝ่ายพลิกตัวมาคร่อมพี่
เต๊ะไว้แทน แล้วจัดการตั้งแ่ต่ปากจนมาถึงน้องชายของพี่เต๊ะ
"ถุงยางหมดแล้วนะ" ผมร้องเตือนเมื่อพี่เต๊ะกำลังเอาวาสลีนชะโลมที่ข้างหลังของผม
"ก็ไม่ต้องใช้ไง หรือว่าบอสไม่เชื่อใจ เดี๋ยวพี่เดินออกไปซื้อมาก็ได้" ผมเต๊ะพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ผมเองอ่ะไม่มีอะไรต้องกลัว
เพราะยังไงอีกไม่กี่ชั่วโมงผมก็ต้องตายอยู่ดี แต่ที่ห่วงก็คือพี่เต๊ะ เพราะถ้าหากผมมีเชื้อเอดส์อยู่พี่เต๊ะอาจติดไปก้อเป็นได้
ชีวิตของผมผ่านเจอผู้คนมามากมายหลายร้อยคน ผมเองก็ไม่เคยไปตรวจเลือดสักครั้ง แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจได้อย่างหนึ่ง
ว่าผมจะสวมถุงยางทุกครั้ง มีแค่คนแรกของผมเท่านั้นที่ผมไม่ได้ป้องกัน และนี่ก็อีกคน คนสุดท้ายของชีวิตผม
และหลังจากที่ผมพยักหน้า พี่เต๊ะก็จัดการสอดใส่เข้ามาความรู้สึกระหว่างมีถุงบางๆคลุมไว้ กับไม่มีอะไรปิดกั้นเลยมันช่าง
แตกต่างกันเสียจริงๆ (ไม่รู้คนอื่นจะรู้สึกเหมือนผมไหม) เอาอีกแล้วน้ำตาเจ้ากรรม มันไหลออกมาอีกแล้วเมื่อต้องคิดว่าคน
ที่อยู่บนตัวผมตอนนี้จะเป็นคนสุดท้ายที่ผมจะได้รับสัมผัสอันอบอุ่นนี้
"ขอให้พี่เป็นคนสุดท้ายได้ไหมคับ" เหมือนพี่เต๊ะจะรู้หรืออย่างไร ถึงได้ขอสิ่งๆนี้กับผม ผมเองได้แต่พยักหน้ารับและเอ่ยบอก
ว่าสัญญา เพราะพี่จะเป็นคนสุดท้ายของผมตลอดไป บางคนอาจคิดว่ามันดูเกินความจริงไปหน่อย เพราะแค่ในช่วงเช้าก่อน
ออกไปหาอะไรกินพี่เต๊ะก็จัดการจัดผมถึงสามรอบ ผมเองก็เสร็จโดยการช่วยเหลือของพี่เต๊ะทั้งมือและปากไปถึงสองรอบ
เวลาเกือบเที่ยงหลังจากเสร็จกิจกามรอบที่สาม ผมและพี่เต๊ะจึงเข้าไปอาบน้ำพร้อมกัน ในห้องน้ำนั้นสว่างมาก เป็นเพราะ
แดดส่องมาที่กระจกพอดีทำให้เห็นกันได้อย่างชัดเจน ผมจึงต้องเรียบอาบน้ำให้เร็วก่อนที่จะเกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ ระหว่าง
ที่กำลังขี่มอไซค์หาร้านอาหารอยู่นั้นผมก็เหลือบไปเห็นร้านขายชุดนักกีฬาร้านหนึ่ง ซึ่งดูพี่เต๊ะเองก็จะสนใจไม่น้อย
"อืม พี่เต๊ะว่าชุดไหนสวย" ผมถามพลางมองไปรอบๆร้านที่มีชุดอยู่มากมาย
"เล่นฟุตบอลกับเขาด้วยเหรอ" พี่เต๊ะถามพลางทำหน้าสงสัย
"เล่นไม่เป็นหรอก แต่จะซื้อให้คนที่เขาชอบเล่น"
พี่เต๊ะหยิบมาให้ผมเลือกสองชุด เป็นสีำน้ำเงิน และสีแดงอย่างละชุด ส่วนผมกำลังหยิบชุดสีขาว
"พี่เต๊ะชอบสีไหน" ผมถาม พลางชี้มือไปที่ชุดที่พี่เต๊ะถือมาให้ผมเลือก
"พี่ว่าก็สวยทั้งสองชุดแหละ แล้วบอสชอบอันไหนอ่ะ"
"พี่ครับรบกวนเอาสามชุดนี้ ไซค์คนนี้ใส่อ่ะไรครับ" ผมบอกกับพี่ผู้หญิงเจ้าของร้าน
"จะสกรีนเบอร์เลยไหมค่ะ ที่นี่บริการฟรีนะค่่ะ"
ผมยืนคิดก่อนนิดหนึ่งว่าจะเอาเลขอะไรดี พอนึกขึ้นมาได้ ผมจึงเอาเลขวันเกิดของผม เลขของวันที่ผมเจอกับพี่เต๊ะ
และสุดท้ายเลขของวันที่ผมจะต้องจากโลกใบนี้ไป
"พี่เต๊ะลองสักชุดดิว่าโอเคไหม" พี่เต๊ะรับไปลอง แต่ก็ยังทำหน้างงๆ
"อืม พอดีกำลังสบาย" พี่เต๊ะพูดพลางเอาชุดที่ลองส่งให้เจ้าของร้าน
"แล้วต้องสกรีนนานไหมครับ" ผมถามพี่เจ้าของร้านอีกครั้ง
"ประมาณสี่โมงเย็นมารับแล้วกันนะค่ะ"
จากนั้นผมก็จ่ายเงิน พอขี่รถออกจากหน้าร้านไปที่เต๊ะก็หันมาถามทันที
"ซื้อไปให้แฟนเหรอ" พี่บอสถามด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
"อืม ซื้อให้แฟน" ผมก็อยากจะแกล้งดูเหมือนกันว่าพี่แก จะทำหน้าอย่างไร
ไม่มีคำถามใดอีก จนกระทั่งกินข้าวเสร็จ พี่่เต๊ะก็ยังไม่พูดอะไร ได้แต่่ถามคำตอบคำ จนกลับมาถึงห้องนั่นแหละ
ผมเห็นว่า คงหมดเวลาที่จะเลิกแกล้งได้แล้ว เพราะเห็นพี่เต๊ะทำหน้าแบบนี้แล้วผมไม่ค่อยสบายใจ
"เป็นอะไรหรือป่าว เห็นเงียบมานานแล้วนะ คิดถึงแฟนเหรอ" ผมพูดด้วยน้ำเสียงสดใส
" ทำไมไม่บอกพี่ ว่ามีแฟนแล้ว" พี่เต๊ะตอบกลับมา แต่ก็ยังไม่มองหน้าผมอยู่ดี
"ก็พี่ไม่ได้ถามอ่ะ ทีบอสก็ยังไม่เห็นอยากจะรู้เลยว่าพี่มีหรือป่าว" ผมตอบกลับไปในใจตอนนี้ถึงแม้คำตอบจะเป็นอย่างไร
ผมก็ไม่ได้กลัวหรือกังวล เพราะยังไงผมก็ต้องจากไปอยู่แล้ว
"ถ้ามีแล้วจะมาอยู่กับเราแบบนี้ได้เหรอ" ผมเต๊ะพูดอย่างโมโห ตอนนี้คงจะเริ่มโกรธผมแล้วจริงๆ
"ก็จะไปรู้เหรอ" ผมยังแกล้งยั่วโมโหต่อไป
"แล้วตกลงจะบอกได้ยังว่ามีแฟนแล้วใช่ไหม" พี่เต๊ะพูด จ้องหน้าผมจิงจัง
"ทีแรกตอนที่มาก็โสดอยู่หรอก พึ่งจะมามีเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง" สิ้นคำตอบพี่เต๊ะก็ยิ้มออกมาทันที แต่ไม่นานก็กลับทำ
สีหน้าเหมือนคนไม่พอใจอะไรอีก
"แล้วจะซื้อทำไมต้องเยอะแยะ มันสิ้นเปลืองพี่ไม่ได้อยากได้ของๆเรา พี่ไม่ได้มาอยู่กับเราเพราะหวังอะไรจากเรา พี่แค่รู้สึก
ถูกชะตาแล้วก็สบายใจ ตั้งแต่เจอกันพี่ก็รู้สึกว่าพี่ชอบ อยากจะรู้จักกับเราให้มากกว่านี้" พี่เต๊ะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจิงจัง
ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนิสัยไม่ดี ที่จะมาหลอกเอาความรู้สึกดีๆจากคนบางคนแล้วสุดท้ายผมก็ต้องทิ้งเขาไป
"ร้องไห้อีกแล้ว พี่ขอโทษนะคับ บอกพี่ได้หรือยังว่าร้องไห้ทำไม" พี่เต๊ะถามพลางดึงผมเข้าไปกอดไว้
"เอาไว้ผมจะบอกนะครับ" ผมได้แต่ตอบไปแค่นั้น
ประมาณบ่ายสาม ผมเริ่มจัดการเกี่ยวกับสิ่งของต่างๆ ผมนำสิ่งของรวมถึงจดหมายที่ผมเขียนไว้ นำทั้งหมดใส่รวมกัน
ในกล่องลังใบใหญ่ที่ไปรษณีย์ (ไปรษณีย์ที่นั่นเปิดทำการตอนบ่ายๆ ของวันเสาร์ เช้าไม่เปิด) สิ่งของทุกชิ้นล้วนแต่มีความ
หมายกับผู้รับทั้งสิ้น จดหมายถึงทุกๆคน ผมเลือกที่จะส่งไปยังที่ทำงาน เพราะกว่าของจะไปถึงอย่างเร็วก็ช่วงเช้าของวันจัน
ซึ่งในเวลานั้นผมคงได้แต่เป็นซากศพนอนตายอยู่ที่ห้องเช่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจัดการทุกอย่างโดยที่พี่เต๊ะไม่รู้เรื่องแม้แต่
น้อย ประมาณห้าโมงเย็นพี่เต๊ะก็ขอตัวกลับบ้านบอกว่าประมาณไม่เกินหนึ่งทุ่มจะมาหาอีก (บ้านพี่เต๊ะอยู่ห่างจากที่ผมอยู่ไม่
น่าจะเกินสิบกิโล) พอสิ้นเสียงรถมอไซค์ ผมจึงหยิบปากกากับกระดาษขึ้นมา เขียนจดหมายถึงคนสุดท้ายของชีวิต
ถึงพี่เต๊ะ
กว่าพี่เต๊ะจะได้อ่านจดหมายฉบับนี้ บอสก็คงอยู่บนรถไฟแล้ว พี่เต๊ะเคยถามบอสใช่ไหมว่าทำไมบอสชอบร้องไห้
บอสมีเหตุผลที่บอกพี่เต๊ะในตอนนั้นไม่ได้จริงๆ แต่อย่างน้อยบอสก็ดีใจนะที่ได้มาเจอกับพี่ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่วัน
แต่มันก็ทำให้คนที่กำลังจะตายมีความสุขมาก ที่พี่เคยขอบอสว่าขอให้พี่เป็นคนสุดท้ายได้ไหม แน่นอนพี่ได้เป็นคนสุดท้าย
ของบอสแน่นอน เพราะว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้บอสคงจะได้พักผ่อนนอนหลับไปตลอดกาล บอสขอโทษที่ไม่ได้บอกความ
จริงกับพี่ตั้งแต่แรก แต่มีสิ่งหนึ่งที่บอสอยากจะขอร้องพี่ คือช่วยลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราให้คิดว่ามันเป็นความฝันหรือ
อะไรก็ตามแต่ คิดว่าเป็นการขอร้องครั้งสุดท้ายแล้วกันนะคับ ส่วนบอสจะขอจำี่พี่ไปจนกว่าลมหายใจสุดท้ายจะหมดลง
"ฟ้าลิขิตให้ฉันมาพบเธอ ในวันที่ฉันนั้นไร้ความรู้สึกใดๆ"
เธอจะเป็นคนสุดท้ายของฉันตลอดไป บอส
-
หลังจากที่เขียนจดหมายเสร็จ ผมก็พับใส่ลงซอง พอนึกได้ว่าผมมีรูปถ่ายตัวเองอยู่ในกระเป๋าสตางค์ ผมจึงนำรูปใส่เข้าไปด้วย
ตั้งแต่ที่เริ่มเขียนอักษรตัวแรก ผมก็ได้แต่ร้องไห้ไปเขียนไปกระดาษเป็นจุดๆดวงๆ เพราะคราบน้ำตาหยดใส่ ผมกะว่าตอนจะกลับ
ถึงจะยื่นจดหมายนี่ให้กับพี่เต๊ะ
ประมาณหนึ่งทุ่มพี่เต๊ะก็มาตามสัญญา แถมยังใส่ชุดบอลสีขาวที่ผมเป็นคนเลือกให้อีกต่างหาก
"เหม็นใหม่หว่ะ" ผมแกล้งพูดไปเอามือปิดจมูกไป
"เว่อๆ ซักแล้วก็ได้มั้ง แฟนอุตส่าห์ซื้อให้ทั้งทีไม่ใส่ได้ไง" พี่เต๊ะพูดพลางดึงผมเข้าไปกอด
"คิดถึงจัง"
"นี่ก็เว่อร์ ห่างกันแค่สองชั่วโมงเอง แล้วถ้าไม่ได้เจอกันอีกเลยพี่จะทำไง" ปลายประโยคผมพูดด้วยน้ำเสียงแหบเบา แต่ก็พอ
ให้คนที่กอดผมได้ยิน
"จะไม่เจอได้ไง เราอยู่ใกล้กันแค่นี้พี่ไปหาเราก็ได้" ผมเต๊ะพูดพลางดึงผมมาจ้องหน้า
"อ่ะครับ ก็คงเป็นอย่างนั้น" ผมได้แต่ทำทีเป็นยอมๆไป ไม่ได้พูดอะไรต่อ
"บอส พี่หิวข้าวแล้วหล่ะไปกินข้าวกันเหอะ" ผมเต๊ะพูดพลางเอามือลูบท้องตัวเอง
"งั้นรอแปปหนึ่ง ขอเปลี่ยนเสื้อก่อน" ผมหอมแก้มพี่เต๊ะไปหนึ่งก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อมาเปลี่ยน ระหว่างนั้นพี่เต๊ะก็ยืนส่อง
กระจกไปพลางๆ
"บอส โน๊ตบุ๊คกับลำโพงที่ฟังเมื่อวานหายไปไหนแล้วอ่ะ" พี่เต๊ะถามขึ้นมา ทำให้ผมต้องรีบคิดก่อนจะตอบกลับไป
"พอดีขี้เกียจยกกลับเลยส่งไปรษณีย์กลับไปก่อนแล้วอ่ะครับ" ผมตอบ
พี่เต๊ะเองก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ พอแต่งตัวเสร็จ สารถีขี่มอไซค์ก็พาผมไปร้านอาหาร ซึ่งพี่เต๊ะบอกว่าร้านนี้อาหารอร่อย
ที่สำคัญมีห้องพักแบบบ้านเดี่ยว อยู่รอบๆด้วย พอมาถึงร้านผมก็เลือกที่จะนั่งด้านที่ติดกับทะเลมากที่สุด รอบๆร้านมีห้องพัก
หลายแบบ อยู่ประมาณสิบกว่าห้องได้ ดูๆก็ได้บรรยากาศดี
"เอาไว้มางวดหน้าพี่จะพาเรามานอนที่นี่ดีไหม" อยู่ดีๆพี่เต๊ะก็พูดลอยๆขึ้นมา
" งวดหน้าเหรอ" ผมได้แต่นึกในในมันคงไม่มีวันนั้น เพราะถ้านับกันจริงๆ ผมก็มีเวลาเหลืออีกไม่ถึงสามสิบชั่วโมงด้วยซ้ำ
อาหารมื้อหนักผ่านไป ทีแรกพี่เต๊ะบอกว่าจะเป็นคนเลี้ยงเอง แต่ผมห้ามไว้โดยให้เหตุผลว่า ไว้ให้ผมมาอีกทีค่อยเลี้ยง
ระหว่างทางที่กลับมาถึงห้อง เสียงโทรศัพท์ของพี่เต๊ะก็ดังขึ้น
"ฮัลโหล"
"อะไรนะ" พี่เต๊ะพยายามคุยแต่ก็ไม่เป็นผล มารู้เอาตอนหลังว่าพี่แกทำเครื่องตก เครื่องมันเลยไม่ค่อยดีดับๆติดๆ หรือไม่ก็
ไม่่ีมีสัญญาณ
"บอส ยืมโทรศัพท์หน่อยดิ"
"อ่ะ" ผมยื่นให้ พี่เต๊ะออกไปคุยข้างนอกประมาณห้านาีที แล้วก็เดินกลับเข้ามาในห้อง
"พอดีพี่ต้องไปงานศพเพื่อนที่อ.เมืองอ่ะ ยังไงพี่จะรีบกลับมานะ" พี่เต๊ะพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
"ครับไปเหอะ ผมอยู่คนเดียวได้ ไม่ต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นหรอก" ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่สดใส แต่ใจจริงแล้วในเวลานี้
ผมไม่อยากจะห่างกับพี่เต๊ะแม้แต่นาทีเดียว เพราะเวลาของผมมันน้อยลงเรื่อยๆ ผมอยากจะเก็บทุกนาทีนี้ไว้ในความทรงจำ
ของผมตลอดไป
-
:m15: :m15:
มันช่างเศร้าอะไรอย่างนี้
-
เวลาสี่ทุ่ม
ผมนอนดูทีวีไปมองนาฬิกาไปป่านนี้พี่เต๊ะก็ยังไม่กลับมาสักที จนกระทั่งสี่ทุ่มครึ่งผมจึงตัดสินใจเดินไปเซเว่น
"เอาแอบโซลูท ขวดหนึ่งครับ" ผมบอกกับพนักงานขาย
"มีแต่ยี่ห้อ..... (จำไม่ได้) "
"มันเหมือนกันไหมครับ ถ้าคล้ายๆกันก็ได้" ผมตอบ
พนักงานหยิบขวดน้ำสีใสๆมาวาง ผมเดินไปเลือกน้ำผลไม้มาสามสี่กล่อง หลังจากจ่ายเงินเสร็จผมก็กลับมานั่งกิน
จนน้ำใสๆในขวดหายไปเกินครึ่งผมจึงรู้สึกว่าตัวเองจะไม่ไหว จึงพาสังขารกลับมานอนที่เตียง ขวดเขิดอะไรก็ไม่ได้
เก็บกองไว้อย่างนั้นกะว่าส่างดีแล้วค่อยไปเก็บก็ได้
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เหมือนมีอ่ะไรเย็นๆ มาโดนที่หน้าที่คอ ผมปรือตามองดูก็เห็นพี่เต๊ะกำลังเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวผมอยู่
"กินทำไม" พี่เต๊ะถาม แต่ก็ยังเช็ดตัวผมไปด้วย
"ก็อยากกินจะทำไม" ผมตอบไปแบบไม่ได้คิดอะไร เพราะรู้สึกเหมือนเวลาเมาแล้วจะควบคุมสติไม่ได้ คิดอะไรก็พูด
"แล้วทำไมถึงอยากกิน" พี่เต๊ะถามต่อ
"ก็ไม่รู้จะทำไร มันเหงา" ผมตอบไป พี่เต๊ะไม่ได้ถามอะไรอีก เดินเอาผ้าไปเก็บแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ ผมเองก็รู้สึกอยากจะ
หลับมากกว่าเลย ไม่ได้พูดอะไรต่อ
"อื้อ เจ็บ" ผมร้องออกมาเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังสอดใส่เข้ามาที่ประตูหลังของผม ผมพยายามดิ้นแต่ก็ถูกดันเข้า
มาจนสุด
"อ๊าาา" เสียงพี่เต๊ะร้องออกมาอย่างพอใจ ผมปรือตาขึ้นมองก็เห็นพี่เต๊ะในสภาพเปลือย มีขาของผมอยู่ที่ไหล่
"ว่าจะลักหลับสักหน่อย ไม่น่าตื่นเลยเราอ่ะ" พี่เต๊ะพูด พลางก้มลงมาดูดที่ยอดอกของผม
ผมไม่ได้ตอบอะไร รู้สึกเสียงซ่านแทนจึงตอบรับโดยการเอามือไปลูบที่แผ่นหลังกว้างนั้น บทรักที่ร้อนแรงก็เริ่มขึ้น
ผมเองที่สติไม่ค่อยจะครบดี รู้เพียงแต่ว่ามันส์จนอธิบายไม่ได้ ทั้งเจ็บทั้งเสียว ปนกันไปหมด (มารู้ที่หลังว่าพี่เต๊ะใช่แต่น้ำลาย
มิน่าถึงได้เจ็บนัก) ผมรักดำเนินไป มีการเปลี่ยนลีลาท่าทาง ผมร้องครางออกมาอย่างลืมตัว จนบางทีพี่ต๊ะต้องเอาปาก
มาประกบผมไว้เพื่อลดเสียงที่เกิดขึ้น
กว่าทั้งผมและพี่เต๊ะจะสงบก็เกือบจะตีห้า ผมแทบจะส่างเมาเพราะเสียทั้งน้ำ ทั้งเหงื่อไปมาก คืนนี้พี่ต๊ะนอนโดยที่ยังคา
น้องชายไว้ในตัวผม แกบอกว่าเผื่อมีอารมณ์จะได้กระแทกต่อเลย ผมก็เลยนอนไปขมิบไปเพราะมันเสียวหนิ
วันสุดท้ายของชีวิต
ไว้จะมาต่อให้นะครับ ขอไปทำธุระก่อน
-
รออย่างใจจดจ่อ
-
..บทมาก็มาซะ 3-4 ตอน +1 ที่ 30 ให้แล้วนะจ๊ะ
..ต้องกลับไปอ่านใหม่ เพราะนึกไม่ออกว่าจะต้องตายเพราะอะไร อิอิ
..ที่แท้ ก็จะเป็นเพชณฆาตรฆ่าตัวเองนี่เอง
..ชีวิตคนเรานี่ไม่แน่ วันนี้ทุกข์ พรุ่งนี้สุข คงเหมือนน้องบาสมั้ง
..เป็นกำลังใจให้นะ อยากอ่านต่อแล้วว่าเจอ..คู่แท้ หรือยัง :กอด1:
-
วันสุดท้ายของชีวิต
ในเมื่อทุกอย่างในชีวิตของผมอะไรมันก็ไ่ม่แ่น่นอนไปเสียหมด ไม่เคยมีสิ่งใดที่จะกำหนดให้มันเป็นดังหวังได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ในวันนี้ผมจะเป็นผมกำหนดมันเสียเอง "ความตาย" ผมจะเป็นผู้เลือกเวลา และสถานที่ให้กับมันเอง
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนประมาณเก้าโมงเช้า ยังรู้สึกมึนๆนิดหน่อยดีที่ไม่มีอาการปวดหัว ตอนนี้พี่เต๊ะดูเหมือนจะ
ยังหลับสนิทอยู่ ผมลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่าพยายามทำเสียงเบาที่สุดเพื่อไม่ให้คนที่หลับรู้สึกตัว
ผมยืนมองตัวเองในกระจกบานใหญ่อยู่นานเหมือนกับเป็นการปลงสังขารอย่างไงอย่างงั้น
"ในที่สุดทุกอย่างก็จะจบแล้ว" ผมบอกกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินออกมา
"พี่เต๊ะตื่นได้แล้วคับ" ผมเข้าไปนั่งข้างๆ คนที่กำลังนอนหลับอยู่ ใช้ฝ่ามือแตะไปที่แก้ม
"ขอนอนอีกหน่อยไม่ได้เหรอ จะรีบไปไหนแต่เช้า" พี่เต๊ะตอบกลับมา แต่ก้อยังไม่ลืมตา
"วันนี้บอสต้องกลับแล้ว" สิ้นประโยคพี่เต๊ะจึงลืมขึ้นมา แล้วเอาหัวมาหนุนตัก ผมใช้มือลูบไปที่เส้นผมของพี่เต๊ะเบาๆ
"แล้วเรากลับรถไฟรอบไหน"
"ก็ต้องเช็คเอ้าท์ก่อนเที่ยง แต่ว่ารถไฟมันรอบบ่ายสองโมงอ่ะครับ"
"นี่ี่กี่โมงแล้วอ่ะ" พี่เต๊ะถามต่อ แต่ก็ยังลีลาไม่ลุกขึ้นสักที
"จะสิบโมงแล้ว" ผมตอบ พลางลุกขึ้นเดินไปเก็บของลงกระเป๋า
ผมนั่งเก็บของไป ส่วนพี่เต๊ะก็เข้าไปอาบน้ำ แว๊บหนึ่งผมเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของพี่เต๊ะ ผมจำได้ว่าแกบอกว่ามัน
ไม่ค่อยดี ผมจึงตัดสินใจปิดมือถือเครื่องที่ผมนำติดตัวมา แ้ล้วแอบเอาไปใส่ที่ใต้เบาะรถมอไซค์ เพราะถึงยังไงผมก็ไม่มี
โอกาสได้ใช้มันอีกแล้ว อย่างน้อยมันก็คงจะมีประโยชน์กับพี่เต๊ะ
"บอสเก็บของเสร็จแล้วเหรอ" พี่เต๊ะออกมาจากห้องน้ำก็เห็นผมเก็บของทุกอย่างเรียบร้อย
ผมได้แต่พยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นพี่เต๊ะก็มานั่งข้างๆผม เอามือมาโอบเอวผมไว้ ผมจึงได้โอกาสพิงหัวไปที่
ไหล่กว้างนั้น
"เราจะได้เจอกันอีกไหม" พี่เต๊ะถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน
"ไม่รู้่เหมือนกัน"
"ก็ถ้าบอสไม่ว่างมา พี่ไปหาเองก็ได้" พี่เต๊ะพูดด้วยน้ำเสียงอย่างมีหวัง
"ครับ" ผมได้แต่ตอบรับไปอย่างนั้น
จากนั้นผมก็นำมอไซค์กลับกุญแจห้องไปคืน แต่ยังขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน เพราะผมจะออกไปกินข้าว
"พี่เต๊ะ บอสอยากกินร้านนั้นอ่ะ" ผมชี้บอกพี่เต๊ะ ไปยังร้านขายไอศกรีมเป็นร้านไม้ผสมกระจก ดูสงบดีเพราะเหมือน
ร้านพึ่งจะเปิดเลยยังไม่มีใครมานั่งกิน
"เอา สเต็กปลาอินทรีย์ กับสลัดทูน่าคับ" ผมสั่งรายการอาหาร ส่วนพี่เต๊ะสั่ง (จำไม่ได้รู้ว่ามีน้ำแดงโซดา)
หลังจากที่พนักงานร้านเดินออกไป ผมก็มองไปที่นาฬิกาตอนนั้นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว นี่ผมเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง
"พี่เต๊ะ แล้วทำไมพี่ถึงอยากรู้จักผมหล่ะ" พี่เต๊ะมองหน้าผม ก่อนจะตอบ
"ทีแรกพี่ก็แค่คิดว่าจะมานั่งกินเหล้าเป็นเพื่อน เพราะเห็นว่าเราบอกว่าเรามาคนเดียว แต่สุดท้ายก็ไม่คิดว่ามันจะเลย
เถิดกันมาถึงขนาดนี้" ผมเต๊ะพูดไปก็ก้มหน้าไป ทำเหมือนกับพึ่งจะจีบกัน
"พี่เคยถูกทิ้งไหม" ผมถามออกไป ซึ่งดูจะเป็นคำถามที่ไม่สมควรถาม เพราะพี่เต๊ะทำสีหน้าไม่พอใจในทันที
"ผมก็แค่ถามเฉยๆ ไม่ต้องตอบก็ได้" ผมแก้ต่างออกไป แล้วจึงชวนเปลี่ยนเรื่องคุย ระหว่างที่รออาหารนั้นพี่เต๊ะได้แต่
พูดตลอดว่าถ้าผมไม่มาหาพี่แกก็จะเป็นฝ่ายมาหาผมเอง ผมก็ได้แต่ทำท่าเออออไป แต่ในใจของผมหล่ะใครจะรู้บ้างไหม
ว่ามันเจ็บปวดเพียงใด ที่ต้องเป็นแบบนี้ หลา่ยคนอาจจะคิดว่าผมน่าจะล้มเลิกการฆ่าตัวตายเสีย ผมเองก็คิดแต่ถ้ามาคิดให้ดี
ถึงในวันต่อไปผมจะยังมีพี่เต๊ะอยู่ แต่ปัญหาอื่นๆมันก็ไม่ได้หมดไป แค่ความรู้สึกดีๆจากคนที่พึ่งรู้จักกันสำหรับผมแล้ว แค่เท่าที่
ผ่านมาไม่กี่วันมันก็มากเกินพอแล้ว ผมไม่คิดหรอกว่าใครจะมารักเราจริงเพราะแม้แต่ครอบครัว พ่อแม่พี่น้อง ญาติ หรือแม้แต่
เพื่อนที่คบกันมาเป็นสิบๆปี ก็ไม่ได้มีใครที่จะจริงใจกับเราสักคน แล้วจะมาเอาอะไรกับแค่คนพึ่งรู้จักกัน
-
สู้ๆเป็นกำลังใจให้นะ :L1:
-
เรื่องเศร้าแบบนี้มันผ่านไปแล้วใช่ไหมคะ
ชีวิตคนเรามันมีค่ามากมายนัก อย่าคิดทำแบบนี้อีก
คนเราล้มแล้วต้องลุกเดินใหม่ให้ได้ แม้ว่าจะต้องคลานไป :กอด1:
-
ต่อ วันสุดท้ายของชีวิต
เวลา 13.00 น. ณ สถานนีรถไฟ บ้านชะอำ
ที่สถานนีวันนั้น คนเยอะมาก เพราะเป็นวันอาิทิตย์คนจะรอกลับรถไฟขบวนนี้กันมาก พี่เต๊ะเดินถือกระเป๋าไปเลือกที่นั่งรอ
ส่วนผมก็เดินไปเอาตั๋ว สายตาหลายคู่มองมาที่ผมและพี่เต๊ะ คงเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้เก็บอาการเหมือนทุกครั้ง เพราะไม่รู้จะ
เก็บไปทำไม จะสนใจคนอื่นไปทำไม เพราะยังไงก็ไม่มีใครจะได้เจอผมอีกแล้ว ขอทำตามความรู้สึกตัวเองบ้างเถอะ
"จะกลับก่อนก็ได้นะ บอสอยู่คนเดียวได้" ผมบอก พี่เต๊ะไม่ได้ตอบอ่ะไร แต่ลุกขึ้นไปซื้อน้ำแทน
ผมเลือกหยิบแว่นสีชาขึ้นมาใส่เพื่อปกปิดแววตา ผมกลัวว่าพี่เต๊ะจะจับมันได้ ผมนั่งมองหน้าพี่เต๊ะอยู่อย่างนั้นจนบางที
พี่เต๊ะก้หันมาถามว่าไม่เคยเห็นหรือไง ผมก้อได้แต่ตอบไปขำๆ แต่ใครจะรู้บ้างว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นมันช่างเศร้าเหลือเกิน
เสียงระฆังเคาะเป็นสัญญาณว่าอีกประมาณสิบนาทีรถไฟจะมาถึง ผมเดินไปเข้าห้องน้ำส่องกระจกดูตัวเองก่อนที่จะ
ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาตัวเอง เวลาเหมือนค่อยๆ ถอยหลัง เหมือนกับผมจะหยุดหายใจให้ได้
"ปู๊น ปู๊น " เสียงรถไฟกดแตรดังมาแต่ไกล พี่เต๊ะถือกระเป๋าเดินตามผมมายังชานชาลา
ผมกลั้นใจหยิบซองจดหมายใส่มือพี่เต๊ะ ก่อนจะบอกคำๆหนึ่ง
"ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยอ่านนะ มือถืออยู่ใต้เบาะรถบอสให้ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่่ง ฮึก ฮึก" ปลายประโยคผมพูดไปร้องไห้
ไป เสียงรถไฟดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินเสียงแตะเบรกดังมา
"บอสจะไม่มีวันลืมพี่นะ พี่จะเป็นคนสุดท้ายของผมตลอดไป" ผมอดไม่ได้ที่จะโผกอดเป็นครั้งสุดท้าย ไม่อายแล้วใคร
จะมองยังไงก็ไม่สน ผมร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้ม แว่นกันแดดสีชาไม่สามารถทานน้ำตาและอารมณ์ของผมได้อีกต่อไป
พี่เต๊ะกอดผมตอบ พร้อมกับบอกว่าไม่ต้องร้องไห้ ยังไงอีกไม่กี่วันก็ได้เจอกันอีก รถไฟหยุดสนิทที่ชานชาลา ผมหยิบ
กระเป๋าเดินขึ้นรถไฟ ขามันแทบไม่มีแรงเหมือนจะตายเสียให้ได้ น้ำตาที่ไหลมากมายจนทำให้ภาพข้างหน้าลางเลือน
ผมได้ที่นั่งตรงข้างหน้าต่างฝั่งสถานีพอดี ทำให้ผมได้เห็น "พี่เต๊ะยืนร้องไห้" ถึงจะไม่ได้มากมายเท่าผม แต่ก็มองรู้ว่า
กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน ผมนั่งมองพี่เต๊ะจนรถไฟเคลื่อนกระบวนออกไป ภาพพี่เต๊ะค่อยๆ ห่างออกไปๆ จนลับตา
บนรถไฟ
ผมยังนั่งเหม่อมองออกไปอย่างเดิม น้ำตามันยิ่งไหลหนักว่าเดิมจนอาบแก้มทั้งสองข้าง หลายคนบนรถไฟมองมา
ด้วยสายตาหลายอย่างบ้างก็ซุบซิบกัน บ้่างก็หัวเราะ แต่จิตใจของผมตอนนั้นไม่รับรู้อะไรแล้ว มันมีแต่ความว่างเปล่า
เป็นนานกว่าที่ผมจะหยุดน้ำตานั้นได้ แต่ผมก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้นอกเสียจากนั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น ผมนั่งนึกถึงเวลา
ที่เหลืออยู่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า นั่งคิดว่าเหลือสิ่งใดที่ผมยังไม่ได้ทำ เหลือสิ่งใดที่ผมจะต้องทำอีก แม้หลายคนจะร้อง
รำทำเพลงกันแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ผมดีขึ้นมาแม้แต่น้อย ในจิตใจตอนนี้มีเพียงภาพของผู้ชายที่ยืนร้องไห้ตรงชานชาลา
-
สวัสดีค่ะน้องบอส
เพิ่งได้่อ่านเรื่องนี้ และหวังว่าตอนนี้จิตใจน้องคงจะเข้มแข็งขึ้นกว่าวันนั้นที่คิดตัดสินใจแบบเรื่องที่เขียนนี้
พี่อาจไม่เข้าใจความรู้สึกที่ท้อแท้ สิ้นหวัง เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกนี้ของบอสมากนัก
แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเศร้านั้น
หวังว่าน้องจะเข้มแข็ง และสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้โดยไม่ต้องเอาชีวิตไปขึ้นอยู่กับคนอื่นนะคะ :กอด1:
-
สวัสดีครับพี่ ผมชอบเรื่องของพี่มากๆเลยครับ
อยากให้พี่มา post ต่อเร็วๆจังเลยครับ
o13
:call: :call: :call: o13 o13 o13
-
ขอบคุณมากนะครับ ที่มาโพสคอมเม้นต์ให้ผม
พอดีตอนนี้เนตมีปัญหา มาตั้งแต่วันที่เก้าแล้วอ่ะครับ
โทรไปช่างก็กวนประสาท นี่ก็เลยมาอาศัยมือถือต่อ
กลัวว่าจะมีคนรอ สัญญาคับ ว่าถ้าเนตดีเหมือนเดิม
จะรีบมาต่อให้จบนะครับ
-
เพิ่งจะได้อ่าน
^^
-
...สองคนพึ่งรู้จักกัน แต่ก็ผูกพันธ์กันมากมาย
...พี่เต๊ะ ยืนร้องไห้ ไม่รู้ตอนนั้น ใจ พี่เต๊ะ คิดอะไรอยู่เนอะ
...คงไม่คิดว่า การจากครั้งนี้จะเป็นการจากกันแบบ นิรันดร อะ
...มาต่อไวๆๆนะ พี่อยากรู้ว่า..ชีวิตน้องบอส พลิกผัน ไปยังไง ถึงได้มี
...เพราะมีเธอ...ในวันนี้ สู้ๆๆนะ :L2:
-
ยังติดตามมาเสมอ
เรื่องนี้ทำให้รู้ว่า
พรหมลิขิตมีจริง
และกงล้อแห่งโชคชะตาก็กำลังหมุนอยู่
:กอด1:
-
น้องหายไปนานอ่ะ.....แต่ดีใจที่น้องมาอัพเรื่องต่อนะจ๊ะ...
เป็นกำลังใจให้จ้า....สู้ๆๆๆๆ :กอด1:
หวังว่า ณ.เวลานี้ ตอนนี้ น้องจะมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่น๊าาา
รออ่านต่อจ้า :L2:
-
โอ้ว...เพิ่งมาอ่านครับ :a5:
:o12: มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจิงๆเลยครับพี่บอส
หวังว่าปัจจุบันคงไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าเดิมอีกแล้วนะครับ :L2:
เป็นกำลังใจให้พี่บอสนะครับ :pig4:
-
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์นะครับ
ตอนนี้เน็ตยังเน่าไม่เลิกเลยอ่ะครับ
นี่ก็ต้องอาศัยเข้ามาเป็นพักๆ
ตอนนี้ผมเองต้องบอกว่า มันเหมือนการตายเพื่อเกิดใหม่
เอาไว้จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดนะคับ :bye2:
-
เหมือนได้อ่านฝันร้ายอยู่เลย
มันอบอวลไปด้วยความทรงจำเเละความเศร้าลึกๆ
เเต่ตอนนี้พี่คงจะตื่นเเล้วมั้ง...
มาต่อเร็วๆนะครับรออ่านอยู่
-
:m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:
:sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
-
แว๊บเข้ามาดัน เอิ้กส์ๆ :z1: :z1:
-
คิดถึ๊ง......คิดถึง จังเลยครับ
รีบกลับมาต่อเร็วๆๆนะครับ
ผมยังรออยู่.....
:call: :call: :call:
o18 o18 o18
-
เพิ่งเข้ามาอ่าน รู้สึกว่าน่าสนใจครับ
ขอบคุณที่แบ่งปันประสพการณ์มาให้ฟังครับ
รออ่านต่ออยู่นะครับ
-
เน็ตยังไม่เลิกเน่าอีกเหรอจ๊ะ
รออยู่นะ :L2:
-
นั่งรอค่ะ T^T
-
ยังรออยู่นะครับ
:3123:
-
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ....
บอกได้ว่า...
ชีวิตคนเรา มักมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ดีใจ ที่ได้อ่านว่า "มันเหมือนการตายเพื่อเกิดใหม่"
ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไร
ก็ขอให้กำลังใจกับน้องบอสนะคะ...
น้องเข้มแข็งมากนะ ผ่านเรื่องต่างๆ มาได้
ถึงจะคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ก็ตาม ซึ่งก็คงหนักหนากว่าจะทนได้
สู้สู้ นะ
-
:o12: น่าติดตามแล้วจะรอน๊า
-
:call: :call: :call:
-
ยังรอบทสรุปอยู่นะครับบบบ :call: :call: :call:
-
รอๆๆๆๆๆๆๆๆ :o12:
-
อ่ะครับ ขอโทดทุกคนด้วยที่หายไปนานเลย พอดีมีธุระมากมายอ่ะ
แต่ยังไงผมก้อไม่ทิ้งคนอ่านหรอกครับ วันนี้สัญญาครับว่าจะมาต่อให้จบ
และหวังว่าคงได้รับแรงใจจากพี่ๆทุกคนนนะคับ อืมแต่ตอนนี้ขอไปกิงข้าวก่อนนะ
เอาไว้บ่ายๆเย็นๆ หรือไม่ก้อค่ำๆ ก้อมาต่อให้จบ ส่วนใครที่อยากรู้อะไรมากกว่าในเรื่อง
ก้อเม้นทิ้งไว้ได้เลย เด๋วผมจะกลับมาตอบให้ :3123: :3123:ขอบคุณทุกคนที่เปนกำลังใจให้บอสนะคับ
-
:mc4: :mc4: มาแล้วว
รออ่านต่อนะคะ เป็นกำลังใจให้จ้า...สู้ๆๆๆๆๆ
ปล.ทุกวันนี้บอสโอเคแล้วใช่มั้ย .... :L2:
-
:m15: อ่านแล้วร้องไห้เหมือนคนบ้าเลย!! :o12:
:กอด1: กอดบอสแน่น ๆ
ยังมีกำลังใจอีกมามาย แม้เค้าเหล่านั้นจะไม่รู้จักเรา ก็ตาม :3123:
-
มาตามที่ได้สัญญากับทุกคนไว้นะคับ ตอนนี้สถานะการณ์ต่างๆก็ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่เป็นห่วงกันนะคับ
แต่อย่างว่าสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตจะให้ลืมกันไปง่ายๆมันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ย้อนกลับไปนึกถึงเวลาตอนนั้นทีไร
ก้ออดไม่ได้ที่จะต้องร้องไห้ออกมา แม้แต่ในตอนนี้ที่ผมกำลังพิมอยู่
..................................................................................
เวลา 17.30 น.
ถึงแม้ว่าผมอยากให้เวลามันยืดออกไปให้นานแค่ไหน แต่ความจริงมันก็คือความจริง รถไฟมันก็ทำงานของมันปกติจนมา
จอดถึงสถานีปลายทางของผม ผมเลือกที่จะกลับไปยังห้องเช่าโดยไม่แวะไปหาเพื่อนเหมือนปกติทุกครั้ง พอกลับมาถึงห้อง
ผมก็นำมอไซค์ของตัวเองออกมา เพื่อจะเดินทางไปยังอีกที่หนึ่งที่ๆผมมีสัญญาค้างคาไว้
ประมาณยี่สิบนาทีผมก็มาถึงมูลนิธิแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่เขารับบริจาคโลงศพแก่ศพไร้ญาติ เหตุผลที่มาที่นี่นะเหรอก็เพราะว่า
ครั้งนั้นตอนที่เลือกตั้งนายกคนใหม่ ผมได้เคยพูดตอนที่นั่งรถผ่านว่า ถ้านายกคนนี้ได้เปนนายกผมจะมาบริจาคโลงศพให้
สามโลง และตอนนี้ไอ้นายกมันก้อได้เปนนายกจริงๆ ผมเลยต้องมาทำตามสัญญาของผม
"พี่ครับ ผมจะมาบริจาคโลงคับ" ผมบอกกับผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่เสื้อของมูลนิธิ
"ได้ครับ ก็เอาเงินใส่ตู้แล้วก็ช่วยกรอกข้อมูลตรงนี้นะครับ และก็นี่กระดาษเอาไว้เีขียนชื่อแล้วก็ไปติดที่โลงนะครับ"
หลังจากที่ผมทำห่วงสุดท้ายของผมเรียบร้อยแล้ว ก็เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ผมจึงตรงไปยังร้านขายยาในตลาดที่ผมรู้จัก
พี่เจ้าของร้านเป็นอย่างดี เพราะร้านพี่เขาติดกับร้านคอมที่ผมชอบไปนั่งเล่นตอนวันหยุดบ่อยๆ
"เอาอะไรดีวันนี้" พี่เจ้าของร้านมองมาที่ผมก่อนจะหันไปสนใจกับลูกค้าที่มาก่อนหน้าผม
"พี่เอาไซแนกให้หน่อยดิ นอนไม่ค่อยหลับอ่ะช่วงนี้" ผมแสร้งบอกไป โดยที่พยายามปิดพิรุจให้มากที่สุด
"แล้วเอากี่เม็ดอ่ะ" พี่คนขายถามอีกครั้ง
"สิบเม็ดอ่ะ" ผมแกล้งบอกหน้าเฉย
"หะ สิบเม็ด เอาไปทำไรต้องเยอะ กินแค่เสี้ยวเดียวก็หลับแล้วนะ" พี่คนขายแย้งขึ้น
"ผมซื้อไปฝากที่บ้านด้วย เพราะน้าผมเขาก้อฝากมาซื้อเหมือกัน ไม่ได้กินคนเดียวหรอก ใครจะบ้ากินหมด" ผมแกล้งพูดไปขำไปกลบเกลืื่อน
"อ่ะๆ งั้นก้อกินระวังๆหน่อยแล้วกัน อย่าไปกินมากหล่ะเดี๋ยวจะหลับไม่ตื่นเอา" พี่คนขายบอกด้วยอาการขำๆ แต่นั้นก็ทำให้ผมสะดุ้งไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน
เกือบจะสองทุ่มแล้ว ผมนั่งมองโทรศัพท์ด้วยความคิดว่าจะเปิดดีหรือไม่เปิด ถ้าเปิดไปแล้วมีคนโทรมาผมก็กลัวใจตัวเอง
แต่ในใจก็อยากจะได้บอกลาพี่เต๊ะด้วยปากของผมเองก่อนที่ผมจะไม่มีโอกาส พูดอีกเลย เร็วเท่าความคิดพอผมเปิดเครื่องปุ๊บ
พี่เต๊ะก็โทรเข้ามาทันที ผมตัดสินใจอยู่นาน จนขึ้นมิสคอลประมาณสิบกว่าสายจึงกดรับ
"........." ผมไม่ได้พูดอะไร
"บอส ได้ยินพี่ไหม" เสียงพี่เต๊ะพูด น้ำเสียงดูเหมือนคนที่ำกำลังโกรธ
"อืมม" ผมได้แต่รับคำไปสั้นๆ
"ทำไม ทำไมต้องทำแบบนี้" พี่เต๊ะถามกลับมาแต่น้ำเสียงดูอ่อนลงกว่าแรก
"บอส ไม่รู้ หืออออ" ผมพูดได้แค่นั้นก็ร้องไห้ เป็นนานพี่เต๊ะเลยพูดขึ้นมา
"ทำแบบนี้ไม่คิดบ้างเหรอ ว่าพี่ก็เสียใจเป็น ร้องไห้เป็นเหมือนกันนะ ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าพี่รักเรา แต่พี่ก็
มีความรู้สึกดีๆให้กับเรา พี่ไม่อยากจะรู้จักเราแค่สามสี่วันหรอกนะ" พี่เต๊ะพูดไปก็ร้องไห้ไป
"ผมก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้" ผมตอบ
"แล้วทำไมต้องทำไหนลองบอกพี่มาสิ" พี่เต๊ะถาม แต่ผมกลับตอบไม่ได้ อาการของผมในตอนนั้นเหมือนคนไม่มีสติไปแล้ว
ไม่ว่าพี่เต๊ะจะพูดอะไรจะบอกอะไร มันก็ไม่เข้ามาในโหมดประสาทที่จะทำให้ผมยกเลิกความตั้งใจของผมไว้
"บอส อยากได้อะไรบอกพี่มานะ เด๋วพี่จะหามาให้ทุกอย่างแต่อย่าทำอะไรนะ รอให้พี่ไปถึงเราก่อนนะ" พี่เต๊ะพูดไปก็พยายาม
ถามว่าผมอยู่ตรงไหน แต่ผมก็ไม่ได้บอก
"บอส ขอโทษนะครับ ถ้าพี่มีความรู้สึกดีๆกับผมจริงๆ ผมขออะไรอย่างหนึ่งนะ พี่ช่วยลืมผมไปเถอะ อย่ามาจำคนบ้าๆแบบผม
ไว้เลย สักวันพี่ก็คงได้เจอคนที่ดีกว่าผม และเขาก็คงเป็นเนื้อคู่ของพี่จริงๆ " พูดจบผมก็วางสาย แล้วกดปิดเครื่องทันที
จากนั้นผมก็หยิบยาที่ซื้อมากินจนหมด เท่านั้นยังไม่พอ ผมหันไปเห็นกระปุกยาแก้แพ้ีจึงเอามันมากินจนหมด ่ก่อนจะเดินไป
หยิบมีดคัตเตอร์ที่พึ่งซื้อมาวางไว้ข้างๆตัว ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ประมาณครึ่งชม.ยาก็เริ่มออกอาการ
ผมรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนมันจะหมดแรง ลมหายใจก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆๆ และก่อนที่ผมจะหมดแรงจนทำอะไรไม่ได้
ผมจึงหยิบคัตเตอร์ด้วยมือขวาซึ่งเป็นมือที่ผมถนัด ค่อยๆกดลงบนข้อมือข้างซ้าย โดยเลือกที่จะกรีดตามความยาวของแขน
เพราะเคยอ่านมาว่าถ้ากรีดแบบขวางเลือดจะออกช้ากว่า ครั้งแรกที่ใบมีดจมเข้าไปในเนื้อมันรู้สึกเสียวแปลบ และพอค่อยๆ
ลากใบมีดผ่านเนื้อของตัวเอง จนเริ่มรู้สึกถึงเลือดที่ไหลออกมาเป็นจำนวนมาก พอดีเปนช่วงที่ผมเริ่มจะหมดสติ ก่อนจะหลับ
ผมได้แต่คิดถึงแต่ใบหน้าของคนๆนั้น คนที่ทำให้ผมไม่อาจจะลืมเขาได้ตลอดชีวิต คนที่ทำให้ผมมีรอยยิ้มในเวลาที่ผม
ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว คนที่ทำให้ผมลังเลอยู่หลายครั้งกับการตาย
"สัญญานะว่าจะให้พี่เป็นคนสุดท้าย" เสียงของพี่เต๊ะดังวนไปมาในห้วงสติสุดท้ายของผม
........................................................
ขอตัวไปร้องไห้แปปนะครับ ไม่ไหวจริงๆ ผมอ่อนแออีกแล้ว
-
อ่า...มือสั่นเลย
คนที่คิดจะตาย ถ้าไม่กล้าสุดๆ ก็หมดหนทางสุดๆ
จะรออ่านต่อว่า รอดมาได้ไงนะคะ
-
เห็นใจครับ มันเป็นช่วงต่อของชีวิตจริงๆ ดีใจที่เอาตัวรอดมาได้ครับ
-
ยังไงวันนี้ผมก้อต้องโพสให้จบให้ได้ครับ
เสียงก๊อกแก๊ก ดังขึ้นและใกล้เข้ามาหาผม จากนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงมืออุ่นๆของใครบางคนกำลังจับที่ต้นแขนของผม
"เป็นอย่างไรบ้าง" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามขึ้นมา ผมจึงค่อยๆพยายามลืมตาขึ้น แสงพร่ามัวส่องเข้ามาในตาผมค่อยๆ
ปรับสายตาให้เข้ากับห้องสีขาว
"นี่เรายังไม่ตายอีกเหรอ" ผมได้แต่พึมพำกับตัวเอง พลางหันไปดูที่มาของเสียง
"ยังมึนหัวไหม อยากอาเจียนไหม " และอีกหลายคำถามที่นางพยาบาลถามผม ผมก้อได้แต่ตอบไปว่ามีไม่มี พอเหลือบไป
มองนาฬิกาเข็มสั้นชี้เลขเก้า กับเข็มยาวชี้เลขหนึ่ง จากการเดาคงเป็นเวลาเช้าแน่นอน เพราะว่าแสงที่ผ่านลอดผ้าม่านเข้ามา
พอนางพยาบาลออกไป ผมจึงหลับตาลง มาตื่นอีกทีเพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกอยู่ในห้อง จึงลืมตาขึ้นดู
"เป็นไงบ้าง พี่นึกว่าเราจะไม่ตื่นซะแล้ว" เสียงของพี่ที่ทำงานด้วยกันถามผม ตอนนี้ที่พี่ๆที่ทำงานมาเยี่ยมประมาณสี่ห้าคน
"นี่วันที่เท่าไหร่"
"วันที่หนึ่ง" งั้นก็เท่ากับว่าผมหลับไปสองคืนกับอีกวันเต็มๆ
ผมรู้สึกหิวน้ำจึงจะเอี้ยวตัวไปหยิบน้ำก็รู้สึกเหมือนจะไม่มีแรง พี่เขาจึงเอาน้ำมาป้อน แต่พอหันไปมองที่หัวเตียงจึงวางแก้วลง
"เขางดอาหาร งดน้ำหน่ะบอส" ผมจึงนอนลง แล้วหันกลับมาสำรวจตัวเอง แขนซ้ายถูกพันด้วยผ้าพันแผล แขนขวามี
สายน้ำเกลือ ส่วนตรงจมูกก็มีสายแยงเข้าไปในช่องท้อง ทำไมเราไม่ตายใ้ห้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ
"งั้นเดี๋ยวเย็นๆ พี่แวะมาเยี่ยมอีกนะ" พวกพี่ๆบอกก่อนที่จะออกไป
ผมนอนที่โรงพยาบาลประมาณห้าวัน หลังจากที่พบจิตแพทย์ และแพทย์ประจำตัวมาตรวจก้อให้กลับบ้านได้ ระหว่างที่นอน
อยู่ันั้นมีแต่เพื่อนที่ทำงาน แล้วก็เพื่อน และยายเล็กเท่านั้นที่มาเยี่ยม
แต่ความทุกข์มันก็ยังตามมาทิ่มแทงผมไม่จบสิ้น เพราะระหว่างที่ผมนอนอยู่นั้นทางที่ทำงานได้เอาทุกอย่างที่เกี่ยวกับผม
มาให้จิตแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย แต่ดันมีพวกพยาบาลและพนักงานของโรงพยาบาลแอบไปดู เท่านั้นยังไม่พอ คนเหล่านั้น
ยังเอามาพูดคุยกันสนุกปาก ผมต้องนอนทนฟังการนินทาของคนพวกนั้น มันเหมือนยิ่งเปนการตอกย้ำความรู้สึกของผม
ลงไปอีก ผมต้องนอนร้องไห้ทุกคืนทั้งกายและใจของผม มันเหมือนเจ็บปวดเช่นนนี้ ไม่รู้ว่าผมไปทำกรรมอะไรไว้ผมถึงได้
ต้องมารับกรรม รับรู้อะไร ต่างๆมากมาย อยากจะตายก็ไม่ได้ตาย
...........................................................................
เหลือแต่บทสรุป มีใครอยากถามอะไร หรือสงสัยอะไรก้อถามมาได้เลย
เดี๋ยวจะหาว่าเป็นนิยายอีก ผมพร้อมจะตอบทุกความ
-
รออ่านตอนจบนะคะ
-
ไม่มีอะไรจะถาม แต่อยากให้กำลังใจเท่านั้นเองคะคุณบอส สู้ๆคะ
อย่างหนึ่งที่อยากจะพูดคือ
พวกพยาบาลและ พนง.พวกนี้ไร้ซึ่งจรรยาบรรณ และจิตสำนึกของความเป็นคนจริงๆ ทุเรศที่สุด
-
สู้ๆครับบ
รอเป็นกำลังใจ
-
ยังไงทุกอย่างมันก็เป็นอดีตไปแล้วนะคะ เอาไว้เป็นสิ่งเตือนใจให้ทำทุกๆวันให้ดีที่สุด อย่างน้อย บอสก็ยังโชคดีที่ยังมีชีวิต ได้กลับมาทำอะไรๆให้ดีขึ้น
สู้ๆๆๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ :L2: :กอด1:
-
นางพยามารแบบนั้นเคยเจอค่ะ ห่วยมาก :เฮ้อ:
คุณบอสสู้ๆ นะคะ :ped149:
ฟ้าใหม่ย่อมสดใสเสมอ :L2:
-
ไม่มีอะไรจะถาม แต่อยากให้กำลังใจเท่านั้นเองคะคุณบอส สู้ๆคะ
อย่างหนึ่งที่อยากจะพูดคือ
พวกพยาบาลและ พนง.พวกนี้ไร้ซึ่งจรรยาบรรณ และจิตสำนึกของความเป็นคนจริงๆ ทุเรศที่สุด
เห็นด้วย 100% ครับ
-
มาจบให้แล้วนะครับ
จุดจบของอดีต
วันที่ผมออกจากโรงพยาบาล ยายเล็กบอกว่าให้กลับไปอยู่ด้วยกันที่บ้านเหมือนเดิม ในความรู้้สึกผมมันเหมือนกับ
ว่าเวลาแห่งการโดดเดี่ยว ความเหงา ความเคว้งคว้าง ทุกอย่างกำลังจะหายไป ทางที่ทำงานก็บอกว่าให้กลับมา
ทำงานได้ตามปกติ เพราะพี่ๆที่ทำงานเคลียส์ให้เรียบร้อยแล้ว แต่ผมคงทนไม่ได้หรอกที่จะต้องไปอยู่ในที่ที่ทำให้
ผมอึดอัดใจเหมือนเดิม
"ยาย บอสมีธุระจะคุยด้วย" วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ผมกลับมาอยู่บ้านทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับว่า
ผมไม่ได้เคยหนีออกจากบ้านเลย
"มีอะไรเหรอ" ยายหันมามองหน้าก่อนที่หันกลับไปหั่นผักต่อ
"บอสอยากบวชอ่ะยาย" ยายหันกลับมามองหน้าแบบไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
"จริงๆนะยาย บอสอยากไปอยู่เงียบๆบ้าง บอสเหนื่อยมานานแล้วขอบอสพักบ้างนะยาย"
"แล้วเรื่องงานหล่ะ" ยายยังถามต่อ
"ก็ลาออกไปก็ได้หนิ บอสไม่อยากทำแล้วอ่ะ เอาไว้สึกออกมาค่อยหางานใหม่ก็ได้"
"อืม ถ้าคิดดีแล้วก็พรุ่งนี้ไปหาหลวงพ่อกัน"
เหตุที่ผมบวชหน่ะเหรอส่วนหนึ่งก็เพราะผมเหนื่อยจริงๆนั้นแหละ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือยายไม่มีลูกผู้ชายเลย ส่วนหลานๆก็ยัง
อายุแค่สามสี่ขวบ ผมจึงอยากจะทดแทนบุญคุณของยายที่ดูแลผมมาตลอด ไม่เคยทอดทิ้งผม ถึงแม้ยายจะไม่ใช่แม่ของผม
แต่ยายก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีกว่าแม่แท้ๆเสียอีก ก่อนวันบวชผมได้ไปขอขมาผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน และสุดท้ายก็มาถึงที่
บ้านแม่ของผมเอง คนที่นำำำพาลาเดินลงไปก่อนหน้าผม
"ไม่ได้ไปลาเขาหรอก"
"ทำไมอ่ะตา" (ผมเรียกคนที่พาลาว่าตา)
"แม่เอ็งเขาบอกเอ็งไม่ใช่ลูกเขาต้องนานแล้ว" ผมแทบจะเป็นลมล้มไปกับพื้นอีกรอบ นี่ถึงขั้นนี้แล้วจะไม่อโหสิกรรม
ให้กันอีกเหรอ ตอนที่ผมนอนอยู่ รพ.แม่ก็ไม่เคยไปเยี่ยมสักครั้ง ผมคิดว่าแม่คงอายที่มีลูกคิดสั้น แต่ตอนนี้มันไม่ใช่
ผมกำลังจะบวชเพื่อทดแทนบุญคุณ แต่แม่กลับทำแบบนี้
ในวันบวชคนมาร่วมงานส่วนใหญ่ก็เป็นพี่ที่ทำงานและคนในหมู่บ้านที่สนิทสนมกัน ส่วนแม่ก็ไม่มาตามเคย พ่อก็ไม่ต้องไป
พูดถึงป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ทุกคนคงสงสัยว่าแล้วพี่เต๊ะหล่ะ วันที่ก่อนผมจะบวชผมโทรไปหาพี่เต๊ะเรียบร้อยแล้ว แต่พี่เต๊ะไม่กล้ามา เพราะว่าที่บ้าน
คิดว่าที่ผมฆ่าตัวตายเพราะว่าผมอกหัก (คนละเรื่องกันเลย) พี่เต๊ะมันกลัวถูกรุมประชาทัณฑ์ ส่วนเรื่องที่ว่าผมรอดมาได้
อย่างไร มันคงเป็นเพราะกรรมของผมยังไม่หมดมั้ง เพราะมีอถือเจ้ากรรมที่ให้พี่เต๊ะไป มันมีเบอร์พี่ที่ทำงานอยู่สองสามคน
ติดอยู่ในเครื่องมันเลยโทรไปบอกเขา แล้วก็เล่าให้เขาฟัง (อันนี้รู้มาจากพี่ที่ทำงาน) พอพี่เขารู้เรื่องก็รีบมาหาผมที่ห้อง
งัดประตูกันเข้ามา แล้วก็ให้คนข้างห้องช่วยกันพาผมไปส่ง รพ.
"พี่คิดว่าแกจะไม่รอดซะแล้ว ตอนนั้นแกเหมือนจะไม่หายใจแล้ว หัวใจก็แทบไม่เต้นเลย แถมหมอบอกว่าเสียเลือดมาก
ต้องให้เลือดกันอีกยกใหญ่" พี่สาพี่ที่ทำงานที่สนิทกับผมที่สุด เป็นคนเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟัง
"แต่ไอนั้น มันดูรักแกดีนะ มันร้องไห้ใหญ่เลยตอนโทรมาหาพี่อ่ะ" พี่สาเล่าไปก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ไป
เวลาเกือบสองเดือนที่ผมมาบวช ทำให้ผมได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น ระหว่างที่บวชผมก็มีโทรไปคุยกับพี่เต๊ะ
บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายแค่วันละครั้ง แรกๆ ทุกอย่างก็เหมือนจะดี แต่อย่างว่าแหละครับ ใครมันจะมาเอาคนเป็นโรคประสาท
อ่อนๆอย่างผมไปทำแฟนจริงจัง ก่อนผมจะสึกได้ไม่กี่วันพี่เต๊ะก็มีอาการเปลี่ยนไป ผมเลยถามว่ามีคนใหม่แล้วใช่ไหม
ซึ่งคำตอบผมเองก็รู้อยู่ในใจอยู่แล้ว ผมจึงได้แต่อวยพรให้พี่เขาไปพบคนที่ดีกว่าผม แต่ยังไงผมก็จะไม่มีวันลืมคนที่
ครั้งหนึ่งได้เคยช่วยชีวิตผมไว้ เพราะถ้าไม่มีพี่เต๊ะในวันนั้นผมคงไม่มีโอกาส ได้มานั่งเล่าเรื่องราวของชีวิตของผมให้
ทุกๆคนได้อ่านหรอกครับ
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่เสียเวลามานั่งอ่านเรื่องราวชีวิตของคนๆหนึ่ง ที่ไม่ได้มีค่าอะไรเลย
และหากมีโอกาส ผมอาจจะมาแต่งนิยายแนวเพ้อฝันใ้ห้กับทุกคนได้อ่านกันนะครับ ยังไงก็อย่าลืมติดตาม
กันบ้างนะครับ
"ผมสัญญาครับ ว่าพี่จะเป็นคนสุดท้ายของผมตลอดไป"
บอส
-
ยินดีกับชีวิตใหม่ครับ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสครับ
-
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ที่มาเล่าสู่กันฟังค่ะ :L2:
แต่วันนี้คุณบอสเข้มแข็งแล้วเนอะ เก่งสุดๆ แล้วที่ผ่านมาได้ :impress2:
ก่อนหน้านั้นไปอ่านสายฝนมาแล้วค่ะ ชอบมากเหมือนกัน หวังว่าจะได้อ่านงานเขียนชิ้นต่อๆ ไปอีกค่ะ o18
สู้ๆ เนอะ o13
-
เป็นกำลังใจให้ครับ :L2: :L2:
สู้ต่อไปครับ
สิ่งร้ายๆผ่านไป สิ่งดีๆต้องเข้ามาในชีวิตดิ
ทุกคน ไม่มีใครสมบูรณืแบบหรอกครับ
เสี้ยวเวลาหนึ่งผมยังเคยคิดแบบคุณ
แต่ไม่รูจะทำไปทำไม อ่ะนะ
ลองมาสู้กับชีวิตสักตั้ง มันก็ดีนะครับ
คิดแล้วยัง ขำตัวเองไม่หาย
เป็นกำลังใจอีกครั้งนะครับ บอส :กอด1:
-
ทุกอย่างมันก็ผ่านไปแล้ว...
ตอนนี้ก็ฮึดสู้ ก้าวเดินต่อไปนะ..เชื่อว่ายังมีสิ่งดีๆรอบอสอยู่เสมอ เพียงแต่รอให้บอสเดินก้าวไปหาเท่าน้ั้นแหล่ะ....อะไรที่ทำให้ไม่สบายใจก็ปล่อยมัน วางมันบ้างนะ ..ถือความทุกข์พวกนี้ไปด้วยอ่ะ มันหนัก มันเหนื่อย...วางมันลงแล้วเดินไปแบบสบายใจ พร้อมรอยยิ้ม ดีกว่า...
สู้ๆๆๆน๊าาา เป็นกำลังใจให้จ้า หวังว่าจะมีโอกาสได้อ่านเรื่องใหม่ๆหรือข่าวความสำเร็จของบอสในอนาคตนะ สู้ๆๆๆๆ :L2: o13
-
:L2: :3123: เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หวังว่าวันต่อๆไปจะมีสิ่งดีๆเข้ามานะคะ
-
ขอเป็นกำลังใจให้อีกคนนะ
สู้ สู้ :L2:
-
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคับ
-
เข้ามาเป็นกำลังใจให้ค่ะ :L2:สู้ ๆ
-
สู้ครับ ชีวิตคนเราต้องมีสุชขบ้าง ทุกข์บ้างคละเคล้ากันไป
อาจจะมีท้อบ้าง แต่อย่าไปถอย
-
ขอบคุณค่ะ ที่มาเล่าประสบการณ์ชีวิตให้ฟัง
สุ้ๆๆ ต่อไป ชีวิตไม่มีใครจะผิดหวัง หรือสมหวังตลอดหรอกนะค่ะ
เข้มแข็งไว้นะค่ะ ก้าวต่อไปของชีวิต ต้องบอกตัวเองด้วยนะค่ะ
ว่าเราต้องไม่ยอมแพ้ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องยิ้มและแก้ไขสิ่งนั้นด้วยสติ ^^
-
นี่เรียกว่านิยายเหรอ เราว่ามันมากกว่านั้นน่ะ
เป็นครั้งแรกจริงๆที่ไม่ได้อ่านนิยายแนวเพ้อฝัน + ไม่ได้จบแบบในนิทาน (เลือกดูตอนจบด้วยอ่ะ ก๊ากก)
รู้สึกอินมากๆ เหมือนอ่านเรื่องนี้แล้วเปิดโลกความคิดให้กับตัวเอง (อ่านแล้วอายุเพิ่มขึ้นไป 3 ปี ..55)
รู้ว่า..โลกกะนิยายยังไงมันก็ไม่เหมือนกัน
ขอบคุณจริงๆที่พี่บอสยังเป็นพี่บอสอยู่ตอนนี้ ที่เข้มแข็งได้เท่าคนๆหนึ่งเข้มแข็งได้
ขอบคุณพี่บอสมากๆคะ :')
ปล.รอนิยายแนวเพ้อฝันนะคะ ชอบวิธีการแต่ง + ภาษามั่กๆ
ปล.2 ถ้าเค้าเม้นงงๆก็..อ่านะ 5555
-
เป็น กำ ลัง ใจ ให้ นะ ครับ
ชี วิต คน เรา ยัง อีก ยาว ไกล
สู้ สู้ !
-
สู้ๆ นะครับ เป็นกำลังใจให้
ชีวิตต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน o13
-
อ่านประโยคสุดท้ายแล้วมัน... :o12:
อย่างไงถ้าเกิดมีคนดีๆเข้ามาในชีวิต
ก็ลองเปิดใจดูนะครับ
สู้ๆเนอะ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
:L2: :L2: :L2:
-
เรื่องมันเศร้าๆ .. สู้ๆ นะครับๆ
ทางทุกทางย่อมมีทางออก .. เป็นกำลังใจให้ครับ
แล้วก็ขอบคุณสำครับประสบการณ์ชีวิต .. นะครับ
อิอิ .. สงสัยยังไม่ถึงเวลามั้งเค้าเล้ยไม่ให้ไปๆ 555+
-
มื่รอดชีวิตกลับมาก็ถือว่าเราได้เกิดใหม่ แถมยังได้บวชอีกก็ถือได้ว่า
เรามีโอกาสได้ชำระสิ่งไม่ดี และสิ่งที่ทำให้ชีวิตเศร้าหมองให้ออกไปจากเรา
ตอนนี้ก็เท่ากับน้องเป็นคนใหม่ ขอเป็นกำลังใจให้น้อง นำสิ่งที่มันแรงๆที่เข้ามาในชีวิตน้อง
แล้วเปลี่ยนสิ่งที่แรงๆนั้น ให้มันเป็นพลังแห่งความเข้มแข็ง เพื่อให้น้องอยู่ได้ เท่าที่ดูๆ ก็มีหลายคนนะที่รักและหวังดีกับน้อง
แต่ที่สำคัญที่สุดน้องต้องรู้สึกรักและหวังดีกับตัวเองด้วย เรื่องแม่พยายามยอมรับและให้อภัย เพื่อจะได้ไม่เป็นบาปกรรมแก่เรา
เวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง แต่เราเองก็ต้องพยายามก้าวออกจากสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์เช่นกัน ปล่อยวางบางสิ่งบางอย่างเสียบ้าง สู้ๆจ้ะ
-
ชีวิตมันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องเศร้าๆหรอกค่ะ
-
เป็นกำลังใจให้ค่ะ...สู้ต่อไปนะคะ
อดีตเป็นแค่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว...วันนี้ พรุ่งนี้เป็นวันของเราค่ะ
มีสติ+เข้มแข็งนะคะ
ปล.ขอให้วันต่อๆไปจากนี้มีแต่ความสุขค่ะ :L2:
-
...ขอบคุณสำหรับประสบการณ์จากคุณบอสนะครับ
...ชีวิตเรายังมีสิ่งที่สวยงาม และ สิ่งที่โหดร้ายให้เราต้องเจออีกเยอะ
...ไม่มีชีวิตใครสมบูรณ์แบบ จงก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็ง แล้วก็ให้กำลังใจตัวเองมากๆนะครับ o13
-
ชีวิตคนเราอ่านะ บางทีมันก็ยิ่งกว่านิยายอีก
ยังไงก็สู้ๆๆๆๆๆๆ ละกัน
อย่าคิดว่าอยู่คนเดียวล่ะ ยังไงก็ยังมีคนที่รักและก็เป็นห่วงเราอยู่นะ
สู้ๆๆๆๆๆๆ
o13 o13
-
เป็นกำลังใจให้คับ
-
นึกว่าจะมีคนดีๆเข้ามาในชีวิตของบอสสักคนสุดท้ายก็เปล่า คงเหลือแต่ยายคนดีคนเดียวละมั้ง :เฮ้อ:
-
ชีวิตเกิดมาทั้งทีต้องดำเนินต่อไปค่ะ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่นำมาแบ่งปันนะคะ
-
เป็นกำลังใจให้นะคะ
ขอบคุณมาก ๆ คะ
o13
-
ขอบคุณนะครับ
ที่เอาเรื่องดีๆมาให้อ่าน
ผมเข้าใจบอสในเรื่องเรย
เพราะผมก็เป็นคนนึง
ที่ตอนเด็กๆชีวิตไม่ต่างจากบอสในเรื่องเท่าไร
แต่ของผมพ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่มัธยม
เหมือนอยู่คนเดียวบนโลกเรย
ไม่มีคนที่เรารัก.....ไม่มีคนที่รักเรา
ใช้ชีวิตลำพัง
ชีวิตเหมือนเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล
มองไปทางไหนก็มองไม่เห็นอะไร
ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม
เวลามีปัญหาไรก็ต้องแก้เอง..ทั้งที่เป็นเด็กตัวเล็กๆคนนึง
ทั้งเหงาทั้งท้อ
แต่ก็อยู่มาได้จนถึงวันนี้
พยายามทำตัวเหมือนเข้มแข็งตลอด
แต่จริงๆแอบมาร้องให้ ทุกครั้งเวลาเจอปัญหาหนักๆ
มันเหมือนเปนอดีตที่คอยตามมาหลอกหลอน
ทั้งๆที่ตอนนี้ก็ผ่านมันมาได้แล้ว
แต่ก็อ่อนแอทุกทีที่คิดถึงมัน
แต่ชีวิตก็คือชีวิต
ยังไงก็ต้องสู้ต่อไป
มาเป็นกำลังใจให้เจ้าของเรื่องนะครับ
สู้ๆ
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะมีชีวิตอยู่และเปนคนดีของสังคมได้
คิดซะว่าเรายังโชคดีกว่าหลายๆคนที่แย่กว่าเรา
ที่เราได้เกิดมา และก็มีร่างกายปกติ
อย่าทำร้ายตัวเองอีกนะครับ
-
มาเป็นกำลังใจให้คุณบอสค่ะ
อ่านเเล้วน้ำตาซึมเลย
ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ
ขอให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเข้มเเข็งน่ะค่ะ
เพราะคนเราท้อเเท้กันได้ เเต่ก้อไม่ได้หมายความว่าต้องสิ้นหวัง
สู้ๆๆน่ะค่ะ รักตัวเองให้มากๆๆๆน่ะ
-
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นต่อคับ
ปัญหาคงไม่มีแค่นั้น แต่ใช่ว่าจะไม่มีความสุขเลย
ขอบคุนสำหรับเรื่องราวที่สะกิดความรู้สึก อารมณ์ ยากที่จะบอก
-
อยากรู้กันใช่ไหมหล่ะว่าตอนนี้ผมเป็นยังไงบ้าง จะว่าไปแล้วตอนนี้ผมเองก็เข้มแข็งมากขึ้นเลยนะ
ไม่สน ไม่แคร์อะไร ไม่อยากรู้หรือรับรู้ถึงความรู้สึกใดๆ วันๆหนึ่งผมก็แทบจะไม่พูดอะไร
ส่วนไอ้พี่เต๊ะอ่ะเหรอ ล่าสุดไม่อยากจะเล่า มันโทรมาหาผมทุกวันแหละ ผมก้อบอกมันไปว่าคุยกัน
เฉยๆอ่ะได้ แต่ก้อไม่อยากให้มันคิดอะไรไปมาก เพราะผมนี่แหละกลัวตัวเองจะทนกับมันได้อีกไม่นาน
เพราะผมก็รู้ว่าทุกอย่างมันไม่มีอะไรแน่นอน ถึงแม้หลายๆคนจะชอบพูดกันว่า "มนุษย์เราต้องอยู่ด้วยความหวัง"
แต่สำหรับผมแล้ว ผมไม่อยากหวังอะไร ไม่อยากได้อะไรอีก ขอแค่มีชีวิตที่ผ่านไปๆวันหนึ่งๆจนกว่าจะหมด
ลมหายใจไปตามสภาวะกรรมของตัวเอง
-
ดีใจน๊าาาที่บอสเข้มแข็งขึ้นมาก :กอด1: สู้ๆจ้ :กอด1: ยิ้มเข้าไว้น๊า
ส่วนพี่เต๊ะ..ด้วยอะไรหลายๆอย่าง อาจจะมาเร็ว เจอเร็ว เคลมเร็ว...ความรู้สึกดีๆยังมี ความเสียใจที่ในที่สุดเค้ามีคนใหม่ก็ยังอยู่
แต่อย่างน้อยก็คิดในแง่ดีว่าบอสก็ยังมีเพื่อนอีกคนนะ เค้าก็ยังโทรหาบอสทุกวัน...บอสก็ได้รู้ว่ายังมีคนนึกถึงเรา...
สู้ๆต่อไปจ้าาา.....ดูแลตัวเองดีๆเน้อออ :กอด1: :L2:
-
ขอบคุณครับ
ไม่หวังก็ไม่เป็นไรครับ แต่อย่าคิดสั้นก็เป็นพอแล้วครับ
-
:L2: :L2: :L2:
อดีตมันคือเรื่องที่เราไม่สามารถจะย้อนกลับไปเเก้ไขอะไรได้
ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องร้ายๆอารัยมามากมาย
ยังมีวันพรุ่งนี้รอเราเสมอน่ะ
ชีวิตก็เหมือนกับการเดินทาง อาจจะไม่จำเป็นต้องมีจุดหมายเสมอไป
เข้มเเข็งให้มากๆๆน่ะ
-
แค่มันดัน ไม่ให้ตกจากหน้าหนึ่ง :laugh: :laugh: :laugh:
-
สู้ ๆๆ ต่อไปค่ะ
ชีวิตมีอารายอีกเยอะ
-
ต้องบอกว่าชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร(น้ำเน่า) เข้มแข็งจังเลยฮับ เป็นเราผูกคอตายดีกว่าตายไวดี แต่ตอนนี้ยังไม่อยากตายเลย
555+
-
ู^
^
^
^
^
คิดแล้วนะผูกคออ่ะ แต่มันไม่มีที่เพราะในห้องตีฝ้าหมดเลย แถวสูงอีกเก้าอี้ไม่ถึง
ลูกกรงหน้าต่างก็บางมีหวังหักก่อน ก็มีหลังห้องแต่ว่าเดี๋ยวก็มีคนเห็นอีก
เลือกดีที่สุดแล้ว ไม่น่ารอดมาเลยเซงมากอ่ะ เมื่อไหร่จะตายเองสักทีเบื่อโลกมากมาย
-
อย่าท้อแท้ ชีวิตยังมีหวัง :L2:
-
ลองคิดมุมกลับดูไหม...
ที่ไม่ตายเพราะเราต้องชดใช้กรรม ถ้าเราชดใช้จนหมด ชีวิตของเราอาจจะดีกว่่านี้
ถ้าเราหนี แม้จะหนีด้วยการตายได้ แต่สักวันมันก็ติดตามตัวเราไปอีกอยู่ดี แล้วอาจจะทุกข์มากกว่านี้ด้วย
ยิ่งตายแบบไม่ธรรมชาติแบบนี้ ...พูดได้อย่างเดียวว่าการตายไม่ใช่เป็นการพ้นทุกข์ แต่เหมือนเป็นการเพิ่มทุกข์ให้ตัวเองมากกว่าเดิมอีก
บวชมาก็น่าจะรู้ว่ากฎแห่งกรรมในศาสนาพุทธเป็นยังไง ลองดูวงเวียนชีวิตดูนะคะ คนเขาทุกข์กว่าเราก็ยังมี ไม่ใช่เราที่มีปัญหาคนเดียว หรือทุกข์คนเดียว แต่มันอยู่ที่ว่าจะเลือกยังไง
ตายน่ะสักวันก็ต้องเวียนมาถึง บางคนช้าเร็วต่างกัน แต่สุดท้าย กล่องสี่เหลี่ยมขนาดพอดีตัวก็เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายในชีวิตที่ทุกคนพึงได้เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะ รวย จน สุข ทุกข์...
-
^
^
^
^
^
สาธุ รู้แล้วหล่ะครับถึงได้นั่งนับวันรอมันอยู่นี่ไง
กรรมเหรอเข้ามาเหอะ เข้ามาเท่าไหร่ก็แทบจะชินแล้ว
ให้มันหมดๆไปเสียที ถ้ามีใครให้แบ่งอายุได้นะป่านนี้
คงแบ่งไปให้แล้วหล่ะ เผอิญม่ายมี เลยต้องมาติดแหง๊ก
อยู่บนโลกมนุษย์เนี่ย น่าเบื่อจะตาย
-
คิกคิก พี่บอสดูอารมณ์ดีขึ้นนะครับเนี่ย
พี่อาจจะท้อ ไม่อยากจะอยู่ แต่ก็นะคนมันไม่ถึงที่ตาย ทำไงได้
ลองคิดกลับดู บางคนมองชีวิตเลอค่า เพราะรอดตายมาได้จากอุบัติเหตุ
บางคนมองอย่างไร้ค่า ไม่สิไม่ถึงกับไร้ค่า แค่ไม่อยากดำเนินอยู่บนโลกนี้เท่านั้นเอง
แต่ เมื่อเกิดมา มันคือสิ่งประเสริฐ ประเสริฐที่สุดในโลก
งดงามยิ่งกว่าสิ่งใดที่เราเคยพบเจอ
ผมขอแนะนิดนึง พี่ลองไปทำงานเป็นอาสาสมัครดูสิครับ
มุมมองของพี่จะกว้างขึ้น จะเห็นความหวังในการอยากมีชีวิตมากขึ้น (ของคนอื่นอะนะ)
การทำร้ายตัวเองมันไม่ผิด เมื่อความอดทนถึงขีดสุดก็ต้องระเบิดออกมา
ผมว่าดีออก ทำร้ายตัวเอง อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ทำให้ใครเจ็บ(ตัว)
แต่ไม่รู้เจ็บที่ใจรึป่าว ^-^
มองทุกสิ่งในแง่ดี ทำตัวให้มีความสุข
แล้วทุกสิ่งจะดีเอง
ป.ล ทำร้ายตัวเองมีหลายวิธี ก่อนอื่นเอาแบบเบาะๆก่อนแล้วกันเนอะ อิอิ
ป.ล2 ไม่มีใครมารักเรา เราก็รักตัวเองสิ
ป.ล3 เมื่อไหร่จะเจอเนื้อคู่อะ เซง 555555555555
-
เคยคิดนะว่าอยากตาย (เพราะชีวิตมันเปลี่ยนแปลงกะทันหันตอนอายุยังไม่ 15)
แต่มันตายไม่ได้อ่ะดิ :laugh:
ใช้กรรมกันไป :jul3:
ปล.น่าจะได้อ่านเรื่องนี้นานแล้ว :กอด1:
-
:o12:
สู้ๆนะค่ะพี่บอส
:heaven
-
สู้ๆนะคะพี่บอส เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หนูอ่านเรื่องจองพี่แล้วรู้สึกโลกมันหมุนไปแบบการชดใช้กรรมไงก็ไม่รู้
หนูมักตั้งคำถามกับชีวิตและอนาคตเสมอว่าจะเป็นไง คาดหวังกับการถูกรัก
แต่นั่นก็ไม่มีความหมายเหมือนการมีคนรักเราและเรารักเค้ามากอย่างบุพการี
มันทำให้หนูไม่อยากคิดถึงเรื่ิอวการสูญเสียคนที่เรารักเลยค่ะ :mew2:
ปล. ขอบคุณนะคะที่มาเล่าเรื่องดีๆให้ฟัง
-
ขอบคุณพี่อสที่นำเรื่องราวดีๆมาเล่าให้กันฟังน่ะ พี่เป็นคนทีาเข็มแข็งมากๆ. นับถือคับ5555. อยากให้พี่ลองเปิดใจให้กับพี่เต๊ะ ดูบ้าง อิอิ เพื่อยามเหงาเหงา. 5555 เพราะพี่ชอบบอกว่าเบื่อๆ55 . บังไงก้ขอให้พี่มีความสุขมากๆน่ะ เรวควรภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคน โดยเฉพาะคนที่เข้มแข็งแบบพี่ อิอิ ขอบคุณนะครับ :mew3: :bye2: :bye2:
-
ผมเคยอ่านเจอคำคมหนึ่งที่ว่า "ม้าดีที่ตายแล้ว คือม้าตายหาใช่ม้าดี"
พอมาลองคิดๆดูมันก็จริงนะ ทรัพย์สมบัติใดที่มีค่ากว่าชีวิตไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าใครจะเกิดมาแบบไหนสติปัญญาล้ำเลิศเพียงใด แต่ถ้าเราตายหากแค่เพียงเราปล่อยสมบัติชิ้นสุดท้ายหลุดมือไปแล้วมันก็จบ เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวันพรุ่งนี้ได้อีกแล้ว เราจะหมดประโยชน์ทั้งกับตัวเองและคนอื่นโดยสิ้นเชิง..
อย่างน้อยการที่นายยังไม่ตายในวันนั้น นายก็ยังสามารถนำมันมาเป็นอุทาหรณ์ให้คนอื่นได้ ได้รู้จักคนอีกมากมายแม้จะช่วยอะไรนายแทบไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยก็ได้ระบายได้มีคนรับฟังบ้าง
บางคนที่ก่อนตายนึกเสียดายว่ายังไม่ได้ทำโน่นนี่นั่น ไม่ใช่ว่าเขาจะเสียดายว่าไม่ได้ทำ แต่เขาเสียดายที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว ในขณะอีกคนทำทุกอย่างที่อยากจะทำก่อนเลือกที่จะตายแต่ความเป็นจริงถึงเขาจะไม่ได้ทำอะไรก่อนตายเลยเขาก็ยังไม่เสียดายอะไรหรอกคับ นี่ละคับความแตกต่างและการรู้คุณค่าของชีวิต
-
:mew1:
-
หวังว่าในปัจจุบัน. คงแข็งแกร่งมากขึ้นมากๆๆแล้วนะคะ. เวลาคือยาที่ดีที่สุดสำหรับทุกเรื่อง. อยากให้กำลังใจ. ให้จิตใจแข็งแกร่งมากๆค่ะ. อยากให้พบความสุข. เป็นกำลังให้. สู้ๆๆค่ะ.
-
ถ้าไม่มีใครรัก ก็ขอให้ทำใจ
ถ้าไม่รักชีวิตตัวเอง ก็คิดซะว่า ตัวนายเกิดมาชาตินี้
แม้ไม่มีใครรัก ก็ขอให้อยู่เพื่อทำประโยชน์กับเพื่อนร่วมโลกละกัน
ถ้าไม่เชื่อว่าคนจะรักจริง เพื่อนจะรักจริง ก็มีชีวิตอยู่เพื่อทำบุญกับหมาแมว ก็ยังดีน่ะ
ชาติหน้า หรือชาติไหน เกิดมาเป็นคนอีกครั้ง จะได้พบเจอ กัลยาณมิตร มีครอบครัวที่รักใคร่ห่วงใย
ขอให้นายมีความสุขกับการทำดี มีชีวิตอยู่เพื่อสร้างความสุขให้กับคนหรือสัตว์รอบตัว
มีความสุขจากการให้ แม้ไม่ได้เป็นผู้รับ ทุกๆวันน่ะคะ
ขอให้นายมีความสุขน่ะ
-
o13