พิมพ์หน้านี้ - เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Monkey D ที่ 13-01-2018 11:15:15

หัวข้อ: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 13-01-2018 11:15:15
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติ ตัวละครและสถานที่ก็สมมุติขึ้นมานะคะ




 พูดคุยเม้ามอยด์กันได้ที่ ทวิตเตอร์(@MonkeyD_IY)

แฟนเพจ Monkey D IY

 :3123:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 13-01-2018 11:17:10

นิยายเรื่อง  เขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด



เพราะ ‘เขา’ คนที่ผมตกหลุมรักอย่างจัง
ดันเป็นโรคกลัวผู้ชายขึ้นสมอง
ผมจึงต้องยอมเปลี่ยนตัวเองครั้งใหญ่เพื่อให้ได้ใกล้ชิด

แม้จะโดนมองว่าเป็นกระเทยยักษ์ก็ตามที!!!

รักครั้งนี้ไอ้อันโทนิโอ้สู้ตาย!!!!!!!!


หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 13-01-2018 11:18:16


EP.1


    “นังเซ่น นังเซ่นนน นังเซ่นนนนนนโว๊ย  อยู่ไหนของเอ็งวะ”  ผมตะโกนร้องหานังแมวแสบที่เก็บมาเลี้ยงร่วม 3 ปี  ตอนนั้นยังเป็นแค่ลูกแมวตัวกระจ้อยส่งสายตาใสแบ๊วมาให้ ร้องแง๊วๆขอข้าวกิน  ไอ้ผมรึก็สงสาร ลูกแมวมันคงไม่มีที่ไปเลยเก็บมาเลี้ยงถือว่าเอาบุญ  ที่ไหนได้เหอะๆ  เอามันมาเป็นเจ้านายชัดๆ! 


    หลังจากมันครองใจคนทั้งบ้านลูกชายอย่างผมก็กลายเป็นหมาหัวเน่าทันที   แถมต้องรับใช้มันอีก  อย่างเช่นตอนนี้ ถึงเวลาให้อาหารเย็นมันแต่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มา  จะทำไม่สนใจก็ไม่ได้เดี๋ยวนายแม่รู้ว่าลูกรักคุณเธอยังไม่ได้ทานอาหารจะกริ้วแล้วโบกกระหม่อมผมได้   หึ่ย ลำบากกูจริงจริ๊ง


    “ลื้อจะออกไปไหนน่ะ อาอันโทนิโอ้”  อาม่าที่แก่จนหัวขาวโพลน  เดินถือโบกพัดมาถามผมที่กำลังจะเปิดประตูร้านออกไปตามหานังแมวแสบ มาเรียฟิเซ๊นนน  สุดที่รักของคุณนาย

    “อั๊วะ จะออกไปหานังเซ่นไหว้ซะหน่อย  ไม่รู้มุดหนีออกไปแอ๊วแมวตัวผู้ที่ไหนหรือเปล่า  เรียกให้มากินข้าวก็ไม่มา”


    “ไอย๊า  มาเรียฟิเซ่นหายไปหรอ  งั้นลื้อรีบไปตามหานางเร็วๆเลยน่า  หาไม่เจออย่าเสนอหน้ากลับมา เข้าใจไหม  อาอันโทนิโอ้”


    “นี่อาม่าห่วงแมวมากกว่าอั๊วะอีกหรอ”  ผมทำหน้าน้อยใจสุดชีวิต  ตั้งแต่มีนังแมวนั้นเข้ามาใครๆก็ไม่รักผม  กระซิกๆ  ชีวิตเปลี่ยนเพราะแมวตัวเดียวแท้ๆ  จากลูกชายร้านทองกลับกลายเป็นบ่าวทาสรับใช้ไปซะแล้ว


    “เออสิวะ  ลื้อตัวใหญ่ยังกับควายทมิฬ  หน้าก็เถื่อนยังกับโจรปล้นแบงค์ แถมยังดำผ่าเหลาผ่ากออีก มีอะไรให้ต้องน่าห่วง ห่ะ  อั๊วะเสียดายชื่ออันโทนิโอ้ที่ม๊าลื้อตั้งให้จริงๆไม่ได้เข้ากับหนังหน้าเลย พับผ่าสิ!” 


    “แรงอ่ะ อาม่า”  ผมเบะปากทำเป็นน้อยใจไปอย่างงั้น   ทั้งที่จริงผมโคตรจะภูมิใจกับรูปร่างสมชายชาติชาตรีนี้สุดๆอ่ะ อาม่าไม่รู้หรอกกว่าผมจะได้กล้ามแน่นๆ ซิกแพกเป็นลอนๆแบบนี้ต้องออกกำลังกายหนักแค่ไหนกินไก่หมดไปตั้งกี่ฟาร์ม  ไหนจะสีผิวที่ผมลงทุนไปนอนตากแดดบนดาดฟ้าชั้น 4 ของบ้านทุกวันกว่าได้สีแทนเข้มนี้มา  ส่วนชื่อสุดเท่ ‘อันโทนิโอ้’ ไปที่ไหนใครก็ต้องถามว่าใครตั้งให้เท๊เท่ นี่ผมก็ภูมิใจกับชื่อนี้เหมือนกัน ม๊าบอกว่าสมัยยังสาวแกชอบดาราฝรั่งที่ชื่ออันโทนิโอ้มาก ตอนท้องผมก็นั่งมองรูปตาคนนี้ทุกวันเพราะอยากให้หล่อเหมือนเขา  แต่ผมก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาหรอกครับ เพราะผมเชื่อว่าผมหล่อกว่า โฮ๊ะๆๆๆ


    ส่วนหน้าตาผมก็อยู่ในเกณฑ์ทั่วไปแต่จะเท่หน่อยก็ตรงหางคิ้วที่เป็นรอยแผลเป็นนูนขึ้นมายาวสัก 1 นิ้วครึ่งได้   แผลนี้ได้มาจากไปยกพวกตีกับเด็กอาชีวะมาครับ  โดนปลายมีดของพวกมันจะฟันเข้าที่หน้าแต่หลบทันเลยโดนที่หางคิ้วแทน   และเพราะเกือบตายหรือหน้าเสียหล่อ  คนทั้งบ้านเลยยืนยันว่าถ้าผมเรียนจบเทคนิคต้องเรียนต่อมหาวิทยาลัยเท่านั้น  ถ้าขืนดื้อไม่ทำตามโดนตัดออกจากกองมรดกแน่นอน  ผมก็เลยต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้  คือแบบก็รักเพื่อนนะแต่ก็รักมรดกมากกว่าอ่ะ


    “ไปๆ อย่ามายืนเฉยๆเสียข้าวสุกไปตามหามาเรียฟิเซนให้เจอ เร็วเข้า”   อาม่ารีบโบกมือไล่ผมออกจากร้านอย่างร้อนใจ   แมวเป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดจะครองโลกจริงๆนะเว้ย  เริ่มจากครองครอบครัวผมสำเร็จไปแล้วล่ะตอนนี้


    จับไปปล่อยตอนนี้ทันไหมนะ เหอะ!


    แต่ถ้าขืนทำอย่างงั้นจริงมีหวังม๊าผมตัดออกจากกองมรดกแน่นอน เลยได้แต่พาตัวเองเดินตามหาแมวไปตามทางเท้าริมถนนที่คนพลุกพล่านเพราะเป็นเวลาเย็นแล้ว  อีกอย่างคือร้านทองของม๊าอยู่ใกล้กับตลาดด้วยคนเลยเยอะเป็นพิเศษ  แล้ววันนี้ผมจะเจอนังเซ่นไหว้ไหมวะเนี่ย...


    เดินหาจนทั่วตลาด  ถามป้าร้านขายของที่คุ้นเคยกันก็ไม่มีใครเห็นนังเซ่นไหว้สักคน  ถามไอ้แมวหนุ่มฝาแฝดการ์ฟิลด์กิ๊กนังเซ่นไหว้ตัวที่1000 ก็ไม่ยอมตอบร้องแต่ ง๊าววว ง๊าววว อยู่นั่น  ผมเลยต้องเดินหาไปเรื่อยๆจนเมื่อยน่อง


    นังเซ่นไหว้นะนังเซ่นไหว้  เจอเมื่อไหร่กูจะขย้ำพุง เอาจมูกฟัดๆๆให้หายแค้นเลย  คอยดู๊!



    “อึ๊ออออ อึ๊อออออ อย่างนั่นแหละ เบ่งอุนจิเข้านะ  เราเอาทิชชู่รองให้แล้ว ไม่ต้องกลัวเลอะนะเจ้าแมวน้อย สู้ๆ”


    “แง๊ววว”


    เสียงนิ่มๆดังออกมาจากหลังมุมตึกทางเข้าซอยย่อยๆ  ทำให้ผมสนใจ ก็นะเกิดมาเพิ่งเคยได้ยินคนมาให้กำลังใจแมวอึ  แถมเสียงแง๊วๆนั่นมันก็คุ้นหูผมสุดๆ  ขอแอบดูหน่อยเถอะวะเพื่อจะเป็นนังเซ่นไหว้


    ว่าแล้วผมก็ทำเป็นตีเนียนไปยืนพิงผนังร้านแว่นรวยเจริญริมสุดก่อนจะยื่นหน้าออกไปมอง  ก็เห็นนังเซ่นไหว้กำลังเบ่งอึตัวโก่ง ใส่บนทิชชู่สีขาวที่วางรองไว้  โดยมีเด็กผู้หญิงตัวขาวโป๊ด  ผมยาวฟูเป็นลอนธรรมชาติมัดผมครึ่งหัวทำเป็นจุกกำลังนั่งกำมือชูขึ้นเชียร์นังเซ่นไหว้อยู่   และเมื่อนังเซ่นไหว้ทำภารกิจเสร็จสิ้น เด็กผู้หญิงคนนั้นก็


    “เย้  เก่งจังเลย  แมวน้อยเก่งสุดๆเลยอึเป็นที่ด้วย ฉลาดจัง”  น้องเขายิ้มหน้าแป้นตบมือแปะๆแบบชื่นชมนังเซ่นไหว้ซะเหลือเกิน   คือมันก็ธรรมดาปะวะ  ผมฝึกมันมากับมืออ่ะนะ  แมวก็ต้องฉลาดเหมือนคนเลี้ยงงี้แหละ  โด่ว  แต่ก็แปลกที่มันมาอึต่อหน้าคนแปลกหน้าแบบนี้  หรือนังเซ่นไหว้ก็ถูกชะตาน้องเขาเหมือนกับผมวะ


    “แมวน้อยรอเราก่อนนะ  เดี๋ยวเราเก็บอึไปทิ้งก่อนแป๊บนึง  ถ้าใครมาเหยียบเข้าจะแย่เอาเนอะ”  เจ้าของเสียงนุ่มพูดเสร็จก็กระวีกระวาดหยิบทิชชู่ในกระเป๋ามาโป๊ะลงไปบนกองอึนังเซ่นไหว้ก่อนจะจัดการห่ออย่างดีแล้วถือเอาไปทิ้งลงถังขยะ


    ผมเองก็ได้แต่มองทุกการกระทำอย่างประทับใจ  มันแบบเชี่ยเอ๊ย  ทำไมน่ารักจังวะ  แมวตัวเองก็ไม่ใช่แต่กลับอ่อนโยนต่อนังเซ่นไหว้มากๆ  แถมเก็บอึไปทิ้งอย่างไม่รังเกียจอีกโคตรมีความรับผิดชอบต่อสังคมอ่ะ  คือที่บ้านต่อให้ทุกคนจะรักนังเซ่นไหว้ยังไงแต่ก็ไม่มีสักคนที่ยอมทำหน้าที่เก็บอึนังเซ่นไหว้ครับ  เป็นผมนี่แหละที่ต้องคอยตามเก็บให้ตลอดถ้านังเซ่นไหว้ไปอึที่อื่นนอกจากกระบะทรายแมวในห้องน้ำมัน   เจอแบบนี้บอกตรงๆว่า ‘ตกหลุมรัก’ เลยล่ะครับ


    “แง๊ววว”  พอน้องเขาเดินกลับมาหานังเซ่นไหว้  นังแมวตัวแสบก็ใช้มารยาฉบับเดียวกับที่หลอกผมให้เก็บไปเลี้ยงเป๊ะใส่เลยทันที  ทั้งร้องอ้อน  เอาตัวถูแข้งถูกขา  มันน่าจับมะเหงกใส่ซะทีนึง มีตูอยู่แล้วยังจะอยากได้เจ้านายใหม่อีกนะเว้ย


    “ขี้อ้อนจังเลยน้า  เสียดายจังที่เราเลี้ยงแมวน้อยไม่ได้  พี่สาวเราแพ้ขนสัตว์แน่ะ แต่แกก็น่ารักซะจริงๆแถมเป็นตัวเมียด้วย”  น้องผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรงุบงิบคนเดียวเอามือลูบหัวเกาคางนังเซ่นไหว้อย่างเอาใจ  คงอยากได้มันไปเลี้ยงจริงๆ   รับแมวตัวนี้ไปเลี้ยงแถมฟรีเจ้าของนะคร้าบ หึหึหึ


    “เย็นแล้ว เราต้องกลับบ้านแล้วล่ะ แต่เดี๋ยวจะเข้าไปซื้ออาหารแมวในเซเว่นให้กินก่อนนะเพื่อแกหิว”  ใจดีจังวะ  มีน้ำใจซื้ออาหารให้แมวกินอีก  น่ารักแถมใจดีอย่างงี้  หัวใจพี่อันโทนิโอ้จะละลายตาม


    จีบ! แบบนี้ต้องจีบ!


    ครืดดดด  ครืดดดด


    สายจากม๊าเข้าพอดี  ผมเลยต้องรีบกดรับสายก่อนอย่างไว  ขืนรับช้าเกิน 3 ตื้ด คุณนายแกจะบ่นจนหูชาอีก  แต่เวลาผมโทรหานี่รอไปเถอะครับ  กว่าจะเดินไปหาโทรศัพท์กว่าจะยื่นโทรศัพท์ให้ไกลพอดีกับสายตา กว่าจะเล็งว่าชื่อใครโทรมา  กว่าจะกดรับได้  มาม่าแทบอืดอ่ะ  บ่นกลับไม่ได้ด้วยเพราะดันเกิดเป็นลูกเขา เหอๆ


    (เจอมาเรียฟิเซ่นรึยัง อันโทนิโอ้)


    “เจอแล้วม๊า  เห็นมันเดินอยู่เนี้ยจะเข้าไปจับล่ะ กำลังเดินตามตูดมันอยู่”  ระหว่างที่ผมตอบน้องคนน่ารักก็เดินผ่านหน้าผมไปเซ่เว่นที่อยู่อีกด้านนึงของถนนเข้าซอย   


    เห็นไกลๆก็ว่าน่ารักแล้ว  แต่พอเห็นใกล้ๆระยะ 4 เมตรแค่ถนนกั้นนี่ก็หัวใจแทบระเหยเพราะเจอความงดงามกระแทกสายตาแรงมาก   แมร่งงงงง  น่ารักเชี่ยๆ  แบบตัวสูงคือสูงกว่าผู้หญิงทั่วไปแต่ก็เตี้ยกว่าผมอยู่ดี  หุ่นดีไม่ผอมบางมีกล้ามเนื้อดูเป็นผู้หญิงเฮลตี้โคตรสเป็คเลยครับ ผิวขาวโอโม่มาก  โครงหน้าชัดคือออกแนวเหมือนลูกเสี้ยวฝรั่งอ่ะครับ ตาโต จมูกก็โด่ง ผมสีช็อคโกแลต แต่งตัวก็เรียบร้อยสมวัย  คือน้องเขาใส่เสื้อยืดสีดำคอกลมสกรีนลายตรงอกที่บ่งบอกถึงเสื้อแบรนด์ดังกับกางเกงยีนส์ขาห้าส่วน รองผ้าใบสีขาว  ดูเหมือนจะธรรมดา แต่รวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกินนนน   นี่ผมหันมองตามจนคอแทบล็อค...แต่เสียดายอย่าง   


    น้องเขานมแบนไปหน่อย


    (โหลๆ อาอันโทนิโอ้  ฟังม๊าอยู่หรือเปล่าห่ะ)


    “ห่ะ ฟังๆๆ ดิม๊า”


    (เออ รีบพามาเรียฟิเซ่นกลับมาไวๆ  ถ้าอีก 5 นาทียังไม่ถึงร้านไม่ต้องมากินข้าวเย็น เข้าใจไหม อันโทนิโอ้!)


    “รู้แล้วๆ อั๊วะจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละม๊า”   จบกันไอ้ที่คิดว่าจะรอน้องเขาซื้อเสร็จแล้วจะไปแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของนังเซ่นไหว้  จากนั้นก็กะจะขอไลน์เอาไว้ติดต่อส่งรูปนังเซ่นไหว้ให้น้องเขาดูซะหน่อยเพราะดูเหมือนว่าจะชอบนังเซ่นไหว้มาก  หึ่ยยยยย  ม๊านะม๊าทำอั๊วะเสียแผนหาแฟนหมด  นานๆจะเจอคนที่ถูกใจแบบนี้!



    สุดท้ายวันนั้นผมก็ทำได้แค่เข้าไปอุ้มนังเซ่นไหว้แล้วรีบวิ่งกลับร้านให้ทันเวลาตามที่ม๊ากำหนด


    น้องตัวขาวจ๋า  ถ้าเรามีบุญวาสนาต่อกันขอให้ได้เจอกันอีกนะจ๊ะ  รับรองคราวหน้าพี่จะจีบน้องมาเป็นแฟนให้ได้   พี่สาบาน!


หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 13-01-2018 11:19:12

“เป็นอะไรของลื้ออีกล่ะ อาโทนี่ ทำหน้าบูดเป็นตูดคิงคองอยู่นั่นรีบๆกินสิวะ เดี๋ยวหายร้อนหมดจะกินไม่อร่อย”  ป๊าผมดุเข้าให้เมื่อผมนั่งเอาแต่นั่งใจลอยใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวไปถ้วยไปมาเพราะใจยังเอาแต่นึกถึงน้องตัวขาวคนนั้นมาตั้งแต่เมื่อวาน


    “เซ็งอ่ะดิป๊า  อุตส่าห์เจอสาวถูกสเป็คทั้งที  กะจะเข้าไปจีบซะหน่อยม๊าดันสั่งให้อั๊วะรีบกลับบ้าน  อดขอเบอร์น้องเขาไว้เลย เซ็ง!”


    “อะไรกัน อาอันโทนิโอ้ ยังไม่ทันขึ้นมหาวิทยาลัย ลื้อริอาจจะแฟนแล้วรึ แก่แดดจริงๆไอ้ลูกคนนี้นิ  อาตี๋ อาหมวย พวกลื้อห้ามทำตัวแก่แดดแบบพี่ลื้อเด็ดขาดน่า  ไม่งั้นอั๊วะจะตัดออกจากกองมรดกจริงๆด้วย”   ม๊าบ่นแล้วก็ขู่เหล่าน้องชายน้องสาวของผมด้วยคำขู่เดิมๆตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน  แต่ถึงจะซ้ำซากยังไงมันก็ทำให้พวกเรากลัวอยู่ดี   แหม  มีใครไม่กลัวอดตายกันบ้างล่ะครับ  น้องสาวผมอาหลิงที่อยู่ชั้นม.3 โรงเรียนหญิงล้วนก็ได้แต่พยักหน้ารับไปตามระเบียบ  ส่วนอาฟู่ฟู่ ลูกหลงคนสุดท้องที่อยู่แค่ชั้นอนุบาล 1 ก็ได้แต่มองงงๆพร้อมกับกัดน่องไก่เข้าปากไปอย่างไม่รู้เรื่อง


    อย่าแปลกใจนะครับว่าทำไมน้องผมชื่อโคตรจีนต่างจากผมสุดๆ  เพราะว่าตอนมีน้องคนที่ 2 ป๊าก็บอกว่าคราวนี้ต้องให้ป๊าเป็นคนตั้งบ้างไม่งั้นป๊าไม่ยอม  แล้วป๊าผมก็ชอบหลินจือหลิงมากกกก  สาวในอุดมคติป๊าประมาณนั้นเลยตั้งชื่อว่า จือหลิง แล้วก็ให้ม๊ามองรูปหลินจือหลิงทุกวันเช่นกันไม่ให้น้อยหน้า  การมีลูกชายคนหญิงคนก็ถือว่าสมบูรณ์สุดๆแล้ว  แต่ป๊าดันยังมีน้ำยาที่คาดว่าน่าจะหยดสุดท้ายแล้วจริงๆ ม๊าเลยมาตั้งท้องอีกตอนผมอยู่ ม.2 คราวนี้อาม่าเลยเอามั้งขอเป็นคนตั้งชื่อหลานคนที่ 3 เอง แล้วอาม่าก็มีพระเอกในดวงใจคือ ฟู่เซิง เลยตั้งให้เป็นชื่อจริง ส่วนชื่อเล่นให้เรียกว่าฟู่ฟู่  เพราะฟู่ในภาษาจีนแปลว่าร่ำรวยครับ เรียกฟู่ฟู่จะได้รวยๆๆดับเบิ้ลรวยไปอีกตามเคล็ดที่อาม่ามโนเอาเอง  เหอๆๆ  นี่ถ้าอาม่าเอาชื่อดาราตลกที่ชอบแบบ เด๋อ ดอกกระถิน  ปานนี้ผมคงมีน้องชื่อ เด๋อเด๋อ เด๋อดั้งเดอะ เด๋อดั้งเดอะ เด๋อเด๋อดั้งเดอะเดอะ  ไปแล้วล่ะครับ - -


    “แต่เขาน่ารักมากเลยนะม๊า  มันแบบถูกใจใช่เลยมากอ่ะ  อั๊วะชอบเขามากจริงๆ”


    “ชอบมากแค่ไหน ม๊าก็ไม่ให้ลื้อมีแฟน ลื้อต้องเรียนให้จบก่อน เกิดไปมีแฟนแล้วทำเขาท้องขึ้นมา ลื้อจะมีปัญหาไปทำงานอะไรมาเลี้ยงลูกลื้อห่ะ อาอันโทนิโอ้” ม๊าบ่นไปก็ใช้ตะเกียบซุยข้าวเข้าปากไปอย่างไม่ให้ต้องเสียเวลามาด่าผมอย่างเดียว  เพราะต้องรีบไปเปิดร้าน


    “ยากอะไร  ก็ขโมยทองในร้านไปขายสัก 100 เส้นอั๊วะก็มีตังค์ล่ะ”   ไงล่ะไอเดียผมโคตรบรรเจิด  ของๆแม่ก็เหมือนของๆลูกนั่นแหละเนอะ


    “ป๊า  ดูลูกลื้อสิดูความคิดสั่วๆของมันได้มาจากใครกันห่ะ  นี่ป๊าสอนลูกป๊ายังไงห๊า”   


    “ตบปากตัวเอง 3 ทีแรงๆเดี๋ยวเลยนะอาโทนี่  พูดจาไม่เป็นมงคลจริงๆ เร็ว!”  ป๊าหันมาด่าบ่นอีกคน ผมก็เลยต้องทำตามตบปากตัวเองไป 3 ที เซ็งๆๆๆ ทำไมความรักของวัยหนุ่มสาวต้องถูกสกัดตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นด้วยวะ  วัยรุ่นเซ็ง  แล้วเหมือนนังเซ่นไหว้จะเซ็งตามเหมือนกันเลยมาถูๆขาผมก่อนจะนอนหมอบอยู่ข้างๆเท้า


    ตอนนี้ก็คงเหลือแต่มันที่ดูจะเข้าใจผมสุด  ผมเลยอุ้มมันขึ้นมากอดไว้ก่อนจะระบายสารทุกข์สุกดิบกับมันเพียงตัวเดียวกลางวงโต๊ะอาหาร


    “เอ็งก็เซ็งเหมือนอั๊วะใช่ไหมนังเซ่นไหว้  นานๆจะเจอคนที่ใจดีกับเอ็ง  นั่งให้กำลังใจเอ็งตอนอึ แถมเก็บอึเอ็งไปทิ้งถังขยะอย่างไม่รังเกียจอีก  นี่ถ้าม๊าไม่รีบตามนะเอ็งคงได้กินอาหารเม็ดที่น้องเขากำลังเดินเข้าไปซื้อให้เอ็งแล้วล่ะเซ่นไหว้เอ่ย   วาสนาเอ็งมันน้อยพอๆกับข้าเลยว่ะ  ว่าไหมหึ?”  ผมพูดเสียงเศร้าๆถูตัวนังเซ่นไหว้อย่างน้อยใจในโชคตะชาซะเหลือเกิน   นังเซ่นไหว้ก็โคตรรู้งานทำหูลู่ตาละห้อยและปล่อยตัวซบไปกับแขนผมอย่างหมดอาลัยตายอยาก   คือบอกเลยว่าถ้าอาเฉลิม ภัคดีวิจัย มาเห็นการแสดงขั้นเทพของนังเซ่นไหว้ ต้องเอามันไปเป็นนักแสดงแน่นอน ไอ้อันโทนิโอ้คอนเฟิร์มมมม


    “ไม่รู้ชาตินี้จะได้เจอคนแบบนั้นอีกหรือเปล่าเนอะ เซ่นไหว้เนอะ”  ผมยังคงตีบทเศร้าเคร้าขนแมวเอาหน้าไปซบกับหัวนังเซ่นไหว้แบบคนที่เข้าอกเข้าใจกันซะเหลือเกิน


    “แง๊ววว”  นังเซ่นไหว้ก็ส่งเสียงเศร้ากลับมาเช่นกัน  อุ๊ว่ะ! ทำไมมึงรู้งานแบบนี้วะ เอาออสก้าไปเลยเถอะถ้าจะแอคติ้งดีขนาดนี้


    “โถ  มาเรียฟิเซ่น  อย่าทำตัวเหมือนหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ซี้  มาม๊าใจจะสลายตามไปด้วยเลยนะรู้ไหม”  ถ้าอยากรู้ว่าม๊าเสียใจแค่ไหนก็คิดตามนะครับ  ม๊ารีบวางตะเกียบที่กำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยลุกมาหานังเซ่นไหว้ทันทีก่อนจะทำหน้าใจสลายตามทั้งพูดปลอบทั้งเอามือลูบหัวพรมจูบไปทั่วหน้านังเซ่นไหว้


    ถามว่าเคยทำแบบนี้กับลูกแท้ๆตัวเองไม๊?


    ตอบเลยว่า ไม่เคยยยยยยย สักครั้งเดียวก็ไม่เคย  โถถังชีวิตลูกชายคนโตที่น่าจะเป็นที่รักที่สุดของบ้านครอบครัวจีนแต่ดันแพ้นังแมวแสบที่เก็บมาเลี้ยงราบคาบ -*-


    “แง๊วว”  นังเซ่นไหว้ก็ยังทำไม่หือไม่อื้อกับม๊าแถมเอาหน้าซุกหนีเข้าหาตัวผมเหมือนจะหลบหน้าม๊าแบบน้อยใจเต็มที่ เซ่นไหว้ยังไม่พร้อมจะมองหน้าคนใจร้ายที่แยกคนน่ารักไปจากเซ่นไหว้ได้ประมาณนั้น...แล้วนี้กูกลายเป็นเครื่องแปลภาษาแมวไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี้ยะ


    “มาเรียฟิเซ่น อย่าหลบหน้าม๊าแบบนี้ซิ ม๊าใจจะขาดแล้วน้า  หันมาให้ม๊าเห็นหน้าหน่อย”  ม๊าเบ้ปากตาแดงอย่างสุดจะกลั้นน้ำตาริมฝีปากสั่นระริกๆ10ริกเตอร์  พลางจีบนิ้วไปดึงผ้าเช็ดหน้าผืนโปรดมาสะบัดสองสามทีก่อนจะค่อยๆเอาไปซับน้ำตาเบาๆเหมือนนางเอกงิ้วก็ไม่ปาน...เอ่อ  ตอนสมัยอาม่ายังสาว ม๊ายังเป็นเด็กเคยเปิดคณะละครงิ้วมาก่อนจะเปิดร้านทองน่ะครับ  เลยแสดงเก่งกันทั้งบ้านแบบเชื้อไม่ทิ้งแถว แม้แต่แมวก็ยังซึมซับไปด้วย


    แต่นังเซ่นไหว้ก็ยังไม่ตอบแถมเล่นใหญ่ดิ้นหลบไม่ให้ม๊าจับตัวอีก  มึงสุดยอดมากเซ่นไหว้เอ๋ย เดี๋ยวอั๊วะจะซื้อกัญชาแมวมาให้ซัก 10 ต้นเลยถ้า...


    “ก็ได้ๆ ม๊ายอมลื้อแล้วมาเรียฟิเซ่น  ถ้าแกชอบเขามากม๊าก็จะตามใจแกจะชอบเขาเหมือนที่มาเรียฟิเซ่นชอบก็ได้  ม๊าไม่ขัดขวางอาอันโทนิโอ้กับเขาแล้วล่ะ  หันหน้ามาหาม๊าหน่อยนะ ลูกรักของม๊า”  ไชโยยยยย  สำเร็จแล้วเฟร้ยยย  ผมดีใจจนแทบจะโยนนังเซ่นไหว้ขึ้นไปติดเพดาน  ถ้าไม่ติดว่าม๊าอยู่ใกล้ๆละก็นะ  เอิ๊กๆๆ  บอกเลยว่าฉายานังเซ่นไหว้ ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเล่นๆ 555+  บนอะไรนังเซ่นไหว้ประทานให้ได้จริงๆ ผมพิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว


    นังเซ่นไหว้หลังจากได้ยินก็โผล่หน้ามามองแบบ ม๊าพูดจริงหรอ ม๊าไม่ได้โกหกหนูใช่ไหม พูดแล้วห้ามคืนคำนะม๊า  ไม่งั้นหนูจะเสียใจมากๆถ้าม๊าโกหกอะไรงี๊     เออผมก็บ้าคิดแทนแมวเนอะ  มันอาจจะแค่มองเฉยๆก็ได้


    “ม๊าพูดจริงๆ มาเรียฟิเซ่น ม๊าไม่โกหกหนูหรอก  อาอันโทนิโอ้ถ้าลื้อเจอน้องเขาอีก  ลื้อลุยหน้าจีบได้เลยนะเต็มที่ ม๊าอนุญาต  เห็นไหมมาเรียฟิเซ่น ม๊าอนุญาตให้อาอันโทนิโอ้ไปจีบเขามาเป็นแฟนแล้ว  หนูพอใจหรือยัง ห๊า”  ป๊าดดด  ม๊าก็แปลภาษาแมวเหมือนกับผมเลยแห๊ะ  นึกว่าผมจะบ้าคิดไปเองคนเดียวซะอีก  แต่เรื่องนั้นช่างมัน  เพราะตอนนี้ผมโคตรรรรรรอารมณ์ดี ^^


    “ถ้าลื้อหายงอนก็มาให้ม๊าอุ้มเร็ว มาเรียฟิเซ่น มามะ”  แล้วนังแมวแสบก็กระโดดออกจากตัวผมไปสู่อ้อมกอดของแม่กาอย่างม๊าทันที  ผมก็ปล่อยให้นังเซ่นไหว้กับม๊าออดอ้อนกันไป แล้วลงมือกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย  คนกำลังมีความรักก็งี้แหละครับ  กินอะไรก็อร่อยไปซะหมด อยากกินไปซะทุกอย่าง


    “เฮ้ย ตี๋เล็ก น่องนี้อั๊วะขอนะ เป็นน้องต้องเสียสละให้พี่รู้เปล่า”  ผมพูดแล้วฉกน่องไก่ที่ถูกฟู่ฟู่กัดไปแล้วหนึ่งคำมากินต่ออย่างไม่รังเกียจ


    ผั๊วะ!


    แต่ยังไม่ทันได้กลืนก็ถูกป๊าโบกเข้าที่กะโหลกอย่างจัง


    “เอาคืนอาฟู่เดี๋ยวนี้ ไอ้โทนี่!”  ป๊าดุเสียงดังก่อนจะกระชากน่องไก่ออกจากมือผมเอาไปให้อาฟู่ที่กำลังเบ้ปากเตรียมบรรเลงเสียงโอเปล่าลั่นบ้านแน่นอน  ถ้าไม่ถูกป๊าเอาน่องไก่ยัดปากคืนซะก่อน  โด่ว  อดชมการแสดงลูกคอ 10 ชั้นของอาฟู่เลย


    “อั๊วะต้องกินเยอะๆจะได้มีแรงไปจีบสาวนะป๊า ฟู่ฟู่มันยังเด็กจะให้กินอะไรเยอะแยะ โถ”


    “ถ้ายังไม่หุบปากเดี๋ยวโดนฝ่ามือพิฆาตอีกแน่นอน  ลองไหมห่ะ” 



    สุดท้ายผมก็เลยต้องหุบปากไปกินอย่างอื่นแทน  พลางนึกถึงน้องตัวขาวไปว่าจะจีบยังไงดี ... สงสัยว่าต้องเอานังเซ่นไหว้ไปล่อแล้วนะ หึหึหึ













    แต่วันแล้ววันเล่าผมก็ไม่เคยเจอน้องเขาอีกเลย  ไปยืนคอยที่ทางเข้าซอยตั้งแต่เช้าก็แล้ว   ยืนตากฝน ตากแดดรอก็แล้ว   อุ้มนังเซ่นไหว้กวักเรียกก็แล้ว ทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ผมก็ชักทำใจว่าเราคงไม่ใช่เนื้อคู่กันจริงๆ  คงเกิดมาแค่ได้พบแต่ไม่มีบุญได้คบกันต่อ  เฮ้ออออ  อันโทนิโอ้โตรเซ็ง  เลยพากันหงอยทั้งคนทั้งแมว...


    แต่ก็เหงาได้ไม่นานหรอกครับ  เพราะไม่กี่วันต่อมาผมก็ไปรายงานตัวเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง  เห็นเรียนจบเทคนิคแบบนี้ผมก็สามารถเข้าคณะวิศวะได้นะคร้าบ  แบบว่าบุญเก่ายังพอมี  คือผมเคยไปแข่งหุ่นยนต์ได้รางวัลชนะเลิศมา 3 ครั้งครับตอนเรียนอยู่เทคนิค  ผลงานเลยเข้าตาอยู่บ้าง พอมีโควตาเข้ามาผมเลยได้รับเลือกให้เข้าเรียน แบบว่าเกรดเฉลี่ยมันพอดีเป๊ะๆกับเกณฑ์ที่เขากำหนดน่ะครับ   ไม่ใช่ว่าผมเรียนเก่งอะไรหรอกนะแต่อาจารย์ที่นี่เพื่อนพ่อผมทั้งนั้นเลยเกเรมากไม่ได้เดี๋ยวโดนฟ้อง  อย่างน้อยก็คือต้องมีงานส่งครบทุกวิชา โดดเรียนไม่เกิน 3 ครั้งตามที่เขากำหนดน่ะครับเลยพอรอดตัวมาได้


    หลังจากรายงานตัวเสร็จ ถ่ายบัตรนักศึกษาลงฐานข้อมูลมหาวิทยาลัย รับใบกำหนดการรับน้องและกำหนดการบลาๆๆ เสร็จ ผมก็เดินตัวปลิวออกมาหาซื้อน้ำแดงแฟนต้ากินให้ชื่นใจ   พลางกวาดสายตามองอาหารตาที่เดินผ่านไปมาให้กระชุ่มหัวใจเล่นๆ  มหาวิทยาลัยนี้มีแต่คนสวยๆสมคำล่ำลือจริงๆให้ตายเถอะ  บางคนนี่นึกว่าหลุดออกมาจากนิตยสาร สวยเกิ๊น  ผมล่ะนึกถึงไอ้พวกเพื่อนผมที่บอกไว้ว่า 


    ‘ถ้ามึงเข้ามอนั้นได้  มึงต้องจีบหลีดมอมึงมาอวดพวกกูให้ได้นะโว๊ย’


    แหม่ะ  แค่คิดภาพผมได้ควงสาวมหาวิทยาลัยนี้ก็ยืดอกโชว์ได้แล้วล่ะ  ไม่ต้องถึงกับเป็นหลีดหรอก  อีกไม่กี่วัน  กระผมอันโทนิโอ้  ก็จะได้เป็นเด็กปี 1 แล้วโว๊ยยยยยยยยยยยย  เฟรชชี่อ่ะเฟรชชี่ โฮะๆๆๆ





    “พี่ค่ะ  โทษนะคะ ตึกรายงานตัวนักศึกษาใหม่ไปทางไหนอะคะ”


    “....”  เขาไม่ได้คุยกับผมใช่ไหมวะ  เพราะผมก็ปี 1 เหมือนกันนา  ใส่ชุดเครื่องแบบนักศึกษามาเต็มยศด้วย









มีต่อ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 13-01-2018 11:20:34





จึก จึก


    “พี่  ตอบหน่อยเถอะคะ  หนูกลัวจะไม่ทันเวลา”   ชัดๆ เต็มๆ สะกิดแขนผมขนาดนี้แล้ว  ผมเองเลยได้แต่กล้ำกลืนน้ำแฟนต้าปนความเจ็บช้ำที่ถูกมองว่าเป็นรุ่นพี่ตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียน กลืนเอื้อกๆเข้าไปแล้วหันไปตามน้องแว่น


    “เดี๋ยวเดินตรงไปตามทางแล้วเลี้ยวซ้ายตรงตึกหน้านะครับ  จะเห็นนักศึกษาเยอะๆออกันอยู่หน้าตึก ตึกนั้นแหละครับ” 


    “ขอบคุณมากเลยค่ะพี่  งั้นหนูไปแล้วนะคะ”  เธอโบกมือบ๊ายบายก่อนจะรีบจ้ำเดินไป


    ก็แค่ผู้หญิงสายตาไม่ดีล่ะหว๊า  เขาใส่แว่นหนาขนาดนั้นอาจจะมองเราแก่กว่าความเป็นจริงไปก็ได้  อย่าสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปสิเว้ย!



    โอ๊ะ  มีผู้หญิงกำลังเข็นลังอะไรซักอย่างหลายลังมาบนรถเข็นแน่ะ  ตัวก็เล็กนิดเดียว  ผมที่เป็นลูกผู้ชายเต็มตัวเลยเดินเข้าไปอาสาช่วยเข็นให้


    “มาครับเดี๋ยวผมช่วยเอง”  ผมบอกเธอ  เธอก็หันมามองงงๆแต่ก็ส่งยิ้มให้อย่างขอบคุณ


    เนี๊ยะ  หน้าตาหล่อแล้วยังชอบทำตัวหล่ออีกอ่ะผม  เฮ้อเพอร์เฟ็คอะไรเช่นนี้ว่ะคนเรา *_*


    “เดินนำทางเลยครับ  ผมเข็นคนเดียวสบายมาก”  คิดจะแมนก็ต้องแมนให้สุดฟิตกล้ามมาเพื่ออวดสาวโดนเฉพาะเลยนะจะบอกให้


    เธอก็ยิ้มนิดแบบคงจะเขิลไรงี้  เดินนำหน้าผมไป เหงื่อยังไม่ทันเปียกก็ถึงหน้าคณะเศรษฐศาสตร์


    “เข็นไว้ตรงนี้แหละคะ”  เธอบอกเสียงหวาน


    “ได้เลยครับผม” ผมก็จัดการจอดตรงตามตำแหน่งที่เธอบอก  เสร็จแล้วก็ส่งยิ้มที่คิดว่าที่สุดไปให้เธอ


    “ขอบคุณมากๆนะคะรุ่นพี่  ใจดีมากเลยอุตส่าห์เข็นมาให้ตั้งไกล  พี่แข็งแรงมากอ่ะ พี่เรียนคณะไหนหรอคะ  วันนี้ก็มาเปิดซุ่มต้อนรับน้องปี 1 เหมือนกันใช่ม้า  สนุกดีเนอะมีแต่เด็กหน้าใสๆกันทั้งนั้นเลย”   เธอเอ่ยชวนคุยเจื้อยแจ้วอย่างเป็นธรรมชาติ  ผมคงเกือบจะตกหลุมรักเธอแล้วล่ะครับ  ถ้าเธอไม่คิดว่าผมเป็นรุ่นพี่  แถมป้ายที่ห้อยอยู่บนตัวเธอน่ะ....เขียนคำว่า  พี่มิกิปี 3 !!!!


    แม่งเอ๊ยยยยยย  ให้มันได้แบบนี้สิว่ะ



    นี่หน้าผมมันแก่ขนาดนั้นเลยหรอถึงขนาดพี่ปี 3 คิดว่าผมเป็นรุ่นพี่ โอ้มายก๊อดดดดด  อันโทนิโอ้รับความจริงม่ายล่ายยยย T_T



    ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆแล้วบอกไปว่า “ผมมารายงานตัวนักศึกษาใหม่น่ะครับ”  --


   
    “อ..อ้าว...น้องปี 1 หรอเนี้ย  โหตัวใหญ่จังเนอะ แหะๆ 555..5...5” พี่เขาก็ทำเป็นหัวเรอะแก้เก้อไป  ผมเลยรีบขอตัวกลับดีกว่า






    โถ่เว้ยยย  อะไรวะ แต่เล่นกล้าม  ผิวสีแทน  หน้ามีรอยบากแค่นี้มันทำให้ดูแก่ก่อนวัยขนาดนั้นเลยหรอวะเนี้ย   สาวๆสมัยนี้เขาชอบแบบตี๋ขาวแนวเกาหลี จีน ญี่ปุ่น ใช่ไหมวะ....หรือผมจะกลับไปปล่อยให้ตัวเองขาวเหมือนเดิมดี   แต่กว่าจะได้ผิวสีแทนมาก็ลำบากมากนะกว่าจะได้เพราะช่วงแรกๆมันชอบลอกออกหมดพอเจอแดดแรงๆ  ฮึ่ยยย  แล้วงี้ผมจะหาแฟนไปอวดพวกเพื่อนได้ไหมวะเนี้ย


    ขณะเกาหัวอย่างคิดไม่ตกว่าจะกลับไปตัวขาวเหมือนเดิมดีหรือจะผิวแทนๆแบบนี้ต่อไป  หางตาผมก็เหมือนเห็นแสงออร่าอะไรบางอย่างพุ่งเข้าจนต้องเหลือบไปมอง




    น้องตัวขาว!!!!!




    น้องตัวขาวตัวเป็นๆที่อยู่ในชุดนักศึกษาแบบเดียวกับผมกำลังก้มหน้าและเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า 


    เหยดดดดดด  อย่าบอกนะว่าเรียนมอเดียวกัน  อ๊ากกกกกกกก  พรหมลิขิตชัดๆ



    ผมเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งตามให้ทัน  พลางคิดแผนการไปว่าจะไปทำความรู้จักยังไงดี  เดินชนดีไหมแต่ก็กลัวจะทำให้เขาล้มจนได้รับบาดเจ็บอีก  เอาไงวะๆๆๆๆ....แล้วอยู่ๆน้องตัวขาวที่เดินไวมากก็หยุดเอาดื้อๆจนผมก็เผลอหยุดตามไปด้วย



    น้องเขารู้ว่าผมเดินตามหรอวะ  งั้นหลบเข้าหลังเสาก่อนล่ะกัน



    หลบเสร็จก็รีบชะเง้อหน้าออกมาดู  ก็เห็นน้องตัวขาวค่อยๆยกขาสูงแล้วก้าวยาวมากๆไปข้างหน้าในก้าวเดียวก่อนจะยืนตรงและหันมามองที่พื้นนิดนึง  น้องเขายิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะหันไปเร่งฝีเท้าเดินต่อไปอีก   สงสารจะมีน้ำเลอะตรงนั้นล่ะมั้ง   


    พอน้องตัวขาวเดินไปผมก็รีบเดินมาตรงจุดนั้นว่ามันเปื้อนอะไร  และสิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้เผลอหลุดยิ้ม...



    ฝูงมดครับ......ฝูงมดเดียดที่กำลังเดินกันเป็นแถวยาวเพื่อไปขนเศษขนมแคร๊กเกอร์ที่ร่วงบนพื้นอย่างแข็งขัน   โถถัง  แม้แต่สัตว์ที่ตัวเล็กระจิดริ๊ดน้องตัวขาวก็ยังใส่ใจไม่ยอมเดินเหยียบ  โคตรน่าร๊ากกกกกกกก>///< ตกหลุมรักเข้าอีกแล้วอ่ะครับ   แม่ของลูกสุดๆ



    แต่พอนึกขึ้นได้ว่าผมกำลังจะตามจีบน้องเขาอยู่นิหว่าก็รีบเงยหน้าหา  แล้วก็เห็นว่าน้องเขากำลังเปิดประตูขึ้นรถเก๋งแล้วขับออกไปแล้ว    ชวดโอกาสทำความรู้จักกันอีกแล้ว  อันโทนิโอ้โคตรเซ็ง!!!



    แต่ไม่เป็นไรหรอกเว้ย  ยังไงก็เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน  คงได้เจอกันอีก  เพราะถึงจะเห็นไกลๆแต่ผมก็จำได้ว่าเป็นชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันแน่นอนเพราะเสื้อก็แขนยาวเหมือนกัน   เนคไทน์ก็สีเดียวกัน  กางเกงก็สีเดียวกัน.....เดี๋ยวนะ


    เสื้อแขนยาวหรอ?


    เนคไทน์หรอ?


    กางเกง...หร๊อออออ????????



    ไอ้เชี่ย  น้องเขาเป็นผู้ชายหรอวะ!!!!!!!!









    “เป็นอะไรอีกล่ะห่ะ  อาอันโทนิโอ้  ทำหน้าเหมือนหมาโดนเจ้าของเอาไปปล่อยป่าไปได้  วันนี้ไปรายงานตัวเป็นนักศึกษาแล้วแท้ๆแทนที่จะยิ้มดีใจเหมือนคนอื่นเขา  ไอ้ลูกคนนี้นิ”  ม๊าบ่นพลางซุยข้าวเข้าปากเหมือนเดิม  ไม่รู้จะรีบกินไปไหนทั้งที่ร้านก็ปิดแล้วแท้ๆ


    “นั่นสิๆ  แล้วเป็นไง  สาวๆมหา’ลัยสวยไหมว๊า อาอันโทนิโอ้”  อาม่าเอ่ยปากถามอีกคน  มือก็ตักข้าวผสมน้ำซุปป้อนอาฟู่ฟู่ไปด้วย


    “ก็สวยอ่ะอาม่า...”  สวยแต่ไม่ใช่ผู้หญิง

    ผมตอบแล้วเขี่ยข้าวไปมาอย่างเซ็งๆ  นึกแล้วก็เสียดาย  อุตส่าห์พร่ำเพ้อถึงมาเป็นเดือน  นางในฝันกลายเป็นผู้ชายเหมือนผมไปได้ซะนิ  โคตรเศร้า


    “อ้าว  แล้วเจอคนสวยๆทำไมไม่ดีใจว๊า  หรือพวกนั้นสวยสู้ม๊าไม่ได้ใช่ไหม โฮ๊ะๆๆๆๆ”  -*-  ผมได้แต่เหล่ตามองม๊าที่หัวเราะร่วนกับการชมตัวเองจนข้าวที่กินอยู่ในปากกระเด็นไปอยู่ในถ้วยป๊า  ป๊าเองก็คงเห็นเลยได้แต่ค้างมือที่กำลังจะคีบข้าวมากินไว้กลางอากาศ  ก่อนจะวางลงบนถ้วย  แล้วยกแก้วน้ำดื่มแทน


    “เปล่าหรอกม๊า...อั๊วะแค่เซ็งๆอ่ะ  ม๊าจำน้องตัวขาวที่อั๊วะเคยเล่าให้ฟังได้ไหมที่เก็บอึนังเซ่นไหว้ไปทิ้งอ่ะ”   ผมเอ่ยปากเล่าอย่างอดไม่ได้   ปกติบ้านผมมีอะไรก็พูดกันตรงๆอยู่แล้วอ่ะครับ  ป๊าเคยบอกว่ามีอะไรก็พูดก็บ่นกับคนในบ้านพอ  ดีกว่าเอาไปบ่นไปเล่าให้คนนอกฟัง  นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรแล้วอาจจะเอาเรื่องของเราไปเล่าสนุกปากต่อก็ได้  เพราะงั้นบ้านเราเลยมักจะบ่นจะเล่าปัญหากับคนในครอบครัวมากกว่าไปปรึกษาเพื่อนน่ะครับ



    “อ๋อ  จำได้ๆสิ  ทำไมเจอน้องเขาที่มอหรอ”


    ผมไม่ตอบแต่พยักหน้า   นังเซ่นไหว้ก็สะบัดหางใหญ่เหมือนรับรู้


    “อ้าวก็ดีแล้วนี่หว่า  แล้วลื้อจะทำหน้าเซ็งทำมะนาวดองอะไรว๊า  รีบๆไปจีบน้องเขาซะสิ  มาเรียฟิเซ่นคงอยากเจอจะแย่แล้วใช่ไหมลูก”  ม๊าพูดเสียงหวานท้ายประโยค  นังเซ่นไหว้ก็รีบไปคลอเคลียที่ขาอย่างเอาใจ



    “มันไม่ง่ายอย่างงั้นสิม๊า.....น้องเขา.....เป็นผู้ชาย!”   พอได้พูดความในใจไปผมก็แทบจะปล่อยโฮด้วยความเสียดาย  ทั้งๆที่ตรงสเป็คทุกอย่างแท้ๆ  ทำไมต้องเป็นผู้ชายด้วยยยย


    “เป็นผู้ชายหรอเฮีย”  อาหลิงที่นั่งกินข้าวไปกดโทรศัพท์อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นไปรีบเงยหน้ามาถาม ทั้งที่เงียบมาตลอด


    “เอออ่ะดิ  เฮียโคตรเซ็ง เห็นตอนแรกคิดว่าเป็นผู้หญิงสายเฮลตี้แท้ๆ”


    “ว้าววว  แสดงว่าเขาต้องเป็นผู้ชายหน้าสวยมากๆเลยใช่ไหมเฮีย” ><   ทำไมน้ำเสียงอาหลิงมันตื่นเต้นจังวะ


    “เออ  แต่สวยแค่ไหนก็ผู้ชายเหมือนกับเฮียป่ะล่ะ  ถึงจะชอบมากแค่ไหน เฮียก็ขอบายว่ะ  คงต้องจบความรักครั้งแรกไว้แค่ตรงนี้แล้วล่ะ” Q_Q


    โป๊ก!


    “โอ๊ย  ม๊าอ่ะ  เขวี้ยงแตงกว่าใส่อั๊วะทำไมเนี้ย  มันเจ็บนะ!”  ก็ม๊าเล่นเขวี้ยงแตงกวามาทั้งลูกโดนกลางหน้าผากเต็มๆ


    “อั๊วะแค่อยากวัดดูว่าเสียงมันจะดังไหม  แล้วก็ดังจริงๆแสดงว่าสมองลื้อเนี่ยมันกลวงไงถึงได้คิดอะไรโง่ๆแบบนั้น  นี่ป๊าเลี้ยงลูกยังไงห่ะถึงได้โง๊โง่แบบนี้”  ม๊าหันไปแว๊ดใส่ป๊าที่นั่งกอดอกฟังอยู่เฉยๆ  แต่พอโดนม๊าแว๊ดใส่ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆอารมณ์แบบ  โทษกูตล๊อดดด เรื่องลูกโง่เนี่ย



    “อั๊วะไม่ได้โง่สักหน่อย  ก็เขาเป็นผู้ชาย  อั๊วะเป็นผู้ชายจะคบกันได้ไงเล่า  ฟ้าได้ผ่าพอดี  สังคมไม่ยอมรับอีกตะหาก  นี่อั๊วะคิดการณ์ไกลหรอกถึงเลือกจะหยุดมันไว้แค่นี้”  ผมเถียงอย่างไม่ยอมแพ้


    “โห เฮีย  เดี๋ยวนี้สังคมเขายอมรับกันมากขึ้นแล้ว  เดี๋ยวนี้มีคู่รักที่เป็นเพศเดียวกันตั้งเยอะ  บางคู่ถึงขั้นแต่งงานกันด้วยนะเฮีย  น่ารักมากอ่ะ  ความรักก็คือความรัก ไม่ว่าจะเพศไหนก็สามารถมีความรักดีๆได้ทั้งนั่นแหละเฮีย”   อาหลิงพูดพร้อมทำหน้าเคลิ้ม  สาบานว่าผมเห็นตาของน้องผมเป็นรูปหัวใจเลยด้วยซ้ำ  อะไรจะขนาดนั้น



    “เห็นไหม  อาหลิงเขายังฉลาดกว่าลื้ออีก  โลกเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว  ลื้อยังเอาแต่มุดหัวอยู่ในกะลาอีกหรอว๊า  จะคบเพศเดียวกันม๊าก็ไม่ว่าหรอก  ม๊าเป็นผู้หญิงทันสมัย ขอแค่เลือกคนดีๆเอาที่เข้ากับครอบครัวเราได้ก็พอ อย่าเป็นคนเลว ทำเรื่องเลวๆให้ต้องเสียความรู้สึกแค่นั้นม๊าก็พอใจแล้ว”  ม๊าพูดเล่นเอาผมเกือบจะซึ้ง  ถ้าไม่เห็นว่าม๊าพูดไปดูดหัวปลาไปอย่างเอร็ดอร่อย


    “แล้วอีกอย่างนะ   ม๊าบอกมาเรียฟิเซ่นไว้แล้วว่าลื้อจะพาน้องเขามาเจออีก   ลื้อก็ต้องทำตามที่พูดให้ได้นะเห้ย  อย่าให้ม๊าต้องเสียคำพูด  เข้าใจไหมห๊า”


    สุดท้ายที่พูดดีมาทั้งหมดก็เพราะจะเอาใจแมวสินะ!  ปั๊ดโถ่



    “สู้ๆเฮีย   หลิงเชียร์เต็มที่”  ^^



    “จู้ จู้”  อาฟู่ฟู่ก็เอากับเขาด้วยถึงแม้จะพูดไม่ค่อยชัด  แถมยังชูมาตั้ง 4 นิ้ว แบบว่าทำ 2 นิ้วยังไม่ได้  เห็นความพยายามล่ะเอ็นดูเหลือเกิน   เหม่งน้อยของเฮีย  ว่าแล้วก็ก้มลงไปจุ๊บหัวโล้นๆอย่างหมั่นเขี้ยว 1 ที





    ถ้าคนในบ้านสนับสนุนขนาดนี้  ผมเองก็ควรจะลองจีบสักตั้งสิวะ!!!!





โปรดติดตาม ตอนต่อไป :3123:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 13-01-2018 13:36:35
ครอบครัวอันน่ารักนะ ตลกดี 55555
พล็อตน่าสนใจดีนะ นึกถึงตอนอันเปลี่ยนตัวเองก็ขำละ 55555
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: skykick ที่ 13-01-2018 13:52:00

 น่ารัก^^ :3123:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-01-2018 14:18:39
พระเอกมาแนวตลกดี น้องสาวก็สาวกนิยายY อยากรู้ตอนต่อไปแล้วสิ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-01-2018 15:37:27
บ้านนี้ต้องได้ออสการ์ ฮา
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 13-01-2018 17:23:15
น่ารักกกก55555 ตลกตั้งเเต่ชื่อพระเอกล่ะ 
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 13-01-2018 19:17:14
อาโทนี่ตลกอ่ะ ฮือออออออ :laugh:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 13-01-2018 20:14:42
 :pigha2: ฮาครอบครัวนี้จัง เป็นบ้านที่มีความสุขมาก เอาใจช่วยอาอันโทนิโอนะ รีบๆจีบน้องเค้าให้ติดล่ะ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-01-2018 02:14:50
ครอบครัวสุขสันต์หรรษาน่าคบ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 14-01-2018 08:22:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 15-01-2018 16:46:11


EP.2

อาการกลัวผู้ชาย





    เสียงตีกลองเล่นเพลงรับน้องของแต่ละคณะดังไปทั่วมหาวิทยาลัย   สร้างความครึกครื้นกระตุ้นต่อมเฟรชชี่ในตัวผมสุดๆ  จังหวะมันดีจนผมแทบอยากจะออกสเต๊ปการเต้นบนรถมอเตอร์ไซต์ที่ขับมามอซะกลางถนนในมหาวิทยาลัยเลยจริงๆ



    วู๊ววววววววว  รับน้องเว้ยรับน้อง  ตื่นเต้นว่ะ   ได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว  ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาเรียนแล้ว  ตอนผมเห็นรุ่นพี่แถวบ้านเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเขาออกไปเรียนตอนบ่ายบ้าง เที่ยงบ้าง บางทีก็เย็น  ผมนี่โคตรอิจฉาอ่ะ  เพราะขี้เกียจต้องตื่นเช้า   เพราะงั้นพอม๊าบอกให้ผมต้องเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้นผมเลยไม่มีปัญหานัก  เพราะก็อยากรู้รสชาติของนักศึกษาเหมือนกัน   เกิดมาทั้งทีต้องลองให้ครบทุกอย่างสิว่ะ  อนุบาล  ประถม มัธยม เทคนิค แล้วก็มหาวิทยาลัย  ใช้ชีวิตคุ้มจริงๆ



    ขับตามแผนที่มหาวิทยาลัยที่แคปหน้าจอไว้ตั้งแต่เมื่อคืน  แบบว่ากลัวหลงทางเพราะมอแม่งโคตรกว้างงงงง   แต่โชคดีที่คณะอยู่ติดทางหลักตรงอย่างเดียวก็ถึง   ผมเลยรีบจอดรถไว้ตรงที่เขาให้จอดมอเตอร์ไซต์  ถอดหมวกกันน็อคเก็บให้เรียบร้อย  เช็คความหล่อจัดทรงผมให้เท่อีกนิดกับกระจกมองข้าง  อุ๊บ๊ะ! หล่ออย่างกับพระเอกหนังแน่ะ



    พอมั่นใจในตัวเอง  ผมเลยก้าวเดินไปอย่างมาดมั่น  ไปยังจุดรับน้องที่กำลังต่อแถวเซนต์ชื่อพร้อมรับป้ายห้อยคอ   จริงๆมันก็แค่กิจกรรมเล็กๆนะแต่เพราะบรรยากาศที่ทุกคนต่างดีใจที่ได้เป็นนักศึกษาของมอนี้  ได้เข้าคณะนี้  ต้องหาเพื่อนใหม่  สังคมใหม่  มันเลยทำให้ยิ่งตื่นเต้นไปกับความแปลกใหม่  ผมเองก็เช่นกัน  เหงื่อซึมฝ่ามือไปหมด  ให้ตายเถอะ



    “ชื่ออะไรคะน้อง”  รุ่นพี่ที่นั่งอยู่เอ่ยถามโดยที่ยังไม่ได้มองหน้าผม



    “ผมชื่อ..”



    “อ้าว  พี่มาดูคณะเรารับน้องหรอคะ  ด้านนู่นเลยพี่ซุ้มศิษย์เก่า  คนที่จบไปแล้วจะนั่งในนั้นค่ะ” ^^




    “.......” -*-    เจ็บแทบกระอักเลือดตายยิ่งกว่าวันรายงานตัวนักศึกษาไปอีก  โถถัง  กูเฟรชชี่นะเว้ยยย



    “คือผม...เพิ่งเข้าปี 1  ครับ...”   พอผมบอกความจริงไป   พี่แกก็เบิกตากว้างคล้ายจะตกใจเล็กๆ...ซะเมื่อไหร่ล่ะ  ตาโตจนแทบจะหลุดออกจากเบ้าแล้วด้วยซ้ำ  ฮึ่ยยย   สายตาไม่ดีกันทั้งมอเลยหรอวะ



    “อ..อ๋อ..จ้ะ...งั้น  น้องชื่ออะไรนะ  เอกไหน”   พอตั้งสติได้เธอก็รีบถามต่อไป



    “วิศวะกรรมการบินครับ”  หน๊อออ   โคตรเท่อ่ะ   เลือกเข้าเพราะชื่อคณะล้วนๆจะเอาไว้อวดคนอื่นเขาครับ โฮะๆ แต่จะเรียนจบไหมเอาไว้ค่อยคิดทีหลังนะ  แหะๆ



    “โอเค..เซนต์ชื่อใบนี้เลยจ๊ะ   แล้วชื่อเล่นอะไรเอ่ยพี่จะได้เขียนป้ายให้”   ผมก้มหาชื่อตัวเองพลางบอกชื่อตัวเองไปด้วย “อันโทนิโอ้ครับ  ถ้าเรียกสั้นๆก็โทนี่ครับพี่”   ผมส่งยิ้มแป้นไปให้  พูดชื่อตัวเองทีไรตัวมันยืดอกเองอัตโนมัติจริงๆ



    “อัน..โท..นิโอ้?”   เธอย้ำชื่อผมอีกครั้ง  ผมก็พยักหน้าให้ว่า แม่นแล้ววว    พี่เขาก็ทำหน้านึกอะไรอยู่นิดนึง  ก่อนจะก้มเขียนชื่อลงบนป้ายไป



    “นี่จ้ะ  ขอให้สนุกกับการรับน้องนะคะ” ^^    ผมส่งยิ้มกลับแล้วเอาป้ายชื่อห้อยคอเดินออกมาเข้าไปนั่งตามแถวชื่อเอกคณะที่ปักโชว์ไว้หน้าแถว  คนเยอะฉิบหายอ่ะ  แน่นอนว่าคณะนี้ผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิงประมาณ 70% ได้ครับ



    พอนั่งท้ายแถวรอเวลาที่จะเริ่มกิจกรรมรับน้อง   ผมก็กวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อว่าน้องตัวขาวจะเข้าเรียนคณะเดียวกันกับผม  แต่เพ็งหาจนทั่วก็ไม่เห็นแม้แต่หัวฟูเป็นลอนยาวของน้องเขาเลย  สงสัยเรียนคณะอื่นล่ะมั้ง  หน้าแบบนั้นจะเรียนคณะอะไรน้า  ศิลปกรรม?  คหกรรม? บริหาร?  ไม่น่าใช่ น้องเขาดูเซอร์ๆ




    “เฮ้ย  ชะเง้อหาอะไรวะ”   ไอ้คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าผมหันมาชวนคุยแบบไม่มีท่าทีเนียมอาย  ก็แบบผู้ชายเหมือนกันเลยไม่ต้องเก๊กพูดเพราะใส่อ่ะครับ



    “หาคนๆนึงอ่ะดิ  แต่เขาคงไม่ได้เรียนคณะนี้วะ”



    “โห  มาวันแรกก็หาหญิงแล้วหรอมึง  เจ๋งวะ   ว่าแต่มึงชื่ออะไรวะ....อ๋อ  ชื่อโอ้เอ้”



    “โอ้เอ้บ้าอะไร  กูชื่ออันโทนิโอ้เว้ย”   เรียกชื่อผมแบบนั้นมันเสียหายนะเว้ย



    “ก็ที่ป้ายมึงเขียนแบบนั้นอ่ะ  ไม่เชื่อก็ก้มมองดูดิ”   มันบุ้ยปากไปยังป้ายชื่อผมเลยมองตามก็เห็นว่าป้ายผมเขียนว่าโอ้เอ้จริงๆ 




    “สงสัยพี่เขาแม่งได้ยินผิดแน่เลยวะ  กูไปขอให้เขาแก้ดีกว่า”   แต่พอผมทำท่าจะลุกไปมันก็ดึงแขนให้นั่งลงตามเดิม  ก่อนจะทำหน้าขันผมซะเต็มประดา



    “ไม่ต้องแก้หรอกเว้ย  ใครเขาก็ได้ป้ายชื่อที่ไม่เหมือนชื่อจริงกันทั้งนั้นแหละเว้ย  ดูของกูดิเหี้ยกว่ามึงอีก”



    ‘น้อง  ปลัดคิก’




    “ฮ่าๆๆๆ ชื่อมึงเจ๋งวะ”   ผมหลุดขำพออ่านชื่อมันเสร็จ  พอมองไปป้ายคนอื่นก็แปลกๆเยอะเช่น  น้องโนตม   น้องหมีเกี่ยวลวด  น้องอะไวยาวะ  บลาๆๆ  เออก็ตลกดี



    “แต่จริงๆกูชื่อประลองยุทธ์นะเว้ยมึง  แต่เรียกกูว่า โป ก็ได้ชื่อเล่นกูเอง”



    “โอเค  งั้นถ้ามึงไม่อยากเรียกชื่อเต็มกู อันโทนิโอ้  ก็เรียกกูว่าโทนี่ก็เว้ย”  แล้วเราก็ยักคิ้วเป็นอันรับรู้กัน




    จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงรับน้องครับ  ก็พวกรุ่นพี่เขาก็เริ่มแนะนำตัวกันไปแล้วก็ให้แต่ละเอกลุกขึ้นบอกชื่อเอกตัวเอง  แข่งกันว่าเอกไหนจะเสียงดังกว่า  เอกไหนชนะได้ไปกินข้าวก่อนครับ  โถถถถถถ  รางวัลโคตรยิ่งใหญ่อ่ะ  แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็แข่งกันอย่างสนุกสนานแบบไม่มีใครยอมใครเลย


    “เครื่องกล!!”



    “ไฟฟ้า!!!”



    “โยธา!!!!”



    “การบิน!!!!!”


    “ดังอีกน้องงงง  มีพลังแค่นี้หรอก  สู้เขา ดังกว่านี้!!!!”   รุ่นพี่ก็ตะโกนยุกันเข้าไป  ผมแม่งตะโกนจนคอจะแตกล่ะ  ก็ตะโกนสลับกันไปมาจนกระทั่ง



    “นี่พวกคุณทำอะไรกัน”   เสียงนิ่งๆแต่ดังกังวานทำให้พวกเราที่กำลังตะโกนแข่งกันหุบปากกริบกันไปโดยไม่ได้นัดหมาย  และพร้อมใจสามัคคีหันไปยังตำแหน่งของเสียง   แล้วก็พบกับ...








ต่อ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 15-01-2018 16:47:19












    กลุ่มรุ่นพี่ในเสื้อช็อปวิศวะของคณะที่เดินเข้ามายังกับเปิดตัวพระเอก F4  แบบในซีรี่ส์ที่อาหลิงชอบเปิดดู  ดูแต่พวกพระเอกจริงๆ  เพราะพอถึงฉากพระนาง  อาหลิงชอบกดข้ามครับ  แต่ถ้าฉากหนุ่มในแก๊งค์คุยเล่นตัวกัน นี่อาหลิงเปิดเล่นซ้ำอยู่นั่น  ผมก็ไม่เข้าใจน้องผมเหมือนกันว่าฉากแค่นั้นมันน่าดูซ้ำตรงไหน



    “พวกคุณรู้หรือเปล่าว่าเสียงตะโกนของพวกคุณมันดังไปถึงหน้ามอแล้ว”  พี่คนที่น่าจะเป็นตัวหัวหน้ายังทำหน้าโหด พูดเสียงเข้มต่อไป โดยมีบอดี้การ์ดยืมเอามือไขว่หลังเป็นแบ็วกราวด์ให้แม่งดูมีอำนาจไปอีก



    “ปี 2  ก็เหมือนกัน  ทำไมไม่รู้จักสั่งสอนน้องของพวกคุณห่ะ!”   พวกพี่ปี 2  ก็หน้าจ๋อยไปตามกัน



    “ขอโทษค่ะพี่”  พวกพี่ปี 2 ก็พูดขอโทษรุ่นพี่พวกนั้นเสียงหงอย



    “เมื่อกี้เอกไหนตะโกนเสียงดังสุด  ลุกขึ้นมา!”   เขาตะโกนเสียงดัง  ผมก็ได้แต่นึกขำในใจ  บ้าป่าววะ  ก็ตอนนี้พวกปี 1 ยืนกันหมดทุกคนเพราะต้องตะโกนแข่งกันพี่เขาเลยให้ยืนเสียงจะได้ออกมาเยอะๆไง   แล้วพี่เขาแม่งพูดไม่ได้ดูเลยว่าตอนนี้ทุกคนยืนกันหมดจะสั่งให้ยืนอีก  บ้าเปล่า



    พรึ่บ!



    แต่จู่ๆเอกผมที่อยู่ริมสุดติดผนังแม่งก็กลายเป็นแถวหน้าซะงั้น  เพราะพวกเอกอื่นพร้อมใจกันนั่งลง!  เชี่ยแม่ง  ทีงี้ล่ะโคตรพร้อมเพรียง   พวกผมก็ยืนเอ๋อกันไปสิครับ  จะลงไปนั่งด้วยก็ไม่ทันแล้ว   แมร่งเอ๊ยยยย




    ไอ้รุ่นพี่คนนั่นก็ทำหน้าโหดมองมาที่พวกผมที่ยืนเรียงหน้ากระดานกัน  เอามือไขว่หลังมองอย่างเตรียมจะเล่นงานพวกผม   ผมเหลือบไปมองแป๊บนึงก็จะหันมามองภาพตรงหน้าที่เป็นถนนแทน  เดี๋ยวพวกนั้นจะหาว่าผมมองหน้าหาเรื่อง   ไม่ได้กลัวนะครับบอกเลยว่าคนอย่างผมพร้อมมีเรื่องได้ตลอดเวลา  จะตัวต่อตัวหรือหมาหมู่ก็ได้หมดไม่เกี่ยง  แต่เพราะว่าเมื่อเช้านี้ม๊าสั่งเด็ดขาดว่า


    ‘อั๊วะส่งลื้อไปเรียนนะ อาอันโทนิโอ้  จำไว้ด้วย  ถ้าไปหาเรื่องใครก่อนล่ะน่าดูแน่  แต่ถ้าโดนเขามาตีก่อนแล้วลื้อสู้กลับอั๊วะไม่ว่าอะไร  เข้าใจไหมห๊ะ’



    ประกาศิตจากม๊าทำให้ผมเลือกที่จะนิ่งไว้ก่อน   แต่บอกเลยถ้ามาสั่งอะไรที่บ้าบอหรือทำโทษแบบไม่สมเหตุสมผล  ผมไม่ทำตามหรอก  ถ้าจะรุมกระทืบก็เอาเลยผมสู้กลับแน่นอนไม่งอมืองอเท้ายอมหรอก   ป๊าผมก็เคยพูดตอนที่มีข่าวรับน้องแบบแย่ๆอ่ะครับ  ‘ถ้าลื้อโดนแบบนี้  ลื้ออย่าไปยอมเขานะเว้ยอาโทนี่  อั๊วะส่งลื้อไปเรียนไม่ได้ให้ไปถูกทำโทษ กงเกียร์อะไรลื้ออย่าไปยึดติด  ถ้าจะถูกไล่ออกเพราะไม่รับน้องเดี๋ยวอั๊วะส่งลื้อไปเรียนเอกชนได้   ขอแค่จบมาแบบฉลาดหาเงินเลี้ยงครอบครัวตัวเองได้  นั่นแหละน่าภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้ว....แต่อั๊วะก็ไม่ได้หมายความว่าลื้อต้องดื้อไม่ยอมทำตามเขาท่าเดียวนะเว้ย  มีสมองก็คิดเอาว่าสิ่งไหนมันควรทำตามหรือไม่ทำตาม’



    “พวกคุณใช่ไหมที่ส่งเสียงดังที่สุด”   มันก็ดังทั้งคณะแหละโว๊ยยย  ห่า



    “ผมขอสั่งทำโทษด้วยการให้พวกคุณ...”  แล้วจะเว้นจังหวะทำไมวะนั่น



    “เต้นยังไงก็ได้  ที่สามารถทำให้ผมหัวเราะได้  ถ้าทำสำเร็จพวกคุณทั้งคณะจะไม่ถูกซ่อม!”



    โหหหหห เล่นสั่งมาแบบนี้ก็มีเฮสิครับ



    แบบว่าของถนัด!




    “มิวสิค มา!”   สิ้นคำสั่งพี่หน้านิ่ง  เปิดเพลงฮิตสุดในเวลานี้   เอกผมก็ไม่รอช้าโชว์สกิลการเต้น แบบโชว์มันทุกท่ายาก  งัดมาทุกลีลา  ส่ายยิ่งกว่าปลาไหล  พลิ้วไหวยิ่งกว่านางโชว์  แบบไม่มีใครยอมใครสักคน  ผมเองก็เช่นกัน 555+   เต็มที่มากแบบว่ากลัวเสียชื่อคณะงิ้วอันโด่งดังตั้งแต่ผมยังไม่เกิด เอิ้กๆ   หันไปมองไอ้โป  ไอ้ห่านี่ก็เต้นจัญไรพอกัน  จนผมเองก็ขำก๊ากไปกับคนอื่นๆที่อยู่ในคณะด้วย



    คือแบบมันทำหน้านิ่งอ่ะครับไม่รู้ตั้งใจเลียนแบบพวกพี่เขาป่าว  แต่ถึงจะหน้านิ่งเหมือนตายซากมา 7 ล้านปี  แต่ตัวมันนี่โคตรพลิ้ว  พลิ้วมากกกก  ท่าเต้นก็อย่างจัญไร  กวนตีนฉิบหาย  แต่ยังคงทำหน้านิ่งไว้ได้ไม่มีหลุด  มันเลยฮาแตกมากๆ  จนสุดท้ายพวกรุ่นพี่ที่เก็กหน้ามานานก็หลุดขำกันครับ  พวกเราเลยเฮกันใหญ่



    “พวกคุณเก่งมากที่ทำพวกผมหัวเราะได้   เพราะพวกผมน่ะตั้งแต่ขึ้นปี 3 มาก็แทบหัวเราะกันไม่ออกมานานแล้วโว๊ยยยยยยยยยย”   พี่หน้านิ่งตะโกนออกมาแบบเต็มที่มาก  พวกบอดี้การ์ดก็ขำกันแบบไม่เก็กเข้มกันอีกต่อไปปล่อยตัวสบายๆชิลๆ  คงแค่ทำแอคท่ามาแกล้งรุ่นน้องเท่านั้น



    “คุณจำไว้นะว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว  ยิ่งขึ้นปีสูงก็มีความยากลำบากมากขึ้นเช่นกัน  อุปสรรคในวันข้างหน้าของการเป็นนักศึกษามันอาจจะทำให้คุณท้อ  เสียใจ ร้องไห้ ผิดหวัง  จนอยากจะดรอปหรือเลิกเรียน  แต่ผมก็อยากให้พวกคุณนึกถึงตอนที่พวกคุณตั้งใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้  คณะวิศวะกรรมนี้ และแต่ล่ะเอกสาขาที่พวกคุณเลือกเข้ามาว่ารู้สึกอย่างไร  การเข้ามาเรียนได้มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดแต่มันคือจุดเริ่มต้นใหม่ที่ผมหวังว่าพวกคุณทุกคนจะพากันไปถึงเป้าหมายได้อย่างที่ตั้งใจไว้ทุกคน”



    “ฉะนั้นวันนี้พวกผมในฐานะรุ่นพี่เลยตั้งใจมาทำกิจกรรมที่จะสร้างความสนุกสนานและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง   เพื่อในวันหน้าวันๆนี้อาจะเป็นวันที่คุณมีความสุขที่สุดในการเป็นนักศึกษาก็ได้  จดจำไว้ว่าพวกคุณมีเพื่อน มีรุ่นพี่ที่คอยให้ความช่วยเหลือเสมอ”



    “ยกเว้นเรื่องตังค์!”   ตึ่งโป๊ะ!   คนตีกลองก็ตีรับมุกพี่แกอย่างรู้งาน  จนทำให้รุ่นน้องโหร้องกันไป



    “โหอะไรครับ โหอะไร  โหแบบนี้อยากเห็นพวกรุ่นพี่เต้นกันใช่ไหมมมมม”



    “อยากกกกกกก”  ทุกคนก็รีบร้องบอกอย่างไม่ให้เสียโอกาส



    “แต่เพื่อให้สนุกมากยิ่งขึ้น  พี่ขอให้แต่ละเอกส่งตัวแทนมา 1 คนออกมาเต้นแบทเทิลกับพวกพี่ครับ!”  สิ้นเสียงรุ่นพี่แต่ล่ะเอกก็รีบเลือกกันใหญ่ว่าใครจะออกไป   เอาจริงๆคือเกี่ยงกันนั่นล่ะครับว่าใครจะไป  แบบมึงออกไปสิ  มึงนั่นแหละออกไปดิวะ  ไอ้ห่ามึงเลยพลิ้วสุด



    “เหลือเวลาอีก 5 วินะครับ เอกไหนออกช้าสุดโดนทำโทษยกเอก 1..2”  พอประกาศมาอย่างนั้นแต่ละเอกก็รีบเลือกตัวแทนออกไปกัน  ส่วนเอกผมนะหรอ  ไม่ต้องเลือกครับ  เพราะผมอาสาออกไปเอง! 555+ แมนป่ะล่ะ (ใจจริงคือเป็นพวกชอบทำอะไรบ้าๆบอๆอยู่แล้วน่ะครับ)


    จากนั้นรุ่นพี่ก็จับคู่กับรุ่นน้องแต่ละเอกไล่แข่งเต้นแบทเทิลกันทีละคู่อย่างไม่มีใครยอมใคร  จนมาถึงคู่สุดท้ายคือคู่ผม  คราวนี้พวกพี่เขาไปหาขนนกที่ต่อเป็นสายยาวแบบที่พวกนางโชว์ชอบใช้คล้องคอแล้วสะบัดแขนไปน่ะครับ เอามาให้ผมกับรุ่นพี่ที่เป็นผู้ฉิ่งคล้องคอกันคนล่ะอัน  จากนั้นก็เปิดเพลงชาติสาวประเภท 2 I Will Survive  ให้คู่ผมเต้น  พี่แนนนี่ก็จัดเต็มด้วยทวงท่านางโชว์พร้อมลิปซิงเพลงไปด้วย  เต้นแรงสุด จิกตาจือปากสุดดิ่ง  แถมใช้ผมเป็นเสาให้แก้เต้นยั่วรูดตัวอีกกกก  แบบกะโชว์สกิลการเต้นเต็มที่  เรียกเสียงกรี้ดได้ลั่นคณะเลย   แต่มีหรือคนอย่างอันโทนิโอ้จะยอมแพ้  พอถึงตาผมเต้นสู้ผมก็จัดเต็ม  ใช้ทุกท่วงท่าที่จดจำมาจากทั้งอาม่าและม๊าที่ชอบเต้นชอบรำเวลาร้องคาราโอเกะกันออกมาสู้มันทุกท่า  เรียกเสียงโห่ร้อง วี้ดวิ้วได้มาไม่น้อยหน้าพี่เขาเลยล่ะครับ  แต่ผมก็ยังไม่หยุดแค่นั้นทั้งจิกตา  กัดปากยั่วแบบคิดว่าเซ็กซี่สุดในชีวิต  ส่ายสะโพกหนาๆบิดเอวไปมาแบบจัดหนักจัดเต็มกันไปจนทุกหัวหัวเราะกันใหญ่เพราะท่าแม่งโคตรสาวววว   อย่างแร๊ดดดแรดไม่ได้เข้ากับหนังหน้าผมเลย 555+


    แต่ยังเต้นไม่ทันจบเพลงดีก็  “อ้าวๆๆ  น้องคนนั่นนะเพิ่งมาใช่ไหมทำไมเนียนไปนั่งหลังเพื่อนแบบนั้นล่ะครับน้อง”   พี่หน้านิ่งพูดและชี้มือไปยังแถวของผม   ผมเลยหยุดเต้นแล้วมองตาม   ก่อนจะเห็นหัวฟูๆค่อยๆโผล่ออกมาแล้วยิ้มแห้งๆ



    น้องตัวขาว!  เรียนคณะเดียวหรอวะ  ไชโยยยยย  เอกเดียวกันด้วย อ๊ากกนี่มันพรหมลิขิตชัดๆ ชัดเจนที่สุดแล้วแบบนี้  เนื้อคู่ผมแน่นอน


    แต่เวรเอ๊ยยยย  ทำไมต้องให้เขามาเห็นผมในสภาพโคฟเวอร์เป็นนางโชว์ด้วยวะ แม่ง  -*-  จบกันแล้วนี่ผมจะมีหน้าไปจีบเขายังไงล่ะเนี้ย


    “มาครับน้อง   ออกมาเลย  มาให้พวกพี่ทำโทษซะดีๆ”  น้องตัวขาวมีสีหน้ากังวลแต่ก็รีบเดินออกมาด้านหน้าแต่ยืนอยู่คนล่ะด้านกับผม   ตอนนี้น้องตัวขาวไม่ได้ปล่อยผมยาวถึงกลางหลังแล้วนะครับแต่เหมือนน้องไปตัดผมสั้นมายาวระต้นคอได้แต่ยังปล่อยให้ฟูม้วนเป็นลอนคลายๆเหมือนเดิมมันคงเป็นผมธรรมชาติของน้องเขาจริงๆพอตัดสั้นแบบนี้ก็ดูเป็นผู้ชายหน้าหวานแบบเซอร์ๆ อารมณ์ประมาณ ซิน ซิงกูล่า อ่ะครับ แต่น้องจะดูออกฝรั่งกว่าหน่อย.....แล้วทำไมผมต้องเรียกเขาว่าน้องด้วยวะทั้งที่ก็อยู่ปีเดียวกัน  อาจเป็นเพราะ...เขาดูเด็กกว่าผม -*-



    “อ่ะแนะนำตัวเองให้เพื่อนๆรู้จักหน่อย”  รุ่นพี่ก็ส่งไมค์ให้น้องเขา  น้องเขาก็รับไมค์มาแต่ตอนรับนี่ทำเหมือนรังเกียจรุ่นพี่ยังไงไม่รู้นะ  สงสัยหน้าพี่เขาดูเถื่อนจัดเลยกลัว


    “สวัสดีครับ ปี 1 คณะวิศวะกรรม เอกการบินครับ  เรียกผมว่าสโนว์ก็ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ”  พูดเสร็จก็รีบส่งคืนไมค์ไป  ดูเหมือนจะยังตื่นเต้นไม่หายตัวสั่นเชียว  โถถถถ พี่อันโทนิโอ้ล่ะอยากจะเข้าไปกอดปลอบขวัญจริงๆ  ชื่อสโนว์แม่งโคตรเข้ากับหน้าตาอ่ะ


    “โอเคน้องสโนว์ไวท์ ปี1  การบิน  ตอนรู้ไหมว่าการที่น้องมาสายเนี่ยมันทำให้น้องพลาดอะไรเด็ดไปเยอะมาก  พี่ขอเหตุผลหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมถึงมาช้า”  แล้วพี่เขาก็ยื่นไมค์ไปจ่อปากน้องสโนว์ไวท์ตามชื่อป้ายที่ห้อยคอ  น้องเขาเองก็เหมือนสะดุ้งที่จู่ๆก็ยื่นไมค์ไปถอยหลังไปตั้งก้าวนึง  ก่อนที่จะตอบคำถาม



    “คือรถยนต์มันเสียครับ  แล้วผมไม่เคยใช้รถสาธาระณะเลยยืนรอแท็กซี่นานมาก  รถติดมากด้วย”  แหม่ะ  พอบอกว่ารถเสียกระผมนี่อยากจะไปซ่อมให้ซะจริงๆ  ซ่อมให้ฟรีไม่คิดตังค์ด้วยถ้าเป็นน้องสโนว์ไวท์  แบบว่าตอนเรียนอยู่เทคนิคเคยไปอู่พ่อเพื่อนบ่อยครับ บ้างทีก็ไปช่วยหยิบเครื่องไม้เครื่องมือให้  เขาสอนอะไรก็จำๆมา  เคยลองซ่อมให้หลายคันมาเหมือนกันเลยพอมั่นใจในฝีมือพอตัว

“โอเคๆ  เหตุผลพอฟังขึ้น  แต่ยังไงก็ต้องมีบทลงโทษนะครับ  เอ๊  น้องๆอยากเห็นเพื่อนเต้นให้ดูไหมครับบบบ”



    “อยากกกกกกกกก”   พร้อมใจกันเหลือเกิน  อยากจะรู้จริงๆถ้าเกมพลิกพี่เขาให้น้องเลือกว่าจะให้ใครขึ้นมาเต้นแทนจะยังแหกปากเห็นด้วยแบบนี้ไหม  (พาลครับพาล  เห็นหน้าน้องเขาดูกังวลแล้วพาเครียดตามไปด้วย)   แต่สุดท้ายน้องสโนว์ไวท์ก็ถูกสั่งให้เต้นโชว์  แล้วคือแบบเปิดเพลงหนุ่มเฟ้อหล่อยักเลี้ยว  รีมิกซ์เงี้ยะ แต่จังหวะการเต้นของน้องแม่งอนุบาลหมีน้อยมากกกก  แต่เพราะเป็นน้องเขาเต้นมันเลยดูน่ารักปนฮาอ่ะครับ  แบบน่าแกล้งฉิบหาย  หูเหอแดงไปหมดแล้ว



    แล้วก็เหมือนหลายคนจะคิดแบบเดียวกับผม  “โห่ ไม่เอาๆทำไมเต้นแข็งอย่างงี้ล่ะครับน้อง รู้ไหมเอกการบินเมื่อกี้เต้นกันแรงมาก  อย่าให้น้อยหน้าเพื่อนสิครับ”   รุ่นพี่ก็ยังคงยุ  แต่เหมือนจะยุไม่ขึ้นเพราะน้องเขาก็ยังเต้นยึกยักไหล่ไปมาเหมือนเดิม   เหอๆ


    “พอๆถ้าจะเต้นแบบนี้น้องยืนเป็นเสาไปเลยดีกว่า  มาๆหนุ่มสาวทั้งหลายมาโชว์เต้นรูดเสาโชว์เพื่อนๆดีกว่า”



    “เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ”   เอาเข้าไปรังแกสโนว์ไวท์กันเข้าไปปปปป  ฮึ่ยยยยย ถึงอยากจะทำตัวเป็นคนแคระที่คอยปกป้องสโนว์ไวท์แต่ก็ไม่รู้จะวิธีช่วยยังไงเพราะทุกคนดูเห็นดีเห็นงามไปกันหมด  ผมก็เลยได้แต่ยืนค้างมองพวกเพื่อนและรุ่นพี่ที่เคยจับคู่กันไปเต้นล้อมรอบตัวน้องเขา  สโนว์ไวท์ก็เหมือนทำตัวไม่ถูกเลยเอาแต่ยืนแข็งก้มหน้ามองพื้นอย่างเดียวเลย  ผมแอบเห็นว่าฝ่ามือที่กุมกันอยู่สั่นด้วยล่ะ


    แม่งเห็นแบบนั้นแล้วทนดูไม่ได้วะ  ต้องหาเรื่องไปเสนอหน้าขอรับโทษแทนดีกว่า.....แต่ก้าวไปยังไม่ถึงสามก้าว   หนึ่งในรุ่นพี่ที่เป็นแก็งค์F4 ก็เข้าไปเอามือแตะหัวไหล่น้องก่อนจะเต้นส่ายตูดยั่วไปด้วย  พอมีพี่เปิดคนอื่นๆเลยเอามั้ง  เอาหลังไปถูสีข้างน้องบ้างแบบกะเอาตลก เอาฮากัน   น้องที่หน้าซีดขาวอยู่แล้วก็ซีดเผือกไปใหญ่  แววตาเริ่มลุกลี้ลุกลนเหมือนหวาดกลัวพี่ๆเขามาก  ทำท่าฟึดฟัดเหมือนหายใจติดขัด แล้วมือก็สั่นแรงมาก  ผมที่เห็นท่าไม่ดีจะรีบวิ่งเข้าไปถามว่าไหวหรือเปล่า  แต่ก็ไม่ทันเพราะสโนว์ไวท์นั่น...








ต่อ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 15-01-2018 16:49:03









โอ๊กกกกกกกก


    น้องอ้วกออกมาแบบพุ่งแรงมากหลบกันแทบไม่ทัน  วงแตกสิครับงานนี้  ตกใจกันยังไม่หายน้องเขาก็หอบหายใจรุนแรงมากแล้วก็เป็นลมล้มตึ้งขาตรงไปเลย  คือถ้าเป็นลมขาตรงๆแบบนี้แสดงว่าเป็นลมจริงๆครับไม่ได้แกล้งแสดง  แต่ถ้าคนที่แกล้งเป็นลมเข่าจะงอครับเพราะเหมือนมีสติไงก็จะรู้ว่าถ้าไม่งอเข่าก่อนล้มไปที่พื้นเจ็บหนักแน่ๆ   แต่นี่น้องสโนว์แบบล้มขาตรงๆน้องคงไม่ได้มีสติคิดอะไรแล้วแบบวูบล้มไปเลย  ดีว่าพี่ที่อยู่ด้านหลังเข้ามาเอาแขนรองหัวไว้ทัน ไม่งั้นหัวฟาดพื้นแน่ๆ


    “เชี่ยยยยย  น้องเขาเป็นอะไรวะมึง”   พี่แนนนี่รีบควักยาดมมาใกล้ๆจมูกพี่ผู้หญิงก็รีบเอาพัดมาโบกให้อย่างร้อนรน   พวกเราปี 1 ก็ต่างตกใจกันหน้าเหวอกันไปเป็นแถบเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ


    “รีบเอาน้องไปห้องพยาบาลก่อนดีกว่าวะ”   พี่หน้านิ่งพูดก่อนจะจับแขนน้องเขาพาดบ่ากับรุ่นพี่อีกคน  เพราะน้องสโนว์ไวท์ตัวสูงและหุ่นก็แบบเฮลตี้อ่ะครับเลยคงแบกคนเดียวไม่ไหว  ผมเลยเสนอหน้าไปแทรกแล้วอุ้มน้องสโนว์ไวท์ในท่าเจ้าหญิงแทน   ห่ามไปแบบนั้นไม่ทันกาลพอดี  พอได้อุ้มก็รับรู้ได้ถึงความหนักเหมือนผู้ชายทั่วไป  เทียบกับที่ผมเคยให้เพื่อนขี่หลังวิ่งหนีฝั่งคู่อริที่มีเยอะกว่าสมัยก่อนนะครับ - -  โชคดีนะเนี้ยที่ผมออกกำลังกายเป็นประจำเลยยังอุ้มไหวอยู่


    “ห้องพยาบาลอยู่ไหนพี่  เดินนำเลยครับ เร็วๆ”  ผมออกปากสั่งอย่างไม่เกรงใจ  ยิ่งมองเห็นหน้าซีดๆนี่ก็ยิ่งอยากพาไปให้ถึงมือหมอโดยเร็วที่สุด  พี่หน้านิ่งเขาก็รีบเดินนำไปยังห้องพยาบาลแค่คนเดียว  ส่วนที่เหลือให้อยู่คุมน้องกัน   คงไม่อยากให้รุ่นน้องเสียขวัญไปกันใหญ่น่ะครับ   โชคดีที่ห้องพยาบาลวันนี้มีหมอเข้าเวร  คงเพราะเป็นวันรับน้องทั้งมหาวิทยาลัยด้วย ทางมอเลยคงเตรียมพร้อมไว้ก่อนเพื่อมีเหตุฉุกเฉิน


    หมอเขาก็ถามอาการว่าน้องเขาเป็นอะไรมา  พี่หน้านิ่งก็เล่าไปตามจริงอย่างละเอียด  ส่วนผมก็ได้แต่กุมมือสโนว์ไวท์  ไว้แค่นั้น   ผมในตอนนี้เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของเหล่าคนแคระว่าคงจะตกใจมากแค่ไหนที่กลับบ้านมาแล้วเห็นว่าสโนว์ไวท์นอนสลบอยู่บนพื้น  ในตอนนั้นพวกคนแคระก็คงจะกลัวว่าสโนว์ไวท์จะไม่ตื่นมาอีกและถึงจะกลัวแค่ไหนคนแคระก็ทำได้เพียงแค่มองเพราะไม่รู้จะช่วยสโนไวท์กันอย่างไรเหมือนกับผมในตอนนี้...นึกแล้วก็โมโหตัวเองว่าทำไมตอนนั้นไม่รีบเข้าไปช่วยออกรับแทน  มัวยืนป๊อดห่าอะไรอยู่ ไม่งั้นสโนว์ไวท์คงไม่เป็นแบบนี้



    สโนว์ไวท์ต้องฟื้นมานะ   เราสัญญาเลยว่าต่อไปจะปกป้องเธอเอง



    พอตรวจอาการหมอก็บอกว่าต้องส่งไปโรงพยาบาลจะปลอดภัยกว่าเพราะยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมจู่ๆถึงเป็นลมไป  แล้วบอกให้โทรตามญาติน้องเขาด้วยว่าให้ไปเจอกันที่โรงพยาบาลเลย  ผมเลยถือวิสาสะและขออนุญาตอยู่ในใจควักโทรศัพท์ในกางเกงของสโนว์ไวท์ออกมาโทรหาเบอร์ล่าสุดที่น้องโทรไป  ดีนะที่ไม่ได้ล็อครหัสไม่งั้นคงจะแย่มากๆ  รอไม่นานรถพยาบาลก็มารับผมก็เตรียมจะไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนน้องเขาด้วย


    “น้องโอ้เอ้ น้องกลับไปร่วมกิจกรรมเถอะ  ที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการเอง”  พี่หน้านิ่งบอก  คงไม่อยากให้ผมสูญเสียช่วงเวลารับน้องไป  แต่ตอนนี้ใครจะสนล่ะครับเมื่อคนตรงหน้าสำคัญกว่า


    “ไม่ล่ะครับพี่  ผมจะตามไปดูแลแฟนผม!”


    “ห่ะ!  เขาเป็นแฟนน้องหรอ”  พี่เขาถามแบบไม่อยากจะเชื่อ



    “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละพี่  ยังไงอนาคตเขาก็ต้องเป็นแฟนผมอยู่ดี  ผมไปล่ะนะพี่จะตามหรือไม่ตามมาก็แล้วแต่”   พูดเสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นรถพยาบาลตามไปด้วย  พี่หน้านิ่งก็ตามมาเช่นกันสีหน้าพี่เขาก็ดูเป็นห่วงและเป็นกังวลไม่ต่างกับผม  แหงสิครับถ้าน้องสโนว์ไวท์เป็นอะไรไปพี่แกต้องรับผิดชอบเต็มๆ



    แล้วรถก็ถึงโรงพยาบาลแบบรวดเร็วเพราะอยู่ไม่ไกลกัน  พวกบุรุษพยาบาลก็ไสเตียงผู้ป่วยที่น้องเขานอนอยู่เข้าห้องฉุกเฉินไป  ผมกับพี่หน้านิ่งก็ได้แต่รอหน้าห้องอย่างใจจดใจจ่อ  สักประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีพยาบาลเดินออกมาบอกว่าสโนไวท์อาการปลอดภัยแล้วไม่ต้องห่วง  แต่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นต้องปล่อยให้นอนหลับไปก่อนครับ   พอได้ฟังอย่างนั้นทั้งผมกับรุ่นพี่หน้านิ่งก็ต่างพากันโล่งใจ  พี่หน้านิ่งถึงกับทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าเลยล่ะครับ  คงเกร็งและเครียดมาตลอด  แล้วเราสองคนก็ยิ้มแบบโล่งใจให้กัน



    แล้วพี่เขาก็โทรไปบอกพวกที่มอครับ  ว่าไม่ต้องห่วงน้องปลอดภัยแล้วรอแค่ให้น้องฟื้น  พอวางสายไปไม่ทันไรก็มีสายโทรเข้ามาอีก   พี่เขาหลบไปคุยมุมเงียบๆสักแป๊บก่อนจะเดินย้อนกลับมาหาผมที่ยังนั่งรออยู่หน้าห้องเหมือนเดิม


    “โอ้เอ้  เดี๋ยวพี่ต้องกลับไปรายงานเหตุการณ์ให้อาจารย์ฟังว่ะ  เอ็งจะกลับไปพร้อมพี่หรือเปล่า”


    “พี่ไปเหอะ  ผมอยู่ที่นี่รอญาติของสโนว์มาก่อนดีกว่า  โทรศัพท์สโนว์ก็ยังอยู่ที่ผมด้วยต้องรอคืนให้”



    “เอางั้นหรอวะ  เออๆงั้นพี่ฝากด้วยนะ  เอาไลน์เอ็งมาไว้ติดต่อดิ๊ ถ้ามีอะไรส่งมาบอกพี่ด้วยนะ”


    “ได้ครับพี่ ไม่ต้องห่วง”  แล้วเราก็แลกทั้งเบอร์และก็ไลน์กันไป  พี่เขาก็กลับไปผมก็นั่งรออยู่หน้าห้องเช่นเดิม  เพราะพยาบาลยังไม่ไสน้องสโนว์ออกมาจากห้องฉุกเฉินเลย  เหมือนกับว่าต้องรอญาติให้มาเซนต์อะไรก่อนน่ะครับถึงจะย้ายตัวผู้ป่วยได้   นั่งรอไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีคนโทรกลับมาที่เบอร์ของสโนว์พอผมรับสาย  ผู้หญิงในสายก็ถามว่าอยู่ตรงไหนกันผมก็พูดบอกไป  แล้วก็นั่งรอญาติน้องเขา







    “น้องใช่คนที่รับสายหรือเปล่าคะ”  เสียงผู้หญิงเอ่ยเรียกจากด้านหลังผมเลยละสายตาที่จ้องประตูหน้าห้องฉุกเฉินหันไปมอง  ก็เจอกับผู้หญิงแสนสวยคนนึง


    “ใช่ครับ  ญาติของสโนว์หรือเปล่าครับ”


    “ใช่จ้ะๆ  พี่เป็นพี่สาวของสโนว์เองจ้ะ”


    “สวัสดีครับพี่  ผมเป็นเพื่อนที่คณะครับ”   ผมยกมือไหว้  พี่เขาก็รับไหว้ผมแล้วตบบ่าเบาๆ


    “ขอบใจมากนะน้องที่มาอยู่เป็นเพื่อนสโนว์  แล้วเหตุการณ์มันเป็นยังไงหรอ ทำไมสโนว์ถึงได้เข้าโรงพยาบาลได้ล่ะ  น้องเล่าให้พี่ฟังได้ไหม”   ผมพยักหน้ารับก่อนจะเล่าไปตามจริงตั้งแต่สโนว์มาสาย ไปจนถึงตอนที่เป็นลมล้มตึ้งไปนั่นแหละครับ



    “อ๋อ  เป็นงี้นี้เอง  พี่พอจะรู้สาเหตุแล้วล่ะว่าทำไมน้องถึงเป็นลมไปแบบนั้น”   พี่เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจเหตุการณ์


    “เอ่อ...ผมขอถามได้ไหมครับว่าสาเหตุอะไร  คือจะได้รู้ไว้แล้วป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกน่ะครับ”  ถ้าต้องเห็นสโนว์ไวท์มีอาการแบบนั้นอีกครั้งโดยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย  คงจะรู้สึกแย่มากๆ


    “อืม...มันค่อนข้างเป็นความลับนะ  พี่ก็ไม่แน่ใจว่าสโนว์อยากให้คนอื่นรู้หรือเปล่า”


    “อ่า..ถ้ามันทำให้ต้องหนักใจก็ไม่เป็นไรครับ  ผมแค่ถามเพราะเป็นห่วงจริงๆไม่อยากให้เขาช็อคแล้วสลบไปแบบนั้นอีกน่ะครับ  คือทั้งคณะตกใจกันมากกลัวสโนว์จะเป็นอะไรไป..”  ผมบอกไปตามจริง  ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่มอเหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง  พวกรุ่นพี่จะโดนอาจารย์ทำโทษหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงมันจะเป็นเหตุสุดวิสัยก็เถอะนะ


    “งั้นพี่จะบอกให้ก็ได้  แต่ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ไปเล่าให้เพื่อนๆฟังต่อ  ที่บอกเพราะเห็นว่าหน้าน้องดูเป็นห่วงสโนว์จริงๆหรอกนะเนี่ย”


    “ได้ครับสัญญาเลยครับว่าจะไม่เล่าให้เพื่อนฟังแน่นอน” 


    “โอเค...คืองี้นะ  สโนว์น่ะ  เขาเป็นโรค...กลัวผู้ชาย”  พี่เขากระซิบเสียงเบาบอกผม


    “ห..ห่ะ..โรคกลัวผู้ชาย?  มันมีโรคนี้ด้วยหรอครับ”  ผมงงเป็นไก่ตาแตก  เกิดมาไม่เคยได้ยินชื่อโรคนี้  เออถ้าโรคบ้าผู้ชายว่าไปอย่าง  ผมเห็นบ่อย เพราะทั้งอาม่า ม๊า อาหลิงก็เป็นโรคบ้าผู้ชายเหมือนกัน  ดูละครพี่เคนทีกรี้ดกันเป็นสาวน้อยไปหมด  แต่นี้อะไร  โรคกลัวผู้ชาย  ทั้งที่ตัวเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันเนี่ยนะ?????  แม่งไม่เมคเซ้นเลยว่ะ


    “ก็ประมาณนั้น  มันเหมือนเป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่งนะจ้ะ  คือตอนน้องเด็กๆ  ครอบครัวเราอยู่ที่ต่างประเทศกัน  แบบลงหลักปักฐานที่นั่นเลย  พอน้องเข้าโรงเรียน  น้องก็โดนเด็กผู้ชายแกล้งบ่อยแถมแกล้งแรงด้วย  แบบว่าเป็นเด็กเอเชียด้วยเลยเหมือนโดนเหยียดแถมตัวก็เล็กกว่าใครสู้เขาไม่ได้น่ะ หนักสุดเคยโดนจับไปขังไว้ในตู้ล็อกเกอร์มืดๆคนเดียวด้วยทั้งวันไม่มีใครมาเจอ  กว่าจะออกมาได้ก็ตอนที่แม่เขามาตามที่โรงเรียนเพราะน้องไม่ได้กลับพร้อมรถรับส่งนักเรียนนั่นแหละเลยเหมือนฝังใจกลัวผู้ชายไปเลย”


    พอได้ฟังแบบนั้นแล้วผมโคตรโมโหอยากจะจับพวกเชี่ยนั่นมากระทืบให้หมดจริงๆ  ไอ้ห่าแกล้งอะไรแรงแบบนั้นวะ  ถ้าเขาขาดอากาศหายใจตายทำไง  แม่งไม่มีสมองคิดกันจริงๆ  เด็กเปรตฉิบหาย!


    “ใจเย็นๆน้อง  ไม่ต้องทำหน้าน่ากลัวเหมือนจะไปฆ่าใครขนาดนั้นก็ได้  พี่เห็นล่ะขนลุกนะเนี่ย”  พี่เขาพูดหวาดๆ   นี่หน้าผมมันออกขนาดนั้นเลยหรือว่าอยากจะไปฆ่าคน  เลยต้องปรับสีหน้ากันใหญ่


    “ขอโทษครับผมอินไปหน่อย  แล้วแบบนี้ก็แย่เลยสิครับ  เจอเรื่องร้ายๆแบบนั้นแต่เด็ก แล้วคุณแม่สโนว์จัดการยังไงครับเอาพวกมันเข้าคุกเลยหรือเปล่า”



    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะเพราะว่าก็ยังเป็นเด็กกัน  พวกพ่อแม่เด็กก็ขอโทษจริงๆเขาก็ไม่รู้ว่าลูกเขาจะทำเรื่องแย่ๆแบบนั้นพร้อมกับสัญญาว่าจะสั่งสอนลูกให้ดีกว่านี้  แม่เองเขาก็เป็นคนใจดีด้วยเลยไม่เอาความ....แต่ก็เลือกเปลี่ยนให้สโนว์มาเรียนแบบโฮมสคูลแทน  แก้ปัญหาไปเฉพาะหน้าก่อนเพราะสโนว์ไม่ยอมไปโรงเรียนท่าเดียว  แต่ก็เหมือนเป็นการหนีปัญหากลายๆนะ  เพราะสุดท้ายสโนว์ก็ยังกลัวผู้ชายอยู่ดี”



    “งั้นแบบนี้เขาคงใช้ชีวิตลำบากน่าดูสิครับ  ถ้าไปไหนมาไหนต้องเจอแต่ผู้ชายเดินทั่วมหา’ลัยแบบนี้  แถมในคณะก็มีอัตราผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิงด้วย”   ผมพูดไปอย่างเป็นกังวลแทน


    “สโนว์ก็ไม่อาการแย่มากเหมือนตอนเด็กหรอกที่เห็นผู้ชายไม่ได้เลยตัวสั่นไปหมด   เพราะพอสโนว์โตขึ้นก็อาการดีขึ้นตามลำดับจ้ะ  เขาเองก็พยายามทำตัวให้เข้มแข็งออกกำลังกายให้ตัวสูงใหญ่พอจะป้องกันตัวเองได้น่ะ   คืออาการของสโนว์ในตอนนี้คือเห็นผู้ชายได้นะ  แต่อย่ามาเข้าใกล้ในระยะ 1 เมตรจะเริ่มอาการออกล่ะ  ยิ่งถ้ามาถูกตัวนี่ก็จะช็อคไปแบบนั้นล่ะ ...”



    “ก็ค่อนข้างใช้ชีวิตยากนิดนึง  แต่ทำไงได้สโนว์เองก็ต้องเรียนมหา’ลัย  มันเลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ   ที่เขาเลือกกลับมาไทยก็เพราะเห็นว่าผู้ชายไทยตัวเท่าๆกันกับเขานี่แหละ  ไม่ได้ตัวใหญ่น่ากลัวเหมือนพวกฝรั่ง  เลยคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหามากนัก  แต่ยังไม่ทันไรก็เข้าโรงพยาบาลซะล่ะ....เฮ้ออออ  พี่เองก็หนักใจแทนเหมือนกันนะ ก็เลยเลือกกลับมาหางานทำที่ไทยอยู่เป็นเพื่อนเขาด้วย”


    ยิ่งฟังผมก็ยิ่งเห็นใจสโนว์ไวท์   เหตุการณ์การกลั่นแกล้งแบบนั้นมันไม่ควรมีเด็กคนไหนต้องพบเจอจริงๆ  ไอ้พวกเด็กเปรตมันจะรู้ไหมว่าสร้างแผลบาดลึกแค่ไหนในใจของเด็กคนนึง  แล้วถ้าพวกมันรู้ พวกมันจะสำนึกหรือเปล่า...



    “พี่ไม่ต้องห่วงนะ  จากนี้ไปผมจะปกป้องเขาเองครับ”
   







    แต่ขอไปปรึกษามันสมองของบ้านอย่าง ม๊า! ก่อน






โปรดติดตามตอนต่อไป :3123:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +อาการกลัวผู้ชาย+
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-01-2018 19:13:54
น่าสงสารสโนว์นะ คงจะฝังใจอย่างมาก ว่าแต่พี่โอ้เอ้ ต้องดูแลน้องดีๆ นะ
 :man1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +อาการกลัวผู้ชาย+
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-01-2018 20:18:33
ดูจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการใช้ชีวิตในสังคมนะ
ทางบ้านของสโนว์น่าจะพาไปพบจิตแพทย์ จะได้แก้ไขได้ตรงจุด
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +อาการกลัวผู้ชาย+
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 15-01-2018 23:52:32
เมื่อสโนไวท์กลัวผู้ชาย โอ้เอ้เลยกลายเป็นตุ๊ด(?)ชั่วคราว
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +อาการกลัวผู้ชาย+
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-01-2018 01:21:59
ไปปรึกษาม๊า คงจะได้คำแนะนำดี ๆ มาแน่นอน  :hao3:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +อาการกลัวผู้ชาย+
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 18-01-2018 17:13:06


EP. 3. รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ



    ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นสโนว์ก็ไม่ได้มาเข้าร่วมกิจกรรมอะไรกับคณะอีกเลย   ผมก็ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากว่าทำไมถึงทำแบบนั้นได้  เพราะตัวผมเองก็ยุ่งๆทั้งเรื่องกิจกรรมต่างๆแล้วยังต้องวุ่นกับการหาหอย้ายหออีก    แต่ก็เบาใจไปหนึ่งเปราะที่เขาไม่ต้องมาเจอกับสถานการณ์น่าอึดอัดใจอีก  แต่เมื่อถึงวันเปิดเรียนซึ่งปี 1  วิศวะเขาจะเรียนวิชาบังคับพื้นฐานรวมอยู่แล้วยังไม่ได้แยกเอกกัน  ก็เลยมีกลุ่มผู้หญิงรวมตัวกันอยู่หลายกลุ่ม   สโนว์เองก็อยู่กับกลุ่มผู้หญิงเช่นกันครับ   ในหนึ่งอาทิตย์จะมีแค่ 2 วิชาเท่านั้นที่ผมกับสโนว์ได้เรียนกับอาจารย์คนเดียวกัน เซคเดียวกัน  นอกนั้นก็เรียนไม่ตรงเวลากันเลยครับ  แอบเศร้าเล็กๆ  แต่เรื่องแค่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนักเพราะผมน่ะ...ไปแอบดูน้องเขาทุกวัน



    ก็ไม่รู้ว่าจะเหมือนโรคจิตหรือเปล่าแต่ทำไงได้ล่ะครับ  เพราะว่า...ม๊าบังคับ! 555+  คืองี้ช่วงที่น้องนอนโรงพยาบาลไอ้ผมก็กลัวน้องเขาจะยังขวัญเสียเลยขอเฟสบุ๊คพี่เบลล์ พี่สาวของสโนว์ไว้ติดต่อกัน  แล้วก็กลับไปเปิดเพจนังเซ่นไหว้ครับ  ถ่ายรูปไปลงเพจหลายรูปตอนแรกนังเซ่นไหว้ก็ทำท่ารำคาญผมมากจะถ่ายอะไรนักหนา  แต่พอผมบอกว่าจะเอาไปให้น้องสโนว์ดูมันก็แอ็คท่าเป็นแมวน้อยใสซื่อใส่กล้องทันที  โถถถถถ มึงมันร้ายจริงๆนังเซ่นไหว้! ม๊ามาเห็นก็ถามว่าทำอะไรผมก็บอกไปว่าน้องสโนว์ป่วยเลยจะถ่ายรูปนังเซ่นไหว้ไปให้กำลังใจ  แต่ไม่ได้บอกสาเหตุนะครับว่าทำไมถึงป่วยเพราะผมก็มีสัจจะพอตัวไม่บอกต่อตามที่สัญญา   (จริงๆเกือบจะไปเล่าแล้วขอคำปรึกษาม๊าแล้วล่ะแต่นึกขึ้นได้ว่าสัญญากับพี่เบลล์ไว้แล้ว  อีกอย่างผมอยากลองคิดหาวิธีช่วยปกป้องสโนว์เองด้วย  ม๊าจะได้ไม่ด่าว่าผมโง่อีก!)


    ม๊าก็เห็นดีเห็นงามไปหาซื้อชุดซื้อพร็อพมาตกแต่งให้นังเซ่นไหว้ใหญ่   จนพอผมอัพรูปลงเพจไปหลายรูปแล้วก็ไปทักแชทหาพี่เบลล์ว่าให้ไปกดแชร์เพจนังเซ่นไหว้หน่อย  แล้วก็ตามคาด  น้องสโนว์ก็ตามมากดไลค์เพจนังเซ่นไหว้ครับ  คงยังจะจำมันได้อยู่ แถมกดหัวใจที่รูปให้ด้วย  ผมงี้ยิ้มหน้าบาน ^__^  เป็นไงความคิดผมโคตรฉลาดเลยใช่ไหมล่ะ  ม๊าจะได้รู้สักทีว่าผมน่ะไม่ได้โง่สักหน่อย  ถึงแม้ผมจะไม่ได้เข้าไปอยู่ใกล้ๆแต่ก็ตั้งใจทำทุกอย่างให้สโนว์ไวท์ของผมมีความสุขแม้เพียงเล็กน้อยก็คุ้มกับที่ทุ่มเทไปแล้วครับ  โหแม่ง โคตรพระเอกเลยว่ะ  เขินนน  555+


    แล้วน้องสโนว์เขาก็ชอบแชร์รูปนังเซ่นไหว้ด้วย  ก็เลยทำให้เพจนังเซ่นไหว้มีคนมากดไลค์มากขึ้นเกือบถึงร้อยแล้ว  แต่ยอดไลค์เพจจะเยอะหรือไม่เยอะไม่สำคัญหรอกครับ  เพราะเพจนี้น่ะ ‘ผมทำมาเพื่อสโนว์คนเดียว’ สโนว์มีมาทักคุยเหมือนกันแบบชมนังเซ่นไหว้ว่าน่ารัก อะไรประมาณนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรคือกลัวหลุดอ่ะครับ  แล้วทีนี้ม๊าก็เห็นว่าทำไมไม่เอารูปสโนว์มาให้นังเซ่นไหว้ดูบ้าง  อย่างงี้นังเซ่นไหว้ก็ขาดทุนสิ  แล้วก็สั่งให้ผมไปหารูปน้องมาให้นังเซ่นไหว้ดูทุกวันเช่นกันเพราะไม่งั้นม๊าจะไม่ถ่ายรูปนังเซ่นไหว้อัพลงเพจให้  เพราะจันทร์ถึงศุกร์ผมอยู่หอใกล้มหาวิทยาลัย  อย่างที่รู้ๆกันว่าปี 1 กิจกรรมเยอะเลิกก็ดึก เช่าหออยู่จะสะดวกกว่า  เลยต้องรับบัญชาการของม๊ามาแอบตามถ่ายรูปน้องเขา  คือผมไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คสโนว์ไง  เคยให้อาหลิงสร้างเฟสปลอมไปแอดน้องเขาก็ไม่รับ  เหมือนจะรับแต่คนที่สนิทกันจริงๆแล้วตั้งเป็นส่วนตัวทุกอย่างเลยหารูปน้องไม่ได้เลย  จะให้ไปขอรูปจากพี่เบลล์ทุกวันก็ดูจะบ้าเกินไป   เลยต้องมาแอบตามถ่ายแบบเนียนๆไป  รู้นะว่าโคตรละเมิดสิทธิส่วนบุคคล  แต่ขัดใจม๊าไม่ได้เดี๋ยวโดนตัดจากกองมรดก TT 


    แต่ก็พยายามเอาแต่รูปที่น้องดูดีส่งให้ม๊าแค่วันละรูปพอ  ไม่ได้ถึงขั้นตามถ่ายมันทุกวันขนาดนั้นนะครับ  แบบว่าผมจะแค่แว๊บไปดูน้องเขาตรงที่นั่งประจำกลุ่มแล้วทำเนียนเป็นเล่นโทรศัพท์แต่จริงๆคือถ่ายรูปสโนว์หลายๆรูปเอาอาทิตย์ล่ะครั้ง  แต่ไปแอบมองเฉยๆน่ะทุกวันประมาณว่าถ้าไม่ได้เห็นหน้าสโนว์ไปแค่วันเดียวมันรู้สึกเหมือนอะไรขาดหายไปน่ะครับ  แม่งโคตรเป็นการกระทำที่เหมือนสาวแรกรุ่นแอบชอบรุ่นพี่ฉิบหาย


    แต่ก่อนตอนผมอยู่มัธยมก็เคยคิดว่าเพื่อนผู้หญิงในห้องมันจะอะไรกับคนที่แอบชอบนักหนาแค่เห็นเขาเดินผ่านหน้าห้องก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เขินจนเอาหน้าซุกโต๊ะแทบพัง  แต่พอมาเป็นกับตัวเองถึงได้เข้าใจว่า   การที่เราชอบใครสักคนนึง  แค่ได้เห็นหน้าเขาเราก็มีความสุขจนฟินไปทั้งวันแล้วล่ะครับ


    แค่ได้เห็นเพียงเศษเสี้ยวของใบหน้า  ใจพี่อันโทนิโอ้หนาก็สั่นไหว


    ถึงได้มองจากมุมไกลๆอยู่ร่ำไป   แต่หัวใจไอเลิฟยูทุกนาที


    ฮิ้ววววววว  แต่งกลอนสมกับที่ได้เกรด  2  ภาษาไทยจริงๆ!  โถถัง  ความสามารถไม่มีแต่อยากจะโชว์อีกนะผม




    “มึงๆนั่นไงน้องสโนว์ไวท์  เจ้าหญิงแห่งวิศวะปี 1  หน้าตาดีสัส”  ไอ้เด็กอีกกลุ่มนึงที่นั่งรวมกันอยู่ 3 คนโต๊ะข้างๆผมพูดถึงน้องสโนว์  ทำให้ผมรู้ว่าสโนว์เองก็ป๊อบเหมือนกันมีคนรู้จักเยอะเลยแหะ



    “คนนี้เองหรอวะ เออแม่งตัวขาวสมฉายาจริงว่ะ  น่าทำให้เป็นรอยแดงๆไปทั้งตัวฉิบหาย”



    “ไอ้สัสเสือกคิดเหมือนกูอีก”



    “ฮ่าๆๆๆๆ”  แล้วพวกมันก็รวมหัวกันหัวเราะกับความคิดต่ำๆแบบรู้กัน  เล่นเอาหางคิ้วผมกระตุกจิ้กๆๆๆ  ปลายตีนผมคันยิบๆๆ กัดฟันแน่นจนได้ยินเสียงกรอดชัดเจน


    “มึงเข้าไปจีบน้องเขาดิวะ ไอ้ชาร์ล  มึงหล่อแบบนี้เพื่อน้องเขาจะเล่นด้วย”


    “เฮ้ย  แต่ระวังหน้าแหกกลับมานะเว้ย  ได้ข่าวว่าน้องเขาหยิ่งฉิบหายใครเข้าไปจีบไม่เคยเปิดปากคุยด้วยเลย  ขนาดไอ้เดือนมหา’ลัยทั้งปี 1 กับปีของรุ่นเราไปจีบ น้องแม่งยังเดินเชิดหนีใส่เลยนะเว้ย” ก็เพราะน้องเขาเป็นโรคกลัวผู้ชายหรอก  ไม่ได้หยิ่งสักหน่อยเถอะออกจะใจดีมีเมตตาต่อสัตว์....แต่เรื่องเมินกระทั่งเดือนมหา’ลัยนี่แสดงว่าหน้าตาไม่มีผลต่อน้องสโนว์เลยสินะ    งั้นผมก็มีสิทธิ์สิวะแบบนี้ เพราะถ้าตัดเรื่องหล่อไม่หล่อออกไปที่เหลือก็เป็นเรื่องของหัวใจล้วนๆ  น้องเขาอาจเป็นคนชอบคนที่จิตใจงี้ โอ้โห  แม่นางฟ้ากลับชาติมาเกิดแท้ๆสโนว์ไวท์ของพี่อันโทนิโอ้........นี่ผมมองโลกในแง่บวกเกินไปป่าววะ - -



    “เขาอาจจะชอบผู้หญิงก็ได้มึง  ถึงเขาจะหน้าออกหวานไปนิดแต่โดยรวมก็ผู้ชายคนนึงนะเว้ย  คงไม่ได้ชอบผู้ชายเลยปฏิเสธโดยการเมินใส่แบบนี้ป่าว”   เออ ไอ้ห่าชาติชั่วอะไรนี่พูดมีเหตุผล  น้องเขาอาจจะชอบผู้หญิงก็ได้วะ  งี้โอกาสกูก็เท่ากับศูนย์เลยดิว่ะ  ทำไมถึงลืมนึกถึงข้อนี้ไปได้นะ


    “แต่ไม่ลองดูสักตั้งก็ไม่รู้นะเว้ย  มึงอาจจะฟลุ๊คก็ได้เทรนหน้าเก้วกราดๆแบบมึงกำลังมาเว้ย  อาจจะเป็นสเป็คน้องเขา  ลองเลยมึงกูเชียร์เต็มที่”   เฮ้ย จริงหรอวะหน้าเก้วกราดๆ  เฮ้ยไม่ใช่ดิ มันต้องเกี้ยวกราดไหมล่ะ  เอ๊ะ หรือเกรี้ยวกราดวะ เห้ย อันไหนกันแน่วะเนี้ย  ครูสอนภาษาไทยผมคงน้ำตาไหล โตเป็นควายยังสะกดไม่ถูก  ถุย! ใช่เวลามาสงสัยไหม  ไอ้ชาติชั่วนั่นลุกขึ้นเตรียมจะไปจีบน้องสโนว์แล้ว  ม่ายยยยยยยย



    “โทษนะครับ!  จะเข้าไปคุยกับน้องสโนว์หรอครับ!”  ผมถามไอ้ห่าชาติชั่วพร้อมกับทำหน้าเก้วกราดๆไปด้วย



    “..ใช่...มีอะไรป่ะ”   มันถามแบบลองเชิง  ก้มมองผมที่นั่งอยู่ประนึงว่ามันเหนือกว่าทุกอย่าง  ผมเลยลุกยืนแม่งให้มันรู้ว่าผมน่ะเหนือกว่ามัน  หึหึหึ เพราะผมตัวสูงกว่า!  พอเห็นความสูงที่แตกต่างกันเยอะตัวมันก็เริ่มหดไปหน่อยแต่ก็ยังทำใจเสือสู้


    “ผมน่ะไม่มีอะไรหรอก....แต่เจ้านายผมมีแน่  ถ้าขืนคุณยังคิดจะเข้าไปยุ่งกับคุณสโนว์ต่อ  อย่าหาว่าผมไม่เตือน”   ไงล่ะ อึ้งดิอึ้ง  เจอการแสดงประนึงเจ้าพ่อเซียงไฮ้มาอยู่ตรงหน้าไปถึงกับเหวอสิท่า  คิดจะเป็นตัวโกงแบบมีระดับมันต้องแบบผมนี่อาม่าอดีตนางเอกงิ้วเทรนมาอย่างดีนะเฟร้ย  ตาต้องนิ่งไม่ไหวติง  แสดงถึงความเอาจริงไม่ล้อเล่นผ่านออกมาจากดวงตาถึงจะดูมีอำนาจ  น่าเกรงขาม    ส่วนเรื่องเจ้านายนั่นผมเมคเอาตามที่เคยดูหนังฮ่องกงมา  มันดูแบบยิ่งใหญ่ดี  เอิ๊กๆๆๆ  แต่ถ้าสโนว์มีพ่อเป็นเจ้าพ่อจริงๆ  ผมคงไม่กล้าเล่นมุกนี้ เหอๆ



    แล้วก็ได้ผลไอ้ชาติชั่วรวมถึงเพื่อนมันพากันกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ   สำรวจตัวผมไปด้วยว่าแม่งพูดจริงหรือพูดเล่น



    “คิดว่ารอยแผลเป็นที่หน้าผม  มันโดนหนามเกี่ยวมาหรือไง ถึงได้มองนัก”  ฮัดช่า  เล่นใหญ่เข้าไปอีก  ไอ้พวกนั่นก็คงเริ่มเชื่อแล้วล่ะว่าผมไม่ได้พูดเล่นๆ เป็นคนมีหน้าตาเป็นอาวุธก็งี้แหละ โฮะๆๆๆ  เฮ้ย แม่งสนุกดีว่ะ



    “พวกมึงใกล้เวลาขึ้นเรียนแล้วกลับขึ้นห้องเหอะว่ะ  เดี๋ยวอาจารย์แม่งจะล็อคห้องไม่ให้เข้า”  เพื่อนมันคงนึงพูดแก้สถานการณ์  ซึ่งก็พูดได้แบบดูฉลาดฉิบหาย แบบดูเท่อ่ะ ต้องไปก่อนเพราะมีธุระนะไม่ได้กลัวมึงเลยงี้  ห่า แม่งได้ว่ะประโยคนี้  กูจะจดไว้ก๊อปปี้เอาไปใช้บ้าง เหอๆๆ   แล้วพวกมันก็พากันไปเดินไปครับแต่ผมก็นึกอะไรได้มาบางอย่าง  ที่ผมคิดว่าโคตรเจ๋งและต้องพูดเดี๋ยวนี้ตอนนี้ด้วย   “เดี๋ยวก่อน  อย่าเพิ่งไป”  พวกมันก็หยุดหันมามองผมอีกแบบหวาดๆเพราะผมยังเก็กหน้าเป็นตัวโกงแบบมองระยะ 100 เมตรก็ยังรู้ว่าเป็นตัวโกงอ่ะครับ



    “หวังว่าพวกคุณจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่มีคนของเจ้านายผมแฝงตัวเขามาจับตาดูคุณสโนว์นะ  เหยียบให้มิด  เข้าใจไหมครับ”


    พวกนั้นไม่พูดอะไรแต่รีบหันหลังจ้ำเดินหนีไปอย่างไว   พอพวกนั้นไปจนพ้นสายตาผมก็ปล่อยก๊ากขึ้นมาทันที  55555+   โหแม่ง ฉากเมื่อกี้ถ้าช่องหลายสีมาเห็นต้องจับผมไปเป็นพระเอกบู๊ไม่ก็ตัวโกงในละครแน่นอนอ่ะ ทำไปได้ไงวะผม  ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่อาม่าสอนให้จะเอามาใช้ได้จริง  ยอดเยี่ยมสุดๆ



    ส่วนเรื่องที่บอกให้เหยียบความลับไว้ นั่นก็เป็นเพียงอุบายครับ  เพราะสันดานมนุษย์ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากทำ  ยิ่งบอกว่าความลับก็ยิ่งคันปากอยากเล่าให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองน่ะรู้อะไรๆมากกว่าคนอื่นนะโว๊ย  เพราะงั้นผมเชื่อว่าหนึ่งในสามคนนั้นต้องคันปากไปเล่าให้ใครฟังบ้างแน่ๆ  แล้วคิดว่าข่าวนี้ก็จะถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ  ถ้ามีคนเชื่อก็น่าจะลดจำนวนผู้ชายที่จะเข้าหาน้องสโนว์ไปได้.....เนี่ยเห็นป่ะว่าผมอ่ะ  แอบฉลาดอยู่นะจ๊ะ  แต่ม๊าไม่รู้บ้างเลย~  แอบมีสมองอยู่นิดๆ ไม่ได้กลวงไปหมดเลย~~  555+



    คราวนี้แหละก็จะไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้าหาสโนว์ไวท์ของผมแล้วววววววว



    แล้วสโนว์ก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสักที   ดีใจจังที่ผมเป็นคนที่สามารถปกป้องเขาได้ตามที่เคยสัญญาไว้.....











มีต่อ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +อาการกลัวผู้ชาย+
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 18-01-2018 17:14:23





    แต่เหมือนว่าผมจะคิดน้อยเกินไป.....


    “มึงๆ  กูได้ข่าวมาเว้ย เม้าท์ๆๆๆ”   เสียงผู้หญิงคนนึงพูดเสียงค่อนข้างดังขึ้นมาจากโต๊ะด้านหน้าผม  โคตรรบกวนการนอนในห้องเรียนมาก 


    “ว่าๆๆๆๆๆอะไรมึง เม้าท์ด่วนค่า”  แม้ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมาดูก็รู้ว่าพวกหล่อนคงกำลังนั่งสุ่มหัวกันเป็นวงกลมแน่นอน


    “มึงรู้จักสโนว์ใช่ไหม”  หืม  เกี่ยวกับสโนว์หรอ?  สงสัยคงจะเม้าท์ว่าสโนว์มีบอดี้การ์ดมาตามคุมใช่ไหมล่ะ   ตัวการอยู่ข้างหลังนี่เองคร้าบผม  ไม่อยากจะพูดขัดเลยปล่อยให้สาวๆเขาเม้าท์กันไป


    “มีใครไม่รู้จักบ้างวะ  เล่นชักกลางวันรับน้องซะขนาดนั้น ว่าแต่สโนว์มีเรื่องอะไรหรอมึง”


    “เออก็วงในเขาเม้าท์กันมาว่าสโนว์อ่ะ....คือรู้แล้วเหยียบไว้เลยนะเว้ยเพราะลับมากๆท๊อปซีเครทสุดๆ”  แหมประโยคคุ้นๆคล้ายว่าผมจะเคยพูดไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง



    “เออมึงรีบเล่าเหอะน่า  กูอยากเสือกจนตัวสั่นล่ะ”



    “เออๆเล่าแล้วนี่ไง  คือเขาเม้าท์กันว่าสโนว์อ่ะ...เด็กเสี่ยเว้ยแก  แล้วแบบไม่ใช่เสี่ยไก่กาอ่ะ คือแบบเป็นหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียเลยนะมึง  ถึงขนาดให้ลูกน้องมาเฝ้าที่มอเลยเว้ยแก  เห็นเขาบอกว่าไอ้จั๊มเด็กบริหารที่เคยมาขอไลน์สโนว์ก็โดนกระทืบด้วยฝีมือลูกน้องเสี่ยของสโนว์แหละ”    เฮ้ย  เม้าท์เรื่องเหี้ยอะไรกันวะเนี้ย  ข่าวมั่วฉิบหายวงในห่าอะไร  ไอ้จั๊มนั่นที่โดนกระทืบเพราะไปแอบอึ๊บแฟนเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนผมหรอกถึงได้โดนรุมตีนต่างหาก! ผมลุกเงยหน้าขึ้นมาตั้งใจฟัง  เพื่อหูจะฝาดไปเองก็ได้ นอนทับหูด้วยเมื่อกี้


    “จะจริงหรอวะมึง  สโนว์นิสัยดีนะเว้ยดูเป็นคนมีชาติตระกูลด้วยไม่น่าเป็นเด็กเสี่ยหรอก  ดูเหมือนจะไม่ชอบอยู่กับผู้ชายด้วยซ้ำ”  ผู้หญิงคนนึงที่ตัวเตี้ยพูดแย้งขึ้นมา  ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้เพราะไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ขอบคุณมากที่ช่วยแก้ข่าวให้



    “แต่มันก็ 50 50 นะเว้ยมึง  กูแปลกใจตั้งแต่สโนว์ไม่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของมอก็ได้แล้วล่ะ  ตอนนั้นยังนึกเลยว่าเส้นใหญ่มาจากไหนวะ  พออีกนุ๊กเล่ามาแบบนี้กูก็แอบเชื่อนะ  ไหนจะรถพอร์ชนั่นอีกถ้าที่บ้านไม่รวยมากกกก  จะมีปัญญาที่ไหนไปออกรถว่ะ  พวกมึงไม่สงสัยหรอ”   อ้าวอีหน้าแหลม  ทำไมมาพูดใส่ร้ายสโนว์แบบนั้นล่ะวะ



    “จริงมึง  กูว่าที่สโนว์ไม่ค่อยอยู่ใกล้ผู้ชายเพราะกลัวเสี่ยรู้มากกว่าว่ะ  คือที่กูเชื่อแบบนั้นเพราะคนที่เล่าให้กูฟังมาเขาวงในจริงๆนะมึง  แบบเชื่อถือได้อ่ะ”  อีนังตัวต้นเรื่องก็ยังเสี้ยมไม่หยุด



    “วงในพ่องงงง   ไหนไอ้คนวงในนั่นมันอยู่ไหนพามาเจอหน่อยดิ  ข่าวมั่วชัดๆก็เชื่อกันไปได้นะคนเรา!”  ใช่ครับ  ผมด่าเองแหละไม่มีใครมาด่าแทนทั้งนั้น  หน้าตัวเมียก็ยอมล่ะนาทีนี้  เพราะสิ่งที่ฟังมันเสนียดหูจริงๆ  ทนฟังต่อไม่ไหวแล้วไง   กลุ่มผู้หญิงตรงหน้าก็เหวอกันไป  คนทั้งห้องก็หันมามองว่าผมเป็นบ้าอะไรยืนด่าผู้หญิงเฉย 



    “ไอ้จั๊มที่โดนกระทืบเพราะมันไปแย่งเมียคนอื่นเขาเว้ยเลยโดนเจ้าของเขามาตามกระทืบไล่ความเหี้ย!  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสโนว์เขาเลย  แล้วสโนว์ก็ไม่ได้เป็นแบบที่พวกเธอเม้าท์แน่นอน!”   ผมยังตะโกนลั่นเล่าความจริงกลับไปจะได้ไม่ต้องเข้าใจกันไปผิดๆอีก


    “เฮ้ย  ใจเย็นดิไอ้โทนี่  อย่าหัวร้อนดิวะ”  ไอ้โปพยายามจะดึงผมให้กลับลงไปนั่ง



    “ใจเย็นไม่ไหวว่ะ  กูไม่ชอบที่จะปล่อยให้เม้าท์กันไปผิดๆแบบนี้  ก่อนจะเม้าท์เชี่ยอะไรก็หัด ค.ว.ย คิดวิเคราะห์แยกแยะมั่งนะ!  ว่ามันน่าเชื่อถือหรือเปล่า  ไม่ใช่แม่งสักแต่จะเม้าท์  ใครจะเสียหายชีวิตพังยังไงไม่สนกูขอเม้าท์เอามันส์ไว้ก่อน  ทำตัวให้มันเหมือนคนมีการศึกษามีความคิดหน่อย! ไม่งั้นก็อย่ามาเรียนมหา’ลัยให้มันเปลืองตังค์เลยถ้ายังคิดได้แค่นี้”  ผมพูดจบก็เดินออกจากห้องแม่ง   ยอมรับว่าโคตรหงุดหงิด หัวร้อนสุดๆ ขืนยังอยู่ข้างในต่อผมคงคุมอารมณ์เลือดร้อนตัวเองไม่ได้แน่นอน



    ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก!  ปั้ก!  ปั้ก! 


    พอเดินมาหลังตึกคณะผมก็ชกผนังปูนแข็งๆไปเต็มแรงหลายๆหมัดเพื่อระบายความโกรธ  โกรธตัวเองนี่แหละครับ…


    ทำไมมึงโง่แบบนี้ห่ะไอ้อันโทนิโอ้   ปั้ก! 

    ทำอะไรทำไมไม่คิดให้ถี่ถ้วน  ปั้ก!

    เห็นไหมผลจากการปล่อยข่าวไปแบบนั้นทำน้องเขาเสียหาย  ปั้ก!

     มึงมันโง่แบบที่ม๊าพูดไม่มีผิด  ไอ้โง่เอ๊ย ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก!


    ต่อยจนหลังมือเป็นแผลเหวอะจนเริ่มรู้สึกเจ็บผมก็เลยหยุด  ทรุดตัวลงพิงกับผนังแบบไม่เหลือสภาพ  ผมคิดน้อยไปจริงๆ  ลืมไปว่านิสัยคนอีกอย่างคือชอบใส่สีตีไข่ผสมไปด้วย  ปากต่อปาก แต่ตีความไปคนละทิศละทางแทบไม่เหลือเคล้าความจริงหลงอยู่เลย   ตอนรับน้องพี่เขาก็เคยให้เล่นเกมปากต่อปากที่ให้ต้นแถวอ่านประโยคๆหนึ่งแล้วพูดต่อไปเรื่อยๆจนถึงแถวท้ายให้ลุกขึ้นพูดว่าได้ยินประโยคอะไร  ซึ่งแต่ล่ะแถวแม่งก็พูดไม่เคยตรงกับในกระดาษสักคนเดียว  ทำไมตอนนั้นผมลืมนึกถึงข้อแบบนี้ไปทั้งที่มันสำคัญฉิบหาย


    ผมในตอนนี้โคตรรู้สึกแย่ที่เป็นต้นเหตุทำให้คนเข้าใจสโนว์ไปในทางที่ไม่ดี  ไม่รู้ว่าปานนี้สโนว์จะได้ยินเรื่องแบบนั้นเข้าหูหรือเปล่า ถ้าได้ยินจะรู้สึกแย่อีกไหม จะหวาดกลัวผู้คนไปด้วยหรือเปล่า  แค่คิดว่าสโนว์จะเป็นแบบนั้นผมก็ยิ่งโคตรรู้สึกผิด  เหมือนผมไปเพิ่มแผลในใจให้น้องเขาเลย  ทั้งที่รับปากว่าจะปกป้องแท้ๆแต่กลับกลายเป็นทำลายไปซะอย่างนั้น   ผมมันแย่จริงๆ  โคตรเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง พอคิดแบบนั้น ผมเลยเลือกที่จะโดดเรียนเพราะวิชานี้ได้เรียนตรงกับน้องสโนว์ ยอมรับว่าไม่กล้าจะไปเจอหน้าน้องเขาแล้ว   




    “ฮัลโหล อาม่าหรอ”   หลังจากรอสายอยู่เป็นนาทีเสียงพูดแก่ๆสำเนียงจีนก็ดังขึ้นที่ปลายสาย


    (เออ ก็อั๊วะนะซี  ลื้อโทรมามีอะไรว๊าอาอันโทนิโอ้  คิดถึงอั๊วะหรือไง)


    “อาม่า...วันนี้อั๊วะจะกลับบ้านนะ”  พอได้ยินเสียงของอาม่า  ผมแม่งก็น้ำตาคลอมาซะงั้นแต่ก็ต้องฮึ๊บไว้  มาร้องไห้กลางมหาวิทยาลัยแบบนี้อายเขาตายเลย   คนแมนอย่างผมไม่ยอมหลุดน้ำตาไหลง่ายๆหรอก



    (...เออ จะมาก็มาสิว๊า   ขับรถมาดีๆแล้วกันไม่ต้องรีบบิดนัก รู้ไหมห๊าอาอันโทนิโอ้)



    “อื้อ  อั๊วะรู้แล้ว งั้นแค่นี้นะอาม่า”   ผมรีบกดตัดสาย แล้วเงยหน้าทำเป็นมองฟ้า  น้ำตาจะได้ไหลคืนเข้าไป  พอเริ่มเข้าที่ผมก็เดินไปคว้ามอเตอร์ไซต์คู่ใจที่อ้อนม๊าอยู่ 1 เดือนกว่าจะใจอ่อนยอมซื้อให้ และสวมหมวกกันน็อคอันเก่งที่ป๊าเอาไปให้พระเจิมกันเหนียวมาใส่ให้เรียบร้อย  ไขกุญแจที่มีพวงกุญแจอักษรจีนผิงอันแปลว่าปลอดภัยที่อาม่าปักครอสติกใส่ให้คล้องกับกุญแจรถ  ในเวลาที่รู้สึกอ่อนแอฉิบหายแบบนี้  เห็นอะไรก็นึกถึงครอบครัวไปหมดเลยจริงๆ  ไอ้อันโทนิโอ้คนเขลาขอกลับไปให้ม๊าด่าก่อนนะครับ






    กว่าจะถึงร้านก็ห้าโมงเย็นแล้ว  เพราะผมขับรถมอเตอร์ไซต์ไปเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน  วันนี้ร้านปิดเร็วกว่าทุกวัน  แต่ก็เห็นป๊ากับม๊ากำลังช่วยกันเรียงสร้อยทองอยู่ในคอกกั้นส่วนอาม่านั่งรออยู่ตรงโซฟาในร้านแต่เพราะล็อคประตูไว้  ผมเลยเดินไปเคาะเบาๆอาม่าก็หันมามองแล้วรีบมาเปิดประตูให้เข้า



    “อาม่า หวัดดี  ป๊า หวัดดี ม๊า หวัดดี”  ผมยกมือไหว้ทุกคนในครอบครัวเหมือนเดิมเวลาที่กลับถึงบ้านแล้ว  ป๊า ม๊า อาม่าก็พยักหน้ารับรู้


    “อ้าว  มาแล้วหรออาอันโทนิโอ้  หิวไหมเข้าไปหาอะไรกินในบ้านก่อนสิ”   ม๊าพูดหยุดเรียงทองไปก่อน


    “ไม่เอาอ่ะม๊า  มีอะไรให้อั๊วะชอบทำไหม  อั๊วะเบื่อๆ”   จริงๆคือพยายามจะไม่อยู่เฉยให้คิดอะไรฟุ้งซ่านอีก


    “เอางั้นหรอ  เออๆงั้นเข้ามาช่วยกันเรียงทองหน่อยจะได้เสร็จไวๆ”   ผมก็เข้าไปช่วยแบบไม่อิดออดเหมือนทุกที  พองานนี้เสร็จก็หางานอื่นทำ  ช่วยม๊าสรุปยอด จนไม่เหลืออะไรให้ทำก็มานั่งลูบตัวนังเซ่นไหว้เล่น   นังเซ่นไหว้ก็นอนทับตักผมแต่โดยดี  ผมคิดว่ามันคงจะรับรู้ได้ถึงความเสียใจของผมเลยยอมมานอนอยู่ด้วย  เพราะปกติแค่ผมจะจับทีต้องเดินหนีเหมือนรำคาญผมตลอด




    “มาๆ กับข้าวเสร็จแล้วรีบมากินกันเดี๋ยวจะหายร้อนหมด”   ม๊าตะโกนลั่นบ้านจนผมที่อยู่ในห้องนอนชั้น 3 ยังได้ยิน   เลยอุ้มนังเซ่นไหว้ลงมาด้วย


    “อาอันโทนิโอ้วันนี้มีปลาเก๋าสามรสของโปรดลื้อด้วยน้า  กินเยอะๆจะได้เก๋าๆเท่ๆ  กินปลาเยอะจะได้ฉลาดด้วย”   อาม่าหมุนกระจกบนโต๊ะกินข้าวให้จานปลาเก๋ามาอยู่ตรงหน้าผม


    “ไม่จริง  อาม่าโกหกอั๊วะ  อั๊วะกินปลามาตั้งเยอะไม่เห็นจะฉลาดเลย  ดีแต่ทำเรื่องโง่ๆให้คนอื่นเดือดร้อนตลอดเลย”  ผมพูดไปอย่างที่ใจคิด  โลกนี้มันช่างหมองหม่นซะเหลือเกิน  คนอื่นเขากินปลาแล้วฉลาดแต่ทำไมผมถึงไม่ฉลาดแบบคนอื่นเขาบ้างวะ



    “อาอันโทนิโอ้  ลื้อว่าอาม่าหรอห๊ะ”   ม๊าหันมาทำตาเขียวใส่



    “เปล่านะม๊า....อั๊วะขอโทษ แต่อั๊วะไม่ได้ตั้งใจจะว่าอาม่า  อั๊วะแค่จะว่าๆตัวอั๊วะโง่เฉยๆ”



    “เฮ้ออออ  จะกินข้าวให้อร่อยซะหน่อย  แต่พอเห็นหน้าหมาหงอยเหมือนถูกเจ้าของทิ้งไป 3 เดือนของลื้อแล้วอั๊วะกินไม่ลงจริงๆ   ไหนมีเรื่องอะไรเล่ามาสิ  เล่ามาให้หมดด้วยอย่าให้ต้องถามซ้ำ”  ม๊าวางตะเกียบลง คว้าน้ำขึ้นมาดื่มแทน   ผมมองม๊าที่ท้องร้องโครกครากด้วยความหิวแต่ก็ตัดใจมาสนใจผมแทน  และผมก็รู้ว่าถ้าผมไม่พูดเรื่องจริงไปม๊าคงไม่ได้กินข้าวแน่ๆวันนี้ 



    “แต่ต้องสัญญานะว่าจะไม่เอาไปบอกคนนอก”   แล้วผมก็เลยเล่าให้ม๊า ป๊า อาม่า อาหลิง และก็อาฟู่ฟู่ที่กินไปหันมามองระหว่างที่ผมเล่าไปด้วย    ขอโทษที่ผิดสัญญานะพี่เบลล์แต่ผมก็โง่เกินกว่าจะแก้ปัญหานี้คนเดียวจริงๆ


   



หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +อาการกลัวผู้ชาย+
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 18-01-2018 17:15:19


    “เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละม๊า  .... อั๊วะมันโง่มากเลยใช่ไหมม๊า”  ผมเล่าจบก็ก้มหน้ารอให้ม๊าด่าอย่างทุกครั้ง



    “เออ  แต่ม๊าก็เข้าใจว่าลื้อทำไปด้วยเจตนาที่ดี  ถึงจะลืมคิดถึงผลเสียไปก็เถอะนะ  วันหลังจะทำอะไรก็คิดให้มันรอบคอบซะก่อนสิว๊า  ไอ้ลูกคนนี้นิ”   ผมเงยหน้ามามองม๊าอย่างแปลกใจทำไมวันนี้ไม่ด่าซ้ำเติมแบบทุกครั้ง  แต่ก็พยักหน้ารับไป



    “อาหลิง   เห็นตัวอย่างจากเฮียลื้อก็จำไว้เป็นบทเรียนไปด้วยเลยนะ  จะทำอะไรคิดให้ดีๆ ว่ามันจะส่งผลกระทบกับใครเขาหรือเปล่า  ถ้าไม่แน่ใจก็มาปรึกษากับคนในบ้าน  6 หัวช่วยกันคิดยังดีกว่าหัวเดียวเข้าไหมห๊า”  อาหลิงก็พยักหน้าบอกเข้าใจแล้วม๊า


    “ป๊าว่าลื้อควรจะไปขอโทษเขาก่อนดีกว่านะอาโทนี่   ลูกผู้ชายทำผิดก็ต้องกล้ารับผิด  ตอนนี้ลื้อไม่ใช่เด็กแล้วนะ  ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว  ลื้อเองยังชอบเขาได้แล้วทำไมคนอื่นจะชอบไม่ได้  อีกอย่างถึงจะทำไปเพราะหวังดี  แต่ถ้าเขาไม่ได้ขอร้องแล้วลื้อไปทำอะไรให้เองแบบนี้  มันเรียกว่าเสือกนะอาโทนี่”



    “ครับป๊า  อั๊วะก็คิดว่าจะไปขอโทษน้องเขาอยู่”  ถึงจะแรงไปหน่อยแต่มันก็ตรงตัวกับผมที่สุด ผมเสือกไปเองจริงๆ



    “เออ คิดดีแล้วแบบนั้นน่ะโทนี่”



    “แต่ก็น่าสงสารพี่สโนว์เขาเหมือนกันนะ   เป็นโรคกลัวผู้ชายแบบนั้นใช้ชีวิตลำบากแย่  คณะเฮียยิ่งมีแต่ผู้ชายด้วยอ่ะ   ม๊า ถ้าอั๊วะแบ่งเลือดบ้าผู้ชายไปให้พี่เขา  เขาจะอาการดีขึ้นไหมอ่ะ”


    “อั๊วะก็ไม่รู้เหมือนกัน  แต่ก็น่าสงสารอาสโนว์จริงๆแหละ   ลื้อต้องดีกับน้องสโนว์เขาให้มากๆนะอาอันโทนิโอ้”   ม๊าทำหน้ายุ่งเมื่อถูกอาหลิงถามคำถามน่าสงสัยแบบนั้น   ก่อนจะหันมาสั่งผมอีกครั้ง


    “อั๊วะก็อยากทำดีกับน้องเขาจะแย่  แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงก็น้องเขากลัวผู้ชายอ่ะม๊า  แล้วดูตัวอั๊วะดิอย่างกับเป็นน้องแรมโบ้อ่ะ  เขาคงช็อควันละ 10 รอบ ถ้าอั๊วะเข้าไปใกล้”   ปัญหานี้ก็ยังแก้ไม่ตกสักที คิดยังไงก็คิดไม่ออก



    “จริงๆมันก็มีวิธีนึงนะที่ลื้อจะเข้าใกล้อาสโนว์ได้...”  ม๊าทำท่าคิด  พวกผมสามคนพี่น้องก็ต่างตั้งใจฟังไปด้วย


    “วิธีอะไรอ่ะม๊า  บอกเลยอั๊วะอยากรู้จะแย่”


    “ก็...ลื้อก็ไปเป็นตุ๊ดไง!”


    “เฮ้ย!!!  จะบ้าหรอม๊า  ใครจะบ้าทำอะไรแบบนั่นได้”


    “โห  ม๊าอย่างเฮียเนี่ยนะ....ไม่ไหวมั้ง   เสียสถาบันสาวสองเขาหมดอ่ะ”   อ้าว ไอ้น้องเลวแล้วทำไมหันมามองผมตีนจรดหัวด้วยสายตาสะพรึงแบบนะล่ะโว๊ย   


    “อั๊วะ ก็ไม่ได้อยากทำสักหน่อย ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลยอาหลิง”  ผมเอาตะเตียบชี้หน้า ยัยน้องตัวดีก็ย่นหน้าใส่อย่างไม่กลัว


    “อั๊วะอิ่มแล้ว  ขอตัวขึ้นห้องก่อนนะ”  อยู่ๆป๊าก็วางตะเกียบรีบยกน้ำขึ้นดื่มทั้งที่กินไปไม่กี่คำ


    “เดี๋ยวววว  นี่ยังไม่สองทุ่มเลย  ลื้อจะรีบไปไหนห๊ะ  อามิ่งขวัญ  นั่งลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”   ม๊าหันไปแว๊ดใส่ป๊าทันทีก่อนจะหันมาคุยกับผมต่อ  ป๊าก็ได้แต่นั่งตามที่ม๊าสั่งทำตาปริบๆ  เม้มปากไปด้วย



    “ไม่บ้าหรอกน่า   ไอ้เรื่องปลอมเป็นตุ๊ดไปตีสนิทหญิงเนี่ยมีคนทำมาแล้วพวกลื้อรู้ไหม”



    “มีคนเพี้ยนแบบนั่นจริงๆหรอม๊า  ไม่อยากเชื่ออ่ะ”   ยอมรับว่าก่อนมาบ้านผมคิดว่าม๊าจะมีคำแนะนำดีๆกว่านี้นะ  แต่นี่อะไรวะจะให้ผมแกล้งเป็นตุ๊ด บ้าป่าว  ใครมันจะกล้าทำวะ


    “หึหึหึ   อาอันโทนิโอ้~  ลื้อเห็นรูปนั้นไหม”  ม๊าชี้ไปที่รูปที่ติดอยู่ตรงผนังข้างรูปแต่งงานของป๊ากับม๊า


    “ก็เห็นมาตั้งแต่เกิดอ่ะ  รูปม๊ากับเพื่อนม๊าไงล่ะ”   เป็นรูปตั้งแต่ม๊าสาวๆเลยครับใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสดถือพัดแอ็คท่าคู่กันกับเพื่อนผู้หญิงของม๊า



    “ลื้อลองไปมองรูปให้ดีๆสิ  ว่าคนในรูปนั่นน่ะเป็นใครกันแน่”   ม๊ายิ้มกริ่ม  พยักเพยิดหน้าไปทางรูป  ผมเลยลุกไปยืนมองดูให้ชัดๆอีกทีเพราะรูปมันก็เก่ามากแล้ว


    “เฮียๆ  เอารูปลงมาเลยหลิงอยากดูด้วย”   อาหลิงมาเขย่งขาพยายามดูด้วยอีกคน


    “ฟู่..ฟู่..ก็..อยาก..ดู..ด้วย..นะ”  อาฟู่ฟู่เองก็หันมาส่งเสียงบอกผมด้วยอีกคน   แต่กว่าจะฟังอาฟู่พูดจบนี่ลุ้นกันจนตัวโก่งทั้งบ้าน   คืออาฟู่แกเป็นเด็กที่พูดไม่ชัดครับ เวลาพูดจะเหมือนพวกฝรั่งที่พยายามพูดภาษาไทยน่ะครับแบบ ซาหวาดดีคราบ  โผ้มม๋ายข้าวจายคราบ ประมาณนั้นเลย  ตอนแรกเราทั้งบ้านก็หัวเราะเอ็นดูเป็นเรื่องตลกไป  แต่พออาฟู่เริ่มพูดเป็นแค่คำๆแล้วเว้นไป 2 วิ ถึงจะเอ่ยคำต่อมา  ก็เริ่มเป็นห่วงกลัวน้องเป็นเด็กพัฒนาการช้าเพราะม๊าก็มามีอาฟู่ตอนอายุมากแล้วด้วย   เลยพาไปหาหมอให้ช่วยประเมินว่าอาฟู่พัฒนาการช้าหรือเปล่า   ก็ได้ความว่าอาฟู่ปกติดีทุกอย่าง  แต่ที่พูดช้าเพราะเหมือนตอนที่พวกเราไปหัวเราะเวลาอาฟู่พูดไม่ชัด  ทำให้อาฟู่รู้สึกว่าตัวเองแปลกและไม่มั่นใจเลยพยายามจะพูดให้ชัดๆ แบบนึกก่อนว่าออกเสียงยังไง แล้วถึงพูด พูดเสร็จก็นึกคำต่อไปว่าออกเสียงยังไงต่อก็เลยช้าแบบนี้   คุณหมอบอกว่าเดี๋ยวโตไปก็จะดีขึ้นเองแต่ตอนนี้ก็อย่าไปล้ออาฟู่อีก  ฉะนั้นเวลาอาฟู่พูดทีพวกเราก็ต้องตั้งใจฟังให้มากๆ



    “ได้เลยอาตี๋น้อย  เดี๋ยวเฮียถอดไปให้ดูนะ”  ผมหันไปบอก  อาฟู่ก็ยิ้มแฉ่งจนตาเป็นไม้ขีดมาให้  แบบดีใจจัดที่พูดแล้วพวกเราฟังรู้เรื่อง   น่ารักไหมล่ะครับอาตี๋น้อยของบ้านผม  มีเอกลักษณ์ตั้งแต่เด็กเลย


    พอผมถอดเสร็จก็ยกมาวางไว้ตรงที่ว่างๆบนโต๊ะทานข้าว  หยิบทิชชู่มาเช็ดฝุ่นออกเสียหน่อยแล้วช่วยกันดูสามคน  ผม อาหลิง อาฟู่


    “ก็ไม่เห็นมีอะไรนิม๊า  ก็คนนี้ม๊า คนนี้เพื่อนม๊าไง  ใช่ป่ะอาหลิง  ลื้อเห็นเหมือนอั๊วะใช่ไหม”


    “อือๆ ใช่เฮีย  ม๊าจะให้ดูทำไม”


    “สวย..สวย”  อาฟู่เอานิ้วชี้ไปที่รูปม๊าแล้วก็ชมว่าสวย ก่อนจะชี้ไปที่เพื่อนม๊าแล้วก็ชมว่าสวยอีกครั้ง


    “คริคริ  ฟู่ฟู่ชมม๊าแบบนี้ก็เขินแย่ซี  ตาแหลมตั้งแต่เด็กเลยนะเรา  สมเป็นลูกชายม๊าจริงๆ”  ม๊าทำท่าเหนียมอายทั้งที่ยิ้มจนหน้าบานเป็นกระโล่  ก่อนจะหอมฟัดแก้มอาฟู่ให้รางวัลที่พูดถูกใจคนแก่จัด


    “ตกลงไม่มีอะไรใช่ไหมม๊า  อั๊วะจะได้เอาไปแขวนคืนที่เดิม”


    “มีๆๆสิว๊า  นี่ตั้งแต่เกิดกันมาเคยเห็นเพื่อนม๊าคนนี้กันสักครั้งไหมล่ะ”


    “ไม่เคยอ่ะ”  ผมกับอาหลิงพูดพร้อมกัน   เพราะเคยเห็นก็แต่ในรูป


    “เขากลับบ้านเก่าไปแล้วหรอม๊า”  ผมถามไปอย่างนั้น


    “ปากหมา! ตบปากตัวเอง 3 ครั้งแรงๆเดี๋ยวนี้ไอ้โทนี่!”  อยู่ป๊าที่นั่งก้มหน้าเงียบมานานก็เงยหน้ามาว๊ากใส่ผมจนสะดุ้งด้วยความตกใจ  แต่ก็รีบตบปากตัวเองตามป๊าสั่ง


    “โฮะๆๆๆ”  ม๊าเองก็ขำใหญ่  ผมกับอาหลิงมองหน้ากันงงๆว่าคนทั้งคู่เป็นอะไรกัน   ก่อนที่จะมีอะไรบางอย่างแว๊บเข้ามาในหัว  แล้วเหมือนอาหลิงก็จะคิดแบบเดียวกันกับผม  เราเลยก้มไปมองเพื่อนม๊าอีกครั้งให้แน่ใจแล้วหันมาสบตากัน   ก่อนจะหันไปยังเป้าหมายโดยพร้อมเพรียง         



    “ป๊า!!!”


    “.......เออ   อั๊วะเองแหละ”



    “อ๊ากกกกก  ป๊าทำอะไรลงไปปปป”  ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าสาวหน้าคมเพื่อนม๊าจะกลายเป็นป๊าไปได้   นี่โลกมันอยู่ยากมาตั้งแต่สมัยป๊าม๊าแล้วหรอวะ!


    “แอร๊ยยยยย  ป๊าตอนนั้นป๊าน่ารักอ่ะ! กรี้ดๆๆๆ”   ยัยหลิงกลับกรี้ดวี้ดว๊ายยิ้มชอบใจออกหน้า  เหมือนกันค้นพบขุมทรัพย์ความฟินอะไรสักอย่าง ยกโทรศัพท์มาถ่ายรูปใหญ่


    “o_o  -_- o_o  -_- o_o”  ---→ อาฟู่ก็ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ มองหน้าป๊าที หันมาดูรูปที


    “ใช่..หรอ...ป๊า..หรอ”   ก่อนจะเอ่ยถามแบบหน้างงๆ  พลางยกมือป้อมๆมาเกาหัวเหม่งอย่างสงสัยเป็นอิคคิวซัง



    ป๊าก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับอย่างอายๆ  ทั้งหน้า ทั้งหูแดงไปหมด  แขวนโชว์มาตั้งนานไม่อาย  เพิ่งจะมาอายตอนลูกรู้ความจริงเนี่ยนะ  โถถถถถถ


    “ป๊า...ทำไมอ่ะป๊า  ป๊าทำแบบนั้นไปทำไม”  เฮ้ยแบบทั้งช็อค ทั้งตกใจ ทั้งยังรับไม่ได้ด้วย  เป็นใครมาเจอแบบนี้ก็ต้องอึ้งเหมือนผมนี่แหละ


    “ก็เพราะป๊าลื้อชอบอั๊วะมากไงล่ะ   บอกเลยสมัยนั้นม๊าเนี่ยสวยสุดในตลาดเลยนะยะ แบบหน้าก็งาม หัวก็ฉลาด หุ่นก็เซี้ยะเปรี๊ยะจนน่ากิน  โฮะๆๆๆ”   ม๊าก็ยังคงอวยตัวเองต่อไปแบบไม่มีความรู้สึกอายฟ้าดินเลยสักนิด - - ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ


    “ก็ตอนนั้นน่ะ   อาม่าเขาหวงลูกสาวมาก  ส่วนม๊าลื้อก็ตั้งท่าเกลียดผู้ชายอย่างออกนอกหน้า  แต่ทำไงได้อั๊วะหลงผิด.”


    ป๊าบ!


    “พูดใหม่อีกทีซิ อามิ่งขวัญ”  ม๊าตบเข้าที่ไหล่ป๊าก่อนจะตวัดตาขวับไปมองอย่างนางมาร


    “อั๊วะหลงรักๆจ้า   เออก็ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงก็ชอบม๊าลื้อไปแล้ว  อยากจะจีบเขาให้ติดก็ต้องลงทุนหน่อย...แต่บอกไว้เลยว่าถ้าไม่ใช่ม๊าลื้อ  ให้ตายป๊าก็ไม่มีวันทำแบบนั้นหรอก...แต่ที่ยอมเพราะรักมากจริงๆ”  พอป๊าพูดแบบนั้นม๊าก็เขินใหญ่ เขินแบบเขินอายจริงๆไม่ใช่เขินแบบเล่นใหญ่เหมือนตะกี้   อาหลิงเองก็ทำหน้าฟินจนแก้มปริตามไปด้วย









มีต่อ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +อาการกลัวผู้ชาย+
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 18-01-2018 17:19:55


“แล้วยังงี้ตอนนั้นม๊าก็เชื่อหรอว่าป๊าเป็นตุ๊ดอ่ะ  อาม่าก็ด้วย”  อาม่าไม่ได้ตอบอะไรยังตั้งหน้ากินข้าวพร้อมกับอาฟู่ต่อไปไม่รู้ว่าเพราะหูตึงเลยไม่ได้ยินหรือเปล่า ส่วนม๊าก็บอกว่า “ตอนนั้นอั๊วะก็สงสัยแหละแต่ป๊าลื้อก็ค่อนข้างเนียนลงทุนไว้ผมยาวจนเลยบ่า  จริตจกรานก็ดูเป็นตุ๊ด ทำเป็นเข้ามาสมัครเป็นนักแสดงงิ้วบอกว่าจะหาตังค์ไปทำนม แต่ก็นะอั๊วะมันเป็นคนฉลาดไม่นานก็จับได้  แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ปล่อยให้ป๊าลื้อแกล้งเป็นตุ๊ดต่อไปอยากรู้ว่าจะไปได้ซักกี่น้ำแต่ป๊าลื้อก็อึดจริงๆ  ที่ยอมแต่งก็เพราะแพ้ความพยายามของป๊าลื้อหรอกนะ”  ม๊าระลึกความหลังให้ฟังเล่าไปก็ยิ้มไป 


    “ตอนนั้นป๊ายอมรับนะว่าอายอยู่เหมือนกัน  แถมโกหกพ่อกับแม่ป๊าด้วยว่าไปหางานทำที่กรุงเทพ  ทั้งที่จริงหนีมาเข้าคณะงิ้วม๊าลื้อที่นครสวรรค์นู่น  ตอนนั้นอั๊วะก็อายุเท่าๆกับลื้อเนี่ยแหละยังคิดอะไรไม่เข้าท่านัก  แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับที่เสี่ยงนะ แม้กระทั่งอาม่าที่หวงลูกสาวยังยอมแพ้ต่อความพยายามของอั๊วะเลย”  ป๊ายืดตัวยักคิ้วอย่างภูมิใจนักหนาที่พิชิตหัวใจผู้หญิงทั้งสองคนนี้ได้



    “แต่ขนาดตอนนั้นป๊าดูเป็นผู้หญิงกว่าอั๊วะยังถูกม๊าจับได้เลย   อั๊วะเองก็คงถูกจับได้ตั้งแต่แรกเลยมั้ง  แผนนี้ไม่เวิร์คอยู่ดีอ่ะ”



    “โอ๊ยยยย เฮีย  ไม่ได้อยากจะว่านะแต่เฮียโคตรซื่อบื้อเลยอ่ะ....คือที่ป๊ากับม๊าเขาเล่ามาทั้งหมดเนี้ยเพื่อจะบอกว่า ให้เฮียอ่ะพยายามเข้า ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเดียวกับป๊าก็ได้  ป๊าก็บอกอยู่ว่าตอนนั้นยังเด็กคิดอะไรไม่เข้าท่าเท่าไหร่ไง..... น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนถ้าเฮียขยันทำดีกับพี่สโนว์เข้าไว้  ยังไงพี่สโนว์ต้องรับรู้ถึงความพยายามของเฮีย  แล้วก็รู้ว่าเฮียไม่ใช่ผู้ชายประเภทเดียวกับพวกนั้นที่ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้  สักวันพี่สโนว์อาจจะเปิดใจให้กับเฮียก็ได้นะ  ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น  เหมือนที่ป๊าจีบม๊าและชนะใจอาม่าสำเร็จไง   เพราะความพยายามล้วนๆเลยใช่ไหมป๊า!”


    “ใช่แล้วอาหลิง”   ป๊ายิ้มหน้าบานเหมือนนั้นคือความภูมิใจสูงสุดในชีวิต


    “อาจือหลิง  ลื้อเป็นลูกที่ม๊าภูมิใจจริงๆ  สมแล้วที่เป็นลูกม๊า ฉลาดเหมือนอั๊วะเลย โฮะๆๆๆ”  ใครฉลาดก็เป็นลูกม๊าหมดแหละ เห๊อะ   


    “อีกอย่างนะอาโทนี่  ลื้อโดดเรียนมาใช่ไหมวันนี้”


    “...อือ  อั๊วะขอโทษ...”


    “เออ  รู้ว่าผิดก็ยังดี  ตอนนี้ลื้อเรียมหา’ลัยแล้วนะ  ต้องจริงจังกับการเรียนและหัดมีความรับผิดชอบให้มากขึ้นได้แล้ว  อั๊วะเข้าใจว่าลื้อไม่สบายใจเลยอยากกลับบ้าน  แต่ลื้อก็น่าจะรู้ว่าบ้านมันไม่หนีลื้อไปไหนหรอก  เรียนเสร็จค่อยกลับมาก็ได้   อีกอย่างการหนีปัญหามันแค่ยืดเวลาไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริงนะอาโทนี่  จำคำป๊าไว้  เข้าใจไหม”


    “ครับป๊า  ต่อไปอั๊วะจะไม่โดดเรียนแล้ว   อั๊วจะเอารูปรับปริญญามาแขวนที่ฝาผนังบ้านให้ได้!”


    “เออ  มันต้องแบบนี้สิวะ ลูกชายคนโตของบ้าน  เอาๆรีบกินกันซะ  อาม่าตั้งใจทำปลาเก๋าให้ลื้อเลยนะ”


    “อาม่าน่ารักที่สุด  ปลาเก๋าที่ไหนก็ไม่เด็ดเท่าของอาม่า อั๊วะจะกินให้หมดเลย”  ผมหันไปยอเอาใจคนแก่ที่ยิ้มอย่างชอบใจ  ผมไม่ได้โกหกนะครับว่าของอาม่าเด็ดสุด เพราะผมน่ะเคยกินแต่ปลาเก๋าฝีมืออาม่าไงของคนอื่นไม่เคยกินเพราะม๊าบอกกินข้าวนอกบ้านมันเปลือง!  อาหารของอาม่าจึงเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดของบ้านไป


    แล้วหลังจากคุยกันเสร็จผมเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีกก็พากันกินข้าวอีกครั้งอย่างอารมณ์ดีจนกับข้าวหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ   ป๊ากับม๊าก็ขึ้นห้องไปลำลึกความหลังกันสองต่อสอง ส่วนอาหลิงเก็บจานไปล้าง   ผมเองก็อุ้มอาฟู่พาอาม่าขึ้นไปส่งที่ห้องนอน  คู่นี้เขานอนห้องเดียวกันครับ  ระหว่างที่อาม่าเข้าไปอาบน้ำผมก็นอนอ่านนิทานให้อาฟู่ฟังจนหลับไป  เพราะอาฟู่อาบน้ำตั้งแต่ตอนเย็นแล้วครับเลยไม่ต้องปลุกมาอาบน้ำ   ห่มผ้าให้ตี๋น้อยของบ้านเสร็จผมก็ก้มไปจุ๊บหัวเหม่งอย่างเอ็นดูอีกรอบ


    “อาม่าอาบเสร็จพอดีเลย  อาฟู่หลับไปตะกี้นี้เอง”



    “เออ ดีๆๆ อั๊วะจะได้ไม่ต้องตบตูดกล่อมให้เมื่อย  ขอบใจมากนะอาอันโทนิโอ้”  อาม่าพูดพลางเช็ดผมไป   ผมเลยไปเสียบไดร์มาเป่าผมให้แกเลย  ห่วงกลัวอาม่าจะเป็นหวัดน่ะครับ  ก็เลยรีบเป่าให้แห้งดีกว่า  ก่อนเป่าก็พนมมือไหว้หัวอาม่างามๆไปหนึ่งทียังไงหัวคนโตกว่าก็ถือว่าเป็นของสูง ผมเองก็เต็มใจไหว้ก่อนเพื่อความสบายใจส่วนตัวด้วย  ถึงแม้อาม่าจะไม่ได้หันมามองก็ตาม   ทีผมทำเรื่องดีๆไม่ค่อยมีใครจะสนใจ ผู้ปิดทองหลังพระที่แท้จริง - -   และคนแมนๆเขาก็เป่าผมให้ผู้หญิงแบบนี้แหละครับถึงจะแก่จนหัวขาวโพรนก็เถอะนะ 5555+  คิดซะว่าซ้อมก่อนมีแฟนจริง  จะดูแลให้อย่างดี ^^


    “อาม่า  อั๊วะถามจริงๆนะ  ตอนนั้นอาม่าไม่รู้จริงๆหรอว่าป๊าเป็นผู้ชายแท้ๆ”  หลังจากเป่าผมให้จนแห้ง  ผมก็ถามคำถามคาใจอีกรอบ  ถึงป๊าจะลงทุนไว้ผมยาวแต่โครงหน้าก็ยังคมๆอยู่แถมตัวสูงด้วย ดีว่าตอนนั้นผอมไม่อ้วนหุ่นอาเสี่ยเหมือนตอนนี้


    “ก็รู้น่ะสิ   สายตาป๊าลื้อที่มองอากิมย้งหวานเยิ้มซะขนาดนั้น ใครมันจะดูไม่ออกว๊า อั๊วรู้ตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ”


    “อ้าว  แล้วทำไมอาม่าถึงยังยอมให้ป๊าแกล้งเป็นตุ๊ดมาทำตัวใกล้ชิดม๊าอีกอ่ะ ไหนว่าหวงมากไง”


    “จริงๆอั๊วะก็จะห้ามนั่นแหละ....แต่ที่ไม่ได้ห้ามก็เพราะ......รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะอาอันโทนิโอ้”   ทำไมผมรู้สึกเกลียดประโยคนี้จัง  - -  แต่ก็พยักหน้ารับไปเพราะความอยากรู้มีมากกว่า


    “คืองี้....อั๊วะไปสืบรู้มาว่าอามิ่งขวัญ  อีเป็นลูกเจ้าของโรงสีข้าวที่สุพรรณ แถมแม่อีก็เป็นลูกเจ้าของร้านทองอีก   พออั๊วะรู้อย่างนั้น...ก็เลยทำเป็นไม่รู้ปล่อยให้อีตีสนิทม๊าลื้อไป”   โถถถถถถถ   ไหนบอกความพยายามล้วนๆไงวะป๊า  อยากจะหัวเราะให้ฟันหลุดจริงๆ   ความภูมิใจนักภูมิใจหนาชนะใจแม่ยายได้  555+  ที่ไหนได้อาม่าดันแพ้ตั้งแต่รู้ว่าเป็นลูกเจ้าของโรงสีกับร้านทองแล้ว


    พออาม่าเห็นผมขำจนน้ำตาเล็ดก็ตีใหญ่ว่าให้เสียงเบาๆเดี๋ยวคนอื่นได้ยิน “แต่อั๊วะก็คอยเฝ้าดูตลอดไม่ให้ทำอะไรผิดผีไปหรอกนะ  ถึงจะอยากได้ร้านทองแต่อั๊วะก็ห่วงอากิมย้งมากกว่าอยู่ดี     แล้วอย่าเอาไปเล่าให้ป๊าลื้อฟังล่ะ  ปล่อยให้อีภาคภูมิใจไปเหอะ  เข้าใจไหมอาอันโทนิโอ้!”


    “ฮ่าๆๆ ครับอาม่า”

    ผมกลับเข้ามานอนในห้องของตัวเอง  พลางนอนคิดแบบที่ทุกคนบอก  ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น  ผมจะทำดีกับสโนว์ให้มากๆถึงแม้จะห่างๆอย่างห่วงก็เถอะ 



    ถ้าเรารักใคร  เราก็ควรทำให้เขามีความสุขโดยที่เราไม่หวังสิ่งใดตอบแทนใช่ไหมครับ





   
    ผมยังคงทำเพจนังเซ่นไหว้ต่อไปเรื่อยๆ   แอบมองสโนว์จากทางด้านหลัง  แต่ไม่ได้ไปถ่ายรูปแล้วเพราะป๊าบอกให้เลิกทำ  ไม่มีใครชอบถูกแอบถ่ายหรอก  ซึ่งผมว่าจริงที่สุด   ถ้าจะมีใครเข้าไปจีบหรือขอทำความรู้จักสโนว์ผมจะปล่อยให้เขาทำ  เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะชอบสโนว์ได้เหมือนกันและผมก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกับสโนว์ด้วยจึงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามหรือหึงหวง   และทุกครั้งสโนว์จะปฎิเสธและเดินหนีตลอด  ถ้าหากผมเห็นว่าอีกฝ่ายยังจะตามตื้อทั้งที่สโนว์ไม่ชอบ  ผมจะเข้าไปขวางแบบเนียนๆ  แกล้งชนให้ล้มบ้าง  ทำน้ำหกใส่เสื้อบ้าง  แล้วแต่ว่าสมองตอนนั้นจะคิดได้


    ผมทำเวียนอยู่อย่างนี้มาตลอด 1 ปีเต็ม  น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกเบื่อ  แม้ว่าสโนว์จะไม่เคยรับรู้ว่าผมเป็นคนทำเพจนังเซ่นไหว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ  แม้จะได้เพียงมองอยู่ด้านหลังโดยที่เขาไม่เคยเหลียวมามอง  แม้จะคอยขัดขวางพวกตามตื้ออยู่เงียบๆไม่ได้โชว์ว่าเป็นพระเอกขี่มาขาวมาช่วยซึ่งๆหน้าก็ตาม   แต่ผมก็มีความสุขที่ได้ทำแบบนี้จริง   ขอแค่ได้เจอหน้าเขาทุกวันก็พอ……  โคตรพระรองเลย ให้ตายเถอะ





    จนกระทั่ง  ขึ้นปี 2   แยกเรียนแต่ละเอก...




    “มัม  เอกไอไม่มีผู้หญิงเลย  ไอ...ไอจะไปลาออก”




โปรดติดตามตอนต่อไป.... :3123:
ตอนหน้าอันโทนิโอ้จะเมคอิทแฮพเพ่นแล้วน้าทุกคน


***************************************

    มินิซีน....เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้




    “ใครโทรมา  อาอันโทนิโอ้หรอม๊า”  กิมย้งที่เพิ่งขายทองให้ลูกค้าเสร็จเอ่ยปากถาม  ทั้งที่มือก็กำลังเอาสร้อยทองเส้นที่ลูกค้าขอเลือกดูแต่ไม่ได้ซื้อไปเรียงเก็บไว้ที่เดิม


    “เออ  อาอันโทนิโอ้บอกอีจะกลับบ้านวันนี้”   


    “อ้าว  ทำไมอย่างงั้นล่ะ วันนี้เพิ่งวันพฤหัสเอง  อีไม่มีเรียนวันศุกร์หรือไง  เข้ามหา’ลัยยังไม่ทันจะจบเทอมดี  เกเรซะแล้ว  มันจะไปรอดจนจบไหมเนี่ย”  กิมย้งบ่นสีหน้าเหวี่ยงรู้สึกไม่พอใจที่ลูกชายตัวดีโดดเรียนทำตัวเหมือนเดิมไม่ปรับปรุงนิสัย


    “น้ำเสียงอาอันโทนิโอ้มันไม่ค่อยดียังไงไม่รู้เหมือนกัน  อั๊วะว่าอีคงมีเรื่องไม่ค่อยสู้ดีนักเลยอยากจะกลับบ้าน  เสียงดูซึมๆไม่ปกติ”   คนแก่ที่เลี้ยงหลานคนโตมาตั้งแต่เกิดย่อมจับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปได้โดยสัญชาตญาณ


    “แต่มันโตแล้วนะม๊า  มันต้องมีความรับผิดชอบสิขาดเรียนแบบนี้ได้ยังไงกันเมื่อก่อนอั๊วะไม่ว่าเพราะมันยังเด็กนี่เข้ามหา’ลัยแล้วจะทำตัวแบบเดิมไม่ได้  ยิ่งโง่ๆอยู่ขาดเรียนแบบนี้ก็ไม่จบกันพอดี  เดี๋ยวอั๊วะจะโทรไปว่ามันไม่ต้องกลับมาบ้าน” 


    “อากิมย้ง  อั๊วะรู้ว่าลื้อห่วงอาโทนี่กลัวเรียนไม่จบ  แต่อาม่าเขาก็บอกอยู่ว่าอาโทนี่มันน้ำเสียงไม่ค่อยจะดี มันคงจะไปเจอเรื่องร้ายแรงอะไรมาแล้วไม่สบายใจ  ถึงได้อยากกลับบ้านแบบนี้  ถ้าลื้อโทรไปห้ามมัน ลื้อคิดว่ามันจะกลับไปเรียนไหม  คนมันตัดสินใจโดดไปแล้วมันไม่กลับไปหรอกอาจจะไปหาพรรคพวกที่โรงเรียนเก่า แล้วทีนี้จะพากันไปทำอะไรพวกเราก็ไม่รู้แล้ว จะถูกชวนไปยกพวกตีกับใครอีกก็ไม่แน่ ลื้อจะเอาแบบนั้นหรอ”   มิ่งขวัญหันมาเตือนภรรยาตนให้คิดรอบคอบด้วยความปราณีปรานอม

    “มันเลือกกลับบ้านก็ดีแล้ว มันก็คงเห็นบ้านเราเป็นที่พักพิงที่ดีที่สุดของมันนะอากิมย้ง  ลื้ออย่าไปบีบให้มันไม่เหลือที่ไปเลย  ถ้ามันมาเราค่อยถามสาเหตุแล้วสั่งสอนมันเรื่องโดดเรียนทีหลังก็ยังได้นะ”

    “....เออ ก็ได้ๆๆ แต่ลื้อต้องสั่งสอนมันจริงๆนะอามิ่งขวัญ อย่าให้มีอีกเป็นครั้งที่สองแล้วกัน  ถึงคราวนั้นอั๊วะไม่ยอมจริงๆด้วย”  กิมย้งยอมฟังเหตุผลของสามีแต่โดยดี  จะยอมปล่อยไปให้แค่ครั้งเดียวก่อนแล้วกัน

    “งั้นเดี๋ยวอั๊วะไปตลาดก่อนนะ  จะไปหาซื้อปลาเก๋าของโปรดอาอันโทนิโอ้ให้สักหน่อย  กินของอร่อยๆจะได้หายเครียด”   หญิงแก่พูดขึ้นหลังปล่อยให้ผัวเมียตกลงปัญหาในครอบครัวกันเองเรียบร้อย  แล้วจึงเดินไปตลาดที่อยู่ใกล้ๆ พอดีกับอาหลิงที่เพิ่งลงรถเมล์มาหลังจากเลิกเรียน  พอรู้ว่าอาม่าจะไปซื้ออะไรก็อาสาไปแทนทันที

    “อั๊วะไปซื้อให้เองได้น่า  อาม่าเข้าไปพักที่ร้านเถอะ  ม๊าเคยสอนอั๊วะเลือกปลาแล้วอั๊วะจำได้ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะเลือกตัวสดๆใหญ่ๆด้วยเพราะเฮียน่ะกินจุชะมัด  อั๊วะรู้”   พูดเสร็จก็รับเงินเข้าไปในตลาดไม่รอให้อาม่าพูดอะไรอีก


    ...ครอบครัวควรจะเป็นเหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิตให้ร่มเย็นพึ่งพาอาศัยกันได้    บ้านที่ร้อนเป็นไฟไม่มีใครอยากอยู่...



รักนะแต่ไม่เคยบอกอันโทนิโอ้ ~~~



หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ!+
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-01-2018 04:15:51
หลงรักเลยครอบครัวนี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ!+
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-01-2018 08:56:50
ครอบครัวนี้น่ารักสุดๆ ขอบอก ทั้งอาม่า ป๊า ม๊า อาหลิง และน้องเล็ก
ว่าแต่ละคน มีความลับของกันและกันแบบน่ารักๆ ซ้ำซ้อนเข้าไปอีก
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่น+
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 22-01-2018 18:35:35


EP.4

    หลังจากที่ผมรับบทบาทเป็น ‘คนแคระทั้ง7’ ที่ต่อตัวรวมพลังมาเป็นผมที่สูงรวม 186 ทำหน้าที่ดูแลปกป้องสโนว์ไวท์แบบเงียบๆมานานจนผมคิดว่า  ผมคงเป็นได้แค่นี้ไปตลอดจนเรียนจบโน้นแหละครับ  เพราะความหวังช่างริบรี่มากๆที่จะได้เข้าไปในชีวิตของสโนว์  คือทำใจแล้วไงว่าคงเป็นได้แค่นี้จริงๆ


    จนกระทั่งขึ้นปี 2  ก็ต้องแยกเอกกันแล้ว  ยังจำกันได้ใช่ไหมครับว่าผมกับสโนว์น่ะเรียนเอกเดียวกัน  แปลว่าผมจะได้เจอสโนว์ทุกวัน  อาจจะได้พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นก็ได้นะ...หวังว่า 


    “ไงมึง  เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนแบบเต็มรูปแบบยังวะ  ไอ้โอ้”  ไอ้โปที่เข้ามาที่หลังเอาหนังสือเคาะหัวผมที่นอนฟุบฆ่าเวลารออาจารย์เข้ามาสอน  เดี๋ยวนี้มันไม่เรียกผมว่าอันโทนิโอ้ หรือ โทนี่แล้วครับ มันบอกยาวไป เรียกโอ้เฉยๆพอ   ตอนแรกผมก็จะคัดค้านแหละเพราะชื่อผมมันโคตรเท่  แต่คิดๆไปมันคงเห็นผมหล่อเหมือนมาริโอ้ล่ะ  เลยเรียกแบบนั้น  เลยปล่อยๆมันไปก็ได้


    “พร้อมยิ่งกว่าพร้อมอีกเว้ย  ระดับอันโทนิโอ้ซะอย่าง กระจอกมากบอกเลย” 


    “มึงหรือวิชาเรียนที่กระจอก”


    “ถามได้  ก็ต้องกูสิวะ!”


    “ฮ่าๆๆๆ ไอ้ห่า โง่แล้วยังทำอวดเก่งอีกสัตว์”  ผมยอมรับแบบหน้าด้านๆ  ตอนปี 1 ก็มีไอ้ปลัดคิกนี่แหละครับที่ช่วยติวให้จนผ่านมาได้   มันจึงกลายเป็นทั้งเพื่อนและผู้มีพระคุณของผมเลย   ผมเองก็คบมันอยู่แค่คนเดียวนี่แหละครับ  กับคนอื่นก็แค่คุยๆกันเฉยๆไม่ได้สนิทมาก   คือถ้าอยู่มหา’ลัยแล้วเพื่อนน้อยนี่ไม่ถือว่าแปลกนะครับ  ปกติมากๆ  ตอนปี 1 เคยพยายามจะหาเพื่อนเยอะๆเหมือนตอนมัธยมหรือตอนเทคนิคแล้ว  แต่มันไม่ค่อยโอเท่าไหร่  อาจเพราะต่างคนก็ต่างโตมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว  ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเหมือนๆกันอย่างตอนเด็ก  อยู่มหาวิทยาลัยก็จะเจอคนหลากหลายแบบมีทั้งดีไม่ดีหาผลประโยชน์กัน   ดีนะว่าผมมันรูปชั่ว ตัวดำแถมไม่ค่อยฉลาดเลยไม่มีอะไรให้ใครเข้ามากอบโกย  อีกอย่างอยู่กันแค่ 2 คนก็ดีแล้ว  ผมว่ามากคนก็มากความนะ


    นั่งขำกันอยู่สองคน  สายตาก็พลันไปเห็นตอนน้องสโนว์เดินเปิดประตูเข้ามาในห้องเรียนพอดี  ช่างเป็นวันเปิดเรียนที่โคตรสดใสสำหรับผมเลย  แต่กับสโนว์คงจะไม่เพราะพอน้องเขาทำหน้าสะพรึงนิดๆเหมือนตกใจก่อนจะรีบเดินไปนั่งตรงโต๊ะที่ใกล้หน้าโต๊ะอาจารย์ที่สุด  ที่นักศึกษาทุกคนต่างพากันหลีกเลี่ยง   แต่ผมพอเข้าใจนะว่าทำไมถึงเลือกตรงนั้น  เพราะในห้องตอนนี้ยังมีแต่ผู้ชายเต็มห้องแถมส่งเสียงดังเป็นฝูงลิง  พอไม่มีผู้หญิงก็เหมือนปลดปล่อยความเป็นตัวเองกันล่ะครับ ไม่ต้องเก็กต้องคีพลุคอะไรทั้งนั้น  แต่เดี๋ยวก็คงมีผู้หญิงเข้ามาล่ะครับเพราะเหลือเวลาอีกตั้ง 10 นาทีกว่าจะเริ่มเรียน  พวกเธอคงแวะไปเติมแป้งแต่งหน้ากันก่อน  เพราะผมจำได้ว่าเอกผมมีผู้หญิงอยู่ 4-5 คนนี่แหละครับ   

    น้องสโนว์รอพวกหล่อนแป๊บนึงนะเดี๋ยวก็มีเพื่อนผู้หญิงเข้ามาแล้ว   ผมอยากจะบอกแบบนี้แต่ก็ได้แต่บอกในใจส่งไปจากด้านหลัง


    จนกระทั่งอาจารย์เข้ามาสอน



    “โอ้โห  ทำไมรุ่นพวกคุณถึงได้น่าสงสารกันแบบนี้นะ”   อาจารย์ผู้ชายที่เข้ามาแล้ววางเอกสารโน้ตบุ๊คอะไรต่างๆเรียบร้อยหันมามองนักศึกษาในห้องและกล่าวทักทายพอเป็นพิธี   ก่อนจะหยิบใบรายชื่อนักศึกษาขึ้นมาดู


    “มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นเลย...อืมม  มีผู้หญิงแค่คนเดียวเองหรอเนี่ย  ไหนอยู่ไหน สาวสวยที่สุดในห้องโชว์ตัวหน่อยสิ”   อาจารย์ถามยิ้มๆ  ผมถึงจะงงๆว่าทำไมเหลือผู้หญิงอยู่แค่คนเดียวแต่ก็รีบกวาดสายตาหาผู้หญิงที่เปรียบเหมือนเป็นโอเอซิสของสโนว์


    “จิราภรณ์ใช่หรือเปล่าครับอาจารย์”  ไอ้เอ็มยกมือขึ้นถาม   ผมรู้จักเพราะตอนปีหนึ่งก็เรียนพร้อมกันบ่อยๆเคยได้ทำงานกลุ่มด้วยกัน


    “ใช่ๆ  อยู่ไหนล่ะ”


    “เขาดรอปไปแล้วครับ  ไปเล่นเจ็ทสกีแล้วไม่มองด้านหน้าดันมองแต่ฝรั่งหล่อนอนอาบแดด เลยชนโขดหินขาหักไปข้าง กระดูกร้าวอีกข้าง คงจะพักฟื้นยาวเลย เทอมนี้คงไม่ได้มาเรียนแล้วล่ะนะผมว่า”  เวรกรรม  ปั๊ดโถเว้ยยย  แล้วสโนว์จะอยู่กับใครได้วะนั่น  สีหน้าสโนว์ดูกังวลมากหลังจากที่หันหน้ามาฟังเอ็มเล่า


    “โห  น่าเห็นใจเขานะ  พวกเธอก็เหมือนกันจะทำอะไรต้องระวังไว้  เจ็บตัวไปมันเสียหายแบบนี้แหละ..” แล้วอาจารย์ก็พูดสั่งสอนอีกยาว  พลางถามนั่นนี่ไปด้วย  คนไหนที่รู้อะไรก็ตอบไป อาจเพราะเปิดเรียนวันแรกเลยต้องไถ่ถามอะไรกันก่อนให้เข้าใจสภาพห้อง สภาพนักศึกษาว่าเป็นยังไง ผูกสัมพันธ์ไว้ก่อน  เรื่องเรียนค่อยมาทีหลัง  ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะเอาแต่แอบมองสโนว์ที่นั่งคอตกอยู่...   แต่ก็สรุปใจความได้ประมาณว่าจริงๆเอกผมมีผู้หญิง 4 คน ซิ่วไปเรียนคณะอื่น 1 คน ซิ่วไปมหา’ลัยอื่น 1 คน ไปทำหน้าที่เป็นคุณแม่ 1 คน และก็อีกคนที่ขาหักนั่นแหละครับ  แม่งโคตรไม่เหลือตัวช่วยให้สโนว์เลย


    จากนั้นอาจารย์ก็เริ่มสอนทฤษฏีอะไรๆก่อนให้แม่นก่อนจะไปปฏิบัติจริงในอนาคต  ผมก็ตั้งใจฟังที่เขาสอนก่อน เอาโทรศัพท์มาถ่ายสไลด์ที่วิ่งไวยิ่งกว่าหนูวิ่งในท่อให้ทันจะได้เอาไว้ทบทวนทีหลัง  จนเรียนเสร็จก็แยกย้ายกันไปกินข้าว   ผมกะจะชวนสโนว์ไปทานข้าวด้วยเพราะเห็นว่าไม่มีเพื่อน  แล้วยังต้องเรียนต่ออีกวิชาตอนบ่ายอีก  แต่สโนว์ก็เก็บของเร็วมากลุกออกไปก่อนที่ผมจะอ้าปากเสียอีก   ผมกับไอ้โปเลยต้องไปกินกันแค่สองคน (หมายถึงกินข้าวกันแค่สองคนนะครับ อย่าได้คิดลึกเชียว)


    “มึงขึ้นไปก่อนเลยไอ้โป  เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อน”  ผมบอกไอ้โปหลังจากซื้อขนม ลูกอมแล้วของอื่นๆจากในเซเว่นเสร็จ


    “เคๆ  แล้วรีบขึ้นไปล่ะมึง”   ผมพยักหน้าให้  แล้วเดินไปห้องน้ำหลังโรงอาหารของคณะ






    “ฮัลโหลมัม  นี่ไอเองนะ”   เสียงคุ้นๆดังมาจากห้องน้ำด้านในสุด  ผมที่กำลังเดินเข้าไปเลยหยุดนิ่งฟัง


    (สโนว์หรอ  ยูโทรมาดึกๆแบบนี้มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า)   ไม่รู้ต้องขอบคุณห้องน้ำที่ทำให้เสียงก้องกังวานหรือเปล่า  ที่ทำให้ผมได้ยินเสียงในโทรศัพท์รอดออกมาให้ได้ยินด้วย  แม้จะเบาแต่ก็พอฟังรู้เรื่องว่าพูดอะไรกัน


    “มัม  เอกไอไม่มีผู้หญิงเลย  ไอ...ไอจะไปลาออก”



    เชี่ย!!! ถึงกับจะลาออกเลยหรอวะ   ไม่นะเว้ยยยย


    พอได้ยินแบบนั้นผมก็สติแตกตามไปด้วย  คือคิดไม่ถึงว่าสโนว์จะยอมถึงกับลาออกเลย


    (ทำไมล่ะ  ยูก็เรียนมาได้ตั้งหนึ่งปีแล้วนะ)


    “ตอนปีหนึ่งมันเรียนรวมกันทั้งคณะไงมัม  เลยยังมีผู้หญิงเป็นเพื่อนไออยู่บ้าง  แต่พอขึ้นปีสองมันแยกเอก  แล้วเอกไอก็ไม่มีผู้หญิงเลย  เพื่อนผู้หญิงไอที่เคยบอกว่าเรียนเอกเดียวกันกับไอก็ออกไปแต่งงานมีลูกแล้ว  ตอนนี้ไอไม่เหลือเพื่อนแล้วจริงๆนะมัม  ในห้องไม่มีผู้หญิงเลย  แม้แต่อาจารย์ก็เป็นผู้ชาย  ไอเรียนไม่รู้เรื่องเลยมันระแวงไปหมด  มันอึดอัด  ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปไอไม่ไหวแน่ๆ”    พอได้น้ำเสียงที่หวั่นๆของสโนว์ผมก็อดเห็นใจไม่ได้  คือเข้าใจนะถ้าคนเรามันกลัวอะไรมากๆมันก็กลัวอยู่แบบนั้นแหละ  เหมือนตอนที่ผมยังเด็กๆผมเคยโดนหมากัดขาครับ  ร้องไห้ง๊ากลั่นตลาด  จนกลายเป็นคนที่กลัวหมาฝังใจไปเลย  ถึงจะโตแล้วแต่ไอ้โรคกลัวหมานี่ก็ไม่เคยหายไปสักที   ผมว่าสโนว์ก็คงเป็นแบบเดียวกับผม


    (แล้วไม่มีใครเป็นเกย์เลยหรอ  มันน่าจะมีบ้างนะในห้อง ยูลองหาดูก่อนสิ เดี๋ยวนี้เกย์รับเยอะนะยูน่าจะเป็นเพื่อนกับพวกเขาได้  ที่ไทยเขาถึงขั้นแต่งหญิงกันเลยไม่ใช่หรอ แสดงออกเยอะกว่าเมืองนอกมากเลยนะ)  ใช่ๆในเอกผมน่าจะมีกันบ้างแหละ   ถึงผมจะไม่เคยเห็นก็ตามที  แต่คิดว่ามันน่าจะมีสักคนล่ะว๊า


    “ไอ..ไอไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่าน่ะสิมัม  วันนี้ไอนั่งหน้าสุด  หันไปทางด้านหลังไม่กี่วิเอง  ไม่ได้กวาดสายตามองใครเลย  ไอกลัวจะไปสบตาใครเข้า”   ไอ้อาการไม่กล้าสบตาใครผมเข้าใจนะ  สโนว์คงจะกลัวว่าถ้าไปสบตาใครเข้าจะโดนหาว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าประมาณผมแหละ  ที่ไม่อยากมองหน้าใครมากเพราะถูกหาว่ามองหน้าหาเรื่องบ่อยๆ ทั้งที่แค่มองเฉยๆ....เออ  ตกลงผมกลายเป็นเครื่องแปลภาษาสโนว์ไปอีกหนึ่งอย่างแล้วใช่ไหมวะ  นอกจากนังเซ่นไหว้ - -

   

    (ยูลองหาดูก่อนนะ  ไอว่าน่าจะมีสักคนแหละ  อีกอย่างถ้ายูลาออกตอนนี้  ยูต้องรอถึงหนึ่งปีเลยนะกว่าจะสอบเข้าใหม่ปีหน้า  แล้วอีกอย่างจะไปที่ไหนมันก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นแหละสโนว์  ผู้ชายเขาก็ไม่ได้นิสัยแย่เหมือนพวกที่ยูเคยเจอตอนเด็กกันหมดทุกคนหรอก  ยูต้องเข้มแข็งนะ  ไอเชื่อว่ายูจะผ่านมันไปได้  ไออยู่ข้างๆยูเสมอนะ)



    “...ก็ได้มัม....ไอจะลองหาดูก่อน   แต่ถ้าไม่มีจริงๆยังไงไอก็คงจะลาออก  กลับไปช่วยมัมทำอาหารอยู่แต่ในครัวก็ได้  ไอยอม”



    (ค่อยคุยกันอีกทีแล้วกัน  ยังไงไอจะขอพรพระเยซูให้ยูเจอกับคนดีๆนะสโนว์)


    “ขอบคุณนะมัม  งั้นไอไม่กวนเวลานอนแล้วล่ะ  บาย กู๊ดไนน์นะมัม”  เสียงกดวางสายไปแล้วอีกเดี๋ยวสโนว์ก็คงจะออกมาแน่  ผมเลยรีบย่องเงียบออกไปนอกห้องน้ำก่อนที่สโนว์จะเดินออกมา





    ถ้าผมไม่รีบทำอะไรสักอย่าง  ผมคงต้องเสียเขาไปตลอดชีวิตแน่ๆ  เพราะผมคงไม่มีปัญญาไปเมืองนอกได้  และถึงมีเงินไปผมก็คงไม่รู้ว่าจะไปตามหาสโนว์ที่ไหนได้  เพราะงั้น ..... ฉันต้องทำ  ทำอะไรสักอย่างแล้ว ให้เธอนั้นไม่แคล้วไม่คล้าดกัน ให้เธอรู้ตัวว่ามีคน คนอย่างฉัน แอบมองเธออยู่ตรงนี้ รอเธออยู่ตรงนี้ ฉันนี่ไง~



    เอาวะ  สักตั้งสิโว๊ยยยยย  ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย!


    สูดหายใจลึกๆสามครั้งครับ  ทุบอกเป็นคิงคองเพิ่มความฮึกเฮิม  แล้วก็ลุยเลย สู้!!!






    “ก็ความรักไม่ใช่ความลับถ้าอยากจะรักทำไมต้องปิด ก็ความรักไม่ใช่ความลับถ้าอยากจะรักทำไมต้องปิด เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ๊นนน”  ผมแหกปากร้องเพลงที่เคยได้ฟังผ่านแว๊บๆในรายการที่ม๊ากับอาหลิงชอบดู  ร้องผิดร้องถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ช่างมัน เพราะผมมัวแต่บิดสะโพกเดินไขว่ขาตรงเข้าไปในห้องน้ำใหม่อีกรอบก่อนจะฟูลเทิร์นด้วยจริตเวเนซูเอล่าไปอีกหนึ่งที



    “ว๊า...ว๊ายยยยยย”   ผมกรี้ดร้องเมื่อเกือบจะล้มเพราะฟูลเทิร์น ดีไม่ล้มหน้าทิ่ม  จริงๆคือจะร้องว๊ากกกกครับ  แต่เดี๋ยวไม่เนียนเลยต้องรีบเปลี่ยนเป็นว๊ายยย แทน   ทุ่มทุนเล่นใหญ่ไหมล่ะ   พอทรงตัวได้ก็หันไปจิกหน้าใส่กระจกที่เห็นสโนว์กำลังจะเปิดประตูเดินออกมาพอดี  แต่ผมก็แอ๊บเป็นว่าไม่เห็นแล้วเอามือล้วงไปในถุงที่ซื้อของมา หยิบเอาลิปสติกลายการ์ตูนตัวโปรดของผู้หญิงที่อาหลิงไลน์มาฝากให้ผมซื้อให้ถ้าเจอเพราะหายากมาก ซึ่งผมก็เจอมันในเซเว่นเมื่อกี้พอดี  ขอเฮียเอามาใช้ก่อนนะอาหลิง



หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ!+
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 22-01-2018 18:37:10




ผมจือปากแบบที่เคยเห็นอาม่าทำบ่อยๆเวลาจะทาลิปสติกสีแดง  เปิดฝาหัวตุ๊กตาออกแล้วปาดไปที่ริมฝีปากล่างพร้อมทำตาปรือไปด้วย


    “เมคอิทฮ๊อตตตต”  ผมพูดเสร็จแล้วจิกตายิ้มมุมปากอย่างนางพญา   ก่อนจะปาดไปที่ริมฝีปากบนอีกครั้ง


    “เมคอิทพ๊อทททท”  แล้วยิ้มด้วยท่าทางปานนางฟ้าแม้หนังหนาจะโคตรน้องแรมโบ้ก็ตาม  โชคดีเหลือเกินที่เทปรายการนั้นเขาแข่งโชว์ทาลิปสติกบนรถไฟให้ดูเป็นตัวอย่างผมเลยทำท่าจิกตาจิกหน้าได้อยู่บ้าง  แต่ชื่อลิปสติกนี่ออกเสียงยากชะมัด ผมเลยจำง่ายว่า ฮ๊อตพอทๆ ร้านที่ไปกินกับเพื่อนบ่อยๆง่ายดี


    “เฟอมาร์รีน หนองจอก  เป๊าะ”   ก่อนจะแอคท่าโชว์ลิปสติกแบบเก๋ๆเอียงหน้าเคียงคอโชว์สันกรามไปมาแล้วทำปากจู๋จุ๊บตบท้ายไปอีกที   


    “อุ๊ย!  มีคนอยู่ด้วยอ๋อ  ไม่เห็นเลยนะเนี้ยยย”  ผมแสร้งทำเป็นตกใจ  เอามือปิดปาก ดัดเสียงให้แหลมเล็ก  เล่นใหญ่ขนาดนี้มันจะคุ้มค่าไหมวะเนี้ยไอ้อันโทนิโอ้…


    แต่พอเห็นแววตาที่เริ่มเปล่งประกายสุกใสเหมือนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งของสโนว์  ผมก็รู้เลยว่าที่ผมลงทุนทำไปน่ะ  โคตรคุ้มค่า


    “แหะๆ  ตัว ตัวเห็นร่างจริงเราแล้วอย่าเอาไปเล่าให้ใครฟังน้า  แบบว่าเราอายอ่ะแกร๊  ยังไม่พร้อมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้คนในเอกรู้อร๊า”   ผมทำกระมิดกระเมี้ยนเนียมอายมากแล้วดัดเสียงให้เหมือนที่ดูละครว่าคนที่เป็นเพศที่สามจะดัดเสียงกันแบบ คาปูวชิ่ส์โน่ร้อน แค้วหญ่าย หวั๊นน้อย คี่นี่ อ่ะครับ  เป็นไงผมเล่นใหญ่ได้ไม่แพ้ม๊าแน่นอนอ่ะตอนนี้ โคตรมั่นใจ


    “ด..ได้สิ  เราไม่บอกใครหรอก”   อร๊ากกกกกกกก  ในที่สุดก็ได้คุยกับสโนว์แล้วโว๊ยยยยย  หลังจากแค่ได้แอบมองมาตลอด 1 ปี วันนี้กูได้คุยกับสโนว์แล้วโว๊ยยยยยย   เชี่ยแม่ง โคตรๆๆๆมีความสุขเลย  ถึงแม้จะในระยะห่างประมาณ 2 เมตรก็ตามทีเถอะ  คือสโนว์เปิดประตูแต่ก็ยังยืนอยู่ในห้องน้ำห้องริมสุด  ส่วนผมยืนอยู่หน้ากระจก



    “ขอบใจน้าตัว....ตัวชื่อสโนว์ใช่ป่ะ เราเรียนเอกเดียวกันนิ”  หลังจากพูดขอบคุณไปก็เหมือนจะเกิดเดดแอร์  ผมเลยทำเป็นถามต่อไป   ก็อุตส่าห์ได้คุยกันแล้วเรื่องอะไรผมจะยอมให้บทสนทนาหยุดลงแค่ตรงนี้ล่ะครับ  ไม่มีทาง!


    “อื้อ  ส่วนนาย...เธอ  ใช่คนที่เต้นวันรับน้องป่ะ”   เฮ  สโนว์ถามผมกลับด้วยแหละครับ  อยากจะยิ้มให้หน้าบานจนจานดาวเทียมจับภาพได้แต่ก็ต้องเก็บอาการดีใจไว้



    “อ๋อ  ใช่แก เราเองแหละ เห็นด้วยหรอ”   ป๊าดดดด เรื่องตั้งนานมาแล้วสโนว์ยังจำได้อีกอ่ะ  แต่ก็นึกขอบคุณที่วันนั้นผมเต้นแรงเป็นนางโชว์เพราะมันเหมือนจะเข้าทางผมมากในตอนนี้   ถ้าตอนนั้นสโนว์เห็นก็คงเชื่อว่าผมเป็นตุ๊ดจริงๆแหละนะ  ไม่ได้แกล้งแอ๊บเป็นตุ๊ดมาหลอก (ถึงจะหลอกจริงๆก็เถอะ)  ป๊าครับอั๊วะขอโทษที่เคยคิดว่าการทำแบบนี้มันโคตรบ้า  ไม่มีศักดิ์ศรีลูกผู้ชายสักนิด  แต่อั๊วะมันไม่ฉลาดคิดหาวิธีที่ดีกว่าป๊าไม่ได้เลย  ....อั๊วะจนมุมแล้วจริงๆ  อั๊วะไม่อยากให้สโนว์ไปลาออก  เพราะงั้นอั๊วะขอลอกความคิดป๊าแล้วกันนะ



    “อือๆ  เต้นเก่งมากเลยนะวันนั้น  เราคิดว่าเธอร้องเพลงจริงๆซะอีกเหมือนนางโชว์มากเลย”  ผมได้แต่ยิ้มแบบอายๆไป  แต่ในใจได้แต่คิดว่า  กูควรดีใจกับคำชมดีป่ะวะ -*-



    “นิดหน่อยอ่ะตัว  นั่นแค่เบาๆนะไม่อยากจะแสดงออกมากเท่าไหร่ โฮะๆๆ”  ผมเลียนแบบเสียงหัวเราะที่น่าหมั่นไส้ของม๊าเสริมเข้าไปด้วย เพราะจะหัวเราะฮ่าๆๆก็กลัวจะแมนไป  สโนว์เองก็หลุดยิ้มกับเสียงหัวเราะผมเหมือนกัน   พอสโนว์ยิ้มแล้วโลกโคตรสดใสเลย  แม้แต่ห้องน้ำที่โสโครกก็กลายเป็นสวนดอกไม้หอมฉุยได้ในพริบตา  นี่ใช่ไหมพลังอนุภาพของความรัก   มันเป็นแบบนี้นี่เอง  อาห์  โคตรสดชื่นนน



    “โห  ขนาดเบาๆนะนั่น....ถ้าเธอจัดเต็มคงได้แสดงบนเวทีใหญ่แน่เลยเนอะ”  คนหน้าหวานพูดต่อมาอีกรอบ  เห็นท่าทางพยายามจะพูดด้วยแล้วก็เอ็นดู   คือถึงแววตาสโนว์จะฉายแบบเห็นผมแล้วมีความหวัง  แต่มันก็มีความกังวลรวมอยู่ด้วย  เขาคงยังไม่มั่นใจว่าผมเป็นตุ๊ดจริงหรือเปล่าจะเชื่อได้ไหม  แต่ก็คงอยากหาเพื่อนด้วย



    “อื้อ  ถ้าอนาคตก็ไม่แน่  เราก็สนใจอยู่แต่รอให้เรียนจบก่อนค่อยคิดต่ออีกไปอ่ะแก…เออ แกเรียกเราว่าโอ้เอ้ก็ได้นะเหว้ย  ผัวเราก็เรียกเราแบบนี้แหละแก”  อะไรก็ตามที่จะทำให้สโนว์มั่นใจและไม่หวาดระแวงไอ้อันโทนิโอ้คนนี้ยอมทำหมดแล้วจริงๆ  เพื่อสโนว์คนเดียวเท่านั้น  โคตรเข้าใจความรู้สึกป๊าเลย



    “ผ..ผัว?..โอ้เอ้มีผัวด้วยหรอ”      สโนว์ตาโตเป็นไข่หงส์ (สวยเกินกว่าจะเป็นห่าน)


   
    “ก็มีสิแก  เราก็มีหัวใจนะเว้ย  แต่ก็แอบๆคบกันไปอ่ะไม่ค่อยเปิดเผยหรอก”  แถ ถะแด่ดแถดแถ แถๆๆๆถะแด่ดแถ๊ดแถ   แถสีข้างจะแหกอยู่แล้วผม  อย่าว่าแต่มีผัวเลย  แฟนสักคนผมยังไม่เคยมี  ชีวิตหมดไปกับการเล่นเกมส์  ขายทอง และเฮฮาเล่นเพื่อนทั้งนั้น  ไม่ได้เหลียวมองใครเลย


    “ใช่คนที่เดินกับโอ้เอ้บ่อยๆป่ะ  ที่ตัวขาวเหลืองๆ  เจาะหูด้วยใช่ไหม”   นั่นมันไอ้โปนี่หว่า  เอาไงดีวะเกิดมาไม่เคยจะคิดเอาเพื่อนมาเป็นผัวเลยสักคน   แต่ถ้าตอบว่าไม่ใช่เกิดสโนว์สงสัยว่าผมไม่ใช่ตุ๊ดจริงแล้วชิ่งไปลาออกก็แย่สิ   ตอนป๊ายังยอมลงทุนไว้ผมยาวให้ม๊าเชื่อ  แต่ผมไว้ผมยาวไม่ทันแล้วไง  ลดหุ่นให้กล้ามหายก็ไม่ได้ด้วย   เพราะงั้นทางออกเดียวคือ  ผมต้องมีผัวเป็นไอ้โปนี่แหละ  สโนว์ถึงจะได้เชื่อใจว่าผมเป็นตุ๊ดจริงๆ....โป  รับกรรมไปกับกูก่อนนะไอ้เพื่อนยาก  -/\-



    “ดูออกด้วยหรอ  ว่าเนียนสุดแล้วนะเนี่ย  เขินจัง เขาชื่อโปเป็นแฟนเราเองจ้า” 



    “แต่เขาเตี้ยกว่าโอ้เอ้เยอะเลยนะ   ดูน่าจะเป็น..เอ่อ อย่างนั้น มากกว่าอีก”   สโนว์ถามต่อแบบยังคงสงสัย  ช่างถามแบบนี้เกิดผมทนไม่ไหวกระชากเข้ามาจูบปิดปากแบบในละครจะได้ไหมครับเนี่ย....แต่หน้าอย่างผมคงได้ถูกจับเข้าไปนอนในคุกอ่ะเผลอๆอาจะโดนรุมประชาทัณฑ์  เหอๆ  ไม่หล่อก็เหนื่อยแบบนี้แหละครับ


    “โอ๊ยยยแก  ส่วนสูงไม่มีผลในแนวนอนเว้ยยยย  ตะแคงก็เช่นกัน”   ผมทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจนี้แบบ  แม่ง แค่คิดกูก็สยองแล้ว  ผมกับไอ้โปเนี่ยนะท่าไหนก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละโว๊ย



    “อ่อ  แล้ว..”   ผมแทบกลั้นหายใจเมื่อสโนว์ทำท่าสงสัยอะไรอีก  ไม่ได้รู้เลยว่าไอ้อันโทนิโอ้คนนี้มันพกสมองมาน้อยแค่ไหน  คิดคำโกหกไม่ทันแล้วนะสโนว์ที่รัก   ก็พอดีที่มีคนเดินเข้ามาในห้องน้ำสโนว์จึงปิดปากเงียบก้มหน้าแล้วรีบเดินออกจากห้องน้ำ (สักที)  มาล้างมือ  ผมเองก็กลับมาเก๊กแมนเหมือนเดิม   แล้วเดินออกจากห้องน้ำสโนว์ก็ตามมาด้วย   เห็นนะว่าไอ้หมอนั่นมันส่งยิ้มให้สโนว์ด้วย  หึ่ยยย  รอวันที่กูได้เป็นแฟนสโนว์ก่อนเถอะ  กูจะจับหน้าสโนว์ให้มาซุกกับอกหนานี้ไม่ให้ใครได้มองเลย   คอยดูสิ!         




    “แล้วนี่แกจะขึ้นเรียนเลยป่ะ   เดินไปพร้อมกันม่ะ”   พอพ้นสายตาคนอื่นผมก็กลับมาร่างจำแลงอีกครั้ง  เอาจริงๆก็คือยังมีความอายอยู่บ้างไม่กล้าทำท่าแต๋วต่อหน้าคนอื่นอยู่ดี


    “...อืม  ไปสิ  โอ้เอ้เดินนำเลย”   



    “โอเคๆ  ป่ะไปกันแก”   แล้วผมก็หันหลังเดินนำให้สโนว์เดินตามโดยเว้นระยะห่าง 2 เมตรเช่นเคย  แบบว่าเข้าใจให้เวลาสโนว์ปรับตัวสักพักก่อนเนอะ  พอได้หันหลังใส่สโนว์ผมก็ได้แต่เป่าลมออกจากปากอย่างโล่งใจ  แถมเหงื่อแตกซิกๆด้วยใจเต้นแรง



    ผมไม่รู้เลยว่าการแสดงละครครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมจะทำให้สโนว์เชื่อจริงๆหรือเปล่า  จะจับได้ในเร็ววันไหม จะถูกเกลียดไหม  แต่ถ้าหากมันจะยืดเวลาให้ผมได้อยู่กับเขามากขึ้นไปอีกแม้จะเพียงสัก 1 ชั่วโมง  ผมก็ยังอยากทำต่อไป  คงเป็นเพราะผมมันแค่คนแคระโง่ๆที่อยากทำทุกอย่างเพื่อปกป้องและได้ดูแลสโนว์ไวท์ไปนานๆโดยไม่สนใจวิธีการว่ามันถูกหรือผิด...





    “มาๆๆนั่งโต๊ะเดียวกันนะสโนว์”   ผมเดินไปนั่งข้างไอ้โปที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์เล่นเกมอยู่ ทำมือตบเก้าอี้อีกคนให้มานั่งข้างกัน   สโนว์มองแบบลังเลแล้วมองไปรอบห้องถึงได้เดินมานั่งข้างผม  เขาคงอยากมองหาอีกรอบว่าในห้องจะมีผู้หญิงหลงเข้ามาอีกไหม  แต่มองไปก็เห็นแต่ไอ้พวกลิงกังที่จับกลุ่มเล่นเกมในโทรศัพท์แข่งกันทั้งนั้น   จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสารนะแต่ด้านมืดในใจผมก็กลับดีใจที่เขาไม่สามารถอยู่กับผู้ชายคนอื่นได้   หมดปัญหาเรื่องกิ๊กไปอีกหนึ่ง!    ยังไม่ได้เป็นแฟนแต่ขอมโนถึงข้อดีไว้ก่อนครับจะได้มีแรงจูงใจ 555+



    “นี่ไอ้โป..หรือปลัดคิกของโอ้เอ้เองจ้า”   ผมเผลอหลุดเสียงเข้มไปในตอนแรกก่อนจะรีบดัดเสียงแทบไม่ทัน


    “เหี้ยอะไรของมึงวะโอ้เอ้  กู.โอ๊ยย”  ผมหยิกขามันแทบไม่ทัน  กลัวมันจะหลุดอะไรออกมาก่อนที่ผมจะบอกแผนการน่ะสิครับ



    “แหมๆ เตงไม่ต้องทำแอ็คท่าเป็นเพื่อนโอ้เอ้แล้วล่ะ  สโนว์เขารู้ความจริงหมดแล้วว่าเราอ่ะ  เป็นแฟนกัน”   ผมทำเป็นยิ้มหวานเขินอาย  แล้วทำท่ากระซิบบอกเสียงเบาแบบให้ได้ยินแค่ในกลุ่ม


    “ห๊ะ!!!  กูเนี่ยนะแฟนมึง”   แต่ไอ้เหี้ยไอ้โปเสือกตะโกนลั่นห้องด้วยความตกใจ  สโนว์เองก็สะดุ้งกับเสียงไอ้โปไปด้วย แล้วทั้งห้องตอนนี้ก็หันกันมามองพวกผมเป็นตาเดียว   ดีใจฉิบหายมีคนสนใจผมด้วย  ถุ๊ย!



    “เตง  เตงควรจะคบเค้าอย่างเปิดเผยได้แล้วนะ  รู้ไหมว่าเค้าต้องอดทนปกปิดความรู้สึกมาตั้ง 1 ปี มันทรมานหัวใจเค้ามากแค่ไหน....เค้าก็อยากเดินจับมือเตงบ้าง คุยหวานๆกับเตงบ้างแค่นั้นเอง  เลิกปิดเรื่องของเราเถอะนะตัว”  แม่งโคตรไม่มีอะไรจะเสียหายไปกว่านี้อีกแล้วครับ   ไอ้แผนที่ว่าจะเนียนบอกสโนว์ว่าเก๊กเป็นผู้ชายเพราะโปขอกลายเป็นต้องพับทิ้งไปก็มันเล่นปฏิเสธซะเสียงดังแบบนี้   กลายเป็นแกรนโอเพนนิ่งต่อประชากรทั้งห้องเลยไอ้สัตว์   แล้วผมจะเลือกอะไรได้ล่ะนอกจากเดอะโชว์มัสโกออนต่อไป  TT



    ไอ้โปทำปากพะงาบๆทำท่าจะปฏิเสธอีกรอบแต่ผมก็ชูมือขึ้นมาห้านิ้วไว้ตรงหน้าท้องให้มันเห็นคนเดียวแล้วขยับปากว่า ‘ห้าพัน’  ผมมั่นใจว่ามันต้องรู้ความหมายและรู้ว่าผมอยากให้มันทำอะไร ไอ้โปสะดุดกึกหุบปากไปแป๊บนึง  ก่อนจะทำท่าคิดหนักเอามือปิดหน้าอีกมือเท้าเอวแต่ที่มือของมันน่ะ  กระดิ้กนิ้วชี้รัวมาก  มากซะจนผมเข้าใจความหมายของนิ้วนั่น    มันลอบมองผ่านช่องว่างระหว่างนิ้วว่าผมจะทำอย่างไร  ผมเลยต้องทำมือว่าโอเคส่งไปให้แทนอย่างเสียไม่ได้   ฮึ่ยยยยย  ไอ้เพื่อนน่าเลือด!


   
    พอมันเห็นแบบนั้นก็ยิ้มมุมปากแล้วทำหน้าแบบเอาล่ะเป็นไงเป็นกัน  “ถ้าโอ้เอ้ต้องการอย่างนั้นก็ได้..”  มึงแหละต้องการหนึ่งหมื่นไอ้ห่า  ผมได้แต่คิดในใจแทบจะแยกเขี้ยวใส่ด้วยซ้ำ






ต่อ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ!+
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 22-01-2018 18:39:42



“โอเค  ทุกคนกูกับโอ้เอ้เป็นแฟนกันจริง  อ่ะ  แบบนี้พอใจยังที่รักกกก”  ไอ้โปทำหน้าแป้นแล้นแล้วหยิกแก้มสากๆของผมอย่างหมั่นเขี้ยว   แม่งบีบโคตรเจ็บเลย  แต่ผมก็ต้องปั้นหน้าเป็นเคลิ้บเคลิ้มต่อไปไม่ให้หลุดฟอร์ม



    “ฮิ้วววววววว  คู่รักคู่แรกของห้องว่ะ มีคนเปิดแล้วใครจะเปิดต่อเลยไหมสัตว์กูจะได้แสดงความยินดีทีเดียว  555+”



    “ผัวเผลอแล้วเจอกันนะโว๊ยยยย โอ้เอ้  กูชอบถึกๆแบบมึง”



    “เหี้ยไรวะเนี้ย  ไอดอลกูเป็นอีแอบตั้งแต่ตอนไหนวะ  กูเสียดายหุ่นมึงจังไอ้โอ้เอ้”



    ไอ้พวกลิงกังก็ร้องแซวกันสนุกปาก  ผมก็ได้แต่ช่างแม่ง  แค่สโนว์เชื่อว่าผมไม่ใช่ผู้ชายแท้ก็เป็นพอ



    “ถึงใครจะพูดยังไงแต่ความรักก็เป็นเรื่องสวยงามเสมอนะโอ้เอ้  เธออย่าเพิ่งใจแป้วไปนะ  เราเป็นกำลังให้”    แค่สโนว์พูดนิ่มและส่งยิ้มน้อยมาให้อย่างใจจริง   โลกของผมก็กลายเป็นสีชมพูไปทันที   ชายคนเดียวที่อยู่ในสายตาและความสนใจของผม




      โชคดีที่อาจารย์เข้ามาสอนพอดีพวกมันเลยหยุดเห่าหอนกันไปได้  สโนว์เองก็ดูผ่อนคลายขึ้นด้วยไม่มีท่าทีลังเลอะไรกับผมอีกต่อไป   ตลอดเวลาเรียนผมได้แต่แอบลอบมองใบหน้าที่งดงามนั่นอยู่ทุกแทบทุกนาที  จากที่เคยได้แค่มองจากทางด้านหลัง  จากที่ต้องเดินไปหาสโนว์ตรงที่นั่งประจำเพื่อได้แอบมองเพียงไม่กี่นาทีอยู่ทุกวันมาตลอด 1 ปีเต็ม  วันนี้ผมกลับได้มานั่งอยู่ข้างๆเขาแล้วมันมีความสุขมากยิ่งกว่าในฝันซะอีก   และถ้าหากนี่เป็นความฝันจริงๆ  ผมก็ได้แต่หวังว่าโทรศัพท์ผมจะพังจนไม่ทำงานปลุกผมให้ตื่นไม่ได้  หรืออาจจะขอให้ม๊าขึ้นมาปลุกผมช้าไปอีกสัก  10 นาที  ให้ผมได้เก็บเกี่ยวความสุขตรงนี้ไปนานๆก่อน







    และก็โชคดีที่นี่มันเป็นความจริง ^^  หลังเลิกเรียน  กลุ่มผมก็ออกเป็นกลุ่มสุดท้ายไม่อยากให้สโนว์ต้องไปเบียดกับไอ้พวกลิงกังนั่นที่ยังคงแซวเรื่องผมอย่างสนุกปาก  ห่าแม่ง -*-   พอพวกมันไปหมดผมก็ถามสโนว์ว่าจะกลับยังไง  สโนว์บอกว่าเอารถมาจอดไว้หน้าตึกผมกับไอ้โปก็เลยเดินมาส่ง



    “โอ้เอ้   เราถามอะไรอีกอย่างนึงได้ไหม”    เจ้าหญิงของผมมีคำถามมาให้คนอย่างผมต้องกดปุ่มสตาร์ทเปิดการทำงานของสมองอีกแล้ว  ผมนี่กลั้นหายใจไป 2 วินาทีเลยกว่าจะปั้นหน้ายิ้มหวานกลับไป



    “ว..ว่ามาเลยจ้า”



    “คือ...แผลเป็นที่คิ้วเธออ่ะ   ไปโดนอะไรมาหรอ   ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะแต่มัน....อยากรู้จริงๆ”



    “อ๋อออ  แผลนี่อ่ะหรอ  คืองี้...ตอนเด็กๆเราก็แบบอยากสวยคิ้วโก่งเหมือนม๊าอ่ะ  เลยแอบไปจิ๊กใบมีดโกนมาลองกันคิ้วเอง  กำลังกันคิ้วได้สวยๆอยู่แล้วเชียวม๊าเปิดประตูมาซะก่อน เราตกใจหันไปมองใบมีดโกนมันเลยบาดอ่ะ โฮะๆๆๆตลกเนอออะ”   ฮืออออออ  ความภูมิใจในรอบแผลเป็นสุดเท่ที่ได้มาเพราะหลบมีดดาบกลายเป็นความผิดพลาดในการกันคิ้วกับใบมีดโดนอันล่ะ 5 บาท ไปแล้วกู    ไอ้โปเองก็แทบหลุดขำกลั้นยิ้มอยู่ เพราะมันรู้ไงว่ารอยแผลเป็นนี่ผมได้จากอะไรมา  ที่รู้ก็เพราะผมเคยพูดอวดมันไง  แม่ม



    “อ๋อออ  เข้าใจแล้วเป็นงี้นี่เอง แต่ก็สวยไปอีกแบบนะดูเป็นคนมีเอกลักษณ์ดี จดจำได้ง่ายมากๆ” 



    “ก็คิดแบบนั้นเหมือนกันแหละจ้า”   จริงๆคิดไม่ออกแล้วว่าจะพูดอะไรต่อดีเพราะสมองที่มีมาทั้งหมดถูกใช้ไปหมดแล้วในวันนี้   ป๊าให้แรมมาน้อยก็งี้แหละครับ



    “งั้น  ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะโอ้เอ้....ป..ป..โป  เรากลับก่อนนะ”   สโนว์ยิ้มให้ผมกับไอ้โปที่ยืนห่างออกไประยะมากกว่า 2  เมตร  เพราะผมแอบส่งไลน์ไปสั่งมันไว้ตั้งแต่ในห้องเรียน


    “โอเค  แล้วเจอกันนะสโนว์”   ผมยืนส่งสโนว์และโบกมือจนรถสโนว์ขับเลี้ยวออกไปจนลับตา




    “เฮ้อออออออออออออออ”    รอดแล้วกู   การทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองนี่มันโคตรเหนื่อย     



    “มีอะไรจะอธิบายให้กูฟังไหมครับอีโอ้เอ้”  ไอ้โปกอดอกถาม    แม่งนี้ผมต้องเล่าตั้งแต่ต้นจนจบอีกแล้วใช่ไหมเนี้ย  -*-



   




    “เชี่ยยยย  มึงบ้าป่ะเนี้ย  มึงต้องบ้าไปแล้วไอ้โอ้   มึงแค่เห็นหน้าเขาแล้วชอบเขาแค่นี้มึงถึงกับลงทุนทำให้เขาขนาดนี้เลยหรอวะ  แม่งโคตรไม่เมคเซนส์เลยว่ะ”   



    “เออกูรู้ว่ากูบ้า  แต่ให้ทำไงวะกูชอบเขาไปแล้ว  กูถอยหลังไม่ได้แล้วเว้ยเล่นใหญ่ไปขนาดนั้นแล้วด้วย....อีกอย่างกูอยากทำให้เขาสามารถเรียนต่อไปได้จนจบก็ยังดี”




    “แน่ใจนะว่าหวังแค่นั้น  มึงจะยอมเล่นเป็นอีแอบไปจนเรียนจบเพื่อคนๆเดียวที่เขาก็คิดกับมึงแค่เพื่อนสาวคนหนึ่งอ่ะนะ   พูดมันง่ายเว้ยแต่ทำจริงอ่ะมันยากนะมึง ยังไงสักวันมึงก็ต้องหลุดไม่ก็เขาจับตอแหลมึงได้  มึงเชื่อกูดิ อย่าใช้แต่ความรู้สึกใช้สมองกับเหตุผลด้วย คิดสิคิด”   ไอ้โปพูดตรงๆอย่างไม่เห็นด้วยอย่างแรง   ผมเข้าใจมันนะถ้าเป็นคนนอกก็คงคิดแบบมัน  แต่ผมที่ติดอยู่ในห้วงความรู้สึกนี้มันก็ยังคิดอยากไปต่ออยู่ดี  สถานะไหนก็ยอม....



     
    “ก็รู้....แต่มึงจะให้กูอยู่เฉยๆแล้วปล่อยให้เขาลาออกไปยังงั้นหรอวะ   มันไม่ง่ายนะมึงที่คนเรามันจะเจอคนที่ใช่  ถ้าเจอแล้วก็อยากรักษาไว้ให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ   กูเตรียมใจไว้สำหรับอนาคตแล้วจะดีจะร้ายกูก็พร้อมรับว่ะ   แต่ถ้าวันนี้กูไม่ได้ลงมือทำห่าอะไรเลยสักอย่างแล้วปล่อยให้เขาหลุดไป  กูแม่งคงโทษตัวเองไปทั้งชีวิตแน่”   

    ตอนสมัยเด็กสมัยที่ยังเป็นไอ้ตี๋ตัวขาวหุ่นขี้ก้าง  ผมก็เคยมีผู้หญิงให้ลูกอมหัวใจหรือดอกไม้บ้างเหมือนกันนะครับ  เพียงแต่ผมไม่รู้สึกอะไรกับพวกเธอเลยไม่ได้สานต่อ  เพื่อนก็บอกว่าผมหยิ่งแต่ผมรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต้องไปเป็นแฟนกับคนที่ไม่ได้รัก  ถึงจะไม่ได้หล่อเลือกได้แต่ผมก็เคารพในความเชื่อมั่นของตัวเองนะ  ว่าสักวันนึงผมจะได้เจอคนที่ทำให้ผมรู้สึกตกหลุมรักได้  และถ้าผมได้เจอผมสาบานว่าผมจะทุ่มเทให้เขาทุกอย่างเท่าที่ผู้ชายอกสามศอกคนนี้จะทำให้ได้   แล้วเมื่อวันนึงที่ผมได้เจอแล้วถึงจะเป็นแค่ผมที่ไปชอบเขาอยู่ฝ่ายเดียวแต่มันก็ไม่ทำให้สิ่งที่ผมตั้งใจไว้แต่แรกลดน้อยลงไปเลย   คนอย่างอันโทนิโอ้ถ้าลองได้ตั้งใจอะไรได้สักอย่างทุ่มไม่อั้นครับ



    “เฮ้ออออ  สรุปจะเดินหน้าต่อให้ได้ว่างั้น?”



    “เออ  แล้วมึงก็ต้องช่วยกูด้วยไอ้โป  มึงรับปากแล้วโว้ย”    ผมพยักหน้าหนักแน่น



    “กูถอนตัวได้ไหมวะ   แม่ง  ทำใจมีเมียกล้ามใหญ่กว่ากูไม่ได้จริงๆว่ะ”   ไอ้โปทำหน้าเซ็งโลก  แถมลองเบ่งกล้ามมาเทียบกับแขนผมอีก  โคตรเหมือนเอาไม้ซี่มางัดท่อนซุง



    “ไม่ได้นะมึง  มาขนาดนี้แล้ว  ถึงมึงไม่อยากทำกูก็จะบังคับให้มึงทำไอ้สัตว์”



    “กูไม่น่าเป็นเพื่อนกับมึงเลยจริงๆ  ไอ้เลวเอ๊ย  เวรกรรมฉิบหายมีเพื่อนสติไม่สมบูรณ์!”



    “55555+  น่ามึง  ได้เงินตั้งหมื่นหนึ่งนะโว้ยค่าเหนื่อย  เดี๋ยวกูไปกดตังค์ให้เลยแล้วกันมึงนั่งรออยู่นี่แหละ”   พูดเสร็จก็นึกขึ้นได้เลยหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาหาบัตร ATM




    “เห้ย  ไม่ต้องไอ้โอ้  กูแกล้งแหย่มึงไปอย่างนั้นแหละ  จะวัดใจเฉยๆว่ามึงจะกล้าไหม ไม่ได้คิดเอาจริงเว้ย”   ไอ้โปรีบโบกมือปฏิเสธ  แต่นี่ใคร?  นี่อันโทนิโอ้นะโว้ย  คำไหนคำนั้นครับ  ไม่หล่อแต่พอมีตังค์นะครับพี่น้อง (จะบอกว่ารวยก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะร้านทองนั้นมันของป๊ากับม๊า เหอๆ)



    “กูบอกจะให้คือจะให้  มึงรับไว้อ่ะดีแล้วจะได้ไม่มีข้ออ้างมาเบี้ยวกูอีก  เข้าใจ๊?”   ผมมัดมือชก แล้วเดินไปกดเงินที่ตู้ATM ใกล้ๆ  โดยมีเสียงไอ้โปตะโกนห้าม  “กูบอกไม่เอาๆ ไอ้ห่า  ได้มาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรโว้ยยย”



    “เอาไปเติมเกมส์  ไปจ่ายค่าหอ ค่าเทอม ค่าโน้นนั่นนี่ก็ได้หมดแหละโว้ย  ไม่ต้องปฏิเสธแล้ว หุบปาก!”  ผมตะโกนบอกกลับไปแล้วกดเงินออกมาตามจำนวน




    “อ่ะ  เอาไป  นับให้แน่ใจอีกทีก็ได้ว่าครบหรือเปล่า”   ผมบอกจริงๆตอนกดมาก็นับไปหนึ่งรอบแล้วล่ะครับว่าครบ



    “เหี้ยแม่ง  มึงโคตรทำกูลำบากใจเลย”   ไอ้โปทำหน้านิ่วอย่างไม่ชอบใจ



    “เอาไปเดี๋ยวนี้  กูกดมาแล้ว  แล้วอย่าลืมเล่นเป็นแฟนกูให้เนียนๆด้วยล่ะ”  ผมสั่งมันอีกรอบ  งานนี้ถอยไม่ได้



    “แล้วถ้ากูเล่นได้ไม่เนียนล่ะ”




    “หึหึหึ  มึงก็จะกูใช้ตัวมึงยกแทนดัมเบลล์ไง ^_^”   ผมบอกไปพร้อมรอยยิ้มสยอง  ไอ้โปกลืนน้ำลายเอื้อก  ผมเลยดึงกระเป๋ามันมาแล้วจับเอาเงินยัดใส่กระเป๋าให้รับๆไปจะได้จบสักที




    “คืนนี้รออ่านไลน์กูด้วยล่ะ  เดี๋ยวกูกลับไปคิดแผนการ  คิดสตอรี่ชีวิตรักกูกับมึงก่อนแล้วจะส่งบอกในไลน์  แล้วอ่านด้วยล่ะมึงเวลาสโนว์ถามจะได้ตอบตรงกัน  เคนะ”



    “เอออออ”   ไอ้โปตอบรับแบบเอือมๆ




    “ดีมาก  แล้วมึงจะกลับเลยไหม  ซ้อนมอเตอร์ไซต์กูเปล่าเดี๋ยวเมียไปส่งเองน้าพี่ปลัดคิกคิก~”   ผมยิ้มร่าทำเป็นซ้อมพูดหวานไปในตัว   ไอ้โปไม่ตอบแต่ส่งนิ้วกลางให้ผมพร้อมหน้าเบื่อโลกของมันให้หนึ่งที   



    “ไอ้โอ้   ก่อนไปกูจะบอกอะไรมึงให้เอาบุญสักอย่าง”



    “อะไรวะ?”



    “ปากมึงแดงมากไอ้สัตว์  ไปแดกลาบเลือดมาหรอวะ  มองไกลๆกูนึกว่าเงาะป่าหลงถิ่น!”   เออลืมไปเลยว่าผมทาปากมาแล้วก็ยังไม่ได้ลบออก  มิน่าล่ะอาจารย์ถึงมองผมแปลกๆระหว่างสอนหลายครั้ง   แต่ผมก็หาได้สะท้านไม่  วันนี้มีความสุขเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่นขี่รถกลับหอด้วยความสบายใจ   ยิ้มหน้าบานจนโต้ลมได้เลยล่ะครับ   




หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ!+
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 22-01-2018 18:42:10


ผมทิ้งตัวลงนอนเต็มที่จนตัวเด้งไปกับเตียงแต่ก็ยังคงยิ้มหน้าบานต่อไปได้  พลางนึกถึงเรื่องดีๆของวันนี้....อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆจังโว้ย  อยากได้คุยได้มองหน้าสโนว์ใกล้ๆอีกจัง   เจ้าหญิงของอันโทนิโอ้  พรุ่งนี้จะชวนคุยเรื่องอะไรดี  หรือสโนว์จะถามคำถามอะไรยากๆมาอีกรึเปล่า.......แค่คิดก็ขนลุก   บอกเลยงานใช้สมองอันโทนิโอ้ไม่ถนัดจริงๆ - -




    “เออ   โทรไปปรึกษาอาหลิงดีกว่า”   ว่าแล้วล้วงกระเป๋าเอาโทรศัพท์มาโทรหาน้องสาวตัวเอง



    (ว่าไงเฮีย   โทรมามีอะไรหาลิปการ์ตูนให้หลิงได้ยัง)    กรรม ลืมไปซื้อแท่งใหม่ให้อาหลิงเลย



    “เออ  จริงๆเฮียซื้อมาให้แล้วนะแต่มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เฮียต้องเปิดใช้ลิปก่อนว่ะอาหลิง  เดี๋ยวไว้ไปหาซื้อให้ใหม่นะ”



    (โห  อะไรอ่ะเฮีย  เซ็ง เปิดใช้ทำไมอยากลองสีลิปแทนอั๊วะหรอ)   เสียงมันบ่นเหมือนพูดมาจากไกลๆคงเปิดโฟนแน่เลย



    “นี่ลื้ออยู่บนห้องหรือข้างล่าง”



    (บนห้องดิ  อั๊วะขึ้นมาทำการบ้านอยู่  เคมีโคตรยากเลยอ่ะเฮีย  เฮ้ออออ ทำไมเฮียไม่ฉลาดๆวะจะได้มาสอนอั๊วะได้)   อ้าว ไอ้น้องเวร  นี่มันไม่ได้จะด่าว่าผมโง่ใช่ป่ะครับ  -*-



    “เออ  เฮียมันไม่ฉลาดถ้าลื้อทำการบ้านไม่ได้ก็ไปติวพิเศษเพิ่มสิ  เอาตังค์ที่เฮียก็ได้เดี๋ยวออกให้  ไม่มีสมองแต่มีตังค์นะหนู”   โคตรป๋าจริงๆเลยผม  แหม่   เมื่อกี้เพิ่งจ่ายไอ้โปไปหยกนี่ยังจะไปเปย์น้องต่ออีก   แต่ไม่เป็นไรหรอกเงินแค่นี้  ถ้ามันทำให้อาหลิงเก่งขึ้นผมก็เต็มใจให้  ดูเหมือนเป็นพี่ชายแสนดีใช่ไหมครับ  แต่เรื่องจริงคือผมวางแผนไว้แล้วว่าในอนาคตจะเกาะอาหลิงกินนี่แหละครับ   ให้ไปก่อนค่อยทวงบุญคุณทีหลัง  ฮ่าๆๆๆ




    “เฮียใจดีที่สุดดด  หลิงดีใจที่มีเฮียเป็นพี่จริงๆ”   แหมมม  พอบอกจะให้ตังค์ล่ะน้ำเสียงเปลี่ยนเชียว  ไม่รู้ว่ารักผมจริงๆหรือเงินในกระเป๋ากันแน่  โถถัง




    “เออ  เฮียมีอะไรจะเล่าให้ฟัง  มีเวลาสักสองสามนาทีไหม  เรื่องเกี่ยวกับสโนว์น่ะ”   ฉลาดรองจากม๊าก็คืออาหลิง  อีกอย่างหลิงมันชอบอ่านหนังสือ อ่านนิยายผมว่ามันน่าจะช่วยผมได้เยอะนะ


    “ว่ามาเลยเฮีย  อั๊วะอยากฟังจะแย่แล้ว” ><  แล้วจากที่คิดว่าจะใช้เวลา 2-3 นาทีก็ปาไปเป็นชั่วโมงโน้นแหละครับ  แบบว่าเล่าเพลินไปหน่อย  อาหลิงก็กรี้ดกร้าดใหญ่เพราะมันไม่คิดว่าผมจะเล่นเป็นอีแอบตามป๊าจริงๆ



    (เฮีย  โคตรทุ่มเลยอ่ะ  นานๆจะเห็นทำอะไรจริงจังบ้างสักทีเนาะ)



    “ชมหรือด่าวะอาหลิง  พูดมาให้เคลียร์ๆดิ  ก่ำกึ่งแบบนี้อั๊วะคิดไม่ออกนะโว้ย”



    (ชมจ้าชม  ใครจะว่าเฮียได้เล่า...แล้วยังไงคือเฮียอยากให้อั๊วะช่วยคิดเรื่องราวความรักปลอมๆของเฮียกับพี่โปหรอ)



    “ใช่ๆ  อั๊วะคิดแล้วแต่คิดไม่ออกเลยมาถามลื้อไง   ว่างช่วยคิดหรือเปล่า”



    (เดี๋ยวอั๊วะทำการบ้านให้เสร็จก่อนแล้วกันนะถึงจะช่วยคิดให้  ยังไงจะส่งบอกในไลน์แล้วกัน  โอเคป่ะเฮีย)



    “เคๆ  แต๊งกิ้วมากอาหลิงเดี๋ยวพรุ่งนี้อั๊วะไปซื้อลิปให้ใหม่  เออแต่เตือนอั๊วะอีกทีก็แล้วกันเพื่ออั๊วะลืม”




    (ได้เลยครับผม  แค่นี้นะเฮียจะรีบทำการบ้าน)   แล้วอาหลิงก็กดตัดสายไป



    ผมนอนคิดถึงการจะแกล้งเป็นตุ๊ดยังไงต่อไปดีเพื่อให้สโนว์เชื่อผมอย่างไม่สงสัย   ผมเลยคิดว่าผมควรจะมีตัวอย่างให้เห็น  เลยกดเข้ายูทูปดูดารานักร้องต่างๆที่เป็นเพศที่สามว่าเขามีกิริยาท่าทางอย่างไร  ออกเสียงยังไงกันบ้าง  ต่อด้วยดูละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศที่ 3 อย่างตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ดูครบหรอกนะครับคือฉากไหนไม่มีดารานำเป็นเพศที่สามแสดงผมก็กดข้ามๆไปเลยมันเลยไปได้ไวหน่อย    ดูจนตาลายแบตเหลือไม่กี่เปอร์เซน  ผมก็เหลือบสายตาไปเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว  ถึงว่าผมถึงรู้สึกง่วงฉิบหาย   เสียบสายชาร์ตได้ก็หลับไปทั้งชุดนักศึกษานั่นแหละครับเช้าค่อยอาบน้ำทีเดียว   อยู่หอคนเดียวซกมกได้ตามอัธยาศัยครับม๊าไม่บ่นเพราะม๊าไม่เห็น - -




    หวังว่าเมื่อผมตื่นนอนขึ้นมาอาหลิงคงส่งเรื่องรักปลอมๆมาให้ผมแล้วนะ




    แต่ช่วงที่กำลังเคลิ้มจะหลับไม่หลับแล่นึกถึงวิดีโอต่างๆที่ได้ดูไปด้วย  ภาพความทรงจำบางอย่างก็แว๊บเข้ามาในหัวจนผมเบิกตาโพร่ง





    กูลืมน้องฉัตรไปได้ไงวะ!!!




******************************

 

มินิซีน  เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้



โป   


    “ไอ้เชี่ยเอ๊ย  กูแม่งไม่น่ารับปากรับเงินมันมาเลยไอ้ห่า  จะไม่ช่วยก็ไม่ได้  โถเว้ย เอาเงินไปคืนมันดีไหมวะ กูไม่น่ามาเป็นเพื่อนมึงเลยไอ้เลวอันโทนิโอ้!”  คนหน้าเบื่อโลกบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทางเดินแต่ขายาวๆก็ก้าวเท้าเข้าไปในร้านหนังสือที่ตั้งใจเดินมาตั้งแต่แรก   ก่อนจะเดินไปยังชั้นวางนิตยสาร 



    ต้องเล่นเป็นผัวไอ้ยักษ์โอ้มันต้องเล่นยังไงล่ะวะ  แล้วคือกูเป็นผัวคือกูต้องทำตัวเป็นเกย์งี้ป่ะวะ  แม่งกูอยู่สงบๆก็ดีอยู่แล้ว  หาเรื่องให้กูแท้ๆไอ้เหี้ยโอ้       


    ผมกวาดตามองบนชั้นนิตยสารแต่พอเห็นหน้าปกที่เป็นรูปชายหนุ่มนุ่งน้อยห่มน้อยแล้วก็ทำใจหยิบซื้อไปศึกษาต่อไม่ได้จริงๆ  จริงอยู่ว่าไอ้โอ้มันไม่ได้สั่งให้เขามาศึกษาเพิ่มแต่คนอย่างเขาคือรับเงินมาแล้วก็ต้องทำให้คุ้มค่าจ้างไง ไม่ชอบทำอะไรสั่วๆเหมือนคนไม่มีปัญญาและความสามารถ  หลังจากที่คิดว่าทำใจซื้อไม่ได้แน่เลยเบนเข็มไปที่โซนนิยายที่มีหมวดนิยายใหม่มาแรง boys love หน้าปกหลากหลายมากจนตาลาย  บางเล่มแม่งก็หล่อกันเหี้ยๆจนผมรู้สึกอิจฉา  แต่บางเล่มก็มีหนุ่มน้อยน่ารักให้ความรู้สึกน่าดูเอ็น  เอ๊ย  เอ็นดูอยู่เหมือนกัน


    ไอ้โอ้มันแสดงเป็นอีแอบใช่ม่ะงั้นผมเลือกพวกหน้าปกแบ๊วๆไปแล้วกัน  จะเอาไปศึกษาต่อว่าเกย์คิงแม่งต้องทำตัวยังไงวะ   แล้วก็เพราะไอ้โอ้มันให้เงินมาเยอะมากเหมือนที่บ้ายรวยเว่อร์ทั้งที่มันบอกว่าบ้านมันแค่ขายของธรรมดาคงประมาณโชว์ห่วยล่ะมั้งแต่กลับทุ่มให้ผมมาช่วยเล่นเป็นผัวมันขนาดนี้  ผมเลยต้องตั้งใจศึกษาให้มากๆเลยหยิบมาทีเดียว  10  เล่มรวดแล้วแบกไปต่อคิวที่หน้าแคชเชียร์   พวกสาวๆมองแล้วก็ยิ้มๆแต่ผมก็ทำไม่หือไม่อื้อใช้ความหน้าตายไปเข้าสู้แทน



    “ถือไหวไหมครับ  รับสมัครคนช่วยถือของไหมเอ่ย”    หื้ม?   เสียงเหมือนมีคนพูดด้วย  หันหน้าไปมองก็เจอใบหน้าแบบเท่เหี้ยๆเหมือนออกมาจากปกนิยายฉิบหาย   ไอ้ห่าคนบ้าอะไรออร่าระยิบระยับมาก  แถมมันยังเจาะหูเยอะกว่าผมด้วย! 



    “เห้ย  นายไปเจาะหูที่ร้านไหนมาวะ”  คือแบบจิวที่เจาะมันเท่มากๆไม่ได้หาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาดแน่นอน แบบมันดูเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความเท่แบบมินิมอลอ่ะครับ



    “สนใจจิวผมหรอ”



    “เออ ดิวะไม่งั้นจะอ้าปากถามหรอ แค่นี้คิดไม่ได้หรือไง” 



    “นี่เป็นคนแรกเลยนะเนี่ยที่สนใจจิวเจาะหูผมมากกว่าหน้าหล่อๆของผม”   โห่แม่ง  จริงๆหน้ามันก็หล่อออร่ามากอ่ะนะแต่พอมันพูดยอตัวเองแบบนี้แล้วโคตรหมั่นไส้ความหล่อในความรู้สึกหายไป 95% 



    “งั้นกูไม่อยากรู้ล่ะ”  ผมแสยะยิ้มเหยียดแล้วหันกลับไปเพราะถึงคิวจ่ายเงินพอดี  พนักงานก็มองอย่างอึ้งๆที่เห็นผมซื้อหนังสือนิยายวายเยอะมากขนาดนี้  คิดเงินเสร็จผมก็จ่ายตังค์แล้วแบกถุงหนังสือออกไป  แทนที่วันนี้จะได้กลับไปทบทวนเรื่องที่เรียนมาผมก็ต้องเปลี่ยนมาอ่านนิยายเพื่อศึกษาวิถีเกย์ช่วยไอ้เพื่อนเฮงซวยนั่นอีก



    “ผมช่วยถือนะครับ”   เสียงหล่อที่ไม่แพ้ใบหน้าดังเข้ามาข้างตัวตอนออกจากประตูร้านแล้วถุงหนังสือในมือข้างนึงก็ถูกกระชากไปโดยไอ้หน้าหล่อระยิบระยับนี่




    “เห้ย  อะไรวะ ไม่ต้องกูถือเองได้มีมือเหมือนกันคืนมาซะดีๆ”



    “โห  ชอบอ่านนิยายวายขนาดนี้เชียว  เหมามาหมดร้านเลยป่ะครับ”



    “เสือกและไม่มีมารยาทฉิบหาย  ใครอนุญาตให้ดูวะ”   ก็มันเล่นเปิดถุงดูเอง  ทำหน้าสนอกสนใจซะขนาดนั้น


    “ชอบอ่านนิยายวายขนาดนี้  ทำไมไม่หาแฟนเป็นผู้ชายซะเลยล่ะครับ  ผมเปิดรับสมัครคู่จิ้นอยู่นะ ถ้าคุณสนใจผมจะพิจารณาให้เป็นพิเศษเลย” มันยักคิ้วข้างเดียวส่งให้



    “เป็นบ้าป่ะเนี้ย  คู่จิ้นบ้าบออะไร ใครมันจะอยากไปคู่กับมึงวะ”

    “อะไรกัน นี่ผมหล่อราวเทพบุตรส่งมาเกิดขนาดนี้คุณยังไม่สนใจอักหรอครับเนี่ย”



    “โว๊ยยยยย  ตอนพูดว่าตัวเองหล่อนี่กระดากอายมั้งไหม ห่ะ!”  คนบ้าอะไรชมตัวเองหน้าด้านๆ


 
    “ก็ผมหล่อจริงๆ  พูดเรื่องจริงผิดตรงไหน บอกตรงๆนะผมน่ะเกิดมาก็หล่อเลย  ยุคมืดไม่เคยมี หล่อแบบชนิดที่ชีวิตนี้ไม่เคยได้เข้าใกล้คำว่าขี้เหร่เลยอ่ะ  ข้อผิดพลาดบนใบหน้าและรูปร่างก็ไม่ด้วยซ้ำ  ทำไมผมต้องอายล่ะครับเบบี้”   


    โอ้โห  แม่ง  เกิดมาเพิ่งเคยเจอคนหลงตัวเองได้มากขนาดนี้  ถึงมันไม่อายแต่กูอายแทนโว้ย  นี่ผมกำลังคุยกับคนบ้าอยู่ใช่ไหมเนี่ย!  พอมันพูดมาแบบนั้นผมเลยพูดอะไรต่อไม่ออกเลยกระชากถุงหนังสือคืนแล้วรีบเดินหนี



    “เขินผมมากหรอครับ  ถึงต้องเดินหนี!”   ไอ้บ้านั้นตะโกนลั่นอย่างไม่อายใคร  แต่ผมไม่หันไปตอบหรอกไม่อยากถูกมองว่าบ้าร่วมกับมันไปด้วย  สู้ทำไม่รู้ไม่เรื่องไปดีกว่า



    “ชอบผมเข้าแล้วก็บอกมาเหอะน่า! ไม่ต้องอาย คุณที่ถือถุงหนังสือสองมือ!!!”



    “ไอ้เหี้ยเอ๊ย  หุบปาก  กูไม่ได้ชอบมึงโว้ยยยยย”




    ไอ้โอ้นะไอ้โอ้   เพราะมึงแท้ๆนำพากูมาเจอคนบ้าแบบนี้!





โปรดติดตามตอนต่อไป... :L1:



#เขากลัวผู้ชาย

ขอบคุณทุกเม้นเลยน้า. พอได้อ่านแล้วดีใจมากที่สิ่งที่เราอยากสื่อทุกคนรับรู้และชื่นชอบกัน เรายิ้มหน้าบานมากคะตอนอ่านเม้น ดีใจที่ชอบโอ้ ชอบครอบครัวโอ้ ถึงพระเอก(?)เรื่องนี้จะเป็นคนทึ่มๆซื่อบื้อไปหน่อย แต่ก็เป็นคนที่ทุ่มเทโคตรๆเช่นกัน

ตอนแต่งเรื่องนี้เราอยากแต่งแบบใ้ห้ความสำคัญต่อทุกความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ครอบครัว เพื่อน พี่น้อง ทุกคนมีความหมายต่ออันโทนิโอ้และเนื้อเรื่องหมดเลยจริงๆ แบบเพราะพระเอกคนนี้มันไม่ค่อยฉลาดผู้ช่วยเลยเยอะหน่อย 555+


ยังไงติดตามเป็นกำลังให้อันโทนิโอคนทึ่มด้วยนะคะว่าภารกิจแอ๊บสาวของเขาจะไปรอดจนถึงฝั่งหรือเปล่า โฮะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-01-2018 18:55:03
ก็ว่าอยู่ว่าไอ้ที่ทานั่นลิปมันหรือไง ทำไมก่อนออกห้องน้ำไม่ลบ ไหนบอกยังไม่อยากเปิดตัว ที่แท้โอ้เอ้ลืม ฮา
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 22-01-2018 19:53:24
 o13สนุกชอบอันโทนิโอ้ยอมเป็นตุ๊ดเพื่อสโนว์
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-01-2018 21:14:29
โอ้ ปรึกษาน้องสาวนะดีแล้วละ เป็นกำลังใจให้นะ
ว่าแต่เพื่อนโป คงมีงานเข้าอีกแล้ว มีคนแอบชอบ
สนุกมากเลยจ๊ะเรื่องนี้
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-01-2018 02:30:36
โปโดนจีบหรอ ใครหว่า  :ruready
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 23-01-2018 10:29:49
ตลกจังเลยขำหนักมากกกก :hao7:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 23-01-2018 11:06:24
โปจะมีผัว?  :pigha2: :pigha2: :pigha2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 24-01-2018 18:40:24
รอค่ะรออออ
โปจะเป็นผัวโอ้ที่มีว่าที่ผัวตามจีบใช่ไหมคะ 5555
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 05-02-2018 17:38:37
555555ชอบน่ารักกก โคตรทุ่มเท  รออยู่นะะ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: poonbabor ที่ 13-02-2018 21:39:23
ฮือออ โอ้เอ้ผู้ทุ่มเท นุ้งสโนว์เกือบจะลาออกแล้วมั้ยล่ะ สู้ๆเข้านะอันโทนีโอ้ กิกิ // น้องโปจะมีคู่จิ้นแล้ววว ใครกันๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด +เมคอิทแฮพเพ่น เมคอิทแฮพเพ่นนน+
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 14-02-2018 07:11:32
 :pigha2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️1
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 14-02-2018 23:44:56


EP.5  วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ


    หลังจากผมได้เป็นเพื่อนสาว?  กับสโนว์ในวันนั้นก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วครับที่เราทั้งคู่คบกัน...แม้จะในฐานะเพื่อนก็ตามที -*-  แต่ผมนี่มีความสุขม๊ากมาก  การตื่นแต่เช้าเพื่อรีบไปอยู่เป็นเพื่อนสโนว์ที่มหาลัยกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ผมเต็มใจทำ   การเล่นละครเป็นอีแอบก็เริ่มเนียนขึ้นเรื่อยๆไม่รู้สึกเหนื่อยที่ต้องแกล้งแสดงแล้ว  ป๊าบอกเคล็ดลับว่าให้คิดว่าตัวผมเป็นตุ๊ดจริงๆไปเลยจะได้เหมือนจริงมากที่สุดผมนี่ถึงกับไปจ้องกระจกสะกดจิตตัวเองว่า กูเป็นตุ๊ด กูเป็นตุ๊ด กูเป็นตุ๊ด ทุกวันตอนเช้า   ไอ้โปก็เล่นละครเป็นแฟนปลอมๆกับผมที่สตอรี่คือเพื่อนกูรักมึงว่ะ! เพราะมันเมาผมเมาเราเลยได้กันแล้วมันก็สัญญาจะรับผิดชอบผมไปชั่วชีวิต  5555+  ผมขำกับความคิดอาหลิงจนท้องแข็งส่วนไอ้โปนี่แทบจะโก่งคออ้วกออกมา  แต่ถึงกระนั้นมันก็แสดงได้ดีมากคุ้มค่าจ้างสุดๆ  จนถึงขั้นสโนว์บอกว่า “โปนี่โรแมนติกสุดๆเลย” ไม่รู้ว่ามันไปติวมาจากไหนเหมือนกัน


     แต่ถึงสโนว์จะชมอย่างนั้นก็เป็นการชมจากระยะห่าง 2 เมตร เช่นเคย เหอๆ  ดูเหมือนว่าอาการกลัวผู้ชายจะไม่ได้ห่างหายไปไหนเลยสักนิดแต่ก็ยังดีที่สโนว์เริ่มคุยกับโปมากขึ้นกว่าเดิม  และแน่นอนว่าสโนว์นั้นคุยกับผมเยอะที่สุด  และใกล้ชิดกันมากที่สุด โฮะๆๆ



    จากระยะห่าง 2 เมตรในวันนั้น  สู่ระยะห่าง 50 เซนติเมตรในวันนี้


    จากคนที่ทำได้เพียงมองอยู่ไกลๆ  แต่ในวันนี้กลับได้มานั่งมองหน้าใกล้ๆเสียจนได้กลิ่นกายหอม


    ได้ทำทุกอย่างให้เขามีความสุขและยิ้มหัวเราะได้เพราะผม



    โคตรรู้สึกเหมือนชนะคนทั้งโลกเลย


   

    “วันนี้จะไปฉลองวันวาเลนไทน์ที่ไหนหรอโอ้เอ้”   สโนว์ถามเสียงใส  ตอนนี้เราสองคนนั่งอยู่ตรงม้านั่งใต้ตึกเรียนครับ  สโนว์กำลังขีดเน้นเนื้อหาที่จะมีสอนวันนี้เหมือนอย่างทุกวัน  ผมเองก็พลอยทำไปด้วย ช่วงนี้เลยเหมือนจะฉลาดขึ้นอีกหน่อย  เนี่ยะ  มีคู่ชีวิตดีก็งี้ พากันไปในทางที่ดีอนาคตจะได้รุ่งโรจน์ด้วยกัน เอิ้กๆๆๆ  มโนอีกแล้วผม


    “เอ่อ  ยังไม่รู้เลยอ่าห์  ว่าโปเขาจะว่างหรือเปล่า บางทีอาจจะติดสอนพิเศษเด็กนักเรียนน่ะสโนวี่”  ผมตอบกลับไปพร้อมเรียกฉายาใหม่ที่ผมตั้งให้เอง  แล้วก็มีไว้แค่ให้ผมคนเดียวเท่านั้นที่เรียกชื่อนี้   ตอนแรกสโนว์ดูจะแปลกๆใจว่าทำไมผมเรียกเขาแบบนั้น  แต่พอผมบอกเหตุผลไปว่าชื่อสโนว์มันดูธรรมดาไปเรียกสโนวี่ดูมีความฟรุ้งฟริ้งขึ้นมาหน่อยนึง  น่ารักดี   สโนว์ก็ขำๆแล้วก็ยอมให้ผมเรียกแบบนี้มาตลอด  ไม่เสียแรงที่ใช้เวลาคิดชื่อนี้ให้ตั้ง 3 วัน!


    “โป  ขยันมากเลยเนาะ  เรียนก็เก่ง  หาเงินก็เก่ง ทำงานตัวเป็นเกลียวแบบนี้สงสัยจะเก็บตังค์ไว้ขอโอ้เอ้แต่งงานแน่เลย”



    “แค่กๆๆ  ห่ะ..ฮา.ฮ๊าๆๆ ก็คงแบบนั่นแหละแก  เราก็ไม่รู้เหมือนกันอ่าห์  ไม่พูดแหละๆ เขินนน”  ผมทำเป็นเนียมอายดุจสาวน้อยแรกแย้มที่ไม่ประสีประสาเรื่องแบบนี้  ทั้งที่ตอนแรกน้ำแดงแทบพุ่งออกจากปากเพราะความคิดของสโนว์



    “กิ๊วๆ  เขินหรอครับน้องโอ้เอ้  พี่หยอกเล่นนิดเดียวเอง”  ไอ้ตอนแรกก็แกล้งเขินไปงั้น  แต่พอเห็นคนหน้าสวยตรงหน้ายิ้มสดใสทำแววตาขี้เล่นใส่ มือขาวๆก็ทำท่าโอ๋เอ๋ๆไปด้วย  แม่ง...โคตรน่าจับฟัดอ่ะ  บอกเลยแค่สโนว์ทำแค่นี้กระผมก็แทบหน้ามืดจับน้องกลืนลงท้องแล้วอ่ะ  หึ่มมมม น่ารักจังโว้ยยยยยยย



    “แหน่ะๆ  แก้มแดงใหญ่เลยน้า  คนมีความรักนี้ออร่าเปล่งประกายจริงๆเนาะ”  สโนว์ยิ้มขำจนตาหยี  แล้วใช้นิ้วเรียวเกี่ยวเส้นผมเป็นลอนที่ตกมาไปทัดไว้ที่หูเหมือนเดิมโชว์โครงสร้างของใบหน้าที่งดงามราวจับปั้นให้เห็นได้เด่นชัดขึ้น   ส่วนที่สโนว์ทักว่าแก้มแดงได้นั่นทุกคนไม่ต้องงงนะครับว่าดำๆแบบผมจะเห็นสีแดงบนหน้าได้หรอ?   เห็นได้ครับเพราะว่าหลังจากที่ตัดสินใจเล่นเป็นเพื่อนสาวสโนว์แล้วผมเลยเลิกไปอาบแดดบนดาดฟ้า  แถมอาหลิงยังซื้อยากลูต้า คอลลาเจน วิตามินซีมาให้ผมกินอีก แบบว่าดันสุดฤทธ์  ก็ฝืนกินมาได้หลายเดือนแล้ว  กรอปกับเนื้อแท้ผมก็เป็นคนขาวแบบจีนๆอยู่แล้ว  ผิวเลยฟื้นฟูเร็วมาก ขาวขึ้นมา 3 เฉดสีแล้วครับ  โคตรเสียดายผิวสีแทนอ่ะ  แต่เพื่อสโนว์  ผมเลยยอม


    “บร้าๆๆ  สโนวี่หยุดล้อเราเถอะ  เราอายน้า”  อายสโนว์นี่แหละครับ  ช๊อตเอานิ้วเกี่ยวผมนี่ทำใจผมสั่นไปหมด  ผมว่าไม่วันใดก็วันนึงผมคงหัวใจวายตายเพราะรับความน่ารักของสโนว์ไม่ไหว  จริงๆนะ


    “ว่าแต่สโนว์เถอะ  มีนัดที่ไหนหรือเปล่าวันนี้น่ะ”  ผมเปลี่ยนเรื่องถามสิ่งที่อยากรู้แทน  กะว่าถ้าไม่มีนัด  ผมจะชวนสโนว์ไปเอเชียทีคไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ชมบรรยากาศกรุงเทพกันน่าจะโรแมนติกดี



    “มีสิ”  สโนว์พยักหน้ายิ้มๆ  เล่นเอาผมใจแป้ว  มีนัดงั้นหรอ  กับใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย แฟนหรือเพื่อน หลากหลายคำถามพุ่งเข้ามาในหัวของผมเต็มไปหมด



    “เพื่อนเราเขาเพิ่งเลิกกับแฟนน่ะ  เราเลยจะไปเที่ยวเป็นเพื่อนปลอบใจสักหน่อย  ผู้หญิงก็งี้แหละจิตใจเปราะบางเราเลยจะไปอยู่เป็นเพื่อนให้เขาเข้มแข็งขึ้นก่อนนะโอ้เอ้”   พอได้ฟังเหตุผลผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นทันที  ซ้ำยังชื่นชมไปกับความนางฟ้าของสโนว์อีกระลอก  เพราะสโนว์นิสัยดีแบบนี้ไงครับผมถึงหลงนักหลงหนา ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้เขา



       หลังจากนั้นพอไอ้โปมาสมทบก็พากันเข้าเรียนตามปกติจนเลิกเรียนสักที



    “เดี๋ยวเค้าไปสอนพิเศษเด็กก่อนนะที่รัก  ไว้เราไปฉลองวาเลนไทน์วันอื่นแทนนะครับ”  ไอ้โปพูดเสียงหวานทำท่าเอามือหยิกแก้มแข็งๆของผมอย่างหมั่นเอ็นดูแต่แม่งเสือกบีบแรงสัสๆ  ที่กล้าบีบแรงเพราะมันรู้ไงว่าถ้าต่อหน้าสโนว์ผมไม่มีทางเอาคืนมันแน่ๆ  หึ่ยยยย  ไว้เดี๋ยวกูทบต้นทบดอกทีเดียวไอ้เชี่ยโป



    “จ้า  เค้าเข้าใจเตงเสมอ  สู้ๆนะคะ  เพื่ออนาคตของเราสองคน”  ผมทำหน้าเคลิ้มส่งไปทั้งที่มือนี่กำหมัดแน่นฉิบหาย  ห่าโปแม่งบีบแรงกว่าเดิมอีก ดวงตามันดูสะใจไม่น้อยที่ได้แกล้งผม



    “งั้นเค้าไปล่ะนะที่รักกก  บ๊ายบาย”  มันสะบัดตูดออกไปสักทีผมเลยได้แต่ลูบแก้มบรรเทาความเจ็บ



    “โห  โอ้เอ้แก้มแดงมากๆ  เขินอะไรขนาดนั้นเนี่ยะ  ดูสิแก้มแดงเป็นมะเขือเทศไปแล้ว”  สิ้นเสียงใสปลายนิ้วเรียวก็จิ้มเข้ามาเบาๆที่แก้มด้านขวา  ผมรู้สึกเหมือนกระแสไฟฟ้าหมื่นโวลว์ช๊อตเข้ามาที่ตัว  มันรุนแรงจนแทบหยุดหายใจ  แค่เพียงปลายนิ้วเดียวที่สัมผัสหน้า ใบหน้าหนาของผมก็ร้อนผ่าวไปหมดอย่างห้ามไม่ได้


    “เอ้า  แดงไปใหญ่เลยทีนี้”  สโนว์ยิ้มขำอย่างชอบใจที่ผมหน้าแดง  โดยไม่รู้เลยว่าต้นเหตุที่ผมหน้าแดงก็เพราะเขาคนเดียว   



    “เอ่อ..เออ แล้วสโนวี่จะไปหาเพื่อนหรือเพื่อนมาหาล่ะ นี่ก็เย็นแล้วนะเธอ”  ผมสูดหายใจพยายามทำให้เป็นปกติ  ก่อนจะทำเป็นถามเรื่องอื่นแทนกลบเกลื่อนอาการเขินขั้นรุนแรงนี่



    “เดี๋ยวเพื่อนขับรถมารับน่ะ  วันนี้เราไม่ได้เอารถมาเพื่อนมาส่งเพราะนัดไปเที่ยวด้วยกันตอนเย็น  รถคันเดียวสะดวกกว่า  เดี๋ยวหาที่จอดไม่ได้”  สโนว์ให้เหตุผล  ผมก็ทำเอออ่อไปด้วยแล้วมานั่งรอเพื่อนสโนว์ที่ใต้ตึกเหมือนเดิม



    “โอ้เอ้จะกลับไปก่อนก็ได้นะ  เราเกรงใจไม่รู้ว่าเพื่อนเราเลิกเรียนตอนไหนด้วย”



    “โอ้ยยย ไม่เป็นไรเว้ยแก  เราชอบเสียอีก  นั่งส่องผู้ชายไปพลางๆเพลินดีนะ โฮะๆๆๆ” 



    “เอางั้นหรอ  ก็ได้ๆ เราจะเก็บความลับไม่ให้โปรู้นะ”  สโนว์ยิ้มใส  ผมก็ทำเป็นยิ้มกริ่มทำนิ้วโอเคแรดๆไป  และนั่งรอเป็นเพื่อนสโนว์   ใครมันจะบ้าปล่อยให้กวางน้อยนั่งอยู่คนเดียวใต้ตึกตอนเย็นกันล่ะครับ  พวกเสือสิงห์กระทิงมันชุมจะตาย  ขนาดผมนั่งอยู่ด้วยยังมีคนมาทำหวานใส่สโนว์อีก  แต่พอมองเลยมาด้านหลังเห็นผมที่จ้องหน้ามันเหมือนยักษ์ทมิฬก็พากันสะดุ้งหลบไปหลายราย เหอะ!  ให้มันรู้ซะมั้งว่าคนนี้อ่ะมีเจ้าของตามคุมอยู่โว้ยยยย



    “สงสัยวันนี้เราคงได้กลับไปอยู่คนเดียวที่คอนโดแล้วล่ะโอ้เอ้”  สโนว์เงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ ทำหน้าจ๋องๆ  แต่ก็ยิ้มฝืนๆมาให้ผมที่เปลี่ยนจากทำหน้าโหดเป็นหน้าแบ๊วได้ทันท่วงทีที่สโนว์หันมามอง


    “ทำไมล่ะสโนวี่  เพื่อนเธอไม่มาแล้วหรอ”  ผมทำเป็นงงแต่ในใจนี่อย่างลิงโลด  วะฮะฮ่า หาเรื่องชวนไปเที่ยวด้วยกันสองต่อสองดีกว่า^^


    “แฟนนางกลับมาขอคืนดีด้วยกันแล้วน่ะ  เราเลยไม่จำเป็นแล้ว  เฮ้อออ”  แม้ผมจะรู้สึกว่าเพื่อนสโนว์นั้นช่างเสียมารยาทในการเบี้ยวนัดแต่ก็ดีใจไม่น้อยเพราะผมจะได้หาเรื่องชวนสโนว์ไปเดทด้วยกันสองคนได้ในวันวาเลนไทน์    แต่ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากชวนสโนว์นั้น  โทรศัพท์ก็มีสายเข้าเอามาดูก็เห็นม๊าโทรมา



    “โหล ม๊า  มีอะไรหรอคะ?”  ผมจีบปากจีบคอคุยกับม๊า  สกิลในการเป็นตุ๊ดของผมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ  ตอนนี้ก็กำลังนั่งไขว้ห้างอย่างแรดได้อีกไปด้วย


    (กลับบ้านไหมวันนี้  พรุ่งนี้วันตรุษจีนน่าอาอันโทนิโอ้)   


    “กลับสิม๊ากลับ”  ผมรีบบอกเมื่อประมวลผลได้พรุ่งนี้คือวันตรุษจีนวันที่สำคัญกว่าวันวาเลนไทน์  เพราะมันเป็นวันที่ผมจะได้อั่งเปา  555+  ปีเดียวมีครั้งไม่พลาดแน่นอน


    (งั้นก็รีบๆกลับสิว๊า  จะรอให้มืดดึกดื่นก่อนรึง๊ายห๊า)   ม๊าแว๊ดบ่น  ผมได้แต่อิดออดก็อยากไปเอาอั่งเอานะ  แต่นี้ก็วันวาเลนไทน์ไงถึงปีอื่นจะไม่มีความสำคัญแต่ปีนี้ผมมีสโนว์นะเว้ย  ก้ควรมีความทรงจำดีๆในวันวาเลนไทน์กับคนที่เรารักบ้างป่ะวะ


    “ขอกลับดึกๆหน่อยไม่ได้หรอม๊า  แบบว่าอั๊วะอยากไปเดินเที่ยวก่อนน่ะ  ว่าจะไปส่งสโนว์ที่คอนโดก่อนด้วย”   หากจะต้องกลับจริงๆก็ขอส่งสโนว์ให้ถึงที่พักให้เรียบร้อยก่อนเถอะ



    (อ้าว  อาสโนว์อยู่กับลื้อหรอตอนนี้)


    “อื้อ”



    (ลื้อชวนอีมาเที่ยวบ้านเราสิว๊า  ม๊าอยากเจออีจะแย่แล้ว  อามาเรียฟิเซนก็อยากเจอมากๆ  เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายเดือนแล้วไม่ใช่หรอ  ชวนอีมาบ้านเราเลยความสัมพันธ์จะได้คืบหน้าบ้าง)


    “จะดีหรอม๊า”  อยู่ๆม๊าให้ชวนสโนว์ไปบ้าน  ผมกลัวว่าสโนว์จะอึดอัดใจหรือเปล่าเพราะที่บ้านก็มีป๊าและอาฟู่เป็นผู้ชาย


    (ไม่ลองชวนจะรู้ไหมว๊า  รีบๆเข้า  ถามเดี๋ยวนี้เลยถ้าอีมีทีท่าไม่อยากมาเอาโทรศัพท์ให้อั๊วะคุยกับอีเลย  เดี๋ยวอั๊วะชวนให้เอง)   ม๊าผมก็ไม่ค่อยจะเร่งเลย


    “สโนวี่  ม๊าเราชวนแกไปกินข้าวที่บ้านอ่ะ  สนใจไปม่ะ บ้านเราใจดีทุกคนเลยนะ  ยังไงวันนี้ก็ไม่มีนัดแล้วนิเนาะ”  ผมผละจากโทรศัพท์โดยที่ยังค้างสายม๊าไว้  แล้วลองพูดหว่านล้อมสโนว์



    “อืม...แล้วบ้านโอ้เอ้ไกลหรือเปล่า  เราไม่อยากกลับดึกน่ะ”   สโนว์ดูมีท่าทีคิดหนัก


    “ไม่ไกลมากหรอกขับมอเตอร์ไซต์แป๊บเดียวก็ถึงแล้วล่ะ  เดี๋ยวขากลับเรามาส่งสโนว์เองไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเลยนะ” ผมส่งยิ้มให้สโนว์ที่กำลังทำหน้าหนักใจก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนไป


    “เอ๊ะ  นั่นแมวใครหรอ”  สโนว์เพ่งตาใสมาทางหน้าจอโทรศัพท์ของผมที่ผมตั้งเป็นรูปนังเซ่นไหว้


    “อ้อ  แมวที่บ้านเราเองแหละแก....มันน่ารักมากเลยนะอยากไปเล่นกับมันไหมล่ะ”  นังเซ่นไหว้ได้โปรดแสดงอิทธิฤทธิ์ทีเถิดดด  ถ้าเอ็งทำให้สโนว์ไปบ้านได้ข้าสัญญาจะซื้อขนมซองแมวให้ 2 โหล!!!


    “งั้น....ไปก็ได้โอ้เอ้  แต่เราคงอยู่ได้ไม่เกิน 2 ทุ่มนะ”   สโนว์พยักหน้าตกลง  ผมงี้แทบจะกรี้ดดดดดดด  เฮ้ยไม่ดิ ต้องไชโยสิวะ  แบบดีใจแบบลูกผู้ชายอ่ะ   การต้องอยู่ในร่างตุ๊ดทุกวันบางทีผมก็เริ่มสับสนในตัวเองเสียเหลือเกิน เหอๆๆ   แต่ยังไงก็ขอบคุณอิทธิฤทธิ์นังเซ่นไหว้มากจริงๆ  บอกแล้วฉายานี้ไม่ได้ตั้งเล่นๆ


    “โอเคจ้า  โหล ม๊า ตกลงสโนว์ไปนะทำอาหารอร่อยๆไว้รอเลย”


    (ดีมากๆอาอันโทนิโอ้  แล้วอีชอบกินอะไรถามซิ อั๊วะจะได้ทำอาหารถูก)


    “สโนว์แกชอบกินอะไรนอกจากปลาอีกหรือเปล่า  ม๊าจะได้ทำเพื่อ”   ผมจำได้ครับว่าสโนว์ชอบกินปลากินได้แทบทุกวันไม่มีท่าทีว่าจะเบื่อ

    “เรากินได้หมด  ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษหรอก”   สโนว์บอกอย่างเกรงใจ  ผมเลยพยักรับรู้แต่ก็ถามต่อไปอีกอย่าง


    “แล้วสโนว์แพ้อาหารอะไรหรือเปล่า”   ผมค่อนข้างใส่ใจเรื่องการแพ้อาหารหรือแพ้สิ่งต่างๆน่ะครับ  เพราะเคยมีเพื่อนคนนึงมันแพ้ขนมปังกินทีผื่นขึ้นเต็มตัวเป็นผื่นแบบนูนขึ้นจากผิวหนังอ่ะครับผมก็อธิบายไม่ถูกแต่ถ้ามันกิน ผื่นจะนูนไปทั้งตัว หน้าก็ปูดไปหมด น่ากลัวมากๆ   เพราะงั้นอะไรที่ระวังได้ผมก็จะกันไว้ก่อน  ติดเป็นนิสัยแล้วล่ะครับ  แบบถ้าจะไปกินอะไรผมก็ต้องถามก่อนว่าแพ้อาหารอะไรหรือเปล่าผมถามเพื่อนมาตลอดจนตอนนี้ก็ถามสโนว์ให้แน่ใจอีกที



    “เราแพ้พวกถั่วน่ะ ถ้ากินแล้วมันหายใจไม่ออก  ผื่นขึ้นตัวด้วย  แต่ไม่ต้องห่วงหรอกเราไม่กินก็ไม่เป็นอะไรอยู่แล้วล่ะ”   สโนว์รีบบอก  เขาคงรู้ว่าถั่วลิสงคั่วนี่ถือว่าเป็นของกินคู่ครอบครัวจีนเลย  ผมเองก็ชอบกินเพลินๆกับข้าว


    “ม๊า สโนว์แพ้พวกถั่วนะ  อย่าลืมล่ะ  ไม่ต้องทำอาหารที่มีถั่วผสมนะ ไอ้พวกเต้าเจี้ยว ซอสถั่วเหลืองก็อย่าเอามาปรุงกันไว้ก่อนเนาะม๊า”   นี่ก็จะเป็นเรื่องที่ผมจะจำให้แม่นอีกเช่นกัน


    (อ้าว  ถั่วไม่เท่าไรแต่พวกซอสถั่วเหลือง เต้าเจี้ยวนี่ก็ส่วนผสมหลักเลยนะ...เออๆ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวอั๊วะหาเมนูทำให้กินจนได้แหละ  ขับรถพาอีมาดีๆล่ะอาอันโทนิโอ้)


    “ค่ะ ม๊า  เออๆ  ใช้กระทะแยกไปเลยก็ดีนะม๊าเพื่อความชัวร์”


    (ได้ๆ  แค่นี้แหละ  รีบๆมาล่ะ)



    ผมวางสายไปด้วยความสบายใจ  เก็บใส่กระเป๋าสะพายพาดบ่าเตรียมตัวกลับบ้าน  พาว่าที่ลูกสะใภ้ไปเจอพ่อแม่ซะหน่อย  ฮิ้ววววว


    “โอ้เอ้ ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้นะ  เราแพ้แค่ถั่วลิสงอย่างเดียวเอง  พาทำที่บ้านโอ้เอ้ลำบากเปล่าๆ”


    “เห้ย  แกไม่ต้องกังวลเลยเว้ย  ที่บ้านเราเต็มใจทำเพื่อต้อนรับแกจริงๆ เชื่อเราดิ  อีกอย่างเพื่อความปลอดภัยของตัวแกเองด้วยนะสโนวี่  เป็นห่วงนะรู้ไหม”  ผมแอบหยอดคำหวานไปนิดนึงแล้วขยิบตาส่งท้ายเบาๆ   แล้วก็ได้ผลสโนว์ยิ้มบางให้กับท่าทางของผม



    “ขอบคุณมากนะโอ้เอ้  โอ้เอ้ใจดีกับเราตลอดเลย  โชคดีจริงๆที่ได้คนแบบโอ้เอ้มาเป็นเพื่อน”  ผมได้แต่ยิ้มรับคำเยินยอจากอีกฝ่าย  แล้วพึมพำเบาๆกับตัวเองว่า



    “ถ้าได้เป็นแฟนจะโชคดียิ่งกว่านี้อีก”



    “ห่ะ  โอ้เอ้พูดอะไรหรือเปล่า เมื่อกี้ เราฟังไม่ถนัด”


    “เปล่าจ้า  ไม่มีอะไรนิ  ไปๆรีบกลับบ้านกันเดี๋ยวเราพาแว๊นมอเตอร์ไซต์  ลองเป็นสก๊อยสักวันนึงนะจ๊ะสโนวี่”  ผมเดินนำไปยังรถมอเตอร์ไซต์คู่ใจที่จอดไว้  เปิดเบาะเอาหมวกกันน็อคที่มีกล้องติดไว้บนหัวยื่นให้สโนว์ใส่เพื่อความปลอดภัย


    “โอ้เอ้เป็นคนขับก็ต้องใส่หมวกกันน็อคสิ  ให้เราได้ไง ไม่ต้องห่วงเราหรอกนะ”  สโนว์ปฎิเสธ


    “เอางั้นหรอ  แต่มันอันตรายนะ”  ผมยังเป็นกังวล  ลำพังตัวผมน่ะไม่เป็นอะไรหรอก แต่พอมีอีกคนที่ผมรักเขามากเป็นธรรมดาที่จะห่วงใยเป็นพิเศษ


    “งั้นโอ้เอ้ก็ขับช้าๆไม่ต้องรีบก็พอแล้ว  เราก็ผู้ชายคนนึงนะโอ้เอ้อย่าลืมสิ  รีบไปเถอะเดี๋ยวม่าม๊าจะรอนาน  เราเกรงใจท่าน”  เมื่อสโนว์ยืนยันแบบนี้ผมเลยสวมหมวกกันน็อคเอง  สตาร์ทเครื่องเสร็จสโนว์ก็ขึ้นคล่อมแถมยัง....เอามือเกาะเอวผมด้วย    อ๊ากกกกกกก   โชคดีที่หมวกกันน็อคของผมเป็นแบบเต็มใบมันเลยปิดบังรอยยิ้มกว้างจนหน้าบานของผมได้อย่างมิดชิด   มองกระจกข้างเห็นสโนว์ทำหน้าเหมือนตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้นั่งมอเตอร์ไซต์ก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู  ความรู้สึกเหมือนหนังเรื่อง ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ โคตรๆ นางเอกซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์พระเอกสุดหล่อกลับบ้าน  ฮ่าๆๆ  โคตรจะเท่เลย   


    แต่เพื่อความปลอดภัยของสโนว์ผมก็เลือกที่จะแวะร้านขายหมวกกันน็อคหน้ามหาวิทยาลัยแล้วรีบลงไปซื้อหมวกกันน็อคใบใหม่ให้สโนว์  โดยบอกพี่เจ้าของร้านว่า


    “ขอซื้อหมวกกันน็อคที่แข็งแรงที่สุด  เอาแบบสิบล้อเหยียบก็ไม่ยุบอ่ะพี่!”


    “ถ้าแบบทนๆก็สี่พัน  จ่ายไหวไหมน้อง”


    “ร้านพี่มีที่รูดบัตรเครดิตไหมครับ!”   


    พอได้หมวกกันน็อคแข็งแรงสมใจ  ผมก็รีบออกจากร้านเอาหมวกไปสวมหัวให้สโนว์เองกับมือ  ตรวจว่าล็อคแน่นดีแล้วนั่นแหละ  ผมจึงขึ้นรถแล้วผมก็บิดมอเตอร์ไซต์ไปอย่างเชื่องช้า  ราวกับอยากจะถนอมเวลาที่เราสองคนได้ใกล้ชิดกับบนรถมอเตอร์ไซต์คู่ใจนี้ไว้นานๆ  ความรักทำให้ผมอยากเป็นคนดี  เคารพกฎจราจร ขับรถไม่เกิน 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง   หยุดรถให้ทางรถคันอื่น คนข้ามถนน หมาข้ามถนน  หรือแม้กระทั่งหอยทากคลานผ่านหน้า  รู้สึกว่าวันนี้ผมมีน้ำใจต่อผู้อื่นเสียเหลือเกิน  ไออุ่นจากฝ่ามือที่เอวทำผมอบอุ่นไปถึงขั้วหัวใจ   



    วันวาเลนไทน์ที่เคยเป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับผม  กลับกลายเป็นวันที่แสนพิเศษไปแล้ว   ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นวันวาเลนไทน์  แต่เพราะว่าในวันนี้ผมมีสโนว์อยู่ข้างกายต่างหาก  เนี่ยแหละพิเศษที่สุดแล้วครับ












++++++++++++
รีบปั่นมากกกกกกกกกกก ขอโทษที่ไม่มีเวลามาต่อเลยนะคะ รออ่านพาร์ท 2 ด้วยน้า นังโอเอ้จะพาน้องสโนว์เข้าบ้านแล้ววววว เย้ๆๆๆ จะเป็นไปด้วยดีหรือไม่รอติดตามนะคะ


ส่วนวันวาเลนไทน์ขอให้ทุกคู่มีแต่ความรักความสุขชื่นชมสมหวังนะคะ รักกันมากขึ้นกว่าเดิมเลยน้า

ส่วนคนไม่มีคู่ก็ไม่ต้องเสียใจไปมานั่งบนคานเป็นเพื่อนลิงกันค่ะ 555555+ อ่ะล้อเล่น(แต่เจ็บจริงงาน ฮือออ) ขอให้เจอเนื้อคู่กันทุกคนน้า คนที่เข้ามาทำให้มีความสุขร่วมกัน จับมือเคียงข้างไปด้วยกันนะคะ จุ๊บๆ :mew1:


ขอบคุณทุกคอมเม้นน่ารักค่ะ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-02-2018 23:53:48
คิดถึงเซ่นไหว้จังเลยยยยยยยยยย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️1
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-02-2018 00:24:58
ชอบโป ที่ถือโอกาสได้แกล้งเพื่อนแล้วไม่โดนกระทืบกลับ
 :laugh:
พระเอกของเราตอนนี้ เป็นดีศรีอยุธยาไปเลย ขนาดว่า
ขับมอไซต์เจอหอยทาก ยังจอดให้หอยทากผ่านไปก่อน
โอ้เอ้ บ้าไปแล้วอะแกร
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 18-02-2018 11:12:05


หลังจากทำตัวเป็นพลเมืองดีเคารพกฎจราจรทุกกระเบียดนิ้ว  ผมก็ขับพาสโนว์มาถึงบ้านจนได้  จอดมอเตอร์ไซต์ไว้หน้าร้านเสร็จก็ถอดหมวกกันน็อคด้วยมือเดียวที่ดูเท่ระเบิด  ด้วยความเคยชินที่ต้องเอามือขยี้หัวทุกครั้งหลังถอดหมวกกันน็อคด้วยท่าทางแมนๆจนเกือบลืมคีพลุคตุ๊ดสาวพราวด์เสน่ห์ไปแล้วเชียว  ถ้าไม่เห็นกระจกสะท้อนภาพของสโนว์ที่ยังอยู่ใต้หมวกกันน็อคอยู่  มือที่กำลังขยี้หัวอย่างเมามันส์เลยต้องเปลี่ยนมาเป็นทำท่าเก็บผมทัดหูแทนสวยๆ -*-


    “แกะไม่ออกหรอแก  มาเดี๋ยวเราช่วยน้า”   คนตรงหน้าพยักหัวรับความช่วยเหลือ  ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้นั่งมอเตอร์ไซต์ของเขาเลย   ผมค่อยๆช่วยถอดหมวกออกอย่างเบามือ  ก่อนจะยกหมวกออกเผยโฉมหน้างดงามที่มีเหงือซึมผุดขึ้นตามไรผม  แว๊บนึงในความคิดบ้าๆของผม  ตอนนี้เหมือนผมกำลังเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวในวันเข้าหอเลยแหะ


    “ร้อนมากไหมเนี่ยสโนวี่  เหงื่อออกเต็มเลย”



    “นิดนึงเองโอ้เอ้  สบายมาก  นั่งรถมอเตอร์ไซต์ก็สนุกดีเหมือนกันเนาะ”



    “ติดใจล่ะซี้   ไว้วันไหนอยากนั่งอีกบอกเราได้เลยนะแก  พร้อมเป็นสารถีให้ตลอดเวลา” 



    “พูดแล้วห้ามคืนคำนะ  ถ้าเราเรียกใช้จริงๆ” 


   
    “แน่นอนสิ  ถ้าเป็นสโนว์  ตอนไหนเราก็พร้อมรับใช้เสมอ”  ตลอดชีวิตเลยยังได้....  อ่ะ  ดูเหมือนผมจะพูดเพ้อเจ้อมากเกินไปหน่อย  เพราะตอนนี้สโนว์ทำหน้าเหมือนแปลกใจกับคำพูดผมเสียให้แล้ว


   
    “ป่ะๆๆ เข้าบ้านเราดีกว่า  ม๊ารอแย่แล้วล่ะแก”  ผมทำเฉไฉเปลี่ยนเรื่องหิ้วหมวกกันน็อคทั้งสองอันเดินนำเข้าร้าน



    “ป๊า ม๊า อาม่า  อั๊วะกลับมาแล้ว..ค่า”   เกือบลืมดัดเสียงเลยผม 



    “ไงนังมาเรียฟิเซนนนนน”  ผมเรียกนังเซ่นไหว้ที่กระโดดขึ้นมาบนตู้กระจกใส่แหวนทอง  มันหันมามองผมก่อนจะกระโดดลงมาที่พื้นแล้วเดินมาหาผมอย่างรวดเร็ว   สงสัยมันคงคิดถึงผมจัดเพราะไม่ได้เจอกันมา 2 อาทิตย์แล้ว


    มาม่ะลูกพ่อ  มาให้กอดให้ชื่นใจหน่อยยยยย



    ผมนั่งย่องๆอ้าปากรอรับแรงกระโดดจากนังเซ่นไหว้เต็มที่



    ฟิ้ววววววว



    แต่เหมือนกันว่าเป้าหมายของมันจะไม่ใช่ผมวะครับ  แม่ง  นังแมวร้ายวิ่งผ่านผมไปอย่างไม่เหลือบชายตามองสักนิด  นู่นนนน  มันวิ่งไปเดินพันแข้งพันขาทำหน้าตาอ้อร้อกับสโนว์ที่เดินตามมาโน้นนนนคร้าบบบ   แถมทำตัวรู้งานเหมือนเดิม  ทำตาแบ๊วเป็นลูกลำไยครางเสียงออดอ้อนสโนว์หางก็สะบัดไปมา   ได้ข่าวว่าเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกนะเว้ย  อะไรจะขนาดนั้น....ไม่ใช้ดิ  นี่ครั้งที่ 2 แล้ว  เพราะครั้งแรกของนังเซ่นไหว้กับสโนว์คือตอนที่ทำให้ผมได้เจอกับสโนว์เป็นครั้งแรก   อิอิ


    พอเห็นนังเซ่นไหว้แมวปีศาจในคราบสายแบ๊ว  สโนว์ก็ตาเป็นประกายทำท่าจะลงไปนั่งเล่นด้วยแต่ก็หยุดไว้  แล้วหันมายกมือไหว้อาม่าที่นั่งอยู่ไม่ไกล  ตามด้วยป๊ากับม๊าผมก่อน



    “ไหว้พระเถอะจ้า  อาสโนว์ใช่ม๊ายยย  หล่อจริงๆเลยพ่อคุณ  วันนี้ม๊าทำอาหารไว้เพียบเลยน๊า  กินให้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจเลยนะลูก”   ม๊ายิ้มรับไหว้สโนว์  ป๊าก็ยิ้มให้อย่างใจดี   ทั้งคู่ยังอยู่หลังเคาท์เตอร์โชว์ทองครับ  วันนี้ทุกคนก็ใส่เสื้อจีนสีแดงกันหมดแล้ว  เพราะพรุ่งนี้ก็เป็นวันตรุษจีนแล้วด้วย



    “ขอบคุณครับ..ม๊า”   


    “ใช่ๆ นั่นแหละเรียกม๊าว่าม๊าได้เลยน๊า  คนกันเองทั้งน้าน  คิดซะว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน โฮะๆๆ”   ม๊าดูจะอารมณ์ดีมาก  หยิบผ้าเช็ดหน้ามาทำท่าปิดปากหัวเราะเป็นนางร้ายละครงิ้วอีกแล้ว  เหอๆ



    “ใช่ๆ  คิดว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันน๊าอาสโนว์   ตามสบายเลยไม่ต้องเกรงจ๊าย   แหม  เจ้าอันโทนิโอ้นี่รู้จักคบเพื่อนหล่อๆซะด้วย  กรรมพันธุ์ดีจริงๆเลย”  อาม่าลุกเดินย่างมายืนมองหน้าสโนว์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  แต่ทำไมทุกคนถึงชมว่าสโนว์หล่อล่ะ  ผมว่าสโนว์น่ารักมากกว่าหล่อนะ  คือก็หล่อแหละแต่ก็ดูน่ารักด้วย



    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ อาม่า”  สโนว์ถ่อมตัว  แถมยังให้อาม่าจับแขนพยุงตัวเดินด้วย



    “หล่อขนาดนี้มาเป็นลูกเขยบ้านอาม่าดีม๊าย   จะยกให้ฟรีๆเลยแถมทองอีกร้อยบาทเลยเป็นง๊าย  สนใจไหมอาสโนว์”    ไม่ทันไรอาม่าก็จัดโปรโมชั่นล่อใจสโนว์น้อยซะแล้วครับ  ไวไฟจริงๆรุ่นใหญ่แบบอาม่านี่  สโนว์ก็หัวเราะชอบใจใหญ่



    “แล้วจะให้แต่งกับใครล่ะครับอาม่า   บ้านนี้มีลูกสาวหรือครับ”



    “มีซี้  ก็อาอันโทนิโอ้ง๊าย  ถึงมันจะดำและหัวทึบไปหน่อยแต่ใจดีน๊า  รักเดียวใจเดียวเหมือนป๊าม๊ามัน  ใครได้อีไปเป็นแฟนน๊ารับรองโชคดีเหมือนมีคนรับใช้ตลอดชีวิตเลย!!!”   ....นี่อาม่าเขากำลังพูดอวยผมหรือด่าผมอยู่กันแน่   ไม่ค่อยมั่นใจเลย



    “ฮะฮะ  ถ้าเป็นแบบนั้นจริงไว้รอให้โอ้เอ้เขาผ่าตัดเป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้วผมจะมาสู่ขอนะครับอาม่า”   สโนว์ยิ้มหวานกับอาม่าที่ดูจะชอบใจใหญ่กับคำตอบรับของสโนว์  แต่ผมนี่ขนลุกพรึบพรับไปหมด  บรื้อออออ  แค่นี้ก็ยอมสุดๆแล้ว  อย่าให้ถึงขั้นต้องไปเฉาะลูกชายทิ้งเลย  สงสารมันกว่าจะเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ได้ขนาดนี้!



    “เมี๊ยวววว”   นังเซ่นไหว้ร้องแสดงการมีตัวตนของมันหลังใจดีปล่อยให้สโนว์ได้ทักทายพ่อตาแม่ยายไปก่อน  มันก็เริ่มปฏิบัติการอ้อนสะกดจิตให้รักหลงมันแต่ผู้เดียวตามสเต๊ป 



    “มาๆ  ไปนั่งเล่นกับอามาเรียฟิเซนที่โซฟากับอาม่าน๊า  ตามมาๆมาเรียฟิเซนเด็กดี”   อาม่าพูดเรียกให้นังเซ่นไหว้เดินตามตัวเองที่กำลังเดินไปที่โซฟาโดยมีสโนว์คอยจับประคองไปด้วย  พอพาอาม่านั่งได้นังเซ่นไหว้ก็กระโดดไปจองที่นั่งบนตักสโนว์ทันที  ทำหน้าใสอ้อนสโนว์ให้ลูบหัวลูบตัวมันอย่างเอาใจ



    ดีมากนังเซ่นไหว้  จงใช้มารยาทั้งหมดที่เอ็งมีสะกดจิตให้สโนว์หลงเอ็งซะ  ข้าจะได้หาข้ออ้างพาสโนว์มาที่บ้านบ่อยๆอย่างไม่ติดขัดอีก หึหึหึ


    “เฮีย..มา..บ้าน..หรอ”  เสียงเหม่งน้อยฟู่ฟู่ดังขึ้นอยู่หลังร้าน   ผมเดินไปชะโงกหน้าดูก็เห็นน้องชายยืนทำหน้ามึนอยู่  ไม่รู้ว่ามาตอนไหนเพราะอาฟู่ยังตัวเตี้ยไม่พ้นเคาท์เตอร์เลย



    “เจ้ลูก  ต่อไปถ้าเฮียพาเพื่อนมาบ้าน ฟู่ต้องเรียกเฮียอันโทนิโอ้ว่าเจเจ้น้า  เหมือนที่เรียกเจ้หลิงไง  เข้าใจม๊าย”  ม๊ารีบกระซิบบอกฟู่ฟู่อย่างเบาที่สุด  คงกลัวว่าสโนว์ที่นั่งอยู่ตรงโซฟาไม่ไกลจะได้ยินเข้า   ฟู่ฟู่ทำหน้างงๆแต่ก็พยักหน้ารับ  ไม่รู้เหมือนกันว่าที่พยักหน้ารับนี่เข้าใจหรือไม่เข้าใจกันแน่



    “ไหนลองเรียกเจ้โอ้สิ”  ม๊าสั่งทดสอบความเข้าใจของอาฟู่



    “เจ้..โอ้”



    “เก่งมากฟู่ฟู่ลูกชายม่าม๊า”  แปะๆๆๆ  ทั้งม๊า ป๊า ผมที่ยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์รีบตบมือเบาๆชมอาฟู่ใหญ่  อาฟู่พอเห็นคนตบมือชมให้ก็ยิ้มแป้นจนตาเหลือขีดเดียว



    “มาให้เฮีย..เอ้ย เจ้หอมหัวเหม่งหน่อยเร็ว”   สั่งอาฟู่แต่กลับเป็นผมเองนี่แหละที่เกือบลืม   ฟู่ฟู่ก็รีบวิ่งมาเกาะเคาท์เตอร์ให้ผมอุ้มออกจากคอกมานั่งบนแขนแล้วยื่นหัวเหม่งให้หอม



    ฟอดดดดดด



    “อี๋  อาม่าไม่ได้สระผมให้ลื้อกี่วันแล้วเนี่ยอาฟู่”   กลิ่นนี่รัญจวนจมูกซะเหลือเกิน


    “คิกๆๆๆ ไม๋ดั๊ยจะมาจ๋ามวัน”   อาฟู่หัวเราะชอบใจ  ยกนิ้วชูขึ้นมาสามนิ้วถ้วน  ก่อนจะสปีคสำเนียงลูกครึ่งเวลาเผลอพูดเร็วๆแบบไม่หยุดคิด 2 วิ  นานๆถึงจะได้ฟังผมเลยฟัดหอมหัวเหม่งไปอีกหลายๆรอบจนตี๋น้อยของบ้านขำลั่นร้าน    ผมเองก็พลอยยิ้มขำไปด้วยกับเสียงหัวเราะของน้องชายตัวเอง   เด็กนี่เขามีพลังงานบวกให้กับคนรอบตัวจริงๆนะครับ  เพราะตอนนี้ทุกคนในร้านก็หันมามองแล้วยิ้มมีความสุขไปด้วยเช่นกัน



    สโนว์เองก็หันมามองแล้วยิ้มให้  เราสองคนมองตากันพร้อมกับรอยยิ้ม  ก่อนจะเป็นผมเองที่เขินจนใจเต้นแรงแล้วเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน



    มีความสุขอะไรขนาดนี้วะผม  อยากให้เป็นแบบนี้ทุกๆวันเลย




หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 18-02-2018 11:13:41


หลังจากนั่งเล่นกันไปได้สักพักก็ได้เวลาปิดร้านครับ   วันนี้ป๊าเคลียร์บัญชีเองเพราะม๊าต้องเข้ามาเตรียมของไหว้สำหรับวันพรุ่งนี้   ตอนแรกผมจะอยู่ช่วยแต่ป๊าบอกให้ไปอยู่เป็นเพื่อนสโนว์ดีกว่า  ป๊าแกกลัวว่าที่ลูกสะใภ้จะเหงาครับ  5555+  ผมก็พาสโนว์เดินเข้ามาในส่วนของบ้านหลังร้านทอง  ส่วนอาฟู่น้องบอกจะนั่งอยู่ที่ร้านเป็นเพื่อนป๊า   ไม่อยากทิ้งป๊าไว้คนเดียว  น่ารักไหมล่ะครับดวงใจของบ้านผม^^


    “สโนวี่นั่งเล่นกับมาเรียฟิเซ่นไปก่อนนะ  เดี๋ยวเราขอไปช่วยม๊าล้างผลไม้ก่อนแป๊บนึง”   มันเป็นงานง่ายๆที่ผมทำมาตลอดล้างผลไม้วางใส่จาน



    “เราขอช่วยนะ  ไม่อยากนั่งอยู่เฉยๆ  อีกอย่างเพิ่งเคยเห็นการเตรียมตัวไหว้เจ้าแบบนี้ด้วย”   เมื่อเห็นสโนว์ทำท่าอยากช่วยจริงๆ  ผมก็เลยพาเข้ามาในครัวแล้วช่วยกันล้างผลไม้คนล่ะอ่าง  ส่วนอาม่ากับม๊าเตรียมของไหว้อย่างอื่นไปอันไหนที่ไม่มีทางบูดหรือเสียก็เตรียมจัดใส่จานไว้เลย  เช้ามืดจะได้ไม่วุ่นวายเดี๋ยวจะเสียฤกษ์ไหว้ซะก่อน   


    “ทำไมถึงต้องเตรียมของเยอะขนาดนี้ด้วยล่ะโอ้เอ้  ละลานตาไปหมดเลย  ผลไม้ก็ต้องหลายอย่าง  เอาแค่อย่างสองอย่างไม่ได้หรอ  มันมีนัยยะอะไรหรือเปล่า”   เจ้าหนูจำไมออกอาการถามอย่างสนอกสนใจ



    “มันเป็นประเพณีสืบทอดกันมานานแล้วน่ะสโนวี่  มันเหมือนป็นการขอบคุณเทพเจ้าและเหล่าบรรพบุรุษของเราที่ทำให้เรามี  ทุกสิ่งที่ใช้ไหว้เจ้าล้วนมีความหมายทั้งนั้น  แบบ ส้ม ก็หมายถึง สิ่งมงคล  องุ่น ความเพิ่มพูน  กล้วย สับปะรดก็โชคลาภ   ไก่ก็ความสมบูรณ์  เกาลัดก็เงิน  เส้นหมี่อายุยืน ฯลฯ”   ผมบอกเล่าความหมายของของแต่ล่ะอย่างที่ใช่ในการไหว้  ก็เล่าเท่าที่พอจำได้ว่าหมายถึงอะไรบ้างน่ะครับ  อันไหนไม่แน่ใจก็ให้อาม่าช่วยอธิบายแทน   สโนว์ก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีราวกับกำลังจดจำทุกสิ่งเข้าไว้ในสมอง   ไม่รู้ว่าที่ตั้งใจจำเพราะเตรียมจะมาเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้หรือเปล่า  ฮ่าๆๆๆๆ   คิดไปไกลอีกแล้วผม






    “ม๊าหวัดดี อาม่าหวัดดี  อ้าววันนี้เฮียกลับมาด้วยหรอ  หวัดดีค่า  เฮียสุดหล่ออออ”   อาหลิงที่คงเรียนพิเศษเพิ่งเสร็จอยู่ๆก็เปิดประตูด้านหลังบ้านเข้ามายกมือไหว้พวกผมที่กำลังจัดสำรับอาหารเย็นอยู่



    “จุ๊ๆๆ”  อาม่ารีบเอามือจุ๊ปากให้อาหลิงเสียงเบาๆ   อาหลิงเองก็ทำงงเอามือเกาหัว  ก่อนจะเข้าใจเมื่อเห็นสโนว์เดินออกมาจากห้องน้ำ คุณเธอตาโตเป็นไข่ห่าน   พนันได้เลยถ้าไม่ติดว่าสโนว์ยืนอยู่นะอาหลิงกรี้ดลั่นบ้านด้วยความดีใจแน่ๆ  ตอนนี้ก็เห็นเอานิ้วจิกกระโปรงอยู่  ผมเห็นชัดเจนเลยทั้งริมฝีปากที่เม้มแน่นเหมือนไม่อยากจะกรี้ดแต่ดวงตานี่ระยิบระยับมาก



    “พี่สโนว์ใช่ไหมคะ”   อาหลิงเนียนเข้าไปนั่งใกล้ๆถามคำถามที่รู้อยู่แก่ใจ  แต่หาเรื่องเปิดประเด็นไปงั้น



    “ใช่ครับ  น้องเป็นน้องสาวโอ้เอ้หรอครับ”



    “ใช่ค่ะพี่  หลิงเป็นน้องสาวเฮีย เอ๊ย เจ้โอ้เองค่ะ   พี่สโนว์เรียกหลิงว่าหลิงได้เลยนะคะ  หรือจะเรียกอาหลิงเหมือนที่คนในครอบครัวเรียกก็ได้น้า…พี่สโนว์ตัวจริงหล่อมากเลยอ่ะ  ใจหลิงสั่นหมดแล้วเนี่ย” ><  อาหลิงวี้ดว๊ายใหญ่อย่างเริ่มไม่เก็บอาการกุลสตรี



    “น้องหลิงก็พูดเกินไป  พี่ไม่ได้หล่อขนาดนั้นหรอก”  สโนว์ก็ยังคงถ่อมตัวเช่นเดิม   ซึ่งผมก็เห็นด้วยมากๆ  เพราะสโนว์น่ะน่าร๊ากกกกก



    “หลิงพูดจริงๆ   พี่หล่อเหมือนพ่อของลูกหลิงเลย”  อ้าวไอ้น้องชั่ว  คิดจะตีท้ายครัวพี่ตัวเองรึไงกัน



    “อะแฮ่ม อะแฮ่ม”   ผมทำเป็นขู่เตือนสติยัยน้องจอมมโน (ที่ก็ขี้มโนพอๆกันกับผม)



    “อะไรเฮี...เจ้  ขนมเข่งติดคอหรอ”   เออ ใช่  ร้านนี้ทำเหนียวมาก  ถุ้ย! 



    “กลับมาก็รีบเอาของไปเก็บบนห้องก่อนสิย่ะ  มานั่งเจ้อเร้ออะไรอยู่ตรงนี้  เขาจะกินข้าวกันแล้วเร็วๆ  ไม่งั้นเจ้จะกินไก่บอนชอนให้หมดจาน”   คิดจะขู่อาหลิงต้องขู่ด้วยของกินครับ  ยิ่งเป็นของโปรดนางด้วย



    “ก็ได้  ชิส์...เดี๋ยวหลิงเอาของไปเก็บก่อนนะพี่สโนว์  รอแป๊บนึงนะคะ หลิงจะรีบมาคุยกับพี่ใหม่”  จะไปแล้วยังไม่วายมาอ้อยใส่สโนว์ผมอีก  เห็นทีอีกไม่นานคงมีศึกสายเลือดเป็นแน่แท้



    อาหลิงรีบวิ่งขึ้นบ้านไปประนึงจะรีบวิ่งไปกดบัตรคอนเสิร์ต  นี่ถ้าสะดุดบันไดตกกลิ้งลงมาผมจะหัวร่อให้ฟันร่วงเลย  ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา


    “อาหลิง!  เดินให้มันเบาๆหน่อย วิ่งแบบนั้นบ้านพังกันพอดี”   ม๊าตะโกนว่าขึ้นไปเจ้าตัวถึงได้หยุดวิ่งได้   ผู้ยิ่งใหญ่ของบ้านอย่างแท้จริง


    “ยกอาหารมาหมดแล้วใช่ไหม  อาอันโทนิโอ้”



    “ใช่แล้วค่า ม๊า”  ผมตอบเสียงอ้อร้อ  ม๊าเองก็แอบยิ้มเบ้ปากกับความดัดจริตของผม  แต่ก็ไม่รู้ว่าที่ยิ้มน่ะเพราะชอบหรือเพราะขำกับท่าทางของผมกันแน่



    “งั้นลื้อออกไปตามป๊ากับอาตี๋เล็กมากินข้าวได้แล้วจะได้กินพร้อมๆกัน”  ผมพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปตามป๊ากับอาฟู่มากินข้าว  กลับเข้ามาก็เห็นสโนว์กำลังช่วยม๊าวางจานวางแก้วน้ำอยู่  แม่ศรีเรือนสุดๆ   อาหลิงเองก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาด้านล่างก่อนจะมารวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร   แล้วเพราะโต๊ะอาหารมันเป็นวงกลมก็เลยให้ม๊ากับอาหลิงนั่งด้านซ้ายมือของป๊า  ส่วนอาม่ากับอาฟู่แล้วก็ผมนั่งด้านขวามือป๊า  แล้วสโนว์ก็นั่งติดกับผมและก็อาหลิงครับ    ผมก็คอยสังเกตุสโนว์นะว่าจะรู้สึกอึดอัดอะไรหรือเปล่า   แต่สโนว์ก็ดูปกติดียังยิ้มคุยกับม๊ากับอาม่าเหมือนเดิม  เวลาป๊าถามอะไรก็ตอบ  ถึงน้ำเสียงจะสั่นไปนิดๆก็เถอะนะ    อ้อ  ส่วนนังเช่นไหว้ก็นอนเอาพุงทับเท้าสโนว์อยู่เหมือนกลัวสโนว์จะหนีนางไปไหน  ส่งเสียงอ้อนเอาหัวถูเท้าสโนว์อย่างเอาอกเอาใจ  เหมือนมันจะบอกว่า ‘รักหนู หลงหนู อย่าทิ้งหนูไปไหนน๊า’ โคตรอ้อร้อ!



    “กินเยอะๆน้า  อาสโนว์  อั๊วะทำสุดฝีมือเลย  ยังมีอีกเยอะถ้าลื้อชอบกินจานไหนเดี๋ยวอั๊วะเอาใส่กล่องไปให้ลื้อเวฟกินที่บ้านได้น๊า”



    “ขอบคุณครับ ม๊า” 



    “เอาล่ะๆ กินกันเยอะๆนะ  ลงมือได้เลย”   ถึงอาป๊าจะบอกให้ลงมือทานแต่ทุกคนก็รอให้อาม่าเปิดเลือกหยิบกินของโปรดก่อนอยู่ดีแล้วจึงค่อยลงมือทานตาม   ผมคีบน่องไก่ของโปรดให้อาฟู่ที่จ้องมองเหมือนลุ้นว่าผมจะแย่งเอาเข้าปากไปหรือไม่  แต่พอเห็นผมเอามาวางใส่จานหมีน้อยให้ก็ยิ้มจนตาเหลือขีดเดียว  แล้วกำน่องไก่กัดกินอย่างเอร็ดอร่อย



    “สโนวี่  อยากกินอะไรก็หมุนกระจกเลื่อนได้เลยนะ  หรือจะกินอะไรถ้าหยิบไม่ถึงก็บอกเราได้นะจ๊ะ” 


    “โอเค โอ้เอ้  งั้นไม่เกรงใจล่ะนะ”  สโนว์หมุนเปลี่ยนอาหารให้ถ้วยเป็ดตุ๋นมาอยู่ตรงหน้าก่อนจะลงมือตักปีกเป็ดใส่ถ้วยเล็กแล้วลงมือชิม



    “หื้มมม  อร่อยมากเลยครับ  แทบละลายในปากเลย”  สโนว์ทำตาโตหลังกินปีกเสร็จไปหนึ่งปีก  หน้าตาเขาดูอร่อยมากจริงๆ  ทำเอาม๊ายิ้มหน้าบานไม่หุบ


    “งั้นลื้อกินเยอะๆเลยน๊าอาสโนว์  ม๊ามีอีกเป็นหม้อ”  สโนว์พยักหน้ารับก่อนจะกินต่อ  อาหลิงก็ชวนสโนว์ให้ลองชิมจานนั่นจานนี้  ผมเองก็คีบนู่นคีบนี่กินเหมือนกัน  มื้อนี่อร่อยจริงๆแถมยังหวานละมุนละไมอีก  หึหึหึ


    “กินปลาไหมอาฟู่”  ผมหันไปถามตี๋เล็กที่แทะกระดูกแทะจนปากเลอะไปหมด  อาฟู่พยักหน้าอย่างเดียวเพราะปากยังติดพันกับกระดูกไก่อยู่  ผมเลยตักส่วนท้องปลาที่นิ่มที่สุดมาไว้ในจานตัวเองก่อนจะลงมือเขี่ยก้างปลาทิ้งให้หมด  มองจนแน่ใจว่าไม่มีก้างปลาเหลือถึงได้ยกไปไว้ในจานหมีน้อยของอาฟู่อีกครั้ง



    “กินเยอะๆนะอาฟู่  จะได้โตไวๆ  สุดที่รักของ..เจ้”   ผมขยี้หัวกลมอย่างเอ็นดู


    “ใช่แล้วอาฟู่ฟู่  ลื้อกินปลาเยอะๆจะได้ฉลาดๆกว่าเจ้ลื้อง๊าย”  อาม่ารีบพูดสมทบ  คงอยากให้อาฟู่ฉลาดกว่าอาหลิง



    “เจ้โอ้คนเดียวเหอะ  อั๊วะไม่เกี่ยวนะอาม่า  เพราะอั๊วะฉลาดดดดดด”  อาหลิงคัดค้าน  ทำลอยหน้าลอยตาพูดแซะผม  เหอะ!  เห็นว่าอยู่ต่อหน้าสโนว์แล้วผมไม่กล้าตอกกลับเลยเอาใหญ่  ไอ้น้องคนนี้นิ




    แม้จะไม่พอใจเล็กๆแต่พอเห็นสโนว์ลอบยิ้มหัวเราะนิดๆ  ผมก็หายเคืองไปง่ายๆซะอย่างนั้น



หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 18-02-2018 11:15:00


“ทิชชู่โอ้เอ้  น้องฟู่ฟู่ปากเลอะหมดแล้ว  เช็ดให้น้องที”  สโนว์หยิบทิชชู่มา 2-3 แผ่น  ส่งให้ผมไปเช็ดปากอาฟู่ต่ออีกที   เนี่ยะ  มีความใส่ใจคนในครอบครัว  ผมช๊อบชอบ  (เอะอะอวยตลอด)



    “กินข้าวอยู่อย่าทะเลาะกันสิ   ลื้อก็รีบๆกินเข้า  แล้วนี่จะค้างบ้านหรือกลับไปนอนหอล่ะ  พรุ่งนี้มีไหว้เจ้าแต่เช้ามืดลื้อจะอยู่หรือเปล่ามีเรียนไหม”  ป๊าถามผม


    “พรุ่งนี้มีเรียนแค่ตอนบ่ายเฉยๆค่ะป๊า   แต่เดี๋ยวอั๊วะจะขับรถไปส่งสโนว์ที่คอนโดก่อน  แล้วค่อยวนกลับมาบ้านอีกทีเอา” 



    “งั้นก็รีบๆกิน  เดี๋ยวจะดึกมากซะก่อน  อากาศก็แปลปรวนไม่รู้ฝนจะตกหรือเปล่า  ป๊าไม่อยากให้ลื้อขับรถตอนกลางคืนมันอันตราย”



    “ค่าป๊า  รับทราบค่ะ”  ผมทำท่าตะเบ๊ะรับทราบก่อนจะรีบลงมือกินให้เร็วกว่าเดิม



    “ลื้อก็  คนกำลังทานอร่อยๆจะไปเร่งทำไมกัน  ค่อยๆทานแหละดีแล้ว  ฝนไม่ตกหรอกน่า”  ม๊าพูดแทรกทำตาค้อนใส่ป๊า   คงเคืองที่ป๊าบอกให้พวกผมรีบกลับ



    “อั๊วะอิ่มแล้ว  ขอตัวขึ้นไปทำรายงานก่อนนะ  ไปล่ะค่ะ”  จู่ๆก็อาหลิงก็รีบซุยข้าวเข้าปาก  อีกมือก็คว้าปีกไก่บอนชอนเข้าปากแล้วรีบลุกวิ่งขึ้นบ้านไปอีกรอบ



    “พูดไม่รู้จักฟังจริงๆ  บอกให้เดินช้าๆ  วิ่งแบบนั้นจะพังบ้านหรือง๊ายยย!”  ผมว่าบ้านไม่พังเพราะอาหลิงวิ่งหรอก  แต่มันจะพังเพราะพลังเสียงของม๊านี่แหละ  เล่นซะน้ำในแก้วสั่นเลย  เหอๆ



    พวกเราก็ทานกันต่อจนอิ่มแปล้  สโนว์อาสาขอล้างจานให้  ตอนแรกม๊าไม่ยอมให้ล้างแต่สโนว์ก็ยังยืนกรานขอทำ



    “ถ้าม๊าไม่ให้ผมช่วยล้างจาน  ต่อไปผมคงเกรงใจไม่กล้ามาทานอะไรที่บ้านม๊าอีกแน่ๆเลยล่ะครับบ ให้ผมช่วยอะไรเล็กๆน้อยๆเถอะนะครับม๊า”

    พอเจอลูกอ้อนและเหตุผลแบบนี้ไป  ม๊าผมก็ใจอ่อนยวบยาบยอมให้สโนว์ล้างจาน  แน่นอนว่าผมก็ต้องช่วยสโนว์ล้างจานอยู่แล้ว  ล้างจานไปเนียนจับจานในอ่างผิดเป็นจับมือสโนว์แทนงี้  แค่คิดก็ซู่ซ่าแล้วครับ  555+



    “งั้นเดี๋ยวอั๊วะเอาอาฟู่ไปอาบน้ำสระผมก่อนแล้วกัน  เดี๋ยวพรุ่งนี้ตรุษจีนก็สระผมไม่ได้แล้ว...อาม่า ลื้ออย่าลืมตักปีกเป็ดตุ๋นใส่กล่องให้อาสโนว์ด้วยน้า”



    “เออๆ  อั๊วะไม่ลืมหรอก  เดี๋ยวให้อาหารมาเรียฟิเซนก่อน  ไม่ลืมแน่นอน”    แบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยผมกับสโนว์ก็ช่วยกันเก็บจานเข้ามาในครัวกวาดเศษอาหารใส่ถุงขยะให้เรียบร้อย  อะฮ๊า  ขั้นต่อไปก็ล้างจานในอ่างเดียวกันสิ  ฉากจับมือผิดที่รอคอยมาแล้ว  กรั่กๆๆๆ



    “เดี๋ยวเราล้างซันไลต์แล้วส่งให้โอ้เอ้ล้างน้ำเปล่าเนาะ  มีสองอ่างจะได้เสร็จไวๆ”



    เพล้ง!   



    นี่ไม่ใช่เสียงจานแตก  แต่เป็นเสียงต่อมมโนที่แตกกระจาดกระจายสลายไปในพริบตา TT  อดเลยผม  นี่สโนว์เขาอ่านความคิดผมออกหรือเปล่าวะ  ฮือออ   แต่จะทำไงได้ผมก็ได้แค่กรีดนิ้วทำท่าโอเคแล้วคอยรับจานจากสโนว์มาล้างน้ำเปล่าไปเรื่อยๆจนหมดทุกจาน  เพราะจานเยอะกว่าปกติและสโนว์ล้างจานช้ามากการล้างจานเลยยาวนานหน่อย


    “บ้านโอ้เอ้นี่อบอุ่นดีเนาะ  ใจดีทุกคนอย่างที่บอกจริงๆด้วย”


    “ใช่ม้า  ชอบล่ะสิ  มาบ่อยๆได้เลยนะ”  ^^


    “ถ้าว่างจะมาอีกแน่นอน..เออ  โอ้เอ้ได้ทำเพจให้น้องมาเรียฟิเซนหรือเปล่า”


    “หือ..ใช่ๆนัง..น้องมาเรียฟิเซนมีเพจแต่ส่วนใหญ่ก็ม๊าลงรูปน่ะจ้ะ”  ท่าทางสโนว์จะจำนังเซ่นไหว้ได้แม่นจริงๆ  โคตรอิจฉาแมว!


    “หรอ  น้องน่ารักมากๆเลย ขี้อ้อนสุดๆ  เราชอบแมวมากแต่เลี้ยงไม่ได้  นี่ถ้ารู้ว่าน้องเป็นแมวบ้านโอ้เอ้นะ  เรามาเที่ยวบ้านโอ้เอ้ตั้งนานแล้วล่ะ”    โห  ถ้าผมรู้ว่าจะมาง่ายๆแบบนี้ผมก็ชวนไปตั้งนานแล้วเหมือนกัน   



    “จริงดิ  งั้นแกมาเที่ยวบ้านทุกอาทิตย์เลยม่ะ  ดูท่าทางน้องมาเรียฟิเซนมันก็ชอบแกมากเหมือนกันน้า”  สาบานว่าผมไม่เคยเรียกนังเซ่นไหว้ว่าน้องเลยสักครั้งมาก่อน   ความร้ายของมันเกินกว่าจะเป็นน้องได้จริงๆ เออ ถ้าเจ้าแม่อ่ะว่าไปอย่าง-*-


    “เกรงใจน่ะสิ  แต่อาจจะขอมาเดือนล่ะครั้งนะ”



    “โอ้ยยยย  ไม่ต้องเกรงใจมาได้ทุกวันเลยด้วยซ้ำ   คิดซะว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันงี้”  ลูกสะใภ้มาบ้านแม่ผัว มันผิดตรงไหนนนน



    “จ้าๆ  ล้างเสร็จแล้ว  เรากลับกันเถอะ  จะสองทุ่มครึ่งแล้วด้วย”   สโนว์ยกโทรศัพท์ออกมาดูเวลา  ผมเองก็คิดว่าสมควรไปส่งเขาแล้วจริงๆ



    “อาม่า  อั๊วะจะไปส่งสโนว์แล้วนะคะ  ฝากบอกม๊าด้วย  ป๊าอยู่หน้าร้านใช่ไหมเอ่ยจะได้พาสโนว์ไปไหว้ลาก่อน”  ผมทำเป็นเดินตูดบิดนิดๆไปหาอาม่าที่นั่งดูทีวี



    “ใช่ๆ  ลื้อพาอาสโนว์ไปเลย    อั๊ยย๊า  อั๊วะลื้อตักปีกเป็ดตุ๋นให้อาสโนว์เลย  เดี๋ยวขอไปตักก่อนแป๊บนึงนะ  ลื้อไปไหว้ป๊าก่อนได้เลย”  อาม่ารีบลุกไปในครัวถึงสโนว์จะบอกว่าไม่เป็นไรแต่อาม่าก็บอกให้รอแป๊บเดียว  ผมเลยพาสโนว์เดินกลับไปทางหน้าร้าน



    “ป๊า  เดี๋ยวอั๊วะจะพาสโนว์กลับแล้วน้า”  ผมบอกป๊าที่นั่งคิดบัญชีอยู่หน้าร้าน  ประตูเหล็กถูกดึงปิดร้านหมดเรียบร้อยแต่ก็ยังสามารถมองเห็นรถลาที่วิ่งอยู่ตรงถนนได้เพราะเป็นประตูแบบตาข่ายไม่ได้ทึบไปซะหมด


    “ผมกลับก่อนนะครับป๊า”  สโนว์ยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย  ป๊าก็ยกมือรับไหว้



    “กลับกันดีๆล่ะ  อย่าขับรถเร็วกันนัก หมวกกันน็อคก็ใส่ล็อกให้แน่น  พาเขามาก็ต้องพาเขากลับให้ปลอดภัยด้วย  รู้ไหมห่ะ..นังหนู”  ป๊าอบรมยาวเหมือนทุกครั้ง  ก่อนจะแกล้งเรียกผมว่านังหนู  แถมยิ้มอย่างดูสะใจเหมือนป๊าจะพูดว่า   ‘เป็นไงล่ะว่าอั๊วะนักสุดท้ายเอ็งก็มาเป็นตุ๊ดเหมือนกันล่ะวะ’
   


    “รู้แล้วค๊า  ไปแล้วนะป๊า  ประตูหลังบ้านล็อคแค่ลูกบิดพอนะอั๊วะจะได้ไขเข้ามาเลยไม่ต้องปลุกใครเพื่อถึงดึก”  ป๊าพยักหน้า   แต่ยังไม่ทันจะเดินออกมา  ฝนเจ้ากรรมก็ตกหนักขึ้นมาเฉยๆซะงั้น!



    “นั่นไง  อั๊วะว่าแล้ว  ว่ามันต้องตก  ตกหนักซะด้วย”  ป๊าตบเข่าฉาดก่อนจะออกมายืนดูหน้าถนนที่ฝนตกหนักจนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากสายฝนเป็นสีขาว



    “ตกอีท่านี้คงได้ตกหนักทั้งคืนแน่ๆ  เฮ้อ  สงสัยลื้อต้องค้างแล้วล่ะอาสโนว์  ฝนตกหนักแบบนี้ถนนมันลื่นอั๊วะไม่อยากให้พวกลื้อออกไปเสี่ยงอันตราย  เป็นอะไรขึ้นมาอั๊วะทำคืนพ่อแม่ลื้อไม่ได้น่า”  ป๊าให้เหตุผล  สโนว์ก็มีท่าทีอึกอัก    ผมเห็นก็สงสาร



    “ถ้าสโนว์อยากกลับคอนโดจริงๆเดี๋ยวเราเดินไปที่จอดรถขับรถตู๋มารับหลังร้านก็ได้นะ  เอาไหม”



    “แล้วที่จอดรถโอ้เอ้อยู่ตรงไหนหรอ”



    “ป๊าจอดไว้ที่รับจอดรถรายเดือนน่ะสโนว์ต้องเดินไปอีก  3 ซอยแล้วเดินต่อไปในซอยอีกร้อยเมตรถึงจะถึง”   ป๊าอธิบาย  เพราะบ้านเราอยู่ติดถนนใหญ่เลยไม่มีส่วนสำหรับทำที่จอดรถตู้น่ะครับต้องไปเช่าที่จอดรายเดือนไว้จะไปไหนทีไม่ผมก็ป๊าจะผลัดกันไปเอารถขับมารับทุกคนที่บ้านเอา



    “ถ้ามันไกลขนาดนั้นไม่ต้องก็ได้โอ้เอ้  ตากฝนจะไม่สบายเปล่าๆ...”




    “เดี๋ยวเรานอนค้างที่นี่ก็ได้”






    “แต่เราขอนอนห้องเดียวกับโอ้เอ้นะ  เรา...กลัวผีน่ะ”


     !!!!!!!!!!!!!!!!!!!



    กรี้ดดดดดดดดด  ผู้ชายมาขอนอนด้วย!  นี่ผมควรทำตัวยังไงดี!!! 0o0



หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 18-02-2018 11:16:45


เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้




    หญิงสาวผิวขาวหยวกหน้าตาสละสวยแถมยังดูอ่อนเยาว์กว่าอายุที่แท้จริงกำลังอาบน้ำสระผมให้กับลูกชายคนเล็กของบ้านที่นั่งพุงกางพิงตัวไปกับอ่างอาบน้ำอย่างสบายใจ



    “อาฟู่  พี่สโนว์หล่อไหม”


    “..หล่อ”


    “แล้วพี่สโนว์กับเฮียอันโทนิโอ้ใครหล่อกว่ากัน”


    “..อืม..เฮีย..หล่อ..กว่า”  เด็กน้อยหยุดคิดแป๊บเดียวก่อนจะค่อยๆตอบทีละคำ


    “ทำไมเฮียหล่อกว่าล่ะ”  ม่าม๊าขมวดคิ้วแปลกใจ


    “ก็..เฮีย..ใจลี!”  ตี๋เล็กรีบตอบเสียงดัง  ยกยิ้มจนตาเหลือขีดเดียว



    “พี่สโนว์ก็ใจดีนะ  วันนี้ช่วยม๊าทำงานตั้งหลายอย่างแน่ะ  ลื้อไม่ชอบอีหรอ”  ม่าม๊ายิ้มหวานเมื่อพูดถึงชายหนุ่มรูปงาม  ทั้งหล่อ ดูๆไปก็สวยด้วย ทั้งนิสัยดี  ถูกใจสุดๆ  มิน่า อามาเรียฟิเซนถึงได้ถูกใจอีนักหนา  เพราะอีดีแบบนี้เอง


    “แต่..เขา..ไม่..พูด..กับ..ฟู่..ฟู่..เยย”  ตี๋เล็กตอบไปอย่างที่ตนเองคิด   พี่สโนว์หล่อ  พี่สโนว์ยิ้มให้ก็จริง  แจ่เขาไม่พูดกับฟู่ฟู่ก่อนสักคำ   จริงๆฟู่ฟู่ก็อยากชวนเขาคุยด้วยแต่กลัวจะพูดไม่ชัด  กลัวจะฟังไม่รู้เรื่อง  ฟู่ฟู่ถนัดตอบมากกว่า


    “โถถถถ   ตี๋น้อย...พี่เขาคงพูดไม่เก่งนะ  แต่พี่เขาก็ดูใจดีนะ  ส่งทิชชู่ให้เฮีบเช็ดปากเลอะหนูด้วย  ลื้อชอบอีไหม”



    ตี๋เล็กนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้าซื่อๆ  ม่าม๊าเองพอเห็นว่าลูกเห็นด้วยก็ยิ้มกว้าง  ก่อนจะรีบล้างตัวให้ลูกชายและจับเช็ดตัวพัดแป้งให้หอมฉุย  ใส่ชุดนอนเตรียมอุ้มลงมาเล่นด้านล่าง  หากไม่เห็นว่าห้องของอาหลิงเปิดประตูแง้มไว้เสียก่อน



    “ทำอะไรของลื้อน่ะอาหลิง”   ม่าม๊าเปิดประตูเข้าไปก็เห็นลูกสาวนั่งอยู่กับพื้นกำลังมัดก้อนอะไรสักอย่างอยู่ 2 – 3 อัน



    “ตกใจหมดม๊า  มาไม่ให้สุ่มให้เสียง...อั๊วะกำลังทำตุ๊กตาอยู่”  อาหลิงกระซิบบอกเสียงเบา   ม่าม๊าเลยเดินอุ้มอาฟู่เข้ามาในห้องนอนของลูกสาวที่พื้นระเกะระกะไปด้วยผ้าเช็ดหน้า และลูกปิงปองกับหนังยางมัดผม



    “แล้วไหนลื้อบอกจะรีบขึ้นมาทำรายงานห๊า  หัดโกหกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”  ม่าม๊าไม่ชอบใจนักหน้าขมวดคิ้วเป็นโบว์



    “อันนั้นแค่ข้ออ้างเฉยๆ  อั๊วะทำการบ้านเสร็จตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว  แต่อั๊วะจะรีบขึ้นมาทำตุ๊กตาเรียกฝนไง”



    “ตุ๊กตาเรียกฝน?   หน้าตามันเป็นไงว๊า  อั๊วะไม่เคยเห็น”   ม่าม๊าพาอาฟู่ไปนั่งบนเตียงของอาหลิงแล้วพาตัวเองมานั่งข้างลูกสาวมองก้อนกลมๆที่ถูกผ้าหุ้มมัดไว้


    “ก็คือตุ๊กตาไล่ฝนแบบญี่ปุ่นนั่นแหละม๊า  เหมือนในเรื่องอิคคิวซังไง  ถ้าแขวนหัวตั้งจะเป็นตุ๊กตาไล่ฝนแต่ถ้าเราคว่ำหัวลงมันจะกลายเป็นตุ๊กตาเรียกฝน   เนี่ย  อั๊วะทำได้สามตัวแล้วจะเอาออกไปติดระเบียงหลังบ้านเรียกฝนแล้วล่ะ”



    “.....ที่ลื้อทำเพราะอยากให้ฝนตก  แล้วถ้าฝนตกอาสโนว์ก็จะได้กลับบ้านไม่ได้แล้วอาจจะต้องค้างกับเราใช่ไหม   อาสโนว์กับอาอันโทนิโอ้ก็จะได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นในวันวาเลนไทน์”  ม่าม๊านั่งคิดแล้วพูดไปตามที่นึก



    “ถูกต้องนะค๊า   ม่าม๊าฉลาดสุดๆเลย  รู้ทันความคิดอั๊วะด้วย”   อาหลิงยิ้มร่าก่อนจะกอดตัวม่าม๊าแน่นอย่างภูมิใจในความฉลาดมองแป๊บเดียวก็รู้ว่าเธอคิดจะทำอะไร   ก็วันนี้เป็นวานวาเลนไทน์ทั้งที  ก็ควรให้คนที่เขารักกัน(แม้อาจจะฝ่ายเดียว)ได้อยู่ด้วยกันนานๆหน่อยสิ   เฮียเองก็อุตส่าห์ทุ่มเทเพื่อพี่สโนว์ไปตั้งเยอะควรมีรางวัลให้บ้าง  พี่สโนว์เองก็น่ารัก หล่อ และสุภาพมากๆ  ยังไงเธอก็จะเอาพี่สโนว์มาเป็นพี่สะใภ้ให้ได้! หรือเป็นพี่เขยก็เอา!!!



    “ลื้อก็คิดอะไรเป็นเด็กๆไปได้  มันจะได้ผลจริงรึ”   ม่าม๊าค่อนคอด



    “ไม่ลองก็ไม่รู้นะม๊า  ให้ตุ๊กตาทำนายกัน”   อาหลิงยังไม่ยอมแพ้ชูตุ๊กตาห้อนต่องแต่งในมือไปมา



    “อันเล็กขนาดนี้เทพเจ้าคงมองเห็นหรอกว่าเรียกฝน.....โน้น ลื้อไปห้องอาม่าเอาลูกบอลของเล่นอาฟู่ที่ใส่รวมในถุงตาข่ายมา  เดี๋ยวม๊าจะไปเอาผ้าเช็ดหน้ามารัดทำตุ๊กตาเพิ่มให้   ทำใหญ่ๆหน่อยเทพเจ้าจะได้มองเห็นว่าเราเรียกขอฝนอยู่!”   สิ้นคำสั่งม่าม๊าอาหลิงก็ยิ้มกว้างรีบย่องเบาลงไปห้องอาม่าหาถุงใส่ลูกบอลของเล่นของอาฟู่ที่เป็นเหมือนที่ใส่ไว้ในบ้านบอลเยอะๆ   พอหาเจอก็รีบเดินกลับเข้าห้อง


    ส่วนม่าม๊าเองพออาหลิงออกไปก็สั่งให้อาฟู่นั่งรออย่าไปไหน  ก่อนจะเดินกลับห้องไปเปิดลิ้นชักที่มีผ้าเช็ดหน้าวางเรียงอย่างเป็นระเบียบหลายสิบผืน  เธอค่อยๆหยิบใส่มืออย่างถนอมเอามาทุกชิ้น และเปิดลิ้นชักที่สอง  เอาผ้าเช็ดหน้าที่วางเรียงกันออกมาอีกจนหมด  แล้วจึงเดินกลับไปห้องอาหลิง   ก่อนจะช่วยกันเอาผ้าเช็ดหน้าห่อลูกบอลเล็กอย่างรวดเร็ว


    “ม๊าไม่กลัวมันเลอะ มันยับเยินหรอ   ถ้าฝนตกลงมาจริงๆ”  อาหลิงถามเพื่อความแน่ใจ  เพราะรู้ดีว่าม่าม๊าสะสมผ้าเช็ดหน้าแถมผ้าเช็ดหน้าของม๊าผืนใหญ่และสวยทุกผืน  เป็นของรักของหวงเลยด้วยซ้ำ



    “แล้วลื้อไม่เหนื่อยหรอ  ที่ต้องมานั่งทำตุ๊กตาหลายๆตัว ทั้งที่ก็ไม่แน่ใจว่าฝนมันจะตกจริงหรือเปล่า”  ม่าม๊าถามกลับพร้อมกับรอยยิ้ม   



    “ไม่เหนื่อยหรอก  อั๊วะมีพี่ชายอยู่คนเดียวแถมทึ่มอีก  ก็อยากให้เขามีความสุขบ้าง  อั๊วะเต็มใจถึงมันจะไม่ได้ผลก็ตาม”



    “อั๊วะก็เหมือนลื้อนั่นแหละ”  สองแม่ลูกส่งยิ้มให้กันอย่างเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย



    “ฟู่..ฟู่..ก็..อยาก..ช่วย..เหมือน..กัน..อ่า”  ตี๋เล็กไหลตัวลงจากเตียงนอนมานั่งตรงกลางระหว่างพี่สาวกับม่าม๊าตัวเอง



    “ฟู่ฟู่ก็อยากช่วยเฮียเหมือนกันหรอลูกชาย”  ม่าม๊าถามเสียงใส  ตี๋น้อยพยักหน้าหงึกหงัก  มองดูว่ามีอะไรที่ตนเองพอจะทำได้บ้าง


    “เดี๋ยวเอาไว้เจ้กับม๊าทำเสร็จ ฟู่ฟู่ช่วยหนีบตุ๊กตากับราวแขวนผ้าล่ะกันนะ  โอเคไหม”  อาหลิงบอกน้องชาย  ฟู่ฟู่ยิ้มรับตาหยีพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว



    “งั้น..เจ้หลิง..กับ..ม่าม๊า..ทำ..ไว..ไว..นะ”   ฟู่ฟู่อยากติดตุ๊กตาจะแย่แล้ว   ฟู่ฟู่อยากบอกแบบนี้แต่ประโยคมันยาวเกินไป  กว่าจะพูดจนเสร็จม่าม๊ากับเจ้หลิงคงทำไม่เสร็จพอดี



    “โอเคจ้า”   ทั้งสามคนตกลงกันได้ก็รีบลงมือทำ  มัดจนได้ตัวตุ๊กตา 20 กว่าตัวก็จับใส่ตะกร้าเดินไประเบียงหลังบ้านก่อนที่ม่าม๊าจะอุ้มฟู่ฟู่ไว้บนแขน  อาหลิงยืนถือตะกร้าอยู่ข้างๆคอยส่งตุ๊กตาให้น้องชายจับหนีบกลับหัวกับราวตากผ้า   ฟู่ฟู่ตั้งใจทำหน้าที่นี้เป็นอย่างมาก  แถมยังหนีบเร็วเสียอีกเพราะกลัวว่าถ้าหนีบช้าเดี๋ยวเฮียกับพี่สโนว์จะกลับไปซะก่อนที่เทพเจ้าจะเห็นว่าพวกเขากำลังเรียกฝนอยู่


    “เสร็จแย้ว!” เมื่อหนีบตัวสุดท้ายเสร็จ ฟู่ฟู่ชูแขนดีใจใหญ่  อาหลิงรีบปรบมือชื่นชมน้องชายคนเล็ก



    “มาๆเรามาช่วยกันอธิษฐานอีกแรงเถอะ  เพื่อจะได้ผลไวๆ”  ม่าม๊าวางฟู่ฟู่ลงกับพื้น  ก่อนจะพากันยืนกุมมือทั้งสองข้างยกเหนือหัว



    “ขอให้ฝนตก  ขอให้ฝนตก ขอให้ฝนตก”   ทั้งสามพูดพร้อมกัน  ยังไม่ทันได้เอามือลงเม็ดฝนก็ลงเปาะแปะบนหัวก่อนจะเริ่มตกหนักขึ้น



    “ม๊า  ฝนตกจริงๆด้วย!”  อาหลิงกรี้ดกร๊าดแต่ก็ต้องรีบเอาหุบปากเพราะกลัวเสียงจะดังไปด้านล่าง   



    “เย้ๆๆๆ”  ฟู่ฟู่กระโดดกอดขาม๊า  ร้องดีใจ  ม่าม๊าเองก็ยิ้มหน้าบาน   



    ขอบคุณเทพเจ้าที่เห็นใจลูกชายจอมทึ่มของอั๊วะ!







    “อาหลิง”



    “คะม๊า?”



    “เที่ยงคืนลื้อออกมากลับหัวตุ๊กตาด้วยล่ะ  เดี๋ยวจะตกถึงเช้าจะแย่ซะ”



    “โอเคค่า”









----------------
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-02-2018 12:43:48
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด บ้านนี้น่ารักสุดๆ มีการใช้ไสยศาสตร์อีกต่างหาก ทุ่มสุดๆ
หลงรักไปแล้วน้าาาาา
 :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 18-02-2018 15:56:36
บ้านนี้น่ารักสุดๆเลยอ่า ช่วยเฮียกันใหญ่
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 18-02-2018 16:20:56
บ้านนี้รู้งานมาก 5555555 รู้ว่าควรทำยังไงให้ได้สะใภ้เข้าบ้าน 5555555555
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: Indy555 ที่ 18-02-2018 17:12:26
 :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-02-2018 17:42:50
น้องฟู่น่ารัก
ชอบพาร์ท เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้ แสดงให้เห็นเลยว่าครอบครัวของอันโทนิโอ้น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 18-02-2018 21:18:35
ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ!!!เราหลงรักเรื่องนี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ>< โอ้ยยย ขำมากเลยอ่ะ ชอบความเเกล้งตุ๊ดมากๆ อ่านเเล้วนึกถึงที่บ้านเลยค่ะ ไหว้เหมือนกันเลย มาต่อเร็วๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ คิดได้ยังไงฮาเเทบทุกบรรทัด เกินทานทนอ่ะค่ะ กร๊ากกก

ต่อนะๆ ได้โปรดเถอะ ชอบมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-02-2018 22:41:48
นี่แหละครอบครัวในฝันที่อยากได้   :m1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ❤️วาเลนไทน์ดีเพราะมีเธอ❤️100%|18ก.พ
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 05-03-2018 04:50:57
เป็นครอบครัวที่น่ารักมากๆ เห็นด่าๆกันแต่ก็รักกันสุดๆ แถมโชคยังเข้าข้างอาอันโทนีโอ้ ฝนตกจริงอีก  :laugh:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 ลมหายใจ40% 22 มี.ค
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 21-03-2018 23:46:25
EP.6




   “เดี๋ยวเรานอนค้างที่นี่ก็ได้”






   “แต่เราขอนอนห้องเดียวกับโอ้เอ้นะ  เรา...กลัวผีน่ะ”











   หลังจากได้ยินประโยคนั้นจากปากสโนว์หัวสมองผมมันก็โล่งโปร่งไปหมด   ตอนนี้ก็กำลังเดินงงๆโง่ๆกลับเข้ามาในบ้านโดยมีสโนว์เดินตามหลังมา



   “อ้าวววว  นี่เฮียยังไม่ได้ไปส่งพี่สโนว์อีกหรอ”  อาหลิงที่เดินลงบันไดมาทำหน้าตกใจ ทั้งที่กำลังอุ้มอาฟู่ลงมาด้วย


   “นั่นซี  อั๊วะคิดว่าลื้อพาอาสโนว์ไปส่งแล้วซะอีก”  ม๊าทำหน้าแบบ ตกใจสุดๆเอามือปิดปาก  แต่ไม่รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าของประจำกายหายไปไหนแล้วถึงได้เหลือแต่มือเปล่า   


   “...”  ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ  บอกตรงๆแมนๆว่ายังช็อคอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาขอนอนด้วยแบบสองต่อสอง  ไม่ใช่นอนรวมกันเป็นกลุ่มเหมือนตอนอยู่กับเพื่อน



   “คือฝนมันตกหนักมากเลยครับ ป๊าไม่อยากให้ขับรถกลับกลัวอันตราย....ผมเลยจะขอค้างที่นี่สักคืน”   หลังสโนว์ตอบเสร็จม๊ากับอาหลิงก็พยักหน้าช้าๆ

   “ได้ซีอาสโนว์  บ้านม๊าห้องว่างเยอะแยะลื้อเลือกเอาได้เลยว่าอยากนอนห้องไหน  ห้องข้างๆอาอันโทนิโอ้ก็ว่างน๊า”  ม๊ารีบนำเสนอตัวเลือกให้กับสโนว์ใหญ่  อาหลิงก็ยิ้มแป้น



   “หรือจะห้องข้างหลิงก็ได้นะคะพี่สโนว์  อิอิ  โอ๊ย!  ม๊าอ่ะ เขกหัวอั๊วะทำไม ถ้าคืนนี้อั๊วะฉี่รดที่นอนทำไง”  อาหลิงหน้าบึ้งเอามือลูบหัวตัวเองปอยๆ   ผมเองก็นึกขอบคุณม๊าเหลือเกินที่เขกหัวน้องทรยศให้   คิดจะตีท้ายครัวอั๊วะมันเร็วไปร้อยปีโว้ยยย


   “ก็ลื้อพูดจาน่าเกลียดนี่อาหลิง  เป็นสาวเป็นนาง  อย่าให้ม๊าได้อีกนะจะโดนตีมากกว่านี้อีก”  ถ้าอาหลิงพูดแค่นี้ม๊ายังเขกหัวแทบแตก  แล้วถ้าม๊าได้ยินประโยคตอนอาหลิงกรี้ดอปป้าว่าเป็นสามีประมาณพันคนนี่ไม่ไล่ออกจากเลยหรือไงกัน ผมได้แต่สงสัยแต่ก็ไม่กล้าบอก  กลัวบ้านแตก -*-


   “ม๊า..อย่า..ทำ..เจ้..หลิง”   อาฟู่เบะปากตาแดงเตรียมแสดงโอเปร่าเอ้าร์  ม๊าก็ได้แต่รีบไปปลอบว่าทำไปเพราะหวังดีไม่อยากให้ใครมองอาหลิงเป็นผู้หญิงใจง่าย  ส่วนอาหลิงก็รีบบอกว่าม๊าไม่ได้เขกเจ็บเลยสักนิด  ด้วยกลัวน้องชายจะร้องไห้




   “คือผมจะนอนห้องเดียวกับโอ้เอ้น่ะครับ”



   “อ่อๆ..ห้องเดียวกัน...ห๊ะ!!!!”  ทั้งม๊าทั้งอาหลิงหันมาร้องตกใจอย่างพร้อมเพรียง  เนี้ยะอารมณ์เดียวกับผมตอนได้ยินเลย  เหมือนกันเปี๊ยบ  สโนว์เองก็สะดุ้งกับเสียงของทั้งคู่นิดๆ  ไม่เว้นแม้แต่นังเซ่นไหว้ที่หันขวับมามองแบบสายตาอาฆาตมากกกก



   “ท..ทำไม หรือครับ  หรือว่าผมนอนไม่ได้..”  สโนว์ทำตาปริบๆ  ม๊ากับอาหลิงก็ตั้งสติกันใหม่



   “ได้..ได้ซี  ทำไมจะไม่ได้เล่าอาสโนว์  ม๊าบอกลื้อแล้วไงว่าทำตัวตามสบายเหมือนที่นี้เป็นบ้านอีกหลังของลื้อได้เลย” 



   “ใช่ๆพี่สโนว์  นอนกับเจ้โอ้ได้ตามสบายเลย  ไม่ต้องเกรงใจใช่ไหมเจ้”  อาหลิงหันมาถามด้วยสีหน้าโคตรแฮปปี้พร้อมไอสีม่วงพาสเทลฟุ้งอยู่รอบตัว


   “ใช่จ๊ะ  แหะๆ  ตามสบายเลย....แต่ขอเราขึ้นไปเก็บห้องแป๊บนึงนะ  แบบว่ารกมากเลยฝาผนังมีแต่รูปผู้ชายใส่ชุดว่ายน้ำอาห์  โฮะๆๆๆ อ๊ายยยอาย”  ผมพยายามยิ้มให้ดูปกติที่สุดทั้ง
ที่โคตรจะไม่ปกติ  ก็ในห้องผมมีแต่รูปสโนว์ไง  อาจไม่ได้เต็มห้องแต่ก็มีหลายสิบรูปที่แปะไว้บนผนังหัวนอน  ไหนจะหนังสือเพาะกล้ามอีกหลายเล่ม หนังสือคู่มือจีบคนที่ผมซื้อมาศึกษา  ซีดีซีรีย์เกย์ที่เก็บสะสมไว้ศึกษาอีกหลายเรื่อง  ผมต้องขึ้นไปจัดการก่อนที่สโนว์จะเห็นให้ได้!


   “ได้สิ  งั้นถ้าเก็บเสร็จเรียกเรานะ  หรืออยากให้เราไปช่วยเก็บไหมโอ้เอ้”



   “ไม่ๆๆ..ไม่เป็นไรเลยแก  เราเก็บเองดีกว่าแบบของรักของหวงมากอ่ะ  นั่งเล่นข้างล่างไปก่อนนะจ๊ะ” 



   “อ้าว  ตกลงพวกลื้อไม่กลับกันแล้วใช่ไหม”  อาม่าที่ถือกล่องใส่ปีกเป็ดตุ๋นออกมาจากครัวถามขึ้น  สว์ก็หันไปยิ้มและตอบก่อนจะถูกอาม่าเรียกให้ไปช่วยกันห่อเกี๊ยวทั้งม๊า อาหลิง และสโนว์  ส่วนอาฟู่ไปนั่งดูเฉยๆครับ   แล้วผมก็รีบสาวเท้าขึ้นมาชั้น 4 อย่างรวดเร็วปานคิดว่าตัวเองเป็นเดอะแฟลช  โดยมีนังเซ่นไหว้กระโดดขึ้นบันไดตามมา   ผมรีบดึงรูปสโนว์ที่แปะไว้ที่ผนังด้วยกาวสองหน้าออกอย่างรวดเร็วเก็บใส่กล่องจนเกลี้ยง   ส่วนพวกหนังสือต่างๆผมก็เก็บยัดๆใส่ลังให้หมดแล้วยกไปไว้ห้องอื่นแทน


   “เมี๊ยว!”  นั่งเซ่นที่ประทับอยู่บนที่นอนร้องขู่สายตาหันไปมองที่โต๊ะเขียนหนังสือที่มีรูปสโนว์ใส่กรอบเล็กๆวางไว้อยู่



   “ขอบใจเอ็งมากที่เตือน  เดี๋ยวซื้อขนมแมวให้นะ”  ผมลูบหัวมันอย่างเอ็นดูถึงแม้นังเซ่นไหว้จะทำหน้าเบื่อโลกหรือเบื่อเจ้านายโง่ๆอย่างผมที่ต้องคอยให้มันเตือนก็ไม่รู้  เหอๆ 

   ตรวจดูจนเรียบร้อยว่าไม่เหลืออะไรให้น่าสงสัยผมก็เปิดประตูเตรียมเดินกลับลงไปแต่ก็เจออาหลิงที่เดินขึ้นมาซะก่อน


   “มาทำไมอาหลิง  อั๊วะจะลงไปข้างล่างแล้ว”



   “ก็เอาพวกเครื่องสำอางมาให้เฮียอ่ะดิ”



   “เอามาเพื่อ?”



   “ทึ่มจริงๆให้ตายเถอะ   ก็เอามาให้เฮียวางไว้ในห้องไง  ตุ๊ดอะไรไม่มีเครื่องสำอางสักชิ้นในห้องมันไม่แปลกๆหรอเฮีย  คิดสิคิดดดด”  อาหลิงเอานิ้วชี้จิ้มหัวตัวเองรัวๆ  ผมก็เลยเข้าใจ



   “เออๆ  ขอบใจมากน้องรัก”   (แต่จะรักกว่านี้ถ้าลื้อไม่คิดตีท้ายครัวอั๊วะ)   ผมรับถุงเครื่องสำอางจากอาหลิงมาแล้ววางเรียงไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือนั่นแหละครับเพราะห้องผมไม่มีโต๊ะเครื่องแป้ง   ส่วนอาหลิงก็เอาสายพู่ที่เขาเอาไว้ประดับวันคริสมาสหรือปีใหม่ไปติดห้อยไว้รอบบานกระจกส่องตัวเพิ่มความแซ่บเข้าไปอีก  โคตรรอบคอบเลยน้องผม



   “แล้วนี่เฮียจะนอนบนเตียงเดียวกันหรือจะนอนกับพื้นอ่ะ”   อาหลิงถามอย่างสนอกสนใจ ถ้าให้พูดตามประสาชาวบ้านก็เสือกนั่นเอง - -


   “ก็คงให้สโนว์นอนบนเตียง ส่วนอั๊วะนอนพื้นนั่นแหละ  เตียงอั๊วะมันเตียงเดี่ยวขืนนอนบนนั้นก็เบียดกันตายเลยดิ”   แม้ผมโคตรจะอยากนอนเบียดมากก็เถอะ!


   “อืมๆ   ดีแล้วครั้งแรกต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษไปก่อนเนาะเขาจะได้ประทับใจ และก็ไว้ใจ  จะได้มานอนค้างกับเฮียบ่อยๆไง~” อาหลิงทำหน้าเพ้อฝันตาเป็นรูปหัวใจอีกแล้ว


   “รู้น่า  ไปๆลงไปข้างล่างกัน  ห่อเกี๊ยวกันเสร็จหรือยัง”  ผมกอดคอยัยน้องสาวขี้มโนพากันเดินออกจากห้องโดยมีนังเซ่นไหว้เดินตามมา


   “เสร็จเรียบร้อยแล้ว  พี่สโนว์ห่อได้สวยงามมาก  เหมาะเป็นสะใภ้บ้านนี้สุดๆ   เฮียต้องจับพี่เขาให้ได้นะ! ต้องจับให้นะเฮีย”   อาหลิงย้ำสีหน้าเหมือนตัวโกงในละครน้ำเน่าที่ชอบดูกันไม่มีผิด  มีอย่างที่ไหนบอกให้พี่ชายตัวเองจับผู้ชาย!



   “เออ  อดใจหน่อยโว้ย  คู่กันแล้วคงไม่แคล้วกัน”  ผมตอบยิ้มๆแต่ในใจก็ดันไปนึกว่าหากวันนึงที่สโนว์รู้ว่าผมเป็นผู้ชายเต็มตัวเขาจะยังอยากอยู่ใกล้ผมต่อหรือเปล่า...ผมเองยังไม่แน่ใจเลย       





   “สโนว์ เราจัดห้องเสร็จแล้วนะจ๊ะ  จะขึ้นไปเลยไหม เราเตรียมพวกเสื้อผ้า ผ้าขนหนูให้แล้วด้วย”  ผมเดินลงมาด้านล่างก็เห็นคนในครอบครัวทุกคนรวมถึงสโนว์นั่งคุยกันคึกครื้น  ไม่รู้ว่าคุยเรื่องอะไรกัน สโนว์ถึงได้ยิ้มหวาน ส่วนอาม่าและอาม๊าหัวเราะจนน้ำลายพุ่งเป็นฝอย....โชคดีนะที่นั่งห่างๆกันไม่งั้นคงได้แลกน้ำลายกันเป็นแน่แท้ - -


   “มาพอดีเลย  อั๊วะกำลังแอบนินทาลื้อให้อาสโนว์ฟังมันส์ๆเลยเชียว โฮะๆๆๆ”  ม๊าหัวเราะเสียงดัง  แต่ก็ยกมือมาบังปากประนึงนางงิ้วเหมือนเคย  แต่ไม่รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าไอเท็มติดตัวหายไปไหนแล้ว


   “อะไรอ่ะม๊า ม๊านินทาอะไรอั๊วะหรอ”  ผมบีบเสียงแหลมเล็กทำท่าฟึดฟัดดัดจริตไปด้วย  แม้จะสงสัยว่าม๊าเม้าท์อะไรผมให้น่าอายหรือเปล่า


   “บอกลื้อก็ไม่เรียกว่านินทาซี้วะ ไม่บอกหรอก เนอะ อาสโนว์เนอะ”  ม๊าหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับสโนว์และอาม่ายิ่งทำให้ผมกับอาหลิงงงกันไป  หันไปมองป๊าที่นั่งอยู่ก็ทำหน้าเฉไฉไม่รู้ไม่สนใส่อีกซะงั้น  ส่วนอาฟู่ยิ่งแล้วใหญ่นอนหลับอุตุบนเก้าอี้ไปเรียบร้อย


   “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับทุกคน”  สโนว์ขอตัว ซึ่งก็ถึงเวลาที่ควรนอนแล้วจริงๆ


   “ไปเถอะๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดน้าอาสโนว์ รีบนอนพักผ่อนซะ”  อาม่ายิ้มตาหยีให้


   “ใช่ๆ รีบขึ้นห้องนอนกันเถอะ  ขอบใจลื้อมากน้าอาสโนว์ที่มาช่วยห่อเกี๊ยว ปีนี้ม๊ากับอาม่าเลยสบายไม่ต้องทนกลืนเกี๊ยวหน้าตาพิลึกของอาอันโทนิโอ้เขาแล้ว”  แหมๆๆๆ นี่ม๊าเขาได้ลูกใหม่แล้วใช่ไหมครับ เหอะ


   “งั้นผมขอตัวนะครับ”  สโนว์พูดลาอีกทีก็เดินตามผมขึ้นบันไดเตรียมเข้าห้องหอสวรรค์ชั้น 4 ทันที ฮ่าๆๆๆๆ โคตรฟิลเข้าหอสุดๆ อันโทนิโอ้ตื่นเต้นระริกระรี้ไปหมดแล้ว คืนนี้จะได้นอนด้วยกันแล้วโว๊ยยยยย






   “เมี๊ยววววว”   เฮ้ย เสียงนี้มันหมายความว่า...


   “เมี๊ยวววววววววววว”   อย่านะเว้ย...อย่า...นะ...



   “มาเรียฟิเซ่นนนน ̴  คืนนี้มานอนเป็นเพื่อนเรากับโอ้เอ้ไหม ̴”



   “เมี๊ยวววววววววววว”   พอสโนว์พูดแบบนั้น นังเซ่นไหว้ที่ทำตากลมเป็นลูกลำไยใสซื่อส่งเสียงออดอ้อนก็รีบพุ่งไปในอ้อมกอดของสโนว์คนชอบแมวทันที



   T^T   ฮืออออออออ วิวาห์ล่มสิครับคืนนี้



   นังเซ่นไหววววววววววววว้



   ฝากไว้ก่อนเถอะ!!!



          :angry2: :angry2: :angry2:








---------------------------------------------------------------------------------------------

มาอัพสั้นๆให้ก่อนนะคะ แก้คิดถึงกัน

ตอนแรกคิดว่าแต่งให้ครบ 100% ค่อยมาลงดีกว่าเพราะงานเรายุ่งมาก เหนื่อยมากด้วย :ling3: แทบไม่มีเวลาแต่ง

และก็ลากยาวมาเป็นเดือนกว่าซะงั้น  เลยคิดว่าอัพลงสักนิดก่อนดีกว่าเดี๋ยวไรท์เตอร์จะลืมกันไปซะก่อน 555+



ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ ดีใจมากๆๆๆๆที่ชอบกัน ชื่นใจที่สุด จะพยายามหาเวลามาแต่งต่อน้า
 

 :กอด1:


(ที่หายไปเพราะเราย้ายที่พัก ย้ายงาน เริ่มงานใหม่ที่เหนื่อยมากจริงๆ เช้าตรู่ยันเที่ยงคืนแทบทุกวัน เลยไม่มีเวลาแต่งต่อเท่าไหร่ T T)



หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 40% 22 มี.ค
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-03-2018 23:59:51
ขอบคุณที่พานังเซ่นไหว้มาทักทายน้าาา
รักษาสุขภาพด้วยละ ดูแลตัวเองด้วยน้าา
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 40% 22 มี.ค
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-03-2018 01:29:31
เซ่นไหว้ คิดถึงงงงงงงงงงงงจังเลยยยยยยยยยยยยยยย  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 40% 22 มี.ค
เริ่มหัวข้อโดย: poonbabor ที่ 22-03-2018 15:21:31
เจ้าเซ่นไหว้ตัวแสบบ อิอิ แกล้งโอ้เอ้แบบนี้ไม่ได้นะ ฝันของโอ้เอ้ล่มหมดด 5555
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 ลมหายใจ 1 เม.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 01-04-2018 09:25:28




ตอนที่ 6  ลมหายใจ















   หลังจากผมต้องนอนเจ็บใจ  อยู่บนพื้นห้องคนเดียวเพราะเต็มใจเสียสละที่นอนให้สโนว์และนังเซ่นไหว้ที่อ้อร้อจนได้นอนซุกอยู่ในอ้อมกอดสโนว์ทั้งคืน   ทิ้งให้ผมนอนเหงาอยู่คนเดียว กระซิกๆ...แต่เอาจริงๆแค่ได้เห็นสโนว์นอนอยู่บนเตียงนอนของผม ผมก็โคตรมีความสุขแล้วล่ะครับ อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มมุมปากเมื่อผมแอบมองสโนว์ที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา ใบหน้างดงามมีรอยยิ้มเล็กๆแม้กระทั่งตอนหลับชวนให้น่ามองไม่รู้เบื่อเลยสักนิดเดียว  รู้ตัวอีกที เสียงของประทัดก็ดังขึ้นแล้ว...



   ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง โป้ง!!!!!


   เสียงจุดประทัดดังต้อนรับวันปีใหม่จีนสนั่นไปทั่วไม่ขาดสาย  ร้านของครอบครัวผมก็เช่นกัน  เราตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาจัดเรียงของให้เสร็จทันฤกษ์ยามไหว้เจ้ากัน  ทุกคนต่างรีบอาบน้ำชำระเนื้อตัวให้สะอาดใส่เสื้อตัวใหม่สีแดงสดที่อาม๊าจัดการซื้อเตรียมไว้ให้ทุกคนรวมถึงสโนว์ด้วย...อ่อ ของนังเซ่นไหว้ก็มีเช่นกัน ชุดอลังการทุกเทศกาลเลยล่ะรายนั้น   วันนี้ป๊าใส่เสื้อจีนแขนกระบอกยาวปักลวดลายมังกรเต็มตัวที่ด้านหน้า ส่วนม๊าใส่กี่เพ้าสีแดงแรงฤทธิ์ปักลายหงส์สวยงามแต่งหน้าทำผมจัดเต็มจนผมเองแอบสงสัยว่าม๊าได้นอนหรือเปล่าเพราะหน้าแน่นมากกกก คาดว่าคงใช้เวลาแต่งนานแน่ๆ แต่ก็สวยสมใจแหละน่า ถึงจะผ่านมากี่สิบปีม๊าก็ยังสวยเหมือนเดิมจริงๆ  ส่วนลูกๆอย่างผม อาหลิง อาฟู่ และสโนว์ว่าที่ลูกสะใภ้ก็ใส่แค่เสื้อที่ม๊าซื้อให้ใหม่สีแดงคอปกธรรมดาครับปักตัวอักษร ฮก ที่หมายถึงโชคลาภ วาสนา ไว้ที่อกด้านซ้าย แค่นั้น อาม่าเองก็ใส่เสื้อคอจีนปักอักษร สิ่ว ที่หมายถึงอายุยืน ไว้ให้เป็นมงคลต่อตัวเองในวันขึ้นปีใหม่จีน  ส่วนนังเซ่นไหว้นี่ผมยอมใจม๊าจริงๆที่สรรหาชุดมาให้มันใส่ได้  เซ่นไหว้มันใส่ชุดเสื้อคอจีนแขนกุดสีแดงแรงฤทธิ์พอๆกับหม่อมแม่ของมัน(และของผมด้วย) แถมใส่กระโปรงบานๆพองๆแบบที่เต้นบัลเล่ต์ใส่น่ะครับ นังเซ่นไหว้จึงกลายเป็นกาคาบพริกอย่างเต็มตัว! ม๊าก็ไม่ได้ดูลูกตัวเองเลยว่านังเซ่นไหว้มันดำอ่ะ แล้วยังให้ใส่สีแดงทั้งตัวอีก แฟชั่นถูกแพงแดงไว้ก่อนใช้กับนังเซ่นไหว้ไม่ได้นะม๊า!  แต่ทั้งม๊าทั้งนังเซ่นไหว้ก็ดูจะแฮปปี้ดีนะครับ...


        “หนูสวยมากเลยน๊า อามาเรียฟิเซนใส่สีแดงแล้วขึ้นจริงๆเลย อั๊วะว่าแล้วชุดนี่ต้องเหมาะกับลื้อ  แล้วก็เหมาะจริงๆด้วย ใส่แล้วสวยเหมือนม๊าไม่มีผิด โฮะๆๆๆ”


และนี้คือสีหน้าของลูกๆเมื่อได้ฟังม๊าพูดแบบนั้น  (- -*) (- -“) (? ?)   


         “น้องน่ารักใส่อะไรก็น่ารักครับม๊า  ใส่สีแดงตัดกับสีขนน้องมันขึ้นมากจริงๆ  เหมือนนางพญาเลยเนอะ มาเรียฟิเซน(^_^)” สโนว์เองก็เห็นดีเห็นงามไปกับม๊าด้วยเช่นกัน  เนี่ย เข้าข้างม๊าผมตลอดแบบนี้ ตำแหน่งลูกสะใภ้จะไปไหนนนน หุหุหุ


         “เมี๊ยววววววว”   นังเซ่นไหว้ขานรับด้วยน้ำเสียงแบ๊วๆและหน้าตาแบบแบ๊วๆ แบบ อุ๊ย จริงหรอคะ มาเรียฟิเซนก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะน่ารักอะไรขนาดนั้นน้า เขินจังเลย แต่ถ้าทุกคนชมกันขนาดนี้คงต้องยอมรับแล้วล่ะว่าหนูสวยจริงๆ เฮ้ออ อยากขี้เหล่อ่ะ อยากขี้เหล่.....หารู้ไม่ว่าที่มันทำอายเอาหน้าซุกอกม๊านั้น ผมเห็นมันแสยะยิ้ม!  นังนี้มันร้ายนะม๊า  แต่ม๊าไม่รู้บ้างเลย



         “เอ๊า มาๆ เตรียมตัวไหว้เทพเจ้ากัน อย่าลืมขอบคุณพวกท่านล่ะที่ทำให้เรามีกินมีใช้ถึงทุกวันนี้”   ป๊ารีบเรียกทุกคนมารวมตัวกัน  ก่อนจะต่างคนต่างกล่าวขอบคุณเทพเจ้าทั้งหลายในใจอย่างสงบและตั้งใจจริง 









หลังจากนั้นป๊าก็ทำหน้าที่จุดประทัดอย่างเช่นทุกปี   อาฟู่ก็รีบเอามืออุดหูซบไหล่อาม่าอยู่ในบ้าน  ผม อาหลิง สโนว์ก็ถอยห่างเช่นกัน


ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง โป้ง!!!!!



หลังสิ้นเสียงประทัดนัดสุดท้าย ม๊าก็รีบกินส้มก่อนเป็นอย่างแรกเพื่อความรุ่งเรือง  ส่วนผมก็คว้ากล้วยเป็นอันดับแรก เพราะชอบครับ ไม่ได้สนความหมายอะไรทั้งนั้น ฮ่าๆๆ


หลังไหว้เสร็จพวกเราก็มานั่งที่โต๊ะกินข้าวกันเช่นเคย  มื้อแรกของวันปีใหม่จีน เต็มไปด้วยเมนูอาหารเจทั้งนั้นเลยครับ  บ้านเรากินอาหารเจเป็นมื้อแรกในวันตรุษจีนทุกปีครับ  และก็มีเกี๊ยวที่ทำไว้ตั้งแต่เมื่อคืนด้วย เป็นเกี๊ยวไส้ผักหมดครับ


       “พอกินได้ไหมจ๊ะสโนว์ อาหารเจ”  ผมถามเพราะไม่รู้ว่าสโนว์เคยกินอาหารเจไหม


       “อาม่ากับม๊า ไม่ได้ใส่อะไรที่เป็นถั่วลงไปสักหยดเลยน๊า  อาสโนว์ วางใจได้ๆ”  ม๊ารีบบอกทันที


       “ขอบคุณครับม๊า อาม่าด้วย  ถ้าเป็นอย่างงั้นผมทานได้หมดครับไม่ต้องห่วง”  สโนว์ยิ้มหวานและลงมือทานข้าวด้วยสีหน้าสดใส   พอให้พวกเราหายกังวลไปเพราะสโนว์บอกว่าอร่อย อาม่ากับม๊าเลยยิ้มหน้าบานกันไปอีกยก



   “อาสโนว์  ลื้อเคยดูแห่มังกรม๊าย”   ม๊าถามหลังจากที่เราทานอาหารกันเสร็จและกำลังนั่งทานผลไม้กันต่อ



   “แห่มังกร?...ยังไม่เคยดูเลยครับม๊า”



   “แล้วลื้อยากดูแห่มังกรม๊าย”   พอเห็นว่าสโนว์มีท่าทีสนใจ  ม๊าผมก็รีบพูดต่อทันทีไม่ให้เสียเวลา



   “อยากสิครับม๊า”   เข้าแผน...



   “งั้นเดี๋ยวอั๊วะพาลื้อไปดูขบวนแห่มังกรที่นครสวรรค์  บ้านเกิดม๊าเอง ลื้ออยากไปม๊ายอาสโนว์ มีหลายขบวนเลยน๊า ทั้งชบวนการแสดงของเด็กนักเรียนแต่ละโรงเรียน แห่เจ้าพ่อเจ้า เชิดสิงโต มีเวทีแสดงตอนกลางคืนที่ริมน้ำให้ดูด้วย น่าสนใจม๊าย”



   “อยากครับแต่จะรบกวนอาม๊าเกินไปหรือเปล่า”



   “รบกงรบกวนอะไรกันละคะพี่สโนว์  ยังไงพวกเราก็กลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องกันทุกปีอยู่แล้ว  พี่สโนว์ไปเถอะน้า  เดี๋ยวหลิงพาเที่ยวรอบนครสวรรค์เองนั่นอ่ะถิ่นหลิงเลยนะจะบอกให้ อิอิอิ”   อาหลิงก็รีบชวนตัดหน้าผมที่กำลังจะอ้าปากชวนไปก่อน  หึ่มมม  เล่นพูดประโยคถิ่นผมไปก่อนงี้  ผมก็คิดไรไม่ออกแล้วดิ ปัดโถ่


   “ใช่ๆ สโนว์ไปด้วยกันเถอะนะ  ปีนี้ที่นครสวรรค์ก็จัดงานใหญ่เหมือนเคย แถมปีนี้วันแห่กลางคืนตรงกับวันอาทิตย์พอดีด้วย  ส่วนแห่ตอนเช้าวันจันทร์พวกเราก็ไม่มีเรียนกันวันนั้น  เราจะได้ไม่ต้องขาดเรียนไง  จังหวะดีๆแบบนี้มีไม่บ่อยนะสโนว์  ไปกับเราเหอะ  น๊าๆๆๆ”  ผมทำท่าออดอ้อนเลียนแบบนังเซ่นไหว้แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเพราะสโนว์ดูท่าคิดหนักอยู่....ผมเลยใช้ท่าไม้ตาย  แอบใช้ตีนสะกิดนังเซ่นไหว้ให้ทำหน้าที่แสนถนัดของตัวเองให้ไว



   “เมี๊ยววว”  นังเซ่นไหว้กระโดดดึ๋งขึ้นไปนั่งอยู่บนตักสโนว์ทันที  แล้วเชยตามองด้วยดวงตากลมใส ตีหน้าเศร้านิดๆ น้อยใจหน่อยๆ แบบจะไม่ไปกับหนูจริงๆหรอ  หนูอยากให้พี่สโนว์ไปเที่ยวกับหนูมากเลยนะจ๊ะพี่จ๋า  ถ้าพี่ไม่ไปหนูคงจะเหงามากๆ หนูคงหมดกำลังใจที่จะกินจะนอนจะตบจิ้งจกเล่นแน่ๆ  วิ๊ง วิ๊ง



   “คิดซะว่าไปเที่ยวกับน้องมาเรียฟิเซนไงล่ะสโนว์  ใช่ไหมน้องมาเรียฟิเซน ̴ ”  ผมยิ้มหวานให้นังเซ่นไหว้แบบจริงใจ๊จริงใจที่สุด



   “เมี๊ยววววว”  นังเซ่นไหว้ก็ร้องตอบรับเสียงอ่อนเสียงหวานซ้ำไปอีกระลอก  และแน่นอนขึ้นชื่อว่านังเซ่นไหว้!....



   “ไปก็ได้ครับ  แพ้สายตาของมาเรียฟิเซนแท้ๆเลยนะเนี่ย”   



   …..ไม่มีคำว่าพลาด!




   




   วันเสาร์


   ครอบครัวผมก็รีบออกจากบ้านกันตั้งแต่ตี 5 เพราะว่าต้องขับไปรับสโนว์อีก แน่นอนว่าครอบครัวยังคงอยู่ในธีมเสื้อแดงเช่นเคย  แต่ก็ไม่ได้อลังการเหมือนวันตรุษจีนแล้วล่ะครับ เสื้อยืดธรรมดาๆกัน วันนี้นังเซ่นไหว้ก็แต่งเบาๆเหมือนกันไม่ได้ใส่ชุดอะไรแล้วมีแค่ผ้าพันคอผืนบางสีแดงพันเกร๋ๆแค่นั้น เบาๆ 



   วันนี้รับอาสาเป็นสารถีขับรถตู้ให้ทุกคนนั่งกัน  เพราะผมก็รู้ทางไปคอนโดของสโนว์อยู่บ้างเพราะอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก 



        “อาโทนี่  ขับรถดีๆนะ บ้านเราไม่เน้นถึงจุดหมายเร็ว เน้นปลอดภัยไว้ก่อน ยิ่งคราวนี้ลื้อต้องขับพาทั้งบ้านและอาสโนว์ไปนครสวรรค์อีก  ยิ่งต้องระมัดระวัง คนเราจะดูกันว่าอีกฝ่ายดูแลเราได้หรือเปล่า ตอนขับรถก็มีส่วนนะอาโทนี่  ถ้าลื้อขับรถดีขับปลอดภัยเขาก็จะไว้วางใจลื้อกล้านั่งรถกับลื้อไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกันอีก  แต่ถ้าลื้อขับรถเลว ปาดซ้ายปาดขวาสักแต่จะรีบไปไม่สนรถคันอื่นต่อไปเขาคงไม่กล้าไปไหนมาไหนด้วยเพราะกลัวว่าจะได้ไปสวรรค์ก่อนวันอันควร ถ้าลื้อรักใครลื้อก็ต้องดูแลเขาให้ดีๆแม้แต่เรื่องเล็กน้อย”  ป๊าพูดสั่งสอนระหว่างทางที่ผมกับป๊าเดินไปเอารถด้วยกันเพราะฟ้ายังมืดอยู่ป๊าเลยเดินมาเป็นเพื่อน  แม้ม๊าจะบอกว่า ‘จะไปห่วงมันทำม๊ายแค่เห็นหน้าก็ไม่มีใครกล้าปล้นมันแล้ว โฮะๆๆ’ก็ตามที  ผมเองก็ตั้งใจฟังเพราะรู้ว่าป๊าพูดด้วยความเป็นห่วงและเจตนาดี  แต่ถ้านึกย้อนไปเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นใหม่ๆ ผมคงจะทำหน้าหงุดหงิดและต่อล้อต่อเถียงอยู่ในใจว่าขับรถช้ามันเป็นเรื่องของคนแก่มากกว่า เป็นวัยรุ่นก็ต้องขับรถแรงๆไวๆดิ เท่ห์จะตาย ดูมีสกิลในการขับรถเยอะดีออก ตอนนั้นชอบหนังฟาสฟาสมากด้วยแหละครับ   แต่พอโตขึ้นความคิดก็เปลี่ยนไปตามวัยตามความรับผิดชอบของมัน


พอผมขับรถนั่งหน้าคู่กับป๊าไปรับคนที่บ้านเสร็จก็ขับไปรับสโนว์ต่อเพียงไม่นาน ก็มาถึงคอนโดใหญ่ใจกลางเมือง  เมื่อเลี้ยวรถเข้าไปก็โทรหาสโนว์ทันทีว่าถึงแล้ว  รอไม่ถึงนาทีสโนว์ก็เดินออกมาจากคอนโดในชุดเสื้อแดงเข้าธีมอย่างไม่ได้นัดหมาย  สโนว์ใส่เสื้อยืดสีแดงกับกางเกงสีขาวขาสามส่วนดูสบายๆสะพายเป้ใบใหญ่สีน้ำตาลมาด้วย   ม๊ากับอาหลิงก็รีบเปิดประตูรถรับกันใหญ่ นังเซ่นไหว้ก็รีบร้องเรียกอย่างเร็ว


   

   “สวัสดีครับทุกคน”  สโนว์ยกมือไหว้ทุกคนในบ้านก่อนจะขึ้นรถมานั่งรวมกับม๊าและก็อาหลิงที่เบาะด้านหลังคนขับ  อาม่ากับอาฟู่นั่งอยู่แถวถัดไปด้วยกันสองคนยายหลานเหมือนเดิม



   “วันนี้ใส่เสื้อสีแดงเหมือนกันเลยเนอะอาสโนว์  เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันเลยว่าม๊าย”  ม๊าพูดชมสโนว์แบบชงเข้มมากกกก อาหลิงเองก็รีบพยักหน้าเห็นดีเห็นงามอย่างออกนอกหน้า



   “ผมลองดูข้อมูลในเน็ต เห็นว่าช่วงเทศกาลตรุษจีนต้องใส่เสื้อสีแดงเลยไปหาซื้อมาหลายตัวเลยครับอาม๊า  กลัวไปนครสวรรค์แล้วจะใส่เสื้อไม่เข้ากับธีม”  สโนว์ยิ้มตอบเบาๆก่อนจะหันหน้าไปทางด้านหลังเหมือนหาอะไร  ซึ่งผมคิดว่าเขามองหาผมแน่นอนอ่ะแกร๊  ฮ่าๆๆๆๆ  อุ๊บ แล้วทำไมผมต้องทำเสียงดัดจริตแม้กระทั่งในความคิดด้วยวะ   ชักจะแยกสิ่งที่ต้องแสดงกับตัวตนข้างในจริงๆไม่ออกแล้ว เหอๆ


   “อาอันโทนิโอ้ขับรถอยู่ข้างหน้าจ้ะ อาสโนว์” 



   “อ้อ  อยู่นี่นิเอง ถึงว่าหันไปด้านหลังไม่เห็นโอ้เอ้เลย”  สโนว์พอรู้ว่าขับรถอยู่ด้านหน้าก็ยื่นหน้ามาทักทายยิ้มหวานให้เช่นเคย 



   “คิดถึงล่ะซี้ อิอิ”  ผมยกมือออกจากพวงมาลัยข้างนึงไปเซไฮย์เก๋ๆแล้วทำเป็นพูดเล่นไปอะไรไป แต่ในใจน่ะโคตรหวังกับคำตอบ






   “ก็คิดถึงน่ะสิ”

   

   “....”  สิ้นเสียงพูดของสโนว์ มันเหมือนกับว่าโลกได้หยุดหมุนไปแล้วจริง  ไม่เคยคิดว่าจะได้คำตอบตรงๆแบบนี้กลับมามันทำให้ผมสติหลุดลอยไปหลายวินาที



   ผั๊วะ!

   “อาโทนี่! รถจะตกถนนแล้วโว๊ย  ลื้อมองทางดีๆซิวะ”  ป๊าตบหัวเรียกสติแบบไม่ออมแรงสักนิด เล่นซะผมเห็นดาววิ๊งค์ๆ ลอยไปมาเลย  สติกลับมาแบบสมบูรณ์สุดไรสุด รีบหักรถกลับเข้าเลนแทบไม่ทัน


   “นี่เราจะไปนครสวรรค์นะอาอันโทนิโอ้ ไม่ได้ไปทะเล ลื้อจะพาพวกอั๊วะไปดำน้ำในคูข้างถนนแบบนี้มันได้รึไง ห๊า!”  โดนม๊าซ้ำไปอีกหนึ่งดอก  ไม่ต้องเห็นก็รู้ว่าหน้าตาม๊าตอนนี้คงแทบอยากทึ้งหัวผมให้หลุดเลยล่ะถ้าทำได้



   “แล้วพี่สโนว์คิดถึงพี่โอ้เอ้ทำไมอะคะ! ไม่ได้เจอกันแค่แป๊บเดียวเอง หรือเจ้โอ้ไปติดเงินพี่สโนว์ไว้ พี่ถึงคิดถึงอ่ะคะ ฮ่าๆๆๆ”  อาหลิงหันไปถามเสียงดังแก้ไขสถานการณ์  ช่วยให้ผมรอดจากการโดนบ่นไปมากโข



   “ป่าวหรอกน้องหลิง ก็....”




   “คิดถึงก็คือคิดถึง....แค่นี้แหละครับ” 









   “อาโทนี่..”   เสียงป๊าดังขึ้นทำลายบรรยากาศเดธแอร์ในรถ



   “ครั..คะ...ป๊า”  ผมรับคำไปอย่างมึนงง
 


   “ลื้อจอดตรงศาลาข้างหน้านี่แหละเดี๋ยวเปลี่ยนให้อั๊วะขับเองดีกว่า”  ผมหันไปมองหน้าป๊าว่าทำไม  ผมก็พยายามประคองสติอยู่นะ  แม้ในหัวตอนนี้จะมีแต่คำว่า คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง เต็มไปหมด แต่ก็เห็นป๊าทำปากอ่านได้ใจความว่า ‘สติไม่ไหวก็อย่าฝืนโว๊ย  อั๊วะยังไม่อยากรถคว่ำตาย!’   



   “นั่นสิ  ลื้อไปนั่งเบาะหลังกับอาสโนว์ดีกว่านะ อีจะได้ไม่เหงา เปลี่ยนๆๆ”  ม๊าสั่งอีกครั้งอย่างไม่ค่อยชงเท่าไหร่   ผมเลยได้ย้ายตัวเองไปนั่งอยู่เบาะหลังอาม่ากับอาฟู่โดยมีสโนว์มานั่งอยู่คู่กัน   ระหว่างทางสโนว์ก็เป็นเจ้าหนูทำไมเหมือนเดิม ถามนั่นถามนี่เวลาที่เห็นอะไรไปเรื่อย  แน่นอนว่าผมเต็มใจตอบเหมือนเดิม  ตอบไปตอบมาคนหน้าสวยก็หลับคอพับไปแล้วคงเพลียจากการต้องจัดกระเป๋าและตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเดินทาง...



   ผมนั่งจ้องมองสโนว์ที่หลับคอพับไปอีกทางไม่ได้หันมาหลับซบไหล่ผมเหมือนในละคร  เป็นผมเองที่หันมามองเขาอยู่อย่างนั่น  หนุ่มหน้าสวยที่กำลังหลับใหลมีแสงอาทิตย์อ่อนๆยามสายสาดแสงเข้ามากระทบผิวขาวให้ดูเปล่งประกายน่ามองอย่างไม่รู้เบื่อ  มันดูสวยงามจนผมต้องแอบหยิบโทรศัพท์มาบันทึกภาพนี้ไว้อยู่หลายรูป   นังเซ่นไหว้เองก็เดินมาหาดูเหมือนว่ามันอยากจะกระโดดขึ้นมานอนบนตักสโนว์  ผมเลยถ่ายติดนังเซ่นไหว้มาด้วย  ก่อนจะจุ๊ปากให้มันรู้ว่าไม่ควรรบกวนการนอนหลับของสโนว์ไวท์เลย   เซ่นไหว้เองก็เหมือนจะเข้าใจมันเลยเดินผ่านเท้าสโนว์มาที่ผมแล้วส่งสายตาว่า  ‘อุ้มฉันขึ้นไปสิ เจ้าทาสมองทึ่มอะไรอยู่ ให้ไว!’ ผมลอบยิ้มขำกับการแปลความหมายในหัวผมเองแล้วอุ้มมันขึ้นมาบนตักก่อนจะลูบตัวนังเซ่นไหว้อย่างเอาใจไม่นานมันก็หลับตามสโนว์ไปอีกตัว   ผมดึงผ้าม่านปิดบังแสงแดดที่เริ่มแรงขึ้นเรื่อยด้วยกลัวว่าจะแย้งตาอีกฝ่าย ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองจมไปกับห้วงนิทราตามอีกคน....







   เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้




   “ม๊า ปีนี้เขามีให้แก้ชงป่ะ  อั๊วะว่าจะไปแก้ชงสักหน่อย ม๊าพาอั๊วะไปด้วยนะ”



   “มีๆ อั๊วะถามป้าแก้วแล้ว จัดที่ริมแม่น้ำเหมือนเดิม  นี่ดูสิป้าเขาส่งรูปมาอวดด้วยงานเป็นไง”  สองคนแม่ลูกพูดคุยชวนกันวางแพลนว่าจะทำอะไรบ้างที่นครสวรรค์  คนแม่คิด คนลูกจดกันลืมอยู่นานสองนานจนทั้งรถเงียบไปหมดแล้ว  เหลือก็แต่คนพ่อที่ทำหน้าที่สารถีขับรถให้


   “ม๊าถ่ายรูปกันเถอะ กำลังว่างๆ”



   “ดีๆแล้วลื้อส่งไลน์ให้ป้าแก้วด้วยนะ  อีจะได้รู้ว่าเรากำลังไปนครสวรรค์แล้ว”



   “จ้าม๊า อ่ะจะถ่ายแล้วนะ”   อาหลิงยกโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่กับแม่ตัวเองที่โพสหน้าเล่นกล้องอย่างชอบใจ  ดูผ่านๆเหมือนเป็นคู่พี่สาวน้องสาว  จนได้หลายรูปก็ส่งไปให้ป้าแก้ว


   
   “ม๊า  ป้าแก้วถามมากันแค่สองคนหรอทำไมถ่ายกันแค่สองคน”



   “อ้าว งั้นลื้อก็ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายให้เห็นทุกคนซี เร็วๆ”



   “ค่า รับทราบแล้ว”   อาหลิงรีบรับคำกันไม่ให้แม่ตัวเองบ่นอีก  ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นสูงเล็งว่าให้เห็นทุกคนอยู่ในเฟรมเดียวกัน แล้วเก็กหน้าถ่ายรูปต่อตามระเบียบ


   แช๊ะ  แช๊ะ  แช๊ะ



   เด็กสาวเอาโทรศัพท์มาเปิดเช็ครูปอีกครั้งด้วยกลัวว่าภาพจะสั่นเพราะถ่ายรูปในรถ



   “โอเค หน้าหลิงสวยแล้วส่งได้ อิอิ”



   “ไหนๆแล้วหน้าม๊าล่ะ สวยหรือเปล่าอาหลิงเอามาดูสิ”  ม๊ารีบกดซูมหน้าจอดูเช็คใบหน้าตัวเองจนมั่นใจว่าสวยทุกโมเลกุลเลยเลื่อนไปดูหน้าคนภายในรูปต่อ



   “อาหลิง ลื้อดูอาม่ากับอาฟู่สิหลับน้ำลายไหลเหมือนกันเปี๊ยบเลย ฮุๆๆๆ”  สาวสูงวัยกลั้นขำเบาๆเมื่อเลื่อนดูใบหน้าของอาม่าและอาฟู่สลับกันไปมา



   “น่ารักอ่ะม๊า ไหนลองเลื่อนไปดูหน้าเฮียหน่อยว่าจะน้ำลายไหลเหมือนกันหรือเปล่า คิกคิก” 



   “เดี๋ยวม๊าเลื่อนเอง  ถ้าตลกๆจะเอาไว้แบล็กเมล์มันเนอะ ฮุๆๆๆ”



   ม๊ารีบเลื่อนไปหาหน้าลูกชายคนโตของบ้านก็เห็นว่าหน้าของอาอันโทนิโอ้หลับคอพับไปด้านข้าง  โชว์สันกรามและจมูกโด่งได้เป็นอย่างดี  ใบหน้าที่หลับใหลยกยิ้มมุมปากน้อยๆไม่รู้ว่าฝันดีอะไร...



   “ม๊า เฮียนี่ก็แอบหล่อเหมือนกันเนอะ  ถ้าอยู่นิ่งๆอ่ะ  แต่ขยับทีละหมดหล่อตลอด กากสุดไรสุด”



   “ว่าอะไรเฮียตัวเองแบบนั้น  ตบปากตัวเองสามที เดี๋ยวนี้”  คนเป็นแม่ตวัดตาส่งความรู้สึกไม่พึงพอใจ



   “ง่ะ  ม๊าอ่ะ  พูดเล่นนิดเดียวเอง”  อาหลิงโอดครวญแต่ก็ตบปากตัวเองตามคำสั่งเพราะก็รู้ตัวว่าพูดเล่นเกินจริงไปหน่อย



   “ทีหลังอย่าว่าอะไรเฮียแบบนี้นะ  เราเป็นน้องจะไปว่าเขาได้ไง  ว่าเขากากแต่ตอนลื้อยังเล็กก็มีแต่อาอันโทนิโอ้นี่แหละที่วิ่งหยิบขวดนม เอาแพมเพิสเปื้อนอึลื้อไปทิ้ง ทำท่าประหลาดไม่รู้กี่ร้อยท่าเพื่ออยากให้ลื้อหยุดร้องไห้งอแง เก็บเงินค่าขนมไว้ไม่ยอมซื้อกินเพราะอยากซื้อตุ๊กตารอให้ลื้อตอนคลอดออกมา  รู้อย่างนี้ยังจะคิดว่าเฮียลื้อกากอีกไหม ห่ะอาหลิง”  ผู้เป็นแม่เล่าย้อนถึงความหลัง อันโทนิโอ้ตัวน้อยที่ยอมทำทุกอย่าง ช่วยแม่เลี้ยงน้อง ยอมไม่ดื้อไม่ซนเพราะกลัวแม่เหนื่อยแล้วจะไม่มีแรงเลี้ยงน้องในอดีตยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำเสมอ   ตอนนั้นอาอันโทนิโอ้น่ารักมากราวกับเทวดาตัวน้อย  น่าจนม๊ารู้สึกว่า....เอ็งไม่โตเลยจริงๆ โฮะๆๆๆๆ



   “ไม่กากแล้วค่ะม๊า  เฮียหลิงเจ๋งที่สุดในโลก”  อาหลิงสำนึกอย่างแท้จริงเมื่อได้ฟังวีรกรรมของพี่ชายตัวเอง



   “อืมๆ ดีแล้วแค่เราพูดความจริงว่าอาอันโทนิโอ้มันซื่อบื่อนั่นก็มากพอแล้ว  เหลือเรื่องดีๆไว้ให้เฮียแกมั้งเหอะเนอะ”  อาหลิงพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่องกลับไปดูรูปต่อ



   “ม๊า ดูอะไรนี่สิ”  อาหลิงเอ่ยเสียงดังจนม๊าต้องตีแขนให้พูดเสียงเบาๆเพราะกลัวคนอื่นจะตื่น



   “ม๊าดูพี่สโนว์ดิ”   อาหลิงชี้ให้รูปใบหน้าสโนว์ที่หลับอยู่ให้ม๊าดู



   “อื้อก็อาสโนว์ไง  อีหล่อเนอะ สวยด้วย หลับยังดูดีเลย ม๊าชอบอ่ะ”



   “ไม่ใช่แค่นั้นสิม๊า  เอาใหม่ๆม๊าซูมสุดไป  หลิงย่อให้เล็กลงหน่อยแป๊บ”   อาหลิงเอาโทรศัพท์ไปจัดการแป๊บเดียวก็เกิดเป็นรูปใหม่ที่เห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น ภาพบนหน้าจอที่ย่อจนเห็นรูปของคนสองคนที่หลับอยู่เบาะติดกัน 



   “อั๊ยย๊า  ทำไมมันโรแมนติกอย่างงี้ว๊า”



   “เนอะม๊า  กรี้ดดสุดๆเลยอะ  หลิงฟินนนนน”



   ทั้งม๊าและอาหลิงต่างพร้อมใจกันลุกหันไปมองทางเบาะหลังสุดให้เห็นกับตา


คนหนึ่งหลับหันไปด้านขวา คนหนึ่งหลับหันมาด้านซ้าย  แล้วใบหน้าทั้งคู่ก็มาบรรจบหันเข้าหากัน ใกล้จนปลายจมูกห่างกันเพียงมดเดินผ่าน...เหมือนกับว่าใช้ลมหายใจเดียวกันไม่มีผิด



   “พวกเขากำลังแลกเปลี่ยนลมหายใจกันอ๊าห์ม๊า”  อาหลิงฟินเอาเล็บจิกเนื้อแทบหลุด ใบหน้ากักเก็บความรู้สึกไม่มิด


   “อาหลิง”



   “คะม๊า?”  อาหลิงตอบรับทั้งที่ใบหน้ายังฟินเพ้อยิ่งกว่าพี่ชายตัวเองตอนได้ยินคำว่าคิดถึงเสียอีก




   “เมมเหลือเท่าไหร่  ถ่ายมันให้เต็ม!”




   “จัดไปค่ะม๊า  ̴̴̴”





         มือเรียวรีบจัดโทรศัพท์ให้นิ่ง  ม๊าเองก็หันไปสั่งป๊าว่าให้นิ่งๆหน่อย  อาหลิงยิ้มกว้างค่อยๆบรรจงหามุมหาแสงที่ดูลงตัวที่สุดและกดถ่ายอย่างตั้งใจ



          ภาพที่คนทั้งสองนอนหลับหันหน้าเข้าหากันและยิ้มมุมปากอย่างเป็นธรรมชาติ  โดยมีเจ้าแมวสุดที่รักของบ้านนอนหลับอยู่บนตักและเหมือนกับว่ามันกำลังยิ้มอยู่เช่นกัน








          ไม่รู้พวกเขาทั้งสองคนและแมวอีกหนึ่งตัว  จะกำลังฝันเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่าเนอะ







------------------------------------------------------------------------------------
มาต่อแล้วค่ะ นาทีนี้อิจฉาอาหลิงมากที่ได้เห็นนอะไรฟินๆ ฮ่าๆๆ :-[


แต่ก็แอบสงสารอาอันโ?นิโอ้ที่ไม่เคยรู้อะไรเลยเหมือนเดิม :laugh:


ตอนหน้าเป็นตอนอาอันโทนิโอ้พาสโนว์ทัวร์นครสวรรค์นะคะ

มาลุ้นไปพร้อมกันนะว่าจะรอดไหม  เพราะพรรคพวกญาติพี่น้องของโอ้เอ้ที่นครสวรรค์ก็เยอะเช่นกัน

นางจะรอดจากการถูกจับได้หรือไม่  ฮ่าๆๆๆๆ


ขอบทุกคอมเมนต์น๊า
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 ลมหายใจ 1 เม.ย ****
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 01-04-2018 09:54:55
บางทีเซ้นไหว้ก็แสนรู้เกินแมว 555555 อะไรจะรู้งานปานนี้!! เอ็นดูมาก  :-[
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 ลมหายใจ 1 เม.ย ****
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 01-04-2018 10:29:10
อร๊าย อย่าว่าแต่หลินสาววายฟินเลย เราเองก็ฟินคิดไปไกลแล้ว
อะไรจะมุ้งมิ้งน่ารักได้ขนาดนี้
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 ลมหายใจ 1 เม.ย ****
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 01-04-2018 12:39:23
ขำม้ามากอิอิ ฟินกันไป :katai3:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 ลมหายใจ 1 เม.ย ****
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-04-2018 20:20:01
มีม๋าดี คอยหนับหนุน มันก็ดีแบบนี้ละโอ้  o13
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 6 ลมหายใจ 1 เม.ย ****
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 01-04-2018 21:31:36
ครอบครัวโอ้เอ้น่ารักมากหัวสมัยใหม่
มองข้ามรักเพศเดียวกันแถมสนับสนุน
อะไรที่เป็นความสุขของลูกด้วยเต็มทีเลย
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 7 แห่มังกรขอพรรัก 14 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 14-09-2018 19:32:07

บทที่ 7  แห่มังกรขอพรรัก 30%

ใช้เวลาเพียง 3 – 4 ชั่วโมงรถก็เข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดนครสวรรค์ผมที่รู้สึกตัวก่อนเพราะนังเซ่นไหว้กระโดดลงจากตักไปหาม๊า  ผมก็สะลึมสะลือพยายามลืมตาขึ้นแต่พอโดนแสงแดดจ้าก็จำต้องหลับตาไปอีกครั้ง ว่าแต่ทำไมเบาะรองคอวันนี้ถึงได้นิ่มลื่นจังวะหอมด้วย ฟุดฟิด ฟุดฟิด  ผมหันจมูกไปตามกลิ่นหอมก่อนที่จมูกโด่งๆของผมมันจะไปจรดอยู่กับกลุ่มผมนุ่มต้นเหตุของความหอม   ผมลืมตาขึ้นมองทันทีก็เห็นกลุ่มผมนุ่มลื่นม้วนตัวเป็นเกลียวลอนชัดเจนของสโนว์  เกือบจะเด้งตัวออกด้วยความตกใจแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อคิดได้ว่า  โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะโว้ยยยย ทุกวินาทีมีค่า ชะลาล่า ลาล่า  นานๆทีจะได้ใกล้ชิดตัวซบตัวแบบนี้กับสโนว์อ่ะครับ...

ตัวซบตัว

ตัวซบตัว

เฮ้ย!  นี่มันครั้งแรกเลยนะที่ผมได้อยู่ใกล้ชิดเนื้อชนเนื้อกับสโนว์ขนาดนี้!!!   

ใจไอ้อันโทนิโอ้คนนี้แทบหลุดออกจากร่างเมื่อฟันเฟื่องในสมองเริ่มทำงานแล้ว พอรู้อย่างงั้นมือผมก็สั่นขึ้นมาเฉยๆแถมผมยังหยุดมันไม่ได้ด้วย  หัวใจผมเต้นแรงมากจริงจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมาจากอกแข็งๆนี่


เจ้าพ่อเจ้าแม่ครับ  ไอ้อันโทนิโอ้คนนี้ตายตาแล้วครับ...



แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะตายจริงๆนะครับ แฮ่ๆ


“อืมม”  สโนว์เริ่มขยับตัวด้วยคงถูกแสงแดดที่เล็ดลอดผ่านรูผ้าม่านที่ปิดไม่สนิทสาดส่องที่ใบหน้างาม   เขาขยับศีรษะไปมาอย่างพยายามหามุมที่หลับสบายที่สุดบนไหล่ผมดูๆไปเหมือนนังเซ่นไหว้ตอนเป็นแมวน้อยไม่มีผิดมันน่ารักแบบนี้เลยล่ะ  ผมเองก็ได้แต่ยิ้มให้กับภาพเหล่านี้ที่มองเห็นผ่านสายตาตัวเองอย่างใกล้ชิด

แต่แล้วจู่ๆสโนว์ก็ลืมตาแบบสะลึมสะลือขึ้นมามองหน้าผม  ผมงี้แทบทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว  องค์แม่จงมา องค์จงมา


“ว่าไงจ๊ะสโนว์  หลับสบายเลยสินะ”  ผมดัดเสียงทักทายสโนว์ไวท์ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล

“นั่นสิ  เผลอหลับไปซะได้ มานอนซบไหล่โอ้เอ้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ขอโทษทีนะ เมื่อหรือเปล่า โอ้เอ้น่าจะปลุกเรานะจะได้ไม่เป็นภาระไหล่โอ้เอ้แบบนี้”  สโนว์พูดตาปรือไม่รู้ว่ารู้สึกผิดหรือยังรู้สึกง่วงอยู่กันแน่ผมก็ไม่แน่ใจนัก 

แต่ที่มั่นใจสุดคือสโนว์ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสั่นกลัวเมื่อรู้ว่าตัวเองนอนซบอยู่กับผู้ชายที่แอ๊บเป็นเพื่อนสาวเลยสักนิด   


ผมคิดว่าผมได้ใกล้เข้าไปอีกก้าวหนึ่งแล้วนะ



“ไม่เป็นไรแก  เราเต็มใจเว้ย ซบได้เลยน้า”  โคตรเต็มใจให้นอนซบไหล่ตลอดชีวิตเลยล่ะ! อยากจะตะโกนบอกแบบนี้  แต่ก็ไม่กล้า

“แล้วนี้เราถึงไหนแล้วหรอโอ้เอ้”

“ใกล้ถึงบ้านพักเราแล้วล่ะ เดี๋ยวเลยสี่แยกหน้าค่ายนี้ไปก็เข้าใจกลางเมืองนครสวรรค์แล้วจ๊ะสโนว์”  ผมบอกพลางชี้ให้ดูด้านนอกรถ  ตอนนี้เรารถติดอยู่สี่แยกหน้าค่ายเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์จึงมีตลาดหน้าค่ายเปิดผู้คนจึงมาจับจ่ายซื้อของเพราะตลาดแห่งนี้มีของขายมากมายจริงๆสากกระเบือยันเรือรบก็ไม่ปาน  กรอปกับเป็นช่วงเทศกาลที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชาวปากน้ำโพชื่อเรียกอีกอย่างคนนครสวรรค์  ทำให้ลูกหลานที่ไปอยู่ที่อื่นหรือทำงานอยู่จังหวัดอื่นก็พากันกลับบ้านช่วงนี้เหมือนกัน  ทำให้บนถนนจึงมีรถมากมายและติดหนักเป็นแถวยาว

“โห  ตลาดใหญ่จัง  โอ้เอ้เคยมาเดินไหม”

“เคยสิ มาทุกปีเลยหลับตาเดินยังได้”  ผมโม้ใหญ่

“จริงอ่ะ”  สโนว์มองตาโต

“จริง...แต่ขอแอบเปิดตาดูเป็นระยะๆนะ  อิอิอิ” 

“ฮ่าๆๆๆ เราก็ว่าอยู่ใครจะไปหลับตาเดินได้กัน”  สโนว์หัวเราะร่า  พอดีกับที่ไฟเขียวให้สัญญาณรถเคลื่อนตัวไปได้

“โอ้เอ้ แล้วเราจะผ่านสะพานวงๆไหม”  อะไรสะพานวงๆฟระ

“สะพานเดชาติวงศ์หรอ?”

“ใช่ๆนั่นแหละ เรียกว่าสะพานเดชาติวงศ์หรอ  เราอ่านเจอในเน็ตนึกว่าอ่านว่า สะพาน ชาติ วงศ์ ซะอีก ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” คนตัวขาวหัวเราะแห้ง บอกเลยว่าถ้าคนที่อ่านชื่อสะพานเด ชา ติ วงศ์ เป็น สะพานเด ชาติ วงศ์ ไม่ใช่สโนว์ป่านนี้ผมคงตบกระโหลกมันเน้นๆไปสามทีแล้วล่ะข้อหาโง่เกิน  แต่เมื่อเป็นสโนว์แน่นอนว่าทุกอย่างจะดูซอฟลงและน่ารักเป็นบ้า อ่านผิดก็ดูอ๊องๆดี ผมชอบบบบ (สองมาตรฐานสุดๆ)

“เดี๋ยวก็จะถึงแล้วอีกนิดเดียวจ้า” ผมชี้นิ้วไปข้างหน้าก็พอดีที่รถเคลื่อนตัวมาถึงทางขึ้นสะพานที่มีรถติดอยู่บนสะพานเต็มไปหมด  รถค่อยๆเคลื่อนตัวไปทีละเล็กละน้อยตามสภาพการจราจร  คนตัวขาวรีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพด้วยความสนใจ สะพานเดชาติวงศ์ตกแต่งไปด้วยไฟและตัวมังกรที่พาดยาวไปตามความโค้งของขอบสะพาน  ถ้าตอนกลางคืนจะเปลี่ยนสีไฟวิ่งไปวิ่งมาด้วย  ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะพาสโนว์มานั่งดูไฟเล่นกัน

เพราะรถติดทำให้สโนว์ถ่ายรูปได้อย่างหน้ำใจจนรถเราก็หลุดจากสี่แยกมาได้ก็ใช้ทางลัดขับไปตามเขื่อนกั้นน้ำเพื่อเข้าตัวตลาดด้านใน ตลาดด้านในนครสวรรค์ก็จะเต็มไปด้วยอาคารตึกแถวพาณิชย์ที่เปิดขายของกันทุกแถวเลยล่ะครับ  ด้านล่างเปิดร้านขายของ ด้านบนก็พักอาศัยกัน เป็นวิถีชีวิตแบบบ้านๆแต่ก็ครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยอยู่ทุกวัน

“ป๊า ป๊าขับเลยบ้านป้าแก้วแล้วนะคะ” ผมรีบเตือนเมื่อเห็นว่ามันเลยทางไปบ้านป้าแก้วแล้วจริงๆ  ปกติเวลาพวกเรามานครสวรรค์ก็จะไปพักบ้านป้าแก้วกันครับ ป้าแก้วเปรียบเสมือนพี่สาวแท้ๆของม๊าเพราะสนิทกันมาตั้งแต่เด็กจนไม่มีคำว่าต้องเกรงใจกันและกันระหว่างม๊ากับป้าแก้วเลยล่ะครับ เหมือนเป็นญาติฝั่งแม่เพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่

  ส่วนบ้านเก่าของม๊าที่มีอยู่ที่นี่นั่นขายทิ้งไปแล้วเพราะไม่มีใครอยู่ดูแล ม๊ากลัวบ้านจะทรุดโทรมแล้วราคาตกเลยชิ่งขายไปตั้งแต่ผมยังไม่รู้ความเพราะย้ายไปอยู่กรุงเทพกัน  มาตอนนี้ก็ได้แต่บ่นเสียดายว่าไม่น่าขายเพราะบ้านเก่ามันอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาครับพอเขื่อนกั้นน้ำสร้างเสร็จมีถนนวิ่งไปมาสะดวกแบบนี้ราคาที่ดินก็ขึ้นสูงจนม๊าบ่นเสียดายไม่หยุด

“ป๊าจะขับไปส่งหนูกับอาสโนว์ที่โรงแรมก่อนไง”  ม๊าหันมายิ้มหวานใส่  ผมได้แต่ทำหน้าเป็นหมางง  ไม่ต้องค้างบ้านป้าแก้วเหมือนทุกทีหรอวะ

“อาสโนว์อยู่โรงแรมน่าจะสะดวกใจกว่าไงอาอันโทนิโอ้  ลื้อก็รู้ว่าบ้านป้าแก้วคนเยอะขนาดไหน จุดรวมพลญาติพี่น้องเลยน๊า  ม๊าไม่อยากให้อาสโนว์อึดอัดจาย เลยจองห้องพักที่โรงแรมว้ายห้ายไง  ลื้อก็ไปพักเป็นเพื่ออาสโนว์ ตามนี้ จบนะ ม๊าขี้เกียจพูดซ้ำๆ มานเหนื่อย”  ม๊าพูดจบก็หันหน้ากลับไปโบกพัดในมือรัวๆอย่างไม่รอให้มีใครพูดขัดได้  ผมได้แต่หันมามองสโนว์ว่าน้องจะโอเคไหม  แต่สโนว์ก็ดูชิลมากนั่งกดดูรูปที่ถ่ายไว้ไปเรื่อยอย่างไม่มีท่าทีต่อต้านอะไร  หรือเมื่อกี้สโนว์จะไม่ทันได้ฟังวะ

จนรถวิ่งมาถึงโรงแรม ป๊าก็จัดการทำเรื่องเช็คอินส่วนผมที่ยังงงไม่หายก็ยกกระเป๋าส่วนของผมและก็ของสโนว์ออกจากรถ

“นี่อาอันโทนิโอ้”  ม๊าแอบมากระซิบตอนที่ผมกำลังยกกระเป๋าลงจากทางหลังรถอยู่

“อะไรอีกอ่ะม๊า”   พอสโนว์เข้าไปนั่งในล๊อบบี้โณงแรมไม่ได้อยู่ใกล้ๆแล้วผมก็หลุดเสียงห้าวออกมาเหมือยเคย

“ม๊าจองห้องสวีทไว้ให้ลื้อเลยน๊า  วิวสวยมากๆ บรรยากาศดีสุดๆ” ม๊ายักคิ้วหลิ่วตาใบหน้ายิ้มหวานจนผมขนลุก

“นี่ม๊าวางแผนอะไรไว้ป่ะเนี้ย  ผมชักไม่แน่ใจแล้ว”

“เปล๊า  ก็แค่บอกไว้เฉยๆว่าตอนกลางคืนมันน่าจะโรแมนติกม๊ากมาก บรรยากาศดีๆ มีเบียร์สักสองกระป๋อง จิบไปคุยไป เคลิ้มไปแล้วก็..”

“หยุดความคิดไว้แค่นี้แหละม๊า  เพ้อเจ้อน่า อั๊วะไม่ใช่คนที่จะฉวยโอกาสจากความไว้ใจหรอกนะ  สโนว์ไว้ใจอั๊วะมากๆเลยตอนนี้  อั๊วะไม่อยากทำลายมันลงด้วยตัวอั๊วะเอง”   ทำไมพูดจาได้พระรองอย่างงี้วะผม

“ย่ะ! ไอ้พระรอง ไอ้คนดีมีคุณธรรม  วันไหนโดนหมาคาบไปแดกตัดหน้าอย่ามานั่งร้องไห้โฮให้อั๊วะเห็นล่ะกาน เชอะ!” พอเห็นว่าผมรู้ทันแผนการม๊าก็ทำเป็นเคืองเดินคอตั้งกลับเข้าไปนั่งในรถใหม่อีกรอบ  ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในโรงแรม  ป๊าส่งกุญแจห้องให้ก่อนจะพูดจาเตือนให้ระวังนี่นั่นโน่นตามสไตล์ป๊า  แล้วจึงพากันขับรถกลับไปบ้านป้าแก้ว  ทิ้งผมกับสโนว์ไว้ที่โรงแรมกันสองคน

“สโนว์ แกโอเคป่าวที่จะต้องนอนห้องเดียวกับเราอ่ะ”  ผมพูดบีบเสียงเหมือนเดิมและถามเพื่อความแน่ใจอีกรอบ

“เราโอเค โอ้เอ้ล่ะโอเคหรือเปล่า” 

“โอเคดิแก งั้นไปขึ้นห้องกัน”  ผมยิ้มหวานแล้วยกกระเป๋าทั้งของผมและของสโนว์ไปขึ้นลิฟท์ไปบนชั้น 5 ของโรงแรม แล้วเดินไปจนสุดมุมก็ได้เจอห้องของตัวเองเสียที  เปิดห้องไปก็เจอกับเตียงนอนขนาดคิงไซต์สีขาวสะอาดตา ห้องพักก็กว้างพอสมควร สโนว์เดินไปเปิดประตูระเบียงรับลมที่ไม่เย็นเอาเสียเลย  มันร้อนมากครับ  ร้อนจริงๆ นครสวรรค์แต่ร้อนไม่ต่างจากนรกอ่ะความรู้สึกผม  แต่ดีอย่างที่วิวสวยมาก เห็นแม่น้ำทอดยาวและเห็นสะพานเดชาติวงศ์อยู่ไกลๆ  ถ้าตอนกลางคืนน่าจะเห็นไฟสวยๆที่ตกแต่งให้เข้ากับเทศกาลในบริเวณรอบๆริมเขื่อนกั้นน้ำ น่าจะสวยมาก

“เข้ามาในห้องก่อนเถอะสโนว์ อากาศข้างนอกร้อนมาก เดี๋ยวผิวเสียนะแก”

“ก็จริง ที่นี่อากาศร้อนมากจริงๆแหละ  รับตับแตกจริงๆ” สโนว์เห็นด้วยแล้วเดินหน้างอกลับเข้ามาในห้องก่อนจะนั่งลงที่เตียง  ผมเลยเดินเอาเสื้อผ้าในกระเป๋าไปแขวนในตู้เสื้อผ้า ระหว่างที่กำลังจัดเสื้อผ้าผมก็อดจะนึกถึงคำพูดม๊าไม่ได้  ถ้าวันหนึ่งสโนว์เจอหมาคาบไปแดก เอ๊ย เจอคนที่รักแล้วเลือกไปกับเขาผมเองก็คงจะต้องเสียใจมากแน่นอน  แต่ผมในตอนนี้มันยังมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆกับเขา ได้ดูแลเขา ได้แอบรักเงียบๆอยู่ฝ่ายเดียว มันเพียงพอแล้วสำหรับผมในตอนนี้  ผมไม่กล้าพอที่จะก้าวข้ามเฟรนด์โซนนี้ไป เพราะผมกลัว  กลัวว่าถ้าก้าวข้ามไป แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็อาจจะไม่หลงเหลืออยู่  เพราะงั้นผมจะไม่คิดทำอะไรเกินเลยไปกว่าที่เป็นอยู่แบบนี้แน่นอนครับ  ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายนายอันโทนิโอ้คนนี้  ผมจะไม่ทำอะไรเกินเลยกับสโนว์ไวท์เด็ดขาด!

เพ้อเจ้อกับความคิดตัวเองจนแขวนเสื้อผ้าผมเสร็จพอ ผมก็หันไปบอกสโนว์ว่าให้เอากระเป๋าเสื้อผ้าของเขามาเพื่อที่ผมจะแขวนให้


“สโน...โนนนนนนนน”  ผมแหกปากลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน คากรรไกรค้างชะงัก ตาโตเบิกกว้างเป็นไข่นกกระจอกเทศ!  ก็จะไม่ให้เป็นนกกระจอกเทศได้ยังไงในเมื่อสโนว์ตอนนี้น่ะ



ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่กางเกงลิง!!!!!


 :pighaun: :pighaun: :m25: :m25:
_______________________

แล้วงี้อันโทนิโอ้ของเราจะยังคงมั่นปณิธานไว้ได้ม้ายยยยยยย 55555+


คลานเข่าเข้ามาลงนิยาย หายไปนานมาก มาลงก็ดันมาน๊อยน้อยอีก  :z6:
ขอโทษที่หายไปนานมากๆนะคะ ตอนนี้เราคิดว่างานเราลงตัวแล้วคงจะมีเวลามาต่ออีก

ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ ดีใจมากจริงๆ :L2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 7 แห่มังกรขอพรรัก 14 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-09-2018 20:47:42
 :เฮ้อ:
นึกว่าทิ้งไปซะแล้ว คนอ่านก็ร้อรอ แต่พอมาแล้วหายคิดถึง
ว่าแต่อาสะโนว์ ถอดเสื้อผ้าแบบนี้ ไม่เกรงใจส่วนกลางของโอ้เอ้หน่อยเหรอ
สงสัยต้องหาอะไรปิดให้ เดี๋ยวกระโดดออกมาแล้วคงแย่ อิอิอิ
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ตอนที่ 7 แห่มังกรขอพรรัก 14 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-09-2018 04:35:34
โอ้เอ้ อะไรแดง ๆ มันไหลมาจากรูจมูกลื้ออ่ะ  :haun4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 7 แห่มังกรขอพรรัก100% 17 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 17-09-2018 01:26:01

ต่อ


“ร้องเสียงดังทำไมน่ะโอ้เอ้ เราตกใจหมด”  สโนว์ถามซื่อๆแถมยังคงดึงกางเกงออกจากข้อเท้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ต่างจากไอ้อันโทนิโอ้คนนี้ที่หัวใจจะวายตายก่อนวันอันควร 

ผมหันหลังกลับไปอีกด้านอย่างคนทำอะไรไม่ถูก “ก..ก็..จ..จู่..จู่” โอ๊ยไอ้เชี้ยเอ๊ย  ปากสั่นติดอ่างไปหมด สติเว้ย สติ  ผมเอามือลูบหน้าหนึ่งทีไล่เลือดให้ไหลลงล่างไปก่อนที่จะทะลุออกทางจมูก พยายามปรับอารมณ์ไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้

ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ ขาวหนอ ชมพูหนอ..เฮ้ย! ไม่ใช่งี้ดิวะ  ยุบๆๆหนอออ อย่าตั้งเลยหนอ ใจเย็นไว้ไอ้เหลือมลูกพ่อ

“โอ้เอ้เป็นอะไรหรือเปล่า  หรือเธอไม่โอเคที่เราถอดเสื้อ โทษทีนะพอดีอากาศมันร้อนมากเลยจะเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ ไม่คิดว่าจะทำให้ตกใจมากขนาดนี้”  ไม่ใช่ไม่โอเค  แค่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นผิวกายสโนว์ไปทั้งตัวแบบนี้ต่างหาก อยากจะมองให้เต็มสองตาแต่ก็กลัวว่าจะหน้ามืดจับเขาทำเมียไปเสียก่อน -.,-

“เปล่าแก แค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ โฮ๊ะๆๆๆ”  ผมตอบไปแต่ยังไม่ยอมหันหน้ากลับไปอยู่ดี  จะหันไปได้ไงล่ะครับลูกชายเล่นไม่ยอมยุบแบบนี้

“หรอ  เราใส่เสื้อผ้าใหม่แล้วโอ้เอ้หันมาได้แล้วล่ะ” อยากหันไปแต่หันไปไม่ได้  อาการปวดหนึบลูกชายก็ไม่มีทีท่าจะเบาลงเลยผมเลยชิ่งขอเข้าห้องน้ำแทน   “ตามสบาย เดี๋ยวเราเข้าห้องน้ำก่อนนะเหมือนข้าศึกจะบุกอ่ะแก ขอใช้เวลาในห้องน้ำแป๊บ”   พูดเสร็จก็รีบเข้าห้องน้ำทันที


พอเจอกระจกก็เห็นใบหน้าที่แดงซ่านและดูหื่นกามมากมาย  ดีนะที่ผมไม่หันไปให้สโนว์เห็นไม่งั้นได้อับอายตายห่า แถมลูกชายก็ไม่ยอมยุบสักนิดไอ้ผมก็ไม่อยากเป็นพ่อใจร้ายที่ปล่อยให้ลูกอึดอัดตัวเลยต้องเปิดซิปกางเกงปล่อยมันออกมาสูดอากาศเสียหน่อย 

ผมหลับตานึกภาพเมื่อครู่ที่ยังติดตาอย่างชัดเจน ก่อนจะใช้นิ้วทั้งห้าทำอะไรๆไปตามความต้องการของตนเองเบื่อระบายส่วนที่แข็งขื่นให้สงบลงอย่างที่ควรจะเป็น....

 


สโนว์ครับ  อภัยให้คนบาปอย่างอั๊วะด้วยนะ






กว่าจะออกจากห้องน้ำมาอีกทีก็เห็นว่าสโนว์ได้นอนหลับอีกรอบบนเตียงไปแล้ว  ผมเลยนั่งบนเตียงอยู่ข้างๆแล้วถือโอกาสแอบถ่ายรูปคนน่ารักนอนหลับเก็บไว้  แล้วก็เล่นเกมในโทรศัพท์รอสโนว์ตื่น ระหว่างนั้นป๊าก็โทรมาว่าให้เด็กที่ร้านป้าแก้วเอามอเตอร์ไซต์มาให้ผมไว้ใช้ขับเพื่ออยากไปไหนให้ผมลงไปรอเอากุญแจรถด้วย


หลังจากที่ผมลงไปเอากุญแจและกลับขึ้นมาก็เห็นว่าสโนว์ตื่นแล้วพอดี

“หิวหรือยังสโนว์”  ตอนนี้ก็บ่ายสองกว่าแล้ว  ผมเองก็ไม่รู้ว่าก่อนออกจากคอนโดสโนว์ได้ทานอะไรมาบ้างหรือยัง

“หิวมากๆเลยล่ะโอ้เอ้  เราโทรสั่งอาหารขึ้นมาทานดีไหม”

“ไม่ต้องหรอก  เดี๋ยวเราพาแกไปกินของอร่อยๆในนครสวรรค์เอง  เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงถิ่น อิอิ” ผมยิ้มหวานกรีดนิ้วชูกุญแจรถให้สโนว์ดู  แล้วเราก็พากันขี่มอเตอร์ไซต์ท้าแดดนรกออกมาหาอะไรทานกัน  อากาสมันร้อนมาก ร้อนผมอดคิดไม่ได้ว่ากว่าผมจะขับรถไปถึงร้านอาหารตัวผมเองอาจจะถูกย่างจนสุกก่อนก็เป็นได้

ผมพาสโนว์มาทานก๋วยเตี๋ยวน้ำใสร้านดังถึงคนจะมาทานเยอะขนาดไหนแต่ก็ไม่เคยต้องรอคิวเพราะร้านเขาใหญ่โต๊ะเยอะครับ ด้วยความหิวก็สั่งกันไม่ยั้ง ทั้งก๋วยเตี๋ยวทั้งปอเปี๊ยะกุ้งที่อร่อยมากๆผมสั่งมาสี่จานเลยล่ะ สโนว์ดูอึ้งๆเมื่อเห็นว่าผมสั่งเยอะมากแต่พอของกินมาเสิร์ฟและได้ลองชิมกลายเป็นสโนว์ขอสั่งปอเปี๊ยะกุ้งเพิ่มอีกสองจาน ฮ่าๆๆ คงจะอร่อยถูกใจมากๆ เพราะกินไปปากก็บอกว่าอร่อย อร่อย ไม่มีหยุดเลย 

หลังจากท้องอิ่ม  ผมก็ทำหน้าที่เป็นไกด์พาสโนว์ไปเที่ยวไหว้พระประจำเมือง  เดินดูร้านค้าที่มาตั้งเรียงรายไปตามท้องถนนทั้งสองข้าง  ตอนนี้คนยังเดินกันน้อยอยู่แต่พอถึงช่วงเย็นไปจนถึงกลางคืนคนจะเยอะมากๆเลยครับเดินเบียดเสียดกันเลยล่ะ  ผมเลยพาสโนว์มาเดินก่อนเพราะไม่อยากให้ต้องเดินเบียดกับใครน่ะครับ  สโนว์ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้ของกินติดไม้ติดมือมาพอหอมปากหอมคอ 

“โอ้เอ้ เราอยากไปเห็นน้องสมบูรณ์จัง”  สโนว์หันมาบอกตอนที่เรากำลังเดินไปที่รถมอเตอร์ไซต์ที่จอดไว้

“น้องสมบูรณ์?  หน้าตาน้องเขาเป็นยังไงอ่ะแก  นึกหน้าไม่ออกไม่คุ้นกับชื่อนี้เลยจริงๆ”  ผมพยายามนึกว่าลูกหลานใครบ้างที่ชื่อน้องสมบูรณ์

“ไม่ใช่ๆ น้องสมบูรณ์ที่เป็นสวนๆ มีสระน้ำ มีปลา ที่คนไปให้อาหารปลากันเยอะๆน่ะ มีคนไปออกกำลังกายด้วย เราหาในเน็ตก่อนมา” สโนว์รีบอธิบายใหญ่  พอได้ฟังสิ่งที่สโนว์พยายามอธิบายผมก็แอบลอบยิ้มขำก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่


“หนองสมบูรณ์ ไม่ใช่ น้องสมบูรณ์ สโนววว์ ฮ่าๆๆๆๆ”  สกิลการอ่านภาษาไทยของสโนว์อ่อนแอจริงแหละครับ

“อ้าวหรอ หนองสมบูรณ์หรอ แฮ่ๆ” สโนว์แลบลิ้นแก้เก้อ มันน่ารักมากจนผมเผลอเอามือไปขยี้หัวสโนว์อย่างไม่รู้ตัว..

“...”

“...”

กว่าจะสำนึกได้ว่าเผลอทำอะไรลงไปก็ตอนที่ต่างฝ่ายต่างเงียบแล้วมองหน้ากันนี่แหละครับ

“...ไปกันเถอะแก นี่ก็เย็นมากแล้ว ป่ะๆๆ” เป็นผมเองที่ทนความเงียบและเกมจ้องตานี้ไม่ไหว เลยทำเนียนรีบเดินไปหา รถมอเตอร์ไซต์  สโนว์เองก็เดินตามมาคล่อมรถแล้วพากันขับไปยังสถานที่จุดหมาย  สโนว์อยากไปไหนผมก็ขับรถพาไปอย่างเอาใจ  เราตะลอนไปทั่วจนรอบตัวกลายเป็นเวลากลางคืนที่มีโคมไฟสีแดงประดับประดาเต็มท้องถนน

“กลับโรงแรมเลยไหมแก”  ผมถามหลังจากที่เรากินข้าวมันไก่เสร็จ

“อืม ก็ได้นะโอ้เอ้” 

“จัดไปจ้า”  ผมจ่ายเงินเสร็จก็พอดีกับม๊าที่โทรเข้ามา

“ว่าไงคะม๊า”  ผมรับสายไม่ลืมจะดัดเสียงเช่นเคย แม้ว่ามันจะทำให้น้องพนักงานที่เอาเงินมาทอนทำหน้าสะพรึงอึ้งแตกก็ตาม

/ลื้ออยู่ไหนตอนนี้/

“เพิ่งกินข้าวมันไก่เสร็จ  กำลังจะกลับโรงแรมแล้วจ้า” 

/ลื้ออย่าเพิ่งกลับๆ ลื้อไปแก้ปีชงขอพรเจ้าพ่อเจ้าแม่ก่อนนา อาอันโทนิโอ้ พาอาสโนว์อีไปด้วย เข้าใจม้าย/

“โอเคค่ะ รับทราบค่า  เกือบลืมแล้วเชียว”

/โอเค โอเค งั้นแค่นี้แหละ  อั๊วะไปฝึกสมองกับเพื่อนก่อนกำลังคะแนนพุ่ง โฮ๊ะๆๆๆ/ 

ม๊าพูดแค่นั้นก็วางสายไปฝึกสมองนับเลขบนไพ่ต่ออย่างไม่ต้องคาดเดา  ม๊าไม่ได้ติดการพนันหรอกนะครับ  เพียงแต่เวลากลับมาที่นี่จะต้องเล่นตลอด ห้าบาทสิบบาทก็ว่ากันไป

“สโนว์  เดี๋ยวเราขอแวะไปแก้ชงก่อนนะ แกจะไปด้วยกันไหมหรือให้เราไปส่งที่โรงแรมก่อน  เพราะว่าคนมันเยอะน่ะถ้าไปอาจต้องเดินเบียดๆกันหน่อยนะ” 

“เรา...ไปด้วยดีกว่า  อยากลองแก้ชงบ้าง เบียดคนหน่อย...คงไม่เป็นไรมั้ง”

“แน่ใจนะ?”

“อื้ม”

“โอเค  งั้นไปด้วยกัน  แต่ถ้าแกอยากกลับตอนไหนก็บอกได้เลยนะ”   ถึงสโนว์จะยีนยันหนักแน่นแต่ผมก็แอบกังวลอยู่ดี

“ไปกันเลยเถอะ”  สโนว์บอกอย่างนั้น ผมเลยขับไปยังริมแม่น้ำจอดรถไว้ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานเท่าไหร่แล้วเดินอ้อมขึ้นไปเดินบนทางเดินบนคันกันน้ำแทน  เพราะบนนี้จะอยู่สูงกว่าถนนและไม่มีร้านขายของมาวางขายให้เกะกะเลยจะเดินสะดวกหน่อยไม่ต้องไปเบียดใครเขา   

เราเดินกินลมชมวิวมาเรื่อยๆก็เห็นละครงิ้วโรงเล็กๆมีนักแสดงบนเวทีกำลังแสดงกันอย่างเข้าถึงบทบาท สีหน้าท่างทางการร่ายรำประลองต่อสู้กันนั้นชวนให้ผมกับสโนว์ยืนมองดูการแสดงอย่างสนใจถึงแม้จะไม่เข้าใจภาษาจีนสักคำเลยก็ตามที คนเฒ่าคนแก่ก็พากันนั่งดูอย่างตั้งใจแม้จะมีเพียงไม่กี่คนก็ตาม แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีอาม่าผมที่กำลังนั่งดูอยู่หน้าเวทีด้วยสีหน้าที่กำลังอินไปกับการแสดงจนผมไม่กล้าเรียกอาม่าด้วยกลัวว่าจะไปขัดอารมณ์แกซะก่อน

พอฉากต่อสู้จบผมกับสโนว์ก็เลือกจะเดินต่อไปจนถึงสถานที่แก้ปีชง  ก็จัดการซื้อแผ่นแก้ปีชงกันคนล่ะชุดครับ การแก้ปีชงเป็นสิ่งที่ผมทำทุกปีเวลามา ถึงไม่ชงก็ทำเพื่อเสริมสิริมงคล ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปให้กับตัวเองน่ะครับ พอได้มาก็เขียนชื่ออายุ บลาๆ ของตัวเองลงไป  จากนั้นก็จะมีคนคอยบอกว่าขั้นต่อไปเราต้องทำอะไรต่อ  สโนว์กับผมก็ทำตามทุกขั้นตอน จนถึงขั้นตอนเกือบสุดท้าย เจ้าหน้าที่ก็ให้เราหันไปหน้าไปทางศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่และอธิษฐานขอพรจากท่านเป็นสิริมงคลและให้เอาใบแก้ชงปัดไล่สิ่งไม่ดีออกจากตัวเอง

พรที่ผมขอทุกปีก็คงเป็นขอให้คนในครอบครัวสุขภาพแข็งแรงอายุยืนนานแคล้วคลาดปลอดภัยจากทุกสิ่งครับ  ส่วนเรื่องความรัก ผมแอบหันไปมองสโนว์ที่กำลังตั้งใจอธิษฐานแล้วก็ได้แต่ยิ้มในใจ

ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำอยู่คือการโกหกในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะงั้นผมจึงไม่กล้าขอพรเรื่องความรักจากเทพเจ้าเพราะละอายใจ  แต่ก็หวังว่าท่านจะเข้าใจในสิ่งที่ผมทำนะครับ  หากวันหนึ่งความลับถูกเปิดเผยขึ้นผมก็หวังแค่เพียงว่า...


 ‘อย่าให้เขาเกลียดผมเลยนะครับ’







วันอาทิตย์

หลังจากที่เมื่อวานเราตะลอนไปทั่ว วันนี้ผมกับสโนว์เลยเลือกที่จะพักผ่อนนอนตื่นสายกันอย่างสบายใจและคลุกตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวัน......ก็คงมีแต่สโนว์คนเดียวนั้นแหละครับที่สบายใจ  เพราะผมน่ะนอนไม่หลับด้วยความตื่นเต้นขั้นสุด  ใครจะไม่ตื่นเต้นบ้างวะถามจริง ได้นอนข้างๆคนที่ตัวเองแอบชอบทั้งคืนเลยนะโว้ย 

และถึงแม้ว่าสโนว์จะใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสามส่วนตัวบางนอน พร้อมกับกลิ่นครีมอาบน้ำที่หอมฟุ้งไปทั่วปอดผมขนาดไหน  แต่ก็ไม่ได้ทำให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าก็ผมกลายร่างได้หรอก หึหึหึ  ก็ตั้งใจไว้แล้วไงว่าจะไม่ฉวยโอกาสเด็ดขาด!  แค่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆแค่นั้นเอง เหอๆ


พอใกล้ถึงเวลาเย็นพวกเราก็อาบน้ำแต่งตัวขับรถออกไปจับจองสถานที่ดูขบวนแห่มังกรตอนกลางคืนกันครับ  พวกป๊าม๊าอยู่ดูขบวนแห่ที่หน้าร้านป้าแก้วเหมือนเคย  แน่นอนว่าผมคงไม่ไปดูขบวนแห่มังกรที่ร้านป้าแก้วแน่ๆ ขืนไปมีหวังความแตกพอดี ป้าแก้วยิ่งเป็นคนพูดเก่งพูดมากพูดทุกอย่างอยู่ด้วยไม่อยากเม้าท์เลยจริงๆ  เอาเป็นว่าป้าแก้วรู้คนทั้งตลาดก็รู้ครับ - - ป๊าม๊าก็คงรู้ถึงข้อนี้ดีเลยไม่ได้โทรตามผมให้ไปหาที่นั่น  ผมคิดว่าม๊าก็คงมีข้ออ้างที่จะบอกป้าแก้วว่าทำไมปีนี้ผมถึงไม่ไปดูขบวนแห่มังกรที่หน้าร้านแกเหมือนทุกปีล่ะนะ



ผมคิดว่าจะพาสโนว์ไปดูต้นขบวนแถวหน้าเทศบาล  แต่ก่อนจะไปถึงผมก็ขับรถไปร้านขายของพลาสติกก่อน

“โอ้เอ้จะซื้ออะไรหรอ” สโนว์เอียงหน้ามาถามจากทางด้านหลังอย่างสงสัย 

“เดี๋ยวเราแวะซื้อเก้าอี้พับได้ก่อนนะ ขบวนมันยาวเพื่อเมื่อยจะได้นั่งได้  เอาไว้ให้สโนว์ยืนถ่ายรูปได้ถนัดๆด้วยไง”  ผมตอบก่อนจะเดินเข้าร้านไปเลือกเก้าอี้พับได้เอาขนาดพอเหมาะที่ถ้ายืนแล้วจะดูไม่สูงโดดเด่นเกินไปก็ได้มาหนึ่งตัวเล็กๆส่งให้สโนว์ที่ยังนั่งรออยู่บนมอเตอร์ไซต์

“โอเค เสร็จธุระแล้วไปได้จ้า”  ผมพูดอย่างอารมณ์ดี

“ขอบใจมากนะโอ้เอ้ เธอดีกับเราตลอดเลยจริงๆ” สโนว์มองผมด้วยความซาบซึ้งใจจนผมเองทำตัวตัวไม่ถูก

“แหม่ๆๆ เรื่องแค่นี้เองแก อย่าคิดมาก ไปกันเถอะเดี๋ยวไม่มีที่ว่างแล้วจะเสียใจนะแก”  ผมทำเป็นไม่ได้สนใจอะไรแค่เรื่องธรรมดาที่เพื่อนจะทำให้เพื่อนแค่นั้นเอง  แต่ลึกๆในสมองก็แอบคิดว่า  หรือผมจะทำหน้าที่เกินเพื่อนไปจริงๆ




พอมาถึงต้นขบวนผมก็จอดรถไว้หน้าร้านค้าแถวๆนั้นแล้วเดินขึ้นเนินไปยืนรอขบวนแห่มังกรมา  คนอื่นๆก็เริ่มทะยอยมาเยอะขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็ยืนรอเต็มสองฝากถนนยาวไปจนสุดลูกตานั่นแหละครับ  ผมพาสโนว์ไปยืนตรงทำเลเหมาะที่จะเห็นขบวนได้ชัดเจน  โชคดีว่าพวกเราตัวสูงกันการที่จะต้องยืนอยู่ด้านหลังให้ผู้หญิงที่มาที่หลังแทรกตัวไปยืนด้านหน้าจึงไม่มีปัญหาอะไรนัก  จนเมื่อขบวนเริ่มเดินความรู้สึกเมื่อยที่ยืนรอมานานก็หายไปทันที  เปลี่ยนไปเป็นตื่นตาตื่นใจแทน ปีนี้มีลูกเล่นใหม่ๆหลายอย่าง ทั้งขบวนพาเหรดวงดนตรีของโรงเรียนในจังหวัดนครสวรรค์ที่เล่นเพลงที่กำลังเป็นกระแสนิยมได้อย่างสนุกสนาน แถมยังเล่นดนตรีไปเต้นไปอีกด้วย  เหล่าดัมเมเยอร์ก็ควงไม้ไปตามจังหวะและเต้นไปตามเพลงอย่างคึกคัก  ตามด้วยขบวนการแสดงต่างๆจากโรงเรียนอื่นๆ บางก็คั้นด้วยขบวนคณะแห่สิงโต อังกอร์ ตั่งต่าง เยอะแยะไปหมด  แต่ที่ผมชอบมากที่สุดคือขบวนเด็กที่เล่นโรลเลอร์สเก็ตครับ มันแปลกใหม่ดี เด็กๆเคลื่อนไหวกันอย่างเป็นธรรมชาติแสดงไปตามคิวแปลแถวอย่างพร้อมเพียงไม่มีหลุดหรือพลาดกันเลยประทับใจมากครับ 

“เก่งเนอะโอ้เอ้ ทำไมเด็กที่นี่เก่งกันจัง”  สโนว์ชมใหญ่ ตาก็เล็งกล้องถ่ายต่อไปอย่างพึงพอใจ  ผมก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย  ยิ่งขบวนเริ่มมากันเยอะคนก็ยิ่งเยอะตาม โดยเฉพาะเมื่อขบวนแห่มังกรและรถขบวนองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิมออกมาผู้คนก็พยายามจะออกมายืนอยู่ด้านหน้าให้ได้มากที่สุดเพื่อเก็บภาพเพราะถือว่าเป็นไฮไลท์ของงานและอยากจะสัมผัสผิวกับมังกรที่เชื่อว่าถ้าได้จับผิวมังกรแล้วจะเป็นสิริมงคลนะครับ  มังกรจะเคลื่อนตัวไปมาโดยมีคนแบกจำนวนหลายชีวิตที่จะเคลื่อนไหวพามังกรไปตามทิศทางต่างๆ  แล้วจะมีหนึ่งคนที่ถือลูกแก้วหลอกล่อมังกรให้ไล่ตาม คนถือลูกแก้ววิ่งไปทางไหน มังกรก็จะไล่ตามไปทางนั้นอย่างรวดเร็วจนราวกับว่ามังกรนั้นมีชีวิตจริงๆ 


“สโนว์ มารอแตะตัวมังกรเร็ว”  ผมจับแขนสโนว์ให้ยื่นออกไปด้านหน้าเพราะเห็นว่าคนล่อลูกแก้วใกล้จะมาถึงทางนี้แล้ว โดยผมประกบด้านข้างสโนว์ไว้ส่วนอีกด้านก็เอาเก้าอี้พับกั้นคนเบียดสโนว์ไว้อีกทาง  เพราะว่าเป็นผู้ชายซะหลายคนสโนว์เองก็เหมือนจะเกร็งๆไม่อยากเข้ามาเบียดด้วย  แต่เมื่อมังกรมาถึงใกล้ๆก็ได้แตะตัวมังกรพอดีแม้จะแค่แป๊บเดียวเสียววินาทีก็ตามแต่ก็ถือว่ามิสชั่นคอมพลีสแล้วล่ะครับ  เราเลยถอยออกมาอยู่ด้านหลังเช่นเคย

“ถ้าได้ถูกตัวมังกร จะโชคดีนะสโนว์ เราได้ถูกตัวมังกรแล้วต้องโชคดีแน่ๆ” 

“แค่ได้มาเห็นขบวนสวยๆแบบนี้ก็ถือว่าโชคดีมากๆแล้วล่ะโอ้เอ้” สโนว์ยิ้มหวานเตรียมจะหันกล้องไปถ่ายรูปต่อแต่ก็ถูกพวกผู้ชายบังสโนว์มิดซะแล้ว ผมเลยเอาเก้าอี้ให้สโนว์ขึ้นยืนถ่ายแทนซึ่งก็สูงพ้นพอที่จะถ่ายรูปได้อย่างไม่มีอะไรมาบังพอดี  เมื่อขบวนแห่มังกรเล่นลูกแก้วผ่านไป ต่อมาก็เป็นขบวนองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิมครับ คนรอถ่ายรูปเพียบเพราะองค์สมมติเจ้าแม่กวนอิมสวยทุกปี คนที่จะได้เป็นองค์สมมติต้องผ่านการคัดเลือกหลายอย่างครับ และต้องผ่านพิธีการคัดเลือกจากเทพเจ้าด้วย ที่สำคัญต้องเป็นคนดีอย่างแท้จริง เมื่อได้แล้วก็ต้องถือศีลกินเจเป็นเวลาประมาณหกเดือนจนกว่าจะถึงวันแห่ขบวนครับ ไม่ง่ายเลยจริงๆ  ผู้คนจึงให้ความนับถือและให้ความสนใจกันมาก  ผมเองยังยกกล้องโทรศัพท์ออกมารอถ่ายเลยล่ะครับ

ยิ่งเมื่อขบวนใกล้ถึงจุดที่พวกผมยืนกันอยู่ผู้คนก็ยิ่งเบียดกันไปด้านหน้า ส่วนผมก็ยังยืนอยู่ข้างสโนว์ที่กำลังกดชัตเตอร์ไม่หยุด

“ถอยหลังหน่อยครับ ถอยหลังหน่อย  เบียดมาแบบนี้รถขบวนไปต่อไม่ได้ครับ ถอยๆๆๆ”  เจ้าหน้าที่เอ่ยปากบอกไล่ให้คนถอยหลังซึ่งพอคนจำนวนมากถอยหลังมาทั้งที่ตายังมองจอกดถ่ายรูปทำให้มีบางคนถอยมาชนสโนว์อย่างจัง

“สโนว์ ระวัง!”  ผมอุทานเมื่อเห็นว่าผู้ชายตัวใหญ่ถอยหลังมาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือชนสโนว์เต็มๆจนเจ้าตัวร่วงหล่นจากเก้าอี้  ผมเลยรีบกอดรับร่างโปร่งไว้ไม่ให้กระแทกไปกับพื้นถนนเสียก่อน มันเลยกลายเป็นเหมือนว่าผมดึงสโนว์เข้ามากอดไว้ในอ้อมอก

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”  ผมถามอย่างร้อนใจเพราะเก้าอี้ถึงจะไม่ได้สูงมากแต่ถ้าร่วงลงมาแบบนั้นก็มีสิทธิข้อเท้าพลิกได้เหมือนกัน

“ไม่เจ็บ...ปล่อยเราได้แล้วมั้ง โอ้เอ้” สโนว์พูดเตือน ผมเลยรีบผละออกอย่างลืมตัวไปหน่อย

“ฮะฮะ ลืมตัวน่ะ...เอ่อ  นี่ก็ดึกแล้วนะ สโนว์จะกลับโรงแรมเลยไหมหรืออยากจะอยู่ดูต่อล่ะ”  พอขบวนไฮไลท์ผ่านไปคนก็เริ่มทะยอยกลับกันบ้างแล้วเพราะตอนนี้ก็สี่ทุ่มครึ่งแล้วครับ  แต่ก็ยังมีหลายคนที่ยังยืนรอดูขบวนอื่นๆที่ตามมาต่อ

“กลับเลยก็ได้  เราเริ่มเหนื่อยแล้วเหมือนกันร้อนมากด้วย” พอสโนว์บอกอย่างนั้นเราก็เดินกันไปหารถที่จอดไว้


“เฮ้ย!  ไอ้โทนี่ จา  มึงกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไอ้ห่า มาไม่บอกเพื่อนฝูงกันเลยนะมึง”  เสียงคุ้นเคยของเพื่อนๆผมเอ่ยทักดังลั่นก่อนจะเดินเข้ามาหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว    พวกนี้เป็นเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กครับแบบว่าบ้านพวกมันก็อยู่แถวร้านป้าแก้ว ผมกลับมาก็เล่นกับพวกมันตลอดเจอกันตลอดตั้งแต่เล็กจนโต   แต่ปีนี้กูไม่อยากเจอพวกมึงเลยโว้ยยยยยย  ให้ตายเถอะพับผ่า!

“มึงนะมึงมาไม่บอกจะได้นัดเที่ยวกัน  ว่าแต่ทำไมไม่เห็นมึงที่ร้านป้าแก้วเลยวะ  กูก็นึกว่ามึงไม่กลับซะอีกปีนี้” ไอ้โมกข์เดินเข้ามากอดคอถามอย่างสนิทสนม  มึงช่วยดูหน้ากูบ้างได้ไหมว่าหน้ากูยินดีจะเจอพวกมึงไหมอะไรไหม สาส   ใครก็ได้เอาไอ้พวกนี้ออกไปที   หรือผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักพวกมันเอาตัวรอดดีวะ

“เออ กูก็นึกว่ามึงไม่กลับเหมือนกัน  ไอ้ห่าทำไมมาคราวนี้มึงขาวขึ้นเยอะเลยวะ ไม่ดำเหมือนแต่ก่อนเลยอ่ะ แดกกลูต้าเข้าไปหรอวะมึง   ตอนแรกกูกับไอ้โมกข์ก็ไม่มั่นใจว่าใช่มึงเปล่า  แต่พอเห็นรอยโดนดาบฟันที่คิ้วกูเลยจำได้ว่าต้องเป็นมึงแน่นอน”  ไอ้ปิงพูดสมทบต่ออีกคน  ไอ้สัส มึงเล่นระบุตัวตนชัดขนาดนี้กูจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักพวกมึงไม่ได้แล้วล่ะ   วินาทีนี้ผมอยากได้ผ้าคลุมร่องหนมากจริงๆ

“ทำไมไม่พูดไม่จาบ้างวะไอ้โทนี่ เป็นเชี้ยอะไร ส้นตีนติดปากไง?”  ไอ้โมกข์ถามกวนตีนอย่างปกติเวลาที่อยู่ด้วยกัน

“แล้วนี่ใครวะ เพื่อนมึงหรอ?”  ไอ้ปิงหันไปมองสโนว์ที่ยืนห่างไปราว 3 เมตรได้ สโนว์มองพวกผมสลับกันไปมาอย่างพยายามหาความเชื่อมโยงว่าตุ๊ด(หลอกๆ)อย่างผมไปรู้จักไอ้หน้าโหดหนวดเต็มหน้าทั้งสองคนได้อย่างไร  อย่าว่าแต่สโนว์จะพยายามหาความเชื่อมโยงเลย  เพราะขนาดผมเองยังคิดไม่ออกว่าจะไปอธิบายกับสโนว์ยังไงดีเลย


“อ..เอ้อ..เพื่อนเราเองแหละ”  ผมบีบเสียงขึ้นจมูก ถึงสถานการณ์จะเสี่ยงความแตกแค่ไหน แต่วิญญาณกระเทยต้องมาเพื่อนช่างแม่งตอนนี้กูแคร์ความรู้สึกสโนว์สุด

“เป็นเชี้ยอะไร พูดเสียงซะเหมือนกระเทยไอ้โทนี่ กูขนลุกว่ะ”

“..ค..แค่กๆๆ  กู..เราไม่ค่อยสบาย..ไอว่ะแก”  งานแอ็คติ้งก็ต้องมาอย่าให้เสียสถาบันไปอีก

“อ้าวหรอวะ  โห่ เซ็งเลยกะจะชวนไปเที่ยวสาวซะหน่อย สวยๆทั้งนั้นเลยนะมึงสนเปล่าวะ ไปไหวไหม อกเป็นอกเอวเป็นเอวสเป็คมึงเลยนะเว้ย”  ยัง ยังไม่หยุดอีกไอ้เชี้ยโมกข์  ถ้ามึงยังไม่หยุด กูจะเอาแข้งขากูอุดปากมึงซะไอ้เวร   ผมได้แต่คิดในใจ ถ้าไม่ติดว่าสโนว์ยืนมองอยู่ผมทำไปแล้ว

“ฮะๆๆ ไม่ไปหรอกจ้า  ขอตัวไปพักผ่อนก่อนน้า บั่ยบายนะสุดหล่อออ”  ผมยิ้มหน้าระรื่นเอามือบีบแก้มมันแรงๆไปด้วยความหมั่นไส้คนละที จนพวกหมามันทำหน้างงก็ใช้จังหวะนั้นเผ่นสิครับ


“ไปเร็วสโนว์กลับโรงแรมกัน”  ผมจูงมือสโนว์เดินไปที่รถอย่างไวก่อนจะสตาร์ทรถขับกลับโรงแรมด้วยความเร็ว


ระหว่างทางกลับโรงแรมสโนว์เงียบมากไม่พูด ไม่จา ไม่เอากล้องขึ้นมาถ่ายรูประหว่างทางเช่นเคย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกดดัน คิดหาคำพูดแก้ตัวไปเรื่อย จะบอกว่ามันจำคนผิดดีไหม หรือจะบอกว่าพวกมันไม่รู้ว่าผมเป็นตุ๊ดแต่ความจริงแล้วผมเป็นตุ๊ดจริงๆนะสโนว์เชื่อเราสิ หรือจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตีเนียนเป็นตุ๊ดต่อไปดี  ผมคิดจนสมองยุ่งเยิงไปหมดจนกระทั่งถึงโรงแรม


พวกเราเดินเข้าห้องวางสัมภาระต่างๆ  ผมลอบมองท่าทีของสโนว์ที่นั่งกดกล้องดูรูปอยู่ที่ปลายเตียงนอน  คิดว่าสโนว์คงไม่ได้ติดใจอะไรแล้วมั้งนะ


“สโนว์ น้ำเย็น  ดื่มให้ชื่นใจจ้า” ผมถือแก้วน้ำเดินไปให้สโนว์ดื่มให้หายร้อน  สโนว์เงยหน้าขึ้นมามองและยื่นมือมาจับแก้วน้ำพร้อมกับจับมือผมไว้





“โอ้เอ้ไม่ได้เป็นตุ๊ดจริงๆใช่ไหม?”



************************************************************************
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

เอาล่ะเหวย เอาล่ะวา โอ้เอ้จะตอบสโนว์ว่ายังไง  เอาใจช่วยคนทึ่มด้วยนะคะ :call:

ขอบคุณที่คอมเม้นท์นะ  ดีใจที่ยังเข้ามาอ่านกันค่ะ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 7 แห่มังกรขอพรรัก100% 17 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-09-2018 03:30:34
รอฟังคำตอบด้วยคนดิ  :m28:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 7 แห่มังกรขอพรรัก100% 17 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 17-09-2018 07:46:15
 ครอบครัวโอ้เอ้นี่หรรษาดีจังน่ารักหัวสมัยใหม่มาก
โถ่มันน่าตบกะบาลเพื่อนสองคนนั้นจริงความจะแตกมั้ยเนี่ยโอ้เอ้อุตส่าห์สร้างภาพจนสโนว์ไว้ใจ รอๆตอนต่อไป :katai1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 7 แห่มังกรขอพรรัก100% 17 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-09-2018 08:44:47
โอ้เอ้ ลืมนึกไปแน่ๆเลยว่าต้องมาเจอเพื่อน หาคำแก้ตัวไปละกันนะ เอาใจช่วย อิอิอิ
 :beat:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 7 แห่มังกรขอพรรัก100% 17 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 18-09-2018 07:05:08
ความแตกแล้ววว แต่รู้สึกเหมือนสโนว์ก็ไม่ได้กลัวโอ้แล้วนะ ยอมรับแล้วสานสัมพันธ์ต่อเลยโอ้
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 8 ขอโทษ100% 20 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 20-09-2018 22:14:17

บทที่ 8  ขอโทษ




“โอ้เอ้ไม่ได้เป็นตุ๊ดจริงๆใช่ไหม?”


คำถามที่เถรตรงพุ่งเข้าชนผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว  หากว่าสโนว์ไม่ได้จับแก้วน้ำในมือผมไว้ด้วย ป่านนี้แก้วในมือคงตกลงแตกกระจายไม่เหลือชิ้นดีเหมือนกับสติผมในตอนนี้เป็นแน่  ทุกอย่างมันอื้ออึงไปหมด  ผมชะงักนิ่งไปนานหลายวินาทีราวกับหยุดหายใจไปแล้ว จนสโนว์ดึงแก้วน้ำในมือออกไปวางบนโต๊ะทานอาหารผมจึงเริ่มหายใจได้อีกครั้ง


“ถ้าโอ้เอ้ยังไม่พร้อมจะตอบก็ไม่เป็นไรนะ”


“...”  ทั้งที่ผมควรจะรีบปฎิเสธไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ให้นานที่สุด 


แต่ความรู้สึกข้างในมันกลับบอกว่า อย่าโกหกอีกต่อไปเลย


“แต่คืนนี้...รบกวนนายออกไปนอนที่อื่นเถอะนะ  เราอยากนอนคิดอะไรคนเดียว”


“...” 


“ลืมไปเลยว่าเราต่างหากที่ควรต้องออกไป งั้นนายอยู่นี่แหละเราไปเองดีกว่า”


“ไม่ต้อง...เดี๋ยวเราออกไปเอง” ผมชิงบอกตัดหน้าก่อนสโนว์จะเดินไปที่ประตู  พูดด้วยน้ำเสียงของผมจริงๆไม่ได้ดัดเสียงเช่นทุกครั้งเวลาที่ผมคุยกับสโนว์


“...”  สโนว์ไม่ได้พูดค้าน  เพียงแต่มองมาที่ผมก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น ถึงตอนนี้สโนว์คงรู้แล้วล่ะว่าผมคงไม่ใช่ตุ๊ดจริงๆ  เขาเองก็คงไม่ต้องการให้ผมอยู่ใกล้อีกต่อไป  คนที่เป็นฝ่ายผิดอย่างผมก็ละอายใจเกินกว่าจะอยู่ต่อไป 


“สโนว์  เราขอโทษนะ...” แต่ก่อนจะไปผมก็อยากพูดคำที่ติดค้างอยู่ในใจเสียก่อน  เพราะผมไม่รู้เลยว่าหากผมก้าวเท้าออกจากห้องนี้ไปแล้ว  ผมจะได้กลับมามีโอกาสพูดคุยกับสโนว์อีกหรือไม่


ผมสูดหายใจลึกๆก่อนจะพูดความจริงออกไป “เราไม่ได้เป็นตุ๊ด”


“......งั้นหรือ” น้ำเสียงเนิบๆของสโนว์ที่ไม่ได้มีความรู้สึกโกรธ เคือง ประชด เกลียด หรือ เสียใจเจือปนอยู่ในน้ำเสียงสักนิดเดียวเลยนั้น  แต่มันยิ่งกลับทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ  เพราะอะไรนะหรือ  เคยได้ยินไหมครับว่า ‘คนที่ทำให้เราเสียใจได้มากที่สุดคือคนที่เรารักมากที่สุด’  แต่ ณ ตอนนี้สิ่งที่ผมเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องผิดมหันต์ในการที่เราโกหกคนที่ตัวเองรักและพยายามปิดบังมาตลอดจนคิดว่าถ้าความลับแตกขึ้นมาเขาคงจะเกลียดผมจนเข้าไส้ โกรธจนไม่อยากมองหน้า  แต่สโนว์ในตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขายังคงพูดจาดีๆกับผมเช่นเคย และยังคงรักษาท่าทางเหมือนเดิม....สิ่งเหล่านี้มันบ่งบอกว่าตัวผมเองนั้น ‘ไม่ได้มีความสำคัญ’ อะไรกับสโนว์มากมายนักเลย




“...ใช่ ขอโทษนะที่โกหกมาตลอด  เรา..เรา........”  มีหลายอย่างที่ผมอยากจะอธิบาย อยากจะแก้ตัว แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกเก็บไว้ในใจ  เพราะถึงพูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว



“เรารู้ว่าเราทำผิดมากๆ สโนว์จะโกรธหรือจะเกลียดเราก็ได้นะ...แต่ขออย่างหนึ่งได้ไหม”  ถึงผมจะเคยขอพรไว้ว่าอย่าให้สโนว์เกลียดผมเลย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมว่าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผมสมควรจะได้รับอยู่แล้ว  ทว่าผมก็มีบางอย่างที่สำคัญกว่านั้นมากกว่า


“...”  สโนว์ไม่พูดอะไรแต่ก็ไม่ได้หันหน้าหนี  ยังคงมองมาที่ผมอย่างรอฟัง


“อย่าลาออกจากมหา’ลัยเลยนะ”   นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ สโนว์ดูจะแปลกใจกับคำขอของผม


“ทำไม?”


“เพราะว่า...ถ้าสโนว์ลาออกไป” 


“...”


“เราคง...คิดถึงมาก” 




 

“เรื่องนั้น เราจะตัดสินใจของเราเอง”  น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นทำให้ผมยิ่งแน่ใจไปอีกว่าผมน่ะไม่ได้มีผลกระทบต่อความรู้สึกของสโนว์เสียเลยจริงๆ 


จากนั้นผมก็เดินออกจากห้องมานั่งที่ล๊อบบี้ของโรงแรม ก่อนจะหงายหลังพิงกับโซฟาไปทั้งตัว พลางคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก


ถ้าวันนั้นนังเซ่นไหว้ไม่หายหัวไป ผมก็คงไม่ได้เจอกับสโนว์


ถ้าวันนั้นผมไม่ได้บังเอิญไปได้ยินตอนสโนว์โทรคุยกับแม่ว่าจะลาออกผมก็คงไม่ได้แอ๊บเป็นตุ๊ดมานานขนาดนี้


ผมถามตัวเองว่าถ้าย้อนไปได้ยังจะทำแบบเดิมไหมนับพันครั้ง


แต่คำตอบที่ตอบตัวเองกลับมาเป็นพันหนก็ยังเหมือนเดิม



นั้นคือ ‘ทำ


ขอบคุณโชคชะตาเสียด้วยซ้ำที่ทำให้ผมได้ไปบังเอิญได้ยิน  เพราะไม่งั้นสโนว์ก็คงลาออกไปโดยที่ผมเองไม่ได้ตั้งตัว ไม่ได้ทำสิ่งต่างๆให้เขาอย่างเช่นทุกวันนี้

ไม่ได้พูดคุยกัน


ล้อเล่นกัน


ขี่มอเตอร์ไซต์ด้วย


เดินเล่นด้วยกัน


กินข้าวบ้านเดียว


มาเที่ยวด้วยกัน


หรือแม้กระทั่งได้นอนอยู่ข้างๆกันในยามค่ำคืน เฝ้ามองเขายามหลับใหล อย่างที่ผ่านมา...





สิ่งเหล่านั้นผมถือว่ามันมีค่ามากจริงๆ น่าเสียดายที่เวลาเหล่านั้นมันผ่านไปไวมากจริงๆ


ผมรู้ว่าผมผิดเอง  ผิดเองล้วนๆ แต่ส่วนลึกในสมองมันก็แอบตะโกนว่า









ไอ้เหี้ยปิง ไอ้เหี้ยโมกข์  กูไม่น่ามาเจอพวกมึงเลย ไอ้สัตว์เอ๊ย!!!










มีต่อ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 8 ขอโทษ100% 20 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 20-09-2018 22:22:25


เช้าวันจันทร์




หลังจากนั่งคิดอะไรคนเดียวมาทั้งคืนจนผมจะแปลงร่างเป็นญาติหมีแพนด้าได้  ผมก็ขึ้นไปเคาะห้องเพราะต้องเตรียมเก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพกัน  สโนว์เปิดประตูให้แล้วบอกว่าจะไปนั่งทานอาหารด้านล่าง แล้วเดินอ้อมผมไปไม่เดินเข้าใกล้อย่างเคยออกจากห้องนี้ไป  ไอ้อันโทนิโอ้คนนี้เลยได้แต่คอตกแล้วรีบจัดการทำธุระตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะโทรหาป๊าว่าเขาจะอยู่ดูแห่มังกรตอนเช้าไหม  ซึ่งป๊าก็บอกว่าคงไม่ได้อยู่เป็นห่วงร้านไม่อยากทิ้งไว้นาน  ผมเลยบอกให้ป๊ามารับและวางสายไป  ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าพอดีกับที่สโนว์กลับขึ้นมาบนห้อง


“สโนว์  เดี๋ยวเราต้องเช็คเอ้าท์แล้วนะ  ป๊าไม่ได้อยู่ดูแห่มังกรตอนเช้าแล้ว เขาห่วงร้านน่ะ คงต้องกลับกันเลย”


“..นายกลับไปก่อนเลย เราว่าจะนั่งรถตู้กลับเอง เมื่อคืนเราลองหาในเน็ตแล้วว่ามีรถตู้วิ่งไปกรุงเทพทุกชั่วโมง”


“...มันนั่งไม่สบายนะ  แล้วรถตู้ช่วงเทศกาลแบบนี้ต้องโทรจองที่ล่วงหน้านะสโนว์ไม่งั้นมีที่ว่าง  สโนว์ได้โทรจองไว้หรือยัง” ใจแฟบเลยสิครับ  เล่นบอกแบบนี้เหมือนไม่อยากเห็นหน้าผมแล้วจริงๆ...แล้วนี่ผมควรรู้สึกยังไงดีวะ  เมื่อคืนพอสว์ไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธมาก ผมก็เสียใจเพราะคิดว่าผมมันไม่ได้สำคัญอะไร  แต่พอสโนว์ทำเหมือนไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากอยู่ใกล้ ผมก็ใจแห้งไม่แพ้กันเลย  ย้อนแย้งฉิบหายไปอันโทนิโอ้เอ้ย


สโนว์หยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ตามที่เขาคงบันทึกเบอร์ไว้เมื่อคืน ก่อนจะพูดเรื่องจองรถตู้


“จองรถตู้หนึ่งที่ครับ”  ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดว่าอะไร  แต่ก็ภาวนาว่าขอให้เต็มทีเถอะ


“งั้นหรอครับ..ไม่เป็นไรครับ”   สโนว์กดวางแล้วเงียบไปซึ่งผมคิดว่ารถคงเต็มหมดทั้งวันแน่ๆ


“กลับด้วยกันนะสโนว์  เดี๋ยวเราจะไปนั่งขับรถเอง สโนว์จะได้ไม่ต้องรู้สึก..อึดอัดนะ”  ตอนขามายังนั่งด้วยกันแบบมีความสุขแท้ๆ  ทำไมขากลับมันความรู้สึกมันแตกต่างกันสุดขั้วแบบนี้วะ  เฮ้อ  ได้แต่ยอมรับผลกรรม


“อืม”





หลังจากที่ผมเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเรียบร้อยแล้ว ป๊าก็ขับรถมารับ ซึ่งผมก็ขอเป็นคนขับรถเองตามสัญญา ป๊าก็ไปนั่งเบาะข้างคนขับแทน  ม๊า อาม่า อาหลิง ยังคงยิ้มต้อนรับพูดคุยกับสโนว์อย่างดี้ด๊าเหมือนเคยเพราะยังไม่รู้ว่าความแตกแล้ว


“อาสโนว์ เป็นงาย สนุกม๊ายมาเที่ยวดูมังกรเมื่อคืน ลื้อชอบม๊าย” ม๊าถามทันทีที่พวกเราเดินไปขึ้นรถ  วันนี้ผมเลือกใส่แว่นกันสีดำปกปิดรอยคล้ำใต้ตาเพราะไม่อยากให้ใครเห็น


“สนุกครับม๊า” สโนว์เองก็ทำตัวเป็นปกติ  ผมนึกขอบคุณทีสโนว์ไม่โกรธม๊า ป๊า อาม่า อาหลิง อาฟู่ ที่ช่วยกันปกปิดความลับของผมไปด้วย


“ดีดีดี ไว้ว่างๆเราไปเที่ยวด้วยกันอีกนะคะพี่สโนว์”  อาหลิงพูดชวนพูดเรื่องทริปไปเที่ยวหลายที่ ที่อยากจะไป  สโนว์ไม่ได้ตอบรับเพียงแต่ยิ้มให้เฉยๆ


“อาสโนว์ อั๊วะซื้อเป็ดพะโล้มาฝากลื้อนา เจ้านี้อร่อยมาก เป็นเจ้าประจำของอาม่าตั้งแต่ยังสาวๆเลยนา อยากให้ลื้อได้กิน เอาไว้ไปกินที่บ้านนะอาสโนว์”  อาม่ายิ้มให้สโนว์อย่างเอ็นดูและยื่นกล่องใส่เป็ดให้สโนว์  ผมคิดว่าคนที่บ้านผมเองก็คงเอ็นดูสโนว์อยู่มากทีเดียว  เสียดายที่ผมไม่สามารถเอาสโนว์มาเป็นสะใภ้ให้ได้


ขอโทษนะทุกคน...รวมถึงตัวผมด้วย


“เมี๊ยววว”  นังเซ่นไหว้กระโดดหาผมก่อนจะฟุบนอนอยู่บนตักแล้วเงยหน้ามองผม  ก่อนจะทิ้งตัวลงหมอบอย่างหงอยๆ เหมือนกับว่า  ฉันรู้นะว่าแกไม่ปกติ นี่คงความแตกแล้วสิท่า เฮ้อ อดได้คนหล่อมาเป็นเป็นทาสเลย เศร้าจริงๆ


ผมได้แต่เอามือข้างหนึ่งไปลูบหัวมัน  ขอโทษนะเซ่นไหว้ที่มีทาสกากๆแบบข้า  ผมคิดว่ามันคงรับรู้ความรู้สึกผมจริงๆนั่นแหละ  เพราะพอผมคิดแบบนี้ไป มันก็เชยตาขึ้นมามองผมแป๊บนึง ก่อนจะถอนหายใจทิ้งไปหนึ่งเฮือกแบบปลงๆ


ผมขับรถมาส่งสโนว์ที่คอนโดก่อน  ทุกคนแย่งกันล่ำลาสโนว์อย่างไม่มีใครยอมใคร  เหมือนเอาใจว่าที่สะใภ้ในอนาคตก็ไม่ปาน 


“บ๊าย..บาย”  อาฟู่ฟู่ โบกมือลาน้อยๆ


“พี่สโนว์ ไว้เจอกันใหม่นะคะ  หลินมีการบ้านยากๆอยากให้พี่สโนว์สอนเยอะแยะเลย ไว้ให้เจ้โอ้พามาบ้านอีกนะ”  เขาคงไม่ไปแล้วล่ะอาหลิง


“ใช่ๆ อาสโนว์ไปหาม๊าที่บ้านอีกนา อยากกินอะไรเดี๋ยวม๊าทำให้กินม่ายอั้นเลยนา จะนอนค้างอีกก็ได้นา อามาเรียฟิเซนต์ต้องดีใจแน่ถ้าลื้อไปบ่อยโฮ๊ะๆๆๆ”  ของอร่อยแค่ไหนก็คงรั้งใจใครไว้ไม่ได้หรอกม๊า


“เมี๊ยวววว”   นังเซ่นไหว้รีบตอบรับอย่างมีความหวัง


“อาสโนว์อย่าลืมกินเป็ดที่อั๊วะซื้อให้ลื้อนา ขึ้นห้องไปก็ล็อคประตูให้เรียบร้อยนา ใครมาเคาะก็อย่าเปิด เพื่อเป็นคนไม่ดีมาทำร้ายลื้อ  มีอะไรก็โทรตามอาโอ้เอ้ได้เลยนาอย่าเกรงใจ  อาโอ้เอ้อีเต็มใจมาช่วยลื้ออยู่แล้ว  ใช่ม้ายอาโอ้เอ้”  อาม่าพูดปิดท้าย  ซึ่งผมก็หันไปมองสโนว์พอดีกับที่สโนว์มองมา 


“ใช่แน่นอน..ครับ”  ผมตอบไป สโนว์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขายกมือไหว้ลาทุกคนก่อนจะเดินขึ้นห้องไป


“อาอันโทนิโอ้  ทำไมเมื่อกี้ลื้อพูดครับล่ะ ต้องพูดว่าค่ะซี้  ทำไมขี้ลืมแบบนี้วะฮ๊า”  ม๊าเอาพัดยื่นมาเขกหัวด้านหลังผมหนึ่งที


“ใช่เฮีย เฮียลืมดัดเสียงด้วยแหละ พลาดได้ยังงายยยยย”  อาหลิงทำท่าทางล้อเลียนความบื้อของผม


“ขืนลื้อพลาดบ่อยๆแบบนี้ ก็ถูกจับด้ายกันพอดี!”  ม๊าบ่นใหญ่  ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรเพียงแต่ถอดแว่นตาแล้วหันกลับไปมองทุกคน




“ทุกคน...สโนว์เขารู้แล้วว่าผมไม่ได้เป็นตุ๊ด”






“ห๊ะ!!!!!!”



*******************************************************
 :ling2: :ling2: :ling2: :ling3: :ling3: :ling3:


อันโทนิโอ้โดนจับได้แล้วแบบนี้  เรื่องจะเป็นยังไงต่อไปล่ะนี้

ปวดหัวแทนโอ้เอ้เลยจริงๆๆๆๆ


แต่พูดความจริงออกไปแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะเนอะ 


เพราะความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนานต้องไม่เกิดจากการหลอกลวง

ว่าไหมคะ


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆๆค่ะ    อย่าลืมให้กำลังใจอันโทนิโอ้คนทึ่มด้วยนะคะ เพราะแอดคิดว่านางคงช้ำใจจนอยากไปนั่งแทะไผ่เป็นเพื่อนหมีแพนด้าแล้วล่ะค่ะ ฮ๋าๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 8 ขอโทษ100% 20 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-09-2018 03:55:17
สงสัยต้องไปง้อสโนว์ทั้งครอบครัวล่ะมัง  :hao4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 8 ขอโทษ100% 20 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-09-2018 05:46:19
แล้วทีนี้จะง้อยังไงละโอ้เอ้
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 8 ขอโทษ100% 20 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 21-09-2018 05:56:58
โอ้เอ้สู้ๆๆๆๆ อธิบายเหตุผลเค้าไปสิว่าทำเพราะอะไร
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 8 ขอโทษ100% 20 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 21-09-2018 17:08:32
สงสาร
แต่โกหก เพราะเจตนาดีนะสโนว์
ให้อภัยโทนี่เถอะน้าาา   :mew6:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 8 ขอโทษ100% 20 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 21-09-2018 19:28:42
0[-jk;
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 50% 22 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 22-09-2018 01:13:41


ตอนที่ 9   ง้อ




วันเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ 


ความสัมพันธ์ของผมกับสโนว์ได้ย้อนกลับไปสู่ช่วงเริ่มต้นในเวลาอันรวดเร็วจนน่าตกใจ  เหมือนกับตอนเด็กๆที่ผมชอบต่อโดมิโนให้ตั้งเรียงกันไปให้ไกลมากที่สุดโดยหวังว่ามันจะไม่ล้ม  จนถึงตอนที่ผมใกล้จะวางโดมิโนตัวสุดท้ายอย่างสวยงาม กลับกลายเป็นว่าผมดันสะดุดเท้าตัวเองไปโดนโดมิโนจนมันล้มพรืดเรียงกันไปในเพียงเวลาไม่กี่วินาที  ความพยายามอย่างยาวนานของผมก็มลายหายไปในพริบตา....ไม่ต่างอะไรกับผมในตอนนี้เลย  ผมกลับมาอยู่ในสถานะแค่คนที่แอบมองอยู่ทางด้านหลังอีกครั้ง  ต้องแอบมองอยู่ไกลๆเหมือนเมื่อก่อน 

ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามเดินเข้าไปปรับความเข้าใจนะ   แต่เมื่อไหร่ที่เดินเข้าใกล้สโนว์ก็จะรีบเดินหนี  เดินหลบตลอด  เอากระเป๋า เอาหนังสือมาวางคั่นทั้งสองข้างไม่ให้ใครมานั่งใกล้  เรียนเสร็จรีบกลับไวเหมือนเดิม  พอมีโอกาสที่จะได้พูดด้วย  สโนว์ก็พูดเพียงสั้นๆว่า


“อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลยนะ  เรายังไม่พร้อม” ผมก็ได้แต่หงอยอยู่อย่างนี้แหละครับ


แต่ก็ยังดีที่ว่า  สโนว์ยังคงเรียนที่นี่ต่อไป  ไม่ได้หนีหายไปไหนอย่างที่ผมกลัวอีก


“ไอ้โอ้  มึงไหวเปล่าวะ?”  ไอ้โปถามผมที่กำลังนั่งมองสโนว์จากทางด้านหลังในโรงอาหาร  เราเรียนช่วงเช้าเสร็จแล้วกอรปกับตอนบ่ายอาจารย์ยกเลิกคลาส  ผมกับไอ้โปเลยเดินตามสโนว์มานั่งหาอะไรกินที่นี่


“...กูโอเค”  ผมตอบมันแบบหมดอาลัยตายยาก


“สภาพมึงตอนนี้แม่ง...เฮ้ออออ”  ไอ้โปมองผมจากหัวจรดตีนแล้วมองย้อนกลับขึ้นมาอีกรอบก่อนจะส่ายหน้าถอนหายใจแล้วกลับไปกินข้าวของมันต่อ


ผมพอจะเข้าใจความคิดไอ้โปนะ ว่ามันมองผมด้วยสายตาอนาถใจขนาดไหน  เพราะผมในตอนนี้สภาพไม่ต่างจากผีบ้า ผมเลิกทำตัวเป็นคนเจ้าสำอางค์ กลับมาเป็นไอ้อันโทนิโอ้ตัวดำผิวกร้านเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือปล่อยผมปล่อยหนวดให้ยาวรุงรังจนอาจารย์คิดว่าผมแหกคุกออกมาจากเรือนจำที่ไหนก็ไม่ปาน  นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมไม่กลับบ้านมาสองอาทิตย์แล้วเพราะกลัวม๊าจะโทรแจ้งตำรวจมาจับก่อนที่ผมจะเดินเข้าร้านเสียอีก


“อย่างน้อยโกนหนวดสักหน่อยก็ดีนะมึง  ยามมหา’ลัยเขาจะได้ไม่ต้องตกใจว่าจะให้หน้าโจรๆแบบมึงผ่านเข้ามาในมอดีหรือเปล่าอยู่ทุกวันไอ้ห่า มึงไม่ขี้เกียจต้องโชว์บัตรนักศึกษาให้ยามดูทุกวัน อยู่คนเดียวบ้างหรอวะ?”


“กูไม่มีกะจิตกะใจจะทำเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหละมึง”  พูดแล้วก็เศร้ายิ่งกว่าหมาหงอยอีก


“ไหนตอนกูค้านว่าแกล้งเป็นตุ๊ดมันไม่โอเคสักวันต้องถูกจับได้แน่ แต่มึงก็บอกกูว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงมึงก็รับได้ไงวะ  แล้วทำไมพอมันพังไม่เป็นท่ามึงถึงโคตรรับไม่ได้แบบนี้วะไอ้ห่าโอ้”  แต่ตอนนี้กูรับไม่ได้โว้ย  เวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน ความคิดกูก็เปล่ยนเช่นกัน


“...กูเคยบอกมึงหรอวะ  ว่ากูรับได้”  หรอวะ  ผมเคยพูดหรอวะ


“เอออออ  ไอ้ควาย เคยจำห่าอะไรได้บ้างไหมมึงอ่ะ  หลายครั้งกูก็แปลกใจนะว่ามึงหลุดเข้ามาเรียนมหา’ลัยได้ยังไงทั้งที่ความจำสั้นยิ่งกว่าหางกบแบบนี้” 


“...” ผมได้แต่เงียบไม่พูดอะไรต่อ...เพราะผมกำลังคิดอยู่ว่ากบมันมีหางด้วยหรอ  ทำไมผมไม่เคยเห็น ไอ้ห่าโปแม่งมั่ว!


“ถึงกูจะความจำสั้นแต่กูก็รู้นะโว้ยว่ากบมันไม่มีหาง! มึงมันก็ควายพอกับกูแหละวะ”  ชิชะมาทำเป็นด่าผมอยู่ได้  เห็นผมกำลังเศร้าล่ะเอาใหญ่


“...ไอ้โอ้...กูว่าสมองมึงเกินเยียวยาแล้วจริงๆนั่นแหละวะ”  ไอ้โปทำหน้าปลงสุดขีด


“อะไรของมึงอีกวะ  กูพูดผิดตรงไหนก็กบมันไม่มีหางจริงๆ”  ผมเถียงต่อ  เริ่มหงุดหงิด  รักพังไม่พอโดนเพื่อนมากวนตีนอีก


“ใช่  มึงพูดถูก  กบมันไม่มีหาง...และกูก็ขอยืนยันว่าความจำมึงก็สั้นยิ่งกว่าหางกบซะอีก”  ไอ้โปยังยืนยันหนักแน่น จนผมเริ่มเอะใจ

“...”  ความจำผมสั้นยิ่งกว่าหางกบ  แต่กบมันไม่มีหาง  มันไม่มีหางก็แสดงว่า...


“ไอ้ควาย! โดนกูด่าว่าไม่มีความจำตรงๆขนาดนี้ยังคิดไม่ออกอีก  บุญของสโนว์แล้วล่ะไม่ได้คนโง่แบบมึงไปเป็นแฟน”


แล้วทำไมต้องตอกย้ำด้วยวะ!  T T แค่นี้ก็โคตรเจ็บปวดอยู่แล้วป่ะวะ  ไอ้เพื่อนเหี้ย  กูอยากร้องไห้


“เลิกทำหน้าหมาหงอยสักทีเถอะวะ  กูรำคาญลูกกะตาเต็มทน  ขืนมึงยังเป็นสภาพแบบนี้ได้ดรอปเรียนแน่ไอ้โอ้”  ไอ้โปหันมาพูดอย่างจริงจัง แต่เหมือนว่าจิตสำนึกผมจะต่ำไปหน่อยเลยไม่รู้สึกสะทกสะท้านหรือคิดได้มากขึ้นเลยสักนิด


“...”


“อยากง้อสโนว์ไหม?” 


“อยากดิวะ  ถามมาได้”


“กูมีวิธีนะมึง  แต่ไม่รู้จะได้ผลเปล่า”  พอไอ้โปพูดแบบนี้ผมเลยหันไปมองมันด้วยความสนใจ 


“ว่ามามึง  กูพร้อมทำทุกอย่าง”  ผมตั้งใจฟังสิ่งที่มันจะพูดออกมา จนแทบกลั้นหายใจ


“มึงก็จ้างคนไปรุมทำร้ายสโนว์  พอสโนว์เริ่มกลัว  มึงก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วเข้าต่อสู้กับพวกนั้น  ทีนี้สโนว์ก็จะรู้สึกเหมือนมึงเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยไง ไง ไง ไงงงง  เจ๋งป่ะความคิดกู”  ไอ้โปกอดอกหัวเราะคิกๆ


“สาบานว่ามึงไม่ได้ใช้หัวแม่เท้าคิด?”  ผมมองมันอย่างเอือมระอา   นี่มันอ่านนิยายหนักมากเกินไปหรือเปล่าบอกผมที


“เอ้า  นี่มันคลาสสิกสุดๆเลยนะมึง”


“ให้ตายก็ไม่ทำ...กูไม่อยากสร้างเรื่องหลอกเขาอีก   ไม่อยากไปตอกย้ำปมในใจเขาด้วย”   ถ้าผมทำตามไอ้โปแนะนำก็บ้าสิ้นดี  สโนว์ไม่ควรต้องมาพบเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว


“ทีงี้ล่ะฉลาดขึ้นมาเชียวถ้าเกี่ยวกับสโนว์ เหอะ  งั้นมึงก็เป็นหมาแอบมองเขาแบบนี้ต่อไปเถอะ  กูไม่รู้จะช่วยยังไงล่ะ”


“อืม... กูคงทำได้เท่านี้จริงๆ”  ผมหันไปมองสโนว์ที่เดิมแต่ร่างขาวกลับไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว


“อ้าวเฮ้ย สโนว์ไปไหนแล้ววะ?”  ผมชะเง้อคอมองหา  รีบลุกไปตรงโต๊ะที่สโนว์นั่งเมื่อกี้นี้ก็ไม่เจอแม้แต่เงา  เห็นก็แต่กระเป๋าสตางค์หนังของสโนว์ร่วงอยู่ใต้เก้าอี้   ผมเลยก้มเก็บมา


“เวรกรรมดันทำกระเป๋าสตางค์ตกอีก  แล้วจะมีเงินใช้ไหมล่ะนั่น”  ไอ้โปพูดลอยๆ ผมหันไปมองมันอย่างฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า  วันนี้เป็นวันศุกร์ ถ้าสโนว์ไม่มีกระเป๋าตังค์เสาร์ อาทิตย์จะเอาอะไรกิน บัตรกดเงินก็น่าจะอยู่ในนี้หมด


“มัวแต่ยืนคิดนาน  เดี๋ยวเขาก็ขับรถกลับไปเสียก่อนหรอกไอ้โอ้  รีบตามไปดิวะ” 


ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไปแต่ขาทั้งสองข้างกลับวิ่งออกไปจากโรงอาหารอย่างรวดเร็ว   วันนี้สโนว์จอดรถไว้หน้าคณะอื่นผมจำได้เพราะขับรถมอเตอร์ผ่านซึ่งก็ไกลจากคณะผมทีเดียว  ผมเลยต้องรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดด้วยความกลัวว่าสโนว์จะอดข้าวตายในวันเสาร์อาทิตย์นี้เสียก่อน



ผมวิ่งออกมาไม่ทันไร  ฝนประเทศไทยที่นึกอยากจะตกวันไหนตอนไหนก็ตกดันตกลงมาตอนนี้ซะอย่างนั้น  ให้มันได้อย่างนี้สิพับผ่าเอ๊ย!  ผมกุมกระเป๋าสตางค์ไว้แนบอกเอามือบังจนแน่ใจว่ามันจะไม่เปียกแล้วรีบวิ่งให้ไวกว่าเดิมไปยังจุดมุ่งหมาย  สายตาทุกคนที่เดินกางร่มกันคงมองว่าไอ้บ้าที่ไหนมาวิ่งตากฝนในมหา’ลัยกันวะ  หรือมันวิ่งชิงกระเป๋าสตางค์นักศึกษาในมหา’ลัยมากัน  แต่ผมก็หาได้แคร์สายตาเหล่านั้นไม่  ผมวิ่งมาจนถึงจุดหมายรถสโนว์ยังจอดอยู่ที่เดิม ส่วนเจ้าของรถก็ยืนหลบฝนอยู่ใต้อาคารนั่นเอง



ผมเดินเข้าไปในใต้อาคาร   ก่อนจะหยุดที่ตรงหน้าสโนว์ในระยะห่างหนึ่งเมตร  แล้วยื่นกระเป๋าสตางค์ส่งไปให้สโนว์


“ส..สโนว์ ทำตกไว้ที่โรงอาหาร  เราเห็นเลยรีบเอามาให้น่ะ”  สโนว์มองดูสภาพผมที่เปียกยิ่งกว่าตกถังน้ำอย่างอึ้งๆ  แล้วยื่นมือมารับกระเป๋าสตางค์ไว้


“น.นาย...ได้เปิดกระเป๋าเราดูหรือเปล่า”  สโนว์ถามเสียงอ่อมแอ้ม ทั้งยังเสสายตามองไปทางอื่นไม่มองหน้าผม


“เปล่านะ  เราไม่ได้เปิดดูเลยสักนิด  จริงๆ สาบาน”  ผมรีบชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วเป็นเครื่องยืนยันความบริสุทธิ์ใจ


“งั้นหรอ.....แต่..ยังไงก็ขอบใจนะ..ที่อุตส่าห์เอามาคืนให้”  เพียงสโนว์พูดแค่นี้  หัวใจที่ห่อเหี่ยวของผมก็เหมือนได้รับการรดน้ำให้กลับมาฉุ่มฉ่ำอีกครั้งแล้วล่ะครับ   เพราะว่าดีใจมากทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างต่อหน้าสโนว์ไป  ก่อนจะสำนึกได้ว่ามึงยังถูกเขาโกรธอยู่นะโว้ย  ยังจะทำหน้ามีความสุขอยู่อีก


พอคิดได้อย่างนั้นผมก็หุบยิ้มโดยฉับพลัน


“สโนว์... เราขอคุยเรื่องนั้นได้ไหม  เราอยากอธิบาย..ว่าที่เราโกหก ที่เราทำไปทั้งหมด เพราะเรา...ร”   ในขณะที่ผมกำลังจะเริ่มต้นอธิบายใหม่เพื่อขอโอกาสอีกครั้งก็พอดีกับโทรศัพท์ที่สั่นขึ้นมาในกระเป๋ากางเกง  ผมลืมไปเสียสนิทว่าใส่โทรศัพท์ไว้ในนี้  โชคดีที่มันกันน้ำได้ไม่งั้นคงเป็นผมนี่แหละที่จะไม่สามารถติดต่อใครได้เลย



พอเห็นว่าเป็นอาหลิงโทรมาก็กดรับสาย


“ว่าไงอาหลิง”


/เฮีย...ช่วยอั๊วะด้วย  อั๊วะแย่แล้วเฮีย  ฮือออ/





“อาหลิง! ลื้อเป็นอะไร!!!”





*****************************************
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

เกือบจะได้บอกความในใจอยู่แล้วเชียว  ไรท์ไม่น่ามาง่วงก่อนเลย  เอ๊ย! ไม่ช่ายยยย( เอ หรือใช่หว่า :katai3:)

แล้วอาหลิงเป็นอะไรทำไมโทรมาร้องไห้แบบนี้ล่ะ 


คนรักก็ต้องง้อ น้องรักก็ดันมีปัญหา  อันโทนิโอ้คนโง่จะจัดการยังไงละเนี้ย


ส่วนตอน เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้  ทำไมไม่มีต่อท้ายเเล้ว  ที่ไม่มีเพราะว่าไรท์จะเขียนเป็นตอนเต็มๆทีหลังจ้า


เจ้าอันโทนิโอ้ไม่รู้อะไรบ้างก็จะมาเม้าท์ในตอนนี่แหละเนอะ  รออ่านกันนะคะ


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆค่ะ  น่ารักที่สุด :impress2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 50% 22 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-09-2018 04:08:10
อาหลิง เป็นอะไร หมาตัวไหนมารังแกนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 50% 22 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 22-09-2018 06:53:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 50% 22 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 22-09-2018 09:42:20
คายทำอารายอาหลิงอ่าา
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 50% 22 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 23-09-2018 08:20:04
มารอโอ้เอ้
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 100% 23 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 23-09-2018 16:21:33

/เฮีย...ช่วยอั๊วะด้วย  อั๊วะแย่แล้วเฮีย  ฮือออ/


“อาหลิง! ลื้อเป็นอะไร!!!”






/ฮืออออออออ เฮียยยยยย/


“อาหลิงตั้งสติก่อน  บอกเฮียมาซิว่าลื้อเป็นอะไร ใครทำอะไรลื้อ!”  ไม่บ่อยหรอกที่อาหลิงจะร้องไห้  ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตจริงๆ มันเลยทำให้ผมกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก


/เฮียมาหาอั๊วะที่โรงเรียนด่วนๆเลยนะ ตอนนี้เลยนะเฮีย  ไม่งั้นอั๊วะตายแน่ๆ ฮือออ  มาถึงก่อนแล้วอั๊วะจะเล่าให้ฟัง ฮือออออออออ/   อาหลิงเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมเล่า แถมเร่งให้ผมไปโรงเรียนอีก 

“โอเค  เฮียจะรีบไปหาลื้อที่โรงเรียนเดี๋ยวนี้แหละ” 


/อือออ เฮียรีบมานะ อั๊วะจะรอ/ แม้ใจอยากจะง้อคนตรงหน้าเพียงใด  แต่ยังไงน้องก็คือน้อง เลือดย่อมข้นกว่าน้ำผมไม่มีทางทิ้งขวางคนในครอบครัวหรอก นาทีนี้ก็ต้องเลือกช่วยอาหลิงก่อนล่ะครับ 

เรื่องของหัวใจเอาไว้ทีหลัง  หน้าที่พี่ชายต้องมาก่อน 



แต่ก่อนไปก็ขอลาสโนว์สักหน่อย


“เราไปก่อนนะสโนว์..อาหลิงมีปัญหานะ  เราต้องรีบไป  สโนว์กลับบ้านดีๆนะ...แล้วไว้ค่อยคุยกันใหม่”  ใช่ ต้องได้คุยกันใหม่อีกครั้งแน่นอน  ผมพูดเสร็จก็หันหลังเตรียมวิ่งฝ่าฝนไปเอามอเตอร์ไซต์ที่จอดไว้หน้าคณะอีกรอบ



แต่พอจะวิ่งไปก็รู้สึกถูกดึงเสื้อจนวิ่งไปไม่ได้ซะงั้น


“ส..สโนว์?”  คนตัวขาวดึงเสื้อผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้ไป


“รีบไม่ใช่หรือไง..เอารถเราไปก็ได้”  สโนว์ส่งกุญแจรถมาให้


“ทำไม..” 


“อาหลิงก็เหมือนน้องสาวเราอีกคน  เราก็อยากช่วยน้องเหมือนกัน”  คำพูดตรงๆจากสโนว์ทำให้ผมรู้สึกอุ่นวาบขึ้นในใจแม้ว่าร่างกายจะเย็นด้วยเพราะเปียกน้ำฝนก็ตามที  มันแบบดีใจ อุ่นใจ ที่สโนว์เองก็ห่วงคนในครอบครัวผมเหมือนกัน ไม่ได้โกรธจนไม่สนไม่แคร์อะไรทำนองนั้น


“แล้วสโนว์จะกลับคอนโดยังไง?”   ผมถามอย่างอดห่วงไม่ได้เพราะรู้ว่าสโนว์ไม่นั่งแท็กซี่ถ้าไม่สุดวิสัยจริงๆ


“...” 


“งั้นไปด้วยกันนะเดี๋ยวเราจะขับมาส่ง”  เมื่อสโนว์ไม่ตอบผมเลยรวบรัดเอาเอง  แล้วจับมือสโนว์วิ่งฝ่าฝนมาที่รถยนต์ที่จอดอยู่ใกล้ๆกับตึกเรียน  ผมเลือกจะเปิดประตูให้สโนว์เข้าไปนั่งก่อนที่ผมจะวิ่งอ้อมมาขึ้นรถฝั่งคนขับแล้วเปิดกูเกิ้ลแมบหาเส้นทางที่จะไปถึงโรงเรียนอาหลิงให้ไวที่สุด  แล้วรีบออกรถไปยังจุดหมาย

โชคดีที่รถยังพอเคลื่อนตัวไปได้ไม่ได้ติดแหง็กอยู่กับที่  คิดว่าน่าจะถึงโรงเรียนภายในหนึ่งชั่วโมงอยู่นะครับ 


เพิ่งโล่งใจว่ารถไม่ค่อยติดไม่ทันไร  ผมก็เจอไฟแดงที่ขึ้นเลขสามหลักนับถอยหลังให้รอกันไปยาวจนรู้สึกเซ็ง  ฝนก็ยังไม่หยุดตกด้วย  อากาศตอนนี้เลยหนาวมากๆครับ เพราะเสื้อผมเปียกด้วย เลยต้องปัดช่องแอร์ให้ไม่โดนตัวผมเอา

แล้วจู่ๆก็มีเสื้อฮู๊ดสีเทายื่นมาตรงหน้าเหมือนรู้ว่าผมหนาว


“ใส่เสื้อนี่ซะสิ   เดี๋ยว..ก็ไม่สบายหรอก”   


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


เสียงหัวใจที่หมดแรงมานาน  ตอนนี้กลับเต้นแรงอย่างหยุดไม่อยู่  ผมหลุดยิ้มกว้างถึงแม้จะแอบอึ้งอยู่บ้างก็ตามก่อนจะรับเสื้อที่สโนว์ส่งมาให้

“แล้วสโนว์ไม่ใส่หรอ  อากาศหนาวนะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา  เราทนได้อยู่แล้วไม่ป่วยหรอก”  เพราะว่าเสื้อสโนว์เองก็เปียกอยู่เหมือนกันแต่น้อยกว่าผม


“...”  สโนว์ไม่ตอบ แต่หันมามองและทำหน้าที่ผมแปลเป็นภาษาได้ว่า ‘อย่าให้ต้องพูดซ้ำ’ เหมือนนังเซ่นไหว้ไม่มีผิด เอิ่มมม  ผมไม่น่าให้สโนว์รู้จักนังเซ่นไหว้เลยจริงๆ ติดนิสัยนังเซ่นไหว้มาแน่ๆ


กระนั้นผมก็เลยปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาที่เปียกออก  สโนว์ถึงกับหันขวับไปทางอื่นอย่างรวดเร็วตอนที่ผมปลดกระดุมมาจนโชว์ซิกแพ็ก  เอ  หรือจะเขินหว่า???  ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่รู้ๆคือใบหูสโนว์แดงมาก 


พอผมถอดเสร็จก็สวมเสื้อฮู๊ดเข้าไป รู้สึกอุ่นขึ้นมากจริงๆแถมเสื้อตัวนี้ยังมีกลิ่นประจำตัวของสโนว์อยู่ด้วย  มันหอมแบบไหนผมก็อธิบายไม่ถูก แต่มันหอมแบบที่...อยากจะหอมไปเรื่อยๆน่ะครับ


“สโนว์  ขอบคุณที่ช่วยนะ” 


“อืม  ไม่เป็นไร”  สโนว์ยังคงไม่หันหน้ากลับมาแม้ว่าผมจะไม่ได้โป๊แล้วก็ตาม


เวลาบนไฟแดงถอยหลังลงเรื่อยๆจนกลายเป็นเลขสองหลัก บรรยากาศภายในรถก็กลับไปเงียบงันท่ามกลางฝนตกหนักที่ดูเหมือนจะไม่หยุดตกในเวลาอันใกล้นี้


“เราขอพูดเรื่องของเราสองคนได้ไหม?” 


“เรื่องที่เราโกหก..ว่าเป็นตุ๊ด เราตั้งใจนะ”   




“ที่ทำไปเพราะเรา...ชอบสโนว์” 


บอกไปแล้ว บอกไปแล้วกับความรู้สึกที่แท้จริงที่ปิดไว้มานาน  และเหมือนกับเป็นการเปิดประตูในห้องแห่งความลับ  เมื่อได้เปิดประตูปล่อยความรู้สึกในใจออกไปแล้ว สิ่งต่างๆที่เก็บไว้มานานก็ไหลออกมาอย่างยากจะปิดกั้นมันอีกต่อไป


“สโนว์เป็นคนน่ารัก ใจดีกับมาเรียฟิเซนต์ รักสัตว์ นิสัยดีมาก  แคร์คนรอบข้างตลอด  มันยิ่งทำให้เราชอบสโนว์มากขึ้นเรื่อยๆ  อยากจะอยู่ใกล้ๆ  อยากดูแล อยากให้สโนว์มีความสุข อยากปกป้องไม่ให้มีใครมาทำร้ายได้ อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดเรื่อยๆ...”


“...”


“แต่ถ้าเราเป็นผู้ชายแบบนี้เดินเข้าไปหาสโนว์คงต้องกลัวเราแน่  อาจจะลาออกไปตั้งแต่วันนั้นเลยก็ได้  คงไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาจนถึงตอนนี้  เราโง่เองที่ไม่มีสมองหาวิธีอื่นที่ทำให้เป็นเพื่อนกับสโนว์ได้นอกจากวิธีแกล้งเป็นตุ๊ดนี้...แต่ถึงย้อนกลับไปได้  เราก็คงทำเหมือนเดิม  ฮะฮะ....เพราะถึงตอนนี้เราเองก็ยังคิดวิธีที่จะเข้าไปเป็นกับสโนว์โดยที่สโนว์จะไม่กลัวเราไม่ได้เลยจริงๆ”  ผมได้แต่หัวเราะฝืดๆให้กับตัวเอง  พูดจาอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไปบ้าง  แต่ก็รู้สึกโล่งที่ได้พูดมันออกไป


“...”


“ขอโทษนะที่เราโง่คิดหาวิธีดีๆกว่านี้ไม่ได้เลย”  ผมหันไปหาสโนว์ที่ยังคงไม่หันหน้ากลับมาตาละห้อย   ในเมื่อพูดทุกอย่างออกไปหมดแล้วขนาดนี้  สว์ยังไม่สนใจ  ผมคงต้องปลงแล้วจริงๆ



ถ้าไม่ติดว่าภาพสะท้อนตรงกระจกรถ  มันสะท้อนใบหน้าของคนหลับอยู่!











ต่อ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 50% 22 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 23-09-2018 16:23:50




เวรกรรม  - -  พูดไปตั้งเยอะแยะคิดว่าจะเคลียร์ให้จบ  คู่กรณีดันหลับเฉย   ให้มันได้แบบนี้สิครับ


ปิ๊นนน ปิ๊นนนนน


เสียงแตรรถจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้ง เพิ่งเห็นว่าเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้ว  จึงขับรถต่อไปพร้อมกับสโนว์ที่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงแตรรถเช่นกัน


อาหลิงโทรมาอีกครั้ง แต่ผมเปิดจีพีเอสนำทางอยู่ที่คอนโทรนรถเลยต้องเปิดลำโพงคุย


/เฮียยย ถึงไหนแล้วอ่ะ ฮือออ/  เสียงอาหลิงที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดสร้างความกระวนกระวายใจให้ผมไม่น้อย


“เฮียใกล้จะถึงโรงเรียนลื้อแล้วล่ะ  รออีกแป๊บเดียวนะ ใจเย็นๆ” 

/ฮือออออ...เฮีย เร็วๆครูจะมาลากอั๊วะเข้าห้องปกครองแล้วนะ แงงง/


“ทำไมลื้อต้องเข้าห้องปกครองห่ะอาหลิง?”  ผมเริ่มเอะใจ และแปลกใจว่าเด็กอย่างอาหลิงที่ดีมาตลอดมีเหตุอะไรให้ต้องเข้าห้องปกครอง   เออถ้าเป็นผมสมัยเรียนมัธยมล่ะว่าไปอย่าง  โดนเรียกผู้ปกครองเป็นว่าเล่นจนครูทั้งโรงเรียนจำหน้าป๊าได้เลยล่ะครับ เหอๆ


/อั๊วะ.. ฮึก ฮือออ..อั๊วะโดนเรียกผู้ปกครองอ่า ฮือออออ  ฮึกๆๆ/


“...” ผมรู้สึกแดกจุดไปสามวิ  แค่โดนเรียกผู้ปกครองแค่นี้ ร้องไห้ใหญ่โตซะนึกว่าถูกเชือด ใจหายหมด


“แล้วลื้อไปทำอีท่าไหนห๊ะ อาหลิง”


/ฮืออออ ไว้ค่อยเล่า ฮึก  ได้ไหม  ตอนนี้ ฮือออ เฮียรีบมาหาอั๊วะที่โรงเรียนก่อนเถอะ ฮือออ/


“แล้วทำไมลื้อไม่โทรหาป๊าล่ะ”   ป๊าน่าจะจัดการปัญหานี้ได้ดีที่สุด  เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าอาหลิงโดนเรียกผู้ปกครองทำไม 


/ไม่เอา ฮือออ ถ้าป๊ารู้ว่าอั๊วะโดนเรียกผู้ปกครอง ป๊าไม่ให้อั๊วะไปแฟนมีตอปป้าแน่เลยอ่ะเฮีย ฮืออออออ อั๊วะรอมาตั้งนานแล้ว อั๊วะไม่อยากโดนกักบริเวณแล้วอดไปงานอ่า  ฮือๆๆๆ เฮียมาหาอั๊วะหน่อยน้า ช่วยอั๊วะหน่อยนะเฮีย ฮือออ/  ฟังเหตุผลของอาหลิงแล้วผมเองก็จะน้ำตาไหลตาม  เข้าใจแล้วว่าทำไมอาหลิงถึงร้องไห้หนักมากขนาดนี้  มันไม่ได้กลัวที่ถูกเรียกผู้ปกครองหรอกครับ  แต่มันกลัวจะโดนป๊าลงโทษไม่ให้มันไปเจออปป้า! ฮ่วย! คือบ้าผู้ชายที่แท้ทรู  มันน่าช่วยไหมนิ


“มาขนาดนี้ก็ต้องช่วยลื้ออยู่แล้วล่ะ  เฮียจะขับรถเข้าไปในโรงเรียนลื้อแล้วนะ  แล้วเอาเฮียมาแทนป๊าแบบนี้ครูเขาจะไม่ว่าอะไรหรออาหลิง”   ปกติครูที่โรงเรียนผมต้องเป็นพ่อแม่มารับทราบเท่านั้นครับ  แต่ของโรงเรียนอาหลิงผมก็ไม่แน่ใจ


/ไม่บอกครูเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเฮียเป็นแค่พี่อ่ะ...อั๊วะบอกครูไปว่าจะโทรตามป๊ามาเฮียก็แกล้งทำตัวเป็นป๊าให้หน่อยนะ  ครูจับไม่ได้แล้วหน้าเฮียแก่อยู่แล้ว/  ฟังน้องสาวตัวเองพูดเสร็จแล้วคิ้วก็กระตุกจึกๆ 


“คึคึคึ”  นั่นปะไหร่ คนข้างๆยังถึงกับกลั้นขำ


“ลื้อพูดงี้อั๊วะกลับรถออกไปดีกว่า”


/ฮืออออออออออออ  อั๊วะต้องตายแน่ๆถ้าป๊ารู้ โฮฮฮฮฮฮ ทำไมใครๆก็ไม่รักอั๊วะ มีพี่ชายก็ไม่สนใจน้อง ใจร้ายยยยย/ อาหลิงโวยวายพูดจาตัดพ้อใหญ่  ผมฟังแล้วยังแอบขำ  ส่วนสโนว์นี่เอามือปิดปากหัวเราะคิกๆเลยทีเดียว


“อ่ะๆ ก็ได้  เฮียจอดรถแล้ว ลื้ออยู่ตรงไหนเดี๋ยวเดินไปหา”  เห็นแก่ที่ทำให้สโนว์หัวเราะได้หรอกนะ ชิชะ


/เย้ๆ เฮียใจดีที่สุด ครูเดินมาตามอั๊วะแล้วเฮีย เจอกันที่ห้องปกครองนะ ติ๊ด/


แล้วยัยหลิงก็วางสายไป  ผมได้แต่ถอนหายใจปรับกระจกมองหลังมาส่องหน้าตัวเอง 



โจรป่าที่ไหนวะเนี้ย  โอ้มายก๊อดดดด


ผมก็ได้แต่เอามือเสยๆผมไปด้านหลังให้มันดูเรียบร้อยขึ้นหน่อย  แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้มันดีขึ้นสักเท่าไหร่เพราะหนวดยังเฟิ้มอยู่เหมือนเดิม   เอาเท่าที่ได้ก่อนแล้วกันวะ 


แต่ฝนยังตกอยู่นี่เลยสิ  ตกไม่ยอมหยุดเลยนะมึง


“สโนว์นั่งรอในรถก่อนก็ได้นะ  ฝนยังไม่หยุดตกเลย”  ผมหันไปบอกคนตัวขาวที่กลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิมได้แล้ว


“....มีร่มอยู่เบาะหลัง  แล้ว..เราก็เป็นห่วงอาหลิงด้วย”  ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป  ผมคิดว่าสว์คงอยากจะลงไปด้วยกันแน่นอน   ผมเลยเอื้อมตัวไปเบาะหลังหยิบร่มที่วางไว้อยู่คันหนึ่งมา  แล้วออกจากรถกางร่มเดินอ้อมไปรับสโนว์อีกด้าน  สโนว์เองก็ลงมาโดยดี  แล้วเราทั้งสองคนก็เดินหาทางไปห้องปกครองด้วยกัน


ขอโทษที่เมื่อกี้ด่ามึงนะฝน  แต่ตอนนี้กูขอบคุณมึงมากที่ตกลงมา  เพราะมันทำให้กูได้กลับมากลับมาใกล้ชิดกับสโนว์ได้อีกครั้งหนึ่ง  แม้ว่าร่างกายซีกซ้ายจะเปียกฝนไปทั้งแทบก็ตามเพราะผมเอาร่มไปบังฝนให้สโนว์แทบหมดคันก็ตามที  แต่รู้สึกดีมากจริงๆ


“เขยิบ..เข้ามาอีกก็ได้  ตัวเปียกฝนหมดแล้วไม่เห็นหรือไง”  สโนว์เอ่ยปากบอก แน่นอนว่าผมไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสนี้ไวรีบเบียดเข้ามาใกล้ให้อยู่ร่มคันเดียวกันมากขึ้นกว่าเดิม   


มีความสุขจริงโว้ยยยยยย



เราเดินลัดเลาะมาตามอาหารและลูกศรป้ายชี้ทางในที่สุดก็เจอห้องปกครอง  ห้องที่แอร์เย็นที่สุดในสามโลก!


เมื่อเปิดประตุเข้าไปก็พบกับความหนาวเย็นยะเยือกคูณสามไปอีก  แต่ก็ต้องคีพลุคคลูๆไว้ก่อนให้ดูน่าเชื่อถือ  ผมยกมือไหว้คุณครูในห้องปกครอง  รวมไปถึงน่าจะเป็นคุณแม่ของเด็กอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับน้องสาวผมที่นั่งก้มหน้างุด


“สวัสดีครับ สวัสดีครับ...อาหลิง ป๊าลื้อไม่ว่างมาต้องขายของ  เลยโทรให้กู๋มาแทนนะ” ผมแอ็คเสียงเข้มให้ดูเป็นผู้ใหญ่ แล้วพูดกับอาหลิง   ผมคิดว่าถ้าบอกคนอื่นว่าเป็นป๊าอาหลิงคงไม่มีใครเชื่อหรอกครับ  มันดูแก่ไป บอกว่าเป็นกู๋ หรือ อานี่ยังพอน่าเชื่อถืออยู่นะครับ


อาหลิงเงยหน้ามามองงงๆ แต่ก็พยักหน้ารับอย่างรู้งาน “ ไม่เป็นไรค่ะกู๋  แค่กู๋มาหลิงก็ดีใจแล้ว”  ปากพูดว่าดีใจแต่ทำไมสายตามองผ่านไปหาสโนว์ที่อยู่ด้านหลังด้วยตาระยิบระยับอย่างงี้วะ  แถมยังแอบบยิ้มมุมปากนิดพร้อมส่งสายตามาประมาณว่า ‘ดีกันแล้วหรออออ’


“อ้อ คนนี้กู๋เธอหรอจือหลิง”  คุณครูในห้องเอ่ยถาม  คงไม่อยากจะเชื่อว่ากู๋จะหน้าเด็กกว่าที่คิดไว้น่ะครับ

“ค่ะครู”

“อ้อๆ กู๋นี่เท่ากับเป็นลุงใช่ไหม สวัสดีนะคะคุณลุง  ดิฉันเป็นครูประจำชั้นของจือหลิงค่ะ เรียกว่าครูพิมพ์ก็ได้ค่ะ”

ฉึก!!! โอ้โห โคตรเจ็บปวดจนไอ้อันโทนิโอ้คนนี้แทบกระอักเลือดช้ำใจตาย อ่ะเฮือกกก   เป็นกู๋ก็ว่าแก่แล้วนะ  นี่ครูยังจะให้ผมเป็นลุง พี่ชายป๊าไปอี๊กกกก   โคตรรับไม่ด้ายยยย น้ำตาจะไหลแล้ว  อาหลิงหน้าเหวอไปก่อนจะจิกเล็บที่ขาตัวเองอย่างกลั้นขำ  สโนว์เองก็พอกัน  ผมเห็นนะว่าเขาเม้มปากแน่นเชียว ฮึ่ยยย

“แล้วคนนั้นใครคะ?  พี่ชายจือหลิงหรือเปล่า”


“เปล่าครับ  นี่เด็กฝึกงานที่บริษัท  พอดีว่าป๊าจือหลิงโทรมาตอนที่เราออกมาดูงานกันน่ะครับ  เลยต้องมาด้วยกัน”  ผมโกหกหน้าตาย  คุณครูก็พยักหน้ารับรู้ไม่ได้ว่าอะไร


“ดิฉันว่าเราควรจะรีบพูดธุระกันให้เสร็จนะคะ  เพราะตัวดิฉันเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้น  นี้ก็นั่งรอมานานมากแล้วด้วย”  คุณแม่ของเด็กอีกคนเอ่ยปากพูดขึ้นน้ำเสียงเต็มไปด้วยความทระนงตัวไม่น้อย


“นั่นนะสินะคะ  งั้นเดี๋ยวเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” ครูพิมพ์แอบหน้าเสียไปนิดเมื่อถูกผู้ปกครองอีกฝ่ายพูดจาเหมือนติเตียน

“คือว่าวันนี้ จือหลิงเขาเอาแก้วน้ำปาใส่ณัฐวราน่ะค่ะ  แล้วไปโดนหางคิ้วแตกเฉียดตาไปนิดเดียวเอง  จากนั้นพวกเธอก็...มีเรื่องที่เข้าขั้นทำร้ายร่างกายกัน  ถือว่าเป็นเรื่องค่อนข้างร้ายแรง ครูเลยต้องเชิญผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายมาคุยกันเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน  ไม่อยากให้เรื่องต้องถึงขั้นเข้าโรงพักไปแจ้งความกัน”


“แค่ค่อนข้างร้ายแรงเองหรอคะครู  นี่มันเฉียดลูกตาลูกดิฉันไปนิดเดียวเองนะคะ หรือต้องรอให้ปามาถูกจนตาบอดก่อนถึงจะเรียกว่าร้ายแรง  ดิฉันไม่ยอมนะคะทางโรงเรียนปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน!  ไม่ได้อบรมสั่งสอนหรอคะ!!!”  เจ้คนนี้ดูเกรี้ยวกร้าวเวอร์  คิดว่าประโยคหลังก็คงพูดแดกดันผมเต็มๆ แต่ก็นะลูกตัวเองทั้งคนโดนปาของใส่จนเลือดออกแบบนั้นก็ต้องโมโหมากเป็นธรรมดา   ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรไปเพราะยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดเลยเลือกหันไปถามอาหลิงแทน




“อาหลิง  บอกอั๊วะมาซิว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง  พูดความจริงมา อั๊วะจะรับฟัง” คนเราต้องฟังความทั้งสองข้างถึงจะตัดสินได้ถูกต้องว่าฝั่งเราผิดจริงอย่างที่เขาพูดหรือไม่


“ก็นัตตี้อ่ะ มาว่าหลิงก่อน  บอกให้หยุดพูดจาชุ่ยๆ เขาก็ไม่หยุด หลิงโมโหก็เลยคิดจะสาดน้ำใส่เฉยๆแต่แก้วมันดันหลุดมือตามไปด้วยเลยไปโดนหางคิ้วนัตตี้เข้า...แต่หลิงไม่ได้ตั้งใจจะปาจริงๆนะ”  อาหลิงเองก็ฟ้องอย่างไม่ยอมถูกปรักปรำข้างเดียว  ก่อนจะเสียงอ่อยเมื่อพูดว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ


“แล้วก็เลยมีเรื่องกันหรอ”


“ก็พอแก้วมันไปโดนนัตตี้  นัตตี้ก็จะเข้ามาตบหลิง  หลิงก็ต้องป้องกันตัว”


“ก็แกทำฉันซะขนาดนั้น จะให้ยืนเป็นแม่พระยิ้มหวานให้อภัยโปรดสัตว์หรือไงล่ะ!”  นัตตี้เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้  แม่เป็นอย่างไงลูกก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ  เกรี้ยวกร้าดเวอร์

“ก็แกพูดจาสุนัขไม่รับประทานก่อนทำไมล่ะ!” อาหลิงเถียงกลับ ต่างคนต่างโยนความผิดให้กันอย่างไม่ยอม


ปัง! 

ครูพิมพ์ตบโต๊ะเสียงดังเพื่อยุติเสียงโต้เถียงกัน

“กรุณาเคารพสถานที่ด้วยนักเรียน  ที่นี่โรงเรียนไม่ใช่ตลาดรักษามารยาทด้วย”


“แต่ดิฉันคิดว่าลูกดิฉันไม่ผิดนะคะ  และคิดว่าอีกฝ่ายต้องชดใช้ค่าเสียหายเพราะว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน  พยานก็เต็มโรงอาหารนี่คะ” 


“ใช่ค่ะคุณแม่  หลิงมันทำนัตตี้ก่อน  นัตตี้ไม่ผิด”  ยัยนัตตี้รีบพูดสมทบ  แอบแลบลิ้นให้อาหลิงด้วย  อาหลิงเองได้แต่กำมือแน่นคงจะแค้นน่าดู


“อาหลิง  อั๊วะขอถามได้ไหม  ว่านัตตี้เขาพูดอะไรทำไมถึงทำให้ลื้อหัวร้อนจนไปทำร้ายเขาก่อนได้ขนาดนั้น  เขาพูดจาร้ายแรงมากเลยหรออาหลิง”   ผมพยายามใจเย็นถามอาหลิงดีๆ  เพราะผมเชื่อว่าน้องสาวผมเป็นคนมีเหตุผลพอสมควร


“ก็...ก็นัตตี้อ่ะ..ฮึก...”  แต่พออาหลิงจะเล่าก็ดันน้ำตาคลอมาอีกรอบซะงั้น






ต่อ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 100% 23 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 23-09-2018 16:33:50



“ใจเย็นๆ ค่อยเล่า อั๊วะฟังลื้อเสมอ”   หรือว่ายัยนัตตี้อะไรนี่จะไปพูดว่าอปป้าของอาหลิงวะถึงได้หัวร้อนขนาดนี้  ความรักไอดอลของพวกผู้หญิงนี่เขายากจะเข้าใจได้จริงๆ


“ฮึก..ก็..นัตตี้อ่ะ  เขาว่า ฮึก ว่าเฮียหลิงเป็นโรคจิต วิปริตอ่ะ ฮือออ เขาบอกว่าผู้ชายฮึก ที่แต่งหน้าก็เป็นเกย์ทั้งนั้น เป็นพวกบ้าวิกลจริต ฮึก ไม่เต็มบาท เสียชาติเกิด อั๊วะยอมให้ใครมาว่าเฮียอั๊วะไม่ได้  ฮึก  ก็บอกให้นัตตี้ถอนคำพูดซะ ฮึกฮึก ฮือออ แต่นัตตี้ก็ไม่ยอมถอนคำพูด  แถมยังพูดย้ำซ้ำๆไม่ยอมหยุด  อั๊วะโมโหเลยจะสาดน้ำใส่นัตตี้หวังแค่ให้หุบปากแค่นั้นเอง ฮือออ”  อาหลิงร้องไห้สะอึกสะอื้นพยายามปาดน้ำตาให้หายร้องแต่ดูเหมือนว่าความเสียใจมันมีมากเกินกว่าที่จะห้ามไว้ได้


ผมได้แต่นิ่งงัน  ไม่คิดว่าสาเหตุที่ทำให้อาหลิงหัวร้อนได้มากขนาดนี้จะเกิดมาจากผมเป็นต้นเหตุ  ไม่คิดว่าที่อาหลิงทำไปเพราะอยากปกป้องผมมากขนาดนี้เลย


ผมได้แต่โอบบ่าอาหลิงตบไหล่เบาๆอย่างปลอบโยน


“ไม่ต้องร้องอาหลิง  ถ้าเฮียลื้อรู้ว่าหลิงร้องไห้เพราะเขาขนาดนี้  เดี๋ยวเฮียลื้อจะร้องไห้ตามเอาได้นะ”  ผมยิ้มให้อาหลิงที่หันมามองผมด้วยน้ำตาท่วมหน้า  ก่อนจะพยายามหยุดร้องไห้อีกครั้ง


“ผ้าเช็ดหน้า อาหลิง”  สโนว์ยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองส่งให้อาหลิงเช็ดหน้าเช็ดตารวมไปถึงขี้มูกที่ไหลออกมารวมกันด้วย


“นัตตี้...ลูกได้พูดแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า”  แม่ยัยนัตตี้ถามเสียงเย็น  เมื่อได้ฟังความจากปากน้องผมเสร็จ


นัตตี้หน้าเจื่อนลงไป  ก่อนจะค่อยๆพูดเสียงเบาว่า “จ..จริงค่ะแม่” 


ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในสภาวะเดธแอร์ มีเพียงเสียงแอร์รุ่นเก่าที่ยังคงทำงานอยู่อย่างไม่ได้รับรู้ถึงอารมณ์ของคนในห้อง


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...”  แม่ยัยนัตตี้หันมามองพวกผมด้วยแววตาที่ผมเดาไม่ออก


“ดิฉันก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่อบรมสั่งสอนลูกมาได้ไม่ดีพอ ขอโทษจริงๆค่ะ”  ไม่ใช่แค่พูดเฉยๆแต่แม่ยัยนัตตี้ยังยกมือขึ้นมาไหว้อย่างเต็มใจทำอีกด้วย


“แม่! จะไปไหว้ขอโทษเขาทำไม”  ยัยนัตตี้หน้าเหลอหลา  คงไม่คิดว่าแม่ตัวเองที่ดูทระนงตัวจะยกมือไหว้ขอโทษคนอื่นง่ายๆแบบนี้  ผมเองยังเหวอเลยครับ  ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน


“แกน่ะสิเป็นบ้าอะไรถึงยังไม่ขอโทษเขาอีก  แม่ไม่เคยสอนให้แกเป็นคนหยาบคาบแบบนี้นะนัตตี้  ถ้าเขาทำแกก่อนแล้วแกสู้กลับแม่ไม่ว่า  แต่การที่แกไปด่าว่าพี่เขาอย่างหยาบคาบแบบนั้นก่อนแม่เองก็รับไม่ได้เหมือนกัน  แม่สอนให้แกเข้มแข็ง ไม่ใช่สอนให้แกเป็นคนหยาบกระด้างแบบนี้”  แม่ยัยนัตตี้ดุลูกตัวเองอย่างจริงจังคิ้วขมวดอย่างไม่พอใจกับพฤติกรรมลูกตัวเองจริงๆ


“น..นัตตี้ก็แค่  พูดล้อเล่น ขำๆเอง  หลิงนั่นแหละทำจริงจังไปได้”  ยัยนัตตี้ยังแก้ตัวน้ำขุ่นๆตามประสาเด็กที่ไม่ยอรับความผิดของตัวเอง


“แต่คนที่ฟังเขาไม่ได้รู้สึกตลกไปด้วยนี่ครับ  คุณอาจจะรู้สึกสนุกปากแต่คนฟังเขาเจ็บปวดกับคำพูดของคุณจริงๆและมันจะฝังใจเขาไปตลอดไม่มีวันลืม...และไม่เคยลืม  รู้แบบนี้แล้วคุณยังจะคิดว่ามันเป็นเรื่องขำๆอีกหรอครับ”  สโนว์เอ่ยปากพูดบ้างหลังจากที่นิ่งมานาน  ผมกับอาหลิงหันไปมองอย่างแปลกใจไม่คิดว่าสโนว์จะพูดว่าอีกฝ่ายตรงๆ


“ที่คุณพูดมาก็ถูกแล้วล่ะค่ะ ดิฉันต้องขอ.”   


“แม่! พอแล้ว ฮือ  ไม่ต้องขอโทษแทนนัตตี้แล้ว ฮืออ”  ยัยนัตตี้รีบเอามือมากุมมือแม่หล่อนไว้เมื่อเห็นว่าทำท่าจะยกมือไหว้ขอโทษพวกผมอีกรอบ


“...”  แม่นัตตี้เงียบใส่ลูกตัวเอง  ยังพยายามจะยกมือขอโทษอยู่  ดีที่ว่ายัยนัตตี้ก็คงไม่ใช่เด็กนิสัยไม่ดีไปหมดเสียทีเดียว เพราะว่าเธอ...


“เดี๋ยวนัตตี้ ฮึก ขอโทษเองค่ะ ฮึก”  พอได้ยินอย่างนั้นแม่ยัยนัตตี้เลยวางมือลง นัตตี้จึงค่อยๆยกมือขึ้นมาไหว้ขอโทษ “หนูขอโทษนะคะ ฮึก  ที่พูดจาหยาบคาบใส่ พี่ชายหลิงแบบนั้น ฮึก  ต่อไปจะไม่พูดจาแย่ๆแบบนั้นแล้วค่ะ ฝากขอโทษพี่ชายหลิงด้วยนะคะคุณลุง” พอยัยนัตตี้พูดขอโทษด้วยความสำนึกผิดแบบนี้แล้วผมก็ไม่ได้ถือโทษอะไรแล้วเข้าใจธรรมชาติของเด็กวัยนี้ว่าต้องมีหัวร้อนไม่มีเหตุผลกันบ้าง  แต่อาจจะมีเคืองบ้างนิดหน่อยที่เรียกผมว่าลุง แค่นั้นเอง - - ผมยกรับไหว้ขอโทษ  ก่อนจะหันไปมองอาหลิงและสื่อสายตาว่าลื้อก็ควรขอโทษเขาเช่นกัน


“หนูเอง..ก็ต้องขอโทษคุณน้านะคะที่ทำให้ต้องเดือดร้อนมาโรงเรียนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง...เราขอโทษนัตตี้ด้วยที่หัวร้อนไปทำให้แกต้องเจ็บตัว  ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ขอโทษจริงๆ”  ผมตบบ่าให้กำลังใจอาหลิง  อย่างน้อยก็กล้าหาญพอที่จะยอมรับความผิดของตนเองและแก้ไขมันเสีย  ทั้งอาหลิงทั้งนัตตี้ต่างปาดน้ำตา  แม่ยัยนัตตี้เองก็กุมมือลูกตัวเองไว้ไม่ปล่อย  เห็นแล้วก็นึกถึงม๊าตอนที่ผมโดนครูดุครูด่าว่ายังไงม๊าก็ยังนั่งกุมมือผมไว้แบบนี้เสมอเหมือนกัน


ในวันที่เราได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดโดนคนอื่นว่ากล่าวอย่างไร  คนที่ไม่เคยปล่อยมือเราไปไหนและยังจับมือเราก้าวข้ามความผิดพลาดไปด้วยกันก็คงมีแต่คนๆนี้แหละครับ


คนที่เราเรียกว่า ‘แม่’


“ครูดีใจนะที่พวกเธอต่างยอมรับความผิดของตัวเองและรู้จักขอโทษเมื่อทำผิด  ในอนาคตชีวิตพวกเธอยังต้องเจออะไรอีกมาก  ครูขอให้เก็บประสบการณ์นี้ไว้เป็นบทเรียนสำคัญของพวกเธอเอง จะพูดจะทำสิ่งใดขอให้มีสติและคิดถึงผลที่ตามมาไว้เยอะๆ  เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะได้รับผลจากการกระทำของเธอก็คือตัวเธอเองเต็มๆพ่อแม่พวกเธอไม่ได้อยู่คอยช่วยพวกเธอได้ตลอดไปนะเด็กๆ....”  ครูพิมพ์สอนย้ำอีกครั้ง  ทุกคนต่างรับฟังและยกมือไหว้ขอบคุณคำสั่งสอนของครู


“ถ้าต่างฝ่าย  ต่างเข้าใจกันแล้ว ครูขอให้เรื่องจบลงเพียงตรงนี้นะคะ...แต่ครูก็ต้องลงโทษไปตามกฏระเบียบของโรงเรียน  ณัฐวรากับจือหลิงจะถูกหักคะแนนความประพฤติ แล้วต้องช่วยกันทำความสะอาดห้องน้ำหญิงชั้นสี่ทุกวันเป็นเวลาสองอาทิตย์   ถ้าเข้าใจตรงกันตามนี้แล้วก็กลับบ้านได้ค่ะ”   ครูพิมพ์สรุป  ต่างคนจึงต่างลุกขึ้นเตรียมกลับบ้านกัน


“คุณแม่น้องนัตตี้ครับ  ผมขอชดใช้ค่ารักษาพยาบาลนะครับ เพราะถึงยังไงหลานผมก็ผิดที่ไปทำร้ายน้องนัตตี้”  ผมเดินเข้าไปหาคุณแม่ยัยนัตตี้เพื่อตกลงเรื่องค่ารักษาพยาบาล  ผมเองก็ไม่รู้ว่าคิ้วแตกมากหรือน้อยเพราะน้องเอาพลาสเตอร์ยาปิดไว้อยู่  แต่ตามตัวก็มีรอยถูกเล็บข่วนเยอะอยู่เหมือนกัน
“ถ้าทางคุณเต็มใจชดใช้ให้ ดิฉันก็จะรับไว้ค่ะ”  แม่นัตตี้พูดเสียงเรียบแต่ยังคงความทระนงตัวไว้อยู่


“ผมยินดีชดใช้ครับ  เอาเป็นว่าถ้าไปตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาล ขอบิลใบเสร็จค่ารักษามาให้อาหลิงด้วยนะครับ  ผมจะจ่ายคืนให้ทีหลัง  แบบนี้คุณแม่โอเคไหมครับ”


“ตกลงค่ะ   ถ้าหมดธุระแล้ว ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ ลาล่ะค่ะ คุณลุงของหลิง”   จะไปทั้งทีก็ยังไม่วายพูดจาเชือดเชือนใจผมอีก   หน้าผมมันแก่คราวลุงจริงๆหรอวะ


ผมถอนหายใจแรงๆ  หลังจากออกมาจากห้องปกครองได้  หมดเรื่องสักที


“ขอบคุณนะเฮียที่มาช่วยอั๊วะอ่ะ”  อาหลิงเข้ามาทำปริบๆใส่  คิดว่าน่าสงสารมากหรือไงล่ะนั้น


“อืม  คราวหน้าก็อย่าหัวร้อนให้มันมากล่ะอาหลิง  เฮียดีใจที่ลื้ออยากปกป้องเฮียนะ  แต่เฮียก็ไม่อยากแก่จนเป็นพี่ชายป๊าอีกหรอกนะ หึหึหึ”  ผมพูดขำๆ เอามืบลูบหัวอาหลิงไปด้วย


“แหะๆ โอเคคร้าบ จะไม่มีครั้งหน้าแน่นอน อั๊วะเข็ดแล้ว”  อาหลิงชูสามนิ้วขึ้นสาบานอย่างหนักแน่น  ผมเลยไม่ได้ว่าอะไรอีก


“แล้วเพื่อนอาหลิงรู้จักโอ้เอ้ด้วยหรอ  ถึงได้พูดจาแบบนั้นใส่ได้”  สโนว์ถามขึ้น  ผมพยักหน้าอย่างอยากรู้ด้วยเหมือนกัน...โอ้เอ้   โอ้เอ้   


เฮ้ย!  สโนว์กลับมาเรียกผมว่าโอ้เอ้เหมือนเดิมแล้วอ่ะ  อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก  เพียงแค่นั้นสติผมก็ลอยไปไกลไม่ได้ตั้งใจฟังที่อาหลิงพูดตอบอีกเลย  จับใจความได้ประมาณว่า นัตตี้เห็นรูปที่อาหลิงอัพลงเฟสเป็นรูปที่อาหลิงเพิ่งลองแต่งหน้าให้ดูสาวให้ผมน่ะครับ  รูปถ่ายไว้นานมากแล้วแต่อาหลิงเพิ่งเอามาอัพผมก็แปลกใจเหมือนกัน  แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วเพราะยังเพ้อดีใจที่สโนว์เรียกชื่อผมอยู่นั่นเอง ฮ่าๆๆๆๆๆ


“แล้วนี่หลิงจะกลับบ้านเลยไหม  ติดรถกลับไปพร้อมกันเลยเป็นไง”  สโนว์ออกความเห็น


อาหลิงส่ายหัวเป็นพัลวัน “ไม่เอาอ่ะค่ะพี่สโนว์  ขืนป๊าเห็นว่าพี่สองคนไปส่งหลิงคงต้องสงสัยและถามเยอะแน่ๆ  ความแตกพอดี  หลิงนั่งรถเมล์กลับพร้อมเพื่อนเหมือนเดิมดีกว่า”


“เอางั้นหรอ  แน่ใจนะฝนยังตกพร่ำๆอยู่เลยนะหลิง” 


“แน่ใจค่ะ พี่สองคนกลับไปเถอะ  เดี๋ยวหลิงจะกลับไปหาเพื่อนที่ห้องแล้ว”


“งั้นก็ตามใจ”  ผมบอกและโบกลาอาหลิงที่โบกมือบ๊ายบายให้


“เฮีย  กลับไปโกนหนวดเถอะ หลิงขอ  เห็นครั้งแรกตกใจนึกว่าโจรแน่ะ ฮ่าๆๆ ไปล่ะค่า”  ยัยหลิงรีบพูดว่าผมเสร็จก็วิ่งหนีไปทันที  ทิ้งผมไว้กับสโนว์สองคน  เราทั้งคู่ต่างคนต่างมองหน้ากัน  ก่อนจะเดินกางร่มกลับไปที่รถเหมือนเดิม  พอนั่งกันอยู่ในรถเรียบร้อย  ผมก็ตั้งจีพีเอสนำทางเช่นเคย  เพราะกลัวหลงครับ  ก็อย่างที่ไอ้โปบอกว่าความจำผมมันสั้นจริงๆ


“ไหนบอกว่าโง่คิดอะไรดีๆไม่เป็นไง   ทำไมเมื่อกี้ถึงคล่องจังล่ะ”   จู่ๆสโนว์ๆก็พูดขึ้นมา  ผมถึงกับหันขวับไปมองตาโต



“สโนว์...ได้ยิน ที่เราพูดด้วยหรอ”


“อืม  ได้ยินหมดแหละ”  กรรม  ผมพูดอะไรออกไปมั้งวะนั่น  จะดูตลกในสายตาสโนว์ไหมวะ


“ตั้งแต่ตอนไหน...”


“ก็ตั้งแต่...ที่..บอกว่า...ชอบเรานั่นแหละ”



ฉ่า -/////-   อยู่ๆหน้าก็ร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสนใจสภาพอากาสที่หนาวเย็น  แม่งเอ๊ย  ตอนพูดไปก็เขินนิดๆแล้วนะ  แต่พอได้ยินสโนว์พูดประโยคนั้นกลับมาแล้วเขินกว่าเหี้ยๆๆๆๆ



“ถ้างั้นสโนว์..เข้าใจในสิ่งที่เราทำไปหรือยังครับ”   ผมทำไปด้วยเจตนาดีล้วนๆเลยนะ


“อืม  เข้าใจแล้ว  ยิ่งมาเห็นว่าโอ้เอ้ยอมแกล้งเป็นลุงให้หลิง  เพื่อช่วยปกปิดความผิดไม่ให้ที่บ้านรู้  เราก็ยิ่งเข้าใจ  ว่าโอ้เอ้ทำไปเพราะเจตนาดีจริงๆ   มันทำให้เราย้อนกลับมาทบทวนว่าที่โอ้เอ้ต้องแกล้งเป็นตุ๊ดก็เพราะหวังดีไม่อยากให้เราเลิกเรียนไปกลางคัน  อยากให้เรามีเพื่อนบ้างใช่ไหม”  คนตัวขาวพูดความคิดตัวเองออกมา  ยิ่งทำให้ผมใจชื้นที่เขาเข้าใจในความหวังดีของผม


“ใช่   งั้น...ถ้าสโนว์เข้าแบบนี้แล้ว   เรา..กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม?”   สาบานว่าหลังที่ผมพูดออกไปแล้วต้องรอคำตอบนั้น  ลุ้นยิ่งกว่าตอนรอผลเข้าเรียนมหา’ลัยอีกครับ!


“โอ้เอ้  บอกว่าชอบเรามากและยังดูแลเราดีมากมาตลอดขนาดนี้....ยังคิดให้เรากลับ..กลับไปเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆหรอ”  สโนว์หันมาสบตาแล้วถามออกมาตรงๆ  ผมนิ่งอึ้งไปพยายามคิดว่าสิ่งที่สโนว์พูดมามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่  สโนว์ไม่อยากกลับมาเป็นเพื่อนผมอีกแล้วหรือไม่อยากเป็นแค่เพื่อนอีกแล้ว  ถึงอยากจะกลั่นกรองคำพูดสโนว์ให้เข้าใจความหมายถี่ถ้วนแต่ก็กลัวว่ากว่าจะคิดได้คงบ่ายสามของวันพรุ่งนี้  ผมเลยเอ่ยปากพูดตอบไปว่า








“ถ้างั้น...เราขอสโนว์เป็นแฟนได้ไหมครับ”





 :m25: :m25: :m25: :m25: :m25: :m25:

อร๊ากกกกกกกก เจ้าอันโทนิโอ้พูดอะไรออกไป  ไม่ค่อยเข้าข้างตัวเองเลยจริงๆ ฮ่าๆๆๆ


เรื่องของอาหลิงก็เคลียร์แล้วเนอะ  ความผูกพันธ์ของพี่น้องที่แท้จริง

ตอนเราคิดจะเขียนเรื่องนี้  เราก็อยากแต่งให้เป็นแนวที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวด้วย

ไม่อยากให้โฟกัสแต่ชีวิตรักของคนสองคนเท่านั้น  เพราะความรักจากคนรอบตัวก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันค่ะ


อาจจะแต่งได้ไม่ดีมาก  แต่ก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ด้วยนะคะ


อีกอย่างที่อยากฝากไว้คือเฟสบุ๊คปรับลดการมองเห็นของเพจเราค่ะ  โพสลิ้งค์นิยายไปไม่มีใครเห็นเลย ฮ่าๆๆๆ

ถ้าใครอยากติดตามไปตามเราได้ที่ ทวิตเตอร์ @MonkeyD_IY นะคะ  จะพยายามอัพให้มากขึ้นค่ะ  เพราะทวิตร้างมากเลย ฮ๋าๆๆๆ  นิยายเรื่องนี้ใช้ #เขากลัวผู้ชาย  นะคะ   เม้นๆบอกความรู้สึกที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้างก็จะดีใจมากๆเลยค่ะ :3123:
 

ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยน้า   สโนว์จะตอบอันโทนิโอ้ว่ายังไง มาลุ้นไปด้วยกันค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 100% 23 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 23-09-2018 17:20:45
คุณพระ นี่มันง้อแบบสปีดมากเว่อร์
ง้อเสร็จ ขอเปนแฟนเลยว่างั้น
สโนว์ เป็นแฟนเลยมั้ยทีนี้
:impress2:  :-[
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 100% 23 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-09-2018 19:52:50
จะรับเป็นแฟน หรือป่าวหนอ  :hao4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 100% 23 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 23-09-2018 20:38:16
 :pig4 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 100% 23 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 25-09-2018 21:08:20
ตามจร้าาาาาาา
ครอบครัว​น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 100% 23 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 30-09-2018 10:25:12
ยังไม่มาหรอ คิดถึงนะคับ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 9 ง้อ 100% 23 ก.ย***
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 04-10-2018 06:00:13
มาได้ละคับ คิดถึงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด แจ้งข่าว 7/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 07-10-2018 10:55:09
ขอบคุณที่รอนะคะ ตอนนี้ไรท์เอ็นข้อมืออักเสบค่ะTT พยายามจะพิมพ์นิยายมือเดียวแล้วแต่ไม่ถนัดจริงๆ เลยต้องขอหยุดพักไปก่อน

ตอนแรกมันเหมือนจะหายดีแล้ว ไรท์ดันไปยกของหนัก มันเลยกลับมาเจ็บหนักกว่าเดิมอีก บวมเลยทีนี้ :sad11:   
ไรท์ขอพักให้ข้อมือหายสนิทก่อนนะคะ แล้วจะรีบกลับมาต่อค่ะ ไรท์เองก็อยากแต่งต่อได้ไวๆเหมือนกัน :mew2:

ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ ขอบคุณที่คิดถึงโอ้เอ้กับสโนว์ด้วยนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด แจ้งข่าว 7/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-10-2018 17:59:52
ขอให้หายไวๆ นะจ้าาา รอได้จ้าา
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด แจ้งข่าว 7/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-10-2018 19:14:49
ได้จ้า รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด แจ้งข่าว 7/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 07-10-2018 22:24:05
ขอให้หายเจ็บไวๆนะคะรออ่านได้ค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 10 พลุกระจาย50% 19/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 19-10-2018 00:48:40
ตอนที่ 10   พลุกระจาย



“ถ้างั้น...เราขอสโนว์เป็นแฟนได้ไหมครับ”


.

.


.


.


.

นี่ผม..เผลอพูดบ้าอะไรออกป๊ายยยยยยยยยย  อ๊ากกกกกกก



โจรป่าอย่างผมกล้าดียังไงไปขอเจ้าหญิงมาเป็นแฟนวะ  โคตรไม่เจียมตัวเลยให้ตายเถอะ!!!
กว่าจะสำนึกได้ว่าพูดบ้าอะไรออกไป  ก็สายไปเสียแล้ว เพราะว่าถามออกไปแล้วไง! ฮืออออ ไอ้อันโทนิโอ้คนป่าอยากจะร้องไห้



ไม่รู้ว่าจู่ๆผมเกิดบ้าถามอะไรแบบนั้นออกไปได้ยังไงกัน  แมร่งเอ๊ยยยย ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆ  ต้องรีบพูดแก้ตัวขอโทษก่อนที่สโนว์จะรู้สึกอึดอัดใจไปมากกว่านี้



“สโนว์เมื่อกี้ที่เราพูดอย่าไป..”



“ตกลง”   เสียงนุ่มตอบกลับมาก่อนที่ผมจะพูดจบประโยค



“ใช่ อย่าถือสา.....ห๊ะ!!!”  ผมหันขวับไปมองสโนว์ที่นั่งยิ้มนิดๆอย่างอึ้ง อย่างงงใจ อย่างมึนงง อย่างไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือเปล่า แต่ใจผมเนี่ยเต้นระห่ำสุดๆครับ



“ส..สโนว์  เมื่อ..เมื่อกี้เราได้ยินผิดไปหรือเปล่า...หรือ หรือว่าสโนว์..พ..พูดอะไรผิดหรือเปล่า”  ผมถามเสียงสั่นตะกุกตะกักอย่างห้ามไม่ได้    ทั้งดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นแต่ก็ทั้งกลัวด้วยว่าจะฟังผิดไปเองหรือเปล่า  ผมในตอนนี้โคตรขี้ขลาดตาขาวเลยจริงๆ



“แล้วเมื่อกี้...โอ้เอ้ถามเราผิดหรือเปล่าล่ะ” สโนว์สบตาผมแล้วถามกลับ



“เปล่านะ  เมื่อกี้เราถามจริงๆ”  ถึงมันจะเป็นคำถามที่ไม่ได้ตั้งใจจะกล้าถามออกไปแบบนั้นก็ทีเถอะ



“งั้นเราก็เหมือนกัน”



“เราตกลงเป็นแฟนกับโอ้เอ้จริงๆ”



วินาทีนั้นผมรู้สึกราวกับมีพลุนับล้านลูกแตกกระจายอยู่เต็มในหัวใจไปหมด   ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้มาก่อนเลยจริงๆ ไม่ได้คิดเลยจริง  มันรู้สึกตื้นตันในใจมากๆครับ จากแค่คนๆนึงที่แอบชอบเขา  แอบดูแลเขา ยอมแกล้งเป้นตุ๊ดเพื่อจะได้ใกล้ชิดเขา...รักเขา   แล้วพอถูกจับได้ก็ดูเหมือนว่าจะถูกเขาเกลียดจนไม่น่าจะกลับมามองหน้ากันได้อีกแล้ว



แต่ในวันนี้ ณ ตอนนี้ เขากลับตกลงยอมเป็นแฟนกับผม...ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ นอกจากดีใจ 


ดีใจมาก


มากที่สุด




“โอ้เอ้...ร้องไห้ทำไม อย่าร้องสิ”  คนตัวขาวเอาปลายนิ้วโป้งเช็ดน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน สโนว์ดูตกใจปนขำเล็กน้อยตอนที่มาเช็ดน้ำตาให้   ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหนจนสโนว์มาเช็ดให้นี่แหละ



ไอ้เชี้ย  นี่กูตื้นตันมากจนน้ำตาไหลออกมาเลยหรอวะ  เกิดมาเพิ่งเคยมีโม้เม้นท์นี้เป็นครั้งแรก ฮืออออ 



“สโนว์  เราสัญญานะเราจะเป็นแฟนที่ดี  จะดูแลสโนว์ทุกอย่าง  จะไม่ทำให้สโนว์เสียใจ จะตามใจสโนว์ตลอด  อยากกินอะไรจะไปซื้อมาให้ อยากเที่ยวไหนจะพาไปถึงที่ อยากได้อะไรจะเก็บเงินซื้อให้  อนาคตถ้าเรามีเงินเดือนจะให้สโนว์เก็บทุกบาททุกสตางค์เลยครับ แล้วก็จะ.จะ..จะ”   ผมรีบพูดทุกสิ่งที่นึกออก เพราะกลัวสโนว์จะเปลี่ยนใจไปเสียก่อน



“พอแล้วโอ้เอ้ พูดอะไรเยอะแยะ”  สโนว์ยิ้มขำ แล้วเอามือขาวๆของตนเองมากุมมือผมไว้ข้างนึง



“แค่โอ้เอ้เป็นแบบนี้เหมือนเดิมก็พอแล้ว”  สายตาหวานสบยิ้มให้กับผมจนผมอดจะยิ้มตามไม่ได้  นี่ผมฝันไปหรือเปล่านะ ถ้าฝันจริงก็ไม่อยากตื่นเลย



“แต่สโนว์  เมื่อกี้เราพูดจริงๆนะแล้วก็ยังพูดไม่หมดเลยด้วย”  ผมบอกคนตัวขาวไปพลางพลิกมือที่ถูกสโนว์กุมไว้ไปประสานมือไว้ด้วยกันแน่น  สโนว์เลิกคิ้วคล้ายจะถามว่ายังมีต่ออีกหรอ



“โอ้เอ้จะพูดอะไรอีกล่ะ?”



“ก็จะพูดต่ออีกว่า”




“ผมจะรักสโนว์แค่คนเดียวนะครับ”



หลังพูดเสร็จผมก็รู้ว่าคงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่รู้สึกเหมือนมีพลุกระจายอยู่ในใจเป็นล้านลูก  เพราะสโนว์ตอนนี้หน้าแดงก่ำและพยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ  มือที่ประสานกันไว้ถูกบีบแน่น  ผมมั่นใจว่าสโนว์ต้องเขินมากแน่ๆ  ถามว่าทำไมถึงรู้?   ก็จะตอบแบบมั่นหน้าเลยว่า   ก็เพราะผมเป็นแฟนสโนว์ไงคร้าบบบบบ  ต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับสุดที่รักอยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ (ไอ้คนขี้ขลาดตาขาวเมื่อกี้หายไหนแล้ววว)


ผมและสโนว์มองหน้ากัน เราต่างยิ้มให้กันอย่างมีความสุขราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกทุกข์ใจมาก่อนหน้านี้เลย   ปัญหาความเครียดต่างๆที่ผมคิดมาตลอดมลายหายไปราวกับฝุ่นผงที่ถูกสายลมเย็นพัดพาปัดเป่าไปจนหมดสิ้น


เหลือไว้แต่ความโล่งใจ  และความรู้สึกที่ว่าจะไม่ทำให้คนๆนี้ต้องผิดหวังในตัวผมอีกเป็นครั้งที่สอง







“ขอบคุณนะที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง”   ผมพูดขึ้นตอนที่กำลังขับรถพาสโนว์ไปส่งที่คอนโด  ตอนนี้เราสองคนก็จับจับมือกันแน่นอยู่เลย  รู้สึกไม่อยากปล่อยไปไหนเลยครับ ไม่อยากให้หลุดหายไปอีกแล้ว



“อืม...ก็นะ  มันเคยชินแล้วนี่น่า ที่ต้องมีโอ้เอ้อยู่ข้างๆตลอด”   ผมได้แต่ยิ้มแป้น นี่แหละนะที่เขาว่า น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน  หัวใจคนเราก็เช่นกัน ^^



“จะอยู่ข้างๆตลอดไม่หายไปไหนอีกแน่นอนครับผม”



“ให้มันจริงเถอะ”  สโนว์ย่นจมูกใส่  มันน่ารักซะจนผอยากจะไปบีบจมูกโด่งๆนั่นให้หายหมั่นเขี้ยว แต่ติดที่ว่ามือนึงขับรถ มือนึงก็ยังจับมือสโนว์อยู่  เลยคาดโทษไว้ในใจเงียบๆก่อนจะหันไปตั้งใจขับรถต่อ



ลึกๆผมก็ยังแอบสงสัยนะว่าสโนว์ไม่กลัวผู้ชายแล้วหรอ  หรือว่าไม่กลัวแค่กับผม  แต่ก็ไม่คิดจะถามสโนว์ตอนนี้หรอกครับ  คนกำลังชื่นมื่น ไม่อยากทำเสียบรรยากาศไปเสียก่อน  เอาไว้ค่อยถามทีหลังก็ได้  เพราะตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ตอนนี้ขอโฟกัสแค่เรื่องของผมกับสโนว์ก็พอ



“ทำไมฝนไม่หยุดตกสักทีนะ  ดูสิโอ้เอ้ เหมือนน้ำจะท่วมถนนด้วย  รถเราจะรอดไหมเนี่ย”  สโนว์หันไปมองด้านนอกที่ฝนยังตกกระหน่ำไม่หยุด  ผมก็สังเกตเห็นแล้วล่ะครับว่าเหมือนน้ำจะเริ่มท่วมถนนแล้ว



“ใกล้จะถึงคอนโดสโนว์แล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงนะ ไม่ท่วมรถสโนว์แน่” 



“แล้วโอ้เอ้ไม่ขับวนไปที่มอเอารถตัวเองก่อนหรอ”  เออว่ะ  ลืมสนิทเลยว่าจอดลูกรักทิ้งเอาไว้



“ไม่เป็นไร..เดี๋ยวเราค่อยเรียกแท็กซี่กลับหอก่อนก็ได้วันนี้”  ถ้าแท็กซี่มันรับอะนะ  น้ำท่วมถนนแบบนี้ไม่รู้เลยว่าจะรับผู้โดยสารไหมเพราะเวลาปกติก็ไม่ค่อยจะรับอยู่แล้ว  สโนว์ไม่ได้พูดอะไรต่อ  จนในที่สุดรถก็มาจอดอยู่ที่คอนโดสโนว์โดยสวัสดิภาพ



“ขึ้นไปแล้วล็อคห้องดีๆนะสโนว์  พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”  ผมเอื้อมมือไปขยี้ผมสโนว์เบาๆอย่างที่อยากทำมานาน  ผมหยิกเป็นลอนของสโนว์นิ่มมือกว่าที่คิดไว้เสียอีก  เอาซะผมไม่อยากเอามือออกจากผมของสโนว์เลย



“แล้วโอ้จะกลับยังไง ฝนตกหนักไม่หยุดแบบนี้ แท็กซี่จะรับหรอ”  สโนว์ถามด้วยความเป็นห่วง



“เดี๋ยวเราลองเรียกแกร็บคาร์ดู  เพื่อมีคนมารับ”  ผมบอกแล้วเปิดแอปพลิเคชั่นเรียกแกร็บคาร์







แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที  ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครมารับผมเลย ให้ตายสิ - -



“ไม่มีมารับเลยใช่ไหมโอ้เอ้”



“ใช่ครับ..แต่เดี๋ยวก็คงมีมารับ  สโนว์ไม่ต้องห่วงหรอกขึ้นห้องไปเถอะเรารอรถคนเดียวได้ครับ ตากฝนมารีบขึ้นไปอาบน้ำเป่าผมเถอะเดี๋ยวจะไม่สบายนะ”



“โอ้เอ้ตากฝนเปียกเยอะกว่าเราอีก  ไม่กลัวตัวเองจะป่วยบ้างหรือไง”  สโนว์สวนกลับเบาๆ



“เราถึกจะตาย  แค่นี้สบายมากครับ  ฮัดชิ้ว!”   ไอ้บ้าเอ๊ยยยย เสือกมาจามอะไรตอนนี้วะ ไม่แมนเลยให้ตายเถอะโรบิ้น!



สโนว์มองผมอย่างสังเวท ก่อนจะเอ่ยปากพูด “ช่วยไม่ได้ก็ฝนเล่นตกไม่หยุดเลยนี่เนอะ”



“ถ้างั้น  คืนนี้โอ้เอ้ก็ขึ้นไปอยู่กับเราบนคอนโดก่อนแล้วกัน”




O_O   เอาจริงเดะ!  ได้อยู่ด้วยกันในห้องนอนอีกแล้วหรออออ






ตัวอย่าง ส่วนที่เหลือ



“อาอันโทนิโอ้  ถ้าลื้อได้อยู่สองต่อสองกับอาสโนว์ถึงสามครั้งสามครา แล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า ลื้อก็อย่ามาเป็นลูกอั๊วะเลยนะ - -”








****************************************************************

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยย  ทำไมม๊าพูดแบบนั้นนนนน  มีลูกเป็นสุภาพบุรุษไม่ดีใจหรอม๊า ฮ่าๆๆๆ :-[


ในที่สุดน้องโอ้เอ้ก็สมหวังสักที  ฮ่าๆๆๆๆ  :laugh:

ไม่อยากดึงดราม่าหนักเพราะเราอยากให้เป็นนิยายเบาสมอง ฟีลกู๊ดมากว่าค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่รออ่านกันนะคะ  ตอนนี้เราหายดีแบบมั่นใจแล้วว่าไม่น่าจะเจ็บข้อมือซ้ำอีก ดีใจมากมายหายทรมานสักที :hao5:



ยังเหลืออีก 50 % จะรีบปั่นนะคะ


ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังเลยค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 10 พลุกระจาย50% 19/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 19-10-2018 01:00:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 10 พลุกระจาย50% 19/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-10-2018 01:01:38
"เธอเป็นแฟนฉันแล้ววววว"  :z2: :a3: :a11: :a1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 10 พลุกระจาย50% 19/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-10-2018 07:34:51
โอ้เอ้ ไปไม่ถูกเลยเจอหมัดฮุกเข้าให้ แถม แถม แถม เรียกขึ้นคอนโดด้วยกันอีก อร๊ายยยยยยยย
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 10 พลุกระจาย50% 19/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 19-10-2018 17:47:25
ม่า น่าร้าากกกกก
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 10 พลุกระจาย50% 19/10/2018***
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-01-2019 23:11:21
 :z13:
คิดถึงสโนว์ โอ้เอ้ แล้วก็คนเขียนแล้วนะ หายไปนาน กลับมาได้แล้วน้าาา
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 11 อาหารของเรา 26/03/19
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 26-03-2019 19:15:43
ตอนที่  11  อาหารของเรา






“ถ้างั้น  คืนนี้โอ้เอ้ก็ขึ้นไปอยู่กับเราบนคอนโดก่อนแล้วกัน”


“แล้วสโนว์จะไม่รู้สึกอึดอัดหรอ  สภาพเราตอนนี้มัน..”  ถ้าเป็นเมื่อตอนที่ยังแอ๊บเป็นตุ๊ดก็คงไม่เป็นไรเพราะผมในตอนนั้นไม่เหลืออะไรให้น่ากลัวเลยสักอย่าง   แต่ดูสภาพผมในตอนนี้สิครับ ไอ้หนวดเฟิ้มทั่วกรอบหน้า ผิวกลับมาแทนอีกรอบเพราะไม่ดูแลตัวเองแล้ว หน้าตาก็ย่ำแย่ รวมๆเหมือนโจรจริงๆ สโนว์จะไม่กลัวผมจริงๆหรอ


“ไม่เป็นไร  เรารู้ว่าโอ้เอ้จะไม่ทำอะไรให้รู้สึกอึดอัดแน่นอนเราไว้ใจ...แล้วเราก็ไม่ได้กลัวโอ้เอ้แล้วด้วย  เพราะงั้นไปบนห้องเราเถอะ  ยืนนานกว่านี้จะไม่สบายเอานะ”  เพราะคำพูดที่บอกว่าไว้ใจผมและไม่กลัวผมแล้ว  ทำให้ความกังวลก่อนหน้านี้จางลงไป   มันรู้สึกดีใจนะที่สว์ไว้ใจผมแถมบอกเองกับปากว่าไม่กลัวผมแล้วแม้สภาพผมจะโจ๊นนโจรก็ตาม  โคตรดีใจเลยอันนี้   ผมเลยพยักหน้าตกเดินตามสโนว์ขึ้นไปบนห้อง   


แล้วตอนนี้ผมก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องของสโนว์เป็นครั้งแรก!


รู้สึกเหมือนซ้อมเข้าเรือนหอเลยล่ะครับ  ฮ่าๆๆๆๆ มโนไปโน้นนน


ห้องของสโนว์ตกแต่งได้เหมือนตัวตนของเจ้าของห้องไม่มีผิด  ภายในตกแต่งด้วยโทนสีไม้อ่อน ขาว แล้วก็สีฟ้าอมม่วงออกพาสเทลนิดๆผมก็ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าสีอะไร  แต่โดยรวมแล้วเข้ากันมาก สิ่งของภายในห้องก็ดูมินิมอลเรียบง่ายแต่มีครบทุกสิ่งอำนวยความสะดวก 

มันสวยและดูสบายใจที่ได้อยู่ในนี้มากเลยล่ะครับ


ห้องนี้คงเป็นพื้นที่ ที่สโนว์อยู่แล้วสบายใจที่สุดแน่นอน


“โอ้เอ้จะอาบน้ำก่อนไหม?”

“สโนว์อาบก่อนเถอะ  เราขออาบทีหลังดีกว่า” 

“เอางั้นหรอ...ก็ได้  ถ้าโอ้เอ้หิวก็หยิบของในตู้เย็นมาเวฟทานได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” 


“โอเคครับ” ^^  ผมยิ้มรับ สโนว์ก็เดินเข้าห้องนอนไปอาบน้ำ  ผมเลยเดินไปที่ห้องครัวสำรวจเสบียงดูว่าอะไรบ้าง  ก็พบว่าสโนว์น่าจะเป็นคนนิสัยเดียวกับอาม่า  คือชอบซื้อของมาตุนครับ มีดีกว่าไม่มีประมาณนั้น  สังเกตได้จากมาม่าแบบยกลัง โจ๊กซองแบบแพ็คนึง 12 ถุง อาหารซองแบบสำเร็จรูปหลากหลายยี่ห้อ ไหนจะพวกกระดาษทิชชู่ แชมพู ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า และของตั้งต่างที่ซื้อเก็บไว้ไม่น้อยกว่าครึ่งโหล  คิดว่าที่ซื้อเก็บไว้เยอะไม่น่าจะเพราะงกแบบอาม่าที่ถ้าซื้อทีเดียวเยอะๆจะได้ราคาส่งหรอกครับ  แต่คงเป็นเพราะไม่ค่อยได้ออกไปไหนมากกว่า


สำรวจตู้ต่างๆในห้องครัวเสร็จก็มาสำรวจตู้เย็นต่อ  แต่พอเห็นของข้างในแล้วก็ได้แต่คิดว่าสโนว์เป็นคนแบบไหนกันถึงได้มีแต่อาหารแช่แข็งมันเต็มตู้เย็นแบบนี้เนี่ย!  มีไม่ต่ำกว่า 10 กล่องเลยด้วยซ้ำ  ถ้านับวันหมดอายุที่ไล่ๆกันในหนึ่งอาทิตย์สโนว์แทบจะกินอาหารแช่แข็งทั้งตอนเช้าและตอนเย็นแน่ๆ ผมได้แต่ถอนหายใจกับความเป็นอยู่ของสโนว์  กินแบบนี้เดี๋ยวผมนุ่มๆนั่นก็ได้ร่วงจนหมดหัวหรอก  เฮ้อ


มิน่าล่ะตอนพาไปกินข้าวที่บ้านครั้งนั้นถึงได้กินอาหารที่บ้านผมอย่างเอร็ดอร่อยเชียว  ไม่ได้การๆ  ผมต้องสร้างคุณภาพชีวิตในการกินที่ดีกว่านี้ให้สโนว์ครับ ผมเป็นแฟนเขา ผมคิดว่าผมน่าจะมีสิทธิ์ดูแลสโนว์ในส่วนนี้นะ  ไอ้อันโทนิโอ้คนนี้จะดูแลสโนว์ไวท์เอง โฮ๊ะๆๆๆๆ


จากนั้นผมก็ลองมองหาวัตถุดิบอื่นๆที่พอจะทำอาหารมื้อค่ำกินกันได้  แต่ก็เห็นจะมีแต่ไข่ไก่นี่แหละครับที่พอทำอาหารได้  เลยคิดว่าคงจะทำเมนูไข่เจียวเกี่ยวหัวใจให้สโนว์ทาน คึคึคึ  แค่ชื่อเมนูก็กินขาดล่ะ  แม้แท้จริงมันก็คือไข่เจียวบ้านๆนี่แหละครับ  ฮ่าๆๆๆ  เอาไว้ทอดตอนจะทานดีกว่าจะได้กินร้อนๆอร่อยนักแล  อ้อ มีปลากระป๋องด้วยแฮะ งั้นทำต้มยำปลากระป๋องไว้ซดน้ำให้คล่องคออีกหนึ่งอย่างแล้วกัน ง่ายๆไม่ยุ่งยาก  ทอดเบคอนที่เหลือติดตู้เย็นอีกอย่างก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับมื้อค่ำของเราสองคน

จากนั้นผมก็จัดการหุงข้าวไว้รอ  โชคดีที่มีข้าวสารติดไว้บ้างมื้อค่ำของเราทั้งคู่เลยน่าจะรอดตายกันไปอีกหนึ่งมื้อ  ไว้คราวหน้าผมจะซื้อวัตถุดิบอื่นๆมาไว้ในตู้เย็นบ้าง  เพื่อได้มีโอกาสเข้ามาในห้องของสโนว์อีกจะได้ทำอาหารให้สโนว์ทาน  ถึงผมจะไม่ได้ทำอาหารเก่งกาจมากแต่ก็พอทำเป็นรสชาติกินได้ไม่ทุเรศจนเกินไปหรอกนะครับ
กดหม้อข้าวหุงเรียบร้อยผมก็กลับมานั่งที่โซฟาตามเดิม เล่นเกมในโทรศัพท์รอจนกระทั่งนึกอะไรบางอย่าง   ผมรีบกดออกจากเกมแล้วกดโทรหาใครคนนึง

‘ม๊าของอันโทนิโอ้’


ตู๊ดดด

ตู๊ดดด


/ฮะโหลว  ว่างายว๊าอาอันโทนิโอ้  ม๊าบอกแล้วช่ายม๊าย  ง้ออาสโนว์ม่ายสำเร็จ ลื้อไม่ต้องเข้าบ้าน! ไม่ต้องโทรมาหาอั๊วะเลย!/  เสียงแว๊ดๆดังออกมาจากโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด จนผมต้องถือโทรศัพท์ให้ห่างจากหูเพราะกลัวหูจะแตกเสียก่อนทันได้พูดอะไร    ใช่ครับตั้งแต่วันที่แผนแตกสโนว์โกรธ ม๊าก็โกรธผมยิ่งกว่าไปอีก  ถึงกับบอกว่าถ้าง้อสโนว์ไม่สำเร็จไม่ต้องเข้าบ้าน เพราะงั้นผมเลยไม่ได้กลับไปบ้าน สภาพผมเลยโจรได้ใจปล่อยเนื้อปล่อยตัวได้มากขนากนี้ไง เพราะม๊าไม่เห็น ถ้าม๊าเห็นคงบ่นหูชาไปสามวันเจ็ดวันแน่นอนครับ


“ถ้าอั๊วะไม่โทรมา ม๊าก็ไม่รู้ข่าวดีนะสิ”  ผมรีบพูดก่อนที่ม๊าจะกดตัดสายทิ้ง

/ข่าวดีอะไรของลื้อว๊า  อาอันโทนิโอ้/  ม๊าถามเสียงยังหงุดหงิดเช่นเคย


“อั๊วะมีแฟนแล้วนะม๊า!” ^0^  ผมบอกน้ำเสียงร่าเริงอย่างดีใจที่สุดในสามโลก  คิดว่าม๊าเองก็คงดีใจมากแน่ๆ


/ว่าไงนะ! ลื้อมีแฟน แฟนที่ไหน มันเป็นคราย นี่ลื้อเทอาสโนว์แล้วงั้นหรอ  อาอันโทนิโอ้ ลื้อมัน มันชั่ว ทำร้ายจิตใจอาสโนว์ไม่พอ! ยังทำร้ายจิตใจอั๊วะกับอามาเรียฟิเซนน์อีก โฮฮฮฮฮฮ  ลื้อมันลูกทรพีจริงๆ ฮืออออ โฮฮฮฮฮ/   เสียงม๊าคร่ำครวญแถมด่าผมกระเจิง คนล่ะอย่างกับที่คิดไว้ทำให้ผมพยายามนึกว่าผมพลาดไปตรงไหน.....อ้อ  พลาดที่ไม่ได้บอกว่าใครเป็นแฟนนี่เอง!

“ใจเย็นนะม๊า คนที่..”


/ไม่เย็นแล้ว! อั๊วะม่ายฟังอาร่ายจากลื้อแล้วอาอันโทนิโอ้ โฮฮฮ อั๊วะจะตัดลื้อออกจากกองมรดก!/


“สโนว์เป็นแฟนอั๊วะครับม๊า!”  ผมตะโกนตอบไปสุดเสียง  ก่อนที่อะไรมันจะไปกันใหญ่เพราะม๊านี่แหละ  เอะอะตัดจากกองมรดกตล๊อดดดด


/ฮืออออ.....ลื้อว่าไงนะ  พูดใหม่อีกทีสิ/  ม๊าชะงักหยุดร้องไห้ไป  ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมแทบปรับอารมณ์ตามไม่ทัน   เมื่อกี้ร้องไห้จริงหรือแสดงกันแน่ ผมล่ะอยากจะถามจริงๆ


“อั๊วะบอกว่า... อั๊วะกับสโนว์เป็นแฟนกันแล้วครับม๊า”  ผมพูดเน้นเสียงให้ม๊าได้ยินชัดๆ  กลัวม๊าหูตึงแล้วจะไม่ได้ยินอีก


/แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย/   เสียงกรี้ดร้องดังทะลุจนลำโพงแทบแตก ตามมาด้วยเสียงโวยวายตะโกนโวกเวก

/อาอันโทนิโอ้มีเมียเลี้ยวววววว ป๊า อาม่า อาหลิง อาฟู่ฟู่ อาอันโทนิโอ้มีเมียเลี้ยววววววว/  ได้ข่าวว่าแค่แฟนเฉยๆนะม๊า..ถึงจะอยากเป็นมากกว่านั่นก็เถอะ


/ว่าไงนะใครเป็นเมียมัน มันไปทำผู้หญิงที่ไหนท้อง อั๊วะจะไปเฉาะกระบาลมัน! อุตส่าห์ส่งไปเรียนมันกลับไปหาเมีย ใช้ได้ที่ไหนวะ!/  ชะอุ้ย!

“มันไม่ใช่แบบนั้นนะป๊า..”  ผมแย้งไปแต่เหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยินเสียงในโทรศัพท์
/แอร๊ยยย ใจเย็นๆๆ  แฮ่กๆ โอ๊ย หายใจไม่ทัน  อาหลิงเอายาดมมาให้ม๊าหน่อย/

/ม๊าก็นะ เล่นกรี้ดเป็นวัยรุ่นแบบนี้ก็หายใจไม่ทันน่ะสิ เอ้าๆ ยาดมจ่ะม๊า ใจเย็นๆค่อยๆดม/

/เออ ดีๆค่อยยังชั่ว  ป๊า อาอันโทนิโอ้มีเมียแล้วน๊า  อาสโนว์ไงอาสโนวววว  ฮืออออ อั๊วะดีใจมั่กมากเลย ฮือออ/

/อ้าวหรอ.. เออๆ งั้นแล้วไป จบๆ ลื้อก็ไม่บอกอั๊วะแต่แรกความดันอั๊วะจะขึ้นสมองอยู่แล้วเนี่ย เฮ้อ/

ผมหลุดยิ้มเบาๆเมื่อนึกภาพตามเสียงที่ได้ยิน ว่าที่บ้านจะวุ่นวายปนน่าขำขันแค่ไหน

/อาหลิง ไปหยิบโทรศัพท์อั๊วะมาให้ที/

/ฮัลโหล อาอันโทนิโอ้ลื้อยังฟังอยู่ไหมว๊า/

“ฟังอยู่ครับม๊า”

/ลื้อไม่ได้โกหกอั๊วะใช่ไหม อาอันโทนิโอ้ อย่าหลอกให้ดีใจเก้อน๊า ไม่งั้นอั๊วะจะเอาอีโต้ไปเฉาะหัวลื้อจริงๆด้วย/

“โห ม๊าโหดอ่ะ  แต่อั๊วะไม่ได้ล้อเล่นแน่นอนครับ  เนี่ยตอนนี้อั๊วะก็อยู่ที่คอนโดสโนว์...จะค้างคืนที่นี่ด้วยแหละ” อร๊ากกกกกกก พูดเองเขินเองเว้ย  หึ่ยยย เกลียดความสาวน้อยนี่จริงๆ

/จริงหรออาอันโทนิโอ้ ดีๆๆ คราวนี้จับให้มั่นอย่าให้หลุดมืออีกนะ รวบหัวรวบหางอาสโนว์เลย!/

“เฮ้ย! ม๊าก็ พูดอะไรแปลกๆอีกแล้ว  เพิ่งจะได้เป็นแฟนกันเอง”  จะมารวบหงรวบหางอะไรกัน

/อาอันโทนิโอ้!  ถ้าลื้อได้อยู่สองต่อสองกับอาสโนว์ถึงสามครั้ง แล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า ลื้อก็อย่ามาเป็นลูกอั๊วะเลย!!!/

“โหยยยยม๊า   อั๊วะไม่พูดกับม๊าแล้ว”

/แล้วทำไมลื้อจะไม่พูดกับอั๊วะ ห๊า มีธุระสำคัญมากมายหรือง๊าย/  ม๊าตะโกนสวนกลับอย่างเคย

“ใช่  เพราะอั๊วะจะไปทำกับข้าวให้สโนว์กิน!”


/เออ งั้นลื้อวางสายได้ แค่นี้นะ ติ้ด/


กรรม  ไหงกลายเป็นม๊าที่วางสายไปดื้อๆซะงั้น  แค่บอกว่าเป็นสโนว์ม๊าก็ยอมง่ายๆเลยเชียวนะ  เห็นแววหัวเน่าอยู่ไม่ไกลเลยล่ะครับ - -


ผมเดินกลับไปที่ครัวเพื่อเตรียมตีไข่ทำไข่เจียว  สโนว์ก็เดินออกมาจากห้องพอดี เขาอยู่ในชุดนอนสีฟ้าอ่อนลายตารางพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่กำลังเช็ดผมที่เปียกชื้นนั่น  กลิ่นหอมอ่อนๆของครีมอาบน้ำลอยเข้าจมูกให้ใจสั่นไม่น้อย


“อาอันโทนิโอ้!  ถ้าลื้อได้อยู่สองต่อสองกับอาสโนว์ถึงสามครั้ง แล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า ลื้อก็อย่ามาเป็นลูกอั๊วะเลย!!!”


“โอ้เอ้ เราอาบน้ำเสร็จแล้วนะ รีบไปอาบต่อเถอะเดี๋ยวจะไม่สบาย” เสียงของสโนว์ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด

“อ..อืม  ตีไข่เสร็จพอดี เดี๋ยวออกมาทอดให้นะกินร้อนๆจะได้อร่อย”  สโนว์พยักหน้ารับแล้วส่งยิ้มอ่อนๆให้เช่นเคย  ผมถึงกับต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำด้วยอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ  หน้าดำหน้าแดงไปหมด   

อร๊ากกกกก  ไม่ๆๆ มึงอย่าคิดอะไรบ้าๆเด็ดขาดไปอันโทนิโอ้!  พุธโธ พุธโธ ไว้


สงบสติอารมณ์ได้ผมก็รีบอาบน้ำอาบความร้อนรุ่มในใจอย่างรวดเร็ว  ก่อนจะหยิบชุดที่สโนว์เตรียมไว้ให้มาสวมใส่  มั่นใจล้านเปอร์เซนต์ว่านี่คือชุดนอนของสโนว์เองแน่นอน โฮ๊ะๆๆๆ เพราะว่ามันเป็นลายตารางเหมือนกันต่างตัวนี้เป็นสีน้ำเงินเข้ม  มีความชุดคู่ด้วยเว้ย  ไอ้อันโทนิโอ้นี่ยิ้มหน้ายิ่งกว่าจานดาวเทียมอีกครับ


พอผมเดินออกมาก็เห็นสโนว์นั่งดูทีวีพร้อมกับใช้ไดร์เป่าผมไปด้วยอย่างใจเย็น 

“หิวหรือยังครับ”  ผมถามคนตัวขาวพลางช่วยเอามือสางผมเบาๆ

“อื้ม ก็นิดนึง”  สโนว์หันมาตอบไม่ได้มีท่าทีกลัวการสัมผัสของผมแต่อย่างใด

“โอเค งั้นรอแป๊บนึงนะ ผมไปทำอาหารก่อน”

“ให้เราช่วยทำอะไรไหม”  สโนว์ดึงชายเสื้อถามตาแป๋ว

“อยากช่วยทำหรอครับ”  คนตัวขาวพยักหน้ารับ

“โอเค  งั้นมาช่ววยกันทำอาหารกัน” ^^ 


มื้อนี้ก็กลายเป็นว่าเราช่วยกันทำอาหารสโนว์คอยช่วยหยิบสิ่งของเครื่องปรุงต่างๆให้ผมเป็นคนปรุง  ผมจัดการทำต้มยำปลากระป๋องก่อน โดยมีสโนว์ช่วยฉีกใบมะกรูดให้อย่างตั้งใจ ต่อมาผมทำการทอดไข่เจียวที่ตีค้างไว้ปรุงรสเสร็จก็ทอดกับน้ำมันร้อนๆจนฟูฟองโดยมีสโนว์คอยถือจานรอใส่ไข่เจียวอย่างตั้งใจ แล้วสุดท้ายผมก็ทอดเบคอน โดยมีสโนว์เป็นคนหั่นชิ้นเบคอนให้สั้นพอดีคำอย่างตั้งใจ  ก่อนจะส่งให้ผมเป็นคนทอดเพราะว่าสโนว์กลัวน้ำมันกระเด็น

“โอ้เอ้สุดยอดไปเลย ทำอาหารน่ากินมากๆ”  สายตาวิบวับมองอาหารที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะทานข้าวอย่างตื่นเต้น

“สโนว์ก็ช่วยทำเหมือนกันนิครับ  มันก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว”  ผมส่งยิ้มให้สโนว์

“งั้นเราทานข้าวกันเลยเนอะ”  สโนว์พูดก่อนจะอาสาตักข้าวใส่จานให้ผมทานตามด้วยของตัวเอง

เราสองคนผลัดกันตักอาหารใส่จานให้กัน  ถึงมันจะมีอยู่แค่สามอย่างแถมเป็นเพียงอาหารเมนูบ้านๆ  แต่มันก็อร่อยเหลือเกิน

“อร่อยจังโอ้เอ้”  สโนว์บอกทั้งที่ยังเคี้ยวข้าวแก้มตุ้ย

“อร่อยก็กินเยอะๆครับ  ต่อไปอย่าเอาแต่กินอาหารสำเร็จรูปนะ  มันไม่ดีต่อร่างกายเดี๋ยวจะเสียสุขภาพ เราเป็นห่วง”  ผมได้ทีก็ถือโอกาสพูดซะเลย

“ก็ถ้าเป็นห่วงจริงๆ...”  สโนว์เงียบเสียงไปทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าเขาจะพูดอะไรต่อ


“ทำไมไม่มาทำอาหารให้เรากินทุกวันเลยล่ะ”   


“...”  ผมสตั๊นไปสามวิกับประโยคนั้นของสโนว์  กำลังใช้สมองคิดอยู่ว่ามันมีนัยยะอะไรหรือเปล่า แต่ปากผมคงรู้ว่าสมองคิดไม่ออกแน่ๆเลยพลั้งปากถามไปก่อนความคิดว่า..


“ได้หรอ..ผมมาทำอาหารให้สโนว์กินทุกวันได้หรอ”  หัวใจเริ่มทำงานหนัก เต้นแรงยิ่งกว่ากลองรัว ฝ่ามือเย็นเฉียบอย่างลุ้นรอคำตอบ


“ทำไมจะไม่ได้..ก็เรา...เป็นแฟนกันแล้วนิ”  คนพูดตอบกลับมาก่อนใบหน้าขาวใสจะขึ้นสีอย่างแดงจัดไปทั่วทั้งหน้า

น่ารักคูณร้อยไปเลยครับพี่น้องงงงงง    โอยยย หัวใจอันโทนิโอ้วันนี้ทำงานหนักมากเหลือเกินครับ

“รับทราบครับผม!”  ผมทำท่าตะเบ๊ะรับคำสั่งแบบทหารเสียงดัง ทำให้สโนว์หลุดขำกับท่าทางประหลาดของผมเบาๆ


มื้อนี้อาจไม่อร่อยที่สุดแต่เป็นมื้อที่มีความสุขที่สุดของเราในฐานะ ‘คนรัก’ กันแน่นอนครับผม


มีความสุขจริงๆเลย







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++






เรื่องที่คนโง่ไม่เคยรู้

หลังจากวางสายลูกชายตัวดีเสร็จ กิมย้งก็ยิ้มแป้นแล้นด้วยความดีใจ

“สบายใจแล้วสินะม๊า พอรู้ว่าเฮียกับพี่สโนว์ดีกันแล้ว” อาหลิงพุดพลางกอดม๊าอย่างเอาใจ

“เป็นแฟนกันแล้วต่างหาก ไม่ใช่แค่ดีกันสักหน่อยน๊า”  กิมย้งพูดขัด

“จ้า จ้า แฟนก็แฟน”  จือหลิงยิ้มแป้นตาม  เพราะเธอเองก็ดีใจมากไม่แพ้ม๊าเหมือนกัน  พี่สโนว์เป็นคนน่ารัก คนใจดี การที่มาตกลงเป็นแฟนเฮียได้นี่ยิ่งกว่าปาฏิหารย์ด้วยซ้ำไป

“มีความสุขกันแล้วก็มากินมื้อเย็นกันเถอะอากิมย้ง  เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดซะก่อน มาๆ”  มิ่งขวัญเรียกให้ทุกคนไปรวมกันที่โต๊ะทานข้าวพร้อมหน้า

“พวกลื้อกินกันไปเลย มื้อนี้อั๊วะไม่กินด้วยหรอก”

“ทำไมล่ะ ไม่กินเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”

“ไม่ ไม่  คือ...อั๊วะบนกับบรรพบุรุษหว้าย  ว่าถ้าอาอันโทนิโอ้ดีกับอาสโนว์อั๊วะจะกินเจ......หนึ่งเดือน”

“ห๊ะ! หนึ่งเดือนเลยหรอม๊า”  จือหลิงถามเสียงดัง   กิมย้งได้แต่พยักหน้ารับ

“ช่ายๆ นึกม่ายถึงว่าบรรพบุรุษจะให้มากกว่าคำขอร้องของอั๊วะอีก ดูสิ  ได้เป็นแฟนกันเลยน๊า คุ้มมั่กมาก”

“งั้นเดี๋ยวอั๊วะกินเจเป็นเพื่อนลื้อเอง อากิมย้ง” มิ่งขวัญพูดขึ้นพลางยกถ้วยข้าว สองถ้วยไปนั่งแยกจากโต๊ะอาหารก่อนจะเดินไปเปิดตู้หยิบเอาถั่วลิสงออกมาคั่วเกลือในกระทะ

“อามิ่งขวัญ  ลื้อไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ด้ายน๊า  อั๊วะกินคนเดียวก็พอแล้ว  ลื้อไปกินอาหารที่โต๊ะเหมือนเดิมเถอะ”

“อั๊วะเป็นผัวลื้อนะ  แล้วจะปล่อยให้เมียตัวเองนั่งกินเจอยู่คนเดียวได้ไง”  มิ่งขวัญตอบทั้งที่สายตายังไม่ละจากการคั่วถั่วลิสง

“โฮฮฮฮฮ อามิ่งขวัญ  อั๊วะเลือกผัวไม่ผิดจริงๆด้วย โฮฮฮฮฮ”  กิมย้งกอดผู้เป็นสามีจากทางด้านหลัง พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าคู่กายมาซับน้ำตา

“งั้นอั๊วะจะกินเจเป็นเพื่อนป๊าม๊าด้วย”  จือหลิงพูดขึ้น

“งั้น..ฟู่ฟู่..ก็จา..กิงเจ..ด้วยยย”  ตี๋เล็กของบ้านบกมือร่วมด้วยอีกแรง  ป๊าม๊ากินอะไรฟู่ฟู่ก็จะกินเหมือนกัน

“ไม่เป็นร่ายๆ พวกลื้อยังเด็ก ต้องกินอาหารให้ครบห้าหมู่จาด้ายโตไวๆน๊า อาหลิง อาฟู่ฟู่”

“แต่ว่า..” จือหลิงอยากคัดค้านเพราะกินเจเป็นเพื่อนป๊าม๊าจริงๆ ถ้าให้ตนเองกินเนื้อแต่ป๊าม๊าต้องกินแต่ผัก  ก็รู้สึกอกตัญญูอย่างไงไม่รู้

“อาหลิง อาฟู่ฟู่ พวกลื้อกินอาหารธรรมดาเป็นเพื่อนอาม่าเถอะนะ  อาม่าอายุเยอะแล้วต้องกินของบำรุงเยอะๆ พวกผักหญ้าสารอาหารไม่พอบำรุงร่างกายอาม่าหรอก  ขืนพวกลื้อมากินเจกันหมดอาม่าก็เหงาแย่สิแล้วจะกินข้าวลงได้ยังไง  จริงไหม?”   มิ่งขวัญประมุขของบ้านพูดอธิบายจนจือหลิงต้องยอมรับเหตุผลของป๊า

“ก็ได้  งั้นป๊าม๊าก็กินข้าวให้อร่อยนะ  พวกอั๊วะก็จะกินให้อร่อยเหมือนกัน  ใช่ไหม ฟู่ฟู่”  จือหลิงก้มลงไปถามน้องชายตัวน้อย

“ใช่กั๊บ! ฟู่ฟู่...หยักกิง....ก่ายทอด”  ฟู่ฟู่ ยิ้มตาหยีจนตาเหลือขีดเดียว เรียกรอยยิ้มให้คนในครอบครัวยิ้มตามไปด้วย





ทุกคนต่างลงมือทานอาหารเย็น  อาหารเมนูบ้านๆ ที่มีคนในบ้านนั่งทานด้วยกันอย่างพร้อมหน้า


แค่นี้ก็มีความสุขแล้วจริงๆนั่นแหละ





------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ก่อนอื่นขอสวัสดีนักอ่านทุกคนนะคะ :กอด1:

หายไปนานเพราะมีเรื่องเครียดๆหลายเรื่องเลย  มันเหนื่อยและบั่นทอนเรามากๆ
จนเขียนอะไรไม่ได้จริงๆ :hao5:   ขอโทษด้วยนะคะ


จะพยายามมาต่อให้จบให้ได้นะคะ....ถ้ายังมีคนอ่านกัน :heaven

หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 11 อาหารของเรา 26/03/19
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าแก่ ที่ 26-03-2019 20:16:01
 :mc4: :mc4: :mc4:

นึกว่าจะไม่มาต่อซะแล้ว
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 11 อาหารของเรา 26/03/19
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-03-2019 20:32:31
กรี๊ดดดดดดด ยังไม่ได้อ่านมาเม้นก่อน ดีใจที่มาต่อ คิดถึงงงงง
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 11 อาหารของเรา 26/03/19
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 26-03-2019 20:37:39
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 11 อาหารของเรา 26/03/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 26-03-2019 21:41:55
 :pig4:รอได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 11 อาหารของเรา 26/03/19
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-03-2019 23:19:13
อิ่มทุกมื้อแน่ ๆ สโนว์  :hao6:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 11 อาหารของเรา 26/03/19
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 26-03-2019 23:58:30
รอว์
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 24-04-2019 23:12:18
ตอนที่ 12

ต่อสู้กับความกลัว

   พาร์ท สโนว์


   ช่วงเวลากลางคืน ผมที่ยังนอนไม่หลับลืมตาขึ้นมามองความมืดมิดในห้องนอนของผมเอง  ก่อนที่สายตาจะปรับคุ้นชินกับความมืดจนพอมองเห็นอะไรมากขึ้น  ส่วนต้นเหตุที่ทำให้ผมนอนไม่หลับก็คงเป็นเพราะ...คนที่นอนอยู่กับพื้นข้างเตียงล่ะมั้งครับ

   ผมค่อยๆเลื่อนตัวไปแอบดูโอ้เอ้ที่นอนหลับอยู่บนผ้านวมผืนใหญ่ข้างเตียง เขาดูเหมือนจะหลับสนิทดี อดไม่ได้ที่จะเผลอจ้องมองใบหน้าเข้มๆนั่น ใบหน้าที่ดูเหมือนจะน่ากลัวด้วยรอยแผลเป็นบนหน้า แต่หากได้รู้จักแล้วก็ค้นพบว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใจดีมากๆคนหนึ่ง  จนผมเองอดหวั่นไหวกับความใจดีของคนๆนี้ไม่ได้จริงๆ 

   ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกหลุมรักเขาตอนไหน ตอนที่เขาใจดีด้วย ตอนที่เขาเป็นห่วงผมตลอด ตอนที่เขาเข้ามาพูดคุยชวนผมเป็นเพื่อน  หรืออาจจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้น

   ตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรก...




   ย้อนไปวันนั้น 
   ผมขับรถไปย่านการค้าแห่งหนึ่งเพื่อจะไปรับกรอบรูปที่สั่งทำไว้ เนื่องจากมันมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะส่งไปรษณีย์ได้  แต่พอไปถึงที่ร้านเขาก็พบว่าของมีตำหนิอยู่หลายจุดพี่ผู้หญิงเจ้าของร้านเลยบอกจะเร่งเก็บงานให้ ผมเลยออกมาเดินเล่นตรงฟุตปาธรอ มียกกล้องโทรศัพท์หามุมถ่ายรูปสถานที่ที่มาเก็บไว้บ้าง

   “เมี๊ยววว เมี๊ยวว”  เสียงร้องเล็กๆดังอยู่ใกล้ๆ ดึงความสนใจให้ผมหันไปมอง

   แล้วก็พบกับสายตาแป๋วๆของแมวตัวหนึ่งที่ก้มหน้ามามองผมบนต้นไม้ที่ไม่ได้สูงมากที่ขึ้นอยู่ตรงช่องว่างฟุตปาธ  ดูท่าแล้วเจ้าเหมียวน้อยคงจะปีนขึ้นไปแต่หาทางลงไม่ได้  จริงๆมันก็ไม่ได้สูงมากนะครับแค่เหนือศีรษะผมนิดหน่อย  แต่เจ้าแมวน้อยน่าจะไม่กล้ากระโดดลงมามากกว่า  (สโนว์เอ๋ย โดนนังมาเรียฟิเซ่นหลอกแล้วลูกกก)


ผมยิ้มอย่างชอบใจในความอ๊องของเจ้าแมวตัวนี้ก่อนจะชูมือขึ้นไปค่อยๆจับเจ้าแมวน้อยให้ลงมาจากต้นไม้  โชคดีที่น้องค่อนข้างเชื่องเลยให้ผมจับง่ายๆ  ผมอุ้มน้องไว้บนแขนลูบขนนุ่มอย่างพอใจ  แต่แค่แป๊บเดียวน้องก็กระโดดออกจากมือไปในซอยข้างๆ ผมเลยตามไปเพราะห่วงว่าจะโดนรถชนน่ะครับ  เพราะติดถนนด้วย  พอตามไปก็ถึงได้รู้ว่าน้องอยากจะอึครับ  ผมก็เลยเอาทิชชู่ที่พบติดตัวมารองแล้วนั่งให้กำลังใจซะเลย พอน้องอึเสร็จผมก็จัดการเก็บอึน้องห่อแล้วทิ้งลงถังขยะให้เรียบร้อย ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วเลยคิดว่าน้องน่าจะหิวเลยบอกน้องว่าจะไปซื้ออาหารมาให้กินครับ  น้องอ้อนน่ารักมากๆจนผมคิดว่าอยากจะเอาไปเลี้ยงเลย  แต่ก็ติดที่พี่สาวผมแพ้ขนสัตว์ครับ    พี่ผมจะมาเยี่ยมผมที่คอนโดทุกอาทิตย์น่ะครับเสียดายไม่งั้นผมคงเอาน้องมาเลี้ยงแน่ๆ   เอ๋...หรือจะแอบเลี้ยงดีนะ  คอนโดผมก็อนุญาติให้เลี้ยงสัตว์ได้ด้วย

แต่พอเดินกลับมาผมก็เห็นว่ามีผู้ชายตัวใหญ่ผิวเข้มคนหนึ่งอุ้มน้องไปแล้ว...ผู้ชายตัวใหญ่ที่อุ้มน้องไปแล้วก็หันมาฟัดหอมหัวน้องไปตลอดทาง

ดูๆไปก็น่ารัก..แปลกๆดี



ผมกลับไปที่ร้านทำกรอบรูปก็พบว่าเก็บงานไม่ทันจริงๆ แล้วก็เริ่มมืดแล้วด้วย  ผมเลยบอกว่าพรุ่งนี้จะมารับใหม่อีกที เพราะผมอยากให้งานเรียบร้อยที่สุดไม่อยากเร่งอะไรมากด้วย  ก็นะ  เพื่อว่าพรุ่งนี้ถ้าผมกลับมาเอากรอบรุป อาจจะได้เจอน้องแมวน้อยอีกก็ได้




แล้วก็ได้เจอจริงๆ


แต่เจอว่าเจ้าแมวน้อยถูกอุ้มโดยผู้ชายคนเดียวกับเมื่อวาน  ผมเลยต้องแอบมองเขาจากในรถที่จอดเทียบฟุตปาธไว้    เขายืนอุ้มน้องพลางเล่นหยอกกันอยู่นานสองนาน  ผมได้แต่แอบคิดว่าผู้ชายเล่นกับแมวก็น่ารักดีเหมือนกัน  แต่ก็แอบเสียดายที่ไม่ได้จับขนนุ่มๆนั่นอีก จนพี่เจ้าของร้านให้ลูกน้องยกกรอบรูปที่เก็บงานเรียบร้อยห่อกันกระแทกอย่างดีขึ้นทางด้านหลังรถเสร็จ เขาก็ยังไม่เดินไปไหน ท่าทางของเขาเหมือนกับ  กำลังมองหาอะไรบ้างอย่างหรือไม่ก็...กำลังมองหาใครบ้างคนอยู่ 

ผมยื่นเงินค่ากรอบรูปให้พี่เจ้าของร้านจากในรถ  แล้วนั่งมองเจ้าแมวน้อยกับผู้ชายคนนั่นก่อนจะขับรถออกมา

คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ


แต่แล้วผมก็กลับได้เจอเขาอีกครั้งที่มหา’ลัย   ผมแอบแปลกใจที่เห็นเขาเต้นแรงราวกับมีจิตใจเป็นแดนเซอร์ในตอนแรก  แต่ไม่มีเวลาให้สนใจมากนักเพราะผมเองเกิดอาการที่ไม่ได้อยากให้เกิดเลยจริงๆ คือการกลัวผู้ชาย  เลยทำให้ผมหมดสติไปซะก่อน   ผมเชื่อว่าใครๆก็ไม่อยากมีโรคแปลกๆแบบนี้หรอก  มันเป็นอาการที่ผมไม่สามารถควบคุมได้  อาจเพราะฝังใจจนยากจะลืมลงได้จริงๆ

หลังจากนั้น  ผมก็เริ่มสังเกตได้ถึงการมีตัวตนของเขาอยู่รอบๆตัว  ไม่ว่าผมไปที่ไหนในมหา’ลัยก็จะเห็นว่ามีเขาแอบนั่งอยู่ห่างๆเสมอ  น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกว่าถูกสโตรกเกอร์หรือทำให้อึดอัดใจ  แต่กลับกลายเป็นว่ารู้สึกถูกปกป้องมากกว่า..

เพราะที่ไหนที่มีเขามานั่งอยู่ไม่ไกล  จะไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้ามาทำความรู้จักหรือตื้อขอเบอร์ผมเลย  ซึ่งมันถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับผม


และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมเผลอแอบมองหาว่าวันนี้เขาจะมาอยู่ใกล้ๆผมอีกไหม

จนวันหนึ่งผมกับเขาก็ได้มาอยู่ใกล้กันแบบจริงๆในฐานะเพื่อน  ผมที่กำลังคิดจะดรอปเรียนเพราะไม่มีเพื่อนผู้หญิง กลับได้บังเอิญไปเห็นเขาตอนกำลังแต่งหน้าในห้องน้ำ ผมแปลกใจนิดหน่อยที่อยู่ๆก็เห็นเขาแต่งหน้าทาปาก  แต่พอเขาบอกว่าเขาแอ๊บแมน กรอปกับที่ผมเคยเห็นเขาเต้นยั่วรุ่นพี่วันรับน้องก็เลยคิดว่าเขาคงจะแอ๊บแมนจริงๆ  แถมเขายังมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันอีก นั่นเลยยิ่งทำให้ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้แมนร้อยเปอร์เซนต์   

“แกเรียกเราว่าโอ้เอ้ก็ได้นะ”


และเมื่อยิ่งได้รู้จักผมก็รับรู้ได้ถึงความใจดีที่อาจดูสวนทางกับหน้าตา  โอ้เอ้เป็นคนใจดี ตลก และเขามักจดจำเรื่องของผมได้เสมอ จนผมไม่รู้สึกระแวงเขาอีกต่อไป  จนวันหนึ่งที่ผมได้ไปที่บ้านของโอ้เอ้  ครอบครัวโอ้เอ้ก็น่ารักและใจดีมาก  ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยดี ถ้าไม่ใช่เพราะคืนนั้นที่ผมนอนค้างที่ห้องนอนของโอ้เอ้


“เราอาบน้ำเสร็จแล้วนะโอ้เอ้” ผมบอกคนที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องอย่างทำตัวไม่ถูก
“อ..อ่อ งั้นสโนว์ตามสบายเลยนะ  เราไปอาบน้ำก่อน  สโนว์นอนเตียงนะเดี๋ยวเรานอนฟูกที่พื้นเองจ้า”   ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียงลายฟรุ้งฟริ้งของโอ้เอ้   

“ถ้าง่วงก็นอนก่อนได้เลยน้า  พอดีเราอาบน้ำช้าน่ะ”

“โอเค  โอ้เอ้ไปอาบน้ำเถอะดึกแล้ว”  ผมบอก  ก่อนก้มไปอุ้มน้องมาเรียฟิเซ่นขึ้นมาลูบขนนุ่มเล่นด้วย   โอ้เอ้เดินเข้าห้องน้ำไปตามคำบอกผม  ส่วนผมก็นอนเล่นฟัดพุงมาเรียฟิเซ่นอย่างหมั่นเขี้ยว

“ทำไมน่ารักแบบนี้เนี้ย”  ผมยิ้มให้มาเรียฟิเซ่น  ก่อนที่น้องจะกระโดดลงไปใต้เตียงแล้วไม่ยอมออกมา    ผมเลยต้องลงไปที่พื้นแล้วก้มลงมองหาก็เห็นน้องนอนอยู่ใต้เตียงเฉยๆ   ผมเลยเอื้อมมือไปจับตัวน้องลากออกมาจากใต้เตียง

แต่ไม่ได้มีแค่น้องที่ออกมาจากใต้เตียง  มันมีอะไรบางอย่างติดมากับพุงน้องด้วย  ผมหยิบมันมาดูก็เห็นเป็นรูปผมที่ฟุบหลับในห้องสมุดของมหา’ลัย ข้างๆมีโอ้เอ้ที่กำลังมองมาที่ผม  ผมคิดว่าเขาคงแอบถ่ายเอง แต่สายตาที่เขามองผมจากในรูปนั่นทำให้ผมรู้สึกใจเต้นผิดจังหวะแปลกๆ  และเมื่อพลิกรูปไปด้านหลังก็ได้เห็นกับข้อความหนึ่ง

‘ ได้อยู่ใกล้ๆแค่นี้...ก็ดีแล้ว
        โอ้เอ้ & สโนว์ ’


ผมรู้สึกเหมือนโลกหยุดนิ่งไปหนึ่งวินาที  ก่อนจะสะบัดผมไล่ความคิดบ้าๆว่าเพื่อนกันไม่น่าจะทำแบบนี้ นอกจากจากว่า  เขาไม่ได้คิดกับผมแค่เพื่อน


เสียงอาบน้ำในห้องน้ำเงียบไป  ผมคิดว่าเขาคงใกล้จะอาบน้ำเสร็จแล้ว  ในตอนนั้นผมจึงเลือกหลบหนีความรู้สึกแปลกๆในใจ แล้วเก็บรูปไว้ในกระเป๋าของผมก่อนจะแกล้งทำเป็นกอดมาเรียฟิเซ่นนอนหลับไป แอบคิดกังวลไปต่างๆนาๆว่าถ้าโอ้เอ้เป็นผู้ชายแท้ๆ  ผมจะทำอย่างไรดี  เขาจะทำร้ายผมไหม จินตนาการต่างๆทำให้ผมหวาดกลัว  ตัวผมเริ่มสั่นนิดๆอย่างควบคุมไม่ได้ 

เสียงเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ทำให้ผมพยายามแกล้งนอนหลับให้เนียนที่สุด  ฝีเท้าของเขาค่อยๆเดินมาใกล้ๆผมจนในที่สุดผมก็รู้สึกได้ว่าเขายืนอยู่ข้างเตียง  ตัวผมเริ่มสั่นอีกครั้งแต่แล้วอาการสั่นก็หายไปเมื่อโอ้เอ้ดึงผ้าห่มมาห่มกายผมไว้อย่างอ่อนโยน

“ฝันดีนะจ๊ะสโนว์”  โอ้เอ้กระซิบบอกฝันดีผม  ด้วยน้ำเสียงหวานๆเช่นเคยนั่นทำให้ผมโล่งใจ  โอ้เอ้เดินไปปิดไฟก่อนจะล้มตัวนอนข้างๆ  ผมแอบดีใจที่ลับหลังผมโอ้เอ้ก็ยังเป็นโอ้เอ้ออกสาวเหมือนเดิม.....ผมว่าผมคงคิดมากไป   โอ้เอ้คงไม่ได้เป็นผู้ชายแท้ๆหรอก  จริงไหม?


เพราะถ้าเขาเป็นผู้ชายแท้ๆมาจริงๆ  ผมคง...รับไม่ได้





แล้วผมก็รับไม่ได้จริงๆเมื่อโอ้เอ้ยอมรับว่าตัวเขาไม่ได้เป็นตุ๊ดอย่างที่บอกผม  ผมรู้สึกแย่ที่เขาโกหกผม  และรู้สึกเหมือนกับผมเป็นแค่คนโง่ๆคนหนึ่งที่เชื่อว่าเขาไม่ใช่ผู้ชาย   ความรู้สึกตอนนั้นมันสับสนปนเปกันไปหมด  ผมเลยเลือกที่จะหลบหน้าไม่ไปอยู่ใกล้เขาอีก  ถึงแม้ว่าทั้งเขาและครอบครัวเขาจะดีกับผมมากก็ตาม 

 และการได้อยู่คนเดียวโดยไม่มีเขามันก็ทำให้ผมได้ทบทวนกับความรู้สึกของตัวเองหลายอย่าง...และมันก็น่าตกใจที่ว่า 

ผมดันคิดถึงแต่เขา ‘อันโทนิโอ้’ อยู่ทุกวันทั้งๆที่รู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย



“ช่วงนี้ยูดูเครียดๆนะ  มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าบอกไอได้นะ”  พี่เบลล์ที่มาค้างคอนโดด้วยถามขึ้น

“หน้าไอออกขนาดนั้นเลยหรอ?”

“ก็ใช่นะสิ  มีอะไรหรือเปล่า”

ผมลังเลว่าควรจะเล่าดีไหม  แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเล่าให้พี่เบลล์ฟังทุกอย่างตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันจนถึงปัจจุบันที่ไม่มองหน้ากันแล้ว

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ  ยูว่าไอทำเกินไปไหม?  แต่ไอก็ไม่ชอบจริงๆนะที่เขาโกหกไอ”

“แต่ยูก็คิดถึงเขาทุกวันใช่ไหมล่ะ”

“...”  ผมได้แต่นิ่งเงียบ  เพราะไม่กล้ายอมรับว่ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ

“ยูก็รู้ว่าไอกลัวผู้ชาย  ไออยู่ใกล้เขาไม่ได้หรอก”   ใช่ผมกลัวผู้ชาย ผมไม่ควรอยู่ใกล้กับเขา  ผมพร่ำบอกตัวเองอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา  จนกระทั่ง

“สโนว์”  พี่เบลล์ยื่นมือมากุมมือผมไว้ก่อนจะมองนัยน์ตาผมอย่างต้องการส่งผ่านความรู้สึกในใจมาให้ผม  “ยูจะขังตัวเองอยู่ในความกลัวต่อไปจริงๆน่ะหรอ?”

คำถามจากพี่เบลล์ทำให้ผมนิ่งคิดไป

“ไอจะไม่พูดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านมา  แต่ไอจะพูดถึงปัจจุบัน ณ ตอนนี้ เวลานี้  ในเมื่อยูเจอคนที่เขาดีกับยู  เทคแคร์ยู และพร้อมจะรักยู อยู่ตรงหน้ายูแบบนี้แล้วแท้ๆ  ยูจะไม่ให้โอกาสเขาเข้ามาในชีวิตยูเพราะความกลัวในอดีตจริงๆน่ะหรอ”

“...”

“สโนว์  มันไม่ง่ายหรอกนะที่เราจะเจอคนที่เขารักเรา”

“...”

“และเราก็รู้สึกไม่ต่างจากเขาเลยเหมือนกัน”

“...”

“ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วยูจะไม่ลองสู้กับความความกลัว  เพื่อทำสิ่งที่ข้างในใจยูมันเรียกร้องหน่อยหรอ”    พี่เบลล์ยิ้มแล้วกุมมือผมแน่นอย่างให้กำลังใจ


“.....”  ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป  แต่เลือกที่จะเข้าไปกอดพี่เบลล์ไว้ทั้งตัวอย่างซึ้งใจแทน


“ไอขอบคุณยูมากนะ”


“ยินดีเสมอจ้ะ Bro”



ใช่  ผมควรจะลองสู้กับความกลัวจริงๆสักครั้ง



หวังว่ามันจะยังไม่สายไปนะ






±+++++++++++++++++++++++++

ขอบคุณที่ยังตามอ่าน ตามให้กำลังใจกันอยู่นะคะ
ขอบคุณมากๆเลย 

สงกรานต์ที่ผ่านมาไม่ได้มาอวยพรนักอ่านเลย
แต่ก็ขออวยพร ณ ตรงนี้

ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดปีนะคะ สมปรารถนาทุกๆอย่างดั่งใจนึกน้า รวยๆเฮงตลอดๆค่ะ :mew1:

ส่วนไรท์ ปีนี้ขอให้แต่งนิยายที่ดองไว้ให้จบก็ดีใจแล้วค่ะ 555( หัวเราะปนนั้มตาาา) 





แต่ยังไงตอนนี้ฝากติดตามโอ้เอ้กับน้องสโนว์ด้วยน้าา คิดเห็นรู้สึกอย่างไรก็พิมพ์บอกกันบ้างนะคะ ถือเป็นกำลังใจเล็กๆให้ไรท์บ้างน้า :pig4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 24-04-2019 23:30:35
 :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-04-2019 01:36:44
อ้าว.... นี่สโนว์ก็ติดใจโอ้เอ้มาแต่แรกซินะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-04-2019 14:01:06
งุ้ยยยย สโนว์น่ารัก แต่ที่น่ารักกว่า ก็นังมาเรียฟิเช่นนะ
แอบแย่งซีนอยู่บ่อยๆ  อย่าหายไปนานนะคิดถึงคนเขียน
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: เพราะเขากลัวผู้ชาย ผมเลย(ต้อง)กลายเป็นตุ๊ด ep 12 ต่อสู้กับความกลัว 25/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-05-2020 14:17:30
 :pig4:
 :3123: